นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) – ตอนที่ 454 จงฟังข้า

ตอนที่ 454 จงฟังข้า

ตอนที่ 454 จงฟังข้า

ตอนที่ 454 จงฟังข้า

คณะเจรจาจากแคว้นอี๋จะเดินทางมาถึงเมืองจินหลิงในวันพรุ่งนี้

ฟู่เสี่ยวกวนในฐานะผู้นำทูตเจรจาในครานี้ เขาจะต้องมาสื่อสารกับคณะเจรจาของแคว้นอี๋

และมีสวี่หวยซู่เสนาบดีกรมพิธีการเป็นรองผู้นำทูต เขาเองก็มีสิทธิ์ในการเจรจาเช่นกัน

กรมพิธีการใหญ่โตถึงเพียงนี้ ขุนนางมากมายต่างพากันจ้องมองภาพเบื้องหน้าด้วยท่าทีตกตะลึง

ฟู่เสี่ยวกวนนำขาข้างหนึ่งเหยียบลงบนเก้าอี้แล้วถกแขนเสื้อขึ้นพร้อมกับกล่าวด้วยสีหน้าเหมือนอันธพาล

 ข้าต่างหากที่เป็นผู้นำทูต และขอบอกกล่าวกับพวกเจ้าทุกคนเอาไว้เลยว่า คณะเจรจาจากแคว้นอี๋จะเดินทางมาถึงในวันพรุ่งนี้ แต่ยังมิต้องไปต้อนรับ ! มิต้องไปสนใจ ! มิต้องจัดเตรียมที่พัก ! แม้แต่เรื่องอาหารการกินก็เช่นกัน !  

สวี่หวยซู่หน้าแดงขึ้นมาด้วยอารามโกรธ เขารู้สึกได้ว่าหลานชายผู้นี้ต้องการขัดแย้งเขา เมื่อคราที่เดินทางไปยังแคว้นอู๋ ความคิดเห็นของทั้งสองก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เเม้ว่าเจ้าหมอนี่จะมิได้เดินทางไปยังแคว้นฮวง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไป๋ยู่เหลียนคือตัวแทนของเขา

และบัดนี้ เจ้าหมอนี่ก็มิเห็นด้วยกับรายละเอียดต่าง ๆ ที่เขาได้เตรียมต้อนรับเอาไว้ อีกทั้งยังโต้แย้งอย่างเด็ดขาดอีกด้วย เรียกได้ว่าปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง !

 ราชวงศ์หยูอันสูงส่ง มีคณะทูตเจรจาเดินทางมาจากแคว้นอี๋ หากแคว้นเรามิต้อนรับดูแลพวกเขาให้ดี แล้วพวกเขาจะมองแคว้นเราเยี่ยงไร ? หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ผู้คนทั่วทั้งใต้หล้าจะมองราชวงศ์หยูเยี่ยงไร ? ราชวงศ์หยูเป็นแหล่งกำเนิดของตำราศักดิ์สิทธิ์ เรื่องของมารยาทต่าง ๆ พวกเราควรเป็นแบบอย่างที่ดี !  

 แบบอย่างบ้าบออันใดกัน !  

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ไว้หน้าท่านลุงของเขาผู้นี้แม้แต่น้อย

 ให้ตายสิ ! พวกเขาเดินทางมากันตั้งร้อยกว่าคน จะต้องใช้เงินจำนวนเท่าใดมาต้อนรับกัน ? เงินเหล่านี้นำไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจนเดือดร้อนจะมิมีประโยชน์มากกว่านี้หรือ ?  

 บัดนี้ข้ามิอยากจะทะเลาะกับท่านด้วยเรื่องมารยาทเหล่านี้ ล้วนแต่เป็นสิ่งจอมปลอมทั้งสิ้น ข้าต้องการความเป็นจริงและจับต้องได้ ที่สามารถทำให้ราชวงศ์หยูได้รับผลประโยชน์อย่างแท้จริง !  

 หากท่านยังคิดจะคัดค้านข้าอีก ข้าจะปลดตำแหน่งรองทูตเจรจาของท่านเสีย !  

ฟู่เสี่ยวกวนแทบจะกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะที่สวี่หวยซู่นั่งอยู่ สวี่หวยซู่หน้าแดงจนลามไปถึงใบหูทั้งสองข้างด้วยอารามเดือดดาล  เจ้า เจ้า ! เจ้ามัน มิมีเหตุผลเอาเสียเลย !  

 บัดนี้ข้ามิอยากใช้เหตุผลสนทนากับท่าน…  ฟู่เสี่ยวกวนเก็บขาข้างนั้นลงมา แล้วมองไปยังเหล่าขุนนางที่กำลังตกตะลึงอยู่  พวกเจ้าจำเอาไว้ให้จงดี หากผู้ใดละเมิดคำสั่งของข้า ข้าจะทูลให้ฝ่าบาทปลดตำแหน่งของพวกเจ้าเสีย !  

เขาจ้องมองไปยังขุนนางเหล่านั้นตาเขม็งแล้วกล่าวต่อไปว่า  หากคิดว่าข้าทำมิได้ก็ลองดู ข้าคือบุตรเขยของฝ่าบาท ! หากจะกล่าวถึงภูมิหลัง พวกเจ้ามิอาจเปรียบเทียบกับข้าได้ หากจะกล่าวถึงตำแหน่ง ข้าเป็นถึงขุนนางระดับสาม ดังนั้นพวกเจ้าจงตั้งใจฟังเอาไว้ให้จงดี !  

 เมื่อคณะทูตเจรจาจากแคว้นอี๋เดินทางมาถึง มิต้องสนใจ มิต้องเอ่ยถาม มิต้องต้อนรับ จงจับตาดูให้ดี จำไว้ว่าต้องรอให้ถึงปีใหม่เสียก่อน !  

 หึ ๆ เมื่อข้ามปีใหม่แล้วค่อยมาเจรจากัน ตอนเจรจาพวกเจ้าจงฟังและจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรก็พอ ส่วนจะเจรจาเยี่ยงไร เจรจาถึงขั้นไหน นั่นเป็นเรื่องของข้า พวกเจ้านั้นมิต้องเป็นเดือดเป็นร้อน !  

ฟู่เสี่ยวกวนยักไหล่แล้วก้าวขาทำท่าจะเดินจากไป  พวกเจ้านั้นพลาดโอกาสในการกอบโกยเงินทองเสียแล้ว !  

เขาทิ้งท้ายด้วยประโยคนี้ก่อนจะเดินทางออกจากกรมพิธีการไป แล้วมุ่งตรงไปยังกรมการค้า

ขุนนางกรมพิธีการยังมิได้สติคืนกลับมา พวกเขามองไปยังสวี่หวยซู่ ว่ากันว่าญาติฝั่งแม่นั้นลุงคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุด แต่ท่านเสนาบดีช่างเป็นลุงที่น่าสมเพชเสียจริง

 มองอันใดกัน !  

 …ท่านเสนาบดี บัดนี้พวกเราจะ… ?  

สวี่หวยซู่นั่งลงบนเก้าอี้แล้วเบิกตากว้าง ผ่านไปเนิ่นนานก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวอย่างเบื่อหน่ายว่า  จะทำอันใดได้อีก ? ทำเป็นมิรับรู้เรื่องนี้ก็แล้วกัน รอดูว่าเมื่อถึงเวลาเขาจะจัดการเยี่ยงไร !  

ขุนนางทั้งหลายจึงได้ดึงสติกลับคืนมา ท่านเสนาบดีพ่ายแพ้แก่ฟู่เสี่ยวกวนอีกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ แต่ที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าพวกเขาพลาดโอกาสกอบโกยเงินทอง หมายถึงหุ้นที่เพิ่งเปิดกิจการวันนี้เยี่ยงนั้นหรือ ?

ดังนั้นขุนนางทั้งหลายจึงมิได้สนทนาถึงเรื่องการต้อนรับคณะเจรจาจากแคว้นอี๋อีก แต่กลับนำเรื่องหุ้นขึ้นมาสนทนาแทน

 เมื่อตอนกลางวันข้าได้เดินไปดู มีคนอยู่มากมายอย่างแท้จริง แต่ข้าได้ยินคนเหล่านั้นกล่าวว่าสิ่งนี้มิมั่นคงเท่าใดนัก 

 โชคดีที่เจ้ามิได้ซื้อ ใช้เงินจริง ๆ ไปแลกกระดาษเพียงแผ่นเดียว คงมีเพียงฟู่เสี่ยวกวนเท่านั้นที่กล้าทำเช่นนี้ หากเป็นผู้อื่นละก็ ถุย ! เกรงว่าชาวบ้านในเมืองหลวงจะกล่าวหาว่าเขาคือพวกหลอกลวงนะสิ 

 ข้าได้พิจารณาโฆษณานั้นอย่างถี่ถ้วน หากจะครุ่นคิดดี ๆ แล้วก็มีเหตุผล 

 ท่านโอว แล้วท่านได้ซื้อหรือไม่ ?  

ชายแซ่โอวผู้นั้นส่ายหัวแล้วหัวเราะว่า  ข้ายังคงคิดว่าเงินทองเก็บไว้ในกระเป๋าตนเองปลอดภัยที่สุด 

ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งนามว่าเก๋อโยวนั่งลูบเคราของตนอยู่ในมุมเล็ก ๆ จากนั้นก็็นำมือคลำไปที่กระดาษสัญญาซื้อหุ้นออกมาจากกระเป๋าเสื้อของตนด้วยท่าทางตกใจ

เขาเป็นเพียงขุนนางระดับหก เมื่อตอนกลางวันได้เดินผ่านธนาคารซื่อทงและเห็นผู้คนมากมาย เขาจึงเดินเข้าไปและนำเงินที่ภรรยาเก็บเอาไว้ให้บุตรชายแต่งภรรยาจำนวน 100 ตำลึงไปซื้อหุ้น 50 หุ้น…ให้ตายสิ ! เมื่อได้ยินพวกเขากล่าวเยี่ยงนั้น เจ้าสิ่งนี้ช่างแย่เสียจริง !

บัดนี้จะทำเยี่ยงไรได้อีกเล่า ?

เมื่อกลับไปจะอธิบายให้ภรรยาเขาฟังว่าเยี่ยงไร ?

หรือเมื่อเลิกงานแล้วจะนำสิ่งนี้ไปคืนให้ธนาคารซื่อทงดี ?

มิรู้ว่าสามารถคืนได้หรือไม่ ในตอนนั้นมีผู้คนจำนวนมาก เขาเองก็มิได้เอ่ยถามถึงเรื่องนี้

เก๋อโยวกำลังวิตกกังวลมากยิ่งนัก เขามิได้มีฐานะดีอันใด เงินจำนวน 100 ตำลึงนี้เก็บมาด้วยความยากลำบาก

ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว อากาศหนาวเหน็บถึงเพียงนี้ แม้ว่าในกรมจะมีเตาผิงอยู่หลายเตา แต่เขานั่งอยู่ใกล้ประตู กลับปรากฏเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก

 ท่านเก๋อเป็นอันใดไปเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 อ่า…มิได้เป็นอันใด มิได้เป็นอันใด 

 ข้ามองดูสีหน้าท่านซีดเซียวเชียว ถูกลมหนาวพัดเข้ามาเยี่ยงนั้นหรือ ? ท่านไปนั่งใกล้ ๆ เตาผิงเถิด เยี่ยงไรเสียบัดนี้ก็มิมีเรื่องอันใดต้องจัดการ 

 ข้ามิเป็นไรจริง ๆ… ท่านโอว ท่านว่า…หุ้นนี้ไร้ประโยชน์จริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ท่านโอวยิ้มแล้วกล่าวว่า  นำเงินไปแลกกระดาษมา 1 ใบ เงินนั้นสามารถใช้ซื้อสิ่งของได้ กระดาษสามารถใช้ซื้อสิ่งของได้หรือไม่เล่า ?  

 แต่หากอุตสาหกรรมซีซานได้กำไร ก็จะได้ส่วนแบ่งด้วย อีกทั้งธนาคารซื่อทงจะเปิดกิจการอย่างเป็นทางการในปีหน้า…นั่นหมายความว่าจะมีการแลกเปลี่ยนหุ้นกันได้ หากอุตสาหกรรมซีซานเป็นที่นิยม หุ้นนี้ก็จะมีมูลค่าสูงขึ้นอีกด้วย 

 ท่านเชื่อจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? อย่าว่าแต่อุตสาหกรรมซีซานจะได้กำไรหรือไม่ เพียงแค่กระดาษบาง ๆ 1 ใบ มิใช่หนังสือพระราชโองการขององค์จักรพรรดิเสียหน่อย จะมีมูลค่าสูงขึ้นได้เยี่ยงไร ?  

เก๋อโยวตกตะลึงยิ่ง เขามีเหงื่อออกท่วมตัว

 ท่านเก๋อ อย่าบอกว่า…ท่านซื้อหุ้นนั้นไปแล้ว ?  

 เอ่อ มิ มิใช่ เพียงเเค่ข้าคิด… คิดในใจก็รู้สึกแย่แล้ว 

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่หน้ากรมการค้า บรรดาช่างจากกรมอุตสาหกรรมยังคงทำงานอย่างกระตือรือร้น มองดูแล้วมิเกินสองวันก็คงจะแล้วเสร็จ เขาต้องรีบหาคนมาทำงานในกรมการค้าของเขาแล้ว

บรรดาขุนนางในราชวังมิมีผู้มีความสามารถ คนเหล่านั้นหัวโบราณจนเกินไป กรมการค้าเป็นองค์กรใหม่ เขาต้องการคนรุ่นใหม่ที่มีความคิดเป็นอิสระ

ดังนั้นเขาจึงดึงตัวหลี่ฉายมาเพียงคนเดียวเท่านั้น ส่วนขุนนางที่เยี่ยนเป่ยซีกับต่งคังผิงแนะนำมาให้นั้น เขาได้ปฏิเสธจนสิ้นแล้ว

เขาตั้งใจจะทำการคัดเลือกผู้ที่มีความสามารถจากงานชิวเหวยในปีนี้ แต่หากยังมิเพียงพอ อาจจะไปคัดเลือกจากสำนักศึกษามาเพิ่ม

เขาจะต้องก่อตั้งกรมการค้าขึ้นให้ได้ก่อนฤดูใบไม้ผลิในปีหน้า ให้พวกเขาร่างกฎหมายต่าง ๆ ขึ้นมา ส่วนตนนั้น…

ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้มีมากมายอย่างแท้จริง !

 

ตอนที่ 276 ต่างคนต่างมีแผนการ
ณ เมืองฝานหนิง
กวนถงขมวดคิ้วฉงนขึ้นมาอีกครา
เมื่อครู่มีสายรายงานมาว่าขบวนทูตแห่งราชวงศ์หยูได้พักแรมพร้อมจัดแจงทำอาหารและเพิงพักอยู่นอกเมืองนี้ นี่มันหมายความว่าเยี่ยงไรกัน… ?
คงมิอาจยอมได้หากให้ตนรอด้วยความหิวโหย แต่อีกฝ่ายกลับกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญใจ
“ช่างเสียปะไร” กวนถงหัวเราะเยาะ
เขามองไปทางเหวินชางไห่ “ท่านชางไห่ ดูเหมือนค่ำคืนนี้พวกเขาต้องพำนักชั่วคราวที่นอกเมืองเสียแล้ว ก็ดีเสีย ข้าจะได้ถือโอกาสนี้พบปะกับคณะทูตของแคว้นฝาน แคว้นอี๋ และแคว้นฮวง ดื่มสุราพูดพล่ำทำกลอน หากข้าจะเล่าเรื่องเจ้าฟู่เสี่ยวกวนเสียหน่อย ข้าว่าพวกนั้นคงจะสนใจฟัง”
เหวินชางไห่ถอนหายใจ “ฝ่าบาททรงวางพระทัยให้ท่านเป็นผู้ดูแล มาต้อนรับเหล่าคณะทูตจากต่างบ้านต่างเมืองครานี้ ท่านจะจัดการเยี่ยงไรข้าก็มิบังอาจไปขัดขืนได้ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะขอเตือนท่าน เรื่องบางเรื่องก็ควรทำแต่พอเหมาะพอควร ข้าเกรงว่าท่านจะประเมินค่าฟู่เสี่ยวกวนต่ำเกินไป และเหตุการณ์มันจะเลยเถิดไปกันใหญ่ ! ”
เขาพูดในขณะที่มือกำลังเลิกผ้าม่านออก แล้วหันมากล่าวอีกครา “หากท่านคิดว่าสามารถยั่วยุให้เหล่าปัญญาชนทั้งสามแคว้นให้หยิ่งทระนงจนยกตนข่มฟู่เสี่ยวกวนได้ละก็ ข้าเกรงว่าท่านจะคิดผิดอย่างมหันต์ ทักษะทางวรรณกรรมล้วนแต่เกิดจากพรสวรรค์ ข้าก็กล่าวได้เพียงเท่านี้ มันสมองเหล่าปัญญาชนจากทั้งสามแคว้นรวมกัน หาเทียบฟู่เสี่ยวกวนเพียงผู้เดียวได้ไม่ ! ”
และเขาก็เดินลงจากรถม้า “และนี่คือเหตุผลที่ฝ่าบาททรงพอพระทัยฟู่เสี่ยวกวน โปรดให้อภัยข้าเถิด ข้ามิอาจร่วมทางกับท่านได้อีกต่อไป ! ”
เขาวางผ้าม่านลงแล้วเดินจากไปอย่างไม่พอใจ
กวนถงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและสบถด่าอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าคนโฉดเขลา เจ้าจะทำลายศักดิ์ศรีของราชวงศ์อู๋รึ เจ้ามันมิเหมาะสมกับการมีบิดาผู้แสนปราดเปรื่องเอาเสียเลย ! ”
……
ณ เพิงพักของขบวนทูตแห่งราชวงศ์หยูนั้นครึกครื้นยิ่งนัก
บรรดาลูกศิษย์ของเขามิทราบว่าสถานการณ์เป็นเยี่ยงไร ฟู่เสี่ยวกวนก็ไม่ปรารถนาจะบอกกล่าว
หลังจากมื้อค่ำ สวี่หวยซู่และเซวียผิงกุยเข้ามาพบฟู่เกี่ยวกวนในเวลาเดียวกัน
สวี่หวยซู่แสดงสีหน้ากังวลแล้วกล่าวว่า “พวกเราจะรอกันเยี่ยงนี้รึ ? ”
มีนัยว่าจะรออย่างปล่าวประโยชน์จริงหรือ หรือจะวานให้เซี่ยะซีเฟิงเข้าเมืองไปเร่งขบวนฝั่งนั้นเสีย
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มตอบ “มีประโยชน์อันใดให้รอต่อไป ย่ำรุ่ง…”
เขาหันไปมองทางเซวียผิงกุย “ยามย่ำรุ่ง เจ้าจงจำคำข้าไว้ จงถอนเพิงพักแล้วออกเดินทาง”
เซวียผิงกุยตกตะลึงทันพลัน “ไปที่แห่งใดขอรับ ? ”
“นำขบวนกลับแคว้น ! ”
สวี่หวยซู่และเซวียผิงกุยหันมามองหน้ากันโดยไร้คำกล่าว ร่วมเดินเท้าผ่านอุปสรรคมาไกลโข เมืองกวนหยุนจุดมุ่งหมายแห่งการเดินทางครานี้อยู่ใกล้เพียงเอื้อม เพียงแค่ชั่วยามเท่านั้น แต่เขากลับสั่งการให้นำขบวนกลับ
“นำขบวนกลับ นำขบวนกลับแล้วจะเผชิญพระพักตร์กับฝ่าบาทได้เยี่ยงไร ” สวี่หวยซู่คิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรทำตามคำสั่งการของฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งเขาเป็นคนหนุ่มเลือดร้อน คงมิหยั่งรู้ว่าการตัดสินใจอย่างหุนหันพันแล่นเยี่ยงนี้จะนำหายนะมาให้ราชวงศ์หยูได้มากถึงเพียงใด !
นั่นคือถือเป็นการไม่ไว้หน้าฝ่าบาทเป็นอย่างมาก หากจักรพรรดิเหวินตี้นำทัพออกจากภูเชาฉีชานด้วยเหตุนี้ ต่อให้มีฟู่เสี่ยวกวนอีกร้อยชีวิตก็คงต้องโดนประหารสิ้นเป็นแน่
“เจ้ามิยอมเสียหน้า แต่ข้าก็มิแยแส ได้โปรดทำตามที่ข้าสั่ง”
สวี่หวยซู่กำลังปลีกตัวจากไป ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็คว้าตัวเขาไว้
สีหน้าจริงจังและน้ำเสียงของเขาก็ขึงขังขึ้นมาทันพลัน “การเดินทางครานี้จงยึดถือคำสั่งข้าเป็นใหญ่ ยามนี้มิใช่เรื่องศักดิ์ศรีของข้าหรือของเจ้า แต่เป็นเกียรติและศักดิ์ศรีของราชวงศ์หยูและฝ่าบาท เจ้าจงจำไว้ว่างานเทศกาลฤดูหนาวอันน่าเบื่อหน่ายนี้ ข้ามิได้ใส่ใจแม้แต่น้อย หากข้ามิไปเข้าร่วมมันก็มิใช่ปัญหาที่ข้าก่อ แต่หากเป็นปัญหาขององค์จักรพรรดิเหวินตี้ ข้ารู้ดีว่าเจ้ากังวลสิ่งใด ข้าขอกล่าวให้เจ้ารู้ไว้ว่าจักรพรรดิเหวินตี้มิมีทางจะยกทัพออกจากภูเขาฉีชานมายังแคว้นหยู แต่ถ้าหากเจ้ากล้าดีถือวิสาสะไปยุ่งกับคนของราชวงศ์อู๋เสียล่ะก็ อย่าหาว่าดาบของข้ามันไร้ซึ่งความเมตตา ! ”
คำพูดนี้เต็มไปด้วยการข่มขู่เอาชีวิต ในสายตาของเซวียผิงกุย เขาเชื่อว่าหากสวี่หวยซู่ขัดคำสั่งของฟู่เสี่ยวกวน เขาคงโดนคร่าชีวิตกลางขบวนนี้เป็นแน่ !
นี่เป็นครั้งแรกที่สวี่หวยซู่ได้เห็นท่าทีและคำพูดที่เย็นชาและโหดเหี้ยมของฟู่เสี่ยวกวน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกขวัญเสียขึ้นมา ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนไม่เคยเห็นลุงผู้นี้ในสายตา ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าที่ผ่านมาเขาฆ่าคนอย่างเลือดเย็นไปแล้วกี่ราย
เขาอยากจะกล่าวอีกสาเหตุให้อีกฝ่ายได้ฟัง แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเผยรอยยิ้มมุมปากแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าจงสบายเลยเถิด หากท่านกวนถงมิอยากหัวขาดล่ะก็ เขาต้องนำขบวนม้ามาตามพวกเรากลับไปเป็นแน่”
“และเมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเป็นผู้จัดการเอง กำชับทุกคนเข้าไว้ว่าค่ำนี้ต้องรีบนอน ยามรุ่งพวกเราจะยกขบวนกลับโดยทันที ! ”
ณ หอป่านเย่ว แห่งเมืองฝานหนิง กวนถงอัญเชิญเหล่าปัญญาชนและคณะทูตที่ติดตามมาร่วมงานเลี้ยง แล้วเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำนักว่าขบวนของฟู่เสี่ยวกวนนั้นถูกทิ้งไว้นอกเมืองฝานหนิง
“บทกวีของเขาถูกสลักไว้บนหินเชียนเปยสือ แต่ช่างเสียปะไร ข้าจะทิ้งเขาไว้ที่นั่นสิ่งนี้ข้าพอใจจะกระทำ อยากทิ้งไว้นานเพียงใดก็ย่อมทำได้ ถามว่าด้วยเหตุใดน่ะรึ ข้ามิโปรดเจ้าฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ ! ”
“พวกท่านเป็นถึงผู้สูงส่งของแต่ละแคว้น ข้าขอเผยความจริงว่าฝ่าบาททรงใช้งานชุมนุมครั้งนี้ในการคัดเลือกราชบุตรเขย หากแต่มิใช่รับสมัครราชบุตรเขย แต่ทว่า…องค์หญิงไท่ผิงจะทรงเลือกอภิเษก”
เหล่าปัญญาชนเมื่อได้ยินแล้วโห่ร้องขึ้นมาด้วยความดีใจ !
องค์หญิงไท่ผิงอู๋จ้าวหรืออู๋หลิงนั้นเพียบพร้อมทั้งด้านวรรณกรรมและด้านการทหาร
แต่ก่อนใดมาพวกเขาแทบไม่เคยคิดเคยฝัน เหตุเพราะอู๋หลิงมียศเป็นถึงองค์หญิงแห่งราชวงศ์อู๋ อีกทั้งยังเป็นเพียงองค์หญิงเพียงแค่พระองค์เดียวของราชวงศ์เท่านั้น ฐานะสูงส่งเยี่ยงนั้นเกินยิ่งกว่าที่พวกเหล่าปัญญาชนจะไขว้คว้าถึง
อีกอย่างพระสวามีขององค์หญิงคงต้องได้รับการแต่งตั้งเป็นราชบุตรเขย แต่พวกเขามิใช่คนของราชวงศ์อู๋ ย่อมมิยอมที่จะเป็นราชบุตรเขยเป็นแน่
ตอนนี้ฟังดูแล้วเหมือนว่าหากองค์หญิงไท่ผิงยอมลดฐานะมาสมรสกับคนที่ฐานะต่ำกว่า ก็จะต้องตามพระสวามีกลับแคว้นไปด้วย ถ้าเกิดได้ครอบครององค์หญิงไท่ผิงก็จะได้รับความเกื้อกูลจากองค์จักรพรรดิเหวินตี้ ไม่ว่าจะเป็นแคว้นไหนก็ตามที นี่ย่อมเป็นเรื่องที่แสนวิเศษยิ่งนัก อีกทั้งยังได้รับของกำนัลตอบแทนจากผู้นำแคว้นของตนอีกด้วย
หนึ่งในสิบของคณะกวีแห่งแคว้นฮวงคือ บุตรชายที่ห้าของท่าป๋าชิว นามว่าท่าป๋ายวน
ความรู้ที่เขามีล้วนมาจากการสั่งสอนของบิดา แต่ความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดมากลับมาจากราชสำนักของราชวงศ์หยู
ท่าป๋าชิวยอมอัญเชิญคณาจารย์มาจากแคว้นหยูเพื่อให้บุตรชายของตนได้ซึมซับวัฒนธรรมของราชวงศ์หยู จึงถือได้ว่าท่าป๋ายวนเป็นบุคคลที่มีความรู้ลึกซึ้งมากที่สุดคนหนึ่งในแคว้นฮวง
เขาเคยอ่านหนังสือความฝันในหอแดงและบทกวีเหล่านั้นของฟู่เสี่ยวกวน และรู้ดีในความเก่งกาจของเขา แต่หากจะเป็นด้านวรรณกรรมโบราณ เขาเชื่อนักว่าเขาเก่งกาจกว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นเท่าตัว อีกทั้งบทกวีของเขาก็ยังได้รับความนิยมในแคว้นฮวงอย่างแพร่หลาย
เมื่อได้ยินข่าวนี้จากกวนถง เขาก็มีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันใด หากได้สมรสกับองค์หญิงไท่ผิงและได้รับความเกื้อกูลจากราชวงศ์อู๋ เรื่องราววุ่นวายภายในราชวงศ์ฮวงก็คงจะหมดสิ้นไป
เหล่าหัวหน้าเผ่าพวกนั้นก็เป็นได้แค่พวกปัญญาทึ่ม ไร้ความก้าวหน้าไปชั่วชีวิต !
หากมิมีพวกเขาคอยขัดขวางไว้ ป่านนี้ท่านพี่ท่าป๋าเฟิงคงนำทัพลงทิศใต้ ฤดูหนาวปีกลายคงอยู่ที่เมืองซินโจวเป็นแน่แท้
โอกาสเหมาะสมเยี่ยงนี้ ต้องกดดันให้ท่านพี่ต้องยอมแพ้ และใช้กุศโลบายสมรสกับองค์หญิงสามแห่งแคว้นหยูมาถ่วงดุล
ทว่าเจ้าฟู่เสี่ยวกวนนั้นกลับมีเจตนาคิดแผนสูง
ช่างน่าเวทนา เป็นแค่พ่อค้าที่ดินกลับคิดการใหญ่ เห็นว่าเรื่องนี้คงทำให้ลำบากมิน้อย
สถานการณ์จัดฉากเยี่ยงนี้พวกผู้นำเผ่ายังคาดเดามิออก !
พวกโง่เขลา
เจ้าฟู่เสี่ยวกวน จงตายไปเสีย !

ตอนที่ 527 สถานทูตแคว้นหลิว

ตอนที่ 527 สถานทูตแคว้นหลิว

ยามที่ยืนอยู่บนทางเดินชั้นสอง สีหน้าเบิกบานและแววตาจริงใจของฟู่เสี่ยวกวนได้ส่งไปทางเยียนเหลียงเจ๋อและคณะจนพวกเขาออกจากหอกั๋วเซ่อเทียนเซียงไปแล้ว

ความปรารถนาในใจของเยียนเหลียงเจ๋อ ในวันนี้ได้ถูกกระตุ้นเรียบร้อยแล้ว แคว้นอี๋จะมิสงบสุขอย่างแน่นอน เพราะมิรู้ว่าในพระราชวังทองคำของแคว้นอี๋จะมีเสียงปืนดังขึ้นมาเมื่อใด

คาดว่าคงอีกมินาน เพราะเยียนเหลียงเจ๋อย่อมมิมีเวลาที่จะวางแผนอย่างถี่ถ้วน

แจ้งความปรารถนาของเยียนเหลียงเจ๋อให้เยียนหานยวี่ทราบดีหรือไม่ ?

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่หลายชั่วอึดใจ แต่ก็ได้ล้มเลิกแผนการนี้ หากเยียนเหลียงเจ๋อสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้จริงก็เป็นผลดีต่อราชวงศ์หยู เพราะหลังจากที่เขาทำให้อำนาจทางการเมืองมีความเสถียรได้แล้ว เขาย่อมส่งกองทัพไปยังแคว้นฮวงอย่างแน่นอน

ในตอนนี้ศัตรูที่ใหญ่ที่สุดของราชวงศ์หยูคือแคว้นฮวง แน่นอนว่ายังมีภัยที่ใหญ่หลวงอยู่ภายในราชวงศ์หยูนั่นก็คือองค์ชายสี่และแม่ทัพใหญ่เซวี๋ยติ้งชานแห่งกองทัพชายแดนตะวันตก

ส่วนลัทธิจันทรา ในสายตาของฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นเพียงแค่กลุ่มชาวลวี่หลินที่เสเพลกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกันเท่านั้น

ยามที่ซูม่อทำการฝึกฝนทหารดาบเทวะรุ่นสามจนเสร็จสิ้น ก็ให้เขาไปจัดการกับลัทธิจันทราเสีย ซึ่งมิใช่เรื่องยากอันใด

ทุกคนต่างก็เป็นผู้มีฝีมือระดับสูงทั้งสิ้น ในมือของทหารดาบเทวะยังมีอาวุธที่ร้ายกาจอยู่ คนจากลัทธิจันทราย่อมไร้หนทางที่จะต่อต้าน

ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม สายตามองสำรวจกลุ่มคนที่อยู่ในห้องโถงด้านล่าง เมื่อมิพบสวี่หวยซู่เขาจึงพาสวี่ซินเหยียนเดินกลับเข้าไปในห้องของยิงฮวาอีกครา

หนิงหยู่ชุนมองสำรวจแล้วเอ่ยถามว่า  องค์รัชทายาทล่ะ ?  

 กลับไปแล้ว 

 หรือพวกข้าจะมารบกวนพวกเจ้า ?  

 คิดอันใดอยู่กัน ? เขาเป็นถึงองค์รัชทายาทของแคว้นอี๋ จึงยุ่งเป็นอย่างมาก มา ๆ ๆ พวกเรามาดื่มสุราต่อเถิด !  

ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้บอกผู้ใดว่าตนได้ฝังความรักอิสระไว้ในใจของเยียนเหลียงเจ๋อ เขาร่ำสุรา แล้วคุยโวโอ้อวดมากมายโดยมิอายกับสหายกลุ่มนี้

 ข้ามิเข้าใจ แคว้นอี๋ต้องยกที่ดินหนึ่งในสามให้กับแคว้นเพื่อเป็นการชดใช้และเจ้ายังทำให้พวกเขาต้องอับอายมากถึงเพียงนั้น คาดมิถึงว่าเขาจะยังเชิญเจ้ามาดื่มสุรา… มิใช่ ! เขาไปแล้วผู้ใดจะจ่ายเงินกัน  ฉินโม่เหวินเอ่ยถามอย่างงุนงง

 เจ้ากังวลกับผี…  ฟู่เสี่ยวกวนหยิบตั๋วเงินหนึ่งปึกวางลงบนโต๊ะ  ดื่มจนเจ้าตายก็ดื่มมิหมด ซินเหยียน จงนับว่ามีเท่าใดแล้วเก็บเอาไว้ก่อน 

สวี่ซินเหยียนเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน หยิบตั๋วเงินปึกนั้นขึ้นมาแล้วตรวจสอบโดยละเอียด ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วว่า  3,200 ตำลึง… ให้เก็บไว้ที่ข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 อือ ฝากไว้ที่เจ้าก่อน ประเดี๋ยวข้าคงดื่มเสียจนเมามาย เจ้าก็จำไว้ว่าต้องจ่ายเงินด้วย 

 อ่า…  สวี่ซินเหยียนหยิบตั๋วเงินขึ้นมาอย่างชื่นมื่น สำหรับนางแล้ว ถือเป็นเงินก้อนมหาศาลอย่างมิต้องสงสัย ฟู่เสี่ยวกวนนำเงินก้อนใหญ่ถึงเพียงนี้ให้นางดูแล เป็นไปได้หรือไม่ว่าใจของเขาได้ยอมรับนางแล้ว ?

จะว่าไปแล้ว เขาเป็นบุรุษเพียงคนเดียวที่เคยเห็นเรือนร่างนาง

บุรุษ !

ยิงฮวาจดจ้องสวี่ซินเหยียนด้วยสายตาเปี่ยมเลศนัย สาวงามผู้นี้ต้องเป็นคนรู้ใจของฟู่เสี่ยวกวนอีกเป็นแน่

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้คิดอันใดมาก เพียงคาดว่าวันนี้ตนเองคงจะเมา

 พวกเจ้าดูแคลนองค์รัชทายาทแคว้นอี๋ผู้นี้เสียแล้ว ข้าจะเล่าให้ฟังก็แล้วกัน เขากำลังวางแผนยึดครองแคว้นอี๋ ส่วนเรื่องแบ่งที่ดินและเงินชดเชย ถือเป็นการสูญเสียเงินภาษีเพียงมิกี่ปีเท่านั้น ที่ดินหายไปเพียงหนึ่งผืน แต่ทว่าบัลลังก์ของแคว้นอี๋ต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของเขา เพราะองค์รัชทายาทผู้นี้เป็นคนเด็ดขาด และ…ดุดันมากยิ่งนัก 

 เจ้ามิกังวลว่าเขาจะชิงว่อเฟิงหยวนกลับคืนในภายหน้าหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า  เขามิกล้าหรอก 

ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้อธิบายว่าเหตุใดเยียนเหลียงเจ๋อจึงไร้ความกล้า แต่เขากลับยกสุราขึ้นแล้วกล่าวกับฉินโม่เหวินว่า  จากที่คาดการณ์แล้วจะนานถึงหนึ่งปีที่จะมิได้พบเจอเจ้า จอกนี้ขออวยพรให้ชีวิตในกวนซีเต้าของเจ้ามีแต่ความสุขความเจริญ 

 เจ้าอย่าได้คิดว่าข้าสบายใจ ข้าจะมีความสุขกับสถานที่แสนทรุดโทรมนั้นได้เยี่ยงไร ?   ฉินโม่เหวินดื่มกับฟู่เสี่ยวกวน แล้วเอ่ยต่อว่า  แต่เยี่ยงไรเสีย หลายวันมานี้ข้าได้คิดวิธีบางอย่างขึ้นตามที่เจ้าได้ชี้แนะเอาไว้ ลองฟังว่าใช้ได้หรือไม่ 

 นี่เป็นสถานที่ไว้คุยราชการเยี่ยงนั้นหรือ ? พี่ฉินมาดื่มอย่างสบายอารมณ์กันดีกว่าหรือไม่ ? มิต้องกล่าววิธีเหล่านั้นออกมาหรอก โยนมันทิ้งไปเสีย อย่าได้กังวลว่าจะพ่ายแพ้ มิใช่เรื่องใหญ่หรอก !  

ฮั่วหวยจิ่นปรบมือ  น้องฟู่กล่าวได้มีเหตุผลยิ่ง มา ๆ ๆ พี่โม่เหวิน มาดื่มกันเถิด 

หลังจากนั้น วงสุราก็ครึกครื้นขึ้นมาอีกครา ฉินโม่เหวินมิเอ่ยถึงเรื่องราชการอีก พวกเขาล้วนสนทนากันอย่างออกรสออกชาติ ยิงฮวาเดินไปยังแท่นวางฉินเพียงลำพัง บรรเลงและขับขาน ‘สงบซึ่งคลื่นลม อย่าฟังเสียงเสียดสีใบไม้ที่ผ่านป่ามา’ ด้วยตนเอง

พอเสียงเพลงดังขึ้น เสียงสนทนาในวงสุราก็พลันเงียบลง

ทุกสายตาหันไปจับจ้องที่ยิงฮวา ทว่าบัดนี้ยิงฮวากำลังมัวเมาอยู่ในบทเพลง

บทกวีนี้ก็เป็นฟู่เสี่ยวกวนที่ประพันธ์ขึ้นมาอีกเช่นกัน ความหมายของแต่ละคำนั้นแสนง่ายดาย เกลี้ยงเกลากว้างขวาง ท่วงทำนองลึกซึ้ง ผู้ที่ได้ฟังล้วนมีความซาบซึ้งแตกต่างกันออกไป

โดยเฉพาะฉินโม่เหวิน

การเดินทางไปยังกวนซีเต้า มิใช่การล้มลุกคลุกคลานบนเส้นทางขุนนาง ทว่าเป็นภารกิจที่แสนหนักหน่วง

นี่คือความรักความเมตตาจากฝ่าบาทที่มีต่อเขา กวนซีเต้ามีความเจริญเป็นอันดับที่สิบสองจากทั้งหมดสิบสามอันดับของราชวงศ์หยู ดีกว่ามากเมื่อเทียบกับหลิงหนาน

เขาต้องสร้างผลงานในกวนซีเต้าเพื่อตอบแทนพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท แต่ก็กังวลว่าตนจะแบกรับภาระที่แสนหนักอึ้งนี้มิไหว จึงหลีกเลี่ยงความกังวลเรื่องกำไรและขาดทุนไปมิได้

ในยามที่ได้ฟัง สงบซึ่งคลื่นลม ทันใดนั้นก็ตระหนักขึ้นมาได้

 竹杖芒鞋轻胜马,谁怕? 

 ไม้ไผ่ 1 กำ รองเท้าฟาง 1 คู่ ยังว่องไวกว่าควบอาชา ใยต้องกลัว ?  

我也当有搏击风雨笑傲人生之轻松与豪迈,我也当顶风踏雨把歌而行,面对人生之风风雨雨,我当有不畏坎坷之超然情怀。

ข้าเองก็ยิ้มอย่างภาคภูมิ ในยามที่ผ่อนคลายก็มีความกล้าหาญในการต่อสู้กับพายุฝนของชีวิต ข้าเองก็ต้านลมสู้ฝนไปกับบทเพลง เผชิญหน้ากับอุปสรรคของชีวิต ข้าควรอยู่เหนือความรู้สึกใด ๆ เพื่อที่จะได้มิต้องกลัวการล้มลุกคลุกคลาน

何惧荣辱?

จะกลัวอันใดกับการมีเกียรติและเสื่อมเกียรติ ?

莫谈成败!

มิต้องกล่าวถึงความสำเร็จหรือล้มเหลว !

หนึ่งบทเพลงจบลง เสียงปรบมือดังเกรียวกราว ฉินโม่เหวินหยิบขวดสุราแล้วรินให้กับฟู่เสี่ยวกวนจนเต็ม  สามจอก !  

ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก  เหตุใดต้องดื่มสามจอกด้วยกัน !  

 มิมีเหตุอันใด ข้าเพียงนึกขึ้นมาได้ว่า บทกวีของเจ้า ยอดเยี่ยมยิ่ง ดื่ม !  

เสียงตะโกนดังขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนและฉินโม่เหวินดื่มติดกันสามจอก

ใบหน้าร้อนผ่าวเล็กน้อย ใจเต้นระรัว เห็นท่ามิดีแล้ว ทว่าในยามนี้หนิงหยู่ชุนก็ได้เข้ามาร่วมด้วย  ท่านเสี่ยวกวน สามจอกขอรับ !  

 ไสหัวไป !  

 哈哈哈…… 宁玉春开怀大笑,不由分说为傅小官倒了酒, 我特么特别喜欢这句也无风雨也无晴,少年啊,你真有这么淡定的么?别废话,三杯,先干为敬! 

 ฮ่า ๆ ๆ…  หนิงหยู่ชุนหัวเราะร่า รินสุราให้กับฟู่เสี่ยวกวนโดยมิเอ่ยพร่ำทำเพลง  ไร้ลมฝนนภาก็ยังมิสดใส ข้าล่ะชื่นชอบประโยคนี้เสียจริง เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าใจเย็นได้ถึงเพียงนั้นจริงหรือ ? อย่ากล่าวไร้สาระ สามจอก ดื่มหมดเพื่อเป็นการเคารพ !  

จะทำเยี่ยงไรได้อีกเล่า ? ฟู่เสี่ยวกวนทำได้เพียงแค่ดื่มไปโดยดุษณี

หลังจากนั้นก็หันไปมองยิงฮวา ด้วยท่าทีเมามายอยู่ห้าส่วน

ใบหน้าของยิงฮวาแดงระเรื่อ นางค่อย ๆ ก้มหน้าหลบ ในใจราวกับซุกซ่อนกวางไว้หนึ่งตัว และมันกำลังกระโดดโลดเต้นไปมา เขาดื่มไปมากก็ดีแล้ว ประเดี๋ยวช่วยประคองเขาไปที่ห้องข้าดีหรือไม่ ?

ทว่าหญิงงามที่อยู่ข้างกายของเขากลับมีสติอย่างมาก คอยจดจ้องไปที่เขาอยู่ตลอดเวลา ย่อมมิใช่เรื่องดีที่จะลงมือ

ในยามที่นางกำลังจินตนาการไปเรื่อยเปื่อย ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เอ่ยขึ้นมาว่า  เมื่อครู่ ข้าได้ลองทบทวนอย่างถี่ถ้วนแล้ว เจ้าบอกข้าว่าจะกลับแคว้น…  ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า  ข้ามีความเห็นหนึ่ง อยากให้แม่นางลองพิจารณา 

ยิงฮวาเผยอปากเล็กน้อย สายตางุนงง  คุณชายเชิญกล่าว 

 ข้าคิดว่าเยี่ยงนี้ ในตอนนี้ราชวงศ์หยูและแคว้นหลิวยังมิได้ไปมาหาสู่ซึ่งกันและกัน ระหว่างที่แม่นางอยู่ในจินหลิง ข้าจะหาเวลาไปทูลฝ่าบาทว่าจะสามารถสร้างสถานทูตของแคว้นหลิวขึ้นในเมืองจินหลิงได้หรือไม่ เยี่ยงนั้นก็จะสะดวกต่อการไปมาหาสู่กันระหว่างสองแคว้นในภายภาคหน้า เห็นว่าเป็นอย่างไร ?  

ยิงฮวาย่อมดีใจเป็นอย่างมาก นางพยักหน้าอย่างตื่นเต้น เพียงสามารถอยู่ในจินหลิงต่อไปได้ก็ดีมากโขแล้ว ส่วนเรื่องอื่นนั้น… นางเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน พบว่าในยามนี้เขากำลังเมามาย คนผู้นี้คล้ายกับหล่อเหลาขึ้นมาอีกเล็กน้อย

ในยามที่ฉินโม่เหวินและคนอื่น ๆ ยังปะติดปะต่อเรื่องมิได้ ทันใดนั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอีกครา

 

ตอนที่ 526 มอบปืนให้

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ตกตะลึงเช่นกัน

เหตุใด อยู่ ๆ ท่านลุงถึงวิ่งเข้ามาแล้วทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ เช่นนี้กัน ?

แม้การที่สองลุงหลานมาอยู่ในห้องเดียวกันมิใช่เรื่องแปลก แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับรู้สึกอึดอัดใจ ดังนั้นเขาจึงมองไปทางเยียนเหลียงเจ๋อ ซึ่งเยียนเหลียงเจ๋อเองก็กำลังมองมาทางเขาเช่นกัน

ทั้งสองรู้สึกประหลาดใจ สบสายตากันไปมา ล้วนสงสัยแต่ก็มิมีผู้ใดรู้ว่าสวี่หวยซู่กำลังหลบคนอยู่ เหตุใดจึงพรวดพราดเข้ามาเช่นนี้

สวี่หวยซู่เองก็ทำตัวมิถูก

ให้ตายเถอะ ! กว่าจะหนีออกมาหาความสำราญได้แต่ละครามิใช่เรื่องง่าย เหตุใดจึงมิราบรื่นเอาเสียเลย ?

ที่สำคัญ ฟู่เสี่ยวกวนยังพาสวี่ซินเหยียนมาด้วย มิว่าเยี่ยงไร แม่นางผู้นี้ก็คือบุตรสาวในนามของตน พ่อลูกพบกันในสถานที่แบบนี้ มิรู้ว่าควรจะอธิบายเยี่ยงไรดี

เขาอยากหันหลังเดินจากไป ทำราวกับมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่ทว่าด้านนอกยังมีฉินโม่เหวินอยู่อีกคน

หนีเสือปะจระเข้แท้ ๆ สวี่หวยซู่ตกตะลึงงันยืนอยู่กับที่ เขาทำตัวมิถูกเอาเสียเลย

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืนแล้วหัวเราะเสียงดัง เขามองแล้วเดินไปทางสวี่หวยซู่ ทันใดนั้นเอง แม่นางฝ่ายต้อนรับก็ได้เปิดประตูแล้วทำหน้าซีดเผือด

ลุงท่านนี้ช่างมิรู้กฎเอาเสียเลย นี่คือห้องของแม่นางยิงฮวา หากทำให้แขกด้านในมิพอใจ นางจะต้องถูกตำหนิเป็นแน่

นางเดินเข้ามาแล้วยิ้มอย่างเขินอาย เอื้อมมือไปดึงเสื้อของสวี่หวยซู่เอาไว้  ท่านลุงเจ้าคะ ท่านเข้ามาผิดห้องเสียแล้ว เชิญตามข้าน้อยออกมาก่อนเถอะเจ้าค่ะ 

ฟู่เสี่ยวกวนเดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าสวี่หวยซู่ ทันใดนั้นพวกฉินโม่เหวินก็เดินมาถึงพอดิบพอดี ฉินโม่เหวินได้หันกลับมามอง

ให้ตายเถอะ !

ฟู่เสี่ยวกวนก็อยู่ที่นี่ด้วย !

วันพรุ่งนี้ เขาจะออกเดินทางไปรับหน้าที่ยังกวนซีเต้า เขาจึงเดินทางไปยังจวนฟู่หมายพบปะสังสรรค์กับฟู่เสี่ยวกวน คาดมิถึงว่าบ่าวรับใช้ในจวนจะเอ่ยว่าเจ้าหมอนี่มิอยู่ที่จวน แต่ก็มิรู้เช่นกันว่าไปที่ใด

ส่งผลให้ฉินโม่เหวินรู้สึกเสียใจมากยิ่งนัก เดิมทีเขาต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนช่วยชี้แนะวิธีดำรงชีวิตของผู้คนและกลยุทธ์ทางการค้าเสียหน่อย คาดว่าคงต้องรอถึงปีหน้าเสียแล้ว

โชคดีที่ได้มาพบเจอกันในที่แห่งนี้ ดังนั้น ฉินโม่เหวินจึงเดินนำกลุ่มของตนเข้ามา

ในใจของสวี่หวยซู่รู้สึกสิ้นหวังกว่าผู้ใด จากประสบการณ์ที่สั่งสมมานานหลายปีนี้ การต้องพบเจอปัญหาและแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ทำให้ได้สติขึ้นมา

เขายืดตัวตรง ยกมือขึ้นลูบเครา จากนั้นก็ดึงมือของแม่นางฝ่ายต้อนรับออก แล้วยิ้มให้กับฟู่เสี่ยวกวนพร้อมหันไปคารวะองค์หญิงสาม  วรรณกรรมและมารยาทคือแก่นแท้ของราชวงศ์หยู วันนี้ข้ามิมีธุระอันใดจึงตั้งใจเดินทางมาตรวจดูที่นี่เสียหน่อย เมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้ ช่างรู้สึกดียิ่ง !  

ฉินโม่เหวินและคนอื่น ๆ ต่างก็พากันตกตะลึง ท่านเสนาบดีสวี่หมายความว่าเยี่ยงไร ?

อ่า… เขาดูแลกรมพิธีการ ดังนั้นจึงต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับวัฒนธรรมและวรรณกรรมบ้าง ต้องรับรู้ถึงธรรมเนียมที่เป็นอยู่ในตอนนี้ ท่านสวี่ช่างเอาใจใส่มากยิ่งนัก เหมาะสมที่จะเป็นแบบอย่างให้กับทุกคนยิ่ง

ดังนั้น ฉินโม่เหวินจึงคำนับสวี่หวยซู่แล้วกล่าวว่า  ใต้เท้าสวี่ช่างใส่ใจราษฎรเสียจริง โม่เหวินนับถือยิ่ง 

ใบหน้าอันเหี่ยวย่นของสวี่หวยซู่แดงก่ำขึ้นมาทันพลัน โชคดีที่ปกปิดไว้ได้ทัน จึงรีบเอ่ยขึ้นมาว่า  ท่านฉินเอ่ยชมเกินไปแล้ว ข้ารับเบี้ยหวัดจากฝ่าบาท ก็เพื่อคอยดูแลความเป็นอยู่ของราษฎร สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าควรกระทำอยู่แล้ว… เชิญพวกท่านตามสบายเถิด ข้ามิรบกวนแล้ว 

เมื่อกล่าวจบ เขาก็มองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็แสดงท่าทางจริงจังออกมา  เสี่ยวกวนเอ๋ย อย่าดื่มเสียจนเมามายล่ะ อย่าพาซินเหยียนกลับจวนดึกดื่นจนเกินไปล่ะ 

เขาหันหลังแล้วเดินจากไปอย่างรีบร้อน ฟู่เสี่ยวกวนมองตามหลังสวี่หวยซู่ด้วยท่าทางตกตะลึง พลางคิดในใจว่าท่านลุงผู้นี้ช่างประหลาดเสียจริง ข้ายังมิทันได้เอ่ยกับเขาสักคำ เยี่ยงนั้นเขาพรวดพราดเข้ามาในห้องนี้เพื่ออันใดกัน ?

พอสวี่หวยซู่จากไปแล้ว ภายในห้องก็พลันครึกครื้นขึ้นมา

ฟู่เสี่ยวกวนเชิญคนกลุ่มใหม่เข้ามานั่งล้อมโต๊ะกลม ด้านแม่นางยิงฮวากำชับสาวใช้ให้เปิดสุราเทียนฉุน 1 ขวด แล้วรินให้แก่ทุกคน จากนั้นก็ยืนรับใช้อยู่ด้านข้าง

ฟู่เสี่ยวกวนแนะนำฉินโม่เหวินและคนอื่น ๆ ต่อเยียนเหลียงเจ๋อ ทั้งสองฝ่ายดื่มเพื่อทำความรู้จักกัน

เพียงแต่ฉินโม่เหวินรู้สึกแปลกใจยิ่ง ผลการเจรจานั้นทุกคนทราบดี ว่าฟู่เสี่ยวกวนได้ขูดเลือดขูดเนื้อแคว้นอี๋เยี่ยงไร ในสายตาของพวกตนเห็นว่าองค์รัชทายาทของแคว้นอี๋เสียเปรียบทุกทาง แน่นอนว่าต้องโกรธแค้นฟู่เสี่ยวกวนมากยิ่งนัก คาดมิถึงว่าในค่ำคืนนี้ องค์รัชทายาทจะทรงเชิญฟู่เสี่ยวกวนมาดื่มสังสรรค์ ช่างมิสมเหตุสมผลเอาเสียเลย !

หรือองค์รัชทายาทจะเป็นพวกโง่เง่ากัน ?

แน่นอนว่าพวกเขาล้วนมองข้ามเจ้าโง่นั้นไป แล้วพากันทักทาย ร่วมดื่มกับฟู่เสี่ยวกวนอย่างสนุกสนาน

ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองจึงพบว่าเยียนเหลียงเจ๋อมีท่าทางอึดอัดใจ ที่สำคัญคือตนมีเรื่องสำคัญต้องกำชับกับอีกฝ่าย ทว่ามีผู้คนอยู่มากมายเช่นนี้ จะกล่าวออกมาได้เยี่ยงไร ดังนั้น ตนจึงตบลงที่บ่าของเยียนเหลียงเจ๋อเบา ๆ แล้วกล่าวว่า

 พี่เยียนจะเดินทางกลับแคว้นเมื่อใด ?  

 เช้าวันรุ่งขึ้น !  

 อ่า… เร็วไปหน่อย แต่รีบเดินทางก็ดี ท่านตามข้าออกมาสักหน่อยเถิด 

เมื่อกล่าวจบเขาก็ได้ลุกขึ้นแล้วเอ่ยกับฉินโม่เหวินว่า  พวกท่านเชิญดื่มกันตามสบาย ข้าขอตัวสนทนากับพี่เยียนสักครู่ 

สวี่ซินเหยียนเองก็ลุกขึ้น เดินตามฟู่เสี่ยวกวนไปติด ๆ เช่นกัน

หนิงหยู่ชุนมองดูแล้วก็หัวเราะขึ้นมา  แม่นางผู้นี้ พวกท่านรู้จักหรือไม่ ? นางมีนามว่าสวี่ซินเหยียน เป็นบุตรสาวของเสนาบดีสวี่ ลูกพี่ลูกน้องของฟู่เสี่ยวกวน…จากที่ข้าเห็นเกรงว่าเจ้าหมอนี่ได้ลงมือกับลูกพี่ลูกน้องของตนเสียแล้ว 

ฉินโม่เหวินสูดหายใจเข้า  แม่นางที่งดงามเหล่านี้ แต่ละคนล้วนถูกเจ้าหมอนั่นจัดการเสียหมด น่าสงสารตัวข้าอย่างแท้จริง อายุใกล้จะสามสิบเข้าไปแล้ว แต่ก็ยังอยู่ตัวคนเดียว เอาเถอะ ! มา ๆ ๆ ดื่ม ! อย่ามัวสนทนาเรื่องเศร้าใจเหล่านี้เลย 

ฟู่เสี่ยวกวนพาเยียนเหลียงเจ๋อออกมาจากประตู ยืนพิงราวระเบียงแล้วมองเยียนเหลียงเจ๋ออย่างจริงจัง  พี่เยียน ท่านจ่ายเงินแล้วจงกลับไปพักผ่อนเถิด อ่า… ข้ามีของดีจะมอบให้ !  

เขาหยิบปืนคาบศิลาและกระสุนหนึ่งถุงออกมาจากกระเป๋าเสื้อ  ของสิ่งนี้ดาดว่าท่านคงเคยเห็นมันมาก่อน ข้าขอมอบให้ท่าน 1 กระบอก มันสามารถใช้ป้องกันตัวจากศัตรูได้ 

เยียนเหลียงเจ๋อรู้สึกดีใจมากยิ่งนัก นี่คืออาวุธที่น่าเกรงขาม !

เขารับไปแล้วเอ่ยถามว่า  เจ้ามิกลัวว่าแคว้นอี๋จะนำไปศึกษาแล้วทำเลียนแบบหรือ ?  

 ท่านกล่าวเช่นนี้มิถูก บัดนี้ทั้งสองแคว้นได้ลงนามในสัญญาเป็นพันธมิตรกันแล้ว สิ่งนี้เชิญท่านนำไปศึกษาได้ตามใจชอบ เพียงแต่ต้องจำเอาไว้ว่า…ท่านต้องขึ้นเป็นจักรพรรดิให้ได้เสียก่อน 

เยียนเหลียงเจ๋อเก็บปืนและกระสุนเอาไว้ เขาคำนับฟู่เสี่ยวกวนด้วยความเคารพจากใจจริง  ข้าเคยเข้าใจท่านฟู่ผิด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ ข้ามีอาวุธในมือแล้ว ขอให้ท่านฟู่รอฟังข่าวดีได้ในไม่ช้า !  

เขาหยิบเงินออกจากกระเป๋าเสื้อหนึ่งปึกแล้วยื่นให้กับฟู่เสี่ยวกวน  ข้ามิร่วมดื่มต่อแล้ว ไว้พบกันใหม่ !  

 ไว้พบกันใหม่ หวังว่าข้าจะได้ฟังข่าวดีของพี่เยียนในเร็ววัน !  

 รอให้ข้าได้ขึ้นครองบัลลังก์ แล้วจะเชิญท่านฟู่มาดื่มด้วยกันให้หนำใจ !  

 อย่าลืมสตรีของแคว้นอี๋ที่กล่าวไว้ด้วย !  

 ฮ่า ๆ ๆ ๆ ! เมื่อถึงเวลา ข้าย่อมจัดหาสาวงามมากมายมาให้ท่านได้ตามใจชอบ เกรงว่าท่านฟู่จะปวดเอวเสียก่อน 

ฟู่เสี่ยวกวนเก็บเงินนั้นไว้ แล้วจับมือเยียนเหลียงเจ๋อ  เรื่องนี้ข้ามีความมั่นใจยิ่ง 

 เช่นนั้นก็ดี เอาล่ะ ข้าขอตัวก่อน !  

 ข้าขอส่งท่านเพียงเท่านี้ ขอให้เดินทางปลอดภัย !  

 

ตอนที่ 525 สวี่หวยซู่วัวสันหลังหวะ

ตอนที่ 525 สวี่หวยซู่วัวสันหลังหวะ

เมื่อได้ยินดังนั้น เยียนเหลียงเจ๋อก็เบิกตาโพลงด้วยอารามตื่นตกใจทันที

เห็นทีว่า ต้องมีเรื่องชู้สาวเป็นแน่ !

เมื่อสวี่ซินเหยียนได้ยินดังนั้น คิ้วของนางก็ขมวดเล็กน้อย เป็นไปได้หรือไม่ว่าสามีเคยทำเรื่องที่มิน่าให้อภัยกับแม่นางผู้นี้ ?

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า  แม่นางช่างน่าสนใจยิ่ง พี่เยียนกล่าวว่าเจ้าขับร้องได้ไพเราะ ประจวบเหมาะกับข้าได้มาในวันนี้ เจ้าจะขับร้องทำนองเพลงเพื่อพวกเราได้หรือไม่ ?  

ยิงฮวาลุกขึ้น โค้งคำนับอีกครา นางเข้าใจเรื่องระหว่างตนและฟู่เสี่ยวกวนแล้ว มันมิมีทางเป็นไปได้

หากฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยรั้งกันสักนิด นางคงจะอยู่ต่อ

แต่น่าเสียดายยิ่ง ท้ายที่สุดแล้วเขาก็มิรั้งตนเอาไว้เลย

ใช่ ! เขาสมรสไปแล้ว ที่เลือกทำงานนี้ก็เป็นความสมัครใจของนางเอง

พอคลายปมนี้ลงได้ ยิงฮวากลับรู้สึกผ่อนคลายอยู่มากโข จากนั้นจึงเกิดรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า  เยี่ยงนั้น ข้าจะร้องเพลง ‘เหมยหนึ่งกิ่ง ประตูปิดฝนกระทบดอกสาลี่’ ที่คุณชายฟู่เป็นผู้ประพันธ์เจ้าค่ะ 

กวีบทนี้ ฟู่เสี่ยวกวนได้ประพันธ์ตอนที่อยู่ในราชวงศ์อู๋ และบัดนี้ก็ถูกสลักไว้เป็นลำดับที่หนึ่งบนหินเชียนเปยสือ

เยียนเหลียงเจ๋อเคยฟัง สวี่ซินเหยียนเองก็เคยได้ยิน มีเพียงฟู่เสี่ยวกวนที่แทบจะลืมไปแล้ว

ยิงฮวานั่งลงมีฉินวางอยู่เบื้องหน้า สตรีสองนางที่คอยถือโคมไฟได้แขวนมันไว้ที่ประตู หนึ่งคนหยิบกู่เจิง ส่วนอีกคนหยิบขลุ่ยยาว แล้วนั่งลงด้านข้างของยิงฮวา

เสียงฉินดังขึ้น เสียงกู่เจิงสอดประสาน เสียงขลุ่ยรับจังหวะ ทันใดนั้น เสียงร้องชั้นเซียนก็ดังขึ้นมา

…..

…..

เสนาบดีสวี่หวยซู่แห่งกรมพิธีการนั่งอยู่ในรถม้า ปากฮัมเพลงขณะเดินทางมายังหอกั๋วเซ่อเทียนเซียง

วันนี้ช่างสบายใจเสียจริง ๆ

ฟู่เสี่ยวกวน เพียงลงมือก็ประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ได้ ตนก็พลอยได้รับคำชมจากฝ่าบาทไปด้วยเช่นกัน

ภายในกระเป๋ายังคงมีตั๋วเงิน 1,000 ตำลึงที่หลานชายเคยมอบให้ ทว่า ‘บุตรี’ ผู้นั้น มิเคยกินข้าวของจวนสวี่เลยสักมื้อ

เงินนี้ถือว่าใสสะอาด ถือว่าเป็นค่าปิดปากจากหลานชาย

เป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้วที่มิได้มาเยือนหอกั๋วเซ่อเทียนเซียงเพื่อฟังแม่นางยิงฮวาขับร้อง วันนี้มีเวลาว่าง จึงอยากฟังนางขับร้องไปโดยปริยาย

ส่วนนางจะขับร้องเพลงใด ย่อมมิสำคัญ

หลังลงจากรถม้า สวี่หวยซู่ก็ได้ยืนอยู่เบื้องหน้าของป้ายหอกั๋วเซ่อเทียนเซียง เขาหันรีหันขวางมองไปรอบด้าน เกรงว่าจะถูกแม่เสือที่จวนพบเจอเข้า

เพื่อความปลอดภัย ตนจึงสวมหมวก ดึงปีกทั้งสองด้านลงมา พยายามปกปิดใบหน้าให้ได้มากที่สุด

หลังจากนั้นก็สอดมือประสาน โค้งลำตัว และเดินไปทางห้องโถงใหญ่ของหอกั๋วเซ่อเทียนเซียง

ด้วยภาพลักษณ์นี้ จึงมิมีผู้ใดทราบว่าเขาคือเสนาบดีแห่งกรมพิธีการ

เขารีบเดินผ่านห้องโถงใหญ่อันวุ่นวาย ขึ้นไปบนชั้นสอง ใจที่กระวนกระวายจึงค่อย ๆ สงบลง

แม่นางที่คอยต้อนรับแขกอยู่บนชั้นสองเอียงศีรษะพลางชำเลืองมอง… คนผู้นี้มิเหมือนคนดีเอาเสียเลย สวมชุดสีฟ้าที่ดูเชย แล้วยังสวมหมวกแบบนั้นอีกด้วย เหตุใดจึงดูเหมือนลุงหลี่พ่อครัวที่อยู่ในโรงครัวกัน…

ชั้นสองล้วนเป็นห้องส่วนตัวทั้งสิ้น แม่นางบนชั้นสองล้วนได้รับความนิยมเป็นสิบอันดับแรกของหอกั๋วเซ่อเทียนเซียง แต่ดูแล้วท่านลุงผู้นี้มิมีเงินพอที่จะจ่ายไหว

ดังนั้น แม่นางที่คอยรับแขกจึงเดินเข้ามาขวางสวี่หวยซู่เอาไว้ นางกล่าวยิ้ม ๆ ว่า  ท่านลุง ท่าน…มาผิดที่หรือไม่เจ้าคะ ?  

สวี่หวยซู่ชะงักลงทันพลัน ท่านลุงเจ้าสิ ! ข้าดูชราถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ?

 ข้าต้องการมาที่นี่ 

 มิทราบว่าท่านลุงถูกใจแม่นางคนใดเจ้าคะ ?  

 แม่นางยิงฮวา 

แม่นางฝ่ายต้อนรับเมื่อได้ยินดังนั้น นางจึงจ้องมองไปที่สวี่หวยซู่ ส่วนสวี่หวยซู่ที่กลัวโดนจับได้จึงหันหน้าหนีไปอีกทางทันที

ทันใดนั้น นางก็เข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง นางสะบัดผ้าเช็ดหน้าในมือ เชิดคางขึ้นแล้วกล่าวอย่างดูแคลนว่า  ท่านลุง แม่นางยิงฮวาคือลำดับต้น ๆ ของที่นี่ ท่านเข้าใจความหมายของลำดับต้น ๆ หรือไม่ ?  

สวี่หวยซู่จ้องแม่นางผู้นั้นตาเขม็ง ข้ามาที่นี่เพื่อมาหาลำดับต้น ๆ เด็กสาวผมเปียผู้นี้ช่างตาสุนัขและชอบดูถูกผู้อื่นเสียจริง

หากข้าเผยตัวตนออกไป เจ้าคงได้ตกใจจนตายเป็นแน่ !

ทว่าเยี่ยงไรเสียก็มิสามารถเผยตัวตนออกไปได้ สวี่หวยซู่ทราบถึงธรรมเนียมของหอนางโลมนี้ดี คงมิได้คิดว่าข้ามิมีเงินหรอกนะ ?

มือที่ควานอยู่ในแขนเสื้อหยิบตั๋วเงินได้ 2 ใบ หัวใจพลันโลดแล่นอย่างถึงที่สุด เงินนั้นเปรียบดุจไตของบุรุษอย่างแท้จริง เมื่อมีมันอยู่ข้างกาย ความกล้าก็จะมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยม !

ในอดีต เงินในแขนเสื้อของเขานั้นมีมิมาก เขาได้แต่สั่งสุราหนึ่งจอกกับถั่วหนึ่งจานเท่านั้น นั่งอยู่มุมหนึ่งของห้องโถงใหญ่และลอบมองแม่นางยิงฮวาจากที่ไกล ๆ ทว่าวันนี้ข้ามีเงิน 1,000 ตำลึง เยี่ยงนั้นต้องไปยังห้องส่วนตัวเพื่อรับฟังอย่างรื่นรมย์เสียแล้ว

ดังนั้น เขาจึงหยิบตั๋วเงินออกมา 1 ใบ เผยให้เห็นหนึ่งมุม  ลุงเยี่ยงข้าก็มีเงิน !  

เพียงแม่นางที่ต้อนรับได้เห็นว่าสิ่งนั้นคืออะไร สายตาก็พลันแปรเปลี่ยน ทันใดนั้นนางก็เก็บสีหน้าดูแคลนกลับคืน ชั่วพริบตาก็แสดงออกมาว่าท่านลุงผู้นี้ช่างร่ำรวยมากยิ่งนัก แต่ทว่าเยี่ยงไรเสีย… วันนี้แม่นางยิงฮวาก็ถูกจับจองไปแล้ว

นางยิ้มสดใส ยื่นมือไปจับแขนเสื้อของสวี่หวยซู่ แล้วใช้น้ำเสียงออดอ้อนกระซิบที่ข้างหู  เงินจำนวนนี้… ข้าน้อยคิดว่าไปที่ศาลาหลิงหลงจะดีกว่า แม่นางหลิงหลงก็เป็นที่นิยมเช่นกัน เมื่อเทียบกับแม่นางยิงฮวาแล้วดูมีความเป็นผู้ใหญ่และเปี่ยมเสน่ห์ยิ่งกว่า แต่ทว่าก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน ท่านไปลิ้มลองดูก่อนดีหรือไม่ รับรองว่าท่านจะต้องเพลิดเพลินจนลืมทางกลับ สำราญจนลืมจวนเป็นแน่ 

เมื่อสวี่หวยซู่ได้ยินดังนั้น ก็เมินเฉยต่อแม่นางหลิงหลงทันที ข้าเป็นผู้สูงส่งหรือว่านางผู้นี้ยังคิดว่าข้ามาเพื่อสำราญอารมณ์เท่านั้นกัน ?

ดูแล้วเงินคงยังมิมากพอ เหตุใดแม่นางยิงฮวาถึงแพงเยี่ยงนี้ ?

เขามิได้เอะใจเลยว่าหงหลูซื่อในวันนี้ ถูกเยียนเหลียงเจ๋อกับฟู่เสี่ยวกวนครอบครองไปแล้ว

ดังนั้น เขาจึงหยิบตั๋วเงิน 2 ใบออกมา แสดงมันต่อหน้าแม่นางที่เข้ามาต้อนรับ  ข้าต้องการแม่นางยิงฮวา !  

แม่นางผู้นี้ได้เผชิญกับความยุ่งยากเสียแล้ว รอยยิ้มลำบากใจได้แสดงออกบนใบหน้า ท่านลุงผู้นี้ดูแล้วเป็นคนโง่เขลาที่มีเงินเยอะ ต้องคิดหาวิธีทำให้เขาอยู่ที่นี่ต่อให้ได้

เพียงสวี่หวยซู่ได้เห็นสีหน้าของนางก็ยิ่งตกตะลึง มารดาเจ้าเถอะ ! นี่ยังมิพออีกเยี่ยงนั้นหรือ ?

เงิน 1,000 ตำลึงเชียวนะ !

แม่นางยิงฮวาคือหยกที่ผ่านการเจียระไนมาหรือเยี่ยงไรกัน ?

ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นตรงบันไดที่นำพาขึ้นมาสู่ชั้นสอง และมีเสียงสนทนาตามมา สวี่หวยซู่จึงหันไปมอง…

มารดาเจ้าสิ !

ฉินโม่เหวิน ฮั่วหวยจิ่น รวมถึงหนิงหยู่ชุนได้พาสตรีจำนวนหนึ่งขึ้นมายังชั้นสอง คาดมิถึงว่าหนึ่งในนั้นคือองค์หญิงสาม หยูชิงหลาน !

เป็นไปได้เยี่ยงไร !

ให้พวกเขาพบมิได้เป็นอันขาด !

หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป แม้ว่าจะมิส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของตน แต่ทว่าหากแม่เสือที่จวนได้ยินเข้าย่อมมิใช่เรื่องดีเป็นแน่

ดังนั้น สวี่หวยซู่จึงหันหน้าหนีแล้วเดินออกมา แม่นางที่คอยต้อนรับก็ตามหลังมาด้วย  ท่านลุง… ท่านลุงเจ้าคะ… 

ลุงกับเจ้าสิ !

สวี่หวยซู่รู้สึกชาไปทั้งร่าง พวกฉินโม่เหวินขึ้นมาบนชั้นสองแล้ว ให้ตายเถอะ ! หรือจะกระโดดลงอาคารดี ?

กระดูกนี้จะหักมิได้ สวี่หวยซู่จึงเดินอย่างเร่งรีบ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องเพลงแสนรื่นหูดังมาจากห้องที่อยู่ด้านหน้า เขาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เลือกสาวเท้าไปถึงหน้าประตู จากนั้นก็รีบเปิดประตูเข้าไป…

ซ่อนตัวไว้ชั่วคราว ให้กลุ่มของฉินโม่เหวินผ่านไปเสียก่อน

ส่วนคนที่อยู่ในห้องนี้คือผู้ใดกัน ?

เมืองจินหลิงกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ แม้ข้าจะมีตำแหน่งเป็นถึงเสนาบดีกรมพิธีการ คงมิถึงกับบังเอิญว่าคนที่อยู่ด้านในจะเป็นคนรู้จักหรอกนะ

เขาก้าวผ่านบานประตูนี้เข้าไป ยังมิทันได้มองว่าคนที่นั่งอยู่ด้านในคือผู้ใดก็รีบหันหลังแล้วปิดประตูทันที จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลาย ผ่านไปชั่วครู่เขาจึงหันกลับไปเพื่อที่จะขอโทษผู้ที่อยู่ด้านใน…

ทันใดนั้นเสียงบรรเลงดนตรีก็หยุดลง ดวงตาของเขาพลันเบิกโพลง

ฟู่เสี่ยวกวน !

เหตุใดเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้กัน ?

 

ตอนที่ 524 ยิงฮวา

 ชีวิตของข้าอยู่ที่ข้าหาใช่นภากำหนด ! เมื่อพบเจอกันอีกครา ข้าจะเรียกท่านว่าฝ่าบาทและเปี่ยมไปด้วยความเคารพ !  

ประโยคนี้ของฟู่เสี่ยวกวน เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจยิ่งกว่าปืนใหญ่หงอีเสียอีก !

มันดังก้องอยู่ในหูของเยียนเหลียงเจ๋อ และได้ฝังรากลึกลงไปในจิตใจ

ชีวิตของเราขึ้นอยู่กับตัวเรามิใช่นภากำหนด !

ข้านั้นเป็นองค์รัชทายาท เดิมทีก็เป็นว่าที่องค์จักรพรรดิอยู่แล้ว !

เหตุใดข้าต้องใช้ชีวิตโดยการคอยสังเกตสีหน้าและอารมณ์ของเขาด้วย ? หากฆ่าเขาเสีย ตำแหน่งจักรพรรดิแน่นอนว่าต้องตกเป็นของข้า สิ่งที่เรียกว่าประวัติศาสตร์นั้นช่างโสมม เมื่อถึงเวลานั้นหากตนต้องการจะกระทำสิ่งใด ย่อมมิมีผู้ใดกล้าโต้แย้ง !

ตนใช้เพียงชั่วอึดใจเดียวในการตัดสินใจ แววตามุ่งมั่น รุ่มร้อน จากนั้นจึงยกจอกสุราขึ้น  คำแนะนำของท่านฟู่ช่างเสริมพลังได้ดียิ่ง ! แม้ว่าข้าจะตกตายไป ก็ต้องตายอย่างหนักแน่นดั่งเขาไท่ซาน !  

ไอ้งั่งติดกับดักของข้าจนได้ ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเหอะ ๆ  ความรุ่งโรจน์นั้นเปรียบดั่งหมอกควัน สักวันต้องจางหาย แต่ผลงานที่ทิ้งไว้จะยังคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ ! ผลงานชิ้นโตวางอยู่ตรงหน้าท่านแล้ว ข้าขออวยพรให้ท่านเดินทางกลับแคว้นโดยสวัสดิภาพ และเขียนประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ให้แก่แคว้นอี๋ ! ขอดื่มให้ท่านเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จที่ใกล้จะมาถึงนี้ !  

 ขอบคุณในคำอวยพรของท่านฟู่ หากมีวันนั้น ข้าจะเชิญท่านไปยังเมืองไท่หลิน…  เขาโค้งกายลงแล้วยิ้ม และกล่าวต่อว่า  ท่านฟู่คงเคยได้ยินว่าสตรีแคว้นอี๋นั้นมีความจงรักภักดี เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะพาท่านไปชมทักษะการแสดงของสตรีแห่งแคว้นอี๋ 

 ฮ่า ๆ ๆ… คนที่เข้าใจข้า มีเพียงท่านเท่านั้น !  

 ใต้เท้าเปียน เชิญแม่นางยิงฮวาเข้ามา 

 พ่ะย่ะค่ะ  พอเปียนมู่หยูเดินออกจากห้องไป เยียนเหลียงเจ๋อจึงกล่าวออกมาว่า  หากกล่าวถึงเรื่องความนิรันดร์ ขอบอกตามตรงว่าช่วงนี้ข้าได้ไปยังหลานถิงจี๋มาถึงสามครา กวีของท่านฟู่ได้จารึกไว้บนหินเชียนเปยสืออย่างสง่างาม จากที่ข้ามองดูแล้ว นี่เป็นความสามารถที่คนในอดีตและอนาคตมิอาจจะเทียบทานได้ ท่านฟู่ได้จารึกประวัติศาสตร์ไว้ชั่วนิรันดร์สำเร็จแล้ว ! ข้านับถือท่านยิ่งนัก 

สวี่ซินเหยียนหันมามองฟู่เสี่ยวกวน ที่หลานถิงจี๋ นางก็เคยไปเยือนมาก่อน กวีและบทความของฟู่เสี่ยวกวนนางเองก็เคยอ่าน แต่ตัวเขา…จากหลายวันมานี้ นางยิ่งมองยิ่งสงสัยว่ากวีและบทความเหล่านั้นเขาได้เขียนเองหรือไม่

ในแต่ละวัน เขามัวแต่ครุ่นคิดว่าจะหาเงินเยี่ยงไรดี จะหลอกล่อผู้อื่นเยี่ยงไร จะจัดการกับผู้อื่นเยี่ยงไร

เขาเหมือนบัณฑิตตรงที่ใดกัน ?

หากนางมิรู้มาก่อนว่าบทกวีเหล่านั้นเป็นผลงานของฟู่เสี่ยวกวน นางคงคิดว่าเขาเป็นพวกอันธพาลที่มีความสามารถเป็นแน่

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมาอย่างถ่อมตน แต่ในใจกลับคิดว่า ประโยคเหล่านี้ควรใช้กับคนตายไปแล้วจึงจะเหมาะสม ! เจ้าหมอนี่มิมีวัฒนธรรมเอาเสียเลย!

 ข้ามิได้เป็นผู้ถูกจารึกไว้ชั่วนิรันดร์หรอก สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเพราะข้าว่างมิมีอันใดทำ พี่เยียนอย่าได้นำมาใส่ใจ ข้าต่างหากที่หวังว่าท่านจะถูกจารึกลงในประวัติศาสตร์ 

เยียนเหลียงเจ๋อสูดลมหายใจเข้า ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที  การกลับแคว้นในครานี้ หากสำเร็จ ข้าจะสามารถเป็นผู้สร้างผลงานอันยิ่งใหญ่ไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ แต่หากล้มเหลว… 

 คนเรานั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเชื่อมั่นในตนเอง ! จากความสามารถของพี่เยียน ข้าคาดว่าต้องประสบผลสำเร็จเป็นแน่ ! มา ๆ ๆ ข้าขอดื่มให้ท่านอีกหนึ่งจอก อวยพรให้ท่านประสบผลสำเร็จโดยราบรื่น !  

 ขอให้สมพรปาก !  

ทั้งสองเพิ่งจะได้ดื่มสุราลงท้อง ทันใดนั้นประตูก็ถูกเปิดออกอีกครา

ฟู่เสี่ยวกวนมองไปทางเสียงนั้น จึงได้พบกับสตรีที่สวมใส่ชุดสีเขียวอยู่ 2 นาง เดินถือโคมไฟที่ทำขึ้นมาอย่างประณีตตรงเข้ามา

นางทั้งสองหยุดอยู่ตรงทางเข้าประตูแล้วโค้งตัวลง

จากนั้น ก็ได้ปรากฏสตรีนางหนึ่งขึ้นที่หน้าประตู

นางสวมอาภรณ์สีขาวปักลาย บริเวณเอวมีเชือกสีฟ้าผูกเอาไว้อยู่ ทำให้เอวบอบบางนั้นยิ่งบางลงกว่าเดิม ในขณะเดียวกันก็เผยให้เห็นเนินอกอวบอิ่มเด่นชัดมากยิ่งขึ้น

ในมือของนางถือผ้าเช็ดหน้าปักลายสีแดง ผูกผ้าสีเขียวอ่อนไว้บนศีรษะ ลูกปัดสีทองแกว่งไปมาตัดกับผมสีดำขลับของนาง

นางยกผ้าเช็ดหน้าปิดปากแล้วยิ้มผ่านคิ้วกับแววตา ดวงตาของนางช่างส่องประกายแวววาวยิ่ง นางมองมาทางผู้คนที่นั่งอยู่ในห้อง

ต่อจากนั้นก็ได้ส่งเสียง  หา !   ออกมา

ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง ฟู่เสี่ยวกวน !

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ตกตะลึงเช่นกัน… ยิงฮวา ? สตรีนางนี้มิได้อยู่ที่เมืองกวนหยุนหรอกหรือ ?

นางเป็นองค์หญิงแห่งแคว้นหลิวมิใช่หรือ ?

เหตุใดจึงตกอยู่ในที่นั่งลำบากเช่นนี้กัน ?

หรือว่าที่เมืองกวนหยุนจะเกิดเรื่องขึ้นกัน มีเรื่องเกิดขึ้นกับสถานทูตของแคว้นหลิวเยี่ยงนั้นหรือ ?

ระยะเวลาอันสั้นนี้ ยิงฮวากลับครุ่นคิดมากมาย ฟู่เสี่ยวกวนเองก็เช่นกัน เพียงแต่ทั้งสองมิได้คิดตรงกัน

ยิงฮวาคิดไปว่า คนที่คุณชายเยียนเชิญมาคือฟู่เสี่ยวกวนนี่เอง ! ในที่นี้นางได้เห็นฟู่เสี่ยวกวนอีกครา ! ช่างเป็นความสุขที่มาเยือนโดยมิทันตั้งตัว

แต่ฟู่เสี่ยวกวนหาได้คิดเช่นนั้นไม่ เขาคิดไปถึงเรื่องที่มิดีเท่าใดนัก

ดังนั้น เขาจึงขมวดคิ้วมุ่น แม่นางยิงฮวาก้าวเข้ามา สายตาของนางมองไปยังใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน

เยียนเหลียงเจ๋อเห็นดังนั้นจึงลอบคิดว่า… ทั้งสองคนมีความลับต่อกันเยี่ยงนั้นหรือ ?

คิ้วของฟู่เสี่ยวกวนค่อย ๆ คลายออก เขามิได้เห็นความโศกเศร้าบนใบหน้าของนาง แต่กลับรู้สึกเหมือนมีความสุขที่ได้พบสหายจากต่างแดน

 คารวะคุณชายฟู่ !  

ยิงฮวาทำความเคารพ ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มแล้วกล่าวว่า  คิดมิถึงจริง ๆ ว่าเป็นเจ้า 

 ยิงฮวาก็คิดมิถึงเช่นกันว่าคุณชายฟู่จะมาเยือน 

เยียนเหลียงเจ๋อมองซ้ายมองขวา เอ่อคือ… คืนนี้เขาเป็นเจ้าของงานมิใช่หรือ ? เดิมทีแม่นางยิงฮวาควรเข้ามาทักทายเขาก่อนเป็นคนแรก แต่บัดนี้ นางมิได้แม้แต่ชายตามองเขาเลยด้วยซ้ำ…

เงินที่เสียไป เยียนเหลียงเจ๋อรู้สึกเสียดายยิ่ง

 ทั้งสองรู้จักกันด้วยหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าแล้วยื่นมือออกไป  เชิญแม่นางนั่งลงก่อน 

หลังจากนั้น จึงหันมาอธิบายกับเยียนเหลียงเจ๋อว่า  เมื่อคราที่อยู่ในเมืองกวนหยุนแห่งราชวงศ์อู๋ พวกเราเคยพบเจอกันมาก่อน 

โชคดีที่เป็นเพียงเคยพบเจอเท่านั้น

เยียนเหลียงเจ๋อสบายใจขึ้นมามิน้อย ส่วนยิงฮวาเพิ่งตั้งสติได้ นางเข้าใจดีว่าวันนี้ตนรับบทเป็นอะไร

นางจึงยกแขนเรียวขาวราวหยกขึ้นมารินสุราให้กับเยียนเหลียงเจ๋อ ฟู่เสี่ยวกวน และสวี่ซินเหยียน นางยกจอกสุราขึ้นแล้วยิ้มให้เยียนเหลียงเจ๋อ  ขอบพระคุณคุณชายที่สนับสนุนข้าในวันนี้ ยิงฮวารู้สึกยินดีและมีความสุขยิ่ง จอกนี้ขอดื่มให้แก่ทุกท่าน เพื่อแสดงถึงคำขอบคุณที่มาจากใจ 

สวี่ซินเหยียนลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะยกสุราขึ้นดื่มกับพวกเขา

ยิงฮวารินสุราอีกครา แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า  นับตั้งแต่วันที่เดินทางออกจากเมืองกวนหยุนก็เป็นเวลา 9 เดือนแล้ว ตอนที่งานชุมนุมวรรณกรรมสิ้นสุดลง ข้าน้อยคิดว่าคุณชายฟู่จะเดินทางไปยังทะเลสาบสือหลี่เสียอีก แต่น่าเสียดายที่ข้ามิได้พบท่าน

หลังจากได้ยินเรื่องหิมะถล่ม ข้าน้อยก็โศกเศร้ายิ่ง ได้แต่คร่ำครวญโทษว่าฟ้าดินอิจฉาท่าน แต่เมื่อได้ยินว่าท่านปรากฏตัวขึ้นที่เมืองจินหลิง จึงได้เข้าใจว่าเบื้องบนได้ปกปักรักษาท่านอย่างแท้จริง

ข้าน้อยจึงเดินทางจากเมืองกวนหยุนมายังจินหลิง บัดนี้ เป็นเวลา 1 เดือนพอดี เดิมทีการเดินทางมาเมืองจินหลิง เพื่อต้องการตามหาคุณชายฟู่ แต่ระหว่างทางได้ยินว่าท่านได้สมรสไปแล้ว

ดังนั้น ข้าจึงเดินทางมาที่แห่งนี้ เดิมทีตั้งใจว่าหลังจากรวบรวมเงินได้ครบก็จะเดินทางกลับเมืองกวนหยุนทันที ทว่าต่อมาก็ได้เปลี่ยนเเปลงความคิด… 

ยิงฮวามองไปทางฟู่เสี่ยวกวนแล้วฝืนยิ้มออกมา นางยกจอกสุราขึ้นแล้วกล่าวว่า  ขออวยพรให้ท่านมีความสุขในชีวิตสมรส !  

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ยกจอกสุราขึ้นเช่นกัน  ขอบใจมาก เพียงแต่ มิทราบว่าแม่นางเปลี่ยนความคิดอันใด ?  

ยิงฮวาดื่มสุราไปหนึ่งจอก ขมวดคิ้วมุ่น ริมฝีปากแดงเรื่อเริ่มขยับ  ข้าน้อยจะกลับแคว้น 

 กลับไปเพราะเหตุอันใดกัน ?  

 ท่านมีครอบครัวแล้ว ข้าจะอยู่ที่นี่เพื่ออันใดอีกกัน ?  

 

ตอนที่ 523 ตัดรากถอนโคน

หอกั๋วเซ่อเทียนเซียงตั้งอยู่ข้างหยี่ฮวาถาย

เป็นอาคารหนึ่งในชุมชนที่สร้างขึ้นมาอย่างเรียบง่ายแต่ดูสวยมีระดับ มีบ่อน้ำจากหินจำลอง ศาลาที่งดงาม เค้าโครงมีแบบอย่างมาจากเจียงหนาน สัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในความละเอียดอ่อนเหล่านี้

ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนกับสวี่ซินเหยียนมาถึง แสงไฟจากบ้านเรือนในเมืองต่างก็สว่างโร่ โคมไฟสีแดงด้านนอกซุ้มประตูหอกั๋วเซ่อเทียนเซียงก็สว่างขึ้นมาแล้วเช่นกัน

ในยามนี้ ยิงฮวากำลังแต่งหน้าอยู่เบื้องหน้ากระจก

นางได้ยินจากพี่สาวโจวผู้เป็นแม่เล้ากล่าวว่าวันนี้นางถูกคุณชายเยียนจองตัวเอาไว้แล้ว กล่าวว่าต้องการรับรองแขกคนสำคัญยิ่ง… คุณชายเยียนผู้นี้เคยมาที่กั๋วเซ่อเทียนเซียงสองครา เขาจ่ายเงินอย่างฟุ่มเฟือยทุกคราที่มา เห็นได้ชัดว่าเป็นคุณชายมาจากตระกูลใหญ่

แน่นอนว่าที่ยิงฮวาเดินทางจากราชวงศ์อู๋มายังแคว้นหยู และขายความสามารถอยู่ที่กั๋วเซ่อเทียนเซียงแห่งนี้ ก็เพื่อเงินทั้งสิ้น

นางลอบออกมาจากเมืองกวนหยุน ได้นำเงินติดตัวมาด้วยและใช้ไปจนหมดแล้ว หลังจากมาถึงเมืองจินหลิงจึงได้พบว่าตนอยู่เพียงลำพังในต่างแดน

นางเคยคิดที่จะไปหาฟู่เสี่ยวกวน แต่ก็ได้ละทิ้งความคิดนี้ไป… ฟู่เสี่ยวกวนและนางมีวาสนาเพียงพบหน้าเท่านั้น มิได้สนิทชิดเชื้อ การไปเยือนถึงหน้าประตูจวน ย่อมมิเหมาะสม

ดังนั้นนางจึงอาศัยรูปลักษณ์ที่งดงามและเสียงร้องอันไพเราะของตนเข้ามายังหอกั๋วเซ่อเทียนเซียง ใช้ระยะเวลาเพียง 1 เดือนก็ได้ขึ้นเป็นดาวเด่นของร้าน

แคว้นหลิวเองก็มีนักร้อง นางทราบว่าสถานะของนักร้องนั้นช่างต่ำต้อยยิ่ง ที่คิดเอาไว้คือเก็บเงินอีกเพียง 1 เดือน นางก็จะมีเงินถึง 500 ตำลึงแล้ว

นางมิได้ขายตัวให้กับหอกั๋วเซ่อเทียนเซียง สถานะของนางถือเป็นอิสระ รอมีเงินจนเพียงพอแล้ว นางก็จะกลับเมืองกวนหยุนทันที

เพราะนางได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวนมามากมาย เขาสมรสแล้ว ตบแต่งกับสตรีที่งดงามราวกับดอกไม้หยก

นางจึงได้ล้มเลิกความคิด กลบฝังไว้ในก้นบึ้งของจิตใจ

ในขณะเดียวกัน นางก็รู้สึกสิ้นหวังเป็นอย่างมากที่ตั้งตารอให้ฟู่เสี่ยวกวนมายังที่นี่ เพียงได้พบหน้าเขา สามารถร้องเพลงที่เขาเป็นผู้ประพันธ์ให้เจ้าตัวได้ฟังสักครา

นักวรรณกรรมมิใช่ว่าชอบเยี่ยงนี้หรอกหรือ ?

แต่นางรอมาได้ 2 เดือนแล้ว กลับมิเคยเห็นคุณชายฟู่มาเหยียบที่นี่เลยสักครา

เขาเป็นคนที่ยุ่งมากอย่างแท้จริง

ในวันนี้ยังได้เป็นขุนนางใหญ่ขั้นสามของราชวงศ์หยู ทั้งยังเป็นหัวหน้ากรมการค้า

ยิงฮวาไม่เข้าใจว่ากรมการค้าคือสิ่งใด คาดว่าคงเกี่ยวข้องกับการค้า ในเมื่อเขาเป็นหัวหน้าของกรมใหม่นี้ ย่อมมีงานยุ่งอยู่ทุกวัน

แต่ก็น่าเสียดายยิ่ง ที่สุดท้ายก็มิสามารถพบหน้าเขาได้อีกสักครา

โชคดีแล้วที่มิได้พบเจอ

…..

…..

ฟู่เสี่ยวกวนพาสวี่ซินเหยียนเดินเข้าไปในหอกั๋วเซ่อเทียนเซียง สวี่ซินเหยียนค่อนข้างตื่นเต้น นางสวมผ้าคลุมหน้าแล้วมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน ทันใดนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมาว่า  สถานที่แบบนี้ ข้าค่อนข้างมิสะดวกใจที่จะมาเยือน ให้ข้าไปรอที่รถม้าดีกว่าหรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม  มิได้ หน้าที่ของเจ้าคือรักษาความปลอดภัยให้กับข้า หากประเดี๋ยวมีคนลอบสังหารข้าขึ้นมา เจ้าจะช่วยข้าได้เยี่ยงไร ?  

สวี่ซินเหยียนตระหนักได้ถึงเหตุผล จึงมิกล้ากล่าวอันใดต่อไปอีก ทั้งสองจึงเดินเข้าไปด้านใน

เยียนเหลียงเจ๋อได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้อย่างดี ในยามนี้กำลังรออยู่ ณ ห้องโถงใหญ่พร้อมกับเปียนมู่หยู

หลังจากการเจรจาเสร็จสิ้น พวกเขาก็ได้กลับมายังโรงเตี๊ยม หารือกันถึงสถานการณ์ที่ต้องเผชิญหลังกลับแคว้นอี๋ และได้ข้อสรุปแล้ว เยียนเหลียงเจ๋อเขียนสาส์นและไหว้วานคนสนิทให้เดินทางออกจากจินหลิงไปในวันนี้ ให้ควบอาชาไปยังเมืองหลวงของแคว้นอี๋

ดังนั้น ความกังวลของตนในยามนี้จึงผ่อนคลายลงมามากแล้วเช่นกัน

ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ เขาก็ได้ลุกขึ้นและทำท่าคาราวะด้วยใบหน้าที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม  ท่านเสี่ยวกวน ให้ข้ารอเสียเนิ่นนาน มา ๆ ๆ เชิญไปห้องส่วนตัวที่ชั้นบน 

ฟู่เสี่ยวกวนโค้งคารวะแล้วหัวเราะร่า  เกรงใจพี่เยียนแล้ว ขอกล่าวอย่างมิกลัวพี่เยียนหัวเราะเยาะ หอกั๋วเซ่อเทียนเซียงแห่งนี้ ข้าเพิ่งมาเป็นคราแรก หงซิ่วจาวก็ถูกเผาจนมอด หอนี้จึงเป็นที่นิยมขึ้นมามาก 

ทั้งสองเดินขึ้นไปยังห้องส่วนตัวชั้นบน เยียนเหลียงเจ๋อค่อนข้างอึดอัด ลอบคิดว่าที่คนผู้นี้เอ่ยถึงหงซิ่วจาวมีความหมายอันใดซ่อนอยู่หรือไม่ ?

เดินเข้าไปในประตูที่มีกลิ่นอายโบราณ แล้วนั่งลงด้านข้างของฟู่เสี่ยวกวน และได้เอ่ยอย่างปลงตกยิ่งนักออกไป  หงซิ่วจาวถือเป็นสัญลักษณ์ของแม่น้ำฉินหวาย เมื่อวันนี้มิมีอยู่แล้วก็น่าเสียดายเล็กน้อย ข้าได้ยินมาว่าอาจารย์หูฉินหูมิได้ถูกทำร้าย คาดว่าการสร้างหงซิ่วจาวขึ้นมาใหม่คงมิใช่ปัญหา 

ฟู่เสี่ยวกวนมองซ้ายแลขวา ทันใดนั้นก็เข้าประชิดใบหูของเยียนเหลียงเจ๋อแล้วกระซิบกระซาบด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ  พี่เยียน สตรีที่อยู่ข้างกายนางนั้น ท่านมิได้ช่วยออกมาจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

เยียนเหลียงเจ๋อใจกระตุก ส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมา  ท่านฟู่น่าจะทราบดีอยู่แล้ว คืนนั้นหรงเอ๋อร์ได้เชิญท่านไปร่วมงานเลี้ยงที่หงซิ่วจาว ในยามที่เห็นผู้ร้ายกำลังวางเพลิง หรงเอ๋อร์ก็ได้เสียชีวิตอยู่กลางกองไฟแล้ว วิญญาณของนางได้กลับเขาเซียนไปแล้ว 

 เฮ้อ…  ฟู่เสี่ยวกวนตบบ่าของเยียนเหลียงเจ๋ออย่างเห็นอกเห็นใจ  น่าเสียดายยิ่ง ชะตากรรมของสตรีที่งดงามช่างแสนสั้น เรื่องในคืนนั้นเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ผู้ร้ายปรี่มาทางข้าทว่าพัวพันไปถึงนาง

พี่เยียนเอ๋ย ท้ายที่สุดคนเราก็ต้องตาย แต่การตายนั้นต้องมีความพิถีพิถัน 

เยียนเหลียงเจ๋อคิ้วขมวด  คำเอ่ยนี้หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?  

 ความตายของมนุษย์ มีเบาดั่งขนนก มีหนักดั่งเขาไท่ซาน ความตายของแม่นางผู้นั้น เบาดั่งขนนก แต่ข้าหวังว่าหลังจากพี่เยียนกลับแคว้นไปแล้ว เมื่อจะตาย ก็ต้องหนักดั่งเขาไท่ซาน !  

เยียนเหลียงเจ๋อจ้องฟู่เสี่ยวกวน ใบหน้าพลันมืดครึ้มขึ้นมา  เจ้ากล่าวมิน่าฟังเลย 

ฟู่เสี่ยวกวนยักไหล่  คำสัตย์มิรื่นหู…  เขามองไปทางเยียนเหลียงเจ๋อ แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า  ตามความคิดของข้า นโยบายของพี่เยียนในตอนนี้จะนำไปทูลถวายต่อองค์จักรพรรดิหลังจากที่กลับแคว้นไป กล่าวว่าในตอนนี้แคว้นอี๋ไร้กำลังจะก่อสงครามกับแคว้นหยู ดังนั้นจึงยกที่ดินให้เพื่อเป็นการชดเชย และเสนอนโยบายหนึ่งให้แก่องค์จักรพรรดิ ซึ่งก็คือการยึดแคว้นฮวง 

เยียนเหลียงเจ๋อขมวดคิ้วมุ่น ลอบคิดว่าคนผู้นี้ได้จับคนสนิทของตนไว้ใช่หรือไม่ ?

แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้กล่าวต่อไปว่า  ถึงแม้ก่อนกลับแคว้น พี่เยียนจะให้เหล่าขุนนางที่มีใจภักดีสร้างแรงผลักดันขึ้นมา ให้องค์จักรพรรดิและขุนนางค่อย ๆ ทราบถึงผลลัพธ์นี้ ท่านมองว่านี่เป็นความคิดที่ดี แต่ในสายตาของข้านั้น เกรงว่ามันจะนำหายนะมาให้ท่านเอง 

เยียนเหลียงเจ๋อครุ่นคิด ถอนใจอย่างเงียบ ๆ  เสด็จพ่อมีจิตใจกว้างขวางและมีเมตตา เขาต้องเข้าใจเหตุผลเป็นแน่ 

 บิดาของท่านอาจจะมีจิตใจกว้างขวางและมีเมตตา แต่ท่านได้เพิกเฉยความสำคัญของตำแหน่งผู้ครอบครองตำหนักบูรพาไป ตำแหน่งนั้น… ยังมีพระอนุชาอีก 2 คนคอยจับตามองอยู่ !  

คิ้วที่ขมวดมุ่นของเยียนเหลียงเจ๋อค่อย ๆ คลายออก เม้มริมฝีปากแน่น จดจ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวนโดยไม่กะพริบตา ผ่านไปถึงสิบอึดใจ ถึงได้หัวเราะขึ้นมา

 หากเป็นเจ้า จะลงมือเยี่ยงไร ?  

ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา มุมปากยกยิ้ม  หากคนลงมือเป็นข้า ข้าจะตัดรากถอนโคนเสียให้สิ้น !  

 ตัดเยี่ยงไร ?  

 …ตัดจากส่วนที่สูงที่สุด !  

ดวงตาของเยียนเหลียงเจ๋อหรี่ลงเล็กน้อย  หากตัดมิขาด เกรงว่าจะถูกรากนั้นแทงเข้าให้ 

 นี่คือสิ่งที่ผู้ครองมงกุฎต้องแบกรับ ! เป็นความอันตรายของการแสวงหาความมั่งคั่งและเกียรติยศ ต้องดูฝีมือของพี่เยียนแล้ว ข้าเพียงขอเอ่ยเตือนท่านอีกสักหนึ่งประโยค ชีวิตของตนเอง สุดท้ายมีตนเองเป็นผู้ควบคุมจึงจะปลอดภัยที่สุด ส่วนเรื่องอื่น… สิ่งที่เรียกว่าประวัติศาสตร์นั้นผู้ชนะเป็นผู้เขียนมันขึ้นมา ดังนั้นเรื่องอื่นจึงมิสำคัญ 

เยียนเหลียงเจ๋อเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง คืนนี้ดวงดาราสว่างไสว ช่างงดงามมากยิ่งนัก

มีเพียงผู้ที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น ที่จะสามารถมองเห็นความสวยงามนี้ได้ สามารถเสพความสวยงามและแสดงความปรารถนาอันแรงกล้าออกไปได้ และสามารถชื่นชมความคึกครื้นบนใต้หล้านี้ได้

เมื่อเทียบกับฟู่เสี่ยวกวนแล้ว ตนยังห่างไกลออกไปอีกเล็กน้อย !

ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะจิตใจของตนที่อ่อนแอจนเกินไป !

ฟู่เสี่ยวกวนเห็นสีหน้าของเยียนเหลียงเจ๋อเปลี่ยนไป เขาจึงรินสุรา ยกจอกสุราขึ้นแล้วเพิ่มเชื้อเพลิงเข้าไป  พี่เยียน ชีวิตของข้าอยู่ที่ข้าหาใช่นภากำหนด เมื่อพบเจอกันอีกครา ข้าจะเรียกท่านว่าฝ่าบาทและเปี่ยมไปด้วยความเคารพ !  

 

ตอนที่ 522 อาณาจักรการค้า

ตอนที่ 522 อาณาจักรการค้า

แสงสุริยาในยามกลางวันค่อนข้างอบอุ่น

หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวินก็ได้นั่งพักอยู่ในศาลาเถาหราน

หยูเวิ่นหวินตั้งครรภ์ได้ราว 3 เดือนแล้ว แต่ในฤดูหนาวนางสวมอาภรณ์ค่อนข้างหนา จึงมองมิค่อยชัดสักเท่าใดนัก

นางยังคงนั่งเย็บชุดทารกด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มของผู้เป็นมารดา เงยหน้าขึ้นมองฟู่เสี่ยวกวนแล้วยกยิ้ม  เจ้าอยากได้บุตรชายหรือบุตรสาว ?  

 บุตรสาว !  

หยูเวิ่นหวินเบิกตามองฟู่เสี่ยวกวน พลางเบ้ปากแล้วกล่าวว่า  ไม่ ต้องเป็นบุตรชาย !  

 จะเป็นบุตรชายหรือบุตรสาว ? ข้าก็ชอบทั้งสิ้น 

 นี่คือทายาทคนแรกของตระกูลฟู่ เป็นบุตรชายจึงจะดี !  

ความคิดของหยูเวิ่นหวินนี้ ฟู่เสี่ยวกวนมิได้คัดค้าน เนื่องจากการถกเถียงกับคนโบราณเรื่องชายหญิงไร้ซึ่งความหมายใดอย่างแท้จริง

ดังนั้น เขาจึงหัวเราะแล้วกล่าวว่า  อืม ! ย่อมได้ เช่นนั้นก็บุตรชาย… แต่หากคลอดออกมาเป็นบุตรสาว เจ้าก็อย่าได้ผิดหวังล่ะ !  

 อือ… เรื่องนั้นข้ารู้ดี เพียงแต่หวังว่าจะได้บุตรชายก็เท่านั้น ช่วงนี้เจ้าดื่มสุราให้น้อยลงสักหน่อย ชูหลานและเสี่ยวโหลวอาจจะมิพอใจเอาได้ 

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลงทันใด ข้าปรนนิบัติทุกค่ำคืน พวกนางกลับพากันโอดโอย หรือว่ากินมิอิ่มแสร้งทำเป็นอิ่มกันเล่า ?

นี่เป็นปัญหาใหญ่เสียทีเดียว ดังนั้นเขาจึงรีบเอ่ยถามขึ้นมาว่า  หรือว่าข้า…ยังขยันมิพอ ?  

หยูเวิ่นหวินจ้องเขาตาเขม็ง หน้าของนางแดงระเรื่อ  เจ้าคิดสิ่งใดอยู่กัน ? หมอหลวงกล่าวว่า หากดื่มสุรามากจนเกินไปจะทำให้มีบุตรยาก พวกนางนับวันตั้งตารอความเคลื่อนไหวของท้องอยู่ทุกวัน !  

ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้วางใจลง อืม… ค่อยยังชั่วหน่อย ตำราพระสูตรเก้าหยางนี้ มิเสียแรงฝึกฝนสินะ

 เรื่องนี้ต้องพึ่งโชคชะตาด้วย อีกอย่างพวกเจ้าอายุยังน้อย รออายุสัก 20 ปีค่อยตั้งครรภ์กำลังดี 

หยูเวิ่นหวินเบ้ปาก  ผู้ชายก็กล่าวได้สิ หากหญิงสาวอายุ 20 ปีแต่งงานกับเจ้า ผ่านไปสี่ห้าปียังมิตั้งครรภ์ ชาวบ้านได้นินทาไปทั่วเป็นแน่ ! แม่ไก่ยืนกกไข่…ดูสิว่าจะกลายเป็นเยี่ยงไร ? จะเอาหน้าไปไว้ที่ใด ?  

เมื่อกล่าวถึงปัญหานี้ ฟู่เสี่ยวกวนมิอาจเปลี่ยนความคิดของหยูเวิ่นหวินได้ เนื่องจากความคิดเช่นนี้มีมาแต่โบราณ และได้หยั่งรากลึกลงในจิตใจของสตรีเฉกเช่นพวกนางแล้ว

มองดูแล้ว ต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวคงกังวลจริง ๆ

ทว่าค่ำคืนนี้ ข้าต้องไปดื่มสุราน่ะสิ !

เห้อ…จะทำเยี่ยงไรดี !

ในขณะที่สองสามีภรรยากำลังสนทนากันอยู่ หลี่เจิ้งพร้อมพี่น้องตระกูลหลี่ก็ได้เดินเข้ามา

สามพี่น้องทำความเคารพฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวิน หลังจากนั้นหยูเวิ่นหวินก็ได้เอ่ยเชิญให้พวกเขานั่งลง ส่วนตนก็เดินออกไปจากศาลาเถาหราน

ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาให้กับทั้งสาม จากนั้นก็ยกยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า  เป็นเยี่ยงไรบ้าง ?  

ภารกิจแรกที่ได้มอบหมายให้กับสามพี่น้องตระกูลหลี่ก่อนปีใหม่ คือให้ไปกว้านซื้อพื้นที่สลัมมา

หลี่เจีย พี่ชายคนโต นำหีบใบหนึ่งมาวางไว้บนโต๊ะ แล้วหยิบโฉนดที่ดินปึกหนาออกมา  ตามที่คุณชายมอบหมาย พวกข้ามิได้ออกหน้าด้วยตนเอง แต่ใช้วิธีการบางอย่างในการจัดการ พื้นที่สลัมกว่าครึ่งถูกซื้อมาแล้ว เชิญคุณชายตรวจสอบดูขอรับ 

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยถามว่าพวกเขาใช้วิธีใด เขาเพียงรับโฉนดที่ดินปึกหนาคลี่ออกดู  ยังต้องใช้เวลาอีกเท่าใด ?  

 อีกราว 2 วันขอรับ 

 อืม ! ยอดเยี่ยม หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจนี้ พวกเจ้าจงเตรียมตัวแยกย้ายกันไปในแต่ละที่ 

ฟู่เสี่ยวกวนให้เสี่ยวเซวี๋ยนำกระดาษและพู่กันมา อีกทั้งยังมีแผนที่ของราชวงศ์หยู

เขานำแผนที่นี้วางไว้บนโต๊ะแล้วพิจารณาโดยละเอียด ก่อนจะใช้แท่งถ่านวาดวงกลมลงไปบนแผนที่เพื่อแบ่งเป็น 4 เขต

 บัดนี้ ข้าจะอธิบายแผนการอุตสาหกรรมของจวนฟู่ในอีกห้าปีข้างหน้าให้พวกเจ้าฟัง 

 สำหรับเขตหยูหนาน พวกเจ้าจงมองอย่างละเอียด เขตนี้ประกอบด้วย 3 มณฑล ต่อไปในภายภาคหน้าอุตสาหกรรมทั้งหมดในหยูหนานจะมอบให้หลี่ก้วนเป็นผู้ดูแล ผืนดินแผ่นนี้นับว่าเจริญพอควร มันจะสามารถทำกำไรให้จวนฟู่ในอีกห้าปีข้างหน้าได้มากโข 

 เขตหยูตง มอบหมายให้หลี่ว่านเป็นผู้รับผิดชอบ ที่แห่งนี้นับว่าเศรษฐกิจดีเสียทีเดียว เพียงแต่สงครามที่ทำกับแคว้นอี๋เมื่อปีกลายทำให้พื้นที่แห่งนี้ได้รับผลกระทบ แต่ข่าวดีก็คือ แคว้นอี๋ได้แบ่งอาณาเขตที่ติดกันนี้ให้กับพวกเราแล้ว… 

ฟู่เสี่ยวกวนวงกลมว่อเฟิงหยวนไปด้วย  พื้นที่แห่งนี้ ต่อไปจะเป็นของราชวงศ์หยู ดังนั้นจะเหมือนกับได้เพิ่มมาอีกหนึ่งมณฑล 

หลี่ว่านเงยหน้าขึ้นมองฟู่เสี่ยวกวน  คุณชายขอรับ…เรื่องนี้ท่านทราบมาจากที่ใด ?  

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้น  ข้าเพิ่งทำการเจรจาไปเมื่อตอนเช้า เป็นข่าวร้อนแรงเสียทีเดียว คาดว่าอีกมิกี่วันฝ่าบาทก็จะทรงประกาศออกไป ส่วนพื้นที่นี้จะดูแลเยี่ยงไร คาดว่าคงต้องตั้งเป็นอีกหนึ่งมณฑล เรื่องนี้ช่างมันก่อนเถิด สิ่งที่เจ้าต้องทำคือ ภายในหนึ่งปีต้องขยายอุตสาหกรรมของจวนฟู่ในทุกที่ที่เจ้าเห็นว่าเหมาะสม จงจำเอาไว้ว่า การดำเนินการต่าง ๆ ต้องเหมาะสม มีการตรวจสอบพื้นที่อย่างครอบคลุม 

ทั้งหลี่เจีย หลี่ว่าน และหลี่ก้วน จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยใบหน้าตกตะลึง

 อ่า… ข้าเอ่ยอยู่มิได้ยินหรือ ?  

 คุณชาย…ได้พื้นที่นี้มาไว้ในครอบครองแล้วจริงหรือ ?  

 ข้าเคยโกหกพวกเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ !  

สามพี่น้องได้สติกลับคืนมา จึงได้เข้าใจว่าพวกเขาเลือกติดตามคนถูกต้องแล้ว นี่เป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่เพียงใด ! ฝ่าบาทจะต้องประทานรางวัลให้เขามากมายเป็นแน่ ชื่อเสียงของคุณชายโด่งดังไปทั่วหล้า พวกเขาคอยช่วยกิจการของคุณชาย หากเดินทางไปที่ใดก็คงมิมีผู้ใดกล้าขัดขวางเป็นแน่

 คุณชายช่างยิ่งใหญ่ !   สามพี่น้องพร้อมใจกันคารวะฟู่เสี่ยวกวน

 อย่าได้เอ่ยสิ่งไร้ประโยชน์เหล่านี้เลย จงฟังคำของข้าเอาไว้ให้ดี นี่คือภารกิจที่ยิ่งใหญ่ และเป็นเวทีของพวกเจ้าด้วย จงทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ข้าจะมิทำให้พวกเจ้าต้องขาดทุนเป็นแน่ !  

ฟู่เสี่ยวกวนอธิบายอีกราวครึ่งชั่วยาม เขาได้กล่าวถึงเรื่องแผนธุรกิจที่มีในสมองออกมาอย่างถี่ถ้วน

สามพี่น้องตั้งใจฟัง ยิ่งฟังก็ยิ่งประหลาดใจ ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกว่าคุณชายมิใช่มนุษย์ธรรมดา !

นี่คือเมืองแห่งเศรษฐกิจอันยิ่งใหญ่ !

การวางแผนเหล่านี้ มิเพียงอยู่ในราชวงศ์หยูเท่านั้น มันยังส่งผลต่อแคว้นเพื่อนบ้านทั้งสี่อีกด้วย สินค้าในอนาคตจะขนส่งไปยังแคว้นเหล่านี้มิขาด เพื่อให้ได้รับกำไรมากขึ้น ก็จะต้องเข้าทำลายผลิตภัณฑ์เดิมและยึดครองตลาดของทุกแคว้นเอาไว้

แม้แต่ราชวงศ์อู๋ก็ยังมิเว้น

จากนั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ตอบคำถามของสามพี่น้องโดยละเอียด

 น่าเสียดายยิ่ง ข้ายังขาดหัวเรือใหญ่ที่จะไปดูแลเขตหยูซี หากพวกเจ้ามีคนรู้จัก ก็สามารถพามาแนะนำกับข้าได้ 

หลี่เจียครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า  หลู่หลิวฮุย เขากำเนิดในตระกูลหลู่แห่งซางเสียง เป็นบุตรชายคนเล็กของหัวหน้าตระกูลหลู่ อายุ 32 ปี เข้ารับตำแหน่งจิ้นซื่อในปีไท่เหอที่สี่สิบ เขาได้ดูแลการค้าของตระกูลอยู่ 3 ปี แต่เนื่องจากมีความเห็นที่แตกต่างกับท่านปู่หลู่ จึงโกรธเคืองแล้วเดินทางมายังจินหลิง บัดนี้เขาได้ดูแลร้านจิ่นซิ่วถังในเมืองจินหลิงอยู่ ซึ่งเป็นธุรกิจการค้าของตระกูลเซวีย หลัก ๆ แล้วค้าขายผ้าไหม 

 ข้าน้อยรู้จักและได้สนทนากับเขาอยู่หลายครา คนผู้นี้เป็นผู้ที่มีความสามารถด้านการค้า แต่มีความมั่นใจในตนเองสูงไปหน่อย เนื่องจากเขาเป็นถึงจิ้นซื่อ หากคุณชายรู้สึกว่ามิเลว ข้าน้อยจะพาเขามาพบขอรับ 

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกดีใจเสียด้วยซ้ำ ส่วนเรื่องมีความมั่นใจสูงนั้น… เขามองว่าเป็นการวางมาดของนักวรรณกรรมเสียมากกว่า

หลังจากนั้น ทั้งสี่คนก็ได้สนทนากันอีกมากมาย เมื่อมองไปบนท้องนภาจึงเห็นว่าเริ่มมืดแล้ว สามพี่น้องจึงขอตัวกลับออกไป ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายจึงได้แจ้งกับหยูเวิ่นหวินว่าจะไปกั๋วเซ่อเทียนเซียงพร้อมกับพาสวี่ซินเหยียนติดตามไปด้วย

 

ตอนที่ 521 วางแผน

ตอนที่ 521 วางแผน

 หรือควรมอบ…บรรดาศักดิ์ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?  

ทันทีที่เยี่ยนเป่ยซีเอ่ยข้อเสนอนี้ขึ้นมา ต่งคังผิงและคนอื่น ๆ ต่างก็ตกตะลึงขึ้นทันพลัน วันนี้พวกเขาตกตะลึงไปกี่คราแล้วกัน

บรรดาศักดิ์ในราชวงศ์หยูแบ่งออกเป็น 5 ขั้น ได้แก่ กง โหว ป๋อ จึ และหนาน

นับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์ขึ้นมา ก็แทบจะไม่ปรากฏขุนนางที่ทำความดีความชอบจนได้รับบรรดาศักดิ์เลย ดังนั้นราชวงศ์หยูในปัจจุบันจึงมีเพียงแม่ทัพใหญ่เผิงถูที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงแต่งตั้งเป็นติ้งกั๋วกงเพียงผู้เดียวเท่านั้น

ติ้งกั๋วกงเสียชีวิตไปแล้ว ซ้ำยังไร้ทายาท ถึงแม้จวนกั๋วกงจะยังคงมีอยู่ แต่การสืบทอดกั๋วกงของตระกูลเผิงได้สิ้นสุดลงไปเนิ่นนานแล้ว

ด้วยคุณงามความดีของฟู่เสี่ยวกวน การแต่งตั้งให้เป็นกั๋วกงก็มิได้มากจนเกินไป แต่เยี่ยนเป่ยซีคิดมาเท่าใด ฝ่าบาทก็ย่อมคิดมากกว่า

ฟู่เสี่ยวกวนเยาว์วัยเกินไปสำหรับยศกง เขายังมิครบ 18 ปีบริบูรณ์เลยด้วยซ้ำ เส้นทางอนาคตยังอีกยาวไกล หากเขามิกลับไปยังราชวงศ์อู๋ ก็ยังสามารถทำคุณงามความดีให้กับราชวงศ์หยูได้อีก

หากคนผู้นี้ชราวัย ในภายภาคหน้าก็จะกลายเป็นไม่ได้มอบรางวัลอันทรงเกียรติให้โดยแท้จริง

ดังนั้น หลังจากทั้งห้าหารือกันแล้ว ยศหนานขั้นห้าก็ต่ำจนเกินไป ยศจึขั้นสี่กำลังพอดี ส่วนยศป๋อรอให้เจ้าหมอนี่ผลักดันนโยบายใหม่ได้สำเร็จแล้วค่อยประทานให้ก็แล้วกัน

 เช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ก็กำหนดให้เป็นตามนั้น ข้าจะประทานบรรดาศักดิ์จึขั้นสี่แก่ฟู่เสี่ยวกวน สืบทอดต่อไปโดยไร้ที่สิ้นสุด 

เยี่ยนเป่ยซีและคนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง ยามที่หารือกันเมื่อครู่ มิได้กล่าวเลยว่าให้สืบทอดต่อไปโดยไร้สิ้นสุด !

แต่สุดท้ายพวกเขาต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย สามคนในนี้คือพ่อตาของฟู่เสี่ยวกวน เยี่ยนเป่ยซีเองก็เป็นปู่ของเยี่ยนเสี่ยวโหลว แล้วผู้ใดจะปฏิเสธเรื่องดี ๆ เยี่ยงนี้กันเล่า

 วันนี้มิต้องสนทนาเรื่องอื่นกันแล้ว ข้าดีใจมากยิ่งนัก คังผิง เจ้าใช้เงินได้เต็มที่ ซือเต้าและฮ่าวชู จงเร่งเกณฑ์ทหาร ส่วนอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ค่ำนี้ข้าจะไปนั่งเล่นที่จวนของเจ้า 

 นานมากแล้วที่ฝ่าบาทมิได้เสด็จไปที่จวนของกระหม่อม 

 ก็เพราะเรื่องวุ่นวายมากมายมิใช่หรือ ? ตอนนี้ดีขึ้นแล้วก็ตกลงตามนี้ ข้าจะนำข่าวดีไปบอกกับฮองเฮาที่วังหลัง ให้นางได้มีความสุขเช่นกันกับข้า 

ผู้คนในห้องทรงพระอักษรต่างก็แยกย้ายกันออกไปจนทั้งห้องว่างเปล่า ส่วนฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้ยังอยู่ในสำนักงานของกรมพิธีการ

จนถึงตอนนี้ สวี่หวยซู่ก็ยังรู้สึกราวกับฝันไป !

เขาได้สัมผัสการเจรจาดุจความฝันนี้ด้วยตนเองตั้งแต่ต้นจนจบ เพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้หลอกล่อจนทำสนธิสัญญา 2 ฉบับนี้ขึ้นมาได้… มิว่าเยี่ยงไร สวี่หวยซู่ก็ยังเป็นขุนนางของกรมพิธีการ จึงยากที่จะเชื่อว่าองค์รัชทายาทของแคว้นอี๋จะยอมลงนามในสนธิสัญญา !

แต่เรื่องนี้ก็ได้เกิดขึ้นมาแล้ว ตราประทับนี้ ยังเป็นเขาที่ประทับด้วยมือของตนเอง

เขาต้มชามาหนึ่งกาแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า  คนผู้นั้น องค์รัชทายาทแห่งแคว้นอี๋ผู้นั้น… เจ้าวางยาพวกเขาใช่หรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะน้อย ๆ  ท่านลุง อย่าได้เอ็ดไป ข้าแอบวางยาพวกเขาจริง ๆ  

ดวงตาสวี่หวยซู่เบิกโพลง  อธิบายมาเร็วเข้า ข้ามิเข้าใจ 

 แท้จริงแล้วง่ายดายมากยิ่งนัก ข้าขอให้เสนาบดีกรมกลาโหม หรือก็คือท่านพ่อตาเยี่ยนฮ่าวชู ทูลฝ่าบาทให้มอบราชโองการให้แก่องค์ชายใหญ่ แล้วบัญชาให้ทุกกองทัพของพระองค์เดินทางไปยังด่านจินหยาง นอกจากนั้น ปืนใหญ่หงอีจากซีซานของข้าก็ถูกส่งไปทางตะวันออกอย่างต่อเนื่อง ของเหล่านี้มิได้ถูกซ่อนจากสายตาของแคว้นอี๋ ดังนั้นบรรยากาศในท้องพระโรงของแคว้นอี๋จึงเคร่งเครียดภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้น 

 เยียนเหลียงเจ๋อมายังจินหลิง แต่ข้ามิรีบเปิดการเจรจากับเขา ข้าต้องการให้เขาอยากกลับแคว้นอย่างเร่งรีบ เขาคือองค์รัชทายาท บิดาของเขาย่อมมีข้อความมาเร่งรัดเป็นแน่ ต่อให้อยากเจรจาก็เจรจามิได้ และทัพของข้าก็ได้เข้าใกล้ด่านจินหยางมากขึ้นเรื่อย ๆ บิดาของเขาย่อมมิพอใจในตัวเขามากเป็นแน่ 

 จักรพรรดิแห่งแคว้นอี๋มิได้มีเขาเป็นโอรสแต่เพียงผู้เดียว เหล่าขุนนางในราชสำนักที่อยู่ในความตื่นตระหนกจะแสดงความไม่พอใจต่อองค์รัชทายาทอย่างแน่นอน คาดว่าเสียงให้ปลดองค์รัชทายาทคงมีมิน้อย ดังนั้นเขาจึงต้องรีบ ยิ่งอยู่ก็ยิ่งรีบ จนถึงท้ายที่สุด เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับหนึ่งทางเลือกดังที่เกิดขึ้นในวันนี้

หากจะปฏิเสธการลงนามในสนธิสัญญาฉบับนี้ เขาก็ต้องอยู่ที่จินหลิงต่อและรับมือกับข้าจนสูญเสียตำแหน่งองค์รัชทายาท หรือจะลงนามแล้วรีบกลับแคว้นไปรักษาตำแหน่งองค์รัชทายาท 

 กระจ่างยิ่งว่าสำหรับเขาแล้ว ตำแหน่งองค์รัชทายาทสำคัญกว่าการเฉือนอาณาเขตและชดเชยเงินเหล่านี้ ท้ายที่สุดในอนาคตแคว้นอี๋ก็จะตกเป็นของเขา อาณาเขตหายไปหนึ่งในสามส่วน ชดเชยแค่เงินเหล่านี้ แต่ก็ยังสามารถกลายเป็นผู้ที่อยู่บนจุดสูงสุดได้ ถือว่าคุ้มค่ายิ่ง 

ทันใดนั้น สวี่หวยซู่ก็ตระหนักขึ้นมาได้ จึงได้เข้าใจว่าเหตุใดเมื่อปีที่แล้วฟู่เสี่ยวกวนถึงตั้งกฎเยี่ยงนั้นให้กับทุกคนในกรมพิธีการ

เจ้าเด็กนี่… เก่งกาจอย่างแท้จริง !

โชคดีที่ข้ามิได้ปะทะกับเขา !

ส่วนเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนเห็นด้วยกับการลงนามสนธิสัญญาพันธมิตรกับเยียนเหลียงเจ๋อ ในจุดนี้ สวี่หวยซู่เข้าใจได้ชัดเจน เพราะต่อให้ราชวงศ์หยูมีจำนวนเงินมากทั้งยังได้ที่ดินอีกผืนใหญ่ ก็จำต้องฟื้นฟูกันเสียก่อน

ทว่ามีหนึ่งปัญหาที่ยังไม่เข้าใจ  เหตุใดเจ้าถึงเสนอความคิดดี ๆ ให้กับเยียนเหลียงเจ๋อกัน ?  

การให้เยียนเหลียงเจ๋อไปบุกแคว้นฮวงถือเป็นความคิดที่ดี

ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา ท่านลุงผู้นี้เป็นคนง่าย ๆ

 ประการแรก ข้ากลัวว่าหลังจากเขากลับไปแล้วจะถูกบิดาสับเป็นชิ้นเข้าให้ คุณงามความดีนี้ เยี่ยงไรก็ต้องให้เขาสูญเสียน้อยที่สุดจึงจะถูก ประการที่สอง… ให้เขาไปเพิ่มความยุ่งยากให้แก่แคว้นฮวง นั่นย่อมเป็นเรื่องดีต่อราชวงศ์หยู 

สวี่หวยซู่เพิ่งได้เข้าใจ เจ้าเด็กนี่ต้องการยืมดาบของแคว้นอี๋ไปตัดเนื้อของแคว้นฮวง เพียงแต่น่าเสียดายที่เนื้อชิ้นนั้นจะตกอยู่ในปากของแคว้นอี๋ และแคว้นหยูก็มิมีโอกาสได้ชิมแม้แต่คำเดียว

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งต่อไปอีกเล็กน้อย ดื่มชาหนึ่งจอก แล้วส่งเรื่องต่อจากนั้นให้กับสวี่หวยซู่ จากนั้นเขาก็ออกจากวังหลวงไปเพียงลำพัง ตรงมาขึ้นรถม้า

การเจรจาในวันนี้ เขามีความเสี่ยงอยู่สามจุด เดิมพันไว้กับความสำคัญของบัลลังก์ในสายตาของเยียนเหลียงเจ๋อ

ตราบใดที่ยึดติดในบัลลังก์ เยียนเหลียงเจ๋อก็ทำได้เพียงรับปากเท่านั้น ส่วนหลังจากกลับแคว้นไปแล้วจะทูลบิดาว่าเยี่ยงไร… แท้จริงฟู่เสี่ยวกวนหวังไว้ว่าคนผู้นี้จะใจกล้ามากขึ้นกว่าเดิม หากคนผู้นั้นปลงพระชนม์จักรพรรดิแห่งแคว้นอี๋ วังหลวงก็จะตกอยู่ในความโกลาหล เยียนเหลียงเจ๋อย่อมมิกล้ามาต่อกรกับราชวงศ์หยูอีก แต่เขาต้องไปปะทะกับแคว้นฮวงแทนเป็นแน่

ในค่ำวันนี้ จำต้องประเมินเยียนเหลียงเจ๋อเสียหน่อย หากศักยภาพของเขามีมิมากพอ ก็เรียกกองกำลังดาบเทวะกลับมาสักสองพันนายเพื่อไปช่วยเขาดีหรือไม่ ?

ฟู่เสี่ยวกวนตื่นเต้นกับความคิดนี้ รอได้สนทนากับเยียนเหลียงเจ๋อเสียก่อนค่อยตัดสินใจอีกครา

สำหรับเยียนหานยวี่ คนผู้นี้ยังมิสามารถทอดทิ้งได้ ต้องมีไว้เพื่อเพิ่มความยุ่งยากให้แก่เยียนเหลียงเจ๋อ เพื่อมิให้เขามีชีวิตที่สงบสุข

เยียนเหลียงเจ๋อ เพียงได้มีชีวิตที่ดีก็จะเริ่มโลภมาก หากมีตำแหน่งมั่นคงอีกสักสองสามปี เขาต้องหันมาจับตามองราชวงศ์หยูอีกครา และย่อมก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นมาเป็นแน่

ฟู่เสี่ยวกวนมิชอบความวุ่นวายเป็นอย่างมาก ดังนั้นแคว้นอี๋จึงมิสามารถสงบสุขลงได้

ภายในรถม้า สวี่ซินเหยียนลอบมองฟู่เสี่ยวกวนอยู่บ่อยครั้ง…

หลังจากคนผู้นี้ขึ้นรถมาก็เพียงแค่เอ่ยทักทายเท่านั้น ทว่าตลอดการเดินทางเขากลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาจนคาดเดามิได้ ประเดี๋ยวก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นมา ประเดี๋ยวก็มึนตึง ประเดี๋ยวก็ขบกราม ประเดี๋ยวก็ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย

เขากำลังคิดอันใดอยู่กัน ?

สวี่ซินเหยียนที่มีความคิดเรียบง่ายไร้หนทางสัมผัสถึงจิตวิญญาณอันซับซ้อนของฟู่เสี่ยวกวน หากนางทราบว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังวางแผนเกี่ยวกับแคว้นอี๋และแคว้นฮวงมาตลอดทาง เกรงว่านางจะเกิดความกลัวต่อความคิดที่ราวกับคลื่นทะเลของฟู่เสี่ยวกวน

คนเรียบง่ายย่อมมีความคิดที่เรียบง่าย สวี่ซินเหยียนคิดเพียงแค่ว่าฟู่เสี่ยวกวนได้เป็นขุนนางขั้นสูงตั้งแต่อายุยังน้อย เขาย่อมมีความกดดันเป็นธรรมดา

แม้แต่อดีตอาจารย์ของนาง ก็มักจะเหม่อลอยอยู่บ่อยครา และมีอารมณ์ที่หลากหลาย

ดังนั้น นางจึงไม่คิดมาก เพียงเฝ้ามองดูและอยู่ข้าง ๆ เขาอย่างเงียบงันเท่านั้น

ไร้การสนทนาตลอดการเดินทาง จนถึงจวนฟู่

 

ตอนที่ 520 จะมอบรางวัลเยี่ยงไร

การที่ฮ่องเต้แสดงท่าทางเช่นนั้นออกมา ทำให้เยี่ยนเป่ยซีและคนอื่น ๆ ตกตะลึงเสียจนนิ่งค้าง

นี่เป็นข่าวดียิ่ง ฟู่เสี่ยวกวนให้แคว้นอี๋ชดเชยเงินถึง 30 ล้านเชียวหรือ ?

หากมีเงินจำนวน 30 ล้าน ปัญหาทั้งหมดที่เกิดในช่วงต้นปีก็สามารถจัดการโดยง่าย ทันใดนั้นดวงตาของต่งคังผิง เสนาบดีกรมคลังก็เป็นประกายขึ้นมา กรมคลังดูแลเงินของแคว้น หลายปีมานี้รายรับมิเพียงพอ ทำให้เขาปวดหัวเสียจนผมหงอกผมขาว

ต่งคังผิงเบิกตากว้างมองฝ่าบาท ทูลถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือว่า  ฝ่าบาท เท่าใดพ่ะย่ะค่ะ ?  

ฮ่องเต้หัวเราะร่าออกมาเสียงดัง บัดนี้ พระองค์ทรงยินดียิ่ง มิเหลือท่าทางเคร่งขรึมของฮ่องเต้อยู่แม้แต่น้อย พระองค์ทรงเลิกพระขนงขึ้นแล้วตรัส  พวกเจ้าลองเดาดูสิ !  

เยี่ยนเป่ยซีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ฝ่าบาททรงเป็นฮ่องเต้ที่ค่อนข้างสุขุม จำนวนเงินที่ทำให้ยินดีจนเสียกิริยาได้ถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าย่อมมิใช่น้อย ดังนั้นจึงกล่าวตัวเลขที่ตนมิเคยจินตนาการมาก่อนว่า  40 ล้านตำลึง ?  

ฮ่องเต้แย้มพระโอษฐ์ที่เปี่ยมไปด้วยเลศนัย  ซือเต้า เจ้าลองเดาดู 

เยี่ยนซือเต้านึกอยู่ในใจว่าจำนวนเงินถึง 40 ล้านคงเป็นไปมิได้ ภาษีที่แคว้นอี๋รวบรวมได้ยังมิถึงปีละ 10 ล้าน จะชดเชยด้วยเงินภาษีถึง 4 ปีได้เยี่ยงไร ? ดังนั้นเขาจึงทูลตอบอย่างเรียบง่ายว่า  กระหม่อมคาดว่าราว 20 ล้านพ่ะย่ะค่ะ 

 ลองเดาต่อ จงกล้าคาดเดาออกมา ฮ่าวชู เจ้าลองว่ามาสิ 

 กระหม่อมคาดว่า…50 ล้านตำลึงพ่ะย่ะค่ะ !   นับว่ากล้าพอแล้วหรือยัง ? เยี่ยนฮ่าวชูเองยังรู้สึกว่าตัวเลขจำนวนนี้เหมาะสมแล้ว เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวน บุตรเขยของเขาผู้นี้มิธรรมดา

 คังผิง เจ้าลองทายดู 

บัดนี้ต่งคังผิงตื่นเต้นเสียจนทำอันใดมิถูก สามคนแรกนั้นเห็นได้ชัดว่าทายผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนที่เยี่ยนฮ่าวชูทายว่า 50 ล้าน ฝ่าบาททรงแสดงสีพระพักตร์มิสู้ดีออกมา สวรรค์ ! เจ้าหมอนี่ขูดรีดแคว้นอี๋ไปเท่าใดกันแน่ ?

เขาพยายามสงบอารมณ์เอาไว้ ยื่นมือทั้งสองข้างแบออก เมื่อครุ่นคิดแล้วจึงหดนิ้วสองนิ้วกลับคืนมา  80 ล้านตำลึงพ่ะย่ะค่ะ !  

 ฮ่า ๆ ๆ ๆ !  

ฮ่องเต้หัวเราะออกมาอย่างมีความสุขอีกครา ดวงตาของเยี่ยนเป่ยซีแทบจะหลุดออกมา  เป็นไปมิได้ ต่อให้แคว้นอี๋โง่ถึงเพียงใด ก็คงมิโง่เง่าถึงเพียงนั้น กระหม่อมจำได้ว่ามีคราหนึ่งฟู่เสี่ยวกวนให้พวกเขาชดใช้เป็นเงินจำนวน 80 ล้านตำลึง แต่กระหม่อมคิดว่าต้องผ่านการเจรจาและหักล้างลงมา ท้ายที่สุดคงหยุดอยู่ที่ 30 ล้าน 

ฮ่องเต้ก้าวออกไปแล้วประทับบนเก้าอี้อย่างสบายอารมณ์ พระหัตถ์หนึ่งถือหนังสือสัญญาสองฉบับ อีกพระหัตถ์ยกขึ้นลูบเครา ทอดพระเนตรขุนนางทั้งสี่แล้วตรัสว่า  ฟู่เสี่ยวกวน เป็นคนที่สวรรค์ส่งลงมาช่วยราชวงศ์หยูของข้าโดยแท้ ! เหอะ ๆ ๆ ก่อนหน้านี้ ที่เขาเมินเฉยต่อทูตของแคว้นอี๋ ข้ายังคงเป็นกังวลอยู่ แต่บัดนี้ เป็นข้าเองที่คิดผิด ความหมายลึก ๆ ของการกระทำเหล่านั้น ได้ปรากฏให้เห็นในวันนี้ และนี่คือหนังสือสนธิสัญญาสองฉบับในมือของข้า !  

 ฝ่าบาท เป็นจำนวนเงินเท่าใดกันแน่ ? อย่าทรงให้พวกกระหม่อมทายต่อไปเลย  ต่งคังผิงทูลถามอย่างร้อนใจ

ฮ่องเต้แย้มพระโอษฐ์ออกมาอีกครา รอยยิ้มนั้นดุจดั่งดอกฝ้ายแย้มบาน จากนั้นจึงโน้มพระวรกายมาด้านหน้าแล้วตรัสด้วยสุรเสียงสงบนิ่งว่า  ข้าจะบอกให้ว่าฟู่เสี่ยวกวน เจ้าหมอนั่น ให้แคว้นอี๋ชดใช้ถึง 180 ล้านตำลึง !  

 พวกเจ้าได้ยินหรือไม่ ? เงินมากถึง 180 ล้านตำลึง !  

 หา…  เยี่ยนเป่ยซีพร้อมกับคนที่เหลือต่างก็สูดหายใจเข้าแล้วอุทานออกมาเสียงดัง เยี่ยนเป่ยซีแคะหู ราวกับว่ามิเชื่อในสิ่งที่หูของตนได้ยิน

 ฮ่า ๆ ๆ ๆ พวกเจ้ารับไปดูเองก็แล้วกัน !  

เยี่ยนเป่ยซีรับหนังสือสนธิสัญญานั้นมาดู… ‘หนังสือสนธิสัญญาเงินชดเชยติงเว่ย’ ชื่อนี้ตั้งได้มิเลว เขามองไปด้านล่าง…ทันใดนั้นก็กระโดดโลดเต้นขึ้นมาราวกับเด็ก !

 ฮ่า ๆ ๆ ๆ ๆ…  เยี่ยนเป่ยซีดีใจเสียจนหน้าแดง เขาอดมิได้ที่จะกระโดดโลดเต้นยกใหญ่

 เงินจำนวน 180 ล้านตำลึง จริง ๆ ด้วย ! เจ้าหมอนี่ เป็นดังดวงดาราเเห่งโชคลาภของราชวงศ์หยูอย่างแท้จริง เป็นขุนนางคนสำคัญยิ่ง !  

ต่งคังผิงและคนที่เหลือ ยังคงงงเป็นไก่ตาแตก ตั้งแต่ตอนฝ่าบาทตรัสตัวเลขนั้นออกมา โดยเฉพาะต่งคังผิงที่เข้าใจชัดเจนที่สุดว่าเงินจำนวน 180 ล้านตำลึง หมายถึงสิ่งใด

ภาษีที่ราชวงศ์หยูได้รับตลอดทั้งปีรวมกัน ต่อให้เป็นปีที่มีผลผลิตดี มากสุดก็ได้เพียงแค่ 20 ล้าน จำนวน 180 ล้านตำลึง หมายถึงต้องเก็บภาษีของราชวงศ์หยูนานถึง 10 ปี !

รายได้ของราชวงศ์หยูเพิ่มขึ้นในพริบตา ต่อจากนี้มิว่ากรมใดต้องการใช้เงิน ก็มิต้องเผชิญกับความยากแค้นอีกต่อไป

การทำนาในฤดูใบไม้ผลิจะเป็นไปอย่างราบรื่น จะมีเงินมากพอสำหรับบรรเทาอุทกภัยสองฝั่งแม่น้ำหวงเหอ อีกทั้งเงินเยียวยาให้แก่ครอบครัวของทหารที่เสียชีวิตในหน้าที่ และสามารถแจกจ่ายได้ในทันที ทหารผ่านศึกสามารถปลดประจำการได้ในเวลาอันรวดเร็ว อาวุธต่าง ๆ ที่กรมกลาโหมต้องการก็จะสามารถจัดทำได้ตามต้องการ…

แม้แต่ฝ่าบาทที่ประสงค์จะบูรณะวังหลังมาเนิ่นนาน บัดนี้ ก็มิใช่ปัญหาอีกต่อไป

ในขณะที่เขากำลังคิดว่าจะใช้เงินเหล่านี้เยี่ยงไร ฝ่าบาทก็ได้ตรัสขึ้นมาว่า  เงินชดเชยนี้หากเทียบกับการแบ่งดินแดนแล้ว มิใช่เรื่องใหญ่อันใด 

เมื่อเยี่ยนฮ่าวชูได้ยินดังนั้นจึงทูลถามออกไปว่า  ชดเชยด้วยเงินแล้วยังได้รับการแบ่งดินแดนอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ ?  

 ข้าจะบอกให้พวกเจ้าฟัง นับแต่นี้ต่อไป พื้นที่หนึ่งในสามของแคว้นอี๋ได้กลายเป็นของแคว้นหยูแล้ว !  

เมื่อประโยคนี้ดังขึ้น เยี่ยนซือเต้าและคนอื่น ๆ ล้วนพากันตกตะลึงเสียจนนิ่งงัน พื้นที่หนึ่งในสามของแคว้นอี๋หมายความว่าเยี่ยงไร ? เท่ากับราชวงศ์หยูมีมณฑลเพิ่มมาอีกหนึ่งที่เลยมิใช่หรือ !

ราชวงศ์หยูมีทั้งสิ้น 13 มณฑล การเจรจาของฟู่เสี่ยวกวนเพียงครึ่งวัน สามารถทำให้ราชวงศ์หยูเปลี่ยนเป็นมี 14 มณฑลขึ้นมาได้ !

ถือเป็นการขยายอาณาเขตที่มิเคยมีมาก่อน !

เยี่ยนเป่ยซีบังเอิญเหลือบไปเห็นแผนที่ซึ่งแขวนเอาไว้บนผนัง เขาจึงวิ่งเข้าไปแล้วยื่นมือทำท่าเปรียบเทียบ

 ฝ่าบาท เจ้าหมอนี่เก่งกาจใช่ย่อย ว่อเฟิงหยวน ว่อเฟิงหยวนเชียว คลังเสบียงที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นอี๋ มิน้อยกว่าราชวงศ์หยูของเราเลยพ่ะย่ะค่ะ !  

เขาหยุดลงชั่วครู่แล้วหันไปทางฝ่าบาท  พื้นที่ใหญ่โตแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์ยิ่ง แม้มีเพียงหนึ่งฤดูที่สามารถทำการเพาะปลูกได้ เเต่รสชาติของธัญพืชที่ปลูก ณ ที่แห่งนี้ก็ยอดเยี่ยมยิ่ง และปริมาณผลผลิตก็มากมายอีกด้วย 

 ราชวงศ์หยูผลิตธัญพืชได้ราว 220 ชั่งต่อพื้นที่ 1 หมู่ แต่ที่นาในว่อเฟิงหยวนสามารถผลิตได้ถึงหมู่ละ 260 – 300 ชั่ง ! นี่คือพื้นที่เพาะปลูกที่ดียิ่ง บัดนี้ได้กลายเป็นเมืองขึ้นของราชวงศ์หยูแล้ว กระหม่อมขอเสนอว่าให้ปรับปรุงว่อเฟิงหยวนและส่งขุนนางเดินทางไปดูแลโดยเฉพาะพ่ะย่ะค่ะ 

แน่นอนว่าทหารทางตะวันออกต้องเคลื่อนย้ายไปยังว่อเฟิงหยวน ภูเขาฉางหลิงด่านหว่าเฉียว ตามหนังสือสัญญา ภูเขาฉางหลิงจะกลายเป็นของราชวงศ์หยู แน่นอนว่าด่านหว่าเฉียวต้องให้ทหารตะวันออกไปคุ้มกัน

ฮ่องเต้ประทับอยู่เบื้องหน้าแผนที่ แล้วทอดพระเนตรไปตามหุบเขา ไอหยา ! ชายแดนตะวันออกของราชวงศ์หยูมีขนาดเพิ่มขึ้นอีกนับพันลี้ !

สวรรค์ !

ชีวิตนี้ ข้าคาดมิถึงเลยว่าจะมีวันนี้ !

นี่คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงใดกัน ? แต่เจ้านั่นกลับทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย !

ฝ่าบาทพยายามกดเก็บความดีอกดีใจเอาไว้ แล้วตรัสอย่างเรียบเฉยว่า  ความคิดของท่านอัครมหาเสนาบดีก็มิได้ต่างจากข้า การประชุมในวันพรุ่งนี้ จงนำสนธิสัญญาเงินชดเชยติงเว่ยฉบับนี้ไปป่าวประกาศให้ทุกคนได้รับทราบ… 

เมื่อรับสั่งจบ ก็นึกถึงปัญหาบางอย่างขึ้นมาได้  พวกเจ้าคิดว่าความดีความชอบที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กระทำในครานี้ ข้าควรให้รางวัลตอบแทนเยี่ยงไรดี ?  

เยี่ยนเป่ยซีเองก็คิดไม่ตก นั่นสิ ! ฟู่เสี่ยวกวนอายุยังมิถึง 18 ปีเลยด้วยซ้ำ บัดนี้ก็ได้รับตำแหน่งขุนนางระดับสามแล้ว อีกทั้งยังมีตำแหน่งหัวหน้ากรมการค้าพ่วงด้วย

อาจจะกล่าวมิได้ว่าในพันปี แต่สองร้อยสามสิบกว่าปีมานี้ราชวงศ์หยูมิมีผู้ใดทำได้

หากขยับขึ้นไปอีกขึ้นก็จะเป็นขุนนางระดับสอง เป็นอัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์แล้ว !

หากเขาได้เป็นอัครมหาเสนาบดี แล้วข้าจะทำเยี่ยงไร ?

 

ตอนที่ 519 ฝ่าบาททรงปิติยินดี

สวี่หวยซู่ได้ร่าง ‘สนธิสัญญาเงินชดเชยติงเว่ย’ ขึ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนรับมาอ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก่อนจะส่งให้เยียนเหลียงเจ๋อ

 ในเมื่อสองแคว้นได้ลงสนธิสัญญาว่าจะมิรุกรานซึ่งกันและกันแล้ว ข้าก็อยากจะกล่าวความในใจต่อพวกท่านว่า ข้าสนใจทุ่งหญ้าของแคว้นฮวงมากยิ่งนัก ข้ามิได้สนใจทัพ 400,000 นายของท่าป๋าเฟิงที่เล่าขานกันมาเลยสักนิด เยี่ยงนั้นข้าจะเล่าให้ฟัง ทุกท่านคงเคยได้ยินนามของกองกำลังดาบเทวะใช่หรือไม่ ?

กองกำลังดาบเทวะเคยใช้ทหาร 1,000 นาย เพียง 1,000 นายนี้ สามารถสังหารทหารของแคว้นฮวงได้ถึง 20,000 นาย !  

สำหรับเรื่องนี้ เยียนเหลียงเจ๋อและคนอื่น ๆ ต่างก็ทราบดี ถึงเยี่ยงไรพวกเขาก็ยังมีข้อสงสัยต่อเรื่องนี้… ดาบเทวะ 1,000 นายสังหารทหารของแคว้นฮวง 20,000 นายบนภูเขาผิงหลิง จากนั้นก็ไปรวมเข้ากับกองกำลังดาบเทวะที่เหลือบุกเข้าอาณาเขตของแคว้นฮวงไปทั่วทุกสารทิศ ราวกับเข้าสู่ดินแดนร้างไร้ผู้คน

นี่มันค่อนข้างเกินจริงไปมาก ดังนั้น ยามอยู่ในท้องพระโรงของแคว้นอี๋ จึงมิมีผู้ใดเชื่อแม้แต่คนเดียว

จนเวลาต่อมามีปืนคาบศิลาจำนวนหนึ่งถูกส่งไปยังแคว้นอี๋ พวกเขาจึงได้ทราบว่าแท้จริงแล้วกองกำลังดาบเทวะครอบครองศาสตราเทพอยู่นั่นเอง !

นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้แคว้นอี๋กริ่งเกรงราชวงศ์หยู

หากกองทัพชายแดนตะวันออกติดตั้งศาสตราเทพเหล่านั้น แม้ห่างออกไปหลายร้อยจั้งก็สามารถคร่าชีวิตทหารของตนได้ สงครามนี้… จะต่อกรได้เยี่ยงไร ?

เมื่อได้ฟังฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถึงอีกครา พวกตนย่อมเชื่อไปโดยปริยาย เยี่ยงนั้นหลังจากสงครามระหว่างแคว้นหยูและแคว้นอี๋จบลง รอให้กองทัพชายแดนเหนือฟื้นตัวขึ้นเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง หากกองทัพแห่งราชวงศ์หยูออกเดินทางขึ้นเหนือถึงด่านเยี่ยนซาน ย่อมมีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง

ดังนั้นหลังจากเปียนมู่หยูได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวเช่นนั้น เขาจึงเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า  ในเมื่อใต้เท้าฟู่มีความสนใจในแคว้นฮวงเช่นกัน สำหรับส่วนแบ่งในอนาคต… 

ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือไปมา  มิต้องกังวล นั่นขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละฝ่าย อาณาเขตของแคว้นฮวงที่ท่านยึดครองมาได้ ราชวงศ์หยูจะมิแตะต้องอย่างแน่นอน เช่นเดียวกัน อาณาเขตที่ราชวงศ์หยูยึดมาได้ แคว้นอี๋ก็อย่าได้หมายปอง 

นั่นคือสิ่งที่เปียนมู่หยูนึกกังวล พอได้ยินดังนั้นจึงวางใจลง แล้วยังเอ่ยถามต่ออีกว่า  ในส่วนของข้อตกลงนี้ ได้รวมอยู่ในสนธิสัญญาพันธมิตรด้วยหรือไม่ ?  

 สุภาพบุรุษนั้นใจกว้าง เป็นการดียิ่งที่จะรวมเข้าไปด้วย เพื่อมิให้เกิดข้อพิพาทขึ้นอีกในภายภาคหน้า 

ดังนั้น ภายใต้คำคุยโวของฟู่เสี่ยวกวน เยียนเหลียงเจ๋อก็ได้นำตราประทับใหญ่ทั้งสามออกมา !

ตราที่หนึ่ง ย่อมเป็นตราประทับของจักรพรรดิแห่งแคว้นอี๋ที่มอบอำนาจในการเจรจาครานี้ให้แก่องค์รัชทายาทเยียนเหลียงเจ๋อ หากตรานี้ถูกประทับลงไปย่อมหมายความว่าองค์จักรพรรดิรับทราบสนธิสัญญานี้แล้วเช่นกัน

ตราที่สอง คือตราประทับขององค์รัชทายาทผู้ครอบครองตำหนักบูรพา ตราประทับนี้หมายความว่าราชทูตได้เป็นพยานในการเจรจาครานี้แล้ว

ตราที่สาม คือตราประทับทางราชการของท้องพระโรงอี้เจิ้ง ตราประทับราชการนี้หมายความว่าท้องพระโรงอี้เจิ้งได้มีส่วนร่วมและเห็นด้วยกับสนธิสัญญาฉบับนี้

สวี่หวยซู่เองก็ประทับลงไปสามตราเช่นกัน เพียงแต่ตราประทับขององค์รัชทายาทเปลี่ยนเป็นตราประทับส่วนบุคคลของฟู่เสี่ยวกวน และตราประทับราชการของท้องพระโรงอี้เจิ้งก็เปลี่ยนเป็นตราประทับราชการของกรมพิธีการ

และตอนนี้ การเจรจาก็ได้สิ้นสุดลงอย่างสมบูรณ์

เหล่าขุนนางของแคว้นอี๋ที่เดิมทีมีท่าทางผิดหวังและฉุนเฉียว ก็ได้ผ่อนคลายลงมามากเพราะกลยุทธ์ที่ฟู่เสี่ยวกวนเสนอขึ้นมา

เมื่อมีกลยุทธ์นี้ หลังจากกลับแคว้นไปแล้วทูลถวายต่อฝ่าบาท อธิบายถึงเหตุผลไปอย่างชัดเจน คาดว่าฝ่าบาทจะทรงยอมรับได้เช่นกัน เมื่อสู้ราชวงศ์หยูมิได้ หากมิยกดินแดนให้เป็นการชดเชย ราชวงศ์หยูก็จะเดินทัพต่อไป ส่วนแคว้นอี๋จะสิ้นชาติมิใช่หรือ ?

ด้วยการเจรจาอย่างยากลำบากนี้ ได้หยุดการรุกรานของทัพราชวงศ์หยูได้สำเร็จ แม้จะต้องชดเชยด้วยเงิน 180 ล้านตำลึงและยกอาณาเขตว่อเฟิงหยวนผืนใหญ่ให้กับแคว้นหยู แต่ความสูญเสียเหล่านี้ก็สามารถหาคืนได้จากแคว้นฮวงมิใช่หรือ

ย่อมดีกว่าเสียชาติ สมเหตุผลดีหรือไม่ ?

ในตอนนี้ เยียนเหลียงเจ๋อได้กลับสู่สภาวะทางอารมณ์ที่ปกติ ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่าทั้งร่างได้ผ่อนคลายลงมามาก ในความคิดของตน สนธิสัญญายกดินแดนให้เป็นการชดเชยนี้ ความสำคัญยังห่างไกลจากสนธิสัญญาไม่รุกรานซึ่งกันและกันอีกฉบับ

ดังนั้น เขาจึงลืมความเกลียดชังที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวนไปจนสิ้น กล่าวอีกนัยคือไม่อยากยั่วยุศัตรูที่แข็งแกร่งอย่างฟู่เสี่ยวกวนอีกต่อไปแล้ว

 จากนี้ไป ทั้งสองแคว้นถือเป็นมิตรต่อกัน ท่านเสี่ยวกวน แม่นางยิงฮวาที่หอกั๋วเซ่อเทียนเซียงมิใช่เรื่องเพ้อเจ้อ แม่นางผู้นั้นเกิดมามีรูปลักษณ์งดงามอย่างแท้จริง ได้ยินว่านางเพิ่งมาจินหลิงได้เพียง 2 เดือน ทว่าขายแต่ความสามารถ มีใจเลื่อมใสต่อผู้มีพรสวรรค์ ท่านเป็นถึงผู้นำของเหล่าผู้มีพรสวรรค์ในใต้หล้า หากราตรีนี้สามารถจับหัวใจของยิงฮวาได้… 

รอยยิ้มมีเลศนัยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเยียนเหลียงเจ๋อ  ท่านเสี่ยวกวนก็เข้าไปในห้องนอนของยิงฮวาแล้วเพลิดเพลินเสียบ้างเถิด 

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า ในใจคิดว่าตนเพิ่งผ่านการโดนลอบสังหารที่หงซิ่วจาวมาไม่นาน ให้ตายเถอะ ! ทราบหรือไม่ว่ายิงฮวาผู้นี้ศักดิ์สิทธิ์เพียงใด ?

 ขอมิปิดบังพี่เยียน ภรรยาทั้งสามของข้าคือสามสาวงามแห่งเมืองจินหลิง สตรีทั่วไปคงมิอยู่ในสายตาของข้า 

 หากท่านเสี่ยวกวนได้มายลโฉมของนางในราตรีนี้ก็จะทราบว่าสตรีผู้นี้ เป็นอีกรสชาติหนึ่ง เอาเถอะ ! การเจรจาจบลงแล้ว ข้าต้องกลับไปหารือเรื่องที่จะตามมาในภายหลัง ราตรีนี้ ณ หอกั๋วเซ่อเทียนเซียง มิพบมิเลิกรา !  

 เยี่ยงนั้นข้ามิขอรั้งพี่เยียนไว้แล้ว คืนนี้ข้าต้องไปให้ได้ !  

เยียนเหลียงเจ๋อพาขุนนางของแคว้นอี๋เดินออกไปอย่างเร่งรีบ พวกเขาต้องกลับโรงเตี๊ยมเพื่อร่างกำหนดวันกลับแคว้น

ในวันนี้ เพราะกลยุทธ์ของฟู่เสี่ยวกวนเขาจึงมีทางเลือกเพิ่มขึ้นมาอีกทาง หนึ่งคือการยึดบัลลังก์หรือทัดทานฝ่าบาท จำเป็นต้องฟังความคิดเห็นของที่ปรึกษาเหล่านี้

ณ หงหลูซื่อ กำลังร่อนสนธิสัญญาสองฉบับที่ประทับตราเรียบร้อยไปยังวังหลวง

ฮ่องเต้กำลังหารือเรื่องการเตรียมการเพาะปลูกรวมถึงเรื่องที่ทางตะวันตกอาจจะก่อกบฏกับเยี่ยนเป่ยซี เยี่ยนซือเต้า เยี่ยนฮ่าวชู และต่งคังผิง

 หารือกันไปมา สุดท้ายก็จบที่ไร้ข้อสรุป น่าโมโหยิ่ง !   ฝ่าบาทไพล่สองหัตถ์เอาไว้ด้านหลังแล้วเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องทรงพระอักษร  ข้ามิกล้าแม้แต่จะหารือเรื่องการบูรณะแม่น้ำหวงเหอ เพราะความจนจึงมิมีเงินไปเพิ่มเงินเดือนและสวัสดิการแก่นายทหารชั้นสูง เป้าหมายว่าจะเกณฑ์ทหาร 300,000 นาย จนถึงวันนี้เพิ่งสำเร็จได้เพียงครึ่ง 

 แม้แต่ปืนคาบศิลาจำนวนมาก ข้าก็ละอายเกินกว่าที่จะเอ่ยขอจากฟู่เสี่ยวกวน โชคยังดีที่เขาคือราชบุตรเขยของข้า จะไม่ขอปิดบังพวกเจ้า เป็นฮองเฮาที่เอ่ยปากขอปืนจากเขาจำนวน 100,000 กระบอก เมื่อรวมเข้ากับลูกกระสุน คิดเป็นเงินอย่างน้อยก็ 500,000 ตำลึง นี่ย่อมสร้างความขาดทุนโดยไร้เหตุผลให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน 

 แต่ปัจจุบัน ข้าก็ยังไร้หนทางจ่ายคืนให้กับเขา โชคดีที่ราชบุตรเขยผู้นี้เก่งกาจยิ่ง ทำกิจการจนสามารถหาเงินจำนวนนั้นคืนมาได้ 

 ทว่านี่มิใช่แผนการระยะยาว ความสุขของแคว้น มิสามารถพึ่งพาคนเพียงคนเดียวได้ หากมีกรณีที่เขาล้มละลายขึ้นมา แล้วจะทำเยี่ยงไรต่อไป ? ดังนั้นปีนี้จึงต้องดำเนินนโยบายการค้าและการเกษตร ต้องเร่งดำเนินการ ต้อง… 

เพิ่งกล่าวคำว่า ‘ต้อง’ ได้เพียงคำเดียว ขันทีเจี่ยก็ได้ปรี่เข้ามา คาดมิถึงว่าเขาจะกล้าขัดคำกล่าวของฝ่าบาท และตะโกนเสียงดังว่า  ฝ่าบาท มีเรื่องน่ายินดี เรื่องน่ายินดีพ่ะย่ะค่ะ !  

ฮ่องเต้ผงะ มารดาเจ้าสิ ! ข้ากลุ้มใจเสียจนผมขาวหมดแล้ว ยังมีเรื่องน่ายินดีอันใดอีกกัน ?

 ท่านเสี่ยวกวน สนธิสัญญาการเจรจาของท่านเสี่ยวกวน ออกมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ !  

ฝ่าบาทรวมไปถึงเยี่ยนเป่ยซีและคนอื่น ๆ ล้วนตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน การเจรจาของฟู่เสี่ยวกวนและแคว้นอี๋ในวันนี้พวกเขาต่างก็รับทราบกันดี การเจรจามิใช่ต้องใช้เวลาสามถึงห้าวันหรอกหรือ ? ยังมิทันถึงยามอู่เลย เหตุใดจึงเสร็จสิ้นแล้วกัน ?

เจ้าเด็กนี่ ทำงานเชื่อถือมิได้ คงทำแบบแก้ผ้าเอาหน้ารอดเท่านั้น !

ฮ่องเต้ขมวดพระขนงทันที รับสนธิสัญญาทั้งสองฉบับมาจากมือของขันทีเจี่ย จากนั้นก็ทรงทอดพระเนตรแล้วจึงเบิกดวงเนตรขึ้นโดยพลัน และตกอยู่ในภวังค์เสียเนิ่นนาน

ทันทีที่เยี่ยนเป่ยซีและคนอื่น ๆ เห็นท่าทีของฝ่าบาท ใจก็พลันกระตุกขึ้นมา เด็กนี่…หรือว่าจะมิได้รับประโยชน์ใดกลับมาเลยกัน ?

 ฮ่า ๆ ๆ ๆ… !  

ทันใดนั้น ฮ่องเต้ก็แย้มพระสรวลออกมา ท่าทางปลื้มปิติอย่างแท้จริง พระองค์ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นโบกสนธิสัญญาไปมาอยู่กลางอากาศ

 หากฟ้ามิให้กำเนิดฟู่เสี่ยวกวน ในวันนี้ ราชวงศ์หยูย่อมขาดแคลน !  

 ข้ามีเงินแล้ว !  

 

ตอนที่ 518 ตามที่ท่านปรารถนา

ตอนที่ 518 ตามที่ท่านปรารถนา

เดิมทีการเจรจาต้องใช้เวลาหลายวันถึงจะเสร็จสิ้น แต่ทว่าภายใต้เล่ห์เหลี่ยมของฟู่เสี่ยวกวน กลับใช้เวลามิถึงครึ่งชั่วยามก็เสร็จเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว

สิ่งนี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจยิ่ง เหล่าขุนนางของราชวงศ์หยูมองหน้ากันไปมาอย่างเหลือเชื่อ

เงินชดเชยจำนวน 180 ล้านตำลึง !

และยกว่อเฟิงหยวนของแคว้นอี๋ให้แก่ราชวงศ์หยู !

เรื่องนี้ส่งผลให้ความเชื่อเดิม ๆ ของขุนนางแห่งราชวงศ์หยูเปลี่ยนไป เดิมทีพวกเขามิคิดว่าจะสามารถแบ่งเขตแดนได้ ส่วนเรื่องเงินชดเชย คิดว่ามากสุดก็ได้เพียง 20 ล้านตำลึงเท่านั้น

ภาษีที่ราชวงศ์หยูเก็บได้ในแต่ละปี ต่อให้นำผ้าฝ้าย ป่าน ไหม ธัญพืชมารวมกันก็ยังมิมีมูลค่ามากถึง 20 ล้านตำลึง แต่เงินชดเชยครานี้คราเดียว เท่ากับฟู่เสี่ยวกวนหาเงินได้เท่ากับจำนวนเงินภาษีถึง 9 ปี

อีกทั้งยังได้รับอาณาเขตที่กว้างขวางถึงเพียงนั้นมาด้วย !

ขุนนางของแคว้นอี๋ต่างพากันงงเป็นไก่ตาแตก สมองของพวกเขาว่างเปล่า

นี่คือการเจรจาแบบใดกัน ?

นี่เรียกว่าสร้างความอับอายจะดีกว่า !

ทว่าองค์รัชทายาทก็ได้ตอบตกลงไปแล้ว จะให้แคว้นอี๋เอาหน้าไปไว้ที่ใด ? กลับไปจะทูลฝ่าบาทว่าเยี่ยงไร ?

เปียนมู่หยูเอนกายพิงเก้าอี้ เงยหน้าขึ้นแล้วหลับตาลง

เยียนเหลียงเจ๋อจึงค่อย ๆ รู้สึกรับรู้ถึงความเยือกเย็น หากเป็นเช่นนี้ เมื่อกลับแคว้นไป สิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ การก่อกบฏ !

เรื่องนี้เสด็จพ่อต้องกริ้วมากเป็นแน่ การยึดตำหนักบูรพาคืนนับว่าเป็นเรื่องเบาไปแล้ว เสด็จพ่ออาจจะหยิบดาบมาบั่นคอข้าต่อหน้าขุนนางทั้งหลายก็เป็นได้

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงแล้วหันไปยิ้มให้สวี่หวยซู่  ใต้เท้าสวี่ ทำการร่างสัญญาเถิด ใช้ชื่อว่า…เงินชดเชยติงเว่ย 

สวี่หวยซู่ได้สติกลับคืนมา เขามองฟู่เสี่ยวกวนอย่างนับถือ พยายามควบคุมความตื่นเต้นแล้วหยิบพู่กันขึ้นมาร่างหนังสือ ‘สนธิสัญญาเงินชดเชยติงเว่ย’ ที่ชวนตกตะลึงยิ่ง

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มร่า รอยยิ้มดูเจิดจ้าดั่งแสงสุริยาในฤดูใบไม้ผลิ เขาชำเลืองมองไปทางเยียนเหลียงเจ๋อแล้วกล่าวว่า  ท่านเยียนอย่าเพิ่งคิดว่าท่านได้ขาดทุนไป ว่ากันว่าเสียสิ่งหนึ่งจะได้อีกสิ่งหนึ่งชดเชย สิ่งที่ท่านเสียไปในราชวงศ์หยู ข้ามีวิธีชดเชยให้ท่านจากที่อื่น เพียงแต่มิรู้ว่าท่านเยียนสนใจหรือไม่ ?  

เยียนเหลียงเจ๋อเหมือนปลาที่รอโดนทุบหัว ในใจกำลังวางแผนว่าเมื่อเดินทางกลับแคว้นแล้วจะชิงบัลลังก์มาได้เยี่ยงไร พอได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวมาเช่นนี้ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมามอง เจ้านี่มีแต่ความเจ้าเล่ห์ ในหัวคิดวางแผนขุดหลุมอันใดให้ข้าต้องตกลงไปอีกกันเล่า ?

บัดนี้เขาจึงได้เข้าใจว่า เหตุใดฟู่เสี่ยวกวนจงใจให้ตนอยู่ในเมืองจินหลิงเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่า อีกฝ่ายต้องการให้เวลายืดเยื้อเพื่อที่ทหารชายแดนตะวันออกจะได้ลำเลียงปืนใหญ่หงอีไปยังด่านจินหยาง เพื่อสร้างแรงกดดันคราใหญ่นี้ให้แก่แคว้นอี๋

จากสถานการณ์นี้ พวกที่คอยพึ่งพิงเหมิงฉือคงจะตกใจเสียจนมิเป็นอันกินอันนอน และเร่งรัดให้การเจรจาครานี้สิ้นสุดลงโดยเร็ว

แน่นอนว่าเหมิงฉือย่อมรู้ถึงแผนการของราชวงศ์หยูอย่างแน่นอน หากผลการเจรจามิเป็นผลดีต่อแคว้นอี๋ ทว่าสำหรับเหมิงฉือนั้นต้องการให้เป็นเช่นนี้เสียมากกว่า

ยิ่งมิเป็นผลดี ยิ่งมีประโยชน์กับเขา !

องค์รัชทายาทถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง องค์ชายรอง เยียนหยุนซาน จึงจะมีโอกาสได้ขึ้นครองตำแหน่ง

ส่วนองค์ชายหก เยียนหานยวี่…โบราณกล่าวว่าหมาเห่ามิกัด แน่นอนว่าเยียนหานยวี่นั้นเห่าไปทั่ว ดังนั้นเยียนเหลียงเจ๋อจึงมิเห็นเขาในสายตา

แผนยืดเวลาง่าย ๆ ของฟู่เสี่ยวกวน ตนกลับไร้ซึ่งปัญญาจะแก้ไข แม้รู้ว่าผลการเจรจาจะมิเป็นตามต้องการ แต่ก็คาดหวังให้ทำการเจรจาโดยเร็ว

มัวรอเวลาต่อไปมิได้แล้ว !

หากรอต่อไป จักรพรรดิแค้วนอี๋คงมิรอให้เขากลับไป ส่วนเหล่าขุนนางที่ใช้เวลาหลายปีในการดึงมาเป็นพรรคพวก เกรงว่าจะทรยศหักหลังตน พอถึงเวลานั้น…คงได้แต่รอจนสายเกินไป

ฟู่เสี่ยวกวนใช้วิธีการง่าย ๆ นี้ ทำให้เขาถูกกดดันจากทั้งสองฝ่าย นี่มิใช่แผนการ แต่เป็นเล่ห์เหลี่ยมที่ทำให้ไร้ซึ่งหนทาง !

เยียนเหลียงเจ๋อนิ่งเงียบ ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานเสียทีเดียว สุดท้ายจึงเอ่ยขึ้นมาว่า  ข้ามิเชื่อว่ามีเรื่องดี ๆ เช่นนั้นแล้วท่านจะมิกระทำด้วยตนเอง แต่กลับหยิบยื่นมันให้กับข้า 

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วส่ายหน้า  ท่านเยียนช่างมิเข้าใจข้าเอาเสียเลย ข้านั้นมิใช่คนโลภมาก หากกินเกินความสามารถอาจจะทำให้มิย่อย 

เขาเอนกายไปข้างหน้า วางข้อศอกไว้บนโต๊ะ มือทั้งสองประสานกันวางไว้ใต้คาง กะพริบตามองเยียนหานยวี่แล้วกล่าวว่า  แคว้นอี๋และแคว้นฮวงถือเป็นเพื่อนบ้านกันมิใช่หรือ… 

เขาก้มลงมองแผนที่บนโต๊ะ มือหนึ่งชี้ไปบนแผนที่นั้น  ทั้งสองแคว้นมีอาณาเขตติดกันทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ มีเพียงด่านเดียวขั้นกลางเอาไว้ เรียกว่า…ด่านอันใดนะ ? อ้อ… ด่านเกาเชวียซาย 

 ท่านเยียน หากข้าเป็นท่าน ข้าจะยกทัพเข้าโจมตีแคว้นฮวงจากที่แห่งนี้ เมื่อออกจากด่านเกาเชวียซายก็จะเป็นพื้นที่ของเผ่าหลานฉี ที่แห่งนี้มีเมืองมิมาก ชาวฮวงในที่นี้มิได้เเข็งแกร่งเช่นราชวงศ์หยูของข้า หากสามารถเข้ายึดพื้นที่ของเผ่าหลานฉีได้ ย่อมกว้างขวางกว่าว่อเฟิงหยวนมากเสียทีเดียว 

ฟู่เสี่ยวกวนหยุดลงชั่วครู่แล้วเลื่อนแผนที่ไปด้านหน้า มองเยียนเหลียงเจ๋อแล้วกล่าวว่า  ผู้นำของเผ่าหลานฉีถูกจักรพรรดิแคว้นฮวงสังหารแล้ว ทหารม้าจำนวน 100,000 นายที่เคยเป็นของเผ่าหลานฉีก็ถูกท่าป๋าเฟิงโยกย้ายไปฮวงถิงแล้ว ที่แห่งนี้จึงว่างเปล่า หากท่านมิกล้ายึดครอง…ข้าก็คงทำได้เพียงเอ่ยว่าท่านมิเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำแคว้น !  

เยียนเหลียงเจ๋อเมื่อได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น เขารับแผนที่มาพิจารณาโดยละเอียด แล้วส่งไปให้เปียนมู่หยูที่นั่งอยู่ด้านข้างพิจารณา

เปียนมู่หยูพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและทบทวนนับสิบครา เรื่องที่จักรพรรดิแคว้นฮวงรวบรวมอำนาจนั้นพวกตนรู้ดี แต่แคว้นอี๋และแคว้นฮวงมีสัญญาพันธมิตรอยู่หนึ่งฉบับ เรียกว่านโยบายเฉินชัง เพียงแต่นโยบายนี้ท่าป๋าชิวเป็นคนกำหนดไว้ บัดนี้ท่าป๋าชิวได้ตกตายไปแล้ว อีกทั้งแคว้นอี๋มิสามารถโจมตีแคว้นหยูได้สำเร็จ…

เขาหันไปมองเยียนเหลียงเจ๋อ เช่นนั้น สัญญาพันธมิตรก็ไร้ซึ่งความหมาย

หากยกทัพไปตีแคว้นฮวงแล้วยึดครองพื้นที่ของเผ่าหลานฉีมาได้ มิเพียงแต่จะสามารถชดเชยว่อเฟิงหยวนที่สูญเสียไปได้เท่านั้น แต่ยังจะได้รับพื้นที่ที่ใหญ่โตกว้างขวางกว่าเดิมมากนักอีกด้วย

เรื่องทางทหารนั้น แคว้นอี๋ถูกราชวงศ์หยูโจมตีเสียจนขวัญกระเจิง แต่แคว้นฮวงมิใช่ !

ทหารม้าของแคว้นฮวงแม้เก่งกาจ แต่ทหารหงหลิงก็มีความชำนาญในการใช้ม้าศึกเช่นกัน

แคว้นฮวงต้องการโจมตีด่านเยี่ยนซานเพื่อเข้าไปในพื้นที่ทางเหนือของราชวงศ์หยูมาโดยตลอด เช่นนั้น กองทหารที่วางไว้ตรงหลานฉีจึงมีมิมาก หากเกิดสงครามที่ด่านเยี่ยนซานขึ้นกับแคว้นหยู แคว้นฮวงย่อมมิอาจแบ่งทหารไปที่อื่นได้ เยี่ยงนั้นแล้ว แคว้นอี๋คงจะสามารถเข้ายึดครองได้โดยง่าย

แผนการนี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่ง !

ดังนั้นเปียนมู่หยูจึงพยักหน้า

ขุนนางของแคว้นอี๋ท่านอื่นเมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลยิ่ง เพียงแต่ฟู่เสี่ยวกวนกล้าเอ่ยเรื่องดี ๆ เช่นนี้ออกมา เขากำลังวางแผนใดอยู่กัน ?

คิดไปคิดมา หลังจากที่ราชวงศ์หยูครอบครองว่อเฟิงหยวน ก็คงต้องการพักรักษาตน ส่วนทหารชายแดนเหนืออย่างมากก็คงทำได้เพียงปกป้องด่านเยี่ยนซาน มิอาจเดินทางขึ้นเหนือกว่านั้นได้อีก และยิ่งมิสามารถเดินทางมายังฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นอี๋ได้

ดังนั้น เนื้อชิ้นโตเช่นนี้ ฟู่เสี่ยวกวนจึงทำได้เพียงมองดูเท่านั้น หากทำได้เพียงมองเฉย ๆ สู้ให้แคว้นอี๋ยึดครองเสียดีกว่า แท้ที่จริงก็ส่งผลดีต่อราชวงศ์หยูด้วยเช่นกัน อย่างน้อยก็สามารถสร้างอุปสรรคให้แคว้นฮวงมากขึ้นได้

เช่นนี้ ก็จะสามารถได้รับประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย เยียนเหลียงเจ๋อจึงตัดสินใจว่า

 นโยบายของใต้เท้าฟู่นี้ ข้าขอนำกลับไปไตร่ตรอง เอาเยี่ยงนี้ดีหรือไม่ แคว้นหยูและแคว้นอี๋มาลงนามสนธิสัญญาพันธมิตรกันเป็นเยี่ยงไร ? ข้ากลัวว่าใต้เท้าฟู่จะแทงข้างหลัง ส่วนตัวของท่านเองก็กลัวว่าจะเกิดความวุ่นวายขึ้นในภายหลัง นี่จึงเป็นนโยบายที่เข้ากันได้ดีมากเสียทีเดียว 

 ฮ่า ๆ ๆ ! ในเมื่อท่านเยียนกังวลเช่นนั้น ข้าจะทำตามที่ท่านปรารถนา !  

 

ตอนที่ 517 คนโลภ

เยียนเหลียงเจ๋อเตรียมตัวพร้อมรับฟัง

ทว่าเปียนมู่หยูกับผู้อื่นทราบว่าต้องมิใช่เรื่องดีเป็นแน่ แต่ก็ไร้หนทางที่จะปฏิเสธ ทำได้เพียงรอให้ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยเงื่อนไขขึ้นมา

แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับมิยอมเอ่ยเสียที ซ้ำยังมองไปทางช่าวชิงหงหลูซื่อ  ท่านหวง ท่านมีแผนที่ของแคว้นอี๋หรือไม่ จงนำออกมาให้ข้าดูสักหน่อย 

ท่านหวงที่นั่งอยู่ข้างสวี่หวยซู่ได้ยินดังนั้น จึงรีบตอบไปว่า  ข้าน้อยจะไปนำมาให้ประเดี๋ยวนี้ 

ทุกคนที่เหลือต่างก็ประหลาดใจ การเจรจานี้ เอาแผนที่มาทำอันใดกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนเห็นสายตางุนงงของเยียนเหลียงเจ๋อจึงเอ่ยอย่างยิ้ม ๆ ว่า  เรื่องเป็นเช่นนี้ ข้ามิค่อยรู้เรื่องของแคว้นอี๋เท่าใดนัก จึงอยากดูว่าตอนนี้กองทัพชายแดนตะวันออกไปถึงที่ใดแล้ว หากอยู่มิไกลจากแคว้นของท่านเท่าใดนัก ว่าจะลองปะทะดู หากสามารถยึดเมืองหลวงได้แล้ว… ท่านเยียนเอ๋ย เจ้าก็มิใช่องค์รัชทายาทและจะมิมีแคว้นอี๋อีกต่อไป เรื่องนี้ท่านต้องเตรียมใจเอาไว้สักเล็กน้อย 

ชื่อหลางแห่งกรมพิธีการของแคว้นอี๋ที่นั่งอยู่ข้างเปียนมู่หยูลุกขึ้นยืนในทันใด เขาชี้นิ้วไปทางฟู่เสี่ยวกวนพร้อมด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยว  ข้า… ข้ามิเคยพบขุนนางไร้ยางอายเยี่ยงเจ้ามาก่อน !  

เขาใช้มือตบลงกับโต๊ะเสียงดังตึง  นี่คือการเจรจา ! เจรจาอย่างเป็นทางการระหว่างสองแคว้น เจ้าเป็นเพียงแค่เด็กที่มิรู้ระเบียบ พวกเราต้องการเข้าเฝ้าฮ่องเต้เพื่อถอดถอนตำแหน่งทูตเจรจาของเจ้าเสีย 

ฟู่เสี่ยวกวนเหลือบตามองไปทางอีกฝ่ายอย่างช้า ๆ ขมวดคิ้วแล้วเบะปากเล็กน้อย  อายุอานามของท่านก็ดูมิน้อยแล้ว น่าเสียดาย… มีชีวิตเยี่ยงสุนัขที่เอาแต่เห่าหอนเช่นนี้ 

 เจ้ากล้ามากที่ทำให้ข้าต้องอับอาย ตัวข้าฆ่าได้แต่หยามมิได้ ชื่อเสียงของเจ้ามันจอมปลอม ผู้มีพรสวรรค์ชื่อเสียงเกรียงไกรแต่มิรู้จักมารยาท หลังจากนี้ ข้าจะกราบทูลต่อฝ่าบาทเป็นแน่ วันรุ่งขึ้น… 

ทันใดนั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็หยิบมู่โต่วออกมาจากในแขนเสื้อ กดลำกล้องไปทางคอของชื่อหลางกรมพิธีการผู้นั้น

กรวยด้ายพุ่งออกไปในทันที แทงทะลุลำคอไปตรง ๆ ดวงตาของชื่อหลางกรมพิธีการผู้นั้นเบิกโพลงอย่างตื่นตกใจ หนึ่งมือกุมลำคอ อีกหนึ่งมือชี้ไปทางฟู่เสี่ยวกวน  เจ้า เจ้า… !  

ฟู่เสี่ยวกวนกระตุกกรวยด้ายออกมา หมุนวงล้อช้า ๆ กรวยด้ายถูกลากไปจนเกิดเป็นสายโลหิตสีสดบนโต๊ะ

ชื่อหลางกรมพิธีการผู้นั้นล้มลงกับพื้นเสียงดังตึง นอนตายตาไม่หลับอยู่อย่างนั้น

ขุนนางของแคว้นอี๋รวมไปถึงเยียนเหลียงเจ๋อต่างก็ลุกพรวดขึ้นทันใด จดจ้องไปยังศพบนพื้นชนิดที่ไม่อยากเชื่อสายตา หลังจากนั้นจึงหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน

เหล่าขุนนางของราชวงศ์หยูเองก็ตกตะลึงขึ้นมาเช่นกัน ให้ตายเถิด ! นี่คือการเจรจา คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะลงมือสังหารคน

แล้วจะเจรจาเยี่ยงไรต่อไป ?

เป็นไปได้หรือไม่ ที่เขาจะกล้าก่อสงครามขึ้นมาอีกครา ?

แต่ก็มิมีผู้ใดกล้าเอ่ยออกมาแม้แต่คำเดียว เพราะฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยเตือนพวกเขาเอาไว้แล้ว

ในยามนี้ เยียนเหลียงเจ๋อคิดไปต่าง ๆ นา ๆ บทสรุปสุดท้ายคือฟู่เสี่ยวกวนต้องการก่อกวน ทำให้การเจรจานี้สิ้นสุดลง ณ ตรงนี้

ซึ่งหาใช่บทสรุปที่คาดคิดเอาไว้ ดังนั้น เขาจึงเอ่ยถามอย่างใจเย็น  ต่อให้มือของข้าไปแตะท่านเข้าจริง ๆ ความผิดก็คงมิถึงตาย ใต้เท้าเสี่ยวกวนควรอธิบายมิใช่หรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนยังคงเล่นกับมู่โต่วในมือแล้วหัวเราะร่า  อุบัติเหตุ อุบัติเหตุ ทุกท่านเชิญนั่งลงเถิด แน่นอนว่าหากพวกท่านมิยินยอมเจรจา ก็สามารถนำศพกลับไปได้เลย ข้ามิลำบากใจเลยแม้แต่น้อย 

ขุนนางของแคว้นอี๋ได้รับความอับอายเป็นอย่างมาก พวกเขาต่างก็หันไปมององค์รัชทายาทด้วยกันทั้งสิ้น ทว่าองค์รัชทายาทกลับนั่งลงอย่างเชื่องช้า

สองมือของเปียนมู่หยูส่งสัญญาณ ทุกคนจึงนั่งตาม

 ถูกต้องแล้ว ในเมื่อต้องการเจรจาก็ควรเจรจากันดี ๆ ลูกน้องของท่านผู้นี้ใช้มิได้ เขามิต้องการเจรจาโดยดี ต้องการยุติการเจรจาครานี้ ข้าจึงลงมือโดยมิได้ตั้งใจ เพื่อแก้ปัญหาให้ท่านเยียนด้วย 

ภายในใจของเยียนเหลียงเจ๋อกำลังกระอักเลือด !

ชายชาตรีแก้แค้นสิบปีก็ยังมิสาย !

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก  คนท่านก็สังหารไปแล้ว จากนี้ก็เจรจากันแต่โดยดีเถิด 

ช่าวชิงหงหลูซื่อนำแผนที่ของแคว้นอี๋ออกมา ฟู่เสี่ยวกวนวางแผนที่ลงบนโต๊ะ จดจ้องอย่างตั้งใจอยู่ราวครึ่งก้านธูป คิ้วพลันขมวดมุ่น  แม่ทัพใหญ่ของกองทัพชายแดนตะวันออกผู้นี้ใช้มิได้เลย ข้ามอบปืนใหญ่หงอีให้จำนวนมาก คาดมิถึงว่าในวันนี้เพิ่งจะเดินทางถึงด่านจินหยาง… 

เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปทางเยียนเหลียงเจ๋อ ซึ่งในยามนี้กำลังกังวลใจอย่างถึงที่สุด

 สงครามเป็นเรื่องที่ยากลำบาก โดยเฉพาะกองทัพของข้าต้องเดินทางไกลเป็นอย่างมาก เมื่อองค์รัชทายาทยังคงประทับอยู่ ณ ที่แห่งนี้เพื่อเจรจาเรื่องชดใช้อย่างจริงใจ สงครามครานี้ แคว้นอี๋ต้องชดใช้เงินจำนวน 180 ล้านตำลึงให้แก่ราชวงศ์หยู !  

ทันทีที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวเช่นนี้ ทุกคนแม้แต่ขุนนางของราชวงศ์หยูก็แทบจะหยุดหายใจ… ให้ตายเถอะ นี่คือคนโลภอย่างแท้จริง !

ฟู่เสี่ยวกวนเก่งเรื่องการค้า หรือนี่จะเป็นการถามเอาเงินอย่างไร้ขอบเขตแล้วนั่งรอกำไรอยู่กันแน่ ?

ดวงตาของเยียนเหลียงเจ๋อเปี่ยมไปด้วยโทสะ ในตอนที่กำลังจะเอ่ยปาก ฟู่เสี่ยวกวนกลับยกมือขึ้น  ช้าก่อน ! ข้ามิมีเวลามาต่อรองกับพวกท่าน !  

มิให้ต่อรองด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ?

มารดาเจ้าเถิด ! นี่เรียกว่าการเจรจาได้ที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นการตัดสินใจจากฝ่ายเดียว !

 ท่านเยียน ท่านต้องฟังให้ดีเสียก่อน เงินชดเชยก้อนนี้สำหรับชดใช้ในสิ่งที่เกิดจากความก้าวร้าวของพวกท่าน ทำให้ทหารของราชวงศ์หยูต้องล้มตายไปจำนวนมาก ตอนนี้ท่านจงฟังให้ดีอีกครา… 

ฟู่เสี่ยวกวนหยิบดินสอหนึ่งด้ามออกมาจากแขนเสื้อ แล้ววาดลงบนแผนที่  ตามเส้นนี้ จากว่อเฟิงหยวนไปทางตะวันตกไล่จนถึงเทือกเขาฉางหลิงต้องเป็นของราชวงศ์หยูทั้งหมด 

เปียนมู่หยูลุกขึ้นทันที  มิมีทาง !  

ว่อเฟิงหยวนตั้งอยู่ทางตะวันตก หมายความว่าแคว้นอี๋จะเสียดินแดนไปถึงหนึ่งในสามส่วน และว่อเฟิงหยวนก็เป็นยุ้งฉางที่ใหญ่ที่สุดของแคว้น หากเสียพื้นที่ราบตรงนี้ไป เสบียงอาหารของแคว้นอี๋ในภายภาคหน้าย่อมมีปัญหาเป็นแน่

เยี่ยงไรก็มิมีทางยอมรับได้

ฟู่เสี่ยวกวนวางดินสอลง เสียงดินสอกระทบโต๊ะดังกึก ทั้งยังกระเด้งกระดอนขึ้นมาอีกสองครา

 ข้ามิได้ต่อรองราคากับพวกท่าน การทำธุรกิจคือการกำหนดราคาด้วยตนเอง ตามกลไกตลาดแล้ว พวกท่านสามารถปฏิเสธราคาของข้าได้ แต่ข้าขอกล่าวกับพวกท่านอีกครา ในทันทีที่ข้าก้าวเท้าออกจากประตูห้องนี้ไป ต่อให้พวกท่านส่งทองคำไปที่จวนฟู่นับล้านตำลึง ก็จะมิมีการเจรจาคราที่สองตามมาอีก 

 ส่วนพวกท่านจะอยู่หรือไป ข้ามิขอยุ่ง ตอนนี้ให้เวลาพวกท่านทบทวนสิบอึดใจ เพราะข้านั้นยุ่งเป็นอย่างมาก ทั้งยังต้องกลับไปเล่นไพ่นกกระจอกกับเหล่าภรรยาอีกด้วย 

 เริ่มนับเวลาได้ !  

เยียนเหลียงเจ๋อและเปียนมู่หยูสบตากัน เงื่อนไขสองข้อนี้สาหัสเกินกว่าที่จะรับเอาไว้ได้ หากลงนามในสัญญา หลังจากกลับแคว้นจะอธิบายต่อฝ่าบาทว่าเยี่ยงไร ?

แต่หากมิเห็นด้วย เมื่อกลับไปก็ไร้หนทางจะอธิบายต่อฝ่าบาทเช่นกัน และกองทัพชายแดนตะวันออกของศัตรูก็ได้ไปถึงด่านจินหยางแล้วอย่างแท้จริง กำลังรบของราชวงศ์หยูในตอนนี้ มีปืนใหญ่หงอี 500 กระบอกเป็นอาวุธ การยึดด่านจินหยางมิช้าก็เร็วย่อมต้องเกิดขึ้น

 นับถึงสาม 

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นและก้าวไปทางประตู บรรยากาศ ณ ที่แห่งนี้จึงหนักอึ้งขึ้นกว่าเดิมมากโข

 สาม !  

ลมหายใจของขุนนางแห่งราชวงศ์หยูติดอยู่ในลำคอ กังวลว่าการเจรจาครานี้จะล้มเหลว แต่ในสมองของเหล่าขุนนางแคว้นอี๋กลับว่างเปล่า… ทุกสิ่งที่เตรียมมาถึงยามนี้กลับไร้ความหมาย พวกเขาเหมือนแกะกำลังจะถูกเชือด

เขาเดินไปทางประตูอีกหนึ่งก้าว

 สอง !  

แรงกดดันมหาศาลพุ่งมาทางเยียนเหลียงเจ๋อราวกับคลื่นนับหมื่นได้ถาโถมเข้าใส่ อีกทั้งยังทำลายความมั่นคงของเยียนเหลียงเจ๋อและพรรคพวกอย่างไร้ความปรานี

 

ตอนที่ 516 ตัดไม้ข่มนาม

เมื่อเยียนเหลียงเจ๋อได้ทราบข่าวมาจากกรมพิธีการว่าถึงเวลาของการเจรจาแล้ว เขาก็ดีใจเสียจนหัวเราะออกมาเสียงดังลั่น

ให้ตายเถิด เหอะ ๆ ข้าเดินทางมาที่เมืองจินหลิงตั้งแต่วันที่สามเดือนสิบสองของปีก่อน รอจนวันที่เก้าเดือนหนึ่งของปีใหม่ เสียเงินมากถึง 400,000 ตำลึง ทั้งยังต้องสละชีวิตของหรงเอ๋อร์ ในที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็จัดการเจรจาเสียที !

บัดนี้ ไม่ว่าผลการเจรจาจะออกมาเยี่ยงไร ก็มิสำคัญสำหรับตนอีกต่อไปแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการเดินทางกลับแคว้นอี๋โดยเร็วที่สุด

จากรายงานของสายลับ ตนได้เดินทางออกจากเมืองหลวงมาได้ 3 เดือนแล้ว องค์ชายหกเยียนหานยวี่ ได้สร้างพรรคพวกขึ้นมาในวัง และทำตัววุ่นวายไปทั่ว ถึงกระทั่งทูลต่อเสด็จพ่อว่าองค์รัชทายาทเสด็จไปเจรจา ณ ราชวงศ์หยูแต่ไร้ความสามารถยิ่ง มิสมควรได้ครอบครองตำหนักบูรพา

ดูมันกระทำเข้า ! รอให้ข้ากลับแคว้นไปได้ก่อนเถอะ ข้าจะใช้ดาบบั่นคอเจ้าเป็นผู้แรก !

เยียนเหลียงเจ๋อสวมใส่ฉลองพระองค์สำหรับรัชทายาทเสียเต็มยศ จากนั้นก็ได้พาเปียนมู่หยูและขุนนางชั้นสูงขึ้นรถม้า เดินทางมุ่งหน้าไปยังพระราชวัง

ณ ห้องประชุมใหญ่หงหลูซื่อ ฟู่เสี่ยวกวนได้นั่งอยู่ตรงกลางและกำลังสนทนาอยู่กับสวี่หวยซู่เสนาบดีกรมพิธีการที่นั่งอยู่ด้านข้าง

 ท่านลุงมิได้พบบุตรสาวมานานมากถึง 15 ปี ความคิดถึงของพ่อที่มีต่อบุตร ข้าเข้าใจดี ข้าได้ยินมาว่าที่จวนสวี่ช่างเงียบเหงายิ่ง มิครึกครื้นเท่ากับจวนฟู่ ข้าเองก็คิดเช่นนั้น จึงมีความคิดว่าให้นางพำนักที่จวนข้าไปสักพักก่อน ท่านมีความเห็นว่าเยี่ยงไร ?  

สวี่หวยซู่จ้องมองฟู่เสี่ยวกวน พลางคิดในใจว่า เจ้าหมอนี่ต้องการแม่นางผู้นั้นจึงหาเหตุผลบ้าบอขึ้นมาอ้าง

 ตอนนี้ พวกเราอยู่ในห้องประชุมควรสนทนาเรื่องงานก่อนจะดีกว่า เจ้าตั้งใจจะเจรจาเยี่ยงไร ?  

ขุนนางในกรมพิธีการนับยี่สิบคนล้วนนั่งอยู่ข้างฟู่เสี่ยวกวน เมื่อได้ยินดังนั้นก็อดที่จะเงี่ยหูฟังมิได้

นับตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ ใต้เท้าฟู่ยังมิเคยเอ่ยถึงแผนในการเจรจาให้ฟังเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเดินทางมาร่วมโดยมิรู้สิ่งใดเลย มิมีผู้ใดรู้ว่าใต้เท้าฟู่จะเจรจาแบบใด

คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับหัวเราะออกมา  ข้ายังยืนยันคำเดิมว่า ประเดี๋ยวข้าจะเป็นผู้เจรจาเอง พวกท่านเพียงแค่จดบันทึกก็พอแล้ว ระหว่างการเจรจา มิว่าข้าจะกระทำการใด พวกท่านสามารถแสดงท่าทางประหลาดใจได้ แต่ห้ามคัดค้านเป็นอันขาด 

เมื่อกล่าวจบ เขาก็หุบยิ้มลงแล้วมองไปยังเหล่าขุนนาง  หากผู้ใดกล้าลุกขึ้นมาตำหนิข้า ข้าจะถือว่ามันผู้นั้นเป็นกบฏต้องจัดการอย่างเด็ดขาด !  

เมื่อบรรดาขุนนางได้ยินดังนั้นต่างก็ชะงักไปตาม ๆ กัน เพียงแค่เจรจาเท่านั้นมิใช่หรือ เหตุใดต้องทำเหมือนเป็นการออกรบไปได้ ?

การเจรจาแบบนี้ ตามปกติจะต้องดำเนินการอยู่หลายครา จากธรรมเนียมเดิมที่ผ่านมา เนื้อหาของการเจรจาคราแรกนี้ ราชวงศ์หยูจะเปิดเผยจำนวนเงินที่ต้องชดใช้และแค้วนอี๋ก็จะต่อรอง หลังจากนั้นสองฝ่ายก็จะเจรจากันไปมาสักพักโดยมิมีผู้ใดยอมให้กับผู้ใด

ท้ายที่สุดก็จะมิได้ข้อสรุป ต้องรออย่างน้อยอีกสามคราถึงจะได้ข้อสรุปที่แน่ชัด

ใต้เท้าฟู่เพิ่งเคยเข้าร่วมการเจรจาเป็นคราแรก อีกทั้งยังอายุน้อย เกรงว่าจะมิอาจเก็บอารมณ์เอาไว้ได้

แต่ทว่าชื่อเสียงอันดุดันของอีกฝ่ายก็โด่งดังไปทั่ว เหล่าขุนนาง ณ ที่นี้ แม้แต่สวี่หวยซู่เองก็มิกล้าต่อกรกับฟู่เสี่ยวกวน

เช่นนั้น คงต้องนิ่งฟังตามที่เขากล่าว แท้จริงก็ง่ายดีเหมือนกัน ถือว่าได้นั่งชมการแสดง

เวลาต่อมา เยียนเหลียงเจ๋อและกลุ่มขุนนางก็ได้เข้ามาในห้องประชุม ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่าแล้วลุกขึ้นไปต้อนรับด้วยตนเอง เขายกแขนโอบกอดเยียนเหลียงเจ๋อ ทั้งยังตบหลังเบา ๆ

 ท่านเยียน ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน ! ตามหลักแล้ว ท่านอยู่ข้ามปีเก่าที่เมืองจินหลิง ข้าควรเดินทางไปร่วมดื่มกับท่านเสียหน่อย แต่ญาติของข้านั้นช่างมากมายเสียเหลือเกิน อีกทั้งข้ายังคออ่อน แม้ดื่มเพียงเล็กน้อยก็เมามายได้แล้ว จึงทำให้เวลาล่วงเลยมาถึงตอนนี้ได้ ขออภัยด้วย !  

เหล่าขุนนางกรมพิธีการได้แต่มองตากัน…หมายความว่าเยี่ยงไร ? เหตุใดถึงได้แสดงท่าทางสนิทสนมกับฝ่ายตรงข้ามมากถึงเพียงนี้ ? นี่ถือเป็นมารยาทแบบไหนกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนเมินเฉยต่อฝ่ายตรงข้ามมานานกว่าหนึ่งเดือน เกรงว่าองค์รัชทายาทคงจะไม่ถีบเขาคืนจนกระเด็น

ในใจของเยียนเหลียงเจ๋อพ่นคำด่าทอออกมามากมาย ไอ้หน้าด้าน เจ้าเล่ห์จอมปลอม ไอ้คนหน้าเนื้อใจเสือ !

คำกล่าวทักทายที่ไร้ยางอายเช่นนี้ ยังจะกล้าเอ่ยออกมาอยู่อีกหรือ ?

รู้สึกอายแทนเจ้าอย่างแท้จริง !

แต่จะให้ทำเยี่ยงไรได้กันเล่า กว่าฟู่เสี่ยวกวนจะยอมเจรจามิใช่เรื่องง่าย หากทำให้ไอ้หมอนี่ไม่พอใจแล้วเดินจากไป เกรงว่าตนจะกลายเป็นชาวจินหลิงไปจริง ๆ แล้ว

 ใต้เท้าฟู่มีความสามารถตั้งแต่อายุยังน้อย ความเฉลียวฉลาดและภาระของท่านนั้น ข้าเข้าใจดี รอให้การเจรจาครานี้สิ้นสุดลง ข้าจะเชิญท่านไปกั๋วเซ่อเทียนเซียงเพื่อฟังแม่นางยิงฮวาขับร้อง 

เยียนเหลียงเจ๋อค้อมตัวลงฉายใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสออกมา ในสายตาของเหล่าขุนนางเห็นว่าองค์รัชทายาทผู้นี้ช่างถ่อมตนเสียจริง

ฟู่เสี่ยวกวนรีบกุมมือของเยียนเหลียงเจ๋อ แววตาช่างเป็นประกายยิ่ง  ท่านเยียนเปรียบเสมือนสหายของข้า ตกลงตามนี้ คืนนี้พวกเราจะไปที่เอ่อ ชื่ออันใดนะ อ้อ… กั๋วเซ่อเทียนเซียง 

เขาตบลงเบา ๆ บนบ่าของเยียนเหลียงเจ๋อแล้วกล่าวต่อว่า  ท่านเยียนอย่าได้เข้าใจผิดไป ข้ามิรู้จริง ๆ ว่ากั๋วเซ่อเทียนเซียงเปิดมาตั้งแต่เมื่อใด ข้าน่ะ…ชอบสิ่งของเดิม ๆ น่าเสียดายหงซิ่วจาวเสียจริง มิรู้ว่าท่านคุ้นเคยกับหงซิ่วจาวหรือไม่ ?  

เยียนเหลียงเจ๋อตื่นตระหนกขึ้นมาทันพลัน แล้วรีบกล่าวว่า  เคยไปบ้าง ช่างน่าเสียดายอย่างแท้จริง 

 มิรู้ว่าเป็นฝีมือของไอ้หน้าไหน ต้องการชีวิตข้าก็มาฆ่าข้าสิ ไปเผาหงซิ่วจาวเนื่องด้วยเหตุอันใดกัน ? น่าสงสารแม่นางที่เคยอยู่เคียงข้างท่านเสียจริง… 

ฟู่เสี่ยวกวนตบลงบนบ่าของเยียนเหลียงเจ๋ออีกครา  เอาล่ะ ! พวกเรามิเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้วดีกว่า แม้คนเก่าจากจะไป แต่คนใหม่ก็มีอยู่มากหลาย คืนนี้ท่านเยียนอย่าลืมล่ะ 

เยียนเหลียงเจ๋อสัมผัสได้ถึงลางร้าย หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนจะรู้เรื่องใดเข้ากัน ?

เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงรีบยิ้มแล้วกล่าวว่า  ข้าหมายความว่า รอให้การเจรจาสิ้นสุดลงก่อน ใต้เท้าฟู่อย่าได้รีบร้อน แม่นางยิงฮวามิได้ร่วงโรยลงไปเสียหน่อย อืม…พวกเรามาเริ่มเจรจาเลยดีหรือไม่ ?  

 ท่านเยียนช่างเด็ดขาดเสียจริง รีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จไปก็ดี พวกเราจะได้ไปยลโฉมแม่นางยิงฮวา เชิญท่านเยียนทางนี้… !  

 เชิญใต้เท้าฟู่ !  

ทั้งสองเข้าประจำที่นั่ง ฟู่เสี่ยวกวนยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า แล้วเอ่ยกับเยียนเหลียงเจ๋อที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามว่า  เพื่อเป็นการประหยัดเวลา ข้าจะมิอารัมภบท พวกเราเข้าสู่เนื้อหาหลักเถิด 

 แคว้นอี๋โจมตีแคว้นหยู ทำให้พวกเราได้รับความเสียหายครั้งใหญ่ อีกทั้งยังได้สร้างรอยแผลไว้ในใจของราษฎรแห่งราชวงศ์หยู ข้าขอทูลองค์รัชทายาทตามตรงว่า การที่แคว้นอี๋มาขอเป็นพันธมิตรในครานี้ ฝ่าบาทและราษฎรล้วนมิเห็นด้วย แท้จริงแล้วข้าเองก็มิเห็นด้วยเช่นกัน 

เยียนเหลียงเจ๋อขนลุกซู่ เมื่อได้ยินฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยต่อ  จากรับสั่งของฮ่องเต้ ราชวงศ์หยูได้เตรียมปืนใหญ่หงอีจำนวน 500 กระบอกไว้แล้ว สามารถโจมตีเมืองหลวงของแคว้นอี๋ให้แตกได้โดยง่าย 

 หลังจากท่านเยียนเจรจากับข้าเรียบร้อยแล้ว คืนนี้ควรรีบเดินทางกลับไปเตรียมรับศึกมิดีกว่าหรือ ? เนื่องจากการเจรจาครานี้คงไร้ซึ่งความหมาย 

เยียนเหลียงเจ๋อเบิกตาโต สูดหายใจเข้าลึก จะทำเช่นนั้นได้เยี่ยงไรกัน ?

หากกลับไปทั้งอย่างนี้ ส่วนกองทัพราชวงศ์หยูยังคงเดินหน้าโจมตี อย่าว่าแต่ตำหนักบูรพาเลย แม้แต่ศีรษะของตนก็คงจะถูกเสด็จพ่อตัดทิ้ง

ดังนั้นเขาจึงสับสนวุ่นวายยิ่ง แต่ทว่ายังพยายามฝืนยิ้มออกมา  เอ่อ ! ข้าเดินทางมาตามบัญชาของเสด็จพ่อ พร้อมกับความจริงใจอย่างสุดซึ้งมาด้วย ทั้งนี้เพื่อมิให้ราษฎรของทั้งสองแคว้นได้รับความเดือดร้อนจากความวุ่นวายเช่นนี้อีก 

ฟู่เสี่ยวกวนใช้มือตบโต๊ะแล้วหัวเราะเสียงดัง  ฟังท่านเยียนกล่าวเข้าสิ บัดนี้สนามรบอยู่ที่แคว้นอี๋ แล้วราษฎรของราชวงศ์หยูยังต้องกลัวสิ่งใดอีกกัน ? มิกลัวหรอก เดินหน้าทำสงครามต่อได้ !  

 เอ่อ มิใช่เยี่ยงนั้น คือ…สงครามนี้ขอยุติลงได้หรือไม่ ใต้เท้าฟู่มีความเห็นเยี่ยงไรเชิญกล่าวมา พวกเราสามารถเจรจากันได้ 

 เห็นเเก่ที่ท่านเยียนเชิญข้าไปกั๋วเซ่อเทียนเซียงในคืนนี้หรอกนะ จงฟังเอาไว้ให้ดี !  

 

ตอนที่ 515 ตัวอย่างของสี่คุณธรรมสามคล้อยตาม

ฟู่เสี่ยวกวนใช้ชีวิตผ่านไปสามวันอย่างสบายอารมณ์

ตลอดสามวันมานี้ เขามิได้ก้าวเท้าออกจากจวนเลย เอาแต่อยู่กับภรรยาทั้งสาม บางคราซูซูก็จะพาสวี่ซินเหยียนมาเล่นไพ่กับพวกเขาด้วย…

ฟู่เสี่ยวกวนนำไม้มาแกะสลักเป็นไพ่นกกระจอก แน่นอนว่าหลัก ๆ แล้วเป็นฝีมือการลงมีดสลักของศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ย

ตั้งแต่ทำไพ่นกกระจอกขึ้นมาและสอนภรรยาทั้งสามให้เล่นเป็น ภายในหลีเฉินซวนก็ครื้นเครงขึ้นมามาก

โต๊ะไพ่นกกระจอกวางอยู่ที่หลีเฉินซวน ฟู่เสี่ยวกวนเล่นไพ่กับภรรยาทั้งสามคล้ายกำลังทะเลาะกันอยู่ก็มิปาน สามารถเรียกความสนใจจากซูเจวี๋ย ซูโหรว ซูซู รวมไปถึงสวี่ซินเหยียนไปได้โดยปริยาย

ดังนั้น พวกเขาจึงมาร่วมวงด้วยเช่นกัน พวกเขาสามารถเข้าใจวิธีการเล่นได้อย่างรวดเร็ว ซูโหรวจึงขอให้ศิษย์พี่ใหญ่ทำไพ่ขึ้นมาอีกสำรับ ในหลีเฉินซวนจึงมีโต๊ะไพ่นกกระจอกอยู่ 2 ชุด

ซูโหรววางเข็มปักผ้าลง ซูซูลืมของหวานไปเสียสิ้น ซูเจวี๋ยที่ต้องการอ่านหนังสือกลับถูกซูโหรวฉุดกระชากมาร่วมวงด้วย สามขาดหนึ่ง หากมิสู้ก็จะเป็นการล้มโต๊ะมิใช่หรือ ?

ความครื้นเครงนี้ดำเนินไปได้ถึงสองวันเต็ม จนถึงวันที่เก้าเดือนหนึ่ง ฟู่เสี่ยวกวนจึงนึกขึ้นได้ว่าการประชุมใหญ่ของราชวงศ์ได้ผ่านไปหนึ่งวันแล้ว คาดมิถึงว่าฝ่าบาทมิได้ส่งคนมาเรียกให้เขาไปเข้าร่วมด้วย

ซ้ำยังเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่ายังมีเรื่องที่แคว้นอี๋ขอเจรจาค้างเอาไว้อยู่ ตอนนี้ถึงเวลาอันควรที่จะเจรจากันได้แล้ว

เยี่ยนเสี่ยวโหลวต้องไปธนาคารซื่อทง ต่งชูหลานต้องเดินทางไปภูเขาหนานซาน ซูเจวี๋ยได้รับจดหมายจากอาจารย์อีกหนึ่งฉบับ ภูเขาหนานซานที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยไปนั้น ต้องสร้างอารามเต๋าขึ้นมา นามว่า สำนักเต๋าหนานซาน

นี่คือสถานที่แรกซึ่งถูกเลือกให้สร้างสำนักเต๋าขึ้น ดังนั้นต้องสร้างสำนักเต๋าหนานซานให้ยิ่งใหญ่อลังการพอควร เทวรูปเทพซันชิงต้องอัญเชิญมาให้พร้อม เทพเจ้าเจินอู่ต้าตี้ เง็กเซียนฮ่องเต้ เทพเจ้าก่วงเจ็กจุงอ๊วง เหวินชางตี้จวิน ลักเตงลักกะ 36 ขุนพลสวรรค์ 72 ขุนพลนรก… สรุปโดยง่ายคือ ต้องเชิญเทพของลัทธิเต๋ามาให้มากที่สุด จึงจะมีชีวิตชีวา

เรื่องนี้จึงตกเป็นหน้าที่ของศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยในการจัดการ และมีงบประมาณอยู่ที่ 1,000,000 ตำลึง

ดังนั้น ซูเจวี๋ยจึงต้องติดตามต่งชูหลานไปยังภูเขาหนานซาน เรื่องความปลอดภัยของฟู่เสี่ยวกวนจึงตกเป็นหน้าที่ของสวี่ซินเหยียน

ฟู่เสี่ยวกวนกังวลว่าจะมีคนของลัทธิจันทราที่ยังรอดชีวิตแฝงอยู่ในเมืองหลวง แล้วจดจำสวี่ซินเหยียนได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ให้สวี่ซินเหยียนคุมรถม้า แต่กลับเรียกคนเฝ้าประตู หลี่เจิ้ง มารับหน้าที่นี้แทน

หลี่เจิ้งชื่นชอบเป็นอย่างมาก เขาจัดเตรียมรถม้าเสร็จตั้งแต่เช้าตรู่ รอฟู่เสี่ยวกวนและสวี่ซินเหยียนขึ้นรถม้าเสร็จแล้ว จากนั้นจึงได้สะบัดแส้ในมือ ให้รถม้าพุ่งทะยานเข้าสู่วังหลวงด้วยท่าทีแจ่มใส

ภายในรถม้า บ่อยคราที่สวี่ซินเหยียนนึกถึงเรื่องในคืนนั้นขึ้นมา นางจึงรู้สึกเขินอายอยู่บ้างเล็กน้อย มิกล้าเงยหน้าเพราะกลัวว่าจะสบเข้ากับสายตาของฟู่เสี่ยวกวน

มือของฟู่เสี่ยวกวนสอดอยู่ในแขนเสื้อ กุมมู่โต่วเอาไว้ ศิษย์พี่ใหญ่นึกอันใดอยู่กันถึงกล้าให้คนที่เคยเป็นมือสังหารมาปกป้องเขา ?

แม้สวี่ซินเหยียนจะเคยช่วยชีวิตเขาเอาไว้ แต่ยามต้องอยู่ด้วยกันเพียงลำพังกลับมิได้คลายความระแวงลงเลยแม้แต่น้อย ผู้ใดจะทราบว่านางมีลูกไม้อันใดซ่อนไว้หรือไม่ หากชักอาวุธใส่ตนในพื้นที่แคบเช่นนี้ เกรงว่าจะสายเกินกว่าที่ตนจะดึงมู่โต่วออกมา

ด้วยกลัวว่าจะตั้งรับมิทัน เขาจึงกำมู่โต่วเอาไว้แน่น หัวแม่มือวางอยู่บนลำกล้อง

 เจ้ามิต้องกังวล หากมีผู้ใดเอ่ยถามก็อย่าลืมว่าสถานะของเจ้าคือบุตรสาวของเสนาบดีสวี่หวยซู่แห่งกรมพิธีการ 

 อืม  เสียงของสวี่ซินเหยียนเบาราวกับแมลงหวี่ นางพยักหน้าขึ้นลง นางย่อมประหม่าอยู่แล้ว แต่มิใช่เพราะกังวลว่าผู้อื่นจะถาม แต่เพราะในพื้นที่นี้… คับแคบมากยิ่งนัก กลิ่นกายของบุรุษรูปงามลอยมาจากฝั่งตรงข้าม

หลังจากที่ช่วยฟู่เสี่ยวกวนเอาไว้ หลังจากเขาได้เห็นเรือนร่างของนาง ตามความเข้าใจของสวี่ซินเหยียน คนผู้นี้ถือเป็นเจ้าของของนางแล้ว

นี่คือสิ่งที่ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้…

นางเองก็รู้สึกว่าควรเป็นเยี่ยงนั้น !

ภายในจิตใจอันแสนบริสุทธิ์ของนาง มิเคยคิดมีความรักมาก่อน นางเติบโตมาอย่างอิสระและยากลำบาก จนถึงขั้นมิทราบว่าความรู้สึกนี้เรียกว่าความรัก

นางรู้เพียงแค่ว่าโตแล้วต้องออกเรือน ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนปฏิบัติกับตนดีถึงเพียงนี้ ก็ทำได้เพียงแค่ยอมตบแต่งกับเขาเสีย

ดังนั้น นางจึงไม่คิดที่จะกลับไปยังลัทธิจันทราอีก นางรู้สึกว่าตนมิได้บริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว

และการปรนนิบัติฟู่เสี่ยวกวน คือสิ่งที่นางควรจะกระทำ

 หลังจากที่ข้าเข้าวังไปแล้ว มิทราบเช่นกันว่าจะได้กลับเมื่อใด ตั๋วเงินจำนวนนี้ให้เจ้าเก็บเอาไว้ ประเดี๋ยวก็ให้หลี่เจิ้งพาออกไปเดินเล่น หากเจอของที่ชอบก็ซื้อมาเสีย ถ้าถึงยามเว่ยแล้วข้ายังมิออกมา เจ้าก็ไปหาข้าวกินด้วยตนเองเสีย… และควรสวมผ้าคลุมใบหน้าด้วยจะดีที่สุด ข้ากังวลว่าหากเจ้าออกไปทั้งแบบนี้จะเกิดเรื่องมิดีเข้า 

 หากมีคนเข้ามาหาเรื่อง เจ้าอย่าได้รีบชักกระบี่ออกมาสังหาร เพียงเอ่ยว่าเป็นญาติผู้พี่ของข้า ย่อมมิมีผู้ใดกล้าตอแยเจ้าอย่างแน่นอน 

สวี่ซินเหยียนเงยหน้า นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความสงสัย  มิใช่ว่าควรเป็นภรรยาของเจ้าหรอกหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนผงะ นี่…เขาเลียริมฝีปากและกลืนน้ำลายอึกใหญ่  ภรรยา… มันมิควรรวดเร็วถึงเพียงนี้ มิใช่ ! เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าเจ้าควรเป็นภรรยาของข้ากัน ?  

 เจ้าเคยเห็น ทั้งยังเคยสัมผัสเรือนร่างข้ามาก่อน…  สวี่ซินเหยียนก้มหน้าหลบอย่างน่าสงสาร  หากเจ้ามิต้องการ ข้าไปเสียยังจะดีกว่า 

 ไม่ ๆ ข้ามิได้หมายความเยี่ยงนั้น ภรรยา…  เขาลูบจมูกอีกครา มิรู้ว่าควรจะอธิบายกับสตรีผู้นี้เยี่ยงไรดี  หลังจากสมรสแล้วจึงจะถือว่าเป็นภรรยา เจ้าลองไตร่ตรองดูเถิด ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงตอนนี้ พวกเราเพิ่งรู้จักกันได้เพียง 10 วันเท่านั้น ดังนั้นจึงยังต้องการเวลา 

สวี่ซินเหยียนเงยหน้าขึ้นมาอีกครา ดวงตาเป็นประกาย  เยี่ยงนั้น พวกเราก็สมรสกันสิ ข้ารู้ว่าเจ้ามีภรรยาอยู่แล้ว 3 คน ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่าบุรุษที่อยู่ด้านนอกมีสามภรรยาสี่อนุคือเรื่องปกติ ในเมื่อข้ามาช้ากว่าพวกนาง เยี่ยงนั้นก็เป็นอนุ 

สตรีผู้นี้ช่างหลอกง่ายถึงเพียงนี้ ?

ความเข้าใจของฟู่เสี่ยวกวนที่มีต่อสตรีในยุคนี้ยังคงมีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาได้พบกับสตรีที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี เยี่ยงต่งชูหลานกับหยูเวิ่นหวิน พวกนางเป็นสตรีที่มีความคิดเป็นของตนเอง แท้จริงแล้วแม้แต่เยี่ยนเสี่ยวโหลวก็เป็นคนหัวโบราณเป็นอย่างมาก สวี่ซินเหยียนมิเคยเข้าเรียนสถานศึกษา นางใช้ชีวิตอยู่ลึกเข้าไปในภูเขาหมินซึ่งถูกปิดตาย ย่อมได้รับอิทธิพลมาจากอาจารย์แต่เพียงผู้เดียว

ทว่าอาจารย์ของนางก็คือสตรีหัวโบราณ สิ่งที่สอนให้กับนางคือแนวคิดที่ต้องเชื่อฟังสามีโดยสิ้นเชิง

มิใช่เรื่องผิดอันใด ผิดที่ยุคสมัยเป็นเยี่ยงนี้ต่างหาก

สี่คุณธรรม สามคล้อยตาม คือบรรทัดฐานของสตรีในยุคนี้

ตามความเข้าใจของสวี่ซินเหยียน หากฟู่เสี่ยวกวนทิ้งนาง ก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง

ฟู่เสี่ยวกวนมองไปที่สตรีที่มีเสน่ห์มากล้นพร้อมกับทบทวนซ้ำไปซ้ำมา ความคิดของเขาซับซ้อนมากยิ่งนัก มิทราบว่าสตรีผู้นี้กำลังแสดงละครหรือคิดเยี่ยงนั้นจริง ๆ

ดังนั้น เขาจึงเงียบไปหลายอึดใจก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า  เรื่องนี้ยังต้องรอเวลาไปก่อน การสมรสมิใช่ว่าอยากแต่งก็สามารถแต่งได้ ยังต้องมีกฎระเบียบอีกมากมายอยู่ในเรื่องนั้น ภายภาคหน้าข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังอีกครา 

สวี่ซินเหยียนพยักหน้าและเบาใจลง ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าให้นางรอเวลาไปก่อน เยี่ยงนั้นก็รอไปก่อน สุดท้ายแล้วฝ่ายชายก็เป็นผู้นำในเรื่องนี้

รถม้าหยุดลงเบื้องหน้าประตูของวังหลวง สวี่ซินเหยียนจึงโบกมือลาฟู่เสี่ยวกวน

นางมิได้ไปที่ได้ แต่ยังคงนั่งอยู่ในรถม้า คำนึงถึงโชคชะตาที่เปลี่ยนไปเพราะบุรุษผู้นี้ คิดถึงลัทธิจันทราที่ต้องการสังหารเขา หากในภายภาคหน้าเขาต้องการทำลายลัทธิจันทรา นางควรจะทำเยี่ยงไรดี ?

ด้านฟู่เสี่ยวกวน ในยามนี้กลับเงยหน้ามองท้องนภาและถอนหายใจยาวเหยียดออกมา ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาหล่อเหลาเกินจะต้านทานได้เป็นแน่ !

เขาส่ายหน้า ยิ้มเยาะใส่ตนเอง แล้วเดินเข้าไปในกรมพิธีการ

 

ตอนที่ 514 วันแสนสบายวันหนึ่ง

ตอนที่ 514 วันแสนสบายวันหนึ่ง

เดือนหนึ่ง วันที่ห้า

เมืองจินหลิง หลังหิมะตกหนัก ฟ้าสีครามปลอดโปร่ง อากาศเย็นยะเยือก

ในที่สุดก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในศาลาเถาหราน ดื่มชาร้อนต้มสดใหม่กับซูเจวี๋ยอย่างสบายใจ

 ศิษย์พี่ใหญ่ ภูเขาชิงหยุนไกลจากเมืองจินหลิงมากหรือไม่ ?  

 ออกจากเมืองจินหลิง มุ่งหน้าไปทางตะวันออกแล้วเดินทางต่อราว 300 ลี้ 

นับว่าไกลพอควร ฟู่เสี่ยวกวนจึงล้มเลิกความตั้งใจที่จะเดินทางไปยังภูเขาชิงหยุน แล้วหันมาเอ่ยถามถึงสวี่ซินเหยียน  แม่นางผู้นั้น ต้องใช้เวลารักษาตัวอีกนานหรือไม่ ?  

 ใกล้จะหายดีแล้ว 

 นาง…นางมีอาการผิดปกติอันใดหรือไม่ ?  

ซูเจวี๋ยครุ่นคิดแล้วตอบว่า  แม่นางผู้นั้นตื่นมานั่งสมาธิและฝึกตนทุกเช้า ปกตินางมักจะสนทนากับซูซูเสียมากกว่า แต่พออยู่คนเดียวช่างดูเงียบเหงายิ่ง เยี่ยงไรเสียนางก็เติบโตขึ้นในลัทธิจันทรา ที่เมืองจินหลิงก็ไร้ญาติขาดมิตร คงต้องใช้เวลาปรับตัวอีกสักพัก 

ฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้เอ่ยถามนางเกี่ยวกับลัทธิจันทรา ตั้งแต่เข้าปีใหม่ยังมิได้เดินทางไปเยี่ยมนางเลยด้วยซ้ำ ประการแรก คือตนยุ่งเป็นอย่างมาก อีกประการ…เกรงว่าจิตใจของตนเองมิหนักแน่นพอ

สวี่ซินเหยียนมิเหมือนกับซูซู !

สตรีทั้งสองแม้งดงามเหมือนกัน แต่ซูซูก็อายุเพียง 15 ปีเท่านั้น นางชอบกินขนมและใช้ชีวิตประจำวันด้วยการเที่ยวเล่น ในสายตาของตนมองนางมิต่างจากเด็ก

แต่สวี่ซินเหยียนที่อายุยี่สิบแล้ว เรือนร่างของนางช่างยั่วยวนและเต็มไปด้วยกลิ่นอายของหญิงสาว ราวกับลูกท้อที่สุกงอมเต็มที่แล้ว ฟู่เสี่ยวกวนกลัวว่าตนจะทนไม่ไหวและเอื้อมมือไปเด็ดมาลิ้มลอง เขามิใช่นักบวช จะให้ตัดความต้องการเหล่านี้ไปได้เยี่ยงไร

ปัญหาอีกอย่างหนึ่งก็คือ คัมภีร์พระสูตรเก้าหยางช่างดีเสียจริง นับตั้งแต่เริ่มฝึกก็รู้สึกว่าตนมีพลังมากกว่าเดิม ราวกับกินยาบำรุงชั้นเลิศเข้าไป เมื่อคิดได้ดังนี้จึงเหลือบไปมองศิษย์พี่ใหญ่ บุรุษผู้นี้ช่างมีจิตใจที่แน่วแน่เสียจริง ฝึกตนจนถึงขั้นปรมาจารย์แล้ว มิรู้ว่าอดทนมาได้เยี่ยงไร

ทั้งสองสนทนากันไปเรื่อยเปื่อยตามปกติของวงน้ำชา กลิ่นอายสดชื่นของยามเช้าช่างหอมอบอวลยิ่ง

ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาให้กับซูเจวี๋ยหนึ่งถ้วยและรินให้ตนเองด้วยหนึ่งถ้วย เขายกมันขึ้นดื่มจนหมด บัดนี้ความคิดมิได้อยู่ที่สวี่ซินเหยียน แต่กลับนึกถึงฟู่ต้ากวน

โจวถงถงพาตัวเกาเสี่ยนกลับไป ดูจากวันเดินทางแล้ว บัดนี้น่าจะถึงเมืองกวนหยุนเรียบร้อยแล้ว

แน่นอนว่าไทเฮาซีย่อมมิปรารถนาที่จะให้โจวถงถงเดินทางกลับแคว้นอย่างปลอดภัยเป็นแน่ ขันทีเจี่ยกล่าวว่าตาเฒ่าโจวถงถงผู้นี้เจ้าเล่ห์นัก คนที่ไทเฮาซีส่งมาจัดการล้วนมิอาจทำอันตรายเขาได้เลย

หากมิสามารถจับโจวถงถงได้ ก็มิอาจจับฟู่ต้ากวนได้เช่นกัน

ทว่าเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว โจวถงถงควรส่งข่าวคราวมาบ้างจึงจะถูก

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข่าวของอู๋หลิงเอ๋อร์ เขามิเชื่อว่าแม้เเต่องค์กรเยี่ยงหอเทียนจียังมิอาจเข้าไปในคฤหาสน์จิ้งหูได้

อู๋หลิงเอ๋อร์ตั้งครรภ์ ไทเฮาซีประกาศว่าเด็กคนนั้นคือบุตรของเขา… สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกโมโหมากยิ่งนัก หากมิใช่เพราะสองแคว้นนี้ห่างกันถึง 3,000 ลี้ ก็อยากจะนำทัพดาบเทวะบุกเข้าไปในเมืองกวนหยุนด้วยเช่นกัน แล้วจับนางปิศาจมาโบยเสียให้เข็ด จึงจะสามารถบรรเทาความแค้นลงได้

แต่ผู้ใดคือพ่อของเด็กในท้องของอู๋หลิงเอ๋อร์กันแน่ ?

นางได้ขึ้นเป็นจักรพรรดินี หากมีคนรักก็ควรเรียกตัวเข้าวังอย่างถูกต้องเปิดเผย เหตุใดจึงทำลับ ๆ ล่อ ๆ เปิดโอกาสให้นางปิศาจทำเช่นนี้ได้กัน ?

ยิ่งคิดก็มิอาจเข้าใจได้ จึงมิได้คิดถึงมันอีก

ฟู่เสี่ยวกวนวางเรื่องของอู๋หลิงเอ๋อร์ไว้ อยู่ ๆ ซูเจวี๋ยก็เอ่ยถามขึ้นมา  เมื่อมิกี่วันก่อนในจวนเยี่ยน ที่เจ้าเอ่ยถึงแคว้นอันงดงาม มีอยู่หลายจุดที่ข้ามิเข้าใจ แต่ก็รู้สึกว่าที่เจ้ากล่าวมานั้นมีเหตุผล ดังนั้นจึงได้เขียนจดหมายส่งให้ท่านอาจารย์ฉบับหนึ่ง อาจารย์ก็ได้ตอบกลับมาฉบับหนึ่งเช่นกัน 

 ท่านว่าเยี่ยงไรบ้าง ?  

 ท่านกล่าวว่า…เส้นทางนี้แสนยาวไกล ข้าจะรอดู 

ฟู่เสี่ยวกวนเบิกตาโพลง  …นี่คือสิ่งที่ท่านอาจารย์กล่าวเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ซูเจวี๋ยหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาแล้วยื่นให้กับฟู่เสี่ยวกวน  นี่ไง ท่านอาจารย์กล่าวเช่นนี้ 

ฟู่เสี่ยวกวนก้มหน้าอ่าน แล้วยกยิ้มขึ้น

ท่านอาจารย์ที่มิเคยพบหน้ากันมาก่อน แสร้งตอบได้ดีเสียทีเดียว เขาคงมิเข้าใจ เพียงแต่คืนนั้น ตนได้ประมาทเลินเล่อไปบ้าง แต่ทว่าเมื่อกล่าวออกมาแล้วก็มิมีสิ่งใดให้ต้องกังวลอีก

อีกประการ บัดนี้ตัวตนของเขาแตกต่างไปจากตอนที่อยู่หลินเจียงอย่างสิ้นเชิง ผู้คนในราชวงศ์หยูที่สามารถล้มเขาได้มิมีอยู่จริง ต่อให้เป็นฮ่องเต้ก็มิสามารถ เพราะอย่างน้อยเขาก็ยังกลับไปราชวงศ์อู๋ได้

 ศิษย์น้องเล็ก แคว้นอันงดงามเช่นนั้น…ทำได้จริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 แน่นอนว่าทำได้ แต่ยังมิใช่ตอนนี้ เป็นอนาคตอันยาวไกล 

ซูเจวี๋ยดูผิดหวังไปเล็กน้อย ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยถามต่อ  พวกเราต้องการเปลี่ยนความคิดสู่คนรุ่นหลัง กรงนกมิอาจพังทลายได้โดยง่าย คล้ายการลอกรังไหมต้องค่อย ๆ จัดการทีละชั้น แต่นี่คือสิ่งที่ประวัติศาสตร์ต้องบันทึกเอาไว้ เมื่อถึงเวลานั้น… 

สวี่ซินเหยียนและซูซูได้เดินเข้ามาในศาลาเถาหรานพอดิบพอดี

ซูซูเดินไปนั่งลงบนชิงช้าประจำตัวของนาง ส่วนสวี่ซินเหยียนนั่งลงข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวนอย่างเขินอาย จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นถามอีกฝ่ายว่า  เมื่อถึงเวลานั้นจะเป็นเยี่ยงไร ?  

หัวใจของฟู่เสี่ยวกวนเต้นโครมคราม เขายกน้ำชาขึ้นดื่มแล้วยิ้มตอบ  เมื่อถึงตอนนั้น ผู้คนในเมืองจะอาศัยอยู่บนอาคารสูง สินค้าในเมืองจะมีมากมาย มีสิ่งที่สามารถส่งต่อเสียงได้ในระยะทางพันลี้ ผู้คนจะนั่งอยู่ที่บ้านเหมือนที่พวกเรานั่งอยู่ในศาลาแล้วใช้สิ่งนั้นสั่งอาหารจากหอซื่อฟางโดยมิต้องก้าวเท้าออกไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว 

แววตาของสวี่ซินเหยียนเป็นประกาย  ยอดเยี่ยมถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ?  

ซูซูเบ้ปาก  คุยโวอีกแล้ว !  

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า  เจ้าจะคิดว่าข้าคุยโวก็ได้ แต่สิ่งนั้นแสนมหัศจรรย์ยิ่ง ผู้คนจะสามารถบินอยู่บนท้องฟ้าด้วยสิ่งที่เรียกว่าเครื่องบิน เดินทางจากเมืองจินหลิงไปเมืองกวนหยุน โดยใช้เวลาเพียง 1 ชั่วยามเท่านั้น 

เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา สุริยาขึ้นสู่ขอบฟ้าแล้ว ทว่ามิได้เจิดจ้าจนแสบตา นัยน์ตายังเต็มไปด้วยความคิดถึง

 ผู้คนในตอนนั้น สามารถเดินทางไปยังจันทราได้ แต่บนจันทรามิได้มีฉางเอ๋อร์หรือตำหนักกว่างหานหรอก เป็นเพียงพื้นที่โล่งกว้าง มิมีแม้แต่หญ้าสักต้น อีกทั้งยังมีคนแซ่หม่าที่อยากไปเหยียบดาวอังคาร กล่าวว่าจะสร้างเมืองขึ้นบนดาวอังคาร 

 สรุปโดยรวม นั่นคือยุคสมัยที่งดงามยิ่ง น่าเสียดายที่เจ้าหรือข้า พวกเราล้วนมิมีโอกาสได้เห็น 

ซูเจวี๋ยตกตะลึงมากยิ่งขึ้น สวี่ซินเหยียนอ้าปากค้างมองดูฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาหลงใหล ส่วนซูซูเอียงคอคล้ายกับกำลังคิดอยู่ว่า ดาวอังคารคือที่ใดกัน

 เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร ?   ซูเจวี๋ยเอ่ยถาม

 หากข้าบอกว่า…. ข้าเดินทางมาจากยุคสมัยนั้น เจ้าจะเชื่อหรือไม่ ?  

ซูเจวี๋ยขยับหมวกแล้วพยักหน้าด้วยท่าทางจริงจังพร้อมกับกล่าวอย่างหนักแน่นว่า  ข้าเชื่อ !  

ฟู่เสี่ยวกวนตะลึงขึ้นมาทันพลัน…เรื่องไร้สาระถึงเพียงนี้ก็ยังเชื่อเยี่ยงนั้นหรือ ?

 ข้าเพียงคุยโวเท่านั้น 

 ถึงเป็นเพียงคำคุยโวของศิษย์น้องเล็ก ข้าก็เชื่อ !  

ให้ตายเถอะ ! ศิษย์พี่ใหญ่ช่างหน้ามืดตามัวเสียจริง

ฟู่เสี่ยวกวนยกมือขึ้นลูบศีรษะ พลางยกยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า  เอาเถิด นั่นคือเรื่องของอนาคต พวกเราควรใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน… 

เขาหันไปมองสวี่ซินเหยียนแล้วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า  บัดนี้ เจ้ามิได้เกี่ยวข้องกับลัทธิจันทราแต่อย่างใดแล้ว ข้าจะมิเอ่ยถามเกี่ยวกับเรื่องของลัทธิจันทราจากเจ้า เพียงหวังว่าเจ้าจะลืมเรื่องราวที่ผ่านมาและใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันเท่านั้น 

สวี่ซินเหยียนก้มหน้าลง แววตาดูเงียบเหงาแล้วพยักหน้าเบา ๆ

 

ตอนที่ 513 คลอด

ในมือของสุ่ยหยุนเจียนถือกล่องอยู่ 1 ใบ

บัดนี้เขายืนอยู่เบื้องหน้าของอู๋หลิงเอ๋อร์ โค้งคำนับ แล้วทูลถามว่า  ฝ่าบาท ประสงค์จะทำเยี่ยงนี้จริงหรือพ่ะย่ะค่ะ ?  

 จริง !  

 …กระหม่อมต้องทูลถึงอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นให้ฝ่าบาททราบ 

 มิจำเป็น ข้าตัดสินใจแล้ว !  

สุ่ยหยุนเจียนเงยหน้ามองอู๋หลิงเอ๋อร์ นึกชื่นชมในความกล้าหาญของสตรีผู้นี้เป็นอย่างมาก ทว่าด้วยความเป็นหมอ เขายังคงถามว่า  หากเกิดปัญหาขึ้นระหว่างการทำคลอด ต้องการให้ปกป้องเด็กหรือฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ?  

เมื่อโจวเปี๋ยหลีได้ยินดังนั้น จึงรีบเอ่ยแทรกขึ้นมาว่า  ย่อมเป็นฝ่าบาท !  

 ไม่…ปกป้องเด็กเอาไว้ !  

 ฝ่าบาท… 

อู๋หลิงเอ๋อร์โบกมือเพื่อขัดโจวเปี๋ยหลี นางมองไปทางสุ่ยหยุนเจียน  ทำตามประสงค์ของข้าเถอะ !  

 …ถ้าเยี่ยงนั้น ฝ่าบาทโปรดรอสักครู่ กระหม่อมต้องปรุงยาเร่งคลอดก่อน 

สุ่ยหยุนเจียนง่วนอยู่กับหน้าที่ของตนเอง นับเป็นอีกคราที่อู๋หลิงเอ๋อร์นั่งลงข้างหน้าต่าง แล้วมองออกไปยัง

ท้องนภา

ท่าทางของนางสงบนิ่ง ยามที่มองออกไปบนท้องนภาราวกับว่านางเห็นแสงแห่งความหวังอยู่เลือนลาง

มือยังคงลูบอยู่บนครรภ์ นางกำลังสนทนากับลูกในครรภ์อย่างเงียบ ๆ…

ลูกจงจำเอาไว้ บิดาของเจ้าชื่อฟู่เสี่ยวกวน เป็นบุรุษที่โดดเด่นที่สุดในใต้หล้า !

เจ้ามิจำเป็นต้องมีพรสวรรค์เยี่ยงเขา แต่จงแข็งแกร่งให้ได้เหมือนกับเขา

หลังจากเจ้าเกิดออกมา จงอยู่ที่นี่ไปก่อน สถานที่แห่งนี้คือบ้านของเจ้าเช่นกัน ประเดี๋ยวแม่ต้องออกศึก เพื่อแย่งชิงบ้านอีกหลังของเจ้ากลับคืนมา !

โจวเปี๋ยหลียืนอยู่ด้านหลังของอู๋หลิงเอ๋อร์ เขาอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่างกับนาง แต่มิว่าเยี่ยงไรก็มิสามารถเอ่ยออกไปได้ เขาจึงทำได้เพียงยืนอมพะนำอยู่ด้านหลังเท่านั้น

นอกเสียจากเจ้าเด็กฟู่เสี่ยวกวนจะกลับมา มีเพียงฟู่เสี่ยวกวนขึ้นครองราชบัลลังก์เท่านั้น ตนจึงจะกล้าเอ่ยความลับนี้กับอู๋หลิงเอ๋อร์ มิเช่นนั้น…อู๋หลิงเอ๋อร์จะหมดโอกาสทวงบัลลังก์กลับคืนมา มือของนางจะไร้อำนาจและสูญเสียสิทธิ์ในการปกป้องตนเองและลูกไปด้วย

หวังว่ามารดาและบุตรจะปลอดภัย !

โจวเปี๋ยหลีเดินออกไปและตรงไปยังฐานทัพของเหล่าองครักษ์ชุดแดง

อีกมินานจะเกิดสงครามนองเลือดขึ้นมาอีกครา เขาต้องเตรียมตัวสักเล็กน้อย

เวลาผ่านไปราวครึ่งก้านธูป สุ่ยหยุนเจียนก็กลับมา ในมือถือยาอยู่หนึ่งถ้วย  เมื่อฝ่าบาทดื่มยานี้เข้าไปแล้ว จำต้องคลอดเท่านั้น ฝ่าบาทลองทบทวนอีกคราดีหรือไม่ ?  

อู๋หลิงเอ๋อร์ลุกขึ้นยืน รับยานั้นมาและดื่มลงไป  ข้าเคยบอกกับเจ้าไปแล้วนี่ว่าข้าได้ตัดสินใจไปแล้ว !  

 …เยี่ยงนั้น ฝ่าบาททรงประทับที่เตียงบรรทมเถิด อีกประเดี๋ยวก็จะประสูติพระโอรสแล้ว 

สุ่ยหยุนเจียนเรียกหมอตำแยเข้ามา พวกนางคอยเตรียมน้ำร้อนอยู่ตลอดเวลา ส่วนเขาหยิบเครื่องมือออกมาจากกล่อง แล้ววางเตรียมเอาไว้อย่างเป็นระเบียบ

เวลาผ่านไปอีกราวหนึ่งก้านธูป อู๋หลิงเอ๋อร์จึงรู้สึกปวดท้องขึ้นมาและปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ นางขบกรามแน่น เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดขึ้นเต็มหน้าผาก

สุ่ยหยุนเจียนส่งผ้าที่พับเอาไว้อย่างดีให้กับนาง  ฝ่าบาท ประเดี๋ยวจะปวดยิ่งกว่านี้ ฝ่าบาทกัดสิ่งนี้เอาไว้จะสามารถช่วยได้เล็กน้อย 

อู๋หลิงเอ๋อร์กัดผ้าเอาไว้แน่น ท้องเริ่มกระตุก สองมือกำผ้าปูอย่างเอาเป็นเอาตาย สองขาชันขึ้นมา เสียงหวีดร้องดังขึ้นในลำคอเป็นระยะ

 ข้าจะถอดฉลองพระองค์ จุดไฟเผาถ่านอีก 2 กอง แล้วเตรียมน้ำร้อนไว้ให้ดี 

…..

…..

โจวเปี๋ยหลีเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้อง รู้สึกไม่ค่อยสบายใจเลยสักนิด

โหยวเป่ยโต้วมองตามจนเริ่มมึนหัว จึงเอ่ยถามว่า  ฝ่าบาทคลอดบุตร เจ้าตื่นเต้นอันใดกัน ?  

 …ข้ากังวลถึงความปลอดภัยของฝ่าบาท !  

 ฝ่าบาทเรียกเจ้ามาเตรียมทัพ ประเดี๋ยวจะออกศึกแล้วมิใช่หรือ ?  

 องครักษ์ชุดแดงมีสิ่งใดให้ต้องจัดการกัน มีถังเชียนจวินและจัวตงหลายคอยบัญชาการอยู่ สามารถออกเดินทางได้ตลอดเวลา 

 เขตวังหลวงนั้นแข็งแกร่งยิ่ง เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราทั้งสองต้องลงมือสังหารทหารมากมายเพื่อฝ่าเข้าไป 

 ต้องคอยระวังเอาไว้ให้ดี นางปิศาจนั่นเกรงว่าจะมิสามารถจัดการได้โดยง่าย 

โหยวเป่ยโต้วเงียบไปหนึ่งอึดใจ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า  เจ้าว่า…บิดาของเด็กที่อยู่ในครรภ์ฝ่าบาท คือฟู่เสี่ยวกวนจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

โจวเปี๋ยหลีจ้องอีกฝ่ายเขม็ง  ข้าจะทราบได้เยี่ยงไร พวกเราอย่าได้ใส่ใจเรื่องยุ่งยากนี้เลย 

 ข้าเพียงจะบอกว่าหากเป็นฟู่เสี่ยวกวนจริง ก็มินับว่าเขาเป็นคนเที่ยงธรรม เยี่ยงไรเสียก็ต้องรับผิดชอบภาระนี้แต่เขากลับหนีไปราชวงศ์หยู นี่หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?  

 ไม่ เขามิได้รับทราบเรื่องนี้ 

โหยวเป่ยโต้วอ้าปากตะลึงงันทันที เขามิอาจเข้าใจคำเอ่ยของโจวเปี๋ยหลีได้

ในยามที่จะซักถามต่อ ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของอู๋หลิงเอ๋อร์ดังออกมาจากในห้อง ตามด้วยเสียงร้องของทารก  อุแว้… !  

โจวเปี๋ยหลีหันไปทางประตูห้อง โหยวเป่ยโต้วเองก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน เพียงไม่นาน สุ่ยหยุนเจียนก็ได้เดินออกมาพร้อมใบหน้าท่วมเหงื่อ ทว่ากลับมีรอยยิ้มแฝงความโล่งใจประดับเอาไว้อยู่

 เรื่องทำคลอด ข้าผู้นี้เก่งกาจที่สุดในใต้หล้า !  

 มารดาและบุตรปลอดภัยใช่หรือไม่ ?   โจวเปี๋ยหลีเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น

 แน่นอน มารดาเจ้าเถอะ ! วันส่งท้ายปีเก่ายังตามข้ามาทำงาน หากเกิดปัญหาขึ้น เกรงว่าเจ้าจะสับข้าจนเละเป็นแน่ เอาล่ะ ! จ่ายค่ารักษามา 10,000 ตำลึง !

โจวเปี๋ยหลีหยิบตั๋วแลกเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้ววางลงบนฝ่ามือของสุ่ยหยุนเจียน  นี่คือเงิน 50,000 ตำลึง 

 ข้ามิได้ต้องการมากถึงเพียงนี้ 

 มิได้ ประเดี๋ยวหลิงเอ๋อร์ยังต้องออกศึก เจ้าต้องติดตามไปด้วย 

ดวงตาของสุ่ยหยุนเจียนเบิกโพลงขึ้นมาทันพลัน  เจ้าบ้าไปแล้วหรือ เจ้าก็ทราบว่านางเพิ่งจะประสูติพระโอรส แรงกายย่อมสูญสิ้น เพิ่งดื่มน้ำแกงไปเพียงถ้วยเดียว ประเดี๋ยวทารกยังต้องกินน้ำนมอีก บาดแผลก็เพิ่งเย็บปิด อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลากว่าสิบวันในการฟื้นตัว เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?  

โจวเปี๋ยหลีนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน  ข้ามิได้บ้าและเข้าใจดี แต่ทว่านี่คือพระประสงค์ของฝ่าบาท นางต้องการเข้าวัง 

 ให้ตายเถอะ จะล้อเล่นกับชีวิตหรือเยี่ยงไรกัน ข้ามิไป เงินข้าก็มิต้องการแล้ว หากเลือดตกยางออกขึ้นมา คงถึงแก่ชีวิตโดยแท้ !  

 มิต้องการก็ต้องรับไว้ ผู้ใดใช้ให้เจ้าเอาชนะข้ามิได้กันเล่า ? ข้ามิสนว่าจะเกิดปัญหาขึ้นหรือไม่ แต่เจ้าต้องดูแลความปลอดภัยของฝ่าบาทเอาไว้ให้ดี 

เพิ่งผ่านไปได้เพียงครึ่งชั่วยาม ประตูห้องก็ถูกเปิดออก

พระพักตร์อันอ่อนแรงของอู๋หลิงเอ๋อร์ถูกแต่งแต้มให้ดูสดใสขึ้นมาบ้าง นางเดินออกมาพร้อมกับดาบยาวในมือ

ใบหน้าเริ่มฉายแววเอาจริงเอาจัง ท่าทีมิผ่อนคลาย แววตาแน่วแน่กว่าที่เคย ส่วนน้ำเสียงของนางก็หนักแน่นกว่าที่ผ่านมา

 เคลื่อนพล !  

 น้อมรับพระบัญชา !  

โจวเปี๋ยหลีหายเข้าไปในป่า เพียงมินาน บริเวณโดยรอบของคฤหาสน์จิ้งหูก็ปรากฏเสียงเกือกม้าดังขึ้น

อู๋หลิงเอ๋อร์นำทัพทหารหญิงมายังเบื้องหน้ากองทัพ ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าขององครักษ์ชุดแดงคือจัวตงหลาย ถังเชียนจวิน รวมไปถึงหนิงซือเหยียนกับหนิงฝาเทียนบิดาของเขา

นี่คือกองกำลังทั้งหมดที่นางมีในปัจจุบัน นางต้องการใช้กองทัพนี้ชิงบัลลังก์มังกรของฟู่เสี่ยวกวนกลับคืนมา !

นางกวาดตามองอย่างสงบ แล้วชูดาบยาวในมือขึ้น  ทหารทั้งหลาย ตามข้ามา… !  

เมืองกวนหยุนที่ค่อย ๆ คืนสู่ความสงบ ก็ได้แตกสลายลงในชั่วพริบตาอีกครา

…..

…..

กลุ่มของฟู่ต้ากวนทั้งสาม เดินลงมาจากจายซิงถาย สิ่งแรกที่ต้อนรับพวกเขากลับเป็นลูกธนูของเป่ยหวังฉวน

หนึ่งในพวกเขาสะบัดมือสองสามคราเพื่อปัดลูกศรดอกนั้นออกไปให้พ้นตัว โจวถงถงคำรามเสียงต่ำ  ข้าเอง 

เป่ยหวังฉวนถลาลงมาพร้อมกับคิ้วที่ขมวดนิ่ว มองดูโจวถงถงแล้วหยุดสายตาอยู่ที่ใบหน้าของฟู่ต้ากวน

 …อู๋ต้าหลาง ฝ่าบาท !  

 หลิงเอ๋อร์สบายดีหรือไม่ ?  

 ทูลฝ่าบาท เมื่อครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้ จักรพรรดินีได้ประสูติพระโอรสจนสำเร็จแล้ว มารดาและบุตรล้วนปลอดภัย ในยามนี้ พระนางทรงนำทัพองครักษ์ชุดแดงสามหมื่นนายไปยังวังหลวง 

ฟู่ต้ากวนตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน  มีผู้คุ้มกันที่มีฝีมือระดับสูงหรือไม่ ?  

 โหยวเป่ยโต้วกับโจวเปี๋ยหลีติดตามไปด้วย ส่วนข้าทำหน้าที่คุ้มกันที่นี่เอาไว้ 

 เยี่ยงนั้นก็จงคุ้มกันเอาไว้ให้ดี !  

กล่าวจบ ทั้งสามก็เร่งเดินทางออกไปทันที ฟู่ต้ากวนและอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยไล่ตามอู๋หลิงเอ๋อร์ ส่วนโจวถงถงกลับซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของยามราตรี แล้วลงไปยังอุโมงค์ลึกของกวนหยุนถาย

 

ตอนที่ 512 แหกกฎสวรรค์อีกสักคราจะเป็นไรไป

 ปีใหม่แล้ว 

อู๋หลิงเอ๋อร์นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง เหม่อมองออกไปยังท้องนภาที่เต็มไปด้วยดอกไม้ไฟที่เบ่งบาน จากนั้นจึงใช้มือลูบไปบนหน้าท้อง พลันยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและเศร้าสร้อย

 ลูกเอ๋ย เดิมทีเจ้าต้องถือกำเนิดในเดือนสามท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่อบอุ่น แต่แม่มิอาจรอได้แล้ว 

 คาดมิถึงว่านางปิศาจจะแย่งชิงบัลลังก์… ตำแหน่งนั้นเป็นของพ่อเจ้า นอกจากเขา ผู้ใดก็อย่าหวังว่าจะแย่งมันไปจากมือของแม่ได้ !  

 ด้วยเหตุนี้ เจ้าต้องลืมตาดูโลกก่อนกำหนด หากเจ้ารอดก็นับว่าเป็นบุญ…  นางสูดหายใจเข้าลึก  หากเจ้าตาย…ถือว่านี่คือชะตากรรมของแม่ !  

 ฝ่าบาท อย่านะเพคะ !   หนีซางและลั่วอิง องครักษ์หญิงทั้งสอง พอได้ยินประโยคนั้นก็ได้คุกเข่าลงทันใด

ฝ่าบาทประสงค์จะคลอดก่อนกำหนด ทรงอดทนปิดบังมาเนิ่นนานถึง 7 เดือน การคลอดก่อนกำหนดเช่นนี้ อย่าว่าแต่เด็กในครรภ์เลย แม้แต่ชีวิตของนางเองก็ยากที่จะก้าวผ่านประตูผีไปได้

หากฝ่าบาททรงเป็นอันใดไป ราชวงศ์อู๋…ก็จะตกอยู่ในมือของนางปิศาจตนนั้นอย่างแท้จริง

อู๋หลิงเอ๋อร์ยกยิ้มขึ้น  เจ้าทั้งสองคนติดตามอยู่ข้างกายข้ามาหลายปี พวกเจ้าย่อมรู้นิสัยของข้าดี บัดนี้ราชวงศ์อู๋ถูกนางปิศาจครอบครองเอาไว้ อีกทั้งนางยังประสงค์จะยกทัพไปตีราชวงศ์หยู แล้วจะให้ข้าทนนิ่งดูดายได้เยี่ยงไร ?  

 อีกประการหนึ่ง…  นางลูบไปที่ครรภ์  เด็กคนนี้คือลูกของเขา แน่นอนว่าต้องเข้มเเข็งมิต่างจากเขา !  

 เสียงกลองเฉลิมฉลองแห่งคืนข้ามปีดังกังวาน หากได้ถือกำเนิด ณ วันดี ๆ เช่นนี้ คงจะมีความหมายมากเสียทีเดียว 

นางลุกขึ้นยืน  หนีซาง ลั่วอิง จงรับบัญชา !  

 แต่ฝ่าบาท… !  

 ข้าสั่งให้พวกเจ้ารับบัญชา !  

หนีซางและลั่วอิงก้มหน้ามองพื้นพร้อมกับน้ำตาที่ไหลนองหน้า  หม่อมฉัน น้อมรับพระบัญชาเพคะ !  

 จงไปเรียกหมอตำแยหลวงให้แอบมาพบข้า ข้าจะให้กำเนิดบุตรในวันนี้ จากนั้นจงเตรียมองครักษ์ชุดแดงจำนวน 30,000 นาย สวมชุดเกราะพร้อมอาวุธ เมื่อข้าให้กำเนิดบุตรเสร็จแล้วพวกเราจะเดินหน้าเข้าสู่วังหลวง พร้อมกับแย่งชิงความยุติธรรมกลับคืนมา !  

 หม่อมฉัน…รับพระบัญชาเพคะ! 

ทั้งสองเดินออกไปจากห้อง ส่วนอู๋หลิงเอ๋อร์นั่งลงข้างหน้าต่างอีกครา ยามที่เหม่อมองออกไปทางท้องนภาก็ได้เห็นดอกไม้ไฟที่แสนงดงามเหล่านั้น อยู่ ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างมิรู้ตัว

หากนี่คือชะตากรรม ข้าจะฝืนชะตานี้อีกสักครา !

หากนี่คือประสงค์ของสวรรค์ การฝืนกฎสวรรค์อีกคราจะเป็นไรไป !

นางเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้น หยิบดาบที่แขวนเอาไว้ข้างผนังออกมา

ดาบยาวถูกชักออกแล้วแทงเข้าไปในกำแพง นางคลายฝ่ามือพบว่าด้ามดาบนั้นสั่นแต่ทว่าไร้ซึ่งเสียงใด

……

……

ค่ำคืนนี้ เมืองกวนหยุนได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ สร้างความวุ่นวายและเดือดร้อนเป็นอย่างมากมาย

เหตุเพลิงไหม้นี้สามารถดึงความสนใจของราชองครักษ์หลวงและองครักษ์ชุดแดงได้มากยิ่งนัก

ฉีเหริน เสนาบดีกรมกลาโหมบัญชาการกองทัพองครักษ์ชุดแดง ทว่ามิได้เดินทางไปดับไฟแต่กลับยืนคุ้มกันพระราชวังอย่างเคร่งครัด เพราะโจวถงถงกลับมาแล้ว !

เมื่อหลายวันก่อน ตนได้ส่งองครักษ์ชุดแดงจำนวน 10,000 นายออกตามจับโจวถงถง ทว่าโจวถงถงและอู๋ต้าหลางกลับหลบหนีจากเมืองฝานหนิงไปได้ มิพบเเม้เพียงเงาของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ

จากระยะเวลาที่คาดการณ์เอาไว้ ทั้งสองคงเดินทางมาถึงเมืองกวนหยุนแล้ว

โจวถงถงดูแลหอเทียนจีมานานหลายสิบปี ย่อมรู้ดีว่าองครักษ์ชุดแดงจะเคลื่อนไหวเยี่ยงไร ดังนั้น ฝ่าบาทจึงตัดสินพระทัยวางกับดักไว้ทั่วทั้งเมืองกวนหยุน

การวางเพลิงนี้มิใช่เรื่องบังเอิญ แต่สื่อความหมายว่าสายลับแห่งหอเทียนจีได้สร้างขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจในการเดินทางเข้าเมืองกวนหยุนของโจวถงถง

เมื่อห้าวันก่อน ฉีเหรินสั่งให้องครักษ์ชุดแดงปลอมตัวเป็นชาวบ้านเข้าไปปะปนกับฝูงชน ช่างแสนกลมกลืนยิ่ง ต่อให้เป็นสายลับจากหอเทียนจีก็ยากที่จะรู้ได้ว่าเป็นผู้ใดเป็นผู้ใด

เพียงแค่โจวถงถงและอู๋ต้าหลางเข้ามาในเมืองกวนหยุน ก็หมายความว่าได้ก้าวเข้าสู่สุสานของพวกเขาแล้ว !

ฉีเหรินยืนอยู่บนกำแพงของวังหลวง สองมือไพล่หลังพร้อมกับทอดมองเมืองนี้ หากโจวถงถงถูกจับตัวได้ ก็จะสามารถเปิดชั้นที่สิบแปดของหอเทียนจีได้เช่นกัน

ฝ่าบาททรงตรัสว่าราชลัญจกรอยู่บนชั้นสิบแปด หากมีสองสิ่งนี้จึงจะทรงนั่งบนบัลลังก์ได้อย่างมั่นคงและสามารถบัญชาการกองทัพทั้งสามได้

ส่วนตนก็จะได้ขึ้นเป็นอัครมหาเสนาบดีเสียที

ดังนั้น…สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการจับตัวโจวถงถงให้ได้ !

ส่วนอู๋ต้าหลางเขาเดินเข้ามาในนรกเอง มาโดยมิได้เชิญด้วยซ้ำ

……

ณ เขาหานซาน วัดหานหลิง

อาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยชงชามาหนึ่งกา รินชาลงไปสองถ้วยแล้วส่งให้กับโจวถงถงและฟู่ต้ากวน

 สถานการณ์ในปัจจุบันของราชวงศ์อู๋ อัครมหาเสนาบดีทั้งสองถูกปลดออกจากตำแหน่งและจากการบีบบังคับของไทเฮาซี ทำให้ขุนนางกว่าครึ่งโอนเอนไปทางนาง หนึ่งในนั้น ผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือชื่อหลางฝ่ายขวาของกรมการคลัง หลี่อี้จี เมื่อวานนี้ องค์ไทเฮาปลดเมิ่งผิงฉาง เสนาบดีกรมการคลัง แล้วให้หลี่อี้จีขึ้นรับตำแหน่งแทน หากเป็นเช่นนี้ การโยกย้ายเสบียงก็จะเป็นไปได้เร็วขึ้น 

แม่ทัพของทหารฝ่ายเหนือเป็นบุตรคนโตของฉีเหริน มิต้องใช้คฑาอาญาสิทธิ์เคลื่อนทัพก็สามารถยกทัพได้ จากรายงานที่หอเทียนจีได้รับ คาดว่าราวกลางเดือนหนึ่ง เสบียงเหล่านั้นจะถูกจัดเตรียมจนเสร็จแล้ว และพวกเขาจะสามารถเคลื่อนทัพไปฉีซานได้ในตอนนั้น 

โจวถงถงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วกล่าวกับฟู่ต้ากวนว่า  ฝ่าบาท คนผู้นี้คืออาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ย เป็นหนึ่งในสายลับของหอเทียนจี 

ฟู่ต้ากวนมองภิกษุรูปนี้แล้วเอ่ยถามว่า  ข้าอยากไปคฤหาสน์จิ้งหู ต้องทำเยี่ยงไรบ้าง ?  

พระอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า  เชิญตามอาตมามาเถิด 

ร่างทั้งสามใต้แสงดวงดารา มุ่งหน้าไปตามแนวเขาเพื่อเข้าสู่จายซิงถายของคฤหาสน์จิ้งหู

ในขณะเดียวกัน ณ คฤหาสน์จิ้งหูอันวังเวงท่ามกลางสายลม โหยวเป่ยโต้วก็ได้นั่งอยู่บนกำแพงของจวนหลัก หนิงฝาเทียนคุ้มกันอยู่ที่ประตูทางเข้าจวนหลัก หนิงซือเหยียนยังคงรักษาความปลอดภัยอยู่ตรงทางเข้าคฤหาสน์ ท่ามกลางป่าไม้ เป่ยหวังฉวนที่ยังไม่หายจากอาการบาดเจ็บ นั่งอยู่บนต้นไม้พร้อมเช็ดธนูสุริยะพินาศในมือไปด้วย

โจวเปี๋ยหลีเดินถือดาบโชกเลือดเข้ามาในคฤหาสน์ เขาฆ่าคนไปหลายศพ ล้วนเป็นผู้มีฝีมือที่ไทเฮาซีส่งมา หลังจากเดินเข้ามาในจวนหลักก็ได้เคาะประตูห้องของอู๋หลิงเอ๋อร์

เขายืนชะงักอยู่ตรงนั้น มิได้เอ่ยเรียก ฝ่าบาท ออกมาตามเดิม

 รออีกสามเดือนค่อยให้เด็กคลอดออกมา 

 รอมิได้แล้ว หากรอต่อไป นางจะยึดราชวงศ์อู๋ไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และราชวงศ์หยูจะถูกโจมตีจนย่อยยับ 

 …  โจวเปี๋ยหลีนิ่งเงียบไปชั่วครู่  การทำเช่นนี้ย่อมมีอันตรายถึงชีวิต 

 มิเป็นไร ข้าสามารถผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน 

 ข้าจะไปพาสุ่ยหยุนเจียนมา 

 เขาเป็นบุรุษ !  

 แต่เขาเป็นหมอตำแยที่เก่งกาจที่สุด เชื่อข้าเถิด ชีวิตของท่านสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด !  

โจวเปี๋ยหลีกำลังจะเดินออกไป แต่กลับถูกอู๋หลิงเอ๋อร์เรียกไว้  ช้าก่อน !  

 หลังจากเสด็จแม่ถูกขังไว้ในตำหนักเย็น นางได้ตรัสกับข้าว่า… ให้ข้าสนทนากับเจ้า ข้าอยากรู้ว่านางหมายถึงเรื่องใด ? ให้สนทนากับเจ้าเรื่องใดกัน ?  

โจวเปี๋ยหลีมิได้หันกลับไปมอง เขานิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า  เด็กคนนี้ หากรอให้คลอดตามกำหนด ก็จะไร้ปัญหา ดังนั้น…ท่านลองทบทวนดูอีกครา ดีหรือไม่ ?  

อู๋หลิงเอ๋อร์รู้สึกตื่นตกใจขึ้นมาอีกครา นางกังวลเรื่องลูกที่สุดแล้ว เนื่องจากพ่อของลูกคือพี่ชายของนางเอง

โจวเปี๋ยหลีหมายความว่าเยี่ยงไร ?

เขารู้ได้เยี่ยงไรว่าเด็กคนนี้จะมิมีปัญหา ?

โจวเปี๋ยหลีมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก นางเองก็มิมีเวลาเอ่ยถามต่อ  ข้าได้ตัดสินใจแล้ว 

 เช่นนั้น จงรอข้าพาตัวสุ่ยหยุนเจียนกลับมาก่อนเถิด 

โจวเปี๋ยหลีเดินทางออกจากคฤหาสน์จิ้งหูอีกครา หมอหลวงและหมอตำแยได้เตรียมสิ่งของจำเป็นสำหรับการทำคลอดเอาไว้แล้ว

ผ่านไปมิถึงครึ่งชั่วยาม โจวเปี๋ยหลีก็ได้พาตัวหมอตำแยสุ่ยหยุนเจียน เข้ามาในห้องของอู๋หลิงเอ๋อร์

 

ตอนที่ 511 เส้นทางนี้ช่างแสนยาวไกล

ถือเป็นคืนที่ฟู่เสี่ยวกวนเมามายอย่างหนัก

ซูเจวี๋ยอุ้มเขาอย่างระมัดระวัง และตามมาด้วยภรรยาทั้งสามของฟู่เสี่ยวกวนเพื่อเดินทางกลับไปยังจวนฟู่

ไฟในห้องน้ำชาของตระกูลเยี่ยนยังคงสว่างอยู่ เยี่ยนเป่ยซี ปู่ของหลานสามรุ่นยังคงนั่งอยู่ด้านใน

หลังจากฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์บทกวีนั้นและยังได้กล่าวอีกสิ่งที่ขัดกับความรู้ของพวกเขาออกมา นี่คือคำเอ่ยของคนเมาที่แท้จริงเยี่ยงนั้นหรือ ?

ในสายตาของพวกเขาทั้งหมด กลับมิใช่

เขาบรรยายถึงใต้หล้าในอนาคตให้ฟัง ทว่าความคิดของพวกตนในยามนี้กำลังปะทะกันอย่างรุนแรง

นี่คือความต้องการที่สวนทางกับสวรรค์ !

 ความคิดของเขา… อันตรายจนเกินไป  เยี่ยนฮ่าวชูสูดลมหายใจเข้าลึก รู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากที่เอ่ยถามคำถามนี้กับฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนได้ตอบมาแล้ว แต่คำตอบนี้เกินความคาดหมายของทุกคนไปมาก

เป็นสิ่งที่ทำให้ต้องตกตะลึงโดยที่ไม่ต้องแสดงออกอย่างแท้จริง

 ข้ากลับรู้สึกว่าหากสามารถบรรลุเป็นแคว้นที่สมบูรณ์แบบเยี่ยงนั้นได้จริง ก็คงจะดีเยี่ยม  เยี่ยนซีเหวินฉุกคิด ทบทวนอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยต่ออีกว่า  วิสัยทัศน์ยี่สิบสี่คำของเขาส่งเสริมกับนโยบายยี่สิบคำที่ฝ่าบาทเคยตรัสออกมา นโยบายยี่สิบคำของฝ่าบาทก็คือสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวออกมา จากที่มองในตอนนี้เขาก็คิดเยี่ยงนั้นมาโดยตลอด 

เยี่ยนหลินชิวยังคงรู้สึกเหนื่อยล้าจากคำเอ่ยเหล่านั้น เขารู้สึกว่ามันน่าตกใจจนเกินไป ทำให้ยากที่จะยอมรับได้  แคว้นที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ผู้ที่แย่งชิงผืนปฐพีมิใช่ว่าควรนั่งอยู่บนบัลลังก์เยี่ยงนั้นหรือ เหตุใดต้องให้ราษฎรเป็นผู้เลือกจักรพรรดิด้วย เป็นไปมิได้ เป็นไปมิได้อย่างแน่นอน ฟู่เสี่ยวกวนเมามายแล้วจริง ๆ เป็นเพียงแค่ความฝันของคนเสียสติเท่านั้น 

แต่แล้วเยี่ยนเป่ยซีก็ได้ลุกขึ้นยืนช้า ๆ แล้วเดินไปยังหน้าต่าง มองดูโคมไฟสีแดงที่อยู่ด้านนอกและเกล็ดหิมะที่ลอยกระทบกับโคมไฟ  นี่ก็ดึกมากแล้ว กลับห้องของตนเพื่อโต้รุ่งกับคืนส่งท้ายปีเถิด เมื่อก้าวข้ามธรณีประตูห้องนี้ออกไป จงลืมคำเอ่ยที่เขาเอ่ยออกมาเสีย ต่อจากนี้มิอนุญาตให้กล่าวถึงมัน ณ ที่ใดอีกทั้งสิ้น 

บรรดาบุตรและหลานชายต่างเอ่ยลากันและออกไป ส่วนเยี่ยนเป่ยซียังคงยืนอยู่ข้างหน้าต่าง

เขากำลังดื่มด่ำกับคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนอย่างถี่ถ้วน

คาดว่า ตนได้เข้าใจลำดับความต้องการทั้งห้าอย่างคร่าว ๆ แล้ว ดังนั้นนโยบายใหม่ที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังผลักดันและการจัดการด้านการค้าก็เพื่อให้กระเป๋าเงินของชาวบ้านพองขึ้นมา

ด้วยเหตุนี้ สายตาของพวกเขาจึงมิต้องจดจ่ออยู่กับ น้ำมัน เกลือ ฟืน ข้าว เครื่องนุ่งห่ม ธัญพืช และที่พักอาศัย

พวกเขาจะได้มีเวลาว่างและสามารถแหงนหน้ามองท้องนภาได้ หรืออาจจะเฝ้ามองจากที่ห่างไกลออกไป

หลังจากที่พวกเขาได้เห็น ก็จะสามารถทราบได้ว่าแท้จริงแล้วท้องนภานั้นกว้างใหญ่เพียงใด และยังมีทิวทัศน์ที่ต่างออกไปในที่ห่างไกล

พวกเขาก็เหมือนปลาในน้ำ อาศัยอยู่ในน้ำมาโดยตลอด หากการลงมือของฟู่เสี่ยวกวนสำเร็จ ก็เหมือนกับเป็นการช่วยให้ปลาเหล่านั้นกระโดดออกมาจากน้ำ นั่นจะทำให้พวกเขารู้ว่าใต้หล้านี้กว้างใหญ่เพียงใด และมีทิวทัศน์ที่สวยงามมากมายเพียงใด

ท้ายที่สุดแล้ว ปลาก็มิอาจว่ายขึ้นฝั่งได้ แต่ทุก ๆ คนก็ล้วนแตกต่างกันออกไป

เมื่อผู้คนมีความปรารถนาที่สูงขึ้น หลังจากมีปัจจัยแล้วพวกเขาย่อมไล่ตาม คือการเพิ่มระดับความต้องการทั้งห้าที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวเอาไว้

พวกเขาย่อมไม่พอใจต่อคุณภาพชีวิตในปัจจุบัน และจะพยายามสร้างอนาคตที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ล้วนก้าวเดินไปทีละก้าว… เส้นทางนี้ยังอีกยาวไกล ท้ายที่สุดแล้ว เมื่อวันนั้นมาถึงเกรงว่าพวกเขาจะก้าวสู่แคว้นใหม่อย่างแท้จริง

สิ่งนี้มิอาจทำสำเร็จได้ภายในชั่วข้ามคืน ดังนั้น เส้นทางที่ยากลำบาก มีเพียงการแสวงหาจากทุกหนทุกแห่งเท่านั้น

ดังนั้น เส้นทางที่ยากลำบากของฟู่เสี่ยวกวน มิได้หมายถึงการผลักดันนโยบายใหม่ แต่กลับหมายถึงความก้าวหน้าทางความคิด

หากวันนั้นมาถึง กรงนกนี้จะถูกทำลาย จากนั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าทลายดินเยี่ยงไรบ้างกัน ?

เยี่ยนเป่ยซีจินตนาการมิออก เช่นเดียวกับที่ไร้หนทางจะเข้าใจเรื่องของการแบ่งแยกอำนาจ

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าสิ่งที่เรียกว่าอำนาจจะทำให้ผู้คนหลงใหล… ในส่วนนี้ เยี่ยนเป่ยซีเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

ยามที่อำนาจในมือขยายใหญ่มากยิ่งขึ้น ก็จะยิ่งใส่ใจในเรื่องของความมั่นคงของอำนาจนี้ด้วย กลัวว่าหากวันใดสูญเสียอำนาจในมือนี้ไป ก็จะถูกศัตรูบดขยี้อย่างไร้ความปรานีเอาได้

ดังนั้น อำนาจที่มีอยู่ในมือของขุนนางแต่ละคนมีเพียงต้องกำให้แน่นขึ้น นอกเสียจากฝ่าบาทจะมอบราชโองการปลดลงจากตำแหน่ง มิเช่นนั้นก็ไร้ซึ่งผู้ใดที่จะยินยอมสละอำนาจในมือด้วยตนเองอย่างแน่นอน

สิ่งที่เรียกว่าอำนาจนี้มีประโยชน์เป็นอย่างมาก สามารถสั่งผู้ใต้บังคับบัญชาได้ สามารถปกป้องครอบครัวได้ สามารถกุมชะตาชีวิตของผู้อื่นได้ และยังสามารถทำให้ครอบครัวแข็งแกร่งยิ่งขึ้นได้อีก

นี่ เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนหลงใหลอย่างแท้จริง !

ทว่าฟู่เสี่ยวกวนที่ยังอายุมิครบ 18 ปีดี กลับมองทะลุปรุโปร่งได้ถึงเพียงนี้

นี่ก็คือเรื่องของผืนปฐพีที่เขากล่าวมาทั้งหมด ต้องใช้กำลังในการแบกรับ และต้องสะบัดให้หลุดอย่างหมดจด

เขาแบกรับหน้าที่ในการทำให้ชาวบ้านมั่งคั่งร่ำรวย และมิยอมผูกมัดกับตำแหน่งจักรพรรดิเอาไว้กับตนเอง

เขากังวลว่าตนจะกลายเป็นจักรพรรดิของแคว้นหนึ่ง หลังได้รับอำนาจสูงสุดก็จะไร้ซึ่งผู้ใดที่กล้าขัดต่ออำนาจ และยากที่จะปล่อยมือได้ เยี่ยงนั้น เขาจึงมิยอมทำลายหลักความคิดของตน เขามิต้องการจำกัดลำดับความต้องการของราษฎรให้อยู่ในขั้นที่หนึ่งและสองเท่านั้น

การลงมือทำนั้นง่ายดายยิ่ง วิธีการหลอกหลวงราษฎรที่ดีที่สุดคือให้พวกเขาแบกรับโซ่ตรวนนี้ตลอดไป ให้พวกเขามองเห็นความหวังของการมีชีวิต แต่ชั่วชีวิตนี้ กลับไร้หนทางที่จะสัมผัสมัน

ทุกคนจะทำงานหนักไปทั้งชีวิต มิว่าเพื่อกินหรืออยู่

พวกเขามิมีเวลาเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา มองที่สูง และห่างไกลออกไป

พวกเขาจะถูกจำกัดการมองเห็นให้อยู่ในกรอบที่วางเอาไว้เท่านั้น

ดังนั้น ทางเลือกของฟู่เสี่ยวกวนคือไม่แตะต้องอำนาจเสียเลย แต่จะยืนในฐานะผู้สังเกตการณ์อยู่ด้านข้าง โดยปฏิเสธบัลลังก์และไม่สร้างอำนาจกดขี่ราษฎร ให้พวกเขาได้มีโอกาสปลดโซ่ตรวนที่แสนหนักอึ้งนั้นเสีย เพื่อที่จะสามารถยืนได้สูงขึ้น มองได้ไกลกว่าเดิม และคิดให้มากขึ้น

นี่… จะเป็นไปได้จริงเยี่ยงนั้นหรือ ?

เสียงดอกไม้ไฟดังขึ้นด้านนอกหน้าต่าง ปรากฏภาพดอกไม้ไฟเบ่งบาน ท้ายที่สุดแล้วปีใหม่นี้ก็มิสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามความประสงค์ของผู้ใดได้

…..

…..

จวนฟู่ เรือนซีเซวี๋ย ศาลาอี้เหลียง

ซูเจวี๋ยที่คลายจุดลมปราณให้กับสวี่ซินเหยียนแล้ว กำลังนั่งอยู่กลางศาลาและจ้องมองดอกไม้ไฟบนท้องนภาเหล่านั้น

ซูโหรวเงยหน้าขึ้นมองศิษย์พี่ใหญ่อย่างตั้งใจ หลังจากที่ศิษย์พี่ใหญ่กลับมาเขาก็ตกอยู่ในอารามเงียบมิพูดมิจา เขาเดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ คลายจุดลมปราณให้กับสวี่ซินเหยียนอย่างเงียบ ๆ ดื่มชาอย่างเงียบ ๆ และมองฟ้าอย่างเงียบ ๆ…

ซูโหรวรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงเอ่ยว่า  มีเรื่องอันใดในใจเยี่ยงนั้นหรือ ?  

สวี่ซินเหยียนเองก็รู้สึกประหลาดใจ จึงเอ่ยถามออกมาบ้าง  เจ้ามิกลัวว่าข้าจะหนีแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ซูเจวี๋ยพยักหน้า แต่ก็ส่ายหน้าอีก ซูซูที่กำลังกินขนมดอกกุ้ยฮวาอยู่ก็ตกใจเสียจนตาโต จะตอบรับหรือปฏิเสธกันแน่ ?

ซูเจวี๋ยละสายตากลับมา ขยับหมวกเล็กน้อย และกล่าวช้า ๆ ว่า  คุณชายเมาแล้ว 

ซูซูเม้มปากเล็กน้อย  เขาคออ่อนถึงเพียงนั้น ดื่มจนเมาก็เป็นเรื่องปกติมิใช่หรือ ?  

 หลังจากที่คุณชายเมาเขาได้ประพันธ์กวีขึ้นมาหนึ่งบท และกล่าวอะไรบางอย่างขึ้นมา… ข้าเข้าใจในบทกวีนั้น แต่คำเอ่ยที่เขาเอ่ยออกมานั้นข้ามิค่อยเข้าใจเท่าใดนัก 

ซูซูเกิดความสนใจขึ้นทันพลัน  ลองกล่าวมาสิ 

สวี่ซินเหยียนเองก็คาดหวังอย่างมิสามารถอธิบายความรู้สึกได้ และเงี่ยหูรอฟัง

ซูเจวี๋ยเล่าทุกคำที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวเอาไว้ในคืนนี้ บทกวีย่อมทำให้สวี่ซินเหยียนตกตะลึงยิ่ง แต่คำเอ่ยที่เขาเอ่ยต่อจากนั้น กลับทำให้ใจของพวกนางสั่นสะท้านโดยถ้วนทั่ว

ในยามที่ซูเจวี๋ยกล่าวจบ สวี่ซินเหยียนก็ได้สูดลมหายใจเข้าลึกและมองไปบนท้องนภา

 ในตอนสุดท้าย แคว้นที่สมบูรณ์แบบซึ่งมีความรุ่งเรือง ประชาธิปไตย อารยธรรม ความปรองดอง อิสระ ความเท่าเทียม ความยุติธรรม กฎหมาย ความรักชาติ การตั้งใจทำงาน ความซื่อสัตย์ ความเป็นมิตรจะปรากฏขึ้น 

มีความเป็นไปได้เยี่ยงนั้นหรือ ?

แม้จะเป็นคนธรรมสามัญ ก็สามารถเป็นนักปราชญ์ได้ สามารถเป็นเหยาชุนได้… คำเอ่ยเยี่ยงนี้ คาดว่าคงมีเพียงเขาเท่านั้นที่กล้าเอ่ยออกมา

 ท่าจะบ้าไปแล้ว !   ซูซูกลืนขนมดอกกุ้ยฮวา และกล่าวออกมาอย่างตกตะลึง

 ไม่ ! เขามิได้บ้า เพราะในตอนท้ายเขายังกล่าวอีกว่า… เส้นทางนี้ช่างแสนยาวไกล ข้าจะแสวงหาไปทั่วทุกแห่งหน !  

ในเวลานั้นเอง เสียงดอกไม้ไฟปีใหม่ก็ได้ดังขึ้น ท้องนภาทั่วทั้งเมืองหลวงเต็มไปด้วยดอกไม้ไฟนับหมื่น

สวี่ซินเหยียนจ้องมองดอกไม้ไฟที่น่าหลงใหลเหล่านั้น พลันรู้สึกว่าทุกสิ่งช่างงดงามยิ่ง อนาคต… ต้องงดงามมากยิ่งขึ้นกว่านี้อย่างแน่นอน

 

ตอนที่ 510 นี่มิใช่สิ่งที่ข้าต้องการ

 เจ้า เหตุใดถึงมิขึ้นเป็นจักรพรรดิของราชวงศ์อู๋กัน ?  

คำถามนี้มิเพียงแต่เยี่ยนฮ่าวชูเท่านั้นที่อยากรู้ แต่ทุกคนในที่นี้ รวมถึงผู้คนในใต้หล้าล้วนอยากรู้เช่นกัน

เพื่อบัลลังก์มังกรนั้น นับแต่โบราณ ได้เกิดเหตุการณ์มากมายจนนับมิถ้วน มีผู้คนจำนวนเท่าใดที่ต้องสละชีพ โลหิตมากมายเท่าใดที่ไหลนอง

บัลลังก์นั้นเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจ การที่ได้ครอบครองก็หมายความว่าสามารถควบคุมชะตาชีวิตของผู้คนในใต้หล้าเอาไว้ได้ จะได้รับชีวิตอิสระและสามารถสร้างสันติให้แก่ผืนปฐพีได้ แม้มิได้ทำสิ่งใดก็ยังได้รับการยกย่องเชิดชูจากราษฎร

เดิมที บัลลังก์นั้นเคยวางไว้เบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวน แต่ทว่าเขาไม่ขึ้นไปนั่งซ้ำยังหนีไปไกลเเสนไกล

ด้วยความสามารถของฟู่เสี่ยวกวน หากขึ้นนั่งบนบัลลังก์แน่นอนว่าจะนำพาซึ่งความสันติมาให้แก่ราชวงศ์ได้อย่างแน่นอน และทิ้งประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ไว้สืบต่อชั่วลูกชั่วหลาน

นี่คือความยิ่งใหญ่เพียงใด !

นี่คือชื่อเสียงที่มีเกียรติเพียงใด !

แต่เขากลับละทิ้งมัน แล้วกลับมายังราชวงศ์หยูเพื่อใช้ชีวิตธรรมดา

หากกล่าวว่า ฟู่เสี่ยวกวนเพียงต้องการเป็นนายน้อยเจ้าสำราญผู้หนึ่ง แต่ทว่าเขาก็ยังอุทิศตนผลักดันนโยบายใหม่เพื่ออนาคตของราชวงศ์หยูอยู่

มิได้ทำตัวเจ้าสำราญไปวัน ๆ เขามีเรื่องมากมายที่ต้องรับผิดชอบ

ถ้ากล่าวว่าเขามีความทะเยอทะยาน เยี่ยงนั้น หากนั่งบนบัลลังก์ จะมิทำให้ความฝันของตนเองเป็นจริงง่ายกว่าเดิมเยี่ยงนั้นหรือ ?

 มิใช่เพราะเจ้าคือองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ ข้าจึงให้เสี่ยวโหลวสมรสด้วย และมิใช่เพราะต้องการสนับสนุนให้เจ้าเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ ข้าเพียงแต่สงสัยก็เท่านั้น เจ้าอย่าได้คิดมาก 

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าตอบรับ ยกน้ำชาขึ้นดื่มแล้วฝืนยิ้มออกมา

 นั่นมิใช่สิ่งที่ข้าต้องการ 

 แล้วเจ้าต้องการสิ่งใด ?  

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เดิมทีเขามิต้องการเอ่ยถึงความรู้สึกในใจ แต่เนื่องจากความคิดเหล่านั้น เกรงว่าจะส่งผลกระทบที่มิดีต่อตนเท่าใดนัก

เนื่องจากนี่คือยุคสมัยอันล้าหลัง และตนเองก็มิชอบยุคนี้

 หากข้าเอ่ยออกมา พวกเจ้าอย่าได้ตื่นตระหนกและอย่าได้เล่าให้ผู้อื่นฟังเป็นอันขาด 

เยี่ยนเป่ยซีมองไปทางบุตรหลานของตน แล้วพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วค่อย ๆ กล่าวออกมา  ใต้หล้านี้ ทุกสิ่งอย่างต้องรับผิดชอบอย่างกระตือรือร้น และต้องจัดการอย่างถูกต้อง หากไร้ความรับผิดชอบ ก็ไร้ประโยชน์อันใด หากมิจัดการก็มิมีวันได้ค้นพบสิ่งที่ต้องการ 

เยี่ยนเป่ยซีตกตะลึง ดวงตาเคร่งขรึมขึ้นมาชั่วขณะ

 สิ่งที่ข้าต้องการทำคือสิ่งที่ทำยากที่สุดในใต้หล้า ข้าต้องการให้ใต้หล้านี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาสักหน่อย 

 สิ่งที่ยากที่สุดในใต้หล้าคือสิ่งใดกัน ?  

 มิใช่การประพันธ์กวี มิใช่การผลักดันนโยบายใหม่ และมิใช่การเป็นจักรพรรดิของแคว้นใด แต่เป็นการปลดปล่อยความคิดของผู้คน !  

 ณ สุสานจักรพรรดิมีกรงนกกรงหนึ่ง บัดนี้ความคิดของผู้คนในใต้หล้าเปรียบดังเช่นกรงนก ได้รับผลกระทบจากตำราศักดิ์สิทธิ์ ชนชั้นถูกแบ่งเป็นหลายชั้น จักรพรรดิได้รับอำนาจราวกับเทพเจ้า จึงทำให้กรงนกมั่นคงมิแตกร้าวได้โดยง่าย 

 แต่ข้าต้องการเปิดกรงนกนี้ออกมา เฉกเช่นเดียวกับที่ข้าเพิ่มเติมเนื้อหาในตำราหลี่เสวียของเหวินสิงโจวว่าหลี่อยู่ที่ใจ มิว่าจะเป็นหลักการของสวรรค์หรือมนุษย์ ล้วนอยู่ในใจเรา ร่างกายเป็นหนึ่งเดียวกับจิตใจ จิตใจรวมเป็นหนึ่งเดียวกับหลี่ แม้ท้องนภาจะกว้างใหญ่ แต่หากมีความตั้งมั่น มีจิตสำนึก แม้เป็นเพียงคนธรรมดาก็สามารถเป็นนักปราชญ์และกลายเป็นเหยาชุนได้ !  

 เฮือก…  หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวจบทุกคนก็แทบจะลืมหายใจ แม้เพียงคนธรรมดาก็สามารถเป็นนักปราชญ์และเหยาชุนได้ เช่นนั้น มิว่าผู้ใดก็เป็นจักรพรรดิได้เยี่ยงนั้นหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมา  ดูสิ ! พวกเจ้ามิเชื่อโดยง่าย เนื่องจากความคิดของพวกเจ้าเป็นดั่งกรงนก คิดไปว่าจักรพรรดิควรมีอำนาจล้นฟ้า แต่ข้ามิคิดเช่นนั้น 

เยี่ยนเป่ยซีตกตะลึงยิ่ง ทว่าก็มิได้ขัดจังหวะขึ้น ส่วนเยี่ยนซือเต้าและเยี่ยนฮ่าวชูได้แต่มองมาทางฟู่เสี่ยวกวนอย่างกังวล เยี่ยนซีเหวินและเยี่ยนหลินชิวพากันขมวดคิ้วครุ่นคิด

 ข้าใช้เวลากว่าครึ่งปีในการครุ่นคิดถึงปัญหานี้ ว่าจะสามารถทำลายกรงนกได้เยี่ยงไร จนกระทั่ง ข้าเดินทางไปยังผิงหลิง จึงคิดว่าได้พบคำตอบแล้ว 

 จะทำลายได้เยี่ยงไร ?  

 ทำให้จิตใจของมนุษย์กระจ่างแจ้ง ค่อย ๆ สอนให้พวกเขาเข้าใจให้มากขึ้น อย่าบังคับขู่เข็ญ ! นั่นหมายความว่าต้องค่อย ๆ เปลี่ยนเเปลงอย่างเป็นขั้นเป็นตอน แต่จะทำเยี่ยงไรนั้น ?  

 ข้าเคยเอ่ยให้ไป๋ยู่เหลียนฟังว่ามนุษย์มีความต้องการอยู่ 5 ประการ ประการแรกคือความต้องการของร่างกาย การกินอิ่มท้องและมีเสื้อผ้าที่อบอุ่นสวมใส่คือความต้องการขั้นพื้นฐาน หากกินมิอิ่มห่มมิอุ่น พวกเขาอาจจะกลายเป็นโจรได้

ประการที่สอง…

ประการที่ห้าคือการแสวงหาความต้องการของตน มนุษย์จะใช้ความสามารถอย่างสุดกำลังเพื่อใช้ความสามารถของตนอย่างเต็มที่และจะทำมันให้สำเร็จ 

ฟู่เสี่ยวกวนอธิบายความต้องการทั้งห้าประการออกมาโดยละเอียด จากนั้นก็หยุดพักดื่มน้ำชาไปหนึ่งอึก ในศีรษะค่อนข้างมึน เขาเอ่ยต่ออย่างช้า ๆ ว่า

 เมื่อปัญหาด้านการกินและเสื้อผ้ายังมิอาจจัดการได้ สายตาของพวกเขาก็จะจับจ้องไปด้านหน้า สิ่งที่จ้องอยู่คืออาหารมื้อต่อไป และเมื่อปัญหาเรื่องความปลอดภัยถูกจัดการเรียบร้อย ก็จะเข้าสู่ความต้องการประการที่สาม จึงเริ่มตระหนักถึงความคิดของตน แต่ความคิดเหล่านี้ยังคงมิชัดเจน ราวกับเป็นเพียงการแบ่งปันความรู้สึกในแรกเริ่มเท่านั้น

หากเข้าสู่ประการที่สี่ ต้องการความนับถือ เมื่อถึงประการนี้ ความคิดของผู้คนก็จะเปิดกว้างออกไป และสามารถคิดได้ว่าจะทำเยี่ยงไรจึงจะได้รับความนับถือจากผู้อื่น และสามารถทำลายความต้องการมากมายเหล่านี้ได้ 

 พื้นฐานเหล่านี้ ขึ้นอยู่กับพื้นฐานชีวิตของราษฎร หากกล่าวตามตรงก็คือมีเงินในมือเท่าใด นี่คือการมองปัญหาจากล่างขึ้นบน จากความต้องการประการที่หนึ่งขึ้นไปถึงประการที่สี่แล้วจึงพบว่า ทั้งหมดนี้ ล้วนขึ้นอยู่กับรากฐานทางเศรษฐกิจทั้งสิ้น 

 การปลดปล่อยอุดมการณ์นี้มิเหมือนกับธรรมาภิบาล เนื่องจากธรรมาภิบาลนับจากบนลงล่าง และใช้อำนาจในการจัดการ แต่การปลดปล่อยอุดมการณ์ต้องค่อย ๆ งอกจากราก 

 ดังนั้น ต่อให้ข้าขึ้นเป็นจักรพรรดิ ก็มิอาจปลูกฝังความคิดเช่นนี้แก่ราษฎรได้ หากข้าต้องการให้ชาวบ้านที่ยากจนมั่งมีเงินทองขึ้นมา ก็ต้องทำให้พวกเขามีความคิดเช่นนี้ก่อน กรงนกนี้จึงจะสลายได้โดยมิต้องทำลาย หรือกล่าวได้ว่า ความคิดเปรียบเสมือนกรงนกนี้ และจะต้องทำลายกรงนกจากภายในสู่ภายนอก 

เขายักไหล่แล้วหัวเราะขึ้น  พวกเจ้ารู้สึกว่าไร้สาระใช่หรือไม่ ? บางทีพวกเจ้าอาจจะบอกว่าการที่ข้าขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ อาจจะทำสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น แต่นั่นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือทำให้นโยบายแผ่กว้างออกไปได้ในเวลาที่รวดเร็ว แต่ข้อเสียคือ… หากข้าเป็นจักรพรรดิ คงจะต้องเสียแรงและเสียเวลาต่อต้านกับเหล่าขุนนางมากมายในวัง บางทีในตอนแรก ดวงตาข้าอาจจะยังสว่าง แต่เมื่อนานไปอาจจะถูกชักจูงเสียจนตามืดบอดก็เป็นได้ 

 ข้าอาจจะมิได้รับรู้ความยากลำบากของราษฎรได้โดยง่าย และมิอาจเดินทางไปดูว่าผู้คนเหล่านั้นมีความเป็นอยู่เยี่ยงไรได้ง่าย ๆ อีกต่อไป ท้ายที่สุดแล้ว ข้าอาจจะถูกกักขังอยู่ในพระราชวังซึ่งมีเพียงแค่พื้นที่หนึ่งหมู่เท่านั้น ข้อความต่าง ๆ ล้วนได้ฟังมาจากผู้อื่น มิได้แตกต่างกับจักรพรรดิของทุกแคว้นในตอนนี้เลย 

 ข้าอาจจะได้เป็นจักรพรรดิ ราษฎรเหล่านั้นอาจจะยกย่องเทิดทูนข้า แต่สิ่งนี้มิใช่เรื่องดี เนื่องจากอาจจะทำให้ผู้คนเหล่านั้นเชิดชูโดยไร้การไตร่ตรอง 

 ขุนนางทั้งหลายจะทำตามคำสั่งของข้าโดยมิคิดคำนึงใด ๆ ทั้งสิ้น ราษฎรจะได้รับประโยชน์จากนโยบายต่าง ๆ ของข้า และมิคิดไตร่ตรองด้วยตนเองว่าถูกต้องแล้วหรือไม่ แม้รู้ว่ามิถูก แต่พวกเขาก็มิกล้าเอ่ยอันใด เนื่องจากข้าเปรียบดั่งเทพเจ้าในสายตาพวกเขา !

หากสงสัยในเทพเจ้านับว่ามีความผิด ผู้ใดที่กล้าเอ่ยออกมาก็จะถูกผู้อื่นด่าทอตำหนิ ทำร้ายหรืออาจจะถึงแก่ชีวิตเลยก็เป็นได้ 

 และเมื่อเกิดความพึ่งพิงเช่นนี้ขึ้น หากมีจักรพรรดิที่มากความสามารถ แน่นอนว่าแคว้นจะมิเกิดปัญหา แต่หากต่อไปจักรพรรดิไร้ความสามารถเล่า… เกรงว่าจะส่งผลให้ราษฎรต้องเดือดร้อนไปทั่วหล้า 

 เมื่อทุกคนฝากความหวังไว้กับคนผู้หนึ่ง นั่นหมายความว่าหายนะกำลังจะเกิดขึ้น ความคิดของพวกเขายังคงอยู่ในกรงนก พวกเขาจะไร้เรี่ยวแรงในการช่วยตนเองออกมา ใต้หล้านี้ก็จะเป็นอยู่ดังเดิม ผืนปฐพีที่กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ มีเพียงจักรพรรดิเท่านั้นยิ่งใหญ่ที่สุด ส่วนราษฎรเป็นดังเช่นฝูงมดที่ทำงานหนัก มิมีโอกาสได้เงยหน้าเงยตา 

 อีกอย่างหนึ่ง เรื่องของอำนาจทำให้ผู้คนหลงใหล ข้ามิอาจรับปากได้ว่าเมื่อได้ลิ้มลองรสชาติของอำนาจแล้วจะสามารถวางมันลงได้หรือไม่ อีกทั้งมิอาจรับรองได้ว่าผู้ที่ขึ้นมารับอำนาจต่อจะเห็นด้วยกับความคิดเช่นนี้หรือไม่ จะนำพาความคิดกลับคืนสู่กรงนกอีกคราหรือไม่ จักรพรรดิได้รับคำสั่งจากสวรรค์ และจักรพรรดิก็จะพยายามรักษาภารกิจนี้เอาไว้

แต่การปลดปล่อยความคิด เป็นการเปิดมุมมองของผู้คนในใต้หล้า ให้พวกเขากล้าที่จะปฏิวัติ สิ่งที่เรียกว่าปฏิวัติก็คือการกำจัดค่านิยมเดิม ๆ แล้วสร้างขึ้นมาใหม่

มิอาจกล่าวได้ว่าสองแนวคิดนี้ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง เมื่อใต้หล้าสงบสุข ราษฎรมีความสุข พวกเขาจะมิคิดทำการปฏิวัติ

แต่หากเผชิญกับจักรพรรดิไร้ความสามารถ เมื่อราษฎรถูกครอบงำและผู้คนมิอาจทำมาหากินได้ ข้าหวังว่าความคิดเช่นนี้จะมีประโยชน์ขึ้นมาบ้าง พวกเขาจะลุกขึ้นมาหยิบอาวุธ และต่อสู้ปฏิวัติกับจักรพรรดิผู้ไร้ความสามารถ !

มิมีผู้ใดยินดีสละชีพของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจักรพรรดิที่กุมอำนาจเอาไว้ในมือ แน่นอนว่าขุนนางทั้งหลายก็เช่นกัน เนื่องจากคนกลุ่มนี้เป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ การปฏิวัติที่แท้จริงคือการทำลายคนกลุ่มนี้เสีย

ดังนั้น เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน พวกเขาจะอวดอ้างอำนาจของจักรพรรดิ และฝังแนวคิดต่าง ๆ นานาใส่สมองของราษฎร นี่คือจุดมุ่งหมายของสิ่งที่เรียกว่า นโยบายโง่เขลา 

 แต่สิ่งที่ข้าต้องการ คือทำให้ผู้คนมองการณ์ไกลขึ้น ปลูกฝังเมล็ดพันธุ์แห่งความเท่าเทียมและกล้าหาญในสมองของพวกเขา ถึงตอนที่พวกเขาต้องเผชิญกับความอยุติธรรม จะได้กล้าลุกขึ้นมาหยิบอาวุธต่อสู้ 

 นี่มิใช่เพื่อเปลี่ยนแปลงราชวงศ์ การเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา สุดท้ายก็เป็นเพียงการเวียนว่ายนับพันปีเท่านั้น 

 หากมองย้อนกลับไป จะเห็นว่าทุกคราที่ราชวงศ์ถูกล้มล้างและเปลี่ยนแปลง ล้วนมาจากการปกครองที่เน่าเฟะ สาเหตุของความล้มเหลวก็มาจากอำนาจเหล่านี้ ! หากมิจำกัดอำนาจก็จะเป็นเหมือนกับม้าป่าที่ถูกปล่อย เหมือนน้ำที่ล้นตลิ่ง พวกมันจะทำการใดโดยพลการ ท้ายที่สุดก็จะทำลายแคว้นเสียจนพังพินาศ และสร้างความเดือดร้อนให้แก่ราษฎรคราใหญ่ 

 ดังนั้น แคว้นในฝันของข้าเป็นเช่นนี้ มิมีอำนาจของจักรพรรดิ ผู้นำแคว้นถูกเลือกโดยประชาชน มีกฎหมาย มีการแบ่งอำนาจ และบังคับใช้กฎหมาย จำกัดอำนาจซึ่งกันและกัน ใช้กฎหมายในการปกครองแคว้น ท้ายที่สุดคือทำให้แคว้นมั่งคั่ง มีประชาธิปไตย มีอารยธรรม มีความสามัคคี มีเสรีภาพเสมอภาค… นี่จึงจะเป็นแคว้นที่สมบูรณ์แบบ 

 ข้าคิดว่าทั้งชีวิตนี้ ข้ามิอาจทำได้จนสำเร็จทั้งหมด ข้าจึงหวังว่าจะปลูกฝังความคิดเหล่านี้เอาไว้ ในอีกหลายปีต่อไป พวกมันจะหยั่งรากลึกและออกดอกออกผลด้วยตนเอง 

 เมื่อถึงเวลานั้น…ทั่วทั้งใต้หล้าจะงดงามขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน !  

 หากจะเดินในเส้นทางที่ยากลำบาก จำเป็นต้องค่อย ๆ เดิน เส้นทางนี้ช่างยาวไกลยิ่ง ข้าจะแสวงหาไปทั่วทุกแห่งหน !  

 ข้าเพียงดื่มสุรามากไป จึงกล่าวออกมาเล่น ๆ ก็เท่านั้น !  

 

ตอนที่ 509 หนทางลำบาก

ในยามนี้ ต่งชูหลานเองก็ได้เงยหน้าขึ้นมาจ้องเยี่ยนซีเหวินเขม็ง เยี่ยนซีเหวินรินสุราให้กับฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวยิ้ม ๆ ออกมาว่า  ชูหลานเอ๋ย พวกเราต่างก็เป็นศิษย์จากสำนักศึกษาเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นสหายกันอีกด้วย ข้ารู้ทักษะการดื่มสุราของเจ้าดี แต่คืนนี้เจ้าอย่าได้ช่วยเขาดื่มเลย 

 เอ่ยตามจริง ข้าอยากดื่มสุรากับเขายิ่ง เพราะเรื่องบทกวีและบทความข้ามิอาจเทียบเขาได้ การปกครองก็มิดีเท่า ข้ามักค้นหาเสมอว่ามีเรื่องใดที่ข้าเก่งกาจกว่าเขา คิดไปคิดมา คาดว่าหากเป็นเรื่องดื่มสุราแล้วข้าจะเอาชนะเขาได้ 

เมื่อได้ยินดังนั้น ทุกคนจึงหัวเราะขึ้น หยูเวิ่นหวินเองก็ป้องปาก มินึกเลยว่าเยี่ยนซีเหวินที่หายไป 2 ปี จะรู้จักเอ่ยมากขึ้น

วันนี้ฟู่เสี่ยวกวนมีความสุขเป็นอย่างมาก เยี่ยนซีเหวินผู้นี้มีความสามารถ เขามิได้ทำตัวลอยไปลอยมาอยู่ในเขตเหยา เขาสามารถปกครองที่แห่งนั้นได้เป็นอย่างดี ทั้งยั้งสนใจเรื่องอู่ต่อเรืออย่างแท้จริง

ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจเทหมดหน้าตักด้วยเช่นกัน แค่เมามิใช่หรือ ?

ชายฉกรรจ์ ชีวิตหนึ่งย่อมเมามายอยู่หลายครา

ฟู่เสี่ยวกวนจึงยอมปล่อยวางทุกสิ่งลงอย่างสิ้นเชิง หลังจากดื่มกับเยี่ยนซีเหวินไปแล้วหนึ่งจอก จึงได้เริ่มเวียนจากเยี่ยนเป่ยซี วนไปจนครบหนึ่งรอบ สุดท้ายเยี่ยนหลินชิวก็ได้หยิบสุราขึ้นมาอีกขวด

 พวกเรามิขอกล่าวขอบคุณอันใดให้มากความ เยี่ยงไรเสียชาวบ้านจำนวนมากในอำเภอชวูอี้และอำเภอผิงหลิงก็ยกให้เจ้าเป็นผู้มีพระคุณแล้ว นี่คือเรื่องจริง ดังนั้น พวกเรามาดื่มสามจอก !  

ฟู่เสี่ยวกวนมิปฏิเสธ เขาดื่มสุรากับพวกเยี่ยนเป่ยซีจนถึงยามดึก จึงออกอาการเมามาย

เยี่ยนเสี่ยวโหลวต้มซุปแก้อาการเมาให้สามี เยี่ยนฉางชื่อส่งสายตาให้กับเยี่ยนฮ่าวชู อีกฝ่ายจึงหัวเราะร่าแล้วกล่าวกับบิดาว่า  หรือว่า จะพาเขาไปดื่มชาดีเล่า ?  

ใบหน้าเปี่ยมความชราของเยี่ยนเป่ยซีกระจ่างใสขึ้น ลูบเครายาวอยู่ชั่วครู่จากนั้นจึงพยักหน้า

เยี่ยนเสี่ยวโหลวประคองฟู่เสี่ยวกวนไปยังห้องน้ำชา เยี่ยนซีเหวินเองก็เริ่มมีอาการเมามายถึงเจ็ดส่วน จึงได้นั่งลงพร้อมกับความมึนงงเล็กน้อย และต้มน้ำชา

เขาตบบ่าของฟู่เสี่ยวกวน  น้องเขยเอ๋ย พี่เขยขอเอ่ยความในใจกับเจ้าเสียหน่อย ข้าอยู่ที่เขตเหยามาถึง 2 ปีจนลืมไปแล้วว่าแท้จริงตนเป็นนักประพันธ์ มีงานยุ่งอยู่ตลอดทั้งวันและมิเคยได้ประพันธ์กวีเลยแม้แต่บทเดียว ประจวบเหมาะกับในวันนี้ อารมณ์กำลังพลุ่งพล่าน เยี่ยงนั้นแล้ว…เจ้าช่วยประพันธ์บทกวีให้ข้าชื่นชมอีกสักบทได้หรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนสับสนเล็กน้อย และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างดัง

 ก็แค่การประพันธ์บทกวีมิใช่หรือ ? เรื่องนี้ง่ายเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด…  เขาลุกขึ้นยืนโงนเงน และตะโกนเสียงดังว่า  นำพู่กันและหมึกมา !  

เมื่อแม่ยายได้ยินดังนั้น ไอหยา ! วันนี้บุตรเขยจะประพันธ์บทกวีเยี่ยงนั้นหรือ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง ดังนั้นนางจึงสั่งให้บ่าวรับใช้นำพู่กัน หมึก และกระดาษมา

ใบหน้าของเยี่ยนเป่ยซีแต้มไปด้วยรอยยิ้มบางเบา ลอบคิดไปว่าเจ้าเด็กนี่เมามายถึงเพียงนี้แล้วยังประพันธ์บทกวีได้อยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?

เยี่ยนฮ่าวชูและเยี่ยนซือเต้าเองก็ค่อนข้างประหลาดใจ ได้ยินมาเนิ่นนานแล้วว่าเด็กนี่ประพันธ์บทกวีได้ภายในสามก้าว แต่ในตอนนี้เขาเมามายถึงเพียงนี้ คาดว่ากวีบทนี้คงจะประพันธ์ออกมาได้มิดีเท่าใดนัก

พวกหยูเวิ่นหวินเองก็มองสามีของพวกนางด้วยความขบขัน เยี่ยนเสี่ยวโหลวลุกเดินเข้าไป หวังจะช่วยประคอง คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะหัวเราะน้อย ๆ และประทับจุมพิตไว้บนใบหน้าของนาง  วาง…ใจเถิด สามี…มิ มิเมา !  

เยี่ยนเสี่ยวโหลวหน้าขึ้นสีแดงก่ำจนลามไปถึงใบหู ตกใจตาโตขึ้นมาทันพลัน ยังจะกล้าเอ่ยว่ามิเมาอยู่อีก ! ที่นี่มิใช่จวนฟู่ของเจ้านะ !

เยี่ยนซีเหวินหัวเราะร่า น้องเขยผู้นี้ เป็นผู้ที่ทำตามอารมณ์อย่างแท้จริง ทั่วทั้งใต้หล้านี้เกรงว่าจะมีเพียงเขาเท่านั้นที่เพิกเฉยต่อประเพณี

ฟู่เสี่ยวกวนเดินโซเซมาจนถึงโต๊ะเขียนหนังสือ เขายื่นมือไปคว้าพู่กัน แต่กลับถือไว้มิไหว เขาจึงยิ้มอย่างขัดเขิน  เสี่ยวโหลว เจ้ามาเขียนเถิด สามี…เหมือนว่า จะเมาเล็กน้อยแล้ว 

เยี่ยนเสี่ยวโหลวจ้องเขาตาเขม็ง หยิบพู่กันขึ้นมา แต่ในใจกลับปลื้มปิติยิ่ง เขาจะประพันธ์กวีแบบใดออกมากัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนใช้สองมือไพล่หลัง เงยหน้าขึ้นมองหลังคา

 บทกวีนี้มีนามว่า ‘หนทางลำบาก’  

 พวกท่านจงฟังให้ดี ข้าจะประพันธ์กวีแล้ว !  

เยี่ยนซีเหวินหัวเราะขึ้นมาอีกครา นี่เป็นคราแรกที่เยี่ยนหลินชิวจะได้เห็นฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์บทกวี ในใจรู้สึกคันยุบยิบ แทบอยากจะขึ้นไปมอบฝ่ามือให้แก่เขา… มารดาเจ้าเร่งรีบประเดี๋ยวนี้เลย !

 สุราบริสุทธิ์ในจอกทองอันล้ำค่า อาหารเลิศรสในจานหยกนับหมื่นเหรียญ

ทิ้งจอกโยนตะเกียบกลืนมิลง ชักกระบี่มองรอบทิศใจงุนงง

หวังข้ามฮวงโหหิมะกลับปิดกั้น อยากปีนไท่หางหิมะก็คลุมขุนเขา

ปล่อยวางการตกปลา ณ ปี้ซี ทันใดนั้นก็ทบทวนฝันวันนั้นที่พายเรือ

หนทางลำบาก หนทางลำบาก ทางแยกมากมาย ความสงบอยู่หนใด ?  

เขาส่ายหน้าและค่อย ๆ ยกแขนขึ้น น้ำเสียงพลันคึกคักขึ้นมา

 มีช่วงเวลาฝ่าคลื่นลม เพียงแขวนใบเรือเมฆาและทะยานไปในทะเล 

…..

เพียง หนทางลำบาก ถูกเอื้อนเอ่ยออกมา ภายในห้องโถงก็ไร้สุ้มเสียงขึ้นมาทันพลัน ได้ยินแม้กระทั่งเสียงของลมหายใจ

เจตนาดั้งเดิมของบทกวีนี้ก็คือ เซียนกวีเขียนขึ้นในยามที่ถูกบีบคั้นให้ออกจากฉางอาน ระบายความลำเค็ญบนเส้นทางการเมือง แสดงออกถึงอารมณ์เดือดดาลของเซียนกวี ในขณะเดียวกันก็อธิบายถึงฟู่เสี่ยวกวนที่ยังคงเฝ้าคอยว่าในสักวันหนึ่งจะสามารถแสดงความทะเยอทะยานที่เต็มอกนี้ออกมาได้ แสดงถึงตนที่มองอนาคตอย่างมีความหวังและความกล้าหาญองอาจ เต็มไปด้วยอารมณ์ของความเพ้อฝันในแง่บวก

ทว่าในหูของเยี่ยนเป่ยซีและผู้อื่นกลับมิได้เป็นเยี่ยงนั้น

พลันนึกถึงนโยบายใหม่ที่กำลังผลักดันอยู่ในราชวงศ์หยู ภาระอันหนักหน่วงในการปฏิรูปที่แบกอยู่บนบ่าของฟู่เสี่ยวกวน

ทางเส้นนี้ ก็คือทางของการปฏิรูป !

มิเคยมีผู้ใดเดินบนเส้นทางนี้มาก่อน ทำได้เพียงอาศัยสติปัญญาของตนในการคลำทาง ดังนั้นหนทางสายนี้จึงยากที่จะเดินไปได้โดยปริยาย

บทกวีนี้แสดงให้เห็นถึงความลังเลของฟู่เสี่ยวกวนที่เคยมีต่อเส้นทางการปฏิรูป จนถึงขั้นมีความคิดที่อยากจะปล่อยวางลง ปล่อยวางการตกปลา ณ ปี้ซี ทันใดนั้นก็ทบทวนฝันวันนั้นที่พายเรือ นี่คือความจริงที่เขาเคยมีความตั้งใจจะล่าถอย

สภาพจิตใจนี้ ในสายตาของเยี่ยนเป่ยซีถือเป็นเรื่องปกติ ฟู่เสี่ยวกวนยังอายุมิถึงสิบแปดดีเลยด้วยซ้ำ แต่กลับต้องแบกรับภาระหน้าที่อันใหญ่หลวง หากล้มเหลว จะต้องพ่ายแพ้และสิ้นชื่อเสียยับเยิน พร้อมกับถูกผู้คนนับหมื่นประณาม

เดิมทีชายหนุ่มมิต้องการให้เป็นเยี่ยงนี้ แต่ก็ยังรับภาระนี้ต่อไป !

ดังนั้น ใจความสุดท้ายที่ลงพู่กัน แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงในศรัทธาอีกหนึ่งครา และเผชิญหน้ากับความยากลำบาก

 มีช่วงเวลาฝ่าคลื่นลม เพียงแขวนใบเรือเมฆาและทะยานไปในทะเล เป็นประโยคที่ดียิ่ง !  

ดวงตาของเยี่ยนเป่ยซีเป็นประกายขึ้นมา แล้วจึงปรบมือเสียงดัง หลังจากนั้นเสียงปรบมือจึงดังกึกก้องไปทั่วทั้งห้องโถง

 นี่ต่างหากที่เป็นจิตวิญญาณที่บุรุษแห่งต้าหยูควรยึดถือเอาไว้ ต้องมีสักวันที่จะสามารถฝ่าพายุทะลวงคลื่นหมื่นลี้นี้ไปได้ ติดใบเรือเมฆาไว้สูง แล้วออกเดินทางไปบนทะเลอันกว้างใหญ่ !  

เยี่ยนซีเหวินยิ้มอย่างขมขื่นยามที่มองไปยังฟู่เสี่ยวกวน แล้วจึงถอนหายใจยาวออกมา  เจ้านี่นะ ข้านับถือเจ้าแล้วจริง ๆ มา ๆ ๆ นั่งลงดื่มชาเถิด 

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า สังขารหลงระเริง แต่ก็ปรากฏท่าทางทรงเสน่ห์ของเซียนกวีอยู่มิน้อย น่าเสียดายที่ไร้ซึ่งกระบี่

 ข้าเคยกล่าวกับเจ้าไปหลายคราแล้วมิใช่หรือ เรื่องบทกวีบทความเหล่านี้ มิใช่ปัญหาใหญ่อันใด หากมิใช่ว่าเคยมีคนที่ร่ำสุราและประพันธ์กวีได้ถึงร้อยบทมาก่อน ข้าจะบอกเจ้าให้ ข้าเองก็สามารถประพันธ์กวีออกมาได้ร้อยบทตามต้องการเช่นกัน 

เขาเดินโซซัดโซเซมานั่งอยู่ข้าง ๆ เยี่ยนซีเหวิน ดวงตาของเยี่ยนซีเหวินเบิกกว้าง และเอ่ยถามว่า  ผู้ใดที่ร่ำสุราแล้วสามารถประพันธ์กวีได้ถึงร้อยบทกัน ?  

ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา  ผู้ใดกัน… ไอหยา ! คนผู้นั้นอยู่ในความฝัน ข้ากลับหลงลืมไปเสียแล้ว 

เยี่ยนซีเหวินหาได้สนใจไม่ ใต้หล้านี้มิมีผู้ใดที่สามารถประพันธ์กวีได้ร้อยบทยามร่ำสุราหรอก เขารินชาให้ฟู่เสี่ยวกวนหนึ่งจอก และกล่าวอย่างปลดปลงว่า  น้องฟู่มีปณิธานสูงเทียมเมฆา ข้าย่อมตามอย่างสุดกำลังไปโดยปริยาย แต่เจ้าอย่าได้บินสูงนักเลย มันทำให้พวกข้ามองมิเห็นเงา เยี่ยงนั้นแล้วมันจะเป็นความหนาวเหน็บจากที่สูงอย่างแท้จริง 

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า แล้วส่ายหน้า

เขายกชาขึ้นดื่มอีกหนึ่งอึก ทันใดนั้นเยี่ยนฮ่าวชูก็ยิ้มเสียจนตาปิดและกล่าวขึ้นมาว่า  เสี่ยวกวนเอ๋ย พ่อตามีเรื่องที่อยากให้เจ้าชี้แจงสักหน่อย 

 เชิญท่านพ่อตากล่าวมาเถิด 

 เจ้า เหตุใดถึงมิขึ้นเป็นจักรพรรดิของราชวงศ์อู๋กัน ?  

 

ตอนที่ 508 งานเลี้ยง ณ จวนเยี่ยน

ยามเซิน หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางไปเยี่ยมญาติจนครบแล้ว เขาก็สามารถตัดสินใจได้แล้วว่าจะเดินทางไปร่วมมื้อค่ำที่จวนใด

เยี่ยนฮ่าวชูเป็นผู้ชนะจากการจับฉลาก ได้ยินมาว่าฝ่าบาททรงกริ้วเสียจนเคราปลิว จากนั้นจึงทรงเลือกคืนวันที่หนึ่ง ส่วนต่งคังผิงจึงทำได้เพียงรอค่ำวันที่สอง

เขาช่างเป็นบุตรเขยที่มีค่าเสียยิ่งกว่าทอง ฝ่าบาทต้องการสนทนาเรื่องนโยบายของแคว้นในอนาคต ส่วนต่งคังผิงอยากถามเรื่องฟู่เอ้อต้ายและเมื่อใดจะทำการเพาะปลูกมันเทศทั่วแคว้น ฝ่ายเยี่ยนฮ่าวชูมิมีสิ่งใดซับซ้อน เพียงอยากรู้แค่ว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนจึงมิกลับไปยังราชวงศ์อู๋เพื่อครองบัลลังก์กัน !

มิใช่จะกล่าวโทษบุตรเขยว่าไร้ความพยายาม เนื่องจากแท้จริงแล้วฟู่เสี่ยวกวนมิต้องพยายามอันใดเลย เพียงแค่ประหลาดใจและมิเข้าใจเท่านั้น เช่นเดียวกับฝ่าบาทและบิดาเยี่ยนเป่ยซีก็มิอาจเข้าใจได้เช่นกัน

ดังนั้น ในค่ำคืนนี้จึงอยากคลายปัญหากับบุตรเขยให้หายข้องใจเสียหน่อย

จวนเยี่ยนจะทำการต้อนรับใต้เท้าฟู่ แน่นอนว่าต้องเตรียมการให้เหมาะสม

เยี่ยนฉางชื่อ มารดาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวนั้นยินดียิ่ง นางมิค่อยได้สนทนากับบุตรเขยผู้นี้สักเท่าใดนัก ส่วนเรื่องที่สามีของนางสงสัยว่าเหตุใดเขาถึงมิขึ้นเป็นจักรพรรดิราชวงศ์อู๋…

เป็นจักรพรรดิแล้วดีตรงไหนกัน ? การที่ผู้อื่นเรียกตนว่าจักรพรรดิมันดีจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?

จากที่เยี่ยนฉางชื่อมองดู ลูกเขยในตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว ได้ใช้ชีวิตที่เมืองจินหลิง มิไกลจากบ้านฝั่งภรรยาเท่าใดนัก และบัดนี้ก็ยังมีตำแหน่งขุนนางระดับสามทั้งที่อายุยังไม่เต็ม 18 ปีดีด้วยซ้ำ ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีในอนาคตจึงมิใช่เรื่องยาก

บุตรสาวของนางได้สมรสกับเขา ก็มิได้ตำแหน่งเป็นอนุแต่อย่างใด เนื่องจากสตรีทั้งสามคนได้รับเกียรติเท่าเทียมกัน บุตรสาวของนางเล่าให้ฟังบ่อย ๆ ว่าชีวิตหลังสมรสมีความสุขยิ่ง คงมีเพียงสิ่งเดียวที่รู้สึกมิพอใจก็คือเนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว แต่ท้องของนางกลับยังไร้ความเคลื่อนไหวใด

ด้วยเหตุนี้ จึงร้องขอให้พ่อสามีไปหาหมอหลวงเพื่อขอยาบำรุงครรภ์มาสักหน่อย รอให้ผ่านพ้นปีนี้ไป นางจะต้มให้กับบุตรสาวดื่ม

หากบุตรสาวของนางคลอดบุตรให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน ในอนาคต คาดว่าคงจะมีฐานะที่มั่นคงขึ้น แม้พ่อสามีของนางจะเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี แต่เขาก็อายุมากแล้ว อีกมิกี่ปีก็จำต้องวางมือ ฝ่ายบุตรชายเยี่ยนซือเต้า มิรู้ว่าจะสามารถขึ้นเป็นอัครมหาเสนาบดีได้หรือไม่ ตระกูลเยี่ยนอันยิ่งใหญ่จึงต้องการคนมาประคองเอาไว้

เห็นได้ชัดว่าบุตรเขยของนางจะมิล้มลงมาโดยง่าย อนาคตของเขายังอีกยาวไกล และจะก้าวสูงขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ !

ดังนั้น เยี่ยนฉางชื่อจึงวุ่นวายอยู่กับการเตรียมงาน คอยดูแลบ่าวรับใช้ทำงานอย่างเคร่งครัด อีกทั้งยังคอยกำชับว่าต้องจัดวางสิ่งใดไว้ตรงไหนบ้าง

บัดนี้ ณ ห้องอักษร เยี่ยนเป่ยซีได้นั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะน้ำชา ส่วนบุตรชายคนโต เยี่ยนซือเต้านั่งอยู่ด้านซ้ายมือ บุตรชายคนรองเยี่ยนชิวผิงนั่งอยู่ด้านขวา และบุตรคนที่สามนั่งอยู่ด้านล่าง ส่วนหลานชายคนโตเยี่ยนซีเหวินนั่งอยู่ตรงกันข้าม เยี่ยนหลินชิวบุตรชายคนโตของเยี่ยนชิวผิงนั่งอยู่ข้างเยี่ยนซีเหวิน

เยี่ยนชิวผิงได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นเต้าถายแห่งหวงเหอเป่ยเต้า ส่วนเยี่ยนหลินชิวได้เป็นนายอำเภอของซานซีเต้า หย่งหนิงโจวเขตชวูอี้

ตระกูลเยี่ยนยังมีบุรุษอีก 4 คน ล้วนเป็นข้าราชการทั้งสิ้น เพียงแต่มิได้มีตำแหน่งที่สูงมาก เป็นเพียงแค่นายอำเภอทั่วไป ในปีนี้ยังมิได้กลับมาเยี่ยมที่จวน

เยี่ยนซีเหวินทำหน้าที่ต้มชา เยี่ยนเป่ยซีเอ่ยขึ้นมาว่า  นับตั้งแต่ที่เสี่ยวโหลวตบแต่งกับฟู่เสี่ยวกวน นี่เป็นคราแรกที่จะเชิญเขามาร่วมงานเลี้ยง เจ้าหมอนี่มีนิสัยเป็นกันเอง ดังนั้น มิต้องจัดเตรียมสิ่งใดมาก ซีเหวินกับหลินชิวเคยพบเขามาก่อน ว่าไปแล้วเขตที่พวกเจ้ารับผิดชอบอยู่ก็ได้รับความช่วยเหลือมาจากฟู่เสี่ยวกวนมิน้อย ข้าอายุมากแล้ว มิสะดวกร่วมดื่มกับเขามากนัก เจ้าทั้งสองคนควรจะแสดงน้ำใจให้มาก 

 เขตที่ซีเหวินดูแลอยู่กำลังไปได้ดีเลยทีเดียว ฝ่าบาทจึงทรงตรัสว่าเจ้ามีความสามารถปกครองเขตได้ ข้าจึงอยากถามเจ้าว่า เจ้าอยากปกครองเขตหรือไม่ ?  

เยี่ยนซีเหวินตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน แล้วรีบส่ายหน้าเป็นการใหญ่  ท่านปู่ ตอนนี้ยังมิได้ 

 เพราะเหตุอันใดกัน ?  

 บัดนี้ ท่าเรือที่เขตเหยาเพิ่งจะสร้างเสร็จ แต่อู่ต่อเรือกำลังจะสร้างขึ้น ช่างต่อเรือก็ได้จัดหาเอาไว้บ้างแล้ว โดยมากแล้วเป็นช่างไม้ที่มิได้ชำนาญในด้านของการสร้างเรือรบ 

เยี่ยนซีเหวินนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า  อู่ต่อเรือนี้เป็นความคิดของฟู่เสี่ยวกวน มีขนาดใหญ่โตเป็นอย่างมาก ใหญ่กว่าอู่ต่อเรือใด ๆ ในฉางเจียงหลายเท่า เขากล่าวว่า เขาต้องการหาช่างไม้ที่สร้างเรือเป็นจากราชวงศ์อู๋ และจัดการให้แผนกวิจัยซีซานหาวิธีทำปืนใหญ่บนเรือขึ้นมา แต่บัดนี้ ยังมิได้กระจายข่าวออกไปก็เท่านั้น 

 การที่เขาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก หลานคิดว่าเขาต้องวางแผนการใหญ่ไว้เป็นแน่ ดังนั้น หลานจึงอยากอยู่ที่เขตเหยาอีกสักสองสามปี เพื่อรอดูเรือรบเหล่านี้ถูกสร้างขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นหลานคงจะเติบโตมากขึ้นกว่านี้ แล้วค่อยขึ้นเป็นจือโจวยังมิสาย 

เรือรบเยี่ยงนั้นหรือ ?

เยี่ยนเป่ยซีและคนอื่นได้ยินดังนั้นก็ชะงักลงตาม ๆ กัน

จะเอาเรือรบมาทำอันใดกัน ?

ฉางเจียงจะทำสงครามทางน้ำเยี่ยงนั้นหรือ ?

เมื่อเห็นเยี่ยนเป่ยซีเเละคนอื่นเกิดความสงสัย เยี่ยนซีเหวินจึงอธิบายต่อ  ฟู่เสี่ยวกวนเขียนจดหมายมาถึงข้า กล่าวว่าทางออกของแม่น้ำฉางเจียงอยู่ที่ตงไห่ การทำเรือรบนี้ขึ้นมาก็เพื่อออกเดินทางในทะเล 

 ออกทะเลไปเพื่อสิ่งใดกัน ?   เยี่ยนฮ่าวชูถามขึ้น

 เอ่อ…เรื่องนี้ข้าก็มิรู้เช่นกัน ข้าเพียงทำตามที่เขาบอก แน่นอนว่าต้องมีประโยชน์ยิ่ง เขาถึงได้ทุ่มทุนจำนวนมหาศาลถึงเพียงนี้ 

ประโยคนี้ฟังดูสมเหตุสมผล เยี่ยนฮ่าวชูและคนอื่น ๆ จึงมิได้ซักถามต่อ เยี่ยนเป่ยซีก็มิได้กล่าวถึงความคิดที่จะให้เยี่ยนซีเหวินรับตำแหน่งจือโจวออกมาอีก

เหล่าสมาชิกในครอบครัวต่างสนทนากันไปมา โดยมากแล้วเยี่ยนซีเป่ยได้ทำการติชมการทำงานของพวกเขาในปีที่ผ่านมา ถือเป็นการเก็บเกี่ยวความรู้ของพวกเขายิ่ง

มินาน คนเฝ้าประตูก็ได้เคาะส่งสัญญาณ และกล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนกับภรรยาทั้งสามได้เดินทางมาถึงแล้ว

นอกเหนือจากเยี่ยนเป่ยซีแล้ว คนอื่น ๆ ก็ได้ลุกขึ้นไปต้อนรับ คุณชายผู้นี้มิใช่คนธรรมดา แม้แต่เยี่ยนซือเต้าเองก็ให้ความสำคัญกับเขายิ่ง เนื่องจากเขารู้ว่าเจ้าหมอนี่มีความสามารถเป็นอย่างมาก และรู้ว่าฝ่าบาททรงให้ความสำคัญต่อเขามากเพียงใด

ฟู่เสี่ยวกวนคารวะเยี่ยนซือเต้าและเยี่ยนฮ่าวชู จากนั้นจึงตกตะลึงขึ้นมาทันพลันที่เยี่ยนซีเหวินและเยี่ยนหลินชิวปรากฏตัวขึ้นมาที่นี่

ทว่าเขามิได้เอ่ยถามสิ่งใดออกไป เพียงแค่เดินตามเยี่ยนฮ่าวชูและคนอื่น ๆ ไปยังห้องอาหารเงียบ ๆ เท่านั้น

โต๊ะอาหารได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว จากนั้นเยี่ยนเป่ยซีก็ได้เดินเข้ามาพอดี

 เป็นงานเลี้ยงภายในครอบครัวเท่านั้น เชิญนั่งตามสบาย มา ๆ ๆ เสี่ยวกวนมานั่งข้างข้า 

เมื่อทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว เยี่ยนเป่ยซีจึงฉายยิ้มทั่วทั้งหน้า เขามิได้เอ่ยถึงเรื่องในอดีต  ได้ยินมาว่างานเลี้ยงในจวนฟู่ ล้วนเชิญพ่อครัวจากหอซื่อฟางมาทั้งสิ้น วันนี้ข้าจึงทำแบบเดียวกันกับเจ้า อาหารเหล่านี้ล้วนเป็นฝีมือของพ่อครัวหอซื่อฟางทั้งสิ้น คงจะถูกปากเจ้าพอควร ทุกคนอย่าได้เกรงใจไป ข้าเองก็หิวมากเเล้ว มา ๆ ๆ กินอาหารเลิศรสก่อนเถิดแล้วค่อยดื่มสุรากัน 

เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนยังคงกังวลว่าชายชราผู้นี้จะใช้โอกาสนี้เทศนาตนหรือไม่ คาดมิถึงว่าอีกฝ่ายจะคิดได้เสียที เขาเดินทางมาตลอดทั้งวัน มื้อกลางวันก็กินอาหารไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น บัดนี้จึงหิวเป็นอย่างมาก จนมิได้เกรงใจและหยิบตะเกียบขึ้นมาเพื่อลงมือกินทันที

เพิ่งกินไปได้เพียงเล็กน้อย เยี่ยนซีเหวินก็ลุกขึ้นมาเปิดสุราเทียนฉุนแล้วเดินมาข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน

 ข้าจะมิกล่าวอันใดให้มากความ คืนนี้มิเมามิกลับ !  

เยี่ยนเสี่ยวโหลวจ้องหน้าคนเอ่ย แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะขึ้นมา  ข้าลืมไปว่าเจ้ามีครอบครัวแล้ว เสี่ยวโหลวของพวกเราคุมเจ้าอยู่หมัดเลยเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 

ตอนที่ 507 ฉลองปีใหม่คือเรื่องยุ่งยาก

ในค่ำคืนนี้มีหิมะตกลงมาอย่างหนัก ราวกับว่าได้เก็บสะสมไว้ตั้งแต่เมื่อวานแล้วปล่อยให้ร่วงลงมาในยามนี้

เพียงหิมะตกลงมา ถือว่าฤดูใบไม้ร่วงก็ได้ผ่านพ้นไปอย่างสมบูรณ์แล้ว

เพียงหนึ่งคืน เมืองจินหลิงที่แสนใหญ่โตก็ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน หิมะที่ตกหนักไร้ทีท่าว่าจะหยุดเร็ว ๆ นี้

ท้องฟ้ายังคงมืดครึ้ม ไร้แสงของดวงดาราประดับ

ถงเหยียน… ที่ปัจจุบันมีนามว่าสวี่ซินเหยียน อาการบาดเจ็บฟื้นคืนใกล้จะหายดีแล้ว ด้วยความคุ้นชินในอดีต นางจึงตื่นแต่เช้า สวมเสื้อคลุมขนสัตว์ที่มิเคยซื้อเองมาก่อน จากที่สาวใช้นามว่าเย่เอ๋อร์บอกมา นายหญิงเป็นคนซื้อให้แก่นาง

เสื้อคลุมขนสัตว์นี้นุ่มและอบอุ่น แม้ว่าซูเจวี๋ยจะยังไม่คลายปราณให้กับนางก็ตาม แต่เมื่อสวมเสื้อคลุมนางก็ไม่รู้สึกถึงความหนาวอีกต่อไป

นางเดินมาจนถึงใจกลางของลานบ้าน เดินเข้าไปภายในศาลาอี้เหลียง นั่งลงเพียงลำพัง ทอดมองกองหิมะที่ค่อนข้างสูงภายในลานกว้างสลับกับมองหิมะที่ตกลงมาจากท้องนภาอีกครา ในใจพลันรู้สึกห่อเหี่ยวอยู่เล็กน้อย

ฤดูกาลนี้ ภายในภูเขาหมินก็มีสภาพแบบนี้เฉกเช่นเดียวกัน

ทว่าภูเขาหมินดูมีชีวิตชีวากว่าที่นี่เล็กน้อย เพราะที่นั่นเป็นเขาสูงทั้งยังมีต้นไม้จำนวนมาก

คาดมิถึงว่าสิ่งที่ตนคิดอยู่ในตอนนี้จะเป็นหิมะบนภูเขาหมินแทนที่จะเป็นคนที่อาศัยอยู่ในภูเขานั่น… ทันใดนั้นสวี่ซินเหยียนก็รู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย จึงครุ่นคิดไปว่าหลังจากที่ท่านอาจารย์จากไป ตนก็มิได้นึกถึงผู้ใดในภูเขาอีกเลย !

แม้ว่าจะกลายเป็นผู้อาวุโสลำดับสามของลัทธิจันทรา แม้ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นช่วงเวลาหนึ่ง แต่ทว่าในความทรงจำส่วนลึกเกี่ยวกับผู้คนและสถานที่กลับคลุมเครือเป็นอย่างมาก

อาจจะเพราะตนหมกมุ่นอยู่กับการฝึกยุทธ์ จึงมิได้สนใจสรรพสิ่งในลัทธิ

นางรู้จักนักบุญเฉินจั่วจวิน และมีโอกาสพบกันอยู่หลายครา ถึงขั้นสนทนากันได้ถูกคอ

หลังจากนั้นก็เป็นศิษย์พี่ใหญ่มู่หรงเจียน ที่ดูแลตนมาเป็นอย่างดี นางนับถือเขาเยี่ยงพี่ชาย

หลังจากคืนที่ศิษย์พี่ไป๋จื่อตาย นางมิได้รู้สึกเศร้าใจเท่าใดนัก เพราะยามที่ยังเยาว์นางมักจะถูกศิษย์พี่ผู้นี้รังแกอยู่เสมอ

แน่นอนว่าสำหรับเหมียวเสี่ยวเสี่ยว ไป๋หลี่หงส์ และเหล่าผู้อาวุโสของลัทธิจันทรา นางได้สนทนากันน้อยคราเสียจนแทบจะไม่มีความทรงจำร่วมกันเลยก็ว่าได้

ส่วนปัจจุบัน เพิ่งได้มาพักอยู่ในจวนฟู่เพียงไม่กี่วัน กลับพบว่าความทรงจำที่สลักลึกในห้วงคำนึงคือฟู่เสี่ยวกวนอย่างคาดไม่ถึง !

คนผู้นี้ทำตนราวกับยุ่งเป็นอย่างมาก เขามาเยี่ยมนางที่เรือนซีเซวี๋ยไม่บ่อยเท่าใดนัก เขามิเคยเอ่ยถามเรื่องของนางกับลัทธิจันทราเลยสักครา คราสุดท้ายที่ได้สนทนากันคือวันที่เขามาบอกเรื่องการเปลี่ยนแปลงสถานะของนาง

วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า ในภูเขาหมินมิได้มีสิ่งใดพิเศษ ผู้คนเหล่านั้นราวกับว่าตายด้านกันไปแล้ว บางทีอาจจะเพราะภาระที่หนักอึ้งในใจหรือกังวลเรื่องความหวังที่ยากจะสำเร็จตามที่อาจารย์เคยกล่าวไว้ก่อนสิ้นใจ

แต่ ณ เมืองหลวงแห่งนี้กลับแตกต่างออกไป แม้จะอาศัยอยู่ในจวนหลังใหญ่ แม้จะมีหิมะตกหนัก แต่ก็ยังได้ยินเสียงประทัดที่ดังมาตามท้องถนน ทั้งยังได้ยินเสียงหัวเราะแสนสดใสของเหล่าเด็กน้อยอีกด้วย

นี่ คาดว่าจะเป็นการฉลองปีใหม่

หิมะตกหนัก ทั้งยังตรงกับวันขึ้นปีใหม่ ฟู่เสี่ยวกวนกำลังวุ่นอยู่กับเรื่องใดกัน ?

ในเวลานั้น ซูซูก็ได้เดินมานั่งตรงข้ามกับสวี่ซินเหยียน และได้นั่งเท้าคางกับโต๊ะหิน

นางจดจ้องมาทางสวี่ซินเหยียน สตรีผู้นี้ช่างงดงามอย่างแท้จริง นางจึงยกยิ้มขึ้นมาแล้วเอ่ยถามว่า  กำลังคิดถึงเขาอยู่ใช่หรือไม่ ?  

สวี่ซินเหยียนชะงักลง ใบหน้าพลันแดงก่ำพร้อมกับส่ายหน้าเป็นพัลวัน  เปล่านี่ 

 เจ้าหลอกข้ามิได้หรอก ขอเอ่ยตามตรงก็แล้วกัน ข้าอยู่ข้างกายเขามานาน เพียงพริบตาเดียวก็หนึ่งปีแล้ว ในเวลาหนึ่งปีนี้ข้ามักจะอยู่ข้างกายเขาและคอยปกป้องเขาอยู่เสมอ เยี่ยงไรเสีย หลังจากสตรีที่ยังมิได้ออกเรือนได้พบกับเขา มีน้อยคนนักที่จะมิชอบเขา 

สวี่ซินเหยียนครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนเอ่ยถามออกไปว่า  เพราะเหตุอันใดกัน ?  

ซูซูเลิกคิ้วขึ้น เม้มปากเล็กน้อย  รูปลักษณ์พอใช้ได้ ความสามารถทางวรรณกรรมก็ดี เข้าใจเรื่องการค้าขาย ทั้งยังเข้าใจกลศึกสงคราม เป็นขุนนางใหญ่แห่งราชวงศ์หยู เจ้าลองกล่าวมาสิ ในใต้หล้านี้มีบุรุษเยี่ยงนี้อยู่สักกี่คนกัน ? นี่มิใช่บุรุษที่สมบูรณ์แบบถือดาบเพื่อปกป้องสันติสุขและรักษาความสงบให้กับใต้หล้าตามตำนานที่ถูกบันทึกเอาไว้เยี่ยงนั้นหรือ ?  

 การชอบพอคนเยี่ยงนี้มิมีสิ่งใดให้ต้องอับอาย ข้าเองก็มิขอปิดบังเจ้าว่าข้าก็ชอบเขาเช่นกัน เพียงแค่…  สีหน้าของซูซูหม่นลง นางเม้มปากเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อว่า  เพียงแค่ช่วงเวลาที่ข้ามาอยู่ข้างกายของเขาค่อนข้างช้าไปเล็กน้อย จึงมิสามารถเดินเข้าไปในหัวใจของเขาได้ 

การที่ซูซูกล่าวอย่างตรงไปตรงมาเยี่ยงนี้ทำให้สวี่ซินเหยียนถึงกับตะลึงงันขึ้นมาทันใด

ทั้งสองต่างเป็นคนจากยุทธภพ แต่ทว่านางมิได้เปิดเผยเหมือนอย่างซูซู อาจจะเพราะนางอายุมากกว่าถึง 5 ปี และเข้าใจเรื่องระหว่างชายหญิงมากกว่าเล็กน้อย

 ความพอใจของข้าที่มีต่อเขา… กล่าวไปก็มีมิมาก คราแรกที่มาถึงเมืองหลวง ข้าได้อ่านบทกวีของเขา ได้อ่านความฝันในหอแดงที่เขาประพันธ์ขึ้นมา ข้ารู้สึกว่าคนผู้นี้เป็นนักประพันธ์ชั้นยอด แต่หลังจากได้ยินมาว่าเขาดีต่อราษฎรผู้ยากไร้เป็นอย่างมาก ข้าเองก็ยังมิเชื่อ ดังนั้นข้าจึงไปที่ภูเขาหนานซานหนึ่งหนและได้สนทนากับชาวบ้านที่นั่น จากนั้นจึงได้ทราบว่าเขามีจิตใจดั่งพระโพธิสัตว์โดยแท้จริง… 

สวี่ซินเหยียนก้มหน้าหลบสายตา และน้ำเสียงที่ใช้เอ่ยก็แผ่วเบาลงด้วยเช่นกัน  ดังนั้น ข้าจึงช่วยเขาเอาไว้ในคืนนั้น คิดว่าหากเขาตายไปแล้ว ชาวบ้านเหล่านั้นจะต้องเสียที่พึ่งพิงเป็นแน่ เกรงว่าจะเป็นการยากที่จะมีผู้ใดให้ความสำคัญต่อการอยู่รอดของพวกชาวบ้านเยี่ยงเขาอีก 

นางยิ้มออกมาและเงยหน้าขึ้นอีกครา แล้วมองไปที่ซูซู  เจ้าคงมิทราบว่าเดิมทีข้าเกิดมาจากครอบครัวที่ยากจน เพราะภัยแล้งในตอนอายุ 5 ขวบ มารดาจึงทิ้งข้าไว้จนเกือบจะหิวตาย ดังนั้น…ข้ากลัวว่าหากเขาตายไปแล้วชาวบ้านก็จะตายไปด้วย มิได้มีเหตุผลอื่นใดนอกเหนือจากนี้อีก 

ซูซูถอนหายใจยาวออกมา  ข้าเองก็เป็นเด็กกำพร้า เพียงแต่ข้าใช้ชีวิตในสำนักเต๋าตั้งแต่ยังเยาว์ จึงมิได้รู้สึกถึงความทุกข์ยากสักเท่าใดนัก ข้าเองก็เคยเห็นยามที่เขาลงไปทำงานในทุ่งนาด้วยเช่นกัน… 

ราวกับนึกขึ้นมาได้ ซูซูจึงฉายยิ้มบางออกมา  ในภายภาคหน้าเจ้าก็จะทราบเองว่าตัวตนแท้จริงของเขานั้นเป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดิน !  

…..

…..

ในยามนี้ คุณชายเศรษฐีที่ดินเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนกำลังปวดหัวเป็นอย่างมาก !

เขากำลังวุ่นอยู่กับการส่งของขวัญ

ครอบครัวของภรรยาทั้งสาม ก็ต้องไปเยือนทั้งหมด และปีนี้ยังเป็นปีแรกของการสมรสส่งผลให้ต้องไปเยือนบ้านญาติของภรรยาทั้งสามด้วยเช่นกัน

เขาพาเหล่าภรรยาออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ รถม้าคันใหญ่เต็มไปด้วยของขวัญมากมาย ทั้งยังมีผู้คุ้มกันจำนวน 30 นายและพ่อบ้านอีก 40 คนตามมาด้วย ระหว่างออกเดินทางก็เพลิดเพลินไปกับทัศนียภาพภายในเมืองจินหลิง

 ขบวนเดินทางของใต้เท้ากวนครานี้แตกต่างจากเดิม !  

 เขามินำทหารจากในวังมาก็ถือว่ามิเลวแล้ว ถือว่าใต้เท้ากวนจัดขบวนได้เงียบสงบ 

 ตอนนี้ใต้เท้ากวนเป็นถึงเสนาบดีกรมการค้าและเป็นขุนนางขั้นสาม คนผู้นี้ได้ตำแหน่งมาโดยอาศัยความสามารถของตนทั้งสิ้น !  

 ….. 

ถนนอันกว้างขวาง เหล่าชาวบ้านต่างชี้ไปทางขบวนรถม้าของฟู่เสี่ยวกวน สิ่งที่ออกมาจากปากของพวกเขาล้วนเป็นคำชมทั้งสิ้น

คำชื่นชมเหล่านั้นต่างก็ลอยเข้ามาถึงในรถม้า แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับมิได้ยินดีเท่าใดนัก เพราะปัญหาใหญ่ที่กำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ก็คือ…

มื้ออาหารส่งท้ายปีเก่าในคืนนี้ ล้วนได้รับเชิญจากแม่ยายทั้งสาม เยี่ยงนั้นควรไปจวนของผู้ใดดีเล่า ?

 

ตอนที่ 506 โหมโรง

ตอนที่ 506 โหมโรง

รัชสมัยเซวียนลี่ที่เก้า เดือนสิบสอง วันที่ยี่สิบเก้า ยามค่ำ

ท้องฟ้ามืดครึ้ม มองดูแล้วช่างน่ากลัวยิ่ง ก้อนเมฆสีเทาลอยปกคลุมเหนือเมืองจินหลิงแต่กลับมิมีลม ราวกับว่ามันกำลังจะกลืนกินที่แห่งนี้

ณ ริมฝั่งแม่น้ำฉินหวาย

เยียนเหลียงเจ๋อยืนมองผิวน้ำแล้วหลับตาลงช้า ๆ

นับจากคืนนั้นจวบจนบัดนี้ก็ย่างเข้าสี่วันแล้วที่แม่น้ำฉินหวายไร้ซึ่งหงซิ่วจาวตั้งอยู่ ส่วนศพของเปียนหรงเอ๋อยังคงอยู่ที่โรงเตี๊ยม

ร่างของนางถูกเผาเสียจนมอดไหม้ มองมิเห็นหน้าตา มีเพียงกำไลหยกบนข้อมือเท่านั้นที่บ่งบอกถึงตัวตนของนาง

คืนนั้น มีผู้คนอีกมากมายที่ต้องจบชีวิตลง เหลือเพียงคนสมควรตายผู้นั้นที่สามารถรอดไปได้ !

คาดว่าถงเหยียนเองก็ตกตายไปในสนามต่อสู้นั้นเช่นกัน

หรือจะเป็นดั่งที่ชาวบ้านกล่าวกันว่าสวรรค์เบื้องบนคอยปกป้องคนสมควรตายผู้นั้นเอาไว้ ?

เยียนเหลียงเจ๋อรู้สึกว่านี่เป็นความต้องการของสวรรค์ มิเช่นนั้นแล้ว การที่ตนตั้งใจจะเอาชีวิตของฟู่เสี่ยวกวนอยู่หลายครา เหตุใดเขาถึงยังสามารถรอดปลอดภัยไปได้กัน ?

เมื่อคืน ตนได้รับราชสาส์นลับจากเสด็จพ่อ เนื้อความช่างง่ายดายมากยิ่งนัก ระบุไว้เพียงประโยคเดียวว่า  ใจข้า…ผิดหวังยิ่ง !  

สิ่งนี้เปรียบเสมือนค้อนเหล็กอันใหญ่ทุบลงที่กลางทรวงอก นอกจากนี้ยังมีรายงานลับอีกหนึ่งฉบับ กล่าวว่าบัดนี้ทหารชายแดนตะวันออกได้รวมทัพขึ้นมาอีกครา และยังมีปืนใหญ่หงอีกว่าสี่ร้อยกระบอก

อีกทั้งได้มีการนำปืนใหญ่หงอี 100 กระบอกไปตั้งไว้ที่หัวเมืองต้าชิว !

หยูเวิ่นเทียนนำทหารกว่าหนึ่งแสนนายพร้อมด้วยปืนใหญ่หงอี 300 กระบอกมุ่งหน้าไปยังด่านจินหยาง

เยียนเหลียงเจ๋อสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด หากทหารของราชวงศ์หยูตีด่านจินหยางแตก และข้ามภูเขาจินหยางมาได้ ด้านหลังนั้นคือว่อเฟิงหยวนที่ราบกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต และเป็นคลังเสบียงที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นอี๋ !

หากดำเนินมาถึงขั้นนี้ หมายความว่าพวกเขาสามารถครอบครองพื้นที่แคว้นอี๋ไปได้กว่าสามส่วน มิน่าเล่าเสด็จพ่อถึงกังวลมากยิ่งนัก!

เจ้าฟู่เสี่ยวกวนได้เงินทองไปตั้งมากมาย แต่บัดนี้ ก็ยังมิเอ่ยถึงเรื่องการเจรจาออกมาเลย !

เยียนเหลียงเจ๋อเข้าใจได้ทันทีว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังเล่นงานตน และตนก็กำลังไร้หนทางที่จะรับมือ

ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูมิเปิดโอกาสให้เขาได้เข้าเฝ้า แม้แต่กรมพิธีการอย่างหงหลูซื่อก็มิให้เข้าพบ คนพวกนั้นกล่าวเพียงว่า การเจรจาครานี้ให้ทำตามที่ใต้เท้ากวนตัดสินใจ

เมื่อเป็นเช่นนี้ หมายความว่าหากฟู่เสี่ยวกวนอยากจะเจรจาเมื่อใด ถึงจะได้เริ่มการเจรจา

ทำเช่นนี้เพราะต้องการกักตัวตนไว้ที่นี่ เพื่อให้ทหารชายแดนตะวันออกเดินหน้าบุกยึดว่อเฟิงหยวนเยี่ยงนั้นหรือ ?

เขาถอนหายใจออกมา เจ้าหมอนี่จิตใจโหดเหี้ยมสิ้นดี แม้แต่ทหารหงหลิงที่แข็งแกร่งของแคว้นอี๋ กลับแพ้อย่างราบคาบเมื่ออยู่ต่อหน้าปืนใหญ่หงอี

วันรุ่งขึ้นก็เป็นวันที่สามสิบแล้ว

หากเอ่ยถึงหลายปีที่ผ่านมานี้ ตอนนี้ตนควรจะประทับอยู่ในตำหนักบูรพาที่แสนอบอุ่น รอรับของขวัญที่เหล่าขุนนางนำมาถวายอย่างสำราญใจ

แต่ทว่าบัดนี้ กลับต้องมานั่งกินลมหนาวอยู่ ณ ริมฝั่งแม่น้ำฉินหวาย !

ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะฟู่เสี่ยวกวน !

นัยน์ตาของเยียนเหลียงเจ๋อปรากฏความอาฆาตแค้นขึ้นมา รอให้ข้ากลับไปถึงแคว้นอี๋ก่อนเถิด ข้าจะให้องค์จักรพรรดิส่งกองทัพมาเอาคืนให้จนได้ !

มิเพียงแต่นำอาณาเขตที่ถูกยึดกลับคืนมาเท่านั้น อีกทั้งจะบุกเข้ามาในวังหลวงเพื่อนำศีรษะของฟู่เสี่ยวกวนกลับไปให้จงได้ !

หากเสด็จพ่อมิเห็นด้วย…เช่นนั้น ข้าคงต้องกระทำการบางอย่างเสียแล้ว !

……

……

ในขณะที่เยียนเหลียงเจ๋อกำลังหาวิธีจัดการฟู่เสี่ยวกวน ฝ่ายคนถูกหมายหัวกำลังนั่งอยู่ในศาลาเถาหราน

ผู้ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามคือขันทีเจี่ย ในมือถือรายงานลับไว้หนึ่งฉบับ

ฟู่เสี่ยวกวนมองรายงานลับในมือของอีกฝ่าย แล้วเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย สองตามองขึ้นไปยังท้องนภาที่ค่อนข้างจะมืดมน  หิมะน่าจะตกหนัก 

 นั่นสิ มิรู้ว่าที่เมืองกวนหยุนหิมะตกแล้วหรือยัง ?  

ฟู่เสี่ยวกวนดึงสายตากลับมามองขันทีเจี่ย คิ้วขมวดบ่งบอกถึงความกังวลในใจ  โจวถงถง…โดนองครักษ์ชุดแดงกว่าหนึ่งหมื่นนายล้อมเอาไว้ เขาจะรอดมาได้หรือไม่ ?  

 มิต้องกังวลไป โจวถงถงดูแลหอเทียนจีมากว่าสิบปี มิมีผู้ใดรู้ว่าเขาได้ขุดอุโมงค์ใต้ดินเอาไว้มากมายเพียงใด อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ในราชวงศ์อู๋ เขาจึงเปรียบเสมือนปลาในน้ำ เหล่าองครักษ์ชุดแดงจะจับกุมเขาได้เยี่ยงไร 

 แต่เขาต้องเดินทางไปยังเมืองกวนหยุน หากข้าเป็นนางปิศาจคงจะวางกับดักไว้มากมายเพื่อรอให้หนูมาติดกับ 

ขันทีเจี่ยนิ่งเงียบและครุ่นคิด ก่อนจะหัวเราะออกมา  ในเมื่อนางปิศาจร้ายขึ้นครองบัลลังก์ ทั้งยังจับขุนนางไว้เป็นตัวประกัน นางคงคิดว่าได้กำทุกสิ่งอย่างไว้ในมือแล้ว แต่แท้ที่จริงแล้วนางมิสามารถควบคุมได้เลยด้วยซ้ำ เจ้าอย่าคิดดูถูกจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เยี่ยงจัวอี้สิงและหนานกงอี้หยู่เชียว แม้พวกเขาจะถูกปลดออกจากตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี แต่ทว่าตลอดหลายสิบปีมานี้พวกเขาก็ยังคงมีพรรคพวกอยู่มากมาย

กอปรกับตำแหน่งจักรพรรดินีของนางได้มาโดยมิชอบธรรม พรรคพวกของสองจิ้งจอกเฒ่าจึงรอดูทิศทางลมก่อนเป็นแน่

จากที่ไตร่ตรองดูแล้ว นางจะต้องให้กรมกลาโหมรวบรวมกำลังทหารและเคลื่อนทัพไปยังทางเดินฉีซานเป็นแน่ เรื่องนี้มีเพียงกรมกลาโหมเท่านั้นที่ชำนาญกว่าผู้ใด แต่ที่สถานการณ์ยังคงยืดเยื้ออยู่เช่นนี้ต้องเป็นเพราะฝีมือของหนานกงอี้หยู่อย่างแน่นอน

ฟู่เสี่ยวกวนก้มหน้าครุ่นคิด  แต่หากยืดเยื้อไปเรื่อย ๆ นี่มิใช่วิธีที่ดีเท่าใดนัก 

 แต่ตาเฒ่านั่นคิดว่านี่คือวิธีที่ดีที่สุด 

 เขากล่าวว่าเยี่ยงไร ?  

 ตราบใดที่โจวถงถงนำ…ฟู่ต้ากวนไปยังเมืองกวนหยุน นางปิศาจก็จะไร้เวลาใส่ใจเรื่องทหารเหล่านี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการยึดอำนาจ จำต้องเปลี่ยนขุนนางชุดใหม่เกือบทั้งหมด นี่มิใช่เรื่องง่ายนางต้องใช้เวลาและความคิดมากพอควร

ฟู่ต้ากวนเดิมทีมีฐานะเป็นพระเชษฐาของจักรพรรดิพระองค์ก่อน ย่อมมีสายเลือดของจักรพรรดิอยู่ การที่ได้ทราบข่าวว่าโจวถงถงพาฟู่ต้ากวนเดินทางไปยังเมืองกวนหยุน นั่นก็เพื่อทำให้นางมิอาจควบคุมราชวงศ์ได้โดยง่าย 

ขันทีเจี่ยเงียบลงชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยว่า  ราชวงศ์อู๋คือสวรรค์ของคนแซ่อู๋ มิว่าจะเป็นราษฎรหรือขุนนาง ล้วนจงรักภักดีต่อเชื้อพระวงศ์ แต่ทว่านางปิศาจมิใช่ ดังนั้น ข้าจึงคิดว่าการที่นางทำเช่นนี้ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี อีกทั้งการกระทำที่รีบเร่งเยี่ยงนี้มักจะล้มเหลว 

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้ารับแสดงความเข้าใจ แต่กลับกังวลเรื่องความปลอดภัยของชายอ้วนผู้นั้นขึ้นมา

ส่วนเรื่องที่ว่าตนและหลิงเอ๋อร์มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน ข้าไปมีความสัมพันธ์กับนางตั้งแต่เมื่อใดกันเล่า !

ย่อมเป็นแผนการของนางปิศาจที่ตั้งใจใส่ร้ายข้าเป็นแน่ เพื่อที่จะใช้เหตุผลนี้มาอ้างให้นางได้ครองบัลลังก์อย่างมั่นคง

มิรู้ว่าบัดนี้อู๋หลิงเอ๋อร์เป็นเยี่ยงไรบ้าง ?

หากนางเป็นอิสระได้ก็จะยังคงรักษาตำแหน่งจักรพรรดินีเอาไว้ได้ดังเดิม เพราะนางปิศาจไม่มีพระราชโองการสืบทอดบัลลังก์

 ฝูงมดจงตั้งใจฟังราชโองการลับจากข้าทั้งสามข้อให้ดี 

 น้อมรับพระบัญชา 

 ข้อที่หนึ่ง เรื่องความเคลื่อนไหวทางตะวันตกของราชวงศ์หยู ต้องรายงานข้าโดยเร็วที่สุด 

 ข้อที่สอง ท่าป๋าเฟิงแห่งแคว้นฮวงได้รวบรวมกองกำลังปาฉี มีทหารจำนวนสี่แสนนาย จุดประสงค์ของเขานั้นมิต้องกล่าวท่านย่อมรู้ดี ข้าต้องการล่วงรู้แผนการและความเคลื่อนไหวของกองทัพแห่งแคว้นฮวง 

 ข้อที่สาม…การที่กองทัพรักษาการทางเหนือของราชวงศ์อู๋มิอาจเดินทางออกจากภูเขาฉีซานได้ถือเป็นเรื่องดี แต่หากเกิดเรื่องมิคาดฝันขึ้น จงถ่วงเวลาการเดินทางออกจากภูเขาฉีซานไปอย่างน้อยเป็นปลายเดือนหนึ่งของปีหน้า 

ขันทีเจี่ยลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับ  หมดหน้าที่ของข้าแล้ว เช่นนั้น ข้าขอลา 

ยามที่เดินจากไป ในมือของเขายังคงถือรายงานลับนั้นเอาไว้อยู่ ที่มิได้มอบให้กับฟู่เสี่ยวกวน เนื่องจากในรายงานลับนี้ยังเอ่ยถึงเรื่อง… บัดดี้องค์จักรพรรดินีทรงพระครรภ์ได้ 7 เดือนแล้ว

 

ตอนที่ 505 อย่าได้กล่าวถึงเรื่องในอดีตอีก

เขาคือสวี่เช่ากวง บิดาของสวี่หยุนชิง ท่านตาของฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงที่เบาะ สีหน้าของสวี่เช่ากวงปรากฏความตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย

ชายชราหลับตาลงและเคาะบักฮืออีกครา ปากยังคงพึมพำต่อไป ฟู่เสี่ยวกวนตั้งใจฟัง จึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังท่อง ‘พระสูตรมหาปรินิพพาน’

ทุกสิ่งบนโลก ล้วนมีเกิดและมีดับ

แม้อายุขัยจะหาที่สุดมิได้ ถึงเยี่ยงไรก็ต้องหมดลง

มีรุ่งเรืองย่อมมีถดถอย มีพบก็ต้องมีพราก

……

เสียงเคาะหยุดลง สวี่เช่ากวงลืมตาขึ้นมาอีกครา และหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน

 ประคองข้าที แล้วเดินไปกับข้า 

ฟู่เสี่ยวกวนประคองสวี่เช่ากวงขึ้น จากนั้นจึงพากันเดินออกมาจากห้องพระ เมื่อยืนอยู่ภายใต้แสงสุริยา ถึงได้พบว่าชายผู้นี้ได้ชราภาพโดยแท้

เดิมที คิดว่าสวี่เช่ากวงจะเล่าเรื่องของมารดาให้เขาฟัง คาดมิถึงว่าอีกฝ่ายจะมิเอ่ยอันใดออกมาเลยแม้แต่คำเดียว

 การที่สามารถหวนคืนมาพบกันได้ ข้ารู้สึกยินดียิ่งนัก 

 ข้าได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้าตั้งมากมาย เคยได้อ่านบทประพันธ์ของเจ้ามาก่อน ช่างยอดเยี่ยมยิ่ง ข้ารู้สึกดีใจมากยิ่งนัก 

 และในวันนี้ เจ้าได้เติบใหญ่ สมรสมีครอบครัวแล้ว ทั้งยังเป็นขุนนางคนสำคัญของฝ่าบาท เจ้าคงจะยุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมาก… จงไปเถิด หากมีเวลาว่างค่อยกลับมาพบกันอีก 

ฟู่เสี่ยวกวนโน้มคารวะ  ท่านตา หากข้ามีเวลาว่างข้าจะมาเยี่ยมท่านอีก 

 อืม เจ้าไปเถิด 

 ขอตัวลา 

สวี่หวยซู่เดินมาส่งฟู่เสี่ยวกวนถึงลานและได้เอ่ยถามขึ้น  เหตุใดเจ้ามิสนทนากับเขาให้มากกว่านี้อีกสักหน่อยเล่า ?  

ฟู่เสี่ยวกวนทำหน้าไร้เดียงสา  ข้ามิรู้ว่าจะสนทนาเรื่องใดกับเขา หรือจะให้มองหน้ากับเงียบ ๆ แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลกันเล่า ?  

ก็จริง ! อย่างน้อยตนก็เคยร่วมเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋กับฟู่เสี่ยวกวนมาก่อน ทั้งยังมีปากเสียงกันเล็กน้อย สองตาหลานคู่นี้คงจะมิทราบว่าจะสนทนาเรื่องใดกันอย่างแท้จริง

 ช่างเถิด ๆ… แล้วเมื่อใดเจ้าจะนำบุตรีของข้ามาส่ง ?  

 นางได้รับบาดเจ็บ เมื่อรักษาจนหายดีแล้ว ข้าจะนำตัวมาส่ง ระหว่างนี้ท่านก็กรอกชื่อของนางเข้าทะเบียนบ้านให้เรียบร้อยเสีย 

 นางพักฟื้นอยู่ที่ใด ?  

 จวนของข้าเยี่ยงไรเล่า 

 …  ทันใดนั้น สวี่หวยซู่ก็หันไปมองหน้าฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชมปานจะก้มกราบ เด็กนี่ห้าวหาญถึงเพียงนี้เชียว คาดมิถึงว่าจะกล้าพาอนุไปพักถึงที่จวน

ฟู่เสี่ยวกวนต้องโกหกภรรยาทั้งสามเป็นแน่ มิเช่นนั้น คงมิมีสตรีใดยอมรับเรื่องแบบนี้ได้หรอก

สมองของสวี่หวยซู่ถูกเติมเต็ม ทว่าเป็นการเติมเต็มแบบแปดเก้าไม่ถึงสิบ ข้อผิดพลาดเพียงหนึ่งเดียวคือการที่เขาปักใจเชื่อไปแล้วว่าสตรีผู้นั้นคืออนุของฟู่เสี่ยวกวนอย่างแท้จริง

ฟู่เสี่ยวกวนออกจากจวนสวี่และกลับไปยังจวนฟู่พร้อมกับซูเจวี๋ย จากนั้นจึงได้เดินเข้าไปในเรือนซีเซวี๋ย

ถงเหยียนยังคงนอนอยู่บนเตียง ทว่าเปลือกตาของนางได้เปิดขึ้นเนิ่นนานแล้ว นัยน์ตานั้นช่างว่างเปล่ายิ่ง

 ข้าได้ช่วยชีวิตฟู่เสี่ยวกวนเอาไว้… เดิมทีข้าต้องสังหารเขา… แต่ทว่าตอนนั้น ในใจมีเพียงความคิดที่ว่าถ้าช่วยเขาก็จะสามารถช่วยผู้คนอีกมากมายบนผืนปฐพีนี้ได้ 

 สถานที่นี้คือจวนฟู่ สตรีแสนงดงามเมื่อเช้าคงจะเป็นภรรยาของเขา แล้วเขาจะทำเยี่ยงไรกับข้า ? ส่งตัวให้ทางการ ? หรือว่าจะสังหารข้าหลังจากที่เค้นความจริงเรื่องแผนการของลัทธิจันทราได้สำเร็จ ?  

 เล่าลือกันว่าขุนนางระดับสูงเยี่ยงเขา มักจะเหยียบย่ำคราบโลหิตเพื่อไต่เต้าให้ตนเองสูงขึ้น หากสามารถกวาดล้างลัทธิจันทราได้ คาดว่าคงจะได้รับคุณงามความดีครายิ่งใหญ่ เพื่ออนาคตของเขา… เกรงว่าเขาจะลงมือกับข้าทุกวิถีทาง 

ในยามที่ถงเหยียนกำลังคิดฟุ้งซ่าน ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินเข้ามา

เขานั่งลงที่ขอบเตียง จดจ้องใบหน้าที่ดูแปลกตาทว่างดงามที่อยู่เบื้องหน้าของเขา จากนั้นจึงตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน…

นี่คือใบหน้าที่แท้จริงของถงเหยียนเยี่ยงนั้นหรือ ?

ให้ตายเถอะ ! ความงามของนางมิได้ด้อยไปกว่าภรรยาทั้งสามของตนเลยสักนิด !

ถงเหยียนฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เยาว์วัย เติบโตขึ้นในภูเขา แม้ตอนนี้ใบหน้าอันงดงามของนางจะซีดเผือด แต่ทว่าก็ยังคงจิตวิญญาณความองอาจเอาไว้อยู่ นางมีนิสัยบ้าระห่ำที่ภรรยาทั้งสามของเขามิมี แม้แต่ในดวงตาคู่นั้นก็มีความดื้อรั้นแฝงอยู่

ฟู่เสี่ยวกวนเคยคิดว่าจะสามารถควบคุมตนเองได้ดี แต่หลังจากที่ได้เห็นใบหน้าของนาง จิตใจก็ได้บังเกิดความหวั่นไหวขึ้นมา

 แค่ก แค่ก…  เขายกชายแขนเสื้อขึ้นปิดปากและกระแอมไอออกมาเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงกลืนน้ำลาย และได้โยนความหวั่นไหวในใจทิ้งไป แล้วกล่าวออกมาด้วยท่าทางที่จริงจังเป็นอย่างยิ่งว่า

 ในตอนนี้เจ้าต้องจดจำทุกคำที่ข้ากล่าว เพราะสิ่งนี้จะเกี่ยวพันถึงความเป็นและความตายของเจ้า !  

 เจ้าเอ่ยมาเถิด การช่วยชีวิตของเจ้าเป็นเพียงความคิดชั่ววูบเท่านั้น โดยพื้นฐานพวกเรายังคงเป็นศัตรูต่อกันอยู่ ทางที่ดีเจ้าควรสังหารข้าเสีย มิเช่นนั้น เกรงว่าภายภาคหน้าอาจจะเป็นข้าที่ใช้กระบี่บั่นคอเจ้า 

 บุตรสาวจวนใดบ้าง ที่วัน ๆ เอาแต่เอ่ยถึงเรื่องต่อสู้ฟาดฟันกันเยี่ยงเจ้า ? ในภายภาคหน้าเจ้าต้องเรียนปักผ้า !  

ปักผ้า… ถงเหยียนตาโตขึ้นมาทันพลัน จากนั้นจึงผุดรอยยิ้มขึ้นมา

ฟู่เสี่ยวกวนใจกระตุก แม่นางผู้นี้ร้ายกาจนัก ร้ายยิ่งกว่าเปียนหรงเอ๋อผู้นั้นเสียอีก

เปียนหรงเอ๋อดึงดูดใจผู้คนได้ ส่วนรอยยิ้มของแม่นางผู้นี้ก็สามารถล่อลวงให้หลงใหลได้เช่นกัน !

ฟู่เสี่ยวกวนรีบเก็บอารมณ์ของตนเอง แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า  จากนี้ต่อไป นามของเจ้าคือสวี่ซินเหยียน จงลืมชื่อถงเหยียนของเจ้าไปเสีย เจ้าคือสวี่ซินเหยียน !  

 เจ้าเกิดในจวนสวี่ บิดามีนามว่าสวี่หวยซู่ ปัจจุบันเป็นเสนาบดีกรมพิธีการแห่งราชวงศ์หยู… กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ข้าได้หาบิดาให้แก่เจ้าแล้ว ดีใช่หรือไม่ ?  

ถงเหยียนมิได้ตอบกลับอันใด แต่กำลังจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยใบหน้าที่ไม่ค่อยเข้าใจอยู่…

หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?

เหตุใดต้องแก้ชื่อเปลี่ยนแซ่ด้วยเล่า ? ทั้งยังหาครอบครัวที่ร่ำรวยให้อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?

ริมฝีปากของนางเผยอขึ้นเล็กน้อย  ด้วยเหตุผลอันใดกัน ?  

 มิใช่เพราะอันใดหรอก เจ้าช่วยข้าไว้และข้ามิชอบติดหนี้บุญคุณผู้อื่น ดังนั้น ข้าจึงช่วยชีวิตเจ้าเป็นการตอบแทน จะได้มิติดหนี้บุญคุณต่อกันอีก 

 เจ้าทราบหรือไม่ว่าตัวตนที่แท้จริงของข้าเป็นผู้ใด ?  

 เจ้าคือสวี่ซินเหยียน เป็นญาติผู้พี่ของข้า !  

ถงเหยียนคิ้วขมวดเล็กน้อย เขารู้ว่านางคือผู้ใดทั้งที่มิได้เอ่ยถาม มิเคยเอ่ยถามอันใดเลย… หรือว่าเขาต้องการช่วยนางอย่างแท้จริง หรือนี่จะเป็นเพียงกลยุทธ์ประวิงเวลา เพื่อให้นางเล่าความลับของลัทธิจันทราให้เขาฟังหลังจากที่นางตายใจแล้วกัน ?

 สำหรับเอกสารของจวนสวี่ ประเดี๋ยวข้าจะทำให้เจ้าหนึ่งฉบับ เจ้าต้องท่องจำให้คุ้นชิน นอกจากนี้ในภายภาคหน้า อย่างน้อยก็ก่อนที่ลัทธิจันทราจะล่มสลาย เจ้าจะมิสามารถออกไปข้างนอกได้ ข้ากังวลว่าเจ้าจะถูกคนของลัทธิจันทราตามสังหาร ส่วนวรยุทธ์ของเจ้าถูกศิษย์พี่ใหญ่สกัดจุดปิดเอาไว้ และจะยังมิเปิดคืนให้กับเจ้าในขณะนี้ เพื่อป้องกันมิให้เจ้าทำเรื่องโง่เง่า หากต้องมาตามเก็บศพเจ้าอีก คงจะวุ่นวายมากเสียทีเดียว 

 ตอนนี้อาการของเจ้ายังคงสาหัสนัก ให้พักอยู่ในจวนนี้ไปก่อน ได้รับยาสูตรพิเศษของศิษย์พี่ใหญ่รับรองว่าเจ้าจะหายเร็วขึ้น นอกจากนั้น… เจ้าควรทานให้มากขึ้นอีกสักหน่อย เมื่อเสียเลือดมากก็ต้องเสริมเข้าไปให้มากตาม จะได้มิป่วยเรื้อรัง 

 หากต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม ก็สามารถเรียกใช้บ่าวในเรือนได้ มิต้องเกรงใจ ทำตัวเหมือนเป็นบ้านของเจ้าได้เลย เพียงแค่อย่าวิ่งไปวิ่งมาและอย่ารื้อข้าวของในจวนก็พอ 

ระหว่างคิ้วของถงเหยียนคลายออก แม้ว่าความระแวงในจิตใจยังมิได้รับการปล่อยวางโดยสิ้น แต่นางก็สัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีของฟู่เสี่ยวกวนอย่างแท้จริง เขาหาใช่คนธรรมดาทั่วไปไม่ หากเป็นแบบนี้แล้วจะเป็นการนำปัญหามาเพิ่มให้กับเขาหรือไม่ ?

 ให้กล่าวตามจริง รูปลักษณ์ของเจ้าค่อนข้างเป็นภัยโดยแท้ เฮ้อ… เกรงว่าภายภาคหน้าจะเสียเปรียบให้กับไอ้สารเลวหน้าไหนเข้า !   ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจพลางส่ายหน้า ฝ่ายถงเหยียนหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ พลางกัดริมฝีปากเล็กน้อยและหลบสายตา

 จงพักฟื้นอย่างสบายใจเถิด อย่ากังวลเรื่องอื่น ข้าต้องไปพบเหล่าภรรยาของข้าแล้ว 

ฟู่เสี่ยวกวนเดินจากไปโดยมีถงเหยียนมองตามแผ่นหลังนั้นจนลับสายตา หวนนึกไปถึงเหตุการณ์บนรถม้าในคืนนั้น ใบหน้าก็พลันแดงก่ำขึ้นมาอีกครา รู้สึกราวกับตนจะเสียเปรียบให้กับไอ้สารเลวผู้นี้ไปเสียแล้ว !

 

ตอนที่ 504 ห้องพระ

ตอนที่ 504 ห้องพระ

ในหัวของสวี่หวยซู่เต็มไปด้วยคำถาม บุตรสาว ข้ามีบุตรสาวตั้งแต่เมื่อใดกัน ?

ภรรยาของข้าก็ยังอยู่ในจวน เจ้าอย่าริอาจมากระตุกหนวดแม่เสือได้หรือไม่ !

 เจ้าใส่ความข้า !  

 ท่านลุง ข้าเอ่ยเรื่องจริง… ไปเถิด พวกเราเข้าไปสนทนากันด้านใน 

 มิได้ ! เจ้าต้องอธิบายให้ข้าฟังโดยละเอียด จวนสวี่เป็นตระกูลของผู้ศึกษาตำราและเคร่งครัดยิ่ง พวกเราให้ความสำคัญต่อเรื่องในครอบครัว เจ้าอย่าได้มาทำลายชื่อเสียงของข้า 

สมองของท่านลุงช่างกลวงเสียจริง มิรู้ว่าสามารถขึ้นสู่ตำแหน่งเสนาบดีกรมพิธีการได้เยี่ยงไร

ฟู่เสี่ยวกวนส่ายศีรษะแล้วเดินนำเข้าไปด้านใน พร้อมกับลากแขนสวี่หวยซู่ตามเข้าไปด้วย

 ท่านลุง ข้าพบบุตรสาวของท่านจริง ๆ ท่านมิอยากได้บุตรสาวหรอกหรือ ? บัดนี้นางกลับมาและได้พำนักอยู่ที่จวนข้า ประเดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟังอย่างละเอียด แล้วท่านจะเข้าใจเอง 

สวี่หวยซู่ได้สติคืนมาจากความมึนงง พลางคิดขึ้นมาได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนมิเคยกระทำเรื่องมิเป็นเรื่องมาก่อน การที่อีกฝ่ายเดินทางมาเองและกล่าวเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ออกมา คาดว่าจะต้องมีจุดประสงค์แฝงอยู่เป็นแน่

ดังนั้น ชายสูงวัยจึงมองซ้ายแลขวาแล้วกระซิบเสียงเบาว่า  เจ้ากำลังคิดทำสิ่งใดอยู่กันแน่ ?  

 ความลับมิอาจแพร่งพรายออกไปได้ พวกเราเข้าไปคุยในห้องอักษรของท่านจะดีกว่า 

 เจ้าปล่อยแขนข้าก่อน !  

 อ่า… อืม 

สวี่หวยซู่สะบัดแขนออก เจ้านี่แรงเยอะใช่ย่อย บีบแขนข้าจนเจ็บไปหมด

เขาพาฟู่เสี่ยวกวนเข้ามาในห้องอักษร ต้มชามาหนึ่งกาแล้วจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน ก่อนจะเอ่ยอย่างจริงจังขึ้นมาว่า  เกิดเรื่องอันใดขึ้นกัน ?  

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วมองไปยังอีกฝ่าย เขาเอ่ยด้วยท่าทางจริงจังมิแพ้กันว่า  ปีไท่เหอที่สี่สิบสี่ ท่านป้าได้พาลูกพี่ลูกน้องวัยสามขวบของข้ากลับบ้านเกิดนางที่เหอตงเต้า เมื่อเดินทางไปถึงเมืองเฉิงอันจึงได้พบกับกองโจร ผู้คุ้มกันพยายามต่อสู้กับฝูงโจร ทว่าสุดท้าย ผู้คุ้มกันเหล่านั้นก็มิอาจต้านทานได้ พวกมันจึงชิงตัวลูกพี่ลูกน้องของข้าไป 

สวี่หวยซู่ขมวดคิ้ว  โป้ปด !  

ฟู่เสี่ยวกวนเผยอริมฝีปากขึ้น  อย่าเพิ่งด่วนตัดสินใจ ฟังข้าก่อน 

 ดังนั้น ท่านลุงจึงสูญเสียบุตรสาวไป นางมีนามว่าสวี่ซินเหยียน นางเติบโตด้วยการฝึกตนจนมีความสามารถที่หลากหลาย พอรู้ชาติกำเนิดที่แท้จริงจึงได้เดินทางมายังเมืองจินหลิงเพื่อตามหาพ่อแม่ที่แท้จริงของตนเอง 

 อาจจะเพราะคิดถึงบ้านเกิด สวี่ซินเหยียนจึงมิได้เดินทางมายังจวนสวี่โดยทันที แต่ทว่าเมื่อคืน นางไปยังหงซิ่วจาวซึ่งบังเอิญว่าข้าอยู่ที่นั่นด้วย 

สวี่หวยซู่เบิกตาโต เมื่อคืน หงซิ่วจาว ?

เมื่อคืน เจ้าเด็กนี่ถูกลอบโจมตีที่หงซิ่วจาว สาเหตุนี้ทำให้ฝ่าบาทเปี่ยมโทสะขึ้นมา และได้บัญชาการให้ทหารตะวันตกบุกโจมตีซีหรงเพื่อฆ่าผู้ร้ายเหล่านั้นเสีย ส่วนฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมายังจวนสวี่ด้วยตนเอง ทั้งยังตั้งใจแต่งเรื่องที่คล้ายความจริงนี้ขึ้นมา สตรีนามว่าสวี่ซินเหยียนเป็นผู้ใกันแน่ ?  

อืม…สวี่หวยซู่เข้าใจในทันที !

ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้ดูเจ้าเล่ห์ยิ่ง คาดว่าคงจะแอบไปพบกับแม่นางสวี่ซินเหยียนแต่คาดมิถึงว่าจะมีคนลอบทำร้าย แม้ว่าจะรักษาชีวิตของนางเอาไว้ได้ แต่เขาก็คงจะกลัวว่าตัวตนของสวี่ซินเหยียนจะถูกเปิดเผยออกมา

ภูมิหลังของภรรยาทั้งสามของอีกฝ่ายช่างแข็งแกร่งยิ่ง แน่นอนว่าเขาย่อมมิกล้านำสตรีนางนั้นเข้าจวนเป็นแน่ ดังนั้น… การที่เขามาทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ ก็เพื่อต้องการให้ตนรับสวี่ซินเหยียนเป็นบุตรสาว ในภายภาคหน้าเขาจะได้มาพบนางที่จวนสวี่ได้อย่างเปิดเผย

หากมองจากภายนอก ฟู่เสี่ยวกวนดูสงบเสงี่ยม แต่คาดมิถึงว่าภายในจะร้ายใช่ย่อย !

แต่สวี่หวยซู่ก็เข้าใจได้ในทันใด บุรุษล้วนมักมากในกาม การที่เจ้าหมอนี่เลี้ยงอนุเอาไว้ด้านนอกก็นับว่าเป็นเรื่องปกติ

ดังนั้นเขาจึงยิ้มแห้งแล้วกล่าวว่า  เจ้าจะแอบกินเล็กกินน้อยบ้างก็มิผิด แต่ควรจะเช็ดล้างให้สะอาด หากประสงค์จะให้ข้าช่วยปกปิดความลับก็ใช่ว่าจะมิได้ เพียงแต่ข้ามีข้อแลกเปลี่ยน 

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน ท่านลุงช่างสมองกลวงเสียจริง พาลคิดไปถึงเรื่องพรรค์นั้นได้เยี่ยงไร ข้ายังมิได้แม้แต่ชิม ก็ถูกมองเป็นคนแบบนั้นไปแล้วหรือ ?

ในเมื่อสวี่หวยซู่คิดไปเช่นนั้นก็มิจำเป็นต้องแต่งเรื่องของสวี่ซินเหยียนอีกต่อไป เขาจึงได้หัวเราะเหอะแล้วกล่าวว่า  ท่านลุงช่างฉลาดเสียจริง บอกมาเถิดว่ามีข้อแลกเปลี่ยนอันใด ?  

 จวนสวี่มีเงินมิมาก หากเจ้าต้องการให้ข้าเลี้ยงดูนาง ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้เจ้าต้องรับผิดชอบเอง 

มิใช่เรื่องยาก ฟู่เสี่ยวกวนตอบตกลงในทันที  ทว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องขอร้องให้ท่านลุงช่วยจัดการ 

เมื่อสวี่หวยซู่ได้ยินดังนั้นก็นึกประหลาดใจขึ้นมา หรือเจ้าหมอนี่ทำนางตั้งครรภ์กัน ? สวี่ซินเหยียนจะให้กำเนิดบุตรที่จวนของข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?

 เนื่องจากนางไร้ทะเบียนบ้าน ส่วนท่านก็เป็นถึงเสนาบดีกรมพิธีการ การแจ้งย้ายคนเข้าทะเบียนบ้านคงมิยากเกินไปใช่หรือไม่ ?  

 นางอายุเท่าใด ?  

 บุตรสาวของท่าน ท่านว่าเท่าใดก็เท่านั้น 

 …  เจ้านี่สนิทกับหนิงหยู่ชุนกว่าผู้ใด ยังต้องให้ข้าช่วยจัดการอยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ เห็นได้ชัดว่ามิต้องการให้ผู้อื่นรับรู้ ใบหน้าเหี่ยวย่นของสวี่หวยซู่ฉายยิ้มเวทนาขึ้นมา  เช่นนั้นก็ให้อายุสิบเจ็ดเท่ากันกับเจ้า 

ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้ว่าถงเหยียนอายุเท่าใด แต่นี่มิใช่เรื่องสำคัญ เพียงจัดการได้ลงตัวก็พอ ในใจของเขารู้สึกยินดียิ่งจึงได้หยิบตั๋วแลกเงินจำนวน 500 ตำลึงออกมาสองใบแล้ววางไว้บนโต๊ะน้ำชา

 นี่คือค่าใช้จ่ายของนาง หากใช้หมดแล้วก็บอกข้า 

สวี่หวยซู่รับไว้ด้วยท่าทางยินดี ในที่สุดหลานชายก็เดินทางมายังจวนสวี่เองจนได้ จะด้วยเหตุผลกลใดก็นับว่ามาแล้ว ซ้ำยังเรียกตนว่าท่านลุง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องเงินทองนั้นด้านภรรยาของตนค่อนข้างเคร่งครัด แต่ทว่าร้านกั๋วเซ่อเทียนเซียงที่เพิ่งเปิดใหม่ล้วนเต็มไปด้วยสตรีที่รูปร่างหน้าตาชวนให้หลงใหล

โดยเฉพาะแม่นางยิงฮวา ได้ยินมาว่านางเดินทางมาจากแคว้นหลิว อย่าว่าแต่เรื่องบรรเลงดนตรี วาดภาพหรือชงชาเลย เพียงแค่แววตาที่แสนอ่อนโยนของนางก็มากพอที่จะทำให้บุรุษทั้งจินหลิงหอบเงินทองมาที่ร้านเป็นจำนวนมากแล้ว

น่าเสียดายที่แม่นางยิงฮวาขายเพียงความสามารถ แม้จะเดินทางมายังกั๋วเซ่อเทียนเซียงร่วมครึ่งเดือนแล้ว จนบัดนี้ก็ยังมิมีผู้ใดได้เหยียบเข้าห้องของนาง

คืนนี้ข้าควรจะไปเยือนกั๋วเซ่อเทียนเซียงเสียหน่อยดีหรือไม่ ?

สวี่หวยซู่ยิ้มกริ่มขึ้นมาในใจแต่มิได้แสดงออกมา กลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้นมาว่า  ในเมื่อเจ้าเดินทางมาแล้ว ข้าจะพาเจ้าไปพบกับท่านตา 

……

จวนสวี่ช่างเงียบเหงาเสียจริง

เป็นถึงจวนของเสนาบดีกรมพิธีการ ทว่ามิมีแม้แต่บ่าวรับใช้ ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

สวี่หวยซู่เดินนำฟู่เสี่ยวกวนไปยังเรือนด้านข้างซึ่งเยือกเย็นกว่าเมื่อครู่มากยิ่งนัก หิมะที่อยู่กลางลานมิได้ถูกปัดกวาดแต่อย่างใด บัดนี้ได้ถูกแสงสุริยาแผดเผาจนค่อย ๆ ละลาย มองดูแล้วให้ความรู้สึกคล้ายดินโคลน

ฟู่เสี่ยวกวนขยับปลายจมูกฟุดฟิด คล้ายกับได้กลิ่นธูปหอมลอยมาตามลม จากนั้นจึงได้ยินเสียงบางอย่างดังขึ้น

ทั้งสองเดินเข้าไปในห้องพระจึงได้พบกับชายชราผู้หนึ่งนั่งอยู่กลางห้อง อีกฝ่ายกำลังเคาะบักฮือ1 ส่วนปากก็ได้พึมพำบางสิ่งออกมา

สวี่หวยซู่เดินเข้าไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของชายชราผู้นั้น โค้งคำนับแล้วกล่าวเบา ๆ ว่า  ท่านพ่อ ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาเยี่ยมท่าน 

เสียงเคาะบักฮือพลันเงียบลง ชายชราเงยหน้าขึ้นมามอง หลังจากเงียบไปสามอึดใจ ก็ได้หันศีรษะมามองช้า ๆ

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็โค้งคำนับเช่นกัน  สวัสดีขอรับท่านตา !  

ชายชราจ้องมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาที่ยากจะคาดเดาได้อยู่เนิ่นนาน ก่อนจะชี้ไปยังเบาะหวายที่อยู่ด้านข้างแล้วกล่าวออกมาอย่างกระชับว่า  นั่ง !  

1 บักฮือ คือ อุปกรณ์ในการสวดมนต์ ทำขึ้นมาจากไม้ แกะสลักลายคล้ายกับรูปปลา

 

ตอนที่ 503 ข้าพบตัวบุตรีของท่านแล้ว

หลังมื้ออาหาร แสงสุริยาในฤดูหนาวมิได้อบอุ่นเท่าใดนัก ฟู่เสี่ยวกวนได้เขียนจดหมายขึ้นมา 3 ฉบับ

ฉบับหนึ่ง ส่งถึงชุนซิ่วที่ขณะนี้ได้คอยจัดการอุตสาหกรรมทั้งหมดอยู่ ณ ซีซาน

เนื้อความกล่าวถึงการให้ชุนซิ่วนำปืนคาบศิลาและกระสุนทั้งหมดจำนวน 150,000 นัดจากสำนักอาวุธส่งไปยังชายแดนตะวันออกโดยขนส่งซีซานทันที และในขณะเดียวกันให้ส่งมอบให้แก่เผิงยวี๋เยี่ยนด้วย

ฉบับที่สอง ส่งถึงไป๋ยู่เหลียน เขาบอกเล่าถึงสถานการณ์ปัจจุบันของราชวงศ์หยูให้ทราบโดยละเอียด กล่าวว่าฝ่าบาททรงอนุญาตให้ขยายกองกำลังถึง 30,000 นาย หวังว่าไป๋ยู่เหลียนจะสามารถรับสมัครทหารให้ถึง 30,000 นายได้โดยเร็ว และให้พยายามลดเวลาในการฝึกซ้อมให้สั้นลงเท่าที่จะทำได้เนื่องจากเวลามิคอยผู้ใด

ฉบับสุดท้าย ส่งถึงเฉินป๋อซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพที่หนึ่งคนปัจจุบัน รับผิดชอบกองกำลังดาบเทวะที่ประจำการอยู่ที่ผิงหลิงและชวูอี้

แน่นอนว่ามีทหารใหม่รวมอยู่ถึงหนึ่งพันกว่าคน

ฟู่เสี่ยวกวนกำชับเฉินป๋อให้นำกำลังคนและอาชาจำนวน 5,000 นายพร้อมด้วยอาวุธครบมือตรงไปทางเมืองเปียนเฉิงและเข้าไปยังเส้นทางฉีซาน เพื่อฝึกทหารใหม่ เนื่องจากต้องตระหนักถึงความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในราชวงศ์อู๋

หากไทเฮาซีกุมอำนาจราชวงศ์อู๋อย่างแท้จริงและนำสงครามมาเยือนราชวงศ์หยู ฟู่เสี่ยวกวนคงจะรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เพราะคราหนึ่งบัลลังก์แห่งราชวงศ์อู๋เคยวางอยู่เบื้องหน้าของตน แต่ทว่าตนกลับมิได้คว้าเอาไว้

ยามที่ลูบไล้พระราชลัญจกรที่อยู่ในแขนเสื้อ ต้องถอนหายใจออกมาเสียทุกครา

หลังส่งจดหมายทั้งสามฉบับแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้พาซูเจวี๋ยออกจากจวนฟู่และตรงไปยังจวนสวี่ทันที

……

……

ขณะที่ยืนอยู่หน้าประตูจวนสวี่ ฟู่เสี่ยวกวนได้ก้มหน้ามองถนนที่ถูกหิมะปกคลุม แล้วเงยหน้าขึ้นมองกำแพงสูงที่รายล้อม พลันนึกประหลาดใจขึ้นมา

ข้อความบนหลุมฝังศพของมารดา สวี่หยุนชิง ถูกแต่งขึ้นมาเพื่อปกปิดความจริงระหว่างนางกับจักรพรรดิเหวิน

บิดาอ้วนของตนช่างมีความสามารถอย่างแท้จริง คาดมิถึงว่าเขาจะเขียนว่าศักราชไท่เหอปีที่ 43 ฤดูหนาว พื้นดินถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ คืนนั้น สายลมราวกับใบมีดที่แหลมคม หยุนชิงได้ปีนกำแพงออกมา ข้าและหยุนชิงอิงแอบกันไปตามทางเบื้องหน้า เมื่อหยุนชิงมองย้อนกลับไปอีกครา พบว่าจวนสวี่เริ่มเลือนหาย น้ำตาไหลอาบจนอาภรณ์เปียกชื้น

กำแพงสูงถึงเพียงนี้ สวี่หยุนชิงไร้วรยุทธ์ จะหลบหนีออกมาได้เยี่ยงไร ?

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแห้งพลางส่ายหน้า จากนั้นจึงเดินไปเบื้องหน้าแล้วเคาะประตูจวน

มาเยือนเมืองหลวงได้หนึ่งปีกว่าแล้ว ถือว่านี่เป็นคราแรกที่มาเหยียบถึงประตูจวนสวี่ เมื่อนึกไปว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นที่อยู่ของมารดา ส่วนท่านตาก็ออกจากราชการเพราะเรื่องของบุตรสาวแล้วขังตนเองอยู่แต่ในจวนเพื่อศึกษาพระธรรม ทันใดนั้น ส่วนหนึ่งในจิตใจก็รู้สึกเศร้าอยู่เล็กน้อย ก่อนหน้านี้ ได้ปักใจเชื่อว่าสิ่งที่สลักอยู่บนหลุมฝังศพเป็นเรื่องจริง จึงยากที่จะให้อภัยจวนสวี่ได้ แต่ทว่าบัดนี้ ได้ทราบว่าเป็นเรื่องเท็จ เมื่อนึกถึงคำกล่าวที่ท่านลุงสวี่หวยซู่เคยกล่าวกับตนเอาไว้ว่าท่านตาได้ชราภาพมากแล้วจึงปรารถนาจะได้พบหน้าหลานสักครา

การกลับมาครานี้ เรื่องในจินหลิงช่างยุ่งยากวุ่นวายยิ่ง… แท้จริงแล้วเป็นเพียงข้ออ้าง ขนาดว่าเรื่องของถงเหยียนยังเสียเวลาได้มิใช่หรือ ?

แต่การมาเยือนในครานี้ค่อนข้างจะฉุกละหุกไปเสียหน่อย มามือเปล่าเกรงจะถูกมองว่าเสียมารยาทเอาได้

ในจังหวะที่คิดว่าควรจะไปซื้อของขวัญติดไม้ติดมือมาสักเล็กน้อย ประตูจวนสวี่ก็ได้เปิดออก

ผู้เปิดประตูคือสวี่หวยซู่ !

ชายทั้งสองยืนห่างกันเพียงประตูกั้น มองตากันอย่างตกตะลึงงัน !

สองวันก่อนหน้านี้ สวี่หวยซู่ยังได้ร่วมฟ้องร้องฟู่เสี่ยวกวนอยู่ในท้องพระโรงอยู่เลย เนื่องจากราชทูตจากแคว้นอี๋มาเยือนกรมพิธีการพร้อมกับต้องการคำอธิบายเรื่องหนึ่ง ซึ่งตนดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมพิธีการแต่ทว่ากลับมิสามารถไขข้อข้องใจให้กับพวกเขาได้…

วันนั้น เจ้าฟู่เสี่ยวกวนได้ก่อความวุ่นวายที่สำนักงานของกรมพิธีการ มิใช่เรื่องล้อเล่น !

สวี่หวยซู่รู้จักนิสัยของหลานชายผู้นี้ดี และทราบดีว่าสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กระทำไปย่อมมีเหตุผล แต่ทว่าเป็นตัวเขาเองที่ขี้ขลาด เกรงว่าคณะทูตจะทำให้เรื่องบานปลายจนกระทบถึงท้องพระโรง หากพวกเขาฟ้องร้องต่อพระพักตร์ฝ่าบาท ฟู่เสี่ยวกวนที่เป็นถึงราชบุตรเขยย่อมมิเดือดร้อนอันใด แต่ทว่าตนที่มีตำแหน่งเป็นเสนาบดีกรมพิธีการ และการรับรองเหล่าราชทูตย่อมเป็นหน้าที่ซึ่งมิอาจหลีกเลี่ยงได้

เขามิทราบว่าฟู่เสี่ยวกวนได้วางแผนกับฝ่าบาทเอาไว้แล้ว จึงกังวลว่าตนอาจจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง จึงร่วมฟ้องร้องฟู่เสี่ยวกวนเพื่อรักษาตำแหน่งของตนเอาไว้

ฟู่เสี่ยวกวนมาเยือนถึงหน้าประตูจวนเช่นนี้ ทั้งที่ในอดีตก็ได้เชิญมาหลายต่อหลายครา เกรงว่าครานี้คงมิได้มาเยือนด้วยจุดประสงค์ที่ดีเท่าใดนัก หรือว่าฝ่าบาททรงรับสั่งให้มาเล่นงานเขากัน ?

สวี่หวยซู่ค่อนข้างกังวลจึงนิ่งค้างไปชั่วครู่ จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า  ท่านเสี่ยวกวน มีธุระอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ชะงักไปเช่นกัน นึกประหลาดใจว่ามิใช่เจ้าหรอกหรือที่เคยเชิญข้ามายังจวนสวี่ ?

มิใช่ว่าข้าก็มาแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

เจ้าเพียงแง้มประตูแล้วเอ่ยถามผ่านช่องนั้น นี่มันหมายความว่าเยี่ยงไร ?

 หากมิมีธุระ ข้ามิสามารถมาที่นี่ได้เยี่ยงนั้นหรือ ?  

น้ำเสียงที่มิเป็นมิตรส่งผลให้สวี่หวยซู่ใจกระตุก เจ้าเด็กนี่มาเพื่อจับผิดอย่างแท้จริง !

 สุริยาในฤดูหนาวช่างน่ามองเสียจริง ข้าคิดว่าท่านเสี่ยวกวนควรไปหลานถิงจี๋เพื่อประพันธ์กวีสักบท มิแน่ว่าอาจจะได้สลักไว้บนหินเชียนเปยสืออีกก็เป็นได้ 

สองตาของฟู่เสี่ยวกวนเบิกกว้าง นี่มันความคิดอันใดกัน ? หากมิมีธุระก็ให้วิ่งไปประพันธ์กวี ณ หลานถิงจี๋ บ้าไปแล้วหรือเยี่ยงไรกัน ?

สวี่หวยซู่เหลือบมองพอเห็นท่ามิดีจึงรีบปิดประตูลงโดยมิลังเล พร้อมทิ้งคำเอ่ยไว้เพียงว่า  ข้าดูปฏิทินแล้ว ในวันนี้มิสะดวกรับแขก เชิญท่านเสี่ยวกวนกลับไปก่อนเถอะ 

เกรงว่าท่านลุงผู้นี้จะเป็นโรคทางสมอง !

ฟู่เสี่ยวกวนยังไม่สามารถกลับไปได้เพราะต้องรีบแก้ไขปัญหาเรื่องตัวตนของถงเหยียน

ดังนั้นจึงมองกำแพงสูง ลอบคิดว่าโชคดีที่ตนมีวรยุทธ์

เขาใช้วิชาคัมภีร์ทะยานบันไดเมฆา เพียงสองก้าวก็สามารถขึ้นไปยืนบนกำแพงได้ ซูเจวี๋ยยังคงนั่งอยู่บนรถม้า เมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนข้ามไปถึงอีกฝั่งจึงคิดว่าวรยุทธ์ของศิษย์น้องเล็กใช้ได้เพียงในสถานการณ์เยี่ยงนี้เท่านั้น

สวี่หวยซู่ที่ลงสลักประตูเสร็จ และกำลังจะเดินกลับเข้าไปด้านใน ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ทะยานลงไปที่ด้านหลังของเขา…

วรยุทธ์ขั้นสามของฟู่เสี่ยวกวนไม่สามารถลงพื้นโดยไร้เสียงได้ ดังนั้นจึงเกิดเสียง  ฟึบ !   จนสวี่หวยซู่ต้องหันกลับไปมอง…

บัดซบ !

สวี่หวยซู่ถึงกับผงะและถอยหลังไปสามก้าว เจ้าเด็กนี่มิล้มเลิกความตั้งใจหรือแท้จริงแล้วต้องการสังหารข้าให้สิ้นกันแน่ !

 เจ้า เจ้า อย่าเข้ามา ! หากเข้ามาข้าจะ… ข้าจะแจ้งทางการ !  

ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก ข้าเหมือนโจรที่จะมาปล้นจวนเยี่ยงนั้นหรือ ?

ด้วยทรัพย์สมบัติของตระกูลฟู่ ต่อให้เจ้ามอบจวนซอมซ่อนี้ให้ ข้ายังคร้านที่จะรับไว้ !

 มีเรื่องกังวลอันใด สามารถเอ่ยได้หรือไม่ ?  

 เจ้ากำลังจะทำสิ่งใดกันแน่ ? ที่ข้าฟ้องเจ้าเพราะข้าเลี่ยงมิได้ หรือเจ้าต้องการให้ข้าร่วมมือกับเจ้าทำเรื่องชั่วช้าใช่หรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกดีใจขึ้นมาทันพลัน แท้จริงแล้วลุงผู้นี้ใช้ได้เลยทีเดียว

เรื่องนี้ย่อมมิมีผลอันใดทั้งสิ้น ทว่าเขากลับมีความคิดบางอย่างขึ้นมา

 ข้าจะบอกถึงเจตนาของข้ากับท่าน แต่มิใช่เรื่องชั่วช้าทั้งสิ้น !  

 เจตนาของเจ้าคือสิ่งใด ?  

ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ฉีกยิ้มออกมา  ท่านลุง… 

สวี่หวยซู่ตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน อะไรกัน ? เขาเรียกข้าว่าท่านลุง ?

ลูกไม้ของเด็กผู้นี้มีมากมาย เอ่ยเอาอกเอาใจโดยมิมีธุระเยี่ยงนี้คงหนีมิพ้นหวังผลประโยชน์ เขาต้องมีแผนร้ายเป็นแน่ !

 เจ้าต้องการอันใดกันแน่ ผ่านมาตั้งนาน เจ้ามิเคยเรียกข้าว่าท่านลุงเลยสักครา จนข้าลืมไปแล้วว่าข้าเป็นลุงของเจ้า รีบกลับไปเสีย ประเดี๋ยวข้าต้องเดินทางเข้าวัง 

 หากท่านมิใช่ท่านลุงของข้า เยี่ยงนั้นก็ทูลเรื่องนี้ต่อฝ่าบาทเสีย หึ ๆ เกรงว่าท่านจะยังมิทราบว่าข้าใจแคบมากยิ่งนัก ท่านลองนึกดูเถิดว่าหากข้ารื้อจวนสวี่ ฝ่าบาทจะตำหนิข้าหรือไม่ ?  

 เจ้ากล้า !  

เสียงของสวี่หวยซู่ยังมิทันได้เงียบลง เพียงก้าวเดียวฟู่เสี่ยวกวนก็กระโดดไปถึงข้างศาลา จากนั้นก็เตะลงไปหนึ่งครา เสา…มิหัก แต่ทว่าทำให้หัวใจของสวี่หวยซู่แทบขาด

 หยุด ๆ ๆ เอ่ยมา เจ้ามีธุระอันใดกันแน่ ?  

 ข้ามาเพื่อบอกข่าวดีแก่ท่าน ข้าพบตัวบุตรีของท่านแล้ว !  

 … ?  

 

ตอนที่ 502 แผนจัดงานฉลองขึ้นปีใหม่

เรื่องที่เยี่ยนเป่ยซีสงสัย ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ไขข้อข้องใจแต่อย่างใด

ณ พื้นที่ราบชังซี ในตอนนั้น ตนมีโอกาสได้สนทนากับหยูชุนชิวและภรรยา ตนได้อธิบายถึงความสำคัญของการทำสงครามในภูเขา และได้อธิบายถึงการฝึกกองทัพโดยละเอียดอีกด้วย

ด้วยความสามารถของเผิงยวี๋เยี่ยนเมื่อได้ฟังวิธีการฝึกกองทัพจบแล้ว คาดว่าคงได้ลงมือกระทำการบางสิ่ง หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าเผิงยวี๋เยี่ยนต้องทำการฝึกฝนกองทัพขึ้นมาแล้วเป็นแน่

ดังนั้น จากแผนการเดิมที่จะส่งปืนจำนวน 30,000 กระบอกไปยังชายแดนตะวันออก เปลี่ยนเป็นส่งมอบให้กับเผิงยวี๋เยี่ยนเสียก่อน เมื่อประเมินจากความสามารถของนางแล้ว เขาย่อมมั่นใจได้ว่านางจะนำปืนคาบศิลาไปใช้ประโยชน์ได้ดียิ่ง

ทว่ากำลังการผลิตปืนคาบศิลามีจำนวนจำกัดเพียงวันละ 100 กระบอกเท่านั้น

ส่วนปืนที่ผลิตออกมาก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าต้องเตรียมส่งให้ทหารดาบเทวะของตนรวมไปถึงทหารกลุ่มแรกที่เปิดรับสมัครในผิงหลิงและกลุ่มที่สองในซีซาน รวมแล้วราว 10,000 คนเห็นจะได้

ภายในหนึ่งเดือนซีซานสามารถผลิตปืนคาบศิลาได้เพียง 3,000 กระบอก นับตั้งแต่เดือนเก้าที่ทหารดาบเทวะเดินทางออกจากภูเขาเฟิ่งหลินก็ผ่านมาถึงสามเดือนแล้ว หมายความว่าปืนคาบศิลา 10,000 กระบอกเมื่อหักความต้องการของทหารดาบเทวะไป 6,000 กระบอก และส่งไปยังสำนักเต๋า 1,500 กระบอก ยังคงเหลืออีกประมาณเกือบ 3,000 กระบอก

ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้ว่าทหารของเผิงยวี๋เยี่ยนเป็นเยี่ยงไร สำหรับปืนคาบศิลาเมื่ออยู่ในมือของทหารดาบเทวะพวกเขาจะสามารถใช้งานได้อย่างมีประโยชน์ แต่เมื่ออยู่ในมือของเผิงยวี๋เยี่ยน…มิรู้ว่านางจะสามารถเอาชนะบรรดาผู้มีความสามารถแห่งลัทธิจันทราได้หรือไม่ ?

ถึงเยี่ยงไรแล้ว ปืน 3,000 กระบอกนี้ก็ต้องส่งไปให้เผิงยวี๋เยี่ยนเสียก่อน เกรงว่าสำนักอาวุธปืนที่ผิงหลิงต้องเร่งมือให้มากกว่าเดิมเสียหน่อยแล้ว

มิรู้ว่าเจ้าฉินเฉิงเย่ได้เดินทางไปถึงผิงหลิงและได้พบกับโจวเถียเจี้ยงแล้วหรือยัง

เฟิ๋งหล่าวซื่อได้นำคณะเดินทางไปถึงผิงหลิงแล้ว แต่เนื่องจากหิมะที่ตกหนัก การค้นหาเหมืองเหล็กในภูเขาผิงหลิงต่อให้เร่งรีบถึงเพียงใดก็ต้องรอให้ผ่านวันปีใหม่ไปเสียก่อน เพื่อรอให้หิมะละลาย

ทางขนส่งซีซานได้ส่งแร่เหล็กไปที่ผิงหลิงจำนวนมาก หวังว่าโจวเถียเจี้ยงจะสามารถค้นหาวิธีการถลุงเหล็กที่มีความเสถียรมากกว่าเดิมได้

ในระยะเวลาสั้น ๆ นี้ ฟู่เสี่ยวกวนได้ครุ่นคิดหลายเรื่องอยู่เนิ่นนานและเล็งเห็นว่าที่ห้องทรงพระอักษรคงมิมีเรื่องอื่นใดนอกจากนี้แล้ว จึงลุกขึ้นยืนแล้วขอตัวออกมา หลังออกจากวังหลวงเขาได้เงยหน้าขึ้นมองท้องนภา จึงได้เห็นว่าสุริยาได้โผล่พ้นขึ้นมาเหนือศีรษะแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งรถม้ากลับจวนฟู่ พบว่าภรรยาทั้งสามกำลังนั่งล้อมวงปรึกษากันเรื่องงานฉลองขึ้นปีใหม่

 เมื่อปีก่อน ทุกคนในจวนได้รับอั่งเปาคนละ 10 ตำลึง ส่วนปีนี้มีทั้งสิ้น 200 คนรวมผู้ดูแลอีก 80 คน เนื่องจากตลอดทั้งปีที่ผ่านมาพวกเขาล้วนปฏิบัติหน้าที่อย่างขันแข็ง ข้าคิดว่าในปีนี้ควรเพิ่มเงินอีก 20 ตำลึงจากปีก่อน พวกเจ้าเห็นว่าเป็นเยี่ยงไร ?  

เมื่อต่งชูหลานเอ่ยจบ สายตาของนางพลันไปเห็นฟู่เสี่ยวกวนกำลังเดินเข้ามา ส่วนหยูเวิ่นหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวยังมิเคยได้ยินว่าปีใหม่ต้องให้อั่งเปาแก่บ่าวรับใช้ คาดว่าคงเป็นสามีของพวกนางนั่นแหละที่ตั้งกฎเหล่านี้ขึ้น จากนั้นพวกนางจึงพยักหน้าเห็นด้วย

บัดนี้ หยูเวิ่นหวินเองก็ได้เห็นฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามาแล้วเช่นกัน นางจึงเอ่ยถามขึ้นว่า  แม่นางที่กำลังรักษาตัวอยู่ในเรือนซีเซวี๋ยผู้นั้น…คือแม่นางจากยุทธภพที่ช่วยเจ้าเอาไว้เยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าแล้วนั่งลงข้างเตาผิงเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่ฝ่ามือ  เมื่อคืนนี้สามีของพวกเจ้าช่างโชคดีเสียจริง หากมิใช่เพราะแม่นางผู้นั้น คาดว่าจวนฟู่ต้องแขวนผ้าขาวเสียแล้ว 

ต่งชูหลานจ้องไปที่เขาเขม็ง  วันปีใหม่ทั้งที อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องมิเป็นมงคลเลย !  

เยี่ยนเสี่ยวโหลวมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนอย่างกังวลใจ  วันนี้ ข้าได้ยินเรื่องนี้มาเช่นกัน เล่ากันว่ามีคนตายจำนวนมาก คนพวกนั้นสมควรตายอย่างแท้จริง… ท่านพี่ ต่อจากนี้ทุกคราที่เดินทางออกนอกจวนควรจะระมัดระวังเป็นพิเศษ ข้าว่าท่านเพิ่มผู้ติดตามดีหรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนโบกไม้โบกมือ  มิเป็นไร โจรเหล่านั้นถูกสังหารจนหมดแล้ว…แม่นางผู้นั้นเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?  

 ยังมิสามารถลงจากเตียงได้ สีหน้าซีดเซียว ซูซูได้ปรุงยาสูตรเฉพาะที่ศิษย์พี่ใหญ่คิดค้นขึ้นมาให้กับนาง กล่าวว่าบาดแผลบริเวณท้องค่อนข้างฉกรรจ์ เกรงว่าต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือนถึงจะหายดี ข้าเองก็ได้ไปดูอาการและได้เคี่ยวซุปโสมให้กับนางด้วย ทว่านางสามารถดื่มได้เพียงไม่กี่คำเท่านั้น ยังดีที่นางสามารถกินข้าวต้มได้หนึ่งถ้วย… 

หยูเวิ่นหวินครุ่นคิดแล้วกล่าวด้วยท่าทางเปี่ยมเลศนัย  ข้ามิเคยพบเจอแม่นางผู้นี้มาก่อน รูปร่างหน้าตาช่างงดงามยิ่ง ในตอนที่พวกเจ้าไปหงซิ่วจาว บังเอิญพบนางได้เยี่ยงไรกัน ?  

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักขึ้นมาทันพลัน จำได้ว่าหยูเวิ่นหวินเคยพบหลิ่วเยียนเอ๋อร์มาก่อน หรือนางลบการพรางตัวแล้วคืนสู่สภาพความเป็นจริงแล้ว ?

เกรงว่าถ้าถงเหยียนยังคงใบหน้าของหลิ่วเยียนเอ๋อร์อยู่ หากเป็นเช่นนี้ ผู้คนในเมืองหลวงจำนวนมากย่อมจดจำนางได้เป็นแน่ หากต้องการสร้างตัวตนใหม่ให้แก่นางคงจะวุ่นวายน่าดู

นี่ถือเป็นความคิดของซูโหรว หลังแน่ใจว่าฟู่เสี่ยวกวนและซูเจวี๋ยจะมิลงมือฆ่าสตรีนางนี้ นางจึงได้เปิดบทสนทนากับถงเหยียน

บทสนทนานั้นไร้ซึ่งผู้อื่นรับรู้ ท้ายที่สุดถงเหยียนจึงยอมรับคำแนะนำของซูโหรวแล้วลบการอำพรางใบหน้าออก เพื่อคืนสู่สภาพเดิมของตน

นึกได้ดังนั้น ฟู่เสี่ยวกวนจึงตระหนักได้ว่าจะต้องเดินทางไปจวนสวี่

 เอ่ยไปแล้วพวกเจ้าอาจจะมิเชื่อ ทว่าแม่นางผู้นี้คือลูกพี่ลูกน้องของข้า นางมิได้เติบโตขึ้นมาในเมืองจินหลิง แต่เพิ่งเดินทางมาได้มินาน อย่าว่าแต่พวกเจ้ามิรู้จักเลยเพราะก่อนหน้านี้แม้แต่ข้าเองก็มิรู้จักเช่นกัน ถ้ามิใช่เพราะบังเอิญพบกันที่หงซิ่วจาวและนางได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ 

หยูเวิ่นหวินมิได้เอ่ยถามออกมาอีก ส่วนต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็มิได้คิดมาก เพียงสามีปลอดภัยก็พอแล้ว อีกอย่างแม่นางผู้นี้ก็ช่วยชีวิตสามีของพวกนางเอาไว้ พวกนางควรหาโอกาสตอบแทนจึงจะถูก

ด้านฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกผิดอยู่ในใจเพราะเป็นคราแรกที่โกหกภรรยา ทว่าตัวตนที่แท้จริงของถงเหยียนจะให้ผู้ใดรับรู้มิได้เป็นอันขาด เขามิมีทางเลือกอื่นจึงตัดสินใจเช่นนี้

ดังนั้นชายหนุ่มจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ยกยิ้มแล้วกล่าวขึ้นมาว่า  เมื่อครู่ ข้าได้ยินพวกเจ้าเจรจากันเรื่องอั่งเปา ทางซีซานได้จัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง ? อย่าลืมที่ผิงหลิงกับชวูอี้ และที่หนานซานด้วยล่ะ 

 ข้าจัดการที่ซีซานเรียบร้อยแล้ว ได้ให้เท่ากับปีที่ผ่านมา แต่ที่ผิงหลิงและชวูอี้อีกทั้งหนานซาน… เนื่องจากยังมิได้สร้างผลิตภัณฑ์ออกขาย ข้าเห็นว่าทั้งสามที่นี้ให้ผ่านไปก่อนดีหรือไม่ ? มิเช่นนั้น ถ้าในอนาคตจวนฟู่ขยับขยายกิจการไปทั่วหล้า มิต้องแจกอั่งเปาจำนวนมากขึ้นกว่าเดิมหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขามิได้ขัดความเห็นของต่งชูหลาน แต่เอ่ยเสริมขึ้นมาว่า  เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ หากโรงงานอุตสาหกรรมแห่งใหม่ทำกำไรได้ พอถึงปลายปีพวกเราค่อยแจกอั่งเปาให้กับพวกเขา มิจำเป็นต้องให้จำนวนมากเช่นนี้ ถือว่าเป็นน้ำใจเล็กน้อยจากพวกเราดีหรือไม่ ? 

 อืม  ต่งชูหลานพยักหน้าเห็นด้วย จากนั้นจึงปรากฏร่างของเสี่ยวเซวี๋ยวิ่งเข้ามา  นายท่าน ฮูหยินเชิญรับประทานอาหารเจ้าค่ะ 

ฟู่เสี่ยวกวนนึกถึงคำเชิญของต่งคังผิงแล้วยกยิ้มออกมา  คืนนี้พวกเราจะเดินทางไปกินมื้อค่ำที่จวนต่ง ทราบมาว่าท่านแม่ยายได้ทำหัวปลาน้ำแดงเตรียมไว้ 

ต่งชูหลานเหล่ตามองสามีของนางพลางนึกในใจว่านางได้ลองทำหัวปลาน้ำแดงอยู่หลายครา เหตุใดจึงทำได้มิดีกัน ?

ทว่าเวิ่นหวินกลับสามารถปรุงน้ำซุปได้รสชาติใกล้เคียงกับฮองเฮาซั่งมากยิ่งนัก

ต่อจากนี้นางจะมัวแต่สนใจกิจการเพียงอย่างเดียวมิได้แล้ว เรื่องปากท้องและความพึงพอใจของสามี นางก็จำเป็นต้องฝึกฝนให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

 

ตอนที่ 501 หารือการทหารบนกระดาษ

 มีสิ่งใดมิเหมาะสมกัน ?  

ฮ่องเต้ตรัสถามพร้อมพระขนงที่ขมวดขึ้นเล็กน้อย

ในสายตาของฮ่องเต้ เยี่ยนเป่ยซีหรือผู้ใดก็ตาม ย่อมเห็นว่าการที่ฟู่เสี่ยวกวนขัดวิธีการของฝ่าบาทมิใช่เรื่องแปลก ชายผู้นี้มักขัดแย้งด้านวิธีการกับฝ่าบาทเสมอ จนถึงตอนนี้ สิ่งที่เขาแย้งมาทั้งหมดมักสมเหตุสมผลกันอย่างยิ่ง

ทว่ามองเยี่ยงไรก็มิเห็นว่าวิธีการจัดการของฝ่าบาทมิได้มิเหมาะสมตรงไหน ดังนั้นฝ่าบาทจึงดำเนินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของแผนที่เช่นกัน

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งมองอีกครู่หนึ่งแล้วจึงหันกลับมา  กระหม่อมคิดว่า การที่หยูชุนชิวมุ่งหน้าจากตะวันออกไปทางตะวันตกจนถึงสู่โจว จำต้องอ้อมฉ่านโจวเพื่อผ่านฉินหลิงและเข้าเจี้ยนโจว… ความยากลำบากของเส้นทางนี้ ไม่ต่างจากการเข้าซีฮวง เกรงว่าผ่านไปสองเดือนก็ยังไม่สามารถไปถึงสู่โจวได้

ดังนั้น กระหม่อมจึงคิดว่าฝ่าบาทมิสมควรมีราชโองการถึงจือโจวเมืองสู่โจวเท่านั้น แต่ควรมีราชโองการถึงเต้าถายของเจี้ยนหนานทั้งตะวันออกและตะวันตกอีกคนละหนึ่งฉบับ เมืองยุทธศาสตร์ทั้งสองทาง… ต้องเสริมการป้องกันเมือง ทหารรักษาการณ์ต้องฝึกอบรมและเตรียมชุดเกราะ

นอกจากนี้ ในช่วงหลายวันที่ผ่านมา กระหม่อมได้ส่งปืนใหญ่หงอีกว่าหนึ่งร้อยกระบอกไปให้กับกองทัพชายแดนตะวันออก หากสงครามรุกเข้ามาก่อน… 

ฟู่เสี่ยวกวนหันกลับไปมองแผนที่อีกครา นิ้วมือชี้ลงตำแหน่งที่ตั้งของด่านชีผาน ซึ่งเป็นด่านแรกหากออกจากสู่โจวไปถึงซีฉินของฉ่านโจว

 กระหม่อมมีความเห็นว่า ให้กองทัพของหยูชุนชิวเข้ารักษาการ ณ ด่านชีผาน จะเหมาะสมกว่า 

เยี่ยนซือเต้าขยับมายืนหน้าแผนที่ พร้อมพิจารณาโดยละเอียดแล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า  หากกองกำลังศัตรูยึดหลิงโจวหรือหยูโจวแล้วเข้าสู่สองเส้นทางของเจียงหนานโดยใช้แม่น้ำแยงซีเล่า จะจัดการเยี่ยงไร ?  

ฟู่เสี่ยวกวนส่ายศีรษะ  ด้วยกำลังการเดินเรือในปัจจุบันมิสามารถรองรับจำนวนทหาร 300,000 นายรวมผู้ติดตามอีกเกือบ 400,000 นาย อย่างน้อยต้องใช้เรือขนาดใหญ่จำนวน 100 ลำ หากเซวี๋ยติ้งชานต้องการเรือคุณสมบัติเยี่ยงนั้น คงมิใช่เรื่องง่ายเพราะอย่างน้อยเขาต้องเสียเวลามากกว่าหนึ่งเดือน

หากเซวี๋ยติ้งชานต้องการถอยหลังต้องถอยโดยเร็ว ดังนั้นที่กระหม่อมคิดว่าเซวี๋ยติ้งชานจะออกเดินทางจากฉินหลิงไปฉ่านโจวและลงใต้อีกนั้น เหตุผลมีเพียง 3 ประการ

ประการที่หนึ่ง ช่วงฤดูหนาวถึงฤดูใบไม้ผลิคือช่วงที่แม่น้ำแยงซีแห้งขอด มิเอื้อต่อการสัญจรของเรือขนาดใหญ่

ประการที่สอง กองทัพของเซวี๋ยติ้งชานมิใช่ทหารเรือ แม้มิได้ต่อสู้กันบนน้ำ แต่น่านน้ำของแม่น้ำแยงซีตรงบริเวณช่องแคบฉวีถาง ช่องแคบอู รวมถึงช่องแคบซีหลิง… ก็คือตรงนี้ 

ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปยังสามจุดบนแผนที่ แล้วกล่าวอีกว่า  ช่องแคบแต่ยาวทั้งสามนี้มีกระแสน้ำไหลเชี่ยว และหินโสโครกใต้น้ำที่ซับซ้อน ทหารบกเมื่อไปอยู่บนน้ำย่อมเกิดอาการเมาเรือเป็นจำนวนมาก… พวกท่านรู้จักอาการเมาเรือหรือไม่ ?

หากเมาเรือ หลังยกพลขึ้นบกต้องใช้เวลาฟื้นฟูกำลังมิต่ำกว่า 5 วัน หากโดนกองทัพของกระหม่อมจู่โจม ทัพศัตรูย่อมเสียหายอย่างหนัก ดังนั้นนี่มิใช่สิ่งที่เซวี๋ยติ้งชานอยากเห็นเป็นแน่ หากเขาสามารถขึ้นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดได้ย่อมทราบถึงเหตุผลนี้ดี 

ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังกลับพร้อมกล่าวอย่างช้า ๆ  ประการสุดท้าย สิ่งที่กระหม่อมกังวลก็คือเซวี๋ยติ้งชานอาจจะไม่เข้าไปในซีฮวงตามราชโองการ หากเขาคิดจะต่อต้านต้องเป็นหลังจากรับราชโองการแล้วเป็นแน่ ดังนั้นเขาย่อมต้องเดินทัพจากเจี้ยนหนานตงเต้าเข้าเจี้ยนโจวจนถึง… 

ฟู่เสี่ยวกวนหันหน้ากลับมาดูแผนที่อีกครา จากนั้นก็ชี้นิ้วลงตำแหน่งทางสายเก่าจินหนิว  เขาต้องใช้ทางสายเก่าจินหนิวเพื่อข้ามด่านซีฉิน เข้าสู่เมืองเปาฉ่านโจวเลียบแม่น้ำเปาผ่านฉือเหมินแล้วผ่านฉินหลิง ออกจากซอกเขาเพื่อไปถึงชุนชวนระยะทางกว่าแปดร้อยลี้ 

ชายหนุ่มเดินกลับไปยังโต๊ะน้ำชา ยกชาขึ้นดื่มจอกใหญ่แล้วกล่าวอย่างฉะฉานว่า  กระหม่อมคิดว่ากองทัพของเซวี๋ยติ้งชานไร้หนทางไปยังเจี้ยนหนานซีของสู่โจว ดังนั้นให้กองทัพของหยูชุนชิวประจำการ ณ ด่านชีผานจึงจะสามารถป้องกันจุดยุทธศาสตร์ด้านตะวันออกและตะวันตกของฉินหลิงเอาไว้ได้

เพียงรักษามิให้ด่านชีผานแตก ที่ราบภาคกลางย่อมมิถูกโจมตี เป็นไปมิได้ที่จินหลิงจะถูกรุกราน ทว่าทหารรักษาการด้านทิศตะวันออกและตกของเจี้ยนหนานต้องมีกำลังพร้อมรบ หากกองทัพของเซวี๋ยติ้งชานถูกสกัดที่ด่านชีผาน กองทหารรักษาการตะวันออกและตกต้องรวมกันเป็นกองทัพเดียวเพื่อช่วยกันเข้าปราบเซวี๋ยติ้งชานจากด้านหลัง มิเช่นนั้น… 

ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมเลิกคิ้วขึ้น  มิเช่นนั้น เกรงว่าเซวี๋ยติ้งชานจะหันกลับมายึดเจี้ยนโจว หากเป็นเช่นนั้น คงมิง่ายที่กองทัพของกระหม่อมจะเข้าสู่ถนนเจี้ยนหนานซีได้

ทันทีที่ถนนเจี้ยนหนานซีตกอยู่ในเงื้อมมือของเซวี๋ยติ้งชาน เขาจะประสบความสำเร็จในการที่มียุ้งฉางหนึ่งเดียวในใต้หล้า ได้ครอบครองพื้นที่ราบขนาดใหญ่ ซีหรงจะกลายเป็นฐานกำลังขนาดใหญ่ของเขา เมื่อถึงเวลานั้น สงครามก็ยากที่จะรับมือแล้ว !  

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรแผนที่พร้อมพระขนงที่ยังคงมิคลายปม ทบทวนอยู่นานสองนาน จากนั้นจึงกลับมาประทับยังโต๊ะน้ำชา

 ที่เจ้ากล่าวมาก็มีเหตุผล ทว่ากำลังพลของทหารรักษาการเขตเมืองช่างน่าเป็นห่วงยิ่ง ผู้ใดจะมีความสามารถในการรวบรวมกำลังพลให้เป็นหนึ่งกัน ?  

ฟู่เสี่ยวกวนกระตุกยิ้มมุมปาก  กระหม่อมคิดว่าเฟ่ยอันสามารถทำได้ 

 เพียงมอบราชโองการลับให้แก่เฟ่ยอัน เขาย่อมมีอำนาจปกครองกองกำลังรักษาการแห่งเจี้ยนหนานซี ทั้งยังสามารถจัดการได้สำเร็จอย่างแน่นอน ทว่ากำลังพลนี้จะมีความสามารถเทียบเท่ากับกองทัพชายแดนตะวันตกได้หรือไม่ กระหม่อมมิกล้ารับประกัน ดังนั้นจึงอยากให้ทุกท่านเข้าใจเอาไว้ด้วยว่า…

หากศึกครานี้ได้รับความพ่ายแพ้ มิใช่เพราะเฟ่ยอันไร้ความสามารถ แต่ทว่าเกิดจากการเสียเปรียบด้านกำลังพลต่างหากเล่า ดังนั้นกระหม่อมจึงอยากทูลขอฝ่าบาทว่าอย่าได้ลงโทษเฟ่ยอันเลยพ่ะย่ะค่ะ 

 หากเฟ่ยอันพ่าย การรบในครานี้มิเท่ากับว่าเกิดเรือล่มเมื่อจอดหรอกหรือ ?  

 มิถูกต้องเพราะตราบใดที่เฟ่ยอันสามารถประวิงเวลาเซวี๋ยติ้งชานได้ครึ่งเดือนและตรึงกำลังเอาไว้ หยูชุนชิวจะมีโอกาสเข้าโจมตีศัตรูได้ 

เยี่ยนซือเต้าครุ่นคิด  กลับกัน หากเป็นเซวี๋ยติ้งชานที่เฝ้าเจี้ยนเหมินอยู่จะทำเยี่ยงไร ?  

 หากเซวี๋ยติ้งชานยึดด่านชีผานมิได้ เขาย่อมถอยกลับเจี้ยนเหมินอย่างแน่นอน ทว่าเจี้ยนเหมินเพียงอย่างเดียวนั้นไร้ความหมาย เขาจะต้องส่งทหารออกไปยึดเมืองเฉิงตูเป็นการล่วงหน้าอย่างแน่นอน ดังนั้นทหารที่คอยเฝ้าเจี้ยนเหมินย่อมเหลือไม่มาก

ถึงเวลานั้น แม้ว่าปืนใหญ่หงอีจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงกว่าแต่ก็ยังสามารถยิงไปถึงด้านล่างของเจี้ยนเหมินได้ การบุกเข้าเจี้ยนเหมินย่อมมิใช่เรื่องยากอีกต่อไป สิ่งที่กระหม่อมกังวลก็คือถ้าเซวี๋ยติ้งชานสามารถยึดเฉิงตูได้จะทำให้ชาวบ้านล้มตายจำนวนมาก ส่วนเสบียงคงมิเพียงพอให้ชาวเฉิงตูดำรงชีวิตได้ถึงฤดูกาลเก็บเกี่ยวคราหน้าเป็นแน่ 

เยี่ยนซือเต้าพยักหน้าเล็กน้อย  ดังนั้น จุดประสงค์ของกลศึกนี้คือให้หยูชุนชิวปิดเส้นทางหลบหนีของเซวี๋ยติ้งชานและให้เฟ่ยอันรวบรวมกองกำลังป้องกันเมืองเพื่อถ่วงเวลาการยึดเฉิงตูของเซวี๋ยติ้งชาน เพื่อเอื้อให้หยูชุนชิวมีเวลาไล่ตามศัตรูมากพอใช่หรือไม่ ?  

 เป็นเช่นนั้น ความเห็นของกระหม่อมหากเฟ่ยอันฉลาดพอ เขาจะเลือกใช้วิธีรบแบบกองโจรนั่นจะทำให้กองทัพของเซวี๋ยติ้งชานตื่นตระหนกตลอดทั้งวัน ส่วนกองทัพของหยูชุนชิวที่รุกเข้าไปอย่างไม่เร่งรีบต้องรักษาให้แนวหลังมีเมืองคอยเสริมเสบียง หากมิสามารถรักษาที่มั่นเอาไว้ได้ ทันทีที่เซวี๋ยติ้งชานโต้กลับ เกรงว่าหยูชุนชิวจะเกิดการสูญเสียคราใหญ่เพราะมีกำลังทหารเพียงหนึ่งแสนห้าหมื่นกว่านายเท่านั้น 

หลังจากที่ฮ่องเต้ได้ฟังดังนั้นจึงใช้เวลาทบทวนอีกชั่วครู่ แล้วจึงสรุปออกมาว่า  เยี่ยงนั้นก็ทำตามที่เสี่ยวกวนกล่าวมาเถิด ข้าจะออกราชโองการลับไปถึงเฟ่ยอันเพื่อให้เขาตรงไปยังถนนเจี้ยนหนานซีทันที 

เรื่องราวจึงถูกกำหนดไว้เช่นนี้ ในที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย ด้านฝ่าบาทตรงไปยังโต๊ะทรงพระอักษรเพื่อเขียนราชโองการลับ ฟู่เสี่ยวกวนจึงหันไปทางเยี่ยนเป่ยซี  หลักฐานที่แน่นอนเล่า ?  

หมายถึงเรื่องที่เซวี๋ยติ้งชานอาจจะก่อกบฏ

เยี่ยนเป่ยซีพยักหน้ารับ  ล้วนมีเค้าลางบ่งชี้อย่างชัดเจน เกรงว่าจิ่นชินอ๋องจะทนรอมิไหว 

 หากจิ่นชินอ๋องและลัทธิจันทราร่วมมือกันจริง เกรงว่ากองทัพนี้ต้องเพิ่มจำนวนทหารอย่างน้อย 100,000 นายขึ้นไป !  

เยี่ยนเป่ยซีตกใจขึ้นมาทันพลัน แล้วเงยหน้ามองฟู่เสี่ยวกวน

 

ตอนที่ 500 หารือ ณ ห้องทรงพระอักษร

ตอนที่ 500 หารือ ณ ห้องทรงพระอักษร

การเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์อู๋เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

ส่งผลให้สายลับแห่งราชวงศ์หยูที่แฝงตัวอยู่ในราชสำนักอู๋ไม่ทันได้รับรู้เรื่องที่ไทเฮาซีทรงกักขังเหล่าขุนนางเอาไว้ในพระราชวัง จึงมิได้นำเรื่องนี้ขึ้นรายงานต่อวังหลวง

ในยามที่ไทเฮาซีกุมอำนาจของราชวงศ์อู๋ไว้ในมือได้แล้ว ณ ห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้และฟู่เสี่ยวกวนกำลังหารือกับขุนนางท่านอื่นถึงแผนการพิชิตเมืองซีหรง

 เรื่องนี้อาจจะต้องเร่งด่วนสักหน่อย  เยี่ยนซือเต้าครุ่นคิดแล้วกล่าวต่อว่า  บัดนี้หิมะตกหนักจนปิดเส้นทางบนภูเขา ถนนเส้นภูเขาหมินจึงเดินทางลำบากกว่าปกติมากนัก การให้ทหารมากมายเดินทางเข้าเมืองซีหรงจึงมิใช่เรื่องง่าย 

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรไปที่เยี่ยนซือเต้า จากนั้นจึงแย้มพระสลวนออกมา และทรงหันพระวรกายไปทางเยี่ยนเป่ยซีแล้วตรัสขึ้นมาว่า  แผนการนี้ยังมิได้บอกกับผู้ใดใช่หรือไม่ ?  

เยี่ยนเป่ยซียกมือขึ้นคารวะ  แผนการนี้สำคัญยิ่ง กระหม่อมมิได้เอ่ยกับผู้ใดเลยพ่ะย่ะค่ะ 

ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นจึงเหมือนจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมา

เรื่องที่ขันทีเจี่ยนำมารายงานก่อนหน้านี้ ยืนยันได้ว่าองค์ชายสี่แห่งราชวงศ์หยูได้ติดต่อกับเซวี๋ยติ้งชาน แม่ทัพแห่งกองทหารตะวันตก ในคืนวันที่สิบห้าเดือนสิบเอ็ด กองทัพที่อยู่ในความดูแลของเซวี๋ยติ้งชานจำนวน 1,000 นายกำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองซีหรง โดยมิรู้ว่าจุดหมายปลายทางคือที่ใด และกำลังรอการตรวจสอบ

คาดว่าฝ่าบาททรงทราบเรื่องแล้วเป็นแน่

การประชุมราชวงศ์ในวันนี้ ฝ่าบาทมีรับสั่งให้ทหารตะวันตกเดินทางไปยังเมืองซีหรงเพื่อปราบปรามกองโจร และให้ฮั่วตงหลินฮ่องเต้แห่งเจิ้นซีเป็นผู้นำทัพ ให้จิ่งชินอ๋องหยูเวิ่นชูจัดเตรียมเสบียง นี่เป็นความตั้งใจที่วางเอาไว้ !

เป็นไปตามคาด เมื่อฝ่าบาทตรัสถึงนโยบายนี้ออกมา ทั้งยังเตือนถึงเรื่องที่เซวี๋ยติ้งชานอาจจะก่อกบฏ

 ข้าครุ่นคิดมาเป็นเวลาเนิ่นนาน และได้หารือกับท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ประการแรกคอยจับตาดูว่าเซวี๋ยติ้งชานสมรู้ร่วมคิดกับหยูเวิ่นชูหรือไม่ ประการที่สองการนำทหารโยกย้ายจากตะวันตกไปยังซีหรง ทั้งคนและม้าจำนวนสามแสนจำต้องกินและดื่ม ข้าอยากรู้นักว่าพวกเขาจะจัดการเรื่องนี้เยี่ยงไร 

นับว่าเป็นนโยบายที่ดียิ่ง ฟู่เสี่ยวกวนตั้งใจฟังและคิดตาม การเดินทางเข้าไปในซีหรงมิได้ง่ายดายเลย และหากจะเดินทางออกมาก็มิง่ายเช่นกัน หากปล่อยให้ทหารจำนวนสามแสนนายเข้าไปในเมืองซีหรง และต่อให้พวกเขาคิดจะก่อกบฏ ทว่าการบุกเข้ามายังเมืองจินหลิงจากเมืองซีหรงนับว่ายากกว่าการเดินทางมาจากทางตะวันตกมากโขเสียทีเดียว

ถือเป็นการกระทำที่หมดสิ้นหนทาง บัดนี้อำนาจของราชวงศ์หยูมิเพียงพอต่อการทำสงครามดังกล่าว การโยกย้ายทหารตะวันตกไปยังที่ห่างไกลย่อมเป็นกลยุทธ์ยืดเวลาเท่านั้น

เยี่ยนซือเต้าได้ยินดังนั้นจึงตกตะลึงไปชั่วขณะ คล้ายรับรู้ได้ถึงเหตุผลของการกระทำในครานี้จึงมิได้เอ่ยถามอันใดขึ้นมาอีก

ส่วนฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตรมาทางฟู่เสี่ยวกวน  เมื่อครู่ ในที่ประชุมข้ามิสามารถเอ่ยได้สะดวกนัก บัดนี้เจ้าจงฟังเอาไว้ให้ดี !  

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดใจยิ่ง ยังมีเรื่องใดที่เกี่ยวข้องกับข้าอยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?

 ข้าอนุญาตให้กองทัพดาบเทวะของเจ้า ขยายจำนวนเป็น 30,000 นายได้ !  

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกยินดียิ่ง ยังมีเรื่องดีเช่นนี้อยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?

เขารีบน้อมรับพระบัญชาแล้วทูลว่า  กระหม่อม ขอบพระทัยฝ่าบาท !  

ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์แล้วตรัสว่า  อย่าเพิ่งรีบขอบใจข้า เพราะข้ายังมิหมดเรื่องกล่าวกับเจ้า 

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลงอีกครา เยี่ยงนั้นก็รีบเอ่ยมาสิจะยึกยักทำไมกัน

 ข้าจะให้เจ้าเคลื่อนย้ายทหารดาบเทวะทั้งสี่พันนายที่เขตผิงหลิงไปยังเมืองเปียนเฉิง !  

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้นทันพลัน ให้โยกย้ายไปยังเมืองเปียนเฉิงเยี่ยงนั้นหรือ ? มิต้องเอ่ยถึงระยะทางอันไกลโพ้นเลย ! เมืองเปียนเฉิงมีปัญหาอันใดกันแน่ ?

 บัดนี้ กองทัพตะวันตกเหลือเพียง 50,000 นาย ทหารทางเหนือก็ลดน้อยลงเพราะสงคราม มิอาจหาทดแทนได้ในเร็ววัน หลังเจรจาตกลงกันแล้ว กองทัพทหารของหยูเวิ่นเทียนจะปักหลักป้องกันอยู่ทางเหนือ ส่วนหยูชุนชิวจะนำทัพไปยังถนนเจี้ยนหนานซีแห่งสู่โจว 

 ข้าจำต้องป้องกันเอาไว้ เพียงแค่รักษาสู่โจวเอาไว้ได้ ทหารฝั่งตะวันตกก็มิอาจบุกโจมตีได้เช่นกัน ทว่าการทำเช่นนี้ จะทำให้กำลังของกองทัพทหารตะวันตกลดลงอย่างรวดเร็ว แต่หากทางใต้เกิดสิ่งที่มิคาดคิดขึ้น… ย่อมเกิดความวุ่นวายขึ้นมาเป็นแน่ 

ทางใต้ที่กล่าวถึงก็คือราชวงศ์อู๋ !

ราชวงศ์อู๋ที่บัดนี้อยู่ในกำมือของไทเฮาซี หากนางปิศาจเข้าควบคุมราชวงศ์อู๋อย่างเป็นทางการ หากนางเป็นคนของลัทธิจันทราอย่างแท้จริง ความกังวลพระทัยของฝ่าบาทจึงนับว่ามีเหตุผลยิ่ง

บัดนี้ ฟู่ต้ากวนได้เดินทางไปยังราชวงศ์อู๋แล้ว เขาเป็นพระเชษฐาขององค์จักรพรรดิเหวิน เขามีสายเลือดของเชื้อพระวงศ์อยู่ เขา…ชายผู้นั้นจะทำให้ราชวงศ์อู๋ที่วุ่นวายกลับมาสงบสุขได้หรือไม่ ?

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า

การวางแผนไว้ล่วงหน้าย่อมเป็นผลดีเสมอ หากบิดาอ้วนของตนสู้นางปิศาจมิได้ แต่ก็ยังมีทหารดาบเทวะอยู่ถึงสี่พันนายซุ่มโจมตีทหารแนวหน้าของศัตรูอยู่ ณ ภูเขาฉีซาน คาดว่าจะสามารถสร้างความเดือดร้อนให้แก่ศัตรูได้มากโขทีเดียว

 ซือเต้า… 

 พ่ะย่ะค่ะ 

 หากว่าผ่านปีใหม่นี้ไป จงรีบรับสมัครทหารโดยเร็วที่สุด บัดนี้ทหารชายแดนเหนือและชายแดนตะวันออกได้สูญเสียกำลังพลไปกว่าสามแสนนายแล้ว เทียบเท่ากับกำลังทหารของราชวงศ์หยูหายไปกว่าหนึ่งกองทัพ มีรายงานมาจากแคว้นฮวงว่า ท่าป๋าเฟิงได้ใช้อำนาจก่อตั้งกองกำลังชั้นยอดถึง 400,000 นาย มีนามว่าดาบสวรรค์… 

 ข้ารู้สึกเป็นกังวลยิ่ง หากทหารเหล็กเหล่านั้นตีด่านเยี่ยนซานเข้ามาได้… เผิงเฉิงอู่ที่มีกำลังทหารอยู่ในมือเหลือมิถึง 200,000 นาย เขาจะรับมือไหวได้เยี่ยงไร ?  

เยี่ยนซือเต้าโค้งคำนับ  ทูลฝ่าบาท เหล่าเสนาบดีได้ส่งขุนนางออกไปหลายพื้นที่เพื่อแจ้งเรื่องประกาศรับสมัครทหารแล้ว จะเริ่มทันทีหลังจากเทศกาลเฉลิมฉลองปีใหม่สิ้นสุดลง 

 เช่นนั้นก็ดี… คังผิงรายงานของกรมคลังประจำปีนี้ เจ้าจะมิให้ข้าดูสักหน่อยเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ต่งคังผิงเบ้ปากก่อนจะหยิบสมุดเล่มบางออกมาจากอกเสื้อ  เพราะเจ้าหมอนั่นพาตัวชื่อหลางมือขวาของกระหม่อมไปจึงส่งผลให้ล่าช้ามาจนถึงบัดนี้ 

ฮ่องเต้รับสมุดรายงานเล่มนั้นไว้แล้วส่งเสียงหัวเราะออกมา  เขาเป็นบุตรเขยของเจ้า เรื่องเล็กน้อยยังจะเก็บมาใส่ใจอยู่อีกหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนยกมือขึ้นลูบจมูก เขาส่งยิ้มใสซื่อให้กับต่งคังผิง แต่อีกฝ่ายกลับจ้องมองเขาด้วยสายตาดุร้าย แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงบึ้งตึงว่า  แม่ยายของเจ้าบอกว่าให้ข้าพาเจ้ากลับไปกินมื้อเย็นที่จวนคืนนี้ !  

 ขอบคุณท่านพ่อตายิ่ง !  

ฟู่เสี่ยวกวนรีบโค้งคำนับ ตั้งแต่แย่งตัวหลี่ฉายไป เขาก็มิกล้าไปเยือนจวนต่งอยู่พักใหญ่ คาดว่าตอนนี้ท่านพ่อตาน่าจะคิดได้บ้างแล้ว และปล่อยผ่านเรื่องนี้ไปด้วยดี

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรรายละเอียดในสมุดเล่มนั้นแล้วขมวดคิ้วมุ่น  แผนการที่ทุกท่านวางเอาไว้เมื่อต้นปี มีเพียงนโยบายใหม่เท่านั้นที่ดำเนินการได้จริง ในปีนี้พวกเราถูกรุกรานจากแคว้นอี๋ทั้งยังถูกกองโจรทำลายความสงบ ส่งผลให้การผลักดันนโยบายใหม่ล่าช้าไปมาก อีกประการหนึ่งคือพวกเราควรมีเสบียงเก็บไว้จนเต็มท้องพระคลังแต่บัดนี้กลับเผชิญแต่อุปสรรค

ปีนี้ สองฝั่งแม่น้ำฮวงโหได้ประสบภัยพิบัติขึ้นมาอีกครา เดิมทีมีนโยบายแก้ไขปัญหาเตรียมเอาไว้แล้ว แต่ทว่าต้องส่งเสบียงให้สนามรบ จึงส่งผลให้อาหารที่จะนำไปแจกจ่ายแก่ผู้ประสบภัยมิเพียงพอ เรื่องเหล่านี้ข้ารู้ดี นึกเวทนาชาวบ้านที่ต้องทนทุกข์และพลัดถิ่นยิ่ง โชคยังดีที่พวกเขามิตัดสินใจหนีเข้าป่าแล้วตั้งตนเป็นโจรปล้นทรัพย์สินของผู้ใด 

บัดนี้สงครามทางเหนือได้สิ้นสุดลงแล้ว ผู้ร้ายได้เข้ามอบตัวแล้ว แต่ยังคงวางใจมิได้เป็นอันขาด ราชวงศ์หยูอาจต้องเผชิญหน้ากับศัตรูทางตอนใต้และตอนเหนืออีก

ดังนั้น ข้าจึงคิดว่าเสบียงสำหรับสองฝั่งแม่น้ำสมควรเตรียมให้พร้อมและอย่าได้โยกย้ายโดยพลการเป็นอันขาด อาหารของซานหนานตงเต้าทั้งตะวันออกและตกต้องค่อย ๆ ลำเลียงไปยังสู่โจว เพื่อให้กองทัพของหยูชุนชิวได้เตรียมความพร้อมอย่างพอเพียง

ธัญาหารที่เส้นทางหวยหนานจงส่งไปยังเมืองชังถงทางใต้ เพื่อตั้งรับเอาไว้ก่อนเช่นกัน 

ต่งคังผิงตั้งใจฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน ฟู่เสี่ยวกวนเองก็เช่นกัน อยู่ ๆ เขาก็ลุกขึ้นเดินไปยังแผนที่ที่แขวนเอาไว้ตรงผนัง และครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงขมวดคิ้วมุ่น

 มิเหมาะสมเท่าใดนัก !  

ถงถง จับเป็นหรือตายมิสำคัญ !  

ครานี้จัวอี้สิงจึงเงยหน้าขึ้นแล้วท้วงว่า  โจวถงถงมีความผิดอันใดกัน ?  

องค์ไทเฮาจ้องหน้าจัวอี้สิง  โจวถงถงควบคุมหอเทียนจีมาหลายสิบปี มีความสัมพันธ์อันดีต่อราชวงศ์หยู คอยขายข่าวคราวของราชวงศ์อู๋จนได้รับค่าตอบแทนมากถึง 3,000,000 ตำลึง หากมิเรียกว่าเป็นการทรยศแล้วจะเรียกว่าอันใด ?  

 ไอหยา ถูกต้องแล้ว อายเจียอายุมากเสียจนลืมเรื่องเล็กน้อยไป ขุนนางฉีรับราชโองการ อายเจียขอสั่งให้เจ้าปรับปรุงกองทัพรักษาเขตแดนทางเหนือโดยทันที มิใช่ว่าต้องการทำสงครามเยี่ยงนั้นหรือ หลังจากจัดเตรียมเสบียงเรียบร้อยแล้ว

คำกล่าวเพียงแผ่วเบา แต่ทว่ายามตกกระทบพื้นกลับก่อให้เกิดหลุมขนาดใหญ่

คาดมิถึงว่าพระนางจะเปิดสงครามกับราชวงศ์หยู !

ฉีเหรินเองก็ชะงักลงทันพลัน เพราะการโยกย้ายกองทัพจำต้องมีคทาอาญาสิทธิ์เคลื่อนทัพในมือ ทว่าไทเฮาซีกลับประกาศไว้เพียงราชโองการเท่านั้น มิได้มอบคทาอาญาสิทธิ์นั้นให้แก่ตน…

แต่กระนั้น เขาก็ยังค้อมศีรษะลงและรับราชโองการนั้นไว้  กระหม่อม น้อมรับพระบัญชา 

ไทเฮาซีทรงยืนขึ้น  วันนี้ให้พอเพียงเท่านี้ก่อน อายเจียเหนื่อยมากแล้ว พวกเจ้าทั้งหลายก็แยกย้ายไปยังสำนักงานเพื่อสะสางงานเถิด ค่ำนี้จงพักผ่อนอยู่ในวังหลวง มิต้องหารือเกี่ยวกับการบริหารบ้านเมืองเพราะข้ามิต้องการ หากจะโทษผู้ใดสักคนก็โทษสองพี่น้องนั่นที่มิระมัดระวังเถิด 

นางเสด็จออกจากพระราชวังจวี้หัว แต่ทว่ามิได้กลับไปยังตำหนักไทเฮา แต่กลับมายังตำหนักหยางซินแทน

 หาคทาอาญาสิทธิ์พบแล้วหรือยัง ?  

 ทูลฝ่าบาท ขันทีอาวุโสซือหลี่เจี้ยนกล่าวว่า คทาอาญาสิทธิ์มิได้อยู่ในวังหลวงแต่อย่างใด 

 แล้วอยู่ที่ใดกัน ?  

 เกรงว่าจะอยู่บนชั้นสิบแปดของหอเทียนจีพ่ะย่ะค่ะ 

 …รีบไปบอกฉีเหรินว่าโจวถงถงต้องจับเป็นเท่านั้น !  

 

ตอนที่ 499 ราชโองการ 4 ฉบับ

องครักษ์ชุดแดงผู้หนึ่งได้พาสตรีนางหนึ่งเข้ามายังพระราชวังจวี้หัว ซึ่งนางก็คือหยุนเหนียง เดิมทีได้ย้ายไปเมืองฝานหนิงและใช้ชีวิตอย่างสันโดษแล้ว

คาดมิถึงว่าบุตรีนามเสี้ยวเสี้ยวจะเอ่ยถึงบิดาขึ้นมาในขณะที่ออกไปเล่นกับเด็กคนอื่น ๆ

 ข้ามีบิดาและบิดาของข้านั้นเก่งกาจมากยิ่งนัก เขาสามารถอ่านและเขียน ประพันธ์บทกวีได้ ทั้งยัง… ทั้งยังเพาะปลูกได้อีกด้วย !  

 บิดาของเจ้ามีนามว่าเยี่ยงไร ?  

 บิดาของข้ามีนามว่าฟู่เอ้อต้าย !  

คำเอ่ยเหล่านั้นจึงได้ลอยไปเข้าหูของผู้คิดร้ายรวมถึงคนของหยิ่นเหมิน สองแม่ลูกจึงถูกนำตัวเข้าวังหลวงในทันที

ไทเฮาซีอุ้มเสี้ยวเสี้ยวขึ้น ยิ้มต้อนรับแล้วทอดพระเนตรไปทางมารดาของเด็กน้อย ทว่าหยุนเหนียงสังเกตได้ชัดว่าพระหัตถ์ของไทเฮาซีอยู่ที่คอของเสี้ยวเสี้ยว

นางไร้หนทางอื่นใดและเพื่อให้เสี้ยวเสี้ยวได้มีชีวิตอยู่ต่อ สุดท้ายนางจำต้องเล่าเรื่องนั้นออกมา

 เจ้าสองแม่ลูกจงทำตัวตามสบายเถิด พวกเราต้องการทราบความจริงบางประการจึงได้เชิญตัวพวกเจ้ามายังพระราชวัง หากมีขุนนางเอ่ยถาม เจ้าเพียงตอบไปตามจริง หลังจากเสร็จสิ้นกิจแล้ว อายเจียจะมอบชีวิตที่ร่ำรวยและมีเกียรติให้แก่พวกเจ้าเจ้าสองแม่ลูกอย่างแน่นอน 

ในยามนี้ คือเวลาที่ไทเฮาซีต้องการจะใช้นาง

แน่นอนว่านางย่อมไร้หนทางที่จะปฏิเสธ เพราะเสี้ยวเสี้ยวยังคงอยู่ในเงื้อมมือขององค์ไทเฮา

 สตรีผู้นี้คือหยุนเหนียง นางเคยเป็นทหารหญิงมาก่อน หากพวกเจ้ายังมิเชื่อคำกล่าวของอายเจีย สามารถไปสอบถามกับทหารหญิงผู้ใดก็ได้ในกองทัพ 

 หยุนเหนียงถอนตัวออกจากกองทัพ หลังจากสมรสแล้วจึงย้ายออกไปอยู่ที่หมู่บ้านหลินเจีย หลังเกิดเหตุที่ภูเขาหิมะ อู๋จ้าวได้ช่วยฟู่เสี่ยวกวนออกมาทว่ามิได้ส่งตัวไปยังเมืองกวนหยุน แต่กลับส่งไปยังกระท่อมของหยุนเหนียง ณ หลินเจียแทน 

 หลังจากนั้นจึงบังเกิดเรื่องที่น่าอับอายขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนปกปิดตัวตนแล้วกลับไปยังราชวงศ์หยู ส่วนอู๋จ้าวขึ้นครองบัลลังก์แต่กลับไปอาศัยอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหู และมิหวนกลับมาที่พระราชวังจวี้หัวนี้อีกเลย 

ไทเฮาซีกลับไปประทับบนบัลลังก์มังกร  การมั่วโลกีย์ระหว่างสองพี่น้องย่อมมิอาจแพร่งพรายออกไปได้ ฟู่เสี่ยวกวนได้กระทำเรื่องต่ำทรามเสียยิ่งกว่าเดรัจฉานขึ้นมา เขาย่อมมิกล้าขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ ส่วนครรภ์ของอู๋จ้าวก็ใหญ่ขึ้นในทุกวัน ไร้หนทางปิดบังได้ คงทำได้เพียงใช้โรคไข้ทรพิษบังหน้าเพื่อหลบซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์จิ้งหูแห่งนั้น 

 นี่คือเรื่องอื้อฉาวของราชวงศ์ใช่หรือไม่ ?  

 หากพวกเจ้ายังมิเชื่อ อายเจียจะให้ทหารไปเชิญตัวอู๋จ้าวมายังท้องพระโรงแห่งนี้ ให้พวกเจ้าได้เห็นว่าท้องของนางนูนออกมาหรือไม่ ?  

เหล่าขุนนางล้วนตกอยู่ในภวังค์ ในสมองกำลังสับสนวุ่นวาย มิสามารถเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกมาได้

มิเว้นแม้กระทั่งหนานกงอี้หยู่และจัวอี้สิงที่ต่างก็ตกใจมิแพ้กัน พวกเขาถูกไทเฮาซีรุกฆาตโดยไม่ทันได้ตั้งตัวดังนั้นจึงไร้พลังจะต่อกรอย่างแท้จริง

ไร้ข้อกังขาอีกต่อไป คำบอกเล่าของไทเฮาซีสามารถสร้างความกระจ่างให้แก่เรื่องที่ยุ่งเหยิงเหล่านี้ได้ สามารถบอกถึงเหตุผลที่ฟู่เสี่ยวกวนมิหวนคืนกลับมายังราชวงศ์อู๋และเอ่ยถึงสาเหตุที่อู๋จ้าวมิปรากฏตัว ณ พระราชวัง ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาได้ทั้งหมด

หากไทเฮาเอ่ยความเท็จ ย่อมถูกเปิดโปงได้โดยง่าย มีเพียงแต่ให้อู๋จ้าวแสดงตนเท่านั้น เพียงหน้าท้องของนางมิได้นูนออกมา องค์ไทเฮาก็จะกลายเป็นผู้สร้างเรื่องเสื่อมเสียและสร้างมลทินให้แก่ราชวงศ์อย่างแท้จริง

ทว่าพระนางทรงฉายความแน่พระทัยมากถึงเพียงนี้ ซึ่งการที่อู๋จ้าวมิกล้าปรากฏตนทั้งหมดนั่นล้วนเป็นเรื่องจริง !

แล้วจะทำเยี่ยงไรต่อไปดี ?

ในจังหวะนั้นองค์ไทเฮาก็ได้ตรัสถามขึ้นมาว่า  แล้วจะให้อายเจียทำเยี่ยงไรได้กัน ?  

 อายเจียได้ทบทวนมาตลอดทั้งคืน ตระหนักได้ว่าเรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ราชวงศ์เสื่อมเสีย ฟู่เสี่ยวกวนจึงไร้คุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ ส่วนอู๋จ้าว…ยิ่งมิเหมาะสมต่อการสืบทอดราชบัลลังก์ บัดนี้จึงเหลือเพียงอายเจียเท่านั้นที่สามารถรับหน้าที่นี้ได้ แม้จะชราไปบ้างแต่ทว่าก็เคยสำเร็จราชการแทนอดีตจักรพรรดิถึงสองพระองค์ จึงพอจะมีความรู้เรื่องการบริหารบ้านเมืองอยู่บ้าง 

 ด้วยเหตุนี้จึงได้สร้างความลำบากให้แก่ทุกท่านเสียแล้ว อายเจียมิปรารถนาให้เรื่องอื้อฉาวนี้แพร่งพรายออกไปทั่วใต้หล้า ดังนั้น… นับแต่นี้สืบไป พวกเจ้าจะมิสามารถกลับจวนได้ วังหลวงแห่งนี้ยังเต็มไปด้วยห้องว่างพอให้ทุกท่านพำนักอยู่ได้ชั่วคราว สามารถฉลองข้ามปีไปด้วยกัน ส่วนเรื่องที่จวนของพวกเจ้า อายเจียจะส่งคนไปแจ้งให้ทราบเองว่า… 

 เกิดสงครามจำต้องหารือกันอยู่แนวหน้า หากสงครามสงบลงจึงจะกลับจวน 

หนานกงอี้หยู่นึกประหลาดใจขึ้นมา จึงได้เอ่ยถามขึ้นว่า  สงครามที่ใดกัน ?  

 ไอหยา… ถ้าเช่นนั้นก็จงสร้างสถานการณ์ขึ้นมากันเองเถิด… ตัวอายเจียจะขึ้นครองบัลลังก์นับแต่นี้สืบไป มีราชโองการปลดอู๋จ้าวออกจากตำแหน่งจักรพรรดินี แต่ทว่านางยังคงเป็นหลานสาวของอายเจีย ดังนั้นอายเจียจึงขอมอบบรรดาศักดิ์องค์หญิงไท่ผิงให้แก่อู๋จ้าว และให้ประทับอยู่ในคฤหาสน์จิ้งหูสืบต่อไป 

 พวกเจ้า… มิมีข้อคัดค้านใช่หรือไม่ ?  

 กระหม่อม ขอคัดค้าน !  

องค์ไทเฮาไม่แม้แต่จะเหลือบสายพระเนตรมองคนผู้นั้นเลยด้วยซ้ำ เพียงรับสั่งสองคำอย่างแผ่วเบาเท่านั้นว่า  สังหาร !  

หนึ่งในองครักษ์ชุดแดงจึงตวัดคมดาบลง เสียง ฉัวะ ! ดังขึ้น จากนั้นจึงปรากฏภาพศีรษะของคนผู้หนึ่งตกกระทบลงกับพื้น

 ยังมีผู้ใดนึกคัดค้านอีกหรือไม่ ?  

ทันใดนั้นหนานกงอี้หยู่จึงนึกถึงพระราชโองการสืบทอดบัลลังก์ที่ซ่อนอยู่หลังแผ่นป้ายตำหนักหยางซิน รวมถึงคทาอาญาสิทธิ์เคลื่อนทัพที่ซ่อนอยู่ ณ ที่เดียวกัน เขาจึงข่มกลั้นโทสะเอาไว้แล้วทำเพียงก้มหน้ามิสบตา

จัวอี้สิงเองก็ย่อมมิกล้าแสดงตนเช่นกัน จึงทำได้เพียงก้มหน้าลง

เหล่าขุนนางทั้งหลายล้วนหวั่นวิตก เมื่อมองไปทางอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวาที่ยังไร้การเคลื่อนไหว พวกเขาจึงพร้อมใจกันก้มหน้าลง

 เมื่อมิมีผู้ใดคัดค้าน อายเจียจะดำรงตำแหน่งจักรพรรดินีแห่งราชวงศ์อู๋สืบต่อแต่นี้ไป ส่วนนามของราชวงศ์ใหม่นี้ยังมิต้องรีบร้อน บัดนี้ อายเจียจะประกาศราชโองการออกไป 4 ฉบับ 

 ฉบับที่หนึ่ง ตำแหน่งผู้บัญชาการทหารองครักษ์ชุดแดง ให้เสนาบดีฉีเหรินแห่งกรมกลาโหมเป็นผู้ควบตำแหน่ง 

หนานกงอี้หยู่ตกตะลึงขึ้นมาอีกครา เนื่องจากมิคาดคิดว่าฉีเหรินแห่งกรมกลาโหมจะเป็นคนของนาง

ปิศาจผู้นี้ !

ฉีเหรินก้าวออกไปด้านหน้า โน้มกายคำนับพร้อมกับกล่าวทูลว่า  กระหม่อมฉีเหรินน้อมรับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ 

 ฉบับที่สอง เห็นว่าอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวาล้วนชรามากแล้ว ที่ผ่านมาต่างก็ทำงานหนักเพื่อบ้านเมืองมาตลอดจึงสมควรแก่เวลาพักผ่อนแล้ว เจ้าทั้งสองจงเร่งเขียนจดหมายลาออกเสียเถิด สมควรจัดการเรื่องนี้โดยเร่งด่วน ส่วนผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งแทนทั้งสองคนนี้ อายเจียจะแต่งตั้งในภายหลัง ในตอนนี้… ให้หนังสือรายงานทางราชการทุกฉบับผ่านการอนุมัติจากอายเจียเพียงผู้เดียว 

เหล่าขุนนางต้องตะลึงขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า คาดมิถึงว่าพระนางจะกล้าปลดอัครมหาเสนาบดีทั้งสองออกจากตำแหน่ง !

นี่คือการรวบอำนาจทั้งหมดไว้ในกำมือใช่หรือไม่ ?

หนานกงอี้หยู่และจัวอี้สิงมิได้เงยหน้าขึ้นรับ ซ้ำมิได้ก้าวออกไปเบื้องหน้าเพื่อรับราชโองการ พวกเขายังจดจ้องไปที่พื้นอันเกลี้ยงเกลาอย่างเงียบงัน โดยมิสามารถคาดเดาได้ว่าพวกเขากำลังคิดสิ่งใดอยู่

ไทเฮาซีหาได้สนใจไม่ และมุ่งประกาศราชโองการฉบับที่สามต่อไป

 ฉบับที่สาม ให้องครักษ์ชุดแดงทำการจับกุมคนทรยศโจว

ตอนที่ 498 เรื่องน่าอับอายแห่งราชวงศ์อู๋

ตอนที่ 498 เรื่องน่าอับอายแห่งราชวงศ์อู๋

ฮ่องเต้มิได้ให้ความสนใจต่อคำถามของเหล่าขุนนางบู๊และบุ่นแห่งราชวงศ์หยูเหล่านี้จึงได้พาทั้งสี่คนเดินจากไป

เหล่าขุนนางที่นั่งอยู่ในท้องพระโรงพาลสบสายตากันไปมา จึงได้เข้าใจว่า ฟู่เสี่ยวกวนมีความสำคัญมากถึงเพียงใด !

เหตุการณ์เมื่อคืนที่หงซิ่วจาวถูกเผาเสียจนวอดวายนั้น ชาวบ้านต่างก็เล่าลือกันว่ามีคนตายราวร้อยกว่าชีวิต แน่นอนว่าผู้คนเหล่านั้นล้วนถูกส่งมาสังหารท่านเสี่ยวกวน

จากการสืบสวนของศาลจินหลิง ฆาตกรเหล่านั้นล้วนเป็นคนจากลัทธิจันทรา อีกทั้งยังปรากฏผู้เสียชีวิตอีกมากมายหลายแห่ง ค่ำคืนที่ผ่านมาพบว่าดวงไฟในศาลจินหลิงมิได้มอดดับลง ทหารทั้งจากทางใต้และทางเหนือล้วนออกตามหาผู้ลงมือแต่ทว่าก็มิพบ พบเพียงเบาะแสบางอย่างจากทั้งหนึ่งร้อยเก้าศพเท่านั้น

ร่างไร้วิญญาณเหล่านี้ ล้วนเป็นสายลับของลัทธิจันทราที่แฝงตัวอยู่ในเมืองจินหลิง !

ให้ตายเถอะลัทธิจันทรา พวกเจ้ายั่วยุผิดคนแล้วหรือไม่ ? เหตุใดจึงคิดหาเรื่องฟู่เสี่ยวกวนกันด้วยเล่า ?

เจ้าหมอนั่นสามารถรังแกได้โดยง่ายหรือเยี่ยงไรกัน ?

ฝ่าบาทรับสั่งให้ทำสงคราม ให้ทหารตะวันตกเข้าโจมตีซีหรง การทำสงครามในยามที่ท้องพระคลังว่างเปล่าเยี่ยงนี้ จะแบกรับได้นานเท่าใดกัน ?

บรรดาขุนนางล้วนกังวลใจ มีเพียงฉินฮุ่ยจือเท่านั้นที่คิดขึ้นมาได้ว่าบางทีองค์ชายสี่อาจจะมีหลักฐานบางอย่างตกมาถึงพระหัตถ์ของฝ่าบาท !

……

……

ประชุมใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ ณ พระราชวังจวี้หัว เมืองกวนหยุนเพิ่งจะได้เริ่มขึ้น

ไทเฮาซีเสด็จออกจากหลังม่านมาเป็นคราแรก พระนางทรงฉลองพระองค์งามสง่าและประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร

หนานกงอี้หยู่แสดงท่าทีตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน ไทเฮาซีจึงตรัสขึ้นว่า

 อายเจียช่างเป็นผู้มีชีวิตที่ยากแค้นเสียจริง 

 นับตั้งแต่ที่จักรพรรดิเหวินสิ้นพระชนม์ อายเจียเองก็คิดว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้เป็นหลานชายก็ได้จากไปด้วย อายเจียจึงมิรู้ว่าควรจะทำเยี่ยงไรต่อไปนอกจากให้หลานสาวขึ้นเป็นจักรพรรดินี 

 มิคาดคิดว่า ฟู่เสี่ยวกวนจะยังคงมีชีวิตอยู่ ช่างน่ายินดียิ่งที่ราชวงศ์อู๋ได้มีผู้สืบทอดอย่างถูกต้องแล้ว 

 แค่ก แค่ก แค่ก……  องค์ไทเฮาทรงพระกาสะอยู่หลายครา จากนั้นจึงทอดพระเนตรไปยังเหล่าขุนนางทั้งหลาย  พวกเจ้าล้วนอยากต้อนรับองค์รัชทายาทกลับมา เนื่องจากพวกเจ้าทั้งหลายมีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์ หากฟู่เสี่ยวกวนกลับมา แน่นอนว่าอายเจียจะพาเขาไปสักการะบรรพบุรุษพร้อมกับนำชื่อของเขาบันทึกสู่รายนามราชวงศ์ แต่ทว่าเหตุใดอายเจียมินำตัวฟู่เสี่ยวกวนกลับมาน่ะหรือ ? พวกเจ้าคิดว่าอายเจียมิปรารถนาเช่นนั้นหรือเยี่ยงไรกัน ?  

ไทเฮาซีหยุดลงชั่วครู่ สีพระพักตร์ปรากฏความเคร่งเครียดขึ้นสักพัก จากนั้นจึงถอนพระปัสสาสะออกมายาว ๆ

 ผิดเเล้ว อายเจียนั้น…มีเรื่องลำบากใจที่มิอาจกล่าวออกมาได้ 

 เมื่อวานนี้ท่านอัครมหาเสนาบดีทั้งซ้ายและขวา พร้อมด้วยขุนนางนับร้อยได้ยื่นฎีกาขอให้อายเจียเชิญฟู่เสี่ยวกวนกลับมา อายเจียได้คิดทบทวนตลอดทั้งคืน และตระหนักได้ว่าเรื่องนี้หากปิดบังต่อไปย่อมไร้ผลดีต่อราชวงศ์อู๋ ในวันนี้อายเจียจึงขอกล่าวไว้ ณ ที่นี้ให้ทุกท่านได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง 

เหล่าขุนนางได้ยินดังนั้นก็พากันตกตะลึงมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม ยังมีความลับใดที่มิอาจกล่าวได้อยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?

องค์ไทเฮาทอดพระเนตรเหล่าขุนนางด้วยแววพระเนตรขุ่นมัว บรรดาขุนนางเองก็เริ่มเงยหน้ามองพระพักตร์ด้วยความใคร่รู้ว่าเพราะเหตุผลอันใดกัน

 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าขันของราชวงศ์อู๋ อายเจียเก็บเป็นความลับมาโดยตลอด เกรงว่าถ้าหากกล่าวออกไป จะทำให้ราชวงศ์ต้องอับอายขายหน้า 

 ข้าขอถามพวกเจ้าอีกคราว่า อยากรู้จริงหรือว่าเพราะเหตุใดอายเจียจึงมิต้อนรับฟู่เสี่ยวกวนกลับมา ?  

จัวอี้สิงและหนานกงอี้หยู่มองตากัน ภายในใจปรากฏความสงสัยมากยิ่งนัก

เรื่องที่ทำให้ราชวงศ์ต้องขายหน้า ยังมีเรื่องใดอีกกัน ?

หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนมิใช่โอรสของจักรพรรดิพระองค์ก่อน ?

เป็นไปมิได้ เนื่องจากจักรพรรดิพระองค์ก่อนได้ประกาศออกมาแล้ว อีกอย่างฟู่เสี่ยวกวนเติบโตที่เมืองหลินเจียงแห่งราชวงศ์หยูและมีอู่ต้าหลางอยู่ข้างกายตลอดเวลา จะเกิดการสลับตัวได้เยี่ยงไรกัน ?

เยี่ยงนั้นยังมีเรื่องอื่นใดอีกเล่า ?

ทันใดนั้นเอง พระราชวังจวี้หัวก็ได้ปรากฏเสียงฝีเท้าอันหนักแน่นเดินเข้ามา

เมื่อหนานกงอี้หยู่และคนอื่น ๆ หันกลับไปมองต่างก็พากันตื่นตะลึงทั้งสิ้น

พระราชวังจวี้หัวอันแสนโอ่อ่า ได้ปรากฏภาพขององครักษ์ชุดแดงเดินเข้ามานับพันคน !

ใบหน้าของพวกเขาช่างดุดัน ในมือถือดาบยาว สายตาพุ่งมายังทุกชีวิตในท้องพระโรงแห่งนี้

 มิต้องตกใจไป…  พระพักตร์อันเหี่ยวย่นของไทเฮาซีปรากฏรอยแย้มพระโอษฐ์ขึ้นมา  ในเมื่อเป็นเรื่องขายหน้าของราชวงศ์ แน่นอนว่าย่อมเผยแพร่ออกไปมิได้เป็นอันขาด หากพวกเจ้าได้ฟังแล้ว…ก็นับว่าได้ไขปัญหาข้องใจให้แก่ตนเอง แต่พวกเจ้าก็ต้องนำบางสิ่งมาแลกเปลี่ยนด้วยเช่นกัน 

 ท่านคิดจะทำสิ่งใดกัน ?   หนานกงอี้หยู่ก้าวมาเบื้องหน้าหนึ่งก้าวแล้วเอ่ยถาม

เขามิได้เอ่ยคำเรียกตามตำแหน่ง แต่กลับใช้คำเรียกอย่างเป็นกันเองแทน เช่นนี้หมายความว่าทั้งสองฝ่ายมิจำเป็นต้องเสแสร้งต่อกันอีก

 อายเจียลำบากมาทั้งชีวิตเพื่อราชวงศ์อู๋ เดิมทีตั้งใจว่าหากอายุมากแล้วก็จะวางมือลง เฮ้อ… แต่เบื้องบนก็มิยอมให้อายเจียได้ทำตามใจปรารถนา จำต้องขึ้นมาดูแลราชวงศ์อู๋ต่อไป พวกเจ้าอย่ามองอายเจียเช่นนั้นเพราะอายเจียก็มิได้อยากจะทำนักหรอก 

สองพระหัตถ์ของพระนางจับไม้เท้าแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้น นางในทั้งสองที่คอยรับใช้อยู่ข้างพระวรกายรีบเข้ามาพยุง ทว่าพระนางกลับโบกพระหัตถ์แล้วรับสั่ง  ข้ายังไหว พวกเจ้าถอยไปเสีย 

พระนางทรงพระดำเนินมาด้านหน้าสองก้าว แล้วเงยพระพักตร์เพื่อทอดพระเนตรหลังคาของพระราชวังจวี้หัว ผ่านไปหลายอึดใจจึงได้ก้มลงทอดพระเนตรหนานกงอี้หยู่และจัวอี้สิง

 อู๋จ้าวหรือจักรพรรดินี แท้จริงแล้วนางมิได้เป็นไข้ทรพิษ 

บรรดาขุนนางพากันแตกตื่น พวกเขาต่างลืมความหวาดกลัวต่อองครักษ์ชุดแดงหลายพันคนที่รายล้อมอยู่ไปในทันใด ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปที่องค์ไทเฮา

 หรือองค์จักรพรรดินีจะถูกท่านกักขังกัน ?   หนานกงอี้หยู่เอ่ยถามขึ้น ถือเป็นผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะคาดคิดได้แล้ว

หากว่าองค์จักรพรรดินีถูกนางปิศาจแก่ใจร้ายผู้นี้กักขัง นั่นย่อมหมายความว่านางกำลังจะเข้ามาควบคุมราชวงศ์อู๋อย่างเต็มตัวแล้ว

ทว่าไทเฮาซีกลับส่ายพระพักตร์แล้วถอนหายใจออกมา  พวกเจ้าเห็นอายเจียเป็นคนเยี่ยงไรกัน ? เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน อายเจียเคยทำเรื่องเลวร้ายไว้ ณ ทะเลสาบสือหลี่ก็จริง แต่นั่นก็เพื่อความมั่นคงของราชวงศ์อู๋ 

 อู๋จ้าวยังคงประทับอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหูอย่างปลอดภัยดี เพียงแต่…นางกำลังตั้งครรภ์ !  

บรรดาขุนนางทั้งหลายต่างตกตะลึง หลังได้ยินประโยคนี้ของไทเฮาซี พระราชวังจวี้หัวก็เงียบลงทันใด

องค์จักรพรรดินีทรงพระครรภ์เยี่ยงนั้นหรือ ?

ทว่าพระนางยังมิเคยอภิเษกสมรส !

มิน่าเล่า นางจึงมิปรากฏตัวออกมานอกคฤหาสน์จิ้งหูแม้แต่คราเดียว

ให้ตายเถิด เป็นฝีมือของผู้ใดกัน ?

หนานกงอี้หยู่ราวกับนึกบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาพลันซีดเผือดลงทันพลัน

ไทเฮาซีทอดพระเนตรสีหน้าของเหล่าขุนนางอย่างพอพระทัย หึ ๆ ๆ ขุนนางโง่เง่าทั้งหลาย มีความสามารถเพียงเท่านี้ยังริอาจต่อกรกับข้า !

 ในวันที่หิมะถล่มลงมา ฟู่เสี่ยวกวนได้ถูกอู๋จ้าวช่วยเหลือเอาไว้ 

ตรัสออกมาเพียงเท่านี้ก็ทำให้บรรดาขุนนางต่างเบิกตากว้างอีกครา ต่อให้มิมีผู้ใดกล้าเอ่ยออกมาแต่ก็สามารถเข้าใจได้ว่าองค์จักรพรรดินีทรงพระครรภ์กับฟู่เสี่ยวกวน !

บ้าจริง !

เป็นเรื่องที่น่าอับอายของราชวงศ์อย่างแท้จริง !

ในคราแรกที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมายังเมืองกวนหยุน ความจริงที่อู๋หลิงเอ๋อร์ชื่นชอบฟู่เสี่ยวกวนนั้นทุกคนต่างก็รู้ดี

หากมิใช่เพราะฟู่เสี่ยวกวนเป็นโอรสของจักรพรรดิเหวิน เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างก็เชื่อว่าองค์หญิงจะทรงลดตัวลงมาอภิเษกกับฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่

ทว่าโชคชะตามักเล่นตลก ฟู่เสี่ยวกวนกลับกลายเป็นพี่ชายของอู๋หลิงเอ๋อร์ ช่างโชคร้ายยิ่งที่ในครานี้มีอีกหนึ่งชีวิตเพิ่มขึ้นมา ! ซ้ำยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขขององค์รัชทายาท !

องค์รัชทายาทและองค์หญิง… นี่มันช่างอดสูเสียจริง เหล่าขุนนางมิกล้าแม้แต่จะจินตนาการ

จัวอี้สิงสงบจิตใจลงได้ก่อนผู้ใดจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า  มีหลักฐานหรือไม่ ?  

 อายเจียรู้ดีว่าพวกเจ้าคงมิเชื่อ… ทหาร ! นำพยานเข้ามาได้ !  

 

ตอนที่ 497 สถานการณ์เปลี่ยน

ฟู่เสี่ยวกวนกลับไปยังห้องของตน แต่ซูเจวี๋ยยังมิได้ไปจากศาลาอี้เหลียง เขายังคงนั่งอยู่ที่เดิม

ซูโหรววางเข็มปักผ้าในมือลง พร้อมกับเงยหน้าขึ้นมามองไปทางซูเจวี๋ย

 ปัญหามิรู้จบ 

 ข้าทราบ ดังนั้นข้าจึงยังคิดว่า ข้าจะลงมือสังหารนางดีหรือไม่ 

 เจ้าเองก็ลงมือมิลง 

 เพราะเหตุอันใดกัน ?  

 เพราะเจ้าทราบว่าคนผู้นั้นไร้ความดีและความชั่ว ความดีและความชั่วมิได้ถูกกำหนดมาจากสภาพแวดล้อมที่เติบโตมา มิเยี่ยงนั้นเหตุใดนิกายฝูถึงได้เผยแพร่ว่าวางดาบฆ่าคนลงเพื่อบรรลุธรรมเป็นพุทธะกัน ? ยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็มิเคยยกดาบขึ้นมาก่อน ถึงแม้จะเป็นข้า ข้าเองก็มิคิดว่านางสมควรตาย ถึงตัวจะอยู่ในลัทธิจันทราแต่นี่คือโชคชะตาที่นางมิสามารถกำหนดเองได้ แต่ว่าจะกลายเป็นดาบในมือของลัทธิจันทราหรือไม่ นั่นเป็นเรื่องที่นางสามารถควบคุมได้ด้วยตนเอง เห็นได้ชัดว่านางมิได้กลายเป็นดาบในมือของลัทธิจันทรา เพราะนางได้ช่วยชีวิตศิษย์น้องเล็กเอาไว้อย่างมิเสียดายชีวิต… 

ซูโหรวจัดปอยผมบริเวณใบหู และกล่าวต่อว่า  ศิษย์น้องเล็กเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับมิตรภาพยิ่ง ในเมื่อเขาได้ช่วยคนผู้นี้กลับมา จึงมิมีทางที่จะปล่อยให้นางตกตายลงไปเป็นแน่ ดังนั้นเจ้าเองก็มิต้องโศกเศร้าไป 

 สำหรับปัญหาในอนาคต รอให้นางตื่นขึ้นมาก่อนเถิด ทุกคนจะได้สนทนากันอย่างเปิดเผยและตรงไปตรงมา และสังหารทุกคนที่เคยเห็นใบหน้าที่แท้จริงของนางเสีย ใต้หล้านี้ก็จะมิมีถงเหยียนอีกต่อไป จะมีเพียงสวี่ซินเหยียนที่มิได้สลักสำคัญอันใดเพิ่มขึ้นมาอีกคน 

…..

…..

เช้าตรู่ในวันรุ่งขึ้น ขันทีเจี่ยได้ขับรถม้าเข้ามายังจวนฟู่

 ท่านเสี่ยวกวน ฝ่าบาทเชิญท่านไปร่วมประชุมราชวงศ์เช้าวันนี้ด้วยขอรับ 

ฟู่เสี่ยวกวนฝึกการออกหมัดเสร็จพอดี จึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า  ทราบหรือไม่ว่ามีเรื่องอันใดกัน ?  

 ข้าน้อยคิดว่า… น่าจะเป็นเรื่องที่ท่านเสี่ยวกวนถูกลอบทำร้ายเมื่อคืน 

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมา และโยนงานให้กับขันทีเจี่ยทันที  ข้าต้องการฝังลัทธิจันทราไว้ในเมืองจินหลิง เพื่อดึงคนที่ซ่อนอยู่ให้ออกมา อย่าปล่อยให้พวกเขาได้ฉลองปีใหม่ 

ขันทีเจี่ยเงียบไปชั่วครู่  พวกเขา… ไร้หนทางที่จะใช้ช่วงเวลาปีใหม่แล้ว !  

ฟู่เสี่ยวกวนผงะ  ลงมือเร็วถึงเพียงนี้เลยหรือ ?  

 พวกเขาเป็นภัยต่อพระองค์ ย่อมสมควรตาย !  

 มีจำนวนคนเท่าใด ?  

 109 คน 

 พระประสงค์ของฝ่าบาทเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 …เป็นความคิดเห็นของข้าน้อย 

 …ดีมาก !  

ฟู่เสี่ยวกวนคาดมิถึงว่าขันทีเจี่ยจะแก้ไขปัญหาของคนที่หลบซ่อนอยู่แทนเขาได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ จากที่มองดูในตอนนี้อำนาจของฝูงมดในเมืองหลวงค่อนข้างกว้างขวางเสียทีเดียว หากเขาลงมือใช้ฝูงมด จะเป็นการดึงความสนใจของหอซี่หยู่หรือไม่ ?

เขาเปลี่ยนชุดเป็นชุดพิธีการ ขึ้นรถม้าของขันทีเจี่ย และตรงไปยังวังหลวง

 คนที่หลบซ่อนอยู่ในเมืองหลวงแท้จริงแล้วยังเหลืออยู่อีก 1 คน  บนรถม้าที่กำลังทะยานออกไป ขันทีเจี่ยก็ได้เอ่ยขึ้นมาเสียงแผ่วเบา

 ผู้ใดกัน ?  

 ถงเหยียน 

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักชั่วครู่ แล้วเอ่ยถามว่า  เจ้าทราบหรือไม่ว่าถงเหยียนหน้าตาเป็นเยี่ยงไร ?  

ขันทีเจี่ยยกยิ้ม  ตามคำบอกเล่าของแม่นางผู้นี้ ข้าน้อยเองก็มิทราบว่านางมีรูปลักษณ์เยี่ยงไร เนื่องจากเมื่อคืนพระองค์ได้ช่วยออกมา 1 คน ข้าน้อยคิดว่าพระองค์มีฐานะที่สูงส่ง มิคุ้มค่าที่จะไปเสี่ยงอันตราย หากพระองค์มิสะดวก ข้าน้อยจะลงมือแทนเอง 

ชายชราผู้นี้รับรู้เรื่องมากมายอย่างแท้จริง !

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉย  นางช่วยชีวิตข้าเอาไว้ 

 ชีวิตของนางมิสามารถเทียบได้กับชะตาชีวิตของพระองค์ 

 เจ้าผิดแล้ว ในสายตาของข้า ชีวิตของทุกคนต่างก็สำคัญเท่ากัน หากมีวันใดที่เจ้าตกหลุมพรางลึก ข้าเองก็จะช่วยเจ้าเช่นกัน 

ขันทีเจี่ยเงียบไปชั่วอึดใจ และเอ่ยถามออกมาว่า  หากเป็นศัตรูกับใต้หล้า เช่นนั้นพระองค์จะทรงเลือกเยี่ยงไร ?  

 หากเป็นศัตรูกับใต้หล้า แล้วมันเป็นเยี่ยงไรกัน ?  

 …พระองค์ช่างอาจหาญยิ่ง โจวถงถงถูกโจมตีที่ภูเขาฉีซาน และในตอนนี้ก็ได้ถึงเมืองจิงกวนโดยสวัสดิภาพแล้ว 

ขันทีเจี่ยมิเอ่ยเกี่ยวกับเรื่องของสตรีผู้นั้นอีก เขาจึงได้กล่าวถึงโจวถงถงขึ้นมาแทน

ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวดเล็กน้อย และเอ่ยถามว่า  เป็นฝีมือของลัทธิจันทราเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 อั้นเหมินแห่งลัทธิจันทรา ผู้ที่โจมตีต่างเสียชีวิตทั้งหมด ทั้งยังสามารถสังหารไป๋หลี่หงที่เป็นถึงปรมาจารย์ได้อีกด้วย 

 โจวถงถงเก่งกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ?  

 มิใช่ เป็นเพราะปืนคาบศิลาของพระองค์ที่มีอานุภาพร้ายแรงยิ่ง 

 สามารถสังหารปรมาจารย์ได้เลยหรือ ?  

 …หากเป็นฝีมือของพระองค์เห็นทีจะมิได้ แต่หากเป็นปรมาจารย์ด้วยกัน หรือต่ำกว่าหนึ่งขั้น ก็จะสามารถสังหารปรมาจารย์ได้อย่างแท้จริง 

ให้ตายเถอะ นิดหน่อยก็สามารถสังหารคนได้แล้ว !

ฟู่เสี่ยวกวนจดจ้องขันทีเจี่ย คาดว่าพอจะเข้าใจความหมายของประโยคนั้นโดยคร่าวแล้ว ผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นสามไร้หนทางที่จะเข้าใกล้ปรมาจารย์ได้ เพียงแค่ปรมาจารย์แทงกระบี่เพียงหนึ่งคราหรือแม้แต่ก้อนหินหนึ่งก้อนก็สามารถสังหารฟู่เสี่ยวกวนได้อย่างง่ายดาย

เยี่ยงนั้นด้วยฝีมือของโจวถงถงรวมกับปืนคาบศิลา การสังหารไป๋หลี่หงส์ก็คงมิใช่เรื่องยากอันใด

จากนั้นขันทีเจี่ยก็ได้กล่าวออกมาอีกหนึ่งประโยคซึ่งทำให้ฟู่เสี่ยวกวนต้องตื่นตะลึงเสียจนตาเบิกโพลง  ผู้ที่สังหารไป๋หลี่หงมิใช่โจวถงถง แต่เป็น… ฟู่ต้ากวน !  

ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจเสียจนต้องอ้าปากค้างในทันที ผ่านไปหลายอึดใจเขาถึงได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า  เจ้ากล่าวอันใดผิดไปหรือไม่ ชายอ้วนผู้นั้นต่อสู้ได้ด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ขันทีเจี่ยหันหน้ากลับมาและกล่าวยิ้ม ๆ  ชายอ้วนผู้นั้นมิได้เพียงต่อสู้เป็นเท่านั้น !  

จะกล่าวว่าชายอ้วนที่ดูซื่อ ๆ ผู้นั้นปกปิดความสามารถของตนเองมาตลอดเยี่ยงนั้นหรือ ?

แท้จริงแล้วก็เป็นคนซื่อสัตย์ที่เชื่อมิได้ !

ตามที่ขันทีเจี่ยกล่าวมา ชายอ้วนผู้นั้นอย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นหนึ่ง แล้วเหตุใดในอดีตเขาจึงมิสอนเจ้าของร่างเดิมนี้ให้เป็นวรยุทธ์กัน ?

 เขาไปที่ราชวงศ์อู๋อีกทำไมกัน ?  

 เขาคือพระเชษฐาของจักรพรรดิพระองค์ก่อน สำหรับราชวงศ์อู๋ เขาเอาใจใส่มากกว่าพระองค์ ความหมายของข้าน้อยก็คือ เขาต้องการเห็นราชวงศ์อู๋มั่นคง เยี่ยงไรเสียในมิช้าพระองค์ก็ต้องขึ้นเป็นจักรพรรดิของราชวงศ์อู๋อยู่ดี 

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบ ชายอ้วนต้องไปปกป้องราชวงศ์อู๋เอาไว้ เขาต้องปกป้องราชวงศ์อู๋ แต่ก็จำต้องต่อสู้กับไทเฮาซี… ไทเฮาซีได้บริหารราชวงศ์อู๋มานานหลายปี แล้วชายอ้วนผู้นี้จะเป็นคู่มือของนางได้เยี่ยงนั้นหรือ ?

 พระองค์มิจำเป็นต้องกังวลใจ หอเทียนจีก็มิได้เรียบง่ายเยี่ยงที่เห็น ในครานี้ได้พาเกาเสี่ยนกลับแคว้น ราชวงศ์อู๋ก็อาจจะโกลาหลไปอีกสักพัก หลังจากที่เกิดความโกลาหล หนวดของลัทธิจันทราที่ยื่นเข้าไปในราชวงศ์อู๋ถึงจะสามารถถูกตัดออกไปได้ทั้งหมด 

ขันทีเจี่ยมิทราบว่าไทเฮาซีมีขุมกำลังครอบครองอยู่ในกำมือเท่าใด เขาเองก็มิทราบว่าไทเฮาซีจะบ้าคลั่งได้ถึงเพียงใด

รถม้าได้ขับเข้ามาในเขตหลวง ฟู่เสี่ยวกวนลงจากรถม้าและตรงไปยังท้องพระโรงเฉิงเทียนทันที

การประชุมราชวงศ์ยามเช้าได้เริ่มแล้ว หลังจากที่ฝ่าบาทได้เห็นฟู่เสี่ยวกวนก็หยุดการหารือปัญหาเรื่องน้ำท่วมของแม่น้ำหวงเหอและหันมองไปทางเขา

 มิเป็นอันใดใช่หรือไม่ ?  

 ทูลฝ่าบาท กระหม่อมสบายดีพ่ะย่ะค่ะ 

 ดียิ่ง !  

ฮ่องเต้ลุกขึ้นยืน ก้าวไปข้างหน้าบนแท่นมังกรสองก้าว  ปัจจุบันลัทธิจันทราได้ทำการลอบสังหารขุนนางคนสำคัญของราชสำนักอย่างอุกอาจ ข้าทนพวกเขามาเนิ่นนานแล้ว ตอนนี้ข้ามิคิดที่จะทนอีกต่อไป !  

 เสนาบดีเยี่ยนรับราชโองการ !  

เสนาบดีเยี่ยนฮ่าวชูแห่งกรมกลาโหมก้าวไปเบื้องหน้าและโค้งคำนับ  กระหม่อม เยี่ยนฮ่าวชูรับราชโองการพ่ะย่ะค่ะ 

 ให้กองทัพของแม่ทัพใหญ่เซวี๋ยติ้งชานแห่งกองทัพชายแดนตะวันตกทั้งหมด มุ่งหน้าไปซีหรงเพื่อถอนรากถอนโคนปราบปรามลัทธิจันทราเสียให้สิ้น แต่งตั้งกษัตริย์แห่งเจิ้นซีฮั่วตงหลินเป็นเจียนจวินคอยดูแลกองทัพ ให้จิ่นชินอ๋องหยูเวิ่นชูจัดการรวบรวมเสบียงอาหารและเงินหนุนที่จำเป็น ข้าต้องการให้แล้วเสร็จก่อนเดือนเจ็ดในปีหน้า ต้องได้รับข่าวว่าลัทธิจันทราได้ถูกกวาดล้างจนสิ้นแล้วเท่านั้น มิเยี่ยงนั้น…ตัดสินลงโทษตามวินัยทหาร !  

ราชโองการของฮ่องเต้ที่ประกาศออกไปนี้ ทำให้เหล่าขุนนางเงียบไปหลายอึดใจ หลังจากนั้นก็ได้แตกฮือขึ้นมา

ฉินฮุ่ยจือรีบก้าวขึ้นไปด้านหน้า โน้มคำนับและกล่าวว่า  ฝ่าบาท สถานการณ์ภายในแคว้นตอนนี้มิอำนวยให้ก่อสงครามขึ้นอีกพ่ะย่ะค่ะ นอกจากนี้ซีฮวงในตอนนี้ก็ได้ถูกหิมะใหญ่ปกคลุมภูเขาไปแล้ว กองทัพนี้จะฝ่าเข้าไปได้เยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ มิสู้… มิสู้หารือกันระยะยาวจะดีกว่าหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?  

ฮ่องเต้โบกมือใหญ่ไปมา  ข้าได้ตัดสินเจตจำนงแล้ว มิจำเป็นต้องหารือเรื่องนี้กันต่อ… 

กล่าวจบเขาก็ได้หันมามองฟู่เสี่ยวกวน  ฟู่เสี่ยวกวนรับราชโองการ !  

ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน ชายชราผู้นี้คงจะมิส่งข้าไปยังซีหรงใช่หรือไม่ ?

เขาก้าวไปเบื้องหน้าหนึ่งก้าว  กระหม่อมฟู่เสี่ยวกวนรับราชโองการ 

 ข้าอนุญาตให้กองทัพดาบเทวะของเจ้าขยายกองทัพได้ถึง 30,000 นาย และทุกกองที่อยู่ในผิงหลิงต้องย้ายไปที่เมืองเปียนเฉิง ให้เริ่มออกเดินทางตั้งแต่วันนี้ 

ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจ นี่…

 เลิกประชุม !  

ฮ่องเต้เอาสองมือไขว้หลังและเดินลงมาจากบัลลังก์มังกร

 เยี่ยนเป่ยซี เยี่ยนซือเต้า ต่งคังผิง และฟู่เสี่ยวกวน ไปยังห้องทรงพระอักษรเพื่อถกเรื่องการเมือง !  

 

ตอนที่ 496 มนุษย์มิมีดีชั่ว

 เช่นนั้นตอนนี้ควรจะทำเยี่ยงไรดี ?  

ซูเจวี๋ยขยับหมวกให้ตรงจากนั้นก็กล่าวว่า  ศิษย์น้องเล็ก เรื่องเช่นนี้ ข้าก็มิรู้ว่าควรจะทำเยี่ยงไรดีเหมือนกัน !  

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลง ซูซูต้มชามาหนึ่งกาแล้วนั่งลงข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วครุ่นคิด  ในเมื่อนางเป็นผู้อาวุโสที่สามของลัทธิจันทรา คาดว่าคงต้องการเดินทางมาเพื่อฆ่าข้า แล้วเหตุใดนางต้องมาช่วยข้ากัน ?  

หลังจากชะงักลงชั่วครู่ เขาก็กล่าวอีกว่า  ในตอนนั้นเจ้ามิรู้ ใต้ทะเลสาบนั่น สตรีนางหนึ่งกำลังจะเข้ามาฆ่าข้า หากมิใช่เพราะนาง ครานี้ข้าคงตายไปแล้วจริง ๆ แต่หากนางทำเช่นนี้เพื่อต้องการเข้าใกล้ข้า จะมิเป็นเรื่องเสี่ยงไปหน่อยหรือ ?  

ซูเจวี๋ยเองก็มิเข้าใจเช่นกัน เขาจึงได้กล่าวอย่างระมัดระวังว่า  หรือนางจะมิใช่ถงเหยียนกัน ?  

 มีหนทางลบการปลอมใบหน้าของนางออกเพื่อดูให้ชัดเจนหรือไม่ ?  

 ต้องมีผู้ชำนาญด้านการปรุงน้ำยา ข้ามิได้เป็นผู้ชำนาญในด้านนี้ อีกอย่าง มิมีผู้ใดเคยเห็นว่าถงเหยียนหน้าตาเป็นเยี่ยงไร ต่อให้ปรากฏใบหน้าที่แท้จริงของนาง พวกเราก็มิรู้ว่านางใช่ถงเหยียนหรือไม่ 

เรื่องนี้ช่างทำให้ปวดหัวยิ่ง ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอย่างละเอียด แล้วอยู่ ๆ แววตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาพลางเอ่ยถามว่า  พวกเจ้าว่า…เป็นไปได้หรือไม่ที่ว่าข้าหน้าตาหล่อเหลา ดังนั้นนางจึง… 

 เหอะ !  

ซูซูเหล่ตามองเขา แม้แต่ซูโหรวเองก็ใช้ดวงตาอันเรียวเล็กของนางจ้องมาทางเขาเช่นกัน

ซูเจวี๋ยกล่าวขึ้นมาว่า  จะว่าไป เหตุผลนี้ก็มิใช่ว่าเป็นไปมิได้ มิเช่นนั้นก็มิรู้จะอธิบายเยี่ยงไรแล้ว 

ฟู่เสี่ยวกวนนำมือลูบจมูกแล้วหัวเราะหึ ๆ  ตอนนี้มิต้องใส่ใจว่านางมีจุดประสงค์อันใด อย่าเพิ่งเปิดจุดพลังภายในของนาง ส่วนเรื่องราวจะเป็นเยี่ยงไรนั้น รออีกสักสองสามวันค่อยหารือกันใหม่ ตอนนี้ข้าต้องไปเปลี่ยนอาภรณ์ก่อน 

ฟู่เสี่ยวกวนกลับมายังจวนหลัก หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์แล้วเขาก็ได้เข้าไปทักทายภรรยาทั้งสาม สาวใช้ในจวนใหญ่ก็ได้วิ่งเข้ามารายงาน หลี่เจิ้งกล่าวว่าฮั่วหวยจิ่นและหนิงหยู่ชุนเดินทางมาเข้าพบ

ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกไปและพบว่าทั้งสองได้นั่งอยู่ในหลีเฉินซวน

 เจ้ามิเป็นอันใดใช่หรือไม่ ?   หนิงหยู่ชุนจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างละเอียดถี่ถ้วน

 เกือบจะมิได้เจอหน้าข้าอีกแล้วล่ะ !   ทั้งสองคนต่างตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ณ หงซิ่วจาวให้พวกเขาฟัง แต่มิได้กล่าวว่าตนถูกถงเหยียนช่วยชีวิตเอาไว้ แต่กลับกล่าวว่าศิษย์พี่ใหญ่ได้ออกแรงช่วยอย่างเต็มที่จากการโจมตีของศัตรู

 เจ้าช่างโชคดีอย่างแท้จริง !  หนิงหยู่ชุนถอนหายใจออกมา ฮั่วหวยจิ่นเองก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน

หงซิ่วจาวถูกไฟใหม้เสียจนวอดวาย แน่นอนว่าย่อมทำให้ชาวเมืองจินหลิงแตกตื่นมิน้อย จินเชียนฮู่พาจิงหยูเว่ยไปดู และพบว่ามิใช่การเกิดไฟไหม้ที่เป็นอุบัติเหตุ

ศพมากมายลอยอยู่บนผิวน้ำ มีคนเสียชีวิตมิน้อยเลยทีเดียว

หลังจากนั้น เขาก็ได้รายงานไปยังหนิงหยู่ชุน ทำให้หนิงหยู่ชุนรู้สึกตื่นตกใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากเขารู้ว่าในคืนนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้รับเชิญไปงานเลี้ยงที่หงซิ่วจาว ให้ตายสิ ! เห็นได้ชัดว่ามีคนต้องการชีวิตของฟู่เสี่ยวกวน และมิรู้ว่าเจ้าหมอนั่นเป็นตายร้ายดีเยี่ยงไรในตอนนี้ เจ้าจะตายมิได้เป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่ !

ดังนั้น เขาจึงได้สั่งให้ทหารทั้งสองฝั่งออกเก็บศพในแม่น้ำฉินหวาย และตนก็ได้ขี่ม้าไปยังริมฝั่งของแม่น้ำฉินหวายในเวลาต่อมา

เรื่องนี้รู้เข้าถึงพระกรรณของฮ่องเต้เรียบร้อยแล้ว ฝ่าบาททรงตกพระทัยยิ่ง จากนั้นจึงมีรับสั่งไปยังฮั่วหวยจิ่น ให้นำทหารออกลาดตระเวน และปิดกั้นถนนนอกเมืองจินหลิงด้านนอกสามชั้นด้านในสามชั้น

ฮั่วหวยจิ่นทำตามคำรับสั่งอย่างเคร่งครัด จากนั้นจึงขี่ม้าไปยังริมฝั่งแม่น้ำฉินหวายจึงได้พบเข้ากับหนิงหยู่ชุน และได้รู้ว่าพวกเขานำศพขึ้นมาได้ 91 ศพ และมีผู้รอดชีวิตเพียงหนึ่งคนนั่นก็คืออาจารย์หูฉินหู

ศพทั้งเก้าสิบเอ็ดศพนี้ถูกนำมาเรียงไว้ริมฝั่งแม่น้ำ หลายต่อหลายศพที่ถูกไฟเผามอดไหม้เสียจนมองมิเห็นเค้าโครงเดิม และมีคนชุดดำทั้งสิ้น 32 คน มิได้ถูกไฟไหม้เสียชีวิต แต่ถูกแทงจนถึงแก่ความตาย

 นี่น่าจะเป็นฝีมือของซูเจวี๋ย 

 มีซูเจวี๋ยคอยอารักขาอยู่ข้างกายฟู่เสี่ยวกวน เขาน่าจะมิเป็นอันใดมากนัก 

 หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น !  

พวกเขามิได้พบศพของฟู่เสี่ยวกวน นี่นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเสียทีเดียว ทั้งสองคนจึงรีบขี่ม้ามายังจวนฟู่ และเมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนยังสามารถกระโดดโลดเต้นได้ พวกเขาจึงได้วางใจลง

สิ่งที่พวกเขามิรู้ก็คือ เมื่อตอนที่พวกเขาออกมาจากแม่น้ำฉินหวาย ขันทีเจี่ยได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่

เขาพิจารณาดูศพเหล่านั้นอย่างละเอียด ท้ายที่สุดก็ได้นั่งยอง ๆ ลงมาข้างศพของสตรีผู้หนึ่ง

ศพของสตรีผู้นี้มีรูที่ศีรษะ เขาได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน อีกทั้งพบว่านางตายตามิหลับ เขาจึงได้ยิ้มออกมาและลอยตัวจากไป เพื่อมุ่งหน้ากลับพระราชวัง

 ทูลฝ่าบาท ท่านเสี่ยวกวนมิได้เป็นอันใดพ่ะย่ะค่ะ 

 ผู้ใดเป็นคนลงมือ ?  

 ลัทธิจันทรา ผู้ที่เดินทางมาคือรองผู้อาวุโสไป๋จื่อแห่งลัทธิจันทราพ่ะย่ะค่ะ 

 ผู้ร้ายตายหมดแล้วหรือยัง ?  

 ทูลฝ่าบาท ตายหมดสิ้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ เป็นผลงานของซูเจวี๋ย ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเต๋า มีเพียงไป๋จื่อเท่านั้นที่ตายเพราะปืนของฟู่เสี่ยวกวน 

 …วันพรุ่งนี้จงเรียกตัวฟู่เสี่ยวกวนมาเข้าประชุมด้วย 

 พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท !  

……

……

ณ จวนฟู่แห่งจินหลิง

หนิงหยู่ชุนและฮั่วหวยจิ่นนั่งอยู่ที่จวนฟู่เพียงครู่หนึ่งก็ได้เดินทางจากไป ค่ำคืนนี้มีเรื่องราวมากมายที่จะต้องจัดการ ฟู่เสี่ยวกวนจึงมิได้รั้งพวกเขาเอาไว้

เขาเดินไปยังเรือนซีเซวี๋ย และนั่งลงในศาลาอี้เหลียงเพื่อสนทนากับซูเจวี๋ยถึงเรื่องลัทธิจันทรา

 สถานที่หลักของลัทธิจันทราอยู่ที่ภูเขาหมินมิผิดเป็นแน่ แต่ลัทธิจันทราได้กระจายกำลังไว้มากมาย เช่น อั้นเหมิน หยิ่นเหมินและเช่อเหมิน 

 ทั้งหมดทั้งมวลผู้คนในเช่อเหมินนั้นลึกลับที่สุด พวกเขาเกือบจะทั้งหมดเป็นคนสำคัญของลัทธิจันทรา และมีจำนวนคนมิมาก แต่หลบซ่อนได้ลึกลับยิ่ง สำนักเต๋าแทบจะมิรู้เรื่องราวของพวกเขาเลยด้วยซ้ำ 

 ส่วนอั้นเหมินรับผิดชอบรายงานเรื่องราวต่าง ๆ ให้แก่ลัทธิจันทรา คล้ายคลึงกับหอซี่หยู่ หยิ่นเหมินนั้นทำหน้าที่เป็นนักฆ่า เช่นเรื่องในคืนนี้สามารถตัดสินได้ว่าเป็นฝีมือของพวกหยิ่นเหมินแห่งลัทธิจันทรา 

 จากการรายงานที่สำนักเต๋าได้รับ ในหยิ่นเหมินมีผู้มีความสามารถอยู่ 3 คน มีผู้อาวุโสสามมู่หรงเจียนเป็นผู้สืบทอด แต่บัดนี้มู่หรงเจียนได้ตกตายไปแล้ว ศิษย์เอกของมู่หรงเจียนเป็นผู้มีความสามารถที่สุดในหยิ่นเหมิน ความสามารถใกล้จะเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ ส่วนศิษย์รอง ไป๋จื่อเป็นผู้มีความสามารถระดับสาม ศิษย์คนที่สามก็คือถงเหยียน และพวกเขาทั้งสามได้สืบทอดความประสงค์ของมู่หรงเจียน จึงได้กลายมาเป็นผู้อาวุโสทั้งสามแห่งลัทธิจันทรา 

ซูเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นมองดูฟู่เสี่ยวกวน  ดังนั้น…หากว่านางคือถงเหยียนอย่างแท้จริง นางก็คือผู้อาวุโสที่สามแห่งลัทธิจันทรา จากที่ข้ามองดู พวกเราควรจะฆ่านางทิ้งเสียดีกว่า 

ประโยคนี้เขากล่าวออกมาอย่างหนักแน่น แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนได้ยินมันชัดเจน

หากว่านางคือถงเหยียนจริง ในฐานะผู้อาวุโสที่สามแห่งลัทธิจันทรา ราชวงศ์หยูย่อมมิปล่อยนางเอาไว้เป็นแน่

แต่นางได้ช่วยชีวิตตนเอาไว้ ดังนั้นนางก็มิอาจกลับไปยังลัทธิจันทราได้อีกแล้ว

ใต้หล้าใหญ่โตถึงเพียงนี้ นางจะมิมีแม้แต่แผ่นดินให้เหยียบเลยเยี่ยงนั้นหรือ ?

ส่วนเรื่องที่ว่าจะฆ่าถงเหยียนนั้น เป็นความคิดที่โผล่เข้ามาเพียงชั่ววูบ นางได้ช่วยชีวิตตนเอาไว้ หากว่าจะฆ่านาง ก็ควรจะมีเหตุผลให้เพียงพอจึงจะสามารถลงมือได้

 เดิมทีมนุษย์นั้นมิมีดีชั่ว ต่อให้เป็นถงเหยียนเอง นางก็มิได้ทำสิ่งใดอันก่อให้เกิดความเดือดร้อนต่อราชวงศ์หยู นางเพียงเกิดมาในลัทธิจันทราก็เท่านั้น ข้ามิเห็นด้วยว่านางควรตาย 

 แล้วเจ้าจะทำเยี่ยงไรต่อไป ?  

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งเคาะโต๊ะเป็นเวลาเนิ่นนาน  นางมิใช่ถงเหยียน 

 เยี่ยงนั้นนางคือผู้ใดกัน ?  

 นางคือลูกพี่ลูกน้องของข้า ถงซินเหยียน !  

ซูเจวี๋ยชะงักลงทันพลัน  ลูกพี่ลูกน้องของเจ้า ควรจะแซ่สวี่ 

 อ่าใช่… เช่นนั้นก็สวี่ซินเหยียน 

 เจ้าจงเดินทางไปยังจวนสวี่ แล้วกำชับกับท่านตาและท่านลุงของเจ้าเสีย อีกทั้งอย่าได้ทิ้งร่องรอยใด ๆ เอาไว้ 

 ศิษย์พี่ใหญ่เห็นด้วยกับความคิดของข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 …เจ้ากล่าวได้ถูกต้องแล้ว เดิมทีคนเรานั้นมิมีความดีหรือความชั่ว ในเมื่อนางช่วยชีวิตเจ้าไว้ แสดงว่าจิตใจของนางก็มิได้เลวร้ายอันใด 

 

ตอนที่ 495 ตอนนี้ควรจะทำเยี่ยงไร

ตอนที่ 495 ตอนนี้ควรจะทำเยี่ยงไร

รถม้าแล่นเข้าไปในเมืองจินหลิงที่เงียบสงบ

ภายในรถม้าฟู่เสี่ยวกวนโอบคนที่เขาคิดว่าเป็นหลิ่วเยียนเอ๋อร์ เขาจุดไฟตะเกียงขึ้น เพื่อที่จะตรวจสอบบาดแผลของนางเสียเล็กน้อย

แต่ทว่า…

ถงเหยียนถูกมีดสั้นสุดท้ายของไป๋จื่อตัดอาภรณ์บริเวณหน้าอกขาด คาดมิถึงว่ายอดหิมะจะปรากฏออกมา สายตาของเขาจรดอยู่บนยอดหิมะนั้นอย่างพอดิบพอดี

บัดซบ !

ดอกบัวหิมะตูมรอผลิบาน ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นทันพลัน

ถงเหยียนยังคงสลบไสล

นางกำลังตกอยู่ในฝันร้าย ภายในความฝันนางได้ยืนอยู่ตรงหน้าผาที่มีเหวลึกลงไปและมืดมิด ภายในเหวลึกมีเสียงตะโกนตรงมาถึงนางว่า  ลงมาเถอะ นี่ต่างหากที่เป็นที่ของเจ้า ลงมาที่นี่เท่านั้นเจ้าจึงจะสามารถหลุดพ้นไปได้ 

นางอดมิได้ที่จะก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เพื่อที่จะช่วยชีวิตฟู่เสี่ยวกวน ตนในตอนนี้ได้กลายเป็นคนทรยศของลัทธิจันทราไปเสียแล้ว ชีวิตนี้มิมีความหมายอันใดอีกต่อไปแล้ว ใต้หล้านี้ มิมีอันใดให้อาลัยอาวรณ์อีกแล้ว

มิทราบว่าสุดท้ายแล้วฟู่เสี่ยวกวนจะตายแล้วหรือไม่ แต่ตนคิดว่าเขายังมิตาย ราษฎรเหล่านั้นมิใช่กล่าวไว้ว่าเขาคือคนที่พระเจ้าส่งลงมาเพื่อเป็นพระโพธิสัตว์ให้มาช่วยเหลือชีวิตของพวกเขาหรอกหรือ ?

เขาย่อมได้รับพรจากพระเจ้า หวังว่าเขาจะมีชีวิตที่ดี เพื่อราษฎรในใต้หล้า เขาจะต้องอายุยืนนับร้อยปี

ท้ายที่สุดนางก็ได้กระโดดลงไปในเหวลึกนี้ ภายในเหวลึกมีเสียงหัวเราะเยาะดังขึ้น และเสียงโหยหวนอย่างอธิบายมิได้ ในตอนที่ร่างของนางกำลังจะตกลงไป กลับพบว่าร่างของตนนั้นถูกดึงกลับมาด้วยแรงอันมหาศาล

 คนโง่ เจ้าอย่าได้ตายเชียว !  

หนึ่งเสียงดังขึ้นที่ข้างหูของนาง เสมือนจริงมากยิ่งนัก แต่ในความคิดของนางกลับคลุมเครือเล็กน้อย นางมิทราบว่าเสียงนี้เกิดจากความฝันหรือความจริงกันแน่

นางลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ ขนตาเป็นแพยาวแยกออกจากกันเผยให้เห็นนัยน์ตา ราวกับนางได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคย ทั้งที่จริงแล้วนางเพิ่งจะเห็นใบหน้านี้เป็นคราแรกก็ในคืนนี้ แต่นางกลับรู้สึกคุ้นเคยมากยิ่งนัก

ใบหน้านี้อยู่ใกล้นางยิ่ง ลมหายใจที่ค่อนข้างเร่งร้อนรินรดอยู่บนใบหน้าของนาง รู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อย แต่กลับหอมเป็นอย่างมาก นี่คือกลิ่นกายเฉพาะของบุรุษที่นางมิคุ้นชิน

ดวงตาของนางเบิกโพลง และได้มองเห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจนแล้ว เขาคือฟู่เสี่ยวกวน !

เขายังมีชีวิต

เหมือนว่าเขานั้นจะยังกอดนางเอาไว้

ฟู่เสี่ยวกวนลำบากใจเล็กน้อย เขาอยากจะตรวจสอบอาการบาดแผลให้กับสตรีผู้นี้ ดังนั้นเขาจึงฉีกเสื้อเปิดออกมากขึ้น อาการบาดเจ็บของนางสาหัสยิ่ง โดยเฉพาะช่วงท้อง คาดมิถึงว่าจะถูกแทง จุดอื่นบนร่างกายของนางปลอดภัยดี และมีรอยแผลเล็กน้อยอยู่อีกเจ็ดแปดแห่ง

เขามองบาดแผลเหล่านั้น แต่สายตาก็มักจะไหลไปยังยอดหิมะที่สวยงามนั่นโดยมิรู้ตัว

ความรู้สึกนี้ราวกับกำลังยืนอยู่บนที่ราบสูงมองดูภูเขาหิมะศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็มีบางจุดที่มิเหมือนกัน ภูเขาหิมะที่สูงใหญ่มิสามารถยึดมั่นได้ ตรงนี้ใกล้เป็นอย่างมาก ดังนั้นฝ่ามือของเขาจึงร่วงหล่นลงไป…

ใบหน้าของถงเหยียนขึ้นสีแดงระเรื่อ แต่เพราะศิษย์พี่ใหญ่ได้สะกดพลังภายในของนางเอาไว้ ร่างของนางจึงอ่อนปวกเปียกเสียจนต่อให้อยากจะยกมือขึ้นมาตบหน้าเขาก็ยังทำมิได้

ฝ่ามือของฟู่เสี่ยวกวนหดรัดอยู่สองครา ความรู้สึกนี้ดีมากอย่างแท้จริง !

เขาเก็บฝ่ามือกลับไป ตนเป็นสุภาพบุรุษ มิสามารถเอาเปรียบสตรีในสถานการณ์เยี่ยงนี้ได้

หลังจากนั้น เขาก็ได้สบมองกับดวงตาคู่นั้นของถงเหยียน ทันใดนั้นก็รู้สึกขัดเขินขึ้นมาเล็กน้อย และหัวเราะเบา ๆ  อย่าได้เข้าใจผิดไป ข้าเพียงจะตรวจสอบบาดแผลของเจ้าก็เท่านั้น 

ถงเหยียนกลับมิได้โมโหแต่อย่างใด ดวงตาคู่สวยของนางจดจ้องไปที่ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน ระยะที่ใกล้เยี่ยงนี้ ยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าคนผู้นี้ดูดีมากยิ่งนัก เพียงแค่ภายในสมองของคนผู้นี้กลับมิได้ดูบริสุทธิ์เท่าที่แสดงออกมาให้เห็น

 ข้า ตรงนั้น ก็ได้รับบาดเจ็บเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา และกล่าวอย่างเอาจริงเอาจังว่า  ข้ารู้สึกว่าก็อาจจะเป็นไปได้ ควรดูให้ถี่ถ้วนอีกครา 

ดังนั้น มือของเขาจึงผลุบลงไปที่ตรงนั้นอีกครา ใบหน้าของถงเหยียนขึ้นสีแดงก่ำ และเอ่ยเสียงแผ่วว่า  หยุดมือ !  

ฟู่เสี่ยวกวนหยุดมือลงทันพลัน แต่มิได้ผละมือออกไป เขามองสตรีผู้นี้ และกล่าวยิ้ม ๆ ว่า  เมื่อครู่ที่เจ้าได้ช่วยข้าเอาไว้ ข้าอยากจะขอขอบคุณเจ้า 

 เจ้าขอบคุณข้าด้วยวิธีแบบนี้เยี่ยงนั้นหรือ ?  

 อ่า ข้ากลัวว่ามันจะหนาว 

ถงเหยียนตื่นตกใจ  ปล่อย !  

 ไอหยา… ได้ 

ในฐานะผู้อาวุโสที่สามของลัทธิจันทรา ถงเหยียนมิเคยสัมผัสกับเรื่องของชายหญิงมาก่อน แต่บัดนี้นางอายุยี่สิบปีแล้ว ก็พอจะรู้เรื่องอยู่บ้างเล็กน้อย

การสัมผัสอย่างใกล้ชิดจากชายหนุ่มแปลกหน้า ทำให้ใจของนางเต้นระรัว ดังนั้นการไหลเวียนของเลือดจึงเร็วขึ้นโดยปริยาย และเลือดก็ไหลออกมาจากบาดแผลมากยิ่งขึ้น

ฟู่เสี่ยวกวนเพียงมองดูเท่านั้น มิได้… หญิงสาวผู้นี้จะต้องเสียเลือดจนตายก่อนจะถึงจวนเป็นแน่

มิสนแล้ว ต้องพันแผลให้นางเสียก่อน

เขายื่นมือออกไปฉีกอาภรณ์ของถงเหยียน ถงเหยียนตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน และจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาประหลาดใจ มิใช่ เหตุใดเขาถึงต้องเยี่ยงนี้ด้วยกัน ?

 อย่าได้คิดเพ้อเจ้อเชียว ข้าต้องพันแผลให้เจ้า มิเยี่ยงนั้นเจ้าจะตาย 

ฟู่เสี่ยวกวนวางถงเหยียนไว้บนเก้าอี้ ใช้ผ้าที่ฉีกออกเหล่านั้นพันบาดแผลของนางเอาไว้ ในช่วงเวลาที่ทำทั้งหมดนี้ แววตาของฟู่เสี่ยวกวนกระจ่างใสยิ่ง การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วเป็นอย่างมาก และมิได้ตื่นตาตื่นใจกับความขาวราวกับหิมะที่อยู่เบื้องหน้านี้

ถงเหยียนค่อย ๆ สงบลง นางยังคงจ้องมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนเช่นเดิม ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่านี่คือความสุขอย่างหนึ่ง ในใต้หล้านี้ คาดมิถึงว่าจะยังมีคนที่ใส่ใจกับความเป็นความตายของตนเองอยู่อีกหนึ่งคน และคนผู้นี้ยังเคยเป็นคนที่นางจะต้องสังหารอีกด้วย !

หรือว่านี่จะเป็นชีวิตที่มักจะเต็มไปด้วยฉากละครที่ท่านอาจารย์เคยกล่าวเอาไว้กัน ?

 ถงเหยียนเอ๋ย สุดท้ายแล้วเจ้าก็จะพบคนที่เจ้ารักที่สุดในชีวิต เมื่อถึงเวลานั้น เจ้าจะต้องทะนุถนอมเขาเอาไว้ให้ดี 

เขาคือคนที่นางรักที่สุดในชีวิตเยี่ยงนั้นหรือ ?

กายของนางถูกเขาเห็นและสัมผัสไปแล้ว หากมิใช่เขา แล้วนางจะยังตบแต่งกับผู้ใดได้อีกกัน ?

ทันใดนั้นความอบอุ่นก็พลันแล่นเข้ามาในอกอีกครา แทรกขัดความคิดของนาง… คนผู้นี้ เอาอีกแล้ว !

 น่าจะพอประมาณแล้ว รอจนกระทั่งกลับไปถึงจวน ข้าจะให้ศิษย์พี่ใหญ่ปรุงยารักษาเจ้าขึ้นมา สบายใจเถอะ ทักษะการรักษาของศิษย์พี่ใหญ่อยู่ในระดับสูง ย่อมมิทิ้งรอยแผลเป็นไว้อย่างแน่นอน 

 เจ้า เอามือออกไป !  

 อ่า.. ไอหยา ชินแล้ว 

นี่มิใช่คำโกหกแต่อย่างใด อย่างน้อยภรรยาทั้งสามของเขาในตอนนี้ก็เข้าใจความหมายอย่างลึกซึ้ง เพียงแค่ถงเหยียนยังมิทราบ นางคิดเพียงแค่ว่าคนผู้นี้มองดูแล้วมีแต่ความคิดชั่วร้าย

รถม้าขับมาถึงจวนฟู่แล้ว ฟู่เสี่ยวกวนถอดอาภรณ์ของตนเองออกมาห่อร่างของถงเหยียนเอาไว้และอุ้มนางขึ้นมา ก่อนที่จะปรี่ไปยังเรือนหลังหนึ่งที่อยู่ด้านข้างของเรือนหลัก เรือนซีเซวี๋ย

เรือนซีเซวี๋ยมีกำแพงกั้นกับเรือนหลัก จึงมิได้แตกตื่นไปถึงห้องของภรรยาทั้งสามคนในเรือนหลัก

ซูซูกับซูโหรวเองก็พักอยู่ในเรือนซีเซวี๋ยเช่นเดียวกัน และในขณะนี้ก็ได้เดินออกมา ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยมิได้อธิบายอันใด เขาเพียงแค่ตั้งใจปรุงยารักษาแผลเท่านั้น จากนั้นจึงส่งต่อให้กับซูซู

ฟู่เสี่ยวกวนปลดอาภรณ์ของถงเหยียนเสียจนเปลือยเปล่า ท่ามกลางสายตาตื่นตกใจของซูซู

ใบหน้าของถงเหยียนแดงก่ำด้วยความอับอาย แต่สายตาของฟู่เสี่ยวกวนกลับมองไปรอบ ๆ

เขาทายาให้ถงเหยียนอย่างเบามือ จากนั้นก็ได้ให้ซูซูนำผ้าขาวสะอาดมา และพันแผลให้ถงเหยียนอย่างระมัดระวัง เขาวางนางลงบนเตียง และห่มผ้าให้นางอย่างดี

 หลับไปให้สบายใจเถอะ พรุ่งนี้อาการของเจ้าจะดีขึ้นอีกมากโข 

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวไว้เพียงเท่านั้น และพาซูซูเดินออกมา ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยกำลังรอเขาอยู่ในศาลาอี้เหลียง

 สตรีนางนี้เป็นผู้ช่วยเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 อือ 

ซูเจวี๋ยคิ้วขมวดเล็กน้อย และครุ่นคิดไปชั่วอึดใจ  นางมิใช่หลิ่วเยียนเอ๋อร์ 

ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน  เยี่ยงนั้นนางคือผู้ใดกัน ?  

 ฝีมือการปลอมแปลงของนางอยู่ในขั้นสูง ข้านึกออกได้เพียงทางเดียว เกรงว่านางจะเป็นผู้อาวุโสที่สามถงเหยียนแห่งลัทธิจันทรา !  

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงเสียยิ่งกว่าเดิม  แต่นางช่วยชีวิตข้าเอาไว้จริง ๆ ตอนนี้ควรจะทำเยี่ยงไรดี ?  

 

ตอนที่ 494 ปืนของสองพ่อลูก

ตอนที่ 494 ปืนของสองพ่อลูก

ณ ทางเดินฉีซาน

มือซ้ายของฟู่ต้ากวนถือวงล้อหยินหยาง ส่วนมือขวากำปืนเอาไว้

หลังจากที่เขากล่าวเสียงดังว่า  ฆ่า !   ร่างกายอันอ้วนท้วมก็ได้พุ่งตรงออกไปจากหลังม้า วงล้อหยินหยางถูกส่งออกไป มันแผ่ซ่านความเย็นยะเยือกออกมายังคนที่ยืนอยู่ด้านหลังไป๋หลี่หง

ไป๋หลี่หงตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน การที่อู๋ต้าหลางนำอาวุธชิ้นนี้ออกมาตั้งแต่เริ่มการต่อสู้หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?

การโจมตีจากปรมาจารย์ แน่นอนว่าคนข้างหลังเหล่านั้นย่อมรับมือมิไหว เขาจึงทำได้เพียงออกรับแทนเท่านั้น

เขาหมุนยาสูบในมือแล้วลุกขึ้นยืดตัวตรง และได้ใช้อาวุธกวัดแกว่งซ้ายทีขวาที เสียงดังโช้งเช้งปะทะเข้ากับวงล้อหยินหยาง

จนเกิดประกายแสงไฟสว่างวาบ วงล้อหยินหยางดูเหมือนจะอ่อนกำลังลงไป แต่ยังคงลอยไปทางด้านหลังของเขา

ทันใดนั้นเอง ในสายตาของเขา ร่างของฟู่ต้ากวนก็ค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น เขาสูดเอายาสูบเข้าไป ควันขาวลอยฟุ้ง และได้พุ่งตัวไปยังฟู่ต้ากวน

นี่คือการต่อสู้ของปรมาจารย์ทั้งสองคน การต่อสู้ครานี้ ไป๋หลี่หงจะต้องฆ่าฟู่ต้ากวนให้จงได้ และฟู่ต้ากวนจะต้องตายในน้ำมือของไป๋หลี่หง

พวกที่เหลือก็เริ่มลงมือต่อสู้เช่นกัน โจวถงถงเป็นผู้เริ่มต้น เขากำกระบี่ยาวไว้ในมือแล้วพุ่งเข้าหาศัตรูทันที

ไป๋หลี่หงและฟู่ต้ากวนเข้าปะทะกันในระยะใกล้ มองดูใบหน้าอันอ้วนกลมของเขาแล้ว ราวกับว่ามีรอยยิ้มปริศนาซ่อนอยู่

สิ่งนี้ทำให้ไป๋หลี่หงตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน เจ้าอ้วนนี่มีความลับอันใดซ่อนอยู่กัน ?

ต่อจากนั้น เขาจึงมองเห็นปืนในมือของฟู่ต้ากวน !

สิ่งนี้เขาเคยพบเห็นมาก่อนเมื่อตอนที่เข้าเฝ้าท่าป๋าเฟิง

เขารู้ว่าเจ้าสิ่งนี้เรียกว่าปืนคาบศิลา แต่เขามิรู้ว่าเจ้าของชิ้นเล็ก ๆ นี้มีอานุภาพรุนแรงถึงเพียงใด

ในความคิดของเขา เจ้าสิ่งนี้มิเป็นอันตรายอันใดสำหรับปรมาจารย์ มิเยี่ยงนั้นแล้วการที่พวกเขาฝึกฝนมาอย่างยากลำบากจะไปมีประโยชน์อันใดกัน

เขามิรู้ว่าเมื่อตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ในเมืองเปียนเฉิงนั้น เขาเคยยิงเป่ยหวังฉวนที่เป็นปรมาจารย์ในระยะห่าง 200 จั้งได้ !

แน่นอนว่าปืนกระบอกนั้นมีอานุภาพมากกว่าปืนคาบศิลานี้นับร้อยเท่า แต่บัดนี้ฟู่ต้ากวนอยู่ใกล้กับไป๋หลี่หงเป็นอย่างมาก ทั้งสองคนอยู่ห่างกันเพียงแค่ 2 จั้งเท่านั้น

อู๋ต้าหลางจะใช้เจ้าสิ่งนี้มาจัดการตนเยี่ยงนั้นหรือ ?

ยิ่งแก่ยิ่งไร้สาระเสียจริง !

ดังนั้นไป๋หลี่หงจึงหัวเราะขึ้น เมื่อรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาเริ่มปรากฏ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่บุหรี่ของเขาตกลงไป

 ปัง… !   เสียงหนึ่งดังขึ้น

ได้สร้างความตกใจให้แก่ป่าเขา และไป๋หลี่หง

ไป๋หลี่หงมองดูทรวงอกของตนด้วยความตกตะลึง ที่อกของเขาเป็นรู ! เเละรู้สึกเจ็บเป็นอย่างมาก !

รูนี้มีเลือดไหลทะลักออกมา !

เขามิอยากจะเชื่อ เมื่อสักครู่เขาใช้พลังลมปราณปกป้องร่างกายนี้เอาไว้แล้ว แต่เจ้าลูกเล็ก ๆ นี่สามารถเจาะเข้าไปในร่างกายของเขาได้เยี่ยงไรกัน ?

ฟู่ต้ากวนหัวเราะหึ ๆ  ไป๋หลี่หง วันนี้ข้าจะทำให้เจ้านองเลือดร้อยลี้ !  

เมื่อเขากล่าวจบก็นั่งลงไปที่พื้นแล้วทำท่าเหมือนจะใส่กระสุนลงไปอีก เจ้าของสิ่งนี้มีพลังเกินกว่าที่เขาคาดคิดไว้ แม้จะใช้มิค่อยสะดวกเท่าใดนัก มิน่าเล่าศิษย์พี่ที่สำนักจึงกล่าวว่า…ฝึกวรยุทธ์ มิได้มีประโยชน์เท่าใดแล้ว

ไป๋หลี่หงทรุดลงไปที่พื้น ดวงตาทั้งสองข้างของเขาเเดงระเรื่อ พร้อมกับตะโกนออกมาว่า  อู๋ต้าหลาง เจ้าใช้วิชาปิศาจเหล่านี้ เจ้ารู้จักกฎแห่งยุทธภพหรือไม่ ?  

 เจ้าช่างโง่เง่าอย่างแท้จริง กฎยุทธภพบ้าบออันใดกัน ต่อไปในภายภาคหน้าจะมิมียุทธภพแล้ว 

เมื่อกล่าวจบ ฟู่ต้ากวนก็ได้ยกมือขึ้น ไป๋หลี่หงที่กำลังเผชิญหน้ากับความตาย เขามิทันได้คิดไตร่ตรองคำกล่าวเมื่อครู่ของฟู่ต้ากวนด้วยซ้ำ เขารีบลุกขึ้นและเตรียมที่จะหนี ฟู่ต้ากวนหัวเราะออกมาจากนั้นก็มีเสียง  ปัง !   ดังขึ้นอีกคราหนึ่ง ไป๋หลี่หงถูกยิงเข้าที่กลางหลัง ร่างของเขาล้มลงกองที่พื้นทันที ใบหน้าของเขาแสดงถึงความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก มองดูแล้วช่างน่าเวทนายิ่ง

เจ้าสิ่งนี้เก่งกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ !

ไป๋หลี่หงรู้สึกคับแค้นและตื่นกลัวอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน !

เขาเป็นถึงปรมาจารย์ ! แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าสิ่งนี้ เเม้แต่ปรมาจารย์ก็มิมีประโยชน์อันใด !

ผู้ใดก็ได้ช่วยบอกเขาทีว่าเป็นเพราะเหตุใดกัน ?

เขายังคงคิดที่จะหนี และได้วิ่งเข้าไปท่ามกลางฝูงชน เมื่อพวกคนชุดดำเหล่านั้นมองดู…

นี่มันเกิดอันใดขึ้นกัน !

ปรมาจารย์ไป๋หลี่หงถูกฆ่าอย่างน่าอนาถ !

ยังจะสู้ต่อหรือไม่ ?

ไป๋หลี่หงเพียงต้องการวิ่งหนีเอาชีวิตรอด เขาจะไปคิดถึงการต่อสู้ได้อีกเยี่ยงไรกัน สู้ต่อไปเพื่ออันใด ไร้ประโยชน์ยิ่ง

ดังนั้น ในขณะที่พวกคนชุดดำกำลังลังเล ฟู่ต้ากวนก็ได้กระโดดลอยตัวลงมา  ไป๋หลี่หง เจ้าจงมอบชีวิตอันไร้ค่าของเจ้าให้ข้าเสีย !  

ต่อจากนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงดัง  ปัง… !   จากนั้นไป๋หลี่หงก็ได้คว่ำหน้าลงสู่พื้น

พวกคนชุดดำเมื่อเห็นดังนั้นก็ได้พากันตกตะลึงและลืมการต่อสู้ไปชั่วขณะ คนจากหอเทียนจีจึงใช้โอกาสนี้ต่อสู้ฆ่าฟันเสียจนทางเดินฉีซานเต็มไปด้วยหยาดเลือด

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนลูบไปที่ปืน

สตรีสองนางไล่ตามเขาตั้งแต่ใต้น้ำมาจนถึงผิวน้ำ ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ลอยขึ้นมายังผิวน้ำแล้วเช่นกัน

เขาพยายามหายใจเข้าไป จากการที่เรือกำลังลุกไหม้นี้ ดูเหมือนว่าเขาจะพอเข้าใจแล้วว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น

สตรีชุดดำคนหนึ่ง ส่วนอีกคนหนึ่ง…อีกคนหนึ่งนั้นกลับเป็นหลิ่วเยียนเอ๋อร์ !

สิ่งนี้เกินกว่าที่ฟู่เสี่ยวกวนจินตนาการไว้ หลิ่วเยียนเอ๋อร์มีความสามารถสูงถึงเพียงนี้เชียวหรือ ! หากมิใช่เพราะนางกระโดดลงมาช่วย ชีวิตของเขาคงจะหาไม่ไปแล้ว

ถงเหยียนมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน แล้วตะโกนว่า  รีบหนีไปสิ !  

นางถูกดาบปักเข้ามาอีกคราหนึ่ง ไป๋จื่อหัวเราะอย่างเยือกเย็น  หึ ๆ ชายหญิงคู่นี้ ข้าจะทำให้พวกเจ้าสมหวังเอง จงไปเจอกันในนรกเถอะ !  

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็อยากจะหนีไป แต่จะให้เขามองนางตกอยู่ในความเป็นความตายโดยมิช่วยได้เยี่ยงไรกัน !

ดังนั้นเขาจึงยกมือขวาขึ้นแล้วเล็งไปที่ไป๋จื่อ…

 ปัง !  

ในขณะที่ดาบของไป๋จื่อเพิ่งจะสัมผัสกับอาภรณ์ตรงทรวงอกของถงเหยียน เเละถงเหยียนเองก็คิดว่าตนต้องตกตายเป็นแน่แท้ แต่แล้วฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ช่วยนางเอาไว้ได้ทันเวลาโดยการยิงไป๋จื่อ

ลูกปืนได้เจาะลงไปยังกลางหน้าผากของไป๋จื่อ เลือดสีแดงสดทะลักพุ่งกระจายอาบใบหน้าของถงเหยียน

นางลืมตามองดูด้วยความตกตะลึง และมองเห็นร่างของไป๋จื่อค่อย ๆ จมดิ่งลงท่ามกลางทะเลสาบ

จากการต่อสู้ที่เหน็ดเหนื่อย นางมองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วยกยิ้มออกมา  เจ้าจะต้องมีชีวิตอยู่ เพื่อช่วยให้ราษฎรที่มีชีวิตยากลำบากเหล่านั้นมีความสุข 

ร่างของนางเองก็ค่อย ๆ จมลงไปเช่นกัน ฟู่เสี่ยวกวนรีบดำน้ำตามลงไปแล้วอุ้มถงเหยียนขึ้นมายังผิวน้ำ

ซูเจวี๋ยจัดการกับศัตรูได้แล้วจึงลอยตัวมายังทะเลสาบแล้วมองหาฟู่เสี่ยวกวนด้วยความกังวล เมื่อเขามองเห็นฟู่เสี่ยวกวนแล้ว จึงพบว่าฟู่เสี่ยวกวนได้อุ้มสตรีนางหนึ่งเอาไว้ในอ้อมแขน

เขาจึงได้ยื่นมือไปจับไว้ ปลายเท้าทั้งสองข้างแตะลงไปที่พื้นผิวน้ำแล้วลอยตัวไปยังฝั่งทันที เขานำตัวทั้งสองคนขึ้นรถม้า จากนั้นก็คลายเส้นลมปราณแขนขวาของฟู่เสี่ยวกวน และกดปิดจุดของถงเหยียนเอาไว้ รถม้าพุ่งทะยานออกไปอย่างรวดเร็วท่ามกลางความมืดมิด

……

……

กลางเขาของวัดฟูจื่อมีคนยืนอยู่ 3 คน

พวกเขาคือองค์รัชทายาทของแคว้นอี๋ เยียนเหลียงเจ๋อ เปียนมู่หยู และหลานข่าย

พวกเขามองดูแสงไฟที่ถูกจุดจนลุกโชนอยู่บนแม่น้ำฉินหวาย ใบหน้าของพวกเขามิได้แสดงถึงความยินดี

เปียนหรงเอ๋อเป็นเพียงสตรีธรรมดาเท่านั้น นางมิได้ฝึกวรยุทธ์ แน่นอนว่าจะต้องตกตายในกองเพลิงนั้นเป็นแน่

ส่วนฟู่เสี่ยวกวน ก็คาดว่าจะมิมีชีวิตรอดกลับมาได้แล้วอย่างแน่นอน

นี่คือแผนการของเยียนเหลียงเจ๋อและไป๋จื่อ ถงเหยียนมิได้รับรู้เรื่องนี้ด้วยเลย

สายลมจากภูเขาพัดพาทำให้อาภรณ์ของทั้งสามคนโบกปลิวไสว เยียนเหลียงเจ๋อยืนมองจนกระทั่งไฟนั้นมอดดับลง มองดูที่แม่น้ำฉินหวายบัดนี้มีทหารเข้าไปจำนวนมาก จึงได้หันหลังกลับแล้วทำความคารวะเปียนมู่หยู

 หากว่าข้าได้ขึ้นครองบัลลังก์ ข้าจะเลือกท่านเปียนเป็นอัครมหาเสนาบดี และจะทำให้ตระกูลเปียน…รุ่งเรืองตลอดไป !  

สีหน้าของเปียนมู่หยูโศกเศร้าเป็นอย่างมากน้ำตาไหลออกมาเป็นทาง เขาก้มตัวคารวะ  กระหม่อม ขอขอบพระทัยฝ่าบาทที่เมตตา !  

 ไปเถอะ 

 พ่ะย่ะค่ะ… !  

 

ตอนที่ 493 นองเลือดที่ฉินหวาย

ตอนที่ 493 นองเลือดที่ฉินหวาย

ฟู่เสี่ยวกวนและซูเจวี๋ยเดินขึ้นไปบนหงซิ่วจาว

หงซิ่วจาวในค่ำคืนนี้เงียบสงบเป็นอย่างมาก เพราะเปียนหรงเอ๋อได้จองเอาไว้ทั้งหมดแล้ว

เปียนหรงเอ๋อสวมเสื้อคลุมผ้าแพรที่ถูกทอมาอย่างประณีตสวยงาม บนไหล่คลุมด้วยหางของจิ้งจอกสีแดงเพลิง จนทำให้ความงามของนางมีเสน่ห์เพิ่มมากขึ้น

บนใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ นางยืนอยู่ที่หน้าประตูชั้นสาม รอต้อนรับการมาถึงของฟู่เสี่ยวกวนอย่างมีความสุข

โต๊ะเก้าอี้บนชั้นสามถูกขนย้ายออกไปจนหมด เหลือไว้เพียงตัวเดียวเท่านั้น

ทั้งสามคนนั่งล้อมโต๊ะ มีสาวใช้นางหนึ่งนำสุราและอาหารเข้ามา เปียนหรงเอ๋อนั่งอยู่ด้านล่างของฟู่เสี่ยวกวน เปิดขวดสุราและรินให้กับทุกคน  ข้าได้ยินมาเนิ่นนานแล้วว่ามีสตรี 2 นางของหงซิ่วจาวแห่งนี้ที่ร้องเพลงได้ไพเราะยิ่ง ทั้งยังมากไปด้วยบทกวีของคุณชายฟู่ ข้านั้นอยากฟังมาเนิ่นนานแล้ว วันนี้สามารถเชิญคุณชายฟู่ที่มีธุระมากมายมาได้ ถือเป็นโชคดีของข้า ข้าขอดื่มให้ท่าน 1 จอก 

ฟู่เสี่ยวกวนยกจอกสุราขึ้นมาดม และกล่าวยิ้ม ๆ ว่า  แม่นางเปียนจะเกรงใจกันเกินไปแล้ว ตามจริงแม่นางเปียนคือแขกจากแดนไกล ถึงแม้ข้าจะเป็นคนของหลินเจียง แต่บัดนี้ข้าได้พักอาศัยอยู่จวนที่จินหลิง ถือว่าเป็นเจ้าถิ่น นี่ควรจะเป็นหน้าที่ของเจ้าถิ่นถึงจะถูก แต่ข้ากลับทำให้แม่นางเปียนต้องออกเงินเองเสียแล้ว 

เปียนหรงเอ๋อลอบคิดว่าข้ามอบเงินให้เจ้าถึง 400,000 ตำลึง แต่แลกกลับมาด้วยอาหารของเจ้า 1 มื้อ คนผู้นี้…ตระหนี่ยิ่งนัก !

 คุณชายฟู่คือผู้มีเกียรติ เป็นเกียรติของข้ายิ่งที่สามารถเชิญชวนคุณชายฟู่มาร่วมดื่มด้วยกันได้ มาเจ้าค่ะ เริ่มด้วย 3 จอก 

หลังจากที่สุราสามจอกลงท้องไป ใบหน้าของนางก็ได้ขึ้นสีแดงระเรื่อ เมื่อเสริมกับพื้นหลังหางจิ้งจอกสีแดงเพลิงนางยิ่งดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น

นางปรบมือหนึ่งครา หลิ่วเยียนเอ๋อร์ที่แบกฉินหนึ่งตัวและกระบี่หนึ่งเล่มก็ได้ขึ้นมาบนเวที

สายตาของหลิ่วเยียนเอ๋อร์กวาดมองไปยังใบหน้าของคนทั้งสามอย่างช้า ๆ สุดท้ายสายตาของนางก็ได้ตกไปอยู่ที่ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน เขาอายุยังมิครบ 18 ปีเลยด้วยซ้ำ ฟู่เสี่ยวกวนย่อมเป็นเขาอย่างแน่นอน !

คนผู้นี้มีท่าทางของนักวรรณกรรมแฝงอยู่อย่างแท้จริง สุภาพเรียบร้อย เครื่องหน้าทั้งห้าที่ได้รูป บนใบหน้าไร้ร่องรอยอื่นใด ยังคงสดใสและสะอาดสะอ้าน

เป็นชายหนุ่มผู้นี้ที่ประพันธ์ผลงานชิ้นเอกอย่างความฝันในหอแดงขึ้นมา เขาคือชายหนุ่มผู้ที่กำลังจะปฏิรูปราชวงศ์หยูครายิ่งใหญ่ เขาทำให้เหล่าราษฎรที่ยากจนได้มองเห็นความหวังของอนาคต

ชายหนุ่มที่นั่งตัวตรงข้างกายของเขาย่อมเป็นศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยแห่งสำนักเต๋า ดูเหมือนว่าที่ผู้สังเกตสำนักเต๋าได้รับฟู่เสี่ยวกวนเป็นศิษย์ก้นกุฏิจะมิใช่เพียงข่าวลือ

นางดึงสายตากลับมา วางฉินลง และคำนับอย่างนุ่มนวล  เยียนเอ๋อร์ขอบรรเลงบทเพลง ‘คิ้วแข็งโค้ง’ ให้แก่ทุกท่านได้รับฟัง 

ต่อจากนั้นมือของนางก็ได้วางทาบลงบนฉิน เสียงฉินดังขึ้นมา ทุกคน ณ ที่นั้นเงียบลงทันพลัน

จากนั้นนางก็ได้ขับร้องออกมา บทเพลงคิ้วแข็งโค้งได้ดังก้องเข้าไปถึงหูของผู้คนที่อยู่บนหงซิ่วจาว

และในเวลาเดียวกัน เรือลำเล็ก 6 ลำก็ได้แล่นเข้ามายามค่ำคืน และได้หยุดอยู่ที่ด้านข้างของหงซิ่วจาว

เหล่าคนนับสิบได้ปรี่ขึ้นมา ในมือถือดาบและกระบี่ฟาดฟันไปบนเรือหงซิ่วจาว กวัดแกว่งดาบและกระบี่ในมือไปมา สาวใช้จำนวนมากมิทันแม้แต่จะได้กรีดร้องออกมา ก็ได้เสียชีวิตไปในทันที

ใบหูของซูเจวี๋ยขยับ แต่สีหน้าของเขายังคงราบเรียบดังปกติ

เขามิได้ขยับแต่อย่างใด เพราะเขากังวลว่าผู้ที่มาจู่โจมจะใช้แผนล่อเสือออกจากถ้ำอีกครา

แต่แล้วเขาก็ได้กลิ่นน้ำมันอ่อน ๆ ที่ลอยอยู่ในอากาศ ทั้งยังปะปนไปกับกลิ่นของสุราเทียนเซียง คิ้วของเขาพลันขมวดนิ่ว ศัตรูต้องการวางเพลิงเยี่ยงนั้นหรือ ?

เช่นนี้ก็ไร้หนทางที่จะนั่งนิ่งได้อีกต่อไปแล้ว

 มีมือสังหาร !  

ซูเจวี๋ยลุกขึ้นยืนตะโกนเสียงดังลั่น จนระงับเสียงร้องของถงเหยียน และเสียงฉินที่นางกำลังบรรเลง

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลงทันพลัน สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นแสงสีแดงปรากฏขึ้นมา ในชั่วพริบตาชั้นหนึ่งของหงซิ่วจาวก็ได้เกิดไฟลุกท่วม

ซูเจวี๋ยคว้าตัวฟู่เสี่ยวกวนในทันทีและโผออกไปด้านนอกเรือและได้ลอยอยู่บนอากาศ…

ในยามที่เขากำลังพาฟู่เสี่ยวกวนทะยานออกมา บนท้องนภาก็ได้มีตาข่ายขนาดใหญ่ลอยลงมา !

มุมทั้งแปดของตาข่ายนี้มีผู้มีฝีมือระดับสูงแปดคนจับเอาไว้อยู่ พวกเขาโผบินขึ้นมาจากเรือทั้งแปดบนน่านน้ำ เพื่อคลุมเหนือหัวของคนทั้งสองเอาไว้

ถงเหยียนเลิกคิ้วขึ้น ผู้ที่มาสังหารฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีเพียงศิษย์พี่ไป๋จื่อของนางเยี่ยงนั้นหรือ ลัทธิจันทราได้ใช้กองกำลังลับ !

ซูเจวี๋ยชักกระบี่ไม้ออกมา จิตกระบี่ปรี่ไปเบื้องหน้า จนตัดตาข่ายนั้นขาด

ผู้มีฝีมือลึกลับทั้งแปดก็ได้ปล่อยมือเช่นกัน ตาข่ายขนาดใหญ่ตกลงไป จากนั้นผู้มีฝีมือระดับสูงทั้งแปดก็ได้สะบัดกระบี่ยาวเพื่อสังหารซูเจวี๋ย

ผู้มีฝีมือระดับสูงทั้งแปดที่ทะลวงขั้นหนึ่ง กระบี่ทั้งแปดได้แผ่ไอหนาวเหน็บที่น่าสะพรึงออกมา !

เพียงซูเจวี๋ยชักกระบี่ออกมา ก็ตัดเปิดตาข่ายนี้ออกจนเกิดช่องที่ยาวเหยียด กระบี่ไม้ของเขาปะทะกับกระบี่ทั้งแปด จนเกิดเสียงดังกึกก้อง

มือขวาของฟู่เสี่ยวกวนยื่นเข้าไปในแขนเสื้อ และหยิบปืนกระบอกนั้นออกมา

ทั้งสองคนในขณะนี้ยังคงลอยอยู่กลางอากาศ แต่ในตอนที่กำลังจะตกลงไปอย่างช้า ๆ เรือที่อยู่ด้านล่างก็แทบจะจมหายไปในกองเพลิง

ทันทีที่กระบี่ของซูเจวี๋ยโชติช่วง พละกำลังของปรมาจารย์ก็ได้ระเบิดออกมาในชั่วพริบตา คนชุดดำทั้งแปดคาดมิถึงว่าจะมี 2 คนที่ถูกตัดขาดเป็นสองท่อนในยามที่อยู่ใต้กระบี่ของเขา !

ส่วน 6 คนที่เหลือมีอาการบาดเจ็บสาหัส

แต่พวกเขายังคงมิยอมแพ้ พวกเขาโจมตีทางอากาศอีกครา

ในตอนที่ซูเจวี๋ยและฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะตกลงไปในน้ำ ในยามนั้นเอง ก็ได้มีคนผู้หนึ่งโผล่ขึ้นมาจากในน้ำ เชือกในมือของคนผู้นั้นทะยานออกมา และพันเข้าที่ขาของฟู่เสี่ยวกวนอย่างพอดิบพอดี

เขาดึงเชือกจากในน้ำ ฟู่เสี่ยวกวนจึงถูกดึงลงไปในน้ำทันที ซูเจวี๋ยพลิกร่างกลับมา กระบี่แทงลงไปในน้ำ แต่ในน้ำกลับมีกระบี่ 8 เล่มโผล่ขึ้นมาอีกครา จนกระบี่ของเขาถูกขวางเอาไว้

ไป๋จื่อดำลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว ฟู่เสี่ยวกวนถูกนางลากลงไปใต้น้ำในทันที

ให้ตายเถอะ !

ใต้น้ำมืดราวกับสีของน้ำหมึก มองอะไรมิเห็นทั้งสิ้น

ฟู่เสี่ยวกวนฝ่าความตายยกใหญ่ แต่ก็ได้สงบลงในชั่วพริบตา

เขาได้ยินเสียงน้ำจากทางด้านซ้าย ยกปืนในมือขึ้นยิง ปืนลูกนั้นได้เฉียดแขนของไป๋จื่อไป ไป๋จื่อตื่นตระหนกขึ้นมาทันพลัน !

นางดึงเชือกในมือ ฟู่เสี่ยวกวนถูกดึงจนเสียหลัก แต่ยังคงยิงไปยังอีกด้านของเชือก

ราวกับไป๋จื่อทราบว่าในมือของเขามีศาสตราเทพที่คาดเดามิได้อยู่ ในชั่วพริบตานั้นนางจึงถอยห่างออกมาหนึ่งก้าว จึงสามารถหลบปืนที่มองมิเห็นนี้ไปได้

นางพลิกตัวไปด้านบน แตะไปบนแขนของฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกเพียงว่าแขนด้านขวาของเขาได้ชาไปแล้ว ปืนในมือจึงตกลงไปใต้น้ำ

ไป๋จื่อลอบหัวเราะ อุบายของเจ้าหน้าขาวนี่หมดแล้ว ตอนนี้ เขาควรไปตายได้แล้ว

ไป๋จื่อหยิบมีดสั้นออกมา ในตอนที่กำลังจะแทงมีดสั้นเข้าที่อกของฟู่เสี่ยวกวน แต่แล้วก็ต้องเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนในทันใด มีเสียงน้ำดังขึ้นที่เหนือหัว

ถงเหยียนกระโดดลงไปในน้ำ ว่ายลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็วราวกับปลา ในขณะที่ไป๋จื่อดึงมีดสั้นออกมา นางก็ได้แทงกระบี่ในมือออกไป

ไป๋จื่อคิ้วขมวดนิ่ว เป็นไปได้หรือที่คนทั้งแปดจะมิสามารถขวางซูเจวี๋ยเอาไว้ได้ถึง 10 อึดใจ ?

นางต้องการอีกเพียงอึดใจเดียวเท่านั้นก็จะสามารถสังหารฟู่เสี่ยวกวนได้สำเร็จแล้ว นี่มันกลุ่มคนโง่เง่าอย่างแท้จริง !

นางกวัดแกว่งมีดสั้นใส่กระบี่ที่บินมาแต่แล้วก็ต้องตกตะลึง มิใช่ซูเจวี๋ย แล้วจะยังมีผู้ใดมาช่วยฟู่เสี่ยวกวนได้อีกกัน ?

ถงเหยียนว่ายลงไปถึงใต้น้ำ ในชั่วพริบตาสตรีทั้งสองก็ได้ปะทะกันท่ามกลางความมืดที่มองมิเห็น ไป๋จื่ออาศัยการลงมือนี้ถึงได้ทราบว่าคนที่มาช่วยฟู่เสี่ยวกวนคาดมิถึงว่าจะเป็นถงเหยียน !

นางแพศยา ได้หลงรักฟู่เสี่ยวกวนเข้าแล้วอย่างแท้จริง เจ้าทำลายเรื่องที่ดีงามของลัทธิ และยังเป็นกบฏต่อลัทธิจันทราอีกด้วย ที่ใดในใต้หล้านี้จะสามารถอภัยให้เจ้าได้กัน ?

คนโง่ !

โง่เง่าอย่างแท้จริง !

ความเดือดดาลของไป๋จื่อพลันพุ่งสูงขึ้น มือเพชฌฆาตเคลื่อนออกไป มีดสั้นแทงเข้าที่ร่างของถงเหยียนจนทิ้งรอยเลือดเอาไว้เป็นทาง

ฟู่เสี่ยวกวนอาศัยช่วงเวลานั้นดึงดาบเล็กที่ซ่อนอยู่ในรองเท้าออกมา ตัดเชือกนั้นออก และใช้มือข้างซ้ายของเขาคลำหาปืนที่ตกหล่นอยู่ใต้น้ำ

 

ตอนที่ 492 ฆ่า

ตอนที่ 492 ฆ่า

ตั้งแต่กลับมาจากภูเขาหนานซาน อารมณ์ของถงเหยียนก็มิค่อยมั่นคงเท่าใดนัก

คนผู้นี้จะฆ่าหรือมิฆ่าดี เกิดความลังเลขึ้นมาในใจของนาง

หากว่ามิฆ่า จะตอบแทนบุญคุณที่ลัทธิจันทราเลี้ยงดูตนเองมาได้เยี่ยงไร ?

แต่ถ้าฆ่าเขา จะเป็นการทำลายความหวังของผู้คนมากมายที่ทำงานกันท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บหรือไม่ ?

ในขณะที่ถงเหยียนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้มีคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องของนาง

เป็นสตรีอายุราว 20 ปี รูปร่างหน้าตางดงามเฉกเช่นเดียวกับนาง สตรีผู้นี้ถือผ้าห่อสีดำเดินโยกตัวเข้ามา นางมองดูถงเหยียนแล้วหัวเราะขึ้นมาพร้อมกับเอ่ยว่า  ศิษย์น้อง ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว ดูท่าทางของเจ้าสิ มิสบายใจอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ถงเหยียนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย นางจ้องไปยังสตรีผู้นี้

 นี่คือหน้าที่ของข้า ไป๋จื่อ เจ้าเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยเหตุอันใดกัน ?  

แม่นางที่นามว่าไป๋จื่อนั้นหัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยว่า  ได้ยินมาว่าข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนนั้นมีผู้มีฝีมือระดับสูงแห่งสำนักเต๋าอยู่มากมาย ศิษย์น้อง ข้านั้นแค่เป็นห่วงความปลอดภัยของเจ้าเท่านั้นเองมิใช่หรือ ? อีกอย่าง…ท่านหัวหน้าลัทธิได้สั่งการมาว่า ฟู่เสี่ยวกวนจะต้องตาย อีกทั้งต้องตายภายในค่ำคืนนี้เท่านั้น มิเยี่ยงนั้น เกรงว่าสถานการณ์จะมิดีต่อท่านหัวหน้าลัทธิเป็นแน่ 

นางนำห่อผ้าสีดำนั้นโยนลงไปบนเตียงของถงเหยียนแล้วยกยิ้มขึ้น  ศิษย์น้องเป็นคนใจอ่อน หากว่าถูกเจ้าฟู่เสี่ยวกวนนั่นตบตา อาจจะมิกล้าลงมือ…  ใบหน้าของนางเริ่มเก็บรอยยิ้มนั้นลง และความเคร่งขรึมก็ได้เข้ามาแทนที่  หากว่าศิษย์น้องมิกล้าลงมือ เกรงว่าลัทธิจันทราจะต้องเผชิญหน้ากับความพินาศเป็นแน่ !  

นางยืดหลังตรง บนใบหน้านั้นมีรอยยิ้มเผยออกมาอีกคราหนึ่ง  พวกเราล้วนเติบโตมาได้เพราะลัทธิจันทรา ลัทธิจันทราเปรียบเสมือนบ้านของเรา ! ศิษย์น้อง ข้าได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าได้ไปที่ภูเขาหนานซานมาด้วยนี่ จงอย่าได้ถูกฟู่เสี่ยวกวนหลอกเชียว เมื่อคราที่ท่านอาจารย์ยังมีชีวิตอยู่ท่านมักกล่าวว่าศิษย์น้องเป็นผู้อ่อนไหวในความรู้สึก ในใจลึก ๆ มีความเมตตายิ่ง ดังนั้นเพื่อให้ภารกิจนี้สิ้นสุดไปได้ด้วยดี ท่านหัวหน้าลัทธิจึงได้ส่งข้ามาช่วยเจ้า 

 หากว่าพวกเราทั้งสองคนร่วมมือกัน เจ้าฟู่เสี่ยวกวนนั่นต่อให้มีปีกก็หนีมิพ้นอย่างแน่นอน 

ถงเหยียนยังคงจ้องมองไปยังไป๋จื่อแล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า  เจ้ามานานแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ก็มิเชิง เดิมทีข้าจะมาฆ่าโจวถงถงเสีย แต่ข้างกายของเขามีเจ้าอ้วนขั้นปรมาจารย์อยู่ด้วย จึงฆ่ามิสะดวกนัก ดังนั้นท่านหัวหน้าลัทธิจึงออกคำสั่งให้ข้ามาช่วยเจ้า ข้าเพิ่งจะเดินทางมาถึงในวันนี้ และได้ยินมาว่าเจ้าได้เดินทางไปยังภูเขาหนานซาน จึงอดที่จะรู้สึกแปลกใจมิได้… 

 ศิษย์น้อง เจ้าไปที่ภูเขาหนานซานเพื่ออันใดกัน ?  

มุมปากของถงเหยียนเผยอขึ้น ยกยิ้มแล้วกล่าวว่า  ข้าไปดูว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนเยี่ยงไรกันแน่ ?  

 แล้วมองออกหรือไม่ ?  

 พอจะมองออกบ้างแล้ว 

 ช่วยเล่าให้ศิษย์พี่ฟังสักหน่อยได้หรือไม่ ?  

ถงเหยียนมองออกไปนอกหน้าต่างที่บัดนี้ได้มืดมิดแล้ว  มิเล่าก็มิเป็นไร 

 …ศิษย์น้อง เจ้าจงฟังข้าสักหน่อย ฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นเป็นขุนนางระดับสามแห่งราชวงศ์หยู อีกทั้งเขายังเป็นถึงองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ แล้วเจ้าเล่า ? เจ้าเป็นเพียงกบฏ ผู้หักหลัง เป็นคนเลว ! ในสายตาของพวกเขา คนเราดูถูกผู้อื่นได้ แต่ที่สำคัญจะต้องมิดูถูกตนเอง 

 ศิษย์พี่รู้ดีว่าเจ้านั้นมีรูปร่างหน้าตาที่งดงามดุจเทพธิดา อีกทั้งมิว่าจะเป็นศิลปะด้านใดเจ้าล้วนเก่งกาจทั้งสิ้น แต่น่าเสียดายที่เจ้าเกิดมาผิดที่ ศิษย์พี่ใหญ่ชื่นชอบเจ้ามิใช่แค่เพียงวันสองวัน ข้าคิดว่าเจ้านั้นเหมาะกับศิษย์พี่ใหญ่มากยิ่งนัก ส่วนเรื่องอื่น…หากคิดมากไปก็ปวดหัวเสียเปล่า ๆ  

ดวงตาของถงเหยียนบ่งบอกถึงความสับสน หากจะกล่าวว่านางรักฟู่เสี่ยวกวนเข้าให้แล้วก็คงมิใช่ เพียงแค่นางรู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างน่าเสียดายยิ่ง เขามิใช่คนที่เลวร้ายน่ารังเกียจ อีกทั้งยังเป็นผู้สร้างความสุขให้แก่ราษฎรตั้งมากมาย

หากว่าขุนนางเช่นนี้ตกตายไป ราชวงศ์หยูหรือต่อให้ลัทธิจันทราทำลายล้างราชวงศ์หยูแล้วก่อตั้งราชวงศ์เฉินได้สำเร็จ แต่ขุนนางที่เหลือเหล่านั้นจะเป็นห่วงกังวลราษฎรเฉกเช่นฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ?

แต่ที่ศิษย์พี่กล่าวมาเมื่อครู่ก็มิผิด ตนนั้นเติบโตมาได้เพราะลัทธิจันทราและนางควรจะตอบแทนบุญคุณนี้ หากว่าฟู่เสี่ยวกวนมิตาย เขาจะไปทำลายแผนการของท่านหัวหน้าลัทธิ และผู้คนในลัทธิจันทราคงจะมิมีผู้ใดให้อภัยนางเป็นแน่

งานที่ได้รับมอบหมายมาครานี้ช่างลำบากใจเสียจริง หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้สู้นางบอกปัดไปตั้งแต่แรกเสียจะดีกว่า หากนางมิเห็นตั้งแต่แรกก็คงจะมิลังเลเฉกเช่นบัดนี้

……

……

ดวงดาราในเมืองจินหลิงยามค่ำคืนช่างสว่างไสวยิ่ง แต่ที่ทางเดินฉีซานนั้นกลับเต็มไปด้วยหิมะ

ผู้คนกว่าร้อยชีวิตของหอเทียนจีกำลังขี่ม้าอยู่ท่ามกลางหิมะที่ตกหนักอยู่บริเวณทางเดินฉีซาน

ที่เมืองเปียนเฉิง พวกเขาได้พบกับการโจมตีคราที่หนึ่ง เป็นเหล่าคนชุดดำที่มีฝีมือระดับสูง หอเทียนจีสูญเสียกำลังคนไปกว่าห้าสิบคน ท้ายที่สุดแล้วก็ได้รับความช่วยเหลือจากชายอ้วนจึงทำให้ศัตรูถอยหนีไป

หัวหน้าสำนักโจวถงถงและชายอ้วนนั้นได้นั่งสนทนากันเป็นเวลาครึ่งก้านธูปเห็นจะได้ จากนั้นพวกเขาก็ได้พากันเดินทางต่อเพื่อที่จะข้ามผ่านทางเดินฉีซานให้ได้ในคืนนี้

ชายอ้วนผู้นั้นได้เข้าร่วมขบวนด้วย ทำให้ผู้มีความสามารถทั้งหลายในหอเทียนจีอุ่นใจขึ้นมามากกว่าเดิม

เจ้าอ้วนนี่เป็นถึงขั้นปรมาจารย์ !

อาวุธลับของเจ้าอ้วนนี่คือวงล้อพระจันทร์ !

จู๋ซีช่างศักดิ์สิทธิ์แห่งราชวงศ์หยูได้สร้างศาสตราเทพขึ้นมาทั้งสิ้น 7 ชิ้น และวงล้อพระจันทร์ก็เป็นหนึ่งในเจ็ดนี้ มันมีชื่อเรียกว่าวงล้อหยินหยาง

เกาเสี่ยนถูกโจวถงถงจัดการเสียจนไร้สิ้นกำลังต่อสู้และถูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนา ขบวนเคลื่อนผ่านไปด้วยความเงียบสงบ มีเพียงเสียงเกือกม้าเท่านั้นที่ทำลายความเงียบงันของป่าเเห่งนี้

ในขณะที่พวกเขากำลังจะข้ามผ่านหุบเขา

ป่าทั้งสองข้างก็ได้ปรากฏลูกธนูลอยออกมากะทันหัน !

 ศัตรูลอบโจมตี !  

 ป้องกันทั้งสองข้างเอาไว้ให้ดี แล้วบุกออกไป !  

เสียงกระทบกันไปมาของโลหะดังขึ้น มีคนจากหอเทียนจีสิบคนถูกยิงตกลงมาจากหลังม้า ที่เหลืออีกเก้าสิบกว่าคนนั้นพยายามกวัดแกว่งดาบเพื่อปกป้องตนจากฝนลูกธนูที่กระหน่ำยิงเข้ามา พวกเขาหนีออกมาจากบริเวณที่ถูกโจมตีได้ราว 100 จั้ง แต่อยู่ ๆ ก็ต้องดึงบังเหียนเพื่อให้ม้าหยุด

ม้าศึกหยุดลงตามแรงดึงแล้วส่งเสียงร้องออกมา

ด้านหน้าของพวกเขามีดวงไฟนับร้อยจุดสว่างวาบขึ้น !

มีเหล่าคนชุดดำนับร้อยยืนถือกระบี่อยู่เบื้องหน้า ด้านหน้าสุดเป็นผู้อาวุโส เขาสวมใส่หมวกใบใหญ่และในปากคาบยาสูบเอาไว้

ยาสูบนั้นยังคงถูกจุดอยู่ ไฟสีแดงวาบขึ้นตามจังหวะที่เขาสูบเข้าไป

โจวถงถงหรี่ตาลงมอง ดวงตาอันแหลมคมคู่นั้นจับจ้องไปที่ผู้อาวุโส  ไป๋หลี่หง !  

ผู้อาวุโสผู้นั้นคายบุหรี่ออกมาแล้วพ่นควันลอยโขมง  โจวถงถง !  

ฟู่ต้ากวนที่อยู่ด้านหลังโจวถงถง ได้บังคับม้าให้เดินหน้าไปสองก้าวแล้วจ้องมองไปยังไป๋หลี่หง ใบหน้าอ้วนท้วนนั้นได้เผยรอยยิ้มออกมา

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของไป๋หลี่หงหดลงเล็กน้อย ดวงตาทั้งสองข้างหรี่มอง  อู่ต้าหลาง !  

 ทุกคนล้วนเป็นปรมาจารย์ สู้กันไปมาก็เหนื่อยเสียเปล่า ๆ เจ้าหลบไปดีหรือไม่ เมื่อถึงเมืองกวนหยุนแล้ว ข้าจะเลี้ยงสุราแก่เจ้า ?  

ไป๋หลี่หงส์ส่ายหน้าช้า ๆ  ข้านั้นอยากดื่มสุรากับเจ้าอย่างแท้จริง แต่ว่าครานี้คงมิได้ 

 ถ้าข้ายกเกาเสี่ยนให้เจ้าเล่า ?  

 ก็มิได้เช่นกัน เนื่องจากพวกเจ้าจะต้องตาย !  

ฟู่ต้ากวนหัวเราะออกมา  เยี่ยงนั้นก็คงจะเจรจาอันใดมิได้แล้วน่ะสิ ?  

 กำลังพลของข้ามากกว่าเจ้า หากข้าจะจัดการเจ้ากับโจวถงถงและพวกที่เหลือ คาดว่าน่าจะสำเร็จได้โดยง่าย ยังมีสิ่งใดต้องเจรจากันอีก ?  

 เสี่ยวไป๋ เจ้ามิคิดหรือว่าเหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?  

ไป๋หลี่หงชะงักลงทันใด เขามองไปรอบ ๆ แล้วกล่าวว่า  ศิษย์แห่งสำนักเต๋านั้น มี 3 คนอยู่ข้างกายฟู่เสี่ยวกวน 4 คนได้รับบาดเจ็บอยู่ อีก 1 คนอยู่ที่สำนัก หรือท่านผู้สังเกตสำนักจะออกมารับมือเองเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 จัดการกับเจ้ามิจำเป็นต้องถึงมือท่านผู้สังเกตสำนักหรอก !   ฟู่ต้ากวนหัวเราะหึ ๆ แล้วนำปืนกระบอกหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ

 ฆ่า… !  

 

ตอนที่ 491 หุ้นซีซานขอต้อนรับพวกเจ้า

รัชสมัยเซวี่ยนลี่ปีที่ 9 เดือนสิบสอง วันที่ยี่สิบห้า

จินหลิงเต็มไปด้วยหิมะขาวโพลน สุริยาในฤดูหนาวสาดแสงทอประกาย

ฟู่เสี่ยวกวนทำตัวสบาย ๆ อยู่ในจวน เขาได้เผาถ่านและกำลังอ่านแบบร่าง ‘บัญญัติจรรยาบรรณการค้า’ ที่หลี่ฉายส่งมาให้ พร้อมกับครุ่นคิดเป็นครั้งครา และเติมแต่งเข้าไปเป็นบางจุด

โดยรวมแล้ว เขาค่อนข้างพอใจกับแบบร่างนี้ แน่นอนว่ามิสามารถเอามาตรฐานของชาติก่อนมาเปรียบเทียบได้ วิถีชีวิตมิเหมือนกัน ดังนั้นต้องจัดการอย่างยืดหยุ่น

ในตอนที่เขากำลังอ่านสิ่งนี้อยู่ หลี่เจิ้งก็ได้วิ่งตึงตังเข้ามา โน้มคำนับและกล่าวว่า  เรียนคุณชาย สามพี่น้องตระกูลหลี่มาเยี่ยมเยียนขอรับ 

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ทั้งสามคนมาได้จังหวะพอดิบพอดี  พาพวกเขาไปที่หลีเฉินซวน ประเดี๋ยวข้าจะตามไป 

หลี่เจิ้งวิ่งออกไป หยูเวิ่นหวินวางชุดเด็กเล็กที่กำลังเย็บในมือลง และบิดเอวอย่างเกียจคร้าน  เจ้าจะหว่านแหเอาทั้งตระกูลหลี่จริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะน้อย ๆ  แล้วยังมีวิธีอื่นอยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ในมือของข้าขาดคนที่มีความสามารถ ข้าขอกล่าวกับเจ้าอย่างมิปิดบัง หากฝ่าบาทมิใช่พ่อตาของข้า เกรงว่าข้าจะนำทั้งสามสิบกว่าคนของกรมการค้าไปไว้ที่อุตสาหกรรมซีซานเสียให้หมด พวกเขาต่างก็เป็นบุคคลที่มีความสามารถทั้งสิ้น 

หยูเวิ่นหวินถลึงตาใส่ฟู่เสี่ยวกวน  เจ้ามิกลัวพ่อตาของเจ้าจะเด็ดหัวเลยสินะ… ข้าจะไปตุ๋นซุปหูฉลามให้เจ้าสักถ้วย ของสิ่งนี้น้องสาวของเจ้าอู๋หลิงเอ๋อร์เป็นผู้ส่งมา ท่านหมอบอกว่านี่เป็นของดี น่าเสียดายที่ราชวงศ์หยูมิได้อยู่ติดทะเล… ทะเลหน้าตาเป็นเยี่ยงไรหรือ ?  

 เจ้าลองคิดว่าทะเลสาบซวนอู่ที่อยู่ด้านหลังเรือนของเรานั้นใหญ่โดยไร้ที่เปรียบ ทะเลก็มีลักษณะเป็นเยี่ยงนั้นแหละ 

 ไอหยา…  เห็นได้ชัดว่าหยูเวิ่นหวินเพียงแค่เอ่ยปากถาม นางมิเคยเห็นทะเลมาก่อน แทบจะทุกคนในราชวงศ์หยูที่มิเคยเห็นทะเลมาก่อน มีเพียงฟู่เสี่ยวกวนผู้เดียวเท่านั้นที่รู้ว่าทะเลสำคัญถึงเพียงใด

เมื่อหยูเวิ่นหวินเอ่ยถึงทะเล ฟู่เสี่ยวกวนจึงนึกถึงท่าเรือและอู่ต่อเรือที่เขตเหยา ท่าเรือนั้นสร้างได้ง่ายดายยิ่ง แต่อู่ต่อเรือ…บัดนี้ก็ยังมิมีแม้แต่เค้าโครง

ใช่แล้ว ! ราชวงศ์อู๋อยู่ใกล้กับทะเล คิดว่าต้องมีช่างต่อเรือเป็นแน่ เรื่องนี้ต้องขอความช่วยเหลือจากอู๋หลิงเอ๋อร์ เพื่อให้รับช่างมาจำนวนหนึ่ง

เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมา เขาจึงหยิบดินสอและเขียนจดหมายส่งไปให้แก่อู๋หลิงเอ๋อร์ทันที นอกจากคำทักทายแล้ว เขาก็ได้กล่าวว่าพี่ชายต้องการช่างต่อเรืออย่างน้อย 100 คน หวังว่าน้องสาวจะสามารถช่วยหาให้กันได้

เขาเก็บจดหมายฉบับนั้นลง พรุ่งนี้เมื่อไปยังราชสำนัก ค่อยหาโอกาสเอาให้ขันทีเจี่ย เขาต้องมีวิธีเอาจดหมายนี้ส่งไปให้กับโจวถงถงได้เป็นแน่ ส่วนโจวถงถงจะส่งไปให้ถึงอู๋หลิงเอ๋อร์เยี่ยงไรนั้น… เรื่องนี้คงจะต้องให้โจวถงถงคิดเสียจนปวดหัวแล้วล่ะ

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนมาถึงหลีเฉินซวน สามพี่น้องตระกูลหลี่ได้ยืนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงและกำลังจะคำนับ แต่กลับถูกฟู่เสี่ยวกวนขัดเอาไว้

 ยังคงขอเอ่ยประโยคนั้นเหมือนเดิม มิต้องมีพิธีรีตองให้มากความ พวกเจ้าสามารถมาหาข้าถึงที่นี่ได้ ข้าก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากแล้ว นั่งเถิด ๆ เพียงมาฟังข้าอธิบายสถานการณ์หุ้นซีซานในปัจจุบันให้ถี่ถ้วนรวมไปถึงแผนการสำหรับอนาคตของข้า 

สามพี่น้องต่างก็มองหน้ากัน ถึงแม้จะได้ยินบิดาหลี่จินโต้วและน้องชายหลี่ฉายของพวกเขาเอ่ยถึงเรื่องความเป็นกันเองกับคุณชายฟู่หลายคราแล้วก็ตาม แต่เป็นกันเองจนถึงขั้นมิต้องคำนับ นั่นถือว่าอยู่นอกเหนือความคาดหมายของพวกเขามากนัก

ทั้งสี่คนนั่งลง ฟู่เสี่ยวกวนต้มชา

 หุ้นซีซานในปัจจุบันนี้ได้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมจำนวนมาก อย่างเช่น โรงงานปูนซีเมนต์ โรงงานน้ำหอมและสบู่ โรงกลั่นสุรา โรงงานกระดาษ จนไปถึงการโรงงานผลิตเสื้อผ้า ทั้งยังมีของอย่างแป้งน้ำอีกด้วย นี่คือสินค้าที่หุ้นซีซานขายอยู่ในท้องตลาด ทั้งยังมีส่วนที่ยังมิได้ขายออกสู่ท้องตลาด อย่างเช่น ปืนคาบศิลารวมไปถึงเกราะและอื่น ๆ ที่กองกำลังดาบเทวะใช้กัน 

 แผงขายของหลักของหุ้นซีซานในตอนนี้มี 4 แห่ง แห่งที่หนึ่งคือหลินเจียงซีซานรวมไปถึงเขตเหยา สองสถานที่นี้อยู่ค่อนข้างใกล้กัน อีกที่คืออำเภอผิงหลิง อีกที่คืออำเภอชวูอี้ ทั้งยังมีภูเขาหนานซานที่อยู่ด้านนอกเมืองจินหลิงอีกด้วย 

 โรงงานของหลินเจียงซีซานและเขตเหยาได้สร้างผลกำไรเป็นปกติ โดยผลผลิตทั้งหมดจากเขตเหยาส่วนใหญ่จะส่งไปยังราชวงศ์อู๋ สินค้าของพวกเราค้าขายดีเป็นอย่างมากในราชวงศ์อู๋ ส่วนผลผลิตจากหลินเจียงซีซาน ส่วนหนึ่งส่งให้กับราชวงศ์ และอีกส่วนหนึ่งแทบจะขายในเมืองจินหลิงทั้งสิ้น กล่าวได้ว่า… กล่าวได้ว่าสินค้าของพวกเราในตอนนี้มิเพียงต่อความต้องการของตลาด 

 ในต้นปีหน้า ฝ่าบาทจะทรงเพิ่มมณฑลนำร่องอีก 10 แห่ง ดังนั้นข้าถึงได้สร้างธนาคารซื่อทงขึ้นมา และรวบรวมเงินได้ 8,000,000 ตำลึงด้วยวิธีการระดมทุน เงินจำนวน 8,000,000 ตำลึงนี้จะถูกแจกจ่ายไปยัง 13 มณฑลนำร่องพร้อมกันในต้นปีหน้า ขณะนี้ 3 แห่งนั้น ได้ถูกกำหนดให้เป็นสถานที่ทดลองแล้ว แต่ยังมิได้ใช้หุ้นซีซาน 

 ที่เชิญพวกเจ้ามาจวนฟู่ ก็เพราะหุ้นซีซานในยามนี้กำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการขยายตัว ข้าต้องการบุคคลมีความสามารถ และพวกเจ้าเองก็ต้องการเวทีการค้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้านี้ 

ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาให้กับคนทั้งสาม น้ำเสียงของเขาเรียบเฉย และมิได้มอบสิทธิ์ในการเลือกหนทางให้แก่สามพี่น้องเลย เขากล่าวไปตรง ๆ ว่า  ด้วยความสามารถของพวกเจ้า รวมเข้ากับเวทีการค้าของข้า จึงจะสามารถส่งเสริมและเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกันได้ เชื่อข้าเถอะ พวกเจ้าจะสามารถแสดงความมุ่งมาดได้ในหุ้นซีซาน และสร้างชื่อเสียงให้โด่งดังได้ในที่สุด !  

หลังจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้สนทนากับพวกเขาถึงแผนในอนาคตของตนเองโดยละเอียด ประกอบด้วยต้องจัดการโรงงานเยี่ยงไรจึงจะมีประสิทธิภาพ วิธีการนำวัตถุดิบมารวมกัน สินค้าจะนำไปขายออกสู่ท้องตลาดอย่างรวดเร็วได้เยี่ยงไร รวมไปถึงการเลือกและการตกแต่งหน้าร้านอย่างพิถีพิถันอื่น ๆ และอื่น ๆ อีกมากมาย

พอได้เอ่ยแล้วก็มิสามารถหยุดได้ ดังนั้นสามพี่น้องตระกูลหลี่จึงได้ทานมื้อกลางวันที่จวนฟู่ หลังจากทานเสร็จฟู่เสี่ยวกวนก็ได้กล่าวต่อไปอีก ราวกับว่าเขาต้องการนำทุกอย่างที่สร้างขึ้นในหัวมาอย่างยาวนานถ่ายทอดให้กับพวกเขา และสามพี่น้องตระกูลหลี่ที่ได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกตื่นตะลึงมากยิ่งขึ้น

นี่มันเวทีการค้าที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าคุณชายฟู่ต้องการสร้างอาณาจักรแห่งการค้าขึ้นมาต่างหากเล่า !

และตนเองก็กำลังจะกลายเป็นผู้ก่อตั้ง ผู้บุกเบิกของอาณาจักรการค้าที่ใหญ่โตแห่งนี้ จนถึงขั้นเป็นผู้คุมหางเสือเหมือนกับที่คุณชายฟู่ได้กล่าวเอาไว้ ช่างเป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมยิ่ง !

มองดูพ่อค้าในใต้หล้านี้ ยังมีผู้ใดที่มีทัศนวิสัยกว้างไกลกว่าคุณชายฟู่อยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ยังมีแผนการของผู้ใดที่ละเอียดเทียบเท่ากับคุณชายฟู่ได้อีกกัน ?

นึกไปถึงตนเองในอดีตที่อิ่มเอมใจกับการเป็นหลงจู๊ใหญ่ผู้หนึ่ง หลังจากที่ได้ฟังแผนการของคุณชายฟู่ถึงได้ทราบว่าตนเองนั้นยังมิได้แม้แต่เศษเสี้ยวของเขา

 พวกเจ้าจงจำเอาไว้ให้ดี พวกเราคือพ่อค้า พ่อค้าย่อมมองหาผลกำไรเป็นหลัก แต่ในที่นี้ข้าต้องเน้นบางประเด็นขึ้นมาเป็นพิเศษ ลำดับแรกคือคุณภาพของสินค้า มิว่าจะสินค้าชนิดใดก็ตามที่ซีซานผลิตออกมา คุณภาพต้องสูงกว่าสินค้าชนิดเดียวกันในท้องตลาด !  

 ต่อมาคือการบริการ พนักงานขายของพวกเราจำต้องมีคุณสมบัติที่สูงเป็นอย่างมาก ต้องดูแลแขกด้วยความอบอุ่นดั่งฤดูใบไม้ผลิ ต้องสะท้อนข้อเสนอแนะของลูกค้าได้ เพื่อสร้างกระบวนการที่มาตรฐาน จะต้องมีบุคคลที่คอยจัดการข้อคิดเห็นรวมถึงการร้องทุกข์ของลูกค้าโดยเฉพาะ มีเพียงแบบนี้เท่านั้น พวกเราจึงจะสามารถเข้าใจได้ว่าความต้องการของตลาดกลางนั้นเป็นแบบใด 

 ลำดับที่สามคือกระบวนการของโรงงานจะต้องสร้างมาตรฐานชุดหนึ่งขึ้นมา เมื่อมีมาตรฐานจึงจะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตให้สูงขึ้นได้ จึงจะสามารถรับประกันคุณภาพของสินค้าให้ดียิ่งขึ้นได้… 

ความคิดที่สดใหม่นี้ได้โจมตีเส้นประสาทของสามพี่น้องตระกูลหลี่เข้าอย่างจัง สามพี่น้องตระกูลหลี่ถึงขั้นหยิบกระดาษกับพู่กันขึ้นมา และเริ่มจดบันทึกประเด็นหลักที่คุณชายฟู่กล่าวมาโดยละเอียด

พวกเขาคือพ่อค้า เพียงแค่ได้ฟังพวกเขาก็เข้าใจคำเอ่ยของคุณชายฟู่ทั้งหมดแล้ว นี่คือคำแนะนำชั้นเลิศของการดำเนินการค้าในอนาคต

เมื่อถึงเวลายามเซิน ฟู่เสี่ยวกวนถึงนึกขึ้นได้ว่าคืนนี้มีงานเลี้ยงที่หงซิ่วจาว ถึงได้หยุดลง และได้กล่าวกับทั้งสามว่า  หุ้นซีซานขอต้อนรับพวกเจ้า ข้า ฟู่เสี่ยวกวน ยินดีต้อนรับกับการเข้าร่วมของพวกเจ้า !  

สามพี่น้องจึงรีบลุกขึ้นและคำนับ  คุณชายโปรดวางใจ พวกข้าจะมิทำให้คุณชายต้องผิดหวังอย่างแน่นอน !  

 ตอนนี้มีอยู่หนึ่งเรื่องที่จะมอบให้พวกเจ้าไปจัดการ 

 เชิญคุณชายกล่าวมาเถิด 

 เขตสลัมของเมืองจินหลิง พวกเจ้าจงไปซื้อโฉนดที่ดินตรงนั้นมาให้หมด เงินเบิกจากธนาคารเป่าหลง พวกเจ้ามิจำเป็นต้องออกหน้าด้วยตนเอง มิต้องทำให้เกินควร ให้ราคาขายที่เหมาะสม 

ซื้อที่ตรงนั้นเพื่ออันใดกัน ?

สามพี่น้องมองหน้ากันอย่างมิเข้าใจเท่าใดนัก

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้นเล็กน้อยและมิได้อธิบายอันใดต่ออีก…

 

ตอนที่ 490 เขาผู้นี้ฆ่าหรือมิฆ่าดี

สนามล่าสัตว์หลวงและเรือนหลวง ได้ถูกฟู่เสี่ยวกวนปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเสียจนมิเหลือเค้าโครงเดิม

ทหารที่ลาดตระเวนอยู่ที่ด่านหนานซานจำนวน 1,000 นาย หลังจากได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาทว่ามิต้องกักกันผู้เข้าออกเรือนหนานซานอีกต่อไป เนื่องจากฝ่าบาทจะมิทรงเดินทางมาล่าสัตว์ที่นี่อีก และเนื่องจากต่อแต่นี้จะมีผู้คนเข้าออกจำนวนมาก ดังนั้นพวกเขาจึงหมดหน้าที่ไปทันใด

ผู้นำของกองทหารม้าหยางซีได้พักผ่อนกับเขาเสียที อากาศหนาวเหน็บเยี่ยงนี้ หากได้ผิงไฟอยู่ในค่ายและต้มสุราดื่มกันกับเหล่าทหารคงจะดีมิน้อย

รถม้าคันหนึ่งวิ่งตรงมาที่ภูเขาหนานซาน และได้จอดอยู่ที่เชิงเขา

มีสตรี 2 นางเดินลงมาจากรถม้า พวกนางคือถงเหยียนและเสวี่ยเฟยเฟย

นางยืนอยู่ตรงบริเวณเชิงเขา ถงเหยียนแหงนหน้ามองขึ้นไป ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายเยี่ยงนี้ แต่ผู้คนมากมายกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันอย่างขะมักเขม้น

ยังมองมิเห็นอาคารที่ก่อสร้าง แต่ที่เชิงเขามีกระโจมใหญ่ตั้งอยู่ บัดนี้เป็นยามอู่พอดี จึงได้กลิ่นอาหารหอมอบอวลลอยมากับสายลม

 ผู้คนเหล่านี้…พักอาศัยที่กระโจมเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 คาดว่าจะเป็นเยี่ยงนั้น เนื่องจากที่นี่เพิ่งเริ่มก่อสร้าง ยังมิทันได้สร้างที่พักอาศัย 

 …พี่สาว ท่านว่าอากาศหนาวเหน็บถึงเพียงนี้ เดิมทีพวกเขาควรจะเข้าไปนั่งผิงไฟอยู่ในเรือน แต่ฟู่เสี่ยวกวนบังคับพวกเขาให้มาทำเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ?  

เสวี่ยเฟยเฟยนิ่งเงียบไปชั่วครู่  ข้าก็มิทราบเช่นกัน พวกเราไปถามพวกเขาดูเป็นเยี่ยงไร ?  

ทั้งสองเดินไปยังสถานที่ก่อสร้าง ที่นี่ได้ถูกปรับหน้าดินเรียบร้อยแล้ว พื้นดินที่อัดแน่นมิได้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ผู้คนจำนวนมากกำลังนำโม่หินไปอัดให้ดินแน่น

หลู่จาวตี้เป็นเพียงเด็กผู้หญิงอายุ 6 ปีเท่านั้น นางมิสามารถทำงานหนักได้ แท้ที่จริงงานเหล่านี้นางมิอาจทำได้เลย นางกำลังปั้นตุ๊กตาหิมะอยู่ที่ด้านนอกสถานที่ก่อสร้างที่อยู่ห่างออกไปมิไกลเท่าใดนัก

ถงเหยียนและเสวี่ยเฟยเฟยเดินเข้าไปหานาง หลู่จาวตี้มองไปทางพวกนาง ไอหยา… มีนางฟ้าเดินมาถึง 2 นาง !

ถงเหยียนก้มตัวลงนั่งยอง ๆ ข้างหลู่จาวตี้ และได้ปั้นก้อนหิมะขึ้นมาก้อนหนึ่งก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยถามว่า  น้องสาว เจ้ามีนามว่าเยี่ยงไร ?  

 ข้าชื่อว่าหลู่จาวตี้ 

 น้องสาว เจ้าอายุเท่าใดแล้ว ?  

 ปีหน้าก็ครบ 7 ปีแล้ว 

 น้องสาว ตุ๊กตาหิมะนี้เหตุใดจึงมีดวงตาเพียงข้างเดียวเล่า ?  

หลู่จาวตี้ครุ่นคิดแล้วตอบว่า  ข้ามิรู้ว่าจะฝังอันใดลงไปจึงจะเหมือนกับดวงตาของคุณชาย 

 คุณชาย ? คุณชายคือผู้ใดกัน ?  

หลู่จาวตี้หันศีรษะไปเหล่มองถงเหยียน  เจ้ามิรู้จักคุณชายเยี่ยงนั้นหรือ คุณชายก็คือผู้ที่สวรรค์ส่งลงมาเพื่อช่วยเหลือพวกเรา คุณชายเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์ 

ถงเหยียนตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน  เขามีนามว่าเยี่ยงไร ?  

 แน่นอนว่าคือฟู่เสี่ยวกวน พวกเราเรียกเขาว่า… คุณชายมีดวงตาที่เป็นประกาย ส่องสว่างยิ่งกว่าดวงดาราบนท้องนภาเสียอีก ดังนั้นตุ๊กตาหิมะนี้ข้าจึงมิรู้ว่าจะใช้สิ่งใดทำแทนดวงตาของเขาดี 

ถงเหยียนชะงักลงทันพลัน นางยื่นมือออกไปปัดหิมะที่อยู่บนร่างกายของหลู่จาวตี้แล้วกล่าวว่า  อากาศหนาวเหน็บถึงเพียงนี้… เจ้าควรจะเข้าไปผิงไฟอุ่น ๆ และอ่านหนังสือ 

หลู่จาวตี้เอนศีรษะมองดูแม่นางผู้งดงามผู้นี้ นางยังคงใช้น้ำเสียงที่สดใสกล่าวกับถงเหยียนว่า  คุณชายกล่าวว่า ปีหน้า ในปีหน้าพวกเราทุกคนจะได้อาศัยในบ้านที่อบอุ่น และจะสร้างสำนักศึกษาหนานซานขึ้นมาอีกด้วย คุณชายกล่าวว่าเด็กเยี่ยงข้าก็จะได้เข้าศึกษาที่สำนักศึกษาหนานซานด้วย 

หลู่จาวตี้กล่าวอย่างจริงจัง สีหน้าของนางเชื่อมั่นในตัวฟู่เสี่ยวกวนอย่างแท้จริง ดวงตาของนางปรากฏภาพของบ้านที่อบอุ่นและสำนักศึกษาขึ้นมา

 เจ้ามิกลัวว่าคุณชายจะโกหกพวกเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ?  

หลู่จาวตี้ขมวดคิ้วขึ้นมาทันใด  พี่สาวท่านมิงดงามเท่าฮูหยินทั้งหลาย อีกทั้งยังกล่าววาจามิน่าฟังเท่าพวกนางด้วย คุณชายมิเคยโกหกผู้ใด วาจาที่คุณชายกล่าวออกมาทุกคำล้วนเป็นความจริง ! เจ้าจะไปรู้อันใดกัน !  

เมื่อกล่าวจบ หลู่จาวตี้ก็หันหลังแล้วเดินจากไป นางรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีคนที่กล้าสงสัยในตัวของคุณชาย ในมุมมองของนาง หากมิกลัวว่าจะสู้มิได้ นางคงจะสั่งสอนพวกนางไปสักยกหนึ่งแล้ว

ถงเหยียนยังคงนั่งอยู่ที่พื้น นางมองดูหนูน้อยที่กระโดดโลดเต้นไปทางสถานที่ก่อสร้าง จึงได้ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา ในใจของนางเชื่อคำเอ่ยของหลู่จาวตี้เกือบทั้งหมด แต่ที่ว่านางมิงามเท่าฮูหยินนั้นนางมิยอมรับ อีกทั้งยังรู้สึกมิเห็นด้วย

มิรู้ว่าหลู่จาวตี้หมายถึงฮูหยินคนใด หากว่ามีโอกาส อยากจะขอยลโฉมเสียหน่อย

ทั้งสองเดินเข้าไปทางสถานที่ก่อสร้าง อาจเป็นไปได้ว่าหลู่จาวตี้ได้ไปฟ้องพ่อของนางเรื่องที่พี่สาวทั้งสองนางกล่าวร้ายคุณชาย หลู่เสี่ยวตงจึงได้วางงานในมือลงแล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกนาง

เขาได้รับหน้าที่จากคุณชายให้รับผิดชอบดูแลสถานที่แห่งนี้ ดูแลการทำงานของที่นี่ในแต่ละวัน เขาให้ความเคารพนับถือคุณชายกับฮูหยินจากใจจริง

เพียงแต่แม่นางสองคนนี้มองดูแล้วมิใช่ชาวบ้านธรรมดา เขามิอยากหาเรื่องเดือดร้อนมาให้คุณชายกับฮูหยิน ดังนั้นเขาจึงได้เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า  มิทราบว่าแม่นางทั้งสองเดินทางมาที่นี่ มาหาผู้ใดกัน ?  

ที่แห่งนี้ล้วนเป็นแหล่งของชาวสลัมที่พักอาศัยอยู่ คนที่เดินทางมาก็ล้วนพาครอบครัวมาด้วยทั้งสิ้น แต่ละวันนอกจากพวกที่ส่งอาหารส่งน้ำแล้ว ก็แทบจะมิมีคนนอกเข้ามายังสถานที่แห่งนี้อีกเลย

ถงเหยียนยกยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า  ข้ามิได้มาหาผู้ใด แต่ได้ยินมาว่าที่นี่กำลังทำการก่อสร้าง ข้าและคุณหนูจึงได้เดินทางมาดูเสียหน่อย…มิทราบว่าท่านมีนามว่าเยี่ยงไร ?  

 อ่า ข้ามีนามว่าหลู่เสี่ยวตง นางเป็นบุตรสาวของข้า  หลู่จาวตี้ยืนจูงมือพ่อของนางอยู่ด้านหลัง ดวงตาของนางดูมิเป็นมิตรสักเท่าใดนัก

 ข้าคิดว่า นี่ก็ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว คุณชายฟู่ยังให้พวกท่านทำงานกันอยู่ที่นี่… เขารังแกเอาเปรียบพวกท่านเกินไปหรือไม่ ? หากพวกท่านมีผู้ใดมิพอใจสามารถกล่าวกับข้าได้ 

หลู่เสี่ยวตงหุบยิ้มลงทันที เขาตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า  ท่านเป็นคุณหนูในจวนใหญ่ มิได้รับรู้ถึงความลำบากยากแค้นของพวกเราหรอกขอรับ คุณชายลงทุนกับที่นี่เป็นเงินกว่าแสนตำลึง เพื่อจัดการกับปัญหาชีวิตของพวกเรา

หากมิใช่เพราะคุณชาย ในปีนี้อย่าว่าแต่ปีใหม่เลย คนที่จะข้ามปีนี้ไปได้คาดว่าคงจะน้อยเต็มทน แม้ว่าพวกเราจะอาศัยอยู่ในกระโจม แต่ในกระโจมเหล่านั้นมีเตาผิง ในโรงอาหารแม้มีเพียงหมั่นโถวไส้หมูสับและข้าว แต่อาหารเหล่านี้มิเสียเงิน ในทางกลับกันคุณชายได้ให้ค่าตอบแทนพวกเราทุกวัน พวกเราเดินทางมาที่นี่ได้ยี่สิบกว่าวันแล้ว และก็มิมีผู้ใดเดินทางจากไปเช่นกัน มีแต่จะเดินทางมาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  

หลู่เสี่ยวตงหยุดลงชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวต่อว่า  คุณชายเคยกล่าวว่า นี่คือสิ่งที่พวกเราใช้สองมือนี้แลกมาได้ด้วยตนเอง คุณชายยังกล่าวอีกว่า…พวกเราจะมีวันพรุ่งนี้ที่งดงามรออยู่ ท่านคงมิรู้ว่าวันพรุ่งนี้ที่งดงามหมายถึงสิ่งใด 

 คุณชายกล่าวว่า จะมีสำนักศึกษาสำหรับศึกษาหาความรู้ ผู้ใช้แรงงานจะได้รับผลตอบแทน ยามป่วยจะมีโรงหมอ ผู้ชราจะมีคนเลี้ยงดู และทุกคนจะมีที่อยู่อาศัย พวกเราเชื่อมั่นว่าสิ่งที่คุณชายกล่าวมานั้นจะเป็นเรื่องจริง ดังนั้นขอคุณหนูอย่าได้กล่าวร้ายคุณชายเลยขอรับ 

คำกล่าวเหล่านี้ดังก้องอยู่ในหูของถงเหยียนราวกับฟ้าผ่า เขาผู้นี้ช่างมีจิตใจโอบอ้อมอารีอย่างแท้จริง !

เขาเป็นกังวลเดือดร้อนแทนราษฎรในใต้หล้า และค่อยแสวงหาความสุขให้ตนในภายหลัง !

เขามิได้ชื่นชอบในทรัพย์สินเงินทอง หลอกลวงราษฎร ตามที่ท่านนักบุญสาวได้กล่าวไว้ แต่สิ่งที่เขาทำล้วนเพื่อความสุขความมั่นคงของราษฎรทั้งสิ้น !

ถงเหยียนดูคล้ายกับว่าจะเกิดความลังเลขึ้นมา หากว่าฟู่เสี่ยวกวนตายไป ผู้คนมากมายที่นี่ อีกทั้งที่ผิงหลิงและชวูอี้จะทำเยี่ยงไร ? อีกทั้งผู้ที่เคยอพยพเข้ามายังซีซานนั่นอีก ผู้คนนับแสนคนเหล่านี้อีกทั้งจะมากขึ้นในอนาคต พวกเขาจะสามารถมีอนาคตที่งดงามได้เยี่ยงไร ?

คนผู้นี้จะฆ่าหรือมิฆ่าดี ?

 

ตอนที่ 489 ถงเหยียน

ตอนที่ 489 ถงเหยียน

ฟู่เสี่ยวกวนมิคาดคิดมาก่อนว่าข้อครหาเพียงหนึ่งจะทำให้กรมการค้าแยกตัวออกมาจากสำนักอัครมหาเสนาบดีเพียงลำพัง และกลายเป็นกรมพิเศษที่ฝ่าบาทจะเป็นผู้ดูแลด้วยพระองค์เอง

ข่าวคราวนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งราชสำนัก สุภาษิตสองประโยคให้หลังที่ฟู่เสี่ยวกวนได้โพล่งออกมา ก็ได้ทำให้ท้องพระโรงแตกตื่นขึ้นมาเช่นกัน จนบัดนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วบ้านทั่วเมืองแล้ว

ในช่วงกลางวันหงซิ่วจาวมิได้ทำกิจการอันใด อาจารย์หูฉินหูเพิ่งจะเดินทางกลับมาเมื่อมินานมานี้ ราวกับมีเรื่องให้คิดเสียมากมาย จนมิได้ให้ความสนใจกับหงซิ่วจาว และย่อมมิได้สังเกตเห็นว่าหลิ่วเยียนเอ๋อร์ในปัจจุบันนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคนแล้ว

นางคือถงเหยียน นางคือผู้อาวุโสที่สามแห่งลัทธิจันทรา แต่แท้จริงแล้วนางยังมิได้แก่ตัว

ปีนี้นางเพิ่งจะอายุ 20 ปีเท่านั้น แต่ก็ได้บรรลุเป็นผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นหนึ่งแล้ว

นางมิเพียงฝึกฝนแต่หนทางบู๊เท่านั้น จะฉิน หมากรุก หรือการวาดภาพนางก็เชี่ยวชาญมิแพ้กัน

นางมีใบหน้าสะสวยที่น้อยคนนักที่จะได้เห็น และนางก็มิค่อยได้แสดงใบหน้าที่แท้จริงเท่าใดนัก

นางปลอมตัวเก่งเป็นอย่างมาก เดิมทีที่เรียนวิชานี้เพราะท่านอาจารย์กล่าวว่าใบหน้าของนางงดงามจนเกินไป ต้องเรียนวิชาการปลอมตัวให้ดูน่าเกลียดสักเล็กน้อย ส่วนเหตุผลนั้น ท่านอาจารย์กล่าวว่าสาวงามมักอาภัพ

ในปัจจุบันนี้นางได้ปลอมตัวเป็นหลิ่วเยียนเอ๋อร์ และได้อยู่ที่หงซิ่วจาวแห่งนี้ใกล้จะครึ่งเดือนแล้ว มิมีผู้ใดมองเห็นถึงพิรุธของนาง มิว่าจะเป็นรูปลักษณ์หรือน้ำเสียง นางก็เกือบจะเหมือนกับหลิ่วเยียนเอ๋อร์ตัวจริงเสียทีเดียว

นางนั่งรอการมาถึงของฟู่เสี่ยวกวนอย่างสงบนิ่ง นางได้อ่านบทกวีและบทความของเขามามากมาย อีกทั้งเมื่อคืนนี้ก็ได้ยินแขกที่มาฟังนางบรรเลงที่หงซิ่วจาวสนทนากันว่า ฟู่เสี่ยวกวนนั้นเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ที่หลุดโลกอย่างแท้จริง

สองประโยคนั้นได้พาดผ่านหูของนาง และนางก็ได้สลักจำไว้ในใจแล้ว

 ผู้ที่อยู่ในพระราชวังล้วนเป็นห่วงราษฎร ส่วนราษฎรทั่วไปเป็นห่วงฮ่องเต้  คนผู้นี้ค่อนข้างประหลาด ดูแล้วมีชีวิตที่ค่อนข้างเหน็ดเหนื่อย

 เป็นห่วงกังวลใต้หล้าก่อน จากนั้นค่อยแสวงหาความสุขส่วนตน  …เขามีอุดมการณ์ที่สูงส่งถึงเพียงนี้จริงเยี่ยงนั้นหรือ ?

ถงเหยียนมิเชื่อว่าจะมีคนเยี่ยงนี้อยู่จริง ๆ หากมีอยู่จริง เหตุใดทั่วทั้งใต้หล้านี้จึงกลายเป็นเยี่ยงนี้กัน ?

ลัทธิจันทราที่อยู่ในซีหรงมิได้มีช่วงเวลาชีวิตที่ดีมากนัก ชาวบ้านในซีหรงก็มิได้มีชีวิตที่ดียิ่งกว่าพวกนางเช่นกัน

ที่ซีหรงตรงนั้นนอกจากพื้นที่ราบร้อยกว่าลี้บริเวณรอบนอกของเขตซีหรงแล้ว นอกจากนั้นก็เป็นเนินเขาและภูเขาทั้งสิ้น ผู้คนยากจนข้นแค้น พวกเขาหาเลี้ยงชีพด้วยการทำนา แต่ผลผลิตที่ได้กลับน้อยนิด

พวกเขามีชีวิตที่น่าเวทนามากยิ่งนัก มิได้ต่างกับซากศพที่เดินได้เลยแม้แต่น้อย

หากใต้หล้านี้มีคนที่กังวลกับใต้หล้าก่อนอย่างแท้จริง หากคนผู้นั้นมีสถานะที่สูงส่ง เหตุใดเขาจึงมิไปช่วยชาวบ้านที่เดือดร้อนเหล่านั้นกัน ?

บ้านในอดีตของนางเองก็อยู่ที่ซีหรง จำได้ว่าอยู่ช่วงกึ่งกลางของแนวสันเขา เบื้องหน้าธรณีประตูมีต้นไม้อยู่สามต้น ล้วนเป็นต้นสนทั้งสิ้น

เมื่อสิบห้าปีก่อนหน้านี้ ภัยแห้งแล้งที่ตามมาด้วยโรคตั๊กแตนระบาด ที่บ้านมิมีผลผลิตให้เก็บเกี่ยว บิดาและมารดาจึงพาพี่ชายหนีไปโดยมิทราบว่าหนีไปที่ใด และมิทราบว่าได้ตกตายไปแล้วหรือยัง เหลือตนเองเพียงผู้เดียว หิวโหยอยู่สามวันสามคืน ในตอนที่ใกล้จะหิวตายก็ได้ท่านอาจารย์มาช่วยชีวิตเอาไว้ จากนั้นจึงได้กลายมาเป็นศิษย์ของลัทธิจันทรา

สามปีก่อนหน้านั้นเพราะความสามารถที่โดดเด่นของนาง และเพราะอาจารย์ได้ลาจากโลกนี้ไป นางจึงได้กลายเป็นผู้อาวุโสที่สามของลัทธิจันทรา

สำหรับลัทธิจันทรานั้น นางรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง แต่สำหรับราชวงศ์หยู นางมิได้รู้จักเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่รู้สึกว่าในยามที่ตนเองใกล้จะตายก็มิได้มีขุนนางของราชวงศ์หยูคนใดมามอบอาหารให้กับนาง ดังนั้นความเป็นความตายของราชวงศ์หยูหาได้เกี่ยวข้องกับนางไม่

ครานี้ได้รับคำสั่งมาจากนักบุญสาวให้มาสังหารฟู่เสี่ยวกวน นักบุญสาวกล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้รังแกทั้งบุรุษและสตรีทั้งยังกระทำชั่ว และใช้ตำแหน่งที่สูงส่งนี้คิดคดโกง ใช้ชีวิตอย่างสุรุ่ยสุร่าย… คนเยี่ยงนี้ สมควรตายยิ่ง !

แต่หลังจากที่มาถึงจินหลิง และได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวนมามาก อย่างเช่น คนผู้นี้เคยเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงมาก่อน คนผู้นี้มาถึงเมืองหลวงเมื่อปีที่แล้ว และได้เสนอนโยบายบรรเทาสาธารณภัยให้แก่ฝ่าบาท และคนผู้นี้ก็ได้สร้างโรงงานมากมายขึ้นมาที่ซีซาน ณ หลินเจียง และได้รับผู้ลี้ภัยจำนวนหลายหมื่นคนเอาไว้

นี่มิเหมือนกับที่นักบุญได้กล่าวเอาไว้เลยนี่ !

ดังนั้นถงเหยียนจึงให้ความสนใจกับฟู่เสี่ยวกวนมากขึ้นโดยปริยาย ถึงแม้จะมีเวลาทำความเข้าใจเพียงแค่สิบกว่าวัน แต่ภาพลักษณ์ของฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ถูกสลักไว้ในสมองของนางแล้ว… คนผู้นี้ มิเหมือนกับที่นักบุญสาวกล่าวมาอย่างแท้จริง

เขาได้คว้าตำแหน่งหัวหน้าวรรณกรรมมาครองที่ราชวงศ์อู๋ และคิดว่าเขาได้ตกตายไปที่ภูเขาหิมะนั่นเสียแล้ว แต่กลับคาดมิถึงว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่

หลังจากนั้นเขาก็ได้ใช้คนจำนวนเพียง 4,000 คนล้มล้างกองทัพจำนวนนับแสนของกงเซินจ่างลง และเขาก็ได้สร้างโรงงานขึ้นที่ผิงหลิงและชวูอี้อีกด้วย เพื่อแก้ไขปัญหาการดำรงชีพของผู้คนนับหมื่นที่อาศัยอยู่ตรงนั้น

จากที่ได้เห็นเขาห่วงใยราษฎรอย่างแท้จริง ตรงข้ามกับสิ่งที่นักบุญสาวกล่าวว่าเขารังแกเหล่าบุรุษและสตรี กระทำแต่สิ่งชั่วร้ายอะไรเหล่านั้น นางกลับมิได้ยินเข้าหูมาแม้แต่ประโยคเดียว

 ด้วยความสามารถของคุณชายฟู่ มีเหตุอันใดให้เขาต้องทำเรื่องชั่วร้ายเยี่ยงนั้นด้วยกัน หากเขายินยอม เพียงแค่ปล่อยข่าวให้แพร่สะพัด ถึงตอนนั้นก็คงจะมีหญิงสาวมากมายในเมืองหลวงยินยอมตบแต่งเป็นอนุของเขา 

คำเอ่ยนี้ก็เป็นเสวี่ยเฟยเฟยแห่งหงซิ่วจาวที่เป็นผู้กล่าว เสวี่ยเฟยเฟยถึงขั้นเอ่ยขึ้นมาด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ  อย่าว่าแต่จะตบแต่งเป็นอนุของเขาเลย หากสามารถมีค่ำคืนวสันต์กับเขาได้สักครา ข้าเองก็ยินยอม 

จากที่ได้กล่าวมา คนผู้นี้ถือว่ามีเสน่ห์มากยิ่งนัก !

คนผู้นี้ประพันธ์บทกวีและบทความได้ดีเลิศ โดยเฉพาะ ‘ทำนองเพลงสายน้ำ’ ถงเหยียนชื่นชอบบทกวีนี้อย่างแท้จริง

ข่าวที่ได้รับมาเมื่อวาน เย็นพรุ่งนี้ฟู่เสี่ยวกวนจะมาที่หงซิ่วจาว คนผู้นี้เหมือนหนูขี้ขลาด ข้างกายมีศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเต๋าที่เข้าขั้นปรมาจารย์แล้วคอยติดตาม ค่อนข้างจะยุ่งยาก แต่ถงเหยียนก็ได้ทำการวางแผนเอาไว้แล้ว ต่อให้ฟู่เสี่ยวกวนมีความสามารถล้นฟ้า เขาก็มิอาจมีทางรอดชีวิตกลับไปได้

แต่น่าเสียดายที่เขาจะต้องตกตายเสียแล้ว ภายภาคหน้าก็จะมิมีบทกวีหรือบทความดี ๆ อีกต่อไปแล้ว น่าเสียดายอย่างแท้จริง แต่ผู้ใดสั่งให้เขาเป็นสุนัขรับใช้ของราชสำนักกัน นี่คือชะตากรรมของเขา !

ในยามที่ถงเหยียนกำลังคิดถึงเรื่องเหล่านี้ เสวี่ยเฟยเฟยก็ได้เคาะประตู และเดินเข้ามาพร้อมกับขนมดอกกุ้ยฮวา 1 ถุง

 ผู้น้องได้ยินมาว่าฟู่เสี่ยวกวนได้กระทำการใหญ่ที่ภูเขาหนานซานอีกครา เพื่อแก้ไขการดำรงชีพของเหล่าผู้คนในเขตสลัม 

ถงเหยียนยื่นมือนุ่มที่ขาวละออไปหยิบขนมดอกกุ้ยฮวามาหนึ่งชิ้นและละเลียดชิมอยู่ในปาก พร้อมกับเอ่ยถามว่า  คนผู้นี้… เหตุใดจึงต้องทำเรื่องเหล่านี้ด้วยกัน ?  

 เจ้ามาที่จินหลิง 1 ปีแล้ว ยังมิเข้าใจอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? เขาน่ะ… เขาคือคนที่สวรรค์ส่งมาเพื่อช่วยพวกเราที่ยากจนข้นแค้น… 

เสวี่ยเฟยเฟยชะงักไปเล็กน้อย และได้นั่งลงเบื้องหน้าเตียงของถงเหยียน และได้กล่าวขึ้นมาอีกว่า  โรงงานที่เขาเปิดที่ผิงหลิง น้องสาวก็น่าจะทราบแล้วสินะ ได้ยินมาว่าลัทธิจันทราที่สมควรตายนั่นได้ส่งคนไปสังหารเกษตรกรเหล่านั้นที่โรงงาน… โชคดีที่คุณชายฟู่เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงคุ้มครอง กล่าวกันว่าเขาได้รับพรจากพระผู้เป็นเจ้า เมื่อทราบถึงแผนการร้ายของลัทธิจันทรา เขาจึงได้ส่งผู้มีฝีมือระดับสูงของสำนักเต๋าออกมา 

ดวงตาของเสวี่ยเฟยเฟยวาววาบ จนมิทันได้สังเกตถึงร่างกายของถงเหยียนที่แข็งเกร็ง และยังกล่าวอีกว่า  ผู้มีฝีมือของสำนักเต๋าย่อมเก่งกาจ ลัทธิจันทราต่อต้านลิขิตฟ้า คาดมิถึงว่าจะมิอยากให้ชาวบ้านเหล่านั้นเหลือหนทางรอดชีวิตเอาไว้ ได้ยินมาว่าเหล่าผู้มีฝีมือระดับสูงของสำนักเต๋าได้สังหารลัทธิจันทราเสียจนสิ้น !  

 ข้ามิเข้าใจยิ่ง ใต้หล้าที่สงบสุขนี้ ราชวงศ์หยูมีคนเยี่ยงคุณชายฟู่อยู่มีแต่จะก้าวไปข้างหน้า ปัจจุบันฝ่าบาทเองก็เป็นฮ่องเต้ผู้ทรงคุณธรรม ในแต่ละวันจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน เศษเดนจากราชวงศ์ก่อนเยี่ยงลัทธิจันทราเหตุใดยังคงวนเวียนอยู่กัน ตามความคิดของข้า เพียงใช้ชีวิตไปได้ด้วยดี มิว่าผู้ใดจะเป็นฮ่องเต้ก็เหมือนกันทั้งนั้น 

สายตาของถงเหยียนมองออกไปยังนอกหน้าต่าง มีหิมะลอยพลิ้วอยู่ด้านนอก ในแววตาของนางสับสนอยู่เล็กน้อย ตกอยู่ในภวังค์ความเงียบอยู่เนิ่นนาน ทันใดนั้นก็ได้กล่าวออกมาว่า  พี่สาวมีเวลาว่างพอจะพาน้องสาวไปดูที่ภูเขาหนานซานหรือไม่ ?  

 

ตอนที่ 488 เป็นห่วงใต้หล้า

ตอนที่ 488 เป็นห่วงใต้หล้า

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามคำถามนี้ออกไป ในสำนักเสนาบดีราวกับถูกฟ้าผ่าลงมาเสียงดัง

ฮ่องเต้ทรงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เยี่ยนเป่ยซีหันศีรษะไปมองฉินฮุ่ยจืออย่างมีความหมายแอบแฝง

ฉินฮุ่ยจือลุกขึ้น พร้อมกับตะโกนออกมาด้วยความเดือดดาลว่า  เจ้าอย่าได้ใส่ร้ายป้ายสีข้า !  

ฟู่เสี่ยวกวนกลับหัวเราะออกมาเบา ๆ เลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า  เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง ท่านฉิน ท่านรู้หรือยังว่าความรู้สึกในการถูกใส่ร้ายมันเป็นเยี่ยงไร ?  

เขายกมือขึ้นทำท่าคารวะแล้วกล่าวว่า  ท่านฉินอย่าได้นำไปใส่ใจ นี่เป็นเพียงการทดสอบที่ข้าลองดูก็เท่านั้น ท่านมิต้องกังวลเช่นนั้น อีกอย่างหนึ่ง…ต่อให้องค์ชายสี่เอื้อประโยชน์แก่ท่านบ้าง แล้วเยี่ยงไรเล่า เยี่ยงไรเสียองค์ชายสี่อยู่ที่เมืองซีหรง ก็ต้องรับรู้เรื่องราวในวันนี้อยู่ดี ท่านว่าจริงหรือไม่ ? ท่านฉิน !  

ฉินฮุ่ยจือหันไปกำมือขึ้นแล้วคาราวะฮ่องเต้  ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวความเท็จ ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงหลงเชื่อ กระหม่อมและองค์ชายสี่มิได้มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกัน หาได้มีเรื่องมิบริสุทธิ์เยี่ยงที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวหากระหม่อมไม่ 

ฮ่องเต้ลูบเครายาวของตนเอง  เสี่ยวกวนกล่าวแล้วว่า นั่นเป็นเพียงบททดสอบเท่านั้น ท่านอย่าได้นำมาใส่ใจ 

ฉินฮุ่ยจือเบิกตากว้างขึ้นมาทันควัน เนื่องจากประโยคเมื่อครู่ของฝ่าบาททรงมีความหมายที่ลึกซึ้งยิ่ง

 ความจงรักภักดีที่กระหม่อมมีต่อฝ่าบาท ฟ้าดินเป็นพยานได้ !  

 ท่านฉิน คำเอ่ยเช่นนี้ผู้ใดก็เอ่ยได้ แต่ทว่าท่ามกลางความจงรักภักดีนี้ มักแฝงไปด้วยปิศาจร้าย ให้ข้าเดาดูหรือไม่ว่าปิศาจในใจของท่านฉินคือสิ่งใด 

 ท่านฟู่ ข้าหวังว่าท่านจะประมาณตนเองบ้าง ! ในวันนี้กล่าวถึงเรื่องการฟ้องร้องท่าน ท่านอย่าได้เบี่ยงเบนหัวข้อให้ผู้อื่นคล้อยตาม ! บัดนี้ข้าขอถามท่านว่า ท่านมิเข้าออกงานตรงตามเวลาจริงหรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังเดินกลับไปแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ เขามิได้ตอบคำถามของฉินฮุ่ยจือ แต่กลับถอนหายใจออกมาและกล่าวช้า ๆ ว่า  ข้ามิประสงค์ที่จะใช้คนเก่าคนแก่ ณ ที่นี้ เนื่องจากข้ามองดูแล้ว พวกเขาทั้งหลายล้วนเป็นเช่นเดียวกับท่านฉินทั้งสิ้น 

 ความคิดล้าหลัง มิคิดก้าวหน้า มิรู้จักการปรับเปลี่ยน ยึดมั่นแต่หลักการเดิม ๆ… ขุนนางเยี่ยงท่านฉินนี้ หากทุกอย่างสงบสุขก็มิมีปัญหา แต่เมื่อใดที่เกิดความวุ่นวายขึ้นมา คนเยี่ยงนี้จะมิกล้าหยิบมีดขึ้นต่อสู้ อีกทั้ง…หากพ่ายแพ้ก็คงจะยกธงขาวขึ้นมาอย่างง่ายดาย 

 รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงนำคนรุ่นใหม่เหล่านั้นเข้ามาทำงาน ? เนื่องจากพวกเขาเป็นเยาวชนของราชวงศ์หยู พวกเขาดุจดั่งสุริยาที่เพิ่งขึ้นสู่ท้องนภา ! เเต่คนชราเยี่ยงท่านฉินมัวยึดติดอยู่แต่ในอดีต ส่วนเยาวชนราชวงศ์หยูพวกเขานึกถึงอนาคต ผู้ที่ยึดติดอยู่ในอดีตมักจะกลัวการเปลี่ยนแปลง และรักษาสิ่งเดิม ๆ เอาไว้ แต่ว่าผู้ที่คิดถึงอนาคต เขาจะมีความหวังอยู่ภายในใจ และมุ่งมั่นที่จะก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ  

 ท่านฉิน ลองคิดดูเถิดว่าท่านเป็นเช่นนี้จริง ๆ ใช่หรือไม่ ? คนชรามักชอบกังวลไปกับทุกสิ่ง ขี้ขลาดและอ่อนแอ ส่วนคนหนุ่มสาวมักจะมีความสุขเนื่องจากพวกเขากล้าที่จะแหกกฎและเปลี่ยนแปลงมัน 

 ในพระราชวังนี้มีผู้ที่คิดเฉกเช่นเดียวกับท่านฉินมิน้อยเสียทีเดียว ดังนั้นข้าจึงมิคาดหวังให้พวกเขาเข้ามาทำงานในกรมการค้า เพราะหากพวกเขาทำสิ่งใดมิเป็นชิ้นเป็นอัน อีกทั้งยังมาเป็นหินขวางทางเช่นวันนี้ ข้านั้นคงจะมิปล่อยพวกเขาเอาไว้เป็นแน่ !  

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวประโยคนี้ออกมาอย่างคมคาย ทำเอาขุนนางที่นั่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ต่างก็ไร้ซึ่งวาจาที่จะโต้เถียง

ฝ่าบาททรงจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน ทรงนึกในใจว่าเรื่องนี้ข้าเป็นผู้ผลักดัน ดังนั้นข้าจึงยังมิใช่คนชราสินะ !

เยี่ยนเป่ยซีหน้าแดงขึ้นมาทันพลัน เจ้าหมอนี่ช่างโจมตีรุนแรงยิ่ง โชคดีที่ข้านั้นเป็นผู้สนับสนุนนโยบายใหม่นี้

ต่งคังผิงและเยี่ยนฮ่าวชูสบตากัน แล้วต่างพากันคิดว่าเจ้าหมอนี่ปากร้ายมากยิ่งนัก โชคดีที่เจ้าหมอนี่เป็นลูกเขยของพวกเขา

สรุปคือ บัดนี้การฟ้องร้องนั้นไร้ซึ่งความหมายใด ๆ แล้ว เนื่องจากคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อสักครู่ เห็นได้ชัดเจนว่ากลุ่มฉินฮุ่ยจือนั้นเป็นพวกเฉื่อยชา

คำกล่าวว่านี้หนักอึ้งราวกับภูเขาไท่ซัน !

ฉินฮุ่ยจือได้สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ เป็นความหมายว่าเขาได้พ่ายแพ้แล้ว บัดนี้สิ่งที่ตนควรกระทำคือดึงตำแหน่งของตนในดวงใจของฝ่าบาทกลับคืนมาให้ได้เสียก่อน

ดังนั้นเขาจึงหันไปคารวะฝ่าบาทแล้วกล่าวว่า  เรื่องที่ท่านฟู่กล่าวมานั้น กระหม่อมมิอาจยอมรับได้ กระหม่อมนั้นศึกษาตำราศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่เยาว์วัย เข้าใจถึงความทุกข์ยากของราษฎรทั่วหล้าดี นโยบายใหม่นี้มีประโยชน์กับพ่อค้า การที่พ่อค้าให้เกษตรกรเข้าไปทำงานในอุตสาหกรรม มองดูแล้วอาจเห็นว่าเป็นการช่วยหางาน แต่แท้จริงแล้วพวกพ่อค้าเพียงแค่ต้องการขูดเลือดขูดเนื้อจากเกษตรกรเพื่อหาผลประโยชน์ใส่ตัวเท่านั้น 

 กระหม่อมคิดว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พื้นที่ทำการเกษตรจะรกร้าง แล้วธัญญาหารจะไปเอามาจากที่ใดกัน ? เมื่อถึงเวลานั้น แคว้นก็จะมิเป็นแคว้นอีกต่อไป จะเสียใจในตอนนั้นก็คงมิทันแล้ว !  

ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นก็นึกในใจว่า ตาเฒ่านี่ยังมิถอดใจ !

 คำเอ่ยของท่านฉินเป็นกระต่ายตื่นตูมอย่างแท้จริง ผู้ใดบอกกับท่านว่าผืนนาจะรกร้าง ? ท่านนั่งอยู่ที่พระราชวังนี้ก็สามารถตัดสินอนาคตของแคว้นได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

เขาลุกขึ้นคารวะฝ่าบาท แล้วกล่าวว่า  กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาทควรจะส่งขุนนางผู้ล้าหลังเหล่านี้ไปยังจุดทดลองเสียหน่อย ให้พวกเขาได้ไปเห็นการเป็นอยู่ของราษฎรภายใต้นโยบายใหม่นี้ พวกเขาจะได้มิมากล่าวเรื่องไร้สาระเหล่านี้ให้เสียเวลาของกระหม่อมอีก… 

 ทุก ๆ 3 ลมหายใจกระหม่อมจะมีรายได้มากถึง 10,000 ตำลึง ฝ่าบาททรงคำนวณดูว่ากระหม่อมเสียเวลาไปแล้ว 2 เค่อ จะขาดรายได้ไปเท่าใดกัน ? ท่านฉินจะรับผิดชอบไหวเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฝ่าบาทตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน ทุก ๆ 3 ลมหายใจเยี่ยงนั้นหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน แล้วหันไปคารวะต่อขุนนางทั้งหลาย

 ผู้ที่อยู่ในพระราชวังล้วนเป็นห่วงราษฎร ส่วนราษฎรทั่วไปเป็นห่วงฮ่องเต้ นี่คือพื้นฐานของการเป็นหนึ่งในราชวงศ์หยู ข้าคิดว่าพวกท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ จะเป็นห่วงกังวลใต้หล้านี้เสียก่อน จากนั้นจึงค่อยแสวงหาความสุขส่วนตน !  

 ข้านั้นได้รับพระกรุณามาจากฝ่าบาท บัดนี้ประโยคเมื่อครู่ยังคงดังก้องอยู่ในหัว บัดนี้ราชวงศ์หยูมิได้อยู่ในความสงบสุข สิ่งที่พวกเราต้องทำนั้นยังมีอีกมากโข เนื่องจากปัญหาต่าง ๆ ในใต้หล้ายังมิได้รับการแก้ไข อีกทั้งยังมิถึงช่วงเวลาแห่งความสุข 

 ดังนั้นข้าจะขอเอ่ยเตือนคนประเภทท่านฉินไว้ว่า เมื่อพวกท่านกินอิ่มนอนหลับแล้ว ให้นึกถึงความยากลำบากของราษฎรเสียบ้าง ให้ครุ่นคิดบ้างว่าจะทำเยี่ยงไรให้ราษฎรมีความสุขสมหวังได้ !  

 ข้ามีเรื่องที่ต้องจัดการมากมายอย่างแท้จริง ต่อจากนี้ไปหวังว่าจะมิมารบกวนข้าด้วยเรื่องไร้สาระเยี่ยงนี้อีก ข้าขอตัว !  

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวประโยคสุดท้ายออกมา จากนั้นก็คารวะฮ่องเต้ก่อนจะเดินออกไป บัดนี้เหลือเพียงบรรดาขุนนางที่นั่งมองตามหลังเขาไปเท่านั้น

ฮ่องเต้สูดลมหายใจเข้า  อืม ดีเยี่ยม ! ผู้ที่อยู่ในพระราชวังต้องเป็นห่วงราษฎร ส่วนประชากรทั่วไปเป็นห่วงฮ่องเต้ ! นึกถึงความยากลำบากของราษฎรเสียบ้าง ครุ่นคิดบ้างว่าจะทำเยี่ยงไรให้ราษฎรมีความสุขสมหวังได้ ! แบบนี้สิถึงจะเป็นขุนนางที่ข้าต้องการ ! พวกเจ้าลองถามตนเองดูว่า พวกเจ้านั้นมีความคิดสูงส่งเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนหรือไม่ ? พวกเจ้าเคยคิดถึงอนาคตเยี่ยงนี้หรือไม่ ?  

ฮ่องเต้หยุดลงชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อว่า  เขาคือบุตรเขยที่ดีเยี่ยมของข้า ตัวเขานั้นอายุยังมิถึง 18 ปี แต่พวกเจ้าใกล้จะ 80 ปีกันแล้ว ! พวกเจ้าใช้ชีวิตไร้ค่ากันอย่างแท้จริง !  

 ฮุ่ยจือ ข้ามิได้อยากจะว่าเจ้า แต่เจ้าสามารถกล่าวดังเช่นที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวมาได้หรือไม่ ? เจ้าสามารถคิดในระดับสูงเช่นฟู่เสี่ยวกวนได้หรือไม่ ? ฟ้องร้องเยี่ยงนั้นหรือ ? เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาฟ้องร้องกัน ? หากว่าพวกเจ้าเอาใจใส่แคว้นอย่างแท้จริง ยามราตรีก็จงไปดูที่กรมการค้าด้วยตาของตนเองเถิด !  

 ในขณะที่พวกเจ้านอนหลับสบายอยู่บนเตียงนุ่น ๆ แต่คนในกรมการค้านั้นยังทำงานด้วยความขยันขันแข็ง ทุกคนล้วนเป็นมนุษย์ แต่เหตุใดจึงมีความแตกต่างเหลื่อมล้ำมากถึงเพียงนี้กัน ? บัดนี้ข้าได้เข้าใจแล้วว่า หน้าที่รับผิดชอบเหล่านี้มิได้อยู่ที่คนใดคนหนึ่ง แต่อยู่ที่เยาวชนทั้งแคว้น และข้าจึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้วฟู่เสี่ยวกวนได้มองเรื่องเหล่านี้ออกเนิ่นนานแล้ว ! ดังนั้น พวกเขาเยาวชนแห่งราชวงศ์หยู จะพาแคว้นของพวกเราก้าวหน้าไปอย่างแน่นอน !  

 นับแต่นี้สืบไป เรื่องทุกอย่างเกี่ยวกับกรมการค้าจะมีเพียงข้าเท่านั้นที่คอยจัดการดูแล สำนักเสนาบดีจะมิมีสิทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องอันใดอีก !  

 

ตอนที่ 487 สำนักอัครมหาเสนาบดีเสียสติไปแล้ว

ทุกคนในที่นี้ต่างก็เป็นนักวรรณกรรม

นักวรรณกรรมย่อมมีจิตวิญญาณของวรรณกรรมอยู่เต็มท้อง ยามสนทนาก็จะต้องนุ่มนวลสง่างาม ต่อให้ด่าทอก็จะต้องด่าทอด้วยท่าทีที่สงบใจเย็นและมิใช้วาจาสกปรกแม้แต่คำเดียว

แต่ฟู่เสี่ยวกวนที่เป็นนักวรรณกรรมที่เก่งกาจที่สุดในใต้หล้ากลับกล่าวออกมาอย่างคล่องแคล่วโดยมิเอ่ยถึงเหตุผลใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ประโยคที่พ่นออกมานั้นทำให้หวงจ้งต้องอ้าปากค้างตาโตอย่างตกตะลึง จนสมองของเขาขาวโพลนไปชั่วขณะ

ฝ่ายลงทัณฑ์ที่เหลือในยามนี้ต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาเคยได้ยินชื่อเสียงที่โด่งดังของฟู่เสี่ยวกวนมาเนิ่นนานแล้ว

คนผู้นี้สวมหมวกผู้นำวรรณกรรมของใต้หล้า แต่กลับทำให้ชือเฉาหยวนอดีตเสนาบดีแห่งกรมพิธีการต้องกระอักเลือดออกมาถึงหกจิน ทั้งยังพ่นวาจาใส่ฮุ่ยชินอ๋องผู้ที่มีชื่อเสียงแห่งเมืองหลวงจนเป็นลมล้มพับไป และในท้ายที่สุดก็ตกอับเสียจนต้องออกไปจากเมืองหลวงด้วยสีหน้ามืดครึ้ม

คนผู้นี้ต่างก็เคยพ่นวาจาใส่ทั้งสองคน ทั้งสองคนนั้นต่างโชคร้ายเป็นอย่างมาก ตระกูลชือถูกถอนรากถอนโคนโดยสมบูรณ์แล้ว ฮุ่ยชินอ๋องถูกเนรเทศให้ไปอาศัยอยู่ในเขตหลิงหนานมิทราบว่าบัดนี้เป็นตายร้ายดีเยี่ยงไร

ในยามนี้เขาได้พ่นวาจาใส่หวงจ้งอีกครา จุดจบของท่านหวงในยามนี้ชักจะมิสวยเท่าใดเสียแล้ว !

ชื่อเสียงความโหดเหี้ยมของฟู่เสี่ยวกวนเลื่องลือไปไกล เจ้าหน้าที่แต่ละคนเริ่มสั่นเทาอย่างอดห้ามมิได้ คาดมิถึงว่าจะมิกล้าสบตามองฟู่เสี่ยวกวน เพราะกลัวว่าไฟนี้จะลุกลามมาเผาตนเอง

ดวงตาของเยี่ยนเป่ยซีเบิกกว้างราวกับกำลังประหลาดใจ แต่หากตั้งใจมองอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะพบว่าบนใบหน้าของเขานั้นมีรอยยิ้มที่มีเลศนัยแฝงอยู่ด้วย

ฝ่าบาทได้จดจ้องไปที่แผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวน แต่ในใจกลับเปี่ยมสุขราวกับดอกไม้บาน

ฉินฮุ่ยจือในครานี้มีความสำคัญเยี่ยงไร ฝ่าบาทและเยี่ยนเป่ยซีต่างก็เข้าใจดี เพียงยืนอยู่ในมุมมองของฝ่าบาท ฉินฮุ่ยจือในฐานะรองเสนาบดีกรมเมืองของสำนักอัครมหาเสนาบดีมีความเห็นต่อนโยบายใหม่ที่แตกต่างออกไป ก็มิอาจกล่าวว่าเขาไปเสียทั้งหมดได้ ท้ายที่สุดแล้วของสิ่งนี้แม้แต่ฮ่องเต้เอง ก็มิสามารถทำความเข้าใจได้ว่าผลลัพธ์ในตอนสุดท้ายจะดีหรือไม่

ดังนั้นพระองค์จึงมิได้คิดที่จะตำหนิฉินฮุ่ยจือ แต่อยากฟังว่าฟู่เสี่ยวกวนจะโต้แย้งกลับเยี่ยงไร แต่คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะโต้เถียงอย่างหยาบคายถึงเพียงนี้… เจ้าเด็กนี้ ดูเหมือนว่าจะต้องขัดเกลาเพิ่มอีกแล้ว !

ฉินฮุ่ยจือเองก็คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะหยาบคายต่อหน้าฝ่าบาทอย่างไรเหตุผลเยี่ยงนี้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และเอ่ยตำหนิเสียงดังว่า

 นี่คือสำนักอัครมหาเสนาบดี หาใช่กรมการค้าของท่านไม่ ! ท่านเป็นนักวรรณกรรมอันดับหนึ่งของใต้หล้า มีสถานะสูงส่ง ทั้งยังดำรงตำแหน่งเป็นอาจารย์แห่งสำนักศึกษาจี้เซี่ย นี่คือพฤติกรรมของผู้เป็นอาจารย์เยี่ยงนั้นหรือ ? เยี่ยงนี้แล้วจะแตกต่างจากพวกพ่อค้าปากร้ายข้างถนนตรงที่ใดกัน ?  

ฟู่เสี่ยวกวนหันตัวกลับมามองฉินฮุ่ยจืออย่างช้า ๆ เขายังคงนั่งด้วยความสงบนิ่ง ใบหน้าเย็นชาได้จางหายไปแล้ว และได้มีรอยยิ้มน้อยผุดขึ้นมา

 ข้าเป็นสหายต่างวัยของพี่ชายฉินปิ่งจง พี่ชายฉินมีความรู้มากมายและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ได้รับความเลื่อมใสจากข้าอย่างถึงที่สุด เดิมทีข้าคิดว่าบรรยากาศของตระกูลฉินนั้นควรจะเหมือนกับพี่ชายฉิน ถือวรรณกรรมเป็นหลักการ มีบทกวีเป็นมรดกสืบทอดของตระกูล บริหารบ้านเมืองอย่างตรงไปตรงมาและยุติธรรม… ข้ากลับหลงลืมไปว่าจวนฉินในเมืองหลวงนี้หาใช่เรือนของพี่ชายฉินของข้าไม่ ดังนั้นในยามนี้ข้าจึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าฉินที่เป็นอักษรตัวเดียวกัน เหตุใดจึงมีช่องว่างของความเป็นคนได้ใหญ่ถึงเพียงนี้กัน !  

 ท่านฉินแห่งตระกูลฉินและพี่ชายฉินแห่งตระกูลฉินนั้นมิเหมือนกัน ท่านฉินดำรงตำแหน่งเป็นรองเสนาบดีกรมเมืองของสำนักอัครมหาเสนาบดีมาเนิ่นนาน เดิมทีควรจะนั่งตัวตรงอย่างถึงที่สุด แต่ในยามนี้ข้าได้เข้าใจแล้วว่า ก้นของท่านฉินเป็นตัวกำหนดสมองใช่หรือไม่ นั่นมิได้เป็นการนั่งตัวตรงอย่างแน่นอน มิเช่นนั้น ท่านฉินจะตำหนิชายผู้นั้นที่ไร้มารยาท แต่เหตุใดท่านกลับสวมหมวกผู้ปากร้ายให้กับข้ากัน ท่านฉิน ท้ายที่สุดแล้วท่านกำลังคิดทำอันใดอยู่กันแน่ ? เหตุใดมิกล่าวมาตรง ๆ เล่า !  

ฉินฮุ่ยจือตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน หรือว่าเจ้าเด็กนี่จะเตรียมตัวมากัน ?

เขานั่งลงและจ้องมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน  นี่คือขั้นตอน ในเมื่อเจ้าหน้าที่ของฝ่ายลงทัณฑ์ฟ้องร้องท่าน ท่านย่อมต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง มิใช่ใช้อำนาจของท่านกลั่นแกล้งเจ้าหน้าที่ในที่แห่งนี้ !  

ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ลุกขึ้นยืน ใบหน้าของเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันใด  ข้าต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองเยี่ยงนั้นหรือ ? อาศัยฝ่ายลงทัณฑ์โง่เง่ากลุ่มนี้ของท่านเยี่ยงนั้นน่ะหรือ ?  

เหล่าเจ้าหน้าที่ของฝ่ายลงทัณฑ์ได้ยินดังนั้น ก็ได้คิดว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องการปะทะกับฝ่ายลงทัณฑ์ทั้งหมดใช่หรือไม่ ?

ดังนั้น จึงมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทัณฑ์ผู้หนึ่งยืนขึ้นและเดินออกมา พร้อมกับกล่าวตำหนิว่า  อย่าคิดว่าตัวท่านเป็นขุนนางขั้นสามแล้วจะกล่าวหยาบคายเยี่ยงไรก็ได้ การทัดทานของเจ้าหน้าที่คือระเบียบของฝ่ายลงทัณฑ์ นี่คือคำอนุญาตจากฮ่องเต้ในอดีต คาดมิถึงว่าท่านจะกล้ากล่าวว่าพวกเราคือพวกโง่เง่า 

ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังกลับมา จ้องมองเจ้าหน้าที่ผู้นั้นด้วยสายตาดุดัน หลังจากนั้นก็ได้ยื่นมือออกไป  กล่าวว่าพวกเจ้าเป็นพวกโง่เง่ายังถือเป็นการยกยอพวกเจ้ามากนัก เลี้ยงสุนัขมันยังเข้าใจที่จะเฝ้าจวนให้ เลี้ยงพวกเจ้านอกจากจะก่อปัญหาเพิ่มแล้วยังมิได้ประโยชน์อันใดอีก !  

ทันใดนั้นเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้ก็แตกฮือขึ้นมาทันพลัน ฟู่เสี่ยวกวนกลับอาศัยจังหวะนี้เสียงดังเพิ่มมากขึ้น

 พวกเจ้าจงฟังข้าเอาไว้ให้ดี ! หากผู้ใดกล้าเอ่ยอันใดออกมาอีก ข้าจะโยนเจ้าต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาทให้ดู มิเชื่อก็ลองทดสอบดูได้ !  

ประโยคที่โหดเหี้ยมของฟู่เสี่ยวกวนปรามคนกลุ่มนี้ได้ในทันที เป้าหมายของเขาก็คือฉินฮุ่ยจือ แต่เยี่ยงไรแล้วคนกลุ่มนี้ก็มิพ้นเป็นกลุ่มคนที่ฉินฮุ่ยจือยืมมือมาเพื่อโจมตีเขา

ดังนั้นเจ้าหน้าที่กลุ่มนี้จึงมิได้สำคัญอันใด มาโต้เถียงกับเจ้าหน้าที่เหล่านี้ ก็คงต้องโต้เถียงกันไปตลอดกาล !

แต่เยี่ยงไรเสียก็ยังมีคนที่หัวรั้นอยู่ ซึ่งที่โผล่มาคนแรกก็คือหวงจ้ง

 ข้ากลับอยากเห็น… 

ฟู่เสี่ยวกวนสาวเท้าปรี่เข้าไปหาเขาทันที และสะบัดมือตบเข้าไปที่ใบหน้าของเขาดัง  เพี๊ยะ… !   หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียง  โอ๊ย… !   เสียงร้องโอดโอยน่าเวทนาก็ดังขึ้นมา หวงจ้งยังมิทันจะได้กล่าวจบ ก็ถูกฟู่เสี่ยวกวนตบจนตัวลอย แล้วตกลงไปกับพื้นจนเลือดไหลอาบ

 เอาทหารมา นำคนผู้นี้โยนออกไปด้านนอกเสีย !  

ฟู่เสี่ยวกวนคำรามลั่น ขันทีเจี่ยที่ได้ยินดังนั้น ชายผู้นี้ในตอนนี้ช่างมิน่าประทับใจเอาเสียเลย ดังนั้นเขาจึงโค้งกายและวิ่งไปตามทางเล็ก ๆ ดึงหวงจ้งที่น่าเวทนาออกไปจากสำนักอัครมหาเสนาบดีแห่งนี้ และโยนลงไปบนพื้นหิมะจริง ๆ

ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองยังเจ้าหน้าที่กลุ่มนั้นอีกคราและเอ่ยปากเตือนว่า  หากยังมีผู้ใดมิพอใจ ให้เอ่ยออกมาเสียบัดนี้ !  

เขาหันหลังกลับ และได้หันไปมองฉินฮุ่ยจือ

 ท่านฉิน กรมการค้านี้มิต้องให้ท่านมาชี้นิ้วสั่ง กรมการค้าต้องการใช้คนแบบใด ที่คือสิทธิ์อำนาจที่ฝ่าบาทมอบหมายให้ข้า หากท่านยังมิยอมแพ้ ข้าให้เวลาท่าน 1 เดือน ให้ท่านบรรยายกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้านี้ออกมาเป็นข้อ ๆ ให้ได้ แล้วข้าจะรีบออกไปในทันที 

เขาก้าวไปเบื้องหน้าสามก้าว และจ้องไปที่ฉินฮุ่ยจือเขม็ง  แต่หากท่านฉินทำมิได้ ก็อย่าได้คิดขัดขวางข้าอีก !  

 เจ้า เจ้า เจ้ามันเหิมเกริมเพราะมีคนหนุนหลัง อาศัยหนทางนอกกรอบจากที่ใดก็มิรู้มาใช้กับฝ่าบาท ตบตาท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ข้า… 

ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปเบื้องหน้าอีกสองก้าว และได้เอ่ยขัดฉินฮุ่ยจือขึ้นมาว่า  หนทางนอกกรอบเยี่ยงนั้นหรือ ? ท่านอยากให้ข้าทำอันใดที่เป็นหนทางนอกกรอบให้ดูเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ฉินฮุ่ยจือ อย่าได้คิดว่าตัวท่านเป็นถึงรองเสนาบดีกรมเมืองแล้วจะสามารถกล่าวไร้สาระเยี่ยงใดก็ได้ ท่านมีสถานะที่สูงส่งอยู่ในท้องพระโรง แต่ทราบหรือไม่ว่าราษฎรในราชวงศ์หยูมีอีกกี่คนที่มิมีเสื้อผ้าจะสวมใส่ มิมีอาหารพอให้กินจนอิ่มท้อง ท่านทราบหรือไม่ว่าแท้จริงแล้วผิงหลิงและชวูอี้เป็นพื้นที่แบบใดกันแน่ ?  

 เป็นถึงขุนนางคนสำคัญของราชสำนักแต่กลับมิทราบถึงความทุกข์ยากของราษฎร ท่านมันมิเหมาะที่จะเป็นขุนนางอย่างแท้จริง ท่านมิทราบด้วยซ้ำว่าความยากจนของผิงหลิงและชวูอี้ตอนที่ท้องนภามิปลอดโปร่งมันเป็นเยี่ยงไร ที่ดินที่มีมิถึง 3 ลี้ คนที่มีเงินมิถึง 3 ส่วนนั้นมันเป็นเยี่ยงไร ท่านมิแม้แต่จะทราบด้วยซ้ำว่ามีอีกกี่สถานที่ในราชวงศ์หยูที่เป็นแบบนั้นเช่นกัน !  

 ฝ่าบาททรงงานอย่างหนัก เพื่อให้ราษฎรของราชวงศ์หยูได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะสามารถบรรลุนโยบายยี่สิบคำที่ตั้งไว้เมื่อต้นปีนี้ได้ ถึงได้มีการปฏิรูปทั่วแคว้น แต่ท่านกลับต้องการที่จะต่อต้าน กลับอยากให้ราษฎรในใต้หล้ายังคงเอาใจออกห่างจากฝ่าบาทเพราะความยากจนข้นแค้น… 

 ฉินฮุ่ยจือ ท่านเลิกใช้ความพยายามที่คิดจะขัดขวางนโยบายใหม่เถิด ข้าอยากเอ่ยถามท่านสักหนึ่งคำ แท้จริงแล้วองค์ชายสี่ให้ประโยชน์อันใดกับท่านกัน ?  

 

ตอนที่ 486 ความวุ่นวายในสำนักอัครมหาเสนาบดี

ตอนที่ 486 ความวุ่นวายในสำนักอัครมหาเสนาบดี

 ท่านฟู่ !  

ขันทีเจี่ยรีบโค้งคำนับเขาทันที ใบหน้าที่เหี่ยวย่นยกยิ้มขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า  ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ท่านไปยังสำนักอัครมหาเสนาบดี 

ฟู่เสี่ยวกวนสะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันพลัน ก่อนหน้านี้ฝ่าบาทจะทรงให้เขาไปพบที่ห้องทรงพระอักษร แต่เหตุใดวันนี้จึงเปลี่ยนไปที่สำนักอัครมหาเสนาบดีได้กัน ?

สำนักอัครมหาเสนาบดีเป็นหน่วยงานที่มีอำนาจสูงสุดในราชวงศ์หยู โดยมีกรมทั้งหกอยู่ในความดูแล อีกทั้งในปัจจุบันนี้ยังมีกรมการค้าอีก 1 กรมที่เพิ่มเข้ามา

ตามหลักแล้ว ขุนนางสูงสุดของสำนักอัครมหาเสนาบดี ผู้มีอำนาจสูงสุดควรจะเป็นขุนนางระดับสองเป็นต้นไป แต่ราชวงศ์หยูมิใช่เช่นนั้น

ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจแล้วว่า ในสำนักอัครมหาเสนาบดีผู้มีอำนาจสูงสุดก็คือท่านอัครมหาเสนาบดี เนื่องจากราชวงศ์หยูและราชวงศ์อู๋มิเหมือนกัน ที่ราชวงศ์อู๋นั้นมีอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาเท่าเทียมกัน แต่ราชวงศ์หยูมีเพียงคนเดียวเท่านั้น

ดังนั้นกว่าสามสิบปีหลังจากการก่อตั้งราชวงศ์หยู เพื่อตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจของอัครมหาเสนาบดี จึงได้มีสำนักอัครมหาเสนาบดีกำเนิดขึ้นมา

ในตอนนั้นสำนักอัครมหาเสนาบดีมีทั้งสิ้น 6 กรม และพวกเขาได้ลดอำนาจของอัครมหาเสนาบดีลงเสียจนสิ้น ทำให้อำนาจของสำนักอัครมหาเสนาบดียิ่งใหญ่ขึ้น หลังจากต่อสู้กันไปมาอยู่ 50 ปี จึงได้กลายมาเป็นเช่นปัจจุบันนี้

อัครมหาเสนาบดีจะดูแลสำนักอัครมหาเสนาบดีและคณะองคมนตรี ส่วนรองเสนาบดีกรมเมืองและคณะองคมนตรีมีสิทธิ์ขัดแย้งความคิดเห็นของอัครมหาเสนาบดี แต่ในขณะเดียวกัน ผู้มีส่วนร่วมในสำนักอัครมหาเสนาบดีที่อยู่นอกเหนือกรมทั้งหก จะถูกเรียกว่าฝ่ายลงทัณฑ์

ฝ่ายลงทัณฑ์นี้ค่อนข้างจะพิเศษ เนื่องจากพวกเขาเป็นกลุ่มผู้เยาวน์ และแต่ละคนจะมีการศึกษาที่สูงส่ง จุดประสงค์เดิมในการก่อตั้งนั้นเพื่อตรวจสอบเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหาร หากมีผู้กระทำมิถูกต้องหรือมีขุนนางต้องการก่อกบฏ ก็จะได้รับการวิพากษ์วิจารณ์และรายงานต่อรองเสนาบดีกรมเมืองทันที รองเสนาบดีกรมเมืองมีสิทธิ์นำคำฟ้องร้องเหล่านี้ยื่นเสนอแก่ฮ่องเต้เพื่อตัดสินคดีความของขุนนางผู้นั้น

ดังนั้นสมาชิกฝ่ายลงทัณฑ์จึงได้เข้ามามีส่วนร่วมในเรื่องของกรมเมืองอยู่มากโข เพียงแต่พวกเขาจะมิออกความคิดเห็นในเรื่องของกรมเมือง พวกเขาจะจัดการเฉพาะบุคคลเท่านั้น

จึงมีข้อกำหนดให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้มีจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ มิเอาแต่พรรคพวกเพื่อหวังผลประโยชน์ส่วนตัว พวกเขาจึงค่อนข้างยากจน ฝ่ายลงทัณฑ์นี้จึงถูกผู้คนขนานนามว่าเป็นชิงเฟิงถัง

ในการประชุมราชวงศ์เช้านี้ ขุนนางตำแหน่งโย้วซ่านจี้ฉางไต้ท่านหวงจ้งของฝ่ายลงทัณฑ์ได้เป็นผู้ริเริ่มฟ้องร้องฟู่เสี่ยวกวน สมาชิกในฝ่ายลงทัณฑ์มีทั้งสิ้น 79 คน มีผู้ลงนามในการฟ้องร้องนี้ทั้งสิ้น 40 คน ดังนั้นจึงสามารถนำเรื่องนี้ยื่นเสนอให้แก่รองเสนาบดีกรมเมืองฉินฮุ่ยจือ และฉินฮุ่ยจือจึงได้นำรายงานนี้ยื่นให้แก่ฮ่องเต้ต่อไป

เนื้อหาในการฟ้องร้องก็คือ ฟู่เสี่ยวกวนมิเหมาะสมกับตำแหน่งหัวหน้ากรมการค้า !

 กระหม่อมหวงจ้ง จิ้นซื่อในปีไท่เหอที่สามสิบหก ได้รับตำแหน่งขุนนางในปีไท่เหอที่สามสิบแปด และได้รับความเมตตากรุณาจากฝ่าบาท จึงได้เข้ามายังฝ่ายลงทัณฑ์

กระหม่อมได้รับเบี้ยหวัดจากฝ่าบาท ดังนั้นจึงควรจะช่วยแบ่งเบาภาระของฝ่าบาทด้วย บัดนี้ในราชวงศ์หยูมีเรื่องวุ่นวายเข้ามา โปรดทรงประทานอภัยให้กระหม่อมใช้อำนาจที่มีในมือมาเปิดโปงคนผู้นี้ด้วย ขอฝ่าบาททรงตรวจสอบเขาผู้นี้ด้วยความยุติธรรมด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ !

เขาผู้นี้มีนามว่าฟู่เสี่ยวกวน ! ได้รับพระกรุณาของฝ่าบาทให้เข้ารับตำแหน่งหัวหน้ากรมการค้าในวัยสิบเจ็ดปี ตำแหน่งขุนนางระดับสาม เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาททรงมีพระกรุณาต่อเขา !

แต่กระหม่อมได้จับตาดูเขาผู้นี้มาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว และตระหนักได้ว่าคุณธรรมของเขามิคู่ควรกับตำแหน่งนี้ กระหม่อมมีหลักฐานว่าเขาได้ทำการปิดบังหลอกลวงฝ่าบาท

นับตั้งแต่ที่เขาได้เข้ารับตำแหน่งก็มีความเกียจคร้านอยู่มากโข มิได้ทำงานตามเวลาที่กำหนด นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไปตามอำเภอใจ เห็นว่ากรมการค้าเป็นของตน มิเห็นกฎปฏิบัติของราชวงศ์ในสายตา มิเห็นความสำคัญของฝ่าบาท !

เขาผู้นี้ยึดถือแต่พรรคพวก คนในกรมการค้ามีทั้งสิ้น 34 คน ทุกคนล้วนมาจากการคัดเลือกของเขา ซึ่งมิได้มีการตรวจสอบจากราชวงศ์เสียก่อน กระหม่อมได้ทำการตรวจสอบดูแล้วน่ากังวลยิ่ง !

ใน 34 คนนี้ นอกเหนือจากหลี่ฉายที่เดิมทีอยู่ในกรมการคลังแล้ว อีก 33 คนล้วนมาจากสำนักศึกษาทั้งสิ้น !

และทั้งสามสิบคนนี้ มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่ได้รับตำแหน่งจิ้นซื่อ ที่เหลืออีก 27 คนมิมีแม้แต่ตำแหน่งจิ้นซื่อ

ที่เกินไปกว่านั้นก็คือ มีอีก 3 คนที่มาจากครอบครัวชาวบ้านธรรมดาทั่วไป !

หลังจากที่กระหม่อมได้ตรวจสอบต่อไป พบว่าทั้งสามคนนี้เป็นบุตรชายของพ่อค้าในจินหลิง ที่มีตำแหน่งเพียงซิ่วฉายเท่านั้น แต่กลับได้รับตำแหน่งระดับสูงในกรมการค้า !

กระหม่อมมิอาจข่มตาลงนอนได้อย่างสนิทใจมาเป็นเวลานาน

ฟู่เสี่ยวกวนมิเห็นกฎหมายของแคว้นอยู่ในสายตา กลับรวบรวมพรรคพวกเหล่านี้ของตนมาผลักดันนโยบายใหม่ที่เขาร่างขึ้น เพื่อเหตุอันใดกัน ?

เขาต้องการผลักดันนโยบายใหม่นี้จากใจจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?

กระหม่อมเห็นว่าเขากำลังเล่นละครตบตา กำลังหลอกลวงผู้คนทั้งแคว้น !

กระหม่อมรู้ดีว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้มีความสามารถ และกระหม่อมก็รู้ดีว่าเขามีภูมิหลังที่ลึกล้ำ แต่จะให้กระหม่อมทนเห็นเขาเข้ามาก่อความมิสงบในราชวงศ์ และใช้อำนาจในการส่วนตัว จนถึงกระทั่งทลายแคว้นมิได้ !

ดังนั้น กระหม่อมจึงขอทูลฝ่าบาททรงทำการตรวจสอบการกระทำของฟู่เสี่ยวกวนจนถึงที่สุด และเปิดโปงจิตใจอันชั่วร้ายทะเยอทะยานดุจหมาป่าของเขาเสีย !

กระหม่อมและสมาชิกฝ่ายลงทัณฑ์ ขอฝ่าบาททรงให้การตัดสินอย่างเป็นธรรมด้วยพ่ะย่ะค่ะ !  

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็คงต้องร่วมตัดสินในสำนักอัครมหาเสนาบดีต่อหน้าสมาชิกฝ่ายลงทัณฑ์และขุนนางของทั้งหกกรม

เรื่องนี้ ฮ่องเต้เองก็ทรงปวดหัวมากเช่นกัน

เขารู้ถึงเหตุผลที่ฟู่เสี่ยวกวนเลือกใช้การคนเหล่านี้ แต่ในเมื่อฝ่ายลงทัณฑ์มีรายงานฟ้องร้องเข้ามาในมือของเขา กฎเกณฑ์เหล่านี้จะให้เขาเปลี่ยนแปลงมันได้เยี่ยงไร

เรื่องนี้ต้องให้ฟู่เสี่ยวกวนมาจัดการด้วยตนเอง

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนอ่านรายงานการฟ้องร้องนี้เรียบร้อยแล้วก็ได้ยกมือขึ้นเกาศีรษะ เขามองไปทางฮ่องเต้แล้วนึกในใจว่าเรื่องเพียงเท่านี้ ท่านจัดการไปเสียก็สิ้นเรื่องมิใช่หรือ ?

เนื่องจากเขามิรู้ว่าหากมีรายงานฟ้องร้องของขุนนางเข้ามา ก็เป็นเรื่องยากที่จะจัดการแล้ว

ฉินฮุ่ยจือในฐานะผู้ดูแลโดยตรงของฝ่ายลงทัณฑ์ การฟ้องร้องในครานี้มีเขาเป็นผู้ดำเนินการ ดังนั้นเขาจึงกล่าวขึ้นว่า

 ท่านคือฟู่เสี่ยวกวนใช่หรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลง เขามองไปทางฉินฮุ่ยจือแล้วยิ้มอย่างสดใสพลางกล่าวว่า  ท่านฉินตาบอดเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 นี่คือข้อบังคับ ! ในวันนี้มีจดหมายฟ้องร้องมายังเจ้า หากเจ้ามิอาจหาหลักฐานมาแก้ตัวว่าบริสุทธิ์ได้ ข้อฟ้องร้องนี้ก็จะเกิดผลทันที อีกทั้ง…ที่นี่มิใช่กรมการค้าของเจ้า !  

ฉินฮุ่ยจือหรี่ตาลงมอง ประโยคเมื่อครู่นั้นเขากล่าวให้ฮ่องเต้ อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนและเสนาบดีทั้งหกกรมฟัง

ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังไปมอง สำนักอัครมหาเสนาบดีใหญ่โตเพียงนี้ ด้านบนสุดมีเพียงฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ ด้านขวาคือเยี่ยนเป่ยซี ส่วนด้านซ้ายคือฉินฮุ่ยจือ ขุนนางจากกรมทั้งหกนั่งแยกออกเป็นสองแถว สมาชิกฝ่ายลงทัณฑ์นั่งอยู่ด้านหลังพวกเขา ให้ตายสิ นี่มันมิได้ต่างอันใดกับกรมสอบสวนเลยนี่

พวกเจ้าล้วนนั่งกันหมด แล้วเหตุใดข้าจึงต้องยืนเล่า ?

ดังนั้นเขาจึงหันหลังกลับไปมองในฝ่ายลงทัณฑ์แล้วเอ่ยถามว่า  ผู้ใดคือหวงจ้ง ?  

หวงจ้งสะดุ้งทันที หรือฟู่เสี่ยวกวนจะกล้าโจมตีเขากลับกัน ?

เขาจึงลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวขึ้น  ข้าเอง หวงจ้ง คำฟ้องร้องของข้ามีประโยคใดมิจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนมองดูท่าทีที่หยิ่งผยองของเขา จากนั้นจึงเดินตรงเข้าไป และได้สร้างความกังวลให้แก่กลุ่มคน ณ ที่นั้นขึ้นมา ฉินฮุ่ยจือรีบยกมือขึ้นตบโต๊ะแล้วกล่าวว่า  ฟู่เสี่ยวกวน เจ้ากล้าดีเยี่ยงไร !  

ฟู่เสี่ยวกวนยกมือขึ้นแคะหูแล้วก้าวเดินต่อไป เขาเข้าใกล้หวงจ้งเข้าไปทุกที หวงจ้งเบิกตากว้างแล้วถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว และอีกหนึ่งก้าว ฟู่เสี่ยวกวนกลับยกยิ้มให้กับเขาแล้วยื่นมือเข้าไปหยิบเก้าอี้ของหวงจ้งมา  ท่านหวง ท่านกังวลอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ข้าเพียงแค่จะหาเก้าอี้นั่งเพียงเท่านั้น 

เขาหยิบเก้าอี้มาแล้วนั่งลงตรงกลางสำนัก หวงจ้งที่ถอยหลังไปสองก้าวอย่างน่าอับอายเมื่อครู่ บัดนี้ได้ก้าวขึ้นมาสองก้าวแล้วชี้ไปที่ฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทีเดือดดาลพร้อมกับกล่าวว่า  ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ ณ ที่นี้ เจ้ายังไร้ซึ่งความเคารพยำเกรงไร้ศีลธรรม มิเห็นกฎหมายอยู่ในสายตา การกระทำนี้ช่างต่ำช้ายิ่ง… 

ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังกลับไปมองด้วยสีหน้าเยือกเย็น  ตาเฒ่าหนังยาน หุบปากของเจ้าประเดี๋ยวนี้ !  

ขุนนางทั้งหมดที่อยู่ในที่แห่งนั้นต่างก็ตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน บัดนี้ได้เกิดความเงียบเป็นเป่าสากขึ้นมาแทนที่ !

 

ตอนที่ 485 เหล่าชายหนุ่มแห่งกรมการค้า

ในยามนี้เป็นยามเช้าตรู่ ตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินผ่านท้องพระโรงเฉิงเทียน เขาก็ได้ชำเลืองสายตามองดูเล็กน้อย ประชุมราชวงศ์ยามเช้ายังมิเสร็จสิ้น และมิทราบเช่นกันว่าฝ่าบาทกำลังหารือเรื่องใดกับเหล่าขุนนาง

เขาย่อมมิได้เข้าไป แต่กลับเดินตรงไปยังสำนักงานของกรมการค้าแทน

สองวันมานี้กรมการค้าก็ได้มีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 1 คน

คนผู้นี้มีนามว่าหม่าซิงคง ชายผู้นี้มาที่นี่ด้วยตนเอง ฟู่เสี่ยวกวนชื่นชมในความกล้าของเขาเป็นอย่างมาก จึงได้มอบโอกาสให้แก่เขา

ทั้งสองสนทนากันที่ธนาคารซื่อทงอยู่ราว 1 ชั่วยาม จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้รีบเรียกให้เขาเข้าไปทำงานที่กรมการค้าทันที เพราะชายผู้นี้ได้เสนอข้อคิดเห็นหนึ่งที่แม้แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ละเลยไป

หากการค้าเจริญรุ่งเรือง เงินตราในท้องตลาดต้องมีเพียงพอ !

 ท่านฟู่ลองใคร่ครวญดูเถิด หลังจากที่นโยบายใหม่นี้ถูกส่งเสริม พ่อค้าจำนวนมากจะต้องขยายเครือข่ายของโรงงานให้กว้างขวางขึ้นอย่างแน่นอน ต้นทุนของสินค้าย่อมเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่ในเวลาเดียวกันผลผลิตของสินค้าก็จะเพิ่มมากยิ่งขึ้น

ยามที่มูลค่าของสินค้าในท้องตลาดสูงเกินกว่าเงินตราที่ชาวบ้านเป็นเจ้าของ ก็จะมิอาจหลีกเลี่ยงสถานการณ์การหมักหมมของสินค้าจำนวนมากที่จะตามมาได้ เมื่อถึงเวลานั้น ราคาของสินค้าเหล่านั้นก็จะตกต่ำลง มิเยี่ยงนั้นก็สามารถทำได้เพียงแค่ทำลายทิ้ง แต่มิว่าจะเป็นสถานการณ์ใด ต่างก็ทำให้พ่อค้าขาดทุนทั้งสิ้น

ในแง่ที่หนึ่งคือชาวบ้านต้องการซื้อแต่มิมีกำลังทางการเงินที่มากพอ ในอีกแง่หนึ่งก็คือพ่อค้าจะทำได้เพียงแค่มองเม็ดเงินที่หายวับไปกับตาของตนเอง สถานการณ์ในตอนท้ายที่สุดคือโรงงานเหล่านั้นจะต้องปิดตัว พ่อค้าจะล้มละลาย และเศรษฐกิจทั้งแคว้นจะเป็นอัมพาต

ตัวข้านั้นอาจจะตื่นตระหนกไปสักเล็กน้อย แต่นี่คือข้อสรุปที่ข้าได้ทำการใคร่ครวญมาอย่างเนิ่นนานแล้ว คุณชายเป็นผู้คุมหางเสือของนโยบายใหม่นี้ บัณฑิตผู้นี้จึงบังอาจกล่าวออกไป หากผิดพลาดประการใดขอคุณชายโปรดชี้แจงให้กันด้วย 

คำเอ่ยนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน การจำหน่ายตั๋วเงินของราชวงศ์หยูในปัจจุบันนี้มีทองเป็นปัจจัยหลัก และจำนวนทองสำรองของราชวงศ์หยูก็เป็นตัวตัดสินของการจำหน่ายตั๋วเงินของธนาคารเป่าหลง

หลังจากที่เขาได้เข้าเฝ้าองค์หญิงใหญ่แล้ว จึงได้ทราบว่าทองสำรองของราชวงศ์หยูมีมิเพียงพอต่อความต้องการตั๋วเงินของท้องตลาดในยามที่เศรษฐกิจเกิดการระเบิดตัว

แต่ตั๋วเงินนี้จะพิมพ์สุ่มสี่สุ่มห้ามิได้ มิเช่นนั้นก็จะทำให้เศรษฐกิจของราชวงศ์หยูเสียหายไปกันใหญ่

มันจะมิถูกสะท้อนออกมายามที่การค้ารุ่งเรือง แต่ทันทีที่การค้าซบเซา ตั๋วเงินนี้ก็จะสูญเสียมูลค่า และมิได้ต่างไปจากกระดาษเปล่าเลย

ด้วยกำลังทางเศรษฐกิจของราชวงศ์หยูในปัจจุบันนี้ การหมุนเวียนของเงินตราหรือตั๋วเงินในตลาดยังมิเกิดปัญหาอันใด แต่หลังจากที่ผลักดันนโยบายใหม่นี้ไปได้สองถึงสามปี ยามที่กำลังการผลิตสูงขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ หลังจากที่เงินทุนทะลักเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง สินค้าจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้น ก็จะเกิดภาวะเงินฝืดอย่างแน่นอน

ดังนั้นแผนการในอนาคตของฟู่เสี่ยวกวน จำเป็นต้องแก้ไขปัญหาการจำหน่ายเงินตราให้ได้ภายในสองถึงสามปีนี้ สิ่งที่จะต้องแก้ไขก็คือเขาจำเป็นต้องมีทองที่เพียงพอเพื่อรองรับความต้องการเงินตราของตลาด อนุญาตให้เกิดภาวะเงินเฟ้อได้เพียงเล็กน้อย แต่จะต้องมิให้เกิดภาวะเงินฝืดเป็นอันขาด

และเพราะทัศนคตินี้ ฟู่เสี่ยวกวนจึงรับหม่าซิงคงเข้าร่วมกรมการค้าเป็นกรณีพิเศษ

ชายผู้นี้ได้ซื้อหุ้นของซีซานจนกระเป๋าของตนว่างเปล่า เดิมทีแล้วก็เพื่อแก้ไขปัญหาการกินจึงอยากมาหางานชั่วคราวในธนาคารซื่อทง แต่คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะลงมือนำเขาออกมาจากสำนักศึกษา และพาตัวเขาไปยังกรมการค้าในทันที !

แน่นอนว่าทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ปีหน้าก็มิจำเป็นต้องเข้าร่วมชิวเหวยแล้ว ข้ายังเรียนมิจบ แต่ก็ได้กลายเป็นขุนนางของราชสำนักไปแล้ว ทั้งยังอยู่ภายใต้คำสั่งของท่านฟู่อีกด้วย เขาตื้นตันไปถึง 2 วัน แต่หลังจากนั้นก็ตื้นตันมิออกอีกเลย…

กรมการค้ามีคนแบบไหนอยู่กัน ?

ทยอยมานั่งในห้องโถงทีละคนตั้งแต่เช้าตรู่ จนถึงยามเย็น คนของสำนักงานอื่นในเขตวังหลวงที่ใหญ่โตนี้ต่างเดินออกไปจนหมดสิ้นแล้ว แต่คนของกรมการค้ากลับไปมิมีผู้ใดเดินออกไปแม้แต่คนเดียว

ในที่นี้มีทั้งสหายร่วมรุ่นและมีทั้งรุ่นพี่ของเขา และหนึ่งในนั้นก็ยังมีซือหม่าหนานสหายสนิทของเขาอีกด้วย

หลังจากที่ได้เอ่ยถามซือหม่าหนาน เขาถึงได้เข้าใจว่าทุกคนต่างยินยอมที่จะทำงานล่วงเวลาเอง และเหตุผลที่ยินยอมนั้นก็เรียบง่ายเสียจนเขาแทบจะกระอักเลือด  พวกเขามีความสุขที่ได้ทำงานล่วงเวลา เจ้ามิอยากทำงานล่วงเวลาก็สามารถกลับไปได้ทุกเมื่อ 

ให้ตายเถอะ แล้วจะมีผู้ใดจะกล้าวิ่งหนีออกไปเพียงผู้เดียวโดยที่มิรู้สึกละอายใจได้กันเล่า ?

หม่าซิงคงจึงทำได้เพียงอยู่ที่นี่ด้วยเท่านั้น หมกมุ่นอยู่กับโครงสร้างของกฎหมายนี้ หลังจากนั้นก็จะค้นคว้ากับเหล่าคนที่อยู่ข้าง ๆ และก็จะถกเถียงกันจนหน้าแดงก่ำเพื่อหารือข้อคิดเห็นต่าง ๆ

ในทุกชั่วยาม รองหัวหน้าหลี่ฉายก็จะออกมาไกล่เกลี่ย  และเขียนข้อคิดเห็นของพวกเขาลงไป สุดท้ายก็จะส่งให้ท่านฟู่ตรวจสอบ ท่านฟู่จะเลือกข้อคิดเห็นของผู้ใดก็ถือเป็นที่ถูกต้อง อย่าได้เสียเวลามาพิพาทกันตรงนี้เลย ทุกคนยังอยากฉลองปีใหม่กันอยู่หรือไม่ ?  

ดังนั้นกรมการค้าจึงเงียบขึ้นมาอีกครา จะได้ยินก็เพียงแค่เสียงของพู่กันและน้ำหมึกที่จรดลงบนกระดาษ หรือบางทีก็เป็นเสียงของถ่านที่ปะทุขึ้นมาบ้างเป็นบางคราเท่านั้น

สำหรับกรมการค้าชุดนี้ต่างก็เป็นคนที่ฟู่เสี่ยวกวนคัดเลือกมาด้วยตนเอง แรกเริ่มหลี่ฉายก็เป็นกังวลอย่างถึงที่สุด ในที่นี้นอกจากสามคนที่เป็นสามอันดับแรกของชิวเหวยครานี้ อีกสามสิบกว่าคนส่วนใหญ่ต่างก็ยังมิได้สำเร็จการศึกษาจากสำนักศึกษา

มีอยู่วันหนึ่งหลี่ฉายได้เดินทางไปยังสำนักศึกษา และได้ตรวจสอบเอกสารของคนเหล่านั้นอยู่หนึ่งรอบ ก็ได้พบว่าบุคคลเหล่านี้ยามที่อยู่ในสำนักศึกษามิได้โดดเด่นออกมาจากผู้อื่น ดังนั้นเขาจึงได้ข้อสรุปว่า… ท่านฟู่เพียงตะลีตะลานจับบุรุษที่ผ่านมาด้วยความจวนตัวเท่านั้น ท่านฟู่มีอายุเพียง 17 ปี กระทำสิ่งใดย่อมมิน่าไว้วางใจ !

แต่หลังจากที่ได้อยู่กับพวกเขาหลายวันมานี้ เหล่าชายหนุ่มกลับทำให้หลี่ฉายต้องเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ มิใช่เพียงการทำงานล่วงเวลาเท่านั้น แต่เป็นเพราะสมองของชายหนุ่มเหล่านี้ปราดเปรียวเป็นอย่างมาก เขาเพียงแค่ให้โครงสร้างกฎหมายแก่พวกเขาไป 1 ส่วนเท่านั้น ไม่นานพวกเขาก็สามารถแต่งเติมดอกไม้ลงไปในโครงสร้างนั้นได้ !

บัณฑิตเหล่านี้ต่างก็ได้เรียนรู้มาจากกิจการของครอบครัว อย่างเช่นหวางซุนอู๋จี้และฉงฟังหยวน อีกทั้งยังมีบัณฑิตจำนวนมากที่ได้เสริมสร้างความรู้จากโครงสร้างนี้ พวกเขาจะต้องจินตนาการว่าควรจะควบคุมต้นทุนเยี่ยงไรเพื่อควบคุมพฤติกรรมของพ่อค้า สิ่งนี้มิได้บั่นทอนความกระตือรือร้นของพวกเขาเลย ในส่วนนี้ทำให้หลี่ฉายต้องเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่

ความคิดเห็นของพวกเขาแปลกใหม่ มีหลายคำอธิบายหลายจุดที่บางทีก็มิได้ถูกต้องทั้งหมด แต่กลับเป็นแนวคิดที่หลี่ฉายสามารถนำไปใช้อ้างอิงได้

ดังนั้นนับตั้งแต่ที่กรมการค้าก่อตั้งขึ้นมาจนถึงวันนี้ก็นับเป็นเวลาครึ่งเดือนเข้าไปแล้ว เขาได้ร่างตำรา ‘บัญญัติจรรยาบรรณการค้า’ เล่มแรกเสร็จแล้ว

ในตอนที่เขาคิดจะหาเวลาเพื่อส่งแบบร่างนี้ให้กับท่านฟู่ ก็คาดมิถึงว่าที่ห้องโถงใหญ่นี้จะเกิดการโต้เถียงทางด้านการค้าขึ้นมาอีกครา

 ข้าคิดว่า ‘กฎหมายแพ่งและพาณิชย์’ มิเหมาะสม พวกเจ้าลองใคร่ครวญดูเถิด เหล่าพ่อค้าอาศัยกำลังของตนเองมาควบคุมสินค้าในตลาด เจ้ากลับต้องการจะต่อต้านพวกเขา เยี่ยงนั้นภายภาคหน้าผู้ใดจะกล้าทุ่มกำลังเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของตนเองกัน ?  

 หวางซุนกล่าวเยี่ยงนี้ก็มิเหมาะสม เจ้ายืนอยู่ในมุมมองของพ่อค้าจึงมองเห็นปัญหานี้ หากยืนอยู่ในมุมมองของคนทั่วไป หลังจากที่สินค้านี้ถูกผูกขาด พ่อค้าก็จะขึ้นราคาได้ตามอำเภอใจ และผู้บริโภคก็จะไร้หนทางต่อต้านใด ๆ ทั้งสิ้น 

 คำเอ่ยนี้ของซือหม่าค่อนข้างลำเอียง ข้ากลับคิดว่าผู้คนจะทุบเงินเพื่อไปเพิ่มฝีมือให้สูงขึ้น กำจัดสินค้าที่เป็นประเภทเดียวกัน นี่คือพฤติกรรมของการแข่งขันทางตลาดรูปแบบหนึ่ง หากเป็นกรณีตรงกันข้าม ยังจะมีผู้ใดเต็มใจที่จะปฏิรูปเครื่องมือและปฏิรูปกระบวนการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอีกกัน ?  

ซือหม่าหนานถึงกับเอ่ยมิออกเมื่อถูกหวางซุนถามเยี่ยงนั้น ในเวลานั้นเอง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินเข้ามา

 พวกเจ้าถกปัญหาผิดไปหนึ่งประเด็น การผูกขาดและการแข่งขันคือสองสิ่งที่แตกต่างกัน… 

ชีวิตประจำวันของกรมการค้าได้เริ่มต้นขึ้นมาอีกครา ฟู่เสี่ยวกวนหยิบดินสอขึ้นมาวาดรูปบนกระดาน และอธิบายคำศัพท์ใหม่ให้เหล่าขุนนางในกรมการค้าได้ฟังโดยละเอียด รวมไปถึงว่าจะกำหนดออกมาเยี่ยงไรและอื่น ๆ

ฟู่เสี่ยวกวนใช้เวลาถึง 2 ชั่วยามในการอธิบายในคาบเรียนของวันนี้ ทันทีที่วางดินสอลง กลับพบเห็นขันทีเจี่ยเดินตัวสั่นเข้ามาด้านใน

 

ตอนที่ 484 ข้าเป็นเพียงคนธรรมดา

ภายในใจของหญิงสาวนั้นช่างรู้สึกประหลาดใจยิ่ง

เปียนหรงเอ๋อกลับมายังโรงเตี๊ยมด้วยท่าทางหดหู่

นางนั่งลงมองดูใบหน้าตนเองในกระจกหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วยื่นมือออกมาสัมผัสผิวแก้มอันเย็นเยือกของตน ผิวพรรณของนางยังคงนุ่มนวลชุ่มชื้น

ใบหน้าของนางงดงาม รูปร่างอรชรสมส่วน ต่อให้สวมใส่เสื้อคลุมเอาไว้ ก็มิอาจปกปิดเนินอกอันน่าภาคภูมิใจเอาไว้ได้

นางเป็นถึงคุณหนูในจวนเปียนเฉิงเมืองไท่หลินแห่งแคว้นอี๋ ได้รับการอบรมสั่งสอนมาอย่างดีตั้งแต่ยังเยาว์ นั่นจึงทำให้นางมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง

แต่ในค่ำคืนนี้ ความมั่นใจที่นางเคยมีอยู่มากมายกลับถูกฟู่เสี่ยวกวนเหยียบย่ำบดขยี้เสียจนแทบมิหลงเหลือ

ฟู่เสี่ยวกวนเพียงแค่เชิญนางไปกินอาหารด้วยกันเท่านั้น !

เดิมทีนางยังคงกังวลใจว่าหลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนกินมื้อเย็นและดื่มสุราเสียจนเมามายแล้ว เขาจะทำในสิ่งที่ทำให้นางมิอาจเงยหน้าขึ้นมาได้ตลอดชีวิต ดังนั้นนางจึงพยายามมอมเหล้าตนเองให้เมามายไปเสีย เนื่องจากมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้นางรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง

แต่นางคาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะห้ามมิให้นางดื่มเสียจนเมามาย อีกทั้งยังส่งนางออกมาจากหอซื่อฟางด้วยตนเองอีกด้วย

มิมีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งนั้น มันมิเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาเลยอย่างแท้จริง !

เขามิชื่นชอบข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?

ได้ยินมาว่าภรรยาทั้งสามคนของเขาก็เป็นสตรีที่งดงามที่สุดในเมืองหลวง รูปร่างหน้าตาของนางก็นับว่างดงามยิ่งในเมืองเปียนเฉิง !

เหตุใดเขาจึงมิชื่นชอบข้ากัน ?

เหตุใดต้องดูแคลนข้าถึงเพียงนี้ด้วย ?

ใบหน้าของเปียนหรงเอ๋อยังคงขึ้นสีแดงระเรื่อ ดวงตากลมโตแวววาวนั้น ทำให้นางดูงดงามมากยิ่งขึ้นไปอีก

ความรู้สึกเกลียดชังและต่อต้านฟู่เสี่ยวกวนที่เคยมีอยู่ในใจบัดนี้ได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว จนถึงกระทั่งนางรู้สึกว่าอยากให้เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นมาจริง ๆ เยี่ยงนั้นแล้วนางถึงจะรู้สึกว่าตนเองมีค่าขึ้นมาบ้าง

แต่บัดนี้…เนื้อหนังมังสาที่ห่อหุ้มร่างกายของนางเอาไว้นั้น กลับมิเข้าตาเขาเอาเสียเลย

เปียนมู่หยูและเยียนเหลียงเจ๋อเดินเข้ามา เมื่อมองเห็นสีหน้าท่าทางของเปียนหรงเอ๋อเช่นนั้น พวกเขาต่างก็จ้องมองนางด้วยความตกตะลึง

เยียนเหลียงเจ๋อรีบเดินเข้ามาข้าง ๆ เปียนหรงเอ๋อแล้วโค้งคำนับ  ข้าขอขอบคุณน้องหรงเอ๋อยิ่ง รอให้ข้าได้ขึ้นครองบัลลังก์ ข้าจะมอบตำแหน่งที่มั่งคงให้แก่เจ้าอย่างแน่นอน !  

เปียนหรงเอ๋อยิ้มออกมาแล้วหันไปมองทางเยียนเหลียงเจ๋อ  ความหวังดีของฝ่าบาทนั้นหรงเอ๋อขอรับไว้อย่างซาบซึ้งใจ แต่เรื่องมิได้เป็นเยี่ยงที่พวกท่านคิด… 

 เขา…เขามิได้แตะต้องข้า 

เปียนมู่หยูขมวดคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจแล้วเอ่ยถามว่า  เรื่องนั้นจัดการแล้วหรือยัง ?  

เปียนหรงเอ๋อครุ่นคิด เรื่องนั้นนับว่าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือไม่กัน ? ระหว่างทานอาหารนั้นฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยวาจาคลุมเครือ ทุกคราที่เอ่ยถึงเรื่องวันเจรจา เขาก็จะเปลี่ยนเรื่องทันที ดังนั้นคาดว่าน่าจะยังมิสำเร็จ

แต่เขาก็ตอบรับคำเชิญที่จะไปยังหงซิ่วจาว เช่นนั้นนับว่าสำเร็จแล้วหรือยัง ?

 วันที่ยี่สิบเดือนสิบสอง ลูกจะจัดงานเลี้ยงที่หงซิ่วจาวเพื่อต้อนรับคุณชายฟู่ เงิน 300,000 ตำลึงนั้นลูกมอบให้กับเขาไปแล้ว ส่วนเรื่องวันเจรจา เขากล่าวว่าก่อนปีใหม่นี้เขายุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมาก เกรงว่าจะต้องรอให้ถึงหลังปีใหม่จึงจะได้นั่งเจรจากัน 

เยียนเหลียงเจ๋อตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน หลังปีใหม่เยี่ยงนั้นหรือ เขารอมิได้อย่างแน่นอน !

บัดนี้วันที่สิบห้าเดือนสิบสองแล้ว อีก 5 วันจะถึงวันนัดหมายกับฟู่เสี่ยวกวน หลังจากห้าวันนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็จะสิ้นชีพลง หัวหน้าคณะการเจรจาก็จะต้องถูกเปลี่ยนคน เมื่อเปลี่ยนคนแล้ว เรื่องการเจรจาก็คงจะง่ายขึ้นมามากนัก

 มิว่าเยี่ยงไรก็ตาม ลำบากน้องหรงเอ๋อมากเสียทีเดียว เรื่องหงซิ่วจาว พวกเราจะนำความหวังฝากไว้กับถงเหยียนทั้งหมด ย่อมมิได้ ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนมีศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเต๋าอยู่ ดังนั้นหากต้องการลอบสังหารเขาย่อมมิใช่เรื่องง่าย เยี่ยงนั้นแล้วเรื่องนี้จำเป็นต้องจัดการอย่างละเอียดและรอบคอบ !  

ห้องในโรงเตี๊ยมของหยี่ฮวาถายยังคงมีแสงไฟสว่างโร่อยู่ หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กลับมาถึงจวนฟู่แล้วก็ได้เล่าเรื่องที่น่าลำบากใจทั้งสิ้นนี้ให้แก่ต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวฟัง ไฟในจวนฟู่เองก็ยังคงมิดับลงเช่นกัน

เช้าตรู่ในวันต่อมา ฟู่เสี่ยวกวนได้ตื่นขึ้นมาด้วยสีหน้าสดชื่นราวกับได้เกิดใหม่ หลังจากออกกำลังกายยามเช้าแล้วเขาก็ได้ลงมาจากเตียงด้วยเสียงหัวเราะที่ชื่นมื่น

หิมะยังคงโปรยปรายลงมา ทะเลสาบซวนอู่ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง

ท่ามกลางแสงสลัวของยามเช้า ฟู่เสี่ยวกวนเห็นซูซูนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ลานกว้างท่ามกลางหิมะที่ตกโปรยปราย

นางยังคงสวมใส่ชุดผ้าลินินบาง ๆ และมิได้สวมใส่รองเท้าตามเดิม มีหมอกควันบาง ๆ ลอยออกมาจากร่างกายของนาง

ฟู่เสี่ยวกวนจึงเดินเข้าไปดูด้วยความประหลาดใจ ซูซูลืมตาขึ้นมามองดูเขา จากนั้นก็หลับตาลงเพื่อฝึกฝนกำลังภายในของนางต่อไป

 อากาศหนาวเหน็บถึงเพียงนี้ เจ้ามินอนต่ออีกสักหน่อยหรือ ?  

ซูซูมิได้ลืมตาขึ้นมอง นางเบ้ปากแล้วพลางนึกในใจว่า เจ้าทำเสียงดังโครมครามแบบนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ จะให้ข้านอนต่อได้เยี่ยงไรกัน ?

 ตอนที่ข้าฝึกคัมภีร์พระสูตรเก้าหยาง เหตุใดจึงมิเป็นเยี่ยงเจ้ากัน ?  

 เนื่องจากเจ้าอ่อนแอจนเกินไป !  

อ่า… ฟู่เสี่ยวกวนนำมือขึ้นลูบจมูกของตนเอง ช่วงนี้เขายุ่งวุ่นวายอยู่กับเรื่องของกรมการค้า และมัวแต่จัดการเรื่องของปีใหม่ จึงทำให้การฝึกวรยุทธ์ล่าช้าลง

ดังนั้น เขาจึงได้นั่งลงตรงข้ามกับซูซู แล้วค่อย ๆ หลับตาลงอย่างสงบนิ่ง ฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางของตนต่อไป

เขาทนอยู่ได้มิถึงหนึ่งก้านธูปด้วยซ้ำ ก็ได้ลืมตาขึ้นมาเนื่องจากอากาศช่างหนาวเหน็บเสียเกินทน !

มองดูแล้วตนคงจะมิใช่ผู้ที่เหมาะสมที่จะฝึกวรยุทธ์อย่างแท้จริง !

เขาลุกขึ้นยืนปัดก้นเพื่อเตรียมตัวเดินจากไป เขายังต้องเขียนจดหมายไปให้ไป๋ยู่เหลียน 1 ฉบับ และเฉินป๋อที่ประจำการอยู่ในเขตผิงหลิง 1 ฉบับ อีกทั้งยังต้องเขียนจดหมายไปให้แก่ซูม่ออีก 1 ฉบับด้วย

เดิมทีข้านั้นก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดา การฝึกวรยุทธ์นี้คงมิเข้ากับข้าสักเท่าใดนัก

เขากำลังก้าวออกไปได้เพียงสองก้าว ก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลัง เมื่อเขาหันหลังกลับไปมองก็ต้องตกตะลึงเสียจนต้องอ้าปากค้าง

หิมะที่อยู่ด้านข้างซูซู อยู่ ๆ กลับระเบิดขึ้นมา !

มิว่าจะเป็นหิมะที่ตกลงมาจากท้องนภาหรือหิมะที่อยู่รอบ ๆ ตัวนาง บัดนี้คล้ายกับได้รับแรงดึงดูดบางอย่าง พวกมันพากันพุ่งตรงเข้าไปหานาง

ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังตกตะลึงอยู่นั้น ซูซูก็ถูกหิมะโถมเข้าใส่อีกครา ในครานี้รุนแรงกว่าคราก่อนมากนัก

ฟู่เสี่ยวกวนถอยหลังออกไปนับสิบก้าว

ซูซูบัดนี้ดูคล้ายกับเครื่องดูดฝุ่น หิมะที่ปกคลุมอยู่ที่ลานกว้างทั้งหมดได้ลอยเข้าไปหานาง อีกทั้งมองดูแล้วนี่คงเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น

ศิษย์พี่ใหญ่เดินตรงเข้ามาข้างกายฟู่เสี่ยวกวน สีหน้าของเขาแสดงออกถึงความยินดี ศิษย์พี่สามซูโหรวเองก็ได้ปรากฏตัวขึ้นที่หลังคาฝั่งตรงข้าม นางยังคงปักผ้าอยู่ในมือ แต่ใบหน้ากลับปรากฏสีแดงอมชมพูออกมาให้เห็น

เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อของนางนั้น เกิดมาจากความหนาวเหน็บเขาจึงมิได้ใส่ใจ ซูเจวี๋ยได้ขยับหมวกแล้วกล่าวว่า  น้องหกจะบรรลุขั้นแล้ว 

 นาง…นางจะบรรลุเข้าสู่ขั้นใดกัน ?  

 ระดับหนึ่ง !  

ฟู่เสี่ยวกวนเงียบลงทันพลัน ซูซูเหมาะแก่การฝึกวรยุทธ์อย่างแท้จริง อย่าได้นำตนไปเปรียบเทียบกับนางเลย

 ซูม่อและถาวฮวาแต่งงานกันที่สำนักเต๋าแล้ว เขาได้รับการฝึกฝนดอกไม้ผลิขั้นสองของตระกูลเยี่ยน และบัดนี้เขา…ก็ได้บรรลุระดับหนึ่งแล้วเช่นกัน 

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าศิษย์พี่ใหญ่ช่างใจดำยิ่ง เช้าตรู่เยี่ยงนี้จะกล่าวถึงเรื่องแทงใจดำเขาเพื่ออันใดกัน ?

 ศิษย์น้องเล็ก แม้อาจารย์จะกล่าวว่าเจ้าสามารถทำทุกอย่างได้ในใต้หล้า แต่ข้าคิดว่าเจ้านั้นอย่าได้เสียเวลาเพื่อฝึกฝนวรยุทธ์อีกเลย 

 …… 

หิมะในลานกว้างบัดนี้ถูกซูซูดึงดูดเข้าไปเสียจนสะอาดสะอ้าน ซูซูมิได้กลายเป็นมนุษย์หิมะแต่อย่างใด แต่นางกลับกลายเป็นภูเขาหิมะลูกเล็ก ๆ ไปเสียแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก มิใช่เพราะกลัวว่าซูซูจะขาดอากาศหายใจหรือหนาวตายไปเสียก่อน แต่กังวลว่าเมื่อนางระเบิดหิมะเหล่านั้นออกมา จะทำให้เกิดพลังมหาศาลและทำให้เรือนของเขาแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยหรือไม่

ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าหากเขามิเห็นภาพเหล่านี้ก็คงจะมิเป็นกังวลเยี่ยงบัดนี้ ดังนั้นเขาจึงได้หันหลังเดินจากไปเพื่อรับประทานอาหารเช้าอันเลิศรสกับภรรยาที่งดงามของเขาทั้งสามคน จากนั้นก็ได้เรียกซูเจวี๋ยและเดินทางออกจากจวนฟู่เพื่อมุ่งหน้าไปยังพระราชวัง

เขาจะต้องไปดูคนที่กรมการค้าเสียหน่อย นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว พวกเขาจะร่างกฎหมายออกมาเยี่ยงไรกัน ?

 

ตอนที่ 483 สนทนายามค่ำคืนที่กวนหยุนถาย

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มจนตาปิดก่อนจะนำเงิน 300,000 ตำลึงฝ่าหิมะตรงกลับจวนไป

เมืองกวนหยุนในยามนี้ก็มีหิมะตกลงมาเช่นกัน

ต้นสนเก่าแก่บนกวนหยุนถายมีโคมไฟกันลมอยู่ 2 ดวง แสงไฟสลัวทำให้โต๊ะหมากรุกใต้ต้นไม้ดูสวยงามสะดุดตาขึ้นมา

อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจัวอี้สิงและอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหนานกงอี้หยู่แห่งราชวงศ์อู๋กำลังนั่งสนทนากันอยู่ท่ามกลางหิมะ แต่มิได้เล่นหมากรุกแต่อย่างใด และบนโต๊ะก็มิมีเบี้ยเลยแม้แต่ตัวเดียว

หนานกงอี้หยู่สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวว่า  ข่าวคราวของพระองค์จนถึงวันนี้ก็ได้ผ่านไปเดือนกว่าแล้ว 

จัวอี้สิงเหม่อมองออกไปยังหมู่เมฆาที่มืดครึ้ม ผ่านไปเนิ่นนานถึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า  แต่ไข้ทรพิษขององค์จักรพรรดินีก็ยังมิหายเสียที 

 ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาคิดว่าองค์จักรพรรดินีเป็นไข้ทรพิษจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?  

จัวอี้สิงเลิกคิ้วขึ้น และหันหน้าไปมองหนานกงอี้หยู่  แล้วท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายคิดว่ามิได้เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ ?  

หนานกงอี้หยู่พยักหน้า  ข้าสงสัยเป็นอย่างมาก อาการไข้ทรพิษนั้นยากที่จะรอดชีวิตได้ ข้าเคยเอ่ยถามหมอหลวงว่า โรคนี้ร้ายแรงแรงถึงเพียงใด หมอหลวงตอบข้าว่าโรคนี้ทำให้ผู้คนจากไปก่อนวัยอันควรเป็นจำนวนมาก แต่หากสามารถทนอยู่ได้เกิน 1 เดือนอาจจะรักษาให้หายได้ แต่จนถึงบัดนี้องค์จักรพรรดินีก็ได้ไปประทับอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหูเป็นเวลานานถึง 7 เดือนแล้ว 

จัวอี้สิงพยักหน้าน้อย ๆ  ข้าเองก็เคยถามเช่นกัน แต่ที่คฤหาสน์จิ้งหูนั้นมีองครักษ์ชุดแดงมากถึง 30,000 นาย อีกทั้งยังมีองครักษ์หญิง 1,000 นายคอยเฝ้าอยู่ ข้าเข้าไปมิได้น่ะสิ 

 ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเรื่องนี้ย่อมมีบางอย่างที่ยุ่งยากอยู่เป็นแน่ จนถึงขั้นที่ข้าสงสัยว่าองค์จักรพรรดินียังมีชีวิตอยู่จริงหรือไม่ !  

จัวอี้สิงเลิกคิ้วขึ้นทันพลัน ผ่านไปเนิ่นนานก็ได้ส่ายหน้า  หากเกิดอุบัติเหตุกับองค์จักรพรรดินีขึ้นมาจริง ๆ… ไทเฮาซีย่อมแถลงราชโองการเรียกฟู่เสี่ยวกวนกลับแคว้นเป็นแน่ 

หนานกงอี้หยู่โน้มร่างลงมาอย่างกะทันหัน แล้วเอ่ยเสียงแผ่วว่า  ต่อให้มิเกิดเหตุอันใดกับองค์จักรพรรดินี เป็นไปได้หรือที่จะมิแถลงราชโองการเรียกฟู่เสี่ยวกวนให้กลับมายังแคว้น แต่วันนี้ในเมื่อไทเฮาซีเองก็ได้นั่งฟังการเมืองอยู่ด้านหลังม่านด้วยเช่นกัน เรื่องนี้ข้าเคยเสนออยู่หลายครา แต่กลับถูกพระนางที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทนองค์จักรพรรดินีปฏิเสธ นี่มันเพราะเหตุใดกันเล่า ?  

 เจ้ากำลังสงสัยสิ่งใด ?  

 อู๋ต้าหลางพระเชษฐาของจักรพรรดิพระองค์ก่อนเคยกลับมายังที่นี่ ทันทีที่ได้พบกับโจวถงถงก็ได้รีบจากไปในทันที เจ้าคงจำได้ว่าต้าหลางต้องจากเมืองกวนหยุนไปเมื่อห้าปีที่แล้วด้วยเหตุอันใด ?  

 ข้าย่อมจำได้อย่างแน่นอน ต้าหลางมิได้กำเนิดจากไทเฮา แต่เขากำเนิดมาจากพระสนมเย่ เพราะถูกไทเฮาซีบีบคั้นท้ายที่สุดจึงป่วยและดับสิ้นลง ต่อจากนั้นก็ได้ถูกนักบวชเต๋าเก็บเถ้ากระดูกไป หลังจากห้าปีให้หลังเขาที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ได้กลับมาที่เมืองกวนหยุนอีกครา และได้สนทนากับฝ่าบาทอยู่มากมาย ในยามนั้นมีเพียงโจวถงถงเท่านั้นที่เป็นพยาน 

หนานกงอี้หยู่เงียบไปหลายอึดใจ ก่อนจะกล่าวเสียงแผ่วว่า  ต้าหลางในยามนั้นได้ถูกผู้สังเกตรุ่นก่อนของสำนักเต๋าช่วยชีวิตเอาไว้ ครานั้นที่เขากลับมา ก็ได้ถูกลอบโจมตีถึง 3 ครา โชคยังดีที่ศิษย์พี่ของต้าหลาง หรือก็คือผู้สังเกตของสำนักเต๋ารุ่นนี้อยู่ข้างกาย เขาถึงได้เข้าพบกับฝ่าบาทได้ 

 พระนางต้องการให้ต้าหลางถึงแก่ความตายเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 นอกจากพระนางแล้วจะยังมีผู้ใดอีกกัน พระสนมเย่มารดาของต้าหลางสิ้นชีพด้วยอาการไข้ และการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิพระองค์ก่อนก็แปลกประหลาดยิ่ง คาดมิถึงว่าแม้แต่หมอหลวงเองก็มิอาจวินิจฉัยได้ เจ้าลองใคร่ครวญดูอีกคราเถิด สิบเอ็ดปีก่อนหน้านี้ก่อนที่ฝ่าบาทจะทรงราชาภิเษก ก็พอดีกับช่วงเวลาที่จักรพรรดิพระองค์ก่อนสิ้นพระชนม์ พระนางจึงได้เปิดฉากเหตุการณ์นองเลือดที่ทะเลสาบสือหลี่ครานั้น จนทำให้โลหิตของชาวอู๋แทบจะถูกกวาดล้าง กล่าวว่าเพื่อความมั่นคงในราชบัลลังก์ของฝ่าบาท แต่ในบัดนี้ข้ากลับเกิดความสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย 

 เจ้ากำลังสงสัยสิ่งใดกัน ?  

หนานกงอี้หยู่จ้องมองไปยังท้องฟ้าสีน้ำหมึกอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วว่า  ข้าสงสัยว่าการสิ้นพระชนม์ของจักรพรรดิพระองค์ก่อนจะมีเชื้อพระวงศ์รู้เห็นด้วย ใต้หล้านี้มิมีกำแพงใดที่ผ่านมิได้ หากมีคนลงมือปลงพระชนม์จักรพรรดิองค์ก่อนอย่างแท้จริง ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องทิ้งร่องรอยเอาไว้ และเพื่อให้เบาะแสของร่องรอยเหล่านี้ดูยุ่งเหยิง ก็สังหารทั้งหมดไปเสีย นี่มิใช่ว่าเป็นการกำจัดเบาะแสเพื่อให้เรื่องนี้ดูสะอาดเยี่ยงนั้นหรือ 

 เจ้ากล่าวเยี่ยงนี้… หรือว่าโจวถงถงก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ข้าก็มิค่อยเข้าใจโจวถงถงผู้นั้นสักเท่าใดนัก เหตุการณ์นองเลือดที่ทะเลสาบสือหลี่เขาเข้าร่วมด้วยก็จริง และเขากับไทเฮาซีในช่วงสิบปีมานี้ ราวกับมิได้ใกล้ชิดกัน และการพบกันของฝ่าบาทและต้าหลาง… ในเมื่อพระองค์ทรงเรียกเขาไปเข้าร่วมแล้ว คาดว่าฝ่าบาทเองก็คงเชื่อในตัวเขามากพอควร 

จัวอี้สิงเงียบไปหลายอึดใจ  เรื่องเก่านี้ค่อยตรวจสอบกันในภายหลังเถิด ปัญหาในตอนนี้ก็คือ ต้องทำเยี่ยงไรถึงจะทำให้ฟู่เสี่ยวกวนกลับมาได้ 

 ไม่ ในตอนนี้ฟู่เสี่ยวกวนยังมิสามารถกลับมาได้ 

จัวอี้สิงผงะขึ้นทันพลัน เขาเข้าใจความหมายของหนานกงอี้หยู่แล้ว  น่าเสียดายที่พระราชลัญจกรได้หายไป พวกเราลองไปที่อาคารสิบแปดชั้นของหอเทียนจีดูดีหรือไม่ เผื่อบางทีอาจจะสามารถพบเห็นเบาะแสเหล่านั้นก็เป็นได้ 

 เรื่องในวันนี้ ให้หยุดอยู่ที่เจ้าและข้าเท่านั้น ภายภาคหน้าคงจะต้องระวังให้มากขึ้น รั้งรอไปอย่างช้า ๆ เถิด ต้องมีวันหนึ่งที่น้ำลดและตอผุดขึ้นมา 

 การประชุมราชวงศ์ในพรุ่งนี้เช้า ข้าจะเสนอขอเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดินีอีกครา 

 หลังจากที่การประชุมราชวงศ์พรุ่งนี้เช้าจบลง ข้าอยากไปพบเซียวเฉียงเสียหน่อย 

จัวอี้สิงคิ้วขมวด  พบนางเพื่อเหตุใดอันใดกัน ?  

 นางเคยเป็นจักรพรรดินีมาก่อน มีเพียงจักรพรรดินีเท่านั้น ที่จะเข้าใจจักรพรรดินีด้วยกัน 

จัวอี้สิงพยักหน้า ทันใดนั้นหนานกงอี้หยู่ก็ได้เอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า  ได้ยินว่าโจวเปี๋ยหลีทะลวงขั้นปรมาจารย์ได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 อือ… เขาได้ปล่อยวางตำแหน่งแม่ทัพใหญ่แห่งกองทหารม้า และได้ทะลวงเข้าสู่หนทางวรยุทธ์แล้ว 

 เหตุใดจึงมิให้โจวเปี๋ยหลีไปดูที่คฤหาสน์จิ้งหูกัน ?  

จัวอี้สิงเลิกคิ้วขึ้น  มีโหยวเป่ยโต้วเฝ้าอยู่ที่นั่น 

หนานกงอี้หยู่มิได้เอ่ยถามสิ่งใดอีก ในเมื่อโหยวเป่ยโต้วยังเฝ้าอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหู นั่นก็หมายความว่ายังมิเกิดอันตรายอันใดขึ้นกับองค์จักรพรรดินี เยี่ยงนั้นแล้วองค์จักรพรรดินีประชวรด้วยโรคอันใดกันแน่ ?

พวกเขาต่างก็มิทราบว่า โจวเปี๋ยหลีในยามนี้ก็ได้อยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหูเช่นกัน

คฤหาสน์จิ้งหูที่อยู่ภายใต้การจัดการของโจวถงถง บัดนี้ได้มีผู้มีฝีมือระดับสูงอยู่เป็นจำนวนมาก ประกอบไปด้วยโหยวเป่ยโต้วขั้นปรมาจารย์ โจวเปี๋ยหลี และยังมีคลั่งกระบี่หนิงฝาเทียนซึ่งเป็นผู้มือฝีมือระดับสูงอีกหนึ่งคน !

……

……

วังหลังเขตหลวงของราชวงศ์อู๋

ในความมืดมิดมีเพียงโคมไฟสีแดงดวงใหญ่ที่กวัดแกว่งไปมา แม้แต่ทหารยามก็ยังมิกล้าปรากฏตัวภายในวังหลัง

ไทเฮาซีนั่งอยู่ในศาลาที่อบอุ่น มีบุคคลที่สวมหน้ากากสีดำผู้หนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าของพระนางและกำลังโค้งคำนับ

 ทูลไทเฮา เกาเสี่ยนได้ถูกโจวถงถงจับตัวไปแล้ว บัดนี้อยู่ในระหว่างทางคุ้มตัวกลับมายังเมืองหลวง 

สองตาของไทเฮาซีหรี่ลงเล็กน้อย  สุนัขเฒ่า ยิ่งอยู่ก็ยิ่งไร้ประโยชน์ ส่งคนของอั้นเหมินไปเฝ้าไว้ที่ทางเดินฉีซาน และสั่งให้ไป๋หลี่หงส์ไปจัดการเสีย อายเจียมิต้องการให้มีพยานแม้แต่คนเดียว 

 รับสั่งพ่ะย่ะค่ะ !  

ในยามที่ชายชุดดำผู้นั้นหันหลังกลับและกำลังจะเดินออกไป กลับถูกไทเฮาซีเรียกเอาไว้อีกครา  ประเดี๋ยวก่อน… สตรีชั่วเซียวเฉียงผู้นั้นสุดท้ายก็เป็นตัวปัญหา ส่งนางไปตามทางของนางเสียเถอะ !  

 …พ่ะย่ะค่ะ !  

 ส่วนเรื่องลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวนของถงเหยียน… ยังมิสำเร็จอีกเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ทูลไทเฮา ยังมิสำเร็จพ่ะย่ะค่ะ 

 ใช้นกส่งสารน์ส่งจดหมายไปให้ไป๋จื่อ ให้นางพาคนของหยิ่นเหมินไปจัดการเรื่องนี้เสีย… หากฟู่เสี่ยวกวนยังมิสิ้นชีพ เกรงว่าขุนนางนับร้อยของราชวงศ์อู๋ จะบีบบังคับให้อู๋หลิงสละตำแหน่งแล้ว !  

 …ข้าน้อยจะจดจำเอาไว้ 

 นอกจากนี้…เจ้าจงแจ้งให้นักบุญทราบว่า หากต้องการทำให้สำเร็จ อย่างช้าที่สุดก็คือปีหน้าเดือนสาม จะต้องทำให้หยูเวิ่นชูยกธงตีราชวงศ์หยูให้จงได้ เมื่อแคว้นหยูตกอยู่ในความโกลาหล แคว้นอี๋และแคว้นฮวงย่อมส่งกองกำลังมาพิชิตเป็นแน่ ราชวงศ์หยูเองก็ย่อมส่งทหารออกมาจากภูเขาฉีซานเป็นแน่ หากได้แคว้นอี๋และแคว้นฮวงเข้ามาร่วมด้วย ย่อมสามารถล้มราชวงศ์หยูได้เป็นแน่ ส่วนหลังจากที่ตัดสินแล้วจะแบ่งราชวงศ์หยูเยี่ยงไร… ให้เจ้าบอกกับนักบุญว่า ความประสงค์ของอายเจียคือใช้ซีหรงก่อตั้งแคว้นของราชวงศ์เฉินขึ้นมา ส่วนเรื่องอื่น ๆ… ให้หยูเวิ่นชูสู้กับแคว้นอี๋และแคว้นฮวงเองเถอะ 

ชายชุดดำเงยหน้าขึ้นมา ในสายตางุนงงอยู่เล็กน้อย และเอ่ยถามออกไปอย่างอดมิได้ว่า  แต่ที่นั่นคืออาณาเขตของราชวงศ์เฉิน 

ไทเฮาซีแสยะยิ้ม  ให้ดินแดนตรงนั้นเปื้อนโลหิตเสียหน่อย ภายภาคหน้าจึงจะอุดมสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เจ้าไปเถอะ อายเจียเหนื่อยมากแล้ว 

 กระหม่อมขอลาพ่ะย่ะค่ะ !  

ชายชุดดำเดินออกไปจากวังหลัง จากนั้นก็หันหน้ากลับไปชำเลืองมอง ช่างมืดมนเสียจนใจของเขาสั่นสะท้าน

ทั่วทั้งใต้หล้าวุ่นวาย จนโกลาหลไปถึงราชวงศ์หยู ฟู่เสี่ยวกวน เจ้ายังจะมีกำลังต่อสู้กับคลื่นที่บ้าคลั่งนี้อยู่อีกหรือไม่ ?

 

ตอนที่ 482 แม่นางเข้าใจข้าผิดไปหรือไม่

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง

ช่างบังเอิญถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?

หรือนางจะมาคอยข้าอยู่ที่นี่กัน ?

ดังนั้น เขาจึงยิ้มแล้วเดินก้าวไป หันไปมองดูหลานข่ายแล้วละสายตามายังใบหน้าของเปียนหรงเอ๋อ แสงจากโคมไฟที่ส่องกระทบมายังใบหน้าของแม่นางผู้นี้ทำให้ดูอ่อนโยนน่ามองมิน้อย

 แม่นางรอข้าอยู่ที่นี่เนิ่นนานแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

เปียนหรงเอ๋อยิ้มออกมาดูน่ามองเป็นอย่างมาก นางกล่าวด้วยความสุภาพว่า  ใช่แล้วเจ้าคะ อากาศหนาวเหน็บถึงเพียงนี้ การที่ข้าน้อยจะได้พบท่านสักคราช่างยากเย็นยิ่ง 

เสียงอันนุ่มนวลนั้นทำให้ฟู่เสี่ยวกวนขนลุกซู่ ดังนั้นเขาจึงยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แล้วจึงรู้สึกว่าแม่นางผู้นี้ช่างแสดงได้เก่งเสียจริง

เปียนหรงเอ๋อใจสั่น นางนึกอยากจะถอยออกไป แต่ร่างกายกลับเอนไปข้างหน้า

นางนึกคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ที่มักมากในกาม ต้องการจะโอบนางเข้าไปไว้ในอ้อมกอด แต่สิ่งที่นางคิดมิถึงก็คือ เจ้าหมอนี่กลับก้าวขาออกไปข้าง ๆ 1 ก้าว !

ต่อมาจึงได้ยินเพียงเสียง  ตุ้บ… !   และตามด้วยเสียง  โอ๊ย !   เปียนหรงเอ๋อล้มลงไปกองอยู่ที่พื้น

ฟู่เสี่ยวกวนเบิกตาโพลง  แม่นางเป็นอันใดหรือไม่ ? หิมะตกพื้นย่อมลื่น แม่นางจงระวังสักหน่อยเถิด 

เขากล่าวพลางก้าวขาถอยห่างออกไป มิได้สนใจที่จะพยุงเปียนหรงเอ๋อขึ้นมาแม้แต่น้อย

เปียนหรงเอ๋อพยุงตนเองลุกขึ้นมาจากพื้น แม้เสื้อคลุมของนางจะเปรอะเปื้อนไปด้วยหิมะ แต่ก็ยังดูสะอาดตา

 คุณชายปฏิบัติเช่นนี้กับสตรีเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ในใจของนางรู้สึกเดือดดาลมากยิ่งนัก แต่สีหน้านั้นมิได้แสดงออกถึงความรู้สึกใด ๆ ประโยคนี้ต่อให้นางกล่าวซ้ำไปซ้ำมา แต่ทว่าชายหนุ่มเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนก็มิอาจเข้าใจได้

ฟู่เสี่ยวกวนนำมือขึ้นลูบจมูกตนเองแล้วคิดในใจว่า หากข้ามิระวังเจ้า เกรงว่าเจ้าจะควักมีดออกมาแทงข้าแทนน่ะสิ

 มิใช่ว่าข้ามิรู้จักข้อควรปฏิบัติต่อสตรี เพียงแต่ว่าแม่นางมิใช่อาหารประเภทที่ข้าชอบ เกรงว่ากินเข้าไปแล้วจะท้องเสียได้ 

เปียนหรงเอ๋อนำมือของตนตบไปที่หิมะบนร่างกายแล้วเงยหน้าขึ้นพร้อมกับเอ่ยถามว่า  คุณชายมิเคยได้ลิ้มลอง แล้วรู้ได้เยี่ยงไรว่าข้าน้อยมิใช่อาหารประเภทที่ท่านชอบกัน ? สตรีของแคว้นอี๋นั้นตั้งมั่นในความรัก อีกทั้งยังมีความสามารถที่หลากหลาย บัดนี้เป็นเวลาเหมาะเจาะ คุณชายมิคิดจะลิ้มรสดูหน่อยเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ภายในใจของฟู่เสี่ยวกวนร้อนผ่าวขึ้นมาทันใด ให้ตายสิ นี่จะเอาชีวิตกันเลยหรือเยี่ยงไรกัน !

คำโบราณที่กล่าวว่ามิมีแมวตัวใดมิชอบกินปลา ที่โบราณกล่าวไว้นั้นช่างถูกต้องอย่างแท้จริง !

ฟู่เสี่ยวกวนใช้แรงถูมือทั้งสองข้างไปมา สายตาของเขามองไปทางกล่องที่หลานข่ายถือเอาไว้แล้วกล่าวว่า  ข้าขอบอกกล่าวกับแม่นางตามตรงว่า เรื่องเงิน 300,000 ตำลึงนั้นข้ายังจัดการมิได้ จึงอึดอัดใจมากยิ่งนัก บัดนี้ข้าไร้ซึ่งอารมณ์จะลิ้มลองอาหารใดๆ 

เขากล่าวจบก็ส่ายหัว  น่าเสียดายยิ่ง อาหารเลิศรสอยู่เพียงแค่เอื้อมมือ… แม่นางเชิญกลับไปก่อนเถิด รอให้ข้าจัดการเรื่องเงิน 300,000 ตำลึงได้แล้ว ข้าจะไปหาแม่นางเพื่อผ่านค่ำคืนอันงดงามด้วยกัน 

กล่าวจบเขาก็ทำท่าจะเคาะประตู แต่เปียนหรงเอ๋อก็ได้เข้าไปคว้ามือเขาเอาไว้ ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตกใจยิ่ง เขาเกือบจะหยิบปืนออกมายิงนางเสียแล้ว

 ช้าก่อนคุณชาย ข้าน้อยเดินทางมาเพียงแค่ต้องการช่วยคุณชายกำจัดเรื่องปวดหัวนี้ 

เมื่อกล่าวจบนางก็ได้โบกมือเรียกหลานข่าย หลานข่ายนำกล่องที่อยู่ในมือยื่นออกไปให้เปียนหรงเอ๋อ มันหนักเสียจนเอวของเปียนหรงเอ๋อแทบจะหัก

 นี่คือเงิน 300,000 ตำลึง… คุณชาย คนอื่น ๆ นั้นอาจจะเดินทางไกลนับพันลี้เพื่อมอบขนห่านให้กับท่าน แล้วข้าน้อยเล่าจะสามารถมอบอันใดให้คุณชายได้บ้างกัน ?  

ฟู่เสี่ยวกวนใจหายวูบ แม่นางผู้นี้ ข้าแทบจะทนมิไหวอยู่แล้ว !

เขาหัวเราะเหอะ ๆ แล้วยื่นกล่องนั้นไปให้กับซูเจวี๋ย  แม่นางได้มอบความอบอุ่นให้แก่ข้า ข้านั้นซาบซึ้งใจยิ่ง มิว่าเยี่ยงไรในฐานะเจ้าของจวน ข้าก็ควรจะแสดงน้ำใจแก่แม่นางเสียบ้าง เชิญแม่นางเข้าไปด้านในจวนก่อนเถิด !  

เปียนหรงเอ๋อได้ถอนหายใจยาวออกมา เงินจำนวน 300,000 ตำลึง เพิ่งแลกมาได้กับการที่ตนจะได้ก้าวเข้าไปในจวนเท่านั้นเอง

 เช่นนั้น ข้าน้อยขอรบกวนเข้าไปในจวนท่านสักหน่อยนะเจ้าคะ 

 มองดูแล้วแม่นางก็เป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่ มิเกรงกลัวว่าหากเข้าไปในจวนข้าแล้วจะถูกข้ากินเยี่ยงนั้นหรือ ?  

เปียนหรงเอ๋อเลิกคิ้วขึ้น ริมฝีปากของนางเผยอขึ้นแล้วกล่าวว่า  ข้าน้อยนั้นเป็นบุตรสาวของตระกูลใหญ่มิผิด เพียงแต่ข้าน้อยกลัวว่าคุณชาย…  นางเอนร่างไปด้านหน้าแล้วยื่นใบหน้าเข้าไปใกล้หูของฟู่เสี่ยวกวน พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เชิญชวนให้หลงใหลเมามายว่า  หากท่านกล้ากินข้า ข้าก็กล้ากินท่านเช่นกัน !  

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงเสียจนแทบจะกระโดดหนี ให้ตายสิ นี่มันปิศาจชัด ๆ !

เขากลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะตอบด้วยท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ ว่า  เช่นนั้น…พวกเราเปลี่ยนสถานที่กันดีหรือไม่ ?  

 ตามใจท่านเถิดเจ้าค่ะ 

 ขึ้นรถ ตามข้ามา 

 เจ้าค่ะ !  

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้กลับเข้าไปในจวน เขาให้ซูเจวี๋ยขับรถม้าของตนและให้รถม้าของหลานข่ายตามออกมาจากจวนฟู่ เพื่อไปยัง…หอซื่อฟาง

เปียนหรงเอ๋อเข้าใจดีว่าในคืนนี้นางคงจะมิรอดแล้วเป็นแน่ จึงได้ปล่อยวางลง หากว่านางสามารถช่วยเหลือองค์รัชทายาทได้ เพียงแค่เสียสละเนื้อหนังมังสาสักเล็กน้อยจะเป็นอันใดไปกัน ?

ตลอดทางนางได้เปิดหน้าต่างเพื่อให้สายลมเย็นยะเยือกพัดเข้ามาด้านใน แต่หากว่าจะต้องเสีย แน่นอนว่านางจะต้องได้ด้วย

ค่ำคืนนี้จะต้องให้ฟู่เสี่ยวกวนตกลงเรื่องเวลาการเจรจาให้ได้ และมิว่าเยี่ยงไร นางจะต้องให้ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางไปยังหงซิ่วจาวให้จงได้ !

ซูเจวี๋ยแบกกล่องดำเอาไว้ที่หลัง และอุ้มกล่องเงินเอาไว้ อีกทั้งเขายังต้องขับรถม้า นี่มิใช่ปัญหา ปัญหาของเขาก็คือ… ศิษย์น้องเล็กจะแอบกินจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?

ศิษย์น้องเล็กผู้นี้ช่างเป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่สำนักเต๋าจริง ๆ มิเหมือนกับเขา ศิษย์น้องสามส่งมาให้ถึงปาก แต่ตนกลับมิกล้าแม้แต่จะชิม

เฮ้อ… แข่งกันไปก็ตายเปล่า !

ต่อจากนี้ไป ตนรู้สึกว่าควรจะปล่อยวางลงเสียบ้าง จะทำให้ศิษย์น้องสามเสียเวลาต่อไปมิได้

เพียงแต่ศิษย์น้องเล็กจะแอบกิน เหตุใดจึงมาที่หอซื่อฟางกัน ?

หรือที่นี่มีโรงเตี๊ยมด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ?

บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนพยายามเก็บกองไฟที่สุมทรวงอยู่ในอกของเขาเอาไว้ แล้วยิ้มออกมา ในเมื่อได้เงิน 300,000 ตำลึงมาแล้ว ก็ควรจะเลี้ยงข้าวทุกคนเสียหน่อย

แต่หากจะกินที่จวนฟู่นั้นคงจะมิสะดวกเท่าใดนัก แม่นางผู้นี้ใจกล้าเกินไป เกรงว่าจะนำความเดือดร้อนมาให้แก่ตน

รถม้าเดินทางมาถึงหอซื่อฟาง เปียนหรงเอ๋อลงจากรถม้าพลางมองดูไปที่หอซื่อฟางจากนั้นก็งงเป็นไก่ตาแตก… เขาควรจะพานางไปที่โรงเตี๊ยมมิใช่หรือ ? เหตุใดจึงพานางมาที่นี่กันเล่า ?

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเหอะ ๆ แล้วเดินตรงมาที่นาง  หากจะกล่าวเรื่องอาหารเลิศรสในเมืองจินหลิง แน่นอนว่าจะต้องเป็นที่หอซื่อฟาง เชิญแม่นางเถิด 

 กินข้าวเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 กองทัพต้องเดินด้วยท้อง แน่นอนว่าก่อนจะทำสิ่งอื่นใดก็ควรจะกินข้าวเสียก่อน 

เปียนหรงเอ๋อคิดดูแล้ว คาดว่าเจ้าหมอนี่คงจะยังมิได้กินมื้อเย็น คงตั้งใจจะกินอิ่มเพื่อเก็บแรง

ทั้งสี่คนจึงเดินขึ้นไปยังหอซื่อฟาง ฟู่เสี่ยวกวนสั่งอาหารชั้นเลิศมาเต็มโต๊ะ จากนั้นก็สั่งสุราเทียนฉุนมาหนึ่งลัง

 ที่แคว้นอี๋มีสุรานี้จำหน่ายหรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนเปิดสุราขึ้นมาหนึ่งขวด แล้วรินให้เปียนหรงเอ๋อกับซูเจวี๋ย แต่กลับมิรินให้หลานข่าย

 ได้ยินมาว่าสุรานี้ท่านเป็นผู้คิดค้นวิธีกลั่น ? ที่เมืองหลวงไท่หลินมีสุรานี้จำหน่ายอยู่ 

 พวกเรามาทำการตกลงการค้ากันเถิด ปีหน้าข้าจะจัดส่งสุรานี้ไปให้เจ้า เจ้านำไปจำหน่ายที่เมืองไท่หลิน พวกเราแบ่งกันเจ็ดต่อสาม ข้าเจ็ด เจ้าสาม เห็นว่าเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?  

ไม่สิ ในหัวของเจ้าบัดนี้กำลังคิดอันใดอยู่กัน ? เหตุใดอยู่ ๆ ถึงยกเอาเรื่องสุราขึ้นมาสนทนาได้ ?

เปียนหรงเอ๋อยิ้มแล้วกล่าวว่า  ข้อเสนอนี้มิเลวเสียทีเดียว อืม… ข้าน้อยขอดื่มให้กับคุณชาย 1 จอก 

ทั้งสองดื่มเข้าไปคนละจอก เปียนหรงเอ๋อหยิบขวดสุราขึ้นมาแล้วรินสุราลงไปพร้อมกับเอ่ยว่า  เพียงแต่หากว่าคุณชายเลื่อนการเจรจาออกไปเรื่อย ๆ ข้าน้อยคงจะมิได้กลับไปที่แคว้นอี๋ในเร็ววัน… 

นางวางขวดสุราลงแล้วกล่าวว่า  ขออนุญาตเอ่ยถามคุณชาย เมื่อใดจึงจะถึงเวลาเจรจากัน ?  

 เรื่องนี้มิรีบ ในเมื่อมาแล้ว ก็อยู่เที่ยวเล่นที่เมืองจินหลิงกันเสียก่อนเถิด 

 หากว่าค่ำคืนนี้ข้าอยู่เป็นเพื่อนหาความสุขให้ท่านอย่างสำราญใจ… 

 อ่า… แม่นางเข้าใจอันใดข้าผิดไปหรือไม่ ? แม่นางอาจจะมิรู้ว่าข้านั้นยุ่งวุ่นวายอย่างแท้จริง !  

 … ?  

 

ตอนที่ 481 เจ้าคนต่ำช้า

 เจ้าต้องการจะเอ่ยอันใดกันแน่ !  

ฉินฮุ่ยจือเดินจากไปแล้ว แต่บัดนี้ฉินโม่เหวินกำลังจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง

ฟู่เสี่ยวกวนตบลงที่บ่าของฉินโม่เหวิน  พี่โม่เหวิน เจ้ามิจำเป็นต้องคิดมากอันใดหรอก ข้ากับท่านฉินเพียงมีความคิดทางด้านการเมืองที่มิตรงกันก็เท่านั้น เพื่องานราชสำนัก อย่าได้เอาความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องของพวกเราเข้ามาเกี่ยวข้องเลย 

สำหรับบิดาของตนนั้น ฉินโม่เหวินมิได้ประเมินค่าคำกล่าวเมื่อครู่ของฉินฮุ่ยจือเลยแม้แต่น้อย และแน่นอนว่าในใจของเขาย่อมคิดว่าฝ่ายบิดานั้นเป็นฝ่ายผิด

ในฐานะที่เขาเคยเป็นเต้าถายของเจียงเป่ยเต้า เขาย่อมได้เห็นความรุ่งเรืองทางด้านการค้าของเขตเหยาด้วยสองตาของตนเองมาแล้ว

ในตอนที่เยี่ยนซีเหวินเข้ารับตำแหน่งใหม่ ๆ ภาษีของเขตเหยาเพิ่งจะได้รับมาในอีก 2 ปีให้หลัง เงินคงคลังแทบจะมิมีเหลือ มิมีแม้แต่คลังเสบียง แต่เขตเหยาใช้เวลาฟื้นฟูมิถึง 1 ปี บัดนี้ชาวบ้านของเขตเหยาต่างก็มีรายได้ที่ดีขึ้น คลังเงินของเขตเหยาในตอนที่เขาเดินทางออกมาจากเจียงเป่ยเต้าก็มีมากถึงสามแสนกว่าตำลึงแล้ว !

นี่มิใช่ภาษีที่จ่ายโดยโรงงานเหล่านั้น แต่เป็นหลังจากที่ร้านค้าในเขตเหยามีการซื้อขายเกิดขึ้น นี่จึงเป็นภาษีที่สำนักงานเขตเหยาได้รับมา

จำได้ว่าตอนที่ไปเขตเหยา เยี่ยนซีเหวินได้พาเขาไปตรวจโรงงานทั้งหมดที่มี และกล่าวด้วยความฮึกเหิมว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เขตเหยาจะต้องเจริญรุ่งเรือง หลินเจียงจะต้องเจริญรุ่งเรือง เจียงเป่ยเต้าจะต้องเจริญรุ่งเรือง และราชวงศ์หยูจะต้องเจริญรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้นเป็นแน่

ดังนั้นในตอนที่ทราบว่าตนจะต้องเดินทางไปเข้ารับตำแหน่งที่กวนซีเต้า สิ่งแรกที่คิดถึงเลยก็คือการพัฒนาทางด้านการค้า

ในช่วงหลายวันมานี้เขาได้ไปเยี่ยมเยียนพ่อค้าจำนวนมากในจินหลิง และชักชวนพวกเขาให้ไปลงทุนสร้างโรงงานที่กวนซีเต้าในฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า เถ้าแก่จิ้วโม่จายเองก็เป็นหนึ่งในพ่อค้าที่เขาเคยเชิญมา

แต่บิดาของเขากลับคัดค้านอย่างมิมีเหตุผล !

ดังนั้นเขาจึงมิยินยอมที่จะอยู่ที่จวนของตนเอง และมักจะวิ่งออกมาอยู่ที่จวนของฉินปิ่งจงแทน

แม้แต่ท่านปู่ที่เป็นนักปราชญ์อาวุโสก็ยังเข้าใจในการลงมือของฟู่เสี่ยวกวน ว่าทั้งหมดก็เพื่อที่จะนำพาราชวงศ์หยูไปยังยุคใหม่ แต่กับบิดาของตนที่มีตำแหน่งใหญ่โตกลับมีความคิดที่ล้าสมัยยิ่ง เน่าเฟะเสียจนยากที่จะสนทนาได้ นั่นทำให้ฉินโม่เหวินปวดหัวเป็นอย่างมาก

 สำหรับคำกล่าวของท่านฉิน เจ้าอย่าได้นำมาใส่ใจเลย  ฟู่เสี่ยวกวนมองฉินโม่เหวินที่กำลังหดหู่และได้เอ่ยปลอบใจออกไป  การบริหารแบบใหม่ท้ายที่สุดแล้วก็คือของสิ่งใหม่ หากเจ้าใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็จะสามารถเข้าใจได้ว่าคนที่เหมือนท่านฉินนั้นแท้จริงแล้วก็มีอยู่เป็นจำนวนมาก

สถานะของพ่อค้าเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นการคุกคามสถานะของทหาร ชาวเกษตร และแรงงาน โดยเฉพาะทหารที่ทนความหนาวเหน็บมานับสิบปี ก็เพื่อต้องการประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพของตน แต่พ่อค้ากลับใช้เพียงสมองและเงิน ก็ได้รับสถานะที่เทียบเท่ากับพวกเขาทั้งยังได้เงินอีกด้วย นี่ย่อมทำให้เหล่าบัณฑิตที่ตรากตรำอย่างหนักเกิดความเกลียดชังและมิพอใจ 

 หลักการเช่นเดียวกัน เป็นขุนนางมาสิบกว่าปี ผลลัพธ์กลับมิได้สุขสบายเท่ากับพ่อค้า ดังนั้นการขัดแย้งนี้จะยังดำเนินต่อไปเป็นเวลานาน การปะทะทางด้านความคิดก็จะร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าท้ายที่สุดแล้วก็มิอาจหยุดยั้งแนวโน้มนี้ได้ สถานะของพ่อค้าจะได้รับการยอมรับ และความคิดของขุนนางก็จะเปลี่ยนไปในท้ายที่สุด 

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้กล่าวว่าท้ายที่สุดแล้วขุนนางในราชสำนักก็จะเปลี่ยนมามีบทบาททางด้านการค้าเหมือนชาวบ้านทั่วไป เมื่อกล่าวคำนี้ออกมาแม้แต่ฉินโม่เหวินเองก็คงยากที่จะยอมรับได้ ปล่อยให้กระแสของประวัติศาสตร์ถูกขัดเกลาไปอย่างช้า ๆ ยังจะดีเสียกว่า

ฉินปิ่งจงใช้เวลาสองชั่วยามกว่าจะอ่านตำราเล่มนี้โดยละเอียดจนจบ จากนั้นจึงได้กลับมานั่งยังโต๊ะน้ำชา แล้วสนทนากับฟู่เสี่ยวกวนถึงมุมมองหรือปัญหาภายในนั้นโดยใช้เวลาสอบถามถึง 2 ชั่วยาม

บัดนี้ท้องนภาได้แปรเปลี่ยนเป็นสีดำของยามราตรีแล้ว แต่ความคิดเห็นของฉินปิ่งจงก็ยังคงมิหมดสิ้น

 ผู้มีความสามารถอย่างเหวินสิงโจว ข้าย่อมมิอาจเทียบเคียงเขาได้ แต่ภายในนี้ข้ายังสามารถมองเห็นถึงถ้อยคำของเจ้าด้วย ดังนั้นตำราเล่มนี้เป็นการสรุปปรัชญาของเหวินสิงโจว และตำราของเจ้า ทั้งสองสิ่งเติมเต็มและรวมกันเป็นหนึ่ง ดังนั้นหาก ‘ตำราหลี่เสวีย’ เล่มนี้ได้เผยแพร่สู่สาธารณชน นั่นย่อมเป็นการทำให้ผู้คนในราชวงศ์คลุ้มคลั่งขึ้นมาเป็นแน่ 

 ผลกระทบจากหลักคำสอนที่มีต่อราชวงศ์หยูนั้นลึกซึ้งเป็นอย่างมาก หากเผยแพร่ตำราเล่มนี้ในราชวงศ์อู๋นั้นคาดว่าการต่อต้านคงมิใหญ่โตอันใด แต่หากเผยแพร่ในราชวงศ์หยู… 

ฉินปิ่งจงหันไปมองทางฟู่เสี่ยวกวน แล้วกล่าวอย่างมีนัยว่า  ข้ากลัวว่าในท้ายที่สุดแล้วมันจะตกลงไปในบ่อโคลน ซึ่งยากยิ่งกว่าการส่งเสริมนโยบายระดับชาตินี่เสียอีก !  

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า เขาเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้

 ในขณะนี้ข้ายังมิมีแผนเผยแพร่ในสิ่งนี้ เรื่องที่ลงแรงอย่างหนักแต่มิได้คำชมทำไปก็ไร้ความหมาย 

ฉินปิ่งจงหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ  ได้ยินเจ้าเอ่ยเช่นนี้ข้าก็วางใจ ของสิ่งนี้เอาเก็บไว้ที่ข้าเถิด ข้าจะอ่านให้ถี่ถ้วนอีกครา ประเดี๋ยวก็อยู่ทานมื้อเย็นกับข้าที่นี่ก็แล้วกัน 

 เรื่องทานมื้อเย็นคงมิเป็นไร พี่ชาย ข้าทำงานหนักอย่างแท้จริง ช่วงข้ามปีก็จะมาถึงในอีกมิช้านี้แล้ว ข้าต้องกลับไปเขียนจดหมายเพื่อจัดการซีซานเสียหน่อย รวมไปถึงชวูอี้ ผิงหลิง ทั้งยังมีสถานที่ต่าง ๆ ในซีซานที่มีปัญหาเรื่องเทศกาลปีใหม่ 

ฉินปิ่งจงทราบดีว่าฟู่เสี่ยวกวนมีธุระมากมายที่ต้องจัดการ ดังนั้นเขาจึงมิได้รั้งฟู่เสี่ยวกวนไว้ ฉินโม่เหวินส่งฟู่เสี่ยวกวนถึงหน้าธรณีประตู  พรุ่งนี้พวกเราไปทานมื้อเย็นกันที่หอซื่อฟางดีหรือไม่ ?  

 หากอยากดื่มสุราเจ้าก็เอ่ยออกมาตรง ๆ เถิด !  

 ข้าอยากดื่มสุราอย่างแท้จริง ตกลงตามนี้เลยก็แล้วกัน ในวันพรุ่งนี้ข้าจะไปเชิญฮั่วหวยจิ่นแล้วก็หนิงหยู่ชุน… พี่เขยใหญ่ของเจ้ากลับมาแล้วหรือยัง ?  

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักไปทันพลัน พี่เขยใหญ่… ต่งซิวจิ่น  หลังจากคราที่แล้วที่ไปแย่งคนผู้หนึ่งมาจากพ่อตาต่ง ข้าก็ยังมิกล้าไปเยือนถึงธรณีประตูของจวนต่งเลย เยี่ยงนั้นพรุ่งนี้ข้าหาเวลาไปดูสักหน่อยดีหรือไม่ ?  

 ช่างเถอะ เขากลับมาก็มิสามารถเรียกเขาไปดื่มสุราได้อยู่ดี 

ฟู่เสี่ยวกวนมิค่อยเข้าใจเท่าใดนัก ฉินโม่เหวินเม้มปากเล็กน้อย  น้องสาวของข้าผู้นั้น… ค่อนข้างดุร้าย 

…..

…..

เปียนหรงเอ๋อสวมชุดขนสัตว์สีขาว ผมเผ้าถูกจัดไว้อย่างพิถีพิถัน ปิ่นดอกไม้สีทองปักทะลุมวยผม มีต่างหูแสนสวยประดับที่ใบหูทั้งสอง แม้แต่ใบหน้าที่งดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้วนั้น ก็ได้แต่งให้แก้มแดงระเรื่อขึ้นอีกเล็กน้อย

ผู้ใดเป็นคนกล่าวกันว่าสตรีแต่งหน้าเพื่อคนที่ตนรัก ?

เปียนหรงเอ๋อมองดูตนเองในกระจก ภายในใจเต็มไปด้วยความเศร้าโศก

หรือบางทีอาจจะเพราะทราบถึงเรื่องที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ก็เป็นได้ บิดาของนางเปียนมู่หยูและองค์รัชทายาทเยียนเหลียงเจ๋อมิได้อยู่ที่นี่ในยามนี้

แม่ทัพหลานสะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง ในมือถือกล่องเอาไว้ และได้ยืนอยู่ที่เบื้องหน้าธรณีประตูอย่างสงบนิ่ง มองใบหน้าด้านข้างที่งดงามนั้น แล้วหันหน้าหนี แต่มือกลับกำหมัดเอาไว้แน่น !

ฟู่เสี่ยวกวน !

แม่ทัพผู้นี้จะสับเจ้าให้เป็นหมื่น ๆ ชิ้น !

เปียนหรงเอ๋อสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วลุกขึ้นยืน พร้อมกับเอ่ยเสียงเรียบว่า  ฟ้ามืดแล้ว พวกเราไปกันเถอะ 

รถม้าหนึ่งคันวิ่งออกไปด้วยความเร็วราวกับกำลังเหาะไปตามท้องถนนที่เปล่าเปลี่ยวท่ามกลางหิมะที่กำลังตกโปรยปราย เปียนหรงเอ๋อเลิกผ้าม่านขึ้นเล็กน้อย สายลมพัดผ่านเข้ามาและได้พัดเอาเกล็ดหิมะที่เย็นเยียบเข้ามากระทบกับใบหน้าที่อ่อนนุ่มของนาง

นางมิได้รู้สึกถึงอากาศที่หนาวเหน็บเลยแม้แต่น้อย ภายในใจนั้นค่อย ๆ แตกสลายไปทีละนิด และเริ่มกระวนกระวาย

นางเพิ่งจะอายุได้เพียง 16 ปีเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นสตรีที่ยังมิมีคู่หมั้นหมาย !

นางเข้าใจดีว่าจะเกิดอันใดขึ้นต่อจากนี้ นางมิทราบว่าต่อจากนี้ตนเองจะมีชีวิตต่อไปเยี่ยงไร หรือจะดับสิ้นเยี่ยงไร

ฟู่เสี่ยวกวน !

เจ้าคนต่ำช้า !

หรือว่าจะใช้ปิ่นนี้แทงเขาจนตายยามที่อยู่บนเตียงไปเลยดี ?

เปียนหรงเอ๋อครุ่นคิดเสียเนิ่นนาน ก่อนที่จะปล่อยวางความคิดนี้ไป เพราะหากฟู่เสี่ยวกวนมาตายในเงื้อมมือของตนเอง เกรงว่าการเดินทางมาเจรจาขององค์รัชทายาทจะล้มเหลว

จำต้องอดทน !

ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยงไรก็ต้องอดทนไว้ !

เพื่อภารกิจอันใหญ่หลวงขององค์รัชทายาท และเพื่อตระกูลเปียนที่จะเติบโตในราชสำนักยิ่งขึ้นไปอีก

ในที่สุดรถม้าก็ได้มาถึงจวนฟู่ นางได้จัดการอารมณ์และความรู้สึกของตนเองอยู่ชั่วครู่ก่อนจะลงจากรถม้า ในตอนที่กำลังจะเคาะประตูจวน แต่ทันใดนั้นก็ได้พบเห็นรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย

หลานข่ายเฝ้าระวัง คาดมิถึงว่ารถม้าคันนั้นจะหยุดลงที่จวนฟู่เช่นกัน หลังจากนั้นก็ได้มีคนผู้หนึ่งเดินลงมา

เปียนหรงเอ๋อได้เหลือบสายตาไปมอง และเขาก็คือฟู่เสี่ยวกวน !

เจ้าคนต่ำช้า !

 

ตอนที่ 480 คนละทาง

ตอนที่ 480 คนละทาง

ฉินปิ่งจงจึงละสายตาออกมาจากหนังสือนั้นแล้วมองมาทางฉินฮุ่ยจือด้วยท่าทางประหลาดใจ ก่อนจะยื่นมือออกไปพร้อมกับกล่าวอย่างเป็นกันเองว่า  นั่งสิ 

จากนั้นเขาก็หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาแล้วเดินไปยังโต๊ะในมุมหนึ่งของห้องอักษร ขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วเปิดอ่านหนังสือต่อ

ฉินฮุ่ยจือนั่งลงตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน ฉินโม่เหวินไปต้มชากาใหม่มาให้พวกเขา

ในความทรงจำของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว เขามิคุ้นเคยกับฉินฮุ่ยจือสักเท่าใดนัก เนื่องจากเขาเป็นผู้มีตำแหน่งในสำนักอัครมหาเสนาบดี อีกทั้งน้อยครานักที่จะเสนอความคิดเห็นในที่ประชุม ส่วนฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิได้ไปเข้าร่วมประชุมบ่อยสักเท่าใดนัก จึงทำให้มิคุ้นเคยกับเขา

บัดนี้ทั้งสองได้นั่งห่างกันเพียงแค่เอื้อม ฟู่เสี่ยวกวนจึงอดมิได้ที่จะจ้องมองดูเขา

ใบหน้านี้ผอมบางแต่เด็ดเดี่ยว คิ้วทั้งสองข้างเป็นเส้นตรง สันจมูกที่ชัดเจนเสริมใบหน้าของเขาให้ดูสง่างามมากยิ่งขึ้น

ฉินโม่เหวินแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขานั้นเกรงกลัวบิดา นับตั้งแต่ที่ฉินฮุ่ยจือเดินเข้ามา เขาก็ทำเพียงก้มหน้าก้มตาชงชาเท่านั้น ทำทีเป็นบุตรที่ว่านอนสอนง่าย ไร้ซึ่งความป่าเถื่อนแต่อย่างใด

ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองดูฉินฮุ่ยจืออยู่ตลอดเวลา แต่ฉินฮุ่ยจือเพียงชายตามามองเขาเพียงแค่คราเดียวเท่านั้น

 ก่อนหน้าที่ท่านจะเดินทางกลับมายังเมืองหลวง ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนได้ผลักดันนโยบายเรื่องความเสมอภาคในเกษตรกรรมและการค้า ข้าได้โต้แย้งกับเขาในพระราชวังจินเตี้ยน… ข้ายังคงคิดเห็นว่าราษฎรนั้นควรให้ความสำคัญกับอาหารการกินมากที่สุด ดังนั้นการพัฒนาด้านการเกษตรมากว่าพันปีจึงสามารถสร้างราษฎรนับร้อยนับพันล้านได้ แต่ข้ามิเห็นว่าการค้าจะทำให้อิ่มท้องและทำให้ราษฎรมีชีวิตที่มั่นคงได้ 

 ในที่ประชุม มีคนเรียกพวกข้าที่สนับสนุนเกษตรกรรมสำคัญกว่าการค้าว่าอนุรักษ์นิยม และเรียกพวกอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนที่สนับสนุนให้การค้าและเกษตรกรรมเสมอภาคเท่าเทียมกันว่าปฏิรูปนิยม 

ฉินฮุ่ยจือเงยหน้าขึ้นมองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยถามว่า  หากจะโยงถึงแหล่งที่มาของนโยบายนี้ แน่นอนว่าท่านฟู่เป็นผู้ร่างขึ้นมา ที่ข้าเดินทางมาในวันนี้เพื่อต้องการเอ่ยถามท่านฟู่ว่า นโยบายนี้ร่างขึ้นเพื่อต้องการทำลายล้างราชวงศ์หยูเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ประโยคนี้มิใช่เพียงประโยคคำถามธรรมดา ๆ แต่แฝงไปด้วยการกล่าวโทษฟู่เสี่ยวกวน !

แม้แต่มือของฉินโม่เหวินที่กำลังจับหูกาน้ำชาอยู่นั้นก็สั่นคลอนเล็กน้อย เขาขมวดคิ้วมุ่นแล้วเงยหน้าขึ้นมองไปทางท่านพ่อของเขา

ฉินฮุ่ยจือมิได้ใส่ใจสีหน้าของเขาแม้แต่น้อย ดวงตาอันทรงพลังคู่นั้นยังคงจับจ้องมายังฟู่เสี่ยวกวนราวกับกำลังจะเค้นหาความจริงออกมาจากแววตาของฟู่เสี่ยวกวนให้จงได้

แววตาอันสงบนิ่งของฟู่เสี่ยวกวนสบประสานกับฉินฮุ่ยจือ มุมปากของเขาเผยอขึ้น คิ้วและดวงตาบ่งบอกถึงความเยาะเย้ย

 คำถามของท่านฉินเมื่อสักครู่ควรจะนำไปกล่าวที่พระราชวังจินเตี้ยนกับฝ่าบาท ท่านเอ่ยกับข้า…  ฟู่เสี่ยวกวนแบมือออก  ไร้ซึ่งประโยชน์อันใด แม้ว่าตำแหน่งของท่านจะสูงกว่า อีกทั้งกรมการค้าจะอยู่ในความดูแลของสำนักอัครมหาเสนาบดี แต่ข้าจะมิยอมรับคำใส่ร้ายอย่างไร้เหตุผลของท่านเป็นอันขาด ที่จริงตัวข้าก็อยากจะเอ่ยถามท่านเช่นกันว่า ท่านนั้นมีความสามารถพอในการต่อต้านการปฏิรูปครานี้หรือไม่ ?  

ฉินฮุ่ยจือได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทันพลัน ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวต่อไปว่า  หากท่านฉินมีความสามารถในการต่อต้านการปฏิรูปครานี้ ก็ควรจะไปต่อต้านอยู่ที่พระราชวังจินเตี้ยนอย่างสุดความสามารถกับท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน หากว่าท่านไร้ความสามารถในการโต้แย้ง… ผู้คนทั่วทั้งใต้หล้านี้ล้วนตาสว่าง มิมีผู้ใดตาบอด พวกเขาจะทำการตัดสินเองหลังจากดำเนินการ มิจำเป็นที่จะต้องให้ท่านฉินมากล่าวสรุปความไร้สาระเหล่านี้ 

คำกล่าวของฟู่เสี่ยวกวนนับว่ายังไว้หน้าฉินฮุ่ยจืออยู่บ้าง มิใช่เพราะฉินโม่เหวินนั่งอยู่ที่นี่ แต่เป็นเพราะเดิมทีสหายของเขานั้นก็มีมิมากนักอยู่แล้ว จึงมิอยากเสียสหายไปเพราะเรื่องนี้

เห็นได้ชัดว่าฉินฮุ่ยจือได้เตรียมการมาล่วงหน้า หลังจากที่เขาได้ยินคำกล่าวเหล่านั้น เขามิได้เดือดดาลแต่อย่างใด แต่เขากลับยกยิ้มขึ้นมาแล้วกล่าวว่า

 ท่านเป็นคนในราชวงศ์อู๋ เป็นองค์ชายของราชวงศ์อู๋ หากยึดหลักความเป็นจริงแล้ว บัดนี้ท่านควรจะได้เป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ 

 คัมภีร์กตัญญูได้กล่าวไว้ว่า ร่างกายเจริญเติบโตมาได้เพราะบิดามารดา ในร่างกายของท่านมีเลือดเนื้อเชื้อไขของจักรพรรดิเหวินไหลเวียนอยู่ ท่านแบกรับความหวังของประชากรในราชวงศ์อู๋ไว้เสียมากมาย หากนโยบายนี้ได้ผลจริง ท่านควรนำไปเผยแพร่ในราชวงศ์อู๋ ในฐานะผู้นำแคว้น ท่านจะมิได้รับความดีความชอบมากกว่าหรือเยี่ยงไร ? เหตุใดท่านจึงสละตำแหน่งจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋เพื่อมาทำสิ่งเหล่านี้ให้แก่ราชวงศ์หยูกันเล่า ?  

ฉินฮุ่ยจือเอียงศีรษะมองดูฟู่เสี่ยวกวน แล้วเอ่ยต่อว่า  เนื่องจากในใจของท่านรู้ดีว่านโยบายนี้เป็นนโยบายแห่งการทำลายแคว้น ! เมื่อผู้คนพากันไปสนใจในการค้า ก็จะทำให้พื้นที่ท้องนาของราชวงศ์หยูรกร้าง เมื่อรอให้ถึงเวลานั้นท้องนาก็จะมิมีผู้ใดดูแล พวกเขาคงจะกินดิน ? กินเงินทอง ? กินเสื้อผ้า ? คาดว่าสิ่งเหล่านี้พวกเขาคงมีกันทั้งสิ้น แต่สิ่งที่มิมีนั่นก็คือธัญพืช นโยบายของท่านนั้นเพื่อต้องการให้ราษฎรราชวงศ์หยูต้องสิ้นสุดลง น่าเสียดายที่อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนและฝ่าบาททรงถูกท่านหลอกลวง พวกเขาหาได้รู้ไม่ว่าราชวงศ์หยูกำลังตกอยู่ในอันตราย !  

 ส่วนเรื่องเหตุผลที่ข้ามิได้โต้แย้งเรื่องนี้ในพระราชวังจินเตี้ยนอีก นั่นเป็นเพราะข้าเห็นว่าท่านเป็นบุตรเขยของฝ่าบาท การที่ข้าเดินทางมาหาท่านในวันนี้ ก็เพื่อต้องการให้ท่านถอยออกมาด้วยตนเอง ทูลฝ่าบาทให้ทรงยกเลิกพระราชโองการนั้นเสีย หรือบางที… ท่านอาจจะกลับไปยังราชวงศ์อู๋เพื่อรับตำแหน่งองค์จักรพรรดิ เมื่อข้าเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋ ข้าจะคุกเข่าและเรียกท่านว่าฝ่าบาท 

 ท่านคิดเห็นว่าเป็นเยี่ยงไร ?  

ฟู่เสี่ยวกวนหยุดครุ่นคิดไปชั่วครู่แล้วส่ายหัว  มิเห็นว่าเป็นเยี่ยงไร !  

 ท่านฉิน ประวัติศาสตร์นั้นจะต้องพัฒนาไปข้างหน้า การให้ความสำคัญกับการเกษตรมากว่าพันปีนั้นถูกต้อง แต่บัดนี้ความเป็นจริงคือการค้าได้พัฒนาขึ้นมาแล้ว เสื้อผ้าที่ท่านฉินสวมใส่อยู่มิได้ทำด้วยหนังสัตว์หรือใบไม้เหมือนเมื่อพันปีก่อนแล้ว แต่กลับเป็นผ้าทอ สิ่งของต่าง ๆ ที่ท่านฉินใช้ในจวนล้วนเป็นผลิตภัณฑ์จากอุตสาหกรรมการค้า 

 ข้าเพียงแค่ยกระดับความสำคัญของการค้าที่เดิมทีมิได้แข็งแกร่งขึ้นมาล่วงหน้าก็เท่านั้นเอง คาดมิถึงว่าในสายตาของท่านฉินแล้ว ข้าคือผู้ทำลายราชวงศ์หยู 

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้นแล้วส่ายหน้า  ท่านมองข้าสูงส่งจนเกินไป แม้แต่จักรพรรดิราชวงศ์อู๋ ข้าเองยังมิอยากเป็น ข้าเพียงต้องการเป็นพ่อค้าที่ดินธรรมดา ๆ ผู้หนึ่งเท่านั้น สิ่งที่ข้าทำไปทั้งสิ้นก็เพื่อให้ครอบครัวของข้ามั่งคงมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ครอบครัวของข้าได้มีอาหารการกินและที่อยู่โดยมิต้องกังวลสิ่งใด 

ฉินฮุ่ยจือลุกขึ้นยืน เขานำมือลูบไปที่เครายาวของตน  เป็นเช่นนี้ ท่านฟู่คงจะต้องการยึดในความคิดเดิมของท่านสินะ ?  

 ข้าคิดว่า ท่านฉินคงจะตัดสินบางอย่างผิดไป 

 ในใต้หล้านี้มีแคว้นตั้งมากมาย เหตุใดเจ้าจึงมิยอมปล่อยราชวงศ์หยูไปกัน ?  

 เนื่องจากข้าเกิดที่ราชวงศ์หยู และเติบใหญ่ขึ้นมาที่ราชวงศ์หยู ดังนั้นข้าจึงต้องการทำบางอย่างเพื่อตอบแทนราชวงศ์หยู 

ฉินฮุ่ยจือสูดหายใจเข้าเสียงดังแล้วลุกขึ้นยืน เขานำมือไขว้ไปข้างหลังแล้วเดินไปมาสองสามก้าว ก่อนจะหันกลับมากล่าวว่า  ในเมื่อท่านฟู่ต้องการจะผลักราชวงศ์หยูลงสู่ก้นบึ้ง ข้าก็มิอาจทำเป็นมิรู้มิเห็นได้ ท่านจงระวังตัวไว้ให้ดี !  

ฉินฮุ่ยจือที่กำลังจะก้าวขาออกไปจากธรณีประตูของห้องอักษร ฟู่เสี่ยวกวนได้หันหลังกลับไป มองไปด้านหลังของเขาแล้วกล่าวว่า  ท่านฉิน น่าเสียดายสายตาคู่นั้นของท่านเสียจริง 

ฉินฮุ่ยจือขมวดคิ้วแล้วหันหลังกลับมาทันใด สายตาทั้งสองคู่สบประสานกัน  ท่านมองนโยบายใหม่นี้ผิดก็มิเป็นไร แต่หากท่านมองอนาคตผู้ครอบครองตำแหน่งองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์หยูผิดไป…จะมีผู้คนมากมายที่ต้องสิ้นชีพ !  

แววตาของฉินฮุ่ยจือนั้นแหลมคมดุจกระบี่ แทงเข้าไปในหัวใจของฟู่เสี่ยวกวน แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับยกถ้วยน้ำชาขึ้นส่ายไปมาแล้วกล่าวว่า  แม้ว่าจะอยู่กันคนละทาง แต่ข้าก็ยังอยากจะเตือนท่านว่า หวนกลับฝั่งตอนนี้ยังมีทางรอด !  

 

ตอนที่ 479 ฉินฮุ่ยจือ

ตอนที่ 479 ฉินฮุ่ยจือ

หิมะที่เมืองจินหลิงยังคงตกอย่างต่อเนื่อง ฟู่เสี่ยวกวนและซูเจวี๋ยออกมาข้างนอก

จวนของฉินปิ่งจงเงียบเหงาเสียยิ่งกว่าปีที่แล้ว

ปีที่แล้วบุตรชายของเขาฉินติ้งฟางได้เข้ารับตำแหน่งจือโจวในหนิงโจวที่แม่น้ำหวงเหอทางเหนือ ปีนี้แม่น้ำฮวงโหได้เอ่อล้นขึ้นมาอีกครา เป็นอันว่าเทศกาลปีใหม่นี้ก็ไร้ซึ่งหนทางที่จะกลับมาแล้ว

หลานชายฉินเฉิงเย่ก็ได้ไปยังซีซานแล้ว ก่อนหน้าที่ฟู่เสี่ยวกวนจะอภิเษกสมรสเพียง 2 วัน เขาก็ได้รีบร้อนไปยังผิงหลิง กล่าวว่ามีช่างที่อยู่ตรงนั้นสร้างวัสดุแบบใหม่ขึ้นมาได้

ข้างกายของเขาจึงเหลือเพียงหลานสาวฉินรั่วเสวีย แม้แต่เหล่าบ่าวรับใช้ในเรือน หลายวันมานี้ก็ถูกเขาตัดออกไปมิน้อย แต่มิใช่เหตุผลด้านการเงิน แต่เป็นเพราะชีวิตที่เหลืออยู่ของเขาอยากจะวางไว้ที่สำนักศึกษาซีซาน จวนแห่งนี้ของเมืองจินหลิง นอกเสียจากช่วงเทศกาลปีใหม่แบบนี้แล้ว ก็น้อยมากยิ่งนักที่จะกลับมาพักที่นี่ในวันธรรมดา

ในยามที่คนเฝ้าประตูมาแจ้งว่าคุณชายฟู่มาเยี่ยม ฉินปิ่งจงกำลังสนทนาอยู่กับฉินโม่เหวินที่ห้องอักษร ฉินโม่เหวินคือบุตรชายของฉินฮุ่ยจือ แต่เขากลับชื่นชอบที่จะไปมาหาสู่กับปู่ใหญ่อยู่เสมอ บางทีอาจจะเพราะกลิ่นน้ำหมึกของที่นี่ หรือบางทีอาจจะเพราะกลิ่นอายหนังสือจากตัวของฉินปิ่งจง

ปู่และหลานชายเดินไปเปิดประตู ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้นและโค้งคำนับเมื่อพบกับฉินปิ่งจง และกล่าวทักทายฉินโม่เหวิน จากนั้นพวกเขาก็ได้เดินไปทางห้องอักษร

ฟู่เสี่ยวกวนหยิบ ‘ตำราหลี่เสวีย’ ออกมาแล้วส่งให้ฉินปิ่งจง  พี่ชาย คร่าว ๆ ก็ประมาณนี้ รายละเอียดอาจคลาดเคลื่อนไปจากตำราของเหวินสิงโจวอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะเยี่ยงไรเสียข้าก็ได้อ่านเพียงคราเดียวเท่านั้น แต่ใจความสำคัญมิได้ต่างไปจากเดิม ท่านลองอ่านดูเถิด 

ดวงตาของฉินปิ่งจงทอประกายขึ้นมาทันพลัน หลังจากที่เขารับมาก็ได้พลิกหน้าตำราไปมา และหลังจากนั้นก็มิได้สนใจพวกเขาอีก

ฟู่เสี่ยวกวนมองฉินโม่เหวินและกล่าวยิ้ม ๆ ว่า  ต้องไปกวนซีเต้าในปีหน้าจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ไอหยา ! แปดเก้าแล้วเยี่ยงไรก็หนีสิบมิพ้น เรื่องนี้เป็นการตัดสินใจของท่านพ่อ เขากล่าวว่าถึงกวนซีเต้าจะห่างไกลไปสักเล็กน้อย แต่ก็สะดวกพอที่จะสร้างผลงานได้…  ฉินโม่เหวินรินน้ำชาให้กับฟู่เสี่ยวกวนและซูเจวี๋ย ใบหน้าหมองลงเล็กน้อย  ข้าพอจะคาดเดาได้ว่าบิดาของข้าคิดไว้เยี่ยงไร ข้าวางไว้ที่สามถึงห้าปี หากสร้างผลงานขึ้นมาได้ 1 ชิ้น แล้วย้ายกลับมายังจินหลิง โดยพื้นฐานก็จะสามารถเข้าสำนักอัครมหาเสนาบดีได้แล้ว 

ฟู่เสี่ยวกวนลอบถอนหายใจออกมา ขันทีเจี่ยเคยนำรายงานของฝูงมดฉบับหนึ่งมาให้เขาอ่าน ในรายงานจงจับตาดูรองเสนาบดีการเมืองฉินฮุ่ยจือสำนักอัครมหาเสนาบดีของราชวงศ์หยูอย่างใกล้ชิด ข้ากำลังดักรอรายงานจากจินหลิงที่ส่งไปยังเขตซีหรง คนผู้นี้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะถูกหยูเวิ่นชูซื้อไปแล้ว

ฉินฮุ่ยจือคือบิดาของฉินโม่เหวิน และฉินเซียงหวยคือบุตรสาวของฉินฮุ่ยจือ ทั้งยังเป็นภรรยาของต่งซิวจิ่นบุตรชายคนโตของเสนาบดีต่ง กล่าวได้ว่าฉินฮุ่ยจือคือเครือญาติของต่งคังผิง

หากฝูงมดตรวจพบถึงหลักฐานที่ฉินฮุ่ยจือและองค์ชายสี่หยูเวิ่นชูสมรู้ร่วมคิดกัน หากหยูเวิ่นชูเป็นแกนนำปลุกระดมให้แม่ทัพใหญ่เซวี๋ยติ้งชานแห่งกองทัพชายแดนตะวันตกก่อกบฏขึ้นมาอย่างแท้จริง เครือข่ายของความสัมพันธ์ที่เกี่ยวโยงกันนั้นค่อนข้างจะกว้างเสียทีเดียว

บางทีปัญหาของเสนาบดีต่งอาจจะมิใหญ่โตเท่าใดนัก แต่ในฐานะบุตรของฉินฮุ่ยจือ ฉินโม่เหวินอาจจะเป็นอันตรายได้

มิเพียงแต่การงานอาชีพ แม้แต่ชีวิตก็น่ากังวลมากเช่นกัน

ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิยินยอมให้สหายสนิทเสียชีวิตไปด้วยความบริสุทธิ์ทั้งเยี่ยงนี้ แต่บัดนี้มิสามารถยืนยันได้ว่าฉินฮุ่ยจือมีแผนอยู่จริงหรือไม่ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจรอข่าวที่มั่นใจแล้วจากฝูงมดเสียก่อนแล้วค่อยวางแผนอีกครา

 ดังนั้นเจ้าจึงสบายเป็นอย่างมากที่มาเป็นขุนนาง ทางก็ได้ปูเอาไว้หมดแล้ว ทั้งยังเป็นทางที่กว้างขวางอีกด้วย เจ้าเพียงดูแลเส้นทางนี้ให้ดีและก้าวเดินไปอย่างมั่นคงก็พอ ภายภาคหน้าหากประสบความสำเร็จในหน้าที่และการงานภรรยาและบุตรก็จะอยู่มิไกลแล้ว ไหนเลยจะเหมือนข้าที่เป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียง แหนไร้ราก มิว่าจะทำเรื่องอันใดก็ต้องพึ่งพาตนเอง 

 ไสหัวเจ้าไป… !   ฉินโม่เหวินจ้องฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง  เจ้ายังคิดให้เป็นแบบใดอีกกัน ยังมิครบสิบแปดดี ก็ได้เป็นขุนนางขั้นสามแล้ว ลองนับในประวัติศาสตร์ดู คิดว่ามีกี่คนกันที่อายุเท่าเจ้าแล้วสามารถอยู่ในตำแหน่งที่สูงเยี่ยงนี้ได้ ?  

 นอกจากนี้เจ้าเองก็มีครอบครัวและมีอาชีพอย่างแท้จริงแล้ว ชาติที่แล้วข้าต้องทำให้แม่สื่อขัดเคืองใจเป็นแน่ จนถึงวันนี้คาดมิถึงว่าจะยังหาสตรีที่ชอบพอมิได้ เจ้าเป็นบุรุษที่อิ่มหนำซึ่งมิเข้าใจบุรุษที่หิวโหยหรอก ภายภาคหน้าเลิกคิดที่จะมาเยาะเย้ยต่อหน้าข้าได้เลย !  

 ฮ่า ๆ ๆ …  ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะยกใหญ่ และเปลี่ยนกลับไปสนทนาเรื่องหลัก  ได้สนทนาเรื่องนี้กับฝ่าบาทแล้วหรือยัง ?  

 เคยสนทนาแล้ว แต่ฝ่าบาทกลับตรัสว่าปีหน้าคือการนำร่องชุดที่สอง เพิ่มใหม่เพียง 10 แห่งเท่านั้น เดิมทีกวนซีเต้ากำหนดไว้ที่เฟิงโจวและหยินโจว ข้าใช้พละกำลังอย่างมากมายมหาศาลถึงได้รวมเซี่ยโจวเข้าไปด้วยได้ ตามความหมายของฝ่าบาท การนำร่องชุดที่สามคงจะเริ่มในปีถัด ๆ ไป หากปีหน้ามณฑลนำร่องทั้งสิบหกแห่งเป็นไปได้ด้วยดี เกรงว่าจะประโคมข่าวออกมาในปีถัด ๆ ไป… 

ฉินโม่เหวินจดจ้องฟู่เสี่ยวกวน และเอ่ยถามว่า  ฝ่าบาทตรัสว่าเนื้อหาโดยละเอียดต้องดูว่ากรมการค้าจัดวางไว้เยี่ยงไร เจ้าคือหัวหน้ากรมการค้า เจ้าช่วยหลุดบอกข่าวเล็ก ๆ น้อย ๆ ออกมาล่วงหน้าก่อนได้หรือไม่ ให้ข้าได้มีความมั่นใจ 

 ข้ายังมิได้ใคร่ครวญถึงการจัดวางโดยละเอียด ส่วนเรื่องกรมการค้า เป้าหมายที่แท้จริงในปีหน้าคือทำให้กฎหมายการค้าเป็นที่แพร่หลาย ควรจะต้องวางข้อกำหนดเอาไว้ให้ดีเสียก่อน จึงจะทำให้กฎหมายเหล่านี้สมบูรณ์แบบในขั้นตอนการผลักดันทางการค้า เยี่ยงนั้นแล้วจึงจะสามารถทำให้การค้าพัฒนาไปในทางที่ดีได้ 

ฉินโม่เหวินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ และพยักหน้า นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่มิเคยมีมาก่อน การลงมือของฟู่เสี่ยวกวนในครานี้ย่อมทำเพื่อความมั่งคง

 หากเจ้าเข้ารับตำแหน่งที่กวนซีเต้าอย่างแท้จริง ข้ามีข้อแนะนำมิกี่ข้อให้เจ้าเก็บไปพิจารณาเล็กน้อย 

 เชิญกล่าว !  

 ที่ตั้งของกวนซีเต้าค่อนข้างห่างไกล เขตเพราะปลูกรวมอยู่ที่เฟิ้งเสียง เย่าโจว ถงโจว รวมไปถึงเหยียนโจว ทั้งสี่จวนโจวนี้ถือเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดของกวนซีเต้า ส่วนปัจจัยของพื้นที่อื่น ๆ ในจวนโจวนั้นมิดีเท่าใดนัก แต่ก็พอมีคุณสมบัติพิเศษอยู่เช่นกัน

อย่างเช่น ผลไม้ของฟูโจว หินที่แตกต่างของตานโจว และเหมืองถ่านหินของหลงโจวและอื่น ๆ นี่คือทรัพยากรเฉพาะในแต่ละสถานที่ หากเจ้าสามารถทำให้ทรัพยากรเหล่านั้นมีประโยชน์ขึ้นมาได้ ย่อมส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของกวนซีเต้าอย่างใหญ่หลวงเป็นแน่

สิ่งที่เรียกว่าการค้า มิใช่เพียงการสร้างโรงงานเพื่อผลิตสินค้าเท่านั้น พวกเรายังสามารถหาได้จากทรัพยากรธรรมชาติอีกด้วย ของเหล่านั้นก็เป็นสินค้าเช่นเดียวกัน มีความต้องการแรงงานด้านคนเช่นกัน และสามารถแก้ไขปัญหาการว่างงานได้เช่นกัน เหตุใดจึงมิทำกันเล่า ?  

ดวงตาฉินโม่เหวินเป็นประกาย ช่วงหลายวันมานี้เขากำลังศึกษาเกี่ยวกับกวนซีเต้า แต่ยิ่งศึกษาก็ยิ่งท้อแท้ใจ เมื่อเทียบกับเจียงเป่ยเต้าแล้ว จำนวนคนในที่นั่นน้อยลงไปถึงครึ่ง และพื้นที่ทำกิจการก็ลดลงไปถึง 7 ส่วน !

ในจิตใต้สำนึกของเขายังคงวางการเกษตรไว้เป็นอันดับที่หนึ่ง สำหรับการค้า เขายังคงหยุดในช่วงขั้นต้นเพื่อรอให้เหล่าพ่อค้าไปสร้างโรงงานในที่แห่งนั้นเสียก่อน

เมื่อได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวเยี่ยงนี้แล้ว เขาก็รู้แจ้งในทันใด ในเมื่อพ่อค้าสามารถสร้างโรงงานขึ้นมาได้ เยี่ยงนั้นขุนนางก็สามารถเรียกรวมพลชาวบ้านไปขุดหาทรัพยากรธรรมชาติมาได้เช่นกัน

นี่คือกลยุทธแห่งชัยชนะ ชายผู้นี้ถือว่าเก่งกาจอย่างแท้จริง ก่อนที่จะต้องออกไปจากเมืองหลวงควรจะนั่งสนทนากับชายผู้นี้ให้มาก เพื่อเสริมประสบการณ์ที่หายากให้อีกสักเล็กน้อย

ในยามที่ฉินโม่เหวินกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ คนเฝ้าประตูก็ได้พาคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา

ฟู่เสี่ยวกวนหันหน้าไปมอง รองเสนาบดีการเมืองฉินฮุ่ยจือ !

ฉินฮุ่ยจือเองก็มองมาฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน แต่เขามิได้ตกใจอันใด ใบหน้าที่เคร่งขรึมของเขามีรอยยิ้มผุดขึ้นมา  ข้าได้ยินมาว่าท่านเสี่ยวนกวนอยู่ที่นี่ จึงมาที่นี่เพื่อพบหน้าเสียหน่อย 

ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก รอยยิ้มผุดขึ้นมาในชั่วพริบตา และได้ยกสองมือขึ้นโค้งคำนับ  ข้าน้อยได้รับความโปรดปรานเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ท่านกำลังกังวลว่าเหตุใดข้าน้อยถึงมิไปนั่งในกรมการค้าใช่หรือไม่ ท่านฉินมาเพื่อเล่นงานข้าเยี่ยงนั้นหรือขอรับ 

 

ตอนที่ 478 หิมะโปรยปรายลงมาอีกครา

ตอนที่ 478 หิมะโปรยปรายลงมาอีกครา

เมื่อเขาต้องเสียทองไปถึง 5,000 ตำลึง อีกทั้งยังโดนปล้นไปอีก 300,000 ตำลึง ทำให้บุตรพ่อค้าที่ดินเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนอารมณ์มิดีมากยิ่งนัก

เขายังคงเดินไปเดินมาอยู่ในพระราชวัง กระทั่งเดินมาถึงด้านนอกกรมการค้า

เขามองเข้าไปด้านในแล้วเห็นทุกคนกำลังวุ่นอยู่กับหน้าที่ตน ยอดเยี่ยม ที่นี่มิมีเรื่องอันใดให้เขาต้องจัดการแล้ว

เลิกงาน กลับจวน !

เขาตั้งใจจะกลับไปคัดลอกตำราหลี่เสวียที่ยังคงค้างไว้อยู่ แล้วใช้ช่วงเวลาที่ยังว่างอยู่ตอนนี้ ส่งไปให้ท่านอาจารย์ฉินปิ่งจงเสีย

เขาเดินออกจากพระราชวังไป ซูเจวี๋ยยังคงตกตะลึง คิดมิถึงว่าศิษย์น้องผู้นี้จะอู้งานอีกแล้ว

ทั้งสองคนกลับไปยังจวนฟู่ ฟู่เสี่ยวกวนได้เข้าไปยังห้องนอนแล้วหยอกเย้ากับหยูเวิ่นหวินอยู่สักพัก จึงได้รู้ว่าต่งชูหลานได้พาซูซูเข้าไปในพระราชวัง

 เมื่อวานเจ้าบอกว่าให้ไปเยี่ยมเสด็จป้ามิใช่หรือ ? ชูหลานจึงได้นำของขวัญไป และจะถามเรื่องสลัมนั่นด้วย 

 เสี่ยวโหลวเล่า ?  

 พาซูโหรวไปยังธนาคารซื่อทง อ่า… เสี่ยวโหลวกล่าวว่าอาคารสองหลังนั้น หลังหนึ่งนามว่าหอหยูฝู อีกหลังหนึ่งนามว่าหอซื่อทง ทั้งสองอาคารนี้มีพ่อค้าจำนวนมากสนใจที่จะมาเปิดร้าน และในวันนี้พวกเขาจะเข้ามาเปิดกิจการวันแรก…เจ้าจะไปดูหน่อยหรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดดูแล้วก็ส่ายหน้าขึ้นทันพลัน  ช่างเถอะ ให้เสี่ยวโหลวไปจัดการก็พอแล้ว 

หยูเวิ่นหวินมองค้อนเขาไปหนึ่งที  ขี้เกียจก็จงบอกว่าขี้เกียจ จะหาข้ออ้างเพื่ออันใดกัน ?  

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมา เขามิอาจควบคุมมือของตนเองได้ ทำเอาหยูเวิ่นหวินหายใจหอบเหนื่อยหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ  หมอหลวงกำชับไว้ว่ามิได้ หากว่า… หากว่าลูกเป็นอันใดไปจะทำเยี่ยงไร เจ้าออกไปประเดี๋ยวนี้นะ รอให้ชูหลานและเสี่ยวโหลวกลับมาปรนนิบัติเจ้าเถอะ !  

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมาอย่างได้ใจ อารมณ์เขาดีขึ้นมามิน้อย หึ ๆ ท่านแม่ยายรังแกข้า ข้าก็จะรังแกลูกสาวท่าน !

แค้นนี้นับว่าได้เก็บดอกคืนมาบ้างแล้ว รออีกสักหน่อย ข้าจะค่อย ๆ เก็บต้นคืนมาจากลูกสาวของท่าน

เขายิ้มกริ่มแล้วเดินออกไป จากนั้นก็หยิบกระดาษพู่กันและน้ำหมึกแล้วนั่งลงที่ศาลาเถาหราน แล้วเริ่มลงมือคัดลอก  ตำราหลี่เสวีย 

จนกระทั่งยามอู่ ตำราหลี่เสวียนั้นก็ได้คัดลอกจนเสร็จแล้ว ต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็ได้พากันกลับมาตามลำดับ

ทำให้ศาลาเถาหรานแห่งนี้ครึกครื้นขึ้นมาทันใด

 ข้าได้ถามองค์หญิงใหญ่มาแล้ว องค์หญิงใหญ่กล่าวว่าพื้นที่สลัมนั้นมิใช่อสังหาริมทรัพย์ของราชวัง พื้นที่บ้านเรือนเหล่านั้นมีบางส่วนที่เป็นของพวกที่อาศัยอยู่เอง พวกเขาล้วนเป็นชาวจินหลิง 

 อ่า…  ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่  เรื่องนี้เจ้าปล่อยมันไปก่อนเถิด รอให้บุตรชายทั้งสามของหลี่จินโต้วมาถึงแล้ว ข้าจะให้พวกเขาไปจัดการ 

 เจ้าจะซื้อพื้นที่บริเวณนั้นจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ต้องดูที่ราคา หากว่าราคาสูงจนเกินไป ก็คงต้องหยุดไว้ก่อน 

 เพื่อทำอันใดกัน ?  

 พื้นที่ในเมืองจินหลิงนั้นแพงราวกับทอง อีกทั้งบัดนี้พื้นที่สลัมยังมิได้รับการบูรณะใหม่ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในสลัมได้โยกย้ายไปยังหนานซาน ข้าตั้งใจจะทำให้พวกเขายินยอมตั้งหลักปักฐานอยู่ที่หนานซาน หากว่าตอนนี้สามารถซื้อพื้นที่สลัมมาได้…ราวอีกสองถึงสามปีคาดว่าราคาน่าจะพุ่งสูงขึ้นมากนัก 

ต่งชูหลานเข้าใจได้ในทันที แต่เยี่ยนเสี่ยวโหลวคิดเยี่ยงไรก็มิเข้าใจ ส่วนซูซูครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เข้าใจได้เช่นกัน นางจ้องไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้วนั่งลงที่ชิงช้า ปากน้อย ๆ ของนางเอ่ยออกมาว่า  เจ้าเล่ห์นัก !  

ต่งชูหลานหัวเราะขึ้นมา แล้วมองไปทางฟู่เสี่ยวกวนพร้อมกับเอ่ยถามว่า  เช่นนั้นหมายความว่าการที่เจ้าก่อสร้างหนานซานใหม่ก็เพื่อพื้นที่สลัมนั้นเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ก็มิใช่เสียทีเดียว ข้าเข้าใจในความลำบากของพวกเขาเป็นอย่างดี และนี่คือวิธีที่จะทำให้ทั้งสองฝ่ายได้รับประโยชน์ ต่อไปในภายภาคหน้าหากอุตสาหกรรมหนานซานเปิดกิจการแล้ว พวกเขาก็จะสามารถทำงานในอุตสาหกรรมต่อได้ พวกเราจะต้องสร้างโรงหมอและสำนักศึกษา เพื่อให้บุตรหลานของพวกเขาได้ร่ำเรียนหนังสือและรักษาพยาบาลโดยมิเสียค่าใช้จ่ายให้กับพวกเขา 

แม้จะกล่าวเยี่ยงนั้น แต่ต่งชูหลานก็เข้าใจดีว่าหากสามารถซื้อพื้นที่สลัมนั้นมาได้ แล้วรอให้เศรษฐกิจของราชวงศ์หยูฟื้นฟูในอนาคต และพัฒนาเขตสลัมนั้นเสียใหม่ นั่นจะเป็นก้อนเนื้อชิ้นโตเลยทีเดียว !

 อ่า…เรื่องนี้เจ้าต้องเร่งรีบเสียหน่อย อีก 12 วันก็จะถึงปีใหม่แล้ว 

 อืม  ฟู่เสี่ยวกวนมองดูเยี่ยนเสี่ยวโหลว  วันนี้ที่หอหยูฝูและซื่อทงเปิดทำการวันแรก เป็นเยี่ยงไรบ้าง ?  

 ทุกอย่างดำเนินไปด้วยความราบรื่นดี ต้องขอบคุณพี่ชูหลานที่ได้เจรจากับพ่อค้าเหล่านั้นไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ข้าทำเพียงแค่ให้พวกเขาลงนามเช่าซื้อและเก็บเงินค่าเช่าเพียงเท่านั้น 

เยี่ยนเสี่ยวโหลวหยุดชะงักลงแล้วเอ่ยถามว่า  เถ้าแก่จิ้วโม่จายเอ่ยถามข้าว่า เขาจะเปิดร้านหินฝนหมึกแห่งใหม่ในหยินโจว ณ ถนนกวนซี จะสามารถใช้หุ้นในการระดมทุนที่ธนาคารซื่อทงได้หรือไม่ ?  

 จิ้วโม่จายคืออันใดกัน ?  

 เป็นร้านขายกระดาษ พู่กัน หมึก และหินฝนหมึกที่ดีที่สุดในเมืองจินหลิง แต่แน่นอนว่าบัดนี้กระดาษของเขาคุณภาพสู้กับกระดาษที่ซีซานของเรามิได้ แต่หินฝนหมึกของเขานั้นขึ้นชื่อเป็นอย่างมาก แม้แต่ในราชวังก็ยังใช้พู่กัน หมึก และหินฝนหมึกของเขา 

ฟู่เสี่ยวกวนทำท่าทางครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยออกไปว่า  เรื่องนี้ให้หลงจู๊หลี่ไปจัดการ ให้เขาตรวจสอบและประเมินตามเกณฑ์ของพวกเรา หากว่าเงื่อนไขเป็นไปตามที่กำหนด ก็สามารถให้เขาออกหุ้นได้ 

 อืม ยามเว่ยข้าจะไปเจรจากับหลงจู๊หลี่เอง 

มองดูแล้วเรื่องแปลกใหม่นี้จะค่อย ๆ ถูกพ่อค้าทั้งหลายยอมรับมัน ฟู่เสี่ยวกวนพิจารณาอยู่ชั่วครู่ เขารู้สึกว่าในปีหน้าหากเขตทดลองลงมือทำจริง ๆ เกรงว่าจะมีพ่อค้าจำนวนมากที่ทำตามกระแสนิยม

และคนที่อยากจะออกหุ้นก็คงมากขึ้นเรื่อย ๆ หากเป็นพ่อค้าในเมืองจินหลิงก็คงมิมีปัญหาใด แต่ถ้ามีพ่อค้าจากเมืองอื่นเข้ามาด้วยจะต้องหาวิธีมิให้พวกเขายื่นมือเข้ามา พรุ่งนี้เขาจะเข้าวัง ตนได้เสียเงินตั้ง 300,000 ตำลึงไปให้ฮ่องเต้ อย่างน้อยก็ต้องให้ฝ่าบาทออกพระราชดำรัสให้ว่า การออกหุ้นนั้นต้องได้รับการประเมินคุณสมบัติ และในราชวงศ์หยูมีเพียงธนาคารซื่อทงเท่านั้นที่สามารถประเมินได้ หากผู้ใดฝ่าฝืน…ยึดทรัพย์สินทั้งหมดในการครอบครองและเนรเทศ !

แท้ที่จริงฟู่เสี่ยวกวนมิได้ต้องการจะทำให้เรื่องเด็ดขาดถึงเพียงนี้ แต่เขากังวลว่าจะมีคนที่มิประสงค์ดีเข้ามา จากนั้นหากต้องปิดธนาคารแล้วหนีหายไป จะทำให้มีผู้ลงทุนจำนวนมากต้องสูญเสีย หากกล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือจะเป็นการทำให้ผู้คนพากันหวาดกลัวเรื่องของหุ้นในอนาคต หากกล่าวอย่างร้ายแรงก็คือ บรรดาผู้ได้รับผลกระทบอาจจะรวมตัวกันไปฟ้องร้องและโจมตีที่ศาลหากเป็นเยี่ยงนั้นคงมิดีเป็นแน่

หิมะเริ่มโปรยปรายลงมา

พวกเขาได้พากันไปทานมื้อกลางวันที่หลีเฉินซวน ขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะพาซูเจวี๋ยเดินทางไปยังจวนของฉินปิ่งจง คาดมิถึงว่าหลี่เจิ้งก็ได้วิ่งเข้ามาอีกครา

 คุณชายขอรับ แม่นางคนเมื่อคืนมาอีกแล้ว 

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน แม่นางคนเมื่อคืนเยี่ยงนั้นหรือ ?

 กลุ่มคนที่นำทองมามอบให้ หนึ่งในสี่คนนั้นมีสตรีอยู่คนหนึ่งมิใช่หรือขอรับ ?  

 อ่า…  ฟู่เสี่ยวกวนนึกขึ้นมาได้ แม่นางคนที่ชี้หน้าเขานั่นเอง  นางมาเนื่องด้วยเหตุใดกัน ?  

 กล่าวว่าจะขอเข้าพบท่านเป็นการส่วนตัวขอรับ 

 กลางวันแสก ๆ เยี่ยงนี้จะเข้าพบทำไมกัน ข้ามิว่าง ไปบอกนางให้กลับไปเสีย 

 ข้าน้อยรับทราบ 

หลี่เจิ้งวิ่งไปทางประตูจวนแล้วมองดูหญิงสาวหน้าตางดงามผู้นี้ พร้อมกับกล่าวว่า  คุณชายกล่าวว่า กลางวันแสก ๆ เช่นนี้จะเข้าพบเนื่องด้วยเหตุใดกัน คุณชายมิว่าง เชิญแม่นางกลับไปเถิด 

เปียนหรงเอ๋อชะงักลงทันพลัน กลางวันแสก ๆ เข้าพบเนื่องด้วยเหตุใดเยี่ยงนั้นหรือ…หมายความว่า…นางหายใจเข้าลึก ๆ นี่หมายความว่าหากเป็นยามราตรีก็จะสามารถเข้าพบได้เยี่ยงนั้นหรือ ?

ยามราตรี !

ยามราตรีนั้นเป็นคำศัพท์ที่คิดได้หลากหลายความหมายอย่างแท้จริง

นางเงยหน้ามองดูหิมะที่โปรยปรายลงมา ท่ามกลางความหนาวเหน็บเยี่ยงนี้ จะไปสนทนาอันใดได้ในยามตรี ?

นางกัดริมฝีปากตนเองเบา ๆ จากนั้นก็กล่าวกับหลี่เจิ้งว่า  เช่นนั้นรบกวนท่านบอกกับคุณชายฟู่ว่า ข้าน้อย… ข้าน้อยจะมาพบคุณชายฟู่ใหม่ในยามราตรี 

 

ตอนที่ 477 รังแกกันเกินไปแล้ว

พวกเยียนเหลียงเจ๋อทั้งสี่คนต่างก็ชะงักค้างไปทันพลัน

ให้ตายเถอะแม้แต่ชาก็ยังมิได้ดื่ม เรื่องสำคัญก็ยังมิทันได้กล่าว ก็ส่งแขกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้ว และกล่าวด้วยความละอายใจอย่างยิ่งว่า  ข้าควรจะจัดโต๊ะสุราให้กับพี่เยียน แต่ 300,000 ตำลึงเชียว มันหนักเสียจนข้าหายใจแทบมิออก ทำได้เพียงเปลี่ยนวันเท่านั้น พี่เยียนโปรดให้อภัยข้าด้วย ลาก่อน เดินทางปลอดภัย ข้าขอมิไปส่งก็แล้วกัน !  

…..

…..

 ปึง… !  

ทันทีที่ได้เข้ามาในโรงเตี๊ยม เยียนเหลียงเจ๋อที่อดทนมาเนิ่นนาน เขาก็ได้ทุบแก้วจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ใบหน้าของเขาแดงก่ำเพราะความเดือดดาล เครื่องหน้าทั้งห้าเริ่มบิดเบี้ยวเพราะโทสะ

 ฟู่เสี่ยวกวน เจ้ารังแกข้าเกินไปแล้ว !  

เปียนมู่หยูสูดลมหายใจเข้าลึก ใบหน้ามืดครึ้มจนน่ากลัวเช่นกัน

 องค์ชาย บุรุษสิบปีล้างแค้นก็ยังมิสาย ! กระหม่อมเข้าใจถึงความโกรธในพระทัยของพระองค์ในยามนี้เป็นอย่างดี แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันกลับมิใช่เวลาที่จะมาบันดาลโทสะพ่ะย่ะค่ะ 

 ข้าจะมิเจรจาแล้ว !  

 …มิเจรจาแล้วจะรายงานผลกับฝ่าบาทเยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ ?  

 ข้ามิเชื่อว่าหยูเวิ่นเทียนจะกล้าลงมืออีก !  

 องค์ชาย หยูเวิ่นเทียนมิจำเป็นต้องลงมืออีก แค่เพียงเขาได้ครองต้าชิวไว้ และติดตั้งปืนใหญ่หงอีไว้บนกำแพงเมือง ฝ่าบาทจะต้องมิให้อภัยพระองค์เป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ 

 ข้าทำอันใดผิดเยี่ยงนั้นหรือ การสู้รบแนวหน้า ข้าเป็นคนกลางที่สั่งโยกย้าย แล้วเหตุใดเสบียงของแนวหน้าจึงล่าช้าไปกัน คิดจะเล่นงานผู้ใดย่อมหาข้ออ้างมาได้เสมอ นี่ต้องเป็นฝีมือของตาเฒ่าชั่วอย่างเหมิงฉือที่ปลุกปั่นพรรคพวกเพื่อใส่ร้ายข้าเป็นแน่ !  

เปียนมู่หยูเงียบไปชั่วครู่ เหมิงฉือคืออัครมหาเสนาบดีของแคว้นอี๋ ส่วนบุตรสาวเหมิงซีเหยาก็เป็นถึงเสียนกุ้ยเฟยของฝ่าบาท และก็เป็นพระมารดาขององค์ชายรองเยียนหยุนซาน

นี่คือสงครามชิงดีชิงเด่น เดิมทีราชทูตที่จะต้องมายังราชวงศ์หยูในครานี้คือเหมิงฉือ แต่เขากลับผลักดันหน้าที่นี้ให้องค์ชายรองอย่างสุดกำลัง แต่ก็เป็นตนเองและสหายร่วมงานที่ร่วมมือกันเพื่อให้องค์รัชทายาทได้รับหน้าที่นี้ตอนที่ประชุมราชวงศ์

เดิมทีคิดว่านี่คือเรื่องที่จัดการได้ง่ายดายเป็นอย่างมาก แต่คาดมิถึงว่าจะถูกฆ่ากลางทาง โดยฟู่เสี่ยวกวนที่เดิมเขาสมควรตายไปแล้ว !

 องค์ชาย สถานการณ์ในปัจจุบันนี้ พวกเราทำได้เพียงเดินไปข้างหน้ามิอาจถอยได้แล้ว 

สุดท้ายเยียนเหลียงเจ๋อก็สงบลงจนได้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ  เห็นได้ชัดว่าฟู่เสี่ยวกวนเรียกร้องเงินสินบนอย่างโจ่งแจ้ง หากต้องการประจบประแจงเขาในที่ของเขา เยี่ยงนั้นก็ต้องนำเงิน 300,000 ตำลึงไปมอบให้อีก 

 รอพระองค์ได้ขึ้นครองบัลลังก์ เงิน 300,000 ตำลึงก้อนนี้ก็แทบจะมิมีค่าเลยมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ?  

เปียนหรงเอ๋อก้มหน้าหลบ และเอ่ยเสียงแผ่วว่า  ดูเหมือนว่าการพาเขาไปหงซิ่วจาวจะมิใช่เรื่องที่ง่ายดายแล้ว… ข้าได้ยินมาว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้มีจิตใจดี ข้าเองก็หน้าตาสะสวย มิเยี่ยงนั้น… ให้ข้านำเงินก้อนนี้ไปพบเขาดีหรือไม่ เพียงเขารับปากว่าจะไปหงซิ่วจาว ข้าคิดว่าการใช้ 300,000 ตำลึงเพื่อซื้อชีวิตของฟู่เสี่ยวกวน ก็คุ้มค่ามากเช่นกัน 

เปียนมู่หยูขมวดคิ้วขึ้นมาทันพลัน  เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น เกรงว่าเจ้าจะหนีเงื้อมมือของฟู่เสี่ยวกวนมิพ้นเสียด้วยซ้ำ !  

เปียนหรงเอ๋อครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะพยักหน้า  เพื่อภารกิจอันยิ่งใหญ่ขององค์ชาย หรงเอ๋อมิเป็นไร… และจะมิเสียใจอย่างแน่นอน 

…..

…..

วันรุ่งขึ้นฟู่เสี่ยวกวนได้ตื่นแต่เช้าตรู่ หลังจากที่ออกกำลังกายเสร็จแล้ว ก็ได้พาซูเจวี๋ย ทั้งยังนำทองห้าพัน ขึ้นรถม้าตรงไปยังวังหลวง

เขามิได้จะไปเข้าร่วมประชุมราชวงศ์ในตอนเช้า แต่กลับตรงไปพบขันทีเหนียนที่วังหลัง หลังจากนั้นก็ได้ตามขันทีเหนียนไปยังวังเตี๋ยอี๋

ยามที่ฮองเฮาซั่งได้เห็นทองที่เปล่งประกาย 2 กล่องใหญ่ก็ตกตะลึงไปชั่วอึดใจ  เจ้าไปปล้นที่ใดมากัน ?  

 ทูลท่านแม่ยาย กล่าวไปแล้วก็ถือว่าเป็นการปล้น เรื่องมันเป็นเยี่ยงนี้… 

ฟู่เสี่ยวกวนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้ฮองเฮาซั่งฟังโดยละเอียด และในตอนสุดท้ายก็กล่าวว่า  บุตรเขยคิดว่าการที่ได้สิ่งนี้มาเป็นเพราะอำนาจของพ่อตาและแม่ยาย ถึงแม้บุตรเขยในตอนนี้จะขาดแคลนเงินทองเป็นอย่างมาก แต่ก็มิอาจละเลยความกตัญญูที่ต้องมีต่อพ่อตาและแม่ยายได้พ่ะย่ะค่ะ 

ฮองเฮาซั่งหัวเราะขึ้นมา  ได้ยินเจ้ากล่าวเยี่ยงนี้ เดิมทีข้ายังคิดว่าจะมิเอาเปรียบสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเจ้า… ในเมื่อนี่คือความกตัญญูของเจ้า ข้าก็ขอน้อมรับเอาไว้… 

 ขันทีเหนียน นำทอง 2 กล่องนี้เข้าเป็นเงินของท้องพระคลัง ส่วนที่มาบันทึกไว้ว่า ความกตัญญูของบุตรเขยของข้า 

 กระหม่อมรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ !  

ขันทีเหนียนอุ้มทองสองกล่องแล้วเดินจากไป ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้รู้สึกวูบโหวงอยู่ในใจ

 ทำไม เสียดายเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 อ่า… มีเหตุผลอันใดที่ต้องเสียดายกันพ่ะย่ะค่ะ !  

 นั่งลง อยู่สนทนากับข้าก่อน 

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงตรงข้ามกับฮองเฮาซั่ง ฮองเฮาซั่งต้มน้ำชา และกล่าวว่า  มีเรื่องที่เจ้าต้องทราบ… ตามข่าวที่ได้จากหอซี่หยู่ที่ส่งมาจากแคว้นฮวง ท่าป๋าเฟิงได้รื้อถอนกองกำลังแปดธง และรวมพลังทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียว และได้สร้างกองทัพที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากขึ้นมา มีนามว่า ‘ดาบสวรรค์’ กองทัพมีขนาดใหญ่ถึง 400,000 คน 

 นี่เป็นข่าวที่มิดีเอาเสียเลย นั่นหมายความว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากที่ท่าป๋าเฟิงจะครองทางใต้ไว้ทั้งหมด แต่กองทัพชายแดนเหนือในปัจจุบันนี้สูญเสียกำลังพลราว 100,000 คนไปกับการต่อสู้ที่ภูเขาผิงหลิง อีกทั้งยังมิสามารถเติมกำลังทหารได้ หากชาวฮวงลงมาทางใต้ในยามนี้จริง ๆ… ที่ข้ากังวลก็คือต่อให้เผิงเฉิงอู่มีทหารสนับสนุนที่ด่านภูเขาเยี่ยน ก็คงจะเป็นการยากที่จะต้านทหารม้าของชาวฮวงได้ 

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้นทันพลัน ท่าป๋าเฟิงเป็นบุคคลโดดเด่น ยามนั้นตนเองได้ใช้อำนาจคุกคามเขา แต่นั่นกลับเป็นการกระตุ้นให้เขารวมอำนาจ ดูแล้วควรจะให้ดาบเทวะไปตัดหญ้าอยู่ตลอดเวลาเสียแล้ว

และในปัจจุบันนี้เพิ่งจะมีการผลักดันการบริหารใหม่ของราชวงศ์หยู เรียกได้ว่าเป็นการเสียหายอย่างยิ่งและรอการฟื้นฟู ต่อให้กองทัพชายแดนเหนือเกณฑ์ทหารในตอนนี้ ก็ต้องใช้เวลาค่อนข้างนานในการฝึกทหารหน้าใหม่ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจเป็นอย่างดีว่าท้องพระคลังของราชวงศ์หยูนั้นว่างเปล่า อีกทั้งเรื่องนี้ก็มิสามารถแก้ไขได้ด้วยทองเพียงมิกี่พันตำลึง

ฮองเฮาซั่งรินชาให้กับฟู่เสี่ยวกวนหนึ่งจอก และเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า  พระพักตร์ของฝ่าบาทบางไปเสียหน่อย เอ่ยปากขอปืนคาบศิลาจากเจ้าเพียงแค่ 30,000 กระบอกเท่านั้น แต่ในระยะยาวย่อมมิเพียงพอ ดังนั้น… 

ฮองเฮาซั่งเงยหน้าขึ้นมองดูฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนระวังจนตัวสั่น สองสามีภรรยาคู่นี้คิดจะโกงลูกเขยกันเยี่ยงนี้เลยหรือ ?

เป็นไปตามนั้น ฮองเฮาซั่งกล่าวยิ้ม ๆ ว่า  ต่างก็เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ข้าในฐานะแม่ยายก็ขอมิเกรงใจเจ้าแล้วกัน ต่างก็เพื่อแคว้นต้าหยูใช่หรือไม่เล่า ?  

 เชิญท่านแม่ยายบอกจำนวนมาได้เลย !  

 ข้าชื่นชอบวิสัยทัศน์ของเจ้าที่มองสถานการณ์โดยรวมเสียจริง 

หมวกของผู้มองสถานการณ์โดยรวมถูกสวมใส่ลงบนหัวของฟู่เสี่ยวกวน ฮองเฮาซั่งก็ได้กล่าวขึ้นมาอีกครา  100,000 กระบอก ทั้งนี้เจ้ายังต้องให้ทางสำนักอาวุธปืนซีซานผลิตมากขึ้นอีกเล็กน้อย เพื่อความพร้อมในทุกกรณี 

ดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนเบิกโพลง 100,000 กระบอก… ต้นทุน 1 กระบอกอยู่ที่ 3 ตำลึง ทั้งหมดเป็นเงิน 300,000 ตำลึงพอดิบพอดี หรือว่าจะมีสายลับของหอซี่หยู่อยู่ในจวนกัน ?

 อย่าได้รู้สึกปวดใจ บุตรของเจ้าเองก็จะคลอดในผืนปฐพีของราชวงศ์หยู เจ้าคงมิอยากให้ยามที่บุตรของเจ้าคลอดออกมาแล้วพบเจอกับฉากสงครามที่บ้าคลั่งและทุกอย่างเป็นเถ้าถ่านหรอกนะ 

นี่… เหมือนว่าจะสู้แม่ยายผู้นี้มิได้อย่างแท้จริง !

 นี่มิใช่ว่าข้าเสียดายอะไร แต่เป็นเพราะกำลังการผลิตมีจำกัด 1 วันสามารถผลิตได้มากสุดเพียงแค่ 3,000 กระบอกเท่านั้น ข้ากล่าวได้เพียงว่าทุกชิ้นที่ผลิตออกมาในทุกเดือน จะถูกส่งไปยังกองทัพชายแดนตะวันออกทั้งหมด 

 บุตรีของข้าเวิ่นหวินมิได้มองเจ้าผิดไปอย่างแท้จริง !  

ฟู่เสี่ยวกวนดื่มชาถ้วยนี้หมดในคราเดียว 300,000 ตำลึงหายไปแล้ว ชานี้จะต้องรีบดื่มให้หมดแล้วรีบกลับเสียดีกว่า

 ท่านแม่ยาย บุตรเขยยังมีงานราชการที่กรมการค้า ต้องขอตัวลาก่อน !  

 อือ ธุระเป็นเรื่องเร่งด่วน เจ้าไปเถอะ 

ฟู่เสี่ยวกวนถอยเท้าและเดินออกมา แต่แล้วฮองเฮาซั่งก็ได้กล่าวตามหลังขึ้นมาว่า  บุตรเขยเอ๋ย จงจำไว้ว่าต้องพาเวิ่นหวินกลับมาเยี่ยมข้าและฝ่าบาทให้บ่อยด้วยจึงจะดีที่สุด 

ฟู่เสี่ยวกวนเดินเซไปมาเล็กน้อย และรีบหนีเตลิดไปทันที

พระนาง… รังแกกันเกินไปแล้ว !

 

ตอนที่ 476 พวกเรามาสนทนาเรื่องนี้กันก่อน

 อ่า..พี่เยียน โบราณว่าผู้มาก่อนต่ำต้อย มาทีหลังเป็นสุภาพบุรุษ ท่านเข้าใจใช่หรือไม่ ? มา ๆ ๆ เชิญนั่งก่อนเถิด ที่นี่จวนของข้าอย่าได้เกรงใจไป มิตรสหายมาจากแดนไกล ข้าจะต้มชาที่สดใหม่ให้ท่านได้ดื่ม 

ข้าจะเชื่อเจ้าได้เยี่ยงนั้นหรือ !

เจ้าหมอนี่มีแต่ความคิดที่ชั่วร้าย ต้องระมัดระวังมิให้หลงกล !

เยียนเหลียงเจ๋อนั่งอยู่ที่ทางด้านซ้ายของฟู่เสี่ยวกวน บัดนี้ใต้แสงไฟเขาจึงได้มองเห็นหน้าตาอันหล่อเหลาของเจ้าหมอนี่

แต่เเล้วเขาก็ต้องตกตะลึงจนแทบจะกระโดดหนี !

พระเจ้า ! นี่คือชายหนุ่มที่เจอกันหน้าหอซื่อฟางเมื่อมิกี่วันก่อนมิใช่หรือ ?

ในตอนนั้นฟู่เสี่ยวกวนได้เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าเขา อีกทั้งยังมองดูเขาอย่างตั้งใจ เขาเองก็มองดูฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทางประหลาดใจเช่นกัน คิดมิถึงว่าเจ้าหมอนี่จะเป็นชายหนุ่มที่พบกันหน้าหอซื่อฟางในวันนั้น !

เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักตน นับจากค่ำคืนนั้น เหตุที่เขามิยอมให้เข้าพบก็เพื่อทอง 10,000 ตำลึงเยี่ยงนั้นหรือ ?

เยียนเหลียงเจ๋อนึกถึงรายงานที่มาจากราชวงศ์อู๋ เล่าว่าเจ้าหมอนี่ตอนที่อยู่ในราชวงศ์อู๋ได้ขูดเลือดขูดเนื้อขันทีเกา มองดูแล้วคงจะจริงที่ว่าเจ้าหมอนี่เป็นคนโลภมากมิรู้จักพอ !

ส่วนเรื่องมักมากในกามนั้น บัดนี้เขามีภรรยาที่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่งถึง 3 คนอีกทั้งยังมีโฉมหน้างดงาม เกรงว่าจะมิกล้าออกนอกลู่นอกทางเท่าใดนัก

แต่สุนัขกินขี้เยี่ยงไรมันก็ยังกินขี้อยู่วันยังค่ำ จะต้องหาโอกาสหลอกล่อเขาให้ได้ เพียงแค่เจ้าหมอนี่ยอมไปหงซิ่วจาว รับรองว่าจะต้องมีคนจัดการเขาได้เป็นแน่

เยียนเหลียงเจ๋อตัดสินใจเช่นนั้น แล้วพยายามควบคุมความไม่สงบที่อยู่ภายในใจลง เขาได้ฝืนยิ้มขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า  ข้านั้นได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือของท่านมาเนิ่นนานแล้ว และรู้สึกชื่นชมท่านจากใจจริง ประสงค์จะเดินทางมาเยี่ยมเยียนท่านตั้งหลายครา เพียงแต่ท่านมีเรื่องต้องจัดการเสียมากมาย จึงทำให้เวลาล่วงเลยมาจนถึงบัดนี้ 

ฟู่เสี่ยวกวนต้มชาพลางหัวเราะแล้วเอ่ยว่า  ที่ข้ามีเรื่องมากมายให้จัดการนั้นเป็นเรื่องจริง ส่วนเรื่องเวลานั้น…เยี่ยงไรเสียก็สามารถปลีกเวลามาได้บ้าง เช่นบัดนี้ เดิมทีข้าควรต้องพักผ่อนแล้ว แต่เมื่อได้ยินว่าพี่เยียนจะมา จึงต้องตื่นเพื่อรอต้อนรับ 

เยียนเหลียงเจ๋อรีบเอ่ยขึ้นทันควันว่า  ข้าได้ยินมาว่าคุณชายคือหัวหน้าในการ… 

ฟู่เสี่ยวกวนยกมือขึ้นตบไหล่เยียนเหลียงเจ๋อแล้วยื่นหน้าเข้าไป จากนั้นจึงเอ่ยถามด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์  ข้าได้ยินมาว่าสตรีที่แคว้นอี๋นั้นอ่อนไหวในเรื่องความรัก มีมารยาร้อยเล่มเกวียน จริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

เจ้ามันบ้าไปแล้ว !

เยียนเหลียงเจ๋อได้ยินคำถามเมื่อสักครู่ทำให้เขาไร้ซึ่งคำเอ่ย จึงได้แต่ยิ้ม  อ่า คือ… 

 พวกเราล้วนเป็นชาย มาสนทนาเรื่องนี้กันอีกสักหน่อยจะดีกว่า แคว้นอี๋นั้นข้าเองก็ยังมิเคยเดินทางไป แต่พอได้ยินมาอยู่บ้าง ทำให้ในใจของข้าคันยุกยิก ในเมื่อวันนี้พี่เยียนเดินทางมาพอดี เยี่ยงนั้นต้องขอเชิญท่านอธิบายให้ฟังเสียหน่อย ข้าจะได้หายข้องใจเสียที 

เปียนหรงเอ๋อที่นั่งอยู่ด้านข้างเยียนเหลียงเจ๋อ นางได้ยินเสียงของฟู่เสี่ยวกวนชัดเจน สีหน้าของนางเคร่งขรึมลงทันใด นางหรี่ตาลงมองดูฟู่เสี่ยวกวน ท่าทางเช่นนั้นทำให้นางรู้สึกสะอิดสะเอียนยิ่ง นางลอบนึกในใจว่าเจ้าหมอนี่ช่างมีดีแต่เพียงหน้าตาจริง ๆ

 สตรีแคว้นอี๋หลงใหลในความรักนั้นเป็นเรื่องจริง 

 หากพวกนางรักใครแล้ว ก็จะรักตลอดไปชั่วชีวิตใช่หรือไม่ ?  

 โดยมากเป็นเช่นนั้น 

 แล้วถ้า…คนที่พวกนางชอบมิได้ชอบพวกนางเล่า ?  

 อ่า… เรื่องนี้ข้าจะไปรู้ได้เยี่ยงไรกัน 

ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังเปียนหรงเอ๋อ ยิ้มแล้วตอบว่า  แม่นางผู้นี้จะอธิบายให้ข้าหายข้องใจสักหน่อยได้หรือไม่ ?  

 หึ… !   เปียนหรงเอ๋อส่งเสียงหึ ๆ ออกมาจากจมูก แสดงออกอย่างชัดเจนว่านางมิชื่นชอบฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนนำมือขึ้นลูบจมูกอย่างมิได้ใส่ใจในการกระทำของนาง  แม่นางช่างน่าสนใจยิ่ง…นางคือภรรยาของพี่เยียนเยี่ยงนั้นหรือ ?  

เยียนเหลียงเจ๋อตกตะลึงขึ้นมาทันใด  อ่า… มิใช่ !  

 อ่า… !   ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังเยียนเหลียงเจ๋ออย่างมีความหมายแล้วยกนิ้วโป้งให้กับเขา กล่าวว่า  ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจดี ! พี่เยียนช่างมีแววตาล้ำลึกยิ่ง อีกทั้งยังมีความชื่นชอบที่มิเลวเสียทีเดียว ยอดเยี่ยมยิ่ง !  

ไม่สิ ข้าเป็นเยี่ยงไรหรือ ?

ในด้านของเปียนหรงเอ๋อหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันพลัน จากนั้นเมื่อได้ตั้งใจฟังอีกคราหนึ่งจึงรู้ว่านี่มิใช่คำชม เจ้าฟู่เสี่ยวกวนเห็นตนเป็นสตรีเยี่ยงไรกัน ?

นางรู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมาก และกำลังจะเอ่ยปากออกไปต่อว่า แต่เปียนมู่หยูได้ยื่นมือมาตบไหล่ของนางแล้วหัวเราะพร้อมกับกล่าวว่า  คุณชายฟู่ ทองเหล่านั้นเป็นทองจริง พวกเราได้ทำการพิสูจน์ดูเรียบร้อยแล้ว พวกเราจะ… 

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวขัดจังหวะเขาว่า  เจ้าเป็นผู้ใดกัน ?  

 อ่า… ข้าน้อยเป็นรองหัวหน้าคณะทูตเจรจาในครานี้ นามว่าเปียนมู่… 

 เปียนมู่…ชื่อเจ้านั้นช่างน่าสนใจยิ่ง แต่ในเมื่อเจ้าคือรองหัวหน้าคณะเจรจา เจ้าก็ควรจะไปพบรองหัวหน้าคณะเจรจาของข้า ส่วนตัวข้านั้นคือหัวหน้าทูต ข้าจะเจรจาเฉพาะหัวหน้าทูตเท่านั้น… พี่เยียน ท่านคือหัวหน้าทูตใช่หรือไม่ ?  

เปียนมู่หยูนั่งลงตามเดิม เขามีท่าทีหนักใจ เกรงว่าเรื่องนี้จะจัดการยากเสียแล้ว

 ข้าเป็นหัวหน้าทูต 

 บ่าวรับใช้ของท่านช่างมิรู้จักกาลเทศะเสียจริง ! กลับไปควรสั่งสอนเขาเสียบ้าง ผู้อาวุโสควรจะยิ่งรู้จักความนอบน้อม หากชราอย่างเดียวแล้วทำอวดเบ่ง พี่เยียน หากว่าข้าเป็นท่านข้าคงจะหันไปตบเขาสักฉาดแล้ว !  

เปียนหรงเอ๋อเริ่มทนไม่ไหว  เจ้า… !  

 อย่ามาชี้หน้าข้า ในเมื่อเจ้าคือเนื้ออันโอชะของพี่เยียน ข้าเห็นแก่หน้าพี่เยียน ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกสักครา จงนำมือของเจ้า… หด กลับ ไป เสีย !  

ขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวคำนี้เขาก็ได้มองไปทางเปียนหรงเอ๋อ สีหน้าของเขาไร้ซึ่งรอยยิ้มใด ๆ เปียนหรงเอ๋อสัมผัสได้ว่าแววตานั้นช่างเยือกเย็นมากยิ่งนัก !

นางได้เชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าหากนางมิหดนิ้วกลับไป ฟู่เสี่ยวกวนอาจจะตัดนิ้วนางจริง ๆ

ฟู่เสี่ยวกวนก็คิดแบบนั้นเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่เปียนหรงเอ๋อใจมิกล้าพอ

 อือ เจ้าทำถูกแล้ว อ่า…ข้าเกือบจะลืมไป น้องหกของเจ้าที่ชื่อว่าเยียนหานยวี่อะไรนั่นก็เป็นเพราะนำมือชี้หน้าของข้า ข้าจึงตัดแขนเขาไปข้างหนึ่ง… พี่เยียน ข้ามิชอบให้ผู้ใดมาชี้หน้า มันจะทำให้ข้าอารมณ์เสีย ดังนั้นเมื่อท่านกลับไปช่วยบอกกับเยียนหานยวี่ให้ข้าทีว่า… ว่า…ข้ามิได้ตั้งใจ 

เขาจะเอ่ยเรื่องอื่นขึ้นมาเนื่องด้วยเหตุใดกัน ?

เยียนเหลียงเจ๋อพยักหน้าตอบ เขาอยากจะวกกลับมาเอ่ยถึงวัตถุประสงค์ในวันนี้ แต่เมื่อเขาจะเอ่ยปากขึ้นมาอีกครา คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนก็ได้กล่าวขึ้นมาอีก ใบหน้าอันเยือกเย็นของเขา บัดนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับว่าเรื่องเมื่อครู่มิเคยเกิดขึ้น

 พี่เยียน ท่านเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมืองจินหลิง ในฐานะเจ้าถิ่น ข้าจะต้องแสดงความเป็นมิตรสักหน่อย ในวันพรุ่งนี้ข้าจะพาท่านไปเดินชมรอบเมือง อาทิเช่น หลานถิงจี๋ ที่หินเชียนเปยสือนั้นมีบทกวีของข้าจารึกไว้ถึง 8 บท ได้ยินมาว่าแคว้นอี๋ยังมิได้พัฒนาด้านวรรณกรรม ท่านจงท่องจำแล้วนำไปเผยแพร่ให้แก่บัณฑิตที่มีความสนใจในวรรณกรรมที่แคว้นอี๋เถิด 

 อีกอย่างหนึ่ง ที่เมืองจินหลิงมีสถานที่ที่งดงามอยู่มากมาย กว่าพี่เยียนจะได้เดินทางมาที่นี่มิใช่เรื่องง่าย ดังนั้นก็ควรจะไปดูเสียหน่อย เช่น วัดฟูจื่อ หยี่ฮวาถาย แม่น้ำฉินหวายเป็นต้น 

เยียนเหลียงเจ๋อหัวเราะออกมา  ข้านั้นได้ยินมาว่าที่แม่น้ำฉินหวายมีหงซิ่วจาว ซึ่งน่าสนใจเสียทีเดียว หากท่านมีเวลา พอจะพาข้าไปฟังทำนองที่นั่นได้หรือไม่ 

ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาให้เยียนเหลียงเจ๋อ เขายิ้มแล้วกล่าวว่า  อ่า ก็ย่อมได้ เพียงแต่ว่า… 

อยู่ ๆ เขาก็นำมือตบลงไปที่หัวเข่า ทำให้เยียนเหลียงเจ๋อตกใจขึ้นมาทันพลัน  เพียงแต่อันใดกัน ?  

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมา  ดูข้าสิ ข้าลืมไปเสียสนิทเลยว่าวันพรุ่งนี้ข้าจะต้องเดินทางไปหนานซาน พี่เยียนรู้จักหนานซานหรือไม่ ? ข้าลงทุนสร้างอุตสาหกรรมที่นั่นไปกว่าหนึ่งล้านตำลึง บัดนี้พวกเขาทั้งหลายกำลังทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง ในวันนี้มีรายงานมาว่า ต้องการเงินอีกจำนวน 300,000 ตำลึง… 

เขานำมือลูบไปที่ศีรษะของตนเองแล้วมองไปยังเยียนเหลียงเจ๋อ  พี่เยียน เงินจำนวน 300,000 ตำลึงสำหรับท่านนั้นมิมาก แต่สำหรับข้าที่เป็นเพียงพ่อค้าที่ดินธรรมดา ๆ…มันเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวมากยิ่งนัก 

 วันนี้เวลาได้ล่วงเลยมานานมากโขแล้ว พี่เยียนกลับไปก่อนดีกว่าหรือไม่ ข้ายังต้องหาวิธีที่จะนำเงิน 300,000 ตำลึงมาไว้ในมืออีก 

 …แล้วเรื่องการเจรจา ?  

 มิรีบ มิรีบ !…   ฟู่เสี่ยวกวนหันไปตะโกนว่า  เสี่ยวหลีจื่อ ส่งแขก !  

 

ตอนที่ 475 เกรงใจพี่เยียนแล้ว

หูซานเถียวสูบยาสูบเข้าไป และพ่นควันสีขาวออกมา

 ขณะนี้พวกท่านต้องการแลกเปลี่ยน 10,000 ตำลึงทองเยี่ยงนั้นหรือ ?  

เปียนมู่หยูพยักหน้า  เป็นเช่นนั้น 

 จำเป็นต้องมีการตรวจสอบตั๋วแลกเงิน 100,000 ตำลึง และต้องใช้เวลานานอย่างมาก เหตุใดพวกท่านมิมาใหม่ในวันพรุ่งนี้กันเล่า ?  

 หลงจู๊ใหญ่ พวกข้าต้องการใช้อย่างเร่งด่วน 

ธนาคารเป่าหลงมีความน่าเชื่อถือเป็นอันดับที่หนึ่งในราชวงศ์หยู เนื่องจากในมือของพวกเขามีตั๋วเงินของธนาคารเป่าหลง หูซานเถียวจึงมิมีเหตุผลอันใดที่จะปฏิเสธอีก

ดังนั้นเขาจึงกล่าวเพียงว่า  เมื่อเป็นเช่นนี้ เยี่ยงนั้นก็จัดการให้ตรวจตั๋วเถอะ 

เปียนมู่หยูส่งตั๋วแลกเงิน 1,000 ตำลึง 100 ใบไปให้หูซานเถียว หูซานเถียวย่อมมิกล้าประมาท หากพวกเขานำตั๋วเงินปลอมเข้าไปปะปน เขาจำเป็นต้องชดใช้แทนชายผู้นั้น

ใช้เวลาครึ่งชั่วยามในการตรวจสอบ เปียนมู่หยูและคนอื่น ๆ ต่างก็กระสับกระส่าย หูซานเถียวได้ลงมือตรวจสอบตั๋วแลกเงิน 100 ใบ

ในที่สุดเปียนมู่หยูก็ได้รับทองมาจนเต็ม 4 กล่อง

พวกเขานำกล่องทั้งสี่ขึ้นไปบนรถม้า กลายเป็นรถม้าที่ใช้ขนทองไปเยี่ยงที่คิดแล้ว

หลานข่ายขับรถม้าด้วยตนเอง เปียนมู่หยูและเยียนเหลียงเจ๋อทั้งยังมีเปียนหรงเอ๋อนั่งอยู่ด้านหลังของรถม้า และได้ตรงไปยังจวนฟู่

 ใช้เงิน 100,000 ตำลึงเพื่อขอพบฟู่เสี่ยวกวนหนึ่งครา… ความโลภของคนผู้นี้มีมากมายนัก !  

 องค์ชาย เรื่องนี้ควรมองเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ แม้แต่ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ชอบทอง นั่นแสดงให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมของขุนนางในราชวงศ์หยู นี่ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับราชวงศ์ของเรา ในปัจจุบันนี้แคว้นของเรารบแพ้ แม่ทัพใหญ่เฟิงเสียนชูก็ถูกคุมขัง เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ราชสำนักมีต่อตัวองค์ชายก็แย่ขึ้นทุกวัน 

 พวกเราในตอนนี้จะสูญเสียมิได้ พวกเราได้จากแคว้นอี๋มาที่นี่ก็สองเดือนกว่าแล้ว องค์ชายควรทราบว่าได้เกิดเสียงแตกแยกขึ้นมาในราชสำนักแล้ว เสียงเหล่านั้นต่างก็ลอบชี้มาทางพระองค์ มิมีรูย่อมมิมีลม พวกเราต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้แล้ว ดังนั้นพวกเราต้องกลับแคว้นให้เร็วที่สุด 

 จำต้องช่วยแม่ทัพใหญ่เฟิงออกมาให้จงได้ ต้องทำให้พายุในราชสำนักสงบลง ต้องเรียกคืนความสนใจจากฝ่าบาท และต้องวางรากฐานขององค์รัชทายาทให้มั่นคง… ทั้งหมดนี้ เกี่ยวข้องกับอนาคตของพระองค์ องค์ชายมิเหมือนกับฟู่เสี่ยวกวน พระองค์ยังมีพี่ชายน้องชายอีกหลายพระองค์ ต่างก็เป็นญาติที่จัดการได้มิง่ายดายเลย หลายวันมานี้ที่พระองค์มิได้อยู่ในราชสำนักจะมีแมลงเม่าก่อเรื่องอันใดขึ้นมาหรือไม่ก็มิอาจรับรู้ได้ 

เยียนเหลียงเจ๋อเงยหน้าถอนหายใจ เขาทราบเรื่องเหล่านี้ดี เดิมทีเขาคิดว่าเรื่องในราชวงศ์หยูนี้จะเสร็จสิ้นภายในสามถึงห้าวันแล้วก็จะเดินทางกลับไปยังแคว้น แต่เขามิคาดคิดมาก่อนว่าฟู่เสี่ยวกวนที่เป็นทูตเจรจาของฝั่งราชวงศ์หยูจะมิออกไพ่ตามทำนองคลองธรรม

เมื่อมาคิดในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ต้องการใช้โอกาสนี้มาสร้างรายได้ !

ก็ถือเสียว่าเป็นการเสียทรัพย์เพื่อขจัดภัยพิบัติไปเถอะ

 แต่ก็หวังว่าชายผู้นี้จะรับทองเหล่านี้ไปเพื่อที่พรุ่งนี้จะสามารถเริ่มเจรจาได้เสียที… ได้ยินมาจากน้องหกของข้าว่า เยียนหานยวี่ผู้นั้นได้ผูกมิตรกับฟู่เสี่ยวกวนยามที่อยู่ราชวงศ์อู๋ น้องชายผู้นี้…ข้าละเลยเขาเกินไปแล้ว 

เปียนมู่หยูเงียบไปชั่วอึดใจแล้วกล่าวว่า  เรื่องนี้ค่อนข้างมีลับลมคมใน เดิมทีองค์ชายหกนั้นโง่เขลา แต่คาดมิถึงว่าเขาในวันนี้กล้าที่จะเล็งตำแหน่งองค์รัชทายาท ย่อมมีคนใหญ่คนโตคอยกำกับอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ กระหม่อมได้ยินมาว่าพระมารดาของเขาได้เชิญอาจารย์ท่านหนึ่งมาที่สำนักศึกษาอู๋ทง มีนามว่าจี้หยุนกุย กล่าวกันว่าตั้งแต่ที่คุณชายจี้ผู้นั้นมายังสำนักศึกษาอู๋ทง แม้แต่พระสนมเองก็มักจะไปเยี่ยมเยียนอยู่บ่อยครั้ง และว่ากันว่าคนผู้นี้มีความสามารถที่สูงส่ง มีภูมิปัญญาที่โดดเด่นกว่าคนทั่วไป… พระองค์ควรจะพิจารณาคนผู้นี้ให้ดี 

ดวงตาของเยียนเหลียงเจ๋อทอประกายโหดเหี้ยม เขาสังเกตจี้หยุนกุยผู้นี้มาเนิ่นนานแล้ว แต่จนถึงบัดนี้ก็ยังคว้าอันใดมิได้

 ประวัติของคนผู้นี้ค่อนข้างประหลาด ย่อมต้องตรวจสอบ…  เสียงของเยียนเหลียงเจ๋อแผ่วเบา เงียบอยู่เนิ่นนานแล้วจึงกล่าวขึ้นมาอีกว่า  ท่านเปียน ในความคิดของท่าน ราชวงศ์หยูในตอนนี้ยังคงส่งปืนใหญ่หงอีไปทางตะวันออก เป็นไปได้หรือไม่ว่าราชวงศ์หยูยังคิดจะก่อสงครามอยู่อีก ?  

เปียนมู่หยูครุ่นคิดแล้วตอบว่า  เมื่อวานกระหม่อมได้แอบติดต่อกับเซวี๋ยไคเหลียน เพราะอยากจะเข้าใจว่าเจตนาในท้ายที่สุดของราชวงศ์หยูคืออะไร ?  

 เซวี๋ยไคเหลียนกล่าวว่าเยี่ยงไรบ้าง ?  

 เขากล่าวว่า… เยี่ยงไรเสียก็เป็นเพียงการแสดงเท่านั้น โดยมากจะเป็นแผนหลอกลวงของฟู่เสี่ยวกวน ตามคำเอ่ยของเซวี๋ยไคเหลียนแล้ว เบื้องหน้าของราชวงศ์หยูที่มั่งคั่งกลับมีท้องพระคลังที่ว่างเปล่า น่าเสียดายยิ่ง หากกองทัพของข้าสามารถสกัดกองทัพชายแดนตะวันออกได้เป็นเวลา 3 เดือน ย่อมทำลายราชวงศ์หยูได้เป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้นผู้ที่จะขอเจรจาสันติ… ก็คงจะเป็นราชวงศ์หยูแล้ว 

เยียนเหลียงเจ๋อลอบถอนหายใจ ความพ่ายแพ้ของศึกครานี้ ดันมาพ่ายแพ้ให้กับปืนใหญ่หงอีที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้สร้างขึ้นมา !

หากมิมีศาสตราเทพนั่น ต่อให้เป็นกองทัพชายแดนใต้ของหยูชุนชิวที่ราชวงศ์หยูส่งมา ต่อให้แม่ทัพใหญ่เฟิงพ่ายแพ้ แต่ในท้ายที่สุดก็ยังสามารถปกป้องเมืองฮั่วหลานเอาไว้ได้

เพียงสามารถปกป้องเมืองฮั่วหลานไว้ได้สองถึงสามเดือน แนวหลังของราชวงศ์หยูย่อมไร้หนทางที่จะไปต่อ มิว่าเยี่ยงไรพวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้

กองทัพของแคว้นหยูใช้เพียงปืนใหญ่หงอีก็สามารถครองเมืองหลานหลิงได้แล้ว และได้อาศัยปืนใหญ่หงอีดันทัพใหญ่ของแคว้นอี๋กลับไปยังที่ราบสีหม่า ต่อจากนั้นก็ใช้ของสิ่งนี้ทำลายประตูเมืองฮั่วหลาน ทั้งยังทะลวงเมืองยุทธศาสตร์อย่างต้าชิวไปด้วย !

ฟู่เสี่ยวกวนเจ้าคนชั่ว ถึงแม้เขาจะมิได้เข้าร่วมสงครามทางตะวันออก แต่เขากลับส่งผลกระทบถึงสถานการณ์ศึกทางตะวันออกเสียมากมาย จนทำให้เกิดสถานการณ์ในตอนนี้ จนเขาต้องซ่อนหน้าตนเองเอาไว้ในห่อผ้า และนำทองหนึ่งคันรถม้านี้ไปขอร้องเขา

มารดามันเถอะ !

เยียนเหลียงเจ๋อมิสามารถจะสงบใจได้ รู้สึกว่าความอัปยศนี้ราวกับก้างปลาที่ติดอยู่ในลำคอ กลืนก็มิลง จะพ่นออกมาก็มิได้ อึดอัดเสียจนทรมานมากยิ่งนัก

 องค์ชายเป็นผู้สูงส่ง ต้องให้ความสำคัญกับสถานการณ์ของแคว้นอี๋ อย่าให้ฟู่เสี่ยวกวนเพียงคนเดียวทำให้พระองค์เสียสติปัญญาไป 

เปียนมู่หยูจดจ้องใบหน้ามืดครึ้มของเยียนเหลียงเจ๋อและเอ่ยเตือนหนึ่งประโยค

เยียนเหลียงเจ๋อถอนหายใจเสียยาวเหยียด แล้วจึงพยักหน้า

สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ คือจบการเจรจาให้เร็วที่สุด และกลับแคว้นให้เร็วที่สุด จะต้องวางรากฐานของตำแหน่งองค์รัชทายาทให้มั่นคง ช่วยแม่ทัพใหญ่เฟิงเสียนชูออกมา เอาชนะใจเหล่าขุนนาง และรอขึ้นครองบัลลังก์อย่างสงบ

เมื่อถึงเวลานั้น… ข้าจะควบม้าออกศึกด้วยตนเอง !

……

……

งานเลี้ยง ณ จวนฟู่ได้จบลงแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนและซูเจวี๋ยนั่งรับลมในศาลาเถาหราน ซูซูหันหน้ามองออกไปยังทะเลสาบซวนอู่ที่มืดมิด ซูโหรวยังคงปักผ้าอยู่ดังเดิม เหล่าภรรยาของเขาได้กลับไปที่ห้อง เพื่อเตรียมพักผ่อนแล้ว

 ศิษย์พี่ใหญ่ ชวงหานเยวี่ยหมิงที่ท่านทำสามารถพลิกตลบปรมาจารย์ได้ ตอนที่ปะทะกับเหมียวเสี่ยวเสี่ยวอะไรนั่นที่ผิงหลิง เหตุใดท่านจึงมิใช้ยาพิษนั่นกัน ?  

ซูเจวี๋ยขยับหมวก ด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง  เพราะที่ตัวข้ามิมีแล้ว 

ฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างเสียใจ  ของที่ดีแบบนั้นท่านต้องหาเวลาทำออกมาให้เยอะขึ้นอีกหน่อย ที่ตัวข้าเองก็มิมีแล้วเช่นกัน 

ซูเจวี๋ยจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างขมขื่น  ของสิ่งนี้… มิได้ทำออกมาได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น กลั่นออกมาได้ 3 เม็ด หนึ่งเม็ดใช้กับท่านอาจารย์ไปแล้วกับการทดลองคราแรก 2 เม็ดจากนั้นก็ได้มอบให้เจ้าแล้ว 

อ่า… ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมาด้วยความไม่สบายใจ หากรู้ว่าของสิ่งนี้ล้ำค่ามากถึงเพียงนี้ ก็มิควรจะนำมาใช้กับมดที่เจอในหลานถิงจี๋เมื่องานเทศกาลโคมไฟเมื่อปีที่แล้วเลย

หลี่เจิ้งวิ่งตึงตังเข้ามา ด้วยใบหน้าเริงร่า  คุณชายขอรับ สามคนที่มาเมื่อครู่ได้มาอีกคราแล้ว แต่ครานี้ได้เพิ่มมาอีกหนึ่งคน และได้นำรถม้ามาด้วย กล่าวว่า…ได้นำทองมาแล้วขอรับ 

ฟู่เสี่ยวกวนสะบัดมือ  พาพวกเขาเข้ามา !  

พวกเยียนเหลียงเจ๋อในที่สุดก็ได้เดินเข้ามาจวนฟู่เสียที โดยมีหลี่เจิ้งนำทางพวกเขา เข้ามาจนถึงศาลาเถาหราน

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืนและหัวเราะร่า  พี่เยียน เกรงใจเกินไปแล้ว มา ๆ ๆ เชิญนั่งก่อนเถิด… เสี่ยวหลีจื่อ ไปตรวจสอบเสียหน่อยว่าทองเหล่านี้เป็นของจริงหรือไม่ !  

เยียนเหลียงเจ๋อที่เพิ่งจะแย้มยิ้มก็เป็นอันต้องชะงักลง และแทบจะกระอักเลือดออกมา

 

ตอนที่ 474 ทองเต็มรถม้า

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้นแล้วได้ยกยิ้มขึ้นมา กำชับหลี่เจิ้งว่า  เจ้าจงไปบอกกับเขาว่าข้ามิอยู่ 

หลี่เจิ้งชะงักลง เนื่องจากคุณชายมิเคยปฏิเสธผู้ใดมาก่อน เยียนเหลียงเจ๋อคือผู้ใดกัน ? หรือเขาจะทำให้คุณชายขุ่นเคืองใจ จึงได้เดินทางมาขอโทษกัน ?

 ข้าน้อยจะไปบัดเดี๋ยวนี้ !  

 ช้าก่อน…  ฟู่เสี่ยวกวนเรียกให้หลี่เจิ้งหยุดลง  หากเขาเอ่ยถามว่าข้าชื่นชอบสิ่งใด เจ้าจงบอกว่าข้าชอบเงินหรือทอง เจ้าจงไปเถิด 

หลี่เจิ้งเดินออกไปอย่างว่าง่าย หยูเวิ่นหวินหัวเราะขึ้นมาทันใด  เขาเป็นถึงองค์รัชทายาทของแคว้นอี๋ เจ้ากลับปล่อยปละละเลยเขาอยู่ถึง 10 วัน เจ้าอยากให้เขาฉลองปีใหม่ที่เมืองจินหลิงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ภรรยาของข้าช่างหลักแหลมยิ่ง ข้าคิดเยี่ยงนั้นจริง ๆ มาเถิด อย่าได้ไปสนใจองค์ชายรัชทายาทของแคว้นอี๋อะไรนั่นเลย กว่าพวกเราจะมารวมอยู่ด้วยกันได้มิใช่เรื่องง่ายเลย หมดจอก !  

ภายในหลีเฉินซวน พวกเขานั่งดื่มสุรากันอย่างครึกครื้น ทำให้เยียนเหลียงเจ๋อที่ยืนอยู่ด้านนอกขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

 เจ้าว่าคุณชายของจวนเจ้ามิอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ?  

หลี่เจิ้งรู้สึกว่าเจ้าหมอนี่จะต้องทำให้คุณชายมิพอใจเป็นแน่ จึงมิได้ปฏิบัติต่อเขาอย่างเป็นมิตรเท่าใดนัก เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า  เจ้าหูหนวกเยี่ยงนั้นหรือ ?  

เยียนเหลียงเจ๋อตกตะลึงขึ้นทันพลัน พระเจ้า ! คนเฝ้าประตูของฟู่เสี่ยวกวนอวดเก่งได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?

ข้าเป็นถึงองค์รัชทายาท !

องค์รัชทายาท !

เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?

ท่าทางอันแข็งแกร่งของเยียนเหลียงเจ๋อทำให้หลี่เจิ้งสะดุ้ง เขาคิดในใจว่าคุณชายผู้นี้ก็คงมิใช่ธรรมดา เเต่ต่อให้เก่งกาจถึงเพียงใดจะมาเก่งสู้คุณชายของข้าได้เยี่ยงนั้นหรือ ?

ดังนั้นความใจกล้าที่ถดถอยลงไปก็ได้กลับคืนมาอีกครา  พวกเจ้าไปกันได้แล้ว ที่นี่คือจวนฟู่ มิใช่สถานที่ที่หมาแมวจะเข้าไปได้ !  

เยียนเหลียงเจ๋อมิเคยถูกผู้ใดเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน ขณะที่เขากำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมานั้น เปียนมู่หยูที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาก็ได้เข้ามาดึงเขาเอาไว้

เปียนมู่หยูก้าวขึ้นมายืนอยู่เบื้องหน้าของหลี่เจิ้ง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างรู้มารยาทว่า  เรื่องเป็นเช่นนี้ การที่พวกข้าเดินทางมานั้นเนื่องจากมีเรื่องสำคัญที่ต้องเข้าพบเจ้านายของท่านจริง ๆ  

หลี่เจิ้งมองดูชายชราผู้นี้ จากนั้นก็มองไปที่มือของเขา ปรากฏว่ามิมีสิ่งใดมาด้วยเลย เช่นนั้นคงมิมีอันใดที่ต้องกล่าวอีก

 มองดูท่านน่าจะเป็นมิตร แต่ทว่าคุณชายยังมิกลับมา ข้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้เท่านั้น จะให้ข้าทำเยี่ยงไรได้เล่า ?  

 บางที ท่านอาจจะอนุโลมให้ได้บ้าง…  เปียนมู่หยูแอบยัดตั๋วแลกเงินจำนวน 100 ตำลึงหนึ่งใบใส่ไว้ในมือของหลี่เจิ้ง แล้วกระซิบว่า  เพียงสินน้ำใจเล็กน้อย ท่านนำไปหาความสำราญเถิด…มิรู้ว่าเจ้านายของท่านจะกลับมาเมื่อใดกัน ?  

หลี่เจิ้งเองก็มิได้มีท่าทีเกรงใจ เขาเผยสีหน้าของความโลภออกมาแล้วเก็บเงินใส่กระเป๋า ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเบาว่า  มองไปแล้วเจ้าค่อยฉลาดหน่อย มิเหมือนใครบางคน ที่ทำหน้าตาบูดบึ้ง วาจาไร้ความน่าเชื่อถือ นี่… จ้องข้าทำไมกัน ? หาเรื่องเยี่ยงนั้นหรือ ? จะสู้กันหน่อยหรือไม่เล่า ?  

เปียนมู่หยูทำตัวไม่ถูก นี่มันคนประเภทใดกัน !

 หาใช่ไม่ ท่านอย่าได้เดือดดาลไปเลย  เปียนมู่หยูรีบยัดตั๋วแลกเงิน 100 ตำลึงใส่มือหลี่เจิ้งอีก 1 ใบ  ท่านบอกพวกข้าได้หรือไม่ว่า ทำเยี่ยงไรพวกเราจึงจะได้เข้าพบคุณชายของจวนท่าน ?  

หลี่เจิ้งจ้องไปที่เยียนเหลียงเจ๋อตาเขม็ง  หากมิเห็นว่าพ่อของเจ้ารู้จักมารยาท ข้าคงเรียกคนมาจับพวกเจ้าโยนทิ้งไปแล้ว !  

เยียนเหลียงเจ๋อสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกลืนไฟที่กำลังเดือดดาลลงไปเสียจนสิ้น

หลี่เจิ้งมิได้ชายตามองเยียนเหลียงเจ๋ออีก เขามองไปทางเปียนมู่หยูแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า  ลูกชายของท่านทำให้คุณชายขุ่นเคืองใจใช่หรือไม่ ? เจ้าเป็นพ่อควรจะอบรมสั่งสอนเขาให้ดี ที่เมืองหลวงมีพวกอันธพาลมากมาย แต่มิมีผู้ใดกล้าทำให้คุณชายของข้าขุ่นเคืองใจเลยแม้แต่ผู้เดียว ข้าคิดว่าหากเจ้าต้องการจะทำให้เรื่องนี้จบ… 

หลี่เจิ้งหยุดชะงักลงชั่วครู่ เปียนมู่หยูจึงเข้ามาเอ่ยถามด้วยเสียงอันเบาว่า  ต้องทำเยี่ยงไรจึงจะจัดการเรื่องนี้ได้ ?  

หลี่เจิ้งหันมองซ้ายมองขวาแล้วกระซิบตอบกลับเบา ๆ ว่า  คุณชายจวนข้านั้นเกิดปีมังกร สิ่งที่เขาชื่นชอบมีเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือเงินทองและอัญมณีที่สว่างไสวเป็นประกาย 

ชื่นชอบในทรัพย์สินเงินทองเยี่ยงนั้นหรือ ?

เปียนมู่หยูยืดตัวตรง เช่นนั้นก็คงจะจัดการได้ง่ายมากยิ่งนัก

แต่หลี่เจิ้งกล่าวเสริมขึ้นมาว่า  คุณชายจวนข้านั้นมิใช่คนธรรมดา ผู้ใดที่มาร้องขอให้เขาช่วยเหลือ พวกนั้นมักจะลากเงินทองมาจนเต็มรถม้า มองดูพวกเจ้าแล้ว…เกรงว่าคงจะมิมีปัญญาหาเงินมากมายถึงเพียงนั้นมาได้ เอาล่ะ ๆ ไปได้แล้ว 

เปียนมู่หยูตกตะลึงยิ่ง ใช้รถม้าลากเงินลากทองมาเยี่ยงนั้นหรือ จะต้องเป็นจำนวนเท่าใดกัน ?

เขาหันหลังกลับไปมองเยียนเหลียงเจ๋อ เยียนเหลียงเจ๋อพยักหน้าเบา ๆ

 หากว่าพวกเราสามารถนำเงินทองมาได้เล่า เวลาใดจึงจะเหมาะสม ?  

หลี่เจิ้งตกตะลึงเมื่อได้ยิน พวกเขามีจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ !

เช่นนั้นปลาใหญ่ตัวนี้จะปล่อยไปง่าย ๆ มิได้แล้ว !

 บัดนี้เป็นเวลายามโหย่ว หากพวกเจ้าสามารถหาเงินทองมาได้ครบ ยามซวีพวกเจ้าจะได้พบกับคุณชาย หากว่าเลยเวลานี้แล้ว ก็จะถึงเวลาเข้านอนของคุณชายจวนข้า 

ให้ตายสิ ! เวลากระชั้นชิดถึงเพียงนี้ จะต้องรีบไปจัดการแล้ว

เปียนมู่หยูจับมือกับหลี่เจิ้ง  เช่นนั้นต้องรบกวนท่านด้วย ประเดี๋ยวพวกข้าจะมาใหม่อีกครา 

 อือ ๆ ไปเถอะ ข้ามิส่งพวกเจ้าแล้ว อ่า… พ่อหนุ่มนั่น ! ไร้มารยาทเสียจริง เจ้าควรรู้จักเจียมตนเอาไว้บ้าง !  

เยียนเหลียงเจ๋อแทบจะสะดุดล้มลงพื้น เขามิได้หันหลังกลับไป เขาทำสีหน้าเคร่งขรึมแล้วกล่าวว่า  ฟู่เสี่ยวกวน ข้าจะต้องให้เจ้าตายอย่างไร้ที่ฝัง !  

หลี่เจิ้งปิดประตูจวนลง จากนั้นได้วิ่งไปยังหลีเฉินซวนอย่างว่าง่ายตามเคย เขายื่นตั๋วแลกเงินใบละ 100 ตำลึงออกมาให้ฟู่เสี่ยวกวน 2 ใบ จากนั้นจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่ประตูให้ฟัง

ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ต่างก็พากันหัวเราะออกมา เขานำตั๋วแลกเงิน 2 ใบนั้นส่งคืนให้กับหลี่เจิ้งแล้วกล่าวว่า  เจ้าทำได้มิเลวเลยทีเดียว เงินนี้ถือว่าเป็นของเจ้า แต่เจ้าจงจำไว้ว่า ข้านั้นมีศัตรูมิมาก เจ้าจงอย่าได้รังแกคนอื่นไปทั่ว !  

 ข้าน้อยเข้าใจขอรับ ขอบพระคุณคุณชายมากยิ่งนัก วางใจข้าได้เลย !  

 เอาล่ะ เจ้าไปเถิด หากว่าพวกเขานำเงินทองมาเป็นเต็มรถม้าจริง ๆ ข้าก็จะไปพบพวกเขา 

หลี่เจิ้งยิ้มด้วยความรื่นรมย์ เขาวิ่งไปทางประตูแล้วรอการมาเยือนของคนกลุ่มนั้นอีกครา

 ประเดี๋ยวเจ้าจะไปพบพวกเขาจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?   ต่งชูหลานเอ่ยถามขึ้น

 เขานำเงินทองมาให้ ก็ต้องไปพบเสียหน่อย 

 เจ้ามิเกรงกลัวว่าพวกเขาจะนำไปฟ้องต่อพระพักตร์ฮ่องเต้เยี่ยงนั้นหรือ ?   เยี่ยนเสี่ยวโหลวเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

 ดังนั้นเงินทองเหล่านี้ข้าจะรับไว้เพียงผู้เดียวมิได้ จะต้องแบ่งให้ท่านพ่อตาด้วย เห้อ…เป็นข้านี่มันมิง่ายเลย !  

……

……

ทางด้านของเปียนมู่หยูที่กลับมายังโรงเตี๊ยมแล้ว ก็ได้รีบเรียกให้หลานข่ายมาพบ จากนั้นก็ไปยังธนาคารเป่าหลง โชคดีที่ธนาคารเป่าหลงยังมิปิด

หลงจู๊ใหญ่คนใหม่ที่เข้ามารับตำแหน่งแทนหลี่จินโต้วก็คือหูซานเถียว ผู้ที่เคยรับใช้องค์หญิงใหญ่ส่วนพระองค์ อายุห้าสิบปี ค่อนข้างผอมบาง แต่ใบหน้าดูมีชีวิตชีวา

เขากำลังนั่งดื่มสุราอยู่ที่ด้านหลังธนาคารเป่าหลงเพียงลำพัง เสี่ยวเอ้อผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาด้านในด้วยท่าทางรีบร้อน

 ท่านหลงจู๊ใหญ่ มีลูกค้ารายใหญ่เข้ามา กล่าวว่าต้องการถอนเงิน 10,000 ตำลึงทอง !  

หูซานเถียวตกตะลึงมากยิ่งนัก นี่เขากำลังเจอโจรปล้นหรือเยี่ยงไรกัน แม้ว่าเงินจำนวน 10,000 ตำลึงทองจะมีอยู่ในคลังก็ตาม แต่ก็มิควรจะมากลางค่ำกลางคืนเยี่ยงนี้

 นำทางไป ข้าขอยลโฉมสักหน่อยว่าเป็นผู้ใดมาจากไหนกัน 

หูซานเถียวเดินคาบยาสูบมายังด้านหน้า เมื่อมองไปยังผู้มาเยือนแล้ว เขามิรู้จัก…คนที่สามารถถอนเงิน 10,000 ตำลึงทองได้ในเมืองหลวงนั้นมีมิมาก ผู้คนเหล่านั้นเขาล้วนรู้จักดี แต่ทั้งสามคนนี้ มองดูแล้วมิเหมือนคนดีสักเท่าใดนัก !

 

ตอนที่ 473 จำใส่ใจเอาไว้

การที่สามารถจับเกาเสี่ยนได้คือเรื่องบังเอิญ

ฟู่เสี่ยวกวนได้หลงลืมเรื่องของเกาเสี่ยนไปเนิ่นนานแล้ว เพราะเขาเชื่อว่าหลังจากที่โจวถงถงได้ไต่สวนเกาเสี่ยนแล้ว ย่อมมีคำตอบให้เขาอย่างแน่นอน

เขาและซูเจวี๋ยสนทนากันอยู่หนึ่งวัน จึงตระหนักขึ้นมาได้ว่ายังติด ‘ตำราหลี่เสวีย’ ของฉินปิ่งจงเล่มนั้นเอาไว้ ดังนั้นจึงอาศัยเวลานี้เขียนขึ้นมา

จนกระทั่งถึงยามเย็น ต่งชูหลาน หยูเวิ่นหวิน และซูซูก็ได้ที่กลับมาที่จวน ถุงใบเล็กใบใหญ่ที่เหล่าบ่าวรับใช้ถือเข้ามากันนั้นมีเป็นจำนวนมาก

เพียงมินานเยี่ยนเสี่ยวโหลวและซูโหรวก็ได้กลับมาเช่นกัน ซูโหรวมองผู้คนที่นั่งตัวตรงอยู่ใจกลางศาลาเถาหรานอยู่เนิ่นนาน

ฟู่เสี่ยวกวนเก็บพู่กันหมึกและกระดาษลงไป พรุ่งนี้ค่อยเขียนเพิ่มอีกหน่อยก็จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว วันนี้คงมิเขียนต่อแล้ว ซูเจวี๋ยกลับมาแล้ว ต่งชูหลานเองก็กลับมาแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะเฉลิมฉลอง

ซูเจวี๋ยอ่านสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเขียนขึ้นมาจนหมด ถึงได้สังเกตเห็นว่าซูโหรวและซูซูรวมไปถึงภรรยาทั้งสามของฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้ได้นั่งอยู่ในศาลาเถาหรานแล้ว

เขายกยิ้มขึ้นอย่างขัดเขิน ชี้ไปยังกองกระดาษบนโต๊ะ  ข้ารู้สึกว่าสิ่งที่ศิษย์น้องเล็กเขียนขึ้นมานี้ สามารถกระตุ้นความคิดของผู้คนได้ จึงเคลิบเคลิ้มไปกับมัน เจ้าโปรดอภัยให้ข้าด้วย 

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวยิ้ม ๆ  นี่มิใช่งานต้นฉบับของข้า นี่คือสิ่งที่นักปราชญ์เหวินสิงโจวแห่งราชวงศ์อู๋เป็นผู้เขียนขึ้นมา ข้าแค่เพียงขัดเกลาถ้อยคำเพียงเล็กน้อยก็เท่านั้น 

ต่งชูหลานหยิบขึ้นมาอ่าน พลิกไปสองสามหน้า และได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า  เจ้าวางแผนจะผลักดันของสิ่งนี้ในราชวงศ์หยูเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ข้าได้ติดอาจารย์ฉินเอาไว้ แต่ข้าเองก็มีความคิดเยี่ยงนี้อยู่จริง ๆ เพียงแค่ในยามนี้ยังใช้มิได้ ต้องรอไปก่อน 

ฟู่เสี่ยวกวนมองไปทางต่งชูหลาน ภรรยาคนนี้ผ่ายผอมลงไปเล็กน้อย แต่กลับมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น

 หลายวันมานี้ลำบากเจ้าแล้ว ข้าได้ติดต่อกับลูกชายทั้งสามของหลี่จินโต้วไว้แล้ว คาดว่าคงจะได้พบหน้ากันในอีกสองวันนี้ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าลองคิดดูเองก็แล้วกันว่าจะวางแผนเยี่ยงไร พวกเขาต่างก็เป็นบุคคลที่โดดเด่นด้านนี้โดยเฉพาะ สามารถใช้งานพวกเขาได้อย่างสบายใจและไร้กังวล 

 อือ  ต่งชูหลานพยักหน้า และกล่าวว่า  วันนี้ข้าและเวิ่นหวินได้ไปซื้อของขวัญที่จำเป็นสำหรับเทศกาลปีใหม่มาเล็กน้อย พรุ่งนี้จะส่งไปยังจวนฟู่ที่หลินเจียง เจ้าบอกว่าบัดนี้ได้มีน้องชายเพิ่มมา 3 คนและน้องสาวเพิ่มมา 2 คน เจ้าลองดูก่อนเถิดว่ามีอันใดที่ต้องซื้อเพิ่มอีกหรือไม่ ?  

 เด็กตัวเล็กแค่นั้น… มอบกุญแจอายุยืนให้เด็กผู้ชาย 1 ชิ้น และมอบกำไล 1 คู่ให้กับเด็กผู้หญิง 

 ง่ายดายถึงเพียงนี้เลยหรือ ?  

 มิเช่นนั้นจะยังเป็นแบบใดได้อีกเล่า ? เยี่ยงไรเสียข้าก็คิดมิออกแล้วว่าจะส่งอันใดไปให้ อ่า… ไม่ก็มอบอั่งเปาให้อีกคนละถุง เอาเช่นนี้แหละ !  

ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าเรียกให้เสียวฉีไปยังหอซื่อฟางเพื่อสั่งอาหารสำหรับหนึ่งโต๊ะ จากนั้นจึงได้พบว่าบัดนี้แม้แต่เสียวฉีก็ได้ถูกต่งชูหลานส่งไปที่ผิงหลิงแล้ว คนยังมิพออีกเยี่ยงนั้นหรือ ?

ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงหันไปมองทางซูซู ด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย

 เหอะ !   ซูซูแค่นเสียงขึ้นมา พร้อมกับจ้องเขาตาเขม็ง ยามที่ต้องวิ่งเต้นก็เพิ่งจะมาสนใจว่ายังมีข้าอยู่ !

 ระหว่างนั้นก็ไปซื้อขนมกุ้ยฮวาที่ร้านอู่เว่ยจายด้วยสิ เหมือนข้าจะเห็นว่าเจ้าทานขนมกุ้ยฮวาหมดแล้วนี่ 

ซูซูเบะปาก  ยังจะขนมกุ้ยฮวาอยู่อีก เสี่ยวหยูเอ๋อร์ผู้นั้นได้ซื้อหุ้นเจ้า 1,000 หุ้น หลังจากที่กลับบ้านไปสองสามีภรรยาก็ได้ทะเลาะกันใหญ่โต กล่าวกันว่า… กล่าวกันว่าสามีของนางได้หย่ากับนางแล้ว 

ซูซูทิ้งคำเอ่ยไว้เพียงเท่านั้น ก่อนจะหันหลังเดินออกไป

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงเสียจนต้องชะงัก จากนั้นจึงแสยะยิ้มขึ้นและส่ายหน้า  สามีผู้นั้นคงตาบอด เขาได้สูญเสียภรรยาที่ดีไปแล้ว ทั้งยังสูญเสียเงินก้อนใหญ่ไปอีกด้วย นี่ต่างหากจึงจะเรียกได้ว่าช่องว่างของคนรวยอย่างแท้จริง 

ซูเจวี๋ยได้ยินของสิ่งนั้นที่ฟู่เสี่ยวกวนทำขึ้นมาหลังจากกลับมาที่จินหลิงอีกครา จึงได้เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า  สิ่งที่เรียกว่าหุ้น สามารถทำเงินได้จริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่สามอึดใจ และได้กล่าวว่า  ในยามนี้ หุ้นที่ขายนั้นมีเพียงอุตสาหกรรมซีซานแห่งเดียว ข้ามั่นใจในสินค้าของตนเอง พวกมันย่อมสามารถทำให้เหล่าผู้ถึงหุ้นมีรายได้อย่างแน่นอน แต่ปีหน้า หากมีอุตสาหกรรมอื่นต้องการจดทะเบียนขึ้นตลาดกับธนาคารซื่อทงอีก นี่ก็มิใช่เรื่องที่ง่ายอีกต่อไปแล้ว 

ซูเจวี๋ยครุ่นคิด แต่ก็ยังคงมิเข้าใจ ทำได้เพียงคิดไปว่าอาจารย์ชราผู้นั้นช่างเป็นผู้ที่มองการณ์ไกลอย่างแท้จริง จึงได้เก็บลูกศิษย์ก้นกุฏิที่มีความคิดที่แตกต่างจากคนทั่วไปเยี่ยงนี้มา

ท้องนภามืดลงเรื่อย ๆ หิมะเริ่มตกหนักขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองสีหน้าของหยูเวิ่นหวิน จากนั้นจึงได้พากลุ่มคนตรงไปยังหลีเฉินซวน และได้เอ่ยถามต่งชูหลานเกี่ยวกับเรื่องการบูรณะภูเขาหนานซาน

 กระโจมที่พักนั้นเล็กเกินไป แออัดเป็นอย่างมาก ดังนั้นข้าจึงให้พวกเขาปรับหน้าดินผืนที่อยู่เชิงเขาเสียก่อน หลังจากผ่านปีใหม่ไปแล้วก็ให้สร้างบ้านขึ้นมาก่อน 

 สามารถสร้างได้เพียงบ้านกำแพงดินเท่านั้น ยังดีที่สามารถหาพวกไม้ได้จากใต้ภูเขา มิมีกระเบื้องมุงหลังคา ข้าจึงได้ไปหาท่านพ่อ คงจะต้องทำเสื่อขึ้นมาเพื่อรับมือกับฤดูหนาวนี้ไปก่อน 

 นี่เป็น็การทำธุรกิจที่ขาดทุน ในภายหลังเรือนเหล่านี้ทำได้เพียงรื้อถอนเท่านั้น คำนวณเพียงแรงงาน 40,000 คน ค่าแรงอยู่ที่ 50 อีแปะ เพียง 1 วันสูญเสียค่าแรงไปถึง 2,000 ตำลึง 

ต่งชูหลานจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน นางคิดว่าเดิมทีเงินลงทุนก้อนนี้จะใช้หลังปีใหม่ รอให้ปูนซีเมนต์และกระเบื้องจากซีซานมาถึงก่อนแล้วค่อยลงมือ เยี่ยงนั้นก็จะมิเกิดการสูญเสียโดยใช่เหตุนี้

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้นมา  อย่าได้กังวลกับเงินเล็กน้อยนั้นเลย มีเพียงหนึ่งเรื่องที่เจ้าต้องจำเอาไว้ให้ดี… ยามที่เตรียมของขวัญเทศกาลปีใหม่ให้เตรียมถวายให้กับองค์หญิงใหญ่ด้วย ทางที่ดีที่สุดพวกเจ้าสามคนไปพร้อมกันเลยยิ่งดี 

ภรรยาทั้งสามต่างชะงัก และหันไปมองทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยความสงสัย

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยอธิบาย  ประการแรกคือเพื่อไปเยี่ยมเยียนองค์หญิงใหญ่เท่านั้น ประการที่สอง…คือจำเป็นต้องทราบว่าบ้านในเขตเมืองเก่านั้นมีคนพักอยู่เท่าใด บ้านที่มิมีผู้อาศัยอยู่มีจำนวนเท่าใด หากราชสำนักได้ครอบครองอสังหาริมทรัพย์ในสถานที่แห่งนั้น พวกเจ้าก็ลองสอบถามองค์หญิงใหญ่ดู หากราคาถูก ก็ซื้อไว้เสีย 

 ซื้อบ้านตรงสถานที่แห่งนั้นเพื่อทำอันใดกัน ?   หยูเวิ่นหวินไม่เข้าใจ นางมิเคยไปสลัมมาก่อน เพียงแค่ได้ยินชื่อเท่านั้น เกรงว่าสถานที่แห่งนั้นจะยากจนเป็นอย่างมาก สามีของนางยังอยากจะไปทำกิจการที่สลัมนั้นอยู่อีกหรือ ?

 รอฟังข่าวดีจากพวกเจ้าแล้วค่อยสนทนาเรื่องนี้กันอีกครา มิจำเป็นต้องเร่งด่วนจนเกินไปกับเรื่องนี้ แค่จำไว้และอย่างลืมก็พอ 

ฟู่เสี่ยวกวนเคยไปเห็นสถานที่แห่งนั้นมาก่อน มุมทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองจินหลิง หากจะกล่าวถึงตำแหน่งก็ค่อนข้างจะห่างไกลออกไป และมิได้ต่างไปจากการเชื่อมเมืองและชนบทในชีวิตก่อนสักเท่าใดนัก

แต่หากมองการณ์ไกลในระยะยาว หลังจากที่การค้าของราชวงศ์หยูรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างแท้จริงแล้ว จะต้องมีผู้คนจำนวนมากย้ายมาที่จินหลิงเป็นแน่ เพราะที่นี่ต่างหากที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของราชวงศ์หยูที่แท้จริง มีคุณสมบัติเหมือนกับเมืองหลวงในชีวิตก่อนของเขา

เยี่ยงนั้นราคาค่าบ้านเรือนในจินหลิงย่อมสูงขึ้นเป็นแน่ ดังนั้น… เขาจึงคิดว่าหลังจากที่จัดวางอุตสาหกรรมซีซานเสร็จ จะทำกิจการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์

ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่ามิได้รีบร้อน เพราะนโยบายใหม่ของราชวงศ์หยูในวันนี้ยังอยู่ในขั้นตอนนำไปใช้

ทั้งหมด ต้องรอดูปีหน้า !

ซูซูได้พาพนักงานหอซื่อฟางกลับมาแล้ว ในมือกอดขนมกุ้ยฮวาเอาไว้หนึ่งถุง

ฟู่เสี่ยวกวนมองอย่างแปลกใจ  เสี่ยวหยูเอ๋อร์กลับมาเปิดร้านแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 อือ…  ซูซูพยักหน้า  เสี่ยวหยูเอ๋อร์กล่าวว่า… นางพบว่าการหย่ากับชายผู้นั้น ชีวิตของนางดีขึ้นกว่าเดิมนัก 

ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา เชิญทุกคนร่วมโต๊ะ โต๊ะนั้นประกอบไปด้วยมือกระบี่จากป่ากระบี่สองคนที่คอยคุ้มกันหยูเวิ่นหวิน ฟู่เสี่ยวกวนได้รินสุราให้พวกเขาด้วยตนเอง ในตอนที่จะกล่าวขอบคุณสักเล็กน้อย ผู้เฝ้าประตูหลี่เจิ้งก็ได้วิ่งตึงตังเข้ามา

 เรียนคุณชาย ด้านนอกมีคนผู้หนึ่งนามว่าเยียนเหลียงเจ๋อมาขอเข้าพบขอรับ 

 

ตอนที่ 472 ตกปลา

ตอนที่ 472 ตกปลา

เส้นสีดำนั้นพุ่งออกไปไกลถึง 3 จ้าง

ในขณะที่ซูม่อกำลังจะดึงเส้นสีดำนั้นกลับคืน รอกกลับขยับขึ้นมาอีกครา เส้นไหมสีดำก็ได้พุ่งออกไปเอง

คาดว่าคงจะปักไปถูกตัวปลาเข้า ปลาจึงได้ดึงเส้นไหมออกไปทำให้รอกหมุน

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ตกตะลึงเช่นกัน ช่างโชคดีเสียจริง ข้านั่งตกมาตั้งนานแล้วยังตกมิได้สักตัว แต่มู่โต่วนี้กลับหาปลาได้อย่างง่ายดาย

 ฮ่า ๆ ๆ ดึงขึ้นมาเร็วเข้า คืนนี้พวกเราจะนำมันมาเผากินกัน 

เกาเสี่ยนที่อยู่ใต้น้ำนั้นพยายามว่ายหนีอย่างสุดความสามารถ แต่อยู่ ๆ เขาก็ได้หยุดลง แล้วคิดได้ว่าต้องแกะเจ้าสิ่งนี้ออกไปเสียก่อน

แต่เมื่อเขาใช้มือดึงเพียงเบา ๆ เท่านั้นก็ได้รู้สึกเจ็บเสียจนต้องกัดฟันกรอด ให้ตายสิ ด้านในเจ้าสิ่งนี้มีแง่งมีดอยู่ด้านใน !

เขาชักดาบที่แขวนอยู่ตรงเอวออกมา แล้วตัดเส้นไหมที่เจาะอยู่ตรงหน้าท้องของเขา แต่มันก็มิขาด !

เขาจับไหมเส้นนั้นเอาไว้แล้วออกแรงใช้ดาบฟันมันอยู่สักพัก พระเจ้า ! นี่มันคือสิ่งใดกัน ? ข้าฟันมาตั้งนานแม้แต่รอยก็ยังมิมี

ซูเจวี๋ยที่ยืนอยู่ด้านบนเมื่อพบว่ารอกไม่ขยับแล้ว จึงได้กระตุกคันเบ็ดแล้วดึง เกาเสี่ยนเกร็งตัวจนท้องเเข็ง แม่เจ้า…เกาเสี่ยนเจ็บปวดเสียจนน้ำตาไหล

เขาจึงรีบคว้าไหมเส้นนี้เอาไว้แล้วดึงรั้งอย่างสุดแรง

ซูเจวี๋ยมีสีหน้าดีใจมากยิ่งนัก  ปลาตัวนี้คาดว่าจะตัวใหญ่มากยิ่งนัก !  

 เยี่ยงนั้นก็ต้องระวังไห้ดีอย่าให้หลุดไปได้เล่า 

 มิหลุดอย่างแน่นอน ประเดี๋ยวข้าจะลากมันขึ้นมาเอง 

เป็นเยี่ยงนี้ เกาเสี่ยนพยายามดึงเส้นไหมสวรรค์ฟอกอยู่ใต้น้ำ ส่วนศิษย์พี่ใหญ่ก็ได้ปล่อยให้เส้นไหมถูกลากยาวออกไป

มองดูเส้นไหมที่ยาว 10 จ้างนี้ใกล้จะถูกดึงไปจนสุดปลายแล้ว แต่ปลาที่อยู่ใต้น้ำนั้นยังมิมีทีท่าว่าจะเหนื่อยอ่อนเลยแม้แต่น้อย ทำให้ศิษย์พี่ใหญ่เริ่มเดือดดาลขึ้นมา จะเป็นปลาแบบไหนกัน ?

จากประสบการณ์การตกปลาที่สำนักเต๋า นี่คงจะเป็นปลาที่ตัวใหญ่เป็นอย่างมาก

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจทะยานขึ้นสู่ท้องนภา ลอยตัวอยู่เหนือทะเลสาบซวนอู่แล้วปล่อยให้ปลาตัวนี้ว่ายไปตามอำเภอใจของมัน

ปรากฏว่าปลานี้ได้ว่ายไปทางตลิ่ง

เจ้าปลาโง่เง่า เหตุใดถึงมิว่ายไปบริเวณน้ำลึกเล่า รนหาที่ตายหรือเยี่ยงไรกัน ?

บังเอิญที่โจวถงถงเดินทางมายังทะเลสาบซวนอู่ เขาเงยหน้าขึ้นมอง จึงได้พบกับหมวกสีดำอันเป็นเอกลักษณ์ลอยอยู่ท่ามกลางหิมะขาวที่กำลังโปรยปรายลงมา นั่นซูเจวี๋ย ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเต๋ามิใช่หรือ ? เขากำลังทำอันใดอยู่กัน ?

โจวถงถงมิเข้าใจอย่างแท้จริง ดังนั้นเขาจึงเดินเข้ามายังริมตลิ่งเพื่อดูว่าซูเจวี๋ยกำลังจะทำสิ่งใดกันแน่

ซูเจวี๋ยตามปลาตัวนั้นไปอย่างมิรีบร้อน ฟู่เสี่ยวกวนมองดูซูเจวี๋ยที่ยิ่งลอยยิ่งไกลออกไป เขาจึงได้ตัดสินใจใช้วิชาลอยตัวที่มีอยู่อันน้อยนิดพุ่งไปทางริมตลิ่งนั่น

ซึ่งอยู่ห่างจากตรงนี้ราว 30 จ้าง แต่ฟู่เสี่ยวกวนน่าสงสารอย่างแท้จริง เขาลอยตัวได้เพียง 10 จ้างเท่านั้น ร่างของเขากำลังจะร่วงหล่นลงสู่กลางอากาศ จึงได้ตะโกนเสียงดังว่า  ศิษย์พี่ใหญ่ รับข้าด้วย !  

ศิษย์พี่ใหญ่ตกใจเป็นอย่างมาก เขาจึงใช้ปลายเท้าสัมผัสกับผิวน้ำ แล้วดึงมู่โต่วขว้างไปทางฟู่เสี่ยวกวน

แน่นอนว่าแรงนั้นมหาศาล ทำให้เกาเสี่ยนที่อยู่ใต้น้ำได้ร้องส่งเสียงอู้อี้ออกมา เขาโซซัดโซเซไปตามแรงดึง แล้วปล่อยร่างไปตามแรงของเส้นไหมนั้นที่ใต้น้ำ

ซูเจวี๋ยรับฟู่เสี่ยวกวนไว้ได้ทันเวลาก่อนที่เขาจะตกลงสู่พื้นน้ำ จากนั้นจึงโยนฟู่เสี่ยวกวนไปทางริมฝั่ง ฟู่เสี่ยวกวนลอยตัวออกไปตกอยู่บนพื้นดินที่ริมตลิ่ง มาทันได้เห็นโจวถงถงที่กำลังทำท่าทางตกตะลึงอยู่พอดี

เมื่อเส้นไหมในมือของซูเจวี๋ยคลายลง เกาเสี่ยนจึงได้หันหลังพุ่งตัวไปยังริมตลิ่ง

ซูเจวี๋ยตามทิศทางของเส้นไหมนั้นไป กระทั่งถึงริมฝั่ง

 เจ้าตัวนี้เจ้าหนีข้ามิพ้นอย่างแน่นอน อย่างน้อยต้องหนักกว่าร้อยชั่งเป็นแน่ !  

 เอ่อ นี่พวกเจ้า… ?  

 อ่า ศิษย์พี่ใหญ่ตกปลาตัวใหญ่ได้ คืนนี้มากินด้วยกันเถอะ ดื่มฉลองกันเสียหน่อย 

โจวถงถงยิ้มกว้างออกมา  รอให้ข้าจับเกาเสี่ยนให้ได้เสียก่อนแล้วจะมาร่วมดื่มกับพวกเจ้า 

กล่าวจบเขาก็ทำท่าจะเดินจากไป แต่ทันใดนั้นดวงตาเขาก็ต้องเบิกกว้าง

 ฟู่… !   เสียงหนึ่งดังขึ้น

ปรากฏร่างของมนุษย์ผู้หนึ่งโผล่ขึ้นมาจากในทะเลสาบ !

เขาผู้นั้นเดินขึ้นมายังริมฝั่งด้วยร่างที่เปียกโชก กระบี่ยาวในมือยังคงเป็นประกายเจิดจ้า จากนั้นจึงหันไปฟันเส้นไหมสีดำหวังจะให้ขาด

ไอหยา ศิษย์พี่ใหญ่ตกปลาใหญ่ได้มิใช่หรือ ?

แต่เหตุใดถึงเป็นคนไปได้เล่า !

อากาศหนาวเหน็บถึงเพียงนี้ เขาลงไปในทะเลสาบเพื่อทำอันใดกัน ?

จากนั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ยินเสียงโจวถงถงตะโกนออกมาว่า  เกาเสี่ยน !  

เกาเสี่ยนปัดผมที่เปียกปอนไปด้านหลัง เขาใช้แรงจนสุดแรง แต่ก็ยังมิสามารถตัดเส้นไหมนั้นให้ขาดได้

ศิษย์พี่ใหญ่เองก็ตกตะลึงเช่นกัน เกาเสี่ยนเยี่ยงนั้นหรือ ?

เกาเสี่ยน ขันทีใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋เยี่ยงนั้นหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนยิ่งงงเป็นไก่ตาแตกเข้าไปใหญ่ มันมีเรื่องบังเอิญเช่นนี้ด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ?

แต่เมื่อเขามองดูอีกที หากมิใช่เกาเสี่ยนจะเป็นผู้ใดไปได้อีก

ดังนั้นเขาจึงได้หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง แล้วชี้ไปยังเกาเสี่ยนพร้อมกับกล่าวว่า  เจ้านั้นมันช่างเหมาะสมกับคำที่ว่า สวรรค์มีหนทางเจ้ามิไป กลับรนหานรกที่ไร้ทางเข้า !  

สภาพเช่นนี้จะไปสู้กันได้เยี่ยงไร

โจวถงถงใกล้จะเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์แล้ว ส่วนซูเจวี๋ยได้บรรลุขั้นปรมาจารย์แล้ว แต่เกาเสี่ยนเป็นเพียงผู้มีฝีมือระดับสูงเท่านั้น แต่ที่สำคัญคือบัดนี้เส้นไหมยังคงปักอยู่ที่ท้องของเขา แม้แต่โอกาสที่จะวิ่งหนีก็ยังมิมี

ในใจของเกาเสี่ยนบัดนี้ได้สิ้นหวังยิ่ง ข้าเดินทางมาไกลถึงสามพันลี้ ระหว่างทางมีหน่วยสอดแนมเสียชีวิตไป 30 คน จึงได้หลบหนีจากการจับกุมของโจวถงถงได้

เดิมทีตั้งใจจะหลบอยู่ใต้ทะเลสาบซวนอู่นี้ ต่อให้โจวถงถงเก่งกาจถึงเพียงใดก็คงหามิพบ คาดมิถึงว่าศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเต๋าจะเก่งกาจเพียงนี้

เกาเสี่ยนคิดว่าวิชากัศยปแสร้งตายของตนนั้นถูกซูเจวี๋ยจับได้ มิเช่นนั้นจะมีเรื่องบังเอิญเยี่ยงนี้อยู่จริงหรือ ?

ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับซูเจวี๋ย เขาจึงมิอาจขัดขืนได้ อีกทั้งยังมีโจวถงถงอยู่ด้วย

ศิษย์พี่ใหญ่ดีใจเป็นอย่างมาก เดิมทีคิดว่าตนตกได้ปลาตัวใหญ่ แต่นี่โชคดียิ่งกว่าการได้ปลาตัวใหญ่เสียอีก !

เกาเสี่ยนตั้งใจจะมาฆ่าศิษย์น้องเล็ก หากมิใช่เพราะเขาปล่อยเส้นไหมสวรรค์ฟอกไปติดได้โดยบังเอิญ อาจจะทำให้เขาซ่อนตัวอยู่ใต้น้ำแล้วหาโอกาสขึ้นมาฆ่าน้องเล็กได้ ช่างน่ากลัวเสียจริง

หรือบางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตา ศิษย์น้องเล็กช่างโชคดีเสียจริง !

โจวถงถงยื่นมือออกไปแตะตรงจุดตันเถียนของเกาเสี่ยน เกาเสี่ยนส่งเสียงร้องออกมาราวกับหมูถูกเชือด ร่างกายของเขาสิ้นฤทธิ์ลงทันที

โจวถงถงยื่นนิ้วออกมาอีกสามนิ้ว แล้วปิดไปยังเส้นลมปราณ เกาเสี่ยนมิมีแม้แต่โอกาสที่จะปลิดชีพฆ่าตัวตาย

ทั้งสามคนกุมตัวเกาเสี่ยนกลับไปยังจวนฟู่ โจวถงถงจับเกาเสี่ยนมัดคอจนถึงขา แต่กลับมิได้ไต่สวนใด ๆ

เขาทำการคารวะศิษย์พี่ใหญ่แล้วกล่าวว่า  ข้า โจวถงถง แห่งหอเทียนจีแห่งราชวงศ์อู๋ ติดค้างหนี้บุญคุณอันใหญ่หลวงของศิษย์พี่ใหญ่ 

ซูเจวี๋ยขยับหมวกของเขา จากนั้นก็ได้ทำการคารวะกลับ  ท่านโจวเกรงใจกันเกินไปแล้ว นี่มัน…เป็นเพียงเรื่องบังเอิญก็เท่านั้น 

 ขอแสดงความยินดีกับศิษย์พี่ใหญ่ด้วยที่ได้บรรลุขั้นปรมาจารย์ 

 ท่านโจวเองก็อีกมิไกลแล้วนี่ !  

ฟู่เสี่ยวกวนมองไปทางซูเจวี๋ยด้วยความตกตะลึง เขาบรรลุขั้นปรมาจารย์แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

ความเจ็บปวดที่ได้รับจากดาบนั้นช่างคุ้มค่าเสียจริง !

โจวถงถงเองก็ใกล้จะเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

บัดนี้มีปรมาจารย์มากขึ้นทุกที แต่ทว่าตนยังคงเป็นผู้มีฝีมือระดับสามเท่านั้น… เขาเข้าใจสิ่งสำคัญผิดไปหรือไม่ เขาน่าจะยกให้การฝึกยุทธ์อยู่อันดับแรกสินะ ?

โจวถงถงมองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วโค้งคารวะ  ฝ่าบาท…ท่าน ขออภัยที่กระหม่อมต้องกล่าวออกมาตรง ๆ ท่านมิใช่ผู้เหมาะสมที่จะฝึกยุทธ์ 

ฟู่เสี่ยวกวนถูกทำร้ายด้วยวาจาอีกครา แต่ก็ได้ยินโจวถงถงกล่าวออกมาอีกว่า  แต่ฝ่าบาททรงมีความสามารถทุกเรื่องในใต้หล้า บัดนี้กระหม่อมจับตัวเกาเสี่ยนได้แล้ว คงต้องขอลาไปก่อน หวังว่าจะได้พบกับฝ่าบาทอีกคราที่เมืองกวนหยุน 

โจวถงถงพาเกาเสี่ยนจากไป ศิษย์พี่ใหญ่นำมู่โต่ววางไว้ในมือของฟู่เสี่ยวกวนแล้วกล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยคอย่างจริงจังว่า  สิ่งที่ท่านโจวกล่าวมานั้น เป็นจริงดังที่เขาเอ่ย !  

 

ตอนที่ 471 มู่โต่ว

ตอนที่ 471 มู่โต่ว

หมวกทรงสูง ชุดผ้าป่าน ดาบด้ามใหญ่ 1 ด้าม และกล่องสีดำ 1 ใบ

ฟู่เสี่ยวกวนเดินตรงเข้ามาด้วยใบหน้าสดใส และนั่งลงเบื้องหน้าซูเจวี๋ย

หลังจากนั้นเขาก็ได้สะดุ้งเล็กน้อย สายตาจดจ้องไปที่ใบหน้าของซูเจวี๋ยถึงห้าอึดใจ

 น่าเกลียดมากใช่หรือไม่ ?  

บนใบหน้าของซูเจวี๋ยมีรอยแผลเป็นที่ดูน่ากลัวอยู่ รอยแผลเป็นนั้นผ่ายาวจากหน้าผากด้านซ้ายลาดยาวลงมาถึงแก้มด้านขวาของเขา

 น่าเกลียดเล็กน้อย แต่มองไปแล้วก็ดูสมเป็นชายชาตรีมากยิ่งขึ้น 

 …ข้าชอบที่จะหล่อเหลาเสียมากกว่า 

 ศิษย์พี่ใหญ่ เยี่ยงไรเสียท่านก็หล่อสู้ข้ามิได้ สู้หาหนทางอื่นยังจะดีเสียกว่า 

ซูเจวี๋ยหัวเราะขึ้นมา ศิษย์น้องเล็กก็ยังคงเป็นศิษย์น้องเล็ก หน้ายังคงหนาอยู่ดังเดิม มิแปลกใจที่อาจารย์จะชอบเขา

 ศิษย์น้องแปดซูม่อวานให้ข้านำคำเอ่ยของเขามาฝากกับเจ้า 

 ว่าเยี่ยงไรบ้าง ?  

 ซูม่อกล่าวว่า เขาได้ฝึกกองกำลังดาบเทวะจำนวน 1,500 คนที่สำนักเต๋า เขาต้องการม้าศึกและปืนคาบศิลา เขากล่าวว่าเรื่องนี้ต้องให้เจ้าช่วยเขาจัดการ 

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้นมุมปาก และพยักหน้ารับ

ซูม่อผู้นี้ได้จากเมืองเปียนเฉิงกลับไปยังสำนักเต๋าเมื่อราวเดือนสี่ เมื่อลองคำนวณดูแล้วเขาก็ได้ฝึกฝนกองกำลังพิเศษนี้มา 7 – 8 เดือนแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนตั้งตารอคอยกองกำลังนี้เป็นอย่างมาก เพราะนี่คือกองกำลังที่จะประกอบไปด้วยผู้ที่มีฝีมือระดับสูงทั้งสิ้น เมื่อผสมเข้ากับการฝึกดาบเทวะของซูม่อที่คุ้นชินกับการฝึกนี้เป็นอย่างดี เกรงว่าหลังจากที่ติดตั้งปืนคาบศิลาแล้ว พวกเขาจะสร้างความสะเทือนแบบใดขึ้นมากัน ?

เมื่อเทียบกับองครักษ์ชุดแดงของราชวงศ์อู๋ ฟู่เสี่ยวกวนให้ความรอคอยกับกองกำลังของซูม่อมากกว่า

 ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ายังมิเคยไปที่สำนักเต๋ามาก่อน และยังมิเคยไปพบท่านอาจารย์ เขาจะยังยอมรับข้าเป็นศิษย์อยู่หรือไม่ ?  

 ยอมรับสิ ข้ามีเรื่องจะบอกกับเจ้าอยู่พอดี อาจารย์ได้ส่งหนังสือของสำนักเต๋าให้แก่ชาวลวี่หลินทั่วใต้หล้าแล้ว เรื่องที่รับเจ้าเป็นศิษย์ก้นกุฏิ และได้แต่งตั้งให้เจ้าเป็นเต้าจ่งแห่งสำนักเต๋า ให้เดินทางไปทั่วทั้งใต้หล้าในนามของสำนักเต๋า 

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักทันพลัน  หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?  

 เต้าจ่ง คือเมล็ดพันธุ์ของสำนักเต๋า มีความหมายเช่นเดียวกันกับพระพุทธเจ้าของนิกายฝู สำนักเต๋ามิได้มีเต้าจ่งมาสามร้อยกว่าปีแล้ว เพราะอาจารย์เล่าว่าบรรพบุรุษในประวัติศาสตร์เกียจคร้านเป็นอย่างมาก ดังนั้นวัดเต๋าถึงได้ซบเซาลงเฉกเช่นในวันนี้ หลักคำสอนจึงมิได้เผยแพร่ออกไปจากภูเขาชิงหยุน… ภูเขาชิงหยุนคือที่ตั้งของสำนักเต๋า 

 มิใช่ ประเดี๋ยวก่อน…  ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้า ดวงตาเบิกกว้าง และเอ่ยถามออกไปว่า  มีความหมายว่าข้าได้กลายเป็นเมล็ดพันธุ์ของลัทธิเต๋าแล้วจะต้องออกไปเผยแพร่หลักคำสอนใช่หรือไม่ ?  

ซูเจวี๋ยยิ้มอ่อน ๆ  ศิษย์น้องเล็กเป็นผู้ที่มีสติปัญญาอย่างแท้จริง อาจารย์กล่าวว่าความรุ่งเรืองของลัทธิเต๋า อยู่บนบ่าของศิษย์น้องเล็กแล้ว ก่อตั้งวัดเต๋า เผยแพร่หลักคำสอน นี่คือหน้าที่ของเต้าจ่ง 

ซูเจวี๋ยหยิบไข่ไก่ที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ออกมาจากในอก นำของสีดำที่เหมือนกับหยกแต่ไม่ใช่หยกเหมือนทองแต่ไม่ใช่ทองวางลงเบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวน

 ตอนที่เจ้ายังอยู่ที่เมืองกวนหยุน อาจารย์ได้ส่งคนนำศาสตราเทพมาให้เจ้า หลังจากนั้นเพราะเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่ภูเขาน้ำแข็งนั่น ศาสตราเทพจึงถูกนำกลับไปที่อาราม ครานี้ศิษย์พี่ใหญ่เยี่ยงข้าได้ออกมา อาจารย์จึงได้บอกให้ข้านำมันมามอบให้กับเจ้าด้วยมือของตนเอง 

ฟู่เสี่ยวกวนรับของสิ่งนั้นมาพิจารณา หนักมากยิ่งนัก เย็นไปทั่วทั้งมือ นี่คือมู่โต่วที่เล็กจิ๋ว… เจ้าบอกกับข้าสิว่านี่คือศาสตราเทพหรือ ลัทธิเต๋ากำลังหลอกลวงข้ากัน !

 ศิษย์น้องเล็ก เจ้าอย่าได้ดูถูกของสิ่งนี้ไป ตัวร่างของวัตถุนี้สร้างจากไม้ที่จมอยู่ใต้น้ำ และเส้นสีดำนี้ก็สร้างขึ้นด้วย เส้นไหมสวรรค์ฟอก เส้นไหมนี้ยาวสิบจ้าง ดาบหรือกระบี่ก็ยากที่จะตัดขาด ไฟหรือน้ำก็มิสามารถทำลายมันได้ มัน…คือสิ่งที่ใช้ยืนยันตัวตนของเต้าจ่ง !  

ซูเจวี๋ยยกสองมือขึ้นจัดหมวก และกล่าวอย่างจริงจังอีกคราว่า  อาจารย์กล่าวว่า วงกลมถูกสร้างมาจากกฎ สี่เหลี่ยมถูกสร้างมาจากกฎเช่นเดียวกัน หากไม่มีกฎย่อมไม่อาจสร้างรูปสามเหลี่ยมและสี่เหลี่ยมได้ หากเบื้องบนมีกฎระเบียบ เบื้องล่างมีความสมัครสมานสามัคคี เมื่อทำการอันใดจะส่งผลถึงกัน งานย่อมสำเร็จ สามารถปกครองได้ทั่วหล้า !  

 ศิษย์น้องเล็กเอ๋ย นี่คือสิ่งของล้ำค่าของนิกายเต๋า นี่คือความหวังอันแรงกล้าที่อาจารย์มีต่อเจ้า !  

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักไปเนิ่นนาน  ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าจะมีเวลาไปสร้างวัดเต๋าแล้วเผยแพร่คำสอนได้เยี่ยงไรกัน ?  

ซูเจวี๋ยยิ้มบาง ๆ และส่ายหน้า  มิจำเป็นที่ศิษย์น้องเล็กจะต้องไปจัดการด้วยตนเอง อาจารย์กล่าวว่าเยี่ยงไรเสียเจ้าก็จะต้องท่องไปทั่วใต้หล้า หากไปที่ใดก็ตาม เพียงศิษย์น้องเล็กรู้สึกสบายตา เมื่อไปยังสถานที่นั้น ก็ทิ้งไว้เพียงหนึ่งประโยค ก็จะมีคนมาสร้างวัดเต๋าในสถานที่นั้น มิมีเรื่องอันใดให้ศิษย์น้องเล็กต้องกังวลใจ 

บัดซบ ท่านอาจารย์คิดว่าข้าเป็นเทพเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ !

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าคำเอ่ยนี้ค่อนข้างไม่รื่นหูเท่าใดนัก เหมือนกับ… มันเหมือนกับสุนัขที่ฉี่เพื่อประกาศว่าที่นี่คืออาณาเขตของตนเอง…

ฟู่เสี่ยวกวนเบะปาก ช่างมันเถอะ ขอเพียงไม่ทำให้ธุรกิจของตนล่าช้าก็เป็นพอ

สำหรับคำสอนของสำนักเต๋าหรือสำนักฝู ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เทิดทูนแต่ก็มิได้ต่อต้าน นี่คือปัญหาเกี่ยวกับความเลื่อมใสของแต่ละคน เขาเคารพในความเชื่อที่ทุกคนเลือก

เพียงแค่หากต้องการให้เขามุ่งมั่นเพื่อเผยแพร่ศาสนา ย่อมมิมีทางเป็นแน่

 ของสิ่งนี้คือความหมายของสัญลักษณ์เยี่ยงนั้นหรือ ?  

 มันคือศาสตราเทพ ทั้งยังเป็นอาวุธที่ทรงพลังได้อีกด้วย 

 ใช้เยี่ยงไรกัน ?  

ซูเจวี๋ยรับมู่โต่วมา และได้พาฟู่เสี่ยวกวนมายืนด้านนอกศาลาเถาหราน

เขายกมู่โต่วขึ้นมาและอธิบายกับฟู่เสี่ยวกวนว่า  อัดกำลังภายในเข้าไปในล้อตรงนี้ กดปุ่มของล้อตรงนี้ เจ้าจงดู เส้นสีดำที่อยู่ตรงปลายและท้ายของกรวยก็จะถูกกระตุ้นขึ้นมา มีความสามารถมิต่างจากเข็มปักผ้าของซูโหรวเท่าใดนัก… 

ต่อจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เห็นลูกบิดตรงนั้นสว่างขึ้นมา ซูเจวี๋ยกดปุ่มลงไป เสียง  ฟิ้ว… !   จึงดังขึ้น โม่จุยสีดำก็ได้นำเส้นไหมสวรรค์ฟอกพุ่งลงไปในทะเลสาบซวนอู่ในชั่วพริบตา

ในวันนี้มีคนผู้หนึ่งจมน้ำตายอยู่ในทะเลสาบซวนอู่ !

เขาย่อมมิได้จมน้ำตายอย่างแท้จริง เพราะคนผู้นั้นคือเกาเสี่ยน เขากระโดดลงไปในทะเลสาบซวนอู่ และดำดิ่งลงไปด้านใต้ของทะเลสาบซวนอู่ จนมาถึงศาลาเถาหราน

โจวถงถงไล่ตามมาติด ๆ ทั่วทั้งใต้หล้านี้ต่างก็มีสายลับของหอเทียนจีอยู่เต็มไปหมด เขาเลือกที่จะซ่อนอยู่ก้นบึ้งของทะเลสาบซวนอู่ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ต่อให้โจวถงถงพลิกฟ้าพลิกดินทั่วทั้งจินหลิง ก็จะมิสามารถตามหาเขาได้อีกต่อไป

เขาได้ใช้วิชากัศยปแสร้งตาย และกำลังนอนเงียบ ๆ อยู่ที่ก้นทะเลสาบซวนอู่

แผนเดิมของเขาก็คือจะรอทะเลสาบซวนอู่แข็งตัวหลังจากผ่านพายุหิมะไป เมื่อถึงตอนนั้นคาดว่าโจวถงถงก็คงจะออกไปจากจินหลิงแล้วเช่นกัน

เมื่อถึงเวลานั้นเขาก็จะตื่นขึ้นมาอีกครา เพื่อทะลุน้ำแข็งออกไปจากที่นี่ และมุ่งหน้าไปสังหารฟู่เสี่ยวกวน

นี่เป็นแผนการที่สมบูรณ์แบบเป็นอย่างมาก !

หลังจากที่ใช้วิชากัศยปแสร้งตายเขาก็จะเหมือนกับตายไปแล้วอย่างแท้จริง ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งขั้นปรมาจารย์ ก็จะมิสามารถค้นหาการคงอยู่ของเขาได้

แต่ว่า… !

อุบัติเหตุก็ได้เกิดขึ้นทั้งอย่างนั้น

ศิษย์พี่ใหญ่ในสงครามผิงหลิง ถึงแม้ว่าจะบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็ได้ก้าวเข้าสู่ประตูปรมาจารย์แล้วเพราะความโชคร้ายครานั้น

กำลังภายในของเขาแข็งแกร่งจนเกินไป และมู่โต่วนี้ก็เป็นถึงอาวุธศาสตราเทพ !

และเส้นไหมสีดำนั้นก็ยาวมากยิ่งนัก โม่จุยนั้นคมเป็นอย่างมาก

ศิษย์พี่ใหญ่ยืนอยู่บนแท่นและยิงลงไปในน้ำ

 ฟู่… !   โม่จุยดังขึ้นยามที่แทงลงไปด้านล่าง และโดยบังเอิญ ที่เกาเสี่ยนได้นอนอยู่ด้านล่างนั้นอย่างพอดิบพอดี

โม่จุยแทงเข้าที่ท้องของเกาเสี่ยนอย่างง่ายดาย จนเขาได้ฟื้นคืนมาจากวิชากัศยปแสร้งตาย

เขาลืมตาขึ้นมามอง

เส้นที่เกือบจะโปร่งแสงดิ่งลงมาในน้ำ ปลายของเส้นแทงลึกเข้าไปในท้องของเขา เลือดได้ไหลออกมา ชั่วพริบตานั้นความเจ็บปวดก็ได้แล่นไปทั่วร่าง

เขาอยากจะกรีดร้องเสียงดัง เมื่อได้สัมผัสกับน้ำของทะเลสาบที่เย็นยะเยือก จึงนึกขึ้นมาได้ว่าตนเองในตอนนี้กำลังนอนอยู่ใต้ทะเลสาบซวนอู่

ผู้ใดกันที่เก่งกาจจนถึงขั้นตรวจพบข้าในที่นี้ได้ ?

เกาเสี่ยนตื่นตระหนกขึ้นมาทันพลัน เขาว่ายน้ำเข้าฝั่งอย่างตะเกียกตะกาย

 อ่า นี่คือวิธีการใช้… 

 เฮ้อ คิดว่าจะเอาเจ้านี่มาแทงปลาเยี่ยงนั้นหรือ มันจะแทงปลาได้สักกี่ตัวกัน ?  

 

ตอนที่ 470 มีคนจมน้ำตาย

เทศกาลปีใหม่ใกล้จะมาถึงแล้ว บรรยากาศของเทศกาลในเมืองจินหลิงมองดูแล้วครึกครื้นมากยิ่งนัก

การก่อสร้างในหนานซานได้เริ่มขึ้นแล้ว ผู้คนกว่าสี่หมื่นคนทำงานกันอย่างคึกครื้น พวกเขาได้เปลี่ยนแปลงสภาพลานกว้างของเรือนหนานซานไปอย่างสิ้นเชิง

ต่งชูหลานนำร่างที่อ่อนล้าของนางเดินฝ่าหิมะกลับไปยังจวนฟู่ แต่ทว่าใบหน้านั้นกลับแฝงไปด้วยความรื่นรมย์และยินดี

หลังจากสถานที่แห่งนี้ได้สร้างเสร็จแล้ว ก็จะสามารถจัดการกับปัญหาเรื่องสินค้าจากซีซานที่จัดส่งมายังเมืองจินหลิงได้เสียที

สินค้าที่ผลิตในซีซานจะได้นำส่งไปยังเมืองหลินเจียงและเมืองใกล้เคียงได้อย่างเต็มที่

และในปีหน้าเขตผิงหลิงและชวูอี้เองก็จะสร้างอุตสหกรรมที่สามารถผลิตสินค้าเองได้แล้ว อีกทั้งสามีของนางยังมีแผนการที่จะขยายโครงการให้ใหญ่โตขึ้นอีกด้วย

หากกล่าวถึงความเหนื่อยนั้นต้องเหนื่อยอย่างแน่นอน แต่นี่คือธุรกิจของครอบครัว !

ธุรกิจนี้ยิ่งขยายใหญ่เท่าใดก็ยิ่งดี ชื่อเสียงหน้าตาของตระกูลฟู่จึงจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ

เวิ่นหวินกำลังตั้งครรภ์ นางอยู่ที่จวนเพื่อพักผ่อน เสี่ยวโหลวเองก็ต้องดูแลธนาคารซื่อทงและดูแลการก่อสร้างของหนานซานด้วย ส่วนสามีของนางนั้นกำลังวุ่นอยู่กับกรมการค้าและการผลักดันนโยบายใหม่ ดังนั้นเรื่องกิจการหรือเรื่องภายในจวนนางจึงต้องเป็นคนจัดการ

 ชูหลาน ลำบากเจ้าหน่อยนะ !   หยูเวิ่นหวินต้มซุปโสมให้ต่งชูหลานด้วยตนเอง นางนำมือลูบไปที่ท้องแล้วกล่าวว่า  ท่านพี่กล่าวว่าจะนำบุตรชายของหลี่จินโต้วทั้งสามคนโยกย้ายมายังจวนฟู่ ทั้งสามคนนั้นล้วนเป็นหลงจู๊ใหญ่ พวกเขามีประสบการณ์มากมาย รอให้พวกเขามาแล้วเจ้าจะได้พักผ่อนเสียบ้าง 

ต่งชูหลานยิ้มออกมาน้อย ๆ  มิเป็นไร…เหวิ่นหวิน ข้าอยากจะบอกเจ้าจากใจจริงว่า ข้าชอบที่เป็นอยู่เช่นนี้ เดิมทีข้าก็ชื่นชอบการค้า เพียงแต่เพราะถูกสายตาของคนนอกจ้องมอง จึงมิกล้าลงมือทำเท่าใดนัก บัดนี้ข้ามิสนใจแล้วและรู้สึกว่าที่เป็นอยู่เช่นนี้ช่างรู้สึกดีมากยิ่งนัก รู้สึกว่าชีวิตเช่นนี้ช่างมีความหมายกับข้าอย่างแท้จริง 

หยูเวิ่นหวินจ้องมองต่งชูหลานตาเขม็งแล้วเบะปากพลางเอ่ยว่า  เจ้านั้นชื่นชอบเงินทองมาตั้งแต่ยังเยาว์… รีบดื่มซุปเร็วเข้า ซุปร้อน ๆ ช่วยบำรุงร่างกาย… สตรีเราเมื่อแต่งงานแล้วมิควรจะออกไปพบปะกับผู้คนมากนัก 

 เจ้าอย่าได้กล่าวไป เมื่อก่อนนั้นเจ้าเองก็แข็งกระด้างราวกับเด็กผู้ชาย  ต่งชูหลานเหลือบมองหยูเวิ่นหวินแล้วยกถ้วยซุปขึ้นมาดื่ม ก่อนจะเอ่ยชมว่า  อืม ซุปของเจ้านี่เหมือนรสชาติที่ฮองเฮาซั่งทำมากขึ้นทุกที 

 หึ ๆ !   หยูเวิ่นหวินหัวเราะ  นาน ๆ ทีเจ้าจะเอ่ยชมข้า นี่… ข้าว่าปีใหม่ก็ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว พวกเราควรจะไปซื้อของใช้เตรียมไว้ดีหรือไม่ ? อีกอย่าง…หลังจากที่พวกเราแต่งงานออกมา นี่คือปีใหม่แรกที่จะได้ร่วมกันเฉลิมฉลองกับตระกูลฟู่ โอกาสเช่นนี้ ท่านพี่ควรจะนำของขวัญไปมอบให้แก่พ่อตาแม่ยายของเขาด้วยจริงหรือไม่ 

ต่งชูหลานดื่มซุปจนหมดแล้วนำมือขึ้นเช็ดปากพลางกล่าวว่า  เมื่อตอนออกเรือน แคว้นอี๋ แคว้นฝาน และแคว้นอู๋ได้มอบของล้ำค่ามามิน้อย สิ่งของเหล่านั้นเอาตั้งไว้ก็มิมีประโยชน์อันใด นำไปมอบต่อคงจะดีกว่า แต่พวกเราควรจะไปซื้อพวกหยก แล้วส่งไปให้ยังจวนฟู่ที่หลินเจียงด้วย เนื่องจากพวกเรามิได้เดินทางกลับไปยังหลินเจียง ที่นั่นมีคนในครอบครัวอยู่มากโขเสียทีเดียว 

 เจ้าช่างคิดได้รอบคอบยิ่ง ไปกันเลยหรือไม่ ?  

 ไป !  

สตรีทั้งสองพาบ่าวรับใช้และผู้ติดตามเดินออกจากจวนฟู่ไป พวกนางเดินไปบนถนนอันสวยงามท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมา

บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางออกมาจากกรมการค้าแล้วมุ่งหน้าไปยังธนาคารซื่อทง เขาพบหลี่จินโต้วนั่งอยู่ด้านใน

 คุณชาย 

 เชิญนั่งก่อน 

หลี่จินโต้วมองดูฟู่เสี่ยวกวนด้วยความชื่นชม เขารับตำแหน่งหลงจู๊ใหญ่มาเป็นเวลาสิบกว่าปี แต่เพิ่งจะมาอยู่ที่ธนาคารซื่อทงได้เพียงสิบกว่าวันเท่านั้น

แต่ในเวลาสิบกว่าวันนี้ เขาได้เรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ มากมาย และได้ลบล้างข้อมูลเกี่ยวกับธนาคารรูปแบบเดิมที่เขามีอยู่

อย่าว่าแต่เรื่องหุ้นเลย บัดนี้ธนาคารซื่อทงนั้นมิใช่ทำหน้าที่เพียงรับฝากเงินเท่านั้น อีกทั้งยังเริ่มทำการให้กู้ยืม และจัดการประเมินสินทรัพย์อีกด้วย

นายหญิงเยี่ยนเสี่ยวโหลวกล่าวว่า ในปีนี้พอเท่านี้ก่อน เมื่อถึงปีหน้า คุณชายจะนำนิยามของหุ้นนี้เผยแพร่ไปทั่วทุกเขตการทดลองในเมืองหลวง เมื่อถึงเวลานั้นบรรดาพ่อค้าในเมืองหลวงก็จะนำทรัพย์สินของตนมาประเมิน หลังจากประเมินเรียบร้อยแล้วก็จะทำการแลกเปลี่ยนเป็นหุ้นกับธนาคารซื่อทงเพื่อลงทุนในจุดทดลองต่าง ๆ

สิ่งเหล่านี้มีความสำคัญไปตามยุคสมัย ในฐานะหลงจู๊เก่าแก่คนหนึ่ง เขารู้ดีถึงพลังของเงินทุน และหลังจากที่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งนี้แล้ว ในใจของเขากลับรู้สึกมิสงบเท่าใดนัก

ใต้หล้านี้มิมีการค้าใดที่ได้กำไรเสมอมา หากว่าบรรดาพ่อค้าเหล่านั้นเข้าสู่ตลาดของธนาคารซื่อทงแล้วขาดทุน มิมีเงินที่สามารถนำมาปันผลได้ หรือหุ้นตกจนมิเป็นท่า อาจทำให้ชื่อเสียงของธนาคารซื่อทงเสียหายได้มิใช่หรือเยี่ยงไร ?  

เขาอยากจะเอ่ยถามเสียเหลือเกิน แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับเปิดปากออกมาก่อนว่า

 ท่านหลี่ ในวันนี้ที่ข้าเดินทางมานั้นเพราะมีเรื่องหนึ่งอยากให้ท่านช่วย 

 เชิญคุณชายกล่าวมาเถิด !  

 ร้านค้าที่จะวางจำหน่ายสินค้าของอุตสาหกรรมซีซานนั้นได้เปิดทำการแล้ว เรื่องของเงินทองก็เตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน ในปีหน้าจะมีเงินจำนวนมากเพิ่มเข้ามา แต่เรื่องของผู้มีความสามารถมาดูแลกิจการในซีซานนั้น…ข้ามีคนมิเพียงพอ !  

หลี่จินโต้วชะงักลงทันพลัน ท่านเป็นถึงหัวหน้ากรมการค้า โยกย้ายคนในกรมไปสักสองสามคนก็สิ้นเรื่องแล้วมิใช่หรือ ?  

แต่เขามิกล้าเอ่ยเช่นนั้นออกไป เขาคิดตามความหมายของฟู่เสี่ยวกวนที่กล่าวมา ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาถึงที่นี่เพื่อกล่าวเรื่องเหล่านี้กับตน หรือว่าเขาจะต้องการบุตรชายทั้งสามของตนกัน ?

แต่เขานั้นได้ให้หลี่ก้วน บุตรชายคนที่สี่ลาออกจากหอหุยชุนของตระกูลฉินแล้ว และกำลังรอเวลาข้ามปีใหม่ เพื่อที่จะเดินทางไปขยายกิจการร้านยาที่เขตกง มณฑลเหอหนานแล้ว…

 อืม !   หลี่จินโต้วสูดลมหายใจลึก เขาคิดในใจว่าหรือเขาจะล้มเลิกแผนการนั้นแล้วให้หลี่ก้วนไปช่วยงานคุณชายฟู่ที่อุตสาหกรรมซีซานดี ?

ขนาดของอุตสาหกรรมซีซานนั้นใหญ่โตเป็นอย่างมาก บัดนี้นับได้ว่าเป็นหนึ่งในสิบอุตสาหกรรมในราชวงศ์หยูก็ว่าได้ จากแผนการของคุณชายฟู่แล้ว คาดว่าจะขึ้นเป็นหนึ่งในห้าของการค้าแห่งราชวงศ์หยูได้มิยาก อนาคตย่อมรุ่งเรืองกว่าธุรกิจร้านยาของตนเป็นแน่

 หากว่าคุณชายมิรังเกียจ ข้าจะให้หลี่ก้วนมาช่วยท่าน 

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า  เพียงแค่หลี่ก้วนคงมิพอ ข้าขอบอกตามตรงว่า ทั้งหลี่เจียและหลี่ว่าน ข้านั้นก็รู้สึกชื่นชมพวกเขายิ่ง 

หลี่จินโต้วตกตะลึงขึ้นทันพลัน  นี่มัน… !  

 เจียฉายว่านก้วน ตระกูลมั่งคั่ง ท่านหลี่ ข้านั้นชื่นชมท่านในการให้กำเนิดและตั้งชื่อบุตรทั้งสี่ของท่านอย่างแท้จริง หากทั้ง เจีย ฉาย ว่าน ก้วน ทั้งสี่คนนี้มารวมตัวกันได้ คาดว่าคงจะดีมากยิ่งนัก 

เมื่อกล่าวจบเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยต่อไปว่า  ท่านหลี่ เรื่องนี้เอาตามนี้ก็แล้วกัน ไว้ข้าจะหาเวลาเชิญทุกคนมาร่วมทานข้าวด้วยกัน เพื่อปรึกษาหารือกันเรื่องอนาคตอันยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมซีซาน ในปีหน้าบุตรชายทั้งสามของท่านจะรุ่งเรืองภายใต้การขัดเกลาของข้า !  

จากนั้นเขาก็หันหลังเดินจากไป หลี่จินโต้วจึงยื่นนิ้วหนึ่งออกมา  เห้อ เห้อ… !  

ตกลงตามนี้เยี่ยงนั้นหรือ ?

ข้ายังมิได้รับปากเลยด้วยซ้ำ !

แต่หลี่จินโต้วจะทำอันใดได้กันเล่า ?

เขาจะไปสู้กับฟู่เสี่ยวกวนได้เยี่ยงไร !

ตระกูลเขาทั้งตระกูลถูกซื้อโดยฟู่เสี่ยวกวนแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นแล้วอย่างแท้จริง สมาชิกในตระกูลทุกคนมารวมกันเป็นคนของจวนฟู่ ข้าจะไปหาผู้ใดมาช่วยได้อีกเล่า ?

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งรถม้ากลับจวนอย่างมีความสุข เมื่อถึงหน้าประตูจวน เขาก็ได้พบว่ามีผู้คนจำนวนมากยืนส่งเสียงโหวกเหวกโวยวายอยู่ เขาจึงเดินเข้าไปดู ที่นั่นคือทะเลสาบซวนอู่ และพบว่ามีคนตกน้ำ

ช่างน่าสงสารยิ่ง อากาศหนาวเย็นถึงเพียงนี้ ผู้ใดจะกล้ากระโดดลงไปช่วยกันเล่า อีกทั้งคนผู้นั้นก็มิขยับเขยื้อนใด ๆ คาดว่าคงจะเสียชีวิตแล้ว

อีกสองถึงสามวันคาดว่าทะเลสาบซวนอู่คงจะกลายเป็นน้ำแข็ง เมื่อถึงเวลานั้นคงจะกลายเป็นอาหารปลาไปแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจ เมื่อเขากลับเข้าไปยังจวนและได้เดินมายังศาลาเถาหราน ก็ได้พบว่าศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยกำลังนั่งรอเขาอยู่ที่ันั่น…

 

ตอนที่ 469 เรื่องในวันนี้น่ากลัดกลุ้มยิ่ง

เมื่อทราบว่าซูเจวี๋ยกำลังจะกลับมา ฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก นั่นหมายความว่าบาดแผลของซูเจวี๋ยได้หายแล้ว เพียงแต่มิทราบว่าจะมีรอยแผลเป็นบนใบหน้านั้นหรือไม่

เจี่ยหนานซิงจับตามองฟู่เสี่ยวกวนมาโดยตลอด เขาชื่นชอบเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นอย่างมาก แน่นอนว่าในตัวตนที่เขาเป็นองค์ชาย

คนผู้นี้ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง ราชวงศ์หยูในปัจจุบันหากบริหารตามนโยบายของเขาต่อไป อีกมิเกิน 2 ปี จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดินเป็นแน่

แต่หากราชวงศ์หยูแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แล้วราชวงศ์อู๋จะทำเยี่ยงไร ?

สำหรับความกังวลใจนี้ เจี่ยหนานซิงยังมิได้คิดมากอันใด และมิได้แนะนำให้ฟู่เสี่ยวกวนกลับไปยังแคว้นอู๋

เขาเชื่อว่าเยี่ยงไรเสียในมิช้าฟู่เสี่ยวกวนก็ต้องกลับไปยังราชวงศ์อู๋ เพราะท้ายที่สุดแล้วในร่างกายของเขาก็ได้มีโลหิตของจักรพรรดิเหวินไหลเวียนอยู่

ทั้งสองสนทนากันเกี่ยวกับการจัดวางฝูงมดในเมืองหลวงโดยละเอียด ฟู่เสี่ยวกวนถึงได้ทราบว่าเครือข่ายสอดแนมของหอเทียนจีแข็งแกร่งกว่าหอซี่หยู่หลายเท่าตัว

 กระหม่อมคิดว่าพระองค์จะใส่ใจซีหรง ดังนั้นกระหม่อมจึงนำรายชื่อฝูงมดในซีหรงทั้งหมดมาด้วย หากมีเวลาว่างพระองค์โปรดอ่านอีกครา นอกจากนั้นยังมีรายงานจากซีหรงอีก 1 ฉบับ กระหม่อมคาดว่าพระองค์จะต้องสนใจเป็นแน่ 

เจี่ยหนานซิงนำสาสน์และจดหมายอย่างละหนึ่งฉบับออกมาจากในแขนเสื้อ และส่งมอบให้กับฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนรับสาสน์ฉบับนั้นมา เมื่อเปิดออก คิ้วของเขาก็ได้ขมวดเข้าหากันในทันที

 ยืนยันแล้วว่านามที่แท้จริงของหนานป้าเทียนคือเฉินจั่วจวิน ซึ่งเป็นนักบุญสาวของลัทธิจันทรา 

 ยืนยันได้แล้วว่าองค์ชายสี่แห่งราชวงศ์หยูได้ติดต่อแม่ทัพใหญ่เซวี๋ยติ้งชานแห่งกองทัพชายแดนตะวันตก ทุกกองของเซวี๋ยติ้งชาน ในคืนวันที่สิบห้า เดือนสิบเอ็ด ได้แยกตัวออกมากองเล็ก ๆ กองละ 1,000 คนและมุ่งตรงไปยังเขตซีหรง มิทราบเป้าหมาย กำลังรอการตรวจสอบ 

 ด้านล่างเชิงเขายอดเมฆาของภูเขาหมิน พบรังลับของลัทธิจันทรา มีการป้องกันที่ซับซ้อน ศิษย์ทั้งสี่แห่งสำนักเต๋าตั้งใจจะบุกทะลวงเข้าไป แต่ก็มิสำเร็จ พวกเขาได้เข้าปะทะกับลัทธิจันทรา และได้สังหารคนของลัทธิจันทราไป 102 คน เกาหยวนหยวนและซูปิงปิงบาดเจ็บสาหัส ซูหยางหยางกับซูเตี่ยนเตี่ยนแบกทั้งสองฝ่าวงล้อมออกมา และได้กลับไปยังสำนักเต๋า 

 เรื่องที่สงสัยตอนนี้มีอยู่สองเรื่อง และได้จ้างวานสหายแนวร่วมไปตรวจสอบแล้ว ประการที่หนึ่ง แม่ทัพใหญ่เซวี๋ยติ้งชานแห่งกองทัพชายแดนตะวันตก ในฤดูใบไม้ผลิไท่เหอปีที่ห้าสิบเอ็ด ได้เกี่ยวข้องกับโศกนาฏกรรมของหลินจิงเลี่ยที่ตรอกหวู่อี้ในจินหลิง หลินจิงเลี่ยเป็นราชามดแห่งหอเทียนจี หอเทียนจีตรวจสอบเรื่องนี้มาโดยตลอด หากเป็นเรื่องจริง จะต้องลอบสังหารเซวี๋ยติ้งชานเสียเพื่อแก้แค้นให้กับสหายแนวร่วมของข้า 

 ประการที่สอง บัดนี้กำลังติดตามรองเสนาบดีฉินฮุ่ยจือแห่งสำนักอัครมหาเสนาบดีแห่งราชวงศ์หยูอย่างใกล้ชิด ข้ากำลังรอสกัดรายงานจากจินหลิงที่ส่งไปยังเขตซีหรง มีความเป็นไปได้อย่างมากที่คนผู้นี้จะถูกหยูเวิ่นชูซื้อไปแล้ว 

ฟู่เสี่ยวกวนอ่านอย่างถี่ถ้วนถึงสองรอบ แล้วจึงส่งให้เจี่ยหนานซิง  เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าฝูงมดนี้ใส่ใจกับอันตรายในราชวงศ์หยูมากยิ่งนัก ?  

 ทูลองค์ชาย เพราะฮ่องเต้เคยตรัสไว้ว่า ราชวงศ์หยูที่มั่นคงมีค่าสำหรับราชวงศ์อู๋เป็นอย่างมาก แน่นอนว่ายังมีเหตุผลอื่นที่นอกเหนือจากนั้น ถึงแม้ว่าลัทธิจันทราจะเป็นเศษเดนจากราชวงศ์ก่อน แต่หนวดของลัทธิจันทราแผ่ออกมายาวจนเกินไป คาดมิถึงว่าเกาเสี่ยนจะเป็นคนของลัทธิจันทรา เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องมิดีต่อราชวงศ์อู๋เป็นอย่างยิ่ง 

 หลินจิงเลี่ยเป็นคนแบบไหนกัน ?  

 คราหนึ่งที่พักทางการของช่าวชิงศาลต้าหลี่แห่งราชวงศ์หยู ค่ำคืนหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ ไท่เหอปีที่ 51 จวนหลินเกิดเพลิงไหม้ ผู้คนจำนวน 136 คนในจวนต่างสิ้นชีวิตทั้งหมด แน่นอนว่า นี่ดูเหมือนเป็นการจัดฉากขึ้นมา เพราะวรยุทธ์ของหลินจิงเลี่ยทะลวงไปถึงขั้นที่หนึ่งแล้ว แต่แท้จริงแล้วเขาถูกสังหารก่อนที่จะถูกวางเพลิง… 

ขันทีเจี่ยครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วกล่าวขึ้นมาว่า  ยังมีอีกข่าวคราวหนึ่ง กล่าวว่าจวนหลินมีผู้รอดชีวิตอยู่ 1 คน นั่นคือบุตรีของหลินจิงเลี่ย ในยามนั้นมีอายุเพียง 5 ปีเท่านั้น 

 ข่าวนี้เชื่อถือได้หรือไม่ ?  

 ตามเอกสารในจวนผู้ว่าเขตจินหลิง ในยามนั้นพบเจอศพเพียง 135 คนเท่านั้น คิดดูแล้วก็มีความเป็นไปได้อย่างมาก 

หากลองคำนวณตามดู เด็กสาวผู้นั้นในปัจจุบันนี้น่าจะอายุได้ 15 ปีแล้ว แต่เยี่ยงไรแล้วเรื่องนี้ก็มิได้เกี่ยวข้องกับฟู่เสี่ยวกวนแต่อย่างใด เขาจึงมิได้ถามต่อ แต่กลับถามถึงเซวี๋ยติ้งชานแทน  เซวี๋ยติ้งชานบรรลุถึงขั้นใดแล้ว ?  

ขันทีเจี่ยเงียบไปชั่วอึดใจ  กระหม่อมมิเคยพบเซวี๋ยติ้งชานมาก่อน เนื่องจากสิบปีก่อนหน้านี้เขาสามารถสังหารหลินจิงเลี่ยได้ เกรงว่าบัดนี้เขาน่าจะเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์แล้ว 

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน เหตุใดยิ่งอยู่ปรมาจารย์ยิ่งเยอะมากขึ้นเรื่อย ๆ กัน

ฮั่วหวยจิ่นกล่าวว่ากำลังรบของกองทัพชายแดนตะวันตกเกรงว่าจะเกินกว่าจินตนาการของใครหลาย ๆ คนแล้ว คนผู้นี้ซุกซ่อนไว้ลึกถึงเพียงใดกัน ? หากเขามีปัญหากับองค์ชายสี่ขึ้นมาอย่างแท้จริง นั่นย่อมมิใช่เรื่องที่ดีอย่างแน่นอน

บัดนี้เขาได้มองเห็นถึงความกังวลของฟู่เสี่ยวกวน ขันทีเจี่ยจึงกล่าวยิ้ม ๆ ว่า  ฝ่าบาททราบถึงวรยุทธ์ของเซวี๋ยติ้งชานแล้ว 

 ฝ่าบาทมีการเตรียมการป้องกันเยี่ยงไร ?  

 ภรรยาของเซวี๋ยติ้งชาน คือสีฮวาน้องสาวของสีฉวินเหมยและเป็นบุตรีของประมุขตระกูลสี…สีจื้อ 

กล่าวได้ว่า ตระกูลสีคือตระกูลที่มีอำนาจและฮ่องเต้เองก็ทรงไว้วางใจ

เพียงแค่สตรีผู้นี้ จะสามารถจับตามองปรมาจารย์ที่เก่งกาจได้เยี่ยงนั้นหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนแสดงท่าทีสงสัยออกไปอย่างเห็นได้ชัด

 ดังนั้นฮ่องเต้จึงมีการเตรียมการป้องกันนอกเหนือจากนี้อยู่ และปืนคาบศิลาขององค์ชายจำต้องส่งไปให้ถึงมือของกองทัพชายแดนตะวันออกโดยเร็วอย่างแท้จริง 

ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด ฮ่องเต้ทรงทราบถึงความเก่งกาจของเซวี๋ยติ้งชานและกองทัพชายแดนตะวันตก ดังนั้นจึงต้องการส่งปืนคาบศิลาไปติดตั้งที่กองทัพชายแดนตะวันออก เพื่อต้องการให้กองทัพชายแดนตะวันออกรับมือกับกองทัพชายแดนตะวันตกของเซวี๋ยติ้งชานได้เยี่ยงนั้นหรือ ?

ชายชราผู้นี้มีเล่ห์เหลี่ยมยิ่งนัก คาดว่าคงจะกังวลว่าในวังหลวงจะมีหูตาของเซวี๋ยติ้งชานอยู่

 อยากจะกลับราชวงศ์อู๋หรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามขึ้นอย่างกะทันหัน ขันทีเจี่ยชะงักไปชั่วครู่ เขาเงียบไปชั่วอึดใจแล้วเอ่ยเสียงแผ่วว่า  เมืองกวนหยุนอยู่สูงจนเกินไป กระหม่อมมิชอบเมฆที่ปกคลุมเมืองหลวง และกระหม่อมก็คุ้นชินกับสภาพอากาศของจินหลิงแล้ว นอกจากนั้น… กระหม่อมเองก็คุ้นชินกับการอยู่ข้างกายของฮ่องเต้แล้ว องค์ชายโปรดวางใจเถิด 

 เยี่ยงนั้นก็ดีแล้ว เจ้าจงจำไว้ว่า ฮ่องเต้คือพ่อตาของข้า !  

 กระหม่อมจดจำอยู่เสมอพ่ะย่ะค่ะ 

 นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้าควรกลับได้แล้ว 

 วันนี้เกาเสี่ยนคงยังมิปรากฏตัว พระองค์โปรดระวังตนให้มาก 

……

……

ในค่ำคืนนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้พบคน 2 คน จึงได้ทราบเรื่องราวมากมาย และทำให้เขาคิดถึงเรื่องต่าง ๆ อีกมากมายเช่นกัน

หน่วยสอดแนมของราชวงศ์อู๋มีเครือข่ายที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

หนวดของลัทธิจันทรายืดยาวเสียยิ่งกว่าที่เขาได้คาดการณ์เอาไว้

อำนาจของลัทธิจันทราได้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ทั้งยังตัดสินใจที่จะคร่าชีวิตของเขา !

องค์ชายสี่ได้ตัดสินใจแล้วที่จะก่อกบฏ !

ปืนคาบศิลาจำต้องส่งไปยังกองทัพชายแดนตะวันออกให้เร็วมากยิ่งขึ้น และกองกำลังดาบเทวะก็ต้องเติบโตให้เร็วที่สุดด้วยเช่นกัน

ดังนั้นคุณชายเศรษฐีที่ดินในปัจจุบันนี้จึงมิมีอิสระในชีวิตอีกต่อไป

นั่นเป็นเรื่องที่ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนทุกข์ใจมากยิ่งนัก อยากจะใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญ เยี่ยงนั้นก็จำต้องกำจัดลัทธิจันทรา กำราบองค์ชายสี่ และสยบซีหรงให้จงได้… เกรงว่ามีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะสามารถหลุดพ้นได้

เฉกเช่นฟู่เสี่ยวกวน องค์รัชทายาทเยียนเหลียงเจ๋อแห่งแคว้นอี๋ก็ได้พบคน 2 คนในค่ำคืนนี้เช่นกัน

ผู้หนึ่งคืออาสามขององค์ชายสี่ เซวี๋ยไคเหลียนผู้ประสานงานในราชวังแห่งสำนักตรวจสอบพระราชโองการ อีกผู้หนึ่งกลับเป็นผู้อาวุโสที่สาม ถงเหยียนแห่งลัทธิจันทรา

เซวี๋ยไคเหลียนเพียงกล่าวกับเยียนเหลียงเจ๋อหนึ่งประโยคเท่านั้นว่า หากต้องการยึดเมืองยุทธศาสตร์หลานหลิงให้ได้ ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าแคว้นอี๋ต้องรุกที่ราบสีหม่าอีกครา

ส่วนผู้อาวุโสที่สาม ถงเหยียนแห่งลัทธิจันทรา ก็ได้มาเสนอแก้ปัญหาที่ใหญ่หลวงและน่ารำคาญในปัจจุบันของเยียนเหลียงเจ๋อ ซึ่งก็คือฟู่เสี่ยวกวน

 ข้าจะสังหารฟู่เสี่ยวกวน หลังจากเสร็จเรื่อง แคว้นอี๋จะต้องจ่ายเงินจำนวน 30 ล้านตำลึงให้กับข้า !  

เยียนเหลียงเจ๋อจ้องมองใบหน้าที่อยู่เบื้องหน้านี้อยู่เนิ่นนาน คาดมิถึงว่านางจะคือหลิ่วเยียนเอ๋อร์แห่งหงซิ่วจาว

ในช่วงหลายวันมานี้เยียนเหลียงเจ๋อมิแม้แต่จะได้พบเห็นหน้าของฟู่เสี่ยวกวน เขาเคยไปหงซิ่วจาว และเคยพบเจอกับหลิ่วเยียนเอ๋อร์มาก่อน เพียงแค่เขามิเข้าใจว่านักร้องแห่งหงซิ่วจาวจะมีความสามารถอันใดไปสังหารฟู่เสี่ยวกวนได้กัน

 เขาจะมาหงซิ่วจาวอย่างแน่นอน องค์ชายสี่เพียงเตรียมตั๋วเงินเอาไว้ให้พร้อมก็พอเพคะ 

นางคือถงเหยียน แต่ในปัจจุบัน นางได้กลายเป็นหลิ่วเยียนเอ๋อร์ และมิมีผู้ใดที่มองเห็นข้อพิรุธนี้เลย

 

ตอนที่ 468 เจี่ยหนานซิง

ตอนที่ 468 เจี่ยหนานซิง

 ประหลาดใจใช่หรือไม่ ?   โจวถงถงรู้สึกพอใจในท่าทีของฟู่เสี่ยวกวนมากยิ่งนัก

เพราะนั่นแสดงถึงความแข็งแกร่งของหอเทียนจี คงมิมีผู้ใดคาดว่า ขันทีประกาศพระราชโองการของฮ่องเต้นั้นคือสายลับของหอเทียนจี

ฟู่เสี่ยวกวนสูดหายใจเข้าลึกแล้วกล่าวว่า  ดังนั้นการต่อสู้ของขันทีเจี่ยกับโหยวเป่ยโต้วที่ภูเขาลั่วเหมยแห่งชังไห่มิใช่เรื่องจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

โจวถงถงส่ายหน้า  เป็นเรื่องจริง ! พวกเขาเป็นพี่น้องต่างบิดากัน ล้วนเป็นผู้มีความสามารถด้านการต่อสู้กันทั้งคู่ แต่เล็กจนโตมิมีใครยอมใคร ดังนั้นทั้งสองจึงสัญญากันว่า หากผู้ใดเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ทีหลังจะต้องตัดความเป็นชายของตนออก แน่นอนว่าโหยวเป่ยโต้วเป็นผู้ชนะ เนื่องจากเขาเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ก่อนหนานซิง 3 ปี ดังนั้น…เจี่ยหนานซิงจึงได้ตัดตอนด้วยตนเอง 

ให้ตายสิ เขาดูถูกขันทีเจี่ยไปได้เยี่ยงไร เจ้าหมอนี่ช่างโหดร้ายกับตนเองได้ถึงเพียงนี้ ?

 เจี่ยหนานซิงเข้ามาในวังได้ศึกษาและได้ก้าวหน้าด้านการต่อสู้เป็นอย่างยิ่ง และในที่สุดเขาก็ได้เข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ในสามปีต่อมา จึงได้เดินทางกลับไปยังภูเขาลั่วเหมยเพื่อต่อสู้กับโหยวเป่ยโต้วอีกครา 

 ผู้ใดชนะเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 เจี่ยหนานซิงชนะ 

โหยวเป่ยโต้วสู้เขามิได้เยี่ยงนั้นหรือ !

 เนื่องจากโหยวเป่ยโต้วแพ้การต่อสู้ ดังนั้นชีวิตนี้เขาจะออกไปจากราชวงศ์อู๋มิได้อีก นี่คือกฎที่พวกเขาตกลงกันไว้ ดังนั้นโหยวเป่ยโต้วจึงได้อยู่ที่ภูเขาลั่วเหมยเพื่อดูแลต้นเหมยเหล่านั้น ส่วนเจี่ยหนานซิงก็ได้เข้าสู่หอเทียนจี และเดินทางมายังราชวงศ์หยูแล้วเข้าสู่พระราชวัง รับหน้าที่เป็นขันทีเล็ก ๆ เมื่อฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์และได้เล็งเห็นว่าเขามีประสบการณ์ จึงได้คัดเลือกมาเป็นขันที 

โจวถงถงหยุดลงชั่วครู่ เพื่อให้ฟู่เสี่ยวกวนได้คิดตามข้อมูลที่ตนกล่าวออกไป จากนั้นก็ยิ้มแล้วเอ่ยว่า  มิเช่นนั้น นโยบายการทำสงครามอีกทั้งหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นที่ฝ่าบาทเขียนในพระราชวังจินเตี้ยนแห่งราชวงศ์หยู จะไปถึงมือของจักรพรรดิองค์ก่อนอย่างรวดเร็วได้เยี่ยงไรกัน 

 กระหม่อมได้รับความกรุณาจากจักรพรรดิองค์ก่อนยิ่ง เมื่อใดที่ฝ่าบาททรงมีเวลาก็มักจะเดินทางมายังกวนหยุนถายเพื่อเล่นหมากรุกกับกระหม่อม หากมิใช่เพราะบทความอันยอดเยี่ยมทั้งบู๊และบุ๋นของฝ่าบาทนั้น เกรงว่าจักรพรรดิองค์ก่อนคงจะมิทรงเรียกตัวฝ่าบาทมาเป็นแน่ 

 ก่อนหน้านั้น จักรพรรดิองค์ก่อนทรงหวังให้ฝ่าบาทใช้ชีวิตในเมืองหลินเจียงอย่างสงบสุข เป็นเพียงพ่อค้าที่ดินธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น หรือจะเป็นอันธพาลก็มิเป็นไร เนื่องจากจวนฟู่แห่งเมืองหลินเจียงมีเงินทองมากมายให้ฝ่าบาทใช้ได้อย่างสำราญใจ 

 จักรพรรดิองค์ก่อนเคยตรัสว่า ตำแหน่งจักรพรรดินี้ทุกคนล้วนปรารถนา แต่หาได้มีผู้ใดรู้ไม่ว่าตำแหน่งนี้ช่างสูงยิ่งนัก ยิ่งสูงยิ่งหนาว ยิ่งสูงยิ่งเหงา หาได้มีความสุขแบบคนทั่วไปไม่ 

 จักรพรรดิองค์ก่อนคาดมิถึงว่าฝ่าบาทจะซ่อนสายลับไว้ในหอเทียนจี ที่ฝ่าบาทมีความสามารถด้านวรรณกรรมนั้นยังมิเท่าไหร่ แต่เมื่อฝ่าบาทเดินทางมายังเมืองจินหลิง และได้เข้ารับตำแหน่งขุนนางระดับห้า จิตใจของจักรพรรดิองค์ก่อนก็มิสามารถแน่นิ่งได้อีกต่อไป 

 ฝ่าบาทเป็นโอรสขององค์จักรพรรดิ แต่กลับเข้าไปเป็นขุนนางแห่งราชวงศ์หยู ฝ่าบาททรงคิดว่าเรื่องนี้มิเหมาะสม ดังนั้นจึงได้จัดงานชุมนุมวรรณกรรมขึ้น ประกอบกับที่ฝ่าบาทมีความสามารถทั้งด้านวรรณกรรมและการต่อสู้ จึงทำให้เห็นถึงความบกพร่องของพระโอรสอีก 2 พระองค์ 

 ก่อนที่ฝ่าบาทจะทรงเดินทางไปถึงเมืองกวนหยุนหนึ่งคืน จักรพรรดิองค์ก่อนได้ตรัสกับกระหม่อมไว้หนึ่งประโยค 

 พระองค์ทรงตรัสว่า พระองค์หวังว่าฝ่าบาทจะทรงมีความสุขเฉกเช่นนกที่โผบิน แต่ก็ทรงหวังว่าราชวงศ์อู๋จะรุ่งเรืองสืบต่อไป กระหม่อมจำได้ดีว่าพระองค์ทรงกล่าวไว้ว่า หากมอบราชวงศ์อู๋ให้แก่ฝ่าบาท ฝ่าบาทจะทรงสร้างมันให้ยิ่งใหญ่ได้อย่างแน่นอน 

 ในตอนนั้นองค์จักรพรรดิทรงสับสนมากยิ่งนัก ท้ายที่สุดแล้วจักรพรรดิองค์ก่อนจึงทรงตัดสินใจเปิดทางให้แก่ฝ่าบาทได้เข้ามาเป็นเจ้าของตำหนักบูรพา ดังนั้นจึงทำให้มีเรื่องราวที่ฝ่าบาททรงเดินทางไปเมืองกวนหยุนเกิดขึ้นพ่ะย่ะค่ะ 

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยถามว่า  ไทเฮาซีเป็นคนเยี่ยงไรกันแน่ ?  

โจวถงถงเองก็นิ่งเงียบไปชั่วครู่เช่นกัน ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า  นาง…เกรงว่าจะมิใช่ผู้ที่มั่นคงมากนัก !  

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วเข้าหากัน  ข้ารู้ตัวตนของฟู่ต้ากวนแล้ว เขาได้บอกเรื่องราวบางอย่างกับข้า ข้าจึงอยากจะถามเจ้าว่า หากตำแหน่งของไทเฮามั่นคง แต่ตัวนางกลับมิมั่นคง เจ้าจะมีวิธีจัดการเยี่ยงไร ?  

โจวถงถงพยักหน้า  ต่อไปฝ่าบาทจะทรงรู้เองว่าหอเทียนจีมิได้เรียบง่ายดังที่ตาเห็น 

ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้วางใจลง แล้วเอ่ยว่า  เมื่อเจ้ากลับไปถึงเมืองกวนหยุน หากได้พบเจอกับหลิงเอ๋อร์จงบอกกับนางว่า ตำราหลี่เสวียที่ท่านอาจารย์เหวินสิงโจวเขียนนั้น สามารถเผยแพร่ได้ทั่วหล้า 

โจวถงถงนิ่งเงียบลงไปอีกครา มิใช่เพราะตำราหลี่เสวีย แต่จากคำเอ่ยของเขาแล้วเห็นได้ชัดว่าเขายังมิยอมกลับไปยังราชวงศ์อู๋

ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนสงสัยไทเฮาซี ก็จำเป็นจะต้องจับเกาเสี่ยนให้ได้ เพื่อบีบบังคับให้ไทเฮาซีหมดสิ้นหนทาง

แต่ฟู่ต้ากวนมิเคยร้องขอให้ฝ่าบาทเดินทางกลับไปยังราชวงศ์อู๋ คาดว่าน่าจะเป็นเพราะกังวลเรื่องความปลอดภัยของฝ่าบาทเอง หากว่าไทเฮาซีทรงกลายเป็นสุนัขบ้าวิ่งไล่กัดผู้คนขึ้นมา แม้ว่าหอเทียนจีจะมีแผนการอยู่ แต่ก็อาจจะมีข้อบกพร่องได้

ฝ่าบาทจะทรงสวรรคตอีกคราหนึ่งมิได้ เช่นนั้นการที่ให้เขาอยู่ในเมืองจินหลิงต่อไปนับว่าเป็นแผนการที่ดีที่สุดในตอนนี้

 ที่กระหม่อมเดินทางมาในครานี้ เพื่อนำฝูงมดนี้มอบให้แก่ฝ่าบาท บัดนี้หน้าที่ของกระหม่อมได้เสร็จสิ้นแล้ว ต่อไปกระหม่อมจะไปตามหาเกาเสี่ยน ส่วนเรื่องความปลอดภัยของฝ่าบาท พวกมดงานจะรับผิดชอบเอง 

โจวถงถงลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ได้กำมือขึ้นโค้งคารวะแล้วเดินทางออกจากจวนฟู่ทันที ร่างของเขาได้เลือนหายไปท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาล

ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนทำหน้านิ่วคิ้วขมวดและกำลังจะนั่งลง เขาก็ต้องตื่นตะลึงขึ้นมาอีกครา !

เนื่องจากมีเงาหนึ่งลอยมายังหลีเฉินซวน

มือของฟู่เสี่ยวกวนรีบล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ แต่ต่อมาเขาก็ได้วางมันลงแล้วส่ายหน้าพลางหัวเราะออกมา

ขันทีเจี่ย !

 ท่านอยู่ที่นี่ตลอดเลยเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 กระหม่อมเจี่ยหนานซิง คารวะฝ่าบาท กระหม่อมเพิ่งมาถึงเมื่อครู่ 

 อย่าได้ใช้คำเอ่ยเหล่านั้นเลย มาเถิด เชิญนั่ง 

รอยยิ้มบนใบหน้าอันเหี่ยวย่นของขันทีเจี่ยช่างสดใสยิ่ง เขานั่งลงตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาให้แก่เขา

 ท่านช่างเก่งกาจเสียจริง !  

 หาใช่ไม่ กระหม่อมคิดว่าฝ่าบาททรงเก่งกาจยิ่งกว่ากระหม่อมเสียอีก 

 เอาล่ะ พวกเราอย่าได้มัวเสียเวลาเอ่ยชมกันไปมาเลย หลังจากที่ข้ารู้ถึงตัวตนของท่าน ข้าก็มีบางเรื่องที่มิค่อยเข้าใจ เรื่องที่สุสานจักรพรรดินั้น หากท่านมิลงมือ ฮ่องเต้คาดว่าอาจจะมิรอด เมื่อฮ่องเต้สวรรคต ราชวงศ์หยูก็คงจะวุ่นวาย นี่มิได้เป็นประโยชน์แก่ราชวงศ์อู๋มากกว่าเยี่ยงนั้นหรือ เหตุใดท่านจึงต้องยื่นมือเข้าไปช่วย ?  

 ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้มีอยู่สองเหตุผล ประการแรกนั้น เนื่องจากกระหม่อมติดตามฮ่องเต้มานับสิบปี แท้จริงแล้วฮ่องเต้มิใช่คนเลวร้ายอันใด เพียงแต่มองไปแล้วเขามีความสามารถมิมากพอก็เท่านั้น แต่พระองค์ก็ทรงมีเสน่ห์ในแบบของตนเอง กระหม่อมแม้เป็นเพียงขันที แต่ก็รู้จักในบุญคุณ ในตอนนั้นกระหม่อมมิทันได้คิดจึงได้ลงมือออกไป 

 ประการที่สองเล่า ?  

 ประการที่สอง…กระหม่อมเกรงว่าฝ่าบาทจะทรงถูกองค์ชายใหญ่ทำร้าย 

 เยี่ยงนั้นหมายความว่า เจ้าก็รู้มาตั้งแต่แรกเกี่ยวกับตัวตนของข้า ?  

 ทูลฝ่าบาท เมื่อคราที่ฝ่าบาททรงจากเมืองหลินเจียงแล้วมุ่งหน้ามาเมืองจินหลิง กระหม่อมได้รับข่าวสารมาจากหอเทียนจีจึงได้ทราบว่าฝ่าบาทคือผู้ใด 

 ในครานั้นที่ข้าถูกลักพาตัวจนแทบเอาชีวิตออกมามิได้ เหตุใดท่านจึงมิเข้าไปช่วยข้า ?  

 …  ขันทีเจี่ยหน้าซีดเผือดลงทันที จากนั้นจึงกล่าวออกมาอย่างจริงใจว่า  ในตอนนั้นฝ่าบาทยังมิได้กระทำตนให้เป็นจุดสนใจ กระหม่อมเองก็มิทราบว่าจัวอี้สิงจะยื่นมือเข้ามาทำร้ายฝ่าบาท 

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมา  ข้าเพียงล้อท่านเล่นเท่านั้น ว่าแต่โจวถงถงกล่าวว่าท่านจะมาอารักขาข้า แล้วฮ่องเต้เล่า ?  

 ซูเจวี๋ยกำลังเดินทางมา อีกราวสองวันก็น่าจะถึงเมืองจินหลิงแล้ว มีเขาอยู่ข้างกายของฮ่องเต้ หากว่ามิใช่ปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งกว่า ความปลอดภัยของฮ่องเต้ก็มิใช่เรื่องที่น่ากังวล 

 

ตอนที่ 467 ฝูงมด

เมื่อไม่กี่วันก่อนศิษย์พี่ใหญ่ได้ส่งจดหมายมา 1 ฉบับ เนื้อความในจดหมายนั้นกล่าวถึงสองกองกำลัง ที่บัดนี้กำลังเดินทางมายังเมืองจินหลิง และเกาเสี่ยน ก็คือหนึ่งในนั้น

เดือนสี่ในปีนี้ เมืองกวนหยุน ณ แคว้นอู๋ ฟู่เสี่ยวกวนเห็นเกาฟู่ลวี่แทงเกาเสี่ยนจนตายอยู่ในคุกด้วยตาของตนเอง ดังนั้นหลังจากที่ได้อ่านจดหมายของศิษย์พี่ใหญ่ เขายังอดคิดไม่ได้ว่าศิษย์พี่ใหญ่กล่าวถึงผิดคนหรือไม่

แต่ในยามนี้เมื่อได้มาฟังโจวถงถงที่กล่าวอย่างจริงจังถึงเพียงนี้ ก็เป็นหลักฐานที่แน่ชัดแล้วว่าขันทีชราเกาเสี่ยนผู้นั้นยังมิตาย

 เขามีชีวิตรอดมาได้เยี่ยงไรกัน ?   ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด

 วิชากัศยปแสร้งตาย ก่อนที่กริชเล่มนั้นจะแทงเข้าที่หัวใจของเขา เขาใช้กำลังภายในบังคับให้หัวใจเคลื่อนออกไปจากตำแหน่งเดิมสองชุ่น ยามที่กริชเล่มนั้นแทงเข้าไป จึงแทงมิโดนหัวใจของเขาอย่างแท้จริง เขาอาศัยวิชากัศยปแสร้งตายเพื่อหลบหนีไป 

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้นมาทันพลัน  เศษเดนของลัทธิจันทราเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ของสิ่งนี้เขาเคยได้ยินมาจากปากของเฟ่ยอันมาก่อน ที่กล่าวถึงคือปู้เนี่ยนชือไท่เฉินซีหยุนจากอารามซุ่ยเยว่

โจวถงถงพยักหน้า ในชั่วพริบตานั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงได้นึกถึงเรื่องราวมากมายขึ้นมา

 กล่าวได้ว่า เซียวเฉียงก็เป็นคนของลัทธิจันทราเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ยังมิเคยสืบหา 

 เซียวเฉียงสิ้นพระชนม์แล้วหรือไม่ ?  

 ทูลองค์ชาย พระนาง…ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นพระมารดาขององค์จักรพรรดินี ขณะนี้ถูกจองจำอยู่ในคุกหลวง เพื่อรอการลงทัณฑ์จากองค์จักรพรรดินีพ่ะย่ะค่ะ 

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยถามต่อในเรื่องนี้ แต่กลับถามว่า  เจ้าค้นพบตัวตนของเกาเสี่ยนได้เยี่ยงไรกัน ?  

 …กระหม่อมบกพร่องในหน้าที่ มิใช่กระหม่อมที่สังเกตเห็นตัวตนของเกาเสี่ยน แต่เป็น… 

โจวถงถงชะงักทันพลัน เขาเกือบจะเผยตัวตนที่แท้จริงของฟู่ต้ากวนออกไปแล้ว

เขาทราบเรื่องการอภิเษกสมรสของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว และได้ทราบว่าฟู่ต้ากวนก็ได้มาที่นี่ในวันที่ฟู่เสี่ยวกวนเข้าพิธีอภิเษกสมรสเช่นกัน แต่เขามิทราบว่าฟู่ต้ากวนถูกฟู่เสี่ยวกวนค้นพบตัวตนที่แท้จริงแล้วหรือยัง

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามในพลัน  เป็นผู้ใดกัน ?  

 เป็นฟู่ต้ากวนบิดาบุญธรรมของพระองค์พ่ะย่ะค่ะ 

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน จนถึงกับต้องเบิกตาโพลง  เขาเยี่ยงนั้นหรือ ชายอ้วนผู้นั้นน่ะหรือ ?  

อ่า… เอาเถอะ ชายอ้วนผู้นั้น แท้จริงแล้วก็เป็นชายอ้วนผู้หนึ่ง เพียงแต่เป็นชายอ้วนที่ก้าวเข้าขั้นปรมาจารย์แล้ว !

 พ่ะย่ะค่ะ 

ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองโจวถงถง จนผ่านไปหลายอึดใจ จึงได้กล่าวอย่างเคร่งเครียดว่า  เจ้ามันเป็นชายชราที่มิซื่อสัตย์เลย บัดนี้ข้าขอสั่งให้เจ้าเล่าทุกเรื่องให้ข้าฟัง นี่มันสำคัญเป็นอย่างมาก มันเกี่ยวข้องกับชีวิตของชายอ้วนผู้นั้น และก็เกี่ยวข้องกับชีวิตของอู๋หลิงเอ๋อร์เช่นกัน !  

ฟู่ต้ากวนได้ไปยังแคว้นฝานแล้ว เดิมที่หลังจากที่เขาเสร็จธุระที่แคว้นฝานก็ควรจะกลับไปยังหลินเจียง เพราะภรรยาคนที่ห้าของเขากำลังจะคลอดบุตรแล้ว

ตามที่ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจเกี่ยวกับฟู่ต้ากวน เขามิมีทางที่จะไปแคว้นอู๋โดยไร้เหตุไร้ผลอีก นอกเสียจากจะเกิดเรื่องใหญ่เป็นอย่างมากในราชวงศ์อู๋ ทั้งยังเกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่ของฟู่เสี่ยวกวน

บิดาผู้นี้ถึงแม้จะมิใช่บิดาแท้ ๆ แต่ความรักที่เขามีให้แก่เขา กลับเข้มข้นเสียยิ่งกว่าบิดาแท้ ๆ เสียอีก เยี่ยงนั้นเพราะเหตุหิมะถล่มคราใหญ่ที่แคว้นอู๋ ฟู่ต้ากวนจึงได้กลับไปที่แคว้นอู๋ทันที นี่คือสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าสมเหตุสมผล

แต่จุดที่ไม่สมเหตุสมผลก็คือ ถึงแม้ชายอ้วนผู้นี้จะเป็นพี่ชายของจักรพรรดิเหวิน แต่มิว่าจะมองเขาเยี่ยงไรก็ดูมิเหมือนผู้ที่มีวรยุทธ์ เยี่ยงนั้นจึงมิมีความเป็นไปได้ที่เขาจะเป็นผู้สังเกตเห็นว่าเกาเสี่ยนคือเศษเดนจากลัทธิจันทรา และที่ตนได้หายตัวไปหลายเดือน เขาก็ควรจะกลับไปถึงหลินเจียงเนิ่นนานแล้ว แต่เขากลับมาปรากฏตัวขึ้นที่จินหลิง และยังมาถึงจวนฟู่ในจินหลิงอีกด้วย

ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยควันฝุ่น เห็นได้ชัดว่าได้มาอย่างเร่งรีบ แต่ชายอ้วนผู้นั้นกลับมิเอ่ยปากกล่าวว่าเขามาจากไหน

ช่วงเวลาสองสามวันที่ชายอ้วนพักอยู่ที่จินหลิง สองพ่อลูกสนทนากันอยู่บ่อยครั้ง แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับมิเคยได้รับข่าวคราวอันใดจากปากของชายอ้วนผู้นั้นเลย

หลังจากนั้นเขาก็จากไปอีกครา กล่าวว่าจะไปสะสางธุระสักเล็กน้อย แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับรู้สึกว่านั่นมิใช่เรื่องเล็กน้อยอย่างแท้จริง แต่สุดท้ายแล้วมันคือเรื่องอันใดกันนั้น ท้ายที่สุดชายอ้วนก็ไม่ยอมบอกเขา และเขาเองก็มิทราบอันใดเลยตั้งแต่ต้นจนจบ

ใบหน้าของโจวถงถงมีรอยยิ้มประดับขึ้นมา  มิได้มีเรื่องราวที่ซับซ้อนอันใดเลยพ่ะย่ะค่ะ ฟู่ต้ากวนได้ยินว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ภูเขาหิมะนั่น ดังนั้นเขาจึงได้มายังแคว้นอู๋ เมื่อทราบข่าวว่าพระองค์ในยามนั้นกำลังตกที่นั่งลำบาก เขาก็รู้สึกทุกข์ระทมเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นเขาจึงได้ไปยังวัดหานหลิง เพื่อจะขอพรให้แก่พระองค์ก็เท่านั้น 

 หลังจากที่เกาเสี่ยนเสียชีวิต ไทเฮาได้สั่งให้ทิ้งศพของเขาไว้ที่ทุ่งรกร้าง ด้านล่างของภูเขาหานซาน 

 ฟู่ต้ากวนไปขอพร ก่อนที่จะขึ้นไปบนภูเขาก็ได้พบกับศพของเกาเสี่ยนที่เชิงเขา แต่หลังจากที่เขาลงมาจากภูเขาก็มิพบศพนั้นแล้ว ดังนั้นเขาจึงไปแจ้งทางราชสำนัก กระหม่อมจึงได้ไปสำรวจ 

 สถานการณ์ก็เป็นเยี่ยงนี้พ่ะย่ะค่ะ 

ฟู่เสี่ยวกวนตั้งใจฟังอย่างรอบคอบ มิมีพิรุธอันใด และสมเหตุสมผล กล่าวได้ว่าชายอ้วนไปพบเจอความลับโดยบังเอิญ

เอาเถอะ ชายอ้วนที่มิมีเล่ห์เหลี่ยมก็ควรจะเป็นเยี่ยงนั้น

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าเรื่องนี้เหมาะสมกับนิสัยของชายอ้วนเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่ได้ไต่ถามเรื่องของชายอ้วนอีก โจวถงถงจึงได้ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

 กล่าวได้ว่า เกาเสี่ยนมาเพื่อแก้แค้นข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ตามรายงานของหอเทียนจี เป็นเยี่ยงนั้นพ่ะย่ะค่ะ 

 แต่ข้ามิได้ทำให้บุตรของเขาเสียชีวิตนี่ ก็เพียงแค่ยึดเอาทรัพย์สมบัติของจวนเขาทั้งหมดมาก็เท่านั้น มันคุ้มกับที่เขาต้องถ่อมาไกลเพื่อสังหารข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 …นั่น หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะปัญหาของจักรพรรดิเหวิน เขาจึงนำความแค้นมาลงที่เชื้อสายของราชวงศ์พ่ะย่ะค่ะ 

เหตุผลนี้ดูขัดกันเล็กน้อย แต่ฟู่เสี่ยวกวนในขณะนี้มิสามารถหาเหตุผลอื่นได้อีกแล้ว ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามว่า  ขันทีชราผู้นั้นเป็นผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นหนึ่งจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 จริงพ่ะย่ะค่ะ !  

 แล้วเจ้าจะทำเยี่ยงไรต่อไป ?  

 ขอให้พระองค์เสด็จกลับแคว้น มีเพียงในเมืองกวนหยุนเท่านั้น พระองค์จึงจะปลอดภัยอย่างแท้จริงพ่ะย่ะค่ะ 

 ท้ายที่สุดแล้วหลิงเอ๋อร์ได้ป่วยเป็นโรคอันใดกันแน่ ?   ฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปอีกเรื่อง

 กระหม่อมเองก็มิทราบ องค์จักรพรรดินีมิได้มาปรากฏตัวในราชสำนักมานานหลายเดือนแล้ว เสนาบดีในราชสำนักก็เริ่มระส่ำระส่ายกันแล้วพ่ะย่ะค่ะ 

 ไทเฮาซีเองก็มิทราบเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 พระชนนีมักจะมาที่ราชสำนักพ่ะย่ะค่ะ ตรัสว่าองค์จักรพรรดินีได้ติดไข้ทรพิษ เป็นโรคติดต่อที่ร้ายแรงยิ่ง ดังนั้นองค์จักรพรรดินีจึงกักตัวอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหู หากรักษาจนหายดีแล้ว จะกลับมายังราชสำนักอย่างแน่นอน 

ไข้ทรพิษ… ฟู่เสี่ยวกวนใจกระตุกขึ้นมาทันพลัน ในยุคนี้ยังมิมียาที่รักษาโรคนี้ได้ ต้องอาศัยภูมิคุ้มกันในร่างกายของตนทั้งสิ้น อัตราการตายสูงมากยิ่งนัก ได้แต่หวังว่าอู๋หลิงเอ๋อร์จะสามารถต้านทานมันได้

 ข้าเองก็ขอมิปิดบังกับเจ้า ข้าได้ยินข่าวที่ว่าเกาเสี่ยนมายังจินหลิงแต่เนิ่น ๆ แล้ว และภายในเมืองจินหลิงในตอนนี้ ก็แทบจะวางกับดักเอาไว้อย่างครอบคลุมแล้ว ดังนั้นหากเกาเสี่ยนกล้าที่จะปรากฏกายเพื่อสังหารข้าอย่างแท้จริง ข้าก็รับประกันได้ว่าครานี้เขาจะตายโดยที่มิอาจฟื้นได้อีกเลย เจ้ากลับไปเสียเถอะ ที่ราชวงศ์อู๋ยังเรื่องที่ต้องจัดการอยู่อีกมากโข อย่าได้เสียเวลากับข้าที่นี่เลย 

โจวถงถงนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน  พระองค์มิประสงค์จะกลับไปจริงหรือพ่ะย่ะค่ะ ?  

 อือ ข้ายังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องจัดการในราชวงศ์หยู 

 ราชวงศ์อู๋เองก็ต้องการนโยบายการบริหารใหม่ของพระองค์เพื่อผลักดันแคว้นเช่นกัน 

 รอให้หลิงเอ๋อร์พ้นอันตรายเสียก่อนเถิด ข้าจะไปบอกกับนางเองว่าต้องลงมือทำเยี่ยงไร 

 …..  โจวถงถงมิได้เอ่ยชักชวนอันใดอีก เขาหยิบแผ่นป้ายสีดำออกมาจากช่วงอกและส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน  นี่คือป้ายคำสั่งสูงสุดของหอเทียนจีพ่ะย่ะค่ะ เพียงมีป้ายคำสั่งนี้ สายลับของหอเทียนจีจะทำตามคำสั่งของพระองค์ทันที 

ฟู่เสี่ยวกวนรับมาดู เป็นแผ่นหยกโลหิตชิ้นหนึ่งที่มีน้ำหนัก ด้านบนนั้นแกะสลักมดหนึ่งตัวที่ดูปราดเปรียวราวกับมีชีวิตอยู่  นี่… ?  

 เครือข่ายของหอเทียนจี ฝูงมด นี่เป็นราชินีมดหนึ่งตัวเท่านั้น 

 เยี่ยงนั้นแล้วผู้ใดเป็นผู้รับผิดชอบเมืองจินหลิงกัน ?  

 ราชามด เจี่ยหนานซิง !  

บัดซบ !

ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน !

ขันทีเจี่ย… ผู้มีฝีมือระดับปรมาจารย์ที่อยู่ข้างกายของฝ่าบาทเยี่ยงนั้นหรือ ?

 

ตอนที่ 466 โจวถงถง

อีกหลายวันต่อมา ฟู่เสี่ยวกวนได้ไปทำงานอย่างจริงจัง ณ กรมการค้า

เดิมทีที่แห่งนี้แทบจะกลายเป็นซากปรักหักพัง แต่บัดนี้ได้กลับมามีชีวิตชีวาอีกคราแล้ว

ที่แห่งนี้มีบัณฑิตเดินทางมาจำนวนมาก มีทั้งผู้ที่สอบได้สามอันดับแรก และทั้งลูกศิษย์ของสำนักศึกษาที่ฟู่เสี่ยวกวนคัดเลือกมา 32 คน

จำนวน 32 คนนี้ มี 30 คนเคยเดินทางไปยังแคว้นอู๋ด้วยกันกับเขา จึงได้มีความรู้ทางด้านการค้าอยู่มิน้อย

ส่วนอีก 2 คนที่เหลือ คนหนึ่งนามว่าหวางซุนอู๋จี้มาจากตระกูลหวางซุนแห่งเปี้ยนเหอ ส่วนอีกคนหนึ่งนามว่าฉงฟังหยวนมาจากตระกูลฉง

เดิมทีพวกเขาควรจะเข้าร่วมการสอบชิวเหวยในปีหน้า จากความรู้ความสามารถของพวกเขา การจะสอบให้ได้ตำแหน่งจิ้นซื่อมิใช่ปัญหา ชะตาชีวิตเดิมของพวกเขานั้นคือการที่ต้องเริ่มทำงานตั้งแต่ระดับรากหญ้าในท้องถิ่นที่ห่างไกลสักแปดหรือสิบปี แล้วค่อย ๆ ขยับย้ายเข้ามาในเมืองหลวง

แต่การปรากฏตัวขึ้นของฟู่เสี่ยวกวน ได้ทำให้ชะตาชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนไป

พวกเขามิได้แม้แต่สอบเคอจวี่ แต่ก็สามารถเข้ามาเป็นหนึ่งในสมาชิกของกรมที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่เอี่ยมนี้ได้ และเริ่มที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ที่ต่างจากความรู้เดิมของพวกเขาตั้งมากมาย

 บัดนี้ข้าจะบอกกับพวกเจ้าว่าการผูกขาดทางการค้าคือสิ่งใด อีกทั้งเหตุใดต้องผูกขาดทางการค้า… 

ที่กำแพงของห้องโถงใหญ่มีกระดานขนาดใหญ่ติดเอาไว้อยู่ มือของฟู่เสี่ยวกวนจับแท่งถ่านเอาไว้แล้วเขียนตัวอักษรบรรทัดหนึ่งลงไปว่า  เศรษฐกิจการตลาด !  

เขาหันหลังไปมองดูเหล่าบัณฑิตกลุ่มนี้ที่นั่งมองอย่างเป็นระเบียบ ราวกับกำลังนั่งอยู่ในห้องเรียน

 ก่อนที่จะอธิบายเรื่องการผูกขาดทางการค้านั้น ข้าขออธิบายให้ทุกคนเข้าใจก่อนว่าสิ่งใดที่เรียกว่าเศรษฐกิจการตลาด 

 เศรษฐกิจการตลาดนั้น หมายถึง ระบบเศรษฐกิจชนิดหนึ่งโดยมีตลาดในการจัดสรรทรัพยากรทางสังคม ภายใต้ระบบนี้ การผลิตสินค้า บริการ และการจำหน่ายจะถูกชี้นำโดยกลไกราคาของตลาดเสรี… 

 …… 

 สินค้าเหล่านี้เดิมทีควรจะถูกกำหนดราคาโดยตลาด แต่อาจจะถูกตระกูลใหญ่ใช้วิธีการแข่งขันที่รุนแรงเพื่อขับไล่พ่อค้าคนอื่น ๆ ให้ออกไปจากตลาด 

 เมื่อพวกเขาครอบครองตลาดได้แล้ว สินค้าและบริการเหล่านั้นจึงตกอยู่ในน้ำมือของพวกเขาโดยสมบูรณ์ แน่นอนว่าพวกเขาจะเป็นผู้ควบคุมราคา จากนั้นจะทำให้เกิดการผูกขาดทางการค้า 

 ยกตัวอย่างง่าย ๆ คือ สุราของซีซานผูกขาดทางการค้าของสุราขาวชั้นเลิศในตลาด 

พวกเขาที่นั่งฟังอยู่หัวเราะขึ้นมา ตัวอย่างนี้มิใช่ว่าจะย้อนกลับมาทุบหัวท่านฟู่เองเยี่ยงนั้นหรือ ?

นี่เขาหยิบก้อนหินขึ้นมาเพื่อโยนใส่ขาตนเองหรือเยี่ยงไรกัน ?

 แต่ข้านั้นมิได้ใช้วิธีแย่งชิงอย่างรุนแรงจึงมิถือว่าเป็นการผูกขาดทางการค้า นี่คือการผูกขาดทางกลวิธี สำหรับการผูกขาดเช่นนี้มิรวมอยู่ภายใต้การต่อต้านการผูกขาด 

 ดังนั้นทุกคน เก๋ออู้นั้นเป็นสิ่งที่ดี ในฐานะหนึ่งในสมาชิกของกรมการค้า พวกเราควรจะปลูกฝังแนวคิดอย่างจริงจังให้แก่บรรดาพ่อค้า นั่นก็คือการลงทุนในกองทุนเพื่อวิจัยและพัฒนาเครื่องมือ เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาและความก้าวหน้าของผลิตภัณฑ์ด้านนวัตกรรม มีเพียงแบบนี้เท่านั้นสินค้าที่พวกเขาผลิตออกมาจึงจะได้มีที่ยืนในตลาด มิเช่นนั้นแล้วอาจจะถูกกำจัดออกไปจากตลาดได้อย่างง่ายดาย 

เป็นเช่นนี้ตลอดทั้งยามเว่ย

สมาชิกในกรมการค้าเหล่านี้เมื่อได้ฟังจึงได้รู้สึกตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก และเพิ่งรู้ว่าการค้านั้นมิใช่เพียงการซื้อขายอย่างที่พวกเขาเคยเข้าใจมา

ฟู่เสี่ยวกวนวางถ่านแท่งในมือลงแล้วปัดมือไปมา  วันนี้พอเท่านี้ก่อน ต่อจากนี้ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์คงต้องพึ่งพลังของพวกเจ้าขับเคลื่อนให้สำเร็จแล้ว 

 ที่กรมการค้านี้มิมีข้อบังคับเรื่องเวลาเข้าออกงาน ข้าเพียงต้องการเห็นผลงาน บัดนี้เหลือเวลาอีกยี่สิบกว่าวันกว่าจะถึงวันหยุด ข้ามีเพียงข้อกำหนดเดียวเท่านั้น นั่นคือก่อนหน้าที่จะถึงวันหยุด ข้าจะต้องได้เห็นฉบับร่างของกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทุกท่าน ข้าขอตัวก่อน ไว้พบกันใหม่ !  

เขาทิ้งคนกลุ่มนี้ไว้แล้วเดินจากไป เเต่ว่าหลี่ฉายมิกล้าไปด้วย ในฐานะรองหัวหน้ากรมการค้า เขาก็มิกล้าบังคับให้สมาชิกใหม่เหล่านี้ทำงานล่วงเวลา เนื่องจากท่านฟู่ได้กล่าวไว้แล้วว่า อย่าได้วางอำนาจกับผู้ใดในกรมนี้ !

ดังนั้นหลี่ฉายจึงทำได้เพียงแค่กล่าวว่า  ภารกิจนี้ของท่านฟู่ค่อนข้างเร่งรีบ ผู้ที่ยินดีจะอยู่ต่อก็จงอยู่ต่อและเริ่มลงมือทำกฎหมายฉบับร่างนี้ ท้ายที่สุดแล้วค่อยนำมาสรุปและรวมเข้าด้วยกัน 

เดิมทีเขาคิดว่าจะมีคนจำนวนมากเดินจากไป แต่คิดมิถึงว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เดินออกไป เขามิใช่สมาชิกของกรมการค้า แต่เป็นขันทีผู้อยู่ข้างกายของฮองเฮาซั่ง ขันทีเหนียนนั่นเอง

 ท่านหลี่ พวกข้านั้นล้วนเป็นศิษย์ของท่านฟู่ จะกล้าจากไปได้เยี่ยงไร พวกข้าจะลงมือบัดเดี๋ยวนี้ !  

 ข้าจะออกไปข้างนอกสักประเดี๋ยว จะกำชับให้บ่าวรับใช้ไปสั่งอาหารจากหอซื่อฟางมาสัก 3 โต๊ะ พวกเราจะต้องทำงานกันจนถึงยามห้าย กินมื้อดึกก่อนแล้วค่อยกลับจะดีกว่า !   คนที่กล่าวนี้คือหวางซุนอู๋จี้ แม้ว่าเขาจะมิได้เดินทางไปยังแคว้นอู๋กับฟู่เสี่ยวกวน แต่หลังจากที่เขาได้ฟังฟู่เสี่ยวกวนอธิบายถึงสิ่งต่าง ๆ แล้วเขากลับรู้สึกนับถือชื่นชมฟู่เสี่ยวกวนมากยิ่งนัก

มิน่าเล่า ท่านปู่จึงได้นับถือฟู่เสี่ยวกวนมากถึงเพียงนั้น เนื่องจากท่านฟู่เป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง !

นับจากนั้นต่อมา พระราชวังอันกว้างใหญ่แห่งนี้ มีเพียงไฟในกรมการค้าที่ถูกดับลงช้าที่สุดในแต่ละวัน กรมการค้าจึงได้มีชื่อเสียงท่ามกลางกรมต่าง ๆ นับสิบกรมในราชวัง

 นี่คือเยาวชนแห่งราชวงศ์หยู !  

 ข้านั้นภาคภูมิใจมากยิ่งนัก ยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองใกล้เข้ามาแล้ว !  

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งจุดไฟอยู่ในหลีเฉินซวน

ทำงานล่วงเวลาเยี่ยงนั้นหรือ ?

เป็นไปมิได้อย่างแน่นอน !

ชีวิตนี้เขาจะมิทำงานล่วงเวลาเป็นอันขาด !

หยูเวิ่นหวินนั่งอยู่ด้านซ้ายของเขา ในมือของนางกำลังเย็บชุดทารกอยู่ ท่าทางของนางดูติด ๆ ขัด ๆ มองดูแล้วช่างน่าขันยิ่ง แต่นางดูจะชื่นชอบอย่างแท้จริง

เยี่ยนเสี่ยวโหลวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา กำลังต้มชาแล้วกล่าวว่า  ธนาคารซื่อทงได้จัดสรรเงิน 100,000 ตำลึงให้แก่อุตสาหกรรมหนานซาน และได้ใส่ไว้ในบัญชีหนานซานแล้ว พี่ซูหลานเขียนจดหมายไปถึงชุนซิ่ว บัดนี้รายได้ของอุตสาหกรรมซีซานทั้งหมดได้นำมาเก็บไว้ในธนาคารซื่อทงแล้ว วันนี้ได้มีการขนส่งเงินมาจากซีซานเป็นคราแรก เป็นจำนวนเงิน 1,200,000 ตำลึง !

หลงจู๊หลี่เห็นว่า บัดนี้ธนาคารของพวกเรามีเงินทุนเกือบร้อยล้านตำลึงแล้ว จะสามารถเริ่มทำการให้กู้ยืมดังที่เจ้าเคยกล่าวไว้ได้แล้วหรือยัง ?  

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่  ลำบากเจ้าแล้ว เรื่องของเงินกู้นั้นเจ้าจงไปบอกหลี่จินโต้วว่าจะต้องวิเคราะห์คุณสมบัติของผู้กู้ยืม และจะต้องมีของมัดจำ อีกทั้งระยะเวลาในการกู้ยืมมิให้เกินครึ่งปี เนื่องจากในปีหน้าอุตสาหกรรมของพวกเราจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก 

 อืม…  เยี่ยนเสี่ยวโหลวพลันโล่งอกขึ้นมาทันที ก่อนหน้านี้นางมิเคยแตะต้องเรื่องเหล่านี้มาก่อนเลย ย่อมรู้สึกกังวลเป็นธรรมดา

แต่นางก็มิได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด อีกทั้งยังรู้สึกดีใจเสียด้วยซ้ำที่ได้รับคำชมจากสามี ทำให้นางรู้สึกยินดีมากยิ่งนัก

นางรินน้ำชาให้กับฟู่เสี่ยวกวน ทันใดนั้นหลี่เจิ้ง ผู้เฝ้าประตูก็ได้วิ่งเข้ามายังหลีเฉินซวนแล้วโค้งตัวพร้อมกับกล่าวว่า  คุณชาย ด้านนอกมีคนผู้หนึ่งนามว่าโจวถงถง ต้องการเข้าพบท่านขอรับ 

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นมาทันพลันจากนั้นจึงได้ขมวดคิ้วขึ้น

โจวถงถงแห่งหอเทียนจีในราชวงศ์อู๋…เขาเดินทางมาถึงที่นี่เพื่ออันใดกัน ?

 เชิญเขาเข้ามา 

หยูเวิ่นหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวมองดูฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเดินจากไป

โจวถงถงเดินตามหลี่เจิ้งมายังหลีเฉินซวน เขาโค้งคารวะแล้วกล่าวว่า  กระหม่อม โจวถงถง ถวายบังคมฝ่าบาท !  

เอาอีกแล้ว…  ท่านเดินทางมาท่ามกลางความหนาวเหน็บด้วยระยะทางอันไกลโพ้นกว่าจะมาถึงที่นี่ เชิญลุกขึ้นมานั่งด้วยกันเถิด 

โจวถงถงนั่งตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน สายตาของเขาจับจ้องไปยังใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า  เกาเสี่ยนได้แทรกตัวเข้ามาในเมืองจินหลิงแล้วพ่ะย่ะค่ะ !  

 

ตอนที่ 465 ต้องการคน

ปืนคาบศิลา 30,000 กระบอก ทั้งยังมิมีเงินให้อีกเยี่ยงนั้นหรือ !

นี่มันมิสมเหตุสมผลเกินไปแล้ว !

สีหน้าของฟู่เสี่ยวกวนที่มองไปยังฮ่องเต้เต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย แต่เขาจะสามารถทำอันใดได้อีกกัน ?

ฮ่องเต้เองก็จ้องมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน สีหน้าเต็มไปด้วยความลำพองใจ เห็นได้ชัดว่ากำลังลอบเอ่ยว่าเด็กนี่จะทำอันใดข้าได้ !

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่นานหลายอึดใจ ก่อนจะกล่าวขึ้นมาอย่างช้า ๆ ว่า  ในเมื่อฝ่าบาทต้องการ บุตรเขยผู้นี้ย่อมยกให้ได้ แต่บุตรเขยผู้นี้ก็พลันนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้… 

บัดนี้เจ้าใช้คำแทนตนเองว่าบุตรเขย เยี่ยงนั้นในตอนนี้คือเรื่องของพ่อตาและบุตรเขย มิใช่เรื่องของขุนนางและเจ้าเหนือหัวแล้ว

เรื่องระหว่างขุนนางและกษัตริย์ต้องมีการคิดบัญชีเอาไว้อย่างชัดเจน แต่เรื่องระหว่างบุตรเขยและพ่อตา ถือเป็นเรื่องภายในครอบครัว

ฮ่องเต้ใจกระตุกขึ้นมาทันพลัน เด็กนี่มิใช่ผู้ที่ชอบขาดทุน กองทัพชายแดนตะวันออกได้รับเสบียงจำนวนมากผ่านขนส่งของตระกูลฟู่ เพียงพลิกฝ่ามือเขาก็สามารถครอบครองทรัพย์สินของตระกูลชือได้แล้ว บัญชีนี้ช่างยุ่งเหยิงยิ่ง หากต้องคิดอย่างถี่ถ้วน เหมือนว่าข้าจะขาดทุนเสียแล้ว

ในขณะนี้ข้าต้องการปืน 30,000 กระบอกนั้นมาโดยมิเสียอันใดไป เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะหาทางกู้ส่วนเสียนี้จากแหล่งอื่น ?

การรับมือเจ้าเด็กนี่ คงต้องมองการไกลไว้ให้มาก

 เจ้ากล่าวมาเถิด 

 กรมการค้าของข้าถือว่าได้เปิดอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ข้ายังมิมีคนทำงานเลย บัดนี้ในมือก็มีเพียงหลี่ฉายผู้เดียวเท่านั้น ทั้งยังเป็นการแย่งชิงมาจากในมือของพ่อตาต่ง !  

ต่งคังผิงไม่ฟังเสียยังจะดีกว่า เพียงแค่ได้ยินหนวดของเขาถึงกับกระตุกและได้จ้องมองไปทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาเย็นชา

ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา และกล่าวอย่างขัดเขิน  ต้องการจะบอกว่าหลี่ฉายนี้ อยู่ในกรมการค้าของข้า ยังจะมีประโยชน์เสียมากกว่าที่จะให้อยู่ในกรมคลัง 

 อย่ามากล่าวไร้สาระกับข้า !  

 อ่า ขอรับ…  ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองฮ่องเต้  กระหม่อมต้องการคนสักสองสามคน ฝ่าบาทโปรดอนุญาตให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ 

ต้องการคนเยี่ยงนั้นหรือ เพียงแค่มิใช่ต้องการเงิน ก็ย่อมสนทนากันได้อย่างง่ายดาย

ฮ่องเต้จึงวางใจลง  ลองกล่าวมาสิ 

 สามอันดับแรกของเคอจี่ จอหงวนกงซุนเซ่อ ปั๋งเหยี่ยนซังเหลียง ทั่นฮวาซือหม่าหนาน นอกจากนั้น… 

ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้น ก็ตกตะลึงขึ้นทันพลัน  รอก่อน ๆ สามอันดับแรกของการสอบปีนี้ข้าได้วางตัวเอาไว้แล้ว เป็นคนอื่นย่อมได้ เลือกตามใจเจ้าเถอะ 

 ไม่ ! กระหม่อมต้องการ 3 คนนี้เท่านั้น !  

 มิได้ เมื่อพ้นข้ามปีคนทั้งสามนี้จะถูกจัดให้ไปประจำอยู่ที่สามมณฑลนำร่อง เพื่อจะเข้าไปดำเนินการทดสอบในมณฑลนำร่อง พวกเขาเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจเป็นอย่างดี ได้พวกเขามาบูรณะมณฑลทั้งสามนี้จึงจะแสดงผลประโยชน์ของการบริหารแบบใหม่นี้ออกมาได้ 

 ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ แผนที่ฝ่าบาททรงวางไว้ พวกเขาจะบูรณะได้เพียง 1 เขตเท่านั้น แต่หากมอบให้กระหม่อม พวกเขาสามารถบูรณะได้ทั้งใต้หล้า ฝ่าบาททรงพิจารณาข้อดีและข้อเสียด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่าพวกเขาในตอนนี้ควรจะมาอยู่กับกระหม่อม เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับนโยบายใหม่นี้ให้มากยิ่งขึ้น 

ฟู่เสี่ยวกวนและฮ่องเต้ยังคงโต้เถียงกันอย่างมิยอมลดลาวาศอกให้แก่กัน แต่ทันทีที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวประโยคนี้ออกมา ฮ่องเต้ก็ต้องเงียบลงไปทันพลัน แต่กลับมิใช่การพิจารณาถึงข้อดีและข้อเสีย แต่เป็นการเรียนรู้จากฟู่เสี่ยวกวนให้มากยิ่งขึ้น

ถึงแม้จะมิมีผู้ใดเอ่ยถึง แต่ทุกคนต่างก็ทราบดีว่าคนผู้นี้คือองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋

หากวันใดวันหนึ่งไทเฮาซีหรือจักรพรรดินีส่งราชโองการมาให้เขากลับไป และหากเขาจากไป ราชวงศ์หยูก็จะขาดคนที่เป็นโครงสร้างที่สำคัญที่สุดไป สำหรับราชวงศ์หยูแล้วนี่คือปัญหาที่ร้ายแรงถึงชีวิต

ดังนั้นฮ่องเต้จึงต้องประนีประนอมทั้งที่มิอยากจะยินยอมสักเท่าใดนัก

 เอาเถอะ ข้ามอบ 3 คนนี้ให้เจ้า นอกเหนือจากนั้นของเจ้ายังมีอะไรอีกหรือไม่ ?  

 นอกจากนี้กระหม่อมต้องการเลือกผู้ที่มีความสนใจในด้านเศรษฐกิจจากสำนักศึกษาจี้เซี่ย พวกเขาเหล่านั้นมิสามารถไปร่วมการทดสอบได้ เมื่อถึงเวลานั้นคงต้องขอให้ฝ่าบาทปลดตำแหน่งจิ้นซื่อด้วยพ่ะย่ะค่ะ 

 ไสหัวไป !  

ฮ่องเต้โบกมือไล่พัลวัน ด้วยท่าทีรำคาญอย่างเหลือหลาย ฟู่เสี่ยวกวนฉีกยิ้มกว้าง โค้งคำนับและเอ่ยลา หลังจากที่ออกมาจากห้องทรงพระอักษรวังหลวง ก็ได้มุ่งหน้าไปยังกรมการค้าของเขา

ซวนหมิงเตี้ยนที่ผ่านการปรับปรุงมาแล้วดูมีราศีมากขึ้น วัชพืชและเศษดินด้านนอกตำหนักถูกทำความสะอาดไปจนหมดแล้ว มองดูแล้วใหม่เอี่ยมยิ่ง

แผ่นป้ายเดิมที่ติดไว้บนประตูถูกดึงออก และถูกเปลี่ยนเป็นป้ายกรมการค้าซึ่งมีตัวอักษรสามตัวสีแดงสด

เสาประตูทั้งสองฟากนี้ทาด้วยน้ำมันเงาใส แต่ราวกับขาดอะไรไปสักอย่าง

ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ด้านนอกมองซ้ายมองขวาท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมา อ่า… ขาดกลอนตุ้ยเหลียนไปหนึ่งบท

 หลี่ฉาย หลี่ฉาย !  

ทันทีที่หลี่ฉายที่กำลังร่าง ‘บัญญัติจรรยาบรรณการค้า’ อย่างโดดเดียวในสำนักงานได้ยินเสียงดังขึ้น เขาก็วิ่งออกไปทันที วิธีการร่างเยี่ยงนี้มันจะยากเกินไปแล้ว !

แม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเพิ่งต่อเติมโครงให้กับเขา แต่ของสิ่งนี้กลับมิมีการอ้างอิงถึงสิ่งอื่น กล่าวอีกนัยได้ว่า อาศัยจากสมองทั้งสิ้น เพียงแค่ช่วงเช้า ก็ทำให้หลี่ฉายตกตะลึงได้แล้ว

โชคดีที่ท่านฟู่กลับมาแล้ว !

เขาเพิ่งจะวิ่งมาถึงประตู กลับได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่า  ไปนำกระดาษสีแดงมาสองแผ่น พู่กันและน้ำหมึกด้วย ข้าจะประพันธ์กลอนตุ้ยเหลียนให้กรมการค้านี้หนึ่งบทด้วยตัวของข้าเอง 

หลี่ฉายชะงักลงทันพลัน นายท่านนี่ทำเพื่ออันใดกัน ?

มิทำงานแล้วมาแต่งกลอนตุ้ยเหลียนเยี่ยงนั้นน่ะหรือ เอาเถอะ ท่านเป็นใหญ่นี่

ฟู่เสี่ยวกวนก้าวเท้าเดินผ่านประตูใหญ่ของกรมการค้า นี่คือห้องโถงใหญ่ มีโต๊ะและเก้าอี้สิบกว่าตัววางไว้อยู่ ภายในนั้นยังมีห้องอีกจำนวนมาก แน่นอนว่านั่นคือห้องทำงานที่เขาสงวนเอาไว้

หลี่ฉายถือพู่กัน หมึกและกระดาษมา ฟู่เสี่ยวกวนผิงมือกับเตาไฟ แล้วกล่าวว่า  เมื่อครู่ข้าได้ขอคนจำนวน 3 คนมาจากฝ่าบาท เจ้าจงจำเอาไว้ ยามเว่ยจงไปหา 3 คนนี้ หลังจากนี้เจ้าจะมีทหารที่ใช้การได้แล้ว 

หลี่ฉายรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก  ขอบคุณนายท่าน สามคนไหนหรือขอรับ ?  

 กงซุนเซ่อ ซังเหลียง และซือหม่าหนาน… สามอันดับแรกของการทดสอบปีนี้ พวกเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถทั้งหมด… เสี่ยวหลีจื่อ เจ้าแสดงสีหน้าอันใดออกมากัน ?  

หลี่ฉายคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเชิญขุนนางที่มีคุณวุฒิมาเสียอีก คาดมิถึงว่าจะเป็นบัณฑิตมุทะลุที่เพิ่งจบจากสำนักศึกษามา !

สามอันดับแรกแล้วเยี่ยงไร ?

นั่นแสดงให้เห็นได้ว่าพวกเขานั้นเรียนเก่งก็เท่านั้น !

กรมการค้าเพิ่งสร้างใหม่ เรื่องยุ่งยากยังมีอีกมากโข จะมีเวลาที่ไหนไปฝึกอบรบคนที่มาใหม่กัน ?

 เสี่ยวหลีจื่อ ข้าพอจะทราบว่าเจ้ากำลังคิดอันใดอยู่ มา นั่งลง ข้าจะกล่าวให้เจ้าฟัง 

ให้ตายเถอะข้าว่าจะไม่รู้สึกอันใดอยู่แล้วเชียว ท่านมาเรียกข้าเสี่ยวหลีจื่อ เอาเถอะ ท่านเป็นใหญ่ !

หลี่ฉายนั่งลงตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนเก็บสีหน้ายิ้มแย้มบนใบหน้าไป หลี่ฉายจึงทราบว่าเขาต้องการเอ่ยถึงเรื่องที่สำคัญอย่างแท้จริง

 กรมการค้าเป็นกรมใหม่ เป็นการบริหารงานแบบใหม่ เป็นนโยบายใหม่ทั้งสิ้น ที่พวกเราต้องทำก็คือ ทำในสิ่งที่ผู้คนในใต้หล้านี้มิเคยทำมาก่อน หรือจะเรียกว่าเป็นกิจการขนาดใหญ่ที่มิเคยมีผู้ใดในใต้หล้านี้เคยทำมาก่อน !  

 รากฐานของเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดโครงสร้าง ดังนั้นเศรษฐกิจจึงมีบทบาทสำคัญต่อความรุ่งเรืองของแคว้น 

 เหตุใดข้าจึงมิเชิญผู้อาวุโสท่านอื่นนอกจากเจ้ากัน เพราะโลกทัศน์ของพวกเขาได้ข้อสรุปแล้ว ความรู้ในเรื่องการค้าของพวกเขายังคงอยู่ในสถานการณ์ที่ล้าหลัง พวกเขามิสามารถจะบุกเบิกสิ่งใหม่ ๆ ได้ แต่พวกเรากรมการค้านี้กลับต้องการทำลายความคิดที่ล้าหลัง แนวคิดที่ล้าหลัง และยืนหยัดที่จะสร้างแนวคิดการค้าที่ใหม่เอี่ยมขึ้นมา 

 ถึงแม้พวกเขาเพิ่งจะจบจากสำนักศึกษาออกมา แต่พวกเขามีจิตวิญญาณที่จะแสวงหาความก้าวหน้า ลูกวัวแรกเกิดก็มิเกรงกลัวต่อเสือที่โหมเข้ามา นี่ต่างหากคือสิ่งที่กรมการค้าต้องการมากที่สุด 

 ส่วนเรื่องของประสบการณ์ อย่างน้อยก็ต้องมีคนหนึ่งรุ่นที่เป็นผู้สำรวจ ไปค้นหาและไปสร้างขึ้นมา !  

 สิ่งที่ข้าต้องการคือคนที่มีจิตวิญญาณเฉกเช่นนี้ ขอเพียงกรมการค้ามีคนกลุ่มใหญ่ที่มีความกล้าในการสำรวจ อนาคตของราชวงศ์หยู ถึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของใต้หล้านี้ 

 เจ้า บัดนี้เข้าใจความหมายของข้าแล้วหรือยัง ?  

หลี่ฉายก้มหน้าหลบ และพยักหน้าน้อย ๆ  ข้าน้อยรับทราบความผิดแล้วขอรับ 

 เอาล่ะ ข้าต้องการแต่งกลอนตุ้ยเหลียนให้กรมการค้าสักหนึ่งบท 

เขาลุกขึ้นยืน ถือพู่กันและเขย่าไปมา

ภาคที่หนึ่งของจินหลิงสองฟันปี ทางน้ำและทางบกต่างรุ่งเรือง ชื่อเสียงระบือไปถึงห้าน่านน้ำสี่ทะเล

ในสี่ฤดูการค้าไปทั่วทั้งแปดทิศ เชื่อมผ่านกันสามทางทั้งในและนอก ให้ผู้คนได้ร่ำรวยทุกยุคทุกสมัยไปพันปี !

 นี่ คือเรื่องที่กรมการค้าต้องทำทั้งหมด !  

กลอนตุ้ยเหลียนบทนี้ดียิ่ง เพียงแต่ตัวอักขระ… หากต้องติดที่เสาประตูด้านนอก เกรงว่าจะเป็นการขัดต่อทัศนียภาพ !

หลี่ฉายลอบคิดเยี่ยงนั้น แต่เอาเถอะ ท่านเป็นใหญ่ !

Next

 

ตอนที่ 464 พ่อตาและลูกเขย

ตอนที่ 464 พ่อตาและลูกเขย

ณ ห้องทรงพระอักษรวังหลวง

กาน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะมีไอร้อนลอยโขมง กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งห้อง

ฮ่องเต้ทรงประทับที่หัวโต๊ะ ด้านซ้ายคือเยี่ยนฮ่าวชู เสนาบดีกรมกลาโหม ด้านขวาคือต่งคังผิง เสนาบดีกรมพิธีการ ตรงข้ามของพวกเขาก็คือฟู่เสี่ยวกวนนั่นเอง

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เดินทางไปหนานซาน ภรรยาของเขาต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวได้เดินทางไปจัดการแทน โดยมีซูซูและซูโหรวติดตามไปด้วย จะให้เกิดปัญหาด้านความปลอดภัยกับภรรยาของเขาทั้งสามมิได้เป็นอันขาด

ส่วนหยูเวิ่นหวินนั้นอยู่ที่จวนฟู่ ข้างกายของนางยังมีผู้มีฝีมืออยู่สองคน ส่วนตัวเขานั้น มีปืนในมือ !

จากแผนการเดิม ในวันนี้กรมการค้าจะเปิดดำเนินการ เขาในฐานะหัวหน้ากรมวาระที่หนึ่งควรจะไปนั่งอยู่ในกรมด้วย แต่บัดนี้ในกรมกลับมีเพียงรองหัวหน้ากรม หลี่ฉาย เท่านั้น

เขานั่งอยู่ตัวคนเดียว

มองดูแล้วช่างโดดเดี่ยวเสียเหลือเกิน

ฟู่เสี่ยวกวนถูกฝ่าบาทพาตัวมายังห้องทรงพระอักษร แต่มิรู้ว่าเพราะเหตุใด

พ่อตาทั้งสามคนนั่งอยู่ตรงข้ามเขาเยี่ยงนี้ ทำให้เขามีความกดดันมากยิ่งนัก !

นี่หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?

หรือเพราะเมื่อคืนตนแอบไปดื่มสุราแล้วถูกภรรยาทั้งสามจับได้จึงนำไปฟ้องกัน ?

เขาถูมือไปมาแล้วนำน้ำชาที่ต้มจนเดือดแล้วรินใส่แก้ว ส่งให้พ่อตาทั้งสาม จากนั้นก็เหลือบตามอง พบว่าพ่อตาทั้งสามมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป องค์จักรพรรดิทรงมีสีหน้าเคร่งขรึม ส่วนต่งคังผิงดูเหมือนมิได้สนใจอันใด ช่างเข้าใจยากยิ่งนัก แต่เยี่ยนฮ่าวชูนั้นกลับมีรอยยิ้มแปลก ๆ ผุดขึ้นมา !

พวกท่านกำลังจะตัดสินคดีความสามศาลหรือเยี่ยงไรกัน ?

หรือจะแข่งขันพลังลมปราณกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนมิอาจนั่งนิ่งได้อีกต่อไปดังนั้นเขาจึงมองไปยังฮ่องเต้ พ่อตาที่มีอำนาจมากที่สุด ริมฝีปากของเขาเผยอขึ้นแล้วยกยิ้มพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า  ฝ่าบาท เชิญดื่มชาก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ 

ฮ่องเต้จ้องมองฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นยกแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่ม ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า  ข้าขอเอ่ยถามเจ้าหน่อยเถิด คณะทูตเจรจาจากแคว้นอี๋เดินทางมาถึงเมื่อวานเย็นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ ?  

อ่า… เรื่องนี้นี่เอง ต้องเป็นสวี่หวยซู่ตาเฒ่านั่นนำเรื่องนี้ไปฟ้องในการประชุมเมื่อตอนเช้าเป็นแน่

 ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้กระหม่อมทราบแล้ว แต่ก่อนหน้านี้ได้ตกลงกับกรมพิธีการแล้ว และเป็นกระหม่อมเองที่มิให้พวกเขาไปสนใจคณะทูตเจรจาเหล่านั้น 

ฮ่องเต้ตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน  เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าเยี่ยงไร ? ราชวงศ์หยูเป็นจุดกำเนิดด้านมารยาท แต่เจ้ากลับให้พวกเขาไปหาที่พักในโรงเตี๊ยมกันเอง ! หากว่าเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป แคว้นอื่น ๆ จะกล้าเป็นพันธมิตรกับแคว้นเราเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีความเห็นว่า แคว้นอื่น ๆ จะต้องประสงค์เป็นพันธมิตรกับราชวงศ์หยูอย่างแน่นอน เนื่องจากราชวงศ์หยูเป็นราชวงศ์ที่ใหญ่โตและแข็งแกร่ง ฝ่าบาททรงไตร่ตรองดูเถิด นี่มิได้ต่างจากในห้องเรียนเลย สหายร่วมชั้นคนอื่น ๆ จะต้องอยากสนิทสนมกับพวกเด็กเรียน อ่า… หมายถึงบัณฑิตที่มีผลการเรียนดีที่สุดในห้อง 

 และในกลุ่มนั้น มีบัณฑิตคนหนึ่งที่มีเงินแต่เรียนมิเก่ง เขาจึงใช้เงินเพื่อซื้อสหายร่วมชั้นคนอื่นให้มาสรรเสริญเยินยอตน เพื่อให้ตนมีหน้ามีตา 

 ขอกราบทูลถามฝ่าบาทว่า สหายที่คบหากับบัณฑิตที่มีผลการเรียนดีและสหายที่คบกับบัณฑิตที่มีเงิน กลุ่มใดจะจริงใจกว่ากัน ?  

พ่อตาทั้งสองต่างก็ชะงักไปทันพลัน เจ้าหมอนี่บังอาจยิ่ง กล้าเอ่ยถามกลับมาเช่นนี้ !

แต่ปัญหานี้… อืม ดูน่าสนใจยิ่ง !

คำตอบนั้นมิเอ่ยก็รู้ สหายของบัณฑิตที่มีผลการเรียนดีย่อมจริงใจกว่าอย่างแน่นอน เนื่องจากพวกเขายกย่องในความสามารถของบัณฑิตผู้นั้น ส่วนสหายของบัณฑิตที่มีเงินนั้น หากวันใดไร้เงินก็คงไร้ประโยชน์

ประโยคนี้หากนำไปเปรียบเทียบระหว่างแคว้น ก็ดูมีเหตุผลอยู่บ้าง

ฟู่เสี่ยวกวนรีบเอ่ยเสริมขึ้นมาว่า  ในตอนนั้นสงครามทางตะวันออกแคว้นอี๋เป็นผู้เริ่มก่อน อีกทั้งเกือบจะทำให้หลานหลิงต้องพินาศ ฝ่าบาททรงไตร่ตรองดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ หากด้านตะวันออกมิมีองค์ชายใหญ่คอยเฝ้าคุ้มกันและโจมตีกลับ เกรงว่าบัดนี้ทหารของแคว้นอี๋คงจะบุกรุกเข้ามาในราชวงศ์หยูได้แล้ว 

 การปฏิบัติต่อแคว้นที่ไร้น้ำใจเช่นนี้ เหตุใดต้องกระทำอย่างมีมารยาทต่อพวกเขากัน ?  

 สิ่งที่ต้องเจรจามีเพียงเงินเท่านั้น ชดเชยด้วยเงินทองและผืนแผ่นดิน !  

ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าของเขาดูจริงจังเป็นอย่างมาก เขามองไปยังฮ่องเต้แล้วกล่าวอย่างแน่วแน่ว่า  ในเมื่อฝ่าบาททรงมอบหน้าที่หัวหน้าทูตเจรจานี้ให้แก่กระหม่อม กระหม่อมก็จะทำประโยชน์ให้แก่ราชวงศ์หยูให้มากที่สุด !  

 ในตอนนั้นแคว้นอี๋โจมตีพวกเราเสียจนย่อยยับ บัดนี้ข้า ฟู่เสี่ยวกวน จะทำให้แคว้นอี๋ต้องได้รับความเจ็บปวดเช่นกัน !  

 ทูลฝ่าบาทตามตรงว่าปืนใหญ่หงอีนั้น บัดนี้ยังคงขนส่งไปยังชายแดนตะวันออกมิขาดสาย การที่กระหม่อมทำเช่นนี้เพื่อต้องการให้แคว้นอี๋รู้ว่า ราชวงศ์หยูยังคงมีความมีความมั่นในในสงครามครานี้อยู่ 

 ส่วนเรื่องผลการเจรจานั้น กระหม่อมขอแจ้งฝ่าบาทไว้ล่วงหน้าว่า แคว้นอี๋จะต้องชดใช้เงินจำนวน 80,000,000 ตำลึง อีกทั้งแบ่งอาณาเขตต้าชิวให้แก่พวกเรา มิเช่นนั้นปืนใหญ่หงอีจะถูกนำไปตั้งไว้ที่หัวเมืองต้าชิว !  

 ส่วนเรื่องนี้…  เขาหันกลับไปมองเยี่ยนฮ่าวชู  เรื่องนี้ต้องการความร่วมมือจากกรมกลาโหม ท่านพ่อตาได้โปรดช่วยส่งหนังสือไปยังกองทัพชายแดนตะวันออกด้วย ว่าให้พวกเขาเตรียมพร้อมทำสงครามตลอดเวลา !  

ประโยคนี้ทำให้เยี่ยนฮ่าวชูและต่งคังผิงตกตะลึงเสียจนสะดุ้งโหยง !

ยังจะรบอยู่อีกหรือ ?

เอาอันใดไปรบกัน ?

ต่งคังผิงกระแอมออกมาแล้วกล่าวว่า  ฟู่เสี่ยวกวน เกรงว่าเจ้าจะมิรู้ว่าบัดนี้คลังของแคว้นเป็นเยี่ยงไร ?  

 หาใช่ไม่ ข้ารู้ดี พวกท่านโปรดวางใจเถอะ แคว้นอี๋พวกเขามิกล้ารบกับพวกเราอย่างแน่นอน !  

 เพราะเหตุอันใดกัน ?   เยี่ยนฮ่าวชูเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

 เนื่องจากแคว้นอี๋กำลังประสบปัญหาเดียวกันกับพวกเรา สงครามต้าชิวทำให้แคว้นอี๋ได้รับความเจ็บปวดมากเสียทีเดียว พวกเขาอยู่ต่อหน้าปืนใหญ่จำนวนมากมายของราชวงศ์หยูเยี่ยงนั้น พวกเขามิมีกำลังพอที่จะรบต่ออย่างแน่นอน 

 สงครามชายแดนตะวันออกนั้นแข่งขันกันที่ผู้ใดดุเดือดกว่ากัน บนโต๊ะเจรจานั้น พวกเราจะต้องได้รับผลตอบแทนดังที่กระหม่อมกล่าวไปเมื่อครู่ 

ฮ่องเต้นำมือลูบไปที่คางของตน ลึก ๆ ในใจนั้นพระองค์รู้สึกพอใจมากยิ่งนัก

เงินจำนวน 80,000,000 ตำลึง อีกทั้งให้ยกอาณาเขตต้าชิวให้ด้วย เจ้าหมอนี่ มิเลวเลย !

นี่คือรายได้ที่มากที่สุดนับตั้งแต่ที่ข้าขึ้นครองบัลลังก์มาเลยก็ว่าได้ !

หากว่าเป็นไปตามนี้ แคว้นหยูจะมีพื้นที่ขยายกว้างไปด้านตะวันออกอีก 300 ลี้ ช่างเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่เสียจริง !

แม้ว่าในใจจะชื่นชมยินดีและตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แต่พระองค์ยังคงเอ่ยถามเยี่ยนฮ่าวชูด้วยสีหน้านิ่งเรียบว่า  แผนการนี้ดีมากเสียทีเดียว ข้าเองก็เห็นด้วย เรื่องนี้เจ้าจงไปจัดการเถิด 

 พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท !  

ฮ่องเต้ดื่มน้ำชาเข้าไปหนึ่งอึก เขารู้สึกว่าชานี้ช่างมีรสหวานเสียจริง

สีหน้าอันเคร่งขรึมนั้นได้คลายลง บัดนี้แฝงไปด้วยรอยยิ้ม  เสี่ยวกวนเอ๋ย เรื่องที่สองนั้นคือเรื่องที่หนานซาน… ที่นั่นคือสนามล่าสัตว์ของข้า แม้ว่าไทเฮาจะทรงยกให้เวิ่นหวินแล้ว แต่ในทุก ๆ ปีข้าจะเดินทางไปล่าสัตว์ที่นั่น บัดนี้ถูกเจ้านำไปบูรณาการ… 

 แน่นอนว่าเจ้าได้จัดการปัญหาการดำรงชีพให้แก่พวกเขา แต่ข้าเล่าจะไปล่าสัตว์ได้ที่ใดอีกกัน ? เจ้าว่าเจ้าควรจะย้ายสถานที่หรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้น  ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ นี่ก็ใกล้จะถึงฤดูหนาวแล้ว กระหม่อมได้เดินทางไปเยี่ยมพวกเขา แล้วพบว่าชาวบ้านเหล่านั้น…มีความเป็นอยู่ที่มิค่อยดีเท่าใดนัก ดังนั้น เพื่อเป็นการเสริมบารมีของฝ่าบาท สนามล่าสัตว์นั้นเปลี่ยนไปเป็นภูเขาลูกอื่นเป็นเยี่ยงไร ?  

ฮ่องเต้จะทำเยี่ยงไรได้อีกเล่า ?

เขาได้ยินมาว่า ฟู่เสี่ยวกวนได้ใช้นามของเขาในการจัดการปัญหาชีวิตของราษฎรเหล่านี้

ซึ่งราษฎรของเขาเหล่านี้ก็ได้ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณอย่างยิ่ง เขาจะเอาเหตุผลใดไปขับไล่ราษฎรเหล่านั้นกัน

เอาเถอะ ๆ กิจกรรมล่าสัตว์ ชะลอไปก่อนก็แล้วกัน

 ข้าต้องการปืนคาบศิลาที่เจ้าผลิตในซีซานจำนวน 30,000 กระบอก มิมีเงินให้ ต้นเดือนสองเจ้าจงจัดส่งไปยังกองทัพทหารชายแดนตะวันออก !  

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลงทันพลัน เหตุใดจึงโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้กัน ?

 

ตอนที่ 463 ปฏิบัติการครั้งใหญ่

ตอนที่ 463 ปฏิบัติการครั้งใหญ่

เดือนสิบสอง วันที่สี่ ท้องนภาเพิ่งจะกระจ่างขึ้นมา

องครักษ์นับร้อยคนได้นำรถม้าสิบกว่าคันออกไปจากค่ายองครักษ์หลวง และตรงไปยังเส้นทางภูเขาหนานซาน

นี่คือคำขอที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ไหว้วานกับฮั่วหวยจิ่นไว้ในเมื่อคืนวาน ด้วยเหตุนี้ เขาจึงให้หยูเวิ่นหวินกลับไปยังวังหลวงอีกครา เพื่อขอพระราชโองการจากฝ่าบาท

แทบจะในเวลาเดียวกัน ไฟในเขตสลัมของเมืองจินหลิงก็ได้สว่างโร่ขึ้นมา ควันไฟพวยพุ่งออกมาทางหลังคา ทำให้หิมะที่ตกลงมาละลายหายไป

เมื่อคืนวานหลู่เสี่ยวตงได้นำคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนมาประกาศยังที่นี่เรียบร้อยแล้ว ภายในระยะเวลาอันสั้นเพียงแค่ 2 ชั่วยาม ข่าวนี้ก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วสลัม

ผู้คนต่างวิ่งออกไปกระจายข่าว ด้วยความดีใจเป็นอย่างยิ่ง !

มิมีผู้ใดสงสัยว่าคำเอ่ยเหล่านั้นของหลู่เสี่ยวตงจะเป็นเรื่องเท็จ เพราะถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยเจอฟู่เสี่ยวกวน แต่ก็ได้ยินเรื่องราวของนามนี้มาเนิ่นนานแล้ว

โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยในปีนี้ที่มาจากสองฟากฝั่งแม่น้ำหวงเหอ พวกเขาทราบถึงกิจการที่คุณชายฟู่ได้ทำไว้เหล่านั้นเป็นอย่างดี

 เขาคือพระโพธิสัตว์ ปีที่แล้วเพื่อผู้ประสบภัยสามหมื่นกว่าคน เขาได้สร้างอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ขึ้นมาที่ซีซาน และในตอนนี้คนเหล่านั้นก็ได้ตั้งรกรากอยู่กันที่ซีซานแล้ว พวกเขามีชีวิตที่ดีเป็นอย่างมาก นั่นคือเรื่องจริง !  

 ดังนั้น…คุณชายฟู่ทำเพื่อแก้ไขการดำรงชีพของพวกเรา เขาจึงได้สร้างอุตสาหกรรมขึ้นมาที่ภูเขาหนานซานอีกเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ย่อมเป็นเยี่ยงนั้น คุณชายฟู่มิใช่คนที่ขาดแคลนเรื่องเงินทอง เขาเป็นถึงบุตรเขยของฝ่าบาท เกรงว่าหากฝ่าบาทเสวยอันใดก็ยังต้องแบ่งให้เขาครึ่งส่วน พวกเจ้าลองกล่าวมาสิว่าเขามีความจำเป็นที่จะต้องทำเรื่องนี้หรือไม่เล่า มิใช่เพื่อให้พวกเราสามารถหาเงินได้เยี่ยงนั้นหรอกหรือ ?  

 ได้ฟังมาจากพ่อค้าที่มาจากหย่งหนิงว่า หลังจากที่คุณชายฟู่สามารถทลายรังโจรได้ เพื่อแก้ไขปัญหาการดำรงชีพของชาวบ้านที่นั่น เขาได้สร้างอุตสาหกรรมขึ้นมาที่ผิงหลิงและชวูอี้เช่นกัน กล่าวกันว่ารับสมัครคนงานไปราวแสนกว่าคน !  

 นี่คือพระผู้เป็นเจ้าได้ลืมตาขึ้น และได้ส่งคุณชายฟู่ลงมา เขาเกิดมาเพื่อช่วยพวกเราอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นแล้ว เหตุใดเขาจึงมิขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ไปเลยเล่า ?  

 ….. 

ไม่ว่ามนุษย์นั้นจะดีหรือชั่วโดยสันดาน ท้ายที่สุดแล้ว หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนได้โปรยความหวังไว้ที่เขตสลัมขนาดใหญ่นี้ ผู้คนในที่นี้ ไม่ว่าชายหญิงชราหรือเยาว์วัยต่างก็รู้สึกซาบซึ้งใจกันถ้วนหน้า

โดยธรรมชาติที่นี่ย่อมมีคนที่เกียจคร้านและมีคนที่ลักเล็กขโมยน้อย แต่หากมีอาชีพที่ถูกที่ควรมาวางอยู่เบื้องหน้า ในใจของพวกเขาก็ยังคงเลือกหนทางที่ต้องดิ้นรนอยู่ดี

มีบางคนที่อยากจะหารายได้ด้วยสองมือของตนเอง และแน่นอนว่าก็มีบางคนที่มิยินยอมจะไปจากที่นี่เช่นกัน พวกเขาคิดจะใช้ชีวิตที่นี่คนเดียวกินแค่พออิ่มและครอบครัวมิหิวโหยก็เพียงพอแล้ว

ครอบครัวของหลู่เสี่ยวตงตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่

หลู่จาวตี้กำลังจุดไฟอยู่หน้าเตา แสงไฟสีส้มสะท้อนกับแก้มอ่อนนุ่มของนาง บนใบหน้านั้นประดับไปด้วยความสุขที่ยังคงมิจางหายไปตั้งแต่เมื่อวาน

จ้าวซื่อนำข้าวฟ่างที่ซาวแล้วใส่ลงไปในหม้อ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงคว้าข้าวกล้องมาอีกสองกำ  จาวตี้ ระวังหน่อย เปิดฝาหม้อออกสักเล็กน้อยเถอะ ประเดี๋ยวมันอาจจะหกออกมาได้ 

 อือ  หลู่จาวตี้ขานรับ แต่ในใจกลับครุ่นคิดคำที่บิดากล่าวว่าคุณชายตระกูลฟู่จะมาที่นี่ด้วยตนเอง… คุณชายตระกูลฟู่เป็นคนแบบไหนกัน ?

หลู่จาวตี้ที่อายุยังน้อยและยังไร้ประสบการณ์จึงไม่สามารถวาดรูปลักษณ์ของคุณชายฟู่ขึ้นมาในหัวได้ ท้ายที่สุดนางก็ทำได้เพียงแค่อ้างอิงเศรษฐีผู้หนึ่งที่เคยพบเจอที่บ้านเกิดของนางเท่านั้น… คาดว่าน่าจะสวมเสื้อหนาบุปุยฝ้ายที่สวยงามหรูหรา สวมหมวกหนังที่มีขนปุกปุย ใบหน้าอวบอูม ทั้งยังมีร่างกายที่ท้วมราวกับถังน้ำ

มีเพียงครอบครัวชั้นสูงเท่านั้นที่จะกินดีอยู่ดีจนสามารถเติบโตมาด้วยรูปลักษณ์แบบนั้นได้ มิเช่นนั้นชาวบ้านในหมู่บ้าน เหตุใดจึงผอมแห้งถึงเพียงนี้กันเล่า ?

จ้าวซื่อเก็บของใส่กระเป๋า เรียบง่ายมากยิ่งนัก สองกระเป๋ากับลังหนึ่งใบก็สามารถนำของใส่ลงไปได้ทั้งหมด เมื่อลองนึกดูก็พบว่าได้จากบ้านเกิดมาครึ่งปีแล้ว ยามที่มาก็มีสิ่งของเหล่านี้ติดมาด้วย ยามที่จากไปก็ยังมีสิ่งของเหล่านี้ติดไปด้วยอีกเช่นกัน

ชีวิตก็เหมือนวงกลม

แต่ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าครานี้จะสามารถเดินออกไปจากวังวนนี้ได้เสียที

…..

…..

เวลารุ่งสาง

ท้องนภายังคงมิสว่างมากเท่าใดนัก

จินเชียนฮู่จากจวนผู้ว่าเขตจินหลิงได้พาเจ้าหน้าที่ 1,000 นายมาถึงเขตสลัม พวกเขาแยกกันออกเป็นกอง หนึ่งกองมี 100 นาย คอยเฝ้าตามทางแยกบนถนน

ท่านฟู่ต้องการมาที่นี่ และท่านหนิงก็ได้สั่งอย่างสุดกำลังว่า ห้ามมิให้เกิดอุบัติเหตุกับท่านฟู่แม้แต่นิดเดียว !

ท่านฟู่ในปัจจุบันนั้นแตกต่างจากท่านฟู่เมื่อปีที่แล้วมากนัก จินเชียนฮู่เข้าใจในจุดนี้อย่างถ่องแท้ หากชาวบ้านสลัมในที่นี้ทำร้ายท่านฟู่ขึ้นมาจริง ๆ เกรงว่าจะมิมีผู้ใดที่สามารถมีชีวิตรอดต่อไปได้ !

เจ้าพวกคนชั้นต่ำ !

หากเป็นในอดีต จินเชียนฮู่จะควบม้าตัวใหญ่และตะโกนไปตามทางที่แคบเล็กราวกับเส้นใยแมงมุมนี้ เพื่อเตือนสติเหล่าชนชั้นล่างพวกนี้ให้รักษาความประพฤติให้ดี แต่เขาในบัดนี้กลับมิได้เอ่ยอันใดออกมาเลยแม้แต่คำเดียว เพราะท่านหนิงกล่าวว่า… ท่านฟู่มิชอบแบบนั้น

คาดมิถึงว่าท่านฟู่จะกล่าวว่ามนุษย์ทุกคนต่างก็เท่าเทียมกัน !

จินเชียนฮู่มิค่อยเข้าใจประโยคนี้สักเท่าใดนัก แต่เมื่อได้รับงานมาจากท่านหนิง เขาจะไปทำอันใดได้กันเล่า

เห็นได้ชัดว่าสลัมในวันนี้คึกครื้นเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่จินเชียนฮู่เดินผ่านมาหลายหลังคาเรือน ก็พบว่าความครึกครื้นนี้เต็มไปด้วยความสงบสุขอย่างคาดมิถึง และมิได้ดุร้ายเฉกเช่นในอดีต เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะแผนการของท่านฟู่ที่ทำให้ผู้คนเหล่านี้เปลี่ยนอุปนิสัยไป ?

จินเชียนฮู่มิเข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด เขาเดินตระเวนไปแต่ละเส้นทางอย่างผ่าเผย หลังจากที่ชาวบ้านที่นี่ได้เห็นเหล่าเจ้าหน้าที่ น้ำเสียงที่ใช้กล่าวก็ลดลงไปถึงสองส่วน

ฟู่เสี่ยวกวนพาต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวขึ้นรถม้ามาจนถึงที่นี่

ทั้งสามคนก้าวลงมาจากรถม้า ซูซูและซูโหรวเองก็เดินตามหลังพวกเขามาด้วย ซูโหรวยังคงถือเข็มปักผ้าอยู่แต่นางมิได้ปักผ้าแต่อย่างใด และซูซูเองก็ได้สะพายกล่องฉินขนาดใหญ่ไว้ที่หลังด้วยเช่นกัน เมื่อวานนี้ศิษย์พี่ใหญ่ได้ส่งจดหมายมา กล่าวว่ามีสองขุมกำลังได้เดินทางมายังจินหลิง กลุ่มที่หนึ่งมาจากราชวงศ์อู๋ มีเกาเสี่ยนเป็นผู้นำ ศักยภาพของเกาเสี่ยนได้ทะลวงไปถึงผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นหนึ่งแล้ว

กลุ่มที่สองมาจากซีหรง ผู้อาวุโสลำดับที่สามของลัทธิจันทราถงเหยียน ได้ออกมาจากภูเขาหมินและตรงมายังจินหลิง ผู้อาวุโสลำดับที่สามลัทธิจันทรามีความเชี่ยวชาญด้านการปลอมตัว สำนักเต๋ามิทราบใบหน้าที่แท้จริงของเขา และศักยภาพนั้นก็อยู่ในเขตแดนผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นหนึ่งเช่นเดียวกัน ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง !

คนผู้นี้ จำเป็นต้องระมัดระวังเอาไว้ให้ดี !

ซูซูจ้องมองแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวน ภายในใจก็ยังชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก

คนแปลกประหลาดเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนในใต้หล้านี้ เกรงว่าจะมิมีอีกแล้ว

จินเชียนฮู่พลิกตัวลงจากม้า และโค้งคำนับฟู่เสี่ยวกวน  ข้าน้อยได้รับคำสั่งมาจากท่านหนิง และได้เตรียมการป้องกันไว้ที่นี่ ท่านฟู่โปรดระวังด้วย 

 มิเป็นไร 

ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือไปมาอย่างสบาย ๆ จินเชียนฮู่เรียกเจ้าหน้าที่นับร้อยให้มาล้อมฟู่เสี่ยวกวนเอาไว้ตรงกลางอย่างแน่นขนัด

มิต้องทำให้มันใหญ่โตถึงเพียงนี้ก็ได้ !

ฟู่เสี่ยวกวนมิสบายใจอยู่เล็กน้อย ทำเหมือนตนเองเป็นคนดังเฉกเช่นในโลกก่อน ที่ยามออกนอกประตูก็ยังต้องมีบอดี้การ์ดมาเปิดทางให้

แต่เขาก็คิดได้ว่า ข้างกายนั้นยังมีภรรยาทั้งสองคนอยู่ และมิสามารถเพิกเฉยคำเตือนจากศิษย์พี่ใหญ่ได้

ดังนั้นเขาจึงเดินไปในสลัมทั้งอย่างนั้น เมื่อพบกับหลู่เสี่ยวตงแล้ว ในที่สุดก็ได้เดินมาถึงพื้นที่เปิด ณ ใจกลางสลัม

 ข้าคือฟู่เสี่ยวกวน 

 ด้วยพระประสงค์ของฝ่าบาท จึงจะมีการสร้างโรงงานที่ภูเขาหนานซานขึ้นมาจำนวนมากเพื่อแก้ปัญหาการดำรงชีพของพวกเจ้า 

 ข้าจะมิเอ่ยอันใดให้มากความแล้ว หากยินยอมที่จะไปภูเขาหนานซาน อีกประเดี๋ยวก็ออกเดินทางไปพร้อมกัน 

 ข้าจะจ่ายเงินค่าจ้างในทุกวัน วัยฉกรรจ์ 50 อีแปะ วัยชราและเด็ก 30 อีแปะ 

 พวกเจ้าจงจำไว้ว่า พวกเจ้าใช้สองมือของพวกเจ้าหาเงินเพื่อตนเอง พวกเจ้าทั้งหมดมิต้อง… 

ฟู่เสี่ยวกวนยังมิทันได้กล่าวจบ กลุ่มคนก็คุกเข่าลงกับพื้นด้วยความตื่นเต้น

 ขอบพระคุณคุณชายฟู่ที่ช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้ !  

 ขอบพระคุณพระมหากรุณาธิคุณของฝ่าบาท !  

 พระโพธิสัตว์ พวกเราจะยกให้ท่านเป็นเทพที่อายุยืนยาวไปอีกหลายชั่วอายุของพวกเรา !  

 ….. 

นั่น… ฟู่เสี่ยวกวนได้เพิ่มความฮึกเหิมไห้พวกเขาขึ้นไปอีก และได้ตะโกนออกไปว่า  ออกเดินทาง !  

เขาหันหน้ากลับและเดินออกไปทันที แต่ทันใดนั้นในเมืองหลวงกลับเกิดเสียงดังสนั่นขึ้น !

 

ตอนที่ 462 พบกันโดยบังเอิญ

คณะทูตจากแคว้นอี๋ได้หาที่พักบริเวณใกล้ ๆ กับเขตเมือง ในที่สุดพวกเขาก็ได้พักผ่อนเสียที

เยียนเหลียงเจ๋อหารือกับเปียนมู่หยูว่าเรื่องนี้จะต้องหาทางออกให้จงได้ พวกเขาจะต้องหาจุดอ่อนของฟู่เสี่ยวกวนให้พบ มิมีมนุษย์คนใดไร้ข้อบกพร่อง ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่เทพเจ้า เขาจะต้องมีความหลงใหลในบางสิ่งอย่างแน่นอน

เพียงแค่รู้ว่าเขาชื่นชอบอะไร ก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากตรงนี้ทำให้เขารู้สึกพอใจได้ ต้องพยายามทำทุกวิถีทางให้แคว้นอี๋เสียผลประโยชน์ระหว่างการเจรจาน้อยที่สุด จึงจะเป็นเรื่องที่ดี

เยียนเหลียงเจ๋อล้มเลิกความตั้งใจที่จะรับรางวัลจากฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูที่จะประทานให้ ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เขาจะยอมรับและชดเชยในบางส่วนให้อีกด้วย

ส่วนเรื่องจำนวนเงินที่จะชดเชยนั้น ต้องดูก่อนว่าจะสามารถเติมเต็มความต้องการของฟู่เสี่ยวกวนได้หรือไม่

 พาหรงเอ๋อร์และท่านแม่ทัพหลานไปด้วย ส่วนคนที่เหลือกินข้าวรออยู่ที่นี่ 

 องค์ชายจะทรงไปที่ใดกัน ?  

 ในเมื่อมาแล้ว พวกเราจะต้องหาวิธีให้จงได้ บัดนี้กินข้าวกินปลากันก่อนเถอะ หลายวันมานี้มิได้แม้แต่จะกินข้าวให้อิ่มหนำ พวกเราทั้งสี่คนจะไปที่หอซื่อฟางกัน 

เยียนเหลียงเจ๋อและอีก 3 คนเดินทางออกจากโรงเตี๊ยม พวกเขาเรียกรถม้ามา 2 คันจากนั้นก็ตรงไปยังหอซื่อฟางทันที

ในขณะเดียวกัน ฟู่เสี่ยวกวนและฮั่วหวยจิ่นได้เดินทางไปเชิญหนิงหยู่ชุน จึงได้รู้ว่าฉินโม่เหวินกลับมาแล้ว ดังนั้นทั้งสามคนจึงได้เดินทางทางไปยังจวนฉินพร้อมกัน แต่กลับมิพบฉินโม่เหวิน เจ้าหมอนี่หนีไปอยู่ที่จวนของฉินปิ่งจงเป็นแน่

ดังนั้นพวกเขาจึงได้หันรถม้ากลับไปยังจวนของฉินปิ่งจง หลังจากได้ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันพอควรแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนจึงนึกขึ้นมาได้ว่าตนเคยสัญญากับฉินปิ่งจงว่าจะนำตำราหลี่เสวียของสิงเหวินโจวกลับมาให้กับเขา

 ตำรานั้นข้าเคยได้อ่านแล้ว ยังคงจำได้ขึ้นใจ สองสามวันนี้ข้าจะคัดลอกออกมาแล้วจะนำมามอบให้กับท่านพี่ในภายหลัง !  

เมื่อเห็นว่าเย็นมากแล้ว ฉินปิ่งจงจึงมิได้รั้งฟู่เสี่ยวกวนไว้ ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ จึงได้ออกเดินทางอีกคราเพื่อไปยังหอซื่อฟาง

เมื่ออยู่ในรถม้า ฟู่เสี่ยวกวนพิจารณามองดูฉินโม่เหวินอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งฉินโม่เหวินกล่าวขึ้นว่า  มีอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? เจ้ามิรู้จักข้าหรือเยี่ยงไรกัน ?  

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาแล้วตอบกลับไปว่า  มิได้เจอตั้ง 1 ปี เจ้ายังคงหล่อเหลาตามเคย คาดว่าเจ้าจะมีชีวิตรื่นรมย์ดีที่ซูเฉิน !  

 รื่นรมย์บ้าบออันใดกัน !   ฉินโม่เหวินจ้องฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง ก่อนจะถอนหายใจยาวแล้วเอ่ยออกมาว่า  ข้าเพิ่งจะคุ้นเคยกับเจียงเป่ยได้มินาน ก็ได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ให้กลับมารับตำแหน่ง วันนี้ข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท ฝ่าบาททรงจะให้ข้าไปยังกวนซีเต้า…ที่แห่งนั้นช่างไกลมากยิ่งนัก วันนี้ข้าได้ทำความเข้าใจมาว่าเฟิงโจว หยินโจวและเซี่ยโจวที่อยู่ภายใต้การปกครองนั้นยากจนข้นแค้นเสียจนไร้ซึ่งคำบรรยาย !  

ฉินโม่เหวินหยุดไปชั่วครู่  เดิมทีข้าคิดว่าหากเจ้าได้เป็นหัวหน้ากรมการค้าอะไรนั่นแล้ว ข้าจะได้เข้าไปอยู่ในกรมของเจ้าด้วย นี่อะไรกัน มิเห็นแม้แต่เงา…เจ้ากำลังทำอันใดอยู่กันแน่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนนำมือขึ้นลูบจมูกแล้วหัวเราะแล้วกล่าวว่า  ข้าเองก็ยุ่งเป็นอย่างมาก ! อยากจะมีสักสามหัวหกขา ข้าว่าเจ้าอย่าได้พล่ามบ่นไปเลยจะดีกว่า นี่นับว่าฝ่าบาททรงประทานรางวัลให้แก่เจ้าแล้ว จากที่ข้ารู้มา ที่กวนซีเต้านั้นในปีหน้าจะมีเขตทดลองทางเศรษฐกิจถึง 2 เขต หากเจ้าทูลขอฝ่าบาท บางทีอาจจะได้เพิ่มขึ้นอีกสักสองสามเขต 

แววตาของฉินโม่เหวินเป็นประกายขึ้นมาทันใด รูปแบบการค้าของเขตเหยานั้นเขาได้เห็นมากับตาของตนเองแล้ว

จากการขับเคลื่อนของอุตสาหกรรมซีซานและนโยบายที่ฝ่าบาททรงลดหย่อนและยกเลิกการเก็บภาษีการค้า ทำให้บัดนี้ที่เขตเหยามิได้มีเพียงอุตสาหกรรมซีซานเท่านั้น

หลินเจียงเป็นพื้นที่ที่แม่น้ำทั้งสองสายมาบรรจบกัน มีพื้นที่อุดมสมบูรณ์ เดิมทีก็มีความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจมากอยู่แล้ว พ่อค้าค่อนข้างมีความกล้าหรืออาจจะกล่าวได้ว่าพวกเขาว่องไวต่อโอกาสทางการค้า ในฤดูร้อนปีนี้เขตเหยาได้เพิ่มโรงงานอุตสาหกรรมถึง 7 แห่งด้วยกัน

จากมุมมองของฉินโม่เหวินแล้ว นี่เพิ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้น

เขาเข้าใจดีว่าเขตทดลองการค้านี้เป็นโอกาสที่ดี เมื่อได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวดังนั้น เขาจึงรู้สึกดีใจขึ้นมา เขามีแผนการไว้ในหัวแล้วว่า อีกสองสามวันเขาจะไปเข้าเฝ้าทูลขอฝ่าบาทเพิ่มอีกสัก 2 แห่ง

หนิงหยู่ชุนรู้สึกอิจฉาขึ้นมาทันพลัน จึงได้กล่าวออกมาว่า  เจ้านั้นยิ่งเดินยิ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ดูข้าสิ วันหนึ่งมีเรื่องร้องทุกข์เข้ามามากมาย แต่ละวันวุ่นอยู่กับการจัดการเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ เมื่อใดจึงจะสิ้นสุดลงเสียที !  

 เจ้ารีบร้อนอันใดไป ? ทำงานในศาลจินหลิงสามารถผูกสัมพันธกับพวกบู๊บุ๋นได้มากมาย อีกทั้งยังสามารถทำความรู้จักกับราษฎรได้อีกด้วย หากเป็นข้าละก็ ข้ายอมอยู่ที่ศาลจินหลิงดีกว่ายอมไปยังเต้าถาย ที่นั่นมีเรื่องให้ปวดหัวมากนัก เอาล่ะถึงแล้ว ประเดี๋ยวค่อยสนทนากันใหม่ แล้วเจ้าจะรู้ว่าข้านั้นลำบากถึงเพียงใด !  

เมื่อทั้งสี่คนลงจากรถม้า หลงจู๊ก็ได้เดินตรงเข้ามาทักทายต้อนรับ เมื่อพวกเขากำลังจะก้าวเข้าไปด้านใน ก็พบว่ามีรถม้าอีกคันหนึ่งจอดไว้ข้าง ๆ พวกเขา

เยียนเหลียงเจ๋อเพิ่งเดินทางมาถึงเช่นกัน

พวกเขาลงจากรถม้า ทั้งสองฝ่ายต่างก็มองหน้ากันแต่พวกเขามิได้รู้จัก ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปข้างใน ส่วนเยียนเหลียงเจ๋อกล่าวขึ้นมาว่า  ในตอนนั้นที่ข้าเดินทางมาเมืองจินหลิงหอซื่อฟางก็เป็นเช่นนี้ ที่นี่เป็นที่นิยมขึ้นชื่อมากว่าร้อยปีแล้ว ด้านในมีอาหารเลิศรสมากมาย แคว้นอี๋ของเรามิอาจเทียบเคียงได้ ประเดี๋ยวข้าจะให้พวกเจ้าได้ลองชิม 

ขาของฟู่เสี่ยวกวนก้าวเข้าไปด้านในแล้ว แต่เมื่อหูของเขาได้ยินประโยคเมื่อครู่เข้าว่าแคว้นอี๋ หรือนี่จะเป็นองค์รัชทายาทของแคว้นอี๋กัน ?

ดังนั้นเขาจึงได้หยุดฝีเท้าลงแล้วหันหลังกลับไปมอง แต่เนื่องจากระยะค่อนข้างห่างจึงมองเห็นได้มิชัดเจนเท่าใดนัก เขาจึงตัดสินใจเดินกลับไป

ฮั่วหวยจิ่นและอีกสองคนคิดว่าเป็นคนที่ฟู่เสี่ยวกวนรู้จัก จึงได้ยืนคอยอยู่ที่เดิม พวกเขาเห็นฟู่เสี่ยวกวนทำท่าทางลับ ๆ ล่ออยู่ต่อหน้าชายหนุ่มผู้นั้น

เยียนเหลียงเจ๋อตกใจขึ้นมาทันพลัน เจ้านี่คือผู้ใดกัน ? เขารู้จักข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?

ท่านแม่ทัพหลานที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา เมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนเดินตรงเข้ามาเช่นนั้น ร่างกายกำยำก็ได้เข้าปกป้องเยียนเหลียงเจ๋อเอาไว้ด้านหลัง

ฟู่เสี่ยวกวนพิจารณามองดูเยียนเหลียงเจ๋อแล้ว อืม ! เจ้าหมอนี่มั่นคงกว่าเยียนหานยวี่มากเสียทีเดียว

เยียนเหลียงเจ๋อเองก็มองดูฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน ชายหนุ่มผู้นี้หน้าตาหล่อเหลา แต่ในความทรงจำของเขาแล้วเขามิเคยรู้จักคนผู้นี้มาก่อน เขาต้องการทำสิ่งใดกัน ?

ขณะที่เยียนเหลียงเจ๋อกำลังจะเอ่ยถามออกมา ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้หันหลังเดินจากไปทันที

 ประหลาดแท้ !   หรงเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เยียนเหลียงเจ๋อเอ่ยออกมา

นี่เป็นคราแรกที่ทั้งสองได้พบกัน ณ ด้านหน้าหอซื่อฟางแห่งนี้ ท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย ทั้งสองเพียงสบตากันแต่ก็มิได้เอ่ยอันใดออกมา

ฟู่เสี่ยวกวนและพรรคพวกเดินขึ้นไปที่ชั้นสาม เยียนเหลียงเจ๋อและพรรคพวกนั้นขึ้นไปที่ชั้นสอง

ณ ห้องชั้นสามอันโอ่อ่า หนิงหยู่ชุนได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า  ผู้ใดกัน ?  

ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า  คณะทูตเจรจาจากแคว้นอี๋ องค์รัชทายาทเยียนเหลียงเจ๋อ 

หนิงหยู่ชุนตกตะลึงขึ้นทันพลัน  เหตุใดจึงมิมีคนจากกรมพิธีการหรือหงหลูซื่อติดตามมาด้วยกัน ? มิใช่สิ ! ข้าได้ยินมาว่าการเจรจาในครานี้ เจ้าเป็นผู้นำทูตเจรจา จะเชิญพวกเขามาร่วมดื่มหน่อยหรือไม่ ?  

นี่คือท่าทีของผู้ชนะที่ควรจะมี ในมุมมองของหนิงหยู่ชุนและคนอื่น ๆ นั้น สงครามครานี้พวกเขาพ่ายแพ้ พวกเขาได้ยอมยกธงขาวขอสันติแล้ว ก็ควรจะไว้หน้าพวกเขาเป็นเรื่องปกติ

แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่ชาวราชวงศ์หยูโดยกำเนิด เขามิเห็นดีเห็นงามกับความคิดเช่นนี้ ในเมื่อข้ารบชนะ ต่อจากนี้พวกเจ้าก็ควรจะอยู่เบื้องใต้ ข้าจะไปสนใจพวกเจ้าทำไมกัน ?

จะมัวเสียแรงเสียเวลาไปทำไมกัน ?

หน้าตาของแคว้น สำหรับฟู่เสี่ยวกวนแล้ว มิได้สำคัญไปกว่าเงินทองที่พวกเขาจะต้องชดเชย

 เจ้ามีเงินมากเยี่ยงนั้นหรือ ? จะไปเชิญพวกเขาเนื่องด้วยเหตุใดกัน ? ว่าแต่เจ้า ควรจะให้ทหารยามจับตามองคนกลุ่มนี้ให้ดี หากว่าเกิดเรื่องขึ้นมาจงจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ต่อหน้ากฎหมายนั้น ทุกคนเท่าเทียมกัน !  

 

ตอนที่ 461 ยุ้งข้าวเต็มเปี่ยมจึงรู้จักมารยาท

ตอนที่ 461 ยุ้งข้าวเต็มเปี่ยมจึงรู้จักมารยาท

ณ ค่ายทหารรักษาพระองค์แห่งวังหลวง กระโจมแม่ทัพ

ฮั่วหวยจิ่นจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง กลืนน้ำลายหนึ่งอึก และกล่าวออกมาว่า  เจ้าจริงจังหรือไม่ ?  

 อากาศหนาวถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่าข้าถูกภรรยาไล่ออกมาและมาหาเจ้าที่นี่เพื่อฆ่าอารมณ์เยี่ยงนั้นหรือ ?  

 มิใช่ นั่น 30,000 คนเชียวนะ 1 กระโจมของกองทัพอยู่ได้ 30 คน ก็แน่นขนัดแล้ว ให้อยู่ 40 คนนั่นย่ำแย่เป็นอย่างมาก แล้วยังต้องการมากถึง 800 กระโจม เจ้าทำเยี่ยงนี้ คลังของข้าก็ว่างเปล่ากันพอดีน่ะสิ !  

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า  กล่าวเยี่ยงนี้แสดงว่ามีพอใช่หรือไม่ เยี่ยงนั้นก็ดี ข้ามิสนว่าคลังของเจ้าจะว่างเปล่าหรือไม่ วันรุ่งขึ้น ตั้งแต่เช้าตรู่ รบกวนให้เจ้าส่งคนนำกระโจมเหล่านี้ไปส่งที่เรือนหนานซานด้วย ตั้งไว้ที่ริมแม่น้ำมิต้องข้ามฝั่งไป 

ฮั่วหวยจิ่นยังจะสามารถทำอันใดได้อีกกัน ?

เขาย่อมไร้หนทางปฏิเสธ ดังนั้นเขาจึงส่ายหน้าด้วยความคับแค้นใจ  เจ้าได้ทำให้ตนเองกลายเป็นผู้กอบกู้ใต้หล้านี้อย่างแท้จริงไปแล้ว วันเวลาที่ข้าอาศัยอยู่ที่เมืองหลวงน้อยกว่าเจ้ามากนัก แต่หากจะกล่าวถึงความเข้าใจของเมืองหลวงนี้ เจ้ากลับสู้ข้ามิได้เลยแม้แต่น้อย 

เขาเติมชาให้กับฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวไปด้วยความปลงตกว่า  ที่ตรงนั้นข้าเข้าใจเป็นอย่างดี เป็นสถานที่ที่วุ่นวายอย่างแท้จริง เจ้าลองคิดดูเถิด แม้แต่หอชิงเฟิงซี่หยู่ขององค์ชายห้าก็ยังมิไปตั้งสาขาที่นั่นเลย เพียงแค่คิดก็รู้ได้แล้วว่าสถานที่ตรงนั้นมันเหลือทนถึงเพียงใด

ผู้คนในสถานที่แห่งนั้นมาจากทั่วสารทิศ แต่ละคนต่างก็มีอาณาเขตของตนเอง พวกเขาต่อสู้เพื่อเลี้ยงปากท้อง เหมือนกับเพื่อหมั่นโถวลูกเดียวนั่น ทะเลาะต่อยตีกันเป็นเรื่องปกติ การสังหารคนมิใช่เรื่องแปลก เจ้าเห็นว่าเมื่อคืนวานท่านหนิงมีท่าทีประหลาดใจหรือไม่เล่า เขาเห็นจนชินแล้ว ดังนั้นถึงแม้ข้าจะชื่นชมการกระทำนี้ของเจ้า แต่ผู้คนเหล่านั้น เกรงว่ายากที่จะควบคุมอย่างแท้จริง !  

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย และยกชาขึ้นดื่มไปอีกหนึ่งอึก  ผู้คนเหล่านี้ บาปดั้งเดิมของพวกเขาคือความจน 

 ตำรา ‘ก๋วนจื่อ ชายเลี้ยงสัตว์’ กล่าวว่า ยุ้งข้าวเต็มเปี่ยมจึงรู้จักมารยาท ทราบถึงการมีเกียรติเมื่ออาหารและอาภรณ์เพียงพอ ความหมายก็คือผู้คนมีแต่ต้องเติมยุ้งฉางให้เต็ม ในสถานการณ์ที่มิต้องกังวลเรื่องอาหารและเสื้อผ้าอาภรณ์ จึงจะให้ความสำคัญกับมารยาท จึงจะตระหนักได้ถึงการมีเกียรติ

เจ้าลองไตร่ตรองดูว่า เหตุใดเด็กชายผู้นั้นจึงต้องไปขโมยหมั่นโถว เพราะพวกเขามิมีเสบียงแล้ว เหตุใดพอถูกจับได้แล้วเขาถึงยังมิยอมปล่อยวางจากหมั่นโถวลูกนั้น เพราะเขาทราบว่าหากมิมีหมั่วโถวลูกนี้ เขาคงมิสามารถใช้ชีวิตผ่านคืนนี้ไปได้อย่างแน่นอน แต่มิว่าทางใดต่างก็คือความตาย ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะคว้าโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเอาไว้ โดยคิดว่าท้ายที่สุดเจ้าของร้านผู้นั้นจะปล่อยเขาไป 

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ  นี่คือตัวอย่าง แต่ก็เป็นการยกตัวอย่างที่สามารถทำให้มองเห็นภาพรวมได้ ก็เหมือนกันกับที่เจ้ากล่าวออกมาเมื่อครู่ เหตุใดสลัมจึงวุ่นวาย นั่นก็เพราะพวกเขาอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ มิมีผู้ใดคิดอยากจะตาย นี่คือสัจธรรมของมนุษย์ ในสถานการณ์ที่ยากจะรักษาตนเองเอาไว้ได้ มิว่าเวลาใดเขาก็ต้องทำการเลือกหนทาง นั่นก็เพื่อให้ตนเองหรือคนของตนเองยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ต่อให้ต้องถือดาบเพื่อสังหารคน พวกเขาก็ต้องทำเพราะไม่มีทางเลือกอื่นแล้วอย่างแท้จริง 

 พวกเขาต้องการสังหารคนจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?  

 บางทีอาจจะมีคนที่เลวมาตั้งแต่กำเนิดเลยก็เป็นได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นจำนวนที่น้อยมากยิ่งนัก ผู้คนส่วนใหญ่ในใต้หล้านี้ หากยุ้งข้าวเต็มเปี่ยม เสบียงเพียงพอ ก็จะมิมีผู้ใดที่คิดจะเข่นฆ่ากันแล้ว และจะมิมีคนที่คิดจะก่อกบฏด้วยเช่นกัน 

เป็นคราแรกที่ฮั่วหวยจิ่นได้ฟังหลักการที่ลึกซึ้งถึงเพียงนี้

เขาคือบุตรของกษัตริย์แห่งเจิ้นซี เขาเกิดมาสูงศักดิ์ ในความคิดของเขา เขาไม่เคยเห็นความเป็นความตายของชาวบ้านในสลัมอยู่ในสายตามาก่อน

นี่มิใช่ความคิดของเขาแต่เพียงผู้เดียว แม้แต่หนิงหยู่ชุนก็คิดเห็นเช่นเดียวกัน

ดังนั้นเรื่องนโยบายของสลัม ในอดีตจวนผู้ว่าเขตจินหลิงก็ได้ใช้กำลังปราบปรามมาโดยตลอด

ส่วนผู้ตายนั้น… ชีวิตของพวกเขาช่างไร้ค่าอย่างแท้จริง !

ดังนั้นเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนวิ่งเต้นมาที่นี่เพื่อขอยืมกระโจมสำหรับฮั่วหวยจิ่นนั้น เขาทำเพื่อแก้ไขปัญหาความเป็นอยู่ของชาวบ้านในสลัมเหล่านั้น ในสายตาของเขาฟู่เสี่ยวกวนเป็นเพียงคนที่สมองมีปัญหาก็เท่านั้น

นี่มิใช่ความผิดของเขาหรือหนิงหยู่ชุน นี่คือปัญหาที่มีอยู่ทั่วไป

ชนชั้นวรรณะมีมาเนิ่นนานแล้ว ผู้คนถูกแบ่งออกเป็นสาม หก เก้าและอื่น ๆ ได้หยั่งรากลึกมาเนิ่นนานแล้ว

คำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวน กลับทำให้ฮั่วหวยจิ่นได้ไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง

จนถึงบัดนี้ เขาเพิ่งได้เข้าใจว่าหลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนเข้าทำลายกงเซินจ่างที่ผิงหลิงไปแล้ว เหตุใดจึงต้องรีบดำเนินการก่อสร้างที่ผิงหลิงและชวูอี้…

หากมิมอบหนทางมีชีวิตอยู่ต่อให้แก่พวกเขาเหล่านั้น น่ากลัวว่าพวกเขาจะขึ้นไปเป็นโจรบนภูเขากันอีก !

การลงมือของฟู่เสี่ยวกวนได้แก้ไขความยากลำบากในการดำรงชีวิตของเหล่าชาวบ้าน ความกังวลในการเอาชีวิตรอด รวมไปถึงการกำจัดความคิดที่จะกลับไปเป็นโจรของพวกเขาอีกครา เพราะพวกเขาอาศัยกำลังของตนเอง เพื่อให้ได้รับเงินที่เพียงพอต่อการดำรงชีพแล้ว

บางทีนี่อาจจะยังมิเพียงพอที่จะกล่าวว่ามีเสื้อผ้าอาภรณ์และอาหารเต็มยุ้งฉาง แต่อย่างน้อยก็ไร้กังวลกับปัจจุบัน อีกทั้งยังมีอนาคตที่สดใสรออยู่

หลังจากที่ได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วเขาก็ได้ลงมืออย่างเร่งด่วน เพื่อมอบหนทางมีชีวิตรอดให้กับชาวบ้านที่สลัมเหล่านั้นเช่นกัน

คนผู้นี้ ฮั่วหวยจิ่นสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ กำหมัดและคำนับ  หากฟ้ามิส่งฟู่เสี่ยวกวนลงมาเกิด ค่ำคืนที่มืดมิดคงยาวนานนับพันปี ! ข้าชื่นชมเจ้าอย่างแท้จริง ไป ไปดื่มสุรากัน !  

 บัดซบ ! อากาศหนาวถึงเพียงนี้ เอาสุรามาดื่มที่นี่จะดีกว่าหรือไม่ ?  

ฮั่วหวยจิ่นจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยว่า  เจ้าอยากให้ข้าต้องม้วนเสื่อไสหัวไปในวันพรุ่งนี้เยี่ยงนั้นหรือ… นี่คือค่ายทหาร หากมีกลิ่นของสุราลอยไปแตะจมูกของฝ่าบาทเข้า เกรงว่าข้าจะต้องไปแก้ตัวที่ราชสำนัก ณ พระราชวังจินเตี้ยนในวันพรุ่งนี้เป็นแน่ !  

เขาลืมมันไปเสียแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า ลุกขึ้นยืนและปัดสะโพก แล้วกล่าวกับซูซูว่า  ไป ซูซู พวกเราไปดื่มสุรากันเถอะ !  

 อือ 

เขารู้สึกเสมอมาว่าซูซูแปลกไป แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็บอกมิได้เช่นกันว่าแปลกที่ตรงไหน เขาพลางคิดไปว่าซูซูอายุครบ 15 ปีแล้ว เกรงว่าคงจะมีวันที่ผิดปกติสักสองสามวันของทุกเดือน แต่เขาก็ยังคงมิค่อยสบายใจเท่าใดนัก ออกไปจากค่ายทหาร แล้วเดินขึ้นรถม้า ฮั่วหวยจิ่นยังคงขี่ม้าตัวใหญ่ของเขา และทั้งสามก็ได้ตรงไปยังหอซื่อฟาง

…..

…..

ในช่วงเวลาที่ประตูเมืองใกล้จะปิดลงคณะทูตจากแคว้นอี๋ก็ได้เร่งรีบเข้าไปในเมืองจินหลิง

สีหน้าขององค์รัชทายาทเยียนเหลียงเจ๋อมืดครึ้มยิ่งกว่าท้องนภาบัดนี้เสียอีก !

อำนาจของแคว้นใหญ่เล่า ?

พิธีการของแคว้นแนวหน้าเล่า ?

แหล่งต้นกำเนิดของคำสอนศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้าโยนคำสอนศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นลงไปในท้องสุนัขแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

คาดมิถึงว่าจะมิมีขุนนางมาต้อนรับพวกเขาแม้แต่คนเดียว จนถึงขั้นเมื่อครู่หากช้าไปเพียงชั่วอึดใจเดียว ผู้คนนับร้อยกว่าคนของตนนั้น คงได้ถูกขังเอาไว้ที่ด้านนอกเมืองเป็นแน่

มารดามันเถอะ ! เดิมทีคิดว่าเย็นนี้จะได้อยู่พร้อมหน้ากับขุนนางระดับสูงของราชวงศ์หยู กินดื่มอย่างสุขสันต์ หลังจากนั้นก็มีเตียงอันอบอุ่นให้นอน

หลังจากที่กินและดื่ม เพื่อสะสมพลังอยู่หลายวัน ก็จะเริ่มหาโอกาสประจบสอพลอราชวงศ์หยู และราชทูตผู้มาเจรจาสันติ จากนั้นก็มอบของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แก่ราชทูตผู้นั้น ได้ยินมาว่าขุนนางของราชวงศ์หยูชอบสิ่งนี้ยิ่ง เมื่อเป็นเช่นนั้น แคว้นอี๋แทบจะมิได้เสียผลประโยชน์อันใดเลย

แต่บัดนี้เล่า ?

คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นทูตเจรจาสันติ เห็นได้ชัดว่าเขาเพิกเฉยคณะทูตจากแคว้นอี๋ อีกทั้งยังแสดงอำนาจต่อข้าอีกด้วย !

ในวันที่อากาศหนาวและมีหิมะตกเยี่ยงนี้ จะทำเยี่ยงไรต่อไปดี ?

การเคลื่อนไหวของฟู่เสี่ยวกวน ทำให้เยียนเหลียงเจ๋อหัวหมุนไปหมดแล้ว เขามิเคยคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้

 องค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนว่าการเดินทางมาครานี้จะมีตัวแปรอยู่มากมาย แต่ในตอนนี้พวกเราควรจะหาที่พักก่อนจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ  เปียนมู่หยูได้แสดงความคิดเห็นของตนเองออกไป

ตอนนี้เขาได้ตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหาได้อย่างชัดเจนแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ มิใช่ผู้ที่จะต่อกรด้วยได้อย่างง่ายดาย เป็นเรื่องที่มิดียิ่ง เกรงว่าแคว้นอี๋จะต้องประสบกับความสูญเสียคราใหญ่เสียแล้ว จะต้องหาหนทางทำความเข้าใจแผนการของฟู่เสี่ยวกวนให้ชัดเจนเสียก่อน !

 

ตอนที่ 460 ความหวังของคนจน

ตอนที่ 460 ความหวังของคนจน

ฟู่เสี่ยวกวนลืมเรื่องคณะทูตเจรจาของแคว้นอี๋ไปเสียสนิท

แต่ต่อให้เขาจำมันได้ก็มิใส่ใจอยู่ดี แคว้นที่แพ้สงครามมิมีคุณสมบัติมากพอให้ต้องต้อนรับ

ในค่ำคืนนี้ ฟู่เสี่ยวกวนได้ตั้งใจฟังเรื่องราวชีวิตในสลัมที่หลู่เสี่ยวตงเล่าให้ฟังอย่างละเอียด จึงได้เข้าใจถึงเรื่องคดีหมั่นโถวนองเลือดนั้นว่าแท้จริงแล้วเป็นเยี่ยงไร

ที่นี่คือเมืองจินหลิง !

เป็นเมืองที่รุ่งเรืองที่สุดในราชวงศ์หยู !

แต่ก็ยังคงมีคนกลุ่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะเอาชีวิตรอดในแต่ละวันได้เยี่ยงไร !

เพียงเพื่อหมั่นโถวก้อนเดียว กลับทำให้สูญเสียชีวิตไปได้ถึง 3 ชีวิต

ในใจลึก ๆ ของเขารู้สึกหนักอึ้งมากยิ่งนัก เขามิใช่นักบวชหรือผู้อุทิศตนใด ๆ อีกทั้งมิเคยคิดจะเป็น แต่นี่คือมุมมองเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ที่ฝังรากลึกมาตั้งแต่ชาติที่แล้วของเขา

มนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน !

ที่ผู้คนในสลัมมิมีอาภรณ์สวมใส่และอาหารประทังชีวิตนั้น มิใช่เพราะพวกเขาเกียจคร้าน แต่เป็นเพราะเมืองจินหลิงที่กว้างใหญ่แห่งนี้ มิมีที่ใดที่จะต้อนรับพวกเขาเลย

ที่นี่คือที่ใช้ชีวิตของคนมีเงินมีทอง ส่วนพวกเขามาผิดที่แล้ว

ที่นี่ปราศจากอาชีพการงานที่มั่นคงแก่พวกเขา ที่นี่ไร้ผืนนาว่างเปล่าที่พวกเขาพอจะทำการเพาะปลูกได้

ดังนั้นพวกเขาจึงมีชีวิตที่ลำบากเป็นอย่างมาก พวกเขาต่อสู้เพื่อให้ตนเองและครอบครัวให้มีชีวิตอยู่รอดไปได้ในแต่ละวันด้วยความยากลำบากอย่างแท้จริง

 ประเดี๋ยวเจ้ากินข้าวเย็นให้เรียบร้อยแล้วค่อยกลับไป เมื่อกลับไปแล้วจงไปส่งข่าวของข้าให้ผู้คนในสลัมฟังด้วย 

หลู่เสี่ยวตงดีใจเป็นอย่างมาก เขาจึงรีบกล่าวขึ้นว่า  ข้าน้อยจะนำข่าวของคุณชายไปประกาศแก่พวกเขาอย่างแน่นอนขอรับ 

ณ เวลานี้ ความกังวลและอึดอัดใจที่มีอยู่เพิ่งจะจางหายไป เขาเพิ่งจะรู้ว่าแท้จริงแล้วคุณชายฟู่เป็นกันเองถึงเพียงใด ที่ลูกพี่ลูกน้องของเขากล่าวไว้มิมีผิดเพี้ยนไปเลยแม้แต่น้อย พวกเขามิได้สรรเสริญเยินยอจนเกินจริง

คุณชายฟู่แตกต่างจากคุณชายคนอื่น ๆ ในใต้หล้านี้ !

เขามิได้ดูถูกหลู่เสี่ยวตงเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังได้เชิญชวนให้หลู่เสี่ยวตงนั่งตรงข้ามกับเขาเพื่อดื่มชาและสนทนากัน

พวกเขาสนทนากันตั้งแต่เรื่องที่อพยพมาจากชายฝั่งของแม่น้ำหวงเหอว่ายากเย็นถึงเพียงใด กระทั่งเดินทางมาถึงเมืองหลวง และเพื่อหาที่พักอาศัย เขาจึงได้นำเครื่องประดับที่มีค่าเล็กน้อยที่ติดตัวของภรรยามาไปจำนำเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงิน

และเล่าถึงเรื่องที่ตนทำงานก่อสร้างอาคารหยูฝู แต่บัดนี้เมื่อสร้างเสร็จแล้วจึงได้ตกงาน

และเล่าถึงเรื่องภรรยากับลูกสาวของเขา อีกทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นเพราะหมั่นโถวเพียงลูกเดียวที่สลัมเมื่อวานนี้เป็นต้น

สิ่งเหล่านี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนตัดสินใจก่อสร้างและขยายอาณาเขตที่เรือนหนานซานด้วยความรวดเร็ว การที่จะทำสิ่งเหล่านี้ต้องใช้แรงงานจำนวนมาก และในสลัมก็มีผู้คนมากมายที่ต้องการงานที่มั่นคง

ดังนั้นจากมุมมองของฟู่เสี่ยวกวน ต่างฝ่ายต่างได้รับผลประโยชน์ แต่สำหรับหลู่เสี่ยวตงแล้ว เขามองว่านี่คือเทพเจ้าที่กำลังยื่นมือเข้ามาช่วยพวกเขาเอาไว้ !

 เจ้าจงไปบอกกับชาวบ้านในสลัมทุกคนว่า ข้าจะทำการก่อสร้างที่เรือนหนานซาน ต้องการคนราว…30,000 คน 

หลู่เสี่ยวตงตื่นเต้นดีใจมากยิ่งนัก เขารีบลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงไปที่พื้น ก้มหัวคารวะอยู่สามทีแล้วร้องไห้โฮออกมาด้วยความดีใจ ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า  ข้า หลู่เสี่ยวตง ขอสาบานว่าตระกูลหลู่ชั่วลูกชั่วหลานจะขอเป็นบ่าวรับใช้จวนฟู่ไปตลอดกาล !  

ฟู่เสี่ยวกวนคาดมิถึงว่าเมื่อหลู่เสี่ยวตงได้ยินคำเอ่ยนี้แล้วจะมีปฏิกิริยาที่ซาบซึ้งถึงเพียงนี้ เขาผงะไปชั่วครู่ก่อนจะลุกขึ้นพยุงหลู่เสี่ยวตงให้ยืนขึ้นมา

 เจ้าอย่าได้เอ่ยเยี่ยงนี้เลย มิมีเรื่องใดเป็นสิ่งแน่นอน เจ้านั้นเป็นชายหนุ่มที่ดี ควรจะทุ่มเทเพื่อครอบครัวและตระกูลของเจ้าแล้วทำให้รุ่งเรือง 

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า  วันรุ่งขึ้น…ราวยามเฉิน ข้าจะเดินทางไปยังสถานที่ที่พวกเจ้าพักอาศัยอยู่ หลังจากที่เจ้ากลับไปแล้วจงไปบอกกับพวกเขาว่าให้จัดการเก็บข้าวของให้เรียบร้อย พรุ่งนี้จะเดินทางไปยังเรือนหนานซานและอาศัยอยู่ที่นั่นระยะยาว นำเพียงเสื้อผ้าที่จะใช้เปลี่ยนไปก็พอ ส่วนของอย่างอื่นข้าจะจัดการให้เอง 

หลู่เสี่ยวตงแสดงความขอบคุณด้วยความซาบซึ้งใจอีกครา เขามิได้อยู่กินมื้อค่ำที่จวนฟู่ เขากล่าวว่าอยากจะนำข่าวดีนี้ไปบอกกับครอบครัวและคนอื่น ๆ ในสลัมให้เร็วที่สุด

……

……

 ผู้คนจำนวน 30,000 คนเชียว เรื่องที่พักจะจัดการเยี่ยงไรกัน ?   ต่งชูหลานเอ่ยถามขึ้นมาด้วยท่าทีเป็นห่วง

คงจะมิให้คนเหล่านี้เข้าไปอาศัยที่เรือนหนานซานใช่หรือไม่ ?

ถึงเยี่ยงไรเสียที่แห่งนั้นก็นับว่าเป็นสถานที่ของวังหลวง ข้อปฏิบัติเหล่านี้…เจ้าจะละเลยไปมิได้เป็นอันขาด !

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วกล่าวว่า  ข้าจะออกไปข้างนอกสักหน่อย 

 จะไปที่ใดกัน ?  

 ไปพบฮั่วหวยจิ่น ก่อนที่จะก่อสร้างเพิงพักเสร็จ คงจะต้องขอหยิบยืมกระโจมจากเขามาก่อน 

หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนกลับมาก็ได้ดื่มชาเพียงเเค่กาเดียวเท่านั้น จากนั้นเขาก็ออกไปท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมาอีกครา สตรีทั้งสามนางนั่งอยู่ในเรือนที่อบอุ่น แต่จิตใจของพวกนางช่างหนักอึ้งมากยิ่งนัก

เขาเหนื่อยเกินไปแล้ว !

แต่เรื่องนี้กลับมิมีผู้ใดสามารถช่วยเขาได้เลย

ซูซูขับรถม้าให้กับเขา ในใจของนางก็คิดเฉกเช่นเดียวกันกับสตรีทั้งสามนาง แต่นางมีความคิดอีกอย่างหนึ่งเพิ่มเติมขึ้นมาว่า เขาผู้นี้…มิอาจเป็นชาวยุทธภพที่เก่งกาจได้อย่างแน่นอน !

……

……

ณ เขตสลัม

จ้าวซื่อยังคงสวมใส่ผ้ากันเปื้อนและยืนคอยอยู่หน้าประตูเตี้ย ๆ นั่นด้วยความวิตกกังวล

สามีของนางกล่าวว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากคุณชายฟู่

เขาออกไปตั้งแต่ช่วงเช้า แต่บัดนี้ท้องนภาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว แต่ก็ยังมิมีวี่แววว่าเขาจะกลับมา…

เขาจะได้พบคุณชายฟู่หรือไม่ ?

เขาจะถูกพวกบ่าวรับใช้ในจวนฟู่ทำร้ายร่างกายหรือไม่ ?

เมื่อเช้าเขากินโจ๊กข้าวฟ่างไปเพียงแค่ 1 ชามเท่านั้น ตอนกลางวันเขาย่อมมิได้กินอันใดเลยเป็นแน่ เขาจะเป็นลมท่ามกลางหิมะหรือไม่ ?

หากว่าเขา… หากว่าเขาเป็นอะไรไป ชีวิตที่เหลืออยู่ของนางจะทำเยี่ยงไร ?

จ้าวซื่อเงยหน้ามองดูท้องนภาที่เริ่มมืดครึ้มแล้วพนมมือขึ้นประกบกัน  เทพเจ้าบนสรวงสวรรค์ ได้โปรดเมตตาให้พวกเรามีหนทางรอดด้วยเถิด !  

นางคุกเข่าลงแล้วก้มหัวคารวะฟ้าดินอยู่เก้าที

เมื่อนางเงยหน้าขึ้นก็ได้พบกับสามีของนางที่กำลังยืนอยู่เบื้องหน้า

นางยกมือขึ้นขยี้ตาตนเอง แล้วรีบลุกขึ้นยืน สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความดีใจที่สามีของนางกลับมา !

เขากลับมาแล้วจริง ๆ !

เพียงแค่กลับมาก็ดีแล้ว ส่วนเรื่องอื่นนั้นนางมิเคยคิดและมิกล้าที่จะคิด

หลู่เสี่ยวตงดีอกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบพยุงจ้าวซื่อขึ้นมาในอ้อมอก แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงตื้นตันข้างหูจ้าวซื่อว่า  พวกเรารอดแล้ว…รอดตายแล้ว…พวกเราทุกคนรอดตายแล้ว !  

จาวตี้ที่นั่งอยู่หน้าเตาผิงวิ่งออกมา เมื่อหนูน้อยได้ยินเสียงผู้เป็นพ่อก็ดีใจมากยิ่งนัก ดีใจเสียจนน้ำตาไหลออกมาอาบสองแก้ม

ในเมื่อพ่อของตนกล่าวว่ารอดตายแล้ว นั่นหมายความว่านางจะมิถูกขายแล้วสินะ

 เข้าไปข้างในก่อนเถอะ ข้างนอกหนาวยิ่งนัก… ท่านพี่ได้เจอกับคุณชายฟู่หรือไม่ ?  

 อือ… เมื่อกลางวันข้าได้กินข้าวที่จวนฟู่ มีอาหารมากมายวางอยู่เต็มโต๊ะ ข้าวก็เป็นข้าวสวยเม็ดงาม มันช่าง… มันช่างอร่อยมากยิ่งนัก แต่ข้านั้นอดทนไว้ กินไปได้เพียงนิดเดียว อ่า… จริงสิ คุณชายฟู่กล่าวว่าจะบูรณะเรือนหนานซานและต้องการคนงานจำนวนมาก วันพรุ่งนี้พวกเราจะเดินทางไปยังที่นั่น ประเดี๋ยวเจ้าจงไปจัดแจงเก็บของ คุณชายฟู่กล่าวว่ามิต้องกังวลเรื่องของอาหารการกิน 

 จริงเยี่ยงนั้นหรือ ?   ดวงตาของจ้าวซื่อเป็นประกายขึ้นมาทันใด นางเอ่ยถามด้วยความคาดหวัง

 ย่อมเป็นเรื่องจริง !   หลู่เสี่ยวตงรีบพยักหน้าตอบรับ  คุณชายฟู่เปรียบเสมือนเทพเจ้า เจ้ามิรู้หรอกว่าเขานั้นเป็นกันเองถึงเพียงใด มิได้มีท่าทางเย่อหยิ่งเหมือนคุณชายจวนอื่นแต่อย่างใด อีกทั้งเขายังต้มชาให้ข้าดื่มอีกด้วย และสนทนากับข้าเป็นเวลาเนิ่นนาน ข้าได้กล่าวถึงเจ้าและจาวตี้ด้วย 

 เขากล่าวว่าทุกอย่างจะดีขึ้น อีกทั้งในภายภาคหน้าจาวตี้จะได้เข้าเรียนหนังสือด้วย ข้า… ข้า…   หลู่เสี่ยวตงกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือพร้อมกับน้ำตาที่นองหน้าอีกครา

เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวว่า  มีอะไรกินหรือไม่ ข้าเริ่มหิวขึ้นมาแล้ว มิต้องใส่น้ำมากนัก ประเดี๋ยวข้าจะนำข่าวดีนี้ไปบอกแก่ทุกคน 

 อืม !  

จ้าวซื่อลุกขึ้นแล้วตรงไปยังเตาไฟทันที หลู่เสี่ยวตงอุ้มลูกสาวขึ้นมาวางไว้บนหน้าตักของตนเอง

จาวตี้เงยหน้ามองดูใบหน้าของผู้เป็นพ่อและเช็ดน้ำตาให้กับพ่อของตน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสดใสว่า  ท่านพ่อ ทั้งหมดนี้…เป็นเรื่องจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 

ตอนที่ 459 องค์รัชทายาทแคว้นอี๋ตกตะลึง

 นี่คือเมืองจินหลิง !  

 ศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์หยู !  

 ข้าเคยมาเมื่อคราที่ยังเยาว์วัย 

เยียนเหลียงเจ๋อและคณะทูตอีกนับร้อยชีวิตได้เดินทางมาถึงจินหลิงในวันที่สาม เดือนสิบสอง ยามเย็น ในขณะนี้ขบวนรถของพวกเขาได้หยุดอยู่ที่ประตูเมืองทางตะวันออกของจินหลิง พวกเขายืนอยู่บนกองหิมะสีขาวที่ราวกับขนนก เยียนเหลียงเจ๋อชี้ไปทางเมืองจินหลิงและกล่าวอย่างฉะฉานว่า

 ข้ายังจำได้ว่าปีนั้นข้าอายุเพียง 8 ปี หลังจากที่ได้เห็นเมืองจินหลิงนี้ ข้าก็ได้ตั้งปณิธานที่ยิ่งใหญ่ไว้ว่า วันหนึ่งข้าจะยืนอยู่บนหอคอยสูงนี้ และมองลงมายังทุกคนที่อยู่เบื้องล่าง !  

เขาถอนหายใจ และพ่นควันสีขาวออกมาเสียยืดยาว  ฟ้าส่งข้าเยียนเหลียงเจ๋อมาเกิด แล้วเหตุใดต้องส่งฟู่เสี่ยวกวนมาด้วยกัน !  

 หากมิมีพลังจากปืนใหญ่หงอีนั่น ทัพใหญ่ของแคว้นอี๋ก็จะสามารถยึดเมืองยุทธศาสตร์หลานหลิงเอาไว้ได้ การเคลื่อนทัพไปทางตะวันออกใกล้เข้ามาแล้ว… แต่คาดมิถึงว่าในตอนนี้ข้าจะต้องเผชิญหน้ากับความอดสูในโอกาสและชะตากรรมนี้ !  

เขาถอนหายใจยาวออกมา รองราชทูตที่อยู่ข้างกายของเขา หัวหน้าเสนาธิการท้องพระโรงอี้เจิ้งแห่งแคว้นอี๋เปียนมู่หยูกลับรับรู้ได้ถึงลางสังหรณ์ที่มิดีขึ้นมาในใจ… ข่าวการมาถึงจินหลิงในวันนี้ของคณะทูต พวกเขาได้ส่งมาให้กับกรมพิธีการของราชวงศ์หยูล่วงหน้าแล้ว !

ตามกฎแล้ว ในเวลานี้ขุนนางจากกรมพิธีการ ควรจะมาต้อนรับพวกเขาได้แล้ว !

บัดนี้ท้องนภาก็ใกล้จะแปรเปลี่ยนเป็นสีดำของรัตติกาลแล้ว ด้านนอกประตูเมืองทางตะวันตกกลับมิมีแม้แต่เงาผี นี่คือสถานการณ์อันใดกัน ?

ดังนั้นเขาจึงขัดจังหวะการจินตนาการขององค์รัชทายาท โน้มกายไปเบื้องหน้าแล้วกล่าวว่า  องค์รัชทายาท… พวกเรายังมิเห็นขุนนางของราชวงศ์หยูเลยพ่ะย่ะค่ะ 

เยียนเหลียงเจ๋อชะงักไปทันพลัน ใช่แล้ว องค์รัชทายาทมาเยือนด้วยตนเอง แล้วเหล่าขุนนางต้อนรับจากราชวงศ์หยูเล่า ?

เขาขมวดคิ้วมุ่น แต่แล้วในใจก็ค่อย ๆ สงบลง  ราชวงศ์หยูโอ้อวดว่าตนเป็นแคว้นแนวหน้า ถิ่นกำเนิดของความรู้อันศักดิ์สิทธิ์ แคว้นแห่งพิธีการ พวกเขาเป็นพวกรักษาเกียรติ มิมีวันที่จะดูแคลนแคว้นอี๋เพราะความพ่ายแพ้ของพวกเราเป็นแน่ บางทีกรมพิธีการอาจจะกำลังจัดการ จงวางใจเถิด รออีกสักประเดี๋ยว ข้าเข้าใจชาวราชวงศ์หยูดี รับประกันได้ว่าค่ำคืนนี้จะมีสุราและอาหารรอรับพวกเราอยู่ 

เปียนมู่หยูได้ยินดังนั้น จึงคิดว่าเป็นเยี่ยงนี้นี่เอง

ถึงแม้เขาจะยังมิเคยมายังราชวงศ์หยู แต่ในฐานะขุนนางระดับสูงของแคว้นอี๋ เขาย่อมมีความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับราชวงศ์หยู

ชาวราชวงศ์หยูและชาวอี๋นั่นมิเหมือนกัน พวกเขาครอบครองผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ ผู้คนต่างอิ่มหนำสำราญ และเล่าเรียนคำสอนศักดิ์สิทธิ์ และได้เล่าเรียนมาจนถึงปัจจุบันนี้ กล่าวกันว่าแม้จะเป็นเพียงแค่เกษตรกรแต่ก็ทราบถึงธรรมเนียมประเพณีเป็นอย่างดี ซึ่งชาวอี๋มิสามารถเทียบได้อย่างแท้จริง

ดังนั้นการมาเจรจาสันติที่จินหลิงครานี้ ท้องพระโรงอี้เจิ้งจึงคิดกลยุทธ์ในการเจรจาสันติครานี้ไว้ว่า สรรเสริญเยินยอ สรรเสริญเยินยออย่างเอาเป็นเอาตาย สรรเสริญเยินยออย่างนอบน้อม !

เพียงแค่สรรเสริญทูตตัวแทนเจรจาจากราชวงศ์หยูก็เพียงพอแล้ว เพียงแค่ยกฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูให้สูงขึ้นก็เพียงพอแล้ว การพ่ายแพ้สงครามในครานี้ มิแน่ว่าอาจจะมิต้องเสียเงินสักตำลึงเดียว ทั้งยังมีความเป็นไปได้ที่จะได้รับปูนบำเหน็จจากฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูอีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นหลายคราในประวัติศาสตร์ !

ราชวงศ์หยูโอ้ว่าตนเองเป็นแคว้นแนวหน้า ย่อมมีความผ่าเผยของแคว้นแนวหน้าโดยปริยาย แต่หากแคว้นอี๋เอ่ยปากเรียกพี่ชายอย่างนอบน้อม พี่ใหญ่ย่อมจะมิตบหน้าน้องเล็กอย่างแน่นอน อีกทั้งยังจะมอบรางวัลใหญ่ให้กับพวกเขาอีกเล็กน้อย เพื่อแสดงถึงความเอื้อเฟื้อของแคว้นแนวหน้า

โง่เง่าสิ้นดี

ในสายตาชาวอี๋ ชาวราชวงศ์หยูนั้นโง่เง่าอย่างแท้จริง !

แต่ในสายตาของชาวราชวงศ์หยู ไม่เพียงมิใช่เรื่องที่โง่เง่า แต่กลับมองว่านี่เป็นอำนาจของแคว้น !

สำหรับเยียนเหลียงเจ๋อแล้ว การเดินทางมาราชวงศ์หยูด้วยตนเองครานี้ ก็คือการเดินทางชุบทองเท่านั้น… แพ้สงครามแล้วเยี่ยงไร ข้าในฐานะองค์รัชทายาทจะคว้าผลงานอันยอดเยี่ยมจากการเจรจาสันติในครานี้มาให้จงได้ กองทัพชายแดนตะวันออกถอนกำลังจากที่ราบสีหม่าแล้ว รอให้แคว้นอี๋ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม รอจนค้นคว้าปืนใหญ่หงอีออกมาได้ ก็จะกลับมาประจัญหน้ากับราชวงศ์หยูอีกครา !

ข้า องค์รัชทายาท ไม่ เมื่อถึงเวลานั้นข้าที่เป็นองค์รัชทายาทก็จะได้ขึ้นครองบัลลังก์แล้ว !

เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะนำทัพหงหลิงด้วยตนเอง และกวาดล้างราชวงศ์หยูแห่งนี้เสียให้สิ้น ข้าจะยึดดินแดนของราชวงศ์หยู และรวมเป็นแผนที่ของแคว้นอี๋ให้จงได้ !

เยียนเหลียงเจ๋อรู้สึกคึกคะนองขึ้นมาทันพลัน แล้วจึงชี้ไปทางกำแพงสูงของเมืองอีกครา แล้วกล่าวว่า  จินหลิงมีราษฎรทั้งสิ้น 3,000,000 คน แต่เมืองไท่หลินเมืองหลวงของแคว้นอี๋กลับมีเพียง 1,000,000 คนเท่านั้น ดังนั้นการค้าของจินหลิงจึงรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก แต่ละกิจการบานสะพรั่งดั่งดอกไม้ นี่คือสิ่งที่แคว้นอี๋ควรเรียนรู้เอาไว้ 

 หลังจากที่เจรจาสันติได้จบลง ข้าจะพาพวกเจ้าไปชมทัศนียภาพของเมืองจินหลิง ดินแดนวรรณกรรมศักดิ์สิทธิ์หลานถิงจี๋ แม่น้ำฉินหวายที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรม และแหล่งเรียนรู้อันศักดิ์สิทธิ์สำนักศึกษาจี้เซี่ยและอื่น ๆ  

 ข้ามิได้จะพาพวกเจ้าไปรับชมความรื่นรมย์แต่อย่างใด พวกเจ้าต้องสังเกตถึงความแตกต่างของแคว้นอี๋และแคว้นหยูเอาไว้ให้จงดี 

 หินจากภูเขาสามารถใช้โจมตีหยก เมื่อเห็นจุดแข็งของราชวงศ์หยูจึงจะเห็นจุดอ่อนของแคว้นอี๋ได้ชัดเจนยิ่งกว่า เพื่อการกำหนดนโยบายในการบริหารบ้านเมืองในภายภาคหน้า ใช้โอกาสนี้ในการศึกษาเสีย เพื่อเติมเต็มจุดอ่อนของราชวงศ์ของเรา และเพื่อให้จุดแข็งของแคว้นอี๋ได้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก 

 มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น แคว้นอี๋จึงจะสามารถอยู่เหนือกว่าแคว้นหยูได้ในด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและด้านอื่น ๆ… อนาคตค่อยปะทะกันใหม่ แคว้นอี๋จะต้องชนะอย่างแน่นอน !  

เมื่อเหล่าขุนนางได้ยินดังนั้น ถึงได้เข้าใจเจตนารมณ์ขององค์รัชทายาท และจึงได้โค้งกายคำนับกันถ้วนหน้า  พวกกระหม่อมจะมิทำให้พระองค์ต้องผิดหวังพ่ะย่ะค่ะ !  

สนทนากันมาเนิ่นนานมากแล้ว จนเยียนเหลียงเจ๋อต้องขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครา เงยหน้ามองขึ้นไปมองท้องนภา เกล็ดหิมะได้ตกกระทบใบหน้า จนรู้สึกเย็นวาบ

วันนี้… จะมืดเร็วเกินไปหน่อยหรือไม่ !

เหล่าขุนนางที่จะมาต้อนรับข้าที่ได้เจรจากันไว้ดิบดีเล่า ?

เหตุเพราะสงครามครานี้ แคว้นอี๋จึงได้ถอนทูตที่อยู่ในจินหลิงให้กลับไปแล้ว ดังนั้นภายในเมืองจินหลิงยามนี้ จึงมิมีสถานทูตของแคว้นอี๋อยู่

หรือว่าคนที่ส่งสารน์เมื่อวานนี้จะส่งไปมิถึงกัน ?

เป็นไปมิได้ ผู้ส่งสารยังอยู่ในขบวนนี้อยู่

เยียนเหลียงเจ๋อหันหน้าไปมองทางองครักษ์ของเขาโจวชาน สีหน้าของโจวชานซีดเผือดลงทันพลัน เขารีบโค้งคำนับและกล่าวว่า  เมื่อวานตอนช่วงเช้า เวลาก่อนยามอู่กระหม่อมได้มอบจดหมายของพระองค์ฉบับนั้นให้แก่ท่านหวงช่าวชิงหงหลูซื่อแห่งราชวงศ์หยูด้วยตนเองแล้วพ่ะย่ะค่ะ ท่านหวงกล่าวว่าจะนำจดหมายฉบับนี้ไปให้แก่ท่านเสนาบดีกรมพิธีการ เรื่องการต้อนรับนั้นเป็นการจัดการของกรมพิธีการ 

มาตรการการต้อนรับได้ยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ดูแล้วราชวงศ์หยูจะให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก แต่นี่ก็ได้เวลาแล้ว แล้วเหล่าขุนนางที่จะมาต้อนรับข้าเล่า ?

 ทูตตัวแทนการเจรจาของราชวงศ์หยูครานี้คือเสนาบดีกรมพิธีการสวี่หวยซู่ใช่หรือไม่ ?   เยียนเหลียงเจ๋อเอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว

 ทูลองค์รัชทายาท กล่าวกันว่า…ทูตตัวแทนการเจรจาในครานี้ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูได้เปลี่ยนให้เป็นฟู่เสี่ยวกวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ 

ฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ?

เยียนเหลียงเจ๋อใจกระตุกขึ้นมาทันที สีหน้าแข็งกร้าวขึ้นเรื่อย ๆ

ฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นสมควรตาย เหตุใดเจ้าถึงมิตายเสียเลยเล่า ?

มันจะดีมากยิ่งนักหากเจ้าตายอยู่ใต้ภูเขาหิมะนั่นเสีย

เหตุใดเจ้ายังต้องมีชีวิตอยู่อีกกัน ?

เจ้ามีชีวิตอยู่เพื่อไปเป็นจักรพรรดิของราชวงศ์อู๋ก็ได้ เหตุใดเจ้าต้องกลับมาที่ราชวงศ์หยูนี้ด้วยกัน ?

นี่มันบ้าไปแล้ว !

ข่าวคราวที่ฟู่เสี่ยวกวนมีชีวิตอยู่ พวกเขาเองก็ได้ทราบมาบ้างระหว่างที่เดินทางมา

เยียนเหลียงเจ๋อเองก็มิเข้าใจเท่าใดนัก ราชวงศ์อู๋ที่ใหญ่โต เป็นแคว้นที่เรืองอำนาจ กำลังรบก็สูงส่งอย่างยิ่ง จักรพรรดิก็ได้ตายไปแล้ว ดังนั้นจึงเหลือเพียงฟู่เสี่ยวกวนผู้เดียวเท่านั้น !

จักรพรรดิเหวินได้แถลงราชโองการประกาศถึงฐานันดรของเจ้าแล้ว ให้ตายเจ้าก็มิต้องไปแย่งชิงแล้ว ผู้คนในราชวงศ์อู๋ย่อมสนับสนุนให้เจ้าขึ้นครองบัลลังก์ การเป็นจักรพรรดินั้นสบายมากยิ่งนัก !

เหตุใดเจ้าถึงมิไปเป็นกัน ?

สำหรับเรื่องนี้ กล่าวไปเยียนเหลียงเจ๋อก็มิเข้าใจ ต่อให้ขุนนางทั้งหมดบนท้องพระโรงของแคว้นอี๋จะร่วมหารือกันอยู่นานหลายวัน ก็ยังมิอาจหารือถึงสาเหตุได้ ท้ายที่สุดเยียนเหลียงเจ๋อจึงทำได้เพียงจัดให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นโรคทางสมองที่ร้ายแรงเท่านั้น

ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้มาเป็นตัวแทนในการเจรจา มิใช่ว่าเขากำลังจะทำอันใดบางอย่างอยู่หรอกหรือ ?

ทหารที่เฝ้าประตูเมืองทางตะวันออกมองกลุ่มคนที่อยู่ด้านนอก แล้วลอบคิดว่ามารดามันเถอะ พวกเจ้าจะเข้าหรือมิเข้ากัน ?

มิสนใจแล้ว ต้องเลิกงานแล้ว…

 ถึงเวลาแล้ว ปิดประตูเมือง !  

 

ตอนที่ 458 บูรณะเรือนหนานซาน

ตอนที่ 458 บูรณะเรือนหนานซาน

เรือนหลังนี้กว้างขวางกว่าที่ซีซานถึง 4 เท่าตัว !

พื้นที่ทั้งหมดมากกว่า 9 หมู่ !

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเห็นดังนั้นก็ได้สูดหายใจลึก ต่งชูหลานเองก็ตกตะลึงมากเช่นกัน ในใจนางคิดไปว่าหากจะบูรณะที่แห่งนี้จะต้องใช้เงินจำนวนเท่าใดกัน !

แน่นอนว่าเรือนนี้ช่างงดงามและประณีตมากยิ่งนัก เพียงแต่หลายปีมานี้ท้องพระคลังของราชวงศ์หยูนั้นมีเหลืออยู่น้อยมากยิ่งนัก ไทเฮาจึงมิได้เดินทางมาพักที่นี่เป็นเวลานานโข ดังนั้นที่แห่งนี้จึงมิได้ถูกเก็บกวาดอย่างดีสักเท่าใดนัก บัดนี้มีเพียงนางในอาวุโสสองคนเท่านั้นที่ดูแลที่สถานที่แห่งนี้

ชุนเจียวและซูเซียงอยู่ที่นี่มาได้ยี่สิบกว่าปีแล้ว พวกนางได้เห็นเรือนหนานซานแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อครายังรุ่งโรจน์จนกระทั่งเสื่อมสภาพลงเช่นนี้ เดิมทีพวกนางคิดว่าเรือนกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้จะต้องเสื่อมโทรมลงไปเรื่อย ๆ เป็นแน่ จวบจนกระทั่งพวกนางจากโลกนี้ไป เรือนแห่งนี้ก็คงจะทรุดล้มลงตามไปด้วยเป็นแน่ คาดมิถึงว่าในวันนี้จะมีผู้ครอบครองคนใหม่เข้ามา

พวกนางมิรู้จักฟู่เสี่ยวกวน แต่พวกนางรู้จักองค์หญิงเก้าเป็นอย่างดี

จากการต้อนรับของทั้งสอง ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ใช้เวลาถึงครึ่งชั่วยามในการเดินชมเรือนแห่งนี้ และได้มาหยุดนั่งลงตรงที่ศาลากลางเรือน

ชุนเจียวหยิบเตาผิงออกมา ส่วนซูเซียงนั้นเดินเข้าไปรินน้ำชา ทั้งสองคนยืนอยู่ด้านหลังของหยูเวิ่นหวินตามประเพณี

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า  พวกท่านดูแลเรือนได้ดีมากยิ่งนัก พวกเราจะทำการปรับปรุงด้านหน้าบริเวณพื้นที่ 3 หมู่นั้นก่อน วันรุ่งขึ้นข้าจะไปหาเสนาบดีกรมอุตสาหกรรมท่านปี้ตง แล้วจะไหว้วานให้เขาส่งคนจากกรมอุตสาหกรรมมาวางแผนและดูแลงาน แต่คนงานเหล่านั้นจะต้องไปค้นหามาจากเขตสลัม ค้นหาบรรดาช่างสัก 100 คนคาดว่าน่าจะพอ 

ต่งชูหลานคำนวณอย่างรวดเร็วในใจ นางมองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า  ค่าใช้จ่ายในการบูรณะพื้นที่ 3 หมู่นี้ คาดว่าจะมากถึง 100,000 ตำลึง 

ที่แห่งนี้มิสามารถทำผลผลิตกำไรได้ อีกทั้งมองดูจากสถานการณ์แล้ว พวกเขาคงมิได้มาพักที่นี่บ่อยนัก หากจะลงทุนมากมายถึงเพียงนี้สำหรับต่งชูหลานแล้วนางคิดว่าเป็นการลงทุนที่ไร้ประโยชน์ ดังนั้นนางจึงมีท่าทีขัดแย้ง

 อ่า…สิ่งสำคัญมิใช่ด้านใน แต่เป็นด้านนอก ที่แห่งนี้มีสภาพแวดล้อมคล้ายคลึงกับซีซาน ดังนั้นข้าจะก่อสร้างอุตสาหกรรมขึ้นมาที่นี่ เมื่อถึงเวลาแล้ว พวกเจ้าจงย้ายโรงงานเสื้อผ้ามาไว้ที่นี่ คาดว่าจะต้องขยายใหญ่ขึ้นไปอีก 

 หากเริ่มลงมือตอนนี้ คาดว่าฤดูร้อนในปีหน้าก็จะสามารถเริ่มผลิตได้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นยามเมื่อพวกเราเดินทางมาดูงาน มีที่พักอาศัยก็คงจะดีมิน้อย 

หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนชมดูเรือนหนานซานแล้ว เขาก็ได้ตัดสินใจและวางแผนงานสำหรับที่นี่แล้วเรียบร้อย ยามที่พวกเขาเดินทางกลับไปยังจวนฟู่ที่เมืองจินหลิง หิมะยังคงตกหนัก ท้องนภาก็เริ่มมืดมิดมากแล้ว

หลู่เสี่ยวตงเดินทางมาถึงประตูจวนฟู่ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว

เขายืนหลบหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักอยู่บริเวณขอบประตูจวน มือทั้งสองข้างซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อ เขางอตัวและเดินไปเดินมาอยู่อย่างนั้น

ช่างหนาวเหน็บเสียเหลือเกิน อีกทั้งยังเป็นกังวลยิ่ง

กังวลว่าคุณชายฟู่จะยอมให้คนยากจนชาวสลัมไร้การศึกษาเยี่ยงเขาเข้าพบหรือไม่ และกังวลว่าตนจะมีโอกาสได้พบคุณชายฟู่ที่มีธุระมากมายต้องจัดการหรือไม่

เขายืนอยู่ที่นี่กว่าครึ่งค่อนวันแล้ว หลี่เจิ้งที่เป็นคนเฝ้าประตูจวนฟู่เฝ้ามองเขามาครึ่งวัน จนกระทั่งยามเว่ยจึงได้เดินออกมา

 เจ้ารอผู้ใดอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ?  

หลู่เสี่ยวตงตื่นตกใจขึ้นมาทันพลันแล้วรีบยกยิ้มขึ้นพร้อมกับตอบว่า  ข้าน้อยอยากขอเข้าพบคุณชายฟู่ 

เข้าพบเจ้านายใหญ่ของข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?

หลี่เจิ้งหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบว่า  มีเรื่องอันใดกัน ?  

 …เอ่อ ข้าน้อยอยาก ร้องขอคุณชายฟู่ให้เมตตาอาหารสักมื้อ 

อ้อ หางานทำ…หลี่เจิ้งครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ บัดนี้ในจวนมิต้องการคนงานเพิ่มแล้ว เขาควรจะทำเยี่ยงไรดี ?

เขามิได้ขับไสไล่ส่งเฉกเช่นคนเฝ้าประตูที่จวนอื่น ๆ เนื่องจากเขามาทำงานที่จวนฟู่ได้ 1 ปีแล้ว เขารู้ดีว่าคุณชายและฮูหยินมีจิตใจโอบอ้อมอารี พวกเขามิใช่คนใจไม้ไส้ระกำ และน้อยครั้งที่จะเข้มงวดกับพวกเขา

ดังนั้นเมื่อเขาครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายจึงได้กล่าวออกมาว่า  ช่างบังเอิญเสียจริง ในวันนี้คุณชายเดินทางออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว เอาเยี่ยงนี้ดีหรือไม่ บัดนี้ยามอู่แล้ว เจ้าเข้ามากินข้าวร้อน ๆ สักถ้วยก่อนเถิด แล้วจงไปรอที่ลานกว้าง ที่นั่นมีเตาผิงอยู่ อากาศหนาวเหน็บถึงเพียงนี้เจ้าสวมใส่เสื้อผ้าเพียงน้อยชิ้น ประเดี๋ยวจะหนาวเสียจนป่วยเอา 

หลู่เสี่ยวตงตกตะลึงเสียจนอ้าปากค้าง อ่า… ข้าน้อยต่ำต้อยไร้ฐานะ มิกล้าเหยียบเข้าไปในจวนของคุณชายฟู่หรอกขอรับ ข้าน้อย… ข้าน้อยรออยู่ที่ด้านนอกนี้ได้ มิเป็นไร 

หลี่เจิ้งยิ้มให้กับเขาแล้วกล่าวว่า  เจ้าคงมิรู้จักคุณชายและฮูหยินทั้งสามดี หากพวกเขากลับมาแล้วเห็นว่าเจ้ายืนรออยู่ด้านนอกท่ามกลางหิมะเช่นนี้ตลอดทั้งวัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าคุณชายและฮูหยินจะต้องดุข้าเป็นแน่ เจ้าอยากให้ข้าตกงานเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 อีกอย่างหนึ่ง นี่ก็ถึงเวลามื้อกลางวันแล้ว ก็เพียงแค่จัดเตรียมถ้วยและตะเกียบเพิ่มอีกชุดหนึ่ง มิได้ลำบากอันใด เข้ามาเถอะ 

หลู่เสี่ยวตงชะงักไปชั่วครู่ เขามองดูโคลนที่ติดใต้รองเท้าแล้วใช้แรงปัดมันออกไป ก่อนจะสะบัดฝุ่นผงตามร่างกายแล้วโค้งตัวและกล่าวว่า  เช่นนั้น ต้องรบกวนท่านผู้ใหญ่ด้วย 

 ข้ามิใช่ผู้ใหญ่แต่อย่างใด เจ้าเรียกข้าว่าเสี่ยวหลี่ก็พอ… 

หลี่เจิ้งพาหลู่เสี่ยวตงเข้าไปในลานเก็บของ  เจ้ามีนามว่าเยี่ยงไร ?  

 ข้าน้อยแซ่หลู่ นามว่าหลู่เสี่ยวตง 

 พี่หลู่ นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว คาดว่างานคงจะหาได้มิง่ายดายนัก 

หลู่เสี่ยวตงตกตะลึงอยู่ในใจ หลี่เจิ้งกล่าวต่อไปว่า  แต่การที่เจ้าเลือกมาพบคุณชายของพวกเรานั้นนับว่ามาถูกที่แล้ว คุณชายทำอุตสาหกรรมใหญ่ คาดว่าคงจะต้องการคนงานอยู่บ้าง แต่เรื่องเวลา…เกรงว่าคงจะต้องรอให้ผ่านปีใหม่ไปเสียก่อน 

หลู่เสี่ยวตงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเยือกเย็นในจิตใจยิ่ง นี่เพิ่งจะวันที่สามเดือนสิบสอง เวลาอีกเกือบหนึ่งเดือนเต็มเขาจะผ่านมันไปได้เยี่ยงไร ?

หลี่เจิ้งเดินนำทางอยู่ด้านหน้า เขาจึงมิได้เห็นสีหน้าอันขาวซีดของหลู่เสี่ยวตง เขาพาหลู่เสี่ยวตงเข้าไปในโรงอาหาร ที่นี่มีเตาผิงอุ่น ๆ และครึกครื้นยิ่ง

บัดนี้จวนฟู่มีคนสวน 30 คน สาวใช้ 30 คน ผู้ดูแลห้ 50 คน รวมกันได้ 110 คนพอดี

พวกเขากำลังนั่งรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่ ในโรงอาหารมีโต๊ะตั้งอยู่ 12 ตัว บนโต๊ะนั้นมีกับข้าวร้อน ๆ วางไว้อยู่

 เจ้าจงไปหาที่นั่งเถิด ข้าจะไปตักข้าวให้ 

หลู่เสี่ยวตงเดินไปหาที่นั่งในมุมอับแล้วมองดูอาหารที่ถูกวางไว้จนเต็มโต๊ะ มีเนื้อสามอย่างและผักห้าอย่าง…นี่คืออาหารที่บ่าวรับใช้จวนฟู่กินเยี่ยงนั้นหรือ ?

หลู่เสี่ยวตงสูดดมกลิ่นอาหารอันหอมอบอวล ทำให้ท้องของเขาส่งเสียงร้องดังขึ้นมา

นี่มันเหมือนกับสวรรค์เลยนี่ !

คุณชายฟู่ปฏิบัติต่อบ่าวรับใช้ดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ !

อาหารมื้อนี้ หลู่เสี่ยวตงกินมันลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กับข้าวมากมายถึงเพียงนี้ แต่เขากลับกินมันไปมิมากเท่าใดนัก เขากำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิด

ยามเว่ยวันนั้นเขารออยู่ที่โรงอาหาร ที่นี่ก็มีเตาผิงเช่นกัน จึงมิได้รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย

เขาโหยหาชีวิตเยี่ยงนี้ และปรารถนาอย่างยิ่งที่จะได้เข้าพบคุณชายฟู่

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนกลับมาถึงจวน หลี่เจิ้งก็ได้นำเรื่องของหลู่เสี่ยวตงรายงานให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนฟัง

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าวว่า  ไปพาเขามายังหลีเฉินซวน 

หลู่เสี่ยวตงเดินตามหลี่เจิ้งไป เขาก้มหน้าก้มตามิกล้ามองไปทางใดเลยแม้แต่น้อย

นี่คือเรือนของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ส่วนเขาเป็นเพียงราษฎรรากหญ้าผู้หนึ่งเท่านั้น เดิมทีที่แห่งนี้มิใช่ที่ที่คนเยี่ยงเขาจะเหยียบย่ำเข้ามาได้ เขามีแม้กระทั่งความคิดที่จะถอยหนี แต่อาหารเลิศรสมื้อกลางวันนั้นทำให้เขายืนหยัดในความคิดที่เดินทางมาในครานี้

เขาจะต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้จงได้ เพื่อให้ภรรยาและลูกสาว อีกทั้งลูกอีกคนหนึ่งที่ยังอยู่ในท้องได้มีเสื้อผ้าอาหารและที่อยู่อาศัย

ฟู่เสี่ยวกวนต้อนรับหลู่เสี่ยวตงอยู่ที่จวน เขามิได้รู้เลยว่าบัดนี้คณะทูตเจรจาของแคว้นอี๋ได้เดินทางมาถึงนอกประตูเมืองจินหลิงแล้ว…

 

ตอนที่ 457 เรือนหลวง

ตอนที่ 457 เรือนหลวง

ภายในรถม้าคันใหญ่ได้ตั้งเตาถ่านเอาไว้ 2 เตา

พวกนางทั้งสามมิค่อยเข้าใจว่าเพราะเหตุใดสามีถึงได้สนใจเรือนตรงนั้นขึ้นมา… เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาอยากปรับปรุงพื้นที่ตรงนั้นแล้วย้ายเข้าไปอยู่ ?

จิตใจของฟู่เสี่ยวกวนหนักอึ้งขึ้นมาเล็กน้อย

แต่เขาก็มิสามารถเอาความหนักอึ้งนี้แบ่งไปให้แก่ทั้งสตรีทั้งสามคนที่อยู่ข้างกายของเขาได้

ดังนั้นเขาจึงกล่าวยิ้ม ๆ ว่า  เยี่ยงไรเสียสถานที่ตรงนั้นในบัดนี้ก็ได้เป็นทรัพย์สินของตระกูลเราแล้ว สมควรต้องไปดูอยู่แล้ว… 

เขานำซุปไก่ที่อุ่นไว้บนเตาลงมาวางไว้บนโต๊ะ และกล่าวอีกว่า  พวกเราลงทุนในสถานที่ที่ห่างไกลไปทั่วสารทิศ สถานที่เบื้องหน้าที่มิใกล้มิไกลนี้หากสามารถนำมาใช้งานได้ จะสะดวกต่อการจัดการมากยิ่งกว่าหรือไม่ ?  

 สามีหมายความว่า… ต้องการสร้างโรงงานขึ้นที่นั่นเยี่ยงนั้นหรือ ?   ดวงตาของต่งชูหลานเป็นประกาย นี่ย่อมเป็นความคิดที่ดี เพียงแต่มิรู้ว่าสถานที่ตรงนั้นจะกว้างขวางเพียงพอหรือไม่

 อือ… เหมือนกับที่ซีซาน เสบียงอาหารของเศรษฐีที่ดินนั้นมีมากมายจนเกินไป มิปลอดภัยเท่าใดนักหากจะเก็บทั้งหมดไว้ในยุ้งฉางที่ซีซาน หากภูเขาหนานซานนี้มิเลว พวกเราก็ไปจัดเก็บเรือนหนานซานนี้เสียหน่อยเถิด ส่วนด้านนอกสร้าง… โรงงานชุดชั้นในและโรงงานน้ำหอมทั้งยังมีโรงกลั่นสุรา ข้ารู้สึกว่ามิเลวเลยทีเดียว 

 หากเป็นไปได้ อุตสาหกรรมตรงนี้ให้พี่ชูหลานฝึกฝนให้กับข้า ท่านเห็นเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?  

เยี่ยนเสี่ยวโหลวกระตือรือร้นอยากที่จะทดลองทำกิจการ เพราะนางคือสตรีของจวนฟู่ หยูเวิ่นหวินตั้งครรภ์อยู่แต่นางก็ยังสามารถดูแลเรื่องภายในจวนได้เป็นอย่างดี ส่วนต่งชูหลานกลับได้ดูแลอุตสาหกรรมเกือบจะทั้งหมด นางได้ดูแลเพียงธนาคารซื่อทงเท่านั้น

แน่นอนว่านางมิได้ทำเพื่อให้ได้รับสิทธิ์อันใด เพียงแค่มิอยากให้ฟู่เสี่ยวกวนเพิกเฉยใส่นางก็เท่านั้น และบัดนี้ความกดดันของนางก็มีมากอย่างยิ่งขึ้นไปอีก ท้องก็ยังมินูนออกมา ทั้งยังมิสามารถช่วยเหลืออันใดได้เลย มองดูแล้วเหมือนคนที่กินแต่ข้าวเปล่า !

พวกนางเมินเฉยต่อสตรีทั่วทั้งใต้หล้านี้ เมื่อได้อภิเษกสมรสไปแล้ว งานที่แท้จริงคือการจัดการเรื่องภายในจวน และช่วยเหลือสามีสั่งสอนบุตรนั่นเอง

ในสังคมภายนอก นี่มิใช่ภรรยาที่มีสติควรพึงกระทำ !

 ย่อมได้ แต่อย่าหักโหมจนเกินไปล่ะ ควรจ้างสาวใช้มาดูแลจวนให้มากขึ้นอีกเล็กน้อย และต้องไว้วางใจได้ ต่อจากนั้นก็ยังต้องส่งออกไปดูแลในแต่ละเขต ข้ามิอยากให้พวกเจ้าต้องออกไปทำงานข้างนอก 

ต่งชูหลานกลอกตาใส่ฟู่เสี่ยวกวน ยิ่งกิจการของครอบครัวมีมากมายเท่าใดเรื่องวุ่นวายก็จะมากตาม แต่ถ้าให้ผู้อื่นมาดูแลกิจการแล้วคนผู้นั้นเป็นคนมิดีก็จะเกิดปัญหาขึ้นมาได้

ซูซูเป็นผู้ขับรถม้า และในวันนี้นางก็แทบจะมิได้เอ่ยอันใดออกมาเลยด้วยซ้ำ

ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าเป็นเพราะอาการบาดเจ็บของซูเจวี๋ย เขาเองก็ทำได้เพียงเอ่ยปลอบเท่านั้น อีกทั้งเขามิได้ทราบถึงความรู้สึกที่แท้จริงของนาง

ซูซูเอ่ยน้อยลงมากนัก แม้แต่ถังหูลู่ก็ยังกินน้อยลงกว่าเดิม ราวกับตั้งแต่ที่ฟู่เสี่ยวกวนสมรสไป ยามราตรีของนางก็ยาวนานขึ้นมากนัก

วรยุทธ์ของนางได้พัฒนาขึ้นไปมิน้อย ซูโหรวกล่าวว่าที่เมืองกวนหยุน ซูซูได้ฟาดฟันกับเยี่ยนกุยลูกศิษย์ของเป่ยหวังฉวนผู้นั้น และในปัจจุบันนี้ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตของระดับสูงสุดขั้นสองแล้ว นั่นทำให้ฟู่เสี่ยวกวนต้องมองซูซูอย่างชื่นชม… เพราะเขาเอง ยังเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเข้าขั้นสามก็เท่านั้น

ซูซูขับรถม้าอยู่ท่ามกลางหิมะที่หนาวเหน็บ นางยังคงสวมใส่อาภรณ์ที่เบาบาง… นางสวมใส่เพียงชุดผ้าป่านสีเทา ชุดกระโปรงสีสันสดใสที่นางเคยซื้อเหล่านั้น นางได้เก็บใส่หีบผ้าไปจนหมดสิ้นแล้ว

เท้าขาวราวกับหยกคู่หนึ่งยังคงเปลือยเปล่า ในยามนี้ที่กำลังขับรถม้า สองขากวัดไกวไปมา ความคิดในหัวของนางก็คือ

ระดับสูงสุดขั้นสอง…

หากจะสังหารคนผู้นั้น อย่างน้อยก็ต้องเข้าขั้นปรมาจารย์ไปครึ่งก้าว

แต่หลายปีที่ผ่านมานั้น ก็มิทราบว่าคนผู้นั้นได้ทะลวงประตูปรมาจารย์ไปแล้วหรือยัง !

ความคิดของซูซูในตอนนี้คือการแก้แค้น สำหรับฟู่เสี่ยวกวน… เขาคือบุคคลที่ยอดเยี่ยมยิ่งในใต้หล้านี้ สูงส่งจนเกินไป นางรู้สึกไร้หนทางจะไปยุ่มย่ามในชีวิตของเขาได้ และไร้หนทางจะขัดเกลาความคิดของเขาได้อีกเช่นกัน

นี่คือข้อสรุปหลังจากที่ซูซูได้ทำการใคร่ครวญโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้ว นางมิเหมือนกับภรรยาทั้งสามของฟู่เสี่ยวกวน ถึงแม้นางจะรู้หนังสือ แต่ก็มิได้อ่านตำรามากมายเท่าใดนัก

นางฝึกวรยุทธ์ด้วยตนเองมาตั้งแต่ยังเยาว์ เลยมิรู้อันใดเกี่ยวกับเรื่องมารยาทเหล่านั้นเลย

ฟู่เสี่ยวกวนคือผู้ที่จะกอบกู้ใต้หล้านี้ ส่วนตนเองนั้น… เป็นเพียงสตรีจากยุทธภพที่ต่ำต้อยเท่านั้น

ดังนั้น ข้าและเขา ราวกับอยู่กันคนละโลกหล้า !

ดังนั้น สำหรับฟู่เสี่ยวกวนแล้ว ก็เป็นเพียงงานเดียวที่อาจารย์มอบหมายให้กับนาง… ปกป้องเขาเอาไว้ให้ดี ส่วนเรื่องอื่น ๆ ซูซูจะกำจัดเค้าลางเหล่านั้นเสียให้สิ้น !

รถม้าวิ่งออกไปด้านนอกประตูเมือง และมุ่งหน้าไปบนทางหลักที่กว้างขวางอีกราวครึ่งชั่วยาม จากนั้นจึงได้เลี้ยวโค้ง และเข้าไปในผืนป่า

ภูเขาหนานซาน !

สถานที่แห่งนี้คือลานล่าสัตว์หลวง ดังนั้นจึงมีกองทหารคอยประจำการอยู่ด้านล่างภูเขาหนานซาน

และเส้นทางที่ตรงไปยังเรือนหนานซาน ก็ต้องผ่านด้านข้างของค่ายนั้นไปพอดี

แม่ทัพของทหารเฝ้ายามที่ลานล่าสัตว์นี้มีนามว่าหยางซี คราหนึ่งเมื่อเดือนแรกของปีนี้วันที่ยี่สิบหกได้สังหารกบฏไปถึง 5 คนตอนที่เกิดเรื่องที่สุสานจักรพรรดิ จึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นนายกองทหารม้า และให้บัญชาการทหารจำนวน 1,000 นายที่ประจำการอยู่ที่นี่

เขาย่อมรู้จักฟู่เสี่ยวกวน ดังนั้นจึงมิได้คาดคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมาปรากฏที่นี่ เขารู้สึกตื่นตกใจอย่างแท้จริง !

นามของเขาเลื่องระบือไปทั่วทั้งใต้หล้า ในยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนยังเป็นถึงบุตรเขยของฝ่าบาท !

เขามิกล้าล่าช้าแม้แต่ครึ่งก้าว จึงรีบลงจากม้าและโค้งคำนับ แล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง  ข้าน้อย หยางซี ขอบังอาจถามถึงเหตุผลที่ท่านฟู่มายังที่นี่คือ… 

 เรือนหลังนี้ ไทเฮาได้มอบให้กับองค์หญิงเก้าภรรยาของข้าไว้ก่อนที่พระนางจะสิ้นพระชนม์ วันนี้จึงตั้งใจมาดูเสียหน่อย แม่ทัพหยางจะสะดวกหรือไม่ ?  

หยางซีตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน เขามิเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงรีบกล่าวอย่างยิ้ม ๆ ว่า  หากกล่าวถึงข้อบังคับ… ท่านฟู่ต้องนำราชโองการของฝ่าบาทมาด้วย แต่ด้วยฐานะของท่านฟู่แล้ว ข้าน้อยมิกล้าทำให้ยากลำบาก เชิญท่านเข้ามาขอรับ !  

แม่ทัพผู้นี้ใช้ได้เลยนี่ ฟู่เสี่ยวกวนเหลือบมองหยางซี  เยี่ยงนั้นต้องรบกวนท่านแม่ทัพแล้ว 

 ข้าน้อยมิกล้า 

ฟู่เสี่ยวกวนขึ้นรถม้า รถม้าได้ตรงเข้าไปในหุบเขาแห่งนี้ ไม่นานก็ได้เจอเรือนหลังหนึ่งที่ถูกบดบังด้วยผืนป่าตั้งอยู่ใจกลางหุบเขาขนาดใหญ่

เขาลงจากรถม้า และเดินวนไปรอบ ๆ มองพิจารณาไปรอบด้าน

สถานที่แห่งนี้ยอดเยี่ยมยิ่ง มีแม่น้ำไหลเอื่อยอยู่ด้านนอกป่าท้อ สองฝั่งแม่น้ำเริ่มเป็นน้ำแข็งบ้างแล้ว ตรงกลางยังมิกลายเป็นน้ำแข็ง สายน้ำใสกระจ่าง และไร้สิ่งเจือปน

ในยามนี้เขายังมิได้ข้ามแม่น้ำนั้นไป ด้านที่ยืนอยู่นี้คือผืนแผ่นดินเรียบที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว ใจกลางนั้นมีเงาของคันนาอยู่เล็กน้อย คิดว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าทุ่งหลวง เพียงแต่ละเลยมิได้ดูแล แม้แต่ข้าวสาลีในฤดูหนาวก็ยังมิได้หว่าน ถือได้ว่ากลายเป็นพื้นที่รกร้างไปแล้ว

เมื่อข้ามผ่านสะพานหิน นอกจากป่าท้อแล้ว ก็มีแต่ทุ่งนาผืนใหญ่ อีกทั้งยังแห้งแล้งมากยิ่งนัก ดังนั้นก่อนที่ไทเฮาจะสิ้นพระชนม์จึงได้กล่าวไว้ว่า หวังว่าจะสามารถเพาะปลูกบนผืนนาเหล่านี้ได้ หรือนี่จะเป็นเหตุผลของพระนางที่มอบเรือนหลังนี้ให้กับเวิ่นหวิน

เขาคุกเข่าลง หยิบกริชออกมาและใช้มันงัดดินขึ้นมาบีบ ชุ่มชื้นและละเอียด ดีกว่าผืนดินของผิงหลิงและชวูอี้ตั้งมิรู้กี่เท่า

ดังนั้นหากใช้ที่ตรงนี้ปลูกฟู่เอ้อร์ต้าย ผลผลิตจะต้องดีเป็นแน่ แต่ว่า…

ฟู่เสี่ยวกวนมิอยากจะอยู่ในสถานที่แบบนี้ !

เขาจำเป็นต้องแก้ไขการดำรงชีพของผู้คนที่อยู่ในสลัมเหล่านั้น !

ดังนั้นสถานที่แห่งนี้ เกรงว่าจะทำได้เพียงใช้ที่นาหนึ่งผืนมาปลูกฟู่เอ้อต้ายให้ไทเฮาได้ทอดพระเนตรเท่านั้น

อีกมิช้าก็จะข้ามปีแล้ว คงเป็นไปมิได้ที่จะสร้างโรงงานที่นี่ สามารถทำได้เพียงแค่เบื้องต้นก็เท่านั้น

ตัวอย่างเช่นการปรับผืนดินให้เรียบ ปรับฐานของมันไปก่อน แต่ที่แห่งนี้ก็มิสามารถจะใช้คน 30,000 – 50,000 คนได้อยู่ดี !

ควรจะทำเยี่ยงไรดี ?

ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป หรือไม่ก็…สร้างโรงงานปูนซีเมนต์ขึ้นที่นี่อีกสักแห่งดีหรือไม่ ?

ที่ตรงนี้ค่อนข้างห่างไกลจากจินหลิง แล้วควรจะแก้ไขปัญหาปากท้องของพวกเขาเยี่ยงไรดี ?

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วครุ่นคิด และเดินตามสตรีทั้งสามเข้าไปในตัวเรือน

 

ตอนที่ 456 ชีวิตยากจนข้นแค้น

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนสิบสอง วันที่สาม เมืองจินหลิง มีหิมะตกโปรยปราย มองดูแล้วงดงามยิ่ง

เวลาส่งท้ายของปีวนมาบรรจบกันอีกครา บรรดาพ่อค้าเริ่มวุ่นอยู่กับการตรวจสอบบัญชี และหวังว่าความทุ่มเทตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาจะได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า

เกษตรกรได้ลงมือเพาะปลูกข้าวสาลีแล้ว พวกเขามองดูหิมะนี้และได้แต่หวังว่าในปีหน้าขอให้ได้ผลผลิตสักสามหรือห้าส่วน เรื่องของปีใหม่นั้น…พวกเขารู้สึกว่าเพียงแค่นำตุ้ยเหลียนสีแดงไปแปะไว้ที่ประตู และทำอาหารสักสองสามอย่างร่วมรับประทานด้วยกันเท่านั้นก็พอแล้ว

ชาวบ้านในเมืองจินหลิงยังคงเป็นอยู่เช่นเคย พวกเขามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า สีหน้าของพวกเขาช่างมีความสุขมากยิ่งนัก โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่ตั้งตารอในวันปีใหม่ บ้านที่ได้รับผลผลิตค่อนข้างดีในปีนี้ก็จะซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้กับพวกเขา และหาซื้อสิ่งของเครื่องใช้เอาไว้

แต่สำหรับบุตรหลานของบ้านที่ในปีนี้ได้ผลผลิตมิดีเท่าที่ควรก็คงจะเบื่อหน่ายยิ่ง ปีใหม่นี้เยี่ยงไรเสียก็ต้องจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ ส่วนจะจัดเยี่ยงไรนั้นก็ต้องวางแผนให้ดี อาจจะทำเพียงเพื่อเป็นพิธี มิเช่นนั้นอาจจะเสียหน้าได้

ด้านนอกของเมืองจินหลิง มีเขตสลัมอยู่แห่งหนึ่ง และเมื่อคืนนี้ได้เกิดเรื่องที่น่าเศร้าสลดขึ้น

ถนนที่นี่จะแคบและรกร้างเป็นอย่างมาก บ้านเรือนปลูกสร้างจะต่ำกว่าที่อื่น ๆ แม้แต่ประตูบ้านก็คับแคบกว่าปกติมากนัก

เนื่องจากแม่น้ำหวงเหอได้เอ่อล้นขึ้นมาอีกในปีนี้ ทำให้มีชาวบ้านอพยพหนีมาที่เมืองจินหลิงมากขึ้นกว่าเดิม พวกเขาจะตั้งหลักปักฐานในสลัมแห่งนี้ และเช่าอาศัยบ้านเล็ก ๆ อยู่ เพื่อรอโอกาสหางานทำในเมืองจินหลิงเพื่อหาเลี้ยงชีพของตนเองต่อไป

ดังนั้นพื้นที่แห่งนี้จึงมิได้เงียบเหงาอย่างที่ควรจะเป็น

ครอบครัวของหลู่เสี่ยวตงทั้งสามคนก็อาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้เช่นกัน พวกเขาอพยพมาจากทางตะวันออกของแม่น้ำหวงเหอในปีนี้

เดิมทีเขาตั้งใจจะเดินทางไปซีซานเพื่อหาที่อยู่เอาตัวรอด แต่ได้ยินมาว่าคุณชายฟู่เสียชีวิตลงจากเหตุการณ์หิมะถล่มที่ราชวงศ์อู๋ นี่เปรียบเสมือนฝันร้าย และตัดความฝันของพวกเขากลุ่มนี้ลง เมื่อปีกลายคุณชายฟู่ได้เข้าช่วยเหลือรับเลี้ยงผู้คนอพยพที่เดือดร้อนจากอุทกภัยกว่าสี่หมื่นคน บัดนี้ผู้คนเหล่านั้นได้กลายเป็นชาวซีซานไปแล้ว พวกเขาได้ติดต่อกับญาติมิตร และญาติมิตรทั้งหลายจึงได้รับรู้ว่าพวกเขามีความสุขดีที่ซีซาน

คุณชายฟู่แห่งซีซาน ชื่อนี้ได้โด่งดังไปทั่วสองฝั่งของแม่น้ำหวงเหอ มิใช่เพราะผลงานกวีของเขา แต่เป็นเพราะความเมตตากรุณาที่เขามี

แต่คุณชายฟู่ผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีนี้กลับจากไปเสียแล้ว ชีวิตของพวกเขายังคงต้องดำเนินต่อไป ดังนั้นพวกเขาจึงเดินทางมาจากที่อันไกลโพ้น มายังเมืองจินหลิงที่เลื่องลือว่าเป็นขุมทรัพย์แห่งเงินทอง

แต่ทว่าความจริงมิได้เป็นเยี่ยงนั้น

ตั้งหลักปักฐานในเมืองหลวง ช่างมิง่ายเอาเสียเลย

ที่นี่หางานทำได้ยากยิ่ง อีกทั้งราคาสินค้าก็แพงโข แม้แต่กระท่อมในสลัมเล็ก ๆ ยังต้องเสียค่าเช่าอาศัยถึงเดือนละ 600 อีแปะ !

เงิน 600 อีแปะที่สองฝั่งแม่น้ำหวงเหอนั้นสามารถซื้อธัญพืชละเอียดได้ถึง 40 ชั่ง หรือธัญพืชหยาบได้ถึง 100 ชั่ง

แต่บ้านที่ริมฝั่งแม่น้ำหวงเหอนั้นมิมีอีกต่อไปแล้ว พวกเขากลับไปมิได้อีกแล้ว จึงทำได้เพียงฝืนใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหลวง

หลู่เสี่ยวตงรู้สึกโศกเศร้าและหดหู่เป็นอย่างมาก อาคารทั้งสองของตรอกชิงหลวนได้สร้างเสร็จเดือนกว่าแล้ว และเขาก็ตกงานมาเดือนกว่าแล้วเช่นกัน เขาทำงานอยู่ที่นั่นมาราว 3 เดือน ได้เงินค่าจ้าง 5,400 อีแปะ หักค่าเช่าบ้านไป 3 เดือนจำนวน 1,800 อีแปะ เหลือ 3,600 อีแปะ หักค่าใช้จ่ายสามเดือนที่ผ่านมาจำนวน 2,000 อีแปะ บัดนี้ในมือเขาเหลือเงินเพียง 1,600 อีแปะเท่านั้น

นี่ก็ใกล้จะต้องจ่ายค่าเช่าบ้านจำนวน 600 อีแปะอีกคราแล้ว เช่นนั้นก็จะเหลือเงินเพียง 1,000 อีแปะเท่านั้น…อย่าว่าแต่ปีใหม่เลย หากยังหางานทำมิได้ ชีวิตจะอยู่ต่อไปได้เยี่ยงไรก็ยังมิอาจรู้ได้

ภรรยาของเขาจ้าวซื่อได้เดินถือโจ๊กข้าวฟ่างชามหนึ่งเข้ามา นางนำมือเช็ดไปที่ผ้ากันเปื้อนแล้วกล่าวว่า  มากินข้าวก่อนเถิด 

ลูกสาวของเขาหลู่จาวตี้ที่มีอายุเพียง 6 ขวบนั่งอยู่ข้าง ๆ นางมองไปยังชามโจ๊กนั้นแล้วกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเดินออกไปด้านนอกอย่างรู้หน้าที่ ข้างนอกนั้นหิมะกำลังตกลงมา นางสวมใส่เสื้อผ้าบางเป็นอย่างมาก จึงอดมิได้ที่จะสั่นสะท้าน

 ข้าว่า…พวกเราไปซีซานกันดีหรือไม่ ? คุณชายฟู่ผู้นั้นมีบุญบารมีคุ้มครอง เขามิได้ตายจากไป เผื่อว่าที่ซีซานจะยังต้องการคนงานอยู่บ้าง 

จ้าวซื่อครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะนำมือลูบไปยังท้องของนางที่เพิ่งจะนูนขึ้นมาเล็กน้อย  บัดนี้คุณชายฟู่ได้ตั้งหลักปักฐานอยู่ในเมืองหลวง ได้ยินมาว่าได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นขุนนางใหญ่ มิรู้ว่าที่ซีซานยังต้องการคนงานอยู่อีกหรือไม่ หากว่ามิต้องการแล้ว…ท่านพี่ พวกเราเดินทางไปกลับยาวไกลเช่นนี้ จะมิอันตรายหรือเยี่ยงไรกัน ?  

 …  หลู่เสี่ยวตงถอนหายใจออกมายาว ๆ ก่อนจะมองไปยังลูกสาวที่อยู่ด้านนอก เขาได้กล่าวออกมาว่า  หากมิสามารถหางานที่เลี้ยงชีพได้…จาวตี้เกรงว่าจะต้องหาครอบครัวใหม่ให้แก่นางแล้ว 

จ้าวซื่อตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน ประโยคเมื่อครู่ของเขาหมายความว่าจะขายลูกสาวเยี่ยงนั้นหรือ !

แต่เมื่อนางกำลังอ้าปากจะเอ่ยถามบางสิ่งออกมา ก็ได้ปิดปากแล้วก้มหน้าลง จากนั้นก็เดินไปตักโจ๊กข้าวฟ่างมาอีกชามหนึ่ง จากนั้นก็ออกไปแล้วตะโกนว่า  จาวตี้เข้ามากินข้าวเช้าก่อนเร็ว 

 แม่จ๋า ข้ายังมิอยากกิน 

แก้มทั้งสองข้างของเด็กน้อยขึ้นสีแดงระเรื่อ นางยืนอยู่ด้านนอกประตู แต่บนใบหน้ายังคงปรากฏรอยยิ้มอันสดใส

 นี่มิใช่ทางแก้ไขที่ถูกต้อง…  หลู่เสี่ยวตงเอ่ยออกมา จากนั้นก็ได้โบกมือเรียกจาวตี้  มานี่เร็ว แม่เรียกเจ้ามากินข้าวก็จงมากินเถิด 

ท้ายที่สุดจาวตี้ก็มิอาจทนได้กับท้องที่ร้องดังโครกคราก นางเดินตรงเข้าไปแล้วยกชามโจ๊กนั้นขึ้นมาแล้วค่อย ๆ กิน ช่างอร่อยมากยิ่งนัก !

แม้ว่านางจะอายุเพียง 6 ปี แต่ว่านางก็รับรู้ถึงสถานการณ์ในตอนนี้เป็นอย่างดี

ระยะทางมาเมืองหลวงอันยาวไกลนี้ นางเห็นผู้คนขายลูกของตนกันมากมาย

นางรู้สึกว่าตนเองช่างโชคดีมากยิ่งนัก เนื่องจากพ่อแม่ของนางจะลำบากเพียงใด ก็มิได้นำนางไปขาย

นางรู้สึกหวงแหนชีวิตในช่วงนี้เป็นอย่างมาก แม้ว่าชีวิตจะยากแค้น แต่หากครอบครัวยังอยู่ด้วยกันก็ทำให้นางมีความสุขยิ่งกว่าสิ่งใดในใต้หล้านี้แล้ว

 ประเดี๋ยวข้าจะไปจวนฟู่เสียหน่อย 

จ้าวซื่อตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน  ท่านอย่าได้ไปเชียว คุณชายฟู่เป็นคนระดับใด ! เขาจะยอมพบเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? หากว่า… หากว่าบ่าวรับใช้เหล่านั้นทำร้ายท่าน ข้าจะทำเยี่ยงไร ?  

หลู่เสี่ยวตงกัดฟัน คิ้วคมเข้มของเขาขมวดเข้าหากัน  ข้าคิดดูแล้ว หากจะให้รอความตายอยู่เยี่ยงนี้ สู้ไปลองดูมิดีกว่าหรือ คุณชายฟู่จิตใจดีมีเมตตา ลูกพี่ลูกน้องของข้าได้เขียนจดหมายมาบอกว่า พวกเขานั้นได้รับความช่วยเหลือจากคุณชายฟู่ เขามิเหมือนกับขุนนางทั่วไป ดังนั้น…ข้าจะลองไปขอร้องเขาดู 

จ้าวซื่อกำผ้ากันเปื้อนไว้แน่น แต่ก็มิได้กล่าวอันใดออกมาอีก

ครอบครัวยากจนอย่างพวกเขานั้น อย่าว่าแต่ขุนนางระดับสูงเยี่ยงคุณชายฟู่เลย แม้แต่นายอำเภอก็ยังมิให้พวกเขาเข้าพบ

เคยได้เห็นจากในงิ้วมาว่า ขุนนางนั้นมิมีผู้ใดดีอย่างแท้จริง บ่าวรับใช้ของพวกเขาดุร้ายราวกับสุนัขบ้า หากสามีของนางเดินทางไปยังจวนฟู่…ได้โปรดอย่าได้เกิดเรื่องมิดีอันใดขึ้นมาเลย !

ในสลัมอันแสนยากจนเช่นนี้ ครอบครัวอย่างหลู่เสี่ยวตงมีมากมายเสียทีเดียว

ในปีนี้ที่แม่น้ำหวงเหอเอ่อล้นท่วมบ้านเรือน ทางราชวังได้มีนโยบายช่วยเหลือ แต่เนื่องจากสงครามทางชายแดนตะวันออกต้องการอาหารจำนวนมาก ทำให้การช่วยเหลือในครานี้เป็นเพียงการช่วยเหลือในนามเท่านั้น

หลังจากที่พวกเขาเข้ารับอาหารอันน้อยนิด ก็สามารถใช้ดำรงชีพได้เพียง 3 วันเท่านั้น คลังของมณฑลเองก็ว่างเปล่า อย่าว่าแต่อาหารกักตุนเลย แม้แต่ผู้นำในเมืองก็ยังแทบจะมิมีกิน

จะให้ทำเยี่ยงไรเล่า ?

คงต้องอพยพหนีเท่านั้น !

ชีวิตเช่นนี้ จะสิ้นสุดลงเมื่อใดกัน ?

หลู่เสี่ยวตงดื่มโจ๊กข้าวฟ่างเข้าไป จากนั้นเขาก็เดินออกไปท่ามกลางสายตากระสับกระส่ายของจ้าวซื่อ เขามุ่งหน้าไปยังจวนฟู่เพื่อร้องขอความหวังที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป

และบัดนี้ ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะออกจากบ้าน เขามิได้เดินทางไปต้อนรับองค์รัชทายาทของแคว้นอี๋เป็นแน่

เขาพาภรรยาทั้งสามคนและบ่าวรับใช้กลุ่มหนึ่ง มุ่งหน้าไปยังเรือนหนานซาน

ที่แห่งนั้นไทเฮาทรงมอบให้แก่หยูเวิ่นหวิน เขาจะเดินทางไปดูเสียหน่อย และวางแผนว่าจะใช้สถานที่แห่งนั้นทำประโยชน์อันใดในภายภาคหน้า

 

ตอนที่ 455 เหตุฆาตกรรมที่เกิดจากหมั่นโถวหนึ่งลูก

เมฆสีเทาหม่นได้ปกคลุมไปทั่วท้องนภาของเมืองจินหลิง

ละอองหิมะได้ตกลงมาอีกครา

แสงไฟจากหลายหลังคาเรือนในเมืองจินหลิงได้สว่างโร่ขึ้นมา เรือสำเภาของหงซิ่วจาวได้จุดโคมไฟสีแดงขึ้นมา

หงซิ่วจาวในคืนนี้ดูเหมือนจะคึกคักเร็วกว่าในอดีตเสียเล็กน้อย ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังขึ้นไปยังหงซิ่วจาว ก็ได้ยินเสียงจอแจดังมาจากอาคารสามชั้น

 พวกเจ้าคงมิรู้ ข้าเพิ่งใช้เงินที่หามาได้อย่างยากลำบากในการซื้อหุ้นจำนวน 1,000 หุ้น… 

 สิ่งที่เรียกว่าหุ้นคือสิ่งใดกัน ?  

 จุ๊ ๆ ๆ กงซุนช่างมิสนใจเรื่องภายนอกอย่างแท้จริง นั่นคือสิ่งที่ท่านฟู่เสี่ยวกวนทำออกมาด้วยตนเอง 1 หุ้น 2 ตำลึง จัดจำหน่าย 4,000,000 หุ้น และขายหมดภายในเวลามิถึงหนึ่งวัน !  

 …  กงซุนเค่อตกตะลึงไปชั่วขณะ เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย นั่นคือของที่อาจารย์เป็นผู้ทำออกมา ย่อมเป็นของที่ดีอย่างมากเป็นแน่ ในช่วงหลายวันมานี้เขาได้แต่หมกมุ่นอยู่กับนโยบายเศรษฐกิจ จึงได้พลาดเรื่องที่ดีนี้ไปเสียแล้ว

ฮั่วหวยจิ่นและหนิงหยู่ชุนนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งในหงซิ่วจาว เดิมทีได้เชิญฟู่เสี่ยวกวนมาที่นี่เพื่อฟังเพลงและร่ำสุรา แต่มิคาดคิดว่าจิ้นซื่อรุ่นนี้จะมาฉลองกันที่นี่

มีผู้คนมากเกินไปอย่างแท้จริง มิใช่สถานที่ที่ดีสำหรับการสนทนาเท่าใดนัก ดังนั้นทั้งสองจึงได้สบสายตากัน ลุกขึ้นยืนและเดินออกมาจากอาคารสามชั้น ก็ได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนที่ชั้นสองอย่างพอดิบพอดี

 น่าเสียดาย พวกเราได้เปลี่ยนสถานที่แล้ว คิดว่าจะไปที่หอซื่อฟางแทน 

 ด้วยเหตุอันใดกัน ?  

 วันนี้ได้มีการเข้ารับตำแหน่ง จิ้นซื่อจึงได้จัดงานฉลองขึ้นมาที่นี่ และที่แห่งนี้ก็ถูกเหล่าศิษย์ของสำนักศึกษาจองไปทั้งหมดแล้ว 

ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังและเดินออกมาทันที กล่าวไปแล้วเขาก็เป็นอาจารย์ผู้สอนในสำนักศึกษา หากอาจารย์เดินเข้าไป ลูกศิษย์เหล่านั้นจะสนุกกันได้เยี่ยงไร

ทั้งสามคนขึ้นฝั่ง นั่งรถม้าคันเดียวกัน และตรงไปยังหอซื่อฟางทันที

 จอหงวนปีนี้คือผู้ใดกัน ?   ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม

แต่ฮั่วหวยจิ่นกลับมิได้สนใจเรื่องนี้ ดังนั้นหนิงหยู่ชุนจึงตอบยิ้ม ๆ ว่า  จอหงวนกงซุนเซ่อ ปั๋งเหยี่ยนซังเหลียง ทั่นฮวาซือหม่าหนาน… 

หนิงหยู่ชุนหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน แล้วกล่าวว่า  จะว่าไปทั้งสองก็คือคนที่ติดตามเจ้าไปยังราชวงศ์อู๋ แต่ที่บังเอิญยิ่งกว่านั้นก็คือ ยามที่ทำการทดสอบคาดมิถึงว่าหัวข้อนโยบายที่ฝ่าบาทยกมานั้นจะเกี่ยวข้องกับนโยบายใหม่ทั้งสิ้น

หัวข้อนั้นมีนามว่า ‘ข้อดีข้อเสียของนโยบายใหม่แห่งแคว้นหยู’ กล่าวกันว่าคำตอบของทั้งสามยอดเยี่ยมยิ่ง และได้รับการยอมรับจากฝ่าบาท หลังจากที่สอบเสร็จก็มีคำกล่าวในสำนักศึกษาว่า เกี่ยวกับเรื่องนโยบายใหม่ ระหว่างการเดินทางไปราชวงศ์อู๋ เจ้าได้อบรมบัณฑิตเหล่านั้นอย่างมากมาย ดังนั้นมุมมองของทั้งสองจึงค่อนข้างแปลกใหม่ และตรงกับพระทัยของฝ่าบาทอย่างพอดิบพอดี 

สำหรับกงซุุนเซ่อและซังเหลียง ฟู่เสี่ยวกวนย่อมจดจำได้ เพียงแต่  ซือหม่าหนานคือผู้ใดกัน ?  

 ซือหม่าแห่งหญิงชิว หวางซุน ณ เปี้ยนเหอ ซางเสียงของตระกูลหลู่ และหลินจื๋อโจ่งหยู นี่คือตระกูลพ่อค้าที่มีชื่อเสียงของราชวงศ์หยู พ่อค้าแบบเจ้านี่มิเป็นมืออาชีพเอาเสียเลย 

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะน้อย ๆ แล้วเอ่ยถามว่า  นี่มิได้หมายความว่ามีแค่สี่หรือ ?  

 หลินจื๋อโจ่งหยู ในที่นี้หมายถึงตระกูลโจ่งและตระกูลหยู 

ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน หญิงชิวอยู่ที่เจียงหนานตงเต้า เปี้ยนเหออยู่ที่เส้นทางหวยหนาน ซางเสียงอยู่ที่ซานหนานตงเต้า และหลินจื๋ออยู่ที่เจี้ยนหนานตงเต้า

ทั้งสี่สถานที่นั้นมีเส้นทางคมนาคมที่ยอดเยี่ยม สภาพแวดล้อมก็เหมาะสม เมืองเหล่านั้นต่างก็เป็นเมืองใหญ่ ความเจริญรุ่งเรืองของการค้าจึงเป็นเรื่องที่ปกติ ฟู่เสี่ยวกวนจึงมิได้เอ่ยถามให้มากความ

เนื่องจากซือหม่าหนานเกิดในตระกูลพ่อค้า ย่อมสนับสนุนนโยบายใหม่นี้อย่างแน่นอน สิ่งที่เขาได้รับมาย่อมเป็นความรู้ที่เกี่ยวกับการค้า

ทั้งสามคนต่างก็เป็นผู้มีพรสวรรค์ ฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนใจในทันที และตัดสินใจได้แล้ว เขาจะคว้าทั้งสามคนนี้มาไว้ในมือให้จงได้

ทั้งสามคนขึ้นไปบนหอซื่อฟาง และยังคงนั่งอยู่ในห้องส่วนตัวบนชั้นสาม

หลงจู๊ของหอซื่อฟางในยามนี้ได้เข้ามาปรนนิบัติฟู่เสี่ยวกวนด้วยตนเอง ผู้มีอำนาจคนใหม่แห่งเมืองหลวง เป็นลูกค้าที่โดดเด่นยิ่ง

 ในวันนี้พวกข้ามากันสามคน อาหารไม่ต้องมากมายนัก ทำออกมาให้ปราณีตอีกเล็กน้อย แล้วก็นำน้ำชามาหนึ่งกาก่อน 

 ขอรับ ข้าน้อยจะไปจัดการในทันที !  

หลงจู๊ได้เดินลงไป ฮั่วหวยจิ่นจึงกล่าวขำ ๆ ขึ้นมาว่า  ในตอนนี้เจ้าได้กลายเป็นคนมีครอบครัวไปแล้ว อยากจะเชิญเจ้าออกมาทานอาหารดื่มสุราก็เริ่มมีความกังวลบ้างแล้ว… เหล่าน้องสะใภ้มีขัดแย้งบ้างหรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือ  มิมีอันใดเลย เหล่าบุรุษสมรสไปแล้วแต่ยามต้องดื่มสุราก็คือดื่ม 

 ประโยคนี้ยอดเยี่ยมยิ่ง !   หนิงหยู่ชุนเอ่ยชื่นชม  ข้าแก่กว่าพวกเจ้ามากนัก แต่ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน มันมิมีเหตุผลอันใดที่จะต้องให้สตรีมาควบคุม !  

จากนั้นหนิงหยู่ชุนก็ได้เปลี่ยนเรื่อง แล้วหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน และเอ่ยถามว่า  หุ้นของเจ้า เจ้าได้ขายจนหมดแล้ว ข้าขอกล่าวกับเจ้าโดยแท้จริงว่า วันนี้มีคนจำนวนมากวิ่งมาที่ว่าการเขตเพื่อขอร้อง ทั้งหมดเกือบจะเป็นพ่อค้ารายใหญ่ในเมืองหลวงแทบทั้งสิ้น… เยี่ยงนั้นทำออกมาขายอีกสักแปดล้านดีหรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองหนิงหยู่ชุน  จะเป็นไปได้เยี่ยงไรกัน ?  

 แล้วเหตุใดจึงเป็นไปมิได้กัน ? ใช้กระดาษแลกเป็นเงิน มีเรื่องดี ๆ แบบนี้ที่ใดในใต้หล้ากันเล่า ?  

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วอธิบายว่า  นี่มิใช่เรื่องการแลกเปลี่ยนกระดาษให้เป็นเงิน คราแรกที่ตั้งต้นขึ้นมานั้นอยู่ที่สี่ล้านหุ้น แล้วหมุนเวียนมาเป็นแปดล้านตำลึง และจะกระจายไปยังมณฑลนำร่องทั้งสิบหกแห่งหลังต้นปี ต่อจากนั้นในเวลาครึ่งปี เม็ดเงินที่แจกจ่ายออกไปเหล่านี้จะมิสามารถสร้างกำไรอันใดได้ทั้งสิ้น เพราะต้องสร้างโรงงาน 

 ดังนั้นสองไตรมาสแรกของปีหน้าจะมิมีเงินปันผล จะมีหลังจากที่สินค้าผลิตออกมาและถูกขายไปแล้วเท่านั้น จึงจะเกิดกำไรขึ้นมา ข้าประเมินไว้คร่าว ๆ ว่าหากต้องการได้รับเงินปันผล อย่างน้อยก็ต้องรอไปจนถึงสิ้นปีหน้า 

 แล้วเหตุใดจึงมิสามารถขายของสิ่งนี้ออกไปได้สุ่มสี่สุ่มห้าน่ะหรือ เพราะพวกเราต้องรับผิดชอบต่อนักลงทุนทุกคน ยิ่งขายหุ้นได้มากเท่าใด เงินปันผลต่อคนก็จะมากขึ้นเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้นก็จะแบ่งเงินได้เพียงมิมากเท่าใดนัก หลังจากที่หุ้นนี้ขายทอดสู่ตลาดทั้งยังขายได้มิมากเท่าใดนัก… พวกเจ้าลองกล่าวสิว่า ผู้ใดกันที่จะยังเชื่อมั่นในหุ้นของซีซาน ?  

 หากในภายภาคหน้าต้องระดมทุนอีกเพื่อขยายกำลังการผลิต ผู้ใดจะกล้ามาซื้อหุ้นของซีซานอีกกัน ?  

หนิงหยู่ชุนและฮั่วหวยจิ่นนิ่งเงียบไปชั่วครู่ และได้เข้าใจความหมายคร่าว ๆ ขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงได้ตระหนักขึ้นมาได้

กระดาษนี้ มิสามารถแลกเป็นเงินอย่างสุ่มสี่สุ่มห้าได้โดยแท้จริง !

ทั้งสามสนทนากัน สุราและอาหารถูกยกขึ้นโต๊ะ แต่ยังมิทันที่จะได้ดื่มจอกที่สอง ก็ได้มีเสียงดังตึง ๆ ดังขึ้นมาจากทางบันได

จิงหยูเว่ยนายพันกองรักษาการณ์จากจวนผู้ว่าเขตจินหลิงได้วิ่งเข้ามาด้านในด้วยความรีบร้อน

เขาโค้งคำนับ

 นายท่านขอรับ สลัมทางเหนือของเมืองเกิดการจลาจลขอรับ 

หนิงหยู่ชุนคิ้วขมวด  สถานการณ์ร้ายแรงถึงเพียงใด ?  

 ตายสาม และถูกเพลิงไหม้ไปห้าหลังคาเรือนขอรับ 

 เหตุจูงใจเล่า ?  

 …หมั่นโถว…หนึ่งลูกขอรับ !  

จินเชียนฮู่ได้อธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดโดยละเอียด

เด็กชายเจ็ดขวบผู้หนึ่งได้ขโมยหมั่นโถวหนึ่งลูกในร้านหมั่วโถวทังจี้ในช่วงพลบค่ำ เมื่อถูกทังปู้ยงเจ้าของร้านทังจี้พบเข้า เขาย่อมมิยอม ดังนั้นจึงถือมืดตัดก๋วยเตี๋ยวแล้ววิ่งตามไป

เขาจับเด็กชายตัวน้อยเอาไว้ หากเด็กชายตัวน้อยคืนหมั่นโถวลูกนั้นให้แก่เขา ก็จะมิเกิดเรื่องอันใดแล้ว

แต่เด็กชายผู้นั้นกลับปกป้องหมั่นโถวลูกนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งยังกัดทังปู้ยงเข้าให้ ทังปู้ยงจึงเดือดดาลเป็นอย่างมาก จึงแทงมีดเข้าที่ท้องของเด็กชายตัวน้อย

ทันใดนั้นชาวบ้านในสลัมก็ได้ก่อความวุ่นวาย บิดาของเด็กชายและชาวบ้านในสลัมได้รุมล้อมเอาไว้ ทุบตีจนทังปู้ยงถึงแก่ความตาย และในยามที่ทังปู้ยงใกล้ตายก็ได้แทงชายผู้หนึ่งที่เข้ามาช่วยไว้อีกด้วย

ดังนั้นความเดือดดาลของชาวบ้านในสลัมจึงพุ่งสูงขึ้นไปอีก พวกเขาปรี่เข้าไปในร้านหมั่นโถวทังจี้ และขโมยหมั่วโถวในที่แห่งนั้นไปจนหมด ทั้งยังจุดไฟเผาร้านอีกด้วย

ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด  สลัมนี้… ยากจนถึงเพียงนั้นเลยหรือ ?  

เขามิได้ถามไร้สาระ เพราะเหตุผลที่ไร้สาระคือความจน !

 เป็นสถานที่ผุพัง เป็นสถานที่ที่เลวร้ายในเมืองหลวงแห่งหนึ่ง ปีนี้มีผู้ลี้ภัยจากสองฝั่งแม่น้ำหวงเหอเพิ่มมากขึ้น เฮ้อ…พวกเขาต่างก็เป็นบุคคลที่น่าสงสาร !  

 

ตอนที่ 453 ขายหมดแล้ว

ตอนที่ 453 ขายหมดแล้ว

ชายชราผู้นี้เสียสติไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ !

บรรดาฝูงชนมิได้รู้จักจงซูลิ่งขุนนางระดับสูงซังแห่งเสมียนกลาง มีบางคนส่ายหน้า มีบางคนยิ้มรับกับความโชคร้ายนี้

เจียงหยูเหลือบมอง มิได้ ข้าต้องรีบซื้อก่อนแล้ว !

นางเหลือบมองหลิวซิวผิง แล้วหันหลังไปกล่าวกับหลี่จินโต้ว  หลงจู๊ ข้ามาก่อน !  

 แม่นางท่านต้องใคร่ครวญให้ถี่ถ้วน…  หลี่จินโต้วพยักหน้าให้กับซังหยูน้อย ๆ และหันไปมองเจียงหยู แล้วกล่าวด้วยท่าทีจริงจังเป็นอย่างมาก  ภายในสัญญาซื้อขายของพวกเราได้ระบุเอาไว้ชัดเจน การลงทุนมีความเสี่ยง กล่าวได้ว่า หากอุตสาหกรรมซีซานขาดทุน เงินของท่านก็จะหายไปได้เช่นกัน 

หลิวซิวผิงได้ยินเยี่ยงนั้น ก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า  เจ้าลองฟังดู พวกเขาเองก็ยังมิมีความมั่นใจ เจ้ายังกล้าที่จะนำเงินนี้ไปลงทุนอยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?  

เจียงหยูยังคงมิสนใจหลิวซิวผิง  ข้าเข้าใจแล้ว ข้าเชื่อคุณชายฟู่ ท่านช่วยข้าจัดการด้วยเถอะ 

หลี่จินโต้วมิได้กล่าวอันใดเพิ่ม เขานำสัญญาซื้อขายที่เขียนเสร็จแล้ว ส่งให้กับเจียงหยู  ตรงนี้ ลงนามของท่าน ตรงนี้ ประทับลายนิ้วมือของท่าน 

เจียงหยูทำตามอย่างคล่องแคล่ว หลี่จินโต้วนำตราประทับสีแดงขนาดใหญ่ออกมา และประทับไปบนหนังสือสัญญา  มีทั้งสิ้น 2 ฉบับ แม่นางต้องรักษาเอาไว้ให้ดี รายได้ทุกไตรมาสของซีซาน จะประกาศ ณ ที่นี่ จะขาดทุนหรือได้กำไร ก็จะประกาศ ณ ที่แห่งนี้ ท่านเชื่อมั่นในธนาคารซื่อทง เชื่อมั่นในอุตสาหกรรมซีซาน พวกเราขอขอบพระคุณท่านเป็นอย่างมาก พวกเรารับประกันว่าบัญชีของอุตสาหกรรมซีซานจะมิมลายหายไปอย่างแน่นอน !  

 อือ ข้าเชื่อคุณชายฟู่ !  

เจียงหยูรับหนังสือซื้อขายมาด้วยความดีใจ เก็บไว้ในอกเสื้อด้วยความระมัดระวัง และหันกลับไปมองหลิวซิวผิง  เจ้าจะหย่ากับข้าจริง ๆ ใช่หรือไม่ ?  

สีหน้าของหลิวซิวผิงในยามนี้ดูผิดหวังเป็นอย่างมาก นั่นเป็นเงิน 2,000 ตำลึงเลยนะ !

มันกลายเป็นกระดาษไปแล้วอย่างแท้จริง !

ภรรยาผู้นี้ไปพัวพันอันใดกับฟู่เสี่ยวกวนหรือไม่ ?

 วันนี้ ทำอันใดมิได้แล้ว !  

เจียงหยูกัดริมฝีปาก ก้มหน้าหลบ และกล่าวเสียงแผ่วว่า  นี่…กลับไปแล้วค่อยว่ากล่าวเถอะ 

ซังหยูที่ได้ยิน สองคนนี้จะเลิกกันเพราะเรื่องนี้เยี่ยงนั้นหรือ ?

เขาหันไปมองหลิวซิวผิง แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า  เด็กน้อยความกลัวของเจ้าทำให้ดวงตามืดบอด เจ้าทราบหรือไม่ว่าฟู่เสี่ยวกวนคือผู้ใด เจ้าทราบหรือไม่ว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องการเงินจำนวนนี้ไปเพื่อทำการอันใด 

เขาส่ายหน้า  การมิรู้มิใช่ความผิดของเจ้า ความผิดของเจ้าคือโลกแคบจนเกินไป หากเจ้าต้องการหย่ากับแม่นางผู้นี้อย่างแท้จริง เกรงว่าเจ้าจะยังมิทราบว่าเจ้าได้สูญเสียไปมากมายเพียงใด ข้าได้กล่าวไปจนหมดแล้ว พวกเจ้าไปกันเถอะ 

หลิวซิวผิงผงะ ชายชราผู้นี้ดูแล้วจะมิใช่ปุถุชนคนธรรมดา เขาจึงมิกล้าโต้แย้ง แต่เป็นเจียงหยูที่กล่าวขึ้นมาว่า  ขอบคุณท่านผู้เฒ่าเป็นอย่างมาก แต่เยี่ยงไรแล้ว…เกรงว่าช่วงเวลาเหล่านี้คงมิอาจไปต่อได้แล้วอย่างแท้จริง ซิวผิง กลับไปเจ้าเขียนหนังสือหย่ามา ข้าจะลงนามแล้วหลังจากนี้ข้ากับเจ้าพวกเราขาดกัน 

เจียงหยูกล่าวจบก็เดินออกไป แต่ทันใดนั้นก็ได้มีคนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในธนาคารซื่อทง

คาดมิถึงว่าผู้ที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดจะเป็นนักปราชญ์ใหญ่แห่งยุคชางกวนเหวินซิ่วแห่งกั๋วจื่อเจี้ยนจิ่ว และคาดมิถึงว่าที่ตามติดกันมานั้นจะเป็นคณบดีหลี่ชุนเฟิงแห่งสำนักศึกษาจี้เซี่ย ทั้งยังมีลูกศิษย์และอาจารย์ในสำนักศึกษาอีกเป็นจำนวนมากที่ตามหลังพวกเขามา

ในตอนที่ชางกวนเหวินซิ่วกำลังจะปรี่เข้าไป หลี่ชุนเฟิงกลับคว้าเขาเอาไว้  ข้าเงินเยอะกว่าเจ้า ให้ข้าก่อน !  

 เจ้ามันหน้ามิอาย ยังต้องมาเอ่ยว่ามีเงินจำนวนเท่าใดอีกเยี่ยงนั้นหรือ อ่า…ขุนนางระดับสูงซังก็อยู่เยี่ยงนั้นหรือ พอดีเลย !  

ท่ามกลางสายตาของหลิวซิวผิงและบรรดาฝูงชน คนกลุ่มนี้ได้ไปอัดรวมกันที่หน้าโต๊ะโดยที่มิเอ่ยถามแม้แต่ประโยคเดียว  ข้าต้องการ 2,000 หุ้น !  

 ข้าต้องการ 3,000 หุ้น !  

 ข้าต้องการ… 500 500 หุ้น !  

หม่าซิงคงลูบกระเป๋าเงินของตนเอง ให้ตายเถอะมีเพียง 200 ตำลึงเท่านั้น ทั้งยังเป็นค่าเล่าเรียนที่เตรียมเอาไว้สำหรับปีหน้า จะทำเยี่ยงไรดี ?

เขากัดฟันอย่างเข่นเขี้ยว  หลงจู๊ ข้าเอา 100 หุ้น !  

ซือหม่าหนานหัวเราะร่า  เจ้าช่างเด็ดเดี่ยวเสียจริง เริ่มดื่มลมเสียตั้งแต่วันนี้เลยใช่หรือไม่ ? หลงจู๊ ขอให้ข้า 800 หุ้น !  

เกิดความวุ่นวายขึ้นมาทันที หลี่จินโต้วรีบสำทับลูกศิษย์ทั้งห้าที่เขาพามาให้ตรวจสอบโดยละเอียด คนผู้นั้นได้ปล่อยให้หลิวซิวผิงและคนอื่น ๆ จ้องมองอยู่อย่างโง่งม…

 ฟู่เสี่ยวกวนมีสถานะสูงที่สุดในหมู่นักวรรณกรรม นี่ใช่หน้าม้าที่เขาจ้างมาหรือไม่ ?  

 ข้ามองว่ามิเหมือน มิสามารถรอได้อีกต่อไปแล้ว หากรอต่อไปน่าจะไม่เหลือแล้วอย่างแท้จริง โชคดีที่ข้านำมา 50 ตำลึง ซื้อไปทั้งหมดแล้ว 25 หุ้น !  

 ข้าลงเพียง 2 ตำลึงเท่านั้น ซื้อเพียง 1 หุ้นเพื่อร่วมความสนุกด้วยเท่านั้น 

……

ตระกูลเยี่ยน เยี่ยนเป่ยซีมองหนังสือโครงการระดมทุนฉบับนี้ในมือด้วยคิ้วที่ขมวดนิ่ว

ฟู่เสี่ยวกวนต้องการก่อเรื่องอันใดอีกกัน ?

 ซือเต้าเอ๋ย เจ้าคิด…ว่าของสิ่งนี้จะสามารถรวบรวมเงินได้จริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ท่านพ่อ เกรงว่าจะสามารถทำได้อย่างแท้จริง 

 …ฮ่าวชูเอ๋ย พวกเราออกไปซื้อบ้างดีหรือไม่ ?  

 นี่ ท่านพ่อ อยากจะรอดูต่อไปหรือไม่ ?  

 เฮ้อ เยี่ยงนั้นก็ดูต่อไปก่อนเถิด 

ณ วังเตี๋ยอี๋

 ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันอยากจะใช้เงินในท้องพระคลังเพคะ 

ฮ่องเต้ตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน  ซื้อสิ่งที่เจ้าเด็กนั่นเรียกว่าหุ้นน่ะหรือ ?  

 เพคะ  ฮองเฮาซั่งพยักหน้า  เงินในท้องพระคลังยังมีเหลืออยู่สองล้านกว่าตำลึง หม่อมฉันคิดเช่นนี้ ใช้เงิน 1,000,000 ตำลึงเพื่อซื้อ…หุ้น ฝ่าบาทคิดเห็นว่าเยี่ยงไรบ้างเพคะ ?  

ฮ่องเต้ตกตะลึงขึ้นมาอีกครา  เยี่ยงนั้นก็จะเหลือเพียง 1,800,000 ตำลึงมิใช่หรือ ข้าวางแผนจะเติมคลังของแคว้น การสูญเสียจากกองทัพชายแดนตะวันออกมากมายจนเกินไป คณะทูตเจรจาสันติจากแคว้นอี๋ก็ได้เดินทางมาล่าช้าไปกว่ากำหนด และจะมาถึงเมืองหลวงในอีกสองวันนี้ แคว้นอี๋จะสามารถชดเชยให้ได้เท่าใดก็ยังมิอาจทราบได้ แต่มิว่าเยี่ยงไรกองทัพชายแดนตะวันออกและชายแดนเหนือก็ต้องเกณฑ์ทหาร เสนาบดีต่งกล่าวว่าภาษีรายได้ปีนี้ได้มาทั้งสิ้น 39,000,000 ตำลึงเท่านั้น แต่เมื่อตัดค่าใช้จ่ายที่จำเป็น จะคงเหลือประมาณ 10,000,000 ตำลึงเท่านั้น… 

 ตอนนี้ยังมิทราบว่าจะเกิดภัยพิบัติหิมะที่ชายแดนเหนืออีกหรือไม่ ลัทธิจันทราทางตะวันตกเฉียงใต้ก็เป็นเรื่องใหญ่ในใจข้า สถานที่ที่ต้องใช้เงินนั้น มีมากจนมากเกินไปแล้ว !  

จิตใจของข้าขมขื่นยิ่ง สิ่งที่เรียกว่าหุ้นนั้นถึงแม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะอธิบายไว้อย่างชัดเจนแล้ว แต่ถ้าหากขาดทุนเล่า ?

ฮ่องเต้สับสนเป็นอย่างมาก ฮองเฮาซั่งกลับกล่าวขำ ๆ ว่า  เป็นเพราะมีสถานที่ที่จะใช้เงินนั้นมีมากจนเกินไป หม่อมฉันถึงได้ครุ่นคิดหาไก่ทองที่จะสามารถผลิตเงินได้มากพอ ทุกอย่างที่ฟู่เสี่ยวกวนทำ จนถึงวันนี้ยังมิมีธุรกิจใดที่ขาดทุนเลยนะเพคะ

กล่าวได้อีกว่า หนังสือโครงการของเขาก็ได้อธิบายแล้ว การระดมทุนในอุตสาหกรรมของเขาก็เพื่อพลิกโฉมสิบมณฑลนำร่องในปีหน้า ดังนั้นหม่อมฉันจึงคิดว่าควรจะรอชมผลกำไรครานี้ก่อน 

ฮ่องเต้นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน และขบกรามแน่น  ดี ! ข้าขอลงเดิมพันกับฟู่เสี่ยวกวนสักตา !  

 เยี่ยงนั้นหม่อมฉันจะไปเดี๋ยวนี้เลยเพคะ ขันทีเหนียนกล่าวว่าจำนวนคนที่ธนาคารซื่อทงมีอยู่มากมายนัก มิสามารถรอได้แล้วมิเยี่ยงนั้นคงถูกขายจนหมดแล้วเป็นแน่ 

ฮองเฮาซั่งไปยังธนาคารซื่อทงด้วยตนเอง และซื้อไปทั้งสิ้น 750,000 หุ้น !

ในชั่วพริบตาข่าวคราวนี้ก็คล้ายกับปีกอันยาวเหยียดที่แผ่ไปทั่วเมืองจินหลิง

ผู้คนจำนวนมากต่างก็นั่งมิติดที่กันแล้ว

เยี่ยนเป่ยซีก็ได้ส่งบุตรชายเยี่ยนฮ่าวชูของเขาออกไป

อาจารย์ฉินปิ่งจงก็ได้ให้หลานสาวฉินรั่วเสวียของตนนำเงินจำนวน 5,000 ตำลึงนี้ไปยังธนาคารซื่อทง

ตระกูลเซวี๋ยและตระกูลสีในเมืองหลวง บรรดาญาติของเสนาบดีต่ง สวี่หวยซู่แห่งจวนสวี่รวมไปถึงตระกูลใหญ่ ๆ และพ่อค้าทั้งหลาย ต่างก็หลั่งไหลเข้าไปในธนาคารซื่อทงในเวลาเดียวกัน

มิมีผู้ใดเอ่ยถามขึ้นมาอีกว่าหุ้นนี้คือสิ่งใด

และมิมีผู้ใดลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว

ฉินรั่วเสวียรับหนังสือค้าขายมาอย่างมีความสุข เดิมทีเยี่ยนฮ่าวชูคิดจะซื้อ 10,000 ตำลึง แต่ผลสุดท้ายกลับเหลือเพียง 6,000 ตำลึงหรือ 3,000 หุ้นเท่านั้น

ทันใดนั้นเหล่าคนที่เหลือต่างก็ตีอกชกหัว ให้ตายเถอะ ถูกขายไปจนหมดแล้ว !

หุ้นจำนวน 4,000,000 หุ้นราคา 8,000,000 ตำลึงที่ธนาคารซื่อทงวางจำหน่าย ในยามเซินก็ได้ถูกขายไปจนหมดแล้ว !

ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิทราบถึงเรื่องนี้ เขาในยามนี้ได้อยู่ในกรมพิธีการ และกำลังจ้องตากันกับสวี่หวยซู่

 

ตอนที่ 452 เลือกซื้อ

ในวันนั้นฟู่เสี่ยวกวนได้อธิบายเรื่องของหุ้นและข้อมูลอื่น ๆ เกี่ยวกับหุ้นอยู่ถึง 3 ชั่วยาม !

องค์หญิงใหญ่ได้ฝ่าฝืนกฎราชวังและได้ร่วมรับประทานอาหารกลางวัน ณ จวนฟู่

ในตอนเย็น นางก็ได้เดินทางจากไป นางมิเพียงแต่ทิ้งเงินเอาไว้จำนวน 1,000,000 ตำลึงเพื่อซื้อหุ้นจำนวน 500,000 หุ้นของหยูเวิ่นเต้าเอาไว้เท่านั้น นางเองก็ได้ลงทุนซื้อหุ้น 500,000 หุ้นด้วยเช่นกัน

 นี่คือเงินของข้าทั้งหมดที่มี เงินเลี้ยงตนเองในยามชราคงต้องพึ่งเจ้าแล้ว หากขาดทุนละก็… 

ฟู่เสี่ยวกวนยังจำได้ถึงประโยคนี้และแววตาขององค์หญิงใหญ่ ให้ตายสิ ในหนังสือสัญญาการซื้อหุ้นก็เขียนไว้ชัดเจนแล้วว่าการลงทุนนี้มีความเสี่ยง มิได้อ่านเยี่ยงนั้นหรือ ?

หลังจากนั้น ธนาคารซื่อทงก็ได้เปิดทำการขึ้นที่ชั้นหนึ่งของอาคารในตรอกชิงหลวน หลงจู๊ใหญ่คือหลี่จินโต้ว ซึ่งย้ายมาจากธนาคารเป่าหลง ในวันเปิดกิจการได้เขียนป้ายเชิญชวนด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่ อีกทั้งข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการซื้อหุ้น

เนื้อหาเขียนว่า ธนาคารซื่อทงนี้นำเงินไปลงทุนอุตสาหกรรมที่ซีซาน ต้องการเงินจำนวน 8,000,000 ตำลึง โดยมีราคาหุ้นละ 2 ตำลึง เชิญชวนทุกท่านเข้ามาร่วมลงทุน อีกทั้งยังได้อธิบายถึงผลกำไรและความเสี่ยงต่าง ๆ เป็นต้น

ในแผนการของฟู่เสี่ยวกวน เขาตั้งใจว่าจะจดทะเบียนหุ้นในปีหน้า ธนาคารซื่อทงทำหน้าที่เป็นฐานงานสำหรับสถาบันการค้า เพื่อระดมทุน ขยายขอบเขตการผลิตอีกทั้งพัฒนาศักยภาพ เพื่อให้ธนาคารซื่อทงจดทะเบียนและเปิดหุ้นอื่น ๆ เป็นต้น

เรื่องแปลกใหม่เช่นนี้ เปิดกิจการวันแรกก็สามารถดึงดูดผู้คนได้มิน้อย แต่นอกจากหนิงหยู่ชุน ฮั่วหวยจิ่นและองค์หญิงสามแล้ว มีเพียงมิกี่คนที่กล้าลงทุนซื้อหุ้นจริง ๆ

 ธนาคารซื่อทง ? ไม่สิ นี่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจับเสือมือเปล่าอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ?  

 เจ้ามิเห็นเขาเขียนไว้ว่ามีอุตสาหกรรมซีซานเป็นสิ่งค้ำประกันหรือ ?  

 เขาเขียนว่าอุตสาหกรรมซีซานนั้นมีมูลค่ามากถึง 50,000,000 ตำลึง… ผู้ใดกันที่ประเมินราคานี้ ? อุตสาหกรรมซีซานมิได้มีเหมืองทองเสียหน่อย !  

 แต่อุตสาหกรรมซีซานนั้นยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง เจ้ามิเห็นหรือว่าสบู่ น้ำหอม และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่หอเยียนจือก็เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมของซีซาน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าใดก็ล้วนมีครบถ้วน 

 ในเมื่อเจ้าเห็นดีงามเช่นนี้ เหตุใดจึงมิซื้อหุ้นเล่า ?  

 ข้ารอดูก่อน 

 ข้าเองก็เช่นกัน จะว่าไปเงินจำนวน 2 ตำลึงก็มิได้มากนัก แต่ข้ากว่าจะเก็บได้ก็มิง่ายเลย 

 ไม่สิ พวกเจ้าเข้าใจเรื่องหุ้นเยี่ยงหรือ ? เจ้าเอาเงินจริง ๆ ยื่นไป แต่แลกมาได้เพียงกระดาษใบเดียว !  

 …ข้าจะรอทำความเข้าใจอีกสักหน่อยก่อน จากความสามารถของฟู่เสี่ยวกวนนั้น ข้าคิดว่าเขาน่าจะทำได้อย่างแน่นอน 

บรรดาร้านค้าในเมืองหลวงต่างก็พากันมารวมตัวที่ธนาคารซื่อทง ประโยชน์ของสถานที่กว้างก็คือโดดเด่น

ที่ธนาคารซื่อทงนี้กว้างกว่าธนาคารเป่าหลงหลายเท่า ด้านในจัดการวางโต๊ะเก้าอี้ตามที่ฟู่เสี่ยวกวนกำชับ มีโคมไฟแขวนอยู่จำนวนหนึ่งอีกด้วย ที่กำแพงก็มีการตกแต่งไว้อย่างสวยงาม

เนื่องจากกรมการค้ายังก่อสร้างมิแล้วเสร็จ หลี่ฉายจึงถูกวางตัวมาไว้ที่ธนาคารซื่อทง และรับผิดชอบตอบปัญหาแก่ผู้ที่มีความสนใจ

เพียงแค่ช่วงเช้าเสียงของเขาก็แทบจะแหบแห้งแล้ว เมื่อถึงตอนกลางวัน…ให้ตายเถอะ นี่เขาทำไปโดยไร้ประโยชน์อย่างแท้จริง !

หุ้นละ 2 ตำลึง หักล้างจากภายในสองล้านกว่าหุ้นแล้ว ในวันนี้ขายได้เพียง 100 หุ้นเท่านั้น !

นี่มันต่างกับที่เขาคิดไว้เมื่อคืนมากยิ่งนัก !

เดิมทีคิดว่าเจ้าสิ่งนี้หากเพียงได้ทำการโฆษณา ก็จะได้รับความนิยมในการซื้อ เเต่บัดนี้มองดูสถานการณ์แล้วมิค่อยดีเท่าใดนัก !

เขาเพิ่งจะได้นั่งลงดื่มน้ำ ก็ได้พบว่ามีแม่นางผู้หนึ่งเดินตรงเข้ามา

นางคือเจียงหยูจากร้านอู่เว่ยจายนั่นเอง นางได้ยินที่ท้องถนนเล่ากันว่าคุณชายฟู่เปิดธนาคารซื่อทง และกำลังขายสิ่งที่เรียกว่าหุ้น คือการใช้เงินของตนไปแลกกับกระดาษใบหนึ่ง !

สิ่งนี้น่าสนใจยิ่ง

เจียงหยูเชื่อว่านั่นมิใช่กระดาษธรรมดาเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงมิได้สนใจคำคัดค้านของสามีหลิวซิวผิง และนำเงินเก็บหลายปีมานี้ที่เดิมทีตั้งใจจะนำไปซื้อบ้านหลังหนึ่งในเมืองจินหลิงจำนวน 2,000 ตำลึงมายังธนาคารซื่อทงแห่งนี้

นางเดินถือถุงเงินแทรกตัวเข้าไปท่ามกลางผู้คน ในใจนางคิดว่าสิ่งที่คุณชายฟู่ทำนั้นช่างได้รับความนิยมยิ่ง ผู้คนมากมายเช่นนี้ การค้านี่คงจะได้รับผลดีอย่างแน่นอน ป้ายด้านหน้าเขียนไว้ว่าต้องการเงินลงทุนจำนวน 8,000,000 ตำลึง ทำให้เจียงหยูตกตะลึงเป็นอย่างมาก แต่เมื่อนึกได้ว่าคุณชายฟู่เป็นคนที่ทำการใหญ่ เงินจำนวน 8,000,000 ตำลึงสำหรับเขาแล้วก็มิได้มากจนเกินไปนัก

อย่าเพิ่งขายจนหมดล่ะ !

หลิวซิวผิงเดินตามหลังเจียงหยูมาด้วยจิตใจที่ร้อนรน

ฟู่เสี่ยวกวนมีบุญคุณแก่พวกเขา เขานั้นรู้ดี แต่วิธีการทดแทนบุญคุณมีมากมาย มิจำเป็นต้องทำเยี่ยงนี้ !

เงิน 2,000 ตำลึงเชียว !

อีกทั้งเสียงวิจารเรื่องหุ้นนี้ก็มิดีเท่าใดนัก คิดไปแล้วก็คงเป็นเช่นนั้น พวกเขาซื้อหุ้นเพื่อลงทุนอุตสาหกรรมของซีซาน กำไรที่ได้จากอุตสาหกรรมซีซานแต่ละไตรมาสจะได้รับเงินปันผลตามสัดส่วนการถือหุ้น จะแบ่งได้เท่าไหร่กันเชียว ? หากว่าขาดทุนเล่า ? นั่นหมายความว่าทุนที่ลงไปจะสูญหายไปเยี่ยงหรือ ?

 หยูเอ๋อร์ พวกเราลองดูไปก่อนดีหรือไม่ ?  

 อย่าเชียว ช้ากว่านี้อาจหมดก่อนก็เป็นได้ 

 ที่นี่มีคนมากมายก็จริง แต่เจ้าว่ามีกี่คนที่ซื้อหุ้นกัน ?  

 หลิวซิวผิง ข้าจะบอกเจ้าให้ว่า รอให้พวกคนเหล่านี้เข้าใจในการซื้อหุ้น เมื่อนั้นเจ้าอย่าได้หวังว่าจะมีหุ้นให้ซื้อ !  

หลี่ฉายได้ยินดังนั้นก็คิดในใจว่า อ่า…แม่นางผู้นี้มองอนาคตได้ไกลยิ่ง

ดังนั้นเขาจึงเดินหน้าเข้าไปยิ้มทักทายแล้วแนะนำตัว  ข้านั้นคือรองหัวหน้ากรมการเงินนามว่าหลี่ฉาย ได้รับคำสั่งมอบหมายหน้าที่จากท่านฟู่เสี่ยวกวน ขออนุญาตแนะนำสิ่งที่เรียกว่าหุ้น ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งแปลกใหม่ แม่นาง…นี่ ๆ ! แม่นางข้ายังแนะนำมิจบเลย !  

เจียงหยูเหล่ตามองมาหลี่ฉาย เจ้าคนหน้าเหี่ยวนี่ รอให้เจ้าอธิบายจบข้าคงมิได้ซื้อกันพอดี !

ดังนั้นนางจึงเดินตรงเข้าไปที่หน้าโต๊ะ แล้วนำเงิน 2,000 ตำลึงในห่อผ้าออกมายื่นให้หลงจู๊ชราหลี่จินโต้ว  ข้าซื้อ 1,000 หุ้น !  

หลิวซิวผิงกระทืบเท้าปัง ชีวิตต่อไปจะเป็นเยี่ยงไรกัน !

 เจียงหยู !  

หลี่จินโต้วหัวเราะหึ ๆ แล้วยื่นมือออกไปรับเงิน เขากำลังเขียนหนังสือสัญญาซื้อขายหุ้นอย่างตั้งใจ เมื่อเงยหน้าขึ้น…

เจียงหยูก็ขมวดคิ้วแล้วหันหลังกลับไป  อย่าได้เอ่ยเสียงดังเช่นนี้ 

 เจ้า … ถ้าเจ้ากล้าซื้อ ข้า…ข้าจะหย่ากับเจ้า !  

เจียงหยูตกตะลึงไปชั่วขณะ  เจ้าจะหย่ากับข้าเพียงเพราะเรื่องเท่านี้เยี่ยงนั้นหรือ ?  

 เสี่ยวหยู นี่ นี่คือเงินที่เก็บหอมรอมริบมาถึง 5 ปี เจ้ามิคิดบ้างหรือว่าใต้หล้านี้จะมีเรื่องดีถึงเพียงนี้เยี่ยงนั้นหรือ ? ในเมื่อเดิมทีอุตสาหกรรมซีซานก็มีความสามารถอยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องใช้วิธีเช่นนี้มาหลอกเอาเงินกัน ?

ข้าคิดว่าอุตสาหกรรมซีซานใกล้จะล้มละลายแล้ว อีกอย่างต่อให้พวกเขามีกำไรจริง แต่สุดท้ายเงินที่ได้มาจะปันผลเท่าใด พวกเขาก็เป็นผู้ตัดสินใจมิใช่หรือ ?

เงินทองนั้นอยู่ในมือผู้อื่นจะอุ่นใจเท่าอยู่ในมือของตนเองหรือ ?  

หลิวซิวผิงระบายความในใจออกมา แต่มิได้ทำให้เจียงหยูหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย กลับทำให้ผู้คนรอบข้างหวั่นไหวแทน

 นั่นสินะ พวกเจ้ามัวแต่คิดถึงผลกำไรที่จะได้รับ แต่อุตสาหกรรมซีซานนั้นต้องการเงินทุนของพวกเจ้า 

 ข้านั้นนับถือความสามารถของคุณชายฟู่ยิ่ง แต่การที่เขาทำเยี่ยงนี้…  คนผู้นั้นส่ายหัวเเล้วเดินจากไป เมื่อเงยหน้าก็พบเข้ากับชายผู้หนึ่ง

เขาก็คือซังหยูนั่นเอง เมื่อเลิกงานแล้วได้ยินว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังทำสิ่งนี้อยู่ จึงได้เดินทางมาดู

มองดูแล้วมิได้รับความนิยมเท่าใดนัก ข้าจะสนับสนุนเขาเอง

ซังหยูส่ายหัวแล้วเดินตรงเข้ามาที่โต๊ะ  หลงจู๊หลี่ ข้าจะซื้อ 500 หุ้น !  

 

ตอนที่ 451 ข้าจะสอนเจ้าว่าจะจัดการกับธนาคารนี้เยี่ยงไร

หลี่จินโต้วสาบานเลยว่า เขาทำงานอยู่ที่ธนาคารมาสี่สิบกว่าปี นี่เป็นคราแรกที่ได้ยินคำว่าหุ้น

เขาจ้องฟู่เสี่ยวกวนอย่างตกตะลึง หลี่ฉายเองก็มองบิดาของเขาอย่างตกตะลึงเช่นกัน

ฟู่เสี่ยวกวนกลับกล่าวว่า  พวกเจ้ารอก่อนเถิด 

เขาเดินออกไปแล้ว หลี่ฉายจึงได้เอ่ยถามขึ้นมาว่า  ท่านพ่อหุ้นคือสิ่งใดกัน ?  

 พ่อเองก็มิทราบ !  

หลี่จินโต้วเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวออกมาเสียงแผ่วว่า  เดิมทีพ่อกังวลใจว่าได้ทำอันใดให้คุณชายฟู่ขุ่นเคืองใจหรือไม่ แต่จากที่เห็นในวันนี้กลับมิใช่ นี่ถือเป็นเรื่องโชคดี ตอนนี้อนาคตและชีวิตของตระกูลหลี่ผูกมัดอยู่กับคุณชายฟู่ ยามอยู่ในราชสำนักเจ้าจงระมัดระวังไว้ให้ดี คุณชายฟู่คือผู้ที่ทำการใหญ่ เจ้าอย่าได้ทำงานที่ได้รับมาล้มเหลวเป็นอันขาด !  

สองพ่อลูกนั่งรออยู่ในศาลาชิงซินอยู่ครู่หนึ่ง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้หยิบกระดาษและดินสอถ่านเดินเข้ามา และมีภรรยาทั้งสามเดินตามอยู่ด้านหลัง

หลี่จินโต้วและบุตรรีบลุกขึ้นยืนโค้งคำนับทันที ฟู่เสี่ยวกวนกลับหัวเราะน้อย ๆ  ในจวนข้ามิได้มีข้อบังคับมากมาย ภายภาคหน้าพวกเจ้าจะได้นั่งเล่นในจวนอยู่บ่อย ๆ ดังนั้นจงแก้ไขความเคยชินเสียหน่อยเถิด 

หลี่จินโต้วย่อมตกปากรับคำไปโดยปริยาย แต่ก็เพียงแค่คำกล่าวเท่านั้น ตัวตนของฮูหยินทั้งสามสูงศักดิ์ถึงเพียงนั้น เขาย่อมมิกล้าที่จะมองข้ามไปแม้แต่ครึ่งก้าว

มีเพียงหลี่ฉายที่เหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนอยู่หลายครา และมีความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวนเพิ่มขึ้นมา

บ่าวรับใช้นายหนึ่งเดินเข้ามาและได้ส่งกระดานขาว 1 แผ่นมาให้ ฟู่เสี่ยวกวนส่งสมุดในมือให้แก่หลี่จินโต้ว  นี่คือคู่มืออธิบายเกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าหุ้นโดยละเอียด พวกเจ้าลองอ่านก่อนเถิด ประเดี๋ยวข้าจะอธิบายโดยละเอียดให้อีกครา

ของสิ่งนี้สำคัญเป็นอย่างมาก มิใช่เพียงท่านหลี่ที่ต้องทำความเข้าใจให้ชัดเจน ยังมีเจ้าด้วย หลี่ฉาย เจ้าต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งนี้ เพราะในอนาคต มีความเป็นไปได้ที่ของสิ่งนี้จะถูกผลักดันไปในทุกแคว้น เมื่อถึงเวลานั้นคงจะต้องให้เจ้ารับผิดชอบด้วยการไปชี้แจงแถลงไขให้กระจ่าง 

 ข้าน้อยจะจำไว้ขอรับ !  

ดังนั้นสองพ่อลูกจึงสุมหัวกันทันที และอ่านกันอย่างถี่ถ้วน หลังจากผ่านไปได้ครึ่งชั่วยาม ยังมิทันที่พวกเขาจะได้อ่านจบ แต่แล้วคนเฝ้าประตูก็ได้เข้ามารายงานว่า องค์หญิงใหญ่เสด็จมา !

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน ระหว่างเขาและองค์หญิงใหญ่ได้พบหน้ากันเพียงมิกี่คราเท่านั้น และมิเคยได้สนทนากันเป็นกิจจะลักษณะ พระนางมาที่นี่เพื่ออันใดกัน ?

แน่นอนว่ามิอาจทำเฉยเมยได้ ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงพาภรรยาทั้งสามเดินออกมา แต่ก็มิได้บอกให้หลี่จินโต้วและบุตรชายหลบไป

องค์หญิงใหญ่หยูซูหรงลงมาจากรถม้า ยืนอยู่หน้าประตูจวนฟู่และเงยหน้าขึ้นไปมองแผ่นป้ายขนาดใหญ่ มุมปากยกน้อย ๆ รอยยิ้มจึงได้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้า

จำได้ว่าเมื่อปีที่แล้วต่งชูหลานมารบเร้าตนเองเพื่อซื้อจวนชินอ๋องหลังนี้ หลังจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ขอแผ่นป้ายจากฝ่าบาท และในตอนนี้จวนชินอ๋องก็ได้ดูมีคุณค่าขึ้นมาแล้ว จนเกรงว่าจะได้ขึ้นเป็นจวนแห่งแคว้น

มิต้องกล่าวถึงตัวตนของเขา เพียงอาศัยความสามารถของเขาเพียงอย่างเดียว ก็สามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นให้แก่ราชวงศ์หยูได้แล้ว มิแปลกใจที่ฝ่าบาทและฮองเฮาจะชื่นชอบเขา จนถึงขั้นที่ฮองเฮายอมมอบหลงจู๊ใหญ่คนสำคัญของธนาคารเป่าหลงให้แก่เขา

ในวันนี้ที่ว่างและมิมีอันใดทำ ประการแรกเพราะยังมิเคยสนทนากับฟู่เสี่ยวกวน ประการที่สองนางมาเพราะอยากดูว่าธนาคารซื่อทงของฟู่เสี่ยวกวนนั้นสร้างขึ้นมาเพื่ออันใด แน่นอนว่ายังมีเรื่องที่สามคือได้รับคำไหว้วานจากองค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้า… หยูเวิ่นเต้ากล่าวว่ามีเรื่องรีบร้อนจำต้องไปจากเมืองหลวง ในมือรวบรวมเงินได้ 1,000,000 ตำลึง กล่าวไว้ดิบดีว่าต้องลงทุนกับฟู่เสี่ยวกวน ดังนั้นนางเองก็จำเป็นต้องมาดูการลงทุนนี้ของหยูเวิ่นเต้า ว่าท้ายที่สุดแล้วจะคุ้มค่าหรือไม่

นางเดินเข้าไปจวนฟู่ มองไปทั่วทิศภายในเรือนใหญ่แห่งนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นนางเองที่ขายสถานที่แห่งนี้ออกไป แต่นางกลับมิเคยมาที่นี่เลยสักครา เมื่อได้สำรวจในตอนนี้ ถึงได้รู้สึกว่าขาดทุนเสียแล้วที่ขายไปเพียง 400,000 ตำลึง… ต่งชูหลานช่างหัวดีเสียจริง

ในยามที่นางกำลังมองไปรอบ ๆ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้พาภรรยาทั้งสามมาถึงด้านหน้าจวน

 หลานเขยฟู่เสี่ยวกวน คารวะท่านป้า !  

ฟู่เสี่ยวกวนโค้งคำนับด้วยท่าทางมีความสุข องค์หญิงใหญ่จึงแสยะยิ้มขึ้นมา  เจ้าทราบเยี่ยงนั้นหรือว่าเจ้าคือหลานเขยของข้า ข้ายังคิดไปว่าเจ้าได้แต่งงานไปแล้ว เยี่ยงไรเสียก็น่าจะมาที่จวนองค์หญิงเพื่อทักทายกับข้าบ้าง แต่ข้าก็รอแล้วรอเล่า จนรอมิไหวแล้ว ดังนั้นเจ้ารู้ถึงโทษหรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนผงะ และรีบกล่าวว่า  ท่านป้าโปรดประทานอภัย เรื่องนี้หาใช่ความผิดของกระหม่อมไม่ มาเถิด เชิญท่านป้าเข้าไปด้านใน กระหม่อมจะชงชาชั้นดีขออภัยท่านป้า 

องค์หญิงใหญ่สาวเท้าเดินเข้าไปด้านใน และกล่าวว่า  หากเจ้าต้องการขออภัยด้วยใจจริง มิสู้นำของสิ่งนั้นที่เจ้าติดตั้งให้กับดาบเทวะ… มาขายให้กับข้ามากขึ้นอีกสักเล็กน้อย ฝ่าบาทกล่าวว่าอาวุธปืนนั้นมีอานุภาพร้ายกาจมากยิ่งนัก หากติดตั้งของสิ่งนี้ที่กองทัพชายแดนของราชวงศ์หยู คิดว่าคงลดจำนวนผู้เสียชีวิตไปได้จำนวนมาก เจ้ามีความคิดเห็นว่าเยี่ยงไรบ้าง ?  

เกี่ยวกับเรื่องนี้ หยูเวิ่นหวินก็เคยเอ่ยขึ้นมาตอนที่อยู่บนเตียงเช่นกัน ฟู่เสี่ยวกวนย่อมรับปากแต่โดยดี เพราะปืนคาบศิลาในปัจจุบันนี้ก็ได้เริ่มการค้นคว้ารุ่นที่สองแล้ว พวกเขาต่างก็คุ้นชินกับกลวิธีของรุ่นที่หนึ่งแล้ว ของสิ่งนี้ต้องแปรเปลี่ยนเป็นเงินจึงจะมีประโยชน์

ดังนั้นเขาจึงหัวเราะร่า  ข้าก็คือพ่อค้าผู้หนึ่ง ตราบใดเท่าที่ตกลงราคากันได้ ก็ย่อมเป็นไปได้อย่างแน่นอน 

เขาพาองค์หญิงใหญ่เดินไปทางหลีเฉินซวน เสียวฉีได้นำชุดน้ำชามาให้ ฟู่เสี่ยวกวนต้มชาอยู่หนึ่งกา องค์หญิงใหญ่จึงได้เอ่ยขึ้นมาอย่างช้า ๆ ว่า  เจ้าลองกล่าวมาสิว่าของสิ่งนั้นขายกี่ตำลึงกัน ?  

ฟู่เสี่ยวกวนใจฝ่อไปเล็กน้อย แต่ใบหน้าได้เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา  เมื่ออยู่ต่อหน้าท่านป้า ข้าจะกล้ากล่าวราคาสุ่มสี่สุ่มห้าได้เยี่ยงไรกัน ต้นทุนของปืนไฟอยู่ที่ 500 ตำลึง ข้ามิกล้าหาเงินจากท่านป้าหรอก ถือว่าเป็นเงินทุนก็แล้วกัน ท่านป้าต้องการเท่าใดหรือพ่ะย่ะค่ะ 

พวกหยูเวิ่นหวินต่างก็ตื่นตกใจ คนผู้นี้ ช่างกล้าที่จะกล่าวเสียจริง !

การควบคุมราคาต้นทุนของปืนคาบศิลาในปัจจุบันนี้อยู่ที่ประมาณ 30 ตำลึง ลูกกระสุนอยู่ที่ 1 ตำลึงต่อ 10 ลูก นี่เขากำลังจะฆ่าหมูเยี่ยงนั้นหรือ !

องค์หญิงใหญ่มองฟู่เสี่ยวกวนอย่างตกตะลึง และกล่าวเสียงเรียบว่า  ฝ่าบาทมีแผนจะติดตั้งให้กองทัพชายแดนเหนือเป็นที่แรก เยี่ยงไรเสียทางชายแดนตะวันออกแคว้นอี๋ก็ได้พิการไปแล้ว ชายแดนใต้ก็ไร้สงคราม ชายแดนตะวันตกก็ยังเงียบสงบ ดังนั้นเจ้าจงส่งไปทางเมืองซินเฉิง 100,000 ชิ้นเสียก่อน เพื่อส่งมอบให้กับเผิงเฉิงอู่ 

ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชา และจ้องมององค์หญิงใหญ่ นี่คิดอยากจะตบหมาป่าสีขาวด้วยมือเปล่าใช่หรือไม่ ?

เขาหัวเราะขึ้นมา  ท่านป้าเชิญดื่มชาก่อน ข้าขอกล่าวกับท่านป้าอย่างมิปิดบัง ของสิ่งนี้หนึ่งวันสามารถผลิตได้เพียง 100 ชิ้นเท่านั้น 100,000 ชิ้นต้องใช้เวลานานถึง 3 ปี ข้าว่าลืมเรื่องนี้ไปเสียจะดีกว่า 

องค์หญิงใหญ่มิได้ต่อความยาวสาวความยืด นางยกชาขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก ลอบคิดว่าเรื่องนี้ฝ่าบาทและฮองเฮาซั่งย่อมมาหาเจ้าในภายหลังเป็นแน่

ดังนั้นนางจึงเอ่ยถามว่า  ในตอนนี้เจ้าต้องผลักดันอุตสาหกรรมซีซานไปยังสามมณฑลที่นำร่องใช่หรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า  มีแผนนี้อยู่ เพียงแค่คิดประมาณการไว้เท่านั้น ติดปัญหาที่เงินทุน ดังนั้นยังคงคิดหาหนทางอยู่พ่ะย่ะค่ะ !  

 ขาดเงินอีกเท่าใด ?  

 หากมีทั้งสามมณฑลนี้ก็สามารถจัดการได้ง่ายขึ้น แต่หลังจากนี้ไปอีกหนึ่งปี ฝ่าบาทกลับต้องการเพิ่มอีกสิบกว่ามณฑล ดังนั้นปัญหาหลัก ๆ จึงอยู่ที่ตรงนี้ ชูหลานได้คำนวณออกมาคร่าว ๆ แล้ว ยังขาดอยู่อีกราว 6,000,000 ตำลึงพ่ะย่ะค่ะ 

องค์หญิงใหญ่ตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน เมื่อคิดเช่นนี้ มิใช่ว่าเขาต้องลงทุนนับหลายสิบล้านหรอกหรือ ?

 เจ้ามิกลัวว่าเศรษฐีที่ดินที่อยู่เบื้องหลังจะขาดทุนเลยเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะน้อย ๆ  ท่านป้าพ่ะย่ะค่ะ ท่านย่อมมีเงินใช้ส่วนพระองค์อยู่แล้ว หากลงทุนกับข้าในตอนนี้ ข้ารับประกันว่าจะทำให้ท่านได้รับเงินมามากมายอย่างแน่นอน 

 ดังนั้นประโยชน์ของธนาคารซื่อทงก็เพื่อใช้สบทบเงินเยี่ยงนั้นหรือ ?   องค์หญิงใหญ่มองเขาอย่างมีเลศนัย

ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็เปลี่ยนมุมมองที่มีต่อองค์หญิงใหญ่ทันพลัน  ท่านป้าอยากจะเข้าใจสักหน่อยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?  

 แน่นอน 

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน  ท่านป้าโปรดตามข้ามา !  

 

ตอนที่ 450 หลงจู๊ใหญ่

หลี่ฉายเพิ่งจะเคยเห็นฟู่เสี่ยวกวนโมโหถึงเพียงนี้ ในใจเขารู้สึกเป็นกังวลยิ่ง เขาติดตามฟู่เสี่ยวกวนเดินทางออกมาจากพระราชวัง แล้วขึ้นรถม้าตรงไปยังจวนฟู่

ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ยิ้มออกมาแล้วตบไปที่บ่าของหลี่ฉายพร้อมกับกล่าวว่า  ไปเถอะ ไปดื่มที่จวนข้ากัน 

หลี่ฉายเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา  ท่านฟู่ บัดนี้ยังมิถึงเวลาเลิกงาน 

 จำไว้ว่ากรมการค้านี้มิต้องรอให้ถึงเวลาเลิกงานเหมือนกรมอื่น เพียงแต่ทำงานที่ได้รับมอบหมายให้เรียบร้อยก็เพียงพอแล้ว ต่อให้เจ้าอยู่ที่หงซิ่วจาวทั้งวัน ข้าก็มิว่าอันใด 

หลี่ฉายตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน นี่มันช่างเป็นเรื่องแปลกใหม่ยิ่ง เขาได้แต่ยิ้มแล้วตอบว่า  ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ดียิ่งนัก !  

เรื่องของเวลาเข้าออกงานนั้น บรรดาขุนนางทั้งหลายก็รู้สึกมิพอใจเท่าใดนัก แต่เนื่องจากกฎกติกาที่ปฏิบัติตามกันมานับพันปี จึงมิมีผู้ใดกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง

แต่ในตอนนี้เห็นได้ชัดแล้วว่าเขากำลังจะเปลี่ยนแปลงมัน สำหรับหลี่ฉายแล้ว เขารู้ว่ากรมการค้าเป็นกรมที่ก่อตั้งขึ้นมาใหม่ มีเรื่องมากมายให้ต้องจัดการ แต่จากความสามารถของเขาแล้ว เขาเพียงลงแรงมิเท่าไรก็สามารถจัดการได้ง่าย ๆ แล้ว

ต่อไปนี้จะได้มีเวลาอยู่กับลูกเมียที่จวนเสียที !

หลี่ฉายคิดเช่นนั้น แล้วเดินตามฟู่เสี่ยวกวนเข้าไปด้านในจวน แต่เขาคิดมิถึงว่าชีวิตต่อจากนี้ แม้แต่ต้องการจะพบหน้าลูกเมียก็เป็นไปได้ยากมากยิ่งนัก

แต่นั่นคือเรื่องที่ยังมิเกิด เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปด้านในจวน หยูเวิ่นหวินก็ได้เดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม

หลี่ฉายรีบคารวะหยูเวิ่นหวินทันที แต่นางมิได้นำมาใส่ใจ  มาเป็นแขกที่บ้านข้าก็อย่าได้เกรงใจไปเลย…ท่านพี่ อาจารย์หลี่รออยู่ที่ศาลาชิงซิน 

 สำเร็จแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 แน่นอน ข้าเดินหมากด้วยตนเอง จะมิสำเร็จได้เยี่ยงไร !  

หยูเวิ่นหวินเอ่ยด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขาโอบนางเข้ามาจูบเสียจนทำให้หลี่ฉายตกตะลึงแล้วเบือนหน้าหนีทันที

หยูเวิ่นหวินเขินอายเสียจนหน้าแดง นางทุบฟู่เสี่ยวกวนเบา ๆ จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป

ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้หัวเราะออกมาเสียงดัง กล่าวกับหลี่ฉายว่า  ไปกันเถอะ ไปพบท่านพ่อของเจ้ากัน !  

หลี่ฉายตกตะลึงมากขึ้นไปอีก…นับตั้งแต่ที่ติดตามฟู่เสี่ยวกวนมา เขาก็รู้สึกว่าหัวใจของเขาแทบจะทนมิไหวอยู่แล้ว !

 พ่อของข้า ? เหตุใดพ่อของข้าจึงได้มาอยู่ในจวนท่านกัน ?  

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยออกมาเบา ๆ ว่า  ข้าขุดพ่อของเจ้ามาที่นี่เอง !  

หลี่ฉายอดมิได้ที่จะตกตะลึงอีกครา เขาสูดหายใจเข้า  อ่า นี่… 

พ่อของเขาเป็นหลงจู๊ใหญ่ของธนาคารเป่าหลง และมิใช่เพียงต้องดูเเลธนาคารเท่านั้น หากแต่เกี่ยวข้องกับเงินทองของราชวงศ์หยูทั้งสิ้น !

ฮองเฮาซั่งจะปล่อยพ่อของเขาไปได้เยี่ยงไรกัน !

นอกเหนือจากพ่อของเขาแล้ว ยังจะมีผู้ใดเหมาะที่จะครอบครองตำแหน่งนี้อีกกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจหลี่ฉายที่ทำท่าทางตกตะลึงถึงเพียงนั้น เขาพาหลี่ฉายเดินเข้าไปในศาลาชิงซิน ซึ่งหลี่จินโต้วกำลังนั่งรออยู่ด้วยสีหน้าเป็นกังวล

เขากำลังนั่งคิดว่า เมื่อวานนี้เขามิได้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนขุ่นเคืองใจนี่ !

เหตุใดเช้านี้ฮองเฮาซั่งจึงได้ให้เขาวางหน้าที่ทุกอย่างในมือทิ้งไปแล้วเดินทางไปยังจวนฟู่กัน…ผู้ที่เดินทางมานั้นคือขันทีเก่าแก่ผู้หนึ่ง เขาเป็นคนของฮองเฮาซั่ง ซึ่งแน่นอนว่าเรื่องนี้ย่อมมิเป็นเท็จ

มิมีเหตุผล มิมีคำอธิบายใด อยู่ ๆ เขาก็ทำให้หลงจู๊ใหญ่ของธนาคารเป่าหลงต้องหยุดมือลง หรือเมื่อคืนนี้เขาจะทำให้ฟู่เสี่ยวกวนมิพอใจกัน ?

ของขวัญที่บุตรชายทั้งสี่ของเขามอบให้ก็มิได้ธรรมดานี่ หากคิดเป็นเงินแล้ว ก็คงจะราว 60,000 ตำลึงเห็นจะได้ หรือฟู่เสี่ยวกวนคิดว่ามันน้อยจนเกินไป ?

เนื่องจากมิรู้ถึงเหตุผล จึงทำให้หลี่จินโต้วกระสับกระส่าย เขารู้ดีว่าหากทำให้ฟู่เสี่ยวกวนขุ่นเคืองใจ จวนหลี่ของเขาอาจจะกลายเป็นผุยผงได้

ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ที่หน้าผากของเขาปรากฏเม็ดเหงื่อซึมออกมานับไม่ถ้วน

ในขณะนั้นเอง ฟู่เสี่ยวกวนและหลี่ฉายก็ได้เดินตรงเข้ามา

เมื่อหลี่จินโต้วเงยหน้าขึ้นมองก็ได้รีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปหา จากนั้นก็คุกเข่าลงไปต่อหน้าฟู่เสี่ยวกวน  ท่านผู้มีเมตตา หากว่าข้าน้อยทำสิ่งใดให้คุณชายต้องขัดเคืองใจไป… 

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลงทันที สีหน้าของเขามึนงงแล้วรีบประคองหลี่จินโต้วให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจว่า  หาใช่ไม่ ท่านหลี่ ท่านพบเจอเรื่องใดทำให้รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกัน ?  

หลี่จินโต้วทำตัวมิถูก ข้าพบเจอเรื่องใดมา เจ้ามิรู้เยี่ยงนั้นหรือ ?

เป็นจริงดังนั้น ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมา  เป็นเรื่องของธนาคารเป่าหลงใช่หรือไม่ ? เรื่องนี้ข้าให้องค์หญิงเก้าไปจัดการเอง 

หลี่จินโต้วสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที เป็นวิธีจัดการในแบบของฟู่เสี่ยวกวนจริง ๆ เขากลืนน้ำลายลงคอแล้วร้องขอว่า  ขอให้คุณชายโปรดเมตตา ปล่อยข้าน้อยและครอบครัวไปเถิด !  

หลี่ฉายเองก็ตกตะลึงไปยกใหญ่ เมื่อสักครู่เขาบอกว่าไปขุดพ่อของตนมา หรือว่าเขาจะฝังพ่อของตนกัน ?  

เขาจะทำเยี่ยงไรดี ?

เขาจึงรีบคารวะแล้วอ้อนวอนร้องขอ  ท่านฟู่ ท่านพ่ออายุมากแล้ว… 

 เดี๋ยว ๆ ๆ ๆ ! ช้าก่อนพวกเจ้า มา ๆ ๆ นั่งลงก่อน !  

หลี่จินโต้วและหลี่ฉายมองหน้ากัน แล้วนั่งลงตรงข้ามฟู่เสี่ยวกวนด้วยความระมัดระวัง

 เรื่องนี้ชักจะไปกันใหญ่แล้ว…  ฟู่เสี่ยวกวนนำมือลูบศีรษะของตนแล้วกล่าวกับหลี่จินโต้วด้วยความจริงใจว่า  เรื่องเป็นเช่นนี้ ข้านั้นกำลังเตรียมก่อตั้งธนาคารซื่อทง แต่ตัวข้านั้นยุ่งเป็นอย่างมากจึงจำเป็นต้องหาคนมาช่วยจัดการ ในเมืองจินหลิงจะมีผู้ใดเก่งกาจเรื่องนี้มากกว่าท่านหลี่อีกกัน

ดังนั้นข้าจึงได้วานให้องค์หญิงเก้าไปเข้าเฝ้าทูลขอฮองเฮาซั่งให้นำตัวท่านมา ต่อจากนี้ท่านจะมิใช่หลงจู๊ใหญ่ของธนาคารเป่าหลง แต่จะเป็นหลงจู๊ใหญ่ของธนาคารซื่อทง !

ที่เป่าหลงให้ค่าตอบแทนท่านเยี่ยงไร ซื่อทงจะให้ท่านเป็นสองเท่าตัว แต่เรื่องการรับหน้าที่หลงจู๊ใหญ่ของซื่อทงนั้นท่านจะปฏิเสธมิได้ จะต้องรับคำเท่านั้น !

ข้าจะมิเอ่ยถามถึงความสมัครใจของท่าน แต่ข้าหวังว่าท่านจะช่วยบริหารจัดการธนาคารซื่อทงจากใจจริง เนื่องจากในอนาคตนั้นมันจะยิ่งใหญ่และรุ่งเรืองกว่าธนาคารเป่าหลงมากยิ่งขึ้นไปอีก !  

คำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนทำให้สองพ่อลูกตระกูลหลี่เข้าใจได้อย่างถ่องแท้ พวกเขามิได้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนขุ่นเคืองใจ แต่กลับถูกฟู่เสี่ยวกวนมองเห็นถึงความสามารถต่างหากเล่า !

เพียงแต่ว่า พวกเขามิเคยได้ยินชื่อธนาคารซื่อทงมาก่อน !

ความกังวลใจของหลี่จินโต้ว ในที่สุดก็ได้ผ่อนคลายลงสักที ถึงเยี่ยงไรแล้วเขาก็ยังได้เป็นหลงจู๊ใหญ่อยู่ดี อีกทั้งยังได้ช่วยเหลือฟู่เสี่ยวกวนอีกด้วย เขานั้นยินดียิ่ง จึงได้ตอบตกลงไปว่า  ขออภัยคุณชาย ธนาคารซื่อทงนี้ตั้งอยู่ที่ใด ?  

ฟู่เสี่ยวกวนต้มชา จากนั้นก็หันมายิ้มว่า  อาคารทั้งสองตรงตรอกชิงหลวนพวกเจ้าคงรู้ดี ที่นั่นเป็นของข้า บัดนี้ได้ก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าจึงตั้งใจใช้อาคารหนึ่งตั้งเป็นธนาคารซื่อทง มิทราบว่าท่านหลี่คิดเห็นว่าเยี่ยงไร ?  

หลี่จินโต้วสะดุ้งขึ้นมาทันใด นั่นหมายความว่ายังมิได้เริ่มทำสิ่งใดเลยมิใช่หรือ !

 ทำเลตรงนั้นดียิ่ง เพียงแต่ข้าน้อยขออนุญาตสอบถาม คุณชายตั้งใจจะใช้เงินทุนเท่าใดในการก่อตั้งธนาคารนี้ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนก้มหน้ารินน้ำชาแล้วกล่าวออกมาอย่างเป็นกันเองว่า  บัดนี้ยังมิรู้ว่าจะมีเงินเท่าใด… 

นี่ทำให้หลี่จินโต้วต้องชะงักอีกครา เกรงว่าคุณชายผู้นี้จะมิรู้ว่าธนาคารคืออะไร !

แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้กล่าวขึ้นมาว่า  เเต่คิดว่าคงมิน้อย น่าจะได้รู้ในค่ำคืนนี้ ข้าคาดว่าน่าจะมีมากถึง 5,000,000 ตำลึง 

สำหรับธนาคารแล้ว เงินห้าล้านตำลึงมิใช่เงินจำนวนมากนัก แต่อย่างน้อยมีต้นทุนสัก 5,000,000 ตำลึงก็ยังพอจะดำเนินการอันใดได้บ้าง

 หากคุณชายต้องการพิมพ์ตั๋วแลกเงิน เงินเท่านี้ยังมิพอ 

ฟู่เสี่ยวกวนยื่นแก้วชาส่งไปให้แล้วกล่าวว่า  ข้าเข้าใจดี ดังนั้นการที่เชิญท่านมาเพราะมีบางสิ่งบางอย่างอยากจะบอกกล่าวกับท่าน 

 เรื่องอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ธนาคารซื่อทงนี้มิต้องการตั๋วแลกเงิน แต่ต้องการหุ้น !  

 

ตอนที่ 449 คว้าคน

ตอนที่ 449 คว้าคน

หลี่จินโต้วใคร่ครวญที่จะพึ่งพิงฟู่เสี่ยวกวน เพื่อทำให้ธรณีประตูของตระกูลหลี่สว่างไสวยิ่งขึ้น

แต่สิ่งที่เขามิเคยคิดมาก่อนก็คือ ฟู่เสี่ยวกวนคิดจะขุดรากของตระกูลหลี่อย่างคาดมิถึง !

ในวันรุ่งขึ้น ท้องของหยูเวิ่นหวินป่องออกมาเล็กน้อย นางขึ้นรถม้าหนึ่งคันและตรงไปยังวังหลวง และได้สนทนากันกับฮองเฮาซั่งอยู่ในวังเตี๋ยอี๋…

 เขาคือบุตรเขยของเสด็จแม่ ขอเพียงแค่คนคนเดียวมิได้หรือ เสด็จแม่ให้มิได้เยี่ยงนั้นหรือ เขาเคยเอ่ยปากกล่าวกับเสด็จแม่หรือไม่ และข้าสัญญากับเขาแล้วว่าจะพาตัวหลี่จินโต้วมาให้ได้ หากมิตกปากรับคำ ข้า…ข้าจะอยู่ที่นี่ด้วย !  

ฮองเฮาซั่งอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง เหตุใดบุตรสาวจึงหมุนข้อศอกเร็วถึงเพียงนี้กัน ?

หลี่จินโต้วเป็นหลงจู๊ใหญ่ของธนาคารเป่าหลง ธนาคารเป่าหลงมีหน้าที่รับผิดชอบในการออกตั๋วเงิน บุคคลสำคัญเยี่ยงนี้ เจ้ากลับกล่าวออกมาว่าต้องการในทันที… นี่มิใช่ว่าต้องการชีวิตข้าแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

แต่ทันใดนั้นหยูเวิ่นหวินก็ลูบท้องแล้วกล่าวพึมพำว่า  บุตรของข้า เจ้าดูเสด็จยายของเจ้าเถอะ ตระหนี่มากนักใช่หรือไม่ เจ้ากล่าวสิว่าภายภาคหน้าจะยังกลับมาหาพระนางอีกหรือไม่…เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ มิกลับมาเยี่ยงนั้นหรือ อ่า…แม่ทราบแล้ว 

 …… !  

ท้ายที่สุดนางก็ชนะไปโดยปริยาย พร้อมกับจ้องมองฮองเฮาซั่งด้วยความยินดี  เสด็จแม่ยังเป็นผู้ที่รักหม่อมฉันที่สุด ภายภาคหน้าหม่อมฉันจะพาหลานกลับมาเข้าเฝ้าอย่างแน่นอนเพคะ !  

หยูเวิ่นหวินบรรเลงเพลงแห่งชัยชนะและกลับจวนไปอย่างมีความสุข เป็นคราแรกที่ฮองเฮาซั่งครุ่นคิดด้วยความเศร้าใจอยู่ 1 ชั่วยามเต็ม ๆ ต่อจากนั้น นางจึงให้คนไปเชิญองค์หญิงใหญ่มา

 ดังนั้นบุตรเขยของเจ้าต้องการขุดกำแพงของเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 มิใช่ว่าต้องการ แต่ขุดไปแล้วต่างหากเล่า  สีหน้าของฮองเฮาซั่งปลงตกอย่างถึงที่สุด นางต้มชาหนึ่งกา เหลือบสายตามองใบหน้าตกใจขององค์หญิงใหญ่ แล้วกล่าวว่า  เจ้าเด็กนั่นมิกล้ามาขอกับข้าด้วยตนเอง กลับให้เวิ่นหวินมา… สตรีเติบใหญ่มิอาจอยู่ต่อได้ เพิ่งแต่งงานออกไปเพียงมิกี่วันเท่านั้น คาดมิถึงว่าจะกล้าข่มขู่ข้า แล้วข้าจะไปสามารถทำอันใดได้กัน ?  

องค์หญิงใหญ่หัวเราะร่า ยิ้มราวกับดอกไม้บาน จนไร้เศษเสี้ยวภาพลักษณ์ขององค์หญิงใหญ่ผู้น่าเกรงขาม

 เป็นเรื่องยากนักที่จะได้เห็นเจ้าเสียเปรียบ ข้าคิดว่าเจ้าจะสงบนิ่งมิว่าจะพบเจอเรื่องอันใดเสียอีก เดิมทียังคงเป็นช่วงเวลาที่เกี่ยวพันกัน กล่าวมาเถอะ หลงจู๊ใหญ่แห่งธนาคารเป่าหลงหายไปแล้ว เจ้าจะให้ผู้ใดไปทำหน้าที่แทนเขา ?  

 ตอนนี้ข้ายังมิได้คิดถึงการคัดเลือกคน 

 เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเยี่ยงไรกัน ?  

ฮองเฮาซั่งรินน้ำชาให้กับองค์หญิงใหญ่  ข้ากำลังคิด ว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนถึงต้องการสร้างธนาคารซื่อทงขึ้นมากัน ?  

ตาเรียวขององค์หญิงใหญ่เหลือบมองขึ้นมา  แน่นอนว่าเพื่อเป็นการจัดตั้งอุตสาหกรรมซีซาน เพื่อให้เงินในมือของเขาหมุนเวียนได้เร็วขึ้น 

จักรพรรดินีซั่งขมวดคิ้วเล็กน้อย และส่ายหน้า  เกรงว่าจะมิได้ง่ายดายอย่างที่ท่านคิด เมื่อวานเจ้าเด็กนี่เข้าไปสนทนากับฝ่าบาทอยู่ในห้องทรงพระอักษรราวครึ่งค่อนวัน เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการค้าทั้งสิ้น ยามที่ฝ่าบาทกลับมาก็ได้ฟังจนปวดหัวไปหมด… 

ฮองเฮาซั่งโน้มกาย แล้วเอ่ยถามว่า  เจ้าว่า เขาอยากจะจำหน่ายตั๋วเงินหรือไม่ ?  

 เป็นไปมิได้…  องค์หญิงใหญ่ตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน  ตั๋วเงินเป็นตัวแทนของเงิน โดยอาศัยความน่าเชื่อถือรวมไปถึงทรัพยากรทางการเงินที่แข็งแกร่ง เขาอาศัยอะไรถึงคิดจะขอรับรองการจำหน่ายตั๋วเงิน ต่อให้อุตสาหกรรมซีซานจะมีมูลค่าเป็นสิบล้าน แต่ธนาคารเป่าหลงกลับเป็นการรับประกันของแคว้น ผู้คนในใต้หล้านี้เชื่อถือธนาคารเป่าหลง แต่ผู้คนในใต้หล้านี้มิมีทางที่จะเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมซีซานที่หลินเจียงนั้นได้ 

ฮองเฮาซั่งครุ่นคิด นี่ก็ถือว่ามีเหตุผลอย่างหนึ่ง เยี่ยงนั้นที่ฟู่เสี่ยวกวนจะสร้างธนาคารซื่อทงและทั้งยังมาขโมยบุคคลที่สำคัญที่สุดของตนไปท้ายที่สุดแล้วเขาต้องการจะทำอันใดกันแน่ ?

……

……

ในยามที่ฮองเฮาซั่งและองค์หญิงใหญ่ครุ่นคิดอย่างหนัก ฟู่เสี่ยวกวนกำลังพาหลี่ฉายออกมาจากท้องพระโรงเฉิงเทียน และเดินไปทางตะวันออกของซวนหมิงเตี้ยน

 ตอนนี้เจ้าได้เป็นคนของกรมการค้าแล้ว และในตอนนี้ก็มีเพียงพวกเรา 2 คนเท่านั้น ดังนั้นเจ้าจึงเป็นผู้อาวุโสของกรมการค้า ความใจกล้าบนบ่านี้ต้องมีมากยิ่งขึ้น 

ในหัวของหลี่ฉายยังคงสับสนอยู่เล็กน้อย ในการประชุมเมื่อครู่ คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะโต้เถียงกับต่งคังผิงพ่อตาของเขา

ฟู่เสี่ยวกวนต้องการคน แต่ต่งคังผิงมิยินยอม ท้ายที่สุดฟู่เสี่ยวกวนจึงใส่ร้ายต่งคังผิง  ท่านต้องการขัดขวางนโยบายของฝ่าบาทเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 เจ้าจะมาขุดหาคนใต้ธรณีประตูกรมคลังของข้าได้เยี่ยงไรกัน ?  

 ข้ามิสน กรมการค้าเพิ่งจะก่อตั้ง มีภารกิจที่หนักหนายิ่ง และเวลายังมีเวลากระชั้นชิดอีกด้วย ท่านจะให้หรือมิให้แต่เยี่ยงไรก็ต้องให้ !  

 หากข้ามิให้เจ้าเล่า เจ้าจะทำเยี่ยงไร ?  

 หากท่านมิให้ ข้าจะพาภรรยาและลูกไปพักที่บ้านของท่าน !  

ท่ามกลางสายตาที่ตกตะลึงของพลเรือนและทหารที่มองมา ฟู่เสี่ยวกวนและต่งคังผิงคนผู้หนึ่งเริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่ จึงสะบัดหน้าหนีด้วยความโมโห

สุดท้ายฝ่าบาทก็ได้เอื้อนเอ่ยออกมา บางทีพระองค์คงรับความสนุกมามากพอแล้ว เพราะฝ่าบาทได้ตรัสอย่างมีความสุขว่า

 เอาล่ะ ๆ ก็แค่คนผู้เดียว ข้าตัดสินเอง หลี่ฉาย จากนี้ไปเจ้าคือคนของกรมการค้า เสนาบดีต่งเอ๋ย นโยบายนี้เป็นนโยบายของแคว้น ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้นำ และเนื่องจากข้าได้กล่าวไปแล้วว่าให้เขาเลือกเอาคนจากกรมต่าง ๆ เอง และตอนนี้ก็ได้เลือกเอาคนในกรมคลังของเจ้าไป เจ้าควรจะรู้สึกมีเกียรติสิถึงจะถูก 

ต่งคังผิงลอบคิดในใจว่ามีเกียรติกับผีสิ  นี่ก็ถึงเวลาสิ้นปีแล้ว นี่คือช่วงเวลาที่กรมคลังจะยุ่งมากที่สุด มันมิง่ายเลยกว่าที่ข้าจะได้ชื่อหลางฝ่ายขวาของกรมคลังมา เพิ่งจะเดือนกว่า ๆ ก็ดันมาโดนเจ้าเด็กนี่เด็ดลูกท้อไปเสียแล้ว ตอนนี้จะไปหาชื่อหลางฝ่ายขวาที่เหมาะสมได้จากที่ใดกันพ่ะย่ะค่ะ และรายงานปีนี้ของกรมคลัง… ฝ่าบาทโปรดรอก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ !  

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกมีความสุข เขาในตอนนี้มิอยากแตะกับโชคมิดีของต่งคังผิงแล้ว จึงรีบเอ่ยขอตัวกับฝ่าบาท เหตุผลเพราะกรมการค้า ต้องเตรียมการอีกเล็กน้อย

ดังนั้นเขาจึงลากหลี่ฉายวิ่งออกมา เหลือไว้เพียงบรรยากาศคุกรุ่นที่ยังไม่จางหายไป

 ท่านฟู่ นี่คือสำนักงานของพวกเราเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนหันมองไปรอบ ๆ ตำหนักด้วยความงุนงง… ท่ามกลางวัชพืชที่แห้งแล้ง ตำหนักอันทรุดโทรมจนยากที่จะบ่งบอกสีเดิมได้ตั้งอยู่ที่นี่อย่างโดดเดี่ยวมาเนิ่นนาน

 ให้ตายเถอะ… พวกเรามาผิดที่หรือไม่ ? เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าที่นี่เหมือนกันกับตำหนักเย็นมิมีผิดเพี้ยน !  

 ท่านฟู่ นี่…มิใช่ตำหนักเย็นขอรับ ท่านดูสิ ป้ายแผ่นนั้นยังอยู่ สามารถแยกแยะได้ว่าที่นี่คือซวนหมิงเตี้ยนที่ท่านกล่าวถึง 

 ฝ่าบาทโกงข้า !  

หลี่ฉายสะดุ้งตกใจขึ้นมาทันพลัน รู้สึกเห็นอกเห็นใจฟู่เสี่ยวกวนเล็กน้อย เขากล่าวว่า  มิใช่ฝ่าบาทโกงท่าน แต่สำนักงานที่มีอยู่ในเขตวังหลวงต่างก็เต็มแล้ว จึงมิมีตำหนักเหลือให้กับกรมการค้า… มิเช่นนั้น พวกเราทำความสะอาดที่นี่ดีหรือไม่ ?  

คนผู้นี้เลี้ยงง่ายเสียเหลือเกิน !

แต่ย่อมมิใช่กับข้า !

 ทำความสะอาดกับผีสิ หากต้องทำความสะอาดก็ต้องเป็นฝ่าบาทที่จะต้องส่งคนมาทำ อย่าได้หลงลืมว่าพวกเราคือกรมการค้าที่แข็งแกร่งที่สุดในราชวงศ์หยู จะมาเสียหน้ามิได้เป็นอันขาด ไป !  

 ไปที่ใดขอรับ ?  

 ขอคำอธิบายจากฝ่าบาท !  

หลี่ฉายตกตะลึง ลอบคิดว่าเจ้าคือบุตรเขยของฝ่าบาท เจ้าต้องการคำอธิบายก็ย่อมได้ แต่ให้ตายข้าก็มิกล้าไป !

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจอันใดมากนัก เขาคว้าหลี่ฉาย และหันกลับเดินออกไปในทันที เดินออกไปได้เพียง 3 ก้าว ก็ได้พบกับกลุ่มคนขนาดใหญ่กำลังเดินมาทางนี้

ผู้ที่เดินนำหน้ามาคือเสนาบดีกรมอุตสาหกรรม…ปี้ตง

ปี้ตงกุมหมัดคำนับมาแต่ไกล เมื่อเข้ามาใกล้ก็ได้เอ่ยกล่าวอย่างรีบร้อนว่า  ข้าน้อยเพิ่งได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาท ก่อนหน้านั้นต้องรื้อและสร้างซวนหมิงเตี้ยนขึ้นมาใหม่เสียก่อน ท่านฟู่มิต้องรีบร้อน อย่าได้รีบร้อนไปเลยขอรับ !  

ฟู่เสี่ยวกวนเท้าสะเอว และเอ่ยถามว่า  ให้เวลาข้ามา !  

 หนึ่งเดือนกว่า 

 มิได้ 10 วัน เกินไปแม้แต่วันเดียวข้าจะร้องทุกข์เรื่องของเจ้าต่อหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาท !  

เมื่อกล่าวข่มขู่ออกไปเสร็จ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้พาหลี่ฉายเดินออกไปทันที เหลือทิ้งไว้เพียงปี้ตงผู้บริสุทธิ์ที่สับสนอยู่ท่ามกลางสายลมเย็น…

 

ตอนที่ 448 รับผู้มีความสามารถ

รายละเอียดเกี่ยวกับกรมการค้านั้น ฟู่เสี่ยวกวนมิได้กล่าวถึงอีก

เขาเกรงว่าจะทำให้ลูกน้องที่เพิ่งได้มาคนแรกตื่นตกใจหนีไปเสียก่อน !

แต่ทว่าหลี่ฉายกลับชื่นชมและยินดีเป็นอย่างยิ่ง กรมใหม่ที่เพิ่งก่อตั้งระดับสูงกว่าทั้งหกกรม อนาคตของเขาคาดว่าคงจะเบิกบานมากนัก !

ชีวิตนี้ในที่สุดก็จะได้พบกับบรรดาผู้คนชนชั้นสูงสักที ในที่สุดสิ่งที่ตนเคยร่ำเรียนมาก็จะได้นำออกมาใช้สักที

ความรู้สึกอึดอัดใจที่เก็บไว้ในทรวง ในที่สุดก็ได้ระบายออกมาราวกับได้ล้างบาปแล้วอย่างไรอย่างนั้น สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนมองเขาด้วยสายตาชื่นชม

เขาผู้นี้เมื่อถึงวัยกลางคน ยังกลับไปเป็นเหมือนเมื่อวัยหนุ่มได้อยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?

ว่าแต่เขาดีใจอันใดกัน ?

อ่า… เขาอาจจะมิรู้ว่าในตอนนี้กรมการค้ามีขุนนางเพียงคนเดียวเท่านั้น พวกการร่างกฎหมาย การบังคับใช้กฎหมายในราชวงศ์หยูและเรื่องหลังจากที่จัดตั้งกฎหมายขึ้นในเขตต่าง ๆ แล้วอีกทั้งการติดตาม การตรวจสอบการรายงานและอื่น ๆ เรื่องเหล่านี้โยนให้เขาทำไปคนเดียวเถอะ

แม้ว่าเขาจะไม่รู้จักหรือคุ้นเคยกับหลี่ฉาย แต่ต่งคังผิงรู้จักดี

ดังนั้นในวันนี้เมื่อออกมาจากห้องทรงพระอักษร เขาจึงได้เอ่ยถามต่งคังผิง และต่งคังผิงเองก็ยืนกรานว่าจะไม่ยอมปล่อยหลี่ฉายไป ในมือของเขามีกระบี่อาญาสิทธิ์ของฝ่าบาทอยู่ เขาจะต้องจัดการกับพ่อตาเสียหน่อย

ส่วนต่งคังผิงจะโมโหหรือไม่นั้น…พ่อตาจะโมโหลูกเขยด้วยเหตุอันใดกัน ?

เมื่อกับแกล้มถูกนำขึ้นมาวางบนโต๊ะ หลี่ฉายก็ได้นำสุราเทียนฉุนออกมารินให้ทุกคน

เขายกจอกขึ้นแล้วกล่าวกับฟู่เสี่ยวกวนว่า  นับแต่นี้ข้าน้อยคือคนของท่าน ข้าน้อยสัญญาว่าหลี่ฉายจะเป็นผู้เชื่อฟังคำสั่งของท่านฟู่ จะมิทำให้ท่านต้องผิดหวังหรือขายหน้าเป็นอันขาด ข้าน้อยขอดื่มให้แก่ท่านฟู่ !  

 ดี… !   ฟู่เสี่ยวกวนยกแก้วสุราขึ้นแล้วกล่าวว่า  กรมการค้าเพิ่งจะก่อตั้งขึ้น มีเรื่องราวที่ต้องจัดการมากมาย ล้วนแต่เป็นภารกิจที่สำคัญและมีความหมายยิ่ง หลี่ฉาย เจ้านั้นมีความสามารถด้านการเงิน ข้าเชื่อว่าข้าจะเห็นความทะเยอทะยานของเจ้าอย่างเต็มที่ !  

เลือดของหลี่ฉายเดือดพล่านในตัว เขารู้สึกว่า ฟู่เสี่ยวกวนคือแรงผลักดันของเขา หลังจากที่ทั้งสองดื่มสุราหมดจอกแล้ว เขาก็รินมันอีกคราและนั่งลง หัวใจของเขาพลุ่งพล่านด้วยความตื่นเต้น

ต่อจากนั้น หลี่จินโต้วก็ได้แนะนำบุตรชายอีก 3 คนของเขา ฟู่เสี่ยวกวนแววตาเป็นประกายทันที ให้ตายสิ คนทั้งบ้านนี้ช่างมีความสามารถเสียจริง !

แม้ว่าในใจของเขาจะตื่นเต้นยินดี แต่สีหน้ากลับเรียบนิ่ง

พวกเขากินกับแกล้มและดื่มสุราพลางสนทนาอย่างเป็นกันเอง ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยถามว่า  คุณชายใหญ่ รายได้ที่ซิงหลงถังปีนี้ดีหรือไม่ ?  

หลี่เจียตกตะลึงขึ้นมาทันพลันก่อนจะเอ่ยออกไปว่า  ในปีนี้จวบจนปัจจุบันที่ซิงหลงถังมีรายได้ทั้งสิ้น 1,218,000 ตำลึง มากกว่าปีที่แล้วหนึ่งเท่าขอรับ 

 อ่า…  ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า จากนั้นก็ทำท่าครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยว่า  เหตุใดโรงรับจำนำจึงได้รับความนิยมมากถึงเพียงนี้ ?  

หลี่เจียนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็มองไปยังหลี่จินโต้ว พบว่าหลี่จิ้นโต้วพยักหน้าเบา ๆ

 การที่โรงรับจำนำมีรายได้ดีนั้น แน่นอนว่าเป็นเพราะมีคนมาจำนำของมาก ขอกล่าวกับคุณชายตามตรงว่า ในปีนี้ที่แม่น้ำหวงเหอเอ่อล้นขึ้นมา ทำให้ราษฎรที่อาศัยอยู่ติดแม่น้ำอพยพขึ้นมาในเมืองหลวงมากเสียทีเดียว มากกว่าปีก่อนถึงเท่าตัว 

 พวกเขาเดินทางมายังเมืองหลวง ก็จำเป็นจะต้องหาหลักแหล่งที่พักอาศัย แต่การจะหาที่พักในเมืองหลวงนั้นมิได้ง่ายดายเลย หากต้องการตั้งหลักปักฐานอยู่ที่นี่ต้องใช้เงินจำนวนมาก ดังนั้นพวกเขาจึงนำสิ่งของที่ติดตัวมาจำนำ ท้ายที่สุดก็มีเพียงแค่มิกี่คนเท่านั้นที่มาไถ่คืน 

ฟู่เสี่ยวกวนฟังอย่างตั้งใจ เขายังมิรู้ว่าปีนี้ที่แม่น้ำหวงเหอก็ได้เอ่อล้นขึ้นมาอีกมาก ดังนั้นจะมีราษฎรจากสองฝั่งแม่น้ำมากมายจะอพยพมาที่นี่เยี่ยงนั้นหรือ ?

แต่เนื่องจากมิมีความวุ่นวายใด ๆ เกิดขึ้น คาดว่านโยบายในปีที่แล้วได้ผลดีเกินคาด

เขาละจากเรื่องนี้ แล้วได้ยินหลี่เจียกล่าวว่า  พ่อค้าที่เดินทางมาเมืองหลวงก็มากโขทีเดียว แต่การค้านั้นก็มีข้อดีและข้อเสียอยู่ ผู้ที่มิได้กำไรก็มีอยู่มากโขเช่นกัน แต่พวกเขายังคงต้องกินต้องดื่ม ดังนั้นคนกลุ่มนี้จึงเป็นที่มาของกำไรโรงรับจำนำ 

 ต่อให้เป็นคนในเมืองหลวงเอง หากทำการค้าแล้วขาดทุนหรือว่าที่บ้านเกิดปัญหาต้องการเงิน โดยรวมแล้วคือ หากว่าโรงรับจำนำมีกำไรดี ย่อมมิใช่เรื่องที่ดีมากนัก 

หลี่เจียมิได้อธิบายต่อ แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็เข้าใจในความหมายได้ในทันที

คนทั่วไปหากมิถึงยามคับขัน คงจะมินำสมบัติสืบทอดรุ่นต่อรุ่นไปจำนำอย่างแน่นอน

หากโรงรับจำนำกำไรดี หมายความว่าชาวบ้านกำลังเดือดร้อน สะท้อนถึงความลำบากของสังคมทางเศรษฐกิจ

ฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยถามหลี่ว่านเกี่ยวกับกิจการที่หอยู่ติ่ง และหอหุยชุนของหลี่ก้วน

หอยู่ติ่งนั้นทำการค้าขายอัญมณีและหยก มีกำไรน้อยลงกว่าเดิมถึงสองเท่าตัว

ส่วนหอหุยชุนนั้นค้าขายเกี่ยวกับยารักษาโรค มีกำไรมากกว่าเดิมถึงหนึ่งเท่าตัวครึ่ง

หลี่จินโต้วเองก็นั่งฟังอยู่เงียบ ๆ และมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนเป็นระยะ ๆ ในใจเขารู้สึกว่าคุณชายฟู่เป็นปัญญาชน แต่กลับมีความสนใจด้านการค้าถึงเพียงนี้ ช่างเป็นปัญญาชนที่หายากอย่างแท้จริง

การตั้งคำถามของฟู่เสี่ยวกวนมิได้ถามออกไปอย่างไร้จุดหมาย หนึ่งนั้นเขาได้เข้าใจถึงเศรษฐกิจในราชวงศ์หยูมากขึ้น สองนั้นเขารู้สึกสนใจสมาชิกตระกูลหลี่ทั้งหมดนี้

เขาต้องการดึงตัวพวกเขาเหล่านี้มา เพื่อให้พวกเขาจัดการอุตสาหกรรมที่ซีซานและธนาคารซื่อทงที่กำลังจะเปิดขึ้น

แต่บัดนี้เขายังมิได้เอ่ยอันใดออกมา เยี่ยงไรเสียในวันพรุ่งนี้หยูเวิ่นหวินก็จะเข้าพบจักรพรรดินีซั่งเพื่อขอตัวหลี่จินโต้ว เมื่อได้ตัวชายชราผู้นี้มาแล้ว บุตรชายของเขาอีก 3 คนจะหนีไปที่ใดพ้น !

งานเลี้ยงดำเนินไปอย่างราบรื่นและมีความสุข เมื่อถึงยามห้าย ทุกคนก็ได้แยกย้ายกัน หลี่ฉายส่งฟู่เสี่ยวกวนกลับไปยังจวน เมื่อตนกลับมาก็พบว่าห้องอักษรของจวนหลี่ยังคงเปิดไปสว่างโร่

เขาเดินเข้าไปด้านใน ท่านพ่อและพี่น้องอีก 3 คนกำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะและดื่มชา

 เดิมทีข้าคิดว่าคุณชายฟู่เดินทางมาครานี้ เนื่องจากเรื่องเขตทดลองทั้งหกเขตนั่นเสียอีก  หลี่จินโต้วขมวดคิ้วแล้วกล่าวขึ้น  ทั้งหกเขตนั้นมีเพียงเขตเหยา ผิงหลิงและชวูอี้ที่เริ่มลงมือก่อสร้างแล้ว ผิงและชวูอี้เพิ่งจะได้เริ่มลงมือ อีกทั้งการลงทุนของทั้งสามที่ล้วนมาจากเงินของตระกูลฟู่ 

 นโยบายใหม่นี้ถูกเสนอโดยฟู่เสี่ยวกวน และมีเขาเป็นคนดำเนินการหลัก แต่จากสถานการณ์ตอนนี้กำลังถูกต่อต้าน แม้ว่าฝ่าบาทจะทรงประกาศพระราชโองการออกไปแล้ว แต่พ่อค้าส่วนมากยังคงรอดูสถานการณ์ นี่มิใช่สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนต้องการจะเห็นอย่างแน่นอน 

 ดังนั้นเขายื่นมือเข้ามาให้เจ้า เดิมทีข้าคิดว่าเขาต้องการให้ตระกูลหลี่เข้าไปร่วมลงทุนเพื่อเป็นตัวอย่าง แต่เขากลับมิได้กล่าวถึงมัน แต่พวกเราก็มิอาจทำสิ่งใดได้ ดังนั้น… 

หลี่จินโต้วยกชาขึ้นมาดื่มแล้วมองไปยังบุตรชายคนที่สี่หลี่ก้วน  พรุ่งนี้เจ้าจงไปขอลาออกจากหัวหน้าตระกูลฉิน เมื่อขึ้นปีใหม่เจ้าจงไปยังเขตกงเมืองเหอหนาน ลงทุนหาที่สำหรับร้านยา ข้าให้เงินทุนเจ้า 300,000 ตำลึงในการเตรียมตัวขั้นต้น ทำให้การค้าเจริญรุ่งเรืองขึ้น อีกทั้งตีตราของฟู่เสี่ยวกวนลงไปด้วย 

หลี่ก้วนตกตะลึงขึ้นมาทันพลันแล้วกล่าวว่า  จำเป็นจะต้องเข้าใกล้ฟู่เสี่ยวกวนถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ตัวตนของเขามิใช่เพียงเท่านี้ 

 เจ้าอย่าได้คิดมากไป จงไปทำตามที่ท่านพ่อกล่าวเถิด ตระกูลหลี่นั้นต้องการตำแหน่งอาชีพที่มั่นคง หากมีฟู่เสี่ยวกวนคอยจัดการ นโยบายนี้ก็มีความหวัง จากที่เห็นนี้ก็สามารถซื้อใจฟู่เสี่ยวกวนได้ อีกทั้งยังใช้โอกาสนี้ยกระดับให้แก่จวนหลี่ได้อีกด้วย 

 

ตอนที่ 447 ประกาศรับสมัคร

สำหรับเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนจะมาจวนหลี่ หลี่จินโต้วย่อมให้ความสำคัญอย่างมากโดยมิต้องสงสัย

เขาคือพ่อค้า ตระกูลของเขาเป็นพ่อค้า แต่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นขุนนาง ทั้งยังเป็นขุนนางชั้นสูง และยังเป็นบุตรเขยของเสนาบดีต่ง ทั้งยังเป็นหลานเขยของอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน และอีกทั้งยังเป็นบุตรเขยของฝ่าบาทอีกด้วย !

ให้ตายเถอะ ยังมีผู้ใดในราชวงศ์หยูที่มีเบื้องหลังใหญ่โตถึงเพียงนี้อีกหรือไม่ !

หากรวมกับตำแหน่งองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ที่เขาเล่าลือกันมา… ใต้หล้านี้ยังมีผู้ใดอีกกัน ?

นี่ต่างหากที่เป็นผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง หลี่จินโต้วย่อมไม่กล้าดูเบา

ดังนั้นวันนี้หลังจากที่ได้รับข่าวจากบุตรชายอย่างหลี่ฉาย เขาก็ได้รีบออกมาจากธนาคารเป่าหลงทันที และได้เรียกบุตรชายคนโตหลี่เจีย บุตรคนที่สามหลี่ว่านรวมไปถึงบุตรคนที่สี่หลี่ก้วนกลับมาอีกด้วย

เขาได้ให้หลี่ฉายไปยังหอซื่อฟางเพื่อเชิญพ่อครัวที่ดีที่สุดมาทำอาหาร และให้บ่าวรับใช้ในจวนทำความสะอาดทั้งด้านในและด้านนอกจวนให้สะอาด

หลี่จินโต้วและบุตรชายทั้งสี่กำลังนั่งอยู่ในห้องอักษร จุดธูปไม้จันทน์หนึ่งก้าน ชงชาชั้นดีหนึ่งกา เขากวาดสายตาไปมองบุตรชายทั้งสี่ และกล่าวอย่างช้า ๆ ว่า

 งานอภิเษกสมรสของคุณชายฟู่ ตระกูลหลี่ได้มอบปะการังให้ 1 คู่ ถึงแม้มูลค่าจะเพียงแค่ 1,000 ตำลึงทอง แต่บัดนี้เกรงว่าพวกเราจะมอบของที่เล็กน้อยจนเกินไป พ่อคาดมิถึงว่าเขาจะสังเกตเห็นตระกูลหลี่ของพวกเรา… 

สีหน้าบนใบหน้าของหลี่จินโต้วค่อนข้างเคร่งเครียด เขาลูบเคราใต้คางที่ยาวราวกับแพะ และกล่าวอีกว่า  ในเมื่อเจ้ารองได้สนทนากับคุณชายฟู่แล้ว และได้เชิญคุณชายฟู่มา ค่ำคืนนี้ พวกเราพี่น้องทั้งสี่ก็เตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับเขาหนึ่งชุดด้วยเถิด แต่อย่าได้เอ่ยว่านี่คือของขวัญงานอภิเษกสมรส 

 เจ้ารองจัดการไว้ได้งดงามยิ่ง ภายภาคหน้ายามอยู่ในราชสำนักเจ้าจะต้องระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น เพราะเพียงคุณชายฟู่ก้าวข้ามธรณีประตูของตระกูลหลี่เข้ามาแล้ว ร่างของเจ้าก็จะมีตราประทับของคุณชายฟู่แล้ว อย่าได้ทำให้คุณชายฟู่ขายหน้าเป็นอันขาด 

หลี่ฉายรู้สึกชื่นมื่น เขารินน้ำชาให้แก่บิดาและพี่น้องของตน แล้วกล่าวว่า  ย่อมเป็นเยี่ยงนั้น เพียงแค่ข้ามิคาดคิดมาก่อนว่าคุณชายฟู่จะเป็นคนที่โอนอ่อนตามเยี่ยงนี้ เดิมทีข้าได้เชิญชวนเขาไปที่หงซิ่วจาว มิคาดคิดมาก่อนว่าหลังจากที่เขาได้ยินนามของท่านพ่อขึ้นมา กลับอยากมาเยี่ยมเยียนที่จวนแทน 

พี่ใหญ่หลี่เจียคิ้วขมวดเล็กน้อย และเอ่ยถามว่า  เขาคือคนที่ยุ่งมากผู้หนึ่ง มีความตั้งใจอันใดถึงจะมาที่จวนของพวกเรากัน ?  

หลี่จินโต้วครุ่นคิด  เกรงว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับนโยบายที่กำลังผลักดันของแคว้นหยูในปัจจุบันนี้ 

เจ้าสามหลี่ว่านดวงตาเป็นประกาย  ท่านพ่อ ท่านว่าเขาจะเชิญท่านไปเป็นที่ปรึกษาของเขาหรือไม่ เยี่ยงไรเสียนโยบายใหม่ก็วนเวียนอยู่กับการฟื้นฟูและการพัฒนาการค้า ถึงแม้คุณชายฟู่จะเป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งยุค แต่หากกล่าวถึงความรู้ทางด้านการค้า เยี่ยงไรแล้วเขาก็เพิ่งจะอายุ 17 ปี จะมีประสบการณ์เทียบเท่ากับท่านได้เยี่ยงไรกัน !  

หลี่จินโต้ว มิได้เอ่ยตอบ เขาลิ้มรสชาอย่างช้า ๆ ในหัวก็คิดไปอย่างรวดเร็ว

มิมีเรื่องก็มิแวะเวียนมา ก่อนที่ฟู่เสี่ยวกวนจะมาจวนหลี่ ย่อมต้องมีเรื่องเป็นแน่ และเรื่องนี้มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นดั่งที่เจ้าสามได้กล่าวไว้

แต่ธนาคารเป่าหลงอยู่ในการควบคุมของเขา เจ้านายที่อยู่เบื้องหลังของธนาคารเป่าหลงในตอนนี้ก็คือฮองเฮาซั่ง ซึ่งก็คือแม่ยายของฟู่เสี่ยวกวน !

พวกเขาต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่สามารถทำให้ขุ่นเคืองใจได้ทั้งสองฝั่ง เมื่อถึงเวลานั้นหากฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวออกมาแล้ว… เรื่องนี้คงต้องให้ฮองเฮาซั่งเป็นผู้ตัดสินใจ

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวกับบุตรคนที่สี่ว่า  พวกเจ้าอย่าได้คาดเดามั่ว ๆ เลย เรื่องที่คุณชายฟู่ลงมือทำย่อมเป็นเรื่องใหญ่ และตระกูลหลี่ของข้า นอกจากเจ้ารองที่เป็นขุนนางอยู่ในราชสำนักแล้ว ที่เหลือต่างก็เป็นพ่อค้ากันทั้งสิ้น คุณชายฟู่กำลังทำงานอย่างหนักก็เพื่อฟื้นฟูฐานะของพ่อค้า นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ดีต่อตระกูลของพวกเรา ดังนั้น รอหลังจากที่คุณชายฟู่ได้มาถึง พวกเจ้าก็คอยปรนนิบัติอย่างระมัดระวังเสียหน่อย และอย่าได้ทำให้ผู้มีอำนาจคนใหม่ในเมืองหลวงผู้นี้ขุ่นเคืองใจเป็นอันขาด !  

คำเอ่ยนี้ย่อมเข้าหูของบุตรชายทั้งสี่ พวกเขาทราบมาว่าความสามารถด้านวรรณกรรมของฟู่เสี่ยวกวนมิมีผู้ใดที่สามารถเทียบเคียงได้ และพวกเขาก็ทราบถึงสถานะอันสูงศักดิ์ของฟู่เสี่ยวกวน ดังนั้นในใจของพวกเขาจึงกระวนกระวายอย่างถึงที่สุด เขาที่ประสบความสำเร็จ คนเยี่ยงนี้ ย่อมต้องปรนนิบัติให้ดี

……

……

ในยามที่หลี่ฉายออกมาต้อนรับฟู่เสี่ยวกวนที่มาถึงจวนหลี่ ท้องนภาก็ได้มืดไปแล้ว

หลี่จินโต้วได้พาบุตรทั้งสามมายืนรออยู่ที่หน้าธรณีประตูของจวนหลี่ และต้อนรับเขาอย่างกระตือรือร้น

 ข้า หลี่จินโต้ว และบุตรทั้งสี่ขอร่วมพบท่านฟู่ !  

ทั้งห้ากุมมือและโค้งคำนับ ฟู่เสี่ยวกวนรีบปรี่เข้าไป และประคองหลี่จินโต้วไว้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม  ท่านทำให้ข้านึกอับอายเสียแล้ว มาเยี่ยมเยียนถึงจวนท่านอย่างบุ่มบ่าม ต้องขอให้ท่านหลี่โปรดอย่าได้รังเกียจกันเลยจึงจะถูกต้อง 

 ท่านฟู่ได้มาเยือนจวนที่ต่ำต้อย ทำให้จวนหลี่มีชีวิตชีวาขึ้นมาอย่างแท้จริง ท่านฟู่โปรดกรุณาด้วย !  

 ท่านหลี่และทุกท่านกรุณาด้วย !  

คำกล่าวทักทายที่แสนเรียบง่ายในยามที่พบหน้า ทำให้หลี่จินโต้วและบุตรชายทั้งสี่ต้องเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวนเสียใหม่

นอกจากหลี่ฉาย นี่เป็นคราแรกของพวกเขาทั้งสี่ที่ได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนที่มีนามเลื่องระบือ

นักวรรณกรรมจำนวนมากหยิ่งยโส แต่ผู้ที่อายุ 17 ปีเฉกเช่นฟู่เสี่ยวกวนกลับเป็นผู้นำด้านวรรณกรรมในใต้หล้านี้ เดิมทีเขาควรมีความหยิ่งยโส แต่คาดมิถึงว่าเขาจะสุภาพเรียบร้อยถึงเพียงนี้

เขาอยู่ในตำแหน่งที่สูง ฐานะอันทรงเกียรติ เดิมทีคิดว่าเขาจะทำตัวสูงเสียดฟ้า แต่คาดมิถึงว่าเขาจะถ่อมตนถึงเพียงนี้

มารยาทของเขาครอบคลุมอย่างทั่วถึง น้ำเสียงของเขาอ่อนนุ่ม แม้แต่ทุกท่วงท่าของเขา ในสายตาของบุตรทั้งสี่ที่อยู่ทางด้านหลังของหลี่จินโต้วและฟู่เสี่ยวกวน ท่าทางที่แสดงออกมานั้นทั้งสงบและใจกว้าง

ดังนั้นนี่คือการซ่อนน้ำหมึกที่เปื้อนอกอย่างถ่อมตัว กวีเต็มท้องตัวตนย่อมสง่างามอย่างที่ท่านพ่อมักจะกล่าวอยู่เสมอ !

เป็นผู้ที่มากความสามารถอย่างแท้จริง !

ความกระวนกระวายในใจของพวกเขาถูกปล่อยวาง ในฐานะพ่อค้า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการติดต่อกับขุนนาง โดยเฉพาะขุนนางประเภทอหังการ !

เห็นได้ชัดว่าฟู่เสี่ยวกวนมิใช่ขุนนางเยี่ยงนั้น แล้วเขาเป็นขุนนางแบบไหนกัน ?

ภายใต้การนำทางของหลี่จินโต้ว ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ก็ได้มาถึงห้องอาหาร และเกิดการถ่อมตนขึ้นมาอีกครา ท้ายที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็มิอาจแย้งความตั้งใจของหลี่จินโต้วได้ และนั่งลงในตำแหน่งหัวโต๊ะ

 วันนี้หลี่ฉายได้เชิญข้ามา เดิมทีควรจะมาเร็วกว่านี้ แต่คาดมิถึงว่าฝ่าบาทจะรั้งให้ข้าอยู่ต่อ เรื่องนี้หลี่ฉายเองก็รับทราบ 

หลี่ฉายพยักหน้า และกล่าวยิ้ม ๆ ว่า  ท่านฟู่เป็นพระราชบุตรเขยของฝ่าบาท และข้าก็ทราบดีว่านโยบายของแคว้นฉบับนี้เป็นท่านฟู่ที่ร่างขึ้นมา และในตอนนี้เนื่องจากจะผลักดันในทุกด้าน คิดว่าฝ่าบาทคงประสงค์ที่จะไถ่ถามเกี่ยวกับนโยบายกับท่าน 

 เจ้ากล่าวได้มิผิด คำถามนี้ ถูกถามตั้งแต่หลังจากที่เลิกประชุมใหญ่ราชวงศ์จนถึงยามค่ำ ข้าได้กลับไปที่จวนและอธิบายให้เหล่าภรรยาฟัง จึงทำให้หลี่ฉายต้องรอนานเสียได้ 

 คำเอ่ยของท่านฟู่ทำให้ข้าน้อยนึกขลาด มิต้องกล่าวว่าให้รอถึง 1 ชั่วยาม ต่อให้ต้องรอทั้งคืน ข้าน้อยก็ยินดี ที่กล่าวมานี้มิได้ต้องการตีก้นม้าของท่าน แต่นโยบายที่ท่านผลักดันนั้น เป็นประโยชน์ต่อแคว้นและราษฎรอย่างแท้จริง ทำให้ข้าน้อยชื่นชมเป็นอย่างมาก 

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า  เป็นจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

หลี่ฉายตอบกลับอย่างจริงจังว่า  เป็นจริงดังนั้นอย่างแน่นอน !  

 เยี่ยงนั้น…  ฟู่เสี่ยวกวนยกถ้วยชาและมองไปทางหลี่ฉาย  เพื่อผลักดันนโยบายใหม่ ข้าจะจัดตั้งกรมการค้าขึ้นมาในราชสำนัก หากข้าจะเชิญให้หลี่ฉายมาดำรงตำแหน่งในกรมการค้า เจ้าจะยินยอมหรือไม่ ?  

หลี่ฉายตกตะลึงไปทันพลัน ข้าเพิ่งจะไต่ขึ้นมาเป็นชื่อหลางฝ่ายขวาในกรมคลังได้มิเกิน 1 เดือนดี เจ้ากลับจะเชิญข้าไปยังกรมการค้าเยี่ยงนั้นหรือ…  ว่าแต่กรมการค้า เป็นกรมแบบใดกัน ?  

 แน่นอนว่าเป็นกรมที่ควบคุมการค้าของราชวงศ์หยู เป็นผู้นำโดยตรงของกิจราชสำนัก สูงกว่าอีก 6 กรมอยู่ครึ่งขั้น เห็นว่าเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?  

ดวงตาชราของหลี่จินโต้วเป็นประกาย และลอบเตะขาของหลี่ฉายใต้โต๊ะ หลี่ฉายจึงลุกขึ้นยืนอย่างร้อนรน และโค้งคำนับ  ข้าน้อยยินยอมขอรับ !  

 ดี ! พรุ่งนี้เจ้าไปรอข้าที่เสมียนกลาง เจ้าเป็นคนแรกที่ข้ารับสมัครมาด้วยตนเอง พวกเรามาผลักดันให้การค้าของราชวงศ์หยูขึ้นไปสู่ระดับสูงกันเถิด !  

หลี่จินโต้วดีใจเป็นอย่างมาก และได้ตะโกนเสียงดัง  ให้คนนำสุรามาขึ้นโต๊ะ !  

 

ตอนที่ 446 ของขวัญ 3 ชิ้นและจดหมาย 2 ฉบับ

มื้อกลางวันของวันนี้ ขันทีเจี่ยได้ยกสำรับอาหารมาให้รับประทานในห้องทรงพระอักษร

เนื่องจากนโยบายของฟู่เสี่ยวกวนซับซ้อนขึ้นทุกวัน อีกทั้งฝ่าบาทกับอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน และต่งคังผิงมิอาจเข้าใจในความคิดล้ำหน้าเป็นพันปีของฟู่เสี่ยวกวนได้

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการขนส่งของแคว้น ดังนั้นฮ่องเต้จึงได้ตั้งใจฟังการอธิบายเรื่องราวเหล่านี้จากฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างมาก

เมื่ออธิบายมากขึ้น ก็มีคำถามตามมามากยิ่งขึ้น

จึงทำให้เกิด  กฎหมายแพ่งและพาณิชย์   กฎหมายสัญญา   กฎหมายสิทธิบัตร   กฎหมายภาษีเงินได้  ….กฎหมายต่าง ๆ มากมาย

ฟู่เสี่ยวกวนจึงตัดสินใจหยุดลง เขาเคยเกี่ยวข้องกับกฎหมายเหล่านี้อยู่บ้างแต่ก็มิได้ลึกเท่าใดนัก เขาจำกรอบทั่วไปได้ แต่รายละเอียดนั้นต้องใช้สมองคิดอย่างละเอียด แต่เรื่องนี้เขาคงต้องจัดการด้วยตนเอง ดังนั้นเมื่อเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว เขาก็ได้กล่าวออกมาว่า

 นี่เป็นการก่อตั้งขนาดใหญ่ ดังนั้นจึงต้องใช้จำนวนคนและเวลาค่อนข้างมาก แต่หลังจากที่กฎหมายเหล่านี้จัดการได้จนเสร็จสิ้นแล้ว จะสามารถดูแลและพัฒนาเศรษฐกิจของแคว้นหยูได้เป็นอย่างดี

ดังนั้นหน้าที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการก่อตั้งการค้าให้มั่นคง การสรรหาผู้มีความสามารถพิเศษ โดยเฉพาะผู้ที่เข้าใจหลักเศรษฐศาสตร์ แม้ว่าจะเป็นเพียงพ่อค้าก็สามารถใช้ได้ ตราบเท่าที่เขามีข้อมูลเชิงลึกที่มิเหมือนผู้ใด

มีเพียงการก่อตั้งกฎหมายใหม่ และเผยแพร่ไปทั่วหล้า การค้นพบปัญหาและแก้ไขให้สมบูรณ์ตามความเหมาะสม ในที่สุดก็จะบรรลุกฎหมายเชิงบรรทัดฐานและทำให้พ่อค้าในราชวงศ์หยูเข้าใจข้อจำกัดของกฎหมายเหล่านี้

ฟู่เสี่ยวกวนดื่มชาที่วางไว้จนเย็นเข้าไปอึกหนึ่ง แล้วมองไปทางฮ่องเต้

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วเข้าหากัน เนื่องจากเขายังมีหลายอย่างที่มิเข้าใจ แต่การที่ฟู่เสี่ยวกวนสามารถอธิบายมาได้ทั้งวันเช่นนี้ หมายความว่าเขาเป็นผู้รู้จริง เพียงแค่ตนนั้นยังมิเข้าใจเท่านั้นเอง

ในฐานะฮ่องเต้ผู้นำแคว้น เขามิอาจแสดงออกมาถึงความโง่เขลามากจนเกินไป ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาแล้วกล่าวอย่างสง่าว่า  ยอดเยี่ยม ! ข้าคิดว่ากรมการค้านี้สามารถดำเนินการได้ โดยมีฟู่เสี่ยวกวนรับหน้าที่เป็นหัวหน้ากรมการค้าวาระที่หนึ่ง…ควรเรียกตำแหน่งนี้ว่าเยี่ยงไร ?  

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะหึ ๆ แล้วกล่าวว่า  หัวหน้ากรม !  

 ตกลง เจ้ารับหน้าที่เป็นหัวหน้ากรมวาระที่หนึ่ง แต่งตั้งให้เป็น…ขุนนางระดับสามก็แล้วกัน เนื่องจากจะต้องจัดการเรื่องใหญ่โต ส่วนเรื่องผู้ที่อยู่ใต้บัญชาในกรมนี้ อัครมหาเสนาบดีเยี่ยน เสนาบดีต่ง… 

 พ่ะย่ะค่ะ !  

 พ่ะย่ะค่ะ !  

 เจ้าทั้งสองคนรับหน้าที่รวบรวมผู้ที่มีความสามารถมาทำงานที่กรมการค้านี้ อาจจะโยกย้ายคนมาจากกรมของพวกเจ้า หรืออาจจะคัดเลือกจากผู้มีความสามารถมากมายในใต้หล้านี้ก็ได้ อ่า… หรือพวกเจ้าจะประกาศรับสมัครทั่วทั้งราชวงศ์หยูก็ตามแต่ เรื่องของจำนวนคนที่ต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ตัดสินใจ เอาล่ะวันนี้พอแค่นี้ ข้าเองก็เหนื่อยมากแล้ว…เสี่ยวกวน 

 พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท 

 เจ้าเป็นบุตรเขยของข้า 

 อ่า…พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเป็นบุตรเขยของฝ่าบาท 

 ข้ารู้ดีว่าเจ้าทำและหวังดีต่อราชวงศ์หยู ข้าขอกล่าวไว้ ณ ที่นี้ว่าหากราชวงศ์หยูดีขึ้นอย่างแท้จริง ข้าจะร่วมมือเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์อู๋ก็ย่อมได้…ข้านั้นตรัสแล้วมิคืนคำอย่างแน่นอน เจ้าวางใจได้ !  

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน เนื่องจากเขาเองก็มิได้คิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์หยูและราชวงศ์อู๋มาก่อน คำเอ่ยของฝ่าบาทเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งใจมากยิ่งนัก

 กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ !  

 เอาล่ะ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปกรมการค้าก็จะเริ่มดำเนินการขึ้นมาอย่างเป็นทางการ สถานที่ตั้งให้อยู่ที่…ซวนหมิงเตี้ยน ทางด้านขวาของท้องพระโรงเฉิงเทียน 

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะเดินกะเผลก ๆ ออกมาจากพระราชวัง ก็ได้มองเห็นซูซูเดินเข้ามาด้วยท่าทางโมโห

 เจ้ารับหน้าที่นี้ช่างลำบากยิ่ง ตื่นตั้งแต่ไก่ยังมิโห่กระทั่งไก่กลับเข้าเล้าแล้วเจ้าก็ยังมิกลับ…ยุ่งมากถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนอมยิ้มแล้วก้าวขึ้นรถม้า กล่าวว่า  เจ้ามิรู้อะไร วันนี้ข้ากล่าวมาทั้งวันแล้ว ไปเถอะ กลับจวนก่อน อีกประเดี๋ยวจะต้องออกไปข้างนอกอีก 

 ยังจะไปที่ใดอีก ?  

 เป็นการเชิญชวนจากสหายร่วมงาน ข้าจำเป็นต้องเดินทางไปเสียหน่อย 

ซูซูเบ้ปากแล้วขับรถม้ากลับไปยังจวนฟู่

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนผู้เป็นเจ้าของจวนกลับมาถึง ก็ได้มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังล้อมรอบมุงดูบางสิ่งและสนทนากันจอแจ

เขาจึงได้เดินเข้าไปมอง  ไอหยา ผู้ใดมอบของมากมายเช่นนี้มากัน ?  

กลางลานว่างวางหีบกล่องขนาดน้อยใหญ่เรียงรายอยู่มากมาย ต่งชูหลานโบกมือให้บ่าวรับใช้นำกล่องเหล่านี้ขนย้ายเข้าไปด้านใน

 นี่คือรายการของขวัญ… ต่งชูหลานยื่นกระดาษสีแดงสามใบใหญ่ไปให้ฟู่เสี่ยวกวน  เจ้าได้รับความนิยมในราชวงศ์อู๋มิน้อย ของขวัญเหล่านี้ส่งมาจากราชวงศ์อู๋และล้วนมีค่า แม้แต่แคว้นฝานและแคว้นอี๋ก็ได้ส่งของขวัญมาให้กับเจ้าด้วย ฮ่า ๆ ครานี้ได้รับประโยชน์มิน้อยเลยนี่ !  

ฟู่เสี่ยวกวนเปิดออกดูด้านใน…ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาทันที จากนั้นก็หัวเราะออกมา  ข้ากำลังขาดแคลนเงินอยู่พอดี พวกเขามาได้จังหวะอย่างแท้จริง 

 เจ้าจะส่งของขวัญคืนหรือไม่ ?  

ส่งคืนให้โง่หรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนมองดูเงินทองเครื่องประดับและภาพวาดล้ำค่าที่มอบมาให้เหล่านี้ จะส่งคืนไปทำไมกัน !

 ข้าจะเขียนจดหมายขอบคุณให้พวกเขาคนละฉบับเพื่อแสดงความขอบคุณจากใจ นี่นับว่าเป็นของขวัญตอบแทนที่จริงใจที่สุดของข้าแล้ว !  

ต่งชูหลานกลอกตาใส่เขาหนึ่งครา แต่นางก็ชอบเขาที่เป็นแบบนี้ หน้าหนาเหลือทน !

 ยังมีจดหมายอีก 2 ฉบับ ฉบับหนึ่งส่งมาจากแคว้นอี๋ อีกฉบับหนึ่ง…มาจากหนานกงตงเซวี๋ย  ต่งชูหลานมองดูฟู่เสี่ยวกวนอย่างมีความหมายแอบแฝง

ฟู่เสี่ยวกวนรับจดหมายฉบับแรกมาอ่าน จากนั้นก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน

 ท่านฟู่

นับจากร่ำลากัน ณ เมืองกวนหยุน บัดนี้ก็เป็นเวลา 7 เดือนแล้ว ข้ายังคงนับถือท่านเสมือนพี่จากใจจริง

ได้ยินว่าท่านฟู่แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว ข้านั้นประสงค์จะเดินทางไปยังเมืองจินหลิงเสียจริง แต่คาดว่าคงจะไปมิทัน อีกทั้งข้านั้นยังถูกจำกัดในหลาย ๆ เรื่อง ช่างน่าเสียดายยิ่ง จึงได้ส่งมอบของขวัญมาให้ท่านฟู่เป็นตัวแทนความยินดี

การเจารจาครานี้มีองค์รัชทายาทเยียนเหลียงเจ๋อเป็นผู้ดำเนินการ ข้าคิดว่าท่านฟู่จะทำให้เขาต้องอับอายกลับไป

แคว้นอี๋แพ้อย่างราบคาบ บัดนี้ในราชวังยุ่งเหยิงกันพัลวัน หลายคนกล่าวว่าเนื่องจากองค์รัชทายาทไร้ความสามารถ หากว่าองค์รัชทายาทพ่ายแพ้ในราชวงศ์หยู คาดว่าเสด็จพ่อคงจะทรงจัดการปลดองค์รัชทายาทเสีย

ข้าคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดี หวังว่าท่านฟู่จะยังจำคำสัญญาที่เมืองกวนหยุนได้ หากข้าได้ขึ้นครองราชย์ สาบานว่าจะเป็นพันธมิตรกับราชวงศ์หยู อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราทั้งสอง คงจะราบรื่นตลอดไปมิเสื่อมคลาย !  

ขออวยพรให้ท่านฟู่มีความสุขในวันอภิเษกสมรส !

เยียนหานยวี่ เขียน ณ วันที่หนึ่ง เดือนสิบเอ็ด ยามราตรี 

ฟู่เสี่ยวกวนเก็บจดหมายฉบับนั้นลงไป สายตาเขากลอกไปมาคล้ายกับมีแผนอยู่ในใจ

เจ้าหมอนี่มันอยากขึ้นเป็นกษัตริย์เสียจนบ้าไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ นี่มันกำลังขายแคว้นของตนเองอยู่มิรู้เยี่ยงนั้นหรือ !

แน่นอนว่าข่าวนี้เป็นประโยชน์กับฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างมาก เนื่องจากเขาเป็นตัวแทนในการเจรจาครานี้

แคว้นอี๋บุกรุกเข้ามายังแคว้นหยู อีกทั้งยังเข้าตีถึงหลานหลิงแล้ว ทำให้แคว้นหยูที่เดิมทีก็อ่อนแออยู่แล้วต้องอ่อนแอเข้าไปอีก แคว้นอี๋จะต้องรับผิดชอบอย่างใหญ่หลวง !

บัดนี้เขาได้รับพระราชโองการจากฮ่องเต้ เดิมทีเขาต้องการให้ระหว่างการเจรจานี้ทำให้แคว้นอี๋ยอมยกเมืองฮั่วหลานให้แก่แคว้นหยู ได้เพียงแค่ที่ราบสีหม่าจะมีประโยชน์อันใด ที่แห่งนั้นป้องกันยากมากยิ่งนัก แต่หากสามารถได้เมืองฮั่วหลานมา ราชวงศ์หยูก็จะสามารถใช้ม้าศึกในที่ราบสีหม่าได้

แต่บัดนี้เขาเปลี่ยนความคิดแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ ทำให้เยี่ยนเสี่ยวโหลวรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย สามีของนางกำลังคิดแผนร้ายอันใดอยู่อีกกัน ?

จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็เปิดจดหมายของหนานกงตงเซวี๋ยออกดู…

 สามีที่รัก !  

ฟู่เสี่ยวกวนรีบเก็บจดหมายนั้นไว้แล้วยิ้มกลบเกลื่อนทันที เขารีบเปลี่ยนเรื่องสนทนากับหยูเวิ่นหวินถึงเรื่องหลี่จินโต้ว

 ข้าจะพบเสด็จแม่ในวันพรุ่งนี้ 

 บุตรชายของเขา เจ้ารู้จักดีหรือไม่ ?  

 เขามีบุตรชายหลายคน ข้านั้นมิค่อยรู้จักเท่าใด ได้ยินมาว่าพวกเขาดูแลการค้าที่ยิ่งใหญ่อยู่ เจ้าเอ่ยถามสิ่งนี้เนื่องด้วยเหตุใดกัน ?  

 อ้อ…บุตรชายของเขาคนหนึ่งได้เชิญข้าไปยังจวนหลี่ ประเดี๋ยวข้ากำลังจะไปดู บัดนี้ต้องการผู้มีความสามารถจำนวนมาก เขาได้เสนอมาด้วยตนเอง จะปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปได้เยี่ยงไร !  

 

ตอนที่ 445 นโยบาย ( 2 )

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวออกมาอย่างฉะฉาน จนทำให้ผู้ฟังทั้งสามถึงกับตกตะลึงเสียจนตาค้าง

แท้จริงแล้วฟู่เสี่ยวกวนกล่าวเพียงข้อเสียที่เข้าใจได้ง่ายเพียงเท่านั้น เขามิได้กล่าวถึงข้อเสียที่ร้ายแรงยิ่งกว่าหรือที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น กล่าวไปพวกเขาก็มิเข้าใจอยู่ดี อย่างเช่นอาจจะทำให้เศรษฐกิจเข้าขั้นวิกฤต อย่างเช่น การเสื่อมมูลค่าของเงิน ภาวะเงินเฟ้อหรือเงินฝืดและอื่น ๆ

เขาสามารถคาดเดาเหตุการณ์ได้ การริเริ่มเปลี่ยนแปลงนโยบายของแคว้นนี้ แน่นอนว่าจะต้องเกิดปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงานในจำนวนมาก เขาหวังว่าการเคลื่อนย้ายในครานี้จะเป็นไปในทิศทางที่ดี การที่จะพัฒนาเศรษฐกิจของเขตเล็ก ๆ ขึ้นมาได้… ชาวบ้านมิจำเป็นต้องอพยพ และชาวบ้านสามารถสร้างร้านค้าเพื่อหาเงินในเขตนั้น ๆ ได้ อีกทั้งยังไม่ทำให้พืชผลทางการเกษตรภายในบ้านสูญหายไปอีกด้วย

เขตชนบทเริ่มมีความเป็นอยู่ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่เศรษฐกิจกลับมิพัฒนาเลย เขตชนบทในบัดนี้เริ่มเหมือนเมืองใหญ่ ๆ มากขึ้นไปทุกที ความเป็นชนบทเริ่มจะถดถอยลงไปมากแล้ว

ทุนแสวงกำไร หากมิมีการควบคุม ผลลัพธ์ในตอนท้ายก็ยากที่จะจินตนาการถึงได้

ฮ่องเต้ อัครมหาเสนาบดีเยี่ยน และเสนาบดีต่งเองก็ยากที่จะจินตนาการถึงได้

ฮ่องเต้เดินเข้ามา นั่งลงเบื้องหน้าโต๊ะน้ำชา และกล่าวกับขันทีเจี่ยที่ก้มหน้าอยู่ตรงมุมห้องว่า  ไปนำชาชั้นดีของข้ามาสักหนึ่งกล่อง… 

ขันทีเจี่ยโค้งคำนับแล้วเดินออกไปจากห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้จ้องมองฟู่เสี่ยวกวน และเอ่ยถามอีกว่า  ตามคำกล่าวของเจ้า การผลักดันการค้านี้มิได้มีความเสี่ยงมากใช่หรือไม่ ?  

 กระหม่อมคิดว่าทุกเรื่องย่อมมีข้อดีและข้อเสีย ต้องกำหนดกฎการค้าไว้ให้ดี หากสามารถเพิ่มแนวทางการแข่งขันทางการค้าได้ และหากเพิ่มความสามารถของเครื่องจักรที่สร้างผลิตภัณฑ์ได้มากพอ พ่อค้าสามารถทำเงินได้ ชาวบ้านก็จะสามารถได้รับเงินจากการใช้แรงงาน ประเทศก็จะได้รับภาษีเพิ่มขึ้นจากการผลิตและการหมุนเวียนของผลิตภัณฑ์

สิ่งเหล่านี้จัดอยู่ในด้านดี แต่ในด้านที่แย่ก็คือความโหดร้ายที่มีอยู่ในการแข่งขันทางการค้า ในขั้นตอนของการแข่งขัน ย่อมมีพ่อค้าที่ล้มเหลวและล้มละลาย ย่อมมีอุตสาหกรรมล้าหลังที่ถูกกำจัดออกไปโดยอุตสาหกรรมที่ก้าวหน้า

นี่คือในแง่มุมของตลาดภายในแคว้น แต่กระหม่อมคิดว่า แสงสว่างของพวกเราควรจะไปได้ไกลมากยิ่งขึ้น เมื่อพวกเราลองมองออกไปยังตลาดทั่วหล้า… ฝ่าบาท ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ท่านพ่อตาต่ง พวกท่านลองใคร่ครวญดูเถิด

หากมีวันหนึ่ง ที่พวกเราสามารถนำสินค้าภายในแคว้นของพวกเราไปยังตลาดทั่วหล้าได้ พวกเราจะทำกำไรหรืออยู่รอดในการแข่งขันกับแคว้นอื่น ๆ ได้เยี่ยงไร

นี่คือสภาพแวดล้อมการตลาดที่เลวร้าย ซึ่งผลิตภัณฑ์ของราชวงศ์หยูจะเป็นต้องมีส่วนที่ล้ำหน้า ในด้านทางวิธีการต้องมีข้อได้เปรียบอย่างสูงสุด นั่นจึงจะเป็นสนามรบอย่างแท้จริง มิมีดาบหรือกระบี่ แต่จะมีเงาของดาบและกระบี่อยู่ทั่วทุกหนแห่ง และจะตายทันทีในยามที่ละความใส่ใจ

แต่นั่นกลับเป็นเวทีสู่ความรุ่งเรือง หากพวกเราสามารถคว้าชัยชนะได้ และสามารถทำเงินก้อนโตในแคว้นอื่น ๆ ได้ ก็จะสามารถชี้ขาดราคาของผลิตภัณฑ์ได้ แม้กระทั่ง…ด้วยวิธีการทางการตลาด พวกเราก็จะสามารถควบคุมแคว้นอื่นได้… 

ทั้งสามคนต่างก็จ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวนเสียจนตาค้าง ในยามที่ขันทีเจี่ยก้าวเข้ามาในห้องทรงพระอักษร ก็ทันได้เห็นเข้ากับฉากนี้อย่างพอดิบพอดี เขาเองก็ตกตะลึงเสียจนแทบอ้าปากค้าง

ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ จะทำอันใดให้ผู้อื่นตกตะลึงอีกกัน ?

ในยามที่ขันทีเจี่ยส่งกล่องชาไปให้ฮ่องเต้ คาดมิถึงว่าเขาจะมิรับ ราวกับมิได้ตระหนักว่ายามนี้ขันทีเจี่ยได้มายืนอยู่ข้างกายของเขาแล้ว

ตอนนี้ในหัวของเขากำลังนึกถึงฉากที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวไว้ ใต้หล้านี้เป็นเวที ราชวงศ์หยูยืนอยู่บนเวทีนั้น สุดท้ายแล้วจะเป็นเยี่ยงไรกัน ?

จะถูกผลิตภัณฑ์ของแคว้นอื่นสังหารเสียจนสะบักสะบอมหรือไม่ ? หรือจะสามารถพิชิตและยึดครองเวทีนั้นได้กัน ?

แต่การค้าระหว่างแคว้นยังมิถูกเปิดอย่างเสรี ย่อมมิได้เผชิญกับผลิตภัณฑ์ของทุกแคว้นโดยตรง แต่ผลิตภัณฑ์จากแคว้นอื่นที่ถูกลักลอบนำเข้ามากลับเริ่มส่งผลกระทบกับชีวิตของผู้คนจำนวนมิน้อยแล้ว

อย่างเช่นเครื่องหยกของแคว้นฝาน เครื่องไม้ของแคว้นอี๋ เครื่องโลหะของแคว้นอู๋ แน่นอนว่าในปัจจุบันผ้าไหมของแคว้นหยูก็เป็นที่กล่าวขานในตลาดของแคว้นเหล่านั้น

แต่นี่ก็เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของผลิตภัณฑ์หลายพันรายการ และสามารถอธิบายหลักการได้เล็กน้อย

หากเครื่องหยกของแคว้นฝานถูกนำเข้ามาราชวงศ์หยูได้อย่างถูกต้อง เครื่องหยกของแคว้นหยูย่อมทำได้เพียงถอยร่น หากกระบวนการทางกลวิธีของเครื่องหยกของแคว้นหยูในภายภาคหน้ายังมิทำการปรับปรุง เยี่ยงนั้นในท้ายที่สุดมันก็จะล้มละลาย หลังจากนั้นก็จะหายไปอย่างแน่นอน

ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลที่มิมีแคว้นใดกล้าที่จะเปิดเสรีทางการค้าระหว่างแคว้น

เมื่อฮ่องเต้ควบคุมสติได้ ก็ได้สูดลมหายใจเข้าลึก แล้วจึงรับชามาดื่ม และกล่าวว่า  การค้าระหว่างแคว้น…มิเหมาะสม !  

ฟู่เสี่ยวกวนกลับตอบกลับมาว่า  ฝ่าบาท พระองค์คิดผิดแล้ว !  

มือที่หยิบกระปุกชาขึ้นมาของฮ่องเต้สั่นเล็กน้อย ถึงแม้ข้าจะเป็นพ่อตาของเจ้า แต่ตัวตนของข้าก็เป็นถึงจักรพรรดิ !

ฟู่เสี่ยวกวนกลับไม่ได้มองท่าทางหงุดหงิดของเขา และกล่าวอย่างจริงจังว่า  หลักของตลาดสัมพันธ์กับความต้องการซื้อและความต้องการขาย การปิดแคว้นเป็นการเคลื่อนไหวในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น… กระหม่อมทราบว่าพระองค์ต้องการกล่าวถึงว่า ได้เป็นมาเยี่ยงนี้มานับพันปี แต่ในช่วงพันปีนี้ในสายตาของราษฎรในอีกหลายหมื่นปีข้างหน้า ก็ถือว่ามิได้มีอันใดเลย

ในท้ายที่สุดประวัติศาสตร์ก็จะเดินไปข้างหน้า ในตอนนี้พวกเรามิจำเป็นต้องเผชิญหน้า แต่มิได้หมายความว่าคนรุ่นหลังจะมิได้เผชิญหน้าในอนาคต ฝ่าบาท พระองค์เป็นบุคคลที่มีหน้าที่ต้องแบกรับ เหตุอันใดต้องทิ้งเรื่องเหล่านี้ไว้ให้กับคนรุ่นหลังด้วยเล่า ?

กระหม่อมคิดว่า หากในปัจจุบันนี้ฝ่าบาทสามารถก้าวนำไปได้ หลังจากที่เปิดการค้าระหว่างแคว้นในภายภาคหน้า ก็จะกลายเป็นผู้ที่นำหน้าไปสิบก้าว !  

ฮ่องเต้เงียบไปเสียเนิ่นนาน เขาต้มชาแล้วจึงกล่าวขึ้นมาอย่างช้า ๆ ว่า  การถามนโยบายในวันนี้ หารือเกี่ยวกับนโยบายการพัฒนาการค้าและการเกษตร เรื่องของการค้าระหว่างแคว้น… ยังมิต้องเอ่ยถึงในตอนนี้ 

ฟู่เสี่ยวกวนฉีกยิ้มมุมปาก  ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องยิ่ง !  

 เจ้าบอกข้ามาว่าต้องทำเยี่ยงไรจึงจะสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงเหล่านั้นได้ 

เยี่ยนเป่ยซีและต่งคังผิงต่างก็หันไปมองทางฟู่เสี่ยวกวน ในการผลักดันด้านการค้าในปัจจุบันนี้ได้ออกเดินก้าวที่สำคัญที่สุดแล้ว ลูกธนูที่ปล่อยออกไปย่อมมิย้อนกลับ เยี่ยงไรเสียก็ต้องเดินไปในเส้นทางนี้ แต่จะเดินไปเยี่ยงไรนั้น… ในตอนนี้มันได้ตกไปอยู่บนบ่าของเด็กคนนี้แล้ว และบัดนี้กำลังตั้งใจฟังว่าเขาจะตอบกลับมาว่าเยี่ยงไร

ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยขึ้นมาว่า  การแข่งขันทางการค้าเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง นี่คือกฎเกณฑ์ของการตลาด สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือต้องทำให้การแข่งขันนี้เป็นระบบระเบียบ ก้าวแรก ก็คือกฎหมายทางการค้า !  

กฎหมายเยี่ยงนั้นหรือ ?

กฎหมายและข้อบังคับที่เกี่ยวกับพ่อค้าภายในแคว้นมีมิมาก โดยพื้นฐานจะตกอยู่ในนโยบายการจัดการและการควบคุมวัสดุของแคว้น อย่างเช่น หากจะค้าขายเกลือก็ต้องเป็นเกลือของทางราชสำนัก พ่อค้ามิได้รับอนุญาตให้ค้าขายอาวุธ หากพ่อค้าต้องการขุดเหมืองก็จำเป็นต้องมีเอกสารจากทางราชสำนักและอื่น ๆ

แต่กฎหมายที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวมาในยามนี้กลับมิใช่เรื่องเหล่านี้ กฎหมายการค้าที่เขาคิดอยู่นั้นเป็นเยี่ยงไรกัน ?

ท่ามกลางสายตาที่เฝ้ารอของคนทั้งสาม ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้กล่าวออกมาอย่างฉะฉานว่า

 นี่มิใช่ประมวลกฎหมายหนึ่งบท แต่เป็นกฎหมายหนึ่งฉบับ ประการที่หนึ่งคือ ‘บัญญัติจรรยาบรรณการค้า’ นี่คือหนึ่งในกฎหมาย ต้องทำการขีดเส้นกำกับให้แก่พ่อค้าทุกกิจการ สิ่งใดที่ทำได้ สิ่งใดที่ทำมิได้ รวมไปถึงบทลงโทษหลังจากที่ฝ่าฝืนข้อบังคับและอื่น ๆ  

 ประการที่สองเล่า ?   ต่งคังผิงเอ่ยถามต่อ

 ประการที่สองคือ ‘กฎหมายต่อต้านการแข่งขันที่มิเป็นธรรม’ สิ่งที่เรียกว่าการแข่งขันที่มิเป็นธรรม หมายถึง พ่อค้าที่ใช้วิธีการที่มิเหมาะสมในกิจกรรมทางการค้า สร้างความเสียหายต่อกำไรของพ่อค้าผู้อื่นโดยมิชอบธรรม ก่อกวนความสงบทางเศรษฐกิจของแคว้น… 

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวออกมาอย่างฉะฉาน คนทั้งสามดูสับสนอย่างเห็นได้ชัด เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ และแบสองมือออก  ดูเหมือนว่าการจัดตั้งและดำเนินกฎหมายนี้จะยังเป็นหนทางที่ยาวไกล แต่ก็ต้องมีขั้นตอนนี้ด้วย… กระหม่อมคิดว่าในปัจจุบันนี้ควรจัดตั้งหน่วยงานที่ดูแลทางนี้โดยเฉพาะขึ้นมาก่อน หน่วยงานนี้มีนามว่ากรมการค้า รับผิดชอบด้านกฎหมายและการวิเคราะห์ รวมไปถึงตรวจตราการค้าทั้งหมดภายในแคว้น มิทราบว่าทุกท่านคิดเห็นเหมือนกันด้วยหรือไม่ ?  

 

ตอนที่ 444 นโยบาย ( 1 )

งานประชุมใหญ่ราชวงศ์ในครานี้สิ้นสุดลงในช่วงสาย

และการประชุมใหญ่ราชวงศ์เช้านี้ได้อธิบายเรื่องสำคัญอยู่หลายประการ

ฮ่องเต้มิได้ทำตัวแปลกแยกเนื่องจากตัวตนที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวกวน แต่ฮ่องเต้กลับให้ความสำคัญกับเขา มอบหมายหน้าที่ที่สำคัญกว่าเดิมให้กับเขา !

หากเป็นเยี่ยงนี้แล้ว เพียงแค่ฟู่เสี่ยวกวนมิออกไปจากราชวงศ์หยู เขาย่อมมีอนาคตที่ยาวไกลเป็นแน่

แต่หากเขาออกจากราชวงศ์หยู เขาก็เป็นถึงจักรพรรดิของราชวงศ์อู๋

ดังนั้นมิว่าจะเลือกเยี่ยงไร ล้วนเป็นผลดีต่อฟู่เสี่ยวกวนทั้งสิ้น นี่คือสิ่งที่ขุนนางทุกคนต่างก็คิดเหมือนกัน

นโยบายการลดภาษีและการยกเว้นภาษีเพื่อส่งเสริมการค้าได้ดำเนินขึ้นแล้ว ซึ่งนี่หมายความว่ากลุ่มคนหัวโบราณที่นำโดยฉินฮุ่ยจือได้พ่ายแพ้อย่างราบคาบ จะต้องใช้โอกาสนี้ให้สมาชิกในครอบครัวดำเนินการทางการค้า

ได้ยินมาว่าอุตสาหกรรมที่ซีซานนั้นได้ขยายมายังผิงหลิงชวีอี้ทั้งสองเขตแล้ว เจ้าหมอนี่ได้วิ่งไปดักหน้าเอาไว้อีกแล้ว ตนจะต้องรีบตามขึ้นไป

เนื่องจากราชวงศ์หยูที่กว้างใหญ่นี้มีเพียง 6 เขตเท่านั้นที่ใช้เป็นเขตการทดลอง เมื่อข่าวนี้เเพร่ออกไปทั่วหล้า ในวันนั้นพ่อค้าทุกคนต่างก็กระตือรือร้นกันเป็นอย่างมาก หากว่าช้าไป เกรงว่าแม้แต่น้ำแกงก็จะมิได้ซด

ในบรรดาขุนนางทั้งหลาย ผู้ที่ตื่นเต้นที่สุดคงจะเป็นหลี่ฉาย

บัดนี้เขาอายุได้สี่สิบกว่าปีแล้ว เขาทำงานอยู่ในกรมคลังมา 20 ปีแล้ว จึงได้เลื่อนขั้นเป็นชื่อหลางฝ่ายขวาของกรมคลัง

หากจะกล่าวถึงแก่นแท้แล้ว เขานั้นเป็นพ่อค้า บิดาของเขาเป็นผู้ดูแลธนาคารเป่าหลงที่ใหญ่ที่สุดในราชวงศ์หยู พี่ชายจัดการร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง น้องชายคนที่สามเป็นผู้ดูแลกิจการหยกที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวงแห่งหอยู่ติ่ง น้องชายคนที่สี่เป็นหลงจู๊ของหอหุยชุน

สำหรับฟู่เสี่ยวกวนแล้วนั้น หลี่ฉายรู้จักเขาตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว ในตอนนั้นฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะเดินทางมาที่เมืองหลวงคราแรก เนื่องจากอุทกภัยในครานั้น ฝ่าบาทจึงได้ประทานตำแหน่งเหวินซ่านกวนให้แก่เขา แต่กลับให้เขาไปทำงานที่กรมคลัง

จากมุมมองของหลี่ฉายแล้วนั้น การที่ฝ่าบาททรงกระทำเช่นนี้เนื่องจากกำลังส่งสัญญาณบางอย่างว่า ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้จะมีบทบาทสำคัญในอนาคต

และตนก็มิได้มองผิดไป บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้มีอำนาจมากมาย มิมีผู้ใดสามารถขัดขวางเขาได้ !

อยู่ ๆ เขาก็ต้องการเข้าพบท่านพ่อ…คาดว่าน่าจะมีนโยบายใหม่ ๆ มาอีกเป็นแน่ คาดว่าเขาอยากจะสอบถามท่านพ่อถึงเรื่องการจัดการและการเงิน

เรื่องนี้จะต้องทำให้ดี ดังนั้นเขาจึงได้รีบกลับไปยังจวนเมื่อเลิกการประชุมใหญ่ราชวงศ์

ส่วนฟู่เสี่ยวกวน หลังจากจบการประชุมใหญ่ราชวงศ์แล้ว ก็ได้ถูกฝ่าบาททรงเรียกตัวเอาไว้ จากนั้นก็ได้ติดตามฝ่าบาทไปยังห้องทรงพระอักษร และยังมีผู้ที่ติดตามไปด้วยอีก 2 คนคือเยี่ยนเป่ยซีและต่งคังผิง

ชายชราทั้งสองคนนั้น คนหนึ่งเป็นพ่อตา อีกคนหนึ่งเป็นพ่อของพ่อตา…ฟู่เสี่ยวกวนเดินตามพวกเขาอยู่ด้านหลัง ในใจของเขากระสับกระส่ายขึ้นมาทันพลัน หรือจะเป็นเพราะว่างานแต่งงานจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายจนเกินไปกัน ?

แต่สุดท้ายเขาก็คิดมากไปเอง ณ ห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้นั่งลงหน้าโต๊ะมังกรแล้วมองมายังฟู่เสี่ยวกวน แล้วตรัสว่า  ข้าและท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเห็นว่า ในปีหน้าหลังจากปีใหม่ จะเพิ่มจุดทดลองเป็น 20 จุด แต่ท่านเสนาบดีต่งมองว่ายังมิเหมาะสม หลังจากที่ได้ครุ่นคิดมาเป็นเวลานาน ข้าจึงอยากจะถามเจ้าว่ามีความคิดเห็นเยี่ยงไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง ?  

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน นี่มันช่างทำให้ลำบากใจมากยิ่งนัก ท่านเป็นฮ่องเต้ อยากจะทำเยี่ยงไรก็ทำไปสิ !

เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จากนั้นก็ได้กล่าวความคิดเห็นออกมาว่า  กระหม่อมคิดว่า ควรจะประนีประนอมต่อกัน !  

ฮ่องเต้ชะงักลงแล้วเอ่ยถามว่า  ประนีประนอมเยี่ยงไร ?  

 กระหม่อมคิดว่าในปีหน้าสามารถเพิ่มพื้นที่ทดลองเป็น 10 เเห่งได้ 

เยี่ยนเป่ยซีขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยด้วยความสงสัยว่า  ดูจากเขตเหยาแล้ว นโยบายของเจ้ามิน่าจะมีปัญหา ดูจากเขตผิงหลิงและชวูอี้แล้ว นโยบายนี้สามารถจัดการกับปัญหาของราษฎรในฤดูหนาวได้อีกทั้งยังเป็นรากฐานที่ดีในปีต่อ ๆ ไป เหตุใดมิเพิ่มพื้นที่ทดลองให้มากกว่านี้กันเล่า ?  

 กระหม่อมคิดว่า เนื่องจากบัดนี้เขตทดลองมีถึง 3 เขต แต่กลับมีขนส่งซีซานเพียงแห่งเดียวเท่านั้น มันมิได้ส่งผลดีต่อนโยบายนี้ บัดนี้ฝ่าบาททรงประกาศยกเว้นภาษีพ่อค้าเป็นเวลา 3 ปี…ฝ่าบาทอีกทั้งท่านอัครมหาเสนาบดีและท่านพ่อตารอดูเถิดว่าจะมีพ่อค้าจำนวนมากไปยังสถานที่ทั้งหกแห่งนี้เพื่อการลงทุนขนาดใหญ่ 

 นี่มิใช่เรื่องดีเยี่ยงนั้นหรือ ? นโยบายนี้สร้างขึ้นเพื่อกระตุ้นให้พ่อค้าตื่นตัวนี่ !  

 เรียนท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน การทำให้พวกเขาตื่นตัวนั้นย่อมมิผิดเป็นแน่ แต่ท่านอย่าได้ดูหมิ่นพ่อค้าเหล่านั้น การดูแลควบคุมของพวกเรานั้นมิทั่วถึง พวกเขาจะใช้ช่องโหว่เหล่านี้ และจะใช้มันในทางที่ค่อนข้างจะมิดี 

ฮ่องเต้ขมวดคิ้วมุ่น การดูแลควบคุม…เรื่องนี้เขามิเคยคิดมาก่อน

อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเอ่ยถามขึ้นว่า  จะเกิดช่องโหว่เยี่ยงไรบ้าง ?  

 อาทิเช่น ข้าลงทุนที่ผิงหลิงทั้งสิ้น 200,000 ตำลึง และคัดเลือกคนงาน 100 คนซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเป็นเวลา 3 ปีใช่หรือไม่ ? เขตผิงหลิงจะต้องให้ข้าได้รับการยกเว้นภาษี แต่คราวนี้ท่านได้เข้าพบข้า หากท่านต้องการขายสินค้าของท่านไปยังสถานที่ต่าง ๆ ผ่านการประชุมเชิงปฏิบัติการ ภายใต้ชื่อของข้า ข้านั้นทำได้เพียงสัญญา สินค้าของท่านจะได้รับสิทธิพิเศษปลอดภาษี แต่ท่านมิต้องลงทุนเลยสักตำลึงเดียวในเขตผิงหลิง 

 นี่มิใช่ช่องโหว่เยี่ยงนั้นหรือ ?  

อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนชะงักไปชั่วครู่ เขาครุ่นคิดขึ้นมาหลายอย่าง อย่าว่าแต่ภาษีเลย หากพ่อค้าในเจียงหนานใช้วิธีนี้หลบหนีภาษี จะทำให้ราชวงศ์สูญเสียมากมายมหาศาลชนิดที่มิอาจรับมือได้ หากว่าทั้งแคว้นทำเยี่ยงนี้…ปีหน้าจะยังมีภาษีให้เก็บอยู่อีกหรือ ?  

ฮ่องเต้มองไปยังอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ทั้งสองสบตากันแล้วก็ได้เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเรื่องนี้ยังมีสิ่งที่ต้องไตร่ตรองอยู่อีกมากมาย

 นี่เป็นเพียงด้านเดียวเท่านั้น…  ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยต่อไปว่า  นอกจากนี้ยังมีอีกหลายด้าน เช่น โครงสร้างการลงทุนของแต่ละที่เหมาะสมหรือไม่ ?  

 นี่เป็นเพียงตัวอย่างง่าย ๆ ข้านั้นได้ทำการก่อสร้างที่เขตผิงหลิงมากมายหลายที่ ต้องการใช้แรงงานถึง 4,000 คน บัดนี้ในเขตผิงหลิงมีผู้ใช้แรงงานกว่าแปดหมื่นคน แต่พวกเรามิอาจให้พวกเขาทั้งแปดหมื่นคนนี้เข้าไปทำงานได้ทั้งหมด เนื่องจากยังจำเป็นต้องปลูกข้าว 

 เช่นนั้นเป็นการดีที่ข้าได้คัดเลือกเกษตรกรมา 40,000 คน เหลืออีก 40,000 คนให้พวกเขาทำการเพาะปลูกกำลังดี หากว่ามีพ่อค้าเกิดขึ้นมากมาย อีกทั้งก่อสร้างสถานที่มากมาย จะเป็นการใช้แรงงานคนจำนวนมากจนเกินไป …นี่อาจจะเกิดภาวะรกร้างของผืนนาได้ เนื่องจากทุกคนล้วนอยากไปทำงานหาเงิน แล้วยังจะมีผู้ใดสนใจการเพาะปลูกอยู่อีกเล่า ?  

 แน่นอนว่าหลังจากที่ทุกพื้นที่ถูกเปิดใช้หมดแล้ว อาจจะใช้เวลาเพียง 3 ปีหรือ 5 ปี แต่พวกเราจะพบว่าเกษตรน้อยจะลดลงเรื่อย ๆ นาน ๆ เข้าเกษตรกรในหลาย ๆ พื้นที่ก็จะน้อยลงจนหมดสิ้นไป หรือหากนานกว่านั้น เกษตรกรอาจจะหายไปเลยก็ได้ 

 บรรดาเกษตรกรที่ไปยังพื้นที่ก่อสร้างนั้น จะลุ่มหลงในเงินทอง ชีวิตการเป็นอยู่ของพวกเขาจะสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ว่า…หากวันหนึ่งการค้ามิเป็นดังใจหวัง พวกเขาอยากจะกลับไปยังชนบทแล้วจะพบว่ามิมีบ้านเกิดดังเดิมให้พวกเขาได้กลับไปอีกแล้ว 

 หากมองออกไปให้ไกลสักหน่อย ต่อให้การค้ารุ่งเรือง อีกทั้งบุตรหลานของพวกเขาได้เดินตามรอยเท้าของพวกเขา แต่คนงานในเขตของพวกเขาเต็มแล้ว พวกเขาจะเดินทางไปยังเขตข้าง ๆ และเดินทางจากบ้านเกิดไปหลายปี ราคาอาหารและสิ่งของจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน แต่พวกเขามิอาจกลับไปยังชนบทได้อีก เนื่องจากพวกเขามิมีแม้แต่ทักษะพื้นฐานในการทำนา พวกเขาเคยชินกับการหาเงินทางลัด มิมีผู้ใดยินยอมที่จะกลับไปยังผืนปฐพีที่ยากจนนั้นเป็นแน่ 

 ท้ายที่สุดนั่นคือการลงทุนอย่างไม่เป็นระบบระเบียบ แล้วจะนำไปสู่ความคล้ายคลึงกันของผลิตภัณฑ์ หากข้าและท่านทอผ้าและทำเสื้อผ้าเหมือนกัน…แล้วเสื้อผ้ามากมายในตลาดจะไปขายให้ผู้ใดกันเล่า ?  

 ดังนั้น สิ่งที่ราชวังต้องทำในตอนนี้มิใช่การเพิ่มจุดทดลอง แต่เพื่อหลีกเลี่ยงการละเมิดทางการค้าทั้งหมด สิ่งนี้จำเป็นต้องได้รับการวางแผนและควบคุมไว้ล่วงหน้า !  

 

ตอนที่ 443 พระประสงค์

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนสิบสอง วันที่หนึ่ง

ณ ราชวงศ์หยู ได้มีการประชุมใหญ่ราชวงศ์

รถม้าของฟู่เสี่ยวกวนได้มาถึงลานกว้างของท้องพระโรงเฉิงเทียนในช่วงยามเหม่า

ทันทีที่เขาลงจากรถม้าก็สะดุ้งขึ้นมาทันที มันจะหนาวเกินไปแล้ว !

สองมือของเขายังคงสอดอยู่ภายในแขนเสื้อ และได้ยืนอยู่ในที่ห่างไกลผู้คนเฉกเช่นแต่ก่อน ยืนรอจนประตูของท้องพระโรงเฉิงเทียนจะเปิดออก

หากเป็นในอดีต จะมีเพียงเสนาบดีมิกี่คนเท่านั้นที่จะเข้ามาสนทนากับเขา แต่ในวันนี้กลับแตกต่างออกไป

เห็นได้ชัดว่าเขานั้นยืนอยู่ในมุมมืด แต่กลับเป็นเหมือนแสงไฟที่ส่องสว่างขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด การมาของเขาได้ดึงดูดความสนใจของเหล่าเสนาบดีจำนวนมาก ดังนั้นพวกเขาจึงได้เดินเข้ามาพร้อมด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

 สวัสดีท่านฟู่ !  

 อรุณสวัสดิ์ท่านฟู่ !  

 ท่านฟู่กินมื้อเช้าแล้วหรือยังขอรับ ? ข้ายังมีซาลาเปาร้อนเก็บเอาไว้อยู่ 2 ลูกขอรับ !  

 จากที่เห็นสีหน้าของท่านฟู่แล้ว หลายวันมานี้ต้องมีความสุขมากเป็นแน่ !  

 ….. 

มารดามันเถอะ แสงสว่างในที่มืดมิด คาดมิถึงว่าพวกเจ้าจะมองเห็นหน้าข้าได้อย่างชัดเจน !

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่วน กุมมือขึ้นมาแล้วหมุนไปรอบด้าน  ทุกท่านคิดถึงข้ากันเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 พวกเราคิดถึงท่านจวนจะตายอยู่แล้ว หากฟ้ามิให้กำเนิดท่านฟู่ ใต้หล้านี้คงมืดมิดไปตลอดกาล ท่านฟู่เป็นแสงสว่างอันโชติช่วง มิเพียงแต่จะส่องสว่างในค่ำคืนอันมืดมิด ทั้งยังส่องสว่างวิสัยทัศน์ของพวกเรา…  ทันใดนั้นคนผู้นั้นก็หัวเราะออกมาอย่างมีเลศนัย แล้วกล่าวเสียงแผ่วว่า  หากท่านมีเวลาว่าง คืนนี้ข้าได้จัดงานเลี้ยงขึ้นที่หงซิ่วจาว แม่นางหลิ่วเยียนเอ๋อร์ผู้นั้น มีเสน่ห์ที่น่าดึงดูดยิ่งกว่าปีที่แล้วเสียอีก 

ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองทางคนผู้นั้น ใบหน้าแบบนี้ ข้ามิรู้จักเป็นแน่

คนผู้นั้นยิ้มขึ้นมาและได้ยกมือขึ้นคำนับ  ข้าน้อยหลี่ฉาย บุตรชายของหลี่จินโต้วแห่งธนาคารเป่าหลง เดิมทีดำรงตำแหน่งอยู่ที่กรมจินปู้ ณ กรมคลัง ช่วงนี้ได้บรรจุในตำแหน่งชื่อหลางฝ่ายขวาของกรมคลังที่ขาดมาโดยตลอด และได้อยู่ภายใต้บัญชาของเสนาบดีต่ง 

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าหยูเวิ่นหวินเคยกล่าวถึงนามหลี่จินโต้วผู้นี้มาก่อน นางกล่าวว่านางได้ขอให้ฮองเฮาซั่งพาตัวหลี่จินโต้วหลงจู๊ใหญ่แห่งธนาคารเป่าหลงมาให้กับพวกเขา… คาดมิถึงว่าคนผู้นี้จะเป็นบุตรชายของหลี่จินโต้ว

 เป็นท่านหลี่นี่เอง ข้าได้ยินชื่อเสียงมาเนิ่นนานแล้ว กล่าวได้ว่า…ข้าชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก อยากจะพบเจอมาเนิ่นนาน หากเลิกการประชุมแล้วจะพาข้าไปพบเขาได้หรือไม่ ?  

ทุกคนได้ยินเหมือน ๆ กันมิผิดเพี้ยน ฟู่เสี่ยวกวนอยากจะพบกับหลี่จินโต้วเยี่ยงนั้นหรือ ? เขาต้องการจะสื่อถึงอันใดกันแน่ ?

ธนาคารเป่าหลงเป็นธนาคารที่ใหญ่ที่สุดของราชวงศ์หยู หลี่จินโต้วดูแลธนาคารเป่าหลงมาเนิ่นนานหลายสิบปี ถือเป็นบุคคลที่มีบทบาทในแนวหน้าของเมืองหลวงเช่นเดียวกัน แต่เยี่ยงไรเสียเขาก็คือหลงจู๊ใหญ่ของธนาคารผู้หนึ่ง ไร้ชื่อเสียง ในสายตาของเหล่าขุนนาง ท้ายที่สุดก็มิอาจขึ้นมาได้สูงกว่านี้แล้วอย่างแน่นอน

แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับแตกต่างออกไป

ในวันนี้เขาได้เป็นผู้มีอำนาจคนใหม่ในเมืองหลวงอย่างแท้จริง !

มิต้องกล่าวไปถึงนโยบายการเมืองใหม่ที่มีเขาเป็นผู้นำ เพียงภูมิหลังภรรยาทั้งสามคนของเขา ก็มิมีพลเรือนหรือทหารคนใดในราชวงศ์นี้ที่กล้าดูหมิ่นแล้ว

ส่วนอีกฐานะหนึ่งของเขา…นั่นเป็นเรื่องที่ทุกคนได้ตระหนักอยู่ในใจ มิมีผู้ใดกล้าที่จะเอ่ยขึ้นมา

ดังนั้นคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวน ในสายตาของเสนาบดีเฒ่าเจ้าเล่ห์เหล่านี้ ได้แสดงถึงความหมายบางอย่างที่แฝงอยู่

หลี่ฉายรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ได้รีบยกมือขึ้นมาคารวะ  เป็นเกียรติของตระกูลหลี่อย่างยิ่งที่ท่านฟู่ต้องการจะพบท่านพ่อ ค่ำคืนนี้ตระกูลหลี่จะจัดงานเลี้ยงที่บ้าน เห็นเป็นเยี่ยงไรบ้างขอรับ ?  

 เยี่ยงนั้นข้าขอมิเกรงใจแล้ว 

ฟู่เสี่ยวกวนตกปากรับคำ ขุนนางจำนวนมากต่างมองหลี่ฉายด้วยสายตาดูถูก พลางลอบคิดในใจว่าคนผู้นี้ได้เริ่มลงมือไปก่อนเพื่อความได้เปรียบแล้ว

ชางกวนเหวินซิ่วได้เบียดเข้ามาจนถึงตัวของฟู่เสี่ยวกวน แล้วหัวเราะร่า  ท่านฟู่ ท่านคณบดีหลี่ชิงเฟิงฝากข้อความกับข้ามาถึงท่าน ในเวลาว่างขอให้ท่านไปปรากฏตัวที่สำนักศึกษาเสียหน่อย หากมิสบายใจ ก็เข้ามาบรรยายให้แก่เหล่าบัณฑิตบ้าง ท่านเห็นว่าเป็นเยี่ยงไร ?  

ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา ตนเองได้รับเงินเดือนจากสำนักศึกษามาหลายเดือนแล้ว และควรจะไปปรากฏตัวที่สำนักศึกษาเสียบ้าง ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตกลงอีกครา  ให้ผ่านช่วงหลายวันนี้ไปก่อนก็แล้วกัน ข้าจะไปอย่างแน่นอน 

 ดี ๆ ๆ นอกจากนี้… ตำแหน่งนั้นในกั๋วจื่อเจี้ยนยังคงเว้นว่างให้เจ้ามาโดยตลอด มีเวลาก็ไปนั่ง ๆ ดูเสียบ้าง 

สวี่หวยซู่ยืนอยู่ห่างออกไป เขาเฝ้ามองดูอย่างเงียบ ๆ ลอบคิดในใจว่าในที่สุดเด็กคนนี้ก็ได้รับการยอมรับจากเหล่าขุนนางเสียที เพียงแค่ด้วยตัวตนของเขา ในราชสำนักของราชวงศ์หยู เกรงว่าจะหยุดอยู่ที่เจี้ยนอี้ต้าฟูขั้นสี่เสียแล้ว…

เยี่ยงไรแล้วเขาก็คือองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ ฮ่องเต้จะกล้าใช้งานเขาหนักได้เยี่ยงไร !

แต่ในที่ที่ห่างไกลออกไป ฉินฮุ่ยจือจากสำนักเสนาบดีและสำนักผู้ตรวจการ ก็ได้สอดมือไว้ในแขนเสื้อเช่นเดียวกัน มองมายังมุมที่ครึกครื้นนั้นเป็นครั้งครา ใบหน้ามิสุขมิเศร้า แต่มิทราบว่ากำลังคิดอันใดอยู่

……

……

ณ ท้องพระโรงเฉิงเทียน

ฟู่เสี่ยวกวนยังคงยืนอยู่ที่ด้านหลังสุด

แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ ขุนนางที่ขนาบข้างซ้ายขวาของเขามิเพียงแต่จะมิขยับห่างออกไปเท่านั้น แต่กลับยืนอยู่ใกล้เป็นอย่างมาก จนทำให้เขารู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

ฮ่องเต้หยูยิ่นขึ้นไปบนแท่นมังกรด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย สะบัดชายเสื้อและนั่งลงบนบัลลังก์มังกร

สายตาของเขาได้สบเข้ากับใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนแรก ทันใดนั้นจึงได้มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา

 ประชุมใหญ่ราชวงศ์ในวันนี้ ข้าจะประกาศการตัดสินใจด้วยกัน 3 เรื่อง !  

ห้องโถงเงียบสงบลงไปทันพลัน ทุกคนต่างตั้งตารอฟังอย่างตั้งใจ… สิ่งที่เรียกว่าการตัดสินใจ ย่อมเป็นการตัดสินใจขั้นเด็ดขาด มิจำเป็นต้องทำการหารืออีก และเพื่อประกาศพระประสงค์ออกไปโดยตรงก็เท่านั้น

 เรื่องที่หนึ่ง ฟู่เสี่ยวกวนได้มีผลงานที่โดดเด่น ข้าขอตกรางวัลให้ขุนนางฟู่เสี่ยวกวนชื่อหลางแห่งเสมียนกลาง ให้เป็นผู้นำและผลักดันนโยบายใหม่ !  

ทันทีที่พระประสงค์นี้ถูกกล่าวออกมา นอกจากเยี่ยนเป่ยซีและเสนาบดีระดับสูงแล้ว เสนาบดีท่านอื่นต่างก็ตื่นตกใจกันถ้วนหน้า หลังจากนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ชื่อหลางแห่งเสมียนกลางขั้นสาม อายุเพียง 17 ปี ทั้งยังเป็นผู้นำนโยบายใหม่… แต่เด็กคนนี้กลับทะยานขึ้นเหนือท้องนภาไปเสียแล้ว

แน่นอนว่า ในตอนนี้ขุนนางจำนวนมากได้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวนไปแล้ว

บางทีในใจของพวกเขาอาจจะยังมีความไม่สบายใจอยู่มิมากก็น้อย สุดท้ายแล้วการเลื่อนขั้นของฟู่เสี่ยวกวนก็เร็วมากจนเกินไป แต่พวกเขาก็มิได้คัดค้านการตกรางวัลครานี้ของฝ่าบาท เพราะฟู่เสี่ยวกวนคู่ควรกับตำแหน่งนี้อย่างแท้จริง และนโยบายใหม่นี้ก็จำเป็นต้องให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ควบคุมด้วยตนเองเท่านั้น

แต่ในกลุ่มของฉินฮุ่ยจือกลับตื่นตระหนก คิ้วขมวดนิ่ว… ชื่อหลางแห่งเสมียนกลาง ได้เลื่อนขั้นไปเป็นจงซูลิ่งแล้วเยี่ยงนั้นหรือ !

ปีนี้ซังหยูก็อายุมากแล้ว มิแน่ว่าอาจจะเกษียณในอีกปีสองปีนี้ เยี่ยงนั้นตำแหน่งจงซูลิ่ง ก็จะตกเป็นของฟู่เสี่ยวกวนอย่างมิมีทางเลี่ยง

เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ ฮ่องเต้ก็ได้เอ่ยขึ้นมาอีกคราว่า

 เรื่องที่สอง ข้าขอประกาศให้ชัดแจ้งไปทั่วหล้า พ่อค้าทุกคนในราชวงศ์หยู หากจัดตั้งโรงงานขึ้นมาในพื้นที่นำร่อง และมีเงินทุนมากกว่าสองหมื่นตำลึง และจัดหาคนงานหนึ่งร้อยกว่าคน ภายในสามปีนี้ ยกเว้นภาษีทุกรูปแบบ !  

นี่เป็นนโยบายที่หารือกันในท้องพระโรงมาช้านาน ท้ายที่สุดเยี่ยนเป่ยซีก็ชนะฉินฮุ่ยจือแล้ว ดังนั้นทันทีที่นโยบายนี้ถูกประกาศออกไป จึงมิได้สร้างความแตกตื่นอันใด เพราะขุนนางเหล่านั้นต่างได้คิดถึงเรื่องนี้มาเนิ่นนานแล้วว่าจะทำให้เหล่าพ่อค้าในมือของตนเคลื่อนไหวขึ้นมาได้หรือไม่

 เรื่องที่สาม คณะตัวแทนการเจรจาสันติของแคว้นอี๋จะมาถึงเมืองหลวงในเดือนสิบสอง วันที่หนึ่ง กรมพิธีการรับผิดชอบการต้อนรับ และทูตที่ทำหน้าที่ในการเจรจาครานี้คือ…ฟู่เสี่ยวกวน !  

เหล่าขุนนางฮือฮาขึ้นมาอีกครา การเจรจาสันติมิได้ให้สำนักเสนาบดีและสำนักผู้ตรวจการเป็นผู้เลือกหรอกหรือ ?

เหตุใดฝ่าบาทจึงแต่งตั้งฟู่เสี่ยวกวนแห่งเสมียนกลางโดยตรงกัน ?

ฉินฮุ่ยจือตื่นตกใจอีกครา เดิมทีเขาคิดว่าการแต่งตั้งตำแหน่งจะอยู่ในมือของตนเอง จึงจะมอบให้เซวี๋ยไคเหลียนผู้ประสานงานในราชวังแห่งสำนักตรวจสอบพระราชโองการ ซึ่งเป็นบุตรชายของเซวี๋ยเจ๋อหัวหน้าตระกูลเซวี๋ย งานนี้สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย หลังจากที่เซวี๋ยไคเหลียนจัดการเรื่องนี้จบลง ก็จะถูกเลื่อนขั้นให้เป็นชื่อหลางในสำนักตรวจสอบพระราชโองการอย่างเหมาะสม… ฝ่าบาทกลับมิเคยหารือกับสำนักเสนาบดีและสำนักผู้ตรวจการ และได้แต่งตั้งหน้าที่นี้ให้กับฟู่เสี่ยวกวน หรือว่านี่จะเป็นการลงมือลับ ๆ ของชายชั่วเยี่ยนเป่ยซีกัน ?

 

ตอนที่ 442 ฝ่าบาท

เหมียวเสี่ยวเสี่ยวแห่งลัทธิจันทราได้ไปยังผิงหลิง ส่วนผู้อาวุโสม่อเหวินได้เดินทางไปยังแคว้นอี๋ บัดนี้คาดว่าน่าจะเดินทางไปถึงแคว้นฮวงแล้ว

พวกเขาเดินออกมาจากในมุมมืด พวกเขาคิดจะทำอันใดกันแน่ ?

ค่ำคืนที่หนาวเหน็บ ฟู่เสี่ยวกวนนอนมิหลับ

ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยถูกเหมียวเสี่ยวเสี่ยวทำร้าย สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกอึดอัดมากยิ่งนัก

พวกเขาทำเพื่อปกป้องชาวบ้านที่เขตผิงหลิงและชวูอี้ และเพื่อปกป้องพิมพ์เขียวทางธุรกิจที่กำลังพัฒนาในพื้นที่ทั้งสองแห่งนั้น

หากบรรดาชาวบ้านในที่แห่งนั้นถูกลัทธิจันทราสังหาร หากมองในมุมเล็กนั้นพื้นที่การก่อสร้างของเขาจะต้องหยุดลง หากมองในมุมมองกว้างนั้น จุดทดลองของราชวงศ์หยูจะต้องถูกยืดระยะออกไปอีก

เขาเคาะนิ้วชี้ลงไปบนโต๊ะ ส่งเสียงดังออกมาท่ามกลางความเงียบสงบของยามราตรี

สายตาของเขาทอดมองไปยังทะเลสาบซวนอู่ ทันใดนั้นในหัวของเขาก็ได้ปรากฏภาพบุคคลหนึ่งขึ้นมา องค์ชายสี่หยูเวิ่นชู !

ก่อนหน้านี้ลัทธิจันทราจะแอบทำการต่าง ๆ อย่างเงียบ ๆ เพื่อรอวันเวลาแก้แค้นคราใหญ่

แต่นับจากที่หยูเวิ่นชูเดินทางไปยังซีหรง ลัทธิจันทราก็ก้าวออกมาได้อย่างกล้าหาญมากยิ่งขึ้น

หมายความว่าหยูเวิ่นชูได้ร่วมมือกับลัทธิจันทราเยี่ยงนั้นหรือ ?

จากที่ฟู่เสี่ยวกวนมองดูแล้วนี่มีความเป็นไปได้สูงมากยิ่งนัก เจ้าหมอนั่นถูกบีบบังคับให้ออกไปจากที่จินหลิงแห่งนี้ เขาจะนิ่งเฉยได้เยี่ยงไรกัน !

และบัดนี้กองทัพดาบเทวะจำเป็นต้องเพิ่มจำนวนคนและยังต้องฝึกฝนต่ออีก เมืองซีหรงนั้นอยู่ไกลจนเกินไปและหนทางก็ลำบากลำบน บัดนี้มิใช่เวลาที่เหมาะสมกับการโจมตีเมืองซีหรง

หากเนื้อร้ายชิ้นนี้ยังมิถูกกำจัด ก็จะเป็นสิ่งกวนใจไปตลอด

นโยบายใหม่กำลังผลักดันในเขตการค้าทั้งสิบหกเมือง หากมีหนูเหล่านี้เข้ามาสร้างความวุ่นวาย ต่อให้มีเกราะป้องกันดีเพียงใด ก็อาจจะป้องกันไว้มิได้

ต่อให้พวกเขามิได้กระทำการใหญ่ แต่การรบกวนหลายต่อหลายคราเช่นนี้ ผู้ใดจะสบายใจได้ลงกัน ?

หากว่าบรรดาพ่อค้าผู้ลงทุนเหล่านั้นพบเข้ากับเรื่องที่น่าสะเทือนขวัญ แล้วพากันอพยพหนีไป นโยบายใหม่ที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยน้ำพักน้ำแรงก็คงจะสูญเปล่า

ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่นั้น ก็ได้มีใครบางคนเดินเข้ามา เขาผู้นั้นคือถังเชียนจวินนั่นเอง

เขาเดินทางมายังจวนฟู่ได้สิบกว่าวันแล้ว และหลายวันมานี้ฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างยุ่งวุ่นวาย เขาจึงทำได้เพียงมองจากที่ไกล ๆ มิได้เอ่ยอันใดกับฟู่เสี่ยวกวน

จากการจับตาตรวจสอบในหลายวันมานี้ เขาได้เปลี่ยนมุมมองฟู่เสี่ยวกวนเสียใหม่ เป็นจริงดังที่ว่าสรรพสิ่งอย่าได้ดูเพียงรูปภายนอก ของแท้ของจริงนั้นอยู่ด้านใน เพียงแต่เขามิได้ซอมซ่อก็เท่านั้น

เขาได้เดินทางไปยังสถานทูตราชวงศ์อู๋ประจำแคว้นหยู แต่ทว่าจนบัดนี้ก็ยังมิได้รับคำสั่งจากจักรพรรดินีหรือไทเฮาเลย ฟู่เสี่ยวกวนมีบทบาทสำคัญในหมู่ชน ราชวงศ์อู๋ย่อมรู้ดี แต่เหตุใดทางราชวงศ์อู๋จึงมิเรียกตัวฟู่เสี่ยวกวนกลับไปกัน ?

ถังเชียนจวินครุ่นคิดแต่ก็มิเข้าใจเท่าใดนัก เขาคิดเพียงแค่ว่าพระราชโองการอาจจะกำลังถูกส่งมาก็เป็นได้

 กระหม่อม ถังเชียนจวิน คารวะฝ่าบาท !  

ฟู่เสี่ยวกวนตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็ได้ยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า  มา ๆ ๆ นั่งดื่มเป็นเพื่อนข้าทีเถิด 

 กระหม่อม ขอบพระทัยฝ่าบาท !  

ถังเชียนจวินนั่งลงตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนรินสุรามาสองจอก จากนั้นก็ส่งให้ถังเชียนจวินหนึ่งจอก ยิ้มแล้วกล่าวว่า  ช่วงนี้ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจข้าดี ข้าละเลยเจ้าไป อย่าได้นำไปใส่ใจ 

 ฝ่าบาททรงตรัสเกินไปแล้ว กระหม่อมมิบังอาจ !  

 ตัวเจ้านั้นอะไรก็ไปดีไปหมด เพียงแต่ต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่…  ฟู่เสี่ยวกวนยกเเก้วสุราขึ้นดื่มกับถังเชียนจวินแล้วกล่าวว่า  อีกทั้งบัดนี้ข้ากลับมายังราชวงศ์หยูแล้ว คำเรียกว่าฝ่าบาท เจ้าจงลืมไปเสีย เรียกข้าว่าคุณชายแทนเถอะ 

ถังเชียนจวินตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจังว่า  มิได้พ่ะย่ะค่ะ ! ฝ่าบาททรงเป็นองค์ชายในราชวงศ์อู๋ กระหม่อมนั้นยังคงเป็นคนของพระองค์ตลอดไป ข้อปฏิบัติเหล่านี้จะละเลยมิได้ มิว่าจะอยู่ที่ใด !  

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้น เอาเถอะ เจ้าเป็นคนหัวแข็งเช่นนี้ข้าคงจะกล่อมมิเป็นผล

 เจ้าจะเดินทางกลับแคว้นเมื่อใด ?   ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามขึ้น

แต่คาดมิถึงว่าถังเชียนจวินจะยกมือขึ้นคารวะแล้วตอบว่า  การที่กระหม่อมเดินทางมาครานี้ เนื่องจากจะรบกวนถามฝ่าบาทว่า จะเสด็จกลับแคว้นอู๋เมื่อใด ?  

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นทันพลัน เรื่องนี้เขามิเคยคิดถึงมาก่อน

เขารินสุราอีกหนึ่งจอก จากนั้นก็รินให้ถังเชียนจวินเช่นกัน

 เสี่ยวถัง เรื่องเป็นเช่นนี้ เจ้าจงดูเถิดข้ามีครอบครัวแล้ว ที่แห่งนี้คือบ้านของข้า แน่นอนว่าราชวงศ์อู๋ก็คือบ้านของข้าเช่นกัน แต่ลูกเมียข้าอยู่ที่นี่ ข้าคงจะต้องคอยดูแลคนในครอบครัวก่อนใช่หรือไม่ ?  

ถังเชียนจวินชะงักไปชั่วครู่  มิใช่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ ราชวงศ์อู๋จึงจะเป็นบ้านของฝ่าบาท พระราชวังอีกทั้งคฤหาสน์จิ้งหู จึงจะเป็นบ้านของฝ่าบาท 

เรื่องนี้เอ่ยเยี่ยงไรก็มิจบมิสิ้น ฟู่เสี่ยวกวนจึงมิอยากจะเอ่ยอันใดกับถังเชียนจวินอีก ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

 หลิงเอ๋อร์…จักรพรรดินีได้ส่งเจ้ามาที่แคว้นฮวงเพื่อปกป้องกองทัพดาบเทวะ บัดนี้กองทัพได้เดินทางกลับมาจากแคว้นฮวงอย่างปลอดภัยแล้ว หน้าที่ของเจ้านับว่าสำเร็จแล้ว เจ้าเป็นถึงทหารรักษาพระองค์ของจักรพรรดินี ความปลอดภัยของจักรพรรดินีจึงจะเป็นหน้าที่สำคัญที่สุดของเจ้า !  

ถังเชียนจวินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองดูฟู่เสี่ยวกวน แล้วเอ่ยด้วยความตั้งใจว่า  การที่จักรพรรดินีทรงขึ้นครองบัลลังก์นั้น เนื่องจากทุกคนคิดว่าฝ่าบาททรงถูกหิมะกลบฝังเอาไว้ แต่บัดนี้ในเมื่อฝ่าบาทยังทรงมีชีวิตอยู่ กระหม่อมก็ควรจะพาฝ่าบาทกลับไปยังเมืองกวนหยุน ส่วนเรื่องตำแหน่งจักรพรรดินั้น แม้ว่าจักรพรรดินีจะทรงขึ้นครองราชย์ แต่ทว่ายังมิได้รับตราประทับอันแสดงถึงอำนาจ… 

เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกว่า  ดังนั้นกระหม่อมหวังว่า ฝ่าบาทจะทรงกลับไปรับอำนาจของจักรพรรดิ เพื่อปกครองราชวงศ์อู๋ !  

เจ้านี่ช่างหัวดื้อเสียจริง !

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่าปวดหัวเสียยิ่งกว่าเรื่องลัทธิจันทราเสียอีก ดังนั้นจึงตัดสินใจว่าจะมิเอ่ยถึงเรื่องนี้กับถังเชียนจวินอีก จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วทอดมองออกไปยังท้องนภาของยามราตรี  ดึกดื่นแล้ว พรุ่งนี้ข้ายังมีประชุมราชวงศ์ตอนเช้า เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด 

ถังเชียนจวินยังคงจ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวน เขามิเข้าใจอย่างแท้จริงว่าองค์ชายผู้นี้คิดจะทำอะไรอยู่กัน !

เขาเป็นบุตรชายของจักรพรรดิเหวิน แต่เขากลับมิอยากเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ แต่กลับอยากเป็นราษฎรธรรมดาของราชวงศ์หยู ใต้หล้านี้ยังคงมีคนแบบนี้อยู่จริงหรือ ? หรือฝ่าบาททรงมีปัญหาด้านสมองกัน ?

 กระหม่อม…รับทราบพ่ะย่ะค่ะ !  

ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปได้สองก้าวก็ได้หันหลังกลับมาแล้วเอ่ยกับถังเชียนจวินว่า  บัดนี้ข้าขอออกคำสั่งแก่เจ้า 

 ฝ่าบาทเชิญตรัสพ่ะย่ะค่ะ !  

 รุ่งขึ้นเจ้าจงเดินทางไปยังค่ายทหารชายแดนเหนือ แล้วพาองครักษ์ชุดแดงทั้งหมดเดินทางกลับไปยังเมืองกวนหยุน ดูแลปกป้องหลิงเอ๋อร์ให้ดี แล้วบอกกับนางว่า…พี่จะเป็นที่พึ่งและคอยสนับสนุนเจ้าตลอดไป !  

เมื่อกล่าวจบ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินจากไป ถังเชียนจวินมองดูร่างที่ค่อย ๆ หายลับไปอย่างช้า ๆ เนิ่นนานเสียทีเดียวกว่าจะได้สติกลับคืนมา ความหมายเมื่อครู่ของฝ่าบาทก็คือ ฝ่าบาททรงสนับสนุนองค์จักรพรรดินี แต่จะมิยอมกลับไป !

ขณะเดียวกัน ณ วังเตี๋ยอี๋ ราชวงศ์หยู

องค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าได้คุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้  ลูกคิดดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ ลูกขอเดินทางไปเข้าร่วมเป็นหนึ่งในกองทัพดาบเทวะ ลูกนั้นชื่นชมทักษะการฝึกฝนทหารของฟู่เสี่ยวกวนยิ่ง ดังนั้น…พรุ่งนี้ลูกจะเดินทางไปพร้อมกับไป๋ยู่เหลียน 

 ไร้สาระ ! ไร้สาระสิ้นดี !  

ฮ่องเต้เดินเอามือไขว้หลังไปมา อยู่ ๆ เขาก็ได้หยุดฝีเท้าลงแล้วครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ในที่สุดก็ได้ตรัสออกมาว่า  ข้าให้เวลาเจ้า 2 ปี หลังจาก 2 ปีแล้วเจ้าต้องกลับมายังราชวัง แล้วนั่งในตำแหน่งรัชทายาทของเจ้าเสีย !  

 

ตอนที่ 441 สถานการณ์

ในยามราตรีที่เงียบสงัดมีดวงดาราส่องแสงระยิบระยับทั่วทั้งท้องนภา

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในศาลาเถาหราน และได้ยิ้มกว้างออกมา

 เสี่ยวไป๋ รั่วซีมิใช่สตรีธรรมดาทั่วไป วิชาการฝึกของดาบเทวะมิต้องสงวนแก่รั่วซี หากนางต้องการจะเข้าร่วม ข้ารับปากได้เลยว่าอย่างน้อยนางจะสามารถเป็นกองพลได้อย่างแน่นอนในยามที่จบการศึกษา 

 แน่นอนว่า เรื่องนี้มันขึ้นอยู่กับความประสงค์ของเจ้า 

ไป๋ยู่เหลียนจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาล้ำลึก วิชาการฝึกของดาบเทวะต่อให้เป็นการถวายให้แก่ฝ่าบาท ก็ยังต้องเป็นฉบับที่รวบรัด เหวินรั่วซีเป็นคนของราชวงศ์อู๋ แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนเองก็เป็นคนของราชวงศ์อู๋เช่นกัน ทั้งยั้งเป็นถึงองค์ชายของราชวงศ์อู๋ แต่ฟู่เสี่ยวกวนหาได้ใส่ใจเรื่องของราชวงศ์อู๋ไม่

ดังนั้นไป๋ยู่เหลียนจึงคิดว่าวิชาการฝึกของดาบเทวะ เป็นเรื่องที่มิควรให้สตรีของราชวงศ์อู๋ผู้หนึ่งมารับทราบด้วย

แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับหาได้ใส่ใจไม่ สตรีผู้นี้ก็เหมาะกับความชอบของตนอย่างแท้จริง ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า

เหวินรั่วซีรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นจึงโค้งคำนับให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน  ข้าควรเรียกท่านว่าองค์ชาย หรือเรียกท่านว่าคุณชายดี ?  

 อย่าได้สนใจเรื่องไร้สาระเหล่านั้นเลย เรียกข้าว่าคุณชายก็พอแล้ว 

 เจ้าจะมิกลับไปที่ราชวงศ์อู๋แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? แต่ข้าได้ยินมาว่าไทเฮาได้พระราชทานหมั้นหมายหนานกงตงเซวี๋ยให้แก่เจ้าแล้ว 

ของขวัญที่อู๋หลิงเอ๋อร์ส่งมาให้กับฟู่เสี่ยวกวนยังอยู่ในระหว่างการเดินทาง เขามิทราบว่าหนานกงตงเซวี๋ยก็ได้แนบจดหมายมาให้กับเขาด้วย 1 ฉบับ

ในเรื่องนี้มิสามารถโทษความประมาทของอู๋หลิงเอ๋อร์ได้ แต่เป็นเพราะฟู่เสี่ยวกวนรีบร้อนที่จะแต่งงานจนเกินไป

แคว้นฝาน…ฝานเทียนหนิง แคว้นอี๋…เยียนหานยวี่ หลังจากที่ได้ทราบข่าวนี้แล้ว ต่างก็ได้ส่งของขวัญมาให้ฟู่เสี่ยวกวน เพียงแต่ตอนนี้ยังอยู่ในระหว่างการเดินทาง

 เป็นเรื่องที่ดีที่หลิงเอ๋อร์ขึ้นเป็นจักรพรรดินี ทุกคนต่างก็กล่าวกันว่าสตรีขึ้นเป็นจักรพรรดิมิได้ เพียงแต่สรุปแล้วหลิงเอ๋อร์ป่วยเป็นอันใดกันแน่ เจ้าพอจะทราบหรือไม่ ?  

เหวินรั่วซีส่ายหน้า  ข้าได้ยินมาเพียงว่าหลังจากที่นางเข้าไปในคฤหาสน์จิ้งหูก็มิยอมออกมาอีกเลย หลังจากที่หมอหลวงเข้าไป ก็มิเคยได้ออกมาเช่นกัน ต่อให้จำเป็นจะต้องใช้ยา กล่าวกันว่าก็เป็นยาที่หมอหลวงได้เตรียมมา และมีบางคราที่ให้หนิงซือเหยียนออกไปซื้อด้วย… 

เหวินรั่วซีกัดริมฝีปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล  ฟังแล้ว ดูเหมือนจะหนักหนาอยู่พอควร 

ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปอีกอึดใจ  มีอัครมหาเสนาบดีทั้งฝ่ายซ้ายและขวา อีกทั้งยังมีไทเฮาซีคอยดูอยู่ ราชวงศ์อู๋ย่อมมิเกิดความโกลาหลขึ้นมาเป็นแน่ 

เขาหันหน้าไปมองซูซูและซูโหรว และเอ่ยถามว่า  ช่วงหลายวันมานี้ข้ายุ่งเป็นอย่างมาก ศิษย์พี่ใหญ่ไปที่ใดกัน ?  

ซูซูเบะปาก ซูโหรวก้มหน้าหลบสายตา สีหน้าดูหงอยเหงา และเอ่ยเสียงแผ่วว่า  ก่อนหน้านี้สองสามวันที่อำเภอผิงหลิง พวกข้าได้เข้าปะทะกับคนนับสิบที่องครักษ์ฝ่ายขวาเหมียวเสี่ยวเสี่ยวของศาสดาลัทธิจันทราเป็นผู้พามา เขาได้รับบาดเจ็บ และได้กลับอารามไปเพื่อทำการรักษาแล้ว 

ฟู่เสี่ยวกวนตกใจขึ้นมาทันพลัน ซูเจวี๋ยคือผู้มีฝีมือระดับสูงที่ขาข้างหนึ่งได้ย่างเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์แล้ว คาดมิถึงว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บ

ซูโหรวเอ่ยเสียงเบา แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับทราบว่าบาดแผลนั้นเกรงว่าจะมิใช่บาดแผลเล็ก ๆ เสียแล้ว

เขาคิ้วขมวด  ลัทธิจันทราไปทำอันใดที่ผิงหลิงกัน ?  

ซูซูเงยหน้าขึ้นมองฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวว่า  เพื่อสังหารชาวบ้านพวกนั้น ชาวบ้านที่ทำงานอยู่ในโรงงานปูนซีเมนต์ของเจ้า 

ข้าไปอยู่ที่ใดมากัน !

พวกสารเลวนั่นจะทำเกินไปแล้ว !

 แล้วทำสำเร็จหรือไม่ ?  

 โชคดีที่ศิษย์พี่ใหญ่พาพวกข้าไปถึงได้ทันเวลา ชาวบ้านเหล่านั้นมิได้ประสบกับหายนะ แต่ศิษย์พี่ใหญ่กลับได้รับบาดเจ็บ 

 เหมียวเสี่ยวเสี่ยวเก่งกาจมากเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 เขาเป็นปรมาจารย์ครึ่งก้าวแล้ว เจ้าว่าเก่งกาจหรือไม่เล่า ?  

ฟู่เสี่ยวกวนตกใจมากยิ่งขึ้นไปอีก  สุดท้ายแล้วอาการบาดเจ็บของศิษย์พี่ใหญ่เป็นเยี่ยงไรบ้าง ?  

ซูโหรวเหลือบสายตาขึ้นมา และกล่าวว่า  ยังมิตาย ตัวเขาคือปรมาจารย์ฉีหวง เขาดีกว่าเหมียวเสี่ยวเสี่ยวอยู่มาก ต่อให้เหมียวเสี่ยวเสี่ยวไม่สิ้นแต่เกรงว่าก็จะโดนถลกหนังไปอยู่ดี 

ที่ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบก็คือ วันนั้นซูโหรวได้คลุ้มคลั่ง !

ในยามที่ซูเจวี๋ยและเหมียวเสี่ยวเสี่ยวระเบิดพลังกระบี่เพื่อฟาดฟันกันคราสุดท้าย และเมื่อกระบี่ไม้ของซูเจวี๋ยทะลวงปราณที่ปกป้องร่างของเหมียวเสี่ยวเสี่ยวไปแล้ว หลังจากที่ทะลุท้องของเหมียวเสี่ยวเสี่ยวไป ดาบของเหมียวเสี่ยวเสี่ยวก็เกือบจะผ่าหมวกของซูเจวี๋ยในเวลาเดียวกัน ผ่าลงมาจนอีกาตัวนั้นบินหนี ซูเจวี๋ยเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย แต่ก็มิพ้น

ดาบเล่มนั้น ผ่าลงมาจากหน้าผากด้านซ้ายของซูเจวี๋ย ผ่าผ่านสันจมูก และผ่าจนไปถึงซีกแก้มด้านขวาของซูเจวี๋ย

ซูโหรวเกิดอาการคลุ้มคลั่ง เข็มของนางทะยานไปหาเหมียวเสี่ยวเสี่ยวอย่างบ้าคลั่ง ด้ายสีแดงบนเข็มนั้น ตัดเนื้อของเหมียวเสี่ยวเสี่ยวออกเป็นแผ่น ๆ

กองกำลังนับสิบที่เหมียวเสี่ยวเสี่ยวพามาด้วยต่างก็ดับสูญ แต่ในตอนสุดท้ายนางก็ใช้เล่ห์กลโดยใช้เลือดปกคลุมร่างและหายไป

ดังนั้นบาดแผลของซูเจวี๋ยจะกล่าวว่าเบาก็ย่อมได้ เพราะมิได้บาดเจ็บถึงแก่นของวรยุทธ์ จะกล่าวว่าหนักอีกก็ย่อมได้ เพราะหน้าตาที่ไร้ร่องรอยของบาดแผลเยี่ยงนั้น คงจะมิมีอีกต่อไปแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบามากยิ่งนัก  ลัทธิจันทรา เสี่ยวไป๋เอ๋ย กองกำลังดาบเทวะต้องไปที่ซีหรง หลังจากที่เจ้ากลับซีซาน เรื่องที่หนึ่งคือต้องรีบเกณฑ์ทหาร เรื่องที่สองคือให้สำนักอาวุธปืนผลิตปืนคาบศิลาออกมาจำนวนมาก บัดนี้ฉินเฉิงเย่ได้ไปผิงหลิงแล้ว เฟิ๋งหล่าวซื่อก็ได้นำคนจำนวนหนึ่งไปที่ผิงหลิงแล้วเช่นกัน

หากทุกอย่างเป็นไปได้อย่างราบรื่น ก็ให้สร้างสำนักอาวุธปืนใหม่ที่ผิงหลิง แล้วผลิตอาวุธชนิดใหม่ขึ้นมา เมื่อมีอาวุธนี้ กองกำลังดาบเทวะก็มิต้องกลัวเหล่าผู้มีฝีมือของยุทธภพอีกต่อไปแล้ว… 

สำหรับซีหรงและสำหรับลัทธิจันทรานั้น ฟู่เสี่ยวกวนยังคงต้องใคร่ครวญอีกมาก

หากกองกำลังดาบเทวะได้เข้าไปในภูเขาหมิน ข้ามผ่านกระดานไม้ แล้วทะลวงหมอกพิษ เรื่องเหล่านี้มิใช่ปัญหา ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ลัทธิจันทราแทบจะเป็นผู้มีฝีมือระดับสูงกันทั้งสิ้น

แม้จะกล่าวว่าปืนคาบศิลาสามารถสังหารผู้มีฝีมือระดับสูงได้ แต่ในเทือกเขานั้น มีผู้มีฝีมือมากมายเหาะเหินไปทั่ว… รัศมีหวังผลของปืนคาบศิลาคาดว่าคงมิพอ หนึ่งนาทีบรรจุกระสุนได้มากที่สุดก็เพียงแค่ 3 คราเท่านั้น ทหารของดาบเทวะต่างก็เป็นคนธรรมดา หูตาของพวกเขามิได้ว่องไวเท่าผู้มีฝีมือระดับสูงเหล่านั้น ในระหว่างที่ทำการบรรจุกระสุน ก็จะถูกผู้มีฝีมือระดับสูงสังหารได้อย่างง่ายดายเป็นแน่ !

แต่ถ้าหากสามารถทำปืนพกออกมาได้ หรือต่อให้เป็นรุ่นที่ง่ายที่สุด ดาบเทวะก็จะสามารถปะทะกับผู้มีฝีมือระดับสูงได้ !

ไป๋ยู่เหลียนมิได้เอ่ยถามฟู่เสี่ยวกวนว่าจะทำของสิ่งใดขึ้นมาอีก เขาเพียงพยักหน้าเท่านั้น  ข้าได้มอบคำสั่งให้เฉินป๋อไปแล้ว ผิงหลิงและชวูอี้แต่ละกองจะต้องมีทหาร 1,000 นาย ให้ทหารใหม่ฝึกฝนอยู่ภายในภูเขาผิงหลิง และให้ทหารเก่าแบ่งกลุ่มเพื่อเข้าร่วม หากมิมีเรื่องอันใดก็ให้ไปโจมตีทุ่งหญ้าที่แคว้นฮวง ถือเป็นการฝึกขี่ม้าไปด้วย 

ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนกำลังวางแผนในอนาคตให้กับดาบเทวะ ขันทีเหนียนผู้อยู่ข้างกายของฮองเฮาซั่งก็ได้เดินเข้ามา

เขาเอ่ยทักทายฟู่เสี่ยวกวน และได้ส่งสารลับให้กับเขาหนึ่งฉบับ  เป็นข่าวล่าสุดของหอซี่หยู่ พระประสงค์ของฮองเฮาก็คือ… คุณชายโปรดอ่านเถิด !  

ฟู่เสี่ยวกวนรับมาแล้วเปิดอ่าน ทันใดนั้นคิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นมาทันพลัน

 รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนสิบเอ็ด วันที่สอง ในตอนที่กองทัพชายแดนตะวันออกของข้าเอาชนะทัพใหญ่ 500,000 นายของแคว้นอี๋ได้ มีความตั้งใจจะรุกไปทางตะวันออกต่อในวันรุ่งขึ้น แต่แล้วก็ได้มีกองโจรลัทธิจันทราปรากฏตัวขึ้นที่เมืองไท่หลินเมืองหลวงของแคว้นฮวง

คุณชายจี้ได้ตรวจสอบแล้วว่าเป็นความจริง กองโจรนับสิบกว่าคนเป็นคนของลัทธิจันทราโดยมีผู้อาวุโสม่อเหวินเป็นผู้นำ และได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิของแคว้นอี๋ คนทั้งสองได้สนทนากันในห้องลับอยู่นานหนึ่งวัน จนถึงวันที่สี่ เดือนสิบเอ็ด เหล่าโจรก็ได้ออกไปจากเมืองไท่หลินและตรงไปยังแคว้นฮวง 

รายงานที่ส่งมาเรียบง่ายเป็นอย่างมาก แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับอ่านวนไปมาถึง 3 ครา หลังจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาถามว่า  ก่อนหน้านี้เป็นผู้ใดในแคว้นอี๋ที่มาขอเจรจาสงบศึก ?  

ขันทีเหนียนโน้มกายลงมาแล้วตอบว่า  องค์รัชทายาทของแคว้นอี๋…เยียนเหลียงเจ๋อเป็นผู้นำ 

 แล้วในวันนี้พอจะมองเห็นเงื่อนงำแล้วหรือไม่ ?  

ขันทีเหนียนส่ายหน้า ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปชั่วขณะ  ข้าต้องการข้อมูลทั้งหมดของเยียนเหลียงเจ๋อ !  

 

ตอนที่ 440 ธนาคารซื่อทง

หยูเวิ่นเต้าและคนอื่น ๆ มิได้อยู่รบกวนนานเท่าใดนัก เมื่อตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนไปส่งพวกเขานั้นได้กำชับมาว่า  จงไปเตรียมเงินของพวกเจ้าเอาไว้ให้พร้อม เพราะพวกเราจะกระทำการใหญ่กัน !  

องค์หญิงสามและบรรดาสตรีทั้งหลายมิเข้าใจว่ากระทำการใหญ่ของเขานั้นใหญ่ถึงเพียงใด แต่หยูเวิ่นเต้า หนิงหยู่ชุนและฮั่วหวยจิ่นย่อมเข้าใจเป็นอย่างดี ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนกล่าวออกมาว่าจะทำการใหญ่ เกรงว่าเขาจะนำแผนงานขนาดใหญ่ของอุตสาหกรรมซีซานเผยเเพร่ไปทั่วหล้า

เมื่อฮั่วหวยจิ่นกลับมาถึงจวน เขาก็ได้รีบเขียนจดหมายส่งไปยังจวนซีหวังทันที เขายังต้องการเงินอีกเป็นจำนวนมาก ยิ่งมากเท่าใดก็ยิ่งดี !

หยูเวิ่นเต้าเมื่อกลับไปถึงพระราชวัง ก็ได้กล่าวกับเจ็ดกระบี่ว่า  จงไปรวบรวมเงินของผู้คุ้มกันทั้งหมดมา แล้วส่งมายังเมืองหลวง 

หนิงหยู่ชุนเองเมื่อกลับไปถึงจวน ก็ได้นำเงินทั้งหมดของตนออกมาเช่นกัน

ฟู่เสี่ยวกวนกลับเข้าไปด้านในจวน แล้วกล่าวเรื่องความคิดของเขาต่อภรรยาทั้งสามคนอย่างจริงใจ

เมื่อหยูเวิ่นหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมยิ่ง มีเพียงต่งชูหลานเท่านั้นที่แววตาเป็นประกายแล้วเอ่ยถามคำถามเสียมากมาย

 จากการลงทุนในเขตเหยาโดยมินับอู่ต่อเรือ ก่อนหน้านี้ที่โรงงานทำการผลิตสินค้าได้ตามปกติ รายรับที่พวกเราได้ในเขตเหยานั้นคือ 600,000 ตำลึง และนี่เป็นเพียงเขตเดียวเท่านั้น

ส่วนที่ผิงหลิงและชวูอี้ทั้งสองเขตนี้ เดิมทีข้าตั้งใจว่าจะแบ่งเงินลงทุนเขตละ 300,000 ตำลึง จัดตั้งโรงงานปูนซีเมนต์และกระเบื้องเสียก่อน ในปีหน้าค่อยผลิตโรงกลั่นสุรา สบู่และน้ำหอม รวมไปถึงโรงผลิตกระดาษด้วย

หากพวกเราลงทุนเขตละ 300,000 ตำลึง และยังมีอีก 23 เขตที่เหลือ ดังนั้นจะต้องใช้เงินมากถึง 6,900,000 ตำลึง ! แน่นอนว่าอุตสาหกรรมของพวกเรานั้นได้รับกำไรคืนมาค่อนข้างเร็ว เดิมทีข้าตั้งใจว่ารอให้โรงงานที่ผิงหลิงและชวูอี้ผลิตสินค้าออกมาเสียก่อน จากนั้นค่อยดำเนินการในเขตอื่น ๆ ต่อไป…

 ยามนี้ที่ได้ฟังคำเอ่ยจากเจ้า หมายความว่าจะนำเงินลงทุนของพวกเขามาดำเนินการใช่หรือไม่ ?

เรื่องของความเสี่ยง อีกทั้งการปันผลแก่พวกเขา รวมถึงในมือของพวกเรามิมีกำลังคนที่มากพอ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหา !

ถ้าหากเกิดปัญหาขึ้นมาเล่า มิแน่ว่าอาจจะเกิดเรื่องใหญ่ เจ้ามิลอง…ไตร่ตรองดูสักหน่อยเลยหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า จากนั้นก็กำชับใช้เสี่ยวฉีไปหยิบกระดาษ พู่กัน และน้ำหมึกมา

เขานั่งลงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ แล้วเขียนแผนการกระจายทุนและแผนจูงใจผู้ถือหุ้นฉบับแรกในประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้ขึ้นมา

เรื่องนี้ทำให้เขาใช้เวลาไปกับมันทั้งวัน ตั้งแต่เช้าจรดเย็น เมื่อตอนกลางวันเขาหยุดพักเพื่อกินข้าวเพียงครู่เดียวเท่านั้น

เขายื่นกระดาษกว่าสิบแผ่นนี้ไปให้ต่งชูหลาน แล้วเขียนต่อไป

นี่คือแผนการก่อตั้งธนาคารซื่อทง

ธนาคารซื่อทงนี้จะเป็นผู้ดูแลเงินลงทุนทั้งหมด แน่นอนว่าเขาย่อมทำให้ธนาคารซื่อทงมีบทบาทมากยิ่งขึ้น เช่น การฝากเงิน การกู้เงิน และเป็นเช่นศูนย์กลางการซื้อขายหุ้นในอนาคต หรือขอเสนอกู้เงินจากองค์จักรพรรดิ โดยมีอุตสาหกรรมซีซานนำไปจำนอง และผลิตเงินสำหรับธนาคารซื่อทงเป็นต้น

ต่งชูหลานพิจารณาหนังสือร่างฉบับนี้อย่างละเอียด จากนั้นก็ตั้งใจอ่านวิธีการจัดตั้งธนาคารซื่อทง ผ่านไปเนิ่นนานเสียทีเดียว นางจึงได้วางกระดาษเหล่านี้ลงบนโต๊ะ

 ข้าพอจะเข้าใจความหมายของเจ้าแล้ว นั่นก็คือยืมไก่ให้ออกไข่ แต่เราจะดูแลไก่เป็นอย่างดี 

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมาแล้วคิดว่าคำอธิบายนี้ช่างเหมาะสมมากยิ่งนัก เขาจึงกล่าวขึ้นมาว่า  อุตสาหกรรมที่ซีซานนั้นเป็นของพวกเรา เจ้าลองคำนวณดูว่าบัดนี้มีมูลค่ามากเท่าใดแล้ว จากนั้นกำหนดให้หุ้นละ 2 ตำลึง ให้พวกองค์ชายห้าได้ลงทุน 

 ก่อนอื่นจะต้องจัดตั้งธนาคารซื่อทงขึ้นมาเสียก่อน จงวางไว้ในศูนย์การค้าหยู๋ฝูชั้นที่หนึ่ง…  เขามองไปยังหยูเวิ่นหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลว  หลงจู๊ของธนาคารซื่อทงสำคัญเป็นอย่างมาก ดังนั้นเรื่องของการคัดเลือกคน พวกเจ้าจงช่วยกันคัดเลือก ทางที่ดีควรจะเป็นผู้ดูแลใหญ่ประจำจวนที่มีประสบการณ์ด้านการดูแลเงินมาก่อน

เงินและบัญชีต้องแยกจากกัน ส่วนเรื่องบัญชีนั้นพวกเราจะต้องจัดการควบคุมด้วยตนเอง ดังนั้นข้าจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าธนาคารซื่อทงนี้ เสี่ยวโหลวจะเป็นผู้รับผิดชอบ  เยี่ยนเสี่ยวโหลวตกตะลึงขึ้นทันพลัน เนื่องจากนางมิคุ้นเคยกับเรื่องเหล่านี้เท่าใดนัก มองดูแล้วธนาคารซื่อทงจะมีเงินจำนวนมากเข้ามาอย่างแน่นอน โปรดอย่าได้เกิดข้อผิดพลาดอันใดขึ้นมาเลย

นางพยักหน้า  ข้าจะเรียนรู้จากพี่ชูหลานให้ได้มากที่สุด 

 อือ นับแต่เริ่มวางแผนดำเนินการจนกระทั่งเปิดกิจการจำเป็นต้องใช้เวลานานสักหน่อย ช่วงนี้อาจจะลำบากเจ้าหน่อยนะ 

เยี่ยนเสี่ยวโหลวกัดฟันแล้วยิ้มขึ้น ในใจนางนึกไปว่าในที่สุดก็ได้ทำประโยชน์ให้กับครอบครัวเสียที

หยูเวิ่นหวินครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า  ข้าจะขอให้เสด็จแม่ส่งหลงจู๊หลี่ หลี่จินโต้ว ที่ดูแลธนาคารเป่าหลงมาให้ข้า จากนั้นค่อยประกาศรับคนเพิ่ม ให้พวกเขาค่อย ๆ เรียนรู้ และฝึกอบรมให้แก่พวกเขาจนกว่าจะมีความรู้ที่มากพอ 

 ยอดเยี่ยม หากสะดวกเมื่อใดเจ้าจงให้หลี่จินโต้วมาพบข้า 

 อือ… 

ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังต่งชูหลาน  เรื่องของธนาคารจัดการเบื้องต้นเท่านี้ก่อน ส่วนเรื่องหุ้นของซีซานนั้นคงต้องให้เจ้าเป็นผู้จัดการด้วยตนเอง ตำแหน่งประธานกรรมการนั้น เจ้าเหมาะสมยิ่งกว่าผู้ใด เรื่องการผลิตที่ซีซานให้ชุนซิ่วและเสี่ยวฉีเป็นผู้ดูแล 

ต่งชูหลานครุ่นคิด  ให้พวกนางเรียนรู้วิธีการจัดการอย่างเหมาะสมในเบื้องต้นกับข้าไปก่อน รอเมื่อเปิดกิจการแล้ว ทุกเขตก็จำเป็นจะต้องมีหลงจู๊ใหญ่ คนเหล่านี้จะต้องคัดเลือกให้ดี เมื่อใช้งานจะได้สบายใจ 

 อือ…เรื่องนี้มิใช่ปัญหาใหญ่ เมื่อถึงเวลานั้นแต่ละเขตจะมีขนส่งซีซาน บัดนี้ดูจากรายงาน ขนส่งซีซานได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก หากนำคนของพวกเราเข้าไปพัฒนาการจัดการ ก็มิต้องกลัวผู้ใดก่อความมิสงบ 

แผนการต่าง ๆ ได้ถูกวางไว้อย่างเรียบง่าย

สำหรับฟู่เสี่ยวกวนแล้ว เขามีความต้องการเงินจำนวนมากในการสนับสนุนอุตสาหกรรมและการดำเนินการต่าง ๆ แต่สำหรับหยูเวิ่นหวินและคนอื่น ๆ นั้น พวกนางเพียงเพื่อต้องการเงินที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น

พวกเขาทั้งหลายมิเคยคิดมาก่อนเลยว่า หุ้นส่วนซีซานและธนาคารซื่อทงนี้ จะส่งผลเป็นอย่างยิ่งในอนาคตอีกหลายปีข้างหน้า !

มันน่าตกตะลึงเสียยิ่งกว่ากองทัพดาบเทวะเสียอีก !

ตัวฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิได้คิดไปไกลถึงตอนนั้น เขานำเรื่องที่ต้องจัดการทั้งหมดนี้โยนให้กับภรรยาทั้งสามคน แล้วตัวเขาเองเดินไปทางศาลาเถาหราน

ซูซูและซูโหรวอีกทั้งไป๋ยู่เหลียนกับเหวินรั่วซีก็ได้อยู่ที่นั่นด้วย

เนื่องจากช่วงนี้เขาค่อนข้างยุ่ง จึงมิได้เอ่ยถามถึงศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยเท่าใดนัก

บัดนี้ซูโหรวกำลังปักผ้ารูปนกหยวนหยางคู่หนึ่ง แล้วส่งให้กับไป๋ยู่เหลียนและเหวินรั่วซี

 เสี่ยวไป๋ พี่เคยบอกกับเจ้าไว้เนิ่นนานแล้วว่า เมื่อใดที่เจ้ามีภรรยา พี่จะปักนกหยวนหยางคู่หนึ่งที่งดงามที่สุดมอบให้พวกเจ้า… 

นางเงยหน้าขึ้นมอง เผยให้เห็นดวงตาเล็กเรียวคู่นั้น ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสุข นางมองไปยังแก้มอมชมพูระเรื่อของเหวินรั่วซี แล้วมองไปยังไป๋ยู่เหลียนที่กำลังเขินอายอยู่  เจ้านี่ช่างโชคดีเสียจริง ไปหลอกล่อแม่นางที่งดงามถึงเพียงนี้มาเป็นภรรยาได้ ตั้งใจจะมีลูกเมื่อใดกัน ? พี่ขอบอกไว้ตอนนี้ก่อนเลยว่า เมื่อลูกของพวกเจ้าคลอดออกมา จะต้องเรียกข้าว่าท่านป้า !  

เหวินรั่วซีชายตาไปมองไป๋ยู่เหลียน ส่วนไป๋ยู่เหลียนนั้นนั่งหลังตรงแล้วเอ่ยออกมาอย่างจริงจังว่า  ธุระของคุณชายจัดการเรียบร้อยแล้ว ข้าตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นจะเดินทางไปยังภูเขาเฟิ่งหลิน ทหารดาบเทวะกลุ่มหนึ่งที่จะทำการฝึกที่ผิงหลิงและชวูอี้นั้น จะต้องเพิ่มจำนวนคนอีกราว 6,000 คน

ส่วนด้านภูเขาเฟิ่งหลินนั้น จะทำการฝึกทหารกลุ่มที่สอง เรื่องนี้ข้าและคุณชายได้วางแผนกันเอาไว้ตั้งแต่ตอนที่อยู่ผิงหลิงแล้ว ดังนั้น… 

เขามองไปยังเหวินรั่วซี  ข้าเป็นทหาร ข้ามีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบมากมาย มิมีเวลามากพอที่จะพาเจ้าชื่นชมผกาหรือจันทรา และมิสามารถให้สัญญาได้ว่าจะมีอนาคตที่ดีแก่เจ้าได้… 

เหวินรั่วซีเอ่ยขัดไป๋ยู่เหลียนขึ้นด้วยแววตาเป็นประกายว่า

 ข้าจะอยู่กับเจ้า จนกว่าชีวีของข้าจะดับสูญ !  

 

ตอนที่ 439 หุ้นส่วนซีซาน

ค่ำคืนนั้น เป็นความทรงจำที่ยากจะลบออกไปได้ของผู้คนในเมืองจินหลิง

เหนือท้องนภาที่ใหญ่โตได้มีดอกไม้ไฟที่สวยงามปรากฏขึ้น

แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนในเมืองหลวงตกตะลึงมากที่สุด กลับเป็นบอลลูนที่ลอยอยู่ในอากาศ อีกทั้งยังมีคนที่อยู่ในบอลลูนนั่นอีกด้วย คาดมิถึงว่าจะสามารถใช้สิ่งนั้นเพื่อลอยขึ้นไปได้ !

นี่คือสิ่งที่สามารถลบล้างความคิดของผู้คนทั้งหมดได้อย่างมิต้องสงสัย ในวันรุ่งขึ้น ข่าวนี้ก็ได้แพร่ขยายไปทั่วทั้งเมืองจินหลิง

สิ่งนั้นถูกสร้างขึ้นด้วยการค้นคว้า โดยใช้หลักการของความร้อน !

มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ฟังแล้วเข้าใจ แต่ฟังดูแล้วก็เหมือนจะเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากยิ่งนัก ดังนั้น กระแสของการค้นคว้าจึงได้โหมกระพือขึ้นในเมืองจินหลิงอีกครา สำนักศึกษาจี้เซี่ยตัดสินใจจะขยายสำนักศึกษาการค้นคว้าในปีหน้า และรับสมัครบัณฑิตที่ทุ่มเทให้กับการค้นคว้าให้มากขึ้น

เรื่องเหล่านี้ต่างก็ไม่เกี่ยวข้องกันกับฟู่เสี่ยวกวน

เพราะเขายุ่งเป็นอย่างมาก !

ยุ่งกับภรรยาทั้งสาม ยุ่งกับการนับรายได้จากของในงานแต่ง ยุ่งอยู่กับการจัดการข้อซักถามในเรื่องนโยบายของฝ่าบาทและอื่น ๆ

จนกระทั่ง 10 วันให้หลัง หรือก็คือเดือนสิบเอ็ด วันที่ยี่สิบแปด ในที่สุดเขาก็ได้มีเวลาว่างเสียที

 ลูกชายเอ๋ย พ่อได้เห็นเจ้ามีครอบครัว พ่อก็โล่งใจไปได้แล้ว พ่อจะกลับไปที่หลินเจียงเสียหน่อย และจะนำข่าวนี้ไปบอกกับแม่ของเจ้า ในเมื่อเจ้าปลีกตัวไปมิได้ก็หาเวลาที่ว่าง ๆ แล้วกลับไปเสียบ้าง เรื่องส่วนบุคคลเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย 

 ท่านพ่อ ข้ารู้สึกมาโดยตลอดว่าท่านมีเรื่องบางอย่างกำลังปิดบังข้าอยู่ 

ดวงตาของฟู่ต้ากวนเบิกกว้าง  ข้าจะมีเรื่องอันใดปิดบังเจ้ากันเล่า เป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็เท่านั้น เอาล่ะ ๆ เรื่องที่สำคัญของเจ้าตอนนี้ก็คือมีบุตรหลาย ๆ คน จงจำไว้ว่า เรื่องวุ่นวายในใต้หล้า มีเพียงการสืบทอดตระกูลเท่านั้นที่เป็นเรื่องใหญ่ !  

ฟู่ต้ากวนเอ่ยกระซิบกระซาบด้วยท่าทีล่อกแล่ก แต่ก็ถูกซูซูได้ยินเข้า

ซูซูนั่งอยู่บนชิงช้าในศาลาเถาหราน สองขาเปลือยเขย่าไปมา แต่ในแววตานั้นกลับไร้ซึ่งสีสัน

เขาแต่งงานแล้ว !

มีภรรยา 3 คนและหนึ่งในนั้นก็ได้ตั้งครรภ์แล้ว !

เขาใกล้จะเป็นพ่อคนแล้ว !

ซูซูสูดลมหายใจเข้าลึก พลางคิดไปว่ารอจนกระทั่งศิษย์พี่ใหญ่กลับมา ข้าก็ควรจะไปจากที่นี่ได้แล้ว !

ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้สังเกตเห็นท่าทีที่แปลกไปของซูซู เขาส่งฟู่ต้ากวนจนถึงหน้าประตูจวน ในทันทีที่รถม้าจากไป ก็ได้พบกับหยูเวิ่นเต้าเดินมาพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่ง

ให้ตายเถอะ !

จะให้ข้าพักผ่อนสักหน่อยก็มิได้เลยหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก แต่หยูเวิ่นเต้ากลับหดหู่ยิ่งกว่าฟู่เสี่ยวกวนเสียอีก !

ให้ตายเถอะ !

ข้าเป็นถึงองค์ชายห้า แต่การจะพบหน้าเจ้าในแต่ละคราช่างเป็นเรื่องที่ยากเสียจริง !

ให้ตายเถอะ ข้ามิได้มาที่นี่เพื่อยืมเงินเจ้าเสียหน่อย พวกข้ามาที่นี่เพื่อเอาเงินมาให้เจ้า แต่เจ้ากลับมิดีใจเยี่ยงนั้นหรือ ?

เงินจำนวนนี้ผ่านมา 10 วันแล้วก็ยังมิได้ให้ นี่จึงทำให้หยูเวิ่นเต้าและคนอื่น ๆ กลุ้มอกกลุ้มใจเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาหาตัวฟู่เสี่ยวกวนมิพบ แต่กลับพบหน้าไป๋ยู่เหลียนอยู่บ่อยครา จากที่ไป๋ยู่เหลียนเล่ามาจึงได้ทราบว่าฟู่เสี่ยวกวนมีธุระมากมายที่ต้องจัดการ

คนผู้นี้เหมือนมิใช่มนุษย์แล้ว !

สงครามคืออะไรที่เขาได้เขียนไว้ที่พระราชวังจินเตี้ยนเมื่อปีที่แล้ว มันกลับมิใช่การเขียนเรื่องการทหารบนกระดาษเท่านั้น !

แต่เขาใช้กลยุทธ์ฉบับนั้นกับกองกำลังดาบเทวะ และเหล่าอาวุธสังหารที่ทางศูนย์วิจัยซีซานได้วิจัยออกมา ประกอบไปด้วยปืนใหญ่หงอีของกองทัพชายแดนตะวันออกที่เอามาตั้งในสงครามคราแรก และรวมไปถึงปืนไฟที่โด่งดังในสงครามภูเขาผิงหลิง

สิ่งของเหล่านี้เป็นอาวุธที่สำคัญของแคว้น แต่ตอนนี้กลับเป็นผลิตผลส่วนบุคคลของฟู่เสี่ยวกวนแต่เพียงผู้เดียว ฮ่องเต้ได้เพ่งเล็งสิ่งของเหล่านี้เขม็ง และได้เรียกฟู่เสี่ยวกวนมาเข้าเฝ้าอยู่หลายครา เพื่อให้ติดตั้งสิ่งของเหล่านี้ไว้ที่ชายแดนของแคว้นหยูด้วย

ดังนั้นของเหล่านี้ต่างก็เป็นเงินทั้งสิ้น !

ดังนั้นเรื่องการลงทุนนี้ก็ได้อยู่ชิดเส้นยาแดงผ่าแปดแล้ว

โชคดีที่ในวันนี้มากันแต่เช้า และได้ขวางเขาเอาไว้ที่หน้าประตู เจ้ามิมีที่ใดให้หนีไปได้อีกแล้ว

ทันใดนั้นหยูเวิ่นเต้าก็ได้หัวเราะขึ้นมา จนผู้มองอย่างฟู่เสี่ยวกวนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง  มิไปดื่มสุราหรือทานข้าว จะร้องรำทำเพลงอันใดก็มิไป สรุปเลยว่า บัดนี้ข้าจะมิไปไหนทั้งสิ้น !  

เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่กัน ?

ผู้ใดจะเชิญเจ้าดื่มสุราทานอาหารร้องรำทำเพลงกัน ?

 ไป ๆ ๆ เข้าไปสนทนาในจวนของเจ้าก่อนเถอะ นี่เป็นเรื่องใหญ่ !  

ศาลาเถาหราน ในหนึ่งโต๊ะไม่สามารถจุคนให้นั่งลงได้ทั้งหมด ฟู่เสี่ยวกวนจึงทำได้เพียงเรียกให้บ่าวรับใช้ยกโต๊ะเข้ามาอีกโต๊ะ

เหวินรั่วซีรู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก จึงได้ลากไป๋ยู่เหลียนให้มาร่วมวงสนทนาด้วย

ส่วนฟู่เสี่ยวกวน ความรู้สึกในแววตานั้นคือความรู้สึกซาบซึ้ง เขาหล่อเหลาถึงเพียงนี้ ทั้งยังเป็นแม่ทัพที่เก่งกาจ แต่กลับหาคบไฟที่จะจุดโคมไฟนี้มิเจอ !

นางเหลือบสายตาไปมองไป๋ยู่เหลียน ก็รู้สึกมีความสุขมากยิ่งขึ้นไปอีก เพียงแค่… เพียงแค่คนผู้นี้ขลาดเขินไปเสียเล็กน้อย อาจจะเป็นเพราะความแตกต่างของทั้งสองแคว้น ประเพณีของแคว้นอู๋นั้นเปิดกว้าง และมิได้พิถีพิถันเทียบเท่ากับแคว้นหยู

พวกต่งชูหลานได้ออกมาทักทาย และเรียกให้บ่าวรับใช้นำน้ำชาและผลไม้มาให้ แล้วกลับเข้าไปในห้องอีกครา

…..

หยูเวิ่นเต้าพาสีซีคุณหนูรองตระกูลสี และเซวี๋ยหยู่เยียนคุณหนูห้าแห่งตระกูลเซวี๋ยมาด้วยซึ่งฟู่เสี่ยวกวนมิได้รู้จัก ดังนั้นเขาจึงมิได้เหลือบมองแม้แต่น้อย สายตาของเขาจึงตกอยู่บนใบหน้าของหยูเวิ่นเต้า

 กล่าวมาเถอะ มีเรื่องอันใด ?  

หยูเวิ่นเต้ามิได้รีรอ และได้รีบตรงเข้าประเด็นในทันที  ในปัจจุบันนี้เสด็จพ่อกำลังผลักดันการปฏิรูปการทดลอง ก้าวแรกกำหนดไว้ที่ 6 เขต เรื่องนี้เจ้าเองก็เข้าใจเป็นอย่างดี

และอุตสาหกรรมซีซานของเจ้าในวันนี้ ได้ดำเนินการที่เขตเหยาและเป็นไปได้ด้วยดี อีกทั้งยังกำลังสร้างขึ้นที่ผิงหลิงและชวูอี้ ส่วนอีกสามเขต เจ้ายังมิได้ลงมือแต่อย่างใด

ปีหน้าเสด็จพ่อจะเพิ่มการทดลองไปถึง 26 เขต โดย 10 สถานที่นั้นมีสองฟากฝั่งแม่น้ำหวงเหอ นอกจากนั้นอีก 5 สถานที่จะอยู่ที่หลิงหนาน และอีก 5 สถานที่จะอยู่ที่ซานหนานซีเต้า

ต่างก็เป็นสถานที่ที่ยากจนทั้งสิ้น และต่างก็เป็นเขตที่ต้องการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างเร่งด่วน ดังนั้นต่อจากนี้จึงจะมีการผลักดันอย่างเต็มกำลัง

อุตสาหกรรมซีซานของเจ้าแน่นอนว่ายอดเยี่ยมยิ่ง แต่เสด็จแม่กล่าวว่าขนาดของการผลักดันนี้ใหญ่เกินไป ยังมิต้องเอ่ยถึง 26 เขต เพียง 6 เขตในปัจจุบันนี้ อุตสาหกรรมซีซานของเจ้าต้องครอบคลุมทั้งหมด เรื่องการจัดการเงินทุนไปจนถึงบุคลากร เกรงว่ายากที่จะไปต่อได้

ดังนั้น ข้าจึงหาคนเหล่านี้ เจ้าเองต่างก็รู้จักทั้งสิ้น คุณหนูทั้งสองนางนี้ คือคุณหนูรองตระกูลสี…สีซี นางเคยเป็นคนที่หลงใหลในตัวเจ้า แต่ก็ได้ลบความคิดนี้ไปในคืนที่เจ้าเข้าพิธีสมรสแล้ว 

คุณหนูรองตระกูลสีหน้าแดงขึ้นมาทันพลัน นางจ้องไปที่องค์ชายห้า ก่อนจะก้มหน้าหลบ

ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมาด้วยความอึดอัด ผู้ใดสอนให้เจ้าเอ่ยเยี่ยงนี้กัน ?

 ส่วนท่านนี้ คือคุณหนูห้าเซวี๋ยหยู่เยียนแห่งตระกูลเซวี๋ย นางมิได้ชื่นชอบเจ้า เหมือนได้ยินมาว่านางชื่นชอบ…ไป๋ยู่เหลียน !  

องค์ชายห้าเงยหน้าขึ้นมองไป๋ยู่เหลียน ใบหน้างดงามของไป๋ยู่เหลียนขึ้นสีแดงระเรื่อ แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับกล่าวว่า  เจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร มาหาข้าเพื่อทำหน้าที่พ่อสื่อพ่อชักเยี่ยงนั้นหรือ ? กล่าวธุระออกมาตามตรงเถอะ !  

สตรีผู้นั้นแซ่เซวี๋ย คุณหนูห้าของตระกูลเซวี๋ย ฟู่เสี่ยวกวนมิได้หวังให้นางมีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับไป๋ยู่เหลียน

อย่างน้อยก็ยังมิใช่ตอนนี้ ที่เรื่องราวยังคงมิชัดเจนเยี่ยงนี้ !

องค์ชายห้าและคนอื่น ๆ กลับมิสนใจในรายละเอียดเล็กน้อยนี้ เขาแสยะยิ้มขึ้นเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า  พวกข้ามีความคิดว่า เจ้ากำลังขาดแคลนเงิน พวกข้ายังคงมีเงินส่วนตัวอีกเล็กน้อย ทั้งยังทิ้งไว้โดยมิได้ทำอันใด มิสู้ลงทุนให้เจ้าแล้วทำให้อุตสาหกรรมของซีซานใหญ่โตยิ่งขึ้นไปอีก เจ้าเห็นเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?  

ฟู่เสี่ยวกวนผงะ ตนกลับละเลยในจุดนี้ไป

ทุนแสวงกำไร เนื่องจากราชวงศ์หยูต้องการผลักดันนโยบายนี้ให้มากขึ้น นโยบายนี้ย่อมปลดปล่อยกำไรออกมาอย่างมหาศาล ตนคือผู้บุกเบิก ควรจะดูดเงินลงทุนให้มากขึ้นเพื่อมาจัดการกับเรื่องนี้

ดังนั้น เขาจึงคิดเรื่องหุ้นส่วนของซีซานขึ้นมาได้

เพียงแต่ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้แสดงท่าทีออกไป ณ ตรงนั้น แต่กลับกล่าวว่า  เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดี เพียงแต่ข้านั้นจำเป็นต้องคิดให้ดีเสียก่อน เยี่ยงนั้น…พวกเจ้าให้เวลาข้า 2 วัน ช่วงค่ำของวันที่หนึ่ง เดือนสิบสอง พวกเจ้าค่อยมาที่นี่อีกครา ข้าจะร่างหนังสือออกมาหารือกับทุกคน 

 

ตอนที่ 438 ดอกไม้ไฟตระการตา

ค่ำคืนที่แสงจันทราส่องสว่างเสียจนมองมิเห็นดวงดาว

เดิมทีหยูเวิ่นเต้าตั้งใจจะพาหงจวงและลวี่ซั่งไปยังจวนฟู่ แต่เมื่อใกล้จะถึงจุดหมายเขากลับเลี้ยวไปยังอีกทิศทางหนึ่ง ซึ่งเป็นทางไปยังค่ายทหารรักษาพระองค์

 ไปกันเถอะ 

 ไปที่ใดกัน ?   ฮั่วหวยจิ่นเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ

 ไปดื่มสุรากับหนิงหยู่ชุน 

 …อกหักเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 อกหักบ้าบออันใดกัน ข้ายังมิได้มีความรักเลยด้วยซ้ำ ไป ๆ ๆ อย่าได้เอ่ยถามให้มากความ 

ฮั่วหวยจิ่นแบกปืนเหล็กเอาไว้และขี่ม้าตามรถม้าของหยูเวิ่นเต้าไปยังจวนผู้ว่าการเขตจินหลิง

หนิงหยู่ชุนเพิ่งจะเดินออกมาจากประตูจวน ก็พบเข้ากับหยูเวิ่นเต้าและฮั่วหวยจิ่น

 ดื่มสุรา !  

 …อกหักเยี่ยงนั้นหรือ ?  

หยูเวิ่นเต้ารู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก หรือใบหน้าของข้าจะแปะตัวอักษรเอาไว้ว่าอกหักเยี่ยงนั้นหรือ ?

 ไป ? พวกเราไปหอซื่อฟางกัน 

 พ่อครัวของหอซื่อฟางไปอยู่ที่จวนของฟู่เสี่ยวกวนหมดแล้วมิใช่หรือ ?  

 เขานะหรือ เขาเป็นเพียงพวกตระหนี่ เขามิได้จัดงานเลี้ยงหรอก เขากล่าวว่ายามราตรีเขามิว่าง 

ทั้งสามคนเดินไปบนถนนท่ามกลางความมืด หัวข้อสนทนาหนีมิพ้นเรื่องของฟู่เสี่ยวกวน

ฮั่วหวยจิ่นหัวเราะหึ ๆ  คืนนี้เขามิว่างก็เป็นเรื่องปกติ พวกเราอย่าได้ไปรบกวนเขาเลย 

 เจ้าจะไปรู้อันใดกัน…  หยูเวิ่นเต้าเกือบจะหลุดเอ่ยออกมาว่าหยูเวิ่นหวินตั้งครรภ์แล้ว  เจ้าหมอนี่ เห้อ…จากนี้ไปหากข้าจะไปหาเขาเพื่อดื่มสุราคงจะเป็นการยากแล้ว 

 เขามิใช่พวกกลัวภรรยาเสียหน่อย อีกอย่างจากนิสัยของฮูหยินทั้งสามท่าน ก็มิใช่คนที่จะควบคุมเขา 

 มิใช่ด้วยเหตุนี้หรอก สาเหตุที่งานอภิเษกสมรสในครานี้จัดขึ้นอย่างกะทันหัน เพราะว่าหลังจากนี้เขาจะยุ่งเป็นอย่างมากต่างหากเล่า 

หนิงหยู่ชุนพยักหน้าตอบรับ เนื่องจากนโยบายใหม่นั้นได้ทำการขับเคลื่อนไปทั่วแคว้นแล้ว ในฐานะผู้คิดนโยบายขึ้นมา ฟู่เสี่ยวกวนจะต้องดูแลอย่างทั่วถึง

ได้ยินมาว่าเขาเริ่มทดลองที่เขตผิงหลิงกับชวูอี้แล้ว แต่เขตทดลองอย่างเป็นทางการเขตแรกนั้นอยู่ที่เขตเหยาเมืองหลินเจียง เมืองเหอหนานเขตกง เมืองฉีโจวเขตไคหยาง หย่งหนิงโจวผิงหลิงและชวูอี้ รวมถึงหนิงโจวเขตเหอหยูด้วย

ได้ยินมาว่าที่เขตเหยานั้นสำเร็จแล้ว แน่นอนว่ามีเพียงกิจการของซีซานเท่านั้น บรรดาพ่อค้ายังมิได้ออกมาแสดงความกระตือรือร้น

ทั้งหกเขตนี้ถือว่าเป็นเขตทดลอง คาดว่าจะเริ่มจากกิจการของซีซานก่อน เขาจะใช้ผลสรุปนี้ประกาศต่อราษฎรทั่วทั้งใต้หล้าว่า นโยบายการค้าคู่การเกษตรนั้น มิใช่เป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระ

หนิงหยู่ชุนเชื่อมั่นในตัวฟู่เสี่ยวกวนว่า เขาจะกลายเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จและได้รับผลตอบแทนอย่างมหาศาลจากนโยบายนี้ !

เขาเชื่อในวิสัยทัศน์ของฟู่เสี่ยวกวน และเชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนมีความรู้เรื่องนโยบายนี้เป็นอย่างดี เพียงแต่อุตสาหกรรมที่ซีซานนั้นใหญ่โตเป็นอย่างมาก หากจะให้ดำเนินการไปพร้อมกันทั้งหกเขต เขาจะนำเงินมากมายถึงเพียงนั้นมาจากที่ใดกัน !

เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในหอซื่อฟางและขึ้นไปนั่งยังชั้นสามแล้ว หนิงหยู่ชุนก็เกิดความคิดดี ๆ ขึ้นมา

 ข้าตั้งใจว่าวันพรุ่งนี้ข้าจะเข้าไปพบฟู่เสี่ยวกวนเสียหน่อย 

 ด้วยเรื่องอันใดกัน ?  

หนิงหยู่ชุนหัวเราะหึ ๆ  ร่วมหาเงินกับเขาสักเล็กน้อยเพื่อนำมาซื้อสุรา 

หยูเวิ่นเต้าและฮั่วหวยจิ่นรู้สึกงุนงงไปชั่วขณะ แต่ก็ได้เข้าใจความหมายของเขาอย่างรวดเร็ว

 พรุ่งนี้ข้าไปด้วย 

 ข้าตั้งใจจะลงทุนให้เขาสัก 300,000 ตำลึง  หนิงหยู่ชุนเอ่ยออกมาอย่างจริงจัง

หยูเวิ่นเต้าใจสั่น ให้ตายสิ ข้าเป็นถึงองค์ชายแต่ทว่ากลับมีเงินในมือเพียง 80,000 ตำลึงเท่านั้น มิได้การแล้ว จะต้องไปขอจากเสด็จแม่สักหน่อย  ข้าตั้งใจจะลงทุนสัก 500,000 ตำลึง !  

ฮั่วหวยจิ่นได้ยินดังนั้นก็ปวดหัวมากยิ่งนัก บ้าไปแล้ว พวกเจ้ามีเงินมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?

 ข้า…ข้ามีเพียงมิกี่พันตำลึงเท่านั้น 

หยูเวิ่นเต้ามองไปยังฮั่วหวยจิ่นด้วยสายตาดูถูก  ข้าจะบอกข่าวแก่เจ้าว่า พี่สามมีเงินมากโขเสียทีเดียว !  

องค์หญิงสามหยูชิงหลานนั้นเดินทางกลับมาเมืองหลวงทันทีหลังออกมาจากแคว้นฮวง เพิ่งจะเดินทางมาถึงเมื่อวานนี้ และฮั่วหวยจิ่นก็ได้พบกับองค์หญิงสามแล้ว ทั้งสองได้แต่สนทนาถึงเรื่องความรัก มิได้กล่าวถึงเงินทอง ดังนั้นฮั่วหวยจิ่นจึงมิได้รู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย

ในขณะที่ทั้งสามคนกำลังสนทนากันเรื่องรายได้ของอุตสาหกรรมที่ซีซานของฟู่เสี่ยวกวนอยู่นั้น ด้านนอกก็ได้มีเสียงของผู้หญิงดังขึ้น

ทั้งสามจึงเงี่ยหูฟัง…

หยูเวิ่นเต้าและฮั่วหวยจิ่นลุกขึ้นยืนเปิดประตูออก จึงได้พบกับองค์หญิงสามหยูชิงหลานและฉินรั่วเสวียอีกทั้งสีซีคุณหนูรองตระกูลสี เซวียหยู่เยียนคุณหนูห้าของตระกูลเซวีย

ทั้งสองฝ่ายล้วนตกตะลึง แต่เมื่อหยูชิงหลานพบพวกเขา นางจึงได้ยิ้มและกล่าวว่า  รั่วเสวียนางกล่าวว่าจะต้องพาข้ามาฉลองที่นี่ให้จงได้ อีกทั้ง…ในค่ำคืนนี้ ฟู่เสี่ยวกวนจะจุดพลุดอกไม้ไฟทั่วทั้งเมือง พวกเราจึงได้เดินทางมารับประทานอาหารที่นี่ และคอยชื่นชมดอกไม้ไฟ แล้วพวกท่าน… ?  

หยูเวิ่นเต้ายิ้มแล้วกล่าวว่า  พวกเราเพียงแค่มาพบปะกันเท่านั้น มา ๆ ๆ มาร่วมสนุกกันเถอะ… 

หยูเวิ่นเต้าเชิญชวนทั้งสี่คนเข้าไป พลางเอ่ยว่า  หลายปีมานี้ พวกเราพี่น้องมิเคยได้ร่วมรับประทานอาหารด้วยกันเลย นอกเสียจากวันเทศกาล ค่ำคืนนี้จะต้องดื่มให้ชื่นใจเสียหน่อย 

ฉินรั่วเสวียชายตาไปมองหยูเวิ่นเต้าแล้วหัวเราะ  ในวันนี้ช่างโชคดีเสียจริง ในเมื่อองค์ชายห้าอยู่ที่นี่ พวกข้าคงมิต้องจ่ายเงินเอง ประหยัดไปได้มากโขทีเดียว พวกเราหากอยากกินสิ่งใดเชิญสั่งได้ตามสบายมิต้องเกรงใจ !  

เมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว สีซีที่แม้ว่าใบหน้าจะยิ้มออกมา แต่ทว่ากลับแฝงไปด้วยความโดดเดี่ยว

 เมื่อปีที่แล้ว เสี่ยวโหลวและข้ายังได้มาฟังเพลงที่หงซิ่วจาวอยู่บ้างบางครา แต่เพียงพริบตาเดียว…นางก็แต่งงานไปเสียแล้ว รอเมื่อถึงวันนี้ในปีหน้า คาดว่านางคงจะกลายเป็นแม่ไปเสียแล้ว เห้อ… 

เซวียหยู่เยียนเอ่ยเสริมขึ้นมาว่า  เกรงว่าที่เจ้าเสียใจเช่นนี้มิใช่เพราะนางแต่งงานเป็นแน่ ข้านั้นนับถือเสี่ยวโหลวเสียจริง ชื่นชอบก็สามารถเข้าหาอย่างกล้าหาญ ดูเจ้าตอนนี้สิ ฟู่เสี่ยวกวนแต่งภรรยาทีละ 3 คน เสี่ยวโหลวก็ได้แต่งตามใจปรารถนาของนาง แต่เจ้ากลับมานั่งโทษฟ้าดินอยู่เช่นนี้ เพราะผู้ใดเล่า ?  

สีซีเบ้ปาก เลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า  องค์ชายห้า นำสุรามาเถอะ !  

มิมีผู้ใดรู้ว่าคุณหนูรองของตระกูลสีนั้นเคยแอบชื่นชอบฟู่เสี่ยวกวนมาก่อน นางพยายามยิ้มออกมา เมื่อกับข้าวและสุราถูกนำมาวางบนโต๊ะ หัวข้อสนทนาก็ได้กลับไปยังฟู่เสี่ยวกวนอีกครา

องค์หญิงสามได้กล่าวถึงเรื่องความเก่งกาจของดาบเทวะ อีกทั้งภาพที่นางเห็นในเขตผิงหลิงและชวูอี้

เมื่อฟังจบ สีซีก็ยิ่งรู้สึกคับแค้นใจ  นี่คือชายในดวงใจของข้า น่าเสียดายยิ่ง น่าเสียดายอย่างแท้จริง !  

ฉินรั่วเสวียคีบเนื้อปลาใส่เข้าไปในถ้วยของสีซีแล้วกล่าวว่า  กินปลาเข้าไปเสีย ! กินปลาเยอะ ๆ จะได้ฉลาดขึ้นมาบ้าง !  

เมื่อด้านนอกหน้าต่างปรากฏแสงไฟสว่างวาบ ทุกคนจึงหันออกไปมอง

ณ ลานอันกว้างใหญ่แห่งหลานถิงจี๋ มีพลุและดอกไม้ไฟมากมายถูกจุดขึ้น !

 ไอหยา เขาจุดพลุจริง ๆ ด้วย ไปกันเถอะ !   ฉินรั่วเสวียเอ่ยจบก็วิ่งออกไป คนอื่น ๆ ในโต๊ะก็พลันตกตะลึงแล้วรีบตามออกไปทันที

พวกเขามายังชั้นบนสุด และสามารถมองเห็นบรรยากาศได้รอบทิศ ราวกับสามารถมองเห็นได้ทั่วทุกมุม ทั่วท้องนภาในเมืองจินหลิงล้วนมีพลุสว่างไสว !

ริมแม่น้ำฉินหวาย วัดฟูจื่อ ด้านหน้าหยี่ฮวาถาย ถนนชูเซียง สำนักศึกษา อีกทั้งถนนถนนสือหลี่เป็นต้น

ราษฏรทั้งหลายต่างก็พากันวิ่งออกมาดู มิได้แตกต่างไปจากพวกเขาในตอนนี้ ทุกคนล้วนตื่นเต้นไปกับแสงไฟอันงดงามของพลุและดอกไม้ไฟ

ฮ่องเต้และฮองเฮาซั่งก็ได้ยืนทอดพระเนตรชมอยู่ที่หอชีเฟิ่ง มองไปยังแสงพลุไฟที่ตระการตาไปทั่วทั้งเมือง

ขณะที่ทุกคนกำลังชื่นชมอยู่นั้น ก็ได้มีบอลลูนลอยขึ้นสู่ท้องนภา บอลลูนนั้นได้ลอยไปทั่วเมืองจินหลิง ทำให้ทุกคนต่างก็ตกตะลึง ว่านี่มันมันคือสิ่งอัศจรรย์ใดกัน ?

และหนึ่งในบอลลูนเหล่านั้น ฟู่เสี่ยวกวนและภรรยาทั้งสามคนกำลังล่องลอยอยู่ในท้องนภาเพื่อชื่นชมพลุเหล่านั้น

 ข้าเคยบอกกับพวกเจ้าว่า จะจัดงานอภิเษกสมรสให้ยิ่งใหญ่ เรื่องนี้ข้าคงทำได้เพียงเท่านี้ หวังว่าพวกเจ้าจะชอบในสิ่งที่ข้าจัดเตรียมไว้ให้ 

และในบอลลูนที่ห่างออกไปมิไกลนัก ใบหน้าอันขาวผ่องของไป๋ยู่เหลียนนั้นมิอาจปิดบังความตื่นเต้นไว้ได้เลย มิใช่เพราะกังวลเรื่องความปลอดภัยของฟู่เสี่ยวกวน แต่เป็นเพราะบัดนี้ข้างกายของเขามีสตรีนางหนึ่งที่งดงามมากยิ่งนัก นางมีนามว่าเหวินรั่วซี !

 งดงามยิ่ง…เสี่ยวไป๋ เมื่อยามที่พวกเราสองคนแต่งงานกัน ก็ทำเยี่ยงนี้ดีหรือไม่ ?  

 

ตอนที่ 437 พิธีอภิเษกสมรสที่มิถูกกาลเทศะ

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนสิบเอ็ด วันที่สิบแปด

เหมาะที่จะออกเดินทาง ตบแต่งภรรยา รับทรัพย์ หลับนอนอย่างสบายใจ จัดวางทรัพย์สมบัติ…

แสงสุริยาในเช้าวันนี้ของจินหลิงเจิดจรัส ขบวนรับเจ้าสาวของฟู่เสี่ยวกวนออกเดินทางในยามเช้าตรู่ ขบวนที่ใหญ่โตได้เดินไปตามตรอกซอกซอยในจินหลิง เรียกสายตาจากชาวบ้านได้อย่างล้นหลาม

ในขบวนนี้ มีฮั่วหวยจิ่นที่ขี่ม้าตัวใหญ่คอยเปิดทางอยู่เบื้องหน้า และมีลูกศิษย์นับพันมาคอยคุ้มกันขบวนของอาจารย์

ฟู่เสี่ยวกวนสวมชุดสีแดงตัวโคร่งกำลังขี่ม้าตัวใหญ่ เขาได้อยู่ใจกลางขบวน ด้านหลังของเขาคือเกี้ยวแปดคนหาม 3 คัน

ซูโหรวและซูซูคอยขนาบข้างเพื่อปกป้องฟู่เสี่ยวกวน ส่วนชายอ้วนผู้นั้นแท้จริงแล้วเขาควรจะรออยู่ที่จวน เพื่อรอต้อนรับเจ้าสาวเข้าบ้าน และดื่มชากับเขา

แต่เหมือนเขาจะมิได้ใส่ใจอันใด เขาเดินเข้าไปในฝูงชน ติดตามด้านหลังของขบวน ใบหน้าเต็มไปด้วยความระรื่น แต่สายตาคู่นั้นกลับสำรวจเข้าไปในฝูงชนด้วยความระมัดระวัง

ขบวนรับเจ้าสาวนำหน้าไปยังวังหลวง เพื่อรับองค์หญิงเก้าหยูเวิ่นหวินที่ตำหนักขององค์หญิง

หยูเวิ่นหวินย่อมแต่งตัวครบองค์ ใบหน้าของนางเป็นสีแดงสดใส ฮองเฮาซั่งเองก็อยู่ที่ตรงนั้นด้วย และกำลังจับมือหยูเวิ่นหวินและย้ำถึงหน้าที่ที่พึงกระทำในฐานะภรรยาอีกครา

ต่อจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็กระโดดลงมาจากรถม้า เดินตรงไปหาหยูเวิ่นหวินด้วยรอยยิ้มซื่อ ๆ

เขาโค้งคำนับให้แก่ฮองเฮาซั่ง  ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะท่านแม่ยาย !  

ทันทีที่เขาตะโกน คนรอบข้างของฮองเฮาซั่งต่างก็ผงะกันไปถ้วนหน้า ตามประเพณีแล้ว ควรจะเปลี่ยนคำเรียกในยามที่กลับมาในวันรุ่งขึ้น ชายผู้นี้ทนรอมิไหวแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนจะไปทราบข้อกำหนดนี้ได้เยี่ยงไร ฮองเฮาซั่งเองก็หาได้ใส่ใจไม่ นางกล่าวยิ้ม ๆ กับฟู่เสี่ยวกวนว่า  ข้ามอบเวิ่นหวินให้เจ้าแล้ว หากนางได้รับความอยุติธรรม อย่าได้กล่าวโทษกันยามที่ข้าถามหาความรับผิดชอบจากเจ้า !  

 ท่านแม่ยายโปรดวางใจเถิด ข้ารักนางจนมิมีเวลาทำอื่นใดแล้ว จะให้นางได้รับความอยุติธรรมได้เยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ 

 อือ… พวกเจ้าไปเถิด 

หญิงสาวผู้หนึ่งจูงมือของหยูเวิ่นหวินพาขึ้นไปบนเกี้ยว ท่ามกลางเสียงฆ้องและกลอง ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยลาฮองเฮาซั่ง และหันหลังเดินออกไปท่ามกลางสายตาดุร้ายของหยูเวิ่นเต้า

หยูเวิ่นเต้ามองขบวนที่หายไปจากวังหลวง ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนนั้นแก่กว่าฟู่เสี่ยวกวนอยู่ 2 ปี ชายผู้นี้ก็ได้แต่งงานแล้ว แต่ตนนั้นยังคงเป็นเรื่องที่ห่างไกลมากยิ่งนัก… ต้องไปหาฉินรั่วเสวียเสียหน่อยแล้ว

ฮองเฮาซั่งเองก็มองออกไปไกล ๆ ความสุขบนใบหน้านั้นยังมิได้จางหายไป

บุตรีของนางเติบใหญ่แล้ว มีครอบครัว ทั้งยังมีบุตรแล้วด้วย ฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนที่นางเลือกด้วยตนเอง ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย แต่ในวันนี้การเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นจะมิมีอีกต่อไป หวังว่าวันข้างหน้าของพวกเขาจะยังคงเหมือนเดิมดั่งในอดีต เคียงรักกันไปกาลนาน

ฟู่เสี่ยวกวนใช้เวลาถึง 2 ชั่วยาม กว่าจะพาเจ้าสาวทั้งสามกลับมายังจวนฟู่

หลังจากนั้นเขาถึงได้ตระหนักถึงปัญหาขึ้นมา ค่าสินสอดนี้…เหมือนว่าจะยังมิได้ให้ !

ให้ตายเถอะ แม่ยายทั้งสามจะว่าเยี่ยงไร ?

ประมาทเกินไปแล้ว ในคราแรกนี้คือความมิคุ้นชิน ช่างมันเถอะ เพียงแค่ได้รับภรรยาทั้งสามกลับมาก็ดีแล้ว !

มีผู้คนจำนวนมากมายังจวนฟู่ที่กว้างขวาง !

มีฉินปิ่งจงและหลานสาวของเขาฉินรั่วเสวีย มีชางกวนเหวินซิ่วและหลานชายของเขาชางกวนเหมี่ยว และย่อมมีผู้ว่าการเขตจินหลิงหนิงหยู่ชุน สีฉวินเหมย ซังหยูและคนอื่น ๆ อีกมากมาย

สี่ตระกูลใหญ่ที่เหลืออยู่ในเมืองหลวง นอกจากตระกูลเยี่ยนที่มิได้มาเพราะถือเป็นตระกูลของฝ่ายเจ้าสาวแล้ว สามตระกูลที่อยู่นอกเหนือจากนั้นก็ได้ส่งคนมาทั้งหมด

มีเสนาบดีในราชสำนักมากันอย่างล้นหลาม ฟู่เสี่ยวกวนคือเจี้ยนอี้ต้าฟูเสมียนกลางของราชวงศ์หยู เขาได้กลับมาจากแคว้นอู๋อย่างปลอดภัย ภายภาคหน้านั้นเขาจะต้องทะยานสูงขึ้นอย่างแน่นอน

ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงวุ่นวายเป็นอย่างมาก

เจ้าสาวทั้งสามถูกส่งไปยังเรือนหลักแล้ว แต่เขาต้องวิ่งออกมาเพื่อทักทายแขกทีละคน ๆ… เป็นเรื่องที่ช่วยมิได้ คนเหล่านี้ต่างมาพร้อมของขวัญชิ้นใหญ่ จากความคิดของฟู่เสี่ยวกวน คนแบบนี้ควรค่าแก่การให้ตนเองเคารพ เยี่ยงนั้นจึงต้องเข้าไปทักทายและขอบคุณด้วยตนเองเสียหน่อย

ต่างสรรเสริญและอวยพรซึ่งกันและกัน หลังจากนั้นแขกเหรื่อก็ได้เข้าที่นั่ง พ่อครัวจากหอซื่อฟางต่างก็กำลังยุ่งวุ่นวายเป็นพัลวัน บ่าวรับใช้ต่างถือถ้วยชามผ่านแต่ละโต๊ะไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม เครื่องดื่มถูกนำออกมา อาหารถูกนำขึ้นโต๊ะ ฟู่เสี่ยวกวนจึงตะโกนขึ้นมาว่า  เริ่มงานได้ !  

หมดแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

ทุกคนต่างหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน ยามนี้เจ้าต้องพาเจ้าสาวออกมาเดิน 1 รอบมิใช่หรือ ?

ชายผู้นี้… ผู้คนจำนวนมากที่ทราบถึงนิสัยของฟู่เสี่ยวกวนก็ได้หัวเราะขึ้นมา ดังนั้นจึงมิมีผู้ใดคิดเล็กคิดน้อยกับพิธีอภิเษกสมรสที่มิถูกต้องตามหลักกาลเทศะนี้

ฟู่เสี่ยวกวนได้กลับมายังเรือนหลักแล้ว และได้หย่อนก้นลงนั่งในทันที เจ้าสาวทั้งสามมิใช่พวกเคร่งในขนบธรรมเนียมประเพณี จึงได้เปิดผ้าคลุมหน้าออก และจ้องมองไปทางเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

 ข้าเหนื่อยจะตายแล้ว หิวมากอีกด้วย เรียกให้เสี่ยวฉีนำสำรับอาหารเข้ามาเถอะ 

 เจ้ามิออกไปอยู่กับแขกเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 มิไป ข้ายิ้มจนหน้าเกร็งไปหมดแล้ว 

ต่งชูหลานกลอกตาใส่เขา เยี่ยนเสี่ยวโหลวหัวเราะ หยูเวิ่นหวินกลับรู้สึกดีมากยิ่งนัก เพราะนางเองก็รู้สึกเหนื่อยมากแล้วเช่นกัน

ดังนั้น ในยามที่งานได้ดำเนินไปจนถึงช่วงสุดท้าย ฟู่เสี่ยวกวนถึงได้โผล่หน้าออกมา

 ทุกท่านโปรดเดินทางกลับอย่างปลอดภัย โปรดอภัยให้กันด้วยหากข้าต้อนรับได้มิทั่วถึง… ขุนนางระดับสูงช่างกวนเดินทางปลอดภัยขอรับ อาจารย์ฉิน ไว้วันข้างหน้าข้าจะไปดื่มชากับท่าน… ท่านซัง ข้าเพิ่งจะแต่งงาน คงต้องขอลาพักไปอีกครึ่งเดือน คงมิมากเกินไปใช่หรือไม่… ไอหยา ! ท่านขุนนางหนิง ไว้วันข้างหน้าข้าจะไปหาท่านที่จวนผู้ว่าการเพื่อดื่มสุราเสียหน่อย… ท่านสวี่ ยินดีด้วยที่ได้เลื่อนขั้น ข้าคงมิได้ไปที่จวนสวี่ชั่วอีกสักพัก… 

ฟู่เสี่ยวกวนใช้เวลาครึ่งชั่วยามในการส่งแขกเหรื่อทั้งหมด แล้วจึงได้เดินหมดแรงกลับไปที่เรือนหลัก

เขาได้เชิญฟู่ต้ากวนมา และให้ฟู่ต้ากวนนั่งลงในตำแหน่งประมุข

 ภรรยาทั้งหลาย นี่คือบิดาของพวกเรา น้ำชาคำนับ และบิดาก็ได้เตรียมซองแดงซองใหญ่เอาไว้ให้พวกเจ้าแล้วด้วย !  

สตรีทั้งสามรู้สึกตกใจอยู่เล็กน้อย และย่อมชนสุราคำนับด้วยความสุข ชายชราอวบอ้วนผู้นี้ก็ดื่มด้วยความชอบใจเช่นกัน แต่ว่า…ซองแดงซองใหญ่เล่า ?

เขาหน้าแดงทันพลัน และกล่าวยิ้ม ๆ ว่า  เรื่องนี้… เรื่องนี้ข้ามาที่นี่ด้วยความรีบร้อนอย่างแท้จริง เป็นเยี่ยงนี้ข้านั้นได้ซื้อเรือนขนาดใหญ่ไว้ที่เมืองกวนหยุนพวกเจ้าก็คงทราบ นอกจากนี้ข้ายังได้ซื้อที่ดินแห่งหนึ่งในแคว้นฝาน 

 ข้ามิทราบมาก่อนว่าพวกเจ้าจะแต่งงานกัน และข้าก็มิมีเวลากลับไปที่หลินเจียง ดังนั้น… 

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า  ดังนั้นหลังจากที่ท่านพ่อกลับไปหลินเจียงก็ต้องชดเชยให้พวกนาง มิใช่ ท่านโร่ไปซื้อที่ดินที่แคว้นฝานเพื่อการใดอีกกัน ?  

 นี่มิใช่เพื่อความสะดวกของพวกเจ้ายามไปเที่ยวเล่นที่แคว้นฝานหรอกหรือ ?  

เหมือนว่าจะสมเหตุสมผล ฝานเทียนหนิงได้เชิญฟู่เสี่ยวกวนแล้ว เพียงแค่เขานั้นยังมิมีเวลาว่างอย่างแท้จริง ภายภาคหน้าหากมีเวลาว่างคงพาเหล่าภรรยาและลูกน้อยไปท่องทั่วสารทิศ เรือนหลังนั้นถือว่ามีความจำเป็น

สตรีทั้งสามก็มิได้นำเรื่องซองแดงมาใส่ใจ ในตอนนี้จึงได้เปลี่ยนคำเรียก เสียงเรียกบิดาจากแต่ละคน ทำให้ฟู่ต้ากวนประทับใจเป็นอย่างมาก

บุญคุณที่ข้าเลี้ยงดูเจ้ามา 17 ปี สุดท้ายก็คุ้มค่า !

เขามิเคยเอ่ยถึงสถานการณ์ปัจจุบันของราชวงศ์อู๋กับฟู่เสี่ยวกวน และมิได้กล่าวถึงตัวตนที่น่าสงสัยของไทเฮาซี

เขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าฟู่เสี่ยวกวนจะสามารถใช้ชีวิตคู่ได้อย่างมีความสุข มิต้องมาวุ่นวายกับเรื่องยุ่งยากเหล่านี้อีกแล้ว

 ข้าได้ลองคิดอย่างถี่ถ้วนมาตลอดสองวันนี้ ในช่วงนี้พวกเจ้ายังมิต้องกลับไปที่หลินเจียง ประเดี๋ยวข้าจะกลับไปดูให้เอง ส่วนเรื่องกิจการที่ซีซาน ยังคงต้องให้ชูหลานมาดำเนินการต่อ 

 มิใช่ ตาอ้วน ท่านคิดจะทำอันใดอีกกัน ?  

ฟู่ต้ากวนหัวเราะ  พ่อยังมีเรื่องอีกเล็กน้อยที่ต้องไปจัดการ 

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว  เรื่องอันใดกัน ?  

 เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ  

 

ตอนที่ 436 ข้าจะดูแลท่าน 70 ปี

ใบหน้าอวบอ้วนของฟู่ต้ากวนปรากฏรอยยิ้มสดใสขึ้น

ฝุ่นผงจากการเดินทางบนใบหน้าของเขายังคงติดอยู่ แต่มิได้บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าแต่อย่างใด กลับแสดงออกถึงความยินดีจากใจจริง

 ลูกพ่อ พ่อคิดถึงเจ้ามากยิ่งนัก !  

ฟู่เสี่ยวกวนเรียกเสี่ยวฉีเข้ามาแล้วกำชับว่า  เสี่ยวฉี เจ้าจงไปบอกให้พ่อครัวทำอาหารเลิศรสมาหลาย ๆ อย่าง ข้าจะดื่มกับท่านพ่อสักหน่อย !  

เสี่ยวฉีเคยเดินทางติดตามต่งชูหลานไปยังเมืองหลินเจียง นางเคยพบฟู่ต้ากวนมาก่อน เพียงแต่คาดมิถึงว่าฟู่ต้ากวนจะเดินทางมาที่นี่

นางเอ่ยทักทายฟู่ต้ากวนอย่างมีมารยาท จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป

ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ยื่นตัวเข้ามาใกล้ใบหน้าของฟู่ต้ากวนแล้วมองดูอย่างละเอียดก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า  ท่านไปอยู่ที่ใดมากัน ?  

 หลังออกมาจากราชวงศ์อู๋ ข้าก็ได้เดินทางไปยังแคว้นฝาน และได้เดินทางไปเข้าพบหัวหน้านิกายฝูเพื่อขอคำอวยพรให้เจ้า และเสกสิ่งของนี้ให้กับเจ้าด้วย… 

ฟู่ต้ากวนหยิบตราหยกออกมาแล้วส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน  สิ่งนี้เจ้าจงเก็บรักษาไว้ให้ดี 

ฟู่เสี่ยวกวนรับไปมองและรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก เนื่องจากตราหยกนี้คือตราหยกที่จักรพรรดิเหวินเคยกล่าวถึงเมื่อตอนอยู่ ณ กวนหยุนถาย !

นี่คือหยกสีเลือด สลักรูปเฟิ่งหลงไว้ด้านบน ด้านหนึ่งสลักชื่ออู๋ฉางเฟิง อีกด้านหนึ่งสลักชื่อสวี่หยุนชิง ตัวอักษรนั้นเล็กเป็นอย่างมากแต่ก็มองเห็นได้ชัดเจน มองดูแล้วประณีตมากยิ่งนัก

ฟู่เสี่ยวกวนลูบ ๆ คลำ ๆ อยู่สักพัก ก่อนจะเก็บมันลงไปแล้วมองไปยังฟู่ต้ากวนด้วยสีหน้านิ่งเรียบ

 นี่คือเรื่องราวของพวกเขา บัดนี้ข้าขอถามท่านหน่อยเถิด ท่านคือผู้ใดกันแน่ ?  

ฟู่ต้ากวนหัวเราะเหอะ ๆ ราวกับตาแก่ทึ่ม ๆ

 ข้าเป็นลุงของเจ้า !  

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลงด้วยความตื่นตกใจ  พี่ชายของจักรพรรดิเหวินเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 อืม ที่จริงคือพี่ชายพ่อเดียวกันแต่คนละแม่ ไทเฮาซีเป็นพระมารดาของจักรพรรดิเหวิน 

 เหตุใดท่านจึงยอมรับความผิดนี้ ? ข้าหมายถึงว่า ท่านมีวัตถุประสงค์อันใดที่เข้าไปดูแลสวี่หยุนชิงและเลี้ยงดูข้าจนเติบใหญ่ขึ้นมาได้ 17 ปี ?  

ฟู่ต้ากวนวางมือบนเข่าของเขาและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง  เรื่องมันยาว เจ้าสามารถเข้าใจได้ง่าย ๆ ว่า จักรพรรดิเหวินและข้านั้นแม้จะมิได้มีแม่คนเดียวกัน แต่พวกเราก็รักกันยิ่ง เขาบังเอิญไปชื่นชอบสวี่หยุนชิงแต่ไทเฮาซีมิชอบนาง 

 เดิมทีที่ ไทเฮาซีเริ่มการต่อสู้นองเลือดที่ทะเลสาบสือหลี่ นางตั้งใจจะจัดการให้บุตรสาวของจัวอี้สิงอภิเษกกับจักรพรรดิเหวินขึ้นเป็นจักรพรรดินี แต่ในตอนนั้นสำหรับสายตาทุกคนแล้วรู้สึกว่าช่างเป็นเรื่องปกติยิ่ง 

 จักรพรรดิเหวินเพิ่งจะได้ขึ้นครองราชย์ พี่น้องทั้งแปดยกเว้นข้าอีกทั้งบรรดาองค์ชายและเชื้อพระวงศ์กว่าพันคน ได้ถูกไทเฮาซีฆ่าทิ้งทั้งหมด จัวอี้สิงเป็นขุนนางเก่าแก่แห่งราชวงศ์อู๋ ดังนั้นหากจักรพรรดิเหวินอภิเษกสมรสกับจัวจื่อเยียน จะทำให้ตำแหน่งของจักรพรรดิเหวินมั่นคงขึ้นไปอีกและมีผลดีต่อการปกครองบ้านเมืองยิ่ง 

 เพียงแต่น้องชายของข้าผู้นี้เป็นคนรักเดียวใจเดียว ต่อให้ตายเขาก็มิยินยอมอภิเษกสมรสกับจัวจื่อเยียน ไทเฮาไม่รู้จะทำเยี่ยงไรดี จึงได้เกิดเรื่องนั้นขึ้น 

 จักรพรรดิเหวินเองก็รู้ดีว่าไทเฮาทรงร้ายกาจเพียงใด และเป็นกังวลว่านางจะทำร้ายแม่ของเจ้า จึงได้ฝากแม่และเจ้าให้ข้าดูแล แน่นอนว่าเขายังให้ทรัพย์สินเงินทองจำนวนมากแก่ข้าอีกด้วย จึงทำให้ตระกูลของเราเป็นพ่อค้าที่ดินที่มั่งคั่งในหลินเจียง 

เสี่ยวฉีพร้อมบ่าวรับใช้คนอื่น ๆ เดินถืออาหารมากมายเข้ามา

ฟู่เสี่ยวกวนรินสุราให้แก่ฟู่ต้ากวน ทั้งสองร่วมดื่มสุราและสนทนากันอย่างสนุกสนาน

 การตายของแม่เจ้านั้น ที่จริงข้าก็มีส่วนผิด 

 เหตุใดจึงกล่าวเยี่ยงนี้ ?  

 ไท่เหอปีที่ห้าสิบ ฤดูใบไม้ผลิ ข้าเดินทางออกจากเมืองหลินเจียง 10 วัน และแม่ของเจ้าก็ได้จากไปในระหว่างนั้น 

ฟู่ต้ากวนตกอยู่ในอารามเศร้าทันพลัน น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและยกสุราขึ้นดื่มก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยความเสียใจว่า  แม่ของเจ้ามิได้จากไปด้วยอาการเจ็บป่วยอย่างที่เจ้ารับรู้มาโดยตลอด แต่มีคนวางยานาง นางถูกวางยาพิษ 

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยถามว่า  ไทเฮาซีเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 เป็นฝีมือของเซียวเฉียง ! แต่ทว่าเรื่องนี้ไทเฮาซีทรงให้ขันทีเกาส่งข่าวมายังนาง 

 นังผู้หญิงโง่นั่นจึงตกหลุมพราง ข้าเองก็โง่เช่นกันที่หลงเชื่อ ดังนั้นแม่ของเจ้าจึงจากไปอย่างมิมีวันกลับ ดังนั้นจักรพรรดิเหวินจึงได้กักขังนางไว้ในตำหนักเย็นต่อหน้าเจ้า เป็นการแก้แค้นให้แม่ของเจ้า 

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไปเสียเนิ่นนาน ก่อนจะหัวเราะออกมา  เหตุใดท่านจึงต้องมาปกป้องท่านแม่และข้ากัน ?  

ชายอ้วนยิ้มออกมาอย่างจริงใจ แต่เขามิได้ตอบคำถามนั้น กลับเอ่ยขึ้นมาว่า  ได้ยินว่าเจ้าจะแต่งงานแล้ว แม้ว่าข้าจะมิใช่พ่อแท้ ๆ ของเจ้า แต่ก็เลี้ยงเจ้ามาถึง17 ปี ข้าจึงอยากจะเห็นเจ้าแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาด้วยตาตนเอง 

ฟู่เสี่ยวกวนเผยอยิ้ม แล้วรินสุราให้แก่ฟู่ต้ากวน จากนั้นเขาจึงยกแก้วขึ้นดื่ม

ในหัวของเขาปรากฏภาพมากมายในหลายปีที่ผ่านมา

เมื่อเขาลืมตาขึ้นมามองโลกใบนี้ ก็ได้พบกับตาอ้วนนี่เป็นคนแรก

ชายอ้วนผู้นี้รักและเอ็นดูเขาอย่างมิมีที่ติ ปกป้องเขา อีกทั้งยังมอบสมบัติของตระกูลมากมายให้แก่เขา

ชายอ้วนผู้นี้เกรงว่าเขาจะเป็นอันตราย จึงได้พยายามให้เขาอยู่แต่ในเมืองหลินเจียง และกลับไปเป็นพ่อค้าที่ดินในหลินเจียง เพียงแต่ชายอ้วนผู้นี้มิได้รู้ว่าแท้จริงแล้วเขาเองก็ต้องการเช่นนั้น

ความทรงจำที่หลอมรวมกันนี้ มิว่าเขาจะเคยทำตัวเยี่ยงไร แต่ในสมองก็มีเพียงชายอ้วนคนนี้ที่ฝังลึก

มิว่าเขาจะเคยทำเรื่องราวร้ายแรงเพียงใด ในท้ายที่สุดก็จะมีชายอ้วนผู้นี้คอยจัดการให้เสมอมา

ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยขึ้นมาว่า  ข้าขอกล่าวจากใจว่า ข้าได้ใช้ชีวิตกับท่านมาถึง 17 ปี แต่เพิ่งได้มาพบเจอกับจักรพรรดิเหวินเพียงมิกี่คราเท่านั้น หากจะกล่าวถึงความรู้สึก อย่าได้หาว่าข้าลำเอียงเลย แต่ว่าข้านั้นผูกพันกับท่านมากกว่าจักรพรรดิเหวินเสียอีก 

 พ่อของร่างนี้คือจักรพรรดิเหวิน มองดูแล้วคงมิผิดเป็นแน่ แต่ความรู้สึกนึกคิดของข้านั้น ผู้เป็นพ่อที่แท้จริงนั้นคือท่าน 

 พ่อของข้า…มาดื่มกันเถอะ ท่านจะเป็นพ่อของข้าไปตลอดทั้งชีวิตนี้ ท่านเลี้ยงดูข้ามาถึง 17 ปี ต่อจากนี้ข้าจะดูแลท่านไป 70 ปี !  

 พ่อของร่างนี้คือจักรพรรดิเหวินแต่ความรู้สึกนึกคิดของข้านั้น ผู้เป็นพ่อที่แท้จริงนั้นคือท่าน !   ประโยคนี้ฟู่ต้ากวนมิค่อยเข้าใจเท่าใดนัก แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจของฟู่เสี่ยวกวนกับคำกล่าวเมื่อครู่

เขายกแก้วขึ้นมา ภายในใจรู้สึกปวดร้าว มันช่างอึดอัดมากยิ่งนัก ราวกับเม็ดทรายที่ปลิวไปตามลม

เดิมทีเจ้าเด็กผู้นี้ถูกตนเลี้ยงจนเสียคน คิดมิถึงว่าบัดนี้จะเก่งกาจถึงเพียงนี้

เขาสร้างอุตสาหกรรมใหญ่โตของครอบครัวขึ้นที่ซีซาน ตั้งหลักปักฐานที่เมืองจินหลิง บทกวีของเขาโด่งดังไปทั่วทั้งใต้หล้า ชื่อเสียงของเขามิว่าจะเด็กหรือคนชราต่างก็รู้จักเขาทั้งสิ้น !

นี่เป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง !

เขามิได้โลภมากหลังจากที่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของตนเองแล้ว เขายังคงกลับมาที่ราชวงศ์หยู กลับมาใช้ชีวิตอย่างที่เขาชื่นชอบ ยังคงเป็นเด็กน้อยของเขาดังเดิม

 ลูกพ่อ คำนี้เจ้าเป็นผู้กล่าวออกมาเอง เมื่อพ่อแก่ตัวไปแล้วเจ้าจงคำนี้ไว้ให้ดี พ่อคงต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว !  

ศาลาเถาหรานเปี่ยมไปด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนาน สองพ่อลูกสนทนากันอย่างเบิกบาน พวกเขามิได้เอ่ยถึงเรื่องตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนอีก และมิได้เอ่ยถึงเรื่องของอู๋ฉางเฟิงกับสวี่หยุนชิงอีกเช่นกัน

เรื่องนี้ได้ผ่านไปพร้อมกับสุราในค่ำคืนนี้ และได้กลายเป็นอดีตไปเสียแล้ว

ฟู่ต้ากวนยังคงเป็นฟู่ต้ากวน และฟู่เสี่ยวกวนก็ยังคงเป็นฟู่เสี่ยวกวนดังเดิม

 ลูกพ่อ เจ้าจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว รีบมีบุตรเร็ว ๆ เข้าล่ะ ข้าเบื่อจะแย่มิมีอันใดให้ข้าทำ ข้าจะเลี้ยงลูกให้เจ้าเอง ที่หลินเจียงยังมีแม่ทั้งหกของเจ้าอยู่อีกด้วย 

 ท่านพ่อ หลังงานแต่งงานของข้าเสร็จสิ้นแล้ว ท่านพ่อควรกลับไปยังหลินเจียงสักหน่อยเถิด แม่ทั้งห้าคนนั้นอาจจะคลอดบุตรแล้วก็เป็นได้ จวนฟู่คงจะครึกครื้นมากยิ่งนัก 

ค่ำคืนนี้ สองพ่อลูกดื่มสุรากันเสียจนเมามาย ทั้งสองโอบกอดกัน ศีรษะทั้งคู่แนบเข้ามาใกล้

เมื่อซูโหรวและซูซูเดินทางมาถึงในยามค่ำคืน ก็ได้พบเข้ากับภาพอันน่าประทับใจเช่นนี้…

 

ตอนที่ 435 สุขเท่าใดเศร้าเท่าใด

ฟู่เสี่ยวกวนปรากฏตัวขึ้นที่จินหลิง และจะเข้าพิธีอภิเษกสมรสในเดือนสิบเอ็ด วันที่สิบแปด ข่าวนี้ได้แพร่ไปทั่วทั้งใต้หล้าอย่างรวดเร็วราวกับไฟป่า

ณ คฤหาสน์จิ้งหู เมืองกวนหยุน แคว้นอู๋

อู๋หลิงเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างหน้าต่างเพียงลำพัง จ้องมองเมฆหนาที่บดบังเมืองหลวง และมีร่องรอยความหดหู่อยู่ในแววตา

เขาจะแต่งงานแล้ว เจ้าสาวก็คือสตรีงามที่ติดตามเขามายังแคว้นอู๋แห่งนี้

ข่าวคราวที่ว่าเขานั้นยังมีชีวิตอยู่คิดว่าน่าจะเข้าหูของขุนนางของราชวงศ์อู๋แล้ว ไทเฮาจะส่งคนไปเชิญเขากลับมาหรือไม่ ?

หากเขากลับมานั่นเป็นเรื่องที่ดี ราชวงศ์อู๋มีเขา ย่อมแข็งแกร่งขึ้นเป็นแน่ ส่วนข้า…จะพาบุตรของเขาไปอยู่ในป่าในเขา

เรื่องที่อู๋หลิงเอ๋อร์ตั้งครรภ์นั้น ในราชวงศ์อู๋ที่ยิ่งใหญ่นี้มีเพียงแค่ไทเฮาเท่านั้นที่ทรงทราบ แต่ไทเฮาก็มิได้ทราบว่าบิดาของบุตรที่อยู่ในท้องนั้นคือผู้ใด

อู๋หลิงเอ๋อร์มิเคยเอ่ยถึงมาก่อน

หากไทเฮาทรงทราบเข้า นางจะต้องสั่งให้หมอหลวงนำเด็กคนนี้ออกเป็นแน่ เพราะนางคือน้องสาวของฟู่เสี่ยวกวน นี่เป็นเรื่องที่ขัดต่อความสัมพันธ์ของมนุษย์ มิมีผู้ใดในใต้หล้านี้ที่สามารถอดทนได้

บุตรที่อยู่ในท้องตอนนี้มีอายุมากกว่าหกเดือนแล้ว และเขาจะคลอดในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า

 เจ้าคือบุตรของเขา เจ้าต้องเป็นเด็กดี อย่าทำให้แม่ผิดหวัง  อู๋หลิงเอ๋อร์ลูบท้องไปมา ความหดหู่บนใบหน้าได้เหือดหายไป ประกายของคนที่กำลังจะได้เป็นแม่คนเปล่งประกายขึ้นมาอีกครา

ในเมื่อเขาจะเข้าพิธีสมรสแล้ว ข้าก็ควรจะมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้แก่เขา !

 นำคนมา !  

 นำราชโองการของข้าไปประกาศ 

 ฟู่เสี่ยวกวนจะสมรสแล้ว รายการของขวัญที่อู๋จ้าวจะมอบให้มีดังนี้… !  

วังหลังเขตหลวง ณ เมืองกวนหยุน

……

ไทเฮากุมไม้เท้าหัวมังกรและเดินวนไปมาในลานของตำหนักนี้

 วังหลังนี้… ช่างหนาวเกินไปอย่างแท้จริง มันทำให้ข้าว้าวุ่นใจมากยิ่งนัก !  

ขันทีเกาที่ยืนอย่างนอบน้อมอยู่อีกข้าง รีบตอบกลับไปว่า  ไทเฮาประสงค์จะออกไปเดินเล่นเพื่อพักผ่อนในวันพรุ่งนี้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?  

 มันมิสามารถออกไปจากใจของข้าได้ ขันทีเกา ฟู่ต้ากวนเริ่มสงสัยถึงแผนการของเจ้า และเริ่มสงสัยถึงแผนการของข้า อีกทั้งตอนนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้ปรากฏตัวขึ้นมาอีกครา พรุ่งนี้เช้า จะต้องมีเสนาบดีจำนวนมากที่ยื่นหนังสือขึ้นมา ให้ข้าส่งคนไปพาฟู่เสี่ยวกวนกลับมาเป็นแน่… 

นางยืนนิ่งอยู่ใจกลางลาน มองไปทางเกาเสี่ยน  ชะตาของเด็กนั่น ช่างยิ่งใหญ่เสียจริง แต่เขามิสามารถมีชีวิตอยู่ได้ ดังนั้นเจ้าจงไปราชวงศ์หยู หากมิสามารถสังหารฟู่เสี่ยวกวนได้ เจ้าก็มิต้องกลับมาหาข้าอีก แน่นอนว่าเจ้าก็มิต้องกลับมาพบหน้าบุตรของเจ้าอีก 

เกาเสี่ยนคุกเข่าลงเสียงดังปึก  กระหม่อมรับบัญชา ! ขอสาบานว่าหากยังสังหารฟู่เสี่ยวกวนมิได้ กระหม่อมจะมิมีทางหยุดพ่ะย่ะค่ะ !  

 ไปเถอะ ทหารสอดแนมมีมือดีอยู่เล็กน้อย เจ้านำราชโองการของข้าไป และไปเลือกด้วยตนเองเสีย แต่อย่าไปทำให้โจวถงถงตื่นตัวเข้าล่ะ !  

 ขอบพระทัยไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ !  

เกาเสี่ยนหันหลังจากไป จากนั้นเขาก็ได้ไปคัดเลือกทหารสอดแนมที่มีฝีมือระดับสูงมา 30 นายและได้ออกเดินทางไปจากเมืองกวนหยุนในคืนนั้น

เรื่องนี้ย่อมหลบมิพ้นสายตาของหอเทียนจี ทันทีที่โจวถงถงได้รับข่าวนี้ จึงได้พาม้าเร็วของหอเชียนจี 100 คนตามออกไป

ในยามที่โจวถงถงได้ออกไปจากเมืองกวนหยุน ไทเฮาก็ได้พานางในทั้งสองลอบมายังหอเทียนจีอย่างเงียบ ๆ จัดการกับผู้คุ้มกัน เมื่อได้เข้ามาในหอเทียนจี ถึงได้พบว่าภายในหอแห่งนี้ เดิมทีมิได้มี 18 ชั้น

แต่มีเพียง 8 ชั้นเท่านั้น !

นางอยู่บนชั้นแปดเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป แต่เยี่ยงไรเสียนางก็มิพบเอกสารลับของจักรพรรดิราชวงศ์ในอดีตที่วางเอาไว้ที่นี่

นางกลับมาถึงวังหลัง คิ้วขมวดนิ่ว หลังจากนั้นก็กล่าวกับนางในทั้งสองที่อยู่ข้างกายว่า  ไป๋หลี่หงส์ เจ้าจงพาพวกนางไปคฤหาสน์จิ้งหูในทันที และจงรักษาความปลอดภัยของฝ่าบาทไว้ให้ดี !  

ผู้สังเกตแห่งสำนักเต๋าคิดว่าองครักษ์ฝ่ายซ้ายของลัทธิจันทราจะตรงไปยังเมืองกวนหยุนเพื่อสังหารอู๋หลิงเอ๋อร์ แต่เขากลับคาดมิถึงว่าคำสั่งที่ไทเฮาซีมอบให้พวกนางจะเป็นการปกป้องอู๋หลิงเอ๋อร์ !

ไป๋หลี่หงส์ไม่เข้าใจเช่นเดียวกัน ดังนั้นจึงได้เอ่ยถามว่า  ความหมายของท่านนักบุญ คือการเอาชีวิตของอู๋หลิงเอ๋อร์ ท่านศาสดาโปรดควบคุมอำนาจของราชวงศ์อู๋ด้วยเพคะ 

ไทเฮาซีเงยหน้าขึ้นมองก้อนเมฆที่หนาแน่น ผ่านไปเนิ่นนาน จึงได้กล่าวขึ้นมาอย่างช้า ๆ ว่า  กล่าวได้ว่า… คำกล่าวของศาสดาเยี่ยงข้า มิมีผลเท่ากับคำกล่าวของนักบุญเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ไป๋หลี่หงส์รีบโน้มคำนับและกล่าวว่า  หม่อมฉันมิบังอาจ ทุกฝ่ายในลัทธิจันทรา เคารพในเจตจำนงของศาสดาลัทธิเพคะ 

 เยี่ยงนั้นก็ดีแล้ว ไปลงมือทำตามความประสงค์ของข้าเสีย 

 หม่อมฉันรับบัญชา !  

ตำหนักนี้กลับมาว่างเปล่าอีกครา ไทเฮากุมไม้เท้า จ้องมองเมฆที่หนาทึบ และจ้องมองอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาเนิ่นนาน

คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะยังมีชีวิตอยู่ และอู๋หลิงเอ๋อร์ก็ตั้งครรภ์ในช่วงเวลานั้นพอดิบพอดี… นางอุ้มบุตรของฟู่เสี่ยวกวนไว้อยู่ !

แต่นี่คือข่าวดี อู๋หลิงเอ๋อร์จะมิสามารถตายได้เป็นอันขาด มิเพียงแต่นางจะตายมิได้ บุตรในท้องของนางก็ต้องคลอดออกมาโดยปลอดภัยเช่นกัน

ใบหน้าของไทเฮาผุดรอยยิ้มที่มีเลศนัยขึ้นมา ดังนั้น เมฆหมอกที่ตกลงมานี้กลับหนาวเหน็บมากยิ่งขึ้นไปอีก

……

……

ณ หอซื่อฟาง

จางเพ่ยเอ๋อร์สั่งอาหารขึ้นมาหนึ่งสำรับ และต้องการสุราหนึ่งไห

นางนั่งอยู่ตั้งแต่ยามเว่ยจนถึงยามโหย่ว ทานอาหารสำรับนี้จนหมดโต๊ะ และดื่มสุราจนหมดไห

อดีตคุณชายแห่งหลินเจียง ใกล้จะเข้าพิธีสมรสแล้ว

นางติดตามฟู่เสี่ยวกวนตั้งแต่ผิงหลิงมาจนถึงซีซาน และจนมาถึงจินหลิง มือของนางจับกระบี่อยู่บ่อยครา แต่ท้ายที่สุดก็มิได้ชักออกมา

หากเขาตาย เกรงว่าเงินทุนที่ซีซานลงทุนที่ผิงหลิงนั้นจะขาดหายไป

เหล่าชาวบ้านในผิงหลิงเหล่านั้นเพิ่งจะได้มองเห็นความหวังของอนาคต หากกระบี่ของตนไปตัดมันลง คงจะเป็นการตัดโอกาสการมีชีวิตอยู่ของชาวบ้านเหล่านั้น

พี่ชายที่เคยเกลียดฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างมาก แต่ในวันนี้กลับได้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อเขาไปแล้ว

 เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ข้าเคยคิดว่าเป็นการยากที่จะเอาชนะในด้านบทกวีหรือบทความ แต่ในวันนี้ข้าเพิ่งจะได้ทราบ มิว่าจะเป็นการบริหารปกครองบ้านเมือง เคลื่อนพลไปรบ กลยุทธ์การรบและอื่น ๆ ก็ยังคงยากที่ข้าจะเอาชนะได้ ดังนั้นเพื่อราชวงศ์หยู และเพื่อราษฎรทั่วใต้หล้า น้องสาว เจ้าอย่าได้ชักกระบี่ออกมาเป็นอันขาด 

คุณชายเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียงผู้นี้ ในวันนี้กลับกลายเป็นผู้ช่วยราชวงศ์หยูที่ใหญ่โตนี้ !

บางที อาจจะมีเพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้นที่สามารถทำได้

ดังนั้นสตรีทั้งสามจึงเป็นสตรีที่มีความสุขที่สุดในใต้หล้า !

ดื่มสุราด้วยความกลุ้มใจ แต่จางเพ่ยเอ๋อร์ก็มิได้เมามายแต่อย่างใด

นางยืนอยู่เบื้องหน้าหน้าต่าง จ้องมองดวงจันทร์ที่สว่างไสว มองไปยังดวงจันทร์ที่อยู่บนผืนทะเลสาบเว่ยยาง แน่นอนว่านางจะมิกระโดดน้ำเหมือนตอนยังเยาว์อีกต่อไป แค่เพียงมองเท่านั้น และรู้สึกว่าดวงจันทร์วันนี้สวยมากยิ่งนัก

เย็นชาแต่งดงาม !

นางหันหลังจากไป เหยียบย่างไปทางแสงจันทร์ ออกเดินทางไปจากจินหลิง และตรงไปยังป่ากระบี่

ใต้หล้านี้ได้ขาดคนที่ทรมานเพื่อรักอย่างจางเพ่ยเอ๋อร์ไป หนึ่งปีให้หลัง บู๊ลิ้มได้มีผู้มีฝีมือระดับสูงเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน นางได้ฝึกกระบี่ไร้ความรู้สึก แต่กระบี่ของนางนั้นกลับเต็มไปด้วยความรัก หนึ่งกระบี่คล้ายกับดอกไม้ที่สวยสดไปทั่วทั้งอาคาร ดังนั้น ผู้คนที่ยุทธภพจึงมอบนามให้นางว่า ฮวาหม่านโหลว

สตรีทั้งใต้หล้าที่คิดกับฟู่เสี่ยวกวนเฉกเช่นเดียวกับอู๋หลิงเอ๋อร์หรือจางเพ่ยเอ๋อร์นั้นมีอยู่มากโข ในอดีตถึงแม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมีสาวงามอยู่ข้างกายแต่ก็ยังมิได้สมรสกัน นั่นทำให้สตรีเหล่านั้นยังมีความหวังอยู่บ้างมิมากก็น้อย

ถึงแม้ความคิดนี้จะแตกสลาย แต่ก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวความปรารถนาของพวกนางเท่านั้น เป็นความใฝ่ฝันภายใต้แสงตะเกียงที่โดดเดี่ยว

และในวันนี้ความคิดได้แตกสลายลงไปแล้ว เหลือไว้เพียงน้ำตาที่หลั่งไหลลงมาของพวกนาง

ในเรื่องนี้ ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิทราบ เขาในยามนี้กำลังนั่งอยู่ในศาลาเถาหราน และจ้องมองคนที่อยู่เบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง !

ฟู่ต้ากวน !

คาดมิถึงว่าชายร่างอ้วนจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ !

เขามาอย่างกะทันหัน ส่วนฟู่เสี่ยวกวนนั้นก็จ้องมองใบหน้าอวบอิ่มนั้นอยู่เนิ่นนาน

 ท่านพ่อ… !  

 ข้าคิดถึงท่านจะตายอยู่แล้ว !  

 

ตอนที่ 434 ค่ำคืนก่อนวันอภิเษกสมรส

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนสิบเอ็ด วันที่สิบห้า

ฮ่องเต้ทรงประกาศให้องค์หญิงเก้าหยูเวิ่นหวินอภิเษกสมรสกับฟู่เสี่ยวกวน ในขณะเดียวกันก็ทรงประทานเกียรติยศที่ฟู่เสี่ยวกวนได้อุทิศตนเพื่อเขตผิงหลิง ดังนั้นจึงประทานให้ต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวแต่งงานกับฟู่เสี่ยวกวนในฐานะภรรยาเท่าเทียมกัน ! งานอภิเษกสมรสจะถูกจัดขึ้นในวันที่สิบแปดเดือนสิบสองนี้ ณ พระราชวังหลวงด้วยความเรียบง่าย งดจัดพิธีการทุกสิ่ง แต่สินสอดและสิ่งจำเป็นต่าง ๆ ยังคงจัดหาตามเดิม… 

ประกาศนี้ทำให้เมืองจินหลิงฮือฮาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ผู้คนทั้งหลายต่างก็พากันดีอกดีใจ แต่เขาก็ได้ทำให้สตรีกลุ่มใหญ่เศร้าใจมากยิ่งนัก

 ฟู่เสี่ยวกวนจะแต่งงานแล้ว !  

 เขาสู่ขอภรรยาถึง 3 คน !  

 แต่ก็มิมากเท่าบิดาของเขา บิดาของเขานั้นในปีที่แล้วแต่งภรรยาทีเดียวถึง 5 คนเชียว !  

 การจะแต่งภรรยามิได้วัดกันที่จำนวน ภรรยาทั้งห้าของบิดาเขา จะสู้สามคนนี้ได้เยี่ยงไรกัน ? องค์หญิงเก้า คุณหนูตระกูลเยี่ยนของท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน และคุณหนูตระกูลต่งของท่านเสนาบดีต่งแห่งกรมคลัง เป็นสาวงามทั้งสามแห่งเมืองหลวงเชียว ! พวกนางถูกฟู่เสี่ยวกวนคว้าไปทั้งหมด…นี่มันช่างมิยุติธรรมเอาเสียเลย !  

 หากสวรรค์มิส่งฟู่เสี่ยวกวนลงมาเกิด ใต้หล้านับพันปีคงเป็นดั่งค่ำคืนที่ยาวนาน เขาเป็นถึงฟู่เสี่ยวกวน เจ้าเป็นผู้ใดกัน !  

 แต่ว่าพิธีอภิเษกสมรสนั้นมิเรียบง่ายไปหน่อยเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ฟู่เสี่ยวกวนมีเรื่องให้ต้องจัดการเสียมากมาย 

 เรื่องใหญ่โตถึงเพียงนี้ ต่อให้วุ่นอีกสักเล็กน้อยก็ควรจะจัดให้ครึกครื้นสักหน่อยมิใช่หรือ 

 ช่างเถิด เอาเป็นว่าถึงเวลาแล้วส่งของขวัญไปที่จวนฟู่ก็พอ 

 มองดูแล้วคงต้องเป็นเช่นนั้น 

ราษฎรในเมืองหลวงและลูกศิษย์ในสำนักศึกษาพากันวิเคราะห์ถึงเรื่องนี้ แต่ในท้ายที่สุดก็ยังมิเข้าใจว่าเหตุใดงานอภิเษกที่คิดว่าจะยิ่งใหญ่อลังการ จึงได้จัดเรียบง่ายถึงเพียงนี้

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้อยู่นิ่ง จากขอบเขตการจัดงานอภิเสกสมรสในครานี้ เขาเหมือนเอาเปรียบสตรีทั้งสาม ดังนั้นเขาจึงต้องทำบางอย่างเพื่อชดเชยให้งานอภิเษกสมรสในครานี้ให้มีความหมายขึ้นมา

ดังนั้นเขาจึงได้กำชับกับสำนักอาวุธปืนที่ซีซานว่าให้หยุดผลิตดินปืนเสียก่อน เนื่องจากเขาต้องการพลุ !

ฉินเฉิงเย่รู้สึกแย่เป็นอย่างมาก เขากำลังจะทำการทดลองบรรจุกระสุนหลังยิง แต่เจ้าฟู่เสี่ยวกวนนั่นกลับสั่งให้สำนักปืนทั้งสำนักหยุดการผลิตแล้วมาทำพลุ !

อีกทั้งยังต้องการพลุต่าง ๆ มากมายมิซ้ำกันอีกด้วย !

นี่เขากำลังทำการสิ้นเปลืองเหมือนกับการเอาปืนใหญ่ยิงยุงอยู่หรือไม่ ?

แต่ทว่าเขาเป็นคุณชายของที่นี่ คำเอ่ยของเขาถือเป็นที่สิ้นสุด ดังนั้นจึงทำได้เพียงหยุดผลิตดินปืนแล้วหันมาผลิตพลุกับดอกไม้ไฟแทน

พลุเหล่านั้นถูกนำส่งไปยังเมืองจินหลิงโดยขนส่งซีซานอย่างมิขาดสาย

ส่วนบอลลูนที่ผลิตออกมาตั้งแต่แรกนับร้อย ก็ได้ถูกฟู่เสี่ยวกวนเอาไปจนหมดสิ้น เอาเถอะ มิรู้ว่าเขาจะทำสิ่งใด ดังนั้นฉินเฉิงเย่ที่บัดนี้มิมีสิ่งใดให้ทำจึงเดินทางมากับขนส่งซีซานเพื่อกลับไปยังเมืองจินหลิง

บัดนี้เหลือเวลาอีกสามวันก่อนจะถึงวันอภิเษกสมรส จวนฟู่ ณ เมืองจินหลิงได้ถูกบ่าวรับใช้เก็บกวาดเสียจนสะอาดสะอ้าน ประดับตกแต่งอย่างสมเกียรติ เนื่องจากผู้ที่เป็นเจ้าของที่แห่งนี้กำลังจะอภิเษกสมรสแล้ว แม้ว่านายหญิงน้อยทั้งสามนั้นพวกเขาจะเคยพบมาก่อน แต่ทว่าในครานี้เป็นการแต่งงาน หาได้เหมือนการพบเจอทั่วไปไม่

พวกนางกำลังจะเป็นเจ้าของจวนนี้ และในภายภาคหน้า พวกนางจะพักอาศัยอยู่ที่นี่

ฟู่เสี่ยวกวนนอกเหนือจะทำพลุและบอลลูนแล้ว เขาก็คิดมิออกว่าควรจะทำสิ่งใดอีก เขาหมดหนทางแล้วอย่างแท้จริง เนื่องจากในชาติที่แล้วตนก็มิเคยแต่งงาน ในชาตินี้เลยมิรู้ว่าควรทำเยี่ยงไร

ฝ่าบาททรงรับสั่งว่าให้จัดงานอย่างเรียบง่าย ในสายตาของฟู่เสี่ยวกวนนั่นก็คือ เมื่อถึงเวลาที่วางไว้ ตนก็เดินทางไปสู่ขอแม่นางทั้งสามคน จากนั้นก็กลับมายังจวนฟู่ แล้วจัดงานเลี้ยงเล็ก ๆ เพื่อเฉลิมฉลองกับสหาย เท่านี้ก็ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้น

ดังนั้นบัดนี้เขาจึงได้นั่งเหม่อลอยอยู่ที่ศาลาเถาหราน เขากำลังหารือกับฉินเฉิงเย่เรื่องปัญหาในการปรับปรุงปืนคาบศิลา

 เจ้าจงดูสิ่งนี้… 

ฟู่เสี่ยวกวนหยิบปืนพกออกมาวางไว้ในมือ ปืนกระบอกใหญ่นั้นอยู่ที่ซูเจวี๋ย ซึ่งปืนกระบอกใหญ่ยังมิได้ถูกประดิษฐ์ขึ้นมาในยุคนี้ สำหรับปืนกระบอกเล็กมีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากช่างเหล็กโจวได้ผลิตเหล็กขึ้นมาได้

ฉินเฉิงเย่รับไปดู ความรู้สึกแรกของเขาก็คือเจ้าสิ่งนี้มีขนาดเท่าฝ่ามือแต่กลับหนักอึ้ง ต่อจากนั้นเขาก็ได้ตกตะลึงเสียยกใหญ่ เนื่องจากเจ้าสิ่งนี้ช่างละเอียดประณีตมากยิ่งนัก มิว่าจะเป็นการออกแบบหรือประดิษฐ์ ช่างงดงามมากยิ่งนัก !

เมื่อเปรียบเทียบกับปืนคาบศิลาของตนแล้ว… ฉินเฉิงเย่รู้สึกเริ่มท้อแท้ เขาเอ่ยถามขึ้นมาว่า  สิ่งนี้…ถูกทำขึ้นมาจากที่ใด ?  

 ช่างตีเหล็กจากราชวงศ์ก่อน เขาจากไปนานแล้ว จึงได้ขาดผู้สานต่อ เจ้าลองดูว่าสามารถทำออกมาได้หรือไม่ เจ้าจงดูกลไกนี่ ข้างในเป็นโครงสร้างแบบเกลียว ทักษะเช่นนี้เจ้ามีวิธีจัดการหรือไม่ ? ยังมีกระสุนนี่อีก มันมิจำเป็นต้องใส่ดินระเบิด แต่บรรจุใส่รวมกันแทน 

ฉินเฉิงเย่จับปืนกระบอกนั้นพลิกไปพลิกมาสักพักก่อนจะกล่าวว่า  วัสดุนี้ ต่อให้เป็นเหล็กของภูเขาเฟิ่งหลิน เกรงว่าก็คงใช้มิได้ 

 ดังนั้นหลังจากข้าอภิเสกสมรสเรียบร้อยแล้ว เจ้าจงเดินทางไปยังเขตผิงหลิง ไปหาโรงตีเหล็กโจวจี้ เขาได้ผลิตเหล็กที่มีคุณภาพดีกว่าออกมาแล้ว 

 จริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฉินเฉิงเย่เอ่ยถามด้วยความดีใจ เนื่องจากเขาได้ทำการวิจัยที่ภูเขาซีซานมาเป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้ว เขารู้ดีกว่าผู้ใดว่าการจะผลิตอาวุธที่ดีได้ วัสดุที่คุณภาพสูงนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด

เดิมทีเหล็กที่ภูเขาเฟิ่งหลินนั้นก็ได้ทำให้เขาตื่นตาตื่นใจมากโขแล้ว แต่ทว่าบัดนี้ได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าที่โรงตีเหล็กเขตผิงหลิงมีเหล็กที่ดีกว่านี้

เขาจึงได้ลุกขึ้นแล้วส่งปืนคืนให้กับฟู่เสี่ยวกวน  งานอภิเษกสมรสของเจ้านั้นข้าจะเข้าร่วมหรือไม่นั้นก็ไร้ซึ่งผลกระทบใด ๆ ข้าจะต้องไปแล้ว ข้าขอให้เจ้ามีความสุขกับชีวิตครอบครัวล่ะ 

ฉินเฉิงเย่กล่าวจบก็ได้เดินทางจากไปทันที ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงไปทันพลันแล้วส่ายหัว เขาหัวเราะแล้วเอ่ยกับตนเองว่าเจ้าหมอนี่จะต้องผลิตปืนออกมาได้เป็นแน่ !

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเก็บปืนพกนี้ลงไป ขันทีเจี่ยก็ได้เดินจ้ำอ้าวเข้ามาด้วยท่าทีขุ่นเคือง

เขาเงยหน้ามองดูและพบว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่ศาลาเถาหราน… แม้ว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์แต่ก็อดมิได้ที่จะใจร้อน  ไอหยา ! ให้ตายสิคุณชายของข้า นี่เป็นเวลากี่ยามแล้ว ยังมีอารมณ์มานั่งเล่นอยู่ที่นี่อยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ !  

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลงทันพลัน  ขันทีเจี่ยมิใช่ว่ายังมีเวลาเหลืออีก 3 วันเยี่ยงนั้นหรือ ? อีกอย่างบัดนี้พวกนางก็อยู่ในจวนของตนเอง และมิให้ข้าเข้าพบพวกนาง ข้ายังจะต้องทำสิ่งใดอีกกันเล่า ?  

 ไป ๆ ๆ ไปกับข้าน้อยเถิด 

 ไปที่ใดกัน ?  

 วัดตัวท่านน่ะสิ ! ชุดของเจ้าบ่าวจะต้องตัด 2 ชุด องค์หญิงเก้า คุณหนูจวนเยี่ยน และจวนต่งจะแต่งเข้ามาที่นี่ เจ้าคงต้องเชิญแขกด้วยมิใช่หรือ 

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดดู อืม จริงสิ ! จะต้องตัดชุดเจ้าบ่าว เพียงแต่…  ขันทีเจี่ย ข้านั้นมีแขกเพียงมิกี่คนที่ตั้งใจจะเชิญมา ข้ามิได้ส่งหนังสือเชิญไปด้วยซ้ำ ถ้ามีคนมา ข้าก็เพียงแค่จัดเลี้ยงสักสี่ห้าโต๊ะก็คงเพียงพอแล้วมิใช่หรือ ?  

ขันทีเจี่ยโมโหเสียจนแทบคลั่ง เขาลอบคิดในใจว่า ให้ตายสิ ! แม้แต่ข้าที่เป็นขันทียังรู้ว่าต้องทำเยี่ยงไร แต่เจ้าหมอนี่กลับสะเพร่าถึงเพียงนี้

 เนื่องจากเจ้านั้นมิได้ส่งหนังสือเชิญไปที่ใดสักฉบับ ดังนั้นจึงจะมีคนจำนวนมากเดินทางมา… จัดซื้อตอนนี้ยังคงทันการ เพียงแต่ว่าพ่อครัวนั้นคงจะต้องให้คุณชายไปเชิญมาจากหอซื่อฟาง 

นี่มิใช่เรื่องยากอันใด ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะหึ ๆ แล้วเรียกเสี่ยวฉีเข้ามา กำชับให้นางไปแจ้งเรื่องนี้แก่หอซื่อฟาง เมื่อถึงวันงานให้หอซื่อฟางส่งพ่อครัวและเสี่ยวเอ้อมาช่วยงานที่จวนฟู่

 ขันทีเจี่ย ท่านอย่าได้โมโหไป ข้าเพิ่งแต่งงานคราแรก หาได้มีประสบการณ์ไม่ คราที่สองคงมิวุ่นวายเช่นนี้เป็นแน่ !  

 

ตอนที่ 433 ข้าเป็นผู้รักความสงบ

 …เกรงว่าเก่งกว่าที่ผู้ใดจะจินตนาการออกมาได้ !  

คำกล่าวของฮั่วหวยจิ่นทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกแปลกใจ

ตัวเขาเองคิดว่ากองทัพชายแดนทั้งสี่ของราชวงศ์หยู กองทัพชายแดนเหนือที่นำโดยเผิงเฉิงอู่นั้นแข็งแกร่งที่สุด ถึงแม้กองทัพชายแดนเหนือจะพ่ายแพ้ที่ภูเขาผิงหลิงอย่างน่าอนาถ ในสายตาของฟู่เสี่ยวกวน มิสามารถกล่าวได้ว่ากองทัพชายแดนเหนือนั้นอ่อนแออย่างแท้จริง

กองทัพชายแดนส่วนใหญ่จะเป็นการทำสงครามบนพื้นที่ราบ มองไกลออกไปทั่วทั้งใต้หล้านี้ กองทัพที่มีความชำนาญการรบบนภูเขาอย่างแท้จริงนั้นมีอยู่น้อยมากยิ่งนัก

สิ่งนี้เกี่ยวข้องกันกับรูปแบบการต่อสู้ของโลกใบนี้ โดยพื้นฐานแล้วทหารทั้งสองฝ่ายจะรุกโต้เข้าหากัน เพื่อล้อมเมืองยึดดินแดน

ตัวอย่างเช่นสงครามทางชายแดนตะวันออก กองทัพชายแดนตะวันออกและกองทัพของแคว้นอี๋แทบจะเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว ต่อให้มีการหยิบยกกลยุทธ์ขึ้นมาใช้ แต่ก็มิมีอะไรมากไปกว่าวิธีการที่เห็นได้ทั่วไปอย่างการรุกหน้าและการล่อศัตรูให้มาติดกับ

ทางตะวันตกมิได้เกิดสงครามมาเนิ่นนานแล้ว ดังนั้นประสิทธิภาพในการรบที่แท้จริงของกองทัพชายแดนตะวันตกเป็นเยี่ยงไร ก็ยังมิอาจตรวจสอบได้

เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนเพียงแค่ถามออกไปส่งเดชเท่านั้น ที่เขากังวลก็คือองค์ชายสี่หยูเวิ่นชูได้ไปยังซีฮวงแล้ว โดยพื้นฐานจะทำให้สูญเสียโอกาสในการแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท

แต่เซวี๋ยติ้งชานมีศักดิ์เป็นน้าชายของหยูเวิ่นชู หากหยูเวิ่นชูยังมิปล่อยวาง ยังคงจับจ้องจะเอาตำแหน่งองค์รัชทายาท ไพ่ที่ใหญ่ที่สุดของเขาน่าจะเป็นกองทัพชายแดนตะวันตกแล้ว

สำหรับหยูเวิ่นชู เขาเคยพบเจอเพียงแค่สองถึงสามคราเท่านั้น ส่วนที่ได้สนทนาอย่างจริงจังนั้นกลับมีเพียงแค่คราเดียวเท่านั้น

นั่นก็คือตอนที่เขาต้องออกเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋ หยูเวิ่นชูมาเยี่ยมเยียนเขาถึงหน้าประตูจวน จากการสนทนาในครานั้น ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าหยูเวิ่นชูมิใช่คนที่จะพึงพอใจกับสภาพในปัจจุบัน

เขาย่อมมีหมากกระดานอยู่เป็นแน่ เพียงแค่ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งกลับมายังเมืองหลวง ทั้งยังขาดข้อมูลอีกมากมาย จึงยังไร้หนทางจะเข้าใจได้ว่าหยูเวิ่นชูจะไปลงหมาก ณ ที่ใด

 เจ้ากำลังกังวลกับองค์ชายสี่เยี่ยงนั้นหรือ ?  

เป็นหยูเวิ่นเต้าที่เอ่ยถามขึ้นมา ฟู่เสี่ยวกวนฉีกยิ้ม  คงเป็นไปมิได้ที่จะกล่าวว่ามิได้กังวลใจ เขาและองค์ชายใหญ่นั้นมิเหมือนกัน องค์ชายใหญ่เกิดมาเพื่อเป็นนักรบ กระทำการอันใดก็เถรตรงและเรียบง่าย แต่ข้ากลับมององค์ชายสี่มิค่อยเข้าใจนัก ดังนั้นจึงเอ่ยปากถามขึ้นมาก็เพียงเท่านั้น พวกเจ้าอย่าได้นำไปใส่ใจเลย 

 ฝ่าบาทได้ส่งองค์ชายสี่ไปที่ซีหรงแล้ว อยู่ที่ซีหรงเขาคงยากที่จะกระทำการใด  ฮั่วหวยจิ่นได้กล่าวออกมาเยี่ยงนี้

 เจ้ามองเป็นเยี่ยงนั้นหรือ ?   ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามขึ้น

 เบื้องหน้าเขตซีหรงอาจจะอยู่ภายใต้การควบคุมของหัวหน้าตระกูลเผิง แต่อำนาจในเบื้องหลังของลัทธิจันทรานั้นกลับมีมากมายมหาศาล ตามที่ท่านพ่อได้วิเคราะห์เอาไว้ เจ้าของที่แท้จริงของเขตซีหรงเกรงว่าจะเป็นลัทธิจันทรา หากองค์ชายสี่อยากมีสิทธิ์อำนาจในเขตซีหรง เขาก็จำต้องโค่นลัทธิจันทรา… นั่นมิใช่เรื่องที่ง่ายดายเลย 

ฟู่เสี่ยวกวนใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน หากองค์ชายสี่คิดโค่นลัทธิจันทราก็ต้องใช้กำลังสนับสนุนจากกองทัพชายแดนตะวันตก แต่หากมิมีตราคำสั่งของฝ่าบาท กองทัพชายแดนตะวันตกก็ยากที่จะเคลื่อนพลจำนวนมากออกจากฐานทัพ

ดังนั้นจึงไม่สามารถเดินไปบนเส้นทางนี้ได้ นอกเสียจาก…

ฟู่เสี่ยวกวนจมดิ่งอยู่ในภวังค์ความคิด มิมีความเป็นไปได้เลยที่องค์ชายสี่จะร่วมมือกันกับลัทธิจันทรา !

ลัทธิจันทราถูกสร้างขึ้นมาด้วยเศษที่เหลือจากราชวงศ์ก่อน สร้างขึ้นเพื่อทำลายราชวงศ์หยู ต่อให้องค์ชายสี่จะโหดเหี้ยมบ้าระห่ำถึงเพียงใด ก็ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกันกับศัตรูเยี่ยงนี้

เยี่ยงไรเสียพวกเขาต่างก็มิได้รับรู้ว่า หนานป้าเทียนในอดีต เดิมทีแล้วเป็นนักบุญของลัทธิจันทรา

นางได้มาอยู่ข้างกายของหยูเวิ่นชูเนิ่นนานแล้ว อีกทั้งยังให้กำเนิดบุตรี 1 คนอีกด้วย

หยูเวิ่นชูอยากจะยืมพลังของลัทธิจันทราทำให้ราชวงศ์หยูเกิดความโกลาหล แต่ลัทธิจันทรากลับคิดอยากจะใช้ตัวตนของหยูเวิ่นชูมาควบคุมราชวงศ์หยูด้วยเช่นกัน

หมากกระดานนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เพียงแต่ในตอนนี้นอกจากท่านผู้สังเกตแห่งสำนักเต๋าแล้ว คนที่รับรู้เรื่องนี้ก็มีอยู่น้อยนิด

ฟู่เสี่ยวกวนโยนเรื่องนี้ออกไป และกล่าวกับฮั่วหวยจิ่นยิ้ม ๆ  องค์หญิงสามใกล้จะกลับมาถึงเมืองหลวงแล้ว เรื่องของพวกเจ้าทั้งสองคนได้จัดการเรียบร้อยแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? อย่าให้กลางคืนที่ยาวนานนี้มีฝันร้ายมากจนเกินไปเลย 

ฮั่วหวยจิ่นยิ้มอย่างขัดเขิน  รอนางกลับมาก่อนเถิดแล้วพวกเราค่อยมาปรึกษากัน ข้าจะรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด 

 เจ้าเล่า ? องค์ชายห้า เจ้ามีนางในดวงใจแล้วหรือไม่ ?  

สองตาหยูเวิ่นเต้าถลึงโต  นางในดวงใจกับผีสิ หยุดเอ่ยถึงเรื่องอื่น ข้าขอเอ่ยถามเจ้าสักหน่อย วิธีการฝึกฝนดาบเทวะ สามารถสอนมันให้กับข้าได้หรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองหยูเวิ่นเต้า  สอนเจ้าย่อมมิมีปัญหาอันใด เยี่ยงไรเสียเจ้าก็เป็นแบบอย่างของการสนทนาเรื่องการทหารบนหน้ากระดาษ !  

 เยี่ยงนั้นขอเอ่ยกับเจ้าสักหน่อยก็แล้วกัน หากเจ้าต้องการเข้าใจวิธีการฝึกฝนนี้อย่างถ่องแท้ ก็ไปเป็นทหารดาบเทวะแล้วสัมผัสมันด้วยตนเองเสีย ตอนนี้ข้ากำลังรับสมัครกองกำลังเสริมของดาบเทวะอยู่ที่อำเภอผิงหลิงและชวูอี้ หากเจ้ามีความสนใจอย่างแท้จริงก็ไปเป็นทหารชั้นผู้น้อย เป็นเยี่ยงไรเล่า ?  

ฮั่วหวยจิ่นตกตะลึงทันพลัน นี่คือองค์ชายห้า มีความเป็นไปได้มากที่สุดที่จะได้ตำแหน่งองค์รัชทายาทในอนาคต เจ้ากลับเรียกให้เขาไปเป็นทหารชั้นผู้น้อย… ใจของชายผู้นี้ช่างใหญ่คับฟ้าเสียจริง !

แต่คาดมิถึงว่าหยูเวิ่นเต้าจะดีอกดีใจเสียยกใหญ่  ถือว่าตกลงกันเรียบร้อยแล้ว รอจนงานอภิเษกสมรสของเจ้าเสร็จสิ้น ข้าจะไปเป็นทหารที่ผิงหลิง 

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ชะงักเช่นกัน  มิใช่ เจ้าอย่าได้รีบร้อนไป เรื่องนี้เจ้าต้องเจรจากับฝ่าบาทและฮองเฮาให้ดี นอกจากนี้…การฝึกนี้ยากลำบากเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีอันตรายอยู่ มิได้ ๆ เจ้าอยู่เป็นองค์ชายของเจ้าอย่างสบายใจเยี่ยงนี้ยังจะดีเสียกว่า 

 นี่เจ้ากำลังดูถูกข้าอยู่เยี่ยงนั้นหรือ หรือกลัวว่าข้าจะไปเรียนรู้วิธีฝึกฝนทหารของเจ้ากัน ?  

ให้ตายเถอะ คิดอันใดอยู่กัน !

 ต้องการจะไปจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 จริงแท้ !  

 ภายในกองกำลังดาบเทวะ จะมิมีผู้ใดเห็นเจ้าเป็นองค์ชาย เจ้าจะเป็นเพียงทหารธรรมดาผู้หนึ่งเท่านั้น ร่วมหลับนอนภายในกระโจมกับคนนับสิบ มิมีน้ำร้อนให้อาบ มิมีการจัดการด้านอาหารให้เป็นพิเศษ วรยุทธ์ของเจ้ามิมีประโยชน์เท่าใดนักในกองกำลังดาบเทวะ เพราะเจ้าต้องร่วมมือกับสหายรบที่อยู่ข้างกาย… 

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ และรินน้ำชาให้กับหยูเวิ่นเต้า  หากเจ้ามิสามารถลืมตัวตนของเจ้าได้ เจ้าก็จะมิสามารถเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขาได้ เยี่ยงนั้นเจ้าก็มิต้องไป เจ้าอย่าได้รีบตัดสินใจไปเลย อีกสองวันไป๋ยู่เหลียนจะพาองค์หญิงสามมาส่งที่เมืองหลวง เจ้าค่อยไปสนทนากับเขา เขาคือผู้บัญชาการของกองกำลังดาบเทวะ ให้เป็นการตัดสินใจของเจ้าและเขาเถอะ ข้าเอ่ยมากไปก็ป่วยการเสียเปล่า ๆ  

ฮั่วหวยจิ่นรู้สึกตกตะลึง ถึงแม้สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวมานั้นจะเรียบง่าย แต่ข้อมูลที่เผยออกมานั้นกลับล้มล้างความคิดของเขาไป

หากองค์ชายห้าไปยังกองทัพชายแดน เขามิมีทางจะได้เริ่มต้นจากทหารชั้นผู้น้อย และมิมีทางที่เขาจะได้ทานอาหารและร่วมหลับนอนกับทหารเหล่านั้น แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับกล่าวออกมาเยี่ยงนี้… หากต้องการที่จะไปอย่างแท้จริง นี่คือเงื่อนไข มิเช่นนั้นก็มิต้องสนทนากันอีก

มิแปลกใจที่กำลังรบของกองกำลังดาบเทวะจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ !

หากในมือมิได้ควบคุมราชองครักษ์เขตวังหลวงที่สำคัญที่สุดเอาไว้ ฮั่วหวยจิ่นเองก็อยากจะไปเป็นทหารผู้หนึ่งในกองกำลังดาบเทวะเช่นกัน อยากจะสัมผัสวิธีการฝึกฝนของดาบเทวะดูสักครา

 ครานี้เจ้ารับคนจำนวนเท่าใด ?   ฮั่วหวยจิ่นเอ่ยถามอย่างสงสัย

 ที่ได้สนทนากับฝ่าบาทในวันนี้ ต้องการขยายกองกำลังดาบเทวะให้ถึง 10,000 คน ต้องรับสมัคร 6,500 คน 

 ความเสียหายทางการรบที่ภูเขาผิงหลิงมากน้อยเท่าใด ?  

 มีทหาร 4,000 คนที่เข้าไปยังภูเขาผิงหลิง ยามที่ออกมาจากภูเขาผิงหลิงเหลือเพียง 3,628 คน หลังจากนั้นได้ไปบุกปล้นที่แคว้นฮวง ได้ม้าศึกกลับมา 20,000 ตัว แต่สูญเสียพี่น้องไปร้อยกว่าคน 

ดวงตาของฮั่วหวยจิ่นเบิกกว้าง ตอนนี้รายงานสงครามเกี่ยวกับดาบเทวะที่ภูเขาผิงหลิงได้ถูกส่งไปยังทุกกองทัพของราชวงศ์หยูแล้ว แต่ในรายงานสงครามกลับกล่าวเพียงว่ากองกำลังดาบเทวะจำนวน 4,000 นายได้ชนะกองกำลังแสนกว่านายของกงเซินจ่าง

เดิมทีเขาคิดว่าคนที่จะสามารถอยู่รอดได้นั้นต้องมีมิเกิน 1,000 นายเป็นแน่ แต่คาดมิถึงว่าความเสียหายจากสงครามจะต่ำถึงเพียงนี้

อีกทั้งพวกเขายังได้ไปปล้นที่แคว้นฮวงอีกด้วย ให้ตายเถอะท้ายที่สุดแล้วดาบเทวะเป็นกองทัพแบบไหนกันแน่ ?

 หลังจากที่ดาบเทวะ 10,000 นายได้ฝึกฝนจนเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าตั้งใจจะชี้ดาบไปที่ใด ?  

 ชี้ไปกับผีสิ ข้าเป็นผู้รักความสงบ เมื่อถึงเวลากองกำลังดาบเทวะหนึ่งหมื่นนายนี้จะไปที่ซีซาน ให้อยู่คุ้มครองยุ้งฉางของข้า !  

 เจ้านี่ช่างบัดซบเสียจริง… !  

 

ตอนที่ 432 ปรากฏตัวอีกครั้ง

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เดินทางเข้ามายังเมืองหลวงด้วยการหลบ ๆ ซ่อน ๆ อีกต่อไป

เขาไปยังพระราชวังและได้เข้าร่วมประชุมใหญ่ราชวงศ์ เขาปรากฏตัวต่อหน้าขุนนางบู๊และบุ๋นทั้งหลาย

จากนั้นเขาก็ได้ไปยังวังหลัง และร่วมรับประทานอาหารกับฮองเฮาซั่งหนึ่งมื้อ

จากนั้นก็เดินทางไปยังจวนต่ง เพื่อเยี่ยมเยียนท่านเสนาบดีต่งและฮูหยินต่ง ตามด้วยไปยังจวนเยี่ยน และได้พบกับเยี่ยนฮ่าวชูบิดาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวในห้องหนังสือของเยี่ยนเป่ยซี เขาได้ร่วมดื่มชากับทั้งสองคนอีกทั้งยังได้สนทนากันจนกระทั่งมืดค่ำ สุดท้ายก็ได้เดินทางกลับไปกินมื้อเย็นที่จวนต่ง

เมื่อบัณฑิตจากสำนักศึกษาจี้เซี่ยรู้ข่าวเรื่องฟู่เสี่ยวกวนเดินทางกลับมา พวกเขาก็ดีใจเป็นอย่างมากเนื่องจากเขาเป็นถึงผู้มีความสามารถในราชวงศ์หยู เป็นคนดีมีเทวดาคุ้มครอง จะตายในกองหิมะของราชวงศ์อู๋ได้เยี่ยงไร

หลังจากข่าวคราวนี้ได้รับการยืนยันแล้ว ก็ได้มีจดหมายออกจากเมืองหลวงจำนวนมาก มีทั้งส่งไปยังซีฮวง ราชวงศ์อู๋ แคว้นอี๋ แคว้นฮวง และค่ายทหารตะวันตกเป็นต้น

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนกลับมาถึงจวนฟู่ก็เป็นเวลาดึกดื่นมากแล้ว องค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าและทหารรักษาพระองค์ฮั่วหวยจิ่นได้รอเขาอยู่ที่ศาลาเถาหราน

 ข้ารู้ว่าเจ้าเพิ่งกลับมาคงจะวุ่นวายน่าดู แต่พวกเรามีเรื่องที่จะต้องสนทนากับเจ้า  หยูเวิ่นเต้ายกยิ้มขึ้นแล้วกล่าว

ฮั่วหวยจิ่นลุกขึ้นยืน ทำความเคารพฟู่เสี่ยวกวนแล้วกล่าวว่า  เรื่องขอบคุณเหล่านั้นข้าจะมิเอ่ยให้เสียเวลา คืนวันพรุ่งนี้ข้าได้จัดเตรียมงานเลี้ยงไว้ให้เจ้าที่หอซื่อฟางแล้ว 

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาแล้วนั่งลง  ย่อมได้ กล่าวไปแล้วพวกท่านอาจจะมิเชื่อ เมื่อข้าเดินทางออกจากเมืองจินหลิงไป สิ่งที่คิดถึงเป็นอย่างแรกนั่นก็คืออาหารของหอซื่อฟาง… 

เขาต้มชาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า  เมืองกวนหยุนนั้นบรรยากาศดีก็จริง แต่ว่าอาหารการกินมิได้บรรจงเท่ากับเมืองจินหลิงของพวกเรา ข้าเพิ่งเดินทางกลับมาถึงเมื่อคืน และวันนี้ก็ได้ไปคารวะผู้ใหญ่ทั้งหลาย พวกเราพรรคพวกกันเองจึงยังมิได้เดินทางไปพบ 

หยูเวิ่นเต้ามองดูฟู่เสี่ยวกวน  ข้าแปลกใจเสียจริงว่าเจ้าไปอยู่ที่ใดมากันแน่ ? สงครามที่ภูเขาผิงหลิงเจ้าเข้าร่วมด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ผิงหลิงและชวูอี้ทำการก่อสร้างขึ้น เจ้าก็เกี่ยวข้องด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? ในเมื่อเจ้ายังอยู่อย่างสบายดี เหตุใดจึงต้องปิดบังความจริงกัน ?  

หยูเวิ่นเต้าเอ่ยถามข้อสงสัยในใจออกมาเสียมากมาย ส่วนฮั่วหวยจิ่นก็ได้นั่งมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทางจริงจัง ในใจเขาก็ได้มีคำถามอยู่มากมายเช่นกัน

ฟู่เสี่ยวกวนต้มชาพลางกล่าวว่า  หิมะถล่มครานั้นนับว่าข้าโชคดียิ่ง ผู้คนมากมายตกตายจากเหตุการณ์นั้น มีเพียงข้าที่รอดชีวิตมาได้… แม่นางที่ชื่อว่าหยุนเหนียงได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ในตอนนั้นข้าบาดเจ็บเป็นอย่างมากและได้รักษาตัวอยู่กว่าสามเดือน

 ข้าเดินทางจากที่นั่นมาในเดือนเจ็ด หนทางระเกะระกะ จนกระทั่งวันที่สิบห้า เดือนแปด จึงได้เดินทางมาถึงซีซานแห่งเมืองหลินเจียง 

เขารินน้ำชาให้กับองค์ชายห้ากับฮั่วหวยจิ่นแล้วเงยหน้าถอนหายใจ  ข้ามิได้อยากเป็นจักรพรรดิ ดังนั้นหากข้าเปิดเผยตัวตน ก็คงจะถูกจับกุมตัวกลับไปยังราชวงศ์อู๋ใช่หรือไม่ ?  

 บัดนี้เจ้าก็ได้เปิดเผยตัวตนแล้วมิใช่หรือ ?  

 บัดนี้เหตุการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว เวลากว่าครึ่งปีคาดว่าหลิงเอ๋อร์คงนั่งในตำแหน่งจักรพรรดินีอย่างมั่นคงแล้ว ไทเฮาซีและขุนนางทั้งหลายคาดว่าคงจะรับความจริงนี้ได้แล้ว ที่สำคัญคือ ถึงเวลาที่ข้าจะอภิเษกสมรสได้แล้ว 

เรื่องการอภิเษกสมรสของฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้ประกาศออกไป ดังนั้นเมื่อหยูเวิ่นเต้าและฮั่วหวยจิ่นได้ยินดังนั้นจึงตกตะลึงและดีใจเป็นอย่างมาก

 ในที่สุดเจ้าก็จะทำในสิ่งที่มั่นคงเสียที เสด็จพ่อและเสด็จแม่ทรงทราบแล้วใช่หรือไม่ ? พวกเขาวางแผนเยี่ยงไรบ้าง ? น้องสาวข้าจะอภิเษกทั้งที ขบวนจะต้องยิ่งใหญ่อลังการ !  

ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหัว  ฝ่าบาททรงตรัสว่า เกิดเป็นมนุษย์ควรถ่อมตน !  

เมื่อยามอู่ของวันนี้ ณ วังเตี๋ยอี๋ ฮ่องเต้และฮองเฮาซั่งได้ตรัสถึงเรื่องการอภิเษกสมรสว่าให้จัดอย่างเรียบง่าย เนื่องจากหยูเวิ่นหวินนั้นตั้งครรภ์ได้ 3 เดือนแล้ว !

หากทำตามประเพณีของราชวงศ์ให้ครบถ้วน เกรงว่าร่างกายของหยูเวิ่นหวินจะมิอาจรับได้ หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาคงจะลำบากเป็นแน่

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีความคิดเห็นใดสำหรับเรื่องนี้ เพียงแต่ในใจรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เนื่องจากเดิมทีเคยให้สัญญากับพวกนางไว้แล้วว่าจะจัดงานอภิเษกสมรสให้ใหญ่โต บัดนี้มองดูแล้วคงจะต้องผิดคำสัญญาเป็นแน่

แต่เมื่อเขาได้กล่าวกับครอบครัวของต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวแล้ว พวกเขาก็มิได้ขัดแย้งอันใด

หยูเวิ่นเต้าเอ่ยอย่างมิพอใจว่า  อะไรกัน ? เสด็จพ่อและเสด็จแม่มิมีเงินเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 เจ้าคิดอันใดอยู่กัน ? แน่นอนว่าต้องมีเหตุผลอื่นอีกเป็นแน่… ข้าขอถามเจ้าสักหน่อย หลังจากที่หยูเวิ่นชูเดินทางไปยังซีหรงแล้ว หยี่ฮวาถายยังมีอยู่ในเมืองหลวงอีกหรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนหัวข้อสนทนา นี่นับว่าเป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่เขาให้ความสนใจเป็นอย่างมาก

 ทางหอชิงเฟิงซี่หยู่ได้ทำการสืบข้อมูลอย่างละเอียดหลังจากที่เขาเดินทางออกไปจากเมืองหลวงแล้ว คนของหยี่ฮวาถายนั้นหายไปทั้งหมด คาดว่าเขาคงจะวางแผนเอาไว้ก่อนแล้ว คนเหล่านั้นเกรงว่าจะอยู่ในเมืองซีหรง 

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักไปชั่วครู่แล้วเอ่ยถามฮั่วหวยจิ่นว่า  เมืองซีหรงอยู่ห่างจากบ้านเจ้าไกลหรือไม่ ?  

 เมืองซีหรงตั้งอยู่ทางทิศใต้ บ้านข้าอยู่ที่ซีฉุยเมืองยวีหลาน สองแห่งนั้นห่างกันราว 600 ลี้ เพียงแต่ทางค่อนข้างคับแคบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเข้าไปยังเขตภูเขา ถนนบนภูเขาขรุขระและเป็นหลุมเป็นบ่อ มีหลายแห่งที่มิมีถนน เป็นการใช้ไม้กระดานที่สร้างขึ้นโดยผู้คนในยุคก่อน สามารถผ่านม้าได้เพียงตัวเดียว ที่แห่งนั้นจึงเป็นสถานที่ที่ป้องกันง่ายแต่โจมตียาก 

 ทว่าเมืองซีหรงนั้นเป็นเมืองที่ดีมากเสียทีเดียว ข้าเคยติดตามท่านพ่อไปเมื่อยังเยาว์วัย มีภูเขาล้อมรอบสี่ทิศ เมืองซีหรงนั้นตั้งอยู่บนที่ราบอันกว้างใหญ่ สภาพอากาศดีมากยิ่งนัก พืชผลให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ ดังนั้นในความคิดของข้า สถานที่แห่งนั้นจึงมิเลวเสียทีเดียว หากทางแคว้นเข้าควบคุมและจัดการอย่างเหมาะสม สถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นยุ้งฉางอีกแห่งหนึ่งของทางตอนใต้ 

ฟู่เสี่ยวกวนตั้งใจฟังอย่างละเอียด เขารู้สึกว่าสถานที่แห่งนั้นคล้ายคลึงกับเมืองเสฉวนในชาติที่แล้วของเขา

 ถู่ซือเปล่านั้นอาศัยอยู่ในจวนซีหรงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 หาใช่ไม่ ถู่ซือที่มีอำนาจสูงสุดอาศัยอยู่ในจวนซีหรง เป็นตระกูลเผิง ผู้ปกป้องที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งขึ้นมา ส่วนถู่ซือคนอื่น ๆ นั้นอาศัยอยู่ในภูเขา 

 สำนักใหญ่ของลัทธิจันทราอยู่ที่ใด ?  

 ได้ยินมาว่าอยู่ในหุบเขาลึกแห่งหนึ่ง ข้าเองก็มิรู้เช่นกัน…เจ้าต้องการจะทำสิ่งใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ในหุบเขาลึกนั้นมิใช่สถานที่ที่น่าไปเท่าใดนัก มันมิเหมือนกับภูเขาผิงหลิง ได้ยินมาว่าที่นั่นมีหมอกควันตลอดทั้งปี บรรยากาศมิสู้ดีนัก หากจะบุกเข้าไป เพียงแค่นำคนเข้าไปอย่างเดียวก็ยากที่จะกลับออกมาแล้ว 

หยูเวิ่นเต้ามองดูฟู่เสี่ยวกวน  เจ้าใกล้จะมีครอบครัวแล้ว ทำสิ่งใดให้คิดหน้าคิดหลังให้ดี ข้ามิยอมให้น้องสาวของข้ากลายเป็นม่ายอย่างแน่นอน !  

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะหึ ๆ  ข้าก็เพียงแค่ไถ่ถามดูก็เท่านั้น 

เขาหยุดชะงักลงแล้วเอ่ยถามฮั่วหวยจิ่นต่อไปว่า  แคว้นหยูของเราและแคว้นฝาน…ปกติแล้วมีข้อขัดแย้งกันหรือไม่ ?  

 ข้อขัดแย้งน้อยมากยิ่งนัก ทั้งสองแคว้นนั้นค่อนข้างเป็นอิสระที่เมืองยวีหลานมีชาวฝานเดินทางเข้ามาทำการค้าจำนวนมิน้อย ลูกประคำและหยกของพวกเขาได้รับความนิยมจากชาวบ้านที่ยวีหลานเป็นอย่างมาก ทำนองเดียวกันพ่อค้าจากยวีหลานก็เดินทางไปทำการค้าที่แคว้นฝานด้วย การปักผ้าของพวกเรานั้นได้รับความนิยมยิ่งนักที่แคว้นฝาน 

นี่อาจจะเป็นเพราะทั้งสองแคว้นเปิดโอกาสทางด้านการค้าก็เป็นได้ มองดูแล้วการค้าระหว่างแคว้นจะเป็นไปตามที่ฝานเทียนหนิงได้กล่าวไว้ หากดำเนินนโยบายขึ้นมาจริง ๆ คงเป็นไปได้มิยาก

 สงครามชายแดนตะวันตกเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?  

 ท่านแม่ทัพเซวี๋ยติ้งชานมีฝีมือในการฝึกฝนเหล่าทหารเป็นเลิศ แม้ว่าทางตะวันตกจะมิมีสงครามมากว่าสิบปีแล้ว แต่ทว่าท่านแม่ทัพมิเคยหยุดการฝึกฝนเหล่าทหารเลย 

 ทำสงครามเก่งเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 …เกรงว่าเก่งกว่าที่ผู้ใดจะจินตนาการออกมาได้ !  

 

ตอนที่ 431 เรื่องราวในอดีต

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนสิบเอ็ด วันที่สิบ จินหลิงมีหิมะตกหนัก

ทะเลสาบซวนอู่ยังมิแข็งตัว โคมไฟสีแดงของจวนฟู่ริมทะเลสาบซวนอู่ได้ถูกติดขึ้นมา

ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานได้บอกลาฉินปิ่งจงและคนอื่น ๆ และได้เข้าไปยังจวนที่ได้จากมานาน

ในจวนเป็นระเบียบเรียบร้อยอย่างมิได้คาดคิด ที่แห่งนี้เคยอึมครึมไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ในวันนี้กลับเต็มไปด้วยพลังเพราะคุณชายและนายหญิงของบ้านได้กลับมาแล้ว

ดวงไฟที่ส่องสว่างสะท้อนกับหิมะ ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานนั่งอยู่ที่ศาลาเถาหราน เสียวฉีได้พาบ่าวรับใช้นำเตาไฟสองเตามาส่ง และเอ่ยถามอย่างมีความสุข  คุณชายและนายหญิงน้อยต้องการทานอะไรหรือไม่เจ้าคะ ?  

 ในวันที่หนาวเยี่ยงนี้ ต้มเนื้อแพะสักหม้อให้ร่างกายได้อบอุ่น  ฟู่เสี่ยวกวนที่ผิงไฟอยู่ได้กล่าวต่ออีกว่า  นำสุราสองกามาอุ่นเถอะ 

 บ่าวจะรีบไปจัดการเจ้าค่ะ 

เสี่ยวฉีเดินจากไปอย่างมีความสุข นางคือสาวใช้ข้างกายของต่งชูหลาน และก็ค่อนข้างนานมากแล้วที่มิได้พบเจอคุณหนู ส่วนคุณชายนั้นนางมิได้พบนานกว่าคุณหนูเสียอีก

ตั้งแต่คุณหนูกลับมาจากราชวงศ์อู๋ นางก็สัมผัสได้ว่ากริยาของคุณหนูดูแปลกไป หลังจากนั้นก็ได้มีข่าวคราวว่าคุณชายเสียชีวิตไปแล้วที่ราชวงศ์อู๋ นางรู้สึกเสียใจแทนคุณหนูอยู่เนิ่นนาน

หลังจากนั้นคุณหนูก็ได้ไปยังซีซาน ทิ้งนางเอาไว้ที่จวนฟู่ แล้วกล่าวว่าช่วยดูแลจวนให้ด้วย

ตอนนี้คุณชายก็ได้กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว นั่นย่อมเป็นเรื่องที่ดีคับฟ้าอย่างแน่นอน และก็มิทราบเช่นกันว่าคุณหนูได้พาคุณชายกลับไปยังจวนต่งแล้วหรือยัง เพื่อรายงานกับนายท่านและคุณนายต่งว่าเขาได้กลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว

ต่งชูหลานเอียงศีรษะพลางมองหน้าฟู่เสี่ยวกวน  มิไปทานอาหารที่บ้านของข้าเยี่ยงนั้นหรือ ให้ท่านแม่ทำหงเซาซือจึโถว่ให้เจ้าทานดีหรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มร้าย ๆ แล้วลูบมือไปมา  ค่ำนี้พวกเรามาทานเนื้อให้อร่อยเถิด !  

ต่งชูหลานหน้าแดงขึ้นมาทันพลัน นางย่อมทราบถึงความหมายของประโยคนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงกลอกตาใส่ฟู่เสี่ยวกวน ขบเม้มริมฝีปากอย่างแผ่วเบา แต่ก็มิได้โต้ตอบอันใด

เวิ่นหวินได้ท้องแล้ว ข้ารู้จักกับฟู่เสี่ยวกวนมานานกว่านางเสียอีก เหตุใดเรื่องนี้ถึงได้ล้าหลังกว่านางกัน ?

และพรุ่งนี้ก็จะกลับไปที่จวนต่งอีกคราเพื่อพบบิดามารดา เยี่ยงไรเสียข้าก็เป็นบุตรีของพวกเขา !

ทั้งสองดื่มสุราและทานอาหารด้วยกัน ท้องนภาได้มืดมิดไปแล้ว ในวันนี้มิได้มีความบันเทิงอื่นใด ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าเรือนหลักไปทันที

ข้างนอกมีหิมะกระหน่ำลงมามิขาดสาย ภายในห้องเต็มไปด้วยความหอมอบอวล

……

…..

ในวันเดียวกันกับวันที่ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานต้องกลับไปยังเมืองหลวง ร่างอวบอ้วนของฟู่ต้ากวนก็ได้มาถึงสำนักเต๋า

หนึ่งตะเกียงน้ำมัน หนึ่งโต๊ะอาหาร ทั้งสองนั่งขัดสมาธิลงตรงข้ามกัน

 ศิษย์พี่ ข้าได้ไปตรวจสอบที่ภูเขาหิมะแล้ว 

ผู้สังเกตสำนักเต๋าลูบเครายาวเบา ๆ แต่มิได้เอ่ยถามฟู่ต้ากวนว่าตรวจพบอันใดบ้าง และกล่าวขึ้นมาว่า  มีคนออกมาจากซีฮวงสามสิบกว่าคน ไปทั้งหมด 3 สถานที่ 

 ทั้งหมดไปที่ใดกัน ?  

 เหมียวเสี่ยวเสี่ยวผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาแห่งลัทธิจันทราพร้อมกับอีก 10 คนตรงไปยังหย่งหนิงโจว ไป๋หลี่หงส์ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายพร้อมกับคนนับสิบได้ไปยังราชวงศ์อู๋ เกรงว่าจะไปที่เมืองกวนหยุน แต่ผู้อาวุโสม่อเหวินกลับพาคนนับสิบไปยังแคว้นอี๋ 

ฟู่ต้ากวนคิ้วขมวด  ศิษย์พี่จะรับมือเยี่ยงไร ?  

ผู้สังเกตยกแก้วสุราขึ้นมา และดื่มกับฟู่ต้ากวน  เหมียวเสี่ยวเสี่ยวไปยังหย่งหนิงโจวคาดว่าคงไปเพื่อทำลายหมากที่เสี่ยวกวนได้วางเอาไว้ที่อำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้ ข้าจึงให้ซูเจวี๋ย ซูโหรว และซูซูไปที่นั่น ส่วนที่ไป๋หลี่หงส์ไปยังราชวงศ์อู๋ ย่อมไปเพื่อสังหารอู๋หลิงเอ๋อร์เป็นแน่ 

 ทันทีที่อู๋หลิงเอ๋อร์ตาย หญิงชราผู้นั้นก็จะสามารถเข้ามาควบคุมราชวงศ์อู๋ได้อย่างเต็มที่อย่างเหมาะสม หมากกระดานนี้ ศิษย์พี่ข้าแพ้แล้ว 

 ดังนั้นอู๋หลิงเอ๋อร์จะตายมิได้เป็นอันขาด !  

 และตอนนี้อู๋หลิงเอ๋อร์ก็ได้อยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหู มีกองกำลังทหารหญิงของนาง และมีองครักษ์ชุดแดงนับหมื่น มิจำเป็นต้องกังวลกับความปลอดภัยของนาง 

ฟู่ต้ากวนครุ่นคิดถึงโจวถงถงที่ได้เชิญโหยวเป่ยโต้วให้ไปอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหูแล้วเช่นกัน ผู้ที่จะสามารถสังหารอู๋หลิงเอ๋อร์ได้ย่อมมีอยู่น้อยนิด เขาจึงมิต้องเป็นกังวลใจกับเรื่องนี้อีก

ในขณะนั้นเองผู้สังเกตก็ได้กล่าวขึ้นมาว่า  ฟู่เสี่ยวกวนได้กลับมาแล้ว 

ฟู่ต้ากวนตกตะลึงทันพลัน  เขายังมีชีวิตอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ?  

ผู้สังเกตพยักหน้าน้อย ๆ  ถึงแม้ข้าจะมิทราบถึงเหตุผล แต่เขานั้นยังมีชีวิตอยู่ เพราะเขาได้ไปถึงจินหลิงแล้ว 

ฟู่ต้ากวนคิ้วขมวด แล้วเอ่ยถามว่า  ในเมื่อเขาปรากฏตัว จะมิถูกลัทธิจันทราลอบสังหารเขาหรือ ?  

 ดังนั้นข้าจึงให้เกาหยวนหยวนและพรรคพวกตรงไปยังซีหรง 

หรือนี่คือกลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะกัน ?

แต่นั่นคือรังเก่าของลัทธิจันทรา พวกเกาหยวนหยวนยังมิได้เข้าถึงขั้นปรมาจารย์ แต่มีความเป็นได้อย่างสูงที่ประมุขลัทธิจันทราจะเข้าขั้นปรมาจารย์แล้ว พวกเกาหยวนหยวนจะมีชีวิตรอดปลอดภัยกลับมาได้เยี่ยงนั้นหรือ

ในหัวของฟู่ต้ากวนเต็มไปด้วยความสงสัย เขาจึงกล่าวว่า  ข้าหาได้สนใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเจ้าไม่ แต่จะต้องมิเกิดอุบัติเหตุกับฟู่เสี่ยวกวนขึ้นอีก !  

 สบายใจเถอะ หลังจากที่ซูเจวี๋ยและศิษย์น้องของเขาสำเร็จเรื่องที่หย่งหนิงโจวแล้ว พวกเขาก็จะกลับไปอยู่ข้างกายฟู่เสี่ยวกวนดังเดิม นอกจากนี้…ข้าเองก็น่าจะไปที่จินหลิงเช่นกัน 

 ข้ายังต้องไปหาเกาเสี่ยนให้พบ 

 เขามิได้สลักสำคัญมากมายอันใด ฟู่เสี่ยวกวนจะแต่งงานแล้ว เจ้าเองก็จะเป็นท่านลุงแล้ว… เขายังนับถือให้เจ้าเป็นบิดา เจ้าก็ควรจะไปร่วมงานด้วยใช่หรือไม่ ?  

ฟู่ต้ากวนผงะไปอีกครา จากนั้นใบหน้าอวบก็ได้ยกยิ้มขึ้นมา ด้วยความดีใจเป็นอย่างมาก

เขาถือกาสุราขึ้นมาและรินให้ผู้สังเกตจนเต็มจอก  มา ๆ ๆ ผ่านมานานหลายวันในที่สุดข้าก็ได้ยินข่าวดีที่สุดเสียที ดื่มสามจอก !  

ผู้สังเกตลูบเครายาวเบา ๆ และยกยิ้ม  แต่ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าควรกลับไปยังราชวงศ์อู๋และเป็นจักรพรรดิอย่างสมเกียรติได้แล้ว 

 มิไป !  

ฟู่ต้ากวนดื่มจนหมดไปหนึ่งจอก  ในปีนั้นที่ข้าเข้าสำนักเต๋า ต้องใช้ความลำบากเพียงใดเพื่อที่จะแกล้งตายและสละตนออกมา ในใต้หล้านี้ผู้คนที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของข้าในปัจจุบันนี้มีเพียงมิกี่คนเท่านั้น เจ้ากล่าวมาสิว่าข้าจะวิ่งกลับไปเป็นจักรพรรดิได้เยี่ยงไร ?  

 เจ้ามิกังวลว่าอำนาจจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋จะตกไปอยู่ในมือของนางเยี่ยงนั้นหรือ เจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่า หากไทเฮาซีเป็นผู้ดูแลราชวงศ์อู๋ นางจะต้องก่อสงครามกับราชวงศ์หยูเป็นแน่ !  

 ท้ายที่สุดแล้วตัวตนของนางในลัทธิจันทราคือผู้ใดกันแน่ ?  

 เรื่องนั้นต้องไปที่อาคารสิบแปดชั้น ณ หอเทียนจีเพื่อดูสารที่ถูกปิดผนึกของเสด็จพ่อของเจ้า 

 ตราหยกที่ใช้เปิดอาคารสิบแปดชั้นได้หายไป… ศิษย์พี่ท่านว่าอู๋ฉางเฟิงจะเคยได้ไปที่อาคารสิบแปดชั้นนั่นมาแล้วหรือไม่ ?  

 ย่อมมิมีทาง ไทเฮาซีคือมารดาของอู๋ฉางเฟิง และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับไทเฮาซีเขาย่อมมิทราบ แต่ในตอนนี้ก็ทำได้เพียงแค่คาดเดาเท่านั้น แต่ข้าคิดว่าหากนางเป็นคนของลัทธิจันทราโดยแท้จริง ที่ลัทธิจันทราย่อมมีสารฉบับนั้นอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงส่งพวกเกาหยวนหยวนไปที่ซีหรง การปะทะเป็นเรื่องที่เลี่ยงมิได้ ที่สำคัญคือการเข้าไปที่แท่นบูชาหลักของลัทธิจันทรา ดูสิว่าจะหาหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการยืนยันตัวตนของไทเฮาซีได้หรือไม่กัน ?  

ฟู่ต้ากวนมิได้เอ่ยถามอันใดต่อ สำหรับเขาแล้วเรื่องเหล่านี้มิได้สำคัญอันใด เพียงแค่ฟู่เสี่ยวกวนยังมีชีวิตอยู่ ก็ดีกว่าทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว

ในปีนั้นที่ตนจากเมืองกวนหยุนมาจนถึงที่นี่เพื่อฝึกวรยุทธ์กับท่านอาจารย์เป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว และได้ลงเขามาเมื่อบรรลุเป็นผู้มีฝือระดับสูงขั้นหนึ่ง ก็ได้พบเข้ากับจักรพรรดิอู๋ฉางเฟิงที่จินหลิงโดยบังเอิญ

ต่อมาได้รับการไหว้วานจากอู๋ฉางเฟิงให้ดูแลสวี่หยุนชิงรวมไปถึงบุตรชายของพวกเขา ตนจึงได้เปลี่ยนแซ่ เด็กชายผู้นั้นก็ใช้แซ่เดียวกันกับเขา ปิดบังตัวตนและเลี้ยงดูฟู่เสี่ยวกวนมา 17 ปี เขาที่เป็นลุงแต่ได้ปฏิบัติกับฟู่เสี่ยวกวนเสมือนบุตรของตนเองด้วยความจริงใจ

เขาทราบเรื่องมามากมาย ดังนั้นในคราแรกเขาจึงมิปรารถนาให้ฟู่เสี่ยวกวนออกมาจากหลินเจียง แต่ฮ่องเต้และจักรพรรดิเหวินก็ได้ส่งจดหมายมาหาเขา หลังจากที่ได้ไตร่ตรอง ท้ายที่สุดเขาก็เลือกที่จะให้ฟู่เสี่ยวกวนโผบินไปด้วยตนเอง

เด็กคนนี้เก่งกาจมากยิ่งนัก เขาได้เข้าร่วมราชสำนักของราชวงศ์หยู และแน่นอนว่าจะขาดการสนับสนุนจากฮ่องเต้และฮองเฮาซั่งไปมิได้ แต่อย่างน้อยตัวเขาก็มีความสามารถอย่างแท้จริง

ในยามที่อู๋ฉางเฟิงใช้ข้ออ้างเรื่องงานชุมนุมวรรณกรรมเพื่อให้ฟู่เสี่ยวกวนไปพบที่ราชวงศ์อู๋ เขารู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋ แท้จริงแล้วมิใช่เพื่อไปซื้อคฤหาสน์จิ้งหู แต่เพื่อต้องการสนทนากับจักรพรรดิเหวิน

การสนทนาในครานี้ ได้เอ่ยถึงเหตุการณ์ครั้งสำคัญ จักรพรรดิเหวินสิ้นพระชนม์แล้ว โชคดีที่ฟู่เสี่ยวกวนยังมีโชคอยู่

เขายังมีชีวิตอยู่ นี่เป็นสิ่งที่ดีเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด !

 

ตอนที่ 430 เป็นฝีมือมนุษย์

 จวนฟู่แห่งเมืองหลินเจียง แม่ทั้งห้าได้ให้กำเนิดบุตรเรียบร้อยแล้ว เป็นบุตรชาย 3 คน บุตรสาว 2 คน… ระยะเวลากำเนิดห่างกันมิเกิน 1 เดือน บัดนี้พวกนางกำลังอยู่ไฟ มิสะดวกให้เจ้าเข้าพบ รอให้ผ่านปีนี้ไปก่อนเถิด ?  

ต่งชูหลานเก็บสัมภาระแล้วกล่าวกับฟู่เสี่ยวกวนถึงเรื่องนี้

 ท่านพ่อข้ายังมิกลับมาเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ยังมิได้รับรายงานเรื่องนี้… 

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกเป็นกังวล ชายอ้วนนั่นเดินทางไปยังแคว้นฝานได้กว่าครึ่งปีแล้ว เหตุใดจึงยังมิกลับมากัน ?

 ข้าวของเครื่องใช้ในจวนที่หลินเจียงเพียงพอหรือไม่ ?  

 ข้าเพิ่มให้อีก 3 ส่วน และให้ชุนซิ่วกลับไปดูแล้ว และได้กำชับนางว่าให้ซื้อเสื้อผ้าอีกทั้งของใช้ทารกด้วย คาดว่าคงมิขาด 

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า  เมื่อครู่ข้าได้เดินทางไปที่สำนักศึกษา ท่านอาจารย์ฉินและบัณฑิตทั้งหลายจะร่วมเดินทางไปที่เมืองหลวงกับข้าด้วย อีกประเดี๋ยวก็คงจะต้องออกเดินทาง 

 อือ 

ฟู่เสี่ยวกวนมองดูหมอกยามเช้าที่ยังมิจางหายไปในลานกว้างแห่งนี้แล้วขมวดคิ้วด้วยความกังวลใจ ชายอ้วนนั่นหายไปอยู่ที่ใดกันแน่ ?

……

……

เขาเดินทางไปกลับเมืองกวนหยุนอีกคราเมื่อวันที่สิบ เดือนสิบ

เขาและหูฉินได้เดินทางไปยังที่ราบสูงที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ

เขาพักอยู่ที่นั่นนานถึงสามวันสามคืน

ในเดือนสี่ วันที่เก้า ได้เกิดเหตุการณ์หิมะถล่มคราใหญ่ แต่หุบเขาที่ถูกหิมะถล่มปกคลุมนั้นได้ถูกเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว หาได้มีร่องรอยของผู้เสียชีวิตหลงเหลืออยู่ไม่

หูฉินมิรู้ว่าฟู่ต้ากวนกำลังตามหาสิ่งใดอยู่กันแน่

 ผู้คนนับหมื่นคนค้นหาที่นี่ในทุกซอกทุกมุมแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้ายังจะสามารถค้นพบอันใดได้อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฟู่ต้ากวนทำสีหน้าเคร่งขรึม เขามิได้เอ่ยอันใดออกมา

เขาค้นหาตั้งแต่ทางเข้าหุบเขาจนกระทั่งพบวัดเก่าแก่เข้า เดินเข้าเดินออก ทำเช่นนี้อยู่สามครา สุดท้ายเขาก็ออกมายืนอยู่ด้านหน้าวัดแล้วเงยหน้ามองดูภูเขาหิมะที่ตั้งสูงตระหง่าน

 เจ้าจงออกไป ยิ่งไกลยิ่งดี 

หูฉินมิเข้าใจในสิ่งที่เขากล่าว นางมองไปยังฟู่ต้ากวนด้วยท่าทางกังวลใจ ชายอ้วนผู้นี้รับบทเป็นพ่อของฟู่เสี่ยวกวนมาถึง 17 ปี บัดนี้ปรากฏว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นโอรสของจักรพรรดิเหวิน เกรงว่าความจริงนี้จะทำให้เขารับมิได้ กังวลว่าเขาจะคิดสั้น

 ข้ารู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนคือโอรสของจักรพรรดิเหวิน 

 เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงเลี้ยงดูทะนุถนอมเขาถึงเพียงนี้กัน ?  

 ข้าจะบอกเจ้าในภายภาคหน้า เจ้าจงออกไปก่อน จำไว้ว่ายิ่งไกลเท่าใดก็ยิ่งดี 

หูฉินมิรู้ว่าฟู่ต้ากวนจะทำสิ่งใด นางเดินออกไปจากหุบเขาแห่งนี้ และมุ่งหน้าไปยังที่ราบสูง

ฟู่ต้ากวนเงยหน้ามองดูภูเขาหิมะที่ตั้งสูงตระหง่านนี้ ร่างของเขาลอยขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับเหยี่ยว

ร่างกายของชายอ้วนผู้นั้นว่องไวขึ้นมาทันใด เขาพุ่งตัวไปยังภูเขามิหิมะสูง ขาทั้งสองแตะลงที่หิมะแล้วพุ่งตัวลอยขึ้นไปอีก จนกระทั่งถึงจุดที่หิมะถล่มลงมา

จุดนี้คือบริเวณกลางเขา

เขาหยุดอยู่ที่นี่ดูคล้ายกับกำลังมองหาบางสิ่งอยู่

ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เขาจึงได้หยุดฝีเท้าแล้วลงที่พื้น

เบื้องหน้าเขาได้ปรากฏรอยเท้าคู่หนึ่ง !

เนื่องจากมีหิมะและลมพัดพา ทำให้รอยเท้านี้ดูจางลง หากมิสังเกตคงจะมองมิเห็นอันใด

เขาขมวดคิ้วมุ่นแล้วยื่นมือออกไปเทียบ รอยเท้านี้เป็นของผู้ชาย ราชวงศ์อู๋กว้างขวางถึงเพียงนี้ แต่คนที่สามารถมายังที่แห่งนี้ได้ และสามารถหลบผู้คนที่วัดมาได้ น้อยเสียจนนับนิ้วได้ !

เขายืดตัวตรงแล้วมองออกไปเบื้องหน้า

นี่มิใช่ภัยพิบัติ แต่เป็นการกระทำของมนุษย์ !

เป่ยหวังฉวนนั้นกระดูกหัก มิอาจหยิบคันธนูได้ แต่มิได้ส่งผลต่อวิชาตัวเบา

โหยวเป่ยโต้วต่อสู้กับผู้มีความสามารถทั้งสิบสองคนจนบาดเจ็บ ส่งผลกระทบต่อวิชาตัวเบา

เยี่ยงนั้นผู้ที่กระทำเป็นเป่ยหวังฉวนเยี่ยงนั้นหรือ ?

เขาเป็นพระสหายของฝ่าบาท แม้ว่าจะเคยใช้ธนูยิงฟู่เสี่ยวกวน แต่ว่าก็ได้กลับไปช่วยฟู่เสี่ยวกวนไว้ที่ทะเลสาบจิ้งหู เขาจะมีเหตุผลอันใดที่ต้องสร้างภัยพิบัติครานี้ขึ้นมากัน ?

หรือเนื่องจากลูกศิษย์ของเขา อู๋กานอดีตองค์รัชทายาทที่ถูกฝ่าบาทปลดออกจากตำแหน่ง และได้ตายในน้ำมือของหนิงฝาเทียน เขาต้องการแก้แค้นให้เยี่ยงนั้นหรือ ?

เหตุผลนี้มิน่าจะเป็นไปได้

การที่เป่ยหวังฉวนถ่ายทอดวิชาตัวเบาให้อู๋กานเพราะเป็นคำสั่งของฝ่าบาท เขากับอู๋กานนั้นเป็นเพียงอาจารย์และศิษย์เท่านั้น

เยี่ยงนั้นแล้ว…ยังมีผู้ใดอีก ?

จอมหลงทิศสุ่ยหยุนเจียน ?

เจ้าโง่หลีมู่ป๋าย ?

ฟู่ต้ากวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วจึงตัดคนเหล่านี้ออกไป

พวกเขามิมีแรงจูงใจใดที่จะทำเรื่องนี้ เยี่ยงนั้นแล้วยังมีผู้ใดอีกกัน ?

เขาต้องการให้จักรพรรดิเหวินหรือฟู่เสี่ยวกวนตายกันแน่ ?

แสงสุริยาส่องมากระทบเข้ากับเขาสูง ฟู่ต้ากวนหันไปมองแล้วขมวดคิ้วขึ้น สายตาของเขามองไปยังหน้าผา

ในบริเวณที่แสงแดดส่องลงมา มีหลุมที่สามารถหลบภัยจากหิมะถล่มได้พอดีสำหรับหนึ่งคน

เนื่องจากที่แห่งนี้ถูกบังเอาไว้ จึงทำให้หิมะตกลงไปมิถึง หลุมนี้โดดเด่นเป็นอย่างมาก เพียงแต่มันอยู่ในที่ที่ยากจะหาพบ

ฟู่ต้ากวนนั่งลงเบื้องหน้าหลุม เขายื่นมือขึ้นไปจับหิมะในหลุมนั้นแล้วนำมาบดขยี้ แล้วหยิบหิมะขึ้นมาอีกกำหนึ่ง พบว่าด้านในมีเศษอาหารหลงเหลืออยู่

ผู้ก่อเหตุรู้ว่าวันบวงสรวงสู่สวรรค์คือวันที่เก้าเดือนสี่ ดังนั้นเขาจึงเดินทางมาที่นี่ก่อนวันเกิดเหตุแล้วซุกตัวอยู่ในหลุมนี้ รอจนกระทั่งฝ่าบาทและฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาถึง ดังนั้นผู้ก่อเหตุมิจำเป็นต้องเป็นปรมาจารย์!

เมื่อเขาจัดฉากหิมะถล่มลงมาเรียบร้อยแล้ว และได้มีหน่วยค้นหาเข้ามามากมาย เขาจึงมิได้เดินทางออกไปทันที แต่กลับนอนหลบอยู่ในหลุมนี้จนกระทั่งการค้นหาสิ้นสุดลง จนกระทั่งมิมีผู้คนในหุบเขานี้

เยี่ยงนั้นเขาก็ต้องนอนอยู่ในนี้นานเป็นอย่างมาก

แต่ที่แห่งนี้ช่างหนาวเหน็บมากยิ่งนัก คนธรรมดาทั่วไปสามารถทนทานได้เพียงมิกี่วันเท่านั้น

วิชาแสร้งตาย !

ลัทธิจันทรา !

ฟู่ต้ากวนลุกขึ้นทันใด เขารวบรวมพลังในตันเถียนแล้วใช้ฝ่ามือส่งพลังออกไปในภูเขาหิมะ

 ตู้ม… !  

เสียงดังสนั่น ทำให้หิมะที่ทับถมกันอยู่สั่นไหว จากนั้นก็ถล่มลง แน่นอนว่าย่อมรุนแรงเป็นอย่างมาก พลังฝ่ามือของปราจารย์หนึ่งคราสามารถทำให้ภูเขาหิมะถล่มลงมาได้ หากเป็นผู้มีความสามารถขั้นสูงกว่าที่จะทำให้หิมะถล่มลงมาได้ คงจะต้องออกหมัดพลังหลายครา !

ลัทธิจันทราได้แทรกตัวเข้ามาในราชวงศ์อู๋แล้ว !

หูฉินที่ยืนอยู่ด้านล่างมองดูหิมะที่ถล่มลงมาด้วยความตกตะลึง เจ้าอ้วนนั่นพบเข้ากับหิมะถล่ม ช่างบังเอิญเสียจริง !

เขาจะวิ่งออกมาได้ทันหรือไม่ ?

หูฉินได้แต่ยืนมองดูหิมะที่ถล่มลงมา เมื่อเสียงดังสนั่นนั้นสิ้นสุดลงแล้ว นางก็รีบวิ่งเข้าไปในหุบเขาทันที แต่ก็มิพบฟู่ต้ากวน

ฟู่ต้ากวนออกมาจากที่นั่นแล้ว เขาได้เดินทางไปยังเมืองกวนหยุน มุ่งหน้าเข้าสู่พระราชวังและตรงไปยังหอเทียนจี

 ข้าต้องการพบฝ่าบาท !  

โจวถงถงลุกขึ้นยืน คารวะแล้วกล่าวว่า  ท่านได้สัญญากับจักรพรรดิองค์ก่อนแล้วว่าจะมิเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราชวงศ์อู๋ 

 แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับความเป็นตายของราชวงศ์อู๋ !  

 ราชวงศ์อู๋ปลอดภัยดีภายใต้การปกครองของไทเฮาซี 

 เช่นนั้นข้าจะไปหอเทียนจีชั้นสิบแปด 

 ตราหยกของจักรพรรดิองค์ก่อนได้สูญหาย มิสามารถเปิดชั้นสิบแปดได้ 

 เกาเสี่ยนอยู่ที่ใด ?  

 เขาถูกบุตรชายของตนแทงตายเมื่อตอนอยู่ในคุก ไทเฮาทรงรับสั่งให้นำศพของเขาไปโยนทิ้งในป่า 

 พาข้าไปจุดที่โยนศพเกาเสี่ยนทิ้งประเดี๋ยวนี้ !  

โจวถงถงผงะ เเล้วเงยหน้าขึ้นมอง  ท่านกำลังสงสัยสิ่งใดอยู่กัน ?  

 อย่าได้ถามให้มากความ รีบพาข้าไปเถิด 

รถม้าเดินทางออกจากเมืองกวนหยุน มายังเชิงเขาหานซาน ที่แห่งนี้เป็นที่รกร้างและลึกมากยิ่งนัก จริงดังคาด เขามิพบศพของเกาเสี่ยน

มิมีแม้แต่ผมเส้นเดียว

 บัดนี้เจ้าอย่าได้เอ่ยถามสิ่งใดกับข้า จงไปบอกกับโหยวเป่ยโต้วให้ลักลอบเข้าเมืองกวนหยุนเพื่อปกป้องหลิงเอ๋อร์เสีย !  

โจวถงถงมองไปในตาของฟู่ต้ากวนแล้วรีบขึ้นรถม้าเดินทางจากไปทันที

ฟู่ต้ากวนเองก็หันหลังกลับ แต่มิได้มุ่งหน้าไปยังเมืองกวนหยุน เขารีบตรงไปยังสำนักเต๋าทันที

 

ตอนที่ 429 หยูเวิ่นหวินตั้งครรภ์แล้ว

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนสิบ วันที่สิบ

กองกำลังพันธมิตรชายแดนตะวันออกของราชวงศ์หยูได้บุกเมืองฮั่วหลานทางชายแดนของแคว้นอี๋

วันที่สิบห้า เดือนสิบ องค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียนและหยูชุนชิวบัญชาการกองกำลังพันธมิตรทั้งสามแสนนายเดินทัพไปทางตะวันออก เข้าประชิดจุดยุทธศาสตร์ต้าชิวที่อยู่ทางตะวันออกของแคว้นอี๋

ท่ามกลางเสียงดังกัมปนาทของปืนใหญ่หงอีนับร้อยกระบอก วันที่สิบหก เดือนสิบ ในช่วงเวลาเพียงหนึ่งวันเท่านั้น เมืองต้าชิวก็ได้แตกพ่าย

ทหาร 300,000 นายของราชวงศ์หยูกับกองทัพ 500,000 นายที่แคว้นอี๋ระดมพลมาได้เปิดศึกกันอย่างดุเดือดที่ต้าชิว

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนสิบ วันที่ยี่สิบห้า เป็นเวลากว่าสิบวันแล้วที่ธงของกองทัพชายแดนตะวันออกได้ปักอยู่บนกำแพงของต้าชิว กองทัพใหญ่ 500,000 นายของแคว้นอี๋พ่ายแพ้อย่างราบคาบ

แคว้นอี๋ได้สั่นสะเทือนไปทั่วทุกฝ่าย ความโศกเศร้าแผ่ไปทั่วทุกหนแห่ง

สงครามที่ต้าชิว แคว้นอี๋มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากถึง 220,000นาย บาดเจ็บอีกหนึ่งแสนกว่านาย ส่วนราชวงศ์หยูมีจำนวนผู้เสียชีวิต 100,000 นาย บาดเจ็บ 60,000 นาย

ทัพใหญ่ของแคว้นหยูตั้งรกรากอยู่ที่ต้าชิว เดิมทีแคว้นฮวงคิดว่ากองกำลังพันธมิตรทางตะวันออกของราชวงศ์หยูจะพักเท้ากันที่ต้าชิว แต่คาดมิถึงว่าหยูเวิ่นเทียนจะพักอยู่ที่ต้าชิวเพียงแค่ 5 วันเท่านั้น

วันที่หนึ่ง เดือนสิบเอ็ด คาดมิถึงว่ากองพันธมิตรตะวันออกที่มีทหารมากกว่าหนึ่งแสนนายจะรุกคืบไปทางตะวันออก !

ท้ายที่สุดจักรพรรดิของแคว้นอี๋ก็ได้ตกอยู่ภายใต้การกดดันของทหารทั้งสองราชวงศ์ และได้ส่งสารเจรจาขอสงบศึกไปให้กับฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยู กองกำลังพันธมิตรตะวันออกได้ถอยกลับไปยังต้าชิว รอให้การเจรจาขอสงบศึกสิ้นสุดแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะอยู่หรือถอนกองกำลังออกไป

ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ท่าป๋าเฟิงจักรพรรดิแห่งแคว้นฮวงได้รวมอำนาจมาไว้ในมือทั้งหมดแล้ว และได้บูรณาการทหารราบแห่งแคว้นฮวงทั้งแปดธง จัดระเบียบกองทหารทั้งสี่แสนใหม่อีกครา และประทานนามให้ว่า…ดาบสวรรค์ !

เขามิได้ให้ดาบสวรรค์ลงไปทางใต้ แต่ได้สั่งให้แม่ทัพใหญ่ท่าป๋าป้าเทียนคนสนิทของเขาฝึกฝนทหารทั้งสี่แสนนายในดินแดนที่หนาวเหน็บนี้ ทั้งยังได้เชิญช่างตีเหล็กที่มีชื่อเสียงของแคว้นฮวงมายังเมืองหลวง จัดตั้งสำนักอาวุธปืนขึ้นมา เพื่อวิจัยสิ่งที่เรียกว่าปืนคาบศิลา

และในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ถังเชียนจวินจากราชวงศ์อู๋ก็ได้มาถึงชายแดนของแคว้นฮวงพร้อมด้วยองครักษ์ชุดแดง 10,000 นาย แต่กลับได้รับข่าวคราวว่าดาบเทวะได้ถอนกองกำลังกลับราชวงศ์หยูไปแล้ว

ถังเชียนจวินตรงไปยังด่านภูเขาเยี่ยน มอบเอกสารของจักรพรรดินีให้ จากนั้นก็ได้พาแม่ทัพทั้งสองและเหวินรัวซีควบมาเร็วไปทางจินหลิงของราชวงศ์หยู

ยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งกลับมาถึงซีซานที่หลินเจียง และได้รับข่าวที่ชวนตกตะลึงว่า… หยูเวิ่นหวินได้ตั้งครรภ์บุตรของเขาแล้ว !

เมื่อคำนวณเวลา ก็ครบ 3 เดือนแล้ว !

……

……

ณ เมืองหลวงแห่งราชวงศ์หยู วังเตี๋ยอี๋

ภายในวังได้จุดไฟขึ้นมาสี่กอง จึงอบอุ่นราวกับกำลังอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ

ฮ่องเต้และฮองเฮาซั่งนั่งลงตรงข้ามกับหยูเวิ่นหวิน และด้านข้างได้หมอมีหลวงท่านหนึ่งยืนอยู่ด้วยความประหม่า

ฮองเฮาซั่งยากที่จะเชื่อ นางหันไปมองหมอหลวงผู้นั้น “มิผิดแน่นะ ? ”

หมอหลวงโค้งคำนับอย่างร้อนรนและกล่าวว่า “ทูลองค์ฮองเฮา กระหม่อมได้วินิจฉัยถึงหกครา มิผิดเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ”

“อือ… เจ้าออกไปเถิด จงจำไว้ว่า หากหลุดออกไปแม้เพียงครึ่งคำ ข้าจะสั่งประหารเจ้าเก้าชั่วโคตร ! ”

“กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ ! ”

หมอหลวงได้ถอยเท้าแล้วเดินออกไป บนใบหน้าของฮองเฮาซั่งได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา “ฟู่เสี่ยวกวน บัดนี้เขาอยู่ที่ใดกัน ? ”

หยูเวิ่นหวินเงยหน้าขึ้นไปมองมารดาด้วยความขลาดเขิน และเอ่ยเสียงแผ่วว่า “เกรงว่า…เกรงว่าจะยังอยู่ที่อำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้ ณ หย่งหนิงโจว… หรือบางทีอาจกลับซีซานแล้วก็เป็นได้เพคะ”

ฮ่องเต้รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก “เขายังมีชีวิตอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เพคะ… เสียงของหยูเวิ่นหวินเบาราวกับแมลงหวี่ “เขา…เขากลับมาที่ซีซานเมื่อเดือนแปด วันที่สิบห้าเพคะ”

“ดังนั้นการจู่โจมกงเซินจ่าง การพาองค์หญิงสามกลับมาและรวมไปถึงสิ่งก่อสร้างที่อำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้ต่างก็เป็นฝีมือของเขาทั้งสิ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เพคะ หยูเวิ่นหวินพยักหน้า

ฮ่องเต้ลุกขึ้นยืน และเดินวนไปวนมาอยู่ภายในห้อง “เจ้าเด็กนี่ เขาเป็นถึงขุนนางของข้า บุตรเขยของข้า คาดมิถึงว่ากลับมาแล้วจะมิทักทายกันสักนิด ทำให้ความกังวลของข้าที่มีต่อเขามาเนิ่นนานนั้นสูญเปล่าไปเสียได้… บัดนี้ต้องรีบตามหาเขาให้พบ ! ”

หยูเวิ่นหวินเงยหน้าขึ้นมา “เสด็จพ่อเพคะ เขา…เกรงว่าเขาจะมิยินยอมปรากฏตัวต่อหน้าผู้คน”

“นี่มิใช่เพื่อให้อู๋จ้าวสามารถครองบัลลังก์ได้อย่างมั่นคง ข้าหาได้สนใจเรื่องวุ่นวายของเขาไม่ ปัญหาในตอนนี้ก็คือ ตอนนี้เจ้าได้ตั้งครรภ์แล้ว ในอีกมิช้าก็คงจะปกปิดไว้มิอยู่ หากเขายังมีความรับผิดชอบ เยี่ยงนั้นก็ต้องอภิเษกกับเจ้าอย่างสมเกียรติ ! ”

หยูเวิ่นหวินก้มหน้าลงอีกครา เกิดความขัดแย้งขึ้นมาในใจอย่างมหาศาล

เป็นบุตรของเขาที่อยู่ในครรภ์ นั่นทำให้นางดีใจเป็นอย่างมาก แต่เขาเคยกล่าวไว้แล้วว่ามิอาจปรากฏตัวได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เยี่ยงนั้นหากให้เขาประโคมเรื่องงานอภิเษกสมรสกับตนเองในเวลานี้ เขาย่อมต้องปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนอย่างเลี่ยงมิได้

แต่หากยังมิอภิเสกสมรส… ในแต่ละวันท้องก็จะยิ่งโตขึ้นเรื่อย ๆ น่ะสิ

ฮองเฮาซั่งกุมมือของหยูเวิ่นหวิน และกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “สิ่งที่เจ้าต้องทำในตอนนี้ก็คือการดูแลครรภ์อย่างสบายใจ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ปล่อยให้แม่และเสด็จพ่อของลูกจัดการเอง เดิมทีเขาเป็นถึงองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ หลบหนีไปได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น แต่ก็มิอาจหลบไปได้ชั่วชีวิต ส่วนเรื่องข่าวของเขาที่จะแพร่ไปถึงราชวงศ์อู๋นั้น ราชวงศ์อู๋ย่อมมีท่าทีตอบกลับมา เรื่องเหล่านี้ให้เขาเป็นผู้เลือกด้วยตนเองเมื่อถึงเวลาเถิด”

“ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุด คืองานอภิสมรสของพวกเจ้า ต้องจัดการโดยด่วน และต้องตามหาฟู่เสี่ยวกวนให้พบ เขาต้องมาที่จินหลิงโดยเร็วที่สุด”

…..

เรือนซีซาน

ต่งชูหลานเบะปากน้อย ๆ ด้วยจิตใจที่มิสงบเท่าใดนัก

คาดมิถึงว่าหยูเวิ่นหวินจะตั้งครรภ์แล้ว !

แต่ท้องของตนกลับมิมีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย !

ฟู่เสี่ยวกวนกุมมือของต่งชูหลานและดึงขึ้นมาเป่าลมให้ความอบอุ่นอยู่ชั่วครู่ และกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เป็นเรื่องที่มิช้าก็เร็วต้องเกิดขึ้น เหตุใดต้องกังวลใจไปกัน”

“ตอนนี้เจ้าวางแผนจะทำเยี่ยงไรต่อไป ? ”

“การอภิเสกสมรสคือเรื่องที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต ข้าย่อมตบแต่งพวกเจ้าเข้าตระกูลให้สมเกียรติอย่างแน่นอนอยู่แล้ว”

“แต่ถ้าทำเช่นนี้ ทางราชวงศ์อู๋ก็จะทราบข่าวที่ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่”

“มิเป็นไร เมื่อเทียบกับการอภิเสกสมรสพวกเจ้ามาเป็นภรรยาแล้ว มันก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”

“หากราชวงศ์อู๋ต้องการให้เจ้ากลับไปเป็นจักรพรรดิเล่า… ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปสองอึดใจ “หากเป็นเยี่ยงนั้นจริง ก็ผลัดวันไปเสียก่อน การนำร่องของราชวงศ์หยูในตอนนี้เพิ่งเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น ปีหน้าจะต้องดำเนินการกันทั้งแคว้น นี่คือจุดสำคัญจุดหนึ่ง จะสำเร็จหรือล้มเหลวก็ต้องดูกันพรุ่งนี้แล้ว”

“ราชวงศ์หยูก็เป็นบ้านเกิดของข้าเช่นกัน จะทำอะไรส่งเดชแล้วสะบัดก้นเดินหนีไปได้เยี่ยงไร ยังมิต้องไปคิดถึงเรื่องเหล่านั้นในตอนนี้ ต้องจัดการเรื่องงานอภิเสกสมรสให้เสร็จดีเสียก่อน นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดของพวกเรา”

ต่งชูหลานแย้มยิ้ม “เยี่ยงนั้นจะกลับเมืองหลวงเมื่อใด ? ”

“เจ้าเก็บของเถอะ ข้าขอวางแผนอีกสักเล็กน้อยก่อนจะออกเดินทาง”

“ได้”

ต่งชูหลานเดินขึ้นไปบนชั้นสองอย่างอารมณ์ดี ฟู่เสี่ยวกวนเรียกชุนซิ่วให้มาหา ชุนซิ่วตกใจเสียยกใหญ่ “คุณชายหรือเจ้าคะ ? ”

“อือ”

“คุณชายยังมีชีวิตอยู่หรือเจ้าคะ ? ”

“…ข้าย่อมต้องมีชีวิตอยู่สิ ! ”

“ฟู่ว… ชุนซิ่วตื่นเต้นเป็นอย่างมาก คุณชายยังมิสิ้น จวนฟู่ก็ย่อมมิล่มสลายไปโดยปริยาย !

มิใช่ จวนฟู่มิได้เกี่ยวข้องอันใด ขอเพียงแค่คุณชายยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปเท่านั้น !

“ซิ่วเอ๋อร์”

“เจ้าคะ ? ”

“เจ้าคิดถึงข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ย่อมต้องคิดถึงเจ้าค่ะ”

ฟู่เสี่ยวกวนถือพู่กันและเขียนจดหมายอยู่หลายฉบับ

“คุณชายจะแต่งงานแล้ว”

“…บ่าวยินดีกับคุณชายด้วยเจ้าค่ะ”

“เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะให้อั่งเปาซองใหญ่ ๆ แก่ซิ่วเอ๋อร์ ! ”

“…บ่าว ขอบพระคุณคุณชายยิ่ง”

“ขอบคุณอันใดกัน… ฟู่เสี่ยวกวนเขียนจดหมายเสร็จแล้ว

“ฉบับนี้ เจ้าจงส่งคนนำไปให้เฟิ๋งหล่าวซื่อที่ภูเขาเฟิ่งหลิน”

“ฉบับนี้ ให้ถังหลินของโรงกระเบื้อง”

“ฉบับนี้มอบให้กับหวางเอ้อ… ส่วนฉบับนี้ให้กับฉินเฉิงเย่… นอกจากนั้นเทียบเชิญอาจารย์ฉิน ไม่…ส่วนของอาจารย์ฉิน ข้าจะไปด้วยตนเอง เจ้าไปก่อนเถิด”

ชุนซิ่วรับจดหมายเหล่านั้นมาแต่ยังมิได้เดินออกไป นางเอ่ยถามเสียงแผ่ว “คุณชายจะแต่งงานแล้ว… แต่นายท่านก็ยังมิกลับมา บ่าวต้องติดตามคุณชายไปยังจินหลิงด้วยหรือไม่เจ้าคะ ? ”

“ซิ่วเอ๋อร์เอ๋ย เจ้าคือคนที่อยู่เคียงข้างข้า หากข้าและนายหญิงน้อยไปแล้ว ที่ซีซานแห่งนี้ ก็จะมิมีผู้ใดคอยดูแล”

“เจ้าค่ะ… บ่าวทราบแล้ว”

ชุนซิ่วเดินออกไป รู้สึกทุกข์ระทมในใจอยู่เล็กน้อย เป็นงานมงคลของคุณชายแท้ ๆ ข้าเป็นอันใดไปกัน ?

 

ตอนที่ 428 รวมอำนาจ

พระราชวังที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ ณ ท้องพระโรงอี้เจิ้งที่สูงตระหง่าน

ท่าป๋าเฟิงจักรพรรดิ์แห่งแคว้นฮวงได้ประทับอยู่บนบัลลังก์มังกร ซ้ายขวามีอ๋องทั้งแปดนั่งขนาบข้าง พวกเขาทั้งแปดนั้นเป็นผู้นำเผ่าต่าง ๆ นั่นเอง ซึ่งมีพื้นที่ปกครองและทหารเป็นของตนเอง

ส่วนผู้ที่ยืนอยู่ด้านล่างของพวกเขานั้นเป็นขุนนางทั้งบู๊และบุ๋นของแคว้นฮวงกว่าร้อยชีวิต

บัดนี้ที่ท้องพระโรงอี้เจิ้งได้เงียบสงัด

สีหน้าของท่าป๋าเฟิงนั้นมืดมนดุจเมฆดำที่ลอยปกคลุมอยู่ด้านนอก

สายตาของเขามองไปยังใบหน้าของขุนนางทุกคนที่อยู่ในท้องพระโรงแห่งนี้ จากนั้นก็หยุดลงที่มุมหนึ่งของท้องพระโรง เขาเผยอยิ้มออกมาด้วยท่าทางเย้ยหยัน

นับตั้งแต่วันที่หารือกับเสด็จลุงเรื่องการอภิเษกกับองค์หญิงสามแห่งราชวงศ์หยู และใช้ข้ออ้างนี้ในการแบ่งแยกเผ่าต่าง ๆ บัดนี้ผ่านไปได้ 1 ปีแล้ว

เนื่องจากถูกฟู่เสี่ยวกวนก่อกวน จึงเสียเวลาไป 1 ปีเต็ม ๆ อีกทั้งยังเสียแรงเสียเวลาในการก่อสร้างพระราชวังแห่งนี้

แต่ทว่าเจ้าฟู่เสี่ยวกวนนั่นกลับไปฝึกทหารดาบเทวะขึ้นมา เพียงแค่ 4,000 นายก็สามารถทำลายล้างทหารได้ถึง 50,000 นาย ! จึงทำให้แคว้นฮวงตกอยู่ในสถานการณ์อลหม่านเยี่ยงนี้

เดิมทีคิดว่าจะจับพวกเขาไว้ในแคว้นฮวง แต่คาดมิถึงว่าเมื่อคืนนี้พวกเขากลับเข้าโจมตีขบวนส่งเสด็จ เข่นฆ่าทหารของแคว้นฮวงไปกว่าหมื่นนาย อีกทั้งยังฆ่าเสด็จลุงของเขา ท่าป๋าชิว อีกด้วย !

บัดนี้พวกมันได้ถอยทัพกลับไปยังด่านเยี่ยนซาน และได้ทิ้งจดหมายเอาไว้หนึ่งฉบับ แท้ที่จริงมันมิควรถูกเรียกว่าจดหมาย แต่ควรเรียกว่าหนังสือข่มขู่ต่างหาก

“หากเจ้ายังมิสงบเสงี่ยม ข้าจะทำให้เจ้าอยู่อย่างมิสงบไปอีกตลอดกาล ! ”

นี่คือสาเหตุที่ดาบเทวะจี้หัวเขาอยู่ !

เขาหยิบปืนคาบศิลาออกมาจากเสื้อ แล้วลูบมันไปมาในมือก่อนจะเอ่ยว่า

“การประชุมในวันนี้ มีเพียงหัวข้อเดียว”

“ข้าขึ้นครองราชย์มาได้กว่าห้าปีแล้ว ระบบอำนาจต่าง ๆ ข้าต้องการเปลี่ยนเแปลง”

“ข้าคิดว่า ในบัดนี้อำนาจของแคว้นฮวงนั้นกระจายมากจนเกินไป แม้ว่าแคว้นฮวงจะมีทหารกว่า 600,000 นาย แต่ที่จริงในมือข้านั้นมีทหารที่ใช้ได้เพียงแค่ 200,000 นายเท่านั้น”

“ส่วนที่เหลืออีก 400,000 นายอยู่ในกำมือของเสด็จลุงทั้งหลาย หากข้าต้องการทหาร จะต้องหารือกับเสด็จลุงเสียก่อน ใต้หล้านี้ อย่าว่าแต่อีก 3 แคว้น แม้แต่จักรพรรดิของแคว้นเล็ก ๆ คาดว่าก็มิมีผู้ใดน่าอดสูเท่าข้าแล้ว ดังนั้น…”

เขาเงยหน้าขึ้นยกยิ้มด้วยความจริงใจก่อนจะมองไปยังเสด็จลุงท่านหนึ่งทางด้านซ้ายแล้วเอ่ยว่า “เสด็จลุงพื้นที่ในการดูแลของท่านนั้นใหญ่ที่สุด จึงมีทหารมากที่สุดเช่นกัน ท่านควรจะกล่าวบางสิ่งหรือไม่ ? ”

ท่าป๋าหานขมวดคิ้ว “ฝ่าบาท การประชุมในวันนี้ควรจะเป็นการวางแผนว่า ทำเยี่ยงไรจึงจะสามารถเอาชนะราชวงศ์หยูได้ ! ”

ท่าป๋าเฟิงหัวเราะแล้วส่ายหัว “กองกำลัง 4,000 นาย แทรกตัวเข้ามายังแคว้นฮวงของข้า มิเพียงแต่มิอาจจับพวกมันไว้ได้เท่านั้น พวกมันยังฆ่าทหารของพวกเราไปนับหมื่น จะเอาชนะได้เยี่ยงไร ? แน่นอนว่าข้าจะต้องจัดการกับราชวงศ์หยู แต่ก่อนหน้านั้น ข้าขอเอ่ยถามพวกท่านทั้งหลายว่า พระราชวังนี้สุขสบายยิ่ง เสด็จลุงทั้งหลายมิจำเป็นต้องปวดหัวกับเรื่องการเมืองอีก และพำนักอยู่ที่นี่ในยามชรา เป็นเยี่ยงไร ? ”

ท่าป๋าหานเบิกตากว้าง “ฝ่าบาท นโยบายต่าง ๆ ได้กำหนดไว้ตั้งแต่ก่อตั้งแคว้นฮวงแล้ว ! ”

“หาใช่ไม่ นโยบายเหล่านั้นใช้มิเป็นผลแล้ว สองร้อยปีมานี้ราชวงศ์หยูให้ความสำคัญกับการเกษตร แต่บัดนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นการเกษตรและการค้าเท่าเทียมกัน นโยบายของแคว้นฮวงก็ควรจะปรับเปลี่ยนได้แล้ว”

เมื่อกล่าวจบ สีหน้าของท่าป๋าเฟิงก็เยือกเย็นขึ้นมาทันพลัน เขาจ้องไปยังท่าป๋าหานแล้วกล่าวว่า “ข้าขอถามท่านอีกคราว่า อำนาจทางทหารนี้ ท่านจะส่งมอบให้กับข้าหรือไม่ ? ”

“หากข้ามิมอบ เจ้าจะทำอันใดกับข้าได้ ? ”

ท่าป๋าเฟิงเลิกคิ้วแล้วหยิบปืนออกมา “ปัง… ! ”

เสียงปืนดังสนั่นลั่นท้องพระโรง ทุกคนต่างตื่นตกใจขึ้นทันพลัน พวกเขาเห็นท่าป๋าหานยกมือขึ้นกุมอกแล้วล้มตึงลงกับพื้นเสียงดัง

ท่าป๋าเฟิงเป่าเขม่าควันแล้วบรรจุกระสุนเข้าไปใหม่อีกครา ใบหน้าของเขาเผยถึงความหยิ่งผยอง จากนั้นมองไปยังเสด็จลุงคนที่สอง “เห้อ เสด็จลุงใหญ่มิอยู่เสียแล้ว เสด็จลุงรองเล่า ท่านคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”

“ท่าป๋าเฟิง เจ้าคิดจะทำอันใด…”

“ปัง… ! ”

เสียงปืนดังขึ้นอีกหนึ่งครา ระหว่างคิ้วของท่าป๋าเหยียนปรากฏรอยกระสุนเป็นรูโหว่ เขายกมือขึ้นชี้ท่าป๋าเฟิงแล้วล้มลงกับพื้นทันที โดยที่ยังมิทันได้เอ่ยอันใดด้วยซ้ำ

ปืนสองนัด ส่งเสด็จลุงสองคนไปสู่สวรรค์

ขุนนางทั้งบู๋และบุ๋นต่างก็พากันเบิกตากว้าง แทบจะมิมีผู้ใดกล้าหายใจออกมา

ท่าป๋าอ้าว เสด็จลุงหกลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ท่าป๋าเฟิง เจ้าบ้าไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ข้าขอประกาศคัดค้านการกระทำของท่าป๋าเฟิง ! ”

ท่าป๋าเฟิงทำท่าทางใส่กระสุนลูกใหม่อย่างมิสนใจ เขาหรี่ตามองดูท่าป๋าอ้าว “ย่อมได้ เริ่มบัดนี้เลย ยกมือเป็นการตัดสิน”

น้ำเสียงของเขาเยือกเย็น “ข้าอยากจะเห็นจริง ๆ ว่าเสด็จลุงท่านใดกันที่มีข้อขัดแย้งกับหลาน ผู้ที่คัดค้านตอนข้าขึ้นเป็นจักรพรรดิ อย่าได้เขินอาย ยกมือขึ้นเถิด”

เสด็จลุงแปดยกมือขึ้น แต่ทว่ามือนั้นยังมิทันได้ยกขึ้นมาจนสุด ก็ได้มีดาบจากทางด้านหลังฟันเข้าที่แขนของเขาจนขาด

เขาร้องออกมาเสียงหลงเหมือนหมูถูกเชือดออกมา ท่าป๋าเฟิงขมวดคิ้วแล้วโบกมือ “น่ารำคาญเสียจริง ลากตัวไปหั่นข้างนอก ! ”

“เจ้า… !  ท่าป๋าอ้าวเดือดดาลจนถึงขีดสุด “เจ้ากำลังทำลายชะตากรรมของแคว้น ! ”

“การยกมือนั้นเป็นสิทธิ์ของพวกท่าน สังหารคนเป็นสิทธิ์ของข้า ขอเอ่ยกับเสด็จลุงทั้งหลายตามตรงว่า ข้าอยากจะฆ่าพวกท่านมานานแล้ว เเต่ก่อนที่ราชครูยังมีชีวิตอยู่ เขาคอยตักเตือนข้าให้คิดให้ดี”

“ข้านั้นเห็นแก่หน้าของท่านราชครู เดิมจึงคิดจะวางแผนมองการณ์ไกล แต่บัดนี้เล่า ? ท่านราชครูสิ้นแล้ว ราชวงศ์หยูก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ และยังมีกองกำลังดาบเทวะอยู่อีก ! ”

ท่าป๋าเฟิงลุกขึ้นยืน ในมือของเขาถือปืนอยู่ “พวกโง่เง่าทั้งหลาย เข้าใจความหมายของข้าแล้วหรือไม่ ? ”

เขาจับไปที่ปืนคาบศิลาแล้วชี้ไปยังเสด็จลุงที่เหลืออยู่ทั้งหกคน ทำให้พวกเขาทั้งหกต่างก็อกสั่นขวัญแขวน

“นี่หมายถึงว่ากองทัพทหารที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ อาวุธที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ราชวงศ์หยูสามารถผลิตออกมาได้มากมายมิขาดสาย ! ”

“กองกำลังเพียงแค่ 4,000 นาย สามารถบุกเข้ามายังแคว้นฮวงและทำลายทุ่งเลี้ยงสัตว์ไปถึง 6 แห่ง เข่นฆ่าทหารชาวฮวงไปกว่า 60,000 นาย ! ”

“พวกเขาพาตัวองค์หญิงสามกลับไป แต่ข้ามิอาจทำได้แม้แต่ตามไป เพราะเหตุใดรู้หรือไม่ ? ”

เขานำกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาแล้วตบลงไปที่โต๊ะมังกร “ปึง ! ”

“เนื่องจากผู้นำของกองกำลังดาบเทวะเขียนจดหมายข่มขู่ข้าไว้ 1 ฉบับ ! ”

ท่าป๋าเฟิงบัดนี้เต็มไปด้วยโทสะ สายตาดุดันจ้องมองไปยังขุนนางทั้งหลายแล้วตะคอกออกมาเสียงดังว่า “พวกมันข่มขู่ข้า ! พวกเจ้ารู้หรือไม่ ! พวกเจ้าเคยรับรู้บ้างหรือไม่ ? ”

“นี่คือการดูถูกที่ข้ามิอาจรับได้ และเจ็บปวดที่สุดในชีวิตนี้ ! ”

ขุนนางน้อยใหญ่ต่างก็พากันก้มหน้าลง บัดนี้เสด็จลุงทั้งหกที่ยังมีชีวิตอยู่ต่างก็พากันตกตะลึง

“เจ้าโง่ทั้งหลาย ราชวงศ์หยูได้เปลี่ยนเเปลงนโยบายในทางเหนือแล้ว บัดนี้ผิงหลิงและชวูอี้กำลังเร่งสร้างสิ่งปลูกสร้าง คาดว่าอีกมิถึง 1 ปี หย่งหนิงโจวที่เคยยากจนข้นแค้นก็จะแปรเปลี่ยนไปจากเดิม”

“เวลา 1 ปี กองกำลังดาบเทวะจะเพิ่มขึ้นอีกจำนวนเท่าใด ? ปืนนี้จะเพิ่มจำนวนขึ้นอีกเท่าใด ? ”

“พวกเจ้าทั้งหลายใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย อีกทั้งยังคิดจะเปิดประตูด่านเยี่ยนซาน ยังอยากจะครอบครองพื้นที่ราชวงศ์หยู… พวกเจ้าฝันกลางวันกันอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ! ”

“แคว้นฮวงกำลังจะสิ้นอยู่แล้ว พวกเจ้ายังบังอาจมาเป็นมารรัดแขนรัดขาของข้าอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“ข้าขอเอ่ยถามพวกเจ้าอีกคราหนึ่ง เสด็จลุงทั้งหก พวกท่านพักผ่อนอยู่ที่นี่ดีหรือไม่ ? ”

 

ตอนที่ 427 รังแก

“ศัตรูโจมตี ศัตรูโจมตี ! ”

“อารักขาองค์หญิงเอาไว้ ! ”

ค่ายเกิดความโกลาหลทันพลัน เซวียผิงกุยเรียกรวมราชองครักษ์ห้าร้อยนายมาอารักขากระโจมขององค์หญิงในทันที

แต่ในขณะนั้นเองก็ได้มีนางในผู้หนึ่งเดินออกมาจากกระโจมขององค์หญิง นางมองไปรอบด้าน และเดินตรงไปทางด้านหลังของค่าย

นางเดินเข้าไปในกระโจมหลังหนึ่ง และพบเห็นไป๋ยู่เหลียนที่กำลังขัดดาบยาวอยู่พอดิบพอดี

“คนของพวกเรามาแล้วใช่หรือไม่ ? ”

“องค์หญิงทรงรออยู่ที่นี่เถิด อีกประเดี๋ยวกระหม่อมจะกลับมา”

“แต่ทหารม้าของชาวฮวงก็มากันเป็นจำนวนมาก”

ไป๋ยู่เหลียนแสยะยิ้ม “องค์หญิงมิต้องกังวล ทหารม้าเพียง 10,000 นาย จะถูกสังหารในคราวเดียว”

“จะเป็นอันตรายหรือไม่ ?  หยูชิงหลานเอ่ยถามด้วยความกังวลเป็นอย่างยิ่ง

“องค์หญิงโปรดวางพระทัย อีกราว…1 ชั่วยาม พวกเราจะออกเดินทางยามราตรี และกลับไปยังราชวงศ์หยู ! ”

หยูชิงหลานพยักหน้า “ท่านแม่ทัพโปรดรักษาชีพด้วย ! ”

ไป๋ยู่เหลียนถือดาบยาวเดินออกไปจากค่าย และหยิบลูกศรออกมาจากในอกหนึ่งด้าม หยิบตะบันไฟขึ้นมาจุดไฟ ลูกศรลอยขึ้นไปกลางอากาศ แล้วระเบิดออก ส่องสะท้อนหิมะที่ขาวโพลนจนกลายเป็นสีแดงไปชั่วขณะ

ในขณะนั้นท่าป๋าชิวและท่าป๋ายวนก็ได้เดินออกมาจากกระโจมพอดิบพอดี พวกเขาได้เห็นพลุสีแดงเบ่งบานอยู่กลางอากาศ

ท่าป๋าชิวขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครา นี่มิใช่สัญญาณของชาวฮวง เยี่ยงนั้นแล้วเป็นผู้ใดกันที่ส่งสัญญาณ ?

สัญญาณมีความหมายว่าเยี่ยงไรกัน ?

หัวใจของเขาบีบรัดขึ้นมาทันพลัน “กับดัก ! ”

ดาบเทวะมากันเพียง 2,000 นายเท่านั้น เยี่ยงนั้นอีกพันกว่าคนเล่า ?

สายตาของเขามองไปด้านหน้า เบื้องหน้านั้นมืดมิดราวกับสีของน้ำหมึก แต่เขากลับเห็นกลุ่มทหารม้าสีดำสนิทกลุ่มหนึ่งทะยานออกมาท่ามกลางราตรีที่มืดมิดนั้น

ในยามที่ทหารม้ากลุ่มนี้ใกล้เข้าถึงตัวค่ายก็ได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งไล่ตามทหารม้าชาวฮวง ส่วนอีกหนึ่งกลุ่มกลับปรี่ตรงไปทางค่าย

“ศัตรูโจมตี ! ผู้คุ้มกัน สกัดพวกเขาเอาไว้ ! ”

ท่าป๋าชิวกู่ร้องเสียงดัง ในตอนที่กำลังหันหลังกลับไปทางกระโจม ท่ามกลางแสงไฟก็ได้พบเห็นคนผู้หนึ่งถือดาบยาวกำลังปรี่เข้ามาทางเขา

“หนี !  ท่าป๋าชิวตวาดใส่ท่าป๋ายวนเสียงแผ่ว พร้อมกับชักกระบี่ที่อยู่ข้างกายออกมา และชี้ไปทางไป๋ยู่เหลียน

“เจ้า ไป๋ยู่เหลียน ผู้นำกองกำลังดาบเทวะ ! ”

ระยะห่างระหว่างไป๋ยู่เหลียนและท่าป๋าชิวยังเหลืออยู่อีกราว 6 จั้ง ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมา “ตาเฒ่านี่ คาดมิถึงว่าจะเดานามของแม่ทัพผู้นี้ได้ สมควรตายอย่างแท้จริง ! ”

จากนั้นท่าป๋าชิวก็เห็นไป๋ยู่เหลียนยกมือขวาขึ้นมาทันใด เขาตื่นตระหนกขึ้นมาอีกครา ในตอนที่กำลังจะไปหลบซ่อนในกระโจม เขากลับเห็นมือขวาของไป๋ยู่เหลียนสว่างวาบขึ้นมา ต่อจากนั้นก็ได้ยินเสียงดัง “ปัง… ! ”

ท่าป๋ายวนหันกลับไปมองด้วยความตกใจ พบเห็นกระบี่ยาวในมือของบิดาตกลงไปกระทบกับพื้นเสียงดัง “ชริ้ง… !  หลังจากนั้นร่างของบิดาก็ล้มลงไปกับพื้นเสียงดัง “ตึง ! ”

เป็นศาสตราเทพเยี่ยงนั้นหรือ !

ท่าป๋ายวนสติหลุดลอยไปชั่วครู่ เขาหันหลังกลับแล้วออกตัววิ่งทันที ไป๋ยู่เหลียนที่ไม่เร่งรีบก็ได้ใส่ลูกกระสุนเสร็จแล้ว จึงลั่นไกอีกครา ท่าป๋ายวนล้มลงไปกับพื้น และแน่นิ่งไปในที่สุด

ไป๋ยู่เหลียนยักไหล่ ของสิ่งนี้ถือเป็นการรังแกผู้อื่นมากเกินไปแล้ว

สนามรบที่ห่างออกไปแทบจะเริ่มเกือบพร้อมกัน “ปังปังปัง… !  ท่ามกลางเสียงปืนที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง กองกำลังดาบเทวะก็ได้ขนาบหน้าขนาบหลังเข้ามา ความเร็วของทหารม้านับหมื่นของแคว้นฮวงถูกตัดออกไปอย่างรวดเร็ว

ด้วยชื่อเสียงลือนามของกองกำลังดาบเทวะ ได้ทำให้ทหารม้าชาวฮวงอกสั่นขวัญแขวนเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินชื่อนี้

เสียงปืนที่ดังขึ้น ราวกับเวทมนตร์อย่างหนึ่ง ม้าศึกที่พวกเขานั่งอยู่ได้สูญเสียชีพไปแล้ว ทหารม้าที่อยู่บนหลังม้าศึกได้สูญเสียกำลังใจในการรบไปทันพลัน

จะสู้เยี่ยงไรเล่า ?

ยิงธนูก็ยิงมิทะลุเกราะ ดาบในมือก็เข้ามิถึงร่างของอีกฝ่าย

แต่ของที่อยู่ในมือของฝ่ายตรงข้ามกลับคร่าชีวิตเขาได้แม้จะอยู่ห่างออกไปถึง 60 จั้ง !

ดังนั้นในพื้นที่รกร้างตอนนี้ แทนที่จะกล่าวว่าทหารม้าชาวฮวงกำลังไล่ตามทหารม้าของดาบเทวะ แต่บัดนี้ต้องกล่าวว่าทหารม้าชาวฮวงคอยหลบซ่อนจากทหารม้าของดาบเทวะเสียจะดีกว่า

สู้มิได้เลยแม้แต่น้อย !

คนเยอะก็มิมีประโยชน์ มือของฝ่ายตรงข้ามมีอาวุธสังหารที่ทรงพลัง มิทราบเช่นกันว่าคือสิ่งใด โยนมันเข้าไปในกลุ่มคนที่ห่างออกไป หลังจากนั้นก็ได้เกิดเสียงระเบิดขึ้น และได้คร่าชีวิตของผู้คนในบริเวณไปจนหมดสิ้น แม้แต่สภาพศพก็มองดูมิได้

ดังนั้นกองกำลังดาบเทวะในตอนนี้ ในใจของทหารม้าชาวฮวง พวกเขาคือเทพแห่งความตาย

สนามรบแห่งนี้จบลงภายในครึ่งชั่วยาม นั่นก็เพราะดาบเทวะได้ไล่สังหารทหารม้าชาวฮวงที่หลบหนีไป

ในตอนที่ดาบเทวะรวมตัวกันแล้วกลับมาอีกครา ผู้คุ้มกันชาวฮวงทั้งหมดในค่ายก็ได้ถูกดาบเทวะ 500 คนสังหารเสียจนหมดสิ้นแล้ว

เซวียผิงกุยจ้องมองด้วยความตกใจถึงขีดสุด ด้วยอาวุธของคนเหล่านี้ เขาก็ทราบได้ว่านี่คือกองกำลังดาบเทวะที่เคยได้ยินข่าวลือมาเมื่อช่วงก่อน

แต่กองกำลังดาบเทวะคือกองทัพของราชวงศ์หยู เหตุใดพวกเขาต้องมาปล้นขบวนส่งตัวขององค์หญิงสามแห่งราชวงศ์หยูด้วยกัน ?

เกิดความสงสัยเช่นเดียวกันนี้ในหัวของขุนนางราชวงศ์หยูที่มากับขบวนส่งตัว เสนาบดีกรมพิธีการสวี่หวยซู่วิ่งออกมาจากกระโจมด้วยความตื่นตระหนก ยื่นนิ้วมือที่สั่นสะท้านและชี้ไปทางกองกำลังดาบเทวะที่ยืนอยู่

“พวกเจ้า พวกเจ้าเป็นกบฏ โทษคือประหารเก้าชั่วโคตร ! ”

มิมีผู้ใดสนใจเขา…

ไป๋ยู่เหลียนถือดาบยาวเดินตรงเข้าไป “เจ้าคือผู้รับผิดชอบขบวนส่งตัวนี้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เป็นข้า แล้วพวกเจ้าเป็นผู้ใดกัน ? แม่ทัพเซวีย ข้าขอสั่งให้เจ้าสังหารกบฏนี่เสีย ! ”

เซวียผิงกุยรู้สึกไม่ดีไปทั่วร่างขึ้นมาทันพลัน นี่มันดาบเทวะ ! ที่ฝ่าบาททรงลงพู่กันสดุดีว่าเป็นกองกำลังที่คอยปกป้องแคว้นด้วยพระองค์เองเลยนี่

เจ้าบอกมาสิว่าจะให้ข้าลงมือเยี่ยงไร ?

หรือต่อให้ลงมือก็มิมีทางชนะอยู่ดี !

ไป๋ยู่เหลียนคิ้วขมวดเล็กน้อย “ตอนนี้ข้าขอประกาศว่าเจ้ามิใช่ผู้รับผิดชอบอีกต่อไป แต่เป็นข้า ดังนั้นทุกคนจงฟังคำสั่งจากข้า ! ”

“ถอยทัพ ! กลับแคว้น ! ”

มิมีผู้ใดกล้าขยับ เพราะเซวียผิงกุยและสวี่หวยซู่ได้รับราชโองการให้ส่งองค์หญิงสามไปจนถึงเมืองหลวงของแคว้นฮวง แต่เทพเจ้าแห่งความตายไป๋ยู่เหลียนกลับสังหารคณะทูตต้อนรับของแคว้นฮวงจนสิ้น แล้วยังมาประกาศว่าต้องกลับแคว้นอีกด้วย

ทุกคนย่อมดีใจที่จะได้กลับแคว้น แต่เจ้าต้องเอาราชโองการลับของฝ่าบาทออกมาด้วยสิ !

ไป๋ยู่เหลียนมีราชโองการลับกับผีสิ เขาเองก็ฟังที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวมาอีกที

ในตอนนั้นเอง องค์หญิงสามหยูชิงหลานที่สวมชุดนางในก็ได้เดินเข้ามา นางกล่าวขึ้นมาว่า “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าต้องฟังคำสั่งจากแม่ทัพไป๋ ! ”

พิธีสมรสที่เดิมทีเต็มไปด้วยความอันตรายอยู่หมื่นส่วน คาดมิถึงว่าจะจบลงง่ายดายเยี่ยงนี้ !

องค์หญิงสามที่นั่งอยู่ในราชรถราวกับกำลังตกอยู่ในความฝันก็มิปาน

ในตอนแรก นางคิดว่าตนเองจะต้องอยู่ที่แคว้นฮวงแห่งนี้ไปชั่วชีวิตเสียแล้ว

และหลังจากที่ฮั่วหวยจิ่นถูกย้ายมารับตำแหน่งผู้บัญชาการทหารรักษาพระองค์ที่เมืองหลวง ก็ได้บอกกับนางว่าฟู่เสี่ยวกวนจะพานางกลับมาอย่างปลอดภัย

นางได้เกิดความหวังขึ้นมาในยามที่สิ้นหวัง ต่อจากนั้นก็ได้มีข่าวร้ายของราชวงศ์อู๋ที่ว่าฟู่เสี่ยวกวนสิ้นแล้ว นั่นทำให้ความหวังของนางแตกสลายลงไปอีกครา

แต่ฮั่วหวยจิ่นกล่าวว่ากองกำลังดาบเทวะคือสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนหล่อหลอมขึ้นมา เยี่ยงนั้นการเดินทางในครานี้ ฟู่เสี่ยวกวนจะต้องมีการวางแผนไว้แล้วเป็นแน่

ผลสุดท้าย ถึงแม้จะมิพบไป๋ยู่เหลียนที่ผิงหลิง แต่สุดท้ายก็ได้พบเจอแม่ทัพผู้นี้ที่จวนแม่ทัพใหญ่ ณ เมืองซินเฉิง

การต่อสู้ในคืนนี้เดิมทีคิดว่าคงจะน่าเวทนาเป็นแน่ แต่คาดมิถึงว่ากองกำลังดาบเทวะจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ !

เพียงแค่ครึ่งชั่วยาม ทหารม้าชาวฮวง 10,000 นายก็ได้ตกตายไปจนหมดสิ้น และตอนนี้ที่กำลังเดินทางกลับพระราชวัง ในยามที่ฟ้าสว่างขึ้นมา คาดว่าน่าจะกลับไปถึงด่านภูเขาเยี่ยนแล้ว

การเดินทางครานี้ เป็นไปอย่างล้มลุกคลุกคลานอย่างแท้จริง

ตามแผนการเดิมแล้ว ร่างตัวแทนของนางจะตายอยู่ในสนามรบนั้น แล้วนางจะได้กลับมายังราชวงศ์หยูในฐานะนางกำนัล จากนั้นก็คงไร้ซึ่งองค์หญิงสามอีกต่อไป

ดังนั้นนางจึงเปิดหน้าต่างรถม้าออก กวักมือเรียกไป๋ยู่เหลียน และกล่าวสิ่งที่ข้องใจออกไป

ไป๋ยู่เหลียนยิ้มบาง ๆ “มิเป็นไร ชาวฮวงดูแลตนเองมิดี คงมิมีความกล้าเสนอความคิดที่ไม่บังควรนี้ต่อฝ่าบาทอีกพ่ะย่ะค่ะ”

ปากไป๋ยู่เหลียนกล่าวออกไปเยี่ยงนั้นก็จริง แต่ในใจกลับคิดว่าสุดท้ายฟู่เสี่ยวกวนก็ใจอ่อน

“เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง ทุกชีวิตต่างเท่าเทียม ต่อให้เป็นนางในผู้หนึ่ง ก็มิมีเหตุผลอันใดให้ต้องมาตกตายแทนองค์หญิง ดังนั้น… ฟู่เสี่ยวกวนในตอนนั้นได้สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “ดังนั้น มิจำเป็นต้องใช้แผนการร้ายแล้ว เยี่ยงไรแล้วชาวฮวงก็สู้พวกเรามิได้ ให้นางมีชีวิตต่อไปเถอะ ให้องค์หญิงสามได้กลับแคว้นไปอย่างเจิดจรัสเถอะ”

สิ่งที่เรียกว่าแผนการร้าย คือฟู่เสี่ยวกวนได้เคยวางแผนไว้ให้กองกำลังดาบเทวะแต่งกายเป็นชาวฮวงแล้วปล้นขบวนส่งตัวขององค์หญิง ตัวแทนขององค์หญิงจะตายในสนามรบ และหลังจากที่กองกำลังดาบเทวะได้ลงมือแล้วจากไป ก็จะโยนเรื่องให้เป็นฝีมือของชาวฮวง

จากนั้นกองทัพชายแดนเหนือของเผิงเฉิงอู่ก็จะออกจากด่านและตรงขึ้นเหนือไปทันที ดาบเทวะส่วนหนึ่งจะยังทำการปล้นในเขตของแคว้นฮวงต่อไป แล้วอีกส่วนหนึ่งจะกลับไปยังแคว้นเพื่อนำเสบียงและอาวุธมาเพิ่ม

เมื่อกองทัพชายแดนเหนือเผชิญหน้ากับศัตรู ดาบเทวะจะซุ่มโจมตีอยู่ด้านข้าง ทหารม้าชาวฮวงจะต้องพ่ายแพ้อย่างมิต้องสงสัย !

แต่เพื่อนางในผู้หนึ่ง เขากลับละทิ้งแผนการที่ล่อใจที่สุดไป

“ใต้หล้านี้มิมีความเท่าเทียมอย่างสมบูรณ์ ข้ามิสนใจการตายของชาวฮวง แต่หากนางในผู้นี้ต้องมาตกตายเพราะแผนการนี้ ท้ายที่สุดแล้วข้าก็มิอาจข้ามผ่านอุปสรรคในใจได้ ดังนั้นเสี่ยวไป๋เอ๋ย แท้จริงแล้วข้านั้นเป็นบุรุษผู้มิมีความเด็ดขาด”

ต่อจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เขียนจดหมายถึงท่าป๋าเฟิงจักรพรรดิแห่งแคว้นฮวง

เนื้อความในจดหมายมีอยู่ว่า “หากเจ้ายังมิสงบเสงี่ยม ข้าจะทำให้เจ้าอยู่อย่างมิสงบไปอีกตลอดกาล ! ”

นี่คือการข่มขู่อย่างโจ่งแจ้ง ให้ตายเถอะ นักวรรณกรรมผู้หนึ่งจะมีความสามารถถึงเพียงนี้ได้เยี่ยงไรกัน ?

เขาเป็นบุรุษที่มิเด็ดขาดเยี่ยงนั้นหรือ ?

เขาเพียงแค่กำลังรังแกผู้อื่นเท่านั้นแหละ !

 

ตอนที่ 426 โจมตีในคืนหิมะตก

เมื่อยามราตรีมาเยือน องค์หญิงสามทรงรับสั่งให้ตั้งค่ายพักท่ามกลางหิมะที่กระหน่ำเทลงมาอย่างต่อเนื่อง

การเดินทางไปยังเมืองหลวงของแคว้นฮวงในครานี้ จากแผนการและความเร็วในตอนนี้ คาดว่าจะต้องใช้เวลาอีกราวครึ่งเดือน

ท่าป๋าชิวมิได้รีบร้อนอันใด เนื่องจากแคว้นฮวงมีโจรบุกเข้ามากลุ่มหนึ่ง แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าโจรกลุ่มนั้นหาใช่โจรทั่วไปไม่ แต่คือกองกำลังดาบเทวะที่มาจากภูเขาผิงหลิง

เขาได้รับรายงานเกี่ยวกับกองกำลังทหารเหล่านี้ ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน กองทัพนี้ได้เดินทางผ่านทุ่งหญ้าหกแห่งในระยะทางเกือบพันลี้ และเข้าปล้นเมืองถึงเก้าเมือง

พวกเขาต้องการทำสิ่งใดกัน ?

ท่าป๋ายวนได้เอ่ยถามท่าป๋าชิว

ท่าป๋าชิวตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หากมองง่าย ๆ พวกเขาต้องการทำให้แคว้นฮวงวุ่นวาย”

เรื่องนี้ท่าป๋ายวนเข้าใจดี เพื่อทำลายล้างกองทัพนี้ แคว้นฮวงได้ส่งกองกำลังทหารถึง 60,000 นายเข้าล้อมจากสามทิศทาง

แต่ที่น่าเสียดายก็คือ จวบจนบัดนี้ก็ยังมิมีโอกาสจับพวกเขาได้ อีกทั้งยังสูญเสียกำลังทหารไปอีกราว 10,000 นาย

กองทัพทหารม้าทั้งหกหมื่นนายลงมือท่ามกลางหิมะที่ตกหนักเยี่ยงนี้ ต้องใช้เสบียงมากโขเสียทีเดียว แม้ว่าจะมิต้องให้กองหลังส่งเสบียงมาเพิ่ม แต่เสบียงเดิมที่กักเก็บไว้ในเมืองเปียนเฉิงก็ใกล้จะหมดลงทุกที

จากจำนวนทหารมิถึง 4,000 นาย สามารถหลบหนีทหารจำนวน 60,000 นายของแคว้นฮวงไปได้ พวกเขาได้ยึดม้าศึกไป อีกทั้งเสบียงอาหารที่จำเป็นก็ถูกพวกเขายึดเอาไปด้วย พวกทหารเหล่านี้ทำให้แคว้นฮวงเกิดความวุ่นวาย อีกทั้งยังทำให้ผู้คนที่อาศัยตามทุ่งหญ้าหวาดระแวง

“หากว่ามองให้ลึกลงไปเล่า ? ”

ท่าป๋าชิวครุ่นคิดเสียเนิ่นนาน “หากมองให้ลึกลงไป เกรงว่านี่จะเป็นการทำลายล้างแคว้นฮวง”

ท่าป๋ายวนชะงัก กองกำลังเพียงแค่ 4,000 นายจะทำลายล้างแคว้นฮวงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

เป็นไปมิได้ !

แม้ว่าแคว้นฮวงจะมีพื้นที่น้อยที่สุดในสี่แคว้นนี้ อีกทั้งประชากรก็น้อยที่สุด แต่ก็ยังมีประชากรรวมกันหลายล้านคน เพียงทหาร 4,000 นาย…เกรงว่าท่านพ่อจะคิดมากไปเอง

“หากว่าเจ้ามิเชื่อ คาดว่าองค์จักรพรรดิก็คงมิเชื่อเช่นกัน ท่าป๋าชิวดื่มสุราหนึ่งจอก ก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า “ถูกต้องแล้ว พวกเขามีเพียง 4,000 นาย นับแต่ทหารเหล่านี้เข้ามายังแคว้นฮวง ก็ได้เข่นฆ่าทหารของพวกเราไปกว่า 16,000 นาย ยังมิรวมกับทหารชั้นเลิศที่ตายในภูเขาผิงหลิงอีก 20,000 นาย”

“พวกมันปล้นม้าไปราว 10,000 ตัว เผาทำลายทุ่งเลี้ยงสัตว์ไป 6 แห่ง อาจจะดูเหมือนว่าพวกเรามิได้เสียหายอันใดมากนัก แต่เจ้าอย่าลืมว่า พวกเราฆ่าพวกมันมิได้แม้แต่คนเดียว ! ”

“ใช้การต่อสู้ในการเพิ่มความแข็งแกร่ง เดิมทีนี่คือนโยบายของแคว้นฮวง แต่บัดนี้กลับถูกเหล่ากองกำลังดาบเทวะใช้มันทำลายพวกเรา ! ”

ท่าป๋าชิวสูดหายใจเข้า น้ำเสียงของเขาดูหนักอึ้ง “มดแม้ว่าจะตัวเล็ก แต่ก็สามารถกัดช้างให้ตายได้ หากพวกเรามิสามารถทำอันใดพวกมันได้เลย ข้าขอถามเจ้าว่า หลังจากนี้อีกหนึ่งปีแคว้นเราจะมีม้าศึกใช้อยู่อีกหรือไม่ ? จะยังมีเหล่าทหารที่มากความสามารถอยู่อีกหรือ ? ”

ท่าป๋าชิวจึงได้ตระหนักว่า กองกำลังดาบเทวะมิได้ต้องการเพียงรุกเข้ามาในแคว้นเพียงเท่านั้น แต่พวกเขาต้องการม้าศึกและทำลายทุ่งเลี้ยงสัตว์ทิ้งเสีย อีกทั้งยังต้องการจัดการกับทหารที่เหลือให้หมดสิ้น เช่นนั้นแล้วแคว้นฮวงยังจะมีสิ่งใดหลงเหลืออีกกัน ?

“พวกเราทำอันใดพวกมันมิได้เลยเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“รอให้อาวุธในมือของพวกมันถูกใช้จนหมดสิ้น พวกเราจึงจะมีโอกาสโจมตีได้…เจ้าเคยพบฟู่เสี่ยวกวนมาก่อนในราชวงศ์อู๋ เขาผู้นี้เป็นคนเยี่ยงไรกันแน่ ? ”

ท่าป๋าชิวขมวดคิ้วพลางเอ่ยถามขึ้น

ท่าป๋ายวนครุ่นคิดแล้วตอบกลับไปว่า “ลูกสัมผัสถึงความเป็นทหารในตัวของเขามิได้แม้แต่น้อย แต่มีกลิ่นอายของผู้รู้หนังสืออยู่มากโข เขามีความรู้สูงส่งอย่างยิ่ง หากจะกล่าวเรื่องการวางแผน เขาเคยวางแผนจัดการกับเยียนหานยวี่ องค์ชายหกแห่งแคว้นอี๋ จนเยียนหานยวี่ต้องเสียแขนไปหนึ่งข้าง จากนั้นเยียนหานยวี่ยังคงเชิญเขาไปยังหลิวหยุนถายอีกด้วย”

“เขาผู้นี้รักในเงินทองและกามโลกีย์ เมื่อจักรพรรดิเหวินทรงประกาศว่าเขาคือองค์ชาย แม้แต่การมอบรางวัล ณ หลิวหยุนถาย เขาก็มิได้เดินทางไป แต่กลับเดินทางไปยังจวนของขันทีเกาแห่งราชวงศ์อู๋ เพื่อยึดเงินจำนวน 120,000 ตำลึง ส่วนเรื่องที่เขามักมากในโลกีย์นั้น เดิมทีขุนนางทั้งหลายวางแผนให้จัดการคัดเลือกหญิงงามให้แก่เขาในวันที่เข้าสู่พระตำหนักบูรพา…”

“การคัดเลือกหญิงงามนี้ มิเคยจัดขึ้นเป็นเวลานานกว่าสามราชวงศ์แล้ว แต่เพียงเพราะทำเพื่อเขา เกือบจะได้จัดขึ้นอีกคราหนึ่งแล้วหลังจากที่มิได้จัดมานาน”

“เขาตายไปเสียก็ดีแล้ว หากเจ้าหมอนั่นขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋เสียล่ะก็ เพียงแค่ความรู้สึกผูกพันกับราชวงศ์หยูที่มีมากว่าสิบเจ็ดปี อาจเกิดผลเสียต่อพวกเราได้”

ท่าป๋าชิวนำมือขึ้นลูบเคราแล้วพยักหน้า แต่คิ้วคู่นั้นก็ยังคงมิคลายออกจากกัน

กองกำลังดาบเทวะนี้ยังก่อตั้งมิถึงหนึ่งปีเลยด้วยซ้ำ มิว่าจะเป็นวิธีการจู่โจมหรืออาวุธต่าง ๆ ก็ล้ำเกินกว่าที่ผู้คนในยุคนี้จะทำตามได้

การฝึกฝนเช่นนี้ ฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนคิดค้นขึ้นมา ส่วนไป๋ยู่เหลียนคือผู้รับผิดชอบหลัก

เยี่ยงนี้หมายความว่าต่อให้ฟู่เสี่ยวกวนตายจากไปแล้ว แต่กองทัพทหารเหล่านี้ก็ยังสามารถเพิ่มขึ้นได้ตลอดเวลา อาวุธต่าง ๆ ของพวกเขาก็ยังคงสามารถผลิตเพิ่มได้เช่นกัน

อาวุธเหล่านั้นเขาได้ส่งไปให้ช่างผู้ชำนาญวิเคราะห์ดูแล้ว มิรู้ว่าเมื่อใดพวกเขาจะสามารถผลิตอาวุธออกมาสู้ได้

นี่จึงเป็นหินก้อนใหญ่ที่ทับอยู่กลางใจของท่าป๋าชิวเอาไว้ หากว่าราชวงศ์หยูมีทหารเช่นนี้ 10,000 นายขึ้นไป จากอาวุธและปืนใหญ่หงอี เกรงว่าประตูเมืองของแคว้นฮวงจะมิสามารถต้านทานเอาไว้ได้ !

เมื่อถึงเวลานั้นจึงจะเป็นเวลาที่แคว้นฮวงตกอยู่ในอันตรายมากที่สุด

ท่าป๋ายวนมิรู้ว่าท่าป๋าชิวกำลังกังวลถึงอนาคตในอีกสองปีข้างหน้าอยู่ เขาดื่มสุราเข้าไปหนึ่งจอกคล้ายกับกำลังจะเอ่ยบางสิ่งออกมา แต่ทว่าเขากลับลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว

ท่ามกลางหิมะที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าศึก!

ในที่แห่งนี้ถูกหิมะปกคลุมเป็นชั้นหนาพอควร หากสามารถได้ยินเสียงฝีเท้าของม้าได้ นั่นหมายความว่าทหารม้าเหล่านั้นได้เข้าใกล้มาทุกทีแล้ว

“กองกำลังดาบเทวะเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ท่าป๋าชิวเองก็ขมวดคิ้วแล้วเอียงหูฟัง ผ่านไปชั่วครู่จึงได้ยิ้มออกมาว่า “ทหารม้า 2,000 นาย มาได้จังหวะพอดี”

ในขณะนั้นเอง ค่ายที่อยู่ไม่ไกลออกไปได้มีกองทัพทหารอยู่ 10,000 นาย พวกเขามุ่งหน้าไล่ติดตามกองกำลังดาบเทวะทั้งสองพันนายเหล่านั้นไปด้วยความเร็ว

ท่าป๋ายวนตกตะลึง ท่าป๋าชิวจึงยกยิ้มแล้วกล่าวขึ้นว่า “พวกเขามาแล้ว มาเพื่อชิงตัวองค์หญิงสามกลับไปยังราชวงศ์หยู ดังนั้นข้าจึงได้จัดเตรียมทหารม้าไว้ 10,000 นายให้รออยู่ที่นี่ อีกทั้งยังมีทหารอีก 10,000 นายเพื่อหลอกล่อเสือให้เข้าถ้ำ”

“ท่านพ่อปรีชายิ่ง เพียงแต่ว่า…หากพวกเขาจะนำตัวองค์หญิงสามกลับไปยังราชวงศ์หยู จะมิทำเกินความจำเป็นไปหน่อยหรือ ? ”

“ไม่ ! ในเมื่อได้ลงนามหนังสือระหว่างแคว้นไว้แล้ว การที่พาตัวองค์หญิงเข้าสู่แคว้นฮวงคือเรื่องที่หลีกเลี่ยงมิได้ หากว่าองค์หญิงสามถูกโจรลักพาตัวไป มิเพียงแต่มิผิดต่อหนังสือสัญญาระหว่างแคว้น แต่ราชวงศ์หยูยังมีข้ออ้างได้อีกด้วย”

ท่าป๋าชิวลุกขึ้นยืนเเล้วเดินไปทางค่ายพักแรม “สงครามชายแดนตะวันออกของแคว้นฮวงย่อมพ่ายแพ้อย่างแน่นอน เมื่อมิกี่วันก่อนเจ้าเองก็ได้เห็นแผนการปลอบใจราษฎรของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว หากรอให้ราชวงศ์หยูเตรียมตัวอีกสัก 2 ปี หากว่ากองกำลังดาบเทวะยังคงบุกรุกอยู่ในแคว้นฮวงอีกสัก 2 ปี เจ้าว่าจากการโจมตีของกองทัพทหารจากราชวงศ์หยู แคว้นฮวงจะยังต่อสู้ไปได้อยู่อีกหรือไม่ ? ”

ท่าป๋ายวนตกตะลึงยิ่ง “นี่คือแผนที่ฟู่เสี่ยวกวนได้วางไว้นานแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“นอกจากเขาแล้ว ในใต้หล้านี้ยังมีผู้ใดที่สามารถวางแผนได้แยบยลถึงเพียงนี้อีก ยังมีผู้ใดอีกกัน ? ”

 

ตอนที่ 425 แผนการใหม่
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่9 เดือนสิบ วันที่สามสิบ หิมะตกหนัก ณ ด่านภูเขาเยี่ยน
ขบวนส่งตัวในเช้าวันนี้ ได้ถอนทัพออกเดินทางจากด่านภูเขาเยี่ยน เข้าไปยังด่านอันแข็งแกร่งที่ตั้งตระหง่าน และได้เดินเข้าไปในทุ่งหิมะที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ทั้งยังเป็นต่างแคว้นอีกด้วย
ทุ่งหญ้าได้ถูกพายุหิมะกลบฝังมานานแล้ว ทุ่งหิมะอันกว้างใหญ่ไร้ซึ่งผู้คน
ตามหลักการแล้ว แม่ทัพใหญ่เผิงเฉิงอู่แห่งกองทัพชายแดนเหนือได้เสนอคนให้กับคณะทูตจำนวน 1,000 คน เหตุผลเพราะการเดินทางไกลไปเมืองหลวงของแคว้นฮวง พระวรกายขององค์หญิงสามนั้นบอบบาง และเกรงว่าจะมิคุ้นชินกับอาหารระหว่างเดินทาง
คนนับพันนี้กลับมิใช่ทหารของกองทัพชายแดนเหนือ แต่เป็นช่างซ่อมที่คอยรับผิดชอบแนวหลัง ดังนั้นท้ายที่สุดแล้วท่าป๋าชิวจึงยินยอมให้เผิงเฉิงอู่ส่งคนมา 100 คน ให้คอยรับผิดชอบเรื่องปัญหาที่พักและอาหารขององค์หญิง
ไป๋ยู่เหลียนได้แฝงตัวอยู่ในกลุ่มช่างซ่อมหนึ่งพันคน และได้ปลอมตัวให้เหมือนช่างซ่อม
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ไปยังแคว้นฮวง เพราะเขาได้เปลี่ยนแปลงแผนการเดิมแล้ว เดิมทีขบวนส่งตัวจะมิมีทางไปถึงพระราชวังที่สร้างขึ้นใหม่ของประเทศฮวงและจะเดินทางกลับมา…
กำลังรบของดาบเทวะได้สูงกว่าที่เขาคาดหวังไว้มากแล้ว ในปัจจุบันนี้ได้อยู่ในอาณาเขตของแคว้นฮวง พวกเขาได้ไปปล้นสะดมทุ่งเลี้ยงสัตว์ของชาวฮวงมาหลายแห่งจนมีม้าศึกมากเพียงพอ ทั้งยังเปลี่ยนไปใส่ชุดของชาวฮวงทั้งหมด
หลังจากที่ขบวนส่งตัวได้เข้าไปในอาณาเขตของแคว้นฮวงแล้ว ดาบเทวะก็จะปรากฏตัวออกมาอีกครา ขบวนทัพจะเข้าไปปล้น พร้อมกับสังหารท่าป๋าชิวและท่าป๋ายวน หลังจากนั้นก็จะแย่งชิงองค์หญิงสามกลับมา
ส่วนเรื่องรับผิดชอบ ราชวงศ์หยูย่อมต้องซักถามความรับผิดชอบของแคว้นฮวง !
ส่วนเรื่องผลลัพธ์ ฟู่เสี่ยวกวนมิได้กังวลว่าจะก่อให้เกิดสงครามระหว่างสองแคว้นเลยแม้แต่น้อย
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้ออกไปจากเมืองซินเฉิงแล้ว เขาได้กลับมายังอำเภอผิงหลิง และเพิ่งมาถึงโรงตีเหล็กโจวจี้
หลังจากที่ได้ค้นคว้าในหลายวันที่ผ่านมา โจวเถียเจี้ยงก็ได้มีความเข้าใจเกี่ยวกับกรรมวิธีการหลอมเหล็กกล้าใหม่นี้อย่างลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
“คุณชายโปรดดู ความแข็งแกร่งของเหล็กกล้านี้ได้สูงกว่าเหล็กไปอีกขั้นแล้ว แต่ข้าน้อยคิดว่ายังคงต้องใช้เวลาในการปรับปรุงอีกมาก ในหลายวันมานี้ข้าน้อยคิดมาตลอดว่าแท้จริงแล้วปัญหาผุดมาจากที่ใด และจากที่ได้มองในวันนี้คาดว่าเป็นเพราะอุณหภูมิเตาคั่วของข้าน้อยไม่เพียงพอ จนทำให้ปริมาณสิ่งเจือปนในเหล็กหลอมที่ข้าทำออกมายังคงสูงอยู่”
“แน่นอนว่า นี่คือวัสดุหลังจากที่ได้ใช้กรรมวิธีการหลอมของคุณชาย…” โจวเถียเจี้ยงหยิบเหล็กขึ้นมาหนึ่งก้อนและส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน “ชิ้นส่วนนี้คือผลผลิตหลังจากที่เมื่อวานข้าน้อยได้ใช้กรรมวิธีการหลอมร้อยครั้ง ความแข็งแกร่งรวมไปถึงความทนทานของมันได้มาเหนือกว่าวิธีการชุบเหล็กของข้าน้อย”
ในหลายวันนี้โจวเถียเจี้ยงหมกมุ่นอยู่กับกรรมวิธีการคั่วเหล็กกล้าแบบใหม่ ฟู่เสี่ยวกวนได้ให้ตั๋วเงินจำนวน 1,000 ตำลึงกับเขามา เขาใช้ตั๋วเงินนี้ในการซื้อวัสดุจำนวนมาก และแน่นอนว่าเขาได้จ้างหมอที่ดีที่สุดมารักษาบุตรชายของเขาแล้ว
เขาได้หลอมเหล็กกล้าออกมาหนึ่งชิ้น ใช้วิธีการคั่วเหล็กกล้าที่ฟู่เสี่ยวกวนให้มา วิธีการนี้สำคัญต่อยุคสมัยนี้มากยิ่งนัก กล่าวได้ว่าในวันนี้สามารถผลิตเหล็กกล้าด้วยวิธีนี้ได้แล้ว
แต่เขาก็ยังคงรู้สึกว่าเหล็กกล้านี้ยังมิสมบูรณ์มากพอ หากสามารถพัฒนาความทนทานและความแข็งแกร่งขึ้นไปได้อีกขั้น นี่ต่างหากถึงจะเรียกได้ว่าเป็นความก้าวหน้าของยุคสมัยอย่างแท้จริง
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด ดูเหมือนว่าของสิ่งนี้จะเข้ากันได้กับเตาหลอมเหล็กทรงสูง อุณหภูมิของเตาหลอมเหล็กทรงสูงสามารถสูงได้ถึง 1,200 องศา แต่โจวเถียเจี้ยงมิสามารถออกไปจากที่นี่ได้ เช่นนั้นจะทำเยี่ยงไรดี ?
เขาหยิบเหล็กกล้าขึ้นมาดูโดยละเอียด เคาะไป เขย่าไป ดีเยี่ยม !
เมื่อมีสิ่งนี้ มิว่าจะเป็นปืนคาบศิลาหรือปืนใหญ่หงอีก็จะได้รับการปรับปรุงจนดีขึ้นไปอีกขั้น นอกจากนี้ยังพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่และอาวุธของกองกำลังดาบเทวะให้ดีได้อีกด้วย
แน่นอนว่า การประยุกต์ใช้เหล็กมีตลาดที่กว้างขวาง เพียงแต่หากผลิตสิ่งนี้ออกมาได้ ลำดับแรกจะถูกนำไปใช้กับอาวุธและอุปกรณ์สวมใส่เสียก่อน
“หากต้องการเข้าไปดูสายแร่ในภูเขาผิงหลิง ช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือยามใด ? ”
“เรียนคุณชาย ช่วงระหว่างฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนจะดีที่สุดขอรับ”
“อือ…” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า ยังคงต้องรออีกครึ่งปี การขนส่งเหล็กจากที่ซีซานมายังที่แห่งนี้ค่อนข้างลำบาก
“นำเหล็กกล้าที่หลอมร้อยครั้งชิ้นนี้ไปสร้าง…กระบี่หนึ่งเล่ม ลักษณะเป็นเยี่ยงนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบถ่านขึ้นมาและคุกเข่าลงไปวาดภาพที่พื้น โจวเถียเจี้ยงเองก็คุกเข่าลงไปดูอย่างตั้งใจ เขาไม่ได้รู้สึกประหลาดอะไรกับการกระทำหรือความคิดอันแปลกประหลาดของคุณชายผู้นี้อีกต่อไปแล้ว
คุณชายมิใช่ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปเป็นแน่ !
เขามิทราบว่านามของฟู่เสี่ยวกวนนี้โด่งดังเพียงใดในใต้หล้า เพียงแค่กรรมวิธีการคั่วเหล็กกล้าที่คุณชายเสนอมา ก็ทำให้เขาชื่นชมคุณชายเป็นอย่างมากแล้ว
“กระบี่ยาว 10 ฉื่อ เป็นเส้นตรง ทำสันด้านหลังกระบี่ ปลายกระบี่ยื่นโค้ง ใช้หนังห่อตรงด้ามกระบี่…”
ตีเหล็กมาครึ่งค่อนชีวิต ตีดาบหรือกระบี่มาก็มิน้อย แต่มิเคยพบเห็นอาวุธลักษณะนี้มาก่อน
เขาบอกว่ามันคือกระบี่ แต่มันมิมีความกว้างและส่วนโค้งเฉกเช่นกระบี่ เขาบอกว่ามันคือกระบี่ แต่ก็มิได้ถูกลับให้คมทั้งสองด้าน ดังนั้นเจ้ากระบี่ที่คุณชายท่านนี้กล่าวมานั้น จึงทำให้โจวเถียเจี้ยงดวงตาเป็นประกายขึ้นมาอีกครา
“ข้าน้อยจะลองดูขอรับ”
“มิต้องรีบ…” ฟู่เสี่ยวกวนวางถ่านลงแล้วลุกขึ้นยืน และเอ่ยถามว่า “บุตรชายของเจ้าอาการดีขึ้นแล้วหรือยัง ? ”
“ข้าน้อยต้องขอบคุณคุณชายมากยิ่งนัก บุตรชายของข้าอาการดีขึ้นมากแล้วขอรับ”
“เจ้าเตรียมจะให้เขาสืบทอดวิชาของเจ้าหรือไม่ ? ”
โจวเถียเจี้ยงครุ่นคิดไปชั่วขณะ “ข้ามีบุตรชายเพียงคนเดียวเท่านั้น วิชาการตีเหล็กของตระกูลโจวมิสามารถตัดขาดการสืบทอดได้”
“ข้ามีความคิดอย่างหนึ่งอยากให้เจ้าลองฟัง”
“คุณชายโปรดกล่าว ! ”
“ข้าเตรียมจะสร้างสำนักอาวุธแห่งหนึ่งขึ้นที่นี่ มีไว้เพื่อสร้างอาวุธ รวมไปถึงกระบี่ที่ข้าได้เอ่ยให้เจ้าฟังเมื่อครู่ แน่นอนว่ายังมีแบบอื่น ๆ อีก นี่จะมิเหมือนโรงเหล็กเล็ก ๆ ของเจ้าที่ทำเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้าต้องการสร้างขนาดใหญ่ และต้องครอบคลุมไปถึงการคั่วเหล็กกล้าและการหลอมร้อยครั้งด้วย”
“จำเป็นจะต้องใช้ช่างเหล็กจำนวนมาก ข้าสามารถส่งมอบให้เจ้าได้ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่เจ้าก็ยังต้องหาหนทางแก้ด้วยตนเอง”
“สำนักอาวุธแห่งนี้จะมอบให้เจ้าเป็นผู้ดูแลและรับผิดชอบ ส่วนเรื่องกรรมวิธีการคั่วเหล็กกล้าและการหลอมร้อยครั้ง เจ้าสามารถสอนให้แก่พวกเขาได้ การมองโลกในแง่ดีจะขัดขวางการเจริญก้าวหน้าของแคว้น แท้จริงแล้วเหล็กกล้าชนิดนี้มิได้ดีที่สุด ทั้งยังมีสิ่งที่เรียกว่าโลหะผสม ซึ่งคือการนำวัสดุที่มิเหมือนกันมาเผารวมเข้าด้วยกัน”
“ข้ามิมีเวลามาอธิบายของสิ่งนี้ให้เจ้าฟังโดยละเอียด ต้องให้เจ้าพาพวกเขาค้นคว้ากันด้วยตนเอง แน่นอนว่า การวิจัยนี้มิจำเป็นต้องมีคนจำนวนมาก สิ่งที่จำเป็นคือประสบการณ์ สิ่งสำคัญของที่นี่ยังคงเป็นการสร้างอาวุธอยู่”
“หลังจากที่ข้าเดินทาง เจ้าต้องวางแผนด้วยตนเอง หยิบยกขึ้นมาหนึ่งแผนการ หลังจากนั้นไปหาจางเช่อผู้รับผิดชอบโรงงานปูนซีเมนต์ เขาเป็นพ่อบ้านของข้า ค่าใช้จ่ายรวมไปถึงวัสดุที่เจ้าต้องการใช้ทั้งหมดในที่นี้ ให้เจ้าติดต่อกับเขาโดยตรง แต่บัญชีรายการต้องชัดเจน เจ้ามีความสามารถพอจะทำได้หรือไม่ ? ”
โจวเถียเจี้ยงตกตะลึงทันพลัน คุณชายเชื่อมั่นในตัวเขา !
คุณชายได้มอบกรรมวิธีการคั่วเหล็กกล้าและการหลอมร้อยครั้งให้เขาด้วยตนเอง เขาจะต้องสร้างกระบี่ที่ดีที่สุดในใต้หล้าให้แก่คุณชายให้จงได้ !
ในฐานะช่างเหล็กผู้หนึ่ง ยังมีสิ่งใดที่ดีไปกว่าการหล่อหลอมวัสดุที่ดีที่สุด และการสร้างอาวุธที่แข็งแกร่งกัน
เขาโค้งคำนับ “ข้าน้อยจะทำสิ่งที่คุณชายมอบหมายให้สำเร็จ ! ”
“อือ ข้าจะให้พ่อบ้านจางสร้างโรงงานขึ้นใหม่ทั้งหมดที่ด้านล่างของภูเขาผิงหลิง คาดการณ์ว่าจะสร้างเสร็จและได้ใช้ในวันปีใหม่ ในช่วงหลายวันนี้เจ้าก็เตรียมกำลังคนและความพร้อมเอาไว้ก่อน”
สำหรับความคิดนี้คือความตั้งใจชั่วคราวของฟู่เสี่ยวกวน ความก้าวหน้าของศาสตร์ด้านวัสดุมิได้มาเพียงชั่วข้ามคืน และตอนนี้เมื่อมีการคั่วเหล็กกล้าแล้ว ก็จะสามารถทำให้อาวุธของดาบเทวะแข็งแกร่งกว่าคู่ต่อสู้ทั้งหมด
ในเมื่อโจวเถียเจี้ยงไปซีซานมิได้ เยี่ยงนั้นก็สร้างสำนักอาวุธขึ้นที่นี่ไปเลย และรับสมัครกองกำลังสำรองของดาบเทวะที่นี่เสีย
ในแผนการของฟู่เสี่ยวกวน กองกำลังพิเศษดาบเทวะ จะต้องมีทหารที่ผ่านคุณสมบัติทั้งหมด 10,000 นาย หลังจากที่กองกำลังนับหมื่นนายนี้ถูกสร้างขึ้นมาจนสำเร็จ จึงจะสามารถไปนำธงของแคว้นฮวงมาได้ !

ตอนที่ 424 ความคิดขององค์หญิง

เมื่อผู้มีอำนาจทั้งหลายเดินทางมาถึงพื้นที่ใต้ภูเขาผิงหลิง ทุกคนต่างก็ถูกภาพตรงหน้าสะกดให้ตกตะลึง

ท่ามกลางหิมะที่หนาวเหน็บ แต่ที่แห่งนี้กลับดูอบอุ่นมากยิ่งนัก !

ฉากที่ผู้คนนับหมื่นกำลังทำงานกันมิใช่ว่าพวกเขามิเคยพบเห็นมาก่อน แต่ทว่าในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บเยี่ยงนี้ พวกเขากลับทำงานกันอย่างขยันขันแข็งโดยมิย่อท้อ แต่ใบหน้าของพวกเขากลับแสดงออกถึงความยินดีเสียเต็มประดา

“นี่คืออุตสาหกรรมที่ซีซานร่วมลงทุนเยี่ยงนั้นหรือ ?  องค์หญิงสามหยูชิงหลานเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

จางเหวินฮั่นรีบตอบกลับว่า “พ่ะย่ะค่ะ บัดนี้เริ่มงานมาได้สิบกว่าวันแล้ว”

“ซีซานของฟู่เสี่ยวกวนใช่หรือไม่ ? ”

“พ่ะย่ะค่ะ”

“……ผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ ทำงานท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ พวกเขาจะมิลำบากหรือ ? ”

“อ่า… จางเหวินฮั่นคิดทบทวนชั่วครู่แล้วโค้งคำนับตอบกลับไปว่า “องค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ เดิมทีชาวบ้านเหล่านี้ลำบากกว่าบัดนี้มากนัก การที่ซีซานลงทุนกับที่แห่งนี้ ก็เท่ากับโปรยเงินโปรยทองมาที่นี่ ชาวบ้านมีรายได้ทุกวัน พวกเขาจึงได้มีความหวัง ดังนั้นพวกเขาจึงมิรู้สึกถึงความลำบากเลยแม้แต่น้อย แต่พวกเขากลับหวาดกลัวว่างานนี้จะสิ้นสุดลงเสียมากกว่าพ่ะย่ะค่ะ”

องค์หญิงสามที่ทรงใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในเมืองหลวงนั้น มิอาจเข้าใจในความหมายของเขาได้ในระยะเวลาสั้น ๆ นี้ นางจึงได้เอ่ยถามว่า “ถ้าหากงานนี้สิ้นสุดลงพวกเขาจะเป็นเยี่ยงไรต่อไป ? ”

“ทูลองค์หญิง ประการแรกงานเหล่านี้จะมิสิ้นสุดลงในเวลาอันรวดเร็วนี้อย่างแน่นอน ประการที่สองฟู่เสี่ยวกวนได้วางแผนสำหรับการเก็บเกี่ยวในปีหน้าเอาไว้แล้ว ดังนั้นเรื่องของอาหารในปีหน้าจึงมิใช่ปัญหา ประการที่สามเมื่อสถานก่อสร้างเหล่านี้เสร็จสิ้นลง พวกเขาก็สามารถเข้าทำงานในโรงงานเหล่านี้ได้พ่ะย่ะค่ะ”

หยูชิงหลานเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ฟู่เสี่ยวกวนมาที่นี่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“อ่า…มิใช่ เขาได้เขียนเอาไว้ในจดหมายก่อนที่เขาจะเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋ เขาได้วางแผนการของผิงหลิงและชวูอี้ไว้เนิ่นนานแล้ว เพียงแต่ว่าในตอนนั้นยังมิได้ดำเนินการ”

“บัดนี้ กองกำลังที่เขาฝึกขึ้นได้ทำลายล้างกงเซินจ่างเป็นที่เรียบร้อยแล้วดังนั้นแผนการนี้จึงได้ถูกนำมาใช้”

หยูชิงหลานรู้สึกเสียใจมากยิ่งนัก นางพยักหน้าและนึกขึ้นมาในใจว่า ฟู่เสี่ยวกวนนั้นตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่กันแน่ แล้วไป๋ยู่เหลียนผู้ที่ฝึกกองกำลังดาบเทวะที่ฮั่วหวยจิ่นเอ่ยถึงนั้น บัดนี้เขาอยู่ที่ใด ?

ท่าป๋าชิวมองไปยังภาพด้านหน้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วขมวดคิ้ว ภายในใจของเขาเกิดความคิดที่ไม่ดีขึ้น

เดิมทีแคว้นฮวงสนับสนุนกงเซินจ่าง จึงทำให้ทางเหนือของราชวงศ์หยูวุ่นวาย เพื่อเปิดทางให้ทหารชาวฮวงนำทัพมุ่งหน้าไปทางใต้หลังจากศึกภายในแคว้นสิ้นสุดลง !

ที่ด่านเยี่ยนซานนั้นมีกงเซินจ่างคอยควบคุม ด้านนอกมีทหารม้าของแคว้นฮวงตรวจตรา และราษฎรของราชวงศ์หยูในตอนเหนือนั้นได้รู้สึกสิ้นหวังกับการช่วยเหลือจากราชวงศ์หยูแล้ว พวกเขากำลังจะร่วมแรงร่วมใจกับแคว้นฮวงในไม่ช้า

จากแผนการเดิม ในฤดูใบไม้ร่วงปีหน้าก็จะได้เข้าโจมตีราชวงศ์หยูแล้ว แต่ทว่าบัดนี้…

กงเซินจ่างถูกทำลายล้างโดยกองกำลังที่ฟู่เสี่ยวกวนก่อตั้งขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อนจนราบคาบ !

โดยใช้กองกำลังเพียง 4,000 คนเท่านั้น !

หากจะกล่าวว่าเนื่องจากกงเซินจ่างเป็นโจร กองกำลังของเขาก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาทั่วไป แต่ทว่ากองทัพทหารของแคว้นฮวงที่ส่งกำลังพลไปช่วยนั้นมีความสามารถอย่างแท้จริง แต่กลับถูกฆ่าเสียจนสิ้น มิมีผู้รอดชีวิตแม้แต่คนเดียว

เรื่องนี้ทำให้แคว้นฮวงค่อนข้างตื่นตระหนก เนื่องจากคิดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะวางกับดักไว้ในทางเหนือเยี่ยงนี้

เขาได้ให้ความหวังแก่ประชากรเหล่านั้น !

หากความหวังเหล่านี้ยังคงดำเนินต่อไป เมื่อทหารทางใต้ของแคว้นฮวงเคลื่อนไหว เกรงว่าราษฎรเหล่านั้นจะโต้ตอบกลับมาด้วยพลังมหาศาล เพราะแคว้นฮวงกำลังจะทำลายความหวังของพวกเขา

ฟู่เสี่ยวกวน การมีอยู่ของเจ้านี่มันช่างเหมือนกับฝันร้าย !

ต่อให้เขาตกตายไปแล้ว แต่ก็ได้ทิ้งบทเรียนอันแสนเจ็บปวดไว้ให้กับแคว้นฮวง และแทบจะตัดความหวังของแคว้นฮวงจนสิ้น

โชคดีมากยิ่งนักที่เขาได้ตกตายไปแล้ว หากเจ้าปิศาจนี่ยังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าทางใต้ของแคว้นฮวงจะต้องเกิดปัญหาขึ้นเป็นแน่

ท่าป๋าชิวยังมิรู้ว่ากองกำลังดาบเทวะได้เดินทางเข้าสู่แคว้นฮวงแล้ว และบัดนี้ก็ได้อยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันกว้างขวางและได้ปรากฏพลังอันยิ่งใหญ่

……

……

หยูชิงหลานพักอยู่ที่ผิงหลิงหนึ่งคืน แต่สุดท้ายนางก็มิเห็นกองกำลังดาบเทวะ และมิมีแม้แต่ร่องรอยของนายพลที่มีนามว่าไป๋ยู่เหลียน

นางรู้สึกผิดหวังมากยิ่งนัก และได้เตรียมตัวออกเดินทางต่อไป ในใจของนางบัดนี้คิดเพียงแค่ว่า นี่คงจะเป็นชะตากรรมของนาง

แต่สิ่งที่นางมิรู้ก็คือ บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนได้เดินทางไปยังเมืองซินเฉิงแล้ว

พวกเขาเดินทางไปพบแม่ทัพใหญ่เผิงเฉิงอู่ เนื่องจากการที่องค์หญิงจะเดินทางเข้าสู่แคว้นฮวง มีความเป็นไปได้สูงที่แคว้นฮวงจะยึดด่านเยี่ยนซาน เขาจะต้องรีบให้เผิงเฉิงอู่เพิ่มกำลังปกป้องด่านเยี่ยนซานโดยเร็ว

“เจ้าคิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะดีจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?  ไป๋ยู่เหลียนสวมชุดยาวสีขาวผ่อง ส่วนฟู่เสี่ยวกวนสวมชุดสีเขียวสะพายกระบี่ของไป๋ยู่เหลียนเอาไว้

“เผิงเฉิงอู่มิเคยเห็นข้า การที่ข้าแต่งกายเป็นผู้ติดตามเจ้าคิดว่ามีสิ่งใดมิเหมาะสมกัน ? ”

ภายในรถม้า ไป๋ยู่เหลียนมองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วกล่าวว่า “ใต้หล้านี้ มิมีผู้ใดที่มีคุณสมบัติให้เจ้าเป็นผู้ติดตาม ! ”

การกระทำของฟู่เสี่ยวกวนทั้งหมดนี้ ไป๋ยู่เหลียนยอมรับและเห็นด้วยจากใจจริง นับจากที่เขาได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนที่ซีซาน ฟู่เสี่ยวกวนก็มักจะสร้างความประหลาดใจให้แก่เขาเสมอ

แม้แต่คราก่อนที่ฟู่เสี่ยวกวนรับผู้ประสบภัยทั้งสามหมื่นคนเข้ามา ก็มิทำให้เขาตกใจเท่ากับการที่ฟู่เสี่ยวกวนวางแผนการในผิงหลิงและชวูอี้ในครานี้

เขากำลังช่วยปกป้องชีวิตผู้คนกว่าแสนคน !

ด้วยกำลังเพียงเท่านี้ !

ช่วงนี้เขาได้ไปยังผืนนาและสถานที่ต่าง ๆ ได้ออกคำสั่งมามากมาย และทั้งหมดนี้ได้เชื่อมโยงกันอย่างมีขั้นตอน ในระยะเวลาอันสั้น ได้เกิดผลที่ยิ่งใหญ่ตามมา

เจ้าหมอนี่…เหมือนมิใช่มนุษย์ !

“เสี่ยวไป๋ เจ้ามองข้าสูงส่งเกินไปแล้ว ข้าเป็นเพียงบุตรของพ่อค้าที่ดิน ข้าเป็นเพียงพ่อค้าเท่านั้น บัดนี้ที่ข้าได้มอบความหวังแก่พวกเขา ก็เพราะว่าในปีหน้า ข้าจะได้รับผลกำไรมหาศาลจากการกระทำนี้”

ฟู่เสี่ยวกวนตบบ่าไป๋ยู่เหลียนจากนั้นก็เอ่ยต่อไปว่า “อย่าได้คิดไปเอง ประเดี๋ยวได้พบกับเผิงเฉิงอู่แล้ว จงเอ่ยถึงแผนการที่เจ้าจะเดินทางไปแคว้นฮวงให้เขาฟัง อีกทั้งเมื่อองค์หญิงสามเดินทางไปถึงเมืองซินเฉิงแล้ว จะทรงปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณชนมิได้อีก”

“ถ้าเช่นนั้นแล้วตัวแทนนางจะต้องตายแทนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“จะต้องมีใครสักคนที่ตาย”

“คนเราทุกคนมิได้เท่าเทียมกันหรอกหรือ ? ”

“…เจ้าประสงค์จะให้องค์หญิงแห่งราชวงศ์หยูอภิเษกกับกษัตริย์ของแคว้นฮวงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ไป๋ยู่เหลียนครุ่นคิดแล้วส่ายหัว

“เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว เสี่ยวไป๋ ในใต้หล้านี้มิมีหรอกความยุติธรรม ในบางคราพวกเราจำเป็นจะต้องเลือก และเมื่อพวกเราเลือกก็มักจะเลือกในสิ่งที่เป็นผลดีกับตัวเราเองทั้งสิ้น สิ่งนี้คือนิสัยของมนุษย์ที่ยากเกินแก้ไข”

ไป๋ยู่เหลียนมองดูฟู่เสี่ยวกวน “เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงมิเลือกที่จะเป็นจักรพรรดิของราชวงศ์อู๋กัน ? ตามที่เจ้ากล่าวมานั้น หากเจ้าเลือกเป็นจักรพรรดิจึงจะเป็นประโยชน์สูงสุดแก่เจ้า ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนนำมือลูบจมูกแล้วยิ้มออกมา “เนื่องจากข้ารู้ดีว่าข้านั้นเป็นผู้นำของแคว้นมิได้ การที่จะเป็นผู้นำให้ผู้คนทั้งหลายยกย่องเชิดชูนั้นเหนื่อยมากยิ่งนัก เขาผู้นั้นจะต้องมีชีวิตเพื่อผู้คนทั้งใต้หล้า…”

“ส่วนข้านั้น ข้าเพียงต้องการทำเพื่อตัวข้าเอง เเละมีชีวิตอยู่เพื่อคนรอบข้าง เท่านี้ก็เพียงพอเเล้ว ! ”

 

 ในยามที่ผู้คนมองมิเห็นความหวังใด ๆ ก็มักจะมีทางเลือกอยู่สองทางเสมอ 

ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ทางด้านซ้ายของภูเขาผิงหลิง สายตาจ้องมองไปยังฉากครึกครื้นของด้านล่างเขา แล้วหันไปกล่าวกับไป๋ยู่เหลียนที่อยู่ข้าง ๆ อย่างเชื่องช้าว่า  ประการที่หนึ่งคือยอมแพ้ และจมลงไปทั้งอย่างนั้น จนกระทั่งสิ้นชีวิต ประการที่สองคือดิ้นรนอย่างหนัก อย่างเช่นการเป็นโจร ถึงเยี่ยงไรก็ตายเช่นกัน สู้จนตัวตายไปจะดีกว่า 

ไป๋ยู่เหลียนดึงน้ำเต้าสุราน้ำเต้าขึ้นมาดื่ม  ดังนั้นเจ้าจึงให้ความหวังพวกเขาเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 เจ้าดูสิ ไม่กี่วันก่อนหน้านี้มีคนเฝ้าดูเป็นจำนวนมาก แต่หลังจากที่พวกเขาเห็นว่าคนที่มาทำงานที่นี่ได้เงินจริง ๆ ความหวังของพวกเขาจึงสูงขึ้น ดังนั้นผู้เข้าร่วมในวันที่สองจึงเพิ่มขึ้นเป็นสองส่วน จนถึงวันนี้ ความสงสัยในใจของพวกเขาได้หายไปจนหมดแล้ว แม้แต่รอยยิ้มที่หายไปนานก็ได้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของพวกเขา 

ช่างของซีซานได้มาถึงอำเภอผิงหลิงและชวูอี้ในเดือนสิบวันที่สิบห้า

วันรุ่งขึ้น ชาวบ้านจากสองอำเภอจำนวนนับหมื่นจากทั่วทุกสารทิศได้ตรงมายังที่ว่าการอำเภอ คนส่วนใหญ่มาเพื่อรับข้าวจำนวน 5 ชั่ง !

พวกเขาทนกินพวกมันมิได้ หากนำไปขายในเมืองก็จะสามารถเปลี่ยนเป็นเงินได้ 200 – 300 อีแปะ !

ช่างจากซีซานใช้เวลาสองวันในการเลือกสถานที่ตั้งโรงงานทำปูนซีเมนต์และกระเบื้อง จนถึงเดือนสิบวันที่สิบแปด การก่อสร้างเหล่านี้จึงได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

วันที่หนึ่งชาวบ้านที่เข้าร่วมด้วยมีเพียงหมื่นกว่าคนเท่านั้น ส่วนผู้คนที่เหลือต่างก็เฝ้ารอดู

และหลังจากที่ได้จ่ายเงินค่าจ้างตามที่ประกาศไว้โดยไม่มีผิดเพี้ยนไป ความคับข้องใจของชาวบ้านที่คอยเฝ้าดูอยู่ก็ลดหายไปจำนวนมาก ในวันที่สองคนที่คอยเฝ้าดูเหลือเพียงสองส่วนเท่านั้น

จนถึงวันที่สาม ชาวบ้านทั้งหมดต่างก็มาสมัครเข้าทำงาน

ในกลุ่มนั้นมีทั้งผู้ที่อายุครบ 12 ปีเต็มและมีทั้งยังไม่ถึง 12 ปีเต็ม มีผู้สูงอายุที่อายุมากกว่า 60 ปี แต่ก็เป็นส่วนน้อย คนส่วนมากจะเป็นวัยฉกรรจ์ และในหมู่พวกเขาส่วนมากก็เป็นชาวบ้านที่เคยผันตัวไปเป็นโจรภูเขามาก่อน

 แท้จริงแล้วเด็กที่มีอายุเท่านี้ควรจะไปสำนักศึกษา ผู้อาวุโสเหล่านั้นควรจะได้พักผ่อนช่วงบั้นปลายอยู่ที่บ้าน… เสี่ยวไป๋เอ๋ย มิใช่ว่าข้ามิอิงตามหนทางการใช้แรงงาน แต่พวกเขาในตอนนี้ ต้องการเงินอย่างแท้จริง !  

ไป๋ยู่เหลียนเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน เขามิรู้ว่าอะไรคือหนทางการใช้แรงงาน เขารู้เพียงแค่ว่าชาวบ้านเหล่านี้ใช้พลังในการทำงานได้บ้าคลั่งอย่างแท้จริง

ดินเหนียวหนักเกินไป เด็กสองคนจะต้องช่วยกันยกออกไป เหล่าผู้อาวุโสใช้ตะกร้าสานสะพายขึ้นหลัง ใช้ไม้เท้าค้ำยันและเดินตัวสั่นเทาออกไป

ฟู่เสี่ยวกวนได้ไหว้วานให้สองอำเภอสร้างโรงอาหารที่สถานที่ก่อสร้าง ซึ่งอาหารก็มิได้ดีไปกว่าซีซานมากนัก

ยังจำวันแรกที่ทานอาหารได้เลยว่า หลังคาที่สร้างขึ้นมาชั่วคราวนั้นได้ถูกทำลายโดยชาวบ้านที่เข้ามาอย่างแน่นขนัด แม้ผู้ตรวจการจากสองอำเภอจะชักดาบออกมาก็มิได้มีประโยชน์เท่าใดนัก

แต่แล้วสถานการณ์ก็ได้กลับมาปกติหลังจากผ่านไปสามวัน บางทีชาวบ้านอาจจะรับรู้แล้วว่าจะมีอาหารทานเยี่ยงนี้ในทุกวัน และทุกคนก็จะได้รับมัน

หลังจากนั้นพวกเขาก็เริ่มเข้าแถวรออย่างใจเย็น ความเป็นระเบียบจึงได้ฟื้นฟูกลับคืนมา

หนึ่งอำเภอมีชาวบ้านที่เข้าร่วมก่อสร้างอย่างน้อยที่สุด 40,000 คน เพียงแค่เรื่องทำอาหาร ก็ทำให้นายอำเภอทั้งสองอำเภอต้องระดมความคิดกันจนปวดหัวแล้ว

ที่นี่ต้องการเสบียงอาหารจำนวนมาก และต้องการคนจำนวนมากด้วยเช่นกัน ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ให้ขนส่งซีซานมาส่งเสบียงที่นี่ตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว ทั้งยังรับประกันว่าจะมีเสบียงอาหารที่เพียงพอ และจะไม่เกิดความวุ่นวาย

 ตอนนี้เรื่องทางนี้ได้เป็นไปตามที่เจ้าหวังไว้แล้ว ต่อจากนี้เล่า ?  

 ต่อจากนี้พวกเราจะต้องเดินทางไปยังแคว้นฮวง 

 เฉินป๋อได้เข้าไปปลุกปั่นให้เกิดพายุในแคว้นฮวงแล้ว และได้ปล้นทุ่งเลี้ยงสัตว์ของชาวฮวงมาหนึ่งแห่ง ปัญหาเรื่องม้าศึกได้คลี่คลายลงไปแล้ว พวกเขากำลังฝึกฝนการขี่ม้าบนทุ่งหญ้า 

 อือ ให้พวกเขาใช้กลยุทธ์แบบกองโจร ปล้นสะดมทุ่งเลี้ยงสัตว์ของชาวฮวงเป็นหลัก บางคราก็เข้าไปตีเมืองเล็กแถบชายแดนบ้าง ต้องล่อให้ทหารชั้นยอดจากเมืองหลวงของแคว้นฮวงออกมาให้ได้ 

ทันใดนั้นไป๋ยู่เหลียนก็ได้เอ่ยถามขึ้นมา  หากมีโอกาสได้ยึดพระราชวังป๋ายจินฮ่านของแคว้นฮวง…จะลงมือหรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบเพื่อครุ่นคิดอย่างโง่งมอยู่ไม่กี่อึดใจ หลังจากนั้นก็สะบั้นความคิดนี้ไป  เจ้าสมองบวม นั่นคือถิ่นของศัตรู และในปัจจุบันนี้ชาวฮวงมีทหารม้าทั้งหมด 100,000 นาย สภาพแวดล้อมของสถานที่ตรงนั้นมิเหมือนกับภูเขาผิงหลิงแห่งนี้ ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่ไร้เขตแดน พวกเราเหลือกำลังพลเพียงแค่สามพันหกร้อยกว่าคนเท่านั้น พวกเราจะจัดการเยี่ยงไรหากมีศัตรูบุกเข้ามา ?  

 หากมีปืนใหญ่หงอี 100 กระบอกก็เพียงพอแล้ว…  ไป๋ยู่เหลียนกล่าวขึ้นมาอีกคราอย่างนึกเสียดาย  หลังจากที่กลับจากการรบครานี้ ยังต้องเพิ่มจำนวนทหารต่อไปอีก เจ้าจะแสดงตนออกไปเมื่อใด กองกำลังสามารถจุได้มากสุดเพียง 2,000 คน พวกเรามีมากกว่าเป็นหนึ่งเท่า หากขยายกำลังพลไปอีก…เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงคิดว่าข้าจะก่อกบฏ !  

แสดงตน…

ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังหิมะที่ตกหนัก มิรู้ว่าจนถึงวันนี้ร่างกายของอู๋หลิงเอ๋อร์ได้ฟื้นฟูขึ้นมาบ้างแล้วหรือยัง ?

เขามิค่อยเข้าใจสถานการณ์ของราชวงศ์อู๋เท่าใดนัก เพียงแค่มีไทเฮาอยู่ มีอัครมหาเสนาบดีทั้งซ้ายและขวาที่ซื่อสัตย์คอยช่วยเหลือ ราชบัลลังก์ของอู๋หลิงเอ๋อร์ก็น่าจะมั่นคงมากแล้ว

ในทางตรงกันข้ามคือหากเขาแสดงตนออกไป ถึงจะสร้างความเดือดร้อนให้กับราชบัลลังก์ของอู๋หลิงเอ๋อร์

แต่เยี่ยงไรเสียชาวราชวงศ์อู๋ก็ได้ยอมรับให้อู๋หลิงเอ๋อร์ขึ้นเป็นจักรพรรดินีเพราะสายเลือดของจักรพรรดิเหวินในปัจจุบันนี้มีเพียงแค่อู๋หลิงเอ๋อร์คนเดียวเท่านั้น

 ค่อยว่ากันอีกที รอให้จบจากการเดินทางไปยังแคว้นฮวงเสียก่อน 

 องค์หญิงสามจะมาถึงที่นี่เมื่อใด ?  

 ตามเวลาแล้ว อีกมินานก็น่าจะมาถึงแล้ว 

……

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนสิบ วันที่ยี่สิบห้า

ขบวนส่งตัวขององค์หญิงสามได้มาถึงอำเภอผิงหลิงในยามอู่

นายอำเภอจางเหวินฮั่นแห่งอำเภอผิงหลิงย่อมวุ่นวายทันพลัน ส่วนนายอำเภอเยี่ยนหลินชิวแห่งอำเภอชวูอี้ก็ได้มายังที่นี่เช่นกัน เยี่ยนหลินชิวและองค์หญิงสามหยูชิงหลานรู้จักกันก่อนหน้านี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงอยากมาพบองค์หญิงสามเพื่อกล่าวคำอำลา เพราะองค์หญิงสามต้องเดินทางออกนอกกำแพงของราชวงศ์หยู เกรงว่าชั่วชีวิตนี้คงยากที่จะได้พบกันอีก

คณะราชทูตส่งตัวองค์หญิงสามมีเสนาบดีกรมพิธีการสวี่หวยซู่เป็นผู้นำ เรื่องความปลอดภัยมีเซวียผิงกุยคอยรับผิดชอบผู้ใต้บังคับบัญชาจำนวนนับพันของฮั่วหวยจิ่น ทั้งสองคนนี้ต่างก็มีประสบการณ์ในการเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋มาแล้วทั้งคู่

และคณะทูตที่เดินทางมาต้อนรับยังจินหลิงก็คือราชครูท่าป๋าชิวจากแคว้นฮวง เขาได้พาท่าป๋ายวนหลานชายของเขามาด้วย

แคว้นฮวงเองก็มีผู้คุ้มกันถึง 500 คน ขบวนนี้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก จึงทำให้จางเหวินฮั่นสับสนทันพลัน ให้ตายเถอะ ! คนครัวของอำเภอผิงหลิงแทบจะถูกเชิญไปสถานที่ก่อสร้างใต้ภูเขาผิงหลิงจนหมด แล้วจะแก้ไขปัญหาการกินของคนนับพันนี้ได้เยี่ยงไรกัน ?

ตามความหมายของสวี่หวยซู่และท่าป๋าชิว ขบวนมิจำเป็นต้องหยุดพักที่อำเภอผิงหลิง แต่ควรจะตรงไปยังเมืองซินเฉิงแทน

ในฐานะเมืองยุทธศาสตร์ทางตอนเหนือของราชวงศ์หยู เมืองซินเฉิงใหญ่โตกว่าผิงหลิงเป็นเท่าตัว และเมืองซินเฉิงเองก็มีจุดพักทางการของราชวงศ์หยู อย่างน้อยก็น่าจะแก้ปัญหาเรื่องที่พักและการกินได้ดียิ่งกว่า

แต่องค์หญิงสามกลับกล่าวว่าจะอยู่ที่ผิงหลิงแห่งนี้หนึ่งวัน เพื่อรำลึกถึงบ้านเกิด

ขบวนจึงได้หยุดลงที่เส้นทางเดินของอำเภอผิงหลิง องค์หญิงสามและผู้ติดตามขบวนทุกคนได้ลงมาจากราชรถ

แต่เดิมคิดว่าจะมีผู้คนมาเฝ้าดูจำนวนมาก แต่หลังจากที่หยูชิงหลานลงจากรถม้าก็พบว่าสถานที่แห่งนี้นั้นอ้างว้างมากยิ่งนัก มีเพียงขุนนางมิกี่คนเท่านั้นที่เข้ามาต้อนรับ

 ที่นี่…เหตุใดจึงดูรกร้างถึงเพียงนี้กัน ?   หยูชิงหลานเอ่ยถาม นางทราบว่าผิงหลิงและชวูอี้คือสถานที่แห้งแล้ง แต่มิเคยคิดมาก่อนว่าจะเป็นสถานที่ที่ร้ายแรงถึงเพียงนี้

 ทูลองค์หญิง ซีซานได้มาลงทุนสร้างอุตสาหกรรมที่ผิงหลิงและชวูอี้ ชาวบ้าน…ต่างไปทำงานที่สถานที่ก่อสร้างของพวกเขาแล้วพ่ะย่ะค่ะ 

หยูชิงหลานชะงัก  อ่า… พาข้าไปดูหน่อยได้หรือไม่ ?  

 นี่… 

 มีอันใดมิสะดวกเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 มิใช่ว่ามิสะดวกพ่ะย่ะค่ะ เพียงแค่ฐานันดรขององค์หญิงนั้นสูงส่ง สถานที่ตรงนั้นในตอนนี้วุ่นวายเป็นอย่างมากเกรงว่าจะระคายพระเนตรขององค์หญิงได้พ่ะย่ะค่ะ 

 มิเป็นไร นำทางเถิด !  

 

ตอนที่ 422 สถานที่แสนห่างไกล

ณ ผิงหลิง บัดนี้หิมะได้ตกหนักเป็นอย่างมาก

และซีฮวงในราชวงศ์หยูก็ได้มีหิมะตกคราแรกของปี

จังหวัดซีหรงถูกหิมะขาวโพลนปกคลุมไปทั่วบริเวณ ภูเขาทั้งลูกถูกสีขาวของหิมะปกคลุม จึงทำให้ซีหรงแห่งนี้ขาวโพลนไปด้วยหิมะ

บริเวณใกล้ภูเขาทางทิศใต้ของจังหวัดซีหรง มีพระตำหนักอันงดงามกว้างขวางตั้งอยู่ ที่แห่งนี้คือเมืองจักรพรรดิถู่ซือ

แน่นอนว่าบัดนี้ได้กลายเป็นจวนจิ่งหวังไปแล้ว

บัดนี้องค์ชายสี่หยูเวิ่นชูกำลังนั่งดื่มชาอยู่ที่เฉิงเยวี่ยซวนพลางชื่นชมหิมะที่กำลังโปรยปรายลงมา

หนานป้าเทียนนั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา

 เวลาผ่านไปรวดเร็วมากยิ่งนัก เป็นเวลากว่าสองเดือนแล้วที่ข้ามายังสถานที่แห่งนี้…จั่วจวิน เจ้าว่าฟู่เสี่ยวกวนตายไปกว่าครึ่งปีแล้ว เหตุใดข้าจึงมิมีความสุขกัน ?  

หนานป้าเทียนหรือเฉินจั่วจวิน เงยหน้าขึ้นมองดูองค์ชายสี่จากนั้นก็ก้มหน้าลงแล้วกล่าวว่า  พวกเราสูญเสียผลประโยชน์ไปมากโขท่านจะดีใจได้เยี่ยงไร ? ว่าแต่อี้ซี…ข้าประสงค์จะรับนางมาไว้ข้างกาย บัดนี้นางอายุได้ 7 ปีแล้ว 

หยูเวิ่นชูขมวดคิ้วขึ้นแล้วส่ายหัว  อย่าได้รีบร้อนไป ฟู่เสี่ยวกวนเคยส่งคนไปตรวจสอบ ฮองเฮาซั่งนั้นช่างน่ากลัวยิ่ง บัดนี้หากรับนางมาอยู่ด้วย จะเป็นข้ออ้างที่ดีให้แก่สตรีนางนั้นมิใช่หรือ ?  

เฉินจั่วจวินก้มหน้าลงแล้วมิได้กล่าวอันใดออกมาอีก หยูเวิ่นชูกลับหัวเราะออกมา  หากเจ้าต้องการพบนาง ก็แอบไปดูยามค่ำคืนย่อมได้ สถานที่แห่งนี้แม้ว่าอยู่ในที่ห่างไกล แต่ทว่าสายลับของหอซี่หยู่ก็ได้กระจายไปทั่วทุกที่ 

เฉินจั่วจวินมิได้ตอบกลับไป นางเพียงเอ่ยถามขึ้นว่า  ข้าได้ยินมาว่าฟู่เสี่ยวกวนได้ก่อตั้งกองกำลังดาบเทวะขึ้นมาจำนวน 4,000 คน เพื่อล้มล้างทหารกว่าหลายหมื่นคนของกงเซินจ่าง…องค์ชายทรงคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ?  

 เจ้าหมอนั่นช่างเก่งกาจเสียจริง แต่มิว่าจะเก่งเยี่ยงไรก็ได้ตายจากไปแล้ว และกองกำลังดาบเทวะก็มีเพียง 4,000 คน ไป๋ยู่เหลียนจงรักภักดีต่อฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างมาก บัดนี้ไร้ซึ่งฟู่เสี่ยวกวนแล้ว เขายังคงจะช่วยดูแลจวนฟู่ไปอีกสักพัก แต่เกรงว่าในมิช้าก็เร็วจะต้องถูกองค์จักรพรรดิเรียกตัวเข้าร่วมกองทัพราชวงศ์หยูอย่างแน่นอน… 

 นี่ คือสิ่งที่ข้าเป็นกังวลยิ่ง !  

 ใต้หล้านี้ผู้ที่เข้าใจวิธีฝึกกองกำลังดาบเทวะ เกรงว่าจะมีเพียงไป๋ยู่เหลียนเท่านั้น หากทหารจากราชวงศ์หยูได้รับการฝึกฝนจากเขา เจ้าว่า…กำลังการโจมตีเยี่ยงนี้จะมีผู้ใดสู้ได้กัน ?  

 เมื่อถึงเวลานั้น แม้แต่ความคิดที่จะกลับไปยังเมืองจินหลิงคาดว่าก็คงมิเหลือแล้ว 

เฉินจั่วจวินเงยหน้าขึ้นอีกครา  หลายปีมานี้ ท่านเหนื่อยหรือไม่ ? ข้าคิดว่าที่แห่งนี้ก็มิเลวเลยหากว่า… 

 จั่วจวิน !  

 อือ… 

 เจ้ามองออกไปนอกหน้าต่างสิ ดอกเหมยผลิบานแล้ว 

เฉินจั่วจวินสูดหายใจเข้า นางมิได้มองออกไปดูดอกเหมยนั้น เนื่องจากนางเข้าใจดีว่าองค์ชายสี่ยังคงมิถอดใจ

สำคัญถึงเพียงนั้นเลยหรือ ?

ตำแหน่งนั้นทำให้ผู้คนลุ่มหลงได้มากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?

แต่ได้ยินมาว่าฟู่เสี่ยวกวนพยายามทุกวิถีทางที่จะหลบหลีกตำแหน่งนี้ในราชวงศ์อู๋ เหตุใดเขาจึงมิให้ความสำคัญกับบัลลังก์มังกรนั่นกัน ?

 บัดนี้ฝ่าบาททรงกำลังดำเนินการตามแผนนโยบายใหม่ ทางซีซานได้ส่งคนจำนวนมากไปยังผิงหลิง นี่คือแผนที่ฟู่เสี่ยวกวนวางเอาไว้เมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่ มีฝ่าบาทและท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนคอยสนับสนุน ฉินฮุ่ยจือจึงมิอาจสามารถคัดค้านได้ 

หยูเวิ่นชูลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปทางหน้าต่าง  นโยบายใหม่นี้จะนำไปใช้มิได้ ! 

 เพราะเหตุอันใดกัน ?  

 หากทั้งสองที่นั้นประสบผลสำเร็จ นโยบายใหม่นี้ก็จะถูกนำไปใช้ทั่วหล้า ซีหรงเองก็เช่นกัน บัดนี้พี่ชายของข้ามีอำนาจในชายแดงตะวันออก เขาใช้ปืนใหญ่หงอีที่ฟู่เสี่ยวกวนได้สร้างไว้ระเบิดชายแดนของแคว้นอี๋เสียจนพังทลายลง…อีกทั้งยังมีกองทัพจากทางใต้สองแสนกว่าคนเข้าช่วยเหลือ สงครามตะวันออกกำลังจะสิ้นสุดลงด้วยการที่แคว้นอี๋ยกธงขาว 

 พี่สามหยูชิงหลานได้เดินทางไปยังแคว้นฮวงแล้ว เดิมทีภายในแคว้นฮวงก็มิได้มั่นคงนัก ดังนั้นจะทำสงครามทางเหนืออีกมิได้เป็นอันขาด เพราะเหตุนี้…ราชวงศ์หยูจะได้รับโอกาส แต่พวกเรากลับจะเสียโอกาสที่ดีไป 

 หากการขับเคลื่อนนโยบายใหม่สำเร็จ คลังของราชวงศ์หยูที่ร่อแร่เต็มทีก็จะอุดมสมบูรณ์ เมื่อถึงเวลานั้น…ราษฎรก็จะอยู่ดีมีสุข ส่วนพวกเรานั้นก็จะไร้ซึ่งโอกาส 

 ทำนองเดียวกัน ลัทธิจันทราก็จะไร้ซึ่งโอกาสด้วย 

เฉินจั่วจวินเงยหน้าขึ้นมองไปทางองค์ชายสี่

องค์ชายสี่ค่อย ๆ หันกลับมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม  ดังนั้น…เจ้าจงไปบอกกับลัทธิจันทราว่า หากมิลงมือใด ๆ ข้าก็จะลงมือกับพวกเขาแล้ว !  

 เนื่องจากศีรษะของผู้นำลัทธิจันทรา สามารถแลกมาได้ซึ่งความปลอดภัยของข้า นี่ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ข้าอาจทำได้ องค์หญิง ท่านว่าข้าเอ่ยถูกหรือไม่ ?  

 ปึง… !   มือของเฉินจั่วจวินทุบลงบนโต๊ะน้ำชาจนแก้วชากระจัดกระจาย  เจ้ารู้ว่าข้าคือผู้ใดเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 หาใช่ไม่ ที่ถูกต้องก็คือ เนื่องจากปู้เนี่ยนชือไท่แห่งอารามซุ่ยเยว่เดินทางไปยังภูเขาต้งถิงจวิน ข้าจึงพอเดาได้ 

 เจ้าขี้โกง !  

เฉินจั่วจวินลุกขึ้นทันควันด้วยใบหน้าโกรธจัด  หลายปีมานี้ ลัทธิจันทราได้ทำเพื่อเจ้ามากมายถึงเพียงใด ? บัดนี้เจ้ากลับจะใช้ลัทธิจันทราเป็นเครื่องมือในการโจมตีผู้อื่น !  

หยูเวิ่นชูหัวเราะออกมา  มิใช่ จั่วจวิน แม้ว่าพวกเราทั้งสองคนจะมิได้เป็นสามีภรรยากันอย่างถูกต้อง แต่ว่าก็ได้ทำในสิ่งที่สามีภรรยาเขาทำกัน ลัทธิจันทราเป็นของเจ้า ข้าจะใช้ลัทธิของเจ้าเป็นเครื่องมือในการโจมตีผู้อื่นได้อย่างไร ?  

เขารีบเก็บรอยยิ้มลงแล้วแปรเปลี่ยนไปเป็นเยือกเย็น  แท้จริงแล้วลัทธิจันทราของเจ้าใช้ข้าเป็นเครื่องมือในการโจมตีผู้อื่นมาตั้งแต่แรกต่างหากเล่า ! เจ้าบอกกับข้ามาสิ ในตอนนั้นที่หน้าจวนฮุ่ยชินอ๋อง ฟู่เสี่ยวกวนฆ่าคนทั้งสิบแปดคน แต่ปล่อยให้หนีไปได้ 2 คน นอกเหนือจากเจ้าที่รอดมาได้ ยังมีอีกคนหนึ่งที่ถูกฟู่เสี่ยวกวนจับได้… 

 เขาผู้นั้นคือน้องชายของเจ้าใช่หรือไม่ ?  

 หากมิใช่น้องชายของเจ้า ค่ำคืนเทศกาลหยวนเซียวที่บุกเข้าไปฆ่าปิดปากพยาน เหตุใดจึงต้องช่วยเขาออกมา ? แล้วบัดนี้เขาอยู่ที่ใด ?  

 ดังนั้น เจ้าจงบอกข้ามาว่า เจ้าใช้ข้าเป็นเครื่องมือในการโจมตีผู้อื่นใช่หรือไม่ ? หากมิใช่เพราะการกระทำของเจ้านั้น ข้าจะถูกเสด็จพ่อเนรเทศมาที่นี่เยี่ยงนั้นหรือ ?  

น้ำเสียงของหยูเวิ่นชูสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนแทบตะโกนออกมา  เจ้ามันต่ำช้า ! รู้ตัวหรือไม่ว่าการกระทำนี้ได้เป็นที่จับตาของฮองเฮาซั่ง ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเสด็จพ่อเนรเทศข้ามาที่นี่เพราะเหตุใด ?  

 จิ่งหวัง จิ่งหวังเยี่ยงนั้นหรือ ! เขาต้องการให้ข้าระมัดระวังตัวนะสิ ! เสด็จพ่อทรงรู้ว่าข้าข้องเกี่ยวกับลัทธิจันทรา และทรงอยากรู้ว่าข้าจะลงมือกับลัทธิจันทราหรือไม่ !  

หยูเวิ่นชูสูดหายใจเข้าลึก  ข้าต่างหากที่เป็นผู้รับบาป ! เนื้อมิได้กิน หนังมิได้เอามารองนั่ง กลับเอากระดูกมาแขวนคอ ! แต่บัดนี้เจ้ากลับกล่าวหาว่าข้าใช้ลัทธิจันทราของเจ้าเป็นเครื่องมือในการสังหารผู้อื่น หึ ๆ…หากลัทธิจันทราไร้ประโยชน์อย่างแท้จริงล่ะก็ เจ้าคอยดูได้เลย !  

เฉินจั่วจวินยืนนิ่งเป็นตอไม้ด้วยความมึนงง ดวงตาของนางเริ่มมีน้ำตา และไหลลงมาเป็นทางยาว

 ข้าใช้ตราของเจ้าเพื่อช่วยเหลือน้องชายของข้าออกมาจริง ๆ เขาคือน้องชายของข้า เขาคือความหวังเดียวของลัทธิจันทรา ดังนั้นเขาจะตายมิได้ 

หยูเวิ่นชูตะโกนออกมา  เช่นนั้นข้าต้องตายเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 มิได้ ข้ามิยอมให้เจ้าตายเป็นแน่ !  

 ……ข้าอาจจะโค่นล้มลัทธิจันทราเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อเสด็จพ่อ แล้วดำรงตำแหน่งจิ่นหวังอยู่ที่นี่ตลอดไป หรือ……ลัทธิจันทราควรจะทำตัวให้มีคุณค่าสักหน่อย เจ้าจงเลือกเอง แต่ข้าขอเตือนเจ้าว่า ข้านั้นได้ติดต่อกับฮุ่ยชินอ๋องเรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังติดต่อกับท่านลุงเซวี๋ยติ้งชานแล้วเช่นกัน บัดนี้ข้าเพียงแค่รอโอกาส !  

 

ตอนที่ 421 ผู้มีพรสวรรค์

ยุคสมัยนี้มิมีเหล็กกล้า !

ที่ภูเขาเฟิ่งหลินได้ใช้เตาหลอมทรงสูงในการหลอมเหล็ก สิ่งเจือปนภายในเหล็กมีน้อยกว่าเหล็กตามท้องตลาดมากแล้ว ดังนั้นจึงใช้มันแก้ไขปัญหาการระเบิดของปืนใหญ่หงอีได้

แต่มันยังมิเคยก้าวไปถึงเงื่อนไขของเหล็กกล้า !

เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนมิได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงเยี่ยงไรเหล็กของภูเขาเฟิ่งหลินก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว เขายังมิมีแผนที่จะใช้เวลาและพลังงานไปกับการคิดค้นการผลิตเหล็กกล้า

แต่แล้วในเมื่อครู่ยามที่เขาได้ยินเสียงการตีเหล็กของโจวเถียเจี้ยงที่ดังเสียงใส ประจวบกับได้เห็นพลั่วที่กำลังตี ถึงได้ตระหนักถึงความสำคัญของเหล็กกล้าขึ้นมาได้

สิ่งที่เรียกว่ากรรมวิธีการถลุงเหล็ก คือการใช้คาร์บอนและเหล็กหลอมผสมกันตามสัดส่วนและเทลงบนปลายมีด ทุบตีครั้งแล้วครั้งเล่า ปลายมีดที่สมบูรณ์จะคม และแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น

หากสามารถทำการหลอมเหล็กกล้าออกมาได้ถึงร้อยครา นี่จะเป็นสิ่งที่สามารถสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ได้เป็นแน่ !

ราชวงศ์ฮั่นในชาติที่แล้วได้พลิกกลับทางด้านการทหารของชนชาติซูยงหนู ด้านหนึ่งคือการขจัดความแตกต่างทางด้านความเร็วของม้าเลี้ยง และนอกจากนั้นยังมีอีกด้านที่สำคัญมากยิ่งนัก อาวุธของราชวงศ์ฮั่นเหนือกว่าของชนชาติซุยงหนูเป็นอย่างมาก

อาวุธของราชวงศ์ฮั่นได้สร้างขึ้นมาจากเหล็กกล้า โดยได้ใช้กรรมวิธีการคั่วเหล็กกล้า !

สิ่งที่สำคัญที่สุดสองประการสำหรับการคั่วเหล็กกล้า หนึ่งคืออุณหภูมิ ต่อให้มีเตาหลอมทรงสูงแล้ว แต่หากเตาหลอมยังมิก้าวหน้า อุณหภูมิของเตาก็ย่อมสูงมิถึง 1,600 องศา ดังนั้นหนทางที่ดีที่สุดคือการคั่วเหล็กกล้า

กรรมวิธีการคั่วเหล็กกล้าจนไปถึงการควบคุมปริมาณคาร์บอน อีกทั้งยังต้องใช้วิธีการอบชุบให้กลายเป็นเหล็กกล้า

และจนถึงวันนี้โจวเถียเจี้ยงคือช่างเพียงผู้เดียวที่เข้าใจการอบชุบให้กลายเป็นเหล็กกล้าจากที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยพบพานมา ให้ตายเถอะนี่คือผู้มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม

ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงมอบปัญหาที่ยากเกินจะแก้ให้แก่โจวเถียเจี้ยง คิดว่าหากเขาสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เยี่ยงนั้นมิว่าจะด้วยหนทางใดเขาก็ต้องนำคนผู้นี้มาไว้ในมือของตนให้จงได้

โจวเถียเจี้ยงในยามนี้ก็ยุ่งเหยิงเป็นอย่างยิ่ง งานฝีมือนี้ได้รับการตกทอดมาจากบรรพบุรุษ เขาใช้แรงใจในการวิจัยมาถึงยี่สิบกว่าปี สำหรับการถลุงเหล็กแล้วเขาสามารถกล่าวได้ว่าตนนั้นฝึกฝนมาจนเชี่ยวชาญ

แต่หากจะต้องหลอมกระบี่ทั้งเล่มให้กลายเป็นเหล็กกล้า…เขาได้พยายามมาตลอดตั้งแต่ช่วงปีแรก แต่จนถึงวันนี้ก็ยังมิสำเร็จ

มิว่าจะทำเยี่ยงไร ปริมาณสิ่งเจือปนในเหล็กนั้นก็มีมากจนเกินมาตรฐาน ทำให้ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตออกมานั้นมิได้มีความแข็งเทียบเท่ากับเหล็กกล้า

เห็นได้ชัดว่าคุณชายผู้นี้เข้าใจเรื่องเหล็กเป็นแน่ มิมีทางที่จะทำให้เขาอย่างลวก ๆ ได้ แต่ถึงเยี่ยงไรเขาก็จำเป็นจะต้องทำเพื่อให้ได้เงินก้อนนี้มา…

 ขอเอ่ยอย่างมิปิดบังคุณชาย แท้จริงแล้วข้าต้องการเงินเพื่อมาชุบชีวิต แต่วิธีการเปลี่ยนทั้งชิ้นส่วนให้กลายเป็นเหล็กกล้านั้น ข้าน้อยยังมิเชี่ยวชาญพอ มิทราบว่าคุณชายพอจะให้เวลาให้ข้าน้อยสักหน่อยได้หรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด  เจ้ามีกระดาษหรือไม่ ?  

 …มีกระดาษเหลือง ใช้ได้หรือไม่ ?  

 ได้ นำกระดาษเหลืองมา 2 แผ่น ข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง 

 เจ้าอ่านออกเขียนได้หรือไม่ ?  

 ได้ขอรับ !  

 เยี่ยงนั้นก็ดีมากยิ่งนัก 

โจวเถียเจี้ยงตกตะลึงอีกครา เป็นไปได้หรือไม่ที่คุณชายผู้นี้จะเชี่ยวชาญด้านการหลอมเหล็กกล้า ?

เขามิอยากจะเชื่อ !

เพราะใต้หล้านี้มีเพียงเหล็กและไร้ซึ่งเหล็กกล้า แม้แต่กรรมวิธีการถลุงเหล็กของตนเองนั้นก็มีเพียงหนึ่งในใต้หล้า หากบรรพบุรุษมิได้สั่งไว้ว่าห้ามออกไปจากผิงหลิง ป่านนี้เขาคงจะพาครอบครัวไปตั้งรกรากถิ่นฐานในเมืองใหญ่ไปแล้ว

เขานำกระดาษเหลืองมา ฟู่เสี่ยวกวนหยิบถ่านขึ้นมาหนึ่งก้อน เขียนและวาดลงไปบนกระดาษเหลืองนั้น

นี่คือวิธีการหลอมเหล็กกล้าที่ง่ายที่สุด

ฟู่เสี่ยวกวนวาดหม้อคั่วขึ้นมา และอธิบายให้กับโจวเถียเจี้ยง  ของสิ่งนี้คือเตาคั่วเหล็กกล้า องค์ประกอบนั้นก็ง่ายดายมากยิ่งนัก ขุดจนกลายเป็นรูปหม้อ ผนังด้านในเคลือบด้วยโคลนทนไฟ ยามลงมือปฏิบัติให้จุดไฟขึ้นมาก่อน รอจนไฟลุกค่อยเติมเศษส่วนของเหล็กลงไป แล้วปิดฝาหม้อเอาไว้ หากปิดฝาหม้อเอาไว้มิแน่นอาจจะเกิดแรงระเบิดเอาได้… 

เขาเขียนไปด้วยและกล่าวแนะนำไปด้วย เขียนไปเขียนมาได้อยู่สามหน้ากระดาษ และได้อธิบายราวหนึ่งชั่วยามโดยที่ไม่รู้สึกตัว เขาไม่ได้รู้สึกถึงท่าทางตกใจของโจวเถียเจี้ยงเลยแม้แต่น้อย และยิ่งไม่รู้เลยว่าจางเพ่ยเอ๋อร์ที่ลอบฟังอยู่บนหลังคาก็ตกใจเสียจนต้องยกมือขึ้นปิดปาก

 เหตุใดเขาถึงได้รู้มากมายถึงเพียงนี้ ?  

 เขามิใช่นักวรรณกรรมที่มีความสามารถที่สุดในใต้หล้าหรอกหรือ ?  

 คาดมิถึงว่าเขาจะยังสามารถสนทนาเรื่องการหลอมเหล็กกับช่างตีเหล็กได้ !  

จิตใจของจางเพ่ยเอ๋อร์สั่นสะท้านอย่างถึงที่สุด จึงได้ตระหนักถึงสิ่งของต่าง ๆ ที่ฟู่เสี่ยวกวนสร้างที่ซีซานขึ้นมา รู้แล้วว่าเหตุใดจึงยังมิมีผู้ใดสร้างขึ้นมาได้จนถึงวันนี้

และกรรมวิธีการคั่วเหล็กกล้าที่เขากล่าวมานั้น เกรงว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงวิธีการหลอมไปทั้งอุตสาหกรรม !

โจวเถียเจี้ยงตกตะลึงกับความเชี่ยวชาญของฟู่เสี่ยวกวน ความสงสัยที่มีอยู่ในหัวของเขาก่อนหน้านี้ได้หายไปอย่างง่ายดายด้วยคำอธิบายโดยละเอียดของฟู่เสี่ยวกวน แต่เขาทราบอยู่ลึก ๆ ว่านี่มิใช่เรื่องที่ง่ายดายเลย อย่างน้อยเขาก็ต้องผ่านการทดลองมานับครั้งมิถ้วนจึงจะสามารถเชี่ยวชาญกรรมวิธีขั้นสูงสุดทางด้านนี้ได้

เพียงแค่…โจวเถียเจี้ยงได้เริ่มสงสัยในตนเอง กรรมวิธีขั้นสูงถึงเพียงนี้ มีเหตุผลอันใดที่ชายผู้นี้ต้องส่งต่อให้ข้ากัน ?

ถึงแม้กรรมวิธีการถลุงเหล็กที่ตนได้สืบทอดมาจากบรรพบุรุษจะมีการอบรมสั่งสอน แต่ก็มิสามารถถ่ายทอดให้คนนอกได้ ต่อให้เป็นสตรีของตนเองก็มิมีทาง

สามารถส่งต่อให้บุตรชายได้เท่านั้น หากไร้บุตรชาย ก็ถือเป็นจุดจบของวิชานี้ไปเสีย

และเหตุผลที่ฟู่เสี่ยวกวนมอบกรรมวิธีการคั่วเหล็กกล้าให้แก่โจวเถียเจี้ยง กลับเป็นเพราะเขามีความเข้าใจในเรื่องนี้อยู่เล็กน้อยเท่านั้น

เขามิทราบว่าจะทำการอบชุบเยี่ยงไร สัดส่วนควรเป็นเท่าใด และกรรมวิธีนี้กลับมีเพียงโจวเถียเจี้ยงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถทำได้

เขามิได้กังวลใจว่าโจวเถียเจี้ยงจะมีลูกเล่นอะไรกับเขา ด้วยตำแหน่งและสถานะของเขาในปัจจุบันนี้ การบีบโจวเถียเจี้ยงให้ตายมิได้ต่างอะไรจากการบีบมดเลย

 ตอนนี้เจ้ามองออกแล้วหรือไม่ ?   ฟู่เสี่ยวกวนวางถ่านลงแล้วเอ่ยถาม

 ข้าน้อยเข้าใจแล้ว คำอธิบายของคุณชายทำให้ข้าน้อยเข้าใจได้ในทันที เพียงแค่… 

โจวเถียเจี้ยงละล้าละลัง และเอ่ยถามข้อสงสัยในใจออกไป  ที่คุณชายมอบวิธีการนี้ให้แก่ข้า มิทราบว่ามีเงื่อนไขอันใดหรือไม่ ?  

 ง่ายดายมากยิ่งนัก ข้ามีเหมืองแร่อยู่ที่เมืองหลินเจียง เหล็กที่ข้าเผาออกมาได้นั้นดีเป็นอย่างมาก ยามที่เดินทางผ่านมาก็ได้ยินเสียงตีเหล็กกล้าของเจ้าเข้า จึงได้เดินเข้ามาดู เจ้าไปที่เหมืองเหล็กของข้าเถอะ ค่าตอบแทนทุกเดือนของเจ้าเท่ากับ 30 ตำลึง เจ้ามีหน้าที่รับผิดชอบหลอมเหล็กกล้าให้แก่ข้า !  

โจวเถียเจี้ยงรู้สึกประหลาดใจอีกครา ค่าตอบแทน 30 ตำลึง ย่อมทำให้เขาใจสั่นเป็นธรรมดา แต่ว่า…

เขาถอนหายใจออกมา แล้วกล่าวว่า  คุณชายขอรับ มิทราบว่าจะกล่าวเงื่อนไขอื่นแทนได้หรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด  เจ้ามีปัญหาอันใดหรือไม่ ?  

 มันมิใช่ปัญหาของตัวข้าเอง แต่คือคำสั่งของบรรพบุรุษ หากข้าสืบทอดวิชาการถลุงแร่ ชั่วชีวิตของข้าห้ามออกไปจากผิงหลิงเป็นอันขาด 

 ด้วยเหตุผลอันใดกัน ?  

โจวเถียเจี้ยงเงียบไปหลายอึดใจ และกล่าวเสียงแผ่วว่า  เดิมทีต้นตระกูลของข้าคือช่างเหล็กของราชสำนัก ได้รับสั่งให้มาที่นี่จากราชวงศ์ก่อนหน้า ให้ไปหาเหมืองทองคำ ณ ภูเขาเขาผิงหลิง… หลังจากนั้นจึงได้ตั้งรกรากถิ่นฐานที่ผิงหลิงแห่งนี้ จนมาถึงรุ่นของข้าก็เป็นรุ่นที่แปดแล้ว การสืบทอดจึงมีมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษจนถึงตอนนี้ 

ฟู่เสี่ยวกวนตื่นเต้นขึ้นมา  แล้วหาเจอหรือไม่ ?  

โจวเถียเจี้ยงส่ายหน้า  บรรพบุรุษมิได้จดบันทึกเอาไว้ แต่ปีที่หนึ่งของราชวงศ์หยูก็ได้มีการส่งคนมาค้นหาที่ภูเขาผิงหลิงแล้วเช่นกัน กล่าวกันว่ามิมีการค้นพบเหมืองทองคำ แต่กลับพบแร่เหล็กในที่แห่งหนึ่ง เพียงแต่เหมืองแร่นั้นมิใหญ่มาก ดังนั้นจึงมิมีการขุดค้น 

 เจ้าเข้าใจการสังเกตภูเขาหรือไม่ ?  

 ได้สืบทอดมาเช่นกัน 

 เจ้าเคยเข้าไปดูภายในภูเขาผิงหลิงหรือไม่ ?  

 เมื่อสามปีที่แล้วข้าได้ตามหลานคนรองเข้าไปหนึ่งครา และได้ไปดูมาเล็กน้อย 

 เจ้ารู้สึกว่าคุ้มค่าพอให้ขุดเหมืองหรือไม่ ?  

 แร่ในที่นั้นซับซ้อนมากยิ่งนัก กลบฝังลึกเป็นอย่างมาก ข้าหาก้อนแร่มาได้ในจำนวนน้อยนิดเท่านั้น หากต้องการสำรวจโดยละเอียด ก็ต้องกวาดโคลนเขาออกไป หากสามารถหาก้อนแร่ได้มากยิ่งขึ้น ก็จะพิสูจน์ได้ว่ามูลค่าของมันนั้นมีค่าเท่าใด 

ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไปชั่วขณะ  วิธีการหลอมเหล็กกล้านี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ทราบ อย่าได้เผยออกไปข้างนอกเป็นอันขาด เจ้าทดลองดูก่อน นำตั๋วเงินเหล่านี้ไปเถิด ประเดี๋ยวข้าจะมาหาเจ้าอีกคราในอีกไม่กี่วันนี้ 

 คุณชายมีนามว่าเยี่ยงไร ?  

 ฟู่เสี่ยวกวน !  

 

ตอนที่ 420 เทพแห่งโชคลาภ

ฟู่เสี่ยวกวนยังคงพำนักต่อยู่ที่อำเภอผิงหลิง ส่วนไป๋ยู่เหลียนนั้นออกเดินทางไปยังอำเภอชวูอี้โดยลำพัง

ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าภารกิจการไปเยือนอำเภอชวูอี้ครานี้คือการมอบจดหมายฉบับเดียวกันให้กับเยี่ยนหลินชิวผู้เป็นนายอำเภอ

แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากจางเหวินฮั่นก็คือเยี่ยนหลินชิวแทบจะไม่มีความเคลือบแคลงในตัวตนของไป๋ยู่เหลียนเลย เพราะเขานั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของเยี่ยนเสี่ยวโหลวและเยี่ยนซีเหวิน เขารู้อยู่แล้วว่าศักยภาพของอุตสาหกรรมการผลิตนี้ยอดเยี่ยมถึงเพียงใด และก็รู้ว่าว่าที่สามีของน้องสาวนั้นเก่งกาจถึงเพียงใด

แม้ตัวเขาจะลาจากโลกนี้ไปแล้ว แต่ทว่าหนทางในการพัฒนาได้ถูกวางแผนไว้ล่วงหน้านานกว่าครึ่งปีแล้ว !

เยี่ยนหลินชิวรู้สึกเสียดายว่าที่สามีของน้องสาวผู้ที่ซึ่งทำคุณประโยชน์ไว้มากมายมหาศาลถึงเพียงนี้ และกล่าวสรรเสริญเทิดทูนถึงความสำเร็จในการขับไล่กองโจรของไป๋ยู้เหลียนที่ภูเขาผิงหลิง จากนั้นยังขอให้เขาอยู่รับประทานมื้อกลางวันด้วยกันอีกด้วย

ขณะเดียวกันเขาก็ได้ใช้วิธีที่คล้ายกันกับจางเหวินฮั่นเพื่อประกาศรับสมัครคนงาน อนึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมจัดหาแรงงานให้เพียงพอก่อนที่ชาวซีซานจะมาถึง

……

จางเพ่ยเอ๋อร์ได้ออกเดินทางจากที่ว่าการอำเภอผิงหลิง นางสะพายกระบี่ด้ามยาวเอาไว้ที่ด้านหลังแล้วโลดแล่นไปตามถนนในขณะที่หิมะกำลังโปรยปรายลงมาจากท้องนภา

สายตาของนางนั้นกวาดไปยังสองข้างทางอย่างละเอียด นางเชื่อมั่นเสียเหลือเกินว่าฟู่เสี่ยวกวนยังคงมีชีวิตอยู่ และบัดนี้เขาก็ได้พำนักอยู่ที่เมืองผิงหลิงเช่นกัน !

แม้ว่าจะมีสัมผัสที่หกของสตรีแอบแฝงอยู่ในนั้น แต่แน่นอนเสียว่ามันย่อมมิเกิดขึ้นมาอย่างไร้มูลเหตุเป็นแน่ เพราะนางมิปักใจเชื่อว่าเขาจะสามารถวางแผนทุกขั้นตอนละเอียดจนเห็นภาพเสร็จตั้งแต่เดือนสาม แม้ว่าเวลานี้ราชวงศ์หยูจะผลักดันนโยบายเศรษฐกิจใหม่ แต่ทว่าเพิ่งเริ่มผลักดันอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนสี่นี้เอง ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่เทพเจ้าที่จะคำนวณเรื่องราวของทุกวันนี้ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ !

อีกทั้งน้ำหมึกบนกระดาษนั้นก็ยังส่งกลิ่นสดใหม่ออกมาราวกับเพิ่งเขียนเมื่อมินานมานี้ !

เหตุใดเขาจึงมิยอมโผล่หน้าออกมากัน ?

จางเพ่ยเอ๋อร์เคยได้ยินมาว่าฟู่เสี่ยวกวนคือโอรสในจักรพรรดิเหวินแห่งราชวงศ์อู๋ แต่ทว่านางเองก็มิได้เข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันของราวงศ์อู๋ การเคลื่อนไหวของฟู่เสี่ยวกวนในครานี้อาจจะแฝงวัตถุประสงค์อื่นอยู่ก็เป็นได้

จะเป็นวัตถุประสงค์ที่ใหญ่หลวงเพียงใดนั้น จางเพ่ยเอ๋อร์เองก็ยากที่จะคาดการณ์ได้

ทันใดนั้นนางก็ได้ชะงักฝีเท้าลง แล้วก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า หากข้าไปหาเขา…แล้วจะทำเยี่ยงไรต่อไป ?

หรือจะสังหารเขาให้ตายคามือไปเสีย ?

ถ้าหากสังหารเขาให้ตาย เกรงว่าแม้แต่พี่ชายของตนก็จะแปรเปลี่ยนไปเป็นศัตรูกับตน !

เพราะเขาเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้นำพาโชคลาภมาให้ ท่านพี่ยังคงคาดหวังให้เขาช่วยเหลือเหล่าราษฎรออกจากเพลิงแห่งความทุกข์ยากนี้

เยี่ยงนั้นแล้ว สังหารเขาเสียย่อมทำมิได้

หากแม้ได้พบเจอ…ก็คงทำได้เพียงจดจ้องเท่านั้นคาดว่าคงไร้ซึ่งคำเอ่ยใด ๆ

เยี่ยงนั้นแล้วมิเจอยังจะดีเสียกว่า !

จางเพ่ยเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ หนึ่งครา เมื่อย้อนนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองหลินเจียงคราก่อน ริมฝีปากของนางก็เผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความเย้ยหยันออกมา ช่างเหลวไหลสิ้นดี !

นางส่ายศีรษะ ในขณะที่นางกำลังจะหันหลังกลับไปที่ว่าการอำเภอเพื่อไปบอกลาพี่ชาย ทันในนั้นนางก็ได้เห็นแผ่นหลังที่แสนคุ้นเคยเดินออกมาจากโรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า

เอ่ยถึงผี ผีก็มา จางเพ่ยเอ๋อร์ปรับหมวกให้ต่ำลงหน่อย จากนั้นก็ลงจากม้าแล้วเดินตามแผ่นหลังที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้า

ฟู่เสี่ยวกวนก็กำลังจะเดินออกมาจากประตูพอดี

เขามิได้มีธุระสำคัญอันใดให้ต้องจัดการ จึงทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่าย เลยอยากจะออกไปเดินเล่นผ่อนคลายกายใจด้านนอกเสียหน่อย แล้วถือโอกาสทำความเข้าใจสถานการณ์ในเมืองผิงหลิงไปด้วย

ในช่วงกลางวัน อาจจะเป็นเพราะหิมะตกหนัก เลยทำให้ผู้คนในเมืองผิงหลิงออกมาเดินบางตามากยิ่งนัก

ห้างร้านทั้งสองข้างทางนั้นเปิดมากถึงเจ็ดในสิบ แต่ทว่ากลับเงียบเชียบไร้เงาของผู้มาใช้บริการ ผู้จัดการร้านต่างก็นั่งสัปหงกอยู่หน้าเตาผิงตรงโต๊ะหน้าร้าน มีเพียงเหล่าเด็กน้อยที่ไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ เท่านั้นที่ออกมาวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนานท่ามกลางหิมะที่ตกลงมามิขาดสาย ต่างก็ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว เพิ่มสีสันและความมีชีวิตชีวาให้เมืองนี้ได้ดีมากยิ่งนัก

เศรษฐกิจของเมืองนี้ตกอยู่ในสภาวะอัมพาต !

ฟู่เสี่ยวกวนคิดไตร่ตรองแล้วทอดน่องเดินไปบนถนนเส้นนั้นอย่างเชื่องช้า ผู้คนต่างก็ต้องการที่จะจับจ่ายซื้อของในร้านรวง แต่ทว่าในกระเป๋าของพวกเขานั้นกลับมิมีเงินแม้แต่แดงเดียว

เดิมทีที่แห่งนี้นั้นพึ่งพาการจับจ่ายหลักจากคาราวานสินค้า แต่ทว่าเมื่อต้องเผชิญกับหายนะที่เจ้าจอมโจรกงเซินจ่างได้ก่อขึ้นมา ทำให้กองคาราวานสินค้าต่าง ๆ มิกล้าย่างกรายเข้ามาเหยียบที่นี่ เลยทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงักเหมือนน้ำที่หยุดนิ่งอยู่ในบ่อ

สิ่งเดียวที่สามารถทำให้น้ำไหลเวียนได้อีกคราก็คือต้องทำให้ผู้คนมีเงินในกระเป๋ามากยิ่งขึ้น

ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา การจับจ่ายใช้สอยในเมืองแห่งนี้ก็อยู่ในระดับต่ำมาโดยตลอด พวกเขาจะยอมใช้จ่ายเพียงปัจจัยหลักของการอยู่รอดเท่านั้นเช่น อาหาร ยา และเครื่องนุ่งห่ม

ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า คงจะต้องไหว้วานให้หวางเอ้อร์นำมันเทศมาที่นี่เสียหน่อย และคงต้องขอที่จากจางเหวินฮั่นและเยี่ยนหลินชิวสักสองสามแปลงเพื่อที่จะลองทำการเพาะปลูก

ต้องทำให้ผู้คนทั้งสองเมืองนี้เกิดแรงกระตุ้นที่จะอยากศึกษาวิธีการเพาะปลูกมันเทศกับหวางเอ้อร์

เดิมทีเขาวางแผนที่จะนำมันเทศที่เก็บเกี่ยวในปีนี้ปลูกที่ซีซานอีกคราในปีหน้า แต่ทว่าวันนี้ได้คิดแล้วว่าคงจะมิทันการเสียแล้ว

จำต้องเหลือมันเทศจำนวนเล็กน้อยเพื่อเก็บไว้เป็นเมล็ดพันธุ์ต่อที่ซีซาน ส่วนที่เหลือนั้นก็บรรทุกมาที่นี่ให้หมด

ในฐานะเศรษฐีที่ดินแน่นอนเสียว่าเขามิได้เป็นผู้ที่ใจบุญสุนทาน มันเทศเหล่านี้ก็ต้องเก็บเงินเช่นกัน ในส่วนที่ว่าผู้คนยินยอมที่จะควักเงินออกมาซื้อมันเทศหรือไม่นั้น เขากลับมิได้เป็นกังวลในเรื่องนี้ เพราะเยี่ยงไรเสียผู้คนเหล่านี้ก็ต้องเป็นแรงงานในโรงงานของตน เมื่อถึงเวลานั้นตนจะหักเงินจากค่าตอบแทนของพวกเขาก็ย่อมทำได้

ในส่วนเมล็ดพันธ์ของฟู่เอ้อร์ไต้นั้น ฟู่เสี่ยวกวนมิได้วางแผนที่จะมาทดลองเพาะปลูกที่นี่

การเพาะปลูกเมล็ดพันธุ์ฟู่เอ้อร์ไต้นั้นมิได้ง่ายดายเลย ความสามารถในการผลิตของที่นี่นั้นช่างน่าเวทนามากยิ่งนัก ทำให้เขารู้สึกผิดต่อเมล็ดพันธุ์ของตนเอง

ในขณะที่เขากำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์แห่งความคิดนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงตีเหล็กแว่วมาจากมุมของถนน เมื่อหันไปมองดวงตาของเขาก็ได้จรัสเป็นประกาย จากนั้นก็ได้เข้าไปดูด้วยความตื่นเต้น

 ร้านเครื่องเหล็กโจวจี้ !  

ประตูของห้องที่ดำทะมึนนั้นได้ถูกเปิดเอาไว้ เขายกเท้าก้าวเข้าไปในร้าน แสงไฟภายในนั้นมืดสลัว เขากวาดสายตาไปรอบ ๆ ห้องอย่างละเอียด เครื่องใช้ที่ทำจากเหล็กนั้นมีให้เลือกเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น มีเพียงพลั่วสามด้าม มีดทำครัวสี่เล่มและขวานอีกห้าด้ามแขวนอยู่ในตู้โชว์เท่านั้น

ภายในร้านไร้ซึ่งเงาของผู้คน เสียงนั้นได้ดังแว่วมาจากลานด้านหลังบ้าน จากนั้นเขาจึงเดินเข้าไปที่ลานด้านหลัง ส่วนจางเพ่ยเอ๋อร์นั้นได้ขมวดคิ้ว จากนั้นก็ได้ม้วนตัวลอยขึ้นไปบนหลังคาของร้านเหล็ก

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเดินมาถึงสวนด้านหลังเขาก็ได้พบกับชายวัยสี่สิบปีผู้ที่มีผิวดำกร้าน เขากำลังนั่งขัดค้อนโลหะเพื่อที่จะตีบางอย่างที่วางอยู่บนทั่ง

เมื่อเขาหันมาเห็นฟู่เสี่ยวกวน เขาก็มิได้เอ่ยกล่าวสิ่งใดออกมา แต่ยังคงก้มลงใช้ค้อนด้ามนั้นทุบตีโลหะอย่างมีจังหวะต่อไป จากนั้นก็นำสิ่งที่เพิ่งตีเสร็จลงไปแช่ในน้ำ และภายในภาชนะที่ใส่น้ำก็เกิดเสียง  ซ่า…  ดังขึ้นแล้วก็มีควันลอยโขมงขึ้นมา

 คุณชายต้องการซื้อสิ่งใดเยี่ยงนั้นหรือ ?   โจวเถียเจี้ยงเอามือเช็ดกับผ้ากันเปื้อนที่ผูกไว้ที่เอว แล้วเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง

ฟู่เสี่ยวกวนมองสิ่งที่อยู่บนทั่งของโจวเถียเจี้ยงด้วยความสงสัยใคร่รู้  พลั่วด้ามนี้ของท่านนั้นดูมิเหมือนผู้ใด !  

โจวเถียเจี้ยงผงะเล็กน้อย แล้วจึงฉีกยิ้มกว้างออกมา  คุณชายรู้วิธีการหลอมเหล็กด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 รู้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงที่ท่านใช้ค้อนตี เหล็กที่ยังมิได้หลอมของท่านเมื่อได้เติมแร่ธาตุแล้วตีซ้ำอีกครานั้นได้ส่งเสียงดั่งเหล็กกล้าออกมามากเป็นพิเศษ !  

ฟู่เสี่ยวกวนได้หยิบส่วนหัวของพลั่วที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา จากนั้นก็ได้เพ่งเล็งอย่างละเอียด แล้วได้ใช้มือของเขาลูบตรงปลายแหลม เมื่อหันกลับไปก็เห็นโจวเถียเจี้ยงกำลังตกอยู่ในอารามตกตะลึง

นี่เป็นสูตรลับที่ตระกูลโจวสืบทอดกันมาถึงสามรุ่น !

ทว่าคุณชายผู้นี้กลับฟังออกถึงความแตกต่าง หรือว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์หลอมเหล็กผู้เยาว์วัยกัน ?

ทันใดนั้นเขาก็ได้คว้าเศษเงินออกมาจากกระเป๋า รวมกันได้ราวสองตำลึง แล้วส่งมอบให้กับโจวเถียเจี้ยง  จงใช้กลวิธีในการหลอมเหล็กเช่นนี้ทำกระบี่ให้ข้า 1 เล่ม นี่คือเงินมัดจำ เมื่อตีกระบี่เสร็จท่านต้องการเท่าใดก็จงเรียกมา แต่ทว่าข้าใคร่ขอเพียงอย่างเดียว 

 ขอคุณชายจงเอ่ยกล่าว !  

เมื่อโจวเถียเจี้ยงเห็นเงิน 2 ตำลึงอยู่ในมือสายตาก็ลุกวาวขึ้นทันที !

นานเท่าใดแล้วที่ขายมิได้ ลูกชายก็ป่วยหนักและมิมีเงินจ้างหมอมารักษา ภรรยาก็จำต้องเฝ้าไข้ลูกอยู่มิห่าง เหนื่อยสายตัวแทบขาด ทุกวันนี้ชีวิตช่างไร้ซึ่งความหวังให้ยืนหยัดสู้ต่อไป

วันนี้เขามาเปิดร้านก็หวังที่จะหาเงินได้สักเล็กน้อย ให้พอมีเงินไปซื้อยาให้กับลูกชายหัวแก้วหัวแหวน แต่กลับคิดมิถึงว่าจะได้พบกับเทพแห่งโชคลาภ !

 เจ้าใช้ทักษะในการตีเหล็กที่ยังมิได้หลอมให้เป็นเหล็กกล้า แต่ข้าต้องการกระบี่ที่ทำจากเหล็กกล้าทั้งเล่ม !  

โจวเถียเจี้ยงตกตะลึงทันพลัน แล้วรู้สึกผิดหวังขึ้นมาภายในใจ

 

ตอนที่ 419 รับสมัครคนงาน

ไป๋ยู่เหลียนวางจดหมายแล้วลุกออกไปทันทีด้วยความกระอักกระอ่วน

บัดนี้จางเพ่ยเอ๋อร์มั่นใจมากยิ่งขึ้นไปอีกว่า  ท่านพี่…ฟู่เสี่ยวกวนต้องยังมิตายเป็นแน่ !  

จางเหวินฮั่นรับจดหมายมาแล้วกางออก  น้องพี่…พี่รู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นคือชายหนุ่มอัจฉริยะ หญิงสาวที่หลงรักเขาป่านนี้ก็คงจะตรอมใจกระโดดลงแม่น้ำไปหมดแล้ว เจ้าเองก็ยังเคยกระโดดแม่น้ำเพราะเขาเลยนี่ เจ้าลงมาจากเขาครานี้ก็เพื่อจะมาสังหารเขา…พี่ว่า เจ้ากลัวว่าตนเองจะฝึกวิชากระบี่ไร้หัวใจนั่นมิสำเร็จ 

จางเพ่ยเอ๋อร์หน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ นางเบ้ปากเล็กน้อย  หากเขายังมิตายเสียจริง ๆ ล่ะก็ ข้าจะสังหารเขาให้จงได้ !  

จางเหวินฮั่นเหลือบไปมองจางเพ่ยเอ๋อร์ เขาลอบคิดอยู่ในใจว่าหากแม้เขายังมิตาย แล้วบัดนี้ได้ยืนอยู่เบื้องหน้าของเจ้า อย่าว่าแต่จะสังหารเขาเลยเพียงแค่กระบี่เจ้าก็ยังจับเอาไว้มิมั่น จะเอาปัญญาที่ไหนไปสังหารเขากันเล่า ?

หลังจากนั้นเขาก็ได้ย้ายสายตามาทางตัวหนังสือที่ดึงดูดที่อยู่เบื้องหน้านี้แทน เขาตั้งใจเพ่งเล็งในทุกตัวอักษร และแล้วใบหน้าก็ค่อย ๆ เผยความปลื้มปิติออกมา

 ฮ่า ๆ ๆ เดิมทีพี่ดูถูกเจ้าลูกเศรษฐีผู้นี้เสียด้วยซ้ำ แต่ทว่าบัดนี้กลับรู้สึกเคารพในความเก่งกาจของเขาเสียจริง ๆ !  

 พวกเจ้ามานี่หน่อย…จงไปเรียกผู้ช่วยหวงเข้ามา ข้ามีภารกิจต้องการมอบให้กับเขา 

 เอามานี่…ให้ข้าดูหน่อยเถิด 

 เจ้าคิดจะสังหารเขา แล้วเจ้าจะดูไปเพื่อประโยชน์อันใดกัน ?  

 ท่านพี่… !  

จางเหวินฮั่นส่งจดหมายให้กับผู้ที่เป็นน้องสาว แล้วพลางนึกไปว่าคนเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนตายเสียก็ดี หากว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่ เขาคงจะทำลายชีวิตของหญิงสาวไปอีกหลายราย !

เมื่อผู้ช่วยหวงได้เดินเข้ามา จางเหวินฮั่นก็ได้ชี้นิ้วออกไป  เชิญนั่งก่อนเถิด บัดนี้อำเภอของพวกเรามีประชากรกลับมาทั้งสิ้นกี่คน ?  

 ท่านนายอำเภอที่เคารพ กองทัพชายแดนทางเหนือส่งกลับมาแล้วทั้งสิ้น 31,278 คน ผู้คนเหล่านี้ก็คือพวกที่ถูกต้อนขึ้นไปที่ภูเขาผิงหลิงเมื่อฤดูหนาวปีที่แล้วขอรับ 

 บัดนี้ได้ลงหลักปักฐานแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 คนที่ยังมีกระท่อมหลงเหลืออยู่ก็กลับกระท่อม ยังมีอีก 3,000 คนที่มิมีกระท่อมให้กลับ ดีที่สำนักศึกษาผิงหลิงอยู่ในช่วงปิดเทอมพอดี ทั้งสามพันคนนี้จึงอาศัยอยู่ในสำนักศึกษาเป็นการชั่วคราว จำต้องรอจนกระทั่งกระท่อมที่ผุพังไปนั้นถูกสร้างขึ้นมาใหม่จนแล้วเสร็จ แต่ก็เกรงว่าอาจจะกินเวลานานถึงปีหน้า กองทัพชายแดนเหนือได้ส่งอาหารมาให้พวกเขากักตุนไว้กินในช่วงฤดูหนาว ส่วนเงินที่มีมาให้นั้นมีเพียงแค่ 2,100 ตำลึงเท่านั้น 

ผู้ช่วยหวงทำท่าพินิจอย่างละเอียด จากนั้นจึงได้เอ่ยต่อ  ทางชวูอี้เองก็เร่งรัดให้ข้าแบ่งอาหารและเงินเหล่านั้นให้พวกเขาด้วย ข้าคิดว่าควรแบ่งให้เพียงบางส่วนก่อนดีหรือไม่ ?  

 ช้าก่อน !   จางเหวินฮั่นโบกมือปัด  เยี่ยนหลินชิวนั้นมีท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนคอยหนุนหลัง ท่านวางใจเถิด เขาคงมิได้ขัดสนเงินทองและอาหารหรอก แต่กลับเป็นพวกเราต่างหากเล่า เป็นลูกที่พ่อมิสนใจแม่ก็มิรัก นี่เพิ่งจะย่างเข้าสู่ฤดูหนาวเท่านั้นเอง ข้ายังมิรู้เลยว่าปีนี้จะสามารถข้ามผ่านฤดูหนาวไปได้อย่างสงบสุขหรือไม่… 

จางเหวินฮั่นรินชาให้ผู้ช่วยหวงหนึ่งถ้วย โน้มตัวเข้าไปหาเขาแล้วเอ่ยบางอย่างที่ดูมีลับลมคมใน  เหล่าหวง วันนี้ข้ามีข่าวใหญ่จะมาแจ้งให้ท่านทราบ หากพวกเราสามารถเดินตามแผนนี้ได้แน่นอนเสียว่าอำเภอผิงหลิงของเราจะพลิกโฉมไปในทันที 

ผู้ช่วยหวงถึงกับชะงัก เขาคิดในใจว่าตนนั้นมารับหน้าที่ตั้งแต่ตำแหน่งเล็ก ๆ จนถึงตำแหน่งผู้ช่วยนายอำเภอบัดนี้ก็ล่วงเลยมาถึง 30 ปีแล้ว !

และตลอด 30 ที่ผ่านมา นายอำเภอได้ถูกเปลี่ยนไปแล้วมากถึง 15 คนด้วยกัน !

ทุกคนที่เข้ามารับราชการนั้นต่างก็มีความตั้งใจหนักแน่น แต่ทว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องจากไปก็ต่างมีสภาพสะบักสะบอมเสียจนดูมิได้

เช่นเดียวกับนายอำเภอผู้นี้ เมื่อปีกลายตอนที่มาที่นี่ช่วงแรก ๆ ก็ยังคงกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา เปล่งวาจาออกมาแต่ละคราก็เป็นทางการไปเสียหมด แต่พอทุกวันนี้ได้สนิทชิดใกล้กับเขามากขึ้นก็เลยเรียกเหล่าหวง…เหล่าหวงมิขาดปาก

สถานที่ทุรกันดารแห่งนี้ทำร้ายผู้คนได้มากถึงเพียงนี้เชียวหรือ !

ที่น่าเห็นใจก็คือนายอำเภอผู้นี้ แม้กระทั่งสมองเองก็เริ่มฟั่นเฟือนเสียแล้ว

จึงได้เกิดภาพจินตนาการที่ผิดปกติเยี่ยงนี้ออกมา ต้องการให้ผิงหลิงพลิกโฉมไปทันตาเยี่ยงนั้นหรือ ? พลิกเยี่ยงไรเล่า ? ยากจนถึงเพียงนี้ต่อให้พลิกเยี่ยงไรก็ยังจะยากจนอยู่วันยังค่ำ !

จางเหวินฮั่นยกมือขึ้นไปวางไว้บนบ่าของผู้ช่วยหวงด้วยความสนิทชิดเชื้อ  เวลานี้ เจ้าจงสั่งให้ผู้ตรวจการเจิ้ง นำผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาไปราว 20 คน ไปเคาะระฆังเพื่อเผยแพร่คำประกาศของข้า !  

 ประกาศสิ่งใดเยี่ยงนั้นหรือ ?   ผู้ช่วยหวงเอ่ยถามด้วยความตื่นตกใจ

 รอประเดี๋ยว ข้าจะเขียนให้ท่าน 

จางเหวินฮั่นนำพู่กัน หินฝนหมึก และกระดาษออกมา แล้วบรรจงเขียนด้วยความกระฉับกระเฉง

 โรงงานปูนซีเมนต์ โรงงานอิฐและกระเบื้องแห่งซีซานสาขาอำเภอผิงหลิงกำลังจะเปิดรับคนงาน มิจำกัดจำนวน มิจำกัดเพศ เกณฑ์จำกัดอายุ 12 ปีจนถึง 60 ปี ค่าตอบแทนคิดเป็นรายวัน วัยฉกรรจ์วันละ 50 อีแปะ ผู้เยาว์และผู้สูงอายุวันละ 30 อีแปะ ผู้ที่อ่านออกเขียนได้วันละ 80 อีแปะ และผู้ที่มีความสามารถพิเศษวันละ 100 อีแปะ !  

ผู้ที่สนใจให้เดินทางมาสมัครได้ที่…ที่ว่าการอำเภอผิงหลิง เมื่อสมัครเสร็จแล้ว รับข้าวสารทันที 5 ชั่ง !

และนี่ก็คือคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนในจดหมายสั่งเสีย เมื่อผู้ช่วยหวงเห็นเช่นนั้นก็ถึงกับตกตะลึง

 นี่มัน…ท่านนายอำเภอ เงินคงคลังของพวกเรากับเงินของกองทัพชายแดนเหนือรวมกันก็มีเพียงแค่ 4,000 ตำลึงเท่านั้น ท่านทำเยี่ยงนี้… 

มันน่ากลัวจนเกินไป !

หนึ่งวัน 50 อีแปะ เดือนหนึ่งมิมากถึง 1,500 อีแปะเลยเยี่ยงนั้นหรือ ? นั่นมันเป็นเงินตำลึงครึ่งเลยนะ !

ตนเองรับตำแหน่งเป็นผู้ช่วยนายอำเภอเดือนหนึ่งเขาหาเงินได้เพียงแค่ 2 ตำลึงเท่านั้นเอง ตนเองก็เป็นคนอ่านออกเขียนได้ เช่นนั้นก็ไปทำงานที่โรงงานซีซานอะไรนั่นมิดีกว่าหรือ เงินเดือนยังจะสูงเสียยิ่งกว่าการเป็นผู้ช่วยนายอำเภอเสียอีก

ท่านนายอำเภอผู้นี้คาดว่าคงจะเพ้อฝันเสียจนสติฟั่นเฟือนไปแล้วเป็นแน่ !

 อะไรกัน ท่านมิเชื่อเยี่ยงนั้นหรือ ?  

จางเหวินฮั่นวางพู่กันลงแล้วถูมือทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน  นี่เป็นการลงทุนครั้งใหญ่ในการผลักดันนโยบายการค้าคู่การเกษตร ข้าจะบอกอะไรให้ เมื่อผ่านปีนี้ไปทางซีซานจะมาลงทุนที่อำเภอผิงหลิงมากขึ้นเรื่อย ๆ ท่านรู้หรือไม่ว่ามันจะเป็นเงินจำนวนมหาศาลถึงเพียงใด ?  

ผู้ช่วยหวงส่ายหน้าด้วยความตกตะลึง

 ขั้นต่ำก็คือตัวเลขนี้ !   จางเหวินฮั่นกางนิ้วมือออกมา

 5,000 ตำลึงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

จางเหวินฮั่นส่ายศีรษะ

 หรือว่าจะเป็น 50,000 ตำลึงกัน ?   ผู้ช่วยหวงสูดหายใจเข้าด้วยความตกตะลึง เท่ากับว่าเป็นเงินลงทุนที่เยอะที่สุดในประวัติศาสตร์ของผิงหลิง !

จางเหวินฮั่นขมวดคิ้ว  เหล่าหวงท่านนี่ดีไปหมดเสียทุกอย่าง เสียดายอย่างเดียวคือขาดความกล้า ข้าจะบอกอะไรให้ เงินลงทุนอย่างต่ำก็เป็นจำนวน 500,000 ตำลึงแล้ว !  

ครานี้ผู้ช่วยหวงงงเป็นไก่ตาแตก ช่างยากที่จะเชื่อมากยิ่งนัก !

จางเหวินฮั่นยกมือตบบ่าผู้ช่วยหวง แล้วยิ้มราวกับผู้ร้ายออกมา  เหล่าหวงยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว กงเซินจ่างได้ถูกตัดหัวไปแล้ว ฝ่าบาททรงออกแผนโยบายการค้าคู่การเกษตร ฐานะของพ่อค้าก็ถูกยกให้สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ และอีกไม่นานก็คงจะออกนโยบายเอื้อผลประโยชน์ต่าง ๆ ให้เหล่าพ่อค้าออกมาเช่นกัน พวกเราก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับกระแสในยุคปัจจุบันและตามให้ทันยุคสมัย 

คำเอ่ยเหล่านี้ล้วนแต่ยกมาจากจดหมายสั่งเสียของฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนกังวลมากยิ่งนักว่าเขาจะอ่านผ่าน ๆ ไปแล้วมิยอมนำไปประยุกต์ใช้ เขาเลยเขียนบรรยายเสียจนละเอียดยิบ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถช่วยปลดปล่อยความคิดของจางเหวินฮั่นได้

แต่สิ่งที่เขามิล่วงรู้ก็คือตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา จางเหวินฮั่นโดนสภาพอันโหดร้ายเยี่ยงนี้กดดันเสียจนเกือบเป็นบ้า

หากย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เขาเพิ่งได้รับตำแหน่งนั้น เขาอาจจะมิแม้แต่ชายตามองจดหมายของฟู่เสี่ยวกวนเลยด้วยซ้ำ แต่ทว่าบัดนี้เขากลับหวังให้ธุรกิจสามารถขับเคลื่อนได้โดยเร็วมากกว่าที่ฟู่เสี่ยวกวนคาดหวังเสียอีก !

 ซีซานที่ว่านี่…ที่มาที่ไปมันเป็นเยี่ยงไรกัน ?  

ผู้ช่วยหวงมิได้ถูกคำเอ่ยของจางเหวินฮั่นทำให้หน้ามืดตามัว เขากลับกังวลว่าจะเป็นมิจฉาชีพหรือไม่ หากเป็นนักธุรกิจทั่วไปต้องการลงทุนจำนวนมหาศาลถึงเพียงนี้ พวกเขาเลือกลงทุนในเมืองหย่งหนิงมิดีกว่าหรือ เหตุใดถึงต้องนำเม็ดเงินมาโปรยในที่ที่ลำบากยากจนแม้แต่นกก็มิอยากมาขี้ใส่เช่นนี้ด้วย ?

 ซีซานอยู่ที่เมืองหลินเจียงบ้านเกิดของข้า เป็นสถานที่ที่ลูกชายเศรษฐีที่ดินท่านหนึ่งได้ก่อตั้งขึ้นมา บนนั้นมีโรงงานมากมาย มิว่าจะเป็นโรงงานปูนซีเมนต์หรือโรงงานอิฐกระเบื้องเพียงแค่สองโรงงานนี้…แต่ทว่าก็ทำเงินได้จำนวนมหาศาล ทำให้เขากอบโกยกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ ท่านอย่าได้เคลือบแคลงความสามารถในการทำเงินของซีซานเลย 

เมื่อผู้ช่วยหวงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกสบายใจและรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นมา

 ท่านจะให้ค่าตอบแทนรายวันสูงถึงเพียงนี้จริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ค่าตอบแทนนี้มิใช่ข้าที่เป็นผู้จ่าย แต่เป็นนายน้อยแห่งซีซานนั่นต่างหาก แล้วเยี่ยงนี้จะเป็นเรื่องเท็จได้เยี่ยงไรกัน ?  

 แล้วปูนซีเมนต์…คือสิ่งใดกัน ?  

 เป็นของดีเชียวล่ะ ประเดี๋ยวท่านก็ย่อมรู้เอง รีบนำเรื่องนี้ไปจัดการให้เสร็จสรรพ อย่าผลัดเสียจนพวกเขามาถึงแล้วก็ยังหาคนงานมิได้ เยี่ยงนั้นแล้วพวกเราย่อมแย่เป็นแน่ถ้าหากพวกเขาเกิดเปลี่ยนใจ !  

Manga Info

 

ตอนที่ 418 จดหมายสั่งเสีย

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า สิบค่ำ เดือนสิบ ณ ริมแม่น้ำฉินหวายแห่งเมืองจินหลิง

เมื่อย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงบรรยากาศก็ยิ่งหนาวเหน็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้ฝนเม็ดที่กระหน่ำลงมาเช่นนี้

หยูชิงหลานองค์หญิงสามแห่งราชวงศ์หยูจ้องมองฮั่วหวยจิ่นด้วยความรักใคร่  รุ่งเช้า…ข้าจะต้องออกเดินทางไปยังแคว้นฮวงแล้ว 

ฮั่วหวยจิ่นที่กำลังกางร่มกระดาษให้กับหยูชิงหลาน ได้เงียบไปเนิ่นนาน จากนั้นจึงได้ถอนหายใจออกมาเพื่อตอบรับว่าตนนั้นได้รับรู้แล้ว

 หากข้ามิกลับมา…เจ้าก็จงหาสตรีที่ดีกว่าข้า  หยูชิงหลานยื่นมือออกไปจัดแต่งเสื้อนอกของฮั่วหวยจิ่น นางได้ข่มใจฝืนยิ้มออกมาให้คนรักได้เห็น  ข้าจะต้องกลับมาให้ได้ กลับมาอย่างไร้มลทิน 

ฮั่วหวยจิ่นสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ จากนั้นจึงก้มหัวลง  ฝ่าบาททรงมิเห็นด้วยที่จะให้ข้าติดตามท่านไปยังแคว้นฮวง อีกทั้งเขาก็ได้ตายจากไปแล้ว… 

เขา ณ ที่นี้ย่อมหมายถึงฟู่เสี่ยวกวน

เพราะก่อนที่ฟู่เสี่ยวกวนจะเดินทางไปยังแคว้นอู๋ ฮั่วหวยจิ่นได้ฝากความปลอดภัยขององค์หญิงสามไว้ที่เขา เพราะมีเพียงเขาเท่านั้นที่จะสามารถนำองค์หญิงสามกลับมาได้อย่างสวัสดิภาพ

ทว่าตัวเขากลับจบชีวิตลงในผืนปฐพีของแคว้นอู๋เสียแล้ว !

จึงทำให้ฮั่วหวยจิ่นหมดสิ้นความหวัง !

ภารกิจในการส่งตัวเจ้าสาวที่แคว้นฮวงครานี้นำโดยสวี่หวยซู่เสนาบดีกรมพิธีการ และขุนนางที่ติดตามไปนั้นล้วนแต่เป็นขุนนางฝ่ายพลเรือน พวกเขามีภารกิจเพียงแค่ส่งตัวเจ้าสาวให้สำเร็จเท่านั้น พวกเขาคงมิคิดที่จะนำตัวองค์หญิงสามกลับมา และคงไร้ความสามารถที่จะนำตัวพระนางกลับมาเช่นกัน

เช่นนี้ก็เป็นที่แจ่มชัดแล้วว่าบทสรุปของการเดินทางครานี้จะลงเอยลงเยี่ยงไร

นางย่อมตกเป็นพระมเหสีของท่าป๋าเฟิงผู้ซึ่งเป็นประมุขของแคว้น และเป็นพระมารดาผู้ให้การบ่มเพาะเลี้ยงดูโอรสธิดาผู้เป็นเชื้อพระวงศ์ของจักรพรรดิแห่งแคว้นฮวง เป็นการยากที่จะกลับมาเหยียบผืนปฐพีบ้านเกิดเมืองนอนอีกครา

 คืนก่อนข้าได้แวะไปเยี่ยมองค์หญิงเก้า และได้สนทนากับนางอยู่สักพัก 

 นาง…นางเองก็คงรู้สึกเศร้าใจอยู่มิน้อย 

 แต่นางกลับจิตใจสงบขึ้นมากโข อาจเป็นเพราะเวลาได้ล่วงไปกว่าครึ่งปีแล้ว ความคะนึงหาที่แบกอยู่ในอกจึงมิหนักเท่าเมื่อเริ่มแรกและดูเหมือนว่าได้ลดลงไปมากพอควร  หยูชิงหลานหันหน้าที่แสนอ่อนโยนนั้นไปหาฮั่วหวยจิ่น  นี่คงจะเป็นลิขิตชีวิตของเหล่าสตรี เนื่องจากฮองเฮาซั่งผลักดันองค์หญิงเก้าให้มิเชื่อในเรื่องลิขิตสวรรค์ ด้วยเหตุนี้นางจึงได้เดินทางไปยังเมืองหลินเจียงเพื่อฟู่เสี่ยวกวน 

หยูชิงหลานหันกลับไป สายตาของนางนั้นได้ทอดมองไปยังแม่น้ำฉินหวายที่บัดนี้ได้มีหมอกความเย็นปกคลุมไปทั่วผืนน้ำ  นางเป็นสตรีที่หวังจะควบคุมโชคชะตาด้วยตนเอง แต่ทว่าฟ้าดินช่างใจร้ายยิ่ง ท้ายที่สุดก็ได้ทอดทิ้งให้นางเผชิญความเจ็บปวดโดยลำพัง 

 หวยจิ่น เจ้ายังจำเมื่อปีนั้นที่พวกเราได้พบพานกัน ณ แม่น้ำฉินหวายแห่งนี้ได้หรือไม่ แม่น้ำแห่งนี้เป็นจุดเริ่มต้นความรักของคู่รักหลายคู่ ทว่าท้ายที่สุดก็ได้กลายเป็นโศกนาฏกรรม…ดั่งเช่นสวี่หยุนชิงและจักรพรรดิเหวิน ดั่งเช่นฟู่เสี่ยวกวนและต่งซูหลาน หรืออย่างเช่น…ข้ากับเจ้า 

 วันนี้ที่เรียกเจ้ามาพบก็เพื่อจะได้มองหน้าเจ้าดี ๆ อีกสักครา และอีกอย่างข้าก็ใคร่มามองแม่น้ำฉินหวายแห่งนี้ ว่าเหตุใดมันถึงกลบฝังความฝันอันสวยงามของผู้คนมานักต่อนักกัน ?  

 องค์หญิงเก้าเอ่ยกับข้าว่าอย่าได้สิ้นหวังที่จะกลับมาเป็นอันขาด ข้าย่อมปรารถนาที่จะกลับมา เเต่ทว่า…ข้าจะกลับมาได้เยี่ยงไร ?  

 องค์หญิงเก้าบอกให้ข้าสั่งให้ขบวนหยุดรอที่อำเภอผิงหลิงเป็นเวลา 1 วัน ข้าเองก็เข้าใจความหมายในสิ่งที่นางเอ่ย เพราะที่นั่นคือปฐพีตอนเหนือสุดของบ้านเกิดเมืองนอน นางอาจจะอยากให้ข้าได้มองทอดผืนปฐพีของตนเองเสียให้เต็มตา คลุกคลีกับบ้านเกิดเมืองนอนให้มากขึ้น สูดความหอมอบอวลของกลิ่นแคว้นหยูให้เต็มที่ 

ฮั่วหวยจิ่นชะงักด้วยความตกใจ หยุดรอที่อำเภอผิงหลิงเป็นเวลา 1 วันเยี่ยงนั้นหรือ ?

หลังจากกองกำลังดาบเทวะได้ปราบปรามกองโจรที่ภูเขาผิงหลิงจนมิเหลือซากก็ได้ตรงไปยังแคว้นฮวงในทันที และกองกำลังดาบเทวะก็ถูกก่อตั้งขึ้นโดยฟู่เสี่ยวกวน หรือองค์หญิงเก้าประสงค์จะหมายความว่าให้รอกองกำลังวกกลับมาเพื่ออารักขาองค์หญิงสามไปยังแคว้นฮวงใช่หรือไม่ ?

เขารู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาภายในใจ แม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะตายจากไปแล้ว แต่กองกำลังนี้ก็ได้บุกโจมตีกองกำลังของกงเซินจ่างเพื่อสนองความปรารถนาของเขาเมื่อตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ !

 ชิงหลาน !  

 อือ 

 หันมามองข้าสิ !  

หยูชิงหลานได้เอนตัวหันไปหาฮั่วหวยจิ่น บัดนี้ใบหน้าของเขาได้เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นและไร้กังวล

 เจ้าต้องจำคำขององค์หญิงเก้าไว้ให้ดี ต้องให้ขบวนส่งตัวเจ้าสาวรอที่นั่นเป็นเวลา 1 วัน !  

 รอสิ่งใดเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 รอกองกำลังดาบเทวะ หรืออาจจะรอไป๋ยู่เหลียน !  

……

ณ สวนด้านหลังที่ว่าการอำเภอผิงหลิง

จางเหวินฮั่นนายอำเภอได้นั่งจ้องมองผู้ที่อ้างตนว่าเป็นไป๋ยู่เหลียนอย่างเพ่งพินิจ สายตาคู่นั้นถลึงโตเสียจนน่ากลัว !

 เจ้าบอกว่าเจ้าคือไป๋ยู่เหลียนเยี่ยงนั้นหรือ เจ้าคือวีรบุรุษผู้นั้นที่กำราบกองกำลังของกงเซินจ่างเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ไป๋ยู่เหลียนยักไหล่  ใช่… !  

จางเหวินฮั่นหัวเราะร่าออกมา แล้วได้ส่ายหัว  มิกี่ปีมานี้พวกมิจฉาชีพได้ลดน้อยลงไปมากแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด เพราะว่าที่แห่งนี้มันยากจนข้นแค้น จะหลอกเพื่อหาเงินนั้นย่อมเป็นไปมิได้อย่างแน่นอน 

หลังจากนั้นสีหน้าของเขาได้แปรเปลี่ยนไปเป็นอาฆาตมาดร้ายในทันที  จงบอกข้ามาด้วยความสัตย์ว่าแท้จริงแล้วเจ้าเป็นผู้ใด มิเช่นนั้นก็อย่าได้โทษข้าที่ต้องจับเจ้าเข้าตาราง !  

ไป๋ยู่เหลียนที่เป็นผู้บริสุทธิ์จึงลอบคิดในใจว่า ข้าก็เพียงแค่ทำหน้าที่นำคำกล่าวของฟู่เสี่ยวกวนมาบอกต่อก็เท่านั้นเอง นี่เจ้ายังมิเชื่อเสียด้วยซ้ำว่าข้าคือไป๋ยู่เหลียน !

จะเอาหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ว่าตนคือไป๋ยู๋เหลียนตัวจริงกัน

จางเพ่ยเอ๋อร์ผู้ที่นั่งอยู่ด้านข้างในมือของนางนั้นได้กุมกระบี่คู่กายไว้แน่น นางจ้องมองชายหนุ่มรูปงามเบื้องหน้าด้วยความระแวดระวัง ยุคสมัยนี้ชายหนุ่มที่หน้าตางดงามนั้นต่างไว้ใจมิได้ และเกินครึ่งก็เป็นพวกกะล่อนปลิ้นปล้อน

 นายอำเภอจาง ข้ามิได้มีเวลามาไร้สาระกับท่านหรอก ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อคุณชายของข้า ก็เพื่อสานต่อสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนได้สั่งเสียเอาไว้ในตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ 

จางเพ่ยเอ๋อร์และจางเหวินฮั่นต่างผงะ  เขาสั่งเสียสิ่งใดกับเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 อีกมิกี่วันช่างฝีมือก็จะเดินทางมาถึงอำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้ ความประสงค์ของคุณชายก็คือก่อตั้งโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ โรงงานอิฐและกระเบื้องในทั้งสองอำเภอนี้ ทั้งสองโรงงานนี้ต้องการแรงงานจำนวนมาก ก็เลยอยากรู้ว่าปัญหาในการทำงานของชาวบ้านทั้งสองอำเภอนี้มีสิ่งใดบ้าง ?  

ไป๋ยู่เหลียนพยายามที่จะเฟ้นหาคำเอ่ยให้เป็นทางการ  หรือท่านจะเข้าใจเช่นนี้ก็ย่อมได้ เป็นเรื่องยากสำหรับชาวบ้านที่จะอยู่รอดในฤดูหนาว ถ้าหากพวกเรารับสมัครพวกชาวบ้านมาเป็นแรงงาน แล้วจ่ายค่าตอบแทนเท่ากันกับที่ซีซาน ทุกคนจะได้รับค่าตอบแทน 50 อีแปะ แม้ว่าราคาอาหารแห้งที่นี่จะแพงกว่าที่เมืองหลินเจียงมาก แต่ 15 อีแปะอย่างน้อยก็ซื้อธัญพืชที่มิขัดสีได้ถึง 5 ชั่ง 

 ความตั้งใจของคุณชายก็เป็นเยี่ยงนี้ ทำให้เหล่าราษฎรทั้งหลายมีงานทำ มีเงินอยู่ในกระเป๋า เช่นนี้แล้วพวกเขาก็ย่อมข้ามผ่านความหนาวเหน็บที่กำลังจะมาถึงได้ หากเป็นเช่นนี้ก็ย่อมมีความหวังในการใช้ชีวิตต่อไป…ถึงตอนนี้แล้วข้ายังดูเหมือนมิจฉาชีพอยู่อีกหรือไม่ ?  

จางเหวินฮั่นหยุดชะงักไปชั่วครู่  ประเดี๋ยวนะ แต่บัดนี้กองกำลังดาบเทวะได้เดินทางไปแคว้นฮวงแล้ว แล้วไป๋ยู่เหลียนก็คือแม่ทัพนำกองกำลัง…เจ้า ตกลงเจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ ?  

เอาล่ะ…ไป๋ยู่เหลียนได้ล้มเลิกความพยายามที่จะพิสูจน์ตัวตน  เอาเป็นว่าอย่าได้สนใจเลยว่าข้าเป็นผู้ใด ข้าใคร่ถามท่านว่าจะยอมรับโครงการของคุณชายหรือไม่ ?  

โรงงานปูนซีเมนต์ที่ซีซานนั้นใช้แรงงานราว 10,000 คน สิ่งนี้จางเหวินฮั่นรู้ดี และจำนวนประชากรทั้งหมดของอำเภอก็มีมิถึงหมื่นคน หากสามารถสร้างโรงงานปูนและกระเบื้องขึ้นมาได้ก็หมายความว่าทุกคนจะสามารถทำงานหาเลี้ยงชีพได้

 ยอมรับสิ ต้องยอมรับอยู่แล้ว นี่เป็นถึงโครงการของฟู่เสี่ยวกวน ข้าย่อมให้ความร่วมมืออยู่แล้ว ว่าแต่ข้าจะต้องทำเยี่ยงไรบ้าง ?  

จางเหวินฮั่นได้เปลี่ยนท่าทีเป็นกระตือรือร้นขึ้นมา นี่มันเท่ากับว่าส่งถ่านมาให้ท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บเลยมิใช่หรือ !

ยามค่ำต้องกลับไปจุดธูปขอบคุณฟู่เสี่ยวกวน แล้วเผากระดาษเงินไปให้ จากนั้นก็เชิญเขาดื่มสุราสักจอก !

 หากคำนวณตามระยะเวลาแล้ว คนจากซีซานจะมาถึงที่นี่ภายในห้าวันนี้ นี่คือจดหมายที่คุณชายได้เขียนเอาไว้ให้ท่าน ท่านจงไปทำตามแผนที่เขาได้วางไว้ก็พอ 

จางเหวินฮั่นรับจดหมายฉบับนั้นไป และจางเพ่ยเอ๋อร์ก็ได้โพล่งถามออกมาด้วยความตื่นเต้น  เขายังมีชีวิตอยู่ใช่หรือไม่ ?  

 …เปล่า เขาตายไปแล้ว 

 เป็นไปมิได้ เยี่ยงนั้นเขาจะเขียนจดหมายมาให้พี่ชายของข้าได้เยี่ยงไรกัน ?  

 …อ่า นี่เป็นจดหมายสั่งเสีย จดหมายสั่งเสียที่คุณชายได้ทิ้งเอาไว้ !  

 

ตอนที่ 417 นามลือเลื่องปฐพี

เนื่องด้วยการที่กองกำลังดาบเทวะได้รับพระราชทานรางวัลโดยฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยู ราชวงศ์อู๋เองก็รับรู้ข่าวคราวนี้แล้วเช่นกัน

ณ เมืองกวนหยุนบัดนี้ได้มีหิมะโปรยลงมาให้เชยชมแล้ว เหวินรั่วซีได้ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะและมีผ้าคลุมขนสัตว์คลุมเพื่อให้ความอบอุ่น ดวงตาคู่นั้นได้มองไปยังดอกเหมยที่ยังมิเบ่งบานด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

เมื่อช่วงปลายเดือนของเดือนสามฟู่เสี่ยวกวนเคยเอ่ยไว้ว่ากองกำลังนี้มีชื่อว่ากองกำลังดาบเทวะ และแม่ทัพก็คือคนที่ข้าต้องการจะแนะนำให้กับเจ้า เขามีนามว่าไป๋ยู่เหลียน เจ้าจงรอเป็นเวลา 1 ปี หากภายใน 1 ปีนี้เจ้ามิได้ยินชื่อเสียงความสำเร็จของกองกำลังนี้ดังมาถึงหูเจ้าแล้วล่ะก็ ให้ถือเสียว่าข้ามิเคยได้เอ่ยสิ่งนี้ออกไปก็แล้วกัน แต่ถ้าหากเป็นดังที่ข้าเอ่ย…

 หากเก่งกาจถึงเพียงนั้นอย่างแท้จริง ข้าจะยอมเป็นเมียเขา !  

และในวันนี้กองกำลังดาบเทวะก็ได้เข้าสู่สนามรบจริง ๆ เสียที และแม่ทัพผู้ที่มีนามว่าไป๋ยู่เหลียนได้นำกองกำลังดาบเทวะจำนวน 4,000 นายปราบปรามกองกำลังของกงเซินจ่างนับแสนนาย จนฝ่ายศัตรูต้องทิ้งชุดเกราะทิ้งดาบหนีในสภาพที่น่าสมเพชเวทนา

กองกำลังเพียงแค่ 4,000 นายเท่านั้น อีกทั้งยังตามกองทัพที่เหลือของกงเซินจ่างอย่างมิลดละตลอดทั้งห้าวันห้าคืน แล้วต้อนกองกำลังที่เหลือของกงเซินจ่างเข้าไปยังหุบเขาเยว่หมิง การเดินทัพครานั้นของพวกเขาจริงจังเสียยิ่งกว่าศึกเมื่อคราเริ่มบุกโจมตีภูเขาทางตอนเหนือเสียอีก

กองกำลังเหล่านั้นของกงเซินจ่างเป็นคน มิใช่แกะเสียหน่อย !

พวกเขาวางแผนแบ่งกองทัพไปประจำสามเส้นทางหลักที่เขามั่นใจว่าศัตรูอาจจะใช้หนึ่งในสามเส้นทางนี้ในการหลบหนี ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ในทุก ๆ เส้นทางนั้นมีทหารมากสุดเพียงแค่พันกว่านายเท่านั้น

เจ้าคนพวกนี้…ช่างมีความสามารถในการรบมากยิ่งนัก !

และแล้ววันนี้กองกำลังดาบเทวะก็ได้มีนามลือเลื่องทั่วหล้า เยี่ยงนั้นแล้วตัวนางก็ควรจะรักษาวาจาใช่หรือไม่ ?

เขา…เขาจะเป็นคนเยี่ยงไรกัน ?

เหวินรั่วซีเกิดอาการเขินอายหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันพลัน ฟู่เสี่ยวกวนได้ตกตายไปเสียแล้ว สัญญาปากนี้นางย่อมสามารถทำเหมือนว่ามิเคยเกิดขึ้นมาก่อนก็ได้ แต่ทว่านางมิได้คิดเช่นนั้น และสิ่งที่นางกำลังนึกถึงอยู่นั่นก็คือแม่ทัพที่มีนามว่าไป๋ยู่เหลียนผู้นั้น

เพราะดวงใจของนางนั้นปรารถนาที่จะสมรสกับชายผู้มากความสามารถ

ได้ยินมาว่าบัดนี้เขาได้นำกองกำลังไปโจมตีแคว้นฮวงแล้ว…หรือว่าเขาจะนำกองกำลังที่เหลือมิถึง 4,000 นายไปปะทะกับกองทัพม้าเหล็กแสงยานุภาพสูงของแคว้นฮวงกัน ?

เช่นนี้แล้วจะอันตรายเกินไปหรือไม่ ?

มิได้ ข้าต้องไปดูด้วยตนเอง !

วันพรุ่งข้าจะต้องไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดินีเพื่อให้พระนางพระราชทานกองทัพหญิงติดตามข้า ข้าต้องการไปเยือนยังแคว้นฮวง !

องค์จักรพรรดินีขึ้นครองบัลลังก์จนกระทั่งบัดนี้เวลาได้ล่วงเลยเข้าสู่เดือนที่สี่แล้ว มิอาจล่วงรู้ได้เลยว่าสถานการณ์ดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง แต่ก็โชคดีที่ยังมีอัครมหาเสนบดีทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาคอยรับใช้ด้วยความจงรักภักดี และก็ถือเป็นโชคดีเช่นกันที่ไทเฮายังคงมีสุขพลามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง

อู๋หลิงเอ๋อร์ชีวิตช่างแสนรันทด เป็นสตรีแต่กลับต้องแบกรับภาระปกครองแคว้น คิดดูแล้วคงทำให้นางเหนื่อยล้ามิน้อย

ในขณะที่เหวินรั่วซีกำลังกังวลถึงความเป็นความตายของไป๋ยู่เหลียนอยู่นั่นเอง อู๋หลิงเอ๋อร์ผู้ซึ่งบัดนี้กำลังประทับอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหูได้ราชสาสน์แจ้งสถานการณ์นี้เข้ามาก่อนหน้านั้นแล้ว

บนผืนปฐพีนี้มีเพียงแค่นางเท่านั้นที่เข้าใจความหมายแอบแฝงของข่าวคราวนี้ได้อย่างถ่องแท้

ฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางกลับถึงซีซานแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนนำทัพกองกำลังดาบเทวะบุกโจมตีภูเขาผิงหลิง

ฟู่เสี่ยวกวนใช้กองกำลังเพียงแค่ 4,000 นายปราบปรามกองกำลังราวแสนนายของกงเซินจ่างจนราบเป็นหน้ากลอง !

และเมื่อคืนก่อน ฟู่เสี่ยวได้กำจัดกองทัพ 20,000 นายของแคว้นฮวงเสียจนแตกพ่าย ข่าวคราวนี้มิมีผู้ใดรับรู้มากนัก แคว้นฮวงมิได้เปิดเผยข่าวนี้ให้เป็นที่ทราบโดยทั่วกัน แต่ทว่าหน่วยสอดแนมลับได้สืบทราบสาสน์นี้มา

หน่วยสอดแนมลับเองก็มิได้หยั่งรู้เช่นกันว่าฟู่เสี่ยวกวนยังมิตาย และสิ่งที่เขาได้ลงน้ำพักน้ำแรงทั้งหมดนั้นก็ได้ตกเป็นคุณงามความดีของแม่ทัพผู้ที่มีนามว่าไป๋ยู่เหลียน

 ในเมื่อท่านบุกโจมตีจนศัตรูแตกพ่ายไปแล้ว ท่านยังจะกระเสือกกระสนไปยังแคว้นฮวงเนื่องด้วยเหตุใดกัน พวกมันจะกลืนกินท่านจนสิ้นชีพเอาได้ !  

อู๋หลิงเอ๋อร์ยืดท้องของนางออกไป นางได้เดินกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้อง ข้างกายของนางนั้นไร้ซึ่งบริวารที่เป็นสตรี แต่กลับเป็นสองแม่ทัพฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาของกองทัพหญิงที่มาอยู่ข้างกายของนางแทน

อาจจะเป็นเพราะรับรู้ได้ถึงอารมณ์แปรปรวนของนาง เด็กในท้องจึงได้บิดยืดตัวแล้วถีบหน้าท้องของผู้เป็นมารดา

สีหน้าของนางก็ได้อ่อนโยนขึ้นมาทันใด นางลูบท้องอย่างเบามือ แล้วเอ่ยกับบุตรในครรภ์อย่างแผ่วเบา  บิดาของเจ้าเป็นวีรบุรุษของผืนปฐพี ให้แม่ได้ทำหน้าที่ดูแลรักษาผืนปฐพีนี้แทนเขาเถิด วันใดที่เขาได้เรียนรู้มากพอแล้ว เขาก็ย่อมกลับมา 

หนีฉางและลั่วอิงนั้นมิค่อยเข้าใจสิ่งที่นางได้เอ่ยออกมา ตั้งแต่ที่นายของพวกนางได้ขึ้นมาครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดินีก็ดูเหมือนว่าความคิดของพระนางลึกซึ้งขึ้นกว่าเดิมมากนัก

และบัดนี้พวกนางก็ได้เข้าใจแล้วว่าเรื่องบางเรื่องก็มิบังควรถาม บางเรื่องนั้นมิบังควรเอ่ยหรือแม้แต่ได้ยิน

พวกนางพอจะคาดเดาได้แล้วว่าผู้ใดเป็นพระบิดาของเด็กในครรภ์ แต่ทว่าคนผู้นั้นได้ตายจากไปแล้ว เหตุใดพระนางถึงได้ตรัสเยี่ยงนั้นออกมากัน ?

ทันใดนั้นอู๋หลิงเอ๋อร์ก็ได้เงยหน้าขึ้นมา  หนีฉาง เจ้าจงนำคำสั่งการของข้าไปให้กับถังเชียนจวิน 

 ขอฝ่าบาททรงตรัส !  

 ให้ถังเชียนจวินนำกองกำลังองครักษ์ชุดแดงหมื่นนายไปยังแคว้นฮวง ณ บัดนี้ เพื่ออารักขาความปลอดภัยของไป๋ยู่เหลียนและกองกำลังดาบเทวะ 

หนีฉางชะงักด้วยความตกใจทันพลัน ไป๋ยู่เหลียนเยี่ยงนั้นหรือ ?

ฝ่าบาททรงรู้จักผู้ที่มีนามว่าไป๋ยู่เหลียนด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ?

ถึงกับส่งกองกำลังไปช่วยคนผู้นี้โจมตีอาณาเขตของแคว้นฮวงโดยมิคำนึงถึงผลที่จะตามมาในภายหลัง นี่มันต่างอันใดกับการประกาศสงครามกัน

 เพื่อแม่ทัพที่โดดเด่นแห่งแคว้นหยูผู้หนึ่ง…มันคุ้มค่าแล้วหรือเพคะ ?  

อู๋หลิงเอ๋อร์กลับมิได้โกรธกริ้ว นางเพียงแค่ส่งรอยยิ้มบาง ๆ กลับไปให้  ไปเถิด…อีกมินานพวกเจ้าก็จะล่วงรู้ถึงเหตุผลของข้า 

เมื่อคำรับสั่งได้ไปถึงผู้รับ ถังเชียนจวินก็ได้สับสนจนไปมิถูก

 นี่มัน… !  

 เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงรับสั่งมาเยี่ยงนี้ 

 แล้วถ้าเกิดพวกเรามีปัญหากับแคว้นฮวงขึ้นมาเล่า… ?  

 ไอ้เจ้าโง่ เจ้าก็ต้องอัดพวกมันกลับไปสิ กองกำลังองครักษ์ชุดแดงตั้ง 10,000 นาย ไป๋ยู่เหลียนนำกองกำลังดาบเทวะมิถึง 4,000 นายเสียด้วยซ้ำยังทะลวงเข้าสู่ดินแดนของแคว้นฮวงได้สำเร็จ เจ้ากลัวว่าเจ้าจะทำมิสำเร็จเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ถังเชียนจวินเลียริมฝีปาก แต่เขาก็มิได้เก็บเอาคำเอ่ยนั้นไปคิดเล็กคิดน้อย ในเมื่อฝ่าบาททรงรับสั่งให้ออกเดินทางประเดี๋ยวนี้ เยี่ยงนั้นเขาก็ควรจะจัดแจงม้าแล้วเตรียมออกเดินทางในทันที

เขาอยากจะกลับไปไถ่ถามท่านปู่เสียเหลือเกินว่าการทำเช่นนี้นั้นหมายความว่าเยี่ยงไร ทว่าก็เป็นที่กระจ่างชัดแล้วว่าฝ่าบาทมิประสงค์ให้เขาได้มีเวลาสอบถามสิ่งใดทั้งสิ้น

และแล้วกองกำลังจากราชวงศ์อู๋แดนไกลก็ได้เคลื่อนทัพท่ามกลางหิมะโปรยปราย การเคลื่อนไหวครานี้นั้นยิ่งใหญ่พอสมควร เมื่อเหวินรั่วซีได้ยินข่าว นางก็ได้รีบเปลี่ยนชุดทันที แล้วสะพายดาบที่วางทิ้งไว้เนิ่นนานไว้บนหลัง จากนั้นก็ได้ทิ้งจดหมายไว้ให้ท่านปู่ 1 ฉบับ แล้วจึงออกเดินทางจากไป

เมื่อกองทัพองครักษ์ชุดแดง 10,000 นายได้เคลื่อนทัพออกจากเมืองกวนหยุน แน่นอนเสียว่าเรื่องนี้มิอาจเล็ดลอดสายตาของหน่วยสอดแนมไปได้แม้ว่าจะมิได้มีเจตนาปกปิดใด ๆ ข่าวคราวนี้ได้มาถึงพระกรรณของไทเฮาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีโจวถงถงรับหน้าที่เป็นผู้ถวายสาสน์นี้ด้วยตนเอง

 ฝ่าบาททรงกระทำเช่นนี้… 

ไทเฮาได้โบกพระหัตถ์เพื่อขัดโจงถงถงที่ต้องการจะเอ่ยอะไรบางอย่าง  ฝ่าบาทมิได้ออกราชโองการใด ๆ มานานโขแล้ว ช่างพระนางเถิด พระนางคงได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว 

 พ่ะย่ะค่ะ…เช่นนั้นกระหม่อมจะไปจัดเตรียมสายลับของหน่วยสอดแนมที่ประจำอยู่ที่แคว้นฮวง ให้เขาช่วยส่งตำแหน่งของกองกำลังดาบเทวะมา เพื่อที่จะให้กองทัพองครักษ์ชุดแดงค้นหาพวกเขาได้ในเร็ววัน 

 อือ…ถงถง เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าเรื่องที่กองกำลังเพียงแค่ 4,000 นายสามารถรบชนะกองทัพหลายหมื่นนายเป็นเรื่องจริง อายเจียกลับคิดว่ามันช่างเหลวไหลสิ้นดี 

 ตอบองค์ไทเฮา กระหม่อมก็รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลเช่นกัน แต่ทว่าจดหมายจากหน่วยสอดแนมได้กล่าวเยี่ยงนั้น แท้ที่จริงกองกำลังที่สังหารทหารของแคว้นฮวงราว 20,000 นายนั้นมีมิถึง 4,000 คน แต่กลับมีเพียงแค่ 1,000 คนเท่านั้น !  

ไทเฮาทรงประทับอยู่บนเตียงนอนอุ่น ๆ พระหัตถ์ที่วางอยู่บนพระชานุทั้งสองข้างนั้นได้กำแน่นขึ้นมา พระนางทรงตกอยู่ในห้วงภวังค์ความเงียบอยู่เนิ่นนาน  เยี่ยงนั้นแล้ว กองกำลังนี้ก็ย่อมไร้เทียมทานกว่าผู้ใดในผืนปฐพีใช่หรือไม่ ?  

 ในความคิดเห็นของกระหม่อมนั้น ความเก่งกาจของกองกำลังนี้มีทั้งหมด 3 ประการด้วยกัน ประการแรกเป็นกองกำลังรบพิเศษโดยเฉพาะ กระหม่อมยังจำได้ว่าองค์ชายใหญ่เคยได้ถวายจดหมายแก่ทางราชวงศ์หยูเรื่องยุทธวิธี จักรพรรดิพระองค์ก่อนได้ทรงทอดพระเนตรแล้วเช่นกัน กองกำลังนั้นเป็นกองกำลังที่องค์ชายใหญ่ทรงก่อตั้งขึ้นมา และหลักวิธีฝึกที่ได้ยึดปฏิบัติก็มาจากองค์ชายใหญ่เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ 

 ประการที่สองคือการฝึกฝนอย่างเคร่งครัด พวกเขามีกฎระเบียบที่เข้มงวดเป็นอย่างมาก แม้ว่านี่จะเป็นข้อบังคับพื้นฐานของกองกำลัง แต่ผู้ที่สามารถปฏิบัติตามได้ทั้งหมดนั้นก็มีมิมากนัก 

 และประการที่สามคือยุทโธปกรณ์ที่พวกเขามี ดังเช่นอาวุธปืนที่พระองค์เองก็ได้ทอดพระเนตรมาก่อน ยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ถูกผลิตขึ้นที่ซีซาน โดยมีศูนย์วิจัยซีซานคอยออกแบบและควบคุม แสนยานุภาพของมันเป็นเลิศและไร้เทียมทานพ่ะย่ะค่ะ 

และทั้งหมดนี้ก็เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของฟู่เสี่ยวกวน !

ไทเฮาทรงถอนหายใจออกมา  ช่างน่าเสียดายมากยิ่งนัก !  

 

ตอนที่ 416 มองแค่ผิวเผิน

เวลาล่วงเลยมาถึงยามเซิน สีของท้องนภาที่เคยสว่างจ้าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นมัวหมอง

รถม้าของฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนได้มาถึงอำเภอผิงหลิงพอดี

เรื่องที่กองโจรในภูเขาผิงหลิงถูกกองกำลังดาบเทวะกำราบเสียจนสิ้นซากก็เพิ่งจะแพร่สะพัดไปเมื่อเช้านี่เอง แม้แต่ข่าวคราวที่ฝ่าบาททรงพระทานราชทานรางวัลให้ความสำเร็จของกองทัพก็ได้แพร่ไปทั่วหล้าแล้วเช่นกัน

ดาบเทวะผู้พิทักษ์แห่งแคว้นหยู !

แม้ว่ากองทัพดาบเทวะจะมีเพียงแค่ 4,000 นาย แต่กลับได้พระราชทานยศเป็นถึงดาบเทวะผู้พิทักษ์แห่งแคว้นหยู !

ก็พอจะคาดเดาได้ว่ากองทัพนี้มีแสงยานุภาพมากถึงเพียงใด

หากเป็นเมื่อก่อน เมื่อถึงเวลาย่ำพลบค่ำอำเภอผิงหลิงจะห้ามผู้คนออกนอกจวนยามวิกาล เพราะเกรงว่าจะมีพวกเศษเดนของกงเซินจ่างมาบุกปล้นสะดม

แต่บัดนี้กงเซินจ่างได้ถูกบั่นคอไปแล้ว ที่แห่งนี้ก็ย่อมเงียบสงบลงในทันที นายอำเภอก็ได้ปลดกฎเกณฑ์ที่ว่าห้ามออกจากจวนยามวิกาลออกไป อำเภอผิงหลิงจึงกลับมามีชีวิตชีวาได้เล็กน้อย

ได้แค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะผู้คนที่นี่ยังคงยากจนข้นแค้นมากยิ่งนัก

เพราะหายนะที่กงเซินจ่างได้ก่อขึ้นตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ที่แห่งนี้มิมีผู้ใดกล้าที่จะทำมาค้าขาย ธุรกิจน้อยใหญ่ต่าง ๆ ในอำเภอแห่งนี้ก็ทำยากมากยิ่งนัก เป็นเหตุให้เหล่าพ่อค้าห่างหายแล้วย้ายไปค้าขายที่เมืองซีเฉิงหรือเมืองหย่งหนิง

ตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนเดินชมตั้งแต่ส่วนหัวไปจนถึงส่วนท้ายของตรอกพบว่าร้านค้าทั้งสองข้างทางของตรอกนั้นมีให้เห็นบางตามากยิ่งนัก ผู้คนที่สัญจรไปมาก็มีให้เห็นบางตาเช่นกัน

ถ้าหากนำไปเปรียบเทียบกับเมืองจินหลิง ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ราวกับเป็นโลกคนละใบ

และในที่สุดพวกเขาก็ได้เจอโรงเตี๊ยม ณ ตรอกที่ครึกครื้นที่สุดในเมืองนี้ ทำให้เจ้าของโรงเตี๊ยมดีใจเป็นอย่างมากที่ในที่สุดก็มีแขกมาพักเสียที

เจ้าของโรงเตี๊ยมเป็นสตรีรูปงามอรชรที่สวมผ้าฝ้ายได้พาพวกเขาทั้งสองขึ้นไปบนห้อง ตลอดทางนางก็ได้บ่นมิขาดปาก  ไอ้เวรตะไลกงเซินจ่าง ตอนที่ไอ้สารเลวนั่นยังมิมาที่ภูเขาผิงหลิงนะ ข้าจะบอกให้ว่าอำเภอผิงหลิงจะมิอยู่ในสภาพเฉกเช่นทุกวันนี้อย่างแน่นอน 

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามด้วยความรู้สึกสนใจ  ท่านลองเอ่ยมาสิว่าเป็นเช่นไร ?  

 ที่ภูเขาผิงหลิงมีหมีอาศัยอยู่ชุกชุม อีกทั้งยังมีของป่านานาชนิดที่เป็นดั่งของล้ำค่าของผู้คนภายนอก เมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึงในทุก ๆ เดือนจะมีนายพรานและนักหาสมุนไพรป่ามาเยือน ทำให้พ่อค้าต่างก็ทะลักมายังอำเภอแห่งนี้ ตอนนั้นครึกครื้นมากยิ่งนัก ครึกครื้นตั้งแต่เดือนสี่จนถึงกระทั่งเดือนนี้ 

 ทว่านับตั้งแต่ไอ้เวรตะไลนั้นเข้ามา ธุรกิจน้อยใหญ่ต่างก็ซบเซาลงทุกวัน ข้าขอเอ่ยกับท่านทั้งสองอย่างมิปิดบัง โรงเตี๊ยมของข้าไร้ผู้ใดเข้ามาใช้บริการนานมากแล้ว แต่ก่อนที่อำเภอผิงหลิงมีโรงเตี๊ยมมากถึง 10 แห่ง แต่บัดนี้เหลือเพียงแค่ 2 แห่งเท่านั้น นอกจากของข้าแล้วก็ยังมีอีกที่ซึ่งอยู่ที่ถนนซุ่นเหอ ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้มิได้เปิดโรงเตี๊ยมเลยด้วยซ้ำ เกรงว่าจะทำต่อไปมิไหวแล้วเช่นกัน 

นางได้นำฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนขึ้นไปยังชั้นบน จากนั้นก็เปิดห้องสองห้องออกมา  ช่างโชคดีที่สองสามวันมานี้แดดดีมากยิ่งนัก ข้าได้เปิดหน้าต่างระบายกลิ่นเหม็นอับไปบ้างแล้ว เครื่องนอนต่าง ๆ ก็เพิ่งเปลี่ยน ท่านทั้งสองจงดูเถิดว่าถูกใจหรือไม่ ?  

เมื่อทั้งสองได้เข้าไปดูก็พบว่าห้องดูเรียบง่ายออกไปทางหยาบ ๆ แต่ก็ดูสะอาดสะอ้าน

 ได้ ! เอาห้องนี้แหละ ที่นี่มีอาหารอร่อย ๆ ให้กินบ้างหรือไม่ ?  

 ท่านทั้งสองอยากจะลองของดีประจำอำเภอผิงหลิงหรือไม่ ?  

 มีสิ่งใดบ้างเยี่ยงนั้นหรือ ?   ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม

เจ้าของโรงเตี๊ยมเอ่ยด้วยความตื่นเต้น  ตับหมีปรุงรส เวลานี้หมีใกล้จะกลับเข้าไปจำศีลที่ถ้ำขึ้นทุกที ได้ยินมาว่าร้านของซุนเอ้อร์นั้นล่ามาได้หนึ่งตัว หากทั้งสองท่านต้องการจะชิมประเดี๋ยวข้าจะไปซื้อมาให้ 

 น่าสนใจยิ่ง อุ้งเท้าหมี อ่อ…ใช่ ! เอาอุ้งเท้าหมีย่างเพิ่มอีก 2 ที่ 

ชาติภพที่แล้วมิเคยได้ลิ้มลองมาก่อน วันนี้คาดว่าจะต้องลองเสียหน่อย

 ได้…อีกอย่างเห็ดหอมตากแห้ง เห็ดหนิวกันจือและเห็ดโคนจากเขาผิงหลิงเมื่อนำมาตุ๋นกับซุปแม่ไก่นั้นเลื่องชื่อมากยิ่งนัก ทั้งสามอย่างนี่ถึงจะมีปริมาณพอสำหรับทั้งสองท่าน เพียงแต่ว่าค่าบริการนี่สิ 

 ต้องจ่ายเท่าใดเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 หากรวมค่าห้องแล้ว ทั้งหมดรวมเป็นเงิน 10 ตำลึง 

เมื่อไป๋ยู่เหลียนได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ  ไอหยา แพงมากยิ่งนัก !  

 อ่า…  เจ้าของโรงเตี๊ยมก็คิดว่าตนนั้นเรียกเก็บแพงเกินไปอย่างแท้จริง ในขณะที่คิดอยากจะลดค่าบริการนั่นเอง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ปัดมือบอกมิเป็นไร  เอาตามนี้เถิด ขอเพียงแค่รสชาติดีก็เกินพอ อีกอย่างช่วยเตรียมน้ำร้อนมาให้กับพวกข้าทั้งสองด้วย พวกข้าทั้งสองคนต้องการจะอาบน้ำ 

เขาได้นำตั๋วเงินจำนวน 10 ตำลึงยื่นให้นาง เมื่อคิดอะไรบางอย่างได้เขาจึงได้เอ่ยถาม  นายอำเภอเป็นเยี่ยงไรบ้างหรือ ?  

เจ้าของโรงเตี๊ยมรับตั๋วเงินมาด้วยความชอบใจ จากนั้นก็ได้เอ่ยกล่าว  นายอำเภอจางเป็นนายอำเภอที่ดีมากยิ่งนัก แต่ช่างน่าเสียดาย เกรงว่าเขาคงทำตัวให้ผู้มีอำนาจมิพอใจเข้านะสิ เลยถูกโยกย้ายให้มาบริหารพื้นที่ที่ยากจนข้นแค้นแห่งนี้ อยากจะใช้ความสามารถทางด้านบริหารก็เกรงว่าจะมิมีหวังเอาเสียเลย 

 ข้าจะจัดแจงสิ่งเหล่านี้ให้พวกท่าน เมื่อต้มน้ำเดือดแล้วข้าจะมาเรียกท่านทั้งสองไปอาบน้ำอีกที 

เมื่อนางเอ่ยจบก็ได้เดินลงไปด้านล่าง เมื่อฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าตนมิได้มีธุระอันใด ก็เลยถือโอกาสที่ท้องนภายังมิย่ำเข้าช่วงราตรีออกไปเดินเล่นด้านนอกเสียหน่อย

ดังนั้นแล้วทั้งสองคนจึงได้เดินลงมาจากห้องของตน แล้วเดินเล่นไปยังถนนที่ว่างเปล่าเส้นนี้

อำเภอผิงหลิงนั้นมิได้ใหญ่โตมากนัก มีถนนสองเส้นมาเกี่ยวคาบกันเป็นสี่แยก และที่ว่าการอำเภอก็อยู่ตรงสี่แยกนี้

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนได้เดินมาถึงสี่แยกแห่งนี้ก็ได้มีม้าท่าทีสง่างามตัวหนึ่งวิ่งมาหยุดตรงที่แห่งนี้เข้าพอดิบพอดี

จากนั้นจึงได้เห็นสตรีท่าทีองอาจในชุดสีขาวพร้อมกับหมวกไม้ไผ่ได้ลงมาจากหลังม้าตัวนั้นและบนหลังของนางได้สะพายกระบี่ด้ามยาวไว้ สตรีนางนั้นได้ถอดหมวกออก เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเห็นว่านางเป็นผู้ใด เขาจึงรู้สึกตกใจทันพลัน และในขณะเดียวกันสตรีผู้นั้นก็หันมาเห็นฟู่เสี่ยวกวนเช่นเดียวกัน

ฟู่เสี่ยวกวนได้เบนหน้าหนีไปทางอื่น เขามิได้พกหน้ากากอำพรางตนมาด้วย เพราะที่แห่งนี้นอกจากจางเหวินฮั่นแล้ว ก็มิมีผู้ใดหน้าไหนรู้จักเขาอีก

ทว่าเขากลับคาดมิถึงว่าสตรีผู้นั้นก็คือน้องสาวของจางเหวินฮั่น…จางเพ่ยเอ๋อร์ !

ใบหน้าของนางได้ติดตรึงอยู่ในใจของเขามิเคยลืมเลือน เมื่อคราก่อนทั้งสองได้พบพานกันที่เมืองหลินเจียง ทั้งสองได้นั่งร่วมกันบนรถม้า จากนั้นก็ประจันหน้าสนทนากันราวครึ่งค่อนวัน

บัดนี้คิ้วของจางเพ่ยเอ๋อร์ได้ขมวดเป็นปม นางได้มองเห็นเพียงแค่ด้านข้างของใบหน้าชายหนุ่มเพียงเท่านั้น แต่กลับรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเสียเหลือเกิน ดูเหมือนว่าจะเป็นฟู่เสี่ยวกวน หรือว่านางจะจินตนาการไปเองเยี่ยงนั้นหรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนได้ตายในโศกนาฏกรรมที่ภูเขาหิมะเมื่อมิกี่เดือนก่อน และได้ฝังศพไว้ที่จายซิงถาย เหตุใดเขาถึงได้ปรากฏตัวที่แดนเถื่อนแห่งนี้กัน ?

นางขยี้ตาเพื่อปรับสายตาให้ชัดเจนขึ้น แต่สองคนนั้นก็ได้เดินออกไปไกลแล้ว นางลองคิดดูอีกครา จึงได้ข้อสรุปว่าชายหนุ่มผู้นั้นย่อมมิใช่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่

นางมาที่นี่เพื่อมาหาพี่ชายของนาง เพราะได้ยินท่านพ่อกล่าวว่าพี่ชายของนางใช้ชีวิตที่นี่มิได้เรียบง่ายเท่าใดนัก นางจึงอยากมาให้เห็นกับตาว่าจะลำบากถึงเพียงใด

เมื่อได้เห็นสภาพของอำเภอผิงหลิงแล้ว นางจึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าพี่ชายของนางนั้นตกระกำลำบากมากถึงเพียงใด

เมื่อนางได้ย่างกรายเข้าไปในที่ว่าการอำเภอ ฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู้เหลียนก็ได้กลับไปถึงโรงเตี๊ยมพอดี

 สาวคนสนิทเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 สนิทกับน้องสาวเจ้าสิ !  

 หากข้ามีน้องสาวก็อยากให้สนิทกับเจ้าอยู่หรอก !  

 ไสหัวไป…นั่นมันจางเพ่ยเอ๋อร์ลูกสาวของจางจี้พ่อค้าผ้าแห่งเมืองหลินเจียง 

เมื่อไป๋ยู่เหลียนได้ยินเช่นนั้นก็คลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าจะเคยได้ยินเรื่องราวของนางมาก่อน เขาหันหน้าไปมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความตกตะลึง  ไม่สิ ! จางเพ่ยเอ๋อร์มิใช่ว่ากระโดดน้ำฆ่าตัวตายเพราะดันไปชอบพอชายหนุ่มผู้ไร้หัวใจมิใช่หรือ ?  

 ไสหัวไป ! ข้ามิใช่ชายหนุ่มผู้ไร้หัวใจที่เจ้าหมายถึงเสียหน่อย จริงเสียที่นางพยายามกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย แต่เกรงว่านางคงถูกช่วยชีวิตมาได้ แล้วดูกระบี่ที่นางแบกไว้ที่หลังสิ หรือว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานางได้ไปฝึกวิชากระบี่มาจนสำเร็จแล้ว ?  

 เจ้าแน่ใจหรือว่ามิได้มองผิดไป ?  

 จะผิดได้เยี่ยงไรกัน ตัวพี่ชายผู้นี้เดินผ่านบุปผาชาติมานานาชนิด แม้มิเคยคิดที่จะยุ่งกับพวกนางเลยสักครา แต่พวกนางก็ได้สถิตอยู่ในดวงใจของพี่ชาย พี่ชายมิอาจจำผิดไปได้อย่างแน่นอน !  

ไป๋ยู่เหลียนกลอกตาใส่ฟู่เสี่ยวกวน เขาคิดในใจว่าฟู่เสี่ยวกวนก็ทำได้เพียงแค่คิดแต่มิกล้าลงมือทำจริงน่ะสิ !

 มิใช่ว่าเจ้าต้องการเข้าพบจางเหวินฮั่นหรอกหรือ ?  

 เสี่ยวไป๋ วันพรุ่งเจ้าจงไปพบจางเหวินฮั่นแทนข้า ประเดี๋ยวข้าจะอธิบายทุกอย่างให้เจ้าฟังอย่างละเอียดตอนกินมื้อค่ำ 

 ข้ามิไป !  

 เสี่ยวไป๋ พวกเรายังเป็นพี่น้องกันอยู่ใช่หรือไม่ ?  

 พี่น้องที่เจ้าหมายถึงคือมีไว้ให้เจ้าฝากคำกล่าวเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนตบบ่าของไป๋ยู่เหลียนเสียงดัง  ไม่…พี่น้องมิได้มีไว้ฝากคำกล่าวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มีไว้ให้ฝากส่งจดหมายอีกต่างหาก 

 ไสหัวไปให้พ้น… !  

 

ตอนที่ 415 ความต้องการมีหลายระดับ

รถม้าคันหนึ่งได้เคลื่อนตัวช้า ๆ ท่ามกลางลมและหิมะที่พัดกระหน่ำ

ภายในรถม้าคันนั้นมีฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังบิดขี้เกียจ เขาหันไปมองไป๋ยู่เหลียน  บัดนี้ข้าเป็นถึงผู้มีฝีมือระดับสามแล้ว เจ้ามิติดตามกองกำลังไปทำศึกที่แคว้นฮวง แต่กลับมาติดตามข้าเตร็ดเตร่ไปตามท้องนาทั้งวันเยี่ยงนี้ เจ้ามิรู้สึกเบื่อบ้างหรือ ?  

ไป๋ยู่เหลียนยกสุราในน้ำเต้าขึ้นมาซดหนึ่งอึก จากนั้นได้ส่งต่อให้กับฟู่เสี่ยวกวน  เบื่อ !  

 หากว่าเบื่อแล้วเหตุใดเจ้าถึงยังตามติดข้าอยู่กัน เจ้ามิกังวลว่าเฉินป๋อจะนำกองทัพไปติดอยู่ที่แคว้นฮวงหรือเยี่ยงไร ?  

 เหล่านายหญิงน้อยได้ฝากชีวิตเจ้าไว้กับข้า เจ้าจงเอ่ยมาว่าจะให้ข้าทำเยี่ยงไร เมื่อตอนที่ทราบข่าวว่าเจ้าตายเมื่อคราแรกนั้นทำให้เหล่านายหญิงน้อยอาลัยอาวรณ์เสียจนเกือบตรอมใจ หากว่ามีคราต่อไปอีก…เจ้าว่าข้าจะมองหน้าพวกนางได้เยี่ยงไรกัน ?  

ฟู่เสี่ยวกวนกระดกน้ำเต้าขึ้นไปดื่มหนึ่งอึก จากนั้นก็หัวเราะออกมา  สบายใจได้ กงเซินจ่างเพิ่งโดนจับตัวได้ เวลานี้ที่อำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้ย่อมมิมีขโมย 

ไป๋ยู่เหลียนขี้เกียจที่จะใส่ใจเขาอีกต่อไป เขาจึงมองไปยังเกล็ดหิมะที่กำลังร่ายระบำอยู่ด้านนอกหน้าต่างแทน

หิมะนี้นับวันยิ่งตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ ปลายยอดเขาได้ถูกหิมะย้อมจนเป็นสีขาวโพลน และในพื้นที่ใกล้ ๆ ก็เริ่มมีหิมะสะสมเป็นกองหนาเตอะ

 เจ้าว่า…ถ้าหากต้องเริ่มพัฒนาธุรกิจที่เมืองที่ขัดสนที่สุดทั้งสองเมืองนี้ก่อน ข้ากลับมีคำถามหนึ่งขึ้นมาในใจ แท้จริงแล้วสำหรับราษฎรทั่วไป ชีวิตและเงินสิ่งใดสำคัญมากกว่ากัน ?  

 นี่เจ้าโง่หรือเยี่ยงไรกัน หากมีเงินแต่ไร้ชีวิตจะมีประโยชน์อันใด หากมีชีวิตแต่ไร้เงินตราเล่าก็จำต้องยากจนข้นแค้นดั่งที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ 

 เยี่ยงนั้นเหตุใดถึงมิพัฒนาด้านการเกษตรเสียก่อนเล่า มันเทศที่ซีซานนั่น เจ้าเคยบอกมิใช่หรือว่าพื้นที่ 1 หมู่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้มากถึง 2,500 ชั่ง ข้าคิดว่าเจ้าควรปลูกมันเทศเสียก่อน แต่เจ้ากลับสั่งการให้เตรียมการก่อสร้างโรงงาน เช่นนี้พวกเขาจะมิอดตายกันทั้งหมดหรือ 

ประจวบเหมาะที่ว่า ปัญหานี้ก็เป็นที่ถกเถียงกันอย่างดุเดือดภายในราชสำนักเช่นกัน เยี่ยนเป่ยซีและฉินฮุ่ยจือได้โต้แย้งปัญหานี้ยืดเยื้อเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ทว่า ณ รถม้าคันนี้ ฟู่เสี่ยวกวนตอบกลับไป๋ยู่เหลียนเพียงแค่สองประโยคเท่านั้น

 มีเงินก็สามารถซื้ออาหารได้ เพียงแค่โรงงานเริ่มเปิดตัวเท่านั้น พวกเขาก็จะเห็นเงินกองอยู่เบื้องหน้าในทันที แต่การเพาะปลูกนั้นเป็นไปมิได้ ถ้าจะปลูกมันเทศก็ต้องปลูกตั้งแต่เดือนสี่จนถึงเดือนสิบ ถึงเวลานี้ก็จะสามารถเก็บเกี่ยวได้ เจ้าคิดว่าในช่วงเกือบหนึ่งปีพวกเขาจะใช้ชีวิตกันเยี่ยงไร ?  

 นี่เป็นประการแรกเท่านั้น ยังมีประการที่สองอีก นโยบายการเกษตรคู่การค้าที่ขานต่อ ๆ กันมานั้น มิได้หมายความว่าพวกเราจะละทิ้งการเกษตรเลยเสียทีเดียว ข้าเล็งเห็นว่าการเกษตรสามารถทำได้ทีหลัง เอ่ยอีกอย่างก็คือ สำหรับเกษตรกรนั้น ควรให้พวกเขามีเงินทองในมือเสียก่อนแล้วจึงค่อยลงมือเพาะปลูกนั่นย่อมเป็นผลดีกว่า 

 เงินทองนั้นเป็นสิ่งสำคัญ สว่างไสวเป็นประกายระยิบระยับช่วยในการเติมเต็มความหวัง เป็นมนุษย์แค่มีความหวัง ก็ย่อมมีความคาดหวังต่ออนาคต จากนั้นถึงจะมีเป้าหมาย เมื่อมีเป้าหมายแล้ว ต่อให้ลำบากยากเย็นแสนเข็ญถึงเพียงใดก็ย่อมมีความกล้าหาญที่จะยืนหยัดสู้ต่อไป 

 เสี่ยวไป๋ มีเพียงแค่การทำให้เกษตรกรมีเงินในกระเป๋าเท่านั้น ทุกอย่างจึงดีขึ้น และนี่ก็อาจจะใช้เวลาถึง 3 ปีโดยประมาณ 

ไป๋ยู่เหลียนตั้งอกตั้งใจฟัง ตัวเขาเองนั้นเป็นทหาร มิค่อยมีความเข้าใจในเรื่องนี้เท่าใดนัก

ในความเข้าใจของเขานั้น เขาเข้าใจว่าเกษตรกรก็ย่อมต้องดูแลรักษาที่เพาะปลูกของตนไว้ให้ดีก็เพียงพอแล้ว แต่ทว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการค้าและธุรกิจนั้นเขาย่อมมิเข้าใจอย่างถ่องแท้

เมื่อได้ยินฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยเยี่ยงนี้ เขาก็พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย ประมาณว่าเมื่อเกษตรกรมีเงินในกระเป๋า ต่อไปพวกเขาก็จะมีทุนไปจับจ่ายใช้สอย และเมื่อพวกเขาเริ่มใช้สอย ก็จะช่วยกระตุ้นให้การค้าขายมีการคล่องตัวมากยิ่งขึ้น หรือกระตุ้นให้ธุรกิจมีความรุ่งเรืองขึ้นนั่นเอง

 เช่นนี้ก็หมายความว่าการเกษตรและการค้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ประโยคนี้มิได้ถูกต้องเสียทั้งหมด ควรจะเอ่ยว่าทั้งสองเป็นการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน พ่อค้าต้องการอาหาร ส่วนเกษตรกรก็ต้องการของใช้ในชีวิตประจำวันเช่นนี้ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยน 

 หากเป็นมนุษย์ปกติธรรมดาคนหนึ่งก็ย่อมมีความต้องการในหลายระดับ 

 เกษตรกรในหย่งหนิงโจวทุกวันนี้ นับเป็นกลุ่มมนุษย์ที่มีความต้องการในระดับที่ต่ำที่สุด ขอเพียงแค่กินอิ่มแล้วมีเสื้อผ้าอุ่น ๆ ใส่ มีเพิงพักไว้กันลมกันหนาวก็เพียงพอแล้ว นี่คือปัจจัยขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิตของพวกเขา 

 เมื่อปัจจัยขั้นพื้นฐานของชีวิตมีครบครันแล้ว เจ้าอาจจะเข้าใจได้ว่าเมื่อปัญหาการขาดแคลนปัจจัยขั้นพื้นฐานได้ถูกแก้ไขแล้ว พวกเขาก็ย่อมปรารถนาสิ่งที่เหนือขึ้นไปยิ่งกว่า นั่นก็คือการต้องการด้านความปลอดภัย สามารถเข้าใจได้ว่าพวกเขาปรารถนาเงินเดือนที่มั่นคง และปรารถนาที่จะได้รับการปกป้อง ปรารถนาที่จะหลีกเลี่ยงจากความกลัวและความกังวล ทั้งหมดทั้งมวลนั้นหมายความว่าพวกเขาปรารถนาชีวิตที่สงบสุขไร้ซึ่งความกังวลในเรื่องปัจจัยขั้นพื้นฐานของชีวิต 

 เช่นนั้นจึงจำเป็นต้องมีงานที่มั่นคงรองรับพวกเขา ให้พวกเขาได้รับเงินเดือนที่มั่นคง จากนั้นก็มอบเม็ดพันธุ์มันเทศให้กับพวกเขานำไปทำการเพาะปลูก เพื่อที่จะทำให้แปลงเพาะปลูกของพวกเขาเป็นหลักประกันที่ทำให้สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ 

 นี่คือสิ่งที่ข้าต้องจัดการในตอนนี้ แท้ที่จริงนั้นมิได้มีเพียงแค่สองพื้นที่นี้เท่านั้น มิว่าจะเป็นซีฮวงแห่งแคว้นหยู จนไปถึงพื้นที่ทุรกันดารมากมายในแคว้นก็ย่อมเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการเยียวยาอย่างเร่งด่วน 

ใบหน้าอันหล่อเหลาของไป๋ยู่เหลียนนั้นได้แสดงความนับถือออกมาอย่างเห็นได้ชัดเจน เขามองฟู่เสี่ยวจนแทบจะไม่กระพริบตา เขาตั้งใจฟังสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยออกมา ซึ่งเขาก็มิเคยได้ยินจากที่ใดมาก่อนและมิเคยคิดถึงมาก่อนเสียด้วยซ้ำ ในมุมมองของไป๋ยู่เหลียนนั้น การดูแลทุกข์สุขของราษฎรถือเป็นเรื่องใหญ่

ทว่าเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ก็ได้ถูกฟู่เสี่ยวกวนใช้ภาษาที่เรียบง่ายอธิบายออกมาได้อย่างกระจ่างชัด จึงทำให้เขารู้ซึ้งในทันทีว่าเศรษฐีที่ดินผู้นี้ต้องตรากตรำเดินทางขึ้นมาทางเหนือท่ามกลางความหนาวเหน็บไปเพื่อเหตุใด

เขาปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้คนด้วยความจริงใจ !

 ในเมื่อเจ้ามีความคิดเยี่ยงนี้ หากเจ้าได้เป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ เจ้าก็จะสามารถสานความฝันที่เจ้าแบกเอาไว้ในอกได้มากกว่าหรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า  นั่นมันต่างกันอย่างสิ้นเชิง เสี่ยวไป๋ เจ้าจงคิดดูเถิด หากข้าอยู่ภายใต้ราชวงศ์หยู ข้าย่อมสามารถใช้แรงกายของตนเองช่วยแก้ไขปัญหาความทุกข์ยากของผู้คน เจ้าคิดว่านี่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่หรือไม่ ?  

แท้จริงนั่นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากยิ่งนัก ไป๋ยู่เหลียนจึงได้พยักหน้าเพื่อยืนยันว่าเห็นด้วย

 แต่ถ้าหากข้าถือสถานะเป็นจักรพรรดิ ข้ามิรู้ว่าข้าต้องออกคำสั่งไปมากน้อยเพียงใด เพื่อให้ผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชามากมายเหล่านั้นเข้าไปดำเนินการแทน เป็นจักรพรรดิก็จำต้องนั่งจมอยู่แต่บนบัลลังก์ทุกเมื่อเชื่อวัน ข้าจะเอาเวลาใดมาเตร็ดเตร่อยู่ท่ามกลางหิมะเยี่ยงนี้กันเล่า นี่มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ข้าจะบอกเจ้าให้ว่า ชีวิตข้าตอนนี้อยู่ในระดับที่ข้าถวิลหาอย่างถึงที่สุด 

 ความปรารถนาขั้นสูงสุด… ก็คือความปรารถนาที่จะสานความต้องการด้วยตนเอง ข้าใคร่รู้มากยิ่งนักว่าข้าจะทำได้ถึงขั้นไหน และใคร่รู้มากยิ่งนักว่าสองมือของข้าจะเปลี่ยนแปลงผืนปฐพีนี้ไปในทิศทางใด… อย่ามองข้าเยี่ยงนั้นสิ แท้ที่จริงข้านั้นมีความทระนงตนมิน้อย ให้ข้าได้โอ้อวดตนเองเสียหน่อยมิได้หรือเยี่ยงไรกัน ?  

เจ้านี่คุยโวโอ้อวดใช้ได้เลยนี่ จะว่าไร้ยางอายก็มิได้ผิดอันใด !

ไป๋ยู่เหลียนแย่งน้ำเต้าสุรามาจากมือของฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็กระดกดื่มเข้าไปเสียหลายอึก  ไม่ ! ข้ากลับคิดว่าเจ้ากำลังหลบหนีอยู่ต่างหาก 

เขาจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนตาไม่กระพริบ แล้วจึงเอ่ยต่อด้วยความจริงจัง  เจ้าเกิดและเติบโตบนผืนปฐพีของราชวงศ์หยู ในความรู้สึกนึกคิดของเจ้า เจ้าก็คือคนของราชวงศ์หยู เป็นนายน้อยของจวนฟู่ ทว่าสถานะที่นั่นมันเปลี่ยนแปลงเร็วเสียยิ่งสายฟ้าแลบ ซึ่งแน่นอนว่าเจ้าได้เกิดความต่อต้านขึ้นมาในใจ ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงคิดที่จะหนี ละทิ้งภาระนี้ให้อู๋หลิงเอ๋อร์ 

 พวกเราสองคนนั้นเป็นดังพี่น้อง ข้ามิเกี่ยงว่าเจ้าจะมีสถานะห่าเหวอะไร ข้าใคร่อยากจะเอ่ยกับเจ้าสักคำ ชายชาตรีมิใช่ว่าจะมีชีวิตเพื่อตนเองเพียงเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งชายชาตรีผู้มากความสามารถเยี่ยงเจ้า เวลานี้เจ้าสามารถมีชีวิตเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในผิงหลิงและชวูอี้สองอำเภอนี้ได้ แล้วเหตุใดเจ้าจึงมิอยากมีชีวิตอยู่เพื่อราษฎรแห่งราชวงศ์อู๋กันเล่า ?  

 ข้ามิได้มีเจตนาให้เจ้าทรยศต่อแคว้นหยู แต่สิ่งที่ข้าปรารถนาจะสื่อถึงก็คือ…หากวันหนึ่งวันใดเจ้ามีโอกาสได้จับอาวุธที่มีแสนยานุภาพที่สุดของแคว้นไว้ในมือ เจ้าก็ย่อมเขียนประวัติศาสตร์หน้าที่สวยงามที่สุดออกมาได้อย่างแน่นอน 

ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปชั่วครู่ !

คำกล่าวของไป๋ยู่เหลียนนั้นก็ถูก ในฐานะดวงวิญญาณที่มาจากโลกภายนอกเยี่ยงเขา เขารู้สึกคุ้นเคยกับราชวงศ์หยูมากกว่า ด้วยเหตุนี้เขาจึงเลือกที่จะปกป้องตนเอง เพราะรู้สึกว่าการอยู่ในที่ที่ตนคุ้นชินนั้นจะปลอดภัยยิ่งกว่า

ส่วนเรื่องการครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิพระองค์ต่อไปของราชวงศ์อู๋นั้น เดิมทีเขาเคยได้ไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วนแล้วเมื่อคราที่พำนักอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหู ทว่าหากมีโอกาสสลัดภาระนี้ทิ้งเสีย เขาก็ย่อมเลือกหนทางนี้อย่างแน่นอน

 รอให้เรื่องเหล่านี้ผ่านไปสักปีหรือสองปีค่อยมาหารือกันใหม่ พวกเราควรจัดการปัญหาที่อยู่เบื้องหน้านี้เสียก่อน 

 ปัญหาใดเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ไปหาจางเหวินฮั่นที่ที่ว่าการอำเภอผิงหลิง !  

 

ตอนที่ 414 สะเทือนราชสำนัก

ฟู่เสี่ยวกวนได้เขียนจดหมายทั้งสิ้น 3 ฉบับ

หนึ่งฉบับนั้นส่งไปให้ต่งชูหลานที่ซีซาน อีกสองฉบับนั้นถูกส่งไปให้หยูเวิ่นหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่เมืองจินหลิง

จดหมายฉบับที่ส่งไปให้ต่งซูหลานนั้นเขาได้สั่งการให้นางรีบเตรียมกำลังคนและเงินมายังอำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้โดยเร็วที่สุด

ให้ใช้แบบแผนของโรงงานที่ซีซาน จากนั้นค่อยเปิดรับสมัครคนจากทั้งสองพื้นที่นี้เพิ่มเติมเพื่อทำการก่อสร้างโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ โรงงานผลิตอิฐและกระเบื้อง ทั้งสองโรงงานนี้ต้องการแรงงานจำนวนมาก ปูน อิฐและกระเบื้องที่ผลิตออกมานั้นจะถูกนำไปใช้ในการก่อสร้างศูนย์การค้าในต้นปีหน้า

ส่วนจดหมายฉบับที่ส่งไปให้หยูเวิ่นหวินนั้นมีเนื้อความว่าให้ให้นางถวายคำแนะนำต่อฮองเฮาซั่ง ให้พระนางทรงเป็นผู้ชูโรงในการชักชวนพ่อค้ารายใหญ่ไปลงทุนที่หย่งหนิงโจว

ส่วนจดหมายที่ส่งไปหาเยี่ยนเสี่ยวโหลวนั้น เขาได้ขอให้เยี่ยนเสี่ยวโหลวไหว้วานให้เยี่ยนเป่ยซีร้องถวายการต่อฝ่าบาท ให้พระองค์ทรงดำรินโยบายที่ช่วยเอื้อผลประโยชน์ต่อการลงทุนในพื้นที่นำร่องทางการค้าทั้งสองแห่งนี้

เมื่อดำเนินการพร้อมกันทั้งสามด้านแล้ว เช่นนี้การผลักดันแผนพัฒนาเศรษฐกิจก็จะสำเร็จลุล่วงได้เร็วมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

และในขณะเดียวกัน รายงานการสู้รบจากกองทัพชายแดนเหนือได้ถูกส่งมาถึงมือของเสนาบดีเยี่ยนซือเต้าแล้วเช่นกัน

เมื่อเยี่ยนซือเต้าได้อ่านรายงานการสู้รบแล้วก็ได้ส่งเรื่องไปยังราชสำนักในทันที จากนั้นรายงานก็ได้ถึงฝ่าพระหัตถ์ของฝ่าบาท

ณ ห้องทรงพระอักษร ประจำพระราชวัง

 กองกำลังดาบเทวะ…  ฮ่องเต้ทรงตรัสพร้อมกับขมวดพระขนง  ข้ามิยักจะรู้ว่ามีกองกำลังเยี่ยงนี้อยู่ด้วย 

เยี่ยนเป่ยซีโค้งคำนับ  ท่านแม่ทัพเผิงได้กล่าวไว้ในส่วนท้ายของรายงานว่า นี่เป็นกองกำลังจากซีซานแห่งเมืองหลินเจียงพ่ะย่ะค่ะ 

ฮ่องเต้ทรงตกใจเสียจนอ้าปากค้างไว้ชั่วครู่  อ่า…ข้าจำได้แล้ว เป็นกองกำลังที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ขออนุญาตจากข้าเมื่อต้นปี 

 กองกำลังของฟู่เสี่ยวกวนเก่งกาจมากถึงเพียงนี้เลยเยี่ยงนั้นหรือ ?   ฮ่องเต้แทบจะไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น

ส่วนเยี่ยนซือเต้านั้นงงเป็นไก่ตาแตกเช่นกัน

กองกำลังเพียงแค่ 4,000 นายแต่กลับไล่ต้อนกองทัพของกงเซินจ่างที่มีจำนวนมากถึงแสนนายไปยังหุบเขาเยว่หมิงได้อย่างง่ายดายราวกับไล่ต้อนแกะ อีกทั้งยังไล่ต้อนนานถึงห้าวันห้าคืนอีกด้วย !

ตอนที่เยี่ยนซือเต้าเห็นรายงานฉบับนี้ก็ไม่อยากจะปักใจเชื่อสักเท่าใดนัก เขาจึงพลิกไปดูตราประทับด้านหลังซองจดหมายอยู่หลายครา ดูเยี่ยงไรก็เป็นตราทางราชการของแม่ทัพเผิงเฉิงอู่อย่างแท้จริง

ทว่าเยี่ยนเป่ยซีกลับมิได้แปลกใจกับข่าวนี้เท่าใดนัก เพราะนั่นเป็นถึงกองกำลังที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ฝึกหัดมากับมือเลยนี่

 นี่เป็นความสามารถของฟู่เสี่ยวกวน ฝ่าบาทฟู่เสี่ยวกวนเคยประดิษฐ์ปืนใหญ่ที่มีแสงยานุภาพสูงมาแล้ว หากกองกำลังนี้จะประสบความสำเร็จมากถึงเพียงนี้ก็ดูมิเกินจริงมากนักพ่ะย่ะค่ะ 

ฟู่เสี่ยวกวน…

ฮ่องเต้ทรงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็ทรงพระอักษรรายงานฉบับนี้ต่อไป  ไป๋ยู่เหลียนคือผู้ใดกัน ?  

เยี่ยนซือเต้าตอบ  เดิมทีเขาเป็นพลทหารม้าฝีมือดีของกองทัพชายแดนตะวันออก จากนั้นก็ได้ออกจากกองทัพเมื่อรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่หนึ่ง เขาได้เดินทางไปยังซีซานแห่งเมืองหลินเจียงและได้เป็นผู้นำของทหารรักษาการณ์ประจำเรือนซีซาน จนกระทั่งได้รู้จักกับฟู่เสี่ยวกวน บัดนี้เขามีอายุได้ 28 ปีพ่ะย่ะค่ะ 

 เวลานี้กองกำลังนี้อยู่ที่ใด ข้าอยากพบเจอพวกเขาสักหน่อย !  

 บัดนี้กองกำลังได้มุ่งหน้าไปยังแคว้นฮวงแล้วพ่ะย่ะค่ะ 

……

ฮ่องเต้ทรงตกพระทัยเป็นอย่างมาก เมื่อคราที่กองกำลังดาบเทวะได้ทำศึกกับศัตรูที่ภูเขาผิงหลิงย่อมเกิดการสูญเสียขึ้นแก่กองทัพเป็นแน่ และเวลานี้กองกำลังย่อมมีมิถึง 4,000 นาย แล้วพวกเขาจะไปยังแคว้นฮวงเนื่องด้วยเหตุใดกัน ?

กองกำลังนี่เป็นดั่งสมบัติล้ำค่าของราชวงศ์ ห้ามสิ้นชีพบนผืนปฐพีของแคว้นฮวงเป็นอันขาด !

 มิทราบว่าฝ่าบาททรงจำยุทธวิธีที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ประพันธ์ถวายแก่พระองค์ในพระราชวังจินเตี้ยนเมื่อปีกลายได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ  ทันใดเยี่ยนซือเต้าก็ได้เอ่ยถามเช่นนี้ออกมา

ฮ่องเต้ได้นึกย้อนถึงอดีต  ความหมายของเจ้าคือ…กองกำลังนี้ได้ฝึกฝนตามยุทธวิธีของเขาเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 กระหม่อมคิดว่านั่นเป็นเพียงทฤษฎี ทว่าภายในนั้นยังมีรายละเอียดปลีกย่อยซ่อนอยู่มากมาย กองทัพชายแดนเหนือได้ทุ่มกำลังคนมากถึง 200,000 นาย แต่ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตกว่า 60,000 นาย แต่กลับสู้รบชะงักงันมิอาจคว้าชัยเหนือข้าศึกมาได้ แต่กองกำลังดาบเทวะนี้มีเพียงแค่ 4,000 นาย อีกทั้งไป๋ยู่เหลียนก็มิใช่เทพเจ้า เหตุใดกองกำลังนี้ถึงได้มีแสงยานุภาพท่วมท้นถึงเพียงนี้ได้กันเล่า ?  

 ด้วยเหตุนี้กระหม่อมจึงคิดขึ้นมาได้ว่า อาจจะเพราะฟู่เสี่ยวกวนได้สอนกลยุทธ์ในการฝึกยุทธวิธีให้แก่ไป๋ยู่เหลียน ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ลาจากพวกเราไปแล้ว บนผืนปฐพีนี้ก็มีเพียงแต่ไป๋ยู่เหลียนเท่านั้นที่ถ่องแท้ในยุทธวิธี กระหม่อมถึงเห็นสมควรว่าควรให้ไป๋ยู่เหลียนได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท 

ฮ่องเต้ทรงพยักพระพักตร์เล็กน้อยเพื่อแสดงออกว่าได้เห็นพ้องต้องกัน

 ทว่าเจ้านี่ดันไปแคว้นฮวงเสียแล้ว เช่นนั้นจะทำเยี่ยงไรดีพ่ะย่ะค่ะ 

 ฝ่าบาททรงออกพระราชโองการถึงเผิงเฉิงอู่ เขาเคยพบกับไป๋ยู่เหลียนมาก่อน แล้วให้เขาส่งคนไปตามไป๋ยู่เหลียนที่แคว้นฮวงเสีย 

 ดี ! กองกำลังดาบเทวะนี้ได้แสดงความกล้าหาญองอาจเหนือผู้ใดในประวัติการณ์แห่งราชวงศ์หยู ข้าขอประกาศให้ทั่วผืนปฐพีได้รับทราบโดยทั่วกัน ว่าข้าได้แต่งตั้งกองกำลังดาบเทวะเป็นผู้พิทักษ์แคว้นหยู และแต่งตั้งไป๋ยู่เหลียนเป็นแม่ทัพของกองกำลังดาบเทวะตั้งแต่บัดนี้สืบไป 

การประชุมประจำราชสำนักในวันถัดไป เมื่อฮ่องเต้ได้ทรงประกาศรายงานจากกองทัพชายแดนเหนือ ข่าวนี้ได้ทำให้สั่นสะเทือนไปทั้งราชสำนัก

พวกเขาแทบมิอยากจะเชื่อ แต่ก็จำต้องปักใจเชื่อ

เพราะมีตราประทับทางราชการของเผิงเฉิงอู่อยู่บนรายงาน แต่เขามิได้อวดถึงความอุตสาหะของกองทัพชายแดนเหนือเลยแม้แต่ประโยคเดียว ทั้งรายงานล้วนแต่เขียนบรรยายความสำเร็จของกองกำลังดาบเทวะ

ซึ่งได้หมายความว่า เขาได้ละทิ้งความอุตสาหะที่กองทัพของตนได้ลงแรงไปทั้งสิ้น และเขาเองก็มิกล้าที่จะอ้างความพยายามทั้งหมดนี้มาเป็นของตน

เหตุนี้จึงทำให้ขุนนางเหล่านั้นต่างหวนนึกถึงฟู่เสี่ยวกวน

เด็กหนุ่มผู้ได้รับตำแหน่งไท่จงต้าฟูและตำแหน่งเจี้ยนอี้ต้าฟูแห่งเสมียนกลางด้วยวัย 17 ปี

งานประพันธ์ของเขาทั้งหลายในการแข่งขันกวีที่แคว้นอู๋ได้ถูกสลักไว้บนหินเชียนเปยสือที่หลานถิงจี๋เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ล้วนแต่ถูกขนานให้เป็นลำดับที่หนึ่งทั้งสิ้น !

เขาเป็นนักประพันธ์ที่เหนือกว่าผู้ใดในปฐพี บัดนี้ยังมิมีผู้ใดสามารถทำให้ฐานะอันสูงส่งด้านการประพันธ์ของเขาสั่นคลอนได้

อีกทั้งเขายังเป็นผู้ที่มีความสามารถในด้านเศรษฐกิจ วันนี้หนังสือกั๋วฟู่ลุ่นได้ถูกเผยแพร่ไปทั่วแคว้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

มีหลากหลายแนวคิดที่เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับผู้คนส่วนใหญ่ในแคว้นหยู แต่เมื่อลองพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ล้วนแต่เป็นแนวคิดที่มีเหตุผลและหลักการ

ปัจจุบันสำนักศึกษาจี้เซี่ยได้ทำการเปิดคณะธุรกิจศึกษาและคณะภูมิปัญญาศึกษาขึ้นมา และปีนี้คณะธุรกิจศึกษาก็ได้มีบัณฑิตสนใจมาสมัครเรียนมากถึง 1,200 คน

และคณะภูมิปัญญาศึกษาก็ได้มีนักเรียนมาสมัครมากถึง 400 คน

สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาอันล้ำค่าที่ฟู่เสี่ยวกวนได้หลงเหลือเอาไว้ หลี่ชิงเฟิงได้เสนอต่อทางสำนักศึกษาจี้เซี่ยว่าให้สร้างอนุสาวรีย์เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดีของฟู่เสี่ยวกวนตรงจุดสิ้นสุดของถนนซูเซียง

สดุดีให้เป็นระดับเดียวกันกับองค์ทวยเทพ นี่ช่างเป็นเกียรติอย่างหาที่สุดมิได้ !

อีกทั้งวันนี้ยังได้ยินมาอีกว่ากองกำลังที่เขาได้ฝึกฝนที่ภูเขาซีซานได้ปราบกองกำลังราวแสนคนของกงเซินจ่างเสียจนแตกพ่าย พวกเขาเองก็เพิ่งได้ล่วงรู้ว่าแท้จริงแล้วฟู่เสี่ยวกวนมีความสามารถในการรบถึงเพียงใด !

น่าเสียดาย ช่างน่าเสียดายอย่างแท้จริง !

ชายหนุ่มผู้ที่ที่พรสวรรค์รอบด้านเหนือผู้ใดเช่นนี้กลับได้สิ้นชีพบนผืนปฐพีของราชวงศ์อู๋เสียแล้ว

หากในวันนี้เขายังคงมีชีวิตอยู่เขาก็คงจะเป็นหน้าตาให้แก่ราชวงศ์หยู และย่อมได้เป็นจักรพรรดิผู้สูงส่งและเปี่ยมไปด้วยพระปรีชาสามารถแห่งราชวงศ์อู๋ !

คงเป็นเพราะสวรรค์จงเกลียดจงชังผู้ที่มีความสามรถ…

หลังจากฝ่าบาททรงประกาศเกียรติยศและทรงพระราชทานยศในกองกำลังที่เพิ่งคว้าชัยได้สำเร็จ เยี่ยนเป่ยซีก็ได้ลุกยืนขึ้น

 กระหม่อมเห็นว่าเมื่อปัญหาโจรชุกชุมที่หย่งหนิงโจวได้ถูกแก้ไขจนเสร็จสิ้นแล้ว บัดนี้จึงเห็นเป็นการสมควรที่จะดำเนินการให้อำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้เป็นสองสถานที่ในการนำร่องนโยบายเศรษฐกิจใหม่ 

 กราบทูลองค์ฝ่าบาท กระหม่อมได้ร่างกฎเกณฑ์ส่งภาษีของพื้นที่นำร่องทั้งสองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตร หากทรงเห็นชอบ ก็ขอพระองค์ทรงประกาศให้เป็นที่ทราบโดยทั่วกันด้วยเถิด 

 เวลานี้เล็งเห็นว่าการพัฒนาหย่งหนิงโจวเป็นเรื่องเร่งด่วน นโยบายการเกษตรคู่การค้านั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ของแคว้น จึงเล็งเห็นว่าต้องพิจารณาอย่างเร่งด่วนเช่นกัน ขอฝ่าบาททรงเร่งพิจารณาและลงพระปรมาภิไธยเห็นชอบ แล้วให้เหล่าราษฎรทรงทราบถึงแผนการเดินหน้าพัฒนาของทางราชสำนักโดยละเอียด มีเพียงแต่การค้ารุ่งโรจน์เท่านั้นที่จะนำความรุ่งเรืองมาสู่แคว้นได้ 

ประโยคนี้ได้ถูกยกมาจากหนังสือกั๋วฟู่ลุ่น เหล่าขุนนางในท้องพระโรงทั้งหมดต่างก็เห็นด้วยกับคำกล่าวที่ว่า ทว่าได้มีส่วนน้อยที่กลับเห็นว่าการเกษตรเป็นรากฐานของแคว้นมากกว่า ธุรกิจนั้นไร้คุณสมบัติเพียงพอที่จะมาเปรียบเทียบกับการเกษตร

เพราะสำหรับประชาชนเรื่องกินเป็นสิ่งสำคัญเทียมฟ้า ดังนั้นเหล่าขุนนางส่วนน้อยจึงได้ลุกขึ้นมาต่อต้าน

 กระหม่อมเห็นว่าเรื่องธุรกิจนี้ยังคงต้องปรึกษาหารือกันอีกพอสมควร เวลานี้ทางหย่งหนิงโจวกำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนปัจจัยขั้นพื้นฐานซึ่งนั่นก็คืออาหารและเครื่องนุ่งห่ม สิ่งที่ทางราชสำนักพึงกระทำในเวลานี้ก็คือให้พวกเขามีอาหารไว้ประทังชีวิต ส่วนเรื่องธุรกิจของพื้นที่แห่งนั้น…ยังไกลเกินความจำเป็นพ่ะย่ะค่ะ 

ประโยคนี้ได้รับการเห็นชอบโดยขุนนางบางคนที่ต้องการธำรงการเกษตรให้เป็นรากฐานของชีวิต

ฉินฮุ่ยจือได้คารวะก่อนที่จะเอ่ยออกมา  ราษฏรในที่แห่งนั้นจวนจะอดตายกันหมดแล้ว ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ข้าขอเอ่ยถามท่านหน่อยเถิดว่าชีวิตหรือเงินกันแน่ที่สำคัญ ?  

 

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า ห้าค่ำ เดือนสิบ

เวลานี้ที่เจียงหนานเพิ่งเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงบรรยากาศดีมากยิ่งนัก ทว่าพื้นที่ทางตอนเหนือสุดของแคว้นหยูนั้นได้มีหิมะแรกของปีตกลงมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

หิมะแรกของปีมิได้ตกหนักมากเท่าใดนัก เลยยิ่งทำให้รู้สึกกลัดกลุ้มและกังวลใจ

เยี่ยนหลินชิวบัดนี้กำลังรู้สึกเป็นกังวลเสียเหลือเกิน

และในขณะนี้ เขากำลังบันดาลโทสะใส่หัวหน้าเขต ผู้ตรวจการ และเหล่าบรรดาที่ปรึกษาของตนภายในสวนด้านหลังของที่ว่าการอำเภอ

 เวลานี้อำเภอชวูอี้มีประชากรเพียงแค่ 86,324 คน ทั้งคนชราและเด็กก็ได้นับรวมเข้าไปแล้ว ผู้ช่วยจาง ข้าใคร่ถามเจ้าว่า เหตุใดกระท่อมของชาวนาแห่งหมู่บ้านหานสุ่ยที่ให้ไปสร้างใหม่ถึงยังไร้ความคืบหน้า ผู้ช่วยหลี ข้าใคร่ถามเจ้าว่าอำเภอชวูอี้มีทั้งหมด 3 เมืองและ 41 หมู่บ้าน ข้าใคร่รู้เหลือเกินว่าเสบียงที่ใช้กักตุนสำหรับฤดูหนาวนี้ยังขาดอีกเท่าใด เหตุใดถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังมิรายงานข้าเสียที ?  

 พวกท่านอยากเห็นผู้คนในชวูอี้อพยพหนีไปที่อื่นในฤดูหนาวเยี่ยงนั้นหรือ ?  

เยี่ยนหลินชิวหน้าแดงด้วยความโกรธ  เพล้ง… !   ทันใดนั้นเขาก็ได้ปัดกาน้ำชาที่วางอยู่บนโต๊ะตกจนแตกละเอียด เขาลุกพรวดขึ้นแล้วชี้หน้าต่อว่าผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาอย่างเดือดดาล  ข้ามิอยากคอยดูแลพวกมิได้เรื่อง พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเพื่อที่จะจับกุมพวกกองโจร พวกเราต้องเสียเสบียงไปโดยเปล่าประโยชน์เป็นจำนวนเท่าใด ?  

 หิมะก็เริ่มตกลงมาแล้ว ถ้าหากภัยพิบัติจากหิมะนำหายนะมาให้มากกว่าปีก่อน ๆ พวกท่านลองบอกข้ามาสิว่าพวกเราจะต้องเสียจำนวนประชากรไปให้กับกงเซินจ่างอีกเท่าใด ?  

เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ หนึ่งคราแล้วก็ถอนลมหายใจออกมา  ข้าต้องใช้เส้นสายมากมายเพื่อที่จะซื้อเสบียงจากเจียงหนานมาที่นี่ พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ามันยากเย็นถึงเพียงใด ?  

 ข้าเพียงแค่หวังอยากให้ชาวบ้านในอำเภอชวูอี้ของพวกเราสามารถใช้ชีวิตผ่านฤดูหนาวที่จะถึงนี้ได้อย่างผาสุก เพียงแค่รอให้ท่านแม่ทัพเผิงกำราบกงเซินจ่างเสียให้สิ้นซาก ต่อไปอำเภอชวูอี้ก็จะดำเนินตามนโยบายของฝ่าบาทโดยให้พ่อค้ารายใหญ่เข้ามาลงทุนได้อย่างเป็นทางการเสียที 

 นี่เป็นนโยบายของแคว้น กว่าข้าจะทำให้อำเภอชวูอี้กลายมาเป็นเขตทดลองเป็นอำเภอแรก ๆ ได้นั้น มิใช่เรื่องง่าย เมื่อเหล่าพ่อค้ามาถึงที่นี่แล้ว พวกเขาย่อมลงทุนเพื่อก่อสร้างโรงงาน พวกเขาย่อมต้องการกำลังคน พวกท่านจงคิดดูเถิด หากประชากรของเราหนีไปที่อื่นจนหมดสิ้น แล้วพวกเขาจะมาสร้างโรงงานไปทำหอกอะไรกัน !  

 ข้าให้เวลาพวกท่าน 5 วัน จำไว้ว่าเพียงแค่เพียง 5 วันเท่านั้น พวกท่านจงไปหาข้อมูลที่ข้าได้ไถ่ถามไปทั้งหมดมา แล้วมารายงานข้าให้ละเอียด 

 ผู้ตรวจการซุน ท่านจงไปเฝ้าโกดังเสบียงเอาไว้อย่าให้คาดสายตา รอให้นับเสร็จแล้วค่อยนำไปแจกจ่ายให้กับชาวบ้าน 

 คำเอ่ยที่มิน่าฟังของข้าก็คงจะต้องหยุดไว้เพียงเท่านี้ หากพวกท่านประสงค์ที่จะร่วมงานกับข้าอย่างราบรื่น ก็จงเดินตามหมากที่ข้าได้วางไว้เสีย หากยังมัวแต่เสวยสุขในตำแหน่งมิทำการทำงานเสียล่ะก็ ข้าจะมิเพียงแค่ปลดพวกเจ้าออกจากตำแหน่งอย่างเดียวเท่านั้นหรอกนะ 

 จงลงมือเสีย ข้ารู้ว่ามันยากลำบาก แต่ถึงจะลำบากเพียงใดก็ต้องเอาชนะมันให้ได้ ต้องอดทนและผ่านฤดูหนาวนี้ไปให้ได้อย่างราบรื่น หลังจากนี้อำเภอชวูอี้ก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกคืนวัน 

 ข้าน้อยรับคำสั่งขอรับ !  

เมื่อสิ้นเสียง ที่ว่าการอำเภอก็ได้เงียบลงในทันที

เยี่ยนหลินชิวเดินไปจนถึงบ่อน้ำ จากนั้นก็แหงนหน้าขึ้นมองท้องนภาที่บัดนี้คลุ้งไปด้วยไอจากความหนาว  ท่านแม่ทัพเผิง หากท่านยังปราบกงเซินจ่างมิสำเร็จในเร็ววัน เกรงว่าเมื่อผ่านฤดูหนาวนี้ไป แม้แต่เมืองหย่งหนิงเองก็คงจะไร้ซึ่งความสงบสุขไปตลอดกาล !  

ในขณะที่เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่นั่นเอง ก็ได้มีที่ปรึกษาอาวุโสท่านหนึ่งวิ่งตรงเข้ามาหาเขาด้วยร่างที่สั่นเทิ้ม

 ท่านนายอำเภอ ท่านนายอำเภอขอรับ มีรายงานด่วน…มีรายงานด่วนมาถึงขอรับ !  

เยี่ยนหลินชิวชะงักด้วยอารามตื่นตกใจ  ท่านโจว หรือว่า…ท่านแม่ทัพเผิงจะรบชนะศึกครานี้แล้ว ?  

 เป็นไปได้นะขอรับ ท่านเปิดอ่านก่อนเถิด 

เยี่ยนหลินชิวรับหยังสือรายงานมาเปิดอ่านด้วยความดีใจ

 กองกำลังดาบเทวะเยี่ยงนั้นหรือ ? นี่มันเป็นกองกำลังแบบไหนกัน ?  

 ข้าเองก็มิทราบเช่นกัน นี่เป็นรายงานที่ส่งออกมาจากจวนของท่านแม่ทัพใหญ่ และหนังสือฉบับทางการบัดนี้กำลังอยู่ระหว่างทางไปเมืองหลวงแล้ว ท่านแม่ทัพส่งจดหมายด่วนเหล่านี้มาประกาศให้แต่ละอำเภอได้ทราบกันถ้วนหน้า 

เยี่ยนหลินชิวก้มลงอ่านจดหมายฉบับนั้นต่อไป และรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก ยากที่จะเชื่อในข้อความที่อยู่เบื้องหน้า

 กองกำลังดาบเทวะจำนวน 4,000 นายภายใต้การนำทัพของนายพลไป๋ยู่เหลียนได้บุกโจมตีภูเขาทางตอนเหนือในราตรีหนึ่งและได้ต้อนกองทัพส่วนที่เหลือของกงเซินจ่างราวแสนนายอยู่ถึงห้าวันห้าคืนจนถึงหุบเขาเยว่หมิง ทหารชายแดนเหนือได้ใช้กลยุทธ์รอซ้ำยามอ่อนล้าภายใต้คำสั่งของดาบเทวะ ท้ายที่สุดก็ได้จับกุมกองกำลังที่เหลือของกงเซินจ่างได้จนสำเร็จ 

เมื่อได้รับการยินยอมจากนายพลไป๋ ทางจวนของแม่ทัพใหญ่ได้ออกเดินทางในวันนั้นเพื่อรับตัวเชลยที่ถูกกงเซินจ่างกวาดต้อนไปส่งคืนกลับภูมิลำเนา บัดนี้ประสงค์ให้แต่ละอำเภอได้เตรียมการให้พร้อม อีกทั้งทรัพย์สินทุกอย่างที่กงเซินจ่างได้ปล้นชิงไป มิว่าจะเป็นเสบียงอาหารหรือจะเป็นเงินทอง จะถูกส่งไปยังผิงหลิงและชวูอี้

ประกาศให้แต่ละอำเภอในหย่งหนิงโจวได้รับทราบโดยทั่วกัน ฤดูหนาวปีนี้หากมีภัยพิบัติจากหิมะถาโถมมาอีกครา กองทัพชายแดนทางเหนือได้อนุเคราะห์เสบียงจำนวนมากให้แก่อำเภอที่ประสบภัยรุนแรงที่สุด หวังว่าหย่งหนิงโจวจะข้ามผ่านความยากลำบากนี้ไปได้

ลงชื่อ…เผิงเฉิงอู่ แม่ทัพกองทัพชายแดนเหนือแห่งราชวงศ์หยู

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า สองค่ำ เดือนสิบ !

ชนะแล้ว !

ชนะแล้วจริง ๆ !

กงเซินจ่าง ในที่สุดเจ้าก็จบสิ้นเสียที !

เยี่ยนหลินชิวดีใจเสียจนน้ำตาไหลพราก และยากที่จะควบคุมความรู้สึกของตนเอาไว้ได้

เขามารับราชการที่นี่ตั้งแต่ฤดูหนาวเมื่อปีกลาย สิ่งที่เขาพบเห็นมีเพียงพื้นที่ว่างเปล่า ผู้คนต่างแร้นแค้น

เขาได้เดินทางสำรวจอำเภอชวูอี้ทั้งสามเมืองและสี่สิบเอ็ดหมู่บ้าน ยิ่งสำรวจก็ยิ่งรู้สึกขมขื่น ยิ่งสำรวจก็ยิ่งรู้สึกหมดหวัง !

เสื้อผ้าขาดลุ่ย ใบหน้าดูอดอยากหิวโซ ดวงตาเหล่านั้นไร้ซึ่งชีวิตชีวา ร่างกายผอมแห้งเสียจนเหลือแต่กระดูก…

นี่คือสภาพของผู้คนในอำเภอชวูอี้ !

ภัยพิบัติพายุหิมะครานั้น แค่เพียงอำเภอชวูอี้แห่งเดียวก็เกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงแล้ว กระท่อมของชาวนาทั้งเจ็ดร้อยกว่าหลังได้ถูกหิมะซัดจนถล่มระเนระนาด เมื่อนับรวมผู้ที่เสียชีวิตจากการแข็งตายและอดอยากจากฤดูหนาวที่ผ่านมานับได้มากถึงหกพันกว่าราย

ทว่าข้อมูลเหล่านี้กลับมิได้รายงานต่อทางราชสำนัก มิใช่เพราะเยี่ยนหลินชิวต้องการจะปกปิด แต่เป็นเพราะว่าเยี่ยนเป่ยซีได้ส่งจดหมายมาหาเขาและรายงานว่าสงครามทางชายแดนตะวันออกนั้นแสนสาหัส ต่อให้รายงานเรื่องนี้ต่อราชสำนักก็เปล่าประโยชน์ ราชสำนักเองก็มิได้มีเสบียงมากพอที่จะมาช่วยเหลือในยามคับขันเช่นนี้ เยี่ยงนั้นเจ้าต้องพึ่งพาตนเองสถานเดียว !

เขาก็มิรู้ว่าจะทำสิ่งใดให้กับราษฎรที่อยู่ภายใต้ความดูแลของตนได้บ้าง ในฤดูหนาวปีนั้นเอง ผู้คนได้หนีออกไปจากอำเภอชวูอี้มากถึง 20,000 คน

พวกเขาได้เข้าร่วมกองโจรของกงเซินจ่างที่ภูเขาผิงหลิง

สมควรแล้วหรือที่จะกล่าวโทษพวกเขา ?

เยี่ยนหลินชิวผู้ที่พากเพียรศึกษามาโดยตลอดก็ตอบคำถามนี้มิได้

ทว่าตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้นแล้ว มิมีกองโจรนั่นอีกแล้ว ท่านแม่ทัพใหญ่ได้ทำให้กองโจรเหล่านั้นกลับตัวกลับใจ และอีกทั้งยังมอบเสบียงอาหารมาให้อีกด้วย ต้องนำผู้คนเหล่านี้กลับมายังบ้านเกิดเมืองนอนให้จงได้ ต้องทำให้เตาทำอาหารของผู้คนเหล่านั้นส่งควันโขมงออกมาให้ได้ เพื่อเป็นการรับรองว่าบ้านของพวกเขาจะมิพังถล่มลงมาอีกครา

 ท่านโจว !  

 ขอรับ !  

 เงินคงคลังของอำเภอยังเหลืออีกเท่าใด ?  

 …ยังมีเหลืออีก 3,800 ตำลึงโดยประมาณขอรับ 

 เหลือเพียงเท่านี้เองหรือ ?  

ที่ปรึกษาอาวุโสโจวได้โค้งตัวคำนับ แล้วเอ่ยตอบว่า  ท่านนายอำเภอ เงินที่นำไปซื้อเสบียงทั้งสามพันตำลึงนั้นยังคงติดค้างอยู่ 

 …ข้ารู้แล้วล่ะ 

……

 ยังมีอีกหลายอย่างที่จะต้องจัดการ !  

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงที่แปลงนาว่างเปล่าในหมู่บ้านหานสุ่ย เขาขุดโคลนขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วบีบไว้ในมือ เมื่อหันไปมองหมู่บ้านที่มีสภาพพังทลายก็รู้สึกใจหายขึ้นมา

ไป๋ยู่เหลียนได้ยืนอยู่ด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวน เขามองชายหนุ่มที่นั่งอยู่เบื้องหน้านั่นด้วยความตกตะลึง เศรษฐีที่ดินผู้นี้มิมีผู้ใดเหมือน เขาจะมีความสามารถในการเปลี่ยนแปลงที่ดินที่รกร้างแปลงนี้ได้หรือไม่ ?

 เสี่ยวไป๋ ต่อไปที่แห่งนี้จะประสบกับความลำบาก เจ้าดูกระท่อมเหล่านั้นสิ ถ้าหากหิมะครานี้ก่อตัวเป็นภัยพิบัติขึ้นมาอีกครา กระท่อมเหล่านั้นก็ย่อมพังลงมาอีกคราอย่างแน่นอน บ้านเรือนคือรากฐานของผู้คน ถ้าหากไร้บ้านเรือน พวกเขาก็ย่อมไร้ซึ่งความหวัง ชีวิตก็จะดำเนินไปยังเส้นทางที่โหดร้าย เช่นนั้นก็จะปรากฏคนเยี่ยงกงเซินจ่างขึ้นมาอย่างมิจบสิ้น 

 นี่มัน…เป็นธุระของฝ่ายปกครอง 

 เงินคงคลังของราชวงศ์หยูนั้นอยู่ในขั้นวิกฤตมาตั้งนานแล้ว พื้นที่เล็ก ๆ อย่างอำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้นั้นจะสามารถส่งภาษีไปยังราชสำนักได้สักเท่าใดกันเชียว เมื่อไร้ซึ่งการสนับสนุนทางการเงินจากราชสำนัก ก็ย่อมทำให้พวกเขาไร้ทางเลือก 

ฟู่เสี่ยวกวนได้ทิ้งโคลนลงพื้นจากนั้นก็ปัดมือแล้วยืนขึ้น  เยี่ยงไรเสียก็ต้องทำให้พวกเขาผ่านฤดูหนาวที่จะมาถึงนี้ไปได้อย่างราบรื่น !  

 เจ้าจะทำเยี่ยงไรหรือ ?  

 ประเดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมายไปหาซูหลาน เจ้าจงจัดเตรียมขบวนม้าเร็วเพื่อส่งจดหมายไปให้นาง การลงทุนในอำเภอผิงหลิงและอำเภอชวูอี้เห็นทีต้องลงมือก่อนกำหนดการเสียแล้ว เพื่อให้ชาวบ้านเหล่านี้ได้มีการมีงานทำในช่วงฤดูหนาวนี้ เมื่อมีการมีงานพวกเขาก็ย่อมมีรายได้ เยี่ยงนั้นก็จะมิอดตาย เช่นนี้ก็จะมีความหวังในการใช้ชีวิตต่อไป !  

 

ตอนที่ 412 เมื่อดาบเทวะหลุดออกจากฝัก

เมื่อรุ่งอรุณของวันใหม่มาถึง

แสงสุริยาสาดส่องลงมายังหุบเขาเยว่หมิง

เมื่อกงเซินจ่างมองเห็นหุบเขาเยว่หมิงที่กว้างใหญ่ถูกล้อมรอบไปด้วยกองทัพทหารจากชายแดนทางเหนือ

เขาก็ยิ่งเข้าใจว่า…มันได้สิ้นสุดลงแล้ว

หลายวันมานี้เขารู้สึกเหนื่อยล้าและหมดแรง ส่วนกองกำลังของเขา ห้าวันห้าคืนแล้วที่มิได้กินมิได้นอน แม้แต่ตัวเขาเองก็มิมีกะจิตกะใจจะทำอะไรต่อไปแล้ว เขาเพียงแค่อยากหาที่สะอาด ๆ เพื่อนอนหลับพักผ่อน

ดังนั้น จึงมิมีการต่อสู้เกิดขึ้นที่นี่ กองทัพชาวนาของกงเซินจ่างยอมจำนนและทิ้งอาวุธไปทั้งหมดแล้ว

เผิงเฉิงอู่สั่งให้พลทหารพาตัวเชลยศึกทั้งหมดไปที่กองทัพสวรรค์ แต่ตัวเขากลับไปที่กู๋โข่วภายใต้การอารักขาขององครักษ์นับร้อย

ทางด้านดาบเทวะก็รู้สึกเหนื่อยล้ามากแล้วเช่นกัน พวกเขากำลังนั่งพักกันอยู่ที่กู๋โข่ว กินอาหารและฟื้นฟูกำลังของตนเอง

แต่ถึงกระนั้น เผิงเฉิงอู่ก็ยังคงเห็นทหารหลายร้อยนายคอยเฝ้าสังเกตุการณ์อยู่ทั่วทุกทิศ นี่เป็นกองทัพแบบไหนกัน ?

ในมุมที่ไกลออกไป ไป๋ยู่เหลียนและฟู่เสี่ยวกวนกำลังกินเสบียงอาหารพร้อมกับสนทนากัน

 ผลงานดีถึงเพียงนี้ เขาจะต้องมาขอบคุณท่านเป็นแน่…  ฟู่เสี่ยวกวนกัดแป้งทอดแล้วเอ่ยว่า  ท่านต้องไปพบเขา เพราะว่าท่านจะต้องนำคำกล่าวของข้าไปบอกกับเขา 

 คำกล่าวอะไรกัน ?  

 ตอนนี้กงเซินจ่างถูกจับไปแล้ว กองกำลังของเขาล้วนแต่เป็นชาวนา ท่านบอกเขาด้วยว่าให้ปล่อยพวกเขาทั้งหมดไป…  ฟู่เสี่ยวกวนหยิบจดหมายหนึ่งฉบับออกมาจากแขนเสื้อ  นี่…มอบมันให้กับเขา หลังจากที่เขาดูแล้ว เขาจะรู้เองว่าต้องทำเยี่ยงไรต่อไป 

ไป๋ยู่เหลียนรับจดหมาย  ท่านจะมิปรากฏตนเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 บัดนี้ยังก่อน !  

ไป๋ยู่เหลียนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงมิได้ไถ่ถามอะไรให้มากความอีก เขากัดแป้งทอดแล้วเดินไปหาเผิงเฉิงอู่ ในใจของเขาตอนนี้มีหลายอารมณ์

เผิงเฉิงอู่ แม่ทัพของกองทัพชายแดนเหนือ !

นี่คือสุดยอดนักรบที่ยังมีชีวิตอยู่ !

คิดย้อนกลับไปในตอนนั้น ข้าเองก็เป็นเพียงแค่ทหารม้าตัวเล็ก ๆ ในเขตชายแดนตะวันออกที่มีคนมิเกิน 1,000 คน อย่าเอ่ยถึงระดับท่านแม่ทัพเลย แม้จะแอบมองจากที่ไกล ๆ ยังเป็นเรื่องยาก

แต่ทว่าบัดนี้เขากลับยืนอยู่เบื้องหน้าท่านแม่ทัพและมีบทสนทนาที่เท่าเทียมกัน

นี่คือดาบเทวะ !

เขามิได้รู้สึกกังวลเลยที่ต้องมาอยู่ต่อหน้าท่านแม่ทัพ เพราะว่าเขาคือผู้ชนะ และเป็นเพราะดาบเทวะที่เขาฝึกฝนมานั้น ทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจกับกองทัพที่แข็งแกร่งนี้

ฟู่เสี่ยวกวน เจ้าคนร้ายกาจ !

เผิงเฉิงอู่มองไปยังนายพลหนุ่มหล่อคนนี้ที่กำลังเดินมาหาเขา ในใจเขามีหลากหลายอารมณ์ปะปนกันอยู่ เขาเป็นคนที่เข้ามาแทนที่คนเก่าสินะ เขาเพิ่งจะอายุเท่าใดกัน ? เพิ่งจะยี่สิบต้น ๆ เองมิใช่หรือ

แต่เขากลับมีกองทัพที่ทรงพลังถึงเพียงนี้ได้ มีกองกำลังเพียง 4,000 คน และยังสามารถขับไล่กองกำลังกว่าหนึ่งแสนคนของกงเซินจ่างอยู่ตั้งห้าวันห้าคืน !

นี่มันเป็นกำลังรบแบบไหนกัน ?

เผิงเฉิงอู่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่เป็นไปมิได้

และนี่ถือว่าสังกัดอยู่ในหน่วยไหนกัน ?

เผิงเฉิงอู่อยากจะรู้เสียจริง ๆ

ไป๋ยู่เหลียนยืนกัดแป้งทอดอยู่เบื้องหน้าของเผิงเฉิงอู่ ร่างกายของเขามิได้กำยำเท่ากับเผิงเฉิงอู่ แม้แต่ความสูงก็ยังเตี้ยกว่าเผิงเฉิงอู่ถึงครึ่งหัว แต่พลังของเขาที่สื่อออกมากลับมิได้น้อยไปกว่าเผิงเฉิงอู่เลยสักนิด

ในปากของเขายังเคี้ยวมิหยุดและเอ่ยว่า  ข้าหิว ขอท่านแม่ทัพรอข้ากินแป้งทอดให้หมดเสียก่อน 

ทหารองครักษ์ของเผิงเฉิงอู่จ้องมองด้วยความประหลาดใจ แต่ก็มิได้ตำหนิไป๋ยู่เหลียนเรื่องความเชื่องช้า นี้คือกองทัพที่ทุกคนให้ความเคารพ และนายพลที่อยู่เบื้องหน้าเขาคือผู้นำของกองทัพนี้ ! ดังนั้นเขาจึงเป็นบุคคลที่ควรค่าแก่การเคารพของทุกคน !

ทหารชายแดนเหนือกว่าแสนนายมิสามารถบุกยึดภูเขาทางเหนือได้สำเร็จ แต่กลับถูกนายพลหนุ่มพร้อมกับทหาร 4,000 นายที่อยู่ตรงหน้าไล่ล่ากองกำลังของกงเซินจ่างไปยังหุบเขาเยว่หมิงอีกทั้งกองกำลังของกงเซินจ่างยังเหลือทหารเพียงแค่ 8,000 คนเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือกองกำลังของกงเซินจ่างพ่ายแพ้และสูญเสียทหารไปอย่างน้อย 100,000 คน !

นี่คือผลงานการต่อสู้ที่พวกเขามิสามารถรับได้ !

ในบันทึกประวัติศาสตร์ของราชวงศ์หยูนานกว่าสองร้อยปี ไม่สิ…บันทึกนับพันปี ผลงานการต่อสู้เช่นนี้มิเคยมีมาก่อน !

นั้นมิใช่หมูแสนกว่าตัว !

แต่พวกเขาทำสำเร็จ !

จากนั้นพวกเขาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นท่านแม่ทพยกมือขึ้นพร้อมกับแสดงความเคารพต่อไป๋ยู่เหลียน  เยาวชนผู้กล้าหาญ ! ข้าขอแสดงความนับถือ !  

ไป๋ยู่เหลียนตื่นตกใจทันพลันจนแทบจะสำลักแป้งทอด

ความเป็นทหารฝังเข้าไปในกระดูกของเขาแล้ว เขาทำงานในกองทัพชายแดนตะวันออกมาเป็นเวลาหลายปี เขารู้เรื่องตื้นลึกหนาบางของกองทัพเป็นอย่างดี นี่คือแม่ทัพหนึ่งในสี่ของกองทัพชายแดนแห่งราชวงศ์อู๋ !

ไป๋ยู่เหลียนสำรอกแป้งทอดออกมาทางปาก เขายืนตัวตรงพร้อมทำความเคารพ  ผู้บัญชาการกองกำลังพิเศษแห่งดาบเทวะ ไป๋ยู่เหลียน คารวะท่านแม่ทัพ !  

วิธีทำความเคารพของเขามิเหมือนกับคนอื่น ในสายตาของเผิงเฉิงอู่และองครักษ์ของเขา รู้สึกว่าการทำความเคารพเช่นนี้มีพลังและกล้าหาญมากยิ่งนัก !

เผิงเฉิงอู่มองไปที่ไป๋ยู่เหลียน และคิดว่านี่อาจจะเป็นทายาทเยาวชนแห่งราชวงศ์หยู !

สุริยาสีแดงกำลังส่องสว่างขึ้นมา

อนาคตก็เหมือนทะเลที่แสนยาวไกล !

 อาวุโสผู้นี้รู้สึกละอายใจมากยิ่งนัก ขอให้นายพลไป๋นำกองกำลังทหารไปค่ายใหญ่เพื่อจัดการสิ่งต่าง ๆ ด้วยเถิด 

ไป๋ยู่เหลียนส่ายหัว  จุดประสงค์ของพวกเรามิใช่การสังหารกงเซินจ่าง แต่คือความสุขสงบในผืนปฐพี ในตอนนี้หย่งหนิงโจวแทบจะกลายเป็นเมืองร้างไปแล้ว พื้นนาแห้งแล้ง และยุ่งเหยิงไปหมด… 

เขาชะงักไปชั่วครู่ สูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมกับเอ่ยว่า  ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังดำเนินการตามแผนนโยบายเพื่อความก้าวหน้าทั้งด้านการค้าและการเกษตร ผิงหลิงและชวูอี้สองพื้นที่นี้เป็นพื้นที่นำร่องในหย่งหนิงโจว และชาวบ้านจากทั้งสองแห่งนี้นี่แหละที่ถูกกงเซินจ่างเกณฑ์ไปเป็นกองกำลัง 

 ท่านนายพล ระหว่างทางมาที่นี่พวกเราได้ผ่านหมู่บ้านขนาดใหญ่ แต่กลับเห็นเพียงชายชราคนเดียวเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้าน 

 ชายชราผู้นั้นถามข้าว่าชีวิตสำคัญหรือกฎหมายสำคัญเล่า… ตอนนี้ข้าได้เข้าใจแล้วว่าชีวิตเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า ดังนั้นพวกเขาจึงต้องพึ่งพากงเซินจ่างเพื่อความอยู่รอด มันมิใช่ความผิดของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นที่นโยบายของทางราชสำนักต่างหากเล่า 

เผิงเฉิงอู่รู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก  แม่ทัพไป๋โปรดเอ่ยอย่างระมัดระวังด้วยเถิด 

ไป๋ยู่เหลียนยกยิ้มขึ้นและเอ่ยต่อว่า  มิเห็นจะเป็นอะไรเลยนี่ นี่คือความจริงดังนั้นคำขอเดียวของข้า คือขอให้ท่านนายพลปลดปล่อยชาวนาเหล่านั้น พวกเขามิใช่ทหารแต่พวกเขาเป็นเพียงแค่ชาวนา… จัดการกงเซินจ่างและยังทำให้ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำหวงเหอเต็มไปด้วยศพตั้งแต่ภูเขาทางเหนือจนถึงที่นี่ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นความดีความชอบของดาบเทวะ ขอท่านโปรดเมตตาด้วย 

นี่คือสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นกังวลมากที่สุด คือคุณธรรม !

เผิงเฉิงอู่มิได้เห็นถึงความดีความชอบเหล่านั้น เขาอยากนำคนพวกนั้นไปตัดหัวเสีย !

แน่นอนว่าหากเผิงเฉิงอู่จะตัดหัวคนเหล่านั้นก็ย่อมมิผิดกฎหมาย เพราะถือว่าพวกเขาเป็นกบฏ !

เผิงเฉิงอู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยและลังเลอยู่ชั่วครู่ เขารู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก !

ใจก็อยากจะสังหารทิ้งไปเสีย !

ไป๋ยู่เหลียนยื่นจดหมายให้กับเขา  ถ้าหากท่านแม่ทัพยังมิสามารถตัดสินใจได้ ให้ลองอ่านจดหมายบับนี้ดูก่อน… นอกจากนี้ข้ายังหวังว่าท่านแม่ทัพจะสามารถส่งเสบียงอาหารของกงเซินจ่างที่ซ่อนเอาไว้ไปยังเมืองผิงหลิงและชวูอี้ให้กับเหล่าราษฎร

 พวกเขายังคงต้องการอาหารเพื่อให้อยู่รอดในฤดูหนาว มิเช่นนั้นข้าเกรงว่าโจรเหล่านี้มิมีวันกวาดล้างได้หมดสิ้นเป็นแน่ 

ไป๋ยู่เหลียนแสดงความเคารพต่อเผิงเฉิงอู่อีกครา  ภารกิจพิเศษของกองกำลังพิเศษแห่งดาบเทวะได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ลาก่อน…ท่านแม่ทัพ !  

เผิงเฉิงอู่ชงักไปชั่วครู่ เขาจะกลับไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

 นายพลไป๋ช้าก่อน ! กองกำลังพิเศษแห่งดาบเทวะอยู่ใต้บังคับบัญชาของหน่วยใดเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ไป๋ยู่เหลียนฉีกยิ้มกว้างจนมองเห็นฟันขาวที่เรียงสวยทั้งสองแถว

 หลินเจียง หน่วยปราบปรามซีซาน !  

 …… ?  

 

ตอนที่ 411 ต้อนแกะ

กงเซินจ่างปรากฏตัวขึ้นมาอีกคราที่นอกกระโจม

เขาถือดาบยาวเอาไว้ในมือ เนื้อตัวเย็นเฉียบ

ข้าเพิ่งจะจุดธูปไปได้เพียงแค่ดอกเดียวเท่านั้น พวกเจ้าที่อยู่ข้างนอกก็กลายเป็นแบบนี้ไปเสียแล้ว ?

ข้าปล่อยหมูหลายแสนตัวไว้ข้างนอก เวลาเพียงแค่ก้านธูปเดียวก็ถูกศัตรูเข่นฆ่าจนตกตายทั้งหมด !

 ท่านพี่ ศัตรูเหล่านั้นกล้าหาญเป็นอย่างมากและมีอาวุธที่มิอาจคาดเดาได้ ข้าได้เข่นฆ่าพวกมันตายไป 1 คนและได้พบกับสิ่งนี้ ท่านพี่ลองดู 

จิ้งสุ่ยจินกังยื่นปืนคาบศิลาให้กับกงเซินจ่างแล้วเอ่ยว่า  ข้าคิดว่าจินกังทั้งสี่คนและจอมยุทธทั้งหลายถูกฆ่าตายด้วยของสิ่งนี้ !  

กงเซินจ่างหยิบปืนกระบอกนี้ขึ้นมาดู เขานึกไม่ออกว่าอานุภาพมันจะรุนแรงถึงเพียงใด เขาจึงชูมันขึ้นมาแล้วเล็งไปที่จิ้งสุ่ยจินกังจากนั้นก็เหนี่ยวไกปืน…

 ปัง… !  

 เอ่อ…ท่าน…ท่านพี่ !  

กงเซินจ่างและคนอื่น ๆ เมื่อได้ยินเสียงดังปังก็ถึงกับผงะ เขารีบโยนปืนทิ้งทันที แต่ก็พบว่ามีรูขนาดเท่าหัวแม่มืออยู่บนหน้าผากของจิ้งสุ่ยจินกัง

จิ้งสุ่ยจินกังล้มลงกับพื้น กงเซินจ่างตกใจเสียจนหน้าซีด  นี่คือคาถาอาคม ข้ามิได้จะฆ่าเขา !  

ซืออันเป็นคนแรกที่ดึงสติกลับมาได้เขาจึงรีบเอ่ยว่า  ฝ่าบาท ข้าน้อยคิดว่าถอยกลับไปยังทิศทางของแคว้นฮวงกันก่อนเถิด เมื่อทหารเตรียมทัพพร้อมแล้ว ค่อยกลับมาแก้มืออีกครา !  

 ดี ๆ ๆ ถอย ถอยกลับไปก่อน !  

ตามคำสั่งของกงเซินจ่าง กองทัพสวรรค์ได้เคลื่อนตัวลงมาจากภูเขาราวกับน้ำหลาก

ในขณะนี้ฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนเดินทางขึ้นไปบนยอดเขาภายใต้การคุ้มกันของดาบเทวะ 100 นาย

 สิ่งที่ศัตรูมิรู้ ก็คือความกลัวเป็นโรคติดต่ออย่างหนึ่ง  ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังพื้นดินที่มีซากศพปกคลุมไปทั่ว เขาเอ่ยอย่างใจเย็นว่า  ถึงแม้ว่ากงเซินจ่างจะมีกองกำลังมากกว่าหนึ่งแสนคน แต่ก็เป็นเพียงแค่สามัญชนธรรมดา ยิ่งมีจำนวนคนมากเท่าใดความกลัวก็จะยิ่งกระจายมากขึ้นเท่านั้นและนั่นแหละยิ่งจะทำให้เกิดความพ่ายแพ้ได้เร็วยิ่งขึ้น 

เขาหันไปหน้ามองไป๋ยู่เหลียน  เสี่ยวไป๋ ยุทธวิธีเช่นนี้จะมิส่งผลดีในอนาคต เจ้าจงระวัง 

ไป๋ยู่เหลียนจ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวน  เหตุใดมิให้ทั้งสามกองพลฉวยโอกาสนี้ไล่โจมตีพวกเขาล่ะ ?  

 สุนัขจะกระโดดข้ามกำแพงได้เมื่อพวกมันจวนตัวและกระต่ายก็สามารถสร้างความกดดันได้เช่นกัน ดังนั้นแผนการนี้เดิมมีชื่อว่า ‘ต้อนแกะ’ พวกเรามีกำลังพลเพียงแค่ 4,000 นาย แต่พวกเราก็สามารถบีบบังคับคนหลายแสนเหล่านั้นให้มันไปไหนมิรอดได้นี่ 

 นี่เป็นเหตุผลที่ท่านยกความดีความชอบให้แก่เผิงเฉิงอู่เยี่ยงนั้นหรือ ? เขารอยู่ที่หุบเขาเย่วหมิง แต่พวกเราอยู่ที่นี่เพื่อสู้จนตัวตาย…ข้ารู้สึกมิสบายใจมากยิ่งนัก 

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเสียงดัง  ศึกครานี้เป็นศึกของดาบเทวะ มิใช่ว่าข้าเคยบอกเจ้าแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ข้าจะให้เจ้าได้พบกับหญิงงามแห่งเมืองกวนหยุน แต่มีข้อแม้คือเจ้าต้องทำให้ดาบเทวะเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งใต้หล้านี้ 

ไป๋ยู่เหลียนเริ่มรู้สึกไม่สบายตัว แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับเอ่ยออกมาอีกว่า  เสี่ยวไป๋เอ๋ย เจ้ารูปงามถึงเพียงนี้ ภรรยาของเจ้าก็ต้องสวยมากเป็นแน่ ข้าเองก็นึกคิดมาตลอด เมื่องานนี้สำเร็จ ปีหน้าข้าจะแอบพาเจ้าไปยังเมืองกวนหยุน ไปพบกับภรรยาของเจ้า จากนั้นเจ้าก็จะได้แต่งงานมีลูก แล้วพวกเราก็จะได้เป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าว่าเป็นเยี่ยงไร ?  

 เอ่ยถึงเรื่องสำคัญเถิด ศัตรูจำนวนมากถึงเพียงนั้นเข้าโจมตีกองพลที่สาม พวกเขาจะสามารถต้านทานไหวหรือ ?  

 ดังนั้นพวกเราจะรีบไปจากที่นี่มิได้ พวกเราต้องรอให้กองพลที่สามต้อนข้าศึกกลับมาเสียก่อน จากนั้นค่อยต้อนพวกแกะไปที่หุบเขาเย่วหมิง… และที่ข้าเพิ่งเอ่ยไปเป็นเรื่องสำคัญของเจ้ากับข้า… 

 เฮ้ ๆ ๆ อย่าเพิ่งไป รอข้าด้วย !  

……

หวังเสี่ยวจู้ที่ประจำอยู่ที่กองพลที่สามกลัดกลุ้มใจเป็นอย่างมากและทันใดนั้นก็ได้มีเสียงฝีเท้าและเสียงร้องโหยหวนดังออกมาให้ได้ยินเป็นระยะ…

ดวงตาของเขาสว่างโร่ขึ้นทันพลัน แต่ก็ยังคงรอให้ศัตรูก้าวเข้ามาเยียบกับระเบิดที่พวกเขาวางเอาไว้อย่างเงียบ ๆ

สิ่งนี้มีประโยชน์มากยิ่งนัก เมื่อใดที่ศัตรูเหยียบมันเข้า มันก็จะ  ตู้ม… !   มันมีพลังเหนือสิ่งอื่นใด

พวกเขาวางกับระเบิดกว่าสามร้อยลูกไว้ทั่วทั้งแนวสันเขา แต่พวกเขายังคงกังวลว่าระเบิดเหล่านี้จะเปล่าประโยชน์แต่มิคิดเลยว่าศัตรูจะหนีมายังทิศทางที่ไป๋ยู่เหลียนคาดการณ์เอาไว้ ศัตรูกำลังพากันวิ่งมา

 ตู้ม… !  

 ตู้ม… !  

 ตู้ม… !  

เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ชิ้นส่วนแขนขาของมนุษย์กระจายขึ้นไปทั่วท้องนภา กองกำลังที่รอดตายของกงเซินจ่างพากันหนีเอาตัวรอดอย่างยากลำบาก นี่มันเป็นอาวุธแบบไหนกันแน่ ? แม้แต่เงาหัวก็ยังมิเหลือ !

เสียงร้องโหยหวน ดังก้องไปทั่วท้องนภา  อ๊า… ขาข้า ขาของข้าหายไปที่ใดแล้ว ?  

 มือของข้า มือของข้าก็หายไปด้วย !  

 วิชามารนอกรีต ศัตรูต้องฝึกวิชามารนอกรีตมาเป็นแน่ มันวิ่งไปทางทิศตะวันออกแล้ว… 

ศัตรูอยู่ทางทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันตกล้วนแต่เป็นผู้รู้วิธีการใช้วิชามารนอกรีตทั้งสิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงต้องจำใจวิ่งไปทางทิศตะวันออก

หวังเสี่ยวจู้รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขามิคาดคิดว่าศัตรูจะหนีไปแล้ว เพียงแค่ใช้ระเบิดเพียงมิกี่ลูกเท่านั้น ยังมิทันได้เริ่มลงมือจริง ๆ เลยนี่

เขาโบกมือ  ไล่ตาม !  

กองทัพทั้งสี่ทิศ ไม่สิ ทหารที่เหลือมิถึง 4,000 คน พวกเขากำลังไล่ล่าศัตรูราว 100,000 คนเบื้องหน้าอย่างบ้าคลั่ง

นี่มันเหมือนกับเสือวิ่งไล่ฝูงแกะเลยนี่ !

กองปราบปรามดาบเทวะวิ่งเร็วกว่ากองทัพสวรรค์เป็นไหน ๆ แต่พวกเขาก็มิกล้าไล่ล่าอย่างเต็มที่นัก เพราะไป๋ยู่เหลียนบอกว่านี่เป็นเพียงแค่การไล่ต้อนแกะ เช่นนั้นจงอย่าวิ่งนำหน้าแกะเป็นอันขาด !

ดังนั้นพวกเขาจึงไล่ตามไปอย่างติด ๆ ฆ่าแกะที่วิ่งออกนอกเส้นทาง ไล่ตอนกำลังหลักไปยังหุบเขาเยว่หมิง

บนยอดภูเขาเป่ยซาน บอลลูนร้อนลอยอยู่ท่ามกลางฝนที่ตกหนัก แต่เดิมฟู่เสี่ยวกวนอยากขึ้นไปดูลาดเลา แต่กลับถูกไป๋ยู่เหลียนห้ามปรามเอาไว้

ฝนตกหนักเป็นอย่างมาก จนยากที่บอลลูนไฟจะลอยขึ้นไปได้ และถ้าหากฟู่เสี่ยวกวนพลาดตกลงมาตาย… เขาจะอธิบายให้นายหญิงน้อยของเขาทั้งสามฟังว่าเยี่ยงไร ?

เมื่อครู่ยังเอ่ยอยู่เลยว่าจะมาเป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าเจ้าตายไปแล้วจะกลายมาเป็นครอบครัวเดียวกันกับผีเจ้าน่ะสิ !

บอลลูนไฟมิได้ลอยขึ้นสูงมากนัก แต่เผิงเฉิงอู่ที่อยู่ห่างไกลออกไปในกองทัพสวรรค์กลับสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนผ่านกล้องส่องทางไกล

เผิงเฉิงอู่ได้ปักหลักอยู่ในหุบเขาเยว่หมิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีหนึ่งคำถามที่นึกสงสัย ที่เห็นอยู่คือกองกำลังฝ่ายใดกันแน่ ?

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้เข้าไปยังจุดยุทธศาสตร์ของภูเขาเป่ยซานแล้ว ในตอนแรกต้องการที่จะบุกยึดภูเขาทางเหนือเอาไว้ แต่กลับมีทหารที่เหลือรอดชีวิตอยู่เพียงแค่ 20,000 นายเท่านั้น จึงล้มเลิกแผนการนี้เสีย

แล้วมีทหารร่วมรบอยู่เท่าใดกัน ?

ราชวงศ์หยูมิมีกองทัพที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ยกเว้นว่าจะนำกองกำลังทหารชายแดนตะวันตกของเซวี๋ยติ้งซานและระดมทหารมาจากกองทัพอื่น ๆ อีก 100,000 นาย

เขามั่นใจเป็นอย่างมากว่ากองทหารของเซวี๋ยติ้งซานมากันแล้ว

เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ กองทัพชายแดนทางเหนือของเขามิได้ทรงพลังเท่ากับฝั่งชายแดนตะวันตก…  ท่านพ่อ ลูกผู้นี้ละอายต่อใจมากยิ่งนัก !  

ขณะนี้จิตใจของเขาทั้งหดหู่และสิ้นหวัง

หลังจากการต่อสู้ครานี้จบลง ถึงเวลาที่ต้องสารภาพผิดต่อฝ่าบาทและทำการลาออกเสียที

กองทัพชายแดนตะวันตก 300,000 นายฆ่าโจรไปเพียงแค่ 10,000 คน แต่อีกแปดหมื่นคนที่ถูกฆ่าเป็นฝีมือของกองทัพอื่น ๆ ที่เข้ามาช่วยเหลือ และนี่ถือเป็นความอัปยศอดสูอย่างยิ่ง

……

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนเก้า วันที่สามสิบ

กองปราบปรามดาบเทวะใช้เวลา 5 วันในการไล่ต้อนแกะไปยังหุบเขาเยว่หมิง

ในขณะนี้ เผิงเฉิงอู่กำลังพำนักอยู่ที่หุบเขาเยว่หมิง

เขามิเข้าใจว่าเหตุใดกองทัพชายแดนตะวันตกถึงสามารถยึดภูเขาทางเหนือได้ แล้วเหตุใดพวกเขาถึงมิทำลายล้างกงเซินจ่างเสีย แต่กลับไล่ต้อนศัตรูมาที่นี่แทน คำตอบเดียวก็คือ เซวี๋ยติ้งชานจะให้ของขวัญแก่เขา !

เขาเดินทางมาแล้ว และอยากเข้าพบเซวี๋ยติ้งชานเพื่อเอ่ยขอบคุณเขาสักครา !

เยี่ยงไรเสีย…

เขาก็รอให้กงเซินจ่างนำร่างกายที่พิการของมันเข้ามาในหุบเขาเยว่หมิงแห่งนี้ อีกทั้งหน่วยสอดแนมของเขายังได้รายงานอีกว่ามีทหารเพียงแค่สามพันกว่านายที่กำลังไล่ต้อนกองทัพของกงเซินจ่างอยู่ !

มิใช่กองทัพชายแดนตะวันตกทั้งหนึ่งแสนนายของเซวี๋ยติ้งชาน แต่เป็นกองกำลังที่มีทหารเพียง 3,000 – 4,000 นายเท่านั้นซึ่งเรียกว่าดาบเทวะ ซึ่งก็มิรู้อีกเช่นกันว่าพวกเขามาจากกองทัพใด !

 

ตอนที่ 410 ก่อนรุ่งอรุณ

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนเก้า วันที่ยี่สิบห้า ยามอิ๋น ณ ภูเขาผิงหลิงมีฝนตกลงมาอย่างหนัก

มิมีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงฝนตก

แสงเทียนยังคงลุกโชนสว่างไสวอยู่หลายสิบจุดทั่วทุกทิศทาง

ขณะนี้กองพลของดาบเทวะทั้งสี่ ได้กระจายตัวกันออกประจำสี่ทิศ โดยการต่อสู้จะเริ่มจากกองพลที่หนึ่งทางทิศใต้

จ้งต้าฉุยได้กำชับคำสั่งไปยังกองทัพทั้งสามที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขาไปก่อนหน้านี้แล้ว และแผนการรบนี้ก็ไปถึงทหารทุก ๆ คนเรียบร้อยแล้ว

ทหาร 30 นายของกองพันที่หนึ่งกองร้อยที่สามแถวที่สองซึ่งนำโดยหัวหน้าทีมทั้งสามได้นำทัพทั้งหมดเดินทางไปยังป้อมรักษาการณ์อย่างเงียบ ๆ

ค่ำคืนฝนตกเยี่ยงนี้ มิมีผู้ใดคาดคิดเป็นแน่ว่าจะมีศัตรูบุกมา แต่ทหารรักษาการณ์ของกงเซินจ่างยังคงยืนยามด้วยความขยันขันแข็ง เขาถือกล้องส่องทางไกลคอยสอดส่องอยู่เสมอ ๆ ซึ่งทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดใจอยู่มิน้อย

คนผู้นี้ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี มิน่าแปลกใจเลยที่เผิงเฉิงอู่ได้รับความพ่ายแพ้เยี่ยงนี้

จากนั้นเขาก็ยังเห็นทีมลาดตระเวนยามค่ำคืนที่เป็นระบบระเบียบอีกด้วย ในหนึ่งทีมมีราว 50 คน โดยมีระยะห่างกันราว 30 จั้ง

พวกเขาสวมงอบและถือตะเกียงเจ้าพายุ ทว่ามืออีกข้างของพวกเขายังคงจับด้ามมีดพกไว้ที่เอวอยู่เสมอ

นี่คือการต่อสู้ที่ยากอย่างแท้จริง !

ผู้นำกลุ่มทั้งสามคนพร้อมทั้งนายทหาร 30 คนหลบหลีกจากการลาดตระเวน พวกเขาไปถึงยังหอสังเกตการณ์ด้านล่างอย่างเงียบ ๆ ทหาร 3 นายปีนขึ้นไปบนหอคอยและทหารอีก 7 นายเฝ้าสังเกตุการณ์อยู่ด้านล่าง

พวกเขาสังหารศัตรูบนหอสังเกตการณ์ได้สำเร็จโดยมิให้พวกเขาได้มีโอกาสแจ้งเตือนเหตุ

ทั้งสามกองพันบุกเข้าไปและแบ่งออกเป็น 3 กลุ่มเพื่อไปลาดตระเวนดูศัตรู

ฉวยโอกาสในคืนที่ฝนตกเช่นนี้ พวกเขาใช้ธนูและดาบสังหารกองกำลังลาดตระเวนยามค่ำคืนทั้งสามกอง แต่กลับถูกหน่วยสอดแนมจับได้ในที่สุด

เสียงนกหวีดดังขึ้นทันที เมื่อศรธนูปักเข้าไปที่หน่วยสอดแนมผู้หนึ่ง เสียงนกหวีดของเขาได้ทำเอากองกำลังที่อยู่ในกระโจมพากันตื่นตระหนก

 ข้าศึกบุกโจมตี !  

 ประจันหน้า !  

 เร็วเข้า… !  

 แจ้งเหตุร้าย แจ้งเหตุร้าย… !  

เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นท่ามกลางสายฝนที่ตกอย่างหนักหน่วง ค่ายทหารทั้งหมดในบริเวณนี้สว่างไสวขึ้นพลัน จากนั้นศัตรูเหล่านั้นก็ได้พากันวิ่งกรูออกมาพร้อมกับมีดและเสื้อผ้าที่ยังมิทันได้สวมใส่ให้เรียบร้อยดี

จ้งต้าฉุยสบถออกไปอย่างดุเดือด  สมควรตาย !  

เขาควักระเบิดไฟออกมาแล้วโยนมันเข้าไปกลางกองทัพศัตรู ด้วยการระเบิดครานี้ถือเป็นการเปิดฉากการต่อสู้

หลังจากได้ยินเสียงระเบิด อีกกองพลที่สองก็ได้เริ่มต้นโจมตีทันที มีเสียงตะโกนดังขึ้นมาว่าฆ่าเสียให้สิ้น เสียงตะโกนนี้ดังกึกก้องเสียยิ่งกว่าเสียงฝนที่กระหน่ำเทลงมา

มีเพียงกองพลที่สามเท่านั้นที่ยังมิเริ่มเปิดการโจมตี

กองพลที่สามที่หวังเสี่ยวจ้วงประจำอยู่ ยังคงรอคอยให้ศัตรูพ่ายแพ้และหนีไปยังทิศทางที่เขาประจำการอยู่

บนยอดเขามีการต่อสู้ มีเสียงระเบิดและเสียงปืนดังขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน การต่อสู้ที่ดุเดือดเยี่ยงนี้ แต่กองพลที่สามกลับทำได้เพียงแค่ฟังเสียงเท่านั้น

นี่เป็นเรื่องที่หวังเสี่ยวจ้วงรู้สึกอึดอัดมากยิ่งนัก ถ้าหากศัตรูมิถอยกลับมายังทิศทางนี้ ที่ข้าทำมาทั้งหมดจะมิเปล่าประโยชน์หรอกหรือ ?

แต่นี่เป็นคำสั่งของไป๋ยู่เหลียน เขาย่อมมิกล้าฝืนคำสั่ง ตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่รออยู่ที่นี่อย่างโง่ ๆ

ซื่อโถวของกองพลที่สี่นำไปด้านหน้าก่อน โดยมีกองพันทั้งสามตามหลังมาติด ๆ เขาประเมินสถานการณ์และให้สัญญานมือกับกองพันที่สอง  รวบรวมพลและเตรียมระเบิดไฟทั้งหมดไว้ให้ดี แล้วบุกเข้าไปพร้อมกับข้าเพื่อระเบิดพวกมันให้เละเป็นชิ้นๆ ส่วนกองพันที่หนึ่งและสามให้ใช้ปืนคุ้มกันไว้ จัดการพวกมันเสียให้สิ้นซาก !

ด้วยการใช้ระเบิดไฟเปิดทาง ในที่สุดซื่อโถก็สามารถพากองพลบุกเข้ามาในส่วนลึกของค่ายได้

ภายใต้การโจมตีที่ประสานทั้งปืนและระเบิด สภาพกองกำลังนับหมื่นของกงเซินจ่างมิได้ต่างจากกองกำลังทหารอันเกรียงไกร 20,000 คนของแคว้นฮวงเลยแม้แต่น้อย

พวกเขาแตกตื่นราวกับคนคลุ้มคลั่ง โดยที่มิรู้ว่าหัวหน้าของพวกเขาอยู่ที่ใด

มีเสียงของหัวหน้าตะโกนร้องดังอย่างสุดกำลัง แต่ทว่าภายใต้เสียงฝนที่กระหน่ำเทลงมา เสียงรบราฆ่าฟันและเสียงระเบิด ทำให้มิมีผู้ใดได้ยินเสียงของเขา

จึงทำให้เหตุการณ์ในยามนี้ชุลมุนมากยิ่งนัก !

กงเซินจ่างตื่นขึ้นมาจากภวังค์ความฝัน เขาสวมเสื้อผ้าและถือมีดเล่มใหญ่เดินออกมาจากค่ายภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์ส่วนตัว สิ่งที่เขาเห็นคือภาพแห่งความวุ่นวายใหญ่โต

 มันบุกเข้ามาตีรังโจรเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 นี่คือกองทัพของเผิงเฉิงอู่เยี่ยงนั้นหรือ ?  

มิมีผู้ใดสามารถตอบเขาได้ เขาจึงตะโกนเสียงดังว่า  มากับข้า ไปจัดการพวกมันกัน !  

วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับเขาที่จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ !

เขากล้าทำในสิ่งที่บ้าบิ่น และสิ่งเหล่านี้ทำให้เขาเป็นเขาในทุกวันนี้ !

กงเซินจ่างรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก เขากำลังจะวิ่งออกไป แต่กลับถูกซืออันวิ่งเข้ามาจับตัวเขาไว้  ฝ่าบาทจะต้องมิเสี่ยง พวกเรามีกองทัพขนาดใหญ่นับแสนคน ฝ่าบาทมิจำเป็นต้องลงมือเอง นี่ก็เพียงแค่เพียงศัตรูบุกมาอย่างกะทันหันเท่านั้น อีกราว 2 เค่อเมื่อกองทัพของพวกเรามารวมตัวกันพร้อมแล้ว นี้แหล่ะคือเวลาแห่งชัยชนะ 

จิ้งจอกยิ้มหลิวจิ่วเม่ย์เดินออกมา นางขมวดคิ้วและมองไปรอบ ๆ มิมีศัตรูอยู่ข้างหลัง นางมิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตรงหน้ากันแน่

นางเดินเข้าไปหาจินกังทั้งห้า  ให้พวกเจ้านำองครักษ์ส่วนตัวไปช่วยหนุนและเจ้าต้องกำจัดศัตรูไปให้เร็วที่สุด วันนี้เป็นวันที่ฝ่าบาทจะขึ้นครองบัลลังก์ อย่าทำพลาดล่ะ !  

จินกังทั้งห้าน้อมรับคำสั่ง จากนั้นหลิวจิ่วเม่ย์จึงเดินมาหากงเซินจ่าง  ฝนตกหนักเยี่ยงนี้การสู้รบเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ฝ่าบาทกลับไปพักผ่อนเถอะเพคะ นางสนมจะเป็นผู้รินเหล้าให้แก่ฝ่าบาท บัดนี้ฝ่าบาทเพียงแค่นั่งรอฟังข่าวดี 

กงเซินจ่างคิดเรื่องนี้เพียงชั่วครู่ จากนั้นเขาจึงตบไปที่บ่าของซืออัน  ซืออัน หากมีข่าวดีให้รีบแจ้งข้าโดยเร็วที่สุด !  

 เฉินซืออันรับคำสั่ง !  

กงเซินจ่างหันหลังเดินกลับไปยังค่าย ไฟในค่ายยังคงส่องสว่างอยู่ ซืออันมองดูการต่อสู้เบื้องหน้า แต่เขาก็ยังมิเข้าใจ เขาจึงหันกลับไปมองดูอีกครา…

ในค่ายมีเงาของทั้งสองกองทัพกำลังทำสงครามกันอย่างบ้าคลั่ง !

ฝ่าบาทให้ความสนใจเป็นอย่างมาก !

หลิวจิ่วเม่ย์ก็เจ้าเล่ห์มากยิ่งนัก !

และบัดนี้ข้ากำลังเปียกปอน !

รอยยิ้มเศร้าผุดขึ้นมาบนใบหน้า เขายังยืนอยู่ที่เดิมและจ้องมองไปยังสนามรบเบื้องหน้า จากนั้นเขาก็เริ่มขมวดคิ้วมุ่น

แต่ก่อนเขาคิดว่าการทำสงครามเป็นเรื่องที่นับวันยิ่งไกลตัวเขามากขึ้นทุกที แต่ขณะนี้เขาเห็นแล้วว่าการทำสงครามเข้าใกล้เขามากขึ้นแล้ว

มีศัตรูมาทั้งหมดกี่คนกัน ?

แล้วอาวุธพวกนั้นคืออะไรกัน ?

ตอนที่ต่อสู้กับเผิงเฉิงอู่ก็มิเคยได้ยินเสียงดังเช่นนี้มาก่อนเลยสักครา เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะเป็นอาวุธชนิดใหม่ของราชวงศ์หยู ?

จิตใจของเขาเริ่มอยู่ไม่สุข ขณะนี้เขาเห็นจิ้งสุ่ยจินกังวิ่งกลับมาอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับเลือดที่ไหลท่วมร่างของเขา !

 เกิดอันใดขึ้นกัน ?  

 นี่มิใช่กองทัพธรรมดาแล้ว สู้มิได้เลย รีบบอกให้ท่านพี่กงถอยทัพเร็วเข้า !  

ซืออันรีบดึงจิ้งสุ่ยจินกังมาถามด้วยอารามตกใจ  บอกข้ามาสิว่ามันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ?  

 ตายหมดแล้ว กองกำลังของพวกเราตกตายไปหมดแล้ว ในจินกังทั้งห้าเหลือเพียงแค่ข้าคนเดียวเท่านั้น ทั้งกองกำลังหลายแสนก็ยุ่งเหยิงไปหมด ลูกไฟที่พวกศัตรูทิ้งลงมาคร่าชีวิตพวกเขาไปเป็นจำนวนมาก ทั้งเสียงระเบิดใหญ่โตทำให้ร่างจินกังทั้งสี่และกลุ่มชาวยุทธถูกกระแทกลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า ข้าได้ยินเสียงดังสองสามครา…จากนั้นพวกเขาก็ตกลงมาตายทั้งหมด !  

ซืออันรู้สึกเย็นวาบ  นี่เป็นกองทัพของเผิงเฉิงอู่จริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 มิใช่สักหน่อย ! นี้คือกองกำลังดาบเทวะต่างหากเล่า !  

 กองกำลังดาบเทวะ เป็นกองกำลังแบบไหนกัน ?  

 ข้าจะไปรู้ได้เยี่ยงไร ? หากอยากรู้เจ้าก็ไปดูเอาเองเถอะ ! หลีกทาง ข้าจะไปพาท่านพี่กงหลบหนี !  

เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อพ่ายแพ้ก็ต้องถอยกลับ ซืออันร่างกายเย็นเฉียบขึ้นมาทันพลัน

ศึกครานี้จะยาวนานถึงเพียงใดกัน ?

เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดมิด และปล่อยให้เม็ดฝนตกตกกระทบกับใบหน้าของเขา

วันนี้ท้องฟ้ายังคงมิส่องสว่าง เหล่าทหารทั้งหลายเอ๋ย !

เช่นนี้เรียกว่าความพ่ายแพ้ได้แล้วหรือยัง ?

 

หลังจากที่สะสางค่ายทหารของแคว้นฮวงแห่งนี้เสร็จแล้ว

กองพลที่สามได้ให้พลทหารมาทำการซ่อมแซมเบื้องต้น

ในหัวของเฉียนห้าวตอนนี้ยังคงสะท้อนคำเอ่ยของเยียนกุ่ยที่ว่า  ทั้งหมดนี้ คือน้ำพักน้ำแรงของคุณชายและไป๋ยู่เหลียน !  

เขารู้จักไป๋ยู่เหลียนเป็นอย่างดี แต่กลับรู้เรื่องเกี่ยวกับคุณชายน้อยเป็นอย่างมาก

เขาเคยได้ยินมาว่าชาวซีซานให้ความเคารพต่อคุณชายเป็นอย่างมาก และเขาก็ยังเคยได้ยินเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับคุณชาย แต่เขามิเคยเห็นคุณชายผู้นี้มาก่อนเลย

 คุณชาย…เขาเป็นคนแบบไหนกัน ?  

ควันหนาถูกพ่นออกมาจากปากเยียนกุ่ย คล้ายกับว่าเขากำลังจมดิ่งอยู่ในห้วงภวังค์

 คุณชายเยี่ยงนั้นหรือ ข้าก็มิค่อยแน่ใจ แต่ปีก่อนพวกเราได้ตามไป๋ยู่เหลียนไปที่ภูเขาซีซาน นายพลไป๋บอกว่าเขาได้พบกับชายหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งน่าสนใจเป็นอย่างมากและชายคนนั้นก็คือคุณชาย 

 ในตอนนั้นหลังจากที่พวกเราได้พบกับคุณชาย ขอเอ่ยตามตรงว่า พวกเรารู้สึกผิดหวังอย่างแท้จริง 

 เพราะเหตุใดหรือ ?   เฉียนห้าวถามด้วยความสงสัย

 เพราะว่าคุณชายยังเยาว์เกินไป อายุเพียงแค่ 16 ปี เจ้าลองคิดดูเถิด เศรษฐีที่ดินที่อายุเพียง 16 ปี จะทำอันใดเป็นบ้างเล่า เขาจะเข้าใจอะไร แต่แล้วพวกเราก็ได้รู้ว่าสายตาของพวกเรานั้นมองผิดไป 

จากนั้นเยียนกุ่ยก็เอ่ยถึงเรื่องราวจุดเริ่มต้นของดาบเทวะ และจุดกำเนิดตำราการฝึกดาบเทวะที่มีมาจนถึงทุกวันนี้

ทั้งหมดนี้ถูกสร้างขึ้นโดยคุณชาย ไม่ว่าจะเป็นอาวุธที่พวกเรากำลังใช้อยู่ ทั้งชุดเกราะและอื่น ๆ ก็ด้วย ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากฝีมือของคุณชาย

 ฆ่า 20,000 คนให้ตกตายด้วยคน 1,000 คน แต่ก่อนเพียงแค่คิดก็มิกล้าแล้ว แต่คืนนี้ ดูสิว่ามันง่ายถึงเพียงใด แต่ถ้าเจ้าลองไตร่ตรองดูดี ๆ ถ้าหากมิได้รับการฝึกมาเป็นพิเศษ มิมียุทธวิธีและการประสานงานที่ดีและมิมีอาวุธชิ้นนี้… พวกเราจะเอาชนะคน 20,000 คนได้เยี่ยงไร ?  

มิมีผู้ใดสามารถตอบคำถามของเยียนกุ่ยได้ ที่ได้รับชัยชนะในครานี้ก็เพราะว่ามีอาวุธชนิดใหม่ของคุณชาย

 ไป๋ยู่เหลียนเคยบอกว่า นี่เป็นกองทัพที่มิมีผู้ใดในใต้หล้านี้เหมือน ทุกคนในกองทัพนี้ล้วนเป็นทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุด 

 ที่ไป๋ยู่เหลียนเอ่ยมิได้ผิดเลย ข้ารับราชการในกองทัพชายแดนตะวันออกมาถึง 5 ปี และรู้ดีว่ากองทัพชายแดนของแคว้นอู๋เป็นเยี่ยงไร 

หัวหน้ากองพลที่สามวังเสี่ยวจู้เดินเข้ามาร่วมวงสนทนา เขารู้จักคุณชายเป็นอย่างดีแต่เขามิรู้ว่ากองทัพนั้นเป็นเยี่ยงไร เขาจึงเอ่ยถามด้วยความใคร่รู้  เล่าให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่ ?  

 ในแง่มุมของการทำสงคราม กองทัพชายแดนทางเหนือเป็นกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุด แต่ทว่าก็ยังรบแพ้กงเซินจ่างอยู่ดี… ดาบเทวะของพวกเราย่อมมิเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน พวกเราสามารถโจมตีกงเซินจ่างได้เป็นแน่ นี่เพียงแค่เปรียบเทียบให้พวกเจ้าลองไตร่ตรองดูเท่านั้น พวกเจ้าลองไตร่ตรองดูเถิดว่ามันมีความแตกต่างกันมากถึงเพียงใด ?  

หวังเสี่ยวจู้นิ่งเงียบไป กองทัพชายแดนทางเหนืออ่อนหัดถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ?

พวกเขาเป็นกองทัพประจำราชวงศ์หยู แต่โจรสักรายก็ยังจับมิได้ เลี้ยงไว้เปลืองข้าวเปลืองน้ำจริง ๆ

 แน่นอนว่าพวกเจ้าอย่าได้ประมาทกองทัพชายแดนเป็นอันขาด พวกเขาสามารถเอาชนะพวกเราได้เพราะจำนวนคนที่มากกว่า ถ้าหากพวกเราสู้บนที่ราบก็เท่ากับ 1,000 คนต่อ 100,000 คน… แสดงว่าครานี้ไป๋ยู่เหลียนจะต้องลงมาบัญชาการด้วยตนเอง มิมีอะไรที่สามารถคาดเดาได้ในตอนนี้ 

เยียนกุ่ยเคาะกล้องยาสูบที่ขาของเขา เขม่าดำปลิวว่อนลงสู่พื้น และเอ่ยขึ้นว่า  พวกเราคือกองกำลังพิเศษและสิ่งที่พวกเราจะทำก็คือการโจมตีแบบพิเศษอย่างเช่นในค่ำคืนนี้ เช่นนั้นทุกคนเชื่อมั่นและมั่นใจเข้าไว้ ถ้าหากทั้งสองกองทัพต้องเผชิญหน้ากันอย่างแท้จริง พวกเราก็มิมีอันใดที่ต้องกลัว 

100,000 คนเยี่ยงนั้นหรือ มันจะเป็นฉากแบบไหนกันนะ ?

หวังเสี่ยวจู้และคนอื่น ๆ ยังมิมีภาพความคิดใดในหัวเลยแม้แต่น้อย เขาเกาหัวและเอ่ยขึ้นว่า  ถ้าทั้งสองกองทัพเผชิญหน้ากันอย่างแท้จริง พวกเราคงต้องอาศัยปืนใหญ่หงอีแล้วล่ะ !  

เยียนกุ่ยพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า  เพียงแค่ปืนใหญ่หงอียังมิเพียงพอหรอก เมื่อข้าศึกบุกมาปืนใหญ่หงอีต้องใช้เวลาในการบรรจุกระสุนใหม่อีก หากเป็นเช่นนั้นพวกเราต้องใช้บอลลูนไฟร่วมด้วย นี่ถือเป็นเรื่องที่ใหม่ มันสามารถลอยเข้าไปหาศัตรูได้ และถ้าหากอยากทิ้งระเบิดละก็ นี้ถือเป็นโอกาสที่ดี  

หวังเสี่ยวจู้ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่  แล้วถ้าหากให้บอลลูนไฟลอยไปยังจุดที่นายพลสูงสุดอยู่จากนั้นก็ทิ้งระเบิดลงมา แบบนี้จะมิดียิ่งกว่าหรือ 

 น่าเสียดายมากยิ่งนักที่บอลลูนไฟต้องอาศัยทิศทางของลมประกอบด้วย และในการทำสงครามพวกเรามิสามารถควบคุมทิศทางของลมได้ ดังนั้นข้าคิดว่าบอลลูนไฟนี้มีประโยชน์ แต่ก็มิได้มากมายอันใดนัก 

หวังเสี่ยวจู้และคนอื่น ๆ พวกเขาได้ทดลองใช้บอลลูนไฟนี้เนิ่นนานแล้ว มันเป็นของใหม่ แต่ก็อย่างที่เยียนกุ่ยได้เอ่ยไปเมื่อครู่ ของสิ่งนี้ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่เช่นกัน

 เอาล่ะ พวกเราออกเดินทางกันเถอะ เกรงว่ากองพลอื่น ๆ จะไปถึงจุดยุทธศาสตร์กันหมดแล้ว !  

กองพลแห่งดาบเทวะทั้งสามหายเข้าไปในคืนที่ฝนตก เหลือทิ้งไว้เพียงซากศพของทหารชาวฮวงราว 20,000 นาย

หลังจากที่กองพลที่สามหายไปมินาน ก็ได้มีหน่วยสอดแนมของท่าป๋าฉงผู้หนึ่งวิ่งกลับมา เขายังมีชีวิตอยู่และเมื่อเขามองเห็นซากศพที่เปื้อนเลือดกระจายอยู่ทั่วภูเขา เขาก็ตกใจเสียจนแทบสิ้นสติ

เขาใช้เวลา 2 เค่อในการหาข้อสรุปที่มิน่าจะเป็นไปได้ หลักจากที่ลงจากภูเขามาแล้ว เขาก็ได้ควบม้าศึกพุ่งตรงไปยังเมืองหลวง

……

ฟู่เสี่ยวกวนกำลังอยู่ในค่ายในขณะนี้

กองพลที่หนึ่งใช้เส้นทางตรงไปยังภูเขาเป่ยซานซึ่งเป็นระยะทางที่สั้นที่สุด และยังต้องรอให้อีกสามกองพลมาถึงจุดหมายเสียก่อน

เขามิได้สนทนากับไป๋ยู่เหลียนเรื่องการรบ เพราะประเด็นเหล่านี้มิได้น่าสนใจอีกต่อไป ตอนนี้เขากำลังดูข้อมูลเกี่ยวกับราชวงศ์อู๋อยู่

อู๋หลิงเอ๋อร์ล้มป่วยและบัดนี้ได้พักอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหู

ราชสำนักของราชวงศ์อู๋ตกอยู่ในมือของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา โดยมีไทเฮาเป็นผู้ออกคำสั่งในกรณีที่มิสามารถตัดสินใจด้วยตนเองได้… ในข้อมูลเหล่านี้มิได้บอกว่าอู๋หลิงเอ๋อร์ล้มป่วยด้วยโรคอะไร นางยังอยู่ในวัยหญิงสาว นางจะต้องป่วยหนักถึงเพียงใดกันถึงมิสามารถที่จะดูแลจัดการราชสำนักของราชวงศ์อู๋ได้ ?

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้ว เพราะกลัวว่าอู๋หลิงเอ๋อร์อาจล้มตายกะทันหัน

น่าเสียดายที่ติดต่อศิษย์น้องมิได้ มิเช่นนั้นจะให้ศิษย์น้องไปดูอู๋หลิงเอ๋อร์เสียหน่อย

ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมในเมืองกวนหยุนของหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานที่บัดนี้ยังทำมิสำเร็จ

มีเพียงโรงงานชุดชั้นในเพียงแห่งเดียวที่เปิดแล้ว ส่วนโรงหมักสุราที่วางแผนไว้ตั้งแต่แรกรวมทั้งโรงงานสบู่และน้ำหอมได้ถูกล้มเลิกไปเสียแล้ว

ตงซิวจิ่นรับหน้าที่ดูแลร้านค้าทั้งสี่แห่งในเมืองกวนหยุน แต่บัดนี้เขากังวลเกี่ยวกับเรื่องการจัดหาสินค้าเป็นอย่างมาก สินค้าเหล่านั้นขายดีมากเสียจนมิสามารถผลิตสินค้าได้ทัน โดยเฉพาะสบู่และน้ำหอม

ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจ สินค้าเหล่านี้จะต้องส่งไปจากซีซาน ซึ่งเป็นระยะทางที่ไกลมากยิ่งนัก แม้ว่าต่งชูหลานจะส่งมอบสินค้าทั้งหมดที่ผลิตในเขตเหยาให้กับราชวงศ์อู๋ก็แล้ว แต่ก็ยังมิสามารถแก้ปัญหานี้ได้

ดังนั้นหลังจากการรบครานี้สิ้นสุดลง และได้ส่งองค์หญิงสามไปยังแคว้นฮวงอย่างปลอดภัย แล้วได้กลับมายังแคว้นหยู เขาจะต้องจัดการโรงงานที่เมืองกวนหยุนใหม่อีกครา

ขณะที่เขากำลังคิดอยู่เพลิน ๆ ไป๋ยู่เลียนก็ได้เดินเข้ามาและยื่นกระดาษมาให้เขา

 กองพลที่สามมีการต่อสู้กับศัตรูที่ไหฉือ และศัตรูเหล่านั้นเป็นกองทัพทหารของแคว้นฮวง มีทั้งหมด 20,000 คน ใช้เวลาครึ่งชั่วยามในการรบและได้กวาดล้างกองทัพศัตรูทั้งหมดไปยังเนินเขาทางตอนเหนือ !

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตื่นตกใจ กองทัพของแคว้นฮวงเยี่ยงนั้นหรือ ?

 และฝ่ายเราเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?  

 เสียชีวิต 6 คน ส่วนที่เหลือมิเป็นอะไร 

 ข้าว่ามันเริ่มน่าสงสัยแล้ว… แสดงว่ากงเซินจ่างกำลังสมรู้ร่วมคิดกับทหารชาวฮวง เช่นนั้นพวกเราจะต้องระวังให้ดี 

ไป๋ยู่เหลียนจ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวน  นี่ท่านจะมิกล่าวชมข้าสักหน่อยหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังไป๋ยู่เหลียน  ท่านนี่ช่างหล่อจริง ๆ เลย !  

 ใสหัวไป… !  

 ฮ่า ๆ ๆ… !  

 

ในเวลานั้น…

เฉียนห้าวยกมือซ้ายขึ้นมา ง้างธนูของเขาอย่างประหม่า และแล้วลูกธนูก็พุ่งตรงเข้าไปที่ลำคอของทหารชาวฮวงผู้นั้น

ทหารคนนั้นล้มกระแทกกับพื้น ทำให้ทหารฮวงที่เหลือพากันแตกตื่น

ในเสี้ยววินาทีนี้ ก็ได้เกิดการโจมตีกลับมาจากฝั่งของทหารแคว้นฮวง

 ข้าศึกโจมตี… ข้าศึกโจมตี… 

มีเสียงคนตะโกนออกมาด้วยความตื่นตระหนก และลูกธนูก็ได้พุ่งทะลุลำคอของคนที่ตะโกนเข้าไป

ทหารฮวงที่เหลือชักดาบออกจากฝัก ฟันเข้าไปที่เยียนกุ่ยและทหารคนอื่น ๆ เฉียนห้าวมิมีเวลามาคิดแล้วว่าจะฆ่าชายผู้นี้เยี่ยงไร มิมีแม้กระทั่งเวลาหยิบลูกธนูด้วยซ้ำ ในมือของเขาถือดาบเล่มยาว ฝึกมาตั้งนานเวลานี้แหล่ะที่จะได้ใช้สักที

เขาย่อตัวลงเล็กน้อย โน้มตัวยกดาบขึ้นสูงแล้วปักลงอย่างเต็มแรงหวังฆ่าให้ตาย แต่กลับพลาด ศัตรูหันหลบคมดาบได้อย่างรวดเร็ว สุดท้ายเขาก็หาโอกาสเชือดคอศัตรูเสียจนขาด

ขณะที่กำลังเอี้ยวตัวกลับมา เขาเห็นศัตรูคนหนึ่งกำลังเล็งดาบไปยังสหายร่วมทีม เขาจึงขว้างดาบออกจากมือ ดาบยาวพุ่งตรงดิ่งแทงเข้าไปทะลุลำคอ

เขาหยิบดาบอีกเล่มที่หลังออกมา ปัดป้องไปยังใบมีดของศัตรู สหายร่วมทีมฉวยโอกาสนี้ปลิดชีพศัตรูด้วยธนูทันที

การร่วมรบของพวกเขาดำเนินไปได้ด้วยดี การต่อสู้กับทหารของชาวฮวงทั้งสามสิบคนนั้น มิมีผู้ใดได้รับบาดเจ็บเลยสักคนเดียว และเพียงแค่ไม่กี่สิบอึดใจแน่นอนว่าทหารของแคว้นฮวงทั้งสามสิบนายเหล่านั้นก็มิมีผู้ใดรอดชีวิตเช่นกัน

เยียนกุ่ยคาบบ้องยาสูบเอาไว้ในปาก พร้อมตบเข้าที่ไหล่ของเฉียนห้าว  เจ้าหนู เก่งใช้ได้นี่ !  

สหายของเขาหัวเราะแล้วยกนิ้วโป้งให้  เจ้าหนู เจ้ามันแน่จริง ๆ !  

นี่คือการฆ่าหมูเยี่ยงนั้นหรือ ?

ทันใดนั้น เฉียนห้าวก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าเขาก็ทำได้และยังจะทำได้ดีกว่านี้อีกด้วย

เขาหัวเราะออกมา โดยที่มิได้สังเกตเลยว่าร่างกายของเขาขณะนี้ชุ่มไปด้วยเลือด

บริเวณรอบ ๆ กระโจมนี้ เรียกว่าเป็นที่ที่สังหารศัตรูมากกว่าห้าพันคน และขณะนี้กองพลที่สามก็ยังมิได้รับความเสียหายใด ๆ เลยแม้แต่น้อย

แต่แล้วการต่อสู้ที่โหดร้ายก็ได้มาถึง !

ภายในกระโจมแน่นไปด้วยทหารที่มารวมตัวกัน ความตรึงเครียดมีมากยิ่งขึ้น การลาดตระเวนก็เพิ่มมากขึ้น เมื่อทหารของตนมากกว่าสองพันคนถูกลอบสังหารในที่สุดกองพลที่สามก็ถูกเปิดโปง

เสียงแตรฉุกเฉินดังเข้ามาภายในค่าย ท่าป๋าฉงสะดุ้งตกใจและคว้าดาบที่วางไว้บนโต๊ะขึ้นมา  ข้าศึกโจมตี ! ข้าจะไปจัดการมัน !  

นายพลทั้งสามถึงกับผงะ หรือว่าเป็นเพราะข่าวรั่วไหล เผิงเฉิงอู่ถึงได้นำทหารกลับมาแก้มือเยี่ยงนั้นหรือ ?

พวกเขารีบออกจากกระโจมหลังใหญ่และกลับไปประจำการที่หน่วยของตน จึงได้พบว่าทหารของพวกเขาถูกฆ่าตายและบาดเจ็บนับมิถ้วน

หวังเสี่ยวจ้วงหน้านิ่วคิ้วขมวด ยังมีศัตรูอีกนับหมื่นเยี่ยงนั้นหรือ ข้าต้องจัดการให้สิ้นซากให้ราบเป็นหน้ากลอง !

นี่เป็นคราแรกที่หวังเสี่ยวจ้วงนำกองทัพเข้าต่อสู้กับศัตรู เขามิเคยทำมาก่อน เขากำลังคิดบางอย่างและอยู่ ๆ เขาก็คิดถึงสิ่งที่ไป๋ยู่เหลียนเคยสอนเขา

เมื่อต้องโจมตีซึ่งหน้ากับศัตรู พวกเราต้องแสดงแสนยานุภาพอาวุธของพวกเราให้ศัตรูได้รู้ว่าพวกเราเหนือกว่าแค่ไหน จะต้องทำให้พวกมันขวัญหนีดีฝ่อให้จงได้ !

ใช่ ถูกต้องแล้ว !

 กองพันที่หนึ่ง กองพันที่สองคอยคุ้มกัน กองพันที่สามบุกเข้าไปกับข้า ใช้ระเบิดไฟเพื่อเปิดทาง !  

สิ้นเสียงออกคำสั่ง พลทหารทั้งหลายก็ได้วิ่งนำออกไปก่อนที่จะหยิบลูกระเบิดออกมาจากกระเป๋า ดึงสลักแล้วโยนออกไปท่ามกลางเหล่าศัตรู

 ตู้ม… !   เสียงระเบิดดังก้อง บัดนี้การโจมตีเปิดฉากขึ้นแล้ว มีผู้บาดเจ็บหลายสิบคน ทหารของแคว้นฮวงวิ่งแตกตื่นหนีกันกระเจิง นี่มันอาวุธประเภทใดกัน ?

ถูฟูเห็นหัวหน้ากองพลวิ่งไปนำทัพหน้าสุด นี่มันเกิดเหตุอันใดขึ้นกัน ?

 พี่น้องทั้งหลาย ตามข้ามา !  

เขาชักปืนออกมา มือขวาถือปืนขณะที่มือซ้ายกำระเบิดไฟ เขาใช้ปากกัดสลักออก และขว้างออกไปทันทีทันใด ระเบิดลอยไปตกที่บริเวณใกล้ ๆ กับที่ข้าศึกรวมตัวอยู่

แม่ทัพคนหนึ่งของฝั่งศัตรูก็ได้อยู่ที่นั่นเช่นกัน เขายังมิทันหายตระหนกจากระเบิดไฟลูกแรก ระเบิดไฟลูกที่สองก็ได้หล่นลงมาข้าง ๆ ตัวเขา

จนกระทั่งเขาตายตก เขาก็ยังมิรู้เลยว่าอาวุธที่ทรงพลังถึงเพียงนี้คืออะไร และถือว่าเป็นเกียรติมากที่เขาเป็นแม่ทัพคนแรกที่ตายด้วยอาวุธชนิดใหม่นี้

เสียงปืนดังขึ้น ศัตรูค่อย ๆ ทยอยล้มตายไป

เสียงปืนที่ดังอย่างต่อเนื่อง เสียงรบราฆ่าฟันและเสียงระเบิดไฟที่ดังขึ้นเป็นครั้งครานั้น ทำเอาศัตรูมิสามารถเปิดการโจมตีกองพลที่สามได้เลย หลายคนตายเพราะถูกยิงจากระยะไกลบางคนโดนแรงระเบิดจนร่างกายหลุดรุ่ยเลือดอาบไปทั่วทั้งร่าง เหลือเพียงลมหายใจที่แผ่วเบา

มีเสียงร้องไห้ดังระงมอย่างขมขื่น มีเสียงผู้คนร้องตะโกนโหวกเหวกด้วยความตื่นตระหนกและบางคนก็ได้หันหลังกลับและวิ่งหนีไป หมดหนทางในการตอบโต้แล้ว !

พวกเขามิเข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นเทพเซียนที่ลึกลับมาเยี่ยงนั้นหรือ และที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คืออาวุธที่มองมิเห็น พวกเขาได้เห็นการตายของสหายที่นอนตายอย่างอนาถ ในที่สุดพวกเขาก็ต้องยอมแพ้

ท่าป๋าฉงได้ยินเสียงระเบิดที่ดังอยู่ด้านนอก เขาที่เพิ่งเดินออกมาจากกระโจมใหญ่ของกองทัพ มองเห็นทหารพากันวิ่งกรูเข้ามารุมล้อมเขา

เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ในมือของเขาถือดาบเล่มใหญ่พร้อมตะโกนว่า  อย่าได้ตกใจไปเลย นายพลผู้นี้อยู่ที่นี่แล้ว และข้าก็จะไปฆ่าพวกมันเสียให้สิ้น !  

 ข้ามิกลัวอันใดทั้งสิ้น ข้าจะจัดการมันเสียให้ราบเป็นหน้ากลอง !  

 ท่านนายพล ฝ่ายข้าศึกมิใช่มนุษย์เยี่ยงเรา ๆ จะเป็นการดีที่สุดหากพวกเรายอมแพ้เสีย 

 หากผู้ใดกล้าถอยแม้แต่ก้าวเดียว ข้าจะฆ่าให้ตายอย่างไร้ปราณี !   ท่าป๋าฉงตะคอกเสียงดังขึ้นอีกครา แต่ทว่า…มิมีผู้ใดสนใจเขาเลยแม้แต่น้อย

เกิดอันใดขึ้นกันแน่ ?

หรือนี่จะเป็นกำลังหลักของเผิงเฉิงอู่กัน ?

อยู่ ๆ ท่าป๋าฉงก็รู้สึกเย็นวาบ ในเมื่อเขารู้อยู่แล้วว่าทหารของเขาตอนนี้ตื่นกลัวถึงขีดสุด มันจะเป็นไปมิได้เลยที่จะยับยั้งความพ่ายแพ้นี้เอาไว้

เย๋หม่า ผู้บังคับบัญชากองพันที่หนึ่ง มองจากระยะไกลเห็นชายตัวใหญ่ยืนถือดาบอยู่นอกกระโจม เขาหยิบปืนออกมาเล็งไปที่ท่าป๋าฉง ฝนตกหนักเกินกว่าจะมองเห็นอะไรได้ชัดเจน

กระสุนมิสามารถใช้อย่างสิ้นเปลืองได้ ไป๋ยู่เหลียนเคยเอ่ยไว้ว่ากระสุนทุก ๆ นัดจะต้องเก็บเกี่ยวชีวิตของศัตรูให้ได้ !

ดังนั้นเขาจึงวิ่งไปข้างหน้าอย่างเงียบ ๆ ไล่ตามหลังของศัตรูขี้แพ้ไป

เขามาหยุดอยู่ในตำแหน่งที่ห่างจากท่าป๋าฉงราว 60 จั้ง ท่าป๋าฉงได้รับการคุ้มกันอย่างดีโดยองครักษ์ส่วนตัวทำให้เขามิสามารถเข้าไปใกล้ได้มากกว่านี้อีกแล้ว

เขายกปืนขึ้นอีกครา ชายร่างใหญ่คนนั้นเป็นตัวการใหญ่ ดังนั้นการฆ่าเขาในครานี้จึงถือว่าเป็นความสำเร็จคราใหญ่ !

เย๋หม่ายิ้มเยาะ แล้วเหนี่ยวไกปืน

 ปัง… !   สิ้นเสียงปืน ทหารองครักษ์ที่ยืนอยู่ข้างท่าป๋าฉง ก็ได้พบว่ามีดในมือของท่านนายพลหล่นลงกับพื้น จากนั้น…ร่างของท่าป๋าฉงก็ได้ล้มลงตามไป

องครักษ์ผู้นั้นรู้สึกตื่นตกใจเป็นอย่างมาก เขาชะโงกเข้าไปดู พบรูโหว่อยู่บนหน้าผากของท่านนายพล !

ท่านนายพลสิ้นชีพแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

เขามิได้ตายด้วยธนู !

อีกฝ่ายใช้คาถาอาคมอันใดกัน ?

หัวหน้าองครักษ์ตื่นตกใจมากเช่นกัน เขาจะสู้ศึกครานี้ต่อไปได้เยี่ยงไร ?

แม้แต่ศัตรูสักคนก็ยังมิเห็น… ไม่สิ ข้าเห็นแล้ว รีบหนีเร็วเข้า !

กองพันที่สามวิ่งไล่ตามทัน ส่วนกองพันที่สองและกองพันที่หนึ่งก็มิยอมแพ้เช่นกัน

พวกเขาวิ่งเร็วกว่าทหารของแคว้นฮวงมาก นี่คือการเปิดฉากไล่ล่าในป่าใหญ่กลางภูเขา

มิมีเสียงปืนดังขึ้นอีกแล้ว มิมีเสียงรบราฆ่าฟัน หรือแม้กระทั่งเสียงระเบิด

กองพลที่สามของดาบเทวะสังหารทหารของแคว้นฮวงบนภูเขาทั้งหมดด้วยมีดและอาวุธต่าง ๆ โดยใช้เวลามิถึงครึ่งชั่วยาม หลังเหตุการณ์นี้สิ้นสุดมีเพียงทหาร 6 คนเท่านั้นที่ถูกสังหารและอีกกว่ายี่สิบกว่าคนที่ได้รับบาดเจ็บ

การต่อสู้ครานี้ถือเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ !

 ฮ่า ๆ ๆ ๆ …  เฉียนห้าวหัวเราะเสียงดัง เขาตัดใบตองส่งให้เยียนกุ๋ยบังฝน

เยียนกุ๋ยหยิบยาเส้นออกมาแล้วใส่ลงไปในบ้อง จากนั้นก็จุดไฟแล้วสูบเข้าไปจนเต็มปอด

เขาเคยเป็นทหารมาก่อน และในยามนี้เขามีความสุขเป็นอย่างมาก  นี่สิถึงเรียกว่าการสู้รบอย่างแท้จริง !  

 แล้วเมื่อก่อนมิใช่หรือ ?  

เยียนกุ๋ยส่ายหัว  เมื่อก่อนน่ะหรือ…ก็เป็นเพียงแค่การพยายาม มิมีความหวังเลยด้วยซ้ำ 

เขาคาบบ้องยาสูบไว้ในปาก มือตบไปที่ไหล่ของเฉียนห่าว  เจ้าหนู เจ้ารู้สึกเยี่ยงไรบ้าง ?  

 มันมิต่างจากการฆ่าหมูเลยจริง ๆ !  

เยียนกุ่ยพ่นควันออกมา ใบหน้าของเขาเลือนลางเล็กน้อยและเอ่ยด้วยเสียงที่ทุ้มต่ำ  จำเอาไว้นะว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพราะน้ำพักน้ำแรงของคุณชายและไป๋ยู่เหลียน !  

 

ตอนที่ 407 จัดการมัน !

ณ แคว้นฮวง พระราชวังที่สูงตระหง่านถูกสร้างจนเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

พระราชวังที่หรูหราแห่งนี้ ใช้เวลาสร้างราว 1 ปี อีกทั้งยังได้นำทรัพย์สมบัติทั้งหมดของประเทศมาใช้อีกด้วย และนี่คือพระราชวังของแคว้นฮวง….พระราชวังป๋ายจินฮ่าน

เมื่อสิบวันก่อน กงเซินจ่างได้ส่งที่ปรึกษาเจี่ยเกาเต๋อไปยังพระราชวังป๋ายจินฮ่าน และได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิท่าป๋าเฟิงของแคว้นฮวง

แคว้นฮวงส่งกองกำลังทหารจำนวน 20,000 นาย โดยมีท่านนายพลท่าป๋าฉง นายพลใหญ่ของแคว้นฮวงเป็นผู้บัญชาการ เขามุ่งหน้าไปยังภูเขาผิงหลิง เพื่อช่วยเหลือกงเซินจ่าง เข้าปราบปรามกับกองทัพทหารทางเหนือของราชวงศ์หยู

ตอนนี้กองกำลังทหารได้เดินทางมาถึงเชิงเขาเป่ยซานแล้ว พวกเขาละทิ้งม้าและเดินเท้าเข้าไปในเทือกเขาอันกว้างใหญ่แห่งนี้

ขณะเดียวกันกองพลที่สามที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของหวังเสี่ยวจ้วง ก็กำลังเคลื่อนพลจากทางตะวันออกของภูเขาผิงหลิงอ้อมเข้าไปยังเนินเขาจืออู่ในภูเขาเป่ยซาน

เป้าหมายของกองพลสามคือการไล่ตัดกำลังพลกงเซินจ่าง เพื่อป้องกันมิให้กงเซินจ่างหลุดรอดไปถึงเขตประเทศรกร้าง

ที่นี่ฝนได้เทลงมาราวกับฟ้าจะถล่มทั้งวันทั้งคืน

กองพลที่สามวิ่งฝ่าสายฝนเข้าไปในภูเขา ไม่นานหน่วยสอดแนมก็ได้รีบวิ่งกลับออกมาเพื่อรายงานข่าว

 รายงานท่านผู้บัญชาการกองพล ไหล่เขาทางด้านขวามีกระโจมชั่วคราวตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก คาดว่ามีทหารราว 20,000 นาย ทหารเหล่านั้นมิใช่กองกำลังของกงเซินจ่าง แต่ดูจากเครื่องแต่งกายแล้ว เป็นทหารของแคว้นฮวงขอรับนายท่าน !  

หวังเสี่ยวจ้วงรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก ชาวฮวงเยี่ยงนั้นหรือ ?

แล้วเหตุใดชาวฮวงถึงมาอยู่ที่นี่กัน ?

ทหารชาวฮวง 20,000 นายเยี่ยงนั้นหรือ นี้มันลาภก้อนใหญ่เลยนี่ แววตาของหวังเสี่ยวจ้วงแปรเปลี่ยนเป็นความโลภทันที

 การป้องกันแน่นหนาเพียงใด ?  

 มิมีการป้องกัน มีเพียงหน่วยสอดแนมสองสามนายคอยสอดส่องเท่านั้น ในกระโจมมีเสียงการพนันและดื่มสุราดังออกมาขอรับ 

หวังเสี่ยวจ้วงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเรียกผู้บังคับบัญชากองพันทั้งสามของเขามา

 จากที่ข้าได้ไตร่ตรองดูแล้ว ทหารของแคว้นฮวงเหล่านี้มาที่นี่เพื่อช่วยเหลือทัพของกงเซินจ่างอย่างแน่นอน หากว่าพวกเราทำตามแผนที่วางไว้ มิให้พวกมันไปถึงเทือกเขาจืออู่ได้ ก็เท่ากับว่าพวกเราทำภารกิจที่ไป๋ยู่เหลียนมอบหมายให้สำเร็จ แต่หากคิดอีกที เมื่อถึงเวลาที่พวกเราเปิดการโจมตีกงเซินจ่าง ทหารของแคว้นฮวงเหล่านี้ก็จะโจมตีพวกเราจากทางด้านหลังแทน… ถ้าเป็นเยี่ยงนั้นคาดว่าคงจะยุ่งยากมากยิ่งขึ้นเป็นแน่ 

 ดังนั้นที่ข้าหมายถึงก็คือใช้ประโยชน์จากคืนที่ฝนตกเช่นนี้ จัดการทหารของแคว้นฮวง 20,000 นายเหล่านั้นเสีย พวกเจ้าคิดว่าเยี่ยงไร จะใช้แผนเดิมหรือจะเปลี่ยน พวกเจ้าเสนอมาเถิด ข้ายอมรับฟัง !  

เย๋หม่าจากกองพันหนึ่งยกมือขึ้นทันที  จัดการมันเลย มิมีอันใดต้องคิดแล้ว !  

จ้าวอี้โป จากกองพันสองยกมือขึ้นด้วย  ใช่ ฆ่าพวกมันเสียให้สิ้น อย่าให้เหลือรอดแม้แต่คนเดียว !  

ถูฟูจากกองพันสามค่อย ๆ ยกมือขึ้นช้า ๆ  พวกท่านมิจำเป็นต้องถามความคิดเห็นของข้า เยี่ยงไรเสียข้าก็เห็นด้วยอยู่แล้ว 

หวังเสี่ยวจ้วงจ้องมองไปยังถูฟู เขาใช้มือสัมผัสเม็ดฝนบนใบหน้า และเริ่มเตรียมการอย่างระมัดระวัง

 อย่าได้ประมาทข้าศึกเป็นอันขาด เนื่องจากทหารที่แคว้นฮวงส่งมานั้น ล้วนเป็นผู้ที่มีฝีมือระดับสูง คืนนี้มีฝนตกหนัก ถือโอกาสนี้ลองปืนพกของพวกเราเสีย กองพันที่หนึ่งล้อมจากทิศตะวันตก กองพันที่สองอ้อมไปทางทิศตะวันออก ส่วนกองพันที่สาม ถูฟู ให้ทหารของท่านแยกกันไปซุ่มโจมตี จำไว้ว่ายิงได้เมื่อจำเป็น และข้าก็มิอยากให้ทหารของพวกเราต้องมาตายตกที่นี่ !  

 รับทราบ… !  

ผู้บังคับบัญชากองพันทั้งสามตะโกนเรียกรวมพล เพื่อจัดแจงแผนการรบ ทหารกองกำลังพิเศษ 1,000 นายเตรียมพร้อมในการปฏิบัติภารกิจที่ผู้บังคับบัญชากองพันมอบหมาย จากนั้นก็วิ่งหายไปกลางสายฝน

ท่าป๋าฉงกำลังนั่งดื่มสุราอยู่ท่ามกลางเหล่าทหารในค่าย

นายพลของเขาหลายคนก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นเดียวกัน และเริ่มพากันบ่น

 ที่แห่งนี้ถนนสักเส้นก็ยังมิมี มีแต่ป่าทึบที่เต็มไปด้วยขวากหนาม พวกเราล้วนแต่เป็นทหารม้าที่เก่งกาจบนทุ่งหญ้า แต่พวกเจ้าดูสิตอนนี้พวกเรามิต่างกับหนูบนภูเขาเลยนี่ ข้าว่านะ พวกเราปล่อยให้กงเซินจ่างโจมตีไปสักพักก่อน แล้วพวกเราค่อยตามไปทีหลัง 

 ท่านนายพล แล้วพวกเราจะได้อะไรจากการช่วยเหลือกงเซินจ่างเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 หุบปากประเดี๋ยวนี้ !   ท่าป๋าฉงตะคอกเสียงดัง ภายในกระโจมจึงเงียบเสียงลงทันใด

 นี่คือแผนการของราชครู พวกเจ้ามีหน้าที่เพียงแค่ทำตามเท่านั้น จำเอาไว้ว่าพวกเราเป็นกองทหารม้าดำผู้เกรียงไกรแห่งแคว้นฮวง หลังจากที่พวกเราไปรวมพลกับกงเซินจ่างที่ภูเขาเป่ยซานเพื่อเข้าต่อสู้กับเผิงเฉิงอู่ เวลานี้แหละพวกเราจะต้องแสดงพลังของกองทหารม้าดำออกมา !  

เขาลุกขึ้นยืนมองนายพลที่กำลังนั่งอยู่แล้วเอ่ยว่า  กองทหารม้าดำเมื่ออยู่บนหลังม้ามิมีผู้ใดเทียบเคียงได้ และบัดนี้ข้าต้องการให้เผิงเฉิงอู่รู้ว่า ถึงแม้กองทหารม้าดำจะลงจากหลังม้าก็มิมีผู้ใดสามารถเทียบเคียงได้เช่นกัน !  

 ถ้าหากชนะการรบในครานี้ ด่านภูเขาเยี่ยนก็จะมิมีอีกต่อไป ! แคว้นฮวงเมื่อเดินทางลงใต้ ก็จะมิมีอุปสรรคใดกั้นอีก เช่นนั้นเจ้าเข้าใจในการรบครานี้แล้วหรือยัง ?

 อย่าเพิ่งชะล่าใจไป ถ้าเพียงแค่นี้ยังรบแพ้… ข้าจะหั่นพวกเจ้าทีละคน !  

ในขณะที่ท่าป๋าฉงกำลังให้โอวาทแก่เหล่านายพลทั้งสามกองพันอยู่นั้น ถูฟูได้ลอบนำทหารกองพันที่สามเคลื่อนย้ายเข้าไปในกระโจมใหญ่ของกองทัพฮวง

ถูฟูให้สัญญานมือสองสามครา เพื่อลอบสังหาร เชือดคอ บุก !

ทหารรบพิเศษกว่าสองร้อยนายเข้าโจมตีกระโจมทีละหลัง สิ่งที่พวกเขาถืออยู่ในมือคือมีดที่ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษโดยสำนักอาวุธของภูเขาเฟิ่งหลิน

ทหารรบพิเศษที่เหลืออีก 100 นายกระจายตัวอยู่นอกกระโจมเพื่อเฝ้าดูด้านหน้าอย่างระแวดระวัง เพื่อป้องกันมิให้ข้าศึกออกลาดตระเวน

ในเวลาเดียวกัน กองพันที่หนึ่งและกองพันที่สองได้เดินทางมาจากด้านตะวันตกและตะวันออกในที่สุดก็ได้มาถึงค่ายศัตรู พวกเขาใช้กลยุทธ์เดิม คือต้องชิงฆ่าให้ได้มากที่สุด ก่อนที่พวกศัตรูจะรู้ตัว

ทหารของแคว้นฮวงหลายคนยังมิทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น คอของพวกเขาก็ถูกตัดขาดไปเสียแล้ว แม้แต่เสียงร้องสักนิดก็ยังมิมี

ในสถานที่ที่ห่างไกลเยี่ยงนี้ สภาพอากาศบัดนี้มีพายุรุนแรงยิ่ง มิว่าผู้ใดก็คิดมิถึงว่าจะมีกลุ่มคน 1,000 คนมายังที่แห่งนี้ และยังเปิดฉากการโจมตีอย่างแข็งขันอีกด้วย !

เทพสังหารเหล่านี้ดูราวกับตกลงมาจากสรวงสวรรค์ วิธีการของพวกเขาทั้งเรียบง่ายและตรงไปตรงมา กระโจมหนึ่งหลังสามารถอยู่ได้ 10 คน แต่บัดนี้กลับมีทหารของแคว้นฮวงถึง 30 คนอยู่ในนั้น

ในขณะที่ทหารของแคว้นฮวงกำลังอยู่ในอารามตกตะลึง พวกเขาก็ได้ยิงลูกธนูสวนออกไป แทงทะลุหน้าอกของเหล่าทหารของแคว้นฮวง

เพียงมิกี่อึดใจ สามสิบคนที่อยู่ในกระโจมก็ได้ตกตายไปทั้งหมด

ทหารเหล่านี้ร่วมมือกันดึงลูกธนูที่ยิงใส่ข้าศึกออก แต่ลูกธนูก็ได้แทงทะลุหน้าอกเสียแล้ว

เฉียนห้าวเป็นทหารยศเล็ก ๆ ในกองร้อยที่สอง หมวดที่สองของกองพันที่หนึ่ง และเขายังเป็นสมาชิกของหน่วยฝึกดาบเทวะอีกด้วย

นี่เป็นคราแรกที่เขามีส่วนร่วมในการปฏิบัติการดังกล่าว และยังเป็นการฆ่าคนคราแรกของเขาอีกด้วย

มือข้างซ้ายของเขาถือธนูไม้ ส่วนมือขวากำดาบแน่น เขาตามหลังหัวหน้าหน่วยเยียนกุ๋ยไปอย่างใกล้ชิด พวกเขาบุกเข้าโจมตีผู้บังคับบัญชากองพันทั้งสามของแคว้นฮวง แต่เขากลับมิได้ยิงธนูหรือใช้ดาบแทงศัตรูเลยสักครา

เมื่อเขาออกมาจากกระโจม เยียนกุ๋ยตบไปไหล่ของเขาว่า  เจ้าหนู ตอนที่ฝึกเจ้าทำได้ดีมากนี่ เหตุใดพอถึงเวลาจริงกลับมิได้เรื่องเลยเล่า ?  

 หัวหน้าหน่วย ข้า…ข้ารู้สึกประหม่านิดหน่อย 

 ประหม่าอันใดกันเล่า เจ้าลืมคำเอ่ยที่ไป๋ยู่เหลียนเคยเอ่ยไปแล้วหรือเยี่ยงไร นี่มิใช่การฆ่าคน นี้คือการฆ่าหมู รีบ ๆ เข้าล่ะ เพียงแค่เจ้าได้ฆ่าคราแรก เจ้าก็จะพบว่าการฆ่าหมูมันง่ายถึงเพียงใด 

 อืม !   เฉียนห้าวพยักหน้า เยียนกุ๋ยหยิบบ้องยาสูบอันเก่าของเขาออกมา แต่ภายในบ้องกลับมิมีใบยาสูบอยู่

เขาเพียงแค่อมไว้ในปากเฉย ๆ ในใจพลันคิดไปว่าเจ้าหนูนี้ยังอ่อนหัด ต้องมาเห็นสภาพเลือดเยี่ยงนี้… มิอาเจียนออกมาก็ถือว่าเก่งมากแล้ว

พวกเขาเข้าไปในค่ายทหาร ขณะที่เยียนกุ๋ยกำลังเยียบเท้าเข้าไปในค่าย ทันใดนั้นทหารของแคว้นฮวงคนหนี่งก็กระโดดขึ้นมา ในมือถือดาบเล่มยาวพร้อมกับกระโจนเข้ามาเพื่อที่จะฆ่าเยียนกุ๋ย

 

หนึ่งร้อยคนนี้อยู่ใต้บังคับบัญชาของกงเซินจ่าง !

เฟิงโก่วคาบหญ้าหางหมาไว้ในปาก จ้องมองไปยังกลุ่มคนที่สวมใส่เครื่องแต่งกายของนักรบ มันน่ายินดียิ่ง

โชคใหญ่ลอยมาหาข้าแล้ว ขณะที่พวกเจ้ากำลังเดินทาง เวลานี้แหละที่ข้าจะได้แสดงฝีมือสักที

พวกเขาซ่อนตัวอยู่บนต้นไม้

คนพวกนั้นเดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

เฟิงโก่วยกคันศรขึ้น ปลายศรเล็งไปยังศัตรู

นี่เป็นการต่อสู้จริงจังคราแรกของพวกเขา แต่กลับมิมีผู้ใดที่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เป็นเพราะคำสอนของไป๋ยู่เหลียนที่ล้างสมองของพวกเขามาเนิ่นนาน ในสายตาของเฟิงโก่ว ในตอนนี้มิมีผู้ใดสามารถต่อกรกับดาบเทวะนี้ได้ !

ไม่แปลกที่พวกเขาจะคิดเยี่ยงนี้ เพราะมิเคยมีกองทัพใด ที่มีการฝึกอย่างไร้มนุษยธรรมเฉกเช่นพวกเขา

 ศัตรูเยี่ยงนั้นหรือ ? ก็แค่หมูฝูงหนึ่งเท่านั้น !  

 ส่วนพวกเจ้า ? ก็คือคนฆ่าหมูเยี่ยงไรเล่า !  

 จำใส่หัวของพวกเจ้าเอาไว้ให้ดี หากดาบเทวะหลุดออกจากฝักเมื่อใด ทั่วหล้าหาได้มีผู้ใดกล้าต่อกร !  

ดังนั้น ตอนนี้ก็เพียงแค่ฆ่าหมู 100 ตัวเท่านั้นเองมิใช่หรือ

เมื่อศัตรูคนที่อยู่ด้านหน้าสุด ได้เดินผ่านต้นไม้ต้นสุดท้ายที่อูมู่อยู่ เฟิงโก่วก็ได้เริ่มเป่านกหวีด เสียงดังราวกับเสียงนกร้องในยามวิกาล

ทหาร 10 นายเหนี่ยวคันศร พุ่งไปเต็มแรงหวังทำลายศัตรูให้สิ้นซาก

เมื่อศัตรูบางคนล้มลงกับพื้น ศัตรูที่เหลืออยู่ด้านล่างต่างก็พากันแตกตื่น แต่ยังมิทันได้ตั้งตัว ลูกธนูก็โผเข้ามาอีกครา

ศัตรูล้มตายไปอีก 10 คน อีก 80 คนที่เหลือยังมิทันได้โต้ตอบอันใด ลูกธนูรอบที่สามก็มาถึง

ครานี้ศัตรูตอบสนองและมีเสียงตะโกนมาว่า  ข้าศึกโจมตี !  

ศัตรูวิ่งหนีตายกันจ้าละหวั่น แต่ก็ยังคงอยู่ในระยะของลูกธนูอยู่ ลูกธนูถูกยิงมาเป็นรอบที่สี่โดยมิหยุดพัก

เฟิงโก่วกระโดดลงมาจากต้นไม้ พร้อมคว้าดาบยาวกระโจนเข้าไปกลางกองทัพศัตรูราวกับหมาบ้า เลือดสาดกระเซ็นไปทั่วบริเวณ

ทหารหน่วยรบพิเศษ 10 นายวิ่งกรูเข้าไป ผ่านไปมิถึงสิบอึดใจการต่อสู้ก็ได้สิ้นสุดลง

อูมู่โยนศัตรูคนหนึ่งลงไปอยู่ต่อหน้าเฟิงโก่ว  หัวข้า เอาหัวข้าเป็นประกันโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย ขอท่านโปรดพิจารณา 

ศัตรูผู้นี้แต่งกายต่างจากผู้อื่นที่ตกตายไป เสื้อผ้าดูดีกว่า ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้นำของกองกำลังนี้

เฟิงโก่วมิได้เอ่ยถาม เขาเดินเข้าไปพร้อมกับตบไปที่ร่างของศัตรูหนึ่งที  ตุ้บ… !   ศัตรูผู้นี้ถูกตบเสียจนเลือดไหล

 เอ่ยมา ว่าเจ้ากำลังทำอันใด ?  

เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากตัวของศัตรูผู้นั้น เฟิงโก่วขมวดคิ้วมุ่น และใช้หลังมือตบเข้าอีกคราอย่างเต็มแรงด้วยความเดือดดาล

 เร็วเข้า อย่าลีลาให้มาก ข้ามิได้ว่างถึงเพียงนั้น… !  

เฟิงโก่วหันหน้าไปเอ่ยกับอูมู่  ตัดหูของพวกมันทิ้งเสีย ถือว่าเป็นความดีความชอบของกองทัพ !  

อูมู่ตื่นตกใจทันพลัน แม้แต่โมวโถก็ยังมิเคยเอ่ยอะไรเยี่ยงนี้เลยสักครา แต่เขาก็มิได้คัดค้านเฟิงโก่ว และได้นำทหาร 9 นายไปตัดหูของอีกฝ่าย

ศัตรูผู้นั้นประคองตนเองขึ้นด้วยร่างที่สั่นเทา จากนั้นก็คุกเข่าลงกับพื้น ยอมหมอบศีรษะให้กับเฟิงโก่วที่กำลังเดินไปมา   นายท่านโปรดไว้ชีวิตข้าด้วย !  

 ข้าบอกให้เจ้ารีบเอ่ยมาเร็ว ๆ !  

 ข้าน้อยยอมแล้ว ข้าน้อยจะบอกทุกอย่าง… ในหุบเขานี้…อุดมไปด้วยเสบียงอาหาร ข้าน้อยเพียงแค่ได้รับคำสั่งให้มาเฝ้าที่นี่เท่านั้นขอรับ 

เมื่อเฟิงโก่วได้ยินดังนั้น ก็ได้เกิดความฮึกเหิมขึ้นมา เขานั่งลงและตบหน้าของศัตรูผู้นั้น  ลุกขึ้น นำทางข้าไปดูหน่อยสิ 

ศัตรูผู้นั้นเดินนำหน้า รู้สึกอึดอัดใจยิ่งกว่าหมาจนตรอก จิ้งซุ่ยจินกัง เจ้าหลอกข้า !

กองทัพทหารทางเหนือประจำการอยู่ที่ตั้งเก่าของกองทัพสวรรค์มิใช่หรือ ?

เหตุใดถึงยังเห็นคนของกองทัพอยู่ที่นี่ได้อีกเล่า ?

สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างไกลมากนัก อีกทั้งภูเขาผิงหลิงก็กว้างใหญ่ไพศาล มิน่าจะมีผู้ใดรู้จักได้

ที่นี่มิมีแม้แต่ถนนหนทาง ดูแล้วผู้คนมิน่าอาศัยอยู่ได้ แล้วคนธรรมดาจะมาทำอันใดที่นี่กันเล่า ? ด้วยเหตุนี้กงเซินจ่างจึงให้จิ้งซุ่ยจินกังหาสถานที่สี่แห่งเพื่อเก็บเสบียงและที่นี่คือหนึ่งในนั้น

มิว่าผู้ใดก็ตามที่ได้เห็นที่แห่งนี้ ต่างก็พากันอุ่นใจ เพราะในค่ำคืนนี้จิ้งซุ่ยจินกังได้ส่งกองกำลังมาเพื่อลาดตะเวนดูว่ามีสัตว์ป่าหลงเข้ามาหรือไม่ ส่วนมนุษย์นั้นยากที่จะพบเจอในที่แห่งนี้ได้

โชคร้ายยิ่ง ที่เขาได้พบเจอกับกองทัพที่มีแต่คนที่แปลก ๆ เต็มไปหมด

หากว่าเป็นมีดแหลม พวกเขาจะเลือกซ่อนตัวและมิเปิดเผยตัวตนออกไป

แต่หากเป็นก้อนหิน เขาเลือกที่จะหนีกลับไปเพื่อรายงานกงเซินจ่าง ว่าพบศัตรูที่นี่ อาจจะมีอันตรายเกิดขึ้นได้

การมาของเฟิงโก่วครานี้ เขามิได้คิดอันใดมากมายนัก

แต่เป็นโชคดีของเขาที่มาพบเข้ากับกลุ่มศัตรู อีกทั้งเฟิงโก่วยังได้รู้ข้อมูลสำคัญมาโดยบังเอิญอีกด้วย

ขณะที่เดินเข้าไปในหุบเขานั้น เขาก็ได้เดินเข้าไปยังถ้ำแห่งหนึ่ง ปากถ้ำถูกปิดไว้ด้วยก้อนหิน เมื่อนำก้อนหินเหล่านั้นออกไปแล้วเฟิงโก่วและทหารทั้งสิบก็ต้องพบกับความตะลึง !

นี้คือถ้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ มิรู้ว่าลึกเท่าใด แต่ความกว้างราว 3 จ้าง

ในถ้ำเต็มไปด้วยเสบียงอาหาร ทั้งข้าวเปลือก ข้าวสาลี ข้าวฟ่าง หม้อไหและอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ต่าง ๆ

 เอ่ยมา ว่าเหตุใดถึงนำเอาเสบียงมาซ่อนไว้ที่นี่ ?  

ศัตรูผู้นั้นเริ่มงุนงง นั่นสิ ข้าเองก็มิรู้เช่นกันว่าเหตุใดต้องเอามาซ่อนไว้ที่นี่… เขาจึงเฉไฉไปเรื่องอื่นแทน  ข้าได้ยินมาว่าท่านหัวหน้ากำลังจะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ ในงานเฉลิมฉลอง และจะต้องใช้อาหารเป็นจำนวนมากและเสบียงเหล่านี้อีกมินานก็จะมีกองทัพใหญ่มาขนเอาไปขอรับ 

เฟิงโก่วตกตะลึงทันใด กงเซินจ่างกำลังจะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้เยี่ยงนั้นหรือ ?

อยู่ ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา ศัตรูผู้นั้นถึงกับผงะ แสงดาบสะท้อนเข้าดวงตา เลือดพุ่งกระเด็นไปทั่วบริเวณ บัดนี้หัวของศัตรูผู้นั้นได้หลุดออกจากบ่าแล้ว และได้กระเด็นไปอยู่ข้าง ๆ ลำตัว

 เสบียงเยอะถึงเพียงนี้ จะเผาทิ้งก็น่าเสียดาย อูมู่ เจ้าลองเอ่ยมาสิ จะเอาเยี่ยงไรดี ?  

 นายท่าน พวกเราต้องกลับไปรายงานเรื่องนี้ 

 อ่า…จริงด้วยสิ ต้องนำเรื่องนี้ไปรายงานผู้บัญชาการ 

พวกเขาออกเดินทางอีกครา พอมาถึงที่หน้าผา เฟิงโก่วก็ได้เริ่มจัดแจง  อูมู่ พวกเจ้าขึงเชือกให้ดี ๆ ข้าจะไปรายงานต่อผู้บัญชาการสักหน่อย ประเดี๋ยวข้าจะกลับมา 

เขาวิ่งกลับไปที่ค่าย หลังจากที่ฟ่านตงหลินรู้ข่าวจากเฟิงโก่ว เขาก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

ไม่สิ นี่เจ้ามิได้ไปขึงเชือกหรอกหรือ ?

เหตุใดถึงได้ฆ่าศัตรูนับร้อยได้ในคราเดียว อีกทั้งยังหาที่ซ่อนเสบียงของศัตรูเจออีก ?

ฟ่านตงหลินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขามิรู้ว่าจะจัดการเยี่ยงไรดีกับเสบียงอาหารที่เยอะถึงเพียงนี้ เขาจึงรีบเขียนจดหมายแล้วให้คนนำไปส่งยังกองพลที่หนึ่งโดยเร็ว ไป๋ยู่เหลียนอยู่ที่นั่น เรื่องนี้ต้องถึงหูของไป๋ยู่เหลียนโดยเร็วที่สุด

เรื่องที่กงเซินจ่างจะได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้นั้น… ฟ่านตงหลินก็ได้เขียนลงไปในจดหมายด้วย แต่แน่นอนว่าเขามิได้ใส่ใจในเรื่องนี้มากนัก เพราะอีกมินานกงเซินจ่างก็ต้องตายอยู่แล้ว จะมาเป็นฮ่องเต้ได้อย่างไรกัน !

เขามิได้หวังจะให้ไป๋ยู่เหลียน ตอบกลับมา เยี่ยงไรเสียเป้าหมายของเขาคือไปให้ถึงยอดเขาหู่จี๋ ส่วนเรื่องที่ไป๋ยู่เหลียนจะจัดการกับเสบียงเหล่านี้เยี่ยงไรนั้น ประเดี๋ยวเขาก็คงจัดการเอง

ในคืนนี้ทหารของกองพลที่สอง ได้เดินทางไต่ข้ามผาสูงจนมาถึงยอดเขาหู่จี๋ยามรุ่งสาง

สิ่งที่เขามิรู้คือหลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนทราบเรื่อง เขาก็ได้รีบเขียนจดหมายและให้คนส่งไปที่กองทัพสวรรค์ทันที

มิมีทางเลือกอื่นแล้ว พรุ่งนี้กงเซินจ่างย่อมส่งคนมาขนเสบียงไป แต่กองพลที่หนึ่งกลับติดภารกิจสำคัญ เขาต้องการมอบของขวัญชิ้นใหญ่นี้ให้กับเผิงเฉิงอู่

เผิงเฉิงอู่แทบจะมิอยากเชื่อเมื่อได้รับข่าวนี้

เขาส่งพลทหาร 10,000 นายไปเฝ้าประจำการที่หุบเขาทันที

หากว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แสดงว่าฝ่าบาทได้ทรงวางแผนการเอาไว้ทั้งหมดแล้ว โดยมิต้องสงสัยเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นที่หุบเขาเยว่หมิง ผู้ใดเป็นคนวางแผน

 

ตอนที่ 405 ปะทะ

ฟ่านตงหลินในปีที่แล้วในการฝึกซ้อมได้ถูกเลื่อนตำแหน่งให้เป็นผู้บัญชาการของกองพันที่สอง

เนื่องจากคะแนนในแต่ละวิชาการฝึกของเขานั้นดีเป็นอย่างมาก จึงได้เลื่อนขั้นเป็นผู้บัญชาการของกองพันที่สอง

ต่อจากนั้นมาการฝึกซ้อมที่ที่ภูเขาเฟิ่งหลิน เขาก็ได้แสดงออกมาได้อย่างโดดเด่น ในการทดสอบการวัดระดับขั้นสุดท้ายเขาได้ที่หนึ่ง จึงถูกไป๋ยู่เหลียนแต่งตั้งให้เป็นผู้บัญชาการของกองพลที่สอง

เจี่ยนเตาในตอนนั้น จากตำแหน่งผู้บัญชาการกองร้อยที่สองก็ได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองพันที่สอง

ขณะนั้นฟ่านตงหลินได้นำทหารหน่วยรบพิเศษดาบเทวะ 1,000 คนเคลื่อนที่อย่างไร้สุ่มเสียงไปยังจุดโจมตีศัตรู ยอดเขาหู่จี๋ ! มันตั้งอยู่ที่ด้านตะวันตกของภูเขาทางเหนือ จำเป็นต้องให้กองพลที่สองทะลุผ่านยอดเขาแห่งนี้

เส้นทางของพวกเขาไกลที่สุดและลำบากมากที่สุด แต่สำหรับดาบเทวะแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนมิใช่ปัญหา

ตอนอยู่ในภูเขาเฟิ่งหลิน ถูกปีศาจไป๋ยู่เหลียนนั้นฝึกมา 8 เดือนเต็ม ๆ !

สภาพแวดล้อมที่ภูเขาเฟิ่งหลินนั้นมิได้ดีกว่าที่นี่สักเท่าใดนัก พวกเขาต้องปีนป่ายหน้าผา ต้องเดินบนเขาและลุยน้ำ ต้องไปให้ถึงจุดหมายอย่างรวดเร็วในป่ากว้างใหญ่ไร้ผู้คนเป็นต้น

ไป๋ยู่เหลียนกล่าวว่านี่คือวิชาที่ใช้ในการฝึก หากพวกเจ้ามีความแค้นเคืองประการใด สามารถถอนตัวได้ แต่ต้องไปบอกกล่าวกับฟู่เสี่ยวกวน ซึ่งนั่นก็คือคุณชายของพวกเขา !

ไป๋ยู่เหลียนยังกล่าวอีกว่าวิชาเหล่านี้คุณชายคือผู้กำหนดทั้งหมด !

ผู้คนในซีซานมิมีผู้ใดกล้าสงสัยในการตัดสินใจของคุณชาย ในเมื่อคุณชายเป็นคนกำหนด เยี่ยงนั้นก็จำเป็นต้องทำให้สำเร็จเท่านั้น

การขับเคลื่อนของผู้คนในซีซาน เบื้องหลังชาวไร่ชาวนาที่เข้ามาใหม่เหล่านั้นก็เป็นเหมือนกับการฉีดเลือดไก่ธรรมดา ฟู่เสี่ยวกวนเป็นคุณชายของพวกเขา จะแพ้ให้กับคนนอกที่เพิ่งเข้ามาได้เยี่ยงไร ?

พวกเขาสองกลุ่มได้แข่งขันกันเช่นนี้ ไป๋ยู่เหลียนได้นำทหารเก่ามา 500 คนจึงก่อให้เกิดความกดดัน ทหารใหม่ก็ได้ตั้งใจฝึกซ้อมกันอย่างบ้าคลั่งเช่นกัน ในสายตาของพวกเขา…เหล่าทหารเก่าถูกพวกเขาก้าวข้ามแล้ว สำหรับทหารเก่าเรื่องชื่อเสียงเกียรติยศเป็นเรื่องสำคัญ นี่จึงยอมรับมิได้

ด้วยเหตุนี้ คลื่นสองลูกจึงได้แข่งขันกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ไป๋ยู่เหลียนงุนงงที่พบว่าตนเองมิจำเป็นต้องกังวลแต่อย่างใด พวกเขาเหล่านี้ต่างก็มุ่งมั่นอยากทำให้สำเร็จ อีกทั้งยังดีกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้มากนัก

การทดสอบรอบสุดท้ายในเดือนแปด คาดมิถึงว่าทุกคนจะผ่านการทดสอบวิชาการฝึกนี้แล้ว และ 5 คนในนั้นก็ผ่านได้อย่างสวยงามอีกด้วย

พวกเขาก็คือกองพลที่หนึ่งจงต้าฉุย ซึ่งเป็นทหารเก่าที่ไป๋ยู่เหลียนพามา

กองพลที่สองฟ่านตงหลิน เป็นคนในซีซาน ชายหนุ่มผู้นี้ชอบความผาดโผนเสี่ยงตายเป็นหลัก

กองพลที่สามหวังเสี่ยวจ้วง มาจากหมู่บ้านหวังเจียชุน ลูกชายคนที่สองของหวังเอ้อ เขาเข้ามาเป็นดาบเทวะในฐานะตัวสำรอง แต่ท้ายที่สุดของการฝึก เขากลับก้าวข้ามผู้คนมากมายได้สำเร็จ

กองพลที่สี่ซื่อโถว เป็นทหารเก่าที่ไป๋ยู่เหลียนพามาด้วยเช่นกัน เขานิ่งเงียบราวกับก้อนหินมิมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ใด แต่ไป๋ยู่เหลียนก็รับรู้ได้ว่าจากวันแรกที่เริ่มฝึก ซื่อโถวได้รับชีวิตใหม่แล้ว

ฟ่านตงหลินแห่งกองพลที่สองในวันนี้เมื่อยามพลบค่ำได้มาถึงด้านล่างของภูเขาลูกที่สอง เขาหาที่หลบซ่อนในป่า นอกจากหน่วยสอดแนมที่ส่งออกไปแล้ว ทุกคนยังปักหลักอยู่ที่เดิมเพื่อพักผ่อน

 เจี่ยนเตา ฉุยจื่อ เฟิงโก่ว มาหาข้า !   ฟ่านตงหลินคำรามด้วยเสียงต่ำ สามคนที่ถูกเรียกวิ่งตรงมาเบื้องหน้าของเขา

ฟ่านตงหลินหยิบแผนที่ออกมาจากแขนของเขา แล้วกล่าวว่า  ต่อไปพวกเราจะข้ามภูเขาลูกนี้ในยามราตรี ด้านหลังของภูเขาลูกนี้ก็คือกองทัพสวรรค์ ยามนี้เป็นที่ตั้งมั่นของกองทัพทหารทางเหนือ พวกเรามิสามารถข้ามไปจากตรงนี้ได้ หากถูกพบเห็นจะทำเยี่ยงไร ? ดังนั้นพวกเราต้องข้ามจากตรงนี้… 

มือของฟ่านตงหลินชี้ไปทางขวา  นี่เป็นหน้าผาแห่งหนึ่ง พวกเจ้าลองดูเถิด หากข้ามไปจากตรงนี้ มันอยู่ใกล้กับจุดหมายมากกว่า พวกเราจะต้องไปถึงยอดเขาหู่จี๋ก่อนฟ้าสางในวันพรุ่งนี้ เช่นนี้พอจะเหลือเวลาหนึ่งวันเต็มในการเตรียมตัว แน่นอนว่า หน้าผาแห่งนี้ดูเหมือนจะค่อนข้างสูง อาจจะมีอันตรายสักหน่อย ดังนั้นตอนนี้ให้ออกความเห็น ข้าเสนอว่าให้ข้ามไปจากตรงนี้ พวกเจ้าเริ่มลงความคิดเห็นได้ !  

เขายกมือขึ้น จากนั้นผู้บัญชาการทั้งสามของเขาก็ได้ยกมือขึ้นเช่นกัน โดยที่ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

 หน้าผาแห่งนี้จะมีนกอินทรีย์โฉวเจี้ยนอยู่บนหน้าผาหรือไม่ ? ต่างเป็นเรื่องเล็กน้อยทั้งนั้น ข้าจะขอให้ทหารสองสามนายขึ้นไปผูกเชือกปีนเขาก่อน  ผู้บัญชาการฉุยจื่อกล่าวขึ้นพร้อมกับยักไหล่

เจี่ยนเตาตอบกลับว่า  เจ้าทำได้ เหตุใดข้าถึงจะทำมิได้กัน ?  

เฟิงโจ่วกล่าวออกมาว่า  แข่งอะไรกันเล่า ใช้กฎเดิม ผู้ใดชนะผู้นั้นไป 

กฎเดิมก็คือการเป่ายิงฉุบ แพ้ชนะในตาเดียว

มิว่าจะเป็นการลงคะแนนเสียงในการปฏิบัติตามแผนการสู้รบ หรือเผชิญกับการเลือกว่าผู้ใดจะเป็นคนเริ่มก่อน ในดาบเทวะนั้นมิมีกฎเกณฑ์ที่เขียนไว้เป็นตัวอักษร

ผู้บัญชาการสามารถวางแผนการรบได้ แต่จำเป็นต้องผ่านความเห็นชอบร่วมกันจากเหล่าทหารภายใต้บัญชา แน่นอนว่าไป๋ยู่เหลียนมิใช่ผู้บัญชาการ เขาคือหัวหน้าของดาบเทวะทั้งหมด คำเอ่ยของเขา…หากผู้ใดกล้าโต้แย้งนั่นเท่ากับการรนหาที่ตายเลยมิใช่หรือ !

เป่ายิงฉุบ…เฟิงโจ่วชนะแล้ว เขาคาบหญ้าหางหมาแล้วลุกขึ้นยืนปัดก้น มองผู้บัญชาการที่เหลือด้วยหางตา  พวกเจ้าจะแข่งกับข้าได้เยี่ยงไร ? ข้าจะบอกอะไรบางอย่างให้กับเจ้าสองคนเอาไว้ การโจมตีในคืนพรุ่งนี้ ข้าก็ชนะพวกเจ้าอยู่ดี !  

 ไสหัวไป… !   เจี่ยนเตาแทบจะกระโดดถีบเฟิงโจ่วด้วยสองเท้า

เฟิงโจ่วเองก็เป็นทหารเก่าที่ไป๋ยู่เหลียนพามาด้วยเช่นกัน เขาแพ้ให้กับฟ่านตงหลินในการฝึกคราสุดท้าย ในใจมิได้ยอมรับด้วยใจจริง โดยเฉพาะที่ต้าฉุยนั้นเขายังได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการกองพล แต่ตอนนี้เขากลับเป็นได้เพียงแค่ผู้บัญชาการกองพันเล็ก ๆ

แน่นอนว่ากฎของไป๋ยู่เหลียน เขามิกล้าที่จะต่อต้าน สำหรับฟ่านตงหลินที่เคยเป็นอาหารนกในปากเขามาแล้วนั้น เขารู้สึกเลื่อมใสมากยิ่งนัก

กฎของไป๋ยู่เหลียนมิมีอันใดซับซ้อน ทหารในดาบเทวะ ในยามที่มิมีการรบให้ดูผลคะแนนการฝึก หลังจากนั้นดูที่ฝีมือการทหาร

ดังนั้นสิ่งที่เฟิงโจ่วคิดถึงมากที่สุดก็คือการต่อสู้ !

ข้ามิเชื่อว่าข้าจะมิได้ตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลมา !

นี่คือสิ่งที่เขาได้เอ่ยไว้แล้ว แต่กลับได้คำเตือนจากไป๋ยู่เหลียนมาว่า หากเจ้ามิเคารพกฎมิฟังคำสั่งจะโดนตัดของล้ำค่า ข้าจะบีบเจ้าให้ตายคามือ !

เฟิงโจ่วรู้สึกว่าตนเองมิได้รับความเป็นธรรม

แต่เขาก็มิมีความกล้ามากพอที่จะเอ่ยออกมา

เขากลับมาที่กองพันที่สาม แล้วยื่นมือออกไป  มานี่ 10 คน นำเชือกไปปีนเขา ขึ้นไปกับข้า !  

เฟิงโจ่วพาทหาร 10 คนเข้าไปในป่าลึก มุ่งหน้าไปทางหน้าผาแห่งนั้น เมื่อยามที่ใช้ความมืดซ่อนเร้นกายไปยังที่แห่งนั้น เขาก็ได้ไปถึงยังหน้าผา ทันใดนั้นก็ได้เห็นคบเพลิงกำลังเคลื่อนไหวอยู่ไกล ๆ

เฟิงโจ่วรู้สึกดีใจขึ้นมาทันพลัน สถานการณ์เยี่ยงนี้คงมิโดยตัดของล้ำค่าอย่างแน่นอน !

 มีแพะอ้วน…วางเชือกลง พวกเราไปจับแพะอ้วนเหล่านั้นกินกันเถิด !  

ผู้บัญชาการกองร้อยอูมู่ตื่นตกใจทันพลัน  หัวหน้า ดูเหมือนว่าจะมีราวร้อยคนเลยนี่ 

 อะไรกัน ? กลัวเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 กลัวอะไรกันเล่า ยังมิรู้เลยว่าเป็นคนของกองทัพทหารเหนือหรือไม่ อีกอย่างหากเป็นศัตรูอย่างแท้จริง หากพวกเราจับแพะอ้วนนี้กินแล้ว จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นกระทบกับแผนของหัวหน้าปีศาจหรือไม่ ?  

หัวหน้าปีศาจ นี่เป็นคำเรียกที่นายทหารดาบเทวะมอบให้กับไป๋ยู่เหลียน !

 หัวหน้าปีศาจยังอยู่ข้างหลัง อีกอย่างกองพลตัดสินใจจะใช้ที่นี่ข้ามเขา พวกเจ้าดูสิ ศัตรูกำลังเดินมาทางพวกเรา 

อูมู่มองดูอีกครา ในใจพลันคิดว่าหากยอมแพ้ก็น่าเสียดายอย่างแท้จริง !  

 ดูให้ชัดเจนก่อนว่าเป็นศัตรูหรือมิตร หากเป็นมิตรก็ดักซุ่มไว้มิต้องตกใจ หากเป็นศัตรู…เยี่ยงนั้นห้ามใช้ปืน !  

เฟิงโก่วโบกมือใหญ่ให้สัญญาณ และย่องเบาไปทางศัตรูอย่างเงียบ ๆ

 

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้าเดือนสิบสอง ยามราตรีที่ไร้ซึ่งแสงจันทรา

ดาบเทวะ 4,000 คนได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม นำโดยหัวหน้ากลุ่มของแต่ละกลุ่มตามแผนกลยุทธ์ที่ได้กำหนดเอาไว้เนิ่นนานแล้วและเข้าสู่ภูเขาผิงหลิงจากทั้งสี่ทิศทาง

หลังจากที่ท่านนายพลเผิงเฉิงอู่แห่งกองทัพเหนือครุ่นคิดใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งนั้น เขาได้เพิ่มการลาดตระเวนเพื่อป้องกันรักษาค่ายกองทัพสวรรค์ซึ่งเป็นที่ตั้งของที่ทำการใหญ่ และยังได้ส่งหน่วยสอดแนมเข้าไปในภูเขาทางเหนืออีกด้วย แต่ไม่ได้ส่งไปสอดแนมการเคลื่อนไหวของกงเซินจ่าง แต่เพื่ออยากรู้ว่าแท้จริงแล้วมีกองหนุนมาถึงที่นี่หรือไม่

ในราตรีนี้ กงเซินจ่างได้อยู่ที่โถงสำหรับการประชุมชั่วคราวในภูเขาผิงหลิงทางเหนือ ลูกน้องของเขาที่เหลือคือจินกังทั้งห้าคนและภรรยาของเขาจิ้งจอกยิ้มหลิวจิ่วเม่ย์ และยังมีที่ปรึกษากับนายพลอีกหลายคน นั่งกันพร้อมหน้าหลังตรง

 พี่ใหญ่ ข้าคิดว่าเผิงเฉิงอู่ผู้นั้นมิสามารถทำสงครามบนพื้นภูเขาได้โดยพลการ ถึงแม้จะดูเหมือนว่ามีกองทัพทหารกว่าหนึ่งแสนนาย แต่แท้จริงแล้วมิสามารถโจมตีได้ แล้วมีอันใดให้ข้าต้องรอมิโต้กลับไปเล่า ?  

คำถามของจิ้งซุ่ยจินกังได้รับการสนับสนุนจากจินกังที่เหลืออีกสี่คน แต่กงเซินจ่างกลับมิได้พยักหน้า

 รอเพียงชั่วคราวเท่านั้นอย่าได้รีบร้อนไป จุดประสงค์ของข้ามิใช่เพื่อไล่กองทัพทหารทางเหนือออกไป ข้าต้องการ…ยึดครองพวกเขา !  

บนใบหน้าของกงเซินจ่างมีรอยแผลเป็นที่ดูดุร้ายน่ากลัวราวกับตัวหนอนผีเสื้อกำลังขยับไปมา แววตาของเขาดูดุร้าย เป็นอย่างมากปากใหญ่ที่มีรอยแตกกล่าวขึ้นอีกครา  เพียงแค่ครอบครองกองทัพทหารทางเหนือได้ อาณาเขตทางเหนือที่กว้างใหญ่นี้ก็จะต้องตกอยู่ในมือของข้า ยามนี้ราชวงศ์หยูกำลังติดพันอยู่กับการทำศึกทางตะวันออก แม้แต่กองทัพทางใต้ก็ยังต้องรุดไปช่วย ฮ่องเต้มิมีปัญญามาดูแลทางเหนือนี้ได้เป็นแน่ ข้ารอให้ทางเหนือฟื้นฟูความมั่นคง รอให้เวลาสุกงอม ค่อยส่งทหารลงใต้ นี่เป็นวิธีการแสวงหาแคว้น !  

จิ้งซุ่ยจินกังตกตะลังทันพลัน เพิ่งจะเข้าใจพี่ใหญ่ที่ตนติดตามคาดมิถึงว่าจะมีจิตใจและความทะเยอทะยานที่แรงกล้าเยี่ยงนี้

นี่ถือว่าเป็นเรื่องดี บางทีพี่ใหญ่อาจจะพลิกราชวงศ์หยูนี้ได้ พวกตนนั้นจากมังกรจะได้เป็นขุนนางสักที ถึงเวลานั้นต้องมียศมีตำแหน่งของขุนนางระดับสูง มีเงินให้ใช้มิขาด

เขาลุกขึ้นยืน และกำหมัดคารวะ  ข้าเป็นคนไร้การศึกษา ทำได้เพียงดูทิศทางหัวม้าพี่ใหญ่ มิว่าท่านพี่จะบัญชาเยี่ยงไร พวกข้าจะทำตามคำบัญชาของท่านพี่ให้จนได้ 

ที่ปรึกษาที่อยู่ด้านขวาของกงเซินจ่างลุกขึ้นมา

เขาแกว่งพัดขนนกในมือ กล่าวอย่างผ่อนคลายว่า  ยามนี้ที่ราชวงศ์หยู ฮ่องเต้ลุ่มหลงมัวเมา ขุนนางทุจริตฉ้อฉล ทำให้ฟ้าพิโรจน์ผู้คนโกรธแค้น มิสนใจประชาชน พี่ชายกงของข้าตอบรับคำเรียกร้องจากสวรรค์ เดินทางมาจากแม่น้ำหวงเหอ ภายในระยะเวลาหนึ่งปีสั้น ๆ แต่กลับมีกองทัพใหญ่ถึง 200,000 คนได้ !  

 ทั้งนี้ก็เพื่อทำตามหัวใจของราษฎร พี่ชายกงของข้าจะเป็นผู้ขุดหลุมฝังศพราชวงศ์หยูเอง !  

เขาหยุดพัดขนนกในมือ หมุนตัวไปทำความเคารพกงเซินจ่าง แล้วกล่าวอีกว่า  การลุกฮือของกองทัพ มีฟ้าสีเหลืองเป็นเครื่องชี้นำ ในความเห็นของข้า มิสู้ว่าพี่ชายกงตั้งราชวงศ์ใหม่ขึ้นมาที่นี่ แล้วทำการปฏิวัติปราบดาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดิ !  

คำเอ่ยนี้ที่เขาเอ่ยออกมา ทุกคนในโถงประชุมต่างตกตะลึงเสียจนนิ่งค้าง ตั้งตนเป็นจักรพรรดิเยี่ยงนั้นหรือ ?

มิเร็วไปหน่อยหรือ ?

อีกอย่างสถานที่โกโรโกโสมิสมบูรณ์เช่นนี้ ต่อให้ตั้งตนเป็นจักรพรรดิ ก็ต้องกำจัดกองทัพทหารที่เหลือทั้งหมดอยู่ดี แล้วยึดครองเมืองหย่งหนิงก็ยังมิสาย

จิ้งซุ่ยจินกังที่ได้ฟัง กลับรู้สึกว่าแผนการยอดเยี่ยมมากยิ่งนัก แต่ยอดเยี่ยมที่ตรงไหนเขาก็บอกมิได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้เขาจึงเอ่ยถามว่า  คุณชายชือ มิทราบว่าเจตนานี้หมายความว่าเยี่ยงไร ?  

คุณชายชือ เขามิใช่คุณชายชือจากตระกูลที่มีอิทธิพลในจินหลิงแห่งราชวงศ์หยู แต่เขามาจากตระกูลชือที่เมืองหย่งหนิง ตระกูลชือในเมืองหย่งหนิงพอมีอำนาจอยู่บ้าง พ่อของเขาเคยเป็นนายอำเภอของเมืองหย่งหนิง หลังจากตระกูลชือหมดอำนาจ เขาจึงเห็นท่ามิดี ก็เลยมาขอพึ่งพากงเซินจ่าง

คุณชายชือท่านนี้ชื่อว่าชืออัน เคยไปศึกษาอยู่ที่สำนักศึกษาจี้เซี่ยเป็นเวลา 4 ปี ศึกษาแผนกองทัพ

จากนั้นก็ได้กลับมาที่เมืองหย่งหนิง เป็นนายทหารผู้ช่วยกองบัญชาการอันดับหนึ่งของกองกำลังป้องกันรักษาเมืองหย่งหนิง และก็เป็นเขาที่ชักจูงกองกำลังป้องกันรักษาเมืองที่รวมกันอยู่กลางภูเขาหยางเสี่ยวให้ยอมจำนน ทำให้กงเซินจ่างนำคนกว่าหมื่นคนบุกปล้นเมืองหย่งหนิงเสียจนหมดเกลี้ยง

ด้วยเหตุนี้เขาถึงได้รับความโปรดปรานจากกงเซินจ่าง และกลายเป็นหนึ่งในสามผู้ช่วยในกองบัญชาการที่คอยอยู่ข้างกายของกงเซินจ่าง

ชืออันเปิดพัดขนนกในมือ ใบหน้าของเขามีรอยยิ้ม และมองดูไปยังจินกังทั้งหลาย และเอ่ยกล่าวช้า ๆ ว่า

 คำกล่าวที่ว่าอาจารย์เก่งย่อมมีชื่อ ข้ารอให้หลังจากพี่ชายกงบัญชาการรบครานี้จบลง นี่คือใจความสำคัญของการรบครานี้ !  

 ทุกท่านอย่าได้ประเมินเผิงเฉิงอู่ต่ำจนเกินไป เขาเป็นบุตรบุญธรรมที่เผิงถูสอนมาเองกับมือ แม้ว่าเขาจะดิ้นรนอยู่บนภูเขาผิงหลิงแห่งนี้บ้าง แต่เขาก็ได้นำกองทัพทหารกว่าแสนนายมาด้วยตนเองและมิได้เสียหายมากเท่าใดนัก 

 พี่ชายกงวางแผนหลอกล่อเขาไปยังดินแดนของแคว้นฮวง และได้ร่วมมือกับราชครูของแคว้นฮวง เพื่อที่จะกำจัดกองทัพทหารทางเหนือของเขาเสียให้สิ้น กลับนึกมิถึงว่าเขาจะเปลี่ยนใจ กลับไปที่ค่ายสวรรค์ของพวกเราแทน… 

 ทุกท่าน พี่ชายกงมีแผนรับมือแล้ว อีกมินานจะเคลื่อนทัพไปตอบโต้ที่ค่ายกองทัพสวรรค์ เช่นนั้นขณะที่พี่ชายตั้งตนเป็นจักรพรรดิ จึงมีข้อดีอย่างน้อยถึง 3 ประการ 

 ประการที่หนึ่ง กองทัพสวรรค์ของพวกเรามีเป้าหมายให้ติดตาม ประการที่สอง ออกรบเพื่อฝ่าบาท มีความหมายที่ยิ่งใหญ่กับเหล่าทหารในกองทัพสวรรค์ทุกคน พวกเราตลอดจนเหล่าทหาร จะออกไปสู้รบให้สุดกำลัง ! ประการที่สาม ประกาศให้คนทั้งใต้หล้ารับรู้ว่าพี่ชายกงได้สร้างราชสำนักเพื่อต่อสู้กับราชสำนักของราชวงศ์หยู 

 ทุกท่านลองคิดดูเถิด ยามนี้ที่ราชวงศ์นั้นเดิมทีก็มิได้มั่นคงนัก หากข่าวที่พี่ชายกงตั้งตนเป็นจักรพรรดิแพร่งพรายออกไป ก็จะสามารถรวบรวมผู้มากฝีมือมาเข้าร่วมจากทั้งสี่ทิศด้วยใช่หรือไม่เล่า ?  

 หลังจากการต่อสู้กวาดล้างกองทัพทหารทางเหนือครานี้ พี่ชายกง ไม่สิ ชื่อเสียงบารมีของฝ่าบาทก็จะเป็นหนึ่งมิมีผู้ใดเทียบเคียงได้ แม้แต่แคว้นฮวงเองก็จะให้ความสำคัญกับพวกเรามากยิ่งขึ้น 

เขาหุบพัดขนนกเก็บลงไป  นี่คือเวลาและสถานที่ที่เหมาะสม ราชวงศ์ใหม่ได้กำเนิดขึ้นแล้ว และราชวงศ์เก่าก็จะพังทลายลงเช่นกัน ทุกท่านคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ?  

จิ้งซุ่ยจินกังปรบมือทันที  ข้าเห็นด้วยมากยิ่งนัก !  

จินกัง 4 คนที่เหลือพากันตอบรับเสียงดังเซ็งแช่ และนายทหารที่เหลือต่างก็รู้สึกว่าคำเอ่ยของชืออันมีเหตุผล ก่อกบฎมาถึงขั้นนี้แล้ว เยี่ยงไรเสียมิว่าจะช้าหรือเร็วกงเซินจ่างก็ต้องตั้งตนเป็นจักรพรรดิและตั้งราชวงศ์ใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้อยู่แล้ว

ผู้คนในโถงประชุมแห่งนี้ต่างเสนอแผนการกันอย่างครึกครื้น

อย่างเช่นชื่อแคว้นของราชวงศ์ใหม่

อย่างเช่นลำดับปีของจักรพรรดิองค์ใหม่

และอย่างเช่นวันที่จะสถาปนาจักรพรรดิองค์ใหม่ รวมไปถึงควรมีเครื่องแต่งกายในพิธีการเป็นต้น

มองดูแล้วคึกคักเป็นอย่างมาก

กงเซินจ่างมิได้มิเห็นด้วย คนพวกนี้ ตลอดทั้งวันทั้งคืนเรียกแต่พี่ชาย พี่ใหญ่มิมีกฎระเบียบเลยสักนิด ทำราวกับว่าตนเองยังอยู่ในยุทธจักรที่สับสนวุ่นวาย

ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ พวกเจ้าจะเรียกข้าว่าพี่ใหญ่ พี่ชายมิได้อีกต่อไปแล้ว !

หากได้ตำแหน่งจักรพรรดิ ข้าก็จะมีเหตุผลโดยชอบธรรมในการคัดเลือกนางสนมแล้ว !

ด้วยเหตุนี้ หลังจากการร่วมหารือครานี้ สามารถกำหนดเรื่องราวบางอย่างได้แล้ว

 ชื่อของราชวงศ์และแคว้นใหม่ ข้าถูกใจอักษรเทียนตัวนี้ แคว้นเทียน เยี่ยงนี้ถึงจะเป็นชื่อเสียงที่ดังกังวาน 

 เกี่ยวกับวันที่จะขึ้นสถาปนา ก็ให้เป็นวันที่ยี่สิบห้าเดือนเก้าไปก่อน ยังมีเวลาให้เตรียมตัวอีก 5 วัน ทุกท่านเตรียมตัวให้ดี 

 สำหรับพิธีการ เรื่องนี้ทำอย่างง่ายไปก่อน รอให้พวกเราจัดการกองทัพทหารทางเหนือได้แล้ว หลังจากที่ชัยภูมิทางเหนือนี้มั่นคงแล้ว ค่อยไปจัดพิธีการใหญ่ที่เมืองหย่งหนิง และลงสมุดบันทึกเหล่าขุนนาง… 

กงเซินจ่างมองดูผู้คนเหล่านี้ด้วยสายตาน่าเกรงขาม  ทุกท่านล้วนเป็นคนสนิทของข้า เป็นแขนซ้ายและแขนขวา ข้าย่อมมิเอาเปรียบพวกเจ้าอย่างแน่นอน !  

 ต่อจากนี้พวกเจ้าทุกคนต้องตื่นตัวกันสักหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องระวังที่เก็บสะสมสะเบียงทั้งสามแห่งเอาไว้ รอให้ถึงวันที่หนึ่งเดือนสิบ เมื่อกองทัพของแคว้นฮวงมาถึง…ระฆังมรณะของราชวงศ์หยูจะดังขึ้น เสียงบรรเลงเพลงจะดังขึ้นที่นี่ !  

 

ตอนที่ 403 วางแผน

ชีวิตสำคัญหรือกฎหมายสำคัญกว่ากันเล่า ?

ไป๋ยู่เหลียนมิได้ตอบกลับ ในใจพลางคิดว่าหากเรื่องนี้ตกใส่หัวของเขา หากไร้ซึ่งหนทางอย่างแท้จริง เกรงว่าตนเองก็คงจะเลือกเช่นเดียวกับพวกเขา

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิได้ตอบคำถามนี้เช่นกัน เขาหัวเราะและพาไป๋ยู่เหลียนหมุนตัวออกไปยังทุ่งนาที่รกร้าง

เขานั่งอยู่ที่คันนาใช้มีดตักดินขึ้นมา วางไว้บนฝ่ามือแล้วบีบ ดินเม็ดใหญ่ สัมผัสในมือมิละเอียด แตกต่างกับดินที่เจียงหนานราวฟ้ากับเหว

ที่นาเยี่ยงนี้ต่อให้ปลูกฟู่เอ้อร์ต้าย ผลผลิตก็มิอาจเพิ่มจำนวนมากขึ้นได้ ดินจืดเกินไป ดินมิอุดมสมบูรณ์ พืชไร่มิสามารถเจริญเติบโตในดินเยี่ยงนี้ได้

แต่ที่นาแบบนี้สามารถปลูกมันเทศหรือมันฝรั่งได้ มันฝรั่งสิ่งนี้เขายังมิเคยพบเห็น แต่มันเทศปีหน้าสามารถจัดสรรให้ผิงหลิงอี้นำไปเพาะปลูกได้

จำนวนผลผลิตแม้มิอาจเทียบเท่ากับซีซานที่ปลูก 1 หมู่ได้ผลผลิตถึง 5,000 ชั่ง แต่สองสามร้อยชั่งคาดว่าคงจะมิมีปัญหาอันใด อีกทั้งไม้เถาของต้นมันเทศยังสามารถนำมาเลี้ยงหมูหรือเป็ดไก่ได้ แม้กระทั่งยามอดอยากก็สามารถนำมากินให้อิ่มท้องได้

เพียงต้องประคองให้พ้นปี รอให้มันเทศได้ทำการเก็บเกี่ยว ความอดอยากของที่นี่ก็จะถูกแก้ไขได้แล้ว

เขาสูดหายใจเข้าลึกแล้วยืนขึ้น ก่อนอื่นต้องกำจัดกงเซินจ่างเสียก่อน ในปีหน้าที่แห่งนี้จะเป็นจุดสำคัญของการทำการค้าและการเกษตรของเขา

เมื่อใดที่อู๋หลิงเอ๋อร์ครองบัลลังก์ได้อย่างมั่นคงแล้ว ตัวเขาก็ยังจำเป็นต้องเปิดเผยตัวออกไป แน่นอนว่ามิใช่เพื่อราชวงศ์อู๋ แต่เพื่อไปที่อำเภอผิงหลิงและเข้าพบจางเหวินฮั่นสักครา และไปที่ชวูอี้เพื่อพบเยี่ยนหลินชิวสักคราเช่นกัน

เรื่องนี้เขาได้คิดมาเนิ่นนานแล้ว ผู้ดำเนินการในครานี้ คงต้องพึ่งพานายอำเภอทั้งสองท่านนี้แล้ว และในอนาคตสถานที่ทั้งสองแห่งนี้จะส่งผลกระทบถึงราชวงศ์หยูและนโยบายของแคว้น ดังนั้นสถานที่ทดลองสองแห่งนี้ ต้องสำเร็จเท่านั้น ล้มเหลวมิได้เป็นอันขาด

เขาเก็บมีด ปัดดินในมือแล้ว  ไปเถอะ !  

กำหนดการเดินยังเหลืออีกครึ่งวัน พวกเขาแบ่งกลุ่มไปยังที่หยางเจี่ยวเจิ้น เป็นตลาดการค้าของราชวงศ์หยูทางตอนเหนือแห่งสุดท้าย อยู่ห่างจากด่านภูเขาเยี่ยนร้อยกว่าลี้ และอยู่ห่างจากผิงหลิงเพียงสามสิบกว่าลี้เท่านั้น

ตามการบอกเล่าของข่าวกรอง ยามนี้หยางเจี่ยวเจิ้นร้างไปเนิ่นนานแล้ว อย่าว่าแต่พ่อค้าหาบเร่เลย แม้แต่ประชากรท้องถิ่นของที่นั่นยังมีมิถึงร้อยชีวิตด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งไปหาช่องทางการใช้ชีวิตที่อื่น อีกส่วนหนึ่งเข้าไปเป็นโจรที่ภูเขาผิงหลิง และผู้ที่เหลือก็เป็นคนชรา พวกเขายากจนเป็นอย่างมาก แม้แต่กงเซิงจ่างยังมิกล้าที่จะไปปล้นพวกเขา

……

ณ ภูเขาผิงหลิง ค่ายเดิมของกองทัพสวรรค์

ท่านนายพลเผิงเฉิงอู่ได้ตรึงกองกำลังอยู่ เขาได้รับจดหมายฉบับนั้นที่ฟู่เสี่ยวกวนเขียนให้เขาเมื่อสิบกว่าวันก่อน จดหมายฉบับนั้นมิได้ลงนามไว้ เขามิรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้เขียนมันทั้งหมด

แต่ในจดหมายได้กล่าวไว้ว่านี่คือความคิดเห็นของเผิงยวี๋เยี่ยน เขาลังเลอยู่เป็นเวลา 1 ก้านธูป จากนั้นจึงได้นำกองกำลังถอนทัพออกมา เขาเลือกที่จะเชื่อวิสัยทัศน์การทหารของเผิงยวี๋เยี่ยน แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเป็นกังวลก็คือเนื้อความในจดหมายฉบับนี้ ถ้าหากตัวเขายังดึงดันที่จะเดินหน้าต่อไป มันจะต้องเกิดปัญหาใหญ่ตามมาออย่างแน่นอน

เผยเฉิงอู่อยู่ในกระโจมแม่ทัพ บนโต๊ะวางแผนที่ภูเขาผิงหลินที่วาดแผนผังใหม่ล่าสุด

ใบหน้าซูบผอมดำคล้ำได้แสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมา ที่ปรึกษาของเขา ต่างก็แสดงสีหน้าเศร้าโศก จนปัญญาที่จะจัดการเรื่องนี้

ภูเขาผิงหลิงแห่งนี้มีภูมิประเทศที่ซ้บซ้อนเป็นอย่างมาก สำหรับกองทัพทหารทางเหนือที่ชำนาญการรบแบบเดินทัพขนาดใหญ่ การต่อสู้บนภูเขาเยี่ยงนี้ทำให้พวกเขาง่ายต่อการถูกโจมตี

สมรรถภาพทางร่างกายทหารของพวกเขาดีกว่าของพวกโจรมากนัก แต่ทว่าการเดินทางในภูเขาแห่งนี้ พวกเขากลับวิ่งไม่ชนะโจรภูเขา โจรภูเขาเหล่านั้นเจ้าเล่ห์เป็นอย่างมาก พวกเขาอาศัยอยู่ในป่าบนภูเขาที่กว้างใหญ่และกระจายกันออกไปเป็นกลุ่ม ๆ อีกทั้งยังมีการวางกับดักมากมาย หากมิไล่ตามก็มิเป็นอะไร ทันทีที่ไล่ตาม จะต้องมีการสูญเสียเกิดขึ้นอยู่ร่ำไป

สำหรับกองทัพทหารทางเหนือที่แข็งแกร่งที่สุดของราชวงศ์หยู การรบครานี้ น่าหงุดหงิดอย่างแท้จริง อีกทั้งยังน่าอัปยศอดสูด้วยเช่นกัน !

ทหารประจำการ 150,000 นายถ้วน มิเพียงกำจัดกองทัพสวรรค์ที่เหลือหกหมื่นกว่าคนของกงเซินจ่างมิได้ ในทางกลับกันยังถูกเข่นฆ่าไปแล้วกว่าสองหมื่นนาย ท่านนายพลกลุ้มใจเสียจนเส้นผมกลายเป็นสีขาวดอกเลาแล้ว การรบครานี้จะสู้เยี่ยงไรดี ?

เผิงเฉิงอู่ชี้นิ้วลงบนหุบเขาเยว่หมิง เขาขมวดหัวคิ้วแล้วมองไปยังสถานที่แห่งนั้น จากนั้นก็ใช้นิ้วมือชี้ไปที่บนภูเขาผิงหลิงทางเหนือ กองกำลังหลักของกงเซินจ่างยามนี้ก็ได้อยู่ที่ภูเขาผิงหลิงทางเหนือเช่นกัน

ในจดหมายฉบับนั้นระบุไว้ว่าขอเชิญท่านนายพลมาก่อนวันที่สิบห้าเดือนสิบ จัดกองกำลังทหาร 30,000 คนไปที่หุบเขาเยว่หมิง กองกำลังที่รอดตายของกงเซินจ่างจะเข้าไปที่นั่นเองภายในสามวัน ศิษย์พี่เก่งกาจถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?

กองกำลังที่รอดตายของกงเซินจ่าง ผู้ใดกันที่สามารถสู้กับกองกำลังของกงเซินจ่างได้ ?

หรือว่าฝ่าบาทได้ทรงรวบรวมกองกำลังอีกกองไว้แล้ว ?

กองทัพทางใต้ได้ส่งไปสนามรบทางตะวันออกแล้ว ฝ่าบาทคงมิสามารถรวบรวมกองกำลังของเซวี๋ยติ้งชานจากทางตะวันตกได้เป็นแน่

วันนี้เป็นวันที่ยี่สิบเดือนเก้า ยังห่างจากวันนั้นอีกยี่สิบวัน หรือว่าศิษย์พี่ไปที่สนามรบทางตะวันออกกับหยูชุนชิวกัน เหตุใดเขาถึงตัดสินได้แม่นยำถึงเพียงนี้ ?

ต่อให้พ่อบุญธรรมยังมีชิวิตอยู่ก็มิอาจตัดสินใจได้อย่างแม่นยำถึงเพียงนี้ แล้วจดหมายฉบับนั้นเป็นความคิดเห็นของศิษย์พี่จริงเยี่ยงนั้นหรือ ?

โยกกำลังทหาร 30,000 นาย ตัวเขาจะเหลือทหารเพียงแค่ 100,000 นาย

หากจะปกป้องรักษาค่ายกองทัพสวรรค์นี้ย่อมมิมีปัญหา หากนี่เป็นกลอุบายของกงเซินจ่าง ทหารที่ไปยังหุบเขาเยว่หมิงนั้นจะมิตายกลายเป็นศพไร้ที่ฝังเยี่ยงนั้นหรือ !

หากกองทัพซุ่มโจมตีหลบซ่อนอยู่ด้านล่างของหุบเยว่หมิง เพื่อที่จะมิให้ศัตรูพบเห็น ก็คงจะต้องส่งหน่วยสอดแนมออกไปเสียก่อน จากนั้นค่อยแบ่งกลุ่มกองกำลังเพื่อปฏิบัติการ

ระยะทางระหว่างค่ายทัพสวรรค์กับหุบเขาเยว่หมิงในแผนที่นั้นดูเหมือนมิไกล แต่ตามรายงานของผู้สอดแนม เส้นทางสายนี้ต้องใช้เวลาเดินทางอย่างน้อย 5 วัน !

เพราะมิมีทางให้เดิน และเพราะมีอุปสรรคอันตรายขวางกั้นมากมาย

ดังนั้น กองกำลัง 30,000 นายนี้จึงเดินทางไปโดยที่มิมีกองหนุน

เช่นนั้น แท้จริงแล้วนี่คือการคาดการณ์จากกลยุทธ์บางอย่างของศิษย์พี่ หรือว่าเป็นกลอุบายของกงเซินจ่างกันแน่ ?

เขาจำเป็นต้องพิจารณาอีกครา เพราะว่าในจดหมายยังกล่าวถึงอีกเรื่องเอาไว้ด้วย

 ท่านนายพลคงจะมิเชื่อ เยี่ยงนั้นวันที่ยี่สิบห้าเดือนเก้าในยามราตรี เชิญท่านนายพลยืนอยู่บนที่สูงแล้วใช้ของสิ่งนี้มองไปทางทิศเหนือ จะเห็นบนท้องฟ้ามีลูกไฟลอยขึ้น และยังจะเห็นภูเขาทางเหนือที่แตกต่างออกไป

หากท่านนายพลยังคงลังเล จะทำให้กองกำลังที่เหลือรอดของกงเซินจ่างหนีเตลิดไปและทิ้งปัญหาเอาไว้มิรู้จบ ท่านนายพลจะต้องรับผิดชอบทั้งหมดเอาไว้ !  

ยังเหลือเวลาอีก 5 วัน !

เขาหยิบท่อนกระบอกทรงกลมบนโต๊ะขึ้นมาดูอีกครา ของสิ่งนี้มีประโยชน์เป็นอย่างมากในการรบ สามารถมองเห็นพื้นที่ที่ห่างไกลได้ หากนำมาติดตั้งในกองทัพจะมีโอกาสได้เปรียบมากกว่า เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพต่อสนามรบเป็นอย่างมาก

กรมอุตสาหกรรมประดิษฐ์ของสิ่งนี้ออกมาเยี่ยงนั้นหรือ ?

หากเป็นการประดิษฐ์ของกรมอุตสาหกรรม แล้วเหตุใดถึงมิส่งมาติดตั้งให้กับกองทัพทหารกัน ?

 อู่จี๋รับบัญชา !  

ทหารนายหนึ่งอายุราว 40 ปียืนขึ้น ยกสองมือขึ้นคารวะ  หัวหน้าค่ายหน่อยสอดแนมสังกัดกองทัพทหารทางเหนืออู่จี๋ รับบัญชาท่านนายพล !  

 เจ้านำหน่วยสอดแนมไปสำรวจหุบเขาเยว่หมิง ข้าต้องการให้เจ้านำทหารไปหุบเขาเยว่หมิงเส้นทางสายนี้จะต้องมิมีสายลับของฝ่ายศัตรูปรากฏตัวออกมา อีกอย่าง ที่หุบเขาเยว่หมิงรอบด้านในระยะสิบลี้ หากมีผู้ใดที่น่าสงสัย ให้จับตัวกลับมาที่ค่าย 

 อู่จี๋น้อมรับบัญชา !  

 จ้าวหู่น้อมฟังคำบัญชา !  

ทหารนายหนึ่งอายุ 30 ปียืนขึ้น ยกสองมือคารวะ  นายกองของกองทัพทหารทางเหนือจ้าวหู่พร้อมรับฟังคำบัญชาจากท่านนายพล !  

 เจ้าไปคัดเลือกกองกำลังทหารมา 30,000 นาย มาจัดระเบียบใหม่ และสั่งการแทนข้า !  

 จ้าวหู่น้อมรับคำบัญชา !  

ท่านนายพลจะเคลื่อนไหวแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

แต่ท่านนายพลสั่งให้ไปสำรวจหุบเขาเยว่หมิงนี่หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?

ศัตรูอยู่ที่ภูเขาผิงหลิงทางเหนือ แต่หุบเขาเยว่หมิงนั้นอยู่ทางตะวันออก…

 

การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงสิ้นสุดลงแล้ว

แต่นายอำเภอจางเหวินฮั่นในอำเภอผิงหลิงก็ยังคงมีเรื่องต้องให้ปวดหัวอยู่มากมาย

กงเซินจ่างสมควรตาย กองทัพทางเหนือเข้าไปที่ภูเขาผิงหลิงเพื่อปราบปรามโจร การเคลื่อนทัพใหญ่ ก็จำเป็นต้องมีเสบียงจำนวนมาก

ได้ยินมาว่ากรมคลังจัดสรรเสบียงมากมายส่งมาทางเมืองซินเฉิงแล้ว หย่งหนิงโจวที่อยู่ภายใต้อำเภอผิงหลิงนั้นก็ยังคงมีเสบียงเหลืออยู่มากมาย

เมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว หย่งหนิงโจวมีหิมะตกหนักเป็นอย่างมาก ทุกคนต่างก็คาดการณ์เอาไว้แล้วว่าหิมะที่ตกตามฤดูกาลจะเป็นปีที่ผลการเก็บเกี่ยวดี หย่งหนิงโจงแห่งนี้หิมะตกหนักเสียจนกลายเป็นภัยธรรมชาติ

บ้านเรือนมากมายทรุดตัวลง ชาวบ้านมากมายต่างก็อพยพออกไป ถึงแม้ว่าอำเภอผิงหลิงเองจะให้การช่วยเหลือ แต่โรงเก็บเสบียงก็ยังว่างเสียจนกระทั่งหนูยังมิคิดที่จะแวะเวียนมา การช่วยเหลือนี้จะช่วยอะไรได้บ้างเล่า ?

กงเซินจ่างฉวยโอกาสในตอนนั้น เปิดรับสมัครผู้ที่อพยพจำนวนมาก

พวกเขาได้ละทิ้งบ้านเรือนที่พังทลาย เพื่อที่จะได้กินอาหารสักมื้อพวกเขาถึงกับต้องเข้าไปในป่าลึกแห่งนั้นเพื่อที่จะไปเป็นโจร

ด้วยเหตุนี้ทำให้จำนวนประชากรที่เตรียมเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิลดลงมามากนัก คาดมิถึงว่าอำเภอผิงหลิงจะมีที่รกร้างว่างเปล่าอยู่เป็นจำนวนมาก ที่นาเหล่านั้นล้วนก็เป็นดินจืด ให้ผลผลิตต่ำเป็นอย่างมาก หากตัดภาษีออกไปก็เพียงพอที่จะทำให้อิ่มท้องได้เท่านั้น

ชาวบ้านใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก หากมีช่องทางสักเล็กน้อยก็พร้อมที่จะเดินจากไปแล้ว แม้แต่นายอำเภอคนก่อนของอำเภอผิงหลิงก็ยังหนีไปเลย อย่าว่าแต่จะได้แตะน้ำมันเล็กน้อยเลย แม้แต่ไขกระดูกของตนก็ต้องถูกสถานที่ทรุดโทรมแห่งนี้ต้มเสียจนแห้ง !

จางเหวินฮั่นในตอนนั้นตั้งปณิธานไว้อย่างแรงกล้าในการมาที่นี่ หลังจากนั้นก็มีปณิธานแรงกล้าที่จะทำกิจการสักครา นี่เพิ่งจะผ่านมาเพียง 9 เดือนเท่านั้น แต่กำลังใจของเขาก็เหี่ยวแห้งไปเสียแล้ว

เคยเป็นถึงผู้นำบัณฑิตแห่งหลินเจียง เคยเป็นคุณชายที่กระฉับกระเฉง ยามนี้ถูกเคี่ยวกรำเสียจนมิเป็นผู้เป็นคน

เขาดูซูบผอมลงไปมาก ใบหน้าที่เดิมขาวใสสะอาดมีเลือดฝาด ยามนี้เปลี่ยนเป็นหมองคล้ำมิเปล่งประกายอีกต่อไป

มือที่เคยจับพู่กันเขียนกวีคู่นี้ ยามนี้เปลี่ยนเป็นหยาบกร้านเหมือนชาวนา ที่นาที่ถูกทิ้งร้างเหล่านั้น เขาเคยนำขุนนางเกือบจะทุกคนที่อยู่ในศาลาว่าการแห่งนี้ไปทำนามาแล้ว !

ด้วยเหตุนี้ เขาถึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วว่าทำนามิใช่เรื่องง่ายอย่างแท้จริง ยามเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยว กลับค้นพบว่าผลผลิตและการทุ่มเทมิสัมพันธ์กันอย่างสิ้นเชิง ที่นาหนึ่งหมู่ผลิตเมล็ดข้าวได้เพียงร้อยกว่าชั่งเท่านั้น !

เทียบกับที่หลินเจียงยังได้มิถึงครึ่งเลยด้วยซ้ำ !

อีกทั้งชาวนายังต้องทำงานหนักกว่าที่หลินเจียงอีกหลายเท่า!

เขาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าความคิดที่จะทำนาปลูกข้าวเพื่อพลิกฟื้นสถานที่แห่งนี้ เป็นเพียงแค่เรื่องตลกเท่านั้น

ทางราชสำนักได้นำอำเภอผิงหลิงเข้าเป็นพื้นที่การทดสอบเศรษฐกิจ แต่หากกงเซินจ่างนั้นยังมิตาย อย่าว่าแต่จะดึงดูดพ่อค้ามาลงทุนเลย แม้แต่พ่อของเขาเองก็ยังมิยอมมายังที่แห่งนี้

พ่อของเขากล่าวในจดหมายว่า ลูกชายเอ๋ย ยามนี้เจ้าลำบากเพียงผู้เดียว หากพ่อไปอยู่กับเจ้าที่นั่นเพื่อสร้างโรงงงานทอผ้า เกรงว่าจะต้องลำบากทั้งครอบครัวเป็นแน่ !

เยี่ยงนี้ผู้ใดจะกล้ามากัน ?

ทุ่มทรัพย์สินเงินทองลงไป เพื่อรอให้กงเซินจ่างมาคอยรีดไถเยี่ยงนั้นหรือ ?

ดังนั้นกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจที่ฟู่เสี่ยวกวนยกขึ้นมานั้นมิผิด แต่กงเซินจ่างยังมิถูกกำจัด กลยุทธ์เหล่านั้นจึงมิอาจใช้ในผิงหลิงแห่งนี้ได้ แม้ว่าหย่งหนิงโจวจะกว้างใหญ่ไพสาลถึงเพียงใดแต่ก็มิอาจจะดำเนินการได้

 ท่านนายอำเภอขอรับ อีกสามวันก็จะถึงเวลาแจกจ่ายเสบียงคราสุดท้ายแล้ว นี่เป็นคำสั่งโดยตรงจากราชสำนัก หากมิส่งมอบไปให้… 

ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา เขามองดูใบหน้าของจางเหวินฮั่นที่ดูอึมครึมราวกับฝนใกล้จะตก แต่ก็ยังเลือกที่จะกล่าวต่อไป

 ท่านขุนนางทุ่มเทเพื่อผิงหลิง ข้าเองก็เห็นอยู่กับตา เยี่ยงไรเสียสถานที่แห่งนี้ก็เป็นแบบนี้มานับพันปีแล้ว ในยามนี้ยังมีหิมะเพิ่มความหนาวเข้าไปอีก ข้าน้อยคิดว่านายอำเภอเยี่ยนหลินชิวกับท่านขุนนางเคยอยู่ที่จินหลิงมาช้านาน ท่านขุนนางเยี่ยน เยี่ยนหลินชิวเป็นหลานชายของท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ที่ชวูอี้ของเขานั้นเหมือนว่าจะมีเสบียงเก็บไว้ แต่กระนั้นก็… 

จางเหวินฮุ่นพยักหน้า  เตรียมรถเถอะ ข้าจะไปเยือนชวูอี้สักครา ต้องรับมือกับเรื่องนี้ให้ได้เสียก่อน หวังว่าท่านนายพลเผิงจะจับกุมกงเซิงจ่างได้ !  

ผู้อาวุโสลงไปเตรียมรถม้า จางเหวินฮั่นนั่งอยู่ในห้องโถงที่ว่างเปล่า ในใจของท่านนายพลเผิงยามนี้คาดว่าคงติดอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายอย่างยิ่ง การปราบปรามโจรหากเป็นการรบที่ยืดยาว…อำเภอผิงหลิงจะแบกรับภาระการจัดหาเสบียงที่ยาวนานนี้ได้เยี่ยงไรกัน ?

แม้ว่าเขาจะเก็บเสบียงอาหารของอำเภอผิงหลิงได้น้อยเป็นอย่างมาก แต่ผิงหลิงเองก็ยากที่จะดูแลมานานแล้ว ยังอยากจะขอร้องทางราชสำนักให้ส่งเสบียงมาให้ตนเองสักหน่อยอยู่เลย ยังจะมีที่ใดสนับสนุนเสบียงเพื่อการทำสงครามนี้อีก

หากฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นมานั่งในตำแหน่งนี้ เขาจะจัดการเยี่ยงไรกัน ?

จางเหวินฮั่นคิดถึงฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมา เขาเป็นคนที่มีความสามารถเป็นอย่างมาก ราชวงศ์หยูดำเนินกลยุทธ์การค้าและการเกษตรในยามนี้ได้ถูกต้องแล้ว น่าเสียดายที่ชายหนุ่มผู้นี้ได้ตายจากไปแล้วที่ราชวงศ์อู๋ เป็นอัจฉริยะที่น่าอิจฉาอย่างแท้จริง

แต่ก่อนตอนอยู่ที่จินหลิง ตัวเขายังมีความแค้นมากมายกับฟู่เสี่ยวกวน ในยามนี้เมื่อมองย้อนกลับไปเห็นว่าเป็นเพียงเรื่องตลกในตอนเยาว์วัยก็เท่านั้น

บทความและบทกวี มิสามารถดำรงอยู่ได้ตลอดไป

แม้แต่การศึกษาปราชญ์ จางเหวินฮั่นในยามนี้ก็มิได้สัมผัสมาเนิ่นนานแล้ว

มิมีเวลา และมิมีจิตใจไปสนใจใคร่รู้

ราษฎรที่อยู่ภายใต้การปกครองยังมีกินมิอิ่มท้องเลยด้วยซ้ำ ยังจะคิดถึงบทความกับบทกวีอยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ? เรื่องนั้นเดิมทีก็เป็นมิได้อยู่แล้ว

ถึงช่วงปลายเดือนเก้าแล้ว และในท้ายเดือนสิบ หิมะก็จะตกลงมาอีกครา

ฤดูหนาวนี้…

จางเหวินฮั่นเดินออกจากประตูศาลาว่าการที่ผุพัง พลางเงยหน้าขึ้นมองท้องนภาสีฟ้าสด  สวรรค์ ฤดูหนาวนี้อย่าได้มีหิมะตกหนักอีกเลย โปรดให้ทางรอดกับพวกชาวบ้านสักทางเถอะ !  

……

จางเหวินฮั่นเดินทางไปอำเภอชวูอี้เพื่อหยิบยืมเสบียง กลุ่มพ่อค้าที่ฟู่เสี่ยวกวนติดตามมาก็ได้มาถึงที่ผิงหลิงอี้พอดี

เพียงแต่พวกเขามิได้เข้าเมือง ในขณะนี้กำลังหยุดพักเหนื่อยอยู่ในหมู่บ้านที่ห่างไกล

ฟู่เสี่ยวกวนยังคงใส่งอบและสวมหน้ากาก กองทัพดาบเทวะ 4,000 นายต่างก็รู้จักเขาเป็นอย่างดี

เขายืนอยู่ข้างแปลงนามองไปที่หมู่บ้านแห่งนี้ พลางขมวดคิ้วเบา ๆ

ในขณะนี้เป็นเวลายามอู่แล้ว แต่ในหมู่บ้านกลับมิมีควันไฟของการปรุงอาหารเลย แม้กระทั่งเสียงสุนัขเห่ายังมิมี

เขาและไป๋ยู่เหลียนได้ออกจากกลุ่มพ่อค้ามาแล้ว และได้เดินไปที่หมู่บ้านแห่งนั้น ถึงได้พบว่าที่หมู่บ้านแห่งนี้มีบ้านเรือนรกร้างอยู่จำนวนมาก

พวกเขาพบชายชรานั่งตากแดดบนเก้าอี้ที่ผุพังอยู่คนหนึ่ง จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินเข้าไปทำให้ชายชราผู้นั้นตกใจเป็นอย่างมาก

 ท่านปู่ ผู้คนในหมู่บ้านเล่า ?  

ชายชรามองฟู่เสี่ยวกวนกับไป๋ยู่เหลียน สองคนนี้เห็นได้ชัดว่ามาจากต่างถิ่น แต่งตัวดูภูมิฐาน ต้องเป็นผู้ที่ร่ำรวยอย่างแน่นอน

 ผู้คนเยี่ยงนั้นหรือ ? ภัยหิมะเมื่อปีที่แล้วผู้คนได้อพยพออกไปกว่าครึ่ง เข้าไปในภูเขา เพื่อไปเป็นโจร ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย ดังนั้นอีกครึ่งที่เหลือก็ได้ตามไปด้วย หมู่บ้านจ้าวเจียถุนแห่งนี้เดิมมีแปดร้อยหกสิบกว่าคน ยามนี้เหลือเพียงยี่สิบกว่าคน เท่านั้นทั้งหมดล้วนเป็นคนแก่ชรา… 

 คุณชายทั้งสองมาทำอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มและกล่าว  พวกข้าเป็นพ่อค้าหาบเร่ ผ่านมาทางนี้พอดี 

 อือ มาทำการค้าเยี่ยงนั้นหรือ ?  ชายชราผงกหัว ด้วยใบหน้าถากถาง  พวกเจ้าทำการค้าได้พิเศษนักถึงได้กล้ามาถึงที่นี่ หากมีคนไปเอ่ยกล่าวกับโจรในภูเขานั่น พวกเจ้าทุกคนคงมิมีชีวิตรอด !  

 ราชสำนักกำลังปราบโจรอยู่มิใช่หรือ ?  

ชายชราหัวเราะออกมา  ปราบโจรเยี่ยงนั้นหรือ ? ปราบมารดามันสิ ! ต่อให้ท่านแม่ทัพกงถูกปราบแล้ว แต่ก็ยังมีท่านแม่ทัพเจียง ท่านแม่ทัพหลี่ขึ้นมาอยู่ดีมิใช่หรือ ?  

 หากชีวิตยังดำเนินต่อไปได้ เยี่ยงไรก็ปราบมิหมดหรอก มิใช่ว่าข้ามิอยากจากที่แห่งนี้ไป ข้าเองก็อยากไปเป็นโจรเช่นกัน ! แต่ติดที่ว่าข้าชรามากแล้ว 

 ท่านปู่ เป็นโจรมันผิดกฎหมาย !   ไป๋ยู่เหลียนกล่าวออกมาหนึ่งประโยค

ชายชราคนนั้นหัวเราะ  ผิดกฎหมาย ? ผิดกฎหมายเยี่ยงนั้นหรือ ? ชีวิตสำคัญหรือกฎหมายสำคัญกว่ากันเล่า ?  

 

ที่นั่งริมหน้าต่างชั้นสองของหอหลินเจียง

ต่งชูหลานและชุนซิ่วได้นั่งอยู่ตรงข้ามกัน

ต่งชูหลานมองออกไปนอกหน้าต่าง นอกหน้าต่างนั้นมีผู้คนกำลังเดินกันขวักไขว่เสียงดังจอแจ ไม่ต่างจากตอนที่มาที่นี่เมื่อปีที่แล้วเลยสักนิด

ชุนซิ่วมองนายหญิงน้อย ในใจมีความเป็นห่วงอยู่บ้าง จึงกล่าวขึ้นเล็กน้อยว่า  นายหญิงน้อยและคุณชายเห็นชุนซิ่วเป็นดังญาติมิตร ชุนซิ่วมีคำเอ่ยอยากจะบอกกับนายหญิงน้อยสักหน่อย 

 ต่งชูหลานหันไปมองทางชุนซิ่ว แล้วกล่าวยิ้ม ๆ  เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนใช่หรือไม่ ?  

ชุนซิ่วพยักหน้า เม้มริมฝีปาก  คำเอ่ยของนายหญิงน้อยเมื่อครู่นั้น…นายหญิงน้อยมิใช่คนใจดำเยี่ยงนั้น เหตุใดจึงต้องกล่าวเช่นนั้นออกมาด้วย ? พวกนาง…แท้ที่จริงพวกนางน่าสงสารมากยิ่งนัก ยามนี้ผู้นำตระกูลและคุณชายต่างก็มิมีข่าวคราวกลับมา อีกทั้งพวกนางใกล้จะคลอดแล้ว ครอบครัวนี้มิมีเสาหลักแล้ว มีแต่จะทำให้กังวลใจมากยิ่งขึ้น 

 ชุนซิ่ว ข้าตั้งใจให้เป็นเช่นนี้…  ต่งชูหลานมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครา นัยน์ตามีแววสลัวอยู่บ้าง  กิจการเหล่านี้หากข้ามอบให้กับพวกนาง พวกนางก็มิมีปัญญาจัดการอยู่ดี หากข้าวางมือมิไปถามไถ่แล้วอย่างแท้จริง เกรงว่ากิจการของคุณชายที่ทุ่มเทสร้างมันขึ้นมา ภายในสามถึงห้าปีคงจะล่มสลายไปเสียแล้ว 

 ข้าหวังดีกับพวกนาง ค่าใช้จ่ายในจวนฟู่แห่งนี้มิมีทางลดลง มีแต่จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า เห็นกันอยู่ว่าจำนวนคนในจวนฟู่ยิ่งอยู่ยิ่งมากขึ้น พวกน้อง ๆ ของคุณชายเองเมื่อโตขึ้นแล้วยังคงต้องสมรสแล้วเริ่มทำกิจการของตนเอง เรื่องเหล่านี้จำเป็นต้องใช้เงินทั้งนั้น 

ชุนซิ่วถึงได้เข้าใจเจตจำนงค์ของนายหญิงน้อย ในใจพลันคิดว่าคุณนายทั้งหกคนนี้ มิมีคนไหนเลยที่จะสามารถจัดการกิจการเหล่านั้นที่คุณชายทิ้งไว้ได้เลยอย่างแท้จริง พวกนางเองไม่ได้มีความสามารถเฉพาะตัวเหมือนกับนายหญิงน้อย !

นี่คือรากฐานของจวนฟู่

เพียงแค่รากฐานมิล้มเหลว จวนฟู่ก็จะมิล้มลงไปเช่นกัน !

บัดนี้ชุนซิ่วได้แสดงสีหน้าละอายใจออกมา ต่งชูหลานกลับหัวเราะแล้วกล่าวว่า  เจ้าเป็นคนเก่าคนแก่ข้างกายของคุณชาย เรียนรู้จากข้าเยอะหน่อยเถอะ หลังจากสมรสไปแล้ว เจ้าก็ยังต้องจัดการการค้าของครอบครัวตนเองเช่นกัน 

ชุนซิ่วเบะปาก คิดในใจว่าตนเองยังมิเจอผู้ใดที่ใจตรงเลยสักคนเดียว

สายตาของชุนซิ่วมองไปยังด้านนอกหน้าต่างเช่นกัน เห็นสตรีชุดขาวสะพายกระบี่ด้ามยาวอยู่คนหนึ่ง

นางขมวดคิ้วเบา ๆ ถึงได้เห็นสตรีผู้นั้นใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ จากนั้นก็ได้เดินเข้ามาในหอหลินเจียง

 นายหญิงน้อย ข้ารู้แล้ว นางคือจางเพ่ยเอ๋อร์ 

 จางเพ่ยเอ๋อร์เยี่ยงนั้นหรือ ?  

ต่งชูหลานนึกย้อนไปอย่างถี่ถ้วน ปีที่แล้วที่ไปเจรจากับพ่อค้าหลวงที่หลินเจียง ลูกสาวพ่อค้าผ้าหลินเจียงจางจี้เหมือนจะชื่อจางเพ่ยเอ๋อร์นี่ ?

ใช่แล้ว ! นางยังมีพี่ชายอีกคนที่ชื่อว่าจางเหวินฮั่น ปีที่แล้วเขามาเป็นเจ้าหน้าที่ที่ชิวเหวย ดูเหมือนว่าเมื่อเดือนสิบเอ็ดเมื่อปีที่แล้ว เขาก็ได้ไปเป็นนายอำเภอของอำเภอผิงหลิง

ได้ยินมาว่าจางเพ่ยเอ๋อร์ในตอนนั้นมีความรู้สึกลึกซึ้งต่อฟู่เสี่ยวกวน เยี่ยงไรเสียดอกไม้ร่วงหล่นมีใจสายธารหลั่งไหลกลับไร้รัก ท้ายที่สุดก็กระโดดแม่น้ำแยงซีจบชีวิตตนเอง  เจ้าดูผิดหรือไม่ ?  

 บ่าวมิมีทางดูผิดอย่างแน่นอน เมื่อปีที่แล้วนางยังเคยมาที่จวนฟู่อยู่เลยเจ้าค่ะ อีกทั้งยังพักอยู่ที่เรือนด้านหลังอยู่นาน ขณะนั้นบ่าวเองก็อยู่ที่นั่นด้วยเจ้าค่ะ 

เสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากบันใด ต่งชูหลานหันไปมองที่หัวบันไดนั้น จางเพ่ยเอ๋อร์ขึ้นมาสู่ชั้นบน นางเองก็มองเห็นต่งชูหลานเช่นกัน

นางเดินตรงเข้าไปหาต่งชูหลาน มิได้แสดงสีหน้ามุ่ยราวกับเด็ก ๆ อีกต่อไป เวลาสั้น ๆ หนึ่งปี ราวกับว่านางจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

นางมาที่หอหลินเจียงแห่งนี้เดิมตั้งใจจะมาทานอาหาร เพราะฟู่เสี่ยวกวนมักจะมาทานอาหารที่หอหลินเจียงแห่งนี้

ยามนี้นางได้สำเร็จวิถีแห่งอู๋เต้าเพียงเล็กน้อย จุดประสงค์ที่ออกมาจากป่ากระบี่ก็็เพื่อมาฟันฟู่เสี่ยวกวนสักหนึ่งกระบี่ อาจารย์เหมียหลี่เสวี่ยหงเอ่ยว่า กระบี่เล่มนี้จำเป็นต้องไปตัด ตัดความสัมพันธ์ที่อาภัพนั่น ใช้ความสามารถตัดเจ้าออกจากท้องนภาและผืนปฐพีที่กว้างใหญ่ไพศาลของวิถีการต่อสู้อู๋เต้า

แต่ตัวนางยังมิทันได้ไปถึงหลินเจียง กลับยินข่าวมาว่าฟู่เสี่ยวกวนได้ตายในภูเขาหิมะของราชวงศ์อู๋เสียแล้ว…

การฟันกระบี่ครานี้ก็ฟันมิสำเร็จแล้ว แต่นางก็ยังคงมาที่หลินเจียงเพราะอยากจะมาดูอีกสักครา

นางเองก็รู้จักต่งชูหลานเช่นกัน

 ข้าร่วมนั่งด้วยได้หรือไม่ ?  

ต่งชูหลานมีใบหน้ายิ้มแย้มและพยักหน้า

จางเพ่ยเอ๋อร์นั่งลงทันที และหันไปทางหน้าต่าง

 เขา…สิ้นแล้วจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ต่งชูหลานหุบยิ้มบนใบหน้า พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ อีกครา

จากนั้นสตรีทั้งสองต่างก็มิได้เอ่ยวาจาใดออกมาอีก เสี่ยวเอ้อวางอาหารและสุราไว้บนโต๊ะ สตรีทั้งสามต่างก้มหน้าก้มตากิน ชุนซิ่วรินสุราให้คุณนายสะใภ้ คิดไปคิดมา ก็รินให้กับจางเพ่ยเอ๋อร์หนึ่งจอกด้วยเช่นกัน

จางเพ่ยเอ๋อร์ดูเหมือนหิวเป็นอย่างมาก นางกินอาหารอย่างมูมมาม เมื่อยามที่สำลักก็จะดื่มสุราหนึ่งจอก

นางกินเยอะเป็นอย่างมาก ดื่มก็เยอะมากเช่นกัน มิเหลือภาพลักษณ์ของคุณหนูตระกูลใหญ่จวนจางเลยแม้แต่น้อย

ต่งชูหลานมองจางเพ่ยเอ๋อร์อย่างเงียบ ๆ ในใจพลันคิดว่านี่เป็นสตรีที่หน้าสงสารผู้หนึ่ง ในช่วงอายุที่สวยงามที่สุด กลับไปรักคนที่มิควรจะรัก

จางเพ่ยเอ๋อร์แก้มกลม เขาเคี้ยวไปถามไป  สุสานเขาอยู่ที่ใด ?  

 ถูกหิมะกลบฝัง หลังจากที่ขุดออกมา มิอาจจะนำมาจัดการได้แล้ว เขาเป็นโอรสของจักรพรรดิเหวิน ยามนี้ถูกฝังไว้ที่จายซิงถายเมืองกวนหยุนแห่งแคว้นอู๋ 

แก้มของจางเพ่ยเอ๋อร์หยุดขยับไปหลายอึดหายใจ นางมองดูอาหารบนโต๊ะ กลืนอาหารในปากลงคอ  แคว้นอู๋…ไกลถึงเพียงนั้น…แท้ที่จริงแล้วเขาชอบหลินเจียงแห่งนี้มากกว่า 

 ต้องย้ายหลุมศพเขากลับมา  จางเพ่ยเอ๋อร์กล่าวเพิ่มเติมออกมาอีกหนึ่งประโยค ทำให้ต่งชูหลานรู้สึกตกใจมากยิ่งนัก

 ในเมื่อฝังลงดินแล้ว ให้เขาอยู่สงบเถิด จายซิงถายที่แห่งนั้นเป็นพื้นที่ที่มิเลวเลย สูงเป็นอย่างมาก มักจะอยู่ในกลุ่มเมฆ เขาจะได้ขึ้นสู่ท้องนภาได้ง่ายขึ้นอีกหน่อย 

 …ข้ารู้สึกว่าเขายังมิตาย !  

ต่งชูหลานตื่นตกใจอีกครา ในใจพลันคิดว่านางพบพิรุธอันใดหรือไม่ ?

 เขาเป็นคนเลวเยี่ยงนั้น สวรรค์ต้องมิกล้ารับเขาไปเป็นแน่ 

ชุนซิ่วได้ฟัง ก็เกิดอารามมิพอใจ  คุณชายของข้าเลวตรงไหนกัน ?  

จางเพ่ยเอ๋อร์ยกยิ้มขึ้น มิได้ตอบกลับไป นางวางชามและตะเกียบลง ดื่มสุราอีกหนึ่งจอก ครานี้ชุนซิ่วมิได้รินสุราให้นางอีก นางจึงหยิบขวดสุราเทให้ตนเอง

 ข้าเคยรักเขาอย่างลึกซึ้ง  จางเพ่ยเอ๋อร์มองไปทางต่งชูหลาน

 มิได้กลัวว่าในยามนั้นผู้คนจะกล่าวหาเขาเยี่ยงไรบ้าง แต่ข้าก็ยังคงชอบลักษณะเลว ๆ นั้นของเขา 

 หากเขายังคงเลวร้ายเช่นนั้นต่อไป ข้าว่าเขาจะต้องเป็นของข้าอย่างแน่นอน 

นางหัวเราะกับตนเอง  แต่น่าเสียดายคิดมิถึงว่าเขาจะเปลี่ยนเป็นคนดีได้ !  

 เขาเปลี่ยนเป็นคนดีเพื่อเจ้า ดังนั้นเจ้าชนะแล้ว ข้าเลื่อมใสทั้งวาจาและจิตใจ 

 เวลาหนึ่งปีมานี้ข้าอยู่ที่ป่ากระบี่ ซ่อมแซมสำนึกกระบี่ที่ถูกตัดขาด แต่ในใจของข้าความรู้สึกนี้มิเคยถูกตัดขาดออกไป ดังนั้นที่ข้าลงเขามา เดิมทีคิดอยากจะมาฟันเขาให้ขาด…แต่เขากลับตายไปเสียแล้ว !  

จางเพ่ยเอ๋อร์สูดลมหายใจเข้าลึก พลางเงยหน้าขึ้นและถอนหายใจ  ฟู่เสี่ยวกวน แม้แต่กระบี่ของข้า เจ้าก็มิให้โอกาสข้าเลย !  

 เจ้าอยากฆ่าเขาเยี่ยงนั้นหรือ ?   ต่งชูหลานขมวดคิ้วถาม

 ข้าเองก็มิรู้เช่นกันว่าถึงยามที่ต้องเผชิญหน้ากันกับเขาข้าจะฆ่าเขาลงหรือไม่ อีกอย่างบัดนี้เขาก็ได้ตายจากไปแล้ว ถึงอยากจะฆ่าเขาก็ทำมิได้แล้ว !  

ต่งชูหลานรู้สึกโล่งใจ  หลังจากนี้แม่นางคิดจะทำอันใดต่อไป ?  

 มิได้คิดจะทำอันใด ในเมื่อเขามิอยู่แล้ว โลกใบนี้ก็มิมีอันใดน่าดูอีกแล้ว ข้าจะไปหาพี่ชายของข้าที่ผิงหลิง จากนั้นก็จะกลับไปยังป่ากระบี่…แม้ว่าจางเพ่ยเอ๋อร์คนเก่าจะได้ตายไปแล้วก็ตาม 

เขาลุกขึ้นยืน  ขอบใจเจ้ามากที่เลี้ยงอาหารข้ามื้อนี้ ได้ยินว่าเจ้ายังอยู่ที่นี่ดูแลการค้าให้กับเขา เจ้าเป็นสตรีที่ยอดเยี่ยมยิ่ง น่าเสียดายที่เขามิมีวาสนาได้เสวยสุข 

 ลาก่อน !  

 ลาก่อน !  

จางเพ่ยเอ๋อร์ถือกระบี่และเดินจากไปจนลับสายตา ต่งชูหลานออกเดินทางกลับซีซานอีกครา

แม่น้ำเบื้องล่างที่หอหลินเจียงยังคงไหลเวียนต่อไป เพียงแค่หญิงสาวที่เคยอยู่ชั้นบนนั้นได้จากไปแล้ว…

 

ตอนที่ 400 ต่งชูหลานผู้กุมอำนาจ

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้าเดือนเก้าวันที่หนึ่ง หลินเจียงมีฝนตกปรอย ๆ

วันนี้ ได้เกิดเรื่องราวขึ้นมามากมาย

อย่างเช่นจักรพรรดินีแห่งราชวงศ์อู๋ทรงประชวร จึงนำราชกิจการเมืองทั้งหมดมอบหมายให้กับอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายและขวาดูแล

และเป็นวันนี้เช่นกัน ฝ่าบาทได้ทรงย้ายออกจากตำหนักหยางซิน มาประทับที่คฤหาสน์จิ้งหู ด้วยเหตุผลแสนง่ายดาย

ฟู่เสี่ยวกวนตายไปแล้ว ที่แห่งนี้เดิมทีเป็นเรือนหลวง เมื่อในยามนี้มิมีเจ้าของแล้ว อีกทั้งจักรพรรดินีทรงชื่นชอบบรรยากาศความเงียบสงบของที่นี่เป็นอย่างมาก ดังนั้นพระนางจึงเข้าไปประทับยังสถานที่แห่งนั้น

หนิงซือเหยียนยังคงเป็นคนเฝ้าประตูของคฤหาสน์จิ้งหู เพียงแต่หลังจากที่อู๋หลิงเอ๋อร์เข้าพักอยู่ที่นี่ เขามิเคยเห็นอู๋หลิงเอ๋อร์ออกมาอีกเลย

ที่แห่งนี้ถูกองครักษ์ชุดแดงของถังเชียนจวิน 5,000 นายปิดล้อมไว้อย่างแน่นหนา หนิงซือเหยียนเชื่อสุดใจว่าแม้แต่แมลงวันตัวเดียวก็มิสามารถบินเข้าไปได้

ราชวงศ์หยูในวันนี้ก็ได้เกิดสองเหตุการณ์ใหญ่ขึ้นเช่นกัน

กองทัพทางตะวันออกนำโดยองค์ชายใหญ่ และกองทัพทางใต้ท่านนายพลหยูชุนชิวที่มาสนับสนุน ได้ขับไล่กองทัพท่านนายพลเสี่ยนชูแห่งแคว้นอี๋ออกไปจากแม่น้ำไป๋สุ่ย

กองทัพทั้งสองกำลังมองข้ามแม่น้ำที่กั้นอยู่ และกำลังส่งทหารมายังพื้นที่แห่งนี้อย่างต่อเนื่อง คาดว่าคงมีเหตุการณ์นองเลือดคราใหญ่

แต่อีกเหตุการณ์ของราชวงศ์หยูมิได้ถูกเผยแพร่ออกมาอย่างใหญ่โตเยี่ยงเรื่องของชัยชนะในครานี้ มันค่อย ๆ แพร่งพรายออกมาอย่างเงียบ ๆ ราวกับก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ที่ถูกคนโยนลงในน้ำเบา ๆ ที่แม้แต่ระลอกคลื่นก็แทบมิปรากฎขึ้นมาให้เห็น

ฮ่องเต้มีราชโองการ ทรงแต่งตั้งให้องค์ชายสี่หยูเวิ่นชูเป็นอ๋อง และพระราชทานเมืองซีฮวงเขตซีหรงให้กับพระองค์ และให้องค์ชายสี่ออกจากเมืองหลวงวันนี้ !

ซีฮวง…

เขตซีหรง… !

หยูเวิ่นเทียนองค์ชายใหญ่ชีวิตนี้ต้องออกรบจนห่อศพด้วยหนังม้าและจะมิกลับมาที่จินหลิงอีก

แต่ฝ่าบาทก็ยังส่งให้องค์ชายสี่ไปยังซีฮวงอีก ขุนนางส่วนมากเห็นว่านี่คงจะเป็นการเนรเทศ ครึ่งปีมานี้องค์ชายสี่ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบมาตลอด หรือว่าลับหลังเขาได้ทำเรื่องยั่วยุฝ่าบาทเอาไว้ ?

ถ้าเยี่ยงนั้นยามนี้ที่ยังคงอยู่ในศูนย์กลางอำนาจของเมืองจินหลิงก็เหลือเพียงองค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้า !

ฮองเฮาซั่งเป็นมารดาของหยูเวิ่นเต้า…ดังนั้น องค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์หยู คาดว่าคงจะตกอยู่ในพระหัตถ์ขององค์ชายห้า

นี่เป็นการช่วงชิงตำแหน่งมองค์รัชทายาท องค์ชายสี่ทำการค้าที่จินหลิงมาหลายปี แม้ตัวเขาจะจากไปแล้ว แต่ใจของเขาเกรงว่ายังคงเต้นอยู่ในเมืองจินหลิง !

วันนี้ยังเกิดเหตุการณ์เล็ก ๆ ขึ้นอีกมากมาย

อย่างเช่นมีสตรีงดงามผู้หนึ่งออกมาจากป่ากระบี่และได้ลงมาจากภูเขาแล้ว นางแบกกระบี่ด้ามยาวมาถึงที่หลินเจียง และได้ไปยังที่สำนักศึกษาหลินเจียง และไปมองดูศิลาสายลมที่สำนักศึกษาป้านชานเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป หลังจากนางกลับมาถึงหลินเจียง นางก็ได้เดินทางไปยังตรอกซีชุ่ยแห่งเมืองหลินเจียงตะวันออกเฉียงใต้ มองดูประตูจวนจางเป็นเวลา 10 อึดใจ ยืนดูประตูจวนฟู่ 30 อึดใจ

หลังจากนั้นนางก็ได้ไปที่สวี่ฝูจี้และซื้อซีชานเทียนฉุนหนึ่งขวด แล้วมานั่งที่ข้างแม่น้ำแยงซี นางดื่มสุราไปมองดูน้ำที่ขยับขึ้นลงเป็นระลอกคลื่นเบา ๆ ในแม่น้ำแยงซีไปด้วย ดื่มอยู่เนิ่นนาน มองดูแล้วราวกับรูปปั้นก็มิปาน

สุรายังดื่มมิหมด นางนำสุราที่เหลืออยู่เทลงไปในแม่น้ำแยงซี ราวกับกำลังทำพิธีเซ่นไหว้

อย่างเช่นอีกเหตุการณ์หนึ่งดาบเทวะที่กำลังฝึกอยู่ในภูเขาเฟิ่งหลินเป็นเวลากว่าครึ่งปี เป็นเหตุการณ์ที่มิได้ทำให้ผู้ใดตื่นตกใจ พวกเขาหายไปในภูเขาที่กว้างใหญ่ เมื่อถึงยามที่ปรากฎออกมา พวกเขาได้แปลงกายเป็นผู้คุ้มกันไปแล้ว คุ้มกันเสบียงอาหารที่ขนส่งมากจากซีซานและมุ่งตรงไปทางเหนือ

และอย่างเช่น ต่งชูหลานบุตรสาวของเสนาบดีกรมคลัง ในวันนี้ได้นั่งรถม้ามาถึงที่จวนฟู่ที่หลินเจียง บังเอิญสวนทางกับสตรีชุดขาวที่สะพายกระบี่ยาวผู้นั้นเข้าพอดี

……

ต่งชูหลานและชุนซิ่วลงจากรถม้า

นางมองเงาที่จากไปนั้นอีกครา และเอ่ยถามชุนซิ่ว  เจ้าเห็นชัดหรือไม่ว่าเป็นผู้ใด ?  

ชุนซิ่วส่ายหัว ต่งชูหลานขมวดหัวคิ้ว ๆ เบา ๆ เหมือนจะรู้สึกว่าเคยพบคนผู้นั้นจากที่ใดสักที่มาก่อน แต่ขณะนี้นึกมิออก

นางก้าวเดินเข้าไปในประตูใหญ่ของจวนฟู่ เดินตรงไปยังเรือนรับแขกในเรือนหลัก

เมื่อคืนได้ข่าวจากพ่อบ้านใหญ่ในเรือนซีซานมาว่าฉีซื่อได้มาที่เรือนและคิดที่จะดูบัญชี แน่นอนว่าย่อมทำมิได้ !

หลังฉีซื่อถูกปฎิเสธ ยามนี้ก็คาดว่าผ่านไปราวครึ่งเดือนแล้ว

ซีซานที่แห่งนั้นถูกต่งชูหลานใช้อุบายควบคุมเอาไว้อยู่ในกำมือ นางเป็นถึงฮูหยินรองจวนฟู่แม้แต่สมุดบัญชียังมิมีปัญญาได้ดู !

คิดมิถึงว่าต่งชูหลานนังสารเลวนั่นจะหลบหนีไปแล้ว !

นางรออยู่ที่เรือนซีซานถึง 5 วันเต็ม ๆ อย่าว่าแต่ได้เจอนางเลย แม้แต่ข่าวสารสักข่าวก็ยังไม่มี ผู้คนที่ซีซานทุกคนต่างก็ไม่รู้ว่าต่งชูหลานไปที่ใด !

นี่มันไร้สาระสิ้นดี !

นี่เห็นได้ชัดว่านางกำลังแกล้งข้า !

ดังนั้นฉีซือที่กลับถึงมาถึงจวนฟู่ในหลินเจียงจึงโกรธเป็นอย่างมาก !

ฮูหยินที่เหลืออีก 5 คนหลังจากที่ได้ฟัง ก็รู้สึกโกรธมากเช่นกัน

ชวูหลิงหลงที่แรกเริ่มนั้นชอบฟู่เสี่ยวกวนจึงได้แต่งงานกับฟู่ต้ากวนในยามนี้จากเด็กน้อยเติบโตเป็นหญิงสาวแล้ว จิตใจของนางเองก็ได้ฝากเอาไว้กับฟู่ต้ากวนแล้ว

สำหรับฟู่เสี่ยวกวน…เรื่องในตอนนั้นเป็นเรื่องไร้สาระอย่างแท้จริง

ฟู่เสี่ยวกวนเพื่อจวนฟู่แล้วเขาได้ช่วงชิงความรุ่งโรจน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สิ่งนี้ทำให้นางมีความสุขเป็นอย่างมาก แต่ความสุขนี้มิได้เกี่ยวกับความรู้สึกแต่อย่างใด แต่เกี่ยวกับพื้นหลังของตระกูลฟู่ต่างหากเล่า

แต่ยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้ตายไปแล้ว อีกทั้งตาเฒ่าเลอะเลือนร่างอ้วนนั้นก็ได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย ต่งชูหลาน สตรีที่ไม่เคยมาที่ตระกูลฟู่ มีสิทธิ์อันใดมากุมความอยู่รอดของจวนฟู่กัน ?

ในขณะที่ต่งซูหลายก้าวเข้าไปในจวนฟู่ ภรรยาทั้งหกคนที่เดิมทีต่างฝ่ายต่างเข้ากันไม่ได้นึกไม่ถึงว่าจะรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว

จุดประสงค์มีเพียงสิ่งเดียว ทำให้ตงซูหลานส่งสมุดบัญชีทั้งหมดออกมา และไม่อนุญาตให้นางก้าวก่ายกิจการใด ๆ ของจวนฟู่อีกต่อไป !

ต่งชูหลานนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะกลมใหญ่ ชุนซิ่วยืนอยู่ด้านหลังของนางด้วยความหงุดหงิดถึงขีดสุด

ฮูหยินทั้งหกก็ได้นั่งล้อมวงอยู่หน้าโต๊ะกลมขนาดใหญ่เช่นกัน มิมีน้ำชา และมิมีอาหารกลางวัน

ต่งชูหลานบัดนี้มีใบหน้าเคร่งขรึม นางกวาดสายตามองฮูหยินทั้งหก มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เปิดปากกล่าวออกมาก่อน

 ได้ยินว่าพวกเจ้ากำลังตามหาข้า รีบร้อนมากอีกด้วย ข้ายุ่งเป็นอย่างมาก มิเหมือนพวกเจ้าที่ใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งสุขสบาย ดังนั้นเรื่องคำเอ่ยแบบพิธีรีตองนั้นค่อยว่ากันคราวหลัง หากพวกเจ้าไปหาข้าเพื่อกิจการของซีซาน เช่นนั้นเกรงว่าพวกเจ้าคงต้องผิดหวังแล้ว กิจการในซีซานสามีข้าเป็นคนสร้างมากับมือ พวกเจ้ามิมีสิทธิ์ก้าวก่าย !  

 ปัง… !   ฉีซือตบโต๊ะเสียงดัง  แม้ว่าเจ้าจะเป็นบุตรสาวของเสนาบดี แต่เจ้ามิเคยตบแต่งเข้าจวนฟู่ มีสิทธิ์อันใดมายุ่งกับกิจการของจวนฟู่กัน ? อีกอย่างฟู่เสี่ยวกวนได้ตายไปแล้ว สิ่งที่เจ้าต้องทำในยามนี้คือรีบไปหาสามีที่ดีสักคน มิใช่มาวางแผนฮุบทรัพย์สมบัติของจวนฟู่ !  

ต่งชูหลานขมวดคิ้วมุ่น และตบโต๊ะเสียงดังเช่นกัน นางลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว และจ้องไปที่ฉีซือ  เจ้าบอกว่านั่นคือกิจการของจวนฟู่เยี่ยงนั้นหรือ ?  

 หรือว่ามิใช่ ?  ฉีซือลุกขึ้นยืนเช่นกัน ทั้งสองนางต่างก็ไม่ลดลาวาศอกให้แก่กัน

 เจ้ามิรู้หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นโอรสของจักรพรรดิเหวิน ?  

 เจ้า… !  

 เขาเป็นโอรสของจักรพรรดิเหวิน ! แล้วเขาเกี่ยวข้องอันใดกับจวนฟู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ยามนี้ข้าจะบอกเหตุผลกับพวกเจ้า !   ต่งชูหลานยื่นมือออกไป  สามีข้าเห็นว่าสถานะของพวกเจ้าเป็นอนุภรรยาของฟู่ต้ากวน เขาเคารพพวกเจ้าเป็นอย่างมาก เคยกล่าวกับข้าว่าจวนฟู่จะเลี้ยงดูพวกเจ้าและลูกหลานของพวกเจ้าจนกว่าลูกหลานของพวกเจ้าจะกลายเป็นผู้เป็นคน !  

 นี่คือผลการตอบแทนบุญคุณที่ฟู่เสี่ยวกวนมีให้กับฟู่ต้ากวนที่เลี้ยงดูเขามา แต่พวกเจ้าล่ะ ? พวกเจ้าได้ยินข่าวคราวมาว่าเขาตายแล้วก็เชื่อว่าเขาตายไปแล้วจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? หากเขายังมีชีวิตอยู่เล่า ?  

ต่งชูหลานรู้สึกเดือดดาลเป็นอย่างมาก นางหยิบหนังสือสมรสที่ฝ่าบาททรงอักษรเองออกมาจากชายแขนเสื้อ ตบไปบนโต๊ะเสียงดังปัง

 นี่คือหนังสือสมรสที่ฝ่าบาททรงอักษรด้วยตนเอง นึกมิถึงว่าเจ้าจะกล้าบอกให้ข้าไปหาสามีใหม่ !  

 เจ้ารู้หรือไม่สิ่งที่เจ้าทำคือการหลอกลวงเบื้องสูง !  

 เป็นฮูหยินอยู่ดี ๆ มิชอบ คิดอยากจะมาแสวงหาผลประโยชน์จากกิจการของสามีข้า ข้าจะบอกพวกเจ้าเอาไว้… !  

ต่งซูหลายกวาดตามองทุกคนด้วยสายตาโหดเหี้ยม  ถ้าหากอยากจะใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย ก็จงเป็นฮูหยินเอ้อระเหยลอยชายของพวกเจ้าต่อไป มิเช่นนั้น… 

นางแสยะยิ้มเยาะ และหมุนตัวเดินออกไป

 มิเช่นนั้น ลูก ๆ ของพวกเจ้าก็อย่าได้คิดถึงเลย !  

 

ตอนที่ 399 รายงานการรบ

ครึ่งเดือนแห่งความสำราญผ่านไปเพียงชั่วพริบตา

ภูเขาเฟิ่งหลินมีฝนตกปรอย ๆ สามสาวงามนั่งร้องไห้ระงม

ใจของฟู่เสี่ยวกวนพลันแตกสลายแล้ว

 ข้ารับรองกับพวกเจ้าว่าข้าต้องกลับมาอย่างปลอดภัย !  

ต่งชูหลานสูดลมหายใจเข้าลึก เช็ดน้ำตาบนใบหน้า เรียกสติกลับมา  แท้ที่จริงพวกข้ารู้ว่าเจ้ามีเรื่องราวมากมายต้องไปจัดการ พวกข้ามิได้มีเจตนาจะรั้งเจ้าไว้ เพียงแต่เรื่องราวที่ภูเขาหิมะในเมืองกวนหยุนเป็นเหมือนฝันร้ายของพวกข้าอย่างแท้จริง เจ้ามิรู้หรอกว่าวันเวลาเหล่านั้นพวกข้าผ่านมาได้เยี่ยงไร 

 เยี่ยงนั้นข้าจะมิกลับไปที่จินหลิงแล้ว ธุระที่ซีซานมีมากมายนัก เจ้ามิมีเวลามาดูแล พวกข้าต้องคอยดูเอาไว้ 

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า ขณะนี้หยูเวิ่นหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวเองก็หยุดร้องไห้แล้ว หยูเวิ่นหวินขยี้ดวงตา เบะปากแล้วกล่าวว่า  ที่จินหลิงข้าและเสี่ยวโหลวจะไปดูแลเอง กิจการที่เมืองกวนหยุนมีข้ากับเสี่ยวโหลวคอยจัดการอยู่ หากมีเรื่องจำเป็น ข้าค่อยไปที่เมืองกวนหยุนอีกสักครา 

 มิจำเป็นต้องทำให้ลำบากถึงเพียงนั้น เยี่ยงไรเสียที่นั่นก็สามารถทำเงินได้มิมีที่สิ้นสุด ที่เมืองกวนหยุนนั้นมีต่งซิวเต๋อคอยดูแลอยู่คาดว่าคงมิมีปัญหาใหญ่อันใด พวกเจ้าทั้งสองจำเป็นต้องพักอยู่ที่จินหลิงบ่อยสักหน่อย เพราะข้าต้องการข่าวคราวของจินหลิง 

ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองทางหยูเวิ่นหวิน และกล่าวอย่างจริงจังว่า  องค์ชายสี่กำลังจะทำอันใดอยู่กันแน่ ? หอซี่หยู่ข้าได้สั่งให้คืนแก่ฮองเฮาซั่งแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยคาดว่ายังอยู่ที่เมืองกวนหยุน ข้ามิอาจจะเข้าไปสังเกตการณ์เขาได้อีก แต่ข้าเชื่อว่าเขาต้องเคลื่อนไหวเป็นแน่ 

เขายื่นมือออกไปจับมือของหยูเวิ่นหวินเอาไว้ ลูบไล้มือของนางอยู่พักหนึ่ง แล้วยังกล่าวอีกว่า  ดังนั้นเจ้าต้องคอยเตือนฮองเฮาซั่ง สำหรับองค์ชายสี่ จะประมาทมิได้เป็นอันขาด แต่ต้องจำไว้ให้มั่นว่าห้ามแพร่งพรายข่าวว่าข้ายังมีชีวิตอยู่ หากองค์ชายสี่กระทำการใดที่ผิดปกติให้เจ้าส่งข่าวผ่านม้าเร็วซีซานที่อยู่ในจินหลิงนำข่าวมาให้กับข้า 

หยูเวิ่นเหวินพยักหน้าอย่างแน่วแน่ เยี่ยนเสี่ยวโหลวเอ่ยถามขึ้นแผ่วเบา  เยี่ยงนั้น…ข้าทำสิ่งใดเพื่อเจ้าได้บ้าง ?  

 ดูแลจวนฟู่ในจินหลิงให้ดี ที่นั่นคือจวนของพวกเรา !  

 อือ… !  

หยาดฝนบนชายคาของศาลาไหลลงมากลายเป็นม่านสายฝน ในศาลาแห่งนั้นมีคนอยู่สี่คนกำลังล้อมวงนั่งสนทนาและอำลากัน

แต่คำอำลาเหล่านั้นมิใช่คำบอกรักแต่อย่างใด ส่วนมากเป็นเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนสั่งพวกนางเอาไว้เสียมากกว่า

อย่างเช่นอู่ต่อเรือในเขตเหยาควรออกแบบเยี่ยงไร

อย่างเช่นต่งชูหลานจำเป็นต้องรับสมัครช่างต่อเรือจำนวนมาก

อย่างเช่นให้เชิญอาจารย์ฉินมารับตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ในสำนักศึกษาซีซาน ต้องสร้างหอพักเพิ่ม สร้างให้ดีขึ้นอีกสักหน่อย ให้พวกอาจารย์ที่มาจากจินหลิงเหล่านั้นได้อยู่อย่างสบายใจ

แน่นอนว่ายังมีข้อกำหนดสำหรับศูนย์วิจัยซีซานอยู่หลายข้ออีกด้วย

บัณฑิตที่เคยร่วมขบวนกับเขาในการเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋นั้นราว 23 คนได้มาที่ศูนย์วิจัยซีซาน เพื่อให้ชัดเจนฟู่เสี่ยวกวนจึงได้หยิบยกหัวข้อออกมาหลายหัวข้อ

การวิจัยแรงดันความร้อน

การวิจัยส่วนประกอบ

การวิจัยพัฒนาการเพาะปลูกทางการเกษตร

และยังมีการวิจัยการออกแบบเรือรบโหลวฉวน

เป็นต้น…

แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้มิสามารถเอ่ยออกจากปากของเขาได้ จำเป็นต้องให้ต่งชูหลานบอกต่ออีกที ใช้วิธีการให้ต่งชูหลานไปชี้แนะแนวทางกับบัณฑิตเหล่านั้น

 มันเทศจะเก็บเกี่ยวได้ประมาณเดือนสิบเอ็ด จำต้องสร้างห้องใต้ดิน เรื่องนี้หวังเอ้อสามารถทำได้ มันเทศจำเป็นต้องเก็บไว้ในห้องใต้ดิน มิเช่นนั้นเมื่อถึงฤดูหนาวจะเสียได้ 

 มันเทศนี้สามารถนำมาให้ทุกคนได้ชิมสักเล็กน้อย ส่วนที่เหลือทั้งหมดนั้นเก็บเอาไว้ปลูก ปีหน้าจะต้องปลูกในพื้นที่ที่ใหญ่มากยิ่งขึ้น 

 พ่อของข้ามิรู้ไปอยู่ที่ใด จวนฟู่ต้องฝากไว้ในมือของเจ้าแล้ว ผู้คุ้มกันทุกคนในซีซาน ข้าให้ไป๋ยู่เหลียนถ่ายทอดคำสั่งเอาไว้แล้ว พวกเขาจะฟังคำสั่งจากเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น 

 หากแม่ข้าทั้งหกคนของข้ามิออกนอกลู่นอกทาง เงินที่ไว้ใช้จ่ายในจวนฟู่ที่หลินเจียงก็ให้มากขึ้นอีกสักหน่อย นับดูแล้วเกรงว่าพวกนางใกล้จะคลอดแล้ว หากพวกเขาออกลู่นอกทาง เจ้าจำไว้ว่า…จวนฟู่นี้ เจ้าคือเจ้านายเพียงคนเดียวเท่านั้น หากผู้ใดกล้าลองดี เจ้าจงบอกให้พวกนางไปให้พ้น ! หากพ่อของข้ากลับมา เจ้าค่อยบอกกับเขาว่า ข้ายังมีชีวิตอยู่ นี่คือคำเอ่ยของข้า 

เรื่องมิว่าจะเล็กหรือใหญ่ได้มอบหมายไว้ทั้งหมดแล้ว และเวลาก็ได้ล่วงเลยมาถึงแล้ว

ฝนยังคงตกอยู่อย่างต่อเนื่อง เหมือนกับความรู้สึกของพวกนางทั้งสามคนในขณะนี้

 ข้าติดค้างงานสมรสกับพวกเจ้า ในปีหน้า ข้าจะให้พวกเจ้าตบแต่งเข้ามาอย่างมีหน้ามีตาแน่นอน ข้าเอาเปรียบพวกเจ้าเกินไปแล้ว 

 สามี… 

……

รถม้าคันหนึ่งแล่นออกจากภูเขาเฟิ่งหลินไปแล้ว สตรีทั้งสามคนนั่งอยู่ในรถม้า ต่างก็มิได้เอ่ยวาจาออกมา ต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง

ฟู่เสี่ยวกวนยืนท่ามกลางสายฝนที่ตกปรอย ๆ เหม่อมองออกไปยังที่ห่างไกล เงาของรถม้าลับตาไปนานแล้ว แต่เขายังคงยืนมองอยู่อย่างนั้น นั่นคือความห่วงใยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเขา

ในตอนท้าย ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ออกจากคฤหาสน์หยุนหูไปอย่างเงียบ ๆ เขาได้ใส่งอบ คลุมตัวด้วยเสื้อกันฝนและยังใส่หน้ากากเอาไว้อีกด้วย เขามุ่งหน้าตรงไปที่ค่ายดาบเทวะ

คืนนี้ ดาบเทวะจะแบ่งกองกำลังปฏิบัติการ เดินหน้าไปทางหย่งหนิงโจวของผิงหลิงอี้

การเดินทาง 800 ลี้ ใช้เวลาราว 10 วัน

ฟู่เสี่ยวกวนพักอยู่ในกระโจมแม่ทัพของไป๋ยู่เหลียน เบื้องหน้าของเขาเป็นแผนที่ของภูเขาผิงหลิงและอีกแผ่นเพิ่งจะส่งมาถึง ซึ่งเป็นรายงานการรบของกองทัพทหารบกเหนือเพื่อปราบปรามกงเซินจ่าง

 รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้าเดือนแปดวันที่สิบ กองทัพทหารบกเหนือนายพลสูงสุดเผิงเฉิงอู่เข้ารับพระราชโองการจากฮ่องเต้ และได้นำทัพทหารใต้บัญชาหลานหลิงจำนวน 100,000 นายและได้แบ่งกำลังเป็น 3 เส้นทางเข้าล้อมภูเขาผิงหลิงเพื่อปราบปรามกงเซินจ่าง

กงเซินจ่างขณะนั้นว่าจ้างกองกำลัง 80,000 คน และมีกองหนุนอีก 100,000 คน ทั้งหมดเป็นผู้ลี้ภัยจากหย่งหนิงโจว

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้าเดือนแปดวันที่สิบสอง กองทัพทั้งสามได้เดินทางเข้าสู่ภูเขาผิงหลิง มุ่งหน้าไปทางค่ายกองทัพสวรรค์ที่อยู่ในรังของกงเซินจ่าง

เดือนแปดวันที่ยี่สิบสาม กองทัพฝ่ายซ้ายเดินทางเข้าสู่หุบเขาเทียนเหมิน กงเซินจ่างขุดเปิดทะเลสาบเทียนเหมินหู น้ำทะเลสาบไหลทะลักออกมาสู่เบื้องล่าง ราวกับแม่น้ำที่ไหลลงมาจากท้องนภา กองทัพฝ่ายซ้าย 30,000 นายได้จมน้ำทั้งหมด รอดชีวิตมิถึงหนึ่งส่วนสิบ

กองทัพฝ่ายซ้ายยังมิได้เห็นศัตรูเลยสักคน ยิ่งไปกว่านั้นกลับสูญเสียกำลังรบไปมากโข !

ในวันเดียวกันกับที่กองทัพฝ่ายขวาออกเดินทาง กองกำลังทั้งหมดของกงเซินจ่างก็ได้ปรากฎตัวอยู่บนภูเขาสูง ใช้ท่อนซุงและก้อนหินเป็นอาวุธ กองทัพฝ่ายขวาไร้ซึ่งกำลังในการต่อสู้ เนื่องจากกองกำลังของกงเซินจ่างได้เข่นฆ่ากองทัพกองทัพฝ่ายขวาไป 12,000 นาย บาดเจ็บ 15,000 นาย กองทัพฝ่ายขวาที่ถอนกำลังในวันนั้น ถูกจัดการทั้งหมดในที่แห่งนั้น

ในตอนกลางคืน กองกำลังของกงเซินจ่างได้จู่โจมค่ายกองทัพฝ่ายขวา กองทัพฝ่ายขวาแพ้อย่างราบคาบ !

เดือนแปดวันที่ยี่สิบห้า กองทัพกลางเดินทางถึงค่ายกองทัพสวรรค์ ปะทะกับเหล่ากองกำลังของกงเซินจ่าง 80,000 คน

กองทัพกลางทั้งกองแพ้ย่อยยับ กองกำลังของกงเซินจ่างตาย 30,000 คน และบาดเจ็บอีกกว่าหมื่นคน

การปราบโจรในครานี้ ล้มเหลวอย่างแท้จริง

ฝ่าบาททรงกริ้วเป็นอย่างมาก ท่านนายพลเผิงถ่ายทอดคำสั่งทันที นำกองทัพ 150,000 นายไปยังภูเขาผิงหลิงอีกครา แต่ค่ายกองทัพสวรรค์กลับว่างเปล่าไร้ซึ่งผู้คน แม้แต่ข้าวสักเม็ดก็ยังมิเหลือไว้

ท่านนายพลเผิงไล่ตามกงเซินจ่างไปที่ภูเขาผิงหลิง แต่กองทัพมิชำนาญการรบบนภูเขา มิอาจไล่ตามกองกำลังหลักของกงเซินจ่างได้ การรบครานี้ยิ่งรบยิ่งมองมิเห็นถึงชัยชนะ อีกทั้งยังถูกกองกำลังของกงเซินจ่างเข่นฆ่าไปกว่าสองหมื่นคน

ท่านนายพลเผิงจากเดือนแปดวันที่สามสิบได้วางแผนลวง เพื่อให้ล้อมกองกำลังของกงเซินจ่างทั้งหมด 10,000 คนเอาไว้ และทำลายมันให้สิ้นซาก ! นี่เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการปราบปรามกองโจรเหล่านี่ ส่วนกองกำลังหลักของกงเซินจ่างยามนี้ได้ไปยังภูเขาผิงหลิงทางเหนือเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ด้านล่างนั้นเป็นอาณาเขตของแคว้นฮวง 

ฟู่เสี่ยวกวนวางข่าวกรองลง และถอนหายใจ

การสู้รบของเผิงเฉิงอู่…รบได้ขัดใจยิ่ง !

ใช้แรงงานกองพลทหารมากมาย แต่เข่นฆ่าทหารของกงเซินจ่างได้เพียง 10,000 คนเท่านั้น ยามนี้กองกำลังหลักของกงเซินจ่างหนีไปยังภูเขาผิงหลิงทางตอนเหนือแล้ว เผิงเฉิงอู่ย่อมมิกล้าใช้กองทัพใหญ่ไล่ตามไปเป็นแน่

หากทว่ากงเซินจ่างใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ และให้กองกำลังหลักของเผิงเฉิงอู่มุ่งหน้าไปยังแคว้นฮวง หากทหารม้าของแคว้นฮวงโผล่ออกมา กองทัพทหารบกเหนือ 150,000 นายนี้คงต้องให้คำอธิบายอย่างละเอียดกับทหารม้าของแคว้นฮวงแล้ว

 เผิงเฉิงอู่ไม่ลงมือจะเป็นการดีที่สุด…ข้าเขียนจดหมายหนึ่งฉบับให้ม้าเร็วส่งไปให้กับเผิงเฉิงอู่แล้ว !  

ไป๋ยู่เหลียนชงักไปชั่วครู่  เขาเป็นถึงท่านนายพลกองทัพเหนือ จะยอมฟังเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มน้อย ๆ  เขาอาจจะมิยอมฟังข้า แต่เขาต้องฟังเผิงยวี๋เยี่ยนอย่างแน่นอน !  

 

วันเวลาที่สวยงามย่อมผ่านพ้นไปเร็วเสมอ

นอกจากไป๋ยู่เหลียนแล้ว ใต้หล้านี้ก็คงมิมีผู้ใดรู้ว่าคฤหาสน์หยุนหูที่หลบซ่อนแห่งนี้ในแต่ละวันจะเต็มไปด้วยความสุข

ต่งซูหลานเหมือนจะลืมแผนการเดิมที่วางเอาไว้ไปเสียแล้ว หยูเวิ่นหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวเองก็เหมือนจะลืมว่าเดิมทีที่มาซีซาน จะพักอยู่เพียงแค่ 10 วันเท่านั้น

พวกนางหวังว่าในภายภาคหน้าจะเป็นดั่งเช่นในตอนนี้ อยู่ด้วยกัน และแก่เฒ่าไปด้วยกัน

แต่ชีวิตที่เรียบง่ายสุขสบายกลับถูกทำลายลงในวันนี้

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า เดือนเก้า วันที่เก้า

ฟู่เสี่ยวกวนสวมหมวกนั่งตกปลาอยู่ที่ทะเลสาบหยุนหู ไป๋ยู่เหลียนพายเรืออูเผิงเข้ามายังเกาะแห่งนี้ พอมาถึงข้างกายของเขา ก็ได้หยิบของที่ชายหนุ่มผู้หนึ่งฝากส่งมาให้กับฟู่เสี่ยวกวนออกมา แล้วยื่นให้กับเขา

ฟู่เสี่ยวกวนทิ้งคันเบ็ดลงทันที และพิจารณาของที่ได้รับอย่างละเอียดถี่ถ้วน ในใจพลันเบิกบานยิ่ง

เสียเวลาไปกว่าครึ่งปี ทดสอบไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ที่ฝากฝังฉินเฉิงเย่ไว้มิศูนย์เปล่าอย่างแท้จริง ปืนคาบศิลาประดิษฐ์ได้ใกล้จะสมบูรณ์แล้ว

 ได้ทดลองแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ลองแล้ว รัศมีการยิงไกลสุด 105 ชุ่น ประสิทธิภาพการทำลายล้างอยู่ในระยะ 60 ชุ่น การทำลายล้างหากเปรียบเทียบกับธนูมีระยะที่ไกลกว่า ประสิทธิภาพก็มากยิ่งกว่า อีกทั้งมิต้องกลัวเปียกฝน กระสุนปืนที่ฉินเฉิงเย่ทำขึ้นมาก็มิเลวเลย เจ้าลองดูเถิด 

ปืนคาบศิลากระบอกนี้เหมือนกับปืนคาบศิลาของชาติที่แล้วที่มีลำกล้อง กระสุนปืนฉินเฉิงเย่เลือกใช้เป็นลูกปืนตะกั่ว เพราะจะสามารถผลิตได้จำนวนมาก ต้นทุนต่ำกว่าเหล็กทองแดงอยู่บ้าง อีกทั้งความเสถียรก็มิเลวเช่นกัน

ฟู่เสี่ยวกวนนำหินเหล็กไฟ ดินปืนและกระสุนปืนเติมลงไป ถือปืนเล็งเป้าไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งที่อยู่ห่างออกไปราวร้อยเมตร เขาลั่นไกปืน  ปัง… !   สิ้นเสียง ควันกลุ่มหนึ่งลอยขึ้น เขาเดินเข้าไป ยืนมองต้นไม้ต้นนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน ยิงเข้าเนื้อไม้ลึกไปถึงสามส่วน หากถูกยิงเข้าที่ร่างกาย อย่างน้อยก็คงบาดเจ็บสาหัส

 มิเลว ยามที่เติมกระสุนลงไปยุ่งยากอยู่บ้าง เจ้าจงนำคำกล่าวของข้าไปบอกกับฉินเฉินเย่ ให้เขานำกระสุนปืนทั้งหมดห่อไว้ด้วยน้ำมันจากโรงงานผลิตสบู่ เช่นนี้ในยามที่เติมกระสุนมันก็จะสามารถไหลลื่นลงลำกล้องปืนได้เอง ช่วยประหยัดเวลาได้มากโข 

ไป๋ยู่เหลียนตกตะลึงมากยิ่งนัก ทำเยี่ยงนี้ก็ได้ด้วยหรือ ?

 สำนักอาวุธปืนเริ่มผลิตของสิ่งนี้แล้วหรือยัง ?  

 ได้เริ่มผลิตไปแล้วเมื่อสิบวันก่อน เพียงแต่ข้าคิดว่าเจ้ากำลังยุ่งอยู่ ไม่อยากมารบกวนอารมณ์สุนทรีย์ของเจ้าเท่าใดนัก สำนักอาวุธปืน 1 วันผลิตได้ราว 100 กระบอก หากต้องติดตั้งให้ทั้งหน่วยก็คาดว่าจะต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือน 

 มิได้ บอกให้สำนักอาวุธปืนเพิ่มจำนวนคนประเดี๋ยวนี้ ข้าต้องติดตั้งให้ดาบเทวะภายในครึ่งเดือนนี้ เพราะเส้นทางไปผิงหลิงต้องใช้เวลาเดินทางกว่าสิบวัน ที่กบดานของกงเซินจ่างนั้นอยู่ลึกเป็นอย่างมาก เกรงว่าการสู้รบครานี้คงจะต้องใช้เวลารบกันอีกสักพัก อีกทั้งเมื่อถึงเดือนสิบเอ็ดองค์หญิงสามก็จะต้องเดินทางไปยังแคว้นฮวงแล้ว 

ไป๋ยู่เหลียนพยักหน้า  หน่วยสอดแนมที่ภูเขาผิงหลิงข้าได้ส่งออกไปตั้งแต่เดือนที่แล้ว รอให้พวกเราไปถึงที่นั่นเสียก่อน จากนั้นก็คงจะได้ทราบรายละเอียดข่าวสารและแผนที่ 

 เช่นนี้ดียิ่ง !  

ฟู่เสี่ยวกวนควงปืนคาบศิลาและกล่าวว่า  ต่อไปนี้ข้าให้เวลาเจ้าได้เพียงแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น ให้ทุกคนทำความคุ้นเคยกับของสิ่งนี้เสีย ข้ามีความต้องการเพียงหนึ่งสิ่ง หนึ่งนาทีอย่างน้อยต้องทำได้สามข้อ พวกเขาต้องมีความชำนาญในการเติมหินเหล็กไฟและกระสุน และยังต้องรับประกันความแม่นยำในการยิงปืน !  

 หนึ่งนาทีนี้นานเท่าใด ?  

 เอ่อ…หนึ่ง สอง สาม เจ้านับตามความถี่นี้จนถึงหกสิบ 

 …ได้ !  

ทั้งสองคนนั่งอยู่ข้างทะเลสาบ ฟู่เสี่ยวกวนหยิบคันเบ็ดขึ้นอีกครา  เสี่ยวไป๋เอ๋ย เจ้าจงบอกกับฉินเฉิงเย่อีกสักหน่อย ปืนนี้ยังแก้ไขข้อบกพร่องต่อไปได้ 

 ฉินเฉิงเย่แทบจะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว 

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมา  มิเป็นไร หลังจากบอกเขาไปเขาจะยิ่งคลั่งไคล้เข้าไปอีก เจ้าบอกเขาว่า วิธีการใส่กระสุนปืนก่อนยังมิค่อยดีเท่าใดนัก สามารถเปลี่ยนเป็นการใส่ทีหลังได้ 

 เท่านี้หรือ ?  

 อือ เท่านี้แหละ เขาจะค้นคว้าออกมาด้วยตนเอง หินเหล็กไฟใช้งานเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?  

 ทดลองแล้ว บินได้ แต่มีปัญหาเรื่องทิศทาง จะต้องดูว่าลมพัดไปทางไหน 

ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด ของชิ้นนี้ยามนี้ยังไม่ต้องจัดการ ลอยได้ก็เพียงพอแล้ว

 กล้องส่องทางไกล ต้องจัดสรรให้ทหารทุกนายคนละชิ้น หมวกเหล็กชุดเกราะเตรียมพร้อมแล้วหรือไม่ ?  

 หมวกเหล็กชุดเกราะเหล็กและอาวุธยามนี้มีเพียงพอให้พวกเราใช้ ข้าได้ทดลองแล้ว ดีกว่ากองทัพทหารอยู่มากโข 

ฟู่เสี่ยวกวนพยักน้า  การไปผิงหลิงครานี้ ให้นำดาบเทวะแบ่งเป็นกลุ่มเพื่อทำภารกิจ อาวุธและหมวกเหล็กชุดเกราะให้ขนส่งโดยม้าเร็วซีซานนำดาบเทวะแต่งตั้งเป็นผู้คุ้มกันรถขนส่ง ต้องรับประกันว่าการเคลื่อนไหวครานี้จะเป็นความลับ ข้าเองก็จะไปด้วย ต้องกำจัดกงเซินจ่างโดยเร็ว จากนั้นเจ้าจงนำดาบเทวะไปออกฝึกที่แคว้นฮวง การจู่โจมม้าศึกเรื่องนี้ก็เร่งด่วนมากเช่นกัน…

ฟู่เสี่ยวกวนหันศรีษะไปถามไป๋ยู่เหลียนทันทีว่า  เจ้าว่าพวกเขาจะขี่ม้าเป็นหรือไม่ ?  

 ซื้อม้ามาลองฝึกแล้วสิบกว่าตัว นอกจากเหล่าทหารเก่าแล้ว คนอื่นยังมิค่อยชำนาญเท่าใดนัก ขี่ได้เพียงแค่พื้นฐานเท่านั้น รอให้ทดลองจู่โจมโดยม้าศึกเสียก่อนพวกเขาคงจะขี่ได้พอประมาณ หากกลับมาถึงที่นี่ค่อยฝึกสอนอีกครา 

คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว  เจ้าไปเตรียมการเถอะ รอให้ทหารทุกนายคุ้นเคยกับอาวุธนี้แล้ว พวกเราค่อยชักดาบเทวะออกจากฝัก ให้เจ้าได้แต่งภรรยากลับมา !  

 ไสหัวไป !  

 ฮ่า ๆ ๆ !  

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเสียงดัง  เสี่ยวไป๋เอ๋ย เจ้าเชื่อสายตาข้าเถิด ภรรยาของเจ้าผู้นี้มีนามว่าเหวินซีรั่ว นางเป็นถึงหลานสาวของนักปราชญ์เหวินสิงโจวแห่งราชวงศ์อู๋ นางเป็นผู้มีฝีมือระดับสอง แท้ที่จริงข้าเป็นห่วงเจ้ามากยิ่งนัก จากนี้ไปเจ้าอย่าได้โดนภรรยาจับกดลงกับพื้นเสียล่ะ !  

ไป๋ยู่เหลียนถลึงตาใส่ฟู่เสี่ยวกวน  ข้าเองก็เป็นผู้มีฝีมือระดับสองเช่นกัน มิใช่…เจ้าจะไปผิงหลิง เจ้าหาทางติดต่อเหล่าศิษย์พี่แห่งสำนักเต๋าแล้วหรือไม่ ?  

 พวกเขายังอยู่ที่ราชวงศ์อู๋ ไกลถึงเพียงนั้นคาดว่าคงทันมิแล้ว 

 ซูม่อเคยส่งจดหมายมาให้ข้าหนึ่งฉบับ บอกว่าภูมิใจยิ่ง เขากล่าวว่าเขากำลังฝึกกองกำลังเช่นนี้อยู่เหมือนกัน ทหารที่ฝีมือต่ำสุดก็ล้วนเป็นผู้มีฝีมือระดับสาม บอกว่าราวปีหน้าก็สามารถดึงออกมาฝึกได้แล้ว ต้องให้ข้าได้ลองเปรียบเทียบดูก่อน เจ้าได้เป็นศิษย์น้องสำนักเต๋าแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ศิษย์พี่ใหญ่บอกว่าท่านอาจารย์รับข้าเป็นศิษย์คนสุดท้าย แต่ข้ามิรู้ด้วยซ้ำว่าสำนักเต๋าอยู่ที่ใด ดังนั้นข้ามิรู้ว่าตนเองเป็นศิษย์น้องของสำนักเต๋าหรือไม่ แต่ศิษย์พี่ปฏิบัติกับข้าดีมากอย่างแท้จริง หากได้พวกเขามาร่วมขบวนการ การสู้รบที่ผิงหลิงครานี้คงจะง่ายขึ้นมากนัก 

ไป๋ยู่เหลียนครุ่นคิด เขาต้องคิดหาวิธีนำข่าวของฟู่เสี่ยวกวนส่งไปให้ศิษย์สำนักเต๋าให้ได้ มิใช่เพื่อให้พวกเขามาช่วยสู้รบ แต่ดาบมันมิมีตา ฟู่เสี่ยวกวนนำแนวหน้าด้วยตนเอง หากเขามิระวังจะถูกฆ่าตายเอาได้ แล้วตนเองจะอธิบายกับสะใภ้ทั้งสามเยี่ยงไรเล่า ?

ไป๋ยู่เหลียนออกไปจากคฤหาสน์หยุนหูแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนวางคันเบ็ดลงและเดินเข้าไปในคฤหาสน์หยุนหู  ภรรยาข้า ข้ากลับมาแล้ว 

เขาตะโกนเสียงดัง ทั้งสางนางเดินออกมาอย่างอ่อนช้อย ทุกนางต่างงดงามดังดอกท้อ กริยาอ่อนหวานยิ่ง

ทั้งสี่นั่งอยู่ในศาลา ฟู่เสี่ยวกวนหุบยิ้มบนใบหน้าลงทันใด และกล่างอย่างจริงจัง  อีกราวครึ่งเดือน ข้าจะต้องไปที่ผิงหลิงแล้ว…พวกเจ้ามิต้องร้อนใจไป ปราบโจรครานี้มิได้อันตรายนัก ที่สำคัญคือการทดสอบกองกำลังนี้ หากมีกำลังรบที่แข็งแกร่ง การส่งตัวองค์หญิงสามไปยังแคว้นฮวงก็จะง่ายขึ้นมามาก 

พวกนางทั้งสามคนค่อย ๆ หุบยิ้มบนใบหน้า มองฟู่เสี่ยวกวนด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอเต็มเบ้าตา ราวกับถูกทอดทิ้งไปอีกครา

ฟู่เสี่ยวกวนทุกข์ใจเป็นอย่างมาก

หญิงงามเป็นสุสานของวีระบุรุษอย่างแท้จริง !

 

ตอนที่ 397 หนทางที่ยาวไกล

รัชสมัยเซวียนลี่ที่เก้า เดือนแปด วันที่สิบหก

รถม้าคันหนึ่งวิ่งออกจากที่จวนฟู่ในหลินเจียง ควบไปยังซีซาน และกลับมาที่เดิมในยามพลบค่ำ แต่กลับมิได้พาต่งชูหลานมาด้วย

 อะไรกัน ?  

 เรียนฮูหยินรอง ชุนซิ่วกล่าวว่าคุณหนูต่งชูหลานมิว่างขอรับ 

ฉีซื่อและอนุทั้งห้าคนขมวดคิ้ว มิว่างเยี่ยงนั้นหรือ ?

เพียงแค่มาเจรจาเหตุผลกันกลับบอกว่ามิว่าง ?

หรือว่านางคิดที่จะฮุบเอากิจการใหญ่โตของตระกูลฟู่ไว้เพียงคนเดียวเยี่ยงนั้นหรือ ?

 นางไปใด ?  

 ชุนซิ่วกล่าวว่ามิทราบเช่นกันว่าคุณหนูต่งไปที่ใด หากแต่นายหญิงทุกท่านอยากไปพบนายหญิงน้อย เช่นนั้นขอเชิญให้ไปพบด้วยตนเอง 

ฉีซื่อใบหน้าแข็งทื่อขึ้นทันพลัน  ชุนซิ่ว นังบ่าวรับใช้ชั้นต่ำยังกำเริบเสิบสานได้ถึงเพียงนี้ นายหญิงน้อยเยี่ยงนั้นหรือ หึ หน้ามิอายกล้าแสดงตนว่าเป็นสะใภ้ มิเคยเห็นข้าอยู่ในสายตาเลยหรือเยี่ยงไรกัน !  

 มิได้การล่ะ ข้าต้องไปซีซานด้วยตนเองสักครา…พวกเจ้าจะไปด้วยกันกับข้าหรือไม่ ?  

อนุทั้งห้าต่างคนต่างมองท้องที่ใหญ่โตของตนเอง จะไปได้เยี่ยงไรเล่า ?

อนุสามกล่าวว่า  ในเมื่อท่านพี่ตั้งใจเช่นนี้ คงต้องรบกวนท่านพี่แล้ว พวกเราจะรอ…อยู่ที่จวนนี้รอข่าวดีจากท่านพี่ 

ฉีซื่อสูดลมหายใจลึก  พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปแต่เช้าตรู่ ไปหารือกับนังจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวนี้เสียหน่อย !  

……

ต่งชูหลานบัดนี้กำลังนั่งอยู่ในรถม้าบนเส้นทางภูเขาที่คดเคี้ยวมุ่งหน้าไปที่ภูเขาเฟิ่งหลิน

นางรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก จนหยูเวิ่นหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่โดยสารมาด้วยกันกับนางรู้สึกเป็นห่วงนางยิ่ง

พวกเขามิรู้ว่ารีบร้อนมาทำอันใดบนถนนที่คดเคี้ยวนี้ ต่งชูหลานมิได้บอกกล่าวกับพวกนาง เพียงแต่ดูจากสีหน้านางแล้วคงมิใช่เรื่องมิดี แต่กลับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างมาก

ต่งชูหลานยกม่านหน้าต่างรถม้าขึ้นมองไปยังด้านนอก มีไป๋ยู่เหลี่ยนควบรถอยู่นางมิได้กลัวว่าจะมิปลอดภัย หากแต่รู้สึกว่าถนนเส้นนี้ยาวไกลมากยิ่งนัก

สุริยาลาลับขอบฟ้า จันทราลอยเด่น บนเส้นทางที่ห่างไกลในป่าเขาแห่งนี้เงียบสงัดยิ่ง

นางปล่อยม่านรถม้าลง หันหน้าไปทางหยูเวิ่นหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลว ริมฝีปากยกยิ้มขึ้น เลิกคิ้วสูง บนใบหน้าสวยหวานของนางแสดงความปิติยินดียิ่ง

 เอาล่ะ บัดนี้ข้าสามารถบอกกับพวกเจ้าได้แล้ว ข้าอึดอัดมากยิ่งนักที่ต้องเก็บไว้คนเดียวเสียเนิ่นนาน 

หยูเวินเหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวโน้มตัวลง มองต่งชูหลานด้วยอารามประหลาดใจ

ต่งชูหลานกัดริมฝีปาก กล่าวด้วยเสียงอันเบาว่า  ฟู่เสี่ยวกวนกลับมาแล้ว !  

หยูเวิ่นเหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวตกตะลึงขึ้นทันใด ดวงตาทั้งสองข้างของพวกนางเบิกกว้าง มองต่งชูหลานราวกับยากที่จะเชื่อ

ผ่านไปหลายอึดใจ หยูเวิ่นหวินถึงได้กลั้นหายใจเอ่ยถามด้วยเสียงเบา ๆ ว่า  จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? อย่าหลอกพวกเรานะ !  

 ย่อมเป็นความจริงอย่างแน่นอน ไป๋ยู่เหลียนบอกกับข้าด้วยตนเอง เขาเกรงว่าพวกเราจะทำให้ผู้อื่นในเรือนซีซานตื่นตกใจ ดังนั้น…ข้าจึงรอให้ถึงตอนนี้แล้วค่อยบอกกับพวกเจ้า หากแต่ว่าเรื่องนี้ที่ข้าต้องเก็บเอาไว้คนเดียว แท้ที่จริงแล้วข้าอึดอัดมากยิ่งนัก 

หยูเวิ่นหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวค่อย ๆ เผยรอยยิ้มออกมา

ราวกับมีสายลมของฤดูใบไม้ผลิพัดโชยมา พัดน้ำแข็งในทะเลสาบเว่ยยางให้ละลายหายไป ราวกับดอกไม้นับร้อยที่เริ่มผลิบานในฤดูใบไม้ผลิ

พวกนางสูดลมหายใจเข้าเสียยาวเหยียด มิได้โห่ร้องด้วยความยินดี แต่กลับกำหมัดแน่นทำให้ร่างกายสั่นไหวเล็กน้อย นัยน์ตานั้นทอแสงประกายเจิดจ้า พวกนางได้แสดงความตื่นเต้นออกมาหลังจากที่ได้ทราบข่าว

เขายังมีชีวิตอยู่ !

ท้องนภา ในที่สุดก็มิได้ทลายลงมา !

กาลเวลาที่สวยงามราวกับกำลังรอพวกนางอยู่ ชีวิตต่อจากนี้ จะยิ่งสดใส !

ในที่สุดหินที่หนักอึ้งในใจของสตรีทั้งสามก็วางลงเสียที พวกนางได้ฟื้นคืนชีวิตชีวาดั่งในวันวาน สนทนากันด้วยเสียงที่แผ่วเบา เรื่องที่สนทนาส่วนมากกลับมิใช่เรื่องความคนึงหา แต่เป็นเรื่องสมรส ต้องรีบกำหนดวันโดยเร็ว

 ในเมื่อเขาเรียกพวกนางมาที่นี่ คาดว่าเขาคงมิอยากให้คนนอกรับรู้ว่าเขายังคงมีชีวิตอยู่ ดังนั้นเรื่องแต่งงานนี้…หากต้องการจัดอย่างเอิกเกริก เกรงว่าคงจะต้องรอไปอีกสักหน่อย แต่ข้ากลับมิอยากรอแล้ว จัดงานเยี่ยงไรก็ได้ ข้าเพียงอยากมีบุตรให้เขา !  

ต่งชูหลานกล่าวจบก็หน้าแดงขึ้นทันพลัน หยูเวิ่นเหวินเองก็สนับสนุนเรื่องนี้ด้วย และเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็ได้หัวเราะออกมาเบา ๆ

ผ่านเรื่องราวนี้ไป พวกนางสนิทสนมกันมากกว่าแต่ก่อน พวกนางได้เข้าใจความรู้สึกของตนเองที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวนอย่างแท้จริง

แท้ที่จริงเรื่องนี้ต่งชูหลานกลับรู้สึกเสียใจภายหลังอยู่หลายครา เสียใจที่ตอนที่อยู่จินหลิง หากตนยอมทำตามความปรารถนาของฟู่เสี่ยวกวน หากตนเองได้ตั้งครรภ์บุตรของฟู่เสี่ยวกวน นางต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้เป็นแน่ และเขาจะต้องสร้างกิจการที่ใหญ่โตให้กับเด็กคนนี้ได้อย่างแน่นอน

ตระกูลฟู่มีความหลัง ตนเองก็มีคนให้คำนึงหา

เวลาหลังจากนี้ มิมีผู้ใดรับประกันได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมิเกิดอุบัติเหตุอันใดอีกหรือไม่ จะยังโชคดีเช่นนี้อีกหรือไม่ ดังนั้นทุกสิ่งที่ต่งชูหลานคิดในขณะนี้ ก็คือต้องรีบมีบุตรให้กับฟู่เสี่ยวกวน

……

รถม้ามิได้เคลื่อนผ่านช่องเขาด้านล่างของภูเขายิงโฉวซาน ช่องเขาแห่งนี้ขณะนั้นคึกคักมากยิ่งนัก แต่ก็มีเสียงดังเอะอะโวยวายออกมาเป็นระลอกเช่นกัน

ดังนั้นตอนที่สร้างเกาะกลางทะเลสาบหยุนหู จึงได้สร้างถนนเส้นหนึ่งตรงมาที่ทะเลสาบหยุนหูโดยตรง

ไป๋ยู่เหลียนควบรถม้ามาจอดเทียบอยู่ข้างทะเลสาบแห่งนี้ และเดินมาที่ประตูรถม้า พลันหัวเราะและกล่าวขึ้นหนึ่งประโยคว่า  สะใภ้ทั้งสามท่าน ยินดีต้อนรับสู่คฤหาสน์หยุนหู 

พวกนางทั้งสามคนลงมาจากรถม้า จึงได้เห็นทะเลสาบที่เงียบสงบและสวยงามอยู่ใกล ๆ อีกทั้งยังมีเกาะที่มืดดำอยู่ท่ามกลางทะเลสาบแห่งนั้น บนเกาะแห่งนั้นมีสิ่งปลูกสร้างให้เห็นอยู่เลือนลาง

 ขึ้นเรือเถอะ ข้าจะพาพวกท่านไปส่ง 

เรืออูเผิงลำหนึ่งพริ้วไหวอยู่บนน่านน้ำทะเลสาบหยุนหู เกาะแห่งนั้นค่อย ๆ ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ลานของคฤหาสน์แห่งนั้นก็ค่อย ๆ ใกล้เข้ามาเช่นกัน สายตาพลันเห็นโคมไฟดวงหนึ่งลอยออกมาจากลานคฤหาสน์ และเดินมายังข้างทะเลสาบแห่งนี้

 คุณชายมิอยากเปิดเผย ดังนั้นภายในเรือนจึงมิมีการจุดไฟ แน่นอนว่า หลังจากที่สะใภ้ทั้งสามท่านมาถึงแล้ว ดวงไฟก็จะถูกจุดขึ้น ข้าได้บอกกับทุกคนแล้วว่าจะพาสะใภ้ทั้งสามมาที่คฤหาสน์หยุนหู แต่มิอาจให้พวกท่านพาสาวใช้มาคอยปรนนิบัติได้ ต้องลำบากสะใภ้ทั้งสามแล้ว 

 มิเป็นไร 

สตรีทั้งสามคนไหนเลยจะคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเช่นนี้ ขณะนี้จิตใจของพวกนางได้โบยบินไปถึงฝั่งแล้ว โบยบินไปอยู่ข้างกายคนผู้นั้นแล้ว

เรืออูเผิงเทียบฝั่งแล้ว พวกนางทั้งสามคนจ้องไปยังบนฝั่ง เห็นคนผู้หนึ่งยืนถือโคมไฟดวงนั้น

เขายืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ รอยยิ้มบนใบหน้าที่ดูคุ้นเคย แววตาลับ ๆ ล่อ ๆ จ้องมองมาที่พวกนาง

ไป๋ยู่เหลียนยักไหล่ โบกมือไปมา และหันหัวเรือจากไป ในใจพลางคิดว่าคฤหาสน์หยุนหูแห่งนี้ เกรงว่าคืนนี้คงจะได้เติมเต็มพลังแห่งชีวิต !

พวกนางทั้งสามคนมาถึงเบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวน พวกนางจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างละเอียดอีกครา มิอยากจะเชื่อว่าทั้งหมดนี้จะเป็นเรื่องจริง

กี่คืนแล้วที่ข่มตานอนมิหลับ กี่วันแล้วที่ต้องคอยหวาดผวา

พวกนางคอยฟังข่าวคราวทุกอย่างของราชวงศ์อู๋ แต่ข่าวคราวที่ได้กลับมาล้วนทำให้พวกนางต้องปวดใจและสิ้นหวัง

เดิมทีพวกนางคิดว่าในชีวิตนี้คงมิได้เจอคนผู้นี้อีกแล้ว ถึงขนาดที่ว่าพวกนางได้เตรียมพื้นที่ภูเขาด้านหลังเรือนซีซานเพื่อสร้างสุสานให้กับเขาไว้แล้วด้วยซ้ำ

ในขณะนี้เขาได้ปรากฎตัวออกมาแล้ว

เขาที่ยังคงมีชีวิตอยู่ กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของพวกนาง

ความดีใจและแปลกใจนี้ทำให้พวกนางราวกับตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝัน แม้แต่ต่งชูหลานเองก็มิใช่ข้อยกเว้น ในใจของพวกนางยังมิอยากจะเชื่อว่านี่คือเรื่องจริง

ฟู่เสี่ยวกวนยกมือขึ้นลูบหน้าตนเอง และเอ่ยถามอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ  อะไรกัน เพียงแค่ครึ่งปีก็จำกันมิได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ต่งชูหลานกลอกตาใส่เขา หยูเวิ่นเหวินกลืนน้ำลายเบา ๆ เยี่ยนเสี่ยวโหลวโผเข้าไปหาเขาทันที

ในคืนนี้ ณ เกาะกลางทะเลสาบหยุนหูแห่งนี้ ได้เกิดโศกนาฏกรรมนองเลือดขึ้นแล้ว !

 

บรรยากาศเคร่งขรึมขึ้นทันใด

ต่งชูหลานยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด รินสุราให้ตนเอง แล้วกล่าวอีกว่า  เจ้ามิรู้ว่าเมื่อก่อนข้าและเขารู้จักกันได้เยี่ยงไร 

 เดือนห้าเมื่อปีที่แล้ว ข้ามาที่หลินเจียงเป็นคราแรก ได้พบกับเขาคราแรกที่หอหลินเจียง ที่นั่นเป็นหอสุราที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของหลินเจียง 

 เขายั่วโมโหข้า จากนั้นเขาจึงโดนองครักษ์ของข้าทุบตี…  ต่งชูหลานยกสุราขึ้นดื่มจนหมดอีกครา แต่ครานี้เยี่ยนเสี่ยวโหลวเป็นคนรินสุราให้กับนาง

 คราที่สองก็ได้พบกับเขาที่นี่ หลังจากเทศกาลตวนอู่หนึ่งวัน เขาได้ประพันธ์กวีออกมาสองบท จึงทำให้ข้ารู้สึกตกตะลึงมากยิ่งนัก สุรากลั่นของเขา ก็ทำให้ข้าประหลาดใจยิ่ง หลังจากนั้นก็ได้พบกันที่หลินเจียงอยู่หลายครา สนทนากันเรื่องบทความและบทกวี วันที่ข้าต้องไปจากหลินเจียง ก็บังเอิญได้พบกันอีกคราที่หอหลินเจียง 

 เขาได้ประพันธ์กวีให้ข้าหนึ่งบท นามว่า ‘หลินเจียงเซียน ถึงสหายชูหลาน’  

ต่งชูหลานตกอยู่ในห้วงภวังค์นึกย้อนความทรงจำ บนใบหน้าของนางไม่ได้มีสีหน้าเศร้าใจแต่อย่างใด ท่ามกลางแสงจันทราที่ทอแสงลงมายิ่งทำให้นางดูสวยบริสุทธิ์ยิ่ง

 บทกวีบทนี้ นอกจากประจักษ์พยานในวันนั้นเพียงมิกี่คนแล้ว ก็มิมีผู้ใดรู้อีก 

 เขาเขียนว่าเยี่ยงไร ?  

แยกจากกันจะฝากฝังความรู้สึกได้เยี่ยงไร?

ขมิ้นน้อยคิดคำนึงนกนางแอ่น 

 ในวันนี้คำนึงถึงความสับสนในเวลานั้น ความคิดที่หลงทาง กว่าจะล่วงรู้ก็ข้างแรมและดอกไม้โรย 

 ไม่เคยรู้ว่าหนทางไปเจียงหนานเป็นเยี่ยงไร แต่กลับมาถึง… หวู่อี้อย่างชัดเจน 

 เร่งรีบจะเอ่ยกล่าวก็พรากจาก ความฝันอันหอมหวานได้จางหายไป ด้วยเสียงไก่ขันที่หน้าต่าง 

 ครั้งนั้นข้าได้ตกตะลึงในความสามารถของเขา แต่ยังมิได้ตกหลุมรักเขาแต่อย่างใด แต่เมื่อข้ากลับมาถึงที่จินหลิง ก็ได้ติดต่อกันผ่านจดหมายหลายฉบับ ข้าถึงรู้สึกตัวว่าข้าได้ตกหลุมรักเขาเสียแล้ว 

ต่งชูหลานดื่มสุราไปเล่าเรื่องราวระหว่างตนกับฟู่เสี่ยวกวนไป ยิ่งดื่มมากไปเท่าใด เรื่องราวที่เล่าก็จะยิ่งละเอียดมากยิ่งขึ้น เล่าจนกระทั่งถึงยามจื่อ

สุราหมดแล้ว ใบหน้าของนางขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย มีอาการสะลึมสะลืออยู่สามส่วน

นางสูดลมหายใจเข้าอีกหนึ่งคราแล้วเอ่ยว่า  ดังนั้นระหว่างข้ากับเขา มิอาจแยกจากกันได้อีก แม้ว่าเขาจะจากไปแล้วอย่างแท้จริงก็ตาม ในใจของข้านั้นมิอาจรับชายอื่นเข้ามาได้อีก 

 แต่พวกเจ้ามิเหมือนกับข้า เขาเคยบอกข้าไว้ว่าบทความหรือบทกวีมิอาจกินแทนข้าวได้ ที่ข้าอยากจะบอกกับเจ้าก็คือ บทความหรือบทกวีก็มิอาจทดแทนความรู้สึกที่ต้องรับไปชั่วชีวิตได้เช่นกัน ใช้โอกาสนี้ที่เจ้ายังมิถลำตัวลึกมากนัก พรุ่งนี้เจ้ากลับไปเสียเถิด สำหรับหนังสือสมรสของฝ่าบาทนั้น…ในเมื่อเขาเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ หนังสือสมรสของฝ่าบาทนั้นมิได้เป็นเรื่องใหญ่อันใด 

 แน่นอนว่าเจ้าสามารถเอาไปคืนฝ่าบาทได้ ตัวเขามิอยู่แล้ว ฝ่าบาทต้องรับคืนอย่างแน่นอน 

น้ำตาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวไหลออกมาเงียบ ๆ

นางเข้าใจดีว่าที่ต่งชูหลานเอ่ยก็เพราะหวังดีต่อนาง แต่นางก็รู้ตัวดีว่าตนเองชอบฟู่เสี่ยวกวนอย่างแท้จริง จากที่ได้เห็นเขาประพันธ์หนังสือความฝันในหอแดงเล่มนั้นคราแรก นางก็ได้ตั้งหน้าตั้งตารอวันที่จะได้พบกับฟู่เสี่ยวกวน ฝันถึงช่วงเวลาที่สวยงามในยามที่ได้พบหน้า

ไม่ง่ายเลยกว่าที่นางจะได้เดินเข้ามาในชีวิตของฟู่เสี่ยวกวน แต่เขา…กลับมิอยู่แล้ว !

ต่งชูหลานหัวเราะขึ้นมาทันใด  เรื่องนี้ข้าเพียงให้คำแนะนำกับเจ้าเท่านั้น เจ้ามิต้องรีบตัดสินใจในยามนี้ ใจเย็นลงกว่านี้หน่อยค่อยคิดให้ถี่ถ้วนเถิด ข้ามิได้โทษเจ้า และเจ้า… 

ต่งชูหลานมองไปทางหยูเวิ่นเหวิน  เจ้าเป็นถึงองค์หญิง ฮ่องเต้และฮองเฮามิมีทางยอมให้เจ้าเป็นหม้ายอย่างแน่นอน ดังนั้น…ข้าเองก็หวังว่าเจ้าจะก้าวผ่านไปได้โดยเร็วเช่นกัน ดังเช่นที่เขาเคยกล่าวไว้ว่า มิว่าจะเกิดอะไรขึ้น สุริยาก็ยังขึ้นตามเดิมอยู่ทุกวัน 

 เขาจากไปแล้ว แต่ชีวิตก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป 

……

บนภูเขาด้านหลังเรือนซีซาน

ฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนนั่งลงบนพื้นดิน มีสุรา แต่มิมีอาหาร

ข่าวเรื่องการตายของฟู่เสี่ยวกวนในภูเขาหิมะถูกส่งมาถึงหูของไป๋ยู่เหลียนในซีซานอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เขาได้ฟังก็มิเอ่ยวาจากับผู้ใดไปหนึ่งวันเต็ม เขามิได้ลงจากภูเขาเฟิ่งหลินไปตามหาฟู่เสี่ยวกวน แต่กลับฝึกดาบเทวะอย่างดุดันมากยิ่งขึ้นโดยไร้วาจาใดที่หลุดออกมาจากปากของเขา

เขามิปักใจเชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนจะตายแล้ว เพียงแต่ได้ยินว่าหิมะถล่มครานั้นมิมีผู้ใดรอดชีวิตเลยสักคน เขาจะมิเชื่อก็คงมิได้

ฟู่เสี่ยวกวนตายแล้ว แต่ดาบเทวะนี้ยังคงต้องฝึกต่อไป รอให้ผลิตปืนคาบศิลาออกมาสำเร็จแล้ว หลังจากเหล่าทหารคุ้นเคยดีแล้ว เขาจะต้องพากองกำลังนี้ไปยังผิงหลิงอี้ เพราะฟู่เสี่ยวกวนเคยกล่าวไว้เนิ่นนานแล้ว ว่าจะต้องฆ่ากงเซินจ่างให้จนได้!

แต่เขากลับคาดมิถึงว่าในคืนก่อน ฟู่เสี่ยวกวนจะมาถึงภูเขาเฟิ่งหลินอย่างเงียบ ๆ และยังทำลายสิ่งกีดขวางที่ติดตั้งโดยดาบเทวะ อีกทั้งยังปรากฏตัวอยู่ในกระโจมของเขาอีกด้วย !

เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก และรู้สึกดีใจมากยิ่งนัก หลังจากได้ทราบความเป็นไปของเรื่องนี้แล้ว และทราบแล้วว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนถึงมิได้ตรงไปยังซีซาน ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบว่าต่งชูหลานอยู่ที่ซีซาน เขามิอยากทำให้ใครประหลาดใจ

แต่วันนี้พวกเขาลงจากภูเขาเฟิ่งหลินมาถึงซีซาน กลับได้พบว่าหยูเวิ่นเหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวเองก็อยู่ด้วย

สตรีสามคนกำลังดื่มสุรา สนทนากัน กำลังสนทนาเกี่ยวกับเรื่องราวของเขา

พวกเขาได้ฟังที่พวกนางสนทนากัน และได้ฟังที่ต่งชูหลานโน้มน้าวเยี่ยนเสี่ยวโหลวและหยูเวิ่นเหวินจนจบ

 ดังนั้น…สตรีเหล่านี้ของท่านยอดเยี่ยมมากยิ่งนัก !  

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมา และดื่มสุราเข้าไปหนึ่งอึก  แน่นอน สตรีที่ข้าเลือกจะไร้เหตุผลได้เยี่ยงไร เมื่อยามที่ข้าอยู่ที่เมืองกวนหยุนก็ได้เลือกสตรีให้เจ้าได้เชื่อมสัมพันธ์แล้วเช่นกันนางเก่งกาจยิ่ง สิ่งแรกที่เจ้าต้องทำก็คือทำให้ดาบเทวะมีชื่อเสียง เพราะข้าได้สัญญากับนางเอาไว้ 

 ไสหัวไป ! เรื่องของข้ามีอันใดให้ต้องเป็นกังวลกัน แล้วต่อจากนี้ท่านจะทำเยี่ยงไรต่อไป ? หรือว่าจะอยู่ที่ภูเขาเฟิ่งหลินปิดบังชื่อเสียงเรียงนามซ่อนตัวต่อไป ?  

ฟู่เสี่ยวกวนไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่  รอให้อู๋หลิงเอ๋อร์ครองบัลลังก์อย่างมั่นคงเสียก่อน ข้าคาดว่าคงจะสามารถปรากฎตัวได้ปลายปีนี้ และปลายปีนี้องค์หญิงสามจะต้องเสด็จไปยังแคว้นฮวง เรื่องนี้ข้าได้ตอบรับฮั่วหวยจิ่นไปแล้ว องค์ชายแห่งเจิ้นซีผู้นั้นเป็นคนที่ใช้ได้เลยล่ะ 

ไป๋ยู่เหลียนมองที่ฟู่เสี่ยวกวน  เมื่อเจ้าปรากฎตัว แล้วถ้าไทเฮาแห่งราชวงศ์อู๋ต้องการให้เจ้ากลับไปเป็นองค์จักรพรรดิเล่า สตรีคนหนึ่งต้องนั่งอยู่บนบัลลังก์คงจะน่าเหนื่อยหน่ายไปบ้าง เจ้าจะกลับไปหรือไม่ ?  

 หากยึดตามนิสัยเฉื่อยชาของข้า ข้าย่อมมิอยากไปอย่างแน่นอน เจ้าอย่าได้ดูถูกสตรีเชียว หลิงเอ๋อร์ดูแลราชวงศ์อู๋ได้อย่างเหมาะสม ข้ามิจำเป็นต้องกลับไป นอกเสียจากราชวงศ์อู๋ต้องเผชิญกับวิกฤตใหญ่ เยี่ยงไรเสียจักรพรรดิเหวินก็ดีกับข้ามากจริง ๆ  

ไป๋ยู่เหลียนพยักหน้าน้อย ๆ  ข้ากลับอยากให้เจ้าเป็นเพียงแค่เศรษฐีที่ดิน…  เขาชี้ไปยังเรือนนั้น  สะใภ้ทั้งสามท่านจะมิไปพบหน้าหน่อยหรือ ? หรือว่า…จะทำตามความคิดของสะใภ้ใหญ่ ถือโอกาสนี้ทดสอบความรู้สึกขององค์หญิงเก้าและเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่มีต่อเจ้าว่าลึกซึ้งเพียงใด ?  

 เสี่ยวไป๋ ข้าจะบอกเจ้าให้ เรื่องใด ๆ ล้วนสามารถทดสอบกันได้ จะมีก็เพียงแต่เรื่องความรู้สึกเท่านั้น เรื่องนี้อย่าได้ทดสอบเป็นอันขาด !  

 เพราะเหตุใดกัน ?  

ฟู่เสี่ยวกวนดื่มสุราแล้วมองไปยังเรือนแห่งนั้น  เพราะความรู้สึกนั้น ยิ่งทดสอบก็ยิ่งเกิดปัญหา 

ไป๋ยู่เหลียนอ้าปาก ฉับพลันกลับพบว่าตนเองมิเคยได้รับความรู้สึกเช่นนี้ เขามิเข้าใจความหมายของคำกล่าวนี้  เช่นนั้นท่านจะมิไปเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ไปมิได้ ไปแล้วอาจจะทำให้ผู้คนจำนวนมากแตกตื่น เช่นนี้เถิด รอให้ถึงพรุ่งนี้ เจ้าไปพบต่งชูหลาน และบอกกับนางว่าข้าอยู่ที่ภูเขาเฟิ่งหลิน ให้เขาพาเวิ่นเหวินและเสี่ยวโหลวไปพบข้าที่ภูเขาเฟิ่งหลิน 

 ได้ !  

โคมไฟที่แขวนไว้บนต้นไม้ใหญ่ในเรือนดับลงแล้ว แต่ไฟในห้องสามห้องยังคงสว่างอยู่

ฟู่เสี่ยวกวนมองอย่างลึกซึ้ง สุราในไหหมดแล้ว เขาตบบ่าของไป๋ยู่เหลียน ยืนขึ้นและจากไป

 

ตอนที่ 395 ในที่สุดก็ต้องเผชิญหน้า

 พวกเจ้าว่านางมาทำอันใดที่ซีซานกันล่ะ ?  

ฉีซื่อถามอนุทั้งห้าที่บัดนี้กำลังตกตะลึง

การกระทำของต่งชูหลานก็เพื่อมารับช่วงต่อดูแลซีซาน มิว่าจะเป็นโรงงานหรือที่นาเหล่านั้น !

 นางกับฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้สมรสกันสักหน่อย แม้แต่เรื่องหมั้นหมายก็ได้ล่าช้าออกไปเนื่องจากไทเฮาทรงสวรรคตแล้ว แล้วนางไปรับช่วงต่อที่ซีซานในฐานะอะไรกัน ?  

 ในฐานะสะใภ้ตระกูลฟู่ !  

ทุกคนต่างตกตะลึงอีกครา  แต่นางมิเคยแม้แต่มาเหยียบธรณีประตูจวนของตระกูลฟู่เลยด้วยซ้ำ !  

ฉีซื่อหัวเราะออกมา  ดังนั้นข้าเองก็กลัดกลุ้ม นี่มันเหตุผลอะไรกัน ? เมื่อยามที่นายท่านอยู่ที่นี่ ก็ได้ห้ามข้าไถ่ถามทุกเรื่อง เรื่องทั้งหมดนายท่านเป็นคนจัดการด้วยตนเอง แต่ยามนี้นายท่านก็ยังมิกลับมา คนนอกเยี่ยงต่งชูหลานมีสิทธิ์อันใดมากุมชีวิตของจวนฟู่ไว้ในมือ ?  

 ความหมายของท่านพี่รองคือ ?  

ฉีซือเงียบไปสักพัก  พวกเจ้าจะคลอดลูกแล้ว รักษาตัวให้ดีรออยู่ที่นี่เถอะ พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปซีซานเพื่อพบกับต่งชูหลานสักหน่อย !  

ชวูหลิงหลงหัวเราะขึ้นมาทันใด  ข้าคิดว่าเชิญต่งชูหลานเดินทางมาที่หลินเจียงจะดีกว่า พวกเราเองก็อยากรู้ว่าเหตุใดนางถึงได้กล้ากระทำเช่นนี้ ? หากนางมิมีเหตุผล…การค้าทั้งภายในและภายนอกนั้น ตอนที่นายท่านยังมิกลับมา ก็ควรให้พวกเราทั้งหกคนดูแลด้วยกัน ท่านพี่ทุกท่านว่าคำเอ่ยของข้ามีเหตุผลหรือไม่ ?  

คำเอ่ยนี้ดูมีเหตุผล ใครจะรู้ว่าฉีซื่อไปหาต่งชูหลานที่ซีซานแล้วจะเจรจากันเรื่องอันใด ?

ยามนี้ในใจพวกนางกลับไม่ไว้ใจ ครึ่งปีมานี้ฟู่ต้ากวนมิมีข่าวคราวใดส่งกลับมา ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ตายไปแล้ว หากฟู่ต้ากวนเกิดอุบัติเหตุไปด้วย จะกำจัดเด็กที่อยู่ในครรภ์ออกตอนนี้ก็คงมิทันการเสียแล้ว แต่หากถึงยามที่จะต้องจากไป ทรัพย์สมบัติของตระกูลฟู่ก็ยังคงมีอยู่มากมาย

ฉีซื่อคาดมิถึงว่าอนุห้าจะมีความคิดเห็นมาเช่นนี้ นางหัวเราะน้อย ๆ  ในเมื่อพวกเจ้ามิไว้ใจข้า ก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปเชิญต่งชูหลานมา ถึงตอนนั้นมาดื่มชาด้วยกันเถิด แล้วเจรจาเรื่องราวให้ชัดเจน 

 ข้ากลับคิดว่ามิมีอันใดต้องเจรจา ในเมื่อนางมิใช่สะใภ้ของตระกูลฟู่ อีกอย่าง…ฟูเสี่ยวกวนเองก็มิใช่ลูกชายของนายท่าน หรือต่อให้นางสมรสกับฟู่เสี่ยวกวนแล้วมันเกี่ยวอันใดกับตระกูลฟู่ ? นางควรไปที่แคว้นอู๋ถึงจะถูก !  

คำเอ่ยของอนุสามมีเหตุผลนัก สตรีที่เหลือครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน เป็นเช่นนั้นอย่างแท้จริง

ดังนั้นกิจการมหาศาลของตระกูลฟู่ คงต้องขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดจะให้กำเนิดบุตรชายได้ !

ฮูหยินรองฉีซื่อหมดโอกาสไปแล้ว เช่นนั้นอีกห้าคนที่เหลือคงต้องดูความพยายามของเด็กในครรภ์แล้ว !

……

ณ เรือนซีซาน

บนต้นไม้ใหญ่ในเรือนแขวนไปด้วยโคมไฟ

ต่งชูหลาน หยูเวิ่นเหวิน และเยี่ยนเสี่ยวโหลวในขณะนี้กำลังนั่งอยู่ในศาลา

ด้านข้างของโต๊ะมีสุราซีชานเทียนฉุนวางอยู่หนึ่งลัง บนโต๊ะวางอาหารเย็นแกล้มสุรา

ต่งชูหลานรินสุราให้กับหยูเวิ่นเหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลว พร้อมกับกล่าวว่า  กิจการของตระกูลในปัจจุบันก็ประมาณนี้ ของที่นำเข้าไปยังการค้าหลวงยังมีอีกสองยอดยังมิได้กลับมา รวมทั้งหมด 63,000 ตำลึง เขตเหยามีโรงงานทั้งหมด 6 แห่ง ขอบเขตพอ ๆ กันกับที่นี่ ผลผลิตของโรงงานทุกแห่งในเขตเหยา ข้าวางแผนไว้ว่าจะนำสินค้าทั้งหมดขายให้กับเมืองกวนหยุนของราชวงศ์อู๋ พี่รองของข้าถึงที่นั่นแล้วเมื่อเดือนก่อน และได้ส่งจดหมายมาบอกว่าได้ติดต่อกับหนานกงตงเซวี๋ยแล้วเรียบร้อย 

 เมื่อเป็นเช่นนี้ สินค้าจะมิพอขายที่แคว้นหยู พรุ่งนี้ข้าวางแผนว่าจะไปเขตเหยาอีกครา ต้องจัดตั้งโรงงานเหล่านั้นเพิ่ม ในมือข้ายังเหลือเงินอยู่ 967,000 ตำลึง ข้าคิดว่าจะนำไปใช้จ่ายในส่วนของโรงกลั่นสุราและโรงงานผลิตสบู่สองโรงงานนี้ 

 เนื่องจากวัตถุดิบการทำน้ำหอม โรงงานที่ซีซานและเขตเหยาทั้งสองแห่งนี้ก็มิเพียงพอแล้ว ปีหน้าต้องเพิ่มการปลูกดอกไม้ให้มากขึ้น แท้ที่จริงแล้วน้ำหอมของที่นี่ทำกำไรได้มากที่สุด เสียดายที่จัดการช้าไปหน่อย

ผลผลิตข้าวในปีนี้ข้ายังมิได้ขายสักเมล็ด แต่เมล็ดข้าวที่เก็บมานี้ ส่วนที่เหลือจากการกลั่นสุราและใช้ในชีวิตประจำวัน ข้าวางแผนว่าจะนำทั้งหมดไปขาย 

หยูเวิ่นเหวินขัดจังหวะแล้วถามขึ้นว่าเพราะเหตุใด

ต่งชูหลานยกแก้วสุรา สตรีทั้งสามนางดื่มด้วยกันหนึ่งแก้ว นางหัวเราะแล้วตอบว่า  เพราะปีหน้านอกจากแปลงนาที่ใช้เพาะปลูกฟู่ซานต้ายแล้ว แปลงนาที่เหลือทุกแห่งจะต้องหว่านฟู่เอ้อร์ต้าย !  

เยี่ยนเสี่ยวโหลวรับฟังราวกับอยู่ในเมฆหมอก แต่หยูเวิ่นหวินนั้นทราบเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างดี ดังนั้นดวงตาของนางจึงทอประกายระยิบระยับ  จะได้ผลผลิตสูงถึงเพียงนั้นจริงหรือ ?  

 อือ !   ต่งชูหลานรินสุราไปพลางกล่าวไปว่า  ก่อนที่พวกเจ้าจะมา ข้าได้ไปเปรียบเทียบดูแล้ว แท้ที่จริงผลิตได้มากกว่าแต่ก่อนอย่างน้อยหนึ่งเท่า !  

เยี่ยนเสี่ยวโหลวตกตะลึง  เก่งกาจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ?  

 แน่นอน เขาย่อมเก่งกาจเป็นอย่างมาก !  

 เยี่ยงนั้นค่าเสบียงอาหารของปีหน้าจะราคาลดลงหรือไม่ ?  

หยูเวิ่นหวินเอ่ยถาม

 มิถึงกับว่าราคาลดลง ถึงเยี่ยงไรเสียพื้นที่เพาะปลูกก็มิได้ใหญ่มาก แต่ข้าวางแผนไว้ว่าจะนำเมล็ดพันธ์ที่เกินมานั้นไปขาย สองวันก่อนข้าได้ลงนามทำสัญญากับเยี่ยนซีเหวินหนึ่งฉบับแล้ว เมล็ดพันธุ์ 1 ชั่งขาย 200 อีแปะ 

เยี่ยนเสี่ยวโหลวถลึงตาโตขึ้นทันพลัน ถึงแม้ว่านางจะมิทราบว่าเมล็ดข้าวที่ตลาดขายราคาเท่าใด แต่ 1 ชั่ง 200 อีแปะเป็นราคาที่สูงลิ่วอย่างเห็นได้ชัด

หยูเวิ่นหวินจิบสุราแล้วคิดไปพลาง  ลองขายของสิ่งนี้ให้กับท่านป้าของข้าองค์หญิงใหญ่เป็นเยี่ยงไร ? นางสามารถผลักดันไปขายทั่วทั้งแคว้นได้ง่ายกว่าพวกเราขายเองมาก 

ต่งชูหลานส่ายหัว  ยามนี้ยังมิได้ ประการแรกเมล็ดพันธุ์มีมิมาก ประการที่สอง ยังมิแน่ว่าจะผลิตออกมาได้เท่าหนึ่งหรือไม่ คงต้องรอดูผลการปลูกในเขตเหยาก่อน ถ้าจะขายออกไปทั่วทั้งแคว้น ฟู่เสี่ยวกวนเคยกล่าวไว้ว่า หากเป็นไปอย่างราบรื่นต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึง 5 ปี 

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รีบร้อนมิได้ หยูเวิ่นเหวินยิ้มน้อย ๆ และพยักหน้า ไม่ถามอันใดอีก

หลังจากนั้นสตรีทั้งสามนางก็ได้สนทนาเรื่องการค้ามากมาย โดยมากเป็นแผนการของต่งชูหลาน หยูเวิ่นหวินเอ่ยขึ้นบ้างเป็นบางครา ส่วนเยี่ยนเสี่ยวโหลวทำหน้าที่เป็นเพียงแค่ผู้ฟังที่ดี

ถึงยามนี้ เยี่ยนเสี่ยวโหลวถึงได้เข้าใจความสามารถของต่งชูหลาน และได้รู้ตัวว่าตนเองมิมีปัญญาแบ่งเบาหน้าที่ให้กับฟู่เสี่ยวกวนได้เลยแม้แต่น้อย

มองดูเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่สีหน้าเหงาหงอย ต่งชูหลานจึงชนแก้วกับนาง ยกยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า  เจ้าอย่าได้เก็บไปใส่ใจเลย ฟู่เสี่ยวกวนเคยกล่าวว่าทุกคนต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ข้าเพียงแค่สัมผัสเรื่องเหล่านี้ได้เร็วกว่าเจ้าก็เท่านั้นเอง 

หยูเวิ่นเหวินเองก็เปลี่ยนประเด็น และเอ่ยถาม  เทศการไหว้พระจันทร์ปีนี้ เจ้ามิคิดจะไปเยี่ยมเยียนบรรดา…อาสะใภ้บ้างหรือ ?  

 บัดนี้คงยังมิต้องไป ได้ยินชุนซิ่วกล่าวว่าอาสะใภ้ทั้งห้าใกล้จะคลอดแล้ว รอให้พวกนางคลอดก่อนเถอะ ดูว่าพวกเจ้าจะอยู่ที่นี่ได้นานเพียงใด หากมีเวลาเหมาะสม ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยไปเยี่ยมน้องชายน้องสาวเหล่านั้นด้วยกันเถอะ 

เอ่ยจบ ต่งชูหลานก็ได้หันไปมองเยี่ยนเสี่ยวโหลว  มีบางอย่างในใจของข้าอยากจะเอ่ยกับเจ้า เวิ่นหวินเองก็คิดทบทวนให้ถี่ถ้วนด้วยเถิด 

ต่งชูหลานเงยหน้ามองพระจันทร์บนท้องฟ้า น้ำเสียงหนักแน่น  ฟู่เสี่ยวกวน…อาจจะจากไปแล้ว ในที่สุดพวกเราก็ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ ดังนั้นข้าถึงมาที่นี่ เพราะข้าคิดได้เนิ่นนานแล้ว ทั้งชีวิตนี้ ข้าจะมิสมรสอีก ข้าจะอยู่ที่นี่รับช่วงต่อกิจการของตระกูลเพื่อเขา  

นางหลุบตาลง หันมองไปทางเยี่ยนเสี่ยวโหลว  เจ้าเพียงยกย่องความสามารถของเขา มิเหมือนกันกับข้า เจ้ามายังที่นี่ข้าดีใจมากยิ่งนัก แต่ข้ายังต้องบอกกับเจ้าสักคำ ค่ำคืนที่เปลี่ยวเหงา ข้ามผ่านพ้นคืนหนึ่งอย่างโดดเดี่ยวนั้นมิง่ายเลย แต่หากจะต้องโดดเดี่ยวไปทั้งชีวิต เป็นเรื่องยากอย่างแท้จริง… 

 

จินหลิงยังคงมีฝนตกอย่างต่อเนื่อง

เพียงแต่ว่าฝนที่ตกลงมานี้มิได้รุนแรงเท่าใดนัก เพียงแค่โปรยปรายเป็นหยาดละอองเท่านั้น

ชายคาศาลาเถาหรานในจวนฟู่หยดน้ำค่อย ๆ หยดลงต่อกันกลายเป็นม่านฝน หยูเวิ่นหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวนั่งอยู่ในศาลา มองดูทะเลสาบซวนอู่ที่ปกคลุมไปด้วยม่านฝนและไอหมอกไกลจนสุดลูกหูลูกตา

 พี่ชูหลานไปยังซีซานได้ราวครึ่งเดือนแล้ว มิรู้ว่าเขาอยู่ที่นั่นเป็นเยี่ยงไรบ้าง พี่เวิ่นหวิน ข้า…ข้าอยากไปดูที่ซีซานสักหน่อย 

หยูเวิ่นเหวินถอนหายใจ  ข้าเองก็อยากไป เพียงแต่… 

เยี่ยนเสี่ยวโหลวกัดริมฝีปาก ในใจแน่วแน่  พี่สาว การค้าที่จินหลิงบัดนี้ก็เป็นปกติดี ข้ามิมีแก่ใจที่จะอยู่ที่นี่ พวกเราเดินทางกันพรุ่งนี้เลยเป็นเยี่ยงไร ?  

 หากเขาเกิดกลับมาจินหลิงจะทำเยี่ยงไร ?  

เยี่ยนเสี่ยวโหลวคิดอย่างถี่ถ้วน แล้วกล่าวว่า  ในเมื่ออู๋หลิงเอ๋อร์ราชาภิเษกขึ้นเป็นจักรพรรดินี เขามิมีทางกลับไปที่เมืองกวนหยุนอย่างแน่นอน เพราะเขามิได้อยากเป็นจักรพรรดิของที่นั่น อีกทั้งเขายังเป็นโอรสของจักรพรรดิเหวิน เรื่องนี้คือความจริง ดังนั้นข้าคิดว่าเขาจะต้องหลบซ่อนตัวปิดบังชื่อเสียงเรียงนามไปสักพัก รอให้อู๋หลิงเอ๋อร์ได้ครองตำแหน่งอย่างมั่นคงเสียก่อน เขาถึงจะเผยตัวตนออกมา มิเช่นนั้นคาดว่าคงจะก่อให้เกิดความไม่มั่นคงของราชวงศ์อู๋และราชสำนักอย่างแน่นอน 

 ในเมื่อต้องปิดบังชื่อเสียงเรียงนาม เช่นนั้นแล้วเขามิมีทางกลับมายังจินหลิง ที่จินหลิงมีผู้คนรู้จักเขาตั้งมากมาย ข่าวนี้จะแพร่ไปยังราชวงศ์อู๋อย่างรวดเร็ว เช่นนั้นแล้วความตั้งใจของเขาก็จะสูญเปล่าแล้ว 

ดวงตาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวเปล่งประกาย  ดังนั้นหากเขาจะกลับมา เขาจะต้องไปที่ซีซานอย่างแน่นอน แม้แต่เมืองหลินเจียงเขาก็มิอาจจะเผยตัวด้วยซ้ำ !  

หยูเวิ่นหวินนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ดูเหมือนจะว่าที่นางกล่าวมานั้นค่อนข้างมีเหตุผล นางก็ฉลาดมิน้อยเลยนี่  ได้ เยี่ยงนั้นพรุ่งนี้พวกเราเดินทางกัน !  

……

รัชสมัยเซวียนลี่ เดือนแปด วันที่สิบห้า

เทศกาลไหว้พระจันทร์มาถึงอีกครา

ฟู่เสี่ยวกวนยังไร้ซึ่งข่าวสารใดๆ แต่เทศกาลไหว้พระจันทร์นี้กลับยังต้องดำเนินต่อไป

หลานถิงจี๋แห่งทะเลสาบเว่ยยางยังคงมีการจัดงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ เพียงแต่ห้านักปราชญ์เลื่องชื่อในปีที่แล้วกลับขาดไป 1 ท่าน อาจารย์ฉิน ฉินปิ่งจงนึกมิถึงว่าจะไปยังหลินเจียง เขามิได้ไปยังสำนักศึกษาหลิงเจียง แต่ทว่ากลับไปยังสำนักศึกษาซีซาน

ชื่อสำนักศึกษาแห่งนี้ยังมิมีผู้ใดเคยได้ยินมาก่อน หลังจากนั้นถึงได้ทราบว่าแท้จริงแล้วฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ก่อตั้งขึ้นมาที่ซีซาน

ยามนี้ข่าวการจากไปของฟู่เสี่ยวกวนได้แพร่มาถึงจินหลิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาจารย์ฉินเพื่อที่จะสานต่อปณิธานของฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ยอมละทิ้งหน้าที่เพื่อไปให้ความรู้ที่ยิ่งใหญ่ยังสำนักศึกษาแห่งนั้น ทำให้ผู้คนจำนวนมากเลื่อมใสในตัวเขา

ดังนั้นจึงมีอาจารย์ที่เกษียณอายุจากสำนักศึกษาจี้เซี่ยติดตามเขาไปยังสำนึกศึกษาซีซานด้วย

ช่างกวนเหวินซิ่วมาถึงหลานถิงจี๋เนิ่นนานแล้ว เขายืนอยู่เบื้องหน้าของหินเชียนเปยสือ แล้วมองดูบทกวีทำนองเพลงสายน้ำอย่างเงียบ ๆ

ในใต้หล้านี้มิมีฟู่เสี่ยวกวนอีกแล้ว ผู้ใดจะขับทำนองร้องเพลงสายน้ำได้อีก !

บางทีอาจเพื่อรำลึกถึงนักวรรณกรรมฟู่เสี่ยวกวน ผู้คนที่มาหลานถิงจี๋ในปีนี้ถึงได้มากเป็นพิเศษ

แน่นอนว่าส่วนใหญ่แล้วเป็นบัณฑิตในสำนักศึกษา ฉินเหวินเจ๋อและคนอื่น ๆ ของสมาคมกวีหลานถิงกำลังยืนอย่างสงบอยู่เบื้องหน้าหินเชียนเป่ยสือ พลางมองดูบทความและบทกวีของฟู่เสี่ยวกวนที่ถูกสลักอยู่ด้านบน

 ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะไปซีซาน 

ฉินเหวินเจ๋อหันตัวกลับไปเผชิญหน้ากับเหล่าบัณฑิต  ยามนี้ฝ่าบาททรงส่งเสริมแผนการของอาจารย์ ข้าจะไปที่สำนักศึกษาซีซาน และนำความรู้ด้านเศรษฐกิจที่อาจารย์ได้สั่งสอนข้า สอนให้กับเด็กเหล่านั้น ถึงแม้ความรู้เหล่านั้นข้าจะเข้าใจเพียงแค่ผิวเผิน อย่างที่อาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า ถึงแม้จะเป็นเพียงดวงไฟดวงน้อย ๆ แต่ก็อาจจะกลายเป็นไฟลามทุ่งได้ !  

เฉินชู่ลุกขึ้นมา  ข้าจะไปกับเจ้าด้วย สำนักศึกษาที่นี่มิอาจเปิดสอนหลักสูตรทฤษฎีเก๋ออู้ได้แล้ว บางทีศูนย์วิจัยซีซานอาจจะชี้ทางสว่างให้กับข้าได้ 

 ข้าไปด้วย !   ชางกวนเหมี่ยวกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง  ข้าได้ยินอาจารย์บอกว่าที่ซีซานมีหน่วยปราบปรามอยู่กองหนึ่ง ข้าจะไปช่วยอาจารย์ฝึกหน่วยปราบปรามนั้น !  

คำกล่าวของฉินเหวินเจ๋อได้ดึงดูดเสียงขานรับของเหล่าบัณฑิตนับสิบคน พวกเขาล้วนเป็นคนหนุ่มสาวที่ได้เข้าร่วมงานชุมชุนวรรณกรรมกับฟู่เสี่ยวกวน พวกเขาจำนวนมากจะเข้าร่วมการสอบชิวเหวยในปีหน้า แต่บัดนี้พวกเขาได้ถอดใจแล้ว เพราะอุดมคติที่ไม่ชัดเจนในใจของตน

การกระทำของพวกเขาก่อให้เกิดคลื่นเป็นวงกว้างในสำนักศึกษาจี้เซี่ย บัณฑิตหลายคนเริ่มคิดไตร่ตรอง และไตร่ตรองถึงนโยบายใหม่ของฝ่าบาท ไตร่ตรองถึงการศึกษาว่านอกจากเข้าราชวงศ์เพื่อเป็นขุนนางแล้วยังจะสามารถทำเรื่องที่มีความหมายอะไรได้อีก ไอรีนโนเวล

ฟู่เสี่ยวกวนได้จุดประกายไฟในใจของบัณทิตนับร้อย เพียงแต่ในยามนี้ดวงไฟนั้นยังคงริบหรี่ ยังมิเห็นถึงความหวังอย่างไฟลามทุ่งเลยสักนิด

สุริยาลาลับภูผา จันทราลอยเด่น เป็นเวลาที่หลายครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมกันอีกครา

จวนฟู่ในหลินเจียงขณะนี้ก็ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเฉกเช่นเดียวกัน เพียงแต่บรรยากาศพร้อมหน้าพร้อมตานี้แปลกประหลาดไปมากนัก

ฟู่ต้ากวนไปหลายเดือนแล้วยังมิกลับมา มิมีแม้กระทั่งจดหมายที่ส่งกลับมา อีกทั้งยังนำเงินเกือบทั้งหมดที่มีในจวนไปด้วย !

ปีที่แล้วเขารับอนุถึง 5 คน และยามนี้แต่ละคนต่างก็หน้าท้องโตใกล้คลอดเต็มทีแล้ว

แต่สามีของพวกนางกลับมิอยู่ !

ลูกชายของเขาก็ได้ตายจากไปแล้ว !

ตระกูลฟู่นี้ หรือว่าจะล่มสลายเสียแล้ว ?

ดังนั้นในคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ ฉีซื่อในฐานะฮูหยินรองได้เรียกรวมตัวอนุอีก 5 คนที่เหลือ เพื่อหารือว่าในอนาคตจะทำเยี่ยงไรดี

ฟู่เสี่ยวกวนนั้นตายแล้ว เดิมทีคิดว่าลูกสาวของตนฟู่เสี่ยวซีนั้นจะได้ใช้ชีวิตดั่งองค์หญิง แต่ยามนี้คงเป็นได้เพียงแค่เรื่องตลกขบขันเท่านั้น

 น้องสาวทุกท่าน แม้ว่าวันธรรมดาทุกคนจะยังอยู่สุขสบาย แท้ที่จริงแล้วข้ามิได้เห็นแก่ใครเป็นการส่วนตัว ในเมื่อข้าเข้ามาก่อนพวกเจ้า วันนี้ข้าอยากจะบอกความในใจกับน้องสาวทุกท่าน 

ฉีซื่อกวาดสายตามองหญิงท้องโตทั้งห้าคน  นายท่านไปครานี้ บัดนี้ก็ครึ่งปีแล้ว ครึ่งปีมานี้มิมีแม้ข่าวคราว เงินในจวนเดิมทีนายท่านเป็นคนถือไว้ เจ้าและข้าต่างก็มิมีอำนาจจัดการ ยามนี้ที่ข้าอยากจะเอ่ยกับพวกเจ้าก็คือ เงินในจวนเหลืออยู่น้อยนิดสามารถประทังชีวิตไปได้เพียงแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น

อนุทั้งห้าคนได้ฟังแล้วก็รู้สึกตื่นตกใจ มองหน้ากันไปมาแล้วเอ่ยถาม  แล้วเงินล่ะ ?  

ฉีซื่อหัวเราะหึ  ข้าเองก็เพิ่งรู้เมื่อต้นเดือนที่แล้ว นายท่านนำเงินติดตัวไปด้วย 1,600,000 ตำลึง !  

 ไอหยา… !  

อนุทั้งห้าต่างตกตะลึง คุณนายที่สามเอ่ยถาม  นายท่านมิได้ไปผิงหลิงและชวูอี้สองอำเภอเพื่อลงทุนสร้างโรงงานเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 สร้างโรงงานอันใดกัน นายท่านเดินทางไปยังแคว้นอู๋ !  

อนุทั้งห้าขมวดคิ้วทันที ฟู่เสี่ยวกวนเป็นโอรสของจักรพรรดิเหวินเรื่องนี้เกรงว่าจะทราบกันทั่วทั้งใต้หล้าแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนเป็นความภูมิใจของนายท่าน สตรีที่อยู่ในห้องทั้งหกคนต่างก็ทราบดี

ถ้าเยี่ยงนั้นเงิน 1,600,000 ตำลึงที่นายท่านเอาไปที่แคว้นอู๋…เงินเหล่านั้นต้องเอาไปมอบให้กับฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่ พวกเขาไม่เข้าใจ ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่ลูกแท้ ๆ ของนายท่าน สวี่หยุนชิงเพียงแค่สวมหมวกสีเขียวให้กับนายท่านเท่านั้น เหตุใดนายท่านยังต้องนำเงินก้อนใหญ่ถึงเพียงนั้นไปที่แคว้นอู๋ด้วย ?

เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา อนุสี่ก็ได้ตบหน้าอก  ยังดีที่ว่าที่นาและกิจการของตระกูลเรานั้นยังอยู่ ดูแลรายได้เหล่านั้นเอาไว้ วันหน้าคงมิมีผลกระทบอะไรมากมายนัก 

ฉีซื่อมองไปทางอนุสี่ ใบหน้าแสดงถึงสีหน้าถากถาง  เจ้าอยู่ในจวนเลี้ยงดูทารกในครรภ์ เกรงว่าจะมิทราบว่าคู่หมั้นของฟู่เสี่ยวกวนไปถึงซีซานเนิ่นนานแล้ว !  

 ฟู่เสี่ยวกวนตายไปแล้ว นางมาทำอันใดที่ซีซานกัน ?  

 ได้ยินว่านางไปที่โรงงานทุกแห่งในซีซาน และพบกับผู้เช่านาทุกรายอีกด้วย มิกี่วันก่อนนางยังไปที่เขตเหยา ในยามนี้สมุดบัญชีกิจการทั้งหมดของซีซานล้วนอยู่ในมือต่งชูหลาน พวกเจ้าว่านางมาทำอันใดที่ซีซานกันล่ะ ?  

 

ตอนที่ 393 สองข้อตกลงการค้า

ภายในศาลา ณ เรือนซีซาน

ต่งชูหลานออกมายังสถานที่แห่งนี้หลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้ว

เยี่ยนซีเหวินต้มชาหนึ่งกา ชุนซิ่วนำน้ำขิงหนึ่งถ้วยมาให้ต่งชูหลาน

 ข้าได้ยินคนส่งสารของซีซานบอกว่าเจ้ามาที่ซีซาน ในใจพลันคิดถึงพี่ฟู่…เกรงว่าเจ้าคงทราบข่าวคราวพี่ฟู่แล้ว ข้าอยากจะเอ่ยถามเจ้าสักหน่อย เขาจะกลับมาเมื่อใดกัน ?  

ต่งชูหลานยกถ้วยน้ำขิงขึ้นจิบ ยกยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า  อะไรกัน ? หากเขามิกลับมาสะใภ้เยี่ยงข้าจะดูแลเรื่องเหล่านี้มิได้หรือเยี่ยงไรกัน ?  

เยี่ยนซีเหวินฝืนหัวเราะออกมา รินน้ำชาสองถ้วยแล้วส่งน้ำชาไปให้ต่งชูหลานหนึ่งถ้วย  ในปีนั้นเจ้าเป็นสตรีมากความสามารถและมีชื่อเสียงของเมืองจินหลิง…เกรงว่าเจ้าคงมิทราบว่าบัณฑิตที่อยู่ในสำนักบัณฑิตนั้นมีความคิดเห็นอยู่หนึ่งอย่าง 

 ลองกล่าวมา 

 พวกเขาต่างกล่าวกันว่า หากเจ้าเป็นบุรุษ ตำแหน่งเสนาบดีกรมคลังของพ่อเจ้าคาดว่าจะต้องตกเป็นของเจ้าอย่างแน่นอน 

ต่งชูหลานเม้มปากยิ้มแล้วสายหัว  ที่ราชวงศ์อู๋ อู๋หลิงเอ๋อร์ทรงราชาภิเษกเป็นจักรพรรดินีองค์แรกในประวัติศาสตร์ ตัวข้าเป็นสตรีแล้วมิอาจทำหน้าที่ในกรมคลังได้เยี่ยงนั้นหรือ ?  

 มิเหมือนกันเสียหน่อย หากมิเป็นเพราะบุตรชายของจักรพรรดิเหวิน…  เยี่ยนซีเหวินชะงักไปชั่วครู่ เดิมทีเขาจะเอ่ยว่าหากมิเป็นเพราะบุตรชายของจักรพรรดิเหวินสิ้นพระชมน์แล้ว กลับนึกขึ้นได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นเป็นบุตรชายของจักรพรรดิเหวินเช่นกัน และฟู่เสี่ยวกวนบัดนี้เป็นหรือตายก็ยังมิอาจทราบได้ คาดว่าเป็นไปได้ทั้งสองทาง

ราชวงศ์อู๋ประกาศข่าวการสิ้นพระชมน์ของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว อีกทั้งยังเป็นราชโองการของจักรพรรดินีเองอีกด้วย !

แต่ผู้คนในราชวงศ์หยูมิอาจจะยอมรับได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นสิ้นชีพในภูเขาน้ำแข็งไปแล้ว ยามนี้มิว่าจะฮ่องเต้ หรือฮองเฮาซั่ง และท่านปู่ของเขาเยี่ยนเป่ยซี ต่างก็มิได้กล่าวถึงเรื่องนี้

สำหรับเยี่ยนซีเหวินแล้ว แน่นอนว่าเขาหวังว่าฟู่เสี่ยวกวนจะยังคงมีชีวิตอยู่ เพราะเขายังมีเรื่องอีกมากที่ต้องพึ่งพาฟู่เสี่ยวกวน อย่างเช่นแผนการก่อสร้างท่าเรือเขตเหยา

 คราก่อนพี่ฟู่เคยกล่าวกับข้า เขากล่าวว่าต้องขยายท่าเรือเขตเหยาและต้องสร้างอู่ต่อเรือ อู่ต่อเรือนี้ข้าได้ไปปรึกษากับช่างต่อเรือโดยเฉพาะ หากเป็นเรือสำเภา อู่ต่อเรือนี้ก็มิต้องสร้างใหญ่โตมากนัก แต่ในความหมายของพี่ฟู่คือเรือรบ… 

เยี่ยนซีเหวินมองไปที่ต่งชูหลาน  เรือรบของเช่นนี้ราชวงศ์อู๋น่าจะมิมี ข้ามิทราบว่าต้องทำเยี่ยงไร ดังนั้นจึงมาถามข่าวคราวของเขาจากเจ้า 

ต่งชูหลานเมื่อได้ฟังแล้วก็ได้แต่ทำหน้าสับสน

เรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยกล่าวถึง ต่งชูหลานเองก็มิอาจทราบได้ว่าของสิ่งนี้รูปร่างเป็นเยี่ยงไร ดังนั้นนางจึงวางถ้วยน้ำขิงลง พลางครุ่นคิดอย่างตั้งใจ  เรื่องนี้เจ้าคงจะต้องรอเวลาสักหน่อย 

ในเมื่อต่งชูหลานมิเอ่ยถึงฟู่เสี่ยวกวน เยี่ยนซีเหวินก็มิได้ซักไซร้ที่จะถามต่อ เกิดความรู้สึกมิดีขึ้นมาในใจดูเหมือนว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเกิดเรื่องขึ้นอย่างแท้จริง มิเช่นนั้นต่งชูหลานจะมาที่ซีซานได้เยี่ยงไร นางจะลงไปในนาได้เยี่ยงไร

ระหว่างพวกเขานั้นมีหนังสือสมรสจากฝ่าบาทแล้ว เรื่องนี้เยี่ยนซีเหวินทราบดี เพราะเยี่ยนเสี่ยวโหลวน้องของเขาก็เป็นหนึ่งในคู่หมั้นของเขาเช่นกัน

หากฟู่เสี่ยวกวนเกิดอุบัติเหตุขึ้นมาจริง ๆ หรือว่าต่งชูหลานจะใจเเข็งอยู่อย่างโดดเดี่ยวเพื่อดูแลการค้าของเขาไปตลอดชีวิตกัน ?

สำหรับเรื่องนี้ เยี่ยนซีเหวินมิมีความคิดที่จะไปโน้มน้าวเพราะเขาทราบดีว่าต่งชูหลานเป็นคนเยี่ยงไร

 การค้าหลายแห่งในเขตเหยาเข้าที่เข้าทางแล้ว เป็นดั่งต้นไม้เขย่าเงิน เช่นนี้ก็สามารถแก้ไขปัญหาการคลังและภาษีในเขตเหยาของข้าได้แล้ว เจ้าวางแผนที่จะไปดูหรือไม่ ?  

 คาดว่าสามวันให้หลังจะไปดูเสียหน่อย ยามนี้สภาพอากาศมิเอื้ออำนวยเท่าใดนัก… 

ต่งชูหลานดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันพลัน นางหันไปถามเยี่ยนซีเหวินว่า  ฟู่เสี่ยวกวนทำของดีขึ้นมาอีกอย่างหนึ่ง เป็นของที่เกี่ยวกับราษฎร เจ้าสนใจหรือไม่ ?  

เยี่ยนซีเหวินย่อมสนใจอย่างแน่นอน เขารู้ดีว่าสิ่งของที่ฟูเสี่ยวกวนประดิษฐ์ขึ้นมานั้นเป็นของดี ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าทันทีและกล่าวว่า  ในเมื่อพวกเราเป็นสหายร่วมสำนัก อีกอย่างข้าเคยแอบรักเจ้ามาตั้งหลายปี เมื่อมีของดี แน่นอนว่าต้องให้พื้นที่ข้านั้นได้ลองใช้ก่อน 

ต่งชูหลานถลึงตาใส่เยี่ยนซีเหวิน  เมื่อครู่ที่นาผืนนั้น ก็คือเมล็ดพันธุ์ข้าวที่ฟู่เสี่ยวกวนทำขึ้น เช่นนั้นข้าขอเอ่ยกับเจ้าตามตรง ผลผลิตในพื้นที่หนึ่งหมู่จะเพิ่มสูงขึ้นถึงหนึ่งเท่า !

เยี่ยนซีเหวินประหลาดใจ  เป็นไปมิได้ !  

 ได้หรือมิได้นั้นมิเป็นไร ที่ข้าอยากบอกเจ้าก็คือเขตเหยานั้นมีพื้นที่นามากกว่าจวนของข้า ดังนั้นพวกเรามาเขียนสัญญากันเถิด ถ้าหากเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ได้ผลผลิตออกมามิถึงสองเท่า ข้าจะมิรับส่วนแบ่งแต่อย่างใด แต่ถ้าได้ผลผลิตมากถึงสองเท่า ราคาเมล็ดพันธ์เหล่านี้ 1 ชั่งคิด 200 อีแปะ ท่านพอจะรับได้หรือไม่ ?  

เยี่ยนซีเหวินรู้สึกตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน  เจ้ากำลังปล้นข้าชัด ๆ เลยนี่ !   เมล็ดข้าว 1 ชั่งไม่เกิน 12 อีแปะ แต่เจ้ากลับขายให้ข้าถึง 200 อีแปะ เยี่ยงนี้มันปล้นกันซึ่ง ๆ หน้าเลยนี่ 

ต่งชูหลานหัวเราะออกมา  ข้าลองคำณวนบัญชีให้กับท่านแล้ว การเก็บเกี่ยวโดยเฉลี่ยพื้นที่นาหนึ่งหมู่ก็คือ 240 ชั่งโดยประมาณ หากใช้เมล็ดพันธ์ของจวนข้า อย่างน้อยก็จะได้ถึง 480 ชั่ง !  

 เมล็ดข้าว 1 ชั่งคิดเป็นเงิน 200 อีแปะ เมล็ดข้าว 500 ชั่งจะเท่ากับเงิน 100,000 อีแปะ พื้นที่นา 1 หมู่ใช้เมล็ดพันธุ์เพียง 5 ชั่งเท่านั้น เป็นเงินแค่ 1,000 อีแปะ ดังนั้นจะได้กำไรมากถึง 4,760 อีแปะ 

 หากลองคำนวนการหว่านเมล็ดพันธุ์จากที่อื่น พื้นที่นา 1 หมู่ได้ผลผลิตเพียงแค่ 240 ชั่งเท่านั้น เท่ากับว่าจะได้กำไร 2.820 อีแปะ หากไม่นับต้นทุนเมล็ดพันธุ์ หากเจ้าใช้เมล็ดพันธุ์ของจวนข้า เจ้าจะได้กำไรมากถึง 4,760 อีแปะ แต่ถ้าหากเจ้าใช้เมล็ดพันธุ์ของที่อื่นเจ้าจะได้กำไรเพียงแค่ 2,820 อีแปะ…ข้าขายให้เจ้าราคาถูกแล้ว! 

เมื่อเยี่ยนซีเหวินได้ฟังดังนั้น เขาก็ได้หันไปมองหน้าพ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้างกายของเขา พ่อบ้านขมวดคิ้วมุ่นราวกับไม่อยากจะเชื่อ

เขาหันไปมองต่งชูหลานอีกคราแล้วเอ่ยถามว่า  สามารถผลิตได้ประมาณ 500 ชั่งจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 เขียนสัญญาด้วยกระดาษขาวตัวอักษรดำ ทุกคนลงประทับตราและทำการค้าอย่างเปิดเผย ข้ายังมิกลัวที่จะเสียเปล่าเลย แล้วท่านยังจะกลัวอะไร ?  

 ตกลง ! รอข้ากลับไปเขียนสัญญา เมื่อยามที่เจ้ามาเยือนยังเขตเหยาพวกเรามาลงนามกันเถอะ !  

 ตกลง อีกอย่าง… ฟู่เสี่ยวกวนยังมีของมหัศจรรย์อีกชิ้นหนึ่ง เจ้าย่อมมิเคยได้เห็นจากที่ใดมาก่อน อยากจะลองนำไปเพาะปลูกที่เขตเหยาของท่านหรือไม่ ?  

เยี่ยนซีเหวินรู้สึกประหลาดใจ ฟู่เสี่ยวกวนแท้จริงแล้วเป็นคนเยี่ยงไรกัน ? เพราะเหตุใดเขาถึงสามารถสร้างของแปลกใหม่เหล่านี้ได้ ?

 แน่นอนว่าอยาก เจ้าลองบอกมาเถอะ 

 ของสิ่งนั้นเรียกว่ามันเทศ ให้ปลูกลงในดิน พวกมันมิเลือกสภาพดิน แม้แต่สภาพดินที่แย่ที่สุดมันก็สามารถเจริญเติบโตได้ และจำนวนผลผลิต ตามที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวไว้ว่า 1 หมู่ได้ผลผลิตถึง…2,000 ชั่งขึ้นไป !  

แท้ที่จริงตอนนั้นฟู่เสี่ยวกวนบอกว่าของชิ้นนี้หากสภาพดินดีหน่อย จำนวนผลผลิต 1 หมู่จะได้มากกว่า 5,000 ชั่ง ต่งชูหลานห่วงว่าจะทำให้เยี่ยนซีเหวินตกใจ จึงเก็บไว้เป็นความลับ แต่เหมือนว่าก็ยังคงทำให้เยี่ยนซีเหวินรู้สึกตกใจอยู่ดี !

 ผลผลิตต่อหมู่มากถึง 2,000 ชั่งเลยเยี่ยงนั้นหรือ ?  เยี่ยนซีเหวินถลึงตาโต  ของสิ่งนี้เป็นผลไม้ทำให้อิ่มท้องได้เยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ย่อมได้อย่างแน่นอน ข้าเคยลองชิมแล้ว ของสิ่งนี้นุ่มเหนียวและหอมหวานเป็นอย่างมาก ข้าเชื่อว่าทุกคนต้องชอบกินอย่างแน่นอน 

 ให้ข้าลองชิมได้หรือไม่ ?  

 แต่ยามนี้มิมีแล้ว นำไปเพาะปลูกหมดแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าราว ๆ เดือนสิบก็จะสุกแล้ว ถึงเวลานั้นข้าจะให้คนส่งไปให้เจ้า 

 เพาะปลูกง่ายหรือไม่ ?  

 เรื่องนี้ข้าก็มิรู้เช่นกัน คิดว่าคงมิลำบากเท่าใดนัก ถึงเวลานั้นข้าสามารถส่งคนที่เชี่ยวชาญไปแนะนำให้เจ้าได้ แต่เจ้าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนให้กับเขาด้วยตนเอง 

 บอกมาเถอะ ว่าของสิ่งนี้ราคาเท่าใด ?  

ต่งชูหลานเองมิทราบว่าของสิ่งนี้ขายอย่างไร ดังนั้นนางจึงคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยไปว่า  มิรีบร้อน ค่อยเอ่ยถึงวันหลังเถอะ 

เยี่ยนซีเหวินนึกเอาเองว่าต่งชูหลานดึงความอยากของเขา เมื่อถึงยามนั้นนางก็จะขายในราคาสูง

แท้จริงคือต่งชูหลานหวังว่าฟู่เสี่ยวกันจะกลับมาทัน นางมิทราบว่าของสิ่งนี้ควรขายเท่าใดจริง ๆ

ขณะนี้ฟู่เสี่ยวกันกำลังเดินทางกลับมา เขาได้มาถึงเซวี่ยนโจวทางด้านทิศตะวันตกของเมืองเจียงหนาน

เขาเลือกเดินทางทางน้ำ ขึ้นเรือที่เซวี่ยนโจวล่องไปตามแม่น้ำแยงซี คาดว่าอีกสิบกว่าวันก็น่าจะถึงหลินเจียง

 

เดิมทีในคืนนี้ดวงจันทร์ลอยเด่น แต่ผ่านไปได้เพียงแค่ครึ่งค่อนคืนกลับมีเสียงฟ้าร้องคำราม หลังจากนั้นฝนก็ได้เทลงมา

ต่งชูหลานตื่นตั้งแต่ฟ้าสางดังเช่นทุกวัน ได้ยินเสียงสายฝนพรำด้านนอกจึงล้มตัวนอนลงบนเตียงอีกครา

หลายวันมานี้เหนื่อยเกินไปอย่างแท้จริง ฝนนี้คาดว่าคงจะตกไปอีกสักพัก นึกในใจว่าตนควรจะนอนต่ออีกสักหน่อย

รู้สึกง่วงอย่างอย่างแท้จริง แต่กลับนอนมิหลับทำได้เพียงพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง

ในที่สุดนางก็ยอมแพ้และลุกขึ้นมา หวีผมอยู่หน้ากระจกทองแดง เปิดประตูออก อากาศชุ่มชื้นระลอกหนึ่งพัดเข้ามากระทบกับใบหน้า และได้พัดพากลิ่นไอดินเข้ามาในจมูกของนาง นางรับรู้ได้ถึงความสดชื่นจากต้นไม้ใหญ่ภายในลานบ้าน ช่างสดชื่นมากยิ่งนัก

ต่งชูหลานยืนพิงกำแพงมองดูพายุฝนที่กระหน่ำเทลงมา ดูละอองไอน้ำที่สาดกระเซ็นเป็นฝอยเล็ก ๆ ฉับพลันนึกถึงฟู่เอ้อร์ต้ายที่ฟู่เสี่ยวกวนให้ความสำคัญเป็นอย่างมากขึ้นมาได้

วันนี้เป็นวันที่สองของเดือนแปด ต้นข้าวใกล้จะเก็บเกี่ยวได้แล้ว

ต่งชูหลานเคยไปนาข้าวแห่งนั้น ข้าวในนาเติบโตได้เป็นอย่างดีจากการดูแลเอาใจใส่ของหวางเอ้อกับหวางเฉียง

หวางเฉียงบอกว่าทั้งหมดนี้คือฟู่เอ้อร์ต้ายที่คุณชายกล่าวถึง

ต่งชูหลานมิเข้าใจเท่าใดนัก หวางเอ้อดึงรวงข้าวในนาที่อยู่ติดกันเข้ามา เมื่อนำสองรวงมาเทียบกัน ต่งชูหลานถึงได้เข้าใจว่า รวงข้าวฟู่เอ้อร์ไต้นี้ทั้งยาวใหญ่ และทั้งอวบอิ่มกว่าอีกรวง

บนใบหน้าของหวางเอ้อเต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น เขาบอกว่าปีหน้า ปีหน้านี้เมล็ดพันธุ์ฟู่เอ้อร์ไต้ก็จะเพียงพอที่จะเพาะปลูกครอบคลุมทั้งซีซาน ความหมายของคุณชายคือต่อจากนี้ไป ไร่นาทุกหนแห่งในซีซาน จะทำเพียงอย่างเดียวคือการเพาะพันธุ์ !

ปีหน้าก็คือฟูซานต้าย หลังจากนั้นเมล็ดพันธุ์เหล่านี้จะถูกปลูกบนผืนปฐพีทั้งหมดของราชวงศ์หยู จากนี้ไปผลผลิตธัญพืชจะเพิ่มขึ้นจากเดิมอย่างน้อยถึงสองเท่า!

ต่งชูหลานที่พิงกำแพงมองดูฝนพรำยิ้มออกมา

ราวกับว่าบัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังอยู่ข้างกาย

เขาเป็นผู้ชายที่น่าทึ่งอย่างแท้จริง !

เขาเป็นผู้ชายของข้า !

รอยยิ้มบนใบหน้าค่อย ๆ หุบลง ผู้ชายของข้า บัดนี้เจ้าอยู่ที่ใดกัน ?

ฟู่เอ้อร์ต้ายกำลังจะเก็บเกี่ยวในอีกมิช้า หากถูกพายุฝนนี้ทำให้เสียหายแล้ว ในเมื่อเจ้ามิอยู่ เยี่ยงนั้นข้าจะไปดูแลแทนเจ้าเอง

ต่งชูหลานหมุนตัวลงบันได ไปที่ห้องชั้นล่างนางสวมเสื้อกันฝนและผ้าคลุมแล้วเดินออกไปท่ามกลางสายฝน ชุนซิ่วที่กำลังตะลึงอยู่รีบร้อนตามออกไปทันที

……

ต่งชูหลานและชุนซิ่วข้ามคลองน้ำใสมาแล้ว คนหนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าอีกคนอยู่ด้านหลังมา พวกนางได้มาถึงข้างแปลงนาแล้ว กลับเห็นว่าหวางเอ้อและหวางเฉียงกำลังยุ่งอยู่กับอะไรสักอย่าง

พวกนางเดินเข้าไป หวางเอ้อหันมามองอย่างตกใจ และเอ่ยขึ้นอย่างรีบร้อน  คุณหนูต่งรีบกลับไปเถิด ฝนตกหนักเป็นอย่างมาก คุณหนูอย่าได้ออกมาตากลมหนาวเลยขอรับประเดี๋ยวจะกลายเป็นหวัด โปรดวางใจ ที่นี่มีพวกเราสองพ่อลูกคอยปกป้อง ย่อมมิเกิดปัญหาขึ้นอย่างแน่นอน 

ต่งชูหลานยิ้ม  ข้ามิใช่คนสูงส่งเยี่ยงที่พวกเจ้าคิดหรอก เรื่องใดที่คุณชายสามารถทำได้ ข้าก็ต้องสามารถทำได้เช่นกัน 

ต่งชูหลานกวาดตามองนาแปลงนี้  ยามนี้คุณชายยังมิกลับมา ที่นี่เป็นความทุ่มเทของเขา ข้ามิอาจวางใจแล้วอยู่นิ่งเฉยได้ พวกเจ้าขุดคันนานี้เพราะเหตุใดกัน ?  

หวางเอ้อยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำฝนบนใบหน้า พร้อมกับกล่าวว่า  คุณหนูต่ง ฝนครานี้คาดว่าคงจะตกไปอีกสักพัก ต้องปล่อยน้ำที่อยู่ในนานี้ไปเสีย มิเช่นนั้นหากต้นข้าวล้มลงจมน้ำจะมิใช่การดีขอรับ 

 อ่า…  ต่งซูหลายพยักหน้าราวกับเข้าใจความหมายเป็นอย่างดี หลังจากนั้นนางจึงถอดรองเท้าออกแล้วพับขากางเกง ชุนซิ่วรีบร้อนเข้าไปดึงนางเอาไว้  คุณหนูต่ง มิได้เจ้าค่ะ !  

 เหตุใดถึงมิได้กัน ข้าบอกเจ้าแล้ว เรื่องที่เขาทำได้ข้าก็ทำได้เช่นกัน แม้อาจทำได้มิดีเท่าเขา 

ชุนซิ่ว หวางเอ้อ และหวางเฉียงมองนางอย่างตกตะลึง ยิ่งกว่านั้นเห็นว่าขาที่เปลือยเปล่าของคุณหนูต่งได้ย่ำลงไปในนาเสียแล้ว

ต่งชูหลานประคองรวงข้าวที่โดนฝนพัดจนล้มด้วยท่าทางงุ่มง่าม แต่นางกลับทำอย่างอดทนมิย่อท้อ

รอบดวงตาของชุนซิ่วเปลี่ยนเป็นสีแดงทันพลัน หยดน้ำตาไหลออกมามิหยุด

ชุนซิ่วเองก็ถอดรองเท้าถุงเท้าออกแล้ว ลงมาที่นาเช่นกัน ทำทุกอย่างเหมือนที่คุณหนูต่งกำลังทำ

ทั้งชีวิตนี้ของต่งชูหลานนี่ถือว่าเป็นการลงนาคราแรก

ในใจของนางรู้สึกสงบเป็นอย่างมาก รู้สึกว่านี่ก็คือเรื่องที่ตนควรจะทำ เพราะในใจของต่งชูหลานหวนนึกไปถึงเมื่อปีที่แล้วกลางพายุฝนฟู่เสี่ยวกวนเองก็ลงไปในนาเยี่ยงนี้เช่นกัน

เขากล่าวว่าผู้คนมิอาจแบ่งฐานะสูงต่ำได้ เขากล่าวว่าชาวไร่ชาวนาเหล่านี้คือกระดูกสันหลังของผู้คนทั้งใต้หล้า

เขากล่าวได้ถูกต้อง ดังเช่นหวางเอ้อกับหวางเฉียงพวกเขาเป็นชาวนาที่เรียบง่าย ที่เลี้ยงหล่อเลี้ยงชีวิตผู้คนนับพันนับหมื่นของราชวงศ์หยู

ต่งชูหลานขลุกอยู่กับหน้าที่เบื้องหน้าจึงมิได้สังเกตเห็นว่าชาวนาหลายคนก็ได้ทยอยมาที่ผืนนาแห่งนี้

พวกเขาเกือบทั้งหมดล้วนแต่เป็นคนในหมู่บ้านหวังเจียชุน พวกเขาล้วนได้รับบุญคุณจากคุณชายมาอย่างล้นหลาม ยามนี้คาดมิถึงว่าคุณหนูต่งจะอยู่บนผืนนานี้ท่ามกลางพายุฝนเช่นนี้ เหมือนกับเป็นการตบหน้าของพวกเขาดังฉาดใหญ่ !

นาผืนนี้คุณชายทุ่มเทแรงกายและแรงใจเป็นอย่างมาก เป็นความหวังของซีซาน คาดมิถึงว่าตนนั้นจะมาช้าเสียยิ่งกว่าคุณหนูต่งเสียอีก เช่นนี้จะมีหน้าไปพบคุณชายได้เยี่ยงไรกัน !

ต้นข้าวที่ล้มลงมีมิมากนัก ต่งชูหลานรู้สึกปวดเมื่อยที่เอวเมื่อยืดตัวขึ้น ถึงได้พบว่าผืนนาแห่งนี้มีชาวนาอยู่สิบกว่าคน

หวางเอ้อส่งสายตาให้กับชุนซิ่ว ชุนซิ่วพยุงต่งชูหลานพร้อมกับกล่าวว่า  คุณหนูต่งเจ้าคะ คุณหนูโปรดดูเถิด งานนี้ถือว่าลุล่วงแล้ว ไปกันเถอะเจ้าค่ะ 

 อือ… 

ยามที่ต่งชูหลานเดินไปยังคันนา ท่ามกลางพายุฝนก็ได้มีอีกสองคนเดินเข้ามา

พวกเขามิใช่คนในหมู่บ้านหวังเจียชุน นึกมิถึงว่าหนึ่งในนั้นจะเป็นนายอำเภอเขตเหยาเยี่ยนซีเหวิน !

ขณะนี้เยี่ยนซีเหวินได้อยู่ข้างนาแล้ว เขามองเงาที่รู้สึกคุ้นเคยอย่างสับสน ขยี้ตาอย่างมิเชื่อสายตา ต่งชูหลานเงยหน้าขึ้นมาพอดี เขาเห็นใบหน้าที่สงบนิ่งใต้หมวกนั่นแล้ว !

ต่งชูหลานรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างคิดมิถึงว่าเยี่ยนซีเหวินจะมา เดิมทีตั้งใจว่าอีกสองวันจะไปที่เขตเหยาเพื่อพบเขา

ต่งชูหลานแย้มรอยยิ้มบนหน้า ขึ้นมาบนคันนา  อะไรกัน ? ลมหรือพายุอันใดที่พัดเอานายอำเภอเยี่ยนมาถึงที่นี่ได้ ?  

เยี่ยนซีเหวินหัวเราะแล้วส่ายหัว  ผัวหาบเมียคอนเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 เจ้ามิต้องเอ่ยแล้ว เจ้านี่มันจริง ๆ เลย !  

ต่งชูหลานเดินไปยังแอ่งน้ำขังเล็ก ๆ ข้างนาแล้วก็ล้างเท้า ใส่รองเท้าถุงเท้าทั้งเปียก ๆ อย่างนั้น จากนั้นหันไปกำชับหวางเอ้ออีกหนึ่งประโยค  ที่นี่ต้องฝากไว้กับพวกเจ้าแล้ว… 

หวางเอ้อตอบกลับทันที  คุณหนูต่งอย่าได้กล่าวเช่นนี้ นี่เป็นหน้าที่ของพวกข้าอยู่แล้วขอรับ 

 มีสหายมาจากแดนไกล ข้าขอตัวกลับก่อน หากเกิดเหตุขัดข้องอันใดเจ้าจงรีบมาบอกกับข้าที่เรือน 

ต่งซูหลานเดินนำหน้า เยี่ยนซีเหวินตามอยู่ด้านหลัง ด้านหลังของเยี่ยนซีเหวินมีอาจารย์ท่านหนึ่ง ปีที่แล้วในตอนที่เขารับตำแหน่งก็ได้มอบตำแหน่งพ่อบ้านและที่ปรึกษากับเขา

เยี่ยนซีเหวินมองดูแผ่นหลังของต่งชูหลานพลางคิดไปต่าง ๆ นา ๆ นี่คือสตรีที่มากความสามารถและเป็นสาวงามแห่งจินหลิง เดิมทีควรเป็นดังเช่นนกในกรงทอง แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับนำพาชีวิตของนางให้ผิดเพี้ยนไป คาดมิถึงว่านางจะกล้าลงนาใช้ชีวิตเยี่ยงชาวนา หากนำเรื่องนี้ไปบอกกล่าวแก่คุณชายคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ในจินหลิน เหล่าบัณฑิตที่สูงส่งเหล่านั้น พวกเขาจะต้องมิเชื่อเป็นแน่

ตนได้มาอยู่ที่นี่เป็นเวลาใกล้จะหนึ่งปีแล้ว เขาถูกเคี่ยวกรำเสียจนแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากน้ำในพื้นที่ทางการมีความขุ่นมากเกินไป และเพราะเขาอยากจะทำให้สำเร็จ

ต่งชูหลานลงนาเยี่ยงนั้นหรือ…

เกรงว่านางกำลังทำการแสดง ? แต่ต่งชูหลานมิได้เป็นคนเยี่ยงนั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่านางอยากทำหน้าที่ภรรยาของเจ้าของที่ดิน ?

 

ตอนที่ 391 ซีซานโฉมใหม่

ณ หลินเจียง เรือนซีซาน

ต่งชูหลานมาถึงที่นี่ได้ 15 วันแล้ว

ต่งชูหลานได้ไปยังแปลงนาเหล่านั้นแล้ว และได้พบกับผู้เช่าแปลงนาแทบจะทุกคนแล้ว อีกทั้งยังได้กินอาหารที่จวนของหวางเอ้อหนึ่งมื้ออีกด้วย

นางได้ไปดูสิ่งที่เรียกว่ามันเทศ สิ่งนี้เติบโตได้เป็นอย่างดี เลื้อยไปตามพื้นธรณี หวางเอ้อสงสัยมาตลอดว่าในท้ายที่สุดมันจะโตออกมาเป็นแบบไหนกัน จะได้ผลผลิตมากเยี่ยงที่คุณชายได้เขียนเอาไว้ในจดหมายหรือไม่

ชุนซิ่วนำมันเทศนั่นกลับมาหนึ่งกระสอบ เขาได้เพาะปลูกต้นกล้าตามวิธีที่ฟู่เสี่ยวกวนเขียนเอาไว้ หลังจากนั้นก็พบว่าเมื่อปักต้นกล้าลงไป คาดมิถึงว่าจะสามารถปักได้เต็มพื้นที่สิบกว่าหมู่ !

คุณชายได้ฝากข้อความไว้กับชุนซิ่วว่า หากปลูกพืชชนิดนี้มันจะสามารถช่วยเพิ่มรายได้ให้กับพวกเขา หากพืชชนิดนี้ให้ผลผลิตมิมาก หรือผลที่งอกออกมามิได้คุณภาพ คุณชายจะมิขาดทุนเยี่ยงนั้นหรือ ?

ดังนั้นเขาจึงต้องดูแลมันเทศสิบกว่าสิบหมู่นี้ให้ดีที่สุด แน่นอนว่าเพื่อหลังจากที่คุณชายกลับมาเห็นแล้ว คุณชายจะต้องพอใจกับมันอย่างแน่นอน

คุณหนูต่งมาครานี้นางได้บอกว่าคุณชายยุ่งเป็นอย่างมาก มิสามารถปลีกตัวมาได้ ทุกคนที่อยู่ซีซานได้ยินเรื่องเช่นนี้เข้าจึงเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ มีเพียงแค่ชุนซิ่วที่ในใจกลับรู้สึกมิสบายใจอย่างบอกมิถูก

นางอยากจะเอ่ยถามคุณหนูต่ง แต่นางก็รู้กฎเป็นอย่างดี คุณหนูต่งเป็นคนที่จริงจังเป็นอย่างมาก ในเมื่อคุณหนูบอกว่าคุณชายยุ่งเป็นอย่างมาก แล้วนางยังจะไปเอ่ยถามอันใดได้อีกกัน

ความมิสบายใจของชุนซิ่วนั้นมาจากบานหน้าต่างในทุกราตรีของคุณหนูต่งบานนั้น

คุณหนูต่งพักอาศัยอยู่ในห้องของคุณชาย โคมไฟด้านหน้าบานหน้าต่างนั้นถูกดับลงในเวลาที่ดึกมากแล้ว

เป็นเพราะคุณนายหนูต่งกำลังนั่งดูรายการบัญชีเหล่านั้น เวลาที่ชุนซิ่วไปเก็บกวาดห้องของคุณหนูต่ง นางก็จะเห็นร่องรอยของน้ำตาบนสมุดบัญชีเหล่านั้นได้อย่างชัดเจน

จนถึงบัดนี้ก็ยังไรซึ่งวี่แววของคุณชาย ยิ่งคุณหนูต่งร้องไห้…ชุนซิ่วก็ยิ่งรู้สึกใจคอมิดีเท่าใดนัก ขออย่าให้มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นกับคุณชายด้วยเถอะ !

วันที่สองคุณหนูต่งตื่นแต่ย่ำรุ่งอีกเช่นเคย นางเดินเข้า ๆ ออก ๆ อยู่ในเรือนราวกับไร้จุดหมาย แต่ชุนซิ่วกลับพบความลับในการกระทำของนาง เส้นทางนั้นคือเส้นทางเดียวกับที่แต่ก่อนคุณชายใช้ออกกำลังกายในยามเช้า

หรือว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับคุณชายอย่างแท้จริง ?

ตกดึก ชุนซิ่วทอดสายตามองไปยังหน้าต่างชั้นสองที่บัดนี้แสงไฟยังคงส่องสว่างอยู่ คิดไปคิดมาจึงเดินตรงไปที่ห้องครัว

คุณหนูต่งแม้ว่านางจะเพิ่งมาอยู่ที่นี่เพียงแค่ครึ่งเดือนเท่านั้น แต่กลับซูบผอมลงไปมากจึงต้องทำมื้อดึกให้คุณหนูเสียหน่อย บัดนี้ราวกับว่าตนเองนั้นมีความเกียจคร้านอยู่บ้าง แต่ทำเยี่ยงนี้มิได้ ชุนซิ่วลอบเตือนตนเองว่า จะต้องปรนนิติคุณหนูต่งให้เหมือนกับก่อนที่คุณชายจะเดินทางไปถึงจะใช้ได้

ต่งชูหลานนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะเขียนอักษรใต้หน้าต่าง

แท้ที่จริงแล้วนางกำลังดูสมุดบัญชีของซีซาน

ข้าวสาลีของปีนี้เก็บเข้ายุ้งฉางหมดแล้ว หักลบภาษี การเก็บเกี่ยวมิได้แตกต่างจากปีที่แล้วมากเท่าใดนัก

ข้าวสาลีเหล่านี้ต่งชูหลานมิได้จะเอาไว้ขาย ถึงแม้พ่อค้าธัญพืชรายใหญ่สามรายจะมาหาถึงสองครา แต่นางก็ได้ปฏิเสธไปเพราะของสิ่งนี้สามารถเอามากลั่นเหล้าได้ !

อีกทั้งราคาเหล้าของซีซานสูงกว่ากำไรจากการขายข้าวสาลีอยู่มากโข

ต่งชูหลานเคยไปโรงกลั่นสุราซานซี และยังเคยไปยังโรงกลั่นน้ำหอม โรงงานผลิตสบู่และโรงงานผลิตกระดาษ แล้วยังได้ทำอีกหนึ่งสิ่งคือนำคนงานทั้งหมดของทุกโรงงานมาเป็นคนของจวนฟู่ !

แน่นอนว่าค่าตอบแทนที่ให้กับคนงานเหล่านั้นคือค่าจ้างที่สูงขึ้น และอนุญาตให้ลูกหลานของพวกเขาได้เรียนหนังสือที่สำนักศึกษาซีซาน

สำนักศึกษาซีซานเปิดทำการขึ้นเมื่อต้นปี อาจารย์ในสำนักเหล่านั้นล้วนสอนตามอัตภาพ อาจารย์ที่เชิญมาสอนล้วนแต่เป็นผู้คนในซีซานที่พอจะรู้ตัวอักษรเท่านั้น !

ต่งชูหลานเห็นว่าที่นี่ทำได้เพียงแค่สอนเด็กเหล่านั้นให้พอรู้ตัวอักษรได้เท่านั้น ยังห่างไกลจากสำนักศึกษาที่แท้จริงมากนัก และยังห่างไกลจากเป้าหมายที่ฟู่เสี่ยวกวนต้องการให้เป็นอยู่มากโข

ดังนั้นเขาจึงเขียนจดหมายให้กับอาจารย์ฉินหนึ่งฉบับ มิได้เพื่อเชิญอาจารย์ฉินมาที่นี่เพื่อสอนเด็กเหล่านั้น แต่เพื่อขอให้อาจารย์ฉินช่วยหาอาจารย์ที่เก่งสักหน่อยมาสอน แน่นอนว่าย่อมให้ค่าตอบแทนสูงกว่าที่จินหลิง

ตระกูลฟู่มิได้คลาดแคลนเงินทอง !

หลังจากที่กลับมาจากแคว้นอู๋ ฮองเฮาซั่งก็ได้เรียกต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินไปที่วังเตี๋ยอี๋และนำเงินที่ได้จากการทำการค้าทั้งหมดมาให้พวกเขาด้วยหัตถ์ของพระนางเอง เงินจำนวนนั้นนับว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาล

ต่งชูหลานยังมิมีเวลาไปเยือนเขตเหยาแต่ดูจากสมุดบัญชีแล้ว รายจ่ายของเขตเหยาสูงเป็นอย่างมาก นั่นหมายความว่าแผนการก่อสร้างโรงงานนั้นคงจะสำเร็จแล้ว

คาดว่าวันเริ่มก่อสร้างก็ใกล้เข้ามาแล้ว คงจะต้องหาเวลาไปดูเสียหน่อย

แม้นายอำเภอของเขตเหยาคนปัจจุบันคือเยี่ยนซีเหวิน แต่ต่งชูหลานยังคงรู้สึกว่าต้องไปดูให้เห็นกับตาถึงจะสามารถวางใจได้

ภูเขาเฟิ่งหลินก็ยังมิเคยไปเลยสักครา

ความเข้าใจที่ต่งชูหลานมีต่อภูเขาเฟิ่งหลินจากการมองผ่านบัญชีเท่านั้น

ที่แห่งนั้นเต็มไปด้วยเงินจำนวนมาก และยังเป็นเพียงสถานที่แห่งเดียวที่ผลิตปืนใหญ่หงอี

ฟู่เสี่ยวกวนเคยบอกกับนางว่า ภูเขาเฟิ่งหลินนั้นมิต้องสนใจผลผลิต มันมีความสำคัญมากกว่านั้นมากโข ต่งชูหลานมิรู้ว่าแท้ที่จริงมันมีความสำคัญเยี่ยงไร จนกระทั่งได้พบกับฉินเฉิงเย่ที่ศูนย์วิจัยซีซาน ต่งชูหลานถึงได้เข้าใจว่าเหล็กที่ภูเขาเฟิ่งหลินมิมีผู้ใดเทียบเคียงได้ในใต้หล้านี้ !

โรงหลอมโลหะของราชวงศ์อู๋นับว่ายอดเยี่ยมมากที่สุด แต่เหล็กของภูเขาเฟิ่งหลินนั้นฉินเฉิงเย่กล้ายืดอกรับประกันกับต่งชูหลานว่าดีกว่าของราชวงศ์อู๋อยู่สองในสิบส่วน !

ดังนั้นปืนใหญ่หงอีจึงมิระเบิดออก และมิว่าจะทำเยี่ยงไรกรมอุตสาหกรรมก็มิสามารถไขปัญหานี้ได้

ฉินเฉิงเย่ยังบอกอีกว่าภูเขาเฟิ่งหลินมิเพียงแต่เป็นที่ผลิตปืนใหญ่เท่านั้น อีกทั้งยังเป็นที่ผลิตอาวุธสงคราม หมวกเหล็กและชุดเกราะอีกด้วย

เวลานี้ต่งชูหลานถึงได้รู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนมีหน่วยปราบปรามถึง 4,000 นาย ตามที่ฉินเฉิงเย่กล่าวมานั้นหน่วยปราบปรามนี้มิมีกองกำลังใดเทียบเคียงได้อย่างแท้จริง !

พวกเขามีชุดเกราะแข็งแกร่งและดาบ ถึงแม้ว่าบัดนี้จะขาดเพียงแค่ปืนไฟเท่านั้น

ของสิ่งนี้ได้ผ่านการทดสอบมานับร้อยครา บัดนี้เหลืออีกเพียงมิกี่ขั้นตอนในการสรุปผลจากนั้นก็จะสามารถผลิตออกมาจำนวนมากได้

โรงงานผลิตปืนไฟในภูเขาเฟิ่งหลินได้สร้างขึ้นมาเสร็จแล้ว รอเพียงแค่แบบร่างที่สมบูรณ์จากศูนย์วิจัยซีซานก็จะสามารถเริ่มผลิตได้ทันที

ดังนั้น…ฟู่เสี่ยวกวนสร้างของเหล่านี้ขึ้นมาเขาคิดจะทำอันใดกันแน่ ?

ต่งชูหลานเงยหน้ามองไปยังแสงจันทร์ที่ส่องสว่างนอกหน้าต่าง ในใจพลางคิดว่าหากเขาอยู่ที่นี่ หากเขาได้รู้ข่าวคราวตอนนี้ที่ซีซาน เขาจะต้องดีใจมากเป็นแน่

เขาเคยกล่าวกับนางว่าเขาจะต้องไปปราบกองโจรที่ผิงหลิง

ตอนที่เขาสนทนากับหยูชุนชิวเรื่องการรบบนพื้นที่ภูเขา แต่ก่อนนางฟังมิเข้าใจเลยสักนิด แต่บัดนี้ดูเหมือนว่าเขาจะวางแผนทั้งหมดไว้เนิ่นนานแล้ว

เดือนห้าเมื่อปีที่แล้ว ณ เรือนซีซานแห่งนี้ เป็นคราแรกที่ตนเองได้จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างจริงจัง

บัดนี้ผ่านมาหนึ่งปีกับอีกสามเดือนแล้ว ความเข้าใจของตนที่มีต่อเขาราวกับยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น

ความศรัทธาที่ฉินเฉิงเย่มีต่อเขาคือความเลื่อมใสอย่างแท้จริง ผู้เช่าแปลงนาทุกคนของจวนฟู่ต่างก็เคารพเขาเป็นอย่างมาก ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงบทกวีบทความเหล่านั้นของเขาที่วัดหานหลิงที่บัดนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งใต้หล้าเสียเนิ่นนานแล้ว ผู้คนในราชวงศ์หยูต่างก็ยกย่องเขาเป็นอย่างมาก

แต่…เขาอยู่ใดกัน ?

เจ้าไปอยู่ที่ใดกัน ?

จะดีเพียงใดถ้าหากเจ้ามิได้ไปแคว้นอู๋ตั้งแต่แรก ?

พวกเราคงจะได้แต่งงานกันแล้ว มิแน่ว่าอาจจะตั้งครรภ์ไปแล้วด้วย

วันที่เจ้าออกว่าราชการ ทุกวันข้าได้จัดเตรียมอาภรณ์ให้กับเจ้า และทำอาหารรอเจ้ากลับมา มันจะดีงามถึงเพียงใดกัน !

น้ำตาของต่งชูหลานไม่อาจสะกดกลั้นไว้ได้อีกต่อไป ชุนซิ่วถือไข่ลวกหนึ่งชามเดินเข้ามาพอดี

 …คุณหนูต่ง !  

 อ่า ข้ามิเป็นไร เพียงแค่คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาเท่านั้น 

 คุณหนูต่งเชิญทานของว่างก่อนเถิดเจ้าค่ะ 

 ชุนซิ่ว 

 เจ้าคะ 

 เจ้าคิดถึงคุณชายของเจ้าหรือไม่ ?  

 …บ่าวมิกล้าเจ้าค่ะ !  

 

เมื่อแสงสุริยาได้สาดส่องลงมาสู่พื้นธรณีของเช้าวันใหม่ กระท่อมหลังคามุงจากที่กลางเขาหลังนี้ได้ส่งควันลอยโขมงขึ้นมา

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ไปออกกำลังกายแต่อย่างใด เขากำลังจัดแจงมื้อเช้าอยู่ในครัว

เขาต้มโจ๊ก แล้วก็นึ่งหมั่นโถวสองสามลูก จากนั้นก็ทำไข่ดาวอีกสามฟอง ไม่สิ แค่สองฟองเพราะเซี้ยวเซี้ยวอยากกินไข่ต้มน้ำ

เขาจัดแจงอาหารเช้าด้วยความช่ำชอง เขาไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าหยุนเหนียงได้เฝ้ามองเขาอยู่ที่ประตูห้องครัว และนางได้ยืนมองเขาด้วยความตั้งใจ

นี่เป็นคราแรกที่ฟู่เสี่ยวกวนเข้าครัวตั้งแต่เขามาอยู่ที่นี่เป็นเวลาสามเดือน แต่ทว่าท่าทางของเขานั้นมิได้ดูอ่อนหัดเลยแม้แต่น้อย ทว่ากลับดูลื่นไหลและงดงามราวกับว่าเขาเข้าครัวเป็นประจำ

นี่เขาเป็นคุณชายของตระกูลใหญ่ใช่หรือไม่ !

เขาดูมิเหมือนนักวรรณกรรมเลยเสียทีเดียว

แต่เหตุใดองค์จักรพรรดินีจึงอยากได้เชื้อเขาไปมากยิ่งนัก ?

หยุนเหนียงพยายามคิดเช่นไรก็คิดไม่ออก นางคิดออกเพียงแค่ว่าชายผู้นี้อาจจะมีคุณสมบัติพิเศษบางอย่างที่นางยังมิรู้

นางจึงเดินเข้าไป ฟู่เสี่ยวกวนเองก็หันมามองเธอ จากนั้นเขาจึงส่งยิ้มให้แล้วสนทนากันราวกับสามีภรรยาที่สนิทสนมกันมาช้านาน  ตื่นแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ข้าคิดว่าเลี้ยงดูลูกมิใช่เรื่องง่ายเลย เจ้านอนต่ออีกหน่อยเถิด เรื่องงานครัวนี้ข้าถนัด ข้าจะปรุงมื้อเช้าให้เจ้าและเซี้ยวเซี้ยวเอง 

 เจ้าจะไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 อ่า อีกประเดี๋ยวกินมื้อเช้าเสร็จแล้วก็คงจะได้เวลาออกเดินทางแล้ว หากเซี้ยวเซี้ยวยังมิตื่นก็อย่าได้ปลุกนางล่ะ เพื่อเลี่ยงมิให้นางต้องรู้สึกเสียใจ 

หยุนเหนียงเดินเข้าไปแล้วนั่งลงผิงไฟหน้าเตา จากนั้นนางจึงได้เอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา  เสื้อผ้าของเจ้าขาดวิ่นหมดแล้ว จะเย็บก็ซ่อมแซมมิได้ ข้าเลยซื้อชุดใหม่มาให้เจ้าสองชุด อีกอย่างอย่าลืมของของเจ้าที่วางอยู่ในตู้หลังประตูเชียวล่ะ อีกประเดี๋ยวข้าจะแบ่งเงินให้เจ้าเพื่อเป็นค่าเดินทาง… 

ไฟร้อนจากเตาได้ส่องกระทบใบหน้าของหยุนเหนียงทำให้หน้าของนางเป็นสีแดง นางคิดไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงได้เอ่ยถามต่อ  แคว้นหยูนั้นอยู่ห่างไกลไปราว 3,000 ลี้ เจ้าเข้าไปในเมืองเพื่อที่จะหาคาราวานสินค้าติดตามไปย่อมมิดีกว่าหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนใช้มือนวดแป้ง แล้วยิ้มตอบ  อย่าว่าแต่ในเมืองเลย แม้แต่ในตัวอำเภอข้าก็เกรงว่าจะมิมีคาราวานสินค้าไปแคว้นหยูน่ะสิ หยุนเหนียง… 

 หือ… ?  

 ที่นี่ห่างจากเมืองฝานหนิงไกลเท่าใด ?  

 ราวร้อยลี้ 

 อ่า…เยี่ยงนั้นก็มิได้ไกลมากนัก 

ฟู่เสี่ยวกวนได้ก้มหน้าลงนวดแป้งต่อไป หยุนเหนียงนั้นต้องการจะหาซื้อม้าให้เขาสักตัว แต่สภาพนางที่พักในกระท่อมหลังคามุงจากเช่นนี้ จะไปมีปัญญาหาตั๋วแลกเงินเป็นร้อยตำลึงได้เยี่ยงไรกัน ?

ดังนั้นนางจึงล้มเลิกความคิดนี้ไป ทำได้เพียงให้เงินติดตัวเขาไปเพียงหยิบมือ เขาเป็นชายอกสามศอก คงมิอดตายระหว่างทางหรอก !

เมื่อข้าวสุก และแป้งหมั่นโถวได้ถูกนึ่งจนสุกพอดี ตอนนั้นสุริยาก็ได้เริ่มสาดแสงลงมามากแล้ว มีเสียงไก่ขันดังแว่วมาจากตอนล่างของหมู่บ้าน แน่นอนว่าเซี้ยวเซี้ยวยังคงหลับใหลอยู่

ฟู่เสี่ยวกวนและหยุนเหนียงได้นั่งมื้อเช้าที่โต๊ะกันอย่างเงียบเชียบ หยุนเหนียงจัดการเก็บเครื่องครัวจานชามต่าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวนได้ย่องเข้าไปยังห้องของหยุนเหนียงเพื่อมองหน้าเซี้ยวเซี้ยว จากนั้นจึงพรมจูบบนใบหน้าน้อย ๆ นั่นอย่างแผ่วเบา แล้วจึงเดินออกไปยังห้องของตน

บนเตียงนั้นมีชุดผ้าปอแขนสั้นสะอาดสะอ้าน และมีเสื้อคลุมผ่ากลางอีกหนึ่งตัววางไว้อยู่

เขาเปิดตู้นั้นออกแล้วนำของส่วนตัวออกมา จริง ๆ แล้วนั้นมีเพียงแค่สองอย่าง ก็คือปืนหนึ่งกระบอกกับตราหยกดำประจำราชวงศ์อู๋

เพราะวันนั้นเป็นพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์ เลยทำให้เขามิได้พกเงินติดตัวเลยแม้แต่อีแปะเดียว

เขาเปลี่ยนมาใส่ชุดแขนสั้นแล้วนำสิ่งของที่เหลือยัดใส่เสื้อคลุม แล้วจึงเดินไปหยุดอยู่ที่ประตู เขาหันมามองกระท่อมหลังนี้ที่เป็นที่พักพิงต่อของเขาตลอดสามเดือนที่ผ่านมา แล้วจึงได้ฉีกยิ้มออกมา

บ้านน้อยแสนซอมซ่อ มีเพียงคุณธรรมข้าเลื่องลือ

แท้ที่จริงนั้นเรือนซอมซ่อแห่งนี้อยู่แล้วก็มิได้สุขสบายแต่อย่างใด

จะเอ่ยเช่นนี้ออกมาก็รู้สึกว่าขัดต่อความรู้สึกของตนเสียจริง ๆ

เมื่อเขาเดินไปถึงประตูของกระท่อม หยุนเหนียงก็ได้หยุดยืนอยู่ตรงนั้นพอดี นางให้เงินฟู่เสี่ยวกวนติดตัวไปสามตำลึง  นี่มันยังน้อยเกินไป ระหว่างทางเจ้าจงคิดวิธีหาเงินเสีย 

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้อ้อยอิ่งใด ๆ เขารับมันมา จากนั้นก็ชี้ไปยังแปลงนาด้านหน้า  หากเจ้าต้องการจะย้ายก็จงรีบทำ อย่าได้เสียดายแล้วเสียเวลารอพืชผลเหล่านั้น ปีนี้ดูท่าจะมิราบรื่นเท่าใดนัก หากเจ้าพอมีเงินเหลือก็จงไปซื้อข้าวและอาหารมากักตุนไว้เสีย เกรงว่าต่อไปราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน 

 อือ… 

 อีกอย่างเจ้าจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเจ้าจะย้ายไปที่ใด เมื่อข้าได้กลับถึงแคว้นหยูอย่างปลอดภัยแล้ว ข้าจะได้ส่งคนมาดูแลเจ้าและเซี้ยวเซี้ยว 

ถ้าหากยึดตามพระประสงค์ขององค์จักรพรรดินีแล้ว นางมิบังควรบอกฟู่เอ้อร์ไต้ว่านางจะย้ายไปลงหลักปักฐานที่ใด แต่หยุนเหนียงได้เห็นแก่ความสัมพันธ์พ่อลูกตลอดสามเดือนที่เซี้ยวเซี้ยวได้มีต่อเขา นางจึงมิอาจห้ามใจได้และเปิดเผยความจริงออกไปในที่สุด

 ข้าอาจจะไปเมืองฝานหนิง เพราะข้ามีญาติอยู่ที่นั่น แม้ว่าพวกเขาจะช่วยเหลืออันใดข้ามิได้ แต่เยี่ยงไรเสียก็ยังดี…ที่ยังมีที่ให้ข้าย้ายไป 

 ก็ดี ข้าจะจำไว้ ขอบคุณสำหรับการดูแลของเจ้าตลอดเวลาที่ผ่านมา ลาก่อน !  

 อือ ลาก่อน !  

ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปตามทางเล็ก ๆ ของหมู่บ้าน หยุนเหนียงทำได้เพียงใช้สายตาส่งเขาไปยังที่แสนไกลเป็นพัน ๆ ลี้

……

ณ เมืองชายแดน

ยามมามีฝนแห่งวสันตฤดู ยามกลับมีความร้อนระอุคอยแผดเผา สิ่งเดียวที่ยังคงเหมือนเดิมทุกเมื่อเชื่อวันก็คือการมาเยือนของยามราตรี

ฟู่เสี่ยวกวนตรงไปยังตรอกเจ็ดก้าวในทันที ซูม่อและเยี่ยนถาวฮวาได้ไปยังสำนักเต๋านานแล้ว มิรู้ว่าบัดนี้ท่านปู่ของนางจะยังคงอยู่ที่ป่าท้ออยู่หรือไม่

เมื่อเขามาถึงป่าถ้อก็พบว่าลูกท้ออยู่ในสภาพที่มิสวยงามมากนัก แต่ละต้นมีลูกท้อเพียงแค่สี่ห้าลูกเท่านั้น ช่างดูบางตามากยิ่งนัก แต่ลูกท้อที่ร่วงหล่นบนพื้นนั้นมีอยู่มากโข นี่แสดงให้เห็นว่ามิมีผู้ใดมาดูแลเอาใจใส่มานานแล้ว สภาพก็เลยแปรเปลี่ยนมาเป็นดั่งที่เห็น

เขาเดินเข้าไปในป่าท้อ แล้วไปหยุดอยู่เบื้องหน้าของอาคารหลังเล็กนั่น

อาคารเล็กยังคงอยู่ ราวกับว่ามีไว้เพื่อต้อนรับการกลับมาของเจ้าของ

ศาลาที่เคยถูกซูม่อพังจนราบคาบนั้นได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ แต่ทว่ามีฝุ่นเกาะอยู่ในทุกอณูทั้งด้านในและด้านนอก

อาคารหลังน้อยนั้นก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน สิ่งที่มีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวเกรงว่าจะมีเพียงแค่นกนางแอ่นที่คอยส่งเสียงจิ๊บ ๆ อยู่ใต้หลังคา

ฟู่เสี่ยวกวนเดินขึ้นไปบนอาคารก็พบว่าประตูมิได้ล็อคเอาไว้ เขาผลักประตูเข้าไป จากนั้นฝุ่นก็ได้ตกลงมาจนเกิดควันโขมง

ด้านในมิได้ประดับประดาสิ่งใด พลางคิดไปว่าสตรีเยี่ยงเยี่ยนถาวฮวาคงมิเคยแม้แต่จะเก็บสถานที่แห่งนี้ไปใส่ใจ

เขาเดินเข้าไปในทุก ๆ ห้อง จากนั้นจึงเริ่มเก็บกวาดอาคารหลังนี้

เขาเข้าไปหยิบถังน้ำในครัว จากนั้นก็ออกไปที่บ่อน้ำริมศาลาเพื่อแบกน้ำกลับมาสองถัง แล้วได้นำผ้าขนหนูเก่า ๆ มาเช็ดฝุ่นตรงเสื่อไม้ไผ่เสียจนสะอาดสะอ้าน

จากนั้นก็ได้ทำการเก็บกวาดครัวและห้องโถง จนกระทั่งมืดค่ำ เขาจึงเดินขึ้นไปบนภูเขาหลังที่พักเพียงลำพัง

ด้วยเวลาเพียง 2 เค่อเขาก็ได้กลับมายังที่พัก พร้อมกับถือไก่ป่าหนึ่งตัวและกระต่ายป่าอีกสองตัวมาในมือ เดิมทีเขาคิดว่าน่าจะล่าแพะได้สักตัว แต่ทว่าเมื่อไปถึงเขากลับมิเจอขนแพะเลยสักเส้น

เขาจัดแจงอาหารป่าเหล่านี้ด้วยความเชี่ยวชาญ ครึ่งชั่วยามผ่านไป เขาได้เคลื่อนเก้าอี้สำหรับเอนนอนออกไปที่ศาลา แล้วใช้มีดด้ามหนึ่งหั่นไก่ป่ากินอย่างเอร็ดอร่อย

กว่าจะมาถึงที่นี่ได้ก็ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งเดือน

เขารับหน้าที่เป็นพ่อครัวที่เมืองฝานหนิงอยู่ราวห้าวันจึงได้เงินมาเพิ่มถึง 2 ตำลึง เจ้าของร้านเป็นคนใจกว้างมากยิ่งนัก แต่ก็มิรู้ว่าเขาชื่นชมในตัวฟู่เสี่ยวกวนหรือชื่นชมฝีมือในการทำอาหารของเขากันแน่

เขารับหน้าที่เป็นคนหาบเร่มาตลอดทาง และเคยรับหน้าที่เป็นองครักษ์ส่วนบุคคล อีกทั้งยังไปรับหน้าที่หมักเหล้าที่โรงหมักเหล้าอีกสามวัน

เมื่อมาถึงเขตชายแดนแห่งนี้เขาจึงมีเงินติดตัวเพิ่มมากขึ้นถึง 3 ตำลึง

เขารู้สึกภาคภูมิในตนเองเป็นอย่างมาก ที่สามารถหาเงินด้วยน้ำพักน้ำน้ำแรงของตนได้ในชาติภพนี้ เมื่อพบกับต่งชูหลานแล้วเขาจะมิมอบเงิน 6 ตำลึงนี้ให้กับพวกนางเป็นอันขาด

เมื่อนึกถึงต่งชูหลาน หยูเวิ่นหวิน และเยี่ยนเสี่ยวโหลว ก็ได้ทำให้เขาฉีกยิ้มออกมาด้วยความสุขใจ

พวกนางกำลังทำสิ่งใดอยู่กันนะ ?

พวกนางจะร้องไห้เสียใจเพราะเขาหรือไม่ ?

จะคำนึงถึงเขาผู้ที่ก็มิรู้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วหรือไม่ ?

เดิมทีเขาอยากพักต่อที่ริมชายแดนอีกสักสองสามวัน แต่เวลานี้เมื่อนึกถึงพวกนาง ทำให้ใจของเขาอยากกลับไปอยู่กับพวกนางโดยเร็วเสียแล้ว

 

ตอนที่ 389 สตรีผู้เข้มแข็ง

ณ จวนตระกูลฟู่ประจำเมืองหลวงแห่งแคว้นหยู

ในราตรีที่แสงจันทร์ส่องกระจ่าง ณ ศาลาที่พักเถาหรานได้มีโคมไฟส่องแสงสว่างไสว

ต่งชูหลาน หยูเวิ่นหวิน และเยี่ยนเสี่ยวโหลวพวกนางได้นั่งรวมกันอยู่ในศาลาแห่งนี้

มิมีผู้ใดจัดแจงต้มชา หรือแม้แต่วาจาก็หาได้มีผู้ใดอยากเปล่งออกมาไม่

พวกนางได้พำนักอยู่ที่เมืองกวนหยุนจนกระทั่งถึงปลายเดือนของเดือนห้า ทว่าก็มิได้ยินข่าวคราวใดของฟู่เสี่ยวกวนกลับมาเลยแม้แต่น้อย

ศพที่ถูกหิมะถล่มครานั้นล้วนแต่ถูกค้นเจอหมดแล้วทั้งสิ้น จักรพรรดิเหวินได้ลาลับสู่สวรรคาลัย ทว่ากลับมิมีผู้ที่ค้นเจอร่างไร้วิญญาณของฟู่เสี่ยวกวน บางคนได้เอ่ยว่าบางศพนั้นถูกหิมะกระแทกใส่เสียจนแหลกละเอียด จนยากที่จะบอกได้ว่าเป็นใคร ความหมายก็คือฟู่เสี่ยวกวนนั้นตายไปแล้วอย่างมิต้องสงสัย แต่ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินกลับมิยอมปักใจเชื่อ

บัดนี้ศิษย์พี่แห่งสำนักเต๋าไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ย ศิษย์พี่สามซูโหรวหรือศิษย์พี่หกซูซูเองก็ยังคงยืนหยัดปักหลักอยู่ที่เกิดเหตุ เพราะซูเจวี๋ยเชื่ออย่างหนักแน่นว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นยังมิตาย เหตุนี้เป็นเพราะว่าเมื่อค้นหาซากสิ่งของทั้งหลายที่หลงเหลือนั้น เขายังมิพบของวิเศษประจำตัวของฟู่เสี่ยวกวนที่เขามักจะพกติดตัวอยู่เสมอ !

และเหล่าทหารประจำราชวงศ์อู๋ก็ได้ทำการขุดพื้นหิมะราวสามหลาเพื่อที่จะค้นหาสิ่งของบางอย่าง หลังจากนั้นจึงได้ยินมาว่า พวกเขากำลังค้นหาตราหยกประจำราชวงศ์อู๋ทีใช้สืบทอดกันมาช้านานในพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์ !

เมื่อมิมีตราหยกประจำราชวงศ์ สถานะขององค์จักรพรรดิก็จะมิสมบูรณ์แบบมากนัก !

ดังนั้น พวกเขาจึงได้กวาดล้างหิมะที่ไหลท้วมท้นปริมาณมหาศาลบริเวณหุบเขาออกไปจนหมดสิ้น ทว่าก็ยังคงมิพบตราหยกประจำราชวงศ์ และซูเจวี๋ยก็ยังคงไม่พบเจอของวิเศษชิ้นนั้นเช่นกัน

และนี่เป็นข่าวดีเพียงหนึ่งเดียวที่จะทำให้ต่งซูหลานและหยูเวิ่นหวินได้ใช้ชีวิตต่อไปอย่างมีความหวัง

สงสัยก็เพียงแต่ว่า…หิมะถล่มครานั้นได้กระชากร่างคนไปไกลถึงเพียงใดกัน ?

ที่แห่งนั้นเป็นพื้นที่หุบเขา มิว่าจะกระชากร่างไปไกลเพียงใดก็ยากที่จะออกไปจากบริเวณหุบเขาแห่งนั้น มิมีทางที่จะกระชากร่างคนจนไปติดบนภูเขาได้

แต่มิมีใครคาดคิดว่าในราตรีนั้นเอง อู๋หลิงเอ๋อร์บังเอิญเป็นผู้ที่ขุดพบร่างของฟู่เสี่ยวกวน และก็มิมีผู้ใดคาดคิดอีกเช่นกันว่านางได้อาศัยช่วงจังหวะที่ทุกคนต่างชุลมุนใจกล้าทำสิ่งที่ผู้อื่นมิคาดคิดออกมา นางได้ผูกร่างของฟู่เสี่ยวกวนไว้ที่หลังของนาง จากนั้นก็ได้ขี่ม้ามุ่งหน้าออกไปจากที่ราบสูงหลีลั่วไปยังหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ทางเบื้องล่างของที่ราบสูงแห่งนี้

ที่นางทำไปเช่นนี้นั้นมิใช่ว่านางต้องการเป็นจักรพรรดินี แต่เป็นเพราะว่านางต้องการมีบุตรกับฟู่เสี่ยวกวนเพียงเท่านั้น !

นางยังคงคิดเฉกเช่นราตรีนั้นที่นางได้แบกร่างของชายหนุ่มแล้วขี่ม้าตรงไปยังพระราชวัง

ข้ามิประสงค์โชคชะตาเช่นนี้ !

ถ้าหากลิขิตนี้มีตัวตน ข้าก็จะกำจัดมันทิ้งเสียจนสิ้นซาก !

ถ้าหากนี่คือลิขิตแห่งสรวงสรรค์ ข้าก็จะฟันสรวงสวรรค์ให้แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ !

นางจะใช้พละกำลังของตนฟันสวงสวรรค์ให้แหลกละเอียด !

จากนั้นนางก็ได้ค้นพบปัญหา ถ้าหากว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับมาสืบทอดราชสมบัติ และตนก็ได้ตั้งครรภ์กับเขาแล้ว หากเป็นเช่นนี้จะทำเยี่ยงไร ?

นางรู้ดีว่านี่ผิดต่อศีลธรรม และถ้าหากว่านางขืนเปิดโปงออกไป นางคงจะต้องตายสถานเดียว แล้วเด็กในท้องก็คงจะต้องตายเช่นเดียวกัน

จะให้เป็นเช่นนี้มิได้เป็นอันขาด !

แต่นางก็เข้าใจความปรารถนาของฟู่เสี่ยวกวนอย่างแจ่มแจ้ง ในเมื่อนางถูกสถาปนาให้เป็นจักรพรรดินี ฟู่เสี่ยวกวนก็คงมิมาเหยียบบนผืนแผ่นดินของราชวงศ์อู๋อีกต่อไป !

ท้ายที่สุด ไทเฮาก็จะไร้ซึ่งทางเลือก และแล้วเมื่อหนึ่งค่ำเดือนหกนางก็ได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นจักรพรรดินีอย่างกะทันหัน และเป็นจักรพรรดินีพระองค์แรกในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์อู๋

และในตอนเช้าตรู่ของหนึ่งค่ำเดือนหกนั่นเอง หนานกงอี้หยู่ได้มาเยือนยังตำหนักหยางซิน

เขาเคลื่อนบันไดแล้วปีนขึ้นไปตรงขอบของพัดที่ติดอยู่ตรงผนัง จากนั้นก็ได้ค้นพบกล่องหยกสีดำ

เขาได้นำกล่องนั้นออกมาแล้วจึงเปิดดู จากนั้นก็นำพระราชกฤษฎีกาใส่กลับเข้าไปอีกครา เมื่อได้นำกล่องหยกดำอันนี้กลับคืนสู่ที่เดิมแล้วเขาก็ได้จากไปอย่างเงียบเชียบ

สิ่งของชิ้นนี้และเรื่องนี้มีเพียงแต่เขาเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ล่วงรู้

และเขาก็มิอาจนำเรื่องนี้เอื้อนเอ่ยออกมาได้ เขาต้องปกปิดเรื่องนี้เอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ !

……

 พวกเราจะจมปลักอยู่เช่นนี้มิได้ เขาจะต้องมิตาย เขาจะต้องกลับมาในวันหนึ่ง 

ต่งชูหลานสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นแววตาของนางก็ค่อย ๆ เผยความตั้งมั่นออกมา  ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เสี่ยวโหลวมีหน้าที่รับผิดชอบการค้าเกี่ยวกับความสวยความงาม ส่วนข้าก็จะไปดูความคืบหน้าในการก่อสร้างที่หยูฝูจี้ เขาได้แย่งชิงที่ทั้งสองนั้นมาจากตระกูลชือ เขาประสงค์ที่จะสร้างทั้งสองอาคารนั้นเป็นศูนย์กลางทางการค้า หวังว่าเมื่อเขาได้หวนคืนกลับมาคงจะได้เจอกับอาคารทั้งสองในสภาพที่เขาปรารถนา 

เยี่ยนเสี่ยวโหลวพยักหน้ารับทราบอย่างแน่วแน่ จากนั้นหยูเวิ่นหวินก็ได้เอ่ยถามออกมา  แล้วข้าเล่า ?  

 เจ้าจงส่งคนที่ไว้ใจได้ไปยังเมืองกวนหยุน 

 ยังจะไปอยู่อีกหรือ ?  

 เหตุใดถึงจะมิไปเล่า ในเมื่อคฤหาสน์จิ้งหูยังคงเป็นจวนของพวกเรา อีกทั้งยังมีอีกสามห้างร้านที่ตรอกส่าจินที่ยังต้องการคนคอยจัดการ ที่ดินแห่งนั้นที่หนานกงตงเซวี๋ยพาพวกเราไปดู ก็ยังต้องวางแผนก่อสร้างโรงงานผลิตชุดชั้นใน แล้วยังต้องคัดเลือกแรงงานฝีมือดีที่เมืองหลวงของพวกเราไปประจำการที่นั่นเพื่อก่อสร้างโรงงานใหม่ขึ้นมา 

หยูเวิ่นหวินพยักหน้ารับทราบ  ตกลง เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้นข้าจะจัดการธุระนี้ให้แล้วเสร็จ 

 ข้าอาจจะต้องออกจากเมืองหลวงชั่วคราว เช่นนั้นแล้วธุระทั้งหมดก็ปล่อยให้พวกเจ้าจัดการก็แล้วกัน 

 ท่านพี่จะไปที่ใดหรือเจ้าคะ ?   เยี่ยนเสี่ยวโหลวเอ่ยถาม

ต่งชูหลานยิ้มด้วยสีหน้าเรียบเฉย  ซีซานที่เมืองหลินเจียงเป็นแหล่งผลิตที่สำคัญที่สุดของพวกเรา ข้าจำเป็นต้องไปจัดการด้วยตนเอง 

เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนได้หายตัวไปที่เมืองกวนหยุนนั้น บัดนี้ก็ได้แพร่สะพัดมาถึงหูของคนในราชวงศ์หยู

แม้ว่าจะยังมิถึงหูของเหล่าราษฎร แต่เหล่าขุนนางในท้องพระโรงของราชวงศ์หยูนั้นต่างได้รับรู้ข่าวคราวนี้แล้วโดยทั่วกัน

บ้างก็รู้สึกเสียดาย บ้างก็แอบยินดีอยู่อย่างเงียบ ๆ

ทว่าทุกคนรวมไปถึงฮ่องเต้และฮองเฮาซั่งต่างก็คิดว่าฟู่เสี่ยวกวนได้ตายจากไปแล้วอย่างแท้จริง

ภัยพิบัติคราใหญ่เช่นนั้น ไร้ซึ่งผู้ใดที่จะสามารถหนีพ้นความตายออกมาได้ แล้วฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นข้อยกเว้นได้เยี่ยงไร ?

จากนั้นข่าวที่องค์หญิงไท่ผิงได้รับการแต่งตั้งเป็นจักรพรรดินีเมื่อหนึ่งค่ำเดือนหกก็ได้แพร่สะพัดมาถึงราชวงศ์หยูเช่นกัน ทว่าปีรัชสมัยนั้นยังมิได้เปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นรัชสมัยเหวินลี่อยู่ดังเดิม เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระเกียรติและพระมหากรุณาธิคุณของจักรพรรดิเหวิน

ณ วังเตี๋ยอี๋

ฮองเฮาซั่งได้นั่งจิบชาอย่างสงบสุข ฮ่องเต้นั้นทรงยืนอยู่ริมหน้าต่าง

 โชคดีหรือโชคร้ายนั้นต่างคาดเดามิได้  ฮ่องเต้ทรงถอนหายใจด้วยความรู้สึกความใจหาย เมื่อหวนคำนึงถึงฟู่เสี่ยวกวน ชายหนุ่มที่เดินทางมาจากหลินเจียง ผู้ใดเล่าจะคิดว่าเขาจะเดินตรงไปสู่เส้นทางความตายก่อนวัยอันควร

 ด้วยเหตุนี้ฟู่ต้ากวนจึงเคยเอ่ยไว้ว่า ให้เขาเป็นเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียงนั้นดีกว่าสิ่งไหน ๆ ช่างน่าเสียดายยิ่ง…ช่างน่าเสียดายจริง ๆ ที่ความเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของจักรพรรดิเหวินได้ทำร้ายเขาถึงเพียงนี้ 

ฮองเฮาซั่งเงียบไปชั่วขณะแล้วทรงตรัสออกมา  จะว่าไปแล้ว…หากเขามิได้โด่งดังเป็นชายหนุ่มอัจฉริยะแห่งหลินเจียงแล้วเลื่องชื่อมาจนถึงเมืองหลวง จักรพรรดิเหวินก็คงจะมิได้มีพระราชดำริเช่นนี้ นี่จะถือว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายนั้นต่างคาดเดามิได้ดั่งที่ท่านทรงตรัส 

 แล้วองค์หญิงเก้าของพวกเราจะทำเยี่ยงไรกันดี ?  

 เมื่อตอนเสด็จกลับมาเวิ่นหวินร้องไห้มิหยุดทั้งวันทั้งคืน แม่นมเองก็ร้องไห้มิหยุดทั้งวันคืนเช่นกัน เวิ่นหวินนางทุ่มเทความรู้สึกมากมายให้กับฟู่เสี่ยวกวน เรื่องนี้คงจะต้องรอให้กาลเวลาช่วยลบเลือนฟู่เสี่ยวกวนออกไปจากความทรงจำของนางเสียก่อน พวกเรามิต้องทำสิ่งใด มิเช่นนั้นแล้วจะกระทบกระทั่งต่อความรู้สึกของนางได้ 

 ก็ดี !   ฮ่องเต้พยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็หันพระวรกายกลับมานั่งที่โต๊ะดื่มชา  เวิ่นเต้าไปไหนเสียแล้ว ?  

 เมื่อเวิ่นเต้ารับรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนได้จากไปแล้ว เขาก็ได้เสียใจเป็นอย่างมาก คาดว่าบัดนี้อาจจะกลับไปยังหลานถิงจี๋อีกครา 

 ข้าเพิ่งจะคิดขึ้นมาได้ว่า ในเมื่อโชคดีหรือโชคร้ายนั้นต่างก็คาดเดามิได้ ราชวงศ์หยูอันเกรียงไกรของข้าก็คงจะต้องสถาปนาองค์รัชทายาทขึ้นมาเช่นกัน 

ฮองเฮาซั่งชะงักเล็กน้อย จากนั้นพระนางจึงได้รินชาส่งให้พระสวามีแล้วทรงตรัสออกมาว่า  นั่นเป็นเรื่องของบ้านเมือง หม่อมฉันมิอาจออกความเห็นใด ๆ  

 แต่นี่ก็เป็นเรื่องภายในครอบครัวของพวกเรา ฮองเฮา…เจ้าลองคิดดูเถิดว่า เพื่อที่จะให้ฟู่เสี่ยวกวนได้สืบบัลลังก์ต่อ จักรพรรดิเหวินถึงกับใช้เซียวเฉียงเป็นข้ออ้างในการกำจัดองค์โอรสทั้งสองพระองค์ให้พ้นทาง และไทเฮาเองก็ร้ายกาจมิเบา ถึงกับลงมือสังหารองค์ชายใหญ่ ถ้าหากมิเป็นอุบัติเหตุที่วัดเฉินเมี่ยว ต่อให้ฟู่เสี่ยวกวนมิปรารถนาที่จะเป็นจักรพรรดิ แต่เยี่ยงไรเสียเขาก็ย่อมถูกบีบบังคับให้นั่งกุมบัลลังก์อยู่ดี 

 ข้ามิอาจโหดร้ายทารุณได้เยี่ยงจักรพรรดิเหวิน สิ่งที่ข้าต้องการจะเอ่ยก็คือ…ให้แต่งตั้งองค์ชายสี่เป็นอ๋องแล้วให้เขาไปปกครองที่เมืองซีหรงแห่งเขตซีฮวง !  

 

ช่วงพลบค่ำของเดือนเจ็ดความร้อนระอุจากรังสีของแสงสุริยายังคงแผดเผา

หยุนเหนียงได้ต้มชาสะระแหน่เพื่อดับกระหายแล้ววางไว้บนโต๊ะในกระท่อมหลังคามุงจาก

นางนั่งอยู่ตรงธรณีประตู ใบหน้าของนางนั้นเปื้อนยิ้มและในมือของนางนั้นกำลังแกว่งพัดสานไปมาเพื่อพัดพาความเย็นเข้าตนเอง

นางทอดสายตามองไปยังแปลงนาที่มิไกลมากนัก ตรงนั้นมีชายหนุ่มสวมหมวกฟางกำลังรดน้ำให้เมล็ดพันธุ์พืช

ชายหนุ่มผู้นี้ดูเป็นการเป็นงานใช้ได้ เขาได้มาอยู่ที่หมู่บ้านหลินเจียจนถึงบัดนี้ก็ล่วงเข้าเดือนที่สามแล้ว

ดูแล้วก็เหมือนว่าชายหนุ่มผู้นี้ช่างสำอางยิ่งแต่ก็ยังดูแข็งแรงมีพละกำลังดี อีกทั้งยังช่ำชองในงานเกษตรและยังสามารถอ่านออกเขียนได้ เลยได้รับหน้าที่เป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาประจำหมู่บ้านหลินเจีย

แต่สิ่งที่น่าเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือ ชายที่เพียบพร้อมถึงเพียงนี้กลับมิใช่ของนาง

ปีนี้หยุนเหนียงอายุครบ 26 ปีบริบูรณ์ เดิมทีนางเคยเป็นทหารในกองทัพหญิงมาก่อน เลยได้ใช้ชีวิตหวือหวาติดตามองค์หญิงไท่ผิงอยู่สองสามปี

หลังจากนั้นก็เป็นเพราะนางเริ่มแก่ตัวขึ้น จึงจำต้องแต่งงานมีครอบครัว เหตุนี้นางจึงได้แต่งงานกับชายหนุ่มมากความสามารถแห่งหมู่บ้านหลินเจีย และเดิมทีก็เป็นอาจารย์อยู่ที่สำนักศึกษาประจำหมู่บ้านหลินเจียเช่นกัน แต่ช่างโชคร้ายที่เขาได้ล้มป่วยลงในฤดูหนาวเมื่อปีกลาย เหลือไว้เพียงลูกสาวให้มองดูต่างหน้า ซึ่งปีนี้มีอายุได้ 3 ขวบพอดิบพอดี

นางยังจำได้มิลืมเลือนว่าเมื่อสิบสองค่ำเดือนสี่ที่ผ่านมา องค์หญิงทรงขี่ม้ามาเป็นการส่วนพระองค์เพื่อมาหานางโดยเฉพาะ แล้วส่งร่างของคนที่สลบมิได้สติพร้อมกับตั๋วเงินจำนวนหนึ่งมาให้นาง จากนั้นจึงตรัสกับนางเพียงแค่สามประโยคว่า

 หยุนเหนียง คุณชายท่านนี้เป็นผู้ชายของข้า !  

 ถือว่าเห็นแก่มิตรภาพของพวกเราในวันวาน เจ้าจงช่วยข้าดูแลเขาให้ดี เมื่อเขาตื่นขึ้นมา อย่าได้บอกเขาเป็นอันขาดว่าข้าเป็นผู้ส่งเขามาที่นี่ 

 ข้าจะมาหาเขาเมื่อใดก็ได้ จนกว่าข้าจะมีบุตรกับเขา !  

หลังจากนั้นองค์หญิงไท่ผิงก็ได้ขี่ม้าจากไปอย่างเร่งรีบ เหลือไว้เพียงแต่นางผู้ที่เป็นหญิงหม้ายกับชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ !

แน่นอนว่าหยุนเหนียงมิบังอาจคิดมิดีมิร้ายกับชายหนุ่มผู้นี้ นางจึงเชิญหมอมารักษาตัวเขา จากนั้นก็ได้ดูแลปรนนิบัติอย่างดี จนกระทั้งผ่านไปสามวันเขาจึงค่อย ๆ รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา

หลังจากนั้น เขาก็ได้กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียงอยู่ราวยี่สิบกว่าวัน ก่อนจะสามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ แต่ทว่าร่างกายของเขาก็ยังคงอ่อนแอไร้ซึ่งเรี่ยวแรงดังเดิม

แน่นอนว่าชายผู้นี้ย่อมใคร่รู้ว่าเหตุใดเขาจึงได้มาอยู่ที่นี่  ข้าไปเก็บเจ้ามาจากหลังเขา  นางตอบเขากลับไปเช่นนี้

หลังจากนั้นชายหนุ่มเหมือนได้รู้สึกสับสนอยู่ชั่วขณะ แล้วมิได้เอ่ยถามอะไรนางอีกเลย มิค่อยสนทนาและเอาแต่เก็บตัว

หยุนเหนียงเลยยอมควักเงินซื้อของบำรุงมามากมาย จนกระทั่งช่วงกลางเดือนของเดือนห้า ร่างกายของชายหนุ่มผู้นี้ก็ได้ฟื้นตัวจนกลับมาเป็นปกติ

ตั้งแต่ช่วงหลังกลางเดือนห้าจนถึงบัดนี้ องค์หญิงไท่ผิงได้เสด็จมาที่นี่รวมแล้วห้าคราด้วยกัน

เมื่อองค์หญิงได้เสด็จมาที่นี่ก็มิได้มีพระประสงค์ที่จะพบเจอชายหนุ่มผู้นั้นโดยตรง แต่องค์หญิงทรงได้มอบห่อยาให้กับนาง ซึ่งนั่นก็คือยาเสน่ห์ หรือยาปลุกกำหนัด !

ในห้าราตรีที่ผ่านมานั้นต่างก็เกิดเรื่องราวมากมายขึ้นมา แต่ทว่านางก็สามารถจัดการปัญญาต่าง ๆ ได้ดี โดยที่ชายหนุ่มผู้นั้นมิรู้เรื่องอะไรเลย

สามวันก่อนองค์หญิงไท่ผิงก็ได้เสด็จมาอีกครา พระนางได้ตรัสกับหยุนเหนียงไว้ว่า

 เขาเป็นผู้ชายของข้า !  

 เพคะองค์หญิง เขาคือผู้ชายขององค์หญิง หยุนเหนียงมิบังอาจคิดมิดีมิร้ายอย่างแน่นอนเพคะ 

แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่หยุนเหนียงสงสัยมาโดยตลอดก็คือชายผู้นี้เป็นใครกันแน่ เหตุใดองค์หญิงไท่ผิงผู้สูงส่งถึงได้ใช้วิธีนี้ในการบำเรอหาความสุขให้ตนเอง !

 ข้าเพียงแค่อยากมีบุตรกับเขา… !  

ราตรีนั้นแสงจันทร์ส่องกระจ่าง พระพักตร์ขององค์หญิงไท่ผิงนั้นแดงระเรื่อด้วยความปลื้มปิติ  ข้าตั้งครรภ์แล้ว หยุนเหนียงข้าขอบใจมากยิ่งนัก ได้โปรดลบเลือนความทรงจำช่วงนี้ออกไปให้สิ้นด้วยเถิด !  

 หยุนเหนียงจะลืมให้หมดสิ้นเพคะ !  

 อยากจะกลับไปเข้าร่วมกองทัพหญิงหรือไม่ ?  

 …เดิมทีก็อยากกลับไปเพคะ แต่เมื่อคลอดบุตรสาวออกมาแล้วก็มิอาจกลับไปได้แล้วเพคะ คงจะต้องอยู่เลี้ยงดูบุตรสาวของหม่อมฉันจนกว่านางจะเติบใหญ่ แล้วหม่อมฉันก็คงจะแก่ตายลงที่นี่เพคะ 

 ไม่ เจ้าจงนำบุตรของเจ้าหนีออกไปจากที่นี่ ตั๋วเงินเหล่านี้เจ้าจงรับไว้ มันเพียงพอที่จะให้เจ้าไปลงหลักปักฐานที่ใดก็ได้ เมื่อเขาได้จากไปแล้วเจ้าจงหนีไปเสีย หนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไปใช้ชีวิตยังที่ที่ข้าก็มิอาจหาตัวเจ้าเจอ !  

เมื่อตรัสจบ องค์หญิงไท่ผิงก็ได้มอบตั๋วเงินให้นางอีกจำนวนหนึ่ง จากนั้นจึงได้เสด็จกลับทันที และหลังจากนั้นเอง…หยุนเหนียงจึงได้รู้ว่าอดีตแม่ทัพแห่งกองทัพหญิงนั้นได้ถูกสถาปนาให้เป็นองค์จักรพรรดินีแล้ว !

นี่เป็นจักรพรรดินีพระองค์แรกในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์อู๋ !

พระองค์ได้ยืมเชื้อจากชายผู้นั้นไป !

แล้วชายผู้นั้นเป็นใครกันแน่ ?

หยุนเหนียงมิเคยเอ่ยถามเขาเลยสักครา แต่คราหนึ่งชายผู้นั้นได้บอกนางว่าเขามีนามว่าฟู่เอ้อร์ไต้ เมื่อนางได้ยินก็พลางคิดไปว่าชื่อนี้ช่างประหลาดมากยิ่งนัก

บัดนี้เขาก็ได้หายเป็นปกติแล้ว แล้วเมื่อใดเขาจะจากไปเสียทีเล่า ?

แล้วเขาจะจากไปที่ใดได้อีก ?

……

ฟู่เสี่ยวกวนพับขากางเกงขึ้นมา จากนั้นก็ได้ถือถังน้ำกลับมายังกระท่อมหลังคามุงจากหลังนี้

เซี้ยวเซี้ยวลูกสาวตัวน้อย ๆ ของหยุนเหนียงได้วิ่งตรงดิ่งมาหาฟู่เสี่ยวกวน  ท่านพ่อ ท่านพ่อเจ้าคะ อุ้มข้าหน่อยเจ้าค่ะท่านพ่อ !  

หยุนเหนียงแก้มแดงเพราะความเขินอาย ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้วางถังน้ำลงแล้วอุ้มสาวน้อยเซี้ยวเซี้ยวขึ้นมา เขาได้อุ้มนางแล้ววางไว้บนบ่าในท่านั่ง  เซี้ยวเซี้ยวนั่งสูง ๆ นะ นั่งสูง ๆ จะได้มองเห็นไกล ๆ  

 ดูเจ้าตามใจนางสิ…  หยุนเหนียงลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในกระท่อมจากนั้นก็ยกชาที่เย็นแล้วมาให้ฟู่เสี่ยววกวน  ดื่มเถิด ช่วยคลายความร้อน ข้าจะไปทำอาหารประเดี๋ยวนี้แหละ 

 อือ… 

ฟู่เสี่ยวกวนใช้มือข้างหนึ่งประคองเซี้ยวเซี้ยวที่อยู่บนบ่าเอาไว้ จากนั้นก็ได้ยกชาดื่มรวดเดียวจนหมดถ้วย แล้วก็ได้เอ่ยถามเซี้ยวเซี้ยวที่อยู่บนบ่าว่า  ตัวอักขระที่พ่อสอนเซี้ยวเซี้ยวไปเมื่อยามเว่ย เซี้ยวเซี้ยวยังจำได้อยู่หรือไม่ ?  

 เซี้ยวเซี้ยวจำได้ !  

 ไหน ลงมาเขียนให้พ่อดูหน่อยสิ 

เขานำตัวเซี้ยวเซี้ยวลงมาจากบ่า เซี้ยวเซี้ยวได้เก็บกิ่งไม้ขึ้นมาหนึ่งกิ่ง จากนั้นก็บรรจงเขียนลงบนพื้นดิน

 นี่คือตัวเซี้ยวที่มาจากคำว่าเซี้ยวเซี้ยว และนี่ก็คือตัวหลิน ชื่อของเซี้ยวเซี้ยวทั้งหมดคือหลินเซี้ยวเซี้ยว 

 เซี้ยวเซี้ยวเก่งมาก !  

ฟู่เสี่ยวกวนได้พรมจูบลงไปบนแก้มนุ่ม ๆ ของสาวน้อยหนึ่งครา จากนั้นหยุนเหนียงก็ได้ตักน้ำมาให้เขาแล้วเรียกเขาไปล้างหน้า

 ปีนี้ค่อนข้างแห้งแล้ง น้ำในแม่น้ำก็เกือบจะเห็นก้นแม่น้ำเสียเต็มทีแล้ว ถ้าหากฝนมิตกลงมาหมู่บ้านนี้ก็คงจะลำบาก…จำต้องขุดบ่อ มิอาจรอพึ่งพาสวรรค์ได้อีกต่อไป !  

หยุนเหนียงชะงักเล็กน้อย หรือว่าเจ้าอยากจะลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่เยี่ยงนั้นหรือ ?

ต่อให้เจ้าปรารถนาเช่นนั้นแต่ข้าก็มิบังอาจ !

 เอ้อร์ไต้ ข้าลองไตร่ตรองดูแล้ว…ข้าเองก็พอจะมีเงินติดตัวไว้บ้าง เซี้ยวเซี้ยวก็เติบใหญ่ขึ้นทุกวัน สำนักศึกษาที่นี่ก็ร่ำเรียนวิชาอะไรได้มิมากนัก  

ฟู่เสี่ยวกวนแหงนหน้าขึ้นมองหยุนเหนียง  เจ้าอยากย้ายไปอยู่ที่เมืองหลินเจิ้นเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ข้ายังมิรู้ แต่ข้าคิดวางแผนที่จะย้ายถิ่นฐาน แล้วเจ้าเล่า…เจ้าคิดวางแผนจะทำสิ่งใดต่อไป ?  

 …… 

สายตาของฟู่เสี่ยวกวนได้เหม่อลอยไปยังที่แสนไกล เผลอเพียงชั่วครู่ก็ได้ผ่านไปแล้วถึงสามเดือน ได้ยินมาว่าอู๋หลิงได้ถูกสถาปนาให้เป็นองค์จักรพรรดินีเมื่อหนึ่งค่ำเดือนหก เหมือนว่าทางราชสำนักมิได้สั่นคลอนเพราะการขาดผู้สืบราชบัลลังก์

ในเมื่อมีไทเฮา มีจัวอี้สิงและหนานกงอี้หยู่คอยประคับประคอง ราชวงศ์อู๋ย่อมมิอาจสั่นคลอนได้

เพียงแต่ว่าหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานพวกนางทั้งสองนั้นมิได้รู้ข่าวคราวของตน ก็เกรงว่าพวกนางจะเป็นกังวล และวันนี้ร่างกายของตนนั้นก็เกือบกลับมาเป็นปกติแล้ว ก็ถึงเวลาอันสมควรแล้วที่จะหวนคืนอาณาจักรแห่งราชวงศ์หยูเสียที บัดนี้คาดว่าพวกนางก็คงจะประจำอยู่ที่เมืองจินหลิงเรียบร้อยแล้ว

เรื่องราวของราชวงศ์อู๋นั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของอู๋หลิงเอ๋อร์ไปเสียเถิด

 ในเมื่อเจ้ามีแผนการเยี่ยงนี้ เยี่ยงนั้นก็ถึงเวลาที่ข้าจะต้องไปแล้วเช่นกัน 

 เจ้าจะไปที่ใด ?   หยุนเหนียงถามด้วยความใคร่รู้

ฟู่เสี้ยวกวนยิ้มขึ้นมา  ไปแคว้นหยู !  

ไม่รู้ว่าเซี้ยวเซี้ยววิ่งเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาตั้งแต่เมื่อใด นางได้แหงนหน้าขึ้นมามองเขาด้วยน้ำตาที่ไหลพราก  มิเอา เซี้ยวเซี้ยวมิให้ท่านพ่อไป ท่านพ่อต้องอยู่กับเซี้ยวเซี้ยว ฮือ ๆ ๆ… 

หยุนเหนียงถอนหายใจแล้วก้มศีรษะลง ชายผู้นี้ ถ้าหากได้มาเป็นสามีของตนนั้นคงจะดีมิน้อย !

ฟู่เสี่ยวกวนคุกเข่าลงแล้วใช้นิ้วเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาบนแก้มของเด็กสาว  เซี้ยวเซี้ยว พ่อมิได้โกหกเจ้า พ่อจะต้องลาจากแล้วอย่างแท้จริง ต่อจากนี้เจ้าจงเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านแม่ของเจ้า จำคำพ่อไว้…หากว่าเมื่อใดเจ้าพบเจอกับความยากลำบาก เจ้าจงไปยังภูเขาซีซานแห่งเมืองหลินเจียงที่แคว้นหยู จากนั้นก็เรียกชื่อฟู่เอ้อร์ไต้ออกมาดัง ๆ เมื่อนั้นจะมีคนนำเจ้าไปหาตัวพ่อเอง !  

 

ตอนที่ 387 หิมะถล่ม

เมื่อเสียงแผ่นดินไหวสั่นสะเทือน วัดเฉินเมี่ยวแห่งนี้ก็เปรียบดั่งนาวาที่โซซัดโซเซท่ามกลางคลื่นที่พัดโหมกระหน่ำ

มันกำลังสั่นคลอน กำลังจะพังทลาย และกำลังจะถูกฉีกให้เป็นเสี่ยง ๆ !

ฟู่เสี่ยวกวนจับพระวรกายของจักรพรรดิเหวินตี้ไว้แนบแน่น จากนั้นจึงเหาะเหินลงมาจากเนินตำหนัก แล้วหย่อนตัวลงบนผืนธรณี เขามองไปยังกลุ่มคนที่ตอนนี้กำลังยืนงงเป็นไก่ตาแตก  รีบหนี… !   เขาตะโกนบอก

เหล่าขุนนางที่กำลังตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็หันไปมองภูเขาหิมะอย่างงุนงง

หมอกจากหิมะแผ่ซ่านไปทั่วทั้งภูเขา จากนั้นก็แผดเสียงคำรามสนั่น ดูเหมือนว่าภูเขาลูกนี้กำลังจะถล่มลงมา !

หิมะหนาเตอะได้ประสานร่วมกับก้อนหินขนาดยักษ์แล้วกลิ้งลงมาอย่างบ้าคลั่ง ก้อนหิมะก้อนใหญ่ดั่งภูเขาได้กลิ้งลงมาโขกกระแทกแตกหัก พลังทำลายล้างของมันได้เพิ่มมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ และหุบเขาแห่งนี้ก็ได้สั่นกระเทือนขึ้นมาในวินาทีนั่นเอง ก้อนหิมะที่ถล่มนั้นได้กลบวัดเฉินเมี่ยวจนมิดในชั่วพริบตาเดียว จากนั้นก็พัดเข้าถล่มหุบเขาแห่งนี้ราวกับกระแสน้ำอันเชี่ยวกราด

ผู้คนต่างส่งเสียงโอดครวญร้องขอชีวิต ต่างก็วิ่งหนีมาปากทางเข้าออกหุบเขากันจ้าละหวั่น พวกเขาต่างก็วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต ทว่ากลับไร้ชีวิตใดที่จะสามารถหลบหนีคลื่นยักษ์ของหิมะที่พัดโหมกระหน่ำนี้ได้ !

บางคนได้ถูกก้อนหินยักษ์กระแทกจนเละไร้ชิ้นดี

บางคนก็ถูกก้อนหิมะกรีดจนศีรษะขาด

และยังมีผู้คนจำนวนมากถูกหิมะทับถมอย่างไร้แรงต้านทาน

ฟู่เสี่ยวกวนได้กัดฟันอดกลั้นเพื่อนำตัวองค์จักรพรรดิหนีอย่างไม่ยอมลดละ ให้ตายสิทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยหิมะ จะหนีไปได้เยี่ยงไร ?

ทว่าช่วงที่อันตรายที่สุดก็ได้มาถึง เมื่อภูเขาหิมะขนาดใหญ่ได้ถล่มลงมาทำให้ภูเขาน้อยใหญ่โดยรอบต่างก็ถล่มตามลงมาอย่างมิขาดสาย พื้นที่หุบเขาบัดนี้ได้ถูกหิมะย้อมเป็นสีขาวโพลน แม้ว่าเขาคิดจะเหาะหนีก็มิอาจทำได้ !

เขาทุ่มแรงสุดกำลังที่จะหลบหนีออกจากหมอกหิมะ เขากระโดดสุดแรงเพื่อที่จะสามารถมองไปได้ไกลขึ้นกว่าเดิม เพื่อที่จะมองหาแหล่งกำบังที่ปลอดภัย

ทว่าแรงกำลังที่ออกไปทั้งหมดนั้นกลับเปล่าประโยชน์

และในเวลานั้นเอง นักบวชในชุดแดงท่านนั้นก็ได้ทะลุหิมะออกมา เขามาหยุดอยู่เบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวน แล้วกุมตัวขององค์จักรพรรดิออกไป

เขาเตรียมที่จะนำจักรพรรดิเหวินเหินออกไป แต่ทว่าพระองค์นั้นได้ตรัสห้ามเสียก่อน  ปล่อยข้า แล้วพาโอรสของข้าออกไปแทนเถิด !  

นักบวชในชุดแดงชะงัก หลังจากนั้นจักรพรรดิเหวินจึงทรงตรัสต่อ  นี่เป็นราชโองการฉบับสุดท้ายที่จะมอบหมายให้กับเจ้า !  

 ฝ่าบาท กระหม่อมมิอาจทราบได้ว่าจะหนีได้สำเร็จหรือไม่ !  

 จงทำให้ดีที่สุด จงน้อมรับลิขิตแห่งสวรรค์ !  

 กระหม่อม…น้อมรับราชโองการฝ่าบาท !  

นักบวชในชุดแดงนั้นได้นำจักรพรรดิเหวินลงสู่พื้นธรณีอีกครา จากนั้นมือเขาข้างหนึ่งได้คว้าฟู่เสี่ยวกวนไว้ แล้วอีกข้างหนึ่งก็คว้าจักรพรรดิเหวินเอาไว้

เขาพุ่งกายทะลุหมอกหิมะ สีหน้าของเขานั้นเย็นยะเยือกราวหยาดน้ำค้าง

เขายังมิได้หนีให้พ้นทางเข้าของหุบเขาเลยด้วยซ้ำ ทันใดนั้นเองหิมะที่กำลังถล่มอยู่ทั้งสองข้างทางนั้นก็ได้ถาโถมเข้ามากระทบตัวเขา

เขาขมวดคิ้วเป็นปมหัวคิ้วทั้งสองข้างชนเข้าหากัน เขาพยายามที่จะเคลื่อนหนีก้อนหินที่รวมตัวอยู่กับหิมะ แต่ทว่า…

ก้อนหินขนาดเท่าแผ่นกลมของโม่หินก็ได้หล่นลงมาจากฟากฟ้าส่งเสียง  ตุบ…  กระทบเข้ากับศีรษะเขาอย่างรุนแรง จากนั้นเลือดสีแดงสดก็ได้ไหลทะลักออกมา เขาโบกมืออย่างสุดกำลังเพื่อที่จะโยนตัวจักรพรรดิเหวินและฟู่เสี่ยวกวนลงไป

จากนั้นร่างของเขาก็ได้หล่นลงกระทบพื้นธรณี และถูกหิมะที่ถาโถมเข้ามานั้นกลบจนมิด

ฟู่เสี่ยวกวนและจักรพรรดิเหวินตี้ได้ลอยมายังทางเข้าของหุบเขา จากนั้นก็หล่นกระแทกลงกับพื้นธรณี

ฟู่เสี่ยวกวนรีบพลิกตัวแล้วจับตัวจักรพรรดิเหวินเข้ามาแนบแน่นอีกครา แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ชะงักฝีเท้าลง ภาพเบื้องหน้านั้นทำให้เขาหมดสิ้นความหวัง

ถนนเบื้องหน้านั้นมิมีอีกแล้ว !

หิมะที่ถล่มอย่างบ้าคลั่งจากภูเขาทั้งสองด้านได้ปิดกั้นทางเข้าจนไม่เหลือหนทางให้เอาชีวิตรอด กำลังอันน้อยนิดของฟู่เสี่ยวกวนมิสามารถเหาะเหินหลบหนีขึ้นไปได้

เสียงจากเบื้องหลังดังสนั่นหวั่นไหวยิ่งกว่าเดิม จากนั้นจักรพรรดิเหวินก็ได้นำตราประทับออกมาจากพระทรวงแล้วส่งมอบให้กับฟู่เสี่ยวกวน

 นี่เป็นตราหยกของราชวงศ์ที่ได้สืบทอดกันมา จงจำไว้ว่าเจ้าห้ามตายเป็นอันขาด !  

ข้าจะฝ่าฝืนความตายได้เยี่ยงไรกัน ?

เวลาคับขันเช่นนี้เอาของไร้สาระนี้ออกมาจะมีประโยชน์อันใดกัน !

ฟู่เสี่ยวกวนนำตราหยกใส่เข้าไปในกระเป๋าตรงแขนเสื้อ จากนั้นก็มองไปทั่วสารทิศด้วยความหวาดกลัว ในใจปรารถนาอยากให้ศิษย์พี่เหาะมาช่วย แต่ทว่า สายตาของเขากลับหันไปเห็นยอดภูเขาหิมะสองแห่งถล่มลงมาอีก

เขากัดฟันพร้อมกับยกร่างของจักรพรรดิเหวินตี้แบกขึ้นไปบนหลัง  จับกระหม่อมไว้ให้แน่น !  

เขาจะปีนกำแพงหิมะที่ปิดกั้นถนนเอาไว้ แต่ทว่า…

หิมะก้อนใหญ่ได้ถล่มลงเข้ากลางหลังของเขาพอดี เขากระอักเลือดสด ๆ ออกมา และเมื่อหันกลับไปมองก็เห็นพระเศียรของจักรพรรดิเหวินห้อยต่ำลงมา

จักรพรรดิเหวินทนฝืนกลั้นยิ้ม พระองค์ได้ใช้ลมหายใจเฮือกสุดท้ายตรัสกับฟู่เสี่ยวกวนก่อนจะลาโลก  เรียกข้าว่าท่านพ่อสิ !  

 …ท่านพ่อ 

 อือ…จำไว้..เจ้าจะต้องรอด 

จากนั้นพระหัตถ์ทั้งสองข้างของจักรพรรดิเหวินก็ได้หลุดออกจากบ่าของฟู่เสี่ยวกวน พระวรกายของพระองค์ได้ร่วงหล่นกระทบพื้น พระเนตรทั้งสองข้างของพระองค์ลืมขึ้นแล้วมองนภาที่คละคลุ้งไปด้วยหิมะอย่างไร้จุดมุ่งหมาย พระพักตร์ของพระองค์มิได้เผยให้เห็นถึงความรู้สึกหวาดกลัวหรือเสียดายเลยแม้แต่น้อย พระองค์ได้ลาลับจากไปอย่างสงบ

ฟู่เสี่ยวกวนหลับตาลงแล้วกัดฟันอีกครา จากนั้นจึงใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีปีนป่ายไปยังกำแพงหิมะ ทว่าเขามิได้ล่วงรู้ว่าหิมะที่ถล่มกลาดเกลื่อนอยู่เบื้องหลังนั้นได้ไหลถาโถมมาทางเขาอย่างรวดเร็วและรุนแรงดั่งฟ้าฝ่า

 ตู้ม… !  

ฟู่เสี่ยวกวนถูกหิมะโจมตีจนร่างของเขากระเด็น ทันใดนั้นร่างของเขาก็ได้ร่วงลงบนพื้นธรณีเลือดสีแดงสดไหลเจิ่งนองไปทั่วทั้งพื้น และหลังจากนั้น…

ธาราหิมะที่ไหลถาโถมเข้ามาได้กลบร่างของเขาจนมิด

ผู้ที่เข้าไปร่วมพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์ครานี้ รวมไปถึงนักบวชผู้รับหน้าที่ประกอบพิธีกรรมทั้งหลายก็มิอาจรอดชีวิตออกมาได้แม้แต่รายเดียว

เมื่อกองกำลังองครักษ์ชุดแดงและชาวเมืองกวนกวนหยุนที่รายล้อมอยู่บนที่ราบสูงหลีลั่วได้รับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล เวลานั้นหิมะก็ได้หยุดถล่มแล้วพอดี แต่ยังคงมีหมอกหิมะแพ่ซ่านไปทั่วทั้งบริเวณ

……

ซูเจวี๋ยคือผู้ที่เหาะเหินไปดูสถานการณ์ก่อนใครเพื่อน จากนั้นซูโหรวก็ตามไปติด ๆ

กองกำลังองครักษ์ชุดแดงสามพันนายได้ขึ้นบนหลังม้าแล้วรีบร้อนออกไปอย่างบ้าคลั่ง เสียงกีบม้าดังสะเทือนไปทั่วที่ราบสูงแห่งนี้

และได้มีผู้ส่งราชสาสน์ด่วนพิเศษไปยังพระราชวัง

จัวอี้สิงและหนานกงอี้หยู่ตื่นตกใจเสียจนแทบล้มทั้งยืน

 อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาได้สั่งการให้ทหารรักษาการณ์ 30,000 นายไปยังภูเขาหิมะโดยด่วน !  

 อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้สั่งการให้หมอหลวงทุกคนไปยังภูเขาหิมะโดยด่วน !  

 ไทเฮาทรงรับสั่งให้ขุนนางระดับสี่ขึ้นไปเข้าร่วมประชุมที่ท้องพระโรงของพระราชวังจวี้หัว 

 ไทเฮาทรงรับสั่งให้ปิดประตูเมืองทุกบาน แล้วให้กองกำลังองครักษ์ชุดแดง 10,000 นายรักษาการณ์ทั้งสี่ประตูเมือง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเมืองกวนหยุนเข้าได้แต่ออกมิได้เป็นอันขาด !  

มีการออกคำสั่งหลายชุดภายในช่วงระยะเวลาอันสั้น บรรยากาศในพระราชวังได้เปลี่ยนเป็นหดหู่ในชั่ววินาที และเหล่าเสนาบดีทั้งหลายต่างรู้สึกตื่นตระหนกภายในจิตใจ

ข่าวใหญ่นี้มิอาจปกปิดได้มิด และในที่สุดข่าวนี้ก็แพร่สะพัดมาถึงหูของชาวเมืองกวนหยุน พวกเขาต่างก็รู้สึกตื่นตกใจเสียจนมิรู้จะหาคำใดมาเอื้อนเอ่ย

ณ คฤหาสน์จิ้งหู

ซูซูได้ยืนพรวดขึ้นมา ปิงถังหูลู่ที่ถืออยู่ในมือของนางร่วงลงบนพื้นในทันที

 พี่สาวทั้งสองรอข้าอยู่ที่นี่เถิด ข้าจะออกไปดูเอง 

แล้วนางก็ได้เหินนภาขึ้นไปด้วยวิชาตัวเบา จากนั้นก็ได้อันตรธานหายไปจากทะเลสาบจิ้งหู

หนานกงตงเซวี๋ยหน้าซีดเผือด นางได้หันไปมองต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน

ประจวบเหมาะกับหนิงซือเหยียนได้วิ่งเข้ามาในคฤหาสน์พอดี ต่งชูหลานจึงเอ่ยกับเขาในทันทีว่า  รบกวนท่านได้โปรดช่วยจัดรถด้วยเถิด !  

ความเกียจคร้านเป็นปกตินิสัยของหนิงซือเหยียนได้เหือดหายไปในบัดดล จากนั้นเขาก็ได้จัดเตรียมรถม้าตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว เมือสตรีทั้งสามนางได้นั่งลงบนรถม้า เขาก็ได้ตวัดเชือกกุมบังเหียนและแล้วรถม้าก็ได้ถูกขับออกไปจากคฤหาสน์จิ้งหูมุ่งหน้าไปทางภูเขาหิมะ

อู๋หลิงเอ๋อร์เองก็ได้ขี่ม้าสีแดงพุทราประจำตัวมายังฐานทัพของทหารหญิง

 รีบควบม้า แล้วตามข้ามาโดยเร็ว !  

กองทัพหญิงได้ฝ่าความเงียบงันของเมืองกวนหยุนออกไป จากนั้นก็ได้หายไปจากทัศนวิสัยของชาวเมืองทั้งหลาย

วันนี้ เป็นวันประกอบพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์ประจำราชวงศ์อู๋

วันนี้ เดิมทีเป็นวันที่จะต้องแบกรับความหวังของเหล่าราษฎรแห่งราชวงศ์อู๋

วันนี้ เป็นปฐมฤกษ์แห่งการหวนคืนสู่ชาติกำเนิดที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวกวน

ทว่าก็วันนี้เช่นกันที่ประวัติศาสตร์แห่งราชวงศ์อู๋ได้ถูกพลิกโฉม

ณ วังเย็น เมื่อเซียวเฉียงได้ยินข่าวนี้

นางเลยมายืนอยู่ที่ริมหน้าต่าง แล้วหันหน้าไปทางดอกไม้ที่กำลังเบ่งบานอย่างเต็มที่บนกำแพง

 ช่วยมิได้ นังแก่นั่นโหดเหี้ยมเกินไป บังอาจสังหารโอรสของข้า เป็นเช่นนี้เสียก็ดี สายเลือดของเชื้อพระวงศ์จะได้ขาดสะบั้นลงเสียที 

 เห้อ…จริงเสียที่ว่าทิ้งไว้เพียงแค่พื้นเปลือยเปล่า…ขาวสะอาดตา !  

 

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนแหงนหน้าขึ้นมองท้องนภา ก็ค้นพบว่าดวงอาทิตย์อยู่ตรงกับศีรษะของเขาพอดิบพอดี

เขาทอดสายตาไปยังเบื้องหน้า แล้วก็ได้พบเนินสูงอยู่เบื้องหน้าห่างไปราว 30 จั้ง และเนินสูงนั่นก็เป็นที่ตั้งของตำหนักเฉินเตี้ยนขนาดใหญ่

เขาจ้องมองตำหนักได้เพียงแค่ไม่กี่อึดใจ จากนั้นก็ถูกภูเขาหิมะด้านหลังของตำหนักนั้นดึงดูดอีกครา

หิมะสีขาวโพลนเมื่อกระทบกับแสงสุริยาก็ได้สาดแสงจ้าทำให้ตาพร่ามัวไปชั่วขณะ ดั่งอัปสราที่สวมอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ที่คอยส่งสายตาอันมีอำนาจมาจับตาทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้

ถ้าหากมาท่องเที่ยว ทิวทัศน์นี้คงจะงดงามตระการตามากยิ่งนัก

ถ้าหากมาเคารพบูชา ที่แห่งนี้ก็คงศักดิ์สิทธิ์มิแพ้กัน

แต่ถ้าเกิดหิมะถล่ม…มิว่าใครหน้าใหนก็มิอาจหนีรอดออกไปได้ !

ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมเย็น ๆ เข้าไปจนเต็มปอด แล้วก็หันไปมองทางตำหนักเฉินเตี้ยนอีกครา

นี่เป็นตำหนักของวัดเฉินเมี่ยว ทั้งดูเคร่งขรึมและน่าเคารพนับถือ มีธงผ้าไหมพลิ้วไหวอยู่โดยรอบ ด้านหน้ามีทางเข้าขนาดใหญ่

นักบวชในชุดสีแดงเดินออกมา 1 คน ด้านหลังของเขาก็ได้มีนักบวชในชุดสีดำตามออกมาด้วยอีกหนึ่งขบวน

พวกเขาทั้งหมดได้เดินลงบันไดที่ทอดยาวนับร้อยขั้นลงมา จากนั้นก็ได้มาหยุดอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ของจักรพรรดิเหวิน

นักบวชในชุดแดงนั้นได้โค้งคารวะ และนักบวชในชุดดำทั้งหมดนั้นก็ได้หมอบลงกับพื้น

 บัดนี้ได้ถึงเวลาอันสมควรแล้ว เรียนเชิญองค์ฝ่าบาทขึ้นประจำแท่นบูชา !  

จักรพรรดิเหวินทรงจูงมือฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็นำเขาขึ้นบันไดไปยังสถานที่ประกอบพิธีกรรม ใช้เวลามิกี่อึดใจเท่านั้น ทั้งสองก็ได้มายืนอยู่เบื้องหน้าของวัดเฉินเมี่ยว

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกเศร้าสลด

ตัวตำหนักของวัดเฉินเมี่ยวนั้นมีผนังสีแดงและเสาสีดำขนาดสูงใหญ่ ราวกับมีสัตว์ในตำนานนอนหมอบอยู่เบื้องหน้า

บนแท่นภายในวัดเฉินเมี่ยวนั้นมีหม้อขนาดใหญ่วางอยู่ และด้านบนสุดของหม้อนั้นมีลายเมฆและลายสัตว์มงคลสลักเอาไว้

และนักบวชชุดแดงได้ยืนประกบอยู่ทั้งสองด้านของแท่นนั้น ในมือของพวกเขานั้นมีเครื่องดนตรีนานาชนิด เช่นกลอง ขลุ่ยไม้ไผ่ ฆ้อง และขันทองเหลืองเป็นต้น

ทว่าสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจขึ้นไปอีกก็คือภูเขาหิมะด้านหลังของวัดเฉินเมี่ยวนั่น

ภูเขาหิมะลูกนั้นอยู่ห่างจากวัดเฉินเมี่ยวราว 10 จั้ง เบื้องล่างนั้นมีหิมะที่ละลายแล้วก่อตัวเป็นธารน้ำแข็ง

เมื่อยืนอยู่ที่แห่งนี้ก็เหมือนกับว่าความอบอุ่นของแสงสุริยานั้นได้เหือดหายไป ต่อให้สวมชุดขนสัตว์หนาเพียงใด ความเย็นก็ยังคงทะลุทะลวงเข้ามาถึงกระดูกอยู่ดี

นักบวชชุดแดงผู้นั้นได้นำเหล่านักบวชชุดดำขึ้นมายังแท่นเช่นกัน นักบวชชุดดำท่านหนึ่งได้ยืนจุดกระดาษสีเหลืองทองอยู่ด้านหน้าหม้อขนาดใหญ่ แล้วนักบวชในชุดแดงก็ได้จุดธูป 2 ดอก และยื่นให้กับจักรพรรดิเหวินและฟู่เสี่ยวกวนในขณะที่กระดาษกำลังมอดไหม้ 

 เริ่มพิธีกรรมบวงสรวงสู่สวรรค์ !  

เมื่อเสียงของนักบวชชุดแดงได้ดังขึ้น จักรพรรดิเหวินก็ทรงนำธูปของพระองค์ปักลงไปในกระถางธูปใหญ่ใบนั้น ฟู่เสี่ยวกวนเห็นเช่นนั้นก็เลยปฏิบัติตาม

ทันในนั้นเองก็ได้มีเสียงดนตรีศักดิ์สิทธิ์ดังขั้นมา มีเสียงฆ้องและกลองดังกึกก้อง ตามด้วยเสียงแซ่ซ้องของเครื่องดนตรีอื่น ๆ เสียงดนตรีได้ประสานกันจนเกิดเสียงดังสะท้อนไปทั่วทั้งช่องเขาแห่งนี้

ฟู่เสี่ยวกวนตกใจเป็นอย่างมาก แล้วแหงนหน้าขึ้นมองที่ภูเขาหิมะนั่นอีกครา รู้สึกเหมือนว่าจะได้ยินเสียงสะท้อนกลับมา !

แต่ทว่าก็ดูเหมือนมิมีอะไรเกิดขึ้น

และจักรพรรดิเหวินตี้ก็ได้จูงมือฟู่เสี่ยวกวนเข้ามายังตำหนักเฉินเตี้ยน

ดวงไฟภายในตำหนักแห่งนี้ส่องประกายเจิดจ้า และด้านในนั้นมีรูปปั้นแกะสลักขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่

และนั้นคือรูปปั้นเทพฮ้าวเทียนที่ราชวงศ์อู๋ให้ความเคารพนับถือ ร่างใหญ่นั้นถูกประดับด้วยชุดสีทอง ในมือถือคัมภีร์แห่งสรวงสวรรค์เอาไว้ สีหน้าดูเคร่งขรึม ดวงตาทั้งคู่ลุกโชนดั่งดวงไฟและกำลังก้มมองผู้คนที่จะมาเคารพบูชา

ในห้องโถงขนาดกว้างขวางนี้ ได้มีนักบวชในชุดดำนับร้อยชีวิตกำลังบรรเลงทำนองแห่งสรวงสวรรค์ เสียงบรรเลงแสนอ้อยอิ่งได้ประสานเข้ากับควันธูปที่ลอยล่องไปทั่วทั้งห้องโถง

เตาเผาใกล้รูปปั้นได้ส่งกลิ่นควันธูปโชยออกมาคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ เพื่อเป็นการต้อนรับการมาเยือนขององค์ทวยเทพ

นักบวชในชุดแดงรูปนั้นจุดธูปขึ้นมา 2 ดอกอีกครา แล้วแบ่งให้จักรพรรดิเหวินและฟู่เสี่ยวกวนคนละดอก

จักรพรรดิเหวินทรงนำเทียนแดงหนึ่งคู่ปักเข้าไปในถางยาวสำหรับปักเทียน ในมือของพระองค์นั้นกำก้านธูปไว้ แล้วพระองค์ได้หมอบอยู่หน้ารูปปั้นเทพฮ้าวเทียนพระองค์ทรงกราบสามคราแล้วคำนับเก้าคราตามธรรมเนียมปฏิบัติ จากนั้นก็ได้ลุกขึ้นแล้วนำธูปไปปักไว้ในกระถาง

ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ทำตาม พระนักบวชในชุดแดงได้ยืนอยู่เบื้องหน้าของกระถางธูป แล้วเปล่งเสียงดังออกมาว่า  ถวายของกำนัล !  

นักบวชในชุดดำที่อยู่ด้านนอกของตำหนักได้หลั่งไหลกันเข้ามา ในมือของเขานั้นเต็มไปด้วยของกำนัลสำหรับใช้ในพิธี และพวกเขาก็ได้เข้าไปยืนหลังจักรพรรดิเหวิน

มีนักบวชในชุดดำคนหนึ่งถืออ่างทองเอาไว้ในมือ และภายในอ่างนั้นมีน้ำอุ่นที่ตอนนี้ได้ส่งไอน้ำพวยพุ่งขึ้นมา

จักรพรรดิเหวินทรงทำความสะอาดมือในอ่างนั้น และนักบวชในชุดดำเหล่านั้นก็ได้ถวายของกำนัลให้แก่พระองค์ จากนั้นพระองค์ก็ทรงหยิบแล้วนำไปวางไว้บนแท่นบูชา

เมื่อของกำนัลเหล่านั้นได้ถูกจัดวางอย่างเรียบร้อย นักบวชในชุดแดงท่านนั้นก็ได้ตะโกนออกมาอีกครา  เทพฮ้าวเทียนผู้อยู่เบื้องบน จักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ประสงค์จะพบท่านและสวดบทบูชา ขอให้เทพฮ้าวเทียนทรงสดับฟังด้วยเทอญ !  

ไท่ฉังซื่อชิงเจ้าหน้าด้านพิธีกรรมระดับสูงได้นำคัมภีร์สีทองถวายต่อพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิ พระองค์ทรงรับด้วยสองมือ แล้วหันไปทอดพระเนตรฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนได้คุกเข่าลงไปอีกครา จากนั้นก็ได้ยินเสียงของจักรพรรดิเหวินเปล่งออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ  ข้าพเจ้าเป็นบุตรแห่งสวรรค์นามว่าอู๋ฉางเฟิงและโอรสพระองค์ใหญ่นามว่าอู๋เสี่ยวกวน ใคร่ขอให้เทพฮ้าวเทียนทรงสดับฟัง… 

ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างสั่นไหวบนผืนดิน เขาจึงแหงนหน้าขึ้นมามอง แล้วก็พบว่าผู้อื่นมิได้มีท่าทีแปลกประหลาดใด ๆ จากนั้นเขาจึงก้มหน้าต่อไป

 ข้าพเจ้าปกครองแผ่นดินนี้มาแล้ว 10 ปี ทุ่มเทเป็นอย่างมากในการบริหารบ้านเมือง มิเคยเกียจคร้าน เพื่อให้นำมาซึ่งการอยู่กินอย่างสงบสุขของเหล่าพสกนิกร และเพื่อความรุ่งเรืองของแคว้น 

 โอรสองค์ใหญ่ของข้าพเจ้านามว่าอู๋เสี่ยวกวนนั้นได้เติบโตในโลกของสามัญชนมา 17 ปีเต็ม ได้ถ่องแท้ในความทุกข์ยากของสามัญชนและรู้ซึ้งดีว่ากว่าจะประสบความสำเร็จรุ่งเรืองนั้นมิได้ง่ายดาย 

 อู๋เสี่ยวกวนเป็นผู้ช่ำชองในวรรณกรรมและเขามีพรสวรรค์อย่างสูงส่ง ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงประสงค์จะสถาปนาเขาเป็นองค์รัชทายาท ขอองค์เทพฮ้าวเทียนทรงได้โปรดเห็นใจ ข้าพเจ้าได้เลือกวันกราบไหว้บรรพบุรุษที่วัดไท่เมี่ยวเป็นการป่าวประกาศให้ทั่วทั้งใต้หล้านี้ได้ทราบโดยทั่วกัน !  

บทสวดพิธีกรรมอันแสนยืดยาวก็ได้ลุล่วงไปได้ด้วยดี ฟู่เสี่ยวกวนยังคงอยู่ในท่าหมอบ ทว่าในใจเขานั้นมิได้เอ่ยขอให้เทพฮ้าวเทียนปกป้องราชวงศ์อู๋ร่มเย็นเป็นสุขแต่อย่างใด แต่เขากำลังเฝ้าสังเกตความสั่นไหวจากระยะไกลนั้นอย่างมิลดละ

ความสั่นไหวนั้นเบาเป็นอย่างมาก หากมิได้หมอบลงแล้วเอาสองมือสัมผัสกับพื้นก็ยากที่จะรับรู้ได้

เมื่อจักรพรรดิเหวินนำคัมภีร์บทสวดนี้เผาในกองไฟ และตอนที่ไฟนั้นได้ลุกโชนขึ้นมานั่นเอง ด้านนอกของวัดเฉินเมี่ยวได้มีเสียงสั่นไหวเกิดขึ้นมาอีกครา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนจังหวะที่มีเสียงกลองดังขึ้นมา ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตกใจจนกระโดดเด้งขึ้นมา

ผืนปฐพีได้สั่นไหวแรงขึ้น อีกทั้งยังมีเสียงราวกับฟ้าร้องดังแว่วเข้ามาอีกด้วย !

หิมะถล่ม !

เขารีบลากจักรพรรดิเหวินออกมาในทันใด แล้วรีบกระโจนออกไปภายนอกตำหนักเฉินเตี้ยนอย่างรวดเร็ว แล้วก็ได้แผดเสียงตะโกนออกมาเสียงดังว่า  รีบหนี !  

จักรพรรดิเหวินทรงขมวดคิ้ว แม้ว่าขั้นตอนต่าง ๆ ในการทำพิธีกรรมจวนจะเสร็จสิ้นแล้ว แต่ยังขาดอีกสิ่งหนึ่งก็คือพระองค์ต้องหมอบแล้วกราบไหว้เทพฮ้าวเทียนเพื่อที่จะได้รับการตอบสนองจากพระองค์ !

นี่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังทำสิ่งใดกัน ?

 เจ้าปล่อยมือข้าประเดี๋ยวนี้ !  

ฟู่เสี่ยวกวนที่ตอนนี้มือเย็นเสียจนแข็งนั้นตื่นตระหนกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แม้ว่าเขาจะเคยถูกเป่ยหวังฉวนยิงธนูใส่มาแล้วสองครา หรือแม้ว่าจะเคยถูกผู้มีฝีมือระดับสูงถึงสิบสองชีวิตห้อมล้อมที่คฤหาสน์จิ้งหูมาแล้วก็ตาม แต่เขากลับมิเคยรู้สึกหมดหวังเช่นนี้มาก่อน

เขาเข้าใจถึงความรุนแรงของหิมะถล่มเป็นอย่างดี และนี่คือแสนยานุภาพแห่งธรรมชาติ ผู้ใดก็มิอาจต่อต้านได้ ต่อให้กวนยูผู้ที่เป็นเทพเจ้าแห่งสงครามอยู่ที่นี่ก็มิอาจขัดขืนได้เช่นกัน !

ในขณะที่เขาลากมือของจักรพรรดิเหวินแล้ววิ่งปรี่ออกมาจากตำหนักนั่นเอง บริวารที่รออยู่บนที่ราบสูงหลีลั่วก็ได้หันมาทางภูเขาหิมะขนาดมหึมานี้เช่นกัน

แสงสุริยากระทบกับภูเขาหิมะเหลืองอร่ามเป็นสีทองทั้งลูก !

เมฆหมอกที่ปกคลุมอยู่ด้านบนยอดเขานั้นได้อันตรธานหายไป ราวกับได้เปิดผ้าคลุมที่บดบังความน่าค้นหานี้ออก แล้วเผยท่าทีบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ออกมา

ผู้คนต่างมองด้วยความตกตะลึงแล้วส่งเสียงร้องด้วยความปรีดาและหฤหรรษ์สำราญใจ ต่างคิดว่านี้คงเป็นเจตนาของสรวงสวรรค์ เมื่อพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์ได้แล้วเสร็จเทพฮ้าวเทียนก็คงทรงได้สดับฟังเสียงของมวลมนุษย์

ตรงกลางของภูเขาหิมะนั้นได้มีหมอกปรากฏขึ้นมา ทว่าซูเจวี๋ยได้ขมวดคิ้วแล้วรู้ได้ในทันทีว่านั้นมิใช่เมฆหมอกแต่นั่นเป็นหมอกที่เกิดจากหิมะ !

แต่เขาก็มิอาจล่วงรู้ได้ว่าหิมะกำลังจะถล่ม…

เขาได้ยืนมองอย่างแน่นิ่ง แต่กลับรู้สึกแปลกประหลาดในใจ คนข้างกายของเขาต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ ทว่าทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกได้ว่าพื้นดินกำลังสั่นสะเทือน แล้วหลังจากนั้นก็ได้เกิดเสียงดังคลื่นแผดดังขึ้นมา !

 

ตอนที่ 385 ภูเขาหิมะ

เก้าค่ำเดือนสี่

ท้องนภาแจ่มใสไร้เงาเมฆ !

และในวันนี้สำนักดาราศาสตร์จัดให้เป็นฤกษ์มงคลของงานบวงสรวงสู่สวรรค์

เมื่อแสงสุริยาสาดลงมากระทบกับพื้นธรณี ประตูของพระราชวังก็ได้ถูกเปิดขึ้น ผู้คนมากมายต่างหลั่งไหลเข้ามามิขาดสาย และองค์จักรพรรดิก็ได้เสด็จราชดำเนินออกจากพระราชวังท่ามกลางเสียงโห่ร้องอวยพรของเหล่าราษฎรและทหารกองเกียรติยศ พระองค์ทรงเสด็จราชดำเนินไปยังที่ราบสูงแล้วจึงตรงไปยังภูเขาหิมะที่ตั้งตระหง่านอยู่บนฟากฟ้า

การเดินทางครานี้นอกจากจะมีกองกำลังองครักษ์ชุดแดงทั้งสามพันนายร่วมขบวนด้วย และก็ยังมีเจียนเจิ้งอู๋แห่งสำนักดาราศาสตร์ผู้นำจิตวิญญาณแห่งทวยเทพตามตำราของสำนักเต๋า

ผู้คนในราชวงศ์มีเพียงหนึ่งเดียวซึ่งก็คือองค์ฝ่าบาท และผู้ที่ร่วมติดตามพระองค์มาด้วยนั้นก็คือฟู่เสี่ยวกวนชายหนุ่มที่ยังมิได้รับการเปลี่ยนนาม

เพราะสตรีมิสามารถเข้าร่วมพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์ได้ ด้วยเหตุนี้ไทเฮาและอู๋หลิงจึงมิอาจมาร่วมขบวนครานี้ได้

เมื่อกองเกียรติยศได้จากไปก็ได้หลงเหลือหมู่คนเสียงดังเซ็งแซ่

พวกเขาล้วนแต่เป็นราษฎรของเมืองกวนหยุน พวกเขาได้มารวมตัวกันเพื่อที่จะมารับพรแห่งสรวงสวรรค์

และบัณฑิตจากแคว้นทั้งสามบัดนี้ก็ได้แฝงตนอยู่ในฝูงชนเช่นเดียวกัน ฤกษ์งามยามดีในวันบวงสรวงสู่สวรรค์เช่นนี้ แม้ว่าพวกเขาจะมิมีโอกาสที่จะไปเยือนวัดเฉินเมี่ยว เพียงแค่ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งอยู่ห่าง ๆ ก็ยังดี

ฝานเทียนหนิงและคูฉานก็ได้อยู่ร่วมในฝูงชนเหล่านั้นเช่นกัน พวกเขานั่งอยู่บนรถม้า ฝานเทียนหนิงเฝ้าคำนึงถึงเมื่อคราที่เขาได้พบพานฟู่เสี่ยวกวนคราแรกที่เมืองฝานหนิง จากนั้นก็ได้รู้จักและสนิทสนม

เศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียง หลังจากที่ผ่านพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์ก็จะได้แปรเปลี่ยนไปเป็นองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ที่แสนเกรียงไกร !

วิธีการของจักรพรรดิเหวินนั้นเยี่ยมยอดอย่างแท้จริง ถึงขั้นต้องปลงประชนม์โอรสทั้งสองพระองค์ ฝานเทียนหนิงก็เป็นเชื้อพระวงศ์เช่นกัน เขามิได้เห็นใจองค์ชายทั้งสอง เพราะเขารู้ดีว่าเชื้อพระวงศ์ล้วนแต่เป็นพวกไร้หัวใจ

 ช่างน่าเสียดายมากยิ่งนัก 

คูฉานแหงนหน้าขึ้นมามองฝานเทียนหนิง  ท่านเสียดายสิ่งใดกัน ?  

 ใต้หล้านี้จะไร้ซึ่งฟู่เสี่ยวกวนอีกต่อไปแล้ว !  

 …ท่านผิดแล้ว !  

 เมื่อเขาเป็นองค์รัชทายาท เขาก็ย่อมยุ่งอยู่กับงานราชการ และความโดดเด่นมิเหมือนใครของเขาก็ย่อมถูกเผาให้ดับมอด เขาจะแต่งประพันธ์บทกวีที่สะเทือนฟ้าดินออกมาได้เยี่ยงไรกัน ข้าเอ่ยสิ่งใดผิดไปเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 เขาได้เอ่ยมาว่า…ทุกสิ่งล้วนประดิษฐ์ขึ้นมา สิ่งที่เห็นอาจจะมิใช่สิ่งที่เป็น 

ฝานเทียนหนิงคิ้วขมวดจนเป็นปม  หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?  

 สิ่งที่ตาท่านเห็นนั้นล้วนแต่มิเที่ยงแท้ หากใจท่านคิดว่าเขาคือฟู่เสี่ยวกวน เช่นนั้นแล้ว เขาก็จะเป็นฟู่เสี่ยวกวนตลอดไป… 

 หึ ๆ !   ฝาเทียนหนิงแค่นหัวเราะ แล้วหันหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง

เขายังเป็นฟู่เสี่ยวกวนคนเดิมอยู่จริงหรือ ?

เขาจะแปรเปลี่ยนไปเป็นจักรพรรดิที่ไร้หัวใจเข้าสักวันหนึ่งหรือไม่ ?

เขาจะหวนคำนึงถึงบทประพันธ์ไร้ซึ่งปรารถนาหรือไม่ ?

เขาจะประพันธ์ถ้อยคำแสนสง่างามอย่างเช่น ก้านไผ่แลรองเท้าฟางว่องไวกว่าการขี่ม้าไป หากไร้หยาดฝน ก็ย่อมไร้แสงสุริยาออกมาได้อยู่อีกหรือไม่ ?

……

ม้าแปดตัวกำลังลากรถม้าคันใหญ่และหรูหรา

จักรพรรดิเหวินและฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน

 เจ้าอย่าได้ตื่นเต้นไป ประเดี๋ยวก็จงทำตามข้าเถิด เมื่อเริ่มพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์ที่ตำหนักเฉินเตี้ยน เจ้าจะต้องจุดธูปคุกเข่าเพื่อขอให้สรวงสวรรค์ปกป้องราชวงศ์อู๋ ให้มีฝนตกชุม มีพืชผลที่อุดมสมบูรณ์ ปกป้องความผาสุกของเหล่าพสกนิกรและความมั่นคงของราชวงศ์  

 ข้าจะลงชื่อเจ้าไว้ในคัมภีร์บวงสรวงสู่สวรรค์เพื่อให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์จดจำชื่อเจ้าได้ เมื่อถึงคราบูชาบวงสรวงสู่สวรรค์ในปีต่อไป ข้าก็จะมอบหมายให้เจ้ามาทำพิธีแทน เช่นนี้ก็เพื่อที่จะให้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้รู้จักเจ้ามากขึ้น และคุ้มครองรักษาให้เจ้าครองบัลลังก์อย่างผาสุก เป็นองค์จักรพรรดิที่ทรงธรรม 

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าด้วยความสุขุม นี่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของผู้คนในแคว้นอู๋ เขาได้แสดงออกถึงความเคารพความศรัทธา แม้ว่าภายในใจจะรู้ว่าทั้งหมดนี้ล้วนแต่ไร้ประโยชน์

จักรพรรดิเหวินทรงพอพระทัยในความสุขุมของฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างมาก

ในที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้เอ่ยถึงเรื่องที่จะละทิ้งความรับผิดชอบอีกต่อไป จึงทำให้จักรพรรดิเหวินและไทเฮาได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้เสียที และทำให้เหล่าเสนาบดีโล่งอกไปด้วยเช่นกัน

สองวันที่ผ่านมา จักรพรรดิเหวินทรงรับสั่งให้ฟู่เสี่ยวกวนมาเข้าร่วมประชุมราชสำนักในช่วงเช้าตรู่ แม้ว่าพระองค์จะมิทรงเอ่ยถามเขาแม้แต่ประโยคเดียว แต่ทว่าเขาก็ยังยืนอยู่เบื้องหน้าขุนนางอย่างเชื่อฟัง คาดว่าผ่านไปมินานเขาก็คงคุ้นชิน เมื่อถึงเวลาสถาปนาเขาเป็นองค์รัชทายาท เขาก็จะสามารถเข้ามามีบทบาทในการผ่อนปรนภาระในการบริหารบ้านเมืองของข้า

ฟู่เสี่ยวกวนช่างแตกต่างกับอู๋กานองค์รัชทายาทพระองค์ก่อนมากยิ่งนัก !

ฟู่เสี่ยวกวนเดิมทีเขาเป็นถึงเจี้ยนอี้ต้าฝูระดับสี่ของราชวงศ์หยู เขาย่อมเข้าใจธรรมเนียมปฏิบัติของทางราชสำนักเป็นอย่างดี และมีความสามารถในการบริหารบ้านเมือง ดังนั้นเขาย่อมเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว หากสามารถช่ำชองได้ภายในสองปี ตำแหน่งจักรพรรดิของข้าก็สามารถมอบให้กับเขาได้แล้ว

จักรพรรดิเหวินทรงปล่อยให้พระราชดำริโลดแล่นไป พระองค์ทรงพระเกษมสำราญมากยิ่งนัก

 คืนก่อนไทเฮาได้บอกกับข้าว่าเมื่อพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์วันนี้ได้แล้วเสร็จ ตอนค่ำให้ข้าพาเจ้าไปร่วมเสวยพระกระยาหารที่ตำหนักของพระนางด้วยกัน พระนางทรงโปรดบทกวีอวยพรของเจ้ามากยิ่งนัก และเจ้าก็เป็นพระนัดดาหนึ่งเดียวของพระนาง เจ้าจงรู้จักกตัญญูและทำให้พระนางทรงโปรดเจ้าให้จงได้ ให้พระนางรู้สึกสุขสบายพระทัย 

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้ารับทราบ  มิทราบว่าพระนางทรงโปรดสิ่งใดกัน ?  

เขาไม่เคยพบไทเฮามาก่อน เลยคิดว่าการเจอกันคราแรกควรจะมีของขวัญติดไม้ติดมือไปด้วย เพราะพระนางมีศักดิ์เป็นย่าของเขา

จักรพรรดิเหวินทรงแย้มพระสรวล  พระนางทรงโปรดที่จะสนทนากับเจ้า 

เช่นนี้ก็มิยากนัก เพราะฟู่เสี่ยวกวนเคยมีประสบการณ์สนทนากับผู้อาวุโสมาก่อน

ทั้งสองนั่งสนทนากันตามประสา และความหนาวเย็นก็ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาเยือนอย่างไม่รู้ตัว

ขันทีเสี่ยวหลีจื่อผู้ที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้างมาตลอดก็ได้ก่อไฟให้เกิดความอบอุ่นขึ้นมา จักรพรรดิเหวินทรงหยิบเสื้อขนสัตว์หนานุ่มขึ้นมาหนึ่งตัวแล้วส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน

 เข้าสู่หุบเขาธารน้ำแข็งแล้ว เจ้าจงสวมใส่เสื้อผ้าหนา ๆ เสียหน่อยเพื่อมิให้หนาวสั่น ประเดี๋ยวด้านในจะหนาวกว่านี้มากนัก 

ฟู่เสี่ยวกวนรับเสื้อขนสัตว์มาอย่างไม่เกรงใจและสวมทับไป เขาเปิดหน้าต่างขึ้น จากนั้นจึงได้เห็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ส่องประกายระยิบระยับใต้แสงอาทิตย์ หากจะกล่าวให้สมจริงก็คือแม่น้ำที่กลายเป็นน้ำแข็ง

มันทอดยาวลงมาระหว่างภูเขาสูงทั้งสองลูก คดเคี้ยวเลี้ยวลด ไม่รู้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากที่ใด

เหมือนว่าผู้คุมม้าจะใช้วิธีพิเศษในการเดินหน้า และดูเหมือนว่าดุนล้อได้มีการเสริมโซ่กันลื่นเข้าไป ทำให้รถเคลื่อนที่ช้าเป็นอย่างมาก และรถม้าก็ได้สั่นกระโชกขึ้นมา

ฟู่เสี่ยวกวนแหงนหน้าขึ้นไปมองภูเขาหิมะให้เต็มตาอีกครา ภูเขาลูกนั้นสูงชันจนมิอาจมองเห็นยอดของมันได้ และมีหิมะปกคลุมอย่างหนาแน่น จนทำให้ฟู่เสี่ยวรู้สึกเป็นกังวล เขาจึงเอ่ยถามว่า  หิมะเหล่านี้จะถล่มลงมาหรือไม่ ?  

จักรพรรดิเหวินทรงแย้มพระสรวลเพราะมิเห็นด้วย  ตั้งแต่ย้ายพิธีบวงสรวงสู่สวรรค์จากจายซิงถายมายังวัดเฉินเมี่ยวที่ภูเขาหิมะแห่งนี้มาร้อยสามสิบปีเรื่องหิมะถล่มส่วนมากจะเกิดช่วงเดือนเจ็ดเดือดแปด มิเคยเกิดขึ้นในเดือนสี่มาก่อน เจ้าจงอย่าได้เป็นกังวล 

ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี เขาเลิกผ้าม่านให้กว้างขึ้นไปอีก แล้วยื่นหัวออกไปเสียครึ่งหัวแล้วกวาดสายตาไปมองทัศนียภาพโดยรอบให้ไกลเท่าที่จะมองเห็นได้ นอกจากน้ำแข็งที่เกาะบนพื้นกับหิมะที่กองพะเนินบนภูเขาแล้วเขาก็มองสิ่งใดมิเห็นอีกเลย

ภูเขาหิมะทอดยาวไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา ยอดเขาสูงตระหง่านเรียงราย

พวกมันตั้งตระหง่านอย่างเงียบเชียบบนที่ราบสูงที่สะอาดบริสุทธิ์แห่งนี้ และมิรู้ว่ามันมีมานานเพียงใดแล้ว

หันมองไปทั่วสารทิศนอกจากเสียงฝีก้าวของม้า และเสียงร้องเรียกออกมาเพียงครั้งคราวก็ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีก ราวกับว่านอกจากรอยเท้าของผู้คนก็ไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตอื่นใด

ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังอยู่ในอารามตื่นกลัว ทันใดนั้นรถม้าก็ได้ตีวงกว้าง ทำให้ที่ราบสูงหลีลั่วนั้นถูกตัดออกจากทัศนวิสัยอย่างสิ้นเชิง

และฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ยื่นศีรษะออกไปมองด้านนอกอีกครา และสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าเขานั้นคือยอดภูเขาหิมะที่สูงเสียดฟ้าที่มีเมฆหนาทึบปกคลุมดั่งเสาหลักคอยค้ำจุน

ช่างดูโอ่อ่ามากยิ่งนัก ยอดของภูเขาหิมะสูงเสียดฟ้าทะลุเมฆ !

เบื้องหน้าของกองทหารเกียรติยศ ที่เชิงเขาแห่งนี้ เป็นพื้นที่หุบเขาอันกว้างใหญ่ไพศาล ธารน้ำแข็งเปรียบดั่งสร้อยคอหยกที่คล้องอยู่ระหว่างกลาง ทั้งสองด้านคือก้อนหินเรียงรายที่เปลือยเปล่า

กองทหารเกียรติยศได้หยุดอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ ฟู่เสี่ยวกวนร้อนรนจนแทบจะกระโดดออกจากรถม้า และกวาดสายตาหันไปทั่วทุกสารทิศอีกครา แล้วก็พบว่าที่แห่งนี้ได้โดนภูเขาหิมะห้อมล้อมเอาไว้

 

เมืองกวนหยุนมั่งคั่งรุ่งเรืองมากยิ่งนัก

ที่แห่งนี้เป็นดั่งทำเลทอง ผู้คนต่างมั่งมีและดูน่าเคารพนับถือ ตรอกส่าจินเป็นตรอกที่ครึกครื้นและมีขนาดใหญ่ที่สุดในเมืองกวนหยุน

บัดนี้หนานกงตงเซวี๋ยกำลังพาต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินอีกทั้งซูซูเดินเที่ยวเล่นอยู่ในตรอกอันครึกครื้นแห่งนี้

 กล่าวกันว่าชื่อของตรอกส่าจินมีที่มาจากเมื่อคราที่กำลังก่อสร้างถนนเส้นนี้ ครานั้นมีขบวนม้าราวร้อยตัวบรรทุกเงินและทองผ่านมา แล้วเงินทองเหล่านั้นได้หล่นเรี่ยราดไปตามพื้นถนน ด้วยเหตุนี้ตรอกส่าจินจึงถูกสร้างโดยการวัดระยะทองที่ทองหล่นกว้างและยาวที่สุดในการตัดถนน และทุกวันนี้ก็เลยมีภาพอย่างที่เห็น  

หนานกงตงเซวี๋ยกางแขนชี้ทั้งสองข้างของถนนแล้วยกยิ้มพร้อมกับเอ่ยกล่าว  พี่สาวและน้องสาวทั้งหลายจงดูเถิด ที่แห่งนี้สามารถหาซื้อสิ่งของที่ดีที่สุดได้ แน่นอนว่ายกเว้นเหล้าหมักซีซานขององค์ชายใหญ่ และชุดชั้นในของพี่สาวทั้งสอง 

ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็พลันได้แดงเรื่อขึ้นมา แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา  พี่สาวทั้งสองนี้มีรสนิยมดียิ่งนัก แล้วชุดชั้นในนั้นก็สวมใส่สบาย ข้าคิดว่าของสิ่งนี้ย่อมขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอย่างแน่นอน เพียงติดปัญหาเพียงประการเดียวคือเมืองจินหลิงนั้นห่างไกลเกินไป การจัดส่งสินค้าย่อมเป็นอุปสรรค 

นางแหงนหน้าขึ้นมาแล้วมองไปทางต่งชูหลาน  พี่สาวคิดที่จะย้ายโรงงานผลิตมายังเมืองกวนหยุนหรือไม่ ?  

หนานกงตงเซวี๋ย ต่งชูหลาน และหยูเวิ่นหวินอีกทั้งซูซูได้ใกล้ชิดและสนิทสนมกันเป็นเวลา 7 วันเต็ม ๆ !

เมื่อนางรู้ว่าต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินได้ซื้อห้างร้านที่ตรอกส่าจินเพื่อค้าขาย นางก็ได้ตรงปรี่มายังคฤหาสน์จิ้งหูทันที ทว่านางมิได้เอ่ยสิ่งใดต่อฟู่เสี่ยววกวน แต่นางกลับแอบอาสาที่จะเป็นธุระและคอยสอบถามช่องทางให้กับต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน

ผ่านไปมินาน ทั้งสี่สาวก็ได้สนิทสนมกันมากขึ้นและสนทนาเป็นกันเองมากขึ้น

ทว่านางเรียกแต่พี่สาว ๆ มิยอมหยุด จึงทำให้ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินรู้สึกหวั่นใจมิน้อย

 ขอเอ่ยกับน้องสาวตามตรงว่าพวกข้านั้นต้องการที่จะสร้างโรงงานสัก 2 แห่งไว้ที่นี่ เพียงแต่ยังมิได้เลือกทำเลที่เหมาะสม… 

หนานกงตงเซวี๋ยหัวเราะร่า แล้วแวะซื้อปิงถังหูลู่ริมทางให้ซูซูหนึ่งไม้ จากนั้นจึงเอ่ยต่อ  น้องสาวรู้จักที่แปลงหนึ่ง พี่สาวต้องการไปดูบัดนี้เลยหรือไม่ ?  

 อีกอย่างข้าได้ยินมาว่าพี่สาวต้องการซื้อสวน วันรุ่งขึ้นข้าขออาสาพาพวกท่านออกนอกเมืองไปชมที่ดิน ในเมื่อแสงสุริยาอบอุ่นกำลังดีก็ถือโอกาสไปเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้ผลิเสีย หากท่านพี่มีกิจการอะไรดี ๆ ก็อย่าลืมเชื้อเชิญน้องสาวผู้นี้เชียวล่ะ ข้ามีเงินเก็บไว้พอประมาณ เก็บไว้เฉย ๆ ก็เปล่าประโยชน์ สู้เอาไปให้พี่สาวลงทุนเสียยังจะดีกว่า ข้าจะได้มีกำไรกลับมาบ้างอีกทั้งมันยังดีกับพวกเราทั้งสองฝ่าย พี่สาวคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ?  

ต่งชูหลานครุ่นคิดในใจว่าหนานกงตงเซวี๋ยเป็นถึงหลานสาวของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย หากฟู่เสี่ยวกวนได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทขึ้นมาเสียจริง ๆ ก็ย่อมต้องพึ่งพาแรงสนับสนุนจากเสนาบดีเหล่านี้ เมื่อได้ยินดังนั้นนางจึงพยักหน้าแล้วยิ้มตอบ  หากน้องสาวมิกลัวความเสี่ยงในการลงทุนก็จงมาร่วมลงทุนกันเถิด ทว่าข้าขอเอ่ยไว้ตรงนี้ก่อนเลยว่าการทำธุรกิจนั้นมิอาจจะรับประกันผลตอบแทนได้ หากทำให้สินทรัพย์ส่วนตัวของน้องสาวขาดทุนจนหมดสิ้น…น้องสาวก็อย่าได้กล่าวโทษข้าก็แล้วกัน  

หนานกงตงเซวี๋ยตาเป็นประกายขึ้นมาทันใด จากนั้นจึงได้เอ่ยอย่างชอบใจว่า  น้องสาวผู้นี้จะกล่าวโทษพี่สาวได้เยี่ยงไร ข้ารู้สึกนับถือพี่สาวมากยิ่งนัก ท่านพี่บริหารการเงินเก่งยิ่ง มิเหมือนข้า… 

นางทำปากยื่นราวกับเด็กสาวตัวน้อย ๆ  ข้ามิช่ำชองเรื่องพวกนี้เอาเสียเลย ช่วยเหลือสิ่งใดก็มิได้ ทำได้เพียงให้ข่าวสารเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงเท่านั้น 

ซูซูกินปิงถังหูลู่อยู่ด้านหลังสุด แล้วสายตาของนางก็ได้ตกอยู่บนแผ่นหลังของหนานกงตงเซวี๋ย สายตาคู่นั้นจ้องมองนางด้วยความอาฆาตมาดร้าย ทุกเรื่องย่อมมีมูลเสมอ นางผู้นี้ปากหวานก้นเปรี้ยว ต้องการจะเข้าหาฟู่เสี่ยวกวนล่ะสิมิว่า !

เจ้านี่ก็อีกคน เมื่อใดหัวกระไดจะแห้งเสียที !

……

ฟู่เสี่ยวกวนจามออกมาเสียงดัง เขาคลึงจมูกไปมาพลางคิดว่าคงจะเป็นเพราะแพ้เกสรดอกไม้

บัดนี้เขามิได้อยู่ในเมืองกวนหยุน

อู๋หลิงเอ๋อร์ได้เชื้อเชิญเขา และเขาก็ได้พาซูเจวี๋ยศิษย์พี่ใหญ่และซูโหรวศิษย์พี่สามติดตามออกไปนอกเมืองด้วย ทั้งสามได้มายังที่ราบสูงหลีลั่ว

ท้องนภาเปิดกว้างเป็นสีฟ้าแจ่มใส ทว่าผืนฟ้านั้นดูเหมือนมิได้ห่างไกลมากเท่าใดนัก

ผืนหญ้าอันกว้างใหญ่เป็นดั่งพรมที่ถูกถักทออย่างประณีตงดงาม มันถูกปูไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา ไกลจนถึงเส้นขอบฟ้ามองดูแล้วราวกับภาพวาด

สายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านเข้ามาเป็นระลอก ผืนหญ้าพลิ้วเอนดั่งเกลียวคลื่นในมหาสมุทร ดอกไม้ป่านานาชนิด บ้างเป็นพุ่ม บ้างเป็นดอก พวกมันได้ช่วยแต่งเติมสีสันสดสวยให้กับพรมผืนนี้ได้อย่างไร้ที่ติ

อู๋หลิงเอ๋อร์แต่งองค์ด้วยชุดสีม่วง นางกำลังขี่อยู่บนหลังม้าสีแดงพุทรารูปงามตัวนั้นของนาง และบัดนี้นางและฟู่เสี่ยวกวนได้ยืนอยู่บนที่ราบทั้งสองยืนแน่นิ่งและงดงามดั่งรูปปั้นแกะสลัก

กองทัพหญิงและกองกำลังองครักษ์ชุดแดงนั้นคอยคุ้มกันอยู่ไกลออกไป

ซูเจวี๋ยและซูโหรวก็ได้ยืนอยู่ห่างพอสมควร

บนนภากว้างใหญ่แห่งนี้ ราวกับมีเพียงเขาและนางอยู่เพียงสองคนเท่านั้น

 ศิษย์พี่ใหญ่ 

 อือ… 

 ท่านลองมองพวกเขาสิ 

 ข้าก็มองอยู่นี่ไง มีอันใดหรือ ?  

 ช่างเหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยก เหตุใดสวรรค์ถึงอยุติธรรมได้ถึงเพียงนี้  ระหว่างที่เอ่ยซูโหรวก็ได้แอบมองซูเจวี๋ยด้วยสายตาอันขมขื่น เขาช่างไร้เดียงสาเสียจริง ๆ ต้องรอให้อายุถึงเจ็ดแปดสิบหรือเยี่ยงไรถึงจะรับรู้ได้เสียที

ซูเจวี๋ยปรับหมวกเล็กน้อยแล้วจึงเอ่ยถามด้วยความตั้งใจ  สวรรค์กำหนดให้พวกเขาเกิดมาเป็นพี่น้องกัน จะอยุติธรรมได้เยี่ยงไร ?  

ซูโหรวตกตะลึงเสียจนนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ  แต่ทว่าอู๋หลิงเอ๋อร์ปรารถนาให้เขาเป็นพระสวามีมิใช่พระเชษฐา !  

 ศิษย์น้องสาม หากปรารถนาให้เป็นพระสวามีนั้นจะต้องยินยอมทั้งสองฝ่าย ดั่งมัจฉาที่ต้องการน้ำเพื่อความรื่นรมย์ ทว่าเป็นพระเชษฐานั้นมีความสัมพันธ์ยึดโยงด้วยเลือดและเนื้อ ความรู้สึกของพี่น้องนั้นคงมั่นและยืนยาว ศิษย์น้องเอ่ยเช่นนี้มิถูกต้องนัก หากจะกล่าวถึงลิขิตสรรค์ ความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องย่อมชนะความรักที่ฉาบฉวยเสมอ 

ซูโหรวถลึงตาใส่ซูเจวี๋ย จากนั้นนางก็ได้ก้มศีรษะลงไปปักนกหยวนหยางของนางต่อ

ฟู่เสี่ยวกวนและอู๋หลิงเอ๋อร์ย่อมมิได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งสองคน

ขณะนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังทอดมองทิวทัศน์บนที่ราบสูงแห่งนี้ เขารู้สึกว่าทิวทัศน์ ณ ที่แห่งนี้ช่างงดงามมากยิ่งนัก เมื่อทอดสายตามองออกไปก็ทำให้สบายใจมากยิ่งนัก ราวกับความทุกข์ท้อที่สั่งสมมาได้อันตรธานหายไปในบัดดล

ทว่าอู๋หลิงเอ๋อร์พาเขามายังที่แห่งนี้ ดูเหมือว่ามิได้ประสงค์เพียงแค่มาชมทิวทัศน์เท่านั้น น้องสาวผู้นี้ นางต้องการจะทำสิ่งใดกัน ?

 น้องชอบทุ่งหญ้าบนที่ราบสูงแห่งนี้มากยิ่งนัก 

อู๋หลิงเอ๋อร์เอ่ย ฟู่เสี่ยวกวนจึงพยักหน้าตอบรับ  พี่ก็ชอบเช่นกัน 

 น้องชอบยืนบนที่ที่ห่างไกลผู้คน เช่นตรงนี้ ทอดสายตามองไปยังภูเขาหิมะที่สูงเสียดฟ้า  มือของอู๋หลิงเอ๋อร์ได้ถือแซ่ม้าเอาไว้และนิ้วของนางได้ชี้ตรงไปยังภูเขาเบื้องหน้า  นั่นคือภูเขาหิมะ เสียดายที่พวกเรามาสายไปหน่อย มิเช่นนั้นจะได้ยลความงดงามของแสงสุริยาที่สาดส่องลงบนภูเขาจนเป็นสีทองอร่าม 

ฟู่เสี่ยวกวนได้หันไปมองภูเขาหิมะลูกนั้น มันสูงเป็นอย่างมาก แม้ว่าแสงสุริยาแห่งฤดูใบไม้ผลิจะเจิดจ้าเพียงใด ภูเขาหิมะลูกนั้นก็ยังถูกเมฆหมอกปกคลุมเอาไว้ มิยอมเผยรูปลักษณ์ที่แท้จริงของตนออกมา

 น้องเคยสาบานกับตนเองว่าจะต้องสมรสกับผู้ที่ยิ่งใหญ่ดั่งเช่นภูเขาหิมะลูกนั้น 

ฟู่เสี่ยวกวนผงะเล็กน้อย แล้วจึงได้เอ่ยกล่าวว่า  พี่จะหาชายหนุ่มที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นมาให้น้องให้จงได้ !  

อู๋หลิงเอ๋อร์หันกลับไปหาฟู่เสี่ยวกวนอย่างกะทันหัน สายลมพัดเข้ามาโดนใบหน้ารูปงามของนาง เส้นผมของนางปลิวไสวไปตามแรงลม แล้วกระทบบนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนอย่างแผ่วเบา

นางจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาตั้งมั่น สีหน้าของนางพลันแดงเรื่อขึ้นมา

 น้องมิได้อยากมีท่านเป็นพี่ชาย และมิประสงค์ให้ท่านพี่ช่วยค้นหาชายใดมาให้กับน้อง !  

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตื่นตกใจเสียจนทำอะไรมิถูก เขาทำได้เพียงมองอู๋หลิงเอ๋อร์ด้วยสายตาที่ตกตะลึง แล้วสมองก็ได้หยุดทำงานไปชั่วคราว นี่มันหมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?

 น้องอยากเป็นหญิงสาวของพี่ ! มิใช่น้องสาว !  

 จะเป็นไปได้เยี่ยงไร ?  

 เหตุใดจึงเป็นไปมิได้กัน ?  

 น้องเป็นบ้าไปแล้ว !  

อู๋หลิงเอ๋อร์หัวเราะขึ้นมาทันใด เสียงหัวเราะของนางเป็นดั่งพฤกษาที่เบ่งบาน นางหัวเราะจนน้ำตาไหล หัวเราะจนดินแดนที่เวิ้งว้างต้นหญ้าและสายลมบนที่แห่งนี้ต่างเงียบไปชั่วขณะ

 ทำเหมือนกับว่าเรื่องทั้งหมดมิเคยเกิดขึ้นมาก่อนได้หรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจยาว และตอบกลับไปด้วยท่าทางที่เคร่งขรึมว่า  แต่เรื่องทั้งหมดนั้นมันก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว ไป กลับเถอะ !  

 

ตอนที่ 383 แสงสุริยาอบอุ่นกำลังดี

เจ็ดค่ำเดือนสี่

ณ สวนดอกไม้ด้านหลังของวังเตี๋ยอี๋แห่งราชวงศ์หยู

ที่นี่มีกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิมากยิ่งกว่าเมืองกวนหยุน

ณ สวนดอกไม้แห่งนี้มีดอกโบตั๋นที่กำลังเบ่งบานอย่างเต็มที่ มีดอกไห่ถางสีสันสดใส มีกลีบเป็นชั้น ๆ ราวกับปุยเมฆ เปรียบดั่งคลื่นในมหาสมุทร ราวกับดินแดนในเทพนิยาย

มีฝูงผีเสื้อร่ายรำท่ามกลางบุปผา มีฝูงผึ้งที่กำลังขะมักเขม้นท่ามกลางหมู่เกสร

ภาพช่วงปลายของฤดูใบไม้ผลินี้ช่างงดงามยิ่งและหมู่ผกาได้ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งศาลาซิ่วชุน

ฮองเฮาซั่งฉลองพระองค์ด้วยชุดผ้าปอและกำลังชงชากาใหม่ ฮ่องเต้หยูยิ่นทรงยืนประชิดริมหน้าต่างและทรงทอดพระเนตรไปยังมหาสมุทรบุปผาภายใต้แสงสุริยาของฤดูใบไม้ผลิ สายตาของพระองค์นั้นมิได้เพ่งเล็งไปยังที่ใดเป็นพิเศษ ความคิดของพระองค์นั้นได้ล่องลอยไปยังดินแดนที่อยู่ห่างไกล

 ฝ่าบาท ในเมื่อจักรพรรดิเหวินทรงส่งพระราชสาสน์มาให้นั้นย่อมหมายความว่าเรื่องนี้ได้ข้อสรุปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว 

ฮ่องเต้ทรงถอนพระปัสสาสะเฮือกใหญ่  ข้าคิดว่าจักรพรรดิเหวินเพียงแค่อยากพบเขาเพียงเท่านั้น แต่คาดมิถึงว่าเขาจะประทับใจในตัวฟู่เสี่ยวกวนจนได้ !  

พระองค์ค่อย ๆ เคลื่อนตัวกลับไปอย่างเชื่องช้า ฮองเฮาซั่งได้นำชาที่เพิ่งชงเสร็จใหม่ ๆ ส่งมอบให้ จากนั้นทรงแย้มพระสรวลด้วยความเรียบเฉย  หม่อมฉันรู้อยู่แล้วว่าผลมันต้องออกมาเป็นเช่นนี้ ชายหนุ่มที่มีพรสวรรค์เยี่ยงฟู่เสี่ยวกวน จักรพรรดิเหวินย่อมโปรดปราน เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท เรื่องนี้มิได้น่าแปลกใจมากเท่าใดนัก 

 เขาใกล้จะได้รับการสถาปนาเป็นองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์อู๋แล้ว แต่ทว่าข้า…ข้าจะจัดการเยี่ยงไรกับห้างร้านเหล่านี้กัน ?  

ฮองเฮาซั่งหลุดแย้มพระสรวลออกมา ช่างมีเสน่ห์และน่าทะนุถนอมยิ่งกว่าดอกโบตั๋นเสียอีก

 ฝ่าบาทอย่าได้หลงลืมไปนะเพคะว่าเขาเป็นราชบุตรเขยของพระองค์ 

ฮ่องเต้ชะงักเล็กน้อย  เจ้าหมายความว่าเขาจะกลับมาเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 มิได้หมายความว่าจะกลับมาเลยเสียทีเดียว เขาเป็นผู้ประพันธ์หนังสือกั๋วฟู่ลุ่น จะนำแนวคิดไปผลักดันเยี่ยงไรให้สัมฤทธิ์ผล จะบริหารเยี่ยงไร เรื่องนี้เขาย่อมเตรียมแผนการเอาไว้แล้ว  

สิ่งที่ฝ่าบาทพึงกระทำนั้นคือการนำนโยบายของฟู่เสี่ยวกวนส่งมอบให้กับทางฝ่ายบริหารของทางราชสำนักจัดการ จริง ๆ มันก็มีข้อดีของมันอยู่เช่นกัน หากให้ฟู่เสี่ยวกวนทำการผลักดันนโยบายด้วยตัวเขาเองก็อาจจะประสบผลสำเร็จได้เป็นเท่าตัว มีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าใจอย่างถ่องแท้

แต่ทว่าเวลานี้เมื่อข้อสรุปได้ออกมาเป็นเช่นนี้แล้วเขาสามารถชี้แนะวิธีการโดยผ่านจดหมายได้ ส่วนหน้าที่ในการผลักดันนั้นก็ได้ตกอยู่บนบ่าของเหล่าเสนาบดีทั้งหลาย พวกเขาย่อมจะได้เรียนรู้ถึงเคล็ดลับที่แอบแฝงอยู่ในนั้น หรืออาจจะต่อยอดออกมาเป็นความคิดใหม่ ๆ ได้ แต่สำหรับราชวงศ์หยูแล้ว นี่เป็นขั้นตอนที่คนมีความสามารถคนหนึ่งจะมีโอกาสได้สร้างสมประสบการณ์ 

 เช่นนั้นแล้ว…ฝ่าบาท เหรียญย่อมมีสองด้าน มีทั้งดีและมิดี จงเพ่งมองสิ่งที่ดีแล้วหลีกเลี่ยงสิ่งมิดีเสีย 

ทันใดนั้นฮ่องเต้เหมือนดั่งได้เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ พระพักตร์ของพระองค์นั้นได้แย้มพระสรวลออกมา

พระองค์ทรงยกถ้วยชาขึ้นมาลิ้มรสชาติ แล้วทรงตรัสด้วยความเห็นใจ  หยูเวิ่นหวินต้องอยู่ในความลำบาก เมืองกวนหยุนนั้นตั้งอยู่บนที่ราบสูง อาหารการกินก็ไร้ความประณีต ราตรียามฤดูหนาวก็มีหมอกทึบ ช่างแตกต่างกับเมืองจินหลิงมากยิ่งนัก เฮ้อ… !  

 ฝ่าบาทมิจำเป็นต้องเป็นกังวลมากเกินไป ฟู่เสี่ยวกวนเป็นชายหนุ่มที่หนักแน่นในความรู้สึก เขาย่อมมิปฏิบัติไม่ดีต่อเวิ่นหวิน อีกทั้งเขายังได้เข้าไปมีอำนาจในพระราชตำหนักบูรพา หม่อมฉันคิดว่า…เห็นทีว่าฝ่าบาทจะสามารถนำกองกำลังอีก 20,000 นายย้ายไปประจำการที่หลานหลิงได้เสียที 

พระนางได้รินชาเติมให้ฝ่าบาท จากนั้นจึงเอ่ยเสริม  ศึกทางตะวันออกนั้นจะจบสิ้นในเร็ววัน ส่วนปัญหาทางเหนือนั้นนับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ พวกเรามิอาจให้กงเซินจ่างเหิมเกริมได้อีกต่อไป 

ฮ่องเต้พยักหน้าเล็กน้อย ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะเป็นองค์รัชทายาท เช่นนั้นแล้วโอกาสในการเกิดศึกทางใต้กับราชวงศ์อู๋นั้นย่อมลดน้อยลง และเวลานี้ศึกระหว่างแคว้นอี๋นั้นได้ดำเนินมาจนถึงจุดสำคัญ องค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียนได้ปักหลักอยู่ที่เมืองหลานหลิง และได้รับปืนใหญ่จำนวน 50 กระบอกที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ส่งมาจากซีซาน รวมทั้งยังมีกองกำลังสมทบจากทางใต้อีก 150,000 นาย จึงทำให้มีโอกาสถือไพ่เหนือศัตรูอยู่บ้าง รายงานสถานการณ์ล่าสุดของวันนี้ได้รายงานมาว่ากองทัพของราชวงศ์หยูได้โจมตีข้าศึกให้ถอยร่นจนถึงเส้นซานกวนจี๋ได้สำเร็จ การที่จะยึดเขตซังยวี่กลับมาได้นั้นคงมิไกลเกินเอื้อม

แต่นั่นก็ยังมิใช่ผลลัพธ์ที่ฮ่องเต้ทรงพระประสงค์ !

ไม่กี่วันก่อนเมื่อได้รับราชสาสน์แจ้งมาว่าฟู่เสี่ยวกวนมีโอกาสที่จะได้เป็นองค์รัชทายาท พระองค์ทรงได้เรียกเหล่าเสนาบดีทั้งหมดเข้าประชุมเพื่อเป็นการหารือ จากนั้นทรงได้กำหนดเป้าหมายยุทธศาสตร์ของศึกทางตะวันออก พระองค์มิเพียงแค่ประสงค์ที่จะขับไล่กองกำลังของแคว้นอี๋ออกจากที่ราบสีหม่า แต่ยังประสงค์ให้กองกำลังเดินทัพทะลุที่ราบสีหม่า แล้วโจมตีเมืองฮั่วหลานซึ่งเป็นเมืองเขตชายแดนของแคว้นอี๋อีกด้วย !

เมื่อหยูชุนชิวได้นำกองทัพชายแดนใต้ไปถึงดินแดนข้าศึกทางตะวันออก คาดว่าปืนใหญ่จะเพิ่มขึ้นมากถึง 70 กระบอก ว่ากันว่ากำแพงเมืองฮั่วหลานนั้นแข็งแกร่งมากยิ่งนัก เช่นนั้นก็ลองทดสอบดูแสงยานุภาพของปืนใหญ่เสียหน่อยว่าจะทลายกำแพงเมืองหนา ๆ นั้นได้หรือไม่ !

 ผลการแข่งขันงานชุมนุมวรรณกรรมได้ออกมาแล้ว ฝ่าบาทประสงค์จะทอดพระเนตรหรือไม่ ?  

ฮองเฮาซั่งทรงนำกระดาษสองสามแผ่นส่งให้กับฮ่องเต้ จากนั้นก็ทรงแย้มพระสรวลขึ้น  เขาผู้นี้คือเทพเหวินฉวี่จุติมาเกิดอย่างแท้จริง บทประพันธ์เหล่านี้อีกทั้งยังมีตุ้ยเหลียนอีกหนึ่งคู่นั้นงดงามเกินกว่าที่คนธรรมดาจะประพันธ์ออกมาได้ 

ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรบทประพันธ์เหล่านั้นอย่างตั้งพระทัย คิ้วที่ขมวดปมนั้นค่อย ๆ คลายลง แล้วพระองค์ก็ทรงลูบเคราสั้น ๆ แล้วแย้มพระสรวลออกมา

 บทความเรือนซอมซ่อ…ฮองเฮา เจ้าคิดว่าเขาประสงค์จะใช้ชีวิตเยี่ยงนี้จริง ๆ หรือ ?  

 หม่อมฉันคิดว่าเป็นจริงดังนั้น เมื่อปีกลายเขาได้มาหาหม่อมฉันที่สวนดอกไม้แห่งนี้ แล้วยังได้ประพันธ์บทกวีมาให้หม่อมฉันหนึ่งบท เก็บดอกเบญจมาศทางรั้วตะวันออก เมียงมองภูเขาหนานซานอย่างสบายใจ หม่อมฉันโปรดปรานมากยิ่งนัก งานประพันธ์นั้นย่อมสะท้อนถึงตัวตนของผู้ประพันธ์ เหมือนว่าเขาจะปรารถนาใช้ชีวิตเยี่ยงนี้อย่างแรงกล้า 

 เขายังได้ประพันธ์บทกวี ไร้ซึ่งปรารถนา หลังจากที่ได้ไปเยือนแผ่นดินของราชวงศ์อู๋ และบทประพันธ์นั้นก็ได้ถูกนำมาร้องกันอย่างแพร่หลายในเมืองจินหลิง ฝ่าบาททรงทอดพระเนตร บทประพันธ์ยุติความวุ่นวายนี้เสีย ก้านไผ่แลรองเท้าฟางว่องไวกว่าการขี่ม้าไป มีสิ่งใดน่าหวาดกลัว ดังนั้นความตั้งใจของฟู่เสี่ยวกวนนั้นตั้งมั่นมิแปรเปลี่ยน มิเช่นนั้นคงมิอาจประพันธ์ หันหน้าไปมองทางสายฝนที่เดินผ่านมา จงกลับไปเถิด หากไร้หยาดฝน ก็ย่อมไร้แสงสุริยา บทประพันธ์ที่แสนหลุดพ้นเช่นนี้ออกมาได้ 

ฮ่องเต้เห็นพ้องต้องกัน จากนั้นพระองค์ก็ได้ตั้งพระทัยทอดพระเนตรบทประพันธ์เหล่านั้นจนหมด แล้วตรัสถามด้วยความเสียดาย  ช่างน่าเสียดาย บทประพันธ์เหล่านี้วิจิตรบรรจงถึงขั้นที่สามารถสลักบนหินเชียนเปยสือได้ ต่อจากนี้ไปผู้คว้าชัยในงานชุมนุมวรรณกรรมก็ตกเป็นของราชวงศ์อู๋ไปเสียแล้ว 

พระองค์ทรงส่ายพระพักตร์ด้วยความเสียดายอย่างสุดซึ้ง  ให้เขามอบหอซี่หยู่กลับคืนให้กับเจ้า…เจ้าคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ?  

 หม่อมฉันประสงค์อยากทราบความหมายของฝ่าบาท 

ฮ่องเต้ทรงพระราชดำริ  เขาเป็นคนของราชวงศ์อู๋ไปแล้ว แม้ว่าบัดนี้จะยังมิได้รวมเป็นหนึ่งเดียวกับราชวงศ์อู๋ และยังคงถวิลหาราชวงศ์หยูอย่างสุดซึ้ง แต่เยี่ยงไรเสียเมื่อใช้ชีวิตในราชวงศ์อู๋นานไปก็ย่อมเกิดความรู้สึก อีกทั้งเขายังจะได้เป็นองค์รัชทายาทในเร็ววันนี้อีกด้วย ในด้านผลประโยชน์ต่อบ้านเมืองนั้น เขามิอาจกระทำการใดที่ทำให้ราชวงศ์อู๋ได้รับความเสียหาย ดังนั้นข้าจึงคิดว่าควรนำหอซี่หยู่นั้นกลับคืนมา เยี่ยงไรเสียเมื่อเขาได้เป็นองค์จักรพรรดิ เขาก็ย่อมกุมอำนาจเหนือหอเทียนจีอยู่แล้ว 

ฮองเฮาซั่งทรงพยักหน้าเห็นด้วย  ประเดี๋ยวหม่อมฉันจะส่งปิ่นปักผมกลับไป เขาเข้าใจเรื่องของหอซี่หยู่เป็นอย่างดี เรื่องนี้จำต้องค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง เนื่องด้วยต้องผลักดันความมั่งคั่งของแคว้น จึงจำต้องให้เขายังคงความเกี่ยวข้องเอาไว้ ในส่วนของภายภาคหน้า…ในภายภาคหน้าเมื่อทั้งสองแคว้นได้เชื่อมสายสัมพันธ์อันดีต่อกัน หรือแม้ว่า… 

ฮองเฮาซั่งมิได้ตรัสให้จบประโยค พระนางมิประสงค์ให้เรื่องนี้เกิดขึ้น เพราะฟู่เสี่ยวกวนคือชายหนุ่มที่พระองค์ได้ทอดพระเนตรเมื่อยามเขาเกิด เขาเติบโตในผืนปฐพีของราชวงศ์หยู อีกทั้งยังเป็นราชบุตรเขยของพระองค์อีกด้วย

 วันนี้แสงแดดอบอุ่นกำลังดี มิทราบว่าฝ่าบาททรงมีเวลาว่างไปกำจัดวัชพืชที่ลานตำหนักของหม่อมฉันหรือไม่เพคะ ?  

 ฮ่า ๆ ๆ ข้ามิได้จับพลั่วมานานแรมปีแล้ว เมื่อฮองเฮาเอ่ยเช่นนั้น ข้าลองกลับไปเป็นเกษตรกรอีกคราก็ได้  

ขันทีเจี่ยโค้งคารวะอยู่ตรงมุมของศาลาซิ่วชุนอยู่ตลอดเวลา เขาอยู่ในที่ซึ่งแสงสุริยาสาดมามิถึง ราวกับไร้ซึ่งตัวตน

ในส่วนของเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนเผชิญในระหว่างที่อยู่ในแผ่นดินของราชวงศ์อู๋นั้น ฮ่องเต้ทรงทอดพระเนตรข้อความเหล่านั้นหมดแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืนที่ฟู่เสี่ยวกวนเกือบจะโดนลอบสังหาร

โหยวเป่ยโต้วกลับปรากฏตัวขึ้นมา !

อีกทั้งยังได้รับบาดเจ็บสาหัส !

 เจ้าห้ามตาย หากเจ้าตาย ผู้ใดจะดูแลดอกเหมยนับหมื่นบนภูเขาลั่วเหมยกัน !  

 

ตอนที่ 382 พ่อกับลูก

ณ ห้องทรงพระอักษร พระราชวังกวนหยุน

น้ำในกาถูกต้มจนเดือดส่งควันขาวลอยพุ่งออกจากปากกา บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังนั่งอยู่ในอิริยาบถที่สงบเสงี่ยม และกำลังนำใบชาจำนวนเพียงหยิบมือออกมาชงดื่ม เขามิได้นำดอกสาลี่ที่ติดตัวมาร่วมชงด้วยกัน เพราะเขารู้สึกว่าชาดอกสาลี่รสชาติมิน่าพิศวาสเท่าชาดอกกุหลาบ

จักรพรรดิเหวินทรงพระอักษรราชสาสน์ฉบับสุดท้ายจนจบ จากนั้นจึงขยับเข้ามานั่งฝั่งตรงกันข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน

 เจ้าเก็บดอกไม้พวกนี้มาเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้าแล้วอมยิ้มพร้อมกับเอ่ยว่า  ต่งซูหลานและหยูเวิ่นหวินเก็บมาพ่ะย่ะค่ะ 

 เจ้ามิโปรดเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 มองได้ แต่หากจะให้ดื่มกระหม่อมว่าอย่าเลยดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ 

จักรพรรดิเหวินทรงพยักหน้าเล็กน้อย  บทประพันธ์ทั้งหลายของเจ้าที่ได้รับชัยชนะเมื่อคืนก่อน คงจะแพร่หลายไปทั่วหล้าในเร็ววันนี้ เหล่าบัณฑิตในเมืองหลวงต่างก็เคารพนับถือเจ้า อีกทั้งยังมีท่านนักปราชญ์จ้วงผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ประจำสำนักศึกษาหลีซานก็ได้ไหว้วานให้เจ้าไปเป็นอาจารย์บรรยายพิเศษให้แก่ลูกศิษย์ของเขา เหวินสิงโจวก็ใคร่จะร้องขอให้เจ้าช่วยรวบรวมตำราหลี่เสวียใหม่อีกครา 

ฟู่เสี่ยวกวนนำชาที่เพิ่งชงเสร็จรินใส่ถ้วยแล้วส่งให้จักรพรรดิเหวิน เมื่อรับมาแล้วจักรพรรดิก็ได้ทรงลูบถ้วยชาอย่างเบามือ จากนั้นทรงตรัสต่อว่า  เหวินสิงโจวเอ่ยว่าเขาเคยได้สนทนากับเจ้า เพราะเขานั้นยังมิถ่องแท้ในตำราหลี่เสวียเท่าใดนัก เขาคิดว่าเจ้าคงจะถ่องแท้ในทุก ๆ เรื่อง โดยเฉพาะในเรื่องกฎหมาย หากเจ้าสามารถตรากฎหมายได้เช่นนั้นแล้วตำราหลี่เสวียฉบับนี้ถึงจะสมบูรณ์แบบ…เจ้ามีความเห็นว่าเยี่ยงไร ?  

น้ำเสียงของจักรพรรดิเหวินนั้นนุ่มนวล มิได้ทรงตรัสถึงสวี่หยุนชิงและมิได้ทรงตรัสว่าฟู่เสี่ยวกวนคือโอรสพระองค์ใหญ่ของพระองค์อีกต่อไป

พระองค์ทรงเสนอทางเลือกมาสองอย่าง และทั้งสองอย่างนี้ก็ได้อยู่ในขอบเขตในด้านงานประพันธ์ทั้งสิ้น พระราชประสงค์ของพระองค์คือสิ่งใดก็ย่อมเป็นที่ประจักษ์ พระองค์ทรงปรารถนาให้ฟู่เสี่ยวกวนพำนักต่อในแคว้นอู๋ แล้วเริ่มต้นทำความเข้าใจในราชวงศ์อู๋ผ่านงานประพันธ์ที่ตนเองถนัด

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มด้วยความเรียบเฉย และได้เอ่ยต่อว่า  แท้ที่จริงนั้นกระหม่อมเป็นอาจารย์พิเศษประจำสำนักศึกษาจี้เซี่ย แต่เป็นเพราะจำต้องมาเยือนแคว้นอู๋อย่างกะทันหัน จนกระทั่งวันนี้ก็ยังมิได้ไปทำหน้าที่อาจารย์เลยแม้แต่คราเดียว 

เขาชะงักลงเพื่อคิดอะไรบ้างอย่าง แล้วเงยหน้าขึ้นมองไปทางองค์จักรพรรดิ  กระหม่อมได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วและเห็นว่ายังคงมีธุระที่ติดพันอีกมากมายที่ราชวงศ์หยู กระหม่อมต้องการเวลาอีก 2 ปีในการสะสางธุระต่าง ๆ มิทราบว่าท่านคิดเห็นเยี่ยงไร ?  

จักรพรรดิเหวินทรงชะงักลงเล็กน้อย  ศึกทางทิศตะวันออกเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 นั่นมิใช่เรื่องใหญ่โตเท่าใดนัก…ทว่าเป็นทางเหนือเสียมากกว่า ภัยคุกคามต่อราชวงศ์หยูที่แท้จริงนั้นมาจากทางเหนือ มิเพียงภัยคุกคามจากคนของแคว้นฮวง แต่เวลานี้ทางเหนือยังมีภูเขาที่เป็นที่ซ่องสุมของกองโจรอีกด้วย นับวันยิ่งทำตัวเป็นเชื้อโรคที่กัดกินราชวงศ์หยู กระหม่อมนั้นเคยรับปากกับฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูมาก่อนว่าหลังจากที่มาเยือนแคว้นอู๋แล้วเสร็จก็จะไปเยือนทางเหนือสักครา จุดประสงค์แรกก็เพื่อไปกวาดล้างกองโจรนั้นเสีย ส่วนจุดประสงค์ที่สองก็คืออยากที่จะนำพื้นที่ที่แร้นแค้นทั้งสองนั้นมาเป็นจุดสาธิตในการจัดตั้งโรงงานฝีมือ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของพื้นที่เหล่านั้น เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวบ้านทั้งสองเขตนั้น 

จักรพรรดิเหวินขมวดคิ้วแล้วได้ตกอยู่ในห้วงของความคิดชั่วขณะ จากนั้นก็ทรงส่ายหน้า  อันตรายเกินไป ข้ามิอาจให้เจ้าไปเสี่ยงอันตรายได้ !  

เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้โต้แย้งแต่อย่างใด แต่กลับเอ่ยถึงเรื่องอื่นแทน

 กระหม่อมยังได้รับปากฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูในเรื่องของการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจใหม่ และเวลานี้พระองค์ทรงประกาศอย่างเป็นทางการไปแล้วว่าจะปรับเปลี่ยนนโยบายเป็นการค้าคู่การเกษตรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ขั้นตอนต่อไปก็คือการผลักดันให้เกิดความรุ่งเรืองทางด้านการค้า เรื่องนี้นั้นมิใช่กระหม่อมเห็นว่าตนเองเป็นเสาหลัก แต่เยี่ยงไรเสียกระหม่อมจำต้องกลับไปจัดการด้วยตนเอง เพราะกลัวเหลือเกินว่าแผนยุทธศาสตร์จะเปลี่ยนแปลง ตัวกระหม่อมนั้นเกิดและเติบโตภายใต้ราชวงศ์หยู ก่อนที่จะเดินทางมายังที่นี่ ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูยังทรงมีพระราชหัตถเลขาถึงกระหม่อม มีใจความสำคัญว่า เจ้ากระทำสิ่งใดจงพึงระลึกไว้ว่าเจ้าคือราชบุตรเขยของข้า หากเจ้าได้ประมาทพลาดพลั้ง ก็ย่อมนำภัยมาแก่ข้ากับองค์ฮองเฮา รวมไปถึงเยี่ยนเป่ยซี ดังนั้นจำต้องใคร่ครวญให้ถี่ถ้วนในทุกการกระทำ… บัดนี้กระหม่อมยังคงหวนนึกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งเสีย หากล้มเลิกเสียกลางคันก็เกรงว่าจะบั่นทอนความเชื่อใจที่พระองค์ทรงมอบให้ 

ครานี้จักรพรรดิเหวินทรงตกอยู่ในห้วงภวังค์ของความเงียบ พระองค์ทรงประคองถ้วยชาไว้ในมือ ทรงไตร่ตรองว่ามีหนทางใดบ้างที่จะทำให้ความตั้งใจของพระองค์และเขามาบรรจบกันตรงกลาง

 ทว่าบัดนี้สถานะของเจ้าได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว จะให้ข้าออกราชสาสน์ไปให้ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูหรือไม่ ?  

 ฝ่าบาท เวลานี้ราชวงศ์อู๋นั้นสงบสุขและรุ่งเรือง และเป็นรัชสมัยที่รุ่งโรจน์ของฝ่าบาท แท้ที่จริงนั้นฝ่าบาทยังคงสามารถให้กำเนิดบุตรได้อีก ให้กระหม่อมเป็นนักการทหารหรืออะไรก็ได้ หากจะให้กระหม่อมเป็นองค์รัชทายาท หรือเป็นองค์จักรพรรดิในอนาคตนั้น…กราบขออภัยฝ่าบาทที่ต้องเอ่ยวาจาที่มิน่าฟัง แต่กระหม่อมคิดว่าบัลลังก์มังกรนั้นแข็งเสียจนเมื่อยตูด 

จักรพรรดิเหวินถลึงตาใส่ฟู่เสี่ยวกวน เจ้าเด็กคนนี้ ดูมันเถอะคงจะถูกเลี้ยงดูมาอย่างอิสระมากจนเกินไป เพื่อแย่งชิงบัลลังก์นี้ปีนั้น ทะเลสาบสือหลี่แทบจะโดนย้อมให้เป็นสีเลือด แต่เจ้ากลับทำท่าทางรังเกียจ !

 ข้าก็ใคร่จะบอกตามตรงให้เจ้าได้รับทราบเช่นกันว่า ข้า…มิอาจมีบุตรเพื่อสืบเชื้อราชวงศ์ได้อีกแล้ว ข้าจะบอกเจ้าอีกอย่าง อู๋กาน…องค์รัชทายาทพระองค์ก่อน สิ้นพระชนม์แล้วในระหว่างที่เดินทางไปยังเขตปกครองฉางหนิง !  

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน นั่นก็หมายความว่าจักรพรรดิเหวินไร้โอรสหลงเหลืออยู่แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

ไม่ใช่สิ ยังเหลือเขาอีกคนที่เป็นโอรสนอกสมรส

 ผู้ใดกันช่างบังอาจยิ่งนัก ?  

จักรพรรดิเหวินทรงแย้มพระสรวลอย่างเรียบเฉย แล้วส่ายหัว  นี่เพื่อเป็นหลักประกันว่าเมื่อเจ้าเข้ามามีบทบาทเหนือพระราชตำหนักบูรพาแล้ว เจ้าจะไร้ซึ่งเรื่องอื่นใดที่ทำให้มีอุปสรรค การตายของอู๋คุนก็เพื่อให้อู๋กานได้นั่งในพระราชตำหนักบูรพาอย่างมั่นคง และการตายของอู๋กานก็เพื่อเป็นหลักประกันว่าเจ้าจะขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างราบรื่นเช่นกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องปกติ มิว่าจะเป็นราชวงศ์ไหน ๆ ข้าได้ยินข่าวคราวนี้ก็มิได้แปลกใจมากนัก และเวลานี้ข้าก็มีเพียงเจ้าผู้เป็นโอรสหนึ่งเดียวของข้า เจ้าลองเอ่ยมาสิว่าผืนปฐพีนี้หากมิมอบให้เจ้า แล้วข้าจะมอบให้กับผู้ใด ?  

 เจ้าจงใคร่ครวญให้ถี่ถ้วนเสียอีกครา เลือดของข้าและหยุนชิงนั้นไหลเวียนอยู่ในตัวเจ้า เจ้าจะต้องแบกรับความรับผิดชอบในอนาคตของราชวงศ์อู๋เพื่อความผาสุกของราษฎร ความจงรักภักดีที่เจ้ามีต่อราชวงศ์หยูนั้นข้าสามารถเข้าใจได้ แต่เยี่ยงไรเสียเจ้าก็เป็นองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์อู๋ หากเจ้าไปกำจัดกองโจร ก็ย่อมต้องเผชิญกับความเสี่ยงและอาจจะถึงแก่ชีวิตได้ เจ้าไปผลักดันนโยบายใหม่ ย่อมทำให้ผู้คนมากมายได้กอบโกยผลกำไร พวกเขายังจะโหดร้ายเสียยิ่งกว่ากองโจรอีก เจ้าลองเอ่ยมาสิ ว่าจะให้ข้าทำใจให้สบายแล้วปล่อยให้เจ้าไปเผชิญภัยอันตรายที่มิอาจคาดเดาเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 หากเจ้าเป็นอะไรไป ข้าจะมิเพียงแต่รู้สึกผิดต่อหยุนชิง แต่ยังรู้สึกผิดต่อบรรพบุรุษที่วัดไท่เมี่ยวอีกด้วย !  

ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินเช่นนี้แล้วก็รู้สึกลำบากใจ

จักรพรรดิเหวินมิประสงค์จะให้กำเนิดบุตรอีกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ !

มิได้การละ หรือว่าจักรพรรดิเหวินจะทรงบ้าคลั่งเกินไปเมื่อคราที่ยังทรงพระเยาว์

ทว่าธุระที่ยังคงติดพันกับราชวงศ์หยูเล่าจะทำเยี่ยงไรดี ?

ฟู่เสี่ยวกวนนั้นมิได้เคลือบแคลงความสามารถในการครองบัลลังก์ของตน แต่ทว่าช่างเป็นชีวิตที่แสนรันทดมากยิ่งนัก !

จักพรรดิเหวินมองสีหน้าลังเลของฟู่เสี่ยวกวนด้วยความโอบอ้อมอารี ทรงพระดำริในใจว่าที่เสด็จแม่ได้ทรงสั่งลอบปลงพระชนม์อู๋กานก็เพื่อตัดปัญหาที่ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะละทิ้งภาระแล้วตัดช่องน้อยแต่พอตัว

และดูเหมือนว่าจะได้ผลเสียจริง ๆ วันนี้ได้ทำให้เขาเกิดความรู้สึกลำบากใจขึ้นมาเสียแล้ว

 เก้าค่ำเดือนสี่เป็นวันบวงสรวงสู่สวรรค์ เจ้าจงร่วมเดินทางไปกับข้า แล้วสิบห้าค่ำเดือนสี่ไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่วัดไท่เมี่ยว และข้าจะสลักชื่อเจ้าลงในสมุดปกทอง จากนั้นเจ้ามิจำเป็นต้องพำนักอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหูอีกต่อไป เจ้าจำต้องย้ายเข้ามาในพระราชวัง ข้ากำลังหาวันมงคลในเดือนห้าเพื่อสถาปนาเจ้าเป็นองค์รัชทายาท จะเป็นวันไหนนั้นเจ้าจงติดตามประกาศของทางราชสำนัก 

ฟู่เสี่ยวกวนสูดหายใจเข้าไปลึก ๆ จากนั้นก็แหงนหน้ามองพระพักตร์ของจักรพรรดิเหวิน  เรื่องเหล่านี้ล้วนแต่มิได้ถามความสมัครใจของกระหม่อมเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากกระหม่อมมิสมัครใจจะเป็นเยี่ยงไร ?  

จักรพรรดิเหวินถึงกับตกตะลึง หากเจ้ามิทำแล้วไอ้หน้าไหนจะทำเล่า ?

 เจ้าคือโอรสหนึ่งเดียวของข้า หากเจ้ามิสมัครใจก็เท่ากับว่าเจ้าประสงค์ที่จะให้ราชวงศ์ที่สืบสานมานานนับร้อยปีต้องถึงคราจบสิ้นเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ฝ่าบาท กระหม่อมกลับคิดว่าท่านควรบ่มเพาะอู๋หลิงเสียให้ดี ให้นางสามารถสืบราชสมบัติต่อไปได้ 

 เหลวไหล !  

จักรพรรดิเหวินทรงลุกพรวดขึ้นมา  ทั่วทั้งใต้หล้านี้มีที่ไหนกันที่ให้สตรีเป็นองค์จักรพรรดินี ที่พ่อเรียกเจ้ามายังพระราชวัง ที่พ่อวางแผนกักขังจักรพรรดินีเซียวในตำหนักเย็น อีกทั้งกำจัดองค์รัชทายาท ทั้งหมดนี้พ่อทำเพื่อให้เจ้าได้ขึ้นครองบัลลังก์และปกครองแคว้นอู๋ด้วยความผาสุก !  

 คนที่มีความพยายามย่อมมุ่งมั่นเพื่อผลลัพธ์อันยิ่งใหญ่ ! หากเจ้าชอบการเพาะปลูก แต่ก่อนเจ้ามีหลินเจียงเป็นแปลงนา แต่บัดนี้เจ้ามีผืนปฐพีทั้งผืน มิใช่ว่าเจ้าจะสามารถเพาะปลูกจนเกิดความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ได้เยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ลูกข้า ชีวิตของข้าก็มีเพียงเจ้าที่ข้าจะฝากผีฝากไข้ได้ หากเจ้าจะมิสมัครใจเสียจริง ๆ เยี่ยงนั้นผืนปฐพีแห่งนี้ก็จำต้องสูญเปล่า !  

 

ตอนที่ 381 คลั่งไคล้องค์ชายใหญ่

ราตรีนี้ทะเลสาบสือหลี่มิได้หลับใหล !

ท้ายที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้ไปปรากฏตัวที่หลิวหยุนถายอยู่ดี แม้ว่าจะทำให้เหล่าบัณฑิตและราษฎรทั้งหลายต่างผิดหวัง แต่ความผิดหวังนี้กลับมิได้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกตื่นเต้นดีใจของพวกเขาได้

เมื่อลำดับผลคะแนนของการแข่งขันวันที่สองถูกประกาศขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นผู้ที่คว้าชัยชนะมาครองได้ตามเดิม ความรู้สึกของฝูงชนกลับมาฮึกเหิมอย่างบ้าคลั่งอีกครา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่บทประพันธ์ทั้งห้าของเขาถูกแขวนลงมาจากหอคอยหลิวหยุนทีละบท เหล่าปัญญาชนต่างรู้สึกตกตะลึงกับฝีมือการประพันธ์ของเขา ส่วนบรรดาโฉมงามทั้งหลายก็ถูกบทประพันธ์อันไพเราะนี้สะกดให้หลงใหล

ต้องมีพรสวรรค์ชั้นใดกันถึงสามารถประพันธ์บทกวีที่วิจิตรบรรจงเช่นนี้ออกมาได้ ?

บทประพันธ์ที่มีชื่อว่า  เหมยหนึ่งกิ่ง ปิดประตูมิดฟังเสียงฝนกระทบดอกสาลี่ 

ปิดประตูมิดฟังเสียงฝนกระทบดอกสาลี่

เช่นวัยหนุ่มอันผิดหวังและอ้างว้าง

หากมีสุขมีใครเล่าคอยแบ่งปัน

ดอกไม้ร่วงจันทราลับช่างเศร้าโศกและมืดมน

ทุกคืนวันกลัดกลุ้มจนคิ้วโก่งดั่งยอดเขา

คราบน้ำตาหมื่นพันหยดบนใบหน้า

เฝ้ามองนภายามเช้าตรู่จนพลบค่ำ

จะเดินจะนั่งก็คิดถึงแต่เพียงเจ้า

และนี่คือบทประพันธ์ที่ใช้บรรยายภาพของสวนดอกสาลี่ บทประพันธ์นี้ได้บรรยายมโนภาพออกมาได้มีชีวิตชีวาเสมือนจริงมากยิ่งนัก !

นั่นเป็นความทุกข์ทรมานจากการคิดถึงคนไกล ท่อนบนและท่อนล่างเกื้อหนุนกัน จงใจประพันธ์ให้วกไปวนมาเพื่อที่จะให้สะท้านภาพความคิดถึงของหญิงสาวที่มีต่อชายหนุ่มผ่านปลายพู่กันออกมาได้อย่างเด่นชัด มีชีวิตชีวาโลดแล่นอยู่บนผืนกระดาษ

 จะเดินหรือจะนั่งก็คิดถึงเพียงแต่เจ้า…ประโยคนี้ช่างไพเราะมากยิ่งนัก วันนี้ได้อ่านบทประพันธ์ที่งดงามเช่นนี้ ต่อให้ตายไปก็มิเสียดายชีวิต !  

 ช่างน่าประทับใจมากยิ่งนัก หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเศร้าโศกเพราะความรักกัน ?  

 ข้าจะไปหาฟู่เสี่ยวกวน ข้าคิดถึงเขา พวกเจ้าอย่าได้รั้งข้าไว้ !  

 มิใช่เสียหน่อย เจ้ารอชมบทประพันธ์อื่น ๆ เสียก่อนเถิด !  

 …… 

ณ หอคอยหลิวหยุน

ไทเฮาได้เสด็จดำเนินกลับไปด้านหน้าของโต๊ะดื่มชา พระนางทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นมาทอดพระเนตรจักรพรรดิเหวิน ที่บัดนี้กำลังดื่มด่ำอรรถรสในบทกวี

บทประพันธ์นี้ราวกับถูกประพันธ์ให้พระองค์โดยเฉพาะ แม้ว่าพระองค์จะเคยทอดพระเนตรมาแล้วก็ตาม !

ราวกับว่าพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นสวี่หยุนชิงนางผู้เป็นที่รักกำลังคะนึงถึงพระองค์ และในภาพนั้นนางช่างมีชีวิตชีวามากยิ่งนัก !

สตรีผู้อ่อนโยนและมากความสามารถผู้นั้นเป็นผู้ที่หนักแน่นในความรักเช่นกัน นางได้สละชีวิตวัยสาวให้กับข้า เมื่อความสัมพันธ์ได้ขาดลง ท้ายที่สุดฟ้าดินก็ได้พรากพวกเราจากกันไปตลอดกาล มิมีอีกแล้วภาพที่สองเราได้นั่งลงมองเมฆลอยพลิ้ว มิมีอีกแล้วภาพที่สองเราได้ดื่มชาดอกสาลี่แล้วมีความสุขกันตามประสาคนรัก

พระองค์ได้พับบทประพันธ์นี้เก็บไว้ มิกล้าที่จะกลับไปอ่านบทประพันธ์นั่นอีกครา แล้วได้สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ แล้วทรงรับสั่งหนานกงอี้หยู่ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย  รุ่งเช้าหลังจากประชุมราชสำนัก เจ้าจงนำตัวฟู่เสี่ยวกวนมาพบข้า 

……

เบื้องล่างของหอคอยหลิวหยุน

เมื่อบทประพันธ์ทั้งห้าของฟู่เสี่ยวกวนได้ถูกจัดแสดงจนครบ ฝูงชนก็ต่างลุกฮือดั่งคลื่นพายุที่ซัดถาโถมชายฝั่ง

 แม่เจ้าโว้ย…นี่มันเทพเหวินฉวี่ลงมาจุติชัด ๆ !  

 ไอ้หน้าไหนที่กล่าวหาว่าเขาเป็นเจียงหลางผู้ไร้สิ้นความสามารถที่วัดหานหลิง ช่างน่าตลกสิ้นดี พวกเจ้ามิรู้เสียด้วยซ้ำว่าสิ่งใดคือความสามารถ ข้าจะบอกให้… !  

ฉินเหวินเจ๋อบัดนี้ได้ตื่นเต้นจนออกนอกหน้า เขาได้หันหน้าไปหาเหล่าบัณฑิต จากนั้นก็ได้อ้าแขนกว้างแล้วแผดเสียงคำรามลั่น  ศิษย์ที่กตัญญูต่ออาจารย์ย่อมรอบรู้วิชา เดินเพียงสามก้าวก็สามารถประพันธ์กวีอันไพเราะออกมาได้ แต่พวกเจ้า พวกมิได้เรื่องทั้งหลาย พวกเจ้ากลับหมิ่นประมาท ดูถูกและทำให้เขามีมลทิน อาจารย์มีศีลธรรมอันดีงาม แต่พวกเจ้ามันมิใช่ มิมีศีลธรรมอันใดทั้งสิ้น 

เหล่าฝูงชนที่เดิมทีตื่นเต้นฮึกเหิมกลับเงียบลงในบันดล มิมีปัญญาชนคนใดออกมาโต้แย้ง เพราะนี่คือเรื่องจริงทุกประการ จะโต้แย้งได้เยี่ยงไร ในเมื่อถ้อยคำสบประมาทที่ตนได้เอ่ยไปทั้งหมดนั้นยังคงดังก้องอยู่ในหู และบทประพันธ์เหล่านั้นของฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ถูกแขวนอยู่ ณ ที่แห่งนี้

หากฟู่เสี่ยวกวนมิใช่ผู้ที่มีความสามารถขึ้นมาเสียจริง ๆ เช่นนั้นผู้ใดเล่าที่จะประพันธ์บทวีที่งดงามเยี่ยงนี้ออกมาได้ ?

ดังนั้นเหล่าบัณฑิตต่างรู้สึกละอายแก่ใจมากยิ่งนัก แม้ว่าเหล่าบัณฑิตจากแคว้นอี๋หรือแคว้นฮวงจะจงเกลียดจงชังฟู่เสี่ยวกวนมากเพียงใด แต่ก็ยังคงก้มหัวยอมรับนับถือความสามารถของฟู่เสี่ยวกวน

ผ่านไปเพียงครู่เดียว หนึ่งในบัณฑิตแห่งแคว้นอู๋ได้เอ่ยออกมาเงียบ ๆ ด้วยน้ำเสียงเคารพนับถือ  ฟู่เสี่ยวกวน…บัดนี้เขาเป็นองค์ชายใหญ่ของราชวงศ์เราแล้ว 

เหล่าบัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋ต่างผงะ ใช่…เขาเป็นองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์ของข้าแล้ว เจ้ามันเป็นคนในราชวงศ์หยูจะโหวกเหวกหาพระแสงอะไรกัน ?

จากนั้นจึงมีบัณฑิตจากแคว้นอู๋แผดเสียงดังลั่น  องค์ชายใหญ่ผู้เกรียงไกร !  

 ขอองค์ชายใหญ่ทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี !  

 ตั้งแต่นี้สืบไปจงเฝ้ารอวันที่วรรณกรรมรุ่งโรจน์ขึ้นบนผืนแผ่นดินของราชวงศ์อู๋ !  

 พวกข้าจะเขียนหนังสือวิงวอนต่อองค์จักรพรรดิ ให้พระองค์ทรงสถาปนาองค์ชายใหญ่เป็นองค์รัชทายาท พวกข้าจะอยู่ในโอวาทขององค์รัชทายาท !  

เสียงของผู้คนดังอึกทึก ราวกับกำลังบ้าคลั่ง

ผู้คนบนหอคอยหลิวหยุนต่างหลุดยิ้มออกมา แม้ว่าตัวฟู่เสี่ยวกวนนั้นมิมา แต่ชื่อเสียงเลื่องระบือของเขาได้เอาชนะผู้คนหมู่มากได้สำเร็จ !

หนานกงตงเซวี๋ยยิ้มร่าออกมาเป็นระลอก ๆ หวนนึกถึงฉากที่นางได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนที่สวนสาลี่ที่ตำหนักหยุนชิงเป็นคราแรก

ตอนนั้นเขาดูเป็นเด็กหนุ่มแสนบริสุทธิ์

ใบหน้าของเขาเปล่งประกายเจิดจรัส

เขาได้นั่งลงสนทนากับไทเฮาด้วยท่าทีที่สบาย ๆ อีกทั้งยังเอ่ยถึงหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา เพื่อปลอบประโลมให้พระองค์ทรงปล่อยวาง

เขาเอ่ยด้วยท่าทางที่แสนสง่างาม และท่าทางที่ดูกว้างขวางมากยิ่งนัก

เขาเคยเอ่ยไว้ว่าชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น และประสงค์ที่จะมีชีวิตในแบบที่ตนเองปรารถนา

เขายังเอ่ยอีกว่าต่างคนต่างมีเป้าหมาย เขาไร้ซึ่งความทะเยอทะยานใด และประสงค์ที่จะเป็นเพียงเศรษฐีที่ดินที่ใช้ชีวิตสุขสำราญไปวัน ๆ

ทว่าวันนี้กลับกลายเป็นองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ที่แสนเกรียงไกร มินานนับจากนี้ ชื่อของเขาก็จะถูกสลักลงบนสมุดปกทองของราชวงศ์ แล้วก็นับวันรอที่จะเข้ามามีบทบาทในพระราชตำหนักบูรพา

เช่นนั้น…เมื่อถึงตอนนั้นแล้ว เขายังจะสามารถเป็นเศรษฐีที่ดินที่ใช้เวลาสุขสำราญไปวัน ๆ ได้อยู่อีกหรือไม่ ?

หนานกงตงเซวี๋ยตรากตรำอ่านตำราเซิ่งเซียนมาตั้งแต่เยาว์วัย นางมักจะติดตามไทเฮาอยู่บ่อยครา นางรู้ชัดแจ่มแจ้งในทุกเรื่องภายในพระราชวัง

หากจะเป็นจักรพรรดิที่ประชาชนเคารพนับถือนั้น มิใช่เรื่องที่ง่ายดาย เกรงว่าชีวิตในอุดมคติของเขานั้นคงจะต้องจบสิ้นเพียงเท่านี้แล้ว

จากนั้นผลของการแข่งขันวันที่สามก็ถูกปล่อยออกมา

ฟู่เสี่ยวกวนย่อมได้เป็นลำดับที่หนึ่งอย่างมิต้องสงสัย !

เมื่อบทความเรือนซอมซ่อนั้นได้ปรากฏขึ้นมาเป็นประจักษ์ต่อสายตาของฝูงชน ทั้งหลิวหยุนถายก็ได้เงียบงันไร้ซึ่งซุ่มเสียงใด

ทุกคนต่างมองไปที่บทความนี้ จากนั้นได้ดำดิ่งไปสู่ถ้อยคำอันแสนไพเราะที่เขาได้ประพันธ์ขึ้นมา

บทความเรือนซอมซ่อที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ประพันธ์ออกมานั้นแม้ว่าจะมิยืดยาว แต่ความหมายกลับลึกซึ้งมากยิ่งนัก แม้ว่าภาษาจะมิได้ลึกซึ้งแต่ก็กินใจเสียเหลือเกิน !

จารึกบทนี้มีตัวอักขระมิถึงหนึ่งร้อยตัวอักขระด้วยซ้ำ แต่กลับแสดงออกถึงความคิดอันสูงส่งของฟู่เสี่ยวกวนได้

บ้านน้อยแสนซ่อมซ่อ มีเพียงคุณธรรมข้าเลื่องลือ

เสียงสนทนาดั่งผู้รู้ ผู้สัญจรไร้คนเขลา

ไร้เสียงปี่กลองระคายหู ไร้เสียงหนังสือราชการหนักสมอง

เพราะฟู่เสี่ยวกวนโปรดปรานความสงบ คืนนี้เขาก็เลยมิได้มา !

เมื่อเหล่าปัญญาชนได้เห็นบทความนี้ก็ได้รู้แล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนเยี่ยงไร คนที่ต่อว่าเขาว่าเหตุใดถึงมิมาร่วมงานสำคัญเช่นนี้ บัดนี้ก็ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าชื่อเสียงและเกียรติยศมิได้มีค่าอันใดกับฟู่เสี่ยวกวนเลยแม้แต่น้อย

เขาหลุดพ้นจากทางโลกแล้ว เหตุนี้จึงได้ประพันธ์ตุ้ยเหลียนดั่งเช่น ‘เอกยานในพระพุทธศาสนา มีรากฐานที่ต่างกัน ดังนั้นจึงเอ่ยถึงหินยาน ปัจเจก มหายาน และวัชระยาน’ ยอดเยี่ยมยิ่ง !

เพราะมีอุดมคติที่คนทั่วไปยากแท้จะหยั่งถึง เขาถึงได้ประพันธ์  หันหน้าไปมองทางสายฝนที่เดินผ่านมา จงกลับไปเถิด หากไร้หยาดฝน ก็ย่อมย่อมไร้แสงสุริยา  ที่มิมีใครเหมือนเช่นนี้

เพราะเขาเข้าใจถึงความหมายของความรักที่แท้จริง จึงได้มี  เฝ้ามองนภายามเช้าตรู่จนพลบค่ำ จะเดินจะนั่งก็คิดถึงแต่เพียงเจ้า 

ในขณะนั้นเอง บทความเรือนซอมซ่อบทนี้ก็ได้ถูกคัดลอกแล้วส่งไปยังชั้นห้าของหอคอยหลิวหยุน

เมื่อไทเฮาทรงทอดพระเนตรแล้ว พระนางก็ได้แย้มพระสรวลอย่างเรียบเฉยจากนั้นทรงส่งให้กับจักรพรรดิเหวิน

 เจ้าคนนี้ช่างบริสุทธิ์และละเอียดอ่อนเสียจริง ฝ่าบาทจะต้องตั้งใจอบรมบ่มเพาะเขา ความขี้เกียจและรักสบายของเขานั้นดูท่าจะเป็นเรื่องจริง นิสัยเช่นนี้จะต้องค่อย ๆ แก้ไขอย่างค่อยเป็นค่อยไป 

จักรพรรดิเหวินทรงเห็นพ้องเป็นเสียงเดียวกันกับไทเฮา

 

 ฟู่เสี่ยวกวนเป็นลำดับที่หนึ่งเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 เป็นไปมิได้ เจ้าเคยบอกข้ามิใช่หรือว่าเขาใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งถ้ายชาก็สามารถตอบทุกหัวข้อจนแล้วเสร็จ เหตุใดเขาถึงได้ลำดับที่หนึ่งกันเล่า ?  

 จะไปรู้ได้เยี่ยงไร วันนั้นเหล่าบัณฑิตที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็เห็นเหมือนกันทั้งหมด !  

 ข้าว่ามีบางอย่างแปลก ๆ แล้ว 

 สิ่งที่เจ้ากล่าวมีเหตุผลยิ่ง ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนเป็นถึงองค์ชายใหญ่ ก็ย่อมเลี่ยงมิได้ที่ฝ่าบาทจะทรงใช้โอกาสการในการแข่งขันประพันธ์ครานี้ให้เขาได้สั่งสมบารมี !  

 จิตวิญญาณนักวรรณกรรมของนักปราชญ์ผู้สูงส่งทั้งเก้าได้ถูกซื้ออย่างง่ายดายถึงเพียงนี้เลยเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 จิตวิญญาณมารดาเจ้าเถอะ ชื่อเสียงหรือจะสำคัญเท่าชีวิต ข้าใคร่ถามเจ้า หากฝ่าบาททรงรับสั่ง ท่านนักปราชญ์ทั้งเก้าจะสนองพระประสงค์ของพระองค์หรือไม่ ?  

เหล่าบัณฑิตต่างถกเถียงกันด้วยความไม่พอใจ มีเพียงแต่บัณฑิตแห่งราชวงศ์หยูเท่านั้นที่โห่ร้องด้วยความดีใจ

พวกเขาย่อมรู้ถึงสถานะของฟู่เสี่ยววกวน เพราะได้ใช้เวลากับฟู่เสี่ยวกวนเป็นเวลานาน เลยทำให้ได้ซึมซับพลังด้านบวกมาจากเขา และยังคงเคารพรักเขาดั่งอาจารย์ท่านหนึ่ง

ส่วนเรื่องที่สังกัดต่างราชวงศ์และสถานะที่แปรเปลี่ยนไปของฟู่เสี่ยวกวนนั้น สิ่งเหล่านี้บัณฑิตแห่งราชวงศ์หยูมองว่ามิได้สลักสำคัญประการใด

องค์หญิงยิงฮวาแห่งแคว้นหลิวแสดงสีหน้าปลื้มปิติเสียจนคิ้วโก่งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว สีหน้าของนางอธิบายได้แจ่มชัดแล้วว่านางรู้สึกปลื้มปิติถึงเพียงใด แล้วนางยังได้หันไปกล่าวกับจิ่งเปียนเอ้อร์ซีหยงที่ยืนอยู่ข้างกาย  ข้ารู้อยู่แล้วว่าเขาย่อมเป็นลำดับที่หนึ่ง !  

จิ่งเปียนเอ้อร์ซีหยงผงะเล็กน้อย พลางคิดไปว่านางเคยพบกับฟู่เสี่ยวกวนเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น หรือว่านางจะทำนายอนาคตได้กัน ?

คุณหนูถังซานอ้าปากค้างด้วยอารามตกใจ นางหันหน้าไปมองจัวตงหลาย บัดนี้ดวงตาคู่นั้นบนใบหน้าอันคมคายของจัวตงหลายได้เป็นประกาย เขาตกใจเสียจนดวงตาเบิกโผลง ริมฝีปากได้เผยอเล็กน้อย บนใบหน้านั้นราวกับว่ามีอักขระสลักอยู่สามคำใหญ่ ๆ ซึ่งนั้นก็คือคำว่า เป็นไปมิได้… !

แท้จริงแล้วเหล่าปัญญาชนหมู่มากก็เห็นพ้องต้องกันว่าเรื่องนี้มันยากที่จะเป็นไปได้ เพราะตุ้ยเหลียนคู่นี้แปลกประหลาดยิ่ง อีกทั้งยังมีกลิ่นอายของพุทธศาสนาอีกด้วย แต่บนผืนปฐพีแห่งราชวงศ์หยูมิมีวัดแม้แต่แห่งเดียว เหตุใดฟู่เสี่ยวกวนถึงได้คะแนนสูงสุดในหัวข้อนี้กัน

ฝานเทียนหนิงได้สงบสติอารมณ์ลงบ้างแล้ว เขายกยิ้มขึ้นอย่างเย้ยหยัน จากนั้นจึงเอ่ยกับคูฉานว่า  ท่านกล่าวถูก 

คูฉานพยักหน้าเล็กน้อย  อาตมามิเคยพลาดมาก่อน !  

ฝานเทียนหนิงถลึงตาใส่เขา ความหน้าหนาของเจ้าบ้านี่เริ่มละม้ายคล้ายกับฟู่เสี่ยวกวนเข้าทุกวันแล้ว

ณ ชั้นห้าของหอคอยหลิวหยุน ไทเฮาทรงทอดพระเนตรไปด้านนอกหน้าต่างด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น แต่พระพักตร์ก็ยังคงแสดงความปิติที่มิอาจแอบซ่อนเอาไว้ได้  ตุ้ยเหลียนสองบทนั้นอายเจียเคยเห็นมาแล้ว เดิมทีนักปราชญ์ทั้งเก้านั้นให้ระดับเจี่ยสูง แต่เมื่ออายเจียเอ่ยมากไปนิดหน่อย ตุ้ยเหลียนสองบทนี้จึงได้ลดระดับลงมาที่ระดับเจี่ยกลาง 

หนานกงอี้หยู่เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ  เหตุใดถึงลดลงมาระดับเจี่ยกลางกันพ่ะย่ะค่ะ ?  

ไทเฮาทรงส่ายหน้า  ตัวอักขระเหล่านั้นของเขา…หากพวกเจ้าได้เห็น โปรดอย่าได้ตื่นตกใจเป็นอันขาด !  

หนานกงตงเซวี๋ยเผลอยิ้มมุมปากขึ้นมา จัวอี้สิงและหนานกงอี้หยู่ได้หันไปสบตากัน ต่างคิดในใจว่าเขาเป็นถึงอันดับหนึ่งด้านงานประพันธ์ในปฐพี เพียงแค่ศิลปะพู่กันขั้นพื้นฐาน จะทำให้ฟ้าดินตกใจจนแทบจะหลั่งน้ำตาได้เยี่ยงไรกัน ?

หนานกงอี้หยู่อดที่จะเชยชมตุ้ยเหลียนคู่นั้นมิได้ เขาจึงได้เอ่ยถามต่อ  แล้วตุ้ยเหลียนนั้นเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?  

หนานกงตงเซวี๋ยเดินไปที่โต๊ะทรงพระอักษร จากนั้นก็ได้จรดปลายพู่กันเพื่อบรรจงเขียนตุ้ยเหลียนคู่นั้นออกมา จากนั้นจึงมอบให้กับผู้ที่เป็นปู่

จัวอี้สิงสงสัยใคร่รู้เขาเลยแทรกตัวเข้ามาด้วยเช่นกัน บัดนี้อัครเสนาบดีทั้งฝ่ายซ้ายและขวาผู้กุมอำนาจบาตรใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ได้รู้สึกตกตะลึงเสียจนหยุดชะงักนิ่งค้างไปชั่วขณะ สีหน้าของทั้งสองคนนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ  นี่น่ะหรือคือตุ้ยเหลียนที่องค์ชายใหญ่ได้ประพันธ์ขึ้นมา ?  

 ใช่ เขาใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งถ้วยชาก็สามารถประพันธ์ตุ้ยเหลียนสองบทนี้ออกมาได้แล้ว แท้จริงแล้วระดับเจี่ยสูงยังประเมินค่าพรสวรรค์ของเขาต่ำไปเสียด้วยซ้ำ !  

ไทเฮาทรงยืนขึ้นจากนั้นก็ดำเนินไปที่ริมหน้าต่าง ก้มลงทอดพระเนตรฝูงชนอันเนืองแน่นที่อยู่เบื้องล่าง นึกคำนึงถึงบทประพันธ์ที่เหลือหลังจากนั้นเขาจะประพันธ์ได้เป็นเยี่ยงไรบ้าง ?

พระนางทรงเสด็จกลับพระราชวังเสียก่อน บทประพันธ์ของฟู่เสี่ยวกวนทั้งสองวันที่เหลือจึงยังมิเคยได้เห็น แม้ว่าบทประพันธ์เหล่านั้นจะถูกส่งมายังพระราชวังแล้วก็ตาม แต่เพราะพระองค์ได้ใช้เวลาทั้งหมดเพื่อทรงดำริแผนสืบสันติวงศ์จึงเป็นเหตุให้มิมีเวลาใส่ใจกับสิ่งอื่นใด

บัดนี้ เบื้องล่างของหอคอยหลิวหยุน ถังจู้กั๋วได้นำโคลงสัมผัสทั้งสามลำดับแรกที่ได้คะแนนสูงสุดแขวนไว้ เหล่าบัณฑิตทั้งหลายจึงแห่แหนกันเข้ามาชื่นชม ทุกสายตาได้จับจ้องไปยังตุ้ยเหลียนที่ได้ลำดับที่หนึ่ง

 อ่า… 

เมื่อเหล่าบัณฑิตได้อ่านตุ้นเหลียนสองบทนั้น ทุกข้อครหาได้พาลอันตรธานหายไปในบัดดล ทุกตนต่างรู้สึกโล่งอกโล่งใจในทันที !

ฝานเทียนหนิงพึมพำในปากขณะไล่อ่านตัวหนังสือ

การสั่งสอนนั้นมีนับหมื่นวิธี มิมีสิ่งใดพิเศษ มิควรยึดถือ มิใช่ธรรมและมิใช่อธรรม

เอกยานในพระพุทธศาสนา มีรากฐานที่ต่างกัน ดังนั้นจึงเอ่ยถึงหินยาน ปัจเจก มหายาน และวัชระยาน

 ท่านพี่ฟู่ร้ายกาจเกินกว่าจะสรรหาคำใดมาสาธยาย ช่างเก่งกาจยิ่ง ช่างเก่งกาจมากยิ่งนัก ! ไม่สิ…  ฝานเทียนหันหน้าไปมองทั่วทุกสารทิศ ทว่ายังไร้ซึ่งวี่แววของฟู่เสี่ยวกวน

 แล้วเขาเล่า หรือจะมิมาเสียจริง ๆ ?  

เมื่อได้ยินฝานเทียนหนิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นถึงเพียงนี้ ทำให้เหล่าบัณฑิตมากมายเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นมาในทันที

จริงด้วย เหตุใดฟู่เสี่ยวกวนถึงยังมิมาอีกกัน ?

ตุ้ยเหลียนที่วิจิตรบรรจงเยี่ยงนี้ ข้ายอมแพ้ให้กับเขาอย่างแท้จริง !

ก่อนหน้านี้ข้ายังแอบระแวงว่าเขาจะโกงการแข่งขัน บัณฑิตเหล่านั้นต่างก็หน้าแดงเรื่อ เพราะย้อนนึกถึงคำสบประมาทเหล่านั้นก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกละอายแก่ใจยิ่ง การตัดสินนั้นได้ตัดสินโดยยุติธรรมแล้ว มิจำเป็นต้องพร่ำเอ่ยสิ่งใด มองเพียงปราดเดียวก็เห็นถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

จัวตงหลายจ้องมองตุ้ยเหลียนที่ฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์ด้วยสายตาที่ตะลึง จากนั้นเขาก็ได้อ่านตุ้ยเหลียนบทที่สองด้วยเสียงอันแผ่วเบา

ต้นไม้ดอกไม้ แดงฉ่ำเขียวชอุ่ม มีเพียงเจ้าที่คอยประคอง มิให้ลมฝนพายุ พัดพาหนาวเหน็บ

 คู่รักชื่นมื่น ทุกภพชาติ ปรารถนามีคนรักร่วมสร้างครอบครัว อย่างยาวนานทุกเช้าค่ำ และมีความสุข 

เขาก้มหน้าลง และยังคงพึมพำถึงสิ่งที่เพิ่งอ่านวกไปวนมา

เมื่อคุณหนูถังซานได้อ่านตุ้ยเหลียนสองบทนั้นนั้น ณ ชั่วขณะนั้น นางก็รู้ได้ทันทีว่าฟู่เสี่ยวกวนได้คว้าชัยชนะไปอย่างสมศักดิ์ศรี !

นางได้หันไปมองจัวตงหลาย และเป็นจังหวะเดียวกันที่เขาเงยหน้าขึ้นมาพอดี แววตาคู่นั้นได้ส่องประกายขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ยกขึ้นจากริมฝีปาก  ข้าแพ้อย่างยอมจำนน ชัยชนะเหนือผู้ใดบนผืนปฐพีนี้สมควรเป็นของเขา !  

เหล่าบัณฑิตแห่งสำนึกศึกษาหลีชานต่างรู้สึกละอายแก่ใจมากยิ่งนัก ที่ได้ทำตัวดั่งสุนัขเห่าใบตองแห้งข่มผู้อื่นไปเสียมากมาย ถึงขนาดที่กล่าวาจาเหยียดหยามฟู่เสี่ยวกวนอย่างถึงที่สุด

พวกเขาต่างครหาฟู่เสี่ยวกวนว่าเป็นเจียงหลางผู้สิ้นความสามารถ ครหาว่าฟู่เสี่ยวกวนแสร้งทำเพื่อเรียกร้องความสนใจ และอื่น ๆ อีกสารพัดคำครหา

ทว่าเวลาเพียงแค่ครึ่งถ้วยชา ฟู่เสี่ยวกลับประพันธ์ตุ้ยเหลียนที่ทำให้วงการวรรณกรรมสั่นสะเทือนได้ !

ใต้หล้านี้จะมีผู้ใดเก่งกาจได้ถึงเพียงนี้อีกเล่า ?

เช่นนั้นแล้วบทกวีทั้งห้าในวันที่สองล่ะ ?

แล้วบทความในวันที่สามล่ะ ?

……

เมื่อยามราตรีมาเยือน จันทราและแสงของดวงดาราที่สุกสกาวก็ได้ทอประสานเหนือท้องนภาสะท้อนบนผืนน้ำของทะเลสาบสือหลี่ เปรียบดั่งภาพวาดที่แสนสงบสุข

ณ หอจิ้นสุ่ย ฟู่เสี่ยวกวนยังคงทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง

เกาะทั้งสิบเกาะที่กระจัดกระจายอยู่ในทะเลสาบสือหลี่นั้นเจิดจรัสไปด้วยแสงไฟ มีเรือน้อยใหญ่ประดับประดาอยู่บนผืนน้ำของทะเลสาบสือหลี่

โคมไฟสีแดงถูกแขวนไว้สูงลิ่ว ลมบางพัดพลิ้วยามราตรี พัดพาภาพวาดนั้นบนพื้นผิวน้ำให้แตกกระจุยแปรเปลี่ยนเป็นแสงสะท้อนจากเกลียวคลื่นแทน

บัดนี้ก็ถึงยามซวีแล้ว คาดว่างานประการผลการแข่งขันที่หลิวหยุนถายคงจะเสร็จสิ้นแล้ว

เขามิได้ไปเยือนหลิวหยุนถายเฉกเช่นผู้อื่น ทว่ามิใช่เพราะมั่นใจว่าตนจะสามารถคว้าชัยมาได้อย่างแน่นอน แต่เป็นเพราะที่หลิวหยุนถายผู้คนย่อมหนาแน่น ผู้คนมากมาย เสียงดังตะโกนโหวกเหวกน่ารำคาญยิ่ง อีกอย่าง ถ้าหากตนมิสามารถคว้าชัยมาได้เล่าจะเป็นเยี่ยงไร ?

ดังนั้นเขาจึงได้นำคนกลุ่มหนึ่งมาบุกยึดหอจิ้นสุ่ยนี้เอาไว้ ชั้นที่หนึ่งเป็นกองกำลังองครักษ์ชุดแดง ส่วนชั้นที่สองมีพวกเขาเพียงมิกี่คนเท่านั้น

หยูเวิ่นหวินเอ่ยถาม  เจ้ามิใคร่อยากรู้ผลการแข่งขันสักหน่อยหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนจับจมูก จากนั้นจึงเอ่ยกล่าวว่า  เยี่ยงไรเสียข้าก็ย่อมเป็นลำดับหนึ่งทั้งสามหัวข้อ !  

ต่งชูหลานเบะปากแล้วกลอกตาใส่เขา  ข้ามิเคยพบพานผู้ใดที่หน้าหนาเฉกเช่นเจ้ามาก่อนเลยสักครา !  

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วส่งกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับหลงจู๊สง  นี่คืออาหารที่พวกข้าอยากกิน เจ้าจงไปเตรียมไว้ หากข้าอยากกินตอนไหนเจ้าค่อยยกมา 

หลงจู๊สงโค้งคารวะแล้วเดินจากไป เขาไปยังห้องโถงด้านหลัง จากนั้นเขาก็ได้จ้องมองกระดาษแผ่นนี้อยู่เนิ่นนาน

เขาเรียกนกพิราบสื่อสารมาหนึ่งตัว จากนั้นจึงนำกระดาษผูกไว้กับขานกพิราบ แล้วก็ปล่อยไปนอกหน้าต่าง มิอาจหยั่งรู้ได้ว่าเมื่อฮองเฮาซั่งทรงทอดพระเนตรจดหมายฉบับนี้แล้วพระองค์จะทรงมีความคิดเห็นว่าเยี่ยงไรบ้าง

 

ตอนที่ 379 คืนที่แสงดาวรุ่งโรจน์ ( 1 )

ยามเว่ย

หลิวหยุนถายในเวลานี้คลาคล่ำไปด้วยผู้คน

เหวินสิงโจวและนักปราชญ์อีก 8 คนยืนอยู่บนเวทีด้วยท่าทางตื่นเต้น ด้านหลังที่พวกเขายืนอยู่คือขบวนทหารที่ในมือได้ถือรายชื่อสามอันดับแรกของผู้ชนะในงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้เอาไว้

บัดนี้ถึงเวลาแล้ว ต่อไปจะเป็นการประกาศคำตัดสินลำดับรายชื่อผู้ชนะงานชุมนุมวรรณกรรมนี้อย่างเป็นทางการ

แต่ว่า…

สายตาของเหวินสิงโจวสอดส่องไปยังกลุ่มผู้คน แต่กลับมิพบฟู่เสี่ยวกวน

บัณฑิตในงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้ต่างยืนอยู่ด้านหน้าสุด แต่คนที่สายตาเป็นประกายเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนแน่นอนว่าควรจะยืนอยู่ตรงกลางด้านหน้าสุดในยามนี้ แต่พวกเขาได้มองหาไปทั่วทุกสารทิศ กลับมิเห็นแม้แต่เงาของฟู่เสี่ยวกวนเลยด้วยซ้ำ

เจ้าหนุ่มนี่จะเล่นลูกไม้อันใดอีก ?

ผู้รอคอยอย่างจัวตงหลายก็กำลังมองหาฟู่เสี่ยวกวนในฝูงชนเช่นกัน ในใจพลันคิดว่าเขาหน้าบางเกินกว่าจะเผชิญสถานการณ์เลวร้ายนี้เยี่ยงนั้นหรือ ?

ในใจของคุณหนูถังซานรู้สึกแปลก ๆ อยู่ตลอดเวลา

เดิมตั้งใจจะเหยียบย่ำอัจฉริยะฟู่เสี่ยวกวนแห่งราชวงศ์หยูให้จมผืนปฐพี แต่บัดนี้เขากลับกลายเป็นองค์ชาย คนผู้นี้จะเหยียบยากเกินไปหน่อยหรือไม่ ?

หากรู้ว่าเขาเป็นองค์ชายเร็วกว่านี้ ก็ควรจะไว้หน้าเขาบ้าง อย่างน้อยก็คงมิเป็นดังเช่นในตอนนี้ เขาเกรงว่าจะอับอายที่ต้องพบหน้ากันเสียแล้ว

บนหอคอยชั้นห้านั้นมีคนอยู่เพียงไม่กี่คน

ไทเฮาทรงประทับอยู่ที่นี่

และจักรพรรดิเหวินเองก็ประทับอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน

นอกจากทั้งสองพระองค์แล้ว ที่แห่งนี้ยังมีอีกสองบุคคลอยู่ซ้ายขวา โดยมีเจ้าสำนักหอเทียนจีโจวถงถง และหลานสาวของหนานกงอี้หยู่…หนานกงตงเซวี๋ย

หนานกงตงเซวี๋ยกำลังต้มชา ทว่าก็ได้เห็นขันทีผู้น้อยเดินขึ้นมาบนหอคอยเร่งรีบ พร้อมกับส่งกระดาษหนึ่งแผ่นให้กับจักรพรรดิเหวิน

จักรพรรดิเหวินเปิดอ่าน ทันใดนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นทันพลัน  เจ้าหนุ่มนี่… 

 มีอะไรหรือ ?  

 ทูลเสด็จแม่ เจ้าหนุ่มนี่ไปขนของจากจวนเกาเสี่ยนจนว่างเปล่าแล้วพ่ะย่ะค่ะ !  

ไทเฮาตะลึงทันพลัน จากนั้นทรงพระสรวลออกมาเสียงดัง  ข้าบอกแล้วว่าเจ้าหนุ่มนี่น่าสนใจยิ่ง น่าสนใจอย่างแท้จริง เขาขาดเงินใช่หรือไม่ ?  

 ข่าวกรองของหอเทียนจีรายงานว่า เขาเคยให้เงินเกาเสี่ยน 12,000 ตำลึงเพื่อซื้อข่าวเกี่ยวกับเป่ยหวังฉวน แต่เกาเสี่ยนทำงานมิสำเร็จ ดังนั้นเขาต้องคืนเงินจำนวนนั้น รวมไปถึงเก็บค่าผิดสัญญา 

 ค่าผิดสัญญานั้นเยอะมากใช่หรือไม่ ?  

เกาเสี่ยนควบคุมสำนักในมาหลายปี สินทรัพย์ที่เก็บไว้นั้นมิอาจจะละเลยได้

 ยังมีอะไรอีกหรือไม่ อายเจียมิอยากจะเอ่ยอันใดให้มากความ เสนาบดีจัว อายเจียรู้สึกว่าของที่เขาเอาไปนั้นมีภาพอักขระโบราณที่มิเลวอยู่ เช่นนั้นท่านไปซื้อของพวกนั้นกลับคืนมาได้หรือไม่ ?  

ไทเฮาทรงตรัสพระประสงค์ จิ้งจอกเฒ่าจัวเข้าใจได้ในทันที

เขารู้มาว่าฟู่เสี่ยวกวนทำให้เกาเสี่ยนถึงฆาต และก็ได้เข้าใจว่าเขาได้รับความเมตตาจากฟู่เสี่ยวกวน

ความเมตตานี้แน่นอนว่ามิอาจรับมาเปล่า ๆ ได้ ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนลงมือไปบุกปล้นจวนของเกาเสี่ยน คาดว่าเขาคงจะขาดแคลนเงิน เช่นนั้นตัวเขาต้องยอมเสียเลือดเพื่อชดเชยให้กับฟู่เสี่ยวกวนอย่างแน่นอน

 กระหม่อมเข้าใจแล้วและจะไปประเดี๋ยวนี้พ่ะย่ะค่ะ 

 อ่า…อายเจียได้ยินว่าพวกเจ้าเตรียมจัดงานประกวดคัดเลือกสาวงามเพื่อเขาเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 กราบทูลไทเฮา ตามกฎแล้ว พระราชโองการแต่งตั้งรัชทายาทมิถึงขั้นต้องคัดเลือกสาวงาม เพียงแต่…กระหม่อมเห็นว่าวังหลังของฝ่าบาทนั้นเงียบเหงาจนเกินไป หากว่าพระราชตำหนักบรูพาเจริญรุ่งเรืองขึ้นมา อนาคตข้างหน้าวังหลังก็จะเจริญไปด้วยเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ 

 คำกล่าวนี้นับว่าเป็นเรื่องของการเมือง ตำแหน่งพระชายาขององค์ชายนี้อายเจียยกให้เป็นของหนานกงตงเซวี๋ยก็แล้วกัน 

หนานกงตงเซวี๋ยหน้าแดงขึ้นมาทันพลัน นางก้มศีรษะลงอย่างเขินอาย

หนานกงอี้หยู่ชะงักไปชั่วครู่ แล้วกล่าวว่า  ทูลไทเฮา องค์ชายมีคู่หมั้นอยู่แล้วถึง 3 คน หนึ่งในนั้นเป็นถึงองค์หญิงเก้าแห่งราชวงศ์หยู เช่นนั้นพระชายาขององค์รัชทายาท… 

 อายเจียมิได้ห้ามให้องค์ชายสมรสกับสามคนนั้น แต่เขาเป็นถึงรัชทายาทของราชวงศ์อู๋ ตำแหน่งพระชายาแน่นอนว่าจะต้องเป็นสตรีจากราชวงศ์อู๋เท่านั้น เซวี๋ยเอ๋อ อายเจียชื่นชอบเจ้ายิ่ง มีเจ้าดูแลวังหลังแห่งนี้ ร้อยปีหลังจากนี้อายเจียก็วางใจ 

ขณะเดียวกันฟู่เสี่ยวกวนที่เดินทางอยู่บนถนนอย่างสบายอกสบายใจ

เขาก็ได้จามออกมาในทันใด ถูจมูกไปมา ในใจพลางคิดไปว่ามีใครบ่นถึงข้าอีกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

แต่เขาก็ไม่ได้รับรู้ว่าระหว่างที่ไฮเฮาทรงพร่ำรำพันอยู่นั้น เขาได้ภรรยาเพิ่มมาอีก 1 คน !

……

ณ หลิวหยุนถาย เหวินสิงโจวบัดนี้กำลังรอการมาถึงของฟู่เสี่ยวกวน

ดวงตามองไปยังท้องฟ้าสีแดงยามอาทิตย์อัสดง แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังมิโผล่มา

เกิดอันใดขึ้นกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนที่เป็นจุดเด่นในค่ำคืนนี้ หากเขามิมา จะยังสามารถประกาศผลผู้ชนะในงานชุมนุมวรรณกรรมได้อยู่อีกหรือไม่ ?

ท่ามกลางความวิตกกังวล เวลาผ่านล่วงเลยไปอีกหนึ่งก้านธูป เหวินสิงโจวรู้ว่าหากเขายังคงรอต่อไป เกรงว่าขาของเขาทั้งสองข้างคงจะยืนต่อไปไม่ไหวแล้ว

เขาและเหล่านักปราชญ์ทั้งแปดต่างสบตากันและกัน พร้อมกับพยักหน้าให้กันเล็กน้อย

ยามนี้บัณฑิตและฝูงชนที่กินเมล็ดแตงอยู่เบื้องล่างเวทีเริ่มทนมิไหว

 จะเลยฤกษ์ยามอยู่แล้ว เหตุใดถึงยังมิติดประกาศกัน ?  

 รอฟู่เสี่ยวกวนอยู่หรือเยี่ยงไรกัน ?  

 มีสิทธิ์อันใดถึงให้ผู้คนมากมายรอเขาเพียงแค่คนเดียว ? อีกอย่างการแข่งขันครานี้สามอันดับแรกก็มิน่าจะมีชื่อเขาอยู่ !  

 เหตุใดพวกเจ้าถึงมั่นใจว่ามิมีชื่อของฟู่เสี่ยวกวนอยู่ ?  

 ทุกหัวข้อในการแข่งขันเขาใช้เวลาเพียงครึ่งถ้วยชาก็คิดตอบได้แล้ว หรือพวกเจ้าคิดว่าคำถามนั้นมันง่ายกัน ?  

 อดทนหน่อยเถอะ ตอนนี้เขามีฐานะเป็นถึงองค์ชายแล้ว !  

 สาวน้อยผู้นี้เป็นใครกัน ?  

 เจ้าตาบอดแล้ว นางผู้นั้นคือยิงฮวามิใช่หรือ ?  

สายตามากมายจ้องมองไปยังยิงฮวา ยิ่งได้เห็นแสงสีทองของอาทิตย์อัศดงทอดกระทบกับร่างกายของยิงฮวา ยิงฮวาดูราวกับเป็นเทพธิดาที่แปลงกายลงมา สายตาเหล่าบัณฑิตมากมายมองมาด้วยความสนใจ

เหวินสิงโจวก้าวไปข้างหน้า และกระแอมสองครา  ทุกท่านโปรดอยู่ในความสงบ ! ได้ฤกษ์แล้ว บัดนี้ขอเชิญท่านจวงประกาศรายชื่อสามอันดับการแข่งตุ้ยเหลียน 

ในที่สุดก็เข้าสู่ประเด็นหลัก เหล่าบัณฑิตทั้งหลายต่างก็เลิกสนใจสิ่งรอบข้าง แล้วมองขึ้นไปยังบนเวทีทันที

นักปราชญ์จวงก้าวไปข้างหน้า พร้อมกับกล่าวออกมาเสียงดัง  การแข่งขันตุ้ยเหลียนในงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้ อันดับที่สาม ฉินเหวินเจ๋อแห่งสำนักศึกษาจี้เซี่ย !  

ฉินเหวินเจ๋อตกตะลึงทันพลัน หา ? ข้าได้ที่สามเยี่ยงนั้นหรือ ?

เขากระโดดโลดเต้นออกมาด้วยความตื่นเต้น  อาจารย์ อาจารย์… 

อ่า…อาจารย์มิอยู่ บัณฑิตราชวงศ์หยูกลุ่มหนึ่งห้อมล้อมตัวฉินเหวินเจ๋อ และต่างคำนับเพื่อร่วมแสดงความยินดี

หลังจากนั้นไม่นาน นักปราชญ์จวงก็กล่าวขึ้นมาอีกครา  การแข่งขันตุ้ยเหลียนในงานชุมนุมวรรณกรรม อันดับที่สอง จัวตงหลายแห่งสำนักศึกษาหลีชาน 

จัวตงหลายตกตะลึงทันพลัน ? ลำดับที่สองเยี่ยงนั้นหรือ ? เหตุใดข้าถึงได้เป็นที่สองกัน ?

คุณหนูถังซานและบัณฑิตคนอื่นต่างก็รู้สึกว่าเป็นไปมิได้ ตุ้ยเหลียนทั้งสองบทของจัวตงหลายดีมากยิ่งนัก กลับตกเป็นที่สองแล้ว ถ้าเยี่ยงนั้นลำดับที่หนึ่งคือผู้ใดกัน ?

จัวตงหลายมองไปทางฟานเทียนหนิง ในใจพลางคิดว่าเมืองฟานนับถือศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติ เป็นเพราะตุ้ยเหลียนบทที่หนึ่งที่ทำให้เขาแพ้ให้กับฟานเทียนหนิงเยี่ยงนั้นหรือ ?

คงมีเพียงแค่ทางนี้ที่เป็นไปได้ บัณฑิตคนอื่นไม่เคยอยู่ในสายตาเขา ฟู่เสี่ยวกวนถือว่าสละสิทธิ์ ตอนที่บัณฑิตราชวงศ์อู๋แต่งตุ้ยเหลียนเขาล้วนเห็นทั้งสิ้น มิมีผู้ใดสามารถเทียบเคียงเขาได้

นักปราชญ์จวงรอเวลาชั่วอึดใจ แต่กลับพบว่าเหล่าบัณฑิตของตนนั้นมิได้ยินดีแม้แต่น้อย กลับยิ่งหดหู่ลง

เขายิ้มจาง ๆ แล้วส่ายหัว ในใจพลันคิดว่าหลังจากตุ้ยเหลียนที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้ได้นำออกมาแล้ว พวกเขาก็จะเข้าใจถึงความต่างนี้ด้วยตนเอง

 ต่อไป จะเป็นการประกาศลำดับที่หนึ่งของการแข่งขันตุ้ยเหลียนในงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ !  

ผู้คนที่อยู่เบื้องล่างเวทีต่างกลั้นหายใจ นี่เป็นชัยชนะคราแรกของงานชุมนุมวรรณกรรมในสามวันมานี้ เช่นนั้นผู้ใดจะชนะในหัวข้อแรกนี้กัน ?

ดวงตาคู่โตของยิงฮวาเป็นประกายอย่างหาเปรียบมิได้ ทันใดนั้นนางก็พบว่าหัวใจของนางเต้นรัวเร็วเป็นอย่างมาก

 ลำดับที่หนึ่ง คือฟู่เสี่ยวกวน !  

ทันใดนั้นกลุ่มผู้คนก็ได้ส่งเสียงดังอื้ออึง มีทั้งเสียงให้กำลังใจ เสียงอุทานประหลาดใจ และยังมีเสียงแห่งความสงสัย แน่นอนว่ายังมีคนที่มิได้ส่งเสียงใดออกมา

 

ตอนที่ 378 บุกปล้น

รถม้าขบวนหนึ่งได้เคลื่อนออกจากพระราชวังเพื่อไปยังทะเลสาบสือหลี่

ม้าเร็วตัวหนึ่งได้เคลื่อนเข้ามาอย่างว่องไว แล้วจากนั้นก็ได้ชะลอฝีเท้าลงเพื่อเข้าไปหยุดอยู่ตรงกลางของขบวนรถม้า

 ถวายบังคมไทเฮา ฟู่…องค์ชายใหญ่ได้นำองค์หญิงไท่ผิงและลูกเลี้ยงของขันทีเกาไปยังคุกใหญ่ บัดนี้ขันทีเกา…ถูกลูกเลี้ยงของเขาแทงจนสิ้นชีพแล้วพ่ะย่ะค่ะ 

ในขบวนรถม้านั้นได้ตกสู่ภวังค์ความเงียบไปชั่วขณะ เสียงของไทเฮาก็ได้ทลายความเงียบนี้ลง  อ่า…ข้ารู้แล้ว นำซากขันทีเกาไปให้สุนัขกินเสีย 

 น้อมรับคำสั่งไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ !  

หนานกงตงเซวี๋ยกำลังต้มรังนกให้ไทเฮาอยู่ภายในรถม้า นางตกตะลึงพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมา กลับพบว่าไทเฮากำลังแย้มพระสรวล

 หลานชายผู้นี้ช่างน่าสนใจยิ่ง 

 ไทเฮา… พระองค์ทรงสังหารขันทีเกาไปเพราะเหตุใดหรือเพคะ ?  

 เขามิได้สังหารเสียหน่อย แต่เป็นบุตรบุญธรรมของขันทีเกาเองต่างหากเล่าที่สังหารเขา ขันทีเกามีชีวิตอยู่ไปก็ไร้ประโยชน์ เซียวเฉียงมิอาจกลับมามีอำนาจได้อีกแล้ว หากขันทีเกาผู้นี้โดนสืบสวนแน่นอนเป็นอย่างยิ่งว่าย่อมสาวเรื่องไปถึงจัวอี้สิงท่านอัครเสนาบดีฝ่ายขวา เช่นนั้น…จัวอี้สิงมีความผิดเยี่ยงนั้นหรือ หากมองผ่านมุมมองของฝ่าบาท จัวอี้สิงได้ลอบสังหารองค์ชายใหญ่ถึง 2 ครา แน่นอนว่าเขาสมควรตาย แต่ถ้ามองในแง่มุมคุณประโยชน์ต่อบ้านเมือง เขาก็ย่อมมิสมควรตาย 

 ด้วยเหตุนี้ฝ่าบาทจึงมิไต่สวนขันทีเกา เพราะเห็นแก่คุณงามความดีที่จัวอี้สิงอุทิศให้บ้านเมืองที่ฟ้าดินสามารถเป็นพยานได้ และในวันนี้จัวอี้สิงได้เดินทางไปยังคฤหาสน์จิ้งหู แม้ว่าจะมิได้เอ่ยสิ่งใดต่อองค์ชายใหญ่ แต่ทว่าที่องค์ชายใหญ่ทรงกระทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการโต้ตอบต่อจัวอี้สิง เดิมทีอายเจียยังกังวลว่าเขาจะมิยอมปล่อยจัวอี้สิงไปอย่างแน่นอน แต่เมื่อเห็นเขากระทำเช่นนี้แล้ว ก็เปรียบได้ว่าหนี้ได้ทำการชำระล้างแล้ว 

ครานี้หนานกงตงเซวี๋ยถึงได้เข้าใจ นางย้อนนึกถึงบทสนทนาระหว่างฟู่เสี่ยวกวนและท่านปู่ที่คฤหาสน์จิ้งหูเมื่อวันก่อน แล้วดูเหมือนว่าเขาจะมิได้คิดเอาผิดจัวอี้สิงเกี่ยวกับเรื่องราวที่ผ่านมา

แน่นอนว่านี่ย่อมเป็นนิมิตหมายที่ดี จัวอี้สิงย่อมเห็นใจต่อความมีเมตตาของพระองค์ แล้วสำนักพระราชวังก็ย่อมมิสร้างคลื่นอันใดมาอีก

……

ฟู่เสี่ยวกวนได้นำอู๋หลิงเอ๋อร์และกองกำลังองครักษ์ชุดแดงร้อยนายภายใต้การบังคับบัญชาของถังเชียนจวินออกเดินทางอีกครา แต่แน่นอนว่าเขามิได้ไปที่ทะเลสาบสือหลี่

แต่เขากลับไปยังจวนของขันทีเกา

 ท่านพี่ ท่านต้องการทำสิ่งใด ?  

 ขันทีเกาผู้นั้นเอาเงินพี่ไปถึง 12,000 ตำลึง พี่จะต้องเอากลับมาให้ได้ !  

 ……?  

สมองของอู๋หลิงนั้นตามไม่ทันจังหวะของฟู่เสี่ยวกวน นางคิดว่าไม่นานเขาก็จะได้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว จากนี้สืบต่อไปทุกสิ่งบนผืนปฐพีนี้ย่อมเป็นของเขา แล้วมันคุ้มค่าเยี่ยงไรที่ต้องบุกเข้ามาแล้วฉีกตราของกรมราชทัณฑ์ที่ติดตรงประตูเพียงเพื่อเงินแค่ 12,000 ตำลึง

 หลิงเอ๋อร์…พี่เป็นคนมัธยัสถ์ ส่วนพี่สะใภ้ทั้งสามของเจ้าเองกว่าจะหาเงินมาได้ก็ยากเย็นแสนเข็ญ ธุรกิจนี้ใหญ่โต แต่รายจ่ายในแต่ละเดือนก็มากมายมหาศาล อีกอย่างเงินที่พี่ให้เขาไป 12,000 ตำลึงเดิมทีก็เพื่อซื้อข่าวคราวของเป่ยหวังฉวน ขันทีเกาผู้นี้รับเงินไปแล้วแต่ก็มิทำตามสัญญา นี่ถือเป็นการผิดสัญญาเพียงฝ่ายเดียว พี่ก็เลยต้องเก็บเงินคืน และก็สมควรฉวยโอกาสเก็บค่าปรับเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อยใช่หรือไม่เล่า ?  

อู๋หลิงตกตะลึงกับอีกด้านหนึ่งของผู้ที่เป็นพี่ของนาง

เขาได้สั่งการให้ถังเชียนจวินพังทลายประตูจวน จากนั้นก็ให้กองกำลังองครักษ์ชุดแดงค้นหาทุกสิ่งที่มีมูลค่าในจวน แล้วขนย้ายออกมาให้หมดสิ้น

เมื่อถึงเวลาเดินทางกลับ สายตาของเขาก็ดันไปสะกิดเข้ากับหินเทพสิงโตคู่ที่วางอยู่หน้าประตูจวน จากนั้นจึงส่ายหัวแล้วเอ่ยออกมาด้วยความเสียดาย  น่าเสียดายยิ่ง ข้าควรจะยกทัพกองกำลังองครักษ์ชุดแดงทั้งพันนายมาเสียให้หมด 

อู๋หลิงได้ตกตะลึงอยู่เนิ่นนาน นางคิดในใจว่านี่หรือผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นนักวรรณกรรม ?

เหตุใดถึงได้ละโมบสมบัติมากถึงเพียงนี้กัน ?

หรือว่าเขายากจนถึงขั้นที่ต้องไปทำไร่ทำนา ?

ข้าเองก็พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง

 ท่านพี่…  เมื่อนั่งบนรถม้า อู๋หลิงก็ได้เอ่ยอย่างมิได้มีสิ่งใดแอบแฝง  ท่านมิมีเงินแต่น้องมี จวนนี้ได้ติดตราของกรมราชทัณฑ์แล้ว ตามหลักแล้วนั่นควรจะเป็นหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ในการไต่สวนในภายหลัง จำต้องได้รับพระราชโองการของเสด็จพ่อเสียก่อนจึงจะสามารถทำลายได้ แต่ท่านพี่กลับทำเยี่ยงนี้ เกรงว่าท่านพี่จะโดนเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์หมายหัวเอาได้นะเพคะ 

 หึ ๆ …   ฟูเสี่ยวกวนหัวเราะอย่างไม่ใสใจ  ขันทีเกามิใช่ว่าตายไปแล้วหรอกหรือ ตายไปแล้วก็มิสามารถไต่สวนได้อีกแล้ว อีกอย่างถ้าหากต้องรอพระราชโองการของฝ่าบาท ทรัพย์สินเหล่านี้ก็ย่อมถูกยึด แล้วเงิน 12,000 ตำลึงของพี่จะให้ไปตามเอาที่ผู้ใด เมื่อตกไปถึงท้องฝ่าบาท พี่ยังมีสิทธิ์ล้วงออกมาได้อยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ  จากนั้นเขาก็ได้โน้มตัวลงมากระซิบข้างหูอู๋หลิงราวกับเป็นความลับที่สำคัญยิ่ง  อีกประเดี๋ยวพวกเราไปแบ่งกัน พี่จะแบ่งให้น้องครึ่งหนึ่ง น้องจงเก็บไว้ใช้เองเถิด เมื่อสมรสจะได้มีทรัพย์สินเอาไว้ใช้ 

อู๋หลิงเอ๋อร์หน้าแดงเรื่อ สมรสเยี่ยงนั้นหรือ ในเมื่อเจ้าได้เปลี่ยนร่างมาเป็นพี่ชายของข้า แล้วข้าจะสมรสกับใครเล่า ?

 ท่านพี่เก็บไว้เถิด น้อง…น้องคงมิสมรสกับผู้ใดอีกแล้วในชาติภพนี้ !  

ฟู่เสี่ยวกวนยื่นมือออกไปขยี้ศีรษะของอู๋หลิงเอ๋อร์อย่างแผ่วเบา  เด็กน้อยเอ๋ย น้องเพียงแค่เสียต้นไม้ไปแค่ต้นเดียว แต่น้องยังมีผืนป่าทั้งผืนรออยู่นะ 

เขานั่งตัวตรงแล้วกล่าวกับอู๋หลิงเอ๋อร์อย่างตั้งใจว่า  การเลือกพระสวามีนั้นเป็นเรื่องที่มิรีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไป แล้วน้องจะได้พบเจอคนที่น้องมีความรู้สึกดีต่อเขาเช่นกัน แล้วอีกอย่างเมื่อน้องสมรส การเชื่อฟังสามีและดูแลบุตรนั้นเป็นหน้าที่ของน้อง แต่น้องจงจำเอาไว้ให้มั่นว่าตัวน้องนั้นเป็นอิสระ ย่อมมีความคิดเป็นของตนเอง และมิอาจพึ่งพาใครคนหนึ่งไปได้ตลอดชีวิต 

 จัวตงหลายก็หน้าตาดีใช้ได้เลยนี่ น้องว่าเขาเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?  

อู๋หลิงหน้าแดงด้วยความเขินอาย  แต่น้องนับถือเขาเป็นศิษย์พี่คนหนึ่งเท่านั้น 

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนลองคิดทบทวนดู หากเป็นเช่นนี้ก็ย่อมมิดีเท่าใดนัก  หากน้องมิชอบจัวตงหลาย เช่นนั้นก็ลองเอ่ยมาสิว่าน้องชอบผู้ชายเยี่ยงไรกัน ประเดี๋ยวพี่จะช่วยหาให้กับน้องเอง 

อู๋หลิงเอ๋อร์เม้มปากแล้วมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาขมขื่น  น้องชอบผู้ชายเยี่ยงท่านพี่เพคะ !  

ผู้ชายเยี่ยงพี่มันหายากนี่ !

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกลำบากใจ ความโดดเด่นที่ไม่มีใครเหมือนนั้นมิใช่ความผิดของเขา แต่จะผิดก็ตรงรสนิยมของอู๋หลิงเอ๋อร์ที่ดีมากจนเกินไป

ฟู่เสี่ยวกวนและคณะได้เดินทางกลับมายังคฤหาสน์จิ้งหู เขามองกองตั๋วเงิน ตำลึงทอง เครื่องเพชรพลอยแก้วแหวนเงินทองต่าง ๆ รวมไปถึงของสะสมโบราณ ใบหน้าก็พลันเบ่งบานขึ้นมาทันใด

 ทรัพย์สินเหล่านี้พวกเจ้าจะเอาไปทำอันใดก็เชิญเถิด เชียนจวิน เจ้ามานี่นำตั๋วเงิน 10,000 ตำลึงนี้แจกจ่ายให้กับพี่น้องของเจ้า แล้วจงเอาแยกต่างหากไปอีก 3,000 ตำลึงเพื่อเป็นรางวัลให้แก่พี่น้องทั้งหนึ่งร้อยนายของเจ้า 

ถังเชียนจวินตกตะลึง เขาลองใคร่ครวญแล้วจึงมิได้เกรงใจอีกต่อไป เขานำตั๋วเงินออกไปตามจำนวนที่ฟู่เสี่ยวกวนบอก จากนั้นจึงนำขบวนกองกำลังองครักษ์ชุดแดงร้อยนายที่บัดนี้ตาลุกวาวเพราะเงินและทรัพย์สมบัติเหล่านั้น

ต่งชูหลาน หยูเวิ่นหวิน ซูซูและคนอีกจำนวนหนึ่ง เมื่อเห็นสมบัติวางกองพะเนินเป็นภูเขาก็ตกตะลึงกันเสียยกใหญ่

 นี่เจ้าไปทำอันใดมา ?  

 ปล้นคนรวยเพื่อช่วยเหลือผู้ยากไร้ ข้าจะเอ่ยให้ฟัง ในกองนี้ยังมีอีกครึ่งที่เป็นของอู๋หลิงเอ๋อร์น้องสาวของข้า หากนางมิยอมรับไว้ก็เท่ากับว่านางต้องการนำไปลงทุน พวกเจ้าจงรีบนำของเหล่านี้ไปขายเพื่อแลกเป็นเงินสดเสีย จากนั้นก็จงนำไปใช้ 

ต่งซูหลานลองประเมินค่าคร่าว ๆ ด้วยสายตา ทรัพย์สินเหล่านี้รวมกันเกรงว่าจะมีมูลค่าถึง 50 ล้านตำลึง ความกระหายทรัพย์ของนางก็ทำงานในทันที ซื้อ ๆ ๆ !

 พรุ่งนี้พวกข้าจะไปซื้อห้างร้านที่ตรอกส่าจิน อีกทั้งก็ถือโอกาสไปดูว่านอกเมืองกวนหยุนมีที่นาเหมาะ ๆ หรือไม่ ในอนาคตพวกเราอาจจะต้องใช้เวลาอยู่ที่นี่มากกว่า พวกโรงฝีมือเหล่านั้นก็ต้องสร้างใหม่ หากต้องส่งมาจากแคว้นหยูก็เกรงว่าจะไกลจนเกินไป 

ดังนั้นเมื่อต่งซูหลานลองคำนวณดูแล้ว อู๋หลิงเอ๋อร์ก็เพิ่งค้นพบว่าตนมีทุนไม่มากพอที่จะสนับสนุนแผนกิจการเหล่านี้ของพวกนาง

 มิพอเสียด้วยซ้ำ… 

ฟู่เสี่ยวกวนกัดริมฝีปาก หัวคิ้วของเขาขมวดเข้าหากันจนเป็นร่องลึก  เยี่ยงนั้นจะต้องบุกไปปล้นอีกกี่จวนถึงจะพอ ?  

เขาหันไปมองอู๋หลิงเอ๋อร์  ตระกูลเซียว…สามารถบุกปล้นได้หรือไม่ ?  

 ……!  

อู๋หลิงเอ๋อร์แทบจะล้มทั้งยืน

 พลาดแล้ว ข้าควรจะจัดการจัวอี้สิงเสียมากว่า มิได้การละ พรุ่งนี้ข้าจะไปเยือนจวนของจัวอี้สิง เขาเจตนาจะฆ่าข้าถึงสองครา และคราล่าสุดก็เป็นเขาที่เปิดโปงรอยเท้าของเป่ยหวังฉวนให้กับขันทีเกา แค้นนี้จะต้องชำระ !  

 

ตอนที่ 377 ทะเลสาบสือหลี่

แสงอาทิตย์สาดส่องกระทบกับเกลียวคลื่นบาง ๆ ในทะเลสาบสือหลี่ ทำให้เกิดภาพแสงสีทองระยิบระยับบนผิวน้ำของทะเลสาบแห่งนี้ มองดูแล้วสวยงามมากยิ่งนักราวกับภาพวาดก็มิปาน

บัดนี้เพิ่งจักเลยเวลาของยามอู่ ช่วงประกาศผลการแข่งขันบทประพันธ์กำลังจะมาถึงในอีก 1 ชั่วยามข้างหน้า ทว่าเรือน้อยใหญ่ต่าง ๆ ในทะเลสาบสือหลี่แห่งนี้ก็ได้มารอกันอย่างเนื่องแน่น และตรงริมฝั่งทะเลสาบนั้นก็ได้มีหญิงสาวอ้อนแอ้นอรชรและเหล่าผู้มีความสามารถมากหน้าหลายตารอช่วงเวลาที่สำคัญนี้อยู่

การแข่งขันการประพันธ์นี้ปรากฏขึ้นเป็นคราแรกในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์อู๋

งานชุมนุมวรรณกรรมถูกจัดขึ้นที่วัดหานหลิง เพื่อความปลอดภัยของเหล่าบัณฑิตทั้งหลาย ในช่วงที่ทำการแข่งขัน ฝ่าบาททรงรับสั่งห้ามให้ผู้อื่นเข้าไปทำการรบกวนหรือขัดขวางการแข่งขันครานี้เป็นอันขาด และเมื่อถึงวันประกาศผลพระองค์ทรงได้ตัดสินพระทัยให้พื้นที่หลิวหยุนถายแห่งนี้เป็นพื้นที่สำหรับประกาศลำดับการแข่งขัน

ที่ทรงทำเช่นนี้พระองค์มิได้มีจุดประสงค์อื่นใด เพราะยุคสมัยนี้ ชายผู้มีความสามารถและหอนางโลม บทกวีและเนื้อร้อง สุรารสเลิศและท่าร่ายรำอันงดงามนั้นล้วนเกิดมาคู่กัน

เดิมทีงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้เป็นการท้าประชันฝีมือกันระหว่างราชวงศ์อู๋และราชวงศ์หยู หากจะกล่าวให้ละเอียดขึ้นไป ก็คือเป็นศึกการประชันฝีมือกันระหว่างจัวตงหลายสุดยอดบัณฑิตแห่งหลานซีกับฟู่เสี่ยวกวน

ในฐานะราษฎรของราชวงศ์อู๋ พวกเขาย่อมหวังว่าจัวตงหลายจะเป็นผู้คว้าชัยชนะในการแข่งขันครานี้ แต่ทว่าเมื่อลองใคร่ครวญให้ละเอียดถี่ถ้วนอีกคราก็กลับรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา เพราะเมื่อได้ย้อนกลับไปอ่านหนังสือความฝันในหอแดงและพวกบทประพันธ์เหล่านั้นพวกเขาก็ได้ค้นพบว่า ผลงานของฟู่เสี่ยวกวนนั้นล้วนแต่เป็นผลงานชั้นยอด

มิมีบทประพันธ์ไหนที่มิดีเยี่ยมเลยสักบทเดียว !

ช่างน่าตื่นตะลึงมากยิ่งนัก นี่เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าฝีมือของเขาสูงส่งและยังคงรักษามาตรฐานไว้ได้อย่างดีเยี่ยม ระดับของฟู่เสี่ยวกวนนั้นคงมิอาจมีผู้ใดเทียบเคียงกับเขาได้อีกแล้ว !

แต่ทว่าเมื่อวานนี้ องค์ฝ่าบาทได้มีพระราชโองการออกมา เพื่อทำการรับรองว่าข่าวลือเหล่านั้นเป็นเรื่องจริง เรื่องจริงที่ว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นเป็นโอรสในฝ่าบาท !

เขาคือองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ !

อีกทั้งยังมีหนังสือราชโองการให้ถอดถอนองค์รัชทายาทพระองค์ปัจจุบัน เมื่อนำสองเรื่องนี้มาเชื่อมโยงกัน ประชากรทั้งเมืองกวนหยุนก็ได้เข้าใจความหมายที่แอบแฝงอยู่ในทันที ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะเปลี่ยนชื่อเป็นอู๋เสี่ยวกวน แล้วกำลังจะเข้าไปประจำพระราชตำหนักบูรพา แล้วจะได้รับการสถาปนาเป็นองค์รัชยาทของราชอาณาจักรแห่งนี้ในเร็ววัน

เยี่ยงนั้นแล้ว การแข่งขันครานี้ย่อมไร้ความหมายอันใดอีกต่อไป เพราะมิว่าจะเป็นฟู่เสี่ยวกวนชนะหรือจัวตงหลายชนะก็ย่อมเป็นชัยชนะของราชวงศ์อู๋ด้วยกันทั้งสิ้น

ทว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้หน้าตาเป็นเยี่ยงไรกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนจะประพันธ์บทกลอน บทกวี บทความ แบบไหนออกมาในงานชุมนุมวรรณกรรมที่วัดหานหลิงกัน ?

เมื่อวานตอนที่เหล่าบัณฑิตทั้งหลายได้เดินทางลงจากเขา พวกเขาต่างเอ่ยกันว่าฟู่เสี่ยวกวนใช้เวลาเพียงแค่ดื่มชาครึ่งถ้วยก็สามารถตอบหัวข้อทั้งหมดได้แล้วเสร็จ ราวกับตอบแบบขอไปที สำหรับมุมมองของชาวราชวงศ์อู๋ เขาคิดว่าเช่นนี้มิใช่เรื่องที่ดีนัก

ในเมื่อการแข่งขันที่มีความสำคัญถึงเพียงนี้ยังทำแบบขอไปที แล้วต่อไปเรื่องปัญหาใหญ่ ๆ ของบ้านเมืองเขาก็คงทำแบบขอไปทีเช่นกัน ถ้าหากเป็นเช่นนี้เขาคงจะพาอนาคตของราชวงศ์อู๋ดำดิ่งลงไปสู่ขุมนรกอย่างแน่นอน

ด้วยเหตุนี้ราษฎรของเมืองกวนหยุนจึงได้แห่แหนกันมาเข้าเฝ้าผู้ที่เป็นว่าที่องค์รัชทายาท หากว่าเป็นไปได้ พวกเขาก็อยากจะเอ่ยถามสักคำว่า เพราะเหตุใดถึงทำเช่นนั้นกัน ?

ณ สถานเอกอัครราชทูตของแคว้นหลิว ตรอกต้วนสุ่ยเฉียว

จู่อิงฮวาองค์หญิงเจ็ดแห่งแคว้นหลิวกำลังนั่งแต่งองค์อยู่หน้ากระจก

นางมิได้นำแป้งตลับติดตัวมาด้วย และบัดนี้นางกำลังจัดแต่งทรงผมอย่างพิถีพิถัน

นางมิได้ม้วนผมเก็บ เพราะชาวราชวงศ์อู๋ต่างมองว่าสตรีที่ม้วนผมนั้นมีสามีแล้ว

นางจึงใช้เชือกสีแดงผูกเข้ากับผมเปียที่ได้มัดไว้ แล้วเส้นผมที่เหลือก็ได้ใช้ผ้าไหมสีแดงมัดไว้ตรงส่วนหลังของศีรษะ ดูเรียบง่ายแต่ก็มิได้เป็นทางการมากนัก ทว่าดูรวม ๆ แล้วก็สวยแบบธรรมชาติดี

นางสวมชุดเต็มยศ นั่นก็คือชุดเสื้อคลุมประจำตัวขององค์หญิงแห่งแคว้นหลิว ผ้าหนาที่ทอด้วยเส้นไหมสีแดงผืนใหญ่ปีกลายนกสีสดใสทั้งด้านหน้าและด้านหลัง

นางยืนขึ้น จากนั้นจึงออกไปด้านนอก จิ่งเปียนซีหยงเอ้อร์ถึงกับตกตะลึง  องค์หญิงวันนี้ไร้ซึ่งงานเลี้ยงทางการใด ๆ นี่ขอรับ 

 ข้ารู้ ไปเถิด ไปหลิวหยุนถายกัน 

 บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้มีสถานะเป็นองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋แล้ว 

 เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษ 

เพราะความสุขของสตรีคือการแต่งตัว ในวันนี้จึงมีสตรีมากหน้าหลายตาพากันแต่งหน้าและสวมใส่ชุดอย่างสง่างาม

วันนี้ที่หลิวหยุนถายเป็นจุดรวมพลของเหล่าบัณฑิตนับหมื่นพัน อย่างน้อยในหมู่บัณฑิตเหล่านั้นก็ย่อมต้องมีสักคนที่ตกหลุมรักสตรีผู้เลอโฉมเหล่านี้

เยี่ยนเชี่ยวเอ๋อร์และเมิ่งซีสองสาวผู้มีชื่อเสียงแห่งหลิวหยุนถาย บัดนี้ทั้งสองนางได้แต่งองค์อยู่หน้ากระจกแล้วและกำลังประดับผมของตนเองด้วยดอกไม้สีเหลือง

ทว่าสิ่งที่พวกนางปรารถนานั้นมิใช่บัณฑิตหนุ่ม แต่เป็นบทประพันธ์เหล่านั้นที่ได้รับการจัดลำดับเสียมากกว่า

เมิ่งซีได้นำบทประพันธ์ไร้ซึ่งปรารถนาที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ประพันธ์ที่เมืองฝานหนิงกลับมายังหลิวหยุนถาย ทำให้เยี่ยนเชี่ยวเอ๋อร์รู้สึกหวาดระแวง แต่ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงความเก่งกาจในด้านงานประพันธ์ของฟู่เสี่ยวกวน

ลำดับที่หนึ่งในการประกาศผลวันนี้จะเป็นฟู่เสี่ยวกวนหรือไม่ ?

เยี่ยงไรเสียก็ต้องขอบทประพันธ์ของเขามาให้ได้อย่างน้อย 2 บทเพื่อมาขับกล่อมทำนอง มิอาจยอมแพ้ให้เมิ่งซีผู้นั้นเป็นอันขาด !

……

หลิวหยุนถายนั้นตั้งอยู่บนเกาะที่ใหญ่ที่สุดในทะเลสาบสือหลี่

เมื่อถึงยามเว่ย พื้นที่ส่วนใหญ่ในหลิวหยุนถายก็ได้ถูกจับจองเอาไว้ด้วยผู้คนจำนวนมหาศาล เมื่อเกือบจะสิ้นสุดยามเว่ย ทางเดินข้ามมายังหลิวหยุนถายได้ถูกควบคุมเอาไว้ เพื่อจำกัดปริมาณผู้คนเข้าออกที่หลิวหยุนถาย

เยียนหานยวี่และท่าป๋ายวนคือบุคคลผู้ซึ่งได้รับคำเชื้อเชิญมายังงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้ พวกเขาทั้งสองได้มาถึงยังหลิวหยุนถายแล้ว และบัดนี้กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าหอคอยขนาดใหญ่

 สิ่งที่ข้ากังวลตอนนี้ก็คือเขาจะนำกองทัพรุดไปช่วยเหลือศึกทางชายแดนตะวันออก 

 ย่อมเป็นไปมิได้ เขายังมิได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทเสียด้วยซ้ำ แล้วอีกอย่าง…  เยียนหานยวี่หยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า  หรือต่อให้เขาได้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว เขาก็ย่อมไร้เวลาว่างไปดูแลราชวงศ์หยู เพราะเขายังมิมีความคุ้นเคยกับราชสำนักของราชวงศ์อู๋ เช่นนั้นเขาจำต้องอาศัยเวลาในการสั่งสมพระบารมี ความเป็นความตายของราชวงศ์หยูมิได้เกี่ยวของอันใดกับเขาอีกแล้ว 

ท่าป๋ายวนไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงพยักหน้าเห็นด้วย

เวลานี้ดูเหมือนว่าจักรพรรดิเหวินได้กำจัดขวากหนามที่ขัดขวางความยิ่งใหญ่ไปสิ้นซากแล้ว แต่ทว่าตระกูลเซียวนั้นยังดำรงอยู่ ที่จักรพรรดินีเซียวดำรงตำแหน่งจักรพรรดินีก็มิได้เสียเปล่า ในราชวงศ์นี้ย่อมมีผู้ฝักใฝ่ในพระนางแอบแฝงอยู่ด้วย

องค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันถูกลดตำแหน่งให้เป็นอ๋อง ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าอนาคตจะเกิดสิ่งใดพลิกผันขึ้นมาอีกหรือไม่ ?

เช่นนั้นแล้วสิ่งแรกที่ฟู่เสี่ยวกวนพึงกระทำก็คือทำให้ตำแหน่งประจำพระราชตำหนักบูรพานั่นมั่นคงเสียก่อน หากได้รับการสนับสนุนจากเหล่าเสนาบดี ใช้วิธีประนีประนอมในการค่อยควบคุมอำนาจภายในราชสำนัก เช่นนี้ตำแหน่งก็ย่อมมิสั่นคลอน

 เหตุใดป่านนี้แล้วเขายังมิมาอีก ?   เยียนหานยวี่กวาดสายตามองหาเขาทั่วทุกสารทิศแต่กลับไร้ซึ่งวี่แววของฟู่เสี่ยวกวน

 สงสัยจะรู้สึกเสียใจขึ้นมาทันพลันที่สามวันก่อนได้ทำแบบขอไปที 

เยียนหานยวี่เองก็เห็นพ้องต้องกัน หากว่าที่ผ่านมานั้นฟู่เสี่ยวกวนได้ตั้งใจและทุ่มเทให้กับการแข่งขันมากพอ วันนี้เขาคงจะได้รับชัยชนะโดยมีเหล่าบัณฑิตและเหล่าราษฎรหลายหมื่นคนเป็นสักขีพยาน ซึ่งจะมีผลต่อความเคารพนับถืออย่างท้วมท้น

ราชวงศ์อู๋เฝ้าฝันถึงผู้มีความสามารถนามเลื่องระบือ และเดิมทีฟู่เสี่ยวกวนสามารถเป็นชายผู้นั้นที่พวกเขาเฝ้าฝันหาได้ เช่นนั้นแล้วเขาย่อมได้รับความเคารพนับถือจากราษฎรอย่างถึงสูงสุด

ช่างน่าเสียดายยิ่ง ถึงตอนนี้เขาจะเสียใจในผลการกระทำก็ช่วยอันใดมิได้แล้ว

ในขณะที่เยียนหานยวี่กำลังรู้สึกเสียดายแทนฟู่เสี่ยวกวนอยู่นั้น ฟู่เสียวกวนก็ได้กระทำเรื่องใหญ่สะเทือนราชสำนัก !

เขาสั่งให้ถังเชียนจวินนำตัวเกาฟู่ลวี่มาหาเขา ทั้งสองเปิดใจสนทนากัน หลังจากนั้นอู๋หลิงก็ได้เข้ามาหาเขา

เขาได้ไปยังคุกของกรมราชทันฑ์ภายใต้การนำของอู๋หลิง และทั้งสองก็ได้ไปพบเจอกับขันทีเกา

ขันทีเกาเดิมทีคิดว่า…ว่าที่องค์รัชทายาทมาเพื่อถามเบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องราวทั้งหมด แต่กลับคิดมิถึงว่า ฟู่เสี่ยวกวนจะมิเอ่ยถามสิ่งใด เขาเพียงแค่กล่าวด้วยประโยคสั้น ๆ เพียงหนึ่งประโยค  เจ้าไปตายเสีย อยู่ไปก็เกะกะ 

จากนั้นเกาฟู่ลวี่ก็ได้ชักกริชที่แอบซ่อนเอาไว้แล้วแทงขันทีเกาจนสิ้นใจคามือ

อู๋หลิงผู้ที่เห็นเหตุการณ์นั้นรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

 นี่มัน… 

 เขารู้เยอะจนเกินไป… !  

 

ฟู่เสี่ยวกวนกำลังนั่งดื่มชาภายใต้แสงแดดอันอบอุ่นของดวงอาทิตย์

ต่งชูหลาน หยูเวิ่นหวิน และซูซูได้ออกไปจัดการธุระข้างนอก วันนี้พวกนางจะไปที่ตรอกส่าจินเพื่อดูว่าห้างร้านของพวกนางนั้นเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง พวกนางมิเคยล้มเลิกความคิด แม้ว่าบัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนจะมิใช่ฟู่เสี่ยวกวนคนเดิมแล้วก็ตาม

คราหนึ่งต่งชูหลานเคยได้เอ่ยไว้ว่า เมื่อใดที่เจ้าได้ครองบัลลังก์เป็นองค์จักรพรรดิ เมื่อนั้นทรัพย์สินในส่วนของจักรพรรดินั้นถึงจะเป็นของเขาอย่างแท้จริง ในส่วนทรัพย์สินของท้องพระคลังนั้นไร้ซึ่งความเกี่ยวข้องใดกับตำแหน่งของเจ้า เจ้ามิอาจนำทรัพย์สินของราชอาณาจักรมาใช้ในเรื่องส่วนตัวได้ !

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็เห็นพ้องต้องกัน จึงยอมให้พวกนางทั้งสองคนดิ้นรนเพื่อศักดิ์ศรีกันต่อไป

วันนี้ศิษย์พี่ศิษย์น้องแห่งสำนักเต๋าทั้งเจ็ดได้ออกจากคฤหาสน์จิ้งหูไปแล้ว 4 คน คนที่ยังอยู่ก็ยังคงเป็นศิษย์พี่ใหญ่ ซูเจวี๋ย ศิษย์พี่สามซูโหรว และศิษย์พี่หกซูซู

ส่วน 4 คนที่เหลือนั้นซูเจวี๋ยได้สั่งให้พวกเขากลับไปสำนักเต๋าแล้ว เพราะเรื่องการรักษาความปลอดภัยของฟู่เสี่ยวกวนนั้นคงมิใช่ปัญหาอีกต่อไป

เมื่อวานจักรพรรดิเหวินทรงรับสั่งให้องครักษ์ชุดแดงประจำอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหู 1,000 นาย และกองกำลังนี้เป็นกองกำลังแรกที่คอยคุ้มภัยให้กับฟู่เสี่ยวกวน และมีถังเชียนจวินเป็นนายพลนำทัพ

บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนและถังเชียนจวินนั่งอยู่ตรงข้ามกัน ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจัดแจงต้มชา

และแน่นอนว่ามิใช่ชาดอกสาลี่ที่เก็บมาจากสวนด้านนอกของตำหนักหยุนชิง แต่เป็นชาที่ซื้อมาจากศาลาเปียวเซียง

กลิ่นหอมอบอวลของชาลอยฟุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ และฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะรินชาให้ถังเชียนจวินพลางถามไถ่ว่า  เจ้ารู้สึกประหลาดใจหรือไม่ ?  

แน่นอนว่าเสียงของถังเชียนจวินนั้นรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก

เมื่อวันแรกของงานชุมนุมวรรณกรรมได้เริ่มต้นขึ้น ถังจู้กั๋วผู้ที่มีศักดิ์เป็นปู่ของเขาได้จับเขาเข้ากองกำลังองครักษ์ชุดแดง แล้วจากนั้นฝ่าบาทได้ทรงออกราชกิจจานุเบกษาเพื่อแต่งตั้งเขาเป็นนายพลประจำกองกำลังองครักษ์ชุดแดงทั้งหนึ่งพันนายนี้ นี่เป็นดั่งความฝัน เพราะองครักษ์ชุดแดงนั้นล้วนแต่เป็นผู้มีฝีมือระดับสูง ส่วนตัวเขานั้นเพิ่งจะบรรลุเป็นผู้มีฝีมือระดับสองของสำนักศึกษาหลีซานเมื่อมินานมานี้เอง การได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายพลอย่างกะทันหันมิเคยเกิดขึ้นมาก่อนตั้งแต่ได้ก่อตั้งกองกำลังนี้มาหลายสิบปี

จนกระทั่งวันนี้ วันที่เขาได้รู้ถึงสถานะที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวกวน และได้รับคำสั่งให้มารักษาพระองค์ที่คฤหาสน์จิ้งหู ทำให้เขาเข้าใจถึงพระประสงค์ของฝ่าบาท

ที่เมืองกวนหยุน ฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีคนรู้จักมากนัก ถังเชียนจวินและฟู่เสี่ยวกวนนั้นอายุไล่เลี่ยกัน อีกทั้งยังเคยได้ประลองกันมาก่อน ด้วยเหตุว่าดูคุ้นเคยกันดีแล้วจึงทำให้เขาจับพลัดจับผลูมาเป็นนายพล

เขายังมิทันได้เอ่ยคำใด ๆ ออกมา เหล่านักปราชญ์ทั้งเก้านั้นก็ได้รีบร้อนที่จะเข้ามาภายในลานของคฤหาสน์จิ้งหูเสียให้ได้ ฟู่เสี่ยวกวนเองก็จำยอมลุกขึ้นไปให้การต้อนรับแก่พวกเขา

นอกจากเหวินสิงโจวและฉงซานเสนาบดีกรมพิธีการแล้ว ส่วนอีก 7 คนที่เหลือนั้นล้วนเป็นผู้ที่ฟู่เสี่ยวมิคุ้นหน้าคุ้นตาทั้งสิ้น

เขาโค้งคารวะ จากนั้นนักปราชญ์ทั้งเก้าก็ได้โค้งคารวะกลับ

 เชิญนั่งเถิดทุกท่าน ประเดี๋ยวข้าจะชงชาให้ทุกท่านได้ดื่ม 

 องค์ชายใหญ่เรื่องดื่มชานั้นไว้ก่อนเถิด ที่กระหม่อมและผู้ติดตามแวะมาที่นี่นั้นมีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียว  เหวินสิงโจวมองหน้าฟู่เสี่ยวกวนอย่างมีเลศนัย ใบหน้าของเขามิอาจปิดซ่อนรอยยิ้มแห่งความปลื้มปริ่มนั้นเอาไว้ได้

แท้ที่จริงก็มาเพื่อขอให้ฟู่เสี่ยวกวนประทับชื่อไว้บนบทประพันธ์ทั้งหมดที่พวกเขาได้คัดลอกไว้ด้วยความบรรจง แล้วเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติชิ้นล้ำค่าประจำตระกูล พวกเขาต่างก็คาดการณ์มิถึงว่าหลังจากเสร็จสิ้นงานชุมนุมวรรณกรรมที่วัดหานหลิงทั้งสามวันแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนจะกลายเป็นองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ ในอนาคตอันสั้นนั้นเขาก็ได้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว หลังจากนั้นก็จะได้เป็นจักรพรรดิพระองค์ต่อไป !

เพียงแค่ชื่อของเขาคงจะสามารถทำเงินได้มหาศาล !

หากงานประพันธ์เหล่านี้มีลายมือชื่อของเขาคอยกำกับเอาไว้ มันก็จะกลายเป็นสมบัติประจำตระกูลที่ทรงคุณค่ายิ่ง !

เช่นนั้นแล้วเขาจึงกระตือรือร้นเป็นอย่างมากเพื่อที่จะมาหาฟู่เสี่ยวกวนเพื่อสิ่งนี้ แม้ว่าที่เหลือทั้งแปดท่านนั้นจะมิได้คุ้นเคยกับฟู่เสี่ยวกวนมากนัก แต่พวกเขาก็เดินเขามาหาฟู่เสี่ยวกวนด้วยความรู้สึกเฉกเช่นเดียวกัน

พวกเขามิได้มีเจตนาที่จะมาคารวะองค์ชาย แต่มาเพื่อให้ฟู่เสี่ยวกวนประทับชื่อของตนเองลงบนบทประพันธ์ที่พวกเขาคัดลอกมา

 กระหม่อมมาเพื่อร้องขอให้องค์ชายใหญ่ทรงประทับชื่อไว้บนบทประพันธ์เหล่านี้จะได้หรือไม่ ?   เหวินสิงโจวนำกระดาษแผ่นใหญ่ที่ถืออยู่ในมือกางออกมา จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงเห็นบทประพันธ์ทั้งห้าของเขาอีกทั้งยังมีบทความนั่นอีกด้วย

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตกตะลึง เรื่องแค่นี้ท่านเหวินสิงโจวมาเพียงผู้เดียวก็เพียงพอแล้ว เหตุใดถึงยกขบวนกันมาตั้งแปดคนเล่า !

ถ้าหากว่าเป็นแต่ก่อนฟู่เสี่ยวกวนก็จะฉกฉวยโอกาสเรียกเก็บเงินสักตำลึงสองตำลึงเพื่อเป็นค่าน้ำหมึกและพู่กัน แท่ทว่าบัดนี้กลับทำมิได้แล้ว !

เขามีสถานะเป็นองค์ชาย ส่วนแขกผู้มาเยือนทั้งเก้านั้นเป็นถึงนักปราชญ์ !

และนักปราชญ์ที่ว่านี้ย่อมเป็นผู้ที่แก่การเรียน บ่มเพาะสั่งสอนบัณฑิตมามากหน้าหลายตา คำสอนจากเหล่านักปราชญ์เหล่านี้ย่อมแกร่งกล้าเสียยิ่งกว่ากระบี่ที่อยู่ในมือของชาวราชวงศ์อู๋เสียอีก ฟู่เสี่ยวกวนจึงรู้สึกว่ามิคุ้มค่าที่จะมีปัญหาเพื่อแลกมาซึ่งเศษเงินเพียงแค่มิกี่ตำลึง

ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงยิ้มเจื่อน ๆ  แต่…ตัวอักขระของข้านั้นน่าเกลียดมากยิ่งนัก 

 ไม่หรอก ๆ ๆ   เหวินสิงโจวโบกมือปัด  สิ่งนั้นแหละคืออรรถรสที่พวกกระหม่อมปรารถนา !  

อรรถรส…รสตดล่ะสิไม่ว่า เพราะลายมือของฟู่เสี่ยวกวนนั้นน่าเกลียดเสียจนฟ้าดินยังอาย เป็นลายมือที่ยากจะมีผู้ใดเหมือน แม้แต่จะเลียนแบบก็แสนจะยากเย็นยิ่ง

 เช่นนั้น ข้าจะประทับชื่อให้ก็แล้วกัน 

เหวินสิงโจวรีบร้อนฝนหมึกจนตัวสั่น  อ่า…ประทับไว้ตรงนี้ก็แล้วกัน 

ฟู่เสี่ยวกวนจรดปลายผู้กันแล้วบรรจงเขียนลายมือชื่อของตนทั้งสามตัวอักษรให้งดงาม เมื่อลองเอียงคอมองอีกทีก็รู้สึกว่ามิเลวเลยทีเดียว

เขาใช้เวลาเพียงครู่เดียวในการประทับชื่อลงไปบนผลงานที่เหล่านักปราชญ์ทั้งเก้านั้นได้นำมา จากนั้นก็ถือโอกาสในการทำความรู้จักกับพวกเขาทุกคน จากนั้นเขาก็จดจำชื่อและสถานะทางสังคมของอีก 7 ท่านได้อย่างแม่นยำ ท่านนักปราชญ์จ้วงอาจารย์ใหญ่ประจำสำนักศึกษาหลีชานถึงกับเอ่ยปากชวนให้เขาไปเป็นอาจารย์ที่สำนักศึกษา

แน่นอนว่าเขาย่อมปฏิเสธ

เขาได้รับเงินจากสำนักศึกษาจี้เซี่ยมาแล้ว แต่จนถึงบัดนี้ยังมิเคยโผล่หัวไปทำหน้าที่อาจารย์เลยสักครา มิรู้ว่าหลี่ชุนเฟิงจะรู้สึกแค้นใจที่ตัดสินใจมาเชิญเขาไปเป็นอาจารย์มากถึงเพียงใดกัน

ผู้ที่รำเรียนวิชามาย่อมมาเพื่อจุดประสงค์เดียว แล้วก็ได้ลากลับไป พวกเขาต่างก็ถือกระดาษอันล้ำค่าเหล่านั้นด้วยใบหน้าเปี่ยมสุขและมีสีแดงเรื่อออกมาให้เห็นบนใบหน้าของพวกเขาด้วย ราวกับทำให้พวกเขาดูอายุน้อยลงไปเป็นสิบ ๆ ปี

ถังเชียนจวินผู้ที่เฝ้าสังเกตการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ แม้ว่าตัวเขาจะยังมิรู้จักฟู่เสี่ยวกวนดีนัก แต่เมื่อเห็นเช่นนี้แล้วดวงใจที่เป็นกังวลก็ได้ผ่อนคลายลงไปบ้าง องค์ชายใหญ่พระองค์นี้ช่างดูถ่อมตนยิ่ง

แม้ว่าเขาจะบรรลุวรยุทธ์เป็นผู้มีฝีมือระดับสาม แต่จิตใจของเขายังคงมีความเป็นนักวรรณกรรมเสียมากกว่า

 เรื่องที่องค์ชายทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นองค์ชายนั้น ข้าน้อยรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เยี่ยงไรเสียองค์ชายก็คือองค์ชาย ข้าน้อยได้รับคำสั่งจากองค์ฝ่าบาทว่าต่อแต่นี้สืบไปให้ปฏิบัติตามคำสั่งขององค์ชาย หากองค์ชายทรงมีพระประสงค์ประการใดโปรดรับสั่งกับข้าน้อย ข้าน้อยจะสนองพระประสงค์ของพระองค์ให้ถึงที่สุดพ่ะย่ะค่ะ 

นี่เป็นการแสดงความจงรักภักดี ในมุมมองของถังเชียนจวินนั้น ชีวิตของเขารวมไปถึงอนาคตของเขาได้เชื่อมโยงเข้ากับฟู่เสี่ยวกวนแล้วอย่างแน่นแฟ้น

การตัดสินใจคราใหญ่ของถังจู้กั๋วผู้เป็นปู่ของเขานั้นมีคุณูปการต่อเขามากมายยิ่งนัก

ถังจู้กั๋วรู้อยู่แก่ใจว่าเยี่ยงไรเสียฟู่เสี่ยวกวนก็จะได้รับการสถาปนาเป็นองค์รัชทายาท และต้องได้เป็นองค์จักรพรรดิอย่างแน่นอน การที่หลานชายของตนได้เป็นผู้คอยรับใช้ฟู่เสี่ยวกวน ก็ย่อมเป็นใบเบิกทางสู่หนทางความก้าวหน้าให้แก่เขา ให้เขาได้เติบโตอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ของฟู่เสี่ยวกวน และในอนาคตเขาย่อมนำความภาคภูมิใจกลับมาสู่วงศ์ตระกูลถังสืบต่อไป

ฝ่าบาททรงเข้าใจเจตนารมณ์ของถังจู้กั๋ว พระองค์จึงมิได้ทรงปฏิเสธ เพราะแท้ที่จริงแล้วนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็จำเป็นต้องมีขุนนางที่คอยเติบโตเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับเขาเช่นกัน

ถังเชียนจวินคือคนแรก ต่อไปในภายภาคหน้า จักรพรรดิเหวินก็วางแผนที่จะเปิดรับเหล่าบัณฑิตรุ่นใหม่เข้าประจำการในราชสำนักเพื่อคอยเป็นสหายคู่คิดให้กับฟู่เสี่ยวกวน

 ได้ บัดนี้ข้ามีหนึ่งสิ่งที่อยากจะให้เจ้าช่วย 

 องค์ชายได้โปรดรับสั่ง !  

 รอข้าตรงนี้สักประเดี๋ยว 

ฟู่เสี่ยวกวนยกพู่กันขึ้นบรรจงเขียนบางอย่าง เขาเป่าหมึกพู่กันให้แห้ง แล้วจึงพับกระดาษ จากนั้นจึงส่งต่อให้ถังเชียนจวิน

 จงไปที่ฐานทัพหญิงแล้วนำตัวเกาฟู่ลวี่บุตรชายของขันทีเกามาหาข้า บัดนี้หลิงเอ๋อร์คงมิได้อยู่ที่นั่น เจ้าจงนำจดหมายฉบับนี้ฝากไว้กับท่านนายพล ให้เขาช่วยส่งต่อให้หลิงเอ๋อร์อีกที 

 หลังจากนั้นเจ้าจงคัดเลือกกองกำลังองครักษ์ชุดแดงร้อยนายจากหนึ่งพันนายมาให้ข้า ข้ามิประสงค์ผู้ที่มีฝีมือดีที่สุด ข้าขอเพียงผู้ที่มีความซื่อสัตย์และจงรักภักดีมากที่สุดก็เพียงพอไว้เป็นกองกำลังติดตามข้า เยี่ยงนี้เวลาจะไปไหนมาไหนก็ย่อมสะดวกกว่า 

 เอาเยี่ยงนี้ไปก่อน ค่อยปรับเปลี่ยนในภายหลัง… 

 

ตอนที่ 375 เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว

ยี่สิบแปดค่ำเดือนสาม ยามเช้าตรู่

มีหมอกขาวบางปกคลุมทั่วทั้งทะเลสาบจิ้งหู ทำให้คฤหาสน์จิ้งหูนั้นโดนหมอกขาวบางครอบไว้เช่นกัน ทั้งสงบและดูสบายตามากยิ่งนัก

ริมทะเลสาบจิ้งหูนั้นเป็นทางเดินหินทรายสีน้ำเงินรูปวงแหวน ต้นหลิวที่เพิ่งแตกหน่อเขียวขจีพัดเอื่อยตามแรงลม แล้วสัมผัสกับผืนน้ำ ดั่งมือของคนรักที่คอยปลอบประโลม

ฟู่เสี่ยวกวนวิ่งออกกำลังกายในยามเช้าบนทางเดิน ฝีเท้าสง่างาม สีหน้าปกติดั่งเช่นเคย

หลังจากที่ได้สืบสวนกันไปมากับหยูเวิ่นหวิน ต่งชูหลาน และเหล่าศิษย์พี่ศิษย์พี่สำนักเต๋าทั้งเจ็ดแล้ว ทำให้เขาทำใจยอมรับสถานะองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ได้แล้ว แต่มิใช่เพราะเหตุผลพันร้อยแปดที่พวกเขาเหล่านั้นพยายามโน้มน้าวหรอก เป็นเพราะอุตส่าห์ได้ข้ามเวลามาแล้วคราหนึ่ง และชาติภพนี้ก็มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่าชาติก่อนหน้านี้เป็นไหน ๆ

เหตุผลก็มีเพียงเท่านี้

ด้วยเหตุนี้ทำให้เมื่อวานเขามิได้นอนมิหลับแต่อย่างใด เขายังคงนอนหลับสบายเฉกเช่นอย่างทุกคืน

ผู้คนหรือเรื่องราวมากมายคงมิได้แปรเปลี่ยนเพียงเพราะเขามีสถานะที่เปลี่ยนไป

จวนตระกูลฟู่แห่งเมืองหลินเจียงก็ยังคงเป็นบ้านเกิดของเขา ตาอ้วนผู้นั้นก็ยังคงเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเขา ซีซานก็ยังคงเป็นที่มั่นแห่งอุดมการณ์ของเขา ต่งซิวผิงก็ยังคงเป็นพ่อตาของเขา และฮองเฮาซั่งก็ยังคงเป็นแม่ยายของเขา

หากจะเอ่ยถึงความเสียดาย ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าคงจะต้องรอให้เวลาผ่านไปอย่างน้อยสองปี ถึงเวลานั้นคาดว่าทุกอย่างก็คงจะดีขึ้น

เขาอยากไปผิงหลิงเพื่อกำราบเหล่ากองโจร หากกงเซินจ่างมิตายนั้นคงเป็นความเสียดายที่ยิ่งใหญ่

ตามแผนการเดิมที่วางไว้ เขาต้องการไปผิงหลิงเพื่อสังหารกงเซินจ่าง ไปกำราบกองโจรเหล่านั้นให้แตกกระเจิง จากนั้นก็จัดตั้งศูนย์การทดลองงานฝีมือที่ชวูอี้และที่ผิงหลิง เมื่อสามารถเยียวยาปัญหาเรื่องเศรษฐกิจทั้งสองแห่งได้แล้ว เหล่ากองโจรที่โดนตีให้แตกนั้นก็ย่อมลงมาจากเขา หากวิกฤตของทั้งสองที่เริ่มได้รับการแก้ไข เศรษฐกิจก็ย่อมสามารถพัฒนาก้าวไปข้างหน้าได้

เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่เร่งด่วนที่สุด

หากศูนย์ทดลองงานฝีมือทั้งสองแห่งนี้ประสบความสำเร็จไปด้วยดี ก็จะเป็นเครื่องพิสูจน์นโยบายการค้าคู่การเกษตรของฮ่องเต้ว่าได้ผลอย่างแท้จริง อีกทั้งยังเป็นเครื่องสนับสนุนในการผลักดันทฤษฎีกั๋วฟู่ลุ่นได้อีกด้วย

เมื่อนโยบายการเกษตรคู่การค้าได้ถูกผลักดันพร้อมกับทฤษฎีกั๋วฟู่ลุ่น แรงต้านจากผู้ที่มิเห็นด้วยก็ย่อมน้อยลง ในการคาดการณ์ของฟู่เสี่ยวกวนนั้น เขามองเห็นว่าทั้งสองสิ่งนี้กว่าจะให้ผลสัมฤทธิ์ที่น่าพึงพอใจก็อาจจะต้องใช้เวลานานถึงสองปี

เหล่าพ่อค้าแห่งราชวงศ์นั้นมั่งมีเงินทอง แต่ทว่าปัญหาตอนนี้ก็คือพวกเขามิกล้าเอาเงินไปลงทุน

หากข้ามผ่านความกลัวนี้ไปได้ ผู้ที่ก้าวเดินไปข้างหน้าก่อนก็ย่อมกอบโกยผลกำไรได้ก่อน นอกจากจะมิถูกทางราชสำนักเอารัดเอาเปรียบแล้ว ทางราชสำนักยังให้การสนับสนุนในการปรับกำแพงภาษีอีกด้วย เยี่ยงนั้นการค้าของของราชวงศ์หยูก็จะคึกครื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

และการเจริญงอกงามของภูมิปัญญาก็ย่อมเกิดขึ้น พวกเขาย่อมหาหนทางที่จะเชิญช่างฝีมือมาปรับปรุงอุปกรณ์ทุ่นแรงของพวกเขาให้ทันสมัยอยู่เสมอ แล้วปริมาณสินค้าก็ย่อมทวีคูณขึ้น ราคาค้าปลีกก็จะต่ำลงมาอย่างมหาศาล

สองปีให้หลังต่อจากนั้นไปถึงจะเป็นช่วงริเริ่มการค้าขายระหว่างประเทศ

และแผนการเดิมที่จะส่งองค์หญิงสามแห่งราชวงศ์หยูเสด็จไปยังแคว้นฮวงในช่วงปลายปี เขานั้นยังคงวางแผนการนี้อยู่เสมอ เพราะเพลานี้สายลับของหอซี่หยู่ที่ประจำอยู่ที่แคว้นฮวงนั้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จุดประสงค์ก็เพื่อซึมซับเข้าไปในทุกหนทุกแห่งของแคว้นฮวง

เขาต้องการไปแย่งม้าศึกมาจากแคว้นอี๋ !

และยังต้องการให้เกิดความโกลาหลขึ้นภายในแคว้นฮวง ด้วยการนำตัวองค์หญิงสามกลับมา !

เรื่องนี้เขาเคยตกลงไว้กับฮั่วหวยจิ่นแล้ว แต่ทว่าช่วงนี้เหมือนว่าเขาจะเริ่มไขว้เขว

ก็เมื่อไม่กี่วันก่อน เขาเพิ่งจะส่งจดหมายมาให้ฟู่เสี่ยวกวน ในจดหมายได้เอ่ยถึงเรื่องที่หาเส้นทางออกสู่มหาสมุทรจากแม่น้ำแยงซี อีกทั้งยังเอ่ยถึงเรื่องที่วานให้ฟู่ต้ากวนเดินทางไปยังเขตเหยา

เยี่ยนซีเหวินผู้ว่าเขตเหยาบัดนี้ได้เตรียมการสร้างท่าเรือแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนนั้นได้เสนอแผนการที่ยิ่งใหญ่กว่า ก็คือมิเพียงแต่สร้างท่าเรือ แต่ให้สร้างอู่ต่อเรือขนาดใหญ่แห่งใหม่มาอีกด้วย

เขาวางแผนว่าเมื่อกลับจากการเดินทางครานี้ต้องไปเยี่ยมเยียนเรือนของแม่สี่ให้จงได้ เพราะต้องไปหารือกับช่างฝีมือเหล่านั้นในเรื่องของการต่อเรือ

จากนั้นก็ไปดูทำเลที่ตั้งที่จิ่วเย่เสียหน่อย หากว่าดูแล้วเป็นท่าเรือธรรมชาติ เช่นนั้นก็ไปยึดครองมาเป็นของตนเสีย

จำต้องใช้เวลานานพอสมควรที่จะก่อตั้งกองทัพเรือแห่งแรก แต่เรื่องนี้ก็มิได้เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะเยี่ยงไรเสียเขาก็ต้องใช้เวลาในการเปิดรับสมัครกำลังพล

เขายังคงข้องใจกับความลับในอารามซุ่ยเยว่อยู่เสมอ เขาปรารถนาที่จะไปเยือนซีหรงที่เขตซีฮวงแห่งราชวงศ์หยูพร้อมกับนำกระบี่วิเศษของตนติดตัวไปด้วย เพื่อที่จะไปหาปู้เนี่ยนชือไท่และเด็กหญิงคนนั้นที่เขานำตัวออกมาจากตงเหยียนแห่งภูเขาต้งถิงจวิน

แน่นอนเสียว่าหากได้ใช้โอกาสนี้ทำลายพวกลัทธิบูชาจันทร์ให้สิ้นซากเรื่องนี้ก็คงจะสมบูรณ์แบบตามที่คาดหวัง

……

ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นคือสิ่งที่เขาเตรียมการวางแผนเอาไว้เสียดิบดี แต่มาวันนี้กลับต้องล้มเลิกจนหมดสิ้น จึงทำให้รู้สึกเสียดายมากยิ่งนัก ในเมื่อได้ย้อนกลับมายังโลกนี้ทั้งที เขาก็อยากใช้แรงกายและความสามารถของตนที่มี นำทางคนจำนวนหนึ่งตามรอยเท้าของเขาไปยังทุกซอกทุกมุมทั่วทั้งใต้หล้า

อย่างเช่นยึดแคว้นหลิวเป็นเมืองขึ้น หรืออย่างเช่นเดินทางไปสู่น่านน้ำลึกเป็นต้น

ทว่าเมื่อสถานภาพของตนได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นจึงทำได้เพียงเหลือความเสียดายให้ราชวงศ์หยูไว้ดูต่างหน้า และเขาก็ทำได้เพียงสนองความตั้งใจของตนในนามของราชวงศ์อู๋แทน เพียงแต่ว่าจนถึงบัดนี้เขาก็ยังไร้ซึ่งภาพมโนทัศน์ใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์อู๋

เขามิรู้เลยด้วยซ้ำว่าแคว้นอู๋แห่งนี้เป็นเยี่ยงไร มีอาณาเขตมากน้อยเพียงใด มิรู้เลยว่าสภาพเศรษฐกิจและแสนยานุภาพของกองทัพนั้นเป็นเยี่ยงไร และก็มิรู้เลยว่าวัฒนธรรมและความเชื่อภายในดินแดนแห่งนี้เป็นเยี่ยงไรบ้าง

ทุกสิ่งอย่างล้วนแต่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ทั้งหมด และนี่เป็นการทรยศต่อความตั้งใจที่จะสุขสบายดั่งปลาเค็มตากแห้งของเขาเป็นอย่างมาก แต่ทว่าเขาก็หมดหนทางอื่นแล้วเช่นกัน

เช่นนั้นก็ค่อยเป็นค่อยไปละกัน

……

เมื่อแสงสุริยาเจิดจ้าหมอกบางที่ปกคลุมทะเลสาบจิ้งหูก็พลันสลายและจางหายไป เมื่อแสงแดดกระทบกับผืนน้ำ หนิงซือเหยียนก็ได้นำคนเก้าคนเดินเข้ามาภายในลานของคฤหาสน์จิ้งหู

 องค์ชายใหญ่ขอรับ เหวินสิงโจวและเหล่านักปราญช์ทั้งเก้าได้เดินทางมาเยือน โปรดเตรียมการต้อนรับ !  

หนิงซือเหยียนยังคงยืนอยู่ตรงประตูด้านนอกแล้วตะโกนเสียงดังโหวกเหวกเช่นเคย แต่ที่ต่างไปจากทุกคราก็คือเขาได้เรียกฟู่เสี่ยวกวนว่าองค์ชายใหญ่แล้ว !

เหวินสิงโจวและคนอื่น ๆ เมื่อเดินทางมาถึงเมืองกวนหยุนก็ได้รู้ข่าวคราวนี้ในทันที แน่นอนว่าพวกเขาต่างก็รู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก แต่ก็รู้สึกอิ่มเอมใจมากเช่นเดียวกัน อดีตชายหนุ่มอัจฉริยะแห่งราชวงศ์หยู บัดนี้ได้กลายมาเป็นองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์ของตนเสียแล้ว !

เป็นไปได้หรือไม่ว่าเรื่องงานประพันธ์ที่โดนทางราชวงศ์บังคับแนวทางมาตลอด บัดนี้สบโอกาสเปลี่ยนแปลงเข้าแล้ว !

เช่นนั้นก็ลองดูตุ้ยเหลียนนั้นเถิด ดูบทกวีทั้งห้านั้นแล้วลองดูบทความเรือนซอมซ่อที่เขาประพันธ์ออกมาเถิด งานประพันธ์อันล้ำค่าเหล่านี้ได้กลายมาเป็นเกียรติยศของราชวงศ์อู๋แล้วอย่างแท้จริง !

ในช่วงเย็นของวันนั้นเหวินสิงโจวได้ให้เหวินซีรั่วเตรียมอาหารอันโอชะไว้เต็มโต๊ะแล้วดื่มแกล้มกับเหล้าหมักซีซาน

อีกทั้งท่านนักปราชญ์จ้วง อาจารย์ใหญ่ประจำสำนักศึกษาหลีซานและคนอื่น ๆ นั้นก็มิต่างกัน เมื่อบุตรแห่งสวรรค์ได้กลับมายังดินแดนทางใต้ที่ซึ่งเป็นบ้านเกิดอย่างแท้จริงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สมควรยินดีเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาต่างร้องรำทำเพลง ถึงขนาดที่ไปจัดงานเลี้ยงฉลองเล็ก ๆ ที่ริมธารหลานซี

สุดยอดบัณฑิตแห่งหลานซีทั้งเจ็ดเว้นแต่อู๋หลิงแล้วก็อยู่ที่นั่นกันทั้งหมด หรือแม้แต่คุณหนูถังซานเองก็อยู่ที่นั่นด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังมีอาจารย์นักปราชญ์ประจำสำนักศึกษาหลีซานทั้งสี่ท่าน งานเลี้ยงฉลองครานี้มีความกระอักกระอ่วนให้เห็นอยู่บ้าง แม้ว่าพวกเขาต่างเคยได้ยินสิ่งที่ผู้คนกล่าวขานล่ำลือถึงฟู่เสี่ยวอยู่เนือง ๆ แต่ทว่าครานี้กลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง !

ฝ่าบาททรงมีพระราชโองการออกมาแล้วว่าเก้าค่ำเดือนสี่ฟู่เสี่ยวกวนจะติดตามพระองค์ไปงานบวงสรวงสู่สวรรค์ที่วัดเฉินเมี่ยวประจำภูเขาต้าเซวี่ย จากนั้นสิบห้าค่ำเดือนสี่ก็จะได้ไปกราบไหว้บรรพบุรุษที่วัดไท่เมี่ยว และได้สลักชื่อบนสมุดปกทอง แล้วเปลี่ยนชื่อเป็น…อู๋เสี่ยวกวน !

จัวตงหลายเป็นสุดยอดบัณฑิตแห่งหลานซีเพียงคนเดียวที่รู้สึกทุกข์ใจเสียเหลือเกิน

เดิมทีคิดว่าจะใช้โอกาสการแข่งขันในครานี้เหยียบฟู่เสี่ยวกวนให้จมดิน แต่กลับเหยียบออกมาเป็นว่าทีจักรพรรดิเสียนี่ !

นี่มันเรื่องบ้าอันใดกัน จัวตงหลายรู้สึกไม่ดีอยู่ภายในใจ !

การแข่งขันกวีครานี้เจ้านั่นก็แข่งแบบขอไปที แน่นอนว่าย่อมแพ้ให้แก่ตน หากล่วงรู้มาก่อนว่าเจ้านั่นคือว่าที่องค์รัชทายาท เช่นนั้นข้าจะอยากได้ชัยชนะนี้ไปทำหอกอะไรกัน !

นี่มันมิใช่การแกว่งเท้าหาเสี้ยนเยี่ยงนั้นหรือ !

 ตงหลาย 

 ขอรับท่านอาจารย์ใหญ่ 

 เจ้าคิดว่าหากได้ชัยชนะแล้วจะทำให้เจ้าลำบากใจใช่หรือไม่ ?  

 ใช่ขอรับ !  

 ไปดื่มเหล้าเสีย เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว !  

 …… ?  

 

ตอนที่ 374 เขาต้องเป็นองค์รัชทายาท

รวมทั้งสิ้นสามประโยค

สองมือของจัวอีสิงนั้นคารวะลาก่อนใครอื่น จากนั้นเขาก็ได้กลับไป

โจวถงถงและเสนาบดีคนอื่น ๆ ค่อยทยอยกันมาคารวะ แล้วพวกเขาก็ได้ทยอยออกไปจากคฤหาสน์จิ้งหูไปจนหมด บัดนี้ความสงบสุขก็ได้หวนคืนมาอีกครา

หยูเวิ่นหวิน ต่งชูหลาน และเหล่าศิษย์พี่แห่งสำนักเต๋า จึงได้สบโอกาสออกมาจากห้องของตน พวกเขาต่างมองมาที่ฟู่เสี่ยวกวน แล้วได้แสดงสีหน้าที่แตกต่างกันออกไป

ซูเจวี๋ยคิดว่าท่านอาจารย์ของตนนั้นเก่งกาจเหนือใคร ที่สามารถคัดเลือกศิษย์น้องเล็กผู้นี้ออกมาได้ท่ามกลางหมู่คนเป็นร้อยพัน แล้วเขายังเป็นถึงองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ที่กำลังจะได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท และเป็นว่าที่จักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋อีกด้วย !

เกาหยวนหยวนนั้นสุขใจมากยิ่งนักที่ศิษย์น้องเล็กของตนได้กลายเป็นผู้สูงส่งถึงเพียงนี้ หลังจากนี้คาดว่าคงจะได้ดื่มด่ำกับอาหารเลิศรสเสียมากมาย คงจะได้กินจนอ้วกแตกกันไปข้างหนึ่งเลยใช่หรือไม่ ?

ส่วนซูซูนั้นมิได้รู้สึกสนใจต่อสถานภาพของฟู่เสี่ยวกวนที่ได้เปลี่ยนแปลงไป นางนั่งเชิดคางอยู่บนเก้าอี้ แล้วแกว่งขาของนางไปมา นางนึกถึงฟู่เสี่ยวกวนคนที่ชอบนั่งอยู่ในแปลงนาคนนั้น เพราะดูเป็นฟู่เสี่ยวกวนตัวจริงเสียมากกว่า

เมื่อเห็นสีหน้าของแต่ละคน ฟู่เสี่ยวกวนจึงยิ้มเจื่อน  วางเรื่องเหล่านี้ลงก่อน แล้วมากินข้าวกันเถอะ !  

วันนั้นทั้งวันฟู่เสี่ยวกวนมิได้ออกจากประตูเรือนอีกเลย เขามอบหมายให้หนิงซือเหยียนคอยสกัดห้ามให้ผู้ใดเข้ามาคารวะเขาอีกเป็นอันขาด

หนึ่งในคนพวกนั้นมีเยียนหานยวี่และฝานเทียนหนิง

เยียนหานยวี่มาเยือนครานี้มีจุดประสงค์เพื่อจะชักชวนฟู่เสี่ยวกวนให้ไปที่หลิวหยุนถาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รู้ถึงสถานะที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวกวนก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าแขนที่ขาดไปนี้มิได้น่าเสียดายอีกต่อไป ใครจะไปคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋เสียจริง ๆ อีกทั้งกำลังจะได้รับการสถาปนาเป็นองค์รัชทายาทในเร็ววันอีกด้วย !

ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง !

เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เมืองฝานหนิง ที่ตนและท่าป๋ายวนได้ดูแคลนและเอ่ยวาจาที่ทำให้เขาเสียเกียรติ เขาก็พลันรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมา ราวกับว่าโดนฟู่เสี่ยวกวนตบบ้องหูเข้าอย่างจัง !

สถานะองค์ชายของตนเทียบอันใดได้กัน !

เขาจะได้เป็นองค์รัชทายาทในเร็ววันนี้แล้ว !

จำต้องสานความสัมพันธ์กับฟู่เสี่ยวกวนเสียให้มั่น หวังว่าเขาจะมิลืมคำเอ่ยเหล่านั้น ตำแหน่งองค์รัชทายาทของข้าจะต้องพึ่งพาอำนาจของเขาเพื่อที่จะได้มันมา

แม้ว่าจะเป็นอีกคราที่อีกฝ่ายปิดประตูหนี แต่เยียนหานยวี่กลับมิได้รู้สึกโกรธเคือง อีกทั้งยังมอบเหล้าหมักซีซานอีก 2 ลังให้กับหนิงซือเหยียน

 วันหน้าข้าจะมาใหม่ !  

ฝานเทียนหนิงนั้นยืนอยู่ด้านหน้าของคฤหาสน์จิ้งหู สายตาของเขานั้นทอดมองข้ามทะเลสาบไป ราวกับต้องการจะรู้ให้ได้ว่าบัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังทำสิ่งใดอยู่

เขาย้อนนึกถึงภาพของฟู่เสี่ยวกวนตลอดทั้งสามวันของการแข่งขันที่ผ่านมา เกรงว่าเขาได้ล่วงรู้ทุกอย่างล่วงหน้ามาก่อนแล้ว จึงมิได้ใส่ใจการการแข่งขันครานี้สักใดนัก เพียงแต่นึกข้องใจว่าเรื่องเยือนแคว้นฝานที่ตกลงไว้นั้น เกรงว่าจะเป็นโมฆะไปเสียแล้ว

ฝานเทียนหนิงรู้สึกเสียดายมากยิ่งนัก เขาและคูฉานก็ได้ลากลับด้วยอารามเศร้าสร้อย

ข่าวนี้มิเพียงแต่สร้างความคึกโครมและมีผลกระทบต่อขุนนางในท้องพระโรงเพียงเท่านั้น

แต่ยังมีผลกับทั้งเมืองกวนหยุน ราษฎรอีกหลายล้านคนก็กำลังถกเถียงเรื่องนี้อยู่เช่นกัน

 นั่นไง…ข้าว่าแล้วมิมีลมก็คงมิมีคลื่น เรื่องสถานภาพที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวกวนเคยเป็นข่าวลือมาระยะหนึ่งแล้ว เป็นเยี่ยงไรเล่าตอนนั้นข้าแน่ใจเป็นอย่างมากว่าฟู่เสี่ยวกวนก็คือโอรสของฝ่าบาท แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงมิเชื่อข้า !  

 ตำแหน่งองค์รัชทายาทนี้หากจะกล่าวภาพใหญ่ก็คือปกครองบ้านเมือง หากจะกล่าวในภาพเล็กนั้นก็ล้วนแต่เชื่อมโยงกับชีวิตของพวกเราอย่างแน่นแฟ้น หากฟู่เสี่ยวกวนได้รับการสถาปนาให้เป็นองค์รัชทายาทเสียจริง ๆ เช่นนั้นหากนำมาเปรียบเทียบกับอู๋กานองค์รัชทายาทพระองค์ก่อนนั้น พวกเจ้าคิดว่าเป็นเยี่ยงไร ?  

 สมองของเจ้าเหตุใดถึงได้ทึ่มถึงเพียงนี้ จะนำอู๋กานไปเปรียบกับฟู่เสี่ยวกวนได้เยี่ยงไร เจ้าเคยได้ยินข่าวคราวว่าฟู่เสี่ยวกวนติดหอนางโลมมิยอมกลับบ้านช่องเยี่ยงนั้นหรือ เจ้าเคยได้ยินว่าฟู่เสี่ยวกวนมั่วสุมอบายมุขทุกประการเยี่ยงนั้นหรือ คงมิเคย เขาเป็นถึงอัจฉริยภาพหนึ่งเดียวบนผืนปฐพี คงจะท่องหลักคำสอนของขงจื๊อได้อย่างแม่นยำ หากเขาได้เป็นจักรพรรดิ ก็ย่อมเป็นจักรพรรดิที่มีคุณธรรม 

 …… 

บัดนี้ราษฎรต่างนำเรื่องนี้ไปสนทนากันจนแพร่สะพัดไปทั่วเมืองกวนหยุน สายลับของหอเทียนจีได้แอบแฝงตัวอยู่ในฝูงชนเหล่านั้น พวกเขาได้นำข้อคิดเห็นต่าง ๆ ที่ราษฎรมีต่อฟู่เสี่ยวกวนบันทึกใส่กระดาษ จากนั้นก็ส่งไปยังหอเทียนจี หลังจากที่โจวถงถงได้เห็นก็ได้ทำการคัดลอกไว้สองฉบับ

หนึ่งฉบับนั้นถูกส่งไปให้จักรพรรดิเหวิน ส่วนอีกหนึ่งฉบับนั้นถูกส่งไปให้ไทเฮาที่พระราชตำหนักเปียวเหมี่ยว

เวลานี้หนานกงตงเซวี๋ยก็ได้อยู่ที่พระราชตำหนักเปียวเหมี่ยวเช่นกัน และบัดนี้นางกำลังบอกเล่าให้กับไทเฮาถึงสิ่งที่นางได้ยินมาเมื่อคราที่ไปเยือนคฤหาสน์จิ้งหู

 เจ้าคนนี้…องค์ชายใหญ่คงอยู่สุขสบายเสียจนเคยตัว คงเป็นเพราะได้เผชิญกับข่าวอึกทึกคึกโครมเช่นนี้ องค์ชายใหญ่ถึงได้เอ่ยว่ามิประสงค์จะรับตำแหน่งองค์รัชทายาท อาจจะเป็นเพราะยังมิได้ใคร่ครวญให้ถ่องแท้ หากให้เวลากับพระองค์สักนิด คาดว่าพระองค์คงจะยอมเปลี่ยนแปลงความคิดก็เป็นได้นะเพคะ 

ไทเฮาทรงแย้มพระสรวล  มิใช่หรอก เขามิใช่ยังมิได้ใคร่ครวญให้ถ่องแท้ แต่เขาเพียงแค่มิประสงค์จะเป็นองค์รัชทายาท 

 เพราะเหตุใดกันเพคะ ?  

 เจ้ายังเข้าใจเขามิดีพอ อายเจียนั้นเฝ้าดูเขามาเนิ่นนานแล้ว 

สายพระเนตรของไทเฮาตกไปอยู่บนแผ่นกระดาษที่หอเทียนจีได้ส่งมาให้ ข้อคิดเห็นที่ผู้คนมีต่อฟู่เสี่ยวกวนตามท้องถนนนั้นฟังดูสูงส่งยิ่ง และต่างคาดหวังในตัวเขามากพอสมควรเช่นกัน นี่นับเป็นเรื่องดี ที่มิได้ก่อความวุ่นวายอันใดมาให้

หนานกงตงเซวี๋ยถามด้วยความระมัดระวัง  ถ้าหากว่าเขามิประสงค์จะเป็นองค์รัชทายาท เช่นนั้นแล้วควรจะทำเยี่ยงไรเพคะ ?  

 เช่นนั้นก็ต้องบังคับให้เขาเป็น เขาจะต้องเป็นองค์รัชทายาท !  

หนานกงตงเซวี๋ยตะลึงเสียจนอ้าปากค้าง เกิดมาเคยได้ยินแต่บังคับให้สมรส ได้ยินมาว่าถูกบังคับเสียจนต้องไปกระโดดหอคอยเพื่อฆ่าตัวตาย แต่นางมิเคยได้ยินว่ามีการบังคับให้เป็นองค์รัชทายาทมาก่อนในชีวิตนี้ !

ไทเฮาได้นำจดหมายฉบับหนึ่งส่งให้หนานกงตงเซวี๋ย  เจ้าคงมิล่วงรู้ว่าเขาทำสิ่งใดอยู่ที่ภูเขาซีซาน เมื่อเขาเป็นองค์รัชทายาท อนาคตของราชวงศ์อู๋ก็จะยิ่งใหญ่อย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน !  

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หนานกงตงเซวี๋ยตกตะลึงทันพลัน นางรู้เพียงแค่ว่าฟู่เสี่ยวกวนคือชายหนุ่มอัจฉริยะด้านงานประพันธ์ ทว่าเมื่อได้ยินไทเฮาทรงตรัสเช่นนี้ก็ยิ่งรู้สึกตกตะลึงเข้าไปใหญ่ หรือว่าเขายังประสบความสำเร็จในด้านอื่นอีกเยี่ยงนั้นหรือ ?

สายตาของนางนั้นไล่ตามตัวอักขระบนแผ่นกระดาษ ไทเฮาทรงแย้มพระสรวลแล้วตรัสถาม  หากจะกล่าวว่าข้าวหนึ่งหมู่จะสามารถให้ผลผลิตได้มากกว่าเดิมถึงสองเท่า เจ้าจะเชื่อหรือไม่ หากจะกล่าวว่าปืนใหญ่หงอี้นั้นสามารถพลิกสงครามจากแพ้เป็นชนะได้นั้น เจ้าจะเชื่อหรือไม่ ?  

หนานกงตงเซวี๋ยนั้นแทบไม่จะอยากเชื่อ นางจึงหันไปมองไทเฮาด้วยสายตาที่หลากหลายความหมาย

 แต่สิ่งเหล่านี้นั้นล้วนแต่เป็นเรื่องเล็กน้อย เขายังเคยประพันธ์หนังสือกั๋วฟู่ลุ่นให้กับทางราชสำนักของราชวงศ์หยู  ไทเฮาทรงชี้ไปยังชั้นวางหนังสือเหล่านั้น  เอากล่องนั้นมาสิ 

หนานกงตงเซวี๋ยยกกล่องไม้จันทน์ด้วยสองมือของนาง ไทเฮาทรงเปิดกล่องนั้นออกแล้วทรงนำสมุดพกเล่มบางออกมา

 อันนี้สิถึงจะเป็นยุทโธปกรณ์ที่สำคัญของบ้านเมือง ! เจ้าจงดูเถิด แต่อย่าได้นำไปเผยแพร่เป็นอันขาด 

หนานกงตงเซวี๋ยก้มหน้าอ่านอย่างตั้งใจ ในใจนั้นรู้สึกตกตะลึงเสียยิ่งกว่าเดิมราวกับมีคลื่นยักษ์ถาโถมเข้ามาใส่ตัวของนาง !

เขา…เขามิเพียงแต่เป็นเลิศเหนือผู้ใดในด้านงานประพันธ์ แต่ด้านทำคุณประโยชน์ให้กับสังคมก็ไร้ผู้ใดมาเทียบเท่าได้เช่นกัน !

หากนำราชวงศ์อู๋ไปเปรียบเทียบกับราชวงศ์หยู ราษฎรในแคว้นของราชวงศ์อู๋นั้นมีความเปิดกว้างมากกว่า เพราะอิทธิพลจากแนวคิดของขงจื้อนั้นยังมิได้ถูกฝังเข้าไปในความคิดของผู้คนลึกจนเกินไป จึงทำให้สามารถเปิดรับแนวคิดใหม่ ๆ ได้ง่ายกว่า

หนังสือเล่มนี้ในสายตาของเยี่ยนเป่ยซีนั้นเห็นว่าต้องวางแผนยุทธศาสตร์แห่งชาติจากนั้นจึงค่อยเป็นค่อยไป แต่กลับกันหากเป็นมุมมองของไทเฮาแล้ว เพียงแค่มีคนที่เข้าใจในหลักการนี้แล้วนำไปประยุกต์ใช้ได้เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

และวันนี้ผู้ที่เข้าใจหลักการนี้ก็มีแล้ว เพียงแต่ว่าต้องรอให้เขาเข้าไปประจำที่พระราชตำหนักบูรพาเสียก่อน แล้วใช้สถานะองค์รัชทายาทในการผลักดันนโยบายนี้

ประการแรก ก็เพื่อรอให้ตำแหน่งประจำพระราชตำหนักบูรพานั้นมั่นคงเสียก่อน ประการที่สอง ในระหว่างที่ผลักดันการใช้หลักการนี้ เขาย่อมต้องการแรงสนับสนุนจากเหล่าขุนนาง ทั้งนี้ก็เพื่อให้เขาได้มีเวลาปูพื้นฐานและทำความเข้าใจที่จะทำงานร่วมกันกับขุนนางเหล่านี้

 อายเจียรู้สึกขอบคุณสวี่หยุนชิงเป็นอย่างมากที่ได้ให้กำเนิดเทพบุตรผู้นี้ เดิมทีอายเจียนั้นแสนจะกังวลอนาคตของราชวงศ์ แต่ทว่าวันนี้คงจะตายตาหลับได้เสียที… 

พระองค์เหมือนจะฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหันไปทอดพระเนตรทางหนานกงตงเซวี๋ย แล้วทรงตรัสถามว่า  เจ้าคิดว่า…เขาคิดว่า เขาจะสังหารจัวอี้สิงหรือไม่ ?  

หนานกงตงเซวี๋ยถึงกับผงะเมื่อได้ยิน นางลองไตร่ตรองดูแล้ว ท้ายสุดจึงส่ายหัวออกมา

 เพราะเหตุใดกัน ?  

 เขามิใช่คนประเภทที่มีแค้นต้องชำระเพคะ 

 อ่า…พรุ่งนี้เจ้าจงมาที่นี่ แล้วติดตามอายเจียไปที่ทะเลสาบสือหลี่ อายเจียอยากไปดูบรรยากาศความคึกครื้นของงานประกาศผลเสียหน่อย 

 

ตอนที่ 373 ข้าขอเอ่ยเพียงไม่กี่ประโยค

 ข้ามิได้อยากเป็นองค์ชาย หรือองค์รัชทายาทอันใดทั้งสิ้น ข้าควรทำเยี่ยงไรดี ?  

หนานกงอี้หยู่ตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน ถ้วยชาที่อยู่ในมือนั้นพลันหล่นลงพื้นและเกิดเสียงดัง เพล้ง !

ทั่วทั้งใต้หล้านี้ยังมีผู้ที่มิปรารถนาจะเป็นองค์รัชทายาทหลงเหลืออยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?

นั่นเป็นถึงจักรพรรดิพระองค์ต่อไป !

เป็นตำแหน่งสูงสุดแห่งแคว้น !

 เจ้ามิเป็นองค์รัชทายาท เช่นนั้นแล้วผู้ใดจะเป็นเล่า จักรพรรดิเหวินเหลือพระโอรสเพียงแค่ 1 พระองค์ แล้ว ซึ่งนั่นก็คือเจ้า เมื่อวานพระองค์ทรงถอดถอนอู๋กานออกจากตำแหน่ง ด้วยเหตุนี้ขุนนางทั้งหลายจึงมิเห็นด้วย แต่เจ้าอย่าได้เป็นกังวลไป ที่พวกเขามิเห็นด้วยนั้นเป็นเพราะต้องการสร้างความมั่นคงให้แก่ราชวงศ์ก็เท่านั้นเอง หากไทเฮามิทรงเสด็จมายังพระราชวังจวี้หัว ฝ่าบาทเองก็คงยากที่จะกลับมาควบคุมเสียงในที่ประชุมได้ 

 สิ่งที่พระองค์ทรงทำไปทั้งหมด สมควรจะได้รับคำเอ่ยที่มักง่ายจากเจ้าแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ทั้งหมดที่ทำก็เพื่อปูเส้นทางสู่ความยิ่งใหญ่ให้แก่เจ้า !  

 เมื่อปูทางให้เจ้าเสร็จแล้ว เจ้าก็จะเป็นผู้เดียวในราชวงศ์อู๋ที่มิสิทธิ์เข้าไปเป็นองค์ชายกุมอำนาจเหนือพระราชตำหนักบูรพา แต่เจ้ากลับมิใยดีทำ…เช่นนี้มิสมควรยิ่ง เจ้ามิควรมีความคิดเช่นนี้…เช่นนั้นข้าขอเตือนเจ้าไว้เพียงแค่ประโยคเดียว จัวอี้สิงย่อมสังหารเจ้า และเจ้าก็สมควรที่จะโดนสังหารเสียจริง ๆ  

ฟู่เสี่ยวกวนคาดไม่ถึงว่าเมื่อเอ่ยความจริงจากใจให้ตาเฒ่าผู้นี้ได้ฟังกลับทำให้เขาเดือดดาลขึ้นมาได้

เพราะเขามิได้คาดคิดว่าขุนนางเช่นหนานกงอี้หยู่นั้นจะให้ความสำคัญกับการสืบสันติวงศ์มากถึงเพียงนี้

จัวอี้สิงถึงกับยอมมีความบาดหมางกับหยูเวิ่นซูเพื่อธำรงไว้ซึ่งความมั่นคงของราชบัลลังก์ เขาถึงกับต้องการกำจัดฟู่เสี่ยวกวนให้สิ้นซากเพราะข่าวลือไร้มูลนั่น !

ถึงขนาดที่ว่าเมื่อฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาถึงเมืองชายแดน เขายังไหว้วานเป่ยหวังฉวนให้ใช้ธนูปลิดชีพฟู่เสี่ยวกวนเสีย

แน่นอนเสียว่านี่คือการสมรู้ร่วมคิดกับจักรพรรดินีเซียว แต่จักรพรรดินีเซียวนั้นทำไปเพราะเหตุผลส่วนตัวล้วน ๆ ก็เพื่อที่ว่าอู๋กานโอรสของนางจะได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกรเป็นจักรพรรดิองค์ต่อไป !

แต่จัวอี้สิงนั้นกระทำไปเพื่อบ้านเมือง เขาปรารถนาที่จะเห็นการเปลี่ยนผ่านรัชสมัยเป็นไปอย่างราบรื่น

ในรัชสมัยนี้คงไร้ซึ่งสิ่งใดที่จะสำคัญไปกว่าการสืบสันติวงศ์ เมื่อหนานกงอี้หยู่ได้ยินสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนคิดนั้นก็เลยรู้สึกตื่นตกใจอย่างถึงที่สุด !

ฟู่เสี่ยวกวนเลยเอ่ยได้เพียงว่า  ข้าขอเอ่ยตามตรง ทำการเพาะปลูกนั้นข้าทำได้ แต่องค์รัชทายาทนี้เกรงว่าข้าจะมิมีคุณสมบัติเพียงพอน่ะสิ !  

 ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงต้องศึกษาเล่าเรียน บัดนี้กำลังอยู่ในช่วงรุ่งเรืองขององค์ฝ่าบาท หากเจ้าได้อยู่ข้างพระวรกายของฝ่าบาท แน่นอนว่าย่อมได้เรียนรู้หลักการการบริหารบ้านเมือง 

 มิเคยมีจักรพรรดินีปรากฏขึ้นในประวัติศาสตร์เลยเยี่ยงนั้นหรือ ?   ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามด้วยความรอคอย เพราะจักรพรรดิเหวินยังมีพระราชธิดาอยู่อีก 1 พระองค์นั่นก็คืออู๋จ้าว !

หนานกงอี้หยู่ทำหน้าเคร่งขรึมใส่ฟู่เสี่ยวกวน  เจ้าก็เคยร่ำเรียนหลักคิดแบบขงจื๊อ สามีคือต้นภรรยาตาม หลักสามกฎง่าย ๆ เจ้าลืมไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ พระราชธิดาสักวันนั้นย่อมแต่งงานมีพระสวามี จะเป็นจักพรรดินีได้เยี่ยงไร ฟ้าดินนั้นมีหยินและหยาง เบื้องบนนั้นคือหยางส่วนเบื้องล่างนั้นคือหยิน หากให้สตรีเป็นจักรพรรดินี เจ้าคิดเยี่ยงนั้นหรือว่าจะนำมาซึ่งสู่ความสงบสุขได้ เพราะนี่เท่ากับการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน !  

เยี่ยงนั้นแล้วบุคคลอย่างอู๋เจ๋อเทียนดังเช่นในประวัติศาสตร์นั้นแทบจะมิมีโอกาสเป็นไปได้

ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดเพื่อให้จิตใจของตนสงบ เขาเพียงแค่เดินทางมาร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมเพียงเท่านั้น แต่กลับได้พลิกบทมาเป็นองค์รัชทายาท…คนเขียนบทละครยังมิกล้าเขียนบทเยี่ยงนี้เลยมิใช่หรือ ?

แน่นอนเสียว่า ถ้าหากคิดในอีกแง่มุมหนึ่ง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างแน่นอน

แต่ก่อนเขามีที่ทำการเพาะปลูกที่เมืองหลินเจียง เป็นผืนดินอุดมสมบูรณ์กว้างใหญ่ไพศาล

ทว่าทุกวันนี้มีพื้นที่การเพาะปลูกบนผืนแผ่นดินของราชวงศ์อู๋แทน ผืนแผ่นดินของราชวงศ์อู๋ที่แสนเกรียงไกร คงมากมายเกินประมาณการ

ทว่าเป็นจักรพรรดิห่าเหวอะไรนี้ เป็นปลาเค็มตากแห้งยังสบายใจเสียยิ่งกว่าอีก !

เมื่อคิดว่าต้องตื่นตั้งแต่ก่อนฟ้าสางในทุก ๆ เช้า นี่ก็ช่างลำบากแสนสาหัสแล้ว ในหนึ่งสัปดาห์อย่าเอ่ยถึงวันหยุดเลย แม้แต่วันหยุดยาวก็คงจะมีเพียงแค่มิกี่วัน

คงมิมีอีกแล้ววันที่จะได้นอนจนเต็มอิ่ม คงมิมีอีกแล้ววันที่สามารถเที่ยวดื่มสุราจนเมามายได้ตามอำเภอใจ คงมิมีอีกแล้วเวลาที่จะได้ไปเดินเตร็ดเตร่ที่หงซิ่วจาวหรือจะเป็นหลิวหยุนถายที่เมืองกวนหยุนแห่งนี้ ความสบายใจเหล่านี้คงแปรเปลี่ยนไปเป็นสิ่งที่โหยหา

นำตำแหน่งองค์จักรพรรดิของแคว้นมาอ้างนั้นก็ฟังดูดีอยู่หรอก แต่สำหรับฟู่เสี่ยวกวนนั้น การรับตำแหน่งนี้ก็เท่ากับว่าได้ขายวิญญาณของตนให้กับแคว้นนี้ไปเสียแล้ว ขายสิ้นทั้งอิสรภาพ สุขภาพ งานอดิเรก และแม้กระทั่งการแต่งงานและการมีลูก

เรื่องราวมากมายถาโถมเข้ามากะทันหันเยี่ยงนี้ทำให้แผนการอยู่อย่างสุขสบายดั่งปลาเค็มของเขานั้นพังทลาย ที่เขาเรียกเพียงแค่หนานกงอี้หยู่เข้ามาสนทนานั้นก็เพียงเพราะต้องการจะรู้ว่าขุนนางอีกร้อยกว่าชีวิตนั้นมีความคิดเห็นเยี่ยงไรบ้าง และตอนนี้เขาก็ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าหากเขาไม่ยอมรับสถานภาพนี้ ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นเยี่ยงไร

ดูเหมือนว่าผลลัพธ์จะแสนสาหัสเกินกว่าที่คาดคิดไว้ !

แล้วตัวเขาก็ดันอยู่บนผืนปฐพีของราชวงศ์อู๋เสียด้วยสิ !

อยากหนีก็ไร้หนทางหนี !

เขาเชื่อยิ่งนักว่าด้านนอกคฤหาสน์จิ้งหูนั้นมีผู้คนมากมากที่ถูกจักรพรรดิเหวินรับสั่งให้มาติดตามเขา ภายนอกนั้นดูเหมือนว่าจะมาคอยคุ้มกัน แต่แท้จริงนั้นเกรงว่าจะมีกลิ่นอายของการจับตามองเขามิให้ละสายตาแฝงมาด้วย

นี่นับเป็นยุทโธปกรณ์ของแคว้น ต่อให้ข้างกายของเขามียอดฝีมือระดับสูงจากสำนักเต๋าถึง 7 คน แต่ก็มิอาจพาเขาเหาะเหินข้ามผืนแผ่นดินของราชวงศ์อู๋ไปได้

หากลองไตร่ตรองให้ละเอียด ต่อให้เขาเหาะเหินกลับราชวงศ์หยูได้อย่างแท้จริง ฮ่องเต้ย่อมจับเขามัดแล้วส่งตัวเขากลับมายังแผ่นดินราชวงศ์อู๋อีกเป็นแน่

 เอาเยี่ยงนี้ก็แล้วกัน ท่านลองดูเถิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่… 

ฟู่เสี่ยวกวนเหมือนจะฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ แต่ก็ยังไม่ทันได้เอ่ยออกไปก็โดนหนานกงอี้หยู่ขัดเข้าทันควัน  มิต้องเอ่ยสิ่งใดทั้งสิ้น เวลานี้เจ้าไร้สิทธิ์เสียงที่จะเอ่ยสิ่งใดทั้งนั้น !  

 มิใช่เช่นนั้น ท่านอย่าได้รีบร้อน จักรพรรดิเหวินยังเจริญพระชนมพรรษาได้มิถึง 40 พรรษา พระองค์ยังสามารถประสูติพระราชโอรสหรือพระราชธิดาอีกสักสองสามคนได้อยู่ 

เขายังไม่ทันได้เอ่ยจบ หนานกงอี้หยู่ก็แสดงท่าทีโต้แย้งขึ้นมาอีกครา  เจ้าคิดหรือว่าขุนนางทั้งราชวงศ์มิเคยโน้มน้าวพระองค์ให้ทำเช่นนั้นมาก่อน ?  

เขาส่ายหน้า  จักรพรรดิเหวินนั้นเป็นคนยึดมั่นในความรัก เรื่องนี้ผู้คนต่างก็ย่อมรู้ดี รักแท้ของพระองค์เพียงหนึ่งเดียวนั่นก็คือมารดาของเจ้า บุตรสาวของข้าที่ได้อภิเษกสมรสกับพระองค์ก็เกิดขึ้นภายใต้การบังคับของไทเฮา ราชวงศ์ทุกราชวงศ์บนผืนปฐพีนี้จะมีราชวงศ์ไหนขาดแคลนเชื้อพระวงศ์ได้มากถึงเพียงนี้อีกเล่า ?  

ฟู่เสี่ยวกวนหมดคำกล่าว หากเรื่องนี้ไปถึงหูของฟู่ต้ากวน ตาอ้วนผู้นั้นคงจะกระโดดน้ำตายกันไปข้างหนึ่ง

เขาก็เป็นบิดาของตนเช่นกัน หากจะกล่าวไปแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนนั้นรู้สึกซาบซึ้งต่อสิ่งที่ฟู่ต้ากวนทำให้เขาเสมอมา

ความรักที่ตาอ้วนผู้นั้นมีให้เขานั้นมิใช่การเสแสร้งแกล้งทำอย่างแน่นอน

ต้องรีบเขียนจดหมายไปให้เขาทราบโดยด่วนที่สุด ไม่ ! ต้องเขียนไปหาไป๋ยู่เหลียน แล้วให้เขามอบหมายให้ผู้อื่นส่งไปให้ตาอ้วนผู้นั้นอีกครา

เดิมทีเขาเพียงแค่อยากเป็นขุนนางแห่งราชวงศ์หยูไปแบบผ่าน ๆ เมื่อสมรสกับหยูเวิ่นหวิน ต่งชูหลาน และเยี่ยนเสี่ยวโหลวเสร็จแล้วก็จะเกษียณ จากนั้นก็จะไปอยู่ที่ซีซาน ไปบนภูเขาเฟิ่งหลิน และนำตาอ้วนไปอยู่ด้วย เช่นนั้นครอบครัวก็จะได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตา มีชีวิตที่สุขสำราญไปวัน ๆ

แล้วเพาะปลูกบนที่ดินผืนนั้นของตนอย่างตั้งใจ เขาเชื่อมั่นเหลือเกินว่าเขาสามารถทำได้ ประการที่หนึ่ง หากเขามีเมล็ดข้าวพันธุ์ผสมแล้ว เขาก็ย่อมได้ผลผลิตข้าวในปริมาณที่มากขึ้นอย่างมหาศาล ประการที่สอง หากเขามีมันเทศพืชผลมหัศจรรย์นี้ ปีหน้าเขาก็สามารถผลักดันให้เกิดการแพร่หลายได้ แล้วปีถัดไปมันเทศก็ย่อมได้รับความนิยมกันทั่วผืนแผ่นดินราชวงศ์หยู

ปัญหาเรื่องปากท้องของประชากรก็ย่อมได้รับการแก้ไขอย่างเต็มรูปแบบ ย่อมไร้ซึ่งคนเร่ร่อนและอดยากอีกต่อไป ส่วนคนเหล่านั้นที่ขึ้นเขาไปเป็นโจรป่า ก็ย่อมกลับตัวกลับใจลงจากเขามาทำการเพาะปลูก

หากปืนใหญ่หงอี้ได้รับการพัฒนาตกทอดมารุ่นสู่รุ่น ปืนคาบศิลาอาวุธแสนวิเศษนี้ก็จะถูกคิดค้นมาเช่นกัน

ในมือเขานั้นมีกองกำลังพิเศษในแขนงต่าง ๆ มากถึง 4,000 นาย หากได้ลองคิดค้นวิธีการต่อเรือ แล้วออกทะเลไป ปล้นสะดมทรัพย์ ไอหยา…ชีวิตช่างแสนสุขใจมากยิ่งนัก แต่ทว่าเรื่องห่าเหวนี่กลับทำให้ความฝันแหลกสลายกลายเป็นฝุ่นผง !

 ข้าประสงค์จะเข้าเฝ้าจักรพรรดิเหวิน 

 ข้ากลับคิดว่าเจ้าควรจะไปพบเหล่าเสนาบดีที่ออกันอยู่ด้านนอกเสียก่อนจะดีกว่า การหลบซ่อนอยู่คงมิใช่หนทางที่ดีสักเท่าใดนัก 

ฟู่เสี่ยวกวนแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ป่านนี้แล้วเขายังมิได้กินมื้อกลางวันเลย !

เขาใช้สองมือนั้นค้ำโต๊ะแล้วยืนขึ้น จากนั้นก็ได้ก้าวยาว ๆ ออกไป

เขาออกไปยืนตรงกลางลานพอดี ขณะนั้นเองเหล่าเสนาบดีทั้งหลายก็ได้แห่เข้ามายืนอยู่เบื้องหน้าของเขา

 ข้าเพียงแค่อยากจะเอ่ยกับพวกท่านเพียงมิกี่ประโยค 

 ประโยคที่หนึ่ง งานราชการของราชสำนักนั้นสำคัญยิ่งกว่า !  

 ประโยคที่สอง เรื่องนี้ข้าต้องขอเวลาสักเล็กน้อย 

 และประโยคที่สาม ข้าหิวมากยิ่งนัก หากพวกท่านมิยอมกลับไป ข้าจะหิวตายให้พวกท่านดู !  

 

ตอนที่ 372 หัวกระไดไม่แห้ง

เมื่อต้นรัชสมัยที่ผ่านมา ณ เมืองหลวงแห่งแคว้นหยู ฟู่เสี่ยวกวนได้รับรางวัลจากฮ่องเต้ โดยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งไท่จงต้าฟู และตำแหน่งเจี้ยนอี้ต้าฟูในแผนกเสมียนกลาง ผู้คนในเมืองหลวงต่างกล่าวขานนามเขาว่าเป็นชายหนุ่มขุนนางหน้าใหม่

แม้แต่อาจารย์ฉินปิ่งจงก็ยังเคยหยอกล้อ ว่า ดูสิอายุเท่านี้ยังได้เป็นถึงขุนนางหนุ่มหน้าใหม่ หัวกระไดคงจะมิแห้งเลยสินะ ?

ในมุมมองของฉินปิ่งจงนั้น ฟู่เสี่ยวกวนเป็นอัจฉริยภาพอย่างแท้จริง เขาอายุยังมิถึง 17 ปีบริบูรณ์ก็ได้เข้าไปนั่งในท้องพระโรงแห่งราชวงศ์หยูเสียแล้ว แน่นอนว่าชายหนุ่มผู้มีความสามารถโดดเด่นเช่นนี้ย่อมได้รับการจับตามองจากเหล่าขุนนางผู้มีอิทธิพล และแน่นอนว่าจะต้องมีเสนาบดีหลายท่านไปประจบประแจงเขาเช่นกัน

ทว่าบ้านพักหลังนั้นที่ตั้งอยู่ใกล้กับทะเลสาบซวนอู่ในเมืองจินหลิง หัวกระไดนั้นมิเคยเปียกเลยสักครา แต่กลับอ้างว้างดั่งตาข่ายดักนกที่ว่างเปล่า

แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฟู่เสี่ยวกวนกลับมิได้รู้สึกผิดหวังเลยแม้แต่น้อย เขากลับชอบมันเสียมากกว่า เขายังคงรู้สึกโปรดปรานความเงียบสงบ มิว่าจะเป็นความเงียบสงบที่จวนตระกูลฟู่ในเมืองหลวง หรือจะเป็นความเงียบสงบที่เรือนซีซาน หรือแม้ว่าจะเป็นความเงียบสงบที่พระตำหนักที่เมืองหนานหยางที่เขายังมิเคยไปเยือน หรือเป็นความเงียบสงบของคฤหาสน์จิ้งหูและอีกมากมาย

ทว่าบัดนี้ เพียงฟู่เสี่ยวกวนได้ย่างกรายเข้ามาที่คฤหาสน์จิ้งหูได้เพียงแค่มิถึงชั่วยาม สถานที่ซึ่งเคยเป็นสถานที่แสนสงบสุขแห่งนี้ก็มิสงบสุขอีกต่อไป แม้แต่หนิงซือเหยียนผู้เป็นคนเฝ้าประตูก็ยังทำให้เขารู้สึกลำบากใจ

มีแขกเหรื่อแวะมาเยี่ยมเยือนเสียมากมาย

หลังจากหนานกงอี้หยู่ อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจัวอี้สิงก็ได้แวะมาเช่นกัน

เขามิได้มาเพียงแค่คนเดียว แต่ยังให้จัวเปี๋ยหลีผู้เป็นบุตรชายติดตามมาอีกด้วย อีกทั้งยังมีบุตรสาวของจัวเปี๋ยหลีนามว่าจัวชาวมาด้วยอีกคน จัวชาวผู้นี้เป็นคู่หมั้นของหนิงซือเหยียนนั้นเอง !

จัวอี้สิงและจัวเปี๋ยหลีนั้นได้เข้าไปภายในคฤหาสน์ แต่จัวชาวผู้นั้นขออยู่หน้าประตูต่อ และบัดนี้นางได้นั่งลงพร้อมกับเอามือเท้าคางอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง นางนั่งมองคู่หมั้นของนางวุ่นอยู่กับการเฝ้าประตูด้วยความสุขใจ เขาเป็นคนเฝ้าประตูเยี่ยงนั้นหรือ ฮ่า ๆ น่าสนใจยิ่ง

บัดนี้คฤหาสน์จิ้งหูแห่งนี้ได้แปรสภาพไปเป็นศูนย์ราชการประจำพระราชวังขนาดย่อมไปเสียแล้ว แม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมีสิทธิ์โต้แย้งแต่ก็อธิบายสิ่งใดออกมามิได้เช่นกัน เขาก็เลยเลือกที่จะมิอธิบายสิ่งใด

เขาได้เดินเข้าไปภายในคฤหาสน์ แล้วเรียกเพียงแค่หนานกงอี้หยู่เข้าไปแต่เพียงผู้เดียว

มีเสนาบดีทั้งหลายรวมถึงจัวอี้สิงถูกเขาทิ้งเอาไว้ด้านนอก เหตุผลสั้น ๆ ง่าย ๆ ก็คือ  งานแข่งขันกวีที่ผ่านมาสามวัน ข้าได้ใช้งานสมองหนักจนเกินไป ตอนนี้ต้องการพักผ่อน ขอทุกท่านจงกลับไปเถิด 

ทว่ามิมีผู้ใดกลับไปเลยแม้แต่ผู้เดียว

 เช่นนั้นก็เชิญตามสบายเถิด มิมีอาหารให้ทานนะ !  

แล้วเขาก็ได้นำตัวหนานกงอี้หยู่ออกไป แล้วผู้ที่มาทำหน้าที่รักษาประตูด้านในก็ได้เปลี่ยนมาเป็นเกาหยวนหยวนศิษย์พี่รอง

เกาหยวนหยวนได้เดินเข้าไปยืนขวางที่ประตูจันทรา

 ในเมื่อองค์ชายใหญ่อยากพักผ่อน แล้วพระองค์จะทรงเรียกอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายเข้าไปด้วยเพราะเหตุใดกัน ?  

เกาหยวนหยวนพยามใช้สมองคิด  อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายเยี่ยงนั้นหรือ อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายคือสิ่งใดกัน ?  

 ก็คือตาเฒ่าที่เดินเข้าไปกับองค์ชายใหญ่เมื่อครู่น่ะสิ 

 อ่า…  เกาหยวนหยวนเหมือนจะมีความคิดดี ๆ ออกมา  ศิษย์น้องเล็กบอกว่าตาเฒ่านั่นมีของขวัญมาให้ 

 …… !  

จริงด้วย ของขวัญ !

บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนมีสถานะเป็นถึงองค์ชายใหญ่ ผู้ใดเขามาเยือนด้วยมือเปล่ากันเล่า ?

โจงถงถงหัวเราะร่า แล้วจึงเอ่ยถามศิษย์พี่รอง  เจ้ารู้หรือไม่ว่าองค์ชายใหญ่ท่านทรงโปรดสิ่งใด ?  

ครานี้กาวหยวนหยวนถึงกับคิดมิตก เพราะฟู่เสี่ยวกวนมิได้บอกเขานี่

เขาพยายามนึกย้อนกลับไปในความทรงจำเก่า ปกติแล้วฟู่เสี่ยวกวนชอบสิ่งใดกันนะ ?

ปกติศิษย์น้องเล็กแค่ขยับแข้งขาเพียงเล็กน้อยก็หาตั๋วเงินได้ตั้งมากมาย เช่นนั้นศิษย์น้องคงมิชอบตั๋วเงินสินะ

ศิษย์น้องเล็กปกติก็มิอ่านหนังสือ และเหมือนว่าจะมิชอบภาพวาดเช่นกัน

ใช่แล้ว !

ศิษย์น้องเล็กให้ความสำคัญต่อหญิงสาวผู้อยู่ข้างกายของเขาทั้งสามเป็นอย่างมาก !

จากนั้นดวงตาของเขานั้นก็ส่องเป็นประกายขึ้นมา แล้วจึงเอ่ยบอกโจวถงถงว่า  ศิษย์น้องเล็กชอบหญิงสาวที่งดงาม 

โจวถงถงพลันตะลึง เขาหันหน้าไปสบตากับจัวอี้สิง แล้วถอนหายใจออกมาเพราะความตกใจ เขามีรสนิยมเช่นนี้เยี่ยงนั้นหรือ ?

ต้องจัดงานคัดเลือกสตรีทั้งผืนปฐพีให้เขาหรือไม่ ?

ก็จริงเสียฟู่เสี่ยวกวนคือว่าที่องค์จักรพรรดิของราชวงศ์อู๋ จักรพรรดิเหวินนั้นมิได้เรื่อง ทรงมีพระราชโอรส 3 พระองค์และพระราชธิดาอีก 1 พระองค์เท่านั้น วังหลังนั้นเศร้าหมองและเงียบเหงามาเนิ่นนานแล้ว แล้วทุกวันนี้เซียวเฉียงยังถูกเนรเทศให้ไปอยู่ที่วังเย็นอีก พระสนมเอกยวี่ก็สูญเสียพระโอรสไป ว่ากันว่าเป็นเพราะนางนั้นหวาดกลัวความดำมืดของราชสำนักจึงทำให้นางหนีไปอยู่ที่จวนของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายผู้เป็นที่บิดา

ตอนนี้หากองค์ชายใหญ่ทรงโปรดสตรี ต่อไปภายภาคหน้าวังหลังก็คงจะครึกครื้นยิ่ง และเป็นวังหลังในแบบที่ควรจะเป็น

องค์ชายใหญ่คงหมั่นเพียรทำการบ้านอย่างแน่นอน ราชวงศ์ก็จะรุ่งเรืองเพราะพระองค์ ต่อไปหากมีทายาทสืบสันติวงศ์ของราชวงศ์คงมีมิขาดสายเพราะพระองค์เช่นกัน !

 เยี่ยงนั้นก็จัดงานคัดเลือกสตรีเสีย !   อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวากล่าวอย่างแน่วแน่

 ควรจะเริ่มเมื่อใดดี ?   โจงถงถงเองก็เห็นพ้องต้องกัน

 เมื่อกลับมาจากวัดไท่เมี่ยว วันที่สถาปนาองค์รัชทายาท 

 เป็นความคิดที่ดียิ่ง !  

……

……

บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนและหนานกงอี้หยู่ได้นั่งหันหน้าเข้าหากัน ส่วนหนานกงตงเซวี๋ยนั้นกำลังพิธีพิถันอยู่กับการชงชา

 ที่เอ่ยมา เป็นความจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 กระหม่อมเป็นสักขีพยายานได้ 

ฟู่เสี่ยวกวนยกมือปัด  อย่าได้เอ่ยกระหม่อมอะไรเลย มันมิมีทางเป็นไปได้ สนทนากันแบบสบาย ๆ ดังวันที่พวกเราพบกันที่กวนหยุนถายเถิด 

 …แต่ทว่านี่เป็นกฎเกณฑ์ !  

 ท่านอยู่กับข้าที่นี่ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ใด ๆ ทั้งสิ้น !  

 เยี่ยงนั้นก็ย่อมได้ 

หนานกงตงเซวี๋ยรู้สึกประหลาดใจจึงตั้งใจหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนครู่หนึ่ง พระองค์อาจจะยังมิคุ้นชินกับการเปลี่ยนแปลงบทบาทนี้

ฟู่เสี่ยวกวนรับถ้วยชาที่หนานกงตงเซวี๋ยส่งมาให้ จากนั้นจึงหันไปหาหนานกงอี้หยู่ แล้วคำถามแรกที่จะเอ่ยถามคือ  ท่านจัวอี้สิงเป็นคนเยี่ยงไรกัน ?  

หนานกงอี้หยู่เกิดความคิดขึ้นมา เมื่อการเมืองเปลี่ยนขั้วแล้วคงจะถึงคราแก้แค้นเสียที !

ทว่าเขามิมีเจตนาที่จะซ้ำเติม แต่ได้กล่าวด้วยความจริงใจ  หากจะกล่าวเรื่องแค้นส่วนตัว ข้าอยากจะเอาดาบบั่นหัวมันใจแทบจะขาด 

 เพราะเหตุใดกัน ?  

 สนมยวี่เป็นบุตรสาวของข้า เช่นนั้นอู๋คุนที่โดนเซียวเฉียงลอบปลงพระชนม์นั้นก็คือหลานชายของข้า ปีนี้เขาเพิ่งจะอายุได้เพียง 14 ปีเท่านั้น 

อาจเพราะนึกถึงหลานชายที่ต้องตายอย่างอนาถจึงทำให้หนานกงอี้หยู่น้ำตาคลอเบ้า

 เมื่อปีกลาย เจ้าเฒ่าจัวอี้สิงได้ออกหนังสือถึงองค์ฝ่าบาทให้พระองค์แต่งตั้งอู๋คุนเป็นอ๋อง และให้ไปปกครองยังเขตปกครองฉางหนิง เป็นเหตุให้หลานชายของข้าจะต้องจากพระราชวังไปยังเขตปกครองฉางหนิง จึงทำให้เขาต้องถึงแก่ความตาย หากมองในแง่มุมแค้นส่วนตัว ข้านั้นแทบอยากจะตัดหัวมันทิ้งเสีย แต่ทว่า… 

หนานกงอี้หยู่ดื่มชาเพื่อให้ริมฝีปากชุ่มชื่นขึ้น  หากจะกล่าวเรื่องความซื่อสัตย์ที่เขามีต่อราชวงศ์ล่ะก็ จัวอี้สิงนั้นมีความจงรักภักดีต่อราชวงศ์มิแปรเปลี่ยน ข้านั้นได้ยินมาบ้างว่าเขาเคยวางแผนลอบสังหารเจ้าถึงสองครา เจ้าอย่าได้เกิดความอาฆาตพยาบาทแก่เขาเลย ที่เขาทำไปก็เพื่อความมั่นคงของราชวงศ์ 

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วชนกัน ตาเฒ่าจัวอี้สิงอยากจะสังหารเขาแม้ว่าจะอยู่ห่างกันถึง 3,000 ลี้ เหตุผลนั้นเพียงเพราะว่าเชื่อข่าวโคมลอย ข้าเกือบจะโดนฆ่าตายเชียวนะ อีกทั้งยังตายโดยมิรู้เรื่องรู้ราวอันใดอีกด้วย !

เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าเขาคงจะอยากเหยียบอีกฝ่ายให้จมดิน แต่คาดมิถึงเอาเสียเลยว่าหนานกงอี้หยู่กลับใช้ถ้อยคำที่สรรเสริญเขาเยี่ยงนี้

หนานกงอี้หยู่เมื่อเห็นสีหน้าของฟู่เสี่ยวกวนแล้วเกิดหวั่นเกรงขึ้นมาว่าเขาจะเอาคืนจัวอี้สิงเข้าสักวันหนึ่ง เขาจึงรีบกล่าวเสริม  ข้าและจัวอี้สิงได้รับใช้ราชวงศ์อู๋มาสองรัชสมัยแล้ว ตระกูลจัวนั้นมีอิทธิพลในเมืองกวนหยุนมากมายยิ่งนัก และธรรมเนียมของตระกูลก็เคร่งครัดมากเช่นกัน 

 เพราะตระกูลจัวและตระกูลเซียวมีสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ครานี้ที่เซียวเฉียงนั้นได้คิดร้ายแก่เจ้า จัวอี้สิงได้มอบหมายให้ลูกชายจัวเปี๋ยหลีถวายตราประทับนายพลทหารม้าแก่องค์ฝ่าบาท เจ้าลองคิดดูเถิด ว่าเหตุใดเขาถึงทำเช่นนี้ เพราะเขาต้องการแสดงความบริสุทธิ์ใจให้ฝ่าบาททรงสบายพระทัย แน่นอนว่าที่ทำไปเช่นนั้นก็เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดีที่มีต่อราชวงศ์อย่างแท้จริง 

ฟู่เสี่ยวกวนเหม่อลอยอยู่ในภวังค์ความคิด เขาพยักหน้าเบา ๆ จากนั้นจึงเอ่ยถามต่อ  อู๋กานตอนนี้เป็นเยี่ยงไรบ้าง ?  

 เมื่อวานฝ่าบาททรงถอดเขาออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาท แล้วลดตำแหน่งให้เป็นอ๋อง พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังเขตปกครองฉางหนิงแล้ว 

คงต้องการกีดกันให้พ้นทางอย่างแท้จริง !

เช่นนั้นแล้ว การข้ามเวลามาที่นี่ก็เป็นทักษะชีวิตแขนงหนึ่ง

 ข้ามิได้อยากเป็นองค์ชาย หรือองค์รัชทายาทอันใดทั้งสิ้น ข้าควรจะทำเยี่ยงไรดี ?  

 

ตอนที่ 371 ขอคาราวะองค์ชายใหญ่

รัชสมัยเซวียนลี่ ยี่สิบสามค่ำเดือนสาม ยามอู่ คณะของฟู่เสี่ยวกวนมิได้รอจนกระทั่งงานชุมนุมวรรณกรรมแล้วเสร็จ พวกเขาได้กลับไปยังคฤหาสน์จิ้งหูที่เมืองกวนหยุนทันที

การกลับไปก่อนเวลาสิ้นสุดการแข่งขันนั้นย่อมนำไปสู่การแสดงความคิดเห็นต่าง ๆ นานาของเหล่าบัณฑิตที่มาเข้าร่วมงาน

เหล่าบัณฑิตมากมายเอ่ยถึงเขาด้วยถ้อยคำเสีย ๆ หาย ๆ มีเพียงแค่ฝานเทียนหนิงเท่านั้นที่จ้องมองแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวนภายใต้ความเงียบงันอยู่เนิ่นนาน

และคุณหนูถังซานก็ได้จ้องมองแผ่นหลังนั้นอยู่เช่นกัน

……

หนิงซือเหยียนนอนแผ่อย่างเงียบ ๆ ภายใต้แสงอาทิตย์อันอบอุ่น

ใบหน้าของเขานั้นมีหมวกฟางคุมเอาไว้เพื่อป้องกันแสงแดดแยงตา ส่วนกระบี่ประจำตัวของเขานั้นปักอยู่ข้างกาย สาดแสงประกายมองดูแล้วน่าเกรงขามยิ่ง

และบัดนี้ฝั่งตรงกันข้ามของเขานั้นมีชายผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่ ซึ่งเขาก็คือหนิงฝาเทียนผู้เป็นบิดาของเขานั่นเอง !

หนิงซือเหยียนมิได้นำหมวกที่ปกปิดใบหน้าของตนออก  เจ้าไปเยือนภูเขาลั่วเหมยที่ชางฮ่าย แต่กลับมิได้ท้าประลองกับโหยวเป่ยโต้วเลยสักครา 

 ข้าไปเยือนภูเขาลั่วเหมยครานี้มิได้มีจุดประสงศ์เพื่อท้าประลองกับโหยวเป่ยโต้ว แต่เพื่อไปส่งราชโองการลับให้กับฝ่าบาท 

 ด้วยเหตุนี้โหยวเป่ยโต้วจึงมาที่นี่ ส่วนเจ้าไปที่ฐานทัพขององครักษ์หลวง แล้วนำตัวเซียวจ้านผู้บังคับบัญชาออกมาเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 นี่เป็นหมากเดินเกมของฝ่าบาท ข้ามีหนี้ติดค้างต่อองค์ฝ่าบาท เลยจำต้องใช้หนี้คืนพระองค์โดยสะสางเรื่องพวกนี้ให้แล้วเสร็จ 

หนิงฝาเทียนหยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นจึงได้เอ่ยต่อ  เจ้าเป็นองค์รักษ์คอยดูแลเขาย่อมมิเสียหาย เขาเป็นโอรสในฝ่าบาท ต่อไปก็จะได้รับแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท ได้ยินมาว่าเขาได้ประพันธ์กวีให้กับภาพวาดของแม่เจ้า ข้าขอเชยชมได้หรือไม่ ?  

หนิงซือเหยียนลุกขึ้นมายืนในทันที แล้วหมวกที่ปิดปังใบหน้าของเขานั้นก็ได้ร่วงลงสู่พื้น เขาหันไปมองผู้ที่เป็นพ่อ  จริง ๆ แล้วท่านมิคู่ควรกับภาพวาดและบทกวีเหล่านี้หรอก แต่ข้าก็อยากให้ท่านได้เชยชม ถือว่าเป็นการสนองความปรารถนาของท่าน 

เขาขึ้นไปบนอาคารเล็ก ๆ เพื่อนำภาพวาดนั้นให้ฝาเทียนหนิงได้เชยชม

เมื่อหนิงฝาเทียนมองภาพนั้น คิ้วของเขาก็ได้ขมวดเป็นปม จากนั้นสายตาก็ค่อย ๆ เหม่อลอย เขาจ้องมองภาพนั้นอยู่เนิ่นนาน แล้วถึงส่งภาพวาดนั้นกลับคืนไปให้ผู้เป็นลูก

 บทกวีนี้ข้าได้จารึกไว้ในใจแล้ว เจ้าจงเก็บรักษาภาพวาดนี้ไว้ให้ดี ข้าต้องไปแล้ว ข้ามีธุระที่ต้องสะสางให้กับองค์ไทเฮา 

หนิงซือเหยียนคิดไปคิดมา แต่ก็มิได้เอ่ยถามว่าไปสะสางธุระอันใดให้กับไทเฮากัน จากนั้นจึงได้เอ่ยกับผู้เป็นพ่อว่า  ข้ามิชอบหลานสาวของจัวอี้สิง ท่านจงไปถอนหมั้นเสียเถิด !  

หนิงฝาเทียนนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน จากนั้นก็ได้เอ่ยสั้น ๆ เพียงสองคำ  มิได้ !  

เขาปลีกตัวเดินออกมาและมิได้เข้าไปเยี่ยมเยือนคฤหาสน์จิ้งหูแห่งนี้ สถานที่ซึ่งเป็นเรือนรักของเขากับภรรยาที่จากไป ราวกับว่าเขาต้องการให้สถานที่แห่งนี้เลือนหายไปในความทรงจำ

หนิงซือเหยียนหรี่ตามองไปยังแผ่นหลังของผู้เป็นพ่อที่เพิ่งเดินจากไป ทันใดนั้นกระบี่ที่ปักอยู่ข้างกายก็ได้ส่งเสียงก้องกังวาน ด้ามกระบี่ได้ขยับสั่นไหว

 มิได้ก็คือมิได้เยี่ยงนั้นหรือ ?   เขาหัวเราะเย้ยหยัน แล้วจึงนำภาพวาดนี้กลับเข้าไปเก็บในตัวอาคาร จากนั้นจึงกลับมาหยิบหมวกฟางที่วางอยู่บนพื้น แล้วนอนอาบแดดต่อไป ในใจนั้นนึกถึงแม่นางหานลู่ซึ่งอยู่ที่ชายฝั่งทะเลสาบสิบลี้

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนและคณะได้กลับมาถึงคฤหาสน์จิ้งหูก็ได้เห็นหนิงซือเหยียนนอนแผ่อยู่ตรงใจกลางของทางแยกพอดี

หนิงซือเหยียนเอาหมวกที่ปิดบังใบหน้าของตนออก แล้วเปลี่ยนอิริยาบถของตนเป็นท่านั่ง เขาจ้องไปที่ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนอย่างมิยอมลดละสายตา

เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้วฟู่เสี่ยวกวนจึงรู้สึกประหลาดใจ เขาจึงได้เอ่ยถาม  อะไรกัน ? ข้าจากไปเพียงแค่สามวันก็จำข้ามิได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 มิใช่เสียหน่อย ข้าเพียงแค่อยากจะมองหน้าท่านดี ๆ สักครา ท่านคล้ายคลึงกับฝ่าบาทมากยิ่งนัก เจ็ดในสิบ อย่างน้อยก็คล้ายคลึงถึงเจ็ดในสิบส่วน !  

 เจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร ?   ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวด้วยอารามตกใจ

 อ่า…ท่านคงยังมิทราบสินะ ก็เมื่อวานฝ่าบาททรงประกาศต่อหน้าขุนนางแล้วว่าท่านคือโอรสของพระองค์กับสวี่หยุนชิง !  

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงเสียจนอ้าปากค้าง น่าเหลือเชื่ออย่างแท้จริง

หรือว่าเขาจะเป็นโอรสนอกสมรสอย่างที่กล่าวขานกันมาจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?

เมื่อเห็นท่าทีของฟู่เสี่ยวกวนตอนนี้ ทำให้หนิงซือเหยียนนั้นรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

 การได้รับมาซึ่งสถานะนี้ของท่านนั้นล้วนแต่เป็นเพราะไทเฮา ได้ยินมาว่าพระนางได้เสด็จไปยังพระราชวังจวี้หัว ประจวบเหมาะกับตอนนั้นฝ่าบาทกำลังถกเถียงกันอย่างร้อนแรงกับเหล่าขุนนางจนเกือบจะต้องยอมแพ้ เพียงแค่ไทเฮาทรงตรัสเพียงมิกี่คำ ก็สามารถพลิกแพลงสถานการณ์ที่ทำให้เหล่าขุนนางต่างก็มิกล้าเอ่ยอันใดออกมา แล้วอีกอย่าง เมื่อวานช่วงเช้าฝ่าบาททรงถอดตำแหน่งองค์รัชทายาทแห่งพระราชตำหนักบูรพา แล้วทรงลดตำแหน่งแต่งตั้งให้เป็นอ๋องแทน เมื่อคืนตอนค่ำก็ได้ถูกส่งตัวออกจากเมืองหลวงทันที…. 

เมื่อเอ่ยถึงตอนนี้หนิงซือเหยียนก็หยุดชะงักราวกับคิดอะไรออก เขาจึงขมวดคิ้วด้วยความฉงน เมื่อครู่หนิงฝาเทียนเอ่ยว่าต้องการสะสางธุระให้กับไทเฮาเยี่ยงนั้นหรือ ?

ไทเฮาจะให้เขาไปลอบปลงพระชนม์อู๋กานเยี่ยงนั้นหรือ ?

แต่เขาเป็นถึงโอรสขององค์ฝ่าบาท และเป็นพระราชนัดดาของพระนางเอง พระนางทรงตัดสินพระทัยทำการนี้จริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?

บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนยังมิอาจเข้าใจถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตนเองได้ เขาย่อมมิอาจเข้าใจได้เช่นกันว่าเหตุใดสีหน้าของหนิงซือเยียนถึงได้เปลี่ยนไปกะทันหัน

ส่วนหยูเวิ่นหวินและต่งซูหลานบัดนี้ก็ได้ตกตะลึงเสียจนอ้าปากค้างแล้วเช่นกัน แม้ว่าพวกนางทั้งสองจะเคยได้ยินข่าวลือเยี่ยงนี้มาก่อน แต่หลังจากที่ฟังฟู่เสี่ยวกวนอธิบายแล้ว พวกนางก็เข้าใจไปว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเพียงแค่ข่าวลือไร้มูลสาร แต่จักรพรรดิเหวินกลับใช้เหตุผลนี้ในการเอาผิดจักรพรรดินีเซียว อีกทั้งยังทรงประกาศภายในพระราชวัง เช่นนี้ก็ย่อมเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าพระองค์ทรงใช้พระราชอำนาจให้ผู้ที่มิเห็นด้วยทั้งหมดมาติดร่างแห

แน่นอนเสียว่าการเดินหมากครานี้ช่างงดงามมากยิ่งนัก จักรพรรดิเหวินเพียงแค่ทรงแสดงออกว่าพระองค์นั้นทรงโปรดฟู่เสี่ยวกวน มิจำเป็นต้องเสียเงินสักอีแปะเดียวก็สามารถทำให้เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ให้สำเร็จลุล่วงไปได้

ด้วยเหตุนี้ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้บอกพวกนางเป็นการส่วนตัวว่าจิตใจของพระองค์นั้นช่างยากแท้หยั่งถึง จะคิดทำสิ่งใดก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ

ทว่าวันนี้เพิ่งกลับมาถึงคฤหาสน์จิ้งหูยังมิทันจะได้เดินเข้าไปเลยด้วยซ้ำ แม้แต่หนิงซือเหยียนเองก็ล่วงรู้ถึงข่าวคราวนี้แล้ว เกรงว่าบัดนี้ข่าวคงสะพัดไปทั่วเมืองแล้วอีกครา

แต่สิ่งที่แตกต่างไปจากคราก่อนก็คือ ครานี้นั้น…ฝ่าบาททรงประกาศอย่างเป็นทางการต่อหน้าของขุนนางของราชวงศ์อู๋ !

อีกทั้งยังมีไทเฮาเป็นพยาน นั่นก็หมายความว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง !

และสิ่งที่ทำให้พวกนางสะเทือนใจมากยิ่งนักนั่นก็คือ การที่จักรพรรดิเหวินทรงถอดตำแหน่งองค์รัชทายาทแห่งพระราชตำหนักบูรพาองค์ปัจจุบัน

แล้วอยู่ ๆ หนิงซือเหยียนก็ได้เอ่ยเสริมขึ้นมา  อ๋องพระองค์ก่อนนั้นคือพระโอรสองค์ที่สองในจักรพรรดิเหวิน พระองค์มีพระนามว่าอู๋คุน พระองค์ได้ถูกคนของจักรพรรดินีเซียวลอบปลงพระชนม์ 

หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?

ทั้งสองนางได้มีปฏิกิริยาต่อสิ่งที่ได้ยินมาอย่างรวดเร็ว เดิมทีจักรพรรดิเหวินนั้นมีพระราชโอรสสองพระองค์และพระราชธิดาหนึ่งพระองค์ บัดนี้สูญเสียพระราชโอรสไปแล้วหนึ่งพระองค์ ส่วนอีกหนึ่งพระองค์นั้นถูกถอดออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาทแห่งพระราชตำหนักบูรพา อีกทั้งเมื่อวานพระองค์ก็ทรงประกาศให้ทราบกันโดยทั่วกันแล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นเป็นหนึ่งในพระโอรสของพระองค์

นางทั้งสองได้หันไปมองฟู่เสี่ยวกวน แต่มิได้มองด้วยสายตาแห่งความยินดี แต่เป็นสายตาที่วิตกกังวลแทน

ฟู่เสี่ยวกวนบัดนี้มีสีหน้าเคร่งขรึม สองคิ้วนั้นขมวดเป็นปม จากนั้นสมองของเขาก็ได้ประมวลผลต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว แล้วท้ายสุดเขาก็ได้เข้าใจถึงเหตุผลของสิ่งที่ได้เกิดขึ้นเสียที

 ท่านเป็นโอรสในจักพรรดิเหวินอย่างแท้จริง และยังเป็นองค์รัชทายาทอีกด้วย !   หนิงซือเหยียนหัวเราะร่า แล้วส่ายหัว  ข้าเพียงแค่อยากเป็นคนเฝ้าประตูเพื่อหาเงินไปซื้อเหล้า แต่กลับได้เป็นถึงคนเฝ้าประตูขององค์รัชทายาท หลังจากนี้หากท่านได้ขึ้นครองบัลลังก์มังกร ข้าก็ยังประสงค์ที่จะเป็นองครักษ์เฝ้ารักษาหน้าประตูต่อไป เพื่อรักษาการณ์พระราชตำหนักของท่าน ข้ารับประกันได้เลยว่าท่านจะไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ อีกต่อไป  

 ไปไห้พ้น !   ฟู่เสี่ยวกวนถลึงตาใส่เหยียนซือหนิง  ย่อมมีสิ่งน่าเคลือบแคลงแอบแฝงอยู่เป็นแน่ พวกเราเข้าไปด้านใดก่อนเถอะ ข้าจำต้องใช้เวลาใคร่ครวญบางอย่าง 

ขณะเดียวกันก็ได้มีรถม้าอีกคันมาถึงพอดี รถม้าคันนั้นจอดอยู่ตรงทางแยกนี้เช่นเดียวกัน ผู้ที่เดินลงมาเป็นคนแรกนั้นก็คือหนานกงอี้หยู่ จากนั้นก็มีอีกคนเดินลงมาด้วยเช่นกัน

เป็นหญิงสาวร่างบาง สวมใส่ชุดสีขาวสะอาดตา ผมประบ่าดำเงายาวสลวย ใบหน้างดงามและดูอ่อนโยนยิ่ง

ฟู่เสี่ยวกวนนั้นเคยพบพานหญิงสาวผู้นี้มาก่อน เหมือนว่าจะเพิ่งเมื่อวันก่อนนี้เองตรงสวนสาลี่ในตำหนักหยุนชิงด้านหลังวัดหานหลิง หญิงสาวผู้นี้กับหญิงชราท่านหนึ่งกำลังพักผ่อนอยู่ที่ศาลา แล้วนางก็ได้เชิญฟู่เสี่ยวกวนเข้าไปดื่มชาดอกสาลี่ที่รสชาติมิได้เรื่องเอาเสียเลย

 นี่เป็นหลานสาวของข้า นามว่าหนานกงตงเซวี๋ย 

คิ้วของหนานกงตงเซวี๋ยนั้นโค้งเป็นรูปสวยงาม มุมปากของนางนั้นช้อนขึ้นทั้งสองข้าง ทำให้เห็นลักยิ้มหนึ่งคู่ปรากฏขึ้นบนแก้ม โดยรวมแล้วช่างดูสง่างามมากยิ่งนัก

นางเดินมาเบื้องหน้า จากนั้นจึงถอนสายบัวแสดงความเคารพต่อฟู่เสี่ยวกวน

 หนานกงตงเซวี๋ยขอคารวะองค์ชายใหญ่ !  

 

บทประพันธ์ทั้งห้าของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อวันที่สองนั้นได้ถูกส่งมายังวังหลวงภายในค่ำของวันนั้นเอง

เมื่อจักรพรรดิเหวินได้ทรงทอดพระเนตรเห็นทั้งห้าบทความ พระองค์ก็ได้เสด็จไปพักผ่อนพระวรกายที่กวนหยุนถาย โดยมีหนานกงอี้หยู่ติดตามไปด้วย

การประชุมประจำราชวงศ์เมื่อวานนั้น เหตุเพราะมีการปรากฏตัวกะทันหันของไทเฮา ทำให้ได้ข้อสรุปเรื่องการยอมรับฟู่เสี่ยวกวนเป็นสายเลือดของราชวงศ์

จากนี้สืบไปหนทางแห่งวันข้างหน้าคงจะราบรื่นพอสมควร หากจะกล่าวไป ณ วินาทีนั้นจักรพรรดิเหวินรู้สึกซาบซึ้งพระทัยต่อจักรพรรดินีเซียวเป็นอย่างมาก หากจักรพรรดินีเซียวมิได้เสนอมีข้อโต้แย้งในวันนั้น แม้ว่าไทเฮาจะทรงเห็นด้วยกับการรับขวัญฟู่เสี่ยวกวนคืนสู่ราชวงศ์ ทว่าหากให้เข้าไปกุมอำนาจในพระราชตำหนักบูรพานั้น พระนางย่อมมิเห็นด้วยอย่างแน่นอน

แต่สิ่งที่จักรพรรดิเหวินมิได้ล่วงรู้ก็คือ ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นเพราะบทสนทนาระหว่างไทเฮาและฟู่เสี่ยวกวนที่เรือนประทับหยุนชิง

ไทเฮานั้นทรงได้ทอดพระเนตรเห็นโคลงสัมผัสทั้งสองของฟู่เสี่ยวกวนด้วยพระองค์เอง และทรงรับรู้ถึงความสามารถของฟู่เสี่ยวกวนอย่างถ่องแท้ แม้ว่าการสนทนาครานั้นของทั้งสองจะเกิดขึ้นอย่างสบาย ๆ แต่ก็ทำให้พระองค์ทรงเข้าใจว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนเยี่ยงไร

ชายหนุ่มผู้นี้แม้จะมีพรสวรรค์ แต่กลับไร้ซึ่งความทะเยอทะยาน

จงมองโลกตามสัจธรรมความเป็นจริง มิละโมบในชื่อเสียงและเงินตรา เช่นนี้ก็จะมีความสุข ความสุขที่แท้จริงเกิดขึ้นจากใจของเราเอง

เขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ ?

นี่เป็นศีลธรรมอันสูงส่ง หากวันหนึ่งฟู่เสี่ยวกวนได้มีอำนาจควบคุมพระราชตำหนักบูรพา อีกทั้งการปกครองของราชวงศ์อู๋สืบต่อไปในภายภาคหน้าก็คงเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม อนาคตของราชวงศ์จะต้องงดงามเป็นแน่ !

และนี้เป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้ไทเฮาทรงเสด็จออกจากวัดหานหลิงแล้วกลับพระราชวังอย่างกะทันหัน

โอรสนอกสมรสเยี่ยงนั้นหรือ ?

แล้วสำคัญอันใดกันเล่า ?

จักรพรรดิเหวินนั้นทรงโสมนัสยิ่ง ทว่ากลับกันองค์หญิงไท่ผิงนั้นดวงใจได้แหลกสลายเป็นเสี่ยง ๆ เพราะคำเอ่ยของพระอัยยิกา…หลิงเอ๋อร์ เขาเป็นพระเชษฐาของเจ้า พระเชษฐาสายเลือดเดียวกันกับเจ้า !

คนที่มีความรู้สึกลึกซึ้งต่อกัน ท้ายที่สุดกลับกลายเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดเดียวกัน !

โชคชะตากำลังเล่นตลกกันอยู่ชัด ๆ !

โชคชะตามิเพียงแค่เล่นตลกกับอู๋หลิง แต่ยังเล่นตลกกับผู้ที่เคยได้นามว่าจักรพรรดินีเซียวอีกด้วย

……

เมื่อสุริยาขึ้นตระหง่านทางทิศตะวันออก ทะเลหมอกแห่งเมืองกวนหยุนก็ยังมิได้สลายตัวไป

อู๋หลิงนำสาวใช้ไปซื้ออาหารเช้าที่ซิ่งหลินจี้มาสารพัดอย่าง จากนั้นจึงกลับไปยังพระราชวัง แล้วนำอาหารเช้าเหล่านั้นไปส่งยังวังเย็น

เซียวเฉียงขณะนี้กำลังถูกศาลต้าหลี่สืบสวน เมื่อนางได้ยินว่าตำแหน่งองค์รัชทายาทของอู๋กานได้ถูกถอดถอน นางก็แทบจะล้มทั้งยืน

การสืบสวนนั้นผ่านไปอย่างราบรื่น นางให้ความร่วมมือในการตอบคำถามเป็นอย่างดี มองดูแล้วราวกับนางกำลังตรอมใจ

นางยังคงพำนักอยู่ในวังเย็น แต่มิมีผู้ใดมาเยี่ยมเยือนนางอีกเลย จะมีก็เพียงแค่เพียงอู๋หลิงผู้เดียวเท่านั้น

เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่เคยรับใช้นางก็หนีหายไปจนหมด บัดนี้คาดว่าคงจะหนีไปล้างมลทินที่เกิดขึ้นเพราะเคยรับใช้นางเสียแล้ว !

เมื่ออู๋หลิงเดินทางมาถึงวังเย็น และขณะที่กำลังเปิดประตูวังที่เก่าคร่ำครึเข้าไปนั้นเอง คนที่นางได้มองเห็นนั้นมิใช่ภาพของมารดาผู้ซึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือความฝันในหอแดงอย่างสง่างามอยู่บนโต๊ะทรงพระอักษรอีกเช่นเคย

บัดนี้เซียวเฉียงได้ยืนอยู่หน้าบานหน้าต่าง บานหน้าต่างนั้นมีขนาดเล็ก อีกทั้งยังเปิดมิได้อีกต่างหาก

นางทอดสายตามองทะลุบานหน้าต่างนั้นไป ภายนอกนั้นมีเมฆหมอกปกคลุมหนาทึบ เมฆหมอกขาวปุกปุยทุกสรรพสิ่งล้วนมองเห็นได้อย่างคลุมเครือ

 เสด็จแม่ ลูกนำเครื่องเสวยมาให้แล้วเพคะ 

 หลิงเอ๋อร์ ลูกจงบอกแม่มาว่าอีกนานเพียงใดพระเชษฐาของลูกจะถูกส่งไปยังเขตปกครองฉางหนิง ?  

 …อีกห้าวันเพคะเสด็จแม่ 

 ไกลยิ่งนัก…เขตปกครองฉางหนิงจะหนาวเย็นยะเยือกหรือไม่ ? พระเชษฐาของลูกมิเคยประสบกับความลำบากมาก่อน หากเขาไปแล้วจะปรับตัวได้หรือไม่ ? ถ้าหากทรงประชวรก็ไร้หมอหลวงคอยอยู่รักษา เขาจะทำเยี่ยงไร ?  

อู๋หลิงมองดูแผ่นหลังของผู้เป็นมารดาด้วยความตกตะลึง ความหดหู่ภายในใจก็ได้เพิ่มทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก ในเมื่อท่านรักพระเชษฐามากมายถึงเพียงนี้ เหตุใดถึงได้โหดร้ายกับฟู่เสี่ยวกวนถึงเพียงนั้นล่ะเพคะ ?

 เสด็จพี่ใกล้ 15 พรรษาเต็มทีแล้ว คนที่ติดตามเสด็จพี่ไปยังมีเหล่าบริวารอาวุโส จากพระราชตำหนักตงกง ขอเสด็จแม่อย่าได้เป็นกังวลไปเลยเพคะ เครื่องเสวยเหล่านี้ใกล้เย็นเต็มทีแล้ว เสด็จแม่ทรงเสวยสักนิดเถิดเพคะ 

เซียวเฉียงได้ถอนสายตาจากหมู่เมฆเหล่านั้นกลับมา ใบหน้าของนางดูซีดเซียว มิได้แจ่มใสเฉกเช่นวันวาน

 โดนฝ่าบาทผลักไสไล่ส่งออกจากพระราชตำหนักตงกงเยี่ยงนี้ แม่มิอาจเอาชนะสตรีที่ตายไปแล้วคนนั้นได้อย่างแท้จริง และมิอาจเอาชนะบุตรชายของนางได้อีกเช่นกัน 

เซียวเฉียงเผยรอยยิ้มแสนเย้ยหยันให้กับโชคชะตาของตน  หลิงเอ๋อร์ ลูกคิดว่าชีวิตแม่ล้มเหลวหรือไม่ ?  

อู๋หลิงมองไปยังเซียวเฉียงแล้วกล่าวอย่างตั้งใจ  ความผิดของท่านแม่คือท่านฉลาดเกินไปเพคะ 

 ฟู่เสี่ยวกวนนั้นหาได้ปรารถนาที่จะแย่งอภิสิทธิ์และสมบัติไม่ ท่านแม่เองก็เคยอ่านความฝันในหอแดง เคยอ่านวรรณกรรมต่าง ๆ ที่ถูกประพันธ์ขึ้นมาโดยเขา หรือเมื่อมินานมานี้นี่เองท่านก็ได้เห็นบทประพันธ์ไร้ซึ่งความปรารถนา บทประพันธ์ทั้งหลายล้วนมาจากความรู้สึกใต้จิตสำนึกของเขา การอ่านงานประพันธ์ของเขามากมายถึงเพียงนี้ มิทำให้ท่านแม่หยั่งรู้เลยหรือว่าแท้จริงนั้นเขาเป็นคนเยี่ยงไร ?  

เซียวเฉียงตกใจจนสติแทบหลุด แล้วเขาเป็นคนเยี่ยงไรหรือ ?

หากข้ามิกระทำความผิดนั้นไป ฝ่าบาทจะใช้โอกาสในการจัดงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้เพื่อเจอเขาเยี่ยงนั้นหรือ ?

หรือต่อให้เจอเขาแล้วจริง ๆ ฝ่าบาทจะทรงอธิบายถึงสถานะที่แท้จริงให้ฟู่เสี่ยวกวนได้รับทราบหรือไม่ ?

หรือต่อให้บอก แล้วฝ่าบาทจะทรงอัญเชิญฟู่เสี่ยวกวนมารับตำแหน่งในพระราชตำหนักบูรพาหรือไม่ ?

บันทึกสามปีนั้นที่ไทเฮาได้เก็บซ่อนมานานถึง 16 ปีโดยมิทรงเอ่ยถึง หากข้ามิไปสืบสาวเรื่องราวเกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวน พระองค์จะมิเอ่ยถึงบันทึกนั้นอีกทั้งชีวิตใช่หรือไม่ ?

นี่มันเคราะห์ซ้ำกรรมซัด !

ไม่…เป็นเพราะตัวข้าฉลาดเสียจนทำให้ตนเองต้องตกที่นั่งลำบาก !

นางค่อย ๆ หลับตาลงแล้วภาพที่ฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยกับเขียนในหนังสือนั้นก็ปรากฏขึ้นมาในหัว  คิดวางแผนอย่างชาญฉลาด สุดท้ายก็เป็นพิษภัยให้แก่ตนเอง 

 วันนี้งานแข่งขันกวีเริ่มขึ้นแล้วหรือยัง ?   อยู่ ๆ นางก็โพล่งถามออกมา

อู่หลิงผงะ  วันนี้เป็นการแข่งขันวันสุดท้ายแล้วเพคะ 

 อ่า…เวลาผ่านไปเร็วยิ่งนัก ฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นประพันธ์สิ่งใดวิจิตรบรรจงออกมาบ้าง ไหนให้แม่ดูหน่อยสิ 

อู๋หลิงเดินเข้าไปยังโต๊ะทรงพระอักษร จากนั้นก็ยกพู่กันขึ้นมาเขียน แล้วค่อย ๆ เอ่ยช้า ๆ อย่างชัดถ้อยชัดคำ  ตุ้ยเหลียนวันแรกนั้นหม่อมฉันขอมิสาธยายมาก ส่วนเมื่อวานนั้นเขาประพันธ์ออกมาอีก 5 บทกวีเพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้น หม่อมฉันได้เขียนออกมาแล้ว เสด็จแม่ทรงทอดพระเนตรสิเพคะ 

เซียวเฉียงเบิกตาแล้วมองไปบนโต๊ะหนังสือ

อู่หลิงได้บรรจงเขียนบทกวีบทที่หนึ่งลงไป ‘จันทราแห่งซีเจียง ดั่งความฝัน’

 ใด ๆ ในโลกล้วนดั่งฝันจินตนาการ ชีวิตตนจำต้องผ่านความหนาวเหน็บสักเท่าใด

ดึกดื่นลมพัดพา เสียงใบไม้พลิ้วสั่นไหว

มองตน ความกลัดกลุ้มกัดกินใจ เส้นผมแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว

กลัดกลุ้มเพราะสุราขายมิดี แสงราตรีสุกใสกลับโดนเมฆบดบัง

คืนวันไหว้พระจันทร์ ข้าจะฉลองกับใครหนอ

ทำได้เพียงเศร้าหมองถือจอกเหล้าเเหงนหน้าไปทางเหนือ

เซียวเฉียงมองถ้อยคำเหล่านี้ด้วยความตกตะลึง และรู้สึกหดหู่มากยิ่งนักภายในจิตใจ

นางรู้สึกราวกับว่าบทประพันธ์ของฟู่เสี่ยวกวนบทนี้นั้นเจาะจงไปที่ตัวนาง มิเช่นนั้นตัวเขาที่เพิ่งอายุได้เพียง 17 ปี จะมีผมหงอกได้เยี่ยงไร ?

จริงเสียที่ว่าใด ๆ ในโลกล้วนดั่งฝันจินตนาการ ชีวิตตนจำต้องผ่านความหนาวเหน็บสักเท่าใด…

 เขาประพันธ์ถ้อยคำเช่นนี้ออกมา เป็นเพราะว่าเขาอยากกลับไปผืนแผ่นดินราชวงศ์หยูเยี่ยงนั้นหรือ ?  

อู๋หลิงมิได้เขียนต่อไป นางได้จ้องมองถ้อยคำเหล่านั้นเช่นกัน  ทำได้เพียงเศร้าหมองถือจอกเหล้าเเหงนหน้าไปทางเหนือ คงเป็นดั่งที่เสด็จแม่คาดการณ์ สำหรับราชวงศ์อู๋นั้น เขาคงเป็นดั่งคนนอก เขาเกิดและเติบโตที่แคว้นหยู เขามาอยู่ที่เมืองกวนหยุนเพียงแค่ระยะเวลาอันสั้นแต่กลับประสบเรื่องราวเสียมากมาย ความรู้สึกคงเป็นดั่งท่อนที่ว่าใด ๆ ในโลกล้วนดั่งฝันจินตนาการ ชีวิตตนจำต้องผ่านความหนาวเหน็บสักเท่าใด 

 คืนวันไหว้พระจันทร์ ข้าจะฉลองกับใครหนอ…คงเป็นเพราะคิดถึงมิตรสหายที่เมืองจินหลิง แล้วทำได้เพียงเศร้าหมองถือจอกเหล้าเเหงนหน้าไปทางเหนือ นั่นคงทำให้จิตใจของเขาคิดถึงบ้านเกิดเมืองนอน ด้วยเหตุนี้ลูกจึงได้บอกว่าเสด็จแม่ทรงมิเข้าใจว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นเยี่ยงไร 

 ท่านแม่ลองดูอีกบทที่เขาประพันธ์สิเพคะ ‘ยุติความวุ่นวาย จงละเลยเสียงฝนกระทบใบไม้ในพงไพร’  

อู๋หลิงยกพู่กันขึ้นมาอีกครา แล้วตวัดปลายพู่กันลงบนผืนกระดาษ

 และนี้คือความนิ่งเฉยต่อทุกสรรพสิ่งของเขา กล่าวได้ว่านี่เป็นทัศนคติที่เขามีต่อการใช้ชีวิต ซึ่งทำให้เขาแตกต่างมิเหมือนผู้ใด !  

เซียวเฉียงนั้นแสร้งทำเหมือนมิได้ยิน นางมองดูบทประพันธ์บทนี้ แล้วพึมพำวรรคสุดท้ายของบทประพันธ์ไว้ในปาก  หากไร้หยาดฝน ก็ย่อมย่อมไร้แสงสุริยา !  

นี่มันต้องใจกว้างถึงเพียงใด !

แต่เมื่อย้อนกลับมามองสิ่งที่ตนเป็น กลับเปรียบได้กับประโยคนี้ ‘ดั่งฝูงวิหคแย่งชิงอาหารประทังชีพ เมื่อกินเสร็จเหลือทิ้งไว้เพียงแค่พื้นเปลือยเปล่าสะอาดตา ! ’

นางแหงนหน้าขึ้นมามองอู๋หลิง  ลูกชอบฟู่เสี่ยวกวนจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

อู๋หลิงผงะแล้วหน้าถอดสีในทันที  เขาเป็นพระเชษฐาสายเลือดเดียวกับลูก 

 หลังจากที่มาพบแม่ ลูกจงไปพบกับจัวเปี๋ยหลีเสียหน่อย !  

 

ตอนที่ 369 บทประพันธ์แห่งทวยเทพ

ยี่สิบเจ็ดค่ำเดือนสาม

วันนี้เป็นงานชุมนุมวรรณกรรมวันสุดท้าย

หัวข้อของวันนี้นั้นแสนง่ายดาย เหวินสิงโจวยืนบนเวทีแล้วกล่าวแค่เพียงสั้น ๆ

 การแข่งขันวันนี้ ขอให้ทุกท่านเขียนบทความโดยนำสิ่งของชนิดหนึ่งมาเปรียบเทียบกับความตั้งใจของพวกท่าน การแข่งขันครานี้มีเวลาถึงยามอู่ 

ยังคงเป็นหัวข้อที่แสนจะธรรมดาเช่นเดิม บทความเช่นนี้เหล่าบัณฑิตได้เขียนมาแล้วนับครั้งมิท้วนแล้ว เลยทำให้มีความคุ้นเคยกับงานประพันธ์ลักษณะนี้พอสมควร

แต่เพราะคุ้นชินนั่นเอง จึงทำให้ยากที่จะสร้างสรรค์งานใหม่ที่สามารถทลายกรอบความจำเจ

เมื่อวานฟู่เสี่ยวกวนใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็ได้ตรงไปยังโต๊ะเขียนคำตอบแล้วได้ตอบทุกหัวข้ออย่างรวดเร็ว แล้ววันนี้จะเป็นเยี่ยงไร ?

เมื่อฝานเทียนหนิงได้ยินหัวข้อของวันนี้ เขาก็ได้หันไปมองฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนแรก

 พี่ฟู่ยอมแพ้ไปแล้วถึงสองครา ข้าคิดว่าท่านคงมิหวังครอบครองชัยชนะครานี้เสียแล้ว ท่านอาจจะยอมให้ผู้อื่นได้มีชัยเหนือตน ทว่าท่านนั้นเป็นชายหนุ่มอัจฉริยะที่ผู้คนทั่วทั้งใต้หล้าต่างให้การยอมรับ วันนี้หากจะคว้าที่หนึ่งมาครองท่านก็ย่อมทำได้ใช่หรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูก เขาคิดในใจว่าเหตุใดฝานเทียนหนิงถึงได้คิดเช่นนี้กัน ?

ความหมายของฝานเทียนหนิงคือในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนยอมปล่อยให้ผู้อื่นมีชัยชนะเหนือตน เขาก็ควรจะชนะสักหนึ่งด่านเพื่อพิสูจน์ชื่อเสียงของตน

หากจะกล่าวด้วยความสัตย์จริง ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยคิดเช่นนี้มาก่อน เขาประพันธ์กวีเหล่านั้นออกมาได้แน่นอนว่าวันนี้ก็คงจะประพันธ์บทความนั้นได้เช่นกัน ส่วนผลลัพธ์นั้นผู้ใดจะไปล่วงรู้ได้ว่างานประพันธ์ของตนเองนั้นดีมากน้อยเพียงใดและสามารถบดขยี้งานประพันธ์ของผู้ใดได้บ้าง ?

 เมื่อการแข่งขันวันนี้สิ้นสุดลงก็สามารถกลับไปได้แล้วใช่หรือไม่ ?  

 หากพี่ฟู่มิใคร่ชมธรรมชาติที่วัดหานหลิงสักหน่อยก็สามารถกลับไปได้ ทว่าท่านทำเยี่ยงนี้ก็เท่ากับว่ามิให้ความสำคัญกับงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้เลยเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 น้องฝาน การประพันธ์กวีหรือบทความเรื่องพวกนี้จะทำได้หลายครานั้นแทบจะเป็นเรื่องบังเอิญ ข้าจะยกตัวอย่างให้ฟัง บุตรในครรภ์มีพรสวรรค์ที่ซ่อนเร้นหลายครามักแสดงออกมาอย่างมิรู้ตัว ทว่าการมีครรภ์นั้นต้องทนรอเพียงแค่สิบเดือนก็จะมีบุตรออกมาให้เชยชม 

ฝานเทียนตกตะลึงยิ่ง  เช่นนั้นแล้วท่านเรียกสิ่งนี้ว่าพรสวรรค์ที่ซ้อนเร้นเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ใช่ ! ทว่ากลับกันพวกเขานั้นดูเหมือนคนกำลังมีครรภ์ เอาล่ะ ข้ามิรบกวนท่านแล้ว ข้าจะไปส่งคำตอบ 

 ไอหยา…ท่านคิดออกอีกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฝานเทียนหนิงตะลึงเสียจนเบ้าตาแทบหลุด เขาคิดคำตอบได้เร็วกว่าเมื่อวานเสียอีก !

ทำท่าอะไรกัน ฟู่เสี่ยวกวนจ้องไปยังฝานเทียนหนิง แล้วก้าวเท้าเดินออกไปที่โต๊ะเขียนคำตอบด้านหน้าเพื่อตอบคำถาม

เหตุนี้ถึงมีสายตาของชายหนุ่มนับพันจับจ้องไปที่แผ่นหลังของฟู่เสี่ยววนเช่นเคย

 มิจริง !  

 ถอดใจยอมเเพ้เสียเองเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ในเมื่อยอมแพ้มาแล้วสองหัวข้อ หัวข้อนี้ก็คงมิแยแสเท่าใดนัก 

 เป็นไปได้หรือไม่ที่พวกเราจะสามารถประพันธ์บทความแสนวิจิตรบรรจงออกมาได้เพียงมิกี่อึดใจ ?  

 เจ้าคิดบ้าอันใดอยู่ ตั้งครรภ์ยังใช้เวลานานถึงสิบเดือน ต่อให้มีพรสวรรค์เยี่ยงไรก็จำต้องใช้เวลาเจียระไนพอสมควร !  

 ในเมื่อมิแยแสชัยชนะตั้งแต่แรก เช่นนั้นเขาจะถ่อมาเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้ด้วยเหตุใดกัน ?  

 หรือว่าเขาประพันธ์งานดี ๆ ออกมาได้อย่างแท้จริง !  

เหตุใดหลายคนถึงได้เห็นพ้องต้องกัน เพราะการประพันธ์วรรณกรรมใด ๆ นั้น หนึ่งคือต้องมีแรงบันดาลใจ สองคือต้องขัดเกลา แรงบันดาลใจนั้นมักจะมาด้วยความบังเอิญ ส่วนการขัดเกลาต้องใช้ความประณีตและความอดทน เช่นนั้นแล้วจึงต้องใช้เวลามากพอสมควร

ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับมิต้องใช้เวลาในการขบคิดเลยแม้แต่น้อย !

 หากเป็นเช่นนี้แล้วเขาคว้าชัยชนะมาครองได้…นั่นก็หมายความว่า เขารู้หัวข้อมาแล้วล่วงหน้า !  

เมื่อคุณหนูถังซานมองแผ่นหลังนั้น คิ้วของนางนั้นมิได้แสดงออกถึงความรู้สึกใด นางถึงได้เอ่ยออกมาเช่นนั้น

เหล่าบัณฑิตด้านล่างนั้นต่างถกเถียงกันเรื่องของฟู่เสี่ยวกวน ส่วนด้านบนเวทีนั้นเมื่อเหวินสิงโจวเห็นฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ส่งยิ้มให้กับเขาด้วยความปลื้มใจ แววตาคู่นั้นมิอาจปกปิดซ่อนความความคาดหวังอันแรงกล้านี้ได้

วันนี้เขาจะสามารถประพันธ์บทความที่ทำให้ใต้หล้านี้ต้องตกตะลึงได้อีกหรือไม่ ?

……

ต่งซูหลานยังคงนั่งฝนหมึก นางรู้สึกสุขใจทุกคราที่ได้ฝนหมึกให้กับฟู่เสี่ยวกวน

บทกวีของการแข่งขันเมื่อวานนั้นนางได้เห็นมันเป็นคนแรก แม้ว่าจะคบหากับฟู่เสี่ยวกวนมาได้เกือบปีแล้ว แต่นางก็ยังคงถูกบทกวีเหล่านั้นดึงดูดมิเสื่อมคลาย

นี่เป็นว่าที่สามีที่นางเลือกด้วยตนเอง นางรู้สึกภูมิใจในตัวเขามากยิ่งนัก !

นี่แหละถึงเป็นอัจฉริยะอย่างแท้จริง บทกวีที่แสนงดงามถึงเพียงนี้ได้ไหลออกมาอย่างพรั่งพรูภายในระยะเวลาอันสั้น มีความคิดลึกซึ้ง มีความใจกว้างรับฟังผู้อื่น ช่ำชองด้านวิชาการ และกระตือรือร้นมากยิ่งนัก !

ชายหนุ่มเยี่ยงนี้ยังมีที่ใดอีกในผืนปฐพี ?

ฟู่เสี่ยวกวนยกพู่กันขึ้นแล้วเริ่มจรดปลายพู่กันลงบนผืนกระดาษ จากนั้นจึงได้ปรากฏลายมือหวัดที่เขียนเป็นตัวอักขระสามตัวว่า ‘บทความเรือนซ่อมซ่อ’

คีรีใช่สำคัญที่ความสูง หากมีเทพสถิตนามนั้นย่อมนามระบือ

ธาราใช่สำคัญที่ความลึก หากมีมังกรสถิตนั้นย่อมศักดิ์สิทธิ์

จวนหลังน้อยแสนซ่อมซ่อ มีเพียงคุณธรรมข้าเลื่องลือ

ตะไคร้น้ำปกคลุมชานบ้าน หญ้าเขียวสดส่องม่านเขียว

เสียงสนทนาดั่งผู้รู้ ผู้สัญจรไร้คนเขลา

เสียงฉินดีดไร้การปรุงแต่ง นั่งอ่านคัมภีร์ทอง

ไร้เสียงปี่กลองระคายหู ไร้เสียงหนังสือราชการหนักสมอง

ที่หนานหยางมีกระท่อมของขงเบ้ง ที่ซีสู่มีศาลาจื่อหยุน

ขงจื๊อเอ่ยถาม  เรือนนี้ซ่อมซ่อเยี่ยงไร ?  

เพียงแค่ชั่วลมหายใจเดียวเท่านั้น ฟู่เสี่ยวกวนวางพู่กันแล้วมองผลงานที่ตนเองบรรจงเขียน เดิมทีเขาอยากเปลี่ยนท่อนที่หนานหยางมีกระท่อมของขงเบ้ง ที่ซีสู่มีศาลาจื่อเหวิน เป็นชื่อที่หลินเจียงมีตำหนักซีซาน ที่เมืองหลวงมีศาลาสวนสาลี่ แต่คิดแล้วคิดอีกก็มิได้เปลี่ยน เพราะถ้าหากเปลี่ยนความหมายคงมิงดงามเช่นเดิม อีกทั้งแบบนี้ก็ถือเป็นการแสดงความเคารพต่อผลงานระดับตำนาน

หากมีใครใคร่สืบเสาะว่าหนานยางมีกระท่อมของขงเบ้งอยู่ที่แห่งใดก็เรื่องของเขา

ทว่าที่เขามิล่วงรู้ก็คือ ณ เขตหนานหยางแห่งแคว้นฝานได้มีกระท่อมของขงเบ้งอยู่อย่างแท้จริง แล้วขงเบ้งนักปราชญ์ผู้เกรียงไกรก็อาศัยอยู่ที่นั้นอย่างแท้จริง

เดิมทีดินแดนที่ได้ชื่อว่าซีสู่ ก็คือดินแดนบริเวณซีฮวงในทุกวันนี้ แต่ก่อนมีชายผู้หนึ่งนามว่า จื่อหยุนได้ทุ่มแรงกายเผยแพร่คัมภีร์หลักคิดขงจื๊อที่นี่ เขาใช้เวลาทั้งชีวิตเผื่อเผยแพร่คำสอนแก่ผู้คน

ปัจจุบันนี้ จื่อหยุนผู้นั้นได้อาศัยอยู่ที่อำเภอซีหรง จื่อหยุนนั้นมีแซ่ว่าหยาง ซึ่งแตกต่างจากชาติที่แล้วของฟู่เสี่ยวกวน ตระกูลหยางได้ลงหลักปักฐานที่ซีหรง และเช้าตรู่ของวันนี้ก็ได้กลายเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงแห่งเมืองซีหรง

ฟู่เสี่ยวกวนวางพู่กันลง จากนั้นเหวินสิงโจวก็ได้รีบเดินเข้าไป เมื่อสายตาคู่นั้นได้จรดลงบนตัวอักขระของบทความในกระดาษ ก็ยากที่จะถอดถอนสายตานั้นออกมาได้

ยากที่จักควบคุมตนเอง เขามิรีรอให้น้ำหมึกบนกระดาษนั้นแห้งสนิทเสียก่อน จากนั้นจึงได้รีบนำกระดาษแผ่นนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ฟู่เสี่ยวกวนจมอยู่กับความมิเข้าใจในสิ่งที่เขาทำไป

……

ณ หอป๋อเสวีย

นักปราชญ์ทั้งแปดท่านได้อ่านบทกวีของเมื่อวานซ้ำไปซ้ำมา เหวินสิงโจวใช้มือกุมกระดาษแผ่นนั้นแล้วเดินขึ้นไปบนอาคารด้วยความเร่งรีบ

 ทุกท่าน ทุกท่าน ! นี่มันบทประพันธ์แห่งทวยเทพ นี่มันบทประพันธ์แห่งทวยเทพ !  

นักปราชญ์ทั้งแปดคนแหงนหน้าขึ้นมองอย่างพร้อมเพรียงกันในทันใด ท่านนักปราชญ์จ้วงผู้เป็นอาจารย์ใหญ่แห่งสำนักศึกษาหลีชานได้หันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง นี่มันเพิ่งจะกี่ยามเท่านั้นเอง ?

 เป็นผลงานของฟู่เสี่ยวกวนอีกแล้วเยี่ยงหรือ ?   ท่านนักปราชญ์จ้วงตื้นเต้นจนต้องลุกพรวดขึ้นมาถาม

 แน่นอนยิ่ง มาเถิด มาเถิด ทุกท่านมาชื่นชมพร้อมกันเถิด !  

แผ่นกระดาษที่เต็มไปด้วยลายมือหวัด ๆ ของฟู่เสี่ยวกวนนั้นได้ถูกวางลงไว้โต๊ะ แล้วสุดยอดนักปราชญ์ทั้งเก้าคนแห่งราชวงศ์อู๋ได้ห้อมล้อมกระดาษแผ่นนั้นเอาไว้ จากนั้น ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในภวังค์ความเงียบไปชั่วขณะ

เมื่อธูปได้มอดดับไปแล้วครึ่งก้าน บทความนี้ได้ถูกอ่านซ้ำไปซ้ำมาในใจนับยี่สิบคราเห็นจะได้

ท่านนักปราชญ์ตู้ส่ายหัวแล้วถอนหายใจออกมา  หากสรวงสวรรค์มิประทานฟู่เสี่ยวกวนมาให้ โลกมนุษย์นับหมื่นปีคงเป็นดั่งราตรีที่เงียบเหงา อัจฉริยภาพด้านวรรณกรรมเช่นนี้ มิเคยปรากฏในหน้าประวัติศาสตร์มานับพันปี !  

ท่านนักปราชญ์เหมยนั่งอยู่บนเก้าอี้ ความปิตินั้นได้เหือดหายไปแล้ว  พวกข้านั้นเป็นผู้ที่ถูกสังคมเรียกว่านักปราชญ์ ข้ากลับรู้สึกว่านี่เป็นการทับถมพวกข้าอย่างแท้จริง !  

ท่านนักปราชญ์จ้วงก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน เขาพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า  บทความเรือนซ่อมซ่อนี้ ถูกกล่าวถึงเพียงแค่สิบตัวอักขระ แม้ว่าจะซอมซ่อ แต่ผู้ที่อาศัยอยู่ในนั้นกลับดูสูงส่ง วิสัยทัศน์ของฟู่เสี่ยวกวนทำให้เหล่านักปราชญ์ผู้อาวุโสนั้นรู้สึกอับอายมากยิ่งนัก 

เหวินสิงโจวมิได้กล่าวตัดสินใด ๆ เขารีบร้อนเดินไปลงไปยังชั้นสอง จากนั้นเหล่านักปราชญ์ทั้งแปดคนก็ได้วิ่งตามกันลงไปทันที

พวกเขานั้นย่อมอยากคัดลอกบทความนี้เก็บไว้เช่นกัน แต่สิ่งที่เหวินสิงโจวปรารถนาคือนำจารึกนี้บันทึกไว้แล้วนำไปแขวนไว้ในห้องโถงที่จวนของตนเอง

บ้านน้อยแสนซ่อมซ่อ มีเพียงคุณธรรมข้าเลื่องลือ นี่เป็นดั่งคุณธรรมอันสูงส่ง !

ไร้เสียงปี่กลองระคายหู ไร้เสียงหนังสือราชการหนักสมอง นี่ช่างสุขสำราญใจ !

แล้วพลันทำให้นึกถึงบทเพลงไร้ซึ่งปรารถนา ที่บัดนี้ได้ถูกร้องกันอย่างแพร่หลายภายในเมืองกวนหยุน และสิ่งที่ชายหนุ่มผู้นี้ปรารถนามิใช่ชื่อเสียงแลเกียรติยศจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?

 

ยี่สิบสามค่ำเดือนหก !

วันนี้เป็นวันที่สามของงานชุมนุมวรรณกรรม ณ วัดหานหลิงแห่งราชวงศ์อู๋ !

วันนี้ควรจะเป็นวันธรรมดาทั่วไปอีกวันหนึ่ง ทว่ากลับถูกบันทึกไว้ว่าเป็นวันมหามงคลอีกวันหนึ่งในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์อู๋ และแน่นอนว่าวันนี้ย่อมถูกบันทึกเอาไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ทั่วทั้งใต้หล้าด้วยเช่นกัน !

อู๋ฉางเฟิงจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ทรงประกาศสถานะของฟู่เสี่ยวต่อหน้าเหล่าขุนนางในพระองค์ ชายหนุ่มผู้ที่เดิมทีนั้นเป็นเพียงบุตรชายของเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียงผู้ซึ่งเติบโตบนผืนแผ่นดินที่ห่างออกไปไกลถึงสามพันลี้ เขาได้ไต่เต้ามาจากตำแหน่งขุนนางขั้นสี่ไท่จงต้าฟู และเจี้ยนอี้ต้าฟูแห่งราชวงศ์หยู จากนั้นจักรพรรดิเหวินได้ทรงตรัสและออกพระราชโองการทำให้ฟู่เสี่ยวกวนได้เปลี่ยนตัวตนเป็นโอรสในจักรพรรดิเพียงชั่วพริบตา

การถกเถียงกันอย่างดุเดือดภายในพระราชวังจวี้หัว เมื่อเจอกับไทเฮาที่ทรงเสด็จมาแล้วทรงตรัสอย่างนุ่มนวล เพียงเท่านี้ก็สามารถพิสูจน์สถานะที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวได้แล้ว อีกทั้งยังทรงเน้นยำอีกว่าเยี่ยงไรเสียฟู่เสี่ยวกวนก็จะได้เข้ามามีบทบาทในพระราชตำหนักบูรพา

ในเมื่อสถานการณ์ได้กลายมาเป็นเช่นนี้ ต่อให้เหล่าขุนนางเป็นหมื่นเป็นพันรู้สึกขุ่นเคืองเยี่ยงไร ก็ไร้ซึ่งความหวังที่จะพลิกแพลงสถานการณ์ใด ๆ ได้ จักรพรรดิเหวินนั้นมีพระโอรสเพียง 2 พระองค์ องค์รัชทายาทพระองค์เดิมนั้นได้โดนถอดถอนออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาทแล้ว และได้ถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอ๋องแทน ตั้งแต่นี้ก็จำต้องจากเมืองกวนหยุนเมืองซึ่งเป็นศูนย์กลางของอำนาจไปยังที่ทำการเขตปกครองฉางหนิง

องค์รัชทายาทพระองค์ใหม่ก็ได้ถูกตราหน้าว่าเป็นโอรสนอกสมรส

บ้างก็คิดว่าที่เซียวเฉียงได้กระทำนั้นไร้ค่า นางได้ลงมือกับฟู่เสี่ยวกวนอย่างอหังการ แต่ทว่าทั้งหมดนั้นกลับกลายเป็นอาภรณ์นุ่งห่มที่เพิ่มมูลค่าให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนเสีย

บ้างก็กังวลว่าเมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้เข้ามากุมอำนาจในราชวงศ์อู๋แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อพระราชสำนักขึ้นมา

แน่นอนว่าย่อมมีคนที่เห็นแตกต่าง คิดว่าพรสวรรค์และความสามรถของฟู่เสี่ยวกวนนั้นจะสามารถทำให้ราชวงศ์อู๋มีอนาคตที่รุ่งเรืองได้ ให้ราชวงศ์ยิ่งใหญ่เกรียงไกรยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก !

แต่ทั้งหมดทั้งมวลนี้ แม้แต่เจ้าตัวที่กำลังเข้าร่วมการแข่งขันที่วัดหานหลิง และผู้เข้าร่วมการแข่งขันคนอื่น ๆ ก็ยังมิได้ยินข่าวใหญ่นี้แม้แต่คนเดียว

……

เพราะมีงานชุมนุมวรรณกรรมที่วัดหานหลิงเป็นเหตุให้ต้องปิดอาณาเขตวัดเป็นเวลาสามวันสามคืน งานชุมนุมวรรณกรรมครานี้ได้ถูกจัดขึ้นที่ลานเบื้องหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ วัดหานหลิงนั้นตั้งอยู่ส่วนหน้าของภูเขา ทำให้บรรยากาศนั้นเงียบสงบมากยิ่งนัก

ตลอดการจัดงานชุมนุมวรรณกรรมไร้ซึ่งหมู่มวลชนผู้เลื่อมใสคนใดสามารถย่างกรายเข้ามาในอาณาเขตของวัดได้ แต่ก่อนทุกอุโบสถภายในวัดนั้นจะคละคลุ้งไปด้วยควันธูปและควันจากการเผากระดาษเงินกระดาษทอง แต่บัดนี้ได้มอดดับสิ้น มีเพียงแค่แสงโคมไฟด้านหน้าของพระพุทธรูปเท่านั้นที่ยังคงส่องแสงอยู่ มีธูปเพียงมิกี่ก้านหน้าพระพุทธรูปเท่านั้นที่ส่งควันโชยออกมา

ฟู่เสี่ยวกวนส่งกระดาษคำตอบภายในเวลาที่รวดเร็วเสียยิ่งกว่าเมื่อวาน จากนั้นเขาก็ไร้ซึ่งภารกิจใด ๆ อีก เขาจึงได้พาคณะของเขาปีนขึ้นไปบนยอดเขา เพราะหยูเวิ่นหวินและต่งซูหลานได้เอ่ยไว้ว่า ที่ราชวงศ์หยูนั้นไร้ซึ่งพระพุทธรูป เมื่อมาถึงที่นี่แล้วก็ควรจะไปสักการะบูชาเสียหน่อย

เรื่องสักการะบูชาพระพุทธรูปนั้นแน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้ขัดแย้งใด ๆ เพราะเป็นการเลื่อมใสศรัทธาอย่างหนึ่ง แต่ที่คาดคิดมิถึงคือวัดหานหลิงนี้ช่างกว้างใหญ่มากยิ่งนัก พวกเขาต่างก็มิคุ้นชินเส้นทาง และมิทราบว่าการสักการะพระพุทธรูปนั้นมีกฎเกณฑ์เยี่ยงไร พวกเขาเลยเสียเวลาไปกับการเดินไปก้มกราบไปตลอดทาง

และบัดนี้ ณ หอป๋อเสวีย เหล่าคณะกรรมการนักปราชญ์ทั้งแปดท่านได้ง่วนอยู่กับการอ่านกองบทกวีที่แสนขี้เหร่และมิเข้าตาเอาเสียเลย มิมีแม้แต่คนเดียวที่อยากเอ่ยสิ่งใดออกมา

ไร้ซึ่งคำชมและความคิดเห็นอื่นใด

บทกวีเหล่านี้มิคู่ควรกับการชมเชยใด ๆ ทั้งสิ้น

และผู้แต่งบทกวีแสนขี้เหร่เหล่านี้ก็มิมีคุณสมบัติใด ที่จะได้รับคำติชมจากพวกเขาทั้งสิ้น

เวลาล่วงเลยไปเนิ่นนาน เสนาบดีกรมพิธีการก็ได้ประกาศออกมาอย่างหนักแน่น ทลายความเงียบงันที่ได้ก่อตัวขึ้นมายาวนาน

 ต่อไปนี้…การแข่งขันกวีเช่นนี้ก็มิจำเป็นต้องจัดอีกแล้ว 

ท่านนักปราชญ์ตู้ยกมือขึ้นลูบเครายาวตรงช่วงขากรรไกรด้านบน แล้วพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา  ข้าได้เดินพักผ่อนหย่อนใจอยู่ที่ลาน ยังมีเหล่าบัณทิตอีกพันกว่าชีวิตที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับการคิด มิมีแม้แต่ผู้เดียวที่จรดปลายพู่กันเพื่อตอบปัญหา ทว่าเจ้าหนุ่มฟู่เสี่ยวกวนกลับตอบเสร็จแล้วทั้งสามข้อ ข้ายังรู้สึกเห็นใจคนหนุ่มพวกนั้นที่ต้องนั่งอยู่ในลาน ข้ายังได้ยินเสียงคนแว่วดังมาจากทางเชิงเขา เอ่ยว่าอยากจะปีนไปยังยอดเขา เมื่อก้มหน้าไปมองนั้นเป็นเขาฟู่เสี่ยวกวน ฮ่า ๆ ๆ  

เขาหัวเราะอย่างเย้ยหยันแล้วส่ายหัว  ช่างมิรู้อันใดเอาเสียเลยว่าฟู่เสี่ยวกวนมิเพียงแค่ได้อยู่บนยอดเขาเท่านั้น แต่ยังได้อยู่เหนือเมฆเหนือแผ่นดินทั้งปวง มิต้องเอ่ยถึงว่าจะไล่ตามเลย เพียงแค่แหงนหน้ามองก็สูงเกินกว่าที่ดวงตาจะมองเห็น !  

แม้แต่ท่านนักปราชญ์เหมยผู้คอยปกป้องราชวงศ์อู๋ตลอดมาบัดนี้ก็มิได้แก้ต่างประการใดแทน

สีหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความหดหู่ใจ คิดว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นเป็นปรมาจารย์ด้านการประพันธ์ อีกทั้งยังเป็นโอรสแห่งสวรรค์ ปัญญาชนหรือนักปราชญ์ผู้ใดบนโลกใบนี้ก็ยากที่จะเอาชนะเขาได้

บทกวีทั้งห้าจากการแข่งขันเมื่อวันที่สองนั้น แม้ว่าเขาจะพยายามหาข้อตำหนิเยี่ยงไรก็หามิเจอ อีกทั้งอ่านแล้วก็ยังรู้สึกรื่นรมย์มิเสื่อมคลายอีกด้วย ความสามารถเช่นนี้ของฟู่เสี่ยวกวนทำให้เขาจำต้องนับถือ !

ท่านนักปราชญ์จ้วงผู้เป็นอาจารย์ใหญ่แห่งสำนักศึกษาหลีซานบัดนี้แววตาได้เจิดจรัสมากเช่นกัน เขามิได้เอ่ยอันใดออกมา เขาเพียงแค่หยิบกระดาษและพู่กันออกมา แล้วบรรจงคัดลอกบทกวีทั้งห้าบทนี้ใส่ในกระดาษทั้งห้าแผ่น

เหวินสิงโจวรู้สึกประหลาดใจจึงได้เอ่ยถาม  ท่านอาจารย์จ้วงเหตุใดถึงทำเช่นนี้กัน ?  

เยี่ยงไรเสียบทกวีทั้งห้านี้ก็จะถูกเผยแพร่ไปทั่วทั้งใต้หล้า จึงย่อมติดหูทุกคนอย่างเร็ว คัดลอกเพียงแค่นี้จะเป็นอันใดไป ?

ท่านนักปราชญ์จ้วงหัวเราะด้วยท่าทีมีสุข  ทุกท่านฟู่เสี่ยวกวนจะเดินทางกลับเมื่อได้ร่วมงานเฉลิมพระชนมพรรษาของไทเฮาจนเสร็จลุล่วง มิทราบได้ว่าจะกลับมาเยือนอีกคราเมื่อใดกัน และก็มิทราบว่าเมื่อถึงตอนนั้นชีวิตข้าจะวอดวายไปก่อนหรือไม่ ประเดี๋ยวข้าจะไปหาฟู่เสี่ยวกวนแล้วให้เขาลงชื่อไว้บนกระดาษทั้งห้าแผ่นนี้เสีย แล้วจึงจะม้วนกลับไปยังสำนักศึกษาแล้วแขวนไว้บนฝาห้องเรียน นี่เป็นถึงบทกวีของผู้ที่ชนะการแข่งขันกวีทั่วทั้งใต้หล้าครานี้ หากแม้ได้เก็บไว้เป็นมรดกให้ลูกหลานได้เชยชมสืบไปนั้นเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง !  

เมื่อได้ยินเช่นกัน นักปราชญ์อีกแปดคนที่เหลือต่างก็ฉุกคิดขึ้นได้ตามกันมา น้ำหมึกอันล้ำค่าที่กล่าวขานกันมาคงเป็นเช่นนี้นี่เอง

จากนั้นจึงได้ลุกขึ้นไปหากระดาษและน้ำหมึกกันจ้าละหวั่น เหวินสิงโจวได้วิเคราะห์ดูแล้ว เขาจึงอดที่จะหัวเราะออกมามิได้ จากนั้นจึงได้ขอตัวไปยังชั้นสองของตึก

กระดาษบนชั้นสามแห่งนี้นั้นเล็กเกินไป เขาจึงเดินลงไปยังชั้นสองเพื่อหากระดาษแผ่นที่ใหญ่กว่าแล้วเขียนตัวอักษรให้ใหญ่กว่าเดิมอีกเล็กน้อย เสร็จแล้วจึงนำไปแขวนบนฝาจวนของตนเอง !

เมื่อเหวินสิงโจวได้กางกระดาษแผ่นใหญ่นี้วางไว้บนโต๊ะ นักปราชญ์อีกทั้งแปดคนก็มิได้อยู่นิ่งเฉย เหตุใดตาเฒ่าเหวินนั้นต้องเขียนตัวใหญ่กว่าด้วย

ท่านนักปราชญ์จ้วงเป็นคนที่สองที่เดินลงไปยังชั้นสอง จากนั้นอีกเจ็ดคนที่เหลือจึงเดินลงไปตาม ๆ กัน ราวกับเกรงว่ากระดาษแผ่นนั้นจะมิเหลือถึงมือตน !

เหวินสิงโจวได้หยิบพู่กันขนาดใหญ่เท่ากำปั้น แล้วจุ่มลงไปในน้ำหมึกสีดำ แล้วอาศัยช่วงจังหวะที่รู้สึกคลั่งไคล้นี้ จรดปลายพู่กันลงบนแผ่นกระดาษ

ยุติความวุ่นวาย จงละเลยเสียงฝนกระทบใบไม้ในพงไพร

เมื่อรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่เก้า ยี่สิบค่ำเดือนสอง ริมชายแดนมีฝนพร่ำพรู สิ่งของสำหรับกันฝนติดอยู่หน้าขบวน ทั้งขบวนต่างรู้สึกเวทนา มีแต่ข้าที่มิคิดเช่นนั้น เพราะมินานฟ้าจะกลับมาแจ่มใส ด้วยเหตุนี้จึงนำมาประพันธ์ความ

จงละเลยเสียงฝนกระทบใบไม้ในพงไพร เหตุใดเจ้าจึงมิโห่ร้องทำนองเพลงแล้วเดินให้ช้าลง

ก้านไผ่แลรองเท้าฟางว่องไวกว่าการขี่ม้าไป มีสิ่งใดน่าหวาดกลัว

ชุดฝนนั้นโดนลมพัดปลิว คงมิต่างอันใดกับชีวิตข้า

ลมเย็นแห่งวสันตฤดู พาฤทธิ์สุราในตัวข้าให้หายไป ความหนาวเหน็บทักทายแสงสุริยาอันแจ่มใส

หันหน้าไปมองทางสายฝนที่เดินผ่านมา จงกลับไปเถิด

หากไร้หยาดฝน ก็ย่อมไร้แสงสุริยา

นี่เป็นตัวอักขระที่บรรจงเขียนโดยเหวินสิงโจว ตัวอักษรแต่ละตัวนั้นช่างดูยิ่งใหญ่

นี่เป็นบทกวีที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ประพันธ์ออกมา ตัวอักขระเหล่านี้ได้ปลดปล่อยความหมายของผู้ประพันธ์ได้อย่างลึกซึ้ง !

ตัวอักขระและคำกลอนแสนวิจิตรบรรจงเยี่ยงนี้หากมีลายมือชื่อของฟู่เสี่ยวกวนเพิ่มเติมความสมบูรณ์เข้าไป…เหวินสิงโจวยิ้มด้วยความพึงพอใจ บทกวีและอักขระทั้งห้าบทนี้หาที่ใดมิได้อีกแล้ว ต่อให้ใช้เงินมากกว่าหนึ่งหมื่นตำลึงก็มิอาจซื้อมาได้ !

……

นักปราชญ์ทั้งห้าท่านบนหอป๋อเสวียได้คัดลอกบทกวีของฟู่เสี่ยวกวน และเวลานี้ฟู่เสี่ยวกวนและคนในคณะทั้งหกคนกำลังเดินเท้าไปสักการะพระพุทธรูปในวัดหานหลิง

 นั่นมันเทพเจ้าประจำแผ่นดิน เจ้ากราบไหว้ด้วยเหตุใดกัน ?  

 ข้ากราบไหว้เขาก็เพื่อให้ที่ดินของเจ้าอุดมสมบูรณ์ปลูกอะไรก็งอกเงยน่ะสิ 

 นี่เหมือนจะเป็นเทพเจ้าขอบุตรธิดา พวกเจ้าสักการะท่านตอนนี้มิเร็วไปหน่อยเยี่ยงนั้นหรือ ?  

เมื่อทั้งสองนางได้ยินก็เขินเสียจนหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ พวกนางทำหน้าถมึงทึงใส่ฟู่เสี่ยวกวน ทว่ากลับคิดมิถึงเมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้วซูซูก็ได้เดินรุดไปกราบสักการะอย่างมิรีรอทันพลัน

 เจ้า…หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?  

หน้าขาวอมชมพูของซูซูได้แดงระเรื่อเพราะขัดเขินขึ้นมาเช่นกัน นางคว้าเศษเหรียญจากชายเสื้อแล้วหย่อนลงไปที่ตู้รับบริจาค  ข้าเองก็อยากมีลูกด้วยเช่นกัน !   นางเอ่ยออกมาเบาๆ

 …… !  

 

 องค์ไทเฮาเสด็จ !  

เมื่อเสียงนั้นจางหายไปมิทันไร ขบวนของไทเฮาก็ได้เสด็จมาถึงท้องพระโรงพอดิบพอดี

จัวอี้สิงโล่งอกด้วยความดีใจ ในที่สุดไทเฮาก็เสด็จมาเสียที !

เหล่าขุนนางต่างดีอกดีใจมากเช่นกัน สถานการณ์ปัจจุบันนั้นเป็นที่แน่ชัดยิ่ง ในเมื่อฝ่าบาทมิได้ปกปิดสถานะของฟู่เสี่ยวกวนอีกต่อไป อีกทั้งยังป่าวประกาศว่าจะเคลื่อนย้ายศพของสวี่หยุนชิงมาไว้ที่สุสานราชวงศ์จิ่วกงซาน เช่นนั้นความตั้งใจแน่วแน่ที่จะกำจัดองค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันนั้นได้ถูกตัดสินพระทัยแล้วอย่างหนักแน่น ดูเหมือนว่าต่อให้จัวอี้สิงอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายนั้นดึงดันหัวชนฝาให้ตายเยี่ยงไรก็ยากที่จะเปลี่ยนพระทัยของฝ่าบาทได้

และผู้ซึ่งมีอำนาจเปลี่ยนแปลงฟ้าดินได้เห็นทีจะมีเพียงไทเฮาพระนางเดียวเท่านั้น

บัดนี้ไทเฮาได้เสด็จมาถึงแล้ว การถกเถียงในท้องพระโรงถูกยุติเป็นการชั่วคราว

หากเอ่ยจากใจจริง ผู้ที่มีความสามารถในด้านการรบจะมีผู้ใดบ้างเล่าที่ยอมรับฟู่เสี่ยวกวนเป็นองค์รัชทายาท เพราะฟู่เสี่ยวกวนเป็นโอรสนอกสมรสของจักรพรรดิเหวิน เขามิได้เกิดและเติบโตในแคว้นอู๋ แต่กลับไปเติบโตยังแคว้นหยูดินแดนที่ห่างไกลกว่าสามพันลี้

แม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นชายหนุ่มที่นามกระเดื่องทั่วหล้า แต่สำหรับขุนนางเหล่านี้นั้น เขาก็ยังเป็นเพียงคนนอกอยู่ดี

แม้ว่าองค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันจะมิเอาไหน แต่อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาก็ได้เชื่อมั่นเสียเหลือเกินว่าจะสามารถอบรมสั่งสอนเขาได้ เพราะเขาคือคนที่เกิดและเติบโตบนผืนแผ่นดินของราชวงศ์อู๋ สายเลือดของเขานั้นย่อมบริสุทธิ์กว่า

จักพรรดิเหวินตกตะลึง เขานึกในใจว่าไทเฮาไปพักผ่อนพระวรกายที่เรือนประทับหยุนชิง ณ เขาหานซานมิใช่หรือ เหตุใดถึงได้เสด็จกลับพระราชวังเสียแล้ว ?

เดิมทีพระองค์ประสงค์ที่จะใช้โอกาสนี้จัดการธุระนี้ให้แล้วเสร็จ แต่คาดมิถึงว่าเกือบจะประสบความสำเร็จได้อยู่แล้วแท้ ๆ ทว่าไทเฮากลับได้ยินเสียงพรายกระซิบจนทำให้ต้องเสด็จกลับมายังพระราชวังจวี้หัวด้วยตนเอง

หรือว่าจะต้องพ่ายแพ้แม้ว่าจะเห็นชัยชนะอยู่เพียงแค่เอื้อมมือ ?

พระองค์ได้สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ จากนั้นจึงเสด็จลงมาจากแท่นมังกร

ไทเฮาทรงเครื่องมาเต็มยศ แล้วได้เสด็จลงมาจากรถม้า

ด้านซ้ายมือของพระนางนั้นคืออู๋หลิง ส่วนด้วนขวามือนั้นเป็นหนานกงตงเซวี๋ย

สองมือของพระนางนั้นได้ประคองไม้เท้ามังกรไว้และบัดนี้ได้ยืนรออยู่ตรงประตูด้านข้างของพระราชวังจวี้หัว จักรพรรดิเหวินได้คำนับต่อพระนาง  มิทราบว่าเสด็จแม่จะทรงมาเยือน ขุนนางของลูกมิได้ทำหน้าที่ต้อนรับอย่างสมพระเกียรติ 

 อายเจีย1ฉุกคิดขึ้นมาได้ เลยคิดว่าจะมาเยี่ยมเยือนเสียหน่อย ขุนนางเหล่านั้นคุกเข่าไปเพราะเหตุใดกัน ลุกขึ้นมาเถิด 

เหล่าขุนนางต่างลุกขึ้นพร้อมกับกล่าวขอบพระทัยแก่องค์ไทเฮา สีหน้าเดิมที่เต็มไปด้วยความวิตกนั้นค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ ความหวาดผวาในสายตาเหล่านั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นมีความหวังขึ้นมาในทันที

ไทเฮาทรงแหงนพระพักตร์แล้วใช้สายตากวาดมองไปยังด้านในพระราชวังจวี้หัวโดยรอบ ภายใต้แรงพยุงของอู๋หลิงและหนานกงตงเซวี๋ย นางค่อย ๆ เดินไปเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า

 ตามธรรมเนียมนั้นอายเจียมิบังควรมายังที่แห่งนี้ !  

 ทว่าเมื่อคืนอายเจียฝัน… ฝันถึงองค์จักรพรรดิพระองค์ก่อน พระองค์ได้สั่งเสียอายเจียไว้เรื่องหนึ่ง 

พระนางทรงดำเนินไปบนแท่นมังกร จากนั้นก็ได้ยืนอยู่บนแท่นมังกร

สายพระเนตรของพระนางได้กวาดมองใบหน้าของขุนนางเหล่านั้น แล้วทรงแย้มพระสรวลออกมา  อายเจียดีใจยิ่งที่ได้พบกับพวกท่าน ในนี้มีทั้งขุนนางหน้าเก่าที่เคยรับใช้องค์จักรพรรดิพระองค์ก่อน และขุนนางหน้าใหม่ที่มิคุ้นตาอีกมากมาย พวกท่านเป็นดั่งเสาหลักของราชวงศ์ และเป็นดั่งกระดูกขาและกระดูกแขนของฝ่าบาท 

 ทว่าอายเจียมาเยือนครานี้มิประสงค์ที่จะยุ่งเกี่ยวกับการถกเถียงวาระสำคัญของบ้านเมือง เพียงแต่สิ่งที่องค์จักรพรรดิพระองค์ก่อนได้สั่งเสียกับอายเจียในฝันนั้น อายเจียคิดว่าควรนำมาบอกกล่าวกับพวกท่านเช่นกัน 

ทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังไทเฮา ต่างคิดว่าความฝันในครานี้จะช่วยเกลี้ยกล่อมให้ฝ่าบาททรงเปลี่ยนพระทัยได้หรือไม่ ?

นี่เป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมอย่างมิต้องสงสัย หากมีคำตรัสจากองค์จักรพรรดิองค์ก่อนมาสนับสนุน ฝ่าบาทก็จะไร้ซึ่งข้อโต้แย้งอื่นใดมาขัดขืนอีกต่อไป ตำแหน่งองค์รัชทายาทจะได้มั่นคงเสียที

 ฝ่าบาท ท่านเองก็โปรดตั้งใจฟัง 

จิตใจของจักรพรรดิเหวินนั้นเริ่มมิเป็นสุข จากนั้นพระองค์ก็ได้ก้มคำนับ  ลูกและเหล่าขุนนางน้อมรับคำสั่ง !  

 องค์จักรพรรดิพระองค์ก่อนได้กล่าวไว้ว่า มีนิมิตหมายอันเป็นมงคลขององค์จักรพรรดิองค์ใหม่ได้ปกคลุมทั่วผืนนภาแห่งราชวงศ์อู๋ นิมิตหมายมงคลนี้ได้เดินทางมาจากดินแดนทางเหนือเมื่อมินานมานี้ พระองค์ได้ทรงทอดพระเนตรมายังชายผู้นั้นเสมอมา และเพิ่งเข้าใจอย่างถ่องแท้เมื่อมินานมานี้นี่เอง ว่าแท้จริงเเล้วเขาเป็นโอรสแห่งสวรรค์ที่ไปเติบโตในโลกแห่งสามัญชน 

สิ่งที่ไทเฮาทรงตรัสออกมาทำให้เหล่าขุนนางทั้งท้องพระโรงต่างก็ตกตะลึง มิจริง ! ไทเฮาทรงตรัสเช่นนี้ต้องการจะหมายถึงฟู่เสี่ยวกวนหรือไม่ ?

 องค์จักรพรรดิพระองค์ก่อนบอกกับอายเจียว่า ท่านผู้นี้คือสายเลือดแห่งราชวงศ์อู๋ จงอย่าได้ปล่อยให้หนีหายไปที่อื่นอีกเป็นอันขาด จากนั้นอายเจียก็ได้ตื่นขึ้นมาจากห้วงนิทรา แล้วยังคงเก็บสิ่งที่องค์จักรพรรดิพระองค์ก่อนได้ตรัสไว้มาคิดจนถึงกระทั่งทุกวันนี้ 

 เขามาจากทางทิศเหนือ เป็นนิมิตหมายมงคลแห่งโอรสจากสรวงสวรรค์ เช่นนั้นแล้วคนผู้นั้นย่อมเป็นฟู่เสี่ยวกวน !  

เมื่อได้ยินไทเฮาทรงประกาศเช่นนี้ เหล่าขุนนางก็ยิ่งรู้สึกตกตะลึงยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม พวกเขาต่างหันมามองหน้ากันโดยที่มิรู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดได้เยี่ยงไร

และแล้วความตั้งใจของจัวอี้สิงก็ได้แหลกละเอียดเป็นชิ้น ๆ ไทเฮามิได้มาเพื่อจะเปลี่ยนพระทัยขององค์ฝ่าบาท !

พระนางทรงมาเพื่อให้การสนับสนุน !

และแล้วไทเฮาได้นำสมุดบาง ๆ ออกมาจากแขนเสื้อของพระนาง

 แท้ที่จริงแล้วอายเจียรู้มานานแล้วว่าจักรพรรดิเหวินยังมีโอรสอีกหนึ่งพระองค์ที่ไปเติบโตในโลกของสามัญชน เพียงทว่าแต่ก่อนนั้นอายเจียรู้สึกกังวลจนเกินเหตุ เพื่อความสงบสุขของราชวงศ์อายเจียจึงได้ฉีกบันทึกทั้งสามปีนั้นของจักรพรรดิมาเก็บเอาไว้ แต่ในวันนี้อายเจียได้เห็นแล้วว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดมหันต์ อายเจียจึงนำบันทึกที่เก็บซ่อนไว้แสนนานนี้ออกมา อีกประเดี๋ยวพวกท่านสามารถนำไปตรวจสอบได้ 

 เดิมทีอายเจียนั้นคิดว่าพระราชตำหนักบูรพานั้นมีเจ้าของอยู่แล้ว ก็จงปล่อยให้ฟู่เสี่ยวกวนเขาได้มีความสุขกับทรัพย์สมบัติเสียเถิด แล้วจึงทำราวกับว่ามิมีสิ่งใดเกิดขึ้น ทว่าราวกับเป็นลิขิตแห่งสวงสวรรค์ อายเจียมิเคยคาดหวังมาก่อนว่าวันนี้ฟู่เสี่ยวกวนจะได้เดินทางมายังเมืองกวนหยุนแห่งนี้ แล้วคนตระกูลเซียวนั่นก็คอยตามสังหารเขาอย่างบ้าคลั่ง !  

 เซียวเฉียงผู้นี้เลือดเย็นยิ่งนัก มิว่าจะเยี่ยงไรก็ตาม เลือดเนื้อที่ไหลเวียนในตัวของฟู่เสี่ยวกวนนั้นเป็นเลือดเนื้อของฝ่าบาท ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยนำพิษภัยอันใดมาให้แก่ตำแหน่งรัชทายาท ทว่าเหตุใดนางผู้นั้นถึงต้องการประหารสายเลือดแท้ ๆ ของฝ่าบาท สิ่งนี้ทำให้อายเจียทนรับมิได้ !  

 ที่องค์จักรพรรดิพระองค์ก่อนได้มาเข้าฝันอายเจียเมื่อคืนคงเป็นเพราะพระองค์เองก็คงจะทนทอดพระเนตรมิได้ด้วยเช่นกัน 

ไทเฮาได้ทอดพระเนตรมองไปยังจักรพรรดิเหวิน  เขาเป็นโอรสของพระองค์ อีกทั้งยังเป็นโอรสพระองค์ใหญ่ของพระองค์ ฐานะการสืบสันติวงศ์นี้พระองค์ควรยกให้เขา ส่วนองค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันนั้น อายเจียเห็นว่าควรให้เขาไปปกครองเขตปกครองฉางหนิงเสียเถิด ในเมื่อพระมารดาขององค์รัชทายาทได้ปลงพระชนม์อ๋องพระองค์ก่อนไปแล้ว ก็จงแต่งตั้งองค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันเป็นอ๋องคนถัดไปเถิด ถือว่าเป็นเครื่องเตือนใจให้แก่เขา 

จักรพรรดิเหวินทรงพระโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง นี่ช่างเปรียบดั่งการส่งถ่านมาให้ท่ามกลางหิมะที่หนาวเหน็บ !

พระองค์ได้ขอบพระคุณไทเฮาผู้ซึ่งเป็นมารดา แล้วทรงรับสั่งให้ขันทีได้จดบันทึกพระราชโองการ  จงถอดถอนตำแหน่งของอู๋กานองค์รัชทายาทแห่งพระราชตำหนักบูรพา เพราะอู๋กานมิได้มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับเรื่องฉาวโฉ่ที่คนตระกูลเซียวได้กระทำไว้ จากนี้เขาจะได้รับพระราชทานตำแหน่งอ๋อง เพื่อปกครองเขตปกครองฉางหนิง และให้มีผลตั้งแต่บัดนี้สืบไป !  

 อีกประการหนึ่งจงประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน เมื่อเก้าค่ำเดือนสี่ข้าจะพาฟู่เสี่ยวกวนไปยังวัดเฉินเมี่ยวที่ภูเขาต้าเสวียเพื่อบวงสรวงสู่สวรรค์ จากนั้นสิบห้าค่ำเดือนห้าฟู่เสี่ยวกวนจะติดตามข้าไปยังวัดไท่เมี่ยวเพื่อกราบไหว้บรรพบุรุษ แล้วสลักชื่อเขาไว้บนสมุดปกทอง จากนั้นก็จะเปลี่ยนชื่อเขาเป็นอู๋เสี่ยวกวน !  

เมื่อพระราชโองการทั้งสองของจักรพรรดิได้ป่าวประการให้ทราบอย่างทั่วถึงในท้องพระโรง สำหรับจักรพรรดิเหวินนั้นหมายถึงสถานการณ์ทั้งหมดได้ข้อสรุปแล้ว แต่สำหรับจัวอี้สิงและเหล่าขุนนางอีกร้อยชีวิตนั้นหมายถึงความหวังทุกอย่างได้พังทลายไปแล้ว

 อายเจียมาที่นี่เพื่อประกาศให้พวกท่านทราบโดยทั่วกัน มิใช่เรื่องใหญ่อันใดหรอก อายเจียมิประสงค์จะรบกวนเหล่าขุนนางที่จะหารือกันเรื่องบ้านเมืองอีกต่อไป ทว่าก่อนจากไปยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะกล่าวกับพวกท่าน ผืนปฐพนี้เป็นผืนปฐพีของฝ่าบาท ที่พวกท่านทุ่มเทกำลังกายและใจให้ฝ่าบาท อายเจียรู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจมากยิ่งนัก ต่อจากนี้ผู้ใดจะได้มีอำนาจปกครองพระราชตำหนักบูรพาแห่งนี้ ผู้ใดจะได้นั่งบนบัลลังก์มังกรแห่งนี้ก็อยู่ในความตัดสินใจของฝ่าบาทและพวกท่านทั้งหลาย สิ่งเดียวที่อายเจียหวัง มิว่าผู้ใดจะได้นั่งบนบัลลังก์มังกรนี้สืบต่อไป ก็หวังอย่างยิ่งว่าพวกท่านจะรับใช้เขาด้วยความจงรักภักดีเฉกเช่นในตอนนี้ !  

ไทเฮาทรงตรัสอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็ค้ำไม้เท้าที่ประคองเอาไว้ มีอู๋หลิงและหนานกงตงเซวี๋ยที่คอยประคองพระนางลงจากบัลลังก์มังกร และได้เสด็จดำเนินออกจากพระราชวังจวี้หัว พระนางได้ยืนอยู่ตรงลานขนาดใหญ่ในพระราชวังจวี้หัว จากนั้นจึงแหงนหน้ามองท้องนภา พระพักตร์ของพระนางนั้นแจ่มใสดั่งแสงสุริยาในฤดูใบไม้ผลิ

 งานแข่งขันกวีวันนี้คาดว่าจะเริ่มขึ้นแล้ว หลิงเอ๋อร์…เขาเป็นพระเชษฐาของเจ้า พระเชษฐาสายเลือดเดียวกับเจ้า เจ้าคิดว่าการแข่งขันวันนี้เขาจะประพันธ์บทกวีแบบไหนออกมาเยี่ยงนั้นหรือ ?  

1 อายเจีย แปลว่า ผู้น่าสงสารเพราะว่าเป็นหม้ายร้างพระสวามี

 

บัดนี้ยังคงเป็นยามเช้าตรู่

ฟู่เสี่ยวกวนได้ตอบทั้งสามหัวข้อแห่งการแข่งขันในงานชุมนุมวรรณกรรมเสร็จสิ้นแล้ว ทว่าวันนี้การประชุมช่วงเช้า ณ พระราชวังจวี้หัวยังมิแล้วเสร็จ

การประชุม ณ พระราชวังจวี้หัวนั้นเต็มไปด้วยความตึงเครียด

จักรพรรดิเหวินมิได้นั่งลงเหมือนคราอื่น ๆ แต่พระองค์ทรงยืนอยู่บนแท่นมังกรด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วทรงตรัสอย่างชัดถ้อยชัดคำ

 อู๋กานได้เข้ามามีอำนาจในตำหนักตงกงตั้งแต่รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่หก บัดนี้ได้ผ่านไปเป็นเวลา 4ปีแล้ว ภายในระยะเวลาสี่ปีนี้ พวกเราเองก็ทุ่มประคับประคองแล้วจนสุดกำลัง ด้านวรรณกรรมมีเหวินสิงโจวคอยเป็นอาจารย์ส่วนพระองค์ขององค์รัชทายาท ส่วนด้านวรยุทธ์นั้นมีเป่ยหวังฉวนคอยทุ่มกำลังฝึกฝนให้ แต่บัดนี้สภาพเขาเป็นเยี่ยงไร ?  

 ด้านวรรณกรรมแม้ตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าก็ยังอธิบายความหมายออกมามิได้ ส่วนด้านวรยุทธ์ก็เพิ่งจะบรรลุเป็นผู้มีฝีมือระดับสามเมื่อปีกลายนี้เอง !  

 นี่คือองค์รัชทายาทที่พวกเจ้าได้เสนอชื่อให้แก่ข้า !  

 เป็นองค์รัชทายาทที่วัน ๆ เอาแต่เที่ยวเตร็ดเตร่ที่หลิวหยุนถายแห่งทะเลสาบสือหลี่ สนอกสนใจแต่นางคณิกาพวกนั้น 

 จิตใจของเขามิมีคุณสมบัติของการเป็นจักรพรรดิเลยเยี่ยงนั้น แม้แต่ครึ่งเดียวก็มิมีเยี่ยงนั้นหรือ ? จิตใจของเขานั้นมิคิดที่ช่วยแบ่งเบาความกลัดกลุ้มของเสด็จพ่อสักครึ่งเลยเยี่ยงนั้นหรือ ?  

จักรพรรดิเหวินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วทอดพระเนตรไปยังเหล่าขุนนางที่สวมหมวกดำทั้งห้องโถงและได้นั่งอยู่เบื้องล่าง แล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างแรง  เขา…เขานอกจากกิน ดื่ม เที่ยวเสเพลไปวัน ๆ ก็ทำสิ่งอื่นใดมิได้ทั้งสิ้น !  

 ปีนี้อายุ 14 ปีแล้ว ยังคงมิได้เรื่องเยี่ยงนี้ ข้า…ผิดหวังมากยิ่งนัก ข้านึกตรึกตรองอยู่ทุกคืนวัน หากข้าส่งมอบจักรพรรดิผู้มัวแต่เพ้อฝันและไร้ความสามารถเช่นนี้ให้กับเหล่าขุนนาง ในอนาคตราชวงศ์อู๋จะแปรเปลี่ยนไปเป็นเยี่ยงไรกัน ?  

 บัดนี้ตราบาปของเซียวเฉียงนั้นเป็นที่ชัดเจนแล้ว พระพุทธรูปองค์ใหญ่แห่งวันหานหลิงนั้น ได้มีร่างไร้ลมหายใจของผู้ที่ก่อกบฏถึง 4,000 คน !  

 เห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนตนโดยมิแยแสชีวิตของราษฎร นี่ช่างบ้าคลั่งมากยิ่งนัก !  

 มีมารดาเยี่ยงนี้ พวกเจ้าคิดว่าบุตรชายจะดีเลิศเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 เช่นนั้นแล้ว ข้าตั้งใจที่จะกำจัดองค์รัชทายาทองค์ปัจจุบันนั้นให้พ้นทางเสีย !  

เหล่าขุนนางด้านล่างต่างเงียบกริบจนถึงขั้นได้ยินเสียงเข็มหล่นกระทบพื้น สีหน้าของเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่นั้นได้เปลี่ยนไปเป็นมิสู้ดีเท่าใดนัก

กำจัดองค์รัชทายาทเยี่ยงนั้นหรือ !

อ๋องได้สิ้นพระชนม์แล้ว บัดนี้ฝ่าบาททรงมีแค่พระราชธิดาอู๋จ้าวเพียงพระองค์เดียว หากสูญเสียองค์รัชทายาทพระองค์นี้ไปเสีย…หรือว่าพระองค์ทรงตัดสินพระทัยที่จะมอบราชสมบัตินี้ให้กับโอรสนอกสมรสของพระองค์เยี่ยงนั้นหรือ ?

จัวอี้สิงอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้ก้าวเดินมาด้านหน้า

สองมือของเขาคารวะต่อองค์ฝ่าบาท จากนั้นจึงเอ่ยความอย่างช้า ๆ  กระหม่อมเห็นว่าเรื่องนี้ฝ่าบาทควรตรึกตรองให้ถี่ถ้วนอีกสักคราเสียจะดีกว่า 

 ข้าได้ตรึกตรองมานับสิบคราแล้ว !  

 ขอองค์ฝ่าบาททรงระงับความโกรธแล้วฟังกระหม่อมด้วยเถิด 

จัวอี้สิงเงยหน้าขึ้นมามองจักรพรรดิเหวิน จากนั้นจึงได้เอ่ยกล่าว  องค์รัชทายาทนั้นมีอายุเพียง 14 พรรษา ยังเหลือเวลาอีก 6 ปี หากลองย้อนถามตนเอง มีชายหนุ่มผู้ใดบ้างเล่าที่มิเพ้อฝัน ?  

แล้วเขาก็ได้หันหน้าไปหาเหล่าขุนนาง  ตอนเป็นหนุ่ม พวกเราล้วนเคยเสเพลมาก่อน ทว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทนั้นทรงกระทำถือว่าเลยเถิดเกินที่จะรับไว้ได้หรือไม่ ก็มิใช่…กระหม่อมเล็งเห็นว่านี่มิใช่แค่มิเกินเลย แต่นั่นเป็นภาพลักษณ์ของพระองค์ที่คนหมู่มากได้มองมาก็เพียงเท่านั้น 

จากนั้นเขาก็ได้หันหน้าไปหาจักรพรรดิเหวินอีกครา  ตราบาปของจักรพรรดินีเซียวนั้นมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับองค์รัชทายาท กระหม่อมคิดว่าแม้พระองค์จะทรงอาฆาตจักรพรรดินีเซียวนั้นจนแทบจะอยากจับมาหั่นเป็นชิ้น ๆ เเต่พระองค์ก็มิควรที่จะนำความพยาบาทไปลงกับองค์รัชทายาทเช่นกัน โบราณกล่าวไว้ว่าโกรธเคืองผู้ใดก็อย่าได้นำครอบครัวของเขาไปเกี่ยวข้อง กระหม่อมกล้าเอ่ยอย่างหาญกล้าว่า ณ ท้องพระโรงแห่งนี้ย่อมมีผู้ที่มีความขุ่นหมองกันแต่มิได้นำไปกล่าวโทษบุตรหลานของคู่กรณี 

 กระหม่อมจำได้ดิบดีว่าเมื่อรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สอง ฝ่าบาทได้ทรงยกเลิกกฎหมายประหารเก้าชั่วโคตรด้วยตัวพระองค์เอง ทว่าเมื่อถึงคราขององค์รัชทายาท เหตุใดพระองค์ถึงต้องการเปลี่ยนแปลงความคิดกัน ?  

จัวอี้สิงโค้งคำนับจนตัวแทบจะจรดกับพื้น จากนั้นจึงเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ  เพื่อสันติสุขแห่งราชวงศ์อู๋ กระหม่อมหวังว่าฝ่าบาทจะทรงเพิกถอนคำบัญชา !  

เมื่อคำเอ่ยนั้นได้หลุดออกมาจากปากของเขา เหล่าขุนนางทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังของจัวอีสิงก็ได้เอ่ยพร้อมกันจนเสียงดังกึกก้อง  ขอองค์ฝ่าบาททรงเพิกถอนคำบัญชาด้วยพ่ะย่ะค่ะ !  

จักรพรรดิเหวินทรงกริ้วเสียจนใบหน้าแดงก่ำ พระองค์ทรงกัดฟันตะโกนด้วยความพิโรธ  โอรสพระองค์นี้มันมิได้เรื่อง พวกเจ้าต้องการปรารถนาจะฝังข้าที่สุสานราชวงศ์อู๋ที่ภูเขาเจียงซานหรือเยี่ยงไร ?  

จัวอีสิงยืนตัวตรงตระหง่านแล้วจ้องมองไปยังจักรพรรดิเหวินอย่างมิลดละเช่นกัน  กระหม่อมกราบขอให้ฝ่าบาททรงพิจารณาอีกครา เมื่อคราที่พระองค์ทรงเจริญพระชนมายุได้ 14 พรรษาพระองค์ได้กลายเป็นความหวังของราชวงศ์แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? กระหม่อมจำได้แม่นยำว่าพระองค์ทรงเสวยราชสมบัติเมื่อพระชนมายุได้ 20 พรรษา เมื่อครบ 25 พรรษาถึงฝึกบริหารบ้านเมืองอย่างจริงจัง บัดนี้องค์รัชทายาทยังเหลือเวลาอีกตั้ง 11 ปี ฝ่าบาททรงเอาสิ่งใดมาตัดสินว่าภายใน 11 ปีนี้องค์รัชทายาทจะมิเปลี่ยนแปลงตนเอง ?  

 ท่านมันเป็นตาแก่จอมทึ่มจะไปรู้เรื่องอันใด เขาเป็นลูกชายแท้ ๆ ของข้า ดั่งที่กล่าวขานกันว่ามิมีผู้ใดรู้จักลูกได้ดีเช่นพ่อเขาเอง ข้าใช้เวลา 4 ปีจับตาเฝ้ามองดูเขามาโดยตลอด ข้าดูออกว่าเขาเป็นคนที่มิได้เรื่องได้ความอันใดอย่างแท้จริง !  

 สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสนั้นแฝงไปด้วยอคติ อีกทั้งยังมีโอรสพระองค์ที่กลับคืนมาเพื่อหวังสมบัติที่ยังมิถูกกล่าวถึงอีกด้วย และทุกวันนี้องค์รัชทายาทได้ทรงกระทำสิ่งใดที่ผิดบาปมหันต์เยี่ยงนั้นหรือ ก็มิมีเลย ฝ่าบาทรงคิดการใดอยู่ทั้งราชวงศ์อู๋ต่างก็ล่วงรู้ กราบขออภัยโทษที่กระหม่อมจำต้องกล่าววาจาที่มิน่าฟัง ต่อให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นโอรสในพระองค์ แต่เยี่ยงไรเสียเขาก็เป็นโอรสนอกสมรส ต่อให้ชื่อของเขาได้ถูกสลักบนสมุดปกทอง เขาก็ไร้ซึ่งคุณสมบัติที่จะเป็นองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์อู๋ !  

คำเอ่ยนั้นดังกึกก้องทั่วทั้งท้องพระโรง !

พระพักตร์ของจักรพรรดิเหวินนั้นชาวาบราวกับโดนแช่แข็ง

พระองค์ทรงจ้องมองจัวอีสิงด้วยความไม่สบอารมณ์ ทว่าจัวอีสิงก็มิยอมลดละเช่นกัน

เวลานี้ตกเข้าสู่สภาวะเงียบงันอีกครา ราวกับมีเมฆดำทะมึนปกคลุมไปทั่ว

จักรพรรดิเหวินทรงแย้มพระสรวลอย่างเย็นยะเยือก  สิ่งที่คนดื้อด้านเช่นท่านเอ่ยมานั้นมิผิดเพี้ยน ฟู่เสี่ยวกวนก็คือโอรสนอกสมรสของข้า !  

เมื่อได้ยินเช่นนี้เหล่าขุนนางที่ก้มหัวให้อยู่นั้นต่างก็แหงนหน้าขึ้นมามองพระองค์ในทันใด

เรื่องสถานะของฟู่เสี่ยวกวนนั้นได้ถูกเอ่ยถึงกันอย่างแพร่หลายในอาณาเขตของราชวงศ์อู๋ แต่ทว่าฝ่าบาทยังมิทรงประกาศอย่างเป็นทางการเลยสักคราภายในราชสำนักของราชวงศ์อู๋

แต่วันนี้ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้กำจัดองค์รัชทายาทกะทันหัน นี่ก็เป็นสัญญาณที่จัดเจนอยู่แล้วว่าการกระทำนี่หมายถึงสิ่งใด เหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหลายก็เริ่มมั่นใจได้แล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นคือโอรสในฝ่าบาท ทว่าเมื่อครู่ฝ่าบาททรงตรัสด้วยพระองค์เองทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงและยังคงยากที่จะเชื่อว่าสิ่งนี้ได้เกิดขึ้นจริง

 ข้าขอบอกพวกเจ้าอย่างมิมีปิดบัง วันบวงสรวงสู่สวรรค์ที่เก้าค่ำเดือนสี่นี้ ข้าได้จัดเตรียมคณะดาราศาสตร์ แล้วข้าจะนำฟู่เสี่ยวกวนไปร่วมขบวนครานี้เช่นกัน 

 เห้อ… !   เหล่าขุนนางได้ถอนหายใจออกมาโดยพร้อมเพรียงกัน ทว่ามีเพียงสามคนเท่านั้นที่มีท่าทีเรียบเฉยมาโดยตลอด

พวกเขาคืออัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหนานกงอี้หยู่ ผู้คุมสำนักดาราศาตสตร์หลู่ฉุนเฟิง และผู้คุมหอเทียนจีโจวถงถง

จักรพรรดิเหวินทรงแย้มพระสรวลอย่างเย้ยหยัน พระองค์ยังทรงจ้องไปยังจัวอี้สิงอย่างมิละสายตาตามเดิม จากนั้นทรงตรัสเสริม  เมื่อวันบวงสรวงสู่สวรรค์ได้จบสิ้นลง ค่ำที่สิบห้าเดือนสี่เป็นฤกษ์งามยามดี ข้าจะนำฟู่เสี่ยวกวนเข้าวัดไท่เมี่ยวเพื่อไหว้บรรพบุรุษแล้วสลักชื่อเขาไว้บนสมุดปกทอง หลังจากนั้นเขาก็จะมีนามว่าอู๋เสี่ยวกวน ข้ามีสิ่งหนึ่งอยากจะบอกกับท่าน ข้าจะย้ายหลุมฝังศพของสวี่หยุนชิงมายังสุสานราชวงศ์ที่จิ่วกงซาน และจัดพิธีกรรมที่วัดไท่เมี่ยวให้สมพระเกียรติแล้วจากนั้นก็จะสร้างสุสานไทเฮาให้กับนาง !  

จัวอีสิงใบหน้าซีดเผือดขึ้นมาทันใด เขาล้มคุกเข่าลงกับพื้นแล้วฟุบหน้าผากลงไปบนพื้นเช่นกัน

 ฝ่าบาทได้โปรด อย่าทรงกระทำเยี่ยงนั้นเลยพ่ะย่ะค่ะ !  

 ในใจของข้านั้นมีเพียงสวี่หยุนชิง และองค์รัชทายาทหนึ่งเดียวก็คืออู๋เสี่ยวกวน พวกท่านอย่าแม้แต่จะคิดว่าเรื่องที่พวกเจ้าวางแผนลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวนนั้นจะมิเข้าถึงหูข้า ข้าเห็นแก่คุณประโยชน์ที่พวกท่านสร้างให้แก่ราชวงศ์อู๋ตลอดมาเลยมิได้เก็บเรื่องนี้ไปคิดเล็กคิดน้อย แต่พวกท่าน…ท่านกลับได้คืบจะเอาศอกเยี่ยงนั้นหรือ !  

 ฝ่าบาทแม้ว่าพระองค์และสวี่หยุนชิงจะทรงมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน แต่ที่สุดแล้วสวี่หยุนชิงก็ได้สมรสกับฟู่ต้ากวน หากจัดพิธีที่วัดไท่เมี่ยวให้กับนาง จากนั้นได้ฝังนางไว้ในสุสานไทเฮา สองสิ่งนี้นับว่าผิดธรรมเนียมของราชวงศ์อู๋เป็นอย่างมาก แล้วพระเกียรติของบรรพบุรุษองค์ก่อน ๆ เล่าจะเป็นเยี่ยงไร ? ฟู่เสี่ยวกวนเป็นโอรสในพระองค์จริงแท้หรือไม่นั้นก็ไร้ซึ่งบทพิสูจน์ บันทึกประจำวันทั้งสามปีนั้นก็ได้สูญหายไป เช่นนี้ไซร้จะพิสูจน์ได้เยี่ยงไรว่าเขาคือโอรสของพระองค์อย่างแท้จริง พระองค์จะทรงทำเยี่ยงไรให้ผู้มีความสามารถเชื่อถือ ? จะทำเยี่ยงไรให้พสกนิกรทั่วหล้าแห่งราชวงศ์อู๋เชื่อถือได้พ่ะย่ะค่ะ ?  

เหล่าขุนนางที่คุกเข่าเหล่านั้นได้ร้องขออย่างพร้อมเพรียงกันอีกครา  ฝ่าบาทความจริงใจของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวานั้นฟ้าดินเป็นพยานได้ ขอฝ่าบาททรงเพิกถอนคำบัญชาด้วยเถิด !  

ในเวลานั้นเอง ประตูด้านข้างของพระราชวังจวี้หัวก็ได้มีเสียงแหลมดังขึ้นมา  องค์ไทเฮาเสด็จ !  

 

ทันทีที่เหวินสิงโจวประกาศทั้งสามหัวข้อของการแข่งขันประพันธ์กวีแล้วเสร็จ คุณหนูถังซานก็ได้ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

นางมิได้ดีใจโหวกเหวกดั่งคนทั่วไป แต่นางได้นำสิ่งที่ได้ยินไปใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง จากนั้นจึงเอ่ยกล่าว

 พวกเจ้าอย่าได้ดีใจเร็วไปหน่อยเลย !  

หยุนหลีเกอเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ  คุณหนูถังซานหมายความว่าเยี่ยงไร ?  

 พวกท่านจงคิดดูเถิดในส่วนของหัวข้อที่หนึ่งบทประพันธ์ทั้งสามบทนั้นมีชื่อเสียงมากยิ่งนัก แม้ว่าจะเหมือนดั่งบทประพันธ์ทั่วไปแต่นี่คือการแข่งขัน บทกวีที่พวกท่านประพันธ์อยู่เป็นประจำนั้น พวกท่านคิดเยี่ยงนั้นหรือว่าจะมีความสามารถที่จะโดดเด่นเหนือเหล่าบัณฑิตมากมายเหล่านั้นได้ หากต้องการขัดเกลาสิ่งที่ดูเหมือนง่ายให้ดูประณีตยิ่งขึ้นมันก็ยิ่งยาก ตรรกะง่าย ๆ แค่นี้หวังว่าพวกท่านคงจะเข้าใจ 

เหล่าบัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋ถึงกับนิ่งเงียบ จากนั้นพวกเขาก็ได้เข้าใจในสิ่งที่คุณหนูถังซานต้องการจะสื่อถึง

 ส่วนหัวข้อที่สองนั้น…  คุณหนูถังซานทอดสายตามองไปเบื้องหน้า ถังจู้กั๋วเหินขึ้นไปที่พระบาทของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ จากนั้นนางจึงเห็นผ้าขาวห้อยลงมาอย่างช้า ๆ

บนนั้นมีเพียงแค่ต้นสาลี่หนึ่งต้นที่มีดอกสาลี่ผลิบานอยู่เต็มต้น !

 หัวข้อที่สองนั้นให้พรรณนาถึงดอกสาลี่ซึ่งดูเหมือนจะง่ายเช่นกัน แต่ทว่าให้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งวันนั้นคงมิง่ายดายดั่งที่พวกท่านคิดเอาไว้อย่างแน่นอน !  

 ในส่วนของหัวข้อสุดท้ายบทกวีอวยพรเนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษานั้นมีถมเถไป ย่อมยากที่จะโดดเด่นเหนือผู้อื่นได้เช่นกัน 

นางชะงักราวกับกำลังคิดบางอย่าง จากนั้นจึงใช่สายตากวาดมองเหล่าบัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋ทุกคน  การแข่งขันในวันนี้แม้ว่าจะดูเหมือนการแข่งขันทั่วไปแต่ทว่าแท้จริงแล้วกลับมิใช่เช่นนั้น ขอทุกท่านจงกล้าหาญที่จะสร้างสรรค์และจงก้าวข้ามมาตรฐานบทกวีที่พวกท่านประพันธ์เป็นประจำ มิเช่นนั้นแล้วการแข่งขันครานี้ย่อมน่าเป็นห่วง !  

ฝานเทียนหนิงนั้นเห็นพ้องต้องกันกับคุณหนูถังซาน เขายิ้มร่าแล้วเอ่ยแก่ฟู่เสี่ยวกวน  การแข่งขันด่านนี้ท่านต้องใช้เวลาขบคิดให้ถี่ถ้วนเสียก่อน อย่าได้ปล่อยปละละเลยเช่นคราก่อน 

ในความคิดของฝานเทียนหนิงนั้น ฟู่เสี่ยวกวนย่อมคว้าชัยชนะของวันนี้มาครองได้อย่างแน่นอน วันพรุ่งนี้คือการประพันธ์บทความ และสิ่งนี้คือสิ่งที่เขาถนัดอีกเช่นกัน หากเขาสามารถชนะเป็นลำดับหนึ่งได้ทั้งสองวัน ชัยชนะก็จะตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาอย่างแน่นอน

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมา เพียงแค่ชั่วระยะเวลาสั้น ๆ ที่หัวข้อการแข่งขันได้ถูกประกาศออกมา คำตอบก็ได้พรั่งพรูเข้ามาในหัวของเขาทันที

 น้องฝาน ข้าคิดมาโดยตลอดว่าบทกวีเหล่านี้นั้นมีไว้สำหรับบำเรอจิตใจของตนเองเท่านั้น เพียงแค่วันนี้นั้นมีการแข่งขันและได้มีการกำหนดหัวเรื่องที่ให้ดูน่าสนใจขึ้นมาก็เท่านั้นเอง ทว่าเยี่ยงไรเสียจุดประสงค์มันก็ยังคงเหมือนเดิม เช่นนั้นน้องฝานจงคิดให้ถี่ถ้วน ส่วนข้าต้องขอตัวไปตอบคำถามทั้งสามหัวข้อก่อน 

ฝานเทียนหนิงมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาตกตะลึง เขารู้สึกผิดหวังขึ้นมาที่ฟู่เสี่ยวกวนยังคงทำตัวเฉกเช่นเมื่อวาน

นี่มันคือชื่อเสียงและเกียรติยศ !

คนเราเกิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ สิ่งที่ปรารถนาคือชื่อเสียงในคราที่ยังมีชีวิตอยู่และเมื่อได้ลาจากโลกนี้ไปมิใช่หรือ ?

หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนจะไร้ซึ่งความปรารถนาจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?

ว่าแล้วฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินจากเขาไป

ทั้งสามหัวข้อได้ถูกตอบจนครบหลังจากที่ประกาศเพียงแค่เวลาดื่มชาครึ่งถ้วยเสร็จเช่นกัน หากมองดูดี ๆ แล้วเร็วกว่าเมื่อวานเสียด้วยซ้ำ !

ฝีมือการประพันธ์บทกวีของฟู่เสี่ยวกวนแม้ว่าจะดีเยี่ยม แต่ครานี้ต้องประพันธ์มากถึง 5 บท !

จะมีคนหนุ่มที่ปัญญาเฉียบแหลมเช่นนี้บนผืนปฐพีจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?

ฝานเทียนหนิงมิปักใจเชื่อ จัวตงหลายก็เช่นกัน

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้เดินไปถึงโต๊ะเขียนคำตอบที่อยู่ด้านหน้าสุด สีหน้าที่ไร้ความรู้สึกใด ๆ ของจัวตงหลายก็ได้เผยความรู้สึกตกตะลึงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน

เขาชี้ไปทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความสงสัย  นี่เขายอมแพ้อีกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

คุณหนูถังซานมองตามเงาหลังของฟู่เสี่ยวเช่นกัน และคิ้วของนางก็ได้ขมวดพันกันยุ่ง  ข้าได้ยินมาว่าที่เมืองจินหลิงเพียงเดินแค่สามก้าวเขาก็สามารถประพันธ์กวีได้ 1 บท ทว่าวันนี้กลับประพันธ์กวีได้ถึง 5 บท หรือว่าเขารู้หัวข้อล่วงหน้าแล้วเยี่ยงนั้นหรือ หรือว่าเขาจะยอมแพ้ให้กับการแข่งขันครานี้เฉกเช่นเมื่อวานกัน ?  

เหล่าบัณฑิตในลานเกือบทั้งหมดได้จ้องแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวน และต่างก็คิดมิต่างกัน ท่าป่ายวนยิ้มเยาะแล้วส่ายหัว  ข้าล่ะนับถือมันจริง ๆ ในเรื่องหน้าหนา แท้ที่จริงสิ่งที่เขาทำนั้นก็มีข้อดีอยู่บ้าง !  

เยียนหานยวี่จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาฉงน จากนั้นท่าป๋ายวนเลยเอ่ยต่อ  หึ ! เจียงหลางหมดสิ้นความสามารถ ด้านวรรณกรรมแล้วเยี่ยงนั้นหรือ มันได้เหือดหายเสียจนมิอาจเอาดีด้านนี้ได้อีก ดูสิ่งที่มันกระทำเข้าสิ แล้วพวกเจ้าจงดูสายตาของเหล่าบัณฑิต ครานี้ชื่อของมันจะเป็นที่จดจำของบัณฑิตอยู่อีกหรือไม่ ?  

เยียนหานยวี่มิได้เอ่ยตอบ สายตาของเขานั้นตกอยู่บนแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวน ลอบคิดตลกอยู่ในใจว่าตนแขนขาดเพราะคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวน พนันได้เลยว่าหมอนั้นคงไร้ซึ่งความสามารถที่จะผลักเขาจนกระเด็นไปนั่งเก้าอี้มังกรตัวนั้นได้เป็นแน่

นี่มันไร้สาระสิ้นดี มีที่ไหนกันที่ตำแหน่งจักรพรรดิผู้ที่ถือครองอำนาจสูงสุดจะถูกกำหนดโดยคนจากนอกราชสำนัก ?

ทว่าเยียนหานยวี่กลับเชื่อจนสนิทใจ แต่นั่นก็มิได้หมายความว่าเขาเป็นคนโฉดเขลา เพราะเมื่อกงซุนมาถึงเมืองกวนหยุน นางได้นำจดหมายจากเสด็จแม่มามอบให้แก่เขา

ในจดหมายฉบับนี้ ได้กล่าวเตือนห้ามเขาเป็นศัตรูกับฟู่เสี่ยวกวนเป็นอันขาด ทั้งยังต้องเป็นมิตรต่อฟู่เสี่ยวกวนอีกด้วย ในนั้นมีความหมายบางอย่างแอบแฝงอยู่ และนั่นก็คือสักวันหนึ่งฟู่เสี่ยวกวนอาจจะมีอิทธิพลอย่างที่จินตนาการมิถึง

ในจดหมายฉบับนั้นมิได้อธิบายสาเหตุไว้ แต่เสด็จแม่ทรงมิกระทำสิ่งใดอย่างไร้สาเหตุเป็นแน่ เพราะเสด็จแม่นั้นมีที่ปรึกษาอยู่ข้างพระวรกาย เขาผู้นั้นมีนามว่าจี้หยุนกุย !

ชายผู้นี้มีการศึกษาและมีท่าทีสง่างามดั่งเทพบุตร อีกทั้งยังมีความรอบรู้อีกด้วย !

เขาท่องเที่ยวอยู่ทั่วทั้งใต้หล้าราว 20 ปี จากนั้นเมื่อหนึ่งค่ำเดือนยี่เขาได้เดินทางมาถึงแคว้นอี๋ และได้รับหน้าที่เป็นอาจารย์บรรยายอยู่ที่สำนักศึกษาหวูถง ณ เมืองไท่หลินแห่งแคว้นอี๋อยู่ราวสามวัน จากนั้นเขาและเสด็จแม่ก็ได้รู้จักกัน แม้สำนักศึกษาหวูถงมิใช่สำนักศึกษาที่ดีที่สุด แต่เป็นสำนักศึกษาที่เสด็จแม่ทรงก่อตั้งขึ้นมา และบรรดาบัณฑิตล้วนแต่เป็นเด็กที่กำพร้าบุพการี

หลังจากนั้นเขาและเสด็จแม่ก็ได้สนทนากันอย่างถูกคอ แล้วจึงได้รับเขาไว้เป็นผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชา อีกทั้งยังได้แต่งตั้งเขาให้เป็นอาจารย์ของเยียนหานยวี่อีกด้วย

เยียนหานยวี่นับถือในความสามารถของจี้หยุนกุยเป็นอย่างมาก

เขามีความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับสถานการณ์การบ้านเมืองในปัจจุบันของแต่ละแคว้น ในสายตาของเยียนหานยวี่อาจารย์ของเขาคือผู้ที่เข้าใจในบทความคำสอนของขงจื๊ออย่างลึกซึ้ง เพียงแต่เขาค่อนข้างใช้ชีวิตเรียบง่าย แม้ว่าจะได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนนางแล้วก็ตาม แต่เขาก็ยังคงรับหน้าที่เป็นอาจารย์ประจำสำนักศึกษาหวูถงต่อไป เพราะอาจารย์ได้บอกว่าปฐพีนี้มีสำนักศึกษาหวูถง สักวันจะนำพญานกเฟิ่งหวงกลับรังนอน

หลังจากนั้นเขาก็ได้ร่วมสนทนากับอาจารย์ คำเอ่ยของอาจารย์มีนัยแอบแฝงว่าเสด็จแม่นั้นคือนกเฟิ่งหวง ดังนั้นเขาก็คือลูกของนกเฟิ่งหวง แล้วสักวันลูกของนกเฟิ่งหวงจะบินร่อนเหนือผืนปฐพีทั้งเก้า

ตอนแรกเขามิค่อยเข้าใจความหมายของคำเอ่ยนั้นอย่างลึกซึ้งเท่าใดนัก แต่เมื่อมาถึงเมืองกวนหยุนแล้วได้พบเจอกับฟู่เสี่ยวกวน เมื่อเขาได้ยินคำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนและเมื่อเขาได้รับพระราชสาสน์จากเสด็จแม่ ทำให้บัดนี้เขารู้แล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนคือบุคคลที่ทรงคุณค่าต่อเขาอย่างแท้จริง !

หากลองใคร่ครวญให้ดี ฟู่เสี่ยวกวนเดิมทีนั้นเป็นเพียงเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียง และได้โดดเด่นขึ้นมาในท้องพระโรงแห่งราชวงศ์หยู บัดนี้เมื่อมาเยือนเมืองกวนหยุนกลับกลายเป็นโอรสของจักรพรรดิเหวินในพริบตาราวกับเป็นเรื่องมหัศจรรย์แห่งสรวงสวรรค์ หากวันหนึ่งวันใดเขาได้รับความเกื้อกูลจากฟู่เสี่ยวกวน วันนั้นเขาคงเป็นดั่งมังกรผงาดฟ้า !

เมื่อเยียนหานยวี่คิดได้เช่นนี้ก็เกิดความร้อนรนขึ้นมาในจิตใจ

 ท่านพี่ท่าป๋า ข้านั้นคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นมิได้เสแสร้งแกล้งทำอย่างแน่นอน 

ท่าป๋ายวนคิ้วขมวดตึง น้องเยียนต้องการจะเอ่ยว่าฟู่เสี่ยวนั้นประพันธ์บทกวีได้วิจิตรบรรจงจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?  

 บทประพันธ์…บทประพันธ์ของเขาเมื่อตกลงมาสู่ผืนปฐพีนี้ ยากที่จะมีผู้ใดเหมือน !  

ท่าป๋ายวนจ้องไปที่หน้าของฟู่เสี่ยวกวนด้วยความตะลึงค้าง คิดว่าคงเป็นเพราะองค์ชายหกโดนวาจาของฟู่เสี่ยวกวนจี้ใจดำ อีกทั้งยังแขนขาดเพราะฟู่เสี่ยวกวนอีกด้วย เขาควรจะอาฆาตแค้นถึงจะสมควร แต่ทว่าสิ่งที่เขาเอ่ยออกมาเมื่อครู่กลับมีความนับถือปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน

หรือว่าสมองของเขาจะมีปัญหาเข้าเสียแล้ว ?

มิว่าเหล่าปัญญาชนทั้งลานจะคิดเยี่ยงไร แต่บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ยกพู่กันขึ้นมาเตรียมพร้อมที่จะเขียนแล้ว

เขาบรรจงตวัดปลายพู่กันท่ามกลางสายตาตกตะลึงของเหวินสิงโจว ถังจู้กั๋ว และเหวินชางไห่

ความน่าอัศจรรย์อย่างที่มิเคยมีจารึกไว้ก็ได้บังเกิดขึ้น ผ่านไปเพียงครู่เดียวเท่านั้น เขาได้วางพู่กันนั้นลงเป็นสัญญาณว่าเขาได้ตอบทั้งสามหัวข้อเสร็จสิ้นแล้ว

 

วันที่ยี่สิบหกเดือนสาม เวลาเช้าตรู่

ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เงาเมฆและแสงแดดได้สาดส่องเจิดจ้าไกลลิบลิ่วต้อนรับการมาถึงของการแข่งขันกวีในวันที่สอง

การแข่งขันตุ้ยเหลียนเมื่อวานฟู่เสี่ยวได้ใช้เวลาเพียงแค่ดื่มชาครึ่งถ้วยเท่านั้นก็สามารถส่งกระดาษคำตอบได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้เหล่าบัณฑิตชอบใจนัก ในใจพวกเขาพลางคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน และการแข่งประพันธ์กวีในวันนี้จึงเป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจยิ่งนัก

 การแข่งขันตุ้ยเหลียนเมื่อวานศิษย์พี่จัวนั้นคงจะอยู่ลำดับที่หนึ่ง หากการแข่งขันประพันธ์กวีวันนี้สามารถเอาชนะฟู่เสี่ยวกวนได้ล่ะก็เท่ากับว่าจะชนะการแข่งขันสองในสาม ศิษย์พี่จัวถือว่าอยู่ในตำแหน่งที่มีชัยเหนือใครอื่น ขอให้ศิษย์ร่วมสถาบันทุกท่านจงอย่าดูแคลนคู่แข่ง ข้าคิดว่าเมื่อวานฟู่เสี่ยวกวนได้ยอมแพ้ หากว่าการแข่งขันอีกสองคราที่เหลือเขาอยากจะปล่อยของออกมาเสียล่ะก็จะว่าไปทั้งสองการแข่งขันนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาถนัดเสียด้วย เช่นนั้นพวกท่านอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด !  

คุณหนูถังซานกำชับอย่างดิบดีเพื่อที่จะให้เหล่าปัญญาชนเข้าใจตรงกัน ความสามารถในด้านกวีของฟู่เสี่ยวกวนนั้นไม่เป็นสองรองใคร มิอาจชะล่าใจได้

ฝานเทียนหนิงบัดนี้ได้ตามติดฟู่เสียวกวนราวกับเป็นแมลงวัน เขามิได้ร่วมวงอยู่กับเหล่าบัณฑิตแห่งแคว้นฝาน แต่เขากลับตามอยู่ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวน

 ท่านเป็นเพียงเศรษฐีทีดินแห่งเมืองหลินเจียง เหตุใดถึงได้รับอภิสิทธิ์มากมายถึงเพียงนี้ สิ่งนี้ทำให้ข้าข้องใจมากยิ่งนัก !  

แน่นอนว่าอภิสิทธิ์ที่เอ่ยนี่คือการที่ฟู่เสี่ยวกวนมีที่พักส่วนตัวซึ่งต่างจากบัณฑิตคนอื่น ๆ ที่มาด้วยกัน

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า  ท่านน้องฝานข้ามิประสงศ์จะข่มท่าน แต่งานแข่งขันกวีครานี้ที่จักรพรรดิเหวินทรงอัญเชิญบัณฑิตจากทั้งสี่แคว้นมา ก็มีเพียงแค่ข้าเท่านั้นที่พระองค์ทรงเอ่ยนามถึง 

ฝานเทียนหนิงทำตาถลึงใส่ฟู่เสี่ยวกวน  บัดนี้ข้ายิ่งปักใจเชื่อขึ้นมาเสียจริง ๆ แล้วว่าท่านคือโอรสนอกสมรสของจักรพรรดิเหวิน มิเช่นนั้นพระองค์คงมิทรงลำเอียงได้ถึงเพียงนี้ !  

 น้องฝานลองคิดดูเถิดว่าหากข้าเป็นโอรสนอกสมรสของจักรพรรดิเหวินอย่างแท้จริงล่ะก็ ข้าอยู่ต่างแดนมานานถึง 17 ปี ข้าควรเรียกร้องสิ่งใดชดเชยจากพระองค์ดีจึงจะเหมาะสม ?  

ฝานเทียนหนิงมองสีหน้ากะล่อนของฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา  หรือว่าจะขอตำแหน่งองค์รัชทายาทดีหรือไม่ ?  

 มิดีหรอก นี่ข้าจะบอกให้ หากให้ข้าเลือก…ข้าจะเลือกทองคำ 100,000 ตำลึง 

 หากท่านเป็นองค์รัชทายาทเสียท่านก็ย่อมมีทุกอย่าง นี่ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า  องค์รัชทายาทของแคว้นฝานเป็นแล้วสำราญใจหรือไม่เล่า ?  

ฝานเทียนหนิงสะดุ้งเพราะตกใจ แล้วนึกถึงฝานเทียนหยุนพี่ใหญ่ของเขาที่บัดนี้ทรงดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทและบัดนี้อายุได้ล่วงเลยเข้าสู่วัยสามสิบสามแล้ว ทว่าเสด็จพ่อก็ยังคงแข็งแรงดี พี่ใหญ่ของเขาในฐานะคนที่รอตำแหน่งมิอาจล่วงรู้ได้เลยว่าต้องทุกข์ใจถึงเพียงใด

 เอาเถิดอย่าได้คิดมาก ข้าเพียงอยากหยอกล้อเจ้าเล่นก็เท่านั้น เรื่องนั้นมันมิเกี่ยวข้องอันใดกับข้า ว่าแต่ตุ้ยเหลียนของเจ้าเมื่อวานเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?  

 ข้าคิดว่าฝีมือตนนั้นใช้ได้ อีกอย่างเมื่อวานที่ท่านได้ยอมแพ้ไปทำให้ท่านชายจัวตงหลายสบโอกาสเชิดหน้าเชิดตา และในงานเมื่อคืนนั้นเเม้ว่าเขาจะมิได้เอ่ยวาจาโอ้อวดจนเสียงแหลม แต่กลับเป็นคนอื่น ๆ ที่เที่ยวป่าวประกาศว่าชัยชนะครานี้จะเป็นของจัวตงหลายอย่างแน่นอน ถ้าหากว่าการแข่งขันประพันธ์กวีวันนี้สามารถคว้าชัยมาได้เช่นกันล่ะก็… 

ฟานเทียนหนิงหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนแล้วรู้สึกเป็นกังวลมากยิ่งนัก  ท่านพี่ฟู่ หรือว่าสมองของท่านได้โดนจัวตงหลายขโมยไปเสียแล้ว !  

ฟู่เสี่ยวกวนนึกประหลาดใจ เขาคิดว่าตุ้ยเหลียนของตนนั้นย่อมคว้าชัยมาได้อย่างแน่นอน ใครกันที่มันแอบขโมยความกล้าหาญนี้ไปให้จัวตงหลาย ทำให้เขามีชัยเหนือตนได้ ?

หรือพ่อหนุ่มหน้าใสจะแกล้งทำเป็นหมูเพื่อที่จะกินเสือ เหตุใจเขาจึงได้เก่งกาจถึงเพียงนี้กัน ?

แต่ไหนแต่ไรมาเขามิเคยดูแคลนคนในสมัยโบราณ เพราะที่เขาสามารถแสดงได้อย่างแยบยลบนโลกใบนี้ก็ล้วนแต่อาศัยผลงานของคนในสมัยโบราณทั้งสิ้น

เขาจึงหันหน้าไปมองจัวตงหลายประจวบเหมาะพอดี ที่สายตาของชายหนุ่มผู้นั้นก็หันมามองเขาเช่นกัน จากนั้นทั้งสองจึงสบตากัน

ซึ่งแน่นอนว่าการสบตากันครานี้ไร้ซึ่งดอกไม้ไฟเบ่งบาน เพราะสายตาของจัวตงหลายนั้นเต็มไปด้วยความข่มเหงต่อคู่แข่ง อีกทั้งใบหน้าอันหล่อเหลานั้นยังแฝงไปด้วยรอยยิ้มที่แสนจะเย็นยะเยือก ราวกับกำลังบอกฟู่เสี่ยวกวนว่า  ข้าจะเหยียบเจ้าให้จมดิน !  

ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก จากนั้นเขาเลยชูนิ้วกลางให้กับเขาไป

จัวตงหลายถึงกับผงะ หมายความว่าสิ่งใดกัน หรือฟู่เสี่ยวกวนต้องการจะสื่อว่าตนจะคว้าที่หนึ่งมาให้จงได้กัน ?

มิมีทาง !

จากนั้นจัวตงหลายเลยชูนิ้วกลางกลับไปให้ฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ผงะเช่นกัน  นี่มันเข้าใจความหมายเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ขอร้องเถิด อย่าได้บันดาลโทสะใส่คนพรรค์นั้นเสียจะดีกว่า

ฝานเทียนหนิงผู้เห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ตนจนจบก็ได้เฝ้ามองด้วยความแปลกใจ แล้วเขาจึงยิ้มออกมา  ยามรุ่งสางของเช้าวันนี้ได้มีเสียงกลองยามเช้าดังก้องกังวาลปลุกข้าจนตื่นขึ้นมา เสียงนั้นดังแว่วมาจากพงไพรแสนไกล เสียงดั่งพระสงฆ์นับหมื่นกำลังสวดมนต์ ช่างหน้าอัศจรรย์ใจเสียเหลือเกิน มิทราบว่าท่านได้ยินหรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนยักใหล่อย่างไม่แยแส  ข้านอนหลับลึกจนมิได้ยินเสียงใด ๆ  

 ช่างหน้าเสียดายยิ่ง เสียงกลองยามเช้านั้นดังขึ้นในช่วงคาบเกี่ยวระหว่างยามรุ่งสางและยามเช้าตรู่ ข้าคิดว่าในเมื่อมาถึงวัดหานหลิงแล้วได้ยินเสียงกลองบอกเวลายามเช้านั้นถือว่าคุ้มค่ามากยิ่งนัก 

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าและเห็นด้วยกับสิ่งที่ชายหนุ่มกล่าว ทว่าการนอนหลับนั้นสำคัญยิ่งกว่าเสียงกลองยามเช้าพวกนี้มากนัก

เวลานั้นเองเหวินสิงโจวและถังจู้กั๋วได้เดินทางมาถึงเวทีหน้าจุดรวมพล เหวินสิงโจวใช้สายตากวาดมองด้วยความเคร่งขรึม จากนั้นทุกคนจึงเงียบเสียงลง

 วันนี้เป็นวันที่สองของงานชุมนุมวรรณกรรม นั่นคือการแข่งขันประพันธ์กวี 

 หัวข้อในการแข่งขันประพันธ์กวีครานี้ได้อยู่ในกล่องที่ข้าถืออยู่ อีกชั่วครู่ถังจู้กั๋วจะนำหัวข้อเหล่านี้เขียนใส่ในผ้าขาว แล้วนำไปผูกไว้กับพระบาทของพระพุทธรูปเพื่อเป็นการสะดวกให้พวกเจ้าได้มาอ่าน 

 เวลาในการแข่งขันการประพันธ์กวีครานี้มีเวลาหนึ่งวันเต็ม วันนี้พวกเราจะมิจุดธูปศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นการนับเวลาอีกต่อไป เวลาจะเริ่มนับตั้งแต่ประกาศหัวข้อ เมื่อกลองแห่งสนธยาถูกตีขึ้นจึงจะถือว่าเป็นการสิ้นสุด หวังว่าทุกท่านจะประพันธ์กวีได้อย่างวิจิตรบรรจง 

 ต่อไปข้าจะขอประกาศหัวข้อ !  

เขาเตรียมเปิดกล่องที่อยู่ในมือ ถังจู้กั๋วได้ยืนรออยู่ด้านข้างตรงริมขอบโต๊ะตัวหนึ่ง ในมือเขาถือฟู่กันด้ามมหึมา

 การแข่งขันประพันธ์กวีครานี้มีด้วยกันสามส่วน ส่วนแรกขอเชิญทุกท่านใช้สามบทกวี ดังนี้ บทกวีแก้วจันทราแห่งซีเจียง บทกวียุติความวุ่นวาย และบทกวีดั่งความฝัน ประพันธ์กวีออกมาอย่างละหนึ่งบท 

เมื่อเหวินสิงโจวได้ประกาศส่วนที่หนึ่งออกมา ด้านล่างก็ได้มีเสียงกระซิบกระซาบแผ่ซ่านไปทั่ว

หัวข้อนี่เหมือนจะไม่ยาก เพราะล้วนแต่เป็นบทกวีทั่วไป เหล่าบัณฑิตส่วนใหญ่ต่างก็เคยประพันธ์กวีเช่นนี้มาแล้วทั้งสิ้น

จากนั้นเหวินสิงโจวได้กล่าวต่อ  ส่วนที่สองอีกประเดี๋ยวขอให้ทุกท่านจงพินิจมองภาพวาดนี้ให้ละเอียด แล้วจงนำภาพวาดนี้มาเป็นหัวข้อในการประพันธ์กวีบทที่สอง 

นี่นับว่าเป็นการให้ประพันธ์ตามหัวข้อที่กำหนด คิดดูแล้วก็คงมิหน้ายากจนเกินไป

 ส่วนที่สามมิกี่วันให้หลังการแข่งขันก็จะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาหกสิบปีขององค์ไทเฮา ขอทุกท่านจงประพันธ์บทกวีเพื่อเป็นการอวยพรแก่พระองค์ และพระองค์จะทรงอ่านกวีอวยพรเหล่านี้ที่พวกท่านประพันธ์ด้วยตัวพระองค์เอง ท่านที่ประพันธ์ได้ดีเป็นลำดับที่หนึ่งจะได้รับเงินรางวัล 10,000 ตำลึง ลำดับที่สอง 1,000 ตำลึง ลำดับที่สาม 200 ตำลึง และทั้งสามท่านจะได้ร่วมงานเลี้ยงเฉลิมฉลองอีกด้วย 

เมื่อหัวข้อการแข่งขันที่สามได้ถูกประกาศออกมา เหล่าบัณฑิตด้านล่างต่างโห่ร้องด้วยความดีใจ มีเงินรางวัลให้อีกด้วย แต่ที่สำคัญคือยังถูกเชิญไปร่วมงานเฉลิมพระชนมพรรษาขององค์ไทเฮาอีกด้วย

ภายในงานเฉลิมพระชนมพรรษานี้ย่อมมีโอกาสได้พบเจอขุนนางใหญ่โตมากมาย อีกทั้งชื่อของตนย่อมเป็นที่จดจำของเหล่าขุนนาง

ซึ่งมีความสำคัญต่ออนาคตพวกเขาเป็นอย่างมาก !

เหล่าปัญญาชนจากสามแคว้นที่เหลือนั้นตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะหากตนได้รับเกียรติถูกเชิญไปเข้าร่วมงานเฉลิมฉลองครานี้ แน่นอนว่านี้เป็นการแย่งชิงศักดิ์ศรีให้แคว้นตน ต่อไปเมื่อกลับแคว้นตนก็จะได้รับการสรรเสริญจากองค์จักรพรรดิอีกด้วย หรืออาจจะได้รับตำแหน่งขุนนางก็เป็นได้

ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้ว่าพวกเขาตื้นเต้นอะไรกัน แต่เขานั้นตื่นเต้นเพราะเงิน 10,000 ตำลึง ในส่วนของงานเลี้ยงเฉลิมพระชนมพรรษา หากจะเอ่ยตามความจริง แม้ว่าจะเป็นงานรื่นเริงแต่จะต้องสร้างความกดดันและความลำบากใจแก่ผู้เข้าร่วมงานเป็นแน่

ฝานเทียนหนิงยกยิ้มขึ้นมา  ท่านอาจจะเห็นว่าพวกเขาดูมีท่าทีดีใจ ทั้งสามหัวข้อนี้ดูเหมือนจะง่ายแต่เอาเข้าจริงนั้นยากเกินจะต้านทาน !  

 

ดอกสาลี่ขาวผ่องลอยล่องอยู่ในถ้วยชา ในป่าเขามีเสียงวิหคขับกล่อมอย่างแผ่วเบาและมีเสียงน้ำหยดจากน้ำพุดังแว่วเข้ามาให้ได้ยินเป็นบางครั้วบางครา

หากได้พักผ่อนตามอัธยาศัยแล้วดื่มชาดอกสาลี่สักถ้วย พร้อมกับชมดวงอาทิตย์อัสดงและฟังเสียงแห่งธรรมชาติ คิดดูแล้วคงจะเป็นภาพที่งดงามยิ่งนัก

แต่ทว่าบัดนี้จิตใจของฟู่เสี่ยวกวนนั้นกลับมิได้รื่นรมย์กลับทัศนีย์ภาพเบื้องหน้าเท่าใดนัก

เดิมทีเขาคิดว่าตนในฐานะคนนอก สถานภาพของตนคงมิตกเป็นที่สนใจมากนัก

แต่เรื่องราวกลับพลิกผันเมื่อหญิงชราผู้นี้ได้ล่วงรู้ถึงปัญหาเรื่องตัวตนที่แท้จริงของเขาและปัญหาที่ตนกำลังประสบอยู่ แล้วได้ยิงคำถามที่คล้ายคลึงกับปัญหาของตนออกมา

เรื่องไร้สาระพวกนี้ทำให้เขากลัดกลุ้มใจมากยิ่งนัก

เขาจิบชาดอกสาลี่เข้าไป ชาถ้วยนี้รสชาติจืดชืดยิ่ง ไร้ซึ่งรสชาติและกลิ่นหอมอบอวลที่แฝงอยู่ในดอกสาลี่

 ท่านผู้อาวุโสขอรับ คนแต่ละคนนั้นย่อมแตกต่างกัน ท่านมิอาจนำข้าน้อยไปเปรียบเทียบกับบุตรชายนอกสมรสของลูกชายท่านได้ ตัวข้าน้อยนั้นมิคาดหวังความเจริญก้าวหน้าให้ตนเองเท่าใดนัก ข้าน้อยขอเอ่ยตามตรงว่ายามนี้เมื่อปีกลายข้าน้อยยังคงเป็นเด็กหนุ่มผู้เสเพล แม้ว่าหลังจากนั้นจะเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง แต่ความฝันอันสูงสุดของข้าน้อยก็คือเป็นเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียง ไร้กังวลเรื่องความเป็นอยู่และเครื่องนุ่งห่ม มีหญิงรู้ใจคอยอยู่เคียงข้าง สามารถนอนแล้วตื่นยามใดก็ได้ที่ใจต้องการ รับเงินทองหนักอึ้งจนเมื่อยมือ คืนวันเช่นนี้ช่างสำราญใจยิ่งนัก เหตุใดข้าน้อยจำต้องไปเป็นองค์จักรพรรดิให้ทุกข์ทรมานด้วยเล่า 

เมื่อได้ยินคำเอ่ยนี้หลุดออกมาจากปากของชายหนุ่ม หนานกงตงเซวี๋ยจึงลอบยิ้มตรงมุมปาก

แต่สิ่งที่เขาตอบกลับทำให้หญิงชราผู้นั้นตกตะลึง นางแทบจะไม่อยากเชื่อว่าบนผืนปฐพีนี้ยังมีคนที่ไม่ต้องการเป็นจักรพรรดิหลงเหลืออยู่อีก

 แต่นั่นก็เป็นถึงตำแหน่งองค์จักรพรรดิเชียวนะ !  

 แล้วเยี่ยงไรเล่า ? หนึ่งวันก็กินสามมื้อเช่นเดียวกัน นอนก็นอนได้แค่บนเตียงเฉกเช่นเดียวกัน ท่านผู้อาวุโสขอรับ ชีวิตคนนั้นสั้นมากยิ่งนัก ตัวข้าน้อยเพียงแค่ต้องการให้ตนได้ใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า แล้วตัวท่านเล่า ลูกหลานก็ย่อมมีความสุขตามอัตภาพของเขา ท่านอย่าได้กลัดกลุ้มใจมากเสียจนเกินไปเลยขอรับ จงมองโลกตามสัจธรรมความเป็นจริง มิละโมบในชื่อเสียงและเงินตรา เช่นนี้ก็จะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างแท้จริง…สุขที่แท้จริงเกิดขึ้นจากจิตใจของตัวเราเอง 

มือที่กำลังรินชาของหนานกงตงเซวี๋ยนั้นได้หยุดชะงักลงทันพลัน แววตาของหญิงชราผู้นั้นได้จรัสประกายขึ้นมาเช่นกัน

จงมองโลกตามสัจธรรมความเป็นจริง มิละโมบในชื่อเสียงและเงินตรา เช่นนี้ก็จะสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้อย่างแท้จริง…สุขที่แท้จริงเกิดขึ้นจากจิตใจของตัวเราเอง !

ชายหนุ่มผู้นี้เขาเพิ่งจะอายุ 17 ปีแต่มีดวงตามองเห็นสัจธรรมบนโลกได้ถึงเพียงนี้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

หากลองนำประโยคที่เขาได้เอ่ยออกมาเมื่อครู่แล้วใคร่ครวญดู หรือว่าเขาจะเป็นผู้สันทัดในหลักพระธรรมอย่างแท้จริง ?

หญิงชราได้เกิดภาพมากมายขึ้นมาในจิตใจ ผ่านไปเพียงชั่วครู่ นางจึงได้เอ่ยถามอีกคราว่า  คนเราที่มีชีวิตอยู่ หลายคราก็มิได้มีไว้เพื่อตนเอง เฉกเช่นข้าที่ปรารถนาจะให้วงศ์ตระกูลสืบสานไปได้อย่างราบรื่น เพราะในวงศ์ตระกูลนี้ก็ยังมีอีกหลายชีวิตและพวกเขาต้องพึ่งใบบุญของวงศ์ตระกูล หากวันหนึ่งวงศ์ตระกูลล่มสลายลง พวกเขาก็คงจะกลายเป็นขอทานข้างถนน ดั่งคำที่พุทธศาสนาได้กล่าวไว้ว่า จงมีเมตตากรุณา เมื่อเกิดมาเป็นคนก็จงมีจิตใจเมตตา หากลองย้อนมองมาที่ตัวเจ้า เจ้ามีพรสวรรค์ที่มิมีใครเหมือน แต่ด้วยสถานภาพของเจ้า เจ้ามีกำลังที่จะช่วยเหลือได้เพียงคนกลุ่มหนึ่งหรือแค่เมืองเมืองหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าหากเจ้าได้เป็นองค์จักรพรรดิขึ้นมาเสียล่ะก็ เจ้าก็จะสามารถช่วยเหลือผู้คนได้ทั่วทั้งผืนปฐพี 

 อีกอย่าง…หากเจ้าช่วยเหลือชาวบ้านนั้นได้บุญวาสนามากยิ่งนัก จักมัวให้ตนสุขสำราญแล้วทนเห็นผู้คนลำบากได้เยี่ยงไรกัน ?  

ฟู่เสี่ยวกวนฝืนยิ้มอยู่ลึก ๆ ในใจ หญิงชราผู้นี้เป็นผู้มีเมตตาค้ำจุนโลกได้ถึงเพียงนี้เลยเยี่ยงนั้นหรือ ผู้คนทั้งผืนปฐพีคงจะคู่ควรกับความเมตตาของนางเยี่ยงนั้นหรือ ?

 ท่านผู้อาวุโส พวกเราทุกคนต่างก็มีเป้าหมายของตนเอง ท่านจงมองบ่าที่ผอมแกร็นของข้านี่สิ ข้าจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปค้ำจุนผู้ประสบทุกข์ได้ยากทั่วผืนแผ่นดิน ข้าน้อยนับถือในความคิดของท่านอย่างแท้จริง แต่ชีวิตของข้าไร้ซึ่งเป้าหมายอื่นใด เพียงแค่อยากเป็นเศรษฐีที่ดินเสวยสุขไปวัน ๆ ก็เพียงเท่านั้น 

 เยี่ยงนั้นเจ้ามีความเห็นเยี่ยงไรกับครอบครัวข้า ?  

 ในเมื่อหลานคนโตของท่านยังเป็นชายหนุ่ม หากได้บ่มเพาะเขาดี ๆ สักวันเขาคงมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะดูแลทรัพย์สมบัติของวงศ์ตระกูล 

 หากบ่มเพาะมิสำเร็จเล่า ?  

 เช่นนั้นท่านก็ยังมีหลานสาวอีก 1 คน ?  

หญิงชราขมวดคิ้ว  ข้าไร้ซึ่งเหตุผลใดที่จะยกทรัพย์สินให้แก่หลานสาวของข้า 

 หากท่านกลัวหลานสาวจะสมรสออกเรือนไป ก็จงหาคนที่เขายินยอมที่จะอยู่ที่จวนของภรรยาเสีย เพียงเท่านี้ก็คงมิใช่เรื่องใหญ่แล้ว 

หนานกงตงเซวี๋ยแอบเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน หากเจ้ารู้สถานะที่แท้จริงของหญิงผู้นี้ เจ้าคงมิบังอาจเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา

หญิงชรายกกาน้ำชาขึ้นมา แล้วจึงเปิดฝาเป่าให้ความร้อนระเหยออก จากนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นมา  เจ้าเอ่ยว่าเจ้าอยากเป็นเพียงเศรษฐีที่ดิน แต่เหตุใดเจ้าจึงได้เข้าไปเป็นขุนนางในพระราชสำนัก เช่นนี้ไซร้คำเอ่ยและการกระทำของเจ้านั้นช่างสวนทางกันยิ่ง 

ฟู่เสี่ยวกวนจำต้องฝืนยิ้ม  ท่านคงมิอาจล่วงรู้ว่าข้านั้นมิได้ตั้งใจจะเป็นขุนนาง แต่ข้าโดนบังคับให้เป็นต่างหากเล่า !  

หญิงชราตาเป็นประกายขึ้นมา แล้วนางก็มิได้เอ่ยถามสิ่งใดเกี่ยวกับหัวข้อสนทนานี้อีก จากนั้นนางจึงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ  พำนักอยู่ที่เมืองกวนหยุนเป็นเยี่ยงไรบ้าง คุ้นชินขึ้นบ้างแล้วหรือยัง ?  

 คุ้นชินบ้างแล้วขอรับ ข้าน้อยนั้นเป็นดั่งต้นหญ้าที่อยู่กลางป่า มิว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมเยี่ยงไรก็ย่อมปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว 

 อ่า…เมืองกวนหยุนมีทิวทัศน์ตระการตามากมายที่แตกต่างจากเมืองจินหลิง ไหน ๆ ก็มาถึงแล้ว มีเวลาว่างก็จงฉวยโอกาสไปเยี่ยมเยือนเสีย 

 ขอรับ ข้าน้อยรอให้งานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้เสร็จสิ้นแล้ว ในระหว่างที่รอวันพระราชสมภพขององค์ไทเฮา ข้าน้อยวางแผนจะใช้เวลานี้ไปเยี่ยมชมยังสถานที่ต่าง ๆ ขอรับ 

 ข้าคงต้องขอตัวก่อน หลังจากที่ได้ฟังในสิ่งที่เจ้าเอ่ยขึ้นมาข้าก็รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย ข้าคิดอะไรบางอย่างออก แต่ต้องขอเวลาใคร่ครวญดูสักหน่อย หากพวกเรามีวาสนาต่อกัน คราหน้าพวกเราคงจะได้พบกันอีกครา !  

ฟู่เสี่ยวกวนยืนขึ้นแล้วโค้งคำนับต่อหญิงชรา จากนั้นเขาจึงเอ่ยออกมาด้วยความจริงใจ  ศาสนาพุทธฝ่ายมหายานได้เอ่ยไว้ว่าชีวิตคนเรามีทุกข์ 8 ประการดังนี้ ทุกข์เพราะเกิด ทุกข์เพราะแก่ ทุกข์เพราะเจ็บ ทุกข์เพราะตาย ทุกข์เพราะต้องจากคนที่รัก ทุกข์เพราะพบคนที่เราชัง ทุกข์เพราะมิได้สิ่งที่ตนปรารถนา ทุกข์เพราะขันธ์ห้า ทำจิตใจให้ปล่อยวางคือหนทางแห่งการดับทุกข์ ปล่อยวางให้ความทุกข์หายไปจากกายและใจ ปล่อยวางให้ความทรมานนั้นเป็นฝุ่นผง จึงจะเป็นตัวเรา ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล มิจำเป็นต้องคิดมากมาย ชีวิตมีสุขสมหวังเศร้าเสียใจ แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังคงขึ้นในเช้าวันใหม่เสมอ… 

หญิงชรายืนขึ้นมา แล้วยิ้มให้ฟู่เสี่ยวกวนด้วยความโอบอ้อมอารี  พ่อหนุ่มน้อยช่างรู้จักปลอบใจคนเสียเหลือเกิน หากข้ามีเจ้าเป็นหลานชาย ชีวิตข้าคาดว่าจะยืนยาวขึ้นมาหลายปี 

หนานกงตงเซวี๋ยรู้สึกตกตะลึงในใจ ฟู่เสี่ยวกวนนำมือมาแตะจมูกแล้วยิ้มออกมาด้วยความเขินอาย  หากข้าน้อยมีท่านเป็นท่านย่า ป่านนี้คงจะทำได้เพียงแค่เกาะท่านย่ากินอยู่ไปวัน ๆ ทว่าขอเอ่ยอย่างมิปิดบัง ชาดอกแพร์ถ้วยนี้รสชาติช่างแย่มากยิ่งนัก 

หญิงชราหลุดยิ้มออกมาด้วยความเริงร่า  ข้ามีชาคุณภาพดีอีกหลายแบบ ในอนาคตเจ้าอาจจะได้ชิม ข้าขอตัวก่อน !  

นางใช้ไม้เท้าหัวมังกรเพื่อพยุงตนเอง จากนั้นก็ได้ย่างก้าวออกจากศาลา ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้าพอดิบพอดี แสงสีทองได้สาดส่องเข้ามายังใบหน้าของนาง

……

ในช่วงที่ดวงอาทิตย์อัสดง ขบวนรถม้าราว 10 คันได้ออกจากวัดหานหลิงแล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองกวนหยุน

หนึ่งในนั้นมีม้าลากหกตัวผูกกับรถม้าที่หรูหราเอาไว้ หญิงชราที่ได้สนทนากับฟู่เสี่ยวกวนเมื่อครู่ได้นั่งอยู่บนรถม้าคันนั้น

และหญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหน้าผู้มีนามว่าหนานกงตงเซวี๋ยนั้นเป็นหลานสาวของหนานกงอี้หยู่อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ที่ได้ร่วมมาพักผ่อนกับไทเฮาผู้นี้

 เซวี๋ยเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?  

หนานกงตงเซวี๋ยตกตะลึงทันพลัน  สิ่งนี้เซวี๋ยเอ๋อร์มิควรออกความเห็นเพคะ 

 เจ้าคิดเห็นเยี่ยงไรก็จงเอ่ยมาตามตรง ข้ามิกล่าวโทษเจ้าหรอก 

 เขา…เป็นโอรสในองค์ฝ่าบาทจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือเพคะ 

ไทเฮาทรงแย้มพระสลวนออกมาแต่ก็มิได้ออกความเห็นใด

 เขาเป็นชายหนุ่มที่มีความสามารถอย่างแท้จริง มิว่าจะเป็นด้านการประพันธ์ หม่อมฉันเคยเห็นราชสาสน์ลับฉบับนั้นที่ท่านปู่โจวได้ถวายแก่ฝ่าบาท หม่อมฉันจึงขอเอ่ยตามตรงว่ายากที่จะเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง มิว่าจะเป็นเหล้าที่เขาหมักออกมา หรือจะเป็นสิ่งของต่าง ๆ ที่ชายผู้นี้ได้สร้างสรรค์ล้วนแต่เป็นของที่มีมูลค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งปืนใหญ่ที่จะมีผลต่อภาพลักษณ์การสงครามในอนาคต อีกทั้งยังกล้าที่จะเอ่ยถึงปัญหาของราชวงศ์หยูออกมา และเหมือนว่าเขาจะเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง แต่ทว่า…แต่ทว่าดูเหมือนเขาจะไร้ความทะเยอทะยานอันใด ข้าคิดว่าสิ่งนี้จะเป็นปัญหาต่อเขา 

 มิเป็นไรหรอก 

 ถ้าหากว่าเขาได้เข้ามาเป็นใหญ่ในพระราชวังอย่างแท้จริง เช่นนี้แล้วทางราชวงศ์คาดว่าคงจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาเป็นแน่ !  

องค์ไทเฮาเผยรอยยิ้มเรียบเฉยออกมา  ยังโหดร้ายเสียยิ่งกว่าคืนนองเลือดที่ทะเลสาบสือหลี่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 

หญิงชราผู้นั้นดูสะอาดสะอ้าน

นางสวมชุดผ้าปอสีขาวล้วน ผมหงอกขาวของนางนั้นถูกจัดทรงอย่างเป็นระเบียบและได้มวยผมบันไว้ด้านหลังของศีรษะซึ่งประดับด้วยปิ่นปักผมสีเงิน นอกเหนือจากนั้นนางก็ไร้ซึ่งเครื่องประดับอื่นใดอีก ช่างดูเรียบง่ายแต่ก็มิได้ดูปล่อยปละละเลยแม้แต่น้อย ให้ความรู้สึกช่ำชองต่อโลกแต่ก็สบายตาแก่ผู้พบเห็นอยู่ทันที

แม้ว่าบนใบหน้าของนางจะมีรอยเหี่ยวย่นมากมาย แต่แก้มนั้นกลับดูชมพูระเรื่อและดูสุขภาพดียิ่ง สิ่งที่ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าหญิงชราผู้นี้ช่างมิเหมือนใครคือแววตาคู่นั้นของนาง ที่ดูราวกับมีอำนาจบางอย่างแต่บางคราก็ดูเหมือนมิมีอันใด และรัศมีของนางที่กำลังนั่งหลังตั้งตรงอยู่นั้นดูองอาจยิ่ง

ราวกับว่านางจะเป็นผู้อาวุโสประจำตระกูลใหญ่สักตระกูลของเมืองกวนหยุน

ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปในศาลาแล้วคำนับต่อหญิงชราท่านนี้  ข้าน้อยนามว่าฟู่เสี่ยวกวน ขอคารวะท่านผู้อาวุโส 

หญิงชราท่านนี้ได้จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนนับตั้งเเต่ก้าวแรกที่เขาได้เข้ามาเหยียบในศาลา ใบหน้าของนางแสดงความเคร่งขรึมเล็กน้อย นางได้กระพริบตาคู่นั้น เหมือนมันจะทำให้นางมองเห็นฟู่เสี่ยวกวนได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้ยืนอยู่ด้านหน้าของหญิงชรา นางได้เชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นยังคงจับจ้องอยู่บนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน สายตานิ่งเรียบไร้ซึ่งความรู้สึกใด ๆ

 นั่งลงเถิด 

 ขอบคุณขอรับ !  

ซูซูหันมองซ้ายมองขวา หญิงชราผู้นี้มิได้เอ่ยเรียกนาง นางจึงลอบกลอกตาแล้วจึงเลือกนั่งลงข้างฟู่เสี่ยวกวน

หญิงสาวที่นำฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปที่ศาลานั้น ได้เอากาน้ำทองแดงเดินไปที่ด้านล่างของริมผา ที่แห่งนั้นได้มีหินสีน้ำเงินที่มารวมตัวกันจนกลายเป็นลักษณะคล้ายกับปากถ้วยขนาดใหญ่ และมีน้ำพุหยดมิขาดสาย

 ได้ยินมาว่าวันนี้เป็นวันแรกของงานชุมนุมวรรณกรรม เจ้าคือฟู่เสี่ยวกวน เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ในเวลานี้ได้เล่า ?  

 ท่านผู้อาวุโสข้าน้อยได้ต่อซั่งเหลียนทั้งสองบทนั้นเสร็จแล้ว เห็นว่าไร้ธุระอื่นใดจึงได้ปลีกตัวกลับมาเสียก่อน 

 อ่า…  หญิงชราพยักหน้าด้วยความเข้าใจ หนานกงตงเซวี๋ยหิ้วกาน้ำชากลับมาที่ศาลาแล้วนำกาน้ำขึ้นตั้งบนเตาไฟ หญิงชรายังคงจ้องมองใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน แล้วจึงเอ่ยถาม  ข้าได้ยินมาว่าที่เมืองจินหลิงนานาบุปผาบานสะพรั่ง ผู้มีปัญญาเกลื่อนล้นแผ่นดิน เป็นศูนย์รวมของเหล่าหนอนหนังสือ ด้วยชื่อเสียงของคุณชายฟู่แล้วการคว้าชัยชนะในงานแข่งขันครานี้คงง่ายดั่งปอกกล้วยเข้าปาก 

ฟู่เสียวกวนส่ายหน้าปฏิเสธ  ท่านผู้อาวุโสกล่าวสรรเสริญข้าน้อยเกินไปแล้ว ด้านการประพันธ์ไร้ซึ่งผู้ใดเป็นหนึ่งตั้งแต่โบราณกาล แม้ว่าข้าน้อยจะเป็นผู้ที่มีนามเลื่องลือแต่ก็มิกล้าเอ่ยได้เต็มปากว่าข้าน้อยเก่งกาจมิเป็นสองรองใคร เมืองจินหลิงและเมืองกวนหยุนต่างมีจุดดีจุดด้อยเป็นของตนเอง แม้ว่าบัดนี้จะเป็นยุครุ่งเรืองด้านการประพันธ์ของเมืองจินหลิง แต่ทว่าบัดนี้ด้านการประพันธ์ของเมืองกวนหยุนก็กำลังอยู่ในช่วงกำลังก่อตัวเช่นกัน งานประพันธ์ของจินหลิงล้วนแต่ได้รับอิทธิพลจากคำสอนของขงจื้อ ซึ่งย่อมมีทั้งด้านดีและด้านเสียในตัวของมันเอง 

เมื่อหญิงชราได้ยินเช่นนั้นก็เกิดอาการตื่นเต้น  อ่า…ลองกล่าวให้ข้าฟังได้หรือไม่ ?  

 แนวคิดของขงจื้อนั้นมีมานานนับพันปี สืบสานกันมาอย่างยาวนานและฝังรากลึกลงไปในสังคม ทว่าหากมองในอีกแง่มุมหนึ่งก็เปรียบดั่งพันธนาการ ที่ทำให้มีงานประพันธ์แพร่หลาย แต่ก็ทำให้ราชวงศ์หยูมีโซ่ตรวนพันรอบและยากที่จะก้าวออกไปข้างหน้าสู่ความหลากหลายที่มากกว่า 

หนานกงตงเซวี๋ยเงยหน้าขึ้นมามองฟู่เสี่ยวกวนในทันใด จากนั้นก็หยิบดอกแพร์จากกระบอกไม้ไผ่ใส่ลงไปในกาต้มชา

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยวาจาด้วยความหนักแน่นท่วมท้น  จะทลายโซ่พันธนาการนี้ช่างยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก แต่ทว่าราชวงศ์อู๋นั้นมิได้ประสบกับปัญหาเฉกเช่นเดียวกัน แม้ว่าแนวคิดของขงจื๊อจะเข้าสู่ราชวงศ์อู๋มาช้านาน แต่ก็เพิ่งได้รับการผลักดันอย่างเป็นจริงเป็นจังด้วยน้ำมือของท่านเหวินสิงโจว ทุกวันนี้เยาว์ชนแห่งราชวงศ์อู๋แม้จะได้ร่ำเรียนแนวคิดของขงจื้อมาเช่นกัน แต่พวกเขามิได้นับถือเสียจนหน้ามืดตามัว ด้วยเหตุนี้ด้านงานประพันธ์จึงมิได้มีโซ่ตรวนพันธนาการเอาไว้ พวกเขามองพื้นฐานแนวคิดของขงจื้อด้วยสายตาที่ลึกยิ่งกว่า อนาคตของพวกเขาช่างหน้าจับตามองยิ่ง มิเหมือนกับราชวงศ์หยูที่เต็มไปด้วยขวากหนามหยุดยั้งความเจริญก้าวหน้า !  

หญิงชรายิ้ม  แต่เจ้าเป็นคนของราชวงศ์หยู 

 นี่เป็นเพียงมุมมองของข้าเท่านั้นขอรับ ในส่วนที่ว่าข้าเป็นคนที่ไหนนั้นมิสำคัญหรอกขอรับ 

 สิ่งที่เจ้าต้องการจะสื่อถึงก็คือในอนาคตราชวงศ์อู๋จะมีความหวังมากว่าราชวงศ์หยูเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ข้อนี้ยากนักที่จะคาดเดาได้อย่างแม่นยำขอรับ 

 เพราะเหตุใดกัน ?  

 เพราะแนวคิดของขงจื้อนั้นคือสิ่งตายตัว และหากผู้คนยังมีชีวิตอยู่ แนวคิดนี้ก็เป็นเพียงแค่เครื่องมือ เครื่องมือนี้ต้องดูว่าจะถูกใช้เยี่ยงไรจึงจะเหมาะสม 

แววตาของหญิงชราเป็นประกายวาวขึ้นมา นางได้หักเหสายตาแล้วจมดิ่งลงในความเงียบได้เพียงอึดใจแล้วจึงเอ่ยถามต่อว่า  ในใจข้ามีปัญหาหนึ่งที่ยากจะหาทางออก อาจจะเป็นเพราะข้าตกอยู่ในความลังเล ข้าจะเอ่ยให้เจ้าฟังเสียหน่อย ถือเสียว่าช่วยรับฟังข้าก็แล้วกัน หากเจ้าสามารถคลายปมปัญหาให้กับข้าได้ก็ยิ่งดี 

หนานกงตงเซวี๋ยเงยหน้าขึ้นมามองหญิงชราอีกครา นางลอบคิดในใจว่านางควรจะปลีกตัวหนีไปสักพักดีหรือไม่

 ข้าขอเอ่ยตามตรง ตัวข้านั้นมาจากตระกูลใหญ่ แต่มีบุตรชายเพียงคนเดียว บุตรชายของข้าตอนที่อายุเท่าเจ้านั้นกระทำตนเสเพล ก่อเรื่องโง่เขลาไว้เสียมากมายแต่ทว่าเมื่อเขาเติบใหญ่ขึ้นมาก็พอเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาหน่อย  อยู่ ๆ หญิงชราก็เงยหน้าขึ้นมาถามฟู่เสี่ยวกวน  ข้าได้ยินมาว่าแต่ก่อนเจ้าก็กระทำตนเสเพลเช่นกันใช่หรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนกุมจมูกทำท่าครุ่นคิด นี่มันเอ่ยเสียดสีกันชัด ๆ เลยนี่ !

 ขอเอ่ยต่อท่านผู้อาวุโสตามตามตรง เมื่อคราที่ข้าน้อยยังเยาว์ข้าน้อยนั้นมิได้เรื่องอันใดมากมายนัก 

 อ่า…บุตรชายของข้าก็เป็นเยี่ยงนี้แหละ 

 บุตรชายของข้าได้เป็นใหญ่เป็นโตในวงศ์ตระกูล ปัญหาทุกอย่างภายในจวนเขาจัดการได้อย่างมิขาดตกบกพร่อง เขามีภรรยาเอก 1 คนและอนุอีก 1 คน ภรรยาเอกได้ให้กำเนิดบุตรชาย 1 คนและบุตรสาวอีก 1 คน ส่วนอนุนั้นได้ให้กำเนิดบุตรชาย 1 คน บัดนี้หลาน ๆ ทั้งหลายของข้าได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทว่าปัญหาก็ได้เกิดขึ้น 

 ทรัพย์สินแห่งวงศ์ตระกูลมากมายมหาศาลถึงเพียงนี้ ตามธรรมเนียมนั้นควรตกเป็นของบุตรชายคนโต แต่บังเอิญบุตรชายคนโตนั้นดันเป็นพวกมิได้ความ ข้าจึงมองถึงแผนยกสมบัติทั้งหมดให้อยู่ในความดูแลของบุตรชายของอนุผู้นั้น แต่คาดมิถึงว่าฝั่งภรรยาเอกได้ทำร้ายเด็กคนนั้นจนถึงแก่ชีวิต 

 ชีวิตข้านั้นช่างโหดรายเสียยิ่งกว่าบทละครใน ทุกวันนี้ข้าใคร่ครวญมาตลอด หากเจ้าหลานคนโตจะสำนึกขึ้นมาได้เหมือนพ่อของเขาบ้าง ข้ามิได้ขอให้เขามีความสามารถเพิ่มพูนทรัพย์สินของวงศ์ตระกูลหรอก แต่ขอเพียงแค่มิทำให้สิ่งที่มีอยู่ได้หล่นหายไปก็เพียงพอ แต่เนื่องด้วยสิ่งที่ภรรยาเอกได้ทำลงไป ทำให้บุตรชายของข้าจงเกลียดจงชังบุตรชายคนโตของตนเองมากยิ่งนัก 

หญิงชราถอนหายใจ หนานกงตงเซวี๋ยนำชาที่ต้มเดือดรินใส่จอก 4 จอกแล้วส่งมอบให้กับผู้มาเยือน

 บุตรชายของข้านั้นเป็นผู้ที่ลุ่มหลงในความรัก เฉกเช่นบทประพันธ์นั้นที่เจ้าได้มอบแก่ภาพวาดของเหยียนหรูยวี่ เมื่อคราเป็นหนุ่มเขาได้มีความสัมพันธ์อันลึกซึ่งกับหญิงสาวผู้หนึ่ง แต่เนื่องด้วยสารพัดปัญหาเป็นเหตุให้พวกเขามิอาจอยู่ด้วยกันได้ เดิมทีข้ามิได้เห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด แต่ในยามคับขันเช่นนี้ข้าได้ยินมาว่าบุตรชายของข้าเอ่ยว่าเขามีลูกนอกสมรสอีก 1 คน 

หญิงชราได้หันไปสบตาฟู่เสี่ยวกวน  ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเองก็เป็นลูกนอกสมรสของฝ่าบาทองค์ปัจจุบัน เรื่องราวของพวกเรานั้นช่างละไม้คล้ายคลึงกันยิ่ง บุตรชายของข้าอยากจะนำบุตรชายนอกสมรสของตนนั้นมาเคารพบรรพบุรุษและกลับคืนแก่วงศ์ตระกูล เหตุผลและการกระทำเช่นนี้ย่อมเป็นที่โจ่งแจ้งว่าเขาต้องการยกกองมรดกให้กับบุตรชายนอกสมรสผู้นี้ สิ่งที่ข้าอยากจะถามเจ้าก็คือ หากสมมุติหากฝ่าบาททรงยกบัลลังก์ให้แก่เจ้า เจ้าจักสืบบัลลังก์ต่อจากเขาหรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนตกใจเสียจนแทบสะดุ้ง แล้วหญิงชราผู้นั้นจึงได้เอ่ยเสริมอีกว่า  ที่ข้าเอ่ยถามนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องสมมุติ แค่เพียงเรื่องของเจ้าคล้ายคลึงกับสิ่งที่ข้ากำลังเผชิญอยู่มากยิ่งนัก 

 ท่านผู้อาวุโส หากเป็นข้าน้อย ข้าน้อยคงมิอาจสืบบัลลังก์ต่อได้ 

หญิงชราขมวดคิ้ว จากนั้นจึงเอ่ยถาม  เจ้าจะกลายเป็นดั่งเทพเจ้าในชั่วพริบตา เหตุใดเจ้าถึงมิอยากสืบบัลลังก์กัน ?  

 

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เก็บเรื่องนั้นมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย

เยี่ยงไรเสียผลการตัดสินจะถูกประกาศให้ทราบกันถ้วนหน้า ณ หลิวหยุนถายแห่งทะเลสาบสือหลี่ในค่ำที่ยี่สิบแปดเดือนสาม พวกเขาหยุดพักอยู่ที่ทะเลสาบเทียนหูอีกชั่วครู่ จากนั้นก็ได้เดินทางกลับตำหนักหยุนชิง

พวกเขาเดินทะลุลานเบื้องหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยคำทักทายกับเหล่าบัณฑิตแห่งราชวงศ์หยู แล้วได้แวะไปสนทนากับฝานเทียนหนิงเช่นกัน

 ท่านทำเยี่ยงนี้เท่ากับมิให้ความเคารพต่อการแข่งขัน !  

 น้องฝานเอ่ยเช่นนี้หมายความว่าเยี่ยงไร ?  

 จนถึงเวลานี้ธูปศักดิ์สิทธิ์ได้มอดไปเพียงแค่ครึ่งก้านเท่านั้น ยังมิมีบัณฑิตคนที่สองไปเขียนต่อจากท่านเลยด้วยซ้ำ แต่ท่านกลับปล่อยปะละเลยเช่นนี้ หรือมีสิ่งใดที่ข้าเข้าใจผิดไป ?  

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า  น้องฝานเข้าใจผิดไปแล้วเสียจริง ๆ ค่อย ๆ ไตร่ตรองช้า ๆ ไว้กลับไปแล้วข้าจะอธิบายขยายความให้ 

เขาเอ่ยเสร็จแล้วก็ได้เดินจากไป !

ฝานเทียนหนิงจะทำเยี่ยงไรได้อีก เขาทำได้เพียงส่ายหน้า แล้วจึงถอนหายใจยาวออกมา มีหลายคนรู้สึกเสียดายแทนฟู่เสี่ยวกวนจากใจจริง

ฟู่เสี่ยวกวนและคณะได้เดินออกจากลานประลอง จากนั้นได้มีหลายสายตาจับจ้องมาที่เขา ที่เป็นเช่นนี้นั้นไร้ซึ่งเหตุผลอื่นใด มิมีใครคิดว่าเขาจะมีความสามารถที่จะแต่งคำสัมผัสคล้องจองออกมาได้ สายตาของปัญญาชนเหล่านั้นจึงเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน ใบหน้าของพวกเขาเปื้อนรอยยิ้มที่รู้สึกสะใจบนความทุกข์ของผู้อื่น

 ฟู่เสี่ยวกวน นึกว่าจะแน่สักแค่ไหนกัน 

 ข้าว่าราชวงศ์หยูคงจงใจสร้างตัวละครหนุ่มผู้เป็นอัจฉริยภาพขึ้นมาแล้วกล่าวขานเสียเกินความเป็นจริง 

 งานแข่งขันกวีครานี้ก็เลยได้เผยธาตุแท้ของตนมาแล้วสินะ พวกข้าจะเปิดโปงนิสัยที่แท้จริงของผู้นั่นเอง !  

 …… 

ระหว่างที่กำลังเดินอยู่ในลานฟู่เสี่ยวกวนได้ยินเสียงของคนรู้ไม่จริงมานักต่อนัก แต่เขาก็มิได้เก็บมันมาใส่ใจ มีเพียงแต่เกาหยวนหยวนศิษย์พี่สองเท่านั้นที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หนอยแน่ ! ไอ้พวกสวะบังอาจมากล่าววาจาเหยียดหยามศิษย์น้องของข้าเยี่ยงนั้นหรือ !

หากฟู่เสี่ยวกวนไร้เหตุผล เขาคงจะแปลงร่างเป็นก้อนกลม ๆ กลิ้งใส่ไอ้พวกสวะนี้เสียให้ผิวหนังถลอกกันไปข้างหนึ่ง !

พวกเขาทั้งหมดได้เดินทางกลับมายังตำหนักหยุนชิงแล้ว เขาหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าประตูเพื่อมองป้ายชื่อตำหนักด้วยความตั้งใจอีกครา แล้วต่งชูหลานก็ได้โพล่งถามออกมา  ถ้าหากว่าเจ้าเป็นโอรสในจักรพรรดิเหวินอย่างแท้จริง เจ้าจะกลับไปเหยียบแผ่นดินราชวงศ์หยูอีกหรือไม่ ?  

หยูเวิ่นหวินหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน นางรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่เขากำลังจะเอ่ยตอบ

เฉกเช่นที่ที่โบราณกล่าวไว้ว่าสตรีเมื่อโดนสู่ขอแล้วก็ต้องตามใจสามี ทว่าหากเปรียบเมืองจินหลิงกับเมืองกวนหยุนแล้ว นางโปรดปรานบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองเสียมากกว่า

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงเสียจนมิรู้จะตอบกลับไปเยี่ยงไร  พวกเจ้าคิดอะไรกัน เรื่องนั้นย่อมเป็นไปมิได้ !  

 ข้าหมายถึงถ้าหากว่าเป็นเยี่ยงนั้นขึ้นมาล่ะก็… !  

 พวกเจ้าจงไตร่ตรองดูเถิด ฟู่ต้ากวนบิดาข้าต้องรู้เป็นแน่ว่าข้าคือบุตรชายของผู้ใด หากข้าเป็นโอรสในองค์จักรพรรดิเหวินอย่างแท้จริงล่ะก็ ท่านพ่อจะเลี้ยงข้าให้เติบใหญ่ไปเพราะเหตุใดกัน ข้าจะบอกบางอย่างให้พวกเจ้าได้รับรู้ไว้ ท่านพ่อดีกับข้ามากยิ่งนัก หากมิมีราชโองการจากฝ่าบาท ท่านคงมิฝักใฝ่จะมีอนุหรอก 

 พวกเจ้าลองใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนอีกครา เขามาเยือนเมืองกวนหยุนเพื่อใช้เงินกว่าล้านตำลึงเพื่อซื้อคฤหาสน์จิ้งหู ถ้าหากว่าข้าเป็นโอรสในจักรพรรดิเหวินอย่างแท้จริง คฤหาสน์จิ้งหูเองก็เป็นทรัพย์สมบัติของราชสำนักเช่นกัน เพียงแค่คำรับสั่งจากองค์จักรพรรดิ ทรัพย์สมบัติชิ้นนี้ก็จะตกเป็นของข้าแล้วมิใช่หรือ ?  

 ในส่วนของเรื่องราวระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ของข้านั้น ท่านพ่อมีความรักให้ท่านแม่ของข้าอย่างสุดซึ้งอย่างแน่นอน ส่วนท่านแม่จะรักท่านพ่อหรือไม่นั้น คราหนึ่งท่านพ่อเคยบอกข้าว่า เรื่องของความรู้สึกของคนสองคน เพียงแค่ไปร่วมนอนเตียงเดียวกันสักครา ความรู้สึกก็จะค่อย ๆ ผลิบานซึ่งเป็นธรรมดาของมนุษย์ ตอนแรกท่านแม่ก็คงจะไร้ความรู้สึกพิเศษต่อท่านพ่อ แต่นานวันเข้าข้าคิดว่านางต้องมีความรักต่อท่านพ่อเป็นแน่ อย่าได้ดูแคลนว่าท่านพ่อของข้าอ้วนเยี่ยงนั้นจะขี้ริ้วขี้เหร่เชียว แท้จริงแล้วท่านพ่อของข้าเป็นคนที่น่ามองมาก ๆ คนหนึ่งเลยล่ะ 

ทั้งสามนางลองใคร่ครวญดูอีกครา หยูเวินหวินและต่งชูหลานนั้นเข้าใจในสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยแล้ว ใบหน้าของพวกนางได้เผยความโล่งใจออกมา แต่ทว่ายังมีซูซูที่ยังมิหายข้องใจนัก จากนั้นนางจึงได้เอ่ยถาม  หากว่าตอนที่ท่านแม่ตั้งท้องเจ้าเสียก่อนที่จะแต่งงานกับท่านพ่อของเจ้า แต่ท่านพ่อของเจ้าก็ดันมิรู้ ถ้าเป็นเช่นนี้เจ้าจะถือว่าเป็นโอรสในจักรพรรดิเหวินอีกหรือไม่ ?  

 …… 

ไอหยา ! ซูซูคิดมากเกินไปแล้ว แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้เอ่ยตอบ !

ฟู่ต้ากวนเป็นพ่อเลี้ยงโดยมิรู้ตัวเยี่ยงนั้นหรือ ?

หากเป็นเยี่ยงนี้คงน่าอนาถใจยิ่ง !

 ซูซูเรื่องเช่นนี้มิสมควรเอามาคิดเรื่อยเปื่อย !  

ซูซูเบ้ปากแล้วก้มหัวอย่างรู้สึกผิด นางลอบคิดในใจว่าเรื่องเช่นนี้ยากนักที่จะบอกกล่าวให้กระจ่างชัดได้

……

……

เมื่อแสงอาทิตย์สาดเข้ามากระทบกับร่าง ความอบอุ่นจึงบังเกิด

ฟู่เสี่ยวกวนนำเก้าอี้เอนออกมาหนึ่งตัว แล้ววางมันไว้ตรงลานบ้านเพื่อนอนอาบแดด

มีชีวิตตามอำเภอใจมันช่างเป็นสุขเยี่ยงนี้แหละ มิจำเป็นต้องประพันธ์กวีหรือบทความใด ๆ ทั้งสิ้น !

เขานอนเอนอยู่ชั่วครู่ ในจังหวะที่กำลังจะเคลิ้มหลับนั่นเอง เสียงของซูซูก็ได้ดังขึ้นมาปลุกเขาให้ตื่นออกจากห้วงภวังค์

 มีสาสน์จากศิษย์พี่ใหญ่ 

มีนกตัวหนึ่งเกาะอยู่บนบ่าของซูซู และนางได้ส่งต่อกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน

ศิษย์น้องเล็ก ข้าได้ค้นหาในตำหนักไทเฮาจนทั่วแล้ว ไร้ซึ่งเงาของบันทึกประจำวันอะไรนั่นที่ท่านตามหา

เดิมทีศิษย์น้องทั้งสี่ของข้าต้องการไปพบท่านที่วัดหานหลิง ทว่าเวลานี้วัดหานหลิงได้โดนทหารรักษาการณ์ชุดแดงปิดล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา เนื่องด้วยข้าได้พบพานกับสุ่ยหยุนเจียนระหว่างทางที่กลับไปยังตำหนักหยุนชิง

เขาเอ่ยว่าเป่ยหวังฉวนฝืนใจยิงธนูไปสองคราเพื่อที่จะช่วยชีวิตท่านไว้ บัดนี้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและกำลังอยู่ในช่วงพักฟื้น หากท่านจะตามหาตัวเขาเพื่อแก้แค้น ก็ขอให้ท่านโปรดรอให้เวลาผ่านไปถึงปีครึ่งเสียก่อน

อีกอย่างข้าได้ข่าวมาว่าอ๋องนามว่าหนิงหวางได้โดนจักรพรรดินีเซียวลอบสังหารจนสิ้นพระชนม์ เพลานี้เหลือเพียงองค์รัชทายาทและท่านที่เป็นโอรสในองค์จักรพรรดิเหวิน เหมือนว่าพระองค์จะทรงมีแผนกำจัดองค์รัชทายาทองค์นี้ออกไปให้พ้นทางเสีย หากพระองค์ทรงปรารถนาที่จะแต่งตั้งท่านเป็นองค์รัชทายาท ขอท่านได้โปรดเตรียมการรับมือเอาไว้ด้วย

ข้าได้มอบหมายให้ศิษย์พี่ห้าของท่านไปจับตามองดูจัวอีสิงแล้ว ศิษย์น้องแปดได้นำแม่นางถาวฮวาเข้าสำนักเต๋าจนสำเร็จแล้วเช่นกัน ท่านอาจารย์ชื่นชอบนางยิ่งนัก ภารกิจที่ข้ามอบหมายให้เขาคือให้เขาฝึกศิษย์น้องอีกพันคนตามแบบแผนการฝึกการทหารที่ท่านได้วางเอาไว้ ตั้งมั่นแน่วแน่ไว้แล้วว่าจะต้องทำให้แผ่นดินสะเทือนกับการฝึกครานี้ให้จงได้

ข้าไร้ซึ่งเรื่องสำคัญอื่น หากท่านมีธุระอันใดโปรดเขียนจดหมายมาบอกกล่าว

ฟู่เสี่ยวกวนไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน จากนั้นจึงไปหยิบกระดาษแล้วเขียนจดหมายส่งกลับไปให้กับซูเจวี๋ย

 ขอศิษย์พี่เจ็ดได้โปรดไปที่ศาลต้าหลี่ เพื่อดูว่าจักรพรรดินีเซียวถูกคุมขังอยู่ที่ใด และจงระมัดระวังอย่าให้คนใกล้ชิดของนางล่วงรู้เป็นอันขาด 

เขานำกระดาษแผ่นนั้นส่งต่อให้ซูซู ซูซูจึงปล่อยนกตัวนั้นขึ้นสู่ท้องนภา แล้วฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เอ่ยถามออกมา  ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน พวกนางไปที่ใดกันแล้วล่ะ ?  

 พวกนางทั้งสองได้ตามหยุนกุยไปเก็บลูกสาลี่ที่สวน ที่นั่นสวยงามยิ่งนัก เจ้าอยากไปชมดูหรือไม่ ?  

 ได้สิ ! ไปกันเถอะ 

และทั้งสองก็ได้เดินทางออกจากตำหนักหยุนชิงไปยังสวนสาลี่

สวนสาลี่มีพื้นที่กว้างขวางยิ่ง มีต้นสาลี่ราวร้อยต้นโดยประมาณ กลิ่นผลสาลี่หอมเย้ายวนแตะจมูกทันทีที่ย่างกรายเข้าไปเหยียบในที่แห่งนั้น

ฟู่เสี่ยวกวนยังคงมองหาทั้งสองนางมิเจอ เขาและซูซูได้เดินอย่างผ่อนคลาย มินานนักก็ได้เดินมาจนถึงด้านหลังของสวน

หลังจากนั้นเขาจึงมองเห็นศาลาหลังหนึ่งตั้งอยู่ตรงริมหน้าผา และในศาลาหลังนั้นก็ได้มีหญิงชราหนึ่งคนและหญิงสาววัยบานสะพรั่งอีกสองคนกำลังชงชาดื่มด้วยกัน

เขาหันมองย้อนกลับไป ระยะห่างระหว่างตำหนักหยุนชิงกับที่นี่มิได้ไกลกันมากนัก หญิงชราผู้นั้นคือใครกัน ? เหตุใดนางจึงได้มาอยู่ในที่แห่งนี้ ?

ในขณะนั้นเอง หญิงสาวทั้งสองคนนั้นก็ได้หันมาเห็นฟู่เสี่ยวกวนและซูซู พวกนางรู้สึกประหม่าเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยกล่าวแก่หญิงชราด้วยเสียงแผ่วเบาเสียจนฟังมิได้ศัพท์ จากนั้นหญิงชราผู้นั้นถึงได้หันมามองฟู่เสี่ยวกวน และหญิงสาวทั้งสองถึงได้ลุกขึ้นยืนและเดินตรงไปยังฟู่เสี่ยวกวน

พวกนางต่างส่งสายตาเป็นประกายขณะมองดูฟู่เสี่ยวกวน แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา  ลูกสาลี่เพิ่งเก็บมาสดใหม่ รสชาติหอมหวานมากยิ่งนัก ช่างเข้ากับบรรยากาศเช่นนี้เสียจริง มาเถิด มาลิ้มลองด้วยกันเถิด !  

 

ตำหนักเจิ้งหยางที่เคยมีชีวิตชีวา บัดนี้กลับกลายเยือกเย็น

แม้แต่แสงแดดที่สาดส่องลงมา อู๋หลิงเอ๋อร์ก็ยังคงรู้สึกหนาวเหน็บอย่างสุดหัวใจ

ดอกท้อบนต้นที่อยู่ทางด้านซ้ายของลานได้ร่วงโรยไปหมดแล้ว แม้แต่กลีบดอกไม้ที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นก็ไม่รู้ว่าสีแดงสดของมันนั้นจางหายไปตั้งแต่เมื่อใด

บัดนี้ต้นสาลี่ที่อยู่ทางด้านขวาของลาน กำลังผลิดอกออกมาเบ่งบานราวกับหิมะขาวโพลน หากเป็นในอดีตนางอาจจะคิดว่าดอกสาลี่เหล่านี้งดงามยิ่ง แต่ทว่า…บัดนี้นางรู้สึกราวกับว่าต้นสาลี่ถูกปกคลุมไปด้วยผืนผ้าแพรสีขาว !

เสด็จแม่ถูกกุมตัวไปยังศาลต้าหลี่ ไม่เพียงแต่เพราะเสด็จแม่วางแผนจัดการในวัดหานหลิงเท่านั้น อีกทั้งยังมีข่าวร้ายอันน่าใจหายที่ราชสำนักเพิ่งได้รับแจ้งว่า อ๋องแห่งเขตฉางผิงเพิ่งถูกลอบสังหาร !

ทั้งราชสำนักพากันแตกตื่น เสด็จพ่อกริ้วเสียจนแทบทนมิได้ !

ในขณะที่เสด็จแม่ที่กำลังออกไปจากตำหนักเย็นได้แย้มพระสรวลออกมา…ทำให้อู๋หลิงเอ๋อร์รู้สึกเย็นไปทั่วทั้งร่าง

เสด็จแม่ที่เคยเปี่ยมไปด้วยความเมตตา เหตุใดจึงได้เปลี่ยนไปเป็นโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้กัน ?

แมงป่องพิษยังมิน่ากลัวเท่านี้ !

เพียงเพื่อตำแหน่งองค์รัชทายาทเยี่ยงนั้นหรือ ?

หรือเพียงเพื่อพระทัยของเสด็จพ่อที่ทรงมีแต่สวี่หยุนชิงแต่เพียงผู้เดียวเยี่ยงนั้นหรือ ?

คุ้มค่าหรือไม่ ?

บัดนี้ ต่อให้นางต้องการจะช่วยเสด็จแม่ออกมาก็คาดว่าจะสิ้นหวังแล้ว นางจะได้รับการลงโทษเยี่ยงไรกัน ?

จะเป็นผ้าแพรขาวที่เสด็จพ่อประทานให้ หรือเป็นสุราพิษกัน ?

สภาพตอนนางสิ้นใจคาดว่าคงมิน่ามองเป็นแน่ แต่นางคงจะจากไปด้วยรอยยิ้ม เนื่องจากนางบ้าไปแล้ว !

นางกล่าวว่า เมื่อนางตายไปแล้วจงนำร่างของนางไปฝัง ณ เรือนหยุนชิง นางอยากจะเห็นที่แห่งนั้น…อู๋หลิงเอ๋อร์เองก็มิเคยเดินทางไปเช่นกัน ที่แห่งนั้นจะเป็นสถานที่แบบไหนกัน ?

ความรักที่เสด็จพ่อมีให้สวี่หยุนชิงนั้น เปรียบเสมือนนกหยวนหยางคู่นั้นจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?

ภาพวาดนกหยวนหยางคู่นั้นมองดูแล้วช่างน่าโศกเศร้ายิ่ง พระทัยของเสด็จพ่อคงคล้ายกับนกตัวที่ยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นตำหนักเจิ้งหยางเกรงว่าต่อไปก็คงมิมีเจ้าของอีกเป็นแน่

นางสูดลมหายใจเข้าเสียยืดยาว จากนั้นมองไปยังวัดหานหลิงแล้วนึกในใจว่า บัดนี้การแข่งขันคาดว่าจะเริ่มขึ้นแล้ว มิรู้ว่าหัวข้อในวันนี้คืออะไร ฟู่เสี่ยวกวนจะสร้างผลงานอันโดดเด่นออกมาได้หรือไม่ ?

ในขณะที่นางกำลังคิดอยู่นั้นก็ได้มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมา

เมื่อนางหันไปมองก็พบว่าเป็นเสด็จพ่อ !

 นาง..เป็นเยี่ยงไรบ้างเพคะ ?   อู๋หลิงเอ๋อร์เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

 หลิงเอ๋อร์ ชงชาสาลี่ให้พ่อสักกาหนึ่งเถิด  จักรพรรดิเหวินมิได้ตอบคำถามนาง แต่กลับนั่งลงในศาลาเหลียงถิงแล้วหันหน้ามองต้นสาลี่อันขาวโพลน

อู๋หลิงเอ๋อร์เดินไปหยิบชุดชงชา จากนั้นเดินไปเด็ดดอกสาลี่มาหนึ่งกำมือ พร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ จักรพรรดิเหวิน นางมิได้เอ่ยถามอันใดออกมาอีก ได้แต่เพียงนั่งชงชาอย่างตั้งใจเท่านั้น

 ต้นสาลี่ต้นนั้น พ่อเป็นคนปลูกมันด้วยตนเอง บัดนี้ผ่านไปกว่าสิบปีแล้ว…  จักรพรรดิเหวินถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าเศร้าหมอง  องค์รัชทายาทอายุได้ 14 ปีแล้ว นางลอบสังหารอ๋อง เพื่อให้ตำแหน่งรัชทายาทมั่นคง 

อู๋หลิงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมอง สายตาของจักรพรรดิเหวินยังคงจับจ้องไปที่ต้นสาลี่นั่น สีหน้าของเขาเย็นชาเคร่งขรึม  หลิงเอ๋อร์ พ่อจะปลดตำแหน่งองค์รัชทายาท !  

 เพล้ง… !   เสียงของแก้วชาร่วงหล่นลงสู่พื้น แตกละเอียด

จักรพรรดิเหวินทรงแย้มพระสรวลออกมาจากนั้นกล่าวว่า  พ่อเพียงแค่บอกกับเจ้าเท่านั้น วันนี้เป็นวันแรกของการแข่งขันงานชุมนุมวรรณกรรม โดยมีหัวข้อคือตุ้ยเหลียน เจ้าว่า…ฟู่เสี่ยวกวนจะได้รับคะแนนมากที่สุดหรือไม่ ?  

……

……

บัดนี้ ไทเฮากำลังนั่งดื่มชา เหวินสิงโจวกล่าวว่า จากที่กระหม่อมพิจารณา…มิมีผู้ใดเทียบเท่ากับฟู่เสี่ยวกวนได้ !

ทำให้ไทเฮาทรงตกพระทัยยิ่ง

ในเมื่อเหวินสิงโจวกล่าวว่ามิมีผู้ใดสู้เขาได้…เช่นนั้นคงจะเป็นความจริง

นางเดินไปตรงหน้าต่างแล้วทอดพระเนตรไปยังฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ที่อยู่บนสนามหญ้า สายตานั้นเปรียบดั่งแสงอาทิตย์ มองไปแล้วช่างอบอุ่นยิ่ง แม้จะเลือนราง แต่ทว่าเงาของฟู่เสี่ยวกวนดูจะชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ

เวลาผ่านไป 1 ก้านธูป นางในผู้หนึ่งพาอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยมายังที่แห่งนี้

ไทเฮาทรงเดินเข้าไปหา อาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยโค้งคารวะ จากนั้นไทเฮาก็ทรงชี้ไปยังตุ้ยเหลียนที่วางอยู่บนโต๊ะว่า  ซั่งเหลียนนี้ท่านเป็นผู้เขียน เชิญดูว่าเซี่ยเหลียนเขียนเป็นเยี่ยงไรบ้าง 

อาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยรู้สึกตกตะลึงมากยิ่งนัก การที่เขาเขียนซั่งเหลียนเช่นนั้นเนื่องจากต้องการให้แคว้นฝานและบัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋เอื้อต่อการแข่งขันและมีผลงานที่โดดเด่น เนื่องจากพุทธศาสนาได้เผยแพร่ไปทั่วทั้งสองแคว้นนี้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแคว้นฝานที่เป็นแหล่งกำเนิดของพุทธศาสนา

หรือว่าบัณฑิตจากทั้งสองแคว้นนี้จะเขียนซั่งเหลียนออกมาได้ในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้กัน ?

เขาเดินมาที่โต๊ะแล้วมองไปที่ตุ้ยเหลียนนั้น สีหน้าของเขาพลันตกตะลึงเสียจนอ้าปากค้าง และมิรู้จะเอ่ยอันใดออกมา

สายตาของทุกคนจับจ้องมายังเขา ทุกคนมองออกถึงความตกตะลึงที่อาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยแสดงออกมา และเข้าใจได้ว่าผลงานของฟู่เสี่ยวกวนยอดเยี่ยมเพียงใด

อาจารย์เหมยเองก็ตกตะลึงเช่นกัน ชายหนุ่มแห่งราชวงศ์หยู ฟู่เสี่ยวกวน เขาเข้าใจในพระธรรมเยี่ยงนั้นหรือ ?

เขาเป็นปิศาจอย่างแท้จริง !

งานชุมนุมวรรณกรรมแห่งราชวงศ์อู๋ในครานี้ เกรงว่าจะเป็นการเปิดโอกาสให้เขาเสียแล้วสิ

ผ่านไปชั่วครู่ อาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยจึงพนมมือขึ้นประกบกันแล้วกล่าวว่า อามิตาพุทธ

 ทูลไทเฮา เซี่ยเหลียนนี้เข้าถึงใจกลางของพระธรรมได้อย่างล้ำลึก และอาตมามิเคยได้พบเห็นมาก่อน หากจะให้อาตมาลงคะแนน…เซี่ยเหลียนนี้ จัดอยู่ในระดับเจี่ยสูง !  

เมื่ออาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยกล่าวออกมาเช่นนั้น นักปราชญ์ทั้งเก้าที่เดิมทีก็มีความเห็นตรงกันก็ได้ปล่อยลมหายใจออกมา  ฟู่… 

แม้ว่าพวกเขานั้นจะมีความรู้ด้านพุทธศาสนา แต่ทว่าก็มิได้ลึกซึ้งแต่อย่างใด

พวกเขามองดูเซี่ยเหลียนนี้ สามารถบอกได้ถึงความงดงาม แต่ก็มิสู้ท่านอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยที่มองลงไปได้อย่างลึกซึ้ง

นี่คือเหตุผลที่ไทเฮาทรงเชิญอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยมา ในเมื่ออาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยกล่าวออกมาเช่นนั้น ก็นับว่าการตัดสินนี้ถือว่าเห็นพ้องต้องกัน !

 ข้าจำได้ว่า ราชวงศ์หยูมิสนับสนุนพุทธศาสนา อีกทั้งยังได้ยินมาว่า อย่าว่าแต่วัดเลย แม้แต่คัมภีร์สักเล่มก็ยังหามิพบ ฟู่เสี่ยวกวน…เข้าใจในพระธรรมล้ำลึกเช่นนี้ได้เยี่ยงไร ?  

มิมีผู้ใดตอบคำถามของไทเฮาได้ ไทเฮาเองก็มิได้ทรงต้องการคำตอบจากผู้ใด และทรงกล่าวออกมาว่า  แม้ตุ้ยเหลียนนี้จะได้รับการยอมรับจากพวกท่านทั้งหลาย แต่ข้ายังยืนยันคำเดิมว่า ข้าขอเตือนพวกเจ้าทุกคน อย่าได้รีบด่วนตัดสินใจ รอให้บัณฑิตทุกคนส่งผลงานมาให้ครบ แล้วค่อยตัดสินโดยละเอียด… 

พระนางทอดพระเนตรไปยังตุ้ยเหลียนที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นแล้วตรัสว่า  หากว่าผลการแข่งขันออกมา แล้วผลงานของฟู่เสี่ยวกวนทั้งสองแผ่นนี้เป็นเลิศที่สุด…ข้าคิดว่าควรหักคะแนนจากทักษะการเขียนอักขระเสียหน่อย หากพวกเจ้าคิดว่าผลงานของเขาอยู่ในระดับเจี่ยสูง จงลดให้เป็นระดับเจี่ยกลางเถิด 

 ข้าเหนื่อยแล้ว ขอกลับไปพักผ่อนเสียก่อน เมื่อรู้ผลจงให้คนมารายงานข้าด้วย 

นางในที่รับใช้ไทเฮาได้ประคองพระนางออกจากหอป๋อเสวียไป เหลือไว้แต่เพียงอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยและนักปราชญ์ทั้งเก้าคนที่มองหน้ากัน

นี่หมายความว่าเยี่ยงไร ?

เนื่องจากอักขระของฟู่เสี่ยวกวนมิน่ามอง ไทเฮาจึงทรงตัดคะแนนเยี่ยงนั้นหรือ ?

 ตัวอักษรเปรียบเสมือนหน้าตา ข้าขอกล่าวตามจริงว่า หากมองจากตัวอักษรนี้แล้ว ข้าคิดว่าหลานชายที่เพิ่งหัดเขียนหนังสือของข้ายังเขียนได้สวยกว่าเสียอีก 

 เห้อ…นี่คือพระประสงค์ของไทเฮา คาดว่าทรงต้องการจัดการฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่ น่าเสียดายยิ่ง !  

 เช่นนี้หมายความว่า…การแข่งขันกวีในวันพรุ่งนี้ ต่อให้ฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์กวีออกมาได้งดงามถึงเพียงใด ก็คาดว่าคงได้เพียงระดับเจี่ยกลางเท่านั้นเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ทุกท่าน…  อาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ  ชื่อเสียงเป็นเรื่องนอกกาย ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจในพระธรรมเช่นนี้ เขาได้ปล่อยวางลงแล้ว ดังนั้นอาตมาคิดว่าผลงานของเขาจะเป็นระดับเจี่ยสูงหรือเจี่ยกลาง คุณชายฟู่ก็คงมิได้นำมาใส่ใจ 

 

เหวินสิงโจวไร้หนทางจะปกปิดความตื่นเต้นของตนเองได้

ถึงแม้เขาจะเทิดทูนฟู่เสี่ยวกวน แต่มันก็เกิดขึ้นหลังจากที่ได้อ่านบทกวีและบทความของฟู่เสี่ยวกวน

สิ่งที่เรียกว่าบทกวีหรือบทความนั้น มักจะผ่านการขัดเกลาจากผู้ประพันธ์อย่างสุดกำลังแล้วถึงจะปล่อยออกมาได้ ดังนั้นแม้แต่ ‘ชิงหยู่หว่าน ค่ำคืนแห่งหยวนเซียว’ ที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ประพันธ์ออกมาในงานกวีหลานถิง ณ งานเทศกาลโคมไฟ จนทำให้ ‘โต๊ะหยก งานโคมไฟ’ ที่เขาเคยประพันธ์ไว้ตกไปอยู่ลำดับที่สอง เขาก็ยังคิดว่านั่นคือผลลัพธ์ของการไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว

ในตอนนี้เป็นคราแรกที่เขาได้เห็นฟู่เสี่ยวกวนลงพู่กัน ตั้งแต่ที่หัวข้อได้ถูกปล่อยออกมาจนถึงตอนที่เขาวางพู่กันลงหลังจากที่เขียนเสร็จ ใช้เวลาเพียงไม่เกินหนึ่งถ้วยชา

กล่าวจากใจจริง กลอนตุ้ยเหลียนสองบทนี้ต่อให้เหวินสิงโจวผู้นี้ออกมาประพันธ์ เขาก็ยังต้องใช้เวลาคิดอย่างน้อยที่สุดก็ครึ่งชั่วยาม

ดังนั้นในยามที่ได้เห็นฟู่เสี่ยวกวนลงมือเขียนเซี่ยเหลียนของกลอนตุ้ยเหลียนทั้งสองแผ่นอย่างแท้จริง ยามที่มองดูฟู่เสี่ยวกวนวางพู่กันลงและเดินออกไป เขาจึงรู้สึกสับสนไปเล็กน้อย หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนมาเพียงขอไปทีเท่านั้น เขาปล่อยวางการแข่งในวันนี้ไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

ดังนั้นเขาจึงรีบเดินลงไป หลังจากนั้นคิ้วก็ขมวดขึ้นมา อักขระเมื่อมองดูแล้วน่าสยดสยองเสียจริง !

ท่าทางที่เขาแสดงออกมานั้นได้ตกอยู่ในสายตาของบัณฑิตจำนวนมาก ดังนั้นจิตใจของบัณฑิตเหล่านั้นจึงได้โลดแล่นยิ่งขึ้น ด้วยท่าทางดูถูกของท่านเหวินผู้นี้ ต้องเป็นเพราะเซี่ยเหลียนของฟู่เสี่ยวกวนนั้นย่ำแย่เป็นแน่

เยี่ยงนั้น ชัยชนะในครานี้ย่อมเป็นของพวกเขาเป็นแน่

บัณฑิตจำนวนมากต่างถอนหายใจอย่างโล่งอก ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ มอบแรงกดดันให้กับพวกเขามากเสียจนเกินไป

 ข้าบอกแล้วว่าเขาใช้กลยุทธ์เพื่อทำให้จิตใจของพวกเราสับสน แต่ทุกท่านก็ยังต้องเปิดสัมผัสทั้งสิบสองขึ้นมา เยี่ยงไรแล้วราชวงศ์หยูก็ยังเหลืออยู่อีก 100 คน ได้ยินมาว่าส่วนมากต่างก็เป็นสมาชิกของสมาคมกวีหลานถิง อย่าได้ประมาทพวกเขาเชียว 

คุณหนูถังซานลำพองใจ คำเอ่ยนี้ได้รับการเห็นชอบจากบัณฑิตราชวงศ์อู๋

จัวตงหลายยังคงเอาสองมือไขว้หลัง บนใบหน้าก็ยังคงเป็นรูปลักษณ์ที่มิอาจคาดเดาได้ เพียงแค่มิมีผู้ใดทราบว่าในชั่วพริบตาที่เขาเห็นคิ้วของเหวินสิงโจวขมวดขึ้นมา ในที่สุดความกังวลใจก็ได้ถูกปลดปล่อย

…ฟู่เสี่ยวกวนยอมแพ้ไปแล้ว คิดไปแล้วก็เป็นเรื่องปกติ มิมีผู้ใดสมบูรณ์แบบในใต้หล้า บางทีเขาอาจจะเก่งกาจในเรื่องของบทกวีและบทความ แต่กลับตุ้ยเหลียนที่ถึงแม้จะง่าย แต่ก็ยังต้องใช้ความคิด

กล่าวได้ว่า เขาวางจิตใจและกำลังไว้ที่บทกวีในวันพรุ่งนี้และบทความในวันมะรืน

ต่อจากนั้นเหวินสิงโจวก็ได้นำกลอนตุ้ยเหลียน 2 ฉบับนั้นเดินไปทางหอป๋อเสวีย ซึ่งนั่นมิได้กระตุ้นการคาดเดาของเหล่าบัณฑิต คาดว่าท่านเหวินคงผิดหวังเป็นอย่างมาก จึงอยากจะนำบทโคลงนี้ไปให้นักปราชญ์อีกแปดท่านได้เชยชม

สำหรับการตัดสินในครานี้ บัณฑิตนับพันในลานกว้างแห่งนี้ นอกจากบัณฑิตร้อยคนจากราชวงศ์หยูแล้ว แม้แต่ฝานเทียนหนิงก็คิดเยี่ยงนั้นเหมือนกัน

ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามฉินเหวินเจ๋อว่า  อาจารย์ของพวกเจ้า มิวางแผนที่จะชนะแล้วจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฉินเหวินเจ๋อรู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างโง่เขลายิ่ง

 การที่เจ้ากล่าวเยี่ยงนั้นก็มิถูก ในเมื่ออาจารย์มาแล้ว มิว่าผู้ใดก็มิสามารถฉกฉวยรางวัลไปจากมือเขาได้ !  

 …ถึงแม้เขาจะเป็นอาจารย์ของพวกเจ้า แต่เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับความจริง ข้าเพียงแค่เพียงเอ่ยตามความจริงเท่านั้น น่ากลัวว่าเขานั้นจะไร้ความหวังแล้วอย่างแท้จริง 

ฉินเหวินเจ๋อหน้าเสียทันพลัน  เห็นเจ้าสนทนากับอาจารย์ คาดว่าคงมีความสัมพันธ์กับอาจารย์อยู่บ้าง ข้ามิได้จะตำหนิเจ้า แต่ความเข้าใจที่เจ้ามีต่ออาจารย์…มิถึงแม้แต่ปลายภูเขาน้ำแข็ง !  

ฝานเทียนหนิงถูกดูถูกทั้งอย่างนั้น เขาเลิกคิ้วขึ้น ไม่ได้แก้ตัวแต่อย่างใด ลอบคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนมีชื่อเสียงในราชวงศ์หยูเป็นอย่างมาก มันเป็นเรื่องที่ปกติที่บัณฑิตเหล่านั้นจะเลื่อมใสในตัวเขา เยี่ยงนั้นก็ให้ผลลัพธ์ในตอนท้ายมาตัดสินเอาก็แล้วกัน

…..

ณ อาคารสามชั้นหอป๋อเสวีย

นักปราชญ์ทั้งแปดนั่งอยู่ทั้งสองฟากฝั่งของโต๊ะยาว

เหวินสิงโจวเดินขึ้นมาบนตึกด้วยท่าทีรีบร้อน เขาวางซั่งเหลียนสองบทนั้นไว้บนโต๊ะ และวางเซี่ยเหลียนอีกสองบทที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ประพันธ์ไว้อีกด้าน โค้งคำนับให้แก่ไทเฮาและกล่าวว่า  ทูลไทเฮาคำตอบชุดที่หนึ่งของวันนี้ได้ออกมาแล้ว ไทเฮาได้โปรดทรงทอดพระเนตรด้วยพ่ะย่ะค่ะ 

ไทเฮาคิ้วขมวดเล็กน้อยยามที่มองไปทางเหวินสิงโจว และเอ่ยถามอย่างสงสัย  เร็วถึงเพียงนี้เลยหรือ บัณฑิตผู้ใดเป็นผู้ประพันธ์กัน ?  

 ทูลไทเฮา ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ประพันธ์พ่ะย่ะค่ะ !  

 ….. 

ไทเฮาหันหน้ามองไปยังนอกหน้าต่างอีกครา ในขณะนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังนั่งอยู่บนพื้นหญ้าข้าง ๆ ทะเลสาบ…เขาทำเสร็จโดยเร็วถึงเพียงนี้จริงเยี่ยงนั้นหรือ เป็นไปได้หรือไม่ที่จะทำแบบส่ง ๆ

พระนางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และเดินไปยังโต๊ะตัวนั้น นักปราชญ์ทั้งแปดที่อยู่สองฝากต่างลุกขึ้นยืน พระนางเดินมาจนถึงที่โต๊ะ ด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด

 นี่…คือลายมือของฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ทูลไทเฮา กระหม่อมได้เห็นฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์ขึ้นมาด้วยสายตาของตนเอง… เพียงแค่มือขวาของเขาได้รับบาดเจ็บในคืนนั้น ดังนั้นตัวอักขระจึงน่าเกลียดไปเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ 

 ไอหยา…  ไทเฮานึกสงสัยต่อให้มือได้รับบาดเจ็บ แต่หากสามารถจับพู่กันได้ อักขระก็คงไม่น่าจะน่าเกลียดถึงเพียงนี้ !

หลังจากนั้นพระนางก็ได้อ่านกลอนตุ้ยเหลียนบทแรกขึ้นมา

 การสั่งสอนนั้นมีนับหมื่นวิธี มิมีสิ่งใดพิเศษ มิควรยึดถือ มิใช่ธรรมและมิใช่อธรรม 

 เอกยานในพระพุทธศาสนา มีรากฐานที่ต่างกัน ดังนั้นจึงเอ่ยถึงหินยาน ปัจเจก มหายาน และวัชระยาน 

 ….. 

ทันทีที่ไทเฮาได้ร่ายออกมา นักปราชญ์ทั้งแปดก็ได้ตกอยู่ในความตะลึง !

พวกเขาหาได้สนใจเรื่องธรรมเนียมมารยาทอีกต่อไป และได้พากันเดินมาที่โต๊ะ สายตาทุกคู่จดจ้องไปยังบทกลอนตุ้ยเหลียนฉบับนั้น…อย่างเนิ่นนาน ทุกคนก็ได้สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ด้วยความรู้สึกยากที่จะอธิบายได้

 เอกยานในพระพุทธศาสนา มีรากฐานที่ต่างกัน ดังนั้นจึงเอ่ยถึงหินยาน ปัจเจก มหายาน และวัชระยาน…  ไทเฮาก็รู้สึกตกใจมากเช่นเดียวกัน มือที่เหี่ยวย่นทั้งสองของพระนางบีบเข้าหากันอย่างไม่รู้สึกตัว  รีบไปเชิญอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยมาโดยเร็ว !  

นางในที่อยู่ข้างพระวรกายของไทเฮานางหนึ่งได้รับสั่งและก็ได้เดินออกไป สายตาของพระนางตกอยู่ที่กลอนตุ้ยเหลียนแผ่นที่สอง

 ต้นไม้ดอกไม้ แดงฉ่ำเขียวชอุ่ม มีเพียงเจ้าที่คอยประคอง มิให้ลมฝนพายุ พัดพาหนาวเหน็บ 

 คู่รักชื่นมื่น ทุกภพชาติ ปรารถนามีคนรักร่วมสร้างครอบครัว อย่างยาวนานทุกเช้าค่ำ และมีความสุข 

และก็ได้เกิดความเงียบขึ้นมาอีกครา !

ฝ่าบาทเป็นผู้ออกกลอนตุ้ยเหลียนฉบับนี้ด้วยพระองค์เอง ฝ่าบาทที่ลุ่มหลงและได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัสจากความรัก ดังนั้นฝ่าบาทจึงหยิบยืมการประพันธ์ซั่งเหลียนมาบรรยาย ก็เพื่อทิวทัศน์ในปณิธานที่สวยงามภายในจิตใจ

แต่เซี่ยเหลียนของฟู่เสี่ยวกวนกลับตรงพระทัยของฝ่าบาทอย่างพอดิบพอดี !

คู่รักชื่นมื่น ก็คือความรักของสามีภรรยา และปรารถนามีคนรักร่วมสร้างครอบครัว นี่คือพู่กันจากเทพเจ้า และได้แสดงความปรารถนานี้ออกมาเช่นเดียวกัน อย่างยาวนานทุกเช้าค่ำ และมีความสุข…นี่ย่อมเป็นชีวิตที่ดีเป็นแน่

ฉงซานลุกขึ้นยืน และหันมองไปทางอาจารย์อาวุโสจ้วงที่อยู่ข้างกาย เขาคือปรมาจารย์ของสำนักศึกษาหลีชาน  ท่านจ้วงมีความคิดเห็นเยี่ยงไรบ้างขอรับ ?  

หน้าอกของอาจารย์อาวุโสจ้วงกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น สายตาของเขาผละออกมาจากกลอนตุ้ยเหลียนสองแผ่นนั้น และกวาดสายตามองใบหน้าของนักปราชญ์ทั้งแปด  นักปราชญ์ทุกท่าน พวกเจ้ามีความคิดเห็นเยี่ยงไรกันบ้าง ?  

 กลอนตุ้ยเหลียนสองโคลงนี้…ข้าคิดว่านี่มันสมบูรณ์แบบที่สุดในใต้หล้า !  

 อาจารย์ตู้อย่าได้รีบร้อนสรุปบทถึงเพียงนั้น นี่เป็นเพียงฉบับที่หนึ่งของวันนี้เท่านั้น !  

อาจารย์ตู้หันมองไปทางอาจารย์เหมยที่กล่าวเยี่ยงนั้นและยิ้มบาง  หรือท่านคิดว่ายังมีผู้ใดสามารถประพันธ์ได้ดียิ่งกว่าสองโคลงนี้กัน ?  

อาจารย์เหมยหน้าแดงในพลัน ความจริงแล้วในใจของเขา คิดว่ากลอนตุ้ยเหลียนสองบทนี้ได้สมบูรณ์แบบอย่างถึงที่สุดแล้วโดยแท้จริง

 พวกเจ้าอย่าร้อนรนไป ปฏิบัติไปตามระเบียบการ รั้งรอให้จัดเก็บตุ้ยเหลียนของบัณฑิตทุกคนมาก่อนแล้วค่อยพิจารณาอีกคราก็ยังมิสาย  ไทเฮาตรัสออกไป การโต้เถียงจึงหยุดลงไปโดยปริยาย ต่อจากนั้นไทเฮาก็ได้หันไปมองเหวินสิงโจวอีกคราและเอ่ยถามว่า  แล้วถ้าเป็นเจ้าเล่า มีความเห็นว่าเยี่ยงไร 

เหวินสิงโจวไตร่ตรองอยู่สามอึดใจ และตอบกลับไปว่า  กระหม่อมคิดว่า…ฟู่เสี่ยวกวนไร้ที่ติอย่างแท้จริงพ่ะย่ะค่ะ !  

 

ตอนที่ 358 เด็ดขาด

ถังจู้กั๋วเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ เขาลอบนึกในใจว่านี่เพิ่งจะผ่านไปได้เพียงมินานมิใช่หรือ ?

เหวินชังไห่มองไปยังธูปดอกนั้น ธูปเพิ่งจะมอดไหม้ไปเล็กน้อยเท่านั้น

ซั่งเหลียนทั้งสองแผ่นนั้นมิได้ง่ายเลย บัณฑิตทั้งหลายนับพันคนจากแต่ละแคว้นล้วนเป็นผู้มากความสามารถ เกรงว่าพวกเขาเหล่านั้นยังมิทันจะเข้าใจในความหมายดี แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับกำลังจะเริ่มเขียนแล้ว !

เจ้าเด็กหนุ่มนี่เป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง !

แต่ฝ่าบาททรงมิฉลาดเท่าใดนัก เหตุใดเขาจึงได้มีบุตรอันชาญฉลาดเยี่ยงนี้กัน ?

หรือจะเป็นเพราะสวี่หยุนชิงที่เฉลียวฉลาดกัน ?

ความคิดเหล่านี้เขาทำได้เพียงแค่คิดในใจ และย่อมมิกล้ากล่าวออกไปเป็นแน่

เยียนหานยวี่และท่าป๋ายวนมองหน้ากัน จากนั้นทั้งสองก็ได้เผยถึงความตกตะลึงออกมา

 ข้ามิเชื่อ !  

 ข้าก็มิเชื่อ !  

 ดังนั้นข้าคิดว่าเขาเพียงต้องการรับมือเท่านั้น !  

 เกรงว่าเขาจะเพียงต้องการทำให้พวกเราตกใจ จึงใช้วิธีนี้ทำให้คนอื่น ๆ พากันลนลาน อย่าลืมว่าบัณฑิตที่เขาพามาด้วยทั้งร้อยคนนั้น หากผู้ใดได้รับคัดเลือกให้เป็นอันดับหนึ่ง ก็จะเป็นเกียรติแก่ราชวงศ์หยูและต่อตัวเขาเองด้วย เพราะเขาคืออาจารย์ของบัณฑิตเหล่านั้น !  

 ท่านเยียนกล่าวได้มีเหตุมีผลยิ่ง !  

การคาดเดาเช่นนี้มิใช่เพียงเยียนหานยวี่และท่าป๋ายวนที่คิดได้ แต่บัณฑิตทั้งหลาย ณ ที่นั้นเมื่อตั้งสติได้ต่างก็พากันคิดเยี่ยงนั้น

เช่นศิษย์ทั้งหกแห่งหลานซี และเช่นคุณหนูถังซาน

 เขาก็เพียงแค่ทำท่าทางไปเช่นนั้น พวกเราอย่าได้ถูกเขาหลอกลวงเลย ซั่งเหลียนทั้งสองแผ่นนั้นความหมายลึกซึ้งยิ่ง ต่อให้เป็นเทพเหวินฉวี่ซิงลงมาจุติก็คงมิอาจต่อเซี่ยเหลียนที่งดงามได้ในเพียงเวลาเท่านี้ ดังนั้นทุกท่าน นี่หมายความว่าเขาถอดใจแล้ว ที่พวกเราควรเป็นกังวลคือบัณฑิตแห่งราชวงศ์หยูอีกร้อยคนนั่นต่างหาก เกรงว่าจะมีเพชรน้ำดีซ่อนอยู่ !  

คุณหนูถังซานครุ่นคิดถึงคำเอ่ยเมื่อครู่ของบัณฑิตราชวงศ์อู๋ และคิดว่าสมเหตุสมผล นางรู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนช่างทำตัวน่ารังเกียจเสียจริง !

หากจะเอ่ยว่า ยังมีผู้ใดที่เชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนคิดเซี่ยเหลียนออกแล้วจริงหรือไม่นั้น นอกจากบัณฑิตแห่งราชวงศ์หยูร้อยกว่าคนแล้ว ก็มีเพียงคูฉานเท่านั้นที่เชื่อว่าเขาต่อซั่งเหลียนสองบทนั้นได้แล้วอย่างแท้จริง !

ฟู่เสี่ยวกวนสามารถกล่าวบทสวดพระโพธิสัตว์นั้นออกมาได้ในทันที จึงทำให้เขาบรรลุ นั่นคือผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง !

บทสวดพระโพธิสัตว์นั้น แต่ละประโยคช่างลึกซึ้งยิ่ง หากฟู่เสี่ยวกวนมิได้ประพันธ์ออกมาต่อหน้าเขา หากเขามิได้พบเห็นด้วยตาตนเอง เขาก็คงจะมิเชื่ออย่างแน่นอนว่าชายอายุเพียง 17 ปีจะเป็นเจ้าของผลงานนั้น

ความสามารถทางธรรมของฟู่เสี่ยวกวน เกรงว่าจะสูงถึงระดับบรรลุได้ด้วยตนเอง !

หากเป็นสำนักเต๋าจะกล่าวว่าเป็นผู้รู้โดยกำเนิด ส่วนนิกายฝูนั้นจะกล่าวว่าบรรลุได้ด้วยตนเอง ทั้งสองสิ่งนี้คือสิ่งเดียวกัน นั่นคือเป็นผู้ที่ฟ้าลิขิตมาแล้วนั่นเอง !

เนื่องจากเขาเองก็มิอาจอธิบายได้ จึงทำได้เพียงกล่าวว่าเป็นผู้ที่ฟ้าลิขิตมา !

เช่นนั้นการเขียนเซี่ยเหลียนทั้งสองแผ่นนี้ ก็คงมิใช่เรื่องยากอันใดสำหรับเขา

คูฉานมองไปยังเยาวชนเหล่านั้นแล้วเผยอยิ้ม นึกในใจว่า…พวกคนธรรมดาเหล่านี้ มิรู้เสียแล้วว่าคู่แข่งขันของตนแข็งแกร่งเพียงใด !

ต่งชูหลานฝนหมึกเรียบร้อยแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนยกแขนเสื้อขึ้น จากนั้นก็หยิบพู่กันขึ้นมาจึงได้รู้ว่าแผลบริเวณที่ถูกกงซุนทำร้ายนั้นยังเจ็บอยู่

เขาครุ่นคิดแล้วเงยหน้าขึ้นมองเหวินสิงโจวที่อยู่บนเวที เนื่องจากเวทีนี้มีขนาดใหญ่และสูงเป็นอย่างมาก เขาจึงได้ตะโกนเสียงดังว่า  ท่านอาจารย์เหวินขอรับ มือขวาของข้าบาดเจ็บ สามารถให้ผู้อื่นเขียนตามข้ากล่าวได้หรือไม่ ?  

บัณฑิตที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างพากันอุทานออกมา ให้ตายสิ เสแสร้งแกล้งทำอย่างแท้จริง หากเขียนมิได้ก็มิต้องเขียน อย่ามาทำลายสมาธิของข้าได้หรือไม่ !

เหวินสิงโจวครุ่นคิดแล้วหารือกับถังจู้กั๋ว  กฏระเบียบมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ เจ้าจะต้องเขียนด้วยตนเองเท่านั้น !  

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกอึดอัดยิ่งนัก เขาถอนหายใจแล้วคิดว่า เดิมทีเขาก็เขียนอักขระไม่น่ามองอยู่แล้ว บัดนี้มือเจ้ากรรมยังมาบาดเจ็บอีก จะมิเขียนน่าเกลียดกว่าเดิมเยี่ยงนั้นหรือ ?

บัณฑิตที่มองเห็นฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดเช่นนั้น พวกเขาก็พากันหัวเราะเยาะและซุบซิบนินทาว่า

 ข้าละนับถือเขาจริง ๆ แสดงละครได้ยอดเยี่ยมยิ่ง !  

 ข้าได้ยินมาว่าตัวอักษรที่เขาเขียนนั้นน่าเกลียดเสียจนผู้พบเห็นถึงกับร้องไห้ คาดว่าจะกลัวกรรมการมิให้คะแนนเป็นแน่ 

 ยกข้ออ้างขึ้นมามากมายทำไมกัน ในสมองมิมีอันใดเลยด้วยซ้ำไป เพียงแค่ทำท่าทางมิให้เสียหน้าในฐานะผู้มีความสามารถที่โด่งดังไปทั่วหล้า พวกเจ้าคิดว่าเป็นเรื่องจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 อย่าเอะอะเสียงดังไป รีบ ๆ คิดเข้าเถิด จะไปยุ่งกับคนบ้าเยี่ยงเขาทำไมกัน ?  

 …… 

เมื่อทุกคนเริ่มสงบลง ฟู่เสี่ยวกวนเองก็เริ่มลงมือ

เขาอยากจะเขียนตัวอักษรให้สวยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ทว่ากลับมิเป็นไปตามคาด เมื่อเขาวางพู่กันลงบนกระดาษเส้นแดงนั้น มองไปยิ่งมิน่ามองเข้าไปใหญ่

ต่งชูหลานเบ้ปากเหล่มองเขา หยูเวิ่นหวินหยิกเข้าไปที่แขนของเขาอย่างจัง ซูซูเอียงศีรษะเข้าไปมองแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า  เจ้าเขียนภาษาฝานเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนมือสั่น เขารู้สึกแย่ขึ้นกว่าเดิมเสียอีก แต่ทว่าต่งชูหลานกลับเบิกตากว้าง ตัวอักษรที่ฟู่เสี่ยวกวนเขียนเหล่านี้แม้จะมิน่ามอง แต่ก็ยังสามารถอ่านออกมาได้ เซี่ยเหลียนนี้…

นางสูดหายใจเข้าลึก เซี่ยเหลียนนี้ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง !

หยูเวิ่นหวินก็มองไปยังเซี่ยเหลียนนั้นด้วยสีหน้าชื่นชม กระทั่งรู้สึกว่าตัวอักษรเหล่านี้มิได้น่าเกลียดเสียจนเกินไป

ฟู่เสี่ยวกวนเขียนตุ้ยเหลียนแผ่นที่หนึ่งเรียบร้อยแล้ว ต่งชูหลานหยิบมันขึ้นมาวางไว้ข้าง ๆ ด้วยความระมัดระวัง ฟู่เสี่ยวกวนเติมหมึกแล้วสัมผัสปลายพู่กันไปบนกระดาษนั้นเพื่อเขียนตุ้ยเหลียนแผ่นที่สอง

ในที่นี้นอกจากสาวงามทั้งสามนางและซูโหรวแล้ว มีเพียงเกาหยวนหยวนเท่านั้น

เกาหยวนหยวนยืนอยู่ด้านหลังฟู่เสี่ยวกวน จึงทำให้บัณฑิตทั้งหลายมองไม่เห็นฟู่เสี่ยวกวนแม้แต่น้อย อีกทั้งท่าทางตกตะลึงของต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินเมื่อครู่ ก็มิมีคนได้ยิน

ซูซูรู้สึกประหลาดใจยิ่ง จึงได้เอ่ยถามว่า  ท่านพี่ทั้งสอง เขาเขียนได้…ยอดเยี่ยมเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 น้องสาวซูซู มิใช่เพียงแต่ยอดเยี่ยมเท่านั้น !  

 เขาอาจจะได้เป็นผู้ชนะเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 เป็นเยี่ยงนั้น !  

ซูซูกัดขนมที่อยู่ในมือเข้าไปคำหนึ่ง เคี้ยวเสียจนแก้มป่องแล้วกล่าวว่า  มิสนุกเลย 

ซูโหรวเงยหน้ามองดูซูซูอย่างละเอียด สีหน้าของนางปรากฏความภาคภูมิใจขึ้น !

ฟู่เสี่ยวกวนเขียนเสร็จสิ้นแล้ว เขามิได้หันหลังกลับไปมองบัณฑิตเหล่านั้น แต่กลับพาทั้งคนทั้งสี่อ้อมไปด้านหลังพระพุทธรูปแล้วตรงไปยังทะเลสาบเทียนหู

แสงอาทิตย์ส่องกระทบมายังทะเลสาบเทียนหู สายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่านมาเบา ๆ มองเห็นแสงระยิบระยับสีทองเรืองรอง เผยให้เห็นถึงความสดใสของทะเลสาบ

มิไกลออกไปนั้นก็คือหอป๋อเสวีย

ขณะเดียวกัน ไทเฮาก็ทรงประทับอยู่ ณ บริเวณหน้าต่าง ทอดพระเนตรไปยังแสงสะท้อนนั้นแล้วคิดถึงเรื่องบางเรื่องอยู่

อาจจะเป็นเพราะเหนื่อยล้า หรืออาจเพราะแสงจากทะเลสาบค่อนข้างสว่างเสียจนแสบตา พระนางจึงละสายตามา บังเอิญพบเข้ากับฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ที่ติดตามเขามา

ในที่นี้ นอกจากบัณฑิตและขุนนางผู้รับผิดชอบการแข่งขันแล้ว มิมีผู้อื่นเข้ามาปะปน เช่นนั้น คนกลุ่มนั้นคือผู้ใดกัน ?

พระนางโบกมือให้เสนาบดีกวนหลี่เตี้ยนฉงซาน จากนั้นฉงซานก็รีบตรงเข้ามา

พระนางชี้ไปยังนอกหน้าต่าง เมื่อฉงซานมองเห็นผู้มาเยือนแล้วเขาก็ตกตะลึงไปทันพลัน

 ทูลไทเฮา ชายหนุ่มผู้นั้นคือฟู่เสี่ยวกวนพ่ะย่ะค่ะ !  

ไทเฮาทรงขมวดคิ้วแล้วตั้งใจมองดู แต่สายตานั้นฝ้าฟาง ทำให้มองเห็นได้มิชัดเท่าใดนัก

 เขามาที่นี่ทำไมกัน ?  

 …หรือว่า ข้าน้อยจะไปถามดูดีหรือไม่ ?  

 มีสิ่งใดต้องถามกัน ? เกรงว่าจะมาหาแรงบันดาลใจเป็นแน่ 

ไม่ว่าจะเป็นไทเฮาหรือว่าฉงซาน อีกทั้งนักปราชญ์ทั้งเจ็ด พวกเขาล้วนคิดไม่ถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเขียนคำตอบเสร็จสิ้นแล้ว ความยากของซั่งเหลียนทั้งสองนั้นพวกเขาย่อมรู้ดี ต่อให้เป็นฟู่เสี่ยวกวน ต่อให้เขาคิดเซี่ยเหลียนได้แล้ว ก็ควรจะตรวจดูอีกสักหน่อยเพื่อให้สวยงามมากยิ่งขึ้น

ในขณะเดียวกัน ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากในหอป๋อเสวียอย่างรีบร้อน

 

รอยยิ้มได้ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของจัวตงหลาย

เขามองไปยังธูปดอกสูง มันเพิ่งจะติดไฟขึ้นมา ธูปก้านนี้ใช้เวลาเผาไหม้ถึง 1 ชั่วยาม นี่ก็เพื่อให้เหล่าบัณฑิตได้มีเวลาคิดอย่างเพียงพอ

เขาหันหน้าไปมองดูฟู่เสี่ยวกวน เขาคาดหวังว่าฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้จะต้องมีสีหน้าทุกระทม แต่คาดมิถึงเลยว่าจะเห็นรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้านั้น

คนผู้นี้…ยังยิ้มออกอยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?

ดังนั้นเขาจึงผุดรอยยิ้มออกมาบาง ๆ รอยยิ้มบาง ๆ นี้ได้ตกอยู่ในสายตาของคุณหนูถังซาน หลานสาวคนที่สามของถังจู้กั๋ว นางกำลังคิดว่าจัวตงหลายได้กำชัยชนะเอาไว้ในมือแล้ว

ส่วนเหตุผลน่ะหรือ ?

เหตุผลก็คือน้อยครานักที่นางจะเห็นจัวตงหลายยิ้ม ต่อให้อยู่ต่อหน้าอู๋หลิงเอ๋อร์ เขาก็เพียงแค่ดูอ่อนโยนขึ้นมาบ้างเท่านั้น แต่ก็ยังคงยิ้มออกมาได้ยากยิ่งนัก

สำหรับจัวตงหลาย คุณหนูถังซานนั้นชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก เขาเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ เป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมทางด้านบู๊และด้านวรรณกรรมของสำนักศึกษาหลีชาน ทำงานอย่างมั่นคง นิ่งสงบเมื่อประสบภัย ชายหนุ่มผู้นี้ ย่อมเป็นคู่ครองที่ดีที่สุดสำหรับสตรีเยี่ยงนาง

นางมิเข้าใจว่าเหตุใดอู๋หลิงเอ๋อร์ถึงได้ชื่นชอบฟู่เสี่ยวกวน ถึงแม้ชายหนุ่มผู้นั้นจะมีรูปลักษณ์ที่มิเลว แต่ก็เทียบกับจัวตงหลายมิได้เลยแม้แต่น้อย

หากกล่าวถึงด้านวรรณกรรม ถึงแม้ฟู่เสี่ยวกวนจะมีชื่อเสียงใหญ่โตกว่า แต่เหตุผลนี้สำหรับคุณหนูถังซานแล้ว ก็เป็นเพราะความรุ่งเรืองทางด้านวรรณกรรมของราชวงศ์หยูเท่านั้น พื้นดินที่นั่นเหมาะกับการเจริญเติบโตของนักวรรณกรรมมากกว่าก็เท่านั้น

แต่หากกล่าวถึงด้านวรยุทธ์แล้ว เกรงว่าสิบฟู่เสี่ยวกวนก็มิใช่คู่มือของจัวตงหลาย และทางราชวงศ์อู๋ สิ่งนี้ถือว่าเป็นอาวุธสำคัญ !

นางคิดว่าอู๋หลิงเอ๋อร์จะอภิเสกสมรสกับฟู่เสี่ยวกวนในฐานะองค์หญิงนั่นเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว นางรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่งยามที่ทราบว่าอู๋หลิงเอ๋อร์ได้ปรี่ไปยังทางเดินฉีซาน เพราะหากอู๋หลิงเอ๋อร์ชอบพอฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมาจริง ๆ ก็จะเป็นการตัดความรู้สึกของจัวตงหลายไปโดยปริยาย และตนเองก็จะได้มีความหวังมากยิ่งขึ้น

ดังนั้นนางจึงคาดหวังให้ฟู่เสี่ยวกวนได้เป็นผู้ชนะในงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ แต่คาดมิถึงว่าฝ่าบาทจะถอนราชโองการ จนถึงขั้นมีข่าวลือว่าฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรนอกสมรสของฝ่าบาทแพร่ออกไปในเมืองกวนหยุนที่ใหญ่โตนี้

นางได้ถามท่านปู่แล้ว แต่ถังจู้กั๋วกลับมิมีคำตอบที่ชัดเจนให้แก่นาง และคาดมิถึงว่าท่านปู่ของนางก็มิทราบข้อเท็จจริงที่แน่ชัดเช่นกัน กล่าวเพียงว่ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง

แต่ในวันนี้อู๋หลิงเอ๋อร์มิได้มา นี่ทำให้นางเชื่ออย่างสุดใจแล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นบุตรนอกสมรสของฝ่าบาทอย่างแท้จริง

นั่นย่อมมิใช่เรื่องที่ดีเป็นแน่ !

เมื่อเป็นเยี่ยงนั้น เรื่องของอู๋หลิงเอ๋อร์และฟู่เสี่ยวกวนก็ไร้ความเป็นไปได้แล้ว เพียงสิ่งเดียวที่ทำให้นางพอใจก็คือ ฝ่าบาทได้ถอนราชโองการฉบับนั้นไป เยี่ยงนั้นนางย่อมหวังให้จัวตงหลายสามารถคว้ารางวัลชนะมาได้

ส่วนเรื่องบุตรนอกสมรสของฝ่าบาท…อย่างน้อยในตอนนี้เขาก็ยังมิได้เป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋อย่างแท้จริง !

ดังนั้น สายตาของนางจึงหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน ชายหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ที่ชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วหล้า ในขณะนี้กำลังคิดหนักอยู่หรือไม่ ?

ฟู่เสี่ยวกวนกำลังยิ้ม และยิ้มสดใสเป็นอย่างมาก ส่วนฝานเทียนหนิงที่อยู่ข้างเขา นางได้ลอบคิดว่าชายผู้นี้มองดูแล้วมีบรรยากาศของความเศร้าแฝงอยู่แต่บางคราก็ดูมีความสุขยิ่ง

 พี่ฟู่ ข้ากล่าวตามตรง อย่างน้อยซั่งเหลียนแผ่นแรก ก็มิยุติธรรมต่อท่านแล้ว 

 น้องฝานเหตุใดจึงกล่าวเยี่ยงนั้น ?  

ฝานเทียนหนิงจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน ครุ่นคิดอยู่ห้าอึดใจ  ท่านพี่ถามเยี่ยงนี้ข้าก็ยากที่จะตอบให้ได้ แต่ราชวงศ์หยูมิมีวัดแม้แต่อารามเดียว หรือว่าพี่ฟู่เคยได้ศึกษาพระไตรปิฎกมาก่อน… ?  

ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวบทสวดนั้นให้แก่คูฉาน จากนั้นก็ตกใจเสียจนผงะ แล้วยังกล่าวอีกว่า  ข้าหลงลืมไปแล้วอย่างแท้จริง ว่าท่านพี่นั้นมีความเข้าใจในรสพระธรรมอย่างลึกซึ้ง กล่าวได้ว่า ท่านพี่มีเซี่ยเหลียนแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนได้มีเซี่ยเหลียนให้สองโคลงนี้แล้วจริง ๆ เพราะเขาเคยเห็นสองโคลงนี้มาก่อนเมื่อชาติที่แล้ว !

ช่างเป็นเรื่องบังเอิญโดยแท้จริง

 มีความคิดบางอย่างอยู่ในใจแล้ว 

ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินต่างก็หันมามองฟู่เสี่ยวกวน เป็นไปได้หรือไม่ที่ในหัวของเขาได้มีแสงพาดผ่านมาอีกคราแล้ว ?

ซูซูกินขนมปิ้งที่ซื้อมาจากเมืองกวนหยุน นางชำเลืองมองซั่งเหลียนสองแผ่นนั้นเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น ก็มิได้สนใจอีกต่อไป ทั้งยังอ่านมิเข้าใจ เรื่องนี้มันมิได้เกี่ยวข้องกับนาง

ศิษย์พี่รองมิแม้แต่จะชำเลืองมองบทโคลงนั้นด้วยซ้ำ เขาจ้องขนมปิ้งในมือของซูซู แล้วกลืนน้ำลายอึกใหญ่  ศิษย์น้องหก เมื่อยามอู่ศิษย์พี่รองทานมิอิ่มอย่างแท้จริง 

ซูซูยกแขนเสื้อของนางลงมาปิดขนมปิ้งในมือจนมิดทันที และเบี่ยงตัวหนีเล็กน้อย นางมองเกาหยวนหยวนด้วยหางตา  อย่าแม้แต่คิด ยังต้องอยู่ที่นี่อีกตลอดทั้งบ่าย มันคงจะน่าเบื่อยิ่งในตอนที่มิมีของกิน ท่านอาจารย์กล่าวว่าท่านต้องลดน้ำหนักได้แล้ว !  

 ท่านอาจารย์มิเคยกล่าวเยี่ยงนั้น !  

 ไม่ เมื่อวานที่ข้าฝัน ท่านอาจารย์กล่าวกับข้าเยี่ยงนี้ !  

 ….. 

มีบัณฑิตบางคนนั่งลงกับพื้น และยื่นมือไปเขียนบนพื้น

บางคนก็ก้มหน้าเดินไปมาอยู่ในลานแห่งนี้ ในหัวครุ่นคิดถึงซั่งเหลียน ใคร่ครวญว่าจะแต่งเซี่ยเหลียนออกมาเยี่ยงไรดี

และก็มีบางคนที่ยังนิ่งเฉย เมื่อมองไปแล้วราวกับกำลังใช้ความคิดอย่างหนัก แต่แท้จริงแล้วกลับเข้าใจอย่างดีว่านี่มิใช่ทางของตนเอง

คิดมิออกเลย คิดให้หัวแตกก็มิมีประโยชน์ มิคิดเสียจะยังดีกว่า

ฟู่เสี่ยวกวนได้คิดเซี่ยเหลียนให้ซั่งเหลียนสองแผ่นนี้ได้ตั้งนานแล้ว เขาเงยหน้ามองก้านธูปนั้น ความยาวเหลือมิถึงจ้างแล้ว !

เขามิอยากรอแล้ว ดังนั้นเขาจึงกล่าวกับฉินเหวินเจ๋อและบัณฑิตราชวงศ์หยูคนอื่น ๆ ว่า  พวกเจ้าจงไตร่ตรองให้ดี อาจารย์ขอตัวไปต่อซั่งเหลียน 2 แผ่นนั้นก่อน 

ฟู่เสี่ยวกวนจึงพาหยูเวิ่นหวิน ต่งชูหลานและซูซูเดินออกไปทั้งอย่างนั้น และทิ้งลูกศิษย์นับร้อยเอาไว้ พวกเขาต่างก็มองหน้ากันไปมา

 อาจารย์หมายความว่าเยี่ยงไร ?  

 เจ้าหูหนวกเยี่ยงนั้นหรือ ? อาจารย์กล่าวว่าจะไปตอบแล้ว !  

 เร็วถึงเพียงนี้เลยหรือ ? …เยี่ยงนั้นคำว่าเซียงเหว่ยหมายความว่าเยี่ยงไร ?  

 เจ้าโง่ ! เจ้าเข้าใจว่าเป็นธิดาบุปผาก็ได้แล้ว …มิใช่ พวกเจ้าว่าอาจารย์คิดเซี่ยเหลียนออกมาได้ในเวลาสั้น ๆ จริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 บัดซบ ! เจ้าก็ถามโง่ ๆ อาจารย์คือผู้ใดกัน เซียนที่ประพันธ์บทกวีได้ภายในสามก้าว กับตุ้ยเหลียนนี้ยิ่งมิต้องเอ่ยถึง 

 พวกเจ้ายังมิเข้าใจอาจารย์อย่างถ่องแท้ ที่ซ่างหลินโจวหลินเจียงได้เกิดบางอย่างขึ้น องค์หญิงเก้าเคยได้ออกซั่งเหลียนให้แก่เยี่ยนซีเหวิน เยี่ยนซีเหวินคิดไปสามวันสามคืนก็คิดมิออก ต่อจากนั้นเขาได้นำซั่งเหลียนนี้ไปแขวนไว้ที่ศาลาหลานถิง และวางเงินไว้ถึง 2,000 ตำลึงเพื่อให้ต่อเซี่ยเหลียน พวกเจ้าก็น่าจะทราบกันดี หลังจากนั้นองค์หญิงเก้าและคุณหนูต่งก็ได้ไปเยือน และคว้าเงินของเยี่ยนซีเหวินไปถึง 4,000 ตำลึง 

 มิถูก ซั่งเหลียนเพียงหนึ่งบท มิใช่กล่าวว่า 2,000 ตำลึงเพื่อขอเซี่ยเหลียนหรือ เหตุใดจึงเปลี่ยนเป็น 4,000 ตำลึงกันเล่า ?  

 เจ้าเป็นคนโง่หรือเยี่ยงไร เขาได้ประพันธ์เซี่ยเหลียนออกมาสี่วรรค กล่าวไปก็คืออาจารย์ได้ประพันธ์ออกมา เมื่อรวมเข้ากับเซี่ยเหลียนดั้งเดิมแล้ว กล่าวได้อีกนัยคือซั่งเหลียนวรรคนั้น อาจารย์ได้ประพันธ์เซี่ยเหลียนออกมาถึงห้าวรรค เข้าใจแล้วหรือไม่ !  

 ไอหยา…  ลูกศิษย์หลายคนที่มิเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนต่างก็ถึงกับหยุดหายใจ คาดมิถึงว่าอาจารย์จะประพันธ์ตุ้ยเหลียนได้น่ากลัวถึงเพียงนี้

ฝานเทียนหนิงที่ได้ยินเยี่ยงนั้น ก็รู้สึกชาวาบไปทั่วทั้งร่าง

ให้ตายเถอะฟู่เสี่ยวกวนจะมิมีจุดอ่อนเลยหรือเยี่ยงไร ?

เมื่อครู่เขายังกล่าวอยู่เลยว่ามีความคิดบางอย่าง คิดยังมิทันถึงสิบอึดใจเสียด้วยซ้ำ เขากลับจะไปตอบคำถามแล้ว เมื่อครุ่นคิดถึงคำกล่าวที่เหล่าลูกศิษย์ของเขาได้กล่าวมาเมื่อครู่ โคลงกลอนของเขาต้องยอดเยี่ยมมากเป็นแน่

ฝานเทียนหนิงรู้สึกว่าชีวิตไร้ค่ายิ่ง แต่คูฉานกลับกล่าวว่า  ท่านได้หลงลืมความตั้งใจไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ใช่ ข้ามาเพื่อเป็นปลาเค็ม1 !

ฟู่เสี่ยวกวนท่ามกลางสายตาของผู้คนในที่นั้น ได้พาสาวงามล่มบ้านล่มเมืองมาด้วยถึง 3 คน และเดินไปยังโต๊ะอักษรด้วยท่าทางอวดเบ่ง

ต่งชูหลานฝนหมึก ฟู่เสี่ยวกวนหยิบพู่กันขึ้นมา

เหวินสิงโจวและถังจู้กั๋วที่ยืนอยู่บนเวทีและยังมิได้ไปไหนต่างก็ตกตะลึงทันพลัน คนผู้นี้ต้องการทำอันใดกัน ?

บัณฑิตทุกคนที่อยู่ในลานต่างก็หันมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน รอยยิ้มบนใบหน้าของจัวตงหลายค่อย ๆ หายไป และดำดิ่งอยู่ในใจ พลางขมวดคิ้วมุ่น  เขาหมายความว่าเยี่ยงไร ?  

1 ปลาเค็ม หมายถึงคนไร้ความฝัน ไม่ได้คาดหวังชัยชนะ

 

ตอนที่ 356 ซั่งเหลียนสองบท

หอป๋อเสวียตั้งอยู่ ณ ริมทะเลสาบเทียนหู

สถานที่แห่งนี้เป็นหอสูงใหญ่สามชั้น เป็นหอที่สร้างขึ้นใหม่สำหรับจัดเก็บหนังสือตำรา ด้านในนั้นมีหนังสือหายากเก็บไว้อยู่หลายหมื่นเล่ม

บนหอป๋อเสวียชั้นสาม ไทเฮาทรงทอดพระเนตรออกไปนอกหน้าต่างและสายพระเนตรได้หยุดอยู่ที่ลานกว้างเบื้องหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่  เกิดเรื่องอันใดขึ้น ?  

ถังจู้กั๋วโค้งคำนับแล้วตอบกลับว่า  ทูลไทเฮา…บัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋และราชวงศ์หยูมีเรื่องบาดหมางกันพ่ะย่ะค่ะ 

ไทเฮาทรงแย้มพระสรวลแล้วส่ายพระพักตร์

 ยอดเยี่ยม ! นิสัยและอารมณ์ของเยาวชนเหล่านี้แฝงไปด้วยการต่อสู้ ส่งหมอไปหรือยัง ?  

 ทูลไทเฮา งานชุมนุมวรรณกรรมในสามวันนี้ มีหมอจำนวน 6 คนประจำอยู่ที่นั่นพ่ะย่ะค่ะ 

 อืม…  ไทเฮาทรงหันหลังไปมองเหวินสิงโจวและนักปราชญ์อีกแปดคนที่เหลือ  ข้าเดินทางมาในครานี้ก็เพื่อต้องการเตือนพวกเจ้าว่า ในฐานะผู้ตัดสิน พวกเจ้าจะต้องมีความยุติธรรมที่เป็นกลางมากที่สุด นี่มิใช่การสอบ ตุ้ยเหลียน กวีหรือบทความทั้งหลายมิควรมีชื่อของผู้เขียนปรากฏ นี่คือการวัดถึงความยุติธรรมของกรรมการทั้งหลาย 

นักปราชญ์ทั้งเก้าคนโค้งรับคำสั่ง ไทเฮาเอ่ยขึ้นต่อไปว่า  พวกเจ้าเพียงแค่ต้องเข้าใจหนึ่งเหตุผลนี้ งานชุมนุมวรรณกรรมนั้นย่อมยึดวรรณกรรมเป็นหลัก วรรณกรรมนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ส่วนผู้ประพันธ์นั้นหาได้สำคัญไม่ ชื่อเสียงของราชวงศ์อู๋มิจำเป็นต้องใช้ตำแหน่งชนะเลิศในการแข่งขันครานี้มาตัดสิน แน่นอนว่า หากบัณฑิตของราชวงศ์อู๋มีความสามารถ ก็มิควรปิดบัง 

เหวินสิงโจวก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว คารวะแล้วกล่าวว่า  ขอไทเฮาทรงโปรดวางใจ พวกกระหม่อมจะเป็นกลางในการตัดสินพ่ะย่ะค่ะ 

 อืม พวกเจ้าล้วนเป็นผู้มีความสามารถขั้นสูง มองออกถึงทางโลกนี้…สิงโจว ซั่งเหลียนในวันนี้คืออะไร ขอข้าดูหน่อยได้หรือไม่ 

 พ่ะย่ะค่ะไทเฮา !  

เหวินสิงโจวเดินไปยังตู้หนังสือที่ถูกปิดอยู่ ถังจู้กั๋วก็เดินตามไปด้วยเนื่องจากตู้นี้มีกุญแจสองดอก เขาเก็บไว้คนละดอก เหวินสิงโจวหยิบกล่องจากลิ้นชักด้านล่างสุดออกมาวางไว้ที่บนโต๊ะ

เมื่อกล่องนั้นถูกเปิดออก เขาก็ได้หยิบซั่งเหลียนออกมาสองแผ่น วางไว้บนโต๊ะ ไทเฮาทรงเอียงศีรษะเข้าไปมองด้วยความตกตะลึง  ตุ้ยเหลียนนี้…อาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยเป็นคนเขียนเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ทูลไทเฮา ซั่งเหลียนนี้แผ่นหนึ่งเป็นของอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ย ส่วนอีกแผ่นหนึ่งเป็นขององค์จักรพรรดิพ่ะย่ะค่ะ 

 อืม…หัวข้อนี้เอื้อต่อบัณฑิตแคว้นฝานและแคว้นของพวกเรา ส่วนแคว้นหยูนั้น คาดว่าคงจะลำบากสักเล็กน้อย 

เหวินสิงโจวคารวะ  ฝ่าบาทตรัสว่า…ในเมื่อเป็นการแข่งขันจากใต้หล้า ก็มิจำเป็นต้องเอื้อต่อกัน 

 ดี… เริ่มการประลองเถิด ข้าจะคอยดูว่าจะมีสิ่งอัศจรรย์อันใดเกิดขึ้นหรือไม่ !  

……

……

เหวินสิงโจวและถังจู้กั๋วเดินถือกล่องนี้ไปยังลานกว้างเบื้องหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่

ฟู่เสี่ยวกวนกำลังสนทนาอยู่กับฝานเทียนหนิง

 แท้ที่จริงแล้วตุ้ยเหลียนนั้นข้ามิได้ถนัดเท่าใดนัก หากจะกล่าวถึงการแพ้ชนะ ถ้าข้าบอกว่ามิได้สนใจแม้แต่น้อยท่านจะเชื่อหรือไม่ ?  

ฝานเทียนหนิงนิ่งครุ่นคิด  หากเป็นก่อนหน้าที่จะรู้จักท่านข้าคงจะมิเชื่อเป็นแน่ แต่เมื่อข้าได้อ่านกวีไร้ซึ่งความปรารถนาของท่านที่เมืองฝานหนิงแล้ว ข้าจึงได้เชื่อ 

 แต่ทว่า…นี่คือการแข่งขันเพื่อหน้าตาของแคว้น ! พี่ฟู่ควรจะตั้งใจอย่างเต็มที่ ข้าหวังว่าท่านจะสามารถทำผลงานที่โดดเด่นออกมาได้ ให้บัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋ได้รับรู้ โดยเฉพาะจัวตงหลายให้เขาได้เข้าใจว่า เหนือฟ้าต้องมีฟ้าเป็นเยี่ยงไร !  

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วกล่าวว่า  น้องฝานประเมิณข้าสูงเกินไปแล้ว !  

 ท่านพี่ฟู่ เมื่อยามอู่นั้นท่านมิอยู่ ข้าเห็นกับตาว่าบัณฑิตราชวงศ์อู๋นั้นทำท่าทีหยิ่งผยอง พวกเขาเห็นท่านเป็นคู่ต่อสู้อันดับหนึ่ง กล่าวว่าในเมื่อเป็นการแข่งขันตุ้ยเหลียน เช่นนั้นในวันนี้จะต้องนำชัยชนะมาให้จงได้ เพื่อเป็นการข่มขู่ท่าน…จัวอี้สิงแม้ว่าจะมิได้เอ่ยอันใดออกมา แต่บนใบหน้าของเขานั้นบ่งบอกถึงความยโส พี่ฟู่ หากท่านได้ยินด้วยตนเองแล้วท่านจะต้องทนมิได้เป็นแน่ 

 เหตุใดจึงต้องใส่ใจกับคำกล่าวเหล่านั้นด้วย น้องฝาน ใต้หล้านี้มิมีผู้ใดสามารถทำได้ในทุกเรื่องที่ตนเองกล่าว ปล่อยให้เป็นไปตามใจเถิด ทำให้ดีที่สุดเป็นพอ ส่วนเรื่องผลการแข่งขันนั้น…ปล่อยให้เป็นหน้าที่ตัดสินของคณะกรรมการเถอะ 

คูฉานมองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วนึกในใจว่า นี่คือสาเหตุที่โลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า มิรู้กำลังตน !

ฟู่เสี่ยวกวนนั้นรู้ตนเองดี แม้ว่าเขาจะมีชื่อเสียงในด้านวรรณกรรมไปทั่วหล้า แต่ทว่ายังคงถ่อมตน และยังมีจิตใจที่มั่นคง หรือว่าเขาจะเข้าใจในพระธรรมกัน ?

อีกด้านหนึ่ง เยียนหานยวี่กำลังสนทนากับท่าป๋ายวนอยู่ถึงเรื่องของผู้ที่อาจจะชนะการประลองตุ้ยเหลียนในครานี้

 จัวตงหลายได้ประกาศแล้วว่า เขาจะต่อสู้ให้ถึงที่สุด ตำแหน่งผู้ชนะในครานี้เขาดูจะมั่นใจยิ่ง !  

เยียนหานยวี่เอียงศีรษะมาเล็กน้อย  ศิษย์ทั้งเจ็ดแห่งหลานซีอันเลืองชื่อนั้น พวกเขามีความสามารถอย่างแท้จริง และเนื่องจากจัวตงหลายเป็นหนึ่งในเจ็ดคนนั้น เห็นได้ชัดว่าเขามีความสามารถมากพอที่จะได้รับรางวัลเป็นผู้ชนะ แต่แคว้นของพวกเราทั้งสองนั้น… 

เยียนหานยวี่มองไปยังบัณฑิตร่างคล้ำเหล่านั้นในลานแล้วถอนหายใจออกมา  เกรงว่าตัวแทนจากสองแคว้น ของพวกเราจะเป็นเพียงตัวประกอบในการแข่งขันครานี้เท่านั้น 

เมื่อนึกถึงวาทศิลป์ที่เขาได้ยินเมื่ออยู่ในเมืองฝานหนิงและมองไปกลุ่มคนเหล่านั้น ท่าป๋ายวนก็ได้ถอนหายใจออกมาเสียยาวยืด ในใจของเขาพลันคิดว่าแคว้นฮวงช่างเล็กเสียจริง

หากต้องการให้แคว้นฮวงรุ่งเรืองก็จะต้องทำลายด่านเยี่ยนซานนั้นเสีย หากสามารถครอบครองพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์ของแคว้นหยูได้ครึ่งหนึ่ง แคว้นฮวงจึงจะมีโอกาสพัฒนามากขึ้น

ในขณะที่พวกเขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เหวินชังไห่และถังจู้กั๋วก็ได้เดินขึ้นสู่เวที

เหวินชังไห่ยืนอยู่ด้านหน้าแล้วประกาศด้วยเสียงอันดังว่า  การแข่งขันในครานี้ จะเริ่มด้วยการประลองตุ้ยเหลียน มีซั่งเหลียนอยู่ 2 แผ่น เชิญบัณฑิตทุกท่านตั้งใจดู เวลาในการแข่งขันคือ 1 ก้านธูป เปิดหัวข้อ จุดธูป !  

ถังจู้กั๋วเปิดกล่องออกแล้วหยิบตุ้ยเหลียนสองแผ่นนั้นออกมา เขาลอยตัวขึ้นกลางอากาศแล้วนำตุ้ยเหลียนทั้งสองแผ่นนี้ติดไว้ที่เข่าของพระพุทธรูป ในขณะเดียวกันเหวินชังไห่ก็ทำการจุดธูป

เสียงในลานเงียบลงทันใด บัณฑิตทั้งหลายมองไปยังตุ้ยเหลียนทั้งสองแผ่นนั้น

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็เช่นกัน เขามองไปแล้วก็ตกตะลึงยิ่ง

ตุ้ยเหลียนแผ่นแรกมีซั่งเหลียนเนื้อความว่า

การสั่งสอนนั้นมีนับหมื่นวิธี มิมีสิ่งใดพิเศษ มิควรยึดถือ มิใช่ธรรมและมิใช่อธรรม

นี่คือตุ้ยเหลียนที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา รวมไปถึงหลักธรรมมากมาย เห็นได้ชัดว่าผู้ที่เขียนซั่งเหลียนนี้คาดว่าคงจะเป็นพระอริยสงฆ์อย่างแน่นอน

บัณฑิตแห่งราชวงศ์หยูพอได้เห็นแล้วต่างก็พากันใจหาย

ราชวงศ์หยูอันกว้างใหญ่ หาได้มีวัดแม้แต่แห่งเดียวไม่ !

เรื่องของพระคัมภีร์นั้น พวกเขามิเคยได้อ่านแม้แต่เล่มเดียว แล้วจะให้ต่อเยี่ยงไรเล่า ?

ดังนั้นพวกเขาจึงมองไปยังซั่งเหลียนแผ่นที่สอง

ต้นไม้ดอกไม้ แดงฉ่ำเขียวชอุ่ม มีเพียงเจ้าที่คอยประคอง มิให้ลมฝนพายุ พัดพาหนาวเหน็บ

……

ให้ตายสิ ผู้ใดเป็นคนออกหัวข้อนี้กัน ?

มิเพียงแต่บัณฑิตจากราชวงศ์หยูเท่านั้น แต่บัณฑิตทั้งหลายนับมิถ้วนในลานนี้เมื่อเห็นซั่งเหลียนทั้งสองแผ่นต่างก็พากันสูดลมหายใจเข้าเสียจนเต็มปอด

แผ่นแรกกล่าวถึงพุทธศาสนา แผ่นที่สองนั้นกล่าวถึงความรัก !

พุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมยิ่ง แม้แต่บัณฑิตจากแคว้นฝานในบัดนี้ หลังจากที่ได้อ่านซั่งเหลียนสองแผ่นนั้นแล้ว จิตใจของพวกเขาก็จมดิ่งลงไปในซั่งเหลียนสองแผ่นนั้นทันที

ซั่งเหลียนแผ่นที่สองนั้นมีความยากอยู่เล็กน้อย เนื่องจากมีการใช้อักขระที่ค่อนข้างซับซ้อน จึงทำให้ซั่งเหลียนแผ่นนี้มีความยากเพิ่มมากขึ้นไปอีก !

ฝานเทียนหนิงขมวดคิ้วแน่น เขาคิดว่าแผ่นแรกสำหรับเขานั้นคาดว่าคงจะได้คะแนนในระดับต้น ๆ เป็นแน่

ส่วนจัวตงหลายมีสีหน้าคร่ำเครียด สายตาของเขาหยุดอยู่ที่ตุ้ยเหลียนทั้งสองแผ่นแล้วพลางนึกในใจว่า ราชวงศ์หยูมิมีแม้แต่วัด ครานี้ฟู่เสี่ยวกวนเกรงว่าจะแย่เสียแล้ว การประลองในกระดานแรกนี้เขาจะต้องชนะเป็นแน่ !

 

ตอนที่ 355 ความโกลาหล

เดือนสามวันที่ 25 ยามเว่ย

งานชุมนุมวรรณกรรม ณ วัดหานหลิงแห่งราชวงศ์อู๋ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

บัณฑิตทั้งหลายต่างยืนอย่างสงบเบื้องหน้าของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ผู้ที่อยู่บนเวทีคือผู้อาวุโสเหวินชังไห่แห่งสำนักศึกษาฮ่านหลินคนปัจจุบัน

เขามองไปยังบัณฑิตกลุ่มนั้น นับจำนวนคนอย่างเงียบงัน และได้แสดงท่าทีเคร่งขรึมออกมา

 งานชุมนุมวรรณกรรมในวันนี้ การประลองกระดานแรกคือกลอนตุ้ยเหลียนที่เป็นพื้นฐานที่ง่ายสุด มีเวลาในการประพันธ์กลอนตุ้ยเหลียนทั้งหมด 1 ก้านธูป ทุกท่านโปรดวางใจ ธูปนี้เป็นธูปสูง ใช้เวลาเผาไหม้ถึง 1 ชั่วยาม 

 รอบด้านจะมีบทกลอนตุ้ยเหลียนร่างไว้ให้ หากบัณฑิตคนใดต่อบทได้แล้วให้เขียนลงบนกระดาษ ลงนามเอาไว้ รอจนถึงเวลา กลอนตุ้ยเหลียนทุกบทจะถูกส่งให้กับหอป๋อเสวียเป็นผู้ตรวจสอบ 

จากนั้นเหวินชังไห่จึงได้ประกาศรายชื่อผู้ตรวจสอบของงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ ทั้งหมดคือนักปราชญ์แห่งราชวงศ์อู๋ มีเหวินสิงโจวเป็นประมุข และมีผู้ตัดสินทั้งหมดถึง 9 คน

เหล่าบัณฑิตที่ได้ยินดังนั้นก็เริ่มกระซิบกระซาบ ถูฝ่ามือกำหมัดอย่างตั้งมั่น กลอนตุ้ยเหลียนนี้มิได้ยุ่งยากเท่าบทกวีหรือบทความ ฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นได้ดีทางด้านบทกวีและบทความ แต่มิเคยได้ยินว่าเขาเขียนกลอนตุ้ยเหลียนได้น่าทึ่งมาก่อน

ดังนั้นในกระดานแรกนี้ ต้องเอาชนะเขาให้ได้อย่างสุดกำลัง เพื่อชดเชยความพ่ายแพ้ที่อาจจะเกิดขึ้นในการประลองบทกวีของวันพรุ่งนี้

ศิษย์ทั้งหกแห่งหลานซียืนอยู่ใจกลางลานแห่งนี้ รอบด้านของพวกเขาย่อมเป็นบัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋

จัวตงหลายยืนสองมือไขว้หลัง ใบหน้ามีรอยยิ้มเรียบเฉยประดับอยู่

ท้ายที่สุดอู๋หลิงเอ๋อร์ก็มิได้มา ในขณะที่เขาผิดหวังก็ได้มีความดีใจปะปนเข้ามา นั่นก็อธิบายเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรนอกสมรสของฝ่าบาทได้อย่างชัดเจนแล้ว น่ากลัวเรื่องที่น่าจับตามอง จะกลายเป็นเรื่องจริง

มิเช่นนั้นแล้วอู๋หลิงเอ๋อร์ที่ชื่นชมฟู่เสี่ยวกวน จะมีเหตุผลอันใดที่นางจะมิมาที่นี่เพื่อดูท่วงท่าการประพันธ์บทกวีของฟู่เสี่ยวกวนกัน

อู๋หลิงเอ๋อร์ย่อมมิสามารถอภิเสกสมรสกับฟู่เสี่ยวกวนได้เป็นแน่ เมื่อนั้นปมในใจจึงคลายออก จัวตงหลายจึงกลับมามีราศีดังเก่าอีกครา

 ศิษย์พี่ กลอนตุ้ยเหลียนในรอบนี้ พวกเราย่อมชนะได้อย่างแน่นอน !  

ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกายจัวตงหลายกล่าวขึ้นมาอย่างมั่นใจ

จัวตงหลายพยักหน้าน้อย ๆ  มิเพียงแต่กลอนตุ้ยเหลียน บทกวีในวันพรุ่งนี้ จนถึงบทความในวันมะรืน ข้าก็จะคว้าพวกมันมาทั้งหมด !  

เขากล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่ง ท่าทางของจัวตงหลายมั่นใจเป็นอย่างมาก ในคำกล่าวนั้นเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในตนเอง และได้ส่งผลไปถึงคนรอบข้าง

สตรีในชุดขาวผู้หนึ่งเดินออกมายืนตรงข้ามกับจัวตงหลาย สายตาของนางตกลงที่ใบหน้าหล่อเหลาของจัวตงหลาย และริมฝีปากบางก็ยกยิ้มน้อย ๆ  เมื่อพี่จัวกล่าวเยี่ยงนี้ ข้าในฐานะคนของราชวงศ์อู๋ จะมิแพ้อย่างแน่นอน 

หลังจากนั้นสายตาของนางก็กวาดมองศิษย์ทั้งหกแห่งหลานซี และเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า  บทกวีในงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้ จะถูกขับร้องเป็นคราแรกที่หลิวหยุนถาย ณ ทะเลสาบสือหลี่ หากทุกท่านได้รับรางวัลชนะเลิศหรือสามอันดับแรก ข้าจะจัดงานเลี้ยงที่หลิวหยุนถายให้แก่ทุกท่าน ส่วนจะเป็นเยี่ยนเชี่ยวเอ๋อร์หรือแม่นางเมิ่งซีที่เป็นผู้ขับร้องบทกวีของทุกท่านนั้น จะให้ทุกท่านเป็นผู้เลือกด้วยตนเอง 

ทันใดนั้นฝูงชนก็แตกฮือ ใบหน้าจัวตงหลายสดใส ชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายเขากล่าวว่า  ในเมื่อคุณหนูถังซานกล่าวออกมาเยี่ยงนั้นแล้ว แล้วพวกข้าจะยอมแพ้ได้เยี่ยงไร… 

เขาหันมาโค้งคำนับให้แก่บัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋ทุกคน  ทุกท่านต่างก็เป็นเสาหลักแห่งราชวงศ์อู๋ เล่าเรียนคำสอน บทความ และบทกวีมาตั้งแต่เล็ก ด้านวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋หลังจากได้รับการผลักดันจากท่านอาจารย์เหวิน ยิ่งนานวันก็ยิ่งรุ่งเรือง ถึงแม้ฟู่เสี่ยวกวนจะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่เขาก็เป็นมนุษย์เช่นกัน มิใช่เทพยดา ดังนั้นทุกท่าน ข้า เยาว์ชนแห่งราชวงศ์อู๋ หากเพียงเอาชนะด้านวรรณกรรมที่เป็นความภาคภูมิใจที่สุดของราชวงศ์หยูได้ ก็จะสามารถแสดงความองอาจของเยาว์ชนราชวงศ์อู๋ได้ และทั้งยังจะทำให้ด้านวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋รุ่งเรืองและโด่งดังไปทั่วทั้งใต้หล้า !  

ด้วยคำกล่าวที่ปลุกเร้า ก็ทำให้บัณฑิตราชวงศ์อู๋นับพันกว่าคนตื่นเต้นขึ้นมาทันพลันราวกับตีไก่ก็มิปาน

 เอาชนะฟู่เสี่ยวกวน !  

 เหยียบฟู่เสี่ยวกวนให้จมดินเสีย !  

 ให้พวกข้าใช้ปากกาดั่งมีด และบั่นศีรษะของฟู่เสี่ยวกวนไปเสีย !  

 จัวตงหลาย ข้ารักเจ้า… !  

 หยุนหลีเกอ ข้าอยากมีบุตรกับเจ้า !  

 คุณหนูถังซาน ข้าจะคว้ารางวัลชนะเลิศมาให้ท่าน !  

 …… 

คลื่นเสียงนี้สะท้อนไปทั่วลานกว้างขนาดใหญ่ และทะลุเข้าไปในหูของผู้คนมากมาย ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังกลุ่มบัณฑิตเหล่านั้นด้วยความประหลาดใจ และครุ่นคิด ให้ตายเถอะ ! ข้าถูกเชิญให้มายังสนามรบต่างหากเล่ามิใช่งานชุมนุมวรรณกรรมแล้ว !

บัณฑิตทั้งร้อยคนของราชวงศ์หยูย่อมมิปลาบปลื้ม ใครหน้าไหนมันมอบความกล้าให้กับพวกเจ้ากัน ?

ดังนั้นฉินเหวินเจ๋อจึงนำหน้าสบถใส่บัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋ก่อนเป็นคนแรก  ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? มิเหมาะสมแม้แต่จะถือรองเท้าให้อาจารย์เลยด้วยซ้ำ !  

อู๋เชวียก็ชูกำปั้นขึ้นตามไปติด ๆ และกู่ร้องว่า  อาจารย์ฟู่เสี่ยวกวนไร้พ่าย !  

ทันใดนั้นบัณฑิตทั้งร้อยคนก็ฮึกเหิมขึ้นมา และตะโกนใส่บัณฑิตของราชวงศ์อู๋ว่า

 อาจารย์ฟู่เสี่ยวกวนไร้พ่าย !  

 จัวตงหลายแม่งอายุเท่าใดกันเชียว กล้ากระทำตนโอหังต่อหน้าอาจารย์หรือ ?  

 งานชุมนุมวรรณกรรมในใต้หล้ามาจากราชวงศ์หยู กากเดนเยี่ยงพวกเจ้ายังจะกล้ามาโวยวายต่อหน้าท่านอาจารย์อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 …… 

การปะทะฝีปากของทั้งสองฝ่ายได้เริ่มขึ้น แต่บัณฑิตราชวงศ์อู๋มีมากกว่าบัณฑิตราชวงศ์หยูถึงสิบเท่า ดังนั้นเสียงจากทางบัณฑิตราชงวงศ์หยูจึงถูกกลบไปเรื่อย ๆ

ชางกวนเหมี่ยวหัวเสียมากยิ่งนัก มารดามันเถอะพวกเจ้ามันชอบเอาเปรียบ !

ดังนั้นหมัดของเขาจึงพุ่งออกไป  ข้าจะฆ่าเจ้า !   หมัดของเขาได้ต่อยลงบนใบหน้าของชายหนุ่มผู้หนึ่งของราชวงศ์อู๋ที่กำลังได้รับความสนใจในช่วงนี้มากที่สุด ชายผู้นั้นถูกต่อยเสียจนหัวสะบัด และฟันของเขาก็ได้หักออกมาหนึ่งซี่อย่างคาดมิถึง

หมัดนี้ได้เติมเชื้อเพลิงความเดือดดาลของทั้งสองฝ่าย ดังนั้นบัณฑิตราชวงศ์อู๋จึงปรี่เข้ามาทันพลัน และบัณฑิตของราชวงศ์หยูก็ได้ปรี่เข้าไปด้วยความหัวรั้นเช่นกัน

เหวินชังไห่ที่ยืนอยู่บนเวทีตกตะลึงเสียจนนิ่งค้างไปแล้ว

มิใช่ ข้ายังมิได้ประกาศกลอนคู่แรก นี่พวกเจ้ากำลังทำอันใดกัน ?

กลุ่มเยาว์ชนราชวงศ์อู๋ฮึกเหิมขึ้นมา เยาว์ชนของราชวงศ์หยูก็ต่อต้านอย่างสุดกำลัง ดังนั้น จึงมีเสียงครวญคราง เสียงกรีดร้อง และเสียงด่าทอดังขึ้นมา มีเพียงเสียงร้องไห้เท่านั้นที่มิได้ดังขึ้นมา

 เจ้าสุนัขนั้นมันต่อยหน้าข้า…ไอหยา… บัดซบ !  

 รองเท้าของข้า ใครเตะรองเท้าข้าไป ?  

 บัดซบ ศิษย์พี่ท่านตีผิดแล้ว ข้าเป็นบัณฑิตราชวงศ์อู๋เช่นกัน !  

 …… 

ในตอนที่ทั้งฝ่ายตกอยู่ในความโกลาหล ราชองครักษ์กลุ่มหนึ่งก็ได้ปรี่เข้ามา และแม่ทัพผู้หนึ่งก็คำรามขึ้นมาทันพลันว่า  ทั้งหมดจงหยุดมือ ใครลงมืออีก ข้า แม่ทัพผู้นี้ จะจับโยนเข้าคุกทั้งหมด มิว่าผู้ใดก็ตาม !  

เสียงนี้ได้สร้างผลลัพธ์ที่ดี ทั้งสองฝ่ายแยกออกจากกัน จึงได้เห็นหน้าของแต่ละคนที่จมูกช้ำและหน้าบวม

ฟู่เสี่ยวกวนกวักมือเรียกฉินเหวินเจ๋อและคนอื่น ๆ บัณฑิตของราชวงศ์หยูถ่มน้ำลายใส่บัณฑิตของราชวงศ์อู๋ ก่อนจะกลับมาหาฟู่เสี่ยวกวนอย่างมิเต็มใจ แต่ละคนต่างก็กังวลเป็นอย่างมาก นึกกลัวว่าจะถูกอาจารย์ลงโทษ

 พวกเจ้าทำได้มิเลว เห็นได้ชัดว่าเอาชนะมิได้ แต่ก็ยังร่วมลงมือด้วยกัน สิ่งนี้แหละคือความสามัคคี ยอดเยี่ยม ราชวงศ์หยูมีเยาวชนเฉกเช่นพวกเจ้า จะต้องมีอนาคตที่สดใสเป็นแน่… ชางกวนเหมี่ยว ซังเหลียง เฉินชู่ และกงซุนเค่อ พวกเจ้าไปทำแผลเสีย อย่าได้พลาดเรื่องสำคัญต่อจากนี้เป็นอันขาด 

เยาวชนทั้งหนึ่งร้อยคน มีเพียงพวกเขาไม่กี่คนที่บาดเจ็บหนัก บนใบหน้าและมือต่างก็มีสีเลือดประดับไว้ โดยเฉพาะชางกวนเหมี่ยว สองตาของคนผู้นี้ถูกต่อยเสียจนเขียวช้ำ

ชายหนุ่มกลุ่มนี้ได้หัวเราะขึ้นมาท่ามกลางแสงแดด ฟู่เสี่ยวกวนไม่เพียงแต่จะไม่ตำหนิหรือด่าทอพวกเขา ฟู่เสี่ยวกวยกลับชื่นชมพวกเขา นั่นทำให้จิตใจของพวกเขามีความสุขและภาคภูมิใจยิ่ง

ฝานเทียนหนิงเดินเข้ามาหาฟู่เสี่ยวกวนพร้อมกับเสียงหัวเราะร่า และเลิกคิ้วขึ้น  ท่านพี่ฟู่ พวกเขาต่างส่งสาสน์ท้ารบมาแล้ว เจ้าจะรับมือเยี่ยงไร ?  

 

ตอนที่ 354 ตายแล้วเยี่ยงไร

กลางตำหนักเย็น ณ พระราชวังแห่งเมืองกวนหยุน

อู๋หลิงเอ๋อร์ยืนอยู่ด้านหลังของจักรพรรดินีเซียว นางเบิกตากว้างที่เต็มไปด้วยโทสะ

 เสด็จแม่อยากให้เขาตายมากถึงเพียงนั้นเลยหรือ ?  

จักรพรรดินีเซียวมิได้หันหลังกลับมามอง นางวางพู่กันในมือลง

น้ำหมึกบนกระดาษนั้นยังมิแห้งดี นางหยิบกระดาษใบนั้นขึ้นมาเป่า  มีเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้ตำแหน่งของน้องชายเจ้ามั่นคง นั่นคือการทำให้เขาตายไปเสีย 

 เสด็จแม่ทรงลืมองค์ชายหนิงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 หนิงหวังหรือ…หึ ๆ  

อู๋หลิงเอ๋อร์ชะงักลงทันพลัน สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ  หรือว่า…เสด็จแม่ทรงลงมือจัดการกับองค์ชายหนิงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ในตอนนั้น เพื่อให้ฝ่าบาทได้ขึ้นครองบัลลังก์ ไทเฮาก็ทรงฆ่าพี่ที่เป็นบุรุษของเขาจนสิ้น…พวกเขาเหล่านั้นมีเลือดเนื้อของจักรพรรดิองค์ก่อน หนึ่งในนั้นมียวี่หวังซึ่งเป็นโอรสในไส้ของพระนางเองอีกด้วย แต่มีดของพระนางกลับมิได้ลังเลเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ข้าทำนั้นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย เปรียบเทียบมิได้กับพระนางเลยด้วยซ้ำ เพราะนี่คือการแย่งชิงตำแหน่งองค์จักรพรรดิ !  

ในสายตาของอู๋หลิงเอ๋อร์นั้น จักรพรรดินีเซียวเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนแปลกหน้า นางมิอาจทำใจเชื่อได้ว่าเสด็จแม่ของนางจะทำเรื่องอันโหดร้ายได้เพียงนี้ ! นางมิอาจเชื่อได้ว่าหัวใจของสตรีนางหนึ่งจะโหดเหี้ยมได้มากขนาดนี้

ใบหน้าของนางปรากฏความเย้ยหยันขึ้นมา  แต่ช่างน่าเสียดาย แผนการที่เสด็จแม่วางไว้ในวัดหานหลิงคาดว่าคงจะมิสำเร็จแล้ว 

จักรพรรดินีเซียวหันหลังกลับมามองอู๋หลิงเอ๋อร์  ว่าไปแล้วเจ้าอาจจะมิเชื่อ ได้ยินมาว่าหนานกงอี้หยู่ชื่นชอบเหยี่ยวไห่ตงชิงยิ่ง สัตว์ตัวนั้นข้าเป็นผู้ให้คนจับมันมาเอง และเพราะมัน จึงทำให้ข้าพลาดไปเพียงนิดเดียว ดังนั้นใต้หล้าก็เปรียบเสมือนหมากรุก มิมีสิ่งใดแน่นอน ในวันนี้ที่เจ้าเดินทางมา เกรงว่าจะเป็นการพบกันของพวกเราสองแม่ลูกคราสุดท้ายแล้ว อย่าได้สนทนากันเรื่องนี้อีกเลย สนทนากันเรื่องอื่นดีหรือไม่ ?  

นางยื่นกระดาษแผ่นนั้นให้กับอู๋หลิงเอ๋อร์  ข้าพบว่ากวีในหนังสือความฝันในหอแดงของเขาช่างมีความหมายยิ่ง ข้าเพิ่งจะคัดลอกลงไปเมื่อสักครู่ เจ้าลองอ่านดูเถิด 

สายตาของอู๋หลิงเอ๋อร์มองไปยังกระดาษใบนั้น เป็นกวีที่มีชื่อว่า ‘ฉลาดเหนื่อย’

กลไกใดหากฉลาดล้ำเกินไป มักทำลายชีวิตจนสิ้น

ใจสลายเมื่อมีชีวิต แม้นตายไปวิญญาณยังว่างเปล่า…

คล้ายคฤหาสน์หลังโต ถูกไฟมอดไหม้

อ่า ! ความสุขที่ดูเหมือนเศร้า

ชีวิตเรา ยากจะตัดสิน… !

นางเงยหน้าขึ้นมอง  ท่านเสียใจเยี่ยงนั้นหรือ ?  

จักรพรรดินีเซียวทรงแย้มพระสรวลขึ้น จากนั้นมองออกไปยังแสงแดดนอกหน้าต่าง  ลูกสาวข้า ข้ามิเคยจะเสียใจเลยสักครา  ใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มขึ้น  แม่นั้นเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่อายุได้ 3 ปี เข้าศึกษาเมื่ออายุ 5 ปี และเมื่ออายุ 7 ปีได้เข้าศึกษาตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้า ณ สำนักศึกษาหลีซาน อภิเษกกับฝ่าบาทเมื่ออายุ 14 ปี เดิมทีคิดว่าตนนั้นคือผู้ประสบความสำเร็จที่สุดในชีวิต แต่ทว่า ในดวงใจของฝ่าบาททรงมีสตรีนางนั้นแต่เพียงผู้เดียว… 

รอยยิ้มบนใบหน้าของนางจางหายไป เหลือไว้เพียงความเยือกเย็น

 ฝ่าบาททรงร่วมหมอนนอนเคียงคู่ เเต่ในใจกลับถวิลหาสวี่หยุนชิงที่อยู่แสนไกลนับพันลี้…นี่คือความผิดพลาดของแม่ ดังนั้นจึงได้ส่งคนไปวางยาพิษสวี่หยุนชิงเสีย 

อู๋หลิงเอ๋อร์จ้องมารดาของนางตาเขม็ง ท่านแม่เป็นอยู่เบื้องหลังการตายของสวี่หยุนชิงเยี่ยงนั้นหรือ ?

 เพราะแม่คิดว่า หากสวี่หยุนชิงตายไปเสีย ท้ายที่สุดหัวใจของฝ่าบาทจะทรงมาอยู่ที่แม่ แต่คาดมิถึงว่า ข้าสู้มิได้แม้แต่สตรีที่ตายไปแล้ว !  

 เพราะเหตุอันใดกัน ?  

ใบหน้าของนางดูดุดันและน้ำเสียงก็แข็งกร้าวขึ้น  เพราะเหตุใดข้าจึงมิสามารถเทียบกับสวี่หยุนชิงได้ ? นางงดงามกว่าข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? นางฉลาดกว่าข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? นางอ่อนโยนและเอาใจเก่งกว่าข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? 

นางจ้องมายังอู๋หลิงเอ๋อร์ ทำให้อู๋หลิงเอ๋อร์ถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

 ล้วนมิใช่ หลายปีมานี้ในที่สุดข้าก็ได้เข้าใจเสียที นั่นเป็นเพราะสวี่หยุนชิงได้เข้าไปอยู่ในดวงใจฝ่าบาทก่อนข้าเท่านั้นเอง 

นางมองออกไปด้านนอกหน้าต่างอีกครา สีหน้าแสดงออกถึงความเย้ยหยัน  บรรดาขุนนางทั้งหลายในใต้หล้าล้วนคิดว่าฝ่าบาททรงรักมั่นและใจเดียว พระราชวังใหญ่โตเพียงนี้ มีเพียงจักรพรรดินีองค์เดียวและพระสนมอีก 1 คนเท่านั้น พวกเขาต่างก็มิรู้ว่า หากมิใช่เพราะไทเฮาทรงบังคับ หากมิใช่เพราะราชวงศ์จำต้องมีทายาทสืบสกุล…จากนิสัยของฝ่าบาทแล้ว ในหลังวังนี้เกรงว่าคงจะมิมีแม้แต่สตรีเพียงผู้เดียว 

 หากจะกล่าวให้น่าฟัง…ฝ่าบาททรงรักมั่นดั่งนกหยวนหยางผู้เศร้าโศกานั่น มองจากภายนอก ฝ่าบาททรงหลงใหลในความรัก หากกล่าวอย่างมิน่าฟัง ฝ่าบาททรงแขวนคอตายอย่างมิคิดถึงผู้มีชีวิตอยู่… 

นางมองมายังอู๋หลิงเอ๋อร์อีกคราแล้วเอ่ยถามว่า  ข้าได้ยินว่าฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์กวีคู่กับภาพนกหยวนหยางผู้เศร้าโศกานั่น เจ้ารู้หรือไม่ ?  

อู๋หลิงเอ๋อร์นั่งลงหน้าโต๊ะตัวนั้นแล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนบทกวี ‘เจ๋อกุ้ยหลิง ความหลงใหล’ นั้นลงไปแล้วส่งให้กับจักรพรรดินีเซียว  แท้จริงแล้วเสด็จแม่ยังมิรู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งใดคือความหลงใหล 

จักรพรรดินีเซียวรับมาดู จากนั้น

แต่เดิมมิได้เคยคะนึงหา เพิ่งได้มารู้จักรักถวิล

กลับต้องมานั่งทุกข์เป็นอาจิณ จิตระหวยรวยรินบินล่องลอย

กลิ่นหอมละมุนคลุ้งมิลืมเลือน

ยังเสมือนใฝ่หาเจ้าเฝ้าหวงแหน

เมฆามืดไร้เงา จันทร์ครึ่งดวง

ระทมทรวง ปวดอุราพาเศร้าใจ 

สีหน้าของนางค่อย ๆ เคร่งขรึมขึ้น แววตาเยือกเย็นคู่นั้นดูมืดมนราวกับหลุมดำ

มือของนางไร้เรี่ยวแรง กระดาษใบนั้นปลิวหล่นลงสู่พื้น

 ลูกสาวข้า ชีวิตต่อจากนี้เจ้าจะได้เรียนรู้ถึงความเข้มแข็ง ส่วนเรื่องความคิดนั้นเจ้าสามารถเก็บไว้ในก้นบึ้งของหัวใจได้ แต่จงอย่าทำให้ผู้ที่รักเจ้าต้องผิดหวัง 

สีหน้าของอู๋หลิงเอ๋อร์ดูโดดเดี่ยวยิ่ง นางมองไปยังจักรพรรดินีเซียวด้วยท่าทางเห็นอกเห็นใจ แต่ก็แฝงไปด้วยความแค้น นางมิได้ตอบรับสิ่งใดกับคำเอ่ยของจักรพรรดินีเซียวเมื่อครู่ แต่กลับเอ่ยว่า  หากองค์ชายหนิงตาย ท่านเองก็คงมิรอด 

 ตายแล้วเป็นเยี่ยงไร ข้ามิได้เสียใจเลยแม้แต่น้อย !  

 มิเสียใจเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 หลังจากที่ข้าตายไป จงฝังข้าไว้ที่ข้างเรือนหยุนชิงตรงวัดหานหลิง สถานที่นั้นข้ายังมิเคยไป ข้าอยากจะไปเห็นด้วยตนเองยิ่ง 

……

……

ดวงอาทิตย์ในฤดูใบไม้ผลิกำลังส่องแสงลงมาราวกับด้ายสีทอง

พระพุทธรูปองค์ใหญ่แห่งวัดหานหลิงตั้งตระหง่านอยู่ข้างทะเลสาบเทียนหู ท่ามกลางแสงแดดนี้แสดงให้เห็นถึงความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น

การต่อสู้ภายในเริ่มขึ้นอย่างเงียบ ๆ และจบลงอย่างเงียบ ๆ เช่นกัน

บัณฑิตที่อาศัยอยู่รอบ ๆ เห็นเพียงทหารม้ากลุ่มหนึ่งเข้าไปด้านในพระพุทธรูปองค์ใหญ่ หลังจากนั้นเพียง 2 เค่อพวกเขาก็เดินออกมาอีกครา มิมีบัณฑิตคนไหนรู้ว่าใน 2 เค่อนั้นมีผู้คนเสียชีวิตถึง 4,000 คน !

ศพของพวกเขาถูกนำไปกองไว้บนเศียรของพระพุทธรูป เลือดสีแดงสดกลายเป็นแอ่งน้ำสีเลือด และไหลออกจากพระเนตรของพระพุทธรูป

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนมาถึงก็พบว่าที่นั่นเต็มไปด้วยผู้คนมากมายแล้ว

และคูฉานกำลังมองไปยังพระเนตรของพระพุทธรูปอย่างตกตะลึง เขายกมือขึ้นชี้แล้วกล่าวกับฝานเทียนหนิงว่า  หรือมีเรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้นกัน ?  

ฝานเทียนหนิงเงยหน้ามองดู จากนั้นก็ขมวดคิ้ว กล่าวตามความเชื่อของประเทศฝาน พระพุทธรูปหลั่งน้ำตา ใต้หล้าจะเศร้าโศก !

เขาสูดหายใจลึก แล้วหันหลังไปมองดูฟู่เสี่ยวกวนก่อนจะชี้นิ้วแล้วกล่าวว่า  เจ้าจงดูนี่ 

ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้ม ในใจพลางคิดว่าหากมิได้มีเลือดไหลออกมาจากดวงตานี้ เกรงว่าลานกว้างใหญ่นี้คงจะต้องกลายเป็นสถานที่นองเลือดแทนเป็นแน่

ฟู่เสี่ยวกวนรู้จักนิสัยของสตรีผู้นั้นดียิ่ง

เขายังคงจำคำเอ่ยของนางที่เอ่ยออกมาว่า ข้ามิประสงค์จะออกไป ที่นี่…สะอาดกว่าข้างนอกเสียอีก !

นี่คือสิ่งที่นางกล่าวว่าสะอาดเยี่ยงนั้นหรือ ?

ชีวิตของผู้คนสี่พันคนถูกนางทำลายจนสิ้น หากมิใช่เพราะนกเหยี่ยวตงไห่ชิงส่งสารมาบอกล่วงหน้า บัณฑิตนับพันคนในที่นี้ก็คงจะมิเหลือรอดแม้แต่คนเดียว

ช่างบ้าคลั่งเสียจริง ๆ !

 คุณชายฟู่ เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว 

ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้าแล้วถอนหายใจออกมา  หากการเพาะปลูกคือเหตุ เช่นนั้นการเก็บเกี่ยวคือผล ทุกสิ่งอยู่ที่ใจ !  

 

ม้าสีแดงตัวหนึ่งตะบึงเข้ามาในเขตวังหลวงอย่างบ้าคลั่ง

อู๋หลิงเอ๋อร์ตบม้าให้ปรี่ไปทางห้องทรงพระอักษรของวังหลวงโดยเร็ว

ในขณะนั้นจักรพรรดิเหวินกำลังอยู่ในห้องทรงพระอักษรของวังหลวงและกำลังถกปัญหาการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิอยู่กับสองอัครมหาเสนาบดีทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหวีดร้องดังขึ้นมา หลังจากนั้นก็ได้เห็นม้าตัวนั้นพุ่งเข้ามาในห้องทรงพระอักษรของวังหลวงอย่างมิคาดฝัน

คนทั้งสามที่อยู่ในห้องนั้นตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน ในชั่วพริบตานั้นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจัวอี้สิงก็ได้ชักกระบี่ออกมา ในทันทีที่แทงกระบี่ออกไป กลับต้องชักกลับมาโดยทันที

อู๋หลิงเอ๋อร์พลิกพระวรกายลงจากม้า มิได้น้อมคำนับให้แต่อย่างใด แต่กลับมองไปที่จักรพรรดิเหวินด้วยความตื่นตระหนก และกล่าวว่า  เสด็จพ่อ ที่วัดหานหลิงมีการเปลี่ยนแปลง !  

จักรพรรดิเหวินตกตะลึงยิ่ง หลังจากที่อู๋หลิงเอ๋อร์ได้กล่าวแผนการของเกาเสี่ยนออกมาให้เขาได้ฟัง เขาจึงสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอด สตรีผู้นั้น ช่างร้ายกาจยิ่งนัก !

แล้วตอนนี้จะทำเยี่ยงไรดี ?

เขาเงียบเพื่อครุ่นคิดไปสามอึดใจ และประกาศราชโองการว่า  ให้หนานกงจิ่งเหยียนและองครักษ์ชุดแดง 3,000 นายควบม้าไปยังวัดหานหลิงโดยเร็วที่สุด ให้ศาลต้าหลี่ทำการสอบสวนเซียวเฉียงในทันที…สามารถใช้โทษลงทัณฑ์ได้ !  

ขันทีผู้แถลงราชโองการขององค์จักรพรรดิรีบวิ่งออกไปในทันที ห้องทรงพระอักษรของวังหลวงก็ได้เงียบงันลงไปในทันพลัน

 แต่ทว่า ต่อให้องครักษ์ชุดแดงเร่งรีบไป ก็คาดว่าจะมิทันกาล  จัวอี้สิงกล่าวขึ้นมาว่า เขาเองก็คาดมิถึงว่าจักรพรรดินีเซียวจะยังมีแผนร้ายที่บ้าคลั่งเยี่ยงนั้นอยู่ !

ทันใดนั้นอู๋หลิงเอ๋อร์ก็หันไปมองหนานกงอี้หยู่  นกเหยี่ยวตัวนั้นของท่าน สามารถส่งจดหมายได้หรือไม่ ?  

สองมือของหนานกงอี้หยู่แบออก  ไห่ตงชิงสามารถส่งจดหมายได้ แต่มันมิรู้จักคนที่อยู่ที่นั่นเลยสักคนเดียว 

อู๋หลิงเอ๋อร์นึกไปถึงบนกวนหยุนถายในวันนั้น ไห่ตงชิงเกาะอยู่บนไหล่ของซูซู…  ซูซู…ใช่ ! ซูซูต้องอยู่ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่ !  

หนานกงอี้หยู่ผงะ เขารีบเดินออกไปจากสำนักหนังสือวังหลวงทันที แล้วหยิบนกหวีดออกมาเป่า ไห่ตงชิงก็ได้บินลงมา และเกาะลงที่ไหล่ของเขา

เขาตรงไปยังโต๊ะมังกร หยิบพู่กันและหมึกขึ้นมาเขียนลงบนกระดาษในตอนที่กำลังมัดกับขาของไห่ตงชิง จักรพรรดิเหวินกลับกล่าวว่า  ประเดี๋ยวก่อน !  

เขาเดินไปทางโต๊ะมังกร เขียนอักษรลงบนกระดาษแผ่นนั้น ทันทีที่หนานกงอี้หยู่ได้เห็น ก็ตกตะลึงยิ่งนัก เขามิได้กล่าวอันใด และได้นำกระดาษแผ่นนั้นมัดไว้กับขาของไห่ตงชิง

เขาลูบขนของไห่ตงชิง และกล่าวด้วยความจริงจังเป็นอย่างมาก  จงไปหาเด็กสาวนามซูซู นางอยู่ด้านหลังเขาของวัดหานหลิง 

ไห่ตงชิงได้ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น มันกระพือปีกและบินจากไป

 สำเร็จแล้ว !  

จักรพรรดิเหวินจึงวางใจลงมาได้ครึ่งหนึ่ง หากไห่ตงชิงสามารถส่งจดหมายไปให้ถึงได้จริง ๆ… ด้านหลังของเรือนหยุนชิง ได้มีทหารองครักษ์ชุดแดงจำนวน 1,000 นายคอยคุ้มกันอยู่

พวกเขามิได้รักษาความปลอดภัยให้กับฟู่เสี่ยวกวน แต่ขณะนี้ไทเฮาองค์ปัจจุบันกำลังประทับอยู่ ณ ที่นั่นต่างหาก

…..

…..

 เรือนหยุนชิงใหญ่โตเป็นอย่างมาก นอกจากด้านหลังเรือนแล้ว พวกท่านจะไปที่ใดก็ได้ จงจำไว้…มิว่าผู้ใดก็มิสามารถไปที่ด้านหลังเรือนได้  หวินกุยกำชับกับฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ด้วยความจริงจังอย่างยิ่ง และยังเอ่ยอีกว่า  บัดนี้ก็ใกล้จะถึงยามอู่แล้ว บ่าวได้สั่งให้โรงครัวเตรียมมื้อกลางวันแล้ว คาดว่าน่าจะใกล้เสร็จแล้ว คุณชายและคุณหนูทุกท่าน ก่อนอื่นตามข้าไปรู้จักกับห้องหับเสียก่อน ด้านในสามารถอาบน้ำและพักผ่อนได้ 

ภายใต้การนำของหวินกุย ก็ได้จัดการห้องพักให้เหมาะสมได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นทุกคนจึงเดินไปที่ลานเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน…อาหารมื้อนี้เลิศรสยิ่ง คาดมิถึงว่าจะเต็มไปด้วยรสชาติของเจียงหนานแห่งราชวงศ์หยู แต่สำหรับศิษย์พี่รองเกาหยวนหยวนแล้ว กลับไร้หนทางที่จะเติมเต็มท้องของเขาได้ ดังนั้นสายตาของเขาที่มองไปทางฟู่เสี่ยวกวนจึงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

ในเรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้แจ้งกับหวินกุยหนึ่งประโยคว่า มื้ออาหารต่อไปต้องจัดเตรียมให้มากขึ้นอีกหนึ่งเท่า

หวินกุยอ้าปากค้างด้วยความตกใจ นางย่อมมิได้ไถ่ถามว่าเพราะเหตุใด เพียงแค่รู้สึกประหลาดใจอย่างมากอยู่ภายในใจก็เท่านั้น

และในเวลานั้นเอง ไห่ตงชิงก็ได้บินมาถึงลานแห่งนี้ มันบินวนอยู่บนท้องฟ้าสองรอบ แล้วจึงร่อนลงมาเกาะบนไหล่ของซูซู

ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองด้วยความงุนงง ลอบคิดในใจว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่นกเหยี่ยวตัวนี้จะทรยศต่อหนานกงอี้หยู่เข้าเสียแล้ว ?

ซูซูลูบขนของไห่ตงชิง ไห่ตงชิงใช้หัวเล็ก ๆ ของมันกระทุ้งที่ฝ่ามือของซูซู ซูซูถึงได้พบว่าที่ขาของมันนั้นมีอะไรบางอย่างมัดไว้อยู่

นางดึงลงมา ทันทีที่เปิดอ่าน คิ้วก็ขมวดขึ้นทันพลัน และส่งจดหมายฉบับนั้นให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน

ทันทีที่ฟู่เสี่ยวกวนได้อ่าน คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นมาเช่นกัน เขาหันไปมองหวินกุย และส่งไปให้กับนาง

คิ้วของหวินกุยเลิกขึ้นเล็กน้อย นางมิได้กล่าวอันใดออกมา แต่กลับสาวเท้าอย่างว่องไวเดินไปด้านหลังเรือน

เพียงมินาน ก็ได้มีเสียงควบม้าดังขึ้นมาจากด้านนอกทางด้านหลังเรือน และหายเข้าไปในป่ากว้างหลังผ่านไปได้หลายสิบอึดใจ ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เห็นหวินกุยเดินกลับมา

 คาดมิถึงว่าจะยังมีคนที่สติฟั่นเฟือนเยี่ยงนี้อยู่ 

 มั่นใจได้หรือไม่ ?   ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามขึ้นมาหนึ่งประโยค

ในท้องของพระพุทธรูปองค์ใหญ่มีศัตรูอยู่ถึง 4,000 คน ทั้งยังมีปืนใหญ่อีก 50 กระบอก เสียงฝีเท้าเมื่อครู่คาดว่ามิน่าจะเกิน 1,000 คน การปะทะครานี้ย่อมเกิดขึ้นในท้องของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ทหารม้าย่อมมิมีบทบาทในตรงนี้

หวินกุยยกยิ้มขึ้นมา  เกรงว่าคุณชายจะยังมิรู้จักองครักษ์ชุดแดง ฝ่าบาทมีองครักษ์ชุดแดงจำนวน 50,000 นาย ระดับต่ำที่สุดในองครักษ์ชุดแดงก็คือผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นสอง หากพวกเขาลงมือ ย่อมมั่นใจได้อย่างแน่นอน 

ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้วางใจลง แต่ก็รู้สึกอิจฉาองครักษ์ชุดแดงเป็นอย่างมาก นึกถึงตอนที่ตนเองให้ไป๋ยู่เหลียนฝึกฝนผู้คนนับสองพันคนที่ภูเขาเฟิ่งหลินอย่างยากลำบากแล้ว หากทั้งหมดมีวรยุทธ์คาดว่ากำลังรบจะเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

หากดาบเทวะต้องปะทะกับองครักษ์ชุดแดง… นอกเสียจากจะสามารถหาข้อได้เปรียบในด้านอาวุธมาได้ มิเช่นนั้นเกรงว่าจะไร้โอกาสชนะเป็นแน่

และก็มิทราบว่าฉินเฉิงเย่ได้ทำปืนคาบศิลาออกมาแล้วหรือไม่

นี่คือความคาดหวังที่ใหญ่ที่สุดของฟู่เสี่ยวกวนในปัจจุบันนี้ ขอเพียงมีปืนคาบศิลาที่ถูกพัฒนาอย่างสมบูรณ์แล้วไว้ในครอบครอง และเมื่อรวมเข้ากับชุดเกราะและอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ดียิ่งขึ้น ดาบเทวะจึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะออกจากภูเขาไปยังผิงหลิงอี้เพื่อต่อสู้กับเหล่าศัตรู

ในช่วงเวลากระชั้นชิด ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ก็ได้เดินทางออกไปจากเรือนหยุนชิง และตรงไปยังลานกว้างหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่

ช่วงเวลายามอู่ บัณฑิตทั้งหมดต้องมารวมตัวกันที่ลานกว้างหน้าพุทธรูปองค์ใหญ่ งานชุมนุมวรรณกรรมจึงจะได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

…..

ลานด้านหน้าของเรือนหยุนชิงก็ได้กลับมาสงบดังเดิมแล้ว หญิงชราผู้หนึ่งได้กุมไม้เท้าหัวมังกรเดินมาจนถึงลานด้านหน้า โดยมีนางในทั้งสี่คอยประคับประคองเอาไว้

นางนั่งอยู่ในศาลา หวินกุยคุกเข่าลงด้วยความเคารพ

 เขาเป็นคนเยี่ยงไรกัน ?  

 ทูลไทเฮา รูปลักษณ์ของเขาหล่อเหลายิ่ง มีกิริยามารยาทที่ดี วาจาอ่อนน้อมถ่อมตน และไร้ท่าทีหยิ่งยโสเฉกเช่นนักวรรณกรรมในปัจจุบันเพคะ ยามที่อยู่ด้านนอกเรือน เขาจ้องแผ่นป้ายนี้อยู่ถึง 13 อึดใจ สีหน้าของเขาดูประหลาดใจเสียเล็กน้อย คาดว่าน่าจะเป็นเพราะนามของเรือนนี้เพคะ 

ไทเฮาเงียบไปชั่วครู่ ใบหน้าของพระนางมิได้ขยับแต่อย่างใด  ถ้าจากสายตาของเจ้า เขาคล้ายคลึงกับองค์จักรพรรดิกี่ส่วน ?  

หวินกุยใจสั่นสะท้าน ไทเฮาจึงตรัสขึ้นมาอีกว่า  ข้าจะมิถือสาเจ้า โปรดตอบมาตามตรงเถอะ 

 …ทูลไทเฮา หม่อมฉันคิดว่า คิ้วของเขาค่อนข้างคล้ายคลึงกับฝ่าบาท แต่หากให้กล่าวถึงความรู้สึกแรกที่หม่อมฉันได้พานพบ…หม่อมฉันกลับรู้สึกว่าอากัปกิริยาของเขาคล้ายคลึงฝ่าบาทยิ่งกว่าอีกเพคะ 

 อากัปกิริยาเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 เพคะ อากัปกิริยาของเขาสุขุมเยือกเย็น ให้ความรู้สึกถึงผู้มีปัญญาที่ล้ำลึก แม้แต่เมื่อครู่ยามที่ได้เห็นลายพระหัตถ์ที่ฝ่าบาทส่งมา เขาเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยเท่านั้น เป็นอากัปกิริยาที่เหมือนกับฝ่าบาทอย่างยิ่งเพคะ เสมือนว่าร่างกายได้แผ่บรรยากาศที่ทำให้ผู้คนอยากใกล้ชิดออกมา 

มุมปากของไทเฮากระตุกเล็กน้อย  เจ้าลุกขึ้นเถิด ภายในสามวันนี้ คอยจับตาดูเขาเอาไว้ให้ดี 

 หม่อมฉันรับพระบัญชาเพคะ 

ไทเฮากุมไม้เท้าและเดินออกมาจากเรือนหยุนชิง นางหันศีรษะกลับไปดูแผ่นป้ายและส่ายหน้า  เตรียมรถ ข้าจะไปดูความครึกครื้นเสียหน่อย !  

 

ตอนที่ 352 แผนการลอบสังหาร

ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังตกตะลึงอยู่ ประตูบานนั้นก็ถูกเปิดออก มีนางในหน้าตางดงามนางหนึ่งเดินออกมา

สายตาของนางกวาดมองไปยังทุกคนที่นั่น จากนั้นก็ได้หยุดลงตรงฟู่เสี่ยวกวน

นางเอียงศีรษะมองอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็คารวะอย่างงดงามพร้อมกับกล่าวว่า  ข้าน้อยหวินกุย คารวะคุณชายฟู่ 

 เจ้ารู้ได้เยี่ยงไรว่าข้าคือคุณชายฟู่ ?  

หวินกุยยืดตัวตรงแล้วหัวเราะ  เนื่องจากในที่นี้ ท่านดูเยาว์ที่สุดน่ะสิ 

ดูเหมือนข้าจะเอ่ยถามคำถามโง่ ๆ ออกไปเสียแล้ว ! ฟู่เสี่ยวกวนยกมือขึ้นลูบจมูกของตนเอง จากนั้นหวินกุยก็ได้เอ่ยต่อไปว่า  ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินมาว่าท่านจะมาอาศัยอยู่ที่นี่สักระยะ ข้าน้อยจึงได้จัดเตรียมห้องหับไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เชิญพวกท่านตามข้ามาเถิด 

……

……

ด้านในคุกแห่งเมืองกวนหยุนช่างมืดมิด กลิ่นเหม็นอับผสมกับกลิ่นคาวเลือดตีเข้าจมูกชวนให้อาเจียนยิ่งนัก

อู๋หลิงเอ๋อร์กลั้นหายใจเดินตามผู้คุมคุกเข้ามาจนถึงชั้นในสุด ที่นี่มีการคุมเข้มกว่าที่ใด ๆ แน่นอนว่านักโทษที่ถูกกังขังอยู่ในนั้นต้องสำคัญยิ่ง

นางจะต้องสอบถามขันทีเกา อดีตหัวหน้าขันทีผู้ยิ่งใหญ่ให้รู้แจ้งว่า แผนการที่ตั้งใจจะจัดการกับฟู่เสี่ยวกวนเหล่านั้น เป็นฝีมือของเสด็จแม่จริงเยี่ยงนั้นหรือ ?

นึกถึงสตรีที่ถูกกังขังไว้ในตำหนักเย็นผู้นั้น นางสูญเสียความสง่างามและความน่าเกรงขามไปเสียสิ้นแล้ว แม้ภายนอกมองไปจะดูสงบนิ่ง แต่ตรงกลางคิ้วทั้งสองที่ขมวดเข้ามาติดกันนั้นมิอาจปิดบังความผิดหวังและเศร้าโศกได้

สตรีผู้นั้นคือเสด็จแม่ของนาง นางหวังว่าจะมีความหวังอันเล็กน้อยที่จะสามารถช่วยเสด็จแม่ออกมาได้ มิใช่ในฐานะจักรพรรดินี แต่ในฐานะมารดาธรรมดา ๆ คนหนึ่งก็เพียงพอ

หากต้องการจะช่วยเหลือมารดาของนางออกมา ก็จะต้องให้ขันทีเกาเป็นผู้ยอมรับผิดทั้งหมด และนางเชื่อว่าขันทีเกาจะยอมรับความผิดนี้ เนื่องจากนางได้จับตัวบุตรชายของเขาเกาฟู่ลวี่ไว้ในกองทัพทหารหญิงแล้ว

เดิมทีนางตั้งตารองานชุมนุมวรรณกรรมที่กำลังจะเริ่มขึ้นในวันนี้อย่างใจจดใจจ่อ แต่บัดนี้นางมิอาจปลีกตัวออกไปได้ ฟู่เสี่ยวกวนจะประพันธ์กวีเช่นใดขึ้นมากัน ?

น่าเสียดายยิ่งที่มิมีโอกาสได้เห็นเขาโดดเด่นในสนามประลอง

ผู้คุมคุกเดินตรงมาหยุดอยู่หน้าประตูห้องขังท้ายสุด จากนั้นก็หยิบกุญแจขึ้นมาไขประตู แล้วกล่าวเสียงเบาว่า  องค์หญิง กระหม่อมให้เวลาได้เพียง 1 ก้านธูปเท่านั้น นี่คือสิ่งที่กระหม่อมทำเพื่อองค์หญิงได้มากสุดแล้ว มิเช่นนั้นหากฝ่าบาททรงรู้เข้า… 

 ไปเถิด ข้าเข้าใจดี 

นางก้าวเข้าไปด้านในห้องคุมขังอันมืดมิด เกาเสี่ยนถูกโซ่ตรวนเส้นใหญ่ล่ามเอาไว้ เขานั่งหันหลังเข้ากำแพงในมุมมืดนั้น

เดิมทีที่แห่งนี้ คือสถานที่ที่เขาใช้ควบคุมตัวนักโทษต่าง ๆ แต่บัดนี้ตนกลับเข้ามานั่งอยู่ด้านในฐานะนักโทษเสียเอง

เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูเข้ามา เขาจึงเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วหรี่ตามอง เมื่อพบว่าเป็นองค์หญิงไท่ผิงก็ทำให้เขารู้สึกตกใจยิ่ง เดิมทีเขาคิดว่าจะเป็นคนจากศาลต้าหลี่ หรืออาจจะเป็นขันทีเข้ามาประกาศพระราชโองการ

 ลุกขึ้นนั่งเถิด 

อู๋หลิงเอ๋อร์นั่งลงตรงโต๊ะเก่า ๆ ตัวหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยกับเกาเสี่ยนว่า  ข้ามิได้มาเพื่อช่วยเจ้า ข้ามาเพื่อถามคำถามกับเจ้าสักหน่อย 

เกาเสี่ยนลุกขึ้นยืน จากนั้นก็พยุงตนเองเดินมานั่งลงที่โต๊ะนั้น เสียงโซ่เหล็กครูดกับพื้นชวนให้ขนลุกยิ่ง

 กระหม่อมมิมีสิ่งใดจะเอ่ยกับองค์หญิง 

สายตาของอู๋หลิงเอ๋อร์จ้องไปที่เกาเสี่ยนไม่กะพริบ  ฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรนอกสมรสขององค์จักรพรรดิจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

เดิมทีนางมิได้ตั้งใจจะถามคำถามนี้ในตอนแรก แต่ทว่านางกลับเอ่ยถามขึ้นมาเป็นอันดับแรก

เกาเสี่ยนเผยอยิ้ม  ในเมื่อฝ่าบาททรงตรัสออกมาด้วยพระองค์เอง แน่นอนว่าต้องมิใช่เรื่องเท็จ 

 มีหลักฐานอื่นอีกหรือไม่ ?  

 กระหม่อมคิดว่าองค์หญิงจะทรงเสด็จมาเพื่อเสด็จแม่เสียอีก คาดมิถึงว่าทรงมาเพื่อชายผู้นั้น หากองค์หญิงทรงต้องการหลักฐาน ควรจะเสด็จไปเข้าเฝ้าไทเฮา เนื่องจากบันทึกชีวิตในสามปีนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของไทเฮามิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ?  

อู๋หลิงเอ๋อร์ได้เดินทางไปเข้าเฝ้าไทเฮาแล้ว แต่ทว่าพระนางมิได้ประทับอยู่ในตำหนัก แม้แต่นางในรับใช้ก็มิรู้ว่าไทเฮาทรงเสด็จไปที่ใด

 การลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวน เป็นฝีพระหัตถ์ของเสด็จแม่จริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 องค์หญิงทรงรู้ดีอยู่แก่ใจดี เหตุใดจึงต้องเอ่ยถามคำถามนี้ออกมากัน ?  

อู๋หลิงเอ๋อร์นิ่งไปหลายวินาที สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมแล้วเอ่ยว่า  เจ้าจงฟังและจำไว้ให้ดี ! ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เป็นความคิดของเจ้า เป็นแผนการของเจ้า ส่วนเหตุผลนั้นคือ เมื่อหลายวันก่อนที่หอจิ้นสุ่ยในทะเลสาบสือหลี่ บุตรชายของเจ้าเกาฟู่ลวี่ได้เกิดเรื่องบาดหมางเข้ากับฟู่เสี่ยวกวน บุตรชายของเจ้าถูกฟู่เสี่ยวกวนดูถูกเหยียดหยาม จึงทำให้เจ้าคับแค้นใจ เเละเพื่อเป็นการระบายความโกรธนี้ เจ้าจึงได้ตัดสินใจกระทำทุกอย่างลงไป ส่วนเรื่องจักรพรรดินีนั้น เจ้าเพียงขอกำลังผู้มีฝีมือมาจากนางเท่านั้น นางมิได้มีส่วนรู้เห็นในการลอบสังหารครานี้ นางมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย !  

เกาเสี่ยนตกตะลึงทันพลัน จักรพรรดินีเซียวต้องการให้เขาเป็นเเพะรับบาปเยี่ยงนั้น ?

จากที่เกาเสี่ยนมองดูแล้ว นี่คือคำบอกใบ้ของจักรพรรดินีเซียว แม้ว่าพระนางจะถูกกักขังในตำหนักเย็น แต่ทว่าพระนางกลับมิยอมรับต่อชะตากรรม

 หากว่ากระหม่อมมิยินยอมเล่า ?  

อู๋หลิงเอ๋อร์ยิ้มอย่างเยือกเย็น  หากเจ้ามิยินยอมก็ย่อมได้ ข้าจะให้บุตรชายของเจ้าตายอย่างทุกข์ทรมานต่อหน้าเจ้า !  

เกาเสี่ยนตกตะลึงเสียยิ่งกว่าเก่า  บุตรชายของข้ามิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย แม้แต่ศาลต้าหลี่ ก็มิอาจใส่ร้ายบุตรชายข้าได้ ! กรรมใดใครก่อก็ควรจะยอมรับมันด้วยตนเอง มิควรเอาคนในครอบครัวเข้ามายุ่งเกี่ยว องค์หญิงอย่าได้ทำเช่นนี้เลย !  

 ครอบครัวเยี่ยงนั้นหรือ ? เจ้าขันทีชราเยี่ยงเจ้าเข้าใจคำว่าครอบครัวด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ? บุตรชายของเจ้าอยู่ในกำมือข้าแล้ว เขาจะเป็นหรือตาย ก็อยู่ที่ความร่วมมือของเจ้า 

เกาเสี่ยนสูดลมหายใจยาว ใบหน้าอันหมองคล้ำของเขาดูแล้วมืดมนยิ่ง

จักรพรรดินีเซียว !

เดิมทีความผิดนี้หากจะให้ข้ารับไว้แต่เพียงผู้เดียวมิใช่เป็นไปมิได้ แต่วิธีการของพระนางช่างเยือกเย็นยิ่ง !

ในเมื่อพระนางไร้ซึ่งความเมตตา ก็อย่าได้หาว่าข้าไร้คุณธรรม !

เขาหัวเราะออกมาทันใด แล้วเอ่ยถามว่า  องค์หญิงทรงเป็นห่วงฟู่เสี่ยวกวนจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 นั่นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว !  

 องค์หญิงทรงคิดว่าบัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนปลอดภัยแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

อู๋หลิงเอ๋อร์ชะงักลงทันพลัน  ผู้ที่ลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวน บัดนี้ได้ตายไปสิ้นแล้ว อีกทั้งผู้ที่สมรู้ร่วมคิด บัดนี้ก็ถูกจับได้จนสิ้น ท่านหมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?  

 ฮ่า ๆ ๆ…  เกาเสี่ยนหัวเราะออกมาด้วยเสียงดังกึกก้อง  องค์หญิง เกรงว่าท่านจะมิรู้จักเสด็จแม่ของตนดีพอ !  

อู๋หลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เสด็จแม่ถูกขังอยู่ในตำหนักเย็นแล้ว นางจะทำสิ่งใดได้อีกกัน ?

 กล่าวมา !  

 บัดนี้คาดว่าฟู่เสี่ยวกวนคงจะเดินทางไปถึงวันหานหลิงแล้ว องค์หญิงเพียงแค่ทรงให้สัญญาว่าจะมอบความปลอดภัยให้แก่บุตรชายข้า ข้าถึงจะบอกเรื่องที่น่าตกใจนี้ให้แก่ท่าน 

 เจ้ามิมีทางเลือกอื่น !  

 องค์หญิงผิดแล้ว กระหม่อมมีทางเลือก หากว่าบุตรชายของกระหม่อมถูกสังหาร ฟู่เสี่ยวกวนเองก็อย่าคิดว่าจะมีชีวิตรอดไปได้ !  

เกาเสี่ยนนั่งหลังตรง สายตาไร้ซึ่งความแยแสของเขากล่าวว่า  องค์หญิงอย่าได้ทรงเสียเวลาไป เมื่อถึงตอนนั้นอาจสายเกินไปเสียแล้ว 

อู๋หลิงเอ๋อร์กัดฟันแล้วตอบว่า  ตกลง ข้าสัญญา !  

 เชิญองค์หญิงสาบาน 

 ข้าขอสาบานด้วยชีวิต หากว่าฟู่เสี่ยวกวนอยู่ดีมีสุข เกาฟู่ลวี่ก็จะปลอดภัยเช่นกัน 

 พ่ะย่ะค่ะ องค์หญิงทรงโปรดฟังให้ดี ที่หลังภูเขาวัดหานหลิง ภายในรูปปั้นพระพุทธรูปองค์ใหญ่นั้น มีหน่วยสอดแนมอยู่ 1,000 คนและทหารรักษาพระองค์อีก 3,000 คน อีกทั้งปืนใหญ่ 50 กระบอก และจะยิงออกไปในยามเว่ย เมื่อบัณฑิตทั้งหลาย…รวมตัวกันที่สนามแข่งขัน !  

อู๋หลิงเอ๋อร์รีบหันหลังจากไปโดยมิลังเลเลยแม้แต่น้อย

ยามเว่ยเยี่ยงนั้นหรือ บัดนี้ก็ยามอู่แล้ว ต่อให้ใช้ม้าไวก็คาดว่าคงมิทันการ

จะทำเยี่ยงไรดี ?

จิตใจของนางร้อนรนดั่งไฟ บัดนี้จึงได้คิดถึงคำเอ่ยของเสด็จแม่ขึ้นมาได้ ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เป็นกลลวงเพื่อสังหาร !

 

ตอนที่ 351 เรือนหยุนชิง

มีหมอกบางในยามเช้า สายน้ำไหลเชี่ยว

บัดนี้ใกล้จะเลยเวลาของยามเหม่าแล้ว ระฆังยามเช้าของวัดหานหลิงได้ดังไปแล้ว แสงภายในทุ่งกว้างนี้ได้สว่างโร่ขึ้นมา แต่ภายในป่าภูเขานั้นกลับอึมครึมอยู่เล็กน้อย

ขั้นบันไดขึ้นไปยังวัดนั้นถูกสร้างมาอย่างดี และกว้างขวางเป็นอย่างมาก สองข้างทางมีต้นไม้เก่าแก่อยู่เรียงราย แต่มิได้มีผลต่อการขึ้นเขา เพียงแค่ไร้หนทางจะเห็นทัศนียภาพที่อยู่ห่างไกลได้ชัดเจน

ที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดย่อมเป็นราชองครักษ์ 500 นาย ที่ตามติดกันไปคือขุนนางจำนวนมากจากกวนหลี่เตี้ยนและสำนักศึกษาฮ่านหลิน หลังจากนั้นเหล่าบัณฑิตจากราชวงศ์อู๋ ต่อจากนั้นจึงเป็นบัณฑิตจากสามแคว้น และท้ายขบวนก็คือราชองครักษ์ 500 นาย

ดังนั้นขบวนนี้จึงยาวออกไป เดินคดเคี้ยวไปมาบนขั้นบันได มองดูแล้วราวกับมังกรกำลังเคลื่อนที่

เหล่าบัณฑิตกำลังสนทนากันถึงเรื่องราวของวัดหานหลิงแห่งนี้ และบางทีก็จะตกใจกับหญ้าข้างทางที่แปลกประหลาด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกัมปนาทดังขึ้น เมื่อเลี้ยวโค้งไป ก็ได้พบเห็นกับน้ำตกที่เหมือนกับมังกรขาวบินลงไปในทะเล

ดังนั้นจึงมีไอน้ำลอยขึ้นมา ปกคลุมไปทั่วทุ่งกว้าง จนทำให้ใบหญ้าและต้นไม้เปียกชื้น รวมไปถึงคนที่อยู่ ณ ที่นี้ด้วย

 บนวัดหานหลิงมีทะเลสาบอยู่หนึ่งแห่ง น้ำจากน้ำตกนี้มาจากทะเลสาบ ดังนั้นฉากนี้ผู้คนต่างขนานนามว่าทางช้างเผือกกลับหัว เพียงแค่คนที่มาวัดหานหลิงนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่เลื่อมใสกันทั้งหมด มาเพื่อฟังระฆังยามเช้าของที่นี่ มาเพื่อจุดธูปเบื้องหน้าพระพุทธองค์ และอธิษฐานให้พระพุทธเจ้าคุ้มครองอยู่ในใจ ดังนั้นชื่อเสียงของระฆังยามเย็นและเช้าของวัดหานหลิงจึงถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง ทัศนียภาพเหล่านี้จึงมิค่อยมีผู้ใดเอ่ยถึงมากนัก 

ฝานเทียนหนิงเดินไปพร้อมกับคูฉานและฟู่เสี่ยวกวน เขามองน้ำตกและกล่าวอย่างมิสะทกสะท้านว่า  น่าเสียดายที่ยามนี้ดวงอาทิตย์ยังมิโผล่ขึ้นมา มิเช่นนั้นแล้วในยามที่แสงอาทิตย์ตกกระทบกับน้ำตกนี้ บางทีอาจจะได้เห็นรุ้งเจ็ดสี !  

ฟู่เสี่ยวกวนหันมองไปทางฝานเทียนหนิงด้วยความแปลกใจเล็กน้อย  ท่านรู้ได้เยี่ยงไร ?  

 เพราะข้าอ่านหนังสือมาจำนวนมาก วัดหานหลิงนี้ได้ถูกบันทึกไว้ใน ‘บันทึกหนึ่งร้อยแปดสิบวัด’ นี่คือตำราที่เขียนโดยเจ้าอาวาสพระพเนจรเมื่อสามร้อยปีก่อน เขาใช้เวลาทั้งชีวิตเดินทางไปทั่วทั้งใต้หล้า เขาใช้บั้นปลายชีวิตที่วัดลันทา และได้เขียนบรรยายรายละเอียดของหนึ่งร้อยแปดสิบวัด 

ดังนั้นศาสนาพุทธในยุคนี้จึงรุ่งเรืองเป็นอย่าง แล้วลัทธิเต๋าเล่า ?

เหมือนว่านอกจากสำนักเต๋าแล้วก็มิเคยได้ยินอีก ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าหลังจากที่กลับไปแล้วต้องไปถามศิษย์พี่ใหญ่ถึงเรื่องนี้เสียหน่อย

ข้ามผ่านละอองน้ำจากน้ำตก แล้วเดินต่อไปยังเบื้องหน้าตามขั้นบันไดหิน แสงสว่างเจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ จึงสามารถเห็นกำแพงสีแดงและกระเบื้องที่ซ่อนอยู่ในป่าได้จากที่ห่างไกล ตึกเหล่านี้ค่อนข้างกระจัดกระจาย คาดว่าน่าจะเป็นสถานที่อาศัยของพระสงฆ์ในวัดหานหลิง

และเมื่อเดินขึ้นไปอีก ก็มีกลิ่นควันธูปลอยวนอยู่ในอากาศ

เมื่อมองออกไปไกล ๆ ก็จะเห็นควันธูปลอยอบอวลอยู่ในป่าทึบ และจะได้ยินเสียงพระสงฆ์ท่องบทสวดสันสกฤตทำวัตรเช้าอยู่ในอาราม

 คิดว่าตรงนั้นน่าจะคือห้องโถงด้านหน้า คือสถานที่ตั้งของวิหารเทียนหวางเตี้ยน สถานที่หลักของงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้อยู่ด้านหลังเขา หรือก็คือด้านข้างของทะเลสาบ  ฝานเทียนหนิงอธิบายให้ฟู่เสี่ยวกวนฟัง เมื่อเห็นท่าทางมึนงงของฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงกล่าวยิ้ม ๆ ว่า  เจ้ายุ่งเป็นอย่างมาก แต่ข้ากลับว่างมากยิ่งนัก ขอกล่าวกับเจ้าอย่างมิปิดบัง ข้าเคยได้มาวัดหานหลิงแห่งนี้แล้วหนึ่งครา วันที่เจ้าได้รับบาดเจ็บวันที่สอง ข้าได้มาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ เดินเล่นอยู่ที่นี่หนึ่งวัน ก็ได้ยินเสียงระฆังทำวัตร จึงพักอยู่ที่อารามนั่นหนึ่งคืน และลงเขาไปในวันรุ่งขึ้น 

 เพื่องานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ จึงได้มีการสร้างอาคารใหม่ที่ด้านหลังเขาจำนวนมาก ถือเป็นที่พักหลัก เยี่ยงไรเสียก็ต้องใช้รองรับผู้คนหลายพันคน จะไปมีเรือนรับแขกอยู่ในอารามจำนวนมากได้เยี่ยงไรกัน ?  

 ประเดี๋ยวพอไปหลังเขาเจ้าก็จะรู้เอง ที่ตรงนั้นมิเลวเสียทีเดียว ทะเลสาบที่กว้างใหญ่ ด้านข้างของทะเลสาบนั้น ได้มีการสร้างพระพุทธรูปองค์ใหม่ขึ้น ยามที่ข้าไปนั้นมีผู้คนมากมายกำลังหล่อพระพุทธรูปองค์นั้น บัดนี้คาดว่าน่าจะสำเร็จแล้ว เมื่อเทียบกับพระพุทธรูปของวัดลันทาแล้วถือว่าใหญ่กว่าหลายเท่า 

ระหว่างการอธิบายข้อมูลที่ไร้ประโยชน์ของฝานเทียนหนิง ประตูเขาอันงดงามก็ได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ

เหนือประตูทางเข้ามีอักขระสีทองประทับไว้ว่า วัดหานหลิง !

สองข้างของประตูทางเข้ายังได้สลักกลอนตุ้ยเหลียนเอาไว้หนึ่งบท ใจความของกลอนตุ้ยเหลียนนี้มีอยู่ว่า

เจ้ามาเพื่อนมัสการหรือ ต้องสัมผัสกับจิตใจ ก่อกรรมมามากเท่าใด จงอุทิศตนและกราบไหว้

ใครคือผู้เทศนา ต้องกำจัดความเห็นใจ จงกล่าววาจาตักเตือน ให้ผู้คนที่ฟังพรั่นพรึงกับความชอบธรรม

 กลอนตุ้ยเหลียนกับอักขระนี้ ถูกสร้างขึ้นมาในตอนที่สร้างวัดหานหลิง เป็นตำราที่องค์หญิงเจิ้งหยางประพันธ์ขึ้นมาด้วยพระองค์เอง ผู้คนต่างก็ตื่นตะลึง ! ็ 

ฟู่เสี่ยวกวนเห็นด้วยอย่างยิ่ง จากที่มองในตอนนี้ เมื่อห้าร้อยปีก่อนองค์หญิงเจิ้้งหยางผู้นั้นคงมีความเข้าใจในพระไตรปิฎกอย่างลึกซึ้ง มิเช่นนั้นคงเขียนกลอนตุ้ยเหลียนเยี่ยงนี้ออกมามิได้

เมื่อข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไป เดินตรงไปเบื้องหน้าราว 1 ลี้ ทางขึ้นเขาก็ได้ถูกแบ่งออกเป็นสองทาง ไปทางซ้ายจะเป็นทางเดินเขาที่กว้างขวาง ไปทางขวาจะเป็นทางเดินเขาที่แคบเล็กน้อย

 นี่คือเส้นทางเดินไปด้านหลังเขา 

พวกเขาเดินไปยังทางขวา พอเลี้ยวผ่านสันเขา ทุกคนต่างก็สะดุดตากับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ตั้งสูงเด่นตระหง่านอยู่เบื้องหน้า !

คาดมิถึงว่าจะสูงกว่าต้นไม้ที่มีอายุเก่าแก่ไปถึงครึ่งหนึ่ง !

ในยามนี้ที่ดวงอาทิตย์กำลังขึ้น แสงแดดสีเหลืองอ่อนตกกระทบกับพระพุทธรูปสีทอง เปล่งประกายเจิดจ้า และเมื่อประกอบกับมีแผ่นฟ้าเป็นพื้นหลัง ราวกับด้านหลังของพระพุทธรูปนั้นมีแสงศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีขึ้นมาจริง ๆ

 ใหญ่มากใช่หรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า  ใหญ่มากจริง ๆ !  

 เพียงการปั้นพระพุทธรูปองค์นี้ กล่าวว่าใช้เวลามานานถึง 8 ปี จักรพรรดิเหวินมีความคิดที่กล้าหาญยิ่ง มิทราบเช่นกันว่าใช้เงินไปแล้วกี่ตำลึง 

และเมื่อเดินไปได้อีกหนึ่งก้านธูป พวกเขาก็ได้เดินมาถึงใต้ฝ่าธุลีของพระพุทธรูป ที่ตรงนี้คือลานกว้างขนาดใหญ่ พื้นที่ปูด้วยหินอ่อนนั้นสะอาดและกระจ่างใส ด้านล่างของพระพุทธรูปนั้นมีเวทีสูงตั้งอยู่ ราวกับเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับสักการะบูชา

และด้านหลังของพระพุทธรูป ก็คือทะเลสาบที่มีไอน้ำลอยขึ้นมาราวกับดินแดนแห่งสรวงสวรรค์

ฟู่เสี่ยวกวนมองสำรวจไปรอบ ๆ มีอาคารถูกสร้างขึ้นล้อมรอบลานกว้างนี้เป็นจำนวนมาก แต่มิได้มีลักษณะคล้ายอาราม แต่รูปร่างเหมือนกันกับอาคารในจินหลิงเสียมากกว่า

คิดไปแล้วอาคารเหล่านั้นคาดว่าจะถูกสร้างมาเพื่อเหล่าบัณฑิตที่มาร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้

และแน่นอน ในยามที่ทุกคนมาถึงลานกว้างแห่งนี้ ก็ได้พบเห็นขุนนางจากกวนหลี่เตี้ยนและสำนักศึกษาฮ่านหลินกำลังจัดการที่พักให้แก่เหล่าบัณฑิตอยู่

และขุนนางที่เดินตรงมาหาฟู่เสี่ยวกวนนั้นก็คือผู้อาวุโสเหวินชังไห่จากสำนักศึกษาฮ่านหลิน !

 ข้าได้รับคำสั่งจากท่านขุนนางโจวแห่งหอเทียนจีมา และข้าจะพาพวกเจ้าไปยังอีกสถานที่หนึ่ง 

ท่ามกลางสายตาตกใจของฝานเทียนหนิง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินตามเหวินชังไห่ออกไปจากลานกว้างแห่งนี้ แต่มิได้ตรงไปยังอารามที่อยู่เบื้องหน้าเขา แต่กลับเดินตรงไปในป่าภูเขาทางด้านซ้ายแทน

ที่นี่มีทางเดินเล็กที่เงียบสงบ เดินผ่านป่าไปอีกครา ดังนั้นจึงออกห่างจากพระพุทธรูปองค์ใหญ่นั้นไปไกลยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เดินไปได้ราว 3 ก้านธูป เหวินชังไห่ก็หยุดลง

ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เห็นเรือนที่สวยงามอยู่หลังหนึ่ง !

มันตั้งอยู่ด้านข้างของทะเลสาบ รอบด้านมิมีต้นไม้เก่าแก่ล้อมรอบ แต่กลับเป็นสวนสาลี่ที่บัดนี้ดอกกำลังบานสะพรั่ง !

พวกเขาเดินมาจนถึงทางเข้าประตูเรือน เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็พบกับทับหลังบนประตูสีแดง ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงไปพลัน บนทับหลังประตูได้เขียนเอาไว้ด้วยตัวอักษรสีทองว่า เรือนหยุนชิง !

เมื่อเหวินชังไห่เห็นท่าทางของฟู่เสี่ยวกวน ก็กล่าวยิ้ม ๆ ว่า  เรือนนี้ถูกสร้างขึ้นมาได้ 5 ปีแล้ว ฝ่าบาทจะเสด็จมาที่นี่ในทุกปียามที่ดอกสาลี่ผลิบาน สภาพแวดล้อมที่นี่เงียบสงบมากยิ่งนัก ภายในนั้นมีนางกำนัลอยู่ 30 คน ได้ตระเตรียมทุกอย่างไว้เสร็จสรรพแล้ว…เพียงแค่ท่านขุนนางโจวกำชับมาหนึ่งประโยค กล่าวถึงพระประสงค์ของฝ่าบาท หากเจ้ามีเวลาว่าง จะเก็บดอกสาลี่เหล่านี้ด้วยตนเองและนำกลับมาให้ฝ่าบาทต้มชาสักกาได้หรือไม่ ?  

 

วันที่ยี่สิบห้าเดือนสาม ตรงกับเทศกาลฤดูหนาว ช่วงเช้าที่ผ่านมาได้จัดการเรื่องที่พักให้แก่บัณฑิตทั้งหลายเรียบร้อยแล้ว การแข่งขันจะเริ่มขึ้นในช่วงบ่าย

การแข่งขันในครานี้จะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ประเภทที่หนึ่งคือตุ้ยเหลียน ค่อนข้างง่าย จะแข่งขันในช่วงบ่ายของวันที่ยี่สิบห้าเดือนสาม

ประเภทที่สองคือกวี เป็นประเภทหลักของการแข่งขัน จะจัดขึ้นในวันที่ยี่สิบหกเดือนสามทั้งวัน

ประเภทที่สามคือบทความ มีความซับซ้อนยุ่งยากเล็กน้อย จัดแข่งขันขึ้นในวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสามช่วงเช้า

บัณฑิตทั้งหลายจะเดินทางกลับไปยังเมืองกวนหยุนวันที่ยี่สิบเจ็ดช่วงบ่าย ผู้ที่ได้รับคัดเลือกเป็นอันดับที่หนึ่งในครานี้ คือผู้ที่มีคะแนนมากที่สุดในการแข่งขันจากทั้งสามประเภท แต่ละประเภทจะต้องเป็นหนึ่งในสาม วันประกาศผลคือวันที่ยี่สิบแปดเดือนสาม เวลาบ่ายสาม ณ หลิวหยุนถายทะเลสาบสือหลี่

ฟู่เสี่ยวกวนนำมือขึ้นไปลูบที่จมูก เขานึกในใจว่ากวีเหล่านี้คงมิอาจหนีพ้นเรื่องทางโลกเหล่านั้นได้

หลังจากจักรพรรดิเหวินทรงออกคำสั่ง ราชองครักษ์กว่าพันคนก็ได้มาทำการคุ้มกัน และเดินทางออกจากกวนหลี่เตี้ยนไปทางทิศเหนือ

ระยะทางในครานี้มิได้ยาวไกลนัก ใช้เวลาประมาณราว 1 ชั่วยาม

ส่วนเรื่องสถานการณ์ของวัดหานหลิง เมื่อคราที่ฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้เดินทางออกมาจากเมืองจินหลิง ก็ได้ให้คนจากหอซี่หยู่รวบรวมข้อมูลไว้ไห้แล้ว

วัดหานหลิงนั้นเป็นเพียงวัดทั่วไป ตั้งอยู่บนเขาหานหลิง ฝั่งตะวันตกของเมืองกวนหยุน

ที่แห่งนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนานราว 500 ปีเห็นจะได้

เมื่อห้าร้อยปีก่อน ตอนที่ราชวงศ์อู๋เพิ่งจะก่อตั้งขึ้น อู๋ไท่หวงได้สร้างเมืองกวนหยุนไว้บนที่ราบสูงหลีลั่ว หลังจากอู๋เซิ่งหวงโอรสของเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ ก็ได้อภิเษกกับองค์หญิงเจิ้้งหยางแห่งแคว้นฝาน

องค์หญิงเจิ้้งหยางนับถือศาสนาพุทธ อู๋เซิ่งหวงจึงได้สร้างวัดหานหลิงนี้ขึ้นมา โดยองค์หญิงเจิ้งหยางทรงประทานชื่อวัดนี้ว่าหานหลิง

อีกทั้งวังหลังของพระราชวังตำหนักเจิ้งหยาง ก็ตั้งตามพระนามขององค์หญิงเจิ้งหยางเช่นกัน

ดังนั้นผู้ที่สามารถประทับ ณ ตำหนักเจิ้งหยางได้ จึงมีเพียงจักรพรรดินีแห่งราชวงศ์อู๋เท่านั้น

องค์หญิงเจิ้งหยางพานักบวชมาจากแคว้นฝานด้วย ศาสนาพุทธจึงได้เผยแผ่ไปในราชวงศ์อู๋ แม้จะมิได้รับยกย่องเป็นศาสนาประจำราชวงศ์อู๋ แต่วัดหานหลิงนั้นก็ได้รับความเคารพบูชาจากชาวราชวงศ์อู๋มิน้อย

นักบวชเหล่านั้นเดินทางไปทั่วราชวงศ์อู๋เพื่อเผยแพร่ศาสนา บัดนี้ผู้นับถือศาสนาพุทธมีอยู่ทั่วไป ประกอบกับวัดหานหลิงเป็นจุดกำเนิดของศาสนาพุทธ แน่นอนว่าจะต้องมีความศักดิ์สิทธิ์ในสายตาของพวกเขา

ผ่านไปห้าร้อยปี บริเวณของวัดหานหลิงได้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

พื้นที่กว้างขวางขึ้น ตรงกลางมีห้องโถงใหญ่ ด้านในมีโบสถ์สิบกว่าแห่ง สำนักสงฆ์กว่าร้อยแห่ง และนักบวชกว่าพันคน อยู่ท่ามกลางป่าสน มีกฎที่เคร่งครัดยิ่ง

และระฆังตีบอกเวลานั้นเป็นที่เลื่องชื่อยิ่งของวัดหานหลิง มันดังมากว่าห้าร้อยปีแล้ว !

เจ้าอาวาสวัดหานหลิงคืออาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ย อายุ 40 ปี เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของอาจารย์ประจำสำนักฝูแห่งแคว้นฝาน ซึ่งเป็นศิษย์พี่ของคูฉานอีกด้วย

เขาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส ดูแลวัดหานหลิงนี้มาได้ 6 ปีแล้ว ได้ยินมาว่า เขาได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ในทางพุทธศาสนา วรยุทธ์ของเขาก็สูงมากเช่นกัน ส่วนสูงเพียงใดนั้นมิได้กล่าวไว้ เนื่องจากอาจารย์ฮุ่ยเจวี๋ยมิเคยลงมือด้วยตนเอง

…….

ฟู่เสี่ยวกวนยังคงนั่งอยู่ในรถม้าส่วนพระองค์ขององค์หญิงเก้า

นอกจากต่งชูหลาน หยูเวิ่นหวิน แล้วยังมีซูซูอยู่ด้วยอีกคน

นางนั่งลงข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวนอย่างเป็นธรรมชาติ บัดนี้บนโต๊ะมีอาหารทั้งสิ้น 6 กล่อง นางวิ่งไปซื้อถึงร้านซิ่งหลินจี้ในป่าซิ่งหลินเชียว นางชื่นชอบฮะเก๋าของร้านนี้ยิ่ง

เมื่อนางเปิดกล่องอาหารออกมา ใบหน้าก็ปรากฏเป็นรอยยิ้ม  เชิญแม่นางทั้งสองรีบกินตอนร้อน ๆ เถิด มีซาลาเปามันปูและขนมที่พวกท่านชื่นชอบด้วย… 

นางหันหลังมามองฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยเสริมขึ้นว่า  เจ้าก็กินด้วยกันสิ 

พวกเขาทั้งสามคนก็มิได้เกรงใจ มินานภายในรถม้าก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหาร

 ศิษย์พี่รองไปยังซิ่งหลินจี้ คาดว่าจะมิได้กลับมา…  ซูซูกินฮะเก๋าพลางมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน

 หากว่าศิษย์พี่ใหญ่ตั้งใจกินขึ้นมาจริง ๆ เกรงว่าติ่มซำในร้านซิ่งหลินจะมิพอ อาหารในร้านเซิ่งหลินแพงมากยิ่งนัก แม้เจ้าจะให้เขาไปถึง 500 ตำลึง แต่คาดว่าห้าวันเขาก็กินหมดแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้ามิได้ขาดแคลนเงินทอง แต่ศิษย์พี่รองกินเช่นนั้น…สักวันคงจะผลาญเงินเจ้าจนหมดเป็นแน่ ข้าหมายความว่า เป่ยหวังฉวนใช้ธนูยิงเจ้าถึงสองครา และช่วยชีวิตเจ้าไว้หนึ่งครา อีกทั้งซูม่อก็ได้รับโชคจากเหตุการณ์นั้น ศิษย์พี่ทั้งห้ากล่าวว่า บัดนี้ซูม่อและแม่นางถาวฮวาตัวติดเสียยิ่งกว่าขนมน้ำตาลเสียอีก คาดว่าอีกมินานคงจะได้แต่งงานกันแล้ว พวกเขาทั้งสองได้รับคำสั่งจากท่านอาจารย์ เกรงว่าบัดนี้จะเดินทางออกจากเมืองเปียนเฉิงไปยังสำนักเต๋าแล้ว ดังนั้นจะฆ่าเป่ยหวังฉวนหรือไม่ ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง และจะให้ศิษย์พี่รองกลับไปที่สำนักหรือไม่ ?  

ซูซูกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับพอใจยิ่ง

ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินลอบสบตากัน พวกนางเข้าใจในความหมายของซูซูดี

ในฐานะศิษย์น้องของเกาหยวนหยวน แต่นางกลับเข้าข้างฟู่เสี่ยวกวนเช่นนี้ อีกทั้งพอนึกถึงหลายวันมานี้ซูซูติดตามพวกนางไปเรียนรู้เรื่องการค้ามากมาย คล้ายกับแฝงอะไรบางอย่าง

เพิ่งจะส่งอู๋หลิงเอ๋อร์ไปได้ บัดนี้จะมีน้องสาวเพิ่มอีกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

แต่พวกนางทั้งสองชื่นชอบซูซูยิ่ง เนื่องจากรู้จักกันมาเป็นเวลานาน เทียบกับอู๋หลิงเอ๋อร์ที่เข้ามาอย่างกะทันหันแล้ว พวกนางยอมรับซูซูได้มากกว่า

อีกทั้งแม่นางซูซูช่างงดงามยิ่ง และฝีมือการดีดฉินของนางในใต้หล้านี้คาดว่าคงมิมีผู้ใดเทียบเคียงนางได้

ต่งชูหลานเลิกคิ้วให้ หยูเวิ่นหวินยิ้มออกมา

 ข้าว่าศิษย์พี่รองของเจ้าน่าสนใจยิ่ง ไหนลองเล่าเรื่องซูเตี่ยนเตี่ยนกับซูหยางหยางให้ข้าฟังหน่อยสิ 

 พวกเขามีเรื่องอันใดให้เล่ากัน ? ซูเตี่ยนเตี่ยนวิ่งเร็วยิ่ง ท่านอาจารย์กล่าวว่านอกจากปรมาจารย์แล้ว ใต้หล้านี้มิมีผู้ใดวิ่งเร็วกว่าซูเตี่ยนเตี่ยนได้อีก ส่วนซูหยางหยางก็แปลกประหลาดยิ่ง เขามีความสามารถในเรื่องการสร้างกลไกต่าง ๆ เขาเคยไปขุดหลุมฝังศพของปรมาจารย์ทั้งหลาย เพียงได้ยินมาว่ามีมู่โต่วอาวุธวิเศษที่สร้างโดยปรมาจารย์จู๋ซี แน่นอนว่าเขาถูกท่านอาจารย์จับได้และขังไว้ในหลุมฝังศพ โดยบอกว่าเป็นการลงโทษกักขัง แต่ทว่าเขาก็สามารถฝ่าทะลุกลไกของสุสานและแอบออกไปทางประตูหลังได้ 

 มู่โต่วเยี่ยงนั้นหรือ ? เขาได้หามันพบหรือไม่ ?  

 แน่นอนว่ามิพบ แต่จุดที่เขาออกมานั้นช่างประหลาดยิ่ง เป็นบริเวณหน้าผาซือกั่วด้านหลังภูเขา ในตอนนั้นศิษย์พี่รองได้ถูกขังไว้ในหน้าผาซือกั่วเพื่อไตร่ตรองตน อยู่ ๆ ศิษย์น้องเจ็ดก็โผล่ออกมาทำให้ศิษย์พี่รองตกอกตกใจเสียยกใหญ่ เดือนนั้นศิษย์พี่รองผอมลงไปถึง 2 ชั่ง 

ทั้งสามคนจ้องตาไม่กะพริบ นอกจากซูม่อแล้ว ศิษย์จากสำนักเต๋าทั้งเจ็ดที่อยู่ข้างกายเขา มองดูแล้วศิษย์คนที่เจ็ดนี่ปกติกว่าใครอื่น

แน่นอนว่าบัดนี้เขาได้กลายเป็นศิษย์แห่งสำนักเต๋าแล้วเช่นกัน แต่เป็นศิษย์ที่มิได้เรื่องเสียจริง มิเคยแม้แต่จะเดินทางไปยังสำนักเต๋า ท่านผู้นำสำนักหน้าตาเป็นเช่นใดก็มิรู้ได้

ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตนเป็นเพียงศิษย์ในนามของสำนักเต๋าเท่านั้น หากมีเวลา จะต้องเดินทางไปด้วยตนเองให้จงได้

รถม้าขับเคลื่อนออกจากเมืองกวนหยุน ผ่านถนนอันกว้างของภูเขาหานซาน

เมื่อถึงเชิงเขาหานซาน รถม้ามิสามารถขึ้นไปได้อีก เนื่องจากมีภูเขาหินขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่หน้าประตูทางเข้า และมีตุ้ยเหลียนคู่หนึ่งเขียนไว้ว่า

ทางนี้ว่างเปล่า หากเข้าต้องมั่นคง

ระวังทางแยก หากผิดทางอาจพินาศ

 

ตอนที่ 349 ความคิดของแต่ละคน

ฟู่เสี่ยวกวนออกมาจากตำหนักเย็น ในยามที่ประตูได้ปิดลงเขามิได้สังเกตเห็น รอยยิ้มแบบมีเลศนัยของจักรพรรดินีเซียวที่อยู่ ๆ ก็ยกยิ้มขึ้นมา ทั้งยังกล่าวประโยคที่มีอยู่ในความฝันในหอแดงอีกว่า

 มองทะลุปรุโปร่งแล้ว เข้าไปในประตูที่ว่างเปล่า ลุ่มหลงมัวเมา และเอาชีวิตไปทิ้ง !  

……

เดือนสามวันที่ยี่สิบห้า เทศกาลฤดูหนาว

ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ย่ำรุ่ง เพราะเมื่อคืนวานเติ้งซิวได้ชี้แจงกับเขาอย่างละเอียดแล้ว ว่าวันนี้จะต้องไปรวมตัวที่กวนหลี่เตี้ยนตั้งแต่เช้าตรู่

เมื่อถึงเวลาจะมีเสนาบดีฉงซานแห่งกวนหลี่เตี้ยนและผู้อาวุโสเหวินชังไห่ แห่งสำนักศึกษาฮ่านหลินเป็นประธานจัดการ กล่าวว่าจักรพรรดิเหวินเองก็จะมาเช่นกัน

ดังนั้นหลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ จัดการธุระส่วนตัวเสร็จ ก็ได้พาต่งชูหลานกับหยูเวิ่นหวิน รวมไปถึงศิษย์พี่รองสำนักเต๋าเกาหยวนหยวน ศิษย์พี่สามซูโหรว และรวมไปถึงซูซูออกจากคฤหาสน์จิ้งหู และตรงไปยังกวนหลี่เตี้ยน

ส่วนศิษย์พี่คนอื่น ๆ พวกเขาก็ได้ออกจากคฤหาสน์จิ้งหูแล้วเช่นกัน แต่มิได้ไปกวนหลี่เตี้ยน กลับออกเดินทางไปยังวังหลังของเขตหลวง

ในเมื่อบันทึกของจักรพรรดิเหวินเมื่อสามปีนั้นอยู่ในมือของไทเฮา ฟู่เสี่ยวกวนจึงต้องขอให้ศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่น ๆ ไปลองดู เมื่อวานตอนที่ได้สนทนากับจักรพรรดินีเซียว ก็เป็นเพียงการคาดเดาของเขาเท่านั้น เขาอยากจะทราบว่าแท้จริงแล้วตนเองเป็นใครกันแน่

กวนหลี่เตี้ยนในยามนี้ได้มีเหล่าบัณฑิตมารวมตัวกันอย่างมากมาย

ในฐานะที่จัวตงหลายเป็นบัณฑิตแนวหน้าของราชวงศ์อู๋จึงได้พื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดไป และฝ่ายตรงข้ามของจัวตงหลายในยามนี้ คุณหนูถังซานหลานสาวของถังจู้กั๋วก็กำลังสนทนาอยู่กับจัวตงหลาย

 ข้ากลับรู้สึกว่ามันมีเลศนัยอยู่เล็กน้อย พวกเจ้าลองคิดดูเถิด ตอนนี้งานชุมนุมวรรณกรรมใกล้จะเริ่มแล้ว แล้วในวังหลวงก็ดันมีข่าวที่ว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ออกมา…นี่มันจะประจวบเหมาะเกินไปหรือไม่ ? หากเขาเป็นองค์ชายอย่างแท้จริง งานชุมนุมวรรณกรรมครานี้ก็ถูกจัดขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อเขาเยี่ยงนั้นหรือ เมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วจะให้พวกเราทุกคนพยายามไปทำไมกัน ?  

หากต้องแย่งชิงอันดับหนึ่งกับองค์ชายหนึ่งคน นั่นราวกับจะมากเกินไปหน่อย บัณฑิตหลายคนต่างมองหน้ากัน ท้ายที่สุดสายตาก็ตกไปยังร่างของจัวตงหลาย

จัวตงหลายยืนขึ้นโดยสองมือไขว้หลัง ด้วยสีหน้าเยือกเย็น

 พวกเราจงจำไว้ หากฝ่าบาทยังมิมีราชโองการออกมา เขา…ก็คือฟู่เสี่ยวกวนจากราชวงศ์หยู !  

นี่เป็นคำกล่าวตัดสิน เหล่าบัณฑิตจากราชวงศ์อู๋ที่ล้อมรอบเขาก็เข้าใจในทันพลัน หมายความว่า ตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนยังคงเป็นปริศนาอยู่ต่อไป เยี่ยงนั้นงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้ พวกเขาอยากจะแสดงออกเยี่ยงไรก็แสดงออกไปเยี่ยงนั้น ไร้ซึ่งพันธนาการใด ๆ ทั้งสิ้น

แต่คุณหนูถังซานกลับจ้องมองจัวตงหลายอย่างมีเลศนัย ครุ่นคิดถึงการวิเคราะห์ของบิดาที่มีต่อข่าวลือนี้ เกรงว่าน่าจะเป็นความจริง และอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาก็น่าจะบอกกับจัวตงหลายแล้วเช่นกัน เพราะนี่คือช่วงเวลาที่อ่อนไหวอย่างยิ่ง แม้แต่พระนางเซียวเฉียงก็ยังถูกปลดออกจากตำแหน่งจักรพรรดินีและถูกส่งตัวไปยังตำหนักเย็น นี่เป็นนัยสำคัญว่าหากฟู่เสี่ยวกวนเป็นบุตรนอกสมรสของฝ่าบาทโดยแท้จริง เยี่ยงนั้นทุกคนก็จำต้องหลีกเลี่ยงอย่างสุดความสามารถ อย่าได้ไปแตะเกล็ดย้อนของฝ่าบาทเป็นอันขาด

แต่จัวตงหลายมิได้ให้ความสนใจคุณหนูถังซานแต่อย่างใด สายตาของเขาตกมองอยู่ที่ประตูใหญ่ เมื่อถึงเวลา หนึ่งในศิษย์ทั้งเจ็ดแห่งหลานซีเยี่ยงอู๋หลิงเอ๋อร์ก็มิได้มา

ในคืนนั้นเขาเห็นองค์หญิงไท่ผิงพาฟู่เสี่ยวกวนกลับเข้าไปในวังหลวงด้วยตาของตนเอง ในคืนนั้นเขานั่งอยู่ในเขตหลานซีทั้งคืน จึงได้ตระหนักว่าตนนั้นตื่นตูมไปเอง

ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรนอกสมรสของฝ่าบาท เยี่ยงนั้นก็คือพี่ชายของอู๋หลิงเอ๋อร์ ระหว่างพวกเขามิมีความเป็นไปได้อีกต่อไป แล้วเหตุใดตัวเขาต้องไปพัวพันกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วด้วยกัน ?

สิ่งที่ตนเองต้องทำในตอนนี้คือเปล่งประกายในงานชุมนุมวรรณกรรม ส่วนอู๋หลิงเอ๋อร์ท้ายที่สุดนางก็จะยอมรับพี่ชายคนนี้ ท้ายที่สุดนางก็จะต้องตามหาคู่ครอง และตนเองก็จะทำเพียงอยู่เคียงข้างนางอย่างเงียบ ๆ ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามธรรมชาติ

จัวอี้สิงย่อมเคยกล่าวถึงสถานะของฟู่เสี่ยวกวนให้เขาฟังแล้ว ทั้งยังกล่าวด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง

แต่งานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ ในสายตาของจัวตงหลาย ฝ่าบาททรงยังมิมีพระราชโองการประกาศสถานะของฟู่เสี่ยวกวน นี่ก็เพื่อความยุติธรรมและความเท่าเทียมของงานชุมนุมวรรณกรรม

เยี่ยงนั้นก็พยายามจนถึงที่สุดเถอะ

และจับตาดูพรสวรรค์ที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวกวน และลองดูว่าท้ายที่สุดแล้วตัวเขานั้นมีกี่ชั่งมีกี่เหลียงกัน !

……

ท้ายที่สุดรถม้าของฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินทางมาถึงกวนหลี่เตี้ยน

ในยามที่เขาลงมาจากรถม้า ผู้ที่เข้ามาล้อมเป็นอันดับแรกย่อมเป็นบัณฑิต 100 คนของราชวงศ์หยูอยู่แล้ว

แววตาของพวกเขาดูกังวลโดยมิคิดปกปิดแต่อย่างใด ตลอดการเดินทางท่านอาจารย์ได้สอนความรู้และหลักธรรมให้แก่พวกเขาไว้มากมาย เดิมทีคิดว่าเมื่อกลับไปยังราชวงศ์หยูแล้วจะได้ฟังบรรยายจากท่านอาจารย์อีกครา แต่คาดมิถึงว่าท่านอาจารย์จะเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋

เยี่ยงนั้นราชวงศ์อู๋ก็คือบ้านเกิดเมืองนอนของท่านอาจารย์ และวังหลวงของเมืองกวนหยุนต่างหากเล่า ที่เป็นจวนของท่านอาจารย์อย่างแท้จริง

ราชวงศ์หยูจะทำเยี่ยงไร ?

สำนักศึกษาจี้เซี่ยจะทำเยี่ยงไร ?

แล้วพวกเราเหล่าบัณฑิต จะทำเยี่ยงไร ?

ในยามที่แต่ละคำถามดังมาจนถึงหูของฟู่เสี่ยวกวน เขาเพียงยิ้มบาง ๆ และตอบกลับไปเพียงว่า  ข้าคือคุณชายเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียง 

บัณฑิตจากแคว้นอื่น ๆ ก็ได้ยินเช่นเดียวกัน ดังนั้นเสียงกระซิบกระซาบจึงดังขึ้น

 เขากล่าวแล้วว่าเขาเป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียง 

 ข้าเองก็คิดไว้แล้ว พวกเจ้าลองใช้สมองเสียบ้าง หากเขาเป็นโอรสของจักรพรรดิเหวินโดยแท้จริง หายตัวไป 17 ปี เยี่ยงนั้นความเป็นห่วงเป็นใยก็ต้องรุนแรงมากมิใช่หรือ จักรพรรดิย่อมต้องรับเขาเข้าวังหลวงโดยเร็วเป็นแน่ ไฉนเลยจะยังให้เขาพักอยู่ที่ด้านนอกเฉกเช่นในตอนนี้ ?  

 เจ้าว่าเกิดอันใดขึ้นกับจักรพรรดินีเซียวกัน ?  

 นี่คือแผนการล่องูออกจากรัง โดยใช้ฟู่เสี่ยวกวนมาดึงความสนใจจากจักรพรรดินีเซียว การลงมือของจักรพรรดินีเซียวในครานี้…กลับกลายเป็นการโยนก้อนหินกระทบเท้าของตนเอง 

 อ่า… 

นั่นคือความคิดของบัณฑิตหลาย ๆ คน หลังจากนั้นก็มั่นใจอย่างยิ่ง และยามที่มองไปทางฟู่เสี่ยวกวนอีกครา สายตาที่เต็มไปด้วยความริษยาก็ได้จางหายไป และผุดรอยยิ้มเยาะขึ้นมาบนใบหน้า…ท้ายที่สุดแล้วก็ยังคงเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงผู้หนึ่งเท่านั้น จะมากลายร่างเป็นมังกรเพียงพาดผ่านเมฆาได้เยี่ยงไร

ในยามนั้นฝานเทียนหนิงกลับพาคูฉานเข้ามาหาฟู่เสี่ยวกวน

เขาพินิจพิจารณาฟู่เสี่ยวกวนตั้งแต่หัวจรดเท้า จนฟู่เสี่ยวกวนที่ถูกเขาจ้องถึงกับขนลุกขนชัน ชายผู้นี้คงมิได้มีปัญหาอันใดใช่หรือไม่ ?

 มีอะไรกัน บนหน้าข้ามีดอกไม้เยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฝานเทียนหนิงส่ายหน้า  ไม่ บนหน้าของเจ้ามีจิตวิญญาณของเชื้อสายจักรพรรดิ !  

 บัดซบ !  

 ฮ่า ๆ ๆ ๆ…  ฝานเทียนหนิงหัวเราะลั่น และได้เอ่ยถามอย่างสงสัยอีกว่า  เรื่องนั้น เป็นความจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 จริงกับผี ท่านเป็นถึงองค์ชายสิบสาม เหตุใดจึงเชื่อข่าวลือเยี่ยงนั้นกัน ?  

 จากที่ข้ามอง น่ากลัวว่าจะมิใช่เรื่องหลอกลวง 

ฝานเทียนหนิงกล่าวออกมาด้วยท่าทีจริงจังยิ่ง บนใบหน้าของเขาไร้สีหน้าหยอกล้อเยี่ยงเมื่อครู่

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามอย่างตกใจ  ท่านสามารถหาหลักฐานมาได้เยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฝานเทียนหนิงเงียบไปชั่วขณะ  มันมิใช่หลักฐาน แต่เป็นเจ้ากับจักรพรรดิเหวินค่อนข้างคล้ายกันอยู่หลายส่วน 

 ไสหัวไป !  

 ที่ข้ากล่าวมานั้นเป็นความจริง !  

น่าเสียดายที่ยุคสมัยนี้ไร้หนทางพิสูจน์สายเลือดได้ และการหยดเลือดเพื่อพิสูจน์สายเลือดนั้นก็ไม่สามารถเชื่อถือได้ ฟู่เสี่ยวกวนย่อมหาได้ใส่ใจกับคำกล่าวของฝานเทียนหนิงไม่

หลังจากนั้นเสนาบดีฉงซานแห่งกวนหลี่เตี้ยนและผู้อาวุโสเหวินชังไห่ แห่งสำนักศึกษาฮ่านหลินก็ได้เดินออกมา พวกเขาขึ้นไปบนเวทีสูงเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ให้กำลังใจเหล่าบัณฑิต หลังจากนั้นจักรพรรดิเหวินที่แต่งกายอย่างสง่างามก็ได้ปรากฏตัวขึ้น

สายตาน่าเกรงขามของเขากวาดมองเหล่าบัณฑิตที่อยู่ ณ ที่นี้ หลังจากนั้นก็ทิ้งสายตาอยู่ที่ร่างของฟู่เสี่ยวกวนอยู่สองอึดใจ แล้วจึงกล่าวว่า

 ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันราชวงศ์อู๋ได้ก่อตั้งมาห้าร้อยกว่าปีแล้ว ในหนึ่งร้อยปีมานี้ ด้านวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋เฟื่องฟูขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นข้าจึงหวังว่าการจัดงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ จะทำให้ผู้มีพรสวรรค์ชั้นยอดของทั้งสี่แคว้นได้สนทนากันในเรื่องของวรรณกรรม ณ วัดหานหลิงแห่งนี้ 

 ข้าหวังอย่างยิ่งว่าจะเกิดบทความที่เยี่ยมยอดขึ้นภายในงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ และข้าขออวยพรเหล่าบัณฑิตทุกท่านขอให้สามารถคว้าอันดับที่หนึ่งในงานชุมนุมวรรณกรรมนี้มาครองได้ ขอให้ได้รับชื่อเสียงและเงินทอง… 

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ฟังท่อนท้ายต่อ สายตาของเขากวาดมองไปท่ามกลางฝูงชน และมิพบเห็นอู๋หลิงเอ๋อร์ แต่กับสบสายตาเข้ากับจัวตงหลาย

ฟู่เสี่ยวกวนแสยะยิ้มให้กับจัวตงหลาย จัวตงหลายสั่นสะท้านไปทั้งร่าง อยู่ ๆ ก็นึกปวดปัสสาวะ รอยยิ้มของชายผู้นี้คล้ายกับซ่อนมีดเอาไว้อยู่ !

 

ตอนที่ 348 มิพบกันเสียจะดีกว่า

ด้านซ้ายสุดของวังหลังในเขตพระราชวัง มีตำหนักที่ทรุดโทรมยิ่งตั้งอยู่ ตำหนักนั้นมีชื่อเรียกว่าตำหนักเย็น

มันเป็นสถานที่ที่อับชื้น และได้ส่งกลิ่นที่มิน่าพิสมัยออกมา

ที่ตำหนักเก่าโทรมเช่นนี้ กลับมีกลอนประตูหนาใหม่เอี่ยมล็อกเอาไว้ ทหารยามทั้งสองยืนอยู่อย่างเบื่อหน่าย

เมื่อขันทีผู้หนึ่งนำพาฟู่เสี่ยวกวนเดินมายังสถานที่แห่งนี้ พวกเขาทั้งสองคนจึงอดมิได้ที่จะชายตาไปมองแล้วยกมือขึ้นลูบจมูก

ผนังของตำหนักที่ทรุดโทรมนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเครือเถาวัลย์ สีของกระเบื้องเคลือบบนหลังคาดูซีดจางลงตามกาลเวลา และดูเหมือนว่าบางจุดมิมีกระเบื้องมุงเอาไว้

ประตูนั้นก็มีรอยด่างเสียจนมองมิเห็นสีเดิม

 คุณชายขอรับ ที่แห่งนี้เป็นสถานที่คุมขังเซียวเฉียงขอรับ 

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า เขานึกถึงคำร้องของซูซู ขุนนางถูกโยกย้ายเหี่ยวเฉา เศรษฐีเงินทองผลาญสิ้น ราวกับนกถูกโยนเข้าป่า เมื่อขากระทบพื้นดินอันกว้างใหญ่…ช่างสะอาดตา !

 ท่านขันทีช่วยเปิดประตูให้ข้าเถิด 

ขันทีผู้นั้นเดินนำหน้าเขาไปและได้หยิบกุญแจมาจากทหารยาม เมื่อประตูนั้นถูกเปิดออก ก็พบกับแสงสว่างเหลืองนวลของตะเกียงน้ำมันอยู่ด้านใน

ฟู่เสี่ยวกวนก้าวเท้าเข้าไป พบว่าเซียวเฉียงกำลังนั่งหันหลังให้เขาอยู่ที่เก้าอี้เก่า ๆ ตัวหนึ่ง ตะเกียงนั้นตั้งอยู่บนโต๊ะ ราวกับว่านางกำลังอ่านบางสิ่งอยู่

เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดออก นางก็มิได้แม้แต่จะหันหลังไปมอง

เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังนาง นางเพียงเผยอปากยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า  ข้าคิดไว้แล้วว่าคนที่มาดูข้าคนที่สองต้องเป็นเจ้า !  

 เดิมทีข้าประสงค์จะมาเป็นคนแรก แต่ทว่าองค์จักรพรรดิทรงอนุญาตช้าไปเสียหน่อย 

จักรพรรดินีเซียวปิดหนังสือที่อยู่ในมือนางลง จากนั้นก็หันหลังกลับมามองดูฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทีจริงจัง  บัดนี้ได้สงบลงเสียที ข้าจึงได้มีเวลาอ่านความฝันในหอแดงของเจ้า และได้เรียนรู้บางอย่างจากในนั้น 

 ขอบอกท่านตามตรงว่า เมื่อคราที่ข้าเขียน ก็มีความรู้สึกนั้นเช่นกัน 

จักรพรรดิเซียวยกยิ้มขึ้น  เด็กคนนี้ เจ้าช่างเก่งกาจอย่างแท้จริง หากมิใช่เพราะตัวตนของเจ้า ข้าคงจะชื่นชมเจ้ามากเสียทีเดียว 

ฟู่เสี่ยวกวนลากเก้าอี้ที่วางอยู่ตรงมุมของตำหนักเข้ามา จากนั้นก็นั่งลงตรงข้ามกับจักรพรรดินีเซียว

 หนังสือความฝันในหอแดงของข้านั้น ข้าจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเนื้อหาในบทที่ห้า มีคำกล่าวที่ว่า แผนการฉลาดล้ำเกินคิด แต่กลับถึงชีวิต ท่านเป็นพระมารดาของหลิงเอ๋อร์ อีกทั้งยังเป็นถึงจักรพรรดินี เหตุใดต้องทำเยี่ยงนี้ด้วยเล่า? 

จักรพรรดินีเซียวเลิกคิ้วขึ้น  แต่ข้าเองก็จำได้ว่า มีข้อความเช่นนี้ในหนังสือความฝันในหอแดงของเจ้า ผู้ที่โดดเด่นเกินคน มักทำให้ผู้อื่นอิจฉา ใครให้เจ้าเป็นบุตรนอกสมรสของฝ่าบาทกัน อีกทั้งยังมีความสามารถถึงเพียงนี้ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนนำมือขึ้นลูบจมูก  แต่ท้ายที่สุด ความปรารถนาต่าง ๆ กลับถูกปกคลุมไปด้วยฝุ่นและความสกปรก 

จักรพรรดินีเซียวลุกขึ้นยืน จากนั้นมองไปยังด้านนอกหน้าต่าง เครือเถาวัลย์ที่ผนังด้านนอกประตูมีดอกไม้เล็ก ๆ กำลังเบ่งบาน

เถาวัลย์ไร้ชื่อ ดอกไม้ก็เช่นกัน

 ในค่ำคืนนั้น ข้าได้เดินทางไปยังตำหนักของหลิงเอ๋อร์ ได้พบกับกวีที่เจ้าเขียนขึ้น ณ เรือนชิงเสียน ข้าขอเอ่ยถามเจ้าสักหน่อยว่า เจ้านั้นไร้ซึ่งปรารถนาจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?  

 หากข้าบอกว่า ข้านั้นต้องการเป็นเพียงพ่อค้าที่ดินแห่งหลินเจียงเท่านั้น ท่านจะเชื่อหรือไม่ ?  

คิ้วของจักรพรรดินีเซียวเลิกขึ้นแล้วหัวเราะออกมา  เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 เช่นนั้น นี่มิใช่เรื่องสำคัญใด ที่สำคัญคือ ข้าต้องการถามท่านว่า ข้าเป็นใครกันแน่ ?  

จักรพรรดินีเซียวจ้องมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทางประหลาดใจ คล้ายกับว่าคำถามนี้ช่างน่าสนใจนัก จากนั้นนางก็หัวเราะขึ้นมาเสียงดัง

 เจ้าเป็นใครกันแน่เยี่ยงนั้นหรือ ? ข้าอยากจะให้เจ้าเป็นเพียงฟู่เสี่ยวกวนเป็นพ่อค้าที่ดินแห่งหลินเจียงจริง ๆ แต่ทว่า…  รอยยิ้มของนางหุบลงทันพลัน น้ำเสียงของนางแปรเปลี่ยนไปเป็นเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง  แต่ทว่าเจ้ากลับเป็นบุตรนอกสมรสของฝ่าบาท !  

ฟู่เสี่ยวกวนมองดูใบหน้าอันคับแค้นของจักรพรรดินีเซียว  ท่านเองก็คาดเดาเช่นกัน !  

 แต่ข้าได้ฟังคำนี้มาจากพระโอษฐ์ของฝ่าบาทด้วยตนเอง !  

 หากข้าบอกว่า เหตุการณ์บัดนี้เป็นเพียงเรื่องที่ฝ่าบาทจัดฉากขึ้น ท่านจะเชื่อหรือไม่ ?  

จักรพรรดินีเซียวตกตะลึงยิ่ง ผ่านไปเนิ่นนานกว่าจะตรัสออกมาว่า  เป็นไปมิได้ !  

 ใต้หล้านี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมิแน่นอน !   สีหน้าของฟู่เสี่ยวกวนเคร่งขรึมลงทันใด ดวงตาคู่นั้นจดจ้องไปยังจักรพรรดินีเซียว แล้วกล่าวว่า  ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าเหตุใดฝ่าบาทถึงทรงจัดงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้ขึ้น ?  

 หากจะว่าถึงงานชุมนุมวรรณกรรม ใต้หล้านี้จะมีที่ใดเหมาะสมเท่ากับเมืองจินหลิง ! การที่ฝ่าบาททรงจัดงานวรรณกรรมในครานี้ก็เพื่อต้องการให้ข้าเดินทางมาที่นี่ เพียงแค่ข้ามาที่นี่ พวกท่านทั้งหลายก็คงจะพากันคาดเดาไปถึงตัวตนที่แท้จริงของข้า และเพื่อเป็นการทำให้หลักฐานหนักแน่น ฝ่าบาททรงตั้งใจประกาศราชโองการนั้นไปด้วย มองผิวเผินอาจจะเป็นการคัดเลือกราชบุตรเขย แต่ทุกคนล้วนรู้ดีว่าข้านั้นโดดเด่นด้านวรรณกรรมยากหาผู้ใดมาเทียบเคียง ดังนั้นทุกคนจึงเข้าใจว่าจักรพรรดิเหวินทรงประสงค์ให้อู๋หลิงเอ๋อร์สมรสกับข้า แต่เมื่อข้าเดินทางมาถึงเมืองกวนหยุนแล้ว ฝ่าบาทกลับทรงยกเลิกราชโองการนั้นไป และได้มีข่าวลือออกมาว่าบันทึกชีวิตในสามปีนั้นอยู่ในมือของไทเฮา ให้พวกท่านหลงเข้าใจว่าข้าคือพี่ชายต่างมารดาของอู๋หลิงเอ๋อร์ !  

 เรื่องนี้มีช่องว่างเสียมากมาย เช่น เดิมทีมิมีความจำเป็นต้องปล่อยข่าวลือเรื่องบันทึกชีวิตในสามปีนั้นออกมา เพียงแค่ไทเฮาทรงตรงตรัสออกมา ก็สามารถประกาศตัวตนของข้าได้แล้ว แต่ทว่าไทเฮากลับมิได้เอ่ยเช่นนั้น เพราะเหตุใดกันเล่า ? เนื่องจากมิอาจเอ่ยออกมาได้ ! หากเอ่ยเช่นนั้นข้าก็จะกลายเป็นโอรสของฝ่าบาทอย่างแท้จริง ! ดังนั้นฝ่าบาทจึงทรงทำให้ทุกคนพากันคาดเดาไปต่าง ๆ นานา จนกระทั่งบัดนี้ ฝ่าบาทเองก็มิได้ทรงกล่าวออกมาว่าข้านั้นคือบุตรของเขาอย่างแท้จริง !  

 บัดนี้ท่านเข้าใจแผนการที่วางไว้แล้วหรือยัง ? หากยังมิเข้าใจ เช่นนั้นการที่ท่านถูกขังไว้ในนี้ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว 

สีหน้าของจักรพรรดินีเซียวเปลี่ยนไปในทันที นางนึกถึงคำที่องค์รัชทายาทกล่าวว่า เสด็จพ่อมิได้ทรงตรัสว่าฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรชายของเขานี่ !

จักรพรรดิเหวินมิได้กล่าวออกมาโดยแท้จริง !

ดังนั้น การที่ฝ่าบาททรงจัดฉากขึ้นมาทุกอย่างนี้ ก็เพื่อจัดการตนเยี่ยงนั้นหรือ !

สีหน้าของจักรพรรดินีเซียวซีดเผือดลงทันใด จิตใจของนางตกลงไปที่ตาตุ่ม

ความสัมพันธ์ตลอดสิบปีที่ผ่านมา…ถึงแม้ว่าจะร่วมหมอนนอนเตียงเดียวกันแต่ทว่ามิได้มีความฝันเฉกเช่นเดียวกัน !

คำที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวมาเมื่อครู่นั้นทำให้นางนึกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ เมื่อนางนึกขึ้นมาได้เช่นนั้น จิตใจของนางก็ห่อเหี่ยวลงทันใด ช่างหนาวเหน็บเสียยิ่งกว่าวันที่ฝ่าบาทรับสั่งให้คุมขังนางในตำหนักเย็นนี้เสียอีก

หลุมพรางนี้ นางแพ้ตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว

ฝ่าบาทเพียงต้องการเหตุผลที่หนักแน่นพอที่จะกำจัดจักรพรรดินีเท่านั้น !

นางเดินมายังหน้าโต๊ะแล้วนั่งลงเบื้องหน้าฟู่เสี่ยวกวน ใบหน้าอันงดงามของนางนั้น ไร้ซึ่งความสว่างสดใส ดวงตาสองข้างของนางนั้นดูมืดมนยิ่ง

 ข้าเพิ่งจะได้เข้าใจว่าในโลกนี้มิมีสิ่งใดสมบูรณ์แบบ แต่กลับต้องมานั่งถอนหายใจเช่นนี้ แม้จะเป็นคู่ชีวิต แต่ก็มิอาจมีสิ่งใดแน่นอน  นางยิ้มออกมาอย่างน่าเวทนา  ท้ายที่สุดแล้ว ข้าก็เพียงทำทุกสิ่งทุกอย่างให้ผู้อื่นได้รับผลประโยชน์ก็เท่านั้น…น่าเสียดายที่บัดนี้ข้าเพิ่งจะเข้าใจในเนื้อหาที่เจ้าเขียน 

 ชีวิตข้านี้มิเคยร้องขอให้ผู้ใดช่วย ข้าเพียงอยากจะขอร้องเจ้า หากเจ้ามิใช่บุตรชายของเขาอย่างแท้จริง เจ้าสมรสกับอู๋หลิงเอ๋อร์ได้หรือไม่ ?  

 …ทำเยี่ยงไรจึงจะพิสูจน์ได้ว่าข้ามิใช่โอรสของฝ่าบาท ?  

 จงไปหาบันทึกชีวิตในสามปีนั้นมา 

 อยู่ที่ใด ?  

 ในมือไทเฮา !  

 …อยู่ในมือไทเฮาจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 แน่นอน นอกจากนั้น เจ้ามิอยากรู้หรือว่าผู้ใดมาหาข้าเป็นคนแรก 

 …… 

 แน่นอนว่าเป็นธิดาข้า นางกล่าวว่าจะช่วยข้าออกไป ข้าฝากเจ้าไปบอกกับนางว่า ข้ามิประสงค์จะออกไป ที่นี่…สะอาดกว่าด้านนอกเสียด้วยซ้ำ !  

 

เดือนสามวันที่ยี่สิบสี่ พรุ่งนี้คือเดือนสามวันที่ยี่สิบห้า

ราวกับเป็นประโยคที่ไร้สาระยิ่ง แต่สำหรับเหล่าบัณฑิตที่เดินทางมาที่นี่เพื่อร่วมงามชุมนุมวรรณกรรม นี่กลับมิใช่ประโยคที่ไร้สาระ

เพราะงานชุมนุมวรรณกรรมจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้แล้ว เยี่ยงนั้นวันนี้ ก็คือวันสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เตรียมตัว

ในเช้าวันนี้ ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางกลับคฤหาสน์จิ้งหูโดยมีโจวถงถงร่วมเดินทางกลับไปด้วย

อาการบาดเจ็บของเขามิได้สาหัสแล้ว อาการช้ำและบาดเจ็บจากภายในได้รับการรักษาอย่างพิถีพิถันจากหมอหลวงจนหายดีแล้ว มีเพียงช่วงอกและหน้าท้องเท่านั้นที่ยังคงมีรอยสีแดง ๆ หลงเหลืออยู่

แขนขวาของเขาถูกมัดด้วยผ้ายา คล้องคอและห้อยไว้ตรงหน้าอก มีดบินเล่มนั้นแทงเข้าที่แขนของเขา และในวันนี้ถึงแม้จะถูกจัดการไว้อย่างดีแล้ว แต่บาดแผลก็ยังมิได้สมานกันดี

 คุณชายฟู่ ท่านยังมีคำร้องใดที่ต้องการให้ข้าน้อยนำไปทูลถวายต่อฝ่าบาทอีกหรือไม่ ?  

ในรถม้าโจวถงถงได้จดจ้องฟู่เสี่ยวกวนมาตลอด สีหน้าของฟู่เสี่ยวกวนสงบนิ่ง มิได้มีอารมณ์ขุ่นเคืองแม้แต่น้อย แท้จริงแล้วหลังจากที่เขาผู้นี้ถูกองค์หญิงไท่ผิงส่งตัวมายังพระราชวัง เขาก็ได้ตื่นขึ้นมาในเช้าวันที่สอง สีหน้าของเขาเรียบนิ่งมาโดยตลอด

เขามิได้มีโทสะที่ถูกลอบสังหาร เขามิได้ดูมีความสุขที่จักรพรรดินีเซียวถูกนำตัวไปยังตำหนักเย็น จนหลังจากที่โจวถงถงกล่าวถึงเรื่องตัวตนของเขา เขาก็เพียงแค่ยิ้มตอบเท่านั้น

ในรอยยิ้มนั้นสิ่งที่โจวถงถงเห็นกลับมิใช่ความสุข แต่เป็นเรื่องไร้สาระ… มิผิดเป็นแน่ ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่านี่คือเรื่องไร้สาระอย่างแท้จริง

แม้ว่าฝ่าบาทที่นั่งอยู่ข้างเตียงจะห่มผ้าให้เขาด้วยพระองค์เอง ทั้งยังลงมือตักยาต้มให้เขาด้วยพระองค์เอง เขากลับกล่าวเพียงว่าขอบคุณ ข้าที่บาดเจ็บไร้หนทางจะคำนับให้ฝ่าบาทได้ ขอประทานอภัย

นี่คือท่าทีที่ขุนนางต่างแดนมีต่อฝ่าบาท หาใช่ท่าทีที่บุตรชายผู้หนึ่งมีต่อบิดาไม่

แต่ราวกับฝ่าบาทมิได้สนใจแต่อย่างใด

โจวถงถง หนานกงอี้หยู่และขุนนางท่านอื่นคิดว่าระยะเวลาที่ห่างไกล 17 ปี ย่อมมิสามารถดึงความสัมพันธ์เข้ามาได้ในชั่วข้ามคืน

ดังนั้นฝ่าบาทจึงลงมือทำหน้าที่ของคนเป็นพ่อด้วยตนเอง เพื่อสร้างความสัมพันธ์ของพ่อลูกขึ้นมาอย่างค่อยเป็นค่อยไป

แต่ในเช้าตรู่วันนี้ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ปฏิเสธคำชักชวนของฝ่าบาท เขากล่าวว่าเขาจะกลับจวน ฝ่าบาทคิดว่าพระราชวังนี้คือจวนของเขา แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับกล่าวว่าคฤหาสน์จิ้งหูต่างหากเล่าที่เป็นจวนของเขา

ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนกล่าวแล้วว่าต้องการให้คฤหาสน์จิ้งหูกลายเป็นจวนของเขา ฝ่าบาทจึงลงมือกระทำเรื่องที่มิปกติในทันที ในสายตาของหนานกงอี้หยู่ ย่อมเป็นเรื่องที่เชื่อถือมิได้อย่างยิ่ง เพียงฝ่าบาทตวัดมือ ก็ได้ส่งนางกำนัลในวังหลวง 100 คนนอกจากนั้นยังมีขันทีอีก 10 คนไปให้ที่คฤหาสน์จิ้งหู สุดท้ายเหมือนว่าพระองค์จะรู้สึกว่ายังมิเพียงพอ จึงได้โยกย้ายราชองครักษ์ในพระราชวังจำนวน 300 นายไปประจำการที่คฤหาสน์จิ้งหูอีกด้วย

นี่เป็นการป่าวประกาศให้ใต้หล้าทราบกันอย่างชัดเจนแล้ว ว่าฟู่เสี่ยวกวนคือโอรสของจักรพรรดิเหวินอย่างแท้จริง !

องค์ประกอบนี้เมื่อเทียบกับองค์ชายแล้วก็มิได้น้อยหน้าไปกว่ากันเท่าใดนัก นอกจากสถานที่ที่มิเหมือนกันแล้ว ราวกับ… มิได้แตกต่างอันใดเลยด้วยซ้ำ

สัญญาณนี้ได้ถูกปล่อยออกมาเร็วไปหน่อยหรือไม่ ?

หนานกงอี้หยู่ค่อนข้างกังวลใจ แต่โจวถงถงกลับมิสนใจ

เพียงแค่เขาคนนี้ จะกลับมายังจวนที่เป็นพระราชวังเมื่อใดกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนลงจากรถม้า และคำนับให้โจวถงถง  ท่านขุนนางโจว ข้าได้ครุ่นคิดมาตลอดการเดินทาง หากท่านขุนนางสะดวก รบกวนฝากนำข้อความไปทูลถวายฝ่าบาทสักเล็กน้อย ข้าต้องการไปเยี่ยมเยียนจักรพรรดินีเซียว มิทราบว่าฝ่าบาทจะทรงอนุญาตหรือไม่ ?  

โจวถงถงผงะ คำขอนี้ค่อนข้างน่าอัศจรรย์ใจยิ่ง คำขอร้องเช่นนี้มิค่อยดีที่จะนำไปทูลต่อฝ่าบาทเท่าสักใดเลย

เมื่อเห็นสีหน้าที่ยุ่งเหยิงของโจวถงถง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้หยิบตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงออกมาจากในแขนเสื้อหนึ่งใบ  ท่านขุนนางโจว ของที่ระลึกเล็ก ๆ น้อย ๆ ข้าต้องการไปพบจักรพรรดินีเซียวโดยแท้จริง 

โจวถงถงแย้มยิ้มขึ้นมา เขารับตั๋วเงินใบนั้นมาจริง ๆ เพราะมีตั๋วเงินใบนี้ เขาถึงจะกล้าเอ่ยปากยามอยู่เบื้องหน้าของฝ่าบาท

ส่วนฝ่าบาทจะเห็นด้วยหรือไม่ นั่นก็มิเกี่ยวกับเขาแล้ว

 พรุ่งนี้เช้า สำนักศึกษาฮ่านหลินจะส่งคนมาพาพวกท่านไปยังวัดหานหลิง คาดว่าท่านต้องพักที่วัดหานหลิงเป็นเวลา 3 วัน ข้าได้ไปตรวจดูสถานที่นั้นมาแล้ว มิได้สะดวกสบายต่อการพักผ่อน ดังนั้นประเดี๋ยวข้าจะไปอีกสักครา เพื่อจัดการสถานที่เหล่านั้นไว้ให้ดีสำหรับท่าน ท่านมิต้องนำสิ่งของใดไปให้มากมาย ของใช้ทุกอย่างข้าจะจัดการให้ท่านเอง 

ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มขึ้นมาทันพลัน  เยี่ยงนั้นคงต้องลำบากท่านขุนนางโจวแล้ว 

 ภายภาคหน้ายังมีเวลาที่ต้องทำงานให้ท่านอีกมาก ข้านั้นค่อนข้างขี้เกียจ เมื่อถึงเวลานั้นหวังว่าคุณชายฟู่คงจะอดทนต่อข้าได้ 

โจวถงถงหันหลังจากไป ฟู่เสี่ยวกวนจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และเดินเข้าไปในเรือน และได้ตกใจขึ้นมาทันใด…

คาดมิถึงว่าจะมีผู้คนมากมายอยู่ภายในเรือนนี้ !

เมื่อมองดูจากเครื่องแต่งกาย ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นคนของวังหลวง เขามิทราบว่าฝ่าบาทเป็นผู้จัดการเรื่องนี้ เขายังคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นการจัดการของต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน

หลังจากนั้นเขาจึงได้เห็นขันทีผู้หนึ่งที่เคยพบพานมาก่อน เขาผู้นั้นคือ…ขันทีหลิน

ขันทีหลินวิ่งก้าวสั้น ๆ มาจนถึงข้างกายฟู่เสี่ยวกวน คุกเข่าลงเสียงดังตึง และกล่าวอย่างหวาดกลัว  กระหม่อมนั้นมีตาหามีแววไม่ องค์ชายใหญ่ได้โปรดประทานอภัยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมขอสารภาพกับองค์ชายใหญ่ว่า ตั๋วเงินหนึ่งหมื่นตำลึงที่ได้รับมาจากองค์ชายใหญ่ในวันนั้น กระหม่อมได้มอบให้แก่ขันทีเกาแล้ว กระหม่อมสมควรตาย องค์ชายโปรดลงโทษกระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ !  

ให้ตายเถอะ เขาจะมาไม้ไหนกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนถูกบังคับจนมึนงงแล้ว จากนั้นจึงเห็นต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน รวมไปถึงลูกศิษย์ทั้งเจ็ดของสำนักเต๋าที่เดินตรงมาทางเขา

 จักรพรรดิเหวินเป็นผู้จัดการ…  ต่งชูหลานมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความขมขื่น พร้อมกับเบะปากน้อย ๆ ชายผู้นี้คือคุณชายเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียงอย่างเห็นได้ชัด เหตุใดจึงกลายมาเป็นองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ไปได้กัน ?

เพราะเรื่องนี้ นางและหยูเวิ่นหวินจึงได้สนทนากันไว้เสียมากมาย หากตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจริง ๆ หากเขาเป็นองค์ชายของราชวงศ์อู๋โดยแท้จริง เยี่ยงนั้นทะเบียนสมรสของราชวงศ์หยูก็ไร้ประโยชน์แล้ว

หยูเวิ่นหวินกลับเยือกเย็นขึ้นมา ทั้งยังหยอกล้อกับต่งชูหลาน  แต่เดิมที่เขาเป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดินเจ้าก็มิได้รังเกียจเขา ดังนั้นต่อให้เขากลายเป็นองค์ชายของราชวงศ์อู๋ไปแล้วจริง ๆ แล้วเขาจะมิแยแสเจ้ากับข้าได้เยี่ยงไร เรื่องของความรู้สึก มิใช่การผูกมัดด้วยทะเบียนสมรสหนึ่งใบ 

ต่งชูหลานตระหนักขึ้นมาได้ในพลัน เข้าใจแล้วว่าที่ตนเองกังวลนั้นเป็นเพราะความรัก

ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังเป็นฟู่เสี่ยวกวน มิว่าเขาจะแซ่ฟู่หรือแซ่อู๋ เขาก็มิได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด

 จักรพรรดิเหวินส่งคนมาที่นี่มากมายเพื่ออันใดกัน ?  

 ตรัสว่า… เพื่อรับใช้เจ้า 

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะด้วยน้ำเสียงขมขื่น เขากล่าวกับขันทีหลินที่คุกเข่าอยู่บนพื้นว่า  เสี่ยวหลิน ลุกขึ้นมาเถอะ พานางกำนัลเหล่านี้ ไปทำความสะอาดคฤหาสน์นี้ให้เรียบร้อยเถอะ 

 เสี่ยวหลินรับคำสั่ง !  

 ประเดี๋ยวก่อน ชายและหญิงเหล่านี้จัดหาที่พักให้แยกจากกัน ในส่วนของข้าต้องการคนครัวและคนทำความสะอาด ส่วนคนที่เหลือมิอนุญาตให้ก้าวเข้ามาที่นี่แม้แต่ครึ่งก้าว 

 เสี่ยวหลินเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ !  

ในที่สุดสถานที่แห่งนี้ก็เงียบสงบ ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงหน้าโต๊ะหินอ่อนตัวใหม่ แต่ซูเจวี๋ยและคนอื่นกลับมิเข้ามานั่งร่วมกับเขา

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามอย่างตกใจ  เป็นอันใดกัน ?  

 พวกข้ากระโดดลงไปในแผนล่อเสือออกจากถ้ำ จนทำให้ศิษย์น้องเล็กได้รับบาดเจ็บ เป็นเพราะการคิดที่มิรอบคอบของข้าที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ ข้าต้องขอโทษเจ้าด้วย 

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า  พวกเจ้าทิ้งเรื่องนี้ไปเสียเถอะ นั่งลง ๆ ในเมื่อเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน ก็อย่าได้เสแสร้งไปเลย 

ซูซูหัวเราะเล็กน้อยและนั่งลงด้วยท่าทีผ่อนคลาย หลังจากนั้นก็เป็นเกาหยวนหยวน หลังจากนั้นก็คือซูโหรว และต่อจากนั้นทุกคนจึงนั่งลงกันทั้งหมด

 ท่านอาจารย์ได้ตอบกลับมาแล้ว ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าคือศิษย์น้องเล็กของพวกเรา นอกจากนี้…  ซูเจวี๋ยขยับหมวกเล็กน้อย  นอกจากนี้ท่านอาจารย์ยังได้กล่าวว่าในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์คนสุดท้ายของเขา จึงอยากจะขอมอบของขวัญให้แก่เจ้า 

 ไหนเล่าของขวัญ ?  

 อีกาส่งได้เพียงจดหมาย มิสามารถขนของได้ !  

 …… 

 

ตอนที่ 346 คำนินทา

นับจากคืนที่เมฆหมอกปกคลุมเมืองหลวง บัดนี้ได้ผ่านไปถึงสามวันแล้ว

สีหน้าของต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินดูซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด ศิษย์แห่งสำนักเต๋าทั้งเจ็ดก็มีสีหน้ารู้สึกผิดเช่นกัน พวกเขาไปชางฮ่ายเจี้ยนหลูเพื่อตามไปฆ่าเป่ยหวังฉวน ทว่าพวกเขามิเห็นแม้แต่เงาของเป่ยหวังฉวน

เมื่อพวกเขากลับมาที่แห่งนี้อีกครา ก็พบว่าบนพื้นมิได้มีศพกองเกลื่อนกลาดแล้ว เหลือเพียงรอยเลือดสีดำเท่านั้นที่ยังติดอยู่บนพื้น หนิงซือเหยียนกล่าวว่าเขานำซากศพเหล่านั้นไปฝังไว้ในป่าซิ่งหลินหลังเขา

พวกเขาจึงได้รับรู้ว่าที่แห่งนี้ได้เกิดการต่อสู้อันดุเดือดขึ้น มิเพียงแต่โหยวเป่ยโต้ว แม้แต่เป่ยหวังฉวนก็ยังเดินทางมาที่นี่ด้วย อีกทั้งฟู่เสี่ยวกวนยังอยู่ในอาการสาหัส บัดนี้องค์หญิงไท่ผิงได้รับตัวไปรักษาแล้ว

เรื่องนี้ได้ลือกันไปทั่วเมืองกวนหยุน ถูกดัดแปลงไปต่าง ๆ นานา เช่นว่า อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจัวอี้สิง ได้จัดการกับฟู่เสี่ยวกวนเพื่อให้หลานชายของเขาจัวตงหลาย ขึ้นครองอันดับหนึ่งในงานชุมนุมวรรณกรรม

อีกเช่นขันทีเกาเจ้าหมาแก่ตัวนั้นต้องการล้างแค้นให้บุตรชายของเขา จึงได้ส่งผู้มีฝีมือบุกเข้าไปโจมตีฟู่เสี่ยวกวนในทะเลสาบจิ้งหู

และอีกเช่นองค์หญิงรักฟู่เสี่ยวกวนอย่างสุดหัวใจ แต่ว่าจักรพรรดินีเซียวมิเห็นด้วย จึงได้ทำลายความสัมพันธ์นี้ลง พระนางมิมีวิธีอื่นนอกจากบั่นคอฟู่เสี่ยวกวนทิ้งเสีย

ประเดี๋ยวนะ !

ยังมีเรื่องลือกันอีกอย่างหนึ่งว่า

ฟู่เสี่ยวกวนเป็นบุตรนอกสมรสขององค์จักรพรรดิ เมื่อคราที่พระองค์เสด็จไปศึกษายังราชวงศ์หยู !

มีประเด็นออกมาโต้แย้งกันสองประเด็น อย่างแรกคือ ว่ากันว่าจักรพรรดิเหวินมีนิสัยเกเรตอนวัยหนุ่ม ได้ยินมาว่าสวี่หยุนชิงเป็นสาวงามอันดับหนึ่งในเมืองหลินเจียง จักรพรรดิเหวินจะปล่อยนางไปได้เยี่ยงไร

อย่างที่สองคือ เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรนอกสมรสขององค์จักรพรรดิ อีกทั้งยังเดินทางมาที่เมืองกวนหยุนแห่งนี้ และคาดว่าเขาอาจจะคว้าตำแหน่งชนะเลิศในงานชุมนุมวรรณกรรมได้ เปรียบเทียบกันแล้วช่างแตกต่างจากองค์รัชทายาทโดยสิ้นเชิง จึงทำให้ฝ่าบาททรงเปลี่ยนพระทัย ประสงค์ให้ฟู่เสี่ยวกวนเข้าสู่ราชวงศ์ จึงเป็นเหตุทำให้ตำแหน่งองค์รัชทายาทสั่นคลอน ดังนั้นจักรพรรดินีเซียวจึงได้ลงมือจัดการเขา

 หากเป็นเช่นนี้ องค์จักรพรรดิช่างเก่งกาจอย่างแท้จริง บุตรชายในราชวงศ์หยูของเขา บัดนี้เป็นถึงนักปราชญ์อันดับหนึ่งในใต้หล้า !  

 หาใช่ไม่ เจ้าเคยอ่านความฝันในหอแดงหรือไม่ ? ข้าจะบอกเจ้าว่า เยาวชนราชวงศ์หยูกล่าวนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นผู้เขียน แต่ฝ่าบาททรงมิพอพระทัยยิ่ง ทรงเห็นว่าควรแก้ไขเป็นเยาวชนราชวงศ์อู๋กล่าวเสีย 

 ในเมื่อเขาเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ เช่นนั้นบทความในเนื้อหาก็ควรเป็นของราชวงศ์อู๋ 

 หมายความว่า…หากฟู่เสี่ยวกวนได้รับรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันวรรณกรรมในครานี้ ก็จะเป็นเกียรติยศของราชวงศ์อู๋เยี่ยงนั้นหรือ ?  

 เจ้าบ้าหรือโง่กัน ? ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนคือโอรสขององค์จักรพรรดิ เขาก็ต้องเป็นคนของราชวงศ์อู๋สิ แน่นอนว่าต้องนำมาซึ่งเกียรติยศแห่งราชวงศ์อู๋ !  

 พวกเจ้าคิดมากเกินไปหรือไม่ ? ฝ่าบาทยังมิได้ประกาศว่าเขาเป็นบุตรเลยด้วยซ้ำ !  

 เจ้าคือคนโง่เง่าอย่างแท้จริง…  ชายผู้นั้นลดเสียงลงจากนั้นก็เอามือทุบโต๊ะ  ข้าได้ยินมาว่าวันบวงสรวงสู่สวรรค์ จักรพรรดิเหวินจะทรงพาฟู่เสี่ยวกวนไปด้วย !  

ผู้คนต่างพากันยื่นหน้าเข้ามา แล้วสูดหายใจเข้า  ไอหยา ! จริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ชายผู้นั้นทำท่าทางหยิ่งผยอง  วันบวงสรวงสู่สวรรค์ตรงกับวันที่เก้าเดือนสี่ เหลือเวลาอีกเพียงครึ่งเดือนเท่านั้น ถึงเวลาแล้วพวกเจ้าจะรู้เอง 

……

เมื่อฝานเทียนหนิงได้ยินเรื่องนี้เข้า เขาก็มีท่าทางที่ตกใจมิแพ้ชาวบ้านเหล่านี้เลย เนิ่นนานเสียทีเดียวกว่าเขาจะตั้งสติได้

นี่มันอะไรกัน !

บุตรพ่อค้าที่ดินแห่งหลินเจียงฟู่เสี่ยวกวน เมื่อเดินทางมายังเมืองกวนหยุนเพียงพริบตากลับกลายเป็นบุตรนอกสมรสของจักรพรรดิเหวิน…ให้ตายสิ เหตุใดเขาจึงมิเป็นบุตรนอกสมรสของเสด็จพ่อกัน ?

หากว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นพระเชษฐาของเขาจะดีสักเท่าใดกัน ?

เรื่องนี้ทำให้ฝานเทียนหนิงใช้เวลาคิดตลอดช่วงเช้า จนกระทั่งสุดท้ายเขาจึงมั่นใจว่าฟู่เสี่ยวกวนคือโอรสของจักรพรรดิเหวินอย่างแท้จริง !

เช่นนั้นการที่จักรพรรดิเหวินทรงยกเลิกคำสั่งนั้น คงเป็นเพราะว่าอู๋หลิงเอ๋อร์คือพระขนิษฐาของเขา หากว่าฟู่เสี่ยวกวนได้ตำแหน่งชนะเลิศไป เรื่องนี้คงมิดีเป็นแน่

ประการที่สอง ในฐานะจักรพรรดินี หากมิได้ทำเรื่องนักหนาจนเกินไป คงจะมิถูกสั่งให้กักตัวอยู่ในตำหนักเย็นเป็นแน่ แต่ทว่าจักรพรรดินีเซียวกลับยอมละทิ้งตำแหน่งจักรพรรดินีแล้วยอมถูกส่งไปยังตำหนักเย็น

ฟู่เสี่ยวกวนนั้นเติบโตมาในราชวงศ์หยูเมืองหลินเจียง ในฐานะบุตรชายของเขา จักรพรรดิเหวินรู้สึกว่าติดค้างฟู่เสี่ยวกวนมากมายเสียเหลือเกิน อีกทั้งชื่อเสียงอันเลื่องลือของฟู่เสี่ยวกวนทำให้ฝ่าบาททรงชื่นชมยิ่งนัก

แต่ทว่าจักรพรรดินีเซียวกลับใช้กลวิธีมากมายในการจัดการกับฟู่เสี่ยวกวนให้ถึงชีวิต สิ่งนี้ทำให้องค์จักรพรรดิหมดความอดทน จักรพรรดิเหวินได้บอกถึงตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว แต่ทว่าจักรพรรดินีก็ยังเลือกที่จะทำเช่นนั้น นางก็สมควรถูกขังในตำหนักเย็นแล้ว

 เสียแรงที่อุตส่าห์ทำมามากมาย !  

ฝานเทียนหนิงส่ายหัว เพื่อที่ปกป้องฟู่เสี่ยวกวน ผู้มีฝีมือระดับปรมาจารย์ของราชวงศ์อู๋ถึง 2 คนได้มารวมตัวกัน แต่น่าเสียดายที่เป่ยหวังฉวนมาช้าเกินไป ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้รับบาดเจ็บสาหัส

ข่าวนี้เยียนหานยวี่และท่าป๋ายวนรับรู้มาก่อนฝานเทียนหนิงเสียอีก

ทั้งสองก็มิอาจเชื่อหูของตนเองได้ แต่ทว่าคลั่งดาบฉือมู่แห่งแคว้นฮวงมิใช่คนที่จะเอ่ยคำโกหกเช่นนี้

อีกทั้ง กงซุนแห่งแคว้นอี๋ก็ได้หายตัวไปตั้งแต่ค่ำคืนนั้น

ปรมาจารย์ถึง 2 คน คาดว่ากงซุนคงตกตายในน้ำมือของพวกเขาเป็นแน่ ฟู่เสี่ยวกวนเอาชีวิตรอดมาจากมีดบินของแม่นางกงซุนได้…เยียนหานยวี่มิอาจทำใจเชื่อได้

 เยี่ยงนั้นหมายความว่า เป่ยหวังฉวนที่ลอบฆ่าฟู่เสี่ยวกวน ณ เมืองเปียนเฉิงได้เข้าช่วยเหลือฟู่เสี่ยวกวนในครานี้เยี่ยงนั้นหรือ ?  

เยียนหานยวี่ทำหน้าเคร่งขรึม  กาลเวลาได้เปลี่ยนไปแล้ว ในตอนนั้นเป่ยหวังฉวนยังมิรู้ถึงตัวตนของฟู่เสี่ยวกวน ดังนั้นการโจมตีเขาจึงมิต้องคิดอันใดมาก แต่บัดนี้ตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนได้ปรากฏขึ้นชัดเจนแล้ว การที่เป่ยหวังฉวนช่วยเหลือเขาก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลแล้ว 

 หรือเขาจะเป็นบุตรนอกสมรสของจักรพรรดิเหวินอย่างแท้จริง ?   ท่าป๋ายวนรู้สึกว่านี่มันช่างไร้สาระสิ้นดี

ฟู่เสี่ยวกวน พ่อค้าที่ดินแห่งเมืองหลินเจียงจากราชวงศ์หยูอันอยู่ห่างไกลออกไปจากราชวงศ์อู๋ กลับกลายเป็นบุตรนอกสมรสของจักรพรรดิเหวิน !

เช่นนั้นเขาเป็นโอรสของจักรพรรดิเยี่ยงนั้นหรือ ?

บัดนี้จักรพรรดินีทรงอยู่ในช่วงย่ำแย่ องค์รัชทายาททรงโดดเดี่ยว หากว่าฟู่เสี่ยวกวนใช้วิธีจัดการสักเล็กน้อย เขาอาจจะกลายเป็นองค์รัชทายาทก็ได้ !

จากพ่อค้าที่ดินกลายมาเป็นองค์รัชทายาท ท่าป๋ายวนอยากจะหัวเราะเยาะตนเองยิ่งนัก  มิน่าเล่าจักรพรรดิเหวินถึงได้ยกเลิกราชโองการนั่น การแข่งขันวรรณกรรมในครานี้ขาดสีสันอย่างแท้จริง 

เดิมทีคาดว่าจะใช้จังหวะในงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ เหยียบฟู่เสี่ยวกวนเพื่อให้จัวตงหลายก้าวขึ้นแทนที่เสียหน่อย แต่บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนกลายเป็นองค์ชายแล้ว จัวตงหลายจะเหยียบหัวองค์ชายขึ้นไปได้เยี่ยงไร !

 น่าเสียดายอย่างแท้จริง ท้ายที่สุดก็มิสามารถทำให้เขาตายได้ ต่อจากนี้ก็คาดว่าคงจะมิมีโอกาสแล้ว  ท่าป๋ายวนเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงหดหู่  เขากลายเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ ต่อจากนี้พวกเราทั้งสองแคว้นคงจะวุ่นวายเป็นแน่ 

เยียนหานยวี่ตกตะลึง เขาเข้าใจในความหมายของท่าป๋ายวนเป็นอย่างดี

แคว้นอี๋และแคว้นฮวงล้วนเป็นศัตรูกับแคว้นหยู ฟู่เสี่ยวกวนใช้ชีวิตในแคว้นหยูมา 17 ปี เขาต้องผูกพันกับที่นั่นเป็นแน่ อีกทั้งคู่หมั้นหมายของเขาก็เป็นถึงองค์หญิงแห่งราชวงศ์หยู

กองทัพทหารของราชวงศ์อู๋ก็นับว่าแข็งแกร่งยิ่ง หากว่าเขาส่งกองกำลังไปช่วยราชวงศ์หยู สงครามในครานี้จะเป็นเยี่ยงไร !

 ดังนั้น เขาจะต้องตาย !   ท่าป๋ายวนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงดุดัน

แต่เยียนหานยวี่กลับหัวเราะขึ้นมาทันพลัน มิได้ เขาจะตายมิได้เป็นอันขาด !

 

ตอนที่ 345 แสงเป็นเสื้อคลุม น้ำค้างเป็นเครื่องประทินโฉม

สำหรับชาวเมืองกวนหยุน ค่ำคืนวันนี้มิได้แตกต่างไปจากในอดีต

แต่สำหรับขุนนางชั้นสูงในท้องพระโรงแล้ว ค่ำคืนนี้กลับเงียบเสียจนน่าตื่นกลัว

ฝ่าบาทเล่นหมากรุกกับหนานกงอี้หยู่อยู่ที่ตำหนักหยางซินถึงสามกระดาน ดื่มชาสี่กา และออกพระราชโองการถึง 3 ฉบับ

ประการที่หนึ่ง ปลดเซียวจ้านออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการราชองครักษ์ และให้หนานกงจิ่งเหยียนบุตรชายคนเล็กของหนานกงอี้หยู่ขึ้นรับตำแหน่งผู้บัญชาการราชองครักษ์เขตหลวง และเข้ารับตำแหน่งในทันที

ประการที่สอง มีรับสั่งให้จักรพรรดินีเซียวเข้าสู่ตำหนักเย็น และถอนตำแหน่งจักรพรรดินี

ประการที่สาม จับกุมหัวหน้าขันทีสำนักในเกาเสี่ยน นำไปขังคุกนักโทษประหาร รอพิพากษาหลังฤดูใบไม้ร่วง

เป็นพระราชโองการที่แสนเรียบง่าย อีกทั้งมิได้กล่าวถึงที่มาที่ไปแต่อย่างใด

และพระราชโองการทั้งสามฉบับนี้ได้ร่างขึ้นมาในค่ำวันนั้น แม้แต่ขุนนางอีกมากมายก็ยังมิทราบถึง

แน่นอนว่า อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจัวอี้สิงได้รับข่าวทั้งสามนี้ในทันที ในยามนั้นเขากำลังดื่มชาอยู่กับโจวถงถงแห่งหอเทียนจีในห้องอักษร

 ดังนั้น… เดิมทีแล้วนี่คือหมากกระดานหนึ่งที่ฝ่าบาทเป็นผู้วางเยี่ยงนั้นหรือ ?  

โจวถงถงนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทีเกียจคร้าน  ข้าได้บอกเจ้าไปเนิ่นนานแล้ว ว่ามิจำเป็นต้องคิดถึงเรื่องนี้ให้มาก คิดมากไปก็ปวดหัวเสียเปล่า 

 เขาเป็นบุตรนอกสมรสของฝ่าบาทจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?   จัวอี้สิงยังคงยากที่จะเชื่อได้ลง และกล่าวเสริมขึ้นมาอีกว่า  หากเป็นเยี่ยงนั้นจริง เหตุใดไทเฮาจึงมินำบันทึกเมื่อสามปีนั้นของฝ่าบาทออกมาเผยสู่สาธารณชนกัน ?  

เพียงแค่นำบันทึกเมื่อสามปีที่แล้วฉบับนั้นเปิดเผยออกมา ก็สามารถพิสูจน์ได้อย่างง่ายดายแล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรชายของฝ่าบาทและสวี่หยุนชิง แต่ไทเฮาก็มิทรงทำเยี่ยงนั้น

 ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเจ้าคือการคิดไปเอง !  

โจวถงถงขยับตัวเล็กน้อย และกล่าวอีกว่า  นี่คือเรื่องของตระกูลสวรรค์ ถึงแม้เจ้าจะเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา แต่ก็ยังเป็นเพียงแค่ขุนนางของฝ่าบาท ฝ่าบาทกล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรชายของเขา ก็ย่อมต้องเป็นเยี่ยงนั้น เหตุใดจะต้องสืบสาวราวเรื่องกัน แต่เจ้าจงทราบไว้ว่าการกระทำที่เจ้าคิดว่าตนเองทำถูกแล้วนั้น ฝ่าบาทรับรู้ทุกอย่าง หากฝ่าบาทมิตระหนักถึงการทำงานที่เหน็ดเหนื่อยของเจ้า และในวันนี้หากบุตรชายของเจ้าจัวเปี๋ยหลีได้ร่วมมือกับผู้บัญชาการราชองครักษ์ไป…หากข้าต้องการดื่มชากับเจ้า เกรงว่าคงจะต้องพบเจอกันในคุกใหญ่เสียแล้ว 

โจวถงถงส่ายหน้า  เหตุใดเจ้ามิเรียนรู้จากหนานกงอี้หยู่ คิดเรื่องราวให้ง่ายขึ้นอีกหน่อย และทำไปตามพระประสงค์ของฝ่าบาท เยี่ยงนั้นบุตรชายคนเล็กของเจ้าก็จะได้เป็นผู้บัญชาการราชองครักษ์ของเขตหลวง ฝ่าบาท…มิใช่ฝ่าบาทในอดีตอีกต่อไปแล้ว ในปีนั้นที่ตระกูลเซียวขึ้นมามีอำนาจ เจ้าเองก็ใช้วิธีการไปเสียมากมาย แต่ในตอนนี้เล่า ?  

 พระนางคิดเรื่องนี้ผิดมหันต์ นางคิดว่าหากสังหารฟู่เสี่ยวกวนแล้ว องค์รัชทายาทก็คือองค์รัชทายาท พระนางเมินเฉยต่อฝ่าบาทที่ยังหนุ่มแน่น หากฝ่าบาททรงยินยอม คลอดองค์ชายมาอีกสักสองสามพระองค์ก็ยังทันการ พระนางคิดว่าไพ่ในมือของตนเองนั้นมีอยู่มากมาย แต่พระนางคงหลงลืมไปว่าราชวงศ์อู๋ในใต้หล้านี้ ท้ายที่สุดก็เป็นของฝ่าบาท และเจ้า…ก็ก่อปัญหาเช่นเดียวกับพระนาง หากมิใช่เพราะว่าเห็นแก่เจ้าที่ส่งหลานชายของเจ้าจัวตงหลายไปรายงานต่อเป่ยหวังฉวนที่เจี้ยนหลูแล้ว จวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาของเจ้าหลังนี้ น่ากลัวว่าจะถึงคราวจบสิ้นเสียแล้ว 

สีหน้าของจัวอี้สิงมิได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด เขากลับรินชาสองถ้วย ทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมา  แต่สถานการณ์โดยรวมในบัดนี้ก็สงบลงแล้ว ท่านยังมิไปอีกหรือ ?  

 เยี่ยงนั้นข้าขอตัว !  

โจวถงถงลุกขึ้นยืน ปัดสะโพกเล็กน้อย และเดินออกไปจากจวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา

หลังจากที่โจวถงถงออกไปได้มินาน ก็ได้มีชายร่างกำยำเดินเข้ามาภายในห้องอักษร เขาคำนับจัวอี้สิง และเอ่ยถามว่า  ท่านพ่อ จบลงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

จัวอี้สิงดื่มชาหนึ่งอึก และเหลือบสายตามองบุตรชายของเขา

เขาคือจัวเปี๋ยหลี แม่ทัพใหญ่กองทหารม้าของราชวงศ์อู๋คนปัจจุบัน เขาอายุเพียง 40 ปีเท่านั้น

 จบลงไปแล้ว ถือว่าดี ผลลัพธ์ดีกว่าที่ข้าจินตนาการเอาไว้มาก วันรุ่งขึ้น เจ้าจงไปเขียนหนังสือลาออกเสีย นี่มิใช่การหักแขนเพื่อความอยู่รอด แต่นี่ก็เพื่ออนาคตของเจ้า 

โจวเปี๋ยหลีคิ้วขมวดนิ่ว เขามิเข้าใจความหมายของมัน แต่เขาเชื่อในสัมผัสและสายตาของบิดา

 ขอรับ 

 หลังจากที่ฝ่าบาทลงนามอนุมัติ เจ้าจงไปภูเขาลั่วเหมย ณ ชางฮ่าย 

จัวเปี๋ยหลีผงะ จัวอี้สิงจึงกล่าวอีกว่า  วรยุทธ์ของเจ้าหยุดอยู่ที่ขั้นหนึ่งมานานหลายปีแล้ว เจ้าในตอนนี้ต้องบำเพ็ญตนอย่างสงบ เพื่อทะลวงเป็นปรมาจารย์โดยเร็วที่สุด 

 ระดับปรมาจารย์แห่งราชวงศ์อู๋มิใช่มีเป่ยหวังฉวนและโหยวเป่ยโต้วแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ท้ายที่สุดดวงอาทิตย์ก็ต้องลาลับขอบฟ้าไป พวกเขา…ก็เป็นดังเช่นดวงอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว 

…..

…..

ตำหนักหยางซิน

จักรพรรดิเหวินนั่งลงบนเตียง ที่นอนอยู่บนเตียงคือฟู่เสี่ยวกวน เขาใบหน้าซีดเผือดและยังมิตื่นขึ้นมา

หมอหลวงอาวุโสหลายคนกำลังยุ่งวุ่นวาย ภายในห้องจึงมีกลิ่นของยาจีนอยู่อย่างตลบอบอวล

จักรพรรดิเหวินมองพินิจใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ประณีตของฟู่เสี่ยวกวน ในแววตาดูอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น และเต็มไปด้วยคำชมเชย

เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่เขาก็มิได้หลบซ่อนตัวที่จายซิงถาย

แต่ในสายตาของหนานกงอี้หยู่มันกลับดูโง่งม นักวรรณกรรมผู้หนึ่ง คาดมิถึงว่าจะไม่เข้าใจที่จะหลีกเลี่ยงหายนะ เห็นได้ชัดว่าเป็นหายนะที่ใกล้เข้ามา แต่คาดมิถึงว่าจะยังแบกรับมันเอาไว้ เยี่ยงนี้โง่หรือไม่ ?

รอยน้ำตาบนใบหน้าของอู๋หลิงเอ๋อร์ยังมิแห้งเหือดดี มองดูใบหน้าที่ซีดขาว ก็รู้สึกปวดใจยิ่ง

จักรพรรดิเหวินลุกขึ้นยืน และกล่าวกับอู๋หลิงเอ๋อร์ว่า  เขามิได้เป็นอันใด มานั่งกับพ่อเถอะ…  เขาหันกลับไปมองหนานกงอี้หยู่  เจ้ากลับไปเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องเริ่มแต่เช้า จำไว้ว่าต้องให้สำนักดาราศาสตร์จัดทำระเบียบของงานบวงสรวงสู่สวรรค์ขึ้นมา…และฟู่เสี่ยวกวนจะต้องไปเข้าร่วม 

หนานกงอี้หยู่ตกตะลึง เมื่อผ่านเรื่องค่ำคืนนี้ไป เขาถึงได้เข้าใจแล้วว่าชายผู้นี้คือบุตรนอกสมรสของฝ่าบาทอย่างแท้จริง ทั้งยังได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทอีกด้วย ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนต้องไปวันบวงสรวงสู่สวรรค์ หลังจากที่กลับมาแล้วก็จะได้ทำพิธีเซ่นไหว้ที่วัดไท่เมี่ยว

ฟู่เสี่ยวกวนก็จะได้เปลี่ยนแซ่ การลงนามบนตำราทองคำคือเรื่องน้ำหลากมาเมื่อเขื่อนสร้างเสร็จ ต่อจากนี้ความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ต่อไปก็คือปลดตำแหน่งองค์รัชทายาท

เรื่องนี้ตนเองจำต้องใช้พลังอย่างหนักเพื่อจัดการให้ดี และอย่าได้สับสนอีก

เขาโน้มตัวและถอยเท้าไป จักรพรรดิเหวินได้พาอู๋หลิงเอ๋อร์ไปยังห้องอักษร

 เสด็จแม่ของเจ้าลงมือกับฟู่เสี่ยวกวน ดังนั้นพ่อจึงปลดเสด็จแม่ของเจ้า ให้เข้าตำหนักเย็น ในเรื่องนี้ พ่อควรจะแจ้งให้เจ้าทราบ 

อู๋หลิงเอ๋อร์ตื่นตะลึง ดวงตาเบิกกว้าง เสด็จแม่เป็นผู้ลงมือทุกอย่างเยี่ยงนั้นหรือ ?

เหตุใดเสด็จแม่ถึงต้องทำเยี่ยงนี้ด้วย ?

แต่นางก็ตระหนักถึงเหตุและผลได้ในฉับพลัน ถึงได้ทราบว่าตนเองมัวแต่คะนึงถึงแต่ฟู่เสี่ยวกวน จึงคาดมิถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ไปได้

ในตอนนี้เรื่องก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว จนไร้หนทางจะย้อนกลับไป บัดนี้ในหัวของนางตกอยู่ในความขัดแย้งที่รุนแรง

ด้านหนึ่งคือฟู่เสี่ยวกวนที่นางเอาแต่คะนึงถึง อีกด้านหนึ่งคือเสด็จแม่ที่รักนางเป็นอย่างยิ่ง… นั่นทำให้จิตใจของนางเกิดความยุ่งเหยิง มิรู้ว่าควรจะเผชิญหน้าและยอมรับมันเยี่ยงไร

 พ่อรู้ว่าเรื่องนี้มันทำให้เจ้าเจ็บปวด แต่พ่อจำเป็นต้องทำเยี่ยงนี้ มิเช่นนั้นปัญหาก็จะมิมีที่สิ้นสุด 

ต่อจากนั้นอู๋หลิงเอ๋อร์ก็ไม่ได้ยินว่าจักรพรรดิเหวินกำลังตรัสถึงสิ่งใด

หยาดน้ำตาของนางไหลลงมาอีกครา หลังจากนั้นก็หันหลังกลับวิ่งออกไป วิ่งเข้าไปในเมฆหมอก และไม่ทราบว่าจะไปยังแห่งหนใด

…..

ท้องฟ้าค่อย ๆ สว่างขึ้น เมฆหมอกปกคลุมเมืองหลวง บนกวนหยุนถายสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของเมฆหมอกที่ปกคลุมรอบตัวเมืองเอาไว้ได้อย่างชัดเจน

อู๋หลิงเอ๋อร์นั่งลงด้านล่างต้นสนเก่า นั่งอยู่เยี่ยงนั้นทั้งคืนพลางครุ่นคิดไปด้วย

ใบหน้าของนางยังคงมีร่องรอยของหยาดน้ำตา นางมองไปที่เส้นขอบฟ้าที่สว่างไสวขึ้นเรื่อย ๆ เป็นความสวยงาม เป็นความกว้างใหญ่ที่อลังการยิ่ง

นางเช็ดหน้าเบา ๆ ใบหน้ารูปไข่ทั้งเย็นและเปียกชื้น นั่นคือน้ำค้างที่ทิ้งตัวมาจากเมฆหมอก

นางใช้น้ำค้างเช็ดรอยคราบน้ำตาบนใบหน้าจนสะอาด ใบหน้าที่ขาวผ่องรับแสงแดดอ่อน ๆ จนบานสะพรั่งและมีสีสัน

 เสด็จแม่ เขามิได้ปรารถนา เดิมทีเขานั้นมิสามารถคุกคามตำแหน่งองค์รัชทายาทได้อยู่แล้ว เหตุใดเสด็จแม่จึงต้องทำเช่นนี้ด้วย !  

 หม่อมฉันจะช่วยเสด็จแม่ แต่หม่อมฉันจะมิมีทางให้อภัยเสด็จแม่เป็นอันขาด !  

 ขออภัยเพคะ !  

นางหันหลังจากไป ยืนหยัดอย่างเด็ดเดี่ยว โดยสวมเสื้อตัวใหญ่ที่ปักลายเมฆเรืองรอง

 

ตำหนักองค์หญิงตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของวังหลัง ห่างจากตำหนักเจิ้งหยางมากเสียทีเดียว
รถม้าของจักรพรรดินีกำลังแล่นเข้าไปบนเส้นทางที่เงียบสงบนี้ โคมไฟทั้งสองข้างทางถูกหมอกบังเสียจนมองเห็นเพียงเงาสีส้มจาง
จักรพรรดินีเซียวเอื้อมมือไปเปิดม่าน ทำให้หมอกชื้นพุ่งเข้าไปในรถม้า ใบหน้าของพระนางจึงดูเลือนรางยิ่ง
แต่ทว่าใบหน้านั้นยังคงยิ้มด้วยความสะใจ ฟู่เสี่ยวกวนตายแล้ว !
จากนี้คาดว่าจะต้องเผชิญหน้ากับองค์จักรพรรดิที่ทรงกริ้ว
ฝ่าบาททรงมีโอรสเพียง 2 คน บัดนี้อู๋คุนโอรสองค์ที่สองของเขา นับจากเวลาคาดว่าน่าจะตายแล้วเช่นกัน เช่นนี้ก็จะเหลือรัชทายาทเพียงคนเดียวแล้ว…ฝ่าบาทคงจะมิทรงให้ผู้อื่นขึ้นมานั่งตำแหน่งจักรพรรดิเป็นแน่ แม้ว่าฝ่าบาทจะมิทรงชื่นชอบองค์รัชทายาท แต่ทว่าตำแหน่งองค์รัชทายาท นี้คงจะนั่งได้อย่างมั่นคงขึ้น
ในเมื่อฝ่าบาททรงควบคุมอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา เช่นนั้นคงจะคิดวางแผนกับจัวเปี๋ยหลีเอาไว้แล้ว อีกทั้งยังทรงควบคุมองครักษ์หลวง หากจะกระทำเหมือนเมื่อสิบสองปีที่แล้วคาดว่าจะมิได้ ดังนั้นจักรพรรดินีเซียวจึงได้ตระหนักถึงโชคชะตาที่นางจะต้องเผชิญ
ก่อนที่นางจะถูกจับขังในคุกเย็น นางอยากจะพบอู๋หลิงเอ๋อร์อีกสักครา นางอยากจะบอกกับอู๋หลิงเอ๋อร์ว่าฟู่เสี่ยวกวนตายแล้ว !
นางรู้ว่าอู๋หลิงเอ๋อร์จะต้องทุกข์ทรมาน แต่ความเจ็บปวดเช่นนี้จะถูกกำจัดออกไปตามกาลเวลา หลังจากหนึ่งหรือสองปีนางก็จะลืมฟู่เสี่ยวกวนได้สำเร็จ จากนั้นนางก็จะได้พบกับชายในดวงใจ เมื่อนั้นองค์จักรพรรดิจะทรงแต่งตั้งเขาให้เป็นพระสวามี หรือบางทีอู๋หลิงเอ๋อร์อาจจะอยู่ในตำหนักองค์หญิงไปชั่วชีวิต
บนถนนนี้มิมีผู้ใด ช่างเงียบสงบยิ่งนัก
นี่คือชีวิตของสตรี !
นางคิดไปต่าง ๆ นานาจนกระทั่งรถม้ามาถึงตำหนักขององค์หญิง
ภายในตำหนักยังคงมีแสงไฟส่องสว่าง จักรพรรดินีเซียวเสด็จลงมาจากรถม้าแล้วเดินตรงเข้าไปในห้องบรรทมของอู๋หลิงเอ๋อร์
ไฟในห้องบรรทมยังคงส่องสว่างอยู่ ประตูมิได้ถูกปิดลง
พระนางเดินเข้าไปด้านในห้องบรรทมแล้วขมวดคิ้วขึ้น มีบ่าวรับใช้ผู้หนึ่งเดินออกมา แต่ทว่ามิมีร่องรอยของอู๋หลิงเอ๋อร์
“องค์หญิงอยู่ที่ใด ? ”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นคุกเข่าลงแล้วตอบกลับด้วยท่าทางหวาดกลัวว่า “ทูลจักรพรรดินี องค์หญิงทรงนำทัพทหารหญิงออกไปแล้วเพคะ ตรัสว่า ตรัสว่า…จะไปช่วยฟู่เสี่ยวกวน”
จักรพรรดินีเซียวได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วเสียจนหัวคิ้วแทบจะติดกัน พระนางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “นางออกไปตั้งแต่เมื่อใด ? ”
“ทูลฝ่าบาท องค์หญิงทรงเสด็จออกไปราว 2 เค่อแล้วเพคะ”
นางจึงเดินมาที่หน้าโต๊ะทรงพระอักษร นั่งลงและมองไปยังกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะแผ่นนั้น
มีกวีบทหนึ่งถูกเขียนลงไป
ตัวอักษรที่งดงามนี้ มองดูมิใช่ลายมือของอู๋หลิงเอ๋อร์
พระนางอ่านกวีนี้ขึ้น
“ไร้ซึ่งความปรารถนา บทประพันธ์สวนแพร์แห่งตำหนักชิงเสียน
มหาชนท่องเที่ยวยามวสันตฤดูเอิกเกริกในทุกปี ดอกแพร์บานสะพรั่งต้อนรับหานสือเจี๋ย
ช่างหอมฟุ้งขาวนวลไร้มลทิน ลำต้นดั่งหยกงาม ขาวปานหิมะ
ค่ำคืนเงียบสงัด สาดแสงครุมเครือ เย็นระเรื่อจันทร์ส่องผ่องอำไพ
ดุจสวรรค์บนผืนพสุธา แสงเงินสาดส่องทั่วหล้า
ดั่งบังอรผู้หาญกล้า ทีท่าอรชร กมลมั่นแลสูงส่ง
สารพันน้อยใหญ่ใคร่ประสงค์ หอมบุษบงมิแม้นเหมือน
เกรียงไกรส่องสะเทือน เดื่อนดุจพรสวงสวรรค์ ปักธรณินไซร้ยากแยกแยะ
มองจากถิ่นสุราลัย แสนวิสุทธ์สกาวตา
ประพันธ์โดยฟู่เสี่ยวกวน เขียนโดยต่งชูหลาน ณ เรือนชิงเสียนเมืองฝานหนิง รัชสมัยเซวียนปีที่ 9 เดือนสาม วันที่สิบห้า
นางหยิบกระดาษขึ้นมา หัวคิ้วสองข้างเริ่มคลายลง จากนั้นคิดทบทวนอย่างละเอียด บุตรนอกสมรสผู้นี้มีความสามารถอย่างแท้จริง หากมองทั่วทั้งใต้หล้าหาได้มีผู้ใดประพันธ์ออกมาได้ยอดเยี่ยมเยี่ยงเขาไม่ ?
น่าเสียดายยิ่ง เกรงว่ากวีบทนี้จะเป็นบทสุดท้ายของเขาเสียแล้ว
ไร้ซึ่งความปรารถนา มุมปากของพระนางเผยอขึ้นแฝงด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น มนุษย์ทั่วหล้า ผู้ใดกันที่ไร้ซึ่งความปรารถนา ?
ไร้สาระ !
เพียงทำให้หลิงเอ๋อร์ สาวน้อยผู้ไร้เดียงสาหลงเชื่อได้ก็เท่านั้น !
……
……
ผู้ที่บุกเข้าไปในคฤหาสน์จิ้งหูนั่นก็คืออู๋หลิงเอ๋อร์และเหล่าทหารหญิงของนาง
แม้ว่านางจะตะโกนออกไปตั้งแต่ยังมิได้เข้ามาด้านในว่าให้หยุด แต่หาได้มีผู้ใดฟังนางไม่
ดังนั้นเมื่อนางเข้ามาด้านใน จึงได้เห็นภาพซากศพจำนวนมากกองอยู่บนพื้น อีกทั้งดาบและกระบี่ก็กระจัดกระจายอยู่คนละทิศละทาง
ผู้มีฝีมือทั้งสามคน คนหนึ่งตายด้วยกระบี่ของหนิงซือเหยียน อีกสองคนนั้นถูกโหยวเป่ยโต้วฟันขาดเป็นสองท่อน
บัดนี้ผู้ที่อยู่กลางลานกว้างมีเพียงโหยวเป่ยโต้ว หนิงซือเหยียน และเป่ยหวังฉวนที่เพิ่งมาถึงเท่านั้น
พวกเขายืนล้อมใครคนหนึ่งอยู่ เขาผู้นั้นนอนอยู่บนพื้น ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท ที่มุมปากปรากฏเลือดสีแดงสดไหลซึมออกมา
ฟู่เสี่ยวกวนตกอยู่ในภาวะสลบไสล ปืนของเขาเมื่อครู่ได้ปลิดชีพจั่วซีสุ่ย แต่มีดบินของกงซุนนั้นทำให้เขาได้รับบาดเจ็บภายใน แม้ว่าจะมีชุดคราบจักจั่นป้องกันไว้ มีดนั้นจึงมิได้แทงทะลุเข้ามาด้านใน แต่ทว่าแรงของมีดทำให้เขาช้ำในอย่างแสนสาหัส
เขาหมดแรงล้มลงเมื่อมองเห็นหนิงซือเหยียนเดินเข้ามา และวินาทีนั้นเขาได้เก็บปืนเข้าไปในแขนเสื้อ
ในเมื่อหนิงซือเหยียนมาถึงแล้ว อีกทั้งโหยวเป่ยโต้วได้จัดการต้วนหยุนโฉวเรียบร้อยแล้ว ที่นี่คาดว่าจะปลอดภัยหายห่วง
เขามิรู้ว่ายังมีเป่ยหวังฉวนอีกคน หากเขารู้คงมิกล้าเป็นลมล้มพับไปเช่นนี้
เป่ยหวังฉวนก้มตัวลงมา เขาจ้องไปยังหน้าผากของจั่วซีสุ่ย ซึ่งมีรูเล็ก ๆ และเลือดสีแดงสดไหลออกมา
เขาได้ยินเสียงปืนนั้น เป็นเสียงที่ชัดเจนกว่าเมื่อตอนที่อยู่ในเมืองเปียนเฉิง อีกทั้งยังแตกต่างไปจากเสียงที่ยิงมายังเขาในตอนนั้น
เขาเงยหน้ามองดูหนิงซือเหยียน หนิงซือเหยียนแบมือออกแล้วส่ายหัว
อู๋หลิงเอ๋อร์วิ่งเข้ามาแล้วผลักหนิงซือเหยียนออก เมื่อนางเห็นฟู่เสี่ยวกวนนอนหลับตากระอักเลือดอยู่ ดวงตาก็พลันแดงก่ำขึ้นมาทันใด “ทหาร รีบนำเขาส่งเข้าวังหลวง ! ”
ทหารหญิงของนางรีบเข้ามาพยุงฟู่เสี่ยวกวนขึ้น แต่กลับพบว่าเขาบาดเจ็บมิอาจขี่ม้าได้
อู๋หลิงเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนแล้วมองค้อนไปยังเป่ยหวังฉวน “ข้าจะแก้แค้นแทนเขาแน่ ! ”
นางแบกฟู่เสี่ยวกวนขึ้นแล้วใช้เชือกแดงมัดตัวเอาไว้ จากนั้นขึ้นขี่ม้า พวกนางมุ่งหน้าเข้าไปยังพระราชวังทันที
เป่ยหวังฉวนมองตามเงาที่จากไปแล้วนึกในใจว่า ข้าเข้ามาช่วยต่างหากเล่า !
อู๋หลิงเอ๋อร์ขี่ม้านำขบวนไปยังถนนที่เงียบสงัด
นางขี่ม้าแหวกหมอกหนานั้นไป เมฆขาวปกคลุมไปทั่วร่าง นางราวกับว่านางกำลังสวมใส่อาภรณ์สีขาวผ่อง
นางควบคุมม้าให้วิ่งไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ภายในใจได้แต่ภาวนาว่าฟู่เสี่ยวกวนจะตายมิได้ !
เขาเป็นพระเชษฐาของนาง นางมิอยากจะยอมรับในเรื่องนี้ ต่อให้เป็นพระเชษฐา…แล้วเยี่ยงไรเล่า !
น้ำตาของนางไหลริน โชคชะตากำลังเล่นตลกกับนางเยี่ยงนั้นหรือ ?
ไม่ !
ข้ามิต้องการโชคชะตาเช่นนี้ !
หากนี่เป็นชะตาชีวิตที่ถูกลิขิตมาแล้ว ข้าก็จะทำลายมันทิ้งเสีย !
หากที่คือความต้องการของเบื้องบน ข้าก็จะต่อสู้กับฟ้าดินให้ดู !
น้ำตาของนางไหลรินสู่เมฆหมอก คล้ายกลีบดอกไม้ร่วงหล่น
ดอกไม้ใสราวกับกระจก อาภรณ์เมฆหมอก มองดูแล้วงดงามยิ่งแต่ทว่ากลับเย็นเยือกมากเช่นกัน
ม้าศึกวิ่งไปบนถนนฉาวเทียน ซึ่งเป็นถนนที่ตรงไปยังพระราชวังโดยตรง ด้านข้างของถนนสายนี้มีหอคอยเจ็ดชั้น ชื่อเรียกว่าหอคอยฉาวเทียน
ที่ชายคาชั้นสามนั้น มีใครบางคนกำลังยืนอยู่
เขายืนอยู่ท่ามกลางเมฆหมอก มองไปคล้ายเทวดา
เขามองตามอู๋หลิงเอ๋อร์ที่คล้ายกับกำลังสวมอาภรณ์เมฆหมอกอยู่บนถนนฉาวเทียน จนกระทั่งร่างของอู๋หลิงเอ๋อร์หายไปท่ามกลางหมอกนั้น เขาจึงได้ถอนหายใจออกมาแล้วจากไปอย่างเงียบ ๆ
เขาผู้นี้ก็คือจัวตงหลาย
เขามาจากชางฮ่าย
และเขากำลังจะไปหลานซี
“หากว่านี่คือชะตา…คาดว่าข้าคงจะต้องยอมจำนนแก่ชะตานี้ ! ”

ตอนที่ 343 หนึ่งดาบไปยังทิศตะวันตก

เมฆหมอกได้บดบังทัศนีย์ภาพของเมืองกวนหยุนจนมิด

และเมฆหมอกก็ได้ปลิวพัดมาปกคลุมภายในตำหนักเจิ้งหยางแห่งนี้เช่นกัน มองดูแล้วราวกับดินแดนแห่งสวรรค์

จักรพรรดินีเซียวยังคงยืนสองมือไพล่หลังอยู่ที่ลานกว้าง ดวงจันทร์และดวงดาราได้ถูกเมฆหมอกที่หนาทึบนี้บดบังไปแล้ว และมิสามารถมองเห็นได้อีกต่อไป

แต่นางยังคงเงยหน้ามองไปยังฟากฟ้าอยู่ดังเดิม ราวกับต้องการทะลุเมฆหมอกนี้ออกไปเพื่อมองเห็นดวงดาวที่สว่างไสว

ทันใดนั้นนางก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปปัดในเมฆหมอกนี้ ราวกับอยากจะปัดเมฆหมอกที่บดบังสายตาของนางเหล่านี้ให้หายไปเสีย หลังจากนั้นนางก็หลุดยิ้มออกมา…เมืองกวนหยุนที่ใหญ่โตบัดนี้ถูกเมฆหมอกบดบังเสียจนมิด ต้องทำเยี่ยงไรจึงจะลบออกไปได้

นางยื่นมือออกไปกำเมฆหมอกอย่างแผ่วเบา หลังจากนั้นก็ดึงมือกลับมา เมื่อแบมือออก นอกจากสัมผัสที่เย็นชื้นในฝ่ามือ ก็มิมีสิ่งใดอีก

เมฆหมอกที่อยู่เบื้องหน้านี้มีรูปร่างชัดเจน แต่ไร้หนทางจะจับเอาไว้ได้ เยี่ยงนั้น ท้ายที่สุดแล้วเมฆหมอกนี้คือสิ่งใดกัน ?

นางมิชอบให้หมอกปกคลุมเมืองหลวง เพราะนางมิชอบให้มีสิ่งอื่นใดมาบดบังการมองเห็นของนาง และขวางเส้นทางของนาง !

นางโบกแขนเสื้อไปมา แขนเสื้อของนางหมุนตลบอยู่ใจกลางเมฆหมอก ราวกับมังกรตัวยาวที่กำลังโจมตีท้องทะเล ดังนั้นเมฆหมอกจึงม้วนตลบไปมา ไหลวนอย่างเกรี้ยวกราด และโหมซัดขึ้นมา แขนเสื้อของนางแยกออกไปสองทาง คาดมิถึงว่าเมฆหมอกเหล่านั้นจะแปรเปลี่ยนรูปไปตามแขนเสื้อของนาง

ดังนั้น หมอกภายในลานกว้างนี้จึงแบ่งออกไปสองฟาก วิสัยทัศน์ของนางกว้างไกลออกไป แต่ก็ยังมิสามารถมองเห็นดวงดาราบนท้องฟ้าได้ นางสามารถเปิดให้มองเห็นเบื้องหน้า แต่มิสามารถเปิดไปถึงเบื้องบนฟากฟ้าได้

ได้ผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วยาม ฝ่าบาทยังคงดื่มชาและเล่นหมากรุกกับหนานกงอี้หยู่อยู่ในตำหนักหยางซิน ทั้งยังดูสุนทรีมากยิ่งนัก

นางแค่นยิ้มเย็นชา คิดว่าหากตนนำข่าวการตายของฟู่เสี่ยวกวนไปยังตำหนักหยางซิน เขาจะยังสามารถสงบสติอารมณ์ได้หรือไม่

และในยามนี้เอง ขันทีเกาก็ได้วิ่งเหยาะ ๆ ตรงมายังข้างพระวรกายของจักรพรรดินีเซียว

 กราบทูลองค์จักรพรรดินี โจวถงถงแห่งหอเทียนจีมิเคยอยู่ในหอเทียนจีเลยพ่ะย่ะค่ะ 

จักรพรรดินีเซียวตกตะลึงทันพลัน ดวงตาหงส์ของนางแสดงอาการหวาดระแวงขึ้นมาทันพลัน  เขาอยู่ที่ใดกัน ?  

 เขา เขา… 

 เอ่ยมา… !  

ขันทีเกาคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดัง  กราบทูลองค์จักรพรรดินี โจวถงถงใช้แผนปิดฟ้าข้ามทะเล เขาอยู่ภายในจวนของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจัวอี้สิงพ่ะย่ะค่ะ 

จักรพรรดินีเซียวถอนหายใจยาว และพ่นออกมาเพียงคำเดียวว่า  โอ้… 

แต่ขันทีเกายังคงคุกเข่าอยู่ดังเดิม หน้าผากของเขาแตะอยู่ที่พื้น และยังกล่าวอีกว่า  กราบทูลองค์จักรพรรดินี โจวถงถงได้นำกองกำลังจี๋เฟิงแห่งหอเทียนจีไปปิดล้อมจวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาพ่ะย่ะค่ะ ในยามนี้…ในยามนี้โจวถงถงกำลังดื่มน้ำชากับอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาในห้องอักษรพ่ะย่ะค่ะ 

นี่มันหมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?

เป็นไปได้หรือไม่ที่ฝ่าบาทจะมอบราชโองการลับให้แก่โจวถงถง ?

นี่คือการใช้ชีวิตคนหลายพันคนในจวนจัวอี้สิงมาบีบบังคับจัวเปี๋ยหลีเยี่ยงนั้นหรือ ?

 ราชองครักษ์ในเขตวังหลวง เป็นเยี่ยงไรบ้าง ?  

 เรียนองค์จักรพรรดินี ท่านแม่ทัพเซียวจ้าน… 

จักรพรรดินีเซียวหันกลับมาในทันใด ดวงตาทิ่มแทงราวกับกระบี่ ทันใดนั้นขันทีเกาก็รู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่าง

 มิทราบเช่นกันว่าหนิงฝาเทียนเข้ามาในเมืองกวนหยุนตั้งแต่เมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ ในยามนี้…ท่านแม่ทัพเซียวได้ถูกทหารชุดแดง 3,000 นายที่นำโดยหนิงฝาเทียน นำตัวไปยังหอเทียนจีแล้วพ่ะย่ะค่ะ 

จักรพรรดินีเซียวเงียบไปเนิ่นนาน ขันทีเการู้สึกว่าช่วงเวลานี้ผ่านไปได้เชื่องช้ายิ่ง

 ฟู่เสี่ยวกวนตายแล้วหรือไม่ ?  

ขันทีเกาตอบเสียงแผ่ว  เป่ยหวังฉวน…กลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ !  

 ก็แสดงว่ายังมิสิ้น !   สุรเสียงของจักรพรรดินีเซียวดังขึ้นมาทันพลัน  ในเมื่อเขายังมิตาย เยี่ยงนั้นเจ้าก็ตายเสียเถอะ !  

 องค์จักรพรรดินีโปรดช้าก่อนพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม…กระหม่อมเพิ่งได้ข่าวมาว่าฟู่เสี่ยวกวนถูกมีดบินทั้งห้าของกงซุนเข้าไป คาดว่า…คาดว่ามีความเป็นไปได้ที่จะสิ้นชีพไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ 

 นั่นคืออดีตสตรีของกงซุนเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 พ่ะย่ะค่ะ 

จักรพรรดินีเซียวไม่ได้กล่าวอันใดอีก เกิดรอยยิ้มผุดขึ้นมาบนใบหน้าของนาง

เมฆหมอกที่ถูกนางแบ่งตัวเมื่อครู่ได้กลับมารวมตัวกันอีกครา ดังนั้นวิสัยทัศน์เบื้องหน้าของนาง ก็กลับมามิชัดเจนอีกครา

แต่นางกลับมิได้สนใจ และกล่าวอย่างผ่อนคลายขึ้นมาว่า  เตรียมเกี้ยว 

 องค์จักรพรรดินี…จะไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ ?  

 ไปจวนองค์หญิง ข้าคิดถึงหลิงเอ๋อร์ จะไปดูนางเสียหน่อย 

…..

…..

ในชั่ววินาทีที่กงซุนถูกลูกศรของเป่ยหวังฉวนปักเข้าจนสิ้นชีพ ดาบที่กำลังบินของต้วนหยุนโฉวก็ได้ตัดเมฆเข้ามา !

สายตาของโหยวเป่ยโต้วก็ได้ผละออกจากพื้นที่มีร่างของฟู่เสี่ยวกวนนอนอยู่ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง สองมือเปล่งประกายแสงสีขาวราวกับหยกออกมาในทันพลัน

บุตรนอกสมรสของฝ่าบาทสิ้นชีพแล้ว !

เขารับปากกับฝ่าบาทแล้วว่าจะรักษาความปลอดภัยในกับเขา !

แล้วตอนนี้จะทำเยี่ยงไรดี ?

ความโกรธทั้งหมดของเขาอยู่บนฝ่ามือนี้ !

เขาทะยานขึ้นฟ้าด้วยความเดือดดาล คาดมิถึงว่าสองมือนั้นจะข้ามผ่านดาบนับมิถ้วนของต้วนหยุนโฉวที่คลาคล่ำไปด้วยจิตสังหาร ในยามที่หนิงซือเหยียนปรี่เข้ามาในลานแห่งนี้ ก็ได้เห็นมือที่สว่างไสวราวกับดวงดาราคู่นั้นในใจกลางเมฆหมอก และดาบที่สว่างพอกันกับจันทราที่สุกสกาว

มือของเขาแหวกทะลุเมฆออกไป ดาบพุ่งมาจากในม่านเมฆ เขาจึงปล่อยหมัดตวัดใส่ดาบที่พุ่งมาไปทั้งอย่างนั้น ดาบพุ่งกระทบกันนั้น

เสียง  ตูม… !   ดังกัมปนาท

เมฆหมอกในระแวกนั้นสะเทือนขึ้นทันพลัน และแตกกระจายอย่างรวดเร็วราวกับระลอกคลื่น ดาบของต้วนหยุนโฉวถูกหมัดนี้ปัดผ่านไป โหยวเป่ยโต้วแสบคอขึ้นมาทันพลัน มืออีกหนึ่งข้างของเขากำเข้าหากันแน่น

หมัดนี้ราวกับพายุที่โหมกระหน่ำใส่ดอกเหมย ในชั่วพริบตานั้นก็โจมตีหมัดใส่ต้วนหยุนโฉวอย่างเดือดดาล !

เป่ยหวังฉวนตื่นตะลึง นี่แสดงให้เห็นถึงหมัดดาวตกไร้พ่ายของเจี่ยหนานซิง ณ การต่อสู้ที่ลั่วเหมยในปีนั้น !

เหนือกำปั้นนี้ไป ชั้นเมฆได้ไหลทะลักมารวมกันอย่างบ้าคลั่ง ต้วนหยุนโฉวที่อยู่ในที่นั้น เขาเสมือนเรือเล็กในทะเลที่มีพายุโหมกระหน่ำ

ใบหน้าของต้วนหยุนโฉวเปลี่ยนสีไปทันพลัน เขาขบกรามแน่น และคำรามขึ้นมาว่า  ทะลวงให้ข้า… !  

และในยามนี้เอง กระบี่ยาวในมือของโอวหยางจึก็สั่นสะท้าน เขาลุกขึ้นยืน ปลายกระบี่ก่อแสงขึ้นมาอย่างนับไม่ถ้วน และแทงไปยังโหยวเป่ยโต้วที่อยู่กลางอากาศ

หอกของกันปู้หุ่ยก็สั่นขึ้นมาในยามนี้เช่นกัน และได้ทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้า ปลายหอกที่อยู่กลางอากาศเบ่งบานและทะยานไปทางโหยวเป่ยโต้ว

แต่จั่วซีสุ่ยกลับกระโดดไปยังเบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวน เขาต้องการตัดศีรษะของฟู่เสี่ยวกวน เพื่อนำไปวางไว้ข้างหลุมศพบุตรชายของเขา !

หนิงซือเหยียนไม่ทราบว่าฟู่เสี่ยวกวนโดนมีดบินทั้งสามเล่มของกงซุนปักเข้า สีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนไปในพลัน จึงถือกระบี่เล่มใหญ่และปรี่ไปทางจั่วซีสุ่ยในทันที

จั่วซีสุ่ยอยู่เบื้องหน้าฟู่เสี่ยวกวน หนิงซือเหยียนย่อมมิมีทางไปช่วยได้ทัน

จั่วซีสุ่ยเหินมายังเบื้องหน้าฟู่เสี่ยวกวน กระบี่ในมือของเขาถูกยกขึ้น แต่แล้วใบหน้าที่ดุดันก็แปรเปลี่ยนไปทันพลัน !

เขาเห็นฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้กำลังหรี่ตาและจ้องมองมาทางเขา !

และบนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนยังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่ !

มุมปากของเขายังมีคราบเลือดที่ยังไม่แห้ง มือซ้ายของเขากุมของสีดำขนาดเล็กเอาไว้ !

…เขาจะมิตายได้เยี่ยงไรกัน ?

ในชั่วพริบตาที่จั่วซีสุ่ยตกตะลึง ฟู่เสี่ยวกวนก็หัวเราะขึ้นมา  เจ้าไปตายเสียเถอะ !  

 ปัง… !   เป็นเสียงของปืนที่ดังขึ้น เกิดรูขึ้นบนตัวจั่วซีสุ่ยในตำแหน่งและรูปลักษณ์เดียวกันกับบนร่างของจั่วเฮิ่นฮวา จั่วซีสุ่ยสัมผัสได้ถึงความเย็นที่กลางหน้าผาก ร่างของเขาล้มลงไปด้านหลัง หนิงซือเหยียนที่ปรี่เข้ามาก็สะดุ้งไปกับเสียงปืนนั้นด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นจึงได้เห็นจั่วซีสุ่ยล้มลงไปกับพื้น

จั่วซีสุ่ยตายแล้ว !

ผู้มีฝีมือระดับสูงทั้งสิบสองคนที่มายังที่นี่ในตอนนี้เหลือเพียง 5 คนเท่านั้น ทั้งห้าคนในยามนี้กำลังล้อมรอบโหยวเป่ยโต้วเอาไว้

ดาบของต้วนหยุนโฉวมิสามารถทะลวงหมัดของโหยวเป่ยโต้วได้

โหยวเป่ยโต้วรับทั้งหนึ่งหอกหนึ่งศรและหนึ่งดาบ แต่หมัดของเขากลับทำให้ดาบของต้วนหยุนโฉวพุ่งถลาออกไป และกระแทกเข้ากับร่างต้วนหยุนโฉว ดาบเล่มนั้นกระแทกร่างของต้วนหยุนโฉวปลิวไปทางทิศตะวันตก และได้หายเข้าไปในม่านของเมฆหมอก

แต่แล้วในยามนั้นเอง เป่ยหวังฉวนก็ได้ยิงลูกศรออกไปอีกหนึ่งดอก หอกของกันปู้หุ่ยใกล้จะแตะเข้าที่หลังของโหยวเป่ยโต้วแล้ว อีกเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น หอกนี่ก็จะสามารถพุ่งทะลุร่างของโหยวเป่ยโต้วเข้าไปได้ และคาดว่าครานี้คงจะปลิดชีพของโหยวเป่ยโต้วได้เป็นแน่

แต่แล้ว ลูกธนูที่ตรงมาจากทางตะวันออกนั้น กลับทำให้ทุกอย่างที่เขาคิดไว้พังทลายสิ้น

เขาล้มลงกลางอากาศ ได้ตายตกโดยที่ตายังมิทันได้หลับตาเลยด้วยซ้ำ

ทั้งสามคนที่เหลือเมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเยี่ยงนี้ ก็ปล่อยวางที่จะสังหารโหยวเป่ยโต้ว แล้วหันหลังกลับเพื่อจะปรี่เข้าไปสังหารฟู่เสี่ยวกวนที่ยังนอนอยู่ที่พื้น

หนิงซือเหยียนชูกระบี่ขึ้น ทันใดนั้นก็มีเสียงเกือกม้าดังขึ้นมาจากด้านนอกคฤหาสน์ หลังจากนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมาว่า  หยุดมือ !  

 

ตอนที่ 342 ลูกศรจากทิศตะวันออก

เมฆหมอกในเมืองกวนหยุนนั้นมักจะมาอย่างมิมีปี่มิมีขลุ่ย

หมอกจางปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองหลวง นี่คือจุดเด่นของเมืองกวนหยุน

เมื่อเมฆและหมอกมาบรรจบกัน ทั้งเมืองกวนหยุนก็ราวกับถูกครอบคลุมไปด้วยเมฆหมอก หากยืนอยู่ในที่สูง เช่นจายซิงถาย หรือบนหอเทียนเซียงแห่งสำนักดาราศาสตร์ ณ กวนหยุนถาย ก็จะสามารถมองเห็นเมฆหมอกสีขาวราวกับหยกปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองกวนหยุน ทำให้เมืองนี้มีบรรยากาศราวกับเทพนิยายที่แสนงดงาม

ในค่ำคืนนี้เมฆลอยต่ำลงมาเร็วกว่าทุกที

หมอกจาง ๆ ในตอนแรกกลับค่อย ๆ หนาขึ้น ในที่สุดแม้แต่แสงไฟก็ยังถูกบดบังความสว่าง

ท่ามกลางหมอกที่ค่อย ๆ หนาขึ้นนี้ ผู้มีฝีมือด้านอาวุธลับแห่งยุทธจักรกงซุนแห่งแคว้นอี๋ นางกำลังจ้องมายังที่ฟู่เสี่ยวกวน

ในมือของนางนั้นมีมีดบินอยู่ 5 เล่ม นางเพียงสะบัดมือเบา ๆ มีดทั้งห้านั้นก็หายเข้าไปท่ามกลางหมอกหนาทันที

มีดบินเล่มหนึ่งนั้นกำลังจะปักเข้าที่มือขวาของฟู่เสี่ยวกวน อีกสี่เล่มมุ่งไปที่จุดต่าง ๆ ของฟู่เสี่ยวกวน เช่นหัวใจ ลำคอ หน้าผากและช่องท้อง !

อาวุธลับนั้นลอยมาอย่างรวดเร็ว

กงซุนยิ้มออกมา ใบหน้าอันเหี่ยวย่นของเขานั้นดูราวกับซากไม้ที่แห้งกรัง

……

……

กระบี่ของหนิงซือเหยียนปักลงบนพื้น

เขาหยิบไหสุรานั้นขึ้นมาดื่มแล้วยกแขนเสื้อที่เปื้อนเลือดขึ้นมาเช็ดปาก ทำให้ใบหน้าของเขาแปดเปื้อนไปด้วยเลือด มองดูแล้วช่างน่ากลัวยิ่ง

คลั่งดาบฉือมู่หยิบดาบแล้วพยายามลุกขึ้นอย่างยากเย็น เขาเดินโซซัดโซเซไปยังกองไฟที่ยังมิมอดดับ จากนั้นก็คว้าไหสุราบนพื้นขึ้นมาดื่มหลายอึก

สุราไหลออกจากปากของเขาลงไปที่คางสู่คอและหน้าอก มองเห็นเป็นเส้นยาวสีแดงลงมาทั้งสองข้าง

 เจ้านับว่าเป็นคนที่ข้าให้ความนับถือคนหนึ่ง !   ฉือมู่เขวี้ยงไหสุราที่ว่างเปล่านั้นทิ้งลงสู่พื้นธรณีเสียงดังกังวาน

หนิงซือเหยียนจ้องไปที่เขาตาไม่กะพริบ  เจ้าเป็นใครกัน ! ข้าบอกให้รอข้ากินไก่ให้เสร็จเสียก่อน ! ข้าบอกว่าอย่าเอ่ยชื่อมันต่อหน้าข้า แต่เจ้าก็มิเชื่อ !  

ฉือมู่หัวเราะออกมา ในปากของเขายังมีเลือดสีแดงสดไหลออกมามิหยุด แต่ทว่าเขาก็ยังคงยิ้ม  ข้าไปก่อน ไว้คราหน้าข้าจะเลี้ยงไก่ย่างเจ้า ! และรับรองว่าจะมิเอ่ยชื่อนั้นอีก !  

 ช้าก่อน !  

ฉือมู่หันหลังมา  มีอันใด ? ยังจะสู้ต่ออีกเยี่ยงนั้นหรือ ? เจ้าชนะแล้ว ข้าจะทำตามที่เจ้าบอก 

 สู้บ้าบออันใดกัน ข้าขอเอ่ยถามเจ้าสักหน่อยว่า สิบสองคนนั้นเข้าไปด้านในแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ข้าจะโกหกเจ้าไปทำไมกัน ? ต้วนหยุนโฉวแห่งภูเขาดาบ ศิษย์พี่ทั้งสามแห่งสำนักป่ากระบี่ กันปู้หุ่ยแห่งเขตเหนือ กงซุนแห่งแคว้นอี๋…หากมิใช่เพราะข้าได้รับคำสั่งจากท่านท่าป๋าชิวให้ร่วมมือกับพวกมัน ข้ายังนึกคิดไปว่าที่นี่ได้จัดแข่งขันจอมยุทธเสียอีก !  

หนิงซือเหยียนนตกตะลึง  ภารกิจของเจ้าคือมารั้งข้าไว้เยี่ยงนั้นหรือ ?  

 เดิมทีข้าต้องการสังหารเจ้า แต่ในเมื่อสังหารเจ้ามิได้ก็มิสังหารแล้ว !  

 ด้านในวางแผนกันมาเยี่ยงไร ?  

 สิบเอ็ดคนต่อสู้กับโหยวเป่ยโต้ว และอีกหนึ่งคนเข้าไปฆ่าฟู่เสี่ยวกวน 

โหยวเป่ยโต้วมาตั้งแต่เมื่อใดกัน ?

หนิงซือเหยียนวางใจลงเล็กน้อย มิน่าเล่าฟู่เสี่ยวกวนจึงมิเข้าไปในจายซิงถาย คาดว่าเจ้าหมอนั่นคงจะรู้ว่าโหยวเป่ยโต้วจะมาที่นี่

เขาเข้าใจฟู่เสี่ยวกวนผิดไป ฟู่เสี่ยวกวนเพียงแค่อยากเห็นว่าจักรพรรดิเหวินกำลังทำสิ่งใดอยู่ ?

หากว่าเรื่องที่ตนเป็นบุตรนอกสมรสนั่นคือเรื่องจริง แน่นอนว่าจักรพรรดิเหวินจะมินิ่งดูดายอย่างแน่นอน ต่อให้เขามิใช่บุตรนอกสมรสอย่างแท้จริง แต่เรื่องในค่ำคืนนี้ที่เกิดขึ้น ถ้าจักรพรรดิเหวินมีความคิดสักเล็กน้อย เขาก็คงจะรับรู้ล่วงหน้าไปแล้ว

เขาเดิมพันว่าจักรพรรดิเหวินจะต้องส่งคนมาจัดการเป็นแน่ ดังนั้นสิ่งที่พึ่งพาได้มากที่สุดก็คือปืนในมือเขาในตอนนี้ !

 หากมีโหยวเป่ยโต้วอยู่ พวกเจ้าย่อมฆ่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้เป็นแน่ 

ฉือมู่หัวเราะออกมาอย่างประหลาดใจ  เจ้ามองโหยวเป่ยโต้วสูงเกินไปแล้ว อีกทั้งยังมองต้วนหยุนโฉวต่ำเกินไป อีกอย่าง…ผู้ที่ลงมือจัดการกับฟู่เสี่ยวกวนคือกงซุน ผู้มีฝีมือด้านอาวุธลับ ที่สามารถปลิดชีพผู้คนได้โดยไร้ร่องรอย แม่นางกงซุน !  

……

เป่ยหวังฉวนมิได้เลือกที่จะเทียบท่าที่เจี้ยนหลู

บัดนี้เขามิมีเวลามากพอที่จะไปประลองฝีมือกับศิษย์แห่งสำนักเต๋าทั้งเจ็ด อีกทั้งยังมิมีความสามารถพอ

แขนที่เขาใช้จับธนูนั้นกระดูกได้แตกละเอียด เขารู้ดีว่าหากตนหยิบคันธนูขึ้นมาอีกคราจะเกิดอันใดขึ้น

เขาอ้อมจากเจี้ยนหลู ไปยังคฤหาสน์บนทะเลสาบจิ้งหู

เขายังคงแบกธนูสุริยะพิฆาตเอาไว้ในมือ และยังถือศรธนูเหล็กนั่นเอาไว้

ฟู่เสี่ยวกวนจะตายมิได้ นี่คือจุดประสงค์เดียวของเขาในตอนนี้ มิมีสิ่งใดแน่นอน เมื่ออยู่ในเมืองเปียนเฉิง เขาคาดหวังว่าฟู่เสี่ยวกวนจะตายด้วยลูกศรจากน้ำมือเขา แต่บัดนี้ เขากลับจะเข้าไปช่วยฟู่เสี่ยวกวน

เรื่องแผนการฆ่าที่เมืองเปียนเฉิงนั้น เขาถูกไหว้วานโดยจัวอี้สิง แต่จัวอี้สิงมิได้บอกว่าฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรนอกสมรสขององค์จักรพรรดินี่

จัวอี้สิงกล่าวว่าองค์ชายสี่แห่งราชวงศ์หยูต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนตาย โดยให้ค่าตอบแทนเป็นจำนวนมาก…มองดูแล้วจัวอี้สิงจะต้องหลอกลวงเขาเป็นแน่

ในเมื่อตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนได้ปรากฏออกมาแล้ว ดังนั้นหากฟู่เสี่ยวกวนตายไป ฝ่าบาทจะทรงทำในสิ่งที่คาดมิถึงเป็นแน่ ส่วนจักรพรรดินีเซียวนั้นคงจะต้องออกมายืนหยัดต่อสู้ เหตุการณ์ในค่ำคืนนี้เกรงว่าจะเป็นดั่งเมื่อสิบสองปีก่อน ณ ทะเลสาบสือหลี่นั่น

เขาใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดในการแหวกเมฆหมอกให้เปิดทางออก เขาเข้าใกล้คฤหาสน์จิ้งหูมากขึ้นทุกที

จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงของการต่อสู้ดังขึ้นมา สายตามองไปยังแสงจากดาบและกระบี่ที่กระทบกัน ทันใดนั้น…สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันพลัน !

มีดบินสีดำห้าเล่มฝ่าหมอกหนานี้ตรงเข้าไป  ฉึบ !   เล่มแรกปักเข้าที่มือขวาของฟู่เสี่ยวกวน  ฉึบ !   เล่มที่สองปักเข้าที่กลางใจ เล่มที่สามถูกมือขาวราวหยกของโหยวเป่ยโต้วรับไว้แทน ส่วนเล่มที่สี่ปักเข้าที่ช่องท้องของฟู่เสี่ยวกวน เล่มที่ห้าเล่มสุดท้ายถูกโหยวเป่ยโต้วคีบเอาไว้ในมือ

บัดนี้ มีดบินของแม่นางกงซุนทั้งห้าเล่มปักเข้าที่ร่างของฟู่เสี่ยวกวนสามเล่มซึ่งล้วนตรงจุดสำคัญทั้งสิ้น ฟู่เสี่ยวกวนถูกแรงจากมีดทั้งสามเล่มนั้นอัดจนล้มลง เขาส่งเสียงดัง  อึก !   ออกมา เป่ยหวังฉวนหันไปมองแล้วตกตะลึงยิ่ง…ไอหยา ข้ามาช้าไปหนึ่งก้าว

โหยวเป่ยโต้วตกใจเป็นอย่างมาก !

เขาสะบัดมือทั้งสองข้างออก เลือดกระเซ็นท่ามกลางอากาศราวกับดอกเหมย

ส่วนต้วนหยุนโฉวชักดาบยาวออกมากวัดแกว่ง !

 ท่านผู้อาวุโส ท่านแก่เกินไปแล้ว !  

ต้วนหยุนโฉวกระโดดขึ้นสู่ฟากฟ้าอีกครา ดาบนั้นกวัดแกว่งไปในเมฆหมอกหนา ทำให้หมอกกลุ่มนั้นกระจัดกระจายไร้ทิศทางอย่างบ้าคลั่ง

จากนั้นเขาก็ฟันมันลงมา

แม่นางกงซุนที่ยืนอยู่มิไกล นางได้จัดแจงทรงผมของนางจากนั้นมือของนางก็ปรากฏมีดบินอีกห้าเล่มขึ้นมา ครานี้เป้าหมายของนางคือโหยวเป่ยโต้ว !

หากนางฆ่าปรมาจารย์ได้หนึ่งคน ก็หมายความว่าปรมาจารย์จะน้อยลงหนึ่งคน โลกใบนี้…มิจำเป็นต้องมีปรมาจารย์มากมายถึงเพียงนี้ !

นางตวัดมือแล้วกำลังจะยื่นออกไป แต่ทว่ากลับชะงักลง !

ดวงตาของนางที่สลัว บัดนี้กลับกระจ่างยิ่ง

นางมองไปยังเมฆหมอก…ตรงที่ไกลออกไปนั้น ดูเหมือนมีใครบางคนกำลังจ้องมาทางนาง ในมือกำลังถือคันธนูอยู่

นางมองเห็นลูกศรนั่นพุ่งตัดหมอกหนาเข้ามาหานาง !

ลูกศรมาจากทางตะวันออก ไร้เสียงไร้ร่องรอยตัดผ่านหมอกหนาเข้ามา มองดูแล้วคล้ายกับอยู่ไกล แต่ก็มาถึงในเวลาอันรวดเร็ว

นางมองไปยังลูกศรดอกนั้น เดิมทีควรที่จะลุกเป็นไฟ แต่มันกลับมืดมนราวกับแววตาแห่งมัจจุราช

แววตานั้นจ้องมายังคำลอของนาง นางส่งเสียงอู้อี้ออกมา จากนั้นก็หงายหลังล้มลงจากต้นสนดัง  ตุ๊บ… !  

ร่างของนางนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น เลือดสีแดงสดทะลักออกมา ดวงตายังคงเบิกกว้าง ในแววตาราวกับยังคงมีเงาของลูกศรดอกนั้นอยู่ !

 

ภายในเรือนคฤหาสน์จิ้งหูได้มีผู้คนมาเยือนถึง 11 คน
พวกเขาสวมชุดดำ แต่มิได้คลุมหน้าด้วยผ้า ราวกับมิเคยมีความคิดที่จะอำพรางหน้าตา และมิคิดว่าตนเองจะทำงานครานี้พลาด
การที่ผู้แข็งแกร่งระดับปรมาจารย์โหยวเป่ยโต้วปรากฏตัวในที่นี้ มิใช่เรื่องน่าแปลกใจสำหรับพวกเขา
ผู้แข็งแกร่งแนวหน้าทั้งสิบเอ็ดคนต่อกรกับปรมาจารย์หนึ่งคน การต่อสู้ครานี้อย่างน้อยก็มีโอกาสชนะถึงเจ็ดส่วน ส่วนเรื่องผู้มีฝีมือขั้นสามของฟู่เสี่ยวกวน… ก็เป็นเพียงแค่มดตัวหนึ่งเท่านั้น แม้ว่าเขาจะเป็นเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของภารกิจนี้ก็ตาม
ชายชราชุดดำในกลุ่มนั้นคำนับให้แก่โหยวเป่ยโต้ว และกล่าวว่า “นี่คือคำสั่งที่ได้รับมา หากท่านผู้อาวุโสโหยวออกไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ เบื้องบนย่อมมีรางวัลใหญ่ให้เป็นแน่ ! ”
โหยวเป่ยโต้วเหลือบสายตามอง “ต้วนหยุนโฉว ในเมื่อเจ้าออกมาจากภูเขาดาบแล้ว คาดว่ากระบวนท่ากระบี่ของเจ้าคงสำเร็จแล้ว… จั่วซีฮวานี่ก็หลายปีมาแล้ว เจ้ายังมิก้าวหน้าไปไหนอีกหรือ… กันปู้หุ่ยหลายปีมานี้เจ้าเอาแต่หลบอยู่ในแดนเหนือ ถึงแม้สถานที่นั้นจะหนาวเหน็บไปสักเล็กน้อย แต่ก็ปลอดภัยยิ่ง แล้วเหตุใดเจ้าถึงวิ่งออกมาตายกัน โอวหยางจึ ในอดีตข้านั้นยังนึกเคารพเจ้าแต่คาดมิถึงว่าจะกลายเป็นสุนัขรับใช้ของผู้อื่นไปเสียแล้ว…”
โหยวเป่ยโต้ววิจารณ์แต่ละคนไปเรื่อย ๆ ฟู่เสี่ยวกวนตั้งใจฟัง แต่กลับไร้ความสามารถที่จะจับคู่ชื่อที่โหยวเป่ยโต้วเอ่ยออกมากับผู้คนเหล่านั้น
แต่เขาฟังจนจับใจความที่อยู่ในนั้นได้ คนเหล่านี้ต่างก็เป็นผู้มีฝีมือระดับสูงของแต่ละสำนัก หรือก็คือจอมโจรที่มีชื่อเสียงของยุทธภพ !
และกล่าวได้ว่า ความสามารถของทั้งสิบคนนี้สูงส่งเป็นอย่างมาก !
เขาอดที่จะหันไปมองโหยวเป่ยโต้วด้วยความกังวลใจมิได้ สองมือสอดเข้าไปในแขนเสื้อ และจับปืนกระบอกเล็กเอาไว้
คาดมิถึงว่าต้วนหยุนโฉวและคนอื่น ๆ จะอดรนทนรอจนโหยวเป่ยโต้วกล่าวจบ เขายกมือขึ้นคำนับโหยวเป่ยโต้วอีกครา “ยังจดจำได้ว่าในอดีตท่านผู้อาวุโสจะสังหารด้วยอารมณ์ มิพูดมิจา แต่บัดนี้ท่านผู้อาวุโสกลับกล่าวมาเสียมากมาย คาดว่าท่านผู้อาวุโสคงชราแล้ว…ได้ยินมาว่าปีนี้ได้ประลองฝีมือกับศิษย์น้องเจี่ยหนานซิงที่ภูเขาลั่วเหมย โค่นดอกเหมยไปนับหมื่นดอก แต่ท่านผู้อาวุโสก็ได้รับหมัดจากเจี่ยหนานซิงจนบาดเจ็บที่ปอด ท่านผู้อาวุโสก็อายุมากแล้ว เหตุใดจึงมิใช้ชีวิตบั้นปลายเฝ้ามองต้นเหมยที่ภูเขาลั่วเหมยกัน ? ”
โหยวเป่ยโต้วลูบเคราและยกยิ้ม “ข้าเองก็อยากจะอยู่ดูแลต้นเหมยบนภูเขาลั่วเหมยนั่นเช่นกัน แต่เยี่ยงไรเสียยุทธภพก็ยังมีคนชั่วเฉกเช่นพวกเจ้าอยู่ พอดีกับที่ต้นเหมยบนภูเขาลั่วเหมยของข้ากำลังขาดแคลนสารอาหารไปเล็กน้อย ประเดี๋ยวพอข้าสังหารพวกเจ้าแล้ว จะนำไปฝังไว้บนภูเขาลั่วเหมย คาดว่าในปีหน้าต้นเหมยจะต้องงามขึ้นอย่างแน่นอน”
กันปู้หุ่ยอ้าปากกว้าง “มิต้องไปต่อปากต่อคำกับเขาแล้ว ตาเฒ่าสวรรค์ได้กำหนดเอาไว้แล้วว่าเจ้าจะมาที่นี่ ในเมื่อเจ้าได้มาแล้ว เยี่ยงนั้นก็ทิ้งชีวิตไว้ที่นี่เสีย ! ”
“พี่น้องทุกท่าน…ฆ่ามันเสีย ! ”
ต่อจากนั้นก็เกิดเสียงคำราม เงาของร่างทั้งสิบเอ็ดเกิดการเคลื่อนไหว ฟู่เสี่ยวกวนเห็นประกายไฟที่สว่างริบหรี่ในเมฆหมอกที่กดต่ำลงมา
โหยวเป่ยโต้วยืดตัวขึ้น แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับไม่เห็นเขาชักกระบี่ออกมา
กระบี่เล่า ?
โหยวเป่ยโต้วมิได้ใช้กระบี่ คาดมิถึงว่าเขาจะใช้ฝ่ามือ !
หมัดขวาของเขาวาดกลางอากาศอยู่สองเส้น ราวกับวาดตัวกากบาท ดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนเบิกกว้าง กากบาทตัวนั้นได้ทิ้งร่องรอยไว้ในใจกลางเมฆหมอก มองขึ้นไปราวสามจั้ง คาดมิถึงว่าจะสกัดกั้นกระบี่ที่สับลงมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับบานประตู !
ดาบและกระบี่เหล่านั้นปะทะเข้ากับสองเส้นนั้น คาดมิถึงว่าจะเกิดเสียงกระทบกันของโลหะ !
“กระบี่มือ ท่านผู้อาวุโสช่างเก่งกาจอย่างแท้จริง” ต้วนหยุนโฉวถอยไปราวสามสิบก้าวในชั่วพริบตานั้น เขาลากดาบไปตามทาง ดาบยาวเสียดสีกับก้อนหินบนพื้นจนเกิดเป็นประกายไฟ ทันใดนั้นเขาก็กู่ร้องออกมาเสียงดัง “ท่านผู้อาวุโสเตรียมรับดาบทลายภูผาของข้าไปเสีย ! ”
ร่างของเขาลอยขึ้นจากพื้น เข้าไปกลางหมอกราวสิบจั้ง แต่ดาบเล่มนั้นก็ยังคงมีประกายไฟอยู่
สองมือของเขากุมที่ด้ามดาบ หมุนกลางอากาศ ดาบยาวนั้นตัดผ่านหมอกบาง เกิดเป็นวงขึ้นมา สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“เพล้ง… ! ”
“แกร้ง… ! ”
ในชั่วพริบตาที่ดาบยาวของเขาฟาดฟันลงบนกากบาทตัวนั้น อีกสิบคนที่เหลือก็กระจายตัวออก ตั้งเป็นวงล้อมรอบ โอบล้อมฟู่เสี่ยวกวนและโหยวเป่ยโต้วเอาไว้ เวลานี้เขาจึงได้เห็นจิตสังหารบนใบหน้าของทิ้งสิบคนในพลัน
มีกระบี่พุ่งตรงมายังฟู่เสี่ยวกวน ดาบตวัดไปทางโหยวเป่ยโต้ว มีกระบองหนึ่งด้ามพุ่งมาสกัดทางหนีของทั้งสองคนเอาไว้ และมีพู่กันพิพากษาที่พุ่งมาตามลมปราณของโหยวเป่ยโต้ว ไอรีนโนเวล
สีหน้าของโหยวเป่ยโต้วคร่ำเครียด ครุ่นคิดว่าบุตรนอกสมรสของฝ่าบาทผู้นี้เป็นเพียงแค่ตะเกียงไร้น้ำมัน หากมิมีเขาที่อยู่ ณ ที่นี้ ข้าคงใช้กลยุทธ์เดินหน้าเพื่อเอาชนะทีละคนไปแล้ว
แต่ในตอนนี้เขามิเพียงแต่จะเคลื่อนตัวมิได้ เขายังต้องคุ้มกันความปลอดภัยให้กับฟู่เสี่ยวกวนอีกด้วย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าการต่อสู้ครานี้มันมิยุติธรรมยิ่ง
มือของฟู่เสี่ยวกวนได้กุมปืนที่อยู่ในแขนเสื้อมาเนิ่นนานแล้ว
สายตาของเขาจับจ้องไปยังใบหน้าของผู้ที่แทงหนึ่งกระบี่มาทางเขา เขาคือผู้อาวุโสจั่วซีสุ่ยแห่งป่ากระบี่ !
โหยวเป่ยโต้วทันทีที่แสดงตัวออกมา ก็ได้เดินวนเป็นวงกลมนั้นไปแล้วหนึ่งรอบภายในชั่วพริบตา
สองมือของเขากลายเป็นขาวผ่องราวกับหยก ในช่วงเวลาที่วนอ้อม สองมือของเขาและอาวุธนับสิบที่ถูกส่งมาก็ฟาดกระทบเข้าด้วยกัน !
“ปังปังปัง… ! ” เกิดเสียงดังขึ้นมาหลายครา คนนับสิบที่ล้อมรอบต่างถอยหลังไปราวแปดก้าว ใบหน้าของพวกเขาปรากฏร่องรอยของความตื่นตะลึง นี่คือพลังของปรมาจารย์เยี่ยงนั้นหรือ
หนึ่งต่อสิบ ความเร็วนั้นไร้ที่เปรียบ อีกทั้งกำลังยังมหาศาลอีกด้วย
หนึ่งดาบของต้วนหยุนโฉวฟันลงมาจากชั้นบรรยากาศ จนเกิดเสียง “ตูม… ! ” ดังขึ้นกลางอากาศ หลังจากที่สองเส้นกากบาทที่โหยวเป่ยโต้วได้วาดเอาไว้สั่นไหวได้สองอึดใจ ฟู่เสี่ยวกวนก็เห็นว่ามันแตกสลายไปทันพลัน
พลังของดาบยังคงแข็งแกร่ง กระบวนท่ายังสงบนิ่ง มีประกายพาดผ่านในดวงตาของต้วนหยุนโฉว แต่แล้วเขาก็เห็นดาบยาวกำลังฟาดฟันมาบนร่างของโหยวเป่ยโต้ว
“ระวัง ! ” ฟู่เสี่ยวกวนพลันลุกพรวดขึ้นยืน โหยวเป่ยโต้วเพิ่มกำลังภายในให้มากยิ่งขึ้น ในชั่วพริบตามือของเขาก็เหวี่ยงใส่ดาบเล่มนั้นจนแยกออกภายในคราเดียว !
ฝ่ามือเปรียบดังกระบี่ !
กระบี่ไร้ลักษณ์ !
แต่ต้วนหยุนโฉวที่อยู่กลางอากาศกลับเลิกคิ้วขึ้นมา พลังภายในของเขาพุ่งเข้าไปในดาบอย่างบ้าคลั่ง ตัวดาบเปล่งแสงออกมา จนทางเดินเบื้องหน้านั้นสว่างขึ้น ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เห็นว่าใต้ดาบเล่มนั้นมีดอกเหมยสีใสบานขึ้นมา
โหยวเป่ยโต้วใช้ฝ่ามือแทนกระบี่ และปล่อยกระบวนท่ากระบี่ดอกเหมยสามลีลาออกไป !
ดังนั้น คาดว่าจะเป็นดอกเหมยสามดอก
หนึ่งดอกบานใต้ดาบ อีกหนึ่งดอกบนดาบ และอีกหนึ่งดอก…
ทันใดนั้นต้วนหยุนโฉวก็พลิกร่างกลางอากาศ ดาบเล่มยาวในมือของเขาก็พลิกตามมือของเขาไปด้วยเช่นกัน จากท่วงท่าสับแปรเปลี่ยนเป็นตบ !
ดาบนั้นตบเข้าที่ดอกเหมยด้านล่าง ดาบยาวดีดออก และตบเข้าที่ดอกเหมยด้านบนอีกครา ดอกเหมยสองดอกนั้นได้สลายหายไปแล้ว เขาขบกรามแน่นและได้ยื่นมือซ้ายออกไปคว้าดอกเหมยอีกหนึ่งดอกไว้กลางอากาศ ฟู่เสี่ยวกวนจึงเห็นเลือดสีแดงสดไหลรินมาจากฝ่ามือของเขา
คาดมิถึงว่าเขาจะจับดอกเหมยช่อนั้นไว้ได้ ทั้งยังบีบจนดอกเหมยนั้นแตกกระจาย !
โหยวเป่ยโต้วขมวดคิ้วมุ่น ต้วนหยุนโฉว คาดมิถึงว่าจะก้าวเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ไปแล้วครึ่งก้าว !
ต้วนหยุนโฉวล้มลงกับพื้น เขามองไปที่ดาบยาวเล่มนั้น และหันไปมองทางมือซ้าย เขามิได้กล่าวอันใดออกมา แต่สองมือกลับจับดาบไว้แน่นอีกครา
อีกสิบกว่าคนที่เหลือยังคงดาหน้าเข้ามาในเวลาเดียวกัน ในชั่วพริบตาประกายดาบและเงาของกระบี่ก็ปกคลุมทั่วทั้งลานแห่งนี้ไปโดยปริยาย โหยวเป่ยโต้วยังคงเดินวนไปรอบ ๆ เขาโจมตีไปที่ดาบเล่มหนึ่ง และทันใดนั้นก็ได้มีกระบี่สองเล่มพุ่งถลาเข้ามาหาเขา ทั้งยังตัดพู่กันพิพากษาให้ตกหล่นไป แต่ดาบของต้วนหยุนโฉวกลับทำให้ผู้คนเปลี่ยนไปโดยไม่รู้ตัว
พลังทั้งหมดของเขาถูกทุ่มไปที่อีกเจ็ดคนที่เหลือ ฟู่เสี่ยวกวนเองก็จับตามองการต่อสู้ที่น่าตื่นตาตื่นใจนี้อย่างเคร่งเครียดเช่นกัน มือขวาของเขาค่อย ๆ ดึงออกมาจากชายเสื้ออย่างช้า ๆ
เยี่ยงไรเสียพวกเขาในที่นี้ก็คือผู้มีฝีมือระดับสูงทั้งสิบสองคน
อีกหนึ่งคนที่เหลือนั้นไปอยู่ที่ใดกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนและโหยวเป่ยโต้ว ต่างก็มิทราบเช่นกัน

ภาพของกองไฟ ไก่ย่าง ไหสุราและคนเฝ้าประตูคนหนึ่ง

หนิงซือเหยียนได้ไปยังทะเลสาบสือหลี่อีกคราเมื่อยามพลบค่ำ เขาได้ขโมยไก่แก่จากบ้านหานลู่มาอีกหนึ่งตัว แต่ในครานี้โชคมิดีนัก เขาถูกหานลู่จับได้ นางถือมีดทำครัววิ่งไล่เขาอยู่ถึง 3 ลี้

ดังนั้นกว่าจะได้กินไก่ตัวนี้มิง่ายดายเอาเสียเลย

บัดนี้ไก่ได้ย่างเสร็จแล้ว หนังกรอบเนื้อไก่ข้างในนุ่มเป็นอย่างมาก ถึงเวลาฉลองแล้ว !

เขานำไก่ที่ย่างเสร็จแล้วใส่ลงไปในชามใหญ่ ชักกระบี่นั้นออกมาแล้วเช็ดเข้ากับเสื้ออยู่สองสามที หลังจากนั้นหั่นมันเป็นชิ้น ๆ จิ้มลงในน้ำจิ้มที่เตรียมเอาไว้ แล้วโยนใส่ปากเคี้ยว อ่า ! รสชาตินี้ช่างดียิ่ง !

ในขณะที่เขากำลังเอร็ดอร่อยกับไก่ย่างตัวนี้อยู่ ก็ได้ปรากฏใครบางคนกำลังเดินเข้ามา

ให้ตายสิ !

หนิงซือเหยียนอารมณ์เสียอย่างแท้จริง

 เวลากินข้าว มิว่างส่งจดหมาย นำทางหรือสอบถามใด ๆ  

ผู้ที่ยืนอยู่นั้นเป็นชายรูปร่างกำยำ บนใบหน้าของเขามีรอยแผลเป็นจากกระบี่ที่เกือบจะฟันโดนตาซ้าย

เขาสะพายดาบเล่มใหญ่ไว้ที่หลังแล้วมองดูหนิงซือเหยียน จากนั้นจึงเอ่ยถามว่า  หากข้าต้องการชีวิตเจ้า พอจะมีเวลาหรือไม่ ?  

 รอให้ข้ากินไก่ตัวนี้ให้เสร็จก่อน 

 ข้าเองก็ต้องรีบฆ่าเจ้าแล้วกลับไปดื่มสุราเช่นกัน 

หนิงซือเหยียนขมวดคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยถามออกไป  เจ้าคือใครกัน ?  

 คลั่งดาบ ฉือมู่ !  

หนิงซือเหยียนเงยหน้าขึ้นมองดูฉือมู่ จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ  เจ้ามาคนเดียวเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 หาใช่ไม่ มากัน 13 คน หากข้าฆ่าเจ้าเสร็จเรียบร้อยก็จะสามารถกลับไปดื่มสุราได้ 

 อีก 12 คนเล่า ?  

 มิรู้ 

หากเป็นเช่นนี้ เกรงว่าฟู่เสี่ยวกวนคงจะตกอยู่ในอันตรายเป็นแน่

หลังจากได้รับข้อมูลจากคนที่หนานกงอี้หยู่ส่งมาแล้ว หนิงซือเหยียนก็พาฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานกับหยูเวิ่นหวินไปยังจายซิงถาย

จายซิงถายอันกว้างใหญ่นั้นใจกลางมิกลวง แต่มันมีพื้นที่ลับซ่อนอยู่

ในวันบวงสรวงสู่สวรรค์ สถานที่นี้จะถูกใช้สำหรับนักบวชเพื่อทำนาย ด้านในกว้างใหญ่ยิ่ง แต่ทางเข้าจะต้องเปิดกลไกตามรูปแบบที่วางเอาไว้

จายซิงถายนี้มิได้ถูกเปิดกลไกสำหรับบวงสรวงมานับร้อยปีแล้ว นับจากสถานที่แห่งนี้ถูกใช้เป็นคฤหาสน์ของราชวงศ์ก็มิมีผู้ใดเข้ามาอีก ดังนั้นผู้ที่รู้จักกลไกนี้จึงมีมิมาก แต่ในฐานะเจ้าของสถานที่แห่งนี้ แน่นอนว่าหนิงซือเหยียนย่อมรู้อย่างถ่องแท้

บัดนี้ต่งชูหลาน หยูเวิ่นหวินและบ่าวรับใช้ของพวกนางได้หลบอยู่ด้านล่างของจายซิงถาย แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับจะออกไปจากที่ตรงนี้ !

 พวกเจ้าวางใจได้ ข้ามิตายอย่างแน่นอน แม้แต่เป่ยหวังฉวนก็ยังมิอาจฆ่าข้าได้ ยังมีสิ่งใดต้องกังวลอีก ? อีกอย่าง…ข้าอยากจะเห็นนักว่าผู้ใดกันที่ต้องการชีวิตของข้า !  

หนิงซือเหยียนรู้สึกว่านี่มันช่างไร้สาระสิ้นดี เขาเพิ่งจะก้าวเข้าสู่ระดับสามเท่านั้น ฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงผู้มีฝีมือระดับหนึ่ง หากมีขั้นปรมาจารย์ปรากฏขึ้น หนิงซือเหยียนก็คงมิแปลกใจ

เขาต้องการทำสิ่งใด ?

เบื่อที่จะมีชีวิตแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

ทิ้งสาวงามทั้งสองที่ยังมิได้แม้แต่เข้าห้องหอไว้ที่นี่ เขาตายด้านกับชีวิตทางโลกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? มิหวังสิ่งใดแล้วหรือ ?

แต่เขาก็มิได้เข้าไปห้ามปรามฟู่เสี่ยวกวนแต่อย่างใด เนื่องจากว่าแต่ละคนล้วนมีสิทธิ์ในการตัดสินใจและความคิดเป็นของตนเอง

เพียงแต่เขามองไปยังกล่องสีดำที่ฟู่เสี่ยวกวนสะพายไว้แล้วคิดไปว่า เจ้าสิ่งนี้เดิมทีซูเจวี๋ยเป็นผู้สะพาย เขาคาดว่าน่าจะเป็นอาวุธของซูเจวี๋ย คาดมิถึงว่าซูเจวี๋ยและศิษย์จากสำนักเต๋าจะเดินทางไปฆ่าเป่ยหวังฉวน แต่กลับนำสิ่งนี้ทิ้งเอาไว้ให้กับฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนเขายืนนิ่งอยู่ที่นั่นทำไมกัน ?

พวกเขาเหล่านั้นคือผู้มีฝีมือทั้งสิบสองคนเชียว !

อีกประเดี๋ยวค่อยเข้าไปดูก็แล้วกัน จะได้เก็บศพเขามาด้วย ข้าเห็นแก่กวีที่เขาประพันธ์ขึ้นมาหรอก ข้าจะอนุญาตให้ฝังเขาไว้บนเขาแห่งจายซิงถายนี้ก็แล้วกัน ที่นั่นบรรยากาศมิเลวเลยทีเดียว สามารถมองเห็นเมฆหมอกได้อีกด้วย !

……

……

บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในลานกว้าง เขาจุดตะเกียงใบหนึ่ง จ้องมองไปยังชายชราที่ท่าทางครึ่งหลับครึ่งตื่นอย่างมิกะพริบตา

 เจ้าว่า…เจ้าคือโหยวเป่ยโต้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 …… 

 มิใช่ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าไปยังเกาะลั่วเหมยแห่งชางฮ่าย เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?  

โหยวเป่ยโต้วรู้สึกว่าโอรสขององค์จักรพรรดิผู้นี้ช่างน่ารำคาญยิ่ง

 ข้ามีขา 

 ข้าได้ยินมาว่าหนิงฝาเทียนเดินทางไปเกาะลั่วเหมยเพื่อประลองกับเจ้า ?  

 …… 

 ผู้ใดชนะหรือ ? อ่า ในเมื่อเจ้ามาที่นี่แล้ว แน่นอนว่าเจ้าจะต้องเป็นผู้ชนะ…แล้วหนิงฝาเทียนเล่า ? เขาตายแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 มิตาย 

 แล้วเขาได้เข้าสู่ขั้นปรมาจารย์แล้วหรือไม่ ?  

โหยวเป่ยโต้วเงยหน้าขึ้นมามองฟู่เสี่ยวกวน

บุตรนอกสมรสของฝ่าบาทผู้นี้ เขาจะสงสัยอันใดกันนักหนา ?

เรื่องราวของยุทธภพ ไปเกี่ยวข้องอันใดกับเจ้ากัน !

สิ่งที่เจ้าต้องใส่ใจตอนนี้ก็คือชีวิตเจ้าต่างหากเล่า !

แต่เมื่อนึกถึงหน้าที่ที่ฝ่าบาทประทานให้ เขาก็อดทนตอบคำถามไปว่า  เขาใกล้จะเข้าขั้นปรมาจารย์แล้ว อีกทั้งบัดนี้ก็อยู่ในเมืองกวนหยุน… 

ราวกับกังวลว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเอ่ยถามสิ่งใดออกมา เขาจึงได้เอ่ยเสริมขึ้นมาว่า  เกรงว่าบัดนี้เขากำลังร่วมดื่มชากับผู้บัญชาการราชองครักษ์เซียวจ้านในค่ายทหาร 

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง เหตุใดชื่อนี้จึงฟังดูคุ้นเคยมากยิ่งนัก ?

 เซียวจ้านคือผู้ใดกัน ?  

 พระเชษฐาของจักรพรรดินีเซียว 

 เหตุใดจักรพรรดินีเซียวจึงต้องการชีวิตข้าเช่นนี้กัน ?  

โหยวเป่ยโต้วมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาคล้ายมองพวกปัญญาอ่อน เขารู้สึกว่าบุตรนอกสมรสผู้นี้มีความฉลาดพอ ๆ กับฝ่าบาทอย่างแท้จริง

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกได้ว่าคำถามเมื่อครู่ของตนช่างไร้สาระสิ้นดี จึงได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ก่อนที่จะเอ่ยถามคำถามที่ดูไร้สาระกว่าเดิม  กระบี่ของเจ้าเล่า ?  

……

……

ดาบของฉือมู่ถูกชักออกจากฝักเสียงดัง เผยให้เห็นดาบด้านในยาวประมาณหนึ่งฉื่อ แต่มิได้เผยถึงความเยือกเย็นออกมาเลยแม้แต่น้อย

หนิงซือเหยียนรู้สึกเดือดดาลยิ่ง ไก่ตัวนี้ยังเหลืออีกตั้งครึ่งตัว หากเขาจะไปขโมยไก่มาจากจวนของหานลู่อีกครานั้นก็คงมิง่ายแล้ว แม่นางผู้นั้นคอยจับตามองเขาอยู่ ช่างน่าเสียดายอย่างแท้จริง !

 เจ้ารอสักหน่อยมิได้หรือเยี่ยงไรกัน !  

ฉือมู่มิเคยพบกับผู้ที่ห่วงการกินมากกว่าชีวิตของตนเองเฉกเช่นนี้มาก่อน !

ดังนั้นเขาจึงระมัดระวังมากยิ่งขึ้น หนิงซือเหยียนผู้ชื่นชอบสุรา มีชื่อเสียงยิ่ง

 ข้าใช้ชีวิตในคุกมา 5 ปี และได้นั่งลับดาบมาถึง 5 ปีเต็ม แทบจะอดใจรอมิได้ว่าดาบของข้าจะคมหรือไม่ ดังนั้น…ขออภัยที่ข้ามิอาจรอได้ 

หนิงซือเหยียนถอนหายใจออกมา  เจ้าลับดาบมาถึง 5 ปี แต่กระบี่ข้านั้นมิได้ใช้มาถึง 2 ปี เจ้ากำลังจะรังแกข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 หนิงฝาเทียนคลั่งอยู่กับความรักยังมีฝีมือกระบี่ที่เก่งกาจได้ คาดว่าเจ้าก็คงจะคลั่งอยู่กับสุราแต่ก็ลับกระบี่ให้คมได้เช่นกัน 

 อย่าเอ่ยชื่อของมันต่อหน้าข้า !  

หนิงซือเหยียนรู้สึกเดือดดาลมากกว่าเดิม เขาลุกขึ้นยืนแล้วชักกระบี่ออกมาท่ามกลางอากาศเสียงดังเช้ง ! ดูเหมือนจะสื่อถึงอารมณ์ที่อยู่ในใจได้เป็นอย่างดี

คลั่งมีดฉือมู่ก็ชักดาบออกมาเช่นกัน

ดาบเล่มนั้นเผยถึงพลังที่แข็งแกร่งเมื่อมาอยู่ในมือของเขา  รับดาบไปเสีย !  

 รับบ้าบออันใดของเจ้า !  

หนิงซือเหยียนจับกระบี่ยาวของเขาแล้วฟันลงอย่างไร้วี่แวว และไร้ซึ่งความปราณี

ดาบของฉือมู่กวัดแกว่งเป็นประกายท่ามกลางท้องฟ้า

ประดุจทางช้างเผือกจากสวรรคาลัย !

 เช้ง ๆ ๆ ๆ ! …  วินาทีนั้น กระบี่ยาวก็ฟันเข้าที่ดาบนั้น เสียงของโลหะกระทบกันไปมาดังสนั่น ฉือมู่ทะยายขึ้นไปในอากาศ เขาแกว่งดาบวนไปมา ราวกับกำลังรวบรวมแรงโน้มถ่วง จากนั้นเมฆหมอกก็พลันพลุ่งพล่านราวกับสายน้ำ !

 

ณ ตำหนักเจิ้งหยาง
จักรพรรดินีเซียวสวมชุดสีขาวและยืนอยู่เงียบ ๆ ในลานกว้างที่ใหญ่โตแต่ว่างเปล่าไร้ซึ่งสิ่งใด มองดูแล้วอ้างว้างยิ่งนัก
สาวใช้และขันทีที่ล้อมหน้าล้อมหลังต่างถูกนางขับไล่ออกไปด้านนอกจนหมด นางอยากอยู่อย่างสงบ
มองดูหมอกหนาปกคลุมเมืองหลวงอย่างเงียบ ๆ และรอให้เมฆลดระดับลงเพื่อที่จะได้เชยชมบรรยากาศของเมืองกวนหยุน
แน่นอน ว่านางกำลังรอการมาถึงของข่าวคราวอย่างสงบนิ่ง
การเตรียมการทั้งหมดเป็นไปตามความประสงค์ของนางอย่างสมบูรณ์แบบ ต่อจากนั้น ก็เป็นเวลาของประกายดาบและเงากระบี่
ในเมื่อฝ่าบาทได้บอกตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนกับนางแล้ว เยี่ยงนั้นฝ่าบาทย่อมวางแผนทั้งหมดเอาไว้เป็นแน่ แต่แล้วมันจะเป็นเยี่ยงไรได้ ?
หลังจากที่เรื่องจบ ฝ่าบาทย่อมบันดาลโทสะเป็นแน่ อาจจะถึงขั้นลงโทษนาง แต่นางสามารถแบกรับมันเอาไว้ได้ทั้งหมด แต่มิใช่เพราะใจของนางแข็งแกร่งพอที่จะรับมันได้ แต่เพราะนางมีต้นทุนที่จะแบกรับมันไว้ต่างหากเล่า
อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจัวอี้สิงคือคนของพระนาง โจวเปี๋ยหลีบุตรชายของจัวอี้สิงคือแม่ทัพใหญ่กองทหารม้าแห่งราชวงศ์อู๋ และภรรยาของโจวเปี๋ยหลีก็คือเซียวเวยน้องสาวของพระนาง
ผู้บัญชาการราชองครักษ์เขตวังหลวงเซียวจ้านคือพี่ชายของนาง และเป็นลุงขององค์รัชทายาท
ทั้งหมดนี้คือหมากที่อยู่ในมือของนาง !
หากฝ่าบาทหงายไพ่ที่อยู่ในมือออกมา…ตนกลัวว่าจะต้องเลือกหนทางเดียวกันกับอดีตไทเฮาเมื่อสิบสองปีก่อน อดีตไทเฮาทรงทำเพื่อราชาภิเษกองค์รัชทายาท เหตุการณ์นองเลือดแห่งทะเลสาบสือหลี่ แม้แต่อดีตจักรพรรดิก็สิ้นพระชนม์ในคืนนั้นเช่นกัน !
เป็นการดีต่อปลาในทะเลสาบสือหลี่เป็นอย่างมาก
ศพเหล่านั้นได้จมลงไปใต้ทะเลสาบ จนบัดนี้เกรงว่าแม้แต่กระดูกก็คงจะมิเหลือแล้ว
ดังนั้น จากสายพระเนตรของจักรพรรดินีเซียว ฟู่เสี่ยวกวนจะต้องตาย ก็แค่บุตรนอกสมรสเพียงหนึ่งคน เป็นไปมิได้ที่พลเรือนและทหารในราชวงศ์จะต่อสู้กับความอยุติธรรมเพื่อบุตรนอกสมรสเพียงหนึ่งคน และเป็นไปมิได้ที่จะเป็นศัตรูกับองค์รัชทายาทเพียงเพื่อบุตรนอกสมรสเพียงคนเดียว
ส่วนเรื่องที่องค์รัชทายาทมิมีใจสู้ นั่นมิได้เกี่ยวข้องกันแต่อย่างใด เมื่อถึงเวลาอย่างมากที่สุดตนก็เพียงแค่ทำงานหนักขึ้นอีกเล็กน้อย คอยช่วยเหลือเขาบริหารบ้านเมืองอยู่หลังม่านแทน
ในตอนที่จักรพรรดินีเซียวกำลังครุ่นคิด ขันทีเกาก็ได้วิ่งเข้ามา
“กราบทูลองค์จักรพรรดินี ลูกศิษย์สำนักเต๋าทั้งห้าได้เดินทางออกไปจากคฤหาสน์จิ้งหูแล้ว และกำลังจะถึงชางฮ่ายเจี้ยนหลูในมิช้า กระหม่อมได้ส่งผู้มีฝีมือระดับสูง 12 คนออกไปแล้ว และในขณะนี้ได้ทำการซุ่มโจมตีอยู่ที่คฤหาสน์จิ้งหู ภายในเมืองกวนหยุน… อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหนานกงอี้หยู่ไปที่ตำหนักหยางซินแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดินีเซียวลุกขึ้นยืนสองมือไขว้หลัง รูปลักษณ์เด่นสง่า “โจวถงถงแห่งหอเทียนจีอยู่ที่ใดกัน ? ”
สำหรับหนานกงอี้หยู่ จักรพรรดินีเซียวมิได้ใส่ใจอันใด คนผู้นี้เคยเป็นอาจารย์ของจักรพรรดิเหวิน ลำดับตระกูลในเมืองกวนหยุนก็มิได้โดดเด่นอันใด มิได้เป็นภัยคุกคามต่อนางแต่อย่างใด แต่กับผู้ที่มีท่าทางเหมือนจะหลับมิตื่นไปทั้งวันอย่างโจวถงถง… หอเทียนจีอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่าบาทโดยตรง ถึงแม้มือของนางจะยื่นเข้าไปในหอเทียนจีแต่เนิ่น ๆ แล้ว แต่กับชายชราโจวถงถงผู้นี้นางกลับยังมองให้ขาดมิได้
“กราบทูลองค์จักรพรรดินี โจวถงถงอยู่ที่หอเทียนจีตลอดและมิได้ออกมาแต่อย่างใด”
จักรพรรดินีเซียวคิ้วขมวดมุ่น หากโจวถงถงมีการเคลื่อนไหวบ้างนางคงสบายใจกว่านี้ ตาเฒ่าผู้นั้นซ่อนอยู่ในหอเทียนจีโดยมิได้ออกมาเลยเยี่ยงนั้นหรือ…หรือว่าเขาจะแก่ตัวแล้วจริง ๆ
เหตุการณ์นองเลือดที่ทะเลสาบสือหลี่เมื่อสิบสองปีก่อน เป็นตาเฒ่านั่นที่ร่วมมือกันกับไทเฮาจนประสบความสำเร็จ !
“คอยจับตามองให้ข้า… ไม่ เจ้าจงไปที่หอเทียนจีด้วยตนเอง และต้องเห็นตาเฒ่านั่นด้วยตาของตนเองเท่านั้น ! ”
“กระหม่อมจะไปประเดี๋ยวนี้ขอรับ ! ”
ในตอนที่ขันทีเกาได้หันหลังกลับและกำลังจะเดินออกไป จักรพรรดินีเซียวกลับเรียกเขาเอาไว้อีกครา “ประเดี๋ยวก่อน นำจดหมายฉบับนี้ของข้าไป และส่งให้ถือมือพี่ชายของข้าด้วย ! ”
ขันทีเกาตื่นตกใจ ชำเลืองมองจักรพรรดินีเซียวด้วยความตื่นตระหนก นี่คือการลงมือกับฟู่เสี่ยวกวน แต่กลับลากองครักษ์หลวงเข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ด้วยเยี่ยงนั้นหรือ…
“มิมีอะไร เจ้าทำตามที่ข้าสั่งเอาไว้ก็พอ หลังจากที่ประสบความสำเร็จ ข้าจะมอบความมั่งคั่งให้เจ้าไปชั่วชีวิต นอกจากนี้ บุตรชายของเจ้าก็จะได้รับผลประโยชน์ไปกับเจ้าด้วย”
ขันทีเการีบคุกเข่าลงและโขกศีรษะลงกับพื้น หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นและเดินออกไป ด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว ในเมื่อลงเรือของจักรพรรดินีเซียวแล้ว เยี่ยงนั้นก็เสี่ยงโชคเพื่อความร่ำรวยเถิด !
…..
…..
หมากรุกภายในตำหนักหยางซินก็ใกล้จะจบลงแล้ว
หมากบนกระดานนั้นยุ่งเหยิงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหมากขาวของหนานกงอี้หยู่ มองไปแล้วดูไม่เป็นระเบียบยิ่ง
เขาจะไปมีกะจิตกะใจมาเล่นหมากรุกได้เยี่ยงไรกันเล่า !
“พระนางจะเขวี้ยงมุสิกแล้วกลัวจะกระทบภาชนะอื่นเยี่ยงนั้นหรือ… ? ”
“เล่นหมากกับเจ้ามาสิบปี เจ้ามักจะกล่าวเสมอว่าข้านั้นลงหมากได้แย่ยิ่ง แต่หากเจ้ายังมิมองกระดานนี้ให้ถี่ถ้วนขึ้นอีกนิด เจ้าจะพ่ายอย่างน่าเวทนาเป็นแน่ ! ”
“ฝ่าบาท ! ”
จักรพรรดิเหวินมองเขาด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ “ข้าทราบว่าเจ้ากังวลกับสิ่งใด มิใช่องครักษ์หลวงหรอกหรือ หรือว่าเซียวจ้านผู้นั้นกล้าที่จะต่อต้านจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หนานกงอี้หยู่เองก็มองจักรพรรดิเหวิน และกล่าวด้วยท่าทีจริงจังอย่างยิ่งว่า “กระหม่อมขอบังอาจกล่าวอะไรที่มิน่าฟังเสียหน่อย ค่ำคืนเมื่อสิบสองปีก่อนที่ทะเลสาบสือหลี่ อย่าได้เกิดขึ้นซ้ำอีก ! ”
จักรพรรดิเหวินพยักหน้าเล็กน้อย “นี่มันมิเหมือนกัน เมื่อสิบสองปีก่อนเป็นพี่ชายของข้าที่สร้างสถานการณ์ขึ้นมาเพื่อชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทของข้า ไทเฮาต้องลงมาจัดระบอบบ้านเมืองอย่างมิมีทางเลือก แต่เรื่องยุ่งยากในตอนนี้คือกลับเป็นนางที่ต้องการสังหารฟู่เสี่ยวกวน บางที…ก็คงอยากลองสังหารข้าเช่นกัน นี่คือแผนการร้ายเพื่อช่วงชิงบัลลังก์ของนาง อาชญากรรมครานี้…ทำให้นางสมควรตายได้แล้วใช่หรือไม่ ? เจ้าคงมิเขียนหนังสือขอความเมตตาให้แก่นางหรอกใช่หรือไม่ ? ”
หนานกงอี้หยู่หน้าซีดเผือดทันพลัน เขาเข้าใจแล้ว ทั้งหมดนี้ คือหมากที่ฝ่าบาททรงวางไว้ทั้งสิ้น !
ฝ่าบาททรงใช้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นเหยื่อ เพื่อบังคับให้จักรพรรดินีเซียวออกมาแสดงทางเลือก
นี่คือแผนการร้าย หากจักรพรรดินีเซียวมิลงมือ ฝ่าบาทจึงจะดำเนินการต่อในภายหลัง อย่างเช่นในวันบวงสรวงสู่สวรรค์จะเขียนนามของฟู่เสี่ยวกวนลงบนพระราชโองการ หรือการจัดพิธีบวงสรวงที่วัดไท่เมี่ยว คาดว่าฝ่าบาทจะให้นามของฟู่เสี่ยวกวนได้ประทับไว้ในตำราทองคำ และอย่างเช่นการหาเหตุที่จะถอดองค์รัชทายาทที่มิมีคุณสมบัติผู้นี้ออกจากตำแหน่งองค์รัชทายาทเสีย และให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นองค์รัชทายาทแทน
จักรพรรดินีเซียวจะรับหรือมิรับกัน ?
พระนางมีเพียงแต่ต้องรับ !
และยิ่งรับไว้เร็วเท่าใดพระนางก็จะยิ่งโชคดีมากเท่านั้น !
ด้วยเหตุนั้นหมากกระดานนี้จึงได้เริ่มต้นจากฝ่าบาททรงจัดงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้ขึ้นอย่างมิมีที่มาที่ไป และตอนนี้ก็ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ดังนั้นในเทียบเชิญของแต่ละแคว้น จึงมีเพียงชื่อของฟู่เสี่ยวกวนเพียงผู้เดียว
ประการที่หนึ่งเกรงว่าจะเป็นเพราะฝ่าบาทต้องการเห็นบุตรนอกสมรสผู้นี้ด้วยพระเนตรของพระองค์เอง ประการที่สองมีความหมายว่าต้องการเชิญเหล่ากบฏมาลงโอ่ง
“กระหม่อม เกรงว่าจะทำให้วังหลวงวุ่นวายขึ้นมาพ่ะน่ะค่ะ ! ”
“ปีที่แล้วฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูได้ลงตรวจสอบการทุจริตของทั้งสิบสามสำนักอย่างเต็มกำลัง โดยมิลังเลที่จะเขย่ารากฐานของแคว้น ในยามนั้นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ของราชวงศ์หยูต่างก็กังวลว่าบ้านเมืองจะมิมั่นคง แต่ความเป็นจริงก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาชนะ ขุนนางที่ทุจริตจากทั้งสิบสามสำนักจำนวนหนึ่งพันกว่านายต่างก็ตกม้าตาย ทั้งยังใช้ประโยชน์จากตรงนั้นมาโค่นสองตระกูลจากหกตระกูลที่มีอำนาจในเมืองหลวงอย่างตระกูลชือและตระกูลเฟ่ยลงมาได้”
“เจ้าอย่าได้มองว่าสถานการณ์รบทางตะวันออกของราชวงศ์หยูในปัจจุบันนี้ย่ำแย่ ข้าจะบอกกับเจ้าให้ มิเกินสามเดือน แคว้นอี๋จะแตกพ่ายอย่างแน่นอน ! ”
หนานกงอี้หยู่ไม่เข้าใจความหมายของฝ่าบาทที่ต้องการจะสื่อถึงราชวงศ์หยู เขาจึงเอ่ยถามขึ้นมาโดยสัญชาตญาณว่า “แต่กำลังของราชวงศ์หยูบัดนี้อ่อนแอมากยิ่งนัก คลังของแคว้นก็แทบจะมิเหลืออันใดแล้ว แล้วชัยชนะจะมาจากทางใดกัน ? ”
“เพราะภายในระยะเวลาสามเดือนนั้น กองทัพชายแดนตะวันออกจะมีปืนใหญ่หงอีอย่างน้อย 100 กระบอก…ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้สร้างของสิ่งนั้น ข้าจะกล่าวเยี่ยงนี้ให้เจ้าฟัง ของสิ่งนั้นจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์รบในภายหลังอย่างแน่นอน นั่นคือเครื่องมือสังหารที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า ! ”
“มิใช่พ่ะย่ะค่ะ ปัญหาในตอนนี้ก็คือหากราชวงศ์เกิดความโกลาหล…”
จักรพรรดิเหวินหัวเราะร่า ก่อนจะลงหมากไปหนึ่งตัว และกินมังกรใหญ่ของหนานกงอี้หยู่จนหมด
“หากราชวงศ์เกิดความโกลาหลขึ้นมา ก็โยนไปให้ฟู่เสี่ยวกวนจัดการเสีย ! ”
หนานกงอี้หยู่ตกตะลึง จักรพรรดิผู้นี้ยังคงมิน่าไว้วางใจเฉกเช่นในอดีต !
“ข้าเพียงล้อเจ้าเล่นเท่านั้น เจ้าวางใจเถิด จะมิเกิดความวุ่นวายขึ้นเป็นแน่… ! ” จักรพรรดิเหวินหันมองไปบนฟากฟ้า และกล่าวอย่างมิทุกข์ร้อนอีกว่า “หากเกิดความวุ่นวายขึ้นมาจริง ๆ เจ้าจงจำไว้ว่า ราชโองการของข้าซ่อนไว้หลังป้ายแผ่นนั้นในตำหนักหยางซินแห่งนี้”

ณ ชางฮ่าย

ท้องทะเลราวกับว่าเหนื่อยล้าจากการซัดสาดคลื่นเมื่อตอนกลางวัน เมื่อท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ดวงดาวจึงปรากฏขึ้น ท้องทะเลสงบลงราวกับกระจกใส

เรือลำเล็ก ๆ ล่องลอยอยู่บนกระจกบานนี้ มีโคมไฟหนึ่งดวง โต๊ะเล็ก ๆ หนึ่งโต๊ะ และมีคนสองคน สุราสองขวดและถั่วลิสงสองจานวางอยู่บนโต๊ะ

จัวตงหลายรินสุราให้แก่เป่ยหวังฉวนหนึ่งจอก

 เรื่องราวเป็นเช่นนี้ ทำให้ท่านลำบากเสียทีเดียว ท่านปู่กล่าวว่าคืนนี้เมื่อไปถึง เขาจะขอโทษท่านด้วยตนเอง 

ความสงสัยในแววตาของเป่ยหวังฉวนยังมิจางหายไป เขาเอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า  ฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรนอกสมรสของฝ่าบาทจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?  

จัวตงหลายยิ้มเบา ๆ  คาดว่ามิผิดเพี้ยนเป็นแน่ บัดนี้บันทึกในสามปีนั้นได้หายไป แม้จะมีคนกล่าวว่าอยู่ในมือของไทเฮา แต่ประโยคนี้ไทเฮาทรงตรัสออกมาด้วยตนเอง มิมีผู้ใดพบเห็นบันทึกนั้น อีกทั้งฟู่เสี่ยวกวนกำเนิดมาจากสวี่หยุนชิงจริง ๆ แม้ว่าสวี่หยุนชิงจะแต่งงานกับฟู่ต้ากวน แต่จากที่ท่านปู่มองดูแล้ว เกรงว่าฟู่ต้ากวนจะเป็นคนของฝ่าบาท 

เป่ยหวังฉวนตกตะลึงมากยิ่งนัก เขามิรู้จักฟู่ต้ากวนมาก่อน แต่รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างไร้สาระสิ้นดี

จัวตงหลายได้อธิบายต่อไปว่า  ท่านลองคิดดูเถิดว่า เดิมทีฟู่ต้ากวนเป็นเพียงแค่จวี่เหริน แม้บรรพบุรุษจะมีที่นาในเมืองหลินเจียงบ้าง แต่ก็มิได้ใหญ่โตเฉกเช่นบัดนี้ ท่านปู่ได้ตรวจสอบฟู่ต้ากวน พบว่าในรัชสมัยไท่เหอปีที่ 41 นั้นเขาได้ซื้อที่ดินจำนวนมาก นี่หมายความว่าเยี่ยงไร ? ที่ดินมากมายเพียงนั้นต้องใช้เงินมหาศาลเลยมิใช่หรือ ?  

 บรรพบุรุษตระกูลฟู่มิได้มีเงินทองมากมายถึงเพียงนั้น ดังนั้น…ที่มาของเงิน เกรงว่าจะเป็นฝ่าบาทที่ประทานให้ จุดประสงค์เพื่อให้สวี่หยุนชิงมีชีวิตที่ดี และหวังว่าบุตรนอกสมรสผู้นั้นมีชีวิตที่ดีด้วยเช่นกัน 

ในฐานะนักบู๊ เป่ยหวังฉวนมิได้เข้าใจในเรื่องเหล่านี้เท่าใดนัก แต่เขาก็เอ่ยถามว่า  ในเมื่อฝ่าบาททรงรับรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรชายของตนตั้งนานมาแล้ว เหตุใดจึงมิรับฟู่เสี่ยวกวนกลับมาที่เมืองกวนหยุนกัน ?  

 หลังจากฝ่าบาททรงอภิเษกกับจักรพรรดินีเซียว ในตอนนั้นคาดว่าทรงตั้งใจจะรับสวี่หยุนชิงและฟู่เสี่ยวกวนกลับมา แต่เนื่องจากตอนนั้นยังมิได้ทรงแต่งตั้งจักรพรรดินี คาดว่าจะมอบตำแหน่งนี้ให้แก่สวี่หยุนชิง แต่คาดมิถึงว่าสวี่หยุนชิงจะป่วยแล้วจากไปเสียก่อน จึงทำให้แผนการของฝ่าบาทล้มเหลว จากนั้นจึงแต่งตั้งจักรพรรดินีเซียวขึ้นมาแทน 

 ฝ่าบาททรงทราบว่าหากองค์ชายในวัยเด็กมิมีมารดาคอยดูแล อีกทั้งในหลังวังเต็มไปด้วยภยันตราย จึงได้ละทิ้งความคิดที่จะรับฟู่เสี่ยวกวนกลับมาทิ้งไปเสีย อีกทั้งในตอนนั้นฟู่เสี่ยวกวนมีชื่อเสียงที่มิดีเท่าใดนัก ฝ่าบาทจึงทรงตั้งใจให้เขาได้ใช้ชีวิตเป็นพ่อค้าที่ดินแสนมั่งคั่งอย่างมีความสุขที่เมืองหลินเจียง แต่คาดมิถึงว่าต่อมาเขาจะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้าเช่นนี้ 

เป่ยหวังฉวนเอ่ยแทรกขึ้นมาว่า  ดังนั้นฝ่าบาทจึงทรงอยากพบฟู่เสี่ยวกวน และด้วยเรื่องนี้ จึงได้ทรงจัดงานชุมนุมวรรณกรรมขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 เป็นเช่นนั้น ราชวงศ์อู๋นั้นให้ความสำคัญกับการต่อสู้ มิเคยจัดงานชุมนุมวรรณกรรมเลยสักครา 

เป่ยหวังฉวนสูดหายใจเข้าลึก ๆ การลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวนที่เมืองเปียนเฉิง จัวอี้สิงให้เขาเป็นคนลงมือ แต่ผู้อยู่เบื้องหลังจัวอี้สิงคือองค์ชายสี่แห่งราชวงศ์หยู

เรื่องที่ว่าองค์ชายสี่ต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนตาย เขาเองก็เคยได้ยินมาบ้าง เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนทำให้ผู้คนมากมายในเมืองจินหลิงต้องขุ่นเคือง

บัดนี้เมื่อตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนไป กลายเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋…เช่นนั้นคนในราชวงศ์อู๋ที่อยากให้ฟู่เสี่ยวกวนตายคงมากมายเสียทีเดียว หนึ่งในนั้นต้องมีจักรพรรดินีเซียวเป็นแน่

จัวอี้สิงในฐานะอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา เหตุใดเขาจึงได้ช่วยจักรพรรดินีในการหลอกล่อผู้คุ้มกันของฟู่เสี่ยวกวนออกไปกัน ? จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่คิดสิ่งใดอยู่ ?  

ศิษย์ทั้งเจ็ดแห่งสำนักเต๋าจะมาที่นี่ หากมิใช่เพราะอาการบาดเจ็บที่หัวไหล่ หากมิไม่ใช่เพราะสุ่ยหยุนเจียนกล่าวว่าเขามิอาจยกคันธนูได้เป็นเวลาหนึ่งปีล่ะก็ เขาก็อยากจะประลองกับพวกเขาเสียจริง

น่าเสียดายยิ่ง พวกเขามาเสียเที่ยว เมื่อกลับไปที่คฤหาสน์จิ้งหูก็เกรงว่าศพของฟู่เสี่ยวกวนคงจะเย็นชืดเสียแล้ว

เขาตกตะลึงขึ้นมาทันใด ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนเป็นโอรสขององค์จักรพรรดิ ส่วนตนนั้นได้ลอบสังหารเขาที่เมืองเปียนเฉิง หากว่าฝ่าบาททรงเอ่ยถามขึ้น…มิได้ ฟู่เสี่ยวกวนจะตายมิได้ !

เขาดื่มสุราเข้าไปหนึ่งจอก นิ้วของเขาชี้มาทางจัวตงหลาย จัวตงหลายผงะทันพลัน เป่ยหวังฉวนพายเรือด้วยมือข้างเดียว เรือน้อยจึงแล่นเข้าสู่ท่าเทียบเรืออย่างรวดเร็ว

……

……

ณ พระราชวัง เมืองกวนหยุน

ตำหนักหยางซิน

หนานกงอี้หยู่ร้อนรนดั่งไฟ แต่ทว่าฝ่าบาททรงรับสั่งให้เขานั่งลง

 หากช้ากว่านี้คาดว่าจะสายเกินไป !  

จักรพรรดิเหวินยิ้มขึ้นแล้วหันหลังไปตรัสกับขันทีเสี่ยวว่า  เสี่ยวหลีจื่อ จงไปยังห้องหนังสือแล้วนำหมากรุกของข้ามา 

ขันทีเสี่ยวโค้งรับคำ หนานกงอี้หยู่ตกตะลึง  ฝ่าบาท… 

 มิได้เล่นหมากรุกกับเจ้ามานานโข ค่ำคืนนี้ท้องฟ้าช่างงดงามยิ่ง หมอกปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง คาดว่าวันรุ่งขึ้นจะได้มองเห็นเมืองกวนหยุนมีเมฆลอยไปทั่วทั้งเมือง อย่าได้กังวลไป พรุ่งนี้เช้าไปชมทะเลหมอกที่กวนหยุนถายด้วยกันเถิด 

หนานกงอี้หยู่มองไปยังจักรพรรดิเหวิน แม้จักรพรรดิเหวินจะดูสงบนิ่ง แต่คิ้วที่ขมวดเข้าหากันนั้นแฝงถึงความกังวล

สถานการณ์เช่นนี้คาดว่าฝ่าบาทจะทรงมีแผนการรับมือไว้แล้ว แต่เกรงว่าแผนการของเขาจะเปรียบเสมือนเรื่องที่ได้นั่งครองบัลลังก์มาสิบกว่าปีนี้ ช่างมิมั่นคง !

เสี่ยวหลีจื่อนำหมากรุกที่ใช้หยกทำเป็นตัวเดินหมากเข้ามา เมื่อหนานกงอี้หยู่วางหมาก จักรพรรดิเหวินก็ได้เลือกหมากสีดำ

เขาเดินหมากพลางพึมพำกับตนเองว่า  ข้าครองบัลลังก์มาสิบปี เจ้าบอกว่าข้ามิมั่นคง…ข้ามิได้จะตำหนิเจ้า แต่ข้าจะขอแก้ไขความคิดเห็นเจ้าเสียหน่อย หากเป็นห้าปีแรกนั้นข้ายอมรับ แต่ทว่าห้าปีให้หลัง ข้าได้กลับตัวกลับใจทำหน้าที่จักรพรรดิที่ดีแล้ว เจ้าเข้าใจข้าผิดไปถึง 5 ปี !  

สายตาของหนานกงอี้หยู่มองไปที่ตารางหมากรุก เขามิได้เกรงกลัวประโยคที่จักรพรรดิเหวินกล่าวมาเมื่อครู่ และยังคงวางหมากและกินหมากของจักรพรรดิเหวินถึงสามตัวได้สำเร็จ

 ในตัวของฟู่เสี่ยวกวนมีสายเลือดของฝ่าบาทไหลเวียนอยู่ สิ่งที่ฝ่าบาทควรทำคือการประกาศในการประชุมใหญ่แก่ขุนนางทั้งหลาย เช่นนี้ตำแหน่งของฟู่เสี่ยวกวนจึงจะมั่นคงได้ ในวันบวงสรวงสู่สวรรค์ก็เขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วประกาศไปทั่วหล้า เลือกวันเวลาที่เหมาะสมแล้วพาเขาไปยังวัดไท่เมี่ยว ก็จะเป็นการจบเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดายมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ  

หนานกงอี้หยู่เงยหน้ามองดูจักรพรรดิเหวิน  แต่ฝ่าบาททรงนำเรื่องส่วนตัวเหล่านี้ไปบอกแก่…จักรพรรดินี ฝ่าบาททรงรู้อยู่แก่ใจว่าจักรพรรดินีเซียวจับจ้องเรื่องราวเหล่านั้นอยู่ ที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลอบสังหารในเมืองเปียนเฉิง เป็นเป่ยหวังฉวนที่ลงมือ กระหม่อมคิดว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังนี้ต้องมีเงาของจักรพรรดินีอยู่เป็นแน่ การที่ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการเติมฟืนให้ไฟ ดีมิดีอาจเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นมาก็ได้พ่ะย่ะค่ะ ! ท่านคิดว่ามั่นคงจริง ๆ แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ในตอนท้ายเขาใช้คำว่าท่านในการเรียกองค์จักรพรรดิ แต่จักรพรรดิเหวินมิได้ใส่ใจ กลับหัวเราะออกมาแล้ววางหมากลงไปกินหมากของหนานกงอี้หยู่ถึงห้าตัว

เขาเก็บหมากห้าตัวนั้นแล้วกล่าวว่า  สิบปีมานี้ข้าเป็นจักรพรรดิที่มิได้เรื่องเยี่ยงนั้นหรือ ?  

องค์จักรพรรดิทรงนั่งหลังตรงแล้วกล่าวออกมาอย่างช้า ๆ ว่า  ข้ามีเรื่องคับข้องใจอยู่หนึ่งเรื่อง คงทำได้เพียงแค่ระบายกับเจ้าเท่านั้น !  

หนานกงอี้หยู่ตกตะลึง เขารีบยืดตัวตรงเช่นกัน  กระหม่อม กังวลยิ่ง 

 เจ้าจะกังวลสิ่งใดกัน ! ทั่วราชวงศ์อู๋นี้ มีเพียงเจ้าที่กล้าเอ่ยกับข้าอย่างจริงใจ…การจากไปของสวี่หยุนชิง มิใช่เพราะเจ็บป่วย แต่เป็นยาพิษ !  

สีหน้าของหนานกงอี้หยู่เปลี่ยนไปในฉับพลัน !

 

ห่านฟ้าจากไป นกกระจอกบินผ่านกลุ่มหมอกมากมายเพื่อกลับไปยังรัง
อาทิตย์อัสดง เหลือเพียงเส้นสีแดงเรือง ๆ ที่ขอบฟ้า
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินกำลังลิ้มรสมันเทศที่เพิ่งย่างเสร็จใหม่ ๆ รู้สึกว่ารสชาตินี้ช่างหอมหวานมากยิ่งนัก และได้รู้สึกเสียใจกับสาวน้อยซูซูอยู่มิน้อย
ครุ่นคิดว่าซูซูจะต้องชอบรสชาติของมันเทศนี้มากเป็นแน่ แต่น่าเสียดายที่นางติดตามศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยและคนอื่น ๆ ออกไปจากคฤหาสน์จิ้งหูไปแล้ว กล่าวว่าจะไปตามล่าเป่ยหวังฉวน ส่วนเรื่องของยุทธภพเหล่านั้น ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินมิได้นำมาใส่ใจ ยุทธภพนั้นอยู่ห่างไกลจากพวกนางอย่างมาก สิ่งที่สำคัญกับพวกนางมากที่สุดในตอนนี้คือเปิดร้านแรกที่เมืองกวนหยุนนี้
ในขณะนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังฝึกพลังตัวเบาอยู่ที่ลานบ้าน หนิงซือเหยียนก็ได้เดินเข้ามา และส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้แก่เขา
“กล่าวว่าข้าต้องส่งให้ถึงมือของเจ้าด้วยตนเอง”
“ผู้ใดส่งมากัน ? ”
“หลังจากที่กล่าวเยี่ยงนั้นและส่งจดหมายให้ข้าแล้ว ก็เดินจากไปทันที”
เอาเถอะ ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงเบื้องหน้าโต๊ะไม้ ในขณะที่กำลังแกะจดหมายก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า “โต๊ะหินก่อนหน้านั้นซื้อจากที่ใดกัน หากสะดวกก็ซื้อมาอีกสักตัวเถอะ วางโต๊ะไม้เยี่ยงนี้ไว้ภายในเรือนมันค่อนข้างจะ…”
เขายังกล่าวออกมาไม่จบประโยค เพราะเขาได้เปิดจดหมายฉบับนั้นและได้อ่านมันแล้ว
สองตาของเขาเบิกกว้าง และกล่าวออกมาด้วยความตกใจอย่างยิ่ง “นี่มันอะไรกัน ! ”
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินต่างแตกตื่น และปรี่มาทันพลัน “เกิดเรื่องอันใดขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ข้อความบนจดหมายมีอยู่ว่า
“ตามรายงานลับในวังหลวง เมื่อคืนวาน ณ ตำหนักเจิ้งหยางจักรพรรดิเหวินได้กล่าวกับจักรพรรดินีเซียวด้วยตนเองว่า ฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรชายของข้าและสวี่หยุนชิง ที่คลอดที่เมืองจินหลิง !
ยามที่ได้ยินข่าวนี้ ข้าน้อยตกตะลึงมากยิ่งนัก จึงนึกถึงข่าวที่เคยลือกันในวังหลวงขึ้นมาได้ ข่าวลือมีอยู่ว่าจักรพรรดิเหวินมิได้ชอบจักรพรรดินีเซียว เพราะเขารักสวี่หยุนชิงแต่เพียงผู้เดียว ระหว่างทั้งสองคนในรัชสมัยไท่เหอปีที่สี่สิบจนถึงปีที่สี่สิบสาม ได้ไปมาหาสู่กันหลายต่อหลายครา ทั้งยังคลอดบุตรชายมา 1 คน
ข้าน้อยได้ตามสืบข่าวนี้มาโดยตลอด แต่ก็ยังมิมีผลลัพธ์ใด ๆ เพราะประวัติที่เกี่ยวข้องกับองค์รัชทายาทอู๋ฉางเฟิงในสามปีนั้นได้หายไป ปัจจุบันนี้ได้ยินมาว่าตกอยู่ในมือของไทเฮา
ข้าน้อยไร้หนทางที่จะเข้าไปในตำหนักของไทเฮา ยากจะบอกได้ว่าเป็นความจริงหรือความเท็จ เดือนสิบสองโปรดนำไปแจ้งให้เจ้านายรับทราบด้วย มิว่าจะจริงหรือเท็จ ก็ต้องระมัดระวังเอาไว้
นอกจากนี้ หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนมาถึงเมืองกวนหยุน จักรพรรดินีเซียวได้เรียกหัวหน้าขันทีเกาไปเข้าเฝ้าที่สำนักในถึงสองครา โปรดนำข้อความนี้กราบเชิญจักรพรรดิเหวิน ข้าน้อยเกรงว่าจักรพรรดินีเซียวกำลังคิดจะทำอันตรายบางอย่างต่อฟู่เสี่ยวกวน”
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินแทบจะหันไปมองหน้าฟู่เสี่ยวกวนในเวลาเดียวกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึงอย่างถึงที่สุด
“เจ้าเป็นบุตรชายของจักรพรรดิเหวินเยี่ยงนั้นหรือ ? ” สตรีทั้งสองต่างกล่าวออกมาพร้อมกันด้วยความตกตะลึง
หนิงซือเหยียนผงะ หลังจากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง
“ดูเหมือนว่างานเฝ้าประตูของข้านั้นจะมิเลวเสียทีเดียว คาดมิถึงว่าเจ้าจะเป็นโอรสของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ ! ”
“ไสหัวไป… ! ” ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกไม่ดีไปทั่วทั้งร่าง “นี่ต้องเป็นแผนการร้ายเป็นแน่ ! ”
“ถึงแม้เจ้าจะเก่งกาจอย่างแท้จริง แต่เจ้าคิดว่าจักรพรรดิเหวินจะวางแผนการร้ายต่อเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็นึกถึงตอนที่จักรพรรดิเหวินเรียกเขาให้ไปเข้าร่วมประชุมใหญ่ราชวงศ์บนพระราชวังจวี้หัว นึกถึงท่าทางดีใจและตื่นเต้นของจักรพรรดิเหวินที่แสดงออกมาตอนอยู่บนกวนหยุนถาย และนึกถึง ณ วันประชุมใหญ่ราชวงศ์ จักรพรรดิเหวินได้ถอนราชโองการที่จะให้องค์หญิงไท่ผิงสมรสกับผู้ที่ชนะงานชุมนุมวรรณกรรม… ทั้งตนเองยังเคยนินทาเอาไว้ว่าตนนั้นเป็นบุตรนอกสมรสของจักรพรรดิเหวินใช่หรือไม่ เป็นเรื่องจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?
จ้องมองใบหน้าที่มึนงงของฟู่เสี่ยวกวนบัดนี้แล้ว หนิงซือเหยียนพลางดื่มสุราไปหนึ่งอึกก่อนจะกล่าวอีกว่า “หากเจ้าเป็นองค์ชายอย่างแท้จริง ก็เป็นโชคดีของราชวงศ์อู๋แล้ว องค์รัชทายาทอู๋กานในตอนนี้…” หนิงซือเหยียนส่ายหน้า “ข้าเคยพบคนผู้นั้นที่หลิวหยุนถาย ณ ทะเลสาบสือหลี่ เขามิมีคุณสมบัติขององค์รัชทายาท และมิมีคุณสมบัติของโอรสสวรรค์เลยแม้แต่น้อย ชายผู้นั้นเชี่ยวชาญเรื่องเคล้าสุราและการพนันเป็นอย่างดี แต่สิ่งเดียวที่มิเชี่ยวชาญก็คือการปกครองแคว้นอู๋”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เขาก็หันหน้าไปมองฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวอย่างจริงจังว่า “แต่มารดาของเขาคือจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน จักรพรรดินีเซียวเป็นสตรีที่มีความสามารถยิ่ง จักรพรรดิเหวินในตอนนั้นมิปลาบปลื้มนาง แต่นางกลับหาหนทางผ่านองค์ไทเฮา กลายมาเป็นสตรีของเหวินตี้ และก็ได้กลายมาเป็นจักรพรรดินี หนึ่งในปัจจัยนั้นย่อมมีตระกูลเซียวอยู่เบื้องหลังเป็นแน่ แต่ที่ยอดเยี่ยมก็ยังคงเป็นความสามารถของจักรพรรดินีเซียว”
“หากเรื่องนี้เป็นความจริง…” หนิงซือเหยียนจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาจริงจังมากยิ่งนัก “เจ้าก็ควรจะต้องระวังตัวมากขึ้นแล้ว ! ”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็ได้เดินจากไป แต่ในใจกลับคิดว่าหน้าที่ผู้เฝ้าประตูนี้…ดูเหมือนจะมิใช่งานที่ดีแล้ว !
…..
…..
แทบจะในช่วงเวลาเดียวกัน ภายในจวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย หนานกงอี้หยู่กำลังร้องเพลงหยอกล้อกับหลานชายในสวนดอกไม้ด้านหลังเรือน เจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งจากหอเทียนจีก็ได้เดินเข้ามาในจวนแห่งนี้ เมื่อมาถึงยังสวนดอกไม้ด้านหลัง ก็ได้ส่งจดหมายให้กับหนานกงอี้หยู่ด้วยท่าทีนอบน้อม
เขาเปิดอ่านในทันที ท่าทางมิได้แตกต่างไปจากฟู่เสี่ยวกวน เขาแทบจะกระโดดลอยตัวขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกยากที่จะเชื่อได้ “นี่มันอะไรกัน ? ”
ด้วยเสียงที่ดังมากยิ่งนัก และท่าทีที่เกินกว่าเหตุ ได้ทำให้หลานชายตัวน้อยที่กำลังหัดเดินตกใจจนล้มลง และร้องไห้จ้าในทันที
มือใหญ่ของหนานกงอี้หยู่โบกสะบัด และกล่าวกับสตรีชราผู้นั้นว่า “พากลับไปหามารดาของเขาก่อนเถิด”
เขาหันหน้าไปหาเจ้าหน้าที่ผู้นั้น “เป็นไปได้เยี่ยงไรกัน โจวถงถงเล่า ข้าต้องการพบเขา ! ”
“เรียนท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ที่หอเทียนจีมีเรื่องด่วนให้จัดการ จึงสั่งให้ข้าน้อยนำข่าวคราวนี้มามอบให้แก่ท่าน”
“ใต้หล้านี้ยังมีเรื่องอันใดที่เร่งด่วนยิ่งกว่าเรื่องนี้อีกเยี่ยงนั้นหรือ เป็นความจริงเยี่ยงนั้นหรือ หาบันทึกส่วนตัวของสามปีนั้นเจอแล้วหรือ ? เจ้าสุนัขนั่นอย่าได้ก่อเรื่องผิดพลาดน่าอับอายเหล่านั้นขึ้นมาอีกเป็นอันขาด ! ”
“เรียนท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ฝ่าบาททรงตรัสออกมาด้วยพระองค์เอง ย่อมเป็นความจริงขอรับ”
หนานกงอี้หยู่จึงได้สงบลงมา สองตาชราคู่นั้นกลิ้งกลอกไปมา ฝ่าบาททรงโยนเรื่องนี้ออกมาในยามนี้ พระองค์ต้องการทำอันใดกันแน่ ?
แก้ไขนามให้ฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ?
มิถูกต้อง หากต้องการแก้ไขนามให้ฟู่เสี่ยวกวน ก็ต้องเป็นวันบวงสรวงสู่สวรรค์
เขานึกถึงเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกเป่ยหวังฉวนลอบสังหารที่เมืองเปียนเฉิงแห่งราชวงศ์อู๋ขึ้นมา นึกถึงการปะทะระหว่างฟู่เสี่ยวกวนและเกาหยาเน่ยที่หอจิ้นสุ่ย ณ ทะเลสาบสือหลี่ และเขาก็นึกถึงตนเองที่ขัดขวางพระราชโองการฉบับนั้นอย่างสุดกำลังได้…ดูเหมือนว่า ฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นบุตรนอกสมรสของฝ่าบาทอย่างแท้จริงเสียแล้ว !
ทุกอย่างที่ฝ่าบาทฝ่าทรงตรัสกับจักรพรรดินีเซียว คาดว่าเป็นเพราะจักรพรรดินีเซียวมีความประสงค์ที่จะสังหารฟู่เสี่ยวกวน
หากฟู่เสี่ยวกวนได้ใช้แซ่อู๋และเปลี่ยนชื่อเป็นอู๋เสี่ยวกวนจริง ๆ และได้กลายมาเป็นองค์รัชทายาทของราชวงศ์อู๋…เขานึกไปถึงบทสนทนาที่ได้สนทนากับฟู่เสี่ยวกวน ณ กวนหยุนถาย และก็ได้รู้สึกว่านั่นเป็นเรื่องที่ดี
องค์รัชทายาทอู๋กานในปัจจุบัน…สาหัสเกินจะทน เยี่ยงนั้นปัญหาในตอนนี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว ด้วยแผนการของจักรพรรดินีเซียว พระนางจะยอมให้ฟู่เสี่ยวกวนที่เป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียงมายึดตำแหน่งรัชทายาทได้เยี่ยงไร
พระนางย่อมลงมือกับฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่ !
แต่พระนางมิสามารถกระทำอย่างโจ่งแจ้งได้ เพราะฝ่าบาทได้เปิดเผยตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนกับพระนางแล้ว พระนางจึงสามารถกระทำได้เพียงในที่ลับ…ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนมีผู้มีฝีมือระดับสูงจากสำนักเต๋าถึง 5 คน แม้แต่เป่ยหวังฉวนก็ยังสังหารเขามิสำเร็จ พระนางยังมีหนทางอื่นอยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?
ในยามที่หนานกงอี้หยู่กำลังครุ่นคิดอย่างหนัก เจ้าหน้าที่จากหอเทียนจีผู้นี้ก็ได้กล่าวขึ้นมาอีกว่า
“ช่วงยามเย็น หอเทียนจีได้รับข่าวมาว่า ข่าวคราวที่เป่ยหวังฉวนอยู่ที่ชางฮ่ายเจี้ยนหลู มันถูกส่งผ่านทางหัวหน้าขันทีเกาไปแล้ว”
“มอบให้ผู้ใดกัน ? ”
“ลูกศิษย์สำนักเต๋ารวมตัวกันที่เมืองกวนหยุน เพื่อล่าสังหารเป่ยหวังฉวน”
หนานกงอี้หยู่จิตใจสั่นสะท้าน “ลูกศิษย์สำนักเต๋าพบเบาะแสของเป่ยหวังฉวนแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“พวกเขาออกไปนอกเมืองแล้ว”
“ล่อเสือออกจากถ้ำเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิดีแล้ว ! ”
“เตรียมรถ เดินทางเข้าวังหลวง ! ”
“รีบไปแจ้งให้ฟู่เสี่ยวกวนทราบ รีบไปประเดี๋ยวนี้ ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกจากจวนนี้ไปพร้อมกับแผนที่เดินเรืออันล้ำค่าสองแผ่น

บัดนี้ยิงฮวากล่าวกับจิ่งเปียนสงเอ้อว่า  ท่านจิ่งเปียน ข้าได้ยินมาว่าที่แคว้นหยูมิมีท่าเรือ ท่านว่าใต้เท้าฟู่ต้องการแผนที่เดินเรือนี้ไปทำไมกัน ?  

จิ่งเปียนสงเอ้อครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า  บางทีอาจเป็นเพราะแคว้นหยูมิมีท่าเรือ เขาถึงได้รู้สึกแปลกใจก็เป็นได้ 

ยิงฮวาขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย  หากว่า…หากว่าเขาเดินทางตามเส้นทางนั้นแล้วนำเรือรบเข้าโจมตีแคว้นเราจะเป็นเยี่ยงไร ?  

จิ่งเปียนสงเอ้อหัวเราะออกมาเสียงดัง  อย่าว่าแต่แคว้นหยูเลย ต่อให้เป็นแคว้นอู๋ที่มีท่าเรือ แต่ทว่าพวกเขาก็มิได้มีเรือรบ…  เขาชะงักลง แล้วเอ่ยออกมาอีกว่า  ฝ่าบาทมิว่าจะเป็นราชวงศ์อู๋หรือราชวงศ์หยู พวกเขาต่างก็มีที่ดินผืนใหญ่และทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์มากมาย มิต้องใช้ชีวิตท่ามกลางทะเลเยี่ยงพวกเรา ท่านเดินทางมาที่นี่กว่าครึ่งปีแล้วคงจะเห็นว่า ที่ดินของพวกเขาอุดมสมบูรณ์และอุดมไปด้วยผลิตภัณฑ์มากมาย พวกเขาใช้ชีวิตและทำงานอย่างสงบสุขอิ่มเอมใจ ชีวิตของพวกเขาแตกต่างจากพวกเราโดยสิ้นเชิง 

 ที่ทะเลนั้นอันตรายยิ่งนัก พวกเขามิจำเป็นต้องเอาชีวิตมาเสี่ยง ดังนั้นจึงมิมีความเป็นไปได้เลยที่พวกเขาจะรุกรานแคว้นของพวกเรา สิ่งที่พวกเราต้องทำคือสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับแคว้นเหล่านี้และส่งเสริมด้านการค้าระหว่างแคว้น เพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ 

ยิงฮวาพยักหน้าคล้ายกับเข้าใจ ทันใดนั้นสายตาของนางก็เป็นประกายแล้วเอ่ยถามว่า  ในเมื่อท่านฟู่เชิญชวนพวกเราให้ก่อตั้งสถานทูตขึ้น ณ แคว้นหยู…ท่านจิ่งเปียนหลังจากงานชุมนุมวรรณกรรมแห่งราชวงศ์อู๋สิ้นสุดลง ข้าสามารถเดินทางไปดูแคว้นหยูพร้อมกับท่านใต้เท้าฟู่ได้หรือไม่ ?  

จิ่งเปียนสงเอ้อเข้าใจความคิดขององค์หญิงเป็นอย่างดี หากว่าองค์หญิงเจ็ดสามารถแต่งงานกับฟู่เสี่ยวกวนได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดียิ่ง ได้ยินมาว่าเมืองจินหลิงเป็นเมืองที่มีความรุ่งโรจน์ อีกทั้งฟู่เสี่ยวกวนก็มีตำแหน่งหน้าที่ตั้งแต่อายุยังน้อย หากองค์หญิงเจ็ดได้เป็นภรรยาของฟู่เสี่ยวกวน…ต่อให้เป็นอนุภรรยา ก็ยังมีชีวิตที่ดีกว่าการอาศัยอยู่ที่แคว้นของพวกเขามากนัก

แต่ว่า…  ฟู่เสี่ยวกวนมีชื่อเสียงโด่งดังเป็นอย่างมาก ได้ยินมาว่าเขาและองค์หญิงเก้าแห่งราชวงศ์หยูมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เกรงว่าเขา… 

ยิงฮวาหน้าแดงแล้วก้มลงมองพื้น นางคงคิดมากไปเอง ใต้เท้าฟู่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วทั้งหล้า จะรับคนจากต่างแคว้นเยี่ยงนางไปเป็นภรรยาได้เยี่ยงไร ?

 ข้าเพียงอยากเห็นว่าเมืองจินหลิงรุ่งโรจน์เพียงใดก็เท่านั้นเอง ข้าเพียงต้องการทำเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้แก่แคว้นของพวกเรา 

 ฝ่าบาท…เรื่องนี้ค่อยเจรจากันอีกครา 

……

……

หลังจากเดินทางออกมาจากสถานทูตของแคว้นหลิวแล้ว เติ้งซิวก็ได้พาฟู่เสี่ยวกวนไปยังแคว้นลี่ต่อ และไม่นาน เขาก็ได้รับแผนที่เดินเรืออีกหนึ่งแผ่น แคว้นลี่นั้นอยู่มิไกลจากแคว้นหยูเท่าใดนัก มีเพียงแคว้นหลางหยากั้นเอาไว้เท่านั้น

หากจะเดินทางจากแคว้นลี่ไปแคว้นหยู จะต้องข้ามผ่านแคว้นหลางหยา เมื่อเข้าเขตแดนหลางหยาแล้วก็จะถึงชายแดนตะวันออกของแคว้นหยู

แต่ทว่าแคว้นหลางหยามิอนุญาตให้แคว้นลี่เทียบท่า ดังนั้นแคว้นลี่จึงมิอาจไปยังแคว้นหยูได้ ส่วนเหตุผลก็คือ…ราชทูตจากแคว้นลี่กล่าวว่า เดิมทีทั้งสองแคว้นนั้นเคยสู้รบกันมาก่อน จึงทำให้มีความสัมพันธ์ที่มิค่อยดีนัก

บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิมีอารมณ์ไปจัดการเรื่องนี้ จึงได้เอ่ยลาและเดินทางไปยังสถานทูตหลู่ซ่ง

ฟู่เสี่ยวกวนเดินตามชายชราเข้ามาในสถานทูตหลู่ซ่ง จากนั้นเขาก็ได้กลิ่นหอมอันคุ้นเคย

เขายืนอยู่ที่กลางลานกว้าง แล้วสูดดมเข้าไปเต็มปอดด้วยท่าทางตื่นเต้น แต่เขากลับเอ่ยถามด้วยสีหน้านิ่งเรียบว่า  ท่านฮั่ว อ่า…กลิ่นหอมที่โชยมานี้มาจากที่ใดกัน ?  

ชายชราผมขาวจึงได้ยิ้มแล้วรีบตอบว่า  เมื่อวานพ่อค้าจากแคว้นของข้าได้เดินทางมาถึงที่นี่และนำสิ่งมิทราบชื่อนี้มาด้วย เล่าว่าขุดมาจากในป่า รสชาติมิเลว ท่านใต้เท้าอยากลองชิมดูหน่อยหรือไม่ ?  

 หากท่านสะดวก ข้าก็อยากจะขอลองชิมดูสักหน่อย 

ท่านฮั่วเดินไปยังห้องครัว จากนั้นในมือก็ได้ถือมันหวานที่เพิ่งย่างเสร็จเดินออกมาส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน

ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังสิ่งที่อยู่ในมือของเขาด้วยท่าทางดีใจ เขาหักมันหวานนั้นเป็นสองท่อน กลิ่นหวานหอมยั่วยวนใจมากยิ่งนัก

ใช่แล้ว สิ่งนี้… !

 ท่านฮั่ว ท่านยังมีสิ่งนี้อีกหรือไม่ แบบที่ยังมิได้ย่าง ?  

เขากัดเข้าไปหนึ่งคำ รสชาติหอมหวานละมุนลิ้น เมื่อนึกได้ว่าสิ่งนี้เพิ่งถูกขุดมาจากในป่า อีกทั้งยังมิมีแม้กระทั่งชื่อ หรือว่ายังมิมีการเพาะปลูกในยุคนี้กัน ?

ในชาติที่แล้วมันหวานบางทีก็ถูกเรียกว่ามันเทศ เนื่องจากถูกนำเข้ามาจากต่างประเทศ

สิ่งนี้เดิมทีมาจากอเมริกากลาง และต่อมาชาวสเปนได้นำไปปลูกในฟิลิปปินส์ พวกเขามองว่าสิ่งนี้เป็นของแปลกและห้ามนำออกนอกประเทศโดยเด็ดขาด

กระทั่งในปี ค.ศ.1593 มีชาวจีนที่ทำธุรกิจในฟิลิปปินส์แอบนำสิ่งนี้กลับมาด้วยความยากลำบาก ดังนั้นต้าเซียจึงมีมันเทศกำเนิดขึ้น

แคว้นหลู่ซ่งมีมันเทศอยู่ในมือ ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตกใจมากยิ่งนัก เหตุผลที่ทำให้เขาตื่นเต้นนั้นเนื่องจากหากสามารถเพาะปลูกสิ่งนี้ได้สำเร็จ ปัญหาด้านอาหารของราชวงศ์หยูก็จะคลี่คลายได้ง่ายขึ้น !

เจ้าสิ่งนี้ปลูกได้ในทุกสภาพดินและภูมิอากาศ ปริมาณผลผลิตก็มากเสียจนน่าแปลกใจ อีกทั้งยังสามารถเก็บรักษาได้ง่าย ที่สำคัญคือรสชาติหวานหอมมากยิ่งนัก

หากเทียบกับธัญพืชต่าง ๆ แล้วนั้น เจ้าสิ่งนี้สามารถสร้างมูลค่าได้มากมายมหาศาล

เติ้งซิวมิเข้าใจว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนถึงได้ชื่นชอบสิ่งนี้นักหนา

ท่านฮั่วจากแคว้นหลู่ซ่งก็คิดแบบนั้นเช่นกัน เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า  ยังพอมีอยู่บ้างเล็กน้อย หากท่านฟู่ชื่นชอบ เชิญนำไปเถิด 

ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้กินมันเทศที่อยู่ในมืออย่างสบายใจ เมื่อกินเสร็จเขาก็ปัดมือให้สะอาดแล้วกล่าวว่า  เช่นนั้นข้าจะมิเกรงใจแล้ว !  

จากนั้นทั้งสองก็ร่วมดื่มน้ำชากันต่อ ฟู่เสี่ยวกวนได้เชิญชวนท่านฮั่วเดินทางไปยังเมืองจินหลิงเช่นกัน ต่อจากนั้นซูเจวี๋ยก็ได้แบกกระสอบขึ้นไหล่ และเดินทางกลับไปยังคฤหาสน์จิ้งหู

พวกต่งชูหลานเดินทางกลับมาแล้ว สีหน้าพวกนางยินดียิ่งและได้เอ่ยว่า  พวกข้าหาที่ตั้งร้านได้แล้ว อยู่ในถนนฮุ่ยจินกลางเมือง เป็นทำเลที่ดียิ่ง ข้าได้สั่งให้คนซ่อมแซมร้านแล้ว คาดว่าอีกมิกี่วันก็คงจะสามารถเปิดร้านได้ 

ซูซูมองไปยังศิษย์พี่ใหญ่จากนั้นจึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า  พวกเจ้าไปขโมยสิ่งใดมา ?  

ซูเจวี๋ยวางกระสอบลง เขาได้กลิ่นหอมตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนกินมันอย่างเอร็ดอร่อย จึงตอบไปว่า  คาดว่าจะเป็นของอร่อย 

ดวงตาของซูซูเป็นประกายขึ้นมาทันที นางรีบเปิดกระสอบดูว่าด้านในคือสิ่งใดกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะแล้วกล่าวว่า  อย่าแม้แต่จะคิดเชียว สิ่งนี้มีค่ายิ่ง หากเจ้าอยากจะกินต้องรอถึงปลายปี 

หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานก็ล้อมเข้ามาล้อมดูเช่นกัน นางหยิบมันเทศที่มีขนาดประมาณกำมือผู้ใหญ่ขึ้นมา มองมิออกว่ามันมีราคาได้เยี่ยงไร จากนั้นจึงมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน

 สิ่งนี้เรียกว่ามันเทศ เปลือกด้านนอกเป็นสีแดง สามารถเพาะปลูกได้ รสชาติดียิ่ง ประเดี๋ยวข้าจะเผาให้พวกเจ้าชิม แต่ได้เพียงหัวเดียวเท่านั้น มันเทศเหล่านี้คือเมล็ดพันธุ์ ต่อไปพวกเจ้าก็จะได้กินจนเบื่อเลยหละ 

บัดนี้เป็นวันที่ยี่สิบเดือนสาม หากรีบนำสิ่งนี้ส่งไปยังซีซานให้แก่หวางเอ้อ ก็ยังทันได้ผลผลิตตอนปลายปี

เขารีบให้ชุนซิ่วเตรียมกระดาษและพู่กันมา จากนั้นก็เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับการเพาะปลูกมันเทศลงไป ต่งชูหลานและคนอื่น ๆ ต่างก็พากันสงสัย เขาเป็นพ่อค้าที่ดินที่เก่งกาจอย่างแท้จริง แม้แต่วิธีเพาะปลูกของป่าเช่นนี้ ก็สามารถบรรยายออกมาได้อย่างละเอียดยิ่ง

หลังจากปิดผนึกจดหมายแล้ว เขาก็ได้มอบมันให้แก่ชุนซิ่ว  เจ้าจะต้องกลับไปที่เมืองหลินเจียง และนำมันเทศกับจดหมายฉบับนี้ไปให้หวางเอ้อ จำไว้ว่าต้องให้เขาด้วยตนเองเท่านั้น !  

 จงไปยังเมืองฝานหนิง ไปหาท่านแม่ทัพเสวียผิงกุย และนำจดหมายฉบับนี้ไปให้แก่เขา จากนั้นเขาจะส่งคนไปคุ้มกันเจ้ากลับซีซานเอง 

ชุนซิ่วพยักหน้าจากนั้นก็มิได้รีรอแต่อย่างใด นางรีบนั่งรถม้าออกจากคฤหาสน์จิ้งหูทันที

เมื่อจัดการเรื่องใหญ่เรียบร้อยแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกโล่งอกมากยิ่งนัก

ท้องฟ้ากำลังจะมืดลง ฝานเทียนหนิงได้พาคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา เขาคือซูเตี่ยนเตี่ยน ศิษย์คนที่ห้าแห่งสำนักเต๋านั่นเอง

 ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าพบเป่ยหวังฉวนแล้ว !  

 เขาอยู่ที่ใด ?  

 ชางฮ่าย เจี้ยนหลู !  

 

เรื่องคลื่นใต้น้ำที่ก่อตัวอย่างเงียบ ๆ ของเมืองกวนหยุน ฟู่เสี่ยวกวนมิได้รับรู้อันใดเกี่ยวกับมัน

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนสาม วันที่ยี่สิบ ฟู่เสี่ยวกวนไปยังสถานทูตแห่งราชวงศ์หยู อยู่ที่นั่นเป็นเวลาครึ่งค่อนวัน เพื่อแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความที่พวกเขาประพันธ์ออกมา

เมื่อใกล้ถึงยามอู่ เขาก็ได้ออกมาจากสถานทูต พาศิษย์สำนักเต๋าทั้งสี่ไปกินมื้อกลางวันที่เซียนเค่อหลาย ดื่มชาอยู่อีกชั่วครู่ แล้วซูซูก็ตามต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินไปยังจวนติ้งกั๋วโหวอีกครา วันนี้พวกนางจะไปเจรจาเรื่องร้านค้า เหตุผลของซูซูคือคุ้มกันต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน ฟู่เสี่ยวกวนเองก็คิดเช่นนั้น มีเพียงซูโหรวเท่านั้นที่พอจะเข้าใจว่าซูซูคิดอันใดอยู่

แต่นางย่อมชื่นชอบเช่นนี้อย่างแน่นอน ลอบคิดว่าเด็กหญิงซูซูจะได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นอีกสักนิด เป็นทางอ้อมเพื่อช่วยแว่นแคว้น

เมื่อถึงยามเซิน ภายใต้การนำทางของเติ้งซิว กลุ่มคณะก็ได้เดินทางไปที่ตรอกต้วนสุ่ยเฉียวที่เป็นจุดเชื่อมเมืองชั้นกลางและเมืองชั้นนอก

สถานที่นี้ค่อนข้างห่างไกล รถม้าต้องใช้เวลาเดินทางราวครึ่งชั่วยามได้

เมื่อลงจากรถม้า ฟู่เสี่ยวกวนก็มองสำรวจไปรอบ ๆ สภาพแวดล้อมถือว่ามิเลว ถนนหนทางยังคงกว้างขวาง ถึงแม้ว่าร้านค้าที่อยู่ข้างทางจะสู้เมืองชั้นในและเมืองชั้นกลางมิได้ แต่ก็ยังดูมีชีวิตชีวามากอยู่ดี

เติ้งซิวเดินเข้ามา และยกมือขึ้นคำนับ  ใต้เท้าที่นี่คือสถานทูตของสามแคว้นเล็ก ๆ สถานที่แรกนั้นอยู่ในจวนเล็กที่อยู่ตรงหัวสะพานแห่งนี้ มีนามว่าแคว้นหลิว เป็นแคว้นแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนเกาะ เป็นแคว้นเล็ก ๆ ที่ใหญ่ที่สุดในสามแคว้นนี้ อีกสองแห่งที่เหลือก็อยู่ในระยะใกล้กัน หนึ่งคือแคว้นลี่ สองคือแคว้นหลู่ซ่ง ต่างก็เป็นแคว้นที่อยู่บริเวณชายฝั่งทะเล กล่าวว่าต้องใช้เวลาเดินทางบนเรือหลายสิบวันขอรับ 

 อ่า…ลองไปดู 

เติ้งซิวเดินไปยังจวนเล็กที่อยู่ตรงหัวสะพาน มิได้ส่งเทียบเชิญอันใดให้ แต่กลับตรงไปเคาะประตูทันที

เพียงมินาน ประตูก็ถูกเปิดออก เป็นชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อผ้าแปลกตาปรากฏอยู่เบื้องหน้าฟู่เสี่ยวกวน

 นายท่านจิ่งเปียน มิได้พบกันนานเลยนะขอรับ 

ชายวัยกลางคนผู้นั้นดีใจทันพลัน และกวักมือเรียกอย่างรวดเร็ว  ไอหยา ๆ ท่านขุนนางเติ้ง ลมอันใดพัดให้ท่านมาถึงที่นี่กัน เชิญเข้ามา ๆ…  เขาหันหลังกลับไปตะโกนว่า  ยิงฮวา เตรียมต้มชา มีแขกมาที่จวน 

เติ้งซิวหัวเราะร่าจนหลังโค้งหลังงอ  เรื่องเป็นเยี่ยงนี้ ได้มีขุนนางจากเมืองหลวงจากแคว้นของข้าท่านหนึ่งมาเยือน เขาต้องการสนทนากับท่านจิ่งเปียน 

จิ่งเปียนสงเอ้อปลาบปลื้มมากยิ่งขึ้นไปอีก ในฐานะแคว้นหลิวที่มีทรัพยากรที่มิดีนัก องค์จักรพรรดิของพวกเขาจึงอยากให้เชื่อมสัมพันธไมตรีกับแคว้นเหล่านี้เป็นอย่างมาก พวกเขาจัดตั้งสถานทูตที่แคว้นอู๋ได้เพียงแค่ 2 ปี แต่กลับทำให้พวกเขาได้เห็นถึงความรุ่งเรืองและความแข็งแกร่งของแคว้นเหล่านี้แล้ว

พวกเขาได้ยินชื่อเสียงของแคว้นหยูมาเนิ่นนานแล้ว เป็นอีกหนึ่งแคว้นที่มีข้อดีแตกต่างออกไปในแบบของตนเองที่มิเหมือนกับแคว้นอู๋ เพียงแต่แคว้นหยูนั้นห่างไกลออกไปสามพันกว่าลี้ นั่นถือว่าห่างไกลมากยิ่งนัก พวกเขายังมิมีความพร้อมที่จะไปกราบทูลฮ่องเต้ของราชวงศ์หยูเพื่อขอจัดตั้งสถานทูตขึ้นมา

จิ่งเปียนสงเอ้อหันหน้าไปมองทางฟู่เสี่ยวกวน กลับรู้สึกตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน ใต้เท้าผู้นี้ผู้มาจากเมืองหลวงของราชวงศ์หยูเหตุใดจึงอ่อนเยาว์ถึงเพียงนี้กัน ?

เขาหันหน้าไปมองเติ้งซิวด้วยความสงสัยอย่างมิปิดบัง

เติ้งซิวกล่าวยิ้ม ๆ ว่า  ใต้เท้าผู้นี้คือฟู่เสี่ยวกวน รับตำแหน่งเป็นไท่จงต้าฟู เจี้ยนอี้ต้าฟูแห่งเสมียนกลาง ทั้งยังเป็นหัวหน้าคณะตัวแทนมาร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ในครานี้อีกด้วย 

จิ่งเปียนสงเอ้อตกใจขึ้นมาทันพลัน ฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ !

 ท่านขุนนางคือฟู่เสี่ยวกวนผู้ประพันธ์ความฝันในหอแดงเยี่ยงนั้นหรือขอรับ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าน้อย ๆ จิ่งเปียนสงเอ้อรีบโค้งตัวคำนับทันที  นามที่ยิ่งใหญ่ของท่านใต้เท้าฟู่แม้แต่องค์จักรพรรดิของราชวงศ์ข้าก็ชื่นชมท่านเป็นอย่างมาก เชิญเข้ามาโดยเร็วเถิด เชิญเข้ามาขอรับ !  

ให้ตายเถอะ ความฝันในหอแดงถูกขายไปยังแคว้นหลิวแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

นี่เป็นการขาดทุนอย่างมหาศาลเลยนี่ !

ฟู่เสี่ยวกวนปวดใจเป็นอย่างมาก ยุคสมัยนี้ ไร้ซึ่งความรู้เกี่ยวกับเรื่องของลิขสิทธิ์ !

เขาเดินตามจิ่งเปียนสงเอ้อเข้าไปในเรือน จนมาถึงห้องอักษร ก็พบเห็นสตรีที่สวมชุดปักลายดอกยิงฮวากำลังคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าโต๊ะน้ำชา

เมื่อเห็นผู้คนเดินเข้ามา สตรีผู้นั้นจึงได้ลุกขึ้นยืนและกล่าวต้อนรับ  ข้ามีนามว่ายิงฮวา คำนับใต้เท้าทุกท่าน เชิญทุกท่านนั่งตามสบายเถิด 

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงเบื้องหน้าโต๊ะน้ำชา จ้องมองเครื่องแต่งกายของพวกเขาและครุ่นคิด คล้ายคลึงกับแคว้นหมู่เกาะในชาติที่แล้วพอสมควร

จิ่งเปียนสงเอ้อนั่งลงข้าง ๆ นาง  ยิงฮวาคือองค์หญิงเจ็ดของแคว้นข้า เป็นเพราะชื่นชมวัฒนธรรมของแคว้นนี้ นางจึงมาอาศัยอยู่ที่นี่ได้ครึ่งปีแล้ว และปัจจุบันก็ได้เป็นบัณฑิต ณ สำนักศึกษาหลีชาน นางชื่นชมในตัวท่านเป็นอย่างมาก 

ยิงฮวาเงยหน้า ฟู่เสี่ยวกวนถึงได้เพ่งพินิจอย่างถี่ถ้วน ให้ความรู้สึกที่อธิบายได้มิรู้จบออกมา

 ท่านจิ่งเปียน ขุนนางชั้นผู้น้อยผู้นี้คือ… ?  

 องค์หญิงเจ็ด ท่านนี้หาใช่ขุนนางชั้นผู้น้อยไม่ เขาคือฟู่เสี่ยวกวน ท่านขุนนางฟู่ !  

ยิงฮวารู้สึกดีใจมากยิ่งนัก ดวงตาของนางโค้งเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ริมฝีปากยกยิ้มน้อย ๆ จนเผยให้เห็นฟันขาวสะอาดที่เรียงเป็นแถว ดูแล้วช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก

 คำนับท่านขุนนางฟู่  นางลุกขึ้นยืนอีกครา และกุมมือคำนับแก่ฟู่เสี่ยวกวน  ยิงฮวาชื่นชมบทกวีและบทความเหล่านั้นของท่านขุนนางฟู่เป็นอย่างมาก มิคาดคิดว่าท่านขุนนางยังเยาว์วัยถึงเพียงนี้ ทำให้ยิงฮวาเลื่อมใสในตัวท่านอย่างแท้จริง !  

 ต่างก็เป็นชื่อเสียงที่สร้างขึ้นมา…  แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิมีเวลามาพัวพันกับเรื่องบทกวีเหล่านี้ เขาหันไปมองจิ่งเปียนสงเอ้อ และเอ่ยเข้าประเด็นอย่างเถรตรง  ที่ข้ามาในครานี้ต้องการจะมาถามท่านจิ่งเปียนว่ามีร่องทางน้ำจากแคว้นหลิวมายังแคว้นอู๋เยี่ยงนั้นหรือขอรับ ?  

ยิงฮวาเบะปากเล็กน้อย หันหน้ามองไปทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยความคับแค้นใจ และนั่งลงต้มชาอีกครา ครุ่นคิดว่าคนผู้นี้มิชื่นชอบสตรีที่งดงามจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?

หากจะกล่าวถึงรูปลักษณ์ ยิงฮวานั้นงดงามเป็นอย่างมาก มิได้น้อยหน้าต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินเลยแม้แต่น้อย และยังนางยังมีบรรยากาศที่อ่อนนุ่มแผ่ออกมาอีกด้วย จนทำให้ผู้พบเห็นนึกเอ็นดู แต่กับฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ราวกับมิได้มีความสนใจที่จะสนทนากับนางแม้แต่ประโยคเดียว อดที่จะรู้สึกเสียใจมิได้

 เรียนท่านใต้เท้าฟู่ เดิมมีร่องทางน้ำอยู่ แคว้นของข้าได้ขุดร่องทางน้ำนี้มานานหลายปี ต่างก็คุ้นชินกันแล้ว นอกจากกังวลเรื่องพายุแล้ว ก็มิมีความเสี่ยงอื่นใด 

 เดินทางบนท้องทะเลต้องใช้เวลานานเท่าใด ?  

 หากราบรื่นไปตลอดทาง ด้วยความเร็วเรือสำเภาสามกระโดงของแคว้นข้า ใช้เวลาราวเดือนกว่า ๆ  

ยิงฮวาต้มชาเสร็จแล้ว รินให้กับฟู่เสี่ยวกวนและส่งมอบให้ ครุ่นคิดว่าท่านขุนนางผู้น้อยผู้นี้ไถ่ถามเกี่ยวกับเรื่องนี้คิดจะทำอันใดกัน หรือว่าเขาต้องการไปยังแคว้นหลิว ?

 พวกท่านบุกเบิกเส้นทางเดินเรือไปยังทะเลตะวันออกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 การสำรวจขั้นต้นได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว แต่เพราะ…เพราะเรื่องภายในแคว้นเรื่องหนึ่งจึงได้หยุดลงไปอีกครา ได้ยินสำนักกิจการทางทะเลของราชวงศ์ข้ากล่าวมาว่า เส้นทางเดินเรือทะเลตะวันออกนี้สามารถตรงไปถึงจิ่วเย่ซึ่งเป็นชนเผ่าริมทะเลได้ ที่ตรงนั้นมีทางผ่านแม่น้ำอยู่หนึ่งเส้นทาง สำนักกิจการทางทะเลทางราชวงศ์ข้าคาดการณ์ไว้ว่าหากขึ้นไปตามริมฝั่งแม่น้ำ เกรงว่าจะสามารถไปถึงราชวงศ์หยูได้ขอรับ 

ฟู่เสี่ยวกวนตกใจขึ้นมาทันพลัน เช่นนั้นก็คือปากแม่น้ำแยงซีแล้ว เพียงแค่ลักษณะของภูมิประเทศต่างออกไปจากโลกก่อนหน้า และอาณาเขตของราชวงศ์หยูมิได้ครอบคลุมสถานที่ที่เรียกว่าจิ่วเย่นั้นโดยสมบูรณ์นัก

 จิ่วเย่สถานที่นั้นดีมากยิ่งนัก ได้ยินมาว่าเป็นท่าเรือ แต่น่าเสียดายที่อำนาจทางแคว้นของราชวงศ์ของข้านั้นมีจำกัด จึงไร้หนทางที่จะบุกเบิกสถานที่นั้นได้ 

ผู้เอ่ยไร้เจตนาแต่ผู้ฟังกลับมีเจตนา ฟู่เสี่ยวกวนจดจำสถานที่นั้นเอาไว้ ตัดสินใจแล้วว่าพอกลับไปที่คฤหาสน์จิ้งหูจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่งไปถึงฟู่ต้ากวน ให้เขาจ้างเรือจากบ้านแม่สี่มาสักสองสามลำ ล่องไปตามแนวทางแม่น้ำแยงซี เดินทางผ่านแม่น้ำแยงซี แล้วดูว่าท้ายที่สุดแล้วจะไปถึงสถานที่ตรงไหนกัน

มิมีผู้ใดเข้าใจความสำคัญของท่าเรือได้ดีมากกว่าฟู่เสี่ยวกวน !

เขาต้องการท่าเรือนี้และต้องการสร้างเรือรบขึ้นมา แคว้นหยูเป็นแคว้นที่มิมีทางออกไปสู่ทะเล จึงมิมีของสิ่งนี้

 ข้าเป็นตัวแทนของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยู ยินดีที่จะให้พวกท่านมาสร้างสถานทูตยังแคว้นหยู เพื่อส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการค้าขาย 

 ข้าน้อยจะนำคำกล่าวของท่านขุนนางฟู่ไปทูลแก่องค์จักรพรรดิอย่างแน่นอน !  

ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน เตรียมจะจากไป ทันใดนั้นก็กล่าวขึ้นมาอีกหนึ่งประโยคว่า  แผนที่เดินเรือเหล่านั้นของเจ้า…สามารถมอบมันให้กับข้าสักฉบับได้หรือไม่ ?  

 

ในค่ำคืนนี้มีใครบางคนที่ยากจะข่มตาหลับ
อู๋หลิงเอ๋อร์ยืนอยู่ที่กวนหยุนถายอย่างโดดเดี่ยว มองไปยังฟากฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวด้วยท่าทีเศร้าหมอง
เขาเป็นพี่ชายของข้า !
ประโยคนี้ดังก้องอยู่ในหัวสมองของนาง จนทำให้นางมิอาจทำใจเชื่อได้
เหตุใดเขาจะต้องเป็นพี่ชายของข้าด้วย !
เมื่อนึกถึงเรื่องในเมืองฝานหนิง เขาได้ตบลงบนไหล่ของนางอย่างเป็นกันเอง และยังกล่าวว่าข้าเป็นพี่ชายของเจ้าดีหรือไม่ แต่ทว่าบัดนี้เขาได้กลายมาเป็นพี่ชายของนางจริง ๆ แล้ว มันดีจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?
นางอ้าปากขึ้นแล้วตะโกนออกไปยังทะเลหมอกที่ไร้เขตแดนนี้ว่า “ข้ามิประสงค์ให้เจ้าเป็นพี่ชาย… ! ”
มีเสียงสะท้อนดังก้องกลับมา และกังวานไปทั่วทั้งท้องนภา
……
ณ ตำหนักเจิ้งหยาง จักรพรรดิเหวินได้เสด็จออกไปแล้ว จักรพรรดินีเซียวจึงได้หันพระพักตร์ไปทางบุตรชายของตนด้วยความกรุ่นโกรธ
“คุกเข่า ! ”
อู๋กานจ้องมองไปยังเสด็จแม่แล้วตกตะลึง เขาทำสิ่งใดผิดกัน ?
แต่เขาก็ยอมคุกเข่าลงอย่างว่าง่าย จักรพรรดินีเซียวจึงได้เงยหน้าขึ้นแล้วถอนหายใจออกมา “บัดนี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือยัง ? ”
อู๋กาน องค์รัชทายาทที่อายุได้เพียง 14 ปีพยักหน้าตอบรับ
“เช่นนั้นเจ้าจงกล่าวออกมาว่าเข้าใจสิ่งใด ? ”
“…หากมิจำเป็นอย่าร่วมมื้ออาหารกับเสด็จพ่อและเสด็จแม่อีกพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เจ้า… ! ” จักรพรรดินีเซียวจ้ององค์รัชทายาทตาเขม็ง อู๋กานรีบเอ่ยขึ้นทันทีว่า “มิใช่เช่นนั้นเสด็จแม่ ลูกหมายความว่าการที่ลูกร่วมรับประทานอาหารกับท่านทั้งสองอาจทำให้ท่านโมโหได้ ลูกจึงมิประสงค์ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ! นับว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณนะพ่ะย่ะค่ะ ฟ้าดินเป็นพยาน ! ”
จักรพรรดินีเซียวทรงพระแย้มสลวนออกมา เมื่อต้องเผชิญหน้ากับบุตรชายของตนที่มีความคิดแตกต่างจากผู้อื่นเช่นนี้ นางจะทำเยี่ยงไรได้ ?
“ในค่ำคืนนี้ เสด็จพ่อทรงเลือกฟู่เสี่ยวกวน คาดว่าหลังจากวันบวงสรวงสู่สวรรค์แล้วเสด็จพ่อคงจะพาเขาไปยังวัดไท่เมี่ยว หากเป็นเช่นนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็จะเปลี่ยนแซ่เป็นอู๋เสี่ยวกวน และเป็นเสด็จพี่ของเจ้า ตามกฎของราชวงศ์แล้ว ผู้อาวุโสกว่าจะได้เป็นองค์รัชทายาท ที่ตำหนักของเจ้าก็จะกลายเป็นของเขา”
อู๋กานตั้งใจฟังโดยละเอียด แต่ทว่าในใจของเขาไม่เพียงแต่หวาดกลัวหรือคับแค้นใจ ทว่าเขากลับรู้สึกยินดีเสียด้วยซ้ำ
เขามิได้อยากเป็นองค์รัชทายาท !
เป็นองค์รัชทายาทมีอันใดดีกัน ?
ในแต่ละวันต้องทนนั่งฟังคำสั่งสอนของเสด็จพ่อ จะต้องไปนั่งฟังประชุมทุกเช้ารับฟังความคิดเห็นต่าง ๆ นานาของขุนนาง อีกทั้งยังต้องไปศึกษาตำรากับเหวินสิงโจวในทุก ๆ วัน !
หลิวหยุนถายแห่งทะเลสาบสือหลี่นั้นเขามิได้เดินทางไปสิบกว่าวันแล้ว มิรู้ว่าบรรดานกน้อยจะคิดถึงเขาบ้างหรือไม่
ชีวิตเช่นนี้สำหรับอู๋กานแล้ว เปรียบเสมือนกับกรงนกขนาดใหญ่ เขารู้สึกอิจฉาน้องชายของเขาด้วยซ้ำไป อู๋คุน บุตรชายของพระสนมยวี่ที่อายุน้อยกว่าเขาเพียงครึ่งปีเท่านั้น !
เมื่อปีที่แล้ว เสด็จพ่อทรงแต่งตั้งให้อู๋คุนเป็นอ๋องและมอบเขตฉางผิงให้แก่เขา เจ้าหมอนั่นคาดว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญแล้วสิ
จักรพรรดิเหวินมีโอรสเพียง 2 คนเท่านั้น เดิมทีเขาคิดว่าชีวิตนี้เขาคงหนีมิพ้นที่จะต้องขึ้นเป็นจักรพรรดิเสียแล้ว แต่ก็คาดมิถึงว่าจะมีพี่ชายตกลงมาจากสวรรค์เยี่ยงนี้ !
จึงทำให้เขารู้สึกยินดียิ่ง แต่บัดนี้มิอาจแสดงออกมาได้
เขาจึงกล่าวว่า “เสด็จแม่ เสด็จพ่อมิได้กล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นโอรสแต่อย่างใดนี่พ่ะย่ะค่ะ”
ขณะที่จักรพรรดิเหวินเล่าเรื่องของเขากับสวี่หยุนชิงออกมานั้น เพียงได้เอ่ยกับอู๋หลิงเอ๋อร์ว่า “เจ้าได้เข้าใจความหมายของพ่อแล้วใช่หรือไม่ ? ”
ในมุมมองของอู๋กานนั้นเขามิเข้าใจมากนัก เสด็จพ่อทรงรู้จักผู้คนมากมาย และหากมีความเกี่ยวข้องกับสวี่หยุนชิงก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติยิ่ง แต่สวี่หยุนชิงแต่งงานกับผู้อื่นอีกทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายด้วยกัน แล้วจะเอาเหตุผลใดมากล่าวว่าเขาคือโอรสของเสด็จพ่อ ?
จักรพรรดินีเซียวอยากจะตบหัวของบุตรชายแสนโง่เขลาผู้นี้เสียจริง นางกัดฟันแล้วกล่าวว่า “เหตุใดข้าจึงมีบุตรเช่นนี้ได้กัน ! ”
……
รถม้าสีดำทมิฬวิ่งอย่างรวดเร็วบนถนนเมืองกวนหยุนอันกว้างใหญ่
สีหน้าของขันทีเกาเรียบดุจสายน้ำที่นิ่งสงบ มือทั้งสองกำไว้ตรงเข่าทั้งสองข้าง จิตใจของเขามิอาจแน่นิ่งได้อีกต่อไป เนื่องจากจักรพรรดินีเซียวปิดบังเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทกลับเปิดเผยมันออกมา
แม้ว่านั่นจะเป็นคำที่กล่าวในงานเลี้ยงภายใน อีกทั้งตั้งใจให้องค์หญิงไท่ผิงได้รับรู้ แต่จักรพรรดินีเซียวทรงเข้าใจในความหมายของฝ่าบาทเป็นอย่างดี ฝ่าบาทหวังว่านางจะรู้จักกาลเทศะมากกว่านี้ !
ปัญหาก็คือ พวกเขามิรู้ว่าวันใดฝ่าบาทจะทรงประกาศตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนต่อหน้าสาธารณะชน เมื่อถึงวันนั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็จะกลายเป็นองค์ชาย และหากจะลงมือกับเขาในตอนนั้นคงจะเป็นการยากเสียทีเดียว
แม้ว่าเขาจะวางแผนลอบสังหารไว้ในวัดหานหลิง แต่จักรพรรดินีเซียวกลับทรงให้เขาเดินทางไปพบโจวอี้สิง
ณ ห้องอักษรแห่งจวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา หลังจากที่โจวอี้สิงได้ยินเรื่องที่ขันทีเกากล่าวออกมาก็กระโดดลุกขึ้นทันพลัน
“ว่าเยี่ยงไรนะ ? ”
“ท่านอัครมหาเสนาบดี ฝ่าบาททรงตรัสออกมาด้วยพระองค์เอง”
จัวอี้สิงขมวดคิ้วแล้วเดินเอามือไขว้หลังไปมาในห้องอักษร
เมื่อวานนี้เขาได้ร่วมดื่มชากับโจวถงถง แห่งหอเทียนจี คนผู้นั้นกล่าวว่าให้เขาคอยระมัดระวังตน อย่าได้ยื่นดาบที่สามออกไป !
เขาเองก็มิได้คิดจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว
“ว่าเยี่ยงไรนะ”ที่เขาเอ่ยมาเมื่อสักครู่ มิได้แปลกใจเพราะตัวตนของฟู่เสี่ยวกวน แต่ทว่าแปลกใจเพราะฝ่าบาททรงตรัสออกมาด้วยพระองค์เอง !
เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ ราชวงศ์อู๋…ชักจะวุ่นวายเข้าไปใหญ่แล้ว !
เรื่องที่ฝ่าบาทมิพอพระทัยองค์รัชทายาทองค์นี้ เป็นเรื่องที่ขุนนางทั้งหลายต่างทราบกันดี และเนื่องจากเรื่องนี้ เหวินสิงโจวในฐานะอาจารย์ของเขายังเคยเอ่ยกับฝ่าบาทว่า องค์รัชทายาทแม้จะชื่นชอบท่องเที่ยวแต่นิสัยเดิมหาได้เลวร้ายไม่ เพียงแค่ต้องการผู้ชี้นำ โปรดทรงให้เวลาองค์รัชทายาทอีกสักหน่อย แล้วเขาจะเข้าใจทุกสิ่งด้วยตนเอง
และเนื่องจากรู้จักนิสัยขององค์รัชทายาทดี ขณะเดียวกันที่แต่งตั้งอู๋กานขึ้นเป็นองค์รัชทายาทนั้น เขาก็ได้เขียนหนังสือถึงฝ่าบาท ขอร้องให้แต่งตั้งองค์ชายสองเป็นอ๋อง มอบเขตฉางผิงให้แก่เขาและให้เดินทางไปที่นั่น
เรื่องนี้ทำให้อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหนานกงอี้หยู่ทะเลาะกับเขาอยู่เนิ่นนาน เนื่องจากพระสนมยวี่เป็นบุตรสาวของหนานกงอี้หยู่ !
แต่เพื่อความสงบสุขของราชวงศ์อู๋ เขาจำเป็นต้องทำเยี่ยงนี้
และเพื่อความสงบสุขของราชวงศ์อู๋ เขาได้ส่งคนไปลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวนถึงสองครา แต่นั่นก็เป็นเพียงคำร่ำลือ
เขาต้องการจัดการกับภัยเงียบนี้ให้หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ทว่าเขาทำผิดพลาด ฟู่เสี่ยวกวนยังคงมีชีวิตอยู่อีกทั้งยังเดินทางมาที่เมืองกวนหยุนแห่งนี้ และยังเป็นโอรสขององค์จักรพรรดิอีกด้วย
ช่างน่าโมโหเสียจริง !
“จักรพรรดินีเซียวหมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
“องค์จักรพรรดินีหมายความว่า…ก่อนวันบวงสรวงสู่สวรรค์ หากฟู่เสี่ยวกวนยังคงมีชีวิตอยู่ คาดว่านางคงจะต้องตาย”
จัวอี้สิงยืนอยู่ตรงหน้าต่าง เขามองออกไปยังดวงดาวที่เปร่งประกายเหล่านั้น วันบวงสรวงสู่สวรรค์กำหนดไว้วันที่เก้าเดือนสี่ ก่อนหน้าวันคล้ายวันประสูติของไทเฮาหนึ่งวัน
วันนี้เป็นวันที่เก้าเดือนสาม ยังมีเวลาอีก 20 วัน ฟู่เสี่ยวกวนจะต้องตายก่อนวันบวงสรวงสู่สวรรค์ ! มิเช่นนั้น เกรงว่าจะไม่มีโอกาสแล้ว
“ท่านมีผู้มีฝีมือเท่าใดในมือ ? ”
“ท่านอัครมหาเสนาบดี ข้ามีผู้มีฝีมือมิน้อย แต่เรื่องนี้จะทำให้เกิดเรื่องใหญ่โตมิได้”
โจวเหวินสิงเข้าใจประโยคนี้ดี หากองค์จักรพรรดิทรงทราบว่าจักรพรรดินีเซียวมิพอใจ เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงลงมือกับนาง ดังนั้นการที่ฝ่าบาทเอ่ยเรื่องนี้ออกมาก่อน ก็เพื่อข่มขู่นางให้วางตัวให้ถูก
เช่นนั้นหมายความว่าฝาบาททรงวางแผนไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นเรื่องนี้จึงทำได้เพียงแค่ลอบสังหารเท่านั้น
“ฟู่เสี่ยวกวนมีศิษย์แห่งสำนักเต๋าทั้งห้าคอยติดตามอยู่ตลอดเวลา ล้วนมีฝีมือระดับสูง การที่จะลอบสังหารเขานั้นเป็นไปได้ยาก” ขันทีเกาเอ่ย
โจวเหวินสิงหันหลังกลับมามองขันทีเกา “เป่ยหวังฉวนฝึกฝนธนูอยู่ที่ชางฮ่าย ! ”
ขันทีเกาโค้งคำนับ “ขอบพระคุณท่านอัครมหาเสนาบดีอย่างยิ่ง ! ”
อาหารบนโต๊ะได้เย็นชืดไปแล้ว
หลังจากนั้นราวกับฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ มิได้รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย
หรือบางทีอาจเป็นเพราะวิธีการพูดถึงกรงนกของฟู่เสี่ยวกวนที่ได้ทำให้เหวินสิงโจวรู้สึกตัวขึ้นมา เขาเริ่มสนทนากับฟู่เสี่ยวกวน โดยเริ่มจากเหตุผล และจบลงด้วยวิธีการ
ด้วยเหตุนี้ถึงจะเห็นว่าได้มืดลงเรื่อย ๆ แต่เหวินสิงโจวกลับตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และได้ให้เหวินซีรั่วทำอาหารสำรับใหม่ขึ้นโต๊ะ ทั้งสี่คนนั่งที่โต๊ะ ดื่มสุราไปพลาง และยังคงถกปัญหาไปด้วย
เหวินสิงโจวเปิดรับแนวคิดของฟู่เสี่ยวกวนอย่างช้า ๆ แต่สำหรับเรื่องวิธีการผลักดัน เขายังคงเต็มไปด้วยข้อสงสัย ในสิ่งที่เรียกว่าวิธีการนั้นมีอยู่มากมายหลายแบบจนเกินไป แต่ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ท่องจำกฎบังคับเหล่านั้นของโลกก่อนมา เพียงแต่กล่าวเค้าร่างไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
นั่นทำให้เหวินสิงโจวชื่นชมมากยิ่งขึ้น และยิ่งอยากให้หลานสาวผู้นี้ตบแต่งกับฟู่เสี่ยวกวน
“เจ้ารู้สึกว่าอาหารมีรสชาติเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
กล่าวตามจริง ฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้หิวจนตาลายแล้ว ตอนนี้เขากำลังยัดอาหารใส่ปากคำโต และพยักหน้า “เลิศรสยิ่ง ! ”
“เยี่ยงนั้น…ข้าจะให้ซีรั่วแต่งกับเจ้า ดีหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยังไม่ทันจะได้กลืนลงไป ก็เกือบจะสำลักติดคอตายเพราะประโยคนี้
“แค่กแค่ก ๆ…” เขาหันหน้าออกไปอีกทางและไออย่างรุนแรงอยู่สักพัก ก่อนจะผ่อนคลายลง
“ท่านเหวินเรื่องนี้…”
ยังไม่ทันที่เขาจะได้กล่าวจบ เหวินซีรั่วก็เอ่ยขัด นั่นไร้มารยาทเป็นอย่างมาก แต่เหวินซีรั่วกลับไม่ได้สนใจมากนัก หากคนผู้นี้รับปากไปแล้วเยี่ยงนั้นจะทำอันใดได้เล่า ?
ฟังเขากล่าวมาครึ่งค่อนวัน นั่นน่าทึ่งอย่างแท้จริง มองออกไปในใต้หล้า ไม่เคยได้ยินชายหนุ่มที่แก่เรียนเยี่ยงเขามาก่อน แต่เขามิใช่คนที่ข้าเหวินซีรั่วผู้นี้สนใจ !
“ข้าควรอธิบายเรื่องนี้ให้เจ้าฟังเสียเล็กน้อย” เหวินซีรั่วหันมองมาทางฟู่เสี่ยวกวน “ข้าถูกเลี้ยงดูในฐานะบุตรชายตั้งแต่ยังเยาว์ ดังนั้นข้าจึงตั้งปณิธานที่ใหญ่ยิ่งเอาไว้ตั้งแต่วัยเยาว์ ว่าทั้งชีวิตนี้ข้ามิชอบแต่งหน้าแต่ข้าชอบอาวุธ ข้าจะไปเข้าร่วมกองทัพ เหมือนกับที่เจ้าได้กล่าวมา ทุกคนต่างเท่าเทียม บุรุษสามารถเข้าสนามรบเพื่อฟาดฟันศัตรูได้ แล้วเหตุใดสตรีจึงจะทำมิได้กันเล่า ? ”
“ส่วนเรื่องการแต่งงาน ข้าย่อมแต่งอย่างแน่นอน แต่คนที่ข้าจะแต่งด้วยต้องเป็นทหาร อีกทั้งยังต้องเป็นทหารที่เก่งกาจอย่างมากอีกด้วย”
“ข้าชื่นชมในความสามารถของท่าน แต่ท่านมิใช่คนที่ข้าฝักใฝ่ ความรู้สึกในใจ…” นางหันหน้าไปหาเหวินสิงโจว “ท่านปู่เจ้าคะ เพราะหัวใจมีความรู้สึก สิ่งที่ข้าคิดก็คือสิ่งที่ข้าต้องการ ถึงแม้ท่านจะเป็นท่านปู่ของข้า แต่หากต้องกล่าวถึงหลักการทางจิตใจแล้วนั้น ท่านมิมีสิทธิ์ในการแทรกแซงอิสระในการเลือกของข้า ! ”
เหวินสิงโจวผงะ เพิ่งได้เรียนรู้ไปเมื่อครู่ก็สามารถนำมาใช้ได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
นี่จะถือเป็นการโยนหินทุบเท้าตนเองหรือไม่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนกลับหัวเราะและกล่าวว่า “คำกล่าวของหลานสาวท่านผู้นี้มีเหตุผลยิ่ง ควรค่าแก่การสนับสนุน”
เขาหันไปมองเหวินซีรั่วอีกครา และกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ข้ามีพี่ชายอยู่ผู้หนึ่ง เขาเป็นทหาร ขอเล่าให้เจ้าฟังเลยก็แล้วกัน เขาคือทหารที่เจ้ายากจะจินตนาการถึงได้ ในยามนี้เขากำลังฝึกฝนกองทัพทหารที่เจ้ามิเคยพบเห็นในโลกนี้มาก่อน ในยามที่กองทัพนี้ได้ปรากฏตัวออกมาให้ทุกคนได้ประจักษ์ ข้ากล้ารับปากกับเจ้าได้เลย กองทหารทั่วหล้านั้นจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง ! ”
ดวงตาของเหวินซีรั่วเบิกกว้าง “จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? เจ้ามิได้หลอกข้าใช่หรือไม่ ? ”
“หากข้ากล่าวว่ากองทัพที่เขาฝึกฝนนั้นสามารถเอาชนะกองกำลังทหารจำนวน 20,000 นายของแคว้นใดก็ได้ด้วยจำนวนเพียงแค่ 2,000 นาย ต่อให้เป็นทหารม้าเกราะหนักก็เป็นเฉกเช่นเดียวกัน เจ้าจะเชื่อหรือไม่ ? ”
เหวินซีรั่วเบะปาก “แต่ความสามารถในการดื่มสุราของเจ้านั้นมิได้เรื่องเอาเสียเลย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา “หรือมิเยี่ยงนั้น กองทัพนี้มีนามว่าดาบเทวะ ผู้บัญชาการของกองทัพนี้คือคนที่ข้าจะแนะนำให้แก่เจ้า เขามีนามว่าไป๋ยู่เหลียน ให้เจ้ารอนานที่สุดคือหนึ่งปี ภายในหนึ่งปีนี้ หากมิมีผลการรบที่ยอดเยี่ยมของกองทัพนี้ผ่านเข้าหูของเจ้า ก็ถือว่าข้ามิเคยกล่าวถึงเรื่องนี้ แต่หากเป็นจริงดั่งที่ข้าได้กล่าวไป…”
“หากเขาเก่งกาจถึงเพียงนั้นจริง ข้าจะแต่งกับเขา ! ”
“มิคืนคำใช่หรือไม่ ? ”
“มิคืนคำ ! ”
“เจ้ามิกลัวว่าเขาจะหน้าตาอัปลักษณ์เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เพียงแค่เขามิใช่คนพิการ ต่อให้อายุหกสิบปีแล้ว ข้าก็รับปาก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงทันพลัน นางจะมิเลือกหน่อยหรือ ?
เหวินชังไห่กลับจ้องเขาเขม็ง วุ่นวายยิ่งนัก !
…..
…..
ค่ำคืนนี้ภายในตำหนักเจิ้งหยาง ณ วังหลังแห่งราชวงศ์อู๋ก็ได้มีงานเลี้ยงครอบครัวแบบปกติทั่วไป
แน่นอนว่าเป็นจักรพรรดินีเซียวแห่งราชวงศ์อู๋ที่เชิญจักรพรรดิเหวิน อีกทั้งยังมีบุตรชายของนาง รัชทายาทองค์ปัจจุบันอู๋กาน รวมไปถึงบุตรีของนางอู๋จ้าว มาร่วมรับประทานอาหาร
เป็นการจัดการของจักรพรรดิเหวิน เขาต้องการอธิบายเหตุผลเหล่านั้นให้อู๋หลิงเอ๋อร์เข้าใจ
อาหารบนโต๊ะมื้อนี้มีจักรพรรดินีเซียวเป็นผู้ลงครัวด้วยตนเอง ประณีตและเลิศรสยิ่งนัก มิได้น้อยหน้าฝีมือครัวหลวงเลยสักนิด
แต่อู๋หลิงเอ๋อร์กลับมิรู้สึกอยากอาหารเลยสักนิด ตั้งแต่ที่ได้อ่านความฝันในหอแดงเมื่อปีที่แล้ว ใจของนางก็เฝ้าคะนึงถึงคนผู้นั้นอยู่ตลอดเวลา หลังจากนั้นถึงขั้นไถ่ตัวหลิ่วเยียนเอ๋อร์ของหลิวหยุนถายให้ด้วยซ้ำ เพื่อให้นางไปที่จินหลิงแห่งราชวงศ์หยู เพื่อที่นางจะได้ทราบข้อมูลของเขาเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย
มันมิง่ายเลยที่เขาจะมาที่เมืองกวนหยุน แต่เดิมคิดจะเชิญพี่สาวทั้งสองมาดื่มชาด้วยกัน คิดว่าจะกล่าวความคิดของตนเองให้กับพวกนางฟัง คิดว่าพวกนางคงเห็นด้วยเป็นแน่ เยี่ยงนั้นเรื่องของเขาและนางก็เกือบจะประสบความสำเร็จแล้ว
ส่วนเรื่องงานชุมนุมวรรณกรรม นับตั้งแต่ที่ได้เห็นเขาประพันธ์บทกวีขึ้นมาด้วยตนเองที่เรือนชิงเสียน ณ เมืองฝานหนิง นางจึงเชื่อว่าชายหนุ่มทั่วทั้งใต้หล้านี้ต่างก็มิใช่คู่มือของเขา ดังนั้น เดิมทีตนเองก็ยังกังวลใจกับราชโองการฉบับนั้นของเสด็จพ่อ แต่แล้วก็มันกลับกลายเป็นยันต์กันภัยชั้นดีให้กับนาง แต่คาดมิถึงว่าเสด็จพ่อจะทรงถอนราชโองการในทันพลัน ทั้งยังมิอนุญาตให้ตนเองไปพบกับเขาอีกด้วย
ท้ายที่สุดเกิดเรื่องอันใดขึ้นที่ด้านในนั่นกัน ?
อู๋หลิงเอ๋อร์คิดเยี่ยงไรก็คิดมิตก อีกทั้งเสด็จพ่อยังกล่าวอีกว่าเจ้าจะทราบในภายภาคหน้า… ภายภาคหน้าเยี่ยงนั้นหรือ หรือว่าต้องให้ข้าอายุแปดสิบก่อนจึงจะสามารถทราบเรื่องนี้ได้
เมื่อพบกับอาหารบนโต๊ะที่เคยชื่นชอบเป็นอย่างมาก อู๋หลิงเอ๋อร์รู้สึกมิเจริญอาหารเอาเสียเลย นางจึงหันไปมองเสด็จพ่อ
จักรพรรดิเหวินลอบถอนหายใจ และเริ่มเอ่ยขึ้นมาว่า “พ่อเคยอยู่ที่จินหลิงช่วงเวลาหนึ่ง เจ้าคงทราบเรื่องนี้แล้ว แต่เจ้ามิทราบว่าในตอนนั้นพ่อนั้นได้ชอบคนผู้หนึ่ง และนาง…ก็คือมารดาของฟู่เสี่ยวกวน สวี่หยุนชิง”
จักรพรรดินีเซียวหันไปมองจักรพรรดิเหวินด้วยความตกตะลึง แต่มิได้ตกใจกับเรื่องนี้ แต่ตกใจที่ว่าเหตุใดจักรพรรดิเหวินต้องเล่าเรื่องนี้ให้กับอู๋หลิงเอ๋อร์ฟังด้วย
อู๋หลิงเอ๋อร์ชะงัก เรื่องรักใคร่ของเสด็จพ่อในวัยหนุ่มนั้นมีอยู่มากมาย แต่เป็นคราแรกที่นางได้ฟังเรื่องนี้อย่างแท้จริง ทั้งยังเป็นเสด็จพ่อที่ตรัสขึ้นมาด้วยพระองค์เอง !
แต่มันเกี่ยวข้องอันใดกับนางและฟู่เสี่ยวกวนกัน ?
“ช่วงวัยหนุ่มนั้น พ่อและสวี่หยุนชิงได้มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง หลังจากนั้นสวี่หยุนชิงก็ได้คลอดบุตรชายมา 1 คน…”
จักรพรรดินีเซียวแตกตื่นอย่างเห็นได้ชัด อู๋หลิงเอ๋อร์ตกตะลึงยิ่ง มีเพียงองค์รัชทายาทอู๋กานเท่านั้น ที่ยังคงรับประทานอาหารอย่างออกรส จนมีเสียงดังแจ๊บ ๆ ออกมาจากปากของเขา จักรพรรดินีเซียวเดือดดาลยิ่ง ฝ่ามือตบเข้าที่ศีรษะของอู๋กาน อู๋กานที่โดนตบมีสีหน้างุนงง
“สักแต่จะกิน ๆ ๆ ๆ ! ”
อู๋กานเบิกตาโตอย่างไร้เดียงสา นี่คืองานเลี้ยงในครอบครัว และช่วงนี้เขาก็ถูกเสด็จพ่อสั่งขังอยู่ที่ตำหนักจนมิได้ออกไปที่ใด ข้าจะทานให้มากสักหน่อยแล้วมันจะเป็นอันใดไป เรื่องของเสด็จพ่อเกี่ยวข้องอันใดกับข้ากันเล่า ?
จักรพรรดิเหวินเพียงเหลือบมอง แต่หาได้ใส่ใจไม่ สีหน้านั้นตกอยู่ในสายพระเนตรของจักรพรรดินีเซียว ภายในใจของนางหนักอึ้ง รับรู้ถึงความรู้สึกที่จักรพรรดิเหวินมีต่อองค์รัชทายาทผู้นี้แล้ว
“ในตอนนี้เจ้าได้เข้าใจความหมายของพ่อแล้วใช่หรือไม่ ? ” จักรพรรดิเหวินหันไปเอ่ยถามกับอู๋หลิงเอ๋อร์
อู๋หลิงเอ๋อร์อ้าปากค้างด้วยใบหน้างุนงง “เขา…เป็นพี่ชายของหม่อมฉันเยี่ยงนั้นหรือเพคะ ? ”

เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าตำรานี้จะเป็นเล่มหนาเตอะ แต่คาดมิถึงว่าเมื่อเหวินสิงโจวยื่นให้เขานั้นกลับเป็นเพียงเล่มบาง ๆ เล่มหนึ่งเท่านั้น

เขารับมาแล้วดูที่หน้าปก พบว่ามีตัวอักษรเขียนไว้

หลี่อี้เฟินจู !

ใช้กฎเกณฑ์ในการปกครอง !

เขาตกตะลึงเล็กน้อย หลี้อี้เฟินจูนี้เป็นหัวข้อสำคัญในราชวงศ์หมิงเมื่อชาติที่แล้ว ชายชราผู้นี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นแน่ ช่างมิธรรมดาเสียจริง

จากนั้นเขาก็เปิดไปที่หน้าแรก หน้าที่หนึ่งนี้มีหัวข้อว่า หลี่ เป็นจุดกำเนิดของทุกสิ่ง

 หลี่คือฟ้าดิน คือรากฐานของมนุษย์ ! สิ่งที่เรียกว่าหลี่ ก็คือนิสัยของมนุษย์ นิสัยนับว่าเป็นหลี่ สิ่งนี้มีเพียงในมนุษย์ จึงได้เรียกว่าเป็นนิสัย 

 นับแต่โบราณกาล จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ก่อตั้งสำนักศึกษาขึ้น เพื่อสั่งสอนผู้คนทั่วหล้า…เพื่อลบล้างความบาปในตน ลบล้างความโลภ เพื่อดึงกลับมายังนิสัยเดิมของมนุษย์ จากนั้นพวกเขาจึงจะนึกถึงตนเอง 

 แต่โบราณกาล บิดาและบุตรนับเป็นสายเลือดเดียวกัน จักรพรรดิและขุนนางต้องมีความชอบธรรม สามีภรรยามีความผูกพัน พี่น้องมีลำดับ สหายมีความเชื่อใจ เช่นนี้คือบุคคลผู้ยิ่งใหญ่… 

ฟู่เสี่ยวกวนอ่านข้อความเหล่านั้นทีละตัว สีหน้าของเขาปรากฏความสงสัยขึ้น และเหวินสิงโจวเองก็จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนเขม็งเช่นกัน เขามิรู้ตัวด้วยซ้ำว่าชาที่รินไว้ได้เย็นชืดเสียแล้ว

เวลาครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างช้า ๆ เหวินซีรั่วเดินนำหน้าบรรดาบ่าวรับใช้ถืออาหารเข้ามายังห้องหนังสือ

นางรู้ดีว่าในเมื่อท่านปู่เชิญฟู่เสี่ยวกวนมายังจวน ทั้งสองคงมีเรื่องที่ต้องปรึกษาหารือกันเนิ่นนานอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของกวีและบทความ เกรงว่าคงมิมีเวลาไปกินที่ห้องอาหาร

ผู้ที่มากับนางด้วยนั้นยังมีท่านพ่อของนาง เหวินชังไห่

เหวินชังไห่เมื่อรู้ว่าบุตรสาวลงมือทำอาหารด้วยตนเอง ก็เดาได้ว่าท่านพ่อน่าจะเชิญผู้มีชื่อเสียงมายังจวนอย่างแน่นอน เมื่อได้ยินเหวินซีรั่วกล่าวว่าคือฟู่เสี่ยวกวน เขาก็ได้พยายามระงับอารามตื่นเต้นไว้แล้วตัดสินใจเดินทางมาร่วมรับประทานอาหารกับท่านพ่อที่ห้องอักษรด้วย

เมื่อพวกเขาเดินเข้ามา จึงพบว่าฟู่เสี่ยวกวนก้มหน้าก้มตาอ่านตำราเล่มนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ ส่วนเหวินสิงโจวนั้นมิได้มีท่าทางภูมิใจเช่นทุกที แต่กลับแสดงความกังวลออกมาแทน

เหวินซีรั่วรู้สึกว่านี่ช่างประหลาดยิ่ง นางลอบนึกในใจว่าชายหนุ่มผู้นี้อายุเพียงน้อยนิด จะเก่งกาจกว่าผู้อาวุโสเช่นท่านปู่ได้เยี่ยงไร ?

เหวินชังไห่ก้าวเข้ามาอย่างระมัดระวัง เขาเดินมาหยุดยังข้างโต๊ะแล้วนั่งลงเบา ๆ เหวินสิงโจวจ้องเขาตาเขม็ง เขายิ้มตอบกลับไปจากนั้นจึงเอื้อมมือไปจับกาน้ำชา จึงได้พบว่าน้ำชาในกานั้นเย็นชืดเสียแล้ว

นับจากที่ฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางมายังโลกนี้เป็นเวลาหนึ่งปีกว่า นี่เป็นคราแรกที่เขาตั้งใจอ่านหนังสืออย่างจริงจัง

เนื้อหาตำราเล่มนี้ทำให้เขาเข้าใจถึงความคิดอันชาญฉลาดของคนในยุคโบราณ และเขายังรับรู้ได้ถึงแนวคิดอันยิ่งใหญ่ของเหวินสิงโจว

ความคิดเหล่านี้คล้ายคลึงกับจูซีในโลกที่แล้วของเขา แต่เหวินสิงโจวได้ทำการสรุปเรื่องการปกครองไว้ด้วย เขานำหลี่กับกฎรวมเข้าด้วยกัน แม้ว่าแนวคิดนี้จะยังมิสมบูรณ์ แม้ว่าแนวคิดนี้จะยังมิราบรื่น แต่ก็นับว่ามาถูกทางแล้ว !

แม้ว่าในตำรานี้จะยังคงหลงเหลือแนวคิดเกี่ยวกับตำราศักดิ์สิทธิ์อยู่บ้าง และยังคงให้ความสำคัญกับกฎทั้งสาม มรรคทั้งห้า แต่ในสายตาของฟู่เสี่ยวกวน นี่เป็นเพราะการเรียนรู้ตำราศักดิ์สิทธิ์ฝังรากอยู่ในใจของมนุษย์มาช้านาน จึงมิอาจลบออกไปได้ง่าย ๆ แม้แต่ผู้รู้หนังสือจำนวนมากก็มิสามารถหลุดพ้นจากกรอบนี้ได้

อย่างน้อยเหวินสิงโจวก็ได้ก้าวข้ามออกมาแล้วบางส่วน เขาได้เห็นหลี่เสวียอยู่เบื้องหน้าธรณีประตูแล้ว นับว่าเหวินสิงโจวใกล้จะเอื้อมถึงมันเข้าเต็มที

หากเขาพยายามผลักเข้าไปอีกหน่อย คาดว่าประตูบานนั้นก็จะเปิดออกได้ง่าย ๆ

เมื่อเขาอ่านจนไปถึงบรรทัดสุดท้ายก็ได้เงยหน้าขึ้นแล้วลุกขึ้นโค้งคำนับเหวินสิงโจว

 ท่านเหวินคือนักปราชญ์อย่างแท้จริง !  

เหวินสิงโจวรีบยกมือทั้งสองขึ้นแล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า  คุณชายฟู่คิดเห็นว่าเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลง จากนั้นเขาก็ตัดสินใจว่าจะช่วยผลักดันเหวินสิงโจวเสียหน่อย

 ข้ามีความคิดเห็นคร่าว ๆ บางประการ ขอท่านเหวินโปรดรับฟังแล้วพิจารณาโดยละเอียด !  

ประโยคนี้ฟังดูแปลกไป ดังนั้นเหวินซีรั่วจึงได้ขมวดคิ้วมองดูแล้วนึกในใจว่าในเมื่อเป็นความคิดเห็นคร่าว ๆ แล้วเหตุใดท่านปู่จึงต้องรับฟังโดยละเอียดกัน ? อีกอย่าง…ตำราหลี่เสวียนี้ข้าได้อ่านมานับครั้งมิถ้วน สามารถยกย่องได้ว่าเป็นตำราระดับประเทศ เจ้ายังสามารถจับผิดสิ่งใดได้อีกกัน ?

แต่ทว่าเหวินสิงโจวได้กล่าวอย่างคาดหวังว่า  ขอเชิญคุณชายฟู่อธิบาย !  

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เกรงใจ เขาเอ่ยออกมาว่า  ข้าคิดว่ามนุษย์นี้ดำรงอยู่ในใต้หล้า จึงเป็นส่วนหนึ่งของหล้า ท่านเหวินคิดว่าหลี่คือนิสัยของมนุษย์ แต่ข้ากลับเห็นว่า จิตก็คือหลี่ ทุกสิ่งอย่างล้วนออกมาจากจิต ทั้งสี่ทิศคือจักรวาล นับแต่โบราณจวบจนบัดนี้ จักรวาลอยู่ในใจเรา ใจเราก็คือจักรวาล !  

ประโยคของฟู่เสี่ยวกวนนี้ ทำให้เหวินสิงโจวชะงักลง ความคิดเห็นนี้แตกต่างจากความเห็นของเขาอย่างสิ้นเชิง

ในความคิดของเขานั้น หลี่คือรากฐานของทุกสิ่ง กำเนิดขึ้นก่อนจักรวาล

แต่ความคิดของฟู่เสี่ยวกวนคือหลี่เกิดมาจากจิต เนื่องจากมีมนุษย์จึงได้มีความคิด จากนั้นจึงมีหลี่

 หลี่ดำรงอยู่ในจิตใจ มิว่าจะเป็นฟ้าดิน มนุษย์หรือสิ่งของ ล้วนอยู่ในใจเรา มนุษย์อยู่กับจิต จิตอยู่กับหลี่ แม้ฟ้าดินจะกว้างใหญ่ แต่หากมีความเมตตา จิตตั้งอยู่ในความดี แม้จะเป็นเพียงคนธรรมดาก็สามารถกลายเป็นนักปราชญ์ได้ ! อีกทั้งยังกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ได้อีกด้วย !  

ประโยคนี้ทำให้เหวินสิงโจว เหวินชังไห่และเหวินซีรั่วที่นั่งอยู่ในห้องหนังสือพากันตกตะลึง !

ความคิดเห็นเช่นนี้คล้ายจะผิดธรรมชาติไปสักหน่อย คนธรรมดาจะกลายเป็นนักปราชญ์ได้เยี่ยงไร อีกทั้งกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เช่นนั้นผู้ใดก็เป็นจักรพรรดิได้เยี่ยงนั้นหรือ ? เช่นนั้นจะมีการแบ่งแยกการปกครองกันเยี่ยงนั้นหรือ ?

จะมิทำให้วุ่นวายไปกว่าเดิมหรือเยี่ยงไร ?

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ใส่ใจ เขายิ้มแล้วเอ่ยต่อไปว่า  ข้าขอเอ่ยถามท่านเหวินว่า ทุกคนล้วนกำเนิดมาจากบิดามารดาของตน ทุกคนล้วนมีหนึ่งเดียวในโลกใบนี้ แล้วเหตุใดจึงต้องแบ่งชนชั้นวรรณะ ?  

เขามิได้รอคำตอบจากเหวินสิงโจวแล้วเอ่ยต่อไปว่า  หากเวลาสามารถย้อนกลับไปได้ ให้พวกเรานั้นย้อนกลับไปในตอนที่มนุษย์พึ่งจะถือกำเนิด ในตอนนั้นมีการแบ่งชนชั้นกันแล้วหรือไม่ ? เหตุใดบัดนี้จึงเกิดการแบ่งแยก ? เนื่องจากอารยธรรมของมนุษย์ที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป มนุษย์จึงมีความต้องการที่จะมีผู้นำ เพื่อต่อสู้กับสัตว์ร้ายและค้นหาเสบียงอาหารต่าง ๆ เป็นต้น จึงได้เกิดการแบ่งงานขึ้น 

 การแบ่งงานนี้เดิมทีทุกคนมีค่าเท่าเทียมกัน มิใช่ว่าผู้ใดที่ทอผ้าได้จะสูงส่งกว่าผู้เก็บผลไม้ 

 อารยธรรมของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ ผู้ที่ถูกคัดเลือกให้เป็นผู้นำจึงจำเป็นจะต้องรักษาตำแหน่งของตนเองเอาไว้ ดังนั้น พวกเขาจึงใช้หลักการแบ่งแยกชนชั้นต่ำสูง จากนั้นจึงถือกำเนิดการศึกษาศักดิ์สิทธิ์อีกทั้งกฎทั้งสามและมรรคทั้งห้าขึ้น 

 กระบวนการทุกสิ่งเป็นไปประมาณนี้ แต่ข้าคิดว่านี่มิยุติธรรม เนื่องจากทุกคนมีเหตุผลของตนเองอยู่ในใจ มิมีความดีและมิมีความชั่ว ความดีและความชั่วคือการเคลื่อนไหวของเจตจำนง การรู้ดีรู้ชั่วคือมโนธรรม ทำความดีละเว้นความชั่วเรียกว่าเก๋ออู้ จิตใจมนุษย์นั้นเดิมทีมิมีความชั่วหรือดี แต่เนื่องจากมีความคิด จึงได้เกิดความดีความชั่วขึ้น 

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยออกมาเสียยืดยาว เขาใช้มุมมองการเรียนรู้จิตใจของหวังหมิงหยาง ทำให้อีกสามคนที่นั่งอยู่ในห้องอักษรต่างพากันสับสน

คำกล่าวของเขานั้นล้ำสมัยเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน เมื่อเขากล่าวว่าจักรพรรดิมิได้ถูกประทานมาจากเทพเจ้า ความคิดทั้งสองสิ่งนี้ทำให้สมองของพวกเขาขัดแย้งกัน คล้ายกับว่าจะเข้าใจถึงสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ย แต่ทว่าก็ยากที่จะยอมรับมัน

 เมื่อคราที่ข้าอยู่ในราชวงศ์หยู ข้าเคยได้ยินคำหนึ่ง เรียกว่ากรงนก 

 ข้าเคยกล่าวว่าใต้หล้านี้เปรียบเสมือนกรงนก แคว้นเป็นดั่งกรงนก จวนก็เป็นกรงนกเช่นกัน หากจิตใจไร้ซึ่งอิสระ ทุกสิ่งอย่างก็จะกลายเป็นกรง 

 บัดนี้ข้าคิดว่าควรจะเสริมประโยคหนึ่งเข้าไปว่า แท้จริงแล้วความคิดของมนุษย์ เป็นกรงนกกรงใหญ่ที่กักขังเราเอาไว้ !  

 

ดวงอาทิตย์ลอยเหนือท้องนภา ท้องฟ้ายังคงเป็นสีฟ้าสดใส
แสงแดดที่อบอุ่นแผ่ซ่านมาที่คฤหาสน์จิ้งหูแห่งนี้ ราวกับกำลังปลุกฤดูใบไม้ผลิที่กำลังหลับไหลอยู่ ทันใดนั้นก็มีเสียงจักจั่นที่ใสดังกังวาลขึ้นมารอบด้าน
คูฉานดูสง่างาม เคร่งขรึมคฑาฉานที่อยู่ด้านหลังของเขาเกิดประกายเจ็ดสีใต้แสงแดด ประกายนั้นราวกับกำลังปกคลุมคูฉาน
เขานั่งอยู่ในจวนอย่างเห็นได้ชัด แต่ในสายตาของฟู่เสี่ยวกวน เงาของร่างนั้นกลับดูเลือนรางไปเล็กน้อย
มันสว่างจ้าจนทำให้ตาของเขาแทบจะบอด !
เกรงว่าไข่มุกเม็ดนั้นจะเป็นสมบัติที่ล้ำค่า
ต่อจากเสียงจักจั่นที่ดังกังวานขึ้นมา ทันใดนั้นร่างของคูฉานก็แผ่ประกายสีทองอร่ามออกมา มันเคลื่อนไหวออกมาคล้ายระลอกคลื่น แต่แล้วเขาก็เก็บกลับไปอย่างรวดเร็ว
ดังนั้น แสงอันมีค่าบนร่างของเขาได้หายแล้วไป และประกายเจ็ดสีจากคทาฉานนั้นก็ได้หายไปด้วย
เขาในตอนนี้สามารถมองเห็นได้ชัดเจนอย่างไร้ที่เปรียบ ราวกับพระพุทธรูปสีขาวที่ผ่านการชำระล้างด้วยฝนฤดูใบไม้ผลิ
เขาลืมตาขึ้นอย่างเชื่องช้า ในดวงตามีประกายแล่นผ่าน เขาได้กลายเป็นพระอรหันต์ที่รูปงาม
คูฉานลุกขึ้นยืน หันหน้ามองไปทางฟู่เสี่ยวกวน สองมือยกขึ้นพนม และโค้งคำนับ “อาตมา คูฉาน ขอบคุณโยมที่มีจิตเมตตาสั่งสอนอาตมาให้บรรลุได้”
รถม้าห้าคันได้ออกไปจากคฤหาสน์จิ้งหู
สองคันรถม้าในกลุ่มนั้นติดตามเหวินสิงโจวไปยังจวนเหวิน อีกหนึ่งในนั้นคือฝานเทียนหนิงและคูฉาน ทั้งสองคนจะไปยังสถานทูตของแคว้นฝาน ส่วนอีกคันหนึ่งมีหยูเวิ่นหวิน ต่งชูหลาน และซูซู พวกนางต้องการไปยังจวนโหวเพื่อเข้าพบองค์หญิงรองหยูหยู ยามเว่ยพวกนางต้องการไปดูรอบ ๆ เมืองกวนหยุน เพื่อดูทำเลในการตั้งร้านค้า
บนรถม้าของฝานเทียนหนิง ทั้งสองคนได้สนทนากันว่า
“เจ้าจะเข้านิกายฝูจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“พ่ะย่ะค่ะ หลังจากได้ฟังบทสวดพระโพธิสัตว์ ก็รู้สึกถึงบางอย่างขึ้นมาในใจ และตรัสรู้ถึงสัจธรรมบางอย่างขึ้นมาได้ทันพลัน”
“ลองเล่าให้ข้าฟังหน่อย ในตอนนั้นเจ้าจับสัมผัสอันใดได้บ้าง และได้รับสัจธรรมเยี่ยงไรมาบ้าง ? ”
คูฉานอ้าปากพะงาบ ในแววตาดูงุนงงเล็กน้อย…ข้าสัมผัสอันใดได้เยี่ยงนั้นหรือ และข้าได้รับสัจธรรมเยี่ยงไรน่ะหรือ ?
เขามิรู้หรอก มันช่างเลอะเลือนยิ่ง กลับกันในยามนี้เขากลับมีวรยุทธ์อย่างแท้จริง ในส่วนของกระบวนการนั้น เป็นกระบวนการที่สับสนและมึนงงมิสามารถอธิบายออกมาได้
ดังนั้นเขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ “ทูลฝ่าบาท ในชั่วขณะนั้น ราวกับมีการรดน้ำมนต์ของพระไตรปิฎก ราวกับมีแสงแห่งพระพุทธลอยลงมาจากฟากฟ้า ราวกับมีเสียงสวดที่นุ่มนวลดังอยู่ข้าง ๆ หู ราวกับได้เห็นอาณาจักรพระธรรมสีทอง ราวกับได้ฟังบทสวดพระโพธิสัตว์มาสามภพสามชาติ”
ฝานเทียนหนิงอ้าปากค้างแต่กลับพูดอะไรไม่ออก ลึกลับเพียงนั้นเลยหรือ เพราะบทสวดพระโพธิสัตว์เยี่ยงนั้นหรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนนำบทสวดมาประพันธ์เป็นบทกวี เพื่อเผยแพร่คำสอนเยี่ยงนั้นหรือ ?
“บทสวดพระโพธิสัตว์มีจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
คูฉานจะไปทราบได้เยี่ยงไร แต่เขากลับพยักหน้ารับอย่างจริงจัง “มีจริง ๆ ! ”
“เยี่ยงนั้นคนที่เผยแพร่ใต้ต้นโพธิ์นั้นเป็นผู้ใดกัน ? ”
“…คาดว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า แต่จากที่ดูแล้วกลับเหมือนฟู่เสี่ยวกวน…คาดว่านี่น่าจะเป็นเหตุผลที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้กล่าวบทสวดพระโพธิสัตว์ ในใจของข้าเลยคิดถึงภาพของเขา”
“…” ฝานเทียนหนิงจ้องคูฉานเขม็ง หากผู้นำนิกายมาได้ยินคำเอ่ยเยี่ยงนี้ของเจ้าเข้า เจ้าจะต้องโดนตีก้นเป็นแน่ !
“แล้วเจ้าล่ะ ? หรือว่าเจ้าจะเป็นเด็กชายใต้ต้นโพธิ์นั่นกัน ? ”
“ไม่ ข้าเป็นเพียงจักจั่นที่อยู่ใต้ต้นโพธิ์”
ทันใดนั้นฝานเทียนหนิงก็รู้สึกไม่ดีไปทั่วร่าง คูฉานฉีกยิ้ม จักจั่นกับผีเจ้าสิ มันกลายเป็นเช่นนี้ไปได้เยี่ยงไร ข้ามิได้รับรู้อันใดเลยอย่างแท้จริง
แต่รอยยิ้มนั้นที่ตกอยู่ในสายตาของฝานเทียนหนิง มันกลับดูล้ำลึกยิ่ง รู้สึกว่าผู้ที่นับถือนิกายฝูเยี่ยงคูฉานแม้แต่รอยยิ้มก็ดูน่าเลื่อมใสยิ่งนัก…
หรือว่า ข้าเองก็ควรไปเป็นพระด้วย ?
มองพระพุทธเจ้าที่เหมือนกับฟู่เสี่ยวกวนอยู่ใต้ต้นโพธิ์ มองจักจั่นที่พักพิงอยู่ใต้ต้นโพธิ์ตัวนั้น !
ในฐานะนักปราชญ์แห่งราชวงศ์อู๋ จวนของเหวินสิงโจวมิเพียงใหญ่กว่าจวนของฉินปิ่งจงเท่านั้น แม้แต่ภายในนี้ก็มีผู้คนอยู่เยอะกว่ามาก
“บุตรชายคนโตของข้าเหวินชังไห่อยู่ในสำนักศึกษาฮ่านหลิน บุตรชายคนรองเหวินซิ่วจงอยู่ในสำนักอัครมหาเสนาบดี บุตรคนที่สามเหวินซิงจ้าวอยู่ในซือหลี่เจี้ยน พวกเขามิได้แยกตัวออกไป ดังนั้นบ่าวรับใช้ภายในเรือนจึงมีเยอะเสียเล็กน้อย ข้ามิชอบอยู่ที่เรือนด้านหน้า มันเสียงดังมากเกินไป ข้าจะพาเจ้าไปยังห้องอักษรที่อยู่ด้านหลังเรือน ในนั้นสงบมากยิ่งนัก”
ต้นไม้ใหญ่แตกแยกกิ่งก้านบุตรเติบใหญ่แยกจากเรือน หรือว่าราชวงศ์อู๋จะมิมีแนวคิดเยี่ยงนี้กัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิได้ไถ่ถามอันใด แต่ราวกับเหวินสิงโจวอ่านความคิดของเขาออก จึงกล่าวขึ้นมาว่า “มิใช่เรื่องง่ายเลย ที่จะซื้อจวนในเมืองหลวง จวนแต่ละหลังนั้นราคาแพงมากยิ่งนัก เบี้ยหวัดที่พวกเขาได้รับนั้นน้อยนิด มิสามารถซื้อจวนเยี่ยงนี้ได้ จึงต้องตัดใจไป ที่นี่ถือว่ากว้างขวาง ในตอนนี้ก็มิได้แออัดอันใดมากมาย”
อ่า…ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมิว่าจะเรื่องอันใด ก็เกี่ยวข้องกับเงินทั้งสิ้น
ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง เขาพาซูเจวี๋ยเดินตามเหวินสิงโจวไปยังด้านหลังเรือน และเข้าห้องอักษรไป
ในห้องอักษรมีหญิงสาวที่งดงามอยู่ผู้หนึ่ง ในยามนี้นางกำลังนั่งเขียนบางอย่างอยู่ที่โต๊ะ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า นางมิได้หันกลับมา แต่กลับกล่าวว่า “ท่านปู่ ข้าได้เรียบเรียงตำราหลี่เสวียเรียบร้อยแล้ว ประเดี๋ยวท่านลองอ่านดูอีกครานะเจ้าคะ”
“ซีรั่ววางมือก่อน ข้ามีคนที่อยากจะแนะนำให้เจ้าได้รู้จัก แล้วประเดี๋ยวเจ้าช่วยไปทำอาหารเลิศรสสักสองสามอย่างมาด้วยล่ะ”
หญิงสาวผู้นั้นขมวดคิ้วและหันหลังกลับมา จึงได้เห็นเข้ากับฟู่เสี่ยวกวน นางรู้สึกโมโหขึ้นมาทันพลัน มุมปากกระตุกเบา ๆ “ท่านปู่ ข้าสามารถจัดการเรื่องของข้าเองได้ ท่านมิต้องเป็นกังวลจะดีกว่าหรือไม่ ? ”
ก่อนหน้านี้ ท่านปู่มักจะพาชายหนุ่มที่เขาคิดว่าเป็นผู้มีความสามารถกลับมาด้วย เป้าหมายก็คือหวังให้นางได้พิจารณาดู
ชายผู้นี้มิได้แตกต่างจากชายหนุ่มเหล่านั้น รูปลักษณ์มิขัดตา การแต่งกายก็เหมาะสม กิริยาท่าทางสุภาพ แต่ทว่า…แต่คนเหล่านี้นางหาได้สนใจไม่ !
“มิได้เกี่ยวข้องกับตรงนั้น เขาคือฟู่เสี่ยวกวนจากราชวงศ์หยู”
ฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ?
เหวินซีรั่วตกตะลึง และพินิจพิจารณาฟู่เสี่ยวกวนอีกครา ชายผู้นี้คือคนที่ท่านปู่ยกยอให้เป็นถึงนักปราชญ์แต่กลับมิได้ดูมหัศจรรย์แต่อย่างใด
ในฐานะที่เคารพในชื่อเสียงเรียงนาม นางลุกขึ้นคำนับและกล่าวอำนวยพรแก่ฟู่เสี่ยวกวน คิดว่าคนผู้นี้มีค่าพอให้นางทำอาหารให้ทานสักมื้ออยู่เช่นกัน
นี่คือการทำอาหารหนึ่งมื้อ มิใช่การทำอาหารสำหรับตลอดชีวิต !
เพราะฟู่เสี่ยวกวนก็มิใช่ผู้ที่เหวินซีรั่วสนใจเช่นกัน !
“เยี่ยงนั้นข้าขอตัวเข้าโรงครัวก่อน…คุณชายฟู่ รบกวนท่านช่วยอยู่สนทนากับท่านปู่ด้วย สนทนากันเรื่องวรรณกรรมนะเจ้าคะ มิต้องสนทนากันเรื่องของข้า”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมา และลูบจมูกไปมา “เรื่องนั้นแม่นางโปรดวางใจเถิด”
“เยี่ยงนั้นก็ดีเจ้าค่ะ ! ”
เหวินซีรั่วเดินออกไป เหวินสิงโจวจึงได้เชิญฟู่เสี่ยวกวนนั่งลง ในขณะที่ต้มชาก็ถอนหายใจไปด้วย “ข้าเองก็มิทราบว่านางต้องการหาแบบใดกัน นางเป็นบุตรีคนโตของเหวินชังไห่ หลังจากที่นางเกิดมา ภรรยาของเหวินชังไห่ก็มิได้ตั้งครรภ์เป็นเวลานาน ดังนั้นถึงได้เลี้ยงดูนางเฉกเช่นเป็นบุตรชาย เลี้ยงดูจนมีนิสัยคล้ายกับบุรุษ ภายหลังเหวินชังไห่ก็ได้มีบุตรชาย ให้ซีรั่วเปลี่ยนมาใส่ชุดสตรี แต่ก็แก้นิสัยของนางมิได้ ข้าล่ะปวดศีรษะอย่างแท้จริง ! ”
“ในกรณีเยี่ยงนี้ คาดว่านางน่าจะชอบเหล่าชาวยุทธ์”
“เฮ้อ…ก็เคยหาแล้ว เคยให้นางลองศึกษาดูจอหงวนด้านบู๊หลายปีที่ผ่านมาแล้ว” เหวินสิงโจวส่ายหน้า “มิเข้าตานางเลย ช่างมันเถิด มิต้องสนทนาเกี่ยวกับเรื่องของนางแล้ว มาสนทนากันเรื่องตำราหลี่เสวียเถิดวานเจ้าโปรดชี้แนะให้ข้าด้วย”
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาว่า ไป๋ยู่เหลียนที่วิ่งวุ่นอยู่ในภูเขาเฟิ่งหลินปีนี้ก็อายุมิน้อยแล้ว เหวินซีรั่วผู้นี้ก็เป็นสตรีมีรูปลักษณ์ที่งดงาม หากทำให้นางสามารถตบแต่งกับไป๋ยู่เหลียนได้…รูปลักษณ์ของทั้งสองถือว่าเข้ากันได้เป็นอย่างดี หากมีบุตรชายหรือบุตรี ก็คงงดงามมิต่างจากดอกบัว !
เยี่ยงนั้นควรเริ่มลงมือจากที่ใดก่อนดี ?

เมื่อบทสวดพระโพธิสัตว์จบลง ก็พบว่าหัวของคทาฉานที่คูฉานแบกไว้นั้น เปล่งแสงออกมาอย่างน่าอัศจรรย์

คูฉานนั่งลงที่พื้นพนมมือขึ้น ร่างกายของเขาปรากฏแสงสีทองไหลวน ช่างสง่างามน่าเกรงขามราวกับเป็นพระสมณศักดิ์

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงยิ่ง เขามองไปยังคูฉานแล้วมองไปยังศิษย์พี่ใหญ่

บัดนี้ซูเจวี๋ยมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาขยับหมวกให้ตรงจากนั้นเอ่ยออกมาว่า  สำเร็จเป็นพระอรหันต์ !  

 หมายความว่าเยี่ยงไร ?  

 ก่อนหน้านี้คูฉานมิได้เข้าถึงฌานอย่างแท้จริง หมายความว่าเขามิได้เข้าถึงพระพุทธศาสนา เป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อเขาได้ฟังบทสวดพระโพธิสัตว์ของเจ้าเมื่อครู่ เขาก็ได้เข้าใจในรสของพระธรรม…  ซูเจวี๋ยมองไปยังฝานเทียนหนิง จากนั้นก็เอ่ยถามว่า  ศิษย์น้อง คูฉานผู้นี้เคยอ่านพุทธคัมภีร์มามากใช่หรือไม่ ?  

ฝานเทียนหนิงพยักหน้า  ได้ยินมาว่าพระคัมภีร์ทุกเล่มในหอเก็บพระคัมภีร์ของวัดลันทา ได้ถูกคูฉานอ่านและท่องได้ครบทุกเล่มแล้ว 

ซูเจวี๋ยจึงได้เข้าใจกระจ่างแจ้ง ว่าเหตุใดหัวหน้านิกายฝูจึงได้มอบคทาฉานอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งให้แก่คูฉาน แม้เขาจะยังมิได้เข้าสู่แก่นแท้ของฝู เนื่องจากเขาขาดโอกาสบางอย่าง

ในฐานะผู้นำนิกายฝู มีหน้าที่คล้ายกับหัวหน้าสำนักเต๋า นั่นคือออกเดินทางค้นหาสาวกผู้โดดเด่นจากทั่วทุกมุมโลก

แม้ว่าคูฉานจะยังมิได้เข้าถึงแก่นแท้ของฝู แต่เขาได้สั่งสมทุกสิ่งอย่างไว้ในใจทั้งสิ้นแล้ว

ซูเจวี๋ยพยักหน้าอย่างช้า ๆ แล้วกล่าวว่า  สิ่งนี้คือรากเหง้าของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ท่านหัวหน้านิกายช่างเก่งกาจเสียจริง !  

เหวินสิงโจวเองเดิมทีก็ตกตะลึงกับบทความในคัมภีร์นั้น อีกทั้งยังได้เห็นกับตาว่านักบวชผู้นั้นเมื่อได้ยินเข้าก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ !

ช่างน่าเหลือเชื่ออย่างแท้จริง !

หัวใจที่เต้นโครมครามของเหวินสิงโจวยากที่จะทำให้สงบลงได้ เขามองไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้วลุกขึ้นยืน ถอยหลังไปสามก้าวจากนั้นยกมือขึ้นกำหมัดโค้งตัวคำนับ ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนกระโดดลุกขึ้นด้วยความตกใจ…

เมื่อเขากระโดดขึ้น ก็สูงลอยขึ้นไปบนอากาศ !

เหวินสิงโจวอ้าปากค้างมองตามขึ้นไปบนท้องฟ้า อ่า ! ฟู่เสี่ยวกวนลอยตัวได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?

วินาทีนี้เขารู้สึกว่าโลกนี้ช่างน่าเหลือเชื่อเสียจริง !

นักบวชธรรมดา ๆ คนหนึ่ง เพียงแค่นั่งฟังคัมภีร์ก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ บัณฑิตคนหนึ่งอยู่ ๆ ก็ลอยตัวขึ้นไปบนอากาศได้ ฟู่เสี่ยวกวนเป็นวรยุทธ์เยี่ยงนั้นหรือ ?

เขาได้มาถึงจุดสูงสุดของวรรณกรรม เพียงแค่เอ่ยบทกวีเกี่ยวกับพุทธศาสนาออกมา ก็สามารถทำให้นักบวชตรัสรู้ได้ในทันที และเขายังมีวิชาตัวเบาอีกด้วย ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ใดมาจากไหนกันแน่ !

อย่าว่าแต่เหวินสิงโจว แม้แต่ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินที่รู้จักฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างดี บัดนี้พวกนางล้วนตกตะลึงยิ่ง มิใช่เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนมีวิชาตัวเบา แต่ทว่า…เขาศึกษาพุทธศาสนาตั้งแต่เมื่อใดกัน ?

พวกนางเป็นพยานได้ว่า ที่เมืองหลวงหรือที่หลินเจียงก็ตาม ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยหยิบคัมภีร์ขึ้นมาอ่านแม้แต่เล่มเดียว ประกอบกับสถานที่ทั้งสองแห่งมิมีคัมภีร์แม้แต่เล่มเดียว !

เช่นนั้นปัญหาคือ เขาไปศึกษาคัมภีร์พุทธศาสนาตั้งแต่เมื่อใดกัน ?

อีกทั้งมองดูแล้วยังเก่งกาจมากอีกด้วย !

เขาคงจะมิออกบวชเป็นพระใช่หรือไม่ !

สตรีทั้งสองนางรู้สึกกังวลใจขึ้นมาทันที แล้วนึกในใจว่าโชคดีที่ยังมีหนังสือสัญญาสมรสอยู่ในมือ เมื่อเดินทางกลับไปยังเมืองจินหลิง พวกนางจะต้องรีบจัดงานให้เร็วที่สุด มิเช่นนั้นหากหัวหน้านิกายฝูมาทาบทามเขาไปเป็นพระอรหันต์ที่แคว้นฝาน…พวกนางจะทำเยี่ยงไร !

ฟู่เสี่ยวกวนค่อย ๆ ลอยตัวลงมาจากท้องฟ้า เขารู้สึกชื่นชอบมันยิ่ง อีกทั้งโรคกลัวความสูงของเขาก็ได้รักษาจนหายแล้วอีกด้วย

เหวินสิงโจวมองดูฟู่เสี่ยวกวนที่มีท่าทางกระตือรือร้น ซึ่งมีมากกว่าเมื่อคราที่เขาเขียนตำราหลี่เสวียอีกด้วยซ้ำ !

บัดนี้เหวินซิงโจวลอบคิดในใจว่า  ตำราหลี่เสวีย  ของเขาที่ภาคภูมิใจนักหนา ในสายตาของฟู่เสี่ยวกวนแล้วมิได้สำคัญอันใดเลย เพราะเหตุใดอย่างนั้นน่ะหรือ ? เนื่องจากตัวเขานั้นศึกษาตำราศักดิ์สิทธิ์มานานกว่าสี่สิบปี ! แต่นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการศึกษาเท่านั้น มิเหมือนกับฟู่เสี่ยวกวน

เขาอายุเพียง 16 ปี ได้บรรลุถึงขั้นสูงสุดของวรรณกรรมแล้ว อีกทั้งกระโดดข้ามไปศึกษาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่มิเกี่ยวข้องกับวรรณกรรมเลยแม้แต่น้อย บทสวดพระโพธิสัตว์ของเขาบทนั้นก็มิใช่ธรรมดา เขาผู้นี้สามารถกล่าวออกมาเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ได้ ตนถึงได้แสดงความเคารพนับถือเขาออกมาจากใจจริง

ฟู่เสี่ยวกวนจะกล้ารับความคารวะจากเหวินสิงโจวได้เยี่ยงไร เขารีบประคองมือทั้งสองข้างของเหวินสิงโจวไว้ แล้วกล่าวว่า  ท่านอาจารย์เหวิน ท่านทำเช่นนี้ข้าจะสบายใจได้เยี่ยงไร !  

 หาใช่ไม่ ใต้หล้านี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ทำให้ข้าเคารพได้ !  

 เชิญท่านนั่งลงก่อนเถิด พวกเรามาสนทนากัน…  เขาเดินนำเหวินสิงโจวไปยังโต๊ะข้าง ๆ จากนั้นดึงเก้าอี้ออกมาให้เขานั่งก่อนจะกล่าวกับชุนซิ่วว่า  รีบไปจัดเตรียมชาชั้นเลิศมาโดยเร็ว 

ชุนซิ่วเองก็แสดงความชื่นชมคุณชายของนางมากเช่นกัน เมื่อได้ยินดังนั้นก็รีบยกชายกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งออกไป

 คือว่า ท่านอาจารย์เหวิน ข้าได้ยินว่าตำราหลี่เสวียที่ท่านเขียนนั้นมีชื่อเสียงยิ่ง ข้าเองก็นับถือท่านเป็นอย่างมาก ท่านจะ…ให้ข้าดูสักหน่อยได้หรือไม่ ?  

เหวินสิงโจวดีใจยิ่ง ตำราที่เขาเขียนนั้นถูกฟู่เสี่ยวกวนให้ความสำคัญ อีกทั้งยังชื่นชมผลงานของเขาอีกด้วย หากฟู่เสี่ยวกวนเขียนคำนำให้แก่เขา คงจะสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

 แน่นอนว่ามิมีปัญหา เดิมทีข้ายังกังวลว่าคุณชายฟู่จะมิสนใจเสียด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าข้ามิได้นำติดตัวมาด้วย…หากเจ้าว่างเมื่อใด ข้าจะพาเจ้าไปที่จวนแล้ววานเจ้าช่วยดูให้ข้าเสียหน่อย ขอบอกคุณชายตามตรงว่าตำรานี้ยังมิได้รับการยอมรับจากส่วนกลาง องค์จักรพรรดิประสงค์จะทำการเผยแพร่ แต่ทว่าหนานกงอี้หยู่คัดค้าน กล่าวว่าหากตำราของข้าเผยแพร่ไปทั่ว เกรงว่าแต่ละเมืองจะต้องสร้างเรือนจำขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นอีกเป็นแน่ 

ใบหน้าของเหวินสิงโจวแฝงไปด้วยความโกรธ แล้วกล่าวว่า  ชายชรานั่นยังกล่าวหาข้าในที่ประชุมใหญ่ราชวงศ์ว่าข้านั้นใช้วิธีสกปรกในการสร้างชื่อเสียงให้แก่ตน เพื่อให้ทุกคนจดจำชื่อเสียงไปตลอดกาล คุณชายฟู่เคยกล่าวว่าเพื่อเป็นศูนย์กลางของสวรรค์และโลก เพื่อสร้างชีวิตให้ประชาชน เพื่อสืบความรู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ให้ดำรงอยู่ต่อไป เพื่อสันติสุขในทุกสมัย ! 

 ประโยคนี้ข้าได้บันทึกไว้บนป้ายคำขวัญ ใส่กรอบแขวนไว้ที่ผนัง เพื่อวัตถุประสงค์นี้ 

เขานิ่งไปสักพักก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยแววตากระตือรือร้นว่า  พวกเราไปตอนนี้เลยดีหรือไม่ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง ต้องรีบร้อนเช่นนี้เชียวหรือ ?

 นี่ก็ใกล้จะยามอู่แล้ว ท่านจะ… 

 ไปเถอะ ๆ ไปกินมื้อกลางวันที่จวนของข้า หลานสาวข้านั้น…อ่าใช่ หลานสาวข้าเหวินซีรั่วชื่นชอบการต่อสู้ แต่ว่านางมีฝีมือในการทำอาหารยิ่ง 

 เสี่ยวกวน หลานสาวข้านั้นมีทัศนคติที่ดีเยี่ยมมากยิ่งนัก ปีนี้เพิ่งจะอายุ 20 ปี…มิใช่ว่ามิมีผู้ใดชื่นชอบนาง แต่ทว่ามิมีผู้ใดที่นางถูกใจ อย่าหาว่าข้านั้นโอ้อวดหลานสาว แต่หากนางยืนคู่กับองค์หญิงไท่ผิง ก็งดงามมิแพ้กันเลยทีเดียว ในปีนี้เจ้าอายุ 17 ปี สตรีแก่กว่า 3 ปีกำลังดี ข้าว่า… 

ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้า ส่วนต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินมองมาทางเหวินสิงโจวด้วยสายตาไม่เป็นมิตรเท่าใดนัก

 ท่านอาจารย์อย่าได้คิดมากไป ทั้งสองนางนี้คือว่าที่ภรรยาของข้า ที่เมืองจินหลิงยังมีอีก 1 คนมิได้เดินทางมาด้วย พวกนางทั้งสามคนได้รับหนังสือพระราชทานการสมรสจากฮ่องเต้… 

 ข้าเข้าเฝ้าขอให้จักรพรรดิเหวินเขียนหนังสือพระราชทานการสมรสให้ได้มิใช่ปัญหา 

 ข้ามิได้หมายความว่าเช่นนั้น ข้าหมายความว่าพวกเรากำลังสนทนากันเรื่องตำราหลี่เสวีย อย่าได้นำเรื่องอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเลย หลานสาวท่านนั้นอาจจะเพียงยังมิพบเนื้อคู่ เรื่องนี้ท่านมิต้องกังวลไป 

เหวินสิงโจวรู้สึกเสียดายยิ่ง ความคิดนี้เขามิเคยได้วางแผนมาก่อน แต่เมื่อพบเข้ากับฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เกิดความรู้สึกเช่นนี้ขึ้น

หากว่าเหวินซีรั่วได้แต่งงานกับฟู่เสี่ยวกวน คาดว่าคงจะเป็นเรื่องที่สมบูรณ์แบบยิ่ง !

 ตกลง เช่นนั้นพวกเราไปสนทนากันเรื่องตำราหลี่เสวียกัน ไปเถอะ !  

เหวินสิงโจวดึงฟู่เสี่ยวกวนให้ลุกขึ้น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงของจักจั่นก็ดังกังวานขึ้นท่ามกลางป่า

บัดนี้เพียงแค่เดือนสาม จะมีเสียงจักจั่นร้องได้เยี่ยงไร ?

ซูเจวี๋ยมองไปยังคูฉาน  เขาใกล้จะตื่นขึ้นมาแล้ว 

 

ตอนที่ 329 บทสวดพระโพธิสัตว์
“เป็นเช่นนี้ไปได้เยี่ยงไร ? ”
ในยามนี้ทุกคนได้กลับมาถึงเรือนหลักของคฤหาสน์จิ้งหูแล้ว และได้นั่งล้อมโต๊ะแปดที่นั่ง
จนถึงตอนนี้ฝานเทียนหนิงก็ยากที่จะเชื่อฉากตรงหน้านี้ได้
คาดมิถึงว่าเยียนหานยวี่จะเชื่อคำโกหกที่ไร้ยางอายของฟู่เสี่ยวกวน !
นี่ควรกล่าวว่าเยียนหานยวี่โง่เง่า หรือต้องบอกว่าฟู่เสี่ยวกวนมีความสามารถในการหลอกผู้คนมากเกินไป ?
ชายผู้นั้นถูกฟู่เสี่ยวกวนตัดแขนไปหนึ่งข้างแต่กลับไร้ซึ่งความเกลียดชังแม้แต่น้อย ในทางตรงกันข้ามใบหน้าที่เจ็บปวดจนผิดรูปนั้นยังมีร่องรอยของความหวัง โดยเฉพาะในตอนสุดท้ายที่เขามองไปยังฟู่เสี่ยวกวน ฝานเทียนหนิงเห็นประกายลุกไหม้ในดวงตาได้อย่างชัดเจน
ให้ตายเถอะ !
ฝานเทียนหนิงรู้สึกว่าโลกนี้บ้าคลั่งเกินไปแล้ว การเดินทางไกลในครานี้ ทำให้เขาได้เปิดหูเปิดตาและรู้ความมากยิ่งขึ้น
แม้แต่ศิษย์พี่รองเกาหยวนหยวนก็ตกตะลึงไปเช่นกัน เขาจ้องมองเหตุการณ์นั้นด้วยอารามตาโตอ้าปากค้าง จนถึงตอนนี้ เส้นประสาทของเขาหมุนวนไปมานับร้อยนับพันครั้งถึงจะรู้สึกตัวขึ้นมาได้
เขายกมือใหญ่ราวกับใบพัดนั้นขึ้นมาและทำท่าจะตบลงมา แต่กลับถูกฟู่เสี่ยวกวนขวางเอาไว้ “ศิษย์พี่รอง โต๊ะนี้เป็นไม้”
“ไอหยา…” เกาหยวนหยวนจึงวางมือลง และหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความตื่นเต้นอีกครา “ข้าเข้าใจแล้ว คนเมื่อครู่โง่เขลาเกินไป เขาควรจะกล่าวว่าต้องการมือขวา แบบนั้นศิษย์น้องเล็กก็จะตัดมือซ้ายของเขาไป”
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองศิษย์พี่รองด้วยอารามตะลึง หลังจากนั้นก็พยักหน้า “ศิษย์พี่รองกล่าวได้ถูกต้อง ! ”
เกาหยวนหยวนหัวเราะร่า แต่ศิษย์พี่สี่กลับจ้องเขาเขม็ง และแผ่บรรยากาศเย็นชาออกมา “คนผู้นั้นโง่เกินไป เขาควรกล่าวว่าต้องการหัวแม่มือเอาไว้ เยี่ยงนั้นจึงจะรักษาแขนทั้งสองข้างเอาไว้ได้”
“ศิษย์น้องสี่กล่าวผิดไป ศิษย์น้องเล็กให้เขาเลือกระหว่างมือซ้ายและมือขวาต่างหาก”
“……”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวไม่ออก ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สี่ทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้ หลังจากนั้นพวกเขาก็ราวกับไก่ชนที่เกรี้ยวกราด พวกเขายืนอยู่ในลานบ้าน ดังนั้นในส่วนของลานบ้านจึงเต็มไปด้วยอากาศหนาวเย็นยะเยือก
“อย่าได้คิดว่าเจ้าอ้วนแล้วเจ้าจะมีเหตุผล ! ”
“อย่าได้คิดว่าเจ้าเย็นชาแล้วข้าจะยอมให้เจ้า ! ”
“ต่อจากนี้ข้าจะมิซื้ออาหารให้กับเจ้าแล้ว ! ”
“เยี่ยงนั้นข้าจะดับไฟในห้องของเจ้ายามค่ำคืน ! ”
“…..”
ซูซูตบหน้าผาก ซูโหรวปักผ้าไปด้วยและมีเสียงหัวเราะออกมาเบา ๆ ซูเจวี๋ยสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และขยับหมวก “พอได้แล้ว ! ”
“ในตอนนี้ให้ศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนจัดการ”
ราวกับว่าซูเจวี๋ยมีประสบการณ์ในเรื่องนี้มาอย่างมากมาย เขากล่าวอย่างจริงจังว่า “ศิษย์น้องรองไปนั่งสมาธิในห้อง ศิษย์น้องสี่ไปทำให้ทะเลสาบจิ้งหูกลายเป็นน้ำแข็ง หลังจากนั้นศิษย์พี่ใหญ่จึงจะบอกว่าพวกเจ้าทั้งสองคนใครกันแน่ที่สมเหตุสมผล”
ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สี่มองหน้ากัน แล้วต่างคนต่างแยกย้ายกันไป ซูเจวี๋ยจึงจะหันมากล่าวกับฟู่เสี่ยวกวน “ภายภาคหน้าศิษย์น้องเล็กจะคุ้นชินไปเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนลอบคิดว่าแท้จริงข้ากังวลเป็นอย่างมากว่าจะตามพวกเขามิทัน
ดังนั้นหัวข้อสนทนาจึงกลับมาที่เยียนหานยวี่อีกครา ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวขำ ๆ “ความโลภของมนุษย์นั้นไร้ที่สิ้นสุด ทุกคนต่างมีความโลภหลบซ่อนอยู่ภายในใจ อย่างเช่นข้าในตอนนี้ชอบเงินมากยิ่งนัก อย่างเช่นเยียนหานยวี่ที่โหยหาอำนาจ”
“เขาเข้าใจว่าตนเองนั้นมิมีโอกาสจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงบัลลังก์ เขาทำได้เพียงพึ่งพิงกองกำลังภายนอกเท่านั้น ดังนั้นข้าจึงกล่าวว่าจะสังหารพี่ชายทั้งสามของเขา จากที่มองดูแล้วมิมีทางเป็นไปได้ แต่หากข้าเชิญสำนักเต๋าและหนิงซือเหยียนไปลอบสังหารถึงแคว้นอี๋ แคว้นอี๋ก็จะไร้ผู้แข็งแกร่งชั้นปรมาจารย์ มีความเป็นไปได้ที่เรื่องนี้จะประสบความสำเร็จ เพราะเยียนหานยวี่จะต้องร่วมมือกับข้าอย่างแน่นอน”
“ข้าก็เพียงแค่ให้ความหวังอันริบหรี่แก่เขาเท่านั้น แต่กลับจุดไฟแห่งความโลภที่ซ่อนอยู่ภายในใจของเขาขึ้นมา จนถึงขั้นทำให้เขายอมสละแขนไปหนึ่งข้าง เพื่อความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวที่เลือนลาง”
“ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงกล่าวไว้ว่า รากเหง้าทุกชีวิตนั้นโง่เขลา ต่างมืดบอดไปด้วยการเสพสุข เยียนหานยวี่ก็คงเป็นเยี่ยงนั้นเฉกเช่นเดียวกัน”
คูฉานชะงัก ทันใดนั้นก็เกิดประกายขึ้นมาในดวงตา แต่ซูซูและคนอื่นกลับตกตะลึง คิดว่าในอีกไม่ช้าเขาจะกลายเป็นศิษย์น้องเล็กของสำนักเต๋าแล้ว เหตุใดจึงได้กล่าวคำสอนเยี่ยงนั้นออกมา นั่นมีความหมายว่าเยี่ยงไรกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด และกล่าวว่า “ทุกสิ่งมีชีวิตต่างอาศัยอยู่ในใต้หล้า สติปัญญาย่อมได้รับการแต่งแต้มสิ่งสกปรกมา ดังนั้นจึงมีความหวังไปต่าง ๆ นานา ความหวังเหล่านี้จะทำให้ดวงตาของพวกเรามืดบอด จนทำให้พวกเราสูญเสียความสามารถในการแยกแยะ และทำให้พวกเราเลือกเดินบนเส้นทางที่ผิด ทั้งยังห่างออกไปเรื่อย ๆ ด้วยความเห็นชอบ”
ซูซูและคนอื่นก็ได้เข้าใจในทันพลัน แต่คูฉานกลับกล่าวขึ้นมาว่า “เยี่ยงนั้นต้องทำเช่นไรเพื่อมิให้สติปัญญาได้รับสิ่งการแต่งแต้มจากสกปรกเหล่านั้นขอรับ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยังไม่ทันตอบคำถาม ก็เห็นหนิงซือเหยียนได้เดินนำชายชราผู้หนึ่งเข้ามาข้างใน
เขายังคงอยู่ที่หน้าประตูเช่นเดิม และตะโกนเข้ามาด้านในว่า “อาจารย์เหวินสิงโจวมาขอพบ ฟู่เสี่ยวกวนรับแขก ! ”
เขาคือเหวินสิงโจวเยี่ยงนั้นหรือ ?
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้เห็นใบหน้าของชายชราจึงลุกขึ้นยืน และรีบรุดไปต้อนรับ โค้งคำนับอย่างนอบน้อม “ข้า ฟู่เสี่ยวกวน มิทราบว่าท่านอาจารย์เหวินจะมาเยี่ยม เลยมิได้เตรียมต้อนรับ อาจารย์เหวินโปรดให้อภัยข้าด้วยขอรับ”
“ศิษย์น้องฟู่อย่าได้พิธีรีตองให้มากความ ข้ามาโดยมิได้บอกกล่าวล่วงหน้า คงจะรบกวนไปมาก หวังว่าศิษย์น้องฟู่จะมิถือโทษข้าที่พรวดพราดเข้ามา”
“มิกล้าขอรับ ในตอนที่อยู่เมืองหลวงข้าได้ฟังท่านอาจารย์ฉินกล่าวถึงชื่อเสียงของท่านอาจารย์เหวินมาหลายคราแล้ว เดิมทีควรเป็นข้าที่ควรจะไปเยี่ยมท่านถึงเรือน มิเหมาะสมที่จะต้องให้อาจารย์เหวินมาเหน็ดเหนื่อยเยี่ยงนี้”
ในขณะที่กล่าวฟู่เสี่ยวกวนก็เชิญเหวินสิงโจวมานั่งร่วมโต๊ะ เหวินสิงโจวสำรวจมองคนที่นั่งล้อมโต๊ะ และกล่าวอย่างขำ ๆ ว่า “ข้าทราบว่าเจ้ายุ่งวุ่นวายมากยิ่งนัก แต่เพราะรีบร้อนที่อยากจะพบเจ้าเป็นอย่างมาก ข้าจึงได้รีบเดินทางมา อาจารย์ฉินสบายดีหรือไม่ ? ”
“สบายดีขอรับ ในช่วงนี้เขากำลังทำงานเพื่อบัณฑิตของเขา ค่อนข้างใช้งานสมองหนัก ข้าเกลี้ยกล่อมอันใดเขามิได้เลยขอรับ”
เหวินสิงโจวเงียบไปหลายอึดใจ และถอนหายใจออกมา “เพียงพริบตาก็จะ 8 ปีแล้วที่ข้ามิได้เจอพี่ฉิน พี่ชางกวนและหลี่ชุนเฟิง คิดถึงพวกเขาเสียจริง ยังจำได้เลยว่าปีนั้นที่พวกข้าอายุพอ ๆ กับเจ้า ก็ได้นั่งสนทนาเยี่ยงนี้ที่จินหลิงเช่นกัน… เมื่อครู่พวกเจ้าสนทนากันถึงเรื่องใด ข้ามาที่นี่เพื่ออยากพบเจ้า อย่าได้ทำให้การสนทนาของพวกเจ้าล่าช้าไปเลย”
คูฉานนึกชังชายชราผู้นี้เล็กน้อย ฟู่เสี่ยวกวนยังมิทันได้ตอบคำถามของตน ก็ถูกชายผู้นี้แทรกขึ้นมาเสียได้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “ข้า สาวกนิกายฝู คูฉาน กำลังจะให้คุณชายฟู่ชี้แนะคำสอนอยู่ขอรับ”
เหวินสิงโจวได้ยินเยี่ยงนั้น ก็ตกใจในทันพลัน บทกวีและบทความของฟู่เสี่ยวกวนได้เป็นหนึ่งในใต้หล้าแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเขาอยู่สูงจนไร้พ่ายจึงเปลี่ยนมาเข้าสู่พุทธศาสน์ศึกษาแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
“พวกเจ้ากล่าวกันต่อเถิด ในช่วงนี้ข้าก็สนใจพุทธศาสน์ศึกษา เช่นกัน โปรดกล่าวให้ข้าฟังด้วย”
คูฉานก็มิเกรงใจ และเอ่ยถามอีกคราว่า “คุณชายฟู่ขอรับ เยี่ยงนั้นต้องทำเช่นไรเพื่อมิให้สติปัญญาได้รับการแต่งแต้มจากสิ่งสกปรกเหล่านั้นขอรับ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยถามว่า “เจ้าเคยฟัง ‘บทสวดพระโพธิสัตว์’ มาก่อนหรือไม่ ? ”
คูฉานครุ่นคิด และส่ายหน้า ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ในโลกนี้ไม่มีบทสวดที่มีชื่อเสียงนี้เยี่ยงนั้นหรือ ?
“เยี่ยงนั้นข้าจะขับให้เจ้าได้รับฟัง”
ทันใดนั้นคูฉานก็นั่งตัวตรง ซูเจวี๋ยและคนอื่น ๆ ต่างก็อดกลั้นลมหายใจ หรือว่าศิษย์น้องเล็กจะเข้าถึงฌานอย่างถ่องแท้แล้วจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?
ดวงตาของเหวินสิงโจวมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนด้วยประกายแผดเผา คิดว่าที่ตนเองมาที่นี่นั้นเป็นเรื่องที่ถูกแล้ว ได้มาฟังความเข้าใจของเด็กหนุ่มผู้นี้ที่มีต่อหลักคำสอนอย่างพอดิบพอดี
ฟู่เสี่ยวกวนเปิดปากอย่างเชื่องช้า และเริ่มขับขาน
“โพธิเดิมไร้ต้น กระจกเงานั้นไร้แท่น
พุทธลักษณะมักสงบ ฝุ่นเกาะได้ที่ใดกัน
กายของเราคือต้นโพธิ ใจของเราคือกระจกเงาใส
เดิมทีกระจกนั้นใสสะอาด ฝุ่นเกาะได้ที่ใดกัน
โพธิเดิมไร้ต้น กระจกเงานั้นไร้แท่น
เดิมทีมิมีสิ่งใด ฝุ่นเกาะได้ที่ใดกัน ! ”
ในชั่วพริบตาที่คูฉานดำดิ่งก็ตรัสรู้ได้ในทันที เป็นเยี่ยงนี้นี่เอง มันเป็นเยี่ยงนี้นี่เอง !
ตอนที่ 328 ยืมกระบี่ใช้สักหน่อย
“ข้าให้เจ้าไปแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เยียนหานยวี่หดขาที่ก้าวออกไปกลับมา เขามองดูฟู่เสี่ยวกวนด้วยอาการใจสั่น
เขาสูงกว่าฟู่เสี่ยวกวนมาก อีกทั้งยังแข็งแกร่งกว่าฟู่เสี่ยวกวนอีกเป็นเท่าตัว แต่เหตุใดเมื่ออยู่ต่อหน้าฟู่เสี่ยวกวนแล้ว เขาจึงกลายเป็นลูกแกะน้อยไปได้
แม้แต่ตอนนี้ที่เขาจะท้าประลองกับฟู่เสี่ยวกวน แม้แต่ความกล้าหาญที่จะชักดาบออกมายังมิมี จะต่อสู้กันได้เยี่ยงไร ?
ผ่านไปชั่วครู่ เขาพบว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจเขา จึงได้วางใจลงบ้างแล้วเล็กน้อย เขาได้แต่นึกในใจว่าตนเองเป็นถึงองค์ชายหกแห่งแคว้นอี๋ บุตรชายพ่อค้าที่ดินแห่งเมืองหลินเจียงจะทำอันใดเขาได้กัน ?
หากเขาเป็นอะไรไปแม้แต่เพียงเล็กน้อย แค่เขียนจดหมายไปยังแคว้นอี๋ ก็ยิ่งเป็นเหตุผลอันดีสำหรับการเข้าโจมตีแคว้นหยู และหากกองทัพของแคว้นอี๋บุกเข้าไปถึงเมืองหลานหลิงเมื่อใด ก็เป็นเวลาที่ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูจะตัดศีรษะของฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้เสีย
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจแน่วแน่มิลังเลอีกต่อไป
“ข้าจะไปบัดนี้ เจ้าจะทำอันใดได้”
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังใบหน้าของเยียนหานยวี่ เขาเลิกคิ้วขึ้นแล้วเบ้ปากพร้อมกับเอ่ยว่า “เจ้านี่ โง่เง่าเสียจนมิอาจรักษาได้แล้วอย่างแท้จริง เจ้าลองก้าวออกไปสักก้าวดูสิ ! ”
ลองดูก็ลองดู จะทำอันใดข้าได้เยี่ยงนั้นหรือ ?
แต่ทว่าเมื่อตกอยู่ในเป้าสายตาของฟู่เสี่ยวกวน เขากลับพบว่าตนมิอาจก้าวขาออกไปได้ !
ข้าเป็นอันใดไปกัน ?
ข้ากลัวเจ้าหมอนี่เยี่ยงนั้นหรือ ?
มิใช่ !
ข้ามีเลือดเนื้อเชื้อไขอันสูงส่งของแคว้นอี๋ ข้าจะมาเกรงกลัวพ่อค้าที่ดินต่ำต้อยเช่นนี้ได้เยี่ยงไรกัน ?
ข้าจะต้องปกป้องศักดิ์ศรีของแคว้นอี๋ !
ข้า…ข้าจะไป !
เขาก้าวขาออกไปเบื้องหน้า ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมาทันใด เสียงหัวเราะของเขาทำให้หัวใจของเยียนหานยวี่สั่นสะท้าน แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับหันหลังเดินจากไป
จริงดังคาด !
เจ้าหมอนี่เพียงแค่ขู่ให้เขาตกใจเท่านั้น จะกล้าลงมือได้เยี่ยงไร ?
ดังนั้นเยียนหานยวี่จึงก้าวออกไปเป็นก้าวที่สอง เขาหันหลังกลับไปแล้วเดินเข้าไปหาผู้มีความสามารถทั้งสองที่ติดสอยห้อยตามเขามาด้วย
เขาเดินไปอย่างช้า ๆ แต่กลับได้ยินเสียงดังมาจากด้านหลังว่า “ขอยืมกระบี่เจ้าใช้สักหน่อยได้หรือไม่ ? ”
เสียงนี้เป็นเสียงของฟู่เสี่ยวกวนที่เขาคุ้นเคยดีเสียยิ่งกระไร จะยืมกระบี่ใช้เยี่ยงนั้นหรือ ? กระบี่ของผู้ใด ? เอาไปทำอันใดกัน ?
คำถามสามข้อปรากฏขึ้นมาในสมองของเขาทันทีเมื่อเสียงนั้นเอ่ยจบลง เนื่องจากความประหลาดใจจึงได้หันหลังกลับไปมอง พบว่าหนิงซือเหยียนส่งกระบี่ที่ปลิดชีพคนกว่าห้าสิบคนโดยมิมีคราบเลือดติดแม้แต่หยดเดียวส่งไปให้กับฟู่เสี่ยวกวน
แต่ทันใดนั้นฝานเทียนหนิงก็ได้เดินมาหยุดอยู่ข้างกายฟู่เสี่ยวกวน แล้วยื่นมือออกไปจับมือข้างที่ฟู่เสี่ยวกวนถือกระบี่เอาไว้
“หากเจ้าฆ่าเขา เกรงว่าจะนำมาซึ่งความวุ่นวาย”
ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจความหมายของฝานเทียนหนิงดี เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้ามิฆ่าเขาหรอก หากเขาตายไปคงเสียดายแย่”
ฝานเทียนหนิงและเยียนหานยวี่ชะงักลง “หมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
“ฝานเทียนหนิง เจ้าว่าหากข้าช่วยเขาสักหน่อยให้เขาได้เป็นจักรพรรดิ เป็นความคิดที่ดีทีเดียวใช่หรือไม่ ?
ฝานเทียนหนิงคิดในใจว่า เจ้าทำให้เขาขุ่นเคืองใจแล้วหากเยียนหานยวี่ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งแคว้นอี๋ จะมิทำให้ราชวงศ์หยูถูกโจมตีหนักกว่าเดิมหรือ ?
แต่ต่อจากนั้นแววตาของเขาก็เป็นประกายแล้วหัวเราะออกมา เพิ่งเข้าใจถึงความหมายของฟู่เสี่ยวกวน
“แคว้นอี๋มีองค์ชายทั้งสิ้น 4 พระองค์ จากความสามารถส่วนตัวขององค์ชายหก จะมีปัญญาขึ้นเป็นจักรพรรดิได้เยี่ยงไร”
“หากข้าฆ่าองค์ชายอีก 3 คนทิ้งเสีย เหลือเยียนหานยวี่ไว้เพียงคนเดียว ต่อให้องค์จักรพรรดิจากแคว้นอี๋ต้องการมีบุตรชายอีก คาดว่าคงมิทันการเสียแล้ว”
“…” ฝานเทียนหนิงจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างเหลือเชื่อ เจ้าหมอนี่บ้าไปแล้วหรือเยี่ยงไร เขาจะมิทำเช่นนั้นจริง ๆ ใช่หรือไม่ ?
เขาหัวเราะออกมาเบา ๆ ตนคงคิดมากไปเอง ต่อให้ฟู่เสี่ยวกวนมีความสามารถมากพอ เขาก็คงมิลอบฆ่าองค์ชายทั้งสามคนเป็นแน่
เยียนหานยวี่ก็ตกตะลึงเช่นกัน สมองเขาเพี้ยนไปแล้วหรือเยี่ยงไร พระราชวังแห่งแคว้นอี๋เข้าออกได้ง่าย ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?
แต่ว่า…หากฟู่เสี่ยวกวนฆ่าพี่ชายทั้งสามคนของเขาได้จริง ๆ เล่า
ตำแหน่งจักรพรรดิแห่งแคว้นอี๋นั้นก็ต้องตกเป็นของเขา องค์ชายหกมิเคยคิดมาก่อน เพราะเขามิใช่บุตรของจักรพรรดินี พี่ชายของเขานั่งในตำแหน่งองค์รัชทายาทมา 4 ปีแล้ว
องค์ชายรัชทายาทเยียนเหลียงเจ๋อเป็นผู้มีความสามารถทั้งด้านบู๊และบุ๋น การลักลอบเข้าราชอาณาจักรหยูในครานี้เป็นผลงานขององค์ชายรัชทายาท ซึ่งเสด็จพ่อภาคภูมิใจมากยิ่งนัก
จากความสามารถอันเล็กน้อยของเขานั้น มิอาจทำให้ตำแหน่งรัชทายาทสั่นคลอนได้เลยแม้แต่น้อย ดีมิดีอาจจะทำลายชีวิตของตนเองก็เป็นได้
ในมือของฟู่เสี่ยวกวนมีผู้มีฝีมือมากมาย หากเขามีโอกาสละก็…คาดว่าจะสามารถฆ่าพี่ชายทั้งสามของเขาได้เป็นแน่…
เยียนหานยวี่เริ่มสั่นคลอน นั่นตำแหน่งองค์จักรพรรดิเชียว !
เช่นนั้นแคว้นอี๋ก็เป็นของเขาทั้งหมด !
จักรพรรดินีแม้จะอายุสามสิบสองแล้ว แต่มองไปยังคล้ายยี่สิบสาม รูปร่างบอบบางอรชรของนางนั้นช่างน่าทะนุถนอมมากยิ่งนัก
หลังวังยังมีพระสนมมากมายหน้าตางดงามราวกับเทพธิดา อีกทั้งพระชายาขององค์รัชทายาท แม้จะทรงให้กำเนิดบุตรแล้วแต่สรีระของนางมิได้เปลี่ยนไปเลย ยังคงสง่างามดังเดิม
เมื่อคิดดูแล้วก็น้ำลายไหล ก่อนหน้านี้ได้แต่ลอบคิดไปว่า หากข้าได้นั่งบนบัลลังก์นี้ ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะกลายเป็นของข้า !
เยียนหานยวี่รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาอยากจะเดินเข้าไปข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวนแล้วนั่งดื่มกับเขา สนทนาว่าจะดำเนินการเยี่ยงไร
ฟู่เสี่ยวกวนยืนถือกระบี่อยู่เบื้องหน้าเยียนหานยวี่ “ข้าคิดว่าหากเรื่องในราชวงศ์อู๋จัดการเรียบร้อยแล้ว ข้าจะส่งคนไปติดต่อที่แคว้นอี๋ เมื่อถึงเวลาแล้วเจ้าเพียงเล่าถึงสถานการณ์ของพี่ชายทั้งสามของเจ้าให้คนของข้าฟัง เรื่องอื่น ๆ เจ้ามิต้องกังวล รอวันขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งแคว้นอี๋เถอะ”
เยียนหานยวี่ยินดียิ่ง แต่สีหน้าของเขามิได้แสดงออกใด ๆ เขาเพียงมองดูฟู่เสี่ยวกวนและมิได้เอ่ยอันใดออกมา
“เพื่อเป็นการแสดงถึงความจริงใจ เพื่อป้องกันมิให้เจ้าถูกสงสัย ดังนั้น…เจ้าควรทิ้งบางอย่างไว้ที่นี่”
เยียนหานยวี่ชะงักลง ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามเขาอีกว่า “เจ้าลองคิดดูเอาว่า จะเป็นมือซ้ายหรือมือขวา ? ”
เจ้าหมอนี่จะตัดมือเขาเยี่ยงนั้นหรือ ?
เขาจะยอมได้เยี่ยงไร !
เยียนหานยวี่กำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา แต่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยขึ้นอย่างจริงจังว่า “เจ้าคิดดูให้ดี หากเจ้าจะยอมถอนตัว ก็ละทิ้งแผนการนี้เสีย”
“ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม หากหลังจากนี้เจ้ายังมิตอบ ก็เชิญกลับไปได้ นับแต่นี้พวกเราต่างคนต่างอยู่ อย่าได้เกี่ยวข้องกันอีก”
หนิงซือเหยียนมองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วคิดว่า
เหตุใดจึงต้องนับถึงสามอีก ?
เยียนหานยวี่ต่อให้โง่เง่าเพียงใดก็คงมิได้โง่ถึงเพียงนั้นหรอกมิใช่หรือ !
“สาม ! ”
“สอง ! ”
ฝานเทียนหนิงคิดว่าการที่ฟู่เสี่ยวกวนทำเช่นนี้ ก็เพื่อให้องค์ชายหกยอมแพ้ไป เป็นไปตามที่เขาคิด หากฟู่เสี่ยวกวนตัดแขนองค์ชายหกจริง ๆ ต่อให้ที่นี่คือราชวงศ์อู๋ จักรพรรดิแห่งแคว้นอี๋ก็ต้องเดือดดาลและยกกองทัพโจมตีราชวงศ์หยูอย่างแน่นอน
ผลที่ตามมาอาจทำให้จักรพรรดิหยูยิ่นมิอาจต้านรับได้ อีกทั้งบรรดาขุนนางทั้งหลายก็คงกล่าวโทษฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่
ดังนั้น ทางที่ดีควรเป็นเช่นบัดนี้
แต่เขาคาดมิถึงว่า เยียนหานยวี่กลับเปิดปากขึ้นว่า “มือซ้าย ! ”
“ดี ดีมาก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบกระบี่ขึ้นมา เมื่อทุกคนเห็นประกายกระบี่ก็ได้ยินเสียงเยียนหานยวี่ร้องออกมาอย่างโหยหวน “อ๊าก… ! ” แขนขวาของเขาถูกฟัน เลือดสีแดงสดไหลนองน่าสยดสยอง
“ขอแสดงความยินดีด้วยองค์ชายหก ท่านจะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิแห่งแคว้นอี๋ในมิช้า ! ”
“ข้าบอกว่าแขนซ้าย ! ”
“ใช่สิ” ฟู่เสี่ยวกวนก้มลงเก็บแขนขวาขึ้นมาให้เยียนหานยวี่ “ข้าเหลือแขนซ้ายไว้ให้ ข้าฟันผิดไปเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หนิงซือเหยียนคิ้วขมวด
การทานอาหารคือเรื่องศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะการทานอาหารเช้า
เมื่อวานได้แอบไปขโมยแม่ไก่มาหนึ่งตัวจากบ้านกระโจมแถบชายฝั่งของทะเลสาบสือหลี่ เช้าวันนี้ถึงได้นำไก่ตัวนั้นมาย่าง ในตอนที่กำลังจะใช้ช่วงเวลาที่แสนสำคัญอย่างมีความสุข แต่แล้วก็มีกลุ่มคนเข้ามาทำลายบรรยากาศ นั่นมันน่าโมโหมากยิ่งนัก
“เจ้าสามารถรอได้หรือไม่ ? ”
ในตอนที่ผู้มีฝีมือสองคนที่อยู่ข้างกายของเยียนหานยวี่ต้องการจะชักกระบี่ แต่ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาหนึ่งประโยค ดังนั้นพวกเขาจึงหันไปมองเยียนหานยวี่
“รออันใด ? ”
เยียนหานยวี่เองก็ผงะ การสังหารมิจำเป็นต้องรอ หรือว่าคนเฝ้าประตูผู้นี้กลัวเขาแล้วคิดจะหาช่องว่างเข้าไปเรียกฟู่เสี่ยวกวนออกมาเยี่ยงนั้นหรือ
จากนั้นเขาก็โกรธจนแทบจะกระอักเลือก
“เนื้อไก่หากเย็นแล้วจะแข็ง รสชาติจะแย่ไปในทันที ทานเข้าไปก็ยากที่จะกลืน พวกเจ้ารอข้าสักครึ่งก้านธูป ให้ข้าทานไก่ตัวนี้ให้หมดเสียก่อน ดีหรือไม่ ? ”
ข้าจะมาสังหารฟู่เสี่ยวกวน ยังจะต้องมายื่นมองเจ้ากินไก่อยู่ที่ตรงนี้เยี่ยงนั้นหรือ ?
เยียนหานยวี่เดือดดาลทันพลัน “เจ้าหลีกทางให้ข้าแล้วไปกินที่ข้างทางเสีย ! ”
หนิงซือเหยียนส่ายหน้าอย่างจริงจัง “ต่างก็เคยท่องเที่ยวในยุทธภพกันมาหมดแล้ว คาดว่าคงเข้าใจหลักการนำเงินของผู้คนมาขจัดภัยนี้แล้ว ฟู่เสี่ยวกวนใช้ซีชานเทียนฉุนจ้างให้ข้าเฝ้าประตู ข้าย่อมมิสามารถหลีกทางให้เจ้าได้ แต่ว่าพวกเจ้า…ปรี่มาโวยวายกันถึงที่นี่ตั้งแต่เช้า หากฟู่เสี่ยวกวนมาได้ยินเข้า เกรงว่าจะตำหนิข้าที่เฝ้าประตูได้มิดี เยี่ยงนั้นพวกเจ้ากลับไปก่อนดีหรือไม่ ? ”
หนิงซือเหยียนเอ่ยไปด้วยในขณะที่กำลังหั่นเนื้อ เยียนหานยวี่ได้ยินเยี่ยงนั้นก็ดีใจ ลอบคิดว่ากฎของราชวงศ์อู๋นั้นใช้ได้มิเลว แม้แต่ผู้เฝ้าประตูต่างก็มีจรรยาบรรณในอาชีพอย่างเคร่งครัด หากเป็นเวลาปกติ เขาคงนั่งลงดื่มสุรากับคนเฝ้าประตูที่น่าสนใจผู้นี้อย่างมินึกรังเกียจ แต่บัดนี้ยังมิได้
ในตอนนี้เขาควรได้เข้าไปในคฤหาสน์จิ้งหู และสังหารฟู่เสี่ยวกวนที่สมควรตายผู้นั้นเสีย !
“ข้านับสาม หากเจ้ายังมิถอย แล้วอย่าได้กล่าวโทษกระบี่ที่ไร้ตาของข้า” สีหน้าของเยียนหานยวี่มืดครึ้ม หนิงซือเหยียนถอนหายใจหนัก ๆ หวังว่าการนับสามนั้นจะเป็นไปอย่างช้า ๆ ยังเหลือไก่อีกครึ่งตัวเลยนี่ เสียดายยิ่ง
ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าลงหั่นเนื้อ เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ในขณะที่หั่นก็จุ่มลงไปในน้ำจิ้มและโยนใส่ปาก เสียงของเยียนหานยวี่ดังอยู่ข้างหูของเขา
“สาม ! ”
เขาเคี้ยวจนแก้มป่อง หลังจากที่กลืนลงไป ก็ได้โยนอีกสองชิ้นเข้าปากตามติดไป
“สอง ! ”
เขาหยิบน้ำเต้าสุราขึ้นมาจิบ และหั่นเนื้อต่อไป
เยียนหานยวี่เชื่อว่าทั้งชีวิตนี้เขาไม่เคยเจอคนที่รักการกินมากกว่ารักชีวิตมาก่อน !
ในเมื่อเจ้าไม่เสียดายชีวิต เยี่ยงนั้นข้าก็ขอปลิดชีวิตเจ้า !
“หนึ่ง !”
“ฆ่า ! ”
ทันทีที่คำว่าฆ่าหลุดออกมาจากปาก หนิงซือเหยียนก็โยนชิ้นเนื้อที่หั่นเสร็จพอดีเข้าปากไป แต่ยังมิทันที่จะได้จุ่มลงไปในน้ำจิ้ม รสชาติจึงมิได้เลิศรสเท่าใดนัก
ผู้มีฝีมือระดับสูง 2 คนที่อยู่ข้างกายเยียนหานยวี่ชักดาบและกระบี่ออกมา ชายฉกรรจ์จากยุทธภพจำนวน 150 คนที่อยู่ด้านหลังของเขาชักดาบและกระบี่ออกมา พวกเขากู่ร้องในพลัน และปรี่ไปหาคนเฝ้าประตูที่นั่งอยู่ที่หน้าประตูตรงนั้น
ใช้คนมากมายเพื่อสังหารคนเฝ้าประตู 1 คน เยียนหานยวี่รู้สึกว่าแบบนี้มันเหมือนกับใช้มีดฆ่าวัวมาฆ่าไก่ก็มิปาน
สายตาของเขาผละออกจากคนเฝ้าประตูผู้นั้น และมองไปยังทะเลสาบจิ้งหูที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกที่ไกลสุดลูกหูลูกตาที่อยู่ห่างออกไป
สถานที่แห่งนี้ถือว่าไม่เลว หากสังหารฟู่เสี่ยวกวนได้แล้ว ควรจะแย่งชิงโฉนดที่ดินที่แห่งนี้ด้วยดีหรือไม่ ?
ในฐานะคนจากแคว้นอี๋ พวกเขาคุ้นชินกับคำว่าแย่งชิงเป็นอย่างมาก และเป็นความคุ้นชินที่ฝังลึกเข้าไปในกระดูก
และในขณะเดียวกัน ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่นก็เพิ่งเดินออกมาจากป่า ก็ได้ยินเสียง “ฆ่า ! ” ที่ดังลั่นนั้นพอดี
ใจของฟู่เสี่ยวกวนบีบรัด แต่มิใช่เพราะกังวลกับหนิงซือเหยียน แต่กังวลแทนกลุ่มคนที่ดวงตาไร้แววเหล่านั้น
แน่นอน พวกเขาได้เห็นแสงจากกระบี่ที่สว่างขึ้นมาหนึ่งสาย…
หนึ่งกระบี่ !
ไร้เสียงไร้ลมมีเพียงประกายสีเงินของหนึ่งกระบี่เท่านั้น !
หลังจากหนึ่งกระบี่นั้น มิมีแม้แต่เสียงโอดครวญ !
ผ่านไปหนึ่งกระบี่ให้หลังไปอีกสิบอึดใจ “ตึง ! ” ศพเหล่านั้นก็ได้พร้อมใจกันตกลงไปกับพื้น หลังจากนั้นศีรษะของแต่ละคนที่ตกลงมากับพื้นจึงได้กลิ้งไปคนละทิศละทาง และมีโลหิตจำนวนมากที่พวยพุ่งออกมาจากศีรษะเหล่านั้น
หนิงซือเหยียนถึงได้คิ้วขมวด เขามิชอบเห็นภาพที่น่าเวทนาเช่นนี้ และมิชอบกลิ่นเลือดที่คละคลุ้งเยี่ยงนี้ตั้งแต่เช้าตรู่
ภายใต้หนึ่งกระบี่นี้ มีศพจำนวนห้าสิบกว่าร่างล้มลง ผู้มีฝีมือระดับสูงทั้งสองมิได้อยู่ในกลุ่มนั้น
ชั่ววินาทีที่หนิงซือเหยียนเงยหน้าขึ้นมา พวกเขาก็รู้สึกกลัวขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตวิญญาณ ดังนั้นพวกเขาจึงกระชากเยียนหานยวี่ถอยหลังไปสิบก้าวในชั่วพริบตา และในขณะเดียวกันก็ดึงดาบและกระบี่ออกมาเพื่อสกัดหนึ่งกระบี่นั้น แต่ในยามนั้นกระบี่และดาบในมือของเขา ได้เหลือเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
นี่เป็นกระบี่แบบไหนกัน ?
เยียนหานยวี่ยังไม่ทันเรียกสติกลับมาได้ดี เขาถึงขั้นยังมองสองคนที่อยู่ด้านข้างด้วยคิ้วที่ขมวดนิ่ว ครุ่นคิดว่าข้าเรียกให้พวกเจ้าไปสังหารคนเฝ้าประตูผู้นั้น พวกเจ้าลากข้ามายังด้านหลังนี้ทำไมกัน ?
หลังจากที่ศพเหล่านั้นล้มลงไปกับพื้น ในยามที่เขาเห็นศพเหล่านั้น ถึงได้ตัวสั่นสะท้าน ทั่วทั้งร่างแข็งขึ้นมาทันพลัน หนาวเย็นเสียจนฟันของเขาสั่นกระทบกัน
คนเฝ้าประตูมารดามันเถอะ !
คนเฝ้าประตูบ้านผู้ใดกันเก่งกาจถึงเพียงนี้ ?
แม้แต่หัวหน้าทหารยามภายในวังหลวงที่แคว้นอี๋ ก็มิมีความสามารถที่จะสังหารผู้มีฝีมือระดับสูงของยุทธภพจำนวนห้าสิบกว่าคนได้ด้วยหนึ่งกระบี่ !
ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ใช้เพียงแค่ซีชานเทียนฉุนของเขา ก็ซื้อมือกระบี่ที่เก่งกาจเช่นนี้ได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
และแล้วฟู่เสี่ยวกวนที่เขากำลังคิดถึง ในยามนี้ได้เดินไปยืนข้างกายหนิงซือเหยียน เขาเองก็คิ้วขมวด หลังจากนั้นสายตาก็จ้องมองไปที่ใบหน้าของเยียนหานยวี่
ฟู่เสี่ยวกวนกวักมือเรียกเยียนหานยวี่ “เจ้า มานี่ ! ”
เยียนหานยวี่ถูกหนึ่งกระบี่ของหนิงซือเหยียนข่มเสียจนขวัญหนีดีฟ่อ เขาจะกล้าเข้าไปได้เยี่ยงไร และกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ข้า…มิไป ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนนึกสนุก คนผู้นี้ระดมคนมาเสียมากมาย ย่อมมิสบายใจเป็นแน่ และแน่นอนว่าเขามิจำเป็นต้องสุภาพกับคนผู้นี้
ดังนั้นเขาจึงกล่าวเสียงเรียบว่า “ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม หากเจ้ายังมิมา เยี่ยงนั้นก็จงตายเสีย ! ”
หนิงซือเหยียนเหลือบสายตามองฟู่เสี่ยวกวน ในดวงตาฉายแววมิเข้าใจ เหตุใดพวกเขาต้องกล่าวว่าจะนับสามกันด้วยเล่า ?
“สาม ! ”
การนับเลขที่เหมือนกัน แต่ผลลัพธ์กลับมิเหมือนกัน
เสียงนับสามของเยียนหานยวี่ทำให้หนิงซือเหยียนคร้านจะสนใจเขา แต่เพียงฟู่เสี่ยวกวนนับสามขึ้นมา ก็มากพอให้เยียนหานยวี่เดินตัวสั่นออกไปด้านหน้าหนึ่งก้าว
แน่นอน ในใจของเขาย่อมมิอยากเดินออกมา
“สอง ! ”
ครั้งนี้เยียนหานยวี่จำเป็นต้องเดิน เขาทราบดีว่าต่อให้ตนเองเหินเวหาหนีไป ก็เหินเร็วไปกว่าหนึ่งกระบี่นั้นมิได้
เขาเดินตัวสั่นมายังเบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวนโดยทิ้งระยะไว้หนึ่งจั้ง “เจ้า เจ้าต้องการจะทำอันใด ? ”
คำถามนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนผงะ ให้ตายเถอะ ข้าอยากถามเจ้าเสียมากกว่าว่าพาผู้คนมากมายมาทำอันใดในที่ที่ของข้า
“คนเหล่านั้นเป็นคนของเจ้าหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปยังผู้โชคดีนับร้อยที่อยู่ตรงกันข้าม พวกเขาที่ถูกฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปนั้น ต่างอกสั่นขวัญแขวนจนวิญญาณจะเกือบหลุดออกจากร่าง
“มิใช่ พวกข้ามิใช่คนของเขา ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด “ข้ามิได้ถามเจ้า เจ้ามานี่ ! ”
ผู้ที่กล่าวเมื่อครู่กลัวจนปล่อยของเสียไหลออกมาตามกางเกงจนนองพื้น ฟู่เสี่ยวกวนรีบโบกมือ “มารดาเจ้าเถอะ มิต้องเข้ามาแล้ว ! ”
ชายผู้นั้นชะงัก จิตใจเบิกบาน และรีบยืนขึ้นทันที
“พวกเจ้า รีบจัดเก็บที่ของข้าให้เรียบร้อยประเดี๋ยวนี้ ถอดเสื้อผ้าออกมาเช็ดเลือดที่พื้นให้สะอาด ทำเสร็จแล้วก็ไสหัวออกไปให้ไว ! ”
พวกเขาเหล่านั้นต่างคลายความกังวลใจ และเริ่มเก็บกวาดในทันที
เยียนหานยวี่ลอบคิดว่าตนเองมิมีเรื่องอันใด เยี่ยงนั้นข้าก็ขอจากไปก่อนด้วยความเคารพ
ในตอนที่เขากำลังจะหันหลัง กลับได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกลับเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้าให้เจ้าไปได้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนสามวันที่สิบเก้า ขบวนของฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางมาถึงเมืองกวนหยุนสามวันแล้ว

เมื่อคืนพวกเขาดื่มสุราที่จายซิงถายไปค่อนข้างมาก เขามิได้มีเรื่องดีใจหรือทุกข์ร้อนอันใด เพียงแต่ฝานเทียนหนิงต้องการดื่มเท่านั้น

ในฐานะองค์ชายสิบสามแห่งแคว้นฝาน ฝานเทียนหนิงรู้สึกเบื่อหน่ายยิ่ง เขาอยากมีชีวิตที่อิสระเหมือนกับฟู่เสี่ยวกวน เขาเบื่อหน่ายเต็มทีที่จะต้องเผชิญหน้ากับชีวิตในวังและการต่อสู้แย่งชิงอำนาจ หลังจากที่เขาเมาก็ได้กล่าวขึ้นมาว่าต้องการจะบวชเป็นพระและฝึกสมาธิตามที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้…ฟู่เสี่ยวกวนลอบเห็นคูฉานมองเขาด้วยท่าทีดูหมิ่น

จึงได้เอ่ยถามคูฉาน จากนั้นจึงได้รับรู้ว่าคูฉานตรงกันข้ามกับฝานเทียนหนิงอย่างสิ้นเชิง คูฉานมิได้ประสงค์จะฝึกปฏิบัติ แต่เป็นเรื่องที่ถูกบังคับ ส่วนฝานเทียนหนิงประสงค์จะฝึกปฏิบัติกลับมิมีโอกาสนั้น

ฟ้าดินตั้งใจแกล้งพวกเขาหรือเยี่ยงไร ?

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิอาจหาคำตอบได้ และเขาก็มิมีเวลามานั่งสนใจ

ท้ายที่สุดหลังจากฝานเทียนหนิงดื่มสุราเสียจนเมามายก็ได้พักอยู่ที่ห้องรับแขกห้องหนึ่ง

ฟู่เสี่ยวกวนยังคงวิ่งรอบ ๆ ทะเลสาบจิ้งหูสามรอบตามเดิม เขาใช้เวลาราว 2 เค่อ

จากนั้นเขาก็ฝึกไทเก็กหนึ่งรอบอย่างตั้งอกตั้งใจ ซูเจวี๋ยเองก็เดินมายังลานนี้เช่นกัน และเขาก็เริ่มฝึกวิชาเหินเวหาท้าทายความสูงอันน่ากลัวนั่น !

เขาร่อนตัวลงมาจากที่สูงไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งกระทั่งรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย เนื่องจากตอนที่เขาลอยตัวขึ้นไปนั้นไม่เวียนศีรษะแล้ว

เขาดีใจยิ่งเพราะนี่เป็นแนวโน้มการเริ่มต้นที่ดี จนทำให้ลืมไปว่าวันนี้ต้องเดินทางไปยังสถานทูตราชวงศ์หยู ตั้งใจว่าจะเรียกบัณฑิตผู้เขียนบทความได้ดีเยี่ยมเหล่านั้นมาที่นี่ แต่เมื่อคิดดูแล้วพบว่ามิเหมาะสม บัณฑิตคนอื่น ๆ ก็ควรที่จะได้รับฟัง หากมีผู้ใดแตกฉานและคิดอะไรดี ๆ ออกมาได้เล่า ?

ดังนั้นเขาจึงตั้งใจเดินทางไปยังสถานทูตในวันนี้

เขาฝึกอยู่จนกระทั่งเกือบยามซื่อ ฝานเทียนหนิงจึงได้ตื่นขึ้นและเดินออกมา เขามองไปยังฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังกระโดดโลดเต้นอยู่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ชีวิตของฟู่เสี่ยวกวนช่างดีอย่างแท้จริง

เขาหยิบจับพู่กันก็สามารถประพันธ์บทกวีที่งดงามได้ เรื่องวรยุทธ์ก็มิแพ้กัน กระโดดเบา ๆ ก็ลอยขึ้นได้ถึงสามฟุต !

เพียงแต่ท่าทางที่เขาร่อนลงสู่พื้นนั้นมิค่อยสวยงามเท่าใดนัก ต้องมีคนคอยรับอยู่ด้านล่าง…เขาเข้าใจสิ่งใดผิดไปเกี่ยวกับวิชาตัวเบาหรือไม่ ?

ฝานเทียนหนิงมิเคยฝึกวรยุทธ์มาก่อน เนื่องจากท่านอาจารย์กล่าวว่าเขามิเหมาะสมกับการฝึกวรยุทธ์อย่างแท้จริง !

ทำให้เขารู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง แต่หลายปีมานี้เขาก็พอจะทำใจได้บ้างแล้ว

ส่วนคูฉานเองก็ได้ยืนสะพายคฑาฉานของเขาอยู่ที่ลานกว้างนี้เช่นกัน เขามองดูฟู่เสี่ยวกวนที่ลอยไปลอยมาแล้วรู้สึกอิจฉา เนื่องจากบัดนี้เขายังมิบรรลุ จึงมิได้แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไปเลยแม้แต่น้อย

หากสามารถลอยตัวได้ หมายความว่าเขาได้ก้าวเข้าสู่นิกายฝูแล้วอย่างแท้จริง สามารถกล่าวได้ว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับฝูเล็กน้อย

แต่ว่าเขาได้อยู่ที่วัดลันทามาเจ็ดแปดปีแล้ว อย่าว่าแต่ฝูเลย แม้แต่นิสัยเดิมของมนุษย์ก็แทบจะมิหลงเหลืออยู่แล้ว

เขารู้สึกอิจฉาบรรดาศิษย์แห่งสำนักเต๋าเสียจริง เมื่อถึงยามกินก็ได้กิน เมื่อถึงยามดื่มก็ได้ดื่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกาหยวนหยวนได้กินทั้งโต๊ะเพียงผู้เดียว ! กินได้อย่างเอร็ดอร่อยทำให้ตนเกือบจะผิดศีล เกาหยวนหยวนกินอาหารเหล่านั้นราวกับเป็นอาหารที่เลิศรสที่สุดในปฐพี ราวกับว่าหากมิได้ชิมอาหารนั้นจะนับว่าเกิดมาแล้วยังใช้ชีวิตมิคุ้มค่า

เมื่องานกินดื่มสิ้นสุดลง บรรดาศิษย์แห่งสำนักเต๋าเหล่านั้นกลับใช้วิธีกระโดดลงไปจากจายซิงถาย !

ต้องฝึกวรยุทธ์ถึงระดับใดกันจึงจะทำเช่นนี้ได้ ?

วินาทีนั้นคูฉานแทบจะอยากหนีออกมาจากนิกายฝูแล้วเข้าฝึกฝนที่สำนักเต๋า !

ความคิดนี้ยังคงหลงเหลืออยู่ในสมองเขา เพียงแต่ท่านอาจารย์เลี้ยงดูเขามาเป็นเวลาหลายปี เขามิอาจทำใจโยนคฑาฉานที่แบกอยู่นี้ทิ้งไปได้

ฟู่เสี่ยวกวนกำลังฝึกกระโดดลอยตัวอยู่ในลานกว้างอย่างสนุกสนาน ทันใดนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา

หนิงซือเหยียนนั่งอยู่ที่หน้าประตู ด้านหน้าเขามีไก่ที่เพิ่งย่างเสร็จใหม่ ๆ ตัวหนึ่งและที่ขาดมิได้คือไหสุราขนาดใหญ่ของเขา

บรรดาผู้ที่เดินทางเข้ามานั้นมีเยียนหานยวี่นำด้านหน้า ด้านซ้ายของเขาเป็นชายชราสวมชุดสีเขียวสะพายดาบอยู่ข้างหลัง ด้านขวาคือชายวัยกลางคนสวมชุดสีขาวมีหนวดเคราสะพายกระบี่อยู่ด้านหลังเช่นกัน ส่วนด้านหลังของเขามีผู้คนติดตามมาด้วยอีกร้อยกว่าคน ในมือพวกเขาแต่ละคนถือดาบและกระบี่ สีหน้าดุร้ายจ้องมองมายังหนิงซือเหยียนที่เข้ามาขวางพวกเขาเอาไว้

 ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่นี่หรือไม่ ?   เยียนหานยวี่เอ่ยถามขึ้น

หนิงซือเหยียนเพียงชายตาไปมอง จากนั้นได้ก้มหน้าลงและค่อย ๆ หั่นไก่ย่างร้อน ๆ ที่เพิ่งย่างเสร็จ เขายื่นนิ้วออกมาสองนิ้วจากนั้นคีบไก่ขึ้นมาจุ่มลงในถ้วยน้ำจิ้มที่วางอยู่ข้างไหสุรา โยนเข้าปากไปแล้วเคี้ยวอย่างสบายอารมณ์

เยียนหานยวี่ตะลึงเล็กน้อย การที่เขาเดินทางมาในวันนี้ได้เตรียมตัวมาอย่างดี แม้แต่เหตุผลที่เดินทางมาก็ได้คิดไว้แล้วเรียบร้อย นั่นคือการประลอง !

เขาจะท้าประลองกับฟู่เสี่ยวกวน !

ด้านวรรณกรรมเขาอาจจะสู้มิได้ เช่นนั้นมาต่อสู้กันด้านกำลัง หากเขาบังเอิญไม่ระวังแล้วทำให้ฟู่เสี่ยวกวนตายระหว่างการประลองได้ ก็คงต้องโทษฟู่เสี่ยวกวนที่เป็นเพราะเขาไร้ความสามารถเอง

เขารู้ดีว่าข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนมีศิษย์จากสำนักเต๋าอยู่ถึง 5 คน ดังนั้นเขาเองก็ได้พาผู้มีความสามารถมา 2 คนเช่นกัน อีกทั้งมีบรรดาผู้มีฝีมือที่รวบรวมตัวมาได้เมื่อวานอีก 150 คน

คนเหล่านี้จะสู้ศิษย์ทั้งห้าของสำนักเต๋าได้หรือไม่นั้นมิสำคัญ ที่สำคัญคือระหว่างที่เขาประลองฝีมือกับฟู่เสี่ยวกวน พวกเขาจะต้องกันมิให้ทั้งห้าคนนั้นเข้ามาขัดขวางได้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

เมื่อครั้นอยู่ในเมืองฝานหนิง ตนได้เอ่ยต่อหน้าบัณฑิตทั้งหลายว่าฟู่เสี่ยวกวนจะถูกองค์หญิงไท่ผิงกักขัง แต่คาดมิถึงว่าสถานการณ์จะพลิกผันเป็นตนถูกองค์หญิงไท่ผิงขังตัว และได้นั่งรถเชลยศึกมายังเมืองกวนหยุนนี้

นี่เป็นการดูถูกเหยียดหยามที่มิอาจให้อภัยได้ !

ในฐานะองค์ชายแห่งแคว้นอี๋ เขาจะต้องลบล้างการเหยียดหยามนี้ มิเช่นนั้นกลับแคว้นไปจะเอาหน้าที่ไหนเข้าเฝ้าเสด็จพ่อ ยิ่งมิต้องกล่าวถึงเรื่องยกทัพไปหลินเจียงเลย

เยียนหานยวี่มิรู้จักหนิงซือเหยียน เขาคิดว่าเป็นเพียงคนเฝ้าประตูธรรมดาทั่วไปคนหนึ่ง

ผู้มีฝีมือขนาบซ้ายขวาทั้งสองข้างของเขามองไปยังหนิงซือเหยียนด้วยสายตาดุดัน ทักษะการใช้ดาบหั่นเนื้อของหนิงซือเหยียนยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง !

ไก่ตัวนั้นถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ แต่ละชิ้นที่หนิงซือเหยียนหั่นออกมาล้วนบางเท่า ๆ กัน !

โชคดีที่ดาบนั้นหั่นไปบนกระดูกไก่ หากหั่นลงมาที่ตัวคนละก็…พวกเขาก็มิอาจจะจินตนาการได้ ชายหนุ่มผู้นี้ยากแท้หยั่งถึง มองมิออกว่าเขามีฝีมือระดับใด

เนื่องจากหนิงซือเหยียนเมินเฉยต่อพวกเขา ทำให้เยียนหานยวี่โมโหมากยิ่งขึ้น

ข้าเป็นถึงองค์ชายหก เจ้าเป็นเพียงคนเฝ้าประตูธรรมดา ๆ คนหนึ่งกล้าดีเยี่ยงไรเมินข้ากัน !

เขาก้าวขึ้นไปข้างหน้า จากนั้นเอ่ยถามอีกคราด้วยน้ำเสียงเดือดดาลว่า

 ข้าจะถามเจ้าเป็นคราสุดท้าย ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่นี่หรือไม่ ?  

หนิงซือเหยียนกำลังกินไก่อย่างเอร็ดอร่อย เขาขยับกรามขบเคี้ยวจากนั้นยกไหสุราขึ้นมาดื่ม เขาหั่นไก่กินต่อไปแล้วตอบว่า  เขาอยู่ข้างใน 

 ถอยไป !  

 ข้าเป็นคนเฝ้าประตูของเขา มองไปแล้วพวกเจ้า…  หนิงซือเหยียนเงยหน้ามองแล้วก้มลงกินไก่ที่อยู่ในถ้วยน้ำจิ้มต่อ

 มองไปแล้วพวกเจ้ามิเหมือนคนดี เอาเยี่ยงนี้ดีหรือไม่ เจ้าเขียนหนังสือขอเข้าพบ หากเขายินดีจะพบเจ้า ข้าจะหลีกทางให้ 

เยียนหานยวี่ตกตะลึงไปชั่วครู่ ให้ตายสิข้ามาท้าประลองกับเขา มิได้มาเยี่ยมเยียนเสียหน่อย!

มิมีหนังสือขอเข้าพบ !

 หากยังมิหลบไป ข้าจะอัดเจ้าให้เละ ! 

 ลงมือได้ ! จัดการอัดมันให้เละแล้วไปโยนให้ปลากิน !  

ฟู่เสี่ยวกวนลอยตัวขึ้นสู่กลางอากาศ เขามองจากมุมสูงพบว่ามีคนมา แต่มองมิชัดว่าคือผู้ใดเห็นเพียงแต่ที่ประตูมีคนล้อมรอบมากมาย

ในครานี้เขาลงสู่พื้นอย่างปลอดภัย จากนั้นขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นว่า  ดูเหมือนจะมีคนมา พวกเราไปดูกันเถิด 

 

เมืองชั้นในของเมืองกวนหยุน ณ ตรอกหลิงหยุน
ที่นี่มิใช่ตรอกที่รุ่งเรืองในเมืองกวนหยุน ตรงกันข้าม มันเงียบอย่างถึงที่สุด
จวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาตั้งอยู่ใจกลางของตรอกเส้นนี้ พื้นที่กว้างใหญ่ มีต้นไม้โบราณตั้งตระหง่าน สะท้อนตึกและอาคารกันอย่างสมดุล สงบเงียบและสวยงาม แต่ก็มีบรรยากาศที่อลังการ
ภายในห้องอักษรในเรือนหลักของจวนอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวา อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจัวอี้สิงผู้ทรงอำนาจในราชวงศ์อู๋กำลังต้มชาอย่างขะมักเขม้น
คนที่จะสามารถมาดื่มชาที่ห้องอักษรของเขาได้นั้น เมื่อมองดูจากทั่วราชวงศ์อู๋แล้วมีเพียงไม่กี่คน และในยามนี้ก็ได้มีคนเยี่ยงนั้นอยู่หนึ่งคน ที่นั่งลงเบื้องหน้าเขาอย่างสบายใจ
เป็นชายชราจอนผมสีดอกเลาเช่นเดียวกัน เขาคือเจ้าของหอเทียนจี เขามีนามที่ไพเราะอย่างยิ่งว่า โจวถงถง !
“เจ้าเด็กนั่นค่อนข้างมีความสามารถ คาดมิถึงว่าจะสืบค้นมาถึงตัวข้า ถงถงเอ๋ย ประโยคที่เด็กนั่นกล่าวกับข้าเมื่อวาน ณ พระราชวังจวี้หัว เจ้าเองก็ได้ยินแล้วเช่นกัน เจ้ามีความคิดเห็นว่าเยี่ยงไรบ้าง ? ”
โจวถงถงหัวเราะร่า “ข้าจะมีความคิดอันใดได้ ก็เหมือนกับในตอนนี้ ทำได้เพียงนอนคิด”
จัวอี้สิงคิ้วขมวดเล็กน้อย “ขันทีชราผู้นั้นไปยังพระราชวังเจิ้งหยางแล้ว”
“น้ำร้อนกำลังได้ที่ รีบใส่ชาลงไป…เขาจะไปก็ไปสิ มิใช่เรื่องใหญ่อันใดเลย”
“บันทึกประจำวันเมื่อสามปีนั้นของฝ่าบาทยังมิทราบเบาะแสอีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ทันใดนั้นโจวถงถงก็นั่งลง และแย่งใบชาในมือของจัวอี้สิงมา ลดไฟลงเล็กน้อย แล้วจึงนำใบชาเรียวยาวห้าใบจากในกระปุกชาออกมาใส่ในกาน้ำชา
“บันทึกประจำวันสามปีนั้น ข้าขอแนะให้เจ้าหยุดตามหามันไปได้แล้ว ข้าทราบว่าพวกเจ้ากำลังกังวลกับอะไร แต่ข้ายังคงยืนหยัดในมุมมองเดิม ตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนมิได้สลักสำคัญอันใด ! ”
จัวอี้สิงชำเลืองสายตามองโจวถงถง แล้วกล่าวออกมาว่า “เหตุผลเล่า ? ”
“องค์รัชทายาทในวันนี้ได้เข้าตำหนักตะวันออกไปสี่ปีแล้ว ถึงแม้จะแสนสาหัส แต่ก็มิได้ผิดร้ายแรงอันใด และฟู่เสี่ยวกวนที่เกิดในราชวงศ์หยูและโตในราชวงศ์หยู ตามรายงานของหอเทียนจี คนผู้นี้มิได้ทะเยอทะยานในอำนาจมากนัก เพียงแค่อย่าได้ไปยั่วยุเขา เขาก็จะมิกัดใครสุ่มสี่สุ่มห้า”
จัวอี้สิงคิ้วขมวด “แต่หากเขาเป็นพระโอรสของฝ่าบาทจริง ๆ เล่า หากฝ่าบาทยอมรับโอรสผู้นี้ขึ้นมาล่ะ ? ”
โจวถงถงถอนหายใจ “นี่ก็ผ่านมานานมากแล้ว หากฝ่าบาทต้องการรับ เหตุใดต้องรอให้ถึงวันนี้ด้วย นอกจากนี้…ขอกล่าวกับเจ้าอย่างมิปิดบัง บันทึกประจำวันของสามปีนั้น อยู่ในมือของไทเฮามาโดยตลอด”
หรือกล่าวได้ว่าตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนนั้น ฝ่าบาททรงรับทราบมาเนิ่นนานแล้ว
เยี่ยงนั้นไทเฮาก็เป็นคนนำบันทึกประจำวันของสามปีนั้นไป…ก็มีความหมายว่ามิต้องการให้บุตรนอกสมรสผู้นี้รับรู้ถึงบรรพบุรุษใช่หรือไม่ ?
“ดังนั้นเรื่องเลวร้ายที่เจ้าได้ทำลงไป ได้ทำให้ฝ่าบาทเป็นกังวล ฝ่าบาททรงเป็นเมล็ดพันธุ์ของความลุ่มหลง เรื่องนี้แม้แต่เจ้า ข้ารวมไปถึงขุนนางนับร้อยคนก็ทราบดี และงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ ก็เกิดขึ้นเพราะเรื่องชั่วร้ายที่เจ้าและจักรพรรดินีเซียวเป็นผู้กระทำ…ผลที่ได้จึงตรงกันข้าม ความหมายก็ประมาณนี้”
จัวอี้สิงคิ้วขมวดนิ่วขึ้นไปอีก เขาเพียงต้องการกำจัดอันตรายที่มองไม่เห็นไปเท่านั้น ภัยอันตรายนี้มาจากข่าวลือในวังหลวงเมื่อไม่กี่ปีก่อน กล่าวว่าจักรพรรดิเหวินในวัยหนุ่มได้ลุ่มหลงสวี่หยุนชิงแห่งเมืองจินหลิง…หลังจากนั้นก็ได้คลอดบุตรออกมา 1 คน นามว่าฟู่เสี่ยวกวน
หลังจากนั้นเขาก็ได้ส่งคนไปตรวจสอบที่หลินเจียง หลังจากที่รับข่าวมาว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นลูกผู้ดีผู้หนึ่งในหลิงเจียง มิเข้าใจในบทกวีหรือบทความ มิได้ฝึกฝนตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้า ชื่นชอบความรื่นเริง ทั้งร่างนั้นต่างแผ่ไปด้วยประกายที่เจิดจรัสของสิ่งไร้ค่า
บุคคลเช่นนั้น ย่อมมิคุ้มค่าให้เขาต้องลงมือ ครุ่นคิดว่าต่อให้ฝ่าบาททรงทราบ ฝ่าบาทก็ไม่ประกาศให้ใต้หล้ารับรู้ถึงบุตรนอกสมรสเยี่ยงนี้เป็นแน่
ดังนั้นไม่ว่าเขาหรือจักรพรรดินีเซียว ต่างก็มิได้ให้ความสนใจฟู่เสี่ยวกวนอีก แต่คาดมิถึงว่าในปีนั้น ของไร้ค่าที่แสงริบหรี่ก็ได้มีชื่อเสียงขึ้นมา
คาดมิถึงว่าเขาจะประพันธ์บทกวีที่น่าทึ่งออกมา และคาดมิถึงว่าจะกลายเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมจากหลินเจียง และบทกวี ‘ทำนองเพลงสายน้ำ’ ของเขาก็ยังได้ถูกสลักเป็นลำดับที่หนึ่งบนหินเชียนเปยสือ
นั่นทำให้เขาและจักรพรรดินีเซียวตกตะลึงอย่างยิ่ง ทั้งสองต้องกลับมามองฟู่เสี่ยวกวนใหม่อีกครา และความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นไปในทางเดียวกัน ฟู่เสี่ยวกวนถูกปกปิดมา 16 ปีเต็ม !
แผนการของคนผู้นี้ น่ากลัวอย่างยิ่ง !
ดังนั้น จึงได้เกิดการลักพาตัวคราแรกขึ้นที่จินหลิงเมื่อปีที่แล้ว
การลักพาตัวฟู่เสี่ยวกวนในยามนั้น มิใช่ต้องการสังหารเขา แต่ต้องการส่งกลับไปยังราชวงศ์อู๋อย่างลับ ๆ เพราะไม่ว่าจะเขาจัวอี้สิงหรือจักรพรรดินีเซียว ก็ต้องการเห็นชายหนุ่มที่ถูกปกปิดมา 16 ปีเต็มอย่างยิ่งว่าท้ายที่สุดแล้วจะมีรูปลักษณ์เยี่ยงไร
แน่นอนว่าท้ายที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็ยังต้องตาย เพียงแต่ก่อนที่จะตายนั้น พวกเขาเพียงต้องการที่จะหน้าเขาสักครา
และสุดท้ายเรื่องนี้ก็เป็นอันล้มเหลว หลังจากนั้นฝ่าบาทถึงได้มีพระประสงค์ในการจัดงานชุมนุมวรรณกรรมทั่วหล้าขึ้นที่ราชวงศ์ ตามคำเอ่ยของโจวถงถง ฝ่าบาททรงทราบเรื่องการลักพาตัวในครานี้ เยี่ยงนั้นก็เห็นได้ชัดแล้วว่าพระเนตรของฝ่าบาทก็จดจ้องอยู่ที่บุตรนอกสมรสที่อยู่ห่างกันไกลถึง 3,000 ลี้เช่นกัน
หรือจะเป็นเพราะการลักพาตัวครานั้นจริง ๆ เยี่ยงนั้นรึ ที่ทำให้ฝ่าบาทเปลี่ยนพระทัยไป ?
จัวอี้สิงเงียบไปหลายอึดใจ และเอ่ยถามว่า “แล้วเจ้าทราบได้เยี่ยงไรว่าบันทึกประจำวันของสามปีนั้นอยู่ในมือของไทเฮา ? ”
“ในวันที่สองเดือนสองไทเฮาได้ไปยังกวนหยุนถาย ผู้อาวุโสในจวนของนางยืนยันด้วยตนเอง”
จัวอี้สิงคิ้วขมวดนิ่ว นี่ก็ผ่านมานานหลายปีแล้ว เหตุใดไทเฮาถึงได้กล่าวถึงเบาะแสบันทึกประจำวันของสามปีนั้นในวันที่สองเดือนสองกัน ?
มิเคยพบเห็นบันทึกประจำวันเล่มนั้น สำหรับตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนไร้หนทางที่จะยืนยันได้ แน่นอนว่าความคิดของจัวอี้สิงและจักรพรรดินีเซียวย่อมเหมือนกัน การมีอยู่ของฟู่เสี่ยวกวน ได้สร้างความไม่มั่นคงที่ใหญ่หลวงอย่างมากให้แก่ท้องพระโรงราชวงศ์อู๋ โดยเฉพาะในยามนี้ที่ชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนขจรไกลไปทั่วหล้า ความนิยมของเขาในหมู่บัณฑิตและชาวประชานั้นมีสูงส่งจนเกินไป เมื่อเทียบกับองค์รัชทายาทแล้ว…ย่อมเป็นที่จับตามองอย่างแท้จริง
ผ่านมานานหลายปีแล้วไทเฮาเพิ่งจะได้ถึงเบาะแสของบันทึกประจำวันเล่มนั้น สัญญาณที่แผ่ออกมานี้ทำให้จัวอี้สิงรู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างยิ่ง ไทเฮาจำลูกนอกสมรสผู้นั้นได้แล้ว !
ต่อจากนั้นจะเกิดเหตุร้ายอันใดขึ้นอีกกัน ?
ฝ่าบาทจะยอมรับด้วยพระองค์เองหรือไม่ ?
แล้วฝ่าบาทจะพาฟู่เสี่ยวกวนไปนมัสการศาลบรรพบุรุษเพื่อลงนามในสมุดทองคำของราชวงศ์ด้วยหรือไม่ ?
แต่หากฝ่าบาททราบว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นโอรสของเขามาเนิ่นนานแล้ว แล้วเหตุอันใดถึงได้มีราชโองการให้อู๋หลิงเอ๋อร์หมั้นหมายกับผู้ที่ชนะในงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้กัน ?
เป็นไปได้หรือไม่ว่าทำเพื่อให้จักรพรรดินีเซียวและข้าเกิดความสับสน ?
ยังเคยคิดไปว่าพระราชโองการฉบับนั้นของฝ่าบาทรีบร้อนเกินไป หากฟู่เสี่ยวกวนมิตาย หากเขาเป็นโอรสของฝ่าบาทอย่างแท้จริง หากเขาสามารถชนะในงานชุมนุมวรรณกรรมได้ เช่นนั้นจะทำเยี่ยงไรดี ?
ในตอนนี้หลังจากที่ได้ฟังโจวถงถงกล่าวเยี่ยงนั้น จัวอี้สิงถึงได้เข้าใจแล้วว่านี่คือกลลวงที่ฝ่าบาทสร้างขึ้นมา
จิตใจของเขาค่อย ๆ จมลงสู่ก้นบึ้ง แต่แล้วก็ยังกล่าวออกมาอย่างไม่ค่อยเต็มใจว่า
“ปีนั้นที่ฝ่าบาทได้ไปที่จินหลิงอีกครา มั่นใจแล้วใช่หรือไม่ว่ามีความสัมพันธ์กับสวี่หยุนชิง ? ”
“เจ้ากำลังสงสัยในความสามารถของหอเทียนจีของข้าเยี่ยงนั้นหรือ ! ”
โจวถงถงรินชาสองถ้วย และดันออกไปหนึ่งถ้วย จากนั้นก็ยกขึ้นจิบเพียงลำพัง หลับตาแน่นก่อนจะสูดลมหายใจลึก ๆ “ฝ่าบาทและสวี่หยุนชิงมิเพียงแต่จะมีความสัมพันธ์กัน แต่สวี่หยุนชิงยังได้ตั้งครรภ์มังกรของฝ่าบาทอีกด้วย”
“มั่นใจแล้วเยี่ยงนั้นหรือว่าคือฟู่เสี่ยวกวน ? ”
โจวถงถงหันมองจัวอี้สิง “ไม่เยี่ยงนั้นแล้วยังจะเป็นผู้ใดไปได้อีกกัน ? ”
บางทีเพื่อขจัดความคิดที่คิดจะทำการร้ายอีกคราของจัวอี้สิงให้หมดสิ้น โจวถงถงจึงกล่าวอีกว่า “ช่วงเวลาที่สวี่หยุนชิงคลอดนั้น ฮองเฮาซั่งแห่งราชวงศ์หยูได้รับนางเข้าไปอยู่ในวังหลวง องค์หญิงหยูหยูที่เป็นภรรยาของติ้งกั๋วโหวก็ได้มาอยู่เป็นสหายนางด้วยตนเอง ทั้งยังมีคนของหอชิงเฟิงซี่หยู่ที่คอยเฝ้าอารักขาอย่างใกล้ชิดตลอดทั้งวันทั้งคืน และหนึ่งในนั้น ก็มีคนของข้าอยู่พอดี”
“ฮองเฮาซั่งกับองค์หญิงหยูหยูเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ ! ”
จัวอี้สิงหยิบถ้วนชาและลุกขึ้นยืน และเดินวนไปมาในห้องอักษร “กล่าวได้ว่า ฮองเฮาซั่งและองค์หญิงหยูหยูย่อมรับรู้เป็นแน่ว่าบุตรชายที่สวี่หยุนชิงคลอดออกมานั้นแท้จริงเป็นลูกของผู้ใด ? ”
“อันที่จริงแล้วผู้ที่รู้เรื่องเด็กคนนี้ยังมีไทเฮาแห่งราชวงศ์หยูอีก เพียงแต่ว่าพระนางสิ้นพระชนม์ไปแล้ว และในวันนี้ นอกจากไทเฮาและฝ่าบาทรวมไปถึงเจ้าและข้า เกรงว่าจะเหลือเพียงฮองเฮาซั่งกับองค์หญิงหยูหยูรวมไปถึงฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูเท่านั้นที่ทราบว่าเด็กผู้นั้นคือฟู่เสี่ยวกวน”
“แล้วเกิดอันใดขึ้นกับฟู่ต้ากวน ? ”
“…เรื่องนี้ เจ้าอย่าได้เอ่ยถาม”
จัวอี้สิงจิบชาหนึ่งอึก แต่ราวกับมิเคยลิ้มรสชาติของชานี้มาก่อน แม้ความคิดของเขามิได้จดจ่ออยู่ที่ชา แต่ตกอยู่ที่ตัวของฟู่เสี่ยวกวน
“แต่จักรพรรดินีเซียวย่อมยื่นมือไปยุ่งกับฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่”
“ผมหงอกของเจ้าขึ้นเร็วกว่าข้าเสียอีก ทั้งยังบางตากว่าข้าเสียอีก นี่มันมีเหตุผลอยู่ เนื่องจากที่กวนหยุนถายฝ่าบาทได้สนทนากับฟู่เสี่ยวกวนอย่างสนุกสนานถึงเพียงนั้น พระนางย่อมมิทำให้ฟู่เสี่ยวกวนสิ้นชีพในเมืองกวนหยุนนี้เป็นแน่”
ครานี้จัวอี้สิงเงียบไปเนิ่นนาน นั่งลงที่โต๊ะชาอีกครา จ้องโจวถงถงเขม็งและส่ายหน้า
“ครานี้ข้าเกรงว่าเจ้าจะพลาดไปแล้ว เพราะข้าเข้าใจจักรพรรดินีเซียวดียิ่งกว่าผู้ใด”
โจวถงถงชะงักเล็กน้อย ถึงตระหนักขึ้นมาได้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลจัวและตระกูลเซียวในเมืองกวนหยุนนี้มิธรรมดา
แต่ต่อจากนั้นเขาก็ยิ้มบาง ๆ “บางทีเจ้าอาจรู้จักจักรพรรดินีเซียวดี แต่ในฐานะที่ฝ่าบาทเป็นพระสวามีของจักรพรรดินีเซียว…เกรงว่าคงเข้าใจได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเจ้าเล็กน้อย”
“แท้จริงแล้ว ข้ากลับหวังให้ฟู่เสี่ยวกวนตายในเงื้อมมือของจักรพรรดินีเซียว ก่อนที่ฝ่าบาทจะประกาศตัวตนของเขาออกไป ! ”
คำกล่าวนี้สมเหตุสมผลยิ่ง ในตอนที่ฝ่าบาทยังมิประกาศให้ใต้หล้าได้รับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวกวน ในสายตาของชาวประชาทั่วทั้งใต้หล้า ฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นเพียงตัวละครที่ไม่มีนัยสำคัญอันใด หากเขาตาย อย่างมากที่สุดก็แค่เสียผู้มีพรสวรรค์ไปเพียง 1 คน
แต่สิ่งที่ขาดไปจากใต้หล้านี้มิได้เลยก็คือผู้มีพรสวรรค์
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนสิ้นชีพ จักรพรรดินีเซียวจึงจะโล่งใจ ถึงแม้ผู้ที่อยู่ทางตำหนักตะวันออกจะหัวรั้น แต่บัลลังก์ก็ยังคงสืบสานต่อไปอย่างมั่นคง สำหรับราชวงศ์อู๋แล้ว นับว่ามีประโยชน์มากยิ่งนักและไร้สิ้นภยันอันตราย
โจวถงถงชำเลืองตามองจัวอี้สิง “ข้านั้นเลื่อมใสในตัวเจ้าเป็นอย่างมาก เมื่อปีที่แล้วยามที่ฟู่เสี่ยวกวนปรากฏตัว เจ้าก็แทงดาบที่หนึ่งออกไป พอฟู่เสี่ยวกวนมายังราชวงศ์อู๋ ยามที่อยู่เมืองเปียนเฉิง เจ้าก็แทงดาบที่สอง ในฐานะสหายเก่าแก่ ข้าขอบอกกับเจ้าอย่างจริงจังเลยว่า อย่าได้แทงดาบที่สามออกไปเป็นอันขาด ! ”
จัวอี้สิงสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เขาเข้าใจความหมายของโจวถงถงเป็นอย่างดี
ฝ่าบาทชื่นชอบฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างมาก ฝ่าบาทย่อมรับรู้การเคลื่อนไหวของตน ถึงแม้จะยังมิเคยตำหนิ แต่หากมีคราที่สามเกิดขึ้นอีก ฝ่าบาทคงมิอาจนิ่งเฉยได้อีก !
ท้ายที่สุดแล้วแซ่แห่งราชวงศ์อู๋คืออู๋หาใช่เซียวไม่ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าอย่างจริงจัง ครุ่นคิดว่าครานี้เรือของขันทีเกาถึงคราวล่มแล้ว
“เจ้าจะกล่าวว่า…ฮองเฮาซั่งและฮ่องเต้หยูยิ่นตั้งใจปกปิดบุตรของสวี่หยุนชิงผู้นั้น หรือ ต้องการคุกคามฝ่าบาทเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
แต่โจวถงถงกลับดื่มชาในถ้วยจนหมด “เจ้าจะสามารถเลิกจดจ้องเรื่องวุ่นวายนั่นได้หรือไม่ วันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮาในวันที่หนึ่งเดือนสี่จนไปถึงวันพระราชพิธีขึ้นครางราชย์ครบสิบปีของฝ่าบาทวันที่เก้าเดือนสี่ นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับข้าและเจ้าในตอนนี้”
เขารินชาอีกครา “เจ้าควรจะให้ความสนใจงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้เสียหน่อย ตอนนี้เหลือเพียงอีก 7 วันก็จะถึงงานเทศกาลฤดูหนาวแล้ววันที่ยี่สิบห้าเดือนสาม เรื่องเหล่านี้ต่างหากที่เป็นจุดสำคัญ”
“ชาของเจ้ารสเลิศยิ่ง กระปุกนี้ข้าขอ ! ”
โจวถงถงลุกขึ้นยืน แล้วกล่าวว่า “ในส่วนของฟู่เสี่ยวกวน หากจักรพรรดินีเซียวยังประพฤติดีอยู่ในชอบ ฟู่เสี่ยวกวนยังคงเป็นฟู่เสี่ยวกวนผู้มีพรสวรรค์ดังเดิม แต่หากจักรพรรดินีเซียวยังมิสามารถประพฤติตนตามที่ควร… ! ”
ณ พระราชวังแห่งราชวงศ์อู๋
ในหลานเยวี่ยซวนที่ตั้งอยู่ด้านหลังของตำหนักเจิ้งหยาง
ธูปไม้จันทร์หอมกำลังถูกจุดขึ้น ควันของมันส่งกลิ่นหอมลอยไปคละคลุ้ง
จักรพรรดินีแห่งราชวงศ์อู๋ “เซียวเฉียง” กำลังจัดการหัวหน้าขันทีของสำนักในอยู่
จักรพรรดินีเซียววางหมากรุกสีขาวลงมา ทำให้ปิดทางเดินหมากมังกรของขันทีเกาลง พระนางเงยหน้าขึ้นมองขันทีเกาก่อนจะตรัสถามว่า “วันนี้เจ้าเหม่อลอยอันใดกัน ? ”
ขันทีเกาวางหมากลงอย่างมิได้ไตร่ตรอง จากนั้นเอ่ยว่า “ในวันนี้ตอนเช้าหลังประชุมใหญ่ราชวงศ์สิ้นสุดลง ฝ่าบาททรงสนทนากับฟู่เสี่ยวกวนราว 2 ชั่วยามพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดินีทรงยืดตัวขึ้น บิดเอวแล้ววางหมากตัวต่อไปปิดทางเดินหมากของขันทีเกาด้วยสีหน้าเฉยเมย
“เขาเป็นบุตรชายของฝ่าบาทจริงหรือไม่ ? ”
ขันทีเกายกมือที่ถือหมากรุกไว้แล้วหยุดลงกลางอากาศ
“กระหม่อมพยายามสืบหาเรื่องราวของฝ่าบาทเมื่อสามปีนั้น แต่กลับพบว่าบันทึกได้หายไป ดังนั้น…กระหม่อมมิบังอาจคิดไปเองได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรชายของฝ่าบาทกับสวี่หยุนชิง”
จักรพรรดินีเซียวมิได้ตรัสคำใดออกมา แววตาของพระนางดูเคร่งขรึมลงไปเล็กน้อย จากนั้นขันทีเกาได้เอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “พระองค์มิทรงอยากฟังเรื่องที่ฝ่าบาทสนทนากับฟู่เสี่ยวกวนเมื่อเช้าหรอกหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าจงเอ่ยออกมาให้ข้าฟังดูสิ”
“ฝ่าบาทและฟู่เสี่ยวกวนสนทนากันดูมีความสุขยิ่ง อีกทั้งฝ่าบาทยังเชิญชวนให้ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ต่อในเมืองกวนหยุนในระยะยาว อีกทั้ง…ฝ่าบาทยังคงให้สัญญาว่าจะประทานตำแหน่งให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
จักรพรรดินีเซียวทรงขมวดคิ้วขึ้นทันใด ถ้าเป็นเช่นนี้ฟู่เสี่ยวกวนคงจะเป็นบุตรนอกสมรสของฝ่าบาทมิผิดแน่ !
ฝ่าบาททรงชื่นชอบฟู่เสี่ยวกวนถึงเพียงนี้ เรื่องนี้มิดีต่อองค์รัชทายาทแม้แต่น้อย
องค์รัชทายาทเองก็ทำตัวน่าปวดหัวเสียจริง บัดนี้อายุได้ 14 ปีแล้ว แต่ไร้ความกระตือรือร้นมิก้าวหน้า มิให้ความสนใจต่อประชาชน มักชอบออกท่องเที่ยวไปทั่ว…หากว่าฟู่เสี่ยวกวนอยู่ในราชวงศ์อู๋ต่อไปจริง ๆ จากความสามารถของเจ้าหมอนั่นแล้ว เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงพอพระทัยเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ มิแน่ว่าอาจมีวันใดที่ฝ่าบาทรับเขาเข้าสู่ราชวงศ์ก็เป็นได้”
หากเมื่อถึงเวลานั้น…ตำแหน่งขององค์รัชทายาทก็คงต้องมอบให้แก่เขาแน่ !
“หากข้าต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนตายไป เจ้าว่าเยี่ยงไร ? ”
หมากรุกที่อยู่ในมือขันทีเกาถูกวางลง “กระหม่อมขอเอ่ยตามตรงอย่างมิบังอาจปิดบังว่า เมื่อยามเว่ยฝ่าบาททรงรับสั่งให้กระหม่อมเข้าเฝ้าและกำชับให้ดูแลชีวิตของฟู่เสี่ยวกวนให้ดีพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดินีเซียวชะงักลงเล็กน้อย นางกำหมากรุกไว้ในมือแน่น จากนั้นบีบเสียจนแหลกเป็นผุยผง !
พระนางชายตาไปยังฝุ่นผงสีขาวที่อยู่บนโต๊ะ จากนั้นยกมือขึ้นเป่าเบา ๆ ทำให้ผงสีขาวกระจายเต็มหน้าขันทีเกา
“ตระกูลเซียวดีต่อเจ้ามากหรือไม่ ? ”
ประโยคนี้ของจักรพรรดินีเซียวดูเรียบง่าย แต่กลับสร้างความกดดันให้แก่ขันทีเการาวกับยกภูเขาทั้งลูกทับไว้
เขารีบลุกขึ้นยืนแล้วคุกเข่าลงต่อหน้าจักรพรรดินีพร้อมตอบกลับอย่างลนลานว่า “หากเมื่อครานั้นมิได้รับความช่วยเหลือจากองค์จักรพรรดินี กระหม่อมคงได้กลายเป็นผงธุลีดิน บุญคุณที่มากยิ่งกว่าท้องฟ้า นั้นเกาเสี่ยนมิอาจจะลืมได้พ่ะย่ะค่ะ ! ”
จักรพรรดินีเซียวทรงเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ นางมิได้พยุงขันทีเกาให้ลุกขึ้น แต่กลับเดินเลยไปยังหน้าต่าง
“หลายปีมานี้เจ้าก็ได้พยายามอย่างยิ่ง ข้ามองดูเจ้าก้าวหน้าขึ้นในทุก ๆ วัน บัดนี้ข้าขอเอ่ยถามเจ้าว่า หากฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนมาใช้แซ่อู๋ อีกทั้งเป็นเจ้านายแห่งตงหยิง จากวิธีการของเขา เจ้าคิดว่าหัวหน้าสำนักในของเจ้านั้นยังจะนั่งได้อย่างเป็นสุขอยู่อีกหรือไม่ ? ”
ขันทีเกาตกตะลึง เขารู้จักนิสัยของฟู่เสี่ยวกวนดี
แม้ว่าหน่วยงานขันทีจะมิได้รับผิดชอบรายงานสถานการณ์ของต่างแคว้น แต่เขาได้ร่วมมือกับจัวอี้สิง ดังนั้นหอเทียนจีจึงได้รับรู้เรื่องราวของฟู่เสี่ยวกวนทั้งหมด
เจ้าหมอนั่นมิใช่คนธรรมดา !
ในขณะที่ความคิดของเขากำลังล่องลอยไป จักรพรรดินีเซียวก็ตรัสขึ้นอีกคราว่า “เมื่อปีกลายฟู่เสี่ยวกวนได้ปรากฏตัวขึ้นในเมืองจินหลิง และอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาได้ส่งคนไปจัดการกับเขา ข้ามีสองคำถามอยากถามเจ้า คำถามที่หนึ่งหากฟู่เสี่ยวกวนรู้ว่าเจ้าเป็นหนึ่งในผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ เขาจะปล่อยเจ้าไปเยี่ยงนั้นหรือ ? คำถามที่สอง เจ้าอย่าได้คิดว่าข้าอยู่ในวังแล้วจะมิรู้เรื่องราวเหล่านั้น ข้าบอกตามตรงว่าข้าเป็นคนสั่งการให้จัวอี้สิงทำเอง ! ”
ขันทีเกาเงยหน้าขึ้น จากนั้นก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว ถ้าเช่นนั้นจักรพรรดินีทรงรู้มาเนิ่นนานแล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนคือใคร ?
พระนางต้องการกำจัดฟู่เสี่ยวกวน แต่ว่าในครานั้นมิสำเร็จ
เช่นนั้นคนในราชวงศ์หยูผู้นั้น เป็นตัวหมากที่จักรพรรดินีทรงวางไว้ตั้งแต่แรกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
“องค์ชายสี่แห่งราชวงศ์หยูนั้นเป็นคนฉลาด แต่เขามิรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนคือใคร ฟู่เสี่ยวกวนนับว่าเป็นบุคคลอันตรายสำหรับราชวงศ์หยู เหตุใดองค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียนจึงได้เดินทางไปยังกองทัพตะวันออก ? เหตุการณ์ที่สุสานจักรพรรดินั้นเป็นเพียงฉากที่ถูกจัดขึ้นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หาใช่ไม่ องค์ชายใหญ่ได้คิดทำสิ่งนั้นขึ้นมาอย่างแท้จริง ส่วนฟู่เสี่ยวกวนได้ออกความคิดให้แก่ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยู จึงทำให้หยูเวิ่นเทียนรอดชีวิตมาได้และเดินทางไปยังกองทัพชายแดนตะวันออก แต่ในขณะเดียวกันก็เสียโอกาสในการขึ้นครองราชย์ สิ่งนี้เป็นประโยชน์แก่องค์ชายสี่ยิ่ง แต่ในความเป็นจริง…หยูเวิ่นชูรู้ดีว่าเมื่อพระสนมซั่งขึ้นเป็นฮองเฮา องค์ชายห้ามีโอกาสมากกว่าผู้ใด”
“ทั้งหมดนี้มองดูแล้วเป็นเพียงการแย่งชิงอำนาจในราชวงศ์ แต่เมื่อมองดูดี ๆ จะพบว่ามีเงาของฟู่เสี่ยวกวนเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยในทุกเรื่อง”
จักรพรรดินีเซียวหันหลังกลับมา มองไปยังขันทีเกาที่คุกเข่าอยู่บนพื้น “ความคิดและแผนการของฟู่เสี่ยวกวนมิได้เรียบง่ายเหมือนองค์รัชทายาท ! มิมีผู้ใดคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นในเมืองกวนหยุนแห่งนี้ เจ้าเข้าใจความหมายของข้าแล้วหรือยัง ? ”
ขันทีเกาก้มศีรษะลงจากนั้นตอบว่า “พ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าหวังว่าเรื่องนี้เจ้าจะจัดการได้อย่างเรียบร้อย เจ้าเป็นคนของข้าแล้ว ข้ามิประสงค์ให้เจ้าทำผิดพลาดอีก และมิประสงค์ให้เจ้าตกอยู่ในน้ำมือขององค์จักรพรรดิ…ข้าขอบอกกับเจ้าอีกเรื่องหนึ่งว่า เรื่องราวที่บันทึกไว้สามปีนั้น น่าจะอยู่ในมือของไทเฮา”
“ข้าหวังว่า…ในวันที่สิบเดือนสี่ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของไทเฮา จะสามารถสร้างความประหลาดใจให้พระนางได้ ! ”
ขันทีเกาสะดุ้งตัวเกร็งทันที จักรพรรดินีเซียวได้หันหน้ามองออกไปยังท้องฟ้าด้านนอก
“เจ้าว่า…หากไทเฮาทรงตกใจเสียจนสิ้นพระชนม์ในงาน ชีวิตของข้าคงจะมิต้องอยู่ท่ามกลางหมอกควันเช่นนี้ใช่หรือไม่ ? ”
ประโยคนี้ขันทีเกามิอาจเอ่ยคำใดออกมา และเขาก็มิกล้าเอ่ยมันด้วย !
ไทเฮาซีมิใช่ผู้ที่จัดการได้ง่าย ๆ !
พระนางได้ขึ้นเป็นองค์จักรพรรดินีของจักรพรรดิองค์ก่อนตั้งแต่อายุได้เพียง 16 ปี จวบจนปัจจุบันนับได้ 44 ปีแล้ว
44 ปีที่ผ่านมา พระสนมที่สิ้นชีวิตลงในน้ำมือของไทเฮานั้นมิน้อยเลยทีเดียว บรรดาขุนนางก็เช่นกัน !
และในวันนี้ที่จักรพรรดิเหวินนั่งในตำแหน่งองค์จักรพรรดิได้อย่างมั่นคงก็เป็นเพราะบารมีของไทเฮาซี
“ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ขันทีเกาลุกขึ้นยืน ส่วนจักรพรรดินีเซียวเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ากล่าวว่า “กระดานหมากรุกอยู่ที่นี่แล้ว ส่วนเจ้าจะชนะหรือไม่นั้นต้องวางแผนวางหมากให้ดี หากว่าแพ้…”
“หมากทั้งกระดานนั้นก็จะแพ้ทันที ! ”
“กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ หมากของกระหม่อมนี้จะวางที่วัดหานหลิง ! ”
วัดหานหลิงนั้นกำลังปรับปรุง เป็นโอกาสที่ดียิ่ง
จักรพรรดินีเซียวแย้มพระสรวลแล้วตรัสว่า “มิต้องกังวลว่าจะมีคนตาย ต่อให้บรรดาบัณฑิตเหล่านั้นตายกันหมดสิ้น ก็หาได้เป็นปัญหาไม่ ! ”
ตอนที่ 323 กระบี่ของหนิงซือเหยียน
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองทางฝานเทียนหนิง
รออยู่เนิ่นนาน ฝานเทียนหนิงจึงได้เปิดปาก และกล่าวอีกว่า “ประมาณหนึ่งร้อยกว่าปีก่อน สงครามภายในราชวงศ์อู๋ มีกองกำลังชุดเหลือง 300,000 นายได้บุกรุกที่ราบสูงหลีลั่ว ต่อสู้กับทหารรักษาพระองค์แห่งราชวงศ์อู๋อีก 100,000 นาย ณ ที่ราบสูงหลีลั่ว”
“สงครามครานั้นเป็นสงครามที่สวรรค์ลงทัณฑ์และมีชื่อเสียงที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์อู๋”
“ตามหลักการแล้ว กองทัพราชองครักษ์หนึ่งแสนกว่านายมิสามารถต้านทานกองกำลังชุดเหลืองสามแสนนายได้ นั่นมิใช่สงครามเพื่อปกป้องบ้านเมือง แต่เป็นการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ ณ ที่ราบสูงหลีลั่วของทั้งสองฝ่าย”
“แต่ในสนามรบนั้น ทหารรักษาพระองค์กลับได้รับชัยชนะ แต่เหตุที่ชนะได้นั้นเป็นเพราะเทวาภูผาแห่งภูเขาหิมะที่มีหิมะตกตลอดทั้งปีที่อยู่ทางตอนใต้ของที่ราบสูงหลีลั่วบันดาลโทสะ”
“ค่ายทหารของกองกำลังชุดเหลืองทั้งสามแสนนายอยู่ใต้ภูเขาหิมะ และในตอนที่สงครามกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ผู้คนทั้งหมดบนที่ราบสูงหลีลั่ว ต่างเห็นเหตุการณ์ประหลาดนั้นกันถ้วนหน้า ต่อมาเหล่าคนรุ่นหลังต่างเรียกกันว่าตะวันทอแสงภูเขาทอง”
“ในยามที่ทุกคนกำลังตกตะลึงกับวินาทีตะวันทอแสงภูเขาทองที่น่าประหลาดใจ เกิดเสียงฟ้าร้องดังกัมปนาทจากฟากฟ้า หลังจากนั้นก็ได้เห็นหิมะบนภูเขาหิมะราวกับวิ่งลงมาอย่างบ้าคลั่ง”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก หิมะถล่มเยี่ยงนั้นหรือ !
“การลงโทษจากสวรรค์ได้เริ่มต้นตั้งแต่ตอนนั้น ! ”
“กองกำลังชุดเหลืองสามแสนกว่านายได้ก่อกบฏคราใหญ่ รบกวนไปถึงชั้นฟ้า ชั้นฟ้าจึงได้ลงทัณฑ์ลงมา เทวาภูผาเขย่าร่างของพวกเขา กระแสหิมะที่บ้าคลั่งกลืนกินฐานที่มั่นคงของกองกำลังชุดเหลืองไปทันพลัน มีเพียงทหารม้าไม่กี่พันนายเท่านั้นที่หนีออกมาได้”
“คนนับสามแสนคนได้มาสักการะเทวาภูผา ความวุ่นวายภายในราชวงศ์อู๋จึงได้สงบลงในที่สุด ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สถานที่สักการะนี้ จึงถูกเปลี่ยนให้อยู่ใต้ภูเขาหิมะ”
“แล้วในตอนนี้ใต้ภูเขาหิมะนั้นก็ได้มีวัดขนาดใหญ่ที่ราชวงศ์อู๋สร้างไว้ใช้ในยามสักการะ ดังนั้นจายซิงถายนี้จึงมิได้รับหน้าที่ทำการสักการะอีกต่อไป ภายหลังจึงถูกรวมอยู่ในคฤหาสน์จิ้งหูนี้ด้วย และกลับกลายมาเป็นทรัพย์สินของท่านแต่เพียงผู้เดียว”
ฝานเทียนหนิงส่ายหน้า “เรื่องทางโลกยากจะคาดเดา ! ”
แต่สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนคิดกลับคือวิหารเทพที่สร้างอยู่ใต้ภูเขาหิมะนั่น หากเกิดหิมะถล่มอีก…จะถือว่าเป็นการลงโทษจากฟ้าหรือหายนะจากมนุษย์กัน ?
หากเกิดขึ้นในราชวงศ์หยู เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ฝ่าบาทรื้อถอนวิหารเทพนั่นทิ้งเสีย แต่เรื่องนี้กลับเกิดขึ้นที่ราชวงศ์อู๋ แม้ว่าองค์จักรพรรดิเหวินจะมอบความเมตตาที่ยิ่งใหญ่ให้แก่เขาโดยที่ตัวเขายากจะจินตนาการถึงได้ แต่เขาก็เข้าใจได้ดีว่าเขานั้นไร้หนทางจะเกลี้ยกล่อมจักรพรรดิเหวินได้
ในเรื่องของเทพเจ้านั้น ภายในใจของคนโบราณแล้ว การดำรงอยู่นั้นถือว่าสูงที่สุดจนไร้ที่เปรียบ
สิ่งที่เรียกว่าโชคชะตาฟ้าประทาน คือเจตจำนงสูงสุดทางอำนาจของจักรพรรดิ เพระเหตุใดข้าถึงได้เป็นจักรพรรดิกัน เพราะพระเจ้าประทานมันมาให้แก่ข้า ดังนั้นพวกเจ้าทั้งหมดคือขุนนาง ดังนั้น ‘คัมภีร์บทกวี เสี่ยวหยา เป่ยซาน’ ถึงได้กล่าวว่า ทุกหนทุกแห่งใต้ผืนฟ้านี้ มิมีที่ใดมิใช่ผืนแผ่นดินขององค์จักรพรรดิ ผู้นำท้องถิ่นต่าง ๆ มิมีผู้ใดมิใช่ขุนนางขององค์จักรพรรดิ
นี่คือหลักการที่จักรพรรดิใช้ปกครองใต้หล้า ด้วยสถานะของฟู่เสี่ยวกวนในตอนนี้ เขาย่อมไร้หนทางที่จะเทียบเคียงกับเทพเจ้าได้ หากเขากล้าทูลจักรพรรดิเหวินให้รื้อถอนวิหารนั้นเสีย คาดว่าจักรพรรดิเหวินจะฉีกร่างเขาด้วยโทสะในทันที
ดังนั้นความคิดนี้จึงไม่ได้แลบผ่านเข้ามาในหัวของเขาเลย
หากเกิดหิมะถล่มในวันที่จักรพรรดิเหวินไปสักการะโดยบังเอิญขึ้นจริง ๆ เยี่ยงนั้นคงทำได้เพียงกล่าวว่าเป็นเพราะพระประสงค์ของเทพเจ้า
ฝานเทียนหนิงเล่าเรื่องนี้ออกมาจนจบ หลังจากที่ได้ระบายออกไปก็ได้ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่หอจิ้นสุ่ยในเมื่อวาน
“เมื่อวานยามเว่ย เกาหยาเน่ยผู้นั้นได้มายังสถานทูตแคว้นฝานเพื่อเชิญข้า แต่ข้ามีธุระจึงมิได้ไป หลังจากนั้นก็ได้ยินมาว่าเจ้ากับเขามีเรื่องกัน เจ้าต้องระวังบิดาของเขาไว้ให้จงดี เห็นได้ชัดว่าหัวหน้าขันทีเกามิใช่ผู้อาวุโสที่สามารถต่อกรได้ง่าย คนผู้นี่โหดเหี้ยมยิ่ง หัวหน้าเกามีหน่วยสอดแนมอยู่นับหมื่น เขายังได้รวบรวมผู้มีฝีมือระดับสูงจากยุทธภพไว้อีกมากมาย ทวนเปิดเผยหลบหลีกง่าย เกาทัณฑ์ลับยากระวัง”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า เกาหยาเน่ยต้องทนทุกข์ จึงมีความเป็นไปได้อย่างมากที่บิดาของเขาจะหาโอกาสเอาคืน
ผู้ติดตามของฝานเทียนหนิงได้ส่งสำรับอาหารจากเซียนเค่อหลายมาสองโต๊ะ ศิษย์พี่รองเกาหยวนหยวนนั่งอยู่ที่โต๊ะพิเศษ ส่วนผู้อื่นนั่งล้อมรอบกันหนึ่งโต๊ะ ฟู่เสี่ยวกวนสำรวจมองผู้ที่มา ถึงได้พบว่าหนิงซือเหยียนยังไม่มา
พวกเขาทานและดื่มกันบนจายซิงถายอย่างมีความสุข ในยามนี้หนิงซือเหยียนกำลังนอนอยู่บนเก้าอี้เล็กด้านนอกอาคารเล็ก มือของเขาถือน้ำเต้าสุราขนาดใหญ่ เงยหน้ามองดวงดาวบนฟากฟ้าที่สว่างไสว และยกขึ้นดื่มอย่างต่อเนื่อง
เบื้องหน้าของเขามีชายหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่ ชายหนุ่มผู้นั้นจ้องหนิงซือเหยียนเขม็ง แล้วกล่าวว่า “กระบี่ของเจ้า…เกรงว่าคงจะถูกสนิมเกาะเสียแล้ว ! ”
หนิงซือเหยียนเหยียดยิ้ม แต่เขากลับตอบในสิ่งที่มิได้ถูกเอ่ยถาม “เป่ยหวังฉวน…ไปยังภูเขาลั่วเหมยแล้วใช่หรือไม่ ? ”
ชายผู้นั้นคิ้วขมวด “อาจารย์ไปที่ใดศิษย์มิอาจถาม แต่ก่อนจะไปอาจารย์ของข้ากล่าวว่า ซูซูแห่งสำนักเต๋าได้มาเมืองกวนหยุนแล้ว สัญญาสิบปีของอาจารย์กับผู้สังเกตจบสิ้นลงแล้วในปีนี้ ข้าต้องการเข้าไปประลองฝีมือกับแม่นางซูซู เจ้ามาขวางทางข้าเช่นนี้หมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
หนิงซือเหยียนดื่มสุราเข้าไปอึกใหญ่ “มิใช่ทุกคนที่จะสามารถเข้าไปในคฤหาสน์จิ้งหูนี้ได้ ในเมื่อข้าคือผู้เฝ้าประตูของที่นี่ ข้าย่อมต้องเฝ้าประตูนี้ให้กับพวกเขา”
คาดไม่ถึงว่าชายผู้นี้คือเยี่ยนกุยหลายบุตรชายของเป่ยหวังฉวน !
รอยยิ้มเหยียดหยามเผยขึ้นบนใบหน้าของเขา “หนิงซือเหยียนที่สง่างาม คาดมิถึงเลยว่าจะตกต่ำถึงขนาดมาเป็นคนเฝ้าประตูให้กับฟู่เสี่ยวกวนแห่งราชวงศ์หยู เจ้าช่างเป็นหน้าเป็นตาให้แก่พวกเราชาวราชวงศ์อู๋เสียจริง ๆ ”
หนิงซือเหยียนมิได้โมโหกับประโยคนี้แม้แต่น้อย สีหน้าของเขายังคงเรียบเฉยอยู่ดังเดิม
เขามิได้กล่าวอันใดอีก สายตาของเขายังคงมองไปยังดวงดาวบนฟากฟ้า ราวกับรู้สึกว่าดาวเหล่านั้นสวยงามอย่างไร้ที่เปรียบ
เยี่ยนกุยหลายปลดคันศรที่แบกไว้ด้านหลังลง พาดธนูไว้หนึ่งดอก และชี้ไปทางหนิงซือเหยียน “หากข้าต้องการจะเข้าไปให้จงได้ เจ้าจะชักกระบี่ของเจ้าออกมาหรือไม่ ? ”
เมื่อสิ้นเสียงของเขา ประกายสีเงินก็วาดผ่านมา เป็นแสงหนึ่งสาย และก็ได้ยินเสียง “แคร้ง… ! ” ดังขึ้นมา
นั่นคือเสียงของกระบี่ยาวที่กลับคืนสู่ฝัก
สีหน้าของเขาซีดเผือดไปทันพลัน แม้แต่เหงื่อที่ไหลลงมาก็ให้ความรู้สึกหนาวเย็นมากยิ่งนัก
ลูกศรที่เขาพาดไว้บนคันธนู คาดมิถึงว่าจะถูกแสงสีเงินตัดจนขาด เขาไม่แม้แต่จะเห็นว่าหนิงซือเหยียนดึงกระบี่ออกมาเยี่ยงไร !
กระบี่ของหนิงซือเหยียนไม่เพียงแต่จะไม่ขึ้นสนิม กลับเฉียบคมยิ่งกว่าในอดีต เพียงชั่วพริบตานั้นก็ทำให้เขาเข้าใจถึงช่องว่างระยะชั้นฟ้าที่มีต่อกัน ถึงได้เข้าใจว่าหนิงซือเหยียนได้ย่างเข้าสู่ประตูของปรมาจารย์แล้ว !
เพราะหนิงฝาเทียนมีความหลงใหลถึงได้หลงใหลในกระบี่
แต่เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมา หนิงซือเหยียนถึงได้ลืมความหลงใหลในกระบี่ !
นี่มิใช่เพราะเยี่ยนกุยหลายมองออก แต่สองประโยคนี้คือคำวิจารณ์ที่อาจารย์ของเขาเป่ยหวังฉวนได้กล่าวไว้ !
“หากหนิงซือเหยียนลืมกระบี่ไปจนสิ้นแล้ว เขาถึงจะกลายเป็นผู้บรรลุในหนทางวรยุทธ์อย่างแท้จริง”
ในยามนี้เห็นได้ชัดแล้วว่าหนิงซือเหยียนมิได้ลืมกระบี่ไปจนสิ้น เพราะเขาชักกระบี่ออกมาและฟันไปที่ศรจากคันธนูของเขาจนขาดครึ่ง เยี่ยงนั้นเขาจะลืมกระบี่ที่ติดตามเขามานานหลายปีได้จริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ
เยี่ยนกุยหลายเก็บธนู โน้มตัวคำนับ และหันหลังออกไปจากคฤหาสน์จิ้งหู แต่แล้วหนิงซือเหยียนก็ได้ลุกขึ้นหยิบธนูที่หักบนพื้นขึ้นมา เขามองอยู่เนิ่นนาน และนอนลงบนเก้าอี้อีกครา ดื่มสุรา และมองไปยังบนฟากฟ้า
ความเข้าใจของเขาที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวนยังคงผิวเผิน แต่เขาก็รู้สึกชื่นชมชายผู้นี้เป็นอย่างมาก
ประการแรกเพราะเขาได้ประพันธ์บทกวีที่ไพเราะอย่าง ‘เจ๋อกุ้ยหลิง’ บน ‘ภาพวาดนกหยวนหยางผู้โศกา’ ประการที่สอง เขาสงสัยหนึ่งในสี่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของใต้หล้าอย่างสำนักเต๋าเป็นอย่างมาก เหตุใดจึงส่งลูกศิษย์จำนวนมากมาติดตามฟู่เสี่ยวกวนกัน
“เยี่ยงนั้น ข้าขายชีวิตให้กับเขาไปเลยดีหรือไม่ ? ”
“เป่ยหวังฉวน ข้าจะรอเจ้ารักษาอาการบาดเจ็บให้หายดี ! ”

ผู้ที่เดินเข้ามานั้นคือองค์ชายที่สิบสามแห่งแคว้นฝาน ฝานเทียนหนิงและศิษย์ก้นกุฏิของหัวหน้านิกายฝู คูฉาน

ฝานเทียนหนิงยกมือขึ้นคารวะมาแต่ไกล เขาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม

 บอกตามตรงว่าบัดนี้ข้าถึงได้รู้ เพียงแค่มีเงินทองมากมายก็สามารถทำทุกสิ่งได้ตามใจชอบ ! คฤหาสน์จิ้งหูนี้เป็นสถานที่ที่ยอดเยี่ยมเสียทีเดียว คุณชายฟู่เพิ่งจะเดินทางมายังเมืองกวนหยุนได้มินาน ก็สามารถซื้อที่อยู่ใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้ ข้าน้อยรู้สึกชื่นชมเสียยิ่งนัก !

ฟู่เสี่ยวกวนก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน เขายกมือคารวะตอบกลับไปแล้วยิ้มพร้อมกับกล่าวว่า  ท่านเป็นถึงองค์ชายแห่งแคว้นฝาน กล่าววาจาเช่นนี้มิเท่ากับตบหน้าข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?  

ฝานเทียนหนิงเดินมาหยุดเบื้องหน้าฟู่เสี่ยวกวน เขาชายตาไปยังหินที่แตกกระจัดกระจายบนพื้นด้วยความสงสัย จากนั้นสายตาก็มองมายังฟู่เสี่ยวกวน  ท่านอาจมิเชื่อข้า อย่าว่าแต่หนึ่งล้านตำลึงเลย เพียงแค่หนึ่งแสนตำลึงข้ายังมิมี มองดูแล้วพ่อค้าที่ดินก็มิเลวเสียทีเดียว รอให้ข้ากลับแคว้นไปข้าจะทูลขอเสด็จพ่อให้ประทานที่ดินแก่ข้าสักหน่อย ข้าก็จะได้เป็นพ่อค้าที่ด้วย เพียงแต่ว่า…ก่อนที่จะเป็นพ่อค้าที่ดินเต็มตัว ข้าควรจะต้องเรียนรู้จากท่านเสียหน่อย 

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมาทันใด  ที่ดินเหล่านั้นท่านพ่อข้าเป็นผู้ซื้อ บิดาของท่านเป็นถึงจักรพรรดิ หากจะเปรียบเทียบกันเรื่องบิดานั้นข้าคงสู้ท่านมิได้ ! หากท่านต้องการจะเป็นพ่อค้าที่ดินก็จงได้ทำตามใจของท่าน เป็นเรื่องง่ายดายเสียทีเดียว 

 ข้ามิสนใจหรอก หากมีโอกาสเดินทางไปยังแคว้นหยู ข้าจะต้องเดินทางไปยังที่ดินของท่านเพื่อศึกษาหาความรู้อย่างแน่นอน 

 ข้ายินดีต้อนรับยิ่ง…โต๊ะนี้แย่ยิ่งนัก มันแตกเสียแล้ว เชิญท่านเข้าไปด้านในเถิด 

 เดิมทีข้าประสงค์จะเดินทางไปยังจายซิงถาย เมื่อตอนเดินทางมาค่อนข้างกระชั้นชิด ตามธรรมเนียมแล้วนี่ควรจะเป็นวันฉลองบ้านใหม่ของท่าน แต่ข้ากลับมิได้นำของขวัญมา แต่ทว่าข้าได้สั่งอาหารไว้ที่เซียนเค่อหลายสำหรับหนึ่งโต๊ะแล้ว อีกประเดี๋ยวบ่าวรับใช้ของข้าคงจะนำมาให้ พวกเราไปดื่มสุราชมจันทร์ที่จายซิงถายเป็นเยี่ยงไร ?  

เมื่อได้ยินชื่อจายซิงถาย ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ต่างก็ยังมิได้มีเวลาไปเยือน บัดนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว ในเมื่อฝานเทียนหนิงเอ่ยขึ้นมา เป็นจังหวะเหมาะเจาะที่จะเดินทางไปเสียที

เพียงแต่ว่า…

ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังศิษย์พี่รอง แล้วกล่าวกับฝานเทียนหนิงว่า  โต๊ะหนึ่งคาดว่าคงมิพอ 

ฝานเทียนหนิงตกตะลึงไปชั่วครู่ เพียงแค่สิบกว่าคนเท่านั้น เหตุใดจึงมิพอ ?

แต่เมื่อเขามองไปยังเกาหยวนหยวนแล้วก็เข้าใจความหมายของฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงได้ยิ้มแล้วกล่าวว่า  เช่นนั้นก็สั่งเพิ่มอีกหนึ่งโต๊ะ เพียงแต่ว่า… 

ผู้ที่ติดตามเขามานั้นมีเพียงคูฉาน เขาเป็นลูกศิษย์ของหัวหน้านิกายฝู มิใช่บ่าวรับใช้ของเขา แต่ตัวเขาเองก็ประสงค์จะสนทนากับฟู่เสี่ยวกวน จะให้ผู้ใดไปจึงจะเหมาะสม ?

ทันใดนั้นหนิงซือเหยียนที่ยืนพิงประตูดื่มสุราอยู่นั้นก็เอ่ยขึ้นมาว่า  เห้อ…เช่นนั้นก็คงจะต้องเป็นข้าที่เดินทางไป แต่ข้าขอบอกก่อนว่า จะคิดค่าตอบแทนเป็นสุราเทียนฉุนจำนวน 2 ลัง ท่านว่าเยี่ยงไร ?  

ฝานเทียนหนิงมิรู้ว่าเขาเป็นเจ้าของเดิมของที่แห่งนี้ แต่เมื่อมองไปยังท่าทางที่เขายืนพิงประตูอย่างสบายอารมณ์เช่นนั้น มองไปคงมิใช่บ่าวรับใช้ธรรมดาเป็นแน่ บ่าวผู้ใดจะกล้าทำเยี่ยงนี้เล่า ?

ดังนั้นเขาจึงได้ตอบตกลงหนิงซือเหยียน พร้อมทั้งกำมือขึ้นคารวะ  เช่นนั้นคงต้องลำบากท่านแล้ว 

หนิงซือเหยียนยักคิ้วแล้วหันหลังเดินจากไป ฟู่เสี่ยวกวนพาผู้คนทั้งหลายเดินมายังจายซิงถาย

จายซิงถายตั้งอยู่บนเขาแห่งหนึ่งภายในคฤหาสน์จิ้งหู

ภูเขานี้แม้จะมิสูงมาก แต่เดิมทีเมืองกวนหยุนก็สูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ที่เชิงเขามีหินก้อนหนึ่งตั้งอยู่ บนหินก้อนนั้นเขียนไว้ว่าเหยียนซาน คาดว่าหนิงฝาเทียนคือผู้เขียน เขาใช้คำแรกของชื่อเหยียนหรูยวี่มาตั้ง

ถนนที่ขึ้นไปบนภูเขาเต็มไปด้วยบันไดปูด้วยหินอ่อนสีขาว บันไดนี้ตั้งอยู่ระหว่างต้นสนและใบไผ่เขียวชอุ่ม แสงมืดสลัวลงทันใด พวกเขามองเห็นเสาธงมากมาย บนเสาข้างทางนั้นมีโคมไฟแขวนอยู่

ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองดู เขาคิดในใจว่าหากโคมไฟเหล่านี้ถูกจุดขึ้นทั้งหมดคงจะงดงามมิน้อย

ในขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั้น ซูปิงปิงก็ลอยตัวมาหยุดอยู่บนเสานั้น นางมองไปยังด้านในโคมไฟ จากนั้นก็หยิบตะบันไฟออกมา ด้านในโคมนั้นเต็มไปด้วยน้ำมัน !

ใส้ในก็ยังดีอยู่ ดูไปราวกับยังมิเคยถูกจุดเสียด้วยซ้ำ

เขาไล่จุดโคมไฟทีละดวง จากนั้นก็กลับมายังข้างกายฟู่เสี่ยวกวน แล้วกล่าวว่า  ข้ามิชอบความมืด 

ซูซูได้ยินดังนั้นก็มองไปยังพี่สี่แล้วนึกอยู่ในใจว่า เขากลัวความมืดล่ะสิมิว่า !

ที่ยอดเขาเหยียนซานนั้นเป็นพื้นที่ราบโล่ง จายซิงถายตั้งอยู่ในที่ราบนี้นั่นเอง

ฟู่เสี่ยวกวนมองไปรอบ ๆ มันถูกล้อมรอบด้วยรั้วหินอ่อนสีขาวและพื้นปูด้วยหินอ่อนสีขาว งานแสนละเอียดและประณีตเหล่านี้ ทำขึ้นโดยบรรดาราชวงศ์ในอดีต หรือเป็นหนิงฝาเทียนที่ตกแต่งหลังจากที่ซื้อที่นี่แล้วกัน ?

เขารู้สึกว่าท่านพ่อใช้เงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงซื้อสถานที่แห่งนี้ไว้ช่างคุ้มค่ายิ่ง คฤหาสน์ที่เขาสร้างขึ้น ณ ภูเขาเฟิ่งหลินหากเปรียบเทียบกับที่นี่แล้วช่างแตกต่างกันมากยิ่งนัก

ด้านของซูปิงปิงนั้นมิได้ชื่นชมสิ่งเหล่านี้ เขาคล้ายกับจะชื่นชอบการจุดไฟเสียมากกว่า

เขาจุดโคมไฟทุกดวงขึ้น จากนั้นไปยังจายซิงถาย เมื่อฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ มองไปยังจายซิงถายที่มีดวงไฟกำลังส่องสว่างขึ้นทีละชั้น ก็รู้สึกตกตะลึงยิ่ง !

คูฉานมองไปยังจายซิงถายแล้วอุทานออกมาว่า  ความจริง !  

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลงแล้วเอ่ยถามว่า  ความจริงอันใดกัน ?  

 เจดีย์เจ็ดยอดแห่งความจริง !  

เจดีย์เจ็ดยอดนั้น ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์พระสูตรเจี้ยนเป่าถาผิ่นว่า ในเวลาก่อนพุทธกาลนั้นมีเจดีย์เจ็ดยอดอยู่ ซึ่งสูงห้าร้อยโยชน์และกว้างกว่าสองร้อยห้าสิบโยชน์ผุดขึ้นมาจากพื้นดินสู่ยอดฟ้า สมบัติมากมายซ่อนอยู่ในนั้นนับมิถ้วน…!

ขนาดของจายซิงถายนี้ตรงตามที่กล่าวไว้พอดี เพียงแต่ในตำนานกล่าวว่าเจดีย์เจ็ดยอดที่ว่านั้นเป็นสถานที่สำหรับเก็บอัฐิเช่นนั้นที่นี่คงมิเหมาะสมเท่าใดนัก

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้คัดค้านแต่ประการใด เขาและคนอื่น ๆ พากันเดินเข้าไปในจายซิงถาย เมื่อเดินขึ้นไปจึงได้พบว่าบันไดนั้นสูงขึ้นไปโดยมิได้แบ่งชั้น ด้านนอกมีหน้าต่างมากมาย แต่ด้านในเป็นเพียง…กำแพงที่ทำด้วยหิน !

กระทั่งพวกเขาเดินออกมาจากบันได และยืนอยู่บนยอดเจดีย์จึงได้รู้ว่าที่จายซิงถายใช้ขี่ม้าได้ !

บนนั้นมีสิ่งก่อสร้าง 9 แห่ง สวนดอกไม้ 3 แห่ง ภูเขาจำลอง 2 ลูกและทะเลสาบ !

ทุกคนล้วนพากันตกตะลึง !

พวกเขาจึงพึ่งได้รู้ว่าที่แห่งนี้ได้รับสมญานามว่าเป็นหนึ่งในสามสถานที่ที่สวยงามที่สุดของเมืองกวนหยุน ช่างสมคำร่ำลือยิ่งนัก !

ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปยังศาลาท่ามกลางทะเลสาบแห่งนั้น แต่เมื่อเขามองออกไปก็พบกับป้ายชื่อที่เขียนไว้ว่า หยุนถิง !

คำว่าถิงนี้มิใช่ศาลา แต่เป็นจวน !

ต้องการสื่อความหมายว่าเยี่ยงไรกัน ?

ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิรู้

พวกเขานั่งลงที่โต๊ะหนึ่งในหยุนถิง ในนี้มีโต๊ะตั้งอยู่สามตัว รอบข้างค่อนข้างกว้างขวาง ฟู่เสี่ยวกวนมองไปรอบ ๆ เขารู้สึกว่าหากจัดงานเลี้ยงขึ้นที่นี่คงจะสามารถตั้งโต๊ะกลมได้ราวสิบกว่าโต๊ะเลยทีเดียว

ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าซ่างหลินโจวของจวนชินอ๋องแห่งเมืองหลินเจียงนั้นใหญ่โตมากแล้ว หากเทียบกันกับที่นี่ ซ่างหลินโจวนั่นเทียบมิติดเลยแม้แต่น้อย !

สายตาเขาทอดมองออกไปนอกหน้าต่าง ด้านนอกนั้นราวกับสามารถยื่นมือออกไปคว้าดวงดาวมาได้ ส่วนด้านล่าง…

ด้านล่างมองออกไปเสมือนเห็นควันบาง ๆ สีขาวลอยอยู่ มิรู้ว่านี่คือเมฆหรือหมอกกันแน่

 จายซิงถายมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่าสี่ร้อยสามสิบปีมาแล้ว เดิมทีเคยเป็นสถานที่ที่ราชวงศ์อู๋ใช้ในการสักการะสวรรค์  ฝานเทียนหนิงกล่าวออกมา  ต่อจากนั้น… 

 

ตอนที่ 321 เกาหยวนหยวน
ชาติที่แล้วหากเอ่ยถึงการปล้นสะดมที่มีชื่อเสียงมากที่สุดย่อมเป็นสเปน
หลังจากที่โคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกา รบราจนแทบจะพิชิตได้ทั่วทั้งทวีปอเมริกา ปล้นทองคำและเงินไปเป็นจำนวนมาก ได้ทำให้อำนาจของประเทศเป็นที่หนึ่ง ทั้งยังทำให้มันกลายเป็นหนึ่งในประเทศมหาอำนาจจากทั่วโลกในประวัติศาสตร์ของชาติที่แล้วของเขาอีกด้วย
ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงเคยกล่าวกับต่งคังผิงไปว่า อยากจะแก้ไขปัญหาเรื่องเงินทอง หนทางที่ดีที่สุดคือการจู่โจม !
แน่นอนว่าแคว้นหยูในตอนนี้มิได้มีเงื่อนไขเยี่ยงนั้น
แต่นี่มิอาจขวางความกังวลใจที่ฟู่เสี่ยวกวนมีต่อความคิดนี้ได้ หากอุตสาหกรรมของแคว้นหยูสามารถพัฒนาขึ้นมาได้ เมื่อมีเรือรบแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะทำเรื่องเยี่ยงนี้ได้
เขารวบรวมบทความและแบ่งแยกไว้แล้วเรียบร้อย ตัดสินใจว่าในวันพรุ่งนี้จะเลือกลูกศิษย์เพียงมิกี่คนมายังคฤหาสน์จิ้งหู เขาจำต้องเปิดหม้อใบน้อยให้แก่พวกเขา
นอกจากนี้ เขายังต้องไปตรอกต้วนสุ่ยเฉียวอีกสักครา แน่นอนว่ามิใช่การไปเยี่ยมเยียนสถานทูตของชาวฮวง แต่เป็นการไปเยี่ยมเยียนราชทูตของทั้งสามประเทศ
ปากอ่าว นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ถึงแม้ในตอนนี้เขาจะยังมิได้ใช้ แต่หากต้องใช้ในภายภาคหน้าเล่า ?
ศิษย์พี่รองเกาหยวนหยวนตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้นอกจากเวลาทานข้าว สายตาของเขาก็มิเคยละไปจากฟู่เสี่ยวกวนเลย
เขารู้สึกว่าศิษย์น้องเล็กผู้นี้ย่อมเป็นศิษย์น้องเล็กคนที่เก้าอย่างแน่นอน หากท่านอาจารย์มิยอมรับ เยี่ยงนั้นท่านอาจารย์ก็คงตาบอดแล้ว !
เขามิได้เข้าศึกษา มารดาของเขาเสียชีวิตตอนเขาอายุได้เพียง 3 ปีเท่านั้น ต่อจากนั้นบิดาของเขาก็แต่งงานใหม่
เพราะความอยากอาหารของเขานั้นมีมากเกินไป จึงทำให้บิดาของเขาที่เป็นขุนนางตำแหน่งเล็ก ๆ ของผิงหลิงอี้เลี้ยงดูมิไหว เมื่อรวมกับที่แม่เลี้ยงที่ปากร้ายและใจดำ ท้ายที่สุดเขาจึงโดนไล่ออกจากบ้าน
ในปีนั้น เขาอายุได้เพียง 6 ปีเท่านั้น
หลังจากนั้นเขาก็มิได้แตกต่างอันใดกับเด็กกำพร้าของสำนักเต๋า เวลาผ่านไป 2 ปี เขาใช้ชีวิตด้วยความหิวจนผอมเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
ในตอนที่เขาคิดว่าตนกำลังจะหิวตาย ท่านอาจารย์ก็ได้ปรากฏตัวขึ้น เพียงเพราะหนึ่งคำสัญญา เมื่อทานจนอิ่มแล้ว เขาก็ได้ติดตามท่านอาจารย์ไปยังสำนักเต๋า และกลายเป็นศิษย์รองของสำนักเต๋าตั้งแต่นั้นมา
ท่านอาจารย์เองก็เคยสอนการบ้านเขา แต่ว่าเขาสนใจแต่การกินเท่านั้น ดังนั้นหากเอ่ยถึงตัวอักษร ที่เขารู้จักนั้นมีมิมากนัก
แต่สิ่งนี้มิได้เป็นตัวขวางกั้นเขาที่เลื่อมใสในคนที่มีการศึกษาอย่างสุดซึ้ง เพราะรากความคิดที่ฝังอยู่ในหัวมาตั้งแต่เด็กก็คือ ผู้มีการศึกษาจึงจะสามารถทานข้าวได้อิ่ม !
เจ้ามองตระกูลที่มีอำนาจมากล้น
เจ้ามองชุดผ้าต่วนที่นุ่มและสวยสด
เจ้ามองเกี้ยวแปดคนหาม
เจ้ามองคนที่คอยล้อมหน้าล้อมหลัง
พวกเขา…ต่างก็เป็นคนที่อ่านตำรามากมาย !
ต่อให้เป็นแม่ทัพ แม่ทัพที่สามารถสร้างกองทัพของตนเองได้ ล้วนแต่ก็ต้องเป็นแม่ทัพที่ผ่านการเข้าศึกษามาแล้วเท่านั้น !
และเขาก็ได้พบปรากฏการณ์อย่างหนึ่ง ยิ่งอ่านตำรามากเท่าใด ทับหลังของจวนนั้นก็จะยิ่งใหญ่สง่างาม
เขาเคยไปอยู่ที่เมืองหย่งหนิงมากว่าครึ่งปี เขาเคยพินิจพิจารณาทับหลังเหล่านั้น ถึงแม้จะมิรู้จักตัวอักษร แต่เขาก็ทราบว่ายิ่งทับหลังสูงเท่าใด อักษรบนทับหลังก็จะยิ่งใหญ่ยิ่งสง่างาม จวนหลังนั้นย่อมมีขุนนางยศใหญ่อยู่เป็นแน่
ในตอนนี้เขาไม่รู้ว่าทับหลังของจวนฟู่ท้ายที่สุดแล้วสูงหรือใหญ่ถึงเพียงใด แต่จากที่เขามองฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังทบทวนบทความเหล่านั้นอย่างตั้งใจ ก็รู้สึกว่าชายผู้นี้เก่งกาจมากอย่างอธิบายมิถูก !
เมื่อรวมกับจดหมายสองสามฉบับจากศิษย์พี่ใหญ่ที่ส่งมายังอาราม เขาจึงเคยได้ยินเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับฟู่เสี่ยวกวนมาบ้างแล้ว เมื่อได้รับการยืนยันอีกคราในยามนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าชายผู้นี้เก่งกาจยิ่งนัก
ในใจของเกาหยวนหยวน มีมิกี่คนที่ทำให้เขารู้สึกว่าเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยม ปรมาจารย์แห่งสำนักเต๋า อาจารย์ของเขาเป็นอันดับหนึ่ง ส่วนอันดับที่สองหาใช่ศิษย์พี่ใหญ่ไม่ แต่กลับเป็นซูซู !
ซูซูดีดฉินได้ยอดเยี่ยมมากยิ่งนัก !
เพราะเสียงฉินของศิษย์น้องหกซูซู เขาจึงได้ทานนกที่แสนอร่อยเข้าไปเยอะมากยิ่งนัก กินทั้งย่าง กินทั้งผัด กินทั้งตุ๋น… จนในระยะร้อยลี้ของสำนักเต๋าไร้เงาของนกอีกต่อไป และยามที่ซูซูออกมาจากอาราม เขาก็มิได้ทานนกอีกเลย
ในตอนนี้มีอยู่ด้วยกันสามคนที่เขาคิดว่ายอดเยี่ยมมากยิ่งนัก แน่นอนว่าต้องมีศิษย์น้องเล็กฟู่เสี่ยวกวนด้วย
ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนคัดแยกบทความเสร็จเรียบร้อยแล้ว ร่างกายที่ใหญ่โตของเขาก็โน้มลงไปด้านหน้า ใบหน้าอวบใบหูใหญ่นั้นมีรอยยิ้มสดใสผุดขึ้นมา ดังนั้น ฟู่เสี่ยวกวนจึงสะดุ้งแล้วถึงได้พบว่ารอยยิ้มของศิษย์พี่รองนั้น…แทบจะทำให้คนตกใจตายได้เลย !
ดวงตาของศิษย์พี่รองหายไปแล้ว จมูกก็เหลือเพียงน้อยนิด มุมปากใหญ่นั้นก็ฉีกจวนจะไปถึงใบหูอยู่แล้ว หากคนผู้นี้มิใช่ศิษย์พี่รองเกาหยวนหยวนแห่งสำนักเต๋า เขาต้องคิดว่านี่คือการกำเนิดของพระสังกัจจายน์ !
เจ้าเป็นพระพุทธเจ้า เหตุใดต้องบำเพ็ญเพียรด้วย ?
เกาหยวนหยวนยิ้มจนตาปิดและกล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก ของเหล่านี้…เอามาทำอันใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ซูซูชำเลืองมองศิษย์พี่รอง
ซูโหรวเงยหน้ามองศิษย์พี่รองอย่างพินิจพิจารณา
ซูเจวี๋ยแกล้งกระแอมขึ้นมาและขยับหมวก
และศิษย์พี่สี่ซูปิงปิงก็แผ่ความเย็นชาออกมา จนทำให้ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินสั่นสะท้าน
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ ศิษย์พี่รองผู้นี้คุยโวเสียแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะสามารถคีบกระบี่ของผู้อาวุโสจากป่ากระบี่ได้โดยใช้เพียงสองนิ้ว !
“ที่คือบทความที่ลูกศิษย์ของข้าเป็นผู้เขียน ที่วางทางด้านซ้ายนี้ถือว่าเขียนได้มิเลว ที่วางทางขวานี้คือยังมิผ่าน บทความที่ดีควรเผยให้ลูกศิษย์คนอื่น ๆ ได้เห็น ส่วนบทความที่มิผ่านนั้น…”
“ปึง…” เสียงมือใหญ่ของเกาหยวนหยวนตบลงกับโต๊ะหินดังขึ้นมา “ข้ารู้ บทความที่มิผ่านต้องโดนโบยสะโพก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตะลึงพลัน แต่มิใช่เพราะคำเอ่ยของเขา แต่คาดมิถึงว่าฝ่ามือที่ตบลงกับโต๊ะหินตัวนั้น จะทำให้โต๊ะหินแหลกละเอียดเสียแล้ว !
ให้ตายเถอะ !
นี่คือทรัพย์สมบัติของข้า !
ทำขึ้นด้วยหินอ่อนเสียด้วย เจ้ามาตบโต๊ะของข้าพังเช่นนี้ได้เยี่ยงไร ?
หากฝ่ามือนี้ทุบเข้าที่เสาอาคาร อาคารมันจะมิถล่มลงมาหรือ ?
หลังจากที่โต๊ะตัวนั้นแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เกาหยวนหยวนถึงได้เกาศีรษะไปมาด้วยความอับอาย “ศิษย์น้องเล็ก ข้ามิได้ตั้งใจจริง ๆ ”
“อ้อ…มิเป็นไร ศิษย์พี่รองอย่าไปตบตีอาคารเหล่านั้นก็เป็นพอ มิเยี่ยงนั้นคงพังถล่มลงมาจนยากที่จะซ่อมได้”
เกาหยวนหยวนดีใจเป็นอย่างมากที่ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจ แล้วกล่าวว่า “เจ้าสบายใจเถิด ตั้งแต่หลังจากที่ข้าตบหอคอยชีเชี่ยวหลิงหลงของสำนักเต๋า ท่านอาจารย์จึงจับข้าไปขังที่หน้าผาซือกั่ว ถูกขังมาครึ่งปีเต็ม ตั้งแต่นั้นมา ข้าจึงมิตบอาคารตบหอคอยอีก”
เยี่ยงนั้นก็ดี !
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าคำสั่งสอนของอารามเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่หลังจากนั้นซูซูกลับกล่าวออกมาหนึ่งประโยค ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกกังวลไปทั้งร่าง
“แต่ว่า ศิษย์พี่รอง หลังจากนั้นมา เจ้าก็ชอบตีต้นไม้ ตีก้อนหิน ทั้งยัง…ตีคนอีกด้วย ! ”
งานยามว่างของศิษย์พี่รองนั้นแปลกเกินไป ที่สำคัญคือยามที่คนผู้นี้ลงมือราวกับเขามิรู้ถึงน้ำหนักของมัน ภายในสำนักเต๋ามีแต่ผู้มีฝีมือระดับสูง เขาตีไปก็คงมิเกิดผลอันใด ร่างกายที่เล็กและเพิ่งเข้าทำเนียบเทียบชั้นเยี่ยงข้า เพียงหนึ่งฝ่ามือของเขาที่ตบลงมานี้ กระดูกคงงอมิเป็นทรง
ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงกล่าวกับเกาหยวนหยวนด้วยท่าทีจริงจัง “ศิษย์พี่รองจะตบตีศัตรูย่อมได้ กับคนของตนเอง เจ้าอย่าได้ตีสุ่มสี่สุ่มห้า ! ”
เกาหยวนหยวนจ้องมองท่าทางที่เคร่งเครียดของฟู่เสี่ยวกวน ก็ลอบคิดว่า เขาอ่านตำรามามาก คำเอ่ยที่เขากล่าวมานั้นย่อมมีเหตุและผลมากที่สุด ควรเชื่อฟังเขาไว้
ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า เพียงแค่เป็นการผงกศีรษะเล็กน้อย มันลำบากมากยิ่งนัก เพราะลำคอของเขาสั้น ทั้งยังหนาเกินไปอีกด้วย !
ในตอนนั้นเอง หนิงซือเหยียนที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูอย่างตั้งใจก็ได้พาคนสองคนเดินเข้ามา
เขายืนอยู่ที่หน้าประตูและตะโกนเสียงดังว่า “ฟู่เสี่ยวกวน มีคนมาเยี่ยมเยียน รับแขก ! ”
ราวกับแม่เล้ามืออาชีพก็มิปาน !
ตอนที่ 320 ว่าด้วยเก๋ออู้และทฤษฎีการเงิน
ดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนเป็นประกายขึ้นมาทันใด สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม
ต่งชูหลานเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “เป็นบทความยอดเยี่ยมเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ยอดเยี่ยมยิ่ง ! ” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าจากนั้นดีดไปยังกระดาษ เอ่ยด้วยความดีใจว่า “บัณฑิตจำนวนร้อยคนมีคนหนึ่งที่สามารถเขียนบทความออกมาได้ดีมากถึงเพียงนี้ มิเสียแรงที่ข้าพยายามล้างสมองพวกเขาตลอดการเดินทางมา อ้อ…มิใช่ เป็นการเสริมสร้างความรู้ใหม่ ๆ ให้แก่พวกเขาต่างหาก”
สายตาของเขาทอดมองไปยังท่อนท้ายของบทความ ลงนามไว้ว่าเฉินชู่ เขาจำได้ดีว่าเยาวชนผู้นี้ให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องเก๋ออู้ยิ่ง และจากบทความที่เขาเขียนออกมานั้นเห็นได้ชัดว่าเขาใช้ความคิดมากเสียทีเดียว
บทความนี้มีชื่อว่า “ทฤษฎีเก๋ออู้”
เนื้อหาเริ่มกล่าวตั้งแต่ตัวอย่างง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน อาทิเช่น การก่อไฟที่ทุกบ้านล้วนทำได้
ฟืนก่อให้เกิดเปลวไฟ แต่เหตุใดไฟจึงสามารถต้มน้ำในหม้อให้ร้อนได้ ?
คำถามนี้สำหรับโลกปัจจุบันช่างเป็นคำถามที่ง่ายดาย แต่ทว่าในสมัยนี้ มิมีผู้ใดเคยสงสัยเลยว่าเป็นเพราะเหตุใด
แต่เฉินชู่กลับเขียนคำถามนี้ขึ้นในบทความ อีกทั้งยังทำการไขปัญหา
“ข้าคิดว่า ไฟก่อให้เกิดความร้อนในขั้นตอนการเผาไหม้ พวกเราทุกคนจึงสัมผัสได้ถึงความร้อนที่ปล่อยออกมาจากไฟ ความร้อนนี้จะเผาไหม้ที่ก้นหม้อ และถ่ายเทไปยังน้ำในหม้อผ่านก้นหม้อ
น้ำในหม้อจะถูกทำให้ร้อนด้วยเปลวไฟอย่างต่อเนื่อง จากนั้นมันจึงเดือดขึ้น ทำให้ส่วนผสมที่ใส่ลงไปในหม้อได้รับผลกระทบจากความร้อนด้วย ดังนั้นจึงถูกต้มจนสุก
เพื่อให้เข้าใจถึงเรื่องความร้อนได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ข้าได้ยืมคำที่อาจารย์มักจะกล่าวว่า การหาปริมาณ และข้าตั้งชื่อความร้อนนี้ว่าพลังงานความร้อน เช่นนั้นต้องใช้พลังงานความร้อนเท่าใดจึงจะทำให้น้ำในหม้อร้อนได้ ?
สิ่งนี้จำเป็นจะต้องทำการทดลอง เมื่อข้าเดินทางกลับแคว้นแล้วจะไขปัญหานี้อีกครา
อีกปรากฏการณ์หนึ่งเกิดขึ้นเมื่อน้ำเดือด ข้าพบว่ามีละอองน้ำจำนวนมากล้นออกมาจากฝาหม้อ ซึ่งแสดงว่ามีการระบายความร้อน หากใช้กาน้ำชาต้มน้ำจะพบว่าฝาถูกแง้มออกเล็กน้อย ข้าคิดว่าความร้อนนี้จะทำให้เกิดแรงชนิดหนึ่งในกระบวนการคลายตัว เป็นเพราะความร้อนนี้เองที่ทำให้ฝาของกาน้ำชาถูกเปิดออก หากปิดฝากาน้ำชาเพื่อป้องกันมิให้ความร้อนถูกส่งผ่านออกมา และเพิ่มความร้อนต่อไป ท้ายที่สุดมันจะระเบิดหรือไม่ ? ปัญหานี้ยังต้องได้รับการทดลอง ข้าจะไขปัญหานี้หลังกลับถึงราชวงศ์หยู
หากน้ำเดือดสามารถสร้างแรงดังกล่าวได้ หากแรงนั้นมีมากพอ เปรียบได้กับความแข็งแรงของม้ากับวัว เช่นนั้นพวกเราสามารถประดิษฐ์สิ่งของบางอย่างขึ้นเพื่อทดแทนวัวและม้าได้หรือไม่ ?
……
ข้าคิดว่าทุกสิ่งในโลกล้วนมีเหตุผลในตัวเอง ตัวอย่างเช่นไฟสามารถทำให้น้ำเดือดได้ เช่นเรือสามารถลอยในน้ำได้แต่ก้อนหินกลับจมลงไป และการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลทั้งสี่ สิ่งเหล่านี้มิเคยได้รับผลกระทบจากใด ๆ
ท่านอาจารย์กล่าวว่า สิ่งที่เรียกว่า “เก๋ออู้” นั้นคือการค้นหาสาเหตุของทุกสิ่ง คือการแสวงหาความจริง จากนั้นนำไปปรับใช้ เช่นการผลิตเครื่องมือที่สอดคล้องกัน ข้าคิดว่าการปรับปรุงเครื่องมือต่าง ๆ สามารถส่งเสริมความก้าวหน้าและการพัฒนาของแคว้นได้อย่างต่อเนื่อง ! ต่อจากนี้ข้าวางแผนจะทำการทดลองว่าจะทำเยี่ยงไรให้พลังงานความร้อนนี้สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้”
นี่อาจเป็นความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพลังงานความร้อน แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับมองเห็นถึงความใฝ่รู้และความหวังจากบทความนี้
เขาคงจะต้องให้คำแนะนำแก่เฉินชู่เสียหน่อย หากเขาสามารถผลิตเครื่องจักรไอน้ำได้ละก็…การพัฒนาในสมัยนี้จะเปลี่ยนไปแบบก้าวกระโดด !
มิว่าเยี่ยงไรก็ควรจะลองดู !
หากสามารถสร้างรางรถไฟจากเมืองจินหลิงไปยังเมืองหลินเจียงได้ นั่งรถไฟไปพลางขับร้องเพลงไป ช่างเป็นภาพในจินตนาการที่งดงามเสียจริง
เขานำบทความนี้วางไว้ข้าง ๆ จากนั้นหยิบบทความอื่นขึ้นมาอ่านต่อไป
มีอีกหลายบทความที่เข้าตาเขาและล้วนเกี่ยวกับเก๋ออู้ แม้อาจจะมิได้ละเอียดเช่นของเฉินชู่ แต่ก็สามารถหยิบมาใช้ประโยชน์ได้
นอกจากนั้นมีบทความไม่น้อยเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์และการค้าซึ่งค่อนข้างแปลกใหม่ แต่ก็ยังมิเพียงพอที่จะทำให้ฟู่เสี่ยวกวนสร้างความประทับใจได้
เขาแยกบทความที่ถูกใจวางไว้ด้วยกัน เมื่อเงยหน้ามองดูเวลาพบว่าเป็นเวลาเกือบยามโหย่วแล้ว เหลือบทความอยู่เพียงแค่มิกี่บท
ดังนั้นเขาจึงหยิบมันขึ้นมาอีกหนึ่งแผ่น บทความนี้มีหัวข้อว่าทฤษฎีการเงิน
ชื่อบทความเรียบง่าย แต่สามารถสร้างความประหลาดใจให้แก่เขาได้มิน้อย ดังนั้นเขาจึงตั้งใจอ่านบทความนี้อีกครา
“ข้าคิดว่าการที่จะทำให้การค้าระหว่างสองแคว้นโดดเด่นขึ้นมาได้นั้น ที่สำคัญที่สุดประการแรกคือการควบคุมสกุลเงิน”
เปิดบทความได้ชัดเจนยิ่ง แหลมคม ยอดเยี่ยมยิ่งนัก !
“จากมุมมองในปัจจุบัน แต่ละแคว้นมีเงินตราถึงสามชนิด เช่น ทองคำ เงินและทองแดง หนึ่งในนั้นทองคำมีราคาแพงที่สุด เนื่องจากทองคำเป็นแร่ธาตุที่มีจำกัดและปริมาณการขุดมีจำกัดเช่นกัน ส่วนเงินเป็นอันดับสองและทองแดงมีมากที่สุด ดังนั้นเหรียญทองแดงจึงมีราคาถูกที่สุดและมีการหมุนเวียนอย่างกว้างขวางที่สุดในตลาด
หากพิจารณาอย่างละเอียดในประวัติศาสตร์หลายพันปีมานี้ วิธีการทำค้าขายของมนุษย์ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จากการแลกเปลี่ยนจนถึงปัจจุบันกลายเป็นวิธีการซื้อสินค้าด้วยเงินตรา และการขายสินค้าเพื่อแลกเป็นเงิน แม้ว่าวิธีการนำสินค้ามาแลกเปลี่ยนยังคงมีอยู่ แต่มิใช่วิธีที่นิยมอีกต่อไป
และเงินมีบทบาทเทียบเท่ากับคุณค่าของสินค้าที่นำมาแลกเปลี่ยน ในที่นี้ข้าจะเรียกมันว่า “การเทียบเท่า”
เงินจะอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยน เนื่องจากมีการไหลเวียนที่สะดวกกว่า และได้รับการยอมรับจากทุกแคว้นในประวัติศาสตร์พันปีมานี้
หากราชวงศ์หยูสามารถควบคุมทองคำและเงินได้ ก็สามารถซื้อสินค้าที่ต้องการจากแคว้นต่าง ๆ ได้ ราชวงศ์หยูเป็นอาณาเขตที่นับว่าขยายตัวมากที่สุดในสี่แคว้น แน่นอนว่ามีเหมืองทองมากมายที่ยังมิถูกค้นพบ ข้าคิดว่าควรส่งผู้ที่มีความสามารถไปสำรวจเหมืองทองคำ เมื่อพวกเรามีทองคำพวกเราก็จะมีสิ่งของต่าง ๆ ตามมา หากพวกเรามีทองคำมากเพียงพอ พวกเราอาจจะสามารถขายให้กับผู้คนทั้งใต้หล้าได้ !
……
แต่หากราชวงศ์หยูมิสามารถขุดพบเหมืองทองเล่า จะทำเยี่ยงไร ?
ข้าคิดว่าเมื่อพัฒนาการค้าภายในแคว้นอย่างจริงจัง ในแง่ของนโยบาย จากการให้ความสำคัญด้านการเกษตรเปลี่ยนเป็นให้ความสำคัญทางด้านการค้าแทน เมื่อความเจริญรุ่งเรืองของการค้าสามารถนำไปสู่การเพิ่มขึ้นภาษี และแคว้นสามารถใช้เงินเพื่อซื้อสินค้าได้ตามต้องการจากแคว้นอื่น ๆ
การพัฒนาอย่างมั่นคงของการค้า จะส่งเสริมความก้าวหน้าของเก๋ออู้ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากพ่อค้าต้องการอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพในการผลิตสินค้าจำนวนมากขึ้น เมื่อมีการผลิตเครื่องใช้ที่ทันสมัยมากขึ้น ผลผลิตของสินค้าย่อมเพิ่มขึ้นและต้นทุนย่อมลดลง แน่นอนว่าแคว้นอื่น ๆ ก็ต้องการเช่นกัน ดังนั้นหากนำไปขายยังแคว้นอื่นก็จะได้รับกำไรมากยิ่งขึ้น…”
บทความนี้กล่าวถึงความสำคัญของเงินตราไว้อย่างชัดเจน และยังเสนอวิธีการอื่น ๆ อีกด้วย ในสายตาของฟู่เสี่ยวกวนนั้นแน่นอนว่ายังมีข้อบกพร่องอยู่มากมาย แต่สำหรับบัณฑิตในยุคนี้ บทความนี้เป็นบทความที่ดีไร้ที่ติเลยทีเดียว
เขามองไปยังผู้เขียนบทความนี้ มิใช่ฉินเหวินเจ๋อ แต่กลับเป็นซังเหลียง
คาดว่าท่านซังหยูแห่งจงซูลิ่ง จะให้การอบรมสั่งสอนหลายชายของเขาผู้นี้อย่างตั้งใจ
จากนั้นเขาก็ได้อ่านบทความที่เหลือจนหมด และมีอยู่แผ่นหนึ่งที่ทำให้เขาแววตาเป็นประกายขึ้นมาอีกครา
บทความนี้มีตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัว ช่างกระชับแต่เข้าใจง่ายมากยิ่งนัก
“การสร้างความโดดเด่นเรื่องการแข่งขันด้านการค้า ข้าคิดว่าควรจะมีกองทหารที่แข็งแกร่ง ! ”
“หากมีกองทหารที่เข้มแข็ง ก็จะสามารถบุกเข้าไปในแคว้นอี๋แล้วปล้นพวกเขามาให้หมด เท่านี้คลังของราชวงศ์หยูก็จะอุดมไปด้วยสิ่งของต่าง ๆ ”
“ต้องการจะซื้อสิ่งใดก็ได้ทั้งสิ้น หากแคว้นใดมิยินยอมขายให้…ก็แย่งมาเสีย ! ”
“เช่นนี้ ราชวงศ์หยูก็จะโดดเด่นแน่นอน”
ฟู่เสี่ยวกวนอ่านไปยังนามของผู้เขียน “ชางกวนเหมี่ยว” เขาหัวเราะขึ้นมาและหยิบบทความนี้วางไว้ในกองที่เขาจะเลือก
นี่คือบทความที่สมเหตุสมผลยิ่ง การสะสมทรัพย์ในคลังนั้น เป็นเรื่องที่แลกมาด้วยการนองเลือดแต่ไหนแต่ไรแล้ว
ตอนที่ 319 หลายคนที่มีความสุข หลายคนที่ทุกข์ระทม
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังสนทนากับจักรพรรดิเหวินที่กวนหยุนถายอย่างสนุกสนาน ให้ความรู้สึกชิงชังอยู่เล็กน้อยที่เพิ่งได้รู้จักกัน
แต่ตำหนักเจิ้งหยางในเขตวังหลวงนี้ อู๋หลิงเอ๋อร์ได้ร้องห่มร้องไห้ตั้งแต่คราถูกนำตัวออกจากพระราชวังจวี้หัว
จักรพรรดินีเซียวจ้องมองดอกสาลี่ที่ผลิบานด้านนอกหน้าต่าง ด้วยสีหน้าทะมึน แต่มิได้มีโทสะเพราะเสียงร้องไห้ของอู๋หลิงเอ๋อร์ แต่เป็นเพราะฝ่าบาทได้ถอนราชโองการไป นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าข่าวลือนั้นมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นเรื่องจริงอย่างยิ่ง
“ขันทีจ้าว แจ้งขันทีเกาว่าข้าต้องการพบเขา”
“กระหม่อมจะรีบไปแจ้งในทันทีพ่ะย่ะค่ะ ! ”
อู๋หลิงเอ๋อร์ได้ยินเยี่ยงนั้น เสียงร้องไห้ก็เงียบไปทันพลัน สองตาที่พร่ามัวด้วยหยาดน้ำตาก็หันไปมองจักรพรรดินีเซียว หรือว่าเสด็จแม่ต้องการให้ขันทีเกาไปทำอะไรบางอย่างเพื่อตนเองกัน ?
แต่เยี่ยงนั้นก็จะเป็นการทำร้ายฟู่เสี่ยวกวนเอาได้ และหากฟู่เสี่ยวกวนรับรู้เข้า จะมิกลายเป็นไร้หนทางให้ถอยกลับหรือ ?
ย่อมมิได้อย่างแน่นอน !
“เสด็จแม่ จะทำเยี่ยงนั้นมิได้นะเพคะ ลูกเพียงแค่คิดอันใดมิออกเพราะความน้อยใจเท่านั้น พอได้ร้องไห้ออกมาก็เริ่มคิดตก ที่เสด็จพ่อถอนราชโองการไปย่อมมีความหมายที่ซ่อนอยู่เป็นแน่ หากเสด็จแม่สั่งให้ขันทีเกาไปก่อปัญหาให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน…ลูกกังวลว่าเสด็จพ่อคงมิชอบใจมากยิ่งนัก”
จักรพรรดินีเซียวหันหลังกลับมาอย่างช้า ๆ และยิ้มให้กับอู๋หลิงเอ๋อร์ “น้องชายของเจ้าถูกเสด็จพ่อของเจ้าสั่งให้คัดเยาว์ชนราชวงศ์อู๋นั่นอีกแล้ว ได้ยินมาว่าเขาขุ่นเคืองอยู่ที่ตำหนักตะวันออก เขาเองก็คงกลัวเจ้าอยู่บ้าง เจ้าไปเกลี้ยกล่อมเขาเสีย กล่าวว่า…ในช่วงหลายวันนี้ โปรดอยู่อย่างสงบ หากเขายังดื้อรั้น เจ้าก็ลงโทษเขาได้เลย ส่วนที่แม่เรียกให้ขันทีเกามานั้นมิได้เกี่ยวข้องกับฟู่เสี่ยวกวน แต่แม่เพียงอยากฝากฝังบางอย่างกับขันทีเกาสักเล็กน้อย โปรดระมัดระวังความปลอดภัยภายในเมืองกวนหยุน”
“เป็นจริงเยี่ยงนั้นหรือเพคะ ? ”
“แล้วแม่จะหลอกเจ้าเพราะเหตุใดกัน ? ”
…..
…..
ช่วงเวลาใกล้เที่ยง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้บอกลาจักรพรรดิเหวินและเดินทางออกมาจากกวนหยุนถาย
การสนทนาในวันนี้เริ่มทำให้เขาสับสน ความเมตตาที่จักรพรรดิเหวินเผื่อแผ่ออกมานั้นมากเกินกว่าที่บุคคลทั่วไปจะได้รับ คาดมิถึงว่าจักรพรรดิเหวินจะเชิญชวนให้เขามาปักหลักที่ราชวงศ์อู๋ ทั้งยังรับปากว่าจะมอบตำแหน่งเสนาบดีระดับสูงที่สุดให้แก่เขา
นี่คงเป็นการเพ้อฝันเกินไป ทุกคนต่างเพิ่งได้พบหน้ากันเป็นคราแรก มิใช่ว่าควรจะไถ่ถามว่าเจ้าชอบทานอะไรหรือเจ้าชอบดื่มอะไรเยี่ยงนั้นหรอกหรือ ?
แต่หัวข้อเช่นนั้นกลับมิถูกเอ่ยถึงแม้แต่ประโยคเดียว !
จักรพรรดิเหวินตรงเข้าประเด็นโดยที่มิอ้อมค้อมเลยแม้แต่น้อย ความรู้สึกนี้ราวกับเดินตรงเข้าไปในเรือนหอโดยที่ยังมิได้เห็นหน้าเจ้าสาวและดับไฟโดยมิแม้แต่จะเอาผ้าที่ปิดหน้าออก และล้มลงไปบนเตียงเสียทั้งอย่างนั้น
ถึงแม้ขั้นตอนจะเบิกบานใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ทำให้อดรู้สึกกังขามิได้ว่าเจ้าสาวคนใหม่จะเข้าตาหรือไม่
จักรพรรดิเหวินกล่าวไว้เสียมากมาย ฟู่เสี่ยวกวนเห็นขนมชิ้นใหญ่นั้นได้อย่างชัดเจน นั่นทำให้เขารู้สึกราวกับอยู่ในความฝันไปชั่วขณะ แต่ใบหน้าที่จริงใจเป็นอย่างมากของจักรพรรดิเหวินก็มิได้เผยความปรารถนาที่แท้จริงของเขาออกมาให้ได้เห็น
ดวงตาที่แผดเผาและมีสายใยความเอ็นดูนั้นถึงขั้นทำให้เขาคิดว่าตนเองเหมือนกับลูกนอกสมรสในบทละครหลังข่าว นั่นทำให้เขามีความสุขเป็นอย่างมาก !
ในฐานะวิญญาณที่มาจากต่างโลก เขาย่อมมีความสุขที่ชีวิตธรรมดามีสีสันขึ้นอีกสักเล็กน้อย และมีความสุขที่โลกนี้มีต้นขาให้เกาะเพิ่ม ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธความเมตตาเหล่านั้นของจักรพรรดิเหวิน เขาจึงรับมันมาทั้งหมด แน่นอนว่าหากเขามิสามารถอยู่ในราชวงศ์หยูต่อไปได้แล้วอย่างแท้จริง
หากกล่าวถึงความรู้สึกที่มีต่อราชวงศ์หยูและราชวงศ์อู๋ เขาย่อมรู้สึกกับราชวงศ์หยูมากกว่า อย่างไรก็ได้อยู่ในราชวงศ์หยูมานานหนึ่งปีแล้ว มิว่าจะเป็นหลินเจียงหรือจินหลิง ต่างก็มีรอยเท้าที่เขาทิ้งเอาไว้อยู่มากมาย และสิ้นเปลืองแรงกายและแรงใจของเขาไปมากยิ่งนัก
ซีซานคือเขตฐานของเขา ไม่ว่าจักพรรดิเหวินหรือฮ่องเต้หยูยิ่นจะมอบขนมปังให้เขาก้อนโตเพียงใด เขาก็ยังคงคิดว่า ซีซานต่างหากเล่าที่เป็นไพ่ใบใหญ่ที่สุดในอนาคตของตน
และเขาก็ชอบความงดงามแบบที่เมืองจินหลิงนั้นยิ่งกว่าเมืองกวนหยุนแห่งนี้…สูงเกินไป
ในตอนที่เขากลับมาถึงคฤหาสน์จิ้งหู หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานก็ได้มาถึงก่อนแล้ว และกำลังนอนรับแสงแดดอยู่ในเรือน และได้สนทนาเกี่ยวกับการเดินทางไปจวนโหวในช่วงเช้าอย่างสนุกสนาน
ในตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงด้านข้างของพวกนาง หยูเวิ่นหวินก็หัวเราะคิกคักไปทางเขาและกล่าวว่า “ท่านป้ารองของข้ารับปากแล้วว่าจะช่วยพวกข้าหาทำเลที่ตั้งร้านดี ๆ ในเมืองกวนหยุนให้ พระนางกล่าวว่าสถานที่ที่เจริญที่สุดในเมืองชั้นในเมืองกวนหยุนนี้คือถนนใหญ่ส่าจิน ส่วนที่เจริญที่สุดในเมืองชั้นกลางคือตรอกเถียนสุ่ย และที่เจริญที่สุดในเมืองชั้นนอกถูกขนานนามว่าถนนห้วนฮวา ท่านป้ารองชื่นชอบสินค้าของพวกเราเป็นอย่างมาก พระนางกล่าวว่าของเหล่านี้เหมาะสำหรับวางขายในเมือง ผู้อาศัยในเมืองส่วนมากจะเป็นขุนนางระดับสูง ประการแรก พวกเขาย่อมมีกำลังในการใช้จ่าย ประการที่สองคือสามารถยอมรับสิ่งของเหล่านั้นได้โดยง่าย ดังนั้นข้าและชูหลานจึงตัดสินใจว่าจะตั้งร้านแรกภายในเมือง”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “เรื่องนี้เจ้าทั้งสองเพียงดูแลมันก็พอแล้ว”
จิตใจของต่งชูหลานค่อนข้างละเอียดอ่อนกว่าหยูเวิ่นหวิน นางเมียงมองฟู่เสี่ยวกวน และเอ่ยออกมาว่า “องค์หญิงรองกลับเอ่ยถามถึงเจ้า”
“พระนางเอ่ยถามอันใดเกี่ยวกับข้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนยังคงนึกคิดไปว่าคงเป็นเพราะบทกวีหรือบทความเหล่านั้นของตนอีกเป็นแน่ คาดมิถึงว่าสิ่งที่ต่งชูหลานตอบกลับมาจะมิใช่เช่นนั้น
“พระนางถามว่า…ระหว่างเจ้าและอู๋หลิงเอ๋อร์มีความสัมพันธ์กันจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก รีบโบกมือพัลวันแล้วกล่าวว่า “มันมิมีอันใดจริง ๆ ในวันนี้บนพระราชวังจวี้หัวแห่งราชวงศ์อู๋ จักรพรรดิเหวินได้ถอนราชโองการนั้นไปแล้ว และอู๋หลิงเอ๋อร์ก็มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ ราชโองการนั้นมิถูกตั้งแต่ต้น คนที่ใช้ชีวิตธรรมดาเพียงหนึ่งคน จะกลายเป็นแต้มต่อเพื่อตกรางวัลได้เยี่ยงไร ? ”
“ไอหยา…” ต่งชูหลานจ้องมองเขาก่อนจะพยักหน้าอย่างมีเลศนัย และกล่าวอีกว่า “องค์หญิงรองยังตรัสอีกว่า หากเจ้ามีเวลาว่าง ก็จงไปที่จวนโหวเสียหน่อย พระนางมีเรื่องบางอย่างที่อยากจะสนทนากับเจ้าเพียงลำพัง”
เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวข้องกันกับสวี่หยุนชิงมารดาของเขาอีกเป็นแน่
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดและพยักหน้ารับ เขาเองก็ต้องการสนทนากับหยูหยูเช่นกัน มารดาของตนท้ายที่สุดเกิดเรื่องอันใดขึ้นในปีนั้นกันแน่ ?
หลังจากนั้นเติ้งซิวก็ได้เดินเข้ามา ด้านหลังของเขามีขุนนางของสถานทูตสองคนติดตามมา โดยยกกล่องหนึ่งใบเข้ามาด้วย
“นี่คือบทความที่เหล่าบัณฑิตเขียนขึ้นมา พวกเขากล่าวว่า…นี่คือการบ้านที่นายท่านมอบให้มาระหว่างเดินทาง และให้ข้านำมาให้ท่านอ่าน”
ฟู่เสี่ยวกวนเกิดความตื่นเต้น เขาอยากจะอ่านบทความของบัณฑิตทั้งหนึ่งร้อยคนเป็นอย่างมาก ดูสิว่าจะมีสักกี่คนที่เข้าใจการค้าและการค้นคว้าได้มากพอ
ดังนั้นเขาจึงเปิดกล่องออก และเปิดอ่านแต่ละหน้าอย่างตั้งใจ
ระหว่างนั้นชุนซิ่วก็ได้นำอาหารออกมา ศิษย์สำนักเต๋าทั้งห้าและกลุ่มฟู่เสี่ยวกวนสามคนก็ได้นั่งทานข้าวในเรือนด้วยกัน
เดิมทีซูเจวี๋ยอยากจะให้ฟู่เสี่ยวกวนฝึกฝนพลังตัวเบาของเขาต่อ แต่หลังจากเห็นบทความในกล่องนั้นก็เป็นอันต้องละทิ้งความคิดนี้ไปเสีย
คิดอยู่แล้วว่าศิษย์น้องผู้นี้มิใช่ผู้ฝึกยุทธ์อย่างแท้จริง
เขาได้ปล่อยกาตัวนั้นออกไปแล้ว ผ่านไปสักระยะถึงจะได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านอาจารย์ของเขา แต่เขาเชื่อว่าท่านอาจารย์จะต้องรับฟู่เสี่ยวกวนเป็นลูกศิษย์ของสำนักอย่างแน่นอน ถึงแม้จะกล่าวว่าศิษย์น้องผู้นี้จะไร้อนาคตในหนทางวรยุทธ์อย่างแท้จริง แต่สำหรับสำนักเต๋าแล้ว ศิษย์น้องผู้นี้กลับสำคัญอย่างหาที่เปรียบมิได้
สิ่งที่เรียกว่ายุทธภพ ท้ายที่สุดแล้วก็ยังอยู่ในดินแดนกว้างใหญ่นี้ และสำนักเต๋าก็เป็นเพียงส่วนเล็ก ๆ ของยุทธภพเท่านั้น
หลักคำสอนที่สำนักเต๋าเผยแพร่คือข้าเกิดมาพร้อมกับสวรรค์และผืนดิน ทุกอย่างรวมเป็นหนึ่งเดียวกับข้า สิ่งที่เสาะหาคือการอยู่รวมกันของมนุษย์และโลก ดังนั้นสำนักเต๋าจึงได้ปรากฏในยามที่โลกโกลาหล
เมื่อได้เกิดมาแล้ว ย่อมมีผู้ที่เหมาะสมโดยปริยาย หลายสิ่งหลายอย่างที่ท่านอาจารย์เตรียมไว้ต่างวนอยู่รอบตัวฟู่เสี่ยวกวน สิ่งที่เขาให้ความสำคัญย่อมเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาบนโลกใบนี้ของฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนวางตะเกียบลงและอ่านบทความต่อ ทันใดนั้นดวงตาก็เปล่งประกายขึ้นมา !

ตอนที่ 318 ร่องรอยแห่งอดีต

ยามที่มารดาของเจ้าสิ้นใจไป ได้ฝากอะไรไว้กับเจ้าหรือไม่ ?

ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลงชั่วครู่ แล้วเดินตามจักรพรรดิเหวินไปยังต้นสนเก่าแก่ต้นนั้น เมื่อคิดไปคิดมา เขาก็รู้สึกว่าความทรงจำของเขามีข้อมูลของสวี่หยุนชิงเพียงน้อยนิด นอกเหนือจากที่นางได้ทิ้งเขาไว้กับพ่อแล้ว อย่างอื่นก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษ

แม้ว่าท่านแม่จะทิ้งบางสิ่งไว้ให้เขา แล้วเกี่ยวข้องอันใดกับองค์จักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋กันเล่า ?

ทั้งสองคนนั่งลงที่โต๊ะหมากรุก จากนั้นก็มีบ่าวยกน้ำชาและของว่างมาวางให้

 เมื่อคราที่ท่านแม่จากไป กระหม่อมนั้น…มีอายุเพียงหกปี เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วยิ่งนัก บัดนี้ล่วงเลยมาได้สิบปีแล้ว หากจะกล่าวถึงสิ่งของ ท่านแม่มิได้ทิ้งสิ่งใดให้กระหม่อมเลย 

จักรพรรดิเหวินยิ้มออกมาอย่างสิ้นหวัง  ตราหยกนั่น นางก็มิได้ทิ้งไว้ให้เจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 มิมีพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเองได้คล้องตราหยกไว้อันหนึ่ง แต่เป็นของคู่หมั้นของกระหม่อมนามว่าเยี่ยนเสี่ยวโหลว นางให้ไว้ก่อนข้าจะออกเดินทาง…ฝ่าบาท เหตุใดท่านแม่จึงต้องทิ้งตราหยกไว้ให้กระหม่อมกัน ? ฝ่าบาททรงรู้ได้เยี่ยงไรว่านางมีตราหยก ?  

 ไท่เหอปีที่สี่สิบ งานกวีหลานถิงจี๋เทศกาลไหว้พระจันทร์แห่งราชวงศ์หยู ในตอนนั้นข้ายังเป็นองค์รัชทายาท ปีนั้นข้าได้เดินทางไปยังราชวงศ์หยูพร้อมกับเหวินสิงโจว ข้าได้พบกับแม่ของเจ้าที่หลานถิงจี๋… 

ท่าทางของจักรพรรดิเหวินราวกับได้ย้อนไปในความทรงจำเก่า ๆ สายตาของเขามองทอดยาวออกไปในทะเลหมอก บัดนี้แววตาของเขาหาได้มีความน่าเกรงขามของจักรพรรดิหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย แต่กลับกลายเป็นความทรงจำในรักแรก

 สวี่หยุนชิงเป็นความเจ็บปวดที่ทรมานที่สุดในชีวิตข้า !  

 นางงดงามราวเทพธิดา ความสามารถของนางก็มากมายเสียจนทำให้ข้านับถือมาจนบัดนี้ 

 หลังจากงานกวีในเทศกาลไหว้พระจันทร์สิ้นสุดลง เดิมทีข้าควรเดินทางกลับมายังราชวงศ์อู๋ แต่ข้าได้อยู่ต่อที่นั่นเนื่องจากสวี่หยุนชิง ข้าได้เข้าศึกษา ณ สำนักศึกษาจี้เซี่ยด้วยกันกับนาง 

 ข้าเป็นรัชทายาทของราชวงศ์อู๋ จึงได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูองค์ก่อน และกล่าวถึงความในใจที่มีต่อแม่นางสวี่หยุนชิง และต้องการขอพระกรุณาจากฮ่องเต้ให้ทรงช่วยสู่ขอแม่นางสวี่หยุนชิง ตามธรรมเนียมของราชวงศ์หยู 

 ข้าได้ศึกษา ณ สำนักศึกษาจี้เซี่ยเป็นเวลาครึ่งปี ตอนนั้นเป็นเวลาที่งดงามที่สุดในชีวิตของข้า 

 สวี่หยุนชิงมิรู้ว่าข้าเป็นรัชทายาทของราชวงศ์อู๋ พวกเราทั้งสองคนได้คบหากัน ในสำนักศึกษาจี้เซี่ยและสวนต้นสาลี่แห่งเกาะชิงโยวล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำของเราสองคน แม่ของเจ้ากล่าวว่าที่สวนต้นสาลี่นั้นงดงามยิ่ง ทุกปีในเดือนสามดอกสาลี่จะผลิบาน ทำให้เกาะชิงโหยวนั้นคล้ายกับมีหิมะตกลงมา น่าเสียดายที่ตอนนั้นเป็นเดือนแปดจึงมิมีให้เห็น แต่ก็ได้กินสาลี่ไปไม่น้อย 

ฝ่าบาททรงหันมามองฟู่เสี่ยวกวนแล้วตรัสด้วยท่าทางจริงจังว่า  เจ้าจงจำไว้ สาลี่ เป็นผลไม้ที่มิควรแบ่งกันกิน !  

 เราทั้งสองชมเมฆหมอกในยามเช้าด้วยกัน และร่วมชมอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าในยามเย็น 

 ในตอนนั้นข้าคิดว่านางจะต้องได้เป็นชายาของรัชทายาทเป็นแน่ เดิมทีข้าคิดว่าทุกสิ่งได้กำหนดไว้เรียบร้อยแล้ว แต่คาดมิถึงว่าเมื่อท่านพ่อของสวี่หยุนชิงรู้เข้าว่าข้าเป็นองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์อู๋ เขาก็ปฏิเสธการสู่ขอจากข้าทันที 

 ข้าได้เดินทางไปยังจวนสวี่ด้วยตนเอง แต่กลับถูกเขาขับไล่ตั้งแต่หน้าประตู ข้าได้อยู่ที่เมืองจินหลิงอีกหลายวันทีเดียว แต่ก็มิได้แม้แต่เข้าไปในจวนสวี่ 

ฟู่เสี่ยวกวนอ้าปากค้าง มีบางอย่างมิถูกต้อง !

เขาเคยได้ยินไทเฮาเล่าว่าจักรพรรดิเหวินเคยเดินทางมาร่วมงานกวีในปีไท่เหอที่สี่สิบ จักรพรรดิเหวินเคยเดินทางมายังเมืองจินหลิงจริง ๆ และเคยเข้าศึกษาที่สำนักศึกษาจี้เซี่ยถึงครึ่งปี

แต่พระนางมิเคยเล่าว่า จักรพรรดิเหวินและท่านแม่ของเขาเคยพบรักกันมาก่อน !

ไทเฮาทรงเคยตรัสว่า นางประสงค์ให้ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอภิเษกกับสวี่หยุนชิง แต่ฮ่องเต้องค์ก่อนมิเห็นด้วย คาดว่าในตอนนั้นจักรพรรดิเหวินได้กล่าวเรื่องความรู้สึกของตนแก่ฮ่องเต้องค์ก่อนแล้ว เหตุนี้จึงทำให้สูญเสียโอกาสอภิเษกกับสวี่หยุนชิงไป

หากคำกล่าวของจักรพรรดิเหวินเป็นจริง หมายความว่าในตอนนั้นสวี่หยุนชิงมิได้ชอบพอฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน และแน่นอนว่ามิได้ชอบพอเยี่ยนซือเต้าและต่งคังผิงซึ่งเป็นผู้มีความสามารถแห่งราชวงศ์หยูด้วยเช่นกัน

เช่นนั้นท่านพ่อ…ชายอ้วนผู้นั้นรับบทเป็นอะไรกัน ?

หรือเขาจะเป็นตัวสำรองกัน ?

 ในตอนนั้นข้าได้มอบตราหยกให้แก่แม่ของเจ้าเอาไว้ มันมีลักษณะมิเหมือนหยกอื่น เพราะมันเป็นหยกเลือด พบเพียงแค่ในราชวงศ์อู๋เท่านั้น ตราหยกนั้นมีชื่อของข้าและแม่ของเจ้าสลักไว้อยู่ ดังนั้นจึงเป็นตราหยกที่มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก 

 กระหม่อมมิเคยเห็นจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ 

จักรพรรดิเหวินถอนหายใจออกมายาว ๆ  หากเจ้ามิเคยเห็น นั่นหมายความว่านางมิให้อภัยข้าจนกระทั่งจากไป !  

 สวี่เช่ากวงปฏิเสธการสู่ขอของท่านแล้วมิใช่หรือ ?  

  นางปฏิเสธข้า แต่ข้าเคยบอกกับสวี่หยุนชิงว่า…ให้เวลาข้าหนึ่งปี ข้าจะมาสู่ขอนางที่เมืองจินหลิง 

 เช่นนั้นพ่อของกระหม่อมเล่า ?  

จักรพรรดิเหวินหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น จากนั้นนิ่งเงียบไป

 รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงยกเลิกราชโองการนั้น ?  

ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า

 เนื่องจากพ่อของเจ้าเดินทางมายังเมืองกวนหยุนก่อนหน้านี้สามวัน และได้สนทนากับข้าเรื่องนี้อยู่ครึ่งค่อนวัน 

จากนั้นเล่า ?

เกี่ยวข้องอันใดกับราชโองการนั้น ?

 หากเรื่องนี้ยังมิอาจตรวจสอบได้อย่างชัดเจน องค์หญิงไท่ผิงจะอภิเษกกับเจ้ามิได้เป็นอันขาด !  

 กระหม่อมก็มิได้ประสงค์จะสู่ขอนางพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงตรัสว่าจะไปสู่ขอแม่ของข้าที่เมืองจินหลิง หมายความว่าพระองค์ผิดสัญญากับนางเยี่ยงนั้นหรือ ?  

เรื่องราวเช่นนี้ ฟู่เสี่ยวกวนสนใจยิ่งนัก

เขามิใช่ฟู่เสี่ยวกวนคนเดิม ดังนั้นแม้ว่าเขาจะเคารพสวี่หยุนชิง แต่ทว่าก็อยากรู้เรื่องราวในอดีตว่าเกิดอันใดขึ้นบ้าง

จักรพรรดิเหวินหลับตาลง เนิ่นนานทีเดียวกว่าจะเอ่ยออกมาว่า  เนื่องจากมีสงครามภายในราชวงศ์อู๋ ข้าจึงเดินทางไปช้ากว่ากำหนดถึงปีครึ่ง !  

 เมื่อข้ากลับไปยังเมืองจินหลิงอีกครา เป็นปีไท่เหอที่สี่สิบสองฤดูใบไม้ร่วง ข้าได้เขียนจดหมายส่งไปให้สวี่หยุนชิงหลายฉบับ แต่นางมิได้ตอบกลับมา เมื่อข้าได้พบนางอีกครั้งที่เมืองจินหลิง จึงได้รู้ว่านางมิเคยได้รับจดหมายเลย 

ฟู่เสี่ยวกวนหวนนึกถึงป้ายหินหน้าหลุมศพของสวี่หยุนชิงนั้น

เนื้อความที่บันทึกไว้ ในไท่เหอปีที่สี่สิบเอ็ด ได้พบเข้ากับสวี่หยุนชิง ซึ่งหมายความว่าเมื่อจักรพรรดิเหวินกลับมายังราชวงศ์อู๋ในปีที่สอง…ชายอ้วนผู้นั้นก็เข้ามาแทรกกลางเยี่ยงนั้นหรือ ?

 เมื่อข้ากลับไปยังจวนสวี่อีกครา ท่านพ่อขอสวี่หยุนชิงได้ให้ข้าเข้าไปด้านในจวน แต่ก็มิเห็นด้วยกับการสู่ขอของข้า 

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ  เพราะเหตุอันใดกัน ?  

 เนื่องจากข้าเป็นคนของราชวงศ์อู๋ และอีกทั้งข้ายังเป็นถึงจักรพรรดิองค์ต่อไป !  

เพราะเหตุนี้จักรพรรดิเหวินจึงมิได้แต่งงานกับสวี่หยุนชิง ทำให้นางโมโหและประชดประชันด้วยแต่งงานกับฟู่ต้ากวนผู้นั้นหรือ ?

ถ้าเช่นนั้นที่อาจารย์หูแห่งหงซิ่วจาวเคยกล่าวไว้คงจะถูกต้องแล้ว ว่าสวี่หยุนชิงมิได้รักฟู่ต้ากวนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว !

ท่านพ่อช่างน่าสงสารเสียจริง มีภรรยางดงามถึงเพียงนั้น แต่มิเคยได้รับความรักจากนางเลย น่าหดหู่ยิ่ง !

 ดังนั้น เรื่องนี้จบลงเพียงเท่านี้หรือพ่ะย่ะค่ะ ?  

แต่เรื่องมิได้จบลงเพียงเท่านี้

 เมื่อคราชื่อเสียงของเจ้าเลื่องลือไปทั่วราชวงศ์อู๋ ข้าจึงได้ให้คนไปตรวจสอบข้อมูลของเจ้า จึงได้รู้ว่าเจ้าคือบุตรชายของสวี่หยุนชิง ข้า…ความรู้สึกของข้านั้นซับซ้อนไปหมด 

 หากเจ้าเกิดในราชวงศ์อู๋ก็คงจะดี ข้าจะมอบตำแหน่งขุนนางชั้นหนึ่งให้แก่เจ้า แน่นอนว่าแม้เจ้าจะเป็นคนในราชวงศ์หยู ข้าสัญญาว่าจะมิให้เกิดเรื่องเช่นเดียวกับเมื่อคืนนี้อีก 

มองไปแล้วจักรพรรดิเหวินนับเป็นผู้ให้ความสำคัญกับความรู้สึกมากเสียทีเดียว

ในฐานะจักรพรรดิแห่งราชวงศ์อู๋ ในเมื่อเขาเอ่ยปากรับคำกับฟู่เสี่ยวกวนเช่นนั้น ในเมืองกวนหยุนคงมิมีผู้ใดกล้าหาเรื่องฟู่เสี่ยวกวนอีก

นับเป็นที่พึ่งกำบังที่ดีทีเดียว

ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยขอบคุณ คาดมิถึงว่าจักรพรรดิเหวินได้กล่าวขึ้นมาอีกว่า  องค์ชายสี่แห่งราชวงศ์หยูนั้นจ้องจับตาจัดการเจ้าอยู่ เจ้ามีความสนใจจะอยู่ในราชวงศ์อู๋ต่อไปหรือไม่ ? ที่ราชวงศ์หยูนั้นอันตรายเกินไป อีกทั้งข้ามิอาจปกป้องเจ้าได้ เจ้าว่าเยี่ยงไร ?  

 

ตอนที่ 317 เยือนกวนหยุนถายอีกครา
ในอดีตคราที่อยู่บนท้องพระโรงเฉิงเทียนแห่งราชวงศ์หยู ฮ่องเต้ก็ได้กล่าวเช่นเดียวกันนี้กับฟู่เสี่ยวกวนถึงสองหน
และในวันนี้บนพระราชวังจวี้หัวแห่งราชวงศ์อู๋ คาดมิถึงว่าจักรพรรดิเหวินก็จะกล่าวกับฟู่เสี่ยวกวนด้วยคำพูดแบบนี้เช่นเดียวกัน
คำพูดนี้ย่อมทำให้เหล่าเสนาบดีใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ประหลาดใจ พวกเขาจึงอดที่จะเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนในตอนที่เดินออกจากท้องพระโรงไปไม่ได้
แน่นอนว่า พวกเขาทำได้เพียงแค่มอง มีเพียงอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายหนานกงอี้หยู่ที่หยุดยืนอยู่หน้าฟู่เสี่ยวกวนชั่วครู่ ยิ้มจนตาปิดและกล่าวว่า “ข้ารู้สึกเสียใจขึ้นมาทันพลันที่ทูลให้ฝ่าบาททรงยกเลิกราชโองการ เจ้ามิเลวเลย”
เขาตบบ่าฟู่เสี่ยวกวน สองมือไขว้หลังและเดินจากไปอย่างลำพองใจ
และนั่นย่อมทำให้เหล่าเสนาบดีที่ยังไม่ออกไปจากท้องพระโรงประหลาดใจยิ่งกว่าเดิม ครุ่นคิดว่าชายผู้นี้เข้าหาท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายเมื่อใดกัน หรือว่า…ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายคิดจะให้หนานกงตงเซวี๋ยหลานสาวของเขาตบแต่งกับฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ?
สถานการณ์เมื่อครู่บนท้องพระโรง ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายราวกับไก่ชนตัวหนึ่งที่คุกคามและโวยวายว่าพระราชโองการของฝ่าบาทนั้นไร้เหตุผล บรรยากาศสูสีกับตอนที่เขาตอบโต้กับเหวินสิงโจว
เจตนาเหล่านั้นของเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะไร้เป้าหมาย ชายชราผู้นี้เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก !
เมื่อได้วิเคราะห์ดู เสนาบดีมากมายต่างมองฟู่เสี่ยวกวนสูงขึ้นกว่าเดิม ความทระนงตนเมื่อครู่ได้ถูกวางลงไป จนถึงขนาดที่คณะเสนาบดีภายใต้การบังคับบัญชาของอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายก็ยังยกมือคำนับให้กับฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจอย่างอธิบายไม่ถูก แต่ก็รู้สึกดีกับเรื่องนี้ เขาย่อมตอบรับอย่างถ่อมตน เขาเองก็คำนับกลับเช่นกัน แม้จะไร้คำเอ่ยใด ๆ แต่ราวกับมีความรู้สึกของความอาลัยอาวรณ์
การกระทำทั้งหมดนั้นย่อมอยู่ในสายตาของจักรพรรดิเหวิน ในนัยน์ตาของเขาทอประกายยินดีขึ้นเรื่อย ๆ แววตาเผยให้เห็นร่องรอยของความปลื้มใจและความเอ็นดูอย่างไม่รู้ตัว
สีหน้านั้นย่อมตกอยู่ในสายตาของขันทีชราที่อยู่ข้างกายเขา ขันทีชราผู้นั้นกลับใจสั่น ก้มหน้าต่ำและชำเลืองมองฟู่เสี่ยวกวน บรรยากาศในตอนนี้ยากที่จะบรรยายได้
จนกระทั่งเหล่าเสนาบดีเดินออกไปจากท้องพระโรงจนหมด จักรพรรดิเหวินจึงได้ลุกขึ้นยืนจากบัลลังก์มังกร โบกมือใหญ่ไปมา “ไปกันเถอะ เดินไปกับข้า”
ดังนั้น ภายใต้การปรนนิบัติของขันทีชรา ฟู่เสี่ยวกวนเดินตามอยู่ด้านหลังจักรพรรดิเหวิน และเดินไปยังเขตวังหลวงที่ใหญ่โต
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สั่นสะท้านแต่อย่างใด เขาเพียงมองไปรอบ ๆ ด้วยความประหลาดใจ ชื่นชมสถาปัตยกรรมที่แตกต่างออกไปจากแคว้นหยู และเดินมาถึงตำหนักที่กว้างใหญ่โดยมิรู้ตัว
ตำหนักหยางซิน !
“เจ้ารอที่นี่สักประเดี๋ยว ข้าจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”
ดังนั้น จักรพรรดิเหวินจึงเดินไปในตำหนักหยางซิน ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ด้านนอกตำหนัก ขันทีอาวุโสผู้นั้นมิได้ตามจักรพรรดิเหวินเข้าไป และยืนรออยู่ข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ขอบังอาจถามท่านขันที ท่านมีนามว่าเยี่ยงไรหรือขอรับ ? ”
“ข้าแซ่จ้าว เป็นปิ๋งปี่ซือหลี่เจี้ยนแห่งหน่วยงานขันที”
“ขันทีจ้าว…ข้าได้ยินมาว่าอำนาจของหน่วยงานขันทีนี้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก เยี่ยงนั้นหัวหน้าขันทีเกาก็มิใช่ผู้มีอำนาจสูงสุดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ขันทีจ้าวใจสั่นสะท้าน และรีบตอบกลับไปว่า “ทั้งหมดนี้ต่างได้รับพระราชทานจากฝ่าบาท”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มบาง ๆ ขันทีชราจ้าวผู้นี้มิได้ปฏิเสธหรือตอบรับ ดูเหมือนว่าขันทีเกาจะเหมือนกับเว่ย์จงเสียนแห่งราชวงศ์หมิงผู้นั้น
เขามิได้เอ่ยถามอันใดอีก แต่กลับเงยหน้ามองท้องฟ้าสีฟ้าสดใด ก็ได้เห็นห่านป่าฝูงหนึ่งบินผ่านมา
ขันทีจ้าวมิได้เข้าใจความหมายของประโยคที่ฟู่เสี่ยวกวนถามออกมา เขาคิดไปถึงเรื่องเมื่อวานที่ได้ยินมา เป็นเรื่องเกี่ยวกับการขัดแย้งกันระหว่างฟู่เสี่ยวกวนและบุตรชายของหัวหน้าขันที ดังนั้นจึงเอ่ยเสียงแผ่วขึ้นมาว่า “คุณชายเป็นผู้มีพรสวรรค์ หากคุณชายมิได้อยู่ที่เมืองกวนหยุนนี้นานเท่าใด บางเรื่องก็อย่าได้นำมาใส่ใจ แล้วปล่อยมันไปเสียเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า ข้าก็หวังจะปล่อยเขาไปเช่นกัน
และก็ได้มีม้าสี่ตัวสีดำสนิทลากรถม้าออกมาจากตำหนักหยางซิน รถม้าได้หยุดอยู่หน้าประตู ผ้าม่านได้ถูกเลิกขึ้น จักรพรรดิเหวินกำลังนั่งอยู่ภายในรถม้า และกวักมือเรียกฟู่เสี่ยวกวน “ขึ้นรถ”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก นี่ต้องไปที่ใดกัน ?
เขาขึ้นรถม้า ขันทีจ้าวเฝ้ามองจนรถม้าคันนั้นหายไปจากครรลองสายตา จึงได้หันหลังกลับ เดินไปยังตำหนักเจิ้งหยาง นั่นคือตำหนักของจักรพรรดินีเซียวของราชวงศ์อู๋ในปัจจุบัน
เขาต้องนำข่าวคราวนี้ไปบอกกับจักรพรรดินีเซียว เพราะเขาเกิดความสงสัยในข่าวลือที่เคยมีภายในเขตวังหลวงนี้มากยิ่งขึ้น น่ากลัวว่าจะเป็นความจริง
…..
ภายในรถม้า จักรพรรดิเหวินและฟู่เสี่ยวกวนได้นั่งตรงข้ามกัน และสนทนาอย่างเป็นกันเอง
“ข้ามิทราบว่าเจ้าได้รับความอยุติธรรมที่เมืองฝานหนิง เป็นข้าที่มิได้คิดให้รอบคอบ เจ้าอย่าได้นำมาใส่ใจ”
“ฝ่าบาทมิจำเป็นต้องตำหนิตนเองเลยพ่ะย่ะค่ะ หากข้ายังใส่ใจกับเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้น เกรงว่าใจของข้าคงจะเต็มไปด้วยเรื่องเลวร้าย”
จักรพรรดิเหวินยกยิ้ม “มาแคว้นอู๋เป็นคราแรก คุ้นชินบ้างแล้วหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างประหลาดใจ มิเข้าใจว่าเหตุใดจักรพรรดิของราชวงศ์อู๋พระองค์นี้ถึงได้แสดงท่าทีสนิทสนมกับตนเองถึงเพียงนี้ คาดมิถึงว่าจะเป็นห่วงเป็นใยกัน
เขาเองก็หัวเราะ และตอบกลับไปว่า “ขอมิปิดบังกับฝ่าบาท กระหม่อมได้ย้ายไปพักอาศัยที่คฤหาสน์จิ้งหูแล้ว การพักอยู่ในสถานทูต มิค่อยสะดวกสบายนัก กระหม่อมจึงไตร่ตรองว่าในเมื่อบิดาของกระหม่อมได้ซื้อคฤหาสน์จิ้งหูไปแล้ว และได้ใช้เงินซื้อถึงหนึ่งล้านตำลึง หากกระหม่อมพ่ายแพ้ในงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้…คฤหาสน์จิ้งหูหลังนี้ก็มิใช่ของกระหม่อมอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นขอใช้ชีวิตไปวัน ๆ ดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิเหวินนึกสนุก ครุ่นคิดว่าสถานทูตของราชวงศ์หยูอยู่ที่ใดกัน ? เป็นไปได้หรือไม่ว่าสภาพแวดล้อมจะแย่มากยิ่งนัก ? เรื่องนี้คงต้องถามไถ่ในวันพรุ่งนี้
แต่ปากของเขากลับถามอีกปัญหาหนึ่งออกไปแทน “อะไรกัน ในฐานะแนวหน้าของนักวรรณกรรม เจ้ายังต้องกังวลอยู่อีกหรือ ? ”
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ตั้งแต่โบราณกาล วรรณกรรมไร้ที่หนึ่ง ยุทธจักรไร้ที่สอง เยาว์ชนในใต้หล้านั้นเปรียบเสมือนทะเลดวงดาว กระหม่อมจะกล้ากล่าวได้เยี่ยงไรว่าบทกวีหรือบทความของกระหม่อมจะสามารถครอบงำคนทั่วไปได้ ? ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า… ! ”
จักรพรรดิเหวินหัวเราะอย่างสุดเสียง รู้สึกว่าคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนนั้นน่าสนใจมากยิ่งนัก “ข้าเคยได้อ่านความฝันในหอแดงของเจ้า และอีกทั้งยังเคยได้อ่านเยาว์ชนราชวงศ์หยูกล่าวของเจ้า ข้ายังได้ให้สำนักศึกษาฮ่านหลินแก้ไขตัวอักษรเยาว์ชนราชวงศ์หยูกล่าวของเจ้าสองตัว และได้แก้เป็นเยาว์ชนราชวงศ์อู๋กล่าว และเผยแพร่ไปทั่วราชวงศ์อู๋เช่นเดียวกัน แน่นอนว่าชื่อผู้ประพันธ์ยังคงเป็นเจ้า”
เพียงชั่วขณะ จักรพรรดิเหวินก็กล่าวอีกว่า “ข้าชื่นชอบบทความนี้ของเจ้ามากยิ่งนัก ชื่นชอบเสียยิ่งกว่าบทกวีเหล่านั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก และส่ายหน้า
ข้ามิใช่พยาธิในท้องของเจ้า จะไปรู้ได้เยี่ยงไรว่าเจ้าคิดอันใดอยู่ อีกทั้งเจ้ายังคัดลอกเอกสารฟรี มิได้เสียเงินแม้แต่อีแปะเดียว !
“ข้ามองเห็นภาพจำของตัวข้าในวัยเท่าเจ้า ในบทความของเจ้า ! ”
นี่มันไร้ยางอายเกินไปแล้ว !
ฟู่เสี่ยวกวนหน้ามุ่ยขึ้นเล็กน้อย เป็นไปมิได้ที่เจ้าจะเกิดความตระหนักขึ้นมาในยามที่อายุเท่าข้า
“ข้าเขียนบทความแบบเจ้ามิได้ แต่ข้ากระทำมาโดยตลอด เป็นเวลาสิบปีแล้วที่ข้าขึ้นครองบัลลังก์ ในสิบปีมานี้ข้าได้ทำงานอย่างหนัก ก็เพื่อทำให้ราชวงศ์อู๋นี้ได้เป็นแคว้นที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้านี้ บทความของเจ้าเป็นกำลังใจให้แก่เยาว์ชนทั่วทั้งใต้หล้า ทั้งยังเป็นกำลังใจให้ข้าในยามที่รู้สึกเหนื่อยล้าอีกด้วย”
“ดังนั้น…” จักรพรรดิเหวินดูปลงอนิจจังยิ่ง เขานั่งตัวตรง และได้มีบรรยากาศแปลก ๆ แผ่ออกมาจากตัวเขา “ดังนั้นข้าจึงอยากพบเจ้ามาโดยตลอด อยากพบชายหนุ่มผู้ประพันธ์ความฝันในหอแดงอันเป็นอมตะ อยากจะพบชายผู้ประพันธ์เยาว์ชนราชวงศ์หยูกล่าวที่โด่งดังผู้นั้น ดังนั้นงานชุมนุมวรรณกรรมที่วัดหานหลิงครานี้ ข้าจึงเชิญเจ้าเพียงผู้เดียว กลัวอยู่เช่นกันว่าเจ้าจะมิมา”
“ยังดี ที่สุดท้ายเจ้าก็มา”
รถม้าหยุดลง ฟู่เสี่ยวกวนลงจากรถม้าแล้วชะงักไปชั่วครู่ กวนหยุนถาย !
จักรพรรดิเหวินเองก็ลงจากรถม้าเช่นกัน และกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าทราบว่าเจ้าได้มาชมแล้วในเมื่อวาน ข้ามิได้พาเจ้ามาชมทะเลหมอก แต่เพียงอยากจะถามเจ้า…ยามที่มารดาของเจ้าสิ้นใจไป ได้ฝากอะไรไว้กับเจ้าหรือไม่ ? ”

ตอนที่ 316 ข้าขอยกเลิกราชโองการ

ภายในโถงพระราชวังจวี้หัวเงียบสงบขึ้นมาทันใด

สายตาของทุกคนมองมายังกวนถงที่นอนอยู่บนพื้น หลังจากฟังผลที่หมอหลวงวินิจฉัยว่ากวนถงสิ้นชีพแล้วพวกเขาก็ละสายตามายังฟู่เสี่ยวกวน

เคยได้ยินว่าเจ้าหมอนี่เมื่อคราอยู่ในราชวงศ์หยู ก็ใช้ฝีปากทำให้ชือเฉาหยวนและฮุ่ยชินอ๋องกระอักเลือด คาดมิถึงว่า ณ พระราชวังจวี้หัวแห่งราชวงศ์อู๋ เขาจะทำให้กวนถงซึ่งเป็นชื่อหลางฝ่ายซ้ายถึงกับสิ้นชีพลง !

เขาผู้นี้ช่าง…ช่างน่ากลัวยิ่ง !

โชคดีที่เขามิใช่ขุนนางในราชวงศ์อู๋ มิเช่นนั้นคาดว่าหลายคนที่อยู่ ณ ที่นี้คงต้องหวาดระแวง

ฟู่เสี่ยวกวนกลับมองไปยังร่างไร้วิญญาณของกวนถง ถอนหายใจส่ายหัวแล้วเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า  เห้อ…ท่านทำตนเองแท้ ๆ พวกเราพนันกันไว้ว่า หากท่านกล่าวความเท็จจะต้องตายทั้งตระกูล เป็นเยี่ยงไรเล่า บัดนี้ท่านได้สิ้นชีพลงแล้ว 

บรรดาเสนาบดีได้ยินเข้าก็สูดปาก เขาช่างจองเวรจองกรรมเสียจริง หรือเขาตั้งใจจะไม่ละเว้นแม้แต่ครอบครัวของกวนถงเยี่ยงนั้นหรือ ?

ต่อจากนั้น ฟู่เสี่ยวกวนได้หันไปทางจัวอี้สิง เขายิ้มแล้วยกมือกำขึ้นคารวะ  ข้าน้อยฟู่เสี่ยวกวน คารวะท่านอัครมหาเสนาบดี ข้าได้ยินชื่อเสียงและเคารพนับถือท่านมานาน ในวันนี้มีโอกาสได้พบ อีกทั้งเห็นท่านมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ บุคลิกน่าเกรงขาม เคราของท่านช่างงดงามยิ่ง บัดนี้ ข้าได้วางใจแล้ว 

ประโยคที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยขึ้น สร้างความประหลาดใจให้แก่ขุนนางและแม้แต่จักรพรรดิเหวินก็มิใช่ข้อยกเว้น ทว่าจัวอี้สิงได้ตอบกลับเขาไปว่า  ชื่อเสียงของท่านเสี่ยวกวนนั้น ข้าก็ได้ยินมาเนิ่นนาน ในวันนี้ได้มีโอกาสพานพบ ช่างโดดเด่นสมคำร่ำลือ สมแล้วที่เป็นเยาวชนแห่งราชวงศ์หยู ! หลังสิ้นสุดการประชุมราชวงศ์ใหญ่ จะขอเชิญท่านไปร่วมดื่มที่จวนข้าจะได้หรือไม่ ?  

 สุรานั้นท่านจงเก็บเอาไว้ค่อย ๆ ดื่มเถิด บัดนี้ยังดื่มได้จงรีบดื่มให้มากสักหน่อย ข้านั้นอายุน้อยกว่าท่านมาก ยังมีเวลาเหลือเฟือสำหรับดื่มสุรา 

ประโยคนี้แฝงไปด้วยความร้อนแรงดุเดือด ขุนนางที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ล้วนไม่เข้าใจว่า ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งเดินทางมาราชวงศ์อู๋เป็นคราแรก หรือว่าก่อนหน้านี้พวกเขามีข้อบาดหมางกัน ?

หรือว่าเป็นเพราะจัวตงหลายชื่นชอบองค์หญิงไท่เหอ และฟู่เสี่ยวกวนมีโอกาสจะชนะในงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้ เขาอาจจะแย่งชิงองค์หญิงไท่เหอไป ?

มิมีผู้ใดรู้ถึงสาเหตุที่แท้จริงของประโยคดังกล่าว

เมื่องานงานเทศกาลโคมไฟ มือสังหารที่ลอบทำร้ายฟู่เสี่ยวกวนในวันนั้นถูกเขาจับได้ แล้วส่งตัวไปยังคุกของจินหลิง

ผู้ว่าเขตจินหลิง หนิงฝาชุนได้ทำการสอบสวน จากนั้นจึงส่งหนังสือฉบับหนึ่งไปให้ฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางไปยังคุกนั้นถึงสามครา เขาใช้วิธีของตนเองในการสืบถามจึงได้รู้ว่ามือสังหารทั้งสี่ขององค์ชายสี่หยูเวิ่นชูนั้น เป็นคนจากแคว้นอู๋

และผู้ที่ออกคำสั่งต่อพวกเขาก็คืออัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งราชวงศ์อู๋ จัวอี้สิง !

นี่คือข้อมูลที่ผู้ใดรู้เข้าก็ต้องตกตะลึง

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้นำเรื่องนี้ไปกล่าวกับผู้ใดแม้แต่คนเดียว

เนื่องจากก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนี้ นั่นก็คือเรื่องที่เขาถูกลักพาตัวที่เมืองจินหลิงในปีกลาย จัวอี้สิงก็เป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเช่นกัน !

ดังนั้น ก่อนที่เขาจะเดินทางมาราชวงศ์อู๋ เขาได้กล่าวกับองค์ชายสี่ว่า ท่านเป็นถึงองค์ชายสี่ มิมีเหตุผลใดที่ต้องมาแบกหม้อก้นดำแทนผู้อื่น

แต่องค์ชายสี่มิได้เป็นผู้แบกหม้อก้นดำ เขาเพียงแต่กำลังปิดบังเท่านั้น

เขามิประสงค์ให้ฟู่เสี่ยวกวนนำอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งราชวงศ์อู๋เข้ามาเกี่ยวโยงในเรื่องนี้ เขายิ่งมิประสงค์ให้ฟู่เสี่ยวกวนประกาศเรื่องนี้ต่อสาธารณชน ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเป็นผู้แบกหม้อก้นดำนั่นเอง

หลังจากฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดไตร่ตรอง เขาก็มิได้นำเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป เนื่องจากบัดนี้เรื่องภายในของราชวงศ์หยูยุ่งเหยิงเกินพอแล้ว เขาตระหนักได้ว่าหากฮ่องเต้หรือฮองเฮาซั่งทรงรับรู้ ก็มิเป็นประโยชน์อันใด

การที่เขาเดินทางมาราชวงศ์อู๋ในครานี้ เขาเองก็ต้องการถามจัวอี้สิงว่า ข้าอยู่ห่างจากเจ้าสามพันกว่าลี้ เจ้าว่างมากนักหรืออย่างไร ?

แน่นอนว่าเขายังมิได้เอ่ยถามออกไป เนื่องจากจัวอี้สิงมีอำนาจมากเสียทีเดียวในราชวงศ์อู๋

จัวอี้สิงนำมือขึ้นลูบเครายาวของเขา ก่อนจะยิ้มและเอ่ยออกมาว่า  ชีวิตคนเราเอาแน่นอนมิได้ ดูอย่างกวนถงสิ เมื่อสักครู่ยังดี ๆ อยู่ บัดนี้กลับไร้ลมหายใจไปเสียแล้ว  เขาส่ายหัวถอนหายใจออกมาอย่างสลดใจแล้วเอ่ยว่า  สุราเทียนฉุนของท่านมิเลวเลย นับตั้งแต่ขนส่งมายังเมืองกวนหยุน ข้าก็ดื่มเพียงสุรานั้นตลอดมา ยังนึกในใจอยู่ว่าหากท่านตายไป จะมีผู้ใดสืบทอดสุรานั้นหรือไม่ 

จักรพรรดิเหวินขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ ทั้งสองคนนี้คล้ายกับมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน หรือเป็นเพราะราชโองการของข้ากัน ?

ประกอบกับก่อนหน้านี้หนานกงอี้หยู่มิเห็นด้วยกับราชโองการนั้น พระองค์ครุ่นคิดอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยออกมาว่า  ข้าคิดไตร่ตรองดูแล้ว ผู้ที่ชนะการแข่งขันในงานกวีครานี้จะได้เป็นพระสวามีขององค์หญิงไท่ผิง มิเหมาะสมเท่าใดนัก เรื่องนี้ข้ามิได้ไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน ข้าขอประกาศยกเลิกราชโองการนี้ ตามคำแนะนำของท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย 

บรรดาขุนนางมองมายังองค์จักรพรรดิ แววตาเต็มไปด้วยความชื่นชมเห็นด้วย

พวกเขานึกอยู่ในใจว่า งานชุมนุมวรรณกรรมครานี้ฟู่เสี่ยวกวนน่าจะเป็นผู้ชนะโดยแน่ เช่นนั้นองค์หญิงไท่ผิงจะต้องอภิเษกกับเขาและเดินทางไปยังราชวงศ์หยู นี่เป็นเรื่องที่ทำให้พวกเขามิอาจทำใจได้

ในเมื่อองค์จักรพรรดิทรงยกเลิกราชโองการนั้นแล้ว ประการแรกจะสามารถปลอบใจท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาได้ ประการที่สองนั้นคงเพื่อมิประสงค์ให้องค์หญิงไท่ผิงอภิเษกกับฟู่เสี่ยวกวน

พวกเขาล้วนคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะต้องผิดหวัง แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนเมื่อได้ยินรับสั่งนั้นแล้วกลับถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

ทันใดนั้นเอง ณ ประตูพระราชวังจวี้หัวก็ได้มีสตรีนางหนึ่งในชุดสีแดงย่างกรายเข้ามา

นางเดินตรงไปยังบัลลังก์พระที่นั่งจักรพรรดิเหวินราวกับสิงโตที่กำลังโกรธแค้น

 เสด็จพ่อ นี่หมายความว่าเยี่ยงไรกันเพคะ ?  

นางจะเป็นใครไปได้ นอกจากองค์หญิงไท่ผิง เมื่อนางได้ยินว่าเสด็จพ่อทรงมีรับสั่งให้ฟู่เสี่ยวกวนเข้าเฝ้า ณ พระราชวังจวี้หัว นางจึงได้แอบมามองดู แต่กลับได้ยินคำเอ่ยเมื่อสักครู่เข้า ทำให้นางมิอาจทนได้และได้เข้ามายังท้องพระโรงอย่างกะทันหัน

จักรพรรดิเหวินขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจที่ทอดพระเนตรเห็นนาง  เรื่องนี้มีเหตุผล เจ้าจะได้รับรู้ในภายหลัง 

 ไม่ ! ลูกจะมิอภิเษกกับจัวตงหลายเป็นอันขาด !  

ประโยคนี้ขององค์หญิงไท่ผิง ทำให้บรรดาขุนนางพากันหันไปมองจัวอี้สิง คาดว่าท่านผู้เฒ่าคงจะอึดอัดมากเป็นแน่

 เสด็จพ่อเป็นถึงองค์จักรพรรดิ เหตุใดตรัสแล้วจึงคืนคำกัน… ?   องค์หญิงไท่ผิงหันหน้าไปมองจัวอี้สิง  ข้านั้นให้ความเคารพนับถือศิษย์พี่จัว แต่ข้าขอให้ท่านช่วยกลับไปบอกกับเขาว่า เขาเป็นได้เพียงแค่ศิษย์พี่ของข้าเท่านั้น ! อย่าได้คิดไปมากเกินกว่านี้ และขอร้องท่านอย่าได้ใช้อำนาจในมือมาข่มขู่เสด็จพ่อ ที่นี่คือราชวงศ์อู๋ ผู้ที่แซ่อู่เป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้ !  

คำกล่าวนี้ช่างน่าเกรงขามยิ่ง ทำให้จัวอี้สิงตื่นตระหนกและรีบเข้ามาคารวะ  องค์หญิงทรงคิดมากไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะบังอาจข่มขู่ฝ่าบาทได้เยี่ยงไร ? นี่คือความคิดเห็นส่วนพระองค์ ต่อให้กระหม่อมมีความกล้าหาญพอ ก็มิบังอาจทูลขอให้ฝ่าบาททรงออกราชโองการเพื่อหลานชายที่ไร้ความสามารถผู้นั้น กระหม่อม…องค์หญิงทรงเข้าใจกระหม่อมผิดอยู่พ่ะย่ะค่ะ !  

องค์จักรพรรดิทรงกริ้วเป็นอย่างมาก  เจ้าออกไปก่อน !  

 ข้ามิไป ! ข้าต้องการรู้ว่านี่เป็นเพราะเหตุใด ?  

 …ต่อไปเจ้าจะเข้าใจเอง !  

 ข้าต้องการเข้าใจบัดเดี๋ยวนี้ !  

 ทหาร ! นำตัวองค์หญิงออกไป !  

 เสด็จพ่อ ท่านมิรักษาพระราชดำรัส ! ฟู่เสี่ยวกวน เจ้าจะต้องรอข้า… !  

 …… 

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกลำบากใจยิ่งนัก นี่เขากำลังถูกเผาอยู่บนตะแกรงหรือเยี่ยงไรกัน ?

จักรพรรดิเหวินหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นมองมายังฟู่เสี่ยวกวน พระองค์ตรัสอย่างแน่วแน่ว่า  เจ้าจะอภิเษกกับองค์หญิงไท่ผิงมิได้เป็นอันขาด จงทำให้นางล้มเลิกความตั้งใจไปเสีย !  

ฟู่เสี่ยวกวนเบิกตาโตกว้าง นี่มันเหตุผลอะไรกันเล่า ?

จักรพรรดิเหวินมิได้อธิบายสิ่งใดกับเขา แต่กลับเงยหน้าขึ้นมองขุนนางทั้งหลายแล้วตรัสว่า  กรมอุตสาหกรรมจงเร่งมือสร้างห้องพักที่วัดหานหลิง ส่วนหอเชียนจีนับแต่นี้พวกเจ้าจงจับตาดูวัดหานหลิงอย่าให้พลาดสายตา งานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ข้ามิต้องการให้มีสิ่งใดบกพร่องแม้แต่น้อย ! จบการประชุม !  

 ฟู่เสี่ยวกวนจงอยู่ก่อน 

 

ตอนที่ 315 ชะตาขาด
เหล่าขุนนางบนพระราชวังจวี้หัวรู้สึกเดือดดาลยิ่ง
โทสะนี้มาจากความเป็นราษฎรแห่งแคว้นอู๋ของพวกเขา มาจากความภาคภูมิใจของพวกเขา และมาจากความมุ่งมั่นที่จะปกป้องศักดิ์ศรีราชวงศ์อู๋ของพวกเขา
ฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนของราชวงศ์หยูเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของราชวงศ์อู๋เบื้องหน้าเหล่าขุนนางทั้งหลาย เขาเสมือนกับเรือหนึ่งลำกลางทะเลที่โหมกระหน่ำ มีความเป็นไปได้ที่จะถูกมรสุมลูกนี้ทำให้ดับสลายไปอย่างแน่นอน
แต่เขากลับมิได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย
เขายืนอยู่เบื้องหน้ากลุ่มขุนนาง หลังจากนั้นก็กล่าวว่า
“ ‘คัมภีร์บทกวี สุภาพ’ กล่าวไว้ว่า ‘มิใช่กล่าวมิได้ แล้วเหตุใดต้องหวาดระแวง’ กล่าวเพ้อเจ้อเพื่ออันใดกัน ข้อเท็จจริงจากนักปราชญ์ในเรื่องนี้ ต้องสามารถแบ่งแยกถูกผิดยามกราบทูลจักรพรรดิได้ ดังนั้นทุกท่าน หากพวกท่านอาศัยเพียงคำกล่าวนี้ของท่านขุนนางกวน แล้วเกิดความคิดอยากจะใช้อำนาจกลืนกินข้า คงต้องขอกล่าวอะไรที่มันทำให้พวกท่านอารมณ์มิดี…”
มือของเขาผายออกไปด้านหน้า “ทุกท่านที่ยืนอยู่ ณ ที่นี้ พวกท่าน ต่างก็เป็นบุคคลที่มีตาหามีแววไม่”
คำพูดก่อนหน้านั้นของฟู่เสี่ยวกวนยังทำให้จิตใจของขุนนางทั้งหลายเกิดความคิดพิจารณาตนเองบ้าง แต่ประโยคตอนท้ายของเขานั้นกลับทำให้ความเกลียดชังในใจขุนนางเหล่านั้นถูกเติมเต็มอีกครา
เจ้าฟู่เสี่ยวกวน คาดมิถึงว่าจะกล้ากล่าวว่าพวกข้านั้นเป็นผู้อาวุโสที่มีตาหามีแววไม่อย่างโจ่งแจ้งเยี่ยงนี้น่ะหรือ !
ความบ้าระห่ำของชายผู้นี้แสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน !
หนานกงอี้หยู่ได้ยินดังนั้นก็อึดอัด แต่จัวอี้สิงกลับหัวเราะขึ้นมา และจิตใจของจักรพรรดิเหวินในยามนี้ก็ยากที่จะพรรณนาได้ คำพูดก่อนหน้านั้นของเด็กนี่ระงับความโกรธของพวกเขาลงก็ถูกแล้วมิใช่หรือ เหตุใดต้องกล่าวแบบวาดงูเติมขาในประโยคสุดท้ายนั่นด้วย
ในตอนนี้มรสุมลูกนี้กำลังพุ่งมาถึงตัวฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงยิ้มจนตาหยีก่อนจะเปิดปากว่า “แน่นอน ที่ทุกท่านสามารถมายืนอยู่บนราชสำนักนี้ได้ ย่อมมีดวงตาที่สว่างไสวอย่างไร้ที่เปรียบ แน่นอนว่าต้องมีความสามารถในการแยกแยะอีกด้วย…หากมิมีแม้แต่ความสามารถนี้ ข้าเชื่อว่าพวกท่านคงมิมีทางจะมายืนอยู่ที่นี่ได้”
เมื่อพายุสงบ ฟู่เสี่ยวกวนก็กล่าวออกมา เหล่าเสนาบดีต่างก็อับอายที่ไปวิพากษ์วิจารณ์ฟู่เสี่ยวกวน
เหตุใดกัน ?
เพราะหากตนเองบันดาลโทสะใส่ฟู่เสี่ยวกวนในตอนก่อนที่จะเข้าใจเรื่องนี้แล้วว่าอะไรถูกอะไรผิด จะกลายเป็นกล่าวว่าตนเองมีตาหามีแววไม่ หรือจะเป็นการแสดงความโง่เขลาต่อหน้าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิไปว่าตนเองนั้นไร้ความสามารถ
ในตอนนั้นเอง หนานกงอี้หยู่หัวเราะขึ้นมาในขณะที่ลูบเครา แต่จัวอี้สิงกลับคิ้วขมวดนิ่ว ใจที่เป็นกังวลของจักรพรรดิเหวินจึงได้ผ่อนคลาย
ชายผู้นี้ช่างรู้จักการใช้วาจา เขานั้นเคยได้ยินมาก่อน
“ดังนั้นทุกท่าน ในตอนนี้ข้าได้อยู่ต่อหน้าพวกท่าน ข้าจะถอดหน้ากากที่ซีดเซียวของท่านขุนนางกวนผู้นี้ออกมา ให้พวกท่านได้เห็นใบหน้าที่อัปลักษณ์ยิ่งของเขา”
กวนถงเดือดดาล ลุกขึ้นยืนขึ้นมาทันพลัน เขายื่นมือชี้ฟู่เสี่ยวกวน “เด็กน้อยอย่างเจ้า ต้องการแสดงอำนาจของราชวงศ์หยูบนท้องพระโรงนี้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เขาหันหน้าไปหาองค์จักรพรรดิ และยกมือคำนับอีกครา “ฝ่าบาท กระหม่อมได้ผ่านเหตุการณ์เยี่ยงนี้มาแล้ว…”
คำพูดของเขาได้ถูกฟู่เสี่ยวกวนขัดขวางเอาไว้ ฟู่เสี่ยวกวนตบบ่าของเขา และกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ท่านขุนนางกวน ข้าขอถามท่าน ในตอนที่พวกข้าราชวงศ์หยูเดินทางมาจนถึงด้านนอกเมืองฝานหนิง ท้ายที่สุดแล้วท่านอยู่ในรถม้าหรือว่ากำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนอยู่กับเหล่าบัณฑิตต่างเมืองกันแน่ หากจะกล่าวความเท็จนั้นมีโทษประหารทั้งตระกูล”
กวนถงตื่นตระหนก หรือว่ามันจะรู้กัน ?
แต่ความเห็นนี้ก็โหดร้ายเกินไป แต่ในตอนนี้เขาจำต้องโกหก เพราะก่อนหน้านี้ เขาได้กล่าวความเท็จกับฝ่าบาทไปแล้ว
“เหอะ ข้าในยามนั้นย่อมกำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนกับบัณฑิตแคว้นอื่นอยู่”
“เยี่ยงนั้นข้าขอถามท่านอีกครา ท่านและบัณฑิตเหล่านั้นพูดคุยแลกเปลี่ยนกันที่ใด ? ”
“นี่…”
ฟู่เสี่ยวกวนตบบ่ากวนถงอีกครา “มิต้องรีบร้อนไป ค่อย ๆ คิด คิดดี ๆแล้วก็ค่อยตอบออกมา อย่าได้ปล่อยขาม้าออกมา นอกจากนี้ ข้ายังอยากถามท่านขุนนางกวนเสียหน่อย สุราหอป้านเยวี่ยแห่งเมืองฝานหนิงเลิศรสหรือไม่ ? ”
“ท่านก็อย่าได้รีบร้อนตอบคำถามไป ข้าขอถามท่านอีกครา ท่านเคยเห็นจักรพรรดิเหวินในสายตาบ้างหรือไม่ ? ”
สามคำถามของฟู่เสี่ยวกวน สองคำถามก่อนหน้านั้นถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่คำถามที่สามกลับเสียดแทงใจยิ่งนัก !
ดังนั้นเสนาบดีใหญ่ทั้งหลายจึงหันไปมองกวนถงอีกครา ครุ่นคิดว่าความตื่นเร้าของตนเองอย่าได้ถูกคนผู้นั้นขุดหลุมฝังเลย
กวนถงหน้าแดงทันพลัน “ฝ่าบาทสำหรับข้า…”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยขัดคำพูดของเขา “ท่านขุนนางกวน อย่าตื่นเต้นไป ท่านตอบคำถามของข้าไปทีละข้อ ดีหรือไม่ มา ๆ ๆ เริ่มที่คำถามแรก”
“ข้าพูดคุยแลกเปลี่ยนกับลูกศิษย์อยู่ที่หอหยิงปิน”
“ดี ตอนนี้มาตอบคำถามที่สอง สิ่งที่พูดคุยแลกเปลี่ยนกันกับลูกศิษย์มีเรื่องใดบ้าง ? ”
“ย่อมเป็นเรื่องเกี่ยวกับเยียนหานยวี่ ท่าป๋ายวน ฝานเทียนหนิงองค์ชายสิบสามของแคว้นฝานและอื่น ๆ ”
“พูดคุยแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับเรื่องอันใดกัน ? ”
“ข้อควรระวังสำหรับงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้”
“เริ่มพูดคุยแลกเปลี่ยนตั้งแต่เมื่อใด ? ”
“…ใกล้สิ้นเวลาพลบค่ำ”
“พูดคุยแลกเปลี่ยนจนถึงเวลาใด ? ”
“…ช่วงเวลายามซวีถึงยามห้าย”
“พูดคุยแลกเปลี่ยนกันนานเท่าใด ? ”
“ครึ่งชั่วยาม”
“ข้ามาถึงนอกเมืองฝานหนิงยามใดกัน ? ”
“ยามเย็น”
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็หัวเราะขึ้นมา และเอ่ยถามอีกว่า “ได้ดื่มซีชานเทียนฉุนที่หอป้านเยวี่ยใช่หรือไม่ ? ”
“มิใช่”
กวนถงตกใจ และรีบเสริมเข้าไปอีกหนึ่งประโยค “คืนนั้นมิได้ดื่มสุรา”
แต่ในยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้มองเขาอีก แต่กลับยกมือขึ้นมาคำนับจักรพรรดิเหวิน และกล่าวว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ เรื่องนี้เป็นที่ประจักษ์แล้ว ขุนนางของพระองค์ผู้นี้กล่าวความเท็จพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อครู่ก่อนหน้านั้นฟู่เสี่ยวกวนได้ถามสามคำถามเอาไว้อย่างชัดเจน แต่ภายหลังกลับถามอย่างมากมาย ทั้งยังพูดเร็วอย่างมาก กวนถงก็ถูกทำให้ตอบคำถามเร็วไปด้วย
ได้มีพิรุธเผยออกมาแล้ว นั่นก็คือช่วงเวลา
ในเหล่าเสนาบดีมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้สึกตัว ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง มิทราบว่าแท้จริงแล้วกวนถงโกหกที่ตรงไหนกัน
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวอีกว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ คณะตัวแทนของกระหม่อมมาถึงด้านนอกเมืองฝานหนิงในยามเย็น แต่ตามคำพูดของท่านขุนนางกวน เขาแลกเปลี่ยนกับเหล่าบัณฑิตในช่วงเวลาใกล้สิ้นพลบค่ำ ขอถามว่า ยามเย็นจนถึงยามพลบค่ำในหนึ่งชั่วยามนั้น เหตุใดท่านขุนนางกวนจึงมิได้ออกจากเมืองไปต้อนรับคณะตัวแทนราชวงศ์อยู่ของกระหม่อมกัน ? ”
เหล่าขุนนางต่างตกตะลึง ก่อนหน้านี้กวนถงกล่าวว่าในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนและคณะมาถึงด้านนอกเมืองฝานหนิงเขากำลังแลกเปลี่ยนอยู่กับคณะตัวแทนแคว้นอื่น แต่สถานการณ์ในตอนนี้กลับเป็นว่าหลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนมาถึงด้านนอกเมืองฝานหนิงได้หนึ่งชั่วยาม เขาถึงได้แลกเปลี่ยนกับคณะตัวแทนแคว้นอื่น
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามมามากมาย แท้จริงแล้วมีเพียงหนึ่งคำถามเท่านั้นที่ชี้ชะตา ส่วนคำถามอื่น ๆ ก็แค่เพียงใช้เป็นเกราะกำบังให้กับคำถามนี้เพื่อทำให้กวนถงเกิดความเลินเล่อ
เจ้าเด็กนี่…ร้ายกาจอย่างแท้จริง !
กวนถงผงะไปพลัน แต่ก็รู้สึกตัวได้ในไม่ช้า ในตอนที่เขาต้องการอธิบาย แต่กลับได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวอย่างขำ ๆ ขึ้นมาอีกว่า “ท่านขุนนางกวน ท่านต้องการให้ข้าพาพยานมาไต่ถามที่นี่หรือไม่ ? ”
“ต้องการ ข้าต้องการ ข้าต้องจดจำช่วงเวลาผิดไปแน่”
“ดีมาก เยี่ยงนั้นท่านขุนนางกวน ท่านกล่าวว่าคืนนั้นมิได้ออกไปดื่มสุรา เกรงว่าท่านจะมิได้ตกลงกับเยียนหานยวี่และคนอื่น ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ประเดี๋ยวข้าคงต้องเอ่ยถามพวกเขาว่าเครื่องดื่มของหอป้านเยวี่ยคือซีชานเทียนฉุนใช่หรือไม่ ! ”
กวนถงได้ยินดังนั้น ก็เย็นวาบไปทั้งใจ
แท้จริงแล้วเขานั้นได้หารือกับเยียนหานยวี่และคนอื่น ๆ เช่นกันว่าจะใส่ร้ายฟู่เสี่ยวกวนได้เยี่ยงไร แต่เขามิได้กล่าวกับพวกเขาว่าห้ามบอกเล่าเรื่องราวคืนนั้นที่หอป้านเยวี่ยออกไป
และเมื่อเหล่าขุนนางได้กลับมามองในยามนี้อีกครา ทันใดนั้นก็เข้าใจขึ้นมาทันพลัน ว่าตนนั้นได้ถูกกวนถงหลอกเข้าแล้ว !
จักรพรรดิเหวินเดือดดาล ในตอนนั้นเองฟู่เสี่ยวกวนก็ได้กล่าวเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค
“ดังนั้นท่านขุนนางกวน ท่านยังมิได้ตอบคำถามสุดท้ายของข้าเลย ว่าท่านได้เห็นจักรพรรดิเหวินอยู่ในสายตาหรือไม่ ? ”
กวนถงทิ้งตัวคุกเข่าเสียงดัง จักรพรรดิเหวินสะบัดชายแขนเสื้อ “ถอดมันเสีย เสื้อคลุมราชสำนักที่ข้าเคยมอบให้เขา นำตัวไปขังคุกใหญ่ และรอ…การพิพากษาฤดูใบไม้ร่วง ! ”
กวนถงได้ยินดังนั้น อาการป่วยที่มีอยู่แต่เดิมก็เริ่มสาหัส ในยามนี้หมดสิ้นแล้วความหวัง ทันใดนั้นเขารู้สึกโลกกลับตาลปัตร สองตาพร่ามัว และล้มลงหัวกระแทกกับพื้น
คาดมิถึงว่าเขาจะชะตาขาดแล้ว !

ตอนที่ 314 ณ พระราชวังจวี้หัว

ฟู่เสี่ยวกวนเมื่อได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันใด

นี่คือเสียงของกวนถง !

เมื่อองค์จักรพรรดิเหวินได้ยินดังนั้น เขาเองก็ขมวดคิ้วขึ้นเช่นกัน ในขณะที่กำลังฟังถังจู้กั๋วกล่าวอย่างสำราญใจ และกำลังจะตรัสถามว่าไทเก็กคือวรยุทธ์แบบใด กำลังจะให้บรรดาขุนนางทั้งหลายแนะนำฟู่เสี่ยวกวน แต่คาดมิถึงว่าจะมีใครบางคนมาตีกลองร้องทุกข์ !

และผู้ที่ถูกฟ้องร้องก็ยังเป็นฟู่เสี่ยวกวน !

กวนถงยังมิหายดี เขาพักรักษาตัวอยู่ที่เมืองฝานหนิงเพียงมิกี่วัน ก็ได้รีบเดินทางกลับมายังเมืองกวนหยุน อีกทั้งยังเร่งรีบเดินทางมาก่อนที่ประชุมใหญ่ราชวงศ์จะสิ้นสุดลง

ในความคิดของเขา การที่เขาถูกฟู่เสี่ยวกวนดูถูกเหยียดหยามเช่นนี้ จะต้องป่าวประกาศให้เสนาบดีทุกคนรับทราบ เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของราชวงศ์อู๋ เขาเชื่อมั่นว่าเมื่อฝ่าบาททรงได้ฟังเรื่องราวที่เขาพบเจอมานั้น พระองค์จะทรงมิพึงพอใจฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่ หากสามารถทำให้ฟู่เสี่ยวกวนออกไปจากราชวงศ์อู๋ได้ เรื่องนี้ก็จะจบลงอย่างสวยงาม ทุกสิ่งทุกอย่างจึงจะเรียกได้ว่ามิเสียแรงเปล่า

จักรพรรดิเหวินทรงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตรัสว่า  เบิกตัวได้ !  

กวนถงเดินเข้ามาอย่างทุลักทุเล จากนั้นเขาก็ได้แต่ยืนตกตะลึงอยู่หน้าประตู เนื่องจากหันไปพบกับฟู่เสี่ยวกวน !

บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนค่อย ๆ หันหน้ามาทางเขาแล้วยิ้มขึ้น ทำให้เขาตกตะลึงขนลุกขนพอง

เขามิเข้าใจเสียจริงว่า ฟู่เสี่ยวกวนเป็นเพียงขุนนางในราชวงศ์หยู เหตุใดจึงมานั่งอยู่ในพระราชวังจวี้หัวแห่งราชวงศ์อู๋ได้ เขารู้สึกได้ถึงลางร้าย แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่ตนเตรียมตัวมา เขาก็มองค้อนฟู่เสี่ยวกวนกลับไป จากนั้นจึงเดินเข้าสู่พระราชวังจวี้หัวอย่างสง่าผ่าเผย

กวนถงคุกเข่าลงต่อหน้าองค์จักรพรรดิ เขาร้องไห้แล้วกล่าวออกมาทั้งน้ำตาว่า  กระหม่อมกวนถง ชื่อหลางฝ่ายซ้ายแห่งกรมพิธีการ มิกี่วันที่ผ่านมาฝ่าบาทได้ทรงรับสั่งให้กระหม่อมเดินทางไปต้อนรับขบวนจากแคว้นต่าง ๆ ที่เมืองฝานหนิง แคว้นอี๋และแคว้นฮวงได้เดินทางมาถึงล่วงหน้า ทุกอย่างก็เป็นไปด้วยดี เพียงแต่… 

กวนถงเงยหน้าขึ้น จากนั้นโอดครวญออกมาด้วยเสียงอันดังว่า  แต่เมื่อขบวนของฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาถึงด้านนอกเมืองฝานหนิง ในตอนนั้นกระหม่อมกำลังเจรจากับบัณฑิตอีกสามแคว้นเกี่ยวกับงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ จึงทำให้เสียเวลาไปเล็กน้อย ฟู่เสี่ยวกวนกลับสั่งให้สร้างที่พักแรมด้านนอกเมืองฝานหนิง ในตอนนั้นกระหม่อมคิดว่าในเมื่อเขาได้ตั้งที่พักแรมแล้ว อีกอย่างธุระที่กระหม่อมจัดการก็ยังมิเรียบร้อย ดังนั้นจึงตั้งใจจะเดินทางไปต้อนรับในวันรุ่งขึ้น 

กวนถงกลืนน้ำลายลงคอ จากนั้นเอ่ยต่อไปว่า  ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ พระองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าในวันที่สอง ฟู่เสี่ยวกวนได้เก็บที่พักแรมแล้วหันขบวนกลับ…เมื่อตอนที่กระหม่อมรับรู้เรื่องนี้ก็ได้รีบตามไปทันที และตามขบวนของฟู่เสี่ยวกวนทันในระยะทางห่างจากกำแพงเมืองฝานหนิงห้าสิบลี้ กระหม่อมร้องขอให้ฟู่เสี่ยวกวนติดตามกระหม่อมมายังเมืองหลวง คาดมิถึงว่าเขากลับมิสนใจในคำรับสั่งของฝ่าบาท กลับหยิ่งผยองในตนเอง อ้างใช้เหตุผลว่ากำลังฝึกสมาธิมิประสงค์ให้กระหม่อมเข้าพบ อีกทั้งสั่งให้กระหม่อมยืนตากฝนอยู่นานสองนาน หากว่ากระหม่อมกล้าเดินจากไปแม้แต่ก้าวเดียว เขาจะยกขบวนกลับทันที กระหม่อมทราบว่าเขาคือผู้ที่ฝ่าบาททรงเจาะจงเชิญเขามาเพียงผู้เดียว จึงมิกล้าขัดคำสั่ง กระหม่อม…กระหม่อมยืนตากฝนอยู่เยี่ยงนั้นครึ่งค่อนวัน กระทั่งองค์หญิงไท่ผิงเสด็จมา ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ออกมาพบ 

เขาเล่าเรื่องราวเกือบทั้งหมดออกมา เสียงกระซิบกระซาบจากเสนาบดีทั้งหลายดังไปทั่วท้องพระโรง ส่วนจักรพรรดิเหวินทรงขมวดคิ้วแล้วมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนอีกคราหนึ่ง

ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ทีเดิมราวมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น คำกล่าวที่กวนถงเอ่ยมาเมื่อสักครู่ เขาก็มิได้มีท่าทีทุกข์ร้อนเช่นไร กลับดูสงบเสียด้วยซ้ำ

กวนถงกล่าวออกมาด้วยน้ำตานองหน้าอีกคราว่า  ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมถูกฟู่เสี่ยวกวนกลั่นแกล้งนั้นหาได้เป็นไรไม่ แต่กระหม่อมเป็นกังวลเหลือเกินว่า เหตุใดกันฟู่เสี่ยวกวนถึงใจกล้าเพียงนี้ ? เขาเป็นตัวแทนของราชวงศ์หยูเดินทางมาในครานี้ กระหม่อมเห็นว่าการกระทำเช่นนี้เป็นการประกาศตนเป็นใหญ่ ! ฟู่เสี่ยวกวนเขามิเห็นราชวงศ์หยูในสายตา อีกทั้ง…มิเห็นฝ่าบาทในสายตา !  

ประโยคสุดท้ายนี้เขาเน้นย้ำเสียงดัง กระทั่งทำให้เสนาบดีบางคนถึงกับขุ่นเคือง

เสนาบดีวัยกลางคนผู้หนึ่งลุกขึ้นยืนแล้วคารวะองค์จักรพรรดิเหวิน  กระหม่อมมีความเห็นว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้เป็นไปตามชื่อเสียงที่เลื่องลือ ! ราชวงศ์หยูให้ความสำคัญกับวรรณกรรมยิ่ง และปกครองแคว้นด้วยตำราอันศักดิ์สิทธิ์ ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้มีพรสวรรค์เลื่องชื่อแห่งใต้หล้า เขาต้องเข้าใจในตำราศักดิ์สิทธิ์อย่างแน่นอน และเขาจะมิรู้ถึงมารยาทเบื้องต้นได้เยี่ยงไร จากคำกล่าวของท่านกวนเมื่อครู่ กระหม่อมเห็นว่าฟู่เสี่ยวกวนมิเพียงแต่ไม่เข้าใจมารยาท ทั้งยังแสดงความไม่เคารพต่อฝ่าบาทอีกด้วย บุคคลเช่นนี้มิคู่ควรที่จะเป็นแบบอย่างให้กับบัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋ของพวกเรา กระหม่อมขอร้องให้ฝ่าบาทขับไล่เขาผู้นี้ออกจากราชวงศ์อู๋เสียพ่ะย่ะค่ะ !  

 กระหม่อมเห็นด้วยพ่ะย่ะค่ะ !  

 กระหม่อมก็เช่นกันพ่ะย่ะค่ะ !  

เสนาบดีทั้งหลายพากันลุกขึ้นยืน จักรพรรดิเหวินขมวดคิ้วเข้ามาเล็กน้อย กวนถงที่คุกเข่าอยู่นั้นยิ่งได้ใจ เขาจึงเอ่ยเสริมขึ้นว่า  ฟู่เสี่ยวกวนยังเคยกล่าวบางประโยคกับกระหม่อมอีก แต่กระหม่อมมิกล้าเอ่ยออกมา 

จักรพรรดิเหวินยิ้มแล้วตรัสว่า  เจ้าจงเอ่ยมาให้ข้าฟัง 

กวนถงชะงักลงชั่วครู่ จากนั้นกล่าวว่า  เขากล่าวว่า…ผู้คนในราชวงศ์อู๋ยังมิรู้จักอารยธรรม กลับจัดงานวรรณกรรมขึ้น มันช่าง…มันช่างเป็นเรื่องที่น่าขันเสียจริง !  

ประโยคนี้ทำให้ทั้งท้องพระโรงเต็มไปด้วยเสียงฮือฮาขึ้นทันใด

เหล่าเสนาบดีพากันลุกขึ้นยืนด้วยความขุ่นเคือง พวกเขาทุกคนร้องขอให้องค์จักรพรรดิทรงขับไล่คณะของราชวงศ์หยูออกไปจากเมือง

หนานกงอี้หยู่ อัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายมิได้ขยับเขยื้อน กลับทำหน้านิ่วคิ้วขมวด เขารู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างน่าแปลก

เมื่อวานตอนเช้าเขาได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนที่กวนหยุนถาย พวกเขาทั้งสองได้สนทนากันอย่างถูกคอ มิเห็นว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมีทีท่าบ้าคลั่งดั่งที่กล่าวมาแม้แต่น้อย

เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนมีความคิดเห็นตรงกันกับเขา ในเรื่องความคิดเห็นของเหวินสิงโจว ทำให้เขานับฟู่เสี่ยวกวนเป็นสหายด้วยซ้ำ

แต่จากคำกล่าวของกวนถงเมื่อครู่ ฟู่เสี่ยวกวนเสมือนกับพวกบ้าคลั่งในอำนาจ คิดว่าตนเป็นใหญ่ แต่เมื่อวานนี้เขาช่างอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่ง เช่นนั้นกวนถงกำลังกล่าวความเท็จ ? หรือว่าสายตาของเขาคู่นี้มองคนผิดไปกัน ?

เขาตัดสินใจรอดูต่อไป…

ส่วนจัวอี้สิง อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาก็มิได้ขยับเขยื้อนเช่นกัน เขายืนอยู่กับที่ สายตามองไปยังพื้นด้วยสีหน้ามิใคร่ดีนัก มิอาจล่วงรู้ได้ว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่

จักรพรรดิเหวินมิอาจประทับนั่งอยู่ได้ พระองค์ทรงตรัสถามกวนถงว่า  เจ้ามีหลักฐาน พยานหรือไม่ ?  

 ทูลฝ่าบาท มีเยียนหานยวี่องค์ชายหกแห่งแคว้นอี๋ และท่าป๋ายวนแห่งแคว้นฮวงเป็นพยานอยู่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ 

เหวินตี้ตกตะลึง กวนถงกล้าเข้าฟ้องร้องถึงท้องพระโรง อีกทั้งยังมีราชทูตของทั้งสองแคว้นเป็นพยาน คาดว่าเรื่องราวคงเป็นจริงดังนั้น ฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นคนเช่นนั้นจริงหรือ ?

ในใจของพระองค์บัดนี้รู้สึกผิดหวังยิ่ง ทรงหันพระพักตร์ไปมองฟู่เสี่ยวกวน บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนยังคงยิ้มตอบ หาได้มีความกังวลหรือประสงค์จะคัดค้านแต่อย่างใด

 ฟู่เสี่ยวกวนที่ข้าเจาะจงเชิญมา บัดนี้เขาเองก็ได้อยู่ที่นี่ด้วย เดิมทีข้าต้องการจะรอให้การประชุมใหญ่ราชวงศ์นี้จบลง แล้วจะสนทนาเป็นการส่วนตัวกับเขา ในเมื่อบัดนี้กวนถงได้เข้ามาร้องทุกข์ เช่นนั้น…ฟู่เสี่ยวกวน เจ้ามีสิ่งใดจะกล่าวหรือไม่ ?  

ประโยคเมื่อครู่ขององค์จักรพรรดิ ทำให้เสนาบดีทั้งหลายหันไปมองด้านหลัง และพบว่าฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามาอย่างช้า ๆ

สายตาของเสนาบดีทั้งหลายเต็มไปด้วยความมิพึงพอใจ ฟู่เสี่ยวกวนกลับเดินอย่างสง่า มิได้เหลือบไปมองผู้คนเหล่านี้แม้แต่น้อย

เจ้าหมอนี่…ช่างเย่อหยิ่งจองหอง ไร้ผู้ใดในสายตา !

ฟู่เสี่ยวกวนมาหยุดยืนอยู่ข้างกวนถง เขาโค้งกายคารวะจักรพรรดิเหวิน จากนั้นค่อย ๆ หันหน้ามายังบรรดาเสนาบดีทั้งหลาย

ใบหน้าของเขายังคงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนี้ในสายตาของพวกเขาแล้ว บ่งบอกถึงความดูถูก เย่อหยิ่ง มองไปช่างรู้สึกอึดอัด พวกเขาแทบอดไม่ได้และอยากจะเข้าไปเตะสักสองสามทีให้หายหมั่นไส้ !

 

ตอนที่ 313 ร้องทุกข์
เขตหลวงของราชวงศ์อู๋อยู่ภายในเมืองกวนหยุน
มีขนาดกว้างและใหญ่โต เมื่อเทียบกับเขตหลวงจินหลิงของราชวงศ์หยูแล้วที่นี่ดูน่าเกรงขามยิ่งกว่า
ฟู่เสี่ยวกวนเดินตามขันทีหลินมาภายในเขตหลวงนี้ เขามองสำรวจไปรอบ ๆ หลังจากนั้นจึงได้เห็นพระราชวังที่ใหญ่โตโอ่อ่าอยู่หลังหนึ่ง
“ที่นี่คือพระราชวังจวี้หัว ข้าสามารถมาส่งท่านได้ถึงตรงนี้เพียงเท่านั้น เชิญคุณชายฟู่เข้าไปด้านใน”
“ขอบคุณท่านขันทีหลิน ! ”
ทั้งสองสบสายตา ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังและเดินขึ้นบันไดไปยังพระราชวังจวี้หัว ขันทีหลินจดจ้องแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวนหลายอึดใจ ทันใดนั้นก็แสยะยิ้มขึ้นมา และหันหลังเดินไปทางศาลาว่าการสำนักใน
100,000 ตำลึง ใช้ซื้อข่าวคราวเทพบู๊เป่ยหวังฉวน…ดูแล้วท่านหัวหน้าขันทีน่าจะยินยอมรับเงินจำนวนนี้
เขาสุขใจยิ่งนัก แต่เขาก็มิได้รับรู้ว่าในใจของฟู่เสี่ยวกวนนั้นสุขใจยิ่งกว่าเขาเสียอีก
ตอนถูกโจมตีที่เมืองเปียนเฉิง ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยได้ทำให้ผู้มีฝีมือระดับสูงผู้หนึ่งถึงขั้นพิการ ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ได้รับข่าวคราวที่เขาต้องการมาจากผู้มีฝีมือระดับสูงที่ร้องโหยหวนด้วยอาการอยู่มิสู้ตายว่า เป่ยหวังฉวนเป็นคนที่อัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจัวอี้สิงแห่งราชวงศ์อู๋จ้างวานมา
แต่เพื่อให้ความร่วมมือกับการเคลื่อนไหวของเป่ยหวังฉวน ขันทีเกาจึงได้ส่งมือสังหารสองสามคนรวมไปถึงจั่วเฮิ่นฮวาศิษย์พี่ใหญ่แห่งป่ากระบี่
ปัญหาในตอนนี้คือ การเคลื่อนไหวของขันทีเกาในยามนี้เป็นคำสั่งจากผู้ใดกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิเชื่อว่าขันทีเกาอยากจะสังหารเขา พันธมิตรขององค์ชายสี่แห่งราชวงศ์หยูมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นจัวอี้สิง เพราะมีจัวอี้สิง 1 คนและพันธมิตรของเขาก็เพียงพอแล้ว มิจำเป็นที่จะต้องมีขันทีเข้ามาแทรกแซงอีก 1 คน
ดังนั้นเมื่อคืนวานในตอนที่พบกับเกาหยาเน่ยบุตรบุญธรรมของขันทีเกา เขาจึงตัดสินใจยั่วยุเกาหยาเน่ย แต่มิได้ตั้งใจจะสังหารเกาหยาเน่ยแต่อย่างใด
เขาต้องการให้ขันทีเกาทราบว่าตนเองมีเงินมากพอที่จะคุยกับเขาได้ และเขาต้องการให้ขันทีเกาทราบว่าระหว่างตนเองและเขานั้นมิมีเรื่องบาดหมางอันใดต่อกัน
สำหรับการใช้เงิน 10,000 ตำลึงเพื่อให้ขันทีหลินนำข่าวไปส่งให้ขันทีเกา เขาทำเพื่อให้ขันทีเกาเข้าใจว่า ตนเองได้รับรู้เรื่องราวมาอย่างมากมาย และเรื่องระหว่างตนกับเป่ยหวังฉวน ก็ได้อยู่ในสถานการณ์ที่ว่ามิตายมิมีทางจบสิ้น !
เขาเชื่อว่าหลังจากทันทีที่ขันทีเกาได้รับรู้ข่าวนี้ จะต้องมีการเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน เช่นไปหาใครบางคน และเช่น เผชิญหน้ากับตนโดยตรง
นอกเสียจากขันทีเกาจะแสร้งเป็นเต่า หากเขากล้าแสร้งเป็นเต่าอย่างแท้จริง ฟู่เสี่ยวกวนลอบแสยะยิ้มอยู่ในใจ ข้าจะทำให้บุตรชายของเขากลายเป็นขันทีเช่นกัน !
…..
…..
ขนาดของพระราชวังจวี้หัวเมื่อเทียบกับท้องพระโรงเฉิงเทียนของราชวงศ์หยูแล้วถือว่าใหญ่โตกว่ามากนัก !
ในตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าพระราชวังจวี้หัวมา ก็ได้เห็นกลุ่มขุนนางและพลทหารกลุ่มใหญ่ของราชวงศ์อู๋อยู่ในนั้นด้วย เขายังคงยืนอยู่ด้านหลังคนกลุ่มนั้นอย่างเงียบงัน แต่มิได้อยู่ตรงหน้าประตูดั่งตอนที่อยู่ท้องพระโรงเฉิงเทียน แต่ได้ยืนอยู่ในแถวหลังสุดภายในโถงนี้
องค์จักรพรรดิเหวินตี้ในขณะนี้กำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร ข้างกายของพระองค์มีขันทีชราผู้หนึ่งที่เหมือนว่าจะมองเห็นฟู่เสี่ยวกวนแล้ว จึงหันไปกระซิบกับองค์จักรพรรดิเหวินตี้ หลังจากนั้นสายตาขององค์จักรพรรดิเหวินตี้ก็มองเลยผ่านกลุ่มขุนนาง มายังใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน
ยามที่สายตาสบกัน สายตาของเขาอ่อนโยนยิ่ง ถึงแม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมิเห็นรอยยิ้มปรากฎขึ้นบนใบหน้าขององค์จักรพรรดิเหวินตี้ก็ตาม
องค์จักรพรรดิผู้นี้รูปงามยิ่ง มองมิเห็นท่าทางเข้มงวดเยี่ยงที่เติ้งซิวเคยบอกเล่ากับเขาไว้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับดูเป็นมิตรเสียมากกว่า
แน่นอน ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจว่านี่คือการเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิเหวินตี้คราแรกของตนเอง เขาจะมิสร้างทัศนคติอันใดเพียงเพราะสบตากับเหวินตี้เพียงคราเดียวเป็นแน่
ฟู่เสี่ยวกวนมาถึงค่อนข้างช้า ประชุมใหญ่ราชวงศ์นี้เหมือนว่าจะเข้าสู่ช่วงท้ายไปแล้ว เขาได้ยินองค์จักรพรรดิเหวินตี้กล่าวว่า “งานชุมนุมวรรณกรรม ณ วัดหานหลิงนี้ ข้าจัดตั้งขึ้นโดยตั้งใจทำเลียนแบบงานชุมนุมวรรณกรรมหลานถิงจี๋ของราชวงศ์หยู พวกเจ้าจงจำไว้ว่า ข้าให้ความสำคัญกับงานวรรณกรรมครานี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นช่วงเวลาที่เหล่าบัณฑิตจากแคว้นต่าง ๆ มารวมตัวกันที่นี่ ข้ามิอนุญาตให้เกิดอุบัติเหตุอันใดกับพวกเขาทั้งสิ้น… ! ”
“ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวานมีผู้คนไปก่อเหตุที่สถานทูตแห่งราชวงศ์หยู ถังจู้กั๋ว หลานชายของเจ้า ถังเชียนจวินก็เป็นหนึ่งในตัวการจัดตั้ง เจ้าจงจำไว้ เรื่องนี้ได้ผ่านไปแล้ว ข้าจะมิถือโทษอันใด แต่ข้ามิอนุญาตให้มีครั้งถัดไปอีกเด็ดขาด ! ”
องค์จักรพรรดิเหวินตี้ได้กำชับประโยคสุดท้าย แล้วฟู่เสี่ยวกวนจึงเห็นชายชราผมสีดอกเลารูปร่างกำยำเดินออกมา เขาโค้งคำนับให้แก่องค์จักรพรรดิเหวินตี้ และกล่าวอย่างเสียงดังฟังชัดว่า “กระหม่อมได้กักขังถังเชียนจวินแล้ว กระหม่อมขอรับปากว่าเขาจะมิมีโอกาสลงมืออีกต่อไปพ่ะย่ะค่ะ”
องค์จักรพรรดิเหวินตี้หัวเราะขึ้นมา และส่ายหน้า “ข้ามิได้สั่งกักขัง แท้จริงแล้วข้าอยากจะถาม ถังเชียนจวินว่าเขาได้กราบไหว้สุ่ยหยุนเจียนเป็นอาจารย์ แล้วเขาพ่ายแพ้ให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนได้เยี่ยงไร ? ”
เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกไป ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เห็นใบหน้าของชายชราถังจู้กั๋วที่แดงขึ้นมา แต่กลับได้ยินเสียงกระซิบดังขึ้นมาแทน
ผู้คนมากมายมิทราบว่าฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ด้านหลัง ถึงต่อให้ทราบว่าด้านหลังนั้นได้มีคนเพิ่มมาอีก 1 คน แต่เพราะพวกเขามิเคยพบเจอกับฟู่เสี่ยวกวนมาก่อน พวกเขาก็มิทราบอยู่ดีว่าคนผู้นี้คือฟู่เสี่ยวกวน
“ต้องเป็นความเมตตาของถังเชียนจวินเป็นแน่ เยี่ยงไรเสียฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นแค่เพียงนักวรรณกรรม แต่ถังเชียนจวินจะได้ขึ้นเป็นผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นสองในมิช้านี้แล้ว”
“แน่นอน ถังจู้กั๋วก็ได้เสริมสร้างรากฐานที่ดีให้ถังเชียนจวินไว้แล้ว ต่อให้ถังเชียนจวินจะกราบไหว้อาจารย์สุ่ยได้เพียง 1 ปี แต่มิมีทางที่ฟู่เสี่ยวกวนจะทำให้เขาพ่ายแพ้ได้”
“ทุกท่าน ข้าได้ยินมาว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นเจ้าเล่ห์และปลิ้นปล้อนยิ่ง เป็นไปได้หรือไม่ว่า…เขาจะใช้กลโกง ? ”
“มีความเป็นไปได้ ราชวงศ์อู๋ถนัดการใช้กำลัง มิว่าเรื่องอันใดก็จะปรี่เข้าไปซึ่ง ๆ หน้า แต่ราชวงศ์หยูมิเหมือนกัน ได้ยินมาว่ามีความชำนาญด้านการวางแผนหลอกลวง”
“…..”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ เขากำลังมองแผ่นหลังของขุนนางกลุ่มนั้น และมิได้สนใจว่าสายตาขององค์จักรพรรดิเหวินตี้ที่มองเขาในขณะนี้จะมีเลศนัยถึงเพียงใด
ถังจู้กั๋วกล่าวขึ้นมาว่า “กระหม่อมขอบังคมทูลฝ่าบาท กระหม่อมก็ได้ไต่ถามหลานชายของกระหม่อมถึงปัญหานี้อยู่เช่นกัน”
“ไอหยา…ถังเชียนจวินกล่าวว่าเยี่ยงไร ? ”
“ทูลฝ่าบาท หลานของกระหม่อมกล่าวว่า…แพ้ด้วยความยินยอม ! ”
ทันทีที่ถังจู้กั๋วกล่าวประโยคนี้ออกมา ทันใดนั้นท้องพระโรงก็ตกอยู่ในความเงียบด้วยอารามตกใจ
นึกมิถึงว่าถังเชียนจวินจะแพ้ด้วยความยินยอม ?
จะกล่าวว่าวรยุทธ์ของฟู่เสี่ยวกวนอยู่สูงกว่าถังเชียนจวินเยี่ยงนั้นหรือ ?
ดังนั้น สายตาของผู้คนมากมายจึงหันไปมองโจวเก๋อหลาวแห่งหอเชียนจี ในสายตานั้นเต็มไปด้วยความสงสัยอย่างเห็นได้ชัด ในฐานะหน่วยข่าวกรองที่แข็งแกร่งที่สุดของราชวงศ์อู๋ คาดมิถึงว่าหอเชียนจีของเจ้าจะผิดพลาดแม้แต่ข่าวสำคัญเยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนเป็นวรยุทธ์ และขั้นต่ำก็ยังเป็นถึงนักรบขั้นสองเยี่ยงนี้ไปได้ !
โจวเก๋อหลาวชราภาพแล้วอย่างแท้จริง !
โจวเก๋อหลาวเองก็เป็นผู้ไร้เดียงสายิ่ง พื้นฐานดั้งเดิมของฟู่เสี่ยวกวนแทบจะถูกสายลับของหอเชียนจีขุดคุ้ยจนกระจ่าง คนผู้นี้ไร้วรยุทธ์โดยสิ้นเชิง ไฉนเลยจะทราบว่าพอมาถึงเมืองกวนหยุนจะเปลี่ยนไปร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้ !
นี่จะตีความเยี่ยงไรได้ ?
ตีความได้เพียงอย่างเดียวคือฟู่เสี่ยวกวนกลัวที่จะแสดงฝีมือ แสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือ รวมไปถึงสายลับของตนที่แฝงตัวอยู่ในราชวงศ์หยูต่างก็ถูกเขาหลอกเช่นกัน หากเป็นเยี่ยงนั้นจริง ประการแรกแสดงให้เห็นแล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้มีแผนที่ล้ำลึกเสียจนยากจะหยั่งถึง ประการที่สอง…ย่อมแสดงให้เห็นแล้วว่าหอเชียนจีของตนนั้นดำเนินงานได้มิดีพอ
เขาเดินออกมา ยังมิทันได้อธิบาย ถังจู้กั๋วก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า “จะกล่าวว่ารายงานของหอเชียนจีผิดพลาดก็เป็นความจริง แต่หลานของกระหม่อมก็กล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนใช้วิชาที่แปลกประหลาดเอาชนะเขา เขากล่าวว่าแท้จริงแล้วฟู่เสี่ยวกวนมีวรยุทธ์เพียงขั้นสาม และจากที่มองก็เหมือนจะเพิ่งทะลวงผ่านขั้นสามมา แต่วิชานามว่าไทเก็กของเขานั้นกลับสามารถยืมพลังมาต่อสู้ได้มากพอ หลานกระหม่อมกล่าวว่า เขาใช้กำลังภายในไปมากน้อยเพียงใด แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ใช้วิชาไทเก็กสนองคืนเขาเป็นเท่าตัว”
ทันใดนั้นจักรพรรดิเหวินตี้ก็เอ่ยถามอีกว่า “จะสื่อความหมายว่า ถังเชียนจวินพ่ายแพ้เพราะตัวเขาเองเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“จะกล่าวเยี่ยงนั้นก็ได้ แต่วิชาไทเก็กนั้น…กระหม่อมมิเคยได้ยินมาก่อน ควรให้โจวเก๋อหลาวตรวจสอบโดยละเอียดจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ”
ทันใดนั้น ก็ได้มีเสียงร้องที่เสียดแทงหัวใจดังมาจากด้านนอกพระราชวังจวี้หัว “ข้าต้องการเข้าเฝ้า ข้าต้องการร้องทุกข์ ข้าจะฟ้องร้องฟู่เสี่ยวกวน เขารังแกราชวงศ์อู๋จนน่าอดสูเกินไปแล้ว ! ”
ตอนที่ 312 องค์จักรพรรดิรับสั่งให้เข้าเฝ้า
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนสามวันที่สิบแปด ท้องฟ้าเริ่มสาง หมอกยามเช้าปกคลุมไปทั่วเมืองกวนหยุน
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ และเริ่มออกกำลังกายตามนิสัยของเขา ณ คฤหาสน์จิ้งหูที่ราคาเข้าพักวันละ 125,000 ตำลึง
แม้ว่าเขาจะฝึกกำลังภายในสำเร็จแล้ว แต่เขาก็ยังมิละความพยายามในการวิ่ง
มิรู้ว่าเป็นเพราะกำลังภายในหรือเป็นเพราะพรสวรรค์กันแน่ เขาถึงได้รู้สึกว่าวันนี้วิ่งได้ดีกว่าวันอื่น ๆ มากนัก
บัดนี้เขากำลังวิ่งรอบคฤหาสน์จิ้งหู เพิ่งจะวิ่งไปได้ครึ่งรอบ ก็พบว่าหนิงซือเหยียนเหินเวหาออกมาท่ามกลางหมอกที่ปกคลุมทะเลสาบอยู่
เขายืนอยู่เบื้องหน้าฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็อ้าปากหาว “สำนักพระราชวังส่งขันทีมา 1 คน กล่าวว่าต้องการพบเจ้า”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลงเล็กน้อย เขาเกือบจะลืมว่าที่นี่มิใช่ราชวงศ์หยู
“ขันทีแห่งราชวงศ์อู๋ต้องการพบข้าซึ่งเป็นขุนนางในราชวงศ์หยูเพื่อสิ่งใด ? ”
หนิงซือเหยียนปลดไหสุราที่แขวนอยู่ตรงเอวออกมาดื่มเข้าไปหนึ่งอึก จากนั้นก็ได้ยกมือขึ้นเช็ดปากอย่างลวก ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “จะมีเรื่องอันใดอีก ? แน่นอนว่าองค์จักรพรรดิเหวินตี้ต้องการพบเจ้า” เมื่อกล่าวจบก็เงยหน้ามองฟู่เสี่ยวกวนแล้วเสริมขึ้นอีกหนึ่งประโยค “เกรงว่าอู๋หลิงเอ๋อร์จะชื่นชอบเจ้าอย่างแท้จริง นางมิเลวเลย หากเจ้าได้นางมาเป็นภรรยา เรื่องราวในราชวงศ์อู๋ก็จะสามารถจัดการได้สะดวกขึ้น อย่างน้อยพวกอันธพาลอย่างเกาหยาเน่ยก็มิกล้ามารังควานเจ้าอีก แล้วเหตุใดเจ้าถึงยังผลักใสนางอีกเล่า ? ”
“เพียงแต่ว่า…หากเจ้าจะสู่ขออู๋หลิงเอ๋อร์จริง ๆ ข้าขอแนะนำว่าให้เจ้ารีบกลับไปเมืองจินหลิงให้เร็วที่สุด แม้ว่ารอบกายเจ้าจะมีผู้มีฝีมือคอยอารักขามากมาย แต่พวกเขาก็มิอาจปกป้องเจ้าได้ทุกเวลา อ่า…ข้าขอเตือนเจ้าล่วงหน้าว่าจัวตงหลายแม้จะหน้าตาดี แต่นิสัยนั้นกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง เอาเป็นว่าข้ามิถูกชะตากับเขานัก เจ้าจงคอยระมัดระวังไว้ให้ดี”
เมื่อเอ่ยจบเขาก็เหินเวหาหายไปในท่ามกลางหมอกนี้ดังเช่นตอนมา ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะวิ่งกลับไปยังคฤหาสน์จิ้งหูเพื่ออาบน้ำอาบท่า สวมใส่ชุดไท่จงต้าฟู และได้สนทนากับซูเจวี๋ยที่ตื่นขึ้นมาแล้ว ก่อนจะเดินไปทางประตู
ขันทีที่มาส่งสารนามว่าขันทีหลิน เริ่มหมดความอดทนในการรอ สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความไม่พอใจ
เมื่อคืนบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของหัวหน้าขันทีถูกรังแกที่หอจิ้นสุ่ยนี้ อีกทั้งยังพ่ายแพ้ต่อฟู่เสี่ยวกวน ได้ยินมาว่าหน่วยสอดแนมกว่าสามร้อยคนได้รับบาดเจ็บอีกด้วย เมื่อหัวหน้าขันทีได้ยินเรื่องนี้เข้าก็มิได้แสดงท่าทีใดออกมา แต่เมื่อมองดูสีหน้าแล้วช่างน่ากลัวยิ่งนัก
ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้เพิ่งเดินทางมายังเมืองกวนหยุนเพียง 1 วันเท่านั้น แต่กลับทำให้หัวหน้าขันทีโกรธเคือง พวกมุทะลุเช่นนี้ เกรงว่าจะเรียนหนังสือมากเกินไปเสียจนเป็นบ้า
แต่เช้าตรู่เช่นนี้ มิรู้ว่าองค์จักรพรรดิทรงเรียกให้เขาเข้าเฝ้าด้วยเหตุอันใดกัน
ในขณะที่ขันทีหลินกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็เดินออกมาพอดี เขามองเห็นสีหน้าของขันทีหลินมิสู้ดีนัก แต่เขาก็มิได้ใส่ใจอันใด กลับหยิบเงิน 100 ตำลึงออกมาจากกระเป๋ายื่นส่งให้
“ขอประทานอภัย เมื่อคืนข้าดื่มสุราเสียมากเกินไปหน่อย เช้านี้จึงได้ตื่นสาย ท่านขันทีรอข้าเป็นเวลานาน จงรับสินน้ำใจเล็กน้อยจากข้าไปเถิด”
ขันทีหลินยิ้มอย่างเยือกเย็น หากรับเงินนี้ไว้ท่านหัวหน้าขันทีได้ตัดมือข้าเป็นแน่ !
“ข้ารอมาถือว่านานพอควร แต่ชื่อเสียงของคุณชายฟู่เลื่องลือไปทั่วหล้า อีกทั้งยังได้รับความเคารพนับถือจากบัณฑิตมากมาย ข้าจะกล้าคิดเล็กคิดน้อยกับคุณชายฟู่ได้เยี่ยงไร อีกทั้งจะกล้ารับเงินนี้ได้เยี่ยงไร…จงตามข้ามาเถิด อย่าให้ฝ่าบาทต้องทรงรอนานเลย”
คำเอ่ยของขันทีผู้นี้กล่าวออกมาอย่างคลุมเครือ ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มเบา ๆ แล้วเก็บเงินคืนไป “มิทราบว่า ท่านขันทีน้อยมีนามว่าเยี่ยงไร ? ”
ขันทีหลินสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด ในใจเขารู้สึกแย่ยิ่ง เนื่องจากเขาเกลียดนักกับคำที่ผู้อื่นเรียกตนว่าขันทีน้อย !
“ข้าชื่ออะไรมิสำคัญ ที่สำคัญคือคุณชายฟู่หากไปถึงพระราชวังจวี้หัวแห่งราชวงศ์อู๋ ควรจะรับรู้ถึงข้อปฏิบัติของพวกเราด้วย ข้าจะกล่าวให้ฟังว่าต้องปฏิบัติเยี่ยงไรเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์”
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ขันทีผู้นี้ช่างไร้อารมณ์เสียจริง ข้าจะทำให้เขามีอารมณ์เอง
“ท่านขันทีน้อย ท่านเข้าใจอันใดผิดไปหรือไม่ ? ข้าคือขุนนางแห่งราชวงศ์หยู มิจำเป็นต้องคารวะองค์จักรพรรดิของราชวงศ์อู๋ ! ”
ขันทีหลินตกตะลึงยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็ต้องคารวะทั้งนั้น !
ข้อปฏิบัตินี้มาจากตำราในราชวงศ์หยู หรือฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้มิเคยอ่านตำรากัน ?
ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยบางสิ่งออกไป ฟู่เสี่ยวกวนก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “อีกทั้งท่านคงจะลืมไปว่า ข้า…ฟู่เสี่ยวกวนคือผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งในใต้หล้า องค์จักรพรรดิเหวินตี้ของพวกท่านเชิญข้ามา ข้าเห็นแก่หน้าขององค์จักรพรรดิเหวินตี้จึงได้เดินทางมาที่นี่ ! ดังนั้นถ้าท่านยังกล่าวสิ่งใดให้มากความ ข้าจะลงจากรถประเดี๋ยวนี้ ท่านเชื่อหรือไม่ ? ข้าอยากจะรู้เสียจริงว่าหากข้ามิไปเข้าเฝ้าองค์จักรพรรดิ คนที่จะถูกลงโทษคือข้าหรือว่าท่าน ! ท่านขันทีน้อย ท่านจะลองดูหรือไม่ ? ”
ในครานี้ขันทีหลินตกตะลึงมากกว่าเดิมเสียอีก นี่เป็นคราแรกที่เขาตั้งใจมองดูฟู่เสี่ยวกวน และนึกขึ้นได้ถึงคำที่ได้ยินมาว่า ใต้เท้ากวนผู้เป็นชื่อหลางฝ่ายขวาของกวนหลี่เตี้ยน ละเลยต่อฟู่เสี่ยวกวนเมื่อคราที่อยู่เมืองฝานหนิง เจ้าหมอนี่หันหลังเดินจากไปทันที ทำให้ใต้เท้ากวนต้องตากฝนอยู่ตลอดทั้งบ่าย หากมิใช่เพราะองค์หญิงไท่ผิงเดินทางไปด้วยพระองค์เอง เกรงว่าเจ้าหมอนี่จะกลับราชวงศ์หยูไปแล้วจริง ๆ
หากบัดนี้ตนจะทำให้เขาขุ่นเคืองใจอีก…
หากว่าเขาลงจากรถม้านี้ไปจริง ๆ …
แม้ว่าตนจะแก้แค้นให้ท่านหัวหน้าขันทีได้ แต่ทว่าจะทำให้องค์จักรพรรดิกริ้ว คงมิดีเป็นแน่
เมื่อครุ่นคิดไตร่ตรองดูแล้ว เขาจึงอดทนต่อไปแล้วหลับตาลง
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับหัวเราะแล้วยื่นมือไปตบเข้าที่บ่าของเขา “ท่านขันทีน้อย ท่านมีนามว่าเยี่ยงไร ? ”
ให้ตายสิ มิน่าเล่าตื่นมาเช้านี้หนังตาข้าถึงได้กระตุกนัก เป็นเพราะเจ้านี่เป็นแน่ !
“ข้าแซ่หลิน”
“ขันทีหลิน ข้ามีเรื่องอยากจะสอบถามท่านสักเล็กน้อย ท่านว่า…ที่ราชวงศ์อู๋แห่งนี้ ท่านว่าขันทีเกายิ่งใหญ่หรือจักรพรรดิเหวินตี้ยิ่งใหญ่กว่ากัน ? ”
ขันทีหลินตกตะลึงเบิกตากว้าง หากประโยคเมื่อครู่ออกมาจากปากชาวประชาของราชวงศ์อู๋ หากถูกหน่วยสอดแนมได้ยินเข้า เกรงว่าจะถูกจับเป็นแน่แท้ !
สมองของเขาแล่นทันใด เจ้าหมอนี่กำลังวางกับดักเขาอยู่ จึงได้ตอบกลับไปว่า “แน่นอนว่าเป็นองค์จักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ! ”
“อ่า…” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าตามคำตอบที่ได้รับ จากนั้นก็เอ่ยถามขึ้นอีกว่า “ในเมื่อองค์จักรพรรดิยิ่งใหญ่ที่สุดในราชวงศ์อู๋ เช่นนั้นแล้วเหตุใดขันทีเกาจึงต้องส่งคนมาลอบฆ่าข้าที่เมืองเปียนเฉิงกัน ? ”
ขันทีหลินชะงักลง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขามิอาจรู้ได้ ดังนั้นเขาจึงมิสามารถตอบได้ ถึงแม้ว่าเขาจะรู้เขาก็มิอาจตอบได้เช่นกัน
ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงได้พึมพำออกมาว่า “มิแปลกใจเลยที่เขาส่งคนไปจัดการให้เป่ยหวังฉวนออกจากเมืองกวนหยุน…” เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ ฟู่เสี่ยวกวนก็โน้มตัวไปด้านหน้า ยิ้มแล้วมองไปยังขันทีหลิน ทำให้ขันทีหลินขนลุกขนพองรู้สึกถึงลางมิดี
เป็นจริงดังนั้น ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยต่อไปว่า “ขันทีน้อยหลิน ท่านรู้หรือไม่ว่าเป่ยหวังฉวนอยู่ที่ใด ? ที่นี่มีเพียงข้าและท่าน 10,000 ตำลึงสำหรับข้อมูลนี้ ! ”
ขันทีหลินเบิกตากว้าง ขันทีผู้น้อยเช่นเขาจะไปรู้เรื่องราวของหัวหน้าขันทีได้เยี่ยงไร แต่ว่าเงิน 10,000 ตำลึงนี้ช่างเย้ายวนใจยิ่ง
ทันใดนั้นความคิดมากมายนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นในสมองของเขา
เช่นว่า สามารถไปสืบหาข้อมูลจากคนสนิทของหัวหน้าขันทีเยี่ยงขันทีหลี่ได้หรือไม่ ?
เช่นว่า ฟู่เสี่ยวกวนต้องการรู้ว่าเป่ยหวังฉวนอยู่ที่ใดเพราะต้องการจะแก้แค้นเยี่ยงนั้นหรือ ?
และเช่นว่า เป่ยหวังฉวนคืออาจารย์ขององค์จักรพรรดิ
ท้ายที่สุดเขาจึงตัดสินใจได้ว่า แม้จะได้เงินมากมายนั้นมา เกรงว่าตนจะไร้ชีพก่อนได้ใช้มัน !
ดังนั้นเขาจึงทำท่าจะเอ่ยปากปฏิเสธ แต่คิดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเอ่ยออกมาอีกว่า “100,000 ตำลึง ! 10,000 ตำลึงนี้คือค่ามัดจำ ! เพื่อซื้อข้อมูลว่าเป่ยหวังฉวนอยู่ที่ใด ! ”
ตอนที่ 311 ศิษย์แห่งสำนักเต๋า
หลังจากสิ้นสุดเสียงที่เต็มไปด้วยลมปราณแต่เย็นชาของเขา การปะทะทั้งหมดในที่นี้จึงหยุดลงทันพลัน
เหล่านักรบหน่วยสอดแนมเสียหลักไปฉับพลัน และหลังจากที่เกาหยาเน่ยได้ยินว่าหน่วยสอดแนมที่รีบรุดมาช่วยเหลือได้ถูกคนผู้นั้นจัดการไปแล้ว ทั้งร่างก็พลันแข็งทื่อ
เป็นผู้ใดกันที่เก่งกาจถึงเพียงนี้ ?
ผู้มีฝีมือระดับสูงทั้งห้าที่เขาพามา นอกจากจั่วซีสุ่ยที่ถูกศิษย์รองเกาหยวนหยวนบดบังสายตาจนมองไม่เห็นผู้นั้นแล้ว อีกสี่คนที่เหลือก็ได้เหินเวหากลับไปพร้อมกัน
พวกเขาจดจำชายในชุดดำผู้นั้นได้ ศิษย์คนที่สี่ของสำนักเต๋าซูปิงปิง ซูปิงปิงเป็นเพียงบุคคลเดียวในใต้หล้าที่บำเพ็ญเพียรจนได้เป็นเทพกระบี่น้ำแข็ง !
แล้วพวกเขาจะสู้ได้เยี่ยงไร ?
ศิษย์ทั้งห้าของสำนักเต๋าได้มารวมตัวกันที่นี่ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมี 5 คนเท่ากัน แต่พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่าห้าคนที่ตนเองพามานั้นมิใช่คู่มือของศิษย์ทั้งห้าของสำนักเต๋า
สำนักเต๋าได้ส่งศิษย์มาประจำข้างกายฟู่เสี่ยวกวนแล้วถึง 3 คน แล้วเหตุใดถึงส่งมาเพิ่มอีก 2 คนกัน พวกเขาต้องการทำอันใดกันแน่ ?
พวกเขาย่อมมิทราบเรื่องที่เกิดขึ้นที่เมืองเปียนเฉิง เป่ยหวังฉวนจากราชวงศ์อู๋ยิงธนูใส่ฟู่เสี่ยวกวนถึง 2 ดอก และหนึ่งในธนูนั้นก็ได้ทำร้ายซู่ม่อศิษย์น้องเล็กของพวกเขาจนบาดเจ็บสาหัส !
ในตอนนั้นศิษย์พี่ใหญ่คิดว่าซู่ม่อได้สิ้นชีพไปแล้ว ดังนั้นจึงได้ส่งสารไปยังที่อารามหนึ่งแผ่น ใช้เครื่องหมายอัศเจรีย์ถึง 6 ตัว นี่เป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่มิเคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นเหล่าลูกศิษย์ของสำนักเต๋าจึงได้ออกมาจากอาราม
ศิษย์พี่รองเกาหยวนหยวนและศิษย์พี่สี่ซูปิงปิงจึงได้รีบมาที่นี่ ศิษย์พี่ห้าซูเตี่ยนเตี่ยนและศิษย์พี่เจ็ดซูหยางหยางในตอนนี้ก็ได้อยู่ในเมืองกวนหยุน พวกเขากำลังตามหาเบาะแสของเป่ยหวังฉวน
…..
เกาหยาเน่ยเมียงมองภูเขาเนื้อกองนั้น และหันไปมองภูเขาน้ำแข็งอีกทาง และก็เข้าใจถึงสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว
เขาไม่ลังเลใจ และมิได้พูดอันใดเพื่อกู้หน้าของตนเองคืน
เขาโบกมืออย่างไม่ลังเล “ไป ! ”
ดังนั้นทุกคนจึงถอนตัว แม้แต่เยียนหานยวี่และท่าป๋ายวน ก็เพียงหันมามองฟู่เสี่ยวกวนอีกเล็กน้อยก่อนจะหันหลังกลับไป
แต่ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนกลับเรียกตัวเกาหยาเน่ยเอาไว้
“ประเดี๋ยวก่อน คุณชายเกาโปรดยั้งเท้า”
เกาหยาเน่ยได้ยินเยี่ยงนั้น ร่างกายพลันแข็งค้าง จิตใจตื่นตระหนกอยู่เล็กน้อย
ผู้มีฝีมือระดับสูงของยุทธภพเหล่านั้นมิได้สนว่าบิดาของเขาจะเก่งกาจถึงเพียงไหน พวกเขาไปมาอย่างไร้ร่องรอย มิว่าบิดาของเขาจะเก่งกาจเพียงใดแต่ก็ไม่สามารถนำทหารมาล้อมสังหารพวกเขาได้ ดังนั้นบิดาของเขาจึงเลี้ยงดูผู้มีฝีมือระดับสูงจากยุทธภพไว้มากมาย เยี่ยงในตอนนี้ก็ได้ให้ติดตามเขามา 2 คน แต่บัดนี้ก็ได้เห็นแล้วว่าผู้มีฝีมือที่ติดตามตนมิใช่คู่มือของกลุ่มฟู่เสี่ยวกวน
เขาหันหลังกลับ และหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนกวักมือเรียกเขาเพื่อให้เข้าไปหา เขาครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย และเดินเข้าไปโดยไร้คำกล่าวใด ๆ
“ข้ามิได้ต้องการให้เจ้ามาขอโทษข้า เพราะมันมิจำเป็น ข้าได้รับคำเชิญจากองค์จักรพรรดิเหวินตี้ให้มาเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมที่เมืองกวนหยุนแห่งนี้ อย่างมากที่สุดก็จะอยู่ที่นี่เพียงไม่กี่สิบวันถึงครึ่งเดือนแล้วก็จะจากไป เจ้าก็เป็นเจ้าต่อไป และข้าก็จะเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมของข้า ระหว่างพวกเราน้ำบ่อมิยุ่งกับน้ำคลอง ดังนั้น…ข้าจึงหวังว่าจะสามารถใช้เวลาสิบกว่าวันในเมืองกวนหยุนนี้อย่างมีความสุข เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่ ? ”
เกาหยาเน่ยมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างหยั่งลึก ก่อนจะผุดรอยยิ้มขึ้นมา “ข้าคิดว่าข้าเข้าใจแล้ว แต่ว่า…เกรงว่าความสุขที่คุณชายฟู่ต้องการจะมิได้ง่ายดาย พวกเราได้คุยกันไว้ล่วงหน้าแล้ว ภายภาคหน้ามิว่าจะเกิดอันใดขึ้นกับคุณชายฟู่ ต่างมิเกี่ยวข้องกับข้า เกาฟู่ลวี่ คำพูดของข้า เกาฟู่ลวี่ สามารถเชื่อถือได้ แต่ผู้อื่นต้องการให้คุณชายฟู่ไม่มีความสุข นั่นมิใช่สิ่งที่ข้าจะสามารถยับยั้งได้ นอกจากนี้ ถึงแม้ข้าจะรับปากว่าข้าจะไม่ทำอันใดกับคุณชายฟู่อีก แต่ข้าก็ยังหวังว่าจะสามารถเห็นผู้อื่นลงมือกับคุณชายฟู่แทนข้า เมืองกวนหยุนมีเมฆมาก หวังว่าคุณชายฟู่จะสามารถเห็นดวงอาทิตย์ได้ ตัวข้าขอลา ขอให้คุณชายฟู่มีความสุข”
เมื่อกล่าวจบ เกาหยาเน่ยก็หันหลังเดินออกไป ฟู่เสี่ยวกวนจดจ้องแผ่นหลังนั้น ในใจพลันนึกถึงจัวตงหลาย
…..
ท้องฟ้ามืดครึ้มลงเรื่อย ๆ ถึงแม้จะเป็นคืนเดือนมืดแต่ท้องฟ้าที่กว้างไกลก็ใสกระจ่างอย่างไร้ที่เปรียบ
หลงจู๊สงแห่งหอจิ้นสุ่ยต้อนรับฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ด้วยท่าทีกระวนกระวายใจ จัดเครื่องดื่มเรียบร้อยแล้ว แต่ในใจกลับค่อนข้างแห้งเหี่ยว
เจ้านายในวันนี้น่าเกรงขามยิ่งนัก ถึงแม้เกาหยาเน่ยจะยอมอ่อนลงให้ แต่ความสุขที่เจ้านายวาดหวังในสิบกว่าวันที่อยู่ในเมืองกวนหยุนนี้คงมิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น
เจ้านายในหัวของเขาย่อมเป็นฟู่เสี่ยวกวน
ในฐานะเดือนห้าของหอซี่หยู่ เขาได้ทราบประกาศเปลี่ยนเจ้านายของหอซี่หยู่มานานแล้ว และในยามที่เจ้านายยังคงอยู่ที่เมืองหลวง ก็ได้ส่งมอบคำสั่งมาให้เขาอย่างมากมายแล้ว
คำสั่งเหล่านั้นเขาได้ทำเสร็จแต่เนิ่น ๆ แล้ว แต่ในฐานะผู้อาวุโสของหอซี่หยู่ งานของเขามิเคยหยุดลงเพียงเพราะเจ้านายมิได้มอบหมาย
ตั้งแต่ที่ทราบว่าเจ้านายจะมาเมืองกวนหยุน เขาก็คอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของทุกฝ่ายอย่างใกล้ชิดเสมอมา
เรื่องในวันนี้มิได้บังเอิญแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะมีคนนำข่าวที่เจ้านายเหมาหอซี่หยู่ส่งไปให้กับเกาหยาเน่ย
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และจึงพบเห็นชาวประมงที่มาส่งปลาเดินเข้ามาพร้อมกับปลากองโต
“วันนี้มีปลาใหญ่หรือ ? ”
“เรียนหลงจู๊สง ปลาใหญ่และกุ้งเล็กในวันนี้มีมิน้อยเลยขอรับ”
“เยี่ยงนั้นข้าเหมาทั้งหมด นำไปส่งที่โรงครัวได้เลย”
เขาเดินตามหวงเสี่ยวตงเขาไปในโรงครัว พ่อครัวผู้หนึ่งเลือกปลาออกมาสองสามตัวจากในกองนั้น ผ่าท้องออก และดึงกระบอกใส่จดหมายลับสองสามชิ้นออกมาและส่งให้กับหลงจู๊สง
หลงจู๊สงเมียงมอง คิ้วขมวดนิ่ว และนำจดหมายลับเหล่านั้นเข้าไปไว้ในแขนเสื้อ และขึ้นไปยังชั้นสองของห้องโถงจิ้นสุ่ย
ภายในห้องโถงจิ้นสุ่ยมีโต๊ะเพียง 1 ตัว ฟู่เสี่ยวกวนนั่งหัวโต๊ะ ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินแยกกันนั่งขนาบสองข้างของเขา และที่เหลือก็เป็นของลูกศิษย์ทั้งห้าของสำนักเต๋า
หลงจู๊สงเดินมาด้านข้างของฟู่เสี่ยวกวน โน้มตัวลงและเอ่ยเสียงเบาว่า “เจ้านายขอรับ ได้มีสินค้าดี ๆ มาถึงในร้าน มีปลาสดใหม่ที่จับมาได้จากทะเลสาบสือหลี่ ท่านอยากจะไปดูหรือไม่ขอรับ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินเยี่ยงนั้น และยิ้มให้กับซูเจวี๋ยและคนอื่น ๆ “ได้ยินมาว่าปลาของทะเลสาบสือหลี่เลิศรสยิ่ง ข้าขอลงไปดูก่อนประเดี๋ยวจะกลับมา”
เขาตามหลงจู๊สงลงไปด้านล่าง ในตอนที่ถึงด้านล่างหลงจู๊สงก็ส่งจดหมายลับให้กับฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนยื่นมือไปรับและใส่ไว้ในแขนเสื้อ เดินไปยังโรงครัว สั่งปลาเทราต์นึ่ง 1 ตัว หลังจากนั้นก็กลับไปยังห้องโถงจิ้นสุ่ย
“ในวันนี้ขอบคุณศิษย์พี่ทุกท่านที่ให้ความช่วยเหลือ เสี่ยวกวนขอยกจอกคำนับทุกท่านใน ณ ที่นี้ 1 จอก ! ”
ทุกคนต่างยกแก้ว แต่ซูซูกลับแกว่งขาไปมาด้วยใบหน้าระรื่น และกล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าอย่าได้เกรงใจพวกเขานักเลย พวกเขาต่างก็มิใช่คนที่สุภาพทั้งนั้น ปฏิบัติเยี่ยงนี้ทำให้พวกเขาดูแปลกหน้าไปเสียแล้ว…”
กล่าวจบนางก็หันไปมองศิษย์พี่รองเกาหยวนหยวนและศิษย์พี่สี่ซูปิงปิง “เขาเองก็มิใช่คนที่ยึดถือมารยาทอันใด นอกจากนี้เขายังได้เรียนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางของสำนักเต๋าของพวกเราอีกด้วย พวกข้าจำได้ว่าท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่าศิษย์สำนักเต๋าควรจะมี 9 คน แต่จนถึงบัดนี้ พวกข้ามีกันเพียง 8 คนมาโดยตลอด ข้าคิดว่า…ศิษย์น้องคนที่เก้าอาจจะเป็นเขา ใช่หรือไม่ ? ”
ทุกคนต่างยกจอกเหล้าขึ้นดื่มไปพร้อมกันหนึ่งจอก ซูเจวี๋ยขยับหมวกเล็กน้อยและหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน “ที่ศิษย์น้องหกกล่าวมานั้นมิใช่เรื่องเท็จ แน่นอน พวกข้าต่างก็มิทราบว่าเจ้าใช่ศิษย์ลับที่ท่านอาจารย์กล่าวถึงหรือไม่ แต่ข้าก็ถือให้เจ้าเป็นศิษย์น้องมาโดยตลอด ถึงแม้วรยุทธ์ของเจ้า…หรือพรสวรรค์ทางด้านนี้ย่ำแย่โดยแท้จริง แต่ท่านอาจารย์ก็ได้กล่าวเอาไว้แล้วว่า การฝึกยุทธ์นั้นเป็นเพียงหนทางเล็ก หนทางที่แท้จริงคือการฝึกในใต้หล้า ข้ารู้สึกว่าเจ้าเหมาะสมกับหนทางนี้ หากเจ้ามีความตั้งใจที่จะเข้าร่วมสำนักเต๋า ข้าจะส่งจดหมายไปไถ่ถามท่านอาจารย์ให้”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักไป เขามิเคยคิดมาก่อนว่าต้องเข้าร่วมสำนักเต๋าด้วย !
เขาเงียบไปอึดใจ และเอ่ยถามขึ้นมาว่า “สำนักเต๋า…สามารถแต่งงานมีภรรยาได้หรือไม่ ? ”

เมื่ออาทิตย์อัสดง

ฝูงนกกาต่างพากันบินกลับรังนอน

บัดนี้ทะเลสาบสือหลี่สงบนิ่ง ผิวน้ำใสสะท้อนเงาราวกระจก

แสงจันทร์ครึ่งเสี้ยวกระทบมายังหอจิ้นสุ่ย

เดิมทีนี่คือค่ำคืนอันเงียบสงบ ราวกับภาพแห่งจินตนาการในบทกวี

แต่ทว่าการต่อสู้ ณ หน้าหอจิ้นสุ่ยกลับทำให้ภาพอันละมุนละไมนี้กลายเป็นฉากเข่นฆ่าที่แสนโหดร้ายไปเสียแล้ว

มองไปยังสภาพที่ปรากฏเบื้องหน้านี้ ฟู่เสี่ยวกวนได้แต่พึมพำอยู่ในใจว่า พวกเขาต่างหากที่น่าสลด ข้ามิเกี่ยวข้องอันใดเลย

ดาบของจั่วซีสุ่ยเปล่งแสงอันเยือกเย็นในยามพระอาทิตย์ตก เขาราวกับลอยลงมาจากท้องฟ้า ดาบที่ส่องแสงออกมาลอยพุ่งเข้าไปรวดเร็วคล้ายกับดาวตก อีกเพียงนิดหนึ่งก็ถึงตัวฟู่เสี่ยวกวนแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนรีบนำมือออกมาจากแขนเสื้อแล้วจับไปที่ปืนกระบอกนั้น

ซูเจวี๋ยใช้ดาบสลัดดาบทั้งสองที่กีดขวางเขาอยู่ จากนั้นกำลังจะพุ่งเข้าไปคุ้มกัน

ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินหน้าซีดเผือด พวกนางกำลังจะวิ่งเข้าไปหาฟู่เสี่ยวกวนเพื่อใช้ตัวกำบังดาบที่ราวกับตกลงมาจากสวรรค์นั่น

ซูซูง้างดีดสายพิณเล็งไปยังดาบนั้น

ซูโหรวหยิบเข็มปักผ้าสะบัดออก กำลังจะปักไปยังดาบนั้นเช่นกัน

บัณฑิตทั้งหลายต่างตกตะลึง แต่ทว่าท่าป๋ายวนกับเยียนหานหวี่ยิ้มเยาะออกมาตรงมุมปาก ครานี้คงจะมิรอดเป็นแน่ เจ้าจงตายไปเสีย ! เขาผู้นี้เป็นถึงนักดาบฝีมือระดับหนึ่ง เจ้าเป็นเพียงระดับสามขั้นต้นเท่านั้น จะเอาสิ่งใดมาสู้ ?

เกาหยาเน่ยมองไปยังดาบที่พวยพุ่งมานั้นแล้วใจหาย ให้ตายสิ ! หากฟู่เสี่ยวกวนถูกดาบนี้ฟันเสียจนชีวิตมลาย เขาจะทำเยี่ยงไร ?

แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่า ทั้งสามคนนี้เสด็จพ่อเป็นผู้ประทานมาให้ อีกทั้งมิเคยกล่าวถึงประวัติความเป็นมา หากทั้งสามคนนี้ปลิดชีพฟู่เสี่ยวกวนจริง ๆ คาดว่าเสด็จพ่อคงจะวางแผนการไว้ล่วงหน้าแล้ว

ดังนั้นเขาจึงได้วางใจลงแล้วมองไปยังทะเลสาบสือหลี่ เหตุใดพวกหน่วยสอดแนมจึงยังมิมา ?

เขาเพียงแค่คิด แล้วหันความสนใจไปยังดาบนั่น

เขามั่นใจยิ่งว่าฟู่เสี่ยวกวนจะต้องตายหรือไม่ก็สาหัสเป็นแน่ ใครให้เจ้าแย่งชิงกับข้ากันเล่า ที่นี่คือเมืองกวนหยุนเป็นถิ่นของข้า ต่อให้เจ้าเป็นมังกรมาจากที่ใดก็จงเจียมตน แม้แต่เป็นราชสีห์ก็ควรเก็บกรงเล็บของตนเอาไว้ !

น่าเสียดายแท้ ๆ เจ้าหมอนี่ประพันธ์กวีได้มิเลวเลย ต่อจากนี้คงจะมิได้ยินกวีที่ไพเราะเช่นนี้แล้ว

แต่ทว่า ! ในฉากต่อมาเขาก็ต้องเบิกตากว้าง อ้าปากค้าง !

คล้ายมีลูกชิ้นลูกโตกลิ้งลงมาจากหลังคาของหอจิ้นสุ่ย !

ลูกชิ้นมนุษย์ !

ขนาดพอดีกับโม่หิน !

ร่างกายของเขาอ้วนใหญ่กว่าเกาหยาเน่ยสามเท่า !

เขาม้วนตัวกลิ้งลงมาด้วยความเร็ว และใกล้เข้ามายังหอจิ้นสุ่ยทุกครา คล้ายกับจะกลิ้งลงมาตกลงบนหัวของฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นวินาทีที่เขาแผ่ร่างกายออกมา เป็นจังหวะที่ดาบของจั่วซีสุ่ยกำลังจะพุ่งแทงฟู่เสี่ยวกวนพอดี เขายื่นมืออ้วนกลมขนาดเท่ากับใบต้นปาล์มออกมา

มือนี้ไม่ว่ามองเยี่ยงไรก็ดูเชื่องช้า แต่ทว่ากลับว่องไวยิ่ง

พริบตาเดียว นิ้วมือทั้งสองของเขาก็ยื่นออกมาคีบรับดาบนั้นเอาไว้

ชายอ้วนผู้นั้นลงมาสู่พื้นธรณี แต่จั่วซีสุ่ยยังคงลอยอยู่บนชั้นบรรยากาศ

เมื่อมองไปจะเห็นเป็นว่า ชายอ้วนนั่นคีบดาบของจั่วซีสุ่ยเอาไว้ แล้วยกจั่วซีสุ่ยให้ลอยขึ้นกลางอากาศ

จั่วซีสุ่ยขยับดาบ นิ้วทั้งสองของชายอ้วนท้วมจึงได้ปล่อยออกแล้วดีดนิ้วไปยังดาบเล่มนั้น  ติ๊ง… !   เสียงดังกังวาน จากนั้นก็พบว่าจั่วซีสุ่ยได้ตีลังกาลอยกลับไปแล้วตกลงสู่พื้น

เขาขมวดคิ้วแล้วอุทานออกมาว่า  เกาหยวนหยวน ?  

ฟู่เสี่ยวกวนเดิมทีหวังจะชักปืนปลิดชีพจั่วซีสุ่ย คาดมิถึงว่าเจ้าลูกชิ้นกลม ๆ นี้ จะมาช่วยเขาบังดาบเอาไว้ทันเวลาพอดี

บัดนี้ชายอ้วนกลมผู้นั้นยืนอยู่เบื้องหน้าเขา รูปร่างสูงใหญ่กว่าฟู่เสี่ยวกวนมากนัก ที่สำคัญคือ…เขาสามารถบดบังทัศนียภาพของฟู่เสี่ยวกวนได้ทั้งหมด !

ชายอ้วนผู้นี้หันหลังกลับมาตบลงที่ไหล่ของฟู่เสี่ยวกวน เมื่อสักครู่เขายืนมองอยู่ที่ชายคาหอจิ้นสุ่ย เมื่อพบว่าดาบของจั่วซีสุ่ยกำลังจะปลิดชีวิตฟู่เสี่ยวกวน แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับสงบนิ่งไร้ความกลัวหรือมิคิดแม้จะถอยหนี !

ในสายตาของชายอ้วน นี่คือความมั่นคงดุจขุนผา มิน่าเล่าท่านอาจารย์จึงได้ชื่นชมเขานัก เหตุเพราะเขาคือชายหนุ่มผู้โดดเด่นกล้าหาญ !

 ข้าคือศิษย์รองแห่งสำนักเต๋า นามว่าเกาหยวนหยวน วางใจเถิดหากข้าอยู่ที่นี่ จะมิมีผู้ใดทำร้ายเจ้าได้แม้แต่เพียงขนเส้นเดียว !  

ฟู่เสี่ยวกวนอ้าปากค้าง เกาหยวนหยวน พระเจ้า ! นามนี้ช่างเหมาะกับเขาอย่างแท้จริง เกาหมายถึงสูง ส่วนหยวนหมายถึงกลม !

 เจ้ายืนรอดูอยู่ที่นี่ ข้าขอไปจัดการเจ้าสวะนั่นให้เรียบร้อยเสียก่อนแล้วจะมาคุยกับเจ้าใหม่ 

เกาหยวนหยวนหันหลังกลับไปด้วยท่าทางเฉิ่มเฉื่อย เขาก้าวไปทางจั่วซีสุ่ยอย่างช้า ๆ ฟู่เสี่ยวกวนสัมผัสได้ถึงพื้นดินกำลังสั่นตามแรงกระทบของแต่ละก้าวที่เขาเหยียบลง มองเห็นร่างของศิษย์พี่รองผู้นั้นสั่นเป็นคลื่นจากแสงจันทร์ที่สาดส่อง !

ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินวิ่งมาข้างกายฟู่เสี่ยวกวน พวกนางก็มองไปยังร่างกลมอ้วนนั้นที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยความตกตะลึง ใต้หล้านี้มีมนุษย์ตัวใหญ่ถึงเพียงนี้อยู่จริงเยี่ยงนั้นหรือ ?

เกาหยาเน่ยก็มองดูเกาหยวนหยวนด้วยท่าทางตะลึงเช่นกัน เขานึกอยู่ในใจว่าให้ตายสิ ชื่อจริงข้าคือเกาฟู่ลวี่ เจ้าชื่อว่าเกาหยวนหยวน หรือเมื่อสามร้อยปีก่อนพวกเราจะเคยเป็นญาติกัน ?

แต่เยียนหานยวี่กับท่าป๋ายวนกลับรู้สึกผิดหวังยิ่ง ฟู่เสี่ยวกวน เจ้าหมอนี่มีผู้มีฝีมือคอยติดตามมากเท่าใดกัน ?

ศิษย์รองแห่งสำนักเต๋าเกาหยวนหยวน มิได้มีชื่อเสียงในยุทธภพ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่รู้จัก แต่ทว่าท่าทางเมื่อครู่ของเกาหยวนหยวนที่ใช้เพียงสองนิ้วก็สามารถรับดาบของจั่วจิ้นสุ่ยไว้ได้ เขาผู้นี้ย่อมเป็นผู้มีฝีมือมิผิดแน่

จั่วจิ้นสุ่ยรู้จักเกาหยวนหยวน เนื่องจากเมื่อสามปีก่อนเกาหยวนหยวนเคยไปยังป่ากระบี่ และได้ท้าประลองกับรองผู้อาวุโสเหมยหลี่เสวี่ยหง

ผลปรากฏว่าเกาหยวนหยวนชนะ ส่วนเหมยหลี่เสวี่ยหงยังคงรักษาตัวกระทั่งบัดนี้

เจ้าสำนักป่ากระบี่เห็นฉากการต่อสู้นั้นแล้วกล่าวออกมาว่า  ลูกศิษย์แห่งสำนักเต๋าทั้งแปดคนนั้น เกรงว่าเกาหยวนหยวนจะเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์เป็นคนแรก 

เจ้าอ้วนตะกละนี้ เข้าสู่ขั้นปรมาจารย์เร็วกว่าคนอื่นเยี่ยงนั้นหรือ !

แต่บัดนี้ผ่านไปถึง 3 ปีแล้ว เขายังมิได้เข้าสู่ขั้นปรมาจารย์เลย เพียงแค่ก้าวข้ามเขตประตูเท่านั้น !

เกาหยวนหยวนค่อย ๆ ส่งสายตาไปยังจั่วซีสุ่ยที่อยู่เบื้องหน้า เขากล่าวกับจั่วซีสุ่ยเพียงว่า  เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของข้า แม่นางเหมยหลี่รักษาตัวจนหายดีแล้วหรือยัง ? นางตกลงกับข้าว่านางจะแต่งงานกับข้า 

ไอหยา !

ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นก็นับถือชื่นชมศิษย์พี่รองผู้นี้มากยิ่งขึ้น

แต่เมื่อจั่วซีสุ่ยได้ยินดังนั้นกลับใจคอมิดี

แม้ว่าเหมยหลี่เสวี่ยหงจะเป็นรองผู้อาวุโส แต่นางมิได้อาวุโสตามตำแหน่ง !

นางอายุเพียง 26 ปีเท่านั้น แต่ทักษะกระบี่กลับถึงขั้นสูงสุดแล้ว

เมื่อสามปีก่อนที่เหมยหลี่เสวี่ยหงพ่ายแพ้ มิได้แพ้เพราะวิชากระบี่กำลังภายใน แต่แพ้เพราะร่างอ้วนกลมของเจ้าเกาหยวนหยวนนี่ต่างหาก

เขายังจำได้ขึ้นใจว่ากระบี่สุดท้ายที่พุ่งแทงออกไปนั้น เหมยหลี่เสวี่ยหงแทงทะลุเข้าบริเวณท้องของเกาหยวนหยวนอย่างชัดเจน มิมีผู้ใดคาดคิดว่ากระบี่มิได้แทงเข้าไป แต่ถูกไขมันที่หน้าท้องของเขาหนีบเอาไว้ จึงทำให้เหมยหลี่เสวี่ยหงมิสามารถชักกระบี่กลับได้ ส่วนเกาหยวนหยวนกลับพุ่งไปเบื้องหน้า…

เหมยหลี่เสวี่ยหงถูกไขมันชิ้นโตนั้นกดทับทั้งร่าง จนสุดท้ายก็แทบหายใจมิออก

นี่คือเรื่องที่เหมยหลี่เสวี่ยหงรู้สึกอับอายมากที่สุดในชีวิตของนาง ดังนั้นนางจึงปิดตนเองและใช้ชีวิตเงียบ ๆ เดิมทีคาดว่าเป็นเพราะต้องการจะแก้แค้น แต่เมื่อเกาหยวนหยวนกล่าวว่ารองอาวุโสสัญญาจะแต่งงานกับเขา ทำให้จั่วซีสุ่ยยากที่จะจินตนาการเสียจริง

ฟู่เสี่ยวกวนก็เช่นกัน…

ทันใดนั้นเอง ก็มีใครบางคนปรากฏขึ้นมา

เมื่อเขาผู้นั้นร่อนลงสู่พื้น ก็มองเห็นท่าทางอันหยิ่งยโสของเขา

เขายืนกวาดมองไปอย่างเยือกเย็นแล้วตะโกนออกมาว่า  ผู้ใดคือเกาหยาเน่ย ? หน่วยสอดแนมของเจ้าถูกข้าจัดการเสียจนสิ้นซากแล้ว บิดาเจ้าเรียกให้กลับบ้านไปกินข้าวรีบกลับไปเสีย !  

 

ตอนที่ 309 ตีเจ้าแล้วจะเป็นเยี่ยงไรกัน
ด้วยประโยคที่แสนร้ายกาจของเกาหยาเน่ย ทำให้เยียนหานยวี่และท่าป๋ายวนหลุดหัวเราะออกมา
ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้รนหาที่ตายยิ่งนัก มีเรื่องกับเกาหยาเน่ย ดูสิว่าเขาจะลงเอยเยี่ยงไร
พวกเขาคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะโมโหอย่างมาก จะต้องเดือดดาลเพราะความอดสู แต่ผลลัพธ์นั้นกลับทำให้พวกเขาค่อนข้างผิดหวัง คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะนิ่งเฉย !
สีหน้าของเขาไม่เพียงแต่จะมิมีร่องรอยของโทสะ แต่กลับมีรอยยิ้มบาง ๆ เหมือนสายลมฤดูใบไม้ผลิผุดขึ้นมา
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า จ้องมองเกาหยาเน่ย และกล่าวด้วยท่าทีจริงจังเป็นอย่างมาก “หากข้ามิหลบ แล้วเจ้าจะทำเยี่ยงไร ? ”
เกาหยาเน่ยชะงัก ในเมืองเมืองกวนหยุน เขาไม่เคยพบเจอปัญหาเยี่ยงนี้มาก่อน โดยปกติหากเขาบอกให้หลบ ฝ่ายตรงข้ามก็จะกุลีกุจอหลบไปทันที ดังนั้นเขาจึงครุ่นคิดถึงปัญหาที่กำลังเผชิญหน้าอย่างคาดไม่ถึง และก็ผุดรอยยิ้มออกมา
เขายื่นมือไปบีบร่างหญิงสาวที่อยู่ข้างกาย จนหญิงสาวผู้นั้นส่งเสียงหวานหยดออกมา เขาจ้องฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง และกล่าวอย่างจริงจัง “หากเจ้ามิหลบ ข้าจะหักขาเจ้า ! ”
“จะกล่าวว่า คุณชายเกาไร้เหตุผลเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ทันใดนั้นก็เสียงรถม้าดังขึ้น บัณฑิตนับร้อยของราชวงศ์หยูและขุนนางกรมพิธีการอีกนับสิบก็ได้มาถึง
เกาหยาเน่ยหันหน้ากลับไปมอง “มิน่าเล่าเจ้าถึงได้มั่นใจ แท้จริงแล้วก็มีคนมาด้วยจำนวนมาก แต่ว่า…คนของข้ามีมากกว่าคนของเจ้าอีกมาก ! ”
กล่าวจบเชาก็ส่งสายตาไปให้องครักษ์ที่อยู่ข้างกาย และองครักษ์ผู้นั้นก็หยิบลูกดอกที่อยู่ในแขนเสื้อออกมา เขาจุดไฟที่ลูกดอกอันนั้น ลูกดอกลอยขึ้นไปบนฟ้า และแตกตัวออกเป็นดอกไม้ไฟที่สวยงาม
“ตอนนี้เจ้าจงพาพวกเขาหลบไป จะยังถือว่าทันกาล เจ้ามีเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น ทันทีที่หน่วยสอดแนมของข้ามาถึง พวกเจ้าจะมิสามารถหนีไปได้แม้แต่คนเดียว”
เกาหยาเน่ยยื่นใบหน้าออกไป และปรี่เข้าหาฟู่เสี่ยวกวน ราวกับต้องการมองใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนให้เห็นชัด ๆ เขากล่าวขำ ๆ ว่า “ฟู่เสี่ยวกวนเป็นนามที่โด่งดังยิ่ง ดังนั้นตัวข้าต้องจดจำใบหน้านี้เอาไว้ มิเช่นนั้นพอถูกตีเหมือนหัวหมู จนใบหน้านี้ถูกทำลาย คงมิมีผู้ใดรับรู้ถึงใบหน้านี้อีกต่อไป”
ฉินเหวินเจ๋อและคนอื่น ๆ เข้าโอบล้อม เข้าใจโดยประมาณแล้วว่าอาจารย์ของตนนั้นมีเรื่องกับคนที่มิควรมีเรื่องด้วยเพื่ออาหารมื้อนี้
ในเมื่ออาจารย์ยังมิถอยไป พวกเขาในฐานะลูกศิษย์ ย่อมมิสามารถถอยได้เช่นกัน
ฟู่เสี่ยวกวนกลับหันหน้าไปกล่าวกับพวกเขาว่า “พวกเจ้าพาทุกคนเข้าไปนั่งด้านในก่อนเถิด ประเดี๋ยวอาจารย์จัดการเรื่องยุ่งยากนี้เสร็จแล้วจะตามเข้าไป”
ลูกศิษย์ที่อ่อนแอกลุ่มนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยเหลือเขาไม่ได้ หากบาดเจ็บจนตกอยู่ในมือของฝ่ายตรงข้ามคงมิคุ้มค่านัก
แต่ฉินเหวินเจ๋อและคนอื่น ๆ กลับมิยินยอม ศิษย์จะทนมองดูอาจารย์ถูกทุบตีได้เยี่ยงไรกันเล่า !
“ท่านอาจารย์ พวกข้ามิถอย ! ”
“แต่พวกเจ้าต่อสู้กันมิเป็นมิใช่รึ ? ”
“…พวกข้าทำได้ ! ”
“เยี่ยงนั้นพวกเจ้าถอยไปก่อน ดูว่าอาจารย์จะต่อสู้เยี่ยงไร เรียนรู้เล็กน้อย การฝึกวรยุทธ์มิเพียงแต่จะสามารถทำให้ร่างกายแข็งแรง ภายภาคหน้าเมื่อพวกเจ้ายืนอยู่บนท้องพระโรง หากมิสามารถวิวาทได้ อย่างน้อยก็จะสามารถจะเอาชนะได้ เอาล่ะ ถอยไป ทั้งหมดจงถอยเท้าไปให้ข้า 20 จั้ง”
บัณฑิตกลุ่มนั้นจึงต้องถอยหลังไป 20 จั้งอย่างไม่เต็มใจ เอาเถอะ ฟู่เสี่ยวกวนหันหน้าไปมองเกาหยาเน่ย “ข้าจะกล่าวกับเจ้าเป็นคราสุดท้าย เข้าไปทานอาหารด้วยกัน แล้วข้าจะถือว่ามิมีอันใดเกิดขึ้น เยี่ยงนั้น…ข้าจะลงมือกับเจ้าอย่างแท้จริง ! ”
เกาหยาเน่ยรู้สึกดีใจ ทหารยามหน่วยสอดแนมข้างกายเขากลุ่มนั้นก็ดีใจเช่นกัน
จากสายตาพวกเขา เป็นเรื่องน่าสนใจอย่างมากอีกหนึ่งเรื่อง คนที่กล้าพูดเยี่ยงนี้กับเกาหยาเน่ยในเมืองกวนหยุนมีจำนวนแบบนับมือได้ เกาหยาเน่ยรู้เรื่องผู้คนที่มีอิทธิพลในเมืองกวนหยุนเป็นอย่างดี เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าคนแบบใดที่สามารถยั่วยุได้หรือยั่วยุมิได้
ในฐานะลูกหลานขุนนาง โดยเฉพาะที่ในมือของบิดามีอำนาจใหญ่โต เขาไม่เคยเหลาะแหละมาก่อน เขาเข้าใจเหตุผลที่ตนเองสามารถวางท่าไปได้ทั่วในเมืองกวนหยุน ดังนั้นเขาจึงไม่มีวันสร้างความเดือดร้อนให้แก่บิดาของตนเอง กลับกันเขายังทำการช่วยบิดาของตนเองไปกลาย ๆ อย่างเช่นในวันนี้เขาได้เชิญองค์ชายหกจากแคว้นอี๋และท่าป๋าชิวแห่งแคว้นฮวงมาร่วมงานเลี้ยง
แต่เดิมเขาได้เชิญฝานเทียนหนิงจากแคว้นฝานมาแล้ว เพียงแต่ฝานเทียนหนิงติดธุระต้องจัดการ จึงไร้หนทางปลีกตัว
ตัวตนของชายหนุ่มทั้งสามคนในแคว้นของพวกเขาถือว่าอยู่บนจุดเกือบจะสูงสุด บางทีพวกเขาอาจจะได้เป็นองค์จักรพรรดิในวันข้างหน้า อย่างน้อยก็ได้เป็นชินอ๋อง ดังนั้นการลงทุนเยี่ยงนี้เขาย่อมเต็มใจทำอย่างยิ่ง
เขามิได้เชิญฟู่เสี่ยวกวน นั่นก็เพราะรากฐานของฟู่เสี่ยวกวนนั้นยังตื้นเกินไป เขาเป็นเพียงแค่คุณชายเศรษฐีที่ดินในหลินเจียง แม้แต่ในตอนนี้ เขาก็เป็นเพียงขุนนางขั้นสี่ของราชวงศ์หยูเท่านั้น
เยี่ยงไรเสียคนผู้นี้ก็มีความแค้นกับเยียนหานยวี่ และในวันนี้ก็ยังตบหน้าของเหล่าบัณฑิตราชวงศ์อู๋อีก
เขามิได้สร้างความเดือดร้อนให้กับฟู่เสี่ยวกวนเพราะฟู่เสี่ยวกวนได้รับเทียบเชิญจากองค์จักรพรรดิเหวินตี้ แต่คาดมิถึงว่าเขาจะมาเจอกับฟู่เสี่ยวกวนที่หอจิ้นสุ่ยแห่งนี้ เยี่ยงนั้นก็พอดี ได้อยู่ต่อหน้าเยียนหานยวี่ เพื่อความอัปยศที่เขาสร้างให้กับเมืองฝานหนิง และเพื่อความสบายใจของเหล่าบัณฑิตราชวงศ์อู๋
สิ่งที่ดีที่สุดของทั้งสองฝ่าย หากมิทำให้ฟู่เสี่ยวกวนถึงตาย เรื่องก็คงจะมิใหญ่โตไปมากกว่านี้
ดังนั้นเขาจึงปรบมือ แสดงความชื่นชมประโยคนั้นของฟู่เสี่ยวกวน
“ข้ารู้ว่าข้างกายของเจ้ามีผู้มีฝีมือระดับสูงของสำนักเต๋าอยู่ 3 คน หากกล้าออกมาข้างนอก ผู้ใดกันที่จะมิพาผู้มีฝีมือระดับสูงติดตามมาด้วยกันเล่า ? ”
สิ้นเสียงของเขา ก็มีคนห้าคนลงมาจากรถม้า
ทั้งห้าคนนั้นสะพายกระบี่ยาวไว้ที่หลัง สวมเสื้อคลุมสีดำตัวยาว อายุอานามราว 40 ปี ท่าทางของแต่ละคนดูอึมครึมและเย็นชา
ซูเจวี๋ยคิ้วขมวด เพราะคาดมิถึงว่าสามคนในกลุ่มนั้นจะเป็นผู้อาวุโสของป่ากระบี่ !
เกาหยาเน่ยยื่นมือไปทางห้าคนนั้น “เหอะ ทางข้าก็มีผู้มีฝีมือระดับสูง 5 คนอยู่พอดี ข้ายังมี…ข้าเองก็มิรู้ว่าประเดี๋ยวจะมีหน่วยสอดแนมมาอีกกี่ร้อยคนกัน เจ้าในตอนนี้ยังมีเวลาหนี ยังเหลืออีกครึ่งถ้วยชา มิเช่นนั้น…ก็คงจะมิทันกาล ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็หันมองคนทั้งห้านั้น หลังจากนั้นก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว และยกฝ่ามือขึ้นมา
ดังนั้นทุกคนจึงได้ยินเสียง “ผลั่ก…” ดังขึ้นมา หน่วยสอดแนมที่อยู่ข้างกายเกาหยาเน่ยยังมิทันได้ตอบสนอง เท้าของฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เตะเข้าที่หน้าท้องของเกาหยาเน่ยอีกครา เขาถูกเตะจนตัวลอย ปากก็ตะโกนอย่างคาดไม่ถึง “ไอหยา มารดาเจ้าเถอะ…”
“ตูม ! ” เขาล้มลงกลิ้งไปกับพื้น
หญิงสาวที่อยู่ข้างกายของเกาหยาเน่ยกรีดร้อง ทันทีที่เสียงกระทบดังขึ้นหน่วยสอดแนมกลุ่มนั้นก็ชักดาบออกมาทันพลัน และได้พุ่งเข้ามาฟันฟู่เสี่ยวกวนอย่างเร็ว
เยียนหานยวี่และท่าป๋ายวนต่างก็ตกตะลึง พวกเขาคาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะลงมือกับเกาหยาเน่ยจริง ๆ ทั้งยังลงมืออย่างกะทันหันเยี่ยงนี้
ฟู่เสี่ยวกวนถอยหลังไปสามก้าว เข็มปักผ้าของซูโหรวก็ได้บินถลามา ด้ายแดงเส้นนั้นได้ขัดขวางดาบทั้งหมดที่พุ่งมาหาฟู่เสี่ยวกวน
เกาหยาเน่ยลุกขึ้นมาจากพื้น เดือดดาลเสียจนสติหลุด เลยตะโกนขึ้นมาว่า “ฟันมันให้ข้า…” มิสามารถเอาให้ถึงตายได้ หากตายไปจะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายกับบิดาของเขาเป็นแน่ “ตัดขามันให้พิการเสีย ! ”
ผู้มีฝีมือระดับสูงทั้งห้าข้างกายของเขาดึงกระบี่ยาวออกจากฝักและถลาบินออกไป สองคนในกลุ่มปะทะกับซูเจวี๋ย หนึ่งคนเข้าปะทะกับซูซู อีกหนึ่งคนเข้ารับมือกับซูโหรว และอีกคนหนึ่ง กลับบินไปทางฟู่เสี่ยวกวน
เขาคือผู้อาวุโสลำดับที่สามของป่ากระบี่จั่วซีสุ่ย บิดาของจั่วเฮิ่นฮวา ผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นหนึ่ง
เขาย่อมอยากสังหารฟู่เสี่ยวกวน ส่วนเรื่องทำให้พิการ…นั่นมิมีอยู่ในความคิดของเขาเลย
“เจ้าคนชั่ว ตายเสียเถอะ ! ”

ท่านป้ารองที่หยูเวิ่นหวินได้เอ่ยถึงเมื่อครู่ ก็คือหยูหยู พระขนิษฐาของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูองค์ปัจจุบัน

ฟู่เสี่ยวกวนนึกถึงหงซิ่วจาวขึ้นมา คำที่อาจารย์หูฉินเอ่ยกับเขานั้น มีประโยคหนึ่งที่ว่า แม่ของเจ้าสมัยยังสาว ๆ สนิทสนมกับองค์หญิงรองกว่าข้า เรื่องราวในสองปีนั้นคาดว่าองค์หญิงรองจะรู้ดีที่สุด หากเจ้าได้ไปยังราชวงศ์อู๋ จงไปเข้าเฝ้าติ้งกั๋วโหวแล้วลองสอบถามดู

บัดนี้ตัวเขาได้มาเยือนยังราชวงศ์อู๋แล้ว จะไปหรือว่ามิไปดี ?

เรื่องราวของท่านพ่อและท่านแม่นั้น เขามีความสงสัยอยู่ในสมองมากมายเสียทีเดียว เพียงแต่ว่าตัวตนของเขามิใช่ฟู่เสี่ยวกวนตัวจริง ดังนั้นจึงมิได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากนัก

หากในวันพรุ่งนี้มิมีเรื่องอื่นใดให้ต้องจัดการ เขาตั้งใจจะไปเข้าเฝ้าหยูหยู ส่วนเรื่องคำถามที่ค้างคาในใจนั้น เมื่อถึงเวลาแล้วจะถามไถ่หรือไม่ค่อยตัดสินใจอีกครา

 หากจะเข้าเฝ้าองค์หญิงรอง เจ้าควรเตรียมของกำนัลไปด้วย ข้าว่าเจ้านำน้ำหอมและสบู่นี้มอบให้นางเป็นเยี่ยงไร ? ชุดชั้นในนั้นมิเหมาะสมเท่าใดที่จะมอบให้กับพระนาง แม้ที่จินหลิงจะได้รับการยอมรับจากเหล่าสตรีแล้ว แต่ทว่าที่นี่จะเป็นเยี่ยงไรก็มิอาจรู้ได้ 

 อืม เสด็จแม่ให้ข้านำของกำนัลมาด้วย พรุ่งนี้ค่อยมอบให้กับนางพร้อมกัน 

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามขึ้นมาว่า  เจ้าเคยพบท่านป้ารองหรือไม่ ?  

 แน่นอนว่าเคยพบ ท่านป้ารองแต่งงานกับติ้งหยวนโหวเมื่อรัชสมัยไท่เหอปีที่ 51 ฤดูร้อน ตอนนั้นข้าอายุเพียง 7 ปี ต่อจากนั้นอีกเพียงแค่ 1 ปีก็เข้าสู่รัชสมัยเซวียนลี่ เมื่อคราเสด็จพ่อขึ้นครองราชย์ นางเคยกลับมาที่จินหลิงคราหนึ่ง แม้ว่านับจากนั้นนางจะมิได้เดินทางกลับไปเมืองจินหลิงอีก แต่ทว่าข้าจำรูปร่างหน้าตาของนางได้ดี 

เช่นนั้นเมื่อตอนที่หยูหยูออกเรือน อายุก็มิน้อยแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

นางเคยสนิทสนมกับท่านแม่ คาดว่าอายุน่าจะไล่เลี่ยกัน

ท่านแม่จากไปเมื่อรัชสมัยไท่เหอปีที่ 50 ในตอนนั้นอายุ 25 ปี ส่วนหยูหยูแต่งงานเมื่อรัชสมัยไท่เหอปีที่ 51 เยี่ยงนั้นคาดว่านางก็คงจะแต่งงานตอนอายุยี่สิบห้าหรือยี่สิบหกปีเยี่ยงนั้นหรือ ?

หรือราชวงศ์อู๋อาจจะมิได้แตกต่างไปจากราชวงศ์หยู สตรีอายุยี่สิบแล้วหากยังมิได้ออกเรือน ก็จะถูกมองว่าขึ้นคานเสียแล้ว

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจ เขาเปิดม่านตรงมุมหน้าต่างขึ้นแล้วมองออกไปด้านนอก

ที่แห่งนี้ท้องฟ้ามืดช้ากว่าเมืองจินหลิงมาก บัดนี้คาดว่าราวห้าหกโมงเย็น ที่เมืองจินหลิงล้วนพากันจุดไฟขึ้นแล้ว แต่ที่นี่ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน

เมฆสีส้มแดงที่ขอบฟ้าช่างงดงามมากยิ่งนัก นกสองสามตัวบินอยู่บนท้องฟ้า พวกมันดูเหมือนจะยังมิกลับรังนอน

ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงยังหอจิ้นสุ่ยแห่งทะเลสาบสือหลี่ หลังลงจากรถม้า ก็สามารถมองเห็นทะเลสาบสือหลี่ที่ส่องประกายสีส้มระยิบระยับตัดกับเส้นขอบฟ้าสีคราม

เติ้งซิวเดินมาข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน และได้ชี้นิ้วไปยังทะเลสาบสือหลี่แล้วกล่าวว่า  ท่านฟู่ที่คือทะเลสาบสือหลี่อันเลืองชื่อแห่งเมืองกวนหยุน เทียบได้กับแม่น้ำฉินหวายแห่งเมืองจินหลิงของพวกเรา ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ที่ทะเลสาบสือหลี่มิมีเรือสำราญ แต่ต่อมามีคนจากราชวงศ์อู๋เดินทางไปที่จินหลิงและได้พบกับบรรยากาศบนแม่น้ำฉินหวาย ต่อมาที่ทะเลสาบสือหลี่ก็ได้มีเรือสำราญปรากฏขึ้นมาเฉกเช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าผู้คนในราชวงศ์อู๋มิชื่นชอบเท่าใดนัก พวกเขากล่าวว่าเรือมีขนาดเล็กเกินไป จึงมีการก่อสร้างหอนางโลมขึ้นที่บนเกาะของทะเลสาบสือหลี่หลายแห่ง แต่ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดก็คือหลิวหยุนถาย หากท่านมีเวลา เชิญไปชมได้ 

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าตอบรับ เติ้งซิวนำทางพวกเขาไปยังหอสามชั้นงดงามที่ข้างทะเลสาบ

ยังมิทันได้มาถึงปากประตู ก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านใน

 ว่าเยี่ยงไรนะ ? เจ้าว่าที่หอจิ้นสุ่ยนี้มีผู้เช่าเหมาไว้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? กล้าดีมาจากไหนกัน ? เป็นผู้ใด ? บอกข้ามาสิ ?  

ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองพบว่ามีชายหนุ่มชุดเขียวมีท่าทีของผู้มีวรยุทธ์ กำลังตะโกนใส่หลงจู๊

หลงจู๊ผู้นั้นผงกหัวและยิ้มให้กับฟู่เสี่ยวกวนเป็นสัญญาณว่าขออภัย

ชายหนุ่มในชุดเขียวผู้นั้นชี้นิ้วขึ้นและกล่าวว่า  ท่านหลงจู๊สง คุณชายจวนข้ามิใช่แขกคนสำคัญของหอจิ้นสุ่ยหรือเยี่ยงไร ?  

 ใช่ ๆ ๆ คุณชายเกาเป็นแขกคนสำคัญขอรับ เพียงแต่ว่าวันนี้ช่างบังเอิญ… 

 บังองบังเอิญอันใดเล่า ที่เมืองกวนหยุนนี้ ผู้ใดกล้าขัดขืนมิไว้หน้าคุณชายจวนข้ากัน ? เจ้าหลงลืมไปแล้วหรือเยี่ยงไร ? คุณชายข้าจะจัดงานเลี้ยงกินดื่มที่นี่ เจ้ากลับไปให้ผู้อื่นเหมาหอนี้ ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ควรจะเว้นห้องชมจันทร์เอาไว้ !   ไอรีนโนเวล

 เอ่อ… 

ด้านข้างของชายหนุ่มผู้นั้นมีรถม้า 5 คันจอดอยู่ คันตรงกลางมีชายอ้วนท้วนเดินลงมากับสตรีชุดเขียว

ทั้งสองเดินมาหยุดตรงหน้าหลงจู๊สง กลุ่มผู้มีวรยุทธ์ราว 30 คนต่างล้อมกรูเข้ามา

หลงจู๊สงเห็นดังนั้นก็ลนลานและรีบเดินเข้ามาคารวะ  คุณชายเกา ในวันนี้ช่างบังเอิญเสียจริง…วันพรุ่งนี้ข้าจะเชิญท่านมารับประทานอาหารโดยมิคิดค่าใช้จ่ายเป็นเยี่ยงไร ?  

ชายอ้วนผู้นั้นเอามือไขว้หลัง ดวงตาเล็กเรียวของเขาจ้องเขม็งจนดูใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นหัวเราะขึ้นแล้วเอ่ยว่า  ข้าขาดแคลนเงินตั้งแต่เมื่อใดกัน ?  

 อ่า มิใช่ มิใช่ขอรับ ! คุณชายเกาจะขาดแคลนเงินทองได้เยี่ยงไร สิ่งนี้เป็นการตอบแทนจากใจข้าเพียงเท่านั้น 

 ข้ามิต้องการน้ำใจจากเจ้า ข้าจะเหมาเช่าหอจิ้นสุ่ย บัดเดี๋ยวนี้ เร็ว ! รีบไปจัดการให้ข้า ข้าให้เวลาเจ้า 1 ก้านธูป มิเช่นนั้นข้าจะเผาที่นี่ทิ้งเสีย !  

ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังกลับไปมองเติ้งซิว เติ้งซิวกลืนน้ำลายลงคอแล้วกระซิบข้างหูฟู่เสี่ยวกวนว่า  ท่ามิดีนัก เจ้าอ้วนนี่คือบุตรบุญธรรมของขันทีเกาสำนักในแห่งราชวงศ์อู๋ ที่นี่นั้นขันทีมีอำนาจมากกว่าที่ราชวงศ์ของพวกเรา สำนักในดูแลอยู่ถึง 12 แห่ง ในมือขันทีเกามีหน่วยสอดแนมอยู่หนึ่งหน่วย อำนาจล้นฟ้า ดังนั้นบุตรชายของเขาจึงได้วางท่าใหญ่โตในเมืองกวนหยุน !  

เติ้งซิวกล่าวจบก็มองไปยังฟู่เสี่ยวกวน จากความคิดของเขานั้น คาดว่าคงจะสละหอจิ้นสุ่ยให้แก่เกาหยาเน่ย ประการแรกเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะกับเกาหยาเน่ย ประการที่สอง…คนกลุ่มนี้มิอาจต่อกรกับเกาหยาเน่ยได้

แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้ทำเช่นนั้น เนื่องจากเขาสละให้มิได้ !

หอจิ้นสุ่ยนี้เป็นสถานที่ของหอซี่หยู่ที่ก่อตั้งในราชวงศ์อู๋ และหลงจู๊สงคือผู้รับผิดชอบข่าวสารในราชวงศ์อู๋ เดือนห้านั่นเอง

ในขณะที่เขากำลังจะเดินเข้าไป พบว่ามีคนอีกส่วนหนึ่งเดินลงมาจากรถม้า มีอยู่ 2 คนที่เขารู้จัก หนึ่งคือองค์ชายหกแห่งแคว้นอี๋ และท่าป๋ายวนบุตรชายของท่าป๋าชิว ชินอ๋องแห่งแคว้นฮวง

คนที่เกาหยาเน่ยจะเชิญมาร่วมงานเลี้ยงคือเจ้าสองคนนี้เยี่ยงนั้นหรือ !

ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้น จากนั้นเดินตรงเข้าไป ซูเจวี๋ยสะพายกล่องดำนั่นไว้แล้วเดินตามไป

เยียนหานยวี่และท่าป๋ายวนก็มองมาทางฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน พวกเขาประหลาดใจยิ่ง หรือคุณชายเกาจะเชิญเจ้าหมอนี่มาด้วยกันนะ ?

แต่ทว่าต่อจากนั้นพวกเขาก็หัวเราะออกมา

ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ด้านหลงจู๊สง แล้วโบกมือทักทายไปยังเกาหยาเน่ย ยิ้มแล้วเอ่ยว่า  คุณชายเกา หอจิ้นสุ่ยนี้ข้าเป็นผู้เหมาไว้เอง บัดนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดลง จะให้ข้าไปหาสถานที่กว้างขวางเช่นนี้อีกคงมิสะดวกนัก เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ เยี่ยงไรเสียคนของข้าคงนั่งมิเต็ม พวกเรามาร่วมกินดื่มด้วยกันเป็นเยี่ยงไร ?  

เกาหยาเน่ยเงยหน้าลืมตาอันเรียวเล็กของเขามองมายังฟู่เสี่ยวกวน  เจ้าเป็นใครกัน ?  

 ข้าคือฟู่เสี่ยวกวน 

เกาหยาเน่ยขมวดคิ้วขึ้น แววตาของเขาเป็นประกาย  เจ้าคือฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ?  

 ถูกต้องแล้ว 

 ได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าเอาชนะถังเชียนจวินได้ ?  

 นั่นเพราะถังเชียนจวินออมมือให้แก่ข้าถึง 3 กระบวนท่า 

 ฮ่า ๆ… !   เกาหยาเน่ยหัวเราะขึ้นมาทันใด เขาหัวเราะอย่างสุดเสียง ลำตัวโน้มไปมา ต่อจากนั้นเขาก็หยุดเสียงลง ทำสีหน้าเยือกเย็น

 คนของราชวงศ์หยูกล้าดีเยี่ยงไรรังแกคนของข้า เจ้าช่างขัดหูขัดตาข้าเสียจริง ไสหัวออกไปเสีย !  

 

ตอนที่ 307 คนเฝ้าประตู
อู๋หลิงเอ๋อร์นั่งลงตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน สายตามองไปที่ภาพวาดนั้นอีกครา จิตใจก็กลับมาสงบดังเดิม
นางย่อมมิไล่ตาม ส่วนเรื่องของผลลัพธ์…แน่นอนว่าผลลัพธ์ย่อมสำคัญ แต่ก็มิสามารถบีบบังคับเขาได้
หากเขามิชอบ อย่างน้อยตนเองก็เคยรัก
ขณะนั้นเองหนิงซือเหยียนถึงได้โค้งคำนับฟู่เสี่ยวกวน
“นี่คือความปรารถนาอันยาวนานเพียงหนึ่งเดียวของมารดาข้า ได้รับบทกวีนี้จากเจ้า ก็ถือว่าได้เติมเต็มให้แก่กันแล้ว ข้าก็มิได้กังวลอีกต่อไป ข้าเพิ่งจะค้นพบในตอนนี้ว่าตนไร้ที่ไป เยี่ยงนั้น…ให้ข้าเป็นคนเฝ้าประตูที่นี่ให้เจ้าดีหรือไม่ ? ”
เหมือนจะกังวลว่าฟู่เสี่ยวกวนจะไม่เห็นด้วย เขาจึงสำทับอีกหนึ่งประโยค “มีข้าคอยเฝ้าประตูอยู่ บัณฑิตราชวงศ์อู๋เหล่านั้นมิกล้าเข้ามารบกวนความสงบของเจ้าเป็นแน่”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกดีใจขึ้นมาฉับพลัน ฝีมือของคนผู้นี้ยอดเยี่ยมมากยิ่งนัก เขาพ่ายแพ้ให้แก่บิดาของเขาเพียงแค่ครึ่งกระบี่เท่านั้น !
บิดาของเขาคือผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นหนึ่ง เยี่ยงนั้นเขาก็ย่อมเป็นผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นหนึ่งเช่นกัน
มีคนเฝ้าประตูเยี่ยงนี้อยู่หนึ่งคน ทั้งยังสามารถเขย่าขวัญเหล่าบัณฑิตที่มายั่วยวนเขาได้ เขาย่อมมิปฏิเสธ
“เจ้ารู้สึกว่าตนเองมิได้รับความเป็นธรรมเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หนิงซือเหยียนเองก็นั่งลง และดื่มสุราหนึ่งอึก “ข้ามิเคยรู้สึกว่าตนเองมิได้รับความเป็นธรรมมาก่อน มิว่าจะเมื่อก่อน หรือในตอนนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดชั่วครู่ และเอ่ยถามว่า “บิดาของเจ้า…เขาไปอยู่ที่ใดแล้ว ? ”
หนิงซือเหยียนเงียบไปชั่วขณะ “หลังจากที่ขายเรือนหลังนี้ทิ้งไป เขากล่าวว่าเขาจะไปชางฮ่าย”
“ไปทำอันใดที่ชางฮ่าย ? ”
หนิงซือเหยียนแค่นหัวเราะ และยกสุราขึ้นดื่มอีกหนึ่งอึก “ในชางฮ่ายมีภูเขาลั่วเหมยอยู่ กล่าวกันว่าเทพบู๊โหยวเป่ยโต้วพักอยู่ที่นั่น เขาอยากไปท้าสู้กับโหยวเป่ยโต้วเสียหน่อย”
ดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนเบิกกว้าง โหยวเป่ยโต้วปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่ง แต่หนิงฝาเทียนเป็นเพียงยอดฝีมือขั้นหนึ่งเท่านั้น… “เขาต้องการจะปะทะกับปรมาจารย์เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หนิงซือเหยียนพยักหน้าน้อย ๆ “เป็นไปได้ และก็อาจจะถึงตายได้ ! ”
ทันใดนั้นซูเจวี๋ยก็ขยับหมวก กระบี่ไม้ที่อยู่ด้านหลังของเขาสั่นขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง
ซูโหรวชำเลืองมองซูเจวี๋ยอย่างพินิจพิจารณา กระบี่ไม้เล่มนั้นของซูเจวี๋ยถึงได้สงบลง
…..
ฟู่เสี่ยวกวนและคณะได้พำนักลงที่นี่ เขารู้สึกว่านามของเรือนชิงเสียนนั้นมิค่อยเหมาะสม คำว่าเสียนนั้นมีความหมายว่ามีเวลาว่าง แต่เขามิได้ว่างเสียหน่อยแต่กลับยุ่งมากยิ่งนัก และอีกทั้งยังเคยเปิดสถานที่แห่งนี้เป็นหอนางโลมอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนชื่อสถานที่นี้ไปเป็นคฤหาสน์จิ้งหูดังเดิม
นามนี้ยิ่งใหญ่ ฟังแล้วดูเป็นชนชั้นสูง เพียงแค่นามนี้ถูกเขียนไว้บนก้อนหินเท่านั้น เขาคิดว่าเขาจะสร้างซุ้มโค้งขึ้นที่ด้านนอกนั่น แต่ก็คิดอีกว่าตนเองก็มิได้อยู่ที่นี่เป็นเวลานานเท่าใด และ…หากแพ้ในงานชุมนุมวรรณกรรม คฤหาสน์หลังนี้ก็จะตกเป็นของผู้อื่นไป
ส่วนอู๋หลิงเอ๋อร์ได้ออกไปแล้ว กล่าวว่ายังมีธุระต้องจัดการในพระราชวัง ฟู่เสี่ยวกวนอดที่จะอยากให้นางมีธุระเพิ่มอีกมิได้ เขามิอยากคิดถึงอู๋หลิงเอ๋อร์แล้ว พอคิดมากไปก็ปวดหัว
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินเก็บกวาดที่พักเล็กน้อย เมื่อแบ่งห้องดีแล้ว พวกนางก็มิได้วางแผนหาซื้อสาวรับใช้จากนายทุน เหตุผลเช่นเดียวกัน เยี่ยงไรแล้วที่นี่ก็คือราชวงศ์อู๋ มิใช่รากเหง้าของพวกนาง
หนิงซือเหยียนก็ได้ออกไปด้านนอกคฤหาสน์จิ้งหูแห่งนี้แล้ว ที่นั่นมีอาคารเล็กหลังหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงย้ายเก้าอี้ไปวางลงหน้าประตูที่มิมีซุ้มประตู
และเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้ทั้งอย่างนั้น หยิบน้ำเต้าสุราขึ้นมาดื่มเป็นครั้งคราว ใบหน้ามิยินดียินร้าย ราวกับมองโลกใบนี้ทะลุปรุโปร่ง
ยามบ่าย เติ้งซิวก็ได้มาถึงคฤหาสน์จิ้งหู
ในขณะนั้นฟู่เสี่ยวกวนกำลังดื่มชาและพูดคุยอยู่กับซูเจวี๋ย
“เยี่ยงนั้นฝีมือของหนิงซือเหยียนเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
ซูเจวี๋ยครุ่นคิด “เกือบจะเทียบเท่ากับศิษย์พี่ใหญ่แห่งป่ากระบี่จั่วเฮิ่นฮวา คาดว่าลอบเห็นประตูปรมาจารย์บานนั้นแล้ว”
การประเมินนี้สูงกว่าที่ฟู่เสี่ยวกวนคิดขึ้นไปอีกขั้น จนทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกท้อใจอยู่เล็กน้อย อายุ 17 ปีเท่ากัน แต่เหตุใดถึงได้แตกต่างกันมากเยี่ยงนี้ ?
ราวกับซูเจวี๋ยรับรู้ได้ถึงความคิดของฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงกล่าวอีกว่า “พรสวรรค์ทางด้านวรยุทธ์นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง ก็เหมือนกันกับการประพันธ์บทกวีของเจ้า มิสามารถใช้ความมานะมาทดแทนได้”
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าแท้จริงแล้วพวกเจ้าคงไม่ทราบ ข้ามิมีพรสวรรค์ทางด้านการประพันธ์เลยแม้แต่นิดเดียว
เติ้งซิวเดินมาถึงด้านหน้าของฟู่เสี่ยวกวน โค้งคำนับ และกล่าวว่า “ตามคำสั่งของใต้เท้า ข้าน้อยได้เหมาหอจิ้นสุ่ยที่อยู่ข้างกันกับทะเลสาบสือหลี่ หอจิ้นสุ่ยนี้เป็นร้านเก่าแก่กว่าร้อยปีของเมืองกวนหยุน และอาหารจานหลักยังเป็นอาหารเลิศรสของจินหลิง ด้วยความสัตย์จริง ความประณีตของอาหารราชวงศ์อู๋นั้นห่างไกลจากจินหลิงของพวกเรา ข้าน้อยคิดว่าใต้เท้าเพิ่งเดินทางมาจากจินหลิง เกรงว่าจะมิคุ้นชินกับอาหารของราชวงศ์อู๋ ข้าจึงตัดสินใจจองสถานที่นั้นด้วยตนเอง ดีหรือไม่ขอรับ”
“ดี ข้าต้องออกเดินทางยามใด ? ”
“คฤหาสน์จิ้งหูนี่ค่อนข้างอยู่ห่างจากทะเลสาบสือหลี่ ข้าน้อยอยากเชิญให้ท่านออกเดินทางตั้งแต่ยามนี้เลยขอรับ”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน ตะโกนขึ้นเสียงดัง ทุกคนจึงรีบออกมายังลาน และเดินทางออกจากตัวคฤหาสน์
เมื่อมาถึงหน้าประตู ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เชิญชวนหนิงซือเหยียน คนผู้นั้นย่อมปฏิเสธ เพียงแต่ขอให้ฟู่เสี่ยวกวนนำซีชานเทียนฉุนกลับมาให้เขาหนึ่งไห
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าข้างกายของตนนั้นมีปีศาจสุราอยู่ค่อนข้างมาก ที่ซีซานก็มีไป๋ยู่เหลียน เขาผู้นั้นก็มิยอมปล่อยให้สุราได้ห่างกาย เมืองเปียนเฉิงก็มีซูม่อ อาการติดสุรามีแนวโน้มสูงมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ก็มิทราบว่าแม่นางถาวฮวาจะสามารถทำให้เขาเลิกสุราได้หรือไม่ และในวันนี้ก็ได้เก็บปีศาจสุรามาเป็นคนเฝ้าประตู และคนผู้นี้ก็กำลังร้องเพลงที่มีชื่อว่าคลั่งสุรา ภายภาคหน้าหากทั้งสามคนได้มาอยู่ด้วยกัน เยี่ยงนั้นหนึ่งวันเขาต้องนำซีชานเทียนฉุนมามอบให้พวกเขาจำนวนเท่าใดกัน ?
ยิ่งคิดยิ่งปวดใจ ช่างเถอะ เบื่อที่จะใส่ใจกับพวกเขา ออกเดินทางได้ !
พวกเขาได้ขึ้นรถม้าออกไปจากคฤหาสน์จิ้งหูแห่งนี้ เติ้งซิวอยู่ด้านหน้าเพื่อนำทาง และออกเดินทางไปยังทะเลสาบสือหลี่อย่างครึกโครม
ฟู่เสี่ยวกวนขึ้นรถม้าคันเดียวกันกับต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน สตรีทั้งสองตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ต่างพูดคุยกันถึงคฤหาสน์จิ้งหูอย่างมิรู้จบ
“ศาลานหยวนหยางหลังนั้นสร้างได้งดงามมากยิ่งนัก โดยเฉพาะเตียงตัวนั้น ข้ามิเคยเห็นเตียงที่ใหญ่ถึงเพียงนั้นมาก่อน และก็มิทราบว่าหนิงฝาชุนผู้นั้นคิดได้เยี่ยงไรกัน”
ต่งชูหลานหัวเราะเบา ๆ และชำเลืองมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน “เตียงที่อยู่ในอาคารหรูยู่ก็ใหญ่เป็นอย่างมาก ข้ากลับชอบอาคารหรูยู่มากกว่า ตู้เสื้อผ้าหลังนั้นก็สวยงามมากยิ่งนัก ทั้งยั้งมีโต๊ะเครื่องแป้งตัวนั้น วัสดุเนื้อไม้ทั้งหมดที่นำมาใช้ต่างก็เป็นไม้เซียงหนาน เมื่อมาคิดตามในตอนนี้คฤหาสน์ราคาหนึ่งล้านตำลึงถือว่าคุ้มค่ายิ่ง”
“พรุ่งนี้พวกเราไปหอจายซิงถายกันเถอะ ข้ามิเคยเห็นอาคารที่อยู่สูงถึงเพียงนั้นมาก่อน ได้ยินว่าจายซิงถายสูงถึง 100 ฉื่อ เมื่อยืนอยู่บนหอจายซิงถายจะสามารถมองเห็นเมืองกวนหยุนได้ทั่วทั้งเมือง…เจ้ากล่าวว่าเมืองกวนหยุนเดิมทีอยู่ใจกลางเมฆา หากได้ขึ้นไปบนหอจายซิงถายแล้ว มิใช่ว่าจะได้ยืนอยู่บนก้อนเมฆหรือ”
“ฮ่า ๆ สามสถานที่ที่มีชื่อเสียงของเมืองกวนหยุน คาดมิถึงเลยว่าหนึ่งในสามสถานที่ที่มีชื่อเสียงเช่นนี้จะมาอยู่ในอาณาเขตของคฤหาสน์จิ้งหู พรุ่งนี้เช้าพวกเราไปดูกันเถอะ”
“ที่ถูกขนานนามว่าหอจายซิงถาย หากขึ้นไปดูยามค่ำคืนจะสวยยิ่งกว่าหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนไร้คำพูดขึ้นมาทันพลัน ดังนั้นจึงกล่าวขึ้นมาว่า “เยี่ยงไรเสียก็เป็นของในบ้านของตนเอง พวกเจ้าอยากขึ้นไปดูยามใดก็ขึ้นไปดูได้ทุกเมื่อ ถึงเยี่ยงไรก็มิมีธุระอยู่แล้ว จะอยู่บนนั้นทั้งวันก็ย่อมได้”
ต่งชูหลานกลอกสายตามองบนใส่เขา “เหตุใดพวกเราจึงมิมีธุระไปกัน พรุ่งนี้พวกเรายังต้องเข้าไปเดินในเมืองกวนหยุน หากบังเอิญพบเจอร้านค้า ก็จะได้เข้าไปลองซื้อสินค้าเหล่านั้นเสียเล็กน้อย”
“มิเช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเราไปเคารพเสด็จอารองของข้าเสียหน่อย พระนางคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างดี มีพระนางเป็นผู้นำทาง พวกเราคงเสียเวลาน้อยลง”
ฟู่เสี่ยวกวนมองดูหนิงซือเหยียน คิดว่าเขาจะเล่าเกี่ยวกับเรื่องของเป็ดหยวนหยางคู่นี้ คาดมิถึงว่าหนิงซือเหยียนจะหันหลังกลับเข้าเรือนไป
เขามิได้หยุดอยู่ต่อ แต่ได้พาฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ เดินผ่านสวนดอกไม้กลับไปที่ทางเดิน ไปยังศาลาเล็ก ๆ จากนั้นก็ไปที่ลานกว้างของจวน
ลานกว้างใหญ่เพียงนี้กลับมีต้นสนใหญ่เพียงต้นเดียว เห็นได้ชัดว่ามันถูกตัดแต่งเป็นทรง กิ่งก้านด้านล่างนั้นถูกตัดออก เหลือเพียงด้านบนเป็นพุ่มไสว งดงามยิ่งนัก
ที่ใต้พุ่มสนนั้นมีศาลาอยู่หลังหนึ่ง ในศาลามีโต๊ะน้ำชาที่ทำจากหยกขาวในราชวงศ์ฮั่น บนโต๊ะนั้นมีชุดน้ำชาวางอยู่ หนิงซือเหยียนคงมักมาดื่มชาที่นี่เป็นประจำ
ตรงข้ามกับศาลานี้มิใช่ภูเขาจำลอง แต่ทว่าคือ…พื้นที่รกร้าง !
“จวนหลักมิได้มอบให้เถ้าแก่ฮวา ดังนั้นที่แห่งนี้จึงค่อนข้างสะอาดบริสุทธิ์”
หนิงซือเหยียนพาพวกเขาทั้งหลายมานั่งยังศาลา “ให้คนไปทำความสะอาดเรือนได้ ส่วนห้องมากมายเช่นนี้จะจัดการเยี่ยงไร เชิญท่านจัดการได้ตามความต้องการ”
เรื่องเหล่านี้ฟู่เสี่ยวกวนมิจำเป็นต้องใส่ใจ หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานเห็นเรือนที่งดงามและกว้างขวางเพียงนี้เข้า พวกนางดูตื่นเต้นยิ่งกว่าฟู่เสี่ยวกวนเสียอีก
ที่แห่งนี้คือบ้านของพวกเขาในเมืองกวนหยุน !
เรื่องของที่อยู่อาศัยนั้น โดยมากสตรีมักจะให้ความสำคัญกว่าบุรุษทั้งหลาย ดังนั้นสตรีทั้งสองนางจึงพาบ่าวรับใช้สามคนออกจากศาลาแห่งนี้ไป ซูซูครุ่นคิดและได้ติดตามพวกนางไป ส่วนจะไปที่ใดนั้น หาได้เกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวนไม่
“บัดนี้ท่านคือเจ้าของจวนนี้แล้ว ดังนั้นชานี้ท่านเชิญต้มเองเถิด ข้าขอดื่มสุรา”
ฟู่เสี่ยวกวนเผยอปากขึ้น เขามิได้ทำท่าทีเกรงใจ กลับหันไปชงชาแล้วเอ่ยว่า “ที่ราบสูงเช่นนี้ มิเหมาะสมแก่การเลี้ยงเป็ดหยวนหยาง”
หนิงซือเหยียนดื่มสุราเข้าไป จากนั้นเลิกคิ้วขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าหาได้รู้ไม่ เพิ่งได้ยินหนิงฝาเทียนกล่าวว่า ท่านแม่เลี้ยงเป็ดหยวนหยางคู่นั้นแต่ได้ตายไปแล้ว นางเศร้าโศกเป็นเวลานาน ต่อมาจึงได้มีภาพของเป็ดหยวนหยางผู้โศกากำเนิดขึ้น…”
เขาเงยหน้าขึ้นมองดูฟู่เสี่ยวกวน “การที่ข้ามารอท่านอยู่ที่แห่งนี้ เหตุผลที่แท้จริงคือต้องการขอร้องให้ท่านประพันธ์กวีให้กับข้าสักหนึ่งบท”
เรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนเคยได้ยินอู๋หลิงเอ๋อร์เอ่ยถึงเมื่อคราอยู่จวนชิงเสียนเมืองฝานหนิง ในตอนนั้นเหยียนหรูยวี่ได้บรรจงวาดภาพนั้นออกมาจากใจสุดความสามารถ และต้องการประพันธ์กวีแก่ภาพนี้สักบท แต่สุดท้ายแล้วก็ยังมิได้เขียน กลับมาจากไปเสียก่อน
ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาลงในแก้ว แล้วยื่นออกไปด้านหน้า “ขอข้าดูภาพนั้นสักหน่อยเถิด”
เขามิได้ปฏิเสธการประพันธ์กวีแก่ภาพนี้ เนื่องจากเดิมทีภาพนี้ก็มีชื่อเสียงมากยิ่งนัก ควรคู่กับกวีของเขา
หนิงซือเหยียนคาดมิถึงว่าฟูเสี่ยวกวนจะตอบรับง่ายดายถึงเพียงนี้ เขาตกตะลึงไปหลายอึดใจ จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปทางห้องหนังสือ เมื่อเขาเดินกลับออกมาในมือถือม้วนภาพติดมาด้วยม้วนหนึ่ง
เขาเปิดม้วนภาพนั้นออกมาแขวนไว้ที่ใต้ชายคาศาลา
ฟู่เสี่ยวกวนถูกภาพนั้นดึงดูดเข้าชั่วขณะ
ดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยวอันสดใส หมอกจาง ๆ ปกคลุมทะเลสาบจิ้งหู ที่นั่นมีเป็ดหยวนหยางผู้โดดเดี่ยวสองตัวแอบอิงกัน แต่หากมองดี ๆ จะพบว่ามีตัวหนึ่งหลับตาอยู่ หัวของมันลอยอยู่บนพื้นผิวน้ำ เป็ดหยวนหยางอีกตัวหนึ่งกางปีกออกเพื่อปกป้องเป็ดหยวนหยางอีกตัวหนึ่งที่จากไปแล้ว
ดวงตาของเป็ดหยวนหยางตัวที่ยังมีชีวิตอยู่นี้บ่งบอกถึงความเศร้าโศก เปลือกตาของมันเปิดอยู่เพียงครึ่งหนึ่ง ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกว่าชีวิตของมันริบหรี่เข้าเต็มที
หัวของเป็ดหยวนหยางทั้งสองนั้นเคียงคู่กัน ฟู่เสี่ยวกวนมองไปราวกับได้เห็นเป็ดหยวนหยางตัวนี้มีชีวิต
ความรู้สึกโศกเศร้าที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาตินี้ ราวกับว่าพวกมันออกมาจากภาพวาด ทำให้ผู้ที่มองดูภาพวาดนี้ตกเข้าสู่ห้วงของอารมณ์
ซูโหรวหยุดการปักผ้าลงทันใด นางมองไปที่ภาพด้วยความตกตะลึง ดวงตาของนางมีน้ำตาไหลรินลงมา
นั่นคือความภักดีต่อความรัก นั่นคือความภักดีต่อกันตลอดชีวิต !
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้า จากนั้นละสายตามองมายังพุ่มสน แสงอาทิตย์ที่เล็ดลอดมามิได้กระทบกับใบหน้าของเขา แต่กลับผสมผสานกับชายคาทำให้เกิดเป็นเงา
“ข้าจะกล่าว ท่านโปรดเขียนตาม ! ”
หนิงซือเหยียนตกตะลึงขึ้นอีกครา เขาคิดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะประพันธ์ได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ เขาเดินไปยังห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว จากนั้นวิ่งกลับมาพร้อมกับพู่กันและหมึกในมือ
“ท่านกล่าวมาเถิด ข้าจะเขียนตาม ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงมองขึ้นไปตามช่องว่างของกิ่งสน มองเห็นท้องฟ้าสีคราม จากนั้นก็ค่อย ๆ เอ่ยออกมาว่า
“กวีบทนี้มีชื่อว่า กวีเจ๋อเจียลิ่ง บทแห่งความหลงใหล”
แต่เดิมมิได้เคยคะนึงหา
เพิ่งได้มารู้จักรักถวิล
กลับต้องมานั่งทุกข์เป็นอาจิณ
จิตระหวยรวยรินบินล่องลอย
กลิ่นหอมละมุนคลุ้งมิลืมเลือน
ยังเสมือนใฝ่หาเจ้าเฝ้าแหนหวง
เมฆามืดไร้เงา จันทร์ครึ่งดวง
ระทมทรวง ปวดอุราพาเศร้าใจ”
……
กวีทั้งบทนี้มิมีคำว่าหยวนหยาง แต่กลับสัมผัสได้ถึงความรำพึงรักและผูกพันอย่างลึกซึ้งได้อย่างน่าอัศจรรย์ !
หนิงซือเหยียนกำพู่กันไว้ในมือแน่น จากนั้นมองไปยังกวีที่เขาเขียนตามฟู่เสี่ยวกวนเมื่อครู่ แล้วตกตะลึงอยู่เนิ่นนาน เขารู้สึกหดหู่มากยิ่งนัก จากนั้นน้ำตาก็ได้ไหลอาบลงสองข้างแก้ม
เขามิรู้ถึงความละเอียดอ่อนของกวีนี้ แต่เขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดและขมขื่นที่สื่อออกมาได้ เสมือนกับเป็ดหยวนหยางในภาพนี้ เนื่องจากคู่ของมันได้ตายจากไป อีกตัวหนึ่งจึงได้ตกอยู่ในความเศร้าโศกาโดยมิสนใจสิ่งรอบข้าง มิสนใจว่าวันเวลาจะผ่านไปเยี่ยงไร
ในขณะนั้นเอง มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นมาจากด้านนอกเรือน
ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ พากันเงยหน้าขึ้นมา และพบว่าองค์หญิงไท่ผิงเสด็จมาพร้อมกับทหารหญิงหลายสิบคน
สีพระพักตร์ขององค์หญิงไท่ผิงเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสราวกับดวงอาทิตย์ นางยืนอยู่เบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยว่า “ข้าได้ยินมาว่าบรรดาศิษย์แห่งสำนักศึกษาหลีชานไปหาเรื่องเจ้า จึงได้ตามไปที่นั่น จากนั้นจึงได้รู้ว่าเจ้าชนะถังเชียนจวิน และต่อจากนั้นจึงได้รู้ว่าเจ้าย้ายมาอาศัยอยู่ที่นี่ จึงได้เดินทางมาดูเสียหน่อย…อ่า…ภาพนี้คือเป็ดหยวนหยางผู้เศร้าโศกามิใช่หรือ ? ”
อู๋หลิงเอ๋อร์หันหลังไปมอง พบว่ารูปนั้นถูกแขวนอยู่ที่ใต้ชายคาศาลา
“อ่า…ประพันธ์กวีไปแล้วหรือ ! ”
“กวีเจ๋อเจียลิ่ง บทแห่งความหลงใหล”
“แต่เดิมมิได้เคยคะนึงหา เพิ่งได้มารู้จักรักถวิล กลับต้องมานั่งทุกข์เป็นอาจิณ…จิตระหวยรวยรินบินล่องลอย”
อู๋หลิงเอ๋อร์ตกตะลึงหลังจากได้อ่านกวีนี้ นางมิอาจละสายตาไปได้เลย
“…กลิ่นหอมละมุนคลุ้งมิลืมเลือน ยังเสมือนใฝ่หาเจ้าเฝ้าแหนหวง เมฆามืดไร้เงา จันทร์ครึ่งดวง ระทมทรวง ปวดอุราพาเศร้าใจ”
นี่เขาเขียนถึงข้ามิใช่หรือ ?
อู๋หลิงเอ๋อร์ตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด นางหวนนึกถึงทุกเรื่องราวนับแต่รู้จักกับฟู่เสี่ยวกวน
เนื่องจากนางเคยอ่านหนังสือความฝันในหอแดง และได้คิดถึงคำนึงหาฟู่เสี่ยวกวนเสมอมา ความคิดถึงนั้นทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งทำให้นางมิอาจข่มตาลงนอนได้ มากเพียงพอที่ทำให้นางนับวันตั้งตารอจดหมายจากหลิ่วเยียนเอ๋อร์ และมากมายถึงขนาดที่นางวางแผนไว้ล่วงหน้าว่างานชุมนุมวรรณกรรมราชวงศ์อู๋ในครั้งนี้จะปรากฏตัวให้เขาเห็นเยี่ยงไรดี…นางเป็นทุกข์เพราะความคะนึงหาอย่างแท้จริง !
ผ่านไปชั่วครู่ อู๋หลิงเอ๋อร์จึงละสายตาจากภาพนั้นแล้วกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับมองไปยังหนิงซือเหยียนและฟู่เสี่ยวกวน
ดวงตาของนางส่องแสงเป็นประกาย ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสุขอย่างมิรู้จบ ราวกับนางจะลืมความตั้งใจในตอนแรก ที่มาเยือนไปเสียแล้ว นางอยากจะเอ่ยกับฟู่เสี่ยวกวนว่า ข้าครุ่นคิดดูแล้ว เจ้าเป็นพี่ชายของข้าได้หรือไม่ ?
แต่บัดนี้ นางสลัดความคิดนี้ทิ้งไปเสียแล้วเนื่องจากบทกวีบทนี้ !
จากบทกวีบทนี้ ทำให้นางเข้าใจว่าความลุ่มหลงคือสิ่งใด ความคะนึงหาคือสิ่งใด และเยี่ยงไรที่เรียกว่ามิอาจพรากจากกันชั่วนิรันดร์
ดังนั้นนางจึงเอ่ยออกมาว่า “ในเมื่อกวีบทนี้ท่านเป็นผู้ประพันธ์ขึ้นมา แต่ข้ามีความรู้สึกว่าเจ้ากำลังเอ่ยถึงข้า ดังนั้น…ประโยคที่เจ้ากล่าวขึ้นมาเมื่อเช้า ณ กวนหยุนถาย ข้าครุ่นคิดพิจารณาไตร่ตรองอย่างดีแล้ว เจ้ามีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธข้า แต่เจ้าก็ควรจะเคารพในการที่ข้าชอบเจ้าด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนอ้าปากค้าง ไร้ซึ่งคำกล่าวและคำตอบใด ๆ
ตอนที่ 305 บ้านหนึ่งล้านตำลึง
ปัญหาของการกินและการอาศัย ฟู่เสี่ยวกวนได้พบว่ายิ่งอยู่ตนยิ่งจุกจิกขึ้นเรื่อย ๆ
คาดว่าจะเป็นความประหยัดไปสู่ความฟุ่มเฟือยโดยคร่าว ๆ ก็เป็นได้
เมื่อเอาชนะถังเชียนจวินได้แล้ว ผู้คนของราชวงศ์หยูก็มีความสุขอย่างถึงที่สุด จิตใจของฟู่เสี่ยวกวนก็มีความสุขเป็นอย่างมาก จึงกำชับกับเติ้งซิวว่า “เจ้าจงไปยังร้านอาหารที่ดีที่สุดของเมืองกวนหยุน จอง…เหมาทั้งร้านไปเลย เกรงว่าบ่ายนี้คงจะมิทันกาล จองไว้เย็นนี้ ค่ำนี้พวกเราทุกคนจะไปดื่มและกินกันให้เต็มที่ ! ”
นี่คือเรื่องที่ดีที่สุด ดังนั้นทุกคนจึงโห่ร้องกันถ้วนหน้า แต่จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็กล่าวกับบัณฑิตทั้งหนึ่งร้อยคนอีกว่า “พรุ่งนี้ ก่อนมื้อกลางวัน พวกเจ้าต้องมีคำตอบให้กับทั้งสองคำถามของข้า หากมีคนมิส่ง ก็ต้องขออภัย เพราะข้าจะเชิญเจ้ากลับ”
“นอกจากนี้ ประเดี๋ยวข้าจะย้ายออกจากที่นี่แล้ว เติ้งซิวจะไปพร้อมกับข้า ข้าจะมิยุ่งกับความประพฤติของพวกเจ้าในที่ของราชวงศ์อู๋แห่งนี้ แต่จงจำไว้ มิว่าผู้ใดหากต้องการออกไปข้างนอกต้องรายงานสวี่หวยซู่เสนาบดีกรมพิธีการและขุนนางในสถานทูต มิเช่นนั้นจะถูกมองว่าเป็นสายสืบ คร่าว ๆ ก็ประมาณนี้ หากมีเวลาว่างข้าจะมาที่นี่ หากพวกเจ้ามีคำถามเกี่ยวกับเรื่องการค้นคว้าหรือการค้า ข้าจะมาอธิบายให้แก่พวกเจ้าตอนที่ข้ามาที่นี่ ส่วนเรื่องของคำสอน…อย่าได้ถามข้าเกี่ยวกับสิ่งนี้ พวกเจ้าต้องเข้าใจด้วยตนเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนส่งตั๋วเงิน 1,000 ตำลึงให้แก่เติ้งซิว หลังจากนั้นท่ามกลางสายตาของทุกคน เขาก็ได้พาหยูเวิ่นหวินกับต่งชูหลาน รวมไปถึงบ่าวรับใช้ของพวกเขา และย่อมมีลูกศิษย์ทั้งสามของสำนักเต๋า พวกเขาต่างยกสัมภาระ ขึ้นรถม้าและออกไปจากที่แห่งนี้
“ท่านอาจารย์จะไปที่ใดกัน ? ”
“มิทราบเช่นกัน หรือว่าองค์หญิงไท่ผิงจะจัดเตรียมสถานที่ที่อื่นไว้อีก ? ”
“หรือว่าท่านอาจารย์จะยังมีญาติอยู่ที่เมืองกวนหยุนกัน ? ”
“ได้ยินว่าองค์หญิงรองหยูหยูของราชวงศ์เราอภิเษกสมรสกับติ้งกั๋วโหวแห่งราชวงศ์อู๋ พระนางเป็นเสด็จป้ารองขององค์หญิงเก้า เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเชิญพวกเขาไปพำนักที่จวนโหว ? ”
“พวกเจ้ามิต้องเดาสุ่มไปหรอก การกระทำของท่านอาจารย์มักมีความนัยแฝงอยู่ เจ้าหรือข้าสามารถคาดได้เยี่ยงนั้นหรือ เอาล่ะ แยกย้ายกันกลับที่พักเถิด แต่จงอย่าลืมคิดหาคำตอบที่สมบูรณ์แบบให้กับสองคำถามนั้นด้วย หากทำมิเสร็จ…ค่ำวันนี้ก็เลิกคิดถึงเรื่องที่จะเมาหัวราน้ำไปได้เลย”
ฉินเหวินเจ๋อกล่าวจบ ก็หันหลังกลับเข้าห้องไป เมื่อเหล่าลูกศิษย์นึกถึงท่าทางเข้มงวดของอาจารย์ขึ้นมา ดังนั้นพวกเขาจึงแยกย้ายกันไป
…..
คฤหาสน์จิ้งหูนี้เคยเป็นทรัพย์สมบัติของราชวงศ์ในอดีต และเรือนชิงเสียนในปัจจุบันนี้ก็ตั้งอยู่ริมทะเลสาบจิ้งหู
ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองกวนหยุน ภายในระยะสองลี้นี้ไร้การปลูกสร้างอื่นใด เงียบสงบเป็นอย่างยิ่ง
ในยามที่เติ้งซิวพาฟู่เสี่ยวกวนและคณะมาถึงทะเลสาบจิ้งหู พอลงจากรถม้าฟู่เสี่ยวกวนก็ได้หันไปพบอาคารหลายชั้นที่สร้างขึ้นรอบล้อมทะเลสาบจิ้งหูมีต้นสนสีเขียวและต้นไผ่เป็นผืนแผ่น ถึงได้พบว่าคุ้มค่ากับเงินหนึ่งล้านตำลึงยิ่ง ที่นี่ใหญ่กว่าจวนฟู่ที่จินหลิงหลายเท่า !
“เดิมทีสถานที่แห่งนี้ถูกเถ้าแก่ฮวาแห่งทะเลสาบสือหลี่สร้างให้เป็น…หอนางโลม ข้ามิทราบว่าบิดาของท่านจะซื้อที่แห่งนี้จริง ๆ…” เติ้งซิวสอดสายมองไปรอบ ๆ และกล่าวอีกว่า “แต่เหมือนว่าในวันนี้ผู้คนจะอพยพไปกันแล้ว เพียงแต่มิทราบว่าสิ่งของด้านในจะได้รับความเสียหายหรือไม่”
ทุกคนเดินตามทางเดินหินเส้นเล็ก ๆ ไปยังเรือนชิงเสียน แต่แล้วก็มีคนหนึ่งคนเดินออกมา
เป็นชายหนุ่มผู้หนึ่งสะพายกระบี่เล่มใหญ่ไว้ที่หลัง ในมือมีไหสุราขนาดใหญ่อยู่หนึ่งไห
เขาคือหนิงซือเหยียน !
เขาเดินตรงไปยังเบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวนและพรรคพวก สายตาสบมองใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน
“เจ้าคือฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ส่วนเจ้าก็คือหนิงซือเหยียนเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ทั้งสองมิเคยพบกันมาก่อน แต่พวกเขากลับยืนยันตัวตนของฝ่ายตรงข้ามได้ในทันทีที่พบหน้ากัน
“ข้ารอเจ้าอยู่ที่นี่มาโดยตลอด ได้ยินว่าเจ้าเอาชนะถังเชียนจวินมาได้ นี่มิใช่ข่าวดี ข้าจะพาเจ้าไปทำความคุ้นเคยกับที่นี่ก่อนชั่วครู่ และส่งมอบหน้าที่ทั้งหมดให้แก่เจ้า ที่นี่ในภายภาคหน้า…เจ้าคือเจ้าของบ้าน ประเดี๋ยวข้าจะบอกเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของเมืองกวนหยุนนี้ ตามข้ามาเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด เอาชนะถังเชียนจวินได้มิใช่ข่าวดีเยี่ยงนั้นหรือ ?
ทันใดนั้นเขาก็ได้เข้าใจขึ้นมา ในวันนี้เขาไม่เพียงเอาชนะถังเชียนจวินมาได้ แต่กลับเอาชนะความภาคภูมิใจของเหล่าบัณฑิตราชวงศ์อู๋มาด้วย !
เหล่าบัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋ย่อมภาคภูมิใจในวรยุทธ์ของตน แต่ข้ากลับเหยียบย่ำเกียรติยศของพวกเขา เยี่ยงนั้นพวกเขาย่อมออกมาปกป้องเกียรติยศ ต่อจากนี้ย่อมเกิดการท้าทายขึ้นอีกคราเป็นแน่ !
บัดซบ ! ในตอนนั้นมิได้ตระหนักถึงมันเลย หากตอนนั้นพ่ายแพ้ให้กับถังเชียนจวิน ศักยภาพของถังเชียนจวินเทียบเคียงผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นสอง ตนพ่ายแพ้ก็มิได้น่าอายอันใด ทั้งยังเป็นการให้เกียรติแก่บัณฑิตราชวงศ์อู๋ และเป็นการกำจัดเรื่องน่ารำคาญในภายภาคหน้าของตนเองอีกด้วย
แต่เขากลับชนะไปแล้ว ชัยชนะนี้มองดูเหมือนความรุ่งโรจน์ แต่แท้จริงแล้วเป็นปัญหาที่ไม่รู้จบ !
หนิงซือเหยียนผู้นี้ ไหนเลยจะเหมือนกับคนคลั่งสุราตามที่อู๋หลิงเอ๋อร์ได้กล่าวไว้ ?
คนผู้นี้มีความคิดที่รอบคอบยิ่ง เป็นผู้มีความสามารถผู้หนึ่ง !
“หากเจ้าจะถามข้าว่าที่นี่มีอาคารอยู่มากน้อยเพียงเท่าใด ข้าเองก็มิทราบ แท้จริงแล้วข้าเองก็อาศัยอยู่ที่นี่มิได้นานนัก หลังจากที่ทราบว่าหนิงฝาเทียนขายที่แห่งนี้ให้กับบิดาของเจ้า ข้าถึงได้พบว่าข้ามิได้อาลัยอาวรณ์เท่าใด ทางนี้จะตรงไปยังเรือนหลักของเรือนชิงเสียน ข้ากลับรู้สึกว่าทางเดินนี้ควรปรับเปลี่ยน หากสร้างรอบทะเลสาบคาดว่าจะสวยงามยิ่งกว่านี้…”
ตลอดทางที่เดินผ่าน หนิงซือเหยียนก็เอ่ยแนะนำไปตลอดทาง ฟู่เสี่ยวกวนจึงพบเข้าหนึ่งปัญหา คนผู้นี้มิได้เรียกหนิงฝาเทียนว่าพ่อหรือบิดาเลย แต่กลับเอ่ยนามออกมาห้วน ๆ แต่กับเหยียนหรูยวี่ เขาจะเรียกว่าท่านแม่เสมอ และในน้ำเสียงก็แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่าไม่พอใจในบิดาของตนยิ่ง และยังได้แสดงให้เห็นถึงความคำนึงที่มีต่อมารดา
“ป่าท้อผืนนี้มารดาของข้าเป็นคนปลูกด้วยตนเอง รวมไปถึงสวนลูกแพร์ทางด้านนั้น แท้จริงแล้วยังมีสวนดอกซิ่งฮวาสวนดอกเหม่ยฮวาและอื่น ๆ เจ้าไปดูด้วยตนเองเถิด…”
“การป้องกันของเรือนแห่งนี้มิค่อยดีนัก หากเจ้าต้องพักอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน ข้าแนะนำให้เจ้าหาผู้ดูแลมาเสียหน่อย นอกจากนั้นก็สร้างหอสังเกตการณ์อีกสักเล็กน้อย”
“และแน่นอน หากศิษย์สำนักเต๋าทั้งสามสามารถอยู่ที่นี่ปกป้องเจ้าได้เป็นเวลานาน ก็ถือเสียว่าข้ามิได้เอ่ยอันใด”
พวกเขาเดินผ่านผืนป่านั้นไป จนมาถึงสถานที่ที่เปิดโล่งแห่งหนึ่ง จึงได้เห็นเขาที่อยู่ไม่ห่างกันมาก และบนภูเขานั้นได้มีหอคอยสูงตั้งอยู่
“นั่นมิใช่หอคอย มันคือจายซิงถาย กล่าวกันว่าจายซิงถายมีชื่อเสียงเท่ากับกวนหยุนถายรวมไปถึงหลิวหยุนถาย… บางทีอาจจะใช่ก็ได้ ที่แห่งนั้นสูงจนเกินไป พวกเจ้าค่อยไปดูเองในภายภาคหน้าเถิด”
หนิงซือเหยียนไม่ได้พาฟู่เสี่ยวกวนไปยังจายซิงถาย แต่กลับหักเลี้ยวไปอีกทาง จึงได้เห็นจวนสีแดงขนาดใหญ่ เขายื่นมือชี้ไป และกล่าวว่า “นั่นคือเรือนหลัก เรือนชิงเสียน”
“ในอดีตท่านแม่เคยไปยังจินหลิง นางชอบสิ่งก่อสร้างของจินหลิง ดังนั้นหนิงฝาชุนจึงได้รื้อถอนอาคารเดิม และสร้างจวนหลังนี้ตามแบบอาคารของจินหลิงในแบบราชวงศ์หยูของพวกเจ้า แต่ในวันนี้พวกเจ้าได้กลายเป็นเจ้าบ้านของที่นี่ ก็ถือได้ว่าอาจจะถูกใจของพวกเจ้า บางทีนี่อาจเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิต”
เมื่อข้ามผ่านทางเดินเล็ก ๆ ในป่า พวกเขาก็ได้มาถึงหน้าประตูของลานบ้าน ประตูหน้าหันไปทางทะเลสาบจิ้งหู หยุดยืนอยู่หน้าประตู จะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิของทะเลสาบจิ้งหูได้อย่างชัดเจน
เมื่อเทียบกับทะเลสาบซวนอู่ มันย่อมเล็กกว่ากันมาก ในยามนี้ได้เผยทัศนียภาพที่สวยงามละเอียดอ่อนออกมาให้เชยชม
หนิงซือเหยียนชี้ไปยังทะเลสาบจิ้งหู และกล่าวว่า “คราหนึ่ง ในทะเลสาบจิ้งหูแห่งนี้มีเป็ดอยู่คู่หนึ่ง”
ตอนที่ 304 มิสมเหตุสมผล
ถังเชียนจวินพ่ายแพ้เยี่ยงนั้นหรือ ?
ในฐานะผู้มีความสามารถสิบอันดับแรกของสำนักศึกษาหลีชาน ถังเชียนจวินพ่ายแพ้ต่อฟู่เสี่ยวกวน !
บัณฑิตราชวงศ์อู๋มิอาจยอมรับผลการตัดสินเช่นนี้ได้ บัดนี้ทุกสิ่งตกอยู่ในความเงียบสงบ แม้แต่กลุ่มสตรีผู้บ้าคลั่งต่างก็พากันเหม่อมอง
พวกนางยอมรับฟู่เสี่ยวกวนผู้มีพรสวรรค์จากราชวงศ์หยูได้ แต่พวกนางมิอาจจะยอมรับได้ว่าถังเชียนจวินจะพ่ายแพ้ให้กับผู้ไร้ความสามารถแห่งราชวงศ์หยูได้ !
แต่ในเมื่อถังเชียนจวินยอมรับว่าเขาพ่ายแพ้ และดูเหมือนว่าจะยอมรับอย่างเต็มอกเต็มใจเสียด้วย ถ้าเช่นนั้นฟู่เสี่ยวกวนชายหนุ่มผู้นี้ก็มีความสามารถทั้งด้านวรรณกรรมและการต่อสู้เยี่ยงนั้นหรือ ?
บัณฑิตในราชวงศ์อู๋รู้ดีว่าฟู่เสี่ยวกวนมีความสามารถด้านวรรณกรรมที่พวกเขายากจะเทียบเท่า เนื่องจากการที่พวกเขารู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาร่วมงานชุมนุมวรรณกรรม จึงได้วางแผนในวันนี้ขึ้นมา
ในเมื่อวรรณกรรมสู้เขามิได้ เช่นนั้นประลองกันด้านต่อสู้คงจะชนะได้ แม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะได้รับชัยชนะในงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้ แต่พวกเขาก็นับว่าเสมอกัน
แต่บัดนี้…แม้แต่การต่อสู้ก็ยังพ่ายแพ้แก่เขา !
หากด้านวรรณกรรมก็พ่ายแพ้อีกล่ะก็ พวกเขาก็แพ้ทั้งสองอย่างเลยมิใช่รึ ?
ไม่สิ พวกเขาแพ้ถึงสามอย่าง พวกเขาต้องสูญเสียองค์หญิงไท่ผิงไปอีกด้วย
ถ้าเช่นนั้น ข้อมูลของฟู่เสี่ยวกวนที่พวกเขาได้รับคือข้อมูลเท็จ !
ให้ตายสิ สายสืบของหอเชียนจี แม้แต่เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนมีความสามารถทั้งวรรณกรรมและการต่อสู้ พวกเขามิรู้ได้เยี่ยงไร !
บัณฑิตราชวงศ์อู๋ต่างพากันหงุดหงิดและมิพอใจ ถังเชียนจวินเองที่ต้องเผชิญหน้ากับผลลัพธ์เช่นนี้ก็ได้แต่โทษตนเอง
เขาหันกลับมาโค้งคำนับให้กับเพื่อนร่วมชั้นเหล่านั้นและกล่าวว่า “เชียนจวินไร้ซึ่งความสามารถ เรื่องราวทั้งหลายได้จบลงแล้ว สัญญาก่อนหน้านี้ แพ้ก็คือแพ้ เชิญพวกท่านกลับไปเถิด ! ”
บัณฑิตทั้งหลายพากันนิ่งเงียบ พวกเขาหันไปทางฟู่เสี่ยวกวน ทำความคารวะแล้วกล่าวว่า “ข้าน้อยได้รับบทเรียนมากมายในการต่อสู้ครานี้ ไว้คราหน้าขอท่านโปรดช่วยชี้แนะด้วย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ยิ้มระรื่นนัก เนื่องจากการต่อสู้เมื่อครู่ช่างอันตรายเสียจริง กำลังภายในของเขาไม่สามารถเทียบกับถังเชียนจวินได้ถึงจะเป็นไทเก็กแต่ก็มีขีดจำกัด ในท้ายที่สุดเขาทำได้เพียงผลักฝ่ามือทั้งสองข้างออกไป เพราะตอนนี้กำลังภายในของถังเชียนจวินถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว ถ้าเขายังไม่รีบลงมือละก็ หากไทเก็กของเขาถูกทำลายลง ก็คงจะถูกทำร้ายจนตายเป็นแน่
ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะต่อสู้จนทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บเช่นนี้ !
และการที่เขาแข็งแกร่งกว่าถังเชียนจวินเล็กน้อย นั่นเป็นเพราะว่าเขาสวมชุดคราบจักจั่นที่ขันทีเจี่ยให้เขาไว้นั่นเอง
ชุดนี้ดูดซับแรงกระแทกจากกำลังภายในที่ถังเชียนจวินส่งออกมา จึงทำให้เขามิได้กระอักเลือดออกมา
หากประลองกันอีกครา ความลับคงถูกเปิดเผยเป็นแน่ !
ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงรีบเอ่ยขึ้นว่า “เรื่องการต่อสู้นั้นช่างเถิด ข้ามีอีกหลายเรื่องต้องจัดการ เจ้าเองก็คงมีเช่นกัน พวกเราลบล้างทุกสิ่งไว้ที่นี่เถิด”
ถังเชียนจวินดวงตาเป็นประกาย “มิได้ พวกเราจะได้พบกันใหม่ที่ยุทธภพอีกแน่นอน ! ”
“ข้าน้อยเชียนจวินขอตัวก่อน คราหน้าขอให้ท่านช่วยชี้แนะด้วย ! ”
ถังเชียนจวินยกมือกำขึ้นคารวะ จากนั้นหันหลังเดินจากไป ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกไม่ดีนัก เขาโบกไม้โบกมือแล้วตะโกนออกไปว่า “เชียนจวิน ยุทธภพนั้นลึกยิ่ง พวกเรามิมีความจำเป็นต้องพบกันอีกแล้ว ! ”
บัณฑิตราชวงศ์หยูทั้งหลายพากันเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ มีเพียงสตรีกลุ่มหนึ่งที่ยักคิ้วหลิ่วตาเอ่ยกับฟู่เสี่ยวกวนก่อนจากไปว่า “ข้าว่ายน้ำเก่งยิ่ง จะให้ข้าพาคุณชายฟู่ไปท่องเที่ยวยุทธภพด้วยหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนพึมพำอยู่ในใจ เกรงว่าข้าจะจมน้ำตายเสียก่อนสิ !
……
ท่าป๋ายวนและเยียนหานยวี่ก็หันหลังพาบัณฑิตจากแคว้นของเขาออกไปจากที่นั่น ทั้งสองขึ้นขี่ม้า สีหน้าช่างเยือกเย็น
“ไร้เหตุผลเสียจริง ! ” ท่าป๋ายวนขมวดคิ้วพร้อมกับเอ่ยขึ้น จากนั้นก็อุ้มสตรีนางหนึ่งที่อยู่ข้างกายขึ้นมา “ถังเชียนจวินอ่อนข้อให้เขาหรือไม่ ? ผู้ที่จะเข้าสู่ขั้นที่สอง จะแพ้เพียงผู้ที่เพิ่งแตะขั้นที่สามได้เยี่ยงไร ? ”
เยียนหานยวี่ก็ยกแขนไปโอบสตรีนางหนึ่งขึ้นมานั่งบนตักเช่นกัน แล้วใช้แรงบิดไปที่แก้มของนาง สตรีนางนั้นส่งเสียงร้องออกมาอย่างออดอ้อน
“เขากล่าวว่ากระบวนท่านั้นชื่อว่าไทเก็ก เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ ? ”
ท่าป๋ายวนส่ายหัว “หรือจะเป็นกระบวนท่าสูงสุดแห่งสำนักเต๋ากัน ? ”
“รอให้ข้ากลับไปจะตรวจสอบเรื่องนี้ ศิษย์จากสำนักเต๋าอยู่ข้างกายเขาถึง 3 คน การที่พวกเราจะจัดการเขามิใช่เรื่องง่าย นอกเสียจากหลอกล่อให้เขาออกมาเพียงลำพัง”
ท่าป๋ายวนครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “เจ้าหมอนี่ช่างระมัดระวังตัวยิ่ง ทุกคราที่ออกเดินทางไปที่ใดจะพาพวกเขาอย่างน้อยหนึ่งคนติดตามไปด้วย เช่นที่กวนหยุนถายเขาก็ได้พาแม่นางซูซูไปด้วย”
เยียนหานยวี่หัวเราะออกมา “เขามิใช่เทพเจ้า ข้ามิเชื่อหรอกว่าจะเขาจะไร้จุดอ่อน”
สตรีที่อยู่ในอ้อมอกเขากล่าวขึ้นว่า “ชายหนุ่มคนใดไร้ซึ่งจุดอ่อนกัน ? เงินทอง, อำนาจ, สาวงาม ต้องมีสักอย่างที่เขาชื่นชอบ นอกเสียจากเขาจะเป็นพระที่ไร้กิเลส”
เยียนหานยวี่หัวเราะออกมาแล้วนำมือฟาดไปยังก้นของหญิงสาวผู้นั้นจนนางร้องออกมา
“หลิวหยุนถาย เขาจะต้องไปที่นั่นเป็นแน่ ต่อให้เขามิไป ข้าก็จะวางแผนให้เขาไปให้ได้ ! ”
“แต่มีศิษย์ทั้งสามแห่งสำนักเต๋าติดตามไปด้วย เจ้าจะทำอันใดได้ ? ”
เยียนหานยวี่มองดูท่าป๋ายวนแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบว่า “ฉือมู่ มือดาบผู้บ้าคลั่งแห่งแคว้นฮวง เพิ่งออกมาจากคุกของท่านพ่อเจ้ามิใช่หรือ ? ข้าได้ยินมาว่า…เขากำลังมุ่งหน้าไปยังกวนหยุนถาย คาดว่าสองวันนี้คงจะมาถึงแล้ว ท่านพ่อของเจ้าส่งมาอารักขาเจ้ามิใช่รึ ? ”
ท่าป๋ายวนตกตะลึงไปชั่วครู่ เยียนหานยวี่ยิ้มเผยอยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “แคว้นของเราสองได้ลงนามร่วมมือกัน เป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกัน เสด็จพ่อของข้าและท่านพ่อของเจ้าหารือเกี่ยวกับนโยบายของแคว้นหยู ซึ่งทำให้แคว้นหยูคิดว่าแคว้นฮวงจะโจมตีด่านเยี่ยนซาน แต่คงคาดมิถึงว่าแคว้นอี๋ของเราต่างหากที่จะบุกโจมตีแคว้นหยู กลยุทธ์ลับนี้เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น าเราทั้งสองเองก็ควรซื่อสัตย์ต่อกันด้วย”
“ข้าขอบอกกับเจ้าตามตรงว่า ในสงครามทางตะวันออก แคว้นหยูมีปืนใหญ่แบบใหม่ปรากฏขึ้น ทั้งหมดมีเพียง 20 กว่ากระบอก แต่กลับทำให้ฝ่ายข้าสูญเสียอย่างหนัก เจ้าสิ่งนี้ทำขึ้นโดยฟู่เสี่ยวกวน เจ้าว่า…ถ้าราชวงศ์หยูมีปืนใหญ่สักร้อยพันกระบอก แคว้นของเราทั้งสองจะจัดการกับมันเยี่ยงไร ? ”
“เสด็จพ่อให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ยิ่ง ดังนั้นแคว้นข้าจึงได้ส่งกงซุนเดินทางมายังเมืองกวนหยุนนี้ด้วย จุดประสงค์มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น…” เยียนหานยวี่แสดงสีหน้าอันน่ากลัวออกมาแล้วเอ่ยทีละคำอย่างชัดเจนว่า “ฟู่เสี่ยวกวนจะต้องตาย ! ”
ท่าป๋ายวนตกตะลึง เขาเพิ่งรับรู้ว่าการมีชีวิตอยู่ของฟู่เสี่ยวกวนเป็นอันตรายต่อแคว้นอี๋และแคว้นฮวงเพียงใด
แม้ว่าเขาจะมิเคยเห็นปืนใหญ่ด้วยตาตนเองมาก่อน แต่ก่อนหน้านี้ปืนใหญ่มิได้มีประโยชน์อันใดซี่โครงไก่ยังมีประโยชน์เสียกว่า
แต่เจ้าสิ่งนี้กลับนำมาใช้ในสงครามตะวันออกของแคว้นหยู อีกทั้งยังทำให้แคว้นอี๋สูญเสียมากมาย เห็นได้ชัดว่ามันถูกปรับปรุงอย่างก้าวกระโดด กลายมาเป็นอาวุธอันน่ากลัว
ฟู่เสี่ยวกวนทำได้เยี่ยงไรกัน ?
เขาเป็นเพียงพวกบ้าคลั่งในหนังสือ หรืออาจจะพอมีความสามารถด้านการต่อสู้อยู่บ้าง แต่เขากลับค้นคว้าเกี่ยวกับปืนใหญ่และดูเหมือนว่าจะประสบความสำเร็จอย่างมาก ซึ่งมิสมเหตุสมผลเอาเสียเลย !
สีหน้าของท่าป๋ายวนมืดหม่นลง แผนการล่อลวงการโจมตีแคว้นหยูนั้นเขามิได้รู้รายละเอียดมากนัก เขารู้เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วแคว้นอี๋และแคว้นฮวงจะแบ่งกันยึดครองพื้นที่ของแคว้นหยู
แต่ในวันนี้เมื่อมีฟู่เสี่ยวกวนปรากฏตัวขึ้น เขาเป็นหมากที่ไม่ได้วางไว้แต่แรกและคาดมิถึง ดังนั้นแคว้นอี๋จะต้องฆ่าเขาให้ได้ เช่นเดียวกันว่าแคว้นฮวงก็ต้องการให้เขาตายด้วย
“ข้าและเจ้าหลังกลับจากที่นี่จงมาร่วมมือกันวางแผนเถอะ อ่า…แม่นางสองคนนี้เล่า จะทำเช่นไร ? ”
“จะทำเช่นไรได้อีก ? ”
เสียงดังฉึบ ๆ ! สตรีทั้งสองนางก็ไร้ซึ่งลมหายใจไปทันพลัน และขบวนรถม้าก็ได้เข้าสู่สถานทูตของแคว้นฮวง
ตอนที่ 303 ไทเก็ก
ซูเจวี๋ยมิได้จัดหมวก ท่าทางของเขาดูเคร่งเครียด แต่กลับพยักหน้า “เขายังสามารถสู้ได้ ! ”
ใจของต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินต่างก็หล่นวูบไปแล้ว เหล่าบัณฑิตสำนักศึกษาและเหล่าขุนนางกรมพิธีการในขณะนี้ต่างจดจ้องด้วยความเคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด บนกำแพงนั้นมีผู้คนปีนขึ้นไปจนเต็ม
ด้านหลังของบัณฑิตราชวงศ์อู๋ก็มีกลุ่มคนที่เพิ่งมาถึงได้ไม่นาน
พวกเขาคือบัณฑิตทั้งสองแคว้นโดยมีเยียนหานยวี่และท่าป๋ายวนเป็นผู้นำ ฝานเทียนหนิงมิได้มา แต่คาดมิถึงว่าชายชราในชุดสีเขียวที่ติดตามเขาบนกวนหยุนถายก็เฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ เช่นกัน
เยียนหานยวี่และท่าป๋ายวนได้ยินมาว่าบัณฑิตราชวงศ์อู๋เปิดลานประลอง จึงได้เร่งรีบมา ในขณะนั้นก็ทันมาเห็นการต่อสู้คราที่สามของฟู่เสี่ยวกวนพอดิบพอดี
“คาดมิถึงว่าคนผู้นั้นจะเข้าสู้เส้นทางวรยุทธ์แล้ว” ท่าป๋ายวนกล่าวขึ้นมาหนึ่งประโยค ทันใดนั้นก็นึกถึงหอหยิงปินที่เมืองฝานหนิงขึ้นมาได้ ลูกเตะของเยียนหานยวี่เตะจนฟู่เสี่ยวกวนตัวปลิว หากฟู่เสี่ยวกวนเข้าสู่เส้นทางวรยุทธ์แล้ว จะมิมีทางตัวปลิวเพราะลูกเตะนั้นได้
ท่าป๋ายวนเหลือบมองเยียนหานยวี่ และกล่าวอีกว่า “เจ้าโดนฟู่เสี่ยวกวนตลบหลังแล้ว ! ”
เยียนหานยวี่ในยามนี้ย่อมรู้แจ้งแล้ว เขาจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างดุดัน ขบกรามแน่นและกล่าวว่า “ข้าจะทำให้เขานึกเสียใจ ! ”
อีกด้านหนึ่งชายชราในชุดสีเขียวก็คิ้วขมวดทันพลัน เพราะเขาอ่านกระบวนท่าของฟู่เสี่ยวกวนไม่ออก
……
ถังเชียนจวินหนึ่งดาบพันชั่งราวกับยอดเขาไท่ซาน ในสายตาของชายชุดเขียว กำลังภายในของฟู่เสี่ยวกวนย่อมห่างชั้นจากถังเชียนจวิน เช่นนั้นเขาสมควรจะถอยไปโดยปริยาย เพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย และค่อยหาโอกาสอีกครา
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับมิร่นถอย
มิเพียงแต่เขาจะมิถอยเท่านั้น เขายังดาหน้าเข้าไปอีก !
“ฟู่เสี่ยวกวนแพ้แล้ว” เยียนหานยวี่ยิ้มเยาะ “มิประมาณตน เขามิใช่คู่มือของชายผู้นั้นเลย”
ท่าป๋ายวนเห็นด้วยอย่างยิ่ง พวกเขาต่างก็เป็นผู้มีวรยุทธ์ ย่อมมองเห็นความแตกต่างได้โดยปริยาย
ถังเชียนจวินคิ้วขมวด ฝ่ามือดาบของเขาหากผ่าลงไปบนก้อนหิน ก็ยังทำให้ก้อนหินนั้นแตกได้ หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนจะคิดว่าตนเองแข็งแกร่งยิ่งกว่าก้อนหินกัน ?
เขามิได้หยุดมือ การเอาชนะฟู่เสี่ยวกวนได้ในกระบวนท่าเดียว นี่คือผลลัพธ์ที่เขาต้องการ !
อย่างไรก็ตาม…
ทันทีที่ฟู่เสี่ยวกวนขยับเท้า ขยับไปได้ครึ่งก้าว มือของเขาก็สับลงมาบนฝ่ามือที่ถูกตวัดออกมา หลังจากนั้นก็เห็นสองมือของเขาสะบัดขึ้นลง สองเท้าของเขากำลังเคลื่อนไปทีละน้อย ๆ คาดมิถึงว่าเขาจะหมุนเป็นวงกลม
แรงจากฝ่ามือของถังเชียนจวิน เมื่อมาอยู่ระหว่างเขาที่ยังไม่หยุดหมุนและสะบัดมือไปมา ก็ถูกเขาทำให้สลายไปจนไร้รูปลักษณ์
นี่คือสถานการณ์ใดกัน ?
ลมผันผวนจากฝ่ามือ และสลายไปอย่างคาดมิถึง !
ถังเชียนจวินขมวดคิ้วอีกครา มีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าใจว่าเมื่อครู่เกิดอันใดขึ้น
ฝ่ามือของเขาราวกับผ่าลงไปในปุยฝ้าย บางเบาและไร้พลังอย่างคาดมิถึง !
เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าฝ่ามือของตนและสองมือของฟู่เสี่ยวกวนปะทะกันเป็นแน่แท้ แต่แรงปะทะนั้นกลับผละออกทันทีที่สัมผัส กล่าวได้ว่าพลังจากฝ่ามือของตนนั้นมิได้ปะทะที่มือของฟู่เสี่ยวกวนอย่างแท้จริง
ใบหน้าของชายชราในชุดเขียวดูงุนงง เยียนหานยวี่อ้าปากค้าง และส่งเสียง “ไอหยา…” ออกมา ท่าป๋ายวนเองก็แสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา
ซูโหรวยังคงปักผ้าต่อไป ซูเจวี๋ยขยับหมวก ซูซูโยกสองขาไปมา ครุ่นคิดว่าพวกเขาสู้กันเยี่ยงนี้ต้องเหนื่อยเป็นแน่แท้
กล่าวไปดูจะยาว แต่เป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น
ถังเชียนจวินลงแรงไปในฝ่ามือจนหมดสิ้น ร่างของเขาอยู่ประชิดฟู่เสี่ยวกวนอย่างมาก
เขายกเท้าและเตะไปที่หน้าท้องของฟู่เสี่ยวกวน ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็งอตัวถอยหลังไปราวกับกุ้ง ลูกเตะนี้อยู่ห่างไปเกือบจะหนึ่งฉื่อ
และในตอนนั้นเอง ถังเชียนจวินก็เห็นว่าสองมือที่สะบัดเมื่อครู่ของฟู่เสี่ยวกวนทันใดนั้นก็ม้วนเป็นดอกไม้ตูมขึ้นมา หลังจากนั้นก็พุ่งตรงมาทางเขา
ฝ่ามือของเขามิได้ผละออกจากสองมือของฟู่เสี่ยวกวน
เมื่อมองไปแล้วเหมือนเขาเก็บมือ และสองมือของฟู่เสี่ยวกวนก็ราวกับถูกเขาดึงออกมา
ในชั่วพริบตานั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงภัยอันตรายขนาดใหญ่ !
ถังเชียนจวินมิลังเลแม้แต่น้อย แล้วเขาก็ระเบิดหมัดซ้ายออกไป มือขวาของเขาผละออกมาจากวงนั้น แต่เขาก็เห็นรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนอย่างชัดเจน
หมัดของเขาพุ่งออกไปอยู่ระหว่างสองมือของฟู่เสี่ยวกวน
ณ ตรงนั้น เขาสัมผัสได้ถึงพลังอันไร้ที่สิ้นสุดที่น่าเหลือเชื่อ
ราวกับกำแพง !
และราวกับค้อนที่หนักอึ้ง
ทันใดนั้นสองฝ่ามือของฟู่เสี่ยวกวนก็ผลักออก ร่างของเขากระโจนไปด้านหลัง หมัดของถังเชียนจวินราวกับติดอยู่กลางอากาศ หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงดัง “ตู้ม… !” ถังเชียนจวินถอยหลังไปหลายก้าว แต่กลับเห็นฟู่เสี่ยวกวนปรี่เข้ามาท่ามกลางประกายไฟ
…..
“เมื่อครู่เกิดอันใดขึ้น ? ” ท่าป๋ายวนเอ่ยถาม
เยียนหานยวี่ส่ายหน้า “เมื่อครู่ราวกับว่าชายผู้นั้นต่อยหมัดใส่อากาศ”
คำพูดนี้ไร้สาระอย่างยิ่ง แม้แต่เยียนหานยวี่ก็ยังมิอยากจะเชื่อ
แต่คิ้วของชายชราชุดเขียวในตอนนี้กลับคลายออก พยักหน้าน้อย ๆ และกล่าวเสียงเบาว่า “วิเศษยิ่ง ! ”
นี่คือหลักการยืมแรงมาต่อกรของไทเก็ก เพียงแค่เพราะมีกำลังภายในมาส่งเสริม จึงเปลี่ยนไปโดยมิเหมือนเดิมเล็กน้อย แต่หลักการก็ยังคงเป็นหลักการดังเดิม เพียงแต่ในโลกนี้มิมีไทเก็ก ดังนั้นเสียงดังในเมื่อครู่ มีเพียงชายชราชุดเขียวและซูเจวี๋ยเท่านั้นที่เริ่มระแคะระคาย
ทันทีที่ฟู่เสี่ยวกวนออกหมัด ถังเชียนจวินก็แลกหมัดโดยปริยาย แต่คาดไม่ถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะหยุดลงในทันทีที่ถังเชียนจวินออกหมัด สองหมัดแปลเป็นฝ่ามืออีกครา และใช้วิธีเดียวกันม้วนฝ่ามือและเคลื่อนเท้าต่อไป
ถังเชียนจวินก็ได้เข้าใจอย่างคลุมเครือแล้วว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น แต่เขามิเชื่อเยี่ยงนั้น เขาคิดว่าหนึ่งพลังล้มได้สิบครา เยี่ยงนั้นก็ใช้กำลังภายในที่แข็งแกร่งบดขยี้ฟู่เสี่ยวกวนเสีย !
พลังของหมัดนี้มหาศาลมากยิ่งนัก
ราวกับในตอนนี้มิได้เผชิญหน้ากับหมัดของฟู่เสี่ยวกวน แต่เป็นค้อนเหล็กหนึ่งด้าม
เขายังคงเดินหน้าต่อไป สองฝ่ามือตกลงบนหนึ่งหมัดนั้น ราวกับเถาวัลย์ที่พัวพัน ราวกับฝนฤดูใบไม้ผลิที่ชื้นแฉะ
จากสายตาของเหล่าบัณฑิตที่มองอยู่ด้านนอก ฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้ราวกับเรือลำเล็กที่แล่นอยู่ใจกลางพายุ เขากำลังพายอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะหากมิระวังก็จะถูกคลื่นพายุลูกนั้นกลืนกินเอาได้
ภายในใจของทุกคนต่างกระดอนกันมาอยู่ที่ลำคอ มีเพียงซูเจวี๋ยและชายชราชุดเขียวเท่านั้นที่ยังนิ่งเฉย
เพียงแค่ฟู่เสี่ยวกวนสลายพลังจากหมัดนี้ไปจนหมด ในยามที่ส่งกลับไปอีกครา เกรงว่าถังเชียนจวินจะแพ้เสียแล้ว
ถังเชียนจวินรู้สึกเสียใจอย่างมาก
สัมผัสเดียวกัน ความอ่อนนุ่มเช่นเดียวกัน ให้ตายเถอะ ราวกับหมัดของตนตกลงไปในปุยฝ้ายอีกครา เยี่ยงนั้น…ก็ชกเขาอีกสักหมัดเถอะ !
ดังนั้น หมัดซ้ายของเขาก็ได้ห่อหุ้มพลังเอาไว้และระเบิดออกไป !
ฟู่เสี่ยวกวนผลักออกไปหนึ่งมือ และพัวพันอยู่กับหมัดซ้ายของเขา สองฝ่ามือสองหมัดร่ายรำอยู่กลางอากาศ ดูยุ่งเหยิงในสายตาผู้ชม
ถังเชียนจวินเองก็อยากจะถอนสองฝ่ามือออก แต่ทันใดนั้นก็พบว่าสองฝ่ามือของตนติดอยู่ในหลุม ในฝ่ามือของฟู่เสี่ยวกวน มันมีแรงดึงดูดที่ยากจะอธิบายได้ ดูดดึงหมัดของเขาเอาไว้ จนเขาไม่สามารถหยุดได้
เขาคำรามลั่น กำลังภายในที่ทรงพลังพวยพุ่งออกมา ฟู่เสี่ยวกวนเดินเร็วขึ้น สองฝ่ามือกวัดแกว่งไปเร็วยิ่งขึ้น ในยามนี้จึงเห็นเงาของฝ่ามืออย่างมากมาย หลังจากนั้นสองหมัดของฟู่เสี่ยวกวนหยุดนิ่ง คำรามออกไปอย่างดุดัน และผลักสองฝ่ามือออกไป
“ตู้ม… ! ”
เสียงดังกึกก้องราวกับเสียงฟ้าร้องในฤดูใบไม้ผลิ
ร่างของถังเชียนจวินและฟู่เสี่ยวกวนกระเด็นออกไปพร้อมกัน ถังเชียนจวินกระอักลิ่มเลือดออกมา แต่ฟู่เสี่ยวกวนเพียงกลืนก้อนเลือดนั้นลงไป
ทั้งสองคนราวกับลงมาถึงพื้นพร้อมกัน หลังจากนั้นก็ไปทางลานประลอง
“ข้าแพ้แล้ว”
“ยุติ”
“นั่นคือวิชาอันใดกัน ? ”
“ไทเก็ก ! ”
ชางกวนเหมี่ยวใช้วิชาเสือดำทะลวง เขาย่อตัวลงแล้วปล่อยกำปั้นไปยังทรวงอกของโหยวเหวินถูอย่างรุนแรง
โหยวเหวินถูยกมือขวาของเขาขึ้นมากำบัง และยกขาเตะชางกวนเหมี่ยวกลับ
ชางกวนเหมี่ยวเคยฝึกฝนวรยุทธ์จากสำนักศึกษาจี้เซี่ยมาบ้าง แต่ละท่าทางและลีลามองไปช่างงดงามตามสูตร และน่าเกรงขามดุจเสือดำ แต่วรยุทธ์เพียงเท่านี้ในสายตาของซูเจวี๋ยและชาวยุทธคนอื่น ๆ กลับไร้ซึ่งพลังทำลายล้าง
อีกทั้งชางกวนเหมี่ยวมิเคยฝึกฝนกำลังภายในมาก่อน เขามิได้แม้แต่ก้าวข้ามประตูวรยุทธ์ที่แท้จริง
โหยวเหวินถูต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย เพราะเขาเคยฝึกกำลังภายในมาก่อน เนื่องจากคนในราชวงศ์อู๋โดยมากแล้วต่างก็ได้ฝึกฝนกำลังภายใน พวกเขาเทียบได้เพียงผู้มีความสามารถระดับสามเท่านั้น แต่ทว่าเขากลับแปลกใจยิ่ง หมัดของชางกวนเหมี่ยวไม่รู้สึกถึงกำลังภายในใด ๆ เขาคิดว่าเป็นเพราะฝ่ายตรงข้ามให้ความเคารพ ดังนั้นเขาเองก็มิกล้าออกแรงมาก จึงได้กลายมาเป็นการต่อสู้แบบเด็ก ๆ
ข้าต่อยเข้าที่อกเจ้าหนึ่งหมัด เจ้าเตะข้าที่บ่าหนึ่งที เจ้าถูกเตะแล้วถอยออกไปสองก้าว ข้าถูกเตะกระเด็นไปสามก้าว เป็นอยู่เช่นนี้ คาดว่าคงมิจบในเร็ว ๆ นี้เป็นแน่
ฟู่เสี่ยวกวนมองไม่ออก เขาคิดว่าชางกวนเหมี่ยวเก่งกาจ และบัณฑิตจากราชวงศ์อู๋นั้นก็มิได้ฝีมือสักเท่าใด จึงมิได้อยู่ชมต่อไป เขาเดินกลับไปยังจวนที่พัก และหยุดลงตรงหน้าต่งชูหลานกับหยูเวิ่นหวิน
“ข้าคิดเช่นนี้ ท่านพ่อของข้าได้ซื้อจวนเสียนฉิงแห่งเมืองกวนหยุนไว้แล้วมิใช่หรือ ? พวกเราย้ายไปพักที่นั่นในตอนบ่ายกันเถอะ พวกเจ้าคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”
แน่นอนว่านี่คือความคิดที่ดี สตรีทั้งสองนางมิได้ออกความเห็นใด เนื่องจากที่แห่งนี้มีคนของสถานทูตมากมาย แม้ห้องในเรือนหลังจะค่อนข้างมิดชิด แต่ที่ใดเล่าจะสุขใจเท่าบ้านเราเอง
“เกรงว่าจะต้องจัดซื้อสิ่งของอีก” ต่งชูหลานเอ่ยออกมา
“หาได้เป็นไรไม่ อย่างมากก็เป็นจำพวกเตียงนอนและของใช้ในครัวเรือน รอให้เรื่องบ้าบอนี้ถูกจัดการเรียบร้อยแล้ว พวกเราค่อยเดินทางไปที่นั่นกันเถิด”
“อืม จัดการเรื่องซื้อของเข้าบ้านเรียบร้อยแล้ว ข้ากับเวิ่นหวินจะไปเดินดูเมืองกวนหยุนเสียหน่อย ลองดูว่าสินค้าของเราหากวางจำหน่ายจะได้รับความนิยมหรือไม่”
ทั้งสามคนกำลังสนทนากันอยู่ นอกประตูของสถานทูตก็ส่งเสียงดังขึ้นราวกับระเบิด ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังไปมอง
บัดนี้ ชางกวนเหมี่ยวนอนกองอยู่ที่ปากประตู และกำลังพยายามลุกขึ้นมา
แพ้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนเดินหน้าเข้าไปดู ชางกวนเหมี่ยวเอ่ยอย่างละอายใจว่า “ท่านอาจารย์ ศิษย์ไร้ซึ่งความสามารถมากยิ่งนัก”
ฉินเหวินเจ๋อและคนอื่น ๆ รายล้อมกันเข้ามาดู แต่ละคนมีท่าทีขุ่นเคือง ฟู่เสี่ยวกวนตบลงที่บ่าของชางกวนเหมี่ยวแล้วเอ่ยว่า “มิเป็นไร แพ้ก็แพ้ไป อาจารย์จะแสดงฝีมือให้เจ้าดูเอง ! ”
บัณฑิตทั้งหลายมองมายังฟู่เสี่ยวกวน เขาเดินเข้าไปทีละก้าว ๆ และพับแขนเสื้อขึ้นมา ดวงตาอันนิ่งสงบนี้มองไปยังบรรดาบัณฑิตทั้งสองฝ่าย บัณฑิตราชวงศ์หยูมองว่านี่คือพฤติกรรมของปรมาจารย์ แต่บัณฑิตของราชวงศ์อู๋กลับมองว่าเขาแค่ทำเพื่อปกปิดความกลัวก็เท่านั้น
ฟู่เสี่ยวกวนเดินมาถึงกลางลาน เขาเอามือไขว้หลัง สีหน้าเยือกเย็น สายตาของเขามองไปยังใบหน้าของนักเรียนบัณฑิตเหล่านี้ จากนั้นเอ่ยออกมาว่า “ผู้ใดจะประลองก่อน ! ”
“ไอหยา ! ฟู่เสี่ยวกวนหน้าตาดีมากยิ่งนัก ! ”
“อ่า…ข้าทนมิไหวแล้ว เขาคือชายหนุ่มที่ข้าต้องการ ! ”
“อย่าเบียดเข้ามาสิ พวกเจ้ารู้จักอับอายกันบ้างหรือไม่ ? ”
“ผู้ใดบังอาจจับหน้าอกข้า ! ”
“……”
สตรีกลุ่มนี้ ช่าง…อาจหาญเสียจริง !
มีชายหนุ่มคนหนึ่งก้าวออกมาจากฝูงชน ร่างกายกำยำ แววตาดุเดือด เขากำหมัดขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้าน้อย ซุนปู๋เอ้อ จากสำนักศึกษาหลีชาน ขอคำแนะนำจากท่านด้วย ! ”
“เชิญ ! ”
เมื่อสิ้นเสียงฟู่เสี่ยวกวน เขาก็ปล่อยหมัดไปทางซุนปู๋เอ้อ
ไร้ซึ่งกระบวนท่า แต่กลับหนักแน่นอีกทั้งแทรกมาพร้อมเสียงลม
คิ้วของซุนปู๋เอ้อขมวดขึ้นทันใด เขายกมือขึ้นปกป้องและนึกในใจว่ามีบางสิ่งผิดปกติ ฟู่เสี่ยวกวนเป็นปัญญาชนมิใช่หรือ ? แต่เห็นได้ชัดว่าเขามีวรยุทธ์ อีกทั้งกำลังภายในของเขาอยู่ในระดับสามแล้ว !
เจ้าหมอนี่ปิดบังได้ดีเสียจริง !
ซุนปู๋เอ้อนำพลังลมปราณไปยังจุดตันเถียน เขาเปลี่ยนความคิดในการป้องกัน เขาจะรับมือกับหมัดของฟู่เสี่ยวกวนเพื่อให้รู้ว่าพลังภายในของเขามากน้อยเพียงใด
ดังนั้นเขาจึงได้ปล่อยหมัดออกไปเช่นกัน
วินาทีที่หมัดนั้นกำลังจะถึงตัว ฟู่เสี่ยวกวนเก็บหมัดลงทันที แขนข้างซ้ายของเขาก็ยกขึ้น ปัดหมัดของซุนปู๋เอ้อได้พอดี จากนั้นเขาก็ย่อตัวลงแล้วพุ่งไปข้างหน้า หมัดข้างซ้ายนั้นซัดเข้าที่ท้องของซุนปู๋เอ้อเข้าอย่างจัง
ซุนปู๋เอ้อตกตะลึง จากนั้นเขาจึงรีบกระโดดถอยออกไป คิดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะพุ่งเข้ามาอย่างไร้ร่องรอยถึงเพียงนี้
ซุนปู๋เอ้อยกขาขึ้นจากพื้น เขาเตะไปยังหน้าของฟู่เสี่ยวกวน เขานึกอยู่ในใจว่าฟู่เสี่ยวกวนคงมิใช้หน้ารับลูกเตะนี่เป็นแน่
ร่างกายของฟู่เสี่ยวกวนหมุนเป็นวง เขาเข้าใกล้ซุนปู๋เอ้อ กระบวนท่าสือปาเทียถูกร่ายรำออกมา
หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงดังพลั่ก ๆ ! ทุกคนมองไปยังซุนปู๋เอ้อที่โอนเอนเซไปมา ยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนก็ปล่อยหมัดสุดท้ายไปยังท้องของซุนปู๋เอ้อ ร่างของเขากระเด็นลอยออกไปท่ามกลางฝูงชน เลือดสีแดงสดกระเซ็นออกมา !
ฟู่เสี่ยวกวนเก็บหมัด กำมือขึ้นแล้วกล่าวออกมาว่า “ประทานอภัย ! คนต่อไปเชิญ ! ”
“ไอหยา…ฟู่เสี่ยวกวนชนะแล้ว !”
“เมื่อสักครู่เขาใช้ทักษะอันใดกัน ? มันช่างรวดเร็วเสียจริง ข้ามองมิทัน”
“เขาจะใช้ทักษะอันใดก็หาได้สำคัญไม่ เอาเป็นว่าเขาชนะก็แล้วกัน”
“มิใช่ เจ้าอยู่ฝ่ายใดกันแน่ ? ”
“อ่า แต่ว่า เขาชนะจริง ๆ นี่ ! ”
……
บัณฑิตจากสำนักศึกษาพากันตกตะลึง จากนั้นพวกเขาก็ส่งเสียงเปล่งร้องออกมาว่า “ท่านอาจารย์ชนะแล้ว ! ”
“ท่านอาจารย์คือผู้มีความสามารถทั้งด้านวรรณกรรมและการต่อสู้อย่างแท้จริง ! ”
“เก่งกาจเสียจริง พวกเราจะฝึกตนให้แข็งแกร่งเช่นเดียวกับอาจารย์ได้เมื่อใดกัน ? ”
“……”
จากการต่อสู้เมื่อสักครู่ ไม่ว่าจะเป็น คว้าจับ มวยไทย คาราเต้รวมไปถึงทักษะการต่อสู้ต่าง ๆ เขาได้รวมมันไว้ด้วยกัน โดยประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสม และได้ผลลัทธ์ที่ดีเสียทีเดียว
สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกภาคภูมิใจ และประหลาดใจเช่นกัน
ยังมีอีกหนึ่งคน !
เรื่องราวเหล่านี้จะได้จบลงเสียที
บัณฑิตราชวงศ์หยูพากันตื่นเต้นดีใจ ส่วนบัณฑิตของราชวงศ์อู๋ล้วนรู้สึกขายหน้า แม้แต่กลุ่มสตรีผู้บ้าคลั่งทั้งหลายก็ส่งเสียงเบาลง
ชายหนุ่มผู้สะพายค้อนในตอนแรกเดินตรงมา เขาโยนค้อนไปให้สหายที่มาด้วยกัน จากนั้นยกมือกำขึ้นคารวะฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่า “ข้าน้อยนามว่าถังเชียนจวิน กำลังจะเข้าสู่ขั้นที่สอง เพื่อมิให้ผู้ใดกล่าวหาว่าข้ารังแกท่าน ข้าจะต่อให้ท่าน 3 กระบวนท่า ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกกระปี้กระเป่าขึ้นมาทันที “หากเจ้าพ่ายแพ้ จงอย่าได้มารังควานข้าอีก ข้ามีธุระมากมายที่ต้องจัดการ”
ถังเชียนจวินหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ “ต่อให้ข้าชนะท่าน ข้าก็จะมิมาตามรังควานท่านอีก เนื่องจากข้าเองก็มีธุระมากมายที่ต้องจัดการเช่นกัน”
“เช่นนั้นก็ดี เตรียมรับมือได้ ! ”
ในครานี้ฟู่เสี่ยวกวนใช้ทุกทักษะและกระบวนท่าในการต่อสู้ แต่ทว่าหลังจากสามกระบวนท่าผ่านไป แม้แต่ชายเสื้อของถังเชียนจวินเขายังมิได้แตะด้วยซ้ำ
“จงระวังให้ดี ! ”
ถังเชียนจวินเอ่ยออกมาจากนั้นเขาก็ค่อย ๆ ยกมือขึ้น เขามิได้กำหมัด แต่กลับแบมือทำเป็นรูปใบมีด
เขาใช้มือแทนมีด ปลายเท้าแตะลงเบา ๆ จากนั้นพุ่งตรงเข้ามายังฟู่เสี่ยวกวน ว่องไวราวกับลูกธนู !
ฟู่เสี่ยวกวนหรี่ตาลงมอง เขากวาดขาออกแล้วย่อตัว มือทั้งสองข้างตั้งท่าไทเก็ก
มือของถังเชียนจวินมาถึงตัวพร้อมกับเสียงลม พัดเสียจนผมด้านหน้าของฟู่เสี่ยวกวนเสียทรง
ซูโหรวกำเข็มปักผ้าไว้ในมือแน่น นางมองไปยังด้านนอกแล้วเอ่ยถามว่า “เขาจะสู้ได้หรือ ? ”
ตอนที่ 301 ลานประลอง
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก !
เสียงดังโหวกเหวกด้านนอกสร้างความตกใจให้แก่เหล่าบัณฑิตที่อยู่ในจวนของสถานทูต และยังสร้างความตื่นตกใจแก่พวกซูเจวี๋ยด้วย
เดิมทีบัณฑิตเหล่านั้นยังอยู่ภายในห้องและเพื่อหาคำตอบให้กับสองคำถามที่ฟู่เสี่ยวกวนให้พวกเขามาระหว่างเดินทาง ในตอนที่กำลังใช้ความคิด กลับถูกเสียงโวยวายเหล่านั้นขัดการใช้ความคิด จึงทำให้พวกเขาไม่สบายใจอย่างมาก
ชางกวนเหมี่ยวเดินนำหน้าโดยถือดาบขึ้นมาด้วย และกล่าวด้วยท่าทีดุดัน “พวกสารเลว เมื่อครู่ข้าเพิ่งจะตระหนักถึงความคิดที่ยอดเยี่ยมขึ้นมาได้ แต่กลับถูกพวกมันรบกวนเสียจนลืมไปแล้ว ข้าจะฟันพวกมันทิ้งให้หมด ! ”
ในขณะที่กล่าวเขาก็เปิดประตูออกไป หลังจากนั้นก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ ด้านนอกนั้นคราคล่ำไปด้วยชายหนุ่มราชวงศ์อู๋ แต่ละคนท่าทางฮึกเหิมราวกับไก่ ในมือกวัดแกว่งดาบไปมา และกำลังตะโกนว่า
“ฟู่เสี่ยวกวน หากเจ้าเป็นลูกผู้ชายก็จงออกมา ! ”
“ฟู่เสี่ยวกวน เจ้าอย่าได้กลัวไปเลย พวกเรามาสู้ตัวต่อตัวกัน ! ”
“เจ้าบ้า ! ปู่ผู้นี้จะใช้เพียงแค่มือข้างเดียวต่อสู้กับเจ้า ! ”
“ฮ่า ๆ ๆ นักวรรณกรรมของราชวงศ์หยูมันใจเสาะ บัดนี้เกรงว่าจะกลัวจนฉี่ราดไปกันหมดแล้ว ! ”
“…..”
ชายหนุ่มเหล่านั้นมิได้ปรี่เข้ามาในสถานทูต เพราะนั่นคือข้อกำหนดและขอบเขต พวกเขาย่อมเข้าใจดี แต่นั่นมิได้ห้ามมิให้พวกเขาแหกปากตะโกนหน้าประตูสถานทูตเสียหน่อย
ชางกวนเหมี่ยวเดินถือดาบกลับมาอีกครา เดินมาถึงข้างกายฟู่เสี่ยวกวนและลูบจมูกไปมา “คนเยอะเพียงนั้น จะสู้เยี่ยงไรดี ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนคิดในใจว่าสู้กับผีสิ ข้ามีวรยุทธ์ที่ไหนกันเล่า
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามเติ้งซิว “มีประตูด้านหลังให้ออกไปหรือไม่ ? ”
เติ้งซิวผงะ นึกมิถึงว่าคนผู้นี้คิดจะหนีไปเยี่ยงนั้นหรือ ?
เขาส่ายหน้า “มิมีจริง ๆ ”
ฟู่เสี่ยวกวนเริ่มรู้สึกมิดี เขาหันไปมองทางซูเจวี๋ย “ศิษย์พี่ใหญ่ เยี่ยงนั้นเจ้าช่วยไล่แมลงวันเหล่านั้นออกไปให้ข้าหน่อยได้หรือไม่ ? ”
ซูเจวี๋ยเองก็ส่ายหน้า “พวกเขามิได้มาเพื่อท้ารบกับเจ้าและมิได้มาเพื่อสังหารเจ้า หากข้าช่วยเจ้า ก็จะขัดกับกฎของยุทธภพ”
นี่มันเวลาคับขันแล้ว เจ้ายังจะมาเอ่ยถึงกฎอยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?
แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็เข้าใจความซื่อตรงของซูเจวี๋ยเป็นอย่างดี ในเมื่อซูเจวี๋ยได้กล่าวออกมาเยี่ยงนี้แล้ว เยี่ยงนั้นศิษย์ทั้งสามของสำนักเต๋าก็มิสามารถช่วยเหลือเขาได้ นอกเสียจากชีวิตของเขาจะถูกคุกคามอย่างแท้จริง
ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปชั่วอึดใจ เขาเดินไปยังกำแพง และได้ปีนขึ้นไปด้านบนกำแพง สองมือของเขาเท้าสะเอวสายตาดุดันจดจ้องไปทางกลุ่มชายหนุ่มที่โง่เขลาที่อยู่ด้านล่างกำแพง และตะโกนออกมาเสียงดังหนึ่งประโยคว่า “พวกเจ้าจงเงียบให้หมด ! ”
เหล่าบัณฑิตราชวงศ์อู๋ที่อยู่ด้านล่างต่างชะงัก ผู้ใดกัน ช่างใจกล้าเสียจริง !
ดังนั้นจึงมีรองเท้าหนึ่งข้างลอยมาหาฟู่เสี่ยวกวน และมีก้อนอิฐกระแทกเข้ากับเขา จนถึงขั้นมีแม้แต่ไข่ต้มสุกที่ถูกกัดไปแล้วถึงครึ่งอีกด้วย
ฟู่เสี่ยวกวนหลบพัลวัน และตกลงไปอย่างไม่ทันระวัง เสียงหัวเราะลั่นดังมาทางด้านนอก
ฟู่เสี่ยวกวนตบก้นและรีบปีนขึ้นไปบนกำแพงอีกครา “พวกเจ้าจงฟังข้า ข้านี่แหละฟู่เสี่ยวกวน ! ”
เขาคือฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นหรือ ?
ทันใดนั้นเสียงด้านนอกก็เบาลงทันพลัน และมีเสียงกระซิบจากเด็กสาวดังขึ้นมาจำนวนมาก
“ อา ! ฟู่เสี่ยวกวนถือว่าหน้าตาหล่อเหลาเสียทีเดียว ! ”
“ใช่ ๆ ถึงแม้จะมิเท่าจัวตงหลาย แต่ก็ดูเป็นที่นิยมมิน้อยเสียทีเดียว”
“ อา ข้าว่าเราเข้าไปลักพาตัวเขากลับไปเลยดีหรือไม่ ? ”
“เจ้าก็เพียงแค่กีบหมู คิดว่าตนเองเป็นสาวงามจากเฮยเฟิงไจ้หรือเยี่ยงไรกัน ? ”
“นางฮวาเสี่ยวเตี๋ยประกาศศักดาจะแย่งชิงชายหนุ่มระดับแนวหน้า ข้าเหมียวซานเจียจะมิสามารถแย่งชิงชายหนุ่มผู้นั้นมาอุ่นเตียงได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มิใช่ พวกเจ้าเข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว พวกเรามาเพื่อสั่งสอนฟู่เสี่ยวกวนต่างหากเล่า ! ”
“ อา หน้าตาเยี่ยงนี้ จะให้ข้าลงมือได้เยี่ยงไร ? ”
“…..”
ให้ตายเถอะ !
เพราะความเงียบ จึงทำให้เหล่าชายหนุ่มที่อยู่ในบริเวณได้ยินเสียงของสตรีเหล่านั้นไปโดยปริยาย แม้แต่ฟู่เสี่ยวกวนที่ยืนอยู่บนกำแพงก็ได้ยินเช่นกัน ราชวงศ์อู๋นี้ ชาวบ้านที่นี่ช่างกล้าหาญเสียจริง !
“แค่กแค่ก…” ฟู่เสี่ยวกวนแสร้งกระแอมไอ และตะโกนเสียงดังอีกครา “พวกเจ้าต้องการท้าประลองกับข้า ย่อมได้ แต่ต้องมาแบบตัวต่อตัว วันนี้ ข้ารับเพียง 3 คนเท่านั้น มิว่าจะแพ้หรือชนะ กติกานั้นง่ายดายยิ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการทำร้ายพวกเจ้าโดยมิได้ตั้งใจ มิอนุญาตให้ใช้อาวุธ ใช้ได้เพียงมือและเท้า พวกเจ้าเลือกออกมา 3 คนก่อน แล้วให้ถอยไปด้านนอก ข้าขอชิงกล่าวคำพูดที่ไม่น่าฟังเสียก่อน หากมีคนกล้าลอบโจมตีข้า ถือว่าทำผิดกติกา และอย่ากล่าวหาว่าข้าโหดร้ายก็แล้วกัน”
ทันใดนั้นเหล่าชายหนุ่มที่อยู่ด้านนอกก็ฮือฮาขึ้นมาอีกครา
“คาดมิถึงว่าเขาจะกล้ารับคำท้า ! ”
“เยี่ยงนั้นพวกเราก็เลือกออกมา 3 คน เขาเป็นนักวรรณกรรมผู้หนึ่ง สุ่มเลือกผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นสามออกมาสัก 3 คนก็สามารถจัดการกับเขาจนหาทิศเหนือมิเจอแล้ว”
“หากเขาแพ้ตั้งแต่เริ่มเล่า ? ”
“พรุ่งนี้พวกเราค่อยมาใหม่”
“ดี ทุกคนถอยหลัง มิว่าผู้ใดจะแพ้หรือชนะ อย่าได้ทำการซุ่มโจมตีเป็นอันขาด มันมิคุ้มค่าหากทำให้เขาหนีไป ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนสังเกตดูชายหนุ่มที่กล่าวประโยคนั้น ร่างกายของเขาค่อนข้างกำยำ ดูเย่อหยิ่ง ทั้งยังสะพายค้อนเหล็กไว้ด้านหลัง คิดว่าคนผู้นี้คงมีอิทธิพลในหมู่พวกนั้นมากเสียทีเดียว
เป็นดังที่คาดไว้ ต่อจากเสียงคำรามของชายหนุ่มผู้นี้ ฝูงชนต่างก็ถอยหลังกันกรู เหลือเพียงความว่างเปล่าไว้ที่ลานด้านหน้าประตูสถานทูต
ซูโหรวนั่งปักผ้าอยู่บนเก้าอี้หิน ชำเลืองสายตามองศิษย์พี่ใหญ่ที่นั่งอยู่ตรงกันข้าม และเอ่ยถาม “กังวลหรือไม่ ? ”
ซูเจวี๋ยส่ายหน้า “เขาได้เข้าสู่หนทางวรยุทธ์แล้ว เยี่ยงไรเสียก็ต้องใช้โอกาสนี้ในการขัดเกลา”
“เขาบอกว่ามิสามารถใช้ดาบและกระบี่ได้”
“เพราะทักษะหมัดและเท้าของเขาถือว่าพอสู้ได้”
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานก็ได้เดินออกมาเช่นกัน ค่อนข้างกังวลใจเมื่อได้ทราบเรื่องราวนี้ คนเยอะถึงเพียงนี้ อย่าได้ทุบตีเขาจนพิการเลย !
แต่ฉินเหวินเจ๋อ ซังเหลียงและคนอื่น ๆ กลับละอายใจยิ่งนัก นั่นคืออาจารย์ฟู่ของพวกเขา !
คนมักจะกล่าวกันว่าเมื่อมีปัญหาผู้เยาว์ต้องออกหน้า แต่เรื่องของการทะเลาะวิวาทพวกเขามิถนัดจริง ๆ ในบัณฑิต 100 คน มีเพียงชางกวนเหมี่ยวผู้เดียวเท่านั้นที่เรียนการต่อสู้ในสำนักศึกษา ดังนั้นในยามนี้ทุกสายตาต่างตกมาอยู่ที่ร่างของชางกวนเหมี่ยว ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าทั่วร่างของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยแสงที่เจิดจ้า การเรียนวรยุทธ์ของข้า ในที่สุดก็มีประโยชน์แล้ว
ชางกวนเหมี่ยวเดินมาถึงด้านล่างกำแพงโดยที่ถือดาบมาด้วย ยืดอกผ่าเผยและกล่าวกับฟู่เสี่ยวกวนเสียงดังกังวานว่า “ท่านอาจารย์ ให้ข้าเป็นคนจัดการเรื่องนี้เถิด ท่านเพียงเฝ้ามองก็เพียงพอ”
ฟู่เสี่ยวกวนชื่นใจขึ้นมาในทันที เขากระโดดลงมาจากกำแพง ตบบ่าชางกวนเหมี่ยว และกล่าวอย่างปลุกใจ “เกียรติยศของราชวงศ์หยู อยู่บนบ่าของเจ้าแล้ว วางดาบของเจ้า ใช้มือและเท้าดาหน้าไปหาพวกเขา และเอาชัยชนะมาเสีย ! ”
ชางกวนเหมี่ยวฮึกเหิมยิ่งกว่าเดิม แม้แต่ลำคอก็ดูหนาขึ้น
“ขอรับ ท่านอาจารย์รอฟังข่าวดีจากลูกศิษย์ผู้นี้ได้เลย ! ”
เขาวางดาบลง เดินออกไปด้วยท่าทีฮึกเหิม
ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่เบื้องหน้าประตู และเห็นชางกวนเหมี่ยวเดินไปยังที่ว่างของสนาม เขาตบอกดังปึกปึกปึก และกล่าวเสียงดังว่า “ชางกวนเหมี่ยวศิษย์ของท่านอาจารย์หน่าย พวกเจ้าทั้งหมด ใครจะออกมา ? ”
ร่างกายของชางกวนเหมี่ยวกำยำ เมื่อรวมกับท่าทางเลือดร้อนในขณะนี้ ก็ดูทรงพลังมากยิ่งขึ้น จนทำให้เหล่าบัณฑิตของราชวงศ์อู๋กลุ่มนั้นตื่นตระหนก ชางกวนเหมี่ยวผู้นี้เป็นผู้มีฝีมือระดับสูงเยี่ยงนั้นหรือ ?
จิตใจของพวกเขามิได้มั่นใจถึงเพียงนั้น ทันใดนั้นทั้งสนามเงียบไปในทันพลัน ชางกวนเหมี่ยวหัวเราะร่า เขาดูจะลืมตัวจนได้ใจเล็กน้อย จึงเห็นเขายื่นมือและกวาดนิ้วไปทางทุกคน และกล่าวออกมาว่า
“พวกเจ้าต่างก็เป็นขยะ ! ”
ประโยคนี้ได้จุดไฟโทสะของเหล่าบัณฑิตราชวงศ์อู๋ขึ้นมาทันพลัน จึงได้เห็นบัณฑิตผู้หนึ่งเดินเชิดหน้าออกมา สองมือกำหมัดและกล่าวว่า “ข้าโหยวเหวินถูจากสำนักศึกษาหลีชาน ขอทดสอบฝีมือของพี่ชางกวน”
“เข้ามาเลยโหยวเหวิน ! ”
“โปรดเรียกข้าว่าพี่โหยว ! ”
“พี่โหยวรับมือ ! ”
ยามสายในวสันตฤดู ดวงอาทิตย์ส่องแสง สดใสสาดเข้ามายังลานกลางจวน
และได้สาดไปบนใบหน้าของจัวตงหลายเช่นกัน
เขานั่งรอที่ลานกลางจวนอยู่ครึ่งค่อนวัน สีหน้านั้นมิได้แสดงความใจร้อนและขาดความอดทนให้ปรากฏ เฉกเช่นที่มักจะพบเห็นในคนหนุ่มสาวส่วนใหญ่
เขานั่งรออย่างสงบดั่งสายน้ำที่ไหลเอื่อย
ทว่าในภายในของเขานั้นมิได้สงบดั่งภายนอก องค์หญิงไท่ผิงได้พาฟู่เสี่ยวกวนไปเยือนกวนหยุนถายตั้งแต่ฟ้าสาง
นี่ช่างเป็นข่าวร้ายยิ่งนัก เขาได้นำข่าวคราวทั้งหมดที่เขาได้รับรู้มาประติดประต่อกันเป็นภาพเดียว และบัดนี้เขาได้เข้าใจอย่างแจ่มชัดแล้วว่าองค์หญิงไท่ผิงกำลังคิดทำการใดอยู่
นางนำกองทัพหญิงไปยังเส้นทางสัญจรภูเขาฉีซาน !
จากนั้นยังนำกองทัพหญิงรุดกลับเมืองกวนหยุนเพื่อจับกุมตัวเป่ยหวังฉวน เพียงเพราะเป่ยหวังฉวนแอบซุ่มโจมตีฟู่เสี่ยวกวนที่แถบชายแดนของอาณาเขตแคว้นหยูด้วยศรธนูเพียงแค่ 2 ดอก ช่างน่าเสียดายที่มิได้ยิงมันให้ตายไปเสีย !
หรือเป็นเพราะว่าเป่ยหวังฉวนได้แก่ตัวลงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
เขามิเพียงแต่สังหารฟู่เสี่ยวกวนมิสำเร็จ แถมยังลือกันอีกว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส !
จากนั้นองค์หญิงไท่ผิงได้นำกองทัพหญิงวกกลับไปที่เมืองฝานหนิง แล้วเอ่ยเป็นประจักษ์ต่อสายตาผู้คนว่าประสงค์จะเลี้ยงดูฟู่เสี่ยวกวนด้วยพระองค์เอง !
ประโยคนี้เปรียบดั่งมีดที่กรีดแทงเข้าไปกลางอกของจัวตงหลาย และเขายังคงรับรู้ถึงความเจ็บปวดทุกคราที่หายใจเข้าออก
ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาถึงเมืองกวนหยุนได้เพียง 2 วัน นางก็พาเขาไปชมทะเลหมอกเสียแล้ว
นางจะตามฟู่เสี่ยวกวนเข้ามาในจวนด้วยหรือไม่ ?
จัวตงหลายเริ่มอยู่ไม่เป็นสุข หากเจอหน้านาง เขาควรจะรับมือเยี่ยงไร ?
ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปหาเขาแล้วยืนอยู่เบื้องหน้าของจัวตงหลาย และตำแหน่งที่เขายืนได้บดบังลำแสงที่สาดเข้ามายังใบหน้าของจัวตงหลายพอดี
จัวตงหลายตื่นขึ้นจากห้วงภวังค์แห่งความคิด แล้วมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนอมยิ้มเล็กน้อย แล้วใช้สายตาสำรวจชายหนุ่มผู้ที่อยู่เบื้องหน้า ชายหนุ่มผู้นี้หล่อเหลาและดูฉลาดหลักแหลม สายตาหยิ่งยโสและเย็นชาเสียดแทงเข้าไปถึงหัวใจ สองคิ้วคมกริบเรียวยาว โครงหน้าชัดเจนงดงามดั่งถูกแกะสลักมาอย่างประณีต
หากจะกล่าวถึงเรื่องหน้าตานั้นฟู่เสี่ยวกวนคงต้องพ่ายแพ้ให้ชายหนุ่มรูปงามผู้นี้ไป หากอยู่บนโลกที่เขาได้จากมานั้น บทหลี่สวินฮวน1คือพระเอกในนิยายเรื่องเสี่ยวหลี่เฟย คงต้องตกเป็นของชายหนุ่มผู้นี้อย่างไร้ข้อกังขา
เมื่อเขาได้สบตากับจัวตงหลาย เขาจึงนั่งลงที่ฝั่งตรงกันข้ามกับชายหนุ่มผู้นั้น
ชุนซิ่วยกชุดน้ำชามาให้ แล้วเงยหน้าขึ้นมามองจัวตงหลาย นางรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ชายหนุ่มผู้นี้ช่างคล้ายคลึงกับซูม่อเสียเหลือเกิน ความแตกต่างเพียงเล็กน้อยก็คือเขาดูหยิ่งยโสยิ่งกว่าซูม่อ ช่างยากแท้ที่จะเข้าถึง
ฟู่เสี่ยวกวนจัดแจงชงชา จากนั้นเขาจึงเอ่ยถามแขกผู้มาเยือน “คุณชายจัวมาเยือนครานี้มีธุระอันใดหรือ ? ”
“ข้าแค่อยากมาพบท่าน”
“พบแล้วรู้สึกเยี่ยงไร ? ”
“มิได้เลวร้ายเสียทีเดียว”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า เขารู้สึกพึงพอใจต่อคำประเมินค่าที่ว่าไม่ได้เลวร้ายเสียทีเดียวนี้
“เมื่อได้ชมทะเลหมอกแล้วท่านมีความรู้สึกเยี่ยงไร ? ” จัวตงหลายเอ่ยถาม
“ยิ่งใหญ่เหนือจินตนาการ ช่างงดงามยิ่งนัก ”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยอย่างเป็นกันเอง และบิดใบชาใส่เข้าไปในกาน้ำชา จากนั้นเขาจึงพบว่าชานี้รสชาติมิสู้ดีนัก
“ข้ามิได้มาเพื่อดื่มชา” จัวตงหลายลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยกับฟู่เสี่ยวกวนต่อ “ข้าใคร่อยากเตือนท่านไว้เสียหน่อย ประเดี๋ยวจะมีบัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋จำนวนมากมาท้าประลองฝีมือกับท่านถึงประตูจวน เกรงว่ามิใช่การท้าประลองฝีมือด้านการประพันธ์ แต่จะเป็นด้านหมัดหรือกระบี่กระบองเสียมากกว่า แต่ขอท่านโปรดอย่าได้เข้าใจผิด เพราะการกระทำนี้ปราศจากการยุยงสนับสนุนจากข้า ข้าขอเอ่ยกับท่านตามตรงว่าข้าชอบพอองค์หญิงไท่ผิง แต่ข้ามิปรารถนาที่จะใช่วิธีสกปรกเช่นนี้มาโจมตีท่าน เพราะมันไร้สาระสิ้นดี”
“พวกที่ต้องการมาประลองฝีมือกับท่านย่อมมีเหตุผลและตรรกะของพวกเขา ข้าก็มิสามารถห้ามปรามได้ เช่นนั้นขอท่านได้โปรดเตรียมการรับมือไว้ให้ดี อย่าให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนมิอาจมาร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมได้ หากเป็นเยี่ยงนี้ก็คงจะมิดีเท่าใดนัก”
“อีกอย่าง เมืองกวนหยุนนั้นมีทิวทัศน์สวยตระการตามากมาย หากมีเวลาว่างขอจงสละเวลาไปชื่นชมเสียหน่อยเถิด”
หลังจากที่พูดจบเขาก็ได้ก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอก แต่ก็ได้ชะงักฝีเก้าแล้วหันมาเอ่ยกับฟู่เสี่ยวกวนอีกครา “อาหารของเมืองกวนหยุนที่ขึ้นชื่อลือชา ท่านสามารถซื้อมาลิ้มลองได้ หรือจะให้ข้าจัดเตรียมมาให้ก็ย่อมได้”
ฟู่เสี่ยวกวนเผลอยิ้มออกมา “ดื่มชาสักถ้วยก่อนแล้วค่อยไปมิดีกว่าหรือ ? ”
“ขอบใจท่านมาก ข้าจะโจมตีท่านให้ราบคาบในด้านที่ท่านถนัดที่สุด ท่านอย่าได้ชะล่าใจเสียก็แล้วกัน ! ”
เมื่อจัวตงหลายเดินออกจากจวนของอัครราชทูตแห่งแคว้นหยูไป ฟู่เสี่ยวกวนจึงเลิกคิ้วแล้วรินชาใส่ถ้วยของตน สิ่งที่ชายหนุ่มผู้นั้นพล่ามมาเสียมากมาย สำหรับสายตาของฟู่เสี่ยวกวนนั้นทำให้เขาดูมิเป็นผู้ใหญ่เท่าใดนัก
เขามิมีความจำเป็นใด ๆ ที่ต้องมาสั่งเสียเรื่องเหล่านี้ และยิ่งมิจำเป็นอย่างยิ่งที่จะมาบอกความรู้สึกที่มีต่ออู๋หลิงให้เขารับทราบ ภายนอกเหมือนว่าอยากป่าวประกาศให้ทราบโดยทั่วกัน แต่ลึก ๆ ฟู่เสี่ยวกวนนั้นได้มองออกว่าเขากำลังหวั่นกลัวอยู่
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เคืองโกรธเขาแม้แต่น้อย เพราะพวกเขาทั้งสองนั้นมิได้มีเหตุเกี่ยวข้องอันใดกัน เพราะอู๋หลิงเองได้เกิดความรู้สึกสับสนขึ้นมาเอง เขาถือว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์เสียด้วยซ้ำ เรื่องนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนกลัดกลุ้มใจมิน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้รู้ข่าวคราวว่าท่านพ่อได้ควักเงินกว่าล้านตำลึงเพื่อซื้อตำหนักเสียนฉิง ความรู้สึกของเขานั้นราวกับว่าเรื่องนี้ได้ทำให้หัวใจของเขาเลือดไหลมิหยุดจนมาถึงตอนนี้
ท่านพ่อช่างมิได้เรื่องเลยจริง ๆ มิรู้ว่าท่านพ่อคิดการใดอยู่กันแน่ ?
เขายังจำได้ดิบดีเมือคราที่ไปเยือนเมืองจินหลิงด้วยกันกับท่านพ่อ เงินทองที่เก็บออมไว้สำหรับวงศ์ตระกูลมีด้วยกันทั้งสิ้น 1,200,000 ตำลึง แต่ก่อนเขาคิดว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาล แต่ทว่าตอนนี้กลับหายไปในพริบตา
และที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นก็คือพันธสัญญานั้นดันมีความเกี่ยวข้องการการแข่งขันครานี้อีกด้วย ฟู่ต้ากวนมั่นใจหรือว่าการแข่งขันครานี้เขาจะสามารถคว้าชัยมาได้ ?
เขาขมวดคิ้วด้วยความปวดหัวขึ้นมาทันใด ท่านพ่อคิดหรือว่าแผนการของตนนั้นแสนบรรเจิด หรือว่าเขาตั้งใจจะให้พันธสัญญานั้นเป็นตัวบังคับให้ตนต้องเอาชนะทุกคนเหนือการแข่งขันครานี้
เมื่อคว้าชัยชนะได้ก็ย่อมได้ครอบครองอู๋หลิง ดูความคิดของท่านพ่อสิ
ฟู่เสี่ยวกวนเกิดฉุกคิดขึ้นมาได้ ท่านพ่อหวังจะให้เขาสมรสกับอู๋หลิงเยี่ยงนั้นหรือ !
เพราะท่านพ่อนั้นเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเมื่อเงินจำนวนหนึ่งล้านตำลึงได้ดิ่งลงไปใต้ฝืนน้ำ ฟู่เสี่ยวกวนในฐานะชายหนุ่มผู้คลั่งสมบัติจะต้องยอมกระโจนลงน้ำเพื่อไปเอากลับมาอย่างมิคิดชีวิต !
เช่นนี้แล้ว บัดนี้ท่านพ่อนั้นคงต้องแอบเริงร่าด้วยความสะใจอยู่เป็นแน่ เขามิเคยแยแสว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมีหญิงสาวในความดูแลสักกี่คน เพราะในความเข้าใจของเขานั้นการมีภรรยายิ่งเยอะยิ่งเป็นเรื่องดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสตรีนางนั้นคือองค์หญิงไท่ผิงผู้ทรงเป็นพระธิดาเพียงพระองค์เดียวแห่งราชวงศ์อู๋ !
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมเย็น ๆ เข้าไปจนเต็มปวด ท่านพ่อร้ายกาจยิ่งนัก กล้าจะกดดันให้ข้าไร้ทางเลือกได้ถึงเพียงนี้
ในเมื่อตำหนักเสียนฉิงได้ตกเป็นชื่อของตนแล้ว เยี่ยงนั้นก็ต้องไปเยือนให้เห็นกับตาเสียหน่อย ดูสิว่าตำหนักที่ใช้เงินหนึ่งล้านตำลึงเพื่อซื้อมาได้นั้นจะเป็นเช่นไร
หรือว่าจะพาสตรีทั้งสองนางไปพำนักที่นั้นดี ?
พำนักอยู่แปดวันจากนั้นก็ต้องคืนให้เขาไป ราคาเข้าพักต่อคืนอยู่ที่ 125,000 ตำลึง !
คงจะเป็นโรงเตี๊ยมที่แพงที่สุดบนผืนปฐพี !
ฟู่เสี่ยวกวนเกิดอาการนั่งไม่ติดที่ ย้ายที่พัก ต้องย้ายที่พักโดยด่วน ข้าอยากไปพักที่ตำหนักเสียนฉิงเต็มทน !
เมื่อเขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วเขาจึงตะโกนสั่งเติ้งซิว “เรียกสวี่หวยซู่มาพบข้าทีเถิด”
สวี่หวยซู่นึกว่าเขาจักเรียกตนมาดื่มชาเพื่อสั่งธุระอะไรเสียอีก แต่กลับคาดมิถึงว่าจะได้ยินเจ้าหนุ่มนี่เอ่ยมาเช่นนี้
“ข้าลองตรึกตรองดูแล้ว ให้องค์หญิงเก้าพำนักที่แห่งนี้มิสมพระเกียรติของพระองค์นัก ข้าได้เตรียมที่จะพาพวกเขาไปพำนักที่ตำหนักเสียนฉิง อย่ามองช้าเช่นนี้สิ บัดนี้ตำหนักเสียนฉิงได้ตกเป็นทรัพย์สมบัติของวงศ์ตระกูลข้าแล้ว หากมีธุระหรือเหตุอันใดก็มาแจ้งให้ข้าทราบที่ตำนักเสียนฉิง และหากข้ามีธุระอันใดก็จะมาหาพวกเจ้าที่นี่เช่นกัน ตกลงตามนี้ ! ”
สวี่หวยซู่ตะลึงเสียจนอ้าปากค้าง เขาคิดในใจว่าเจ้าหนุ่มนี่มาสร้างทรัพย์สมบัติในอาณาเขตของแคว้นอู๋ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
“ท่านจะย้ายออกไปเมื่อใด ? ”
“ตอนนี้เลย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรีบยืนขึ้นด้วยท่าทีเร่งรีบ ขณะที่เขากำลังจะไปบอกเรื่องนี้ให้ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินทราบนั้นเอง เขาก็ได้หันหน้าไปเห็นสถานการณ์ด้านนอกอย่างมิได้ตั้งใจ
เสียงฝีเท้าดังอึกทึกและเสียงโวกเหวกโวยวายดังมาจากด้านนอกของสถานเอกอัครราชทูต
“ฟู่เสี่ยวกวน ออกมาประลองกับข้าสักตาสิ ! ”
ประลองกับผีสิ !
ข้าจะย้ายจวน จะย้ายไปพำนักที่โรงเตี๊ยมคืนละ 125,000 ตำลึง !
พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าแต่ละนาทีสามารถตีตราเป็นเงินจำนวนตั้งกี่ตำลึงกัน !
บทหลี่สวินฮวน คือพระเอกในนิยายเรื่องเสี่ยวหลี่เฟย
ตอนที่ 299 จัวตงหลาย
หนานกงอี้หยู่ถลึงตาใส่ฟู่เสี่ยวกวนอีกหนึ่งครา เจ้าหนุ่มนี่ เอารัดเอาเปรียบผู้อื่นแล้วยังมาทำใสซื่ออีก !
“เจ้าทนองค์หญิงไท่ผิงมิได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนถอนสายตาออกมาแล้วเอ่ยอย่างแน่วแน่ “ สิ่งที่ท่านได้กล่าวมานั้นมิถูกต้องนัก ข้าน้อยยอมรับว่าฝีมือการประพันธ์นั้นพอใช้ได้ ทว่าข้าน้อยมิเคยคิดเลยว่าความเก่งกาจของชายชาตรีผู้หนึ่งจะสะท้อนออกมาในรูปแบบของบทกวี ข้าน้อยขอเอ่ยต่อท่านตามตรง ข้าน้อยมักจะเอ่ยสิ่งนี้ให้กับปัญญาชนผู้ติดตามของข้าน้อยฟังเสมอว่าบทกวีนั้นมีคุณเพียงแค่ช่วยขัดเกลาจิตใจของตน ทว่าสำหรับการบริหารงานบ้านเมืองหรือต่ออนาคตของตนเองนั้นไร้ซึ่งคุณูปการใด ๆ บนผืนปฐพีนี้นักวรรณกรรมอดตายมีถมไป แต่หาได้มีช่างฝีมืออดตายไม่ เนื่องด้วยเหตุใดน่ะหรือ เพราะบทกวีต่าง ๆ นั้นมิสามารถหาเลี้ยงชีพได้ ความปรารถนาดีที่องค์หญิงทรงมีต่อข้าน้อยนั้นทำให้ตัวข้าน้อยเองซาบซึ้งมากยิ่งนัก แต่ข้าน้อยจำต้องกล่าวอย่างชัดเจนไว้ ณ ที่นี้ว่า ทั้งหมดล้วนเป็นเพียงภาพลวงตา หากปอกเปลือกที่ห่อหุ้มด้วยบทกวีอันสวยหรูนี้ออกไป ข้าน้อยผู้นี้มิมีคุณสมบัติจะเป็นอะไรเลยทั้งสิ้น ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนโน้มตัวเข้าไปหาหนานกงอี้หยู่ แล้วเอ่ยกับเขา “ท่านอัครมหาเสนาบดี เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลาแก่เหตุการณ์สำคัญของชีวิตองค์หญิง ขอท่านได้โปรดโน้มน้าวองค์จักรพรรดิให้พระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัยแล้วยกเลิกพระราชโองการนั้นด้วยเถิด จากนั้นก็ค่อยเลือกสรรชายชาตรีที่สามารถไว้วางใจได้ให้แก่องค์หญิง ! ”
คำกล่าวนี้ได้กล่าวออกมาจากใจจริงอีกทั้งยังมีเหตุผลและตรรกะมากพอสมควร หนานกงอี้หยู่มองฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาแสนลึกซึ้ง และเกิดความนับถือในตัวฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ขึ้นเป็นทวีคูณ มิมักใหญ่ใฝ่สูง และรู้ว่าสิ่งใดควรและสิ่งใดมิบังควร มิเลวนี่ !
เมื่ออู๋หลิงได้ยินเช่นนี้นางก็ตกลงสู่ห้วงภวังค์แห่งความคิด นางก็มิได้ต่างอะไรกับต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน หลังจากที่นางได้อ่านหนังสือความฝันในหอแดง นางก็ได้เกิดความสนใจต่อผู้ชายคนนี้ขึ้นมา
เพราะความสนใจนี้เอง ทำให้นางอยากรู้ว่าเขาเป็นคนเยี่ยงไร
จากนั้นนางจึงตามหาตัวหลิ่วเยียนเอ๋อร์ที่ทะเลสาบสิบลี้ เพื่อจะให้นางไปสืบความที่เมืองจินหลิง
จากนั้นนางก็ได้รู้เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับตัวตนของฟู่เสี่ยวกวน และหลังจากนั้นนางก็ได้ค้นพบว่านางได้ตกหลุมรักชายหนุ่มผู้นี้เข้าเสียแล้ว
หลังจากที่ได้เจอฟู่เสี่ยวกวนตัวจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ฟังบทกวี ไร้ซึ่งปรารถนา บทกวีสวนแพร์แห่งตำหนักเสียนฉิง ทำให้นางยิ่งรู้แน่ชัดว่านางได้ตกหลุมรักเขาแล้วอย่างแท้จริง
เพราะความรู้สึกที่นางมีเมื่อพบเจอกับฟู่เสี่ยวกวนนั้นช่างแตกต่างกับความรู้สึกเมื่อนางพบเจอศิษย์พี่จัวตงหลายอย่างสิ้นเชิง
เฉกเช่นเมื่อคืนนางนอนไม่หลับ เพราะนางหวังว่าวันนี้จะได้พบเจอกับฟูเสี่ยวกวน ดวงใจของนางปรารถนาที่จะได้เจอเขา
เฉกเช่นเมื่อรุ่งสางที่นางลุกขึ้นประทินโฉม เพราะนางรู้ดีว่าสตรีย่อมรู้สึกดีเมื่อเห็นตนเองดูดีต่อหน้าคนที่ตนหมายปอง
เฉกเช่นที่นางรับสั่งให้สาวใช้ไปซื้ออาหารเช้าที่ซิ่งหลินจี้ให้จนได้ เพราะนางอยากจะแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้ฟู่เสี่ยวกวน
ความรู้สึกเช่นนี้มิเคยเกิดขึ้นกับจัวตงหลายเลยแม้แต่คราเดียว
เมื่อได้ยินคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนเช่นนั้นจึงทำให้นางฉุกคิดขึ้นมาได้ หรือว่านางเพียงแค่ลุ่มหลงต่อเปลือกนอกของชายผู้นี้กัน ?
หากเขามิมีเปลือกนอกที่สวยงามเช่นนี้ นางจะยังชอบพอเขาอยู่หรือไม่ ?
อู๋หลิงไม่เข้าใจตนเอง ภายในใจรู้สึกสับสนวกวนไปเสียหมด
หนานกงอี้หยู่ลุกขึ้นยืน “เดิมทีข้าเองก็มิโปรดปรานพระราชโองการของฝ่าบาทนัก เมื่อได้ยินเจ้าเอ่ยเช่นนี้ ข้าเลยฉุกคิดขึ้นมาว่าแผนการนี้ก็มิได้เลวร้ายไปเสียทีเดียว ข้าจะพยายามโน้มน้าวฝ่าบาทให้ โดยการใช้คำกล่าวของเจ้า ในส่วนที่ว่าฝ่าบาทจะทรงตัดสินใจเยี่ยงไรก็สุดแล้วแต่ความประสงค์ของพระองค์ท่าน องค์หญิงไท่ผิงเป็นพระราชธิดาเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ ฝ่าบาทย่อมถืออภิสิทธิ์ในการตัดสินใจเหนือตัวข้า ไว้…เจอกันคราหน้าพ่อหนุ่ม ! ”
“ขอลาท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนยืนขึ้นทำความเคารพ หนานกงอี้หยู่โบกมือแล้วก้าวเดินไปเบื้องหน้าเพียงไม่กี่ก้าว แล้วหันหลังกลับมามอง ปรากฏว่านกเหยี่ยวตัวนั้นก็มิได้บินกลับมาที่บ่าของตน !
ซูซูกำลังดึงขนนกเหนี่ยวตัวนี้ออกมาพอดี นางรู้สึกว่าขนของนกเหยี่ยวตัวนี้ช่างดงามมากยิ่งนัก อยากดึงออกมาแล้วปักไว้บนศีรษะของตน จากนั้นจึงเห็นหนานกงอี้หยู่วิ่งตัวสั่นเทิ้มเข้ามาห้าม “ช้าก่อน สาวน้อย ! ”
ซูซูผงะเล็กน้อย “นี่เป็นนกของท่านหรือ ? ”
“ใช่แล้ว”
“อ่า…” ซูซูรู้สึกเสียดายยิ่งนัก หากรู้เช่นนี้นางจะได้รีบถอนขนเสียก่อน “ท่านนำกลับไปเถิด”
หนานกงอี้หยู่ยื่นมือออกมา เพื่อที่จะให้นกเหยี่ยวตัวนั้นเกาะมือของเขา “สาวน้อยเจ้ามีนามว่าเยี่ยงไรหรือ ? ”
“ข้าน้อยมีนามว่าซูซู”
หนานกงอี้หยู่พยักหน้าแล้วจำชื่อของซูซูเอาไว้ จากนั้นจึงเดินจากไป
ฟู่เสี่ยวกวนได้ส่งยิ้มให้อู๋หลิงด้วยความรู้สึกผิด “ทุกคำพูดที่กระหม่อมได้กล่าวไปก่อนหน้านี้นั้นล้วนมาจากใจจริง หากท่านจะชอบพอผู้ใดก็มิควรมองแค่รูปลักษณ์ภายนอกของเขา บนผืนปฐพีนี้มีมากมายนัก ผู้ที่ภายนอกสวยงามแต่ภายในนั้นต่ำทราม ภายนอกนั้นสามารถเสแสร้งได้ แต่จิตใจภายในนั้นต้องใช้เวลาศึกษาท้ายที่สุดจึงจะสามารถแยกแยะชั่วดีได้ หากองค์หญิงยินยอมก็ขอให้เป็นน้องสาวกระหม่อมจะได้หรือไม่ ? ”
“……”
อู๋หลิงไร้ซึ่งคำกล่าวใด ๆ นางจุดไฟแล้วต้มน้ำชาอีกครา จากนั้นทั้งสี่คนจึงนั่งดื่มชาด้วยความเงียบโดยที่มิมีใครเปิดปากเอ่ยอันใดออกมา
ฝานเทียนหนิงและคนอื่น ๆ ได้เดินทางออกจากกวนหยุนถายเมื่อยามที่ทะเลหหมอกได้เหือดหายไป พวกเขามิได้มาบอกลาฟู่เสี่ยวกวนสักคำ เพราะฝานเทียนหนิงคิดว่ามิควรไปรบกวนเวลาฟู่เสี่ยวกวนในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับสตรีเหล่านั้น ส่วนเหยียนหานยู่และท่าป๋ายวนมิอยากจะแสร้งทำเป็นญาติดีกับฟู่เสี่ยวกวน
กวนหยุนถายจึงได้ดำดิ่งลงสู่ความเงียบด้วยสาเหตุนี้
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินเองก็มิบังอาจออกความเห็นใด ๆ ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะพวกเขานั้นยังมิได้สมรสกันอย่างเป็นทางการเลยมิสามารถพูดอันใดได้อย่างเต็มปาก
ส่วนซูซูนั้นนั่งกินผลไม้แช่อิ่มอย่างสบายอกสบายใจ นางคิดว่าหากอู๋หลิงจะเป็นเพียงแค่น้องสาวของฟู่เสี่ยวกวน สถานะนี้นั้นนางพอยอมรับได้ แต่อย่าได้ตกหลุมพรางหลวมตัวเป็นหญิงสาวของเขาเชียว !
ที่ซูซูยอมบรรเลงฉินนั้นมิได้มีสาเหตุอื่นใด นางเพียงแค่อยากให้อู๋หลิงรู้ไว้ว่า อย่างน้อยก็ยังมีด้านบรรเลงฉินที่อู๋หลิงมิมีทางเอาชนะนางได้
นี่เป็นความรู้สึกของเด็กสาวที่ดูเหมือนไร้สาระ แต่มิอาจยอมแพ้ได้เด็ดขาด !
ผ่านไปแสนนาน ในที่สุดอู๋หลิงก็ยอมเอ่ยปากพูดเสียที
“ตอนนี้ข้ารู้สึกสับสนยิ่งนัก มิรู้ว่าจะรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เยี่ยงไรดี แต่ข้ารู้แจ้งแจ่มชัดว่ารู้สึกชอบท่านด้วยใจจริง ข้าเข้าใจในทุกความหมายที่ท่านพยายามเอ่ยบอกและมิได้เคืองโกรธแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกผิดหวังเหลือเกิน ถ้าเป็นเยี่ยงนี้จะได้หรือไม่ ข้าขอใคร่ครวญเรื่องนี้ให้ถี่ถ้วนเสียก่อน หากพระราชโองการของเสด็จพ่อจะแก้ไขมิได้ เช่นนั้นก็จงสมรสกับข้า หากว่าสามารถแก้ไขได้ ข้าก็จะยอมเป็นน้องสาวขอท่าน แบบนี้จะได้หรือไม่ ? ”
แล้วข้าจะทำอันใดได้อีกเล่า ?
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้รับปาก และเขาได้เอ่ยกล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดที่องค์หญิงจะประสบในชีวิต กระหม่อมหวังว่าองค์หญิงจะไตร่ตรองด้วยความใจเย็น องค์หญิงทรงมีเรื่องอีกมากมายให้ใคร่ครวญ อย่างเช่นเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรม เรื่องการใช้ชีวิตหรือเรื่องการคบค้าสมาคมกับผู้อื่น เพราะราชวงศ์อู๋และราชวงศ์หยูนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ที่เมืองกวนหยุนท่านทรงมีพระญาติและมิตรสหาย แต่เมื่อไปอาศัยอยู่ที่เมืองจินหลิงแล้วก็จะเหลือตัวคนเดียว ไร้ซึ่งทุกสรรพสิ่งที่ท่านได้เคยได้ครอบรอง และอีกอย่างชีวิตของกระหม่อมที่แคว้นหยูนั้นมิสงบสุขนัก ท่านอาจจะพบเจอภยันตรายที่ยากจะคาดการณ์ก็เป็นได้ ทุกอย่างที่ข้าได้เอ่ยไปล้วนแต่จะเป็นปัญหา พวกเรามิอาจจะใช้ชีวิตเยี่ยงในความฝันเมื่อคราที่ยังเยาว์วัยได้ ขอองค์หญิงโปรดจำสิ่งนี้ไว้ในใจ ! ”
อู๋หลิงจดจำคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนไว้อย่างตราตรึง จากนั้นทุกคนจึงได้ออกเดินทางจากกวนหยุนถาย แล้วอำลากันหน้าสถานทูตแห่งแคว้นหยู อู๋หลิงเดินทางกลับพระราชวัง ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ที่เหลือก็เดินเข้าไปในสถานทูต
เติ้งซิวให้การต้อนรับแก่พวกเขา จากนั้นจึงคำนับต่อฟู่เสี่ยวกวน แล้วชี้ไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่ที่ลานกลางจวน จากนั้นจึงกระซิบที่ข้างหูของฟู่เสี่ยวกวน
“จัวตงหลาย หลานชายของจัวอีสิงอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งราชวงศ์อู๋ และเป็นบุตรชายของจัวเปี๋ยหลีแม่ทัพใหญ่กองทหารม้าแห่งราชวงศ์อู๋ได้รอท่านอยู่ครึ่งค่อนวันแล้ว เขาบอกว่าเยี่ยงไรเสียก็จะเข้าพบท่านให้จงได้”
ฟู่เสี่ยวกวนจึงมองไปยังแผ่นหลังนั้น แผ่นหลังที่ตั้งตรงสง่างามมากยิ่งนัก !
เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย จัวตงหลายหนึ่งในนักปราชญ์ทั้งเจ็ดแห่งหนานซีมาหาเขาด้วยเหตุอันใดกัน ?
ตอนที่ 298 จักรพรรดิช่างมิได้เรื่อง
คำเอ่ยของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อครู่ทำให้หนานกงอี้หยู่ได้ข้อสรุปขึ้นมา “ในเมื่อตาเฒ่าเหวินนั่นอยากเอาดีเข้าตัว พรุ่งนี้วันประชุมคราใหญ่ของเหล่าขุนนางประจำราชวงศ์ ข้าจะยุแยงให้เหล่าขุนนางทวงความสงบสุขคืนสู่ราชวงศ์อู๋ให้ได้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้รับช่วงต่อ เขายืนตรงขึ้นแล้วโค้งคำนับต่อหนานกงอี้หยู่ “ข้าน้อยมีธุระให้สะสาง จึงขอลาท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายไว้เพียงเท่านี้ ! ”
หนานกงอี้หยู่ถึงกับผงะ เจ้าหนุ่มผู้นี้คิดจะหนีเยี่ยงนั้นหรือ ?
เขายื่นมือออกมากวักเรียก “รีบไปไหนเล่า ! เวลานี้ยังเหลืออีก 8 วันกว่าจะถึงงานชุมนุมวรรณกรรม มา ๆ ๆ ข้าได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามาช้านาน อีกทั้งข้าก็เคยอ่านหนังสือความฝันในหอแดงและเยาวชนราชวงศ์หยูกล่าวของเจ้าด้วยเช่นกัน เมื่อมินานมานี้ข้าก็ได้ข่าวว่าผลงานของเจ้าล้มบทกวีในงานเทศกาลโคมไฟได้สำเร็จ ยอดเยี่ยมมากนี่ ตาเฒ่าเหวินนับวันยิ่งอาศัยสถานะนักปราชญ์ทำตัวเหิมเกริม มีผู้ใดอีกเล่าที่จะหยุดยั้งอิทธิพลของมันได้ เจ้ามาเยือนครานี้ข้าหวังว่าเจ้าจะทำได้ดี ข้าขอบอกเจ้าไว้ว่าจงคว้าชัยชนะมาไว้ในมือให้ได้ เหตุผลแรกคือจะได้ตบหน้าตาเฒ่าเหวินนั่น เหตุผลที่สองคือหากองค์หญิงไท่ผิงทรงอภิเษกสมรสกับเจ้านั้นย่อมดีกว่าอภิเษกสมรสกับไอ้ทึ่มจัวตงหลายนั้นเป็นไหน ๆ ”
มิใช่ เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความงุนงงมากขึ้นไปอีก
เขานั่งลงอีกครา และมิได้สังเกตเลยว่าบัดนี้อู๋หลิงได้ขัดเขินเสียจนหน้าแดงเรื่อไปหมดแล้ว
“ข้าน้อยขอกราบเรียนทางอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย ข้าวปลาสามารถกินซี้ซั้วได้แต่คำพูดนั้นห้ามกล่าวซี้ซั้วเป็นอันขาด สตรีทั้งสองนางนี้เป็นคู่หมั้นของข้าน้อย ท่านแรกนามว่าหยูเวิ่นหวินเป็นองค์หญิงเก้าแห่งราชวงศ์หยู ส่วนท่านนี้นามว่าต่งชูหลาน เป็นบุตรสาวของเสนาบดีกรมคลัง สถานภาพขององค์หญิงไท่ผิงนั้นสูงส่งยิ่งนัก อีกทั้งพระนางทรงเป็นถึงองค์หญิงแห่งราวงศ์อู๋ ข้าน้อยนั้นเป็นชาวราชวงศ์หยู ข้าน้อยคิดว่ามันมิคู่ควรยิ่ง ! ”
อู๋หลิงเบ้ปากขึ้นมาทันใด ส่วนซูซูนั้นแอบสะใจอยู่เล็กน้อย
ใบหน้าของหนานกงอี้หยู่ได้เผยความสับสนขึ้นมา เขาจึงเอ่ยถาม “เจ้ามาเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมแต่มิหวังจะคว้าชัยชนะเยี่ยงนั้นหรือ ? ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วจะมาทำไมกัน ? ”
“ข้าน้อยย่อมมาเพื่อคว้าชัยชนะเป็นแน่อยู่แล้วขอรับ ! ”
หนานกงอี้หยู่เอามือตบโต๊ะเสียงดังอีกครา “นั่นแหละ ในเมื่อเจ้าสามารถคว้าชัยชนะมาได้ เจ้าก็จะได้องค์หญิงไท่ผิงไปครอบครอง ในส่วนของสถานภาพของเจ้าหรือสถานภาพของพระนางนั้นมีความเกี่ยวข้องด้วยหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ่งตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม เขาจึงรีบบอกปัด “ช้าก่อน ๆ ๆ ๆ เรื่องนี้พวกเราต้องเจรจากันให้ชัดเจน คว้าชัยชนะในการแข่งขันกับการอภิเษกสมรสกับองค์หญิงสามารถนำมาเอ่ยร่วมกันได้เยี่ยงไร ? ”
หนานกงอี้หยู่เข้าใจในทันที เขาเงยหน้าขึ้นไปสบตาอู๋หลิง สาวน้อยผู้นี้มิได้เอ่ยให้ฟู่เสี่ยวกวนฟังมาก่อนหรอกหรือ ทว่ากวนถงเสนาบดีกรมพิธีการควรจะอธิบายทุกอย่างให้แจ่มชัดให้เขาฟังก่อนแล้ว หรือว่ามีความเข้าใจคลาดเคลื่อนประการใดเยี่ยงนั้นหรือ
เขาหันไปมองทางฟู่เสี่ยวกวน “เอาล่ะ มันเป็นเยี่ยงนี้ เจ้าก็รู้ว่าจักรพรรดิเหวินตี้เป็นจักรพรรดิแบบไหนกัน ฝ่าบาทเป็นคนมิได้เรื่องได้ราวนัก หลังจากที่ราชสาสน์อันเชิญได้ถูกส่งออกไปยังแคว้นต่าง ๆ ฝ่าบาททรงเพิ่มพระราชโองการเสริมเข้าไป ความว่าผู้ที่ได้คว้าชัยชนะครานี้ได้สำเร็จ ก็จะเป็น…” หนานกงอี้หยู่ชี้ไปทางอู่หลิง “เป็นพระสวามีขององค์หญิง มิใช่ว่าจะถูกแต่งตั้งเป็นราชบุตรเขย แต่จะทรงลดฐานันดรศักดิ์ขององค์หญิง เช่นนั้นแล้วในงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้นอกเสียจากแขกผู้ที่ถูกเชื้อเชิญมาจากทั้งสี่แคว้นแล้วนั้น เหล่านักวรรณกรรมแห่งราชวงศ์อู๋ต่างดีใจเสียจนเนื้อเต้น ก็เพราะเป็นจักรพรรดิที่มิได้เรื่อง ฝ่าบาทเลยมิได้กำหนดอายุของผู้เข้าแข่งขันให้ชัดเจน ด้วยเหตุนี้…”
หนานกงอี้หยู่เลิกคิ้วแล้วโยกไหล่อย่างเหนื่อยใจ “ด้วยเหตุนี้แม้แต่ตาเฒ่าเหวินสิงโจวหากว่าหนังหน้าหนามากพอก็คงร่วมแข่งขันด้วยกันกับพวกเจ้า”
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้เข้าใจแล้วเช่นกัน เขาหันไปมองอู๋หลิงด้วยความประหลาดใจ นึกคิดในใจว่าหากมิได้ชัยชนะครานี้ก็ช่างเถอะ !
สายตาของหนานกงอี้หยู่มองอย่างรู้ทันถึงสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนคิด เขาจึงเอ่ยออกมาว่า
“ฟู่ต้ากวนท่านพ่อของเจ้าเพิ่งจะมาซื้อตำหนักเสียนฉิงแห่งเมืองกวนหยุนเมื่อไม่กี่วันนี้เอง บัดนี้เจ้าสามารถย้ายไปอาศัยที่ตำหนักได้เเล้ว ทว่าการซื้อขายครานี้มีพันธสัญญาอยู่หนึ่งข้อที่ว่าหากเจ้ามิอาจคว้าชัยชนะเหนือผู้อื่นในการแข่งขันครานี้ได้ จักรพรรดิเหวินตี้มีสิทธิ์ที่จะยึดตำหนักเสียนฉิงกลับคืนโดยที่มิต้องคืนเงินเลยสักตำลึงเดียว ”
ฟู่เสี่ยวกวนถึงกับตะลึงเสียจนอ้าปากค้าง ท่านพ่อมาเยือนเมืองกวนหยุนเมื่อใดกัน ?
อีกทั้งยังซื้อตำหนักเสียนฉิงไว้อีก !
อีกทั้งยินยอมเซ็นพันธสัญญาที่มิเป็นธรรมเยี่ยงนี้ !
ท่านพ่อกำลังคิดอันใดอยู่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงมิเข้าใจว่าเหตุการณ์มันเป็นเยี่ยงไรกันแน่ เขาเลยตอบกลับไปอย่างทันควัน “หากแม้ว่าท่านพ่อจะซื้อตำหนักเสียนฉิงก็ต้องซื้อกับฝาเทียนหนิงโดยตรงเท่านั้น ! ”
หนานกงอี้หยู่หัวเราะร่า “ที่ผืนนั้นเป็นของฝ่าบาท และพันธสัญญานั้นก็ยังมีตราประทับของฝ่าบาทอีกด้วย ! ”
“เป็นไปมิได้ หรือว่าท่านพ่อจะได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิเหวินตี้แล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ถูกต้องแล้ว ตำหนักจิ้งหูที่คลั่งกระบี่หนิงฝาเทียนซื้อเมื่อหลายปีก่อนนั้นเดิมทีเป็นหนึ่งในทรัพย์สมบัติของราชสำนัก พันธสัญญาข้อเดียวของการซื้อขายครานั้นก็คือหากต้องการขายทอดตลาดจำต้องได้รับความยินยอมจากฝ่าบาทเสียก่อนเมื่อพันธสัญญาใหม่ถือกำเนิดขึ้นการซื้อขายจึงเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกลำบากใจยิ่งนัก ท่านพ่อผู้มองสถานการณ์ด้วยสายตาอันเฉียบแหลมมาตลอดชีวิตกลับมาทำความผิดพลาดชั้นต่ำเยี่ยงนี้ได้เยี่ยงไรกัน ?
เมื่อคราค้างแรมที่เมืองฝานหนิงเคยได้ยินอู๋หลิงเอ่ยว่าสมัยนั้นหนิงฝาเทียนใช้เงินซื้อเรือนประทับของสำนักพระราชวังเป็นเงินกว่าหกแสนตำลึง หลังจากที่ผ่านการซ่อมบำรุงขนานใหญ่มาแล้วนั้น เช่นนั้นแล้วบัดนี้…
“ท่านพ่อของข้าน้อยซื้อไปในราคาเท่าใดกัน ? ”
หนานกงอี้หยู่ยื่นนิ้วโป่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน “ท่านพ่อของเจ้ากระเป๋าหนักใช้ได้ รวยกว่าขุนนางใต้อารักขาของข้าตั้งมากมาย หนึ่งล้านตำลึง ท่านพ่อของเจ้าตกลงซื้อโดยมิคิดเลยสักนิด มิแม้แต่จะต่อราคาเลยสักแดงเดียว ข้าที่เห็นเหตุการณ์กับตา ซื้อขายของชิ้นใหญ่โตถึงเพียงนี้แต่กลับใช้เวลาเพียงแค่ 2 วันเท่านั้นก็เป็นอันเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนร้อนรนเสียจนแทบจะนั่งไม่ติดที่ “ตอนนี้ท่านพ่อของข้าน้อยอยู่ที่ใดกัน ? ”
“อ่า…กลับแล้ว กลับไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่”
ฟู่เสี่ยวกวนใช้สองนิ้วบีบจมูกอย่างขบคิด แล้วทอดสายตามองไปยังทะเลหมอกเบื้องหน้า
บัดนี้ปัญหาได้ง่ายลงอย่างทันตา หากมิสามารถคว้าชัยชนะแล้วมิสมรสกับอู๋หลิงเสียก็จำต้องยอมเสียล้านตำลึงให้ราชวงศ์อู๋ไป
เมื่อเห็นสีหน้าสับสนของฟู่เสี่ยวกวน อู๋หลิงจึงเกิดความรู้สึกน้อยใจขึ้นมา บัดนี้หนานกงอี้หยู่ก็มิได้รู้สึกอภิรมย์อีกต่อไป
พระนางทรงเป็นองค์หญิงเพียงคนเดียวของราชวงศ์อู๋ เป็นพระราชธิดาที่จักรพรรดิทรงรักและทรงหวงมากที่สุด เหตุใดเจ้าจึงกล้าแสดงท่าทีรังเกียจนางได้ถึงเพียงนี้ ?
และก็ไม่รู้ว่าเหตุใดจักรพรรดิเหวินตี้ถึงทรงออกพระราชโองการที่แสนจะไร้สาระเช่นนี้ ในฐานะที่เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายผู้อุทิศทั้งหัวใจให้ราชวงศ์ดังเช่นเขา เขามิมีทางคาดหวังให้องค์หญิงต้องสมรสกับคนแห่งราชวงศ์หยูเป็นแน่ ต่อให้เป็นผู้มีนามกระเดืองเลื่องลือเช่นฟู่เสี่ยวกวนก็เถิด เขาคิดว่าเยี่ยงไรเสียราชวงศ์ก็ขาดทุนเสียย่อยยับ เพราะองค์หญิงผู้เลอค่าเช่นนี้กลับต้องตกอยู่ในเงื้อมมือของชายผู้เลวทราม
ด้วยเหตุนี้เขาจึงมักจะต่อว่าองค์จักรพรรดิเหวินตี้ว่าเป็นจักรพรรดิที่มิได้เรื่อง !
ในราชวงศ์ไร้ซึ่งชายชาตรีผู้เก่งกาจถึงเพียงนั้นแล้วหรือเยี่ยงไรกัน ?
แม้จักรพรรดิเหวินตี้มิอยากให้องค์หญิงไท่ผิงทรงอภิเษกสมรสกับจัวตงหลายเพื่อที่จะทำให้ตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาสามารถมีอภิสิทธิ์เหนือผู้อื่น พระองค์ก็ทรงปฏิเสธตาเฒ่าจัวอีสิงได้นี่ เลือกพระสวามีที่เพียบพร้อมให้กับองค์หญิงนั้นมิใช่เรื่องใหญ่โตมากนักมิใช่หรือ
ที่พระองค์ทรงคิดการใหญ่เช่นนี้ขึ้นมา ในสายตาของราษฎรแห่งราชวงศ์อู๋นั้นย่อมหมายความว่าพระองค์ทรงประสงค์ให้องค์หญิงไท่ผิงอภิเษกสมรสกับฟู่เสี่ยวกวน เพราะเขาคือชายผู้มีนามกระเดืองแผ่นดินอย่างแท้จริง !
นั่นมิใช่ชื่อเสียงจอมปลอม !
บทกวีของฟู่เสี่ยวกวนนั้นได้รับความนิยมกันอย่างแพร่หลายในราชวงศ์อู๋ เขาเป็นบุคคลที่ชาวราชวงศ์อู๋รู้จักกันทุกคน
ทำให้เหล่าเยาวชนแห่งราชวงศ์อู๋ที่มิใส่ใจด้านการประพันธ์นักเกิดความรู้สึกกดดันเกินกว่าที่จะต้านไหว หรือแม้แต่หกคนที่เหลือจากนักปราชญ์ทั้งเจ็ดแห่งหลานซีเอง แม้ปากจะบอกว่ามิเกรงกลัวต่อชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวน แต่ภายในใจนั้นกลับไขว้เขวยิ่งนัก
ทว่าพระราชโองการขององค์จักรพรรดิได้แพร่หลายไปทั่วแผ่นดินแล้ว พวกเขาจะทำเยี่ยงไรได้เล่า ?
พวกเขาต่างก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหลือเกินที่องค์จักรพรรดิทรงลำเอียงเช่นนี้ !
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็รู้สึกว่าองค์จักรพรรดิเหวินตี้นั้นมิได้เรื่อง นี่มันเป็นการวางแผนแบบส่ง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ ?
บัดนี้เขาจะทำเยี่ยงไรดี ?
ตอนที่ 297 หนานกงอี้หยู่
ณ เวลานี้ทะเลหมอกกำลังสำแดงท่วงท่าที่งดงามที่สุดให้แก่ผู้ชม
ทุกคนได้หลุดออกจากห้วงภวังค์แห่งเสียงบรรเลงฉินของซูซูแล้ว พวกเขาล้วนแต่ทอดมองไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของทะเลหมอก มิได้มีผู้ใดสังเกตว่าบัดนี้กวนหยุนถายได้ต้อนรับผู้มาเยือนใหม่อีก 3 คน
ผู้ที่เดินอยู่เบื้องหน้าคือชายอาวุโสผู้แต่งกายด้วยชุดขุนนางแต่ดูภายนอกยังดูแข็งแรงดีอยู่ และมีผู้ติดตามเป็นทหารติดอาวุธครบเครื่องอีก 2 นายคอยคุ้มภัย
เขามิได้เพ่งมองไปเชยชมทะเลหมอกที่บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นภาพที่สวยงามต่าง ๆ แต่เขากลับให้ความสนใจกับเหล่าวิหคนานาชนิดที่ตกตายกลาดเกลื่อนอยู่บนพื้นแทน
เขาขมวดคิ้วแล้วชี้นิ้วไปยังซากวิหคเหล่านั้น จากนั้นทหารทั้งสองนายก็ได้เข้าไปเก็บกวาดทำความสะอาด
เขาเดินขึ้นไปตรงบริเวณต้นสนโบราณ เห็นใบหน้าของอู๋หลิงจากทางด้านข้าง แล้วเขาก็ได้เข้าใจสานการณ์ทั้งหมดโดยทันที จากนั้นเขาจึงหันสายตาไปมองคนหนุ่มสาวเหล่านั้นที่มาด้วยกันกับองค์หญิง และสุดท้ายสายตาคู่นั้นได้มองไปยังร่างของฟู่เสี่ยวกวน
เขาเป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งราชวงศ์อู๋ผู้มีนามว่าหนานกงอี้หยู่ เดิมทีเขาตั้งใจจะมาเดินเล่นตามประสากับนกเหยี่ยวที่เขาแสนรักแสนหวง แต่คาดมิถึงว่านกเหยี่ยวนั้นจะบินตรงมายังกวนหยุนถาย จากนั้นเขาจึงขึ้นมาบนกวนหยุนถายแล้วกับพบเห็นเหล่าซากวิหคตายอย่างดาษดื่นในสภาพน่าอนาถ
เขาคิดว่าบนกวนหยุนถายจะเกิดเรื่องร้ายใดขึ้นมาจึงได้รุดมายังที่เกิดเหตุ เขาได้ยินเสียงบรรเลงฉินอย่างแผ่วเบามาจากที่แสนไกล แต่ทันใดเสียงบรรเลงก็ได้ขาดหายไป แล้วจากนั้นเหล่ามวลวิหคก็ได้บินวนเหนือนภาราว 3 รอบก่อนที่จะแยกย้ายจากไป นกเหยี่ยวลูกรักของเขาก็บินกลับมาแล้วเช่นกัน มันได้กลับมาเกาะที่บ่าของเขาแต่สีหน้าราวกับว่ายังติดอยู่ในห้วงภวังค์บางอย่าง
เขามาถึงกวนหยุนถายแล้วเห็นซากนกเกลื่อนกลาด และพบเหล่าปัญญาชนที่มาร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมที่ได้ถูกองค์หญิงเชิญมาร่วมชมทะเลหมอกบนกวนหยุนถายแห่งนี้
ผู้ที่มีคุณสมบัติพอที่จะนั่งร่วมโต๊ะกับองค์หญิงได้นั้นคาดว่าจะเป็นฟู่เสี่ยวกวนผู้มีนามเลื่องลือ
หนานกงอี้หยู่มิได้รบกวนคนหนุ่มสาวเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่เขากำลังจะผละตัวออกมาอย่างเงียบ ๆ นั่นเอง ทันใดนั้นนกเหยี่ยวตัวนั้นก็ได้บินออกจากบ่าของเขาแล้วไปเกาะบนบ่าของซูซู เจ้านกเหยี่ยวเดรัจฉานนี้มีจุดเด่นของมันอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อใดที่มันรู้ว่าเจ้าของคือใครแล้ว มันจะจงรักภักดีมิมีเปลี่ยน !
ทว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้านั้นทำให้เขาประหลาดใจมากยิ่งนัก เพราะเจ้าเหยี่ยวตัวนี้ได้ยอมรับเขาเป็นเจ้าของแล้ว แต่กลับไปเอนเกาะบนบ่าของเด็กสาว ดูท่าทีเหมือนจะโปรดปรานนางเสียด้วยสิ หรือเดรัจฉานตัวนี้มันหลอกกินอยู่อาศัยกับเขามาโดยตลอดเยี่ยงนั้นหรือ ?
ซูซูหันหน้าไปหานกเหยี่ยวตัวใหญ่ที่เกาะบนบ่าของนางเพียงเล็กน้อย นางมิเคยพบเห็นนกตัวนี้มาก่อน จากนั้นนางจึงยื่นมือไปลูบขนของมันอย่างแผ่วเบา
นกเหนี่ยวมิได้ขัดขืนใด ๆ อีกทั้งมันยังเอาหัวของมันยื่นเข้าไปหามือของเด็กสาวเองเสียอีก มันใช้จะงอยปากแตะกลางมือของนางเบา ๆ จากนั้นจึงส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้วออกมา !
หนานกงอี้หยู่รู้สึกมิสู้ดีนัก !
หึ ! ข้าอุตส่าห์เลี้ยงดูมาเป็นปี ทะนุถนอมอย่างดีแต่กลับมาหักหลังกันได้ !
สีหน้าแดงก่ำของเขานั้นได้เย็นลงมาบ้างแล้ว เขาหันสายตาไปยังฉินที่วางอยู่เบื้องหน้าของซูซูจากนั้นจึงขมวดคิ้วและลูบหนวดเคราของตนอย่างใคร่ครวญ เขาคิดถึงเสียงฉินอ้อยอิ่งแห่งสรวงสวรรค์ อีกทั้งยังนึกถึงเพลงบรรเลงฉินในตำนานที่เย้ายวนหมู่มวลวิหคนับร้อยมาเชยชม
วิหคนับร้อยพันเหินเวหามารวมกลุ่มกันที่กวนหยุนถาย อีกทั้งยังมีอีกหลายตัวที่ต้องมาจบชีวิตลง ณ ที่แห่งนี้ หากลองคิดดูแล้วคงจะเป็นเพราะฝีมือการบรรเลงฉินของแม่สาวน้อยผู้นี้อย่างแน่นอน !
ฝีมือยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง อายุเพียงเท่านี้แต่ทักษะการดีดฉินนั้นได้บรรลุขั้นสูงสุดไปแล้ว อาจจะกล่าวได้เต็มปากว่านางนั้นเก่งกาจในระดับเดียวกับตำนานที่เล่าขานกันมา มิรู้ว่าเด็กสาวผู้นี้เป็นลูกเต้าเหล่าใครกัน
จากนั้นเขาเลยตัดสินใจอยู่ต่อเพื่อเฝ้ามองคนหนุ่มสาวเหล่านั้น เนื่องจากตนได้มองทะเลหมอกนี้มายาวนานกว่าสิบปีแล้วจึงรู้สึกเบื่อหน่ายเลยมิได้สนใจที่จักเชยชมมันเลยสักนิด
เขาต้องการนั่งมองคนหนุ่มสาวที่แจ่มใสดั่งแสงสุริยันแห่งอรุโณทัยนั่น และอยากจะรู้เหลือเกินว่าเจ้านกบ้าตัวนั้นจะกลับมาหาเขาอีกหรือไม่
เมื่อภูเขาเมฆได้ถูกย้อมเป็นสีแดงทั้งหมด ทันใดนั้นสายลมก็ได้พัดพาเข้ามา แล้วภูเขาเมฆก็ได้ถูกสายลมพาพัดพลิ้วเอนไปตามลม ขึ้น ๆ ลง ๆ จากนั้นก็สลายตัวแล้วม้วนตามกระแสลมอย่างบ้าคลั่ง
ป่าทึบเบื้องล่างได้มีเสียงเสียดสีกันของต้นสนดังแว่วขึ้นมา เสียงดังดั่งคลื่นที่พัดกระทบชายฝั่ง ดั่งร้อยพันสายฟ้าฟาดฟันลงใกล้หู เสียงแว่วดังมาจากพื้นที่ลึกที่สุดของทะเลหมอก จากนั้นทะเลหมอกก็ค่อย ๆ สลายตัวไปยังที่ที่มิมีผู้ใดล่วงรู้
บัดนี้เวลาได้ย่ำเข้าสู่ช่วงสายแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่านี่เป็นดังภาพวาดสุดแสนมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติ เขารู้สึกหนักหน่วงขึ้นในใจพอสมควร จากนั้นจึงหันเหสายตาไปทางอื่น ถ้วยน้ำชาที่วางอยู่ในมือบัดนี้ได้เย็นชืดไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เขาเอนหน้าและหันไปเพียงเล็กน้อยก็ได้พบกับหนานกงอี้หยู่ยืนอยู่มิไกลจากเขา
ทะเลหมอกแสนพิศวงได้แสดงจบแล้ว อู๋หลิงได้ถอนสายตาออกจากท้องนภาเบื้องหน้า เมื่อเห็นหนานกงอี้หยู่ยืนอยู่ที่นี่เช่นกัน เธอจึงตกใจเสียจนขวัญหนีดีฝ่อ
“ท่านปู่หนานกง เวลานี้ท่านสมควรประจำอยู่ที่ตำหนักจู่หัวมิใช่หรือ ! ”
หนานกงอี้หยู่ทำหน้าขมึงทึง “ข้ามีปากเสียงกับบิดาของเจ้าเข้าแล้วน่ะสิ ข้าเลยถือโอกาสออกมาเดินเล่นให้อารมณ์เย็นลงเสียหน่อย ! ”
คำพูดนี้ช่างเรียบง่ายนัก !
ฟู่เสี่ยวกวนเมื่อได้ยินว่าผู้ที่มาเยือนนั้นมีแซ่ว่าหนานกงแล้วทำการคาดคะเนอายุเขาก็ทราบในทันทีว่าผู้อาวุโสท่านนี้เป็นใคร เขาเป็นถึงขุนนางตำแหน่งใหญ่โตแห่งราชวงศ์อู๋ ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงล่วงรู้ข้อมูลเหล่านี้จากหอชิงเฟิงซี่หยู่
เมื่อได้ยินท่านผู้อาวุโสเอ่ยขึ้นมาเยี่ยงนั้น เขาจึงรู้สึกแปลกใจ รู้สึกว่าท่านผู้อาวุโสท่านนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
อู๋หลิงลุกขึ้นยืนแล้วส่งต่อที่นั่งให้หนานกงอี้หยู่ แล้วหัวเราะชอบใจ “ข้าว่าท่านจงใจมีปากเสียงกับเสด็จพ่อเพื่อจะหลบหลีกจากภาระงานเสียมากกว่า ” หนานกงอี้หยู่ชักสีหน้าขมึงทึงอีกครา ส่วนอู๋หลิงนั้นกำลังนวดบ่าของเขาอย่าขะมักเขม้น “ฮ่า ๆ ๆ ท่านมิต้องแก้ต่าง ข้าได้ยินเสด็จพ่อทรงตรัสต่อเสด็จแม่เช่นนี้ ! ”
หนานกงอี้หยู่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะว่าเช้านี้เขาได้มีปากเสียงกับองค์จักรพรรดิจริง ๆ ”
“เจ้ามันแค่เด็กน้อยจะไปรู้เรื่องรู้ราวอันใดกัน ก็ตาเฒ่าเหวินสิงโจวมันต้องการผลักดันหลักกฎหมายอะไรนั่นน่ะสิ บิดาของเจ้าก็ดันไปเห็นด้วยกับตาเฒ่านั่นอีก นี่มันใช้ได้ที่ไหนกัน ก็ไอ้กฎหมายอะไรนั่นมันมิคำนึงถึงมนุษยธรรมเอาเสียเลย มีบทลงโทษสารพัดรูปแบบ ขยับนิดหน่อยก็ติดคุกหลายปี หากสามารถผลักดันแล้วนำไปปรับใช้ทั่วราชอาณาจักรแล้วล่ะก็ กรมโยธาธิการคงมิต้องทำสิ่งใดกันแล้ว วัน ๆ คงวุ่นอยู่กับการสร้างคุกสร้างตารางนี้เสีย ! ”
หนานกงอี้หยู่เอ่ยพลางทำท่าทีขึงขัง ดูเหมือนว่าเขาจะมีปากเสียงกับองค์จักรพรรดิขึ้นมาเสียจริง ๆ
ทว่าคำเอ่ยนี้เป็นดั่งสายฟ้าที่ผ่าลงมาสำหรับฟู่เสี่ยวกวน เหวินสิงโจวออกกฎหมายสำเร็จแล้วเยี่ยงนั้นหรือ !
แม้นว่าเขาจะยังมิได้อ่านกฎหมายเหล่านั้นให้เห็นกับตา แต่เมื่อได้ยินคำกล่าวของหนานกงอี้หยู่เช่นนี้ เขาเลยเข้าใจได้คร่าว ๆ ว่ากฎหมายฉบับนี่โหดเหี้ยมยิ่งนัก นี่เป็นกฎหมายข้อสำคัญที่ว่าบ้านเมืองได้เปลี่ยนจากการคุมโดยคนมาเป็นการควบคุมโดยกฎหมาย และฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจดีถึงอุปสรรคอันใหญ่หลวงที่กำลังประสบพบเจอ เฉกเช่นการพยายามฉุดรั้งของขุนนางชั้นใหญ่โตเยี่ยงหนานกงอี้หยู่
เรื่องใหญ่เช่นนี้ควรจะค่อยเป็นค่อยไป เมื่อคิดดูแล้วเหมือนว่าเหวินสิงโจวได้กระทำการด้วยความรีบร้อนจนเกินไป
ทว่าในฐานะราษฎรแห่งราชวงศ์หยูนั้น เขามิคาดหวังให้กฎหมายฉบับนี้ถูกผลักดันจนสำเร็จ
เขาจึงเอ่ยออกไป “นี่มันมิใช่การหักล้างหลักปรัชญาของขงจื๊อหรือขอรับ ? ”
หนานกงอี้หยู่รู้สึกราวกับว่าได้เจอเพื่อนที่รู้ใจ เขาจึงเอามือตบโต๊ะอย่างแรงด้วยความถูกใจ “ใช่น่ะสิ หลักปรัชญาของขงจื้อนี้เดิมทีก็ถูกผลักดันโดยเหวินสิงโจว มิรู้ว่าล่วงเลยไปกี่ปีกว่าที่ราชวงศ์จะนำหลักนี้มาปรับใช้ได้ กว่าจะนำไปใช้ให้เกิดผลสำฤทธิ์นั้นช่างยากเย็นแสนเข็ญมากยิ่งนัก ตาเฒ่าเหวินก็ใคร่จะถอนรากถอนโคนด้วยสองมือที่เขาสร้างมันขึ้นมา ฟู่เสี่ยวกวน เจ้าเป็นเด็กหนุ่มผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ ไหนเจ้าลองกล่าวมาสิว่าตาเฒ่าผู้นี้กำลังลำบากโดยเปล่าประโยชน์อยู่หรือไม่ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนนึกดีใจเพราะเขามินึกว่าหนานกงอี้หยู่จะรู้จักตน
เขาเผยรอยยิ้มอันเรียบเฉยออกมา “ในฐานะนักวรรณกรรมต้องเคารพคนรุ่นก่อน แล้วเอาชื่อเสียงของตนไว้เบื้องหลัง การกระทำนี้ของท่านเหวิน ในฐานะคนรุ่นหลังเยี่ยงข้าน้อยนั้นคงมิกล้าจะเอ่ยความเห็นอันใดที่มิสมควร”
คำกล่าวนี้ได้ถูกเอ่ยออกมาอย่างนุ่มนวลนัก เขามิกล้าเอ่ยความเห็นใด ๆ ออกไป เลยใช้คำที่ว่าคนรุ่นก่อนและคนรุ่นหลังเอ่ยถึงแผนการเยี่ยงนี้ของเหวินสิงโจว
เขามิอาจกระทำการใดให้เกิดความรู้สึกหมองมัวต่อเหวินสิงโจวได้ แต่ก็มิต้องการเห็นราชวงศ์อู๋แข็งแกร่งไปยิ่งกว่านี้เช่นกัน
หากราชวงศ์อู๋แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไป แคว้นเพื่อนบ้านเยี่ยงราชวงศ์หยูจะทำเยี่ยงไร ?
ตอนที่ 296 วิหคนับร้อยแห่มาชื่นชม
อู๋หลิงมิเข้าใจว่าแสงแรกแห่งสุริยันคือสิ่งใด แน่นอนว่าหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานก็ย่อมมิทราบเช่นกัน มีเพียงฟู่เสี่ยวกวนเท่านั้นที่เมื่อได้ยินประโยคนี้แล้วถึงกับตกตะลึง
มิเลวเลยนี่ แสร้งทำได้แยบยล เอ่ยออกมาได้ถูกจังหวะยิ่งนัก
แน่นอนว่าคำพูดนี้มิใช่คำพูดที่ซูซูคิดขึ้นมาเอง แต่เป็นคำพูดที่คราหนึ่งฟู่เสี่ยวกวนเคยเอ่ยให้นางฟังต่างหากเล่า
จำได้เลือนรางว่าเกิดขึ้นตอนไหน วันนั้นหิมะถล่มเมืองจินหลิงอย่างหนัก ฟู่เสี่ยวกวนและซูซูได้ร่วมเดินทางไปยังอารามซุ่ยเยว่
อารามซุ่ยเยว่เปล่าเปลี่ยวไร้ซึ่งผู้คน มีเพียงแค่รูปปั้นของเจ้าแม่หนี่วาเท่านั้นที่ยังคงยืนอยู่อย่างเงียบเชียบ
เขาค้นภายในอารามซุ่ยเยว่อยู่แสนนาน แล้วจึงยกย้ายเก้าอี้มานั่งตรงลานด้านใน
ตอนนั้นซูซูได้เอ่ยถามว่าเขากำลังรอสิ่งใด เขาจึงตอบกลับไปเช่นนี้ “รอแสงแรกแห่งสุริยัน ! ”
ซูซูแหงนหน้าขึ้นมองหิมะที่โปรยลงมาอย่างมิขาดสาย มิรู้ว่ายามใดแสงแรกแห่งสุริยันนั้นจะปรากฏขึ้นมาให้เห็น ว่าแต่แสงสุริยันมันมีแค่ช่วงเดียวเสียที่ไหนกัน
ซูซูมิเข้าใจแต่ก็มิได้เอ่ยถาม ฟู่เสี่ยวกวนรออยู่เนิ่นนานจากนั้นจึงได้จากไปก่อนที่แสงแรกแห่งสุริยันนั้นจะมาเยือน
ทว่าครานั้นฟู่เสี่ยวกวนกลับหวังให้หิมะหยุดตกขึ้นมาจริง ๆ เพื่อที่จะได้เห็นแสงสุริยันสาดส่องเข้ามาถึงลานด้านใน
ฟู่เสี่ยวกวนเชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ว่าที่อารามซุ่ยเยว่มีสุดยอดความลับถูกปกปิดเอาไว้อยู่ แต่หาเยี่ยงไรก็หามิเจอ
บัดนี้อารามซุ่ยเยว่นั้นถูกซูม่อเผาจนมอดไหม้มลายสิ้น แต่เขาก็ยังคงอยากกลับไปที่อารามซุ่ยเยว่แห่งนั้นเพื่อไขความลับอีกสักครา
……
ชากำลังอุ่นได้ที่พอดี
ตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ได้ดื่มชาถ้วยแรก ดวงตาของซูซูก็ได้ส่องประกายขึ้นมา
แสงแรกแห่งอรุโณทัยได้ปรากฏขึ้นตรงปลายเส้นขอบฟ้า ราวกับประตูแห่งสรวงสวรรค์ได้ถูกเปิดแล้วแสงแห่งสุราลัยสาดส่องลงมา
จากนั้นแสงแรกแห่งอรุโณทัยนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดง แดงฉานราวกับสีของโลหิต ดั่งถูกปูเอาไว้ด้วยผ้าไหมสีแดงสด แสงสุริยันมิได้ปรากฏขึ้นเหนือทะเลหมอกอย่างเชื่องช้า แต่ทว่าแสงนั้นได้ปรากฏขึ้นมาในชั่วพริบตา !
ทะเลหมอกถูกย้อมให้เป็นสีแดง ขอบฟ้าได้เปลี่ยนเป็นโปร่งแสง
“นั่นคือแสงแรกแห่งสุริยัน ! ”
ซูซูได้เริ่มบรรเลงฉิน ดั่งลมแห่งวสันตฤดูที่พัดเอื่อยแต่ยาวนาน ดั่งธาราแห่งขุนเขาไหลรวยริน
บทเพลงที่นางบรรเลงนั้นคือบทเพลงบทสุดท้ายในสิบสองบทของหนังสือความฝันในหอแดง นั่นก็คือบทเพลงวิหคบินสู่พงพนา
แม้ว่าเสียงฉินจะมีจังหวะขึ้นลง แต่ทว่าก็ได้ทำให้รู้สึกหดหู่มากเช่นกัน
เมื่อสายลมในยามเช้าได้พัดพาเข้ามา ทำให้อากาศตรงภูผาเมฆเย็นขึ้นกว่าเก่า หยูเวินหวินสั่นสะท้านเพราะความหนาวเย็น ส่วนท่านผู้อาวุโสที่ยืนอยู่เบื้องหลังของฝานเทียนหนิงนั้นบัดนี้ได้ถอนสายตาออกมาจากปลายเส้นขอบฟ้า และสายตาคู่นั้นได้จดจ่ออยู่ที่ร่างของซูซูแทน
ซูซูผู้ซึ่งบัดนี้กำลังดีดฉินอย่างใจจดใจจ่อ
สายตาของนางยังคงเพ่งมองที่แสงแรกแห่งสุริยัน แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับแยกออกว่าสายตาของนางนั้นมิได้เพ่งมองสิ่งใดเป็นพิเศษ บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นรูดำมืด และในนั้นมีความมืดมิดและความเจ็บปวดที่ยากแท้จะหยั่งถึงปรากฏออกมาให้เห็น
บัดนี้ซูซูได้กลับไปจมปลักอยู่ในความทรงจำของตนอีกครา !
เมื่อฤดูใบไม้ผลิปีที่ฮ่องเต้ไท่เหอขึ้นครองราชย์ครบ 51 ปี ตอนนั้นนางอายุ 5 ขวบพอดี
ณ ตรอกชิงอีในเมืองจินหลิงมีจวนของขุนนางผู้หนึ่งถูกเผาจนวอดวาย ทั้งหมดเป็นแผนการของเส้าชิงหลินที่ต้องการฆาตกรรมหมู่ทั้งครอบครัว สุดท้ายนั้นสมาชิกในครอบครัวและบริวารได้ถูกอัคคีภัยที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันคร่าชีวิตไปทั้งหมด 136 ชีวิต แต่มิมีผู้ใดล่วงรู้รู้ว่าตระกูลหลินนี้ได้มีเด็กหญิงผู้หนึ่งรอดชีวิตมาได้ และบัดนี้นางผู้นั้นได้อายุใกล้ครบ 15 ปีบริบูรณ์แล้ว
นางได้กลายเป็นเด็กกำพร้าและมิได้มีแซ่หลินอีกต่อไป นามของนางนั่นคือซูซู นางพร่ำอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจว่าแท้จริงนั้นชื่อของนางคือหลินซูซู !
นางรู้ดีว่านั่นมิใช่อุบัติเหตุแต่อย่างใด นางยังจำชื่อของผู้ร้ายได้ขึ้นใจ เพียงแต่ว่าเวลานี้เขาผู้นั้นมีฐานะที่สูงส่ง ลำพังเพียงแค่สถานะของนางในตอนนี้คงเป็นการยากที่จะตามล้างแค้น
ทุกวันนี้นางใช้ชีวิตดั่งเด็กสาวที่แสนบริสุทธิ์สุดสดใส แม้แต่ศิษย์พี่ในสำนักเต๋าเองก็คิดว่านางนั้นมิต่างอะไรกับพวกเขามากนัก พวกเขาต่างก็คิดว่านางลืมอดีตที่แสนขมขื่นเหล่านั้นไปทั้งหมดแล้ว
นางปรารถนาที่จะลบเลือนภาพหยาดโลหิตที่ไหลท่วมเจิ่งนองจวนในครานั้น แต่ภาพนั้นกลับยิ่งฝังลึกเข้าไปและชัดเจนมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ในจิตใจของนาง
ทันใดนั้นเสียงฉินก็ได้ดังกึกก้องขึ้นมา และซูซูก็ได้เปล่งเสียงขับร้องบทเพลงวิหคบินสู่พงพนาออกมาให้ได้ยิน
เหล่าขุนนางงานบ้านเรือนย่อมล้มเหลว
ผู้ร่ำรวยสูงส่งเงินทองนั้นมากมี
ผู้จิตใจดีพระย่อมคุ้มภัย
ผู้ไร้เมตตากรรมย่อมตามสนอง
ติดค้างชีวีมิได้หวนคืน
ติดค้างหยาดน้ำตาได้ไหลจนรินหมดสิ้น
……
เสียงร้องของนางทำให้ทุกคนประทับใจมากยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้คนทุกคนจึงจดจ้องไปที่นาง ทว่าสายตาคู่นั้นของนางยังคงเพ่งมองไปที่แสงแรกแห่งสุริยัน !
ฟูเสี่ยวกวนขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะนางจำคำร้องผิดไปประโยคหนึ่ง ประโยคที่ว่าติดค้างชีวีหวนคืนสิ้น ซูซูได้ร้องเป็นติดค้างชีวีมิได้หวนคืน หรือนางอาจจะจำผิดก็เป็นได้ เขาเลยมิได้เอาไปคิดใส่ใจมากนัก เพราะเดิมทีซูซูคนที่เขารู้จักนั้นเป็นเพียงเด็กสาวที่รู้แต่เรื่องกินมิได้สนใจสรรพสิ่งอื่นใดในใต้หล้านี้
ซูซูมิแม้แต่จะสังเกตว่าสายตาของทุกคนได้เปลี่ยนจากความประหลาดใจมาเป็นความชื่นชมแทน เสียงบรรเลงฉินของนางได้ดังเอื่อยอีกครา ทันใดนั้นภาพสุดมหัศจรรย์ที่มิเคยปรากฏมาก่อน ณ กวนหยุนถายก็ได้ปรากฏขึ้นมาให้เห็น
วิหคนับร้อยพันจากส่วนที่ลึกที่สุดในทะเลหมอกได้บินออกมารวมกันเป็นกลุ่ม !
หมู่มวลวิหคบินวนอยู่เหนือทะเลหมอก ร้องเสียงดังเจื้อยแจ้ว จากนั้นก็บินเข้ามาที่กวนหยุนถายอย่างบ้าคลั่ง !
ทะมึนดั่งเมฆดำที่บดบังแสงสุริยันและได้แผ่ปกคลุมทั่วทั้งท้องนภาเหนือกวนหยุนถายเสียจนมิด
คล้อยตามเสียงบรรเลงฉินของซูซูที่บัดนี้ได้ก้องกังวานมากขึ้นกว่าเก่า วิหดบางส่วนได้เหินบินขึ้นไปสู่ท้องนภา บางส่วนได้เกาะพักบนกิ่งก้านของต้นสนโบราณ อีกทั้งยังมีบางส่วนที่เกาะอยู่บนบ่าของซูซู
ทุกคนต่างตกตะลึงหรือแม้แต่ฟู่เสี่ยวกวนเองบัดนี้ก็ได้ตกตะลึงเสียจนตาเบิกโพลง
นี่สินะวิหคนับร้อยแห่มาชื่นชมดังที่กล่าวขานกันมา !
บัดนี้เขาได้เข้าใจแล้วว่าเหตุใดศิษย์พี่ทั้งสองแห่งสำนักเต๋าได้กินนกเข้าไปหลายตัวเหลือเกิน !
อ่า ! เพียงแค่ยื่นมือออกไป เจ้านกหน้าโง่เหล่านี้ก็โดนจับได้แล้ว !
ทำนองเสียงบรรเลงของซูซูได้เปลี่ยนไปอีกครา ครานี้เปลี่ยนเป็นสะเทือนใจ ตีบตันใจ และเสียงขับร้องใสราวกับแก้วนั้นได้ดังขึ้นมาอีกครา
หากใคร่รู้ว่าเหตุใดชีวิตถึงสั้นจงถามตนเองว่าทำเรื่องชั่วใดมา
หากแก่ตัวลงมีกินดีอยู่ดีนั้นนับว่าโชคดี
ผู้ที่รู้ว่าสักวันก็ต้องตายย่อมหลีกเลี่ยงการเข้าหาธรรมะ
ผู้ที่ยึดมั่นในความฝันย่อมสละชีวีเพื่อไขว่คว้า
ดั่งฝูงวิหคแย่งชิงอาหารประทังชีพ
เมื่อกินเสร็จทิ้งไว้แค่พื้นเปลือยปล่าวสะอาดตา
ทันใดนั้นเสียงบรรเลงได้เปลี่ยนเป็นเสียงแหลม และหมู่วิหคนั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นโศกนาฏกรรมขึ้นมาในบัดดล
พวกมันต่างก็เหินสูงขึ้นไปและยิ่ง ๆ ขึ้นไป แล้วพุ่งลงมาชนกับพื้นธรณีบนกวนหยุนถาย !
หนึ่งตัว สองตัว สิบตัว ร้อยตัว…….
ราวกับว่าหมู่มวลวิหคเหล่านี้ได้บ้าคลั่งจนเสียสติ พวกมันได้พุ่งลงมาชนกับพื้นธรณีอย่างมิขาดสาย โลหิตสีแดงสดไหลอาบพื้นธรณีเป็นวงกว้าง ซากมวลวิหคกองเกลื่อน
ฟู่เสี่ยวกวนตกใจเป็นอย่างมาก จึงตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงดุดัน “พอได้แล้ว ซูซู ! ”
เสียงบรรเลงแสนกึกก้องได้หยุดลงในทันใด นัยน์ตาของซูซูราวกับเพิ่งรวบรวมสติกลับมาได้ จึงค่อย ๆ มีสีสันขึ้นมา นางผละสายตาออกจากแสงแรกที่สอดส่องอยู่ที่ปลายขอบฟ้า
นางหันไปมองศพของหมู่วิหคที่กลาดเกลื่อนอยู่ทั่วพื้นธรณี แล้วจึงก้มศีรษะลงด้วยความเสียใจ
ฉินนั้นมีไว้สังหารคน เหตุใดข้าจะต้องเล่นฉินด้วย ?
“ข้า…ข้ามิได้เจตนา”
ฟู่เสี่ยวกวนลูบศีรษะของซูซูอย่างแผ่วเบา ซูซูมิได้หลบหลีก นางรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง นางมิได้มีเจตนาสังหารหมู่มวลวิหคเหล่านั้น ที่ตำหนักสำนักเต๋าก็ได้ตายไปจนมิเหลือสักตัวแล้วเช่นกัน แม้ว่าจะทำให้ศิษย์พี่ทั้งสองได้รับผลประโยชน์ แต่นางกลับมิได้รู้สึกยินดีกับการกระทำเยี่ยงนี้เลยแม้แต่น้อย
เดิมทีนางมิอยากบรรเลงฉินให้ผู้ใดฟังทั้งสิ้น วันนี้กลับมิรู้ว่าเนื่องด้วยเหตุใดทำให้นางมีอารมณ์อยากจะบรรเลงฉินขึ้นมา
กลับกัน อู๋หลิงและคนอื่น ๆ กลับรู้สึกพิศวงต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นที่สุด !
ต้องเป็นคนประเภทใดกันถึงจะมีพรสวรรค์ได้มากถึงเพียงนี้ ?
ทั่วทั้งใต้หล้านี้จะมีผู้ใดที่บรรเลงเย้ายวนมวลวิหคได้มากถึงเพียงนี้กัน ราวกับโดนมนต์แห่งเสียงของฉินสะกดจิตถึงขั้นมิเสียดายชีวาเลยเยี่ยงนั้นรึ !
ท่านผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ด้านหลงของฟู่เสี่ยวกวนนั้นหันไปทางซูซูแล้วก้มหน้าลงคำนับ แต่มิอาจหยั่งรู้ได้ว่าเนื่องด้วยสาเหตุใด
สุริยันแห่งแดนไกลโพ้นบัดนี้ได้โผล่พ้นเหนือทะเลหมอกส่องประกายแสงสาดส่องลงมา
ด้วยเหตุนี้กลุ่มเมฆเหล่านั้นจึงยิ่งถูกย้อมให้เป็นสีแดงแล้วเคลื่อนตัวเข้ามา
ราวกับคลื่นที่ซัดเข้าริมฝั่งและก่อตัวขึ้นเป็นชั้น ๆ สูงขึ้นและสูงขึ้นจนต่อตัวเป็นภูเขาเมฆขนาดใหญ่
มิใช่แค่ภูเขาแต่เป็นเทือกเขา
ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปยังเมฆลวงตาที่บัดนี้ได้ก่อตัวเป็นดั่งหุบเขา แล้วหันไปส่งยิ้มให้ซูซู “เจ้าดูสิ นี่คงเป็นความงดงามแห่งทะเลหมอก”
อู๋หลิงต้องยับยั้งความรู้สึกพิศวงนั้นไว้ในใจ จากนั้นนางจึงกล่าวต่อซูซูด้วยความนับถือ “ใช่ ๆ แม่นางซูซูดูก่อนเถิด อีกประเดี๋ยวทะเลหมอกจะเปลี่ยนไปอีกร้อยแบบพันแบบ จะงดงามขึ้นเป็นทวีคูณ”
ซูซูพยามยามรวบรวมสติแล้วกลับไปเป็นซูซูคนเดิม
นางยืนขึ้นยืดแข้งยืดขา จากนั้นนางจึงหยิบผลไม้แช่อิ่มเข้าปากบดเคี้ยวอย่างละเอียด แล้วหันสายตาไปยังทะเลหมอกที่กำลังแปรเปลี่ยนเป็นรูปแบบต่าง ๆ ร้อยแบบพันแบบ
หมู่เมฆได้แปรเปลี่ยน เปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อย ๆ เป็นวิมานบนสวรรค์ เป็นเหล่าเทพบุตร ดั่งบุษบาที่บานสะพรั่งยามฤดูใบไม้ผลิ บัดนี้เป็นดั่งกระแสคลื่นที่พัดพามา จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นธารน้ำตกที่สูงเด่นตระหง่าน
ซูซูขบคิดในใจ นี่ช่างน่าอัศจรรย์มากยิ่งนัก !
เมฆยังเป็นเช่นนี้ มนุษย์ก็เป็นเฉกเช่นนี้ ชีวิตย่อมก็เป็นเยี่ยงนี้เช่นกัน !
ตอนที่ 295 รอแสงแรกแห่งสุริยัน
งานชุมนุมวรรณกรรม ณ วัดหานหลิงจะมาถึงในอีกแปดวันข้างหน้า กฎของการแข่งขันจะถูกประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่เริ่มแข่งกัน ด้วยเหตุนี้ฝานเทียนหนิงจึงถามท่าป๋ายวนด้วยความสงสัยใคร่รู้
ท่าป๋ายวนยิ้มอย่างมีเลศนัย “เยี่ยงไรเสียเจ้าฟู่เสี่ยวกวนมันก็มิมีทางคว้าชัยในการแข่งขันครานี้ไปได้” เขาพูดพลางถอนหายใจ จากนั้นก็ทอดมองไปยังทะเลหมอกที่บัดนี้ยังคงมืดมิดไร้ซึ่งแสงสุริยัน “เดิมทีข้าก็อยากคว้าชัยเหนือการแข่งขันครานี้เพื่อจักได้ครอบครององค์หญิงอยู่หรอก แต่ทว่าเมื่อข้าได้ลองไตร่ตรองมากพอแล้ว เยี่ยงไรเสียองค์หญิงไท่ผิงก็จำต้องสมรสกับจัวตงหลาย เช่นนั้นแล้วผู้ที่จักถือครองชัยชนะในครานี้คงมีเพียงจัวตงหลายแต่เพียงผู้เดียว มิมีทางเป็นฟู่เสี่ยวกวนได้เป็นอันขาด ”
ฟานเทียนหนิงรู้สึกสนใจหัวข้อสนทนานี้ขึ้นมา เขานึกถึงคำพูดที่อู๋หลิงได้เอ่ยต่อฟู่เสี่ยวกวนเมื่อคราที่อยู่เมืองฝานหนิงแล้วยิ้มออกมา “ท่านพี่ท่าป๋า กระหม่อมเกรงว่าคำพูดของท่านจะมิถูกต้องนัก หากองค์หญิงไท่ผิงทรงมีใจต่อจัวตงหลาย แล้วเหตุใดจึงประกาศให้มีการแข่งขันนี้ขึ้นมา เพียงแค่องค์จักรพรรดิเหวินตี้ทรงมีพระราชโองการออกมาก็เป็นอันจบสิ้น มิจำเป็นต้องคิดการใหญ่เช่นนี้ให้วุ่นวาย”
“เจ้าช่างมิรู้อะไรเอาเสียเลย จัวตงหลายเปรียบดั่งเทพบุตรผู้เก่งกาจรอบด้านมิอาจหาใครอื่นใดมาเทียบได้ หากจักรพรรดิเหวินตี้ทรงออกพระราชโองการเฉกเช่นที่เจ้าเอ่ย เช่นนั้นแล้วจัวตงหลายก็จักเป็นราชบุตรเขยที่ถูกแต่งตั้ง ซึ่งเขาย่อมมิยอมเป็นแน่ พระองค์ทรงคิดแผนการนี้ ขึ้นมาก็เพื่อที่จะให้ผู้ชนะได้ครอบครององค์หญิงอย่างชอบธรรม อย่างที่เขากล่าวว่าปาหินครั้งเดียวได้นกสองตัว ตัวที่หนึ่งคือมีผลการแข่งขันครานี้เป็นประจักษ์ทำให้จัวตงหลายได้มีชื่อเสียงทั่วปฐพี ตัวที่สองหากยกองค์หญิงไท่ผิงให้จัวตงหลายภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้ก็ย่อมเป็นที่ไร้ข้อกังขาแก่มวลมหาชน”
ฝานเทียนหน้าหุบลงทันใด เมื่อเขาได้ไตร่ตรองดูแล้ว ในเมื่ออู๋หลิงนั้นชอบพอฟู่เสี่ยวกวน หากมีเรื่องราวพลิกผันทำให้จัวตงหลายพ่ายแพ้แก่ฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นเรื่องที่ไม่น่ายินดีนัก เพราะนั่นหมายถึงเขาได้ทำให้ตระกูลจัวเกิดความอาฆาตพยาบาทแก่ตัวเขาขึ้นมาเสียแล้ว !
ตะกูลจัวนั้นมีอำนาจใหญ่หลวง ณ อาณาเขตแห่งราชวงศ์อู๋นี้ เขาย่อมไร้ซึ่งบารมีของฮ่องเต้หยูยิ่นและฮองเฮาซั่งคอยคุ้มกัน หากจัวอี้สิงผู้เป็นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาใคร่สังหารฟู่เสี่ยวกวนเสียละก็ ราชวงศ์หยูย่อมไร้ซึ่งความสามารถที่จะแก้แค้นให้ฟู่เสี่ยวกวนได้เป็นแน่ คงทำได้ดีที่สุดแค่กล่าวโทษแค่สองสามคำก็เท่านั้น
ความตายครานี้คงน่าเวทนายิ่งนัก !
เรื่องนี้จำต้องเอ่ยกล่าวแก่ฟู่เสี่ยวกวน เพราะมิคุ้มค่าอย่างยิ่งที่ชีวาต้องมลายเนื่องจากฝีมือการประพันธ์ของตน !
ขณะนั้นเองขบวนของฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางมาถึงกวนหยุนถายพอดี
พวกเขาต่างคาดไม่ถึงว่าขบวนของฝานเทียนหนิงและคนอื่น ๆ นั้นได้มาชมทะเลหมอกเช่นกัน ฟู่เสี่ยวกวนคำนับต่อฝานเทียนหนิง ท่าป๋ายวน รวมไปถึงเหยียนหานยู้ทีละคนพร้อมทั้งเอ่ยทักทายกับทุกคนอย่างเริงร่า “อรุณสวัสดิ์ทุกท่าน ! ”
ฝานเทียนหนิงรู้สึกปริ่มเปรมยิ่ง เขาคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้ช่างน่าสนใจ ทันใดนั้นราวกับว่าเขาได้ลืมความอาฆาตพยาบาทที่ท่าป๋ายวนและเหยียนหานยู้มีต่อชายหนุ่มผู้นี้ในบันดล
เหยียนหานยู่คือผู้ที่โดนขังในรถเชลยศึกจนมาถึงเมืองกวนหยุน หากมิใช่เพราะเคยฝึกวรยุทธ์มาก่อน เกรงว่าเมื่อมาถึงเมืองกวนหยุนเขาคงอาละวาดจนรถเชลยศึกพังพินาศเป็นแน่
ฝานเทียนหนิงรีบรุดเข้าไปหาฟู่เสี่ยวกวนแล้วคำนับหนึ่งครา จากนั้นจึงกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ข้ามิทราบว่าท่านพี่ฟู่จะมาเยือนที่แห่งนี้เช่นกัน เป็นข้าเองที่ปล่อยปละละเลย ควรเชื้อเชิญท่านพี่ร่วมเดินทางมาด้วยกันเสียจะดีกว่า องค์หญิงไท่ผิงทรงดูแลท่านมิขาดตกบกพร่องเสียจริง ๆ ”
เขาชำเลืองตามององค์หญิงไท่ผิง บัดนี้ในใจได้มั่นใจเกินร้อยแล้วว่าองค์หญิงผู้นี้ได้ตกหลุมรักฟู่เสี่ยวกวนเข้าแล้ว นางร่วมเดินทางกับฟู่เสี่ยวกวนอย่างโจ่งแจ้งเยี่ยงนี้ จัวตงหลายย่อมล่วงรู้ได้ เช่นนี้แล้วเกรงว่าฟู่เสี่ยวกวนคงจะลาโลกไปอย่างสงบก่อนที่งานชุมนุมวรรณกรรมจะเริ่มเสียอีกน่ะสิ
ท่าป๋ายวนไม่ยอมที่จะโค้งคำนับต่อฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงไปคำนับต่ออู๋หลิงแทน
ส่วนเหยียนหานยู่นั้นมิใยดีฟู่เสี่ยวกวนแม้แต่น้อย และเขาก็ได้หันไปคำนับต่ออู๋หลิงเช่นกัน
อู๋หลิงมิได้คำนับตอบสองคนนั้น แต่นางได้หันไปพูดคุยกับชายหนุ่มที่มาด้วยกันแทน “อีกเพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้นท่านก็จะได้พบกับทะเลหมอกสุดตระการตา พวกเราไปทางโน้นกันเถิด”
ทางนั้นมีหน้าผาและตรงริมขอบนั้นมีหินปูนห้อมล้อมเอาไว้ บนหน้าผาได้มีต้นสนโบราณตั้งเด่นสูงตระหง่านประดับไว้อยู่
ใต้ต้นสนมีโต๊ะหินและม้านั่งสี่ตัววางตั้งไว้อยู่ บนโต๊ะนั้นมีรอยสลักตารางหมากรุก ลายตารางที่เริ่มจะลบเลือนนั่นบ่งบอกว่ามีผู้คนมาเล่นหมากรุกบนโต๊ะนี้เป็นประจำ
“ท่านเจียนเจิ้งซ่งผู้คุมสำนักศึกษาดาราศาสตร์ท่านีเหวินชางไห่บัณฑิตแห่งสำนักฮั่นหลินมักมาประชันฝีมือกันที่นี่บ่อยครั้ง เสด็จพ่อก็เสด็จมาฝึกซ้อมฝีมือบ้างเป็นครั้งคราเช่นกัน แน่นอนว่าอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจัวอี้สิงและอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายเยี่ยงหนานกงนั้นก็ย่อมแวะเวียนมาบ้างยามว่าง”
อู๋หลิงมิได้กล่าวถึงว่าที่แห่งนี้มิใช่ที่ใครอยากขึ้นมาก็สามารถย่ำกรายเข้ามาได้ ที่นี่เป็นตำแหน่งที่ดีที่สุดที่จะชมทะเลหมอกแห่งกวนหยุนถาย
บ่าวรับใช้หญิงได้ถวายผลไม้แช่อิ่มและชุดชงชาให้แก่อู๋หลิง จากนั้นนางจึงเริ่มชงชาและเอ่ยต่อซูซู “แม่นางซูซู โปรดเล่นฉินสักเพลงเพื่อช่วยเสริมบรรยากาศเสียหน่อยได้หรือไม่ ? ”
หากเป็นเวลาทั่วไปซูซูนั้นมิมีอารมณ์ที่จะดีดฉินเลยแม้นแต่น้อย นางเห็นพ้องกับฟู่เสี่ยวกวนที่ว่าฉินนั้นมีไว้เพื่อสังหารคนเพียงเท่านั้น !
ทว่าครานี้มิรู้ว่าเหตุใดดลใจ นางถึงได้เปิดกล่องฉินด้วยความรื่นรมย์
“ในเมื่อองค์หญิงทรงมีความประสงค์เช่นนั้นแล้วซูซูจะดีดฉินให้ฟังนะเพคะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจซูซูดี
นอกจากเรื่องกินแล้วก็มิได้สนอกสนใจสิ่งใดเป็นพิเศษ
ซูซูนอกจากจะมีฉินไว้สังหารคนแล้วนั้น ฟู่เสียวกวนเคยได้ยินคำเล่าขานจากศิษย์พี่แห่งสำนักเต๋าว่า เมื่อซูซูดีดฉินยามใด หมู่วิหคนับร้อยจะแห่มาชื่นชม !
ฟู่เสี่ยวกวนเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าสิ่งนี้มิมีทางเป็นไปได้ เขาอยากเห็นฝีมือของซูซูกับตาสักครา แต่นางกลับบอกว่ามิมีอารมณ์ดีดฉินทุกหนไป
เขาคิดอยู่เสมอว่าเมื่อนางได้บรรลุตนเป็นศิษย์แห่งสำนักเต๋า นอกจากสังหารคนแล้วนางมิคิดจะกลับมาดีดฉินแห่งสรวงสวรรค์นี้อีกเลยหรือ ทว่าเขากลับคิดผิดถนัด เมื่ออู๋หลิงร้องขอให้นางบรรเลงเพลงให้ฟัง นางก็ยอมตกลงที่จะดีดบรรเลงตามที่นางขอ เด็กนี้ ! ช่างมิเคยเห็นหัวเขาเลยสักครา…
เมื่อแสงสุริยันเริ่มสาดส่องเข้ามาสู่พื้นพิภพอย่างเชื่องช้า กาน้ำชาบนโต๊ะหินได้เดือดจนมีควันพวยพุ่งออกมา กลิ่นหอมเจือจางของใบชาได้โชยไปตามสายลมที่พัดแผ่วเบา ลอยไปแตะตรงปลายปลายจมูกของฝานเทียนหนิงและคนอื่น ๆ เขาได้หันไปมองคนกลุ่มนั้นที่นั่งอยู่บนม้านั่งหินอ่อน จากนั้นเขาจึงเผลอยิ้มออกมา
ชายหนุ่มผู้นี้มิได้เกิดความริษยาต่อฟู่เสี่ยวกวนเลยแม้แต่น้อย เมื่อเขาได้เห็นความสามารถของฟู่เสี่ยวกวนที่ตำหนักเสียนฉิงแห่งเมืองฝานหนิงเป็นที่ประจักษ์แล้ว ชายหนุ่มผู้นั้นเปรียบดั่งอัจฉริยะ สมควรแล้วที่จะได้รับการดูแลจากองค์ไท่ผิงเป็นกรณีพิเศษ
เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวเนื่องกับศักยภาพส่วนบุคคล มิว่าเป็นบุคคลใดหรือแคว้นใดบนผืนปฐพีแห่งนี้ย่อมถูกยอมรับด้วยศักยภาพของตน หากกล่าวในนามของแคว้นแล้ว แคว้นฝานนั้นมีอำนาจและศักยภาพเหนือกว่าแคว้นหยู ด้วยเหตุนี้สถานเอกอัครราชทูตของแคว้นจึงตั้งอยู่ในตัวเมืองซึ่งเป็นจุดศูนย์กลาง แต่หากจะกล่าวในนามบุคคลแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนผู้นามก้องพสุธาเช่นนี้ แม้ว่าองค์หญิงทรงปฏิบัติต่อเขาเช่นไร ตนก็มิควรรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ
ทว่าเหยียนหานยู่และท่าป๋ายวนนั้นกลับมิคิดเฉกเช่นเดียวกัน พวกเขาคิดว่าองค์หญิงทรงปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เมื่อมองนัยน์ตาของฟู่เสี่ยวกวนคราใด ในใจก็ยิ่งเกิดความพยาบาทมากขึ้นเท่านั้น
พระสงฆ์คูฉานยังคงแบกสิ่งที่ดูเหมือนไม้เท้ากายสิทธิ์ไว้ที่หลังเหมือนทุกครา เขาได้แอบหันไปมองคนกลุ่มนั้นเช่นกัน แต่หาได้มองฟู่เสี่ยวกวนไม่ คนที่เขามองคือซูซูศิษย์น้องแห่งสำนักเต๋า ได้ยินมาว่านางนั้นมีพรสวรรค์ยิ่งนัก ครั้งหนึ่งอาจารย์เคยบอกตนว่าต้องบรรลุอรหันต์ให้สำเร็จก่อนเดือนเจ็ด มิเช่นนั้นซูซูผู้นี้จะเอาชีวิตเขาได้ !
ต่างคนต่างไร้ซึ่งเรื่องบาดหมางซึ่งกันและกัน เหตุใดนางถึงใคร่เอาชีวิตของเขาด้วย ?
คูฉานมิเข้าใจในเรื่องนี้นัก และท่านเจ้าอาวาสหนิวชาก็มิเคยอธิบายเหตุผลนี้ให้ตนรู้แจ้งเลยสักครา
บรรลุอรหันต์เพื่อจุดประสงค์ใดกัน ?
คูฉานอ่านคัมภีร์เป็นหมื่นเล่มก็ยังมิอาจเข้าใจอย่างถ่องแท้
ส่วนท่านผู้อาวุโสในชุดเขียวแกมน้ำเงินผู้ยืนอยู่ด้านหลังฝานเทียนหนิงนั้นกำลังชมทะเลหมอกอย่างตั้งใจ ระหว่างคิ้วของเขาไร้ซึ่งอารมณ์ใด ๆ ราวกับว่าเขาผู้นั้นเคยบวชเป็นพระมาก่อน บัดนี้ได้ยืนอย่างสงบนิ่งมิปล่อยให้สิ่งภายนอกเข้ามารบกวนจิตใจ
……
ซูซูจัดเตรียมฉินเสร็จเรียบร้อยแล้ว
อู๋หลิงได้รินชาใส่ถ้วยเรียบร้อยแล้ว
ทว่าซูซูมิได้เริ่มบรรเลงฉินโดยทันใด
อู๋หลิงจึงเอ่ยถาม “แม่นางซูซูรอสิ่งใดเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ซูซูแสดงสีหน้าเรียบเฉย สายตาของนางได้ทอดมองยาวไกล ไกลแสนไกลไปยังที่ซึ่งดินฟ้าบรรจบกัน บัดนี้ยังคงมืดมิดเช่นเดิม
ดวงตากลมโตของนางได้หรี่ลงเล็กน้อย ริมฝีปากขยับอย่างแผ่วเบาแล้วจึงเอ่ยขึ้น “รอแสงแรกแห่งสุริยัน ! ”
เสียงวิหคเจื้อยแจ้วแว่วดังมาจากนอกหน้าต่าง
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้ลุกขึ้นจากเตียงนอนแล้ว เมื่อล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วเขาก็ได้มาฝึกสิบสามกระบวนท่ากระบี่ฉวนเจิน แท้จริงแล้วเขานั้นอยากฝึกวิชาตัวเบาเสียมากกว่า แต่ซูเจวี๋ยยังมิปรากฏตัวออกมาให้เห็น หากตกลงมากองบนพื้นนั้นคาดว่าจะบาดเจ็บมิน้อย ดังนั้นฝึกกระบวนท่ากระบี่จึงเหมาะสมกว่า
ในขณะที่กำลังเริ่มร่ายรำท่ากระบี่ ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงรถม้าดังกุกกักมาจากนอกจวนที่พัก
เขาไม่ได้ใส่ใจแล้วจึงฝึกกระบวนท่าต่อ จากนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เขาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แม้ยามนี้แสงเริ่มสาดส่องมาบ้างแล้วแต่ความมืดยังคงปกคลุมอยู่เป็นส่วนใหญ่ ผู้ใดมาเยือนตั้งแต่ฟ้าสางกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปเปิดประตู แล้วจึงพบเห็นกับใบหน้าพราวเสน่ห์ส่งยิ้มมาให้ตรงเบื้องหน้าประตู ทำให้เขาตกใจเสียจนขวัญหนีดีฝ่อ !
อู๋หลิงหัวเราะร่า แล้วทำความเคารพต่อฟู่เสี่ยวกวน มิคิดฝันว่าคนที่เดินมาเปิดประตูจะเป็นฟู่เสี่ยวกวนเสียเอง “คุณชายฟู่ตื่นเช้ายิ่งนัก ข้ายังแอบกังวลว่าคุณชายจะปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่นี่มิได้เสียอีก” ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังตะลึงกับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้านั้น อู๋หลิงก็ได้หันไปสั่งการบ่าวรับใช้ของนางว่า “ซู่ซู่จงนำสำรับอาหารเช้าที่เตรียมไว้เข้ามา”
นางหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนแล้วเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วจึงเอ่ยถามชายหนุ่มออกไปอย่างฉะฉานว่า “อะไรกัน มิต้อนรับข้าหน่อยหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้หลีกทางให้อู๋หลิงเดินเข้ามา แล้วยิ้มด้วยความรู้สึกละอาย “กระหม่อมมิคาดคิดว่าองค์หญิงจะเสด็จมาตั้งแต่ฟ้าสาง”
ทั้งสองได้เข้าไปนั่งในห้องโถงใหญ่ จากนั้นมีบ่าวรับใช้อีก 4 คนเดินถือกล่องอาหารกล่องใหญ่เข้ามาติด ๆ
“เมื่อลองคิดดูแล้วเช้าเยี่ยงนี้ท่านคงยังมิได้รับประทานอาหารเช้า ข้าเลยจัดเตรียมมาให้เล็ก ๆ น้อย ๆ นี่เป็นมื้อเช้าที่ดีที่สุดแห่งราชวงศ์อู๋ มีเพียงร้านซิ่งหลินจี้เท่านั้นที่สามารถปรุงรสชาติแสนเลื่องลือนี้ออกมาได้…แล้วพี่สาวทั้งสองเล่า ? ”
“เมื่อค่ำพวกนางทั้งสองต่างก็อ่อนล้ารู้สึกมิสบายตัว บัดนี้คงนอนหลับอยู่ที่เรือนด้านหลัง ”
“หม่อมฉันขอไปดูเสียหน่อย”
อู๋หลิงรีบขึ้นไปดูอย่างรีบร้อน ฟู่เสี่ยวกวนมองแผ่นหลังของนางที่เดินจากไปแล้วยิ้มร่าออกมาพร้อมกับส่ายหัว
กระบวนท่ากระบี่นั้นคงฝึกมิสำเร็จเสียแล้ว เขาเดินเข้าไปในเรือนแล้วจึงอาบน้ำอาบท่า เมื่อเดินออกมาก็ได้พบอู๋หลิง ต่งชูหลาน และหยูเวิ่นหวินเดินจับกลุ่มหัวเราะอย่างเริงร่าเข้ามา
ทั้งสี่ได้นั่งลงตรงโต๊ะเบื้องหน้า ฟู่เสี่ยวกวนได้มองสีหน้าของต่งซูหลานและหยูเวิ่นหวินดีขึ้นกว่าวันก่อนพอสมควร เขาจึงเอ่ยถามว่า “เจ้าทั้งสองรู้สึกเยี่ยงไรบ้าง ? ”
ต่งซูหลานฟื้นตัวเร็วเป็นอย่างมาก บัดนี้นางได้กลับมาร่าเริงแจ่มใสแล้ว “ข้าดีขึ้นเยอะแล้ว แต่ทว่าเวิ่นหวิน…”
หยูเวิ่นหวินหน้าแดงเรื่อ นางจึงเอ่ยขัดว่า “เมื่อคืนข้านอนหลับมิสนิท บัดนี้มิได้ปวดศีรษะเฉกเช่นวันก่อนแล้ว แต่รู้สึกมิค่อยมีเรี่ยวแรงมากนัก ”
นางหันไปมองอู๋หลิงแล้วจึงเอ่ยออกมาต่อ “น้องสาวอู๋หลิงกล่าวไว้ว่าจะพาพวกข้าไปชมเมฆที่กวนหยุนถาย ได้ยินมาว่าทะเลหมอกที่นั้นงดงามเหลือเกิน ข้าชักอยากจะไปชมให้เห็นกับตาตนเองแล้วสิ”
แท้ที่จริงก็อยากไปดูทะเลหมอก
ทะเลหมอกมันน่าดูตรงไหนกัน ?
ทั้งสี่ทานอาหารเช้าด้วยกัน ทั้งสามนางพูดคุยกันตามประสตรี ส่วนฟู่เสี่ยวกวนนั้นเพียงนั่งฟังอย่างเงียบ ๆ
มื้อเช้านี่รสชาติช่างถูกปากเขาเสียจริง ๆ กินได้มิทันไร กลิ่นอาหารอันเย้ายวนนี้ก็ได้ส่งกลิ่นหอมเข้าจมูกของซูซูจอมตะกละเข้าจนได้
ซูซูยังคงแต่งกายด้วยชุดกระโปงสีขาวบาง ๆ ตัวนั้น เท้าเปล่าขาวเรียวคู่นั้นรีบวิ่งเข้ามาในห้องโถงทันที ดวงตาทั้งสองข้างของเบิกโผลง “ไอหยา ฟู่เสี่ยวกวน ! ท่านมีของอร่อยอยู่ก็มิรู้จักเรียกข้าสักคำ ! ”
เอ่ยเสร็จก็มิได้พูดพร่ำทำเพลง นางนั่งลงบนโต๊ะนั้นแล้วกินอย่างตั้งอกตั้งใจในทันที
ไร้ซึ่งคำบรรยาย ทว่าสาวน้อยผู้ตะกละมูมมามยามนี้นางกลับดูน่ารักยิ่งนัก
อู๋หลิงไม่ทราบว่าซูซูและฟู่เสี่ยวกวนมีความสัมพันธ์เช่นใดกัน แต่ซูซูได้เอ่ยกับฟู่เสี่ยวกวนอย่างเป็นกันเองยิ่งนัก หรือว่าศิษย์น้องคนที่หกนี้จะมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับฟู่เสี่ยวกวนด้วยเช่นกัน
ชายหนุ่มผู้นี้มีหญิงสาวข้างกายกี่คนกันแน่ ?
อู๋หลิงได้หันไปมองฟู่เสียวกวน บัดนี้สายตาของนางมิได้ดูเรียบเฉยอีกต่อไป สายตาคู่นั้นดูมีความกังวลขึ้นมามิน้อย
ทว่าเมื่อมองต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินสองนางนั้นมิได้ท่าทีเยี่ยงนั้นเลยแม้แต่น้อย อู๋หลิงจึงคลายความกังวลนี้ไป นางคิดว่ายังมีเวลาอีกมากที่ให้นางได้แอบถามเรื่องหัวใจของฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้
หยูเวิ่นหวินรู้สึกไม่อยากอาหาร นางจึงทานได้น้อยมาก ส่วนต่งชูหลานนั้นชื่นชมรสชาติอันยอดเยี่ยมนี้มิขาดปาก นางจึงทานเข้าไปเยอะเป็นอย่างมาก
ซูซูนั้นไร้ซึ่งวาจาใด ๆ แต่นางได้ใช้อิริยาบถของนางแสดงท่าทีที่แสนจะดื่มด่ำกับอาหารมื้อนี้
หลังจากรับประทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อยทั้งห้าคนก็ได้ออกเดินทาง แน่นอนว่าซูซูนั้นอยากจะติดตามออกไปด้วย นางมิได้เอ่ยเหตุผลอันใด แต่ฟู่เสี่ยวกวนรู้ดีว่านางต้องการอารักขาพวกเขาทั้งสี่คน
เพียงแต่อู๋หลิงมิเข้าใจว่าเหตุใดซูซูจึงต้องแบกฉินกล่องใหญ่ปานนั้นไว้บนหลังด้วย หรือนางอยากจะบรรเลงฉินยามที่ชมทะเลหมอกกัน
นี่ช่างเป็นความคิดที่วิเศษมากยิ่งนัก มิหยั่งรู้ว่าฝีมือบรรเลงฉินของแม่นางผู้นี้จะเป็นเยี่ยงไร ถึงตอนนั้นแล้วตนจักขอบรรเลงสักเพลงได้หรือไม่ ?
ขบวนรถม้าได้เคลื่อนผ่านเมืองกวนหยุนที่บัดนี้ยังมิตื่นจากห้วงนิทรา รถเคลื่อนไปยังตัวเมืองแล้วอ้อมพระราชวังอันโออ่าจากนั้นได้ตรงไปยังทิศตะวันออก
กวนหยุนถายนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของพระราชวัง ลักษณะของสถานที่แห่งนั้นเป็นที่สูงเหมาะสำหรับชมเมฆและทิวทัศน์
ด้วยเหตุนี้กวนหยุนถายจึงเป็นที่ตั้งของสำนักดาราศาสตร์ และมีเพียงมิกี่คนเท่านั้นที่จะมีอภิสิทธิ์เข้ามาชมทะเลหมอกบนที่แห่งนี้
แขกผู้ทรงเกียรติของงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้ ผู้ซึ่งมีฐานันดรศักดิ์เป็นองค์ชายสิบสามผู้สูงส่งแห่งแคว้นฝานเยี่ยงฝานเทียนหนิงนั้นมิได้ร่วมขบวนในครานี้ด้วย เพราะเขาได้ล่วงหน้ามาก่อนขบวนของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว
พระสงฆ์คูฉานก็ได้ติดตามเขามาด้วยเช่นกัน นอกเหนือจากนี้ยังมีผู้อาวุโสในชุดสีเขียวแกมน้ำเงินอีกท่านหนึ่งอยู่ด้วย ผู้ที่ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยพบเห็นมาก่อน
ทว่าฝานเทียนเองนั้นก็คาดคิดมิถึงว่าเหยียนหานยู่องค์ชายหกแห่งแคว้นอี๋และท่าป๋ายวนรัชทายาทแห่งแคว้นฮวงนั้นได้ล่วงหน้ามาถึงกวนหยุนถายก่อนตนเสียอีก
ฝานเทียนหนิงนั้นเป็นเด็กหนุ่มที่ฉลาดหลักแหลม เขามิต้องการมีความบาดหมางอันใดกับเหยียนหานยู่และท่าป๋ายวน แม้ว่าทั้งสองคนนี้จะได้ข่าวคราวมาว่าฝานเทียนหนิงได้เชิญฟู่เสี่ยวกวนและคณะไปยังตำหนักเสียนฉิง แต่ลึก ๆ แล้วในใจทั้งสองนั้นไร้ความพยาบาทใด ๆ ต่อฝานเทียนหนิง
ในเมื่อต่างฝ่ายต่างมิมีเรื่องใดผิดใจกัน และต่างฝ่ายต่างก็มีผลประโยชน์ร่วมกันในอนาคต เช่นนั้นแล้วทั้งสามคนจึงพูดคุยกันตามปกติ
ขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาถึงกวนหยุนถายนั้น ทั้งสามหนุ่มก็กำลังคุยกันอย่างเข้าขาพอดิบพอดี
“เมืองกวนหยุนนั้นมีห้าสุดยอดทิวทัศน์ที่ห้ามพลาด หนึ่งคือชมกลุ่มเมฆลอยล่องบนกวนหยุนถาย สองชมแสงสุริยันกระทบภูเขาจินซานบนที่ราบสูงหลีลั่ว สามฟังเสียงกลองบอกเวลายามรุ่งอรุณและสนธยาที่วัดหานหลิง สี่ฟังเสียงลมพัดและเสียงฝนพรำบนศาลาริมลำธารหลานหลิง ห้าหยุดพักผ่อนกายาที่หลิวหยุนถาย ณ ทะเลสาบสิบลี้ กระหม่อมขอเอ่ยตามตรงว่ามิคาดหวังสิ่งใดต่อการแข่งขันครานี้ สิ่งที่กระหม่อมคาดหวังคือจะต้องมาเชยชมทิวทัศน์เหล่านี้ให้เห็นกับตาให้จนได้ ”
เหยียนหานยู้หัวเราะเยาะฝานเทียนหนิง “ท่านน้องฝานโดนชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนข่มเสียจนขวัญเสียถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ”
ฝานเทียนหนิงหัวเราะเบา ๆ คิดว่าเจ้าพวกนี้ล้วนแต่เป็นกบในกะลา หากได้เชยชมบทกวีบทใหม่ที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ประพันธ์ที่ตำหนักเสียนฉิง ความคาดหวังของพวกเจ้าทั้งหมดจักต้องหายเข้ากลีบเมฆไปเฉกเช่นข้า
คำพูดของท่าป่ายวนนั้นยิ่งตรงไปตรงมาและดูโอหังเสียเหลือเกิน “น้องฝานอย่าได้สรรเสริญเจ้าฟู่เสี่ยวกวนนั่นนักเลย หากมีพวกเราทั้งสามร่วมมือกัน ไหนจะมีสุดยอดนักปราชญ์แห่งหลานซีได้อีก หากเจ้าฟู่เสี่ยวกวนอยากคว้าชัยชนะ ข้ามองแล้วคาดว่าคงเป็นไปได้ยากนัก จริงเสียว่าประพันธ์กวีบทหนึ่งได้วิจิตรบรรจงนั้นแสนง่ายดาย หากแต่ต้องประพันธ์เป็นสิบหรือเป็นร้อยบทเล่า ท่านคิดว่าความคิดของเขาจักพรั่งพรูดั่งสายน้ำได้ตลอดเยี่ยงนั้นรึ พวกข้าล้วนแต่ฝึกวรยุทธ์กันมาทั้งสิ้น พวกข้าย่อมรู้ดีว่าหนึ่งหัวนั้นมิอาจเทียบเท่าสองหัว พยัคฆ์ที่ดุร้ายยังต้องพ่ายแก่สุนัขหมู่ ต่อให้มันมีพรสวรรค์ถึงเพียงใดก็มิอาจเอาชนะหลาย ๆ มันสมองรวมกันได้ ”
“แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนก็ยังนำเหล่าปัญญาชนมากว่าร้อยชีวิต ! ”
“ราชวงศ์อู๋หาได้มีเพียงแค่สุดยอดเจ็ดนักปราชญ์แหล่งหลานซีเสียทีเดียว ! ”
“หมายความว่าท่านพี่ท่าป๋ายวนนั้นรู้ถึงกฎการแข่งขันแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ฝานเทียนหนิงถามออกไปด้วยความสงสัย
ตอนที่ 293 เงาสะท้อนจันทรา
เมื่อจัดการพักผ่อนเสร็จเรียบร้อย นอกจากหยูเวิ่นหวินแล้ว คนอื่น ๆ ได้รับประทานอาหารเย็นกันอย่างเรียบง่าย เมื่ออาบน้ำล้างตัวเสร็จก็เข้าไปพักผ่อนยังห้องนอนของตน หลายคนมีอาการไม่สบายตัวเนื่องจากร่างกายยังไม่สามารถปรับตัวในสภาวะที่มีออกซิเจนเบาบางเช่นนี้ได้ หลายคนต่างล้วนไม่อยากอาหารและไม่มีชีวิตชีวา มีเพียงฟู่เสี่ยวกวนเท่านั้นที่มิมีอาการผิดปกติอันใดเลย เมื่อเขาอาบน้ำเสร็จก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันที
ค่ำคืนนี้แสงจันทราสว่างไสว เมื่อได้มาเชยชมบนที่ราบสูงเยี่ยงนี้ราวกับฟากฟ้านั้นห่างแค่เพียงเอื้อมมือและดวงจันทร์นั้นใหญ่ยิ่งกว่าทุกคราที่แหงนมอง
ฟู่เสี่ยวกวนได้เดินลงมาจากชั้นสองแล้วมาหยุดแหงนชมจันทราอยู่ที่ลานกลางจวน เติ้งซิวได้เดินเข้ามาหาแล้วโค้งคำนับให้แก่เขา “ข้าน้อยขอคารวะใต้เท้าฟู่ มิทราบว่าใต้เท้าฟู่จะพอใจในสิ่งที่ข้าน้อยได้จัดเตรียมไว้ให้หรือไม่ หากท่านมีความประสงค์ประการใด ขอจงได้เอ่ยกล่าว ข้าน้อยจะคอยปรนนิบัติท่านให้ดี”
ฟู่เสี่ยวกวนหันสายตามามองเบื้องหน้า มองเติ้งซิวแล้วจึงยิ้มตอบ “อย่าได้ใช้คำว่าใต้เท้าหรือข้าน้อยเลย ข้านั้นมาในนามของนักประพันธ์ผู้ซึ่งมาร่วมงานชุมนุมวรรณกรรม ท่านมิจำเป็นต้องมีพิธีรีตองอันใด ข้านั้นมิใช่คนเคร่งครัดเรื่องพิธีมากนัก แล้วสถานที่แห่งนี้คือสถานทูตของพวกเราเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ขอรับ ใต้เท้าฟู่ ! ด้านการทูตแห่งแคว้นเรานั้นมีคณะทูตทั้งสิ้น 3 คน ท่านคงได้พบพานมาหมดแล้ว ปกติข้าน้อยนั้นจะปฏิบัติงานราชการ ณ ที่แห่งนี้ หากทางราชวงศ์อู๋มีความประสงค์อันใดต่อราชวงศ์ของเรา พวกเขาจะมอบหมายให้ผู้ส่งสาส์นนำราชสาส์นมายังที่นี่ หากแคว้นหยูของเรามีข้อเสนอประการใด ข้าน้อยและผู้ใต้บังคับบัญชาก็จะนำเรื่องนี้ไปถวายแก่แผนกที่เกี่ยวข้องกับทางราชสำนัก หรือต่อองค์จักรพรรดิขอรับ”
พวกเขามีหน้าที่มิต่างอันใดกับสถานเอกอัครราชทูตในยุคปัจจุบัน ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าพลางคิดตาม สองคนได้เคลื่อนมานั่งบนม้านั่งหินอ่อน เมื่อนั่งลงแล้วและได้สัมผัสกับแผ่นหินอ่อนความเย็นนั้นได้แผ่ไปทั่วสะโพก !
“ท่านพำนักอยู่ที่นี่นานเพียงใดแล้วกัน ? ” ฟู่เสี่ยวกวนถามด้วยความใคร่รู้
“3 ปีกับ 3 เดือนแล้วขอรับ”
“ตอนนี้คงคุ้นชินมิน้อยแล้วสินะ…”
“ขอรับใต้เท้าฟู่ แท้จริงแล้วงานนี้ถือว่าเบายิ่งนัก ความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์หยูและราชวงศ์อู๋นั้นมิได้แน่นแฟ้นมากนัก เยี่ยงงานต้อนรับเอิกเกริกเฉกเช่นวันนี้นั้นถือเป็นคราแรกของข้าน้อยในรอบสามปีที่พำนักอยู่ที่นี่ หากขาดเหลือประการใดขอท่านใต้เท้าฟู่จงเมตตาด้วยเถิด”
เติ้งซิวมิได้พูดคุยกับฟู่เสี่ยวกวนอย่างเป็นกันเองดั่งที่เขาได้ร้องขอ เพราะเขารู้ซึ้งถึงบทบาทและสถานะของฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างดี เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าชายหนุ่มผู้ที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้นี่แหละที่เป็นขุนนางผู้มีอำนาจแห่งราชวงศ์หยูอย่างแท้จริง !
มิอาจกระทำสิ่งใดให้ชายหนุ่มผู้นี้ผิดใจได้เป็นอันขาด เพราะช่างยากแท้ที่จะหยั่งถึงจิตใจของชายหนุ่มผู้นี้ว่ามีความคิดอันใดซ่อนอยู่ หากตนทำตัวสบาย ๆ อย่างที่เขาร้องขอเอาไว้ อาจจะทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่มิดีแก่เขาได้มิมากก็น้อย
ฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้จุกจิกเรื่องการใช้คำกล่าวแทนตนเองอีกต่อไป เขาจึงเอ่ยถามต่อ “ท่านมีครอบครัวอยู่ที่เมืองหลวงเยี่ยงนั้นรึ ? ”
“ใต้เท้าฟู่ ครอบครัวของข้าน้อยนั้นมิได้อาศัยอยู่ในเมืองหลวง ขอกล่าวตามตรงว่าสถานที่เฉกเช่นเมืองหลวงนั้นมิเหมาะกับคนอย่างข้าน้อยที่จะอยู่อาศัยยิ่งนัก ต้นตระกูลของข้าน้อยนั้นอยู่ที่เมืองหย่งหนิงแห่งซีซานเต้า เมื่อรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 1 ข้าน้อยได้สอบรับราชการ หลังจากนั้นก็รอการเรียกตัวอยู่ราว 2 ปี รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 3 ข้าน้อยได้รับตำแหน่งเสมียนประจำที่วัดหงหลูซื่อแห่งราชวงศ์หยู และเมื่อรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 6 นั้นเป็นปีแรกที่ข้าน้อยได้มาประจำการอยู่ที่นี่ ระหว่างนี้ข้าน้อยได้เดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ”
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนได้นึกถึงเหตุการณ์ที่กงเซินจ่างได้กวาดล้างเมืองหย่งหนิง เขาจึงเอ่ยถามขึ้นมา “ความเป็นอยู่ของครอบครัวท่านเป็นเยี่ยงไร ? มีภรรยาและอนุกี่คน ? และมีบุตรหญิงชายทั้งหมดกี่คน ? ”
เติ้งซิวผงะเล็กน้อย เหตุใดชายหนุ่มผู้นี้จึงใคร่รู้ข้อมูลส่วนตัวของตน แต่ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนถามเขาก็ทำได้เพียงแค่ต้องตอบออกมา “ความเป็นอยู่ของครอบครัวข้าน้อยถือว่าดีพอควร ข้าน้อยมีภรรยา 1 คน และอนุอีก 1 คน ข้าน้อยมีบุตรชาย 2 คน ข้าน้อยนั้นสมรสกับภรรยาเมื่อคราที่รอรับตำแหน่ง และได้ให้กำเนิดบุตรชายทั้งสองเมื่อครานั้นเช่นเดียวกัน รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 7 เมื่อคราที่ข้าน้อยเดินทางกลับไปเยี่ยมเยือนครอบครัว ข้าน้อยได้สมรสกับอนุผู้หนึ่ง หลังจากนั้นมีจดหมายจากทางบ้านมาแจ้งว่านางได้ให้กำเนิดบุตรสาว”
เมื่อได้พูดคุยเรื่องราวภายในครอบครัว สีหน้าของเจิ้งซิวนั้นได้เผยความอ่อนโยนขึ้นมา “จนถึงบัดนี้ข้าน้อยก็ยังมิได้เห็นหน้าบุตรสาว ข้าน้อยวางแผนไว้ว่าในปีหน้าจะยื่นจดหมายลากลับบ้านไปหาลูก ๆ ของข้าเสียหน่อย”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหย่งหนิง เขากลับยิ้มตอบ “จากบ้านเกิดเมืองนอนมาแสนนาน ความคิดถึงบ้านคงเป็นสิ่งที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ ท่านควรกลับไปเยี่ยมเยือนพวกเขาบ่อย ๆ ” แล้วเขาก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที “มิทราบว่าสถานทูตของแคว้นฝาน แคว้นอี๋ และแคว้นฮวงนั้นอยู่บนถนนเส้นนี้เช่นเดียวกันหรือไม่ ? ”
“สถานทูตของแคว้นฝานและแคว้นอี๋นั้นอยู่ภายในตัวเมือง มีเพียงแค่สถานทูตของแคว้นฮวงและแคว้นหยูเท่านั้นที่อยู่ในส่วนกลางของเมืองกวนหยุน สถานทูตของแคว้นฮวงนั้นตั้งอยู่ไกลกว่าที่แห่งนี้ไปอีก ตั้งอยู่ที่ตรอกต้วนสุ่ยเฉียวติดกับเขตนอกเมือง แล้วที่แห่งนั้นยังมีสถานทูตของอีกสามแคว้น ซึ่งเป็นแคว้นเล็ก ๆ ทางตอนตะวันตกของอาณาเขตราชวงศ์อู๋ สองในสามแคว้นนั้นเป็นแคว้นที่ติดชายฝั่งทะเล อีกหนึ่งนั้นเป็นแคว้นที่อยู่บนเกาะกลางทะเล ห่างไกลจากอาณาเขตของราชวงศ์หยูยิ่งนัก และด้วยเหตุนี้แคว้นหยูจึงไร้สถานเอกอัครราชทูตของแคว้นเหล่านั้นประจำการอยู่”
ฟู่เสี่ยวถึงกับผงะเมื่อได้ยินเช่นนั้น แคว้นริมชายฝั่งทะเลเยี่ยงนั้นรึ นี่เป็นข้อมูลที่มีความสำคัญยิ่ง ไว้หากมีเวลาว่างจักถือโอกาสเข้าไปพูดคุยกับทูตของทั้งสามแคว้นนี้เสียหน่อย
อาณาเขตของแคว้นหยูนั้นไม่มีทางออกสู่ทะเล นี่จึงเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่หลวงมากยิ่งนัก แม่น้ำแยงซีเกียงนั้นย่อมไหลลงสู่ทะเล ข้อเท็จจริงนี้จำต้องรู้ให้แน่ชัด
ส่วนเรื่องที่สถานทูตของแคว้นหยูตั้งอยู่ส่วนกลางของเมืองเช่นนี้ หากลองมาพิจารณาดูแล้วคงเป็นเพราะแคว้นอู๋นั้นให้ความสำคัญแก่แคว้นฝานและแคว้นอี๋มากกว่าราชวงศ์หยู ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่เป็นเยี่ยงนี้นั่นก็คืออำนาจของแต่ละแคว้นนั่นเอง
อำนาจของแต่ละแคว้นนั้นเป็นเยี่ยงไรฟู่เสี่ยวกวนมิค่อยรู้แจ้งนัก เขารู้เพียงแค่ว่าอาณาเขตของแคว้นฝานนั้นกว้างใหญ่ไพศาลมากยิ่งนัก ส่วนแคว้นอี๋นั้นมีเพียงแค่หนึ่งในสามของอาณาเขตทั้งหมดแห่งแคว้นหยู
แคว้นอี๋นั้นกล้าที่จะยกกองทัพมาโจมตีแคว้นหยู นั่นเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าแท้จริงแล้วแคว้นอี๋นั้นมีอำนาจเหนือแคว้นหยู
แคว้นที่อ่อนแอไร้ซึ่งมิตร นี่คงจะเป็นสัจธรรม คิดดูแล้วเติ้งซิวและพวกพ้องอีกสามคนที่อยู่ที่นี่คงอยู่อย่างยากลำบากมากเช่นกัน
ณ เวลานี้ฟู่เสี่ยวกวนยังไม่มีแผนการใดที่จะพลิกแพลงสถานการณ์เยี่ยงนี้ เขาจึงเอ่ยถามต่อว่า “งานชุมนุมวรรณกรรมและงานเฉลิมพระชนมพรรษาครานี้พวกท่านจงเตรียมการให้พร้อม”
“ข้าน้อยจะพึงระลึกคำกล่าวนี้เอาไว้ และรอคอยใต้เท้าฟู่นำเกียรติยศและศักดิ์ศรีมาให้แก่ราชวงศ์หยูสำหรับการแข่งขันครานี้”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มโดยมิได้ตอบรับหรือปฏิเสธอันใด “เวลานี้ดึกมากแล้ว ท่านกลับไปพักผ่อนเถิด”
“ข้าน้อยขอตัวขอรับ ! ”
เติ้งซิวได้เดินจากไป ฟู่เสี่ยวกวนได้วางมือไว้บริเวณหัวเข่าแล้วแหงนหน้าชมแสงจันทราสุกสกาวอีกครา บัดนี้เขายังมิรู้สึกอยากหลับตานอนเลยแม้แต่น้อย
……
ยังมีอีกหลายคนที่มิสามารถข่มตานอนหลับได้เช่นกัน
ราตรีนี้อู่หลิงพักผ่อนอยู่ในพระราชวังเจิ้งหยางขององค์ไทเฮา ขณะนี้นางกำลังเสวยของหวานพลางเชยชมบทกวีของฟู่เสี่ยวกวนที่แต่งไว้เมื่อคราที่อยู่เมืองฝานหนิง นางจ้องมันอยู่เยี่ยงนั้นด้วยความปิติเต็มเปี่ยม
ณ ยอดเขาเจี้ยนซานแห่งเมืองเจี้ยนหลิน สถานที่ที่ห่างออกไปไกลนับพันลี้ ลู่เสี่ยวเฟิงหัวหน้าองค์รักษ์สำนักแห่งป่ากระบี่ได้จ้องมองร่างไร้วิญญาณของลูกศิษย์ผู้มีนามว่าจั่วเฮิ่นฮวาด้วยสีหน้าพยาบาท เขาจ้องมองอยู่เยี่ยงนั้นมาเป็นเวลาสองวันสองคืน !
เขามิเข้าใจว่ารูโหว่ตรงศีรษะของจั่วเฮิ่นฮวานั้นเกิดขึ้นด้วยอาวุธชนิดใด เขาคิดเท่าใดก็คิดมิออก จากนั้นจึงหันหน้าทอดมองไปทางใต้ ที่แห่งนั้นมีเทือกเขาทอดยาวอยู่ และเทือกเขาแห่งนั้นก็เป็นที่ตั้งของสำนักเต๋า หรือว่าท่านเจ้าอาวาสเคยมาเยี่ยมเยือนที่เขตชายแดนแห่งนี้ ?
หรือว่าท่านเจ้าอาวาสจะฝึกวิชาดัชนีในตำนานได้สำเร็จ ?
ในเมือท่านเจ้าอาวาสคอยเกื้อหนุนฟู่เสี่ยวกวนอยู่ เช่นนั้นแล้วข้าจะเชือดคอมันให้ดู !
“ทุกคน… ! ”
คืนนั้นเองที่ทั้งสามองค์รักษ์ผู้เกรียงไกรได้ออกเดินทางจากป่ากระบี่ไปยังเมืองกวนหยุน
ค่ำคืนนี้จัวตงหลายก็ยากที่จะข่มตาให้นอนหลับได้
เขาสวมชุดสีขาวยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวริมลำธารหลานซีแล้วมองเงาสะท้อนจันทราบนผิวน้ำของลำธารหลานซี
ประโยคที่ว่าหม่อมฉันจะเลี้ยงดูท่านเองที่อู่หลิงได้เอ่ยต่อฟู่เสี่ยวกวนนั้นบัดนี้ได้ถึงหูเขาแล้ว ดวงใจของอู่หลิงอยู่ที่ฟู่เสี่ยวกวนไปแล้วทั้งดวง เรื่องที่ว่าทั้งจัวตงหลายและอู่หลิงเป็นคู่สร้างคู่สมตั้งแต่เยาว์วัยนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ !
เขาภาคภูมิใจในฐานะผู้โดดเด่นด้านวรรณกรรมแห่งราชวงศ์อู๋ของตนมาเสมอ และยังคงรักษาความสัมพันธ์สุดลึกซึ้งระหว่างเขาและอู่หลิงไว้อย่างสม่ำเสมอ
และในฐานะหลานชายคนโตของตระกูลที่สูงส่งที่สุดแห่งราชวงศ์อู๋ เขายิ่งต้องหมั่นพากเพียร หมั่นฝึกฝนยุทโธปกรณ์และขยันอ่านหนังสือหาความรู้ เขามุ่งมานะที่จะเป็นดาวดาราที่เด่นที่สุดในราชวงศ์อู๋
ความพยายามของเขานั้นเกือบจะสำเร็จอยู่แล้ว แต่ต้องมาพ่ายแพ้ให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียง ที่จนถึงบัดนี่เขาก็ยังมิเคยพบเจอหน้าฟู่เสี่ยวกวนแม้แต่เพียงครั้งเดียว !
เขาหยิบก้อนหินขึ้นมาแล้วเขวี้ยงลงในลำธารหลานซีอย่างสุดกำลัง ลำธารที่ไหลเอื่อยนั้นได้มีน้ำกระเพิ่มขึ้นมา ทำให้เงาจันทราแตกเป็นเสี่ยง เขายิ้มออกมาด้วยความโศกเศร้า ความรู้สึกระหว่างเขาและคู่สร้างคู่สมตั้งแต่วัยเยาว์นั้นช่างเปราะบางเฉกเช่นเงาจันทราที่สะท้อนบนผืนน้ำแห่งนี้ เพียงแค่ก้อนกรวดกระทบเงา เงานั้นก็อันตรธานหายไป
ตอนที่ 292 เมืองกวนหยุน
ทิวทัศน์ด้านนอกหน้าต่างค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไป
พื้นที่ราบนั้นค่อย ๆ เคลื่อนหายไป ขบวนรถได้ข้ามผ่านทางป่าเขาที่เลี้ยวลด ทอดมองไปกลับมิเจอพื้นที่กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา แต่กลับมีพุ่มเตี้ย ๆ สีเขียวปรากฏอยู่ในระดับสายตา มีต้นไม้ใบเล็กแหลมและพืชตระกูลสนอยู่กระจัดกระจาย
ในนั้นยังมีต้นดอกนกแขกเต้าที่มักจะขึ้นบนภูเขาสูงอยู่บ้างประปราย ราวกับพายุแห่งฤดูใบไม้ผลิมิสามารถพัดมาสู่ที่แห่งนี้ได้ ต้นดอกนกแขกเต้าบนเขาสูงเหล่านั้นผลิดอกออกมาแล้วแต่ยังมิถึงคราเบ่งบาน
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งชมวิวทิวทัศน์อยู่ริมหน้าต่างอย่างเงียบ ๆ แต่จิตใจของขายหนุ่มนั้นกลับล่องลอยไปอยู่ในท้องพระโรงของราชวงศ์หยู
ศึกทางชายแดนตะวันออกนั้นได้ปราชัยแก่ศัตรูเสียแล้ว องค์ชายใหญ่คือผู้ที่ฝ่าบาททรงมอบหมายให้ไปคุมศึกโดยตรง คราก่อนเสียงคัดค้านของเหล่าขุนนางนั้นได้ถูกคำปดที่ตนได้แต่งขึ้นลวงหลอกเสียจนสำเร็จ แท้จริงแล้วนั้นคนที่สามารถเข้ามานั่งในพระราชวังจินเตี้ยนได้ย่อมมิใช่คนที่โฉดเขลาเบาปัญญาอย่างแน่นอน
หากองค์ชายใหญ่ชนะศึก คำกล่าวหลอกลวงเหล่านั้นก็จะเป็นจริงขึ้นมา
แต่กลับมิเป็นไปตามที่คาด องค์ชายใหญ่ทรงพ่ายแพ้ในศึกครานี้ เหล่าขุนนางที่คอยจ้องซ้ำเติมฮ่องเต้ก็คงจะฉวยโอกาสนี้ในการโจมตี แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ยังถูกขุนนางเหล่านั้นนินทาตำหนิติเตียน แล้วขุนนางขั้นสี่ผู้ซึ่งเป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์เยี่ยงเขาก็ย่อมมีชะตาเช่นเดียวกัน
แต่เขากลับมิได้กลัดกลุ้มกับเรื่องนี้มากนัก ในเมื่อท้องพระโรงยังมีเยี่ยนเป่ยซีคอยแก้ต่างแทนเขาอยู่เสมอ ในวังหลังก็มีฮองเฮาซั่งผู้ซึ่งคอยหนุนหลังเขาเช่นกัน แต่ลมปากคนหมู่มากสามารถทำถูกให้เป็นผิด ทำผิดให้เป็นถูกได้ คนพวกนั้นย่อมคิดจะจัดการเขาในทุกวิถีทางเป็นแน่ เขาจึงต้องหาทางป้องกันไว้จึงจะปลอดภัยกับตนเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์ชายสี่หยูเวิ่นชู !
ชายหนุ่มผู้นี้จะต้องฉวยโอกาสที่องค์ชายใหญ่แพ้ศึกมาก่อความวุ่นวายเป็นแน่ ฟู่เสี่ยวกวนมิปักใจเชื่อว่าหยูเวิ่นชูจะมีอำนาจเพียงแค่ภายในพื้นที่หยี่ฮวาถาย !
หากเขาคิดจะร่วมมือคิดการชั่วกับขุนนางชั้นผู้ใหญ่อีกครา หรือขึ้นกล่าวโน้มน้าวเซวี๋ยติ้งชานผู้เป็นลุงของเขาจนสำเร็จ แล้วรวมหัวกันโค่นล้มอำนาจ หากเป็นเช่นนั้นราชวงศ์หยูคงจักถึงคราล่มสลาย
แต่สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนมิล่วงรู้ก็คือตอนนี้ฟู่ต้ากวนผู้เป็นบิดาของตนนั้นได้ล่วงหน้ามาถึงเมืองกวนหยุนตั้งนานแล้ว และได้กว้านซื้อที่ดินทำเลทอง ที่ซึ่งเขามิกล้าแม้แต่จะคิดฝัน
ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังเดินทางเข้าสู่เมืองกวนหยุน ฟู่ต้ากวนผู้เป็นพ่อก็เดินทางออกจากเมืองกวนหยุนพอดี แต่เขามิได้เดินทางกลับไปยังเมืองหลินเจียงแห่งราชวงศ์หยู แต่กลับขี่ม้าเดินทางอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อเดินทางเข้าสู่แคว้นฝาน !
ผู้ที่ร่วมขบวนไปกับฟู่ต้ากวนนั้นเป็นบุคคลที่ฟู่เสี่ยวกวนคาดการณ์มิถึง นางเป็นสตรีนางหนึ่ง หากฟู่เสี่ยวกวนได้พบเห็นคงจะตกตะลึงมิน้อย
นางผู้นั้นคือหงซิ่วจาว อาจารย์เครื่องสายหูฉินหู !
หงซิ่วจาวก้มลงปอกเปลือกองุ่นแล้วเอ่ยถามฟู่ต้ากวน “ท่านกังวลถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ”
“ข้าจำต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้า”
“ราชวงศ์อู๋นี้จะมีผู้ใดกล้าอาฆาตมากร้ายกับเขาได้อีก หรือการที่ท่านจะไปเยี่ยมเยือนแค้วนฝานในครานี้จะเป็นการเสียเวลาเปล่า ! ”
“หนทางหนีมีมากขึ้นมาอีกทาง ย่อมดีเสมอ”
อาจารย์หูฉินหูได้กลืนองุ่นเข้าไปในปาก นางขมวดคิ้วมุ่น ราวกับว่าองุ่นนั้นมีรสเปรี้ยวเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้นมองฟู่ต้ากวน ท้ายที่สุดก็อดที่จะกล่าวออกมามิได้ “ที่จริงนั้นเขาควรจักมีแซ่อู๋มากกว่า ! ”
“ไม่… ! ” ฟู่ต้ากวนโมโหเดือดดาลขึ้นมาทันใด “เขาคือบุตรชายของข้ากับหยุนชิง เขาควรมีแซ่ฟู่ ! ”
อาจารย์หูฉินหูผู้นั้นได้หลุดหัวเราะร่า นางส่ายหัวแล้วจึงหันไปมองนอกหน้าต่าง
“หากเขาแซ่ฟู่จริง ท่านคงมิถ่อมาถึงเมืองกวนหยุนเพื่อซื้อตำหนักเสียนฉิง และท่านก็คงมิปฏิเสธที่จะไปเข้าเฝ้าองค์หญิงหยูหยู ตำแหน่งเขานั้นใหญ่ขึ้นเท่าใดศัตรูก็ย่อมมากขึ้นเท่านั้น ท่านกังวลว่าวันหนึ่งท่านจะไม่สามารถปกป้องเขาให้พ้นภัยได้ ท่านเลยหาที่ที่เขาสามารถหลบซ่อนได้อย่างไร้กังวลเพราะบนผืนปฐพีนี้มิมีที่ใดจะปลอดภัยเท่าเมืองกวนหยุนอีกแล้ว ท่าน…ท่านจำต้องหลอกตนเองไปเพราะเหตุใด ! ”
สีหน้าเคืองโกรธของฟู่ต้ากวนนั้นได้เหือดหายไป ใบหน้าอ้วนถ้วนนั้นได้เผยรอยยิ้มออกมา “มีเรื่องบางเรื่องที่เจ้ายังเข้าใจมิถ่องแท้นัก”
“ทว่าเขาจวนจะเดินทางถึงเมืองกวนหยุนอยู่แล้ว ต่อให้เขาเองมิคิดเสาะหาเบาะแส เยี่ยงไรเสียท้ายที่สุดก็คงมีคนไปแถลงความแก่เขาเอง ! ”
เวลาล่วงเลยมาจนกระทั่งช่วงบ่าย ขบวนรถก็ได้ฝ่าดงภูเขาออกมาได้สำเร็จ และสิ่งที่รอต้อนรับพวกเขาอยู่เบื้องหน้าคือที่ราบสูงหลีลั่วเป็นสถานที่โด่งดังในอาณาเขตของราชวงศ์อู๋ กล่าวขานกันว่าหากหลีกหนีความวุ่นวายมายังที่แห่งนี้ก็จะได้พบกับแสงดาวตก
ท้องฟ้าสีครามแจ่มใส ทอดมองไกลภูเขาหิมะสูงตระหง่าน รอบกายล้วนแต่เป็นทุ่งหญ้าเขียวขจี มีกลุ่มม้าหลากหลาย มีเพิงพักมากมาย และกลุ่มควันโขมงลอยสูงขึ้นสู่ฟากฟ้า
เมืองกวนหยุนนั้นได้ตั้งอยู่บนที่ราบสูงหลีลั่วแห่งนี้
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกผ้าม่านที่บดบังเบื้องหน้าของเขาออก แล้วจึงเห็นว่าตรงเส้นขอบฟ้ามีรูปทรงดั่งมังกรเผือกกำลังนอนเอนกาย !
และนี่คือเมืองหลวงของราชวงศ์อู๋
เพราะเมื่อหยุดอยู่ตรงใจกลางเมืองแล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้าจะสามารถมองเห็นกลุ่มเมฆลอยอย่างเชื่องช้า ด้วยเหตุนี้จึงขนานนามว่าเมืองกวนหยุน !
เมืองแห่งนี้ได้มอบความรู้สึกน่าทึ่งเป็นอย่างมากให้กับฟู่เสี่ยวกวนและเหล่าปัญญาชนทั้งหลาย !
หากเปรียบเทียบกับเมืองจินหลิงแล้วนั้น เมืองแห่งนี้มิได้ให้กลิ่นอายดั่งสาวน้อยขี้อายเฉกเช่นเมืองจินหลิง และมิได้เป็นดั่งเช่นเมืองจินหลิงที่มีกลิ่นน้ำหมึกและความมุ่งมั่นของคนรุ่นใหม่อบอวลอยู่ทุกหนแห่ง
แต่เมืองแห่งนี้ช่างสดใสยิ่งและมีชีวิตชีวายิ่งกว่าเมืองจินหลิงเป็นไหน ๆ
กำแพงเมืองนั้นได้ก่อมากจากหินดำ สูงใหญ่เกรียงไกรและดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ให้ความรู้สึกเหมือนถูกกดขี่อย่างท้วมท้นแก่ผู้มาเยือน
สิ่งปลูกสร้างภายในกำแพงเมืองนั้นแตกต่างจากเมืองจินหลิงอยู่มากนัก
ณ เมืองจินหลิงตัวอาคารบ้านเรือนนั้นมีองค์ประกอบทำมาจากไม้ ตกแต่งด้วยความประณีต มีความวิจิตรตระการตา
ทว่าเมื่อขบวนรถได้เคลื่อนเข้าสู่ประตูเมืองกวนหยุนจนถึงวัดหงลู่ซื่อ ตัวอาคารสองข้างทางที่ฟู่เสี่ยวกวนได้พบเห็นนั้นล้วนแต่ทำสร้างมาจากหินทรายสีน้ำเงิน และส่วนมากนั้นมีสองชั้น ให้ความรู้สึกโอ่อ่ามากยิ่งนัก
หรือแม้แต่ถนนหนหางก็ยังกว้างกว่าเมืองจินหลิงมากยิ่งนัก ผู้คนสัญจรบนถนนไปมาและพวกเขาทั้งหมดต่างก็สะพายดาบไว้บนหลัง
ราชวงศ์อู๋นิยมการสู้รบ ส่วนราชวงศ์หยูนิยมวรรณกรรม เพิ่งจักได้รู้ซึ่งถึงคำกล่าวขึ้นมาก็ครานี้เอง
วัดหงลู่ซื่อตั้งอยู่ภายในตัวเมือง ยามที่ฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางมาถึงที่แห่งนี้ก็ถึงยามย่ำสนธยาเข้าพอดี
ขุนนางผู้ที่มาทำการต้อนรับพวกเขานั้นเป็นชื่อหลางกรมพิธีการ มีแซ่ว่าจ้งนามว่าซาน อายุอานามราว 40 ปี
ท่านเสนาบดีจ้งผู้นี้ได้จัดพิธีต้อนรับพวกเขาอย่างเรียบง่ายในลานอันกว้างขวางของวัดหงลู่ซื่อ จากนั้นภายใต้การนำของผู้ช่วยเสนาบดีกรมพิธีการฝ่ายขวาผู้มีนามว่าเปียนหลินได้จัดการให้เหล่าปัญญาชนและผู้ติดตามจากทั้งสี่แคว้นได้พบปะกับเอกอัครราชทูตของตนที่ประจำการอยู่ที่เมืองกวนหยุน
ระหว่างนั้นได้มีเหตุการณ์มิคาดฝันเกิดขึ้น ซึ่งก็คือเหยียนหานยู่องค์ชายหกแห่งแคว้นอี๋ ได้โดยสารรถเชลยจนมาถึงที่นี่ และอู่หลิงเองก็มิได้บอกกล่าวอันใดให้กับจ้งซานล่วงรู้ก่อน จึงเป็นเหตุให้เกิดการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อยกับเอกอัครราชทูตจากแคว้นอี๋ด้านหลังม่าน
อู่หลิงได้บอกเล่าว่าชายหนุ่มผู้นี้ได้ทำร้ายฟู่เสี่ยวกวนแห่งราชวงศ์หยูอย่างอุกอาจ ต้องจับกุมเขาไปขังคุกของกรมราชทัณฑ์ เอกอัครราชทูตมิกล้ากล่าวอันใดทั้งสิ้น องค์ชายหกผู้สูงส่งของพวกเขาบัดนี้ได้โดนจับขังในรถเชลยศึก ช่างเป็นเรื่องที่น่าอดสูยิ่งนัก หากพระองค์ต้องโทษสถานหนัก พวกตนหัวจะขาดออกจากบ่าหรือไม่ ?
เมื่อทำการพบปะกันเสร็จสิ้นแล้ว ท่านเอกอัครราชทูตแห่งแคว้นอี๋ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าในระหว่างที่องค์ชายได้พำนักอยู่ในเมืองกวนหยุนนั้นจะประพฤติตนอย่างดีจะมิทรงก่อความวุ่นวายใด ๆ ในที่สุดอู่หลิงก็ยอมใจอ่อนและส่งตัวเขาไปให้ท่านเอกอัครราชทูต
หลังจากนั้นอู่หลิงได้กล่าวร่ำลาฟู่เสี่ยวกวนด้วยความอาลัยอาวรณ์ นางต้องกลับเข้าพระราชวังและให้คำมั่นว่าพรุ่งนี้ตอนรุ่งเช้าจะกลับมาหาเขาอีกครา
ฟู่เสี่ยวกวนและคณะนั้นเป็นคนของราชวงศ์หยู ซึ่งแน่นอนว่าผู้ที่เข้ามาต้อนรับพวกเขานั้นย่อมเป็นเอกอัครราชทูตแห่งราชวงศ์หยู
“กระหม่อมนามว่าเติ้งซิว ขอแสดงความเคารพต่อองค์หญิงเก้า ! ”
“มิต้องพิธีรีตองอันใดหรอก ที่พักของพวกข้าอยู่ที่ใดกัน ? ” หยูเวิ่นหวินรู้สึกอ่อนเพลีย หลังจากที่เดินทางมาถึงที่ราบสูงหลีลั่วนางมีอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรง ช่างบังเอิญที่ตรงกับรอบเดือนของนางพอดี นางจึงรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอยากนอนพักเสียเต็มที
“ทรงตามกระหม่อมมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งขบวนได้ขึ้นรถม้าแล้วออกเดินทางภายใต้การนำของเติ้งซิวออกจากภายในตัวเมือง พวกเขาได้เข้าสู่ถนนเส้นที่สงบและสวยงาม และแล้วขบวนก็ได้มาหยุดตรงที่ลานของเรือนที่ประทับแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในตำแหน่งใจกลางเมืองกวนหยุน
เรือนสี่ประสานแห่งนี้มีสองชั้น มีทางเข้าเพียงแค่สองทาง มิมีสวนดอกไม้หน้าเรือนและไร้ซึ่งโขดหินประดับประดาบริเวณลานกลางเรือน มีเพียงแค่ดอกไม้ใบหญ้าเล็กน้อยตรงบริเวณหลังเรือนเพียงเท่านั้น และพวกดอกไม้ใบหญ้าเหล่านั้นก็มิได้รับการดูแลรักษาใด ๆ ยามฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้จึงได้ออกดอกกลาดเกลื่อน
เรือนหลังนั้นมิได้กว้างขวางมากนัก แต่โดยรวมนั้นถือว่าสะดวกแก่สตรีที่จะใช้เป็นสถานที่พิงพัก
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานได้บอกลาฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นทั้งสองนางก็ได้ตามบ่าวรับใช้หญิงเข้าไปพักผ่อนในเรือนหลัง
เติ้งซิวยุ่งจนมือเป็นระวิง เขาใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยามในการช่วยให้ปัญญาชนกว่าร้อยชีวิตและขุนนางข้าราชการกว่าสิบคนจัดแจงที่หลับที่นอนของตน
ส่วนทหารม้าเกราะอีก 500 นายที่อยู่ภายใต้การนำทัพของเซวียผิงกุยนั้นจำต้องพำนักรออยู่ที่เมืองฝานหนิง เพราะนี่คือกฎเหล็กของราชวงศ์อู๋ กฎที่ว่านั่นก็คือห้ามกองทัพจากแคว้นอื่นย่างกรายเข้าเมืองกวนหยุนเป็นอันขาด
ตอนที่ 291 กลัดกลุ้มใจ
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 สิบหกค่ำเดือนสาม ย่ำสู่กลางฤดูใบไม้ผลิ เหล่าวิหคอพยพกลับรังเดิม
ขบวนคณะทูตของฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางออกจากเหมืองฝานหนิงไปสู่เมืองกวนหยุนอย่างเกรียงไกรภายใต้การนำทางของเหล่าขุนนางกรมพิธีการ ส่วนกวนถงนั้น…เมื่อวานเขาได้ตากฝนเสียครึ่งค่อนวันประจวบกับอารมณ์เดือดดาลจึงได้ล้มป่วยลงเสียจนแทบจะเดินเหินดังเดิมมิได้ เช่นนั้นจึงเป็นเหตุให้เขาต้องพักรักษาตัวอยู่ที่เมืองฝานหนิงจนกว่าจะหายดี
บัดนี้ระยะทางไปยังเมืองกวนหยุนเหลือเพียงแค่ร้อยกว่าลี้ ในระยะร้อยกว่าลี้นี้เป็นเนินเขาแทบทั้งสิ้น ดังนั้นขบวนจึงเคลื่อนที่ไปอย่างเชื่องช้า
อู่หลิงนำข้ออ้างที่ว่าต้องการสนทนาเรื่องการค้ากับสองนางแห่งราชวงศ์หยูกระโดดขึ้นรถม้าของหยูเวิ่นหวิน ส่วนฟู่เสี่ยวกวนนั้นโดนต่งชูหลานไล่ลงจากรถ เขาจึงกลับไปนั่งบนรถม้าของตนด้วยความเบื่อหน่าย
เวลานี้เขากำลังนั่งอ่านจดหมายลับ
เมื่อคืนก่อนที่ได้พูดข่มเหยียนหานยู่เรื่องศึกทางชายแดนตะวันออกนั้นล้วนแต่เป็นคำพูดปดทั้งสิ้น หลังจากองค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียนได้เข้าไปคุมชายแดนด้วยตนเองก็มิสามารถขับไล่กองทัพของแคว้นอี๋ให้ถอยร่นไปจนถึงเขตซางยู่ได้ กองทัพแห่งแคว้นอี๋มิได้ถูกโจมตีจนเละเป็นดินโคลน และข่าวคราวสถานการณ์ล่าสุดที่ได้รับมาจากหอซี่หยู่นั้นเป็นเช่นนี้
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 ยี่สิบค่ำเดือนสอง ตัวข้าและศัตรูสู้รบอยู่ที่เนินสิบลี้ รวมพลทหารทั้งสองฝั่งกว่าสองแสนหกหมื่นนาย ฝีมือการสู้รบของทั้งสองฝั่งสูสีกันยิ่ง
สงครามเริ่มตั้งแต่ยามฟ้าสาง แม่ทัพเฟ่ยได้นำกำลังกองทหารม้าหนักกว่าห้าหมื่นนายบุกเข้าโจมตีบนเนินสิบลี้ ยามสายกองทัพได้ทลายฐานที่มั่นคงของศัตรูได้สำเร็จ จากนั้นกองทหารม้าเบาของทั้งสองฝั่งได้มาประจันหน้ากัน ศัตรูได้ถอยทัพร่นไปจนถึงกวนซานจี๋
ทว่ากำลังพลของข้าบาดเจ็บล้มตายและพิการจำนวนมาก สงครามยืดเยื้อจนถึงรุ่งสางของอีกวัน ทั้งสองฝ่ายต่างยุติการรบ กองทัพของข้าก็ยังมิสามารถบุกโจมตีกวนซานจี๋ได้สำเร็จ
จากการสำรวจโดยคร่าว ๆ กองทหารม้าหนักทั้งหมด 50,000 นายตายกว่า 16,000 นาย บาดเจ็บอีก 20,000 นาย ในจำนวนนั้นบาดเจ็บสาหัสกว่า 5,000 นาย สามารถทำศึกต่อได้เพียงแค่ราว 20,000 นายเท่านั้น
กองทหารม้าเบาของข้ากว่า 60,000 นาย ที่ยังสามารถทำการศึกได้มีเพียง 40,000 นายเท่านั้น
ยามดึกคืนนั้น
แม่ทัพเฟ่ยได้นำกองทหารม้าหนักบุกโจมตีกวนซานจี๋ ครานี้ข้าศึกโดนโจมตีอย่างไม่ลดละ แต่มิอาจตีฐานที่มั่นให้แตกพ่ายได้ เมื่อยามรุ่งมาเยือนข้าศึกบุกโจมตีกลับ แล้วยึดกวนซานจี๋ไว้ได้อีกครา
ยี่สิบสามค่ำเดือนสอง หลังจากที่องค์ชายใหญ่ทรงออกคำสั่งให้กองทหารม้าเบากว่า 20,000 นายเดินทัพอ้อมฮวาซีและให้แม่ทัพเฟ่ยไปยังกวนซานจี๋ แม่ทัพเฟ่ยได้นำทัพกองทหารม้าหนักกว่า 15,000 นายจู่โจมกองกำลังของศัตรูที่กวนซานจี๋
ยี่สิบห้าค่ำเดือนสอง ศึกครานี้ลุล่วงตามความคาดหมาย กองกำลังของข้าได้ทวงคืนกวนซานจี๋ได้สำเร็จ ข้าศึกได้ถอยทัพไปจนถึงแนวป้องกันเขตซางยู่
แม่ทัพเฟ่ยถือเห็นฤกษ์งามยามดีที่คว้าชัยเหนือศัตรูมาได้จึงต้องการไล่โจมตีต่อ แต่ทว่าถูกองค์ชายใหญ่ห้ามปรามเอาไว้เสียก่อน เหตุเพราะบัดนี้กองกำลังกว่า 300,000 นายได้เหลือเพียง 100,000 นายเท่านั้นที่สามารถสู้รบต่อได้ และส่วนมากเป็นกองทหารราบ
จากนั้น กองทัพของข้าได้เสริมกำลังป้องกันแนวเขตกวนซานจี๋ ฐานพำนักขององค์ชายใหญ่ได้เคลื่อนมาอยู่ที่กวนซานจี๋ด้วยเช่นกัน
หนึ่งค่ำเดือนสาม กองทัพของข้าศึกได้รวมตัวขึ้นอีกคราโดยมีกองกำลังมาหนุนมากกว่า 80,000 นาย ภายใต้การคุมกองทัพของแม่ทัพใหญ่เฟิงเซี่ยนชูที่บัดนี้ได้นำกองทัพหงหลิงมาถึงอย่างท้วมท้นเกินต้านทาน
ฝั่งข้านั้นได้ตั้งหลักรักษาการณ์ที่กวนซานจี๋ ห้าวันให้หลัง กองทัพของข้านั้นไร้สิ้นเสบียง ครานี้ฐานที่กวนซานจี๋จึงแตกพ่าย !
แม่ทัฟเฟ่ยนำทหารพิการ เหล่ากำลังรักษาการณ์และองค์ชายใหญ่ถอยจากกวนซานจี๋แล้วกลับไปตั้งหลักที่เนินสิบลี้อีกครา
วันถัดมา กรมยุทธนาการได้ส่งปืนใหญ่มา 25 กระบอก
ข้าศึกได้รุกล้ำมาจนถึงเนินสิบลี้ นี่คือคราแรกที่กองทัพของข้าได้ใช้ปืนใหญ่ในการศึก
ช่างทรงพลังดั่งฟ้าพิโรธ เสียงสนั่นดั่งมังกรผงาด !
กระสุนปืนใหญ่ได้ตกไปยังฐานทัพชั่วคราวของข้าศึก ม้าศึกจำนวนไม่น้อยขวัญกระเจิง และเหมือนว่าได้ทำลายฐานทัพของข้าศึกเสียจนขวัญหนีดีฝ่อ หนีตายกันจ้าละหวั่น แม่ทัพเฟ่ยสั่งการให้ยิงปืนใหญ่อีกคราข้าศึกร่นถอยแพ้พ่าย ด้วยจำนวนกำลังพลของข้ามิอาจทำการศึกได้ต่อไป ท้ายที่สุดแล้วนั้นมิอาจโจมตีกองทัพศัตรูได้เต็มที่ และแล้วทั้งสองฝั่งได้มาประจันหน้ากันที่เนินสิบลี้อีกครา
แปดค่ำเดือนสาม กองทัพข้าศึกได้บุกโจมตีอีกครา ครานี้พวกมันได้เอาก้อนฝ้ายอุดหูม้าศึกเอาไว้ แม้นว่าปืนใหญ่จะมีอานุภาพท่วมท้นเพียงใด แต่ทว่าด้วยจำนวนที่น้อยนิด จึงเป็นเหตุให้สังหารศัตรูได้อย่างจำกัด จนกระทั้งสิบค่ำเดือนสาม ฐานที่เนินสิบลี้ได้แตกพ่าย
กองทัพข้าได้ถอยกลับมาตั้งหลักที่เมืองหลานหลิง
เมื่อสามค่ำเดือนสามฝ่าบาททรงรับสั่งให้กองทัพชายแดนใต้ 150,000 นายออกเดินทัพจากหลานหลิง
……
ท้ายที่สุดก็ยังมิวายปราชัยแก่ศัตรู
ฟู่เสี่ยวกวนวางจดหมายลับฉบับนี้ลง เขาเลิกผ้าม่านขึ้นมา แล้วจึงหยิบจดหมายลับอีกฉบับขึ้นมาอ่าน
จดหมายลับฉบับนี้มาจากขนส่งซีซาน
ภัยพิบัติเนื่องจากหิมะและความหนาวเหน็บที่ซานซีได้นำความเสียหายมาให้อย่างใหญ่หลวง กระทั่งยี่สิบค่ำเดือนสอง ความหนาวได้คร่าชีวิตผู้คนในหย่งหนิงโจวไปแล้วกว่าหมื่นรายด้วยสาเหตุความหนาวหรือหิวโซจนถึงแก่ความตาย กงเซินจ่างแห่งภูเขาผิงหลิงได้ฉวยโอกาสนี้ในการนำกองทัพสวรรค์บุกโจมตีเมืองหย่งหนิงซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางของหย่งหนิงโจว
เมืองหย่งหนิงได้มีหนอนบ่อนไส้แฝงตัวอยู่ ประตูเมืองถูกเปิดด้วยฝีมือของทหารที่เฝ้ารักษาการเสียเอง
จากการสืบค้นก็พบว่าจือโจวแห่งเมืองหย่งหนิงและทหารรักษาการณ์ล้วนแต่เป็นคนของตระกูลชือทั้งสิ้น
หลังจากที่กงเซินจ่างบุกเข้าเมืองไป กองทัพสวรรค์ 50,000 นายได้บุกปล้นสะดมติดต่อกันสามวันสามคืน จนทหารชายแดนเมืองซินโจวได้ส่งกำลังมาช่วยเหลือ พวกเขาถึงยอมถอยแต่โดยดี
ที่เดินร่วมทัพกันยังมีทหารรักษาการณ์แห่งเมืองหย่งหนิงอีก 10,000 นาย พวกเขานั้นได้ร่วมกันก่อกบฏ
เมื่อกงเซินจ่างได้กลับขึ้นไปบนเขา เขายังมีเชลยศึกติดตามมากว่า 30,000 ชีวิต !
กงเซินจ่างนั้นเป็นใหญ่ทางตอนเหนือ ม้าศึกของเขามาจากแคว้นฮวง เกราะป้องกันและทหารริมชายแดนของเขานั้นไร้ผู้ใดเทียบเคียงน่าเกรงขามยิ่งนัก หากคุณชายต้องการจะผ่านทางตอนเหนือนั้นจะเป็นภัยอย่างมหันต์ จึงใคร่วอนให้งดใช้เส้นทางนั้น !
บ้าเอ้ย !
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมเย็น ๆ เข้าไปเสียยาวเหยียด ศึกทางตะวันออกนั้นพวกเราได้ตกเป็นเบี้ยล่างของศัตรู แม้ว่าจะมีกองทัพทางใต้เร่งไปสมทบแล้ว ก็ทำได้เพียงแค่ฟื้นฟูค่ายที่โดนตีแตกไปเพียงเท่านั้น หากคิดจะตีฐานศัตรูตรงที่ราบสีหม่านั้นแทบจะไม่มีความหวังเลยแม้แต่น้อย
ที่เป็นเช่นนี้หาใช่เพราะกองทัพแห่งราชวงศ์หยูอ่อนแอไม่ ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าสถานการณ์ภายในราชวงศ์หยูเป็นเยี่ยงไร
ความล้มเหลวในการควบคุมกองทัพขององค์ชายใหญ่หาใช่เพราะปัญหาที่เกิดจากแผนยุทธศาสตร์ไม่ หลัก ๆ แล้วนั้นมีสาเหตุสำคัญ 2 ประการด้วยกัน
ประการแรก เริ่มแรกที่พระองค์เข้าไปคุมกองทัพ แม้ว่าจะรับไม้ต่อมาจากเจี่ยงกาวหยวนที่คุมชายแดนเขตตะวันอยู่ก่อนหน้าก็ตาม แต่พลทหารในอารักขาของพระองค์นั้นเป็นอยู่เยี่ยงไรก็มิอาจทรงทราบได้
คุมกองทัพแต่ไม่เข้าใจในกำลังพลของตนอย่างถ่องแท้ นี่เป็นข้อผิดพลาดที่ร้ายแรงยิ่งสำหรับการทหาร !
ประการที่สอง งบประมาณที่ใช้สนับสนุนการศึกสงครามชายแดนตะวันออกนั้นขาดแคลนเกินไป ในกรณีนี้แม้ต่งคังผิงจะรับมือได้อย่างทันท่วงทีแต่ก็ยากมากนักที่จะช่วยเหลือได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
ทหารราบจำนวนมากไม่มีแม้แต่ชุดเกราะป้องกัน หรือแม้แต่ยุทโธปกรณ์ก็ยังขัดสน สงครามนี้จะสู้รบได้เยี่ยงไร ?
บัดนี้ความหวังเดียวที่มีคือหวังว่าองค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียนจะไม่โฉดเขลาไปยิ่งกว่านี้ หากพระองค์นำปืนใหญ่มาป้องกันเมือง เมืองจินหลิงคงมิอาจตกเป็นเมืองขึ้นของศัตรูได้
ขอเพียงแค่ปกป้องเมืองหลานหลิงไว้ได้ แคว้นอี๋คงมิอาจย่างกรายเข้าสู่เมืองหลานหลิงได้เป็นแน่ เพียงแค่นำปืนใหญ่ติดตั้งทุกซุ้มประตูเมือง เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้แคว้นอี๋ขวัญผวาได้ ชายแดนตะวันออกจักสงบในเร็ววัน
ศึกทางตะวันตกนั้นใกล้เดินทางมาถึงกาลอวสานเต็มที่แล้ว บัดนี้เขาสนใจสถานการณ์ของทางเหนือมากกว่า
กงเซินจ่างได้รับการเกื้อกูลจากชาวแคว้นฮวง เขาขาดทุนแคลนทุนทรัพย์อาหาร ตระกูลชือแห่งหนิงโจวก็พร้อมเป็นท่อน้ำเลี้ยงจัดการปัญหานี้ให้อย่างดิบดี หากจับเชลยศึกได้เช่นนั้นอีกคราศึกทางตอนเหนือก็จะสามารถสู้ศึกด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองได้ มิจำเป็นต้องพึ่งกำลังพลของแคว้นฮวงอีกต่อไป ชาวฮวงนั้นอยู่นอกเขตเขาเยี่ยนซาน และกงเซินจ่างคือบุคคลภายใน !
หากไม่กำจัดกงเซินจ่างไปให้พ้นทาง ก็อย่าได้หวังถึงการเปิดโรงงานที่อำเภอชูอี้เลย หากจำต้องใช้เส้นทางนั้นเป็นทางผ่านก็เป็นอันตรายมากยิ่งนัก !
ฟู่เสี่ยวกวนคิดตรึกตรองอยู่นาน เขาจับพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายให้ไป๋ยู่เหลียนหนึ่งฉบับ แล้วจึงเขียนถึงฉินเฉิงเย่อีกหนึ่งฉบับ
จงส่งกองกำลังไปกำหราบมันเสียโดยด่วน !
ทว่าก็มิอาจส่งทหารไปรบได้อย่างไม่ระมัดระวัง งานจะสำเร็จลุล่วงได้จะต้องลับอาวุธให้คมกริบ จงใช้กำลังพลทหารม้าหน่วยรบพิเศษ 2,000 นายต่อกองกำลัง 10,000 นาย และจงเตรียมการทุกอย่างให้พร้อมมิเช่นนั้นก็จะเปรียบดั่งการเอาไม้ท่อนไปงัดไม้ซุง
ส่วนจดหมายที่เขียนถึงฉินเฉิงเย่นั้น เขาได้อธิบายถึงวิธีการประดิษฐ์กล้องส่องทางไกลและทฤษฎีการผลิตลูกบอลไฟ อีกทั้งยังเขียนถึงอาวุธที่มีอาณุภาพทำลายล้างสูงอย่างเช่น ระเบิด
สุดท้ายนี้ เขาได้เขียนจดหมายให้หวางเอ้ออีกหนึ่งฉบับ ได้เขียนเกี่ยวกับการจัดการฟู่อีต้าย และเน้นย้ำอีกคราถึงหนทางการเพาะปลูกฟู่เอ้อร์ต้าย
นี่เป็นจุดยืนของเขาในฐานะเศรษฐีที่ดิน ทั้งหมดก็เพื่อช่วยประเทศชาติบรรเทาสภาวะที่ยากลำบากเช่นนี้ให้ผ่านพ้นไปให้จนได้
ประชาชนอยู่ได้ด้วยปากท้อง การแก้ไขปัญหาปากท้องจึงเป็นหนทางเดียวที่จะนำความสงบสุขมาสู่มวลประชาได้ !
ตอนที่ 290 เหยียนซือหนิง
ราวกับว่าฟู่เสี่ยวกวนได้เดินชมสวนแพร์จนทั่วแล้ว เพียงแค่ฟังตนสาธยายเกี่ยวกับวัดวาแห่งแคว้นฝานเพียงเท่านั้น เขาก็สามารถสร้างสรรค์บทกวีมาได้ในเวลาอันสั้น อีกทั้งยังสามารถขับกล่อมออกมาอย่างวิจิตรบรรจงถึงเพียงนี้ !
งานชุมนุมวรรณกรรม ณ วัดหานหลิงครานี้ผู้ใดจะสามารถฟาดฟันเอาชนะเขาได้กัน ?
เวลานี้ฟู่เสี่ยวกวนได้หันหน้าไปมองแสงของดวงดารานอกหน้าต่าง เขายกจอกสุราขึ้นกระดกจนหยดสุดท้าย แล้วกล่าวบทกวีออกมาจนจบบท
“ดั่งบังอรผู้หาญกล้า ทีท่าอรชร กมลมั่นแลสูงส่ง
สารพันน้อยใหญ่ใคร่ประสงค์ หอมบุษบงมิแม้นเหมือน
เกรียงไกรส่องสะเทือน เดื่อนดุจพรสวงสวรรค์ ปักธรณินไซร้ยากแยกแยะ
มองจากถิ่นสุราลัย แสนวิสุทธ์สกาวตา
……
บทกวีทั้งบทได้จบลงเพียงเท่านี้ เวลานี้ไร้ซึ่งซุ่มเสียงใด ๆ แต่ทว่าราวกลับมีเสียงดนตรีบรรเลงเคล้าคลออย่างแผ่วเบา ชวนให้เคลิบเคลิ้ม
แต่ช่วงเวลาที่ขับลมหายใจเข้าออกได้เพียงสิบครา ฝานเทียนหนิงก็ได้ลุกขึ้นมาคำนับต่อฟู่เสี่ยวกวนด้วยความหนักแน่น “ท่านพี่ฟู่ผู้มากความสามารถ น้องชายผู้นี้มิอาจเทียบเคียงอันใดได้เลย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า “น้องฝานชมข้าเกินไปแล้ว ข้าเพียงแค่ประพันธ์ตามอารมณ์เท่านั้น เพียงแค่ต้องการให้บรรยากาศของวงสนทนาของพวกเราน่ารื่นรมย์ขึ้นก็เท่านั้น”
ฝานเทียนหนิงได้เกิดความศรัทธาต่อฟู่เสี่ยวกวนขึ้นเป็นทวีคูณ ชายหนุ่มผู้เป็นอัจฉริยภาพเช่นนี้แต่กลับถ่อมตนยิ่งนัก มิแปลกใจนักว่าเหตุใดท่านอาจารย์ถึงเกิดความเคารพต่อเขามากถึงเพียงนี้
อาจารย์ของฝานเทียนหนิงนั้นเป็นนักปราชญ์แห่งแคว้นฝาน เป็นมหาบัณฑิตประจำตำหนักเหวินยวนและเป็นอาจารย์ของจางเสี่ยวหร่านมกุฎราชกุมารแห่งแคว้นฝานเช่นกัน !
ฟู่เสี่ยวกวนเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านผู้นี้มาก่อน เขานั้นมีชื่อเสียงเป็นอย่างมากในแคว้นฝาน มีชื่อเสียงเสียยิ่งกว่าชางกวนเหวินซิ่วผู้โด่งดังแห่งราชวงศ์หยูเสียอีก
ฝานเทียนหนิงยังคงจำคำกล่าวของอาจารย์ในวันที่ออกเดินทางมาอาณาเขตของแคว้นฝานได้อย่างตราตรึง “ในด้านบทกวีฟู่เสี่ยวกวนนั้นไร้เทียมทานยิ่งนัก เช่นนั้นท่านอย่าได้ทรงใส่พระทัยกับชัยชนะหรือความแพ้พ่าย จงมีมิตรไมตรีแก่เขา หากสามารถเชื้อเชิญเขามายังแคว้นฝานได้นั้นจะถือว่าเป็นการประสบความสำเร็จอันสูงสุดของการเดินทางในครานี้ ”
ฝานเทียนหนิงนั้นเข้าใจความหมายของอาจารย์ได้อย่างคลุมเครือ ด้วยเหตุเช่นนี้แล้วการเชิญฟู่เสี่ยวกวนไปเยี่ยมเยือนแคว้นฝานนั้นจึงเป็นสิ่งที่เขารอคอยมากที่สุด
จากบทสนทนาเมื่อครู่นั้น ฟู่เสี่ยวกวนได้เปรยไว้ว่าปีนี้เขาแทบจะไม่มีเวลาซึ่งได้ทำให้ฝานเทียนหนิงผิดหวังยิ่งนัก แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนมีอายุเพียงเท่านี้แต่กลับไต่เต้าขึ้นมาเป็นถึงขุนนางขั้นสี่ได้ คาดว่าจะมีงานราชการให้บริหารเสียมากมาย หากว่านัดเป็นปีหน้า อ่า…ไม่ เมื่อกลับแคว้นแล้วจักไหว้วานให้เสด็จพ่อทรงออกพระราชโองการ หากเรียนเชิญฟู่เสี่ยวกวนมาในนามของแคว้นแล้วนั้นเรื่องนี้ก็จะเป็นหนึ่งในงานราชการของฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน และเขาต้องมาเยือนแคว้นฝานอย่างแน่นอน
เมื่อมีแผนไว้ในใจแล้ว ฝานเทียนหนิงได้เปิดฝาขวดสุราออกแล้วรินจนเต็มแก้วให้ฟู่เสี่ยวกวนอีกครา
“สำหรับท่านพี่นั้นอาจจะเป็นเพียงแค่กวีที่แต่งขึ้นมาตามอารมณ์ แต่สำหรับน้องชายนั้น นี่เป็นสุดยอดแห่งกวี ท่านพี่ฟู่ พวกเรามาชนจอกด้วยกันอีกคราเถิด ให้แก่ไร้ซึ่งปรารถนา บทกวีสวนแพร์แห่งตำหนักเสียนฉิง ! ”
แล้วทั้งสองคนก็ชนจอกกันอีกครา
อู่หลิงมิได้เข้าไปหาฟู่เสี่ยวกวนเพื่อชนจอกแสดงความชื่นชม แต่นางกลับกำลังอ่านบทกวีของเขาอย่างพินิจพิจารณา
นางพึมพำออกมาเบา ๆ “คำประพันธ์ท่อนบนนั้นได้กล่าวถึงดอกแพร์โดยการนำคำว่าขาวนวลและปานหิมะพรรณนาถึงความไร้มลทินของดอกแพร์ อีกคำหนึ่งก็คือ หนาวเหน็บ ราวกับทำให้ดอกแพร์นั้นเบ่งบานภายใต้แสงจันทร์ผ่องอำไพ สะท้อนรายละเอียดได้อย่างครบถ้วนยิ่งนัก ดุจสวรรค์บนดิน แสงจันทร์นวลผ่อง ดอกไม้ขาวปานหิมะ ทั้งหมดนี้ทำให้ดอกแพร์นั้นแลดูเลอค่ายิ่งนัก ! ”
ซูซูได้มองบทกวีบนโต๊ะอย่างใช้สมองใคร่ครวญ ระหว่างคิ้วของนางนั้นเต็มไปด้วยความใคร่รู้ แล้วจึงโพล่งถามออกมา “บังอรผู้หาญกล้าหมายถึงผู้ใด ? ”
อู่หลิงหัวเราะร่า “ ในคัมภีร์เต๋าของจวงจื่อบทอิสระจร ได้กล่าวไว้ว่า ณ ภูเขากูเช่ออันไกลโพ้น มีผู้วิเศษพำนักอาศัยอยู่ ผิวพรรณของนางขาวผ่อง ดั่งสาวบริสุทธิ์ผู้เบิกบาน ท่านพี่ฟู่ได้อ้างอิงบังอรผู้นั้นมาจากบทนี้ แล้วนำมาอุปไมยความบริสุทธิ์ผุดผ่องและท่าทีสงบเสงี่ยมของดอกแพร์ไงเล่า”
“อ่า…” ซูซูไม่เข้าใจแต่ก็แสร้งว่าเข้าใจ นางชายตาไปมองฟู่เสี่ยวกวนอีกครา พลันนึกคิดในใจว่าชายหนุ่มผู้นี้ช่างมีความรู้มากยิ่งนัก
อู่หลิงเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนเล็กน้อย นางคิดว่าครานี้ได้ใช้ดอกแพร์ในการบรรยายความรู้สึก หรือทว่าในใจเขาจะรู้สึกไร้ซึ่งความปรารถนาใด ๆ อย่างแท้จริง ?
เมื่อเมิ่งซีดึงสติของตนกลับมาได้อีกครา นางจึงเดินไปข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนแล้วถอนสายบัว จากนั้นนางจึงเอ่ยถามด้วยความรอคอยยิ่ง “ขออนุญาตเจ้าค่ะคุณชาย มิทราบว่าบทกวีนี้ข้าน้อยสามารถคัดลอกและใส่ทำนองบรรเลงได้หรือไม่เจ้าคะ ? ”
หากได้ครอบครองบทกวีนี้แล้วชื่อเสียงของนางจะต้องเป็นที่เลื่องลืออย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ข้าจะทวงคืนพื้นที่ทะเลสาบสิบลี้และหลิวหยุนถายมาให้ได้ !
ความหมายของบทกวีนี้ช่างเป็นเอกลักษณ์ยิ่ง และเป็นบทกวีบทแรกของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อมาถึงอาณาเขตของแคว้นอู๋ และชื่อของบทกวีนั้นมีตำหนักเสียนฉิงสามคำนี้อยู่ด้วย และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือนี่เป็นบทกวีที่ถูกประพันธ์ออกมาโดยฟู่เสี่ยวกวน
หากไปหาเฟิงเย่วให้นางประพันธ์ทำนองให้ แล้วนางเป็นผู้ร้องนำ พวกนกกาแห่งทะเลสาบสิบลี้มิมีทางเทียบนางได้เป็นแน่ !
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้แยแสต่อคำขอนี้มากนัก เขาจึงพยักหน้าเพื่อบอกเป็นการตอบรับคำขอ
เมิ่งซีดีใจดั่งได้เม็ดพลอย นางรีบไปหยิบกระดาษแล้วนำมาคัดลอกบทกวี ไร้ซึ่งปรารถนา บทกวีแห่งตำหนักเสียนฉิงนี้ด้วยความตั้งใจแน่วแน่
ทันใดนั้นอู่หลิงเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างได้ขึ้นมา นางนำกระดาษแผ่นต้นฉบับนั้นพับเก็บลงไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนในห้องจ้องมองนางพับกระดาษแผ่นนั้นเข้าชายแขนเสื้อด้วยสายตามิพอใจนัก
“ฮ่า ๆ พี่สาวทั้งสองนั้นมีบันทึกหมึกพู่กันของเขาอยู่แล้ว บทกวีนี้น้องสาวขอเก็บโดยพละการเสียเลยก็แล้วกัน”
ฝานเทียนหนิงรู้สึกเสียดายยิ่ง แต่ทุกบททุกคำของบทกวีนั้นได้ถูกบันทึกไว้ในสมองของเขาแล้ว เขาเลยมิได้เก็บเอาเรื่องนี้มาคิดเล็กคิดน้อย
มีเพียงแค่ต่งชูหลานเท่านั้นที่คอยหยุดยั้งปากของตนมิให้เอ่ยสิ่งใดออกมา แม้ว่าจะรู้สึกเจ็บปวดใจก็ตาม
สายลมเย็นยามค่ำคืนพัดเข้ามาทางหน้าต่างและได้พัดน้ำค้างเข้ามาด้วย ราวกับมีกลิ่นหอมของดอกแพร์เจือจางลอยล่องมาตามลม
ทำให้รู้สึกหนาวเหน็บอยู่เล็กน้อย ฟู่เสี่ยวกวนดื่มจนเมาแล้ว บัดนี้ผู้คนทั้งคณะก็ได้เดินทางออกจากตำหนักเสียนฉิง แล้วนั่งรถม้ากลับหอต้อนรับ
ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางออกไปได้เพียงแค่ครึ่งก้านธูปเท่านั้น อาคารท่ามกลางสวนลูกแพร์แห่งนี้ก็ได้มีคนผู้หนึ่งเหินเวหาเข้ามาเยือน
มือเขาถือไหสุราบนหลังของเขาได้แบกดาบเล่มหนาเอาไว้ เขาหกเหินมาจากแม่น้ำหลีสุ่ยแล้วบินเข้ามาทางหน้าต่างบานที่เปิดอ้าอยู่ เขาเหินไปหยุดอยู่บนชั้นสองของอาคารแล้วนั่งอยู่หน้าโต๊ะตัวที่คณะของฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ก่อนหน้านี้
เมิ่งซีนั่งอยู่หน้าโต๊ะตัวนั้นเช่นกัน นางเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าเพียงแค่ครู่เดียวเท่านั้น หลังจากนั้นก็ได้ก้มลงเชยชมบทกวีที่เพิ่งคัดลอกมาเมื่อครู่อย่างตั้งอกตั้งใจ
เมื่อยิ่งอ่านนางก็ยิ่งชื่นชอบมากขึ้น ใบหน้านั้นได้เผยรอยยิ้มออกมาให้เห็นเป็นระลอก ๆ
ชายหนุ่มผู้นั้นที่กำลังดื่มสุราอยู่ก็ได้เข้าไปร่วมวงด้วย หลังจากนั้นเพียงครู่ชายหนุ่มก็ได้เลิกหัวคิ้วขึ้นด้วยความสงสัยแล้วจึงเอ่ยถาม “ผู้ใดประพันธ์บทกวีนี้กัน ? ”
“ฟู่เสี่ยวกวน ชายหนุ่มอัจฉริยะแห่งราชวงศ์หยู ! ”
ชายหนุ่มผู้นั้นตกตะลึงมากยิ่งนัก “ฟู่เสี่ยวกวนรึ ? คืนนี้เขามาที่นี่เยี่ยงนั้นรึ ? ”
เมิ่งซีพยักหน้าเล็กน้อย “มากันเป็นหมู่คณะแต่ดื่มสุราหมดไปเกือบครึ่งของที่กักตุนไว้ แล้วถือจังหวะที่เขาเริ่มมึนเมาประพันธ์บทกวีนี้ขึ้นมา”
ชายหนุ่มผู้นั้นได้มองบทกวีด้วยความตั้งอกตั้งใจเช่นกัน สองคิ้วนั้นได้ผูกกันเป็นปมเล็กน้อย สีหน้าที่แฝงไปด้วยการเยาะเย้ยถากถางนั้นได้เลือนลางหายไป จากนั้นก็ได้รู้สึกขึงขังขึ้นมาเล็กน้อยราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ผ่านไปเพียงชั่วอึดใจเท่านั้น เขาก็ได้ถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมาแล้วสีหน้าถากถางไม่เป็นมิตรเช่นเดิมก็กลับมาประดับบนใบหน้าของเขาอีกครา
“เมิ่งซี ยามนี้ดึกมากแล้ว”
เมิ่งซีชำเลืองตามองชายหนุ่มแล้วเบ้ปากเล็กน้อย “ซือเหยียน ต้องขออภัย คืนนี้ข้ามิสะดวกจริง ๆ ”
“มาแล้วหรือ ? ”
“อืม”
เช่นนั้นแล้วคงมิสะดวกจริง ๆ
ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือเหยียนซือหนิง บุตรชายของคลั่งกระบี่หนิงฝาเทียนและคนคลั่งภาพเหยียนหรูยวี่ !
เขาเป็นเจ้านายน้อยของตำหนักเสียนฉิงแห่งนี้ แต่เขากลับมิได้แยแสที่จะมาจัดการกิจการนี้เลยแม้แต่น้อย
ตั้งแต่พ่ายแพ้ให้กับผู้ที่เป็นบิดาเมื่อปีกลาย เขาก็ไม่คิดจะกลับมาจับดาบอีกเลย เขามักจะถือสุราไหใหญ่ไว้ในมือเสมอ
เขาไม่มีคุณสมบัติที่จะสืบทอดสมญานามคลั่งกระบี่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับได้สมญานามเป็นคนคลั่งสุรามาแทน
เขาไม่เคยคิดจะเก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ จะเป็นกระบี่หรือสุรานั้นมันมิได้สำคัญอันใดมิใช่รึ ?
ข้าไร้ซึ่งความปรารถนาอื่นใด ชาตินี้ข้าขอเพียงแค่ได้ประพันธ์บทกวีเพื่อเป็นเกียรติแก่ภาพวาดเป็ดหยวนยางผู้เศร้าโศกา และทำให้ความตั้งใจของท่านแม่สำเร็จลุล่วง นี่คือความตั้งใจหนึ่งเดียวที่ข้ามี
ประพันธ์บทกวีเยี่ยงนั้นหรือ ?
ช้าก่อน !
ฟู่เสี่ยวกวน !
เขาโพล่งถามขึ้นมา “ฟู่เสี่ยวกวนไปที่แห่งใดกัน ? ”
ตอนที่ 289 ไร้ซึ่งความปรารถนา
ฝานเทียนหนิงนั้นดื่มสุราเก่งกาจยิ่งนัก เขานั่งอยู่ทางซ้ายมือของฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงย่อมยกจอกชนกับฟู่เสี่ยวกวนได้ทุกเมื่อ และมิได้ทำการใดให้ระแคะระคาย วาจาและท่าทีของเขานั้นช่างระมัดระวังเหลือเกิน
บัดนี้ทั้งสองได้พูดคุยเรื่องสัพเพเหระของแคว้นฝาน และตอนนี้กำลังเอ่ยถึงเมืองซีหลายซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคว้นฝาน
ณ เมืองซีหลายมีวัดน้อยใหญ่กว่าแปดสิบวัด หนึ่งในนั้นคือวัดหล้านถัว วัดที่มีชื่อเสียงมากที่สุด และเป็นวัดที่เป็นศูนย์กลางของวัดทั้งหมด หากฟู่เสี่ยวกวนได้ไปเยี่ยมเยือนเมืองซีหลายสักครา ฝานเทียนหนิงได้ให้คำมั่นสัญญาแล้วว่าจะพาเขาไปนมัสการท่านอาจารย์ของแคว้น ซึ่งนั้นก็คือท่านหนิงซาเจ้าอาวาสวัดและเชิญมาทำพิธีเพื่อเป็นสิริมงคลให้แก่เขา
นี่เป็นพิธีต้อนรับอย่างสูงส่งที่สุดแก่แขกรับเชิญที่ฝานเทียนหนิงจะจัดเตรียมไว้ให้ได้ หากฝานเทียนหนิงสามารถนมัสการท่านอาจารย์ของแคว้นได้นั้นก็แสดงว่าเขามีฐานะใหญ่โตในพระราชสำนักพอสมควร
หลังจากพูดคุยกันพักใหญ่ฝานเทียนหนิงและฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ชนจอกกันอีกครา แล้วเขาก็เอ่ยขัดจังหวะขึ้นมา “ก่อนออกเดินทางท่านเอกอัครราชทูตประจำเมืองจินหลิงได้ส่งสาส์นมาว่าบทประพันธ์งานเทศกาลโคมไฟนั้นได้ถูกจารึกไว้ลำดับที่หนึ่งบนหินเชียนเปยสืออีกครา อีกทั้งยังมีบทความเยาวชนราชวงศ์หยูกล่าว ที่ได้ถูกจารึกเป็นลำดับหนึ่งบนหินเชียนเปยสือเช่นกัน ข้าขอเอ่ยตามตรง น้องชายผู้นี้นับถือความสามารถของท่านพี่มิเสื่อมคลาย ข้าใคร่ถือโอกาสที่แสงจันทร์กระจ่างลมตกเช่นนี้อ้อนวอนให้ท่านพี่ช่วยประพันธ์คำบทกวีสักบทให้ข้าได้เชยชมจะได้หรือไม่ ? ”
สายตาของฝานเทียนหนิงนั้นมองด้วยความคาดหวัง
ส่วนดวงตาของอู่หลิงนั้นแจ่มจรัสเสียยิ่งกว่าแสงดารา
หรือแม้แต่คูฉานเองก็ราวกับได้ตื่นขึ้นมาจากนิทรา เขาหันไปหาฟู่เสี่ยวกวนอย่างรอคอย เพียงแค่สายตาของเขานั้นมิได้ดูคลั่งไคล้เฉกเช่นฝานเทียนหนิงแต่ก็ดูพองโตอยู่มิน้อย
เมิ่งซีที่บัดนี้กำลังรินสุรา เมื่อได้ยินเช่นนั้นมือของนางจึงสั่นแล้วเผลอรินสุราหกใส่แขนเสื้อของซูเจวี๋ย นางรู้สึกหวาดผวาแล้วกำลังจะเอ่ยขอโทษ แต่ซูเจวี๋ยกลับบอกปัดว่ามิเป็นไร
ฟู่เสี่ยวกวนถือจอกสุราไว้ในมือ สายตาคู่นั้นดูมึนงงเล็กน้อย เมื่อได้ยินฝานเทียนหนิงเชื้อเชิญเช่นนั้นเขาจึงเลิกคิ้วแล้วลุกขึ้นยืน
“น้องฝานเมื่อครู่ยามที่พวกเรากำลังเดินเข้ามาในอาคารนี้ ข้าได้เห็นว่าด้านนอกมีสวนลูกแพร์และมีดอกแพร์อยู่ประปราย ข้าอยากจะนำดอกแพร์นั้นมาเป็นใจความสำคัญในการประพันธ์ เจ้าคิดว่าเป็นเยี่ยงไร ? ”
“ช่างเป็นความคิดที่ยอดเยี่ยมเสียจริง ! ”
หยูเวิ่นหวินลุกขึ้นมาประคองฟู่เสี่ยวกวนเอาไว้ แต่เขาได้เอามือปัดแล้วเอ่ยกล่าว “เวิ่นหวินยอดรัก อย่าได้เป็นห่วงข้าเลย แม้ว่าข้าจะเมามายแต่ก็ยังมีพวกเจ้าอยู่ข้างกาย แล้วข้าจะหวั่นเกรงอันใดอีก ”
แค่คำว่ายอดรักก็ทำเอาหยูเวิ่นหวินขัดเขินเสียจนหน้าแดงเรื่อ และก็ได้ทำให้อู่หลิงตะลึงเสียจนอ้าปากค้างเช่นกัน คุณชายท่านนี้ช่างดึงดูดใครไปทั่วเสียจริง ๆ
ต่งชูหลานกรอกตาใส่เขาแล้วเอ่ยต่อเมิ่งซี “ขอให้แม่นางได้โปรดช่วยเตรียมพู่กันน้ำหมึกพร้อมกับกระดาษด้วยเถิด”
ซูซูจ้องมองเขาตาเขม็ง ถึงเวลาที่เขาจะแสดงละครตบตาทุกคนอีกแล้วสินะ ทุกคราที่ต้องประพันธ์กวี เขาจะทำได้ดีเยี่ยมตลอดมาและมักจะตบตาทุกคนได้สมจริงเสมอ !
เมิ่งซีรีบไปยังห้องหนังสือเพื่อไปเอาพู่กันหมึกและกระดาษโดยเร็ว ฝานซีหนิงได้สั่งให้เก็บจานชามต่าง ๆ บนโต๊ะเพื่อเตรียมความพร้อม
โต๊ะขนาดใหญ่ได้โล่งเปล่าในที่สุด แล้วมีกระดาษสีขาวแกมเหลืองกางเอาไว้บนโต๊ะแล้วเรียบร้อย เมิ่งซีได้ฝนหมึกด้วยความตั้งใจ เดิมทีนางคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นคนจดบันทึกคำกลอนที่ได้เปล่งออกมาจากปากของตน แต่ทว่ากลับคาดการณ์มิถึงว่าจะเป็นต่งซูหลานเองที่ได้ยืนอยู่หน้ากระดาษแผ่นนี้
ฟู่เสี่ยวกวนยกจอกสุราขึ้นมาแล้วดื่มไปหนึ่งอึก เมื่อเห็นว่าคนทั้งโต๊ะได้จ้องมองเขาด้วยสายตากระตือรือร้น เขาก็ได้เอ่ยขึ้นมา “บทกวีนี้มีนามว่าไร้ซึ่งความปรารถนา บทกวีสวนแพร์แห่งตำหนักเสียนฉิง”
“แคว้นฝานนับถือศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำแคว้น ศาสนาพุทธนั้นเน้นย้ำในการหลุดพ้นแห่งห้วงของความปรารถนา ข้าจำได้ดิบดีว่าในคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิจาสูตรนั้นได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งนั้นล้วนแต่ไร้ซึ่งความเที่ยงแท้ ไร้ซึ่งตัวตนแห่งข้า ไร้ซึ่งคนอื่นใด ไร้ซึ่งการธำรงอยู่และไร้ซึ่งชีวิตที่ยืนยาว ด้วยเหตุนี้จึงขอมอบนามให้แก่บทประพันธ์นี้ว่าไร้ซึ่งความปรารถนา”
คูฉานนั้นตกตะลึงยิ่งนัก ดวงตาของเขานั้นได้ส่องประกายขึ้นมาทันใด เพราะในคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิจาสูตรมิได้มีข้อความที่ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งเอ่ยออกมา
ครานี้ที่ได้ติดตามฝานเทียนหนิงองค์ชายสิบสามแห่งแคว้นฝานนั้นท่านอาจารย์ได้กำชับเขาหนักหนา “จงสดับฟัง จงมอง จงพินิจ แต่จงอย่าเอ่ยอันใด อย่าคิดลำเอียงและอย่าคิดฟุ้งซ่าน”
เพลานี้เมื่อได้ยินสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวออกมาว่า ทุกสรรพสิ่งนั้นล้วนแต่ไร้ซึ่งความเที่ยงแท้ ไร้ซึ่งตัวตนแห่งข้า ไร้ซึ่งคนอื่นใด ไร้ซึ่งการธำรงอยู่และไร้ซึ่งชีวิตที่ยืนยาว ด้วยเหตุนี้จึงขอมอบนามให้แก่บทประพันธ์นี้ว่าไร้ซึ่งความปรารถนา
คูฉานกล้าที่จะเอาชื่อเสียงของอาจารย์ของตนมารับประกันว่าในคัมภีร์วัชรปรัชญาปารมิจาสูตรนั้นไม่มีคำกล่าวดังที่ว่า แต่คำเมื่อครู่นั้นทำให้จิตใจที่รักในพระธรรมของเขานั้นสั่นไหว ราวกับว่าได้รู้ซึ้งถึงสัจธรรมบางอย่าง แต่แท้จริงแล้วนั้นกลับมิถ่องแท้ในสักอย่าง ช่างมิต่างกับตัวหนังสือที่คลุมเครือและยากจะเข้าใจในคัมภีร์
ทว่าท่านอาจารย์ได้กล่าวว่านี่คือแก่นสารแห่งศาสนาพุทธ บุษบาย่อมมิใช่บุษบาเสมอไปและหมอกควันก็ย่อมมิใช่หมอกควันเสมอไป แต่ในมุมมองของคูฉานนั้น เขาคิดว่าคำพูดนั้นช่างเหลวไหลสิ้นดี
ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตนนั้นไม่อาจรู้ซึ้งในรสของพระธรรมแห่งศาสนาพุทธ แต่เจ้าอาวาสเองไม่ยอมให้เขาลาสิกขาสักที ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เขาทุกข์ใจอยู่มิน้อย เขาเลยเปลี่ยนเป็นคนมิค่อยพูดจาดั่งจักจั่นที่เปล่าเปลี่ยวตัวหนึ่งเท่านั้น
เขาสามารถท่องพระคัมภีร์ที่ถูกเก็บรักษาในหอไตรของวัดหล้านถัวทั้งหมดได้คล่องแคล่วยิ่งนัก แต่คราหนึ่งเมื่อเขาพยายามเข้าใจพระคัมภีร์อย่างถ่องแท้ขึ้นมา เขากลับพบว่าเขาได้เข้าใจมันผสมปนเปไปจนเละเทะเสียหมด ตั้งแต่นั้นสืบมาเขาก็มิคิดถึงคำกล่าวที่ว่าจิตในอดีตปราศจากแก่นสารจะถือเอาก็มิได้ จิตในปัจจุบันปราศจากแก่นสารจะถือเอาก็มิได้ แม้จิตในอนาคตก็ปราศจากแก่นสารจะถือเอาก็มิได้เช่นกัน คูฉานคิดว่าคำกล่าวนี้มันช่างไร้สาระสิ้นดี !
ต้องการแก่นสารอันใดกัน ?
ข้ามิไยดีกับอดีตปัจจุบันและอนาคตอะไรทั้งสิ้น สิ่งเดียวที่ข้าปรารถนาคือดวงใจขององค์หญิงสิบเอ็ด !
แต่ว่าเจ้าอาวาสได้สั่งห้ามเอาไว้ว่าห้ามผู้ใดแต่งงาน แน่นอนเสียว่าจักฝักใฝ่เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ มิได้เป็นอันขาดแล้วก็มิอาจได้ครอบครองดวงใจขององค์หญิงสิบเอ็ดดั่งที่หมายปองอีกด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วผู้อื่นจะคิดเยี่ยงไรกับตัวข้า ?
ดังนั้น หากมองตามหลักการแล้ว คูฉานนั้นมิมีคุณสมบัติที่จะเป็นพระสงฆ์เอาเสียเลย
แต่เขามีข้อดีอย่างหนึ่งคือความจำที่แม่นยำอย่างยิ่ง แม่นยำขนาดที่ว่าหากผ่านสายตาแล้วจะมิมีวันลบเลือน ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวออกมาเขาก็นึกเอาว่าฟู่เสี่ยวกวนแค่เมาแล้วเอ่ยออกมาอย่างมิได้ใส่ใจเท่านั้น เขารำลึกถึงคำสอนของอาจารย์อยู่เสมอเลยไม่แม้แต่จะเก็บคำกล่าวนั้นมาคิดฟุ้งซ่าน
ทว่ากลับกันนั้นฝานเทียนหนิงบัดนี้ดีใจยิ่งราวกับปลาได้น้ำ เพราะเหตุใดนะหรือ ?
เพราะว่าฟู่เสี่ยวกวนได้ใช้หลักคำสอนของพระพุทธศาสนามาประยุกต์เป็นชื่อกวีบทใหม่ !
นี่มันเป็นการบรรลุผลสำเร็จขั้นไหนกัน ?
หลักคำสอนของศาสนาพุทธนั้นได้ยึดตามแบบแผนมิแปรเปลี่ยนมากว่าพันปีแล้ว และเพิ่งจะได้รับรู้สิ่งแปลกใหม่ก็เมื่อครู่นี้เอง
เมื่อใดก็ตามที่ได้มีคำกล่าวทำนองนี้ปรากฏขึ้นมา นั่นก็หมายความว่านักปราชญ์คนใหม่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว หากมันไม่โด่งดังมากพอก็มิอาจถูกจารึกอยู่บนพื้นแผ่นดินนี้ได้ แต่หากสามารถที่จะจารึกอยู่ได้ตราบชั่วกาลนาน ก็ย่อมจะได้รับการยอมรับจากเหล่าผู้หลงใหลในบทกวี
ถ้าเป็นเยี่ยงนั้นแล้วบทประพันธ์ของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อครู่จะโด่งดังสะท้านฟ้าหรือไม่ ?
เช่นนั้นต้องดูเนื้อความทั้งหมดที่กำลังจะประพันธ์ออกมาเสียแล้ว
ฝานเทียนหนิงยังคงตื่นเต้นมิหยุดหย่อน ส่วนอู่หลิงนั้นกลืนน้ำลายแล้วเลียริมฝีปากที่เริ่มแห้งกร้านของตน บัดนี้จัวตงหลายอะไรนั่นได้ถูกนางลืมทิ้งไว้ยังที่ที่แสนไกลเสียแล้ว
หยูเวิ่นหวินกัดริมฝีปากตนแล้วมองฟู่เสี่ยวกวนที่ยกจอกสุรามาถืออยู่ด้วยความหลงใหล ส่วนต่งชูหลานพยายามรวบรวมสติให้ตนสามารถจับพู่กันอย่างมั่นคงได้
ซูโหรวหยุดเย็บปักถักร้อยแล้วหันสายตาที่ดูละเมียดละไมคู่นั้นไปทางซูซู
ซูซูที่นั่งขยับขายาว ๆ คู่นั้นอยู่บนเก้าอี้สีหน้าของนางนั้นได้เผยรอยยิ้มจาง ๆ แล้วมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน นางเพียงคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนตอนเมานั้นดูดีกว่าตอนปกติขึ้นมาหน่อย
ฟู่เสี่ยวกวนเหมือนจะหยุดคิดอะไรอยู่ชั่วขณะแล้วจึงกล่าวต่อ
“มวลชนท่องเที่ยวยามวสันตฤดูเอิกเกริกในทุกปี ดอกแพร์บานสะพรั่งต้อนรับหานสือเจี๋ย
ช่างหอมฟุ้งขาวนวลไร้มลทิน ลำต้นดั่งหยกงาม ขาวปานหิมะ
ค่ำคืนเงียบสงัด สาดแสงครุมเครือ เย็นระเรื่อจันทร์ส่องผ่องอำไพ
ดุจสวรรค์บนผืนพสุธา แสงเงินสาดส่องทั่วหล้า”
ฝานเทียนหนิงสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ จนสุด เมื่อเขาได้ยินถึงตอนนี้ก็ได้รู้ซึ้งแล้วว่ากวีบทใหม่ได้ถือกำเนิดมาแล้ว เขามองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาที่มีความหมายลึกซึ้ง ราวกับว่าตอนนี้ฟู่เสี่ยวกวนนั้นได้ขยายตนเองให้สูงใหญ่ขึ้นมาดั่งหินผา ทำให้เขาปรารถนาจะขึ้นไปเหยียบย่ำแต่ก็ยากที่จะปีนป่ายเสียเหลือเกิน
นี่มันเป็นพรแห่งสวรรค์ชั้นใดกัน !
นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主) – ตอนที่ 288 ขอเชิญพี่สาวมาดื่มชาด้วยกัน
/ ตอนที่ 288 ขอเชิญพี่สาวมาดื่มชาด้วยกัน
ตอนที่ 288 ขอเชิญพี่สาวมาดื่มชาด้วยกันตอนที่ 287 ตำหนักเสียนฉิงตอนที่ 286 ผูกมัดตอนที่ 285 เมื่อท่านสุภาพบุรุษลงมือตอนที่ 284 ข้าจะเลี้ยงดูท่านเองตอนที่ 283 ยินดีบนความทุกข์ร้อนของคนอื่นตอนที่ 282 ข้าอยากบินให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไปตอนที่ 281 ฟู่เสี่ยวกวนสุดยอดปรมาจารย์ตอนที่ 280 ตัวตลกตอนที่ 279 จำศีลตอนที่ 278 เคลื่อนขบวนม้าออกไปตอนที่ 277 เขาไปแล้วตอนที่ 276 ต่างคนต่างมีแผนการตอนที่ 275 ตัดไม้ข่มนามตอนที่ 274 ประกายแห่งภูมิปัญญาตอนที่ 273 ชุ่มฉ่ำไร้สุ่มเสียงตอนที่ 272 อู๋หลิงเอ๋อร์ที่โมโหร้ายตอนที่ 271 อู๋หลิงตอนที่ 270 หนอนและผีเสื้อตอนที่ 269 สับสนตอนที่ 268 ศาสตราเทพตอนที่ 267 ปืนเขย่าขวัญตอนที่ 266 ลูกธนูปริศนาตอนที่ 265 จำต้องบำเพ็ญคู่ตอนที่ 264 แม่นางถาวฮวาแห่งเปียนเฉิงตอนที่ 263 ช่วงเวลาเล็กน้อยตอนที่ 262 คุณสมบัติของแม่ทัพตอนที่ 261 พบกันครั้งแรกตอนที่ 260 เจิ้นกั๋วกงตอนที่ 259 ข้าสนใจฟู่เสี่ยวกวนมากกว่าตอนที่ 258 ข้าสนใจภรรยาของเขาตอนที่ 257 การเกษตรตอนที่ 256 บาดหัวใจตอนที่ 255 คืนสู่เหย้าในคืนหิมะตกตอนที่ 254 คราบจักจั่นตอนที่ 253 จดหมายลับ 2 ฉบับตอนที่ 252 ออกจากเมืองจินหลิงตอนที่ 251 การลาจากที่เศร้าโศกตอนที่ 250 กฎระเบียบตอนที่ 249 ศาสตราเทพตอนที่ 248 ระเบิดจวนชินอ๋องตอนที่ 247 สำนักศึกษาจี้เซี่ยตอนที่ 246 ต้มสุราอีกสักกาตอนที่ 245 ต้มสุราหนึ่งกาตอนที่ 244 คัดเลือกแม่ทัพตอนที่ 243 กรงนกตอนที่ 242 เจ้าจงตายเสียเถิดตอนที่ 241 สุสานจักรพรรดิเกิดความโกลาหลตอนที่ 240 พระราชพิธีฝังพระศพตอนที่ 239 แผนการตอนที่ 238 หาเหาใส่หัวตอนที่ 237 นายพลเฟ่ยตอนที่ 236 การสนทนาของพ่อลูกยามค่ำคืนตอนที่ 235 ฟู่ต้ากวนมาเยือนเมืองหลวงตอนที่ 234 ไทเฮาสวรรคตตอนที่ 233 กระตุ้นเมืองหลวงอีกคราตอนที่ 232 มัจฉามังกรว่อนเวียนว่าย (2)ตอนที่ 231 มัจฉามังกรว่อนเวียนว่าย (1)ตอนที่ 230 ค่ำคืนลมโชย ลอยดอกไม้โคมไฟ (3)ตอนที่ 229 ค่ำคืนลมโชย (2)ตอนที่ 228 ค่ำคืนลมโชย (1)ตอนที่ 227 เรื่องจุกจิกตอนที่ 226 เขาช่างอันตรายยิ่งตอนที่ 225 ตีกลองส่งดอกไม้ตอนที่ 224 ดาบแห่งสุริยันและจันทราตอนที่ 223 ละครในละครนอกตอนที่ 222 รังแกตอนที่ 221 กระดานตอนที่ 220 ไทเฮาทรงพระเกษมสำราญตอนที่ 219 สนทนายามค่ำคืนตอนที่ 218 ความขัดแย้งแห่งจิตวิญญาณตอนที่ 217 หนังสือกั๋วฟู่ลุ่นตอนที่ 216 เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานตอนที่ 215 แลกเปลี่ยนตอนที่ 214 ฟู่เสี่ยวกวนเลื่อนขั้นตอนที่ 213 การประชุมใหญ่ราชวงศ์ (II)ตอนที่ 212 ประชุมใหญ่ราชวงศ์ (I)ตอนที่ 211 หักตอนที่ 210 ทำลายตอนที่ 209 นี่มิใช่การให้ร้ายตอนที่ 208 ใส่ความตอนที่ 207 ชือไท่ไม่รักษาจารีตตอนที่ 206 ฟู่เสี่ยวกวนร้องทุกข์ตอนที่ 205 วันที่เจ็ดของเดือนแรกตอนที่ 204 ความมืดในทุกค่ำคืน ( II )ตอนที่ 203 ความมืดในทุกค่ำคืน ( I )ตอนที่ 202 เผชิญหน้า ( 2 )ตอนที่ 201 เผชิญหน้า ( 1 )ตอนที่ 200 คลื่นใต้น้ำ (2)ตอนที่ 199 คลื่นใต้น้ำ (1)ตอนที่ 198 ถนนสายยาวอาบไปด้วยเลือด (II)ตอนที่ 197 ถนนสายยาวอาบไปด้วยเลือด (I)ตอนที่ 196 ข้าต่อยเจ้าแล้วยังไงตอนที่ 195 ข้าเพียงแค่อยากกินขนมปิ้งตอนที่ 194 จิตใจงดงามแต่วิธีการโหดเหี้ยมตอนที่ 193 เปลี่ยนแปลงหอซี่หยู่ตอนที่ 192 คนสุดท้ายตอนที่ 191 ปลาและตีนหมีตอนที่ 190 คำเชื้อเชิญของเยี่ยนเป่ยซีตอนที่ 189 ข่าวจากซี่โหลวตอนที่ 188 ผลลัพธ์ตอนที่ 187 มูลเหตุตอนที่ 186 นกของศิษย์พี่ใหญ่ตอนที่ 185 ผู้เยาว์ของราชวงศ์หยูตอนที่ 184 นิสัยของหนุ่มสาวตอนที่ 183 โครงการทดลองปฏิรูปตอนที่ 182 ฟ้าร้องน่ากลัวท่ามกลางความเงียบตอนที่ 181 เจ้าว่างเกินไปสินะตอนที่ 180 ยิ้มให้กับทุกสิ่งตอนที่ 179 เยี่ยมญาติตอนที่ 178 คืนส่งท้ายปีเก่าตอนที่ 177 ปีศาจน้อยตอนที่ 176 เจ้าทนมิไหวเป็นแน่ตอนที่ 175 ซูซู (2)ตอนที่ 174 ซูซู (1)ตอนที่ 173 เหวินสิงโจวตอนที่ 172 คำสั่งลับทั้งสี่ตอนที่ 171 เบี้ยน้อยตอนที่ 170 ฟั่นเฟือนตอนที่ 169 แม่ยายพบบุตรเขยตอนที่ 168 จวนต่งตอนที่ 167 เคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์ตอนที่ 166 หอซี่หยู่ตอนที่ 165 เบญจมาศโรย ดอกบ๊วยใหม่ และหอแดงตอนที่ 164 ข้าเป็นคนดีตอนที่ 163 ฤดูหนาวบ้านอบอุ่นตอนที่ 162 เรื่องเก่าเมื่อหลายปีก่อนตอนที่ 161 แผนการใหญ่ตอนที่ 160 ภูเขาเฟิ่งหลินตอนที่ 159 งานแต่งตอนที่ 158 ตัดหัวศัตรูตอนที่ 157 สงครามกลางคืนตอนที่ 156 หลงกลตอนที่ 155 วางยาพิษตอนที่ 154 เจ้าต้องการทำสิ่งใดกันแน่ตอนที่ 153 เหยื่อตอนที่ 152 ศิลปะตอนที่ 151 การต่อสู้ที่โกลาหลตอนที่ 150 พบกันโดยบังเอิญตอนที่ 149 สอดแนมตอนที่ 148 จักก่อกบฏหรือ ?ตอนที่ 147 ผลลัพธ์ของการฝึกประจักษ์แจ้งตอนที่ 146 จอมโจรตอนที่ 145 เยี่ยนซีเหวินมาเยี่ยมเยียนตอนที่ 144 เตาหลอมเหล็กทรงสูงตอนที่ 143 ออกเรือตอนที่ 142 อาหารพื้นบ้านตอนที่ 141 ชะตาสวรรค์ลิขิตตอนที่ 140 กองกำลังพิเศษตอนที่ 139 ศูนย์วิจัยซีซานตอนที่ 138 ผู้มีความสามารถตอนที่ 137 กลับบ้านตอนที่ 136 เรื่องราวความหลังตอนที่ 135 ประทับตราตอนที่ 134 กลับไปเสียดีกว่าตอนที่ 133 ควันหลงที่ยังไม่จบสิ้นตอนที่ 132 สายฝนหนาวเหน็บโปรยปรายตอนที่ 131 ใบไม้สีเหลืองปลิวอยู่ตรงหน…ตอนที่ 130 หอชิงเฟิงซี่หยู่ตอนที่ 129 ค่ำคืนที่ตื่นตระหนกตอนที่ 128 สงครามเลือดตอนที่ 127 มุ่งสังหารตอนที่ 126 เรื่องราวเมื่อวันวานตอนที่ 125 บทเพลงนี้ควรมีอยู่บนฟ้าเท่…ตอนที่ 124 หลิ่วเยียนเอ๋อร์ตอนที่ 123 ร้องได้ไม่เลวตอนที่ 122 หงซิ่วจาวตอนที่ 121 นางฟ้าสะพานนกกางเขนตอนที่ 120 ยั่วยุตอนที่ 119 วางหมากลงตรงไหนตอนที่ 118 จดหมายถึงบ้านตอนที่ 117 ผู้มีอำนาจคนใหม่แห่งเมืองหลวงตอนที่ 116 อย่าแย่งกัน ข้าต้องการตำแห…ตอนที่ 115 ฟู่เสี่ยวกวนรับตำแหน่งตอนที่ 114 แบบร่างธุรกิจตอนที่ 113 จวนหลังใหญ่ตอนที่ 112 คลายปัญหา ณ ห้องทรงพระอักษร ( 2 )ตอนที่ 111 คลายปัญหา ณ ห้องทรงพระอักษร (1)ตอนที่ 110 สงครามคือสิ่งใดตอนที่ 109 เด็ดดอกเบญจมาศทางรั้วบูรพาตอนที่ 108 ให้เจ้ากระอักเลือดตายตอนที่ 107 การเข้าเฝ้าที่อึดอัดตอนที่ 106 สายลมโบกพัดบนทะเลสาบตอนที่ 105 ตามหาฟู่เสี่ยวกวนตอนที่ 104 ประกาศรายชื่อตอนที่ 103 เรียกพี่เขยตอนที่ 102 เรื่องร้อนใจของต่งชูหลานตอนที่ 101 การรวมตัวยามค่ำคืนตอนที่ 100 ข้าต้องการใช้เขาตอนที่ 99 ตระกูลใหญ่ผู้มีอำนาจทั้งหกตอนที่ 98 ค่ำคืน ณ วัดฟูจื่อตอนที่ 97 ชูจอกเหล้าขอลมบูรพาตอนที่ 96 ข้าคือฟู่เสี่ยวกวนตอนที่ 95 เจ้าก็คือฟู่เสี่ยวกวนตอนที่ 94 พิธีรำลึกนักกวีตอนที่ 93 หลานถิงจี๋ตอนที่ 92 นโยบายตอนที่ 91 ชิงตัวคุณหนูต่งตอนที่ 90 เดินทางสู่เมืองหลวงตอนที่ 89 พระสนมเอกปลูกดอกไม้ตอนที่ 88 เรื่องนี้ไม่ดีแน่ตอนที่ 87 มารดาทั้งห้าของฟู่เสี่ยวกวนตอนที่ 86 ฟู่ต้ากวนรับอนุภรรยา ( II )ตอนที่ 85 ฟู่ต้ากวนรับอนุภรรยา ( I )ตอนที่ 84 ฟู่ต้ากวนรับอนุภรรยาตอนที่ 83 แยกจากตอนที่ 82 เริ่มต้นจากที่นี่ตอนที่ 81 ที่นี่คือบ้านของพวกเจ้าตอนที่ 80 เหตุการณ์ในท้องพระโรงตอนที่ 79 ข้ามีศัตรูได้เยี่ยงไรตอนที่ 78 โจมตียามค่ำคืนตอนที่ 77 ยามอาทิตย์อัสดงตอนที่ 76 เตรียมการล่วงหน้าตอนที่ 75 ผู้ประสบภัยตอนที่ 74 ช่างงดงามยิ่งตอนที่ 73 น้ำหอมตอนที่ 72 สนทนายามค่ำคืนตอนที่ 71 วันธรรมดาของฟู่เสี่ยวกวนตอนที่ 70 ข้ายุ่งมากจริง ๆตอนที่ 69 สตรีงามผู้ร่วมทางทั้งสองตอนที่ 68 ข้าตัดสินใจแน่วแน่ตอนที่ 67 รับอนุสนองราชโองการตอนที่ 66 พระราชโองการของฮ่องเต้ตอนที่ 65 นางมาอีกแล้วตอนที่ 64 เกิด ณ หลินเจียง มีชื่อเสีย…ตอนที่ 63 ลำดับที่หนึ่งหินเชียนเปยสือตอนที่ 62 ต่อจากเทศกาลไว้พระจันทร์ตอนที่ 61 งานกวีเทศกาลไหว้พระจันทร์ตอนที่ 60 งานเทศกาลไหว้พระจันทร์ตอนที่ 59 หาสามีใต้แสงจันทร์ตอนที่ 58 ความเด็ดขาดที่อ่อนโยนตอนที่ 57 แท้จริงแล้วข้ามิใช่คนดีตอนที่ 56 สิ่งนี้เรียกว่าสุรา ?ตอนที่ 55 ข้าดื่มจนเมามายท่ามกลางแสงจ…ตอนที่ 54 ฟู่อีต้ายตอนที่ 53 การกำเนิดปูนซีเมนต์ตอนที่ 52 ความทุกข์ใจของหญิงสาวตอนที่ 51 น้ำป่าตอนที่ 50 ปกป้องตอนที่ 49 ตกหลุมตอนที่ 48 จัดฉากบงการตอนที่ 47 ในใต้หล้าความกตัญญูเป็นคุณธ…ตอนที่ 46 เป็นคู่ครองกันนับพันปีตอนที่ 45 แท้จริงแล้วเป็นเจ้าตอนที่ 44 วันนี้ช่างร้อนรนใจนักตอนที่ 43 เกินความคาดหมายตอนที่ 42 อำนาจใหญ่เรื่องเล็กตอนที่ 41 ชั่วพริบตาที่เดินผ่านไปตอนที่ 40 จดหมายสองฉบับตอนที่ 39 ต้นพืชตัวผู้ที่เป็นหมันตอนที่ 38 ซีซานอันแสนยุ่งตอนที่ 37 งานประชุมครั้งแรกที่ซีชานตอนที่ 36 หนุ่มน้อยกลางคันนาตอนที่ 35 เกษตรกรตอนที่ 34 เกลียดเพราะรักตอนที่ 33 จางเพ่ยเอ๋อร์ตอนที่ 32 บุตรสาวบ้านตระกูลจางวัยแรกแย้มตอนที่ 31 ชีวประวัติห่านฟ้าตอนที่ 30 พิธีรำลึกตอนที่ 29 ไม่มีเวลาว่างตอนที่ 28 หยูเวิ่นหวินตอนที่ 27 ค่ำคืนนี้มิเคยได้หลับตอนที่ 26 ค่ำคืนที่ไม่อาจข่มตาตอนที่ 25 ค่ำคืนที่ซ่างหลินโจวตอนที่ 24 จิตใจตรงกันตอนที่ 23 นำกลอนไปส่งตอนที่ 22 คำภีร์ฉุนหยางซินจิงตอนที่ 21 เดือนหกวันที่หนึ่งตอนที่ 20 กวนใจเสียจริงตอนที่ 19 คัดลอกหนังสือยามว่างตอนที่ 18 โฆษณาแปลกใหม่ตอนที่ 17 ทำเกินไปแล้วตอนที่ 16 เหล้าองุ่นรสเลิศกับแก้วเรือ…ตอนที่ 15 จากมัธยัสถ์สู่ความหรูหราตอนที่ 14 ฟู่เสี่ยวกวนผู้มีพรสวรรค์ตอนที่ 13 หลินเจียงเซียน ถึงสหายชูหลานตอนที่ 12 ชื่นชมผลงานตอนที่ 11 กำหนดมาตรฐานตอนที่ 10 พ่อค้าหลวงตอนที่ 9 แผนการตอนที่ 8 พบกันครั้งแรกตอนที่ 7 ที่บ้านมีเสบียงเหลือตอนที่ 6 เขียนบทกวีตอนที่ 5 ไปกับข้าเถอะตอนที่ 4 เรือนซีซานตอนที่ 3 ตระกูลข้ามีทุ่งนา… นับไม่ถ้วนตอนที่ 2 อาจจะแปลก แต่จริงตอนที่ 1 บุตรโง่เขลาของเศรษฐีที่ดิน
ตอนที่ 288 ขอเชิญพี่สาวมาดื่มชาด้วยกัน
สุรานั้นเป็นเครื่องมือกระชับความสัมพันธ์ที่ขาดมิได้ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล !
แค่ดื่มไปเพียงมิกี่จอก ฝานเทียนหนิงและฟู่เสี่ยวกวนก็สนิทกันถึงขั้นเรียกพี่เรียกน้อง
หากจะถามว่าลึกซึ้งเพียงใดนั้น ณ เพลานี้ยังมิสำคัญนัก ที่สำคัญก็คือดูผิวเผินแล้วความห่างเหินระหว่างชายหนุ่มทั้งสองนั้นได้ลดระยะลงมาพอสมควร ดังนั้นถ้อยคำพูดจาก็มีความเป็นกันเองมากยิ่งขึ้น
“ท่านพี่ฟู่ ท่านเคยพินิจพิจารณาที่จะขยายกิจการสุราซีซานต่อหรือไม่ ทั่วทั้งใต้หล้านี้แม้ว่าจะมีสุราที่ดีมากนัก แต่จนถึงบัดนี้หาได้มีสุราชนิดไหนหมักได้ดีเทียบเคียงกับสุราของท่านไม่ หากได้ไปวางขายที่แคว้นฝานก็คาดว่าน่าจะเป็นโอกาสที่ดียิ่ง หากเป็นเช่นนั้นแล้วคำกล่าวที่ว่าเงินทองไหลมาเทมาทุกวันนั้นคงมิไกลเสียเกินเอื้อม”
อู่หลิงก็รู้สึกเช่นเดียวกัน “ข้าเองก็คิดเฉกเช่นเดียวกัน สุราซีซานนับวันราคายิ่งพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ ในตลาดที่ซื้อขายกันวันนี้ราคาแตะหนึ่งพันถึงสองพันอีแปะเข้าไปแล้ว คนหาเช้ากินค่ำทั่วไปซื้อดื่มมิไหวเป็นแน่ ส่วนซีชานเซียงเฉวียนเองก็ขายแพงถึงสองสามร้อยอีแปะซึ่งแพงเกินกว่าจะเอื้อมถึง คุณชายช่วยเปิดโรงหมักสุราที่แคว้นอู๋แห่งนี้ได้หรือไม่ ขอท่านโปรดวางใจ ข้าจะดูแลเองและรับประกันว่าจะมิมีผู้ใดกล้ามาระราน ! ”
สำหรับเรื่องนี่ฟู่เสี่ยวกวนได้วางแผนไว้เนิ่นนานแล้ว เพียงแต่แค่ยังมิมีความพร้อมพอที่จะลงมือทำ ในเมื่อเวลานี้อู่หลิงได้เสนอสิ่งนี้ขึ้นมาเสียเอง เลยคิดว่าจะได้ลงมือทำจริง ๆ จัง ๆ เสียที
“กระหม่อมขอเอ่ยตามตรง เหตุที่มาเยือนราชวงศ์อู๋ครานี้คือทางราชสำนักได้ส่งกระหม่อมมาเพื่อร่วมงานชุมนุมวรรณกรรม ส่วนเหตุผลส่วนตัวก็เพื่อเบิกทางให้ธุรกิจของกระหม่อมเอง ในมือของกระหม่อมนั้นมิได้มีเพียงสุราแค่ 2 ชนิดนี้เท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายอย่างซึ่งกระหม่อมได้มอบหมายให้ต่งชูหลานเป็นคนจัดการ พวกท่านสามารถคุยรายละเอียดต่าง ๆ ด้วยกันได้หลังจากนี้ ความเห็นของนางก็คือความเห็นของกระหม่อมเช่นกัน”
ประโยคนี้ทำให้อู่หลิงและฝานเทียนหนิงต่างก็ตกตะลึงยิ่ง เพราะในทุกวันนี้มีสตรีน้อยคนนักที่จะสามารถทำธุรกิจได้อย่างเปิดเผย ครอบครัวเศรษฐีรายใหญ่เหล่านั้นล้วนแต่มีผู้ชายบริหารจัดการทั้งสิ้น การค้าที่ใหญ่โตของฟู่เสี่ยวกวนนั้นกลับได้มอบหมายให้สตรีเป็นผู้ดูแล อีกทั้งยังไว้เนื้อเชื่อใจถึงเพียงนี้นั้นช่างหายากยิ่งนัก นั่นหมายความว่าหญิงรูปงามที่มีนามว่าต่งชูหลานนั้นมีความเข้าอกเข้าใจในด้านการค้าพอสมควร
ทว่าอู่หลิงกลับคิดไกลไปกว่าสิ่งที่ฝานเทียนหนิงคิดไว้มาก นางหันไปมองต่งชูหลานแล้วเกิดความริษยาขึ้นมาในใจ
สตรีเมื่อแต่งงานก็ต้องเป็นภรรยาที่เชื่อฟังสามีและเป็นมารดาที่คอยอบรมเลี้ยงดูบุตร แต่โชคดีของต่งชูหลานคือฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีทัศนคติเยี่ยงนั้นเลยแม้แต่น้อย
นางเลยชูจอกสุราขึ้นมาต่อหน้าต่งชูหลาน “พี่สาวเรื่องนี้ท่านไว้วางใจได้ เมื่อข้าได้กลับถึงเมืองกวนหยุนแล้ว ข้าจะขอเชิญพี่สาวไปดื่มชาแล้วพวกเราค่อยมาเจรจาเรื่องโรงหมักสุราและเรื่องอื่น ๆ กันอย่างละเอียดอีกครา”
สิ่งที่ต่งชูหลานกลัวมากที่สุดคือการที่ถูกองค์หญิงเชิญไปดื่มชา คราก่อนที่ไปดื่มนั่นสิ่งที่ได้กลับมาเป็นเยี่ยนเสี่ยวโหลว หรือว่าชาที่ดื่มไกลจากจวนกว่าสามพันลี้ครานี้นั่นจะได้กลับมาเป็นอู่หลิงเยี่ยงนั้นรึ ?
เรื่องนี้มีความเป็นไปได้สูงยิ่งนัก !
เมื่อช่วงค่ำที่อู่หลิงเอ่ยว่าจะเลี้ยงดูฟู่เสี่ยวกวนนั้นนางก็ได้ยินกับสองรูหูของนางเอง และนางเข้าใจดีว่าอู่หลิงมิได้เอ่ยหยอกเล่นแต่อย่างใด !
นี่มันเกิดอะไรขึ้น ?
นี่มันคนที่สามแล้วนี่ !
แต่นางก็มิสามารถปฏิเสธได้ด้วยเหตุผลประการที่หนึ่งคือนางต้องธำรงไว้ซึ่งเกียรติและศักดิ์ศรีขององค์หญิงไท่ผิง และประการที่สองนางต้องการเปิดการค้าขายกับราชวงศ์อู๋
ฉะนั้นแม้ว่านางแทบอยากจะบีบจมูกตนเองแล้วกระดกสุราเข้าไป แต่นางก็ต้องแสร้งว่ามีความสุขเป็นอย่างมากแล้วก็ต้องดื่มมันเข้าไปอย่างเต็มใจ !
“ขอบใจยิ่งนักน้องสาว การค้าของครอบครัวพวกเรานั้นจะขยายมาที่อาณาเขตของราชวงศ์อู๋อย่างแน่นอน แรกเริ่มนั้นที่ที่พวกเราวางแผนไว้คือเมืองกวนหยุน ต่อไปหลังจากนั้นก็คงต้องขออาศัยผืนแผ่นดินของน้องสาวในการทำการค้า ถึงเวลานั้นแล้วคงต้องร้องขอน้องสาวมิให้รำคาญพี่สาวคนนี้ไปเสียก่อนจึงจะถูกต้อง”
“พี่สาวเหตุใดจึงเอ่ยเยี่ยงนั้น น้องสาวรู้สึกยินดียิ่ง พวกเรามาชนจอกกันอีกคราเถิด ! ”
หยูเวิ่นหวินจ้องตาเขม็ง นี่มันอะไรกัน เหตุใดถึงเป็นพี่สาวน้องสาวกันไปเสียแล้ว ต่งชูหลานนางคิดอันใดของนางอยู่กัน เหตุใดถึงมองมิออกว่าอู่หลิงนั้นมีแผนการชั่วร้ายอยู่ หรือลึก ๆ แล้วนางเห็นพ้องกับอู่หลิงเยี่ยงนั้นรึ ?
คิดดูแล้วก็มีความเป็นไปได้ เพราะอู่หลิงผู้นี้ช่างดูโดดเด่นยิ่งนัก อีกทั้งนางยังเป็นองค์หญิงเพียงพระองค์เดียวของจักรพรรดิเหวินตี้ หากวางแผนจะขยายกิจการที่เมืองกวนหยุนแล้วมีอู่หลิงคอยหนุนหลัง แน่นอนว่าการค้าจะราบรื่นขึ้นเป็นอย่างมาก
แต่ทว่าการค้านั้นมีความสำคัญมากถึงเพียงนั้นเชียวรึ ?
ในขณะที่ในหัวของนางกำลังคิดร้อยแปดพันอย่างอยู่นั้น อู่หลิงก็ได้เดินเข้ามาข้างกายนางแล้วรินสุราใส่จนเต็มจอกด้วยสีหน้าดูน่ารักน่าถนุถนอมยิ่ง “พี่สาว ท่านก็ควรดื่มด้วยกันสักจอกเถิด”
วาจานั่นช่างหวานยิ่งนักจนใจหยูเวิ่นหวินสั่น แต่นางก็ไร้ซึ่งเหตุผลที่จะปฏิเสธแล้วจึงยกจอกสุราขึ้นมาดื่ม อู่หลิงเอ่ยต่อ “น้องสาวได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือของจินหลิงมาช้านานแล้ว น้องสาวเองก็ไฝ่ฝันที่จะไปเยือนที่นั้นมาโดยตลอด หรือว่าเอาเยี่ยงนี้ดีหรือไม่ เมื่องานชุมนุมวรรณกรรมแล้วเสร็จและพี่สาวได้จัดการธุระต่าง ๆ จนลุล่วงแล้วเดินทางกลับ น้องสาวผู้นี้จะขอเดินทางไปพร้อมกับพี่สาวด้วยได้หรือไม่ ? ”
นี่มันได้คืบจะเอาศอกนี่ !
แท้จริงนั้นอู่หลิงต้องการร่วมเดินทางกับผู้ใดกันแน่ ?
หยูเวิ่นหวินชักลังเลใจ หญิงสาวผู้นี้มีแผนการที่แยบยลจนน่ากลัวเสียเหลือเกิน
แต่ทว่าในฐานะองค์หญิงแห่งราชวงศ์หยู เมื่อมีคนมาขอติดตามไปเยี่ยมเยือนเมืองจินหลิงนางก็มิอาจปฏิเสธคำขอได้
หยูเวิ่นหวินฝืนยิ้มให้ดูเหมือนว่านางรู้สึกยินดี “หากน้องสาวต้องการจะร่วมทางกับพวกพี่เพื่อไปเยือนจินหลิง เยี่ยงนั้นก็ดียิ่ง เพียงแต่ว่าเมื่อถึงจินหลิงแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนจะต้องเดินทางไปยังสถานที่แสนห่างไกลในทันที…”
“พี่สาว น้องสาวเพียงอยากไปเยี่ยมชมเมืองจินหลิงแค่เพียงเท่านั้น หาได้ทำเพื่อเขาไม่”
เมื่อเอ่ยวาจานี้ออกไป อู่หลิงก็ได้ส่งสายตาโปรยเสน่ห์ไปให้ฟู่เสี่ยวกวน มองเสียจนฟู่เสี่ยวกวนเริ่มใจสั่นแล้วเขาก็รีบหลบสายตาในทันใด
“พี่สาวโปรดอย่าคิดมาก ตอนนี้พวกเรามาดื่มกันก่อนเถิด ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้นไว้รอให้พวกเราเดินทางถึงเมืองกวนหยุนแล้วพวกเราค่อยหารือกัน น้องสาวก็ต้องการเชิญพี่สาวมาดื่มชาด้วยเช่นกัน”
ดื่มชาอีกแล้วงั้นรึ !
หยูเวิ่นหวินกระดกสุรารวดเดียวหมดจอก นางนึกคิดว่าคืนนี้จักต้องนำเรื่องนี้ไปหารือกับต่งชูหลานในทันที
ซูโหรวยังคงปักเป็ดหยวนยางอยู่ในมือ นางได้เงยหน้าขึ้นมามองทุกคนด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ นางมองอู่หลิงก่อน แล้วก็มองต่งชูหลานต่อ แล้วนางจึงหันไปมองหยูเว่นหวิน ท้ายที่สุดนางก็ได้ยิ้มอย่างมีเลศนัยและหันไปมองซูซูศิษย์น้องของตน
ซูซูบัดนี้นางได้ดื่มด่ำกับการแทะขาไก่อยู่
ซูโหรวรีดริมฝีปากจนแบน เด็กนี่วัน ๆ คงคิดแต่จะกินสินะ รอให้บรรลุเป็นศิษย์สำนักเต๋าเต็มตัวมิรู้ว่าจะได้อยู่ลำดับที่เท่าใดกัน !
ฝานเทียนหนิงหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนแล้วก็เกิดอยากเชื้อเชิญขึ้นมาบ้าง “ท่านพี่ฟู่ เมื่องานกวีได้เสร็จสิ้นแล้วหากท่านพี่พอจะมีเวลาว่างข้าจะขอเชิญท่านไปเยือนแคว้นฝานของข้าสักครา ข้าเล็งเห็นว่าพวกเรานั้นมีโอกาสที่จะร่วมมือกันได้หลายทางยิ่งนัก หากทำได้สำเร็จมิว่าจะต่อราชวงศ์หยูหรือต่อตัวท่านเองหรือแม้แต่แคว้นฝานของข้าเองก็ย่อมได้รับผลกำไรร่วมกันอย่างมหาศาล
ฟู่เสี่ยวกวนคาดการณ์ไม่ถึงว่าได้รับคำเชิญเช่นนี้
เดิมทีเขาคิดว่าหากต้องการทำการค้ากับแคว้นฝานคงจะต้องใช้กำลังมหาศาลในการผลักดัน แต่วันนี้เมื่อได้ยินองค์ชายแห่งแคว้นฝานตรัสเช่นนั้นก็รู้ซึ้งแล้วว่ามิได้ยากเฉกเช่นที่คิดไว้ เวลานี้มีทั้งองค์หญิงและองค์ชาย พวกเขาย่อมเป็นตัวแทนในการกอบโกยผลประโยชน์ให้บ้านเมืองของตนไม่มากก็น้อย และนี่ก็คือคำเชื้อเชิญของทั้งสองฝ่าย แค่เพียงได้คำเชื้อเชิญจากคนใหญ่คนโตเยี่ยงนี้ หากสามารถนำผลประโยชน์ที่มีความเป็นกลางและชอบธรรมให้ทั้งสองฝ่ายได้ เรื่องนี้หากถึงคราที่ลงมือทำจริงคงจะราบรื่นพอสมควร
แล้วเขาก็ยกจอกสุราขึ้นมา “สิ่งที่น้องฝานได้เอ่ยมานั้นช่างพ้องกับสิ่งที่ข้าคิดไว้มาก เมื่อครากลับถึงอาณาเขตของราชวงศ์หยู ข้าจะนำความนี้ไปทูลแก่ฝ่าบาทแล้วจะหาเวลาไปแคว้นฝานเพื่อสร้างความรำคาญให้แก่ท่านสักเล็กน้อย”
ฝานเทียนหนิงดีใจยิ่ง เขายกแก้วขึ้นแล้วยิ้มกล่าว “ท่านพี่จะมาสร้างความรำคาญให้แก่ข้าได้เยี่ยงไรกัน ข้าจะกวาดบ้านเรือนทุกซอกทุกมุมเพื่อทำการต้อนรับท่านพี่ให้ดี ! ”
เมื่อเรื่องใหญ่เยี่ยงนี้ได้อยู่ในความเห็นด้วยของทั้งสองฝ่ายแล้ว ต่างฝ่ายต่างก็สำราญใจและเปิดอกคุยกันมากยิ่งขึ้นไป สุราที่ดื่มนั้นมีฤทธิ์แรงพอสมควร
มีเพียงแค่คูฉานเท่านั้นที่ยังนิ่งเงียบอยู่ แต่เขาก็ช่างเหมือนจักจั่นตัวหนึ่งเสียจริง ๆ
ไม้เท้าที่ดูหมือนไม้เท้ากายสิทธิ์อันนั้นได้ถูกแบกไว้บนหลังของเขา สายตาของเขานั้นตั้งมั่นแน่วแน่เพียงแค่ยกตะเกียบขึ้นมาคีบผักบ้างบางครา
หยูเวิ่นหวินนึกว่าตนนั้นเป็นคนคอแข็งใช้ได้ ทว่ากลับคิดมิถึงว่าอู่หลิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงขั้นข้ามนั้นยิ่งดื่มยิ่งฮึกเหิม !
ยิ่งดื่มเยอะขึ้นเท่าใดดวงตาของนางก็ยิ่งจรัสเป็นประกายมากขึ้นเท่านั้น ใบหน้าของนางก็เริ่มแดงเรื่อยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
มีเพียงแค่ต่งชูหลานที่ดื่มเข้าไปเท่าใดก็ยังมีสีหน้าดังเดิม
ทว่าในตาของฟู่เสี่ยวกวนนั้นได้มีเส้นเลือดฝอยปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน คาดเดาว่าเขาคงเมาไปได้ครึ่งหนึ่งของขีดจำกัดของตนเองแล้ว
ตอนที่ 287 ตำหนักเสียนฉิง
และเมื่อมีผู้คนมากมายได้มาแออัดอยู่ในห้องพักของฟู่เสี่ยวกวน ฝานเทียนหนิงเลยถือโอกาสเสนอความคิดเห็น “ยามนี้ฝนแห่งวสันตฤดูได้หยุดลงแล้ว หมู่จันทรานั้นพราวจรัสอยู่บนฟากฟ้า ข้ามีโอกาสได้เยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ ในเมืองฝานหนิงมาบ้างในระยะเวลาสองวันที่มาถึงที่นี่ ได้พบว่ามีที่แห่งหนึ่งสวยงามยิ่งนัก ที่แห่งนั้นเรียกว่าตำหนักเสียนฉิง ตัวตำหนักตั้งอยู่ริมแม่น้ำ จะดื่มชาหรือดื่มสุราแกล้มเสียงเพลงก็ย่อมเหมาะยิ่งนัก จะดีหรือไม่หากพวกเราไปนั่งผ่อนคลายที่นั่นกันเสียหน่อย ? ”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นก็รู้สึกว่าฝานเทียนหนิงช่างเป็นชายหนุ่มที่หลักแหลมเสียจริง ๆ เขาจึงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วคนทั้งคณะก็ได้เดินทางออกจากหอต้อนรับ โดยที่มีอู่หลิงจัดการให้รถม้าสองคันมารับคนกลุ่มนี้ไปตำหนักเสียนฉิง
ระหว่างหอต้อนรับและตำหนักเสียนฉิงนั้นมีระยะทางห่างกันพอสมควร ที่แห่งนั้นตั้งอยู่แถบชนบทของเมืองฝานหนิง
เมื่อลงจากรถม้าก็จะมองเห็นโคมไฟสีแดงอันมหึมา และมีเสียงซือจู่บรรเลงคลอออกมาให้ได้ยินอย่างแผ่วเบา
ตำหนักแห่งนี้ไม่มีคานประตู มีเพียงแต่หินรูปร่างแปลกประหลาดเท่านั้นอยู่ตรงบริเวณทางเข้า ด้านบนหินได้สลักตัวอักษรอันมหึมาไว้สามคำว่า “ตำหนักเสียนฉิง”
ฝานเทียนหนิงเดินเข้าไปยืนด้านข้างของฟู่เสี่ยวกวนแล้วผายมือแนะนำสถานที่แห่งนี้ “ท่านพี่ฟู่โปรดอย่ามองเพียงแค่ที่แห่งนั้นอยู่ห่างไกล ทว่าด้านในนั้นครึกครื้นยิ่งนัก ข้าเคยได้ยินมาว่าตำหนักแห่งนี้เป็นโรงผลิตกระบี่พิฆาตของคลั่งกระบี่หนิงฝาเทียนหนึ่งในห้าประหลาด ลือกันว่าที่เมืองกวนหยุนเองก็มีโรงผลิตกระบี่เยี่ยงนี้เช่นกัน ” ฝานเทียนหนิงมองไปทางอู่หลิง และนางก็พยักหน้าตอบเพื่อแสดงว่าสิ่งที่ชายหนุ่มกล่าวนั้นคือความจริงแล้วเอ่ยเสริม “ตำหนักเสียนฉิงแห่งเมืองกวนหยุนนั้นเดิมทีเคยเป็นเรือนประทับของทางราชสำนัก งดงามในระดับเดียวกันกับทะเลสาบสิบลี้ แต่มีชัยเหนือกว่าเพราะชื่อ ‘เสียนฉิง’…”
ฟู่เสี่ยวกวนได้โพล่งถามขึ้นมา
“ผู้ที่คลั่งกระบี่ก็ย่อมมุมานะในเรื่องของกระบี่สิ เหตุใดถึงได้มีกิจการเยี่ยงนี้มาด้วยเล่า ? ”
อู่หลิงหัวเราะร่าแล้วกล่าวตอบ “คราหนึ่งเป่ยหวังฉวนก็ได้ประเมินหนิงฝาเทียนเฉกเช่นเดียวกับท่าน เขาได้เอ่ยไว้ว่าขอเพียงแค่หมกหมุ่นอยู่กับความตั้งใจ เมื่อนั้นแล้วจะได้สุดยอดแห่งกระบี่พิฆาต ตำหนักเสียนฉิงนี้จึงเป็นสัญลักษณ์แทนการหมกหมุ่นอยู่ในความตั้งใจของหนิงฝาเทียน ยี่สิบปีก่อนหนิงฝาเทียนได้พบพานกับคนคลั่งภาพเหยียนหรูยวี่ที่ทะเลสาบสิบลี้ เขาทึ่งในความสามารถของคนคลั่งภาพเหยียนหรูยูวี่ เขาจึงตามเกี้ยวนางอย่างไม่ยอมลดละ เนื่องจากนางนั้นเป็นคนรักสันโดษ หนิงฝาเทียนจึงยอมควัก 100,000 ตำลึงเพื่อซื้อเรือนประทับของทางราชสำนักแล้วต่อเติมเป็นตำหนักเสียนฉิง”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงเพราะเขาคิดมาตลอดว่าคลั่งกระบี่หนิงฝาเทียนและคนคลั่งภาพเหยียนหรูยวี่นั้นยังคงเป็นคนหนุ่มสาว แต่หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวแล้วนั้น เหมือนว่าสองคนนั้นอายุได้ล่วงเข้าสู่วัยกลางคนแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
เขาได้เอ่ยถามต่อ “ในท้ายที่สุดคลั่งกระบี่หนิงฝาเทียนได้ครอบครองคนคลั่งภาพเหยียนหรูยวี่ผู้นั้นหรือไม่ ? ”
อู่หลิงพยักหน้าตอบ “หลังจากที่สองคนนั้นคบหากันได้เป็นปีที่สอง ในปีที่ตำหนักเสียนฉิงได้ต่อเติมเสร็จสมบูรณ์พอดี พวกเขาก็ได้เข้าพิธีวิวาห์ ปีถัดมาพวกเขาได้ให้กำเนิดบุตรชายนามว่าหนิงซือเหยียน เมื่อลูกชายของเขาอายุได้ 3 ขวบเศษ เหยียนหรูยวี่ได้วาดผลงานชิ้นสุดท้ายของนางออกมา ผลงานนั้นมีชื่อว่าเป็ดหยวนหยางผู้เศร้าโศกา ลือกันว่านางได้ใช้เลือดและเนื้อของนางไปกับภาพวาดอันลือเลื่องนี้จนสิ้น เมื่อลายเส้นพู่กันสุดท้ายได้จรดลงภาพวาด เดิมทีนางอยากจะประพันธ์คำกลอนเพื่อบรรยายความงดงามของภาพ แต่ก็ทำมิสำเร็จเพราะนางได้ล้มป่วยและลาโลกลงในที่สุดด้วยวัยเพียง 22 ปี”
คนทั้งขบวนได้ชะงักฝีเท้าลง อู่หลิงเล่าจบก็พลันถอนหายใจยาวออกมา
“หลังจากที่คนคลั่งภาพเหยียนหรูยูวี่ได้ล่วงลับไป คลั่งกระบี่หนิงฝาเทียนก็ได้ล้มเลิกการสร้างกระบี่ไป เขาได้เฝ้าหลุมศพของภรรยาอย่างเหม่อลอยอยู่ 15 ปี เฝ้ามองภาพวาดเป็ดหยวนยางผู้เศร้าโศกาอยู่ 15 ปี แล้วหลังจากนั้นก็ได้กลับมาที่ตำหนักเสียนฉิงอีกครา และบัดนี้เขาได้กลับมาหมกหมุ่นอยู่กับการลับดาบร่วมปี ลือกันว่าเขานั้นเป็นกึ่งปรมาจารย์ไปแล้ว ส่วนบุตรชายของเขาหนิงซือเหยียนได้ถูกยกให้กับเจ้าโง่หลีมู่ป๋ายเมื่อตอนอายุได้ 7 ขวบ เมื่อฤดูหนาวปีกลายเขาได้กลับมายังเมืองกวนหยุนแล้วเปิดศึกกับบิดาที่ตำหนักเสียนฉิง แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้แก่บิดาของตน”
อู่หลิงถอนหายใจหนึ่งครา “ผืนปฐพีนี้ไร้ซึ่งคนคลั่งภาพ แต่ทว่าคนที่คลั่งในรสของสุรานั้นมีมากเหลือหลาย เมื่อหนิงซือเหยียนได้พ่ายแพ้ให้แก่บิดาของตนเขาก็ติดสุราอย่างหนัก วันไหนมิเมาก็จะมิยอมหลับนอน นับวันยิ่งดื่มมากขึ้นและยิ่งมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาโปรดปรานสุราซานซีของท่านเป็นอย่างมาก แต่ทว่าสุรานี้กลับมีราคาแพงมหาศาลที่เมืองกวนหยุน และหนิงฝาเทียนเองก็ไร้ซึ่งหนทางที่จะกำหราบบุตรชายตนได้ แล้วสุดท้ายเขาก็ไม่แยแสบุตรชายหัวรั้นของตนอีกต่อไป ทว่ายิ่งนานวันทรัพย์สินยิ่งเหือดหาย ท้ายที่สุดหนิงฝาเทียนได้ยกตำหนักแห่งนี้ให้ฮวาจางกุ้ยแห่งทะเลสาบสิบลี้เป็นผู้ดูแล”
“ตำหนักเสียนฉิงเมื่อตกอยู่ภายใต้การดูแลของฮวาจางกุ้ยสภาพตำหนักก็เป็นอย่างที่เห็น ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำและไร้ซึ่งกลิ่นอายของความรักและความซื่อสัตย์ที่หนิงฝาเทียนมีต่อเหยียนหรูยวี่เพราะตั้งแต่ที่นางได้ล่วงลับไป ผืนปฐพีนี้ก็มิมีตำหนักเสียนฉิงอีกต่อไป ”
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานตั้งอกตั้งใจฟังด้วยความหลงใหล นางทั้งสองรู้สึกนับถือในความมุมานะของหนิงฝาเทียน และรู้สึกเสียดายแทนหญิงสาวผู้มีพรสวรรค์ในการวาดภาพเฉกเช่นเหยียนหรูยวี่ พวกนางต่างก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อหนิงซือเหยียนบุตรชายของพวกเขาทั้งสอง
ชายหนุ่มคนนั้นเพิ่งจะอายุ 17 ปี แต่กลับติดสุราเมามาย เกรงว่าจะเสียคนไปเสียแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนเงียบลงและไม่ซักไซ้อีกต่อไป คนทั้งคณะได้เดินเข้าไปในตำหนักเสียนฉิง ภายใต้การนำทางของเสี่ยวเอ้อที่แต่งตัวดูดีและน่าดึงดูด พวกเขาได้เดินผ่านป่าไผ่เขียวขจีและเข้าไปในอาคารที่ตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา
ที่แห่งนี้เป็นสวนลูกแพร์
และอาคารแห่งนี้ได้สร้างอยู่ท่ามกลางสวนลูกแพร์
ในสวนลูกแพร์ได้แขวนโคมไฟอยู่ประปราย ทำให้สามารถมองเห็นดอกและผลของต้นแพร์อยู่บ้าง
ประตูบานใหญ่ของอาคารนั้นได้เปิดอ้าเอาไว้ภายในมีไฟส่องสว่างไสว เมื่อทั้งคณะได้เดินเข้าไปก็ได้พบเจอหญิงสาวในชุดสีเขียวนั่งอ่านหนังสืออยู่ลำพังอย่างเงียบ ๆ
เมื่อได้ยินเสียงว่ามีผู้คนเดินเข้ามา นางจึงเงยหน้าขึ้นแล้ววางหนังสือลง จากนั้นจึงเดินไปที่ประตูเพื่อทำการต้อนรับพวกเขาเหล่านั้น
“นี่เป็นแขกผู้ทรงเกียรตินัก เจ้าจงไปเรียกเมิ่งซีมาทำการต้อนรับโดยด่วน” หญิงสาวผู้นั้นได้กำชับนางเป็นหนักหนา
นางหันไปหาฝานเทียนหนิงแล้วส่งยิ้มกว้างให้แก่เขา “คุณชาย แม่นางเมิ่งซีผู้นี้เพิ่งถูกหลิวหยุนถายส่งมาจากทะเลสาบสิบลี้ นางเคยผ่านเจ้าของร้านดอกไม้ที่ทะเลสาบสิบลี้มาก่อน นางนั้นช่ำชองในทุกอย่าง ข้าน้อยกล้ารับประกันว่าท่านจักพึงพอใจ และข้าน้อยจะมิรบกวนพวกท่านให้เสียเวลาอีกต่อไป ได้โปรดตามชุ่ยเออร์ไปยังชั้นสองเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกเสียดายตำหนักเสียนฉิงแห่งนี้เป็นอย่างมาก หากตำหนักเสียนฉิงที่เมืองกวนหยุนได้แปลสภาพเป็นสถานที่แบบนี้เช่นกันก็เท่ากับว่าทรยศต่อความตั้งใจของหนิงฝาเทียนที่ได้ต่อเติมตำหนักมาตั้งแต่แรกเริ่ม
ความรู้สึกเสียดายนี้มีเพียงเข้ามาครู่เดียวแล้วก็ผ่านพ้นไป นี่คือผลลัพธ์ของการขยายตัวทางการค้าขาย หนิงฝาเทียนต้องการหาเงินซื้อเหล้าให้ลูกชายของตน เขาต้องการเงินตรา และหากจะหาทางให้ตำหนักเสียนฉิงหาเงินตราได้ก็มิอาจจมปลักอยู่กับสิ่งเดิม ๆ จำต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง เพียงแต่วิธีการหาเงินเยี่ยงนี้นั้นค่อนข้างจะสุดโต่งเสียจนเกินไป เหมือนว่าจะใช้ประโยชน์จากเรื่องราวความรักของชายผู้คลั่งกระบี่และหญิงสาวผู้คลั่งภาพมาทำให้สถานที่แห่งนี้มีความน่าค้นหาก็เท่านั้นเอง
ณ ชั้นสองของอาคาร
สายลมยามค่ำคืนพัดมาอย่างแผ่วเบา
ผ้าม่านสีชมพูเอนอ่อนพลิ้วไหวไปตามแรงลม
เมิ่งซียืนปล่าวเปลี่ยวอยู่ผู้เดียวตรงริมหน้าต่าง นางเงยหน้าขึ้นมองแสงดาวระยิบระยับบนฟากฟ้า ก้มหน้าลงไปก็เจอกับสายน้ำไหลเอื่อยในความมืดดำของรัตติกาล
หญิงสาวต้อนรับสองนางยืนอยู่ตรงหน้าประตู สายตาหันไปมองเงาหลังของสาวเจ้าเป็นครั้งครา พลางคิดในใจว่าหญิงสาวผู้นี้เพิ่งมาได้มินาน ตอนนี้ยังมิค่อยมีชื่อเสียงมากนัก และเมิ่งซีเองก็มิมีลูกค้ามาหลายคืนแล้ว เพียงแค่เป็นกังวลว่านางจะทนอยู่ที่นี่มิได้อีกต่อไป
ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังอึกทึกขึ้นมา หญิงสาวทั้งสองรู้สึกดีใจยิ่ง หลังจากนั้นก็ได้เห็นชุ่ยเออร์ได้นำคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในห้อง
เมิ่งซีหันกลับไป แล้วส่งยิ้มโปรยเสน่ห์ให้แก่ผู้มาเยือน นางเดินเข้าไปทำความเคารพอย่างชดช้อย “ข้าน้อยนามว่าเมิ่งซี ยินดีต้อนรับทุกท่าน”
……
ทุกคนได้นั่งล้อมวงกัน บนโต๊ะมีสุราและกับแกล้มวางอยู่เต็มโต๊ะ
ทันใดนั้นเมิ่งซีก็ได้พบปัญหาที่แสนจะอับอายว่าการที่นางมาอยู่ที่นี่หรือไม่นั้น มิได้มีผลอะไรแม้นแต่น้อย !
ฝานเทียนหนิงยกแก้วขึ้นมาแล้วยิ้มกล่าว “หากจะกล่าวว่าข้านั้นชื่นชมในตัวของคุณชายฟู่มาเนิ่นนาน มิทราบว่าจะดูมิดีมิงามหรือไม่ ? แต่ก็เป็นเยี่ยงนี้ ความรู้สึกของข้านั้นมิได้ผิดแปลกไปจากองค์หญิงไท่ผิงเลยแม้แต่น้อย หนังสือความฝันในหอแดงนั้นก็เขียนได้ดีเสียเหลือเกิน คำชื่นชมใด ๆ ที่สามารถสรรหาได้ก็ดูเหมือนยังมิคู่ควรกับท่าน มาเถิดทุกท่าน พวกเรามาดื่มให้แก่พรหมลิขิตที่ได้พาพวกเราเดินทางมาเจอกัน ! ”
ทุกคนต่างยกแก้วขึ้นมาดื่มสุราอย่างพร้อมเพรียงกัน ฟู่เสี่ยวกวนแอบชายตามามองฝานเทียนหนิงสองครา มิอาจหยั่งรู้ได้ว่าชายหนุ่มผู้นี้มีแผนอันใดซ่อนอยู่ มิควรจะประมาทในตัวเขาอย่างสิ้นเชิง
ส่วนเมิ่งซีนั้นได้แต่ตกตะลึง แต่ทว่ามิใช่เพราะพระนามขององค์หญิง แต่เป็นเพราะหนังสือความฝันในหอแดงนั่นต่างหาก !
หมายความว่า ชายหนุ่มที่นั่งท่าทีดูสบาย ๆ อยู่ทางซ้ายของมือของตนนั่นคือฟู่เสี่ยวกวนผู้ประพันธ์หนังสือความฝันในหอแดงเยี่ยงนั้นหรือ ?
นางลุกขึ้นไปรินเหล้าให้แก่ผู้มาเยือน ความรู้สึกมิอภิรมย์นั้นพลันเหือดหายไป นางพลันนึกคิดว่าจะขอร้องให้เขาประพันธ์กวีให้สักบทดีหรือไม่ ?
หากมีบทกวีที่ฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์แล้ว รับรองว่าชื่อเสียงของนางจะเป็นที่จับตาในตำหนักเสียนฉิงอย่างแน่นอน !
ความเจ็บปวดอย่างรุนแรงที่ศีรษะทำเอาเหยียนหานยู่ขาดสติ !
เขาบันดาลโทสะแล้วชักดาบสีทองของตนออกมา
“เจ้ากล้าข่มเหงข้างั้นรึ ! ข้าจักตัดหัวเจ้าเสีย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนค่อย ๆ ยกตัวขึ้นอย่างเชื่องช้าและตบไหล่อู่หลิงอย่างแผ่วเบา เขาเดินเข้าไปหาเหยียนหานยู่ ทำให้หยูเหวิ่นหวินและต่งซูหลานที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเกิดความกังวลใจยิ่ง และได้ทำให้สายตาของอีกฝ่ายนั้นมองมาด้วยความพยาบาทเช่นเดียวกัน
“ก็ลองดูสิ ! ” ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของเหยียนหานยู่ “ท่านเป็นเพียงกบในกะลา ยังจะวาดฝันที่เลี้ยงม้าในทุ่งหลานหลิง จงตื่นจากความฝันนั้นเสียเถิด เลี้ยงม้าบ้าบออะไรของท่าน ! ”
ในขณะที่เอ่ยวาจานั้นเขาก็ได้ดึงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้วสะบัดไปมาอยู่ตรงหน้าเหยียนหานยู่
“ท่านรู้หรือไม่เหล่าทหารชายแดนตะวันตกของข้าได้ขับไล่พวกเศษเดนออกจากเขตซางยู่ไปแล้ว ท่านรู้หรือไม่ว่าแคว้นอี๋ของท่านนั้นเละเทะเสียยิ่งกว่าดินโคลน แต่ท่านยังจักกล้ามาอวดดีต่อหน้าข้าอยู่อีกเยี่ยงนั้นรึ ท่านไปนำความกล้าหาญเยี่ยงนี้มาจากที่ใดกัน ท่านมิรู้หรือว่าข้านั้นเป็นใคร ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยวาจาด้วยสีหน้าดุดันและเขาก็ฉวยโอกาสรุกหน้าเข้าไปอีก “ท่านเป็นตัวแทนนำบัณฑิตแคว้นอี๋มาร่วมการแข่งขันกวีครานี้ ตัวท่านนั้นนับว่ามาแล้วแต่สมองเล่ามิแน่ใจนักว่าได้ทำตกไว้ในหลุมไหน ลดดาบเจ้าลงมาเสีย มิเยี่ยงนั้นข้าจะเตะไข่ของท่านเสียให้แตกกระจุย ! ”
ล้วนเป็นนักกวีกันทั้งสิ้น !
เหล่าปัญญาชนโต๊ะนั้นหรือแม้แต่ท่าป๋ายวนเองก็ตะลึงจนพูดไม่ออก !
ฟู่เสี่ยวกวน ณ เวลานี้มิมีมาดของนักกวีแม้แต่น้อย !
ตอนนี้เขาก็เหมือนอันธพาลคนหนึ่งเพียงเท่านั้น !
ฝานซีหนิงนั้นรู้จักฟู่เสี่ยวกวนดีนัก เขาได้ยินมาว่าฝีปากของฟู่เสี่ยวกวนนั้นก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้ผู้ใด สามารถด่าจนคนฟังแทบกระอักเลือดออกมาได้ เมื่อมาเจอของจริงก็รู้สึกว่าน่าตกตะลึงสมคำล่ำลือยิ่งนัก
เหยียนหานยู่แม้ว่ามือจะถือดาบด้ามใหญ่แต่ก็มิอาจฟาดลงไปได้ แต่เยี่ยงไรเสียที่นี่ก็เป็นแผ่นดินแห่งราชวงศ์อู๋ ทุกคนต่างได้รับสาส์นเชิญมาจากจักพรรดิเหวินตี้ อีกทั้งยังมีองค์หญิงไท่ผิงร่วมวงอยู่ด้วย ขืนมุทะลุฆ่าฟู่เสี่ยวกวนไป ชีวิตเขาก็คงจะจบสิ้นเช่นกัน
ในฐานะโอรสขององค์จักรพรรดิ เขาย่อมไม่กล้าพอที่จะเอาชีวิตตนเองไปแลกกับเศรษฐีที่ดินกระจอก ๆ เช่นนั้นแล้วเขาจึงรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก แล้วต่อไปจะหาทางออกเยี่ยงไรดี ?
“ข้าจะนับสามครา หากท่านไม่ยอมวางดาบนั้นลงข้าจะเตะลูกไข่เจ้าให้กระจุยต่อหน้าทุกคน”
“สาม ! ”
“สอง ! ”
“เพล้ง ! ”
ดาบของเหยียนหานยู่ได้ตกลงมาบนพื้น แล้วฟู่เสี่ยวกวนก็หลุดยิ้มขึ้นมาทันใด เขายื่นมือไปตบหน้าฝ่ายตรงข้าม
“ฟังนะ จำใส่หัวไว้ด้วย หากมิพกสมองมาด้วยก็จงเชื่อฟัง”
ในมือของเหยียนหานยู่นั้นไม่มีดาบอยู่แล้ว แล้วยังโดนฟู่เสี่ยวกวนตบหน้าสั่งสอนอีกตั้งหลายครา แม้ว่าจะตบอย่างเบามือ แต่ศักดิ์ศรีของเขานั้นได้ถูกย่ำยีจนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว และเขาไม่สามารถข่มใจยอมรับความอัปยศนี้ได้ เขาได้ยกขาขึ้นแล้วถีบฟู่เสี่ยวกวนเข้าอย่างจัง
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนเมื่อโดนฝ่าเท้านั้นตัวลอยขึ้นไป เสียงดัง “อ๋า…” ช่างฟังดูน่าเวทนายิ่งนัก หลังจากนั้นก็ลอยไปตกที่เก้าอี้ตัวหนึ่งจนแหลกละเอียด แล้วร่างนั้นก็นอนแผ่อยู่บนพื้นลุกไม่ขึ้นอีกต่อไป
“อ่า… ! ” ช่วงเวลานี้ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นมา ตงชูหลานและหยูเวิ่นหวินได้วิ่งไปหาฟู่เสี่ยวกวน กระบี่วิทยายุทธของซูเจวี๋ยได้โบยบินขึ้นแต่ก็กลับมาอยู่บนหลังเขาอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เข็มของซูโหรวก็กำลังจะลอยขึ้นไป แต่โดนซูเจวี๋ยห้ามปรามด้วยสายตาไว้ทัน
กล่องเพลงของซูโหรวยังไม่ทันได้เปิดออกมา แต่โดนซูเจวี๋ยจับมือนางกดแน่นไว้เสียก่อน
ฝานเทียนหนิงลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาก้าวเดินออกไป แล้วก็ถอยกลับมาอีก
อู่หลิงรู้สึกร้อนรนแล้วจึงตะโกนขอความช่วยเหลือ “ช่วยด้วย ช่วยจัดการเจ้าบ้านั้นให้ข้าที ! ”
เหยียนหานยู่รู้สึกมึนงงเป็นอย่างมาก เขาดูเหมือนว่ากำลังสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่เท้านั้นแทบจะไม่ได้แตะต้องตัวเสี่ยวกวนเลย แต่เขาเองก็ไม่ได้ดูเหมือนว่าแกล้งทำ หรือว่ากำลังภายในของตนเองนั้นจะเก่งกล้าถึงขั้นไม่ต้องแตะเนื้อต้องตัวแล้ว ?
ในขณะที่เขากำลังทำหน้ามึนงงอยู่นั้นเอง ทันใดนั้นทหารหญิงกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาในที่เกิดเหตุ
“จับมันมัดไขว้หลังแล้วยัดใส่ตะราง รุ่งขึ้นให้จับใส่รถเชลยแล้วลากเข้าไปในเมืองกวนหยุน ! ”
……
หยาดฝนแสนละเอียดนั้นไม่รู้ว่าได้หยุดตกไปตั้งแต่เมื่อใด
ท้องฟ้ายามราตรีที่มืดมิดได้เผยแสงดาวพราวกระจ่างและเสี้ยวจันทรา
ฟู่เสี่ยวกวนได้รับบาดเจ็บสาหัส เหยียนหานยู่ได้ถูกจับมัดแล้วยัดใส่ตะรางเสียแล้ว และตอนนี้งานเลี้ยงก็ถือว่าได้จบสิ้นไปโดยปริยาย
ฟู่เสี่ยวกวนได้ถูกซูเจวี๋ยแบกกลับห้องพักซึ่งอยู่บนชั้นสามของหอนี้
ในห้องนี้ยังมีคนอีกสามสี่คนนั่งอยู่ด้วยซึ่งแน่นอนว่าเป็นต่งซูหลาน หยูเวิ่นหวิน ซูโหรว ซูซู และก็มีอู่หลิงด้วยอีกคน
อู่หลิงรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก นางจึงตามหมอให้มาดูอาการของฟู่เสี่ยวกวนแต่ทว่าโดนซูเจวี๋ยห้ามปรามไว้เสียก่อน และตอนนั้นเองฟู่เสี่ยวกวนได้ลุกขึ้นนั่งหัวเราะ ฮ่า ๆ อยู่บนเตียง
อู่หลิงตะลึงเสียจนอ้าปากค้าง ฟู่เสี่ยวกวนแค่บิดขี้เกียจแล้วก็เอ่ยออกมา “กระหม่อมนั้นเพียงมิอยากยุ่งกับคนพรรค์นั้น มันน่าเบื่อหน่ายและไร้ซึ่งความหมายใด ๆ เลยอาศัยฝีเท้าอันนั้นทำทุกอย่างให้มันจบสิ้นไป ขอฝ่าบาทอย่าได้ทรงเป็นกังวล”
อู่หลิงหันไปมองท่าทีเอื่อยเฉื่อยนั้นของฟู่เสี่ยวกวนที่ตอนนี้หลุดหัวเราะด้วยความสะใจ ในแววตานั้นได้เผยความอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาดใจ
พ่อหนุ่มคนนี้นี่เจ้าเล่ห์ยิ่งนัก คิดไม่ถึงว่าจะเล่นละครตบตาคนทั้งห้องได้แนบเนียนถึงเพียงนี้ องค์ชายหกแห่งแคว้นอี๋หาเรื่องผิดคนเสียแล้วสิ แต่นางก็ไม่ได้เก็บเรื่ององค์ชายหกมาใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ก็ในเมื่อคนสวะพรรค์นั้นมาตามรังควานฟู่เสี่ยวกวนไม่เลิก รุ่งเช้าต้องจับมันไปใส่ในรถลากเชลยศึกให้มันได้หลาบจำเสียบ้าง
ทันใดนั้นได้มีเสียงเคาะประตูดังมาจากหน้าห้อง ซูเจวี๋ยหันหน้าไปมองฟู่เสี่ยวกวน แล้วฟู่เสี่ยวกวนก็พยักหน้าตอบ
แต่เขาก็ไม่ได้แสร้งทำเป็นนอนติดเตียงอีกต่อไป เพราะเขามั่นใจว่าคนที่จะมาหาถึงห้องนั้นคงมิใช่คนจากแคว้นอี๋เป็นแน่
เมื่อซูเจวี๋ยเปิดประตูออกไปก็เจอชายหนุ่มหน้าขาวริมฝีปากสีแดงเดินเข้ามา
เขาสวมเสื้อคลุมลายเมฆสีขาวออกไปทางน้ำเงิน รอบเอวคาดเข็มขัดหยกได้แขวนลูกน้ำเต้าเล็ก ๆ เอาไว้
ชายหนุ่มผู้นี้ช่างดูละเมียดละไมและกระฉับกระเฉงยิ่งนัก ฟู่เสี่ยวกวนจำได้ว่าเคยพบเขาเมื่อตอนมื้อค่ำ เขานั่งเงียบอยู่ตรงมุมหนึ่งมาโดยตลอด มิได้ดึงดูดความสนใจจากผู้ใดเลย
“ตัวข้านั้นมาจากแคว้นฝานมีนามว่าฝานเทียนหนิง ข้าเคยพบกับคุณชายฟู่มาก่อน ! ”
เขาได้โค้งคำนับ มองดูแล้วมารยาทดีงามถูกต้องตามธรรมเนียมยิ่งนัก
ฟู่เสี่ยวกวนคำนับตอบ แล้วยิ้มกล่าว “ ท่านฝานมีมารยาทยิ่ง เชิญนั่งเถิด”
ฝานเทียนหนิงได้เดินเข้ามาและมีนักบวชรูปหนึ่งซึ่งสวมจีวรสีขาวออกน้ำเงินเช่นเดียวกันกับเขาได้ติดตามเข้ามาด้วย
นักบวชรูปนี้ท่าทีสง่างามยิ่งนักใบหน้านั้นคิ้วดกยาวสวยราวกับสตรี ในมือเขานั้นถือไม้เท้าสีเทาอ่อน ตรงยอดของไม้เท้านั้นได้มีพลอยสีขาวสะอาดตาขนาดเท่ากำปั้นติดไว้ มันได้ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของเขาให้สง่างามมากยิ่งขึ้นไปอีก
ฝานเทียนหนิงแนะนำเขาให้เป็นที่รู้จักแก่ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ “ทุกท่าน ท่านผู้นี้นามว่าคูฉานเป็นศิษย์น้องเล็กของอาจารย์ประจำแคว้นฝาน ท่านอาจารย์ได้ให้เขาติดตามข้ามายังแคว้นอู๋ครานี้ก็เพื่อให้เขาได้ออกจากวัดมาสั่งสมประสบการณ์ ”
ซูซูเงยหน้าขึ้นมามองคูฉาน
ผู้ดูแลสำนักเต๋าผู้เป็นอาจารย์ของนางได้มอบหมายภารกิจสองสิ่งให้นางหลังจากที่นางได้บำเพ็ญตนจนเสร็จสิ้น
สิ่งแรกต้องประลองฝีมือกับเหยี่ยนกุยผู้เป็นลูกศิษย์ของเป่ยหวังฉวน
สิ่งที่สองคือคือต้องไปหาคูฉานศิษย์น้องเล็กของผู้ดูแลลัทธิพุทธที่แคว้นฝานเพื่อประลองฝีมือ
เมื่อวันสารทจีนที่ผ่านมาอาจารย์ได้ไปหาคูฉานที่แคว้นฝาน แต่ทว่าเจ้าหนุ่มนี่ได้ออกเดินทางมาที่นี่พอดี หรือว่าจักลองประมือเสียตอนนี้ เจ้าคูฉานนี่ใช่ตัวปลอมหรือไม่ ? เหตุใดซูซูจึงมิได้รู้สึกถึงกำลังภายในของเขาเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาได้บรรลุไปถึงขั้นสูงสุดกลับคืนสู่สามัญ?
ขณะที่ซูซูตัดสินใจจะลงมือนั้น จู่ ๆ คูฉานก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมาทักทายด้วยวิธีจัวยี ส่วนอีกมือก็ถือไม้เท้าเอาไว้ “อาตมาคือศิษย์สำนักพุทธนามคูฉาน ยินดีที่ได้พบคุณชายฟู่ ยินดีที่ได้พบเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องจากสำนักเต๋า”
ซูเจวี๋ยและศิษย์น้องอีกสามคนก็พากันคารวะตอบ ซูเจวี๋ยจัดหมวกให้ตรง พลางมองไปที่คูฉาน หากพูดไม่เจาะจงก็คือมองไปทางไม้เท้าที่คูฉานกำลังถืออยู่
ดูเหมือนว่า คูฉานผู้นี้ในใจจะยึดมั่นในศาสนาพุทธ และในอนาคตก็อาจจะเป็นเสาหลักของนิกายเซน
ปล.จัวยีคือพิธีการทักทายของชาวจีนสมัยโบราณที่จะกำหมัดขวาและใช้มือซ้ายกุมหมัดขวาเอาไว้
ตอนที่ 285 เมื่อท่านสุภาพบุรุษลงมือ
“ข้าจะเลี้ยงดูคุณชายฟู่แล้วมันเกี่ยวอันใดกับเจ้า ? ”
คำถามที่แสนจะแทงใจดำของอู่หลิงนั้นทำเอาเหยียนหานยู่ตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้
ก็จริง เรื่องส่วนตัวขององค์หญิงมิได้เกี่ยวอันใดกับเขาเลยแม้แต่น้อย ?
แต่เหยียนหานยู่ก็ได้สติกลับขึ้นมาโดยเร็ว เขามองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาที่ดูแคลนยิ่งนักและมุมปากนั้นได้แฝงรอยยิ้มที่เต็มไปความเยาะเย้ยแล้วกล่าวขึ้นมาว่า “ในฐานะบุรุษผู้หนึ่ง ข้ารู้สึกต่ำต้อยแทนท่านยิ่งนัก และในฐานะนักกวีแห่งราชวงศ์หยู ข้าก็รู้สึกเศร้าโศกแทนท่านเหลือเกิน ท่านอยากรู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด ? ”
สายตาของอู่หลิงนั้นเผยให้เห็นถึงความเย็นชา ฟู่เสี่ยวกวนเพียงแค่ไปลูบไหล่นางเบา ๆ โดยมิได้ใส่ใจนัก แต่กลับลูบไฟโกรธภายในใจของนางให้หายไปเป็นปลิดทิ้ง
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองเหยียนหานยู่ จ้องอย่างเงียบเชียบเยี่ยงนั้นอยู่เนินนาน ทุกคนต่างคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนคงจะอยากเอ่ยอะไรบางอย่าง จะเป็นก่นด่าอย่างเดือดดาลก็ดีหรือจะเป็นแก้ต่างให้ตนเองก็ดี ทว่าเมื่อผ่านไปชั่วครู่ เขาก็ถอนสายตาออกแล้วเอ่ยคำหนึ่งออกมาอย่างแผ่วเบา “จองหองพองขน ! ”
เหยียนหานยู่ผงะเล็กน้อย นี่หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?
ขณะที่เขากำลังจะพยายามเอ่ยสิ่งใดออกมา แล้วฟู่เสี่ยวกวนได้ถือกาน้ำชาแล้วรินใส่ถ้วยชาของอู่หลิงพร้อมกับเอ่ยขัดจังหวะ “สิ่งที่องค์หญิงทรงตรัสออกมานั้นมิบังควรยิ่ง กระหม่อมรู้ซึ้งว่าองค์หญิงต้องการให้กระหม่อมฝักไฝ่ในการสร้างสรรค์งานเขียนโดยมิมีสิ่งเร้าใดมาขัดขวาง และด้วยเหตุนี้องค์หญิงจึงอยากให้ทุนทรัพย์ในการสนับสนุนกระหม่อม แต่กล่าวตามตรง กระหม่อมนั้นเป็นเศรษฐีที่ดินแห่งเมืองหลินเจียง อีกทั้งหยูเวินหวินและต่งชูหลานเองก็ยังช่วยกระหม่อมจัดการธุรกิจบางอย่างอีกเช่นกัน ดังนั้นชีวิตของกระหม่อมหาได้ขัดสนประการใดไม่ แต่สิ่งที่องค์หญิงทรงตรัสจะทำให้ผู้อื่นดูแคลนได้ พวกเขาคงจะคิดว่าองค์หญิงทรงมีใจให้กระหม่อม ทว่าแท้จริงแล้วคนเล่านั้นมิล่วงรู้ว่าพวกเราเพิ่งได้ประสบพบพานกันเท่านั้น วาจามนุษย์นั้นน่าสะพรึงกลัวนัก ในฐานะองค์หญิง ท่านควรจะระมัดระวังในการวางตนยิ่ง เพราะบนปฐพีแห่งนี้มีหมาบ้าที่พร้อมจะลอบกัดคนมากมายนัก”
คำกล่าวที่ร่ายยาวของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อครู่นั้นทำเอาสิ่งที่อู่หลิงได้เอ่ยไว้แทบจะอันตรธานหายไป อีกทั้งยังสามารถจุดไฟแค้นขึ้นมาในใจของเหยียนหานยู่ให้ติดขึ้นมา
“ฟู่เสี่ยวกวน เจ้ารู้หรือไม่ว่ากองทัพแห่งแคว้นอี๋ของข้านั้นได้รุกล้ำถึงเมืองหลานหลิงแล้ว ? ”
ครานี้ฟู่เสี่ยวกวนไม่แม้นแต่จะชายตามองเหยียนหานยู่ เขาทำราวกับว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น “เมื่อครั้งที่อยู่บนเส้นทางสัญจรแห่งภูเขาฉีซานนั้นช่างยากนักที่จะทราบถึงสถานะที่แท้จริงขององค์หญิง กระหม่อมต้องขออภัยโทษมา ณ ที่นี้ด้วย”
เดิมทีอู่หลิงอยากจะช่วยฟู่เสี่ยวกวนจัดการเหยียนหานยู่อีกสักครา แต่เมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนมีสีหน้าที่เรียบเฉยและน้ำเสียงนั้นไร้ซึ่งความขุ่นเคืองใด ๆ นางจึงล้มเลิกความตั้งใจนี้ไป นางนึกคิดในใจว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นแค่เด็กหนุ่มคนหนึ่งแต่เหตุใดจึงมีความคิดเยี่ยงนักปราชญ์ยิ่งนัก น่าชื่นชมอย่างแท้จริง
นางยิ้มตอบด้วยความยินดี “นั่นเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ข้ามิทราบว่าท่านโดนเป่ยหวังฉวนเจ้าคนขี้ขลาดนั่นซุ่มโจมตี ข้าได้นำกองทัพไปจับกุมเป่ยหวังฉวนเพื่อนำมาไถ่โทษที่มันได้กระทำต่อคุณชายเช่นนั้น แต่ข้าก็มิอาจจับมันมาได้ ”
เมื่อวาจานี้ได้ถูกตรัสออกมาก็ได้ดึงดูดความสนใจของเหล่าปัญญาชนได้ดีนัก ฝานเทียนหนิงขมวดคิ้วจนแทบผูกกัน ส่วนท่าป๋ายวนนั้นก็แววตาเป็นประกายด้วยความประหลาดใจขึ้นมา
แม้ว่าพวกเขาจะเป็นเหล่าปัญญาชนที่อยู่ในวัยศึกษาเล่าเรียน แต่พวกเค้าต่างมีความเข้าใจเกี่ยวกับยุทธภพมาบ้าง พวกเขารู้ว่าบนผืนปฐพีกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้มีสุดยอดปรมาจารย์ผู้ซึ่งมีนามว่าเป่ยหวังฉวน เรื่องราวพวกนี้พวกเขาต่างเคยได้ยินมาหมดแล้ว
ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนยังสามารถกระโดดโลดเต้นจนมาถึงที่นี่ได้นั้นก็หมายความว่าเป่ยหวังฉวนลอบโจมตีเขาไม่สำเร็จ
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจนัก ในเมื่อเป่ยหวังฉวนเป็นสุดยอดปรมาจารย์ผู้เก่งกล้าปานนั้น กองทัพหญิงหนึ่งพันนางของอู่หลิงย่อมมิอาจจัดการเขาให้อยู่หมัดได้
ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็รู้ดีว่าเป่ยหวังฉวนนั้นมีสถานะเยี่ยงไรในราชวงศ์อู๋ และเขาก็รู้ดีหากแม้ได้พบเป่ยหวังฉวนต่อหน้าราชวงศ์อู๋อีกครา เขาก็คงทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงริมชายแดน
“หาใช่เรื่องใหญ่ไม่ องค์หญิงได้โปรดสบายพระหฤทัยเถิด เขาได้รับบาดเจ็บ และคงมิกล้ามาทำร้ายพวกเราได้เป็นการชั่วคราว”
เป่ยหวังฉวนได้รับบาดเจ็บรึ ?
เหล่าปัญญาชนทั้งหลายต่างตกตะลึง นึกคิดในใจว่าเป็นถึงปรมาจารย์ผู้สูงส่งถึงเพียงนั้นจะมีผู้ใดสามารถทำร้ายเขาได้ ?
อู่หลิงเองนางก็ใคร่รู้เช่นกัน แต่นางไม่ได้เอ่ยถามออกไป
เพียงไม่นานหลังจากนั้นอาหารก็ถูกยกมาจากหอป้านเย่ และในขณะเดียวกันนั้นบ่าวรับใช้ในหอต้อนรับก็ได้ยกอาหารแกล้มสุรามาให้เหล่าปัญญาชนคนอื่น ๆ ในห้อง
ห้องนี้มีโต๊ะเพียงแค่ 2 ตัวเท่านั้น โต๊ะหนึ่งเป็นของฟู่เสี่ยวกวนกับอู่หลิงและคณะ อีกโต๊ะหนึ่งเป็นของเหยียนหานยู่และท่าป๋ายวน ส่วนเหล่าปัญญาชนคนอื่น ๆ นั้นได้นั่งอยู่ในห้องถัดไป ต่างก็ได้นั่งกับคนที่ตนได้คุยกันถูกคอแล้ว
อาหารจากหอป้านเย่รสชาติเลอเลิศกว่าของหอต้อนรับมากนัก ในส่วนของสุรา โต๊ะฟู่เสี่ยวกวนนั้นได้ดื่มสุราซีซาน ส่วนโต๊ะของเหยียนหานยู่นั้นดื่มสุราซางลั่วสิบสามดีกรีที่ผลิตเองของราชวงศ์อู๋
หากไม่มีสุราซีซานมาเทียบเคียง สุราซางลั่วนั้นจัดเป็นสุราแสนโอชะได้เลยทีเดียว
ทว่าเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับสุราซีซานอันเลื่องลือนี้แล้ว ก็หาได้มีสุราอื่นใดสามารถมาเทียบเคียงความหอมละนุ่มนั้นได้อีก
ในเมื่อองค์หญิงไท่ผิงทรงปฏิบัติต่อทุกฝ่ายอย่างไม่เป็นธรรมนัก เหยียนหานยู่จึงกระดกสุรารวดเดียวสามจอกแล้วเอ่ยขึ้นมา “ทุกท่าน เมื่องานแข่งขันกวีครานี้ได้เสร็จสิ้นแล้ว ข้าจะถวายความจำนงที่จะเข้าร่วมกองทัพต่อเสด็จพ่อ ”
“ท่านจะวางพู่กันแล้วหันมาจับอาวุธแทนงั้นหรือ ? ” มีบางคนถามขึ้น
“หาใช่ไม่ ข้าจะไปเหยียบถิ่นแดนแห่งราชวงศ์หยู นำกองทัพไปบุกยึดโรงหมักสุราซีซานแล้วขโมยสูตรหมักสุรานั้นมาเสีย เพียงเท่านี้ทุกคนก็ได้ลิ้มลองสุราหมักซีซานอันหอมอบอวลนี้กันถ้วนหน้า นี่เป็นแผนการที่เยี่ยมยอดเสียจริง ๆ ! ”
“ฮ่า ๆ ๆ ความคิดองค์ชายหกนี้ช่างบรรเจิดยิ่งนัก ได้ยินมาว่าสุราหมักซีซานนั้นผลิตที่ภูเขาซีซานแห่งเมืองหลินเจียง และเป็นสุราที่ผลิตโดยน้ำพักน้ำแรงของคุณชายฟู่เสียด้วยสิ”
“อ่า…” เหยียนหานยู่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เขายกจอกสุราแล้วตะโกนใส่ฟู่เสี่ยวกวน “ขออภัยด้วยเถิดคุณชายฟู่ ข้ามิทราบว่านอกจากท่านจะมีดีที่แต่งกวีได้แล้ว ท่านยังหมักสุราได้ยอดเยี่ยมอีกด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนยกจอกสุราขึ้นมาแล้วยิ้มตอบ “นอกจากกระหม่อมจะมีดีที่เขียนกวีและหมักสุราได้ดีเยี่ยมแล้ว กระหม่อมยังคงมีดีอีกหลายสิ่งอย่างเช่นขายสุรา กระหม่อมจักลองค้นหาหนทางภายในสามปีเพื่อที่จะนำสุรานี้ส่งออกไปยังแคว้นอี๋ของท่าน องค์ชายหกทรงคิดเห็นเยี่ยงไรเล่า ? ”
เหยีนหานยู้ส่ายหัวเล็กน้อย “ไร้ซึ่งความคิดเห็นใด ๆ ข้าตั้งมั่นแล้วว่าจักนำทัพไปบุกเมืองหลินเจียงให้จงได้ ถึงตอนนั้นหากท่านจักยอมมอบสูตรหมักสุราให้ข้าเสียโดยดี ข้าก็จะยอมเห็นแก่วันนี้ที่เราได้พบเจอกันแล้วยอมไว้ชีวิตท่านไว้ ”
พ่อหนุ่มคนนี้ช่างไร้เดียงสาเสียจริง ๆ !
“ตัวท่านมีนามว่าเหยียนหานยู่งั้นรึ ? ”
“ตัวข้าแม้จะเดินหรือนั่ง ชื่อนั้นย่อมมิเปลี่ยนแปลง”
“ความสามารถในการดื่มสุราของท่านนั้นอ่อนหัดยิ่ง แค่สามจอกก็เมาเสียขนาดนี้แล้ว ช่างเถิด ข้ามิอยากจะสนทนากับพวกคนเมาเท่าใดนัก”
“นี่เจ้า… ! ”
“เจ้าอะไรกัน แคว้นอี๋ของท่านนั้นเป็นดินแดนป่าเถื่อน แค่การศึกษาของประชาชนก็ยังมิได้รับการศึกษาที่ดี ส่วนสติปัญญาของพวกท่านน่ะหรือ ก็แค่สูงกว่าลิงที่ลงจากต้นไม้มาเดินบนดินเพียงน้อยนิดเท่านั้น สนทนากับคนเยี่ยงท่านนั้นช่างลดทอนสถานะอันสูงส่งของกระหม่อมเหลือเกิน ท่านยังจะเห็นว่าตนคู่ควรที่จะเป็นองค์ชายหกอีกหรือ ในความเห็นของกระหม่อมนั้น จะเหยี่ยนหานยู่หรือหมูหมากาไก่อะไรกระหม่อมก็มิสน หากมิเห็นแก่พระพักตร์ขององค์หญิงไท่ผิง กระหม่อมจะตบหน้าท่านเสียราวกับว่าเป็นแมลงวันตัวหนึ่งที่เสียงดังน่ารำคาญ ! ”
เหยียนหานยู่รู้สึกอับอายจนปะทุขึ้นมาเป็นเพลิงแค้นในชั่วพริบตา เขาลุกขึ้นมาแล้วชี้หน้าฟู่เสี่ยวกวน “แคว้นอี๋อันยิ่งใหญ่ของข้าจะนำม้าไปเลี้ยงที่ทุ่งหลานหลิง กองทัพแห่งแคว้นหยูจะต้องปราชัยให้แก่กองทัพแห่งแคว้นข้า เจ้าเป็นคนแห่งราชวงศ์หยูมิไปยืนรบอยู่แนวหน้าแต่คงจะถอยไปซุกจนหัวหด เจ้าร่ำเรียนตำราเซิ่งเซียนมา เจ้าย่อมรู้ดีว่าการจงรักภักดีต่อบ้านเมืองนั้นเป็นเยี่ยงไร เจ้าย่อมสละชีวีเพื่อรักษาไว้ซึ่งอุดมการณ์”
ฟู่เสี่ยวกวนถึงกับขมวดคิ้ว เขารู้สึกเกลียดที่สุดเมื่อมีคนมาชี้หน้าเขาแล้วเอามือมาสะกิดใต้คางเขาอย่างเหยียดหยาม ทันใดนั้นจอกสุราที่ถืออยู่ก็ได้หลุดลอยไปจากมือแล้วกระทบเข้าอย่างจังกับศีรษะของเหยียนหานยู่
และนี่คือครั้งแรกที่เขาได้ใช้กำลังภายในได้สำเร็จ !
แม้ว่ากำลังภายในนั้นจะใช้ได้อย่างไม่คล่องนัก ทว่าเหยียนหานยู่กลับคาดไม่ถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะลงไม้ลงมือกับเขาได้ และศีรษะของเขานั้นก็ไม่ได้แข็งแรงไร้เทียมทานถึงเพียงนั้น
แล้วก็มีเสียง “อ๋า… ! ” ร้องอย่างน่าเวทนาดังออกมา เหยียนหานยู่ยกมือไปลูบตรงหน้าผากแล้วก็พบเลือดสีแดงสดไหลย้อยมาตามร่องนิ้ว
ภายในลานเงียบสงบลง แล้วอู่หลิงก็ได้เดินนำกลุ่มคนราว 10 คนเดินเข้ามา
เมื่อเหล่าปัญญาชนจากสามแคว้นได้พบเห็นคนที่ติดตามมาข้างกายของอู่หลิงนั้น
ชายหนุ่มผู้นั้นช่างดูอ่อนแอและเปราะบางยิ่งนัก เขาสวมใส่ชุดสีเขียวแกมน้ำเงินที่ดูแสนธรรมดา หน้าตาดูเป็นมิตรและดูเยาว์วัยยิ่งนัก เขาผู้นั้นคือใครกัน ?
คนหนุ่มที่ทำให้องค์หญิงไท่ผิงต้องเสด็จมาต้อนรับด้วยตัวพระนางเอง เขาผู้นั้นเป็นใครกัน ?
เหล่าปัญญาชนส่วนใหญ่นั้นแสดงสีหน้าฉงนยิ่ง เว้นเสียแต่ฝานซีหนิงเท่านั้นที่แววตาดุจประกายขึ้นมา ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั่นยิ่งยิ้มกว้างขึ้นมาอีก
องค์หญิงไท่ผิงได้นำขบวนของฟู่เสี่ยวกวนนั้นเข้ามาในห้องโถงใหญ่ แล้วจึงได้เชิญพวกเขานั่งลงแล้วหันไปตรัสแก่เหล่าปัญญาชนเหล่านั้นว่า “ท่านผู้นี่คือฟู่เสี่ยวกวน ! ”
และมิทรงตรัสอื่นใดเพิ่มอีก แค่เพียงเอ่ยนามออกมาสั้น ๆ เพียงเท่านั้น
ปัญญาชนเหล่านั้นต่างตกตะลึงยิ่ง เขาน่ะหรือคือฟู่เสี่ยวกวน !
จริงเสียอย่างที่กล่าวกันว่าคนดังแค่เอ่ยนามก็ผวาแล้ว อู่หลิงนั้นแอบหัวเราะเยาะอยู่ภายในใจ แค่เพียงเอ่ยชื่อเท่านั้นก็ทำเอาคนพวกนี้ตกใจเสียจนหน้าถอดสี
นี่คงสมคำร่ำลือที่ว่าเขาคือวีรบุรุษหนุ่ม !
ฟู่เสี่ยวกวนนั้นกวาดสายตามองไปยังเหล่าปัญญาชนโดยรอบ แต่เขายังคงนั่งอยู่หาได้ยืนขึ้นโค้งคำนับไม่ แม้คำกล่าวทักทายสักคำก็ไม่มี จากนั้นจึงหันสายตากลับมาแล้วเอ่ยกับอู่หลิงว่า “โปรดสั่งการเตรียมอาหารเถิด ทุกคนต่างอ่อนล้ามามากแล้ว รีบกินแล้วจะได้รีบไปพักผ่อนกันเสีย”
“รับทราบ อาหารที่หอต้อนรับนั้นมิอร่อย ให้ข้าสั่งอาหารมาสักชุดให้คนบนโต๊ะนี้จากหอป้านเย่แล้วกินแกล้มกับเหล้าหมักซีซานของท่านดีหรือไม่ ? ”
นี่มันอะไรกัน ?
เหตุใดองค์หญิงไท่ผิงทรงถ่อมตนต่อหน้าฟู่เสี่ยวกวนยิ่งนัก ?
พระนางมิเพียงแต่มิได้ตัดหัวฟู่เสี่ยวกวนทิ้งเสียเท่านั้น แต่ยังเสด็จไปต้อนรับด้วยตนเอง อีกทั้งมิได้ทำการกักขังฟู่เสี่ยวกวน แต่กลับให้ความเคารพเสียยิ่งกว่าแขกคนสำคัญ !
หรือนี่คือท่าทีที่ราชวงศ์อู๋ที่มีต่อราชวงศ์หยู ?
ด้วยสถานะอันสูงส่งขององค์หญิงไท่ผิงแต่กลับทรงปฏิบัติต่อฟู่เสี่ยวกวนอย่างนอบน้อมยิ่ง หรือนี่จะเป็นสาสน์อย่างหนึ่งที่ต้องการจะสื่อถึงเหล่าปัญญาชนทั้งหลาย แท้จริงแล้วองค์จักรพรรดิเหวินตี้และฮ่องเต้หยูยิ่นทรงมีความสัมพันธ์ทีดีต่อกันเสมอมา
จักรพรรดิเหวินตี้นั้นทรงศึกษาจากตำหนักจี้เซี้ยะและฮ่องเต้หยูยิ่นนั้นก็ทรงศึกษาในตำหนักเดียวกัน ด้วยเหตุนี้แล้วเรื่องที่องค์หญิงทรงเสด็จมาต้อนรับด้วยตนเองเยี่ยงนี้แน่นอนว่าย่อมได้รับสั่งจากจักรพรรดิเหวินตี้ เช่นนั้นแล้วเรื่องที่แคว้นอี๋กำลังล่วงล้ำอาณาเขตของแคว้นหยูนั้นพระองค์จะทรงส่งทัพมาเกื้อหนุนหรือไม่ ?
เหยียนหานยู่เกิดอาการผวาในใจ เขาขมวดคิ้วเสียจนคิ้วพันกันยุ่ง ข่าวครานี้ต้องแจ้งทางแคว้นให้ทราบแต่โดยเร็ว และตัวเขาเองนั้นก็จะต้องหาทางทำลายล้างพันธมิตรนี้ไปเสียให้สิ้น และเรื่องนี้ก็ยังต้องเกี่ยวพันกับฟู่เสี่ยวกวนอยู่ดี !
ทว่าเมื่อท่าป๋ายวนเห็นสถานการณ์ทั้งหมด แม้สีหน้าจะนิ่งดั่งสายน้ำขึ้นมา แต่ภายในใจกลับอาฆาตพยาบาทฟู่เสี่ยวกวนยิ่งนัก
และยังคงมีเพียงแค่ฝานเทียนหนิงเท่านั้นที่ยังคงนั่งมองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างสนอกสนใจอยู่ตรงโต๊ะอีกตัวหนึ่ง
เวลานี้พวกเขายังมิได้รับประทานอาหารค่ำ ทว่าที่องค์หญิงทรงตรัสว่าจะสั่งอาหารมาให้คนบนโต๊ะนี้นั้นช่างเข้าใจได้ง่ายเสียจริง ๆ เพราะทั้งคณะของฟู่เสี่ยวกวนนั้นได้นั่งกันเต็มหนึ่งโต๊ะพอดีหาได้มีส่วนแบ่งให้ใครอื่นอีก
อู่หลิงเดินกลับเข้ามาอีกครา ครานี้นางได้นั่งลงตรงกันข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน บ่าวรับใช้ได้นำน้ำชามาถวาย นางแทบจะลืมสิ้นว่ามีปัญญาชนอีกสามแคว้นได้ร่วมห้องอยู่ด้วย นางรับกาน้ำชามาแล้วรินใส่ให้หยูเวิ่นเหวินก่อนใครเพื่อน
“องค์หญิงเก้าทรงเสด็จมาไกลเพื่อมาเยือนถิ่นของข้า ได้โปรดให้อภัยด้วยเถิดที่มิได้ไปรับเสด็จด้วยตนเอง ข้าขอรินชาถ้วยนี้ให้องค์หญิงเก้าเพื่อเป็นการไถ่โทษ ! ”
“องค์หญิงไท่ผิงช่างถ่อมตนเสียจริง ๆ สุดท้ายกลับต้องลำบากให้องค์หญิงเสด็จมาด้วยตนเอง ข้าเกรงใจท่านยิ่งนัก”
องค์หญิงทั้งสองพระนางต่างกล่าวด้วยวาจาชิงไหวชิงพริบกันชุดใหญ่ หลังจากนั้นต่างก็รินน้ำชาใส่ถ้วยให้กัน และนี่ถือเป็นการรู้จักซึ่งกันและกันแล้ว
อู่หลิงรินน้ำชาให้ต่งชูหลานเช่นกัน แล้วคำนับนางด้วยความเคารพจนทำให้นางรู้สึกขัดเขิน ต่อมานางก็ได้เกิดความกังวลขึ้นภายในใจไม่น้อย
“ข้านั้นได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านพี่ชูหลานมาช้านาน วันนี้ได้มีโอกาสพบเจอเสียที ท่านพี่ช่างงามดั่งอัปสรา ข้าขอเชิญท่านพี่ดื่มชาสักถ้วยเถิด หากเหล้ามาเมื่อใดข้านั่นจะขอไถ่โทษด้วยการดื่มเหล้าอีกครา ”
ต่งชูหลานเจียดยิ้มเล็กน้อย “หม่อมฉันมิคู่ควรที่จะได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนี้เลยเพคะองค์หญิง”
“ข้ากับท่านพี่นั้นอายุไล่เลี่ยกัน หากเรียกข้าว่าองค์หญิงเกรงว่าจะห่างไกลเกินไป โปรดเรียกข้าว่าน้องหลิงเถิด ส่วนข้านั้นจะเรียกท่านพี่ว่าพี่สาว ท่านตกลงหรือไม่ ? ”
ต่งชูหลานนึกเอะใจขึ้นทันใด เป็นพี่สาวของนางนี่มิง่ายเอาเสียเลย !
เยี่ยนเสี่ยวโหลวก็เรียกนางว่าพี่สาวเช่นกัน !
แต่สิ่งที่อยู่ในใจอู่หลิงจริง ๆ แล้วนั้นเกรงว่าจะมิใช่พี่สาวอย่างนางเข้าใจ หรือว่านางกำลังแอบชอบฟู่เสี่ยวกวนเข้าเสียแล้ว
เรื่องนี้จำต้องรอปรึกษาหยูเวิ่นหวินยามย่ำดึก แต่ทว่าหยูเวิ่นหวินนั้นก็ดันนิสัยเหมือนม้าดีดกะโหลก เกรงว่าจะมองสถานการณ์มิออกเสียนะสิ !
เมื่อทั้งสองนางได้ดื่มชาจากถ้วยแล้ว ครานี้อู่หลิงจึงรินชาใส่ถ้วยให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นรายต่อไป
“ข้าได้ยินชื่อเสียงของคุณชายคราแรกนั่นเมื่อตอนขึ้นเจ็ดค่ำเดือนเจ็ดเมื่อปีกลาย ครานั้นข้าได้อ่านหนังสือความฝันในหอแดง ช่างเป็นบทประพันธ์ที่ชวนให้ตกตะลึงยิ่งนัก ข้าได้มาชื่นชมชื่อเสียงของคุณชายอีกคราในวันที่สิบค่ำเดือนแปดเมื่อปีกลาย นั่นก็คือบทกวีทำนองเพลงสายน้ำที่ถูกจารึกเป็นอันดับหนึ่งบนหินเชียนเปยสือ…”
สายตาของอู่หลิงจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาที่แสนจะเร่าร้อน “เพียงหวังผู้คนอายุยืนยาว แม้ห่างกันพันลี้ ร่วมกันชมจันทร์งาม ตอนที่ข้าได้อ่านบทกวีนี้คราแรกช่างยากเย็นยิ่งนักที่จะควบคุมความรู้สึกของตนเองได้ ต้องมีความสามารถมากถึงเพียงใดจึงจะประพันธ์ได้สละสลวยถึงเพียงนี้ ข้าเฝ้าภาวนารอคอยว่าเมื่อใดจะได้พบเจอกับผู้ประพันธ์กวีบทนี้เสียที ส่วนอีกครึ่งหนึ่งของข้านั้นก็เป็นนักรบ มักพูดจาโผงผางแต่มิได้เป็นคนหยาบคายและทุกคำพูดนั้นได้กลั่นออกมาจากใจของข้าแล้ว ข้าขอดื่มชานี้แทนเหล้าเพื่อเป็นการคารวะต่อคุณชาย”
เวลานี้ได้ไร้ซึ่งเสียงใด ๆ
มีเพียงแค่หยาดฝนที่ร่วงโรยราดั่งดอกท้อที่กำลังร่วงหล่น
คิ้วของเหยียนหานยู่แทบจะขมวดติดกันเป็นปม ส่วนสายตาของท่าป๋ายวนราวกับปลายดาบที่พร้อมฟาดฟันตลอดเวลา
ส่วนฟานเทียนหนิงที่ดูนิ่งเฉยกับเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ได้มองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาที่เคารพยิ่ง
คำพูดของอู่หลิงนั้นมิได้กล่าวอย่างเสแสร้งแต่อย่างใด นางกล่าววาจานั้นด้วยความเคารพและเทิดทูนอย่างถึงที่สุด
ฟังดูแล้วราวกับว่าอู่หลิงได้เกิดความรักใคร่ต่อฟู่เสี่ยวกวนมานานแล้ว นั่นหมายความว่าดวงใจของหญิงสาวผู้นี้ได้บานสะพรั่งเพื่อฟู่เสี่ยวกวนแล้วเยี่ยงนั้นรึ ?
หากเป็นเช่นนั้น เหตุใดองค์จักรพรรดิเหวินตี้ทรงเลือกแผนการจัดการแข่งขันด้านกวีเพื่อจะเลือกพระสวามีให้องค์หญิงกัน ?
หรือว่าจักรพรรดิเหวินตี้จะยกองค์หญิงให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนกัน ?
มิอาจยอมให้ฟู่เสี่ยวกวนได้รับชัยชนะในการประชันครานี้ได้ !
ทุกคนต่างตรึกตรองภายในใจ ฟู่เสี่ยวกวนยกถ้วยชาแล้วเอ่ยขึ้นมา “องค์หญิงทรงยกยอกระหม่อมเยี่ยงนี้ย่อมมิควรนัก ความจริงนั้นบทกวีเป็นดั่งเครื่องขัดเกลาจิตใจแต่หาได้ให้หนทางแก่ชีวิตไม่ องค์หญิงยังทรงพระเยาว์นักยังมิถ่องแท้ว่าข้อเสียของมันคือสิ่งใด กระหม่อมหลงคิดว่าคนที่องค์หญิงตามหานั้นจะเป็นยอดนักบริหารบ้านเมืองหรือแม่ทัพผู้ชนะสิบทิศเสียอีก”
“เหตุใดท่านจึงคิดเช่นนั้น ? ” อู่หลิงถามออกไปด้วยความใคร่รู้
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มขึ้นมาแล้วยกถ้วยชาขึ้นมาจิบพร้อมกับอู่หลิง “นั่นเป็นเพราะนักกวีนั้นมีแต่ยากจนน่ะสิ”
อู่หลิงตกใจกับสิ่งที่ได้ยินแล้วหัวเราะเบา ๆ “หาใช่เรื่องใหญ่ไม่ ข้าจะเลี้ยงดูคุณชายเอง ! ”
เมื่อประโยคนั้นได้ถูกเอ่ยออกมาเป็นอันว่าเรื่องนี้ได้ชัดเจนขึ้นทันตา ดั่งมีสายลมเย็นเยียบพัดเข้ามาราวกับว่าหน้าต่างได้เปิดโล่งโจ้ง พัดเข้ามาถึงหัวใจของเหล่าปัญญาชนที่อยู่ในห้องนั้นจนรู้สึกหนาวสะท้าน
อู่หลิงหน้าแดงจนต้องก้มหน้าหลบหนี ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินหันมาสบตากันแต่ก็มิรู้ว่าจะรับมือกับสถานการณ์นี้เยี่ยงไร
เหล่าปัญญาชนถูกปล่อยให้สูดลมหนาวเหน็บนี้เข้าไปเต็มปอด นี่มันมิบังควร ในเมื่อจักรพรรดิเหวินตี้จะทรงเลือกราชบุตรเขย แต่พวกเขาทั้งสองกลับมากระซิบกระซาบกันข้างหู คำพูดเมื่อครู่นั้นจักต้องเป็นที่รับรู้กันโดยทั่ว มิเช่นนั้นใครหน้าไหนจะกล้าโหยหาซึ่งชัยชนะเพื่อที่จะได้ครอบครององค์หญิงกัน ?
ถึงแม้จะได้ตัวมาแต่ใจก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ !
เหยียนหานยู่รุกเข้ามาแล้วแสดงความเคารพต่ออู่หลิง แล้วเอ่ยกล่าว “ฝ่าบาทมิสมควรตรัสเช่นนี้ คุณชายฟู่เป็นผู้ชายอกสามศอก ต้องรับหน้าที่ดูแลหาเลี้ยงครอบครัว กระหม่อมเองก็เห็นพ้องว่าคำพูดของคุณฟู่นั้นก็สมเหตุสมผล บทกวีนั้นมีดีแต่ใช้บำรุงจิตใจตน มิอาจนำมาหาเลี้ยงชีพได้ หากจะหาผู้ใดที่คู่ควรกับองค์หญิงนั้นก็ควรจะเป็นนักกวีที่ดีเด่นด้านการบริหารบ้านเมือง หรือเป็นนักรบที่เก่งกล้าและสามารถทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขได้”
อู่หลิงได้ยินคนที่เอ่ยแทรกขึ้นมาแล้วเกิดเดือดดาลขึ้นมาทันใด นางเงยหน้าขึ้นมามองเหยียนหานยู่ “เจ้าเป็นใครกัน ?”
เหยียนหานยู่ถึงกับตะลึง แล้วตอบกลับมา “กระหม่อมคือองค์ชายหกแห่งแคว้นอี๋นามว่าเหยียนหานยู่”
“อ่า…งั้นรึ” อู่หลิงเผยยิ้มแบบมีเลศนัยขึ้นมา “ข้าจะเลี้ยงดูคุณชายฟู่แล้วมันเกี่ยวอันใดกับเจ้า ? ”
ตอนที่ 283 ยินดีบนความทุกข์ร้อนของคนอื่น
ในที่สุดอู่หลิงก็เอ่ยปากพูดออกมาในตอนที่ซูเจวี๋ยรับฟู่เสี่ยวกวนที่ตกลงมาจากฟ้าเป็นรอบที่หนึ่งพันแปดร้อยพอดี
“ช้าก่อนคุณชาย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะทะยานบินขึ้นไปอีกครานั้นก็ได้หยุดชะงักชั่วครู่
“ข้ามีนามเต็มว่าอู่จ้าว นามย่อว่าหลิง ข้าเคยพบเจอคุณชายที่เส้นทางสัญจรบนภูเขาฉีซาน ตอนนั้นข้าโดนท่านปฏิเสธ บัดนี้เลยร้องขอให้เสด็จพ่อทรงออกหนังสือราชโองการ ขอคุณชายโปรดรับหนังสือนี้ด้วยเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองอู่หลิงและรับหนังสือราชโองการที่นางได้ส่งมาให้ แล้วจึงได้มั่นใจว่าหญิงสาวผู้ที่อยู่เบื้องหน้านั้นคือองค์หญิงไท่ผิงจริง ๆ
แต่เขาหาได้ทักทายตามธรรมเนียมไม่ เพียงแค่เอ่ยถามขึ้นมาแทน “ มิทราบว่าองค์หญิงมีเรื่องอันใดเร่งด่วนหรือไม่ถึงได้เสด็จมาที่นี่ ? ”
“คุณชายตอนนี้ก็มืดค่ำมากแล้ว ข้านั้นเห็นว่าจะดีกว่าหรือไม่หากท่านและขบวนจะเดินทางไปพักผ่อนที่เมืองฝานหนิงเสียก่อน ? “
ครานี้ฟู่เสี่ยวกวนถึงได้รู้สึกตัวว่าตนใช้เวลาฝึกวรยุทธไปครึ่งค่อนวันแล้ว เขาได้หันไปมองกวนถงแล้วเอ่ยถาม “ผู้ใดกันยืนโง่งมตากฝนอยู่ได้ เปียกปอนซีดเซียวเยี่ยงกับไก่ต้มในน้ำร้อน ท่านผู้นั้นเขาเป็นผู้ใดกัน ? “
เมื่อกวนถงได้ยินก็ถึงกับเดือดดาลจนแทบทนไม่ไหว อีกทั้งเขาได้ยืนตัวสั่นอยู่เช่นนั้นมานานโขแล้ว ทว่าหลังจากนั้นสายตาก็เริ่มพร่ามัว แล้วร่างนั้นก็ได้ร่วงลงไปกองอยู่บนพื้น
“นี่มันอะไรกัน ข้าเพียงแค่เอ่ยปากถาม มิได้แตะต้องชายผู้นั้นแม้แต่น้อย หากเขาเกิดอันใดขึ้นมา แล้วจำต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ขอองค์หญิงทรงได้โปรดเป็นพยานให้แก่กระหม่อมด้วยเถิด ! ”
และได้มีเจ้าหน้ากรมพิธีการต่างรีบร้อนเข้ามาแบกร่างของกวนถงออกไป
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วของตนเล็กน้อย แล้วเอ่ยกับอู่หลิง “ในเมื่อองค์หญิงเสด็จมาด้วยตนเองเยี่ยงนี้ เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก่อนนั้นกระหม่อมจะมิถือโทษโกรธเคือง แต่กระหม่อมอยากจะร้องขอให้ฝ่าบาททรงรับรู้หรือจะทรงนำเรื่องนี้ทูลแก่องค์จักรพรรดิเหวินตี้ก็ย่อมได้ ตัวกระหม่อมและขบวนนั้นได้เดินทางผ่านอุปสรรคมาราวพันลี้ก็เพราะสารเชิญจากองค์จักรพรรดิและนี่เป็นงานชุมนุมวรรณกรรมที่ทรงเกียรติยิ่งนัก ตัวกระหม่อมนั้นหวังอย่างยิ่งว่างานนี้จักขาวสะอาดไร้มลทินอื่นใดมาแปดเปื้อน มิเช่นนั้นแล้ว กระหม่อมเกรงว่างานนี้ชักจะมีกลิ่นมิดีเสียแล้ว”
อู่หลิงเมื่อได้ยินแล้วดวงตาก็จรัสเป็นประกายพร้อมกับคำนับด้วยมารยาทงามอีกครา “ข้านั้นเห็นพ้องกับคำกล่าวของคุณชายเป็นอย่างยิ่ง ขอคุณชายได้โปรดสบายใจ แล้วตามขบวนกองทัพหญิงของข้าไปยังเมืองฝานหนิงด้วยเถิด”
“ก็ดี ! ”
อู่หลิงจึงเดินกลับไปด้วยความรู้สึกที่มีความสุขยิ่งนัก
ขบวนของฟู่เสี่ยวกวนนั้นเดินตามหลังกองทัพหญิงของนางไปทางเมืองฝานหนิงอีกครา
ฝนยามวสันตฤดูนั้นแสนละเอียด โคมไฟ ณ เมืองฝานหนิงส่องแสงเจิดจ้า
สถานที่ต้อนรับที่เหล่าขุนนางกรมพิธีการได้จัดเตรียมไว้นั้นก็มีแสงสว่างไสวเฉกเช่นเดียวกัน
เหล่าคณะทูตจากแคว้นฝาน แคว้นอี๋และแคว้นฮวงก็อยู่ที่แห่งนี่เช่นกัน พวกเขาล่วงหน้ามาก่อนขบวนของฟู่เสี่ยวกวนเป็นเวลา 2 วัน ทำให้มีเวลาเหลือเฟือในการพบปะพูดคุยต่างฝ่ายต่างก็รู้สึกคุ้นเคยกันมากขึ้น
อีกทั้งพวกเขายังเห็นพ้องกันในใจว่าศัตรูตัวฉกาจครานี้คือฟู่เสี่ยวกวน ทำให้พวกเขาสนิทสนมกันมากขึ้นเป็นทวีคูณ
และเวลานี้เหล่าตัวแทนจากแต่ละแคว้นได้มาล้อมวงสนทนากัน และกำลังถกเถียงด้วยเรื่องที่ว่าองค์หญิงไท่ผิงได้เสด็จออกจากเมืองไปแล้วครึ่งค่อนวัน และตอนนี้ก็ยังไร้ซึ่งเงาของฟู่เสี่ยวกวนและขบวน องค์หญิงทรงประหารมันแล้วหรือว่ามันและพวกพ้องได้กลับแคว้นไปแล้วจริง ๆ
ในกลุ่มเหล่าตัวแทนนั้นมีองค์ชายสิบสามแห่งแคว้นฝานนามว่าฝานเทียนหนิงร่วมอยู่ด้วย เขาเป็นชายหนุ่มรูปงาม บุคลิกเงียบขรึม แม้นว่าเขาจะนั่งอยู่ใกล้กัน แต่เขากลับนั่งดื่มชาอย่างเงียบเชียบด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มมิได้มีส่วนร่วมใด ๆ กับการถกเถียงครานี้เลยแม้แต่น้อย
ทว่าองค์ชายหกตัวแทนแห่งแคว้นอี๋ซึ่งมีนามว่าเหยียนหานยู่ บัดนี้อายุ 18 ปี ร่างกายสูงใหญ่และกำยำ ช่วงเอวมีดาบพิฆาตสีทองอร่ามคาดไว้ เวลานี้กำลังกล่าวให้ร้ายถึงพวกของฟู่เสี่ยวกวนอยู่ “ข้าแลเห็นว่าองค์หญิงไท่ผิงหาได้ทรงประหารเจ้าฟู่เสี่ยวกวนไม่ แต่ทรงเอาพวกมันไปกักขังเสีย เจ้าคนพวกนั้นมันมิรู้จักที่ต่ำที่สูง คิดหรือว่าความรู้อันตื้นเขินของพวกมันนั้นจะสามารถกำเริบเสิบสานได้ ที่นี่คือแผ่นดินของราชวงศ์อู๋หาใช่ของราชวงศ์หยูไม่ ที่นี่หาใช่ที่ที่มันจะมาคึกคะนองทำตามอำเภอใจได้”
ท่าป๋ายวนหัวเราะชอบใจพร้อมกับเอ่ยเสริม “ได้ข่าวมาว่าแคว้นอี๋ได้บุกรุกเข้าอาณาเขตของราชวงศ์หยูไปกว่าสามร้อยลี้แล้ว ฟู่เสี่ยวกวนในฐานะที่เป็นคนแห่งราชวงศ์หยูมิล่วงรู้ว่าเขาจะคิดเยี่ยงไร ? ”
คำพูดของท่าป๋ายวนนี้เองทำให้เหล่าปัญญาชนเดือดขึ้นมา
แต่หาใช่เพราะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนฟู่เสี่ยวกวนไม่ แต่เป็นเพราะรู้สึกยินดีบนความทุกข์ร้อนของผู้อื่นอย่างไม่มีสิ้นสุด
“กองทัพแห่งราชวงศ์หยูตรงชายแดนศึกทางตะวันออกนั้นช่างอ่อนแอนัก ตัวข้านั้นได้ข่าวมาว่ายามที่ศึกเพิ่งเริ่มนั้นกองทัพแห่งแคว้นอี๋ข้ามที่ราบสีหม่าได้อย่างง่ายดายนัก หากข้ามแม่น้ำสีหม่าไปได้ก็จักรุกล้ำเข้าไปในเขตซางยู่”
“ว่ากันว่าศึกที่แม่น้ำสีหม่านั้น กองทัพแคว้นอี๋เสียกำลังพลไปเพียงพันกว่านายบาดเจ็บอีกสามพันว่านาย แต่กองทัพแห่งราชวงศ์หยูนี่สิตกตายไปถึงห้าพันหรือมากหมื่นกว่านาย นี่หรือว่ากองทัพแห่งราชวงศ์หยูจะมิได้เรื่องเสียจริง ๆ ”
“พวกท่านจงคิดดูเถิด ตั้งแต่ฮ่องเต้หยูยิ่นทรงขึ้นครองบัลลังก์มาแคว้นหยูก็ตกต่ำและอ่อนแอลงอย่างมาก พระองค์ทรงโปรดทรัพย์สมบัติและรักตัวกลัวตายยิ่ง ช่างเทียบมิได้แม้เพียงครึ่งของยุคสมัยรุ่งเรืองของฮ่องเต้ไท่เหอ ราชวงศ์ในเวลานี้ได้โดนตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจทั้งหกทะลวงจนกลวงสิ้น ได้ยินมาว่าราชวงศ์มีอำนาจควบคุมแค่ภายในพระราชตำหนักเพียงเท่านั้น ส่วนเยี่ยนเป่ยซีหนอนบ่อนไส้นั้นกลับกุมอำนาจภายในราชวงศ์ เวลานี้ศึกทางตะวันตกก็ตกอยู่ในการสั่งการของบุตรชายเยี่ยนเป่ยซีผู้ซึ่งมีนามว่าเยี่ยนห้าวชู ซึ่งท่านผู้นั้นก็ทำได้ดีแต่ด้านวรรณกรรม จับปากกานั้นพอใช้ได้ แต่จับดาบยามใดเกรงว่าจะทำได้แค่สับหัวแม่เท้าของตนเองเสียนะสิ”
“ฮ่า ๆ ๆ… ”
ในห้องโถงมีเสียงหัวเราะชอบใจสนั่นหวั่นไหว แล้วได้มีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นมา “ต่อให้ฟู่เสี่ยวกวนจะมีความสามารถด้านวรรณกรรมก็ช่างปะไร เพียงแค่ประพันธ์บทกวีได้ก็เท่านั้นหาได้มีผลใดอุทิศต่อสังคมไม่ เขายกด้ามพู่กันได้แต่กลับยกด้ามดาบแล้วทำออกมาให้ดีเช่นกันมิได้ เช่นนั้นแล้วทุกท่านจงฟังไว้ ขบวนนี้มันเต็มไปด้วยพวกไม่เอาถ่านและขี้แพ้ พวกมันมาเยือนแผ่นดินแห่งราชวงศ์อู๋ครานี้เพราะมีราชสาส์นเชิญ หากแม้นองค์หญิงไท่ผิงทรงฟันฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นเสียจนพิการ ฮ่องเต้หยูยิ่นก็มิอาจหืออืออะไรได้ทั้งสิ้น ”
ทุกคนต่างนึกคิดอีกครา คำพูดนี้พูดอีกก็ถูกอีก เหตุเพราะคืนก่อนที่ได้รู้จักเสนาบดีกรมพิธีการแห่งราชวงศ์อู๋ผู้ซึ่งมีนามว่ากวนถง ผู้ที่ได้เชิญพวกเขาทั้งหมดไปพบปะพูดคุย เหลือเพียงแค่ฟู่เสี่ยกวนผู้เรื่องชื่อระบือนามผู้เดียวเท่านั้นที่ถูกปล่อยให้อ้างว้างอยู่นอกเมือง
หากงานวรรณกรรมครานี้มิอาจเอาชนะฟู่เสี่ยวกวนได้ มิเช่นนั้นจักใช่อาวุธเอาชนะได้หรือไม่ ?
หรือรุมกระทืบสักคราก็ย่อมได้ !
แค่มิทำให้ถึงตาย ฮ่องเต้หยูยิ่นคงจะยอมปิดตาข้างหนึ่งแล้วทำเป็นมิรับรู้ไปเสีย
เรื่องนี้ควรจัดการให้แล้วเสร็จก่อนที่งานวรรณกรรมจะเริ่มขึ้น ทำให้ไอ้ฟู่เสี่ยวกวนมันพิการติดเตียงมิอาจไปร่วมงานได้ ท้ายที่สุดนั้นรางวัลแห่งชัยชนะจะตกอยู่ในมือของผู้ใดก็คงต้องอาศัยความสามารถของตนเอง
นี่คือความคิดของผู้เยาว์ส่วนมาก เว้นแต่ฝานเทียนหนิงเท่านั้นที่ยังคงนั่งปลีกวิเวกอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน แล้วยังคงมองผู้คนด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเล็กน้อยแต่ยังคงมิได้ส่งเสียงใดออกมา เงียบเสียจนคนอื่นกลับลืมว่าเขามีตัวตนอยู่ในที่แห่งนี้
เหยียนหานยู่ร่วมวงสนทนาอีกครา แล้วเขาได้ดึงดาบพิฆาตที่คาดอยู่ตรงช่วงเอวนั้นฟาดลงไปบนโต๊ะด้วยความตั้งใจ “พวกท่านนั้นมิล่วงรู้ถึงสถานการณ์กองทัพ ณ เวลานี้ กองทัพซึ่งนำโดยแม่ทัพป๋อยี้เซี่ยนผู้ยิ่งใหญ่แห่งแคว้นข้าได้รุกล้ำแนวกั้นซางยู่และกวนซานจี๋ได้สำเร็จ ณ เวลานี้ได้ล่วงเลยไปแล้วสิบวัน ข้าเห็นว่าบัดนี้กองทัพคงล่วงล้ำไปจนถึงเมืองหลานหลิงเมืองยุทธศาสตร์ทางตะวันออก หากเมืองหลานหลิงแตกพ่าย แคว้นอี๋ของข้าคงจักมีทุ่งเลี้ยงสัตว์ที่นั้นเพิ่มขึ้นมา ! ”
“ทุ่งหลานหลิงนั้นช่างวิเศษนัก หากตั้งฐานที่มั่นไว้ที่นั้นแล้วจัดตั้งทัพใหม่ให้บุกมาทางฝั่งตะวันตก หากไร้ซึ่งกองทัพที่มีความสามารถพอจะสกัดกั้นได้อีกครา แคว้นอี๋ของท่านคาดว่าจะกลืนแคว้นหยูไปจนสิ้นใช่หรือไม่ ? ”
เหยียนหานยู่หัวเราะอย่างพอใจยิ่ง แต่ก็ไม่ได้เอ่ยตอบคำถามเมื่อครู่
ขณะนั้นเอง ด้านนอกมามีเสียงม้าดังอึกทึกเข้ามา ทุกคนก็หันออกไปดูว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น ก็เห็นขบวนม้าได้ครอบครองพื้นที่ลานด้านหน้าจนเต็ม
ม้าของอู่หลิงนั้นนำขบวน ช่างกล้าหาญและโดดเด่นยิ่งนัก
นางกระโดดลงมาจากหลังม้าแล้วเดินไปยังหลังขบวน เหล่าปัญญาชนนั้นก็แห่กรูกันออกมาอาศัยแสงสะท้อนจากโคมไฟบนลานช่วยในการมองเห็น แล้วพวกเขาได้พบอู่หลิงผู้ที่ยืนไปหยุดหน้ารถม้าคันหนึ่ง
บนรถม้านั้นได้มีคนผู้หนึ่งเดินลงมา แม้นว่าสายตานั้นจะมองเห็นได้ชัดเจนเพียงใด สายฝนที่แสนละเอียดนั้นพลันทำให้มองใบหน้าของคนผู้นั้นได้ไม่ชัดนัก แต่ก็สามารถมองเห็นได้ว่าอู่หลิงกำลังโค้งคำนับท่านผู้นั้นอยู่
อู่หลิงโค้งคำนับแล้ว แต่ท่านผู้นั้นหาได้คำนับตอบ เป็นใครกันช่างฐานะสูงส่งยิ่ง
อู่หลิงพูดกล่าวบางอย่างกับท่านผู้นั้น แล้วเขาก็โบกมือปฏิเสธ ส่วนขบวนที่ติดตามมานั้นได้หันหัวตามกองทัพหญิงออกจากลานไปแล้ว
ตอนที่ 282 ข้าอยากบินให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ข้าอยากเป็นอิสระดั่งสายลม… !
นี่คือสิงที่ฟู่เสี่ยวกวนนึกคิดจริง ๆ ณ ขณะนั้น
ในใจของเขาพลันรู้สึกตื่นเต้น ประหม่าและปรารถนาอย่างแรงกล้า !
หลังจากนั้นเขาก็เหินเวหาขึ้นไป สองเท้าได้ลอยขึ้นจากพื้นดินราวกับมีพลังบางอย่างที่มิอาจเห็นได้ด้วยตาเปล่ากำลังช่วยพยุงเขาขึ้นไป เขาบินขึ้นไปท่ามกลางท้องนภา ข้างบนนั้นสามารถมองเห็นได้กว้างไกลยิ่งนัก
เขากางวงแขนของตนขึ้นมาอีกคราและจินตนาการดั่งว่าเป็นปีกของวิหคตัวน้อย ๆ
เขาโบกมือทั้งสองข้างลอยตากฝนอยู่บนนภานั้นแล้วก็ร้องเพลงสุดฮิตบนโลกที่เขาจากมาเสียงดังสนั่น ฉันอยากบินให้สูงยิ่งขึ้นไป ให้สูงยิ่ง ๆ ขึ้นไป…
อู่หลิงผู้ที่ยืนมองอยู่ด้านล่างนั้นก็มองเขาด้วยแววตาตื่นเต้นและปากของนางก็อ้ากว้างด้วยความตกตะลึงเช่นกัน
“ตุบ ! ” มีเสียงเหมือนบางอย่างตกลงมา
เขาบินได้ราวสิบหลาเพียงเท่านั้น หลังจากนั้นก็ตกลงมาบนพื้นดิน !
มิหนำซ้ำร่างยังกระแทกลงพื้นอย่างจังอีกด้วย !
ร่างกายเขาของนอนแผ่หลา แขนและขากางออกไปคนละทิศคนละทาง
นี่มัน…
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งนัก เขาลุกขึ้นมาจากพื้นดิน ตัวของเขานั้นมีโคลนแปดเปื้อนไปทั้งตัว ใบหน้าของเขาก็มีโคลนสีดำคิดอยู่เช่นเดียวกัน เขาเดินไปยังแอ่งน้ำที่อยู่ห่างออกไปอย่างเงียบ ๆ
ซูเจวี๋ย ซูโหรวและซูซูต่างก็มองแผ่นหลังที่เดินจากไปนั้นด้วยความตกตะลึง โดยมีฝนแห่งฤดูใบไม้ผลินี้เป็นเบื้องหลัง แผ่นหลังนั้นได้เดินจากไปอย่างโดดเดี่ยวและดูเดียวดายยิ่งนัก
ซูซูมองซูเจวี๋ยอย่างสับสน “ศิษย์พี่…นี่มันมิควรเป็นเช่นนี้”
ซูเจวี๋ยจัดทรงหมวกตนเองอย่างสับสนเช่นกัน “ศิษย์พี่เองก็คิดว่ามิควรเป็นเช่นนี้ เขาเองนั้นคุ้นเคยกับคัมภีร์บันไดเมฆาแล้ว อาจเป็นเพราะว่ายังใช้กำลังภายในได้มิเชี่ยวชาญมากนัก
ซูซูตรึกตรองไปมาแล้วเห็นว่าสิ่งที่ศิษย์พี่เอ่ยนั้นมีความเป็นไปได้ เพราะว่าคนผู้นี้เพิ่งจะมีกำลังภายในยังคงไม่ชำนาญที่จะควบคุมมันเท่าใดนัก หากล้มอีกซักสองสามคราก็คงเก่งกล้ายิ่งขึ้น
ทว่าซูโหรวกลับเอ่ยด้วยวาจาหนักแน่นว่า “มิใช่อย่างที่พวกเจ้าคิดหรอก”
ซูซูเงยหน้าขึ้นมา “มิใช่เยี่ยงไร ? ”
“ เขาท่องคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางได้อย่างคล่องแคล่วยิ่งนัก หากพินิจด้วยเหตุและผล เมื่อเขามีกำลังภายในแล้ว กำลังภายในของเขาก็จะเคลื่อนตามจังหวะของคัมภีร์ ต่อให้ไม่ชำนาญนักแต่มิอาจหยุดชะงักได้ ดังนั้นที่เขาได้ตกลงมาเมื่อชั่วครู่นั้นแสดงให้เห็นว่ากำลังภายในของเขาได้หมดลง หรือว่าเส้นลมปราณของเขาจะมีปัญหา ? ”
เมื่ออู่หลิงได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา นางจึงโพล่งถามด้วยความเร่งรีบ “หากเส้นลมปราณมีปัญหา เยี่ยงนั้นก็หมายความว่าเขาจะฝึกวรยุทธ์มิได้น่ะสิ ? ”
ซูซูชำเลืองตามองนางอย่างไม่เป็นมิตร รูปก็งามแต่ทว่าสมองกลับใช้การได้ไม่ดีนัก !
“ใช่ ! หากเส้นลมปราณนั้นมีปัญหาจริงแล้วฝืนฝึกต่อไปเกรงว่าจะมีแต่ผลเสีย พวกท่านอย่าได้เป็นกังวลไปเสียเลย อีกประเดี๋ยวข้าจะตรวจสอบเส้นลมปราณของเขาเอง”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนล้างหน้าเสร็จเขากลับไปยังรถม้าของตนแล้วเปลี่ยนชุดที่สะอาดเอี่ยมออกมา
ซูเจวี๋ยแสดงสีหน้าเคร่งขรึม ซูซูแสดงแววตาเห็นอกเห็นใจเขา ส่วนอู่หลิงนั้นในใจพลันเต็มไปด้วยความกังวล
นี่เป็นคราแรกที่ฟู่เสี่ยวกวนได้พบเจออู่หลิง เขาไม่เคยรู้จักกับนางมาก่อน แต่ทว่าเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเข้ากับแถบสีแดงสดปรากฏอยู่เบื้องหน้า หรือนั่นจะเป็นกองทัพหญิงแห่งราชวงศ์อู๋ ?
หญิงสาวที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้านี้คาดว่าจะเป็นองค์หญิงไท่ผิง
เขาแอบมองนางด้วยสายตาที่ใคร่รู้นัก สายตาคู่นั้นมักจะตกลงไปอยู่ตรงเนินหน้าอกของอีกฝ่าย ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มออกมาโดยที่ไม่รู้ตัว เขายิ้มเสียจนอู่หลิงรู้สึกเคลิ้มฝัน แล้วใบหน้าของนางนั้นก็เริ่มปรากฎสีแดงแสดงความขัดเขินออกมา
ฟู่เสี่ยวกวนดึงสายตาของตนเองกลับมา พลางนึกในใจว่าองค์หญิงผู้นี้ช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจยิ่ง ช่างมิเหมือนนามของนางเอาเสียเลย (ไท่ผิงแปลว่าสงบสุขและสันติ) !
เขาไม่ได้กระตือรือร้นที่จะทักทายอีกฝ่ายก่อน ซูเจวี๋ยได้ยื่นมือมาจับไปตรงข้อมือของฟู่เสี่ยวกวนแล้วจึงตรวจสอบ ซูเจวี๋ยขมวดคิ้วขึ้นมา นิ้วของเขากำลังตรวจสอบชีพจรและจำนวนการหายใจของฟู่เสี่ยวกวนที่ดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ เขาปล่อยมือลง แล้วมองฟูเสี่ยวกวนด้วยความสงสัยอีกครา
“เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ” ซูซูถามด้วยความตื่นเต้น
ซูเจวี๋ยส่ายหัวเล็กน้อย ซูซูคาดว่าชีพจรของฟู่เสี่ยวกวนนั้นมีปัญหา หากเป็นเยี่ยงนั้นฟู่เสี่ยวกวนคงมิสามารถฝึกวรยุทธ์ได้อีกชั่วชีวิต การที่ไม่ฝึกวรยุทธ์นั้นก็ดีสำหรับเขา เพราะเขาเองแทบจะไม่มีเวลามาฝึกอยู่แล้วไม่ใช่รึ
เมื่ออู่หลิงเห็นซูเจวี๋ยส่ายหน้า นางก็พลันเกิดอาการหวาดผวาขึ้นมา ใบหน้าที่เคยแดงเรื่อนั้นบัดนี้ได้ถอดสีหมดเสียจนซีดเผือดแล้วรู้สึกเสียใจแทนเขาขึ้นมา แต่ในเมื่อเขาเองก็เป็นชายหนุ่มผู้ปราดเปรื่องอยู่แล้ว การฝึกวรยุทธ์ก็ไม่ได้สลักสำคัญต่อเขามากนัก
ต่อมาซูเจวี๋ยก็ได้เอ่ยออกมาว่า “เส้นลมปราณเขานั้นปกติดี กำลังภายในก็มิมีปัญหา เช่นนั้น…แล้วเหตุการณ์เมื่อครู่นั้นเกิดขึ้นได้เยี่ยงไรกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกอับอายยิ่ง เขาเอามือลูบจมูกเพื่อลดความรู้สึกขายขี้หน้า ภายในใจก็ถอนหายใจออกมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน !
ชาติก่อนหน้าเขาเป็นทหาร เขาต้องฝึกอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อที่จะเอาชนะโรคกลัวความสูงนี้ได้ ท้ายที่สุดเขาก็เอาชนะโรคกลัวความสูงนี้จนได้ อีกทั้งยังกระโดดร่มบนระดับความสูงที่หลายพันเมตรได้สำเร็จโดยที่ไม่เกิดปัญหาอะไรเลย
แต่ทว่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้มัน…
เมื่อครู่นี้เขาเหินวิหคได้ไม่เกินสิบหลาเท่านั้น แต่เมื่อตาเผลอมองไปใต้เท้าของตนเองเพียงแค่ชั่วเสี้ยวนาทีเท่านั้น ดวงตาของเขาก็ประเมิณความสูงระหว่างตนกับพื้นดินโดยไม่ทันได้ตั้งตัว หลังจากนั้นสมองก็สั่งการออกมา ทำให้เขารู้สึกวิงเวียนศีรษะในทันใด !
กำลังภายในจึงหยุดทำงานลงทันที่ที่เขารู้สึกวิงเวียนศีรษะ ด้วยเหตุนี้เขาจึงตกลงมาบนพื้นดิน
“ศิษย์พี่ ข้ากลัวความสูง ! “
ซูเจวี๋ยและอีกหลากหลายคนต่างตกตะลึง กลัวความสูง กลัวความสูงอันใดกัน ?
“ก็คือเมื่อเหินฟ้าขึ้นไปถึงระดับความสูงหนึ่งก็จะรู้สึกวิงเวียนศีรษะน่ะสิ“ เมื่อเห็นสีหน้าของทุกคนที่ยังไม่เข้าใจกับสิ่งที่ตนเอ่ยนัก เขาเลยชี้แจงเพิ่มเติม “พวกท่านรู้จักอาการเมาเลือดกันหรือไม่ นั่นก็คือเมื่อเห็นเลือดก็จะมีอาการวิงเวียนศีรษะ อาการของข้านั้นมิได้ต่างจากอาการเมาเลือดมากนัก ข้าเพียงรู้สึกวิงเวียนศีรษะเมื่อต้องเจอความสูงก็เท่านั้นเอง “
ฝูงชนพลันเข้าใจขึ้นมาทันใด ซูซูก็หลุดยิ้มออกมา “ฮ่า ๆ ผืนแผ่นดินอันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ ย่อมมีสิ่งแปลกประหลาดปะปนอยู่เสมอ ยังมีอาการกลัวความสูงอีกเสียด้วย เจ้าช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก“
อู่หลิงรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย นางคิดว่าหากไม่เหาะเหินเดินอากาศเสียก็คงจบเรื่อง
แต่ทว่าต่อมาฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เอ่ยขึ้นมาว่า “ศิษย์พี่ อีกประเดี๋ยวจงจับตามองข้าและรับข้าไว้ด้วยเถิด“
“ท่านจะทำสิ่งใดเยี่ยงนั้นรึ ? “ ซูเจวี๋ยถามด้วยความตกใจ
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วแหงนหน้ามองฟากฟ้าที่ตอนนี้ยังคงมีหยาดฝนตกพรำลงมา “ข้าอยากบินให้สูงมากยิ่งขึ้นไปอีก ! “
แล้วฟู่เสี่ยวกวนก็เหาะเหินอีกคราและครานี้ก็ตกลงมาอีกตามเคย ในเสี้ยววินาทีที่ตกมานั้นซูเจวี๋ยก็รับเขาไว้ได้ทันท่วงที
และแล้วบนเส้นทางสัญจรหลักก็คับคั่งไปด้วยขบวนกองทัพ เหล่าทหารอารักขาฟู่เสี่ยวกวนได้ลงมาจากม้าแล้ว และกองทัพหญิงอีกหลายคนก็ได้ลงจากหลังม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกัน
ส่วนสภาพของกวนถงนั้นราวกับว่าเพิ่งโดนตักขึ้นจากน้ำมิปาน เขารู้สึกหนาวเย็นยะเยือก แต่ก็เหมือนกับทุกคนที่กำลังมองไปยังร่างหนึ่งที่โลดแล่นไปมาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
เขามิอาจรู้ได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังทำสิ่งใด แต่สัญชาติญาณกำลังบอกให้เขารู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะสื่อสารบางอย่าง บางอย่างที่ว่านั้นคือเขาเป็นคนที่ไม่ยอมลดละ เป็นคนที่พร้อมจะกัดฟันสู้และตั้งมั่นดั่งหินผา !
คนเยี่ยงนี้แหละที่จะมีสติปัญญาที่มั่นคงแน่วแน่ มิเยี่ยงนั้นเขาก็บ้าไปแล้ว !
เหล่าปัญญาชนต่างมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนโดยที่ไม่เข้าใจว่าเขากำลังทำอันใดอยู่ แต่พวกเขาแค่รู้สึกว่าท่านอาจารย์ของตนนั้นเยี่ยมยอดอย่างแท้จริง
เวลานี้ฝนตกหนักยิ่งนัก แต่อาจารย์ของพวกเขาก็ยังคงจะยืนหยัดฝึกฝนกำลังภายในอยู่ การฝึกกำลังภายในของอาจารย์นั้นช่างมิเหมือนใคร ท่าทางของเขาช่างดูดีเสียยิ่งนัก !
หยูเวิ่นเหวินและต่งซูหลานต่างหันมายิ้มให้แก่กัน แม้ว่าพวกนางจะไม่เข้าใจนักว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังทำสิ่งใดอยู่ แต่เมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนมีท่าทีที่ยืนหยัดเช่นนั้นก็เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนเป็นดั่งวิหคที่บินอย่างไม่รู้จักเหนื่อยล้า เหินบินแล้วร่วงหล่นลงมา เหินบินแล้วร่วงหล่นลงมา เป็นเยี่ยงนี้เรื่อย ๆ จนดวงอาทิตย์เริ่มลาลับที่ปลายขอบฟ้า
อู่หลิงจ้องเงานั้นอย่างไม่ลดละ นางถอนหายใจเงียบ ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เขาผู้นั้นเป็นนักวรรณกรรมจริงหรือนี่ ?
อาจจะเป็นเยี่ยงนั้นจริง แต่ก็เป็นนักวรรณกรรมที่มิมีผู้ใดเหมือนอย่างแท้จริง
เพราะเขาไม่เหมือนใคร ด้วยเหตุนี้เขาจึงโดดเด่นไม่มีใครเหมือน จึงเป็นบุคคลที่มีนามเลื่องลือยิ่งนัก
หากเบื้องบนมิได้ส่งฟู่เสี่ยวกวนมาสู่แผ่นดินนี้ เช่นนั้นแล้ว แผ่นดินนี้จะกี่ร้อยวันพันปีก็มืดมนดั่งราตรีที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทุกสิ่งทุกอย่างที่มาจากคนผู้นี้ก็มิจำเป็นต้องมีเหตุผลใดมารับรองทั้งสิ้น
แต่ทว่าตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่ใคร่ถาม ทุกคนต่างมิได้กินมื้อกลางวันกันทั้งสิ้น ฝนก็ยังตกอย่างไม่ยอมลดละ หรือว่าควรจะกลับไปเมืองฝานหนิงเพื่อหาที่กำบังเสียก่อนมิดีกว่ารึ ?
ตอนที่ 281 ฟู่เสี่ยวกวนสุดยอดปรมาจารย์
กวนถงเปียกโชกไปทั้งร่าง บนใบหน้าของเขามีหยดน้ำฝนไหลลงมาเป็นทาง ปลายนิ้วของเขานั้นชี้ลงสู่พื้นธรณีและมีหยดน้ำฝนไหลย้อยลงมาเช่นกัน
ใบหน้าของเขานั้นซีดเซียวเล็กน้อย ปากของกำลังพึมพำบางสิ่งบางอย่าง แต่ทว่าในใจของเขากลับรู้สึกสงบยิ่งนัก
ณ เวลานั้นเองฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังนั่งอยู่ในรถนั้นกำลังบำเพ็ญสมาธิเข้าสู่ช่วงที่สำคัญที่สุด
เขาสามารถกำหนดลมหายใจเข้ากับเส้นลมปราณได้แล้ว
มันช่างเป็นความรู้สึกที่สุดแสนจะบรรยาย เดิมทีนั้นไม่ควรมีอยู่ แต่กลับมีอยู่จริงและสามารถรู้สึกได้จริงอีกด้วย
เขาฝึกบำเพ็ญตนตามคัมภีร์พระสูตรเก้าหยาง และปฏิบัติตามคำแนะนำของซูเจวี๋ย เขาขับพลังลมปราณนั้นเข้าไปในจุดตันเถียน ทันใดนั้นราวกับได้มองเห็นเมฆหมอกลอยตัวขึ้น ณ จุดตันเถียนของเขา
หมอกนั้นยิ่งหนาขึ้นเรื่อย ๆ และลมหายใจตรงจุดลมปราณนั้นยิ่งทวีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ราวกับได้แปลสภาพเป็นลำธารเล็กที่ไหลเอื่อย มันไหลลงไปรวมที่จุดตันเถียนและก่อตัวเป็นหมอกทึบขึ้นมาอีกครา
และหลังจากนั้น…
หมอกทึบเหล่านี้ก็ได้กลั่นตัวเป็นสายฝน ราวกับตกลงมาจากฟากฝ้า ตกลงมาใจกลางจุดตันเถียน และค่อย ๆ รวมตัวกันเป็นแอ่งน้ำเล็ก ๆ แอ่งหนึ่ง
และนี่คือสสารแห่งกำลังภายใน เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเขาได้บรรลุข้ามผ่านธรณีประตูที่ยากที่สุดของการบำเพ็ญตนบรรลุเป็นจอมยุทธ์ได้สำเร็จแล้ว
เขานึกปิติขึ้นมาในใจ และยังคงปฏิบัติตามคัมภีร์พระสูตรเก้าหยาง และน้ำที่ตกลงรวมอยู่ในแอ่งน้ำนั้นได้เคลื่อนไหวตามทิศทางที่เขาบังคับไป และแผ่ซ่านไปในทุกเส้นลมปราณของร่างกาย หล่อรวมผสมเขากับลมหายใจที่รวยริน แล้วค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นทีละนิด ๆ
เขาหมกมุ่นอยู่ในความรู้สึกนั้นโดยไม่ได้สนใจโลกภายนอกเลยแม้แต่น้อย…
เมื่อยามที่อู่หลิงได้นำทัพหญิงหนึ่งพันนางตามมาถึงที่นี่ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก
นางหันไปมองกวนถงที่ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน แต่หาได้เข้าไปถามไถ่ถึงสถานการณ์ไม่ แต่นางกลับเอ่ยถามเหวินชางไห่ที่ตอนนี้ลงมาจากรถแล้วมายืนข้างนางแทน “คุณชายฟู่อยู่ในที่แห่งนี้หรือไม่ ? ”
เหวินชางไห่คำนับพร้อมตอบคำถาม “อยู่ขอรับ แต่ทว่า…” เขารายงานเรื่องราวทั้งหมดอย่างละเอียด ครานี้อู่หลิงจึงได้รับรู้ถึงข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น แล้วส่งสายตาที่เย็นชายิ่งกว่าเดิมไปทางกวนถง
นางลงจากม้าและเดินเข้าไปหาต้นตอของปัญหา กวนถงคำนับนางด้วยความรีบร้อน
กวนถงกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ คาดว่าในเมื่อองค์หญิงแห่งไท่ผิงทรงเสด็จมาด้วยตนเอง ครานี้ฟู่เสี่ยวกวนคงมิกล้ายโสโอหังถึงเพียงนี้ได้อีกต่อไป
“กระหม่อมเดินทางออกนอกเมืองมาราว 10 ลี้ หากแต่ตำแหน่งของกระหม่อมแสนต่ำต้อย วาจาของกระหม่อนนั้นแสนไร้ค่า ได้โปรดอย่าได้ทำการแตะต้องใต้เท้าฟู่ท่านนี้เลย กระหม่อมมีสภาพแสนอนาถาเยี่ยงนี้ ก็เพื่ออ้อนวอนให้ใต้เท้าฟู่ได้โปรดเห็นใจคนน่าเวทนาเยี่ยงกระหม่อม และยินยอมตามกระหม่อมกลับเมืองกวนหยุนเสียโดยดี”
วาจานี้กล่าวด้วยท่าทีซื่อสัตย์ยิ่ง กวงถงถึงขนาดยกแขนเสื้อมาปาดหยาดฝนที่ไหลย้อยตรงใบหน้า
วาจานี้เยี่ยงนี้ช่างลึกซึ้งยิ่งนัก เดินทางออกจากเมืองมาราว 10 ลี้ กล่าวเยี่ยงนี้ช่างเป็นการไว้หน้าของฟู่เสี่ยวกวนเป็นที่สุด ทว่าฟู่เสี่ยวกวนเองกลับเป็นฝ่ายที่ไม่ได้ไว้หน้าเขาเสียเลย ไม่แม้นแต่จะชายตามองเสนาบดีกรมพิธีการแห่งราชวงศ์อู๋ผู้นี้เสียด้วยซ้ำ และแน่นอนว่าไม่แม้แต่จะเห็นแก่เกียรติขององค์จักรพรรดิเหวินตี้เลยแม้แต่น้อย
เขานึกคิดว่าประโยคนี้จะทำให้องค์หญิงไท่ผิงบันดาลโทสะได้ องค์หญิงไท่ผิงนั้นทรงพิโรธขึ้นมาดังที่คาดไว้มิผิด อีกทั้งยังพิโรธอย่างใหญ่หลวงเสียด้วย
แววตาขององค์หญิงยิ่งเย็นชามากยิ่งขึ้นไปอีก ราวกับมีเมฆดำปกคลุมอยู่บนใบหน้าที่ชวนหลงใหลนั่น
กวนถงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทว่ากลับมิคิดฝันว่าองค์หญิงไท่ผิงจะง้างมือเข้ามาตบเข้าที่หน้าตนอย่างจังจนเสียงดัง “เปรี้ยะ… ! ” ราวกับโดนเคาะกะโหลกเข้าอย่างแรง เขาได้ลิ้มรสหวานของโลหิตอยู่ข้างในปาก โลหิตสีแดงสดไหลออกมาจากมุมปากของเขาแล้วจึงหยดลงบนพื้นที่ชุ่มช้ำด้วยหยาดน้ำฝนวาดเป็นวงสีแดงราวกับดอกท้อ
เขายกมือขึ้นป้องหน้าตนเอง แววตาแสดงความหวั่นผวาขึ้นมา ศีรษะรู้สึกมึนงงเล็กน้อย
“องค์หญิง… ! ”
“เปรี้ยะ… ! ” หูของเขาดับไปอีกครา ครานี้เขารู้สึกตื่นขึ้นมาเต็มตา !
นี่องค์หญิงกำลังกล่าวโทษข้าที่ทำงานมิได้ความเยี่ยงนั้นรึ !
ข้าเป็นถึงเสนาบดีผู้ทรงเกียรติกลับต้องประจบประแจงอย่างไร้ศักดิ์ศรีต่อฟู่เสี่ยวกวน นี่มันทำให้เสื่อมเสียแก่เกียรติและศักดิ์ศรีของราชวงศ์อู๋ยิ่งนัก !
“กระหม่อมสำนึกผิดไปแล้วองค์หญิงขอรับ ! ” เขากลัวจนหัวหด แต่ในใจยิ่งกระหยิ่มยิ้มย่องขึ้นมา ขอเพียงแค่องค์หญิงมีทัศนคติที่ตั้งมั่นมากพอ เจ้าฟู่เสี่ยวกวนก็คงจะได้ลิ้มรสของหายนะ !
“เจ้าทำสิ่งใดผิด เจ้ารู้หรือไม่ ? ”
“เวลานี้กระหม่อมมิควรอยู่ที่นี่เพื่อยื้อขบวนของฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างยิ่ง ควรจะให้เขาเดินทางกลับไปเสียโดยดี กระหม่อมทำเช่นนี้ถือเป็นการทำให้เสื่อมศักดิ์ศรีแก่ราชวงศ์อู๋เป็นอย่างยิ่ง องค์หญิงโปรดลงโทษกระหม่อมด้วยเถิด ! ”
“หึ ๆ ”
อู่หลิงทำท่าทีเริงร่า แต่กลับง้างมือไปตบใบหน้าเขาอีกครา “เจ้ามันไอ้ลูกหมา ตนเองทำสิ่งใดผิดหาได้รู้ไม่ ! ”
เวลานี้กวนถงรู้สึกมึงงงมากยิ่งนัก มิใช่หรอกรึ มิใช่เพราะเหตุนี้หรอกรึ ?
องค์หญิงทรงหมายถึงสิ่งใดกัน ?
แต่หลังจากนั้นเขาก็ได้รู้ว่าองค์หญิงทรงหมายถึงสิ่งใดกัน
อู่หลิงกำหมัดแล้วโค้งคำนับซูเจวี๋ย !
“ตัวข้านามว่าอู่หลิงเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์อู๋ พวกเราสองคนเคยพบเจอกันเมื่อคราก่อน ! ”
“องค์หญิงทรงถนอมน้ำใจเกินไปแล้ว กระหม่อนเป็นเพียงสามัญชนหาได้คู่ควรแก่การเคารพขององค์หญิงไม่”
ใบหน้าขององค์หญิงเผยรอยยิ้มขึ้นมา “ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเต๋า ตัวข้านั้นได้ยินชื่อเสียงท่านมามากนัก ข้าเองก็ศรัทธาต่อสำนักเต๋าเป็นอย่างมาก เพราะโลกนี้คงมีเพียงหลักคิดแบบเต๋าเท่านั้นที่จะทำให้ดำรงซึ่งความกล้าหาญแก่ตนไปตลอดชีวิต ข้าเพียงแต่อยากถามท่าน เขาผู้นั้น…บรรลุตนเป็นศิษย์แห่งสำนักเต๋าแล้วใช่หรือไม่ ? ”
อู่หลิงผายมือไปทางรถม้า ซูเจวี๋ยลังเลอยู่ชั่วอึดใจและได้เอ่ยออกมา “ณ เวลานี้ยังมิใช่”
ณ เวลานี้ยังมิใช่ นั่นหมายความว่าอีกไม่นานเขาจะเป็นศิษย์แห่งสำนักเต๋าได้สำเร็จเยี่ยงนั้นรึ ?
“แล้วเหตุนั้นแล้ว ที่ว่ากันว่าเขากำลังจำศีลนั้นจริงหรือเท็จกัน ? ”
“เป็นเรื่องจริงอย่างแน่แท้ คุณชายของข้านั้นกำลังฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางขอรับ”
“อ่า…” อู่หลิงเข้าใจแล้ว นางจึงสั่งการให้ทหารเวรยามของตนกางเพิงพักอยู่ใกล้รถม้าที่ฟู่เสี่ยวกวนจำศีลอยู่ นางตัดสินเเล้วที่จะยืนหยัดอยู่ที่นี่จนกว่าการจำศีลของฟู่เสี่ยวนั้นจะลุล่วงจนเสร็จสิ้น
ทว่ากวนถงนั้นโดนนางไล่กลับไป “เจ้า…ในเมื่อเขาสั่งให้เจ้ายืนตากฝนรอ เจ้าก็จงยืนต่อไปจนกว่าคุณชายฟู่เสี่ยวจะตื่นขึ้นมา หากเขายังมิสามารถให้อภัยเจ้าได้ เจ้าก็จงกลับไป ไปเขียนจดหมายลาออกไปจากราชสำนักเสีย”
กวงถงตกตะลึงจนอ้าปากค้าง เขามองออกแล้ว แท้จริงแล้วองค์หญิงเสด็จมาด้วยตนเองก็เพื่อที่จะมาทำการต้อนรับคุณชายฟู่ท่านนี้ด้วยพระองค์เอง
เป็นถึงเชื้อสายราชวงศ์แต่กลับถ่อมตนมาทำการต้อนรับคุณชายเจ้าของที่ดินแห่งหลินเจียง เรื่องนี้เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อได้สำหรับกวนถง แต่เยี่ยงไรเสียก็จำต้องเชื่อว่ามันเป็นไปแล้ว
องค์หญิงทรงชื่นชอบในกวีและการสู้รบ หรือว่าองค์หญิงจะทรงโปรดบทประพันธ์และกวีของเขาแล้วประทับใจในตัวเขาขึ้นมากัน ?
นี่มันเป็นไปได้เยี่ยงไรกัน ?
องค์หญิงและจัวตงหลายเป็นคู่หมั้นคู่หมายมาตั้งแต่เยาว์วัย เป็นคู่ที่ชาวราชวงศ์อู๋ต่างวาดฝันให้เป็นคู่แท้ซึ่งกันและกัน !
องค์หญิงมิควรอย่างยิ่งที่จะละทิ้งจัวตงหลายเพื่อไปหาฟู่เสี่ยวกวนด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้ !
ภายในใจของกวนถงเต็มไปด้วยความลังเล และเต็มไปด้วยความหวาดผวาเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายที่พระนางเอ่ยออกมา
ตนเป็นถึงเสนาบดีผู้สูงส่งแท้ ๆ แต่ในสายพระเนตรขององค์หญิงแล้วนั้น เขาเทียบฟู่เสี่ยวกวนไม่ติดเลยแม้แต่ปลายขี้เล็บเลยด้วยซ้ำ !
ชักจักใคร่รู้ยิ่งนักว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นมีสถานะเยี่ยงไรในสายตาขององค์หญิง ?
เขายอมตากฝนอย่างเชื่อฟัง สายตานั้นกลับก้มลงต่ำไปที่เท้าตนเอง
เขาแทบจะไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดจากรอยฟกช้ำตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย เขานึกคิดเพียงแต่ว่าจะเอาเรื่องนี้ไปรายงานต่อท่านอัครเสนาบดีฝ่ายขวาผู้ซึ่งเป็นท่านปู่ของจัวตงหลาย
……
อู่หลิงนั่งอยู่ใต้เพิงพักพร้อมนำมือทั้งสองข้างค้ำคางของตนแล้วทอดสายพระเนตรมองฝนที่ตกอยู่ภายนอก สีหน้าของนางช่างดูหดหู่ยิ่งนัก
แม้ว่าเป่ยหวังฉวนจะบาดเจ็บอยู่แต่นางก็ไม่สามารถไล่ตามเขาทันได้ นางเข้าใจว่าแม้แต่เอ่ยเรื่องนี้ให้เสด็จพ่อรับทราบ พระองค์ก็มิสามารถจับเป่ยหวังฉวนมาได้ ในเมื่อเขาเป็นสุดยอดปรมาจารย์แห่งราชวงศ์อู๋ แทบจะมิมีผู้ใดทำร้ายเขาได้ทั้งสิ้น
แต่ทว่าคืนนั้นที่เส้นทางสัญจรแห่งภูเขาฉีซาน นางดันหัวรั้นเอ่ยวาจาสวยหรูเยี่ยงนั้นกับฟู่เสี่ยวกวน เอาเข้าจริงกลับทำมันมิได้ เมื่อเขาตื่นขึ้นมานางควรจะเผชิญหน้ากับเขาเยี่ยงไรดี จะหาคำกล่าวใดมาอธิบายเขาดี ?
ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก !
น่าเศร้าเสียยิ่งกว่าฝนที่ตกอยู่ตอนนี้เสียอีก !
ในขณะที่อู๋หลิงกำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั่นเอง มีเสียงความเคลื่อนไหวดังมาจากในรถม้า ไม่นานนัก ฟู่เสี่ยวกวนก็เดินลงมาอย่างกะฉับกระเฉง
แววตาของอู่หลิงจรัสเป็นประกายงดงาม สีหน้าของนางเผยความปลื้มปริ่มนั้นออกมาโดยทันที
นางมีความกังวลอยู่พอสมควรว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้โด่งดังทั่วทั้งใต้หล้านั้นจะมีท่วงท่าดั่งบรรดาพ่อค้าที่ดินทั่ว ๆ ไป สูงใหญ่และมีพุงกลมโต แต่แท้จริงแล้วเขากลับมีหน้าตาที่ดูมีสติปัญญามากยิ่งนัก
ช่างดูประณีต หล่อเหลา ดวงตาและคิ้วนั้นแสนคมเข้ม ช่างเป็นชายหนุ่มรูปงามเสียเหลือเกิน !
และแววตาของนางก็ดูเร่าร้อนขึ้นมาในทันใด นางลุกขึ้นยืน แต่ก็พบว่าฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ชายตามองนางเลยแม้แต่นิด
เขากลับส่งสายตาทอดมองไปบนผืนฟ้า มองฝนที่กำลังตกลงมาจากฟากฟ้า !
เขากางแขนของตนออก และหุบแขน แล้วจึงเหินขึ้นไปสู่ท้องนภา…
แล้วเขาจึงสั่งการให้ขุนนางชั้นผู้น้อยที่ติดตามตนไปค้นหาในรถม้าแต่ละคันในขบวน
เซวียผิงกุยมิได้ห้ามปรามใด ๆ เพราะฟู่เสี่ยวกวนมิได้สั่งการไว้
เมื่อกวนถงตรงไปค้นหายังรถของซูเจวี๋ย และเขาก็ยืนอยู่ตรงด้านหน้าของม้าพอดี
“คุณชายของข้าอยู่บนรถคันนี้ แต่ท่านกำลังรวบรวมสมาธิเพื่อบรรลุสู่ช่วงเวลาสำคัญอยู่ ดังนั้นคุณชายจึงกำชับหนักหนาว่าห้ามผู้ใดทำการรบกวนเป็นอันขาด”
“ตัวข้านั้นนามว่ากวนถง เป็นเสนาบดีกรมพิธีการแห่งราชวงศ์อู๋ ! ”
ซูเจวี๋ยปรับหมวกของตนให้เข้าที่เข้าทางเล็กน้อย และทำความเคารพกวนถงอย่างเป็นทางการ “โอ้ใต้เท้ากวน ตัวข้านั้นนามว่าซูเจวี๋ย เป็นศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเต๋า ! ”
กวนถงถึงกับตกอยู่ในอารมณ์งุนงง ข้าอยากรู้จักเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน ข้าเพียงแค่แนะนำตัวข้าเองเท่านั้น อย่ามาขัดขวางข้าจนให้เกิดความล่าช้าได้หรือไม่ ?
กวนถงสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อหวังจะให้ความโกรธจางหายไป “ ข้ามีเหตุต้องเข้าพบใต้เท้าฟู่ ! ”
ซูเจวี๋ยคำนับด้วยความเคารพอีกครา “คุณชายของข้าเอ่ยว่า เว้นแต่จะเป็นธุระสำคัญเร่งด่วนเช่นบิดาของท่านสิ้นชีพ หรือต่อให้องค์จักรพรรดิเหวินตี้จะทรงประพาสมาด้วยตนเองก็เถิด ต้องรอให้ท่านฝึกตนข้ามผ่านด่านหฤโหดในการบรรลุเป็นจอมยุทธ์ให้ได้เสียก่อนจึงจะเข้าพบได้”
กวนถงรู้สึกราวกับมีความโกรธเคืองจุกอยู่ในลำคอ !
ซูเจวี๋ยรู้สึกเหมือนว่ากวนถงจะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนกำลังสื่อสาร เขาเลยกล่าวเพิ่มเติม “ใต้เท้ากวนคงอาจจะยังมิทราบ โอกาสที่จะบำเพ็ญตนจนบรรลุเป็นจอมยุทธ์นั้นเป็นไปได้แต่มิสามารถอ้อนวอนขอจากเทวดาฟ้าดินได้ โชคงามยามดีเช่นนี้คุณชายเลือกสิ่งนี้ก็ถือว่าสมควร เพราะหากพลาดครานี้ไปก็มิอาจหยั่งรู้ได้ว่าจำต้องรออีกนานเท่าใด”
“หากข้าดื้อรั้นที่จะเข้าพบจะเป็นเยี่ยงไร ?”
ซูเจวี๋ยปรับตำแหน่งของหมวกตนเองอีกครา “ขนาดท่านเป่ยหวังฉวนได้รับบาดเจ็บสาหัส เว้นเสียแต่ว่าท่านจะระดมกำลังพลมาช่วย มิเช่นนั้นแล้ว…เกรงว่าคนที่จะผ่านด่านข้าได้นั้นคงจะมีมิมากนัก”
คำกล่าวนั้นทำให้กวนถงรู้สึกกระทบกระเทือนในจิตใจ ท่านเป่ยหวังฉวนปรมาจารย์แห่งราชวงศ์อู๋น่ะรึได้รับบาดเจ็บ ?
ใครกันที่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บ ?
หากเป็นเยี่ยงนั้นไซร้เจ้าคนที่อ้างตนว่าเป็นศิษย์แห่งสำนักเต๋านั้นคงจะเป็นสุดยอดฝีมืออีกคนหนึ่ง หากเขาต้องการจะหยุดยั้งตน เกรงว่ากำลังพลที่นำมาด้วยในขบวนครานี้คาดว่าจะมิพอเสียแล้ว
ระดมกำลังพล…ตนเองเป็นเพียงแค่เสนาบดีกรมพิธีการเท่านั้น จักมีคุณสมบัติระดมกำลังพลได้เยี่ยงไรกัน ?
เวลานี้จักทำเยี่ยงไรดี ?
หากเขาจำต้องจำศีลหนึ่งเดือนจริง เกรงว่าถึงตอนนั้นงานชุมนุมวรรณกรรมคงจะสิ้นสุดเสียแล้ว เยี่ยงนั้นคงมิต่างจากการให้พวกเขาเดินทางกลับแคว้นตนไปเสียมิใช่รึ ?
พวกคนต่ำช้า !
เขามิคาดคิดว่าเหล่าผู้ติดตามขบวนของฟู่เสี่ยวกวนนั้นจะต่ำช้าได้เพียงนี้ !
นี่มันเจตนาทำให้ข้ารู้สึกขายหน้า ให้ข้าต้องตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เจ้าต้องการให้ฝ่าบาทปลดข้าออกจากตำแหน่งเยี่ยงนั้นรึ ?
เขารู้สึกกระวนกระวายอยู่ในใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะรับมือกับเรื่องนี้เยี่ยงไรดี
ซูเจวี๋ยเอ่ยอีกครา “คุณชายที่กำลังจำศีลของข้าได้กล่าวไว้อีกว่า หยาดฝนในฤดูใบไม้ผลิเยี่ยงนี้ให้ความชุ่มชื่นดียิ่งนัก ใต้เท้ากวนโปรดปรานหรือไม่ ทว่าหากตากฝนมากเกินไป เกรงว่าใต้เท้ากวนจะผลิดอกผกาอันงดงามออกมาเสียก่อนน่ะสิ”
ผลิดอกผกาบ้าอะไรของเจ้า !
หมายความว่า ฟู่เสี่ยวกวนอยากจะให้ข้ายืนตากฝนเยี่ยงนั้นรึ ?
เมื่อกวนถงจะผละตัวออกไป ก็ได้ยินซูเจวี๋ยเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบขึ้นมาอีกครา “คุณชายของข้าช่างทำนายได้แม่นยำดั่งตาเห็น”
กวนถงชะงักฝีเท้าลง แล้วหันกลับไปหาซูเจวี๋ย
ซูเจวี๋ยเผยรอยยิ้มเล็กน้อย “คุณชายกล่าวไว้ว่า หากข้าได้กล่าวถึงสิ่งที่ได้เอ่ยไปเมื่อครู่ ใต้เท้ากวนต้องยอมรอเป็นแน่ หากท่านกวนยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว นั่นเป็นอันว่าการเดินทางของขบวนทูตแห่งราชวงศ์หยูคงจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้”
กวนถงรู้สึกเย็นวาบขึ้นมาที่ใบหน้าทันใด อีกทั้งเขายังรู้สึกว่าร่างกายเขาเองก็เย็นยะเยือกไปหมดทั้งตัว เขารู้ดีว่าไม่ได้หนาวเย็นเพราะฝนแห่งฤดูใบไม้ผลิ แต่เป็นเพราะตนเองได้กลายเป็นตัวตลกของอีกฝ่ายเข้าเสียแล้ว !
ฟู่เสี่ยวกวนนั้นร้ายกาจกว่าที่ตนจินตนาการไว้มากนัก !
ในเมื่อเขากล่าวมาเยี่ยงนี้ เกรงว่าหากว่าตนจะหันหลังถอยกับไปจริง ๆ เขาจะต้องทำตามที่กล่าวไว้ได้เป็นแน่ !
ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะก้าวขาออกมาแม้แต่ก้าวเดียว ในใจนั้นพลันนึกถึงแต่คุณชายฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้
จนบัดนี้ แม้เขาจะไม่เคยพบเจอฟู่เสี่ยวกวนเลยสักครา แต่กวนถงกลับรู้สึกเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ แค่เด็กหนุ่มที่เพิ่งย่างเข้าวัยสิบเจ็ด ประพันธ์หนังสือและบทกวีได้เยี่ยมยอดก็เท่านั้น นี่คือฟู่เสี่ยวกวนคนที่เขาเคยเข้าใจ แต่วันนี้คงต้องเพิ่มคำเชยชมให้คุณชายคนนี้เสียแล้ว “ปัญญาชั่วร้ายดังปีศาจ ฉลาดนักเรื่องคิดแผนการ แลกล้าหาญสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ! ”
แต่ทว่าเขามิอาจหยั่งรู้ว่าว่าขณะนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจำศีลอยู่จริง ๆ
เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนวางแผนจะให้กวนถงให้รอเก้ออยู่ด้านนอกชั่วครู่แล้วเป็นอันจบสิ้น แต่คาดมิถึงว่าร่างกายของเขาเองจะรู้สึกแบบนั้นขึ้นมาเสียจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงเดินไปยังรถของซูเจวี๋ยให้เขาช่วยค้นหาวิธี อยากจะใช้โอกาสนี้ในฝึกการรวมพลังลมปราณตรงจุดตันเถียน
หากเป็นไปตามที่หวัง เขาก็จะเป็นจอมยุทธ์ได้สมดั่งใจ แม้จะเป็นแค่ระดับขั้นต้นก็สามารถร่ำเรียนวิชาตัวเบาได้แล้ว
เป็นดั่งวิหคบินร่อนไปมา และนี่ก็เป็นหนึ่งในความฝันของการมาเยือนยังโลกแห่งนี้
ดังนั้นกวนถงจึงเข้าใจเขาผิดถนัด
หยาดฝนยามฤดูใบไม้ผลิได้ตกลงมาเป็นสาย แต่เม็ดฝนช่างละเอียดเสียจริง ๆ
ไม่นานนัก ผมเผ้าและเสื้อผ้าของกวนถงได้เปียกปอนแนบลู่ไปกับร่างกาย เขารู้สึกเย็นยะเยือกมากยิ่งขึ้น แต่ครั้งนี้คือความหนาวที่หยาดฝนได้ก่อขึ้นมา
โดยเฉพาะลมเย็นที่พัดเอื่อยมาเป็นระยะนั้นทำให้มิอาจต้านทานได้และรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นมา
เขาอยากจะจากไปเต็มทน แต่ขาทั้งสองข้างกลับยึดติดบนพื้นดินราวกับมีรากใหญ่เหนี่ยวรั้งเอาไว้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงแค่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นโดยมิได้ขยับแม้แต่น้อย
เขาหวนนึกถึงบารมีขององค์จักพรรดิเหวินตี้ หากว่าตนขืนมุทะลุเดินกลับไปและฟู่เสี่ยวกวนก็ดื้อรั้นที่จะเดินทางกลับแคว้นของตน หากเป็นเช่นนั้นแล้วไม่เพียงแค่ตนจะโดนตัดหัวด้วยคมดาบของพระองค์แล้วเป็นอันจบสิ้น
แต่ยังครอบคลุมไปถึงบ้านเรือนและการค้าที่เขาลงหลักปักฐานไว้ที่เมืองกวนหยุน และยังมีภริยาเอกและอนุ รวมไปถึงบุตรหญิงชายรวมนับสิบชีวิต !
การค้าขายส่วนตัวที่ครั้งหนึ่งคิดว่าอู้ฟู่ยิ่งนัก วันนี้มันกลับเป็นดั่งบ่วงพันธการแก่เขา
เขามิอาจยอมรับได้หากหลายชีวิตต้องมาตกตายไปพร้อมกัน เขาจึงต้องคิดอย่างถี่ถ้วนในทุกการเคลื่อนไหวของตนเองหลังจากที่ตรึกตรองอยู่นาน เขาจึงได้แต่กดไฟโกรธที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวนนั้นไว้ในใจ หนทางเดียวตอนนี้คือยืนตากฝนแล้วรอให้ความขุ่นเคืองของฟู่เสี่ยวกวนบรรเทาลง
ครานี้เขาได้ดำดิ่งสู่จุดที่ต่ำที่สุดแล้วอย่างแท้จริง
แต่ลึก ๆ ในใจเขาคิดว่า หากเขาได้กลับไปเมืองกวนหยุนเมื่อใด เขาจะไปตำหนักจู้เสียนนำเรื่องนี้ไปทูลต่อองค์ฝ่าบาท !
เพียงแค่ถวายความชี้แจงว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นไร้ซึ่งมารยาทและหยิ่งทะนงตนยิ่งนัก หากสามารถยุแยงให้เหล่าขุนนางและองค์จักรพรรดิเกิดความพยาบาทขึ้นมาได้ ฟู่เสี่ยวกวนจักต้องสิ้นชีพเป็นแน่
เหวินชางไห่กางร่มกระดาษแล้วเดินเข้ามาหา เขามองกวนถงแล้วจึงสลับไปมองซูเจวี๋ย แล้วเอ่ยถาม “ใต้เท้าฟู่อยู่ในรถคันนี้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ซูเจวี๋ยพยักหน้าตอบรับ
“ตัวข้านั้นนามว่าเหวินชางไห่ เป็นบัณฑิตแห่งสำนักฮั่นหลิน และเป็นบุตรของเหวินสิงโจว ได้โปรดให้ข้าเข้าพบใต้เท้าฟู่ด้วยเถิด”
ซูเจวี๋ยคำนับอย่างนับถืออีกครา และส่ายหัวด้วยความรู้สึกเสียใจ “คุณชายข้ากำลังจำศีลบำเพ็ญตน เวลานี้มิอาจเข้าไปรบกวนท่านได้ ขอเรียนใต้ท่านว่าควรกลับไปเสียเถิด”
เหวินชางไห่ย่อมไม่หลงเชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังจำศีลอยู่จริง เขาคาดว่าอาจเป็นเพราะเรื่องที่กวงถงได้ทิ้งขบวนของฟู่เสี่ยวกวนให้รออยู่นอกเมืองไว้คืนก่อน ถึงตอนนี้เขาจึงคิดที่จะแก้แค้น
เขาไม่ได้กล่าวโทษฟู่เสี่ยวกวนเลยแม้แต่น้อย เพราะสิ่งที่กวนถงทำนั้นผิดมหันต์
ดังนั้นเขาจึงหันไปมองกวนถงอีกครา นึกถึงคืนก่อนเขายังฮึกเหิมยิ่งนัก แต่ทว่าวันนี้สภาพกลับซีดเผือดดั่งไก่ต้ม
ฟู่เสี่ยวกวนก็โกรธอย่างเป็นจริงเป็นจัง มิรู้ว่าเมื่อใดจึงจะดับมอดไฟโกรธและเข้าใจถึงความลำบากที่กวนถงกำลังประสบอยู่
“เห้อ…” เขาส่ายหัวแล้วเดินกางร่มจากไป แต่กวนถงกลับตะโกนด่าทอเขาอยู่ในใจ “เจ้าคนโอหัง ข้าคิดว่าเจ้าจะเอาร่มมาให้ข้าเสียอีก แต่กลับมาเพียงแค่ดูข้าตกที่นั่งลำบากเฉย ๆ แล้วเดินจากไปเยี่ยงนี้รึ ! ”
สำหรับเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจำศีลนั้น นอกจากสามศิษย์แห่งสำนักเต๋า ก็หาได้มีผู้ใดปักใจเชื่อไม่
แม้นว่าจะเป็นเสนาบดีสวี่หวยซู่ ปัญญาชนทั้งร้อยชีวิต หรือว่าจะเป็นกองกำลังทหารม้าอีก 500 ชีวิตเองก็ตาม
พวกเขาต่างคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนทำการนี้เพื่อชำระความเคืองโกรธ เพื่อกู้คืนศักดิ์ศรีของคนราชวงศ์หยูกลับคืนมา จึงใช้ข้ออ้างนี้ในการทำโทษเสนาบดีกรมพิธีการแห่งราชวงศ์อู๋ท่านนี้
แน่นอนว่าพวกเขาต่างชอบและรู้สึกสาแก่ใจยิ่ง ต่างเห็นว่าวิธีนี้ช่วยกู้เกียรติยศและศักดิ์ศรีของราชวงศ์หยูกลับคืนมาได้บ้าง สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กระทำไปนั้นย่อมได้รับคำชื่นชมและความเคารพจากผู้ติดตามทั้งหมด
และแล้วกวนถงก็ยืนอยู่เยี่ยงนั้นจนเลยเข้าเที่ยงวัน
ตอนที่ 279 จำศีล
เซี่ยะซีเฟิงรู้สึกกดดันขึ้นมาพร้อมกับพร่ำด่ากวนถงอยู่ในใจ แต่จำต้องฝืนแสดงรอยยิ้มออกมา “ใต้เท้าฟู่ผู้มีจิตใจกว้างขวางขอรับ เวลานั้นท่านกวนคงสับสนไปชั่วขณะ ขอท่านได้โปรดให้ขบวนหยุดรอฟังคำชี้แจงของใต้เท้ากวนถงชั่วครู่ได้หรือไม่ ? ”
“ข้าคงมิบังอาจฟังคำชี้แจงของใต้เท้ากวนถงหรอก และท่านก็มิจำเป็นต้องโน้มน้าวข้า ไปบอกเขาสักคำว่าข้ามิพอใจยิ่ง ! ”
ประโยคนี้ทำให้เซี่ยะซีเฟิงโมโหเป็นอย่างมาก
ไอ้กวนถงคนชั่วช้า แผนการอันร้ายกาจที่เจ้าคิดขึ้นมานั้นข้ามิมีส่วนรู้เห็นแม้แต่น้อย อีกทั้งข้ายังเดินทางกลับไปกลับมาท่ามกลางสายฝน ต่อให้อ้อนวอนข้า ข้าก็จักไม่แยแสอีกต่อไป ต่อให้ฝ่าบาทสืบสวนเรื่องนี้ขึ้นมาข้าก็จะมิรับผิดชอบใด ๆ ทั้งสิ้น
ทว่าประโยคที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวเมื่อครู่นั้นจำเป็นต้องเอ่ยแก่กวนถง เพราะเขาอยากรู้เหลือเกินว่าหากได้ฟังประโยคนี้แล้วเจ้านั่นจะแสดงท่าทีเยี่ยงไร
เขาทุ่มเสียงลงแล้วกล่าวอีกครา “บุตรชายของเหวินสิงโจวนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ข้าซึ่งมีนามว่าเหวินชางไห่ได้ให้เกียรติติดตามขบวนนี้มาด้วย เขาผู้นั้นเป็นบัณฑิตของสำนักฮั่นหลินและได้ตั้งตารอคอยการมาถึงของใต้เท้า ถือว่าเห็นแก่ท่านเหวินผู้เก่งกล้า ขอท่านจงได้โปรดชะลอขบวนด้วยเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้คาดคิดว่าท่านเหวินสิงโจวจะมอบหมายให้บุตรชายของตนมาทำการต้อนรับด้วยเช่นกัน ตรึกตรองไปมาเขาจึงสั่งให้เซวียผิงกุยชะลอความเร็วของขบวนลง
“อีกชั่วครู่เจ้าจะจัดการเรื่องนี้เยี่ยงไร ? ” หยูเวิ่นเหวินเอ่ยถาม
“ฝนนี้ก็ช่างตกถูกกาละเสียจริง อีกครู่ก็ให้คนแซ่กวนผู้นั้นตากฝนรอเสียหน่อย”
“พวกเราจะยังคงเดินทางไปเมืองกวนหยุนใช่หรือไม่ ? ”
“ใช่ ! แม้นตัวข้าเองมิได้อยากไปนัก แต่ครานี้เป็นภารกิจที่องค์ฝ่าบาททรงมอบหมายให้และข้าจำต้องทำให้ลุล่วงเสีย อีกอย่างหากไปก่อตั้งจุดทำการค้าในเมืองกวนหยุนเสียหน่อย ข้าว่าก็มิเลว ข้าก็ใคร่รู้นักว่าการค้าขายของเมืองกวนหยุนนั้นพัฒนาไปถึงไหนแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนได้ตั้งใจแน่วแน่ที่จะทำการนี้แล้ว แต่เขาก็มิอาจหยั่งรู้ได้ว่าเขาได้ทำสิ่งใดให้กวนถงมิพอใจเขาเช่นนี้ กวนถงถึงไม่รักษาหน้าเขาเลยแม้แต่นิด หากอยากจะตบหน้าราชวงศ์หยูนักละก็ เขาก็จะไม่ยอมรักษาหน้าอีกฝ่ายไว้เช่นกัน และเขาจะฟาดมือเขากลับไปที่ราชวงศ์อู๋อีกด้วย
เขาจำต้องแยกแยะให้ได้ว่าเหตุการณ์นี้เกิดจากแผนการของกวนถงเองหรือเป็นแผนการขององค์จักรพรรดิเหวินตี้ หากเป็นแผนการของพระองค์แล้วไซร้ เขาคงต้องรวบรวมสติให้มากที่สุดเพื่อต่อกรกับเรื่องนี้ เพราะนี่มิได้หมายถึงพระองค์กำลังลองเชิง มิใช่แค่ต้องการลองเชิงกับตน แต่ต้องการจะลองเชิงกับราชวงศ์หยูเสียมากว่า
และนี่คงมิใช่เรื่องที่น่ายินดีนัก บางทีอาจจะต้องการโหมโรงให้ราชวงศ์หยูตกสู่ความวุ่นวาย เช่นนั้นแล้วก็ส่งสัญญาณให้ราชวงศ์หยูเฝ้าระวังว่ากองกำลังชายแดนของราชวงศ์อู๋อาจเตรียมที่จะทำศึกให้ดี
แต่ทว่ากวนถงก็กำลังไล่ตามขบวนของตนอยู่ ฉะนั้นความเป็นไปได้ที่จะเป็นเช่นนั้นก็น้อยยิ่งนัก อย่างไรเสียฟู่เสี่ยวกวนก็จำต้องเตรียมตัวรับมือไว้
ขบวนรถม้าได้ชะลอความเร็งลงเป็นที่เรียบร้อย สวี่หวยซู่เป็นคนแรกที่ตอบสนองในเรื่องนี้
เดิมทีนั้นเขารู้สึกกดดันต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก ทว่าเมื่อรถชะลอความเร็วลง เขาก็เกิดความยินดีขึ้นมาทันใด จึงเร่งเลิกผ้าม่านแล้วเรียกเซวียผิงกุย ครานี้จึงได้รู้ว่าสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนคาดการนั้นมิผิดเลยสักนิด ขบวนต้อนรับอาคันตุกะแห่งราชวงศ์อู๋กำลังไล่ตามพวกเขามาติด ๆ
เขาสบายใจขึ้นเล็กน้อย ในใจพลันนึกคิดหากแม้นเป็นเช่นนี้ต่อให้เขารักษาหน้าฟู่เสี่ยวกวนไว้ เขาก็จะหาทางฉวยโอกาสนี้ไปเยือนเมืองกวนหยุนให้จงได้
คืนก่อนเขามิอาจข่มตานอนหลับได้ เขานึกพะวงในใจเป็นอย่างมาก พะวงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะอารมณ์ร้อนเกินไปจนตัดสินใจทุกอย่างพลาด พะวงว่าหากขบวนกลับเมืองหลวงครานี้ อย่าเอ่ยถึงว่าจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นเสนาบดีฝ่ายพิธีการเลย ผู้ช่วยตำแหน่งเสนาบดีนี้ก็เกรงว่าจะโดนฝ่าบาทปลดทิ้งเสีย
รถม้าของกวนถงนั้นวิ่งเร็วยิ่ง สีหน้าของเขานั้นกังวลและไร้ซึ่งคำพูดอื่นใด
ในมือของเหวินชางไห่นั้นถือหนังสืออยู่หนึ่งเล่ม แต่เขากลับอ่านมันมิลงเสียแล้ว เขาวางหนังสือเล่มนั้นลง แล้วมองไปยังใบหน้าของกวนถงที่ตอนนี้ร้อนรนมิสู้ดีนักแล้วจึงส่ายหัว
“ใต้เท้ากวนถง ท่านเองนั้นก็เป็นศิษย์สำนักศึกษาหลีซาน ทว่าตอนนี้ข้ารู้สึกดูหมิ่นดูแคลนท่านเป็นอย่างมาก ท่านคลุกคลีกับหน้าที่นี้กว่ายี่สิบปี แต่ตัวท่านเองกลับมิเหลือเกียรติของผู้ที่มีการศึกษาเอาเสียเลย ตัวท่านละโมบในอำนาจและเงินตรา ท่านลืมสิ้นแห่งศักดิ์ศรีแลเกียรติยศของผู้มีการศึกษา โดยเฉพาะยิ่งกับฟู่เสี่ยวกวน บุคคลที่ปราดเปรื่องและนามเลื่องลือเพียงนี้ เขานั้นจิตใจกว้างขวางปานมหาสมุทร วิสัยทัศน์กว้างไกลนัก แต่ท่านกลับกล้าที่จะดูหมิ่นเขา มิว่าท้ายที่สุดเขาจะเปลี่ยนใจหรือไม่นั้น เมื่อครากลับถึงเมืองหลวงข้าจักรายงานสิ่งที่ท่านกระทำให้ทางราชสำนักรับทราบ ”
กวนถงเงยหน้าขึ้นมาทันใด “ท่านคิดหรือว่าเขาจะกล้าเดินทางกลับแคว้นเสียจริง ๆ เขาเพียงแค่กระทำเพื่อข่มขู่ข้าเพียงเท่านั้น ข้าว่าพวกเราคงจะไล่ตามทันในมิช้า เพียงแค่ข้าเอ่ยวาจา เขาจักต้องหันหัวขบวนกลับไปยังเมืองกวนหยุนเป็นแน่”
เขาพูดยังไม่ทันขาดคำ ทันใดนั้นเซี่ยะซีเฟิงก็ขี่ม้าตรงมาทางเขา และเอ่ยคำที่ฟู่เสี่ยวกวนฝากมาให้ “ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าเขาคงมิบังอาจฟังคำชี้แจงของใต้เท้ากวน เพราะเขามิพอใจในสิ่งที่ท่านทำยิ่งนัก ! ”
กวนถงคิ้วขมวดแล้วถอนหายใจด้วยความเคืองโกรธ เขาแค่นหัวเราะเยาะ “เขามิพอใจ ข้าเองก็มิพอใจเช่นกัน ! ”
อีกชั่วครู่เขาก็เอ่ยถามว่า “ขบวนรถม้านั้นชะลอลงแล้วหรือยัง ? ”
“มิชะลอขอรับ แค่ก่อนลาจากได้เอ่ยว่าท่านเหวินได้ร่วมขบวนมาด้วย และข้าได้ขอร้องให้ชะลอความเร็วลงหน่อย”
“นั่นมันจงใจจะข่มเหงข้าชัด ๆ ”
เซี่ยะซีเฟิงรู้สึกระคายใจเป็นอย่างมาก เขาจึงเอ่ยถาม “หรือมิเช่นนั้นก็ปล่อยให้เขานำขบวนกลับหรือขอรับ ? ”
กวนถงตาถลึงใส่เซี่ยะซีเฟิง กลับไปเยี่ยงนั้นหรือ เขากลับไปแล้วจะให้ข้ารายงานต่อฝ่าบาทเยี่ยงไร ?
“เขามิกล้ากลับไปเป็นแน่ รอให้ข้าไล่ตามทันแล้วข้าจะ…ข้าจะเชิญเขาไปเมืองกวนหยุน เรื่องนี้ก็คงจะจบลงได้”
เมื่อย่ำเข้าช่วงสาย ขบวนของกวนถงก็ไล่ตามขบวนของฟู่เสี่ยวกวนจนทัน
เมื่อเขาลงมาจากรถม้าจึงพบว่าตนเร่งรีบเสียจนลืมหยิบร่มติดมือมาด้วย
เขาเลิกคิ้วแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงรถม้าคันที่ใหญ่ที่สุด เซี่ยะซีเฟิงกล่าวว่าฟู่เสียวกวนอยู่ในรถม้านี้มาตลอด มีองค์หญิงเก้าและต่งชูหลานอยู่ร่วมด้วย นี่ช่างขัดต่อศีลธรรมยิ่งนัก หรือนี่จะถึงคราที่ราชวงศ์หยูเสื่อมถอยเข้าแล้วจริง ๆ
“ตัวข้ามีนามว่ากวนถง ได้รับราชโองการจากฝ่าบาทให้มาต้อนรับขบวนของใต้เท้าฟู่ผู้ยิ่งใหญ่ ขอใต้เท้าฟู่และขบวนได้โปรดตามข้าไปเมืองกวนหยุนด้วยเถิด”
ในรถม้าไร้ซึ่งเสียงตอบรับใด ๆ เขาขมวดคิ้ว และกล่าวซ้ำอีกครา แต่ก็มิมีเสียงตอบรับเช่นเคย
เขาพยายามข่มไฟโกรธไว้ในใจ คิดว่าเมื่อถึงเมืองกวนหยุนแล้วจะลงมือจัดการเขาเสียให้สิ้นซาก !
แล้วเขาก็เอ่ยมาอีกครา ทว่าครานี้มีเสียงของผู้หญิงตอบรับกลับมา
“ใต้เท้ากวนถงรึ ข้ามิเห็นรู้จัก ท่านกำลังมองหาฟู่เสี่ยวกวนอยู่งั้นรึ เขามิได้อยู่บนรถคันนี้”
“ขอสอบถามว่าเขาอยู่บนรถคันไหน ? ”
พวกข้าเองก็มิอาจทราบได้ ทว่าเขาฝากคำพูดมาให้ท่าน
กวนถงเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาในใจ “เขาฝากคำพูดใดมารึ ? ”
“เขาฝากบอกว่า เขารู้สึกจิตใจร้อมรุ่ม มีไฟอยากจะฝึกตนขับลมปราณและบรรลุเป็นจอมยุทธ์ เช่นนั้นเขาจะจำศีลบำเพ็ญตนและอยู่กับตนเองสักพัก เขายังมิอยากพบเจอกับผู้ใด ! ”
กวนถงตะลึงเสียจนอ้าปากค้าง
มาดผู้มีอารมณ์สุนทรีเช่นเขาหรือจักเกิดความรู้สึกร้อนรุ่มอยากเป็นจอมยุทธ์ขึ้นมา ?
อยากจะจำศีล ?
จำศีลไปทำไมกัน ?
เจ้าพวกนี้แกล้งกันชัด ๆ !
เจ้าพวกนี้มันกล้าหนามยอกเอาหนามบ่งกับข้างั้นรึ !
กวนถงโกรธแค้นยิ่งนักแต่ก็ไม่มีทางอื่น เดิมทีคิดเพียงว่าตนแค่เดินทางมาพบฟู่เสี่ยวกวนด้วยตนเองแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนก็จักยอมตามกลับมาแต่โดยดี แต่มิคิดว่าจะกล้าเล่นสกปรกได้ถึงเพียงนี้ !
หากจะหาข้อแก้ต่างก็มิควรนำคำว่าจำศีลมาเป็นข้อแก้ต่างยิ่ง นี่มันดูเหลวไหลสิ้นดี !
และเขาก็พยามกลืนความโกรธนี้ลงไป แล้วถามอีกครา “มิทราบว่าใต้เท้าฟู่จะจำศีลอีกนานเท่าใดกัน ? ”
“ข้าก็มิอาจรู้ได้ เขาว่าอาจจะเดือนหนึ่งหรืออย่างน้อยก็สิบกว่าวัน หากท่านรอมิไหวก็จงกลับไปเสียเถิด เขาย้ำหนักหนาว่าอย่าได้ทำการรบกวนเวลาของเขา”
กวนถงแทบกระอักเลือดออกมา เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าต้องหาให้พบให้จนได้ เขามิมีทางรอเปล่าเปลี่ยวอยู่ท่ามกลางสายฝนเป็นแน่
ตอนที่ 278 เคลื่อนขบวนม้าออกไป
“เว้นเสียแต่ว่าเหตุใด ? ”
“เว้นเสียแต่ว่าจะมีผู้ใดมีวรยุทธ์พลังดัชนี”
สุ่ยหยุนเจียนยิ้มร่าออกมาแล้วส่ายหน้าเล็กน้อย เขากล่าวว่า “นับสหัสวรรษแล้วที่จอมยุทธ์พลังดัชนีได้สาบสูญไปจากแผ่นดินนี้ หากแม้นแต่ผู้นั้นจะรู้ซึ่งวิทยายุทธ์นั้นจริง เขาย่อมตามฆ่าล้างท่านเป็นแน่ แต่ท่านกลับหลบหนีมาได้”
เรื่องนี้ได้กลายเป็นปมม้วนขดในใจและยากจะคลี่คลายให้กับทั้งสอง !
เป่ยหวังฉวนเป็นผู้ที่ระวังเนื้อระวังตัวเป็นอย่างยิ่ง หากมิได้หยั่งรู้ว่าตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนเป็นเช่นไรเสียก่อน เขาก็มิอาจลงมือทำร้ายฟู่เสี่ยวกวนอย่างไร้ซึ่งเหตุผล และสุ่ยหยุนเจียนก็เป็นสุดยอดปรมาจารย์เช่นกัน ซึ่งแน่นอนว่าเขาย่อมให้ความสำคัญกับอาชีพหมอที่สูงส่งมากกว่า
“กระดูกสะบักของท่านถูกอาวุธนี้ทำให้แตกเป็นเสี่ยง ๆ ช่วงนี้ข้าอยากให้ท่านงดการใช้กำลังภายในไปก่อน จงดูแลรักษาร่างกายท่านให้ดี หนึ่งปีต่อจากนี้ห้ามท่านแตะต้องคันธนูเป็นอันขาด มิเช่นนั้นความเจ็บปวดจะมิจางหาย”
เป่ยหวังฉวนพยักหน้ารับทราบพร้อมนำตั๋วเงินกลับกล่องผ้าไหมออกมาจากชายเสื้อของตนแล้ววางไว้บนโต๊ะ ซึ่งนั่นเป็นค่ารักษา และที่สำคัญก็คือภาพดอกบัวขาวที่ปรากฏอยู่บนกล่องนั้น
เขาหยิบกระสุนแล้วนำมาพินิจอย่างชิดใกล้ แล้วจึงเก็บไว้อย่างระมัดระวัง ในขณะที่กำลังเดินออกจากจวนนั้นเองก็เจออี้เหมินถงวิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน
“นายท่านขอรับ องค์หญิงไท่ผิง…ทรงนำกองทัพหญิงมาล้อมจวนไว้หมดแล้วขอรับ ทรงตรัสว่า…ทรงตรัสว่าให้ส่งตัวท่านปรมา…ท่านปรมาจารย์เป่ยให้พระองค์ขอรับ ! ”
เมื่อได้ฟังความเช่นนั้นทั้งสองก็หันหน้ามามองกันว่าเกิดสิ่งใดขึ้น
“ท่านได้ทำการใดให้องค์หญิงโกรธแค้นหรือไม่ ? ”
เป่ยหวังฉวนส่ายหัวไปมา “มิมีเสียหน่อย ข้าจะทำให้องค์หญิงโกรธแค้นด้วยเหตุอันใดกัน ? ”
“เหตุใดองค์หญิงจึงยกกองทัพมาจับกุมท่านถึงที่นี่ได้เล่า ? ”
“ข้าจะล่วงรู้ได้เยี่ยงไรกัน ข้าขอไปดูให้เห็นกับตาก่อน”
“ไปดูด้วยกันเถิด ! ”
……
อู่หลิงถือดาบยาวด้วยท่าทีหาญกล้าและองอาจอยู่บนหลังม้า ทรงทอดพระเนตรเห็นเป่ยหวังฉวนขมวดคิ้วด้วยสีหน้าฉงนและบนบ่าของเขายังมีผ้าพันแผล เขาได้รับบาดเจ็บงั้นรึ
ผู้ใดสามารถทำให้เขาบาดเจ็บได้ ?
ความคิดนี้โผล่เข้ามาในหัวของอู่หลิงชั่วขณะ ทันใดนั้นนางก็ชักดาบยาวชี้ตรงไปที่เขาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ข้าเพียงแต่ต้องการจะถามเจ้า ใช่เจ้าหรือไม่ที่วางแผนลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวนที่เขตชายแดน ? ”
เป่ยหวังฉวนผงะเล็กน้อย ต่อให้ลงมือสังหารฟู่เสี่ยวกวนแล้วมีเหตุอันใดต้องเกี่ยวข้องกับองค์หญิงไท่ผิงด้วย ?
เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วกำลังจะชี้แจงเบื้องลึกเบื้องหลัง แต่กลับสังเกตได้ถึงสีหน้าโหดเหี้ยม และโบกด้ามดาบเพื่อสั่งการ “ไปนำตัวมันมาให้ข้าประเดี๋ยวนี้ ! ”
ขบวนนักรบหญิงชุดแดงได้กรูเข้ามาหาเขาในทันใด เขาตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า แต่เขาก็มิบังอาจทำร้ายองค์หญิงไท่ผิงได้อีกเช่นกัน
จะทำเยี่ยงไรดี ?
หนี คงต้องหนีแล้ว !
เขาสำแดงวิชาท่าร่างแล้วเหาะเหินขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจากได้เอ่ยกับคำกล่าวว่า “องค์หญิง ข้าเกรงว่าท่านจะเข้าใจข้าผิดไป”
อู่หลิงกัดฟันอย่างโกรธแค้น แหงนหน้ามองเงาของเป่ยหวังฉวนที่ลอยไกลไปทุกเสี้ยววินาที นางคิดว่าหากจับตัวเขามิได้ฟู่เสี่ยวกวนต้องเกิดความบาดหมางขึ้นในใจเป็นแน่ ต่อให้ได้พบเจอในงานเทศกาลฤดูหนาวแต่เขาต้องมีท่าทีเย็นชาเป็นแน่ เช่นนั้นต้องจับเป่ยหวังฉวนให้จงได้
สุ่ยหยุนเจียนมองอู่หลิงนำกองทัพจากไปอย่างฉุกละหุกด้วยความตกตะลึง
เขาส่ายศีรษะแล้วเดินกลับเข้าจวนของตนไป ในใจพลางคิดว่าควรจะนำเรื่องนี้กราบทูลองค์รัชทายาทเสียหน่อย
ย่อมแน่ชัดว่ากองทัพของอู่หลิงมิอาจไล่เป่ยหวังชวนจนทันได้ ในที่สุดนางก็ยอมแพ้เคลื่อนทัพไปทางอื่น หากคำนวณจากระยะเวลา เวลานี้ขบวนของฟู่เสี่ยวกวนควรจะมาถึงเมืองฝานหนิงแล้ว
ครานี้นางมีราชโองการขององค์จักรพรรดิเหวินตี้ติดตัวมาด้วย นางอยากเจอฟู่เสี่ยวกวนแล้วอธิบายทุกอย่างให้ชัดแจ้ง สิ่งที่เป่ยหวังฉวนได้ก่อขึ้น หาใช่ความตั้งใจของราชสำนักไม่ นางหวังที่จะลบเลือนความบาดหมางนั้นให้จางไป อย่าได้มาทำลายสิ่งที่นางคาดหวังไว้เลย
ในขณะที่ขบวนของอู่หลิงได้เคลื่อนไปเมืองถึงฝานหนิงอย่างไม่ลดละนั้นเอง นางก็ได้รู้ข่าวคราวว่าขบวนฟู่เสียวกวนยังมิได้เข้าเมือง มิเพียงแต่มิได้เข้าเมืองแต่ยังหันหัวขบวนมุ่งหน้ากลับแคว้นหยูอีกต่างหาก !
ทำให้นางโกรธแค้นเป็นอย่างมาก !
เจ้ากวนถง เจ้าคนชั่วช้า !
ข้าจะบั่นคอเจ้าให้จงได้ !
ในขณะที่ปัญญาชนจากแคว้นฝาน แคว้นอี๋และแคว้นฮวงมองนางด้วยแววตาเจิดจรัสนั้น อู่หลิงก็นำทัพออกไปอย่างโกรธแค้น เหล่าปัญญาชนมิล่วงรู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น นึกคิดหรือว่าจะมีความบาดหมางกันระหว่างองค์หญิงและฟู่เสี่ยวกวน ?
เมื่อท่าป๋ายวนได้ยลโฉมองค์หญิงก็ได้จิตใจสั่นไหวขึ้นมา !
แม่นางคือสตรีที่ใจเขาหมายปอง !
เหล่าคนจากแค้วนฮวงต่างหึกเหิม ท่าทีองค์อาจและเข้มแข็งมิแพ้ชายชาตรีเยี่ยงองค์หญิงไท่ผิงนี้สิถึงจะเป็นคุณสมบัติที่สตรีของแคว้นฮวงควรจะมี
หากแม้นได้สมรสกับพระองค์ผู้ซึ่งสมบูรณ์แบบและช่างสมพระเกียรติเช่นนี้ ฐานะของตนในครอบครัวก็ย่อมสูงกว่าคนอื่น หรือและสูงกว่าเสด็จพี่ของตนยิ่งนัก
หากได้ควบคุมกองกำลังม้าเกราะดำฝีมือฉกาจของแคว้นฮวงแล้วร่วมมือกับพระมเหสีบุกโจมตีแคว้นหยู ชัยชนะของศึกครานี้จะทำให้ตนได้มีชื่อจารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ !
เขาตั้งใจแน่วแน่ มิว่าจะเยี่ยงไรก็ตาม งานกวีครานี้ตนมิอาจปราชัยแก่ฟู่เสี่ยวกวน !
หากว่าต้องแพ้อย่างแท้จริง ก็ฆ่าฟู่เสี่ยวกวนเสีย !
……
ขบวนรถม้าของฟู่เสี่ยวกวนกำลังเคลื่อนกลับแคว้นท่ามกลางสายฝนโปรยแห่งฤดูใบไม้ผลิ
รถของเขาได้เคลื่อนไปเบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว ในรถม้าที่เต็มไปด้วยปัญญาชนและเจ้าหน้าที่คณะทูตต่างก็เต็มไปด้วยคำถามมากมายในหัว
แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้ชี้แจงแถลงไข สวี่หวยซู่เองก็เช่นกัน แต่ความเงียบงันที่ปกคลุมอยู่นี้ย่อมทำให้พวกเขาพอคาดเดา สถานการณ์ได้บ้าง
เหล่าปัญญาชนทั้งหลายต่างคับแค้นใจยิ่งนัก นี่คงเป็นการหยามเหยียดอย่างใหญ่หลวงยิ่ง !
ณ เวลานี้แคว้นหยูมีปัญหาทั้งในและนอก มิหนำซ้ำยังโดนราชวงศ์อู๋รังแกอีก !
นึกถึงคราที่ฟู่เสี่ยวกวนผู้เป็นอาจารย์ของพวกเขาได้กล่าวไว้ว่า “แคว้นที่อ่อนแอย่อมไร้สัมพันธไมตรี ! ”
ครานั้นพวกเขายังเข้าใจได้ไม่ถ่องแท้นัก แต่ครานี้นึกถึงแล้วช่างปวดหัวใจเสียจริง ๆ
ท้ายที่สุดแล้วนั้น หรือว่าความสามารถในการรบของแคว้นหยูเป็นรองแคว้นอู๋ไปมากโข ด้วยเหตุนี้ราชวงศ์อู๋ถึงได้เพิกเฉยต่อพวกเขา เหยียดหยามพวกเขา และนี่คงเป็นนิยามของคำกล่าวที่ว่า แคว้นที่อ่อนแอย่อมไร้ความสัมพันธ์ !
เหล่าปัญญาชนได้รับบทเรียนครั้งสำคัญจากเหตุการณ์นี้ เมื่อพวกเขาพินิจพิเคราะห์หลักบริหารบ้านเมืองอีกครา ก็ได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเหตุใดที่ผ่านมาอาจารย์ฟู่ของตนถึงได้ย้ำถึงความสำคัญเป็นหนักหนา ทำได้รู้ซึ่งเสียดั่งที่ว่าหลักเศรษฐกิจพื้นฐานจะช่วยยกระดับแคว้นของตนได้เยี่ยงไร
เช่นนั้นแล้ว หากแคว้นหนึ่งต้องการเป็นใหญ่ต้องการที่จะยืนเด่นเหนือใครในใต้หล้า จะต้องมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่ดีเป็นพื้นฐาน แลมีภูมิปัญญาที่ยิ่งใหญ่คอยขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์
เมื่อมีเศรษฐกิจที่แข็งแรง มีสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับการค้นคว้าวิจัย นั่นถึงจะเป็นโอกาสดีที่จะได้พัฒนายุทโธปกรณ์และมีกองทัพที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น !
หากเป็นเช่นนั้น แคว้นอู๋ยังจะกล้าดูแคลนราชวงศ์หยูอีกหรือไม่ ?
ดังนั้นความรับผิดชอบในครานี้มิใช่พวกเขา แต่เป็นพวกเราคนหนุ่มสาวทุกคน แท้จริงแล้วคนหนุ่มสาวนี้แหละคือจุดศูนย์กลางแห่งความคิด !
ฟู่เสี่ยวกวนคิดมิถึงว่าเหตุการณ์นี้จะทำให้เหล่าลูกศิษย์ของตนบรรลุขึ้นมาได้ เวลานี้เขาได้นั่งอย่างสุขสบายในรถม้าของหยูเวิ่นหวินและกำลังกินองุ่นที่ต่งชูหลานปอกเปลือกให้
“เจ้ามิกังวลใจบ้างเลยรึ ? ”
“มีเหตุอันใดให้กังวลใจกัน พูดตามตรง เวลานี้ข้าอยากแวะไปที่ซีซานเสียมากกว่า”
“ซีซานเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“เห้อ…ก็ขาดผู้มีความสามารถน่ะสิ ปืนใหญ่หงอีรุ่นแรกกำลังผลิตออกมา แต่น่าเสียดายที่ผลลัพธ์มิน่าพอใจนัก ทว่าการก่อสร้างที่ภูเขาเฟิ่งหลินจวนจะเสร็จลุล่วงแล้ว ว่ากันว่าสวยงามยิ่ง ยามว่างพวกเราค่อยไปเยี่ยมชมด้วยกัน ”
“อืม…”
เวลานั้นเองเซี่ยะซีเฟิงก็ได้ขี่ม้าวิ่งไล่มาอย่างรวดเร็ว เขาขี่ม้าไปประกบรถมาของหยูเวิ่นหวิน แล้วกล่าวอย่างถ่อมตนว่า “คุณชายได้โปรดรอก่อนเถิดขอรับ ท่านกวนถงและขบวนต้อนรับกำลังเดินทางมาขอรับ ”
“ขอบคุณท่านนายพลที่ให้การดูแลตลอดการเดินทาง แต่โปรดกล่าวแก่ใต้เท้ากวนถงว่า งานเทศกาลฤดูหนาวแห่งราชวงศ์อู๋ มีข้าอยู่หรือมิมีอยู่มันก็มิได้สำคัญนัก พวกข้าจักมิไปร่วมงานให้จักรพรรดิเหวินตี้รำคาญใจ”
ตอนที่ 277 เขาไปแล้ว
นโยบายของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อปีกลายทำให้เกิดการก่อสร้างพระราชวังขึ้นมาในแคว้นฮวง !
สิ่งนี้ทำให้ท่าป๋าโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแต่ทำสิ่งใดมิได้ เขามิมีแม้กระทั้งคนให้ระบายความคับแค้นในใจ ทำได้เพียงแค่เก็บเอาความขมขื่นนี้กล่าวให้ท่าป๋าชิวลูกชายของตนฟัง
ท่าป๋าชิวเองก็เพิ่งจะรับรู้ถึงเรื่องราวทั้งหมด และรับรู้ถึงภัยการคุกคามอันใหญ่หลวงครานี้
เวลานี้เขากำลังกัดฟันขบคิด
ไอ้พวกผู้นำเผ่าที่โฉดเขลาพวกนั้นต่างก็ดีใจ อีกทั้งยังกล่าวว่ายามที่พระราชวังนั้นสร้างเสร็จแล้ว พวกมันจะเข้าไปอาศัย แล้วภายภาคหน้าท่าป๋าชิวจะได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาบดีกรมการคลัง ส่วนเรื่องบ้านเมืองนั้นให้องค์ชายแปดบริหารจัดการ !
เรื่องความคับแค้นใจที่มีต่อแคว้นฮวงนั้น ท่าป๋ายวนล้วนซึมซับมาจากพ่อของตน แต่กลับรู้สึกราวกับเผชิญมันทั้งหมดด้วยตนเอง
แต่ตอนนี้เขามีโอกาสทองอยู่ในมือแล้ว นั่นก็คือองค์หญิงไท่ผิง !
หากได้สมรสกับองค์หญิงไท่ผิง จะมีราชวงส์อู๋เป็นเกราะกำบัง ต่อให้องค์ชายแปดก็เถอะ !
เมื่อยามเขาเป็นใหญ่เขาจะไหว้วานให้กองทัพแห่งราชวงศ์อู๋ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์พวกชนเผ่านั้นให้สิ้น แคว้นฮวงต้องเป็นเอกราช มิเช่นนั้นเสี้ยนหนามพวกนี้จะมิมีวันหมดสิ้นไป
เขาเองคิดเช่นนั้น ส่วนเหล่าปัญญาชนจากสองแคว้นที่เหลือต่างก็แววตาลุกเป็นประกาย ในขณะที่กำลังแย่งชิงดีชิเด่น ก็โอ้อวดว่าตนสามารถเอาชนะฟู่เสี่ยวกวนได้ แล้วจะสั่งสอนให้เขาได้รู้ซึ้งไว้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าเสมอ !
เพลานั้นกลับมีคนหนุ่มอีกคนหนึ่งที่รับฟังอย่างเงียบเชียบ เผลอยิ้มบ้างเป็นบางครา เพราะคิดว่าเรื่องพรรค์นี้มันช่างน่าขันสิ้นดี
ทว่ากวนถงนั้นรู้ดี คนเหล่านี้เป็นเพียงแค่เศษสวะ !
องค์หญิงไท่ผิงมิอาจสมรสแล้วย้ายตามพระสวามีไปแคว้นอื่นได้ ต่อให้เป็นฟู่เสี่ยวกวนก็มิมีวัน
ฝ่าบาทคงมิได้เชิญฟู่เสี่ยวผู้มีนามเลื่องลือเช่นนี้มาโอ้อวดแค่ความเก่งกล้าของตน ฝ่าบาทย่อมมีแผนอื่นอีกเป็นแน่ มีความเป็นไปได้ว่าจะถือโอกาสใช้ชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนแต่งตั้งตำแหน่งใหญ่ให้จัวตงหลายได้อย่างชอบธรรม
จัวตงหลายและองค์หญิงไท่ผิงต่างก็เคยร่ำเรียนในสำนักหลีซาน ต่างเป็นสุดยอดนักปราชญ์แหล่งหลานซี อีกทั้งท่านปู่ของจัวตงหลายนามว่าจัวอีสิงมีตำแหน่งเป็นเสนาบดีฝ่ายขวาแห่งราชวงศ์อู๋ !
ท่านพ่อของเขานามว่าจัวเปี๋ยหลียังเป็นผู้บัญชาการกองทัพสูงสุดอีกด้วย !
ชื่อเสียงเรียงนามของตระกูลจัวมิมีผู้ใดเทียบเท่าได้
สำหรับเรื่องขององค์หญิงไท่ผิง แม้จัวตงหลายจะแสดงท่าทีของตนอย่างชัดเจนมานานแล้ว และฝ่าบาทก็มิเคยขัดขืน
เช่นนั้นกวนถงมองแผนการนี้ออกอย่างชาญฉลาด จัวตงหลายกำลังจะรับตำแหน่งขุนนางแห่งราชวงศ์อู๋ ซึ่งแน่นอนว่ามิอาจเป็นราชบุตรเขยได้ ดังนั้นฝ่าบาทจึงใช้แผนการที่ว่า หากผู้ใดประพันธ์กวีได้ดีเยี่ยมที่สุด องค์หญิงไท่ผิงก็จะตกเป็นของผู้นั้น
เป็นวิธีที่ดี่เยี่ยมเสียจริง ๆ !
ฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นได้เพียงแค่ก้อนกรวดใต้เท้าของจัวตงหลายเท่านั้น !
เหตุนี้เขาจึงกล้าทิ้งฟู่เสี่ยวกวนให้รออย่างอ้างว้างอยู่นอกเมือง วางแผนว่าพรุ่งนี้จะไปพบเสียหน่อย หากเจอกันแล้วก็จะกล่าวว่าขออภัยก็คงจบสิ้น คงมิเป็นเรื่องใหญ่โตมากนัก
แต่ทว่าเขากลับคาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเดินขบวนกลับเสียจริง ๆ อีกทั้งยังกลับแบบดื้อ ๆ เสียด้วยซ้ำ !
เช้าวันรุ่งขึ้น กวนถงโดนปลุกจากห้วงแห่งการหลับใหลด้วยเสียงเคาะประตูของเซี่ยะซีเฟิง ทำให้เขาโกรธเป็นอย่างมาก เมื่อคืนเขามีความสุขดื่มจนเมามาย เวลานี้แล้วก็ยังมิหลุดพ้นจากฤทธิ์มึนเมาของสุรา
แต่คำกล่าวนั้นของเซี่ยะซีเฟิงทำเขาตื่นในบัดดล
“เจ้ากล่าวว่าอะไรนะ ? ”
“ คณะทูตแห่งแคว้นหยูถอนเพิงพักแล้วนำขบวนกลับแคว้นหยูตั้งแต่ย่ำรุ่งแล้วขอรับ”
“เขาไปแล้วรึ ? ”
กวนถงแทบจะไม่อยากเชื่อหูตนเอง เขากล้ากลับได้เยี่ยงไร กลับไปจะเผชิญหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูได้เยี่ยงไร มิคิดกลัวว่าฮ่องเต้จะตัดหัวเขาเอาเยี่ยงนั้นรึ ?
ชั่วเวลานั้นเองสมองของกวนถงได้คิดหาร้อยพันสาเหตุว่ามันเกิดขึ้นได้เยี่ยงไร แต่กลับมิมีเวลามากพอมาไตร่ตรอง ในเมื่อจักรพรรดิเหวินตี้อยากให้ฟู่เสี่ยวกวนมาเป็นสะพานที่จะให้จัวตงหลายก้าวรับชัยชนะอย่างชอบธรรม ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจำเป็นต้องอยู่ในงานด้วย ถ้าหากเขาไปแล้ว จะมิมีสะพานอย่างที่วางแผนไว้อีกแล้ว ต่อให้จัวตงหลายเป็นผู้ประพันธ์ที่เยี่ยมที่สุด แต่ในสายตาผู้อื่น เขาคงมิอาจเทียบกับฟู่เสี่ยวกวนในด้านวรรณกรรมได้ !
ท่านเสนาบดีฝ่ายขวาจะปลดเขาออกจากตำแหน่งหรือไม่ ?
แม่ทัพจัวจะประหารเขาหรือไม่ ?
“ไล่ตามเขาไป เร็วเข้า ! ” กวนถงรีบร้อนขึ้นมา เขาสวมใส่ชุดขุนนางแล้ววิ่งออกไปอย่างเร่งรีบแม้แต่หน้าตาก็ยังมิได้ล้าง
บ้าเอ้ย ข้าจะยุแยงให้ท่านเสนาบดีถือโอกาสยามที่แคว้นหยูอ่อนแอเช่นนี้สังหารฟู่เสี่ยวกวนให้จงได้
เขานำขบวนเจ้าหน้าที่กรมพิธีการขี่ม้าออกจากเมืองไปอย่างเร่งด่วน เขากำชับให้เซี่ยะซีเฟิงตามขบวนของฟู่เสี่ยวไปให้ทัน เขาหันไปมองไปหน้านั้นของเหวินชางไห่ รู้สึกว่าใบหน้านั้นต้องการจะสื่อถึงเขาว่าสมน้ำหน้าอยู่เป็นแน่
“ข้าทำให้ท่านชางไห่หัวเราะเยาะเข้าแล้วสิ”
เหวินชางไห่ส่ายศีรษะ “ข้ากล่าวต่อท่านไปแล้วเมื่อค่ำ ท่านช่างประเมินค่าฟู่เสี่ยวกวนต่ำเกินไปเสียจริง ๆ หากท่านทำความเข้าใจฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้สักนิด ท่านจะรู้แจ้งว่าเขาเป็นคนเยี่ยงไร ! ”
……
เมืองกวนหยุน
ณ จวนอันเงียบสงบและสวยงามแห่งหนึ่ง
ในมือของสุ่ยหยุนเจียนนั้นถือกระสุนที่เพิ่งนำมาออกมาจากบ่าของเป่ยหวังฉวน เขาขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและพลิกกระสุนไปมาอยู่หลายครา จ้องมองดูมันเสียเนิ่นนาน
เป่ยหวังฉวนผู้ที่อยู่ในสถาพบ่าเปลือยเปล่าก็โหวกเหวกขึ้นมา “ อ่า! แผลข้ายังเลือดไหลมิหยุด เจ้าควรจะเย็บแผลให้ข้าเสียที”
“อ่า…” สุ่ยหยุนเจียนจึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าการผ่าตัดยังมิเสร็จสิ้น
เขานำกระสุนโยนเข้าไปในถาดรอง เสียงกระสุนกระทบถาดดังเพล้ง เขาหันไปมองกระสุนนั้นอีกคราแล้วจึงหันมาเย็บแผลให้เป่ยหวังฉวน
“เจ้านี้มันแปลกประหลาดยิ่งนัก ท่านดูสิ มันยาวราวสองนิ้วทำจากเหล็กอย่างดี ขัดจนเป็นมันวาว แต่ปลายกระสุนกลับมิคมเอาเสียเลย ท่านเป็นถึงปรมาจารย์ที่ฟันแทงมิเข้า แต่มันกลับทะลุเข้าไปในเนื้อหนังของท่านได้ มิหนำซ้ำยังทะลุเข้าไปถึงกระดูกของท่านอีก อย่างที่ท่านกล่าว หากท่านมิได้รวบรวมกำลังภายในปกป้องร่างกายของท่านไว้ ป่านนี้กระสุนคงทะลุบ่าไปแล้วเป็นแน่ ”
ใบหน้ากลมที่ไม่ค่อยแสดงออกถึงสีหน้าของสุ่ยหยุนเจียนถึงกับเผยสีหน้าเข้มขรึมขึ้นมา “มันถูกยิงออกมาจากอาวุธแบบใดกันแน่ อาวุธนั้นมีพลังทำลายล้างมากถึงเพียงใด…อีกอย่าง หากท่านนำกระสุนนี้ไปให้ท่านโจวเย่พินิจดู ข้าคาดว่าแม้นเป็นช่างเหล็กฝีมือดี ก็มิสามารถขัดได้งดงามถึงเพียงนี้ คนที่ยิงท่านมานั้นเป็นผู้ใดกัน ”
เป่ยหวังฉวนเองก็ลังเลใจยิ่งนัก ครานั้นฟู่เสี่ยวแอบหมอบอยู่ท่ามกลางป่าท้อแล้วซุ่มยิงเขา เขามิเห็นแม้แต่เงาของคนที่ทำร้ายตน และมิรู้ว่าคือฟู่เสี่ยวกวน อย่างไรเสียเข้าก็ไม่อยากปักใจเชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมีความสามารถมากถึงเพียงนี้
เขาคิดว่าฝีมือระดับนี้ถือได้ว่าเป็นฝีมือระดับปรมาจารย์เช่นกัน และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลที่เขาถอยหนีอย่างไม่คิดชีวิต
“เจ้าว่าใต้หล้านี้มีปรมาจารย์อื่นใดอีกเล่า” เป่ยหวังฉวนถาม
“ใคร ๆ ต่างรู้ว่าใต้หล้านี้มีหกสุดยอดปรมาจารย์แห่งการต่อสู้ ที่ข้าพอรู้บ้างก็มีโหยวเป่ยโต้วที่มีน้องชายที่ฝึกตนเป็นระดับถึงปรมาจารย์ แต่สองพี่น้องกลับมิสามัคคีกัน สามสิบปีก่อนโหยวเป่ยโต้วได้หลบไปใช้ชีวิตในป่าเขาตามที่ใจรัก ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้ถามไถ่เรื่องทางโลกอีกเลย ล่าสุดเมื่อขึ้นแปดค่ำ เดือนอ้าย เขาพายเรืออยู่ท่ามกลางมหาสมุทร ว่ากันว่ากำลังเดินทางไปภูเขาลั่วเหมย ส่วนน้องชายของเขาเจี่ยหนานซิงหลังจากที่เลิกบำเพ็ญตบะก็ได้ทำศึกสงครามกับพี่ชายของตนที่ภูเขาลั่วเหมย ว่ากันว่าศึกครานั้นทำให้ดอกเหมยร่วงจดแทบจะหมดทั้งภูเขา และตั้งแต่ครานั้นสายสัมพันธ์พี่น้องก็ขาดสะบั้นลง และมิมีผู้ใดล่วงรู้ว่าเจี่ยหนานซิงอยู่ที่แห่งใด”
สุ่ยหยุนเจียนส่งกระสุนให้เป่ยหวังฉวน พร้อมกล่าวว่า “หากท่านกล่าวว่ากระสุนนี้เป็นของเจี่ยหนานซิง ข้าคงมิอาจเชื่อถือได้ เพราะคราศึกภูเขาลั่วเหมยเขาปราชัยให้พี่ชายของตน อีกอย่างเขาใช้หมัดมวยในการสู้รบ มิใช้อาวุธเถื่อนเช่นนี้ ! ”
เจ้ากระสุนนี้คงมิอาจมาจากการโก่งยิงจากคันธนู ทั้งสองต่างเห็นพ้องว่านี่คืออาวุธเถื่อน
“ใต้หล้านี้ใช้อาวุธเถื่อนก็เห็นจะมีเพียงกงซุนแห่งแคว้นอี๋เท่านั้น แต่ทว่ากงซุนเป็นบุคคลที่ตำหนักอี๋ให้ความเคารพ อีกทั้งยังอยู่ในช่วงศึกระหว่างแคว้นอี๋และแคว้นหยู กงซุนมิมีทางออกโรงแทนฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่ แม้นว่ากงซุนจะลงมือเองก็ทำมิได้เพราะเขาเป็นเพียงปรมาจารย์ชั้นกลางเท่านั้น มิมีทางทำร้ายท่านได้เป็นแน่ ! ”
“เว้นเสียแต่ว่า…”
ตอนที่ 276 ต่างคนต่างมีแผนการ
ณ เมืองฝานหนิง
กวนถงขมวดคิ้วฉงนขึ้นมาอีกครา
เมื่อครู่มีสายรายงานมาว่าขบวนทูตแห่งราชวงศ์หยูได้พักแรมพร้อมจัดแจงทำอาหารและเพิงพักอยู่นอกเมืองนี้ นี่มันหมายความว่าเยี่ยงไรกัน… ?
คงมิอาจยอมได้หากให้ตนรอด้วยความหิวโหย แต่อีกฝ่ายกลับกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญใจ
“ช่างเสียปะไร” กวนถงหัวเราะเยาะ
เขามองไปทางเหวินชางไห่ “ท่านชางไห่ ดูเหมือนค่ำคืนนี้พวกเขาต้องพำนักชั่วคราวที่นอกเมืองเสียแล้ว ก็ดีเสีย ข้าจะได้ถือโอกาสนี้พบปะกับคณะทูตของแคว้นฝาน แคว้นอี๋ และแคว้นฮวง ดื่มสุราพูดพล่ำทำกลอน หากข้าจะเล่าเรื่องเจ้าฟู่เสี่ยวกวนเสียหน่อย ข้าว่าพวกนั้นคงจะสนใจฟัง”
เหวินชางไห่ถอนหายใจ “ฝ่าบาททรงวางพระทัยให้ท่านเป็นผู้ดูแล มาต้อนรับเหล่าคณะทูตจากต่างบ้านต่างเมืองครานี้ ท่านจะจัดการเยี่ยงไรข้าก็มิบังอาจไปขัดขืนได้ แต่มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากจะขอเตือนท่าน เรื่องบางเรื่องก็ควรทำแต่พอเหมาะพอควร ข้าเกรงว่าท่านจะประเมินค่าฟู่เสี่ยวกวนต่ำเกินไป และเหตุการณ์มันจะเลยเถิดไปกันใหญ่ ! ”
เขาพูดในขณะที่มือกำลังเลิกผ้าม่านออก แล้วหันมากล่าวอีกครา “หากท่านคิดว่าสามารถยั่วยุให้เหล่าปัญญาชนทั้งสามแคว้นให้หยิ่งทระนงจนยกตนข่มฟู่เสี่ยวกวนได้ละก็ ข้าเกรงว่าท่านจะคิดผิดอย่างมหันต์ ทักษะทางวรรณกรรมล้วนแต่เกิดจากพรสวรรค์ ข้าก็กล่าวได้เพียงเท่านี้ มันสมองเหล่าปัญญาชนจากทั้งสามแคว้นรวมกัน หาเทียบฟู่เสี่ยวกวนเพียงผู้เดียวได้ไม่ ! ”
และเขาก็เดินลงจากรถม้า “และนี่คือเหตุผลที่ฝ่าบาททรงพอพระทัยฟู่เสี่ยวกวน โปรดให้อภัยข้าเถิด ข้ามิอาจร่วมทางกับท่านได้อีกต่อไป ! ”
เขาวางผ้าม่านลงแล้วเดินจากไปอย่างไม่พอใจ
กวนถงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟและสบถด่าอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าคนโฉดเขลา เจ้าจะทำลายศักดิ์ศรีของราชวงศ์อู๋รึ เจ้ามันมิเหมาะสมกับการมีบิดาผู้แสนปราดเปรื่องเอาเสียเลย ! ”
……
ณ เพิงพักของขบวนทูตแห่งราชวงศ์หยูนั้นครึกครื้นยิ่งนัก
บรรดาลูกศิษย์ของเขามิทราบว่าสถานการณ์เป็นเยี่ยงไร ฟู่เสี่ยวกวนก็ไม่ปรารถนาจะบอกกล่าว
หลังจากมื้อค่ำ สวี่หวยซู่และเซวียผิงกุยเข้ามาพบฟู่เกี่ยวกวนในเวลาเดียวกัน
สวี่หวยซู่แสดงสีหน้ากังวลแล้วกล่าวว่า “พวกเราจะรอกันเยี่ยงนี้รึ ? ”
มีนัยว่าจะรออย่างปล่าวประโยชน์จริงหรือ หรือจะวานให้เซี่ยะซีเฟิงเข้าเมืองไปเร่งขบวนฝั่งนั้นเสีย
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มตอบ “มีประโยชน์อันใดให้รอต่อไป ย่ำรุ่ง…”
เขาหันไปมองทางเซวียผิงกุย “ยามย่ำรุ่ง เจ้าจงจำคำข้าไว้ จงถอนเพิงพักแล้วออกเดินทาง”
เซวียผิงกุยตกตะลึงทันพลัน “ไปที่แห่งใดขอรับ ? ”
“นำขบวนกลับแคว้น ! ”
สวี่หวยซู่และเซวียผิงกุยหันมามองหน้ากันโดยไร้คำกล่าว ร่วมเดินเท้าผ่านอุปสรรคมาไกลโข เมืองกวนหยุนจุดมุ่งหมายแห่งการเดินทางครานี้อยู่ใกล้เพียงเอื้อม เพียงแค่ชั่วยามเท่านั้น แต่เขากลับสั่งการให้นำขบวนกลับ
“นำขบวนกลับ นำขบวนกลับแล้วจะเผชิญพระพักตร์กับฝ่าบาทได้เยี่ยงไร ” สวี่หวยซู่คิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรทำตามคำสั่งการของฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งเขาเป็นคนหนุ่มเลือดร้อน คงมิหยั่งรู้ว่าการตัดสินใจอย่างหุนหันพันแล่นเยี่ยงนี้จะนำหายนะมาให้ราชวงศ์หยูได้มากถึงเพียงใด !
นั่นคือถือเป็นการไม่ไว้หน้าฝ่าบาทเป็นอย่างมาก หากจักรพรรดิเหวินตี้นำทัพออกจากภูเชาฉีชานด้วยเหตุนี้ ต่อให้มีฟู่เสี่ยวกวนอีกร้อยชีวิตก็คงต้องโดนประหารสิ้นเป็นแน่
“เจ้ามิยอมเสียหน้า แต่ข้าก็มิแยแส ได้โปรดทำตามที่ข้าสั่ง”
สวี่หวยซู่กำลังปลีกตัวจากไป ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็คว้าตัวเขาไว้
สีหน้าจริงจังและน้ำเสียงของเขาก็ขึงขังขึ้นมาทันพลัน “การเดินทางครานี้จงยึดถือคำสั่งข้าเป็นใหญ่ ยามนี้มิใช่เรื่องศักดิ์ศรีของข้าหรือของเจ้า แต่เป็นเกียรติและศักดิ์ศรีของราชวงศ์หยูและฝ่าบาท เจ้าจงจำไว้ว่างานเทศกาลฤดูหนาวอันน่าเบื่อหน่ายนี้ ข้ามิได้ใส่ใจแม้แต่น้อย หากข้ามิไปเข้าร่วมมันก็มิใช่ปัญหาที่ข้าก่อ แต่หากเป็นปัญหาขององค์จักรพรรดิเหวินตี้ ข้ารู้ดีว่าเจ้ากังวลสิ่งใด ข้าขอกล่าวให้เจ้ารู้ไว้ว่าจักรพรรดิเหวินตี้มิมีทางจะยกทัพออกจากภูเขาฉีชานมายังแคว้นหยู แต่ถ้าหากเจ้ากล้าดีถือวิสาสะไปยุ่งกับคนของราชวงศ์อู๋เสียล่ะก็ อย่าหาว่าดาบของข้ามันไร้ซึ่งความเมตตา ! ”
คำพูดนี้เต็มไปด้วยการข่มขู่เอาชีวิต ในสายตาของเซวียผิงกุย เขาเชื่อว่าหากสวี่หวยซู่ขัดคำสั่งของฟู่เสี่ยวกวน เขาคงโดนคร่าชีวิตกลางขบวนนี้เป็นแน่ !
นี่เป็นครั้งแรกที่สวี่หวยซู่ได้เห็นท่าทีและคำพูดที่เย็นชาและโหดเหี้ยมของฟู่เสี่ยวกวน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกขวัญเสียขึ้นมา ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนไม่เคยเห็นลุงผู้นี้ในสายตา ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าที่ผ่านมาเขาฆ่าคนอย่างเลือดเย็นไปแล้วกี่ราย
เขาอยากจะกล่าวอีกสาเหตุให้อีกฝ่ายได้ฟัง แต่คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเผยรอยยิ้มมุมปากแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าจงสบายเลยเถิด หากท่านกวนถงมิอยากหัวขาดล่ะก็ เขาต้องนำขบวนม้ามาตามพวกเรากลับไปเป็นแน่”
“และเมื่อถึงเวลานั้นข้าจะเป็นผู้จัดการเอง กำชับทุกคนเข้าไว้ว่าค่ำนี้ต้องรีบนอน ยามรุ่งพวกเราจะยกขบวนกลับโดยทันที ! ”
ณ หอป่านเย่ว แห่งเมืองฝานหนิง กวนถงอัญเชิญเหล่าปัญญาชนและคณะทูตที่ติดตามมาร่วมงานเลี้ยง แล้วเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำนักว่าขบวนของฟู่เสี่ยวกวนนั้นถูกทิ้งไว้นอกเมืองฝานหนิง
“บทกวีของเขาถูกสลักไว้บนหินเชียนเปยสือ แต่ช่างเสียปะไร ข้าจะทิ้งเขาไว้ที่นั่นสิ่งนี้ข้าพอใจจะกระทำ อยากทิ้งไว้นานเพียงใดก็ย่อมทำได้ ถามว่าด้วยเหตุใดน่ะรึ ข้ามิโปรดเจ้าฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ ! ”
“พวกท่านเป็นถึงผู้สูงส่งของแต่ละแคว้น ข้าขอเผยความจริงว่าฝ่าบาททรงใช้งานชุมนุมครั้งนี้ในการคัดเลือกราชบุตรเขย หากแต่มิใช่รับสมัครราชบุตรเขย แต่ทว่า…องค์หญิงไท่ผิงจะทรงเลือกอภิเษก”
เหล่าปัญญาชนเมื่อได้ยินแล้วโห่ร้องขึ้นมาด้วยความดีใจ !
องค์หญิงไท่ผิงอู๋จ้าวหรืออู๋หลิงนั้นเพียบพร้อมทั้งด้านวรรณกรรมและด้านการทหาร
แต่ก่อนใดมาพวกเขาแทบไม่เคยคิดเคยฝัน เหตุเพราะอู๋หลิงมียศเป็นถึงองค์หญิงแห่งราชวงศ์อู๋ อีกทั้งยังเป็นเพียงองค์หญิงเพียงแค่พระองค์เดียวของราชวงศ์เท่านั้น ฐานะสูงส่งเยี่ยงนั้นเกินยิ่งกว่าที่พวกเหล่าปัญญาชนจะไขว้คว้าถึง
อีกอย่างพระสวามีขององค์หญิงคงต้องได้รับการแต่งตั้งเป็นราชบุตรเขย แต่พวกเขามิใช่คนของราชวงศ์อู๋ ย่อมมิยอมที่จะเป็นราชบุตรเขยเป็นแน่
ตอนนี้ฟังดูแล้วเหมือนว่าหากองค์หญิงไท่ผิงยอมลดฐานะมาสมรสกับคนที่ฐานะต่ำกว่า ก็จะต้องตามพระสวามีกลับแคว้นไปด้วย ถ้าเกิดได้ครอบครององค์หญิงไท่ผิงก็จะได้รับความเกื้อกูลจากองค์จักรพรรดิเหวินตี้ ไม่ว่าจะเป็นแคว้นไหนก็ตามที นี่ย่อมเป็นเรื่องที่แสนวิเศษยิ่งนัก อีกทั้งยังได้รับของกำนัลตอบแทนจากผู้นำแคว้นของตนอีกด้วย
หนึ่งในสิบของคณะกวีแห่งแคว้นฮวงคือ บุตรชายที่ห้าของท่าป๋าชิว นามว่าท่าป๋ายวน
ความรู้ที่เขามีล้วนมาจากการสั่งสอนของบิดา แต่ความรู้ที่ได้รับถ่ายทอดมากลับมาจากราชสำนักของราชวงศ์หยู
ท่าป๋าชิวยอมอัญเชิญคณาจารย์มาจากแคว้นหยูเพื่อให้บุตรชายของตนได้ซึมซับวัฒนธรรมของราชวงศ์หยู จึงถือได้ว่าท่าป๋ายวนเป็นบุคคลที่มีความรู้ลึกซึ้งมากที่สุดคนหนึ่งในแคว้นฮวง
เขาเคยอ่านหนังสือความฝันในหอแดงและบทกวีเหล่านั้นของฟู่เสี่ยวกวน และรู้ดีในความเก่งกาจของเขา แต่หากจะเป็นด้านวรรณกรรมโบราณ เขาเชื่อนักว่าเขาเก่งกาจกว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นเท่าตัว อีกทั้งบทกวีของเขาก็ยังได้รับความนิยมในแคว้นฮวงอย่างแพร่หลาย
เมื่อได้ยินข่าวนี้จากกวนถง เขาก็มีเรี่ยวแรงขึ้นมาทันใด หากได้สมรสกับองค์หญิงไท่ผิงและได้รับความเกื้อกูลจากราชวงศ์อู๋ เรื่องราววุ่นวายภายในราชวงศ์ฮวงก็คงจะหมดสิ้นไป
เหล่าหัวหน้าเผ่าพวกนั้นก็เป็นได้แค่พวกปัญญาทึ่ม ไร้ความก้าวหน้าไปชั่วชีวิต !
หากมิมีพวกเขาคอยขัดขวางไว้ ป่านนี้ท่านพี่ท่าป๋าเฟิงคงนำทัพลงทิศใต้ ฤดูหนาวปีกลายคงอยู่ที่เมืองซินโจวเป็นแน่แท้
โอกาสเหมาะสมเยี่ยงนี้ ต้องกดดันให้ท่านพี่ต้องยอมแพ้ และใช้กุศโลบายสมรสกับองค์หญิงสามแห่งแคว้นหยูมาถ่วงดุล
ทว่าเจ้าฟู่เสี่ยวกวนนั้นกลับมีเจตนาคิดแผนสูง
ช่างน่าเวทนา เป็นแค่พ่อค้าที่ดินกลับคิดการใหญ่ เห็นว่าเรื่องนี้คงทำให้ลำบากมิน้อย
สถานการณ์จัดฉากเยี่ยงนี้พวกผู้นำเผ่ายังคาดเดามิออก !
พวกโง่เขลา
เจ้าฟู่เสี่ยวกวน จงตายไปเสีย !
ตอนที่ 275 ตัดไม้ข่มนาม
สวี่หวยซู่หาได้ขี่ม้าย้อนกลับไปไม่ เพราะความคิดของฟู่เสี่ยวกวนกับฮ่องเต้นั้นแตกต่างกันยิ่ง ! ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
แต่ในท้ายที่สุดฝ่าบาทก็ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อไปเยือนดินแดนราชวงศ์อู๋ให้ทำตามคำสั่งของไท่จงต้าฟู ฟู่เสี่ยวกวน
แต่ทว่า ณ เวลานี้…เขาเชื่อมั่นในความคิดของตนแล้วกล่าวเตือนฟู่เสี่ยวกวน “เวลานี้แคว้นข้าเผชิญศึกน้อยใหญ่เหลือคณานับ”
“ช่างประไร ! ”
ครานี้สวี่หวยซู่ได้ขี่ม้ากลับไป หยูเวิ่นหวินพูดกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังอีกครา “ในประวัติศาสตร์สองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ราชวงศ์อู๋และราชวงศ์หยูของข้าเคยเกิดศึกสงครามขึ้นมาสามครา ครั้นสมัยองค์ฮ่องเต้จื้อไท้ อีกยี่สิบปีให้หลังความสัมพันธ์ของสองแคว้นจึงจะค่อย ๆ ดีขึ้น แต่ระหว่างทั้งสองแคว้นก็ต่างมิมีใครยอมใคร ข้าขอเอ่ยกับเจ้าตามตรงว่าก่อนออกเดินทางเสด็จแม่ได้รับสั่งให้ข้าพึงระวังธรรมเนียมและการปฏิบัติตนต่อหน้าราชวงศ์อู๋มากยิ่งนัก”
“พึงระวังธรรมเนียมและการปฏิบัติตนข้อนี้ข้ามิขัด พวกเราเป็นถึงตัวแทนของราชวงศ์หยู แต่กลับรับสั่งให้เพียงแค่เสนาบดีกรมพิธีการมาต้อนรับ ข้าจึงเห็นว่าพวกเรามิจำเป็นต้องประจบประแจง หรือแม้แต่ต่อพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิเหวินตี้ พวกเราหาต้องจำยอมลดฐานะของตนเองไม่ เจ้าจงไตร่ตรองดูเถิด…พวกเราหาได้มาพบราชวงศ์อู๋ด้วยเหตุบ้านเหตุเมืองไม่ พวกเราต่างก็มาร่วมเทศกาลฤดูหนาว เว้นแต่จะรับสั่งให้ผู้ที่มีปัญญาหลักแหลมกว่าข้า ข้าจึงจะยอมให้อภัยได้ ”
หยูเวิ่นหวินเข้าใจสถานการณ์ขึ้นมาทันใดและพบว่าตนเองได้หลงเข้าใจผิด ที่เดินทางมาก็เพื่อเข้าร่วมงานเทศกาลฤดูหนาว ต่อให้อีกฝ่ายรับสั่งให้อัครมหาเสนาบดีมาต้อนรับ หากไม่มีความรู้ความสามารถเทียบเท่าฟู่เสี่ยวกวน ก็หาได้มีความจำเป็นให้ต้องลงจากรถเพื่อรอการต้อนรับจากอีกฝ่ายไม่
เว้นแต่เสียว่าคนที่ส่งมาจะเป็นเหวินสิงโจว !
เเม้นว่าบทกวีเทศกาลโคมไฟของฟู่เสี่ยวกวนจะเอาชนะความสามารถของเหวินสิงโจวได้อย่างงดงาม แต่ในฐานะนักปราชญ์อันสูงส่งของเขานั้นทำให้ฟู่เสี่ยวกวนต้องลงจากรถมารอการต้อนรับจากเขา
และในขณะเดียวกัน ก็ได้มีรถม้าขบวนหนึ่งจอดอยู่ ณ ใจกลางเมืองฝานหนิง
กวนถงเสนาบดีกรมพิธีการกำลังนั่งอยู่ในรถท่ามกลางขบวนรถม้าเหล่านั้น ฝั่งตรงกันข้ามคือชายหนุ่มวัยกลางคนอายุราว 40 ปีนามว่าเหวินชางไห่ ผู้เป็นบุตรชายคนโตของเหวินสิงโจวและเป็นบัณฑิตสำนักฮั่นหลิน
มีโต๊ะหนึ่งตัววางอยู่ระหว่างทั้งสอง และมีกาน้ำชาที่เพิ่งต้มเสร็จวางอยู่
“ท่านกวนคิดเช่นนี้ เฉกเช่นที่เคยกระทำต่อแคว้นฝานและแคว้นอี๋ใช่หรือไม่ ? ”
กวนถงยกแก้วชาขึ้นจิบพร้อมกับยิ้มรับ “หากแต่ครานี้มิเป็นเช่นนั้น”
“ท่านจงชี้แจ้งว่าต่างกันเยี่ยงไร”
“ผู้มาเยือนครานี้เป็นเพียงฟู่เสี่ยวกวนแห่งราชวงศ์หยู เยี่ยงไรเสียต้องให้ยืนรอข้าเสียหน่อย”
เหวินชางไห่ขมวดคิ้ว เขาได้ลอบคิดในใจขนาดฝีมือระดับท่านพ่อยังชื่นชมฟู่เสี่ยวกวนอย่างสุดหัวใจ โดยเฉพาะเมื่อบทกวีโต๊ะหยกครามคืนเทศกาลโคมไฟนั้นได้เผยแพร่เข้ามาถึงราชวงศ์อู๋ ท่านถึงกับปริ่มเปรมใจยิ่ง มิได้เป็นเพราะบทกวีโต๊ะหยกงานเทศกาลโคมไฟของตนเป็นรองแต่หาได้ถือโกรธฟู่เสี่ยวกวนไม่
“ช้าก่อนท่านกวน ข้าประพันธ์บทกวีมากว่าสี่สิบปี แต่ฝีมือการประพันธ์บทกวีหาได้เทียบเคียงคุณชายคนนั้นไม่ เมื่อถึงยุครุ่งโรจน์ของบทกวีแห่งราชวงศ์หยู เมื่อนั้นเขาจะเป็นใหญ่ ! ”
นี่เป็นคำชมเชยที่หาที่เปรียบมิได้ !
ในบัณฑิตสำนักฮั่นหลินเขาเป็นผู้มีปัญญาและคร่ำหวอดในแวดวงความรู้มาทั้งชีวิต เมื่อฟังคำกล่าวของท่านพ่อครานั้น เขาจึงรู้ซึ้งถึงความยิ่งใหญ่ด้านวรรณกรรมของฟู่เสี่ยวกวน
ด้วยเหตุนั้น ฟู่เสี่ยวกวนจึงเป็นคนเดียวที่ฮ่องเต้หยูได้ไว้วางพระทัยให้ทำการนี้ !
แต่ทว่ากวนถ่งยังคงยืนกรานที่จะละเลยต่อการมาเยือนของเขา !
“ข้าเห็นว่าคิดเยี่ยงนี้มิสมควรนัก”
“ไม่สมควรเยี่ยงไร ?”
“ฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัย ท่านกวนมิทราบว่าลืมข้อนี้ไปหรือไม่ ? ”
กวนถงวางถ้วยชาลง แล้วยิ้มอย่างเรียบเฉย “แผ่นดินแห่งราชวงศ์อู๋ของข้านั้นแข็งแกร่งเหนือใครยิ่ง ยามศึกมิมีผู้ใดเทียมทาน แต่ว่าราชวงศ์หยูแม้นแคว้นอี๋รุกเขตแดนเพียง 300 ลี้ก็ไร้ความสามารถต้านทานเสียแล้ว ทั้งประจวบเหมาะกับที่องค์ไทเฮาสวรรคต ตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจทั้งหกของเมืองหลวงก็ล้วนกำลังตกอยู่ในภยันตราย เรื่องที่ฝ่าบาททรงสืบสวนกรณีปัญหาการบรรเทาสารภัยเมื่อปีกลายทำเอาคนในสำนักพระราชวังก็ต่างอยู่มิเป็นสุข…”
เขาโน้มตัวไปใกล้เหวินชางไห่ ลูบเคราตนเองแล้วยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “เวลานี้ราชวงศ์หยูมิได้แข็งแกร่งดั่งสมัยไท่เหออีกต่อไป ข้าเป็นขุนนาง ข้าต้องทำเพื่อเกียรติและศักดิ์ศรีของบ้านเมืองข้า ฟู่เสี่ยวกวนจะสำคัญเพียงไร ข้าปรารถนาให้รอ เขาก็ต้องรอ ต่อให้ต้องรอถึงวันพรุ่ง เขาก็จำต้องรอข้า เจ้าเชื่อหรือไม่ ? ”
เหวินชางไห่ขมวดคิ้วขนกัน “ท่านมิกลัวว่าเขาจะกลับไปงั้นรึ ?”
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ” กวนถงหัวเราะเสียงดังลั่น “ชางไห่ ท่านเป็นผู้ร่ำเรียนวิชา ข้าจะขอกล่าวให้ท่านกระจ่างเถิด คณะทูตของเขามาถึงแผ่นดินนี้ ก็เกิดจากพวกเขาร้องขอมา เฉกเช่นดังที่ท่านกับข้าเคยได้ยินมา ตอนนี้ราชวงศ์หยูเผชิญปัญหาทั้งในและนอก ฮ่องเต้ราชวงศ์หยูกลัวสิ่งใดมากน่ะรึ กลัวราชวงศ์อู๋ของข้าเคลื่อนทัพออกจากภูเขาฉีซานมิใช่รึ ! ”
“แม้นฝ่าบาทจะเชิญพวกเขามาร่วมงานเทศกาลฤดูหนาว แต่โปรดเชื่อข้า พวกเขาต้องได้รับราชโองการของฮ่องเต้ให้มาดูท่าทีของพวกเราราชวงศ์อู๋เป็นแน่ มิเช่นนั้นจะให้องค์หญิงเก้าแห่งราชวงศ์หยูมาด้วยเหตุอันใด ? ”
“ในเมื่อเป็นตัวแทนของฮ่องเต้ คงมิบังอาจขัดต่อราชโองการ เหตุนี้ข้าถึงตัดสินใจให้พวกเขารอ ต่อให้รออีกหนึ่งเพลาก็จำเป็นต้องรอ ท่านเข้าใจใช่หรือไม่ ? ”
เหวินชางไห่ขบคิดในใจว่านี้งานเทศกาลฤดูหนาวที่ท่านพ่อของตนให้ความสำคัญยิ่ง ทหารเหล่านี้จึงมิบังควรทำให้เสียการงานด้วยเหตุทางบ้านเมืองเยี่ยงนี้ ไอรีนโนเวล
“ฟู่เสี่ยวกวนเขาเป็นนักกวี เขามาร่วมงานเทศกาลฤดูหนาวในฐานะไท่จงต้าฟู ”
“สิ่งนี้ข้าย่อมรู้ดี แต่ท่านชางไห่ ท่านโปรดอย่าลืมว่าเขายังมีฐานะเป็นกุนซือที่ปรึกษา ! ”
กวนถงนั่งหลังตรงจัดท่าตนเอง สีหน้าเปลี่ยนเป็นขึงขังขึ้นมา แล้วจึงกล่าวคำเหยียดหยามออกมา “เพียงแค่ขุนนางขั้นสี่อายุเพียง 17 ปี ข้าแลเห็นว่าราชวงศ์คงไร้ผู้มีความสามารถเสียแล้ว”
เสียงเขาเพิ่งจะเงียบไปทันใดนั้นขุนนางแห่งราชวงศ์อู๋ก็มาข้างรถม้า พูดด้วยเสียงทุ่ม “ขณะนี้ยังมิเห็นขบวนของฟู่เสี่ยวกวนขอรับ”
กวนถงขมวดคิ้ว สีหน้าชักเริ่มห่อเหี่ยว “หากเป็นเช่นนั้นก็ให้รอต่อไป !”
รอแล้วรอเล่า รอจนกระทั่งแสงอาทิตย์จวนจะลับขอบฟ้า
ฟู่เสี่ยวกวนลงจากรถม้า แล้วเรียกเซี่ยซีเฟิงและเซวียผิงกุยกลับมา
“ท่านนายพลเซี่ย ดูเหมือนท่านเสนาบดีกวนจะมิมาต้อนรับข้าเสียแล้ว ฟ้าเริ่มค่ำเสียแล้ว ข้าควรจะเดินขบวนต่อไปพักในเมืองดีหรือไม่ ? ”
เซี่ยซีเฟิงรู้ดีว่ากวนถงนั้นรออยู่ในเมืองฝานหนิง แต่มิอาจทราบได้ว่าเหตุใดถึงไม่ออกเดินทางมาเสียที แต่ทว่ามิอาจให้ฟู่เสี่ยวกวนเข้าเมืองโดยพลการเยี่ยงนี้ได้ เขารู้ดีแก่ใจว่ากวนถงคิดการใดอยู่ ทว่าหากนำขบวนฟู่เสี่ยวกวนเข้าเมืองไปโดยมิได้รับสั่ง เกรงว่าจะนำผลลัพธ์ที่มิอาจคาดเดาได้ตามมา
เขายิ่งรีบคำนับ “เกรงว่าท่านกวนคงจะมีธุระสำคัญอันใดทำให้ขบวนล่าช้าไป ข้าขอส่งคนไปสืบในเมืองก่อนขอรับ”
ในขณะที่เซี่ยซีเฟิงกำลังผละตัวออกมานั้นเอง ฟู่เสี่ยวกวนเองก็เอ่ยออกมาว่า “ช้าก่อน ! ”
“ท่านนายพลมิจำเป็นต้องให้คนเข้าไปถามในเมืองไม่ ข้าว่าที่แห่งนี้สวยงามยิ่ง…ท่านนายพลเซวีย สั่งการให้เหล่าทหารคุมพื้นที่ตั้งฐานทัพจัดแจงอาหาร ค่ำนี้ต่อให้ท่านกวนจะมาหรือมิมา ข้าจะขอพำนักอยู่ที่นี่”
“รับทราบขอรับ” เซวียผิงกุยรับคำแล้วรีบเดินออกไป เซี่ยซีเฟิงอยู่ในอารามตกตะลึง “คุณ…คุณชายฟู่นี่มิสมควรอย่างยิ่ง ให้ข้าเข้าเมืองไปถามข้อเท็จจริงมิดีกว่ารึ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มตอบ แล้วตบไปที่บ่าของเซี่ยซีเฟิงเบา ๆ “ขอบคุณท่านนายพลยิ่ง พบเจอย่อมดีกว่าพลัดพราก หากพบเจอแล้วท่านจะยิ่งลำบากใจ ! ”
เมื่อกล่าวเสร็จฟู่เสี่ยวกวนก็กลับขึ้นไปบนรถม้า เซี่ยซีเฟิงตกตะลึงยิ่งกว่าเดิม หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนจะรู้ความจริงเข้าเสียแล้ว
ตอนที่ 274 ประกายแห่งภูมิปัญญา
สายฝนแผ่วเบายามราตรีในคืนฤดูใบไม้ผลิ
ฟู่เสี่ยวกวนและคณะนั่งล้อมวงกันท่ามกลางเหล่าเพิงพัก มือของเขาถือจดหมาย 2 ฉบับที่ได้รับเมื่อคราไปเยือนยังหอชิงเฟิงซี่หยู่
ขณะนี้กำลังอ่านฉบับแรก คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันทันพลัน นิ้วกลางสะบัดแรงบนโต๊ะและกัดริมฝีปากด้วยความหงุดหงิดใจหลายครา พลันสร้างความตึงเครียดให้หมู่คณะโดยรอบ
ศึกทางตะวันออกมิสู้ดีนัก !
องค์ชายใหญ่และเฟ่ยอันเดินทัพถึงแดนศึกเมื่อขึ้นสิบค่ำ เดือนยี่ การรับช่วงต่อศึกหาได้ทำให้สถานการณ์ดีขึ้นไม่ เยี่ยนฮ่าวชูส่งมอบตราถอนทัพ องค์ชายใหญ่รับหน้าที่ดูแลแดนศึกต่อ เพลาเดียวกันก็แต่งตั้งให้เฟ่ยอันเป็นนายพลกองทัพทหารม้า
องค์ชายใหญ่จัดการกลบฝังหมากตัวที่ไร้ประโยชน์เสียให้สิ้นซาก กล่าวคือนับจากสองวันจากการรับช่วงศึก เจียเกาหยวนถูกบั่นหัวโดยองค์ชายใหญ่กลางกองทัพแถวหน้า
องค์ชายใหญ่ใช้ขวัญกำลังใจเพื่อสร้างความฮึกเหิมให้กับทหารสามเหล่าในการประกาศสงครามของกับแคว้นอี้ อีกทั้งยังชี้แจ้งโทษอันร้ายแรงของเจียเกาหยวน หลังจากนั้นจึงได้สั่งการทัพ
หนึ่งในนั้นคือแต่งตั้งให้เฟ่ยกั๋วและกองพลทหารม้าไปสนับสนุนที่กวนสานจี๋ ต่อมาเมื่อขึ้นสิบห้าค่ำ เดือนยี่ กองกำลังได้ปราชัยแก่ศัตรู เฟ่ยกั๋วได้ตกตายในสนามรบ
อีกอย่างคือสั่งการให้กองกำลังพลทหารม้า 50,000 นายของเฟ่ยอันไปประจำการที่เนินสิบลี้ และสั่งการให้กองทัพเดินเท้าไปที่เนินสิบลี้เช่นเดียวกัน และให้สู้จนกว่าชีวาจะหาไม่
สนามรบแห่งเนินสิบลี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว เมื่อกองกำลังศัตรูกว่าหนึ่งแสนสามหมื่นนายเดินทัพมาถึงเนินสิบลี้ ต่างฝ่ายต่างเผชิญหน้าทำศึกแห่งการนองเลือด
ในจดหมายมิได้เอ่ยถึงบทสรุปของศึกใหญ่ครานี้ เนื่องเพราะระยะทางอันไกลโพ้นคือสาเหตุ ณ เพลานี้ฟู่เสี่ยวกวนมิอาจร่วงรู้ถึงผลของการนองเลือดครานี้ได้เลย
องค์ชายใหญ่มิได้ส่งกองกำลังเดินเท้ามาแจ้งข่าวคราวที่ฮวาซีหรือหลินเจียผู่เลย แต่กลับใช้วิธีการนี้แทน เกรงว่าต่อให้ชนะศึกครานี้ ก็คงจะขจัดศัตรูออกไปทั้งหมดมิได้
ศัตรูถอยทัพมาตั้งหลักที่กวนซานจี๋ได้ !
มิเช่นนั้นศึกครานี้จะยืดเยื้อและยาวนานมากนัก นี่คงจะเป็นโชคลางร้ายของแคว้นหยู !
เขาวางจดหมายลงแล้วถอนหายใจออกมาเสียยาวเหยียด มิมีหนทางแล้วอย่างแท้จริง
หลังจากนั้นจึงหยิบจดหมายฉบับที่สองขึ้นมาอ่าน
จดหมายอีกฉบับส่งมาจากหลินเจียง เขาได้ให้สายลับไปประจำการที่หลินเจียง เขาให้ความสนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากหลินเจียงมากเป็นพิเศษ เพราะเมืองนั้นคือบ้านเกิดของเขาและบิดา
ทุกเวลานี้เขารู้ดีว่าได้ทำให้หลายต่อหลายคนขุ่นเคืองในตัวเขามิน้อย แต่สำหรับการปกป้องจวนฟู่และซีซานนั้น เขาให้ความสำคัญกับมันเหนือสิ่งอื่นใด
เมื่อมองจดหมายฉบับนี้เขาก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครา แต่ไม่นานนักก็รู้สึกโล่งใจขึ้นแล้วเผยรอยยิ้มออกมา
เมืองหลินเจียงกับเมืองชนบทใกล้เคียงกลับปรากฏบุคคลปริศนาขึ้นมา สายลับแห่งเมืองหลินเจียงได้นำข่าวคราวนี้แจ้งไปยังคนส่งสาสน์แห่งซีซาน และข่าวได้ไปถึงหูของไป๋ยู่เหลียน
ไป๋ยู่เหลียนเมื่อทราบข่าวก็ได้เคลื่อนทัพหน่วยรบพิเศษไปยังเขาเฟิงหลินเพื่อเตรียมการ
วันที่ยี่สิบสอง เดือนยี่ กลุ่มคนเหล่านั้นรวมตัวขึ้นมาและบุกรุกซีซานและจวนฟู่แห่งเมืองหลินเจียง
ซึ่งพวกนั้นย่อมแพ้พ่ายอย่างมิต้องสงสัย ครานี้ฝ่ายศัตรูส่งกองกำลังบุกรุกมาถึง 500 นาย ฝีมือวรยุทธ์กระบี่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ตายเพียง 3 รายและบาดเจ็บสาหัสอีก 6 ราย
จากการสอบสวนของไป๋ยู่เหลียนได้ความมาว่าคนพวกนี้มาจากหลิ่งหนาน เป็นเหล่ากองกำลังลับของฮุ่ยชินหวางขุนนางแห่งหลิ่งหนาน
ไป๋ยู่เหลียนร้องขอให้ส่งกองกำลังหน่วยรบพิเศษ 2,000 นายบุกหลิ่งหนานโดยเร็ววัน !
ไป๋ยู่เหลียนก่อตั้งกองทัพกระบี่จอมยุทธ์เพื่อเตรียมการไว้ โดยคัดเลือกชายฉกรรจ์ 2,000 นายมาร่วมกองกำลัง และมีเฉินป๋อดำเนินการฝึกวรยุทธ์ให้
ฟู่เสี่ยวกวนไม่มีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องการแต่งตั้งกองกำลัง แต่เรื่องที่ส่งกองทัพไปยังหลิ่งหนานเขาคิดว่ามันไร้เหตุผลจนเกินไป ไป๋ยู่เหลียนเอาแต่ใจตนเองยิ่งนัก เยี่ยงไรเสียหน่วยรบพิเศษ 2,000 นายนี้ยังต้องยืนหยัดอยู่ที่เขาเฟิ่งหลิง
รอให้ถึงเดือนเจ็ดคราที่เขาเคลื่อนขบวนถึงเมืองหลวง กองกำลังนี้จะต้องโยกย้ายไปประจำการที่เทือกเขาผิงหลิง
ฉินเฉิงเย่จะก่อความวุ่นวายไปถึงไหนกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนยกพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ
……
หลังจากนั้นการเดินทางของฟู่เสี่ยวกวนก็ไร้ซึ่งอุปสรรคอื่นใด
ยามหยุดพักจากการเดินทางไกล เหล่าปัญญาชนที่บัดนี้ขอถวายตนเป็นลูกศิษย์ก็มักจะเข้ามาล้อมตัวเขา เขาจึงมักจะกล่าวถึงเรื่องความรู้และภูมิปัญญาให้ฟังอยู่บ่อยครั้ง
และเขามิได้ประพันธ์บทกวีอีกต่อไป จะกล่าวไปลูกศิษย์ของฟู่เสี่ยวกวนนั้นก็เคยฟังบทกวีมามิน้อย เมื่อย้อนนึกคิดแล้ว บทกวีเหล่านั้นช่างฟังดูยิ่งใหญ่ ฟังแล้วราวกับได้เหยียบบนพื้นสวรรค์ นับแต่ได้ฟังบทกวีของฟู่เสี่ยวกวนสืบมากลับรู้สึกว่าบทกวีของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยมหัศจรรย์จากสรรพสิ่งตามธรรมชาติ
และนี่ก็คือดังคำกล่าวว่าชุมฉ่ำไร้สุ่มเสียง เหล่าลูกศิษย์ต่างเริ่มยอมรับแนวคิดแห่งภูมิปัญญา หลากหลายคนก็เกิดความสนใจอย่างเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา
พวกเขามักจะมีข้อสงสัยอยู่เสมอ และฟู่เสี่ยวกวนก็คอยช่วยไขคำตอบของความสงสัย ต่อมาพวกเขายิ่งหมกมุ่นอยู่ในความคิดนี้มากยิ่งขึ้น ขาดความสนใจที่จะศึกษาตำราเรียนอีกต่อไป ระหว่างทางเดินนั้นปกคุมไปด้วยความเงียบ ในมือกลับมีดินสอและกระดาษมาแทนที่ เมื่อยามได้เรียนรู้หรือยามมีข้อข้องใจ พวกเขาก็มักจะหาเวลาว่างเข้าไปปรึกษากับฟู่เสี่ยวกวน
ซึ่งฟูเสี่ยวกวนมิได้ตอบทุกความสงสัยเป็นแน่ เขากลับให้ลูกศิษย์กลับมาไตร่ตรองใช้ความคิดหาคำตอบให้ตนเอง แล้วตัวเขาจะเป็นคนประเมินคำตอบเหล่านั้นให้
“อยากรู้จักภูมิปัญญา ก่อนอื่นพวกเจ้าจงปลดปล่อยความคิด จงจินตนาการอย่างกล้าหาญ จงค้นหาคำตอบอย่างระมัดระวัง นี่คือทัศนคติที่เจ้าควรมีต่อภูมิปัญญา ”
“คำกล่าวที่ว่าจงค้นหาคำตอบ หาใช่คำที่กล่าวอย่างเลื่อนลอยไม่ แต่จงใช้กำลังและความสามารถของเจ้าลงปฏิบัติ เพลานี้ยังไร้ซึ่งเครื่องมือการลงมือ รอกลับถึงสำนักศึกษาวังหลวง ข้าจะก่อตั้งสำนักค้นคว้าและวิจัย ถึงตอนนั้นจะมีห้องทดลองปฏิบัติ หากทางราชสำนักมิเห็นด้วยก็มิใช่ปัญหา เพราะข้ามีศูนย์การค้นคว้าและวิจัยของข้าเองที่ซานซี ฉินเฉิงเย่ก็อยู่ที่นั่น พวกเจ้าเองคงจะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของเขาเป็นแน่”
ฉินเฉิงเย่เดิมทีเป็นนักเรียนในสำนักศึกษาของราชสำนัก อีกทั้งยังเป็นหลานของนักปราชญ์ชื่อดังฉินปิ่งซึ่งพวกเขาย่อมรู้จักอย่างแน่นอน แต่แค่มิมีใครคาดคิดถึงว่าเขาหยุดเรียนเพื่อไปศึกษาเกี่ยวกับการค้นคว้าและวิจัยอยู่ที่ซีซาน
ข่าวนี้ย่อมเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับบรรดาลูกศิษย์ของฟู่เสี่ยวกวน เฉินซู่และลูกศิษย์อีกบางคนที่สนใจเรื่องการค้นคว้าและวิจัยอย่างจริงจังถึงกับวางแผนไว้อย่างชัดเจน รอกลับถึงเมืองหลวง หากสำนักศึกษาในราชสำนักมิอนุญาตให้ก่อตั้งสำนักการค้นคว้าและวิจัย ก็จะนำแบบอย่างที่ศึกษาได้จากฉินเฉิงเย่ไปโน้มน้าวครอบครัว
นี่เปรียบดังการจุดประกายการค้นคว้าและวิจัยของราชวงศ์หยู ต่อไปในภายภาคหน้า พวกเขาเหล่านี้จะทำคุณประโยชน์ให้ราชวงศ์หยูอย่างใหญ่หลวง
……
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนสาม วันที่สิบสี่ยามพลบค่ำ ขบวนเคลื่อนทัพมาถึงเมืองฝานหนิงและหยุดอยู่หน้าประตูเมือง
ขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนเปิดม่านรถม้าขึ้น สายตาก็เหลือบไปเห็นเซี้ยะซีเฟิงขี่ม้ามาพอดี
“คุณชายฟู่ขอรับ ฝ่าบาทได้รับสั่งให้ท่านกวนถ่งกวนเสนาบดีกรมพิธีการมาต้อนรับท่านก่อน ขอคุณชายฟู่ได้โปรดรอชั่วครู่”
เมืองฝานหนิงห่างจากเมืองกวนหยุนแห่งราวงศ์อู๋แค่ร้อยกว่าลี้ เรื่องการต้อนรับต้องชื่นชมว่าองค์จักรพรรดิเหวินตี้ได้ทำครบถูกต้องตามธรรมเนียมยิ่งนัก
ฟู่เสี่ยวกวนใส่ชุดต้าจง ส่วนหยูเวิ่นหวินคิดแล้วคิดอีก แต่สุดท้ายก็มิได้ใส่ชุดองค์หญิงที่ประดับประดางดงามชุดนั้น
พวกเขายังมิได้ลงจากรถ
หยูเวิ่นหวินสงสัยใคร่รู้จึงเกิดคำถามขึ้นมา “ในเมื่อเสนาบดีกรมพิธีการให้เกียรติมาต้อนรับ นั่นหมายถึงองค์จักรพรรดิเหวินตี้ให้ความสำคัญกับพิธีรีตองมากยิ่งนัก ใยเจ้ามิลงจากรถแล้วรวมพลลูกศิษย์ของเจ้าและรอต้อนรับเสียเล่า ”
ในตอนนั้นเอง สวี่หวยซู่ชื่อหลางของกรมพิธีการได้เดินมาถึงข้างรถม้าของฟู่เสี่ยวกวนแล้วถามคำถามที่คล้ายกัน
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มอย่างเรียบเฉย “ข้ารอในฐานะแขก ข้าที่มาร่วมงานกวีก็ได้รับคำชวนจากองค์จักรพรรดิเหวินตี้ หาได้มีเหตุผลที่ต้องลงจากรถเพื่อรอท่านเสนาบดีท่านนั้นไม่ อีกอย่างท่านเสนาบดีซวูก็กลับไปแล้ว รอบนรถม้านี้ก็เพียงพอ”
สวี่หวยซู่หันกลับไปมองฟู่เสี่ยวกวนเสียหลายครา นึกถึงก่อนออกเดินทางฝ่าบาทได้ย้ำหนักหนาว่าห้ามทำให้ราชวงศ์อู๋มีเหตุอันใดขุ่นหมองเป็นอันขาด เหตุผลอีกอย่างคือภายในแคว้นหยูและแคว้นอู๋เองศึกบ้านศึกเมืองคุกกรุ่นยิ่งนัก อีกทั้งยังมีแคว้นอี๋ที่คอยรุกราน เป็นเหตุให้ควรจะอ่อนน้อมกับราชวงศ์อู๋ให้มากที่สุด
แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับมิคิดเช่นนั้น
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 ขึ้นสามค่ำ เดือนสาม
สายฝนยามฤดูใบไม้ผลิกับดินแดนที่เวิ้งว้าง
วันที่ยี่สิบเก้า เดือนสอง ขบวนของฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางออกจากทางเดินบนภูเขาฉีชานอย่างปลอดภัย ขณะนี้ได้ย่ำกรายเข้าไปในเขตแดนของแคว้นอู๋นับเป็นวันที่สี่แล้ว
ขนาดของกองทัพได้ทวีคูณมากขึ้นไปอีก เหตุเพราะทหารรักษาการณ์แห่งเมืองเชียนเย่ได้รับพระราชโองการขององค์จักรพรรดิเหวินตี้ให้จัดกำลังพลม้ามาสมทบเป็นจำนวน 500 นาย นัยหนึ่งเพื่อนำทาง อีกนัยหนึ่งก็เพื่ออารักขาความปลอดภัยของคณะทูตแห่งราชวงศ์หยู
มิว่าจะเกิดเหตุอันใดต่อจากนี้สืบไปก็จะอยู่ในความดูแลของแม่ทัพใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋ กาลนี้ภาระหน้าที่ของของเซวียผิงกุยก็เบาลงไปมากนัก
แม่ทัพใหญ่แห่งราชวงศ์อู๋มีนามว่าเซี้ยะซีเฟิง อายุราว 40 ปี เป็นคนเคร่งขรึม แต่สามารถจัดการทุกปัญหาน้อยใหญ่ได้อย่างพิถีพิถันรอบคอบ และเขาดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับหน้าที่อารักขาคณะทูตแห่งราชวงศ์หยูเป็นอย่างมาก
ขณะนี้เวลาใกล้ย้ำแดนสนธยา แสงอาทิตย์กำลังอัสดงลงกลางหุบเขา ทัพได้เคลื่อนขบวนมาหยุดจัดตั้งที่พักแรมข้ามคืน ณ สถานที่ที่มีนามว่า ทุ่งฮวาจ้ง
เมื่อคราที่ฟู่เสี่ยวกวนได้รับสารมาจากหอซี่หยู่ทำให้พอเข้าใจลักษณะภูมิศาสตร์ของพื้นที่นี้อยู่บ้าง หากผ่านทุ่งฮวาจ้งไปก็จะเป็นเมืองจิ่นกวน เมืองยุทธศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดของเขตแดนทางเหนือของแคว้นอู๋
ทำให้เขานึกฉงนขึ้นในใจชั่วขณะ หรือว่าบทกวีรวยรื่นคืนวสันตฤดูของตู้ฝูผู้นั้นจะมีอยู่จริงในโลกแห่งนี้ ?
ไม่นานนักหลังจากที่ได้ยินฉินเหวินเจ๋อและหมู่คณะสนทนา เขาจึงรู้ว่าเขาคิดมากเกินไป
นี่คือความบังเอิญโดยสิ้นเชิง
ทุ่งฮวาจ้งมีพื้นที่กว้างขวาง เป็นพื้นที่ปศุสัตว์ทางตอนเหนือ แห่งแคว้นอู๋ เหตุที่มีนามว่าฮวาจ้ง เพราะครั้นเมื่อถึงยามฤดูใบไม้ผลิดอกไม้นานาพรรณได้เบ่งบานละลานตา สถานที่นี้จึงถูกเรียกว่าฮวาจ้ง
ส่วนเมืองจิ่งกวนเป็นเมืองสำหรับชมทิวทัศน์ ซึ่งหมายความว่าหากทอดสายตาจากบนหอคอย ทุกสารทิศล้วนแต่สวยงามตระการตาทั้งสิ้น เหตุนี้จึงมีนามว่าเมืองชมทิวทัศน์
ที่แห่งนี้แม้นมิใช่เมืองจิ่นกวน แต่ก็งดงามเฉกเช่นกัน !
ดินแดนเวิ้งว้างสุดสายตา หยาดพิรุณพรั่งพรูลงมามิขาดสาย หมอกจางพลิ้วไหวมิเสื่อมคลาย บุษบาเบ่งบานละลานตา ทั้งเหล่าผีเสื้อโบยบิน เหล่าผึ้งพากเพียร เหล่านกนวลหวนคืนรัง เหล่าอาชาเงียบสงบพร้อมเพรียง นี่คือคำบรรยายของภาพวาดที่ตั้งตระหง่านที่ไร้ที่สิ้นสุดอยู่เบื้องหน้า
ในขณะที่เดินทัพอยู่ ฟู่เสี่ยวกวนและคณะรู้สึกจิตใจผ่อนคลายลงมาก สถานที่ที่เหมือนภาพวาดเส้นทางเบื้องหน้ามีชีวิตชีวาขึ้นมาในทุกย่างก้าว
หากเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวพร้อมเก็บค่าบัตรเข้าชม ก็มิต้องลงทุนสักตำลึงเดียวก็ได้กำไรมาเต็มกอบเต็มกำ เขานึกแล้วก็ขำกับความคิดตนเอง มิวาดฝันว่าตนจะหน้าเงินได้ถึงเพียงนี้ ความคิดแรกที่โพล่เข้ามาก็ยังคงมิพ้นเรื่องเงินทอง
แต่เขาก็นึกฉงน เหตุใดสถานที่ดุจสวรรค์แห่งนี้ถึงไร้ซึ่งวี่แววผู้คนอยู่อาศัยกัน
ส่วนผู้ที่ร่วมขบวนกันมาอย่างเซี้ยะซีเฟิงนั้นคอยติดตามเงาของฟู่เสี่ยวกวนอย่างไม่ละสายตา นึกคิดไปว่าท่านชายผู้เก่งกาจแห่งราชวงศ์หยูแท้จริงก็มิมีสิ่งใดพิเศษเหนือผู้อื่น
ทั้งเยาว์วัย หล่อเหลา มีชีวิตชีวา แล้วยังโปรดปรานความสวยงามของทิวทัศน์อีกด้วย คราหนึ่งเคยคิดว่าเขาจะมิใยดีกับเรื่องพรรค์นั้น กลับกลายเป็นตัวเขาที่คิดมากไปเสียเอง
ฉินเหวินเจ๋อทอดมองทิวทัศน์แล้วนึกอยากประพันธ์กวีขึ้นมาสักบท แต่ฝืนคิดแล้วฝืนเล่า กลับหาอารมณ์ศิลป์ของตนเองมิเจอ เลยหันไปสนทนากับฟู่เสี่ยวกวน “ทิวทัศน์งดงามเช่นนี้ จะไร้ซึ่งบทกวีได้เยี่ยงไรท่านพี่ ท่านจะมิประพันธ์ออกมาสักบทหรือ ? ”
เหล่าปัญญาชนในกองทัพต่างหันมองมาที่ฟู่เสี่ยวกวน พวกเขาจำนวนมิน้อยต่างก็เป็นศิษย์ของสมาคมกวีหลานถิงและได้ยินถึงความสามารถในการพรั่งพรูบทกวีได้แค่เพียงอ้าปากของฟู่เสี่ยวกวน บัดนี้ทุกคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอคอย
เซี้ยะเฟิงซีผู้ที่ยืนอยู่ด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวนแววตาจับประกาย รู้สึกว่ามีสีสันขึ้นมาทันตา
ฟู่เสี่ยวกวนกลับคิดผิดแปลกจากผู้อื่น สำหรับปัญญาชนหามีคำว่า “คัดลอก” คำนี้บรรจุอยู่ไม่ ในตำแหน่งของท่านทูตเผยแพร่วัฒนธรรม เขามีหน้าที่นำบทกวีชั้นสูงเหล่านั้นบันทึกไว้ในโลกใบนี้
และแล้ว… เขาก็นำมือไพล่หลัง และยืดอกตรงด้วยท่วงท่าที่สง่างาม
“ข้าขอประพันธ์กวีหนึ่งบทให้แก่พวกท่าน กวีมีนามว่า รวยรื่นคืนวสันตฤดู”
บางคนถึงขนาดควานหาพู่กันและกระดาษใต้แขนเสื้อ แต่กลับมิมีหมึก เลยอมปลายพู่กันไว้ในปาก มิได้สนใจปากที่เต็มไปด้วยหมึกพู่กันเลยแม้แต่น้อย
“ ฝนดีรู้กาละ ยามวสันต์จึงตกพรำ
คล้อยลมลับมายามค่ำ ชุ่มฉ่ำไร้สุ่มเสียง
เมฆดำปกท้องทุ่ง เพียงแสงไฟเพิงพักเด่นตระหง่าน
รุ่งเช้าดูดอกชุ่ม สะพรั่งทั่วเมืองจิ่นกวน ”
ที่แห่งนี้ไร้เรือและแม่น้ำ ทำให้เขาเสียดายยิ่ง เขาเลยเปลี่ยนคำเพียงแค่สองคำเท่านั้น แต่กลับทำให้กวีดูมิสวยงามมากนัก
แต่ในโสตประสาตคนอื่น ๆ นี่คือกวีที่บรรยายสภาพตอนนี้ได้งดงามที่สุด อย่างหาที่เปรียบมิได้
ยิ่งวรรคที่กล่าวว่า รุ่งเช้าดูดอกชุ่ม สะพรั่งทั่วเมืองจิ่นกวน ทำให้เซี้ยะซีเฟิงรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก !
กาลนี้ขบวนเพิ่งย่างกรายเข้ามาสู่ทุ่งฮวาจ้ง อีกทั้งยังเป็นคราแรกที่ฟู่เสี่ยวกวนได้มาเยือนยังที่แห่งนี้ แต่เขากลับนำทิวทัศน์ของของทุ่งฮวาจ้งถักทอเป็นบทกวีที่สวยงามออกมาได้ นั่นหมายความว่าบุรุษผู้นี้สามารถประพันธ์บทกวีออกมาได้เพียงแค่ใช้เวลาครึ่งก้านธูปเท่านั้น
เหล่าปัญญาชนต่างหลงใหลในมโนภาพสุดงดงามของบทกวีจนยากที่จะหยุดเพ้อฝัน
กวีบรรยายทิวทัศน์ ซึ่งงดงามราวกับรูปวาด ทำให้ดำดิ่งสู่ห้วงแห่งความเพ้อฝันอย่างไร้ที่สิ้นสุด
กงซุนเค่อทุ่มเสียงท่องบทกวีขึ้นมาอีกครา “คล้อยลมลับมายามค่ำ…คำว่าลับนี่มันช่างเข้ากันเสียยิ่งกระไร ! ”
อู๋เชวียเห็นพ้องต้องกัน “คำว่า ลับ ในกวีได้บรรยายลักษณะของฝน ดูวรรคต่อไปเถิด ชุ่มฉ่ำไร้สุ่มเสียงเหตุเพราะลับจึงไร้ซุ่มเสียง แต่กลับทำให้หลากหลายสิ่งชุ่มชื่นหวนคืนชีวา ”
ทันใดนั้นอู๋เชวียก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา เพราะคำบทกวีนี้ทำให้เขานึกถึงเรื่องราวที่ได้ยินมาตลอดการเดินทาง เข้าใจว่าแท้จริงบทกวีนี้มีความหมายลึกซึ่งเพียงใด
แท้จริงแล้ว…ฟู่เสี่ยวกวนก็เปรียบดั่งหยาดฝนที่ค่อย ๆ ซึมซับเข้าไปในจิตใจของเขาอย่างลับ ๆ ให้ความความคิดความอ่านของเขาค่อย ๆ ชุ่มช่ำขึ้นมาอีกด้วย !
นี่แหละถึงจะเป็นอาจารย์อย่างแท้จริง !
เขาโค้งคำนับถวายตัวให้ฟู่เสี่ยวกวน “อาจารย์ โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนนั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาจารย์รับเชิญมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ด้วยความที่เขายังวัยเยาว์ จึงมักจะโดนเหล่าปัญญาชนเรียกว่าท่านพี่
ยามนี้ปัญญาชนคนอื่นได้ยินแล้วพลันตระหนักขึ้นมาทันใด ตระหนักได้ว่าความรู้ของตนกับฟู่เสี่ยวกวนนั้นแตกต่างกันมากยิ่งนัก และพลันรู้ซึ้งว่าเหตุใดอู๋เชวียฟังบทประพันธ์นี้ถึงกับต้องเคารพเขาเป็นอาจารย์ ! ไอรีนโนเวล
เหล่าปัญญาชนต่างตกตะลึง แต่มิใช่เพราะฐานะของตน แต่เป็นความรู้สึกเคารพที่ออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ พวกเขาต่างโค้งคำนับถวายตัว “อาจารย์ โปรดรับข้าเป็นศิษย์ด้วยเถิด ! ”
บทกวีบทเดียว เปลี่ยนแปลงสถานะของฟู่เสี่ยวกวนต่อเหล่าปัญญาชนไปโดยสิ้นเชิง
ฟู่เสี่ยวกวนมิปฏิเสธ เขายกมือขึ้นคำนับ และพูดกล่าวในฐานะอาจารย์ “พวกเจ้าจงจำไว้เสมอ บทกวีมีไว้บ่มเพาะแค่ความสุขของตัวเจ้าเอง แต่ไร้ซึ่งความสามารถในการบริหารบ้านเมือง ในฐานะอาจารย์ ข้ามิอาจห้ามความต้องการดื่มด่ำความไพเราะของบทกวีของพวกเจ้าได้ แต่ในฐานะอาจารย์ ข้าขอให้พวกเจ้าจงแบ่งแยกเรื่องสำคัญหรือไม่สำคัญ จงอย่าลืมจิตใจที่ตั้งมั่นและพากเพียร ”
คำพูดนี้ช่างหนักแน่นและตราตรึงเข้าไปในจิตใจของเหล่าลูกศิษย์ ทำให้พวกเขาตระหนักมากยิ่งกว่าเดิม ย้อนนึกถึงเรื่องราวการค้าขายและภูมิปัญญาที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยกล่าวในคราก่อน ย้อนนึกถึงเรื่องเล่าหนอนและผีเสื้อ ย้อนนึกถึงปริศนาที่เขาหลงเหลือให้ไขคำตอบ
ครานี้ถึงรู้ซึ้งถึงความมานะอุตสาหะของฟู่เสี่ยวกวนที่มีมาโดยเสมอ เขาพยายามเผยแพร่หลักการการบริหารประเทศมาโดยตลอด !
เขาเปรียบดั่งสายฝนยามฤดูใบไม้ผลิ ชุ่มฉ่ำไร้สุ่มเสียง แต่กลับขจัดความคิดเหยียดหยามพ่อค้าให้เหือดหายไปได้ ไม่มัวแต่คิดว่าคนเหล่านั้นมีสถานะต้อยต่ำ ถึงขนาดว่าหลายคนเริ่มมองเห็นถึงความสำคัญของเหล่าพ่อค้าขึ้นมา
แน่นอนว่ารวมไปถึงช่างไม้ด้วย
สำหรับฟู่เสี่ยวกวน ช่างไม้แม้จะดูตื้นเขินแต่เบื้องลึกคือที่มาของภูมิปัญญา
พวกเขาเหล่านั้นฟูมฟักภูมิปัญญา ประดิษฐ์และต่อยอดเครื่องไม้เครื่องมือ ดังเช่นเริ่มจากทอผ้าด้วยมือก่อนถึงจะมีเครื่องทอผ้า คนบันทึกอักษรบรรจงในกระบอกไม้ไผ่ก่อนถึงจะมีกระดาษเยี่ยงในทุกวันนี้
ในทุกวันราวกับฟู่เสี่ยวกวนเพียงแค่เอ่ยผ่าน ๆ ไป แต่กลับเป็นตราตอกฝังลึกเข้าไปในใจของเหล่าลูกศิษย์ ดังหญ้าที่เปล่าเปลี่ยวแห้งแล้งได้รับสายฝนแห่งฤดูใบไม้ผลิคืนชีวิต งอกราก แตกหน่อ มีการเจริญเติบโตที่งดงาม
ครานี้เหล่าลูกศิษย์ได้มองเขาด้วยสายตาที่มุ่งมั่นมากกว่าเดิม !
พวกเขาตรึกตรองในใจว่านี่คงเป็นอาจารย์อย่างแท้จริงของชีวิต มิใช่อาจารย์ในสำนักที่ให้พวกเขาหลับหูหลับตาอ่านเพียงตำรา ทำให้ถวิลหาการหลับใหลยิ่งนัก และมิอาจทำให้เข้าใจสัจธรรมได้มากถึงเพียงนี้
รอถึงรุ่งเช้าดูดอกไม้ชุ่มฉ่ำ แล้วเหล่าผกาจะสะพรั่งทั่วเมืองจิ่นกวน !
นี่เป็นปัญหาที่ทำให้ข้าลำบากใจมากยิ่งนัก
“หากยอมรับนาง ก็ควรต้อนรับนางตามราชพิธีสำหรับองค์หญิง แต่หากว่านางเป็นผู้ลอบสังหารเล่า…นี่จะเป็นอันตรายถึงตายได้ ! ถ้าข้ามิยอมรับ ควรโจมตีออกไปหรือไม่ ? ในเมื่อพวกเขาตั้งฐานทัพไว้ตรงนี้แล้ว ก็รอจนถึงพรุ่งนี้ก่อนเถิดแล้วค่อยคิดอีกที พรุ่งนี้พวกเราจะต้องออกเดินทางต่อ หากพวกเขาต้องการที่จะหยุดยั้ง พวกเราก็คงจะมีเหตุผลมากพอที่จะสู้ศึกกับพวกเขา ถ้าหากมิมาหยุดยั้ง…ก็ไปทางใครทางมัน ข้ากับอู๋หลิงเอ๋อร์มิเคยได้พบหน้ากัน ดังนั้นเมื่อไปถึงเมืองกวนหยุน ข้าสามารถชี้แจงเหตุผลให้กับจักรพรรดิเหวินได้”
ต่งซูหลานนึกสงสัยอยู่ในใจว่าเหตุใดต้องทำให้ยุ่งยากถึงเพียงนี้ แล้วเหตุใดอู๋หลิงเอ๋อร์ถึงได้เดินทางมาที่นี่โดยไม่คำนึงถึงระยะทางที่ไกลเป็นพันลี้เยี่ยงนี้ ?
นางรู้สึกสะดุดใจอย่างฉับพลัน ความคิดที่ไม่ดีก็เกิดขึ้นมา โดยอาศัยการหยั่งรู้ของสตรีแล้วดูเหมือนนางจะรู้แล้วว่าเหตุใดอู๋หลิงเอ๋อร์ถึงมาที่นี่
เจ้านี่…ชอบทำให้ข้าเป็นกังวลอยู่เรื่อย !
ยามเย็นจวนค่ำ
ฟู่เสี่ยวกวนมีเตาเป็นจำนวนมากกว่าสิบเตาที่กำลังมีเปลวไฟลุกโชนโถมกระหน่ำ ไอน้ำลอยขึ้นจากหม้อ กลิ่นหอมของอาหารลอยอยู่ในอากาศและถูกส่งไปยังฐานทัพของกองทัพหญิงด้วยสายลมยามค่ำคืน
ในค่ายของกองทัพหญิงกลับมีแสงไฟสว่างเพียงแค่ในกระโจมเท่านั้น ไม่เห็นมีการตั้งเตาหรือตั้งเครื่องหม้อเพื่อทำอาหาร
ขณะนี้อู๋หลิงเอ๋อร์ได้นั่งอยู่ในกระโจมของแม่ทัพใหญ่ที่ตั้งอยู่ศูนย์กลางอย่างเงียบสงบ แต่องครักษ์หญิงซ้ายและขวาของนางมิได้เงียบเฉยอีกต่อไป
ด้วยเหตุว่าพวกเขามิได้พกพาอาหารหรือเครื่องครัวมาเลย !
แม้แต่เสบียงกรังก็มิได้พกมาด้วยซ้ำ !
ตามแผนเดิม ฟู่เสี่ยวกวนและพรรคพวกของเขาควรจะข้ามภูเขาฉีซาน และมาถึงชายแดนราชวงศ์อู๋ในวันนี้ เดิมพวกเขาจะต้องรออยู่ที่เมืองเชียนเย่ แต่มิคาดคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนและพรรคพวกของเขาจะมิได้มาที่เมืองเชียนเย่
อู๋หลิงเอ๋อร์กังวลว่า ฟู่เสียวกวานและพรรคพวกของเขาอาจจะเกิดอุบัติเหตุระหว่างทางเดินเขา ดังนั้นจึงรีบเร่งมาพร้อมยกกองทัพมาด้วย ออกเดินทางมาจนถึงหุบเขาซีกู่ และได้คาดคิดว่าการพบหน้ากันครานี้คงปรีดามากยิ่งนัก และแน่นอนว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น แต่สิ่งที่คาดคิดไว้ทั้งปวงกลับแตกเป็นเสี่ยง ๆ ดุจฝันมายาฟองสบู่เงา
สำหรับกองทัพหญิงที่ยึดมั่นในตน เคยถูกมองข้ามเยี่ยงนี้เมื่อใดกัน ?
“ องค์หญิง โจมตีไปเลยเจ้าค่ะ ! โปรดออกคำสั่งเถอะเจ้าค่ะ ! ” ลั่วยิงที่เป็นรองแม่ทัพอีกคนของอู๋หลิงเอ๋อร์ได้เอ่ยขึ้นมา
นางกดดาบในมือและใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความโกรธ
“ใช่เจ้าค่ะ องค์หญิง แม้ว่าพวกเราจะมิฆ่าคนของพวกเขา ทว่าได้ทุบหม้อข้าวของพวกเขาก็ยังรู้สึกดีขึ้นสักนิด ! ” หนีซางกล่าวพลางกัดฟันด้วยความแค้น คิดอยู่ในใจว่าในวันที่อากาศหนาวเย็นเช่นนี้ พวกเจ้าได้กินอาหารกันอิ่มหนำสำราญ แต่องค์หญิงยังคงอดอยากและหนาวเหน็บอยู่ที่นี่ หากพวกเรามิได้กิน ทุกคนก็อย่าหวังจะได้กินเลย !
ในกระโจมของแม่ทัพใหญ่ตกอยู่ในความเงียบงัน
จากนั้นเพียงแค่ครึ่งก้านธูป อู๋หลิงเอ๋อร์ก็ได้ถอนหายใจออกมาอย่างเนิบนาน “ ข้าคิดเข้าข้างตนเองมากเสียเกินไป ฟู่เสี่ยวกวนยังมิเคยพบข้า อีกทั้งข้าก็มิมีหนังสือราชโองการจากเสด็จพ่อ คิดเพียงแค่จะมาที่นี่ด้วยความกระตือรือร้น มันก็สมเหตุสมผลแล้วที่เขามิยอมพบข้า”
หนีซางและลั่วยิงมองหน้ากันแวบหนึ่ง ในแววตาเต็มไปด้วยความสงสัย นี่มิใช่นิสัยที่แท้จริงองค์หญิง ท่านเป็นอันใดไปเยี่ยงนั้นรึ ?
ในขณะที่ทั้งสองคนยังรู้สึกประหลาดใจอยู่ ทหารหญิงผู้หนึ่งก็ได้เดินเข้ามาจากนอกกระโจมของแม่ทัพใหญ่อย่างรีบร้อน พร้อมกับถือจดหมายไว้ในมือ
“กราบทูลองค์หญิง มีจดหมายมาจากเมืองเชียนเย่เจ้าค่ะ”
“วางไว้ที่นี่เถอะ” อู๋หลิงเอ๋อร์ไม่ได้อยู่ในอารามที่จะอ่านเนื้อหาใด ๆ ในขณะนี้นางมีปมในใจเป็นพัน ๆ เงื่อน
“… องค์หญิง จดหมายจากฟู่เสี่ยวกวานเจ้าค่ะ” ทหารหญิงวางจดหมายลงและได้กล่าวเสริมอีกหนึ่งประโยค
อู๋หลิงเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่มืดครึ้มลงอย่างเห็นได้ชัด “เหตุใดจึงมิแจ้งให้เร็วกว่านี้ ! ”
เมื่อนางเอ่ยจบนางก็ได้หยิบจดหมายขึ้นมาเปิดอ่าน ทหารหญิงที่นำจดหมายมาให้นางเพียงแค่ยิ้มแหย ๆ ออกมาเท่านั้น
หลังจากที่อู๋หลิงเอ๋อร์อ่านจดหมายแล้ว นางก็ขมวดคิ้วและลุกขึ้นยืนทันใด ถือดาบบนโต๊ะไว้ในมือ
“ยกฐานทัพ ออกเดินทาง ! ”
ทันใดนั้นหนีซางและทหารหญิงที่อยู่ในกระโจมอีกสามคนต่างก็ตกตะลึง “ ไปที่แห่งใดเจ้าคะ ?”
“ตามไล่ล่าเป่ยหวังฉวน ! ”
มิใช่ หนีซางกับลั่วยิงยิ่งสับสนมากยิ่งขึ้นโดยคิดไปว่าเป่ยหวังฉวนเป็นปรมาจารย์ที่ทรงพลังของแคว้นอู๋ฉาว อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ขององค์ชายและทั้งยังเป็นแขกรับเชิญของฝ่าปาท แต่เมื่อเห็นความกระเหี้ยนกระหือรือและความเร่งรีบขององค์หญิงแล้ว เป่ยหวังฉวนได้ทำอะไรบางอย่างที่ผิดร้ายแรงเยี่ยงนั้นรึ ?
ในดวงตาของอู๋หลิงเอ๋อร์เต็มไปด้วยความโกรธ ใบหน้าที่งดงามของนางดูเย็นชาดังน้ำแข็งและเค้นคำพูดออกจากปากเล็ก ๆ ของนางอย่างดุร้าย
“มิน่าเล่าที่ฟู่เสี่ยงกวนมิยอมพบข้า ก่อนมาถึงที่นี่ตาแก่เป่ยหวังฉวนได้ลอบโจมตีฟู่เสี่ยวกวนที่เมืองเปียนเฉิง ยกฐานทัพ ออกเดินทาง ! ”
หนีซางกับลั่วยิงตกอยู่ในความงุนงงอีกครา เป่ยหวังฉวนโจมตีฟู่เสี่ยวกวานที่เมืองเปียนเฉิงเยี่ยงนั้นรึ ?
แล้วเหตุใดฟู่เสี่ยวกวานถึงมิตาย?
ในความทรงจำของทุกคน ยังไม่เคยได้ยินว่าเป่ยหวังฉวนที่เป็นปรมาจารย์การใช้ธนูมิเคยพลาดในการยิงศรเลยสักครา กระบวนท่าที่มีนามว่าศรจากเทพของเขาเพียงพอที่จะทำให้คู่ต่อสู้ลำบาก แม้ว่าคู่ต่อสู้ผู้นั้นจะเป็นผู้มีพลังระดับปรมาจารย์เช่นกันก็ตาม ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงเพียงคนที่มิรู้จักวรยุทธ์เยี่ยงฟู่เสี่ยวกวนเลย
ดังนั้นพวกเขาจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เป็นเพียงเพราะข่าวที่ได้ยินนี้สั่นสะเทือนใจเกินไปและมันก็ทำให้พวกเขาสับสนด้วย
แต่อู๋หลิงเอ๋อร์กลับโกรธเคืองเดือดดาลขึ้นมาในบันดล
“ ข้าสั่งว่าให้ ยกฐานทัพ ออกเดินทาง ตามไล่ล่าสังหารเป่ยหวังฉวน ! ”
สังหารได้เยี่ยงไรกัน ?
นั่นคือปรมาจารย์แห่งยุทธภพ !
และก็ยังเป็นปรมาจารย์แห่งยุทธภพของแคว้นอู๋ฉาวอีกด้วย !
หากสังหารชีวิตเขาจริง ๆ จะอธิบายให้กับองค์ชายเยี่ยงไรกัน ?
ความคิดเหล่านี้เกิดขึ้นในใจเพียงแวบเดียว จากนั้นก็ได้ดำเนินการตามคำสั่งทันที
พวกเขาเก็บกระโจมทัพ แล้วจุดคบเพลิงให้ส่องสว่าง กองทัพหญิงเคลื่อนตัวขึ้นหลังม้าพร้อมพลม้าในชุดเกราะด้วยสีหน้าตึงเครียด แล้วกลับหันม้าในยามค่ำคืน ไอรีนโนเวล
อู๋หลิงเอ๋อร์ยืนอยู่บนหลังม้าแล้วแผดเสียงใส่ไปยังฐานทัพของฟู่เสี่ยวกวน
“ฟู่เสี่ยวกวน ข้าคืออู๋หลิงเอ๋อร์ ข้ารับรู้แล้วว่าเจ้าลำบาก ข้าจะจับกุมเป่ยหวังฉวนมาให้เจ้าให้จนได้ ! ข้าต้องไปจัดการก่อน ไว้พบกันในคราหน้า ! ”
ฟู่เสี่ยงกวนยืนอยู่นอกกระโจมด้วยสีหน้างุนงง มองไปยังเงาที่คลุมเครือทามกลางความมืดมิดของค่ำคืน สิ่งที่เขากลับคิดในใจคืออู๋หลิงเอ๋อร์ผู้นี้เป็นสตรีที่เก่งกล้ามิแพ้บุรุษ !
เสียงเกือกม้าดังกระชั้นและคบเพลิงแถบยาวเคลื่อนไหวบนทางเดินภูเขาฉีซาน ไม่ช้านานก็หายไปในความมืดมิดของค่ำคืน
ทันใดนั้นฟู่เสียวกวนก็ได้เอ่ยถามซูเจวี๋ยว่า “นางเก่งกาจมากหรือไม่ ? ”
ซูเจวี๋ยยืดอกตอบพร้อมจัดหมวกบนศรีษะให้ตรง “นางมีความแข็งแกร่งเกือบเทียบเท่ากับปรมาจารย์ชั้นหนึ่ง”
ฟู่เสียวกวานก็รู้สึกสับสนเช่นกัน ขนาดซูเจวี๋ยที่อีกครึ่งก้าวจะบรรลุระดับปรมาจารย์แห่งยุทธภพก็สามารถต้านรับลูกธนูของเป่ยหวังฉวนได้เพียงไม่กี่ดอก แล้วสตรีเยี่ยงนางที่ยังมิถึงระดับปรมาจารย์ชั้นหนึ่งจะจัดการกับเป่ยหวังฉวนได้เยี่ยงไรกันเล่า ?
“ ศิษย์พี่ใหญ่คิดว่ากองทัพทหารม้าของนางจะสามารถทำลายเป่ยหวังฉวนได้หรือไม่ ? ”
ซูเจวี๋ยส่ายหัวเล็กน้อย “ถ้าเป็นปรมาจารย์แห่งยุทธภพคนอื่น พวกเขาอาจจะสามารถเข้าทำลายได้ในระดับหนึ่ง แต่เป่ยหวังฉวนใช้ธนู”
ลูกธนูเป็นอาวุธร้ายแรงระยะไกล วิชาตัวเบาของเป่ยหวังฉวนก็มิได้อ่อนแอเป็นแน่ เขาสามารถใช้วิชาตัวเบาไปได้ทั่วทุกหนแห่ง เมื่อยิงลูกศรออกไปก็มักจะตายหนึ่งหรือสองชีวิต จะเอาศีรษะไปสู้กับเขาเยี่ยงนั้นรึ ?
“ หากเช่นนั้นก็เท่ากับนางรนหาที่ตายให้กับตนเองมิใช่รึ ! ”
“มิถึงขนาดนั้น”
“เพราะเหตุใดกัน ?”
ซูเจวี๋ยเผยรอยยิ้มจาง ๆ และเอ่ยว่า
“เป่ยหวังฉวนเป็นปรมาจารย์แห่งยุทธภพของแคว้นอู๋ฉาวและมีสถานะสูงยิ่งนักในแคว้นอู๋ฉาว อีกทั้งเขายังเป็นอาจารย์ขององค์ชาย”
“ดังนั้นนางจึงไม่สามารถเอาชีวิตของเป่ยหวังฉวนได้ และเป่ยหวังฉวนก็ไม่สามารถลงมือฆ่านางได้ ! ” ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจเบา ๆ และเอ่ยอย่าเนิบช้าว่า “นางเป็นสตรีที่ฉลาดเฉลียว เมื่อไปถึงแคว้นอู๋ฉาวแล้ว ข้าควรจะระวังตนให้มากกว่านี้ ! ”
ต่งซูหลานเข้าใจความหมายของคำพูดที่ฟู่เสี่ยวกวานกล่าวออกมาทันที มีความรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีในใจเล็กน้อยว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เมื่อกลับมาจากแคว้นอู๋ฉาวแล้ว จะมีนางอยู่ในรถคันนี้ด้วย !
ตอนที่ 271 อู๋หลิง
“หลังจากนั้นน่ะรึ มันก็ร้องเสียจนกระอักเลือดสด ๆ ออกมา เลือดของมันได้ย้อมสีของดอกไม้จนแดงฉาน ก็เลยเรียกดอกไม้นี้ว่าดอกกุหลาบพันปี ”
หยูเวิ่นหวินย่นจมูกเล็กน้อย “เจ้าลวงข้าเยี่ยงนั้นรึ ก็ดูดอกกุหลาบพันปีพวกนี้สิ ยังมีอีกตั้งหลายสี เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้เยี่ยงไร ?”
“เอ่อ…อาจเพราะกาลเวลาล่วงเลยไปนาน สีมันก็เลยซีดจางลงไป ” ฟู่เสี่ยวกวนพูดพลางหัวเราะ
แน่นอนว่านี่คือมุกตลกฝืด ๆ ของเขา ต่งชูหลานกลอกตาใส่ฟู่เสี่ยวกวนและผละตัวออกมาที่ริมทะเลสาบ สองมือตักน้ำเย็น ๆ ขึ้นมาล้างหน้า พลันรู้สึกสดชื่นขึ้นมาทันที
“เมื่อครู่ที่เจ้าเล่าเรื่องหนอนกับผีเสื้อ…เจ้าได้ยินเรื่องนั้นมาจากที่ใดกัน ? ” ต่งชูหลานถามด้วยความใคร่รู้
“ข้า ฟู่เสี่ยวกวน เก่งกาจถึงเพียงนี้ จำเป็นต้องฟังความมาจากที่ใดด้วยรึ ? ”
ต่งชูหลานเบ้ปาก หน้าแดงเพราะเขินอาย “เจ้ามิรู้สึกละอายแก่ใจบ้างเลยรึเยี่ยงไรกัน ? ”
“ทว่า…เรื่องทีจะทำการค้าระหว่างประเทศนั้นเป็นความจริงหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเล็กน้อย “ในเมื่อฝ่าบาทเห็นด้วยกับหนังสือกั๋วฟู่ลุ่น การริเริ่มทำการค้าระหว่างประเทศถือเป็นสิ่งจำเป็น แต่ตอนนี้ข้ามิอาจหยั่งรู้ว่าฝ่าบาทมีความกล้าหาญมากเพียงใด เช่นนั้นยังมิควรลงมือในตอนนี้ ควรรอให้ให้ข้ากลับไปถึงราชวงศ์หยูเสียก่อน ข้ากลัวว่าหากพลาดพลั้งจะเป็นการนำพาหายนะมาให้อย่างใหญ่หลวงเป็นแน่”
“ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเลยรึ ? ” หยูเวิ่นหวินถาม
“ที่พวกนั้นกล่าวก็มีส่วนถูก ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มการค้าระหว่างประเทศจำเป็นต้องริเริ่มการค้าขายกันภายในประเทศเสียก่อน ข้าเห็นว่าตอนนี้เรื่องเร่งด่วนที่สุดคือการยกระดับสถานะของพ่อค้า และการให้ความสำคัญในการพัฒนาภูมิปัญญา หากระดับภูมิปัญญามิก้าวหน้า เครื่องไม้เครื่องมือก็มิมีทางที่จะพัฒนาต่อไปได้ ความสามารถในการผลิตก็มิอาจเพิ่มขึ้น ต้นทุนก็มิสามารถลดลงมาได้เช่นกัน ดังนั้นก็จะทำให้เสียเปรียบในสงครามการแข่งขัน ”
“ศึกครานี้จะโหดเหี้ยมกว่าศึกตะวันออกยิ่งนัก ผู้ชนะจะได้รับผลกำไรมหาศาล แต่สำหรับผู้แพ้ก็จะสูญเสียสถานะในการเป็นผู้นำทางการค้า หรือกล่าวง่าย ๆ ว่าจะสูญเสียสิทธิ์ในการกำหนดราคา”
“เยี่ยงไรเสียเรื่องพวกนี้ก็ค่อนข้างซับซ้อนยิ่งนัก ค่อย ๆ ทำความเข้าใจเถิด ตอนนี้ยังมิถึงเวลานั้น”
เรื่องนี้ฟังดูล้ำลึกยิ่งนัก ดูซับซ้อนยิ่งกว่าการซื้อขายในร้านเสื้อผ้าของนางทั้งสองไปมากโข
ในขณะที่ทั้งสองนางกำลังขบคิดถึงเรื่องนี้ เซวียผิงกุยก็วิ่งกลับมาหาด้วยความรีบร้อน
“คุณชายขอรับ องค์หญิงไท่ผิงแห่งราชวงศ์อู๋ เสด็จมาขอรับ ”
“องค์หญิงไท่ผิงคือผู้ใดกัน” ฟู่เสี่ยวกวนถามด้วยความตกตะลึง ?
“นางก็คืออู๋จ้าวหรืออู๋หลิงเอ้อร์ขอรับ !”
“นางเดินทางมาถึงที่แห่งนี้ด้วยเหตุอันใด ? ”
“ข้ามิอาจทราบได้ขอรับ”
“มีหนังสือราชโองการมาหรือไม่ ? ”
“มิมีขอรับ”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วอย่างระแวดระวัง “นางนำทัพมามากน้อยเพียงใด ? ”
“พลม้าหนึ่งพันนาง ล้วนแต่เป็นทหารหญิง เครื่องแต่งกายล้วนเป็นสีแดงขอรับ”
“ให้เฝ้าระวังไว้ประเดี๋ยวนี้ หากมิมีราชโองการ ก็มิอาจล่วงรู้ตัวตนที่แท้จริงของนางได้ ! ”
“ขอรับ !”
เซวียผิงกุยจึงรีบร้อนกลับไป แล้วแผดเสียงสั่งการ “เฝ้าระวัง ! เฝ้าระวัง ! รวมพลโดยด่วน !”
เหล่าทหารที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดแจงอาหารเมื่อได้ยินคำสั่งการต่างก็จับอาวุธแล้วเคลื่อนตัวขึ้นไปบนหลังม้าอย่างรวดเร็ว และรุดหน้าตามเซวียผิงกุยไปที่ริมทะเลสาบ แล้วคงอยู่เยี่ยงนั้นด้วยท่าทีสงบเสงี่ยม
สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขานั้นเป็นแถบยาวสีแดงเถือก !
และนั่นก็คือกองทัพหญิงของอู๋หลิง !
พวกนางใส่ชุดเกราะสีแดงสด ขี่ม้าสีแดงอมม่วงเหมือนกันทั้งหมด หรือแม้แต่ชุดเกราะของม้าทุกตัวก็ยังคงเป็นสีแดง
เว้นแต่อู๋หลิงแถวหน้าสุดของกองทัพคนเดียวเท่านั้นที่สวมใส่ชุดสีม่วงและนางก็มาด้วยความยินดีจนล้นปรี่ที่ในที่สุดนางก็จะได้เจอกับฟู่เสี่ยวกวน นางใคร่รู้ว่าเขาจะรูปร่างหน้าตาเป็นเยี่ยงไร จะเป็นชายรูปงามที่เพียบพร้อมด้วยเสน่ห์ดังที่หลิ่วเยียนเอ๋อร์เคยกล่าวถึงหรือไม่ ?
เมื่อได้พบเขา นางควรจะกล่าวว่าอันใด ?
อีกทั้งยังมีพี่สาวที่ติดตามมาด้วยอีก 2 คน นางควรจะปฏิบัติเยี่ยงไรกับพวกนาง ?
เขาจะชอบนางหรือไม่ ?
อู๋หลิงรู้สึกกระวนกระวายใจ แต่ทันใดนั้นกลับเห็นพลทหารม้านำทัพอยู่หน้าสุด
นางขมวดคิ้วมุ่น
นี่มันเกิดอันใดขึ้น
ณ ริมทะเลสาบฝั่งนั้น
หยูเวิ่นหวินมองฟู่เสี่ยวกวนแล้วเสนอความคิด “กองทัพหญิงแห่งเมืองกวนหยุนจะสวมชุดสีแดงทั้งหมด กองทัพนี้ก่อตั้งมาเพื่ออู๋หลิงเป็นการเฉพาะ ข้าคาดว่าคงมิใช่เรื่องหลอกลวง หากเจ้าคิดจะหยุดยั้งนาง เจ้าจะต้องทำให้นางโกรธเป็นแน่ นางเป็นจอมทัพชนชั้นสูงของประเทศอู๋ เป็นหนึ่งในเจ็ดของสุดยอดจอมทัพแห่งราชวงศ์ อีกทั้งยังเป็นพระราชธิดาหัวแก้วหัวแหวนของจักรพรรดิเหวินตี้อีกด้วย เจ้ามิอยากให้นางเข้าพบหน่อยรึ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า “มิมีหนังสือราชโองการ ก็มิอาจพิสูจน์ได้ว่านางคืออู๋หลิง อีกทั้งนางยังเป็นถึงองค์หญิงผู้สูงส่งแห่งราชวงศ์อู๋ มิมีเหตุจำเป็นอันใดต้องให้นางเดินทางมาถึงที่นี่ ในแผนทางการทูตกับประเทศอู๋ก็มิมีกำหนดการนี้ เช่นนั้น…”
เขาเงยหน้าขึ้นเพื่อมองสภาพภูมิศาสตร์โดยรอบ “เช่นนั้นพวกเราต้องรับมือด้วยความระมัดระวัง มิอาจพลาดพลั้งตกเป็นเบี้ยล่างของศัตรูได้”
อู๋หลิงรู้สึกน้อยใจยิ่งนัก
ตัวนางเป็นถึงองค์หญิงของประเทศผู้สูงส่ง เดินทางมาพันลี้เพื่อหวังจะได้พบชายผู้เลอโฉม อยากจะร่วมเคลื่อนทัพไปเมืองหลวงด้วยกัน แต่กลับมิได้การต้อนรับที่เหมาะสม มิหนำซ้ำกลับโดนปฏิเสธเสียอีก หรือเขาจะเป็นพวกขี้ขลาดกัน
หากเขาเป็นคนขี้ขลาด เหตุใดถึงได้ลงมือฆ่าผู้คนทั่วสารทิศได้บ้าระห่ำถึงเพียงนั้นเล่า ?
หากเขามิใช่คนขี้ขลาด แล้วใยถึงมิกล้ามาเผชิญหน้ากับนางด้วยตนเอง ?
นางรู้สึกสับสนยิ่งนัก
อารมณ์ของนางเริ่มเดือดดาลขึ้นมา นางเม้มริมฝีปาก และเชิดปลายจมูก แล้วหันไปสั่งการกับแม่ทัพรักษาการ “หนีฉาง คุมพื้นที่ตั้งฐานทัพ”
“ฝ่าบาท…”
“ข้าสั่งให้คุมพื้นที่ตั้งฐานทัพ”
หนีฉางรู้สึกยอมไม่ได้ องค์หญิงของตนเองตั้งใจมาแท้ ๆ เหตุใดคนพวกนั้นถึงไม่เห็นค่าเลย ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าตนยิ่งใหญ่ถึงเพียงไหนกัน เขาเป็นเพียงแค่เศรษฐีที่ดินเมืองหลินเจียง ก็แค่ประพันธ์บทกวีเพราะเพียงแค่บทสองบท
อย่างเขาน่ะรึจะมีปัญญามาแข่งกับกองทัพที่เพียบพร้อมของจัวตงหลาย ?
เขาน่ะรึ ที่สมควรได้รับเกียรติจากองค์หญิงที่เดินทางมาพบด้วยตนเองนับหมื่นลี้ ?
เขามิสำนึกในบุญคุณก็ช่างหัวปะไร แต่เขายังกล้าดีมาหันปลายดาบเข้ามาเป็นการตอบแทนอีก !
คิดเยี่ยงนั้นรึว่ากองทัพหญิงของพวกข้าจะอ่อนแอ ยอมแพ้ได้ง่ายดาย ?
จากนิสัยใจคอของหนีฉางและจากนิสัยใจคอขององค์หญิงในอดีต ศึกนี้ต้องลงมือสู้รบเป็นแน่ นางคิดเสียอีกว่าฝ่าบาทต้องสั่งการให้โจมตี คิดมิถึงว่าต้องตั้งทัพ ตั้งทัพยังจะหมายถึงอื่นใดได้อีก
หมายถึงการเผชิญหน้า ?
หรือการแสดงความอ่อนแอ ?
หรือองค์หญิงยังคงรอให้ทหารหนุ่มเหล่านั้นเปลี่ยนแปลงท่าที ?
หนีฉางไม่ยินยอมที่จะปฏิบัติตามคำสั่งให้ตั้งฐานทัพของฝ่าบาท ทหารหญิงชุดแดงต่างเคลื่อนตัวลงจากหลังม้าแล้วจัดตั้งฐานทัพลงกลางทางนี้
เซวียผิงกุยมองด้วยความตะลึงงงงัน
นี่มันอะไรกัน ?
จะยื้อเวลาเยี่ยงนั้นรึ ?
จะยื้อก็ยื้อไป คอยดูว่าใครจะกลัวใครกันแน่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สั่งให้โจมตี แค่สั่งให้เฝ้าระวัง เช่นนั้นก็เฝ้าระวังต่อไป !
เขาจัดการให้ทหาร 50 นายกลับมาจัดแจงอาหารที่ฐานทัพ ที่เหลืออีก 450 นายให้ขี่ม้าจับอาวุธเตรียมรับมือกับการโจมตีอย่างกะทันหัน
เขาผละตัวออกไปที่ทุ่งดอกไม้ นำเรื่องนี้ไปรายงานให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิวด้วยความประหลาดใจ ครานี้ค่อนข้างจะแน่ใจแล้วว่าคืออู๋หลิงจริง ๆ
แต่เขาก็ไม่ได้พลั้งปากกล่าวออกไป เพราะยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด
“ให้ทหารผลัดยามกันจับตาดู ห้ามประมาทเป็นอันขาด”
“ขอรับ !” เซวียผิงกุยได้ความแล้ววิ่งกลับไป
ทันใดนั้นต่งชูหลานก็โพล่งถามขั้นมา “ข้าเคยได้ยินมาว่าอู๋หลิงเป็นหญิงที่รูปงามมากนางหนึ่ง”
หยูเวิ่นหวินพยักหน้าตอบรับ “ข้าก็มิเคยพบนางมาก่อนเช่นกัน แต่คราหนึ่งข้าเคยได้ยินนางสนมของเสด็จพ่อเล่าว่า อู๋หลิงเป็นหญิงที่รูปงามราวกับดอกไม้ ” นางหันมามองฟู่เสี่ยวกวนอย่างเจ้าเล่ห์ “ประเคนให้ถึงปากเจ้าแล้ว เจ้ามิคิดจะชิมสักคำเชียวรึ”
ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปชั่วขณะ หยูเวิ่นหวินเลยหัวเราะระริก เลยถามย้ำอีกครั้ง “จะมิไปพบนางจริง ๆ รึ ? ”
“มิไป หากไปตอนนี้คงแย่เข้าไปอีก”
“เพราะเหตุใดกัน ? ”
“หากข้าไปพบนาง เจ้าคิดว่าข้าควรจะยอมรับว่านางคืออู๋หลิงจริง ๆ หรือไม่ ? ”
ตอนที่ 270 หนอนและผีเสื้อ
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนสอง วันที่ยี่สิบแปด ณ ทางเดินเท้าภูเขาฉีซาน
ขบวนรถม้าได้เดินทางอยู่ในเขตทางเดินเท้าภูเขาฉีซานเป็นวันที่สองแล้ว
เทือกเขาทั้งสองข้างสูงตระหง่านเสียดฟ้า หิมะบนภูเขายังไม่ละลาย เปรียบเหมือนแดนสวรรค์ที่เต็มไปด้วยเมฆหมอก
ทางเดินนี้เป็นหุบเขาระหว่างภูเขาสองลูก สายน้ำเชี่ยวกรากไหลลงมาสู่เชิงเขา ดอกไม้ป่านานาชนิดเบ่งบานอยู่ข้างลำธาร
โดยมากเป็นดอกกุหลาบพันปี มีทั้งสีขาว สีแดงและสีม่วง ดอกไม้หลากสีเหล่านี้ดูเหมือนกำลังแย่งชิงต้นฤดูใบไม้ผลิ โดยไม่สนใจว่าจะมีใครชื่นชมพวกมันหรือไม่ พวกมันเบ่งบานอย่างภาคภูมิใจพร้อมกลิ่นหอมฟุ้ง
ขบวนรถมาหยุดอยู่ที่หุบเขาซีกู่ ล่าช้ากว่าที่พวกเขาคิดไว้ 1 วัน
เนื่องจากฝนตกต้นฤดูใบไม้ผลินั้น ทางเดินเท้าจึงเต็มไปด้วยโคลน ประกอบกับถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อ ขบวนรถจึงเดินหน้าไปช้ากว่ากำหนดมาก
พื้นที่ของหุบเขาค่อนข้างโล่ง มองไปเหมือนว่าภูเขานั้นถอยออกไปหลายร้อยเมตร เหลือไว้เพียงพื้นราบแห่งนี้
เซวียผิงกุยสั่งให้นายทหารทั้งหลายตั้งกระโจมที่นี่และจัดทหารยามคอยดูแลและคุ้มกันตลอดเวลา ฟู่เสี่ยวกวนลงจากรถม้า เขาพูดคุยกับพวกฉินเหวินเจ๋อ และมองไปยังทิวทัศน์ที่มีเสน่ห์ราวกับสวรรค์นี้ ดูเหมือนเขาจะลืมเรื่องการโจมตีเมื่อคืนก่อนไปเสียสนิทแล้ว
“ถนนสายนี้ หากสามารถขยายให้รถม้า 2 คันสามารถวิ่งสวนทางกันได้ อีกทั้งปรับระดับถนนให้ราบเรียบ ก็จะกลายเป็นเส้นทางหลักของการค้าและการแลกเปลี่ยนระหว่างราชวงศ์อู่และราชวงศ์หยูได้”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองออกไปยังถนนด้านหน้า แล้วกล่าวอีกว่า “หากทั้งสองประเทศพัฒนาการค้าขาย เมืองเปียนเฉิงจะกลายเป็นเมืองการค้าที่สำคัญยิ่ง หากพวกเจ้ามีเงินพอ ข้าแนะนำให้ซื้อที่ดินบริเวณเปียนเฉิงเอาไว้ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า พื้นที่ตรงนี้จะมีมูลค่าเพิ่มอย่างแน่นอน”
ซังเหลียงมองดูฟู่เสี่ยวกวนด้วยความประหลาดใจ ท่านปู่ของเขาคือซังหยู จงซูลิ่งของเสมียนกลาง เขามิเคยได้ยินท่านปู่เอ่ยมาก่อนว่าทั้งสองประเทศจะทำความร่วมมือด้านการค้า แต่เขารู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมิเอ่ยสิ่งนี้ออกมาโดยไร้เหตุผล
“ท่านฟู่หมายความว่า…ทั้งสองประเทศนั้นจะให้ความสำคัญกับการค้าในอนาคตเยี่ยงนั้นรึ ? ”
“อาจจะเป็นดังนั้น เพียงแต่บัดนี้ยังมิอาจตัดสินได้”
อู๋เชวียครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยถามออกไปว่า “จากคำแนะนำของท่านฟู่แล้ว หลังจากการค้าของทั้งสองประเทศดำเนินขึ้น สินค้าของราชวงศ์อู่จะส่งผลกระทบต่อสินค้าของราชวงศ์หยูหรือไม่ ? ข้าได้ยินมาว่าการถลุงและตีเหล็กของราชวงศ์อู่นั้นเป็นเลิศกว่าของเรามาก ทั้งดาบ ชุดเกราะหรือแม้แต่เครื่องมือทางด้านการเกษตรและมีดทำครัวของพวกเขาก็ยังดีกว่าของพวกเรา อีกทั้งราชวงศ์อู่อุดมไปด้วยแร่เหล็ก สินค้ามีราคาถูกกว่าด้วย หากเป็นเยี่ยงนี้จะส่งผลให้ราชวงศ์หยูของเราขายมิได้หรือไม่ ? ”
อู่เชวียเพียงยกตัวอย่างขึ้นมา แท้จริงแล้วราชวงศ์อู่ยังมีสินค้ามากมายที่ดีกว่าและถูกกว่าราชวงศ์หยู อาทิเช่น อาหาร วัวควายแพะม้า และรวมไปถึงผลิตภัณฑ์จากไม้
นี่คือเหตุผลที่ควรได้รับการพิจารณาอย่างยิ่ง การที่แต่ละประเทศมิสามารถทำการค้าร่วมกันได้ ก็ด้วยเหตุผลนี้
ผู้นำของแต่ละประเทศเป็นกังวลถึงปัญหานี้ เนื่องจากแต่ละประเทศมีข้อดีข้อด้อยของตนเอง พวกเขาล้วนคิดกลัวว่าประเทศฝ่ายตรงข้ามจะนำจุดแข็งเข้ามาในประเทศของตน และจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่ออุตสาหกรรมของพวกเขาในด้านนั้นๆ
หากอุตสาหกรรมเหล่านี้ในประเทศค่อย ๆ ลดลงจนกระทั่งหมดไป จึงส่งผลให้ต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมเหล่านี้จากประเทศอื่น เมื่อใดที่อีกฝ่ายยกเลิกอุตสาหกรรมนั้นไปก็จะเป็นการนำหายนะครั้งใหญ่มาสู่ประเทศอย่างแท้จริง
ดังนั้นการปิดประเทศจึงเป็นสภาวะในปัจจุบัน มีพ่อค้าที่มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่หรือแข็งแกร่งเพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่กล้าลักลอบแอบและแสวงหาผลประโยชน์มหาศาลจากการค้านี้
สายตาของฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังบรรดานักเรียนทั้งหลาย แล้วค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมาว่า “ก่อนหน้านี้ข้าได้ให้คำถามแก่พวกเจ้าไว้ อะไรคือสิ่งที่ส่งเสริมความก้าวหน้าทางสังคม ? บัดนี้ ข้าจะเล่าเรื่องหนึ่งให้ฟัง พวกเจ้าลองฟังดู”
“หนอนตัวหนึ่งนอนอยู่บนกองฟาง และเห็นผีเสื้อที่สวยงามบินอยู่ท่ามกลางดอกไม้ มันอิจฉาเป็นอย่างมากและถามผีเสื้อว่า “ข้าจะบินอย่างอิสระภายใต้แสงอาทิตย์เหมือนเจ้าได้หรือไม่ ?”
ผีเสื้อบินลงมาและเอ่ยกับมันว่า “หากเจ้าต้องการจะบิน เจ้าจะต้องมีความใฝ่ฝันที่จะโบยบินเสียก่อน มีเพียงเจ้าตั้งมั่นใฝ่ฝันว่าจะบิน เจ้าจึงจะสามารถออกจากรังไหมที่ห่อหุ้มตัวเจ้าอยู่ได้ เจ้าจึงจะมีความกล้าหาญที่จะก้าวออกมาจากรังไหมอันอบอุ่นและปลอดภัยนั้น ซึ่งเจ้าจะต้องผ่านความทุกข์ยากอย่างสาหัสเสียก่อน”
หนอนกล่าวว่า “ข้าอาจจะตายได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ! ”
ผีเสื้อกล่าวว่า “หากเจ้าคิดเช่นนั้น หมายความว่าเจ้ามิได้มีความปรารถนาที่จะโบยบินอย่างแท้จริง หากเจ้าจะเป็นหนอนตลอดไป แน่นอนว่าเจ้าต้องตายอย่างแน่นอน ทว่าหากเจ้ากล้าเผชิญหน้ากับการกลายเป็นผีเสื้อ และเมื่อเจ้าแตกตัวออกจากดักแด้ วินาทีนั้นเจ้าจะได้รับชีวิตใหม่กลายเป็นผีเสื้อเช่นข้า มีอิสระในการโบยบินใต้แสงแดดอันอบอุ่น”
ผีเสื้อเอ่ยต่อไปว่า “หากมิมีความกล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับความตาย เจ้าก็จะไร้โอกาสในการโบยบิน ! ชีวิตนี้เจ้าทำได้เพียงเป็นหนอนคืบคลานอยู่บนพื้นดินเท่านั้น ไร้โอกาสชื่นชมท้องฟ้าอันสดใส และดอกไม้แสนสวย อีกทั้งทิวทัศน์งดงามบนภูเขา เจ้าจะมีเพียงความมืดมิดที่ทั้งหนาวทั้งหม่นหมองในรังไหม ! ”
เหล่าบัณฑิตฟังแล้วต่างพากันหน้าตาคร่ำเครียด ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินต่างก็คิดตาม แม้แต่ซูเจวี๋ยที่มิได้ใส่ใจเรื่องเศรษฐกิจก็ยังคล้ายกับกำลังจับต้นชนปลาย
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า “วันนี้ข้าจะทิ้งคำถามไว้ให้พวกเจ้าอีกหนึ่งคำถาม จะทำเยี่ยงไรให้การแข่งขันทางการค้าระหว่างสองประเทศโดดเด่นและสามารถขจัดปัญหาการขัดแย้งได้ ? เช่นเดียวกัน หลังไปถึงเมืองกวนหยุนแล้วจงให้คำตอบแก่ข้า”
เรื่องราวของตัวหนอนที่สนทนากับผีเสื้อนั้น เป็นทางเลือกที่ต้องใช้จิตวิญญาณ
มิมีผู้ใดอยากเป็นตัวหนอน เช่นนั้นคงทำได้เพียงเลือกที่จะกลายเป็นผีเสื้อ
กว่าจะได้กลายเป็นผีเสื้อ จะต้องพบกับอุปสรรคและความทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส แต่สุดท้ายจะได้พบกับสายรุ้งและก้อนเมฆ !
ซังเหลียงมองดูฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทางตกตะลึง ในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์หยูเป็นเวลากว่าสองร้อยปี มีเพียงฮ่องเต้องค์ก่อนเท่านั้นที่เสนอให้เปิดการค้าระหว่างประเทศ แต่ขุนนางปฏิเสธด้วยเหตุผลหลายประการ น่าเสียดายที่ฮ่องเต้องค์ก่อนมิได้ยินเรื่องราวของหนอนและผีเสื้อ มิเช่นนั้นเกรงว่าเขาจะต่อต้านความคิดของฝูงชนอย่างแน่นอน เช่นนั้นราชวงศ์หยูในวันนี้จะต้องเดือดร้อนเรื่องเงินอย่างที่เป็นอยู่อีกหรือไม่ ?
เขารู้ดีถึงประโยชน์ของการค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อได้อ่านหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นของท่านปู่แล้ว เขาก็ตระหนักได้ว่าการที่จะทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองจะต้องปฏิวัติเยี่ยงไร
ในแต่ละครั้งที่มีการปฏิวัติจะต้องพบกับจิตวิญญาณเช่นนี้ เหมือนกับนิทานเรื่องนี้ที่ต้องการจะสื่อว่าจะต้องกล้าเผชิญหน้ากับความตาย
เช่นนั้น ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะมีความกล้าหาญพอหรือไม่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยออกมาอย่างไร้จุดหมายแน่นอน ดูเหมือนว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญกำลังจะเกิดขึ้น !
ฟู่เสี่ยวกวนทิ้งคำถามอันน่าปวดหัวนี้เอาไว้ จากนั้นพาหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานไปยังที่พัก
ธารน้ำที่เชิงเขาไหลมาบรรจบกันเป็นทะเลสาบเล็ก ๆ และมีดอกธูปฤๅษีจำนวนมากงอกขึ้นในทะเลสาบ ต้นไม้นี้จะไม่โตเต็มที่จนกว่าจะถึงฤดูใบไม้ร่วง และตอนนี้มันเสมือนเป็นเพียงพืชน้ำสีเขียวเท่านั้น
มีต้นกุหลาบพันปีจำนวนมากเติบโตอยู่ริมทะเลสาบ อีกทั้งดอกไม้ป่ามากมายที่อยู่ใต้ต้นไม้
“เจ้าสิ่งนี้ว่ากันว่า…” ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปยังดอกกุหลาบพันปี “โบราณได้กล่าวไว้ว่าในประเทศสู่มีกษัตริย์ชื่อว่าตู้หยู่ ฉายาว่าวั่งตี้ หลังจากที่ประเทศล่มสลายและเขาได้สิ้นชีพลง วิญญาณของเขาได้กลายเป็นนกชื่อว่านกแขกเต้า นกแขกเต้าตัวนี้จะส่งเสียงร้องไห้ในปลายฤดูใบไม้ผลิดังว่า “ปู้หรูกุย ปู้หรูกุย…”
สตรีทั้งสองมองมายังเขาด้วยความประหลาดใจ เขานำมือขึ้นลูบจมูกแล้วกล่าวว่า “นกแขกเต้าร้องเช่นนี้จริง ๆ ”
“แล้วจากนั้นเล่า ? ”
เหตุใดกัน ?
เพราะอาวุธนี้มิจำเป็นต้องใช้กำลังภายใน !
ฟู่เสี่ยวกวนมิมีกำลังภายใน แต่กลับใช้มันจนเกือบจะสังหารเป่ยหวังฉวนผู้มีชื่อเสียงคับฟ้าได้ !
เยี่ยงนั้น พลังภายในของมันแฝงไปด้วยพลังของผู้แข็งแกร่งแบบใดกัน ?
หรือว่าภายในจะถูกผนึกด้วยพลังของปรมาจารย์กัน ?
ของสิ่งนี้ได้โค่นล้มความคิดของซูเจวี๋ยและคนอื่นจนสิ้น
สิ่งที่เรียกว่าอาวุธ จำต้องปลุกเสกโดยกำลังภายในของผู้แข็งแกร่ง พวกมันจึงจะสามารถแสดงแสนยานุภาพที่แรงกว่าอาวุธอันอื่นได้
ตัวอย่างเช่นฉินของซูซู หรือคันธนูของเป่ยหวังฉวน หรือแม้แต่เลี่ยงเทียนฉือด้ามนั้นของสำนักเต๋า
บนโลกใบนี้มิมีสิ่งใดที่จะสามารถกำจัดอาวุธของปรมาจารย์ได้โดยมิใช้กำลังภายใน ดังนั้น พลังภายในของอาวุธชนิดนี้ ย่อมสาบสูญไปเนิ่นนานแล้ว มิมีผู้ใดที่รับรู้ถึงความลับนี้ได้
สีหน้าของซูเจวี๋ยเคร่งเครียดกว่าเดิม หันหลังกลับและมองไปยังทุกคน และกล่าวด้วยท่าทีจริงจังอย่างถึงที่สุด “เรื่องเกี่ยวกับอาวุธตัวนี้ อย่าได้แพร่งพรายออกไปเด็ดขาด”
เขาหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนอีกครา “ตั้งแต่นี้ไป เจ้าเองก็ไม่สามารถยกขึ้นมาได้อีก คนไม่ผิด ผิดที่ครอบครองหยก หากมีคนรับรู้ว่าอาวุธชนิดนี้สามารถคุกคามผู้แข็งแกร่งระดับปรมาจารย์ได้ เชื่อข้าเถิด ผู้คนทั้งใต้หล้าจะแตกตื่นไปกับมัน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า การปรากฏตัวของสิ่งนี้ในคืนนี้ เกรงว่าจะทำให้ยุทธภพต้องสั่นสะเทือน
เขาปิดล็อคกล่อง และส่งมันให้กับซูเจวี๋ย
“หมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
“เจ้าสะพายไว้ ข้าจะได้วางใจ”
“…ได้ ข้าจะสะพายมันไว้เอง เจ้าสบายใจเถิด ! ”
…..
…..
ที่มาที่ไปของสิ่งนี้ บนโลกใบนี้มีเพียงต่งชูหลานที่รู้
ยามที่อยู่หลินเจียงเมื่อปีที่แล้ว นางได้ให้ทหารองครักษ์พาตัวเขาไปยังลำธารแห่งหนึ่ง และใช้ไม้ตะบองตีเขาจนสลบ หลังจากนั้นผู้คุ้มกันของนางก็พบว่าข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนได้มีกล่องสีดำปรากฏตัวขึ้นมา
ผู้คุ้มกันนำของสิ่งนั้นกลับมาให้ต่งชูหลาน
ต่งชูหลานมิทราบว่านั่นคือของสิ่งใด จึงนำมันกลับไปยังเมืองหลวงด้วย
แรกเริ่มนางก็รู้สึกประหลาดมากยิ่งนัก จึงได้เชิญช่างกุญแจมากมายทั่วทั้งเมืองหลวงมาทดลองเปิดมันออก แต่กลับมิมีผู้ใดที่สามารถเปิดมันออกได้ เพราะมันมิมีรูกุญแจ
หลังจากนั้นก็เป็นตอนที่จะออกเดินทางไปยังราชวงศ์อู่ ฟู่เสี่ยวกวนได้เข้าห้องของนางเป็นคราแรก
ยังจำได้ว่าคืนนั้นฟู่เสี่ยวกวนมีความสุขที่ได้เห็นของสิ่งนั้น เขารู้จักเจ้ากล่องดำใบนี้ !
เขาเปิดกล่องดำนั้นออก เพียงแค่สัมผัสเท่านั้น มันก็เปิดออก !
นางเคยถามเขาแล้วว่านี่คือสิ่งใด เขากล่าวว่า…นี่คือศาสตราเทพ !
คำถามจึงได้เกิดขึ้น ในเมื่อเขามีศาสตราเทพที่แข็งแกร่งเยี่ยงนี้ไว้ในครอบครอง เหตุใดจึงถูกทหารยามที่ธรรมดาเหล่านั้นของตนตีจนสลบไปกัน ?
หรือว่าเขาจะจงใจกัน ?
แต่เหล่าทหารยามมิได้กล่าวว่ายามที่ลักพาตัวเขาไป เขาได้สะพายกล่องไว้ใบหนึ่ง
ต่งชูหลานนอนพลิกตัวไปมาด้วยอาการนอนไม่หลับ ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนที่ตนเองคุ้นเคยได้เปลี่ยนจนแปลกไปเล็กน้อย
คิดว่าตนเองเข้าใจเขามากพอแล้ว แต่ราวกับว่าเขามีความลับที่ซ่อนอยู่อีกมากมาย
เขา…แท้จริงแล้วเป็นคนเยี่ยงไรกันแน่ ?
“เจ้ากำลังคิดถึงเขาอยู่รึ ?” หยูเวิ่นหวินพลิกร่างมา เผชิญหน้าและเอ่ยถามต่งชูหลาน
“เวิ่นหวิน เจ้าว่าหากมีวันหนึ่ง เขาเปลี่ยนไปจนเก่งกาจอย่างมาก…เปลี่ยนไปจนอยู่สูงเป็นพิเศษ แต่พวกเรากลับยังเหมือนเฉกเช่นในตอนนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้วพวกเราจะดูต่ำต้อยเกินไปหรือไม่ ? เขายังจะปฏิบัติกับพวกเราเฉกเช่นในตอนนี้หรือไม่ ? ”
ไฟดับไปแล้ว กลางคืนมืดยิ่งนัก ยังคงมีเสียงฝนโปรยด้านนอกหน้าต่าง ที่นี่เงียบสงบมากยิ่งนัก
ผ่านไปเนิ่นนาน หยูเวิ่นหวินก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “ต่อให้เขาเปลี่ยนไปจนเก่งกาจยิ่งกว่าเดิม เขาก็จะยังปฏิบัติกับพวกเราดังเช่นวันวาน”
“เพราะเหตุอันใดกัน ? ”
“หรือว่าเจ้าลืมช่วงเวลายามที่ไปซีซานเสียหมดสิ้นแล้ว เขาเทิดทูนความเท่าเทียมกันของมนุษย์ ดังนั้นพวกเราจะมิมีทางต่ำต้อย และเขาก็มิมีทางให้ผู้อื่นยกยอให้เขาอยู่สูงเป็นพิเศษถึงเพียงนั้นเป็นแน่”
และก็ได้ตกสู่ความเงียบที่กินเวลายาวนานอีกครา
“เจ้าว่า…การที่เทพบู๊ถูกส่งตัวออกมาในครานี้ จะเป็นฝีมือหยูชุนชิวหรือไม่ ? ท้ายที่สุดคนที่รู้ชัดเรื่องเวลาการมาที่นี่ของพวกเราดีที่สุดก็มิพ้นเขา”
หยูเวิ่นหวินครุ่นคิด “ข้าคิดว่ามิน่ามีทางเป็นไปได้ ข้ามิได้เข้าข้างเขาเพียงเพราะเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับข้า เขาและภรรยามิได้มีความคับข้องใจอันใดกับฟู่เสี่ยวกวน และเมื่อคืนวานเผิงยวี๋เยี่ยนยังได้เอ่ยเตือนฟู่เสี่ยวกวนถึงเรื่องที่ในเมืองหลวงมีคนหมายปองชีวิตของเขา”
“เยี่ยงนั้นเจ้าว่าจะเป็นผู้ใดได้กัน ? ผู้ใดที่จะมีความสามารถถึงขนาดเชิญเทพบู๊ผู้หนึ่งมาได้กัน ?”
“ข้า…เกรงว่าจะเป็นหยูเวิ่นชู !”
ต่งชูหลานตื่นตกใจ นางมิทราบเรื่องระหว่างฟู่เสี่ยวกวนและองค์ชายสี่ ดังนั้นจึงเอ่ยถามอีกว่า “เพราะเหตุใดกัน ?”
“ข้าเองก็มิทราบว่าเหตุใด เสด็จแม่ตรัสว่าในคืนเทศกาลโคมไฟผู้ที่ลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวนมาจากสองฝ่าย ฝ่ายแรกคือตระกูลชือ แต่ในตอนนี้ก็เขาคุกไปแล้ว แต่อีกฝ่ายคือเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่เหล่านั้นเป็นคนของหยูเวิ่นชู นอกจากเขา ข้าก็คิดมิออกแล้วว่าจะยังมีผู้ใดอีก”
ต่งชูหลานพลิกตัวนอนราบไปกับเตียง สองตาลืมตื่น จ้องมองเพดานที่สีดำราวกับน้ำหมึก ลอบคิดในใจ หากองค์ชายสี่ได้เป็นองค์รัชทายาท ควรจะรับมือกับช่วงเวลาในภายภาคหน้าเยี่ยงไรดี ?
…..
ในคืนนี้มีผู้คนมากมายที่นอนไม่หลับ
เป่ยหวังฉวนย่อมเป็นหนึ่งในนั้น
ในตอนที่เขากำลังวิ่งไปตามทางเดินฉีซาน ในหัวเต็มไปด้วยความสับสน
คาดมิถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีผู้ที่แข็งแกร่งเยี่ยงนี้อยู่ด้วย !
แท้จริงแล้วคนผู้นั้นคือใครกัน ?
แท้จริงแล้วคืออาวุธใดกันที่ทำตนบาดเจ็บสาหัส ?
ย่อมมิใช่ลูกศร ในเรื่องวิถีศร ใต้หล้านี้มิมีผู้ใดคุ้นเคยไปกว่าเขาอีกแล้ว
แน่นอนว่าหากในตอนนั้นตนมิเบี่ยงหลบ ก็คงถูกฝ่ายตรงข้ามสังหารในพริบตา แท้จริงแล้วคือทักษะแบบใดกันแน่ ?
กระดูกสะบักไหลได้หักไปแล้ว ด้วยพลังของปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่งเยี่ยงเขาคาดมิถึงว่าจะไร้หนทางบังคับให้เจ้าสิ่งที่ฝังอยู่ในสะบักไหล่ออกมาได้ !
เขาได้ห้ามเลือดบริเวณปากแผลนั่นแล้ว ยามที่เลือดหยุดไหลเขาจ้องมองบาดแผลจ้องจนปวดไปทั้งคอ ที่แผลเป็นรูหลุมหนึ่ง ขนาดเท่าหัวแม่มือ และเนื้อรอบๆ ต่างก็แตกละเอียด
หากชั่วพริบตานั้นเขามิได้เคลื่อนย้ายพลังภายในไปป้องกันช่วงหัวไหล่ รูนี้คงจะถูกเจาะทะลุไปแล้ว และคงจะสะเทือนจนหักไปทั้งสะบักไหล่ และเกรงว่าภายภาคหน้าจะมิสามารถจับคันธนูได้อีกต่อไป
เขาต้องรีบไปยังเมืองกวนหยุน ต้องนำสิ่งนี้ออกมาจากแผลของเขา เกรงว่าจะมีเพียงมือศักดิ์สิทธิ์สุ่ยหยุนเจียนแห่งเมืองกวนหยุนเท่านั้นที่จะสามารถนำมันออกมาได้
มิผิด นั่นคือนิกายลู่ !
การค้าขายครานี้สูญเสียคราใหญ่ ของรับมาแล้ว แต่ยังทำงานมิเสร็จสมบูรณ์ คาดมิถึงว่าข้างกายฟู่เสี่ยวกวนจะมีคนที่แข็งแกร่งถึงเพียงนั้นอยู่ คาดมิถึงว่าเขาจะจับสัมผัสคนผู้นั้นมิได้ !
หากจะสังหารฟู่เสี่ยวกวนอีกครา คงมีเพียงตอนที่มั่นใจว่าคนผู้นั้นมิได้อยู่ข้างกายฟู่เสี่ยวกวนแล้วจึงจะสามารถลงมือได้ มิเช่นนั้น คราหน้าคงมิบาดเจ็บเยี่ยงนี้แต่คงจะเป็นการจบสิ้นชีวิตแทน
หวังว่าบาดแผลในครานี้จะดีขึ้นในเร็ววัน ฟู่เสี่ยวกวนจะต้องตายก่อนที่จะออกไปจากราชวงศ์อู่ !
ในกรณีนั้น นอกจากปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหกในใต้หล้าแล้ว ยังมีใครหน้าไหนที่จะลอบสังหารเขาจากระยะไกลได้อีกกัน ?
…..
แท้จริงแล้วเซวียผิงกุยมาทราบว่าเกิดเรื่องขึ้นก็เป็นในยามที่การต่อสู้ในสวนท้อได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
ในยามที่เขาพาอัศวินดำ 500 นายปรี่เขาไปในสวนท้อ การต่อสู้ก็ได้จบลงแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนมิเป็นอะไร องค์หญิงเก้ามิเป็นอะไร ส่วนคนอื่นนั้นมีบาดแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ มีเพียงชายที่ตามหลังฟู่เสี่ยวกวนมาตลอดผู้นั้นที่บาดเจ็บสาหัส
โชคยังดี หากเกิดเหตุกับฟู่เสี่ยวกวนหรือองค์หญิงเก้า… เกรงว่าเขาจะทำได้เพียงหันดาบแทงตนเองเท่านั้น
ในยามนี้เขาก็มิได้นอนหลับ เขากำลังเฝ้าระวังศัตรูคนหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัส
มือและเท้าของคนผู้นี้ถูกตัดออก ร่างกายท่วมไปด้วยหยาดโลหิต ช่างน่าสังเวชยิ่ง แต่ในสายตาของเซวียผิงกุย คนผู้นี้กลับน่าชิงชังมากยิ่งนัก !
เขามิได้ไต่สวน เพราะฟู่เสี่ยวกวนบอกว่าเหลือไว้ให้เขา 1 คน เขาจะไต่สวนด้วยตนเอง
และก็มิทราบว่าการไต่สวนในครานี้ จะไต่สวนเจอคดีที่สะเทือนขวัญหรือไม่ !
ตอนที่ 268 ศาสตราเทพ
แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่ทุกคนมิอาจยอมรับได้ !
ศิษย์น้องที่เมื่อสักครู่ยังนั่งแทะน่องแกะอยู่ตรงนี้ จากพวกเขาไปง่าย ๆ เยี่ยงนี้เลยรึ ?
ซูเจวี๋ยลุกขึ้นหันหลังเดินออกไป เขาเดินออกไปหาหมวกที่ตกอยู่ท่ามกลางป่าท้อ แต่เขามิได้ใส่มันตามเคย กลับเดินเข้าไปในเรือนแล้วหยิบกระดาษและถ่านแท่งขึ้นมา เขียนข้อความลงไปด้วยความแค้นว่า “เป่ยหวังฉวนฆ่าน้องเล็กด้วยธนู ! ! ! จงรีบมายังเมืองกวนหยุนแห่งราชวงศ์อู่อย่างเร่งด่วน ! ! !
ในประโยคนี้มีเครื่องหมายอัศเจรีย์ถึง 6 ตัว
เขานำกระดาษใบนี้ผูกไปที่ขาของอีกาตัวหนึ่ง เมื่อเขาปล่อยอีกาตัวนั้นออกไปจึงได้หันมาเอ่ยกับซูม่อว่า “เจ้าจงไปให้สบายเถิด พวกเราจะฆ่าเป่ยหวังฉวนให้จงได้ แล้วนำศีรษะกับคันธนูของเขาฝังให้แก่เจ้า ! ”
เขาสวมหมวกแล้วจัดแจงให้ตรงเป็นระเบียบ จากนั้นเดินออกไปยืนท่ามกลางสายฝน มิมีผู้ใดเห็นว่าน้ำตาเขาพรั่งพรูออกมาราวกับสายฝน
“พี่มิอาจปกป้องเจ้าได้ เป็นความผิดของพี่เอง หากชาติหน้ามีจริง ขอให้พวกเราได้เกิดมาเป็นพี่น้องกันอีก แล้วพี่จะปกป้องเจ้ามิให้ผู้ใดมารังแกเจ้าได้อีก ! ”
ซูโหรวเงยหน้าขึ้นมองฟ้า น้ำตาของนางไหลเข้าปากไป ช่างขมขื่นนัก
ซูซูกลั้นน้ำตาไว้ นางหยิบขนมกุ้ยฮวาออกมาก้อนหนึ่ง “เหลือก้อนนี้เพียงก้อนสุดท้ายแล้ว เดิมทีข้าคิดว่ารอให้หิวเสียจนทนมิได้จึงจะกินมัน แต่เพิ่งคิดได้ว่าเจ้ายังมิทันได้ลิ้มรสของขนมกุ้ยฮวาก็กลับมาจากไปเช่นนี้…เจ้าลองชิมดู มิรู้ว่าตายไปแล้วยังจะรับรู้ถึงรสชาติอยู่หรือไม่”
นางบีบปากของซูม่อออก แล้วนำขนมยัดใส่เข้าไปในปากเขา แต่ทันใดนั้น “ไอหยา… !” นางก็กรีดร้องขึ้น
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองทางซูซู และทุกคนก็หันหลังมองตามไป
“คาดว่าศพคงกระตุก ศิษย์น้องยังมีลมหายใจ ! ”
ซูเจวี๋ยที่ยืนอยู่ด้านนอกได้ยินดังนั้นก็รีบวิ่งกลับเข้ามา เขานำมือไปสัมผัสที่คอของซูม่อ สักพักหนึ่ง เขาก็แสดงท่าทีดีใจ “เร็ว ๆ ๆ เข้า รีบไปนำน้ำร้อนมา น้องเล็กยังมิตาย ยังมิตาย ! ”
เยี่ยนถาวฮวาดวงตาเป็นประกาย นางรีบวิ่งไปทางห้องครัว วิ่งไปพลางเอ่ยว่า “หมอดูกล่าวว่าข้านั้นค้ำจุนสามี ข้าจะมีดวงกินสามีได้เยี่ยงไร ! ”
ซูม่อยังอยู่ในอาการสลบ เพียงแต่บัดนี้ชีพจรยังเต้นเบาและมีลมหายใจที่รวยริน
แต่ซูเจวี๋ยกลับรู้สึกวางใจ เนื่องจากขอเพียงแค่ศิษย์น้องเล็กยังมีลมหายใจอยู่ เขาก็จะต้องหาวิธีช่วยให้ตื่นฟื้นขึ้นมาให้จนได้
เขาและฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะพบว่าบนร่างกายของซูม่อมิได้มีบาดแผลใด
ซูเจวี๋ยขมวดคิ้วเขาหากัน เขาเห็นกับตาว่าธนูของเป่ยหวังฉวนเจาะเข้าไปกลางหลังของซูม่อ แต่เหตุใดที่หลังจึงไร้บาดแผล หลังเขามิได้ทำด้วยเหล็กเสียหน่อย แล้วลูกธนูเล่า ?
ฟู่เสี่ยวกวนมองเห็นกล่องสีดำที่วางอยู่บนโต๊ะ
บนกล่องนั้นมีรอยบุ๋มลงไป
กล่องนี้ทำมาจากโลหะผสมพิเศษ บังเอิญว่าซูม่อแบกมันเอาไว้ที่หลัง และบังเอิญว่าลูกศรปักไปที่กล่องดำนั้นพอดี
ซูม่อถูกแรงอัดของลูกธนูที่พุ่งเข้ามาทำให้ช้ำใน กล่องสีดำนี้ช่วยชีวิตซูม่อเอาไว้ และช่วยชีวิตฟู่เสี่ยวกวนไว้เช่นกัน
เนื่องจากแรงของลูกธนูนั้นมิเพียงปักทะลุผ่านซูม่อได้ แต่ยังคงแรงพอที่จะพุ่งปักเข้าร่างของฟู่เสี่ยวกวนด้วย !
นี่คือผู้มีความสามารถของชนชั้นปรมาจารย์ ประกอบกับพลังของธนูเทพสุริยะพินาศ !
เยี่ยนถาวฮวานำน้ำอุ่นมาให้ จากนั้นซูเจวี๋ยหยิบยาลูกกลอนลูกหนึ่งละลายด้วยน้ำนี้ แล้วเอ่ยกับเยี่ยนถาวฮวาว่า “เจ้าจงป้อนเขาเถิด ประมาณครึ่งชั่วยามเขาคงจะฟื้นขึ้นมา เพียงแต่ว่า…เขาได้รับบาดเจ็บจากภายใน เกรงว่าจะต้องอยู่รักษาตัวที่นี่แล้ว หากเจ้ามิว่ากระไร ข้าจะขอฝากเขาไว้ที่นี่ก่อน แต่หากเจ้ามิสะดวก ข้าก็จะพาเขาไปด้วยบัดนี้”
“สะดวก ข้ายินดีที่จะดูแลเขาเอง ! ”
เยี่ยนถาวฮวานั่งลงข้างกายซูม่อ จากนั้นก็ได้ป้อนยาให้แก่เขา “พวกเจ้าวางใจเถิด ข้าจะดูแลเขาให้ดี เมื่อพวกเจ้าเดินทางกลับมา ข้าจะเดินทางไปเมืองจินหลิงกับพวกเจ้าด้วย”
……
“นี่คือ…การเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสเยี่ยงนั้นรึ ? ”
“หาใช่ไม่ นี่คือพรหมลิขิตต่างหากเล่า ! ”
……
……
ณ โรงเตี๊ยมเฟิงหลิง
ห้องเทียนจื้อที่หนึ่ง
ดึกดื่นเที่ยงคืนแล้ว แต่ทว่าสายฝนยังคงกระหน่ำลงมาอย่างมิขาดสาย
หน้าต่างห้องยังคงถูกเปิดออก มีลมพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่างนั้น เทียนไขในห้องยังคงส่องสว่าง กระทบเข้าที่ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ทำให้ภายในห้องมิมืดมากเท่าใดนัก
“ดังนั้น สิ่งนี้ได้ช่วยชีวิตของศิษย์น้องเล็กเอาไว้รึ ? ” ซูเจวี๋ยนำมือทั้งสองข้างลูบไปบนกล่องสีดำนั้น เขาคลำมันเบา ๆ สายตาแฝงไปด้วยความประหลาดใจ
นิ้วของเขาสัมผัสไปที่รอยนั้น เขาสัมผัสมันและพิจารณาอย่างละเอียด เป็นรอยบุ๋มลงไปตื้น ๆ เท่านั้น แต่นั่นคือธนูระดับปรมาจารย์ ทำให้ของสิ่งนี้เป็นรอยได้เพียงบาง ๆ เท่านั้นรึ ?
“ถูกต้องแล้ว ในตอนนั้นซูม่อแบกกล่องนี้อยู่ โชคดีที่เขายังมิทันหันหน้ามา มิเช่นนั้น…คงจะมิรอดแล้วจริง ๆ ”
“สิ่งนี้คืออะไรกัน ?”
“…นี่คือศาสตราเทพ ! ”
ซูซูดวงตาเบิกกว้าง นางเดินตรงเข้ามาแล้วยื่นมือมาสัมผัสมันอย่างเหลือเชื่อ
ซูเจวี๋ยขมวดคิ้วขึ้น “อาวุธที่เทพตีเหล็กสร้างขึ้นในราชวงศ์ก่อนมิมีสิ่งนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนมิอาจอธิบายถึงของสิ่งนี้ให้แก่พวกเขาได้ เขาทำได้เพียงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “มันคือสิ่งที่อาจารย์ของท่านจู๋ซีทำขึ้นมา มีเพียงชิ้นเดียวบนโลกใบนี้ ! ”
“อ้อ…” ซูเจวี๋ยพยักหน้า แท้ที่จริงแล้วก็เป็นศาสตราเทพเช่นกัน มองไปแล้วธนูสุริยะพินาศก็มิได้ดีกว่าเจ้าสิ่งนี้เลย เป็นสิ่งที่ท่านอาจารย์ของจู๋ซีทำขึ้นมานี่เอง เพียงแต่มิรู้ว่าเจ้าสิ่งนี้มาอยู่ในมือฟู่เสี่ยวกวนได้เยี่ยงไร
แน่นอนว่าเขามิได้เอ่ยคำถามนี้ออกไป แต่กลับถามขึ้นว่า “การตายของศิษย์พี่ใหญ่แห่งบู๊ลิ้ม จั่วเฮิ่นฮวา มีต้นเหตุมาจากสิ่งนี้งั้นรึ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบปืนพกเหยี่ยวทะเลทรายออกมาจากแขนเสื้อยื่นให้ซูเจวี๋ย “เป็นเพราะสิ่งนี้ถูกต้องแล้ว”
ซูเจวี๋ยรับมาพิจารณาดูอย่างละเอียด ขนาดประมาณฝ่ามือ เมื่อนำมาวางไว้ในมือสัมผัสได้ถึงความเย็นและหนัก มิมีเส้นสาย ดังนั้นจึงมิอาจใช้เป็นคันธนูได้คำถามก็คือ
“สิ่งนี้…ฆ่าจั่วเฮิ่นฮวาตายรึ ? ” ซูเจวี๋ยนำช่องกลม ๆ สีดำมาวางไว้ตรงตาแล้วมองเข้าไปด้านใน หรือว่าลูกธนูจะออกมาจากตรงนี้กัน ?
“ใช่แล้ว ข้าใช้สิ่งนี้ในการฆ่าจั่วเฮิ่นฮวา อาวุธนี้มีความพิเศษ มันใช้สิ่งที่เรียกว่ากระสุน นำกระสุนใส่ลงไปด้านใน แล้วเหนี่ยวไปที่ไกเพื่อยิง หลักการเดียวกับปืนไฟ แต่ทว่ามีประสิทธิภาพเหนือกว่าปืนไฟหลายเท่านัก
เมื่อซูเจวี๋ยนึกถึงรอยบนหัวจั่วเฮิ่นฮวานั้นมีขนาดใกล้เคียงกับปากกระบอกปืนนี้ เขาจึงรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ศิษย์ที่ป่ากระบี่ภาคภูมิใจเป็นที่สุด เป็นผู้ที่มีความสามารถระดับปรมาจารย์ มาตายเพราะของสิ่งนี้ นี่มันน่าเหลือเชื่ออย่างแท้จริง !
“ของสิ่งนี้เจ้าจงรักษาไว้ให้ดี วรยุทธ์ของจั่วเฮิ่นฮวาจัดอยู่ในระดับปรมาจารย์ ในวันนี้ที่ข้าได้ต่อกรกับเขา พบว่าทักษะดาบของเขานั้นก้าวหน้าขึ้นมิน้อย ใกล้จะไปถึงระดับปรมาจารย์ชั้นยอดเข้ามาทุกที แต่กลับมาตายเพราะศาสตราเทพของเจ้าด้วยการโจมตีเพียงคราเดียว…เป่นหวังฉวนก็ถูกศาสตราเทพนี้ทำให้เขาบาดเจ็บงั้นรึ ?”
“มิใช่ เป่ยหวังชวนถูกพี่ชายของศาสตราเทพนี้ทำร้ายจนบาดเจ็บต่างหาก”
“……”
ฟู่เสี่ยวกวนเปิดกล่องสีดำออก มีปืนกระบอกใหญ่วางอยู่ด้านใน แสงสีดำกระทบกับแสงสว่างจากเทียน ส่องประกาย
ซูเจวี๋ยลุกขึ้นยืนแล้วขยับหมวกให้ตรง ของสิ่งนี้คือพี่ชายของศาสตราเทพ ถ้าเช่นนั้นมันก็คงเป็นศาสตราเทพเช่นกัน อีกทั้งเป็นศาสตราเทพที่สามารถข่มขู่ผู้มีความสามารถระดับปรมาจารย์ได้ เกรงว่าจะเป็นศาสตราเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้านี้ !
เขามองไปยังปืนกระบอกใหญ่นั้นด้วยสายตาชื่นชม แต่มิได้ยื่นมือไปสัมผัสมัน
สิ่งนี้ทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้านราวกับกำลังปลุกเทพแห่งความตายที่หลับใหล เมื่อเทียบกับศาสตราเทพทั้งเจ็ดที่เขารู้จักแล้ว เขาก็รู้สึกได้ว่าศาสตราเทพเหล่านั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าสิ่งนี้ กลับกลายเป็นน้องชายทั้งหมด !
ตอนที่ 267 ปืนเขย่าขวัญ
หัวใจของซูเจวี๋ยเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งขึ้นมาฉับพลัน
เพราะเขาไม่สามารถเข้าไปขวางธนูดอกนั้นได้ทัน !
คนยิงธนูเก็บคันธนู คาดว่า…ใช้พลังวัวสังหารไก่ แต่เพื่อรางวัล มันก็คุ้มค่า
ในตอนที่เขาจะหันหลังเดินออกไป แต่ทันใดนั้นก็ต้องขมวดคิ้วนิ่วหน้า
ช่วงเวลาที่แขวนอยู่บนเส้นผม ซูม่อก้าวเท้ามาหนึ่งก้าว เพียงหนึ่งก้าว กลับขวางธนูที่ยิงเล็งใส่ฟู่เสี่ยวกวนได้พอดิบพอดี
“ฉึก… !”
ซูม่อถูกธนูปัก เขาชนเข้ากับเสาของศาลา ชนจนเสานั้นหัก ศาลาพังลงมาในทันที เขายังคงบินไปไกลด้วยแรงกระแทก บินเข้าไปในพายุฝน บินเข้าไปในสวนท้อ เลือดไหลมาตลอดทาง จากนั้นจึงได้ล้มลงกับพื้นดังตึง
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตกใจ ฉวยจังหวะที่ศาลาพังลงมาลากหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานปรี่เข้าไปในอาคารเล็ก
“พวกเจ้าคอยอยู่ที่นี่ ! ”
“เจ้าจะไปไหน ? ”
“ข้าต้องไปแก้แค้นให้กับซูม่อ ! ”
“เจ้า… ! ”
เขามิสนใจเสียงอุทานตกใจที่ดังมาจากทางด้านหลังแม้แต่นิด เขาปรี่ออกไป ในมือกำเหยี่ยวทะเลทรายเอาไว้
เขาไม่รู้ว่ามือธนูอยู่ที่ใด ซูเจวี๋ยเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงที่สุดในที่นี้ เขาต้องช่วยซูเจวี๋ย
สองมือของเขากำปืน รูปร่างดั่งงูท่ามกลางความมืด คล่องแคล่วว่องไวปานชะมด
เขาปรี่เข้าไปในสวนท้อ โดยมิรู้เลยว่าคนผู้นั้นที่อยู่บนต้นไม้ด้านหลังภูเขา ในยามนี้กำลังง้างธนูดอกที่สองด้วยใบหน้านิ่ว !
ซูเจวี๋ยพบเจอคนผู้นั้นแล้ว เขาจึงโผบินไปหาชายผู้นั้นทันที แต่จั่วเฮิ่นฮวากลับตามเขาไปราวกับเงา เมื่อเห็นเข้ากับฟู่เสี่ยวกวนก็คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะปรี่เข้ามาหาเขาราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
เขาหยุดฝีเท้าลง มุมปากยกขึ้นแสยะยิ้ม ดาบในมือเปล่งประกายวาววาบ “ตายซะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนคุกเข่าหนึ่งข้างกับพื้น สองมือยกปืนขึ้นมา
“เจ้าจงตายเสียเถอะ ! ”
ทั้งสองอยู่ห่างกันไกลถึง 10 จั้ง
จั่วเฮิ่นฮวาบินขึ้น ราวกับนกอินทรีที่ล่ากระต่าย ดาบในมือถูกยกขึ้น กระต่ายบนพื้นตัวนั้น ต้องตายทั้งอย่างนี้ !
ฟู่เสี่ยวกวนยกปืนขึ้น ในใจพลันสงบนิ่ง
“บัดซบ ! ”
ปากเขาสบถออกมาสองคำ เสียงปืนดัง ‘ปัง… !’ ทันใดนั้นจั่วเฮิ่นฮวาก็รู้สึกเย็บไปทั้งศีรษะ หัวของเขาเงยขึ้น ทันทีที่ฝนตกกระทบใบหน้า ก็รู้สึกหนาวเหน็บยิ่งกว่าเดิม
ซูเจวี๋ยและคนอื่นเมื่อได้ยินเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น แต่มิได้หันกลับไปมอง เพราะศัตรูที่พวกเขากำลังเผชิญนั้นแข็งแกร่งยิ่ง
และก็มีลูกธนูที่พุ่งฝ่าพายุฝนมาอีกหนึ่งดอก
ซูเจวี๋ยยกกระบี่ในมือขึ้น มิได้ขยับหมวกที่เบี้ยวไปเล็กน้อย
ท่าทางของเขาในตอนนี้เคร่งเครียดเป็นอย่างมาก
ร่างของจั่วเฮิ่นฮวาตกลงมาจากกลางอากาศ มือของเขายังกุมดาบ สองตาของเขาเบิกโพลง เหม่อมองไปยังท้องฟ้าที่มืดมิด มีเลือดไหลมาจากรูที่อยู่กลางหน้าผาก แต่ได้ถูกฝนฤดูใบไม้ผลิทำให้เจือจาง ราวกับมิได้แดงปลั่งเช่นดอกท้อ
ฟู่เสี่ยวกวนปรี่เข้าไปในป่าท้อทันทีที่เสียงปืนดังขึ้น ธนูดอกนั้นก็ได้พุ่งออกมาจากป่าท้อ แต่ซูเจวี๋ยยืนอยู่ในวิถีของลูกธนู
ดังนั้นลูกธนูดอกนั้นจึงไม่ปักเข้าที่ฟู่เสี่ยวกวน แต่กลับปักเข้าตรงกลางกระบี่ของซูเจวี๋ย !
พลังที่ยากต่อต้านได้ถูกส่งผ่านมายังกระบี่ไม้ คาดมิถึงว่าธนูนั้นจะปักเข้าที่กระบี่ แต่ซูเจวี๋ยกลับมิได้ปล่อยมือ ร่างของเขาทะยานอยู่กลางอากาศ หยาดโลหิตถูกพ่นออกมา และถูกพ่นลงบนกระบี่ที่ถูกลูกธนูปักอยู่
เกิดเสียง ‘ฟู่’ ดังขึ้นมา ควันสีเขียวลอยคลุ้ง ราวกับน้ำที่รดลงมาบนกองไฟ
ซูเจวี๋ยตกลงบนต้นท้อ กระแทกจนกิ่งท้อหัก และตกลงมาบนพื้น
ฟู่เสี่ยวกวนได้ปรี่มาถึงด้านหน้าของซูม่อแล้ว เขาดึงกล่องดำที่ซูม่อแบกมาด้วยลง รีบเปิดอย่างว่องไว และหยิบยกปืนยาวออกมา
เขาไม่ได้สังเกตว่าหลังของซูม่อมิมีธนูดอกนั้นแล้ว !
เขาบรรจุกระสุนอย่างเงียบงัน และคลานไปกับพื้นอย่างเงียบเฉียบโดยที่ถือปืนกระบอกใหญ่ไปด้วย เลนส์ที่ใช้มองตอนกลางคืนถูกเปิดออก เขากวาดสายตามองหามือธนูที่อยู่ด้านหลังเขานี้
คนผู้นั้นคิ้วขมวดอีกครา คาดมิถึงว่าศิษย์ทั้งสองของสำนักเต๋าจะเข้ามาขวางธนูของเขาถึงสองครา
เขาบินลงมาโดยที่ถือคันธนูและลูกธนูอยู่ คาดว่าครานี้ข้ายิงไปที่ศีรษะของฟู่เสี่ยวกวน เขาน่าจะตายได้แล้ว
ซูเจวี๋ยลุกขึ้นยืนจากพื้น หมวกของเขาตกลงบนพื้น แต่อีกาตัวนั้นกลับมิได้บินออกมา ราวกับกำลังหลับอยู่
เขาถือกระบี่และบินไปยังป่าท้อ และดึงธนูที่ปักอยู่กับกระบี่นั้นออกมา
ฟู่เสี่ยวกวนเห็นคนผู้นั้นผ่านแว่นตาที่ใช้มองในยามกลางคืนแล้ว
เขาล็อคเป้าหมายไว้เรียบร้อยแล้ว ระยะห่าง 800 เมตร ดีมาก !
ซูเจวี๋ยล้มลงไปกับพื้น สายตาจดจ้องคนที่กำลังบินอยู่ผู้นั้น คิดไปว่าคืนนี้น่ากลัวว่าจะถูกฝังอยู่ใต้ต้นท้อเหล่านี้เสียแล้ว
ดีที่ซูซูมิทราบว่าดอกไม้ของต้นท้อบนเขาจะสวยงามยิ่งกว่า เนื่องด้วยมาจากเหตุผลที่ว่าเขาท้อมีประวัติศาสตร์เป็นสุสานที่ใช้ฝังศิษย์ของสำนักเต๋า
เป็นสารอาหารหล่อเลี้ยงต้นท้อ จากคำกล่าวของท่านอาจารย์ ผงธุลีที่กลับคืนสู่ธรณี คือการใช้ประโยชน์สูงสุดจากสรรพสิ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนล็อคเป้าหมายไว้ที่คนผู้นั้นแล้ว คนผู้นั้นราวกับจับสัมผัสได้ เขาถึงได้หยุดลง และลงไปที่พื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงง เพราะจิตสังหารบนโลกใบนี้ที่สามารถส่งผลถึงเขาได้ มีอยู่น้อยอย่างมากถึงมากที่สุดแล้ว
จิตสังหารนี้มาจากที่ใดกัน ?
เขามิทราบว่าเหตุใด แต่ในตอนนี้สัมผัสอันตรายนั้นได้หายไปอีกแล้ว
หรือบางทีอาจเป็นเพราะประสาทสัมผัสของตนเองที่ว่องไวเกินไป
เมื่อเขาคิดได้เยี่ยงนั้น ก็โผบินขึ้นอีกครา ครานี้เพิ่มความเร็วขึ้นไปอีก กลางอากาศ เขาน้าวสายธนู เป้าหมายกลับอยู่ที่ซูเจวี๋ย
ทันทีที่ซูเจวี๋ยตาย ก็ยิ่งมิต้องแยแสถึงผู้อื่น
ฟู่เสี่ยวกวนล็อกเป้าหมายไปที่เขาอีกครา ครั้งนี้เขามิแม้แต่จะลังเล เพราะเขากังวลว่าซูเจวี๋ยจะขวางธนูนี้เอาไว้ไม่ได้ ไอรีนโนเวล
เขาเหนี่ยวไกออกไป !
ด้วยแรงอัดที่ถูกปล่อย ปืนกระบอกใหญ่เพียงส่งเสียง ‘ฟุ…’ ออกมา
คนผู้นั้นกลับสัมผัสถึงอันตรายที่ใหญ่หลวงได้ในชั่วพริบตา !
ราวกับมัจจุราชได้มาเยือน !
เขาบิดตัวกลางอากาศ ได้ยินเสียงดัง ‘ฟุ’ อย่างชัดเจน
อาการปวดลามขึ้นมาจากทางสะบักไหล่ เขาไร้พลังจะถือธนูในมือไปในทันพลัน
และที่ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าคือร่างของเขากลับตกลงไปในขณะที่บินอย่างคาดมิถึง !
แรงอันมหาศาลปะทะเข้าที่ไหล่ซ้ายของเขา เขาปรับลมหายใจอยู่กลางอากาศ ตกลงไปบนพื้น มิมีความลังเลใจแม้แต่นิด เขาปรี่เข้าไปหลังเขา และหายตัวไปอย่างไม่เหลือร่องรอย
ซูเจวี๋ยมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อครู่ด้วยความไม่เข้าใจ
ใต้หล้านี้ยังมีธนูของผู้ใดที่ร้ายกาจกว่าของเขาอีกรึ ?
เห็นได้ชัดว่านั่นคือการโจมตีจากระยะไกลเพียง 1 ครั้ง เช่นนั้นมีเพียงธนูหรืออาวุธลับเท่านั้นที่จะทำได้ เขาหันกลับไปมอง นึกไปถึงเสียงฟุที่ได้ยินเพียงเสี้ยวพริบตา นั่นมิใช่เสียงของธนูหรืออาวุธลับ ธนูและอาวุธลับจะมิส่งเสียงเยี่ยงนั้น
เช่นนั้น แท้จริงแล้วเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?
เขามิเข้าใจ และมิได้ครุ่นคิดไปถึงมันอีก แต่กลับร่วมผสมโรงไปกับการต่อสู้อื่นที่เต็มไปด้วยจิตสังหาร
ฟู่เสี่ยวกวนเสียใจอย่างมาก และได้มีความรู้ใหม่เกี่ยวกับยอดฝีมือชนชั้นปรมาจารย์
ประสาทสัมผัสของพวกเขาเฉียบคมมากยิ่งนัก กระสุนลูกนั้นควรเจาะเข้ากลางหัวใจ แต่เขากลับรอดพ้นความรุนแรงที่ถึงแก่ชีวิตนั้นได้
เขาวางปืนลงไปในกล่องดำ จากนั้นจึงอุ้มซูม่อและเดินเข้าไปในอาคารเล็ก
เยี่ยนถาวฮวาน้ำตาไหลราวกับหยาดฝน ล้มลงไปบนร่างซูม่อ และร่ำร้องอย่างขมขื่น “หมอดูมิเคยบอกว่าข้าจะไร้สามี… เจ้าจะมาตายจากเยี่ยงนี้รึ… ทั้งที่ในที่สุดข้าก็ได้เจอคนที่ชอบพอแล้ว…พวกเวร เป่ยหวังฉวน ข้ามิมีทางจบกับมันไปชั่วชีวิตนี้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ด้านหน้าซากศพของซูม่อด้วยอาการเหม่อลอย นึกไปถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมามากมาย ดวงตาแดงก่ำขึ้นมาทันพลัน
สนามรบด้านนอกได้สิ้นสุดแล้ว ซูเจวี๋ยได้ระเบิดจิตสังหาร และเหลือไว้เพียงหนึ่งชีวิต
ทุกคนต่างยืนอยู่ข้างกายซูม่อ แม้แต่ซูซูก็เหมือนจะลืมบาดแผลบนแขนของตนที่เลือดยังไหลอยู่ไปแล้ว
ตายแล้วเยี่ยงนั้นรึ ?
ตอนที่ 266 ลูกธนูปริศนา
นางวางไหสุราลงบนโต๊ะ มือทั้งสองข้างจับที่ชายเสื้อแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า “หากเจ้ามิชอบข้าจริง ๆ ข้า…ข้าเพียงอยากให้เจ้าลองให้โอกาสข้า อยู่ร่วมกับข้าสักพัก หากว่าเจ้ายังคงมิชอบข้า ข้าจะ…ข้าก็จะจากไปด้วยตนเอง”
นี่คือนิสัยของพวกชาวยุทธงั้นรึ ?
ฟู่เสี่ยวกวนชื่นชมนางยิ่ง กล้ารักกล้าเกลียด เด็ดขาดมิลังเล นางตรงไปตรงมาแข็งแกร่งมิแพ้ชายใด !
แต่ทว่าเป็นซูม่อที่ถูกคำพูดเมื่อครู่ทำให้เขาอายเสียจนก้มหน้าก้มตาลง เขาคิดอยู่เนิ่นนานจึงได้เอ่ยมาว่า “ข้าจะต้องอารักขาคุณชายไปยังราชวงศ์อู่”
เยี่ยนถาวฮวายิ้มแล้วกล่าวว่า “เยี่ยงนั้นข้าจะติดตามเจ้าไปราชวงศ์อู่ด้วย”
“ในใจข้ามีคนอื่นอยู่แล้ว”
“เช่นนั้นเพิ่มอีกสักคนก็ได้ ! ”
“…อ่า เกรงว่าแม่นางจะต้องทุกข์ใจ”
“…อ่า เกรงว่าเจ้าจะเสียเปรียบ ! ”
ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันดีแท้ !
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งมองดูคนคู่นี้ด้วยความสนอกสนใจ
นิสัยของซูม่อค่อนข้างจะนิ่งเงียบ คงเป็นเพราะเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาในชีวิตเขา
เขาได้พบเจอกับเรื่องราวที่เลวร้ายมิมีผู้ใดแยแสมาแต่เล็ก เมื่อไปยังสำนักเต๋าจึงได้พบเข้ากับความอบอุ่น ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธความหวังดีของผู้อื่นมิค่อยเป็น
แต่แม่นางเยี่ยนถาวฮวามีนิสัยตรงไปตรงมาและเด็ดขาด
ส่วนหงจวงนั้น…ฟู่เสี่ยวกวนจินตนาการถึงท่าทางที่แข็งแกร่งราวกับผู้ชายของแม่นางหงจวงที่ภูเขาซีซาน แล้วจึงคิดไปว่านางจัดอยู่ในประเภทปากร้ายแต่ใจดี !
เรื่องที่เยี่ยนถาวฮวาจะเดินทางไปกับพวกเขานั้น ฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีความคิดเห็นอันใด เขาต้องการเห็นซูม่อมีครอบครัว และหวังว่าจะหาภรรยาให้ไป๋ยู่เหลียนที่ยังคงอยู่บนภูเขาได้สักคน
เมื่อนึกถึงไป๋ยู่เหลียน
เจ้านั่นก็หน้าตาดีมิใช่น้อย เพียงแต่ว่าอายุเกิน 20 ปีแล้ว มิรู้ว่าแม่นางเยี่ยนถาวฮวายังมีพี่สาวที่มิได้ออกเรือนอีกหรือไม่ ?
กลิ่นเนื้อย่างหอมกรุ่นเริ่มโชยมาเตะจมูก จากนั้นตามด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “ถาวฮวา เตรียมตัวกินข้าวได้แล้ว ! กินข้างนอกนั่นล่ะ ! ”
“เจ้าค่ะ ! ”
“ไปกันเถิด ไปกินเนื้อย่างกัน ท่านปู่ทำเนื้อย่างได้เลิศรสมิมีผู้ใดสามารถเทียบเคียงได้…” นางมองไปที่ซูม่ออีกครั้ง แล้วเอ่ยหยอกล้อว่า “เจ้าหนังหุ้มกระดูก กินให้มาก ๆ จะได้บำรุงเสียหน่อย ! ”
ประโยคนี้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่ามีความหมายอื่นลึกซึ้ง แต่ซูเจวี๋ยกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ
นี่คือความแตกต่างของปัญญาชนและพวกชาวยุทธงั้นรึ ?
ทุกคนต่างนั่งลงรอบกองไฟในศาลา ที่ศาลานั้นมีตะเกียงเจ้าพายุแขวนอยู่ 4 ดวง ไฟในศาลาเริ่มเบาลง เหลือเพียงแสงจากถ่านสีแดง
“เนื้อย่างนั้นจะต้องกินไปย่างไปจึงจะอร่อย หากว่าเย็นลงแล้วจะทำให้รสชาติเปลี่ยนไปกลายเป็นเหม็นสาบได้ นั่นจะทำให้เสียรสชาติ มา ๆ ๆ ใช้มีดหั่นกินได้ตามสบายอย่าได้เกรงอกเกรงใจไป”
ชายชรากล่าวจบก็หั่นชิ้นเนื้อน่องแกะนำไปวางให้แก่ซูม่อ “หลานสาวข้ากล่าวว่าให้เจ้าบำรุงเสียหน่อย อืม มองดูแล้วเจ้าควรที่จะบำรุงยิ่ง อย่างที่นางได้เอ่ยไว้”
ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ หัวเราะขึ้น มีเพียงซูม่อที่รู้สึกแตกต่างออกไป ทั้งชีวิตเขานี้หาได้เคยมีคนปฏิบัติด้วยเช่นนี้ไม่ ? ในสำนักเต๋า ตอนที่เขาอยู่กับศิษย์พี่ศิษย์น้อง สิ่งที่เขาได้รับคือความเป็นห่วงเป็นใย
เมื่อเดินทางออกมาจากสำนักเต๋าก็ถูกไป๋ยู่เหลียนหลอกให้มาอยู่กับฟู่เสี่ยวกวน เขารู้สึกได้ถึงมิตรภาพ
แต่บัดนี้ เขากลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น !
แม้จะเป็นเพียงน่องแกะ แต่ในสายตาของเขานั้น นี่คือฟืนไฟท่ามกลางหิมะอันหนาวเหน็บ นี่คือตะเกียงในยามค่ำคืน !
เขามิได้เกรงใจ ถลกแขนเสื้อขึ้นมาแล้วรับน่องแกะนั้นไปกัดแทะ
เยี่ยนถาวฮวายิ้มออกมา งดงามราวกับดอกท้อ
ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่นก็มิได้เกรงใจเช่นกัน เขาหยิบมีดขึ้นมาหั่นบริเวณเนื้อให้ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน จากนั้นตนได้หยิบบริเวณซี่โครงขึ้นมากิน
รสชาติมิเลวทีเดียว เพียงแต่ขาดผงยี่หร่าไป จึงทำให้รู้สึกว่ายังขาดรสชาติของบางสิ่ง
แต่วัตถุดิบมีความสดใหม่ กินกับสุราดอกท้อเข้ากันได้ดียิ่ง เขาจึงกินดื่มไปค่อนข้างมากเสียทีเดียว
ระหว่างนั้นชายชราและซูเจวี๋ยได้สนทนากันไปตามประสา ชายชราเอ่ยถามถึงท่านผู้สังเกต ซูเจวี๋ยได้ตอบกลับไปและได้เป็นตัวแทนสำนักเต๋าเอ่ยถึงสารทุกข์สุกดิบให้แก่ตระกูลเยี่ยนแห่งแคว้นฝาน
ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้ว่าชายชราผู้นี้คือผู้มีความสามารถระดับเทพผู้หนึ่ง แต่แม่นางถาวฮวายังมิเคยได้รับการฝึกวรยุทธใด คาดว่าคงเป็นกฎพิเศษของตระกูลเยี่ยนที่ว่า หากนางจะฝึกฝน จำเป็นต้องรอถึงวันที่ออกเรือน
อาหารมื้อนี้ใช้เวลากินไปราว ๆ ครึ่งชั่วยาม สุราดอกท้อหนึ่งไหถูกดื่มเสียจนหมด แกะหนึ่งตัวก็ถูกกินเหลือแต่เพียงกระดูกเท่านั้น เมื่อทุกคนกินอิ่มหนำสำราญแล้ว แม่นางเยี่ยนถาวฮวาจึงได้เก็บกวาด นางเข้าไปในเรือนเล็กเพื่อหยิบน้ำชาออกมา ชายชราเติมฟืนเข้าไปในกองไฟเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความอบอุ่น
“หลานสาวข้าคนนี้นิสัยดื้อรั้นยิ่งนัก ว่าที่สามีของนางคงต้องให้นางเลือกเอง แต่ก็เลือกมาเป็นเวลา 17 ปีแล้ว ดังนั้นเรื่องของพวกเจ้าทั้งสองจงรีบจัดการให้เร็วที่สุด มิใช่ว่าข้ารีบร้อนอยากอุ้มหลาน แต่ว่าทักษะดอกไม้ผลิขั้นสองนั้น อายุ 14 – 18 ปีจะเป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุด”
“ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์แห่งสำนักเต๋า คาดว่าคงจะเป็นกำพร้า ในอนาคตเจ้าทั้งสองจะตั้งถิ่นฐานในแคว้นฝานหรือจะกลับไปยังราชวงศ์หยู ข้าก็จะมิเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต้องจดจำเอาไว้ให้มั่นนั้นก็คือ อย่าได้ทำให้นางต้องเสียใจ”
ซูม่อนึกในใจว่า เขายังมิได้รับคำด้วยซ้ำ เหตุใดจึงเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว ?
เขาปฏิเสธมิได้ เนื่องจากเมื่อสักครู่ได้กินเนื้อแกะและดื่มสุราดอกท้อของท่านผู้เฒ่านี้ไปเสียมากมาย…ดังนั้น เขาจึงทำได้เพียงพยักหน้าอย่างไร้ทางเลือก
ทันใดนั้นเอง ซูเจวี๋ยลุกขึ้นยืนและในเวลาเดียวกัน ดาบที่เขาสะพายไว้ด้านหลังนั้นก็ตกลงมาอยู่ในมือของเขาทันที
ชายชราขมวดคิ้วขึ้น เขาหรี่ตาลงมองไปยังบริเวณที่มืดมิดนั้น
มีใครบางคนผมยาว เดินถือดาบตรงเข้ามาท่ามกลางสายฝนพรำ
เขาเดินไปกวัดแกว่งดาบไป เขาฟันกิ่งท้อมากมายตกลงสู่พื้น และแน่นอนว่าได้ฟันดอกท้อร่วงหล่นกองโต
“ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักป่ากระบี่ จั่วเฮิ่นฮวา ! ”
“ฮ่าๆๆ ศิษย์พี่ใหญ่แห่งสำนักเต๋า ซูเจวี๋ย เจ้าสบายดีหรือไม่ ? ”
“มองดูแล้ว เจ้าคงยังมิหนำใจ”
“ดังนั้นข้าจึงได้ตามเจ้ามาถึงที่แห่งนี้ ดอกท้อมากมายช่างเหมาะเจาะแก่การที่ข้าจะใช้มันฝังเจ้าลงดิน รับดาบไปซะ !”
ฟู่เสี่ยวกวนมองเห็นคนจากสำนักป่ากระบี่พุ่งเข้ามาในพริบตา ซูเจวี๋ยปล่อยดาบลอยออกไปรับดาบของเขา เมื่อดาบทั้งสองกระทบกันก็เกิดเป็นเสียงดังขึ้นมา จากนั้นพบว่ารั้วไม้ล้มระเนระนาด เถาวัลย์สีเขียวถูกฟันเสียยับเยิน
ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังนั่งดูทั้งสองต่อสู้กันอยู่นั้น ก็พบว่าชายชราเหินบินขึ้นสู่ท้องฟ้ากะทันหัน ในมือถือมีดฆ่าหมู เขาฟันมันลงท่ามกลางความมืดนั้น
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองดู มีดเล่มหนึ่งตกลงมาจากฟากฟ้าท่ามกลางสายฝน จากนั้นก็มีเล่มที่สองตามมา ต่อด้วยดาบ ซูโหรวรีบลอยตัวออกไป เข็มปักผ้าในมือของนางที่พุ่งออกไป กระทบเข้ากับมีดเกิดเป็นประกาย ซูซูเปิดกล่องฉินออกมาแล้วกอดฉินเทพนี้พุ่งตัวขึ้นไปเช่นกัน นางลอยตัวไปอยู่บนหลังคาศาลา จากนั้นก็ดีดสายฉินต่อสู้กับดาบที่ลอยมา
ส่วนซูม่อ เขาลุกขึ้นยืนแต่มิได้จากไปไหน แต่กลับยืนอยู่ด้านหลังฟู่เสี่ยวกวน เขาชักดาบออกจากฝัก
ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะได้สติกลับคืนมาแล้วเข้าใจว่า แท้จริงพวกเขาเหล่านี้ล้วนเป็นชาวยุทธผู้มีฝีมือ มิใช่พวกหัวมังกุท้ายมังกร เป้าหมายของพวกเขา…คือชายชราผู้นี้งั้นรึ ?
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานตกใจเสียจนหน้าซีด ฟู่เสี่ยวกวนกุมมือของพวกนางไว้ด้วยสีหน้านิ่งเรียบ เขาจับจ้องไปยังทุกการต่อสู้ในสวนดอกท้อนี้
สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังสวนท้อ แต่หาได้มีใครรู้ไม่ว่า ที่หลังเขายังมียอดฝีมือชั้นปรมาจารย์ยืนอยู่บนยอดไม้ต้นหนึ่ง
เขายืนมองอย่างสงบ
จากนั้นหยิบสีธนูดำขึ้นมา
ตามด้วยลูกธนูในแขนเสื้อ เป็นลูกธนูที่ทำด้วยเหล็กประณีต
เขาพาดลูกธนูไปที่คันศร จากนั้นเกี่ยวสายธนู
หยาดละอองฝนตกลงมายังใบหน้าของเขา หยดค้างอยู่ที่ขนตา เดิมทีมันควรจะกีดขวางการมองเห็นของเขา แต่ทว่าเขากลับมิได้รู้สึกใด ๆ เลยแม้แต่น้อย
เสียงลมหายใจแรงขึ้นเรื่อย ๆ ซูเจวี๋ยรู้สึกเย็นยะเยือก เขาใช้ดาบของตนปัดดาบของจั่วเฮิ่นฮวาออกไป จากนั้นหันหลังแล้วตะโกนออกมาว่า “ระวัง ! ”
ตอนที่ 265 จำต้องบำเพ็ญคู่
แม่นางถาวฮวามุ่ยปาก มองแผ่นหลังของซูม่อที่หันหลังกลับ กระทืบเท้าไปมา สายตาพลันตกที่ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน ด้วยความกรุ่นโกรธเล็กน้อย “เจ้านี่มัน เหตุใดถึงไม่ช่วยกันเลย”
หลังจากกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ นางก็วิ่งตามซูม่อไป คาดไม่ถึงว่าจะเด็ดดอกไม้ด้วยกัน
ฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้ราวกับรู้สึกว่าทั้งหมดนี้มิเป็นความจริงสักเท่าไหร่ ดังนั้นจึงหันไปมองซูเจวี๋ย
ซูเจวี๋ยยิ้มอย่างขมขื่น ขยับหมวกเล็กน้อย “คิดว่านางคงบ้าผู้ชายจริง ๆ นั่นแหละ ใต้หล้านี้มีพวกตัวประหลาด 5 คน บ้าผู้ชายเยี่ยนถาวฮวา เจ้าโง่หลีมู่ป๋าย คนคลั่งภาพเหยียนหรูยวี่ คลั่งกระบี่หนิงฝาเทียน ทั้งยังมีจอมหลงทิศสุ่ยหยุนเจียน ต่างก็เป็นคนจากยุทธภพ มิใช่ทายาทหลักของทั้งสี่นิกาย แต่เป็นผู้สืบทอดวิชาที่หายสาบสูญของตระกูล ต่างมิได้ง่ายดายเลย”
คาดไม่ถึงว่าจะยังมีคนโง่กับพวกหลงทิศอีกด้วย !
ฟู่เสี่ยวกวนจดจำห้านามนี้เอาไว้ ถึงแม้จะรู้สึกประหลาดอยู่ในใจ แต่ก็มิได้ไต่ถาม
เขาหันมองเยี่ยนถาวฮวาและซูม่อ ทันใดนั้นก็ยิ้มขึ้นมา และเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เจ้าคิดว่าซูม่อจะชอบหงจวงหรือแม่นางถาวฮวากัน”
ซูเจวี๋ยส่ายหน้า “เรื่องของโชคชะตา ต่อให้เป็นท่านอาจารย์เกรงว่าก็ยากที่เข้าใจ”
ซูซูกลับกล่าวขำ ๆ “ข้ากลับรู้สึกว่าหญิงบ้าผู้ชายผู้นี้ดีกว่า ในอารามก็มีภูเขาท้ออยู่ และนางก็มีนามว่าถาวฮวาพอดี บรรพบุรุษท่านอาจารย์มิสามารถตบแต่งกับแม่นางถาวฮวาของเขาได้ หากศิษย์น้องเล็กสามารถตบแต่งได้ เยี่ยงนั้นก็จะเป็นการบรรลุความปรารถนาของบรรพบุรุษท่านอาจารย์มิใช่หรือ”
“อย่าพูดพล่อย ๆ ” ซูเจวี๋ยตำหนิซูซูอย่างดุดันหนึ่งประโยค ซูซูแลบลิ้นปลิ้นตา ลอบคิดในใจว่าหากศิษย์พี่รองอยู่ที่นี่ ย่อมส่งเสริมช่วงเวลาราวกับสวรรค์นี้ให้ลุล่วงเป็นแน่
เพียงไม่นานซูม่อและนางก็กลับมา ในตะกร้าเต็มไปด้วยดอกท้อ ใบหน้าของแม่นางถาวฮวาเต็มไปด้วยความชื่นมื่น และพูดคุยกับฟู่เสี่ยวกวนไปตลอดทาง “พอรู้ว่าพวกเจ้าจะมาที่นี่ ท่านปู่ก็ไปล่าแกะบนเขามาได้ 1 ตัว กำลังย่างอยู่พอดี ไปกันเถอะ”
นางชำเลืองมองซูม่ออย่างจงใจอยู่ในทีอีกครา ก่อนจะหันหลังกลับและพาคนทั้งกลุ่มเดินลึกเข้าไปสวนท้อ
ที่นี่มีอาคารเล็กสองชั้นหนึ่งหลัง
รั้วไผ่ด้านนอกอาคารเล็กปกคลุมไปด้วยเถาวัลย์ ดอกไม้เถาจำนวนมากกำลังเบ่งบาน
ภายในลานด้านนอกอาคารเล็กมีต้นท้อใหญ่ตั้งอยู่ 1 ต้น มีศาลาไม้ตั้งอยู่ใต้ต้นท้อหนึ่งหลัง ภายในศาลาไม้มีกองไฟสุมอยู่ใจกลาง
ไฟกำลังลุกโชน ชายชราที่อยู่ในชุดผ้าป่านผู้หนึ่งกำลังแขวนแกะตัวหนึ่งที่จัดการเสร็จแล้วไว้กับคานศาลาไม้
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า เขาก็ชำเลืองมองเล็กน้อย และหันหน้ากลับไปและย่างแกะต่อ
“ท่านปู่ ข้าพาแขกกลับมาแล้ว พวกเขามิเสียค่าใช้จ่าย ท่านคงจำได้”
ชายชราผู้นั้นประหลาดใจขึ้นมา แล้วจึงหันหลังกลับไปมองอีกครา ทันใดนั้นก็ดีใจขึ้นมา ริมฝีปากแย้มยิ้ม “ดี ดี ๆ ให้ปู่ลองเดาก่อนว่าคือชายผู้ใด…”
หลังจากนั้นเขาก็ยื่นมือชี้ ซึ่งไปทางซูม่ออย่างพอดี “เป็นเขาใช่หรือไม่ ? ”
“ท่านปู่ช่างมีดวงตาที่เฉียบคมอย่างแท้จริง…”
ซูม่อรีบกล่าวในทันที “มิใช่…”
“อะไรคือใช่ไม่ใช่กัน สำนักเต๋าดูแคลนกันรึ ถึงแม้ข้าจะสู้เจ้าจมูกโคนั่นไม่ได้ แต่จะเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการกับเจ้ารึ ? ” ในระหว่างที่ชายชราผู้นั้นกล่าวมือก็คว้ามีดหั่นหมูเดินปรี่เข้ามาด้วยท่าทีดุดัน เยี่ยนถาวฮวารีบรุดออกมา “ไอหยา ท่านปู่รีบร้อนอันใดกัน ข้าขอบอกกับท่านก่อนเลย หากท่านทำเขากลัวจนหนีนะ เหอะ ๆ ข้าจะไม่แต่งงานไปทั้งชีวิต”
ราวกับว่าคำพูดนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง ชายชราผู้นั้นเก็บมีดทันพลัน ราวกับเปลี่ยนไปราวกับคนละคน และยิ้มอย่างขออภัย “อ่า ขอโทษด้วย ต้องขอโทษด้วย พวกเจ้ารีบนั่งกันเถิด… ถาวฮวาไปนำสุราดอกท้อที่ดีที่สุดมา ปู่จะดื่มกับพวกเขา”
“ด้านนอกหนาวเกินไปแล้ว พวกเจ้าเข้ามานั่งข้างในเถิด เนื้อแกะย่างของข้าสุกเมื่อไหร่จะเชิญพวกเจ้าออกมาอีกครา”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกขัดอยู่บ้างเล็กน้อย นั่งอยู่ภายในห้องรับรองของอาคารเล็ก และหันมาถามกับซูเจวี๋ยอีกครา “นี่… แท้จริงแล้วคือเรื่องอันใดกันแน่”
“เล่าไปก็คงจะยาว ตระกูลเยี่ยนนี้มิใช่ตระกูลเก่าแก่ของราชวงศ์หยู แต่เป็นของแคว้นฝาน เป็นตระกูลที่สืบทอดวิชาที่หายสาบสูญไป…” กล่าวถึงตรงนี้ซูเจวี๋ยก็เงียบครุ่นคิดไปชั่วขณะ ราวกับกำลังเรียบเรียงคำพูด
“วิชาที่หายสาบสูญไปของตระกูลเยี่ยนนั้นไม่เหมือนกับทั่วไป”
“มิเหมือนตรงไหนกัน”
“ประการแรกคืออายุห้ามเกิน 20 ปี”
“ประการที่สอง จำต้อง… บำเพ็ญคู่ ! ”
ดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนเบิกกว้างพลัน
ยังมีทักษะเยี่ยงนี้อยู่จริง ๆ หรือ
ซูม่อยังจะบ้าปฏิเสธอีกหรือ!
เขาหันมองไปทางซูม่อ และหัวเราะร่า “ข้ารู้สึกดีอย่างมาก”
ซูม่อจ้องเขาเขม็ง จนเกือบจะพูดออกไปว่าเจ้ารู้สึกดีก็เอาสิ นึกขึ้นมาได้ว่าหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานก็อยู่ที่นี่ จึงมิสามารถพูดออกไปได้โดยปริยาย
“กำลังภายในของตระกูลเยี่ยนมีนามว่าดอกไม้ผลิขั้นสอง จำต้องใช้สุราดอกท้อนี้เป็นสื่อกลาง ข้าคาดว่าจุดประสงค์ที่สองปู่หลานคู่นี้มาที่นี่ก็เพื่อสุราดอกท้อ และเมื่อลองดูอายุของเยี่ยนถาวฮวา คาดว่าก็น่าจะ 18 ปีได้แล้ว ส่วนเจ้า…” ซูเจวี๋ยหันมองไปทางซูม่อ “เจ้าก็ใกล้จะ 18 ปีแล้ว”
“มิใช่ ศิษย์พี่ใหญ่…”
ซูเจวี๋ยโบกมือไปมา “เจ้าคือศิษย์น้องเล็กของสำนักเต๋า ท่านอาจารย์เคยกล่าวกับข้าไว้ว่า การฝึกเพื่อเพิ่มระดับของเจ้านั้นยากยิ่ง ในใต้หล้านั้นมีเพียง 2 หนทางที่จะช่วยให้เจ้าเพิ่มระดับได้ ประการที่หนึ่งคือคนคลั่งภาพเหยียนหรูยวี่ผู้สืบทอดวิชาวาดเปิดชั้นฟ้าจากตระกูลเหยียนแห่งราชวงศ์อู๋ หนทางนี้คือการยืมใช้กำลังภายนอกมาบีบขยายเส้นลมปราณ ผู้ถ่ายทอดต้องมีกำลังภายในพื้นฐานที่แข็งแกร่งอย่างมาก หลังจากที่ถ่ายทอดจนสำเร็จ กำลังภายในของผู้ถ่ายทอดทั้งหมดจะถ่ายเข้าสู่ร่างของฝ่ายตรงข้าม จากนั้นก็จะไร้โอกาสฝึกฝนอีกต่อไป ดังนั้นวิชาวาดเปิดชั้นฟ้านี้นอกจากเพื่อผู้สืบทอดของตระกูลเหยียนเองแล้ว ในประวัติศาสตร์ของตระกูลการถ่ายทอดให้แก่คนภายนอกมีเพียง 1 ครั้งเท่านั้น นั่นคือผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลเหยียนถ่ายทอดให้แก่องค์จักรพรรดิในเวลานั้นเมื่อสามร้อยปีก่อน”
“และหนทางที่สองก็คือดอกไม้ผลิขั้นสองของตระกูลเยี่ยน สิ่งที่เรียกว่าขั้นสอง ก็คือการชำระล้างแก่นแท้อีกครา เพื่อสร้างพื้นฐานวิทยายุทธ์ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่เจ้าในอนาคต ดังนั้น… ศิษย์พี่ใหญ่คิดว่า การที่ท่านอาจารย์สั่งให้เจ้าลงจากเขามาติดตามฟู่เสี่ยวกวน เกรงว่าจะมีความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ ท่านอาจารย์มิได้อยู่ ณ ที่นี้ ข้าในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ แม่นางถาวฮวาทั้งเฉลียวและฉลาด ดูเหมาะกับเจ้ายิ่ง ข้าได้ตัดสินใจแทนเจ้าแล้ว”
ซูม่อรู้สึกไม่ยุติธรรม “ศิษย์พี่ใหญ่…”
“เจ้าอย่าได้พูดให้มากความอีก การเดินทางไปราชวงศ์อู๋ครานี้ เจ้าควรอยู่ที่นี่ และรอพวกข้าเดินทางกลับมา”
“แต่ข้าชอบหงจวง”
สุดท้ายซูม่อก็พูดประโยคนั้นออกไป แต่กลับทำให้ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่นประหลาดใจกันถ้วนหน้า
ซูเจวี๋ยยังคงนิ่งเฉย เขาขยับหมวกไปมา และเอ่ยขึ้นมาอย่างเฉื่อยชาว่า “เจ้าเป็นบุรุษ ควรเรียนรู้จากฟู่เสี่ยวกวน!”
……
…..
……
…..
ควรเรียนรู้จากฟู่เสี่ยวกวนกับผีสิ !
คำพูดของศิษย์พี่ใหญ่บีบคั้นหัวใจนัก !
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกไม่ดี โดยเฉพาะสายตาคับแค้นใจที่มาจากหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลาน
เขามิกล้าพูดอะไร กลับเป็นซูม่อที่พูดขึ้นมา
“ฟู่เสี่ยวกวนเคยกล่าวว่า เรื่องระหว่างคนสองคนควรมีความรู้สึกต่อกัน อย่างน้อยข้าและหงจวงก็เคยอยู่ด้วยกันมาช่วงเวลาหนึ่ง แต่เยี่ยนถาวฮวา…”
เยี่ยนถาวฮวาที่โอบกอดโถสุราเดินข้ามผ่านประตูมาพอดี “ข้าทำไมกัน ความรู้สึกสามารถหล่อเลี้ยงกันได้นี่ เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดว่าข้าเป็นสตรีใจง่ายที่หลงรักเจ้าในทันทีที่พบเจอ หากเป็นเยี่ยงนั้น สองปีก่อนหน้านั้นข้าก็แต่งเข้าวังไปแล้ว แต่พอดีเกลียดชังองค์ชายสามแคว้นฝานของพวกเรา ข้าถึงได้มาที่นี่กับท่านปู่ ท่านย่ายังเคยกล่าวกับข้าว่า หากมีคนที่ชอบก็ควรไล่ตามอย่างกล้าหาญ จนวันนี้ได้พบกับเจ้า ใจของข้าก็รู้สึกชมชอบ ดังนั้นข้าต้องไล่ตามอย่างแน่นอน ส่วนเจ้าจะตอบรับหรือไม่…”
ตอนที่ 264 แม่นางถาวฮวาแห่งเปียนเฉิง
สายฝนแห่งฤดูใบไม้ผลิ
ยามพลบค่ำ
ณ เมืองเปียนเฉิง !
นี่คือเมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งที่อยู่ใต้สุดแห่งเขตแดนราชวงศ์หยู
สิ่งก่อสร้างและบ้านเรือนค่อนข้างคร่ำครึ แต่หลังจากที่สายฝนนี้โปรยปราย มองไปกลับคล้ายกาแฟที่เข้มข้นกลมกล่อม
ภายใต้แสงสนธยา ทำให้ภาพตรงหน้าคล้ายกับภาพที่วาดด้วยพู่กันและน้ำหมึก
ภูเขาฉีซานอันสูงใหญ่ยังคงมืดมิด ตรอกซอยในเมืองเปียนเฉิงก็เงียบสงบ
ขบวนของฟู่เสี่ยวกวนหยุดพักลงที่นี่ แน่นอนว่าพวกเขามิได้พักในศาลาพักม้าอีก แต่เป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่ชื่อว่าเฟิงหลิง
ในช่วงฤดูนี้แทบจะไม่มีผู้เข้าพักจากต่างแดน ดังนั้นในโรงเตี๊ยมจึงค่อนข้างจะเงียบสงัด มีเพียงเสียงกระดิ่งที่แขวนไว้หน้าประตูดังกรุ๊งกริ๊งท่ามกลางสายลมที่พัดผ่าน
ขบวนของพวกเขาได้เหมาโรงเตี๊ยมนี้ทั้งหมด เถ้าแก่เนี้ยวิ่งเข้ามาต้อนรับด้วยท่าทางดีอกดีใจ ใช้เวลาอยู่ประมาณ 2 เค่อทุกคนจึงได้จัดแจงเข้าสู่ที่พัก นางเดินกลับมายังโต๊ะต้อนรับแล้วนั่งนับเงินในมือแล้วนึกในใจว่า พ่อค้าจากเมืองจินหลิงคาดว่าใกล้เดินทางมาแล้ว นางสามารถนำเงินเหล่านี้ไปหาซื้อเครื่องสำอางจากหอเยียนจือได้สักเล็กน้อย
ฟู่เสี่ยวกวนให้ความสนใจกับเมืองเล็ก ๆ เช่นนี้ยิ่งนัก หลังจากพักผ่อนชั่วครู่เขาก็ได้พาหยูเวิ่นหวิน ต่งชูหลานและศิษย์จากสำนักเต๋าทั้งสี่ลงมายังทางเข้าประตูโรงเตี๊ยม
เขามองดูกระดิ่งลมพวงเก่าที่แขวนอยู่ จากนั้นหันหลังกลับไปแล้วเอ่ยถามว่า “เถ้าแก่เนี้ยมีนามว่าอะไรรึ ? ”
เถ้าแก่เนี้ยยิ้มขึ้นแล้วตอบว่า “ข้าน้อยแซ่เฟิง นามว่าหลิง รวมกันเป็นเฟิงหลิง”
ฟู่เสี่ยวกวนยักคิ้วขึ้นด้วยความรู้สึกตื่นเต้น “เหตุนี้โรงเตี๊ยมจึงชื่อว่าเฟิงหลิง ?”
“ก็มิใช่เสียทีเดียว แต่เป็นเพราะข้าชอบเสียงของกระดิ่งลม (ภาษาจีนเรียกว่าเฟิงหลิง) ท่านคงมิทราบว่าที่เมืองเปียนเฉิงนี้เงียบเหงาทำการค้ายากยิ่ง สามีข้าไปล่าสัตว์ในภูเขาฉีซาน อีกไม่กี่วันจะมีบรรดาพ่อค้าเดินทางมา ของป่าเหล่านั้นจะได้นำมาขายเพื่อดำรงชีวิตและปากท้อง”
สิ่งนี้ฟู่เสี่ยวกวนคาดเดาไว้อยู่แล้ว เป็นเพราะการค้าของทั้งสองประเทศยังไม่เจริญ จึงมิมีผู้เข้าพักมากนัก นอกเสียจากที่แห่งนี้จะกลายเป็นพื้นที่รุ่งเรืองทางเศรษฐกิจ มิเช่นนั้น…มันคงจะเป็นได้เพียงเมืองติดชายแดนธรรมดา ๆ ตลอดไป
“ในเมืองนี้มีอะไรอร่อย ๆ กินหรือไม่ ? ”
“จากที่นี่เดินไปประมาณ 1 ลี้ก็จะพบตรอกเจ็ดก้าว ในตรอกนั้นมีสวนท้ออยู่ ด้านในสวนท้อมีภัตตาคารมิมีชื่อ แต่อาหารของเขานับว่าเลิศรสที่สุดในเมืองเปียนเฉิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุราดอกท้อของเขา ช่างเลิศรสไร้คำบรรยาย ท่านเชิญไปลองดื่มด้วยตนเองเถิด”
ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ จึงได้พากันเดินไปทางสวนท้อ
เมื่อคืนที่ได้พูดคุยกับแม่ทัพหยูและภรรยาของเขา ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนคลายความกังวลไปได้ไม่น้อย เนื่องจากเขาเชื่อมั่นว่าสองสามีภรรยานั้นมิได้ประสงค์ร้ายต่อเขา
และเมื่อได้รับรายงานจากซูเจวี๋ย พบว่าที่เมืองเปียนเฉิงมีพวกชาวยุทธอยู่ แต่มิใช่อันธพาล พวกเขาอาศัยอยู่ที่นี่ อาทิเช่นที่เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยให้ฟังถึงภัตตาคารในสวนท้อนั้น
เมืองเปียนเฉิงเล็กเสียเพียงนี้ จะไปมีอันตรายได้เยี่ยงไร
ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธการอารักขาจากเซวียผิงกุย เนื่องจากต้องการให้พวกเขาพักผ่อนอย่างเต็มที่ในโรงเตี๊ยมเฟิงหลิงนั้น และเดินทางต่อไปยังภูเขาฉีซานวันรุ่งขึ้น หากจะมีอันตรายใด คาดว่าคงเป็นที่ทางเดินเท้าของภูเขาฉีซานอย่างแน่นอน
เมื่อเซวียผิงกุยครุ่นคิดดู ก็รู้สึกว่าที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยมามีเหตุมีผล ดังนั้นจึงได้พาทหารม้าทั้งห้าร้อยนายเข้าพักผ่อน ให้พวกเขาได้กินอิ่มนอนหลับ เพื่อเก็บแรงเอาไว้เผชิญหน้ากับอันตรายที่อาจจะพบในวันพรุ่งนี้
ที่ตรอกเจ็ดก้าวมิได้มีเพียงแค่เจ็ดก้าวดังชื่อ
แต่ก็มิได้ยาวมาก หากยืนอยู่ต้นทางสามารถมองเห็นถนนทั้งสายได้
และสวนท้อนั้นค่อนข้างจะสะดุดตา ตั้งอยู่ที่สุดสายปลายถนน ดอกท้อบานสะพรั่ง สีแดงงามตา
ซูซูยืนแบกกล่องฉินเอาไว้แล้วพิจารณาสวนท้อจากภายนอก นางส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “งดงามสู้ดอกท้อในสำนักเต๋ามิได้”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าสวนท้อนี้งดงามยิ่ง กิ่งก้านแผ่ขยาย ดอกใบเบ่งบานสดใส ดังนั้นเขาจึงเอ่ยออกมาว่า “ดอกท้อในสำนักเต๋าเป็นเยี่ยงไร ? ”
“อืม…” ซูซูครุ่นคิด นางดูคล้ายกับมิรู้ว่าจะใช้คำใดมาอธิบายได้ จึงได้ตอบไปว่า “เอาเป็นว่าในเดือนสามของแต่ละปี ที่ภูเขาดอกท้อมีดอกท้อบานสะพรั่งไปทั่วทั้งภูเขา เบ่งบานท่ามกลางกลีบเมฆ หากมีฝนปรอยลงมา เมฆเหล่านั้นก็จะบางลง คล้ายกับผ้าบาง ๆ ปกคลุมอยู่ บนดอกไม้เหล่านั้นมีหยดน้ำค้างเกาะอยู่ ช่างงดงามเหนือคำบรรยาย”
แท้จริงแล้วในสำนักเต๋ามีภูเขาดอกท้อ !
สวนท้อแห่งนี้จะไปเทียบกับภูเขาดอกท้อได้เยี่ยงไรเล่า
ซูม่อเองก็แบกกล่องดำนั้นไว้แล้วเดินติดตามฟู่เสี่ยวกวนมา เขาเอ่ยเสริมขึ้นว่า “ท่านอาจารย์กล่าวว่าเหล่านั้นคือต้นท้อที่บรรพบุรุษปลูกเอาไว้ เนื่องจากในปีนั้นเขาหลงรักสตรีนางหนึ่งมีนามว่าถาวฮวา”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกอยากรู้ขึ้นมา ยังมิทันจะรอฟังประโยคต่อไป เขาก็หันหลังกลับไปเอ่ยถามว่า “แล้วเยี่ยงไรต่อ ?”
“จบแล้ว ! ดังนั้นที่สำนักเต๋าจึงมีภูเขาดอกท้อ”
เอาเถอะ ฟู่เสี่ยวกวนอยากจะเอ่ยถามว่าสุดท้ายแล้วเขาได้อยู่กินกับแม่นางถาวฮวาผู้นั้นหรือไม่ แต่ทว่าในสวนกลับมีคนผู้หนึ่งเดินออกมาเสียก่อน
เป็นสตรีสวมชุดสีเขียว ผมยาวดำขลับ ในมือถือร่ม ที่สะเอวแขวนตะกร้าสานเอาไว้ นางเดินตรงมาทางพวกเขา
เมื่อเดินเข้ามาใกล้ ฟู่เสี่ยวกวนจึงเห็นได้ว่านางเป็นหญิงสาววัยแรกแย้ม รูปร่างผอมสูง คิ้วและดวงตางดงาม แก้มแดงเรื่อ
นางยืนอยู่ต่อหน้าฟู่เสี่ยวกวน มองซ้ายมองขวา จากนั้นสายตาของนางก็ละจากฟู่เสี่ยวกวนไปยังซูม่อที่อยู่ด้านหลังเขา ฟู่เสี่ยวกวนมองเห็นแววตาของแม่นางผู้นี้เป็นประกาย
“หลบไปหน่อย !” นางโยนตะกร้าไปให้ฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนรับไปตามสัญชาตญาณ แต่ทว่านางใช้มือที่ว่างอยู่นั้นตบบ่าเขา
ฟู่เสี่ยวกวนเดินถอยห่างออกมาเล็กน้อย สายตาของแม่นางผู้นั้นยังไม่ละไปจากซูม่อ ทำให้ซูม่อเริ่มขนลุกขนชัน นางหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เจ้าช่างรูปงามเสียจริง ! ”
นางยังคงจ้องไปยังซูม่อ ฝ่ายซูม่อนั้นอายเสียจนหน้าแดง นางจึงหัวเราะออกมาว่า “รูปงามจริง ๆ ข้าชอบเจ้า !”
ซูม่อตกตะลึงอ้าปากค้างอย่างเขินอาย
เขามิเคยพบสตรีที่เปิดเผยเช่นนี้มาก่อน และมิเคยพบเห็นวิธีสารภาพรักที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ มิรู้ว่าควรตอบกลับไปว่าเยี่ยงไร เขาทำตัวไม่ถูกเลยเสียจริง
“ฮ่า ๆ ! ข้ามีนามว่าถาวฮวา หนึ่งในห้าชือแห่งใต้หล้า ฮวาชือก็คือข้า”
ซูเจวี๋ยขมวดคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ ซูโหรวหยุดปักด้ายในมือของนางแล้วเงยหน้าขึ้นมอง ส่วนซูซูเอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทางเหลือเชื่อว่า “เจ้าคือฮวาชือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิเข้าใจ รู้เพียงแต่ว่าสตรีที่อาจารย์ปู่ของพวกเขารักนั้นนามว่าแม่นางถาวฮวา เพียงชั่วพริบตาแม่นางที่นามว่าถาวฮวาก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา น่าประหลาดยิ่ง ส่วนเรื่องฮวาชือ…เอาเถอะ ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าคำนี้ไม่ดีเท่าใดนัก แต่ทว่านางกลับรู้สึกภูมิใจ
แม่นางถาวฮวากล่าวว่า “แน่นอน เป็นข้ามิผิดเพี้ยน” เมื่อครุ่นคิดชั่วครู่ นางก็ได้เอ่ยถามออกมาว่า “หากพวกเจ้าต้องการรับประทานอาหาร จงเด็ดดอกท้อใส่ตะกร้านี้ให้เต็ม แต่หากเพียงมาเดินชม…หลังจากชมแล้วเจ้าอยู่ต่อได้หรือไม่ ? ”
ประโยคสุดท้ายนั้น นางมองไปทางซูม่อ
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความหวัง และเป็นประกายอย่างชัดเจน
แต่ทว่าซูม่อกลับหยิบตะกร้าจากมือฟู่เสี่ยวกวนไปแล้วโค้งคำนับนางอย่างสุภาพกล่าวว่า “ขออภัยแม่นาง พวกเราเดินทางมารับประทานอาหาร ข้าจะไปเด็ดดอกท้อให้ประเดี๋ยวนี้”
ตอนที่ 263 ช่วงเวลาเล็กน้อย
ฟู่เสี่ยวกวนเงียบลง คิดว่าหลังจากที่เดินทางกลับมาจากราชวงศ์อู่แล้วตนก็จะต้องไปยังชวีอี้และผิงหลิงต่อ เมื่อถึงเวลานั้น คงต้องบอกไป๋ยู่เหลียนให้เคลื่อนทหารกองกำลังพิเศษนับสองพันนายไปยังผิงหลิงอี้
นั่นคือการทดสอบคราแรกของกองทัพที่ยอดเยี่ยม สองพันจากห้าหมื่นนาย นี่ราวกับเป็นการพูดไร้สาระ แต่สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนทราบมา เขาเชื่อว่าเพียงกองกำลังนั้นสามารถสำเร็จการฝึกฝนที่เคร่งเครียดได้ทั้งหมด การทำศึกบนภูเขา พวกเขาก็ย่อมทำได้อย่างแน่นอน
หากพวกเขาไม่ชนะ ตนเองก็มิมีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ในสองที่นั่น และยิ่งมิต้องเอ่ยถึงการสร้างโรงงานเพื่อส่งเสริมการค้าเลย
เยี่ยงนั้นก็คงต้องตายตกกันไป !
มองใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนที่เคร่งเครียด เผิงยวี๋เยี่ยนก็ยิ่งรู้สึกว่านี่คือชายหนุ่มคนหนึ่งที่ห่วงใยบ้านเมืองและผู้คน มิแม้แต่จะคิดเลยว่าเขาคิดถึงแต่เพียงแผนการเอาตัวรอด ณ ที่นั้นในอนาคตของตนเอง
“เจ้ามิต้องกังวลจนเกินไป กลับกัน ทางจินหลิง…” เผิงยวี๋เยี่ยนเหลือบมองหยูชุนชิว หยูชุนชิวพยักหน้าน้อย ๆ “ถึงแม้ตระกูลชือและตระกูลเฟ่ยในจินหลิงจะล่มไปแล้ว แต่ก็ยังมีผู้คนอีกมากที่หวังจะเอาชีวิตของเจ้า เจ้าจงอย่าได้ประมาท ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ประหลาดใจอันใด มุมปากยกขึ้น และกล่าวว่า “ความจริงแล้วข้าเกลียดคนจำพวกที่เอามีดแทงข้างหลังยิ่ง กล่าวไปพวกท่านคงมิเชื่อ ข้ายอมไปผิงหลิงเพื่อปราบกองโจร แต่มิขอยอมอยู่เมืองหลวงเพื่อเฝ้าระวังเรื่องวุ่นวายจากเหล่าคนชั่วนั่น”
เสียงของเขาเงียบลงไป และเอ่ยถามว่า “เฟ่ยอัน แท้จริงแล้วเป็นคนเยี่ยงไรกัน ? ”
หยูชุนชิวเงียบไปหลายอึดใจ “เขาเป็นคนที่โดดเด่น !”
มองสายตาที่ตกตะลึงของฟู่เสี่ยวกวน หยูชุนชิวก็กล่าวอีกว่า “เขากุมอำนาจกองทัพชายแดนใต้มาได้ยี่สิบกว่าปี ถึงแม้ที่นั่นจะมิได้มีสงครามใหญ่อันใด แต่เขากลับมิละเลยการฝึกฝน ในอดีตข้าเคยได้ไปดูกองกำลังชายแดนใหญ่ทั้งสี่มาแล้ว หากให้กล่าวถึงกำลังรบ กองทัพชายแดนเหนือแข็งแกร่งที่สุด หลังจากนั้นข้าคิดว่าคือกองทัพชายแดนใต้ ส่วนกองทัพชายแดนตะวันตกที่อยู่ภายใต้อำนาจของเซวี๋ยติ้งชานมา 8 ปี กล่าวได้เพียงว่ามิมีถดถอย แต่ที่สุดจะทนที่สุดคือกองทัพชายแดนตะวันออก มิใช่ว่าข้าว่าร้ายเยี่ยนเป่ยซีลับหลัง เยี่ยนฮ่าวชูมิใช่ผู้ที่สามารถปกครองทัพได้ ความจริงคือผ่านมาหลายปีแล้ว แต่เยี่ยนฮ่าวชูก็ยังมิสามารถเข้าใจกองทัพได้อย่างถ่องแท้ อำนาจที่มากล้นมันตกอยู่ในมือเจียเกาหยวนที่เป็นเจียนจวินของเขาต่างหาก”
“โชคดีที่ฝ่าบาทมองทะลุปรุโปร่ง โยกย้ายให้องค์ชายใหญ่ไปยังกองทัพชายแดนตะวันออก ครานี้หากสามารถรบชนะแคว้นอี๋ได้ กองทัพชายแดนตะวันออกก็คงจะได้สมบูรณ์และเกิดการปรับปรุงใหม่เสียที”
“การรบของตะวันออกเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“องค์ชายใหญ่เพิ่งรับหน้าที่ได้เพียงไม่กี่วัน ยังมิมีรายงานส่งมา รายงานในอดีตคือกองกำลังแนวหน้าภูเขาซังยวี่ถูกตีพ่าย กองกำลังหลักของกองทัพชายแดนตะวันออกร่นถอยไปยังกวนซานจี้ จากหลักฐานในที่นี้… 300 ลี้ให้หลังของกวนซานจี้คือหลานหลิงเมืองหลวงของเขตตะวันออก”
“ท่านแม่ทัพใหญ่มีแผนที่หรือไม่ ? ”
เผิงยวี๋เยี่ยนได้ยินเยี่ยงนั้น ก็ได้เดินเข้าไปที่ห้องอักษรและหยิบแผนที่ขึ้นมาปูบนโต๊ะ ฟู่เสี่ยวกวนมองอย่างพินิจพิจารณา
นิ้วชี้ไปบนกวนซานจี้ ที่นี่คือภูมิประเทศที่เป็นเนินเขา อยู่ห่างจากที่ราบสีหม่าไปสองร้อยลี้ กล่าวได้ว่ากองทัพของแคว้นอี๋ได้รุกเข้ามาสองร้อยกว่าลี้แล้ว
แต่รายงานที่ฟู่เสี่ยวกวนทราบมาจากเมืองหลวงคือสาส์นรายงานจากเยี่ยนฮ่าวชูในวันที่ยี่สิบสี่เดือนหนึ่ง ในยามนั้นกองทัพชายแดนตะวันออกได้ถอยไปยังแนวหน้าภูเขาซังยวี่ ภูเขาซังยวี่ห่างจากกวนซานจี้ 120 ลี้ เป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่า ท้ายที่สุดแล้วสงครามเป็นเยี่ยงไรแล้วกันแน่ ?
“ยังคงตามจับกวนซานจี้มิได้…”
นิ้วชี้ของฟู่เสี่ยวกวนขยับอีกครา วางลงบนเนินสิบลี้ เคาะลงไป และกล่าวอีกว่า “หากข้าเป็นองค์ชายใหญ่ ข้าจะรวบรวมกองทัพไว้ที่นี่ วางกองกำลังหลักไว้ที่เนินสิบลี้ ให้ทหารม้าติดอาวุธเบาอ้อมฮวาซีและหลินเจียไปขนาบสองข้าง เนินสิบลี้เหมาะสำหรับให้ทหารม้าติดอาวุธหนักเข้าบุก มีเพียงตอนที่ทหารม้าติดอาวุธหนักเจาะฝ่ากองกำลังหลักของทัพอี๋ไปได้เท่านั้น ทหารม้าที่ติดอาวุธเบาขนาบข้างจึงจะมีโอกาสแบ่งจำนวนและล้อมปราบได้ และต้องซ่อนพลธนูเอาไว้ที่บนยอดเขากวนซานจี้ เพื่อทำการสกัดกั้นกองสนับสนุนของทัพอี๋ และกลืนกินกองกำลังของศัตรูให้หมดในที่นี้”
ในขณะนี้ฟู่เสี่ยวกวนจดจ่ออย่างมาก ราวกับเขาเป็นแม่ทัพใหญ่ที่คอยบัญชาการ ดวงตาของหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานจ้องมองเขาเป็นประกาย แต่หยูชุนชิวและภรรยากลับมองเขาด้วยจิตใจที่ตื่นตระหนกยิ่งขึ้น เพราะนี่ก็เป็นกลวิธีที่พวกเขาสองสามีภรรยาใช้เวลาวิเคราะห์อยู่หลายวัน
“ทำที่ตรงนี้ให้เป็นปากถุง…” มือของฟู่เสี่ยวกวนวนไประหว่างกวนซานจี้และเนินเขาสิบลี้ “มีองค์ชายใหญ่อยู่แนวหน้า คงสามารถฟื้นคืนขวัญกำลังใจให้เหล่าทหารได้ กรมคลังก็ได้ระดมอาวุธและเกราะของกองทัพชายแดนตะวันออกไปให้ส่วนหนึ่งแล้ว คิดไปแล้วคงยังมิพอ หากมีปืนใหญ่อีก 100 กระบอกก็คงจะดี…”
“ข้าจะสามารถระเบิดพวกมันให้เป็นจุณ ! ”
“ดังนั้น การรบครานี้ก็จะถือว่าชนะ แต่ก็เป็นชัยชนะที่น่าสลด แต่ต่อให้เป็นชัยชนะที่น่าสลด ในยามนี้องค์ชายใหญ่ก็ควรบัญชาการทหารตรงไปยังกวนซานจี้ สิ่งที่เรียกว่าสงคราม เมื่อถาโถมเข้าไปในรวดเดียว ต่อจากนั้นก็จะอ่อนลง ในท้ายที่สุด… หากมิสามารถทะลวงไปถึงที่ราบสีหม่าได้ในคราเดียว ก็จะกลายเป็นปล่อยโอกาสให้แคว้นอี๋ได้หายใจหายคอ…เยี่ยงนั้นก็จะลำบากยิ่ง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเกาหัวไปมา รู้สึกปวดหัว
เขาลุกขึ้นยืนและเงยหน้า จึงได้เห็นสายตาที่ประหลาดใจของทุกคน เขาลูบจมูกไปมาและยิ้มเหยเก “พูดเรื่องการทหารบนกระดาษ เพียงเก่งแต่ปาก กลายเป็นสอนจระเข้ว่ายน้ำไปเสียแล้ว อย่าได้หัวเราะเยาะข้าเลย”
มิมีผู้ใดหัวเราะ หยูชุนชิวและภรรยาต่างมีสีหน้าที่เคร่งเครียดอย่างมาก ทันใดนั้นเขาก็เอ่ยถามขึ้นมา “เจ้าเคยเป็นทหารมาก่อนรึ ? ”
สองมือของฟู่เสี่ยวกวนแบออก “ข้าเป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดินหลินเจียงเท่านั้น”
ข้ามิเคยพบเจอคุณชายเศรษฐีที่ดินเยี่ยงนี้มาก่อน หยูชุนชิววิจารณ์หนึ่งประโยค และกล่าวว่า “หากเจ้ามิได้อยู่ต่อหน้าข้า หากข้าเพียงฟังคำพูดเหล่านี้ ข้าย่อมคิดว่านี่คือคำพูดจากทหารสักค่าย ความคิดเห็นของข้าและเจ้าต่างกันเล็กน้อย ข้าคิดว่าหากเอาชนะได้ที่เนินสิบลี้ ก็ควรจะประจำการอยู่กับที่ มิใช่การจู่โจมเข้าไป ข้าคิดว่ามันคือชัยชนะที่น่าสลด อีกทั้งกองพลที่ตามหลังมามิมีกำลังที่มากพอที่จะรุกเข้าไป”
ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจ “ท่านแม่ทัพใหญ่ โดยอำนาจของแคว้นในปัจจุบัน มิสามารถรับมือกับสงครามที่ยืดเยื้อได้ หากประจำการที่เนินสิบลี้ ศัตรูจะคิดไปว่าไร้กำลังจะรบต่อแล้ว หากรวมตัวกันโจมตีเข้ามาอีก เกรงว่าองค์ชายใหญ่จะทำได้เพียงร่นไปยังเมืองหลานถิง แต่หากบุกเข้าไป รีบไล่คนแคว้นอี๋ออกไปจากที่ราบสีหม่า เยี่ยงนั้นศัตรูก็จะยังคิดว่ากองกำลังของราชวงศ์หยูยังแข็งแกร่ง พวกมันจะลังเลและไม่เดินมาข้างหน้าต่อ จนถึงขนาดยอมถอยเพื่อเจรจาสงบศึก”
หยูชุนชิวจึงตระหนักได้ รู้สึกได้ว่าประสบการณ์ของตนนั้นยังเล็กน้อยเกินไป จึงยิ่งรู้สึกว่าชายหนุ่มฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้มีพรสวรรค์ทางด้านการทหารอย่างแท้จริง
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ความสงสัยของทั้งสองยังคงมิหายไป แต่พวกเขาก็มิอาจจะอยู่ได้นาน
ดังนั้นเผิงยวี๋เยี่ยนจึงกล่าวคำขอของนางออกไป
“ชื่อเสียงของคุณชายฟู่ขจรไกล มิทราบว่าจะประพันธ์บทกวีเพื่อพวกข้าสักบทได้หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด พยักหน้ารับคำ เผิงยวี๋เยี่ยนเดินไปหยิบอุปกรณ์เขียนในห้องอักษรมาด้วยความชอบใจ ฟู่เสี่ยวกวนส่งพู่กันให้หยูเวิ่นหวิน
“แม่ทัพใหญ่และท่านฮูหยินต่างก็เป็นคนในกองทัพ ข้าจึงจะประพันธ์ ‘ช่วงเวลาเล็กน้อย ส่งแม่ทัพใหญ่หยู’ บทนี้ให้แก่พวกท่าน”
“เมามายจุดตะเกียงพินิจกระบี่ ตื่นจากฝันด้วยเสียงแตรรวมกองทัพ”
เพียงประโยคเริ่มต้น กระแสพลังที่ยิ่งใหญ่ทำให้ทุกคนต่างตื่นตระหนก
หนังตาของหยูชุนชิวกระตุก ภายในใจของเผิงยวี๋เยี่ยนบีบคั้น ยิ่งได้ฟังฟู่เสี่ยวกวนขับขานด้วยความฮึกเหิมเข้าไปอีก
“แปดร้อยลี้วางธงทัพปักเนื้อย่าง
บรรเลงดนตรีสะท้อนบทเพลงไปไกลยังชายแดน
เหล่าทหารบนสนามรบฤดูใบไม้ผลิ
ม้าศึกทะยานไปว่องไว คันธนูราวกับสายฟ้าฟาด
เพื่อสำเร็จการแย่งชิงที่ราบของราชา
ชนะยามเป็นสร้างชื่อเสียงยามตาย
แต่น่าเสียดายเพราะชราวัย”
…..
บทกวีนุ่มนวลชวนคล้อยตาม บุรุษนับพันที่กล้าหาญ
ฝนฤดูใบไม้ผลิด้านนอกประตูยังคงตกอย่างไรที่สิ้นสุด !
ตอนที่ 262 คุณสมบัติของแม่ทัพ
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้หน้าแดง หรือใจเต้นรัว เขาเอ่ยออกมาอย่างหน้าตาเฉย
“ข้าจริงจังยิ่งนัก มิใช่เพียงต้องการยกยอท่านแม่ทัพใหญ่ แต่อาหารบนโต๊ะทั้งหมดนี้ข้ารู้สึกเหมือนได้ทานอาหารอยู่ที่จวน คนอื่น ๆ อาจจะคิดว่าอาหารอันโอชะคืออาหารที่สีสันสดใสหอมกรุ่น แต่สำหรับข้านั้น ข้าได้ชิมถึงจิตวิญญาณที่สะท้อนออกมาจากอาหารนี้ ท่านฮูหยินหยูตั้งใจทำออกมาได้เลิศรสเพียงนี้ เสี่ยวกวนขอดื่มให้แก่ท่านฮูหยินหยู 1 จอก ! ”
เผิงยวี๋เยี่ยนหัวร่อชอบใจ นางรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้น่าสนใจยิ่ง
ดังนั้นทั้งสองจึงได้ชนแก้วแล้วดื่มสุราจนหมดจอก
งานเลี้ยงเล็ก ๆ ดำเนินไปท่ามกลางเสียงขบขัน ทั้งสองฝ่ายจากคนแปลกหน้ากลายเป็นคนรู้จักและจากคนรู้จักกลายเป็นคนสนิทในที่สุด
บัดนี้แม้แต่หยูชุนชิวก็ได้ลืมจดหมายทั้งสองฉบับที่องค์ชายสี่ส่งมาให้เขาเสียแล้ว
เมื่อดื่มสุรากันพอประมาณแล้ว ทุกคนก็นั่งดื่มชากันต่อ
และพูดคุยถามไถ่ไปตามประสา เผิงยวี๋เยี่ยนเอ่ยถามฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมาว่า “เมื่อปีกลายเจ้าได้ร่างนโยบายการทำสงครามขึ้นที่เมืองหลวง ข้าและสามีได้วิเคราะห์อยู่เนิ่นนานเสียทีเดียว แต่ท้ายที่สุดก็ยังมีบางส่วนมิเข้าใจ ขอใช้โอกาสนี้เอ่ยถามให้กระจ่าง พวกเราจะสามารถฝึกฝนทหารผู้มีความสามารถได้เยี่ยงไร ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ เขาคิดว่านี่คงเป็นการลองภูมิเขาเป็นแน่ ดังนั้นจึงได้แต่ยิ้มแล้วตอบว่า “วิธีการฝึกทหารมีมากมาย ข้าจำได้ว่าเคยเขียนไว้ที่นโยบายนั้น ภูมิประเทศที่นี่ข้าลองดูคร่าว ๆ แล้ว คำแนะนำของข้าคือให้คัดเลือกทหารมา 20,000 นาย แล้วทำการฝึกฝนภาคพื้นบนภูเขา”
“ข้ามิแน่ใจว่าหากมีศัตรูโจมตีเข้ามานั้นจำเป็นจะต้องผ่านทางเดินภูเขาฉีซานหรือไม่ แต่ในเมื่อภูเขาฉีซานคือเกราะกำบัง พวกเขาก็จะต้องปีนข้ามมา ภูเขาฉีซานในฐานะสนามรบหลักจึงได้เปรียบกว่าพื้นที่ราบเช่นนี้แน่นอน การฝึกฝนนี้สามารถทำให้ทหารมีร่างกายแข็งแรงกว่าเดิม อีกทั้งยังคุ้นเคยกับเส้นทางในภูเขา พวกเขาจะต้องมีทักษะทุกประการเหมือนดั่งที่ราบ ใช้ธนูและดาบสั้นเป็นหลัก และล้มเลิกการใช้ม้าศึก”
“สงครามแต่ละคราหาแน่นอนมิได้ ดังนั้นวิธีการรับมือจึงมิอาจกำหนดไว้ล่วงหน้าได้ สามารถถล่มก้อนหินใหญ่ลงตรงที่ศัตรูผ่าน หรืออาจสร้างกับดักเอาไว้ หรือแม้กระทั่งวางเพลิง เป็นต้น…”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยออกมาอย่างฉะฉาน ตั้งแต่การลาดตระเวนบนภูเขาไปจนถึงการประสานงานในกองทัพ อีกทั้งการโจมตีของทหารม้าจากด้านหลัง หรือกระทั่งทหารราบจะร่วมมือกับทหารม้าได้อย่างไร เขาใช้เวลาไปกว่า 2 เค่อ ทำให้หยูชุนชิวและเผงิยวี๋เยี่ยนตกตะลึงเสียจนอ้าปากค้าง และเข้าใจสิ่งที่เขาเอ่ยมาเกือบทั้งหมด
ฟู่เสี่ยวกวนยกชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง แล้วกล่าวประโยคสุดท้ายว่า “ข้าตั้งใจอธิบายให้พวกท่านฟัง มิใช่เป็นเพียงแผนการในกระดาษ ! ”
เช่นนั้น เขาเป็นพวกบุ๋นหรือว่าพวกบู๊กัน ?
สองสามีภรรยาเกิดความสงสัยขึ้นมา เนื่องจากสิ่งที่เขาเอ่ยมาสามารถนำไปใช้ได้จริง บัดนี้ในสมองของทั้งสองมีแนวทางการรบไว้แล้ว หากสามารถทำให้คำพูดของเขาเมื่อครู่เป็นจริงได้ พวกเขาเชื่อว่าทหารทางใต้จะเป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในราชวงศ์หยู
หลังจากการสนทนา สองสามีภรรยาจึงได้มั่นใจว่าเขามิได้เป็นเพียงผู้มีพรสวรรค์ อีกทั้งยังมีคุณสมบัติของแม่ทัพอีกด้วย !
หยูชุนชิวนั่งหลังตรง เขาสูดหายใจเข้ายาว ๆ แล้วเอ่ยว่า “เมืองหลวงมีจดหมายมาว่า หากสวรรค์มิได้ให้กำเนิดฟู่เสี่ยวกวน ทั้งใต้หล้ายังคงดำรงอยู่ท่ามกลางความมืดมิด เดิมทีข้าอ่านแล้วรู้สึกน่าขัน คิดว่าบรรดาผู้คนในเมืองหลวงล้าหลังมิมีความรู้ แต่ทว่าในค่ำคืนนี้ได้ฟังสิ่งที่ท่านกล่าวมา ข้าได้ความรู้เพิ่มขึ้นล้นพ้น จึงได้เข้าใจว่าชาวเมืองหลวงมิใช่ผู้ล้าหลัง แต่กลับเป็นข้าเองที่เป็น ดังนั้น ท่านเหมาะสมกับคำที่กล่าวไว้นั้นอย่างแท้จริง ชีวิตข้านั้นมีคนที่เคารพนับถืออยู่เพียงไม่กี่คน อีกทั้งบัดนี้พวกเขาได้แก่ชราลงแล้ว แต่ทว่าเจ้ายังอายุน้อยแต่กลับเป็นผู้ที่ข้านับถือเป็นอันดับแรก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกละอายเล็กน้อย เนื่องจากประโยคนั้นเขาได้เป็นผู้กล่าวไว้เอง
“น่าเสียดาย…”เผิงยวี๋เยี่ยนถอนหายใจออกมา แล้วเอ่ยอย่างช้า ๆ ว่า “น่าเสียดายที่บุตรสาวของข้าได้หมั้นหมายกับผู้อื่นเสียแล้ว…หรือพวกเราจะมีบุตรสาวอีกสักคน แล้วมอบให้เจ้าในอนาคต เป็นเยี่ยงไร ? ”
…….
ประโยคนั้นของท่านฮูหยินหยูเมื่อครู่ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนตกใจเป็นอย่างมาก ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินได้แต่ฝืนยิ้มออกมา
แม้จะเป็นเพียงคำพูดเอ่ยเล่น แต่กลับทำให้รู้ถึงตำแหน่งของฟู่เสี่ยวกวนในใจของทั้งสองนาง
เขาคือสามีของพวกนาง !
เรื่องการทหารเมื่อครู่พวกนางมิเข้าใจ แต่ดูจากท่าทางและคำพูดของหยูชุนชิวและภรรยาแล้วมองออกว่าสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยมานั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้อง มิเช่นนั้นเขาทั้งสองจะให้ความสำคัญเพียงนี้หรือ ?
นี่คือผู้ที่สามารถใช้พู่กันปกครองประเทศ และสามารถใช้ดาบทำให้ประเทศเกิดความสงบ !
พวกนางรู้สึกภาคภูมิใจยิ่งนัก !
จากนั้นพวกเขาได้สนทนากันถึงเรื่องวรรณกรรม เช่นหนังสือความฝันในหอแดง เยาวชนราชวงศ์หยูกล่าว เป็นต้น
ฟู่เสี่ยวกวนเดิมทีคิดว่าเผิงยวี๋เยี่ยนที่ชื่นชอบในการต่อสู้นั้นจะเพียงรู้สึกแปลกใหม่ในเรื่องนี้ คาดมิถึงว่านางก็มีความสามารถด้านวรรณกรรมเช่นกัน ทั้งสองได้สนทนากัน เขาจึงได้เข้าใจว่าสตรีนางนี้ช่างแปลกประหลาด มิน่าเล่าหยูชุนชิวจึงได้รับนางมาเป็นภรรยา อีกทั้งยังมีเพียงหนึ่งเดียว
หัวข้อสนทนาจากเดิมที่ราวกับสายฝนปรอยในฤดูใบไม้ผลิ ค่อย ๆ เปลี่ยนไปเป็นเรื่องของการเมือง
“พวกเจ้าน่าจะยังไม่รู้ว่าทางเหนือเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว มิใช่ชาวฮวงแต่กลับเป็นคนของกงเซินฉางที่แอบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ราบ พวกมันรวบรวมทหารได้ถึง 50,000 นาย เบื้องหลังของพวกมันมีเงาของชาวฮวงอยู่ คาดว่าชาวฮวงจะให้อาวุธและม้าศึกแก่พวกมัน หลายเดือนมานี้ พวกมันได้เข้าปล้นเมืองรอบ ๆ ซินโจว แล้วใช้เสบียงที่ปล้นมาได้แจกจ่ายแก่ชาวผิงหลิงอี้เพื่อเข้าเป็นพรรคพวก เนื่องจากเขตนี้ค่อนข้างยากจน ชาวบ้านกินไม่อิ่มท้อง ดังนั้นผู้ใดให้อาหารแก่พวกเขา พวกเขาก็ให้ได้แม้ชีวิต ! ”
เผิงยวี๋เยี่ยนถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า “แท้จริงแล้ว หาได้มีผู้ใดอยากจะร่วมก่อกบฏ แต่ทว่าก็มิมีผู้ใดอยากหิวตายเช่นกัน ดังนั้น ความยากจนคือปัญหาที่แท้จริงของการที่ประเทศวุ่นวาย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนก็คิดเช่นนั้น การที่พวกเขาอดมื้ออิ่มมือ ทำให้พวกเขามิอาจได้ร่ำเรียนหนังสือ บรรดาชาวบ้านที่ยากจนนั้นยากจะบรรยาย จากที่ฟู่เสี่ยวกวนดูแล้ว นี่มิใช่ความผิดของพวกเขา เนื่องจากมนุษย์มีความต้องการสูงสุดนั่นคือมีชีวิต และสิ่งที่พวกเขาปรารถนาก็คือการมีชีวิตรอด
ส่วนจะมีชีวิตอย่างไรนั้น นั่นมิใช่เรื่องสำคัญ
ถ้าเช่นนั้นคือความผิดของผู้ใดกัน ?
ผิดที่คนเรียนหนังสือในใต้หล้า ผิดที่ขุนนางทุกคนและผิดที่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน
คำเหล่านี้เขามิกล้าเอ่ยออกมา เพียงแต่ฝืนยิ้มแล้วส่ายหัว “กองทัพมดก็สามารถทลายกำแพงใหญ่ได้ ทางนั้นเงียบไปเป็นเวลานาน เป็นเรื่องอันตรายสำหรับราชวงศ์หยู อันที่จริงอันตรายเหล่านี้ซ่อนไว้อยู่มากมายเช่น เหมียวเจียง ซีฮวง การก่อกบฏต้องการคนจำนวนมาก ดังที่ท่านได้กล่าวไว้ว่า ใครให้อาหารพวกเขาแม้แต่มื้อเดียว พวกเขาก็พร้อมจะมอบชีวิตให้ ทั้งสองเขตนี้ยากจนเป็นอย่างมาก ดังนั้นที่ทั้งสองเขตนี้จะกลายเป็นที่ก่อกบฏ ”
หยูชุนชิวพยักหน้า “ดังนั้นปัญหาที่แท้จริงก็คือความยากจน หากทำให้พวกเขาร่ำรวยขึ้นมาได้ เห้อ… ! ”
“ฝ่าบาททรงกำลังพยายามผลักดันแนวเศรษฐกิจใหม่ แต่ข้าคาดว่าคงอีกนานทีเดียวจึงจะเห็นผล โจรเหล่านี้ยังคงต้องปราบปราม ทหารทางเหนือมีความเคลื่อนไหวบ้างหรือไม่ ?”
“มี แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพทหารเหนือคือเผิงเฉิงอู่ บุตรบุญธรรมที่ท่านพ่อข้ารับเลี้ยงเอาไว้ เขาเคยเป็นแม่ทัพใหญ่ภายใต้บังคับบัญชาของท่านพ่อเช่นกัน ข้าเคยได้ส่งจดหมายไปถามไถ่ เขากล่าวว่าภูมิประเทศที่เขตผิงหลิงอี้ค่อนข้างซับซ้อน เคยไปปราบปรามมาแล้วหลายครา แต่ทว่าล้มเหลวกลับมาทุกครา น่าเสียดายอย่างแท้จริง หากเขามีผู้นำที่เข้าใจด้านพื้นที่ภูเขาอย่างที่เจ้ากล่าว เรื่องนี้คงจัดการได้อย่างง่ายดาย”
ตอนที่ 261 พบกันครั้งแรก
จวนแม่ทัพใหญ่นี้ต่างจากที่ฟู่เสี่ยวกวนคาดไว้เสียเล็กน้อย
ค่อนข้างเรียบง่าย มิได้โอ่อ่าทะมึนทึบอย่างที่ฟู่เสี่ยวกวนคิดไว้เลย
มันถูกล้อมรอบด้วยกำแพงเตี้ย มิได้มีคานประตูที่สูงใหญ่ หน้าประตูมิได้มีรูปปั้นสิงห์ตั้งอยู่ มีเพียงทหารที่สวมชุดเกราะและดาบพาดเอว 2 คน
เดินตามโต้วเทาเข้ามาในจวนแม่ทัพ มิมีสวนดอกไม้ด้านหน้า ด้านขวาของทางเดินถูกปูด้วยกระเบื้องเป็นแถวอย่างเรียบง่าย ส่วนทางซ้ายกลับมีม้าพันธุ์ดีสีดำขลับ 2 ตัวถูกผูกไว้อยู่
เดินข้ามผ่านประตูพระจันทร์ ก็ได้มาถึงโถงกลางของจวนแม่ทัพ สองข้างทางต่างมีอาคารเล็กสองชั้นตั้งอยู่ มิมีศาลาและภูเขาจำลอง
เดินผ่านโถงกลางมาก็จะถึงด้านหลังจวน ด้านหลังจวนกว้างขวางยิ่ง สองข้างทางเดินนั้นได้ติดตั้งชั้นวางอาวุธประเภทดาบยาวไว้ ดังนั้นด้านหลังจึงมิใช่สวนดอกไม้ แต่เป็นสนามฝึกยุทธ์ มีเพียงต้นท้อที่มุมกำแพงเท่านั้นที่เติบโตขึ้นมาราวกับถูกดูแลอย่างดี
ดอกท้อได้เบ่งบาน มีสองสีสดใสสวยงามมาแต่งแต้มลานฝึกยุทธ์นี้ให้ดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
ในยามที่กลุ่มฟู่เสี่ยวกวนกำลังเมียงมอง ก็ได้มีคนสองคนเดินออกมาจากอาคารเล็กด้านข้าง
ผู้ที่เดินอยู่ด้านหน้านั้นสวมเสื้อผ้าป่านสีขาว รูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเหลี่ยมเล็กน้อย คิ้วเรียวสองข้างราวกับกระบี่ที่ราบเรียบ ดวงตาด้านล่างคิ้วคู่นั้นน่าเกรงขาม นี่คือชายหนุ่มรูปงาม
และสตรีที่เดินตามหลังของเขาอยู่หนึ่งก้าวกลับสวมเพียงเสื้อคลุมปักลายดอกไม้ ผมถูกมวยขึ้นแบบขอไปที และใช้ปิ่นจากไม้หวงหยางสอดเข้าไป
ใบหน้าของนางนั้นดูธรรมดายิ่ง คิ้วและดวงตาของนางก็ธรรมดาเป็นอย่างมาก ราวกับสุ่มมาวางไว้บนใบหน้าของนาง เพียงแค่วางไว้ถูกที่ แต่กลับมิได้รับการตกแต่งเพิ่มเติมแต่อย่างใด
นางไว้หน้าม้าประคิ้ว แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังคงเห็นรอยแผลเป็นสีดำบนหน้าผากทางซ้ายของนางที่ยาวพาดผ่านคิ้วไปจนถึงหู
นางคือแม่ทัพใหญ่หญิงเผิง เผิงยวี๋เยี่ยน
เยี่ยงนั้น เขาก็ต้องเป็นแม่ทัพใหญ่กองทัพชายแดนใต้ หยูชุนชิว !
หยูชุนชิวปรี่มาข้างหน้าอย่างรีบร้อนเพียงสองก้าว สายตากวาดมองใบหน้าฟู่เสี่ยวกวน และไปตกอยู่ที่ตัวหยูเวิ่นหวิน
เขากุมสองมือเป็นกำปั้น และโค้งคำนับ “กระหม่อม หยูชุนชิว ถวายบังคมองค์หญิงเก้าพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ทันใดนั้นหยูเวิ่นหวินก็หัวเราะขึ้นมา และเอ่ยถามว่า “ในเมื่อเจ้าก็รู้ว่าข้าจะมา เหตุใดจึงมิมาต้อนรับข้าที่ศาลาพักม้า ? ”
นี่คือคำถามเชิงตำหนิ น้ำหนักมิเบามิหนัก หยูชุนชิวจึงรีบตอบไปว่า “ทูลองค์หญิง กระหม่อมเป็นถึงแม่ทัพ เป็นการยากที่จะออกมาจากค่ายทหาร…นอกจากนี้ กระหม่อมได้มีเจตนาเห็นแก่ตัวเล็กน้อย คาดคิดว่าองค์หญิงคงเหนื่อยกับการเดินทาง อยากจะเชื้อเชิญองค์หญิงมาทานอาหารที่เรือนของกระหม่อมสักมื้อ”
“ฮ่าฮ่า พอได้แล้ว…พี่ชาย ข้าเพียงกล่าวขอไปทีเท่านั้น ท่านอย่าได้นำมาใส่ใจนักเลย ท่านนี้คือพี่สะใภ้งั้นรึ ? ”
พี่ชายเพียงหนึ่งประโยค ก็เป็นการสิ้นสุดพิธีรีตองต่าง ๆ และกลายเป็นครอบครัวธรรมดา
หยูชุนชิวยื่นมือไปด้านหลังและให้เผิงยวี๋เยี่ยนเดินมาข้างหน้า “นางคือพี่สะใภ้ของเจ้า”
คราวนี้เป็นคราของหยูเวิ่นหวินที่คำนับ “คำนับพี่สะใภ้ ! ”
“คำนับองค์หญิง องค์หญิงคงเหนื่อยมากแล้ว อย่าได้มัวแต่ยืนคุยที่ด้านนอกเลย เข้าไปเถิด พี่สะใภ้ลงมือทำอาหารด้วยตนเอง เพียงประเดี๋ยวองค์หญิงเสวยให้มาก ๆ ก็ถือว่าเป็นเกียรติมากยิ่งนักแล้ว”
บรรยากาศผ่อนคลายขึ้น ฝนตกปรอย ๆ นี้ราวกับสงบลงไปมาก แม้แต่ดอกบ๊วยตรงมุมกำแพง ก็ราวกับมีดอกไม้บานขึ้นสองถึงสามดอก
กลุ่มฟู่เสี่ยวกวนทั้งสามคนนั่งลงตรงโต๊ะน้ำชาเบื้องหน้า หยูชุนชิวต้มชา เอ่ยถามกับหยูเวิ่นหวินถึงฝ่าบาทและฮองเฮาซั่งอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็รินชา และหัวข้อสนทนาจึงถูกเปลี่ยนเบนมาทางฟู่เสี่ยวกวนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
เขาส่งถ้วยชาให้ฟู่เสี่ยวกวน และเอ่ยขึ้นมาว่า “ชื่อเสียงของคุณชายฟู่ในบัดนี้ขจรไกลไปทั่วทั้งใต้หล้าแล้วอย่างแท้จริง ! ”
“ท่านแม่ทัพกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว”
หยูชุนชิวส่ายหน้า “ข้ามิได้กล่าวเกินไปเลยสักนิด ขอกล่าวกับเจ้าอย่างมิปิดบัง ความฝันในหอแดงเล่มนั้น คาดมิถึงว่านางในนั้นจะชอบมากยิ่งนัก ดังนั้นพอได้ยินว่าเจ้าจะเดินทางมาราชวงศ์อู่ เหล่านางในก็กล่าวกับข้าครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าให้เชิญองค์หญิงเก้ามาพำนัก และเชิญคุณชายฟู่ให้มาด้วยกัน พวกนางอยากเห็นว่าผู้ที่สามารถเขียนตำราเล่มนั้นขึ้นมาได้ ผู้ที่สามารถประพันธ์บทกวีเยี่ยงนั้นออกมาได้แท้จริงแล้วเป็นชายหนุ่มเช่นไร…ประเดี๋ยวเชิญรับประทานอาหารก่อนเถิด เกรงว่านางจะพูดคุยกับเจ้าอีกมาก”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “ท่านฮูหยินหยูเป็นวีรสตรีที่ดีมิแพ้บุรุษ เสี่ยวกวนได้ยินมาจากในเมืองหลวงที่ห่างไกล เพียงได้มาพบพานในวันนี้ ถือเป็นโชคดีของเสี่ยวกวน”
หลังจากนั้นหยูชุนชิวก็พูดคุยกับต่งชูหลานอีกไม่กี่ประโยค แต่หลังจากนั้นกลับพูดถึงเรื่องของต่งคังผิง แต่มิใช่การยั่วเย้าอันใด เป็นเพียงการไถ่ถามทั่วไปเท่านั้น
เพียงไม่นานเผิงยวี๋เยี่ยนที่ผูกผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้ก็เดินออกมา ด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “มื้อเย็นเสร็จแล้ว เชิญทุกท่าน”
ทั้งห้าคนนั่งล้อมโต๊ะตัวหนึ่ง บนโต๊ะนั้นมีอาหารแปดอย่างและน้ำซุปหนึ่งถ้วย
หน้าตาของอาหารสวยงามยิ่ง กลิ่นก็หอมยั่วยวนน้ำลาย กระตุ้นความอยากอาหารของฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ได้ในทันที
ระหว่างทางมา อาหารการกินมิได้พิถีพิถันมากนัก แต่แล้วในตอนนี้ก็ได้มีมื้ออาหารที่ดี ย่อมทำให้มือของพวกเขาขยับไปตามธรรมชาติ
“พวกข้าคิดว่าพวกท่านในยามที่อยู่เมืองหลวงต้องได้กินอาหารที่รสเลิศมาอย่างมากมาย ในที่ของพวกข้านั้นมิได้มีวัตถุดิบที่หลากหลาย แต่ก็ถือเป็นเอกลักษณ์”
เผิงยวี๋เยี่ยนหันมองหยูเวิ่นหวิน แล้วกล่าวอีกว่า “อย่างเช่นเห็ดเหล่านี้ ข้าเก็บมาจากบนภูเขาฉีซาน และหน่อไม้นี้ มันแตกต่างจากที่อื่น มันคือหน่อไม้จากต้นไผ่ หลังเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ต้องขุดลงไปหลายฉื่อ มิเช่นนั้นจะแก่ไป พวกท่านลองทานดู ใช่แล้ว ยังมีเนื้อชะมดนี้อีก ข้าเพิ่งไปล่ากลับมาเมื่อตอนเช้า”
นี่คืออาหารจากธรรมชาติที่บริสุทธิ์และปราศจากสิ่งเจือปน !
หากเป็นชาติก่อน อาหารเหล่านี้ถือว่าเป็นอาหารชั้นสูง
ฟู่เสี่ยวกวนมิเกรงใจ และกล่าวยิ้มๆ “เยี่ยงนั้นข้าคงต้องลงมือแล้ว !”
เผิงยวี๋เยี่ยนชำเลืองมองฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนได้เริ่มลงมือกินอย่างแท้จริง คีบเห็ดขึ้นมาหนึ่งชิ้น แต่กลับวางในชามของหยูเวิ่นหวิน หลังจากนั้นก็คีบขึ้นมาอีกครา และวางในชามของต่งชูหลาน และกล่าวยิ้มๆ ว่า “พวกเจ้าทั้งสอง ยามเมื่ออยู่ในจวนแม่ทัพใหญ่ก็อย่าได้เกรงใจ ข้าจะกล่าวว่า ให้ทำเหมือนอยู่ในจวนของตนเอง ทานอาหารเยี่ยงนี้ต่างหากจึงจะมีความสุข จึงจะคุ้มค่าต่อฝีมือของท่านฮูหยินหยูและวัตถุดิบล้ำค่าที่นางหามา”
เผิงยวี๋เยี่ยนหัวเราะขึ้น แต่เดิมนางนั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ มิชอบพอพวกนักวรรณกรรมเหล่านั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ฟู่เสี่ยวกวนที่เป็นคนสบาย ๆ เยี่ยงนี้กลับทำให้นางเจริญอาหาร
เมื่อรวมกับการกระทำของฟู่เสี่ยวกวนที่คีบอาหารให้กับสตรีทั้งสอง ก็แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของเขาและสตรีทั้งสอง แท้จริงแล้วชายผู้นี้เป็นคนที่ฉลาด เกรงว่าคงจะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้และฮองเฮาซั่งไม่น้อย
“ใช่ ๆ คุณชายฟู่กล่าวได้ถูกต้อง ทุกคนทำเหมือนเป็นจวนตนเองเถิด”
ดังนั้นบรรยากาศในตอนนี้จึงผ่อนคลายยิ่งขึ้น หยูชุนชิวหยิบซีชานเทียนฉุนขึ้นมา ในขณะที่ดื่มกับฟู่เสี่ยวกวนก็บ่นไปด้วย “เจ้าเป็นผู้ผลิตของสิ่งนี้ขึ้นมา แต่ทั่วเจียงหนานตงเต้ามิสามารถหาซื้อได้… เจ้าจักสามารถสร้างร้านสุราขึ้นที่นี่ได้หรือไม่ เพื่อจะได้ดื่มสุรา ข้าถึงกับต้องไหว้วานให้คนของข้าไปซื้อที่หลินเจียง”
ฟู่เสี่ยวกวนตบหน้าผาก “ท่านแม่ทัพใหญ่ แท้จริงแล้วก่อนที่จะออกเดินทางข้าได้เตรียมสุราให้ท่านไว้สองสามลังแล้ว แต่ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยซีกลับกล่าวว่าสุราเป็นสิ่งต้องห้ามในกองทัพ ข้าจึงมิได้นำมาด้วย…ชายชราผู้นั้น ในตอนนี้ข้าคาดว่าเขาคงจะฉวยไปให้ตนเองเสียแล้ว ! ”
หม้อสีดำใบหนึ่งถูกโยนไปให้เยี่ยนเป่ยซี เขากล่าวอีกว่า “ข้าจะเขียนจดหมายถึงบิดาของข้า และจะขอให้เขาส่งมาให้กับแม่ทัพใหญ่เสียเล็กน้อย”
หยูชุนชิวลอบสาปแช่งเยี่ยนเป่ยซีอยู่ในใจ แต่ใบหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้ม “จริงเยี่ยงนั้นรึ ? ”
ตอนที่ 260 เจิ้นกั๋วกง
ฟู่เสี่ยวกวนกลับมายังศาลาพักม้า ผ่านไปไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ก็พบว่ามีม้าเร็ววิ่งเข้ามา
บนม้าตัวนั้นปรากฏนายทหารที่มีท่วงท่าสง่างามผู้หนึ่ง เขาถูกเซวียผิงกุยถือดาบรั้งเอาไว้ด้านหน้า ทั้งสองเจรจากันชั่วครู่ ท้ายที่สุดเซวียผิงกุยจึงเดินนำเขาเข้ามา
นายทหารผู้นั้นยกมือกำขึ้นเพื่อคารวะ “ข้าน้อยทหารองครักษ์ของท่านแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพใต้นามว่าโต้วเทา ได้รับคำสั่งจากท่านแม่ทัพว่าให้นำหนังสือเชิญมามอบแก่คุณชายฟู่และองค์หญิงเก้าอีกทั้งแม่นางต่งชูหลานไปร่วมงานเลี้ยง ณ จวนท่านแม่ทัพขอรับ ! ”
จากนั้นเขาก็ยื่นหนังสือเชิญให้กับฟู่เสี่ยวกวน ซูเจวี๋ยที่ยืนอยู่ด้านหลังฟู่เสี่ยวกวนขยับหมวกให้ตรงแล้วคิดในใจว่า เจ้านี่คิดสิ่งใดมิเคยผิดเพี้ยน !
ฟู่เสี่ยวกวนรับไปมองดู จากนั้นจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ชื่อเสียงของท่านแม่ทัพใหญ่นั้นข้าได้ยินมาช้านานแล้ว และก็นับถือยิ่ง ประเดี๋ยวข้าขออาบน้ำอาบท่าให้สะอาดเสียก่อนแล้วจะตามท่านไป”
เมื่อกล่าวจบ เขาก็กำชับให้ชุนซิ่วไปเรียกหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานกลับมา แล้วยกกล่องสีดำนั้นขึ้นชั้นบนไป
เขาอาบน้ำชำระร่างกายจริง ๆ จากนั้นสวมใส่ชุดคราบจักจั่นที่ขันทีเจี่ยมอบให้ เมื่อลองคิดดูอีกที เขาจึงได้เปิดกล่องสีดำนั้นออกมา แล้วหยิบปืนพกเหยี่ยวทะเลทรายใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ
ซูม่อมองด้วยท่าทางประหลาดใจ เขาอดมิได้ที่จะเอ่ยถามออกมาว่า “สิ่งนี้คืออะไรรึ ? ”
“เหอะๆ ! ศาสตราเทพ”
คำตอบนี้ทำให้ซูม่อประหลาดใจขึ้นไปอีก “ในราชวงศ์ก่อน จู๋ซีได้ทำศาสตราเทพทั้งเจ็ดขึ้น แต่มิมีสิ่งนี้อยู่ มันคืออาวุธใด ?”
ฟู่เสี่ยวกวนปิดกล่องสีดำลง แล้วยื่นไปให้ซูม่ออย่างระมัดระวัง
“ศาสตราเทพของข้านี้ จู๋ซีเป็นผู้ทำขึ้นมาเช่นกัน !”
เมื่อซูม่อได้ยินดังนั้น เขาก็เอามือทั้งสองกอดกล่องไว้แน่น สีหน้าเคร่งขรึม เขาอยากจะรู้นักว่าจู๋ซีเก่งกาจเพียงใด ?
เขาได้ฝึกฝนช่างฝีมือระดับเทพขึ้นมา ซึ่งมีฝีมือดียิ่ง บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนนำของสิ่งนี้มาให้ข้าดูแล…สายตาของเขามั่นคง “เจ้าวางใจได้ หากเพียงข้ายังคงมีลมหายใจ รับรองว่าอาวุธนี้จะมิหายไปไหน !”
เมื่อกล่าวจบเขาก็นำกล่องสีดำนี้สะพายขึ้นบ่า กล่องนั้นมิกว้างเท่ากับฉินของแม่นางซูซู แต่ยาวเท่า ๆ กัน ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มขึ้นแล้วตบที่บ่าของซูม่อ “หล่อเหลาเสียทีเดียว !”
ซูม่อมิได้ยิ้มด้วยกับเขา ศาสตราเทพเชียว !
เป็นอาวุธของยุทธภพที่ล้ำค่าในโลก !
แม้ข้าจะมิรู้ว่าศาสตราเทพนี้มันใช้เยี่ยงไร แต่ก็เคยได้แบกมันมาก่อน เท่านี้ก็เป็นบุญยิ่งนักแล้ว !
ฟู่เสี่ยวกวนรอแม่นางต่งชูหลานและเวิ่นหวิน เมื่อเรียบร้อยแล้วจึงได้ออกเดินทางพร้อมกัน พวกเขานั่งรถม้าของหยูเวิ่นหวิน และตามโต้วเทามุ่งหน้าไปยังจวนท่านแม่ทัพ
บนรถม้า ฟู่เสี่ยวกวนมองดูหยูเวิ่นหวินแล้วกล่าวว่า “เจ้ารู้เรื่องเกี่ยวกับแม่ทัพผู้นี้มากน้อยเพียงใด ? ”
หยูเวิ่นหวินเลิกคิ้วแล้วโบกมือ ในมือนางถือดอกไม้ป่าเอาไว้ช่อหนึ่ง กล่าวว่า “เต๋อชินอ๋องคือเสด็จลุงใหญ่ ข้ายังมิเคยพบหน้าเขามาก่อน แต่เคยได้ยินเสด็จแม่กล่าวถึงว่า เขาผู้นี้มิธรรมดา มีความสามารถด้านการต่อสู้อีกทั้งชำนาญการทหาร ในราชวงศ์หยูหาผู้ที่เทียบกับเขาได้ยากยิ่ง แต่ทว่า…”
“แต่ว่าอะไร ?”
“แต่เสด็จแม่กล่าวว่า แท้จริงแล้วมิว่าด้านการต่อสู้หรือนโยบายการทหาร หยูชุนชิวก็ด้อยกว่าเผิงยวี๋เยี่ยนภรรยาของเขามาก”
ฟู่เสี่ยวกวนให้ความสนใจขึ้นมาทันใด และคิดว่าแม่ทัพเผิงที่ได้แต่งตั้งเป็นเจิ้นกั๋วกง คงจะนำพาความภาคภูมิใจแก่ตระกูลยิ่งแต่ตนอยู่ในเมืองหลวงก็น้อยนักที่จะได้ยินเรื่องราวของกั๋วกงท่านนี้อีกทั้งตระกูลของเขาด้วย ดังนั้นจึงได้เอ่ยว่า “จงเล่าเรื่องของเผิงกั๋วกงให้ข้าฟังสักหน่อยเถิด”
“ระหว่างปีไท่เหอ เสด็จปู่มีขุนนางฝ่ายบุ๋นคือเยี่ยนหวินชวน ขุนนางฝ่ายบู้คือเผิงถู นั่นคือเหตุผลที่ไท่เหอรุ่งเรือง รัชสมัยไท่เหอปีที่ 45 ฤดูใบไม้ร่วงนั้น เสด็จปู่ได้แต่งตั้งท่านแม่ทัพเผิงให้เป็นเจิ้นกั๋วกง เขาได้สร้างจวนขึ้น ณ เมืองซินโจวทางเหนือ แต่ทว่าร่างกายของเขากลับทรุดลง อีกทั้ง…เขามีเพียงบุตรสาว นั่นก็คือภรรยาของหยูชุนชิว เผิงยวี๋เยี่ยน”
…ท่านแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่ มิมีบุตรชาย !
“ท่านแม่ทัพเผิงมีภรรยาเพียงคนเดียวทั้งชีวิต มิใช่บุตรสาวของตระกูลใหญ่ใด แต่เป็น…ชาวฮวง”
สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงเข้าไปใหญ่ เขานึกในใจว่าท่านแม่ทัพผู้นี้ช่างมีรสนิยมแปลกเสียจริง คาดว่าคงจะมีเหตุผลบางอย่างซ่อนอยู่
จริงดังนั้น หยูเวิ่นหวินกล่าวต่อไปว่า “ในรัชสมัยไท่เหอปีที่ 13 แม่ทัพเผิงอายุ 30 ปี เขาหลงใหลในการต่อสู้และการทหารอย่างยิ่ง คล้ายกับมิประสงค์จะแต่งงาน ในปีนั้นเขานำกองทหารฝ่ายเหนือไปยังด่านเยี่ยนซานเพื่อกวาดล้างชาวฮวง ใช้เวลาอยู่ 3 ปีจึงกลับมา ข้างกายเขามีสตรีนางหนึ่ง สตรีนางนี้ก็หาใช่ชนชั้นสูงของชาวฮวง แต่เป็นเพียงหญิงธรรมดาเท่านั้น รูปร่างหน้าตาก็ธรรมดาเช่นกัน แต่เขากลับทูลขอให้เสด็จปู่พระราชทานให้เขาแต่งงานกับสตรีนางนี้…”
“ได้ยินมาว่าเสด็จปู่ครุ่นคิดอยู่เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ท้ายที่สุดก็มิอาจคัดค้านความมุ่งมั่นของแม่ทัพเผิงได้ จึงได้รับปากว่าจะให้เขาได้แต่งงานกัน แต่มิได้ประทานตำแหน่งเก้ามิ่งแก่ฮูหยินเผิงผู้นี้”
“แม่ทัพเผิงเองก็มิได้ใส่ใจ หลังจากทั้งสองแต่งงานกันแล้ว ในรัชสมัยไท่เหอปีที่ 33 ก็ให้กำเนิดบุตรสาว และมิได้ให้กำเนิดบุตรหรือบุตรสาวอีก เสด็จปู่ทรงมีพระราชโองการให้เขารับอนุภรรยาอยู่หลายครา แต่กลับถูกเขาปฏิเสธอย่างหนักแน่น เดิมทีตำแหน่งเจิ้นกั๋วกงนั้นควรจะประทานให้นานแล้ว แต่ทว่าด้วยเรื่องนี้ เสด็จปู่จึงโมโห ฝ่ายแม่ทัพเผิงก็มิได้มีท่าทีอ่อนข้อ กระทั่งในรัชสมัยไท่เหอปีที่ 45 ฤดูใบไม้ร่วง แม่ทัพเผิงใกล้จะสิ้นลม ได้ลาออกจากตำแหน่งแม่ทัพแห่งกองทัพเหนือ ท้ายที่สุดเสด็จปู่ก็มิได้ทอดทิ้งเขา และแต่งตั้งให้เป็นเจิ้นกั๋วกง อีกทั้งประทานตำแหน่งเก้ามิ่งให้แก่ภรรยาของเขาด้วย…บัดนี้ ภรรยาของเขาก็ได้จากไปแล้วเช่นกัน เป็นเวลา 2 ปีแล้ว”
“รัชสมัยไท่เหอปีที่ 46 ฤดูหนาว แม่ทัพเผิงจากไปด้วยโรคร้าย อายุ 66 ปี ก่อนที่เขาจะสิ้นใจได้ยกบุตรสาวเพียงคนเดียวของเขาให้แก่หยูชุนชิว ในปีนั้นหยูชุนชิวอายุ 21 ปี และเผิงยวี๋เยี่ยนอายุได้ 18 ปี”
“เนื่องจากรัชสมัยไท่เหอปีที่ 45 หยูชุนชิวเดินทางออกจากสำนักศึกษาจี้เซี่ยมายังจวนเจิ้นกั๋วกง แล้วเข้าไปขอให้ท่านแม่ทัพเผิงสอนวรยุทธ์ให้แก่เขา สุดท้ายท่านแม่ทัพเผิงจึงยกเผิงยวี๋เยี่ยนแก่เขาและเกิดเป็นพรหมลิขิตนี้”
“ดังนั้นบัดนี้จวนเจิ้นกั๋วกงยังอยู่ที่เดิม แต่ทว่ารกร้างไร้ผู้คนอาศัย เป็นเพียงสัญลักษณ์ว่าทหารกองทัพเหนือเคยรุ่งเรืองมากเท่านั้น”
ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานต่างตั้งใจฟัง จึงได้รู้ว่าเหตุใดที่จวนเจิ้นกั๋วกงจึงรกร้าง มิเพียงแต่เสียดาย แต่ก็ชื่นชมมากเช่นกัน
สำหรับฟู่เสี่ยวกวนนั้น แม่ทัพเผิงผู้นี้ดูสูงส่งขึ้นมาทันใด เขาช่างเป็นผู้รักเดียวใจเดียว
ต่งชูหลานเองก็คิดในใจว่า เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แต่กลับมีภรรยาเพียงผู้เดียว แม้จะมิมีผู้สืบทอดตระกูล แต่ก็คัดค้านการรับอนุภรรยา แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวน…บัดนี้มีถึง 3 คนแล้ว !
หยูเวิ่นหวินนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นเอ่ยว่า “ได้ยินมาว่าบุตรสาวของนางก็มิได้หน้าตาสะสวย แต่ทั้งสองก็รักใคร่กันเป็นดั่งมิตรและอาจารย์ที่ดีต่อกัน ทั้งสองให้ความเคารพซึ่งกันและกัน นอกจากนี้…ดูเหมือนหยูชุนชิวก็ได้ดำเนินชีวิตตามท่านแม่ทัพเผิง เขามีภรรยาเพียงคนเดียว แต่ที่แตกต่างกันคือมีบุตรชาย 2 คนและบุตรสาว 2 คน”
ฟู่เสี่ยวกวนนำมือลูบจมูก หัวเราะแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้น เผิงยวี๋เยี่ยนจึงจะเป็นอาจารย์ที่แท้จริงของแม่ทัพใหญ่หยูเยี่ยงนั้นรึ ?”
“จะกล่าวเช่นนั้นก็มิถูก ทั้งสองแต่งงานกันก่อนที่แม่ทัพเผิงจะจากไป หลังจากที่แม่ทัพเผิงจากไปแล้ว เพื่อทำตามความปรารถนาสุดท้ายของเขา ทั้งสองคนจึงได้ไว้ทุกข์เป็นเวลาครึ่งปี จากนั้นก็เดินทางไปทั่วทิศด้วยกัน เยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ และเข้าเยี่ยมนายพลที่มีชื่อเสียงมากมาย ดังนั้นความรู้ของหยูชุนชิวจึงค่อนข้างผสมผสานกัน แต่เขาก็ได้รวบรวมทุกสิ่งไว้ในหนังสือ ‘นโยบายสงคราม’ ในภาคผนวก”
จากการสนทนาเบื้องต้น จึงทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้เรื่องของสองสามีภรรยานั้นโดยสังเขป เขาจึงได้มั่นใจว่าทหารกองทัพใต้มิมีภัยต่อเขาอย่างแน่นอน
เผิงถูเป็นแม่ทัพที่ซื่อตรง และเนื่องจากสิ่งนี้ นามของเขาจึงได้เลื่องลือ
หยูชุนชิวเป็นบุตรเขยของเผิงถู แม้เขาจะเกิดในตระกูลของฮ่องเต้ แต่เขาก็เข้าในใจในเหตุผลนี้ดี
ต่อให้เขามิเข้าใจ เผิงยวี๋เยี่ยนภรรยาของเขา ก็จะทำให้เขาเข้าใจในที่สุด
รถม้าวิ่งเข้าสู่จวนแม่ทัพใหญ่
ฟู่เสี่ยวกวนเปิดม่านออกดู แลเห็นธงใหญ่โบกสะบัดพัดปลิวท่ามกลางละอองฝนในฤดูใบไม้ผลิ !
ตอนที่ 259 ข้าสนใจฟู่เสี่ยวกวนมากกว่า
ผู้ที่กำลังประมือกันอยู่คือหยูชุนชิวแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพชายแดนใต้และเผิงยวี๋เยี่ยนภรรยาเพียงหนึ่งเดียวของเขา !
ทั้งสองรับผ้าร้อนมาซับใบหน้า หลังจากนั้นก็นั่งลงที่โต๊ะน้ำชาที่อยู่ด้านข้าง สาวใช้ถอยเท้าไป หยูชุนชิวที่ไว้หนวดสั้นคิ้วดกดำขมวดนิ่วก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “องค์ชายใหญ่ไปเป็นแม่ทัพทางตะวันออก องค์ชายห้ามิปรารถนาในตำแหน่งองค์รัชทายาท เยี่ยงนั้นก็เหลือเพียงองค์ชายสี่”
ราวกับเป็นเรื่องไร้สาระ แต่เผิงยวี๋เยี่ยนกลับยิ้มบาง ๆ “และพระสนมซั่งในปัจจุบันนี้ก็ได้ขึ้นเป็นฮองเฮาแล้ว”
“ความหมายของเจ้าคือ… ?”
“เรื่องทางโลกยากจะคาดเดา ผู้ใดจะรู้กันว่าสุดท้ายแล้วฮองเฮาซั่งกำลังคิดสิ่งใดอยู่ ?”
ในขณะที่กล่าวนางก็เงยหน้าขึ้นมา บนหน้าผากนั้นมีรอยแผลสีเข้ม ต่อให้ไว้หน้าม้าลงมาก็มิอาจปกปิดได้ ดวงตาของนางอาจไม่โต แต่เป็นประกายยิ่ง
นางมองหยูชุนชิว และกล่าวอีกว่า “ท่านลองคิดดู หากองค์ชายสี่ได้เป็นองค์รัชทายาทจริง ๆ เยี่ยงนั้นฐานะของพระสนมอันก็น่าจะสูงขึ้นมิใช่หรือ แต่เหตุอันใดหลังจากที่ไทเฮาสวรรคตไป ฝ่าบาทกลับพระราชทานให้พระสนมซั่งขึ้นเป็นฮองเฮากัน”
“เนื่องจากยังมิได้แต่งตั้งองค์รัชทายาท เนื่องจากวังหลังไร้ผู้ปกครอง เหตุอันใดฝ่าบาทจึงมิรอให้แต่งตั้งองค์รัชทายาทได้เสียก่อน แล้วค่อยแต่งตั้งพระสนมเป็นฮองเฮากัน”
“นอกจากนั้นคือเรื่องที่องค์ชายใหญ่ได้กระทำลงไป ณ สุสานจักรพรรดิ หม่อมฉันยังคงยึดมั่นในจุดยืนของหม่อมฉัน เขาได้ลงมือกระทำเรื่องนั้นลงไปอย่างแท้จริง แต่เพราะความเมตตาของฝ่าบาท ในวันนี้จึงได้คำแถลงเยี่ยงนั้น”
“องค์ชายใหญ่มิสามารถขึ้นเป็นองค์รัชทายาทได้อีก แต่องค์ชายห้าเล่าเพคะ มีฮองเฮาซั่งคอยปกครองวังหลัง แต่พระสนมอันก็มีตระกูลเซวี๋ยคอยหนุนหลัง ด้วยฝีพระหัตถ์ของฮองเฮาซั่ง เกรงว่าจะมิสามารถแม้แต่ก่อให้เกิดคลื่นใด ๆ ขึ้นมาได้”
หยูชุนชิวตั้งใจฟัง ครุ่นคิดตาม และเอ่ยถามอีกว่า “ตามที่เจ้าได้เห็น จดหมายสองฉบับนั้นขององค์ชายสี่และเสด็จอาหก… ? ”
“หม่อมฉันเผามันไปแล้ว ! แม้แต่คนส่งจดหมายทั้งสอง ข้าก็สังหารไปแล้ว !”
หยูชุนชิวตกตะลึง เผิงยวี๋เยี่ยนกลับหัวเราะขึ้นมา “พระสวามี ฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นมิใช่คนที่พวกเราจะต่อกรได้อย่างง่ายดาย”
“ท่านลองครุ่นคิดถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของฟู่เสี่ยวกวนดูเถิด ดูเหมือนจะไร้สาระ ทุกเรื่องราวกับว่าเป็นเรื่องบังเอิญมากมาย แท้จริงแล้วมิใช่เยี่ยงนั้น”
“ผู้อื่นต่างก็คิดว่าเขาคือหมากในมือของฝ่าบาท แต่ในสายตาของข้า เขากลับเป็นดาบในมือของฝ่าบาท ดาบของเขาที่สะบั้นฮุ่ยชินอ๋อง ทั้งยังสะบั้นตระกูลเฟ่ยและตระกูลชือ เบื้องหน้าจะมองเห็นว่าตระกูลเฟ่ยและตระกูลชือคือเหยื่อตกปลาขององค์ชายใหญ่ แต่ความจริงแล้วมิใช่เยี่ยงนั้น”
“เหตุที่ข้าคิดว่าเรื่องขององค์ชายใหญ่ในสุสานจักรพรรดิเป็นเรื่องจริงนั้น เหตุผลเพียงหนึ่งเดียวก็คือเยี่ยนเป่ยซีที่ส่งเสริมให้องค์ชายใหญ่ไปทางตะวันออก องค์ชายใหญ่อยากไปทางตะวันออก แต่มิใช่ในตอนนี้ ก่อนที่พระองค์จะจากเมืองหลวงไปต้องได้รับตำแหน่งองค์รัชทายาทเสียก่อน แต่ฝ่าบาทกลับมิมีพระประสงค์จะแต่งตั้งองค์รัชทายาท พระองค์เข้าใจดีว่าหลังจากที่ออกจากเมืองหลวงไป พระองค์ก็จะยากที่จะควบคุมสถานการณ์ในเมืองหลวง ดังนั้น เขาจึงทำได้เพียงก่อกบฏ”
“แต่ตระกูลเฟ่ยและตระกูลชือกลับถูกบีบบังคับ พวกเขาถูกฟู่เสี่ยวกวนบีบคั้นจนต้องไปยืนข้างองค์ชายใหญ่ ท่านผู้อาวุโสเฟ่ยและท่านผู้อาวุโสชือต่างก็เป็นคนที่ฉลาด แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับตบใบหน้าของทั้งสอง มันมิถึงตาย แต่กลับสามารถทำให้พวกเขาร้อนรน ดังนั้นเมื่อสูญเสียความเยือกเย็น และเมื่อรวมกับเดิมทีที่คิดว่าองค์ชายใหญ่คือกลยุทธ์ที่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นพวกเขาจึงร่วมมือกันก่อความโกลาหล และต้องลงเอยเยี่ยงนี้ดั่งในวันนี้”
เผิงยวี๋เยี่ยนชะงักไปชั่วครู่ จ้องมองหยูชุนชิวและกล่าวอย่างจริงจัง “พระสวามี สังหารเพียงฟู่เสี่ยวกวนนั้นมิยาก ที่ยากคือเรื่องที่ตามมาหลังการสังหาร พวกเรามีเพียงจะถูกเนรเทศ แต่ซีผิงจะยังคงอยู่ในเมืองหลวง นั่นเป็นการผูกมัดท่านโดยฝ่าบาท ในเรื่องนี้ท่านต้องเชื่อข้า เกรงว่าในพระทัยของฝ่าบาท น้ำหนักของฟู่เสี่ยวกวนจะมากกว่าจวนแม่ทัพใหญ่ของพวกเราเสียแล้ว”
หยูชุนชิวยากที่จะเชื่อลง คิดว่าไม่ว่าเยี่ยงไรก็ตามตนเองก็คือพระญาติของฮ่องเต้ แต่ฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นก็เป็นเพียงเศรษฐีที่ดินผู้หนึ่ง นอกจากนี้ตนเองและฮุ่ยชินอ๋องก็มิเหมือนกัน ความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงของตนคือประจำการทางใต้ ก็เกินกว่าที่นักวรรณกรรมผู้หนึ่งจะมาเทียบเคียงได้
“ทราบว่าท่านมิเชื่อ ท่านลองครุ่นคิดถึงข่าวลือขององค์หญิงเก้าและฟู่เสี่ยวกวนอีกครา หากเป็นเท็จ เหตุใดองค์หญิงเก้าจึงได้ร่วมเดินทางไปราชวงศ์อู่กับฟู่เสี่ยวกวน ? ”
“เยี่ยงนั้นก็มีเพียงแค่ว่าเขาเป็นพระราชบุตรเขย แต่ข่าวลือระหว่างเขากับต่งชูหลานก็ถูกกำหนดไว้แล้วเช่นกัน”
“เจ้าผิดแล้ว ข้อกำหนดสามารถแก้ไขได้ เฉกเช่นเดียวกับที่ฮุ่ยชินอ๋องสามารถอยู่ในเมืองหลวงได้”
“จะกล่าวว่า…ต้องเดินทางไปเยี่ยมเยียนองค์หญิงเก้าเสียหน่อยรึ ? ”
“ไม่ ข้าสนใจฟู่เสี่ยวกวนมากกว่า ! ”
…..
…..
ฝนฤดูใบไม้ผลิโปรยลงมา เติมความชุ่มชื้นให้กับสีเขียวของพื้นที่ราบชังซี
ขบวนรถม้าได้มาถึงศาลาพักม้าชังซีในยามบ่าย ถือว่ามาถึงเร็วยิ่งท้องฟ้ายังคงส่องสว่างอยู่ แต่ก็มิสามารถเดินทางไปต่อได้ ด้วยเหตุที่ว่าศาลาต่อไปอยู่ห่างไกลไปกว่าร้อยลี้ มีชื่อเรียกว่าเมืองเปียนเฉิง
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานถือร่มลงยืนท่ามกลางสายฝน ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ถือร่ม เขามองไปยังทุ่งหญ้าเขียวขจีที่อยู่เบื้องหน้า และค่ายทหารชายแดนตะวันออกอันเลือนรางที่สามารถเห็นได้ในระยะไกล พลางคิดไปว่าสถานที่นี้สามารถทำสงครามคราใหญ่ได้เลย แต่มิใช่สถานที่ที่ดีสำหรับการป้องกันนัก
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานเดินเข้าไปในทุ่งหญ้า ด้วยอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความสุข ราวกับนกที่โผบินออกมาจากกรง
ใจกลางทุ่งหญ้านั้นมีดอกไม้บานอยู่มากมาย ถูกน้ำฝนชำระล้างสวยสดยิ่งนัก
เหล่าบัณฑิตยังคงติดอยู่ในวังวนกับคำถามของฟู่เสี่ยวกวน เมื่อเผชิญกับสถานการณ์เยี่ยงนั้นก็คาดมิถึงว่าจะมิมีผู้ใดให้ความสนใจกับการประพันธ์บทกวี
แท้จริงแล้วพวกเขาฉลาดยิ่งนัก ต่างเข้าใจตัวตนในปัจจุบันของฟู่เสี่ยวกวน และเข้าใจว่าหากตนเองสามารถตอบคำถามนั้นด้วยคำตอบที่ฟู่เสี่ยวกวนพึงพอใจ ก็จะสามารถทำให้ฟู่เสี่ยวกวนจดจำนามของตนเองได้ ซึ่งนั่นคือความหวังในอนาคตของพวกเขา
ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่เพียงเจี้ยนอี้ต้าฟูและไท่จงต้าฟูของเสมียนกลาง เขายังเป็นถึงอาจารย์รับเชิญให้กับสำนักศึกษาจี้เซี่ย !
ราวกับตัวฟู่เสี่ยวกวนนั้นมิตระหนักถึง ในยามนี้เขารู้สึกว่าละอองฝนที่ตกกระทบกับใบหน้านั้นช่างเย็นสบายยิ่งนัก อากาศที่บริสุทธิ์นำพากลิ่นหญ้าเขียวขจีและกลิ่นดินลอยมาจาง ๆ รู้สึกสบายอย่างบอกมิถูก
แน่นอนว่า ยังรวมไปถึงสตรีที่ถือร่มอยู่ในทุ่งหญ้าและกำลังชมดอกไม้ทั้งสองคน ซึ่งนั่นทำให้เขาสบายใจเป็นอย่างมาก
เขามายังโลกนี้ได้หนึ่งปีเต็มแล้ว !
มิเลว ทุกอย่างสุขสบายดี
ท้ายที่สุดตัวเขาก็ได้หลอมรวมไปกับโลกนี้ เหมือนว่าจะได้ทำสิ่งที่เล็กน้อยลงไปแต่กลับส่งผลในวงกว้าง
สิ่งเหล่านั้นมิได้สำคัญอันใด ที่สำคัญคือในโลกนี้ ท้ายที่สุดตนเองก็ได้มีความรัก และเป็นที่รักของเหล่าสตรี !
ฝนฤดูใบไม้ผลิสีเขียวที่เกิดใหม่ การเดินทางคราใหม่ของชีวิต
อนาคตจะเป็นเช่นไร ?
แต่ก็หวังว่าจะสุขสบายดังเช่นทุกวันนี้
พวกนางมีความสุข ข้าก็มีความสุข
เขาเดินเข้าไปหาสตรีทั้งสอง ถึงได้พบว่าพวกนางกำลังนั่งย่อลงกับพื้น มองผีเสื้อตัวหนึ่งท่ามกลางดอกไม้ในแรกฤดูใบไม้ผลิ
ผีเสื้อตัวนั้นกระพือปีกและโผบิน ตรงไปยังช่อดอกไม้อีกดอก สตรีทั้งสองมีความสุข และหัวเราะคิกคัก ต่งชูหลานกล่าวว่า “น่าเสียดายที่มิเห็นดักแด้”
“ดักแด้มีอะไรน่ามองกัน ? ได้ยินมาว่าผีเสื้อนั้นเป็นการกลายตัวของหนอน…ชูหลาน เจ้าลองบอกข้าหน่อยเถิด ว่าเหตุใดหนอนที่อยู่บนพื้นจึงเปลี่ยนเป็นผีเสื้อที่สวยงามเช่นนี้ได้ ? ”
ต่งชูหลานเบะปาก “ข้าจะไปรู้ได้เยี่ยงไร นี่คือความมหัศจรรย์ของโลก”
“โบราณกล่าวว่าทะลุรังไหมกลายเป็นผีเสื้อ นิพพานและเกิดใหม่ จึงได้สวยงามเช่นนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินเยี่ยงนั้นก็หัวเราะ จนสตรีทั้งสองลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจทันพลัน ต่งชูหลานกลับกลอกตามองบนใส่เขา หยูเวิ่นหวินจ้องมองเขา ราวกับรู้สึกว่าคำกล่าวเมื่อครู่ค่อนข้างจะไร้เดียงสา จนอดที่จะแสดงสีหน้าขัดเขินไม่ได้
ฟู่เสี่ยวกวนกลับหันหลังเดินออกไป และทิ้งไว้เพียงหนึ่งประโยค “ด้านนอกละอองดักแด้ เมืองแห่งน้ำและเมฆาในฝันของผีเสื้อ”
หมายความว่าเยี่ยงไร ?
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินหันมองหน้ากัน ด้วยความไม่เข้าใจ
ตอนที่ 258 ข้าสนใจภรรยาของเขา
ฟู่เสี่ยวกวนพยุงชายชราผู้นั้นลุกขึ้น ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “แท้จริงข้ารู้ดีว่าคำพูดนี้ไร้ประโยชน์ เนื่องจากวิธีการทำนาล้าหลังยิ่ง แต่ท่านอย่าได้กังวลไป ทุกสิ่งอย่างจะดีขึ้นอย่างแน่นอน”
ชายชราฝืนยิ้มออกมา เขาได้แต่นึกในใจว่าหากจะเพิ่มภาษีเป็นสองเท่า แล้วจะดำรงชีวิตต่อไปได้เยี่ยงไร ?
ฟู่เสี่ยวกวนบอกลาชายชรา แล้วพวกเขาก็กลับไปยังค่าย ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เอ่ยถามฉินเหวินเจ๋อว่า “ที่แห่งนี้อยู่ในความปกครองของเขตใด ? ”
“อยู่ในความดูแลของอำเภอหลิงสุ่ย เซิงโจว เจียงหนานตงเต้า”
“อืม…” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าคล้ายกับกำลังคิดบางสิ่ง
“เจ้าทำนาเป็นด้วยรึ ? ” ซั่งกวนเหมี่ยวเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“แน่นอน ที่บ้านข้าเป็นพ่อค้าที่ดิน หากมิมีความรู้ด้านการทำนา คงจะถูกผู้เช่านาหลอกเอาเสียง่าย ๆ ”
พวกเขาพากันตกตะลึง แต่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยต่อว่า “แท้จริงไม่ว่าเรื่องใดล้วนมีหลักการเดียวกัน ต่อจากนี้หากพวกเจ้าเข้ารับราชการเป็นขุนนาง แต่หากมิเข้าใจภูมิประเทศและผู้คนในเขตที่ปกครอง มิรู้ถึงข้อดีข้อเสียของเขตที่ปกครอง ก็จะถูกขุนนางผู้น้อยหลอกลวงได้ ดังนั้นหน้าที่ขุนนางทั้งหลาย มิใช่เพียงนั่งอยู่ในสำนักงาน แต่จะต้องลงไปยังพื้นที่ ไปตรวจดูตามป่าเขาและผืนนา จึงจะได้รับรู้ถึงปัญหาของชาวบ้านที่เดือดร้อนกันอย่างแท้จริง เช่นนี้จึงจะเข้าใจว่าควรใช้นโยบายใดในการปกครอง จึงจะทำให้ทรัพยากรที่มีอยู่ในมือเกิดประโยชน์มากที่สุด”
“ผู้เป็นขุนนางคือผู้ที่ต้องนำพาซึ่งความสุขมายังประชาชน พวกเจ้าจงจำให้ดี การเพิ่มภาษีเป็นการกระทำของขุนนางที่โง่เขลาและไร้ประโยชน์ที่สุด สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำก็คือ ใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นให้เกิดประโยชน์สูงสุด ให้การค้าเจริญรุ่งเรือง เพียงแค่เศรษฐกิจรุ่งเรืองจึงจะสามารถจัดการกับความยากไร้ของประชาชนได้ และจึงจะสามารถแก้ไขปัญหาของประเทศได้”
บรรดาผู้ศึกษาทั้งหลายพากันครุ่นคิด และเห็นตรงตามนั้น พวกเขามองไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้วรู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้มองการณ์ไกลเสียทีเดียว
……
……
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนสองวันที่ยี่สิบห้า
ขบวนรถออกมาจากเมืองจินหลิงได้ 15 วันแล้ว
พวกเขามุ่งหน้าตรงไปทางทิศใต้ ฤดูใบไม้ผลิกำลังเบ่งบาน สองวันก่อนได้มีแสงแดดจากดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมา ทำให้บรรดาพืชสีเขียวและต้นเห็ดอีกทั้งดอกไม้ป่ากำลังผุดขึ้น
ตลอดทางมานี้ ทุกครั้งที่หยุดพักผ่อน ฟู่เสี่ยวกวนมักจะเอ่ยให้เห็นถึงความสำคัญของเศรษฐกิจให้แก่พวกเขาฟัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแนวคิดใหม่ของคำที่ว่าคุณค่าอื่นใดหรือจะเทียบการศึกษาหาความรู้ด้วยการเรียนหนังสือได้
“ประโยคนี้ พวกเจ้าเข้าใจมิกระจ่าง ข้ามิได้ตำหนิคนโบร่ำโบราณ สิ่งที่พวกเขากล่าวเอาไว้มิผิดเป็นแน่ แต่คนที่ผิดคือผู้ที่ฟังแล้วมิเข้าใจให้กระจ่าง”
ฉินเหวินเจ๋อและคนอื่น ๆ กำลังพากันงุนงง ฟู่เสี่ยวกวนก็ค่อย ๆ อธิบายต่อไปว่า
“ก่อนอื่น การร่ำเรียนหนังสือทำให้พวกเจ้าได้มีความรู้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นพื้นฐานของความก้าวหน้า หากไร้หนังสือ ไร้ซึ่งผู้ร่ำเรียน เช่นนั้นมนุษย์คงจะยังหยุดอยู่ในยุคหิน เมื่อมนุษย์ได้คิดค้นประดิษฐ์ตัวอักษรขึ้นมา จึงได้ก้าวเข้าสู่อารยธรรม พวกเราจึงมีหนังสือที่บันทึกภูมิปัญญาของคนสมัยก่อนไว้ หนังสือเหล่านี้ทำให้พวกเราได้รับอารยธรรมที่สืบทอดมาแต่โบราณ เช่น การจุดไฟ การทำนา การทอผ้า การหล่อเหล็ก เป็นต้น สังคมจึงได้พัฒนามาจนถึงตอนนี้ พวกเจ้าลองคิดดูเถิดว่า บรรดาขุนนางเป็นผู้ส่งเสริมการพัฒนาสังคมหรือไม่ ? ”
“บัดนี้ข้าจะยังมิให้คำตอบแก่พวกเจ้า จงนำกลับไปคิดทบทวนด้วยตนเอง หลังจากไปถึงราชวงศ์อู่แล้ว พวกเจ้าจงเขียนคำตอบออกมาแล้วส่งให้ข้า”
ประโยคเมื่อครู่ทำให้พวกเขาพากันครุ่นคิด และทำให้พวกเขาได้รู้ว่าแท้จริงขุนนางมิได้มีประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมเท่าใดนัก
ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่ทำให้สังคมพัฒนา ทำให้ประเทศแข็งแกร่งมั่งคั่งคือสิ่งใด ?
หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนทิ้งคำถามไว้แล้วเขาก็มิได้ใส่ใจมันอีก บัดนี้เขากำลังนั่งอยู่บนรถม้าของซูเจวี๋ย
ในรถม้านี้มีทั้งสิ้น 3 คน อีกคนหนึ่งคือชายวัยกลางคนแต่งตัวคล้ายกับพ่อค้า แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยพบเขามาก่อน ซูเจวี๋ยก็มิได้แนะนำ
“นี่คือข้อมูลที่เกี่ยวข้องของหยูชุนชิว ท่านแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพตะวันออก”
ฟู่เสี่ยวกวนรับมาดูอย่างละเอียด หว่างคิ้วของเขาค่อย ๆ ชิดกันเข้ามา เขาเอื้อมมือไปเปิดม่านหน้าต่าง ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองเปียนเฉิงถึง 200 ลี้ แต่ทว่าฝนได้เทลงมาแล้ว
ขบวนรถม้ากำลังดำเนินอยู่ ณ พื้นที่ราบชังซี ในค่ำคืนนี้พวกเขาจะพักกันที่ศาลาพักม้าชังซี ที่แห่งนี้อยู่ภายใต้การดูแลของกองทัพใต้ พวกเขาจะไปถึงเมืองเปียนเฉิงในคืนวันพรุ่งนี้
ข้อมูลบนรายงานนี้กล่าวว่า
“เต๋อชินอ๋องได้รับฉาว่าหยูหลินจวิน ปกครองอยู่ที่เซิงโจว มีบุตรชาย 3 คน ธิดา 2 คน ซึ่งซื่อจื่อนามว่าหยูชุนชิวได้รับหน้าที่เป็นแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพใต้ ในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 3 เดือนแปดวันที่แปด”
“หยูชุนชิวอายุ 36 ปี เข้าร่ำเรียน ณ สำนักศึกษาจี้เซี่ยในรัชสมัยไท่เหอปีที่ 44 – 45 เชี่ยวชาญศิลปะการต่อสู้ทั้งสิบแปดรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างการจัดทัพ นับแต่รัชสมัยไท่เหอปีที่ 46 ถึงรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 3 หยูชุนชิวเดินทางไปทั่วทิศ เข้าเยี่ยมผู้เชี่ยวชาญด้านกลยุทธ์ทางทหารของประเทศต่าง ๆ และรับใช้กองทัพชายแดนทางเหนือเป็นเวลา 3 ปี ในตำแหน่งที่ปรึกษา”
“ภรรยานามว่าเผิงยวี๋เยี่ยน เป็นหลานสาวของติ้งกั๋วกงนามว่าเผิงถู รูปร่างหน้าตาค่อนข้างธรรมดา แต่ได้ยินว่าฉลาดหลักแหลมยิ่ง อีกทั้งเข้าใจในยุทธศาสตร์ทางการทหารของเผิงกั๋วกง ชื่นชอบทำสงคราม สามารถใช้ตะบองฟาดหมาป่าที่หนักถึง 33 ชั่ง 8 เหลี่ยงได้”
“หยูชุนชิวมีบุตรชาย 2 คน ธิดา 1 คน บุตรชายคนโตนามว่าหยูซีผิง ได้รับพระราชทานให้อาศัยในเมืองจินหลิงในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 3 เดือนเจ็ด เขาผู้นี้มีนิสัยรักสงบมิอวดอ้าง มิออกจากจวนหากมิมีความจำเป็น อีกทั้งมิเคยพบเห็นเขามีความสัมพันธ์ใดกับขุนนางในเมืองจินหลิง”
ฟู่เสี่ยวกวนนำรายงานนี้เก็บใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อ แล้วจึงลุกขึ้นยืน กล่าวกับชายวัยกลางคนที่นั่งข้างซูเจวี๋ยว่า “คงต้องรบกวนเจ้าสืบเมืองเปียนเฉิงให้ข้าอีกสักหน่อย”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นยกมือกำขึ้นคารวะ แล้วเดินจากไป ซูเจวี๋ยขยับหมวกของเขาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าหยูชุนชิวมีสิ่งใดต้องสงสัยรึ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเผยอปากยิ้ม “เขามิได้มีปัญหาใด ค่ำคืนนี้คาดว่าจะได้พบกับท่านแม่ทัพใหญ่ผู้นี้”
“เขาจะมาเยี่ยมเจ้าที่ศาลาพักม้างั้นรึ ? ”
“หามิได้…” ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหัว “หากก่อนหน้าที่พวกเราจะเดินทางไปถึงศาลาพักม้าชังซีครึ่งชั่วยาม ยังมิได้รับจดหมายจากเขา ข้าก็จะเป็นผู้ส่งจดหมายไปให้เขาเอง”
“เพราะเหตุใด ?”
“ข้าสนใจภรรยาของเขา”
……
ณ ค่ายกองทัพทหารใต้
มีจำนวนค่ายมากมายในที่นี้ มองไปสุดลูกหูลูกตา และมีจวนหนึ่งที่โดดเด่นออกมา นั่นคือจวนของแม่ทัพใหญ่
บัดนี้สนามฝึกวรยุทธ์ในจวนแม่ทัพใหญ่ มีสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่ง ถือตะบองยาวประมาณ 5 ฟุตกวัดแกว่งไปมา
แสงที่ตกกระทบมานั้น ทำให้เกือบที่จะมองมิเห็นรูปร่างของตะบองนั้น
หยาดฝนในฤดูใบไม้ผลิโปรยลงมา แต่ก็มิอาจกระทบกับตะบองนั้นได้
จากนั้น ได้ปรากฏชายวัยกลางคนสวมชุดแน่นหนาเดินถือดาบเล่มยาวเข้ามายังสนามฝึก ดาบนั้นดูน่าเกรงขามคล้ายกับสามารถกลืนกินภูผาลำธารเข้าไปได้อย่างไรอย่างนั้น !
นางผู้นั้นตะโกนออกมาเสียงดังว่า “เจ้ามาได้จังหวะพอดี มารับตะบองจากข้าไปเสีย ! ”
เมื่อเห็นแสงสีเงินหมุนวน ตะบองในมือของนางก็เหวี่ยงออกไปกระทบกับดาบนั้น “เฉ้ง ! ! ! ” ดาบถูกตะบองปัดออกไปด้วยแรงมหาศาล และร่างของนางก็กระโดดขึ้นจากพื้น ตะบองหวดลงมาทางศีรษะของชายผู้นั้นท่ามกลางสายฝน
ชายวัยกลางคนตะโกนออกมาบ้างว่า “แม่นาง จงรับดาบข้าไปเสีย !”
ทั้งสองคนต่อสู้กันอยู่สิบกว่าที จนกระทั่งดอกท้อที่มุมกำแพงร่วงหล่นลงมาจึงได้หยุดลง
“แม่นางช่างเก่งกาจยิ่ง !”
“ท่านก็เช่นเองก็เช่นกัน !”
เมื่อทั้งสองกลับมายังห้องพักผ่อน บ่าวรับใช้ได้เดินถือแก้วชาและผ้าร้อนส่งมอบให้ “ท่านแม่ทัพ ฮูหยินเจ้าคะ เมื่อสักครู่ท่านเซวียนเดินทางมา กล่าวว่า…ขบวนเสด็จขององค์หญิงเก้ามิได้หยุดพักที่ชังถง นับจากวันเวลาแล้ว คาดว่าในค่ำคืนนี้จะพักที่ศาลาพักม้าชังซี”
ดึกดื่นมืดค่ำ ไฟในห้องของเยี่ยนเสี่ยวโหลว ณ จวนเยี่ยนยังคงสว่างโร่อยู่
ทะเบียนสมรสเล่มใหญ่ถูกเยี่ยนเสี่ยวโหลวจัดเก็บอย่างระมัดระวัง แต่นางกลับนั่งลงข้างโต๊ะอักษรและมองไปยังฟากฟ้าด้วยท่าทีเหม่อลอย
นึกย้อนกลับไปในอดีต นางได้รู้จักกับเขาจากความฝันในหอแดง ราวกับว่านางได้เห็นเขาในหนังสือเล่มนั้น
ย่อมเป็นต้นอวี๋ซู่ลู่ลมที่มีท่วงท่าสง่างามและโดดเด่น
หลังจากนั้นก็เกิดบทกวีทำนองเพลงสายน้ำขึ้นในค่ำคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่หลานถิงจี๋ คนผู้นั้นเริ่มมีตัวตนในใจของนางมากยิ่งขึ้น
คนแบบไหนกันที่จะเขียนหนังสือเช่นนั้น และยังเขียนบทกวีเยี่ยงนั้นออกมาได้อีก ?
หัวใจที่บังเกิดรักแรกของเด็กสาว ได้มอบไว้ให้กับเขาทั้งอย่างนั้น
หลังจากนั้นเขาก็ได้มายังเมืองหลวง ในที่สุดก็ได้พบกับเขา เป็นต้นอวี๋ซู่ที่ลู่ลมอย่างแท้จริง ในหัวของเขาเต็มไปด้วยกวีและตำราอย่างแท้จริง
ที่หอซื่อฟางเขาดื่มสุราและได้ประพันธ์ ‘คลื่นลมทราย ชูจอกเหล้าขอลมบูรพา’ ขึ้นมา นั่นเป็นคราแรกที่นางได้เห็นเขาประพันธ์ขึ้นมาอย่างคล่องแคล่วด้วยตนเอง และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่นางเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่านั่นคือคนที่นางอยากแต่งงานด้วย
หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ คุ้นชิน หลังจากนั้นเขาก็ดูห่างเหินกับนางไป
เยี่ยนเสี่ยวโหลวหัวเราะ ในใจนึกขอบคุณเหล่าคนร้ายในคืนเทศกาลโคมไฟเหล่านั้น หากมิใช่เข้าไปขวางทางดาบ น่ากลัวว่าเขาจะยังคงมิตอบรับนาง
กล่าวกันว่าคนร้ายเหล่านั้นยังคงถูกขังอยู่ในคุกของจวนผู้ว่าเขตจินหลิง พรุ่งนี้ควรจะนำอาหารไปเยี่ยมพวกเขาเสียหน่อย
และแล้วตอนนี้เรื่องราวก็ได้ยุติลง นางก็สบายใจ แต่กลับคิดถึงเขาที่ไปราชวงศ์อู่ขึ้นมาอีก ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อใด มันอดที่จะหดหู่ไม่ได้ รู้สึกว่าเวลานั้นผ่านไปเชื่องช้าเสียเหลือเกิน
นี่เป็นเพียงวันแรกที่เขาไปจากเมืองหลวงเสียด้วยซ้ำ !
เมืองกวนหยุนเมืองหลวงของราชวงศ์อู่ที่ห่างไกล ถึงแม้ค่ำคืนจะมืดมิด แต่ดวงดาราบนฟากฟ้ายังคงสว่างไสว
อู๋หลิงเอ๋อร์ยืนอยู่บนลานชมทิวทัศน์เพียงลำพัง ด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย
ดวงตาสุกสกาวมองไปยังดวงดาราบนท้องนภา คาดว่าเขาคงออกเดินทางมาแล้ว
ลอบคิดว่า พรุ่งนี้ข้าจะพากองกำลังทหารหญิงของข้าออกไปจากเมืองกวนหยุน และจะมุ่งหน้าไปทางเดินฉีซานเพื่อต้อนรับเขา !
เยียนเอ๋อร์กล่าวว่าเขาได้มีทะเบียนสมรสอยู่ 2 ฉบับแล้ว แต่นางมิได้ใส่ใจอันใด
อาศัยรูปโฉมที่งดงามและความสามารถของตน มีหรือจะสู้กับสตรีนามต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินมิได้ ?
เมื่อครุ่นคิดถึงข้อความในจดหมายของเยียนเอ๋อร์อีกครา เหมือนกับว่าเขามิได้ให้ความสนใจกับความงาม แต่เป็นความรู้สึก ใต้หล้านี้มิมีแมวที่ไม่กินปลา อู๋หลิงเอ๋อร์ย่อมมิเชื่อ
เพียงนางยกยิ้ม ดวงดาวบนฝากฟ้าก็จางแสงลงทันพลัน
…..
…..
ท้ายที่สุดแล้วมีสตรีมากน้อยเพียงใดที่อิจฉาความสามารถของฟู่เสี่ยวกวน นั่นก็มิสามารถนับได้
แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนก็มิเคยครุ่นคิดถึงปัญหานี้มาก่อน
ขบวนรถออกเดินทางต่อไป มิได้เกิดอุบัติเหตุอันใดในระหว่างการเดินทาง
บางครั้งฟู่เสี่ยวกวนก็ไปขึ้นคันเดียวกับซูม่อเพื่อพูดคุย และเพื่อปลอบประโลมจิตใจที่บอบช้ำของซูม่อ
บางครั้งก็ขึ้นไปคันเดียวกับซูเจวี๋ยเพื่อคุยธุระ แต่ส่วนมากเขาจะอยู่ในเกี้ยวของหยูเวิ่นหวิน
รถม้าคันนี้นั่งได้สบาย ทั้งยังมีสตรีที่งดงามถึง 2 คนให้เชยชม จิตใจย่อมมีความสุข ได้ขยับร่างกายเป็นครั้งคราว นั่นคือแสงฤดูใบไม้ผลิที่ไร้ที่สิ้นสุด
ยามบ่ายในสิบวันให้หลัง
ขบวนรถได้หยุดลงที่ท้องทุ่งที่หนึ่ง
เหล่าทหารเริ่มตั้งหม้อเพื่อทำอาหาร เหล่าบัณฑิตลงจากรถม้าและเริ่มขยับร่างกายที่แข็งเกร็ง
ฟู่เสี่ยวกวนกลับพาสตรีทั้งสองเดินไปทางท้องทุ่ง
ภายในทุ่งนามิมีหิมะ กลับเป็นผืนนาสีเหลืองอ่อน นี่คือข้าวสาลีฤดูหนาวที่เติบโตขึ้นมา
ชายชราผู้หนึ่งกำลังคุกเข่าอยู่ที่พื้น เมื่อได้ยินเสียงดังครึกครื้นขึ้นมาจากทางหลวง จึงหันหน้าไปมอง ก็พบกลับกลุ่มของฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังเดินเข้ามาใกล้
เขาประหลาดใจเล็กน้อย รีบลุกขึ้นยืน หรือว่าเจ้าของที่จะมาเก็บภาษีเช่าที่ดินของปีนี้ใหม่อีกกัน ?
ได้ยินมาว่าทางตะวันออกเริ่มทำศึกก่อสงครามกันแล้ว ทางแคว้นจึงต้องการขึ้นภาษี เฮ้อ…ข้าจะมีชีวิตผ่านวันไปได้เยี่ยงไรกัน !
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือให้กับชายชรา ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ชายชราจึงทิ้งยาสูบในมือและใช้รองเท้าฟางเหยียบขยี้ คิดถึงชุดของคนเหล่านี้ที่หรูหรา ก็เกรงว่าจะเป็นขุนนางจากในเมืองหลวง ในตอนที่กำลังจะคุกเข่าคำนับ กลับถูกฟู่เสี่ยวกวนจับเอาไว้
“ท่านผู้เฒ่า อย่ากระทำต่อพวกข้าเช่นนี้เลย”
หยูเวิ่นหวิน ต่งชูหลานและคนอื่นที่คุ้นชินกับฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิใส่ใจเรื่องนี้ เป็นฉินเหวินเจ๋อ ชางกวนเหมี่ยวและคนอื่น ๆ ที่ประหลาดใจ
พวกเขาไม่เข้าใจว่าฟู่เสี่ยวกวนมาที่ทุ่งนานี้ทำไม หรือแค่ประหลาดใจ จึงได้เดินเข้ามา
แต่การที่ชาวนาเยี่ยงนี้คำนับพวกเขาด้วยการโขกศีรษะในจิตสำนึกของพวกเขาเป็นเรื่องที่ปกติอยู่แล้ว แต่ในขณะนี้ฟู่เสี่ยวกวนกลับมอบบทเรียนที่แตกต่างออกไปให้กับพวกเขา
หนึ่งมือของฟู่เสี่ยวกวนประคองชายชราที่ดูตื่นตระหนก อีกหนึ่งมือก็ชี้ไปทางทุ่งนาผืนใหญ่ และเอ่ยถามเสียงแผ่ว “นี่คือพืชผลการเกษตรของตระกูลท่านหรือ ? ”
ชายชรารีบตอบกลับ “เรียน…คุณชาย นี่คือที่เพาะปลูกของครอบครัวข้า”
“ครอบครัวท่านมีกี่คน แล้วปลูกไปแล้วกี่ไร่กัน ? ”
อาจเพราะสีหน้าของฟู่เสี่ยวกวนดูมีอัธยาศัยดี และน้ำเสียงก็อ่อนโยนยิ่ง ชายชราที่มองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความกระวนกระวาย จึงผ่อนคลายลงเล็กน้อย และกล่าวว่า “ครอบครัวข้ามีกันอยู่ 6 คน มีที่ดิน 10 หมู่ และมีที่นาสามสิบกว่าหมู่”
“ตัดภาษีค่าเช่าไป สามารถเลี้ยงดูปากท้องได้พอหรือไม่ ? และยังพอมีเงินเหลือเก็บอยู่บ้างหรือไม่ ? ”
“นี่มัน…” ชายชราค่อนข้างสับสน ด้วยมิทราบตัวตนของคนกลุ่มนี้ เขาเงียบไปชั่วครู่ แล้วจึงส่ายหน้า
หมายความว่ามิพอ ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวดเล็กน้อย คิดไปถึงชาวบ้านในหมู่บ้านเสี้ยชุนที่ทำนาเพียงแค่นี้ก็ยังพอมีกิน หรือว่าภาษีเช่าที่ดินนี่จะสูงกัน
เขาไม่ได้ไปถามโดยละเอียด เพราะถามชายชราผู้นี้ไปก็คงไม่กล้าตอบ
เขาคุกเข่าลงกับพื้น ยื่นมือไปหมุนต้นกล้าข้าวสาลีอยู่ชั่วครู่ “ปีนี้เป็นปีที่อุดมสมบูรณ์ ท่านผู้เฒ่า การเก็บเกี่ยวข้าวสาลีในปีนี้น่าจะดีขึ้นอีกเล็กน้อย”
ชายชราเองก็คุกเข่าลงกับพื้น ใบหน้าผุดรอยยิ้มขึ้นมา “คุณชายกล่าวได้มิผิด แต่ก็ยังคงต้องสังเกตอากาศเดือนสี่เดือนห้า หากสวรรค์เห็นใจในยามที่มันออกรวง ผลผลิตในปีนี้คาดว่าจะสูงกว่าปีที่แล้วถึงสองเท่า”
“ข้ารู้สึกว่าต้นกล้าข้าวสาลีในทุ่งจะหนาแน่นไปสักเล็กน้อยหรือไม่ ? ”
“เป็นหลานชายของข้าที่โยนเมล็ดไว้ แน่นไปเสียเล็กน้อย เมื่อครู่ข้ากำลังคิดว่า รั้งรอไปอีกสิบกว่าวัน แล้วจะเกี่ยวออกสักเล็กน้อย”
ชายชราและชายหนุ่มทั้งสองที่คุกเข่าอยู่กับพื้นและพูดคุยกันถึงเรื่องพืชการเกษตร ทันใดนั้นฉินเหวินเจ๋อ ชางกวนเหมี่ยวและคนอื่นก็ต้องเปลี่ยนความคิดที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวนไปทันที
เขาคือชายหนุ่มผู้เขียนเยาวชนราชวงศ์หยูกล่าวเล่มนั้น !
คาดมิถึงว่าเขาจะเข้าใจเรื่องการเกษตรอีกด้วย !
ฟังไปแล้วก็ดูดียิ่ง ท่าทางค่อนข้างจะซับซ้อน หรือว่าในยามที่ชายหนุ่มผู้นี้เป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินที่หลินเจียงก็เคยศึกษาเรื่องการปลูกพืชการเกษตรด้วยเยี่ยงนั้นรึ ?
เซวียผิงกุยรับหน้าที่คุ้มครองฟู่เสี่ยวกวน เขายืนอยู่ด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวน ในยามนี้สายตาของเขาจับจ้องไปที่หลังของฟู่เสี่ยวกวน ครุ่นคิดว่าแท้จริงแล้วคนผู้นี้ต่างจากคนอื่น มิแปลกใจที่แม่ทัพฮั่วจะให้ความสำคัญกับเขาถึงเพียงนี้
“ดินนี้หยาบไปเสียเล็กน้อยในยามที่ไถพรวน เม็ดดินใหญ่เกินไป หากสามารถทำให้ละเอียดได้อีกเล็กน้อย ข้าวสาลีนี้ก็จะเติบโตได้ดียิ่งขึ้น”
“นอกจากนี้คือพื้นดินนี่ ท่านลองมองดูเถิด เห็นได้ชัดว่าต้นกล้าข้าวสาลีที่อยู่ริมขอบนาจะเติบโตได้แย่กว่าพวกที่อยู่ตรงกลาง หนึ่งเพราะพื้นดินขาดแคลนปุ๋ยไปเล็กน้อย สองกลับเป็นเพราะรากของวัชพืชบนพื้นดินกำลังขยายเข้ามา ที่นี่มิได้ปลูกต้นไม้ก็ถือว่าดีหน่อย หากปลูกต้นไม้ รากจะทะลุเข้าที่นาไปหลายเมตร พวกมันจะดูดซับสารอาหารของต้นกล้าข้าวสาลี รากของต้นกล้าข้าวสาลีนั้นค่อนข้างสั้น แย่งชิงสู้วัชพืชเหล่านั้นมิได้ ดังนั้น หากสามารถขุดร่องที่ตรงนี้ได้ มิต้องลึกมากจนเกินไป ให้สามารถพอขวางกั้นรากของวัชพืชเหล่านี้ได้ก็เป็นพอ เช่นนั้นต้นกล้าข้าวสาลีที่อยู่ตรงริมขอบนาก็จะเติบโตได้ดีเช่นกัน”
คำพูดของฟู่เสี่ยวกวนทำให้ชายชราประหลาดใจ เขาทราบเรื่องที่เกี่ยวกับการเกษตรเหล่านี้ เพียงแต่กำลังคนนั้นมีจำกัด แต่ไร้หนทางที่จะลงมือทำอย่างพิถีพิถันได้
แต่สำหรับบัณฑิตทั้งกลุ่มนี้แล้ว คำพูดเหล่านี้กลับไม่สละสลวยยิ่งกว่าคำสอนของสำนักศึกษา
ดังนั้นเหล่าบัณฑิตจึงมองหน้ากันไปมา ต่างก็มีท่าทีตื่นตระหนกกันถ้วนหน้า หรือนี่คือพหูสูตที่ได้กล่าวไว้ในตำรากัน
ตอนที่ 256 บาดหัวใจ
การที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางไปราชวงศ์อู่มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด
แต่ทว่าในค่ำคืนก่อนที่เขาจะเดินทางออกไปจากเมืองหลวงนั้น ได้เกิดเรื่องที่ผู้คนมากมายมิรู้เข้า
แม่นางหลิ่วเยียนเอ๋อร์แห่งหงซิ่วจาวได้เขียนจดหมายฉบับหนึ่งแล้วส่งออกไปกับนกพิราบสื่อสาร
นี่เป็นนกพิราบสื่อสารตัวที่ห้าที่นางปล่อยออกไป และจดหมายทุกฉบับเกี่ยวข้องกับฟู่เสี่ยวกวน
เช่น เขาต่อสู้ที่ถนนสายยาว ถนนนองไปด้วยเลือด
และเขานั่งดื่มสุราท่ามกลางหิมะ ณ ตรอกซานเยว่ แต่กลับสามารถจัดการกับชาวยุทธได้ถึงยี่สิบกว่าคน
และอีกเช่น การที่เขาถูกลอบทำร้ายในค่ำคืนงานเทศกาลโคมไฟ จากนั้นได้ประพันธ์กวีงานโคมไฟขึ้น บัดนี้ผลงานของเขาได้ถูกจารึกไว้บนหินเชียนเปยสือบรรทัดที่หนึ่งถึงสองบท
และอื่น ๆ อีกมากมายนัก… !
บัดนี้ท้องฟ้ามืดมิด หงซิ่วจาวได้ปิดลงไปแล้ว ที่เมืองจินหลิงไม่มีหิมะและไม่มีดวงจันทร์
หลิ่วเยียนเอ๋อร์นั่งอยู่ที่หัวเรือเพียงผู้เดียว ลมหนาวที่โชยพัดมาทำให้ผมของนางปลิวไสว เสื้อผ้าพลิ้วราวกำลังเริงระบำ ในที่สุดเขาก็เดินทางไปยังราชวงศ์อู่จนได้ เมื่อคิดถึงว่าเขากำลังจะได้พบกับฝ่าบาท และฝ่าบาทจะทรงชื่นชอบเขาอย่างแน่นอน แต่ทว่าตนนั้น…
นางลุกขึ้นร่ายรำที่หัวเรือ แม้มิมีเงาใด ๆ แต่ทว่ายังคงอยู่บนโลกมนุษย์ นางร่ายรำเพลงดอกไม้ฝังศพของหลินไต้ยวี่
ไม่รู้ว่าเสวี่ยเฟยเฟยเดินเข้ามาตั้งแต่เมื่อใด นางหยิบพิณขึ้นบรรเลงเป็นเพลงกวีดอกไม้ฝังศพเพื่อเข้ากับท่าร่ายรำของหลิ่วเยียนเอ๋อร์
“เจ้าก็คิดถึงเขาเยี่ยงนั้นรึ ? ”
“สตรีใต้หล้านี้ มีผู้ใดมิคิดถึงเขาบ้างกัน ? แต่ทว่าทำได้เพียงคำนึงหา น้องสาว เจ้าจงอย่าได้เศร้าโศกไป ให้เขาเป็นเสมือนดอกไม้นั่น ฝังลงไปในใจของเรา !”
ณ ห้องนอนของคุณหนูตระกูลเยี่ยน ไฟยังคงส่องสว่าง
เยี่ยนเสี่ยวโหลวนั่งอยู่ที่ข้างหน้าต่าง บนโต๊ะนั้นมีหนังสือสมรสสีแดงเล่มใหญ่วางอยู่ ใบหน้าของนางยังคงยิ้มมิคลาย ราวกับว่าความมืดมิดนั้นเป็นแสงประกายส่องสว่างน่าชื่นชม
โหรวอี๋ที่นั่งอยู้ด้านข้าง กำลังเย็บเสื้อผ้าทารกนั้น สีหน้านางนิ่งสงบ นึกในใจพลางคิดว่านางเป็นเพียงคนขายสุรา กลับได้พบกับองค์ชายใหญ่ได้ !
บัดนี้เขาออกหนังสือคำสั่งว่าให้ฟู่เสี่ยวกวนดูแลตน แล้วส่งมายังจวนเยี่ยน คิด ๆ ดูแม่นางเสี่ยวโหลวและฟู่เสี่ยวกวนคงมีความรู้สึกที่ดีต่อกันมิน้อย
ณ บนกำแพงแห่งหนึ่งในเมืองหลวง หงจวงถือดาบยืนอยู่บนนั้น นางมองออกไปในที่แสนไกล
ผู้คนในเมืองจินเฉิงล้วนพากันดับไฟแล้ว มีเพียงแสงไฟสลัวบนท้องถนนที่ยังคงส่องสว่าง
ซูม่อ !
เจ้าไปอยู่ที่ใดกัน !
……
ซูม่อ เจ้าอยู่ที่ใดกัน ?
หิมะหนาวเหน็บ บัดนี้ทั้งเมืองสวรรค์และมนุษย์มีเพียงเสียงของเกล็ดหิมะบางเบาที่ตกลงมา
จากความเหนื่อยล้ามาตลอดวัน ผู้คนส่วนมากล้วนกำลังพักผ่อน มีเพียงฟู่เสี่ยวกวนและซูม่อเท่านั้นที่ยังมิหลับ
พวกเขามิได้อยู่ในห้อง แต่กลับอยู่ที่ถิ่นทุรกันดารอันมืดมิดเช่นนี้
“ข้ามิเข้าใจเสียจริง ค่ำคืนมืดมิดเช่นนี้ มิอาจจะชื่นชมหิมะได้ เจ้ามายังที่เยี่ยงนี้เพื่อสิ่งใด ? ” ซูม่อนำไหสุรายื่นไปให้ฟู่เสี่ยวกวนแล้วถามออกมาอย่างแคลงใจ
ฟู่เสี่ยวกวนรับมาดื่มอึกหนึ่ง พบว่าเป็นสุราเทียนฉุน !
“เพียงแค่อยากออกมาเดิน”
“มิเหนื่อยรึ ?”
“ข้าจะไปเหนื่อยอะไร ว่าแต่เจ้ามิเหนื่อยงั้นรึ ? ”
“ข้าจะไปเหนื่อยได้เยี่ยงไร ! ที่เยว่โจวเชิงเขาต้งถิงจวิน ที่นั่นมีหมู่บ้านประมงจริง ๆ อีกทั้งยังมีหญิงชราที่มีแขนข้างเดียว เลี้ยงเด็กเล็กประมาณห้าหกขวบ ข้าทำตามที่เจ้าบอก ฆ่าหญิงชราคนนั้นเสีย แต่ทว่ายากเย็นจริงกว่าจะฆ่าได้ ข้าถูกดาบของนางฟันเข้าสองที นางใช้วิชาดาบเจี้ยนหลิน”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยอันใดออกมา เขาหันหลังกลับไปมองซูม่อที่ยืนอยู่ท่ามกลางความมืด
ซูม่อหยุดชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยต่อไปว่า “เด็กหญิงคนนั้นแซ่หยู ที่แปลว่าปลา ชื่อว่าอี้ซี หยูอี้ซีชื่อไพเราะยิ่ง เป็นเด็กหญิงที่น่ารักน่าชังยิ่งนัก แน่นอนว่าตอนที่ข้าได้ฆ่าหญิงชรานั่น มิได้มีผู้ใดรู้ เพียงแต่เมื่อนางใกล้สิ้นใจได้เอ่ยคำถามที่แสนประหลาดออกมา”
“นางถามว่าเยี่ยงไร ? ”
“นางเอ่ยถามว่า…ข้าคือคนของพระสนมซั่งหรือพระสนมอัน”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย พระสนมอันคือพระมารดาขององค์ชายสี่ เช่นนี้นี่เอง เด็กคนนั้นคาดว่าคงเป็นบุตรสาวขององค์ชายสี่กับหนานป้าเทียนมิผิดเพี้ยนเป็นแน่
เมื่อครั้นนึกถึงชื่อของเด็กหญิง หยูอี้ซี แน่นอนว่าเป็นคำพ้องเสียงของแซ่ราชวงศ์ ส่วนอี้ซี มีความหมายว่าหวนรำลึกถึงวันวาน
หนานป้าเทียนคงรู้ดีว่าตนมิอาจแต่งงานกับองค์ชายสี่ได้ จึงได้ตั้งชื่อนี้ขึ้นเพื่อหวังว่าองค์ชายสี่จะนึกถึงเรื่องราวในคราวก่อนได้บ้าง
ส่วนที่พระสนมอันต้องการฆ่าเด็กหญิงคนนั้น คงเพื่อต้องการให้องค์ชายสี่ลบล้างความทรงจำเดิม ๆ ไปให้สิ้น
ส่วนฮองเฮาซั่งนั้น…ฟู่เสี่ยวกวนมิได้คิดถึง เนื่องจากหยูอี้ซียังมีชีวิตอยู่เป็นเรื่องดีกว่าที่นางต้องตาย
“ต่อจากนั้นมีผู้ใดเข้าใกล้เด็กหญิงคนนั้นหรือไม่ ? ”
“นี่คือเหตุผลที่ข้ากลับมาช้ากว่ากำหนด เมื่อวันที่ยี่สิบแปดเดือนหนึ่ง มีแม่ชีชราเข้ามาหวังพาหยูอี้ซีไป ข้าได้ต่อกรกับนางแต่มิอาจต่อสู้ได้ และมิสามารถตามนางไปได้ทัน”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง แม่ชีชรา ?
ค่ำคืนวันที่สิบสี่เดือนหนึ่ง เฟ่ยอันลากโลงไม้ของอารามซุ่ยเยว่มายังเรือนเสียนหยุน
เฟ่ยอันกล่าวว่าแม่ชีชรานั้นใช้วิชากัศยปแสร้งตาย นางมิได้ตาย แต่กลับหนีไปแล้ว
จากฝีมือของนาง ระยะเวลาเพียง 14 วันก็สามารถไปยังภูเขาต้งถิงจวินได้อย่างง่ายดาย
นางคือบุคคลสำคัญของลัทธิจันทรา นางเป็นบุคคลสำคัญ นางคงจะรู้ดีว่าตัวตนของหยูอี้ซีคือใคร เช่นนั้นนางจะพาหยูอี้ซีไปที่ใดกัน ?
จะเป็นที่ใดไปอีกมิได้ นอกเสียจากที่แห่งนั้น ซีหรง !
ซีหรงคือรังของลัทธิจันทราที่องค์หญิงจิ้งอันในราชวงศ์ก่อนก่อตั้งมานานหลายปี มีเพียงที่นั่นที่จะปลอดภัย
ในแผนที่ของราชวงศ์หยู ซีหรงตั้งอยู่บริเวณตะวันตก อยู่ในเมืองซีฮวงจวนโจว แต่ถูกควบคุมโดยผู้นำในท้องถิ่น
จากรายงานของหอซี่หยู่ ที่ซีฮวงนั้นมีสภาพแวดล้อมที่แย่ยิ่งนัก ภูเขารอบล้อมเรียงราย หมอกควันแพร่กระจายมัวตาไปทั่ว และเป็นการยากมากที่จะอาศัยอยู่ที่นั่น ดังนั้นราชวงศ์หยูจึงไม่ได้ใช้เป็นฐานทัพกองทหารตะวันตก ซึ่งเป็นการสร้างช่องว่างให้แก่ลัทธิจันทรา
นางพาหยูอี้ซีไปยังซีฮวง เพื่อเหตุใดกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนคิดไม่ตก
ซูม่อมองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วเขาเองก็นิ่งเงียบไปนานเช่นกัน ก่อนจะกล่าวออกมาว่า “จากภูเขาจวินกลับไปยังเมืองจินหลิง ข้าได้เผาทำลายอารามซุ่ยเยว่เสียมอดไหม้ ต่อมารู้ว่าเจ้าออกเดินทางแล้ว จึงได้เร่งเดินทางตามมา…เหตุผลที่เผาอารามซุ่ยเยว่คือสิ่งใดกัน ?”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มขึ้น
“มิมีอันใด เพียงแค่รู้สึกว่าที่อารามนั่นช่างมิน่ามองยิ่ง เผาทิ้งแล้วสร้างใหม่จะดีเสียกว่า”
“กล่าวมาตามจริงได้หรือไม่ ! ”
“เอ่อ แม่ชีชราที่เจ้าพบนั้น คาดว่าคงจะเป็นหัวหน้าของอารามซุ่ยเยว่ นามแฝงว่าปู้เนี่ยนซือไท่ หรือชื่อจริงคือเฉินซีหยุน ! ”
ซูม่อตกตะลึงอ้าปากค้างจนเกล็ดหิมะที่หล่นลงมาจากฟากฟ้าปลิวเข้าไปในปากเขา “ถ้าเช่นนั้น…ข้าเผาช้าไปเยี่ยงนั้นรึ ? ”
“ก็มิใช่ แท้จริงอารามซุ่ยเยว่นั้นมิได้มีประโยชน์ใดแล้ว เผาไปแล้วก็เผาไปเถิด นับว่าเป็นอัคคีภัยก็แล้วกัน อ้อ แม่ชีชรานั่นเก่งกาจเพียงใด ?”
ซูม่อครุ่นคิด “อย่างน้อยต้องให้ศิษย์พี่สามรับมือจึงจะมีโอกาสครึ่งหนึ่งที่จะกุมตัวนางได้”
เช่นนั้นคงเป็นขั้นเทพ มิน่าเล่า ในคืนนั้นเฟ่ยอันจึงเอ่ยออกมาว่าเขาสู้มิได้
“ร่างกายเจ้าหายดีแล้วงั้นรึ ? ”
ซูม่อจึงได้ทำสีหน้ามิพอใจแล้วค้อนไปทางฟู่เสี่ยวกวน เขานึกในใจว่า ข้าสละชีวิตเพื่อเจ้า แต่เจ้าเพิ่งจะเอ่ยถามตอนนี้เยี่ยงนั้นรึ ?
ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยความคับแค้นออกมา ก็ได้ยินเสียงฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้น “หงจวง เจ้าจำแม่นางผู้นั้นได้หรือไม่ ? คนของป่ากระบี่ คนที่เคยติดตามเวิ่นหวินไปยังซีซาน”
“จำได้ มีอันใดงั้นรึ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังเดินกลับไปยังโรงเตี๊ยมแล้วกล่าวออกมาว่า “นางกล่าวว่า…นางคิดถึงเจ้า”
ซูม่อยืนตกตะลึงอยู่ท่ามกลางหิมะอยู่เนิ่นนาน ดูท่าจะแย่เสียแล้ว !
……
ในขณะที่กล่าวฮ่องเต้ก็ก้มหน้าไปมองปี้ตงที่มีสีหน้าหวาดกลัว คิ้วขมวดนิ่ว ด้วยใบหน้าดูแคลน “ฟู่เสี่ยวกวนอาศัยเพียงช่างบางส่วนที่ตนหามาเอง ก็สามารถทำปืนใหญ่หงอีขึ้นมาได้ ทั้งยังสามารถแก้ไขปัญหามากมายที่มีมาแต่อดีตได้อีก ข้าให้เจ้าลากปืนใหญ่นั้นไปยังกรมอุตสาหกรรมและทำเลียนแบบขึ้นมา คาดมิถึงว่าเจ้าจะกล่าวว่ามันระเบิด ! ”
เขายื่นมือชี้ไปทางปี้ตง “เจ้าลองบอกข้ามา เหตุใดปืนใหญ่ของเขาจึงไม่ระเบิดออก ? ”
ปี้ตงรีบตอบกลับ “ทูลฝ่าบาท โลหะที่เขาใช้ในการสร้างปืนใหญ่ ดีกว่าที่กรมอุตสาหกรรมใช้มากพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ทรงกริ้วเสียยิ่งกว่าเดิม “ฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นสามารถหลอมเหล็กเยี่ยงนั้นขึ้นมาได้ กรมอุตสาหกรรมของเจ้ากลับหลอมออกมามิได้รึ ? เยี่ยงนั้นจะยังมีประโยชน์อันใดที่ข้ายังต้องเสียเงินมากมายเพื่อเลี้ยงดูพวกเจ้า เลี้ยงสุนัขมันยังสามารถเฝ้าเรือนได้ แต่คนนับร้อยในกรมอุตสาหกรรมของเจ้าเล่า สามารถทำอันใดได้บ้าง ? ”
“ในอดีตพวกเจ้าบอกกับข้าว่าของสิ่งนี้มิมีมูลค่าในการนำไปใช้ประโยชน์ เยี่ยงนั้นในตอนนี้ขอถามเจ้า หากนำปืนใหญ่หงอีนี้ไปวางบนหอคอยเมือง มันจะมีมูลค่าหรือไม่ หากแนวหน้ามีปืนใหญ่ตั้งอยู่ 100 กระบอก มันจะมีมูลค่าหรือไม่ ! ”
ปี้ตงคุกเขาลงดังปึง แต่กลับพูดอะไรไม่ออก
ชางกวนเหวินซิ่วประหลาดใจ แล้วถึงได้เข้าใจขึ้นมาว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงได้ให้ความสำคัญกับของสิ่งนั้นขึ้นมาทันพลัน
เป็นฟู่เสี่ยวกวนอีกแล้ว !
เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง !
ดูเหมือนว่าของสิ่งนี้และกลยุทธ์การค้าและการเกษตรจะเป็นฟู่เสี่ยวกวนที่ทูลถวาย เยี่ยงนั้นกั๋วจื่อเจี้ยนก็จำต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อส่งเสริมเรื่องนี้ในหมู่บัณฑิตทั้งหมด
…..
ขบวนรถม้าได้มาถึงที่พักป่านเฉียวยามพลบค่ำ คาดมิถึงว่าหิมะที่นี่จะยังตกอยู่
ที่พัก ณ จุดพักม้าหนาวเหน็บอย่างยิ่ง ด้วยอากาศเยี่ยงนี้จึงมีน้อยคนนักที่จะออกเดินทางไกล แต่เพราะมีทหารที่เซวียผิงกุยส่งมาสำรวจทางล่วงหน้า ภายในที่พักจึงถูกจุดตะเกียงไฟไว้แล้ว และพนักงานในที่พักก็ได้เตรียมอาหารและที่พักสำหรับหลายร้อยคนไว้เรียบร้อยแล้ว
ผู้รับผิดชอบที่พักม้าก็คือเจ้าหน้าที่ของที่พัก เป็นบุคลากรที่อยู่นอกเหนือราชวงศ์หยู แต่ยังได้รับเงินและอาหารสนับสนุนจากราชวงศ์หยู มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการที่ที่พักม้า และดูแลให้ที่พักม้าสามารถใช้การได้อย่างปกติมิให้เกิดความเสื่อมโทรม จุดมุ่งหมายเดิมมีไว้เพื่อส่งข่าวในยามก่อสงคราม พัฒนาต่อมาจนได้กลายเป็นสถานที่พักเท้าสำหรับผู้เดินทางไกล
ที่นี่อยู่ห่างจากจินหลิงไกลยิ่งนัก มิมีเมืองใหญ่อยู่ใกล้ ๆ นี้ ด้านนอกที่พักคือทุ่งนาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ทัศนวิสัยกว้างไกล มิพบเห็นบุคคลภายนอกเฉกเช่นเมืองหลวงที่เดินขวักไขว่กันไปมา
ฟู่เสี่ยวกวนหยุดยืนมองกล่องดำที่ถือมาอยู่ชั่วครู่ และจึงพาคนทั้งกลุ่มเข้าไปยังอาคารสองชั้น
ภายใต้การนำทางของเซวียผิงกุย พวกเขาได้ขึ้นไปยังชั้นสอง และลอบสำรวจห้องของแต่ละคน
บางทีอาจเป็นเพราะรู้ว่าคนที่เดินทางในครานี้สำคัญอย่างยิ่ง พนักงานที่นี่จึงจัดระเบียบหลาย ๆ ห้องได้ดียิ่งนัก ภายในมีเตาไฟ ผ้าห่มบนเตียงก็ถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด
แต่การเดินทางครานี้มีทั้งหมดหกร้อยกว่าชีวิต ที่พักที่นี่มีเพียงยี่สิบกว่าห้องย่อมมิเพียงพอ ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงถามว่า “จะจัดการกับคนที่เหลือเยี่ยงไร ? ”
เซวียผิงกุยโค้งคำนับ และตอบกลับว่า “พวกข้าได้นำกระโจมทหารมาด้วย บัณฑิตทั้งหลายคงทำได้เพียงให้อยู่อย่างแออัด ตลอดทางก็คงจะเป็นเยี่ยงนี้ไปตลอด พวกเขาต่างก็ทราบกันดี”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าและกล่าวว่า “นำอาหารเย็นขึ้นมาหนึ่งชุด พวกข้าคงมิลงไปแล้ว ให้พวกเขาทานอาหารแล้วรีบไปพักผ่อน เกรงว่าเจ้าจะต้องทำงานหนักขึ้นอีกเล็กน้อย เจ้าจงจัดวางกองกำลังลับเอาไว้ให้เรียบร้อย”
เซวียผิงกุยชะงักไปเล็กน้อย เขาพยักหน้ารับ หันหลังกลับและลงจากตึกไป แต่ในใจกลับคิดว่าความคิดของชายหนุ่มผู้นี้ช่างละเอียดรอบคอบเสียจริง
ฟู่เสี่ยวกวนกับต่งชูหลาน หยูเวิ่นหวินรวมทั้งซูเจวี๋ยอยู่ภายในห้องหนึ่ง นั่งล้อมรอบเตาไฟ เขาจึงกล่าวเรื่องหนึ่งขึ้นมา
“ศิษย์พี่ใหญ่ ข้ามีหนึ่งเรื่องที่จะขอให้เจ้าช่วย”
ซูเจวี๋ยขยับหมวก “เชิญกล่าว ! ”
“ข้าจะขอให้คนของเจ้าไปตรวจสอบแม่ทัพใหญ่กองทัพชายแดนใต้หยูชุนชิวเสียหน่อย ! ”
“ท่านกังวลว่ากองทัพชายแดนใต้จะมิส่งผลดีต่อท่านรึ ?”
“มิใช่เยี่ยงนั้น ในฐานะบุตรของเต๋อชินอ๋อง ข้าและเขามิมีความแค้นระหว่างกัน และการเดินทางครานี้ก็ยังมีเวิ่นหวิน เขามิมีเหตุผลที่จะขัดขวางข้า ข้าเพียงอยากเข้าใจคนผู้นี้ให้มากขึ้น”
ก่อนหน้าที่จะเกิดเรื่องนี้เขาได้ให้คนของหอซี่หยู่ไปตรวจสอบแล้ว หลังจากนั้นรายงานที่เกี่ยวข้องกับหยูชุนชิวกลับมีเพียงแค่เรื่องพื้นฐานเท่านั้น กล่าวเพียงในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 3 เฟ่ยอันปลดประจำการ คนผู้นี้ก็ได้รับราชโองการจากฝ่าบาทให้ไปบัญชาการกองทัพชายแดนใต้ หลังจากนั้นก็มิมีแล้ว นั่นทำให้ฟู่เสี่ยวกวนต่อว่าสือเอ้อร์เยว่อีกครา
“อีกอย่างคือหลังจากที่ทำความเข้าใจแล้ว ก็จะให้คนของเจ้าล่วงหน้าไปยังเมืองชายแดน กล่าวกันว่าที่นั่นมีปลาและมังกรอยู่รวมกันเต็มไปหมด โปรดระวังเหล่าคนท้องถิ่นของยุทธภพด้วย โดยเฉพาะผู้มีฝีมือระดับสูงของยุทธภพ ! ”
ซูเจวี๋ยเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง จึงพยักหน้ารับ และเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ถอดหมวกทรงสูงออก และดึงอีกาออกมาหนึ่งตัว แล้วนำจดหมายฉบับนั้นมัดไว้ที่ขาของอีกา อีกาตัวนั้นบินออกไปทางหน้าต่าง และหายตัวไป
ในใจทุกคนต่างรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยสำหรับการจัดการที่รอบคอบของฟู่เสี่ยวกวน แต่กลับมิมีผู้ใดถามออกมา บางทีอาจเป็นเพราะอยู่กับฟู่เสี่ยวกวนมาสักระยะหนึ่งจนคุ้นชิน พวกเขาจึงรู้สึกว่าที่ฟู่เสี่ยวกวนทำเยี่ยงนี้ ย่อมมีเหตุผลเป็นแน่
ดังนั้นซูโหรวจึงปักผ้าลายเป็ดของนาง มีเพียงในยามที่ซูเจวี๋ยดึงนกออกมาจึงได้ชำเลืองสายตาขึ้นมามอง
และซูซูก็ยังคงทานขนมดอกกุ้ยฮวาของนางอยู่ดังเดิม ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินกำลังฟัง ลอบคิดว่าบ้านเมืองต่างอยู่เย็นเป็นสุข ไฉนเลยจะเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นมามากมายถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นการเดินทางครานี้มีอัศวินดำติดตามมาด้วยถึง 500 นาย
แท้จริงแล้วใจของฟู่เสี่ยวกวนก็เอนเอียงไปแล้วว่าการเดินทางครานี้จะปลอดภัย การจัดวางกำลังนี้ก็เป็นเพียงความคุ้นชินของเขาเท่านั้น เขาย่อมหวังว่าจะสามารถเดินทางกลับไปจินหลิงได้อย่างปลอดภัย ท้ายที่สุดแล้วในที่นี้นอกจากต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินแล้ว ก็ยังมีบัณฑิตของต้าหยูอีก 100 คน
หลังจากนั้นทุกคนก็พูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย สิ่งที่พูดถึงกันมากที่สุดก็ยังเป็นปัญหาความปลอดภัยของการเดินทางในครานี้ จากที่ซูเจวี๋ยสังเกต หากมีคนต้องการขัดผลประโยชน์ของฟู่เสี่ยวกวนจริง ๆ หนทางที่ดีที่สุดก็คือใช้ผู้มีฝีมือระดับสูงจากยุทธภพเข้าจู่โจม ตัวอย่างเช่นเป่ยหวังฉวน !
ฟู่เสี่ยวกวนลอบคิดว่าซูเจวี๋ยเอาอีกาไว้บนหัวของเขามานานเสียเกินไป แต่อย่าได้มีปากอีกาขึ้นมาเชียว !
หลังจากนั้นพนักงานของที่พักก็ได้พาคนยกอาหารขึ้นมา เมื่อเทียบกับจินหลิง อาหารมื้อนี้เรียบง่ายยิ่งนัก พนักงานที่พักพอจะทราบถึงตัวตนของคนเหล่านี้ได้อยู่คร่าว ๆ จึงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย และได้กล่าวขึ้นมาด้วยความกระวนกระวาย “ทุกท่านขอรับ ด้วยเหตุว่าฉุกละหุกไปเสียเล็กน้อย ที่พักป่านเฉียวแห่งนี้ค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมือง มิอาจไปซื้อหรือจัดเตรียมวัตถุดิบได้ทัน โปรดประทานอภัยให้พวกเราด้วยขอรับ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ให้ความสนใจ ทั้งยังกล่าวด้วยอารามขันอีกว่า “ก็ถือว่ามิเลวมากแล้ว ที่พวกเราออกมามิใช่เพื่อการเสพสุข เจ้าทำได้ดีแล้ว ลงไปเถิด”
พนักงานคนนั้นจึงได้โค้งคำนับและเอ่ยขอตัว ในที่สุดใจที่กังวลก็ได้ปล่อยวาง ครุ่นคิดว่าเหล่าขุนนางที่ใหญ่โตนี้มิได้ยโสโอหังอย่างที่ได้ยินมาจากข่าวลือเลย
ทั้งหกคนกำลังทานอาหาร ทันใดนั้นซูเจวี๋ยก็เงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าสีน้ำหมึกด้านนอกหน้าต่าง คนในชุดดำผู้หนึ่งบินเข้ามาจากทางหน้าต่าง ทั่วร่างเต็มไปด้วยหิมะ เขาแทรกร่างเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดอยู่ ทันใดนั้นด้ายแดงเส้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา เขาหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา ด้ายแดงของซูโหรวถูกเก็บทันพลัน ฟู่เสี่ยวกวนจึงหัวเราะร่าทันที
ซูม่อ !
ตั้งแต่เย็นวันที่สามสิบปีที่แล้วจนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสองเดือนกว่าแล้วที่ซูม่อออกมา ฟู่เสี่ยวกวนมิได้กังวลอันใดเกี่ยวกับเขา เพียงแต่เป็นห่วงอยู่เล็กน้อย
เหมือนว่าจะผ่ายผอมลงไปมากนัก ใบหน้างดงามที่อยู่ใต้แสงไฟมืดลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับท่าทางเมื่อปีที่แล้วกลับดูมีความแข็งแกร่งของบุรุษมากขึ้น
เขาคำนับศิษย์พี่ชายศิษย์พี่หญิง ก่อนจะนั่งลงข้าง ๆ ซูเจวี๋ย แล้วหันมาหัวเราะให้กับฟู่เสี่ยวกวน ก่อนจะกล่าวออกมาสามคำว่า “ข้าหิวมาก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังเดินเข้าไปในรถม้า มองดูหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานก่อนจะยิ้มอย่างมีเลศนัย จากนั้นจึงได้ส่งหนังสือการแต่งงานไปให้พวกนาง หยิบถ่านที่ใช้สำหรับเขียนหนังสือขึ้นมา และเขียนวัสดุที่ต้องใช้ในการทำกระสุนลงไป
เมื่อต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินได้รับหนังสือนั้นไป ใบหน้าของพวกนางก็ปีติยินดียิ่ง
นี่คือหนังสือสมรสที่องค์ฮ่องเต้ทรงประทานให้ !
ตราประทับสีแดงนั้นมิอาจนำมาล้อเล่นได้ !
ซึ่งหมายความว่า นับจากนี้พวกนางจะกลายเป็นคนในจวนฟู่อย่างเต็มตัวแล้ว !
ขณะที่ทั้งสองนางกำลังจะเอ่ยถาม ฟู่เสี่ยวกวนก็ยกมือขึ้นห้าม จากนั้นก็ถือกระดาษลงไปจากรถม้า
“คาดว่าสิ่งเหล่านี้กรมอุตสาหกรรมล้วนมีอยู่ ท่านจงกลับไปทูลฝ่าบาทว่าให้รีบส่งไปยังซีซาน”
ขันทีเจี่ยรับกระดาษนั้นไปเก็บรักษาไว้ แต่ยังมิได้เดินจากไป ใบหน้าอันเหี่ยวย่นของเขากำลังครุ่นคิด ประโยคนั้นของฟู่เสี่ยวกวนทำให้เขาลำบากใจ หากทรัพย์สมบัติของตระกูลชือทั้งหมดตกอยู่ในมือขององค์หญิงเก้า ฝ่าบาทจะขาดผลประโยชน์มากเท่าใดกัน ?
หนังหน้าของฝ่าบาทหนากว่าเขามากนัก ฝ่าบาททรงใช้หนังสือสมรสที่เดิมทีก็ต้องมอบให้สักวัน มาแลกกับปืนใหญ่และฟู่เสี่ยวกวนจะต้องคอยดูแลจัดการให้เรียบร้อย…ชายชราผู้นั้นเจ้าเล่ห์เกินกว่าที่ใครจะรู้ !
ขันทีเจี่ยคลายคิ้วที่ขมวดลง คล้ายกับคิดสิ่งใดได้ จากนั้นหยิบบางสิ่งออกมาจากกระเป๋า ส่งให้ฟู่เสี่ยวกวน
“สิ่งนี้เรียกว่าคราบจักจั่น ผู้คนในยุทธจักรรู้ดีว่าจู๋ซีซึ่งเป็นช่างไม้ในราชวงศ์ก่อนได้สร้างอาวุธขั้นเทพทั้งเจ็ด แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเขายังได้สร้างอาวุธนี้ด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนยินดียิ่ง เขารับมันมาดู เมื่อสัมผัสกับมือก็รู้สึกได้ถึงความเยือกเย็นและหนัก คล้ายกับทำจากทองแต่ก็มิใช่ จะว่าเหล็กก็มิใช่ มันมีสีดำ บางราวกับคราบจักจั่นที่ลอกออกมา “เจ้าสิ่งนี้ มีประโยชน์อันใด ? ”
“ดาบมีดทั่วไปมิอาจทำอันตรายเจ้าได้ เจ้าสามารถใช้มันต่อสู้กับการโจมตีของปรมาจารย์ขั้นสุดยอดได้ 1 ครั้ง”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะหึหึ นี่สิถึงจะเรียกว่าของดี !
เขามิอาจฝึกวิทยายุทธ์ได้ และมิอาจเข้าสู่กองทัพทหารได้เช่นกัน ดังนั้นการที่มีของสิ่งนี้อยู่ในมือประกอบกับอาวุธลับในมือ ก็เพียงพอสำหรับการต่อสู้แล้ว
“เพียงสามารถปกป้องจากการโจมตีของปรมาจารย์ขั้นสุดยอดได้ 1 ครั้งงั้นรึ ? ”
ขันทีเจี่ยจ้องไปยังเขาแล้วถามว่า “เจ้าต้องการสิ่งใดอีก ? ”
“เช่นว่า หากต่อสู้กับปรมาจารย์อย่างดุเดือด…”
“เจ้าก็จะถูกพวกเขาทุบตีจนตาย ! ”
“……ถ้าหากเป็นขั้นเทพเช่นท่านเล่า ? ”
ครานี้ขันทีเจี่ยคิดอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยตอบมาว่า “เกรงว่าจะเหลือเพียงแค่ลมหายใจ”
เช่นนั้นก็ดี ยังดีกว่าต้องตาย
จากนั้นขันทีเจี่ยเอ่ยว่า “อีกครึ่งชีวิตที่เหลือคงทำอันใดมิได้แล้ว”
“……”
……
เขามีสตรีผู้งดงามดุจบุปผาอยู่ในจวนถึง 3 คน ฟู่เสี่ยวกวนมิอยากให้อีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่ต้องนอนมองพวกนางอยู่บนเตียง ดังนั้นเขาจะต้องมีชีวิตรอดไปให้ได้
อีกทั้งบัดนี้ศัตรูที่มีอยู่ก็น้อยลงไปมากแล้ว หวังว่าองค์ชายสี่จะอยู่อย่างสงบ
เมื่อเขากลับมายังรถม้า ขบวนรถก็ได้ออกเดินทางต่อไป
บัดนี้เขาได้หยิบหนังสือสมรสขึ้นมาดู ยิ้มแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็หมายความว่า พวกเราสามารถร่วมหอกันได้แล้วมิใช่รึ ? ”
ต่งชูหลานมองค้อนเขา นางอายจนหน้าแดง
หยูเวิ่นหวินจ้องไปยังเขา “หนังสือสมรสนี้เป็นเสมือนการหมั้นหมาย ยังมิได้มีพิธีการใด ดังนั้นพวกเรายังมิใช่คนของจวนฟู่ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิสนใจ เขากางมือไปกอดทั้งสองนางไว้ ภายในรถเต็มไปด้วยความสุข
ความพยายามที่ผ่านมา เขาเพียงต้องการให้เป็นดังเช่นตอนนี้
ผ่านไปเนิ่นนานจึงได้หยุดพัก สตรีทั้งสองนางผมเผ้ายุ่งเหยิง
หยูเวิ่นหวินเพิ่งเคยพบกับการต่อสู้เช่นนี้ หลายคราที่ดุเดือดอย่างมาก หากมิใช่เพราะในรถมิค่อยสะดวกนัก เกรงว่าความปรารถนาของฟู่เสี่ยวกวนคงจะเป็นจริง
ผ่านไปกว่าครึ่งก้านธูป พวกนางจึงได้สติกลับคืนมาและจ้องฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง จัดแจงเสื้อผ้าผมเผ้าให้เรียบร้อยแล้วกลับมานั่งตรงข้ามฟู่เสี่ยวกวน
ต่งชูหลานเอ่ยถามว่า “เหตุใดฝ่าบาทถึงทรงกระทำเช่นนี้ ? ”
“ฝ่าบาทต้องการปืนใหญ่ของข้า”
“ในวันนั้นข้าได้เตือนเจ้าแล้วว่าให้นำปืนใหญ่กลับจวน แต่เจ้ากลับส่งเข้าไปในวัง”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหัว
“ข้ามิได้ระเบิดจวนฮุ่ยชินอ๋องเพียงเล่น ๆ ในเมื่อพวกเขาร้ายกาจเพียงนั้นก็ควรต้องถูกสั่งสอน เดิมทีข้าก็ต้องการส่งปืนใหญ่รุ่นแรกให้กับฝ่าบาทอยู่แล้ว เนื่องจากทางตะวันออกกำลังทำสงคราม ข้าจึงต้องการส่งปืนใหญ่รุ่นแรกไปทดสอบเสียก่อน อีกทั้งราชวงศ์หยูก็ต้องการชัยชนะเช่นเดียวกัน”
ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยว่า “สงครามครานี้จะต้องจบให้เร็วที่สุด หากทำสงครามยืดเยื้อจะมิส่งผลดีกับราชวงศ์หยู ทั้งยังนำพามาซึ่งความร้ายแรงในภายหลัง”
ต่งชูหลานนึกถึงคำที่ท่านพ่อกล่าว จึงรู้ดีว่าเงินในคลังหลวงเหลือน้อยเต็มทน อีกทั้งเพิ่งจะล้มล้างตระกูลเฟ่ยและตระกูลชือที่ยิ่งใหญ่ทั้งสองตระกูล สองตระกูลนี้มีรากหยั่งลึก ผู้หลงเหลือในตระกูลก็มิน้อย หากราชวงศ์หยูพ่ายแพ้สงคราม บรรดาพวกเขาเหล่านั้นอาจจะก่อความไม่สงบแก่ราชวงศ์ได้
เมื่อทั้งสามสนทนากันเรื่องราชวงศ์หยู ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยอันใดออกมามาก แต่กลับหันความสนใจไปยังการค้า
สตรีทั้งสองนางให้ความสนใจยิ่ง เนื่องจากการค้าของพวกนางใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ และต้องการเงินทุนมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น เรือนหนานซานของราชวงศ์จะต้องใช้เงินหลายแสนเพื่อปรับปรุง มิต้องกล่าวถึงค่าใช้จ่ายซ่อมบำรุงในแต่ละวัน
พวกเขาคุยถึงเรื่องเหล่านี้ในรถม้า ขณะเดียวกัน ณ ห้องทรงพระอักษรฮ่องเต้หยูตี้ เยี่ยนซีเป่ย เยี่ยนซือเต้า ต่งคังผิง และยังมีชางกวนเหวินซิ่วที่กำลังเจรจาเกี่ยวกับเงินเช่นกัน
“สำนักศึกษาจะเผยแพร่การพัฒนาระหว่างการค้าและการเกษตรควบคู่กัน จากนั้นขอร้องให้กั๋วจื่อเจี้ยนนำนโยบายนี้ประกาศไปยังสำนักศึกษาทั่วประเทศ ให้บรรดาผู้ร่ำเรียนได้รับรู้ว่า การร่ำเรียนหนังสือมิใช่เพียงสามารถเป็นขุนนางได้อย่างเดียวเท่านั้น สามารถไปทำการทดลองต่าง ๆ หรือไปเป็นพ่อค้า เหล่านี้ล้วนเป็นทางออกที่ดี กั๋วจื่อเจี้ยนควรให้คนทั้งประเทศรู้ว่าพ่อค้ามิใช่คนชั้นต่ำ พวกเขาสูงส่งเช่นเดียวกับการเป็นขุนนาง”
แม้ว่าก่อนหน้านี้ท่านซั่ง จงซูลิ่งแห่งเสมียนกลางจะเคยเอ่ยเรื่องนี้กับเขามาก่อน แต่บัดนี้เมื่อฟังดูก็ยังรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้
เมื่อพบว่าชางกวนเหวินซิ่วมีสีหน้างุนงง ฝ่าบาททรงครุ่นคิดแล้วเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “นี่คือนโยบายของฟู่เสี่ยวกวน เจ้าจงกล่าวกับเขาไปว่า ฟู่เสี่ยวกวนมีความคิดเห็นว่าใต้หล้านี้ การค้าเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ”
เยี่ยนเป่ยซีมองไปยังฝ่าบาทแล้วนึกในใจว่า ฝ่าบาทช่างปัดความผิดได้ดีเสียจริง เนื่องจากบรรดานักเรียนให้ความเคารพนับถือฟู่เสี่ยวกวน ดังนั้นเรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฟู่เสี่ยวกวน คาดว่าเหมาะสมแล้ว
เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนทำการค้า และเขายังทำการค้นคว้าและวิจัยอีกด้วย มิเชื่อเยี่ยงนั้นรึ ? หากมิเชื่อพวกเจ้าจงไปดูที่ภูเขาซีซานสิ
ที่ว่ากันว่าสั่งสอนโดยการกระทำให้ดูเป็นแบบอย่าง คงจะหมายถึงเช่นนี้
ชางกวนเหวินซิ่วเข้าใจแล้ว แต่กลับได้ยินฮ่องเต้เอ่ยต่อมาว่า “จงให้กั๋วจื่อเจี้ยนรับสมัครนักเรียนที่สนใจการค้นคว้าและวิจัย ข้าจะจัดตั้งวิชาการค้นคว้าและวิจัย ณ สำนักศึกษาจี้เซี่ย ผู้สอนและผู้เรียนไม่ว่าจะเป็นผู้ใด อายุเท่าใด เพียงแค่มีความสนใจในการค้นคว้าและวิจัย ปรารถนาที่จะถ่ายทอดและปรารถนาที่จะรับรู้ สามารถเข้าศึกษาได้โดยมิเสียข้าใช้จ่าย ส่วนอาจารย์ผู้สอนได้รับค่าตอบแทนตามปกติ ผู้ที่ร่ำเรียนจะได้ค่าตอบแทนเดือนละ 3 ตำลึง”
“ข้าไม่เชื่อว่าจะมิสามารถเผยแพร่การค้นคว้าและวิจัยได้ ! ”
“เจ้าจงจำไว้ว่า บัดนี้กรมอุตสาหกรรมที่ว่างงานอยู่หลายคน ข้าจะแบ่งกลุ่มทำงานใหม่ และคนที่จะเข้าไปในกรมอุตสาหกรรมจะต้องคัดเลือกจากผู้ร่ำเรียนการค้นคว้าและวิจัย จะประกาศข้อกำหนดคัดเลือกโดยละเอียดในภายหลังอีกครา…”
ตอนที่ 253 จดหมายลับ 2 ฉบับ
หยูเวิ่นหวินย่อมดีใจ และกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ที่หลินเจียงมีเรือนซีซาน ด้านนอกจินหลิงก็มีเรือนหนานซาน พวกเรายังขาดทางตะวันออกและทางเหนือ จึงจะมีเรือนอยู่ครบทุกทิศทั้งสี่แห่ง… ภายภาคหน้าที่ใดอยู่สบายก็ไปพักสักช่วงระยะหนึ่ง เป็นความคิดที่ดีมากเลยมิใช่รึ ? ”
ต่งชูหลานกลับเหลือบมองหยูเวิ่นหวิน “เยี่ยงนั้นต้องหาเงินให้ได้เท่าใดกันจึงจะพอกับค่าใช้จ่าย จวนฟู่ก็ใช้เงินไปทั้งหมดหลายแสนตำลึง ถึงแม้ข้าจะมิเคยไปเรือนหนานซาน แต่ช่วงหลายปีมานี้ฝ่าบาทก็มิได้ไปล่าสัตว์ที่หนานซานอีก ท่านพ่อเคยกล่าวไว้ว่า การตระเวนล่าสัตว์ของฝ่าบาทหนึ่งครั้งใช้เงินไปเกือบล้านตำลึง ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือค่าซ่อมแซมเรือนหนานซาน”
ต่งชูหลานยืดตัว เอียงศีรษะและเอ่ยถามว่า “เจ้ากล่าวว่าหากภายภาคหน้าพวกเราต้องไปพักที่นั่น เงินห้าหมื่นตำลึงก็ปลิวว่อนไปกับค่าใช้จ่ายแล้วน่ะสิ”
หยูเวิ่นหวินสูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ แต่กลับยิ้มออกมา และยื่นมือไปกุมมือของต่งชูหลาน “มิใช่ว่ามีเจ้าหรอกหรือ เจ้าคือภรรยาที่เป็นเทพเจ้าความมั่งคั่งในอนาคตมิใช่รึ !”
ต่งชูหลานเลิกคิ้วขึ้น และภูมิใจอยู่ไม่น้อย “ข้าได้ส่งนักบัญชีของจวนไปไว้ที่ซีซานแล้ว 1 คน เพื่อช่วยท่านพ่อสามีจัดการการเงินของซีซาน บัญชีทางด้านนั้นยุ่งเหยิงดูยากเกินไป ข้าเลยส่งเขาไปจัดการทุกอย่าง…”
ต่งชูหลานจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน แล้วกล่าวอีกว่า “ค่าใช้จ่ายทางนั้นค่อนข้างมาก แต่ผลประโยชน์ที่จะได้รับในอนาคตย่อมมิเลว โดยเฉพาะโรงงานทางเขตเหยา ส่วนภูเขาเฟิ่งหลิน…นั่นคือหลุมที่ผลาญเงินทอง ข้ายังมองมิเห็นประโยชน์อันใด”
หน้าผาต้วนฮุนภูเขาเฟิ่งหลิน การขุดเหมืองแร่ตรงนั้นได้เข้าสู่หนทางที่ถูกต้องมานานแล้ว เตาหลอมเหล็กทรงสูงก็ได้ทดลองผลิตแล้วย่อมดีกว่าเตาหลอมเหล็กในอดีตตั้งไม่รู้กี่เท่า ปืนใหญ่หงอีถูกหลอมขึ้นด้วยการใช้เหล็กที่ผลิตจากหน้าผาต้วนฮุน ดังนั้นมันจึงไม่ระเบิดออก
แต่เจ้าโลหะนี้หากขายไปโดยตรง มันจะมิคุ้มค่า
ประเทศมีเหมืองแร่ สำนักหล่อของประเทศย่อมมิซื้อขายแร่เหล็กจากด้านนอก ยิ่งกว่านั้นฟู่เสี่ยวกวนก็มิมีความคิดที่จะขายเหล็กที่ตนเองหลอมขึ้นมาด้วยเช่นกัน
คุณภาพของโลหะเหล่านั้นสูงเป็นอย่างมาก เขาต้องการนำเหล็กเหล่านั้นมาแปรเป็นอาวุธและชุดเกราะ หนึ่งเพื่อติดตั้งให้กองกำลังส่วนตนของเขา สองเพื่อขายให้กับราชวงศ์หยู
ตอนนี้ยังมิถึงเวลานั้น คาดว่าเรื่องนี้คงจะต้องรอให้ถึงสิ้นปี แล้วให้ต่งชูหลานไปเจรจากับองค์หญิงใหญ่
อาวุธและชุดเกราะเหล่านั้นย่อมดีกว่าในตอนนี้หลายเท่า ฟู่เสี่ยวกวนมิได้กังวลว่าองค์หญิงใหญ่จะไม่ซื้อ ดังนั้นกำไรที่จะเกิดขึ้นของภูเขาเฟิ่งหลินอย่างน้อยก็ต้องรอถึงปีหน้าจึงจะเห็นผลประโยชน์
“ปืนใหญ่หงอีของเจ้าที่สร้างขึ้นที่ซีซาน เสด็จพ่อและเสด็จแม่ได้ไปเห็นที่จวนฮุ่ยชินอ๋องแล้ว กล่าวว่าไปเยี่ยมเยือน หึ ๆ เสด็จแม่กลับมาก็เล่าว่าฮุ่ยชินอ๋องคุกเข่าลงต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพ่อแต่กลับต่อว่าเจ้าอยู่ครู่หนึ่ง เสด็จแม่กล่าวว่าอานุภาพของปืนใหญ่ทรงพลังยิ่ง ห้องโถงด้านหน้าจนถึงสวนด้านหลังของจวนฮุ่ยชินอ๋องต่างกลายเป็นหลุมลึกหลายหลุม ทั้งยังทำลายอาคารอีกมากมาย หลังจากที่เสด็จพ่อกลับมาก็เอาแต่จ้องปืนใหญ่หงอีอยู่ครึ่งค่อนวัน คาดว่าคงประทับใจกับของสิ่งนี้อยู่ไม่น้อย”
“ของสิ่งนั้นได้ส่งไปที่กรมอุตสาหกรรมแล้ว…” หยูเวิ่นหวินกังวลใจอยู่บ้าง จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนและเอ่ยถาม “หากกรมอุตสาหกรรมทำสิ่งนี้ขึ้นมา เจ้าก็จะไร้หนทางขายให้เสด็จพ่อแล้วมิใช่หรือ เจ้ามิควรส่งสิ่งนั้นเข้ามายังวังหลวง นั่นมันเป็นเงินทั้งนั้นเลยมิใช่รึ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมา “มิเป็นไร เยี่ยงไรแล้วก็ต้องส่งไปให้ฝ่าบาททอดพระเนตร มีเพียงให้ฝ่าบาทได้ทอดพระเนตรเห็นด้วยตนเองเท่านั้นจึงจะเข้าใจว่าปืนใหญ่นี้เป็นอาวุธมิใช่สิ่งของไร้ค่า พวกเจ้าวางใจเถิด กรมอุตสาหกรรมมิสามารถสร้างขึ้นมาได้อย่างแน่นอน หากฝ่าบาทต้องการ ก็ทำได้เพียงมาซื้อกับข้าเท่านั้น”
ต่งชูหลานเองก็รู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนคิดได้ไม่มากพอ จึงมองบนใส่เขา “ซื้อรึ ? หากฝ่าบาทยึดเพื่อนำมาใช้ เจ้าจะสามารถทำอันใดได้ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะ ไม่มีทาง… !
ในตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ ขันทีเจี่ยที่ขี่ม้าเร็วก็ไล่ตามมา
ขบวนหยุดลง ฟู่เสี่ยวกวนลงจากรถ ขันทีเจี่ยจึงได้ส่งจดหมายลับให้กับเขา “คุณชายฟู่ เพื่อไล่ตามท่าน บั้นท้ายของข้าแทบจะเกิดสะเก็ดไฟ ท่านอ่านเถิด ฝ่าบาทรีบร้อนเป็นอย่างมาก”
ฟู่เสี่ยวกวนนึกถึงคราที่เขาเป็นเทพบู๊ ช่างเสแสร้งได้เป็นเรื่องเป็นราวเสียจริง !
เขาเปิดจดหมายลับออกมาอ่าน ทันใดนั้นก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมา !
“ปืนใหญ่หงอี ข้าชื่นชอบมันอย่างมาก ข้าได้ใคร่ครวญดูแล้วสิ่งนี้หากใช้ในสนามรบย่อมมีประโยชน์เป็นอย่างมาก ดังนั้น ข้าจะจดจำผลงานที่ยิ่งใหญ่ของเจ้าไว้ และรีบส่งปืนใหญ่หงอีจำนวน 100 กระบอกมาที่เมืองหลวง ข้าต้องการใช้พวกมันถล่มกองทัพของราชวงศ์อี๋ให้สิ้นซาก !”
ให้ตายเถอะ !
เจ้าคิดอันใดอยู่กัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักค้างไปเนิ่นนาน ขันทีเจี่ยก็ปรี่เข้ามาถามอีกครา “เป็นเยี่ยงไรบ้าง ?”
“ไร้หนทาง วอนท่านขันทีนำไปทูลกล่าวฝ่าบาทด้วย ปืนใหญ่หนึ่งกระบอกคิดราคา 5,000 ตำลึง กระสุน 1 ลูกคิดราคาเป็น 100 ตำลึง และข้ารับปากได้เพียงสามารถส่งให้ได้แค่ 10 กระบอกภายในหนึ่งเดือน”
ขันทีเจี่ยกลับแสยะยิ้ม และดึงจดหมายลับในแขนเสื้อมาส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวนอีกครา “ฝ่าบาทคาดการเรื่องไว้ได้ราวกับเทพ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรับจดหมายลับนั้นมาอ่าน
“ในตอนนี้ยังมิมีเงิน แต่การรบทางตะวันออกเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเยี่ยงนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะมองสถานการณ์โดยรวม มิจับตามองแต่ผลประโยชน์เล็กจ้อยที่อยู่เบื้องหน้า ! ”
“เพราะเรื่องการสวรรคตของไทเฮา จนทำให้การแต่งงานของเจ้ากับชูหลานและเวิ่นหวินยังไม่เกิดขึ้น ข้าคิดว่า มันค่อนข้างที่จะน่าเสียใจ แต่มันขัดต่อประเพณี ข้าจึงมิมีทางแก้ไขได้ ดังนั้นข้าจึงประทานทะเบียนสมรสของเจ้ากับพวกนางทั้งสามฉบับให้ อีกหนึ่งฉบับนั้นเป็นข้อเรียกร้องที่แรงกล้าจากเยี่ยนเป่ยซีชายชราผู้นั้น ด้วยที่เยี่ยนเป่ยซีได้ทำงานอย่างหนักและเขายังยอมตายเพื่อปกป้องประเทศชาติบ้านเมืองให้ได้ ข้าจึงเห็นด้วยกับเขาในเรื่องนี้”
“ทะเบียนสมรสสามฉบับนี้ข้าลงมือเขียนด้วยตนเอง โดยมีซือหลี่เจี้ยนเป็นผู้เตรียมเอกสาร และได้กำหนดเรื่องราวระหว่างเจ้าและสตรีทั้งสามไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นความปรารถนาของข้า หวังว่าจะทำให้เจ้าสบายใจได้ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าคือบุตรเขยของข้า ในโลกของข้า เจ้ามิได้มีฐานะเป็นขุนนางในราชสำนักอีกต่อไป ผลงานที่เจ้าทำเพื่อบ้านเมือง ข้าจะจดจำเอาไว้ในใจ”
“นอกจากนั้น ‘หนังสือกั๋วฟู่ลุ่น’ เล่มนั้นข้าก็ได้อ่านโดยละเอียดแล้ว แต่ยังมีข้อสงสัยอยู่อีกมาก รอให้เจ้ากลับมาจากราชวงศ์อู่เสียก่อน แล้วค่อยมาอธิบายโดยละเอียดให้ข้าฟัง ตามความคิดเห็นในหนังสือของเจ้า ข้าและเยี่ยนเป่ยซียินยอมที่จะทำการทดสอบล่วงหน้าไปก่อน เขตที่เลือกไว้ว่าจะไปสำรวจในตอนนี้มีหลินเจียงเขตเหยา เขตกงแห่งเหอหนาน เขตไคหยาง ณ ฉีโจว สองเขตอย่างชวีอี้และผิงหลิงแห่งหย่งหนิงโจว รวมไปถึงทั้งหกเขตของอำเภอเหอหยูในหนิงโจว”
“แต่หลังจากที่ข้าได้หารือกับเหล่าเสนาบดีจำนวนมากก็คิดว่า การผลักดันเรื่องนี้คงต้องให้ตกอยู่บนบ่าของเจ้า แม้แต่เยี่ยนเป่ยซีก็ทำอันใดมิได้ ที่สำนักอัครมหาเสนาบดีข้าได้ร่างนโยบายดำเนินการค้าและการเกษตรไปพร้อมกันไว้แล้ว คาดว่าในยามที่เจ้ากลับมายังเมืองหลวง เรื่องนี้ก็คงได้เผยแพร่ไปทั่วประเทศแล้ว หลังจากนั้นเจ้าก็ส่งเสริมการปฏิรูปในฐานะที่ได้รับพระราชโองการจากข้า โดยมิต้องกังวลแต่อย่างใด”
“เจ้าจำไว้เสมอว่าเจ้าเป็นบุตรเขยของข้า หากมิทำคุณประโยชน์อันใด ข้ารวมไปถึงฮองเฮา อีกทั้งยังมีเยี่ยนเป่ยซีที่เฝ้าดู เจ้าลองใคร่ครวญดูในระหว่างที่เดินทางเสีย ! ”
ขันทีเจี่ยก็ได้หยิบทะเบียนสมรสสามฉบับออกมาจากในแขนเสื้อด้วยใบหน้ายิ้มแป้น
“ขอแสดงความยินดีกับคุณชายฟู่ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรับทะเบียนสมรสมา จ้องมองขันทีเจี่ยอยู่ครู่ แล้วจึงหยิบตั๋วเงิน 5,000 ตำลึงยัดใส่มือขันทีเจี่ย และยังคงกล่าวด้วยท่าทีเคร่งเครียด “ความต้องการของฝ่าบาทเกินกว่าความเป็นจริงมากนัก กลวิธีเฉพาะของการผลิตปืนใหญ่หงอีในตอนนี้ยังคงมิหนักแน่นพอ ผลผลิตต่อเดือนอย่างมากที่สุดก็ได้เพียงแค่ 10 กระบอก ตรงจุดนี้คงต้องวานให้ท่านขันทีนำไปทูลกล่าวฝ่าบาทด้วย นอกจากนี้ ข้ายังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องวานท่านขันทีเจี่ยไปทูลถวายฝ่าบาทเสียหน่อย”
“เชิญคุณชายฟู่กล่าวมา”
“ที่ซีซานยังขาดแคลนวัสดุในการทำกระสุนปืน ข้าจะเขียนจดหมายรบกวนท่านขันทีนำไปถวายให้ฝ่าบาทด้วย มิเช่นนั้นการมีปืนใหญ่ก็ไร้ประโยชน์ยิ่ง”
“นอกจากนั้น วานขันทีเจี่ยฝากไปบอกกับฝ่าบาทอีกเล็กน้อย ทรัพย์สินของตระกูลชือที่ยึดมา โปรดมอบไว้ในนามองค์หญิงเก้า !”
“…..”
ตอนที่ 252 ออกจากเมืองจินหลิง
การเดินทางในครานี้ ผู้ที่รับหน้าที่คุ้มกันคือราชองครักษ์ทหารม้า 500 นาย
โดยมีหัวหน้าคือลูกน้องของฮั่วหวยจิ่น นามว่าเซวียผิงกุย อายุอานามประมาณ 30 ปี เกิดที่เมืองฉีโจว มิได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง
เขาจัดให้อัศวินชุดดำจำนวน 300 นายเดินนำขบวน และอีก 200 นายปิดท้ายขบวน และเมื่อพวกเขามาถึงข้างรถม้าขององค์หญิงเก้า แน่นอนว่าพวกเขาเคยได้ยินเรื่องราวของฟู่เสี่ยวกวนและองค์หญิงเก้ามาก่อน แต่ก็รู้สึกว่าการที่ฟู่เสี่ยวกวนร่วมนั่งในรถม้าขององค์หญิงช่างเป็นเรื่องที่มิถูกมิควร
แต่พวกเขายังจำคำพูดของนายพลฮั่วได้เป็นอย่างดีว่า การเดินทางไปราชวงศ์อู่ในครานี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดให้ทำตามคำสั่งของฟู่เสี่ยวกวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องดูแลปกป้องเขา อย่าให้เกิดเรื่องอันใดขึ้น !
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ด้านในกับองค์หญิงเก้า เขาทำสิ่งใดกันอยู่…เรื่องนี้จะให้ถามออกไปได้เยี่ยงไรเล่า
เขาขี่ม้าศึกขนาบข้างรถม้าขององค์หญิงเก้า แล้วเอ่ยด้วยเสียงอันเบาว่า “ข้าน้อยเซวียผิงกุย มิทราบว่าคุณชายฟู่มีสิ่งใดให้รับใช้หรือไม่ขอรับ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังกินองุ่นที่หยูเวิ่นหวินปอกเปลือกให้เขา แล้วตอบกลับไปว่า “ท่านแม่ทัพเซวีย ประเดี๋ยวรบกวนนำแผนที่มาให้ข้าดูสักหน่อย ส่วนเรื่องการหยุดพักหรือรับประทานอาหาร…เจ้าจัดการด้วยตนเองได้เลย”
อืม ช่างดูแลง่ายเสียจริง !
“ข้าน้อยรับทราบ ! ”
เขาหยิบแผนที่ออกมาฉบับหนึ่งแล้วส่งออกไป ฟู่เสี่ยวกวนรับมาดู เขาก็ได้เร่งฝีเท้าของม้าให้วิ่งนำไปยังหน้าขบวน
เขานึกอยู่ในใจว่า ฟู่เสี่ยวกวน ชายหนุ่มผู้นี้ได้ยินชื่อเสียงมานาน จากเหตุการณ์ที่ถนนสายยาว ความกล้าหาญของปัญญาชนคนหนึ่งได้แพร่หลายเข้าไปในกองทัพ ทำให้เหล่าทหารเองก็นับถือยิ่ง
หากเป็นพวกเขา การที่ต้องเผชิญหน้ากับบุตรชายของฮุ่ยชินอ๋องที่กำลังทำร้ายผู้อื่นอยู่เช่นนั้น พวกเขาจะกล้ายื่นมือเข้าไปวุ่นวายรึอย่างไรกัน ?
ปัญหานี้ท่านแม่ทัพฮั่วหวยจิ่นเคยได้กล่าวต่อหน้ากองทหารองครักษ์ และทหารทุกนายก็ได้แต่ถามตนเองอยู่ในใจ มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าตอบออกมา
เมื่อต้องพบเจอกับผู้มีอำนาจที่แข็งแกร่งแต่กลับไม่ก้มหัวยอมแพ้ มิใช่ว่าคนธรรมดาทั่วไปจะสามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย !
แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับทำได้ อีกทั้งยังทำได้ดีเสียด้วย เขาชนะใจของทหารทุกนายแม้แต่ผู้ที่มิเคยพบ
เซวียผิงกุยเองก็เคารพยกย่องฟู่เสี่ยวกวน เขาตั้งใจว่าการเดินทางในครานี้จะต้องใส่ใจระมัดระวังเป็นพิเศษ คุ้มกันให้คุณชายฟู่ไปถึงราชวงศ์อู่ได้โดยสวัสดิภาพ
ภายในรถม้า ฟู่เสี่ยวกวนเปิดแผนที่วางลงบนโต๊ะแล้วอ้าปากกินองุ่นเข้าไป แต่รสชาติของมันค่อนข้างเปรี้ยว เขาโบกมือว่าพอแล้ว หลังจากนั้นมองดูแผนที่อย่างละเอียด
การเดินทางครานี้ระยะทางกว่าสามพันสองร้อยลี้ จากกำหนดการที่วางไว้ จะต้องเดินทางถึง 40 วัน พวกเขาจะไปถึงเมืองหยุนกุยซึ่งเป็นเมืองหลวงแห่งราชวงศ์อู่ในเดือนสามวันที่สิบห้าโดยประมาณ
เทศกาลฤดูหนาวจะถูกจัดขึ้นหลังจากเทศกาลตงจื้อ 105 วัน ในปีนี้ตรงกับวันที่ยี่สิบห้าเดือนสาม
หากว่าการเดินทางราบรื่น พวกเขาจะได้พำนักในเมืองหยุนกุยถึง 10 วัน
ฟู่เสี่ยวกวนนำนิ้วชี้ไปยังเส้นทางที่ผ่านมาและลากตรงไปเรื่อย ๆ ตามทาง จากนั้นหยุดลงที่ชายแดนระหว่างราชวงศ์หยูและราชวงศ์อู่ ด่านภูเขาฉีซาน !
เทือกเขาฉีซานยาวกว่าหนึ่งพันลี้ เมื่อผ่านด่านฉีซานมาก็คือทางเดินเท้าของภูเขาฉีซาน ทางเดินนี้…ฟู่เสี่ยวกวนลากนิ้วไปตามเส้น มันช่างยาวเสียจริง !
จากนั้นมือของเขาก็ย้อนวนกลับมายังตำแหน่งข้างภูเขาฉีซาน เป็นเมืองเล็กเมืองหนึ่ง แต่ชื่อของเมืองนั้นค่อนข้างจะเข้าใจง่าย มันชื่อว่าเมืองเปียนเฉิงหรือแปลว่าเมืองชายแดนนั่นเอง
เขาหยิบเอกสารปึกหนึ่งออกมาจากกระเป๋า เปิดดู จากนั้นหยิบเอกสารแผ่นหนึ่งออกมา
นี่คือข้อมูลของเส้นทางที่ก่อนหน้านี้เขาได้ให้หอซี่หยู่ไปตรวจมา
ดูจากแผนที่แล้ว เขารู้ว่าเมืองเปียนเฉิงมิใช่เมืองเล็ก
ที่เมืองเปียนเฉิงมีทหารกว่าสามหมื่นนายคอยคุ้มกัน ดังนั้นที่เมืองเปียนเฉิงมีผู้คนมากมาย มีผู้คนอาศัยอยู่จำนวนกว่าห้าหมื่นคน !
จากข้อมูลของหอซี่หยู่ เป็นเมืองที่มีทั้งคนดีและเลวปะปนกันไป
เมืองเปียนเฉิงอยู่ห่างจากเมืองชังถงที่อยู่ใต้สุดของราชวงศ์หยูประมาณสี่ร้อยกว่าลี้ และค่ายใหญ่ของกองทัพใต้ก็อยู่ ณ พื้นที่ราบชังซี ระหว่างเมืองชังถงและเมืองเปียนเฉิง
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอย่างละเอียด หากว่ามีผู้ใดต้องการจัดการเขา สถานที่ที่เหมาะสมที่สุดก็คือทางเดินเท้าของภูเขาฉีซาน
ทั้งสองข้างหากมิใช่เทือกเขาสูง ก็คือหุบเหวลึก ทางเดินยาวกว่าหนึ่งร้อยลี้กลับมิมีโรงเตี๊ยมแม้แต่แห่งเดียว ทว่าขบวนของเขาคงต้องพักผ่อนที่ทางเดินฉีซาน เนื่องจากทางบนภูเขาเดินลำบาก จึงมิอาจเร่งความเร็วได้
ส่วนสถานที่ที่จะใช้พักผ่อน…
ปลายนิ้วมือของเขาหยุดลงที่แห่งหนึ่งของทางเดินฉีซาน บนแผนที่ปรากฏชื่อตำแหน่งว่า “หุบเขาซีกู่”
จากรายงานของหอซี่หยู่ นี่คือหุบเขาที่ค่อนข้างกว้างขวาง เป็นสถานที่ที่พ่อค้าทั้งสองประเทศมักหยุดพักอาศัยที่นั่น
เพียงแต่เนื่องจากการค้าของทั้งสองประเทศยังไม่เจริญรุ่งเรือง ดังนั้นที่หุบเขาจึงยังไม่มีสิ่งก่อสร้างใดที่มั่นคง
ส่วนเรื่องที่หอซี่หยู่รายงานว่า เดิมทีที่แห่งนี้ได้มีโจรกลุ่มหนึ่งดักซุ่มอยู่ ณ ภูเขานี้ เพียงแต่หลายปีมานี้มิได้ทรัพย์สินอันใดมากพอ จึงมิได้ยินถึงเรื่องราวของพวกเขาอีก
เขาดูมาถึงจุดนี้ แล้วเก็บสิ่งของทั้งหมดลง
“เจ้าเป็นกังวลกับที่แห่งนี้รึ ? ” ต่งชูหลานถามขึ้น นางเองก็ดูแผนที่อยู่เช่นกัน
“ใช่ว่าจะกังวล พวกเรายังมีอัศวินชุดดำถึง 500 นาย ฝูงโจรป่ามิกล้าเข้ามาเป็นแน่ อีกทั้งพวกเราได้ส่งจดหมายไปยังทูตแห่งราชวงศ์อู่ พวกเขาคงจะนำเรื่องไปแจ้งยังราชวงศ์อู่แล้ว ตามหลักความเป็นจริง เพียงแค่พวกเราข้ามทางเดินเท้าฉีซานนี่ไปได้ พวกเขาควรจะต้องส่งทหารมารอรับพวกเรา”
เนื่องจากราชวงศ์หยูได้รับคำเชิญจากพวกเขา ในฐานะเจ้าภาพ ราชวงศ์อู่สมควรจะทำเช่นนั้น อีกทั้งรายชื่อผู้เดินทางมายังมีองค์หญิงเก้าอยู่ด้วย
องค์หญิงเก้าถือเป็นตัวแทนราชวงศ์หยู การดูแลที่จะได้รับก็มากกว่าการที่มีเพียงคนธรรมดาเดินทางมาเท่านั้น
ก่อนเดินทางมาหนึ่งวัน องค์ชายสี่กล่าวว่าที่ภูเขาฉีซานนั้นมีโจรป่ามากมาย ให้เขาระมัดระวังตัวให้ดี คำพูดนี้เขาจำได้ขึ้นใจ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาเป็นแน่ !
แต่รอบกายเขามีศิษย์ผู้มีฝีมือจากสำนักเต๋าทั้งสามคนอยู่ ดังนั้นเขาจึงมิได้กังวลสิ่งใด
รถม้าโคลงเคลงไปมา เสียงจอแจจากด้านนอกเบาลงเรื่อย ๆ เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเปิดหน้าต่างออกดู พบว่ารถม้าได้เดินทางออกมาจากเมืองจินหลิงแล้ว
หยูเวิ่นหวินกล่าวด้วยท่าทางดีใจว่า “ก่อนที่ไทเฮาจะสวรรคต ทรงมอบเรือนหนานซานเอาไว้ให้ข้า”
ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยได้ยินชื่อเรือนหนานซานมาก่อน จึงมิได้รู้สึกอันใด แต่ต่งชูหลานกลับอ้าปากค้างตกตะลึง
“จริงรึ ? นั่นคือเรือนใหญ่ของราชวงศ์มิใช่รึ ! ไทเฮาทรงมอบให้เจ้า…หากว่าฮ่องเต้ทรงเดินทางไปภูเขาหนานซานเพื่อล่าสัตว์จะทำเยี่ยงไร ? ”
หยูเวิ่นหวินแอบหัวเราะออกมาเบา ๆ “ข้ามิสนใจเสด็จพ่อเสด็จแม่หรอก เนื่องจากที่แห่งนั้นเป็นของข้าแล้ว…ข้าว่า หลังจากที่พวกเรากลับจากราชวงศ์อู่ พวกเจ้าจะเดินทางไปดูด้วยกันหรือไม่ ? อ่า อีกอย่างหนึ่ง ไทเฮาทรงมีเงื่อนไข ก่อนที่จะเสด็จจากไปทรงกล่าวว่าที่เรือนหนานซานนั้นมีผืนนามากมาย พระนางให้นำเมล็ดพันธุ์ที่เจ้าเอ่ยว่าให้ผลผลิตหมู่ละห้าหกร้อยชั่งไปปลูก พระนางจะคอยจับตามองดู ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนนำมือลูบจมูก หากพระนางจับตามองดูอยู่ คงจะน่ากลัวอย่างแท้จริง !
แต่หากมีผืนนาจริงก็คงจะดีมิน้อย เยี่ยงไรเสีย รากฐานของเขาก็คือพ่อค้าที่ดินแห่งหลินเจียง
“เรื่องนี้มิมีปัญหา แต่ทว่าในปีนี้คงมิได้ เนื่องจากในปีนี้ต้องปลูกเพื่อพัฒนาเมล็ดพันธุ์รุ่นที่สอง รออีกสักปีเถิด ปีหน้าข้าจะให้หวางเฉียงมาทำนาที่เมืองหลวง ดูแลรักษาผืนนาที่เรือนหนานซาน”
ฟู่เสี่ยวกวนไม่รู้ว่าที่เรือนหนานซานมีผืนนาจำนวนเท่าใด เนื่องจากนั่นคือพื้นที่การเกษตรของราชวังหลวง !
คาดว่ามีรัศมีนับหลายลี้ ! พื้นที่อุดมสมบูรณ์หลายพันหมู่ที่สามารถเพาะปลูกได้มากมาย !
ประโยคสุดท้ายนั้นค่อนข้างรุนแรง มิใช่เพียงถูกตัดชื่อจากสำนักศึกษา ทั้งยังถูกตัดหัวอีกด้วย !
บัณฑิตส่วนมากเป็นสมาชิกของสมาคมกวีหลานถิง มีฉินเหวินเจ๋อเป็นผู้นำ พวกเขามิคัดค้านกับสิ่งนี้ แต่เดิมตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนในใจของพวกเขาก็เสมือนเทพเจ้าก็มิปาน นอกจากนี้ท่านคณบดีก็ได้บอกกับพวกเขาแล้ว ว่าฟู่เสี่ยวกวนได้กลายมาเป็นอาจารย์รับเชิญของสำนักศึกษาจี้เซี่ย ภายภาคหน้าฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นผู้สั่งสอนพวกเขา ซึ่งนั่นก็หมายความว่าฟู่เสี่ยวกวนจะกลายเป็นอาจารย์ของพวกเขาทุกคน
อาจารย์ นี่คือคำเรียกที่ศักดิ์สิทธิ์
ศิษย์ควรเคารพดังบิดา ใฝ่รู้คุณธรรม ใฝ่เรียนคำสอน
นี่คือข้อบังคับ !
“ได้เวลาแล้ว ขึ้นรถของตนเอง แล้วออกเดินทาง ! ”
สถานการณ์วุ่นวายเล็กน้อย ฟู่เสี่ยวกวนทักทายพวกซูเจวี๋ย มิได้ให้ความสนใจกับสายตาประหลาดใจที่มองมาทางเขา และเขาก็ขึ้นรถม้าที่หรูหราขององค์หญิงเก้าหยูเวิ่นหวินไปทั้งอย่างนั้น
สุขสบายอย่างแท้จริง
ไม่เพียงแต่กว้างขวาง เบาะก็ยังนุ่ม ภายในนั้นมีเตาไฟ ตรงกลางมีโต๊ะอีกหนึ่งตัว มีผลไม้ ติ่มซำและของทานอื่น ๆ อีกเล็กน้อยวางอยู่สองข้าง ทั้งยังมีซีชานเทียนฉุนอีก 3 ลัง
การเดินทางเยี่ยงนี้ ต่อให้ใช้เวลาในการเดินทางนานกว่านี้ข้าก็มิขัดข้อง !
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมา จนกวางน้อยที่อยู่ในใจของหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานที่มองอยู่กระโดดโลดเต้น
ในตอนที่รถม้าเพิ่งจะข้ามผ่านประตูใหญ่ของหงหลูซื่อ ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ยินเสียงเรียก ซึ่งเป็นเสียงของเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่กำลังเรียกเขา น้ำเสียงนั้นค่อนข้างร้อนรน เขาจึงทำได้เพียงบอกให้รถม้าหยุด และเดินลงไป
ใบหน้าของเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่แดงระเรื่อ ดวงตากระจ่างใส
ตั้งแต่ที่เยี่ยนเสี่ยวโหลวบาดเจ็บแทนเขาเมื่อคืนวันที่สิบห้าในเดือนหนึ่ง เวลาก็ผ่านไปครึ่งเดือนได้แล้ว
ภายในครึ่งเดือนนี้ฟู่เสี่ยวกวนไปที่จวนเยี่ยนเพียง 2 ครั้ง หลังจากนั้นเขาก็มิมีเวลาอย่างแท้จริง นั่นทำให้เขาค่อนข้างรู้สึกผิด
“พอข้าทราบว่าพี่สาวทั้งสองจะตามเจ้าไปยังราชวงศ์อู่ด้วย ข้าก็โล่งใจอยู่มิน้อย ข้ามิทราบว่าจะทำอะไรเพื่อเจ้าได้บ้าง คิดว่าที่ราชวงศ์อู่น่าจะอบอุ่นกว่าจินหลิงของเรา จึงทำเสื้อมาให้เจ้า 2 ชุด…”
ใบหน้าของเยี่ยนเสี่ยวโหลวยิ่งแดงก่ำ นางส่งกล่องใบหนึ่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน และหยิบจี้หยกดำออกมาจากแขนเสื้อ “นี่คือหยกจากแคว้นฝาน ท่านแม่กล่าวว่าได้รับการปลุกเสกจากพระอาจารย์ชื่อดังของวัดลันทาแคว้นฝานแล้ว สิ่งนี้สามารถปกปักรักษาคุ้มครองผู้สวมใส่ให้หลบพ้นเคราะห์ร้ายประสบเคราะห์ดี ข้าจะสวมให้เจ้า จงจำไว้อย่าได้ถอดออกเป็นอันขาด”
ฟู่เสี่ยวกวนย่อตัวลง เยี่ยนเสี่ยวโหลวเขย่งปลายเท้าเล็กน้อย และคล้องจี้หยกให้ที่คอของฟู่เสี่ยวกวน
“เจ้าไปเถอะ ข้าจะรอการกลับมาของเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง”
ฟู่เสี่ยวกวนตื้นตันใจอย่างมาก อยากจะคว้าสาวน้อยผู้นี้มาโอบกอดยิ่ง แต่ทราบดีว่ายังมิใช่ในเวลานี้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวเพียงว่า “ดี เจ้ารอการกลับมาของพวกข้าได้เลย ! ”
“อือ” เยี่ยนเสี่ยวโหลวพยักหน้าแต่โดยดี สีหน้าสดใสราวกับดอกไม้ฤดูร้อน “เจ้าขึ้นรถเถิด”
“ตกลง ! ”
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็โน้มตัวลงมา ใบหน้าของเขาแทบจะแนบไปกับใบหน้าของเยี่ยนเสี่ยวโหลว ร่างของเยี่ยนเสี่ยวโหลวเอนไปด้านหลังโดยสัญชาตญาณ หัวใจพลันเต้นระรัว ครุ่นคิดว่าเหตุใดเขาจึงมีท่าทีเช่นนี้ ณ ที่นี้ด้วย
แต่แล้วฟู่เสี่ยวกวนก็ไม่ได้ขยับกายแต่อย่างใด กลับกระซิบที่ข้างหูของนางว่า “มีอยู่หนึ่งเรื่องที่จะวานให้เจ้าช่วยข้าจัดการเสียหน่อย หอเยียนหยู่มีแม่นางที่ชื่อโหรวอี๋อยู่ อายุอานามประมาณสิบเจ็ดสิบแปดปี ตั้งครรภ์แล้ว ข้าที่ต้องไปราชวงศ์อู่คงไร้หนทางจะดูแลนาง เจ้าช่วยข้าโดยการพานางมาพักที่จวนเยี่ยนของเจ้า และให้นางคลอดบุตรที่นั่น จงจำไว้ จงหาเหตุผลที่น่าเชื่อถือ อย่าให้ผู้อื่นนึกสงสัย”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวชะงัก เจ้ามีเวิ่นหวิน ชูหลานและข้าแล้ว ยังจะมีเล็กมีน้อยที่ด้านนอกอีกงั้นรึ !
ดวงตาของนางแดงขึ้นมาทันพลัน รู้สึกน้อยใจอย่างมาก ฟู่เสี่ยวกวนที่เห็นดังนั้น ก็รีบอธิบายว่า “มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า เป็นเพียงภรรยาคนสำคัญอย่างยิ่งของสหายข้า เขาไปออกศึก แต่ศัตรูนั้นมีอยู่มากมาย ภายภาคหน้าเจ้าจะรู้เอง”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวจึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา และเอ่ยเสียงแผ่วว่า “แต่คงปิดบังท่านปู่ไว้มิได้”
“มิต้องปิดบังปู่ของเจ้า”
“อ่า ข้าทราบแล้ว เจ้ามีอันใดที่จะฝากวานอีกหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้ม ยื่นมือไปบีบแก้มเยี่ยนเสี่ยวโหลว เยี่ยนเสี่ยวโหลวแสดงท่าทีขัดเขินจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
“เดินทางไปนั่งเล่นที่จวนฟู่บ่อย ๆ นั่นคือบ้านของเจ้าในภายภาคหน้า”
“อือ… !” เสียงของเยี่ยนเสี่ยวโหลวราวกับแมลง ก้มหน้าหลบสายตาของฟู่เสี่ยวกวน ในใจตอนนี้หวานยิ่งกว่าน้ำผึ้ง “เจ้าไปเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนกลับหลังขึ้นรถม้า ขบวนได้ออกเดินทางอีกครา
เยี่ยนเสี่ยวโหลวยืนมองขบวนเดินทางไปอยู่ใต้แสงไฟสลัว จนกระทั่งขบวนรถที่ยาวเหยียดได้หายไปจากครรลองสายตา รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ค่อย ๆ หายไป แปรเปลี่ยนเป็นเศร้าโศก สุดท้ายน้ำตาของนางก็ไหลลงมาอย่างอดไว้ไม่อยู่
ตั้งแต่ที่เลื่อมใสความฝันในหอแดงเมื่อปีที่แล้วจนถึงวันนี้ ตระหนักได้ว่ามิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเป็นจริงขึ้นมาได้ แต่เขากลับต้องเดินทางไกล และตนเองก็ไร้หนทางที่จะติดตามไปได้ นี่ต่างหาก…คือความทรมาน
“คุณหนูเจ้าคะ” สาวใช้เสี่ยวเซวี๋ยกังวลเล็กน้อย
“อือ”
“มองมิเห็นแล้วนะเจ้าคะ”
“ไม่ ข้ายังมองเห็นอยู่”
เสี่ยวเซวี๋ยไร้หนทางจะเข้าใจ เยี่ยนเสี่ยวโหลวยังคงมองไปยังที่ห่างไกล และลอบกล่าวอยู่ในใจ ยังมองเห็นอยู่ !
…..
บรรยากาศภายในรถม้าที่หรูหราค่อนข้างเคร่งเครียด
ต่งชูหลานที่เงียบอยู่เนิ่นนานก็ได้เอ่ยปากขึ้นมา “เสี่ยวโหลว…เป็นหญิงสาวที่ดีคนหนึ่ง”
หยูเวิ่นหวินพยักหน้า “อือ ช่วงก่อนหน้านั้นที่ได้ดื่มชาด้วยกัน เสี่ยวโหลวได้พูดถึงจิตใจที่มีต่อเจ้า เฮ้อ…ต่างก็เป็นเด็กสาว ข้าเองก็เข้าใจยิ่ง”
ต่งชูหลานมองบนใส่ฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวพึมพำด้วยท่าทีดุดัน “ก็มิรู้เช่นกันว่าเจ้าไปได้รับพรจากที่ใดมาในชาติที่แล้ว นี่คงเป็นรางวัลสำหรับเจ้าแล้วสิ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ ความกังวลใจหายไปทันพลัน คิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นพรจากชาติที่แล้วอย่างแท้จริง เยี่ยงไรเสียในชาติที่แล้วแม้แต่มือของหญิงสาวเขาก็ยังมิเคยได้จับ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องความรักเลย
ด้านหลังของพวกเขาคือรถม้าของซูซู นางและซูโหรวขึ้นมาคันเดียวกัน ภายในนั้นมีขนมอยู่กองโต ส่วนมากจะเป็นขนมดอกกุ้ยฮวาของร้านอู่เว่ยจาย
นางที่ทานอยู่ก็ได้ดึงม่านลงมา “จุ๊ ๆ ๆ เขาช่างทำให้คนประทับใจได้อย่างแท้จริง ! ”
ซูโหรวยังคงปักผ้าอยู่ดังเก่า สองตาชำเลืองขึ้นมาและเอ่ยถามว่า “เจ้ามีความคิดเห็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
ซูซูเลิกคิ้วขึ้น “เปล่า ยังคงเป็นขนมดอกกุ้ยฮวาที่ทำให้ข้าประทับใจมากกว่า !”
“ศิษย์น้องหก”
“อือ”
“ช่วงนี้เจ้ากำลังอ่านความฝันในหอแดงงั้นรึ”
มือของซูซูที่หยิบขนมดอกกุ้ยฮวาชะงักลง ในปากเองก็หยุดเคี้ยว นางชะงักไปหลายอึดใจ ในปากจึงเริ่มขยับอีกครา กลืนขนมดอกกุ้ยฮวาในปากลงไป และกล่าวว่า “พวกเจ้าต่างก็บอกกันว่าหนังสือที่เขาเขียนนั้นดีอย่างมาก ข้าเองก็อยากอ่านบ้าง”
“หลังจากได้อ่านแล้วรู้สึกเยี่ยงไร ?”
“อ่า ดีมากเลยล่ะ แต่ตอนจบก็เศร้าเกินไป”
ซูโหรวก้มหน้าปักผ้าต่อ ผ่านไปอยู่เนิ่นนาน จึงได้เอ่ยขึ้นมาอีกครา “ซูซู”
“อือ”
“จากที่เจ้าได้อ่านความฝันในหอแดงด้วยตนเองแล้ว ตกค่ำเจ้าร้องไห้ถึง 5 ครา”
ซูซูผงะไปอีกครา “เปล่านี่ ข้าจะร้องไห้ไปทำไมกัน ? ”
“ซูซูเอ๋ย พี่สาวเคยได้กล่าวกับเจ้าไปแล้ว อดีตก็เหมือนดังเช่นหมอกควัน สิ่งใดที่ควรลืมก็ลืมไปเสีย เจ้าร้องไห้ในขณะที่ฝัน ทั้งยังขานนามบิดาของเจ้าออกมา นี่มันอันตรายอย่างมาก”
ซูซูงงงวยไปทันพลัน ผ่านไปเนิ่นนาน นางจึงกล่าวออกมาอย่างท้อใจ “ศิษย์พี่สาม ข้าไร้หนทางจะลืมได้จริง ๆ โลหิตของคนหลายร้อยกว่าคน เจ้าไม่รู้ถึงเสียงที่ดังออกมายามที่เลือดเหล่านั้นอยู่ในกองไฟด้วยซ้ำ…”
“ไม่ต้องกล่าวแล้ว เจ้าในตอนนี้มิมีโอกาสให้แก้แค้น ปล่อยวางไปก่อนเถิด”
“เจ้าบอกมาสิว่าจะให้ข้าปล่อยวางเยี่ยงไร ! ”
ซูโหรวชำเลืองสายตาขึ้นมาอีกครา ด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย
“ศิษย์น้องหก บางทีเจ้าอาจจะต้องมีความรักที่หวือหวาสักครา ! ”

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนสองวันที่ห้า

แม้จะเริ่มฤดูใบไม้ผลิ แต่อากาศก็ยังคงหนาวเหน็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามเช้าตรู่ที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเช่นนี้

รถม้าของต่งชูหลาน 2 คันได้จอดลงที่หน้าจวนฟู่ นางมีเพียงแค่สาวรับใช้นามเสี่ยวฉีติดตามมาด้วย ของใช้ก็เพียง 4 กระเป๋า

กระเป๋าหนึ่งบรรจุเสื้อผ้า กระเป๋าหนึ่งบรรจุน้ำหอม กระเป๋าหนึ่งบรรจุสบู่และอีกกระเป๋าหนึ่งบรรจุชุดชั้นใน

ของเหล่านี้คือสินค้าล็อตแรกที่จะนำไปราชวงศ์อู่ เพื่อลองค้นหาร้านค้าที่เหมาะสมและวางขาย

ฟู่เสี่ยวกวนก็แสนเรียบง่าย นอกจากพี่น้องซูทั้งสามคนแล้ว เขานำไปเพียงชุนซิ่ว แน่นอนว่ากล่องสีดำนั้นได้ใส่ไว้ในรถม้าเรียบร้อยแล้ว

ทั้งสองเดินทางไปด้วยกัน มีรถม้าทั้งสิ้น 6 คัน ท่ามกลางแสงไฟสลัวจากข้างถนน มุ่งตรงไปยังหงหลูซื่อ

ด้านหน้าประตูใหญ่ของหงหลูซื่อ มีบัณฑิตจำนวน 100 คนยืนอยู่อย่างเป็นระเบียบ พวกเขากำลังพูดคุยกันด้วยสีหน้าท่าทางชื่นชมยินดี ผู้ที่คุ้นเคยกับราชวงศ์อู่ได้เอ่ยถึงที่นั่น ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินว่า  พวกเจ้าไปถึงก็จะรู้เอง เมืองกวนหยุนที่มีชื่อเรียกว่ากวนหยุนนั้น มันมีความหมายว่าชมเมฆา เนื่องจากมันตั้งอยู่สูง มีเมฆลอยอยู่ท่ามกลางเมือง ทิวทัศน์งดงามยิ่ง ดังนั้น… 

เสียงนั้นเบาลง แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับได้ยินอย่างชัดเจน  ดังนั้นสตรีที่เมืองกวนหยุนผิวพรรณจึงผุดผ่องราวเมฆา ! ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ว่า ที่เมืองกวนหยุนนั้นมีจุดชมทิวทัศน์อยู่ 3 จุด จุดที่หนึ่งก็คือกวนหยุนถาย ที่นั่นเกรงว่าพวกเราคงไปมิได้ จุดที่สองคือจายซิงถาย ที่นั่นก็สูงมาก เกรงว่าพวกเราคงไปมิได้เช่นกัน ส่วนจุดที่สามนั้นก็คือหลิวหยุนถายตั้งอยู่ที่ทะเลสาบสือหลี่ !  

 ที่หลิวหยุนถาย เพียงแค่มีเงินก็ไปได้ สตรีที่นั่น หึ ๆ ๆ งดงามพอ ๆ กับหลิ่วเยียนเอ๋อร์แห่งหงซิ่วจาว พวกเจ้าไปเห็นด้วยตาตนเองแล้วจะรู้ แต่กฎระเบียบของหลิวหยุนถายกับหอนางโลมที่เมืองจินหลิงของเรามิเหมือนกัน เพียงเข้าไปก็ต้องจ่าย 10 ตำลึงเป็นค่าผ่านประตู ส่วนจะมีสตรีนางใดสนใจพวกเจ้าและร่วมดื่มด่ำค่ำคืนอันน่าอบอุ่นด้วยหรือไม่ ต้องขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเจ้าแล้ว 

ดังนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น หลาย ๆ คนกระซิบกระซาบกันไปมา ฟู่เสี่ยวกวนเพียงยิ้มแล้วคิดว่าเจ้านี่หน้าเนื้อใจเสือเสียจริง !

บรรดาปัญญาชนมักชื่นชอบเรื่องนี้ นี่คือวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง มิใช่เรื่องผิดกฎหมายแต่อย่างใด ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงมิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว

เขาลงจากรถ และพบว่าด้านนอกมีรถม้า 4 คันจอดอยู่ แต่ละคันช่างหรูหราโอ่อ่า !

หยูเวิ่นหวินนั่งอยู่ภายใน นางโบกมือมายังฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลาน

ทั้งสองเดินตรงเข้าไป หยูเวิ่นหวินยิ้มขึ้น  เราทั้งสามนั่งคันนี้เถิด นั่งสบายดี เสด็จแม่ทรงสั่งทำเมื่อครั้นเดินทางกลับไปยังเมืองฉีโจวเมื่อปีกลาย บัดนี้นางได้มอบให้แก่ข้าแล้ว 

แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องดี ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มอย่างมีเลศนัย ต่งชูหลานเข้าใจในความคิดของเขาจึงหันไปชายตามองเขาด้วยใบหน้าร้อนผ่าว

แต่การเดินทางมาของฉินปิ่งจงเหนือความคาดหมายของเขา

ฉินปิ่งจงเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าฟู่เสี่ยวกวนพร้อมกับเอ่ยว่า  อย่าลืมไปถามเหวินสิงโจว หากเขามีหนังสือเกี่ยวกับทฤษฎีการศึกษาใหม่ ฝากนำกลับมาให้ข้าด้วย 

 ท่านพี่ฉินวางใจได้ ข้าจำได้ขึ้นใจ  ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยด้วยท่าทางเขินอายว่า  ช่วงนี้ข้ามีเรื่องให้จัดการมากทีเดียว มิได้เดินทางไปเยี่ยมท่านที่จวน อย่าได้ใส่ใจไป 

ฉินปิ่งจงโบกไม้โบกมือขึ้น  ข้ารู้ว่าเจ้ามิว่าง อีกทั้ง…ข้ากำลังวุ่นอยู่กับการเรียบเรียงตำรา เกรงว่าไม่มีเวลามากนัก หากเจ้าเดินทางไปที่จวน คาดว่าคงไม่มีเวลามากพอจะต้อนรับเจ้า 

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ แล้วนึกถึงประโยคที่ชางกวนเหวินซิ่วเอ่ยกับเขา  ท่านอายุไม่น้อยแล้ว ข้าอยากจะนั่งดื่มชากับท่านเมื่อมีเวลาและประลองหมากรุกกับท่าน เรื่องตำรานั้นท่านจงทำเป็นงานฆ่าเวลาเถิด ข้าคิดว่าหากท่านทุ่มเทแรงกายแรงใจไปทั้งหมด…ท่านพี่ โปรดฟังข้าสักประโยค ตำราเหล่านั้นจะต้องถูกเมินเฉยเข้าสักวัน 

ฉินปิ่งจงตกตะลึง  เหตุใดจึงกล่าวเช่นนี้ ? 

 ไม่ว่าจะเป็นสังคม ประวัติศาสตร์หรือว่าวัฒนธรรม ล้วนกำลังพัฒนาก้าวไปข้างหน้า เช่นเหวินสิงโจวที่ท่านกล่าวถึง จากการคิดการอ่านของเขา หากพบผู้ทรงปัญญา ก็อาจจะร่วมกันเริ่มลบล้างตำราไปได้ นี่คือการพัฒนาและเป็นส่วนหนึ่งที่ประวัติศาสตร์จำเป็นต้องมี แน่นอนว่าการปรับปรุงทางกฎหมายของเขายังไม่สมบูรณ์ แต่หากได้พัฒนาต่อไปตำราที่ร่ำเรียนกันมาช้านานจะได้รับการเติมเต็มและดียิ่งขึ้น 

ฉินปิ่งจงเผยท่าทีอันเหลือเชื่อออกมา ลึกลงในใจของเขาเชื่อคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนยิ่ง แต่ตำราเหล่านี้ได้ถูกฝังลึกในจิตใจเขาแล้ว และคิดว่าใต้หล้านี้ล้วนมีตำราสูงสุดเพียงเล่มเดียว

มันช่างขัดแย้งกันเสียจริง การปะทะกันของแนวคิดทั้งสองยากเกินกว่าจะตัดสินใจได้ว่าสิ่งใดถูกสิ่งใดผิด

 ส่วนเรื่องทฤษฎีการศึกษาใหม่ ท่านพี่อย่าได้เป็นกังวลใจไป เนื่องจากมิใช่เรื่องที่ทำได้ในวันสองวัน รูปแบบการศึกษาทั้งสองจะปะทะกันแน่นอน และข้ามิอาจรู้ได้ถึงผลที่ออกมา แต่สิ่งเหล่านี้หาได้สำคัญไม่ ข้าเพียงหวังว่าท่านจะดูแลสุขภาพของตนให้ดี และดำรงชีวิตอย่างมีความสุขก็เพียงพอแล้ว 

ฉินปิ่งจงส่ายหัวแล้วเอ่ยอย่างตั้งใจว่า  หาได้ไม่ สิ่งนี้สำคัญยิ่ง !  

ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้จะเอ่ยอย่างไร ผู้ยึดมั่นในการศึกษาแบบเก่าอย่างเขามิได้เปลี่ยนความคิดไปแม้แต่น้อย

ฉินปิ่งจงยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า  ข้าอยากจะเห็นการปะทะกันเช่นนี้…คาดว่า คงจะงดงามราวดอกไม้ไฟ !  

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าชายชราผู้นี้เข้าใจสิ่งใดเกี่ยวกับดอกไม้ไฟผิดไปหรือไม่

นั่นคือการต่อสู้ถึงความเป็นตาย !

จะมีเลือดแปดเปื้อนทั่วประเทศ !

 เอาเถิด เจ้าจงไปทำธุระต่อ ข้าจะกลับแล้ว อย่าลืมนำหนังสือกลับมาให้ข้าด้วย !  

ฉินปิ่งจงโบกมือลาแล้วเดินจากไป ฟู่เสี่ยวกวนมองดูแผ่นหลังอันง่อนแง่นและฝีเท้าที่หนักอึ้งของเขา แล้วคิดไปว่าตนช่างปากหนักเสียจริง การที่เอ่ยไปเช่นนั้น มีแต่จะทำให้เขาครุ่นคิดถึงความแตกต่างของการศึกษาทั้งสอง

ไม่นานต่อมา สวี่หวยซู่ชื่อหลางของกรมพิธีการและต่งเสียงฟางช่าวชิงแห่งหงหลูซื่อได้เดินออกมาจากด้านใน

ต่งเสียงฟางถือบัญชีรายชื่อไว้ในมือ จากนั้นได้ขานชื่อทีละคน สวี่หวยซู่ก้าวขึ้นมาข้างหน้าพร้อมกับเอ่ยว่า

 การเดินทางไปงานชุมนุมวรรณกรรม ณ ราชวงศ์อู่ครานี้ เป็นการประกาศความสามารถด้านวรรณกรรมของราชวงศ์หยู พวกเจ้าล้วนเป็นผู้มีความสามารถแห่งราชวงศ์หยู ข้าขอเอ่ยถึงกฎเกณฑ์ที่พวกเจ้าต้องจำสักเล็กน้อยว่า 

 ข้อที่หนึ่ง การเดินทางในครานี้ยาวไกลนัก ต้องทำตามที่กรมพิธีการกำหนดไว้ หากมีผู้ใดขัดขืน จะตัดสิทธิ์ทันที ทางสำนักศึกษาจะลบรายชื่อของผู้นั้นออกไป จงจำเอาไว้ให้มั่น !  

 ข้อที่สอง เมื่อเดินทางไปถึงยังเมืองกวนหยุนแล้ว พวกเจ้าทั้งหลายจะพำนักที่สถานทูตแห่งราชวงศ์หยู หากมีผู้ใดออกนอกพื้นที่ จำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการ หากเดินทางออกไปโดยพลการ จะตัดสิทธิ์ทันที ทางสำนักศึกษาจะลบรายชื่อของผู้นั้นออกไป จงจำเอาไว้ให้มั่นเช่นกัน !  

 ข้อที่สาม งานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ ฝ่าบาททรงคาดหวังไว้สูงว่าพวกเจ้าจะสร้างชื่อเสียงให้แก่ราชวงศ์หยู และประพันธ์กวีอันงดงามเป็นที่เลื่องชื่อได้ ผู้ใดที่ทำผลงานออกมาได้ดี หลังกลับไปยังเมืองหลวงแล้วมิต้องเข้าร่วมงานชิวเหวย ฝ่าบาทจะประทานตำแหน่งจิ้นซื่อให้ อีกทั้งตำแหน่งขุนนาง 

นี่จึงจะเป็นวัตถุประสงค์หลักของบรรดาบัณฑิตทั้งหลายที่เดินทางมา คนกลุ่มนั้นฮือฮาขึ้น ต่างพากันคิดว่าหากสร้างผลงานได้เหมือนกับฟู่เสี่ยวกวน ได้รับตำแหน่งขุนนางระดับห้าในคราเดียว คงจะดีกว่าการรับหน้าที่เป็นนายอำเภอเขตไกลโพ้น และถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี

 ขอทุกท่านอยู่ในความสงบ !   สวี่หวยซู่ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้เงียบเสียงลง เมื่อกลับสู่ความสงบอีกครั้ง เขาก็กล่าวขึ้นว่า

 ข้อสุดท้าย การเดินทางในครานี้ไม่ว่าที่ใด เวลาใด ทุกคนรวมถึงเจ้าหน้าที่ของกรมพิธีการ ให้ทำตามคำสั่งของไท่จงต้าฟู ฟู่เสี่ยวกวน หากผู้ใดขัดขืน…ประหาร !  

 

ตอนที่ 249 ศาสตราเทพ
ณ วังหลวง
จวนองค์ชายสี่ ห้องอักษร
หยูเวิ่นชูร้อนรนและโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ !
“เจ้าบ้า ! ”
“ฟู่เสี่ยวกวนมันเป็นคนบ้า ! ”
หน้าอกของเขากระเพื่อมขึ้นลงอย่างยากที่จะสงบได้ สีหน้าทะมึนครึม
ฟู่เสี่ยวกวนยิงปืนใหญ่ใส่จวนฮุ่ยชินอ๋องถึง 5 นัด !
ยามที่ฮุ่ยชินอ๋องพาบุตรชาย 2 คนและครอบครัววิ่งออกมา เรียกได้ว่าน่าเวทนายิ่งนัก
ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือด และเสื้อคลุมบนร่างยังคงมีประกายไฟติดอยู่ !
หยูฮวนบุตรคนรองของฮุ่ยชินอ๋องถูกระเบิดจนแขนขาด ท่อนล่างอนุผู้หนึ่งของฮุ่ยชินอ๋องได้หายไป หรือแม้แต่ตัวฮุ่ยชินอ๋อง ก็มีรอยเลือดอยู่หลายแห่ง คาดว่าน่าจะมาจากสะเก็ดระเบิด
ฟู่เสี่ยวกวนกลับหัวเราะและเดินไปเบื้องหน้าฮุ่ยชินอ๋อง ทั้งยังเอ่ยอย่างขัดเขิน “ไอหยา ข้าต้องการเพียงระเบิดจวนชินอ๋องของท่าน ข้าควรจะส่งคนมาแจ้งให้พระองค์อพยพออกมาเสียก่อนจึงจะถูกต้อง ทำผิดไปแล้ว ๆ ขอไม่รบกวนแล้ว พวกข้าขอลา”
เขาโบกมือ และเรียกให้คนมามัดปืนใหญ่และลากออกไปอีกครั้ง
แต่มิได้กลับไปยังจวนฟู่ กลับตรงไปยังวังหลวง
ในตอนนี้ของสิ่งนั้นได้ถูกวางไว้ที่ลานด้านนอกภายในวังเตี๋ยอี๋
ฮองเฮาซั่งพาฮ่องเต้มาสำรวจ “นี่คือปืนใหญ่หงอีที่เจ้าเคยกล่าวไว้รึ ? ”
ฮองเฮาซั่งพยักหน้า
“เหตุใดจึงเป็นสีดำ ? ”
“หม่อมฉันเองก็เคยถามเขาเช่นกัน เขากล่าวว่า…เยี่ยงนั้นก็คลุมผ้าแพรสีแดงให้มัน มันก็จะเป็นปืนใหญ่หงอีแล้วมิใช่หรือ ? ”
ฮ่องเต้ตะลึงงันและส่ายหน้า “ไร้สาระยิ่ง…แต่เจ้าของสิ่งนี้ร้ายกาจอย่างที่เขาว่าเยี่ยงนั้นจริง ๆ รึ ? ”
“เขาบอกว่าเขาได้ทดสอบด้วยตนเองแล้ว กล่าวว่า…ฝ่าบาทโปรดอย่าทรงพิโรธ เพราะของสิ่งนี้มีพลังมากเกินไป เขามิสามารถหาสถานที่ที่ดีได้ในทันที คิดได้ว่าอีกไม่นานฮุ่ยชินอ๋องก็จะจากไปแล้ว สถานที่นั้นก็ใหญ่โต ดังนั้น…ดังนั้นเขาจึงยิงใส่จวนฮุ่ยชินอ๋องไป 5 นัด”
ฮ่องเต้ตกตะลึง ผ่านไปชั่วครู่ ก็หัวเราะเสียงดัง
“ไปไป ไปดูด้วยกันกับข้า”
……
……
เย็นวันนี้ได้กินอาหารเย็นที่จวนต่ง
นอกจากฟู่เสี่ยวกวนและศิษย์ทั้งสามจากสำนักเต๋า ก็ได้มีหยูเวิ่นหวินเพิ่มมาอีกคน
นางเองก็ต้องไปราชวงศ์อู่เช่นกัน
อาหารบนโต๊ะย่อมมีหงเซาซือจึโถว่ที่ฟู่เสี่ยวกวนชอบกิน เขากินอย่างเต็มที่ด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย กินเกลี้ยงโดยแทบจะไม่ต้องล้างจาน ซึ่งทำให้ฮูหยินต่งยิ้มจนปากจะฉีกถึงหู
“เจ้านะ การไปราชวงศ์อู่ครานี้ต้องระมัดระวังให้มากขึ้น อย่างไรเสียที่นั่นก็คือต่างบ้านต่างเมือง…มาทานให้เยอะ ข้าได้ยินมาว่าอาหารของราชวงศ์อู่หยาบเป็นอย่างมาก เจ้าไปครานี้ อีกหลายเดือนกว่าจะได้กลับมา”
กล่าวจบฮูหยินต่งก็คีบหงเซาซือจึโถว่หนึ่งชิ้นให้ฟู่เสี่ยวกวนด้วยตนเอง ต่งซิวเต๋อเฝ้ามองอย่างเงียบ ๆ ยากที่กลืนอาหารในปากยิ่ง
เขารู้สึกไม่ยุติธรรมเป็นอย่างมาก แต่ก็มิมีที่ให้ระบาย นั่นทำให้เขาที่เป็นบุตรชายเจ็บปวดยิ่งนัก
“พวกท่านสบายใจเถิด ฝ่าบาทได้ส่งทหารม้าดำ 500 นายตามไปด้วย และข้างกายก็ยังมีผู้มีฝีมือระดับสูงจากสำนักเต๋าทั้งสาม ความปลอดภัยของพวกข้าย่อมมิมีปัญหา”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวเยี่ยงนั้น ก็เพื่อให้ใจของฮูหยินต่งคลายความกังวล ดังนั้นฮูหยินต่งจึงได้คีบอาหารให้กับซูเจวี๋ย ซูโหรวและซูซู พร้อมกับกล่าวว่า “คงต้องไหว้วานพวกท่านทั้งสามแล้ว เสี่ยวกวนเป็นพวกชอบหาเรื่อง มีพวกเจ้าคอยคุ้มกันอยู่ ข้าก็วางใจ”
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังสงสัยว่าท่านแม่ยายได้เข้าใจตนเองผิดไปหรือไม่ ?
มันมีแต่ผู้อื่นมายั่วแหย่เขามิใช่หรือไง ?
ซูเจวี๋ยกล่าวขอบคุณ “พวกท่านสบายใจเถิด ขอเพียงแค่พวกเราทั้งสามยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาก็จะมิได้แตะแม้แต่ปลายเส้นผมของคุณชายฟู่”
สำหรับชาวยุทธ ฮูหยินต่งเคยมิชอบมาก่อน แต่ในตอนนี้นางกลับชอบอย่างมาก เพราะนางเคยได้ยินมาว่าคนทั้งสามจากสำนักเต๋าเก่งกาจยิ่ง
มีพวกเขาอยู่ จิตใจของนางก็รู้สึกโล่งลงไปไม่น้อย
หลังจากที่ทานอาหารอย่างครึกครื้น ต่งคังผิงก็พาฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ มานั่งข้าง ๆ โต๊ะน้ำชา
ต่งชูหลานต้มชา ต่งคังผิงหันมองฟู่เสี่ยวกวนและเอ่ยถาม “เรื่องนั้นในวันนี้ เจ้าทำไปเพราะเหตุใด ? ”
“ทำให้ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรขอรับ… ท่านพ่อ อ่า ท่านลุง…”
ต่งชูหลานหน้าแดงด้วยความเขินอาย และลอบหยิกฟู่เสี่ยวกวนอยู่ใต้โต๊ะ
ฟู่เสี่ยวกวนแสยะยิ้มและกล่าวว่า “ท่านลุง เป้าหมายของข้าคือเพื่อให้ฝ่าบาททราบถึงความร้ายกาจของปืนใหญ่ นี่คือผลลัพธ์ของสิ่งนี้ เหตุใดปืนใหญ่ในอดีตจึงมิมีความหมายในทางปฏิบัติ นั้นมิใช่ปัญหาของปืนใหญ่ แต่เหตุมาจากด้านกลวิธีเฉพาะ หากฝ่าบาทได้เห็นผลของปืนใหญ่นี้ในการรบ คาดว่าคงเห็นความสำคัญของมัน มีเพียงแค่การเห็นความสำคัญของสิ่งนี้เท่านั้น ที่จะทำให้ราชวงศ์หยูเป็นอันดับต้น ๆ ของทั้งใต้หล้านี้ได้”
ต่งคังผิงคิ้วขมวดในขณะที่ฟัง สิ่งที่เรียกว่าการค้นคว้าในราชวงศ์หยู หรือทั้งใต้หล้านี้ก็มิมีสิ่งที่เรียกว่าการวิจัยอย่างเป็นรูปเป็นร่าง เป็นเพียงสิ่งที่สืบต่อกันมาเท่านั้น ดังนั้นแม้แต่เหล่าช่างในกรมอุตสาหกรรม ก็แทบจะรับสมัครเอาตามท้องตลาด
เมื่อมาได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวเยี่ยงนี้ เขาอยากจะไปเห็นจวนฮุ่ยชินอ๋องยิ่งนัก หากร้ายกาจดังที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวมาจริง ๆ เยี่ยงนั้นก็ควรทูลถวายฮ่องเต้ ลองดูว่าจะสามารถสอนการวิจัยเยี่ยงนี้ขึ้นที่สำนักศึกษาได้หรือไม่
พวกเขาไม่ทราบว่าฮ่องเต้ได้พาฮองเฮาไปที่จวนฮุ่ยชินอ๋องแล้ว หลังจากที่ได้ไปเห็นสภาพ และหลังจากที่ฮ่องเต้และฮองเฮากลับไปยังวังหลวง ฮ่องเต้ก็ได้นั่งอยู่บนเก้าอี้และจ้องมองปืนใหญ่หงอีอยู่นานสองนาน
“ข้าได้ยินมาว่าท่านอาวุโสหลี่ว่าจ้างให้เจ้าเป็นผู้ช่วยสอนงั้นรึ ? ”
“แท้จริงแล้วข้ามิได้อยากจะเป็น แต่เขาต้องการให้ข้าเป็น แต่ข้าคิดว่าก็แค่การเพิ่มตำแหน่ง ทั้งยังได้รับ 30 ตำลึงทุกเดือน จึงได้รับคำไปแล้ว”
“นี่ก็เป็นเรื่องที่ดีสำหรับเจ้าอย่างยิ่ง หลังจากกลับมาจากราชวงศ์อู่ เจ้าควรเข้าสอนที่สำนักศึกษาให้บ่อยครั้ง”
ฟู่เสี่ยวกวนมิเข้าใจ จึงเอ่ยถามขึ้นมา “เพราะเหตุอันใด ? ”
“เพราะ… บัณฑิตเหล่านั้น ภายภาคหน้าพวกเขาจะได้ตีตราในนามของเจ้า พวกเขาก็คือลูกศิษย์ของเจ้า ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจแล้ว
โลกนี้ให้ความสำคัญกับต้นกำเนิด
ด้วยชื่อเสียงของเขา เหล่าบัณฑิตที่เขาได้ฝึกสอนย่อมเป็นการประกาศว่าตนนั้นเป็นลูกศิษย์ฟู่เสี่ยวกวนไปโดยธรรมชาติ ซึ่งก็คือตรา
ต่อจากนั้นไม่ว่าบัณฑิตเหล่านั้นจะเข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก หรือจะกลับบ้านเกิดไปทำสิ่งอื่น แม้ว่าฟ้าจะแตกต่างกัน ตราตัวนั้นก็ยังคงอยู่ และติดตัวไปชั่วชีวิต
หากเขาต้องการมีอำนาจของตนเองในราชสำนัก เขาต้องมีผู้ติดตามของตนเอง และบัณฑิตเหล่านั้นก็เป็นผู้ติดตามที่ดีที่สุด
ฮ่องเต้จะได้ไม่คิดว่าเขานั้นจัดตั้งพรรคพวกเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้ตนเอง อีกสี่ตระกูลทรงอำนาจที่เหลืออยู่ก็จะไม่คิดว่าเขานั้นเข้าไปคุกคามผลประโยชน์ของพวกเขา
เป็นการเติบโตที่หล่อเลี้ยงไปทั่วทุกพื้นที่อย่างเงียบ ๆ ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนต้องการความช่วยเหลือ เขาเพียงชูแขนและกวัดแกว่ง เหล่าบัณฑิตที่ตีตราของเขาก็จะตอบสนองโดยธรรมชาติ
ช่างเป็นขิงแก่ที่เผ็ดร้อนจริง ๆ !
ฟู่เสี่ยวกวนละอายใจกับความคิดในแง่ลบของตนเองก่อนหน้านี้ยิ่ง แทบอดทนที่จะใช้เวลานี้ปรี่ไปหาเหล่าบัณฑิตที่อยู่ในสำนักศึกษานั่น…แล้วล้างสมองพวกเขาไว้
“ไปถึงราชวงศ์อู่ เจ้าย่อมพบกับเหวินสิงโจว ข้าคาดว่าบทกวีงานกวีเทศกาลโคมไฟของเจ้าเกรงว่าจะแพร่ไปถึงราชวงศ์อู่แล้ว ซึ่งนั่นมิใช่เรื่องดีนัก บทกวีของเหวินสิงโจวเป็นลำดับที่หนึ่งบนหินเชียนเปยสือของงานกวีเทศกาลโคมไฟมาโดยตลอด นี่คือความภาคภูมิใจของราชวงศ์อู่ แต่เจ้ากลับไปเหยียบย่ำความภาคภูมิใจของพวกเขาเสีย ถึงแม้เหวินสิงโจวจะไม่คิดเล็กคิดน้อย แต่ลูกศิษย์ของเขากลับกระจายไปทั่วราชวงศ์อู่ ดังนั้นข้าคาดว่าคงมีคนมากมายมาท้าทายเจ้า ราชวงศ์อู่ให้ความสำคัญทางวิทยายุทธ์ พวกเขามิมีทางท้าทายเจ้าในเรื่องวรรณกรรมอย่างแน่นอน เจ้าจงระมัดระวังเอาไว้ ถึงจะยอมแพ้ก็ไม่ต้องกลัวเสียหน้าอันไร อย่างไรแล้วเจ้าก็เป็นนักวรรณกรรม”
ให้ตายเถอะ !
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกว่าชายชราผู้นี้เก่งกาจ เขาแทบจะคาดการได้แล้วว่าตนจะเจออะไรที่ราชวงศ์อู่บ้าง แต่จนถึงวันนี้ตัวเขาก็ยังไม่รับรู้ถึงพลังแต่อย่างใด หรือกล่าวได้ว่าในทางวิทยายุทธ์ เขาเป็นกากเดนที่ไม่เข้าพวก
แล้วนี่จะเปรียบเทียบเยี่ยงไร ?
เยี่ยงนั้นก็ต้องหดหัวอย่างไรเล่า
ข้ามิแสดงตนออกไป พวกเจ้าก็ทำอันใดข้าไม่ได้ !
“ซ่อน ซ่อนอย่างไรก็ซ่อนมิมิด เพราะได้เกี่ยวข้องไปถึงหน้าตาของประเทศ แต่หากเจ้ายอมรับความพ่ายแพ้ต่อหน้าพวกเขา ผู้อื่นก็จะมิคิดว่าเจ้านั้นแพ้อย่างแท้จริง รับรู้ถึงเหตุและผล แม้แต่ราชวงศ์หยูก็เข้าใจจุดนี้เช่นกัน ให้พวกเขากู้หน้ากลับมาในด้านการต่อสู้ก็มิเป็นไรนี่ สิ่งที่สำคัญในตอนนี้คืองานวรรณกรรม เจ้าเพียงแต่ต้องชนะในงานวรรณกรรมเท่านั้น”
ฟู่เสี่ยวกวนรับฟังความคิดเห็นและข้อแนะนำของต่งคังผิงอย่างนอบน้อม หลังจากนั้นเขาจึงออกมาจากที่นั่น และเดินไปยังด้านหลังจวนกับต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน
ด้านหลังจวนคือห้องของต่งชูหลาน
ย่อมมิมีอันใดเกิดขึ้นกับการไปที่นั่น เพียงแต่ไปดูตำราแผนการค้าของต่งชูหลานสำหรับการเดินทางไปราชวงศ์อู่
ความตั้งใจของต่งชูหลานนั้นชัดเจนยิ่ง คือต้องการสร้างสาขาถิงเหม่ยขึ้นในเมืองกวนหยุนของราชวงศ์อู่
ฟู่เสี่ยวกวนเคยได้กล่าวเกี่ยวกับสิ่งนี้ไปแล้ว จะทำกิจการต้องคิดการใหญ่ ต้องขยายให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ นี่เป็นการขยายไปนอกประเทศคราแรก ต่งชูหลานต้องระมัดระวังและตั้งใจเป็นอย่างมาก
เมื่อมาถึงห้องส่วนตัว ฟู่เสี่ยวกวนก็ประหลาดใจกับห้องส่วนนี้อย่างมาก
นี่คือสถานที่ของสตรีที่ยังมิได้ออกเรือน ตามที่เคยได้ดูละครมา ห้องสตรีมักจะมีสิ่งของหัตถกรรม แต่หลังจากที่เขาได้สำรวจห้องของต่งชูหลานมาชั่วครู่…เอาเถอะ ที่นี่มิมีสิ่งของในแบบสตรีสักอย่าง
หลังจากนั้นสายตาของเขาก็จดจ้องไปที่มุมห้อง !
สายตาของเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง แม้แต่ใจก็เต้นแรงขึ้นกว่าเดิม !
หยูเวิ่นหวินที่สังเกตเห็นท่าทางของฟู่เสี่ยวกวน จึงได้เอ่ยถาม “เป็นอันใดกัน ? ”
ต่งชูหลานมองตามสายตาของฟู่เสี่ยวกวน ตรงมุมนั้นมีกล่องสีดำที่นางนำกลับมาจากหลินเจียงเมื่อปีที่แล้ว
“มิทราบว่าเป็นของสิ่งใด เปิดไม่ออก”
แต่เหมือนฟู่เสี่ยวกวนจะมิได้ยิน เขาปรี่เข้าไปอย่างรวดเร็ว และยกกล่องดำนั้นมา แล้ววางไว้บนโต๊ะอักษร
เพราะไม่ได้สนใจมาเนิ่นนาน กล่องดำนั้นจึงเต็มไปด้วยฝุ่น
ต่งชูหลานที่เห็นฟู่เสี่ยวกวนให้ความสำคัญถึงเพียงนั้น ก็หยิบผ้าเช็ดมือมาเช็ดฝุ่น และจึงเอ่ยถามว่า “เจ้ารู้จักของสิ่งนี้รึ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนลูบกล่องดำนั้นอย่างแผ่วเบา สัมผัสที่คุ้นเคยจากฝ่ามือ ทำให้เขาหัวเราะ
“ข้าคิดว่า ข้าน่าจะรู้จักมัน”
ต่งชูหลานชะงัก “เปิดได้เยี่ยงไร ? เป็นสิ่งใดกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ลายนิ้วมือ ร่างกายได้เปลี่ยนไปแล้ว ลายนิ้วมือจะยังใช้ได้ผลหรือไม่ ?
แต่วิญญาณของตนข้ามภพมา ตามหลักเหตุผลแล้ว ของสิ่งนี้มิควรจะตามเขามาด้วยจึงจะถูก
เขากลืนน้ำลาย ถูมือไปมา และกดนิ้วชี้ลงไปตรงตำแหน่งแสกนลายนิ้วมือของกล่องดำนั้นอย่างระมัดระวัง
เสียง แคร่ก ! ดังขึ้นมา ฟู่เสี่ยวกวนตื่นเต้นอย่างมาก และมิมีเหตุผลอื่นใดที่จะกล่าวได้
กลอนล็อคของกล่องดำถูกเปิดออก
เขาเปิดกล่องดำนั้นออก สิ่งที่อยู่ด้านในคืออาวุธสามชิ้นที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี !
บาร์เร็ตต์ปืนไรเฟิลต่อต้านอาวุธ !
ปืนพกเหยี่ยวทะเลทราย !
ทั้งยังมีดาบปลายกระบอกปืนอีกหนึ่งด้าม!
ชั้นที่สองคือลูกกระสุน กระสุนปืน .50BMG ห้านัด กระสุนปืนพก .44 สามสิบนัด !
มือของฟู่เสี่ยวกวนแตะที่บาร์เร็ตต์ เขาหยิบมันขึ้นมา พาดกับบ่าเล็งไปทางท้องฟ้าสีดำด้านนอกและเปิดกล้องส่องยามค่ำคืน เป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยยิ่ง !
นี่ต่างหากที่เป็นรากฐานของข้าในโลกใบนี้ !
มีมันอยู่ในมือ หึหึ หากจงใจส่งเป่ยหวังฉวนมาให้เขา…เทพบู๊ก็แค่ผายลม
“นี่คือสิ่งใดกัน ? ” หยูเวิ่นหวินเอ่ยถาม
“ศาสตราเทพ ! ”
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนสองวันที่สี่
ในวันพรุ่งนี้จะต้องออกเดินทางแล้ว รายชื่อผู้เดินทางไปยังราชวงศ์อู่ได้กำหนดไว้เรียบร้อย
บัณฑิตจากสำนักศึกษาจำนวน 80 คน ฟู่เสี่ยวกวนได้เขียนนามลงไปเพียงคนเดียวคือ บุตรชายลุงรองของต่งชูหลาน นามว่าต่งซิวหวย ส่วนที่เหลืออีก 19 คน เขาได้ยกให้กับคนในเสมียนกลาง
ทำให้เพื่อนร่วมงานในเสมียนกลางมองฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนไปในทางที่ดีไม่น้อย
เยี่ยนเป่ยซีเพียงเอ่ยว่าไร้สาระ ส่วนซังหยูหัวเราะออกมาแล้วยัดเยียดหลานชายตนเข้ามา นามว่าซังเหลียง ในปีที่แล้วเขาสอบเข้าที่สำนักศึกษาจี้เซี่ยมิได้ จึงได้ศึกษาที่สำนักศึกษาจิงหวาแห่งเมืองหลวง
กรมพิธีการได้เตรียมสิ่งต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว ในวันพรุ่งนี้เวลาพระอาทิตย์ขึ้น ทุกคนที่มีรายชื่อจะไปรวมตัวกันที่หงหลูซื่อและออกเดินทางในยามเฉิน
ฟู่เสี่ยวกวนได้ฟังคำบัญชาจากฮ่องเต้และฮองเฮาซั่งมาแล้ว ดังนั้นเช้าวันนี้เขาจึงมิต้องไปยังราชวัง บัดนี้เขาอยู่ในจวนของตน
เขาเริ่มกังวล
ก่อนหน้านี้ฉินเฉิงเย่กล่าวว่าการทดลองปืนใหญ่สำเร็จแล้ว และได้ให้ขนส่งซีซานส่งมายังเมืองหลวง แต่บัดนี้ถ้ายังมามิถึง เกรงว่าเขาอาจจะมิมีโอกาสไประเบิดจวนฮุ่ยชินอ๋องเสียแล้ว
รอไปรอมา ปืนใหญ่ก็ยังคงส่งมาไม่ถึง เพียงไม่นานก็มีใครบางคนที่เขาไม่คาดคิดว่าจะมา แต่กลับมาพบเขาถึงจวน
เขาคือองค์ชายสี่ หยูเวิ่นชู !
หยูเวิ่นชูสวมชุดเรียบง่ายสะอาดสะอ้าน ด้านหลังมีสตรีนางหนึ่งสวมชุดเขียว สะพายดาบเล่มยาวอยู่
จากการนำทางของผู้เฝ้าประตู พวกเขาเดินตรงเข้ามาอย่างช้า ๆ
ทั้งสองคนสบตากัน ณ สวนหลังจวน จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้พาพวกเขาไปยังศาลาหลีเฉินซวน
“เดิมทีข้าคิดว่าหลังจากวันที่สองเดือนสอง การล่าสัตว์ ณ หนานซาน หากเจ้ายังมิตาย ข้าจะมาพบเจ้าเสียหน่อย คาดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุการณ์ที่สุสานราชวงศ์ขึ้น จึงทำให้ยกเลิกกิจกรรมล่าสัตว์ไปเสีย อีกทั้งเจ้าเองจะเดินทางไปในวันพรุ่งนี้ ข้าจึงได้เลือกที่จะเดินทางมาในวันนี้
ฟู่เสี่ยวกวนต้มน้ำชา เขาเงยหน้าขึ้นยิ้มแล้วเอ่ยว่า “กระหม่อมเคยได้ยินชื่อเสียงขององค์ชายสี่มาช้านาน เสี่ยวกวนเองก็อยากจะมีโอกาสเข้าเฝ้าองค์ชายเช่นกัน เมื่อไม่กี่วันก่อนเคยได้พบท่านครั้งหนึ่งที่พระตำหนักของไทเฮา ทำให้กระหม่อมกินมิได้นอนมิหลับ คาดมิถึงว่าองค์ชายสี่จะทรงเสด็จมาด้วยตนเอง ทำให้การพบกันที่กระหม่อมคิดไว้เปลี่ยนไปมากเสียทีเดียว”
หยูเวิ่นชูเผยอยิ้มแล้วเอ่ยถามว่า “เช่นนั้น เจ้าคิดว่าจะได้พบกับข้าด้วยฉากเช่นใดกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนก้มหน้าก้มตา นำมือลูบไปยังจมูกของตนแล้วรินน้ำชาให้หยูเวิ่นชู “มีอยู่สองกรณี อาจจะพบกันท่ามกลางดอกไม้และแสงจันทร์ หรือ…ท่ามกลางพายุฝนอันเหน็บหนาว”
“เยี่ยงไรจึงจะถือว่าเป็นดอกไม้ใต้แสงจันทร์ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาให้ตนเอง ครั้งนี้เขาก้มหน้าครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า “หากกระหม่อมเอ่ยออกไป คาดว่าองค์ชายสี่คงมิเชื่อ กระหม่อมนั้นมิใช่คนที่มุ่งมั่นอันใด กระหม่อมเองเคยบอกกับใครหลาย ๆ คน แต่ทว่าพวกเขามิเชื่อ กระหม่อมหวังว่าองค์ชายจะเชื่อ กระหม่อมอยากเป็นเพียงพ่อค้าที่ดินธรรมดา ๆ พูดคุยกับบรรดาเกษตรกรทั้งหลายถึงเรื่องการเพาะปลูก หรือไม่ก็พาภรรยาและลูก ๆ ออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศ เพียงเท่านี้จริง ๆ ”
คิ้วขององค์ชายสี่เลิกขึ้นเล็กน้อย “เช่นนั้นเจ้าเดินทางมาเมืองหลวงเพื่อเหตุใดกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหัวแล้วเอ่ยว่า “กระหม่อมมิได้อยากให้เป็นเช่นนี้ เหตุการณ์ต่าง ๆ นั้นได้พากระหม่อมไปไกลยิ่ง มีผู้คนมากมายต้องการชีวิตกระหม่อม ต้องการให้ตระกูลฟู่ต้องตาย…”เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังองค์ชายสี่ แล้วเอ่ยต่อไปว่า “แม้แต่มดตัวเล็ก ๆ ยังรักในชีวิตมัน กระหม่อมขออภัยที่ต้องเอ่ยถามกลับว่า หากมีคนต้องการชีวิตองค์ชายสี่ ท่านจะดิ้นรนต่อสู้หรือไม่ ? ”
เขาถอยหลังไปเล็กน้อย ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ดังนั้นกระหม่อมเพียงแค่ต่อสู้เพื่อเอาตัวรอด เหตุใดจึงมักมีคนเห็นว่ากระหม่อมกีดขวางทางของพวกเขา จะทำให้พวกเขาเดือดร้อน และต้องการกำจัดกระหม่อม กระหม่อมจึงทำได้เพียงดิ้นรนต่อสู้อย่างสุดกำลัง จึงทำให้กลายมาเป็นเช่นปัจจุบัน”
“หากเจ้ากลับไปเสียบัดนี้ ข้าจะช่วยให้เจ้าไม่ยากแค้นไปทั้งชีวิต”
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังหยูเวิ่นชู ทั้งสองคนสบตากันอีกครั้ง เนิ่นนานทีเดียว ฟู่เสี่ยวกวนจึงหัวเราะออกมา “เชิญองค์ชายสี่ดื่มชา”
หยูเวิ่นชูตะลึง เขาเข้าใจในความหมายของฟู่เสี่ยวกวนดี
“บัดนี้หยูเวิ่นเทียนได้ไปยังกองทัพตะวันออก เขาจะมิกลับมาที่เมืองหลวงอีก ส่วนน้องห้าได้ฝึกวิชาต่อสู้แต่เล็ก เขาไร้ความปรารถนาเข้าแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้ เสด็จพ่อมีเพียงบุตรชาย 3 คน บัดนี้ข้ามิต้องทำสิ่งใด ตำแหน่งฮ่องเต้ก็จะกลายเป็นของข้าอย่างแน่นอน เจ้ามิเชื่อข้างั้นรึ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ตอบเขา แต่กลับถามว่า “ ในหมู่เจ้าหน้าที่ของท่าน ปู้เนี่ยนซือไท่มีบทบาทอันใดรึ ? ”
“สายลับ นางเป็นเพียงผู้ส่งสารเท่านั้น มิใช่บทบาทสำคัญอันใด”
“นางเข้าไปเป็นเจ้าหน้าที่ได้เยี่ยงไร ? ”
“เจ้าเอ่ยถามเรื่องเหล่านี้ก็มิมีประโยชน์ใด ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนค่อย ๆ ก้มหน้าลง เขาคิดในใจว่าองค์ชายสี่ไม่รู้ว่าปู้เนี่ยนซือไท่เป็นใครเยี่ยงนั้นรึ ?
“เพียงแค่ประหลาดใจเท่านั้น หากองค์ชายสี่มิประสงค์จะเอ่ย กระหม่อมก็มิถามต่อ”
หยูเวิ่นชูก็ประหลาดใจยิ่ง หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนจะไม่รู้เกี่ยวกับตัวตนของปู้เนี่ยนซือไท่จริง ๆ งั้นรึ ?
เกี่ยวกับเรื่องนี้ หยูเวิ่นชูมิได้ตอบสิ่งใดออกไป เพียงเอ่ยออกมาว่า “เรื่องลอบทำร้ายเจ้าในปีก่อน ข้าเป็นคนสั่งการเอง เกี่ยวกับเรื่องนี้เจ้าสามารถเสนอความต้องการมาได้ หากข้าทำได้ รับรองว่าข้าจะให้สัญญาแก่เจ้า”
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังหยูเวิ่นชูอีกครั้ง เขาช่างตรงไปตรงมาอย่างแท้จริง
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านเป็นถึงองค์ชายสี่ มิจำเป็นต้องทำเช่นนี้ เรื่องนั้นมิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด และได้ผ่านมานานแล้ว จงอย่าได้เอ่ยถึงอีกเลย”
หยูเวิ่นชูนิ่งเงียบ จากที่เขารู้จักฟู่เสี่ยวกวน เจ้าหมอนี่มีแค้นย่อมต้องมีชำระ แม้ปากจะเอ่ยเช่นนี้ แต่มิรู้ว่าเขาเตรียมแผนการใดไว้แล้วบ้าง
ตนได้เสนอสิ่งดี ๆ ออกไปมากมาย แต่เขากลับไม่รับมันแม้แต่ข้อเดียว มองดูแล้วการเดินทางมาในครานี้คงล้มเหลว
เขาดื่มชาเข้าไปแล้วถอนหายใจออกมา จากนั้นลุกขึ้นยืน
“การเดินทางไปราชวงศ์อู่ในครานี้หนทางยาวไกลนัก ที่บริเวณภูเขาฉีซานมีโจรค่อนข้างมาก เจ้าจงดูแลตนเองให้ดี”
ฟู่เสี่ยวกวนก็ลุกขึ้นยืน ยิ้มตอบ “ขอบพระทัยองค์ชายใหญ่ที่ทรงเป็นห่วง ฮ่องเต้ทรงส่งอัศวินดำร่วมเดินทางไปด้วย คาดว่าคงมิมีปัญหาอันใด”
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ! ”
เขาก้าวเดินออกไปทางประตูด้วยสีหน้าเย็นยะเยือกดุจน้ำแข็ง
สตรีที่อยู่ด้านหลังเขาก็มองมาทางฟู่เสี่ยวกวน ดาบที่สะพายไว้คล้ายจะถูกหยิบขึ้น
แต่ก็มิได้หยิบออกมา
เนื่องจากบัดนี้ลูกศิษย์ของสำนักเต๋าทั้งสามอยู่ ณ ที่นี้ด้วย
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มอย่างพอใจ แล้วส่งองค์ชายสี่มายังห้องโถงด้านหน้า แต่คาดมิถึงว่าขนส่งซีซานมาถึงแล้ว
ปืนใหญ่สีดำตั้งไว้ในห้องโถง ด้านข้างมีกล่องใส่ลูกระเบิดดินปืน
ฟู่เสี่ยวกวนดีใจยิ่ง เขาเดินไปลูบปืนใหญ่ที่เย็นเยือก เขาหันไปเอ่ยกับองค์ชายสี่ว่า “หากองค์ชายทรงมีเวลา สนใจไปร่วมชมละครกับกระหม่อมหรือไม่ ? ”
หยูเว่นชูหยุดฝีเท้าลง เขาหันหลังไปมองของสิ่งนั้นแล้วมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน “ละครอันใดกัน ? ”
“ระเบิดจวนฮุ่ยชินอ๋อง ! ”
หยูเวิ่นชูขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ จากนั้นชี้ไปยังสิ่งของที่ตั้งวางอยู่ “นี่คือระเบิดงั้นรึ ? ”
“ใช่ขอรับ นี่คือระเบิด ! ”
ที่โลกนี้เดิมทีมีระเบิดอยู่แล้ว แต่เนื่องจากการผลิตดินปืนระเบิดยังมิได้มีการพัฒนาอย่างเต็มที่ จึงได้หยุดค้างไว้ ณ จุดเริ่มต้น ไม่มีหัวทิศทาง ยิงได้ไม่แม่นยำนัก ยากต่อการเคลื่อนย้ายอีกทั้งยังต้องคำนึงถึงสภาพอากาศ
ดังนั้นเจ้าสิ่งนี้จึงไม่นิยมใช้ในสงคราม เพียงแต่ประดับไว้ที่กำแพงเมือง อีกทั้งยังต้องดูแลรักษาทุกวัน เนื่องจากบรรดานายพลมิชอบ จึงทำให้สำนักอาวุธปืนมิได้พัฒนาสิ่งนี้ให้ดีขึ้น
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับให้ความสนใจและกำชับกับฉินเฉิงเย่ถึงความสำคัญของสิ่งนี้ และแนะนำวิธีการพัฒนา
หากปืนใหญ่นี้สามารถสร้างออกมาได้ตามที่คิดไว้ มันจะกลายเป็นสิ่งสำคัญที่บุกเบิกยุคสมัยใหม่
ฟู่เสี่ยวกวนสั่งให้คนนำผ้าสีแดงคลุมไปบนปืนใหญ่ จากนั้นใช้ม้าลากไป ตามด้วยคนจำนวนหนึ่งตรงไปยังตรอกซานเยวี่ย
หยูเวิ่นชูเชิญให้ฟู่เสี่ยวกวนนั่งรถม้าของเขาไปด้วยกัน ขณะนั่งอยู่ในรถม้าเขาก็มองมาทางฟู่เสี่ยวกวนแล้วหัวเราะว่า “เจ้าช่างใจกล้าเสียจริง”
“ดังนั้นกระหม่อมจึงได้เชิญองค์ชายสี่ไปด้วยกัน”
“ในเมื่อวันรุ่งขึ้นเจ้าจะต้องออกเดินทาง เมื่อเจ้ากลับมาคาดว่าฮุ่ยชินอ๋องคงจะไปถึงหลิงหนานแล้ว ชีวิตนี้คงมิมีโอกาสพบกันอีก เจ้าจำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยรึ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเปิดม่านออกมองไปด้านนอก
“ที่นี่คือถนนสายยาว ในวันนั้นแสงอาทิตย์มิได้อบอุ่นเท่าใดนัก กระหม่อมดีใจยิ่งที่ได้มารับแสงแดดอุ่น ๆ ในวันนี้ มิเช่นนั้นกระหม่อมคงได้นอนอยู่ใต้ผืนดินเสียวันนั้นแล้ว”
เขาปล่อยม่านลง มองไปยังหยูเวิ่นชูแล้วเอ่ยอย่างแน่วแน่ว่า “หากทำเรื่องใดผิดไป ก็สมควรจะได้รับบทลงโทษ ชีวิตกระหม่อมยึดถือคติที่ว่า หากใครมิได้รุกรานข้า…ข้าจะไม่รุกรานเขา ! ”
หยูเวิ่นชูนิ่งเงียบไปนานกว่าจะยิ้มออกมาว่า “ดังนั้นข้าคิดว่าดอกไม้ใต้แสงจันทร์คงดีเสียกว่า”
“กระหม่อมก็คิดเช่นนั้น กระหม่อมคิดหวังดีแต่เขากลับมิรู้ถึงความหวังดีของกระหม่อม องค์ชาย ท่านสามารถบอกกระหม่อมได้หรือไม่ว่า ภายใต้วัดฟูจื่อนั้น มีความลับใดอยู่กันแน่ ? ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของหยูเวิ่นชูค่อย ๆ จางหายไป สตรีที่อยู่ข้างเขาแผ่รังสีอำมหิตออกมา
ฟู่เสี่ยวกวนมองดูสตรีชุดเขียวนั้น มิได้ใส่ใจสายตาของนางแม้แต่น้อย “หนานป้าเทียน ผู้ที่เจ้าส่งออกมาจากจวนฮุ่ยในวันนั้น คือผู้ใด ? ”
“เฉ้ง… ! ”
หนานป้าเทียนหยิบดาบออกมา หยูเวิ่นชูตบบ่าเบา ๆ เป็นสัญญาณว่าให้เก็บดาบนั้นลงไป จึงทำให้รังสีอาฆาตจากหนานป้าเทียนคลายลง
“เจ้าคิดว่าเจ้ารู้เรื่องราวมากมาย แท้จริงแล้วรู้เพียงเท่าปลายภูเขาน้ำแข็งอันเรียวบาง จากที่ข้ามองดู เกรงว่าจะเป็นดอกไม้ใต้แสงจันทร์ไปมิได้แล้ว…” หยูเวิ่นชูสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วถอนหายใจออกมา “เช่นนั้นคงต้องเป็นพายุฝนอันหนาวเหน็บ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาเสียงดังแล้วนำมือตบลงที่หัวเข่า “องค์ชายทรงน่าสนใจยิ่ง”
คิ้วของหนานป้าเทียนขมวดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วนึกในใจว่าเจ้าหมอนี่…น่ารำคาญเสียจริง !
รถม้ามาถึงยังหน้าจวนฮุ่ยชินอ๋อง ฟู่เสี่ยวกวนกำชับให้คนนำปืนใหญ่ไปวางไว้ที่ถนน แล้วเล็งปากกระบอกปืนไปยังจวนฮุ่ยชินอ๋อง
เขาเข้าไปปรับทิศทางด้วยตนเอง จากนั้นสอนพวกเขาแล้วให้บรรจุลูกกระสุนดินปืนเข้าไป
“องค์ชาย ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดกระหม่อมจึงต้องการระเบิดจวนฮุ่ยชินอ๋อง ? ”
หยูเวิ่นเทียนชายตามองเขาแล้วนึกในใจว่า เจ้านี่ชอบถามเรื่องไร้สาระเสียจริง
“หากด้วยเรื่องของการแก้แค้นเรื่องราวที่ถนนสายยาวนั่นเป็นเพียงเหตุผลข้อสอง เนื่องจากกระหม่อมชนะแล้ว อีกทั้งยังขับไล่ฮุ่ยชินอ๋องออกจากเมืองหลวงได้…” เขาเล็งเป้าอย่างตั้งใจ พยายามปรับทิศทางปากกระบอกปืนให้ตรงที่สุด ทั้งยังยื่นนิ้วหัวแม่มือออกมาเพื่อกะตำแหน่ง แล้วเอ่ยต่อไปว่า “คาดว่าท่านคงไม่รู้ ว่าในวันนั้นกระหม่อมเอ่ยกับคนของเขาไปว่าอย่างไร…”
เขาหยิบตะบันไฟขึ้นมา จากนั้นจุดไปที่กระสุนดินปืนแล้วเอ่ยจนจบประโยคว่า “กระหม่อมกล่าวว่า กระหม่อมจะระเบิดจวนฮุ่ยชินอ๋องให้ราบเป็นหน้ากลอง ! ”
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นปิดหู องค์ชายสี่ยังมิเข้าใจสิ่งที่เขากระทำ ได้แต่มองเห็นว่าไฟกำลังจะเผาเชือกจนสิ้น
จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังสนั่นคล้ายฟ้าถล่ม “ตู้ม… ! ”
ควันเขม่าสีดำลอยฟุ้ง ลูกกระสุนระเบิดลอยออกไป
เพียงชั่วครู่
ก็ได้ยินเสียงดัง “ตู้ม… !” สนั่นขึ้นอีกครา ในจวนฮุ่ยชินอ๋องปรากฏเปลวไฟ จากนั้นจึงเกิดความโกลาหล มีทั้งเสียงกรีดร้อง เสียงของความเจ็บปวด เสียงโหยหวน
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ใส่ใจว่าจะได้ยินเสียงใด เขาให้คนใส่กระสุนดินปืนเข้าไปอีกลูกหนึ่ง จุดไฟ
“ข้าบอกแล้วว่า จะระเบิดจวนฮุ่ยชินอ๋องของเขาให้ราบเป็นหน้ากลอง ! ”
รัชสมัยเซวียนลี่ที่ 9 เดือนที่สองวันที่หนึ่ง ฮ่องเต้ได้ออกพระราชโองการมาสองสามฉบับ ก่อให้เกิดผลกระทบใหญ่หลวงต่อเมืองหลวงเป็นอย่างมาก
ประการแรกได้แต่งตั้งให้พระสนมซั่งเป็นฮองเฮา เป็นผู้นำวังหลัง และเป็นมารดาของใต้หล้า !
ประการที่สองมีรับสั่งให้องค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียนเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพชายแดนตะวันออก และให้เฟ่ยอันเป็นผู้บัญชาการของกองทัพชายแดนตะวันออก แล้วให้ออกเดินทาง เพื่อปราบปรามแคว้นอี๋โดยทันที
ประการที่สามรับสั่งให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นราชทูตในงานชุมนุมวรรณกรรมราชวงศ์อู่ และให้ออกเดินทางในเดือนสองวันที่ห้า
เกี่ยวกับพระราชโองการฉบับที่หนึ่งและฉบับที่สาม ไม่ว่าจะเป็นทางราชสำนักหรือประชาชนในเมืองหลวงต่างก็ไร้คำคัดค้าน ต่างก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่คู่ควร มีเพียงราชโองการฉบับที่สอง ที่เบื้องบนและเบื้องล่างต่างมีการต่อต้านกันอย่างรุนแรง
บนราชสำนักเยี่ยนเป่ยซีได้ลุกออกมา และอธิบายการกระทำขององค์ชายใหญ่ให้เหล่าขุนนางฟัง ถึงแม้ในใจของขุนนางเหล่านั้นจะยังมีข้อสงสัยมากมาย แต่ก็ยังคงเชื่อ หรือหากจะต้องกล่าวก็คือเชื่อในตัวเยี่ยนเป่ยซี
แต่ประชาชนก็ยังคงวิจารณ์เรื่องนี้กันอย่างดุเดือด จนกระทั่งหลังจากที่ฮ่องเต้ได้แจกจ่ายประกาศไปอีกครา ทุกคนจึงได้เข้าใจว่าแท้จริงแล้วเป็นการใส่ร้ายองค์ชายใหญ่
องค์ชายใหญ่ทำให้ตนเองเสื่อมเสียเพื่อบ้านเมือง ถึงได้ทำให้ตระกูลชือและตระกูลเฟ่ยต้องล้มลง
และในตอนนี้องค์ชายใหญ่ก็จะออกเดินทางไปเพื่อบ้านเมือง ฮ่องเต้ได้ออกมาส่งที่ประตูทางตะวันออกด้วยตนเอง ทั้งยังสวมเสื้อคลุมให้เขาด้วยพระองค์เอง นั่นแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าองค์ชายใหญ่มิได้ก่อกบฏ ท้ายที่สุดแล้วหากเป็นบุตรของตนก่อเรื่องใหญ่ ข้าเองก็คงจะต้องตบตีสั่งสอนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไหนเลยจะมาแสดงท่าทีรักใคร่เยี่ยงฮ่องเต้กัน
ยิ่งไปกว่านั้นฮองเฮาซั่งก็ได้มาส่งด้วยตนเอง ทั้งยังมอบกระบี่ให้แก่องค์ชายใหญ่อีกด้วย
ดังนั้นเสียงจากประชาชนจึงกลับตาลปัตรทันพลัน และส่งผลกระทบต่อขุนนางจำนวนมาก ขุนนางที่เคยมีข้อสงสัยก็ได้ปล่อยวางข้อสงสัยไปในที่สุด และยอมรับว่าที่องค์ชายใหญ่แสดงเป็นกบฏก็เพื่อบ้านเมืองเท่านั้น
เพียงแต่…เหล่าขุนนางที่ถูกจำคุกกับองค์ชายใหญ่กลับมิได้ถูกปล่อยตัวออกมา อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนกล่าวว่าขุนนางเหล่านั้นสร้างปัญหาไว้มากมาย พวกเขาคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังของขุนนางที่คิดฉ้อโกงของทั้งสิบสามกรมแห่งราชวงศ์หยู และมิได้เกี่ยวข้องกับองค์ชายใหญ่
คำอธิบายเยี่ยงนี้ดูฝืนใจเป็นอย่างมาก แต่ก็เหมือนกับจะอธิบายได้เพียงเท่านี้
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มาร่วมส่งองค์ชายใหญ่ด้วยเช่นกัน
หยูเวิ่นเทียนกระซิบข้างกูฟู่เสี่ยวกวนว่า “ช่วยข้าดูแลโหรวอี๋ด้วยเถิด ข้าให้นางไปพักที่หอเยียนหยู่ บัดนี้นางกำลังตั้งครรภ์อยู่ด้วย อย่าได้เอ่ยเรื่องนี้กับผู้ใดเชียว ! ”
ให้ตายเถอะ !
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย !
…..
สำนักศึกษาจี้เซี่ยอยู่ในฐานะสำนักศึกษาระดับสูงที่สุดของราชวงศ์หยู ดังนั้นจึงมีความต้องการที่สูงมากเช่นกัน
ตัวอย่างเช่นพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก และยังมีอาคารอีกหลายสิบหลัง
“สำนักศึกษานี้มีอยู่ตั้งแต่ราชวงศ์ก่อน ในเวลานั้นมีนามว่าสำนักศึกษาเว่ยยาง เพราะอยู่ใกล้กับทะเลสาบเว่ยยาง เพียงแต่หลังจากที่ก่อตั้งราชวงศ์หยู นามนั้นก็ได้เปลี่ยนเป็นสำนักศึกษาจี้เซี่ย มีความหมายว่าการศึกษาเพื่อบ้านเมือง”
ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่เบื้องหน้าประตูอาคารที่โอ่อ่าและสง่างามของสำนักศึกษาจี้เซี่ย ชางกวนเหวินซิ่วชี้ไปยังสี่ตัวอักขระขนาดใหญ่ที่แกะสลักอยู่บนประตู “สี่อักขระนี้คือตำราของฉินอีโหรวนักปราชญ์ในช่วงก่อตั้งของราชวงศ์หยู ก็คือบรรพบุรุษของฉินปิ่งจงในตอนนี้ รูปแบบวรรณกรรมที่ถ่ายทอดกันมาของตระกูลฉินนั้นยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก แต่เหมือนจะขาดหายไปในรุ่นของฉินปิ่งจง ดังนั้นก่อนจะออกเดินทางเจ้าก็ควรไปเยี่ยมเขาเสียหน่อย ช่วงนี้เขาหมกมุ่นกับบทประพันธ์ของเหล่าบัณฑิต เยี่ยงนั้นเขาจะถึงแก่ชีวิตเอาได้”
ฟู่เสี่ยวกวนผละสายตากลับมา ประหลาดใจอยู่เล็กน้อย “เหตุใดจึงจะถึงแก่ชีวิตกัน ? ”
“บัณฑิตในหลายพันปี ต้องคิดและสร้างบทประพันธ์ใหม่ออกมา ทำร้ายสมองยิ่ง ข้าจึงยกย่องเขาอย่างมาก แต่ข้าก็ยังอยากมีชีวิตอยู่ไปอีกหลายปี”
ชางกวนเหวินซิ่วได้พาฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าประตูนั้นมา เมื่อเงยหน้ามาก็พบเห็นถนนที่กว้างขวาง สองข้างทางมีต้นดอกกุ้ยฮวาอยู่เป็นจำนวนมาก แต่บนต้นย่อมมิมีดอก มีเพียงหิมะสีขาวโพลน ทั้งยังมีน้ำแข็งที่เกาะกิ่งไม้ยาวสามฉื่อ
“นี่คือถนนชูเซียงของสำนักศึกษา ในราชวงศ์ก่อนสองข้างทางนี้ได้ปลูกต้นดอกซากุระ ไท่จู่มิชื่นชอบ คิดว่าดอกซากุระนี้สวยงามเกินไป มิเหมือนดอกกุ้ยฮวาที่เรียบง่ายแต่หรูหราและมีความหอมที่หลบซ่อนอยู่ แท้จริงแล้ว มันเกิดขึ้นตอนไท่จู่ไปที่แหล่งดอกกุ้ยฮวาฉงโจวบนถนนเจี้ยนหนานซี เขาคิดถึงกลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวา ต้นไม้เหล่านี้ถูกย้ายมาจากแหล่งดอกกุ้ยฮวาจากพื้นที่ห่างไกลไปพันลี้ จนถึงช่วงของฤดูใบไม้ผลิ สำนักศึกษาที่ใหญ่โตนี้ก็จะหอมกรุ่นไปด้วยดอกกุ้ยฮวา หากมีลมพัด ทั้งจินหลิงก็อบอวลไปด้วยกลิ่นดอกกุ้ยฮวา ความหมายของข้าคือ น้ำหอมดอกกุ้ยฮวาของเจ้า อย่าได้นำมาขายในเมืองหลวงในช่วงที่ฤดูใบไม้ผลิ มิฉะนั้นย่อมขายมิได้อย่างแน่นอน”
ฟู่เสี่ยวกวนถูกจับได้อย่างไม่ทันได้ตั้งตัว เขาหัวเราะร่า รู้สึกว่าคำพูดของชางกวนเหวินซิ่วช่างมีเหตุผล คงต้องบอกต่งชูหลานไว้เสียหน่อย
พวกเขาเดินต่อไปข้างหน้า ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้พบว่าสองข้างทางของถนนชูเซียงมีอาคารสองชั้นสามชั้นอยู่เป็นจำนวนมาก
“นั่นคือสถานที่ฝึกสอนของสำนักศึกษา ด้านซ้ายและขวาคือระดับเริ่มต้น เป็นบัณฑิตที่เข้ามาเป็นปีแรก”
หากเทียบเท่ากับยุคปัจจุบันก็คือปีหนึ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าและเดินต่อไป จนมาถึงจุดสิ้นสุดของถนนชูเซียง จึงได้พบเห็นแท่นขนาดใหญ่ บนแท่นนั้นมีรูปคนที่ถูกแกะสลักอย่างประณีตอยู่สามคน
“นั่นคือสถานที่จัดงานชุมนุมวรรณกรรม เหล่าบัณฑิตจะจัดงานชุมนุมวรรณกรรมที่นั่น อือ รูปปั้นเหมือนเหล่านั้นคือนักปราชญ์ทั้งสาม”
“พวกเราต้องไปที่ใดรึขอรับ ? ”
“พวกเราจะไปสำนักศึกษากลาง”
“สำนักศึกษากลางอยู่ที่ใดขอรับ ? ”
“เดินผ่านมาแล้ว…ความตั้งใจของข้าคือเจ้ายังมิเคยมาสำนักศึกษาแห่งนี้ ข้าจึงพาเจ้ามาเดินรอบ ๆ ”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก เดินผ่านมาแล้วหรือ ?
“ข้าคิดว่ารีบไปยังสำนักศึกษากลางเถิด เวลากระชั้นชิด รีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ”
ชางกวนเหวินซิ่วค่อนข้างเสียใจ “สำนักศึกษาแห่งนี้ยังมีสถานที่ที่มีชื่อเสียงอีกมาก เช่นวงการวรรณกรรม, ชูเซียง และเสวียห่าย เป็นทะเลสาบแห่งหนึ่ง ที่เชื่อมต่อกับทะเลสาบเว่ยยาง ทิวทัศน์ค่อนข้างงดงาม ทั้งยังมีเกาะเล็ก ๆ เป็นเกาะที่สงบ ดังนั้นจึงได้นามว่าเกาะชิงโยว เป็นสถานที่ที่เหล่าบัณฑิตชอบไปกัน”
คาดว่าที่ไปที่นั่นก็เพื่อพักผ่อนหย่อนใจมิใช่รึ ?
ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังกลับ และเดินไปทางตะวันออก เป็นถนนเส้นใหญ่อีกเส้น แคบไปเกือบครึ่งเมื่อเทียบกับถนนชูเซียง แต่ยังคงสามารถรองรับรถม้าที่สัญจรผ่านไปมาได้ เมื่อเทียบกับตรอกและถนนที่แคบในเมืองหลวง
“ได้ยินมาว่าสำนักศึกษาเปิดสถานสอนการต่อสู้รึขอรับ ? ”
“ได้ตกต่ำลงแล้ว อยู่ด้านในสุด ตอนนี้ศิษย์ของสถานสอนการต่อสู้มีเพียง 300 คน ค่อนข้างน่าสงสาร เพราะโดนบัณฑิตที่ร่ำเรียนวรรณกรรมข่มจนมิอาจเงยหน้าขึ้นมาได้”
“มีหนทางใดที่จะฟื้นฟูสถานสอนการต่อสู้ได้บ้างขอรับ ? ”
ชางกวนเหวินซิ่วลูบเครา และส่ายหน้า “นอกจากจะให้ฝ่าบาทแก้ไขนโยบาย ยกระดับนักรบเท่านั้น มิเช่นนั้น ก็จัดการได้ยากยิ่ง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจอย่างมาก เพียงแต่ต้องทำเช่นไรจึงจะทำให้ฮ่องเต้แก้ไขนโยบายนี้ได้ ?
ชางกวนเหวินซิ่วมิได้กล่าวว่าฮ่องเต้จะมิมีทางแก้ไขนโยบาย เพราะหากมีนักรบมากเกินไปก็มิเป็นการดีแก่ราชสำนัก
ถึงแม้นักวรรณกรรมจะไม่สามารถนำทหารได้ แต่นักวรรณกรรมสามารถจัดการได้ง่าย ต่อให้นักวรรณกรรมก่อเรื่องอันใดก็มิใช่เรื่องใหญ่ต่อประเทศชาติบ้านเมือง
แต่นักรบนั้นไม่เหมือนกัน พวกเขาหัวแข็ง หากควบคุมอำนาจได้ ความไม่พอใจที่มีต่อราชสำนัก คงจะลงเอยด้วยการถืออาวุธดาหน้าเข้ามาเป็นแน่
เคยเกิดเรื่องแบบนี้หลายครั้งหลายคราในยามไท่จู่และเกาจู่ ดังนั้นนโยบายการเมืองของราชวงศ์หยูจึงได้เริ่มแก้ไขขึ้นมา
วรรณกรรมเฟื่องฟูขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนด้านการทหารก็เสื่อมโสมลงเรื่อย ๆ เช่นกัน จนมาถึงวันนี้ ที่แคว้นอี๋เข้ามารุกราน คาดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะมิสำรองเงินให้เหล่าแม่ทัพ !
แน่นอนว่าความหมายของฮ่องเต้คือต้องการให้หยูเวิ่นเทียนออกมา แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังคงมองออกว่ามีนายพลน้อยอย่างมาก มิเช่นนั้นฝ่าบาทคงมิให้เฟ่ยอันเป็นตัวเลือกที่สอง
อยากให้ประเทศมีความมั่นคงในระยะยาว จะพึ่งพาเพียงนักวรรณกรรมไม่ได้ !
แต่เขาในยามนี้ยังไร้หนทางจะไปเกลี้ยกล่อมฝ่าบาทได้
ในตอนที่สะบัดไล่ความคิดนั้นออกไป พวกเขาก็ได้เดินมาถึงลานกว้างที่ใหญ่มากแห่งหนึ่ง
ฝั่งตรงข้ามลานกว้างก็คืออาคารยาวสามชั้น บนหลังคาของอาคารยาวนั้นมีอักขระว่า สำนักศึกษากลาง
“ที่นี่คือส่วนจัดการระบบทั้งหมดของสำนักศึกษา คณบดีของสำนักศึกษาเจ้าก็เคยพบพานมาแล้ว คือนักปราชญ์ใหญ่ของยุค มีนามว่าหลี่ชุนเฟิง คือชายชราผ่ายผอมที่เข้าร่วมประเมินบทกวีของเจ้าในงานกวีเทศกาลโคมไฟ”
ฟู่เสี่ยวกวนนึกขึ้นมาได้ ยามนั้นหลังจากที่เขาได้ประพันธ์ ชิงหยู่หว่าน ค่ำคืนแห่งหยวนเซียว แท้จริงแล้วมีชายชรารูปร่างผ่ายผอมท่าทางบ้าบิ่นผู้หนึ่ง ในยามนั้นชางกวนเหวินซิ่วและฉินปิ่งจงมิได้แนะนำ คาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นนักปราชญ์ใหญ่ ทั้งยังเป็นคณบดีสูงสุดของสำนักศึกษาจี้เซี่ย
พวกเขาเดินเข้าไปยังอาคารใหญ่ของสำนักศึกษากลาง ชางกวนเหวินซิ่วพาฟู่เสี่ยวกวนขึ้นไปยังชั้นสาม จนมาถึงห้องทำงานของคณบดีหลี่ชุนเฟิง
“ไอหยา ชางกวน เจ้าได้ทำความดีมาหนึ่งเรื่องแล้ว ! ศิษย์น้องฟู่เข้ามา ๆ มานั่งเถิด” หลี่ชุนเฟิงเดินมาหาอย่างรวดเร็ว และกล่าวทักทายฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทีกระตือรือร้นยิ่ง
“คำนับท่านคณบดีหลี่ เชิญท่านนั่งเถิด คนรุ่นหลังเยี่ยงข้านั่งลงคงได้เป็นลมล้มพับขอรับ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ศิษย์น้องฟู่เอ๋ย การศึกษาไร้ลำดับหน้าหลัง ผู้บรรลุคือผู้มาก่อน ลองไถ่ถามสวรรค์ดูว่ายังจะมีผู้ใดที่จะได้สลักเป็นลำดับที่หนึ่งบนหินเชียนเปยสือถึงสามแผ่นบ้าง ข้าชื่นชมเจ้ามาเนิ่นนานแล้ว มิต้องเกรงใจ ๆ ”
ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิมีทางนั่งลงไป หลังจากที่ปฏิเสธไป หลี่ชุนเฟิงทำได้เพียงนั่งลง ในขณะที่ต้มชาก็กล่าวขึ้นมาว่า “ข้ามีความคิดหนึ่งที่อยากจะมากล่าวให้ศิษย์น้องฟู่ฟัง เป็นเยี่ยงนี้ ข้าอยากจะเชิญศิษย์น้องฟู่มาเป็นอาจารย์พิเศษของสำนักศึกษา… ”
“เจ้าอย่าเพิ่งรีบปฏิเสธ ข้าทราบว่าเจ้ากำลังยุ่งกับเรื่องในราชสำนักเป็นอย่างมาก แต่คงมิได้ยุ่งไปตลอดเวลาใช่หรือไม่ สำนักศึกษามิได้มีเงื่อนไขอื่นใดกับเจ้า แค่ให้เจ้ามาบรรยายที่นี่สักหนึ่งถึงสองคาบเรียนหากมีเวลาว่าง มิมีก็มิเป็นไร ถือว่าเป็นการเพิ่มชื่อเสียงก็ได้ ถือว่ามาเพิ่มพูนวรรณกรรมให้แก่สำนักศึกษา เห็นเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนไม่อาจปฏิเสธอย่างง่ายดาย ถึงแม้จะไม่ได้ถูกควบคุม แต่เกรงว่าตนนั้นจะมิมีเวลามาที่นี่อีก ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า
หลี่ชุนเฟิงดีใจอย่างมาก “ชางกวน เจ้ามาช่วยต้มชาเถอะ ข้าจะไปที่นั่น ! ”
ชายชราที่ผ่ายผอมวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ชางกวนเหวินซิ่วกลับเอ่ยขำ ๆ “เขามีนิสัยเยี่ยงนี้แหละ เร่งรีบ ข้ารู้ว่าในใจเจ้ามีความคิดอันใดอยู่ แต่ข้าก็ยังจะขอเอ่ยว่า”
“หากเจ้ามีเวลา ก็มาสอนเหล่าบัณฑิตที่นี่เถิด”
“ผู้ฝึกสอนมิพอรึ ? ”
ชางกวนเหวินซิ่วส่ายหน้า “ชื่อเสียงของเจ้าในหมู่บัณฑิตสูงส่งยิ่ง เรียกได้ว่าเป็นแบบอย่างของเหล่าเยาวชน ผลกระทบที่ตามมาจากการที่เจ้าเข้าสอนย่อมมิมีผู้ใดเทียบได้ ต่อให้เป็นข้าหรือหลี่ชุนเฟิง ก็ทำมิได้”
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าหากเขาปลูกฝังการรบและการค้นคว้าให้กับเหล่าบัณฑิตแทน จะถูกหลี่ชุนเฟิงผู้นั้นตีหัวไล่ออกจากสำนักศึกษาหรือไม่ ?
เขามิได้รับปากกับชางกวนเหวินซิ่ว เพราะเขายุ่งมากจริง ๆ
หลังจากกลับมาจากราชวงศ์อู่เขายังต้องกลับไปยังหลินเจียง เขาต้องไปตรวจตราที่ซีซานอีกครา เขายังต้องไปดูพื้นที่พัฒนาของเขตเหยา หลังจากนั้นก็ต้องไปเขตชวีอี้และผิงหลิง
ยุ่งราวกับสุนัขก็ไม่ปาน !
เพียงไม่นาน หลี่ชุนเฟิงก็วิ่งกลับมาอีกครา ในมือถือเสื้อสีดำ ทั้งยังมีสัญญาว่าจ้างอีกหนึ่งฉบับ
“ท่านเตรียมไว้นานแล้วเยี่ยงนั้นรึ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวยิ้ม ๆ
“แน่นอน ชุดนี้ย่อมพอดีกับร่างกายของศิษย์น้อง ส่วนหนังสือเจ้าก็ลองอ่านดู เห็นว่าเหมาะสมก็ลงลายนิ้วมือ และเจ้าก็จะได้เป็นอาจารย์รับเชิญของสำนักศึกษาแล้ว”
“แล้วรายชื่อของผู้ที่จะเดินทางไปราชวงศ์อู่ล่ะขอรับ ? ”
“ตรงนี้ ข้างบนนี้คือ 80 คน ส่วนที่เหลือ 20 คนนี้ เจ้าเขียนด้วยตนเอง !”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองชายชราผู้นั้น ชายผู้นี้มิเลว !
ตอนที่ 246 ต้มสุราอีกสักกา
ณ ห้องทรงพระอักษรวังหลวง
ขันทีเจี่ยยังคงยืนโค้งคำนับอยู่ที่ด้านหน้าประตู
ฟู่เสี่ยวกวนลอบคิดในใจว่า ในโลกนี้คงมีเพียงที่นี่เท่านั้น ที่ผู้มีความสามารถระดับเซิ่งเจียยืนเป็นยามเฝ้าประตู
ฮ่องเต้ประทับอยู่ ณ ที่นั่งมังกร โต๊ะน้ำชาด้านข้างมีเยี่ยนเป่ยซีและเยี่ยนซือเต้านั่งอยู่
ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไป เขามิได้เอ่ยเรื่องที่หยูเวิ่นเทียนก่อกบฏแม้แต่คำเดียว แต่กลับอธิบายถึงความเป็นมาที่องค์ชายใหญ่ต้องมารับเคราะห์กรรมเช่นนี้
เยี่ยนเป่ยซีฟังดูแล้วคิ้วที่เคยขมวดแน่นกลับคลายลง เยี่ยนซือเต้าคล้ายจะเอ่ยอันใดกับฟู่เสี่ยวกวน แต่กลับถูกเยี่ยนเป่ยซีโบกมือเป็นสัญญาณให้หยุดเสียก่อน
“เรื่องนี้ทำให้เวิ่นเทียนต้องชอกช้ำไม่น้อย ข้าขอเอ่ยตามตรงกับพวกเจ้าว่า เรื่องเป็นไปเช่นนั้นจริง ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวน เจ้าคิดว่าเวิ่นเทียนจะเป็นแม่ทัพได้หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนโค้งคารวะ “ทูลฝ่าบาท แท้จริงแล้วองค์ชายใหญ่จงรักภักดีต่อราชวงศ์หยู อีกทั้งเคารพในตัวฝ่าบาทยิ่ง รวมไปถึงองค์ชายใหญ่ได้เรียนรู้ฝึกฝนการทหารมาอย่างหนักตั้งแต่ยังเยาว์ เขาเป็นผู้มีความสามารถ ดังนั้นกระหม่อมคิดว่าแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพตะวันออกนอกจากองค์ชายใหญ่แล้ว มิมีผู้ใดเหมาะสมเท่ากับเขาอีกแล้ว แต่ว่า…”
เขาหยุดลงชั่วครู่ ทำให้หัวใจของฮ่องเต้เต้นแรงขึ้นไปอีก…พระองค์เกรงว่าบุตรชายของตนจะได้รับความสะเทือนจิตใจเป็นเวลานานจึงไม่รับหน้าที่นี้ ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยต่อไปว่า “องค์ชายใหญ่มีความคิดเห็นว่าการเปลี่ยนตัวแม่ทัพนี้เดิมก็เป็นเรื่องที่มิถูกมิควร ประกอบกับตัวเขามิเข้าใจถึงกองกำลังทหารตะวันออกอย่างแน่ชัด ทหารของแคว้นอี๋ได้บุกเข้ามาแล้ว เขาไม่มีเวลามากพอที่จะทำความเข้าใจกับทหารภายใต้การปกครอง ดังนั้นองค์ชายใหญ่จึงร้องขอฝ่าบาททรงรับสั่งให้เฟ่ยอันรับหน้าที่เป็นรองแม่ทัพ ติดตามเขาไปร่วมทำสงครามด้วยพ่ะย่ะค่ะ !”
ในที่สุดฮ่องเต้ก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “ตกลง ! ขันทีเจี่ย รีบเรียกตัวหยูเวิ่นเทียนและเฟ่ยอันมาพบข้า ! ”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”
ขันทีเจี่ยโค้งรับจากนั้นเดินออกไป เมื่อเขาเดินมาถึงประตูได้ส่งสายตาแห่งความชื่นชมมายังฟู่เสี่ยวกวน
“เวิ่นเทียนฝากคำกล่าวใดมาให้ข้าหรือไม่ ? ”
“ทูลฝ่าบาท องค์ชายใหญ่ตรัสว่า…ชีวิตนี้เขาตั้งใจอย่างยิ่งที่จะทำงานในกองทัพทหาร การเดินทางไปครานี้…เขาจะมิกลับมายังเมืองหลวงอีก ! ”
ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจยิ่ง ส่วนเยี่ยนเป่ยซีได้ยินประโยคนี้ก็โล่งใจ เยี่ยนซือเต้าตั้งใจฟังทุกทำพูด เขาเองก็สงสัยเช่นกัน หรือเหตุการณ์ในวันนั้นเป็นเพียงการจัดฉาก ?
หากเป็นเช่นนั้นจริง ฮ่องเต้ช่างเก่งกาจเสียจริง !
ทรงเตรียมแผนการได้อย่างแยบยลยิ่ง !
ฮ่องเต้ทรงพระปรีชาเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนออกมาจากห้องทรงพระอักษรวังหลวง เขาหยุดคิดเพียงครู่แล้วจึงตัดสินใจเดินไปทางด้านหลังของวัง
ฟู่เสี่ยวกวนพบเข้ากับขันทีเหนียนที่หน้าวังเตี๋ยอี้ จึงได้รู้ว่าเวิ่นหวินมิได้อยู่ด้านใน เขาจึงเตรียมตัวหันหลังกลับ แต่กลับถูกหยูเวิ่นเต้าเรียกเอาไว้ “เสด็จแม่ต้องการพบเจ้า”
แท้จริงฟู่เสี่ยวกวนก็อยากจะเข้าเฝ้าพระสนมซั่งด้วยเช่นกัน ด้วยเรื่องขององค์ชายใหญ่
อาจจะเป็นเพราะอากาศเริ่มอุ่นขึ้น พระสนมซั่งจึงไม่ได้ประทับในวัง แต่กลับอยู่ในสวนดอกไม้ของนาง
หยูเวิ่นเต้าพาฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปด้านใน พระสนมซั่งกำลังใช้จอบขุดดินตรงบริเวณที่เคยเป็นสวนเบญจมาศ
เมื่อมองเห็นฟู่เสี่ยวกวน นางจึงได้ยืดหลังตรงแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อ
“กระหม่อมมิได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนพระสนมเป็นเวลานาน โปรดอย่าได้ถือโทษกระหม่อม” ฟู่เสี่ยวกวนโค้งคารวะ พระสนมซั่งยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ยังมีจอบอีกหนึ่งด้าม”
ฟู่เสี่ยวกวนมองตามมือไป แล้วเดินไปหยิบจอบขึ้นมา เขามิได้เอ่ยอันใด แต่กลับขุดดินอย่างชำนาญ
“วันนี้เวิ่นหวินออกไปข้างนอก นางมิได้ไปหาเจ้างั้นรึ ? ”
“อ่า ! ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้กระหม่อมเข้าเฝ้า เกรงว่าจะคลาดเคลื่อนกันเป็นแน่”
“เทศกาลฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว ในที่สุดเรื่องวุ่นวายในเมืองหลวงก็เริ่มคลี่คลายเสียที เรื่องที่เหลืออยู่ข้าจะจัดการเอง ต่อจากนี้เจ้าจงเตรียมตัวให้ดี ข้าได้คัดเลือกคนจากชางกวนเหวินซิ่วแล้ว พรุ่งนี้เจ้าจงไปดูที่สำนักศึกษาและเลือกคนที่ต้องการ ที่หงหลูซื่อก็ได้เตรียมการไว้พอประมาณแล้ว ผู้ที่ติดตามไปมีสวี่หวยซู่ชื่อหลางแห่งกรมพิธีการ ข้าบอกเจ้าไว้ล่วงหน้าว่า หลังจากเดินทางกลับมาคาดว่าคงจะได้เลื่อนขั้นเขาเป็นเสนาบดีกรมพิธีการ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้หยุดขุดดิน เขาฟังอย่างตั้งใจและมิได้ออกความคิดเห็นเรื่องการเลื่อนตำแหน่งของชื่อหลาง
“เวิ่นหวินเรียกร้องจะตามเจ้าไป ข้าจึงได้หาข้ออ้างว่าให้นางไปเยี่ยมเสด็จป้าหยูหยู เจ้าเองก็ควรตามไปเยี่ยมกับนางด้วย นางเป็นมเหสีของติ้งกั๋วโหว อยู่ภายใต้การดูแลของติ้งกั๋วโหว ดังนั้นเจ้าคงจะจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ในราชวงศ์อู่ได้ง่ายขึ้น”
“เรื่องอื่น ๆ ฝ่าบาทจะทรงกำชับแก่เจ้าเอง เรื่องเหล่านั้นเป็นเรื่องราวของประเทศ ข้ามิอยากเอ่ยให้มากความ เมื่อเจ้าเดินทางไปถึงราชวงศ์อู่แล้ว จงทำตามที่ฝ่าบาทกำชับก็จะไม่เกิดเรื่องขัดข้องอันใด”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า จากนั้นเอ่ยถามเรื่องที่มิเกี่ยวข้องกับประโยคสนทนาเมื่อสักครู่กับพระสนมซั่งว่า “เหตุใดฝ่าบาททรงเชื่อใจองค์ชายใหญ่ถึงเพียงนี้ ? ”
“จัดการเรียบร้อยแล้วเยี่ยงนั้นรึ ? ”
“พ่ะย่ะค่ะ คาดว่าเรียบร้อยแล้ว”
พระสนมซั่งเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ นางเลิกคิ้วแล้วกล่าวว่า “ผู้ชายมักจะประทับใจในรักคราแรก”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลง รักคราแรกงั้นรึ ? เซวี๋ยปิงหลานเป็นรักแรกของฮ่องเต้รึ ?
“เขาเป็นบุตรชายของเซวี๋ยปิงหลาน อีกทั้งหลังไต่สวนขันทีเว่ย จึงรู้ว่าขันทีเว่ยเป็นคนของลัทธิจันทรา ดังนั้นฝ่าบาทจึงคิดว่าองค์ชายใหญ่ถูกขันทีเว่ยเป่าหู”
พระสนมซั่งถอนหายใจออกมาอีกครั้งแล้วเอ่ยว่า “นับแต่ประสูติออกมาก็มิมีมารดา จึงทำให้ฝ่าบาททรงรู้สึกว่าติดค้างเขา ดังนั้นต่อให้องค์ชายใหญ่จะก่อเรื่องราวใหญ่โตเพียงใด ฝ่าบาทก็จะหาเหตุผลให้เขาออกมาได้เสมอ การที่เขามีชีวิตที่ดีจึงจะทำให้ฝ่าบาททรงวางพระทัยได้ และไม่รู้สึกผิดต่อเซวี๋ยปิงหลาน”
ฟู่เสี่ยวกวนมิกล้าเอ่ยต่อ บรรยากาศเงียบไปเนิ่นนาน จนกระทั่งพระสนทซั่งยิ้มเยาะออกมาว่า “ใคร ๆ ต่างก็พากันคิดว่าข้าเป็นสตรีผู้มากความสามารถ แต่พวกเขาคิดผิด แม้แต่สตรีที่ตายจากไปยี่สิบกว่าปีแล้ว ข้ายังมิอาจเอาชนะได้”
“ช่างเถิด หน้าดินที่สวนเบญจมาศนี้ปรับเรียบร้อยแล้ว ในปีหน้าค่อยทำการลงปลูกใหม่ คาดว่าคงจะงดงามไม่น้อย”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอย่างรอบคอบแล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “เช่นนั้น…พระนางคิดว่าหยูเวิ่นเทียนควรจะอยู่ ? หรือควรจะตาย ? ”
ครั้งนี้กลายเป็นพระสนมซั่งที่มิได้เอ่ยอันใดออกมา จนกระทั่งปรับหน้าดินแล้วเสร็จ นางจึงตอบอย่างจริงจังว่า “เขาเป็นบุตรชายของฝ่าบาท และเรื่องนี้ก็ทรงทำให้พระองค์หนักใจ นับแต่นี้ไป เจ้าจงลืมเรื่องนี้ไปเสีย ! ”
“จงจำไว้ ลืมมันเสียให้สิ้น ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง แต่เขาก็พยักหน้าตอบรับ
ให้ตายเถอะ ความลับนี้คาดว่าคนในราชวงศ์หยูที่รับรู้น้อยเสียจนนับนิ้วได้ การที่เขาได้แบกความลับนี้เอาไว้ไม่ต่างจากการกำระเบิดไว้ในมือ อีกทั้งสลักระเบิดยังอยู่ในมือของฮ่องเต้อีกด้วย
……
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนกลับไปถึงจวนของเขาด้วยท่าทางทุกข์ใจ คาดมิถึงว่ามีใครบางคนรอเขาอยู่ที่จวน
เฟ่ยอัน !
รูปลักษณ์ภายนอกของอดีตนายพลแห่งกองทัพตะวันออกช่างไม่น่าดูเท่าใดนัก
ผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดเครารุงรังจนมองไปคล้ายกับหญ้ารกร้าง
สีหน้าของเขาดูไม่ดีเท่าไร แลเศร้าหมองมากกว่าตอนที่อยู่ในคุกจินหลิงเสียอีก
“เดิมทีข้าคิดว่าจะเชิญเจ้าไปร่วมดื่มสุรากับข้าที่จวน แต่คิดไปคิดมา เกรงว่าเจ้าคงมิไป ดังนั้นจึงทำได้เพียงมารอเจ้าที่นี่”
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลง เฟ่ยอันก็ยกสุราลังโตขึ้นมาไว้บนโต๊ะ “ข้านำสุรามาแล้ว กับแกล้มคงต้องรบกวนเจ้า”
“มิมีปัญหา !”
เฟ่ยอันต้มสุราอย่างจริงจัง สายตาของเขาเพ่งเล็งไปยังเครื่องแก้วสุรา ส่วนฟู่เสี่ยวกวนมองดูเขาแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเยี่ยงนี้รึ ? ”
“ตระกูลข้าพบเจอกับเรื่องเลวร้ายถึงเพียงนี้ จะให้ข้าหวีผมประแป้งงั้นรึ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “อืม ถูกของเจ้า จะไปเมื่อใด ? ”
“พรุ่งนี้เช้า เพราะเหตุนี้หากข้าไม่มา เกรงว่าเจ้าจะมิได้พบข้าอีกแล้ว”
สุราต้มได้ที่ ควันหอมกรุ่นโชยมา
เฟ่ยอันรินสุรามา 2 จอก แล้วส่งให้ฟู่เสี่ยวกวน 1 จอก “จอกนี้เพื่อการที่ข้าได้มองเจ้าใหม่ตอนอยู่ในคุก”
“ประกาศเหล่านั้นข้าเป็นคนทำเอง ดังนั้นเจ้ามิได้เข้าใจข้าผิด”
“ข้ารู้ว่าประกาศเหล่านั้นเจ้าเป็นผู้ทำออกมา ข้าหมายถึงว่าก่อนหน้านี้ข้าดูถูกเจ้ามากเกินไป เจ้าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ หากข้ามีชีวิตรอดกลับมา คาดว่าเจ้าคงจะได้รับเลือกเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่แล้ว”
“ขอให้เป็นเยี่ยงนั้น ! ”
ทั้งสองคนดื่มสุราจนหมด จากนั้นเฟ่ยอันก็รินใหม่จนเต็ม
“คราก่อนเจ้าเอ่ยเรื่องของปู้เนี่ยนซือไท่ นางเองก็เป็นคนของลัทธิจันทรา ซึ่งลัทธิจันทรานั้นก่อตั้งขึ้นโดยองค์หญิงจิ้งอัน พวกเขาเคลื่อนไหวตลอดเวลาบริเวณซีฮวงหรือจวนซีหรง ที่แห่งนั้นมีภูมิประเทศซับซ้อน กล่าวกันว่าราชสำนักสร้างขึ้นมา แต่มิได้เข้าไปดูแล แต่ไหว้วานให้คนในท้องถิ่นจัดการ”
“บั้นปลายชีวิตขององค์หญิงจิ้งอันน่าจะอยู่ที่จวนซีหรง เนื่องจากนางเป็นราชินีแห่งชนเผ่าซีหรง นางมีอำนาจล้นหลามในซีฮวง ดังนั้นลัทธิจันทราจึงเป็นลัทธิที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งชนเผ่าซีหรง”
ฟู่เสี่ยวกวนดื่มสุราเข้าไป จากนั้นเอ่ยถามด้วยท่าทางประหลาดใจว่า “เจ้ารู้ได้เยี่ยงไร ? ”
“เนื่องจากก่อนที่ข้าจะเดินทางไปยังกองทัพตะวันออก ข้าคือเชียนฮู่ของจิงหยูเว่ย ได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้องค์ก่อนให้จับกุมตัวองค์หญิงจิ้งอัน ดังนั้นข้าจึงเดินทางไปยังซีหรง อีกทั้งยังได้พบเข้ากับนาง”
“มิได้จับกุมงั้นรึ ? ”
“หาได้ไม่ อีกทั้งเกือบจะตายด้วยน้ำมือของนาง”
“เก่งกาจถึงเพียงนั้นเชียวรึ ? ”
“อาจารย์ของนางคือหยางเสี่ยนจือ เทพบู๊ของราชวงศ์ก่อน เจ้าว่าเก่งหรือไม่ ? ”
เทพบู๊งั้นรึ น่ากลัวจริง ๆ
“เจ้าบอกสิ่งเหล่านี้แก่ข้าแล้วมันมีประโยชน์อันใด ? ”
“หอซี่หยู่อยู่ในมือของเจ้า ข้าหวังว่าเจ้าจะหาตัวปู้เนี่ยนซือไท่พบ จากการสอบสวนนาง จะทำให้สามารถตามหาเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์ก่อนให้ครบ จากนั้นก็จงทำลายล้างเสียอย่าให้เหลือ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะหึ ๆ เขาใช้ตะเกียบหยิบกับแกล้มขึ้นมากินแล้วนึกในใจว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องอันใดกับข้าเล่า !
แต่ท่าทีของเฟ่ยอันจริงจังยิ่ง เขาจ้องมองมายังฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยว่า “ข้าต้องไปแล้ว มิสามารถตามหาปู้เนี่ยนซือไท่ด้วยตนเองได้ บัดนี้ผู้ที่รู้เรื่องของลัทธิจันทรามีอยู่ไม่มาก ข้าเกรงว่าพวกมันจะแทรกตัวเข้ามาในราชวังแล้ว เหมือนกับขันทีเว่ยนั่น หากพวกมันกระทำสิ่งใดขึ้นมา…เกรงว่าเจ้าคงไม่มีโอกาสกลับไปเป็นพ่อค้าที่ดิน ณ หลินเจียงอีกแล้ว ! ”
ขนาดนั้นเชียวรึ ?
ฟู่เสี่ยวกวนตกใจและขมวดคิ้วขึ้น
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับเขาและครอบครัว แน่นอนว่าเขาจะต้องนำมันมาใส่ใจ
“นอกเสียจากแม่ชีชรานั่นแล้ว เจ้ายังมีข้อมูลอื่นอีกหรือไม่ ? ”
“ในตอนนั้นองค์หญิงจิ้งอันถ่ายทอดลัทธิอยู่ที่ซีหรง นางได้สอนวรยุทธ์ที่พิเศษแก่คนในลัทธิจันทรา คล้ายกับการที่แม่ชีชรานั่นแกล้งตาย สิ่งนั้นเป็นวิชาลับของหยางเสี่ยนจือ เรียกว่าวิชากัศยปแสร้งตาย”
เพียงเท่านี้รึ… ?
ยากที่จะแยกแยะเสียจริง บรรดาคนในลัทธิพวกนั้นคงจะมิใช้ไม้ตายเดียวกันมิใช่รึ ?
“มีอย่างอื่นอีกหรือไม่ ? ”
“มิมี ! ”
เช่นนั้นคงต้องดื่มสุราอีกจอก
“ชาวบ้านทั้งแปดร้อยคนของหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ภูเขาฉีเหลียนนั่นเป็นมาเยี่ยงไร ? ”
“เป็นฝีมือของขันทีฉาง”
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วเล็กน้อย เรื่องนั้นเป็นฝีมือของขันทีงั้นรึ ? แล้วเหตุใดฮ่องเต้ทรงให้เฟ่ยอันเป็นแพะรับบาป ?
“การที่เจ้าเดินทางไปตะวันออกครานี้ เจ้ามิได้คุ้นเคยกับพื้นที่เหมือนกับทางใต้ เจ้ามีวิธีจัดการเยี่ยงไร ? ”
เฟ่ยอันหัวเราะออกมา ยกจอกสุราขึ้นแล้วกล่าวว่า “นายทหารระดับผู้นำของกองทัพตะวันออกนั้นน้องชายข้าเป็นผู้จัดการ ข้ามีรายชื่อพวกเขาอยู่ในมือ สิ่งนี้เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาตั้งใจทำสงคราม”
“แต่ว่าเจ้า…” เฟ่ยอันดื่มสุราเข้าไปแล้วเอ่ยว่า “การเดินทางไปราชวงศ์อู่ครานี้ เกรงว่าจะไม่ราบรื่นนัก”
“เพราะเหตุใด ? ”
“เนื่องจากเจ้าโดดเด่นเกินไป !”
“……”
“เจ้าว่า…หากข้าฆ่าเจ้าเสียตอนนี้ จะเป็นเยี่ยงไร ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก ทันใดนั้นก็มีแสงแล่นเขามาในหัว เขารับรู้ได้ถึงความรู้สึกที่แปลกประหลาด
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่หลายอึดใจ ชือชือหรานก็ได้เดินมายังโต๊ะน้ำชา สตรีผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมา ฟู่เสี่ยวกวนถึงได้พบว่าสตรีผู้นี้ก็ค่อนข้างน่าทึ่งเช่นกัน ในใจพลางคิดไปว่าองค์ชายยังคงอยู่อย่างสุขสบาย นี่มันเหมือนนั่งอยู่ในคุกตรงไหนกัน นี่มันสถานบำเพ็ญตนชัด ๆ มิใช่ใช่รึ !
“ข้ามีสิ่งนี้” ฟู่เสี่ยวกวนแบมือออก ในมือมียาพิษสีเขียวอยู่ 1 เม็ด นั่นคือชวงหานเยวี่ยหมิง
“แต่…” ฟู่เสี่ยวกวนเก็บยาพิษเม็ดนั้น และกล่าวอีกว่า “ต่อให้มิมีสิ่งนี้ พระองค์ก็สังหารกระหม่อมมิได้พ่ะย่ะค่ะ”
สายตาของหยูเวิ่นเทียนมิได้ผละไปจากตำราในมือ เขาพลิกหน้ากระดาษ และเอ่ยถาม “เจ้าดูมั่นใจเสียจริง ใครเป็นผู้มอบความเชื่อมั่นนี้ให้กับเจ้ากัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ตอบ แต่เลือกมองจวนหลังนี้อย่างพิจารณา ค่อนข้างวิจิตร ต่างมีศาลาและของตกแต่งอย่างครบครัน เพียงแค่เมื่อเทียบกับจวนของหยูเวิ่นเทียน ย่อมมิอาจทัดเทียมได้ แต่ก็ถือว่าดีกว่าบ้านเรือนของผู้คนมากมายที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวง
“ภายในสุสานราชวงศ์ ฝ่าบาทกล่าวว่านี่คือกรงนก ตามปกติย่อมหมายถึงการจำคุก แต่กรงนกกลับช่วยชีวิตพวกกระหม่อมเอาไว้ และทำให้พระองค์ล่มจม ที่ที่ฝ่าบาทประทับอยู่ในตอนนี้ ความจริงแล้วก็คือกรงนกเช่นกัน แต่มิเหมือนกับภายในสุสานราชวงศ์ คำว่ากรงนกในที่นี้มี 2 ความหมาย ประการแรกย่อมหมายถึงการจองจำ ประการที่สอง…ก็คือเพื่อปกป้องฝ่าบาท กระหม่อมจึงขอทูลถาม หายนะครานี้หนักหนาถึงเพียงนี้ พระองค์มิเหนื่อยที่ต้องแบกรับไว้หรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
หยูเวิ่นเทียนคิ้วขมวดทันพลัน เขาวางตำราในมือลง และเป็นคราแรกที่จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างตั้งใจ
ดวงตาพลันสบกัน นิ่งสงบไร้เสียง สตรีผู้นั้นชำเลืองสายตาขึ้นมาเล็กน้อย และเริ่มกังวลขึ้นมา
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็พินิจหยูเวิ่นเทียนอย่างจริงจังเช่นกัน
คนผู้นี้คิ้วหนาดั่งกระบี่ ดวงตาราวกับดารา ใบหน้าผ่องใส ช่างคล้ายคลึงกับฮ่องเต้ยิ่งนัก !
“เจ้าเป็นคนแรกที่มาที่นี่เพื่อพบข้า” หยูเวิ่นเทียนกล่าวขึ้น เรียวคิ้วขมวดนิ่ว
ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมาและกล่าวยิ้ม ๆ “มิใช่กระหม่อมที่อยากมาเข้าพบพระองค์ แต่เป็นพระราชโองการจากฝ่าบาท กระหม่อมถึงได้มาเข้าพบพระองค์”
“เจ้าก็ได้เห็นแล้วนี่ กล่าวกับฝ่าบาทว่าข้าใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้สบายดี นอกจากนั้นก็ขอบพระทัยที่ท่านให้โหรวอี๋เข้ามา ข้าสามารถใช้ชีวิตที่สงบสุขอยู่ที่นี่ไปได้ชั่วชีวิต อีกทั้งข้ายังสามารถมีหลานให้ท่านได้อีกหลายคน”
ใบหน้าของหญิงสาวแดงระเรื่อ ดูเหมือนนางจะมีนามว่าโหรวอี๋ เพียงแต่มิทราบว่าแซ่อะไร
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วขึ้น และเม้มปากเล็กน้อย “สถานที่เยี่ยงนี้ แท้จริงแล้วเป็นกระหม่อมที่จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสงบไปได้ชั่วชีวิต พระองค์มิสามารถทำได้หรอกพ่ะย่ะค่ะ”
เผชิญหน้ากับสายตาอันเฉียบคมของหยูเวิ่นเทียน คำพูดนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจว่าหยูเวิ่นเทียนมิใช่ผู้รับผิดแทน ตนได้คาดเดาผิดไปแล้ว คนผู้นี้ยังต้องการก่อกบฏอย่างแท้จริง
แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือ…เขามิสามารถก่อกบฏได้ !
หรือว่าจะมีการขัดแย้งกับผู้ใดอยู่ ?
หากหยูเวิ่นเทียนถูกตัดสินโทษในความผิดฐานก่อกบฏ ต่อให้เขาไม่ตาย ชั่วชีวิตนี้ก็มิสามารถออกมาจากประตูบานนี้ได้อีก
แต่ฮ่องเต้กลับมิได้สำเร็จโทษเขา !
ในทางตรงกันข้าม ฝ่าบาทยังต้องการใช้ประโยชน์จากเขา !
เยี่ยงนั้นองค์ชายใหญ่ก็มิสามารถก่อกบฏได้อีก และทำได้เพียงแบกรับความผิดเอาไว้ และที่ฮ่องเต้เลือกให้ฟู่เสี่ยวกวนมาจัดการ นั่นก็เพราะฝ่าบาทเชื่อมั่นว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเข้าใจความหมายของเขา และเชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนจะสามารถจัดการเรื่องนี้อย่างสมบูรณ์แบบ
สิ่งเดียวที่ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนมิเข้าใจในตอนนี้คือเหตุใดฝ่าบาทจึงทำเยี่ยงนี้ !
“กระหม่อมเป็นนักวรรณกรรม พระองค์ก็คงจะทราบดี ดังนั้นแท้จริงแล้วกระหม่อมมิได้ชื่นชอบการต่อสู้ด้านนอกนั่นเท่าใดนัก…ตัวอย่างเช่น กระหม่อมที่ถูกลอบโจมตีอย่างลึกลับ และตัวอย่างเช่นเดิมทีตัวกระหม่อมอยากเป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดินที่ร่ำรวยในหลินเจียง แต่ก็ได้ทำบางเรื่องลงไป จึงต้องมาร้องขอชีวิตถึงเมืองหลวง และตัวอย่างเช่นกระหม่อมอีกที่ต้องการเพียงสั่งสอนคุณชายที่กระทำชั่วเท่านั้น แต่คาดมิถึงว่าจะเป็นการยั่วยุฮุ่ยชินอ๋อง”
เขาชะงักไป ลำคอยื่นไปด้านหน้าเล็กน้อย “และตัวอย่างเช่นในตอนนี้ พระองค์ที่ทำเรื่องยุ่งยากนั่น ทั้งยังต้องให้กระหม่อมมาตามเช็ดตามล้างให้ !”
สายตาของหยูเวิ่นเทียนแข็งกร้าว ดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนหรี่ลง ถ้วยชาที่แม่นางโหรวอี๋เพิ่งจะหยิบขึ้นมาตกลงไปกับพื้นจนแตกเป็นเสี่ยง ๆ ทำให้สายตาเย็นชาทั้งสองคู่สลายไปในฉับพลัน
หยูเวิ่นเทียนดึงสายตากลับไป และเงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นเหมย
ต่างก็เป็นผู้ฉลาดหลักแหลม เขาเข้าใจความหมายการมาที่นี่ของฟู่เสี่ยวกวนได้คร่าว ๆ แล้ว
เขาขบเม้มริมฝีปาก หรือว่าเสด็จพ่อยังมีความกล้าอยู่เยี่ยงนั้นรึ ?
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ดึงสายตากลับมา และเม้มริมฝีปาก “กระหม่อมมิทราบว่าฝ่าบาทนำความกล้ามาจากที่ใด คาดมิถึงว่าจะปล่อยเสือกลับภูเขาโดยมิกังวลใจใด ๆ”
ทันใดนั้นหยูเวิ่นเทียนก็หันไปมองโหรวอี๋ สีหน้าอ่อนโยนลง เขากล่าวขึ้นมาว่า “เจ้าไปนำสุรามา 2 ขวดเถอะ ข้าอยากจะดื่มสุรากับฟู่เสี่ยวกวนผู้เก่งกาจแห่งยุค ใช่ เขาคือฟู่เสี่ยวกวน ประเดี๋ยวเจ้าก็ไปนำความฝันในหอแดงเล่มนั้นของเจ้ามา ให้เขาลงนามให้เสีย ถือว่าทำตามความปรารถนาของเจ้า”
“เพคะ !”
สตรีนามโหรวอี๋เหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนอีกครา ความปลื้มปีติผุดขึ้นมาบนใบหน้า ยกกระโปรงขึ้นเล็กน้อยและเดินไปทางอาคารเล็ก
“แม่นางจากตระกูลใดกัน ? ”
“เป็นปุถุชนในเมืองหลวง ก่อนหน้านี้ขายสุราอยู่ที่หอเยียนหยู่…บิดาของนางกลั่นสุราได้ จึงได้ตั้งร้านสุราเล็ก ๆ ที่นั่นขึ้นมา”
ราวกับนึกถึงการพบเจอกับโหรวอี๋ในปีนั้น สีหน้าของหยูเวิ่นเต้าก็เผยความอบอุ่นขึ้นมาเล็กน้อย
“ฤดูหนาวรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 6 หิมะตกหนัก อากาศหนาวเย็นยะเยือก ข้าก็ได้บังเอิญออกมาจัดการธุระพอดี ในตอนที่กำลังเดินผ่านหอเยียนหยู่ ก็เห็นนางที่กำลังถือสุรา ดังนั้นจึงเข้าไปดื่มสักกา”
“รสชาติเจือจาง ไม่อร่อย แต่ข้าก็ยังดื่มจนหมด เพราะความงดงามทำให้เจริญอาหาร”
“ข้ามิได้ขาดแคลนสตรี แต่ข้าก็มิเคยรู้จักสิ่งที่เรียกว่าความรักมาก่อน และมิเคยเชื่อในสิ่งที่เรียกว่ารักแรกพบ จนกระทั่งข้าได้พบเข้ากับนาง”
“ข้ามิได้ใช้กำลัง มิได้ใช้อำนาจแต่อย่างใด ฤดูหนาวปีนั้น ข้าแทบจะไปร้านสุราของนางทุกวัน นางมิทราบตัวตนที่แท้จริงของข้า ข้าบอกกับนางว่า ตัวตนของข้าทำงานในจวนผู้ว่าเขตจินหลิงเป็นเพียง…เจ้าหน้าที่ นางมิได้รังเกียจแต่อย่างใด นางดีกับข้าเป็นอย่างมาก ข้าจึงสามารถรับรู้ได้ว่านางก็มีความรู้สึกกับข้าอยู่เล็กน้อย”
“จนถึงฤดูใบไม้ผลิรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 8 ข้ามิสามารถทนรอได้อีกต่อไป ข้าตบแต่งนางเป็นภรรยา แต่เสด็จพ่อทรงมิเห็นด้วย”
กล่าวถึงตรงนี้หยูเวิ่นเทียนก็ก้มหน้าหัวเราะทันพลัน “เจ้าว่าตระกูลเชื้อพระวงศ์เช่นนี้ดีเยี่ยงไรกัน องค์ชายต่างต้องสู้รบกันเพื่อขึ้นครองบัลลังก์ เสด็จพ่อรับฟังรับชมอย่างพออกพอใจ อ้างอิงจากคำกล่าวของเขา ตำแหน่งฮ่องเต้นั้นต้องแย่งชิงกัน ผู้สมควรได้รับคือผู้มีความสามารถ แท้จริงแล้วข้ามิได้เห็นด้วยตั้งแต่คราแรก ข้าอยากจะเป็นเหมือนน้องห้าหยูเวิ่นเต้า มิต้องดิ้นรนหรือร้องขอ ได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไปชั่วชีวิต”
“แต่ข้าทำมิได้ น้องห้ามีพระสนมซั่งคอยปกป้อง แต่ข้านั้นไร้มารดาตั้งแต่เล็ก และเจ้าสี่ก็มิใช่คนที่มีจิตใจเมตตานัก ข้ากล้ารับปากได้ว่าหากข้าพ่ายแพ้แล้ว จุดจบของข้าจักอนาถยิ่งเสียกว่าในตอนนี้ นอกจากนั้นเจ้าต้องเตือนพระสนมซั่งเสียหนึ่งประโยค ท้ายที่สุดแล้วพระนางมิสามารถปกป้องเจ้าห้าไปได้ชั่วชีวิต”
“ออกนอกเรื่องไปไกลแล้วสินะ เพราะเสด็จพ่อมิเห็นด้วย ดังนั้นข้าจึงไร้หนทางจะแต่งกับโหรวอี๋ได้ ไร้หนทางแม้แต่จะแต่งเป็นอนุ เพราะนางเป็นเพียงสตรีจากครอบครัวสามัญชน”
“แต่ข้าชอบโหรวอี๋เป็นอย่างมากโดยแท้จริง”
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้ม “เพราะเหตุนี้เยี่ยงนั้นรึ ? ”
“มิใช่ มันเป็นเพราะความอยากเอาชนะของข้า แผนการเดิมของข้าถูกวางไว้ในฤดูกาลล่าสัตว์วันที่สองเดือนสองที่ภูเขาหนานซาน แต่คาดมิถึงว่าเสด็จย่าจะทรงสวรรคต คำนวณตามเวลาแล้ว เสด็จพ่อย่อมยกเลิกการล่าสัตว์ที่ภูเขาหนานซาน ข้าจึงทำได้เพียงลงมือก่อนกำหนด”
“ขันทีเว่ยเป็นคนเก่าแก่ที่อยู่ข้างกายเสด็จแม่ เขาดูแลสุสานราชวงค์เมื่อรวมที่ข้าไปชักชวนราชครูอาวุโสเฟ่ย จนได้รับเอกสารรับรองจากเสนาบดีกรมกลาโหมเฟ่ยปัง ดังนั้นข้าจึงนำทหารสำหรับงานล่าสัตว์ที่ภูเขาหนานซานไปซ่อนในสุสานราชวงค์ได้ และร่วมมือกับตระกูลเฟ่ยและตระกูลชือเพื่อวางแผนอีกครา”
หยูเวิ่นเทียนยักไหล่และยิ้มเยาะตนเอง “เมื่อมาคิดในตอนนี้ การต่อสู้นองเลือดของเจ้าและฮุ่ยชินอ๋องที่ถนนเส้นยาว หลังจากนั้นฮุ่ยชินอ๋องก็ถูกคว่ำลงภายในคืนเดียว สายตาของทุกคนในเมืองหลวงต่างจดจ้องกันมาที่เจ้า รวมถึงข้า ทั้งยังรวมไปถึงเจ้าสี่ และย่อมรวมไปถึงขุนนางระดับสูงทั้งหมด พวกข้าทุกคนต่างมิมีใครสังเกตเห็นการแสดงในเรื่องนี้ของเสด็จพ่อและพระสนมซั่งเลย”
“ดังนั้นแต่เดิมข้าจึงคิดว่าแผนการนี้จะเป็นไปอย่างราบรื่น ข้าถึงขั้นคิดว่าการที่เจ้าเข้ามาเป็นเป้าดึงดูดสายตาของผู้คนไปนั้นเป็นประโยชน์ต่อการลงมือของข้ายิ่ง แม้แต่ในยามที่เสด็จย่าอาการย่ำแย่แล้ว เสด็จพ่อให้ขันทีเว่ยย้ายเข้ามาในวังหลวงก็ยังมิอาจดึงความสนใจของข้าได้ ข้าคิดเพียงว่าเสด็จย่าต้องการเพียงพบเจอคนเก่าคนแก่ แต่คาดมิถึงว่าช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันก่อนที่ขันทีเว่ยจะออกจากสุสานราชวงค์เข้ามาวังหลวง คาดมิถึงว่าเสด็จพ่อจะใช้วิธีที่หลบซ่อนเยี่ยงนี้ โดยให้เฟ่ยอันและฮั่วหวยจิ่นนำทหารรักษาพระองค์เข้าไปในสุสานราชวงค์เช่นกัน”
“ตั้งแต่เริ่มจนจบ เสด็จพ่อทราบดี ท่านมิได้ขัดขวาง ท่านรอให้ข้าต่อต้านท่าน”
โหรวอี๋ได้นำเหล้าและถ้วยมา จากนั้นนั่งลงด้านข้างและต้มสุราอย่างระมัดระวัง
หยูเวิ่นเทียนมิได้กล่าวอีก ฟู่เสี่ยวกวนกลับกล่าวขึ้นมาว่า
“และในตอนนี้ก็ได้ตรวจสอบตัวตนของขันทีเว่ยแล้ว คาดว่าพระองค์เองก็คงจะทราบแล้ว เยี่ยงนั้นพระสนมซั่งก็เป็นผู้บริสุทธิ์ ข้าหวังว่าพระองค์จะสามารถเข้าใจจุดนี้ได้อย่างชาญฉลาด”
คาดไม่ถึงว่าขันทีเว่ยจะเป็นผู้พิทักษ์ของลัทธิจันทราอย่างแท้จริง
หยูเวิ่นเทียนได้ทราบผลลัพธ์นี้ในเมื่อวาน ลัทธิจันทราเป็นลัทธิที่ก่อตั้งโดยพวกที่หลงเหลือมาจากราชวงศ์ก่อน มีจุดประสงค์คือเพื่อทำลายล้างราชวงศ์หยูและฟื้นฟูราชวงศ์ก่อนขึ้นมาดังเดิม
ยามที่ทราบเรื่องนี้แผ่นหลังของหยูเวิ่นเทียนเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ หากเรื่องในสุสานราชวงค์สำเร็จขึ้นมา…ตนเองจะกลายเป็นผู้นำของผู้กระทำผิดของราชวงศ์หยูหรือไม่ ?
“สถานการณ์ในตอนนี้ก็เป็นเยี่ยงนี้ ฝ่าบาทต้องการจัดระเบียบการปกครองใหม่ กำจัดขุนนางที่คิดฉ้อโกงในราชสำนักให้สิ้น และจำกัดตระกูลเฟ่ยและตระกูลชือในคราเดียวกัน ดังนั้นจึงได้ซ่อนหมากรุกเยี่ยงพระองค์ไว้ก่อน”
“ฝ่าบาทใช้ท่านเป็นเหยื่อและแสดงงิ้วต่อหน้าผู้คนทั้งใต้หล้า การกระทำในครานี้มิเพียงจะทำให้กำจัดขุนนางที่คิดฉ้อโกงภายในราชสำนักไปได้ ทั้งยังดึงตัวผู้พิทักษ์ของลัทธิจันทรามาได้ 1 คน”
“องค์ชายใหญ่ พระองค์ก็ต้องแบกรับนามของความอัปยศเอาไว้ จนกระทั่งสถานการณ์บ้านเมืองสงบ ฝ่าบาทจึงจะล้างมลทินในนามผู้ร้ายให้แก่พระองค์”
“หลังจากนั้น องค์ชายใหญ่ก็ต้องเขียนหนังสือไปถึงฝ่าบาท แสดงอุดมการณ์ที่มีออกไป และไปเป็นผู้บัญชาการของกองทัพชายแดนตะวันออก เอ่ยสาบานว่าจะรบกับแคว้นอี๋ เพื่อปกป้องประเทศต้าหยูให้คงอยู่สงบสุขต่อไป”
โหรวอี๋ถึงได้เข้าใจว่าเป็นองค์ชายใหญ่ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ใจของนางมีความสุขมากขึ้นเรื่อย ๆ นางรินสุราส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวนด้วยความเคารพ และกล่าวเสียงแผ่วว่า “ขอบคุณคุณชายมากเจ้าค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้ม และยกแก้วขึ้นมา “แคว้นอี๋ได้เริ่มการรบแล้ว กองทัพชายแดนตะวันออกยอมต้านเอาไว้มิอยู่ พระองค์ต้องการผู้ช่วยที่แข็งแกร่งผู้หนึ่งร่วมรบไปกับกองทัพชายแดนตะวันออกด้วยหรือไม่ ?”
“ผู้ใดกัน ? ” หยูเวิ่นเทียนก็ยกแก้วสุราขึ้นเช่นกัน และทั้งสองดื่มไป 1 จอก
“เฟ่ยอัน ! ”
“เขารึ ? ” หยูเวิ่นเทียนคิ้วขมวด
ฟู่เสี่ยวกวนรับกาสุรามาและรินให้หยูเวิ่นเทียนหนึ่งแก้ว “สถานการณ์ทัพหน้าบัดนี้คับขันยิ่งนัก ต่อให้พระองค์ไปในตอนนี้ก็มิมีเวลามาทำความคุ้นชินกับกองทัพนั้น ข้าคิดว่า ถึงแม้เฟ่ยอันจะจับจอบมานานหลายปี แต่เขามีประสบการณ์เกี่ยวกับกองทัพ นั่นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อพระองค์มากที่สุดในตอนนี้”
หลังจากนั้นก็เงียบลง ทั้งสองดื่มสุรา โหรวอี๋ส่งหนังสือและพู่กันไปให้ฟู่เสี่ยวกวนอย่างเงียบ ๆ ฟู่เสี่ยวกวนก็ลงนามไปอย่างเงียบ ๆ โหรวอี๋ค่อนข้างงุนงงหลังจากที่ได้เห็นลายมือนั้น สองตาคู่นั้นที่มองไปทางฟู่เสี่ยวกวนแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัดว่าเขานั้นกระทำอย่างขอผ่านไปที
“พระองค์ยังมีปัญหาอันใดอีกรึ ? ”
“ฝากเจ้านำไปทูลต่อเสด็จพ่อและพระสนมซั่ง ตัวข้าเวิ่นเทียนผู้นี้…ศพจะห่อด้วยหนังม้าจะมิกลับมายังเมืองหลวงอีก ! ”
ตอนที่ 244 คัดเลือกแม่ทัพ
“สงครามทางตะวันออกเริ่มขึ้นแล้ว ฝ่าบาททรงมีรับสั่งเรียกเจ้าเข้าวัง !”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง ข้อมูลเหล่านี้ยังมิได้ส่งไปถึงกองทัพทางตะวันออก เหตุใดจึงเริ่มสงครามแล้ว ?
บัดนี้กองทัพทางตะวันออกมีเยี่ยนฮ่าวชูเป็นแม่ทัพใหญ่ แม้เขาจะเป็นข้าราชการพลเรือน แต่ทหารที่กองทัพตะวันออกมีมากถึง 300,000 นาย หากเพียงแต่ถ้าเขารู้จักใช้คน สงครามครานี้ก็คงมิยากเกินตัวเขา
เสบียงอาหารที่ขนส่งจากเมืองหลินเจียงไปยังหลานหลิงตะวันออก รวมจำนวนได้กว่า 180,000 ถัง เพียงพอต่อการทำสงครามขนาดใหญ่ประมาณ 1 เดือน แต่ทว่าฝ่าบาททรงส่งขันทีเจี่ยที่ร่างกายยังมิหายดีมา น่าแปลกใจยิ่ง !
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มขึ้นทันใด “ท่านขันทีเจี่ย อย่าเพิ่งรีบร้อนไปเลย เชิญดื่มน้ำชาก่อน ข้าจะเชิญศิษย์พี่ใหญ่มาดูอาการของท่านให้ว่าพิษนั้นกำจัดได้หมดสิ้นแล้วหรือยัง หากส่งผลต่อวรยุทธ์ของท่านคงมิดีเป็นแน่”
ขันทีเจี่ยเบิกตาจ้องเขา จากนั้นก็ยิ้มแล้วโบกมือมาทางซูเจวี๋ยแล้วกล่าวว่า “ข้าช่างโชคดีเสียจริงที่ท่านแก้พิษให้ข้าได้ทันเวลา มิเช่นนั้น…ข้าน้อยคงจะแย่เป็นแน่ หากท่านเดินทางกลับไปที่สำนัก ข้าน้อยขอฝากคำพูดไปถึงท่านหัวหน้าสำนักว่า เจี่ยหนานซิงฝากความคิดถึงไปยังเขา !”
ซูเจวี๋ยที่อยู่ในท่ายืนได้โค้งคำนับกลับ “ข้าน้อยจำได้แล้วขอรับ เพียงแต่ข้าน้อยมิทราบมาก่อนว่าท่านโหยวเป่ยโต้วคือพี่ชายแท้ ๆ ของท่าน…”
“นี่มิใช่เรื่องสำคัญใด อีกอย่างหนึ่ง ผู้คนล้วนรู้จักโหยวเป่ยโต้ว แต่มิรู้จักเจี่ยหนานซิง เช่นนี้ก็ดีแล้ว ข้าเบื่อชีวิตเช่นนั้นเกินทน การได้รับใช้ฝ่าบาทเช่นนี้ข้ามีความสุขดี ดังนั้นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับข้า ขอพวกท่านจงลืมมันไปเสียเถิด”
ซูเจวี๋ยมีคำถามมากมายในใจ แต่ทว่าดูเหมือนขันทีเจี่ยจะมิอยากเอ่ยออกมา ดังนั้นเขาจึงมิกล้าเอ่ยถามให้มากความ
ฟู่เสี่ยวกวนติดตามขันทีเจี่ยเข้าไปในพระราชวัง ซูซูจึงได้เอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “ขันทีชราคนนี้คือน้องชายของโหยวเป่ยโต้วงั้นรึ ? เหตุใดแซ่ถึงมิเหมือนกัน ? ”
ซูเจวี๋ยส่ายหน้าแล้วยกมือขึ้นจัดทรงหมวกของเขา “พี่เองก็สงสัยยิ่ง”
เมื่อต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวออกจากจวนฟู่ พวกนางก็ไปยังหลานหยวนเพื่อดื่มชากับหยูเวิ่นหวิน
……
……
“ขันทีเจี่ย ท่านฝึกวรยุทธ์ได้เยี่ยงไร ? ”
“……”
“ขันทีเจี่ย ท่านฝึกวิชาคัมภีร์ทานตะวันใช่หรือไม่ ? ”
“……”
“ขันทีเจี่ย ท่านมีวิชาถีหูก้วยติ่งหรือไม่ ? คือการที่นำพลังภายในของท่านถ่ายทอดมายังร่างกายข้า ? ”
ขันทีเจี่ยมิอาจทนได้อีกต่อไป จึงได้เอ่ยมาว่า “คุณชายฟู่ หากพลังภายในของข้าเข้าสู่ร่างกายท่าน ท่านจะ…ตู้ม ! ระเบิดออกทันที ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องไปยังขันทีเจี่ยที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาในรถม้าตาไม่กะพริบ ในใจพลันรู้สึกว่าชายชราผู้นี้ช่างเก็บซ่อนความลับไว้ลึกเสียจริง !
นี่คือปรมาจารย์ยอดฝีมือคนแรกที่เขาเคยพบเห็นด้วยตนเอง !
ในค่ำคืนเทศกาลโคมไฟ ผู้มีฝีมือระดับหนึ่งอย่างขันทีเว่ยเพียงโบกดาบ ผู้มีฝีมือระดับรองลงมาอย่างซูซูก็มิอาจดีดฉินดาบออกไปได้
ในวันที่ยี่สิบหกเดือนหนึ่ง เพียงขันทีเจี่ยดีดนิ้ว ก็สามารถทำให้ดาบในมือขันทีเว่ยทะลุ อีกทั้งดีดจนเขากระเด็นออกไปจนกระอักเลือดบาดเจ็บสาหัส
ดังนั้น…หากขันทีผู้ดูไร้พิษสงตรงหน้าเขาเกิดจัดการเขาเข้า เขาคงจะรักษาชีวิตเอาไว้มิได้
สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับวรยุทธ์ไปจากเดิม อีกทั้งยังเพิ่มความสนใจไปด้านลัทธิเต๋าไม่น้อย
“เจ้ามิเหมาะสมกับการฝึกวรยุทธ์ !”
ขันทีเจี่ยเอ่ยออกมาลอย ๆ แต่กลับคล้ายน้ำเย็นถังใหญ่สาดเข้าให้ที่หัวของฟู่เสี่ยวกวน
มิใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินประโยคนี้ ไป๋ยู่เหลียนก็เคยกล่าว ซูม่อ ซูโหรวก็เคยกล่าวเช่นกัน เพียงเมื่อครู่ที่ขันทีเจี่ยกล่าวมา ทำให้เขาได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจยิ่งนัก
“เพราะเหตุใด ? ”
ขันทีเจี่ยเผยอยิ้ม ใบหน้าเหี่ยวย่นของเขานั้นดูลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น “เนื่องจากเจ้ามีเรื่องที่จะต้องจัดการเสียมากมาย”
ยังดีที่เหตุผลเหมือนกัน มิเช่นนั้นคงจะยากเกินรับไหว หัวใจคงแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ ซึ่งหมายความว่าหากเขาวางมือจากทุกสิ่งก็ยังมีโอกาสได้ฝึกฝน
แต่เขาจะปล่อยวางได้เยี่ยงนั้นรึ ?
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งคิดอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งรถม้ามาจอดยังหน้าพระราชวัง ทั้งสองลงจากรถ ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยกับขันทีเจี่ยด้วยท่าทางจริงจังว่า “ข้าเองก็คิดว่าข้ามิเหมาะสมที่จะฝึกวรยุทธ์”
เอ่ยจบเขาก็ถอนหายใจออกมาแล้วเดินตรงเข้าไปด้านใน
ขันทีเจี่ยมองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วนิ่งเงียบไปสักพัก จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาเช่นกันแล้วเดินตามเข้าไป
……
ณ ห้องทรงพระอักษรวังหลวง
“ข้าหมายความว่าให้เรียกตัวเยี่ยนฮ่าวชูกลับมารับหน้าที่เสนาบดีกรมกลาโหม เจ้ามีความคิดเห็นเยี่ยงไร ? ”
เยี่ยนเป่ยซีรีบตอบว่า “ฝ่าบาท ! มิได้พ่ะย่ะค่ะ เยี่ยนฮ่าวชูเป็นผู้มีปัญญา กระหม่อมคิดว่าให้เขาไปยังกั๋วจื่อเจี้ยนจะเหมาะสมกว่า”
“ฮ่าๆๆ ! ” ฮ่องเต้ทรงหัวเราะขึ้นด้วยพระทัยเบิกบาน เสียงหัวเราะนั้นคล้ายกับหิมะแรกของฤดูหนาว
ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามาถึงด้านใน เขาก็ได้ยินฮ่องเต้ตรัสว่า “เจ้ากลัวงั้นรึ ! กลัวสิ่งใดกันเล่า ? เมื่อตอนที่เยี่ยนฮ่าวชูไปยังกองทัพชายแดนตะวันออก เขาเป็นเพียงข้าราชการพลเรือน แต่จากการฝึกฝนมาเป็นเวลาเนิ่นนาน แล้วเข้ารับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหมจะลำบากเยี่ยงนั้นรึ ? เรื่องนี้ตกลงตามที่ข้าว่า…”
ฮ่องเต้ทรงเหลือบไปเห็นฟู่เสี่ยวกวนเข้า “ในวันนี้มิใช่วันหยุด เหตุใดเจ้าจึงไม่นั่งอยู่ในราชสำนัก ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนคารวะแล้วตอบว่า “ทูลฝ่าบาท เพียงแค่กระหม่อมมีราชสำนักอยู่ในจิตใจ นั่งที่ใดก็มิต่างกัน ! ”
ฝ่าบาทจ้องไปยังเขา ส่วนเยี่ยนเป่ยซีที่นั่งข้าง ๆ โต๊ะน้ำชาส่งเสียงหัวเราะออกมา เยี่ยนซือเต้าเองก็หรี่ตามองไปยังฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน เขานึกในใจว่าเจ้าหมอนี่ได้รับพระกรุณาแล้วอย่าได้ผยองไป !
“เจ้าจงดูสิ่งนี้” ฮ่องเต้มิได้พิโรธ พระองค์ทรงยื่นเอกสารประทับตราสีแดงมาให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนรับมามองดูอย่างละเอียด มีเนื้อความว่า รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนหนึ่งวันที่ยี่สิบสี่ ทหารหงหลิงแห่งแคว้นอี๋ได้ข้ามผ่านที่ราบสีหม่า จากนั้นทำโจมตีแนวหน้าของเราโดยมิได้ประกาศสงคราม กระหม่อมส่งกองทหาร 30,000 นายไปต่อสู้กับพวกเขาที่แม่น้ำสีหม่า กระทั่งยามโหย่ว ข้าศึกรวบรวมกำลังทหารกว่าห้าหมื่นนาย ข้ามแม่น้ำมาต่อสู้กับทหารของเรา ประมาณยามซวี ทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บและสูญเสียมากยิ่ง แม่น้ำสีหม่าได้กลายเป็นแม่น้ำสีเลือด
กระหม่อมพบว่าศัตรูมีความดุเดือด ส่วนกองทัพของเรามีทีท่าว่าจะพ่ายแพ้ จึงได้ออกคำสั่งให้ถอยทัพไปยังภูเขาซังยวี่ และให้ป้องกันแนวซังยวี่ไว้ จากนั้นจึงโยกย้ายกองทหารแนวหลัง 100,000 นายเดินทางมายังแนวป้องกันที่ซังยวี่นี้ ในเวลาเดียวกันก็ส่งทหารม้าไปปกป้องปีกซ้าย
สงครามดำเนินขึ้น แต่ชุดเกราะที่ทางกองทัพใต้กลับขาดแคลนอย่างมาก เมื่อกระหม่อมรู้ว่าทหารแคว้นอี๋กำลังรวบรวมคน อีกทั้งแม่ทัพคือนายพลเสี่ยนชู กระหม่อมจึงมิกล้าเมินเฉย ขอความกรุณาฝ่าบาทส่งกำลังทหารอีกทั้งของใช้ในการทำสงคราม ดังรายการต่อไปนี้…
ลงนาม เยี่ยนฮ่าวชู !
เขาผู้นี้ช่างเขียนหนังสือได้อย่างตรงไปตรงมาเสียจริง
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนมีความเห็นให้เปลี่ยนตัวแม่ทัพ เจ้าคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ?”
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไป “เปลี่ยนตัวแม่ทัพกะทันหัน เดิมทีก็เป็นเรื่องมิถูกมิควร แต่กระหม่อมคิดเห็นว่าท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนมีความคิดมองการณ์ไกล การที่ท่านตัดสินใจเช่นนี้ ฝ่าบาทก็ทรงเปลี่ยนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เปลี่ยนเป็นผู้ใด ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนตะลึงงัน ผู้ใดเล่า ?
ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร !
คงจะมิใช่ข้าหรอก !
“ฝ่าบาททรงประสงค์จะเปลี่ยนเป็นผู้ใดก็ทรงทำตามพระประสงค์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเพิ่งเข้ามาทำงานที่ราชสำนักเพียงไม่กี่วัน เหตุใดจึงติดนิสัยเสียเช่นนี้แล้ว ? ข้ามีตัวเลือกอยู่ 2 คน ข้าอยากลองฟังความคิดเห็นของเจ้า”
ฟู่เสี่ยวกวนโค้งคารวะ “กระหม่อมพร้อมรับฟัง”
“หนึ่ง เฟ่ยอัน…”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น กลับได้ยินชื่อที่ทำให้เขาตะลึงยิ่งกว่าเดิม
“สอง องค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียน !”
ฟู่เสี่ยวกวนอ้าปากค้าง เนื่องจากตระกูลเฟ่ยถูกประณามว่าเป็นกบฏ นอกเสียจากเฟ่ยอันที่ได้รับการยกเว้นเนื่องจากมีผลงานปกป้องฮ่องเต้ แม้แต่เฟ่ยกั๋ว แม่ทัพทหารม้าเบาทางกองทัพตะวันตกยังถูกจับกุมตัว
นั่นหมายความว่า ตระกูลเฟ่ยที่เคยรุ่งเรืองในอดีต บัดนี้เหลือเพียงเฟ่ยอันเท่านั้นที่มีอิสระ !
การที่ฝ่าบาทแต่งตั้งเขาเป็นแม่ทัพ…มิกลัวว่าเขาจะพากองทหารเข้าโจมตีเมืองหลวงงั้นรึ ?
อีกทั้งหยูเวิ่นเทียน เขาเพิ่งก่อกบฏไปเพียงไม่กี่วัน ฝ่าบาททรงลืมแล้วรึ ?
ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ราชวงศ์หยูใหญ่โตเพียงนี้ มิทรงมีตัวเลือกที่สามหรือพ่ะย่ะค่ะ ?”
“ทหารทั่วไปนั้นหาง่าย แต่ผู้นำช่างหายากยิ่ง หากเจ้าเคยมีประสบการณ์ด้านการทหารเสียหน่อย ข้าเองก็อยากจะส่งเจ้าไป แต่ทว่าเจ้า…”
ฝ่าบาทมิได้ตรัสประโยคหลังออกมา แต่ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจดี เขานำมือลูบจมูกแล้วอย่างเก้ ๆ กัง ๆ แล้วนึกในใจว่า หากข้าต้องการที่จะไปก็ไม่แน่
เขาไม่ไปเป็นแน่ ทำสงครามเหนื่อยมิใช่หรือ ? หากมีพวกโรคจิตลอบทำร้ายข้าเล่า หากข้าตายแล้วจะทำเยี่ยงไร ?
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยว่า “กระหม่อมขอพบเฟ่ยอันและองค์ชายใหญ่ได้หรือไม่ ?”
“…ได้ เฟ่ยอันอยู่ที่หนานหลิง ส่วนหยูเวิ่นเทียนถูกขังอยู่ในจวนของตระกูล เจ้าจงนำตราจากข้าไป จงรีบจัดการเสีย ข้าต้องการคำตอบในวันนี้ตอนบ่าย”
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนนำตราของฮ่องเต้ไป เยี่ยนเป่ยซีจึงเอ่ยถามว่า “เหตุใดฝ่าบาททรงต้องฟังความคิดเห็นจากเขา ? ”
“เจ้าลืมแล้วงั้นรึว่าเขาเป็นผู้เขียนนโยบายการทำสงคราม ! ”
เยี่ยนเป่ยซีหยุดชะงัก เขาเองเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ตนยังเคยคัดลอกเอาไว้แล้วส่งให้เยี่ยนฮ่าวชู เช่นนี้ก็หมายความว่าเขาเองก็มีความสามารถทางด้านการทหารอยู่ไม่น้อย คาดว่าฝ่าบาทจะทรงใช้ดวงตาของเขามองถึงการแย่งชิงของทั้งสอง
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดที่ได้รับหน้าที่แม่ทัพแห่งกองทัพตะวันออก ล้วนแต่จะถูกขุนนางคัดค้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหยูเวิ่นเทียน เขาเป็นผู้บงการเหตุการณ์ ณ สุสานราชวงศ์
ครั้งนี้ที่หยูเวิ่นเทียนล้มลง ขุนนางข้างหลังของเขาก็มิอาจรอดพ้นได้ ในบรรดาพวกเขาเหล่านั้นมีหลายคนที่เปิดโปงความจริงออกมา และมีผู้ตอกย้ำไม่น้อย ดังนั้นองค์ชายใหญ่มิควรได้รับการฟื้นฟูตำแหน่ง มิเช่นนั้นขุนนางเหล่านี้คงแย่เป็นแน่
แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้แม้แต่น้อย
เขาเดินทางไปยังจวนของราชวงศ์พลางคิดว่า การที่ฮ่องเต้ทรงกระทำเช่นนี้เพราะต้องการสิ่งใด ?
ใช่แล้ว เนื่องจากฝ่าบาทมิทรงประสงค์ให้หยูเวิ่นเทียนอยู่ในคุกไปจนแก่เฒ่า !
ฮ่องเต้ทรงต้องการให้หยูเวิ่นเทียนออกมาแล้วทำตามความปรารถนาของเขา
ฝ่าบาทมิทรงกังวลเลยเยี่ยงนั้นรึ ?
ทหารจำนวน 300,000 นายเลยมิใช่รึ !
หากว่าหยูเวิ่นเทียนร่วมมือกับเซวี๋ยติ้งชาน กองทัพตะวันตก…ฝ่าบาททรงมีความมั่นใจว่าจะจัดการได้งั้นรึ ?
เขาคิดไม่ออกจริง ๆ และอยากจะไปขอความคิดเห็นจากพระสนมซั่ง แต่ในเมื่อฝ่าบาททรงเอ่ยถามเรื่องนี้กับเขา แน่นอนว่าไม่สามารถหารือกับพระสนมซั่งได้เป็นแน่
ณ สุสานราชวงศ์นั้น หยูเวิ่นเทียนได้ประกาศชี้หน้าด่าพระสนมซั่งว่าเป็นคนสารเลว หากเป็นข้า ข้าก็คงจะหาวิธีจัดการเขาเป็นแน่ !
ณ ทางเข้าประตูจวนของตระกูล ขันทีเว่ยมองเห็นใบหน้าที่คาดเดาไม่ถูกของฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงเอ่ยถามว่า “ข้ามิถามว่ามาด้วยเหตุอันใด เชิญคุณชายทำตามประสงค์และตามข้าเข้าไปเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนก้มหน้าเดินเข้าไป ในสมองของเขากำลังคิดถึงประโยคของขันทีเว่ยเมื่อครู่
เขาเดินมาถึงประตูใหญ่ประตูหนึ่งซึ่งเป็นเหล็ก มิได้ลงกุญแจไว้ ผู้คุมเปิดประตูออก ภาพที่สะท้อนมาในตาของเขามิใช่คุกมืดมนในจินตนาการ
ที่นี่คือลานกว้าง !
ตรงกลางลานกว้างนี้มีต้นเหมยอยู่ หยูเวิ่นเทียนกำลังนั่งอ่านหนังสือ ข้างกายของเขามีสตรีในชุดขาวเรียบง่าย กำลังชงชาอย่างขะมักเขม้น
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามา หยูเวิ่นเทียนหันหลังไปมอง สีหน้าของเขายังคงนิ่งเรียบตามเคย คล้ายกับมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาอ้าปากแล้วเอ่ยออกมาว่า
“เจ้าว่า…หากข้าฆ่าเจ้าเสียตอนนี้ จะเป็นเยี่ยงไร ? ”
ตอนที่ 243 กรงนก
พื้นที่ปิดตาย ภายในมีตะเกียงน้ำมันไม่กี่ดวง
เสียงต่อสู้จากด้านนอกยังคงดุเดือด แต่ก็ไม่สามารถมองเห็นได้
หลายคนมีสีหน้าว้าวุ่น และมีอีกหลายคนที่ยังคงนิ่งเฉย
เฉกเช่นฮ่องเต้ พระสนมซั่ง และองค์ชายสี่หยูเวิ่นชู
ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ว้าวุ่นแต่ก็ไม่ได้นิ่งเฉย เขารู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก พร้อมกับหันมองไปทางฮ่องเต้ พระองค์ทรงยิ้มให้เขาเท่านั้น
“นี่คือกรงนก”
ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้หลุดสีหน้างุนงงออกมา
“สิ่งที่เรียกว่ากรงนก มิใช่สถานที่ที่มีอิสระ แผนเดิมก็คือกักขังผู้บุกรุก ในตอนนี้กลับกลายเป็นที่ซุกหัวนอนของพวกเรา ดังนั้นทุกสิ่งอย่างย่อมมีสองด้าน”
ราวกับหยูยิ่นนึกถึงการต่อสู้ที่อยู่ด้านนอกขึ้นมาได้ แต่นั่นคือโอรสคนโตของเขา !
ดังนั้นใบหน้าจึงมืดครึ้มลง และกล่าวอีกว่า “ในทางตรงกันข้ามสำหรับเขาแล้ว แท้จริงแล้วเขาเองก็อยู่ภายในกรงนกเช่นกัน”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ต่อสนทนาหัวข้อนี้ กลับเอ่ยถามขึ้นมาว่า “หากมิได้เกิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ จะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ?”
“มิมีทาง ข้าได้เตรียมการไว้แล้ว แต่เขากลับไม่ทราบ ดังนั้นเขาจึงถึงวาระที่ต้องพ่ายแพ้เสียแล้ว”
เยี่ยงนั้นแท้จริงแล้วเฟ่ยอันเป็นมิตรหรือศัตรูกันแน่ ?
แล้วฝ่าบาทได้วางแผนให้ฮั่วหวยจิ่นเขามาในสุสานหลวงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
ขันทีเจี่ยสะบัดเพียงนิ้วเดียวก็ทำขันทีเว่ยที่เป็นผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นหนึ่งกระเด็นออกไปอีกทั้งยังกระอักเลือดออกมาอีก หรือว่าขันทีอาวุโสผู้นี้จะคือเซิ่งเจียที่เล่าขานกันมา ?
ใจของฟู่เสี่ยวกวนเต็มไปด้วยความสงสัย เขาหันไปมองขันทีเจี่ย ขันทีอาวุโสในยามนี้ยืนค่อมตัวอยู่ทางด้านหลังฮ่องเต้ ทั่วร่างมิได้มีท่าทางของผู้สูงส่งเลยแม้แต่น้อย แต่หลังจากนั้นเขาก็พบเจอเข้ากับปัญหา มีเหงื่อผุดขึ้นมาเต็มหน้าผากของขันทีเจี่ย สีหน้าของเขาเริ่มซีดเซียว หลังจากนั้น…
ทันใดนั้นขันทีเจี่ยก็เงยหน้าขึ้นมามองฟู่เสี่ยวกวนและเอ่ยออกมาว่า “ยาแก้พิษ…เร็ว… !”
เวรแล้ว ขันทีเจี่ยโดนพิษ !
ฮ่องเต้ได้ยินเยี่ยงนั้น ก็หันไปหาขันทีเจี่ย หลังจากนั้นก็หันมามองฟู่เสี่ยวกวน สายตาเต็มไปด้วยความตกตะลึง !
สองมือของฟูเสี่ยวกวนแบออก “ข้ามิมียาแก้พิษ !”
“อั๊ก…” ใบหน้าของขันทีเจี่ยเต็มไปด้วยความทรมาน เขายื่นมือที่สั่นเทาชี้ไปทางฟู่เสี่ยวกวน “เจ้านี่…ไปเอาชวงหาน…เยวี่ย…หมิง…จากที่ใดมา…”
“ปึง… !”
หัวขันทีเจี่ยล้มลงกระแทกกับพื้น
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตะลึง ลอบคิดว่าศิษย์พี่ใหญ่นั้นเก่งกาจอย่างแท้จริง !
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “ตายแล้วหรือไม่ ? ”
“มิตาย แต่จะสูญเสียพละกำลังทางการต่อสู้”
“สามารถแก้ไขได้เยี่ยงไร ? ”
“ต้องให้ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักเต๋านามซูเจวี๋ยเป็นผู้แก้พิษด้วยตนเอง”
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็เอ่ยถามเสียงแผ่ว “โหยวเป่ยโต้วรึ ? ”
ฮ่องเต้ส่ายหน้า และตอบกลับเขามาว่า “น้องชายเขา ! ”
ให้ตายเถอะ แซ่โหยวนี้เก่งกาจยิ่ง มีเทพบู๊ถึง 2 คน เยี่ยงนั้นคำร่ำลือจากยุทธภพที่กล่าวว่ามีเทพบู๊ทั้งหกก็เป็นเท็จ เพราะมีถึงเจ็ดต่างหากมิใช่รึ !
ทันใดนั้นเสียงการต่อสู้ด้านนอกก็เบาลง แต่เสียงโอดครวญกลับดังขึ้นมาแทน คาดว่าเหล่าคนที่อยู่ด้านนอกก็คงโดนพิษเข้าให้แล้ว มีเพียงฮั่วหวยจิ่นที่ไม่ทราบว่ากำลังภายในนั้นเก่งกาจหรือไม่
ชวงหานเยวี่ยหมิงมีผลแค่กับคนที่มีกำลังภายในเท่านั้น ยิ่งกำลังภายในแข็งแกร่งเท่าใดก็จะยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น ดังนั้นเด็กสาวซูซูจึงบอกกับฟู่เสี่ยวกวนว่าท่านอาจารย์เป็นบุคคลที่อยู่ระดับสูง และเกือบจะตายเพราะชวงหานเยวี่ยหมิงของศิษย์พี่ใหญ่มาแล้ว
ผ่านไปหลายอึดใจ ก็มีเสียงดังมาจากด้านนอกว่า “ทูลถวายฝ่าบาท โจรกบฏต้องถูกประณาม องค์ชายใหญ่…ต้องรับโทษประหาร ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังฮ่องเต้ที่กำลังลูบคลำกำแพง ทันใดนั้นกำแพงหินก็สั่นสะท้าน จนสุดท้ายก็พังทลายลงไป กลิ่นโลหิตที่คละคลุ้งลอยตีขึ้นจมูกในทันที
สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าสายตาคือแขนขาที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้น โลหิตแดงฉานไหลเป็นทางยาวไปทั่วบริเวณราวกับทะเลโลหิต
เฟ่ยอันถือดาบด้วยมือเพียงข้างเดียวและเขาได้คุกเข่าลงไปกับพื้น ฮั่วหวยจิ่นที่ถือหอกยาวเอาไว้ในมือก็ได้ล้มลงไปกับพื้นทันทีที่ประตูหินเปิดออก
สีหน้าของเฟ่ยอันซีดเซียว เหงื่อบนใบหน้าผุดขึ้นมาราวกับกำลังวิ่งฝ่าพายุฝน
เขาขบกรามอย่างสุดชีวิต จ้องมองฝ่าบาทที่หมดกังวล และกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก “กระหม่อม… โชคดีที่มิเสียหน้า ! ”
หลังจากนั้น…
หลังจากนั้น เป็นที่แน่นอนว่าเขาก็ล้มลงกับพื้นตามกันไป
สรุปได้ว่า ทุกคนในที่นี้ต่างก็เป็นผู้มีฝีมือระดับสูงทั้งหมด มิมีผู้โชคดีแม้แต่คนเดียว ขันทีเว่ยผู้นั้นถูกมัดขึง อนาถเสียยิ่งกว่าฮั่วหวยจิ่นและคนอื่น ๆ เขาสลบไสลไปด้วยอาการน้ำลายฟูมปาก
แม้แต่เหล่าทหาร ถึงแม้พวกเขาจะยังมีชีวิตอยู่ แต่มิมีผู้ใดสามารถยืนขึ้นมาได้เลยแม้แต่ผู้เดียว พวกเขาต่างโดนทลายกระดูก ในยามนี้จึงปวกเปียกราวกับแกะป่วยที่รอโดนเชือด
หยูยิ่นกลับสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ในใจครุ่นคิดว่าเพียงใช้ยาสองเม็ดนั้นของฟู่เสี่ยวกวน ก็เหมือนจะมิจำเป็นต้องจัดการสิ่งอื่นใด สำนักเต๋านั่น…ฟู่เสี่ยวกวนโชคดีที่มีพวกเขาคอยคุ้มกันอยู่ข้างหลัง
“ฝ่าบาท พวกเราต้องออกไปพ่ะย่ะค่ะ มิเช่นนั้น…”
เขาอยากจะกล่าวเหลือเกิดว่ามิเช่นนั้นจะโดนพิษทลายกระดูกกันถ้วนหน้า แต่ยังไม่ทันที่เขาจะกล่าวจบ ก็พบว่าร่างของพระสนมซั่งโอนเอน ฮ่องเต้รีบคว้าพระสนมซั่งมาโอบไว้ และตะโกนเสียงดังว่า “ถอยทัพ ! ”
แต่เดิมฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นกังวลกับทหารเฝ้าสุสานหลวง 2,000 นายที่อยู่ด้านนอก แต่ฮ่องเต้กลับส่ายหน้า
จนกระทั่งได้ออกมาจากสุสานหลวง ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้พบว่าหิมะด้านนอก ได้แดงฉานไปด้วยสายโลหิต ราวกับดอกเหมยที่กำลังเบ่งบาน
เยี่ยนซือเต้าสวมชุดเกราะและถือดาบเอาไว้ในมือ และได้ยืนอยู่เบื้องหน้ากองทหารองครักษ์นับพันด้วยท่าทีเคร่งเครียด
……
……
รัชสมัยเซวียนลี่ที่ 9 เดือนหนึ่งวันที่สามสิบ หิมะโปร่งแสงแดดส่องประกาย
ฤดูหนาวในเมืองจินหลิงมีโอกาสที่จะเจอกับแสงแดดน้อยเป็นอย่างมาก จึงถือว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่ายิ่งนัก หากเป็นวันที่มีแดดสดใสในอดีต ก็จะเกิดทัศนียภาพที่มีชีวิตชีวาในเมืองหลวง
พ่อค้าแม่ค้าแผงเร่ได้ตั้งแผงริมถนน พ่อค้าสัญจรก็ได้จับจองพื้นที่ ผู้คนในเมืองหลวงต่างออกจากบ้านเรือนมาจับจ่ายใช้สอย หรือเพียงออกมาเดินเล่นก็เท่านั้น
โดยเฉพาะคุณหนูน้อยใหญ่ที่หลบตัวอยู่ในห้องหับ ต่างก็ตกแต่งใบหน้าและพกสาวใช้ติดตามออกมาด้วย ขึ้นเกี้ยวขนาดเล็กตรงไปยังสถานที่ที่ครึกครื้น อย่างเช่นตรอกชิงหลวน หรืออย่างเช่นหลานถิงจี๋และอื่น ๆ
แต่เมืองหลวงในวันนี้กลับอ้างว้างอย่างไรที่เปรียบ !
ดังนั้นราวกับว่าแสงอาทิตย์นี้ไร้ความอบอุ่นยิ่ง
ถึงแม้ฮ่องเต้จะทรงรับสั่งปิดเรื่องที่เกิดขึ้นที่สุสานหลวง ณ เขาจื่อจินในวันที่ยี่สิบหกเดือนหนึ่งไปแล้ว แต่เพราะมีคนมีจำนวนมาก ดังนั้นข่าวลับจากที่ตรงนั้นก็ได้เล็ดลอดออกมาอย่างลับ ๆ
เดิมทีผู้คนต่างมิเชื่อ องค์ชายใหญ่คือโอรสของฮ่องเต้ เขามีโอกาสที่จะเป็นองค์รัชทายาทในอนาคตมากที่สุด มิใช่ว่ามีคำพูดไว้เยี่ยงนี้รึ ฮ่องเต้รักโอรสคนโต ประชาชนชื่นชอบคนเล็ก เยี่ยงไรเสียองค์ชายใหญ่ก็คือผู้สืบราชบัลลังก์ของราชวงค์ที่ยิ่งใหญ่นี้ เขาจะต่อต้านเพื่ออันใดกัน ?
เหตุใดเขาต้องทำให้บิดาของตนลำบากใจด้วย ?
กล่าวกันว่าองค์ชายใหญ่เพิ่งจะยี่สิบกว่าปีเท่านั้น หากทนต่อไปจนกว่าฮ่องเต้จะสละราชบัลลังก์ เขาก็จะได้เป็นฮ่องเต้คนต่อไปมิใช่รึ ?
แต่แล้วในคืนวันที่ยี่สิบหกเดือนหนึ่ง !
กองทัพราชองครักษ์ปิดเมืองอย่างกะทันหัน หลังจากนั้นก็ประกาศห้ามออกจากจวนในยามวิกาล สุดท้าย…สุดท้ายได้ยินมาว่า คนจำนวนหกร้อยกว่าคนของตระกูลชือในเมืองหลวง ต่างก็ได้ถูกกองทัพราชองครักษ์ปลิดศีรษะ
ผู้ที่ยังมิตายเหลืออยู่เพียงนายท่านผู้เฒ่าชือ และยังมีเสนาบดีกรมพิธีการชือเฉาหยวน มิใช่ว่าทั้งสองหนีไปแล้ว แต่กล่าวกันว่าทั้งสองได้ถูกควบคุมตัวเข้าวังหลวงในคืนนั้น เกรงว่าจะถูกขังอยู่ในคุกมืดของวังหลวงเสียแล้ว
เรื่องในคืนนั้นยังมีอีกหนึ่งตระกูลที่โชคร้ายไปด้วย นั่นคือตระกูลเฟ่ย
ชะตากรรมของตระกูลเฟ่ยถือว่าดีกว่าตระกูลชืออยู่เล็กน้อย อย่างน้อยเหล่าคนรับใช้ที่บริสุทธิ์ก็มิมีผู้ใดเสียชีวิต พวกเขาถูกไล่ออกมา แต่ราชครูอาวุโสเฟ่ยอีกทั้งยังมีกรมกลาโหมเฟ่ยปังบุตรคนรองของเขาที่ถูกจับกุมมายังวังหลวง เป็นตายร้ายดีเยี่ยงไรก็ยังมิทราบ
หลังจากนั้นเหล่าราชองครักษ์ที่อยู่ภายใต้การนำของนายพลหนุ่มที่ถือหอกยาวผู้หนึ่ง ก็ได้ไล่ทำความสะอาดกรมป้องกันเมือง กล่าวกันว่าหอกของนายพลหนุ่มผู้นั้นอาบไปด้วยเลือด
แต่แล้วเมื่อวาน ข่าวลือเหล่านั้นก็ได้แพร่กระจายไปทั่วทุกที่ ถึงแม้ชาวบ้านจะทำได้เพียงคาดเดาเรื่องที่เกิดขึ้นในสุสานหลวง แต่ความผิดของตระกูลชือและตระกูลเฟ่ยที่คิดกบฏก็คือความจริง ทันทีที่ถึงยามเช้า ราชองครักษ์ก็ได้ปรี่เข้าไปในจวนใหญ่ทั้งสองที่ว่างเปล่า มีขุนนางกรมคลังที่ติดตามไป ทั้งยังมีขันทีอาวุโสอีก 1 ท่าน
พวกเขาได้ตรวจสอบทั้งสองตระกูลนี้แล้ว โดยใช้เวลาตรวจสอบถึงสามวันเต็ม ๆ !
เหล่าผู้คนในเมืองหลวงได้เห็นสิ่งของที่ถูกลากออกมาจากทั้งสองตระกูลด้วยตาของตนเอง ให้ตายเถอะ…จวนของทั้งสองตระกูลนี้แต่ละตระกูลมีรถม้าไม่ต่ำกว่าร้อยคัน !
หลังจากนั้น ทรัพย์สินที่อยู่ในเมืองหลวงของตระกูลเฟ่ยและตระกูลชือก็ได้ถูกคนจากวังหลวงมายึดไปทั้งหมด ดังนั้น เหล่าผู้คนมากมายจึงรู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก และยังได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างสนุกปากอีกด้วย
“ตระกูลที่มีอำนาจทั้งหกของเมืองหลวง กิจการของตระกูลชือนั้นใหญ่มากที่สุด ถึงแม้ข้าจะมิมีเงินเข้าไปซื้อของในร้านของพวกเขา แต่คนที่อยู่ในนั้นย่อมเป็นผู้คนที่ร่ำรวย ก็มิทราบว่านายท่านผู้เฒ่าชือคิดการใดอยู่ เป็นตระกูลที่ร่ำรวยอยู่ดีดีมิชอบ ถึงต้องผันตัวไปเป็นกบฏ การเป็นกบฏมันดีถึงเพียงนั้นเลยรึ ? ”
“พวกเจ้าอาจจะยังมิทราบ งานกวีเทศกาลโคมไฟ คุณชายฟู่เสี่ยวกวนได้ถูกลอบสังหารอีกครา หนึ่งในนั้นมีมือสังหารที่ตระกูลชือเป็นผู้หามา ดังนั้น นายท่านผู้เฒ่าชือผู้นี้ช่างหน้ามืดตามัว คุณชายฟู่เป็นคนที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงใด แม้แต่ฮุ่ยชินอ๋องเขาก็ล้มมาแล้ว พวกเจ้าลองครุ่นคิดดูเถิด ต่อให้ตระกูลชือเก่งกาจเยี่ยงไรก็มิอาจเก่งกาจเทียบชินอ๋องได้มิใช่รึ ดังนั้นถ้าหากจะเรียกว่าเป็นเขาที่รนหาที่ตายเองก็มิผิด ! ”
“คิดดูแล้วเยี่ยงนั้นโชคร้ายของตระกูลเฟ่ยก็มาจากแผ่นประกาศในคืนงานเทศกาลโคมไฟพวกนั้นรึ ? ”
“นั่นก็มิใช่ ตามที่กล่าวมา พวกเจ้าอย่าได้ไปเอ่ยพล่อย ๆ ที่ใดเล่า ข้าได้ยินมาจากปากน้องชายของท่านอาของข้า กล่าวได้ว่าราชครูอาวุโสเฟ่ยยืนผิดฝั่งเสียแล้ว ! ”
“เยี่ยงนั้นน้องชายของท่านอาเจ้าคือผู้ใดกัน ?”
“หึหึ สรุปแล้ว เขาสังหารห้าผู้ก่อกบฏ เกรงว่าจะได้เลื่อนขั้นแล้ว”
“……”
มีข่าวลือมากมายแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง วังหลวงมิได้มีรับสั่งตอบโต้ข่าวลือแต่อย่างใด ดังนั้นผู้คนจึงกล่าวอย่างสนุกปากมากยิ่งขึ้น
แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้รับรู้คำกล่าวเหล่านี้
สองวันนี้เขายุ่งเป็นอย่างมาก ยุ่งกับการช่วยเยี่ยนเป่ยซีจัดการเรื่องของราชสำนัก มิใช่เรื่องยิบย่อยของสิบสามกรมนั่น แต่เป็นเรื่องยุ่งยากภายในวังหลวง
ขุนนางจำนวนมากถูกจับเข้าคุก คนเหล่านี้ต่างเป็นคนที่ได้รับหน้าที่จากการยืมมือตระกูลเฟ่ย ตระกูลชือ หรือองค์ชายใหญ่
ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนได้รับราชโองการลับจากฮ่องเต้และได้นำทหารปรี่เข้าไปหาพวกเขาเหล่านั้น คนเหล่านั้นเพิ่งจะได้ทราบว่าครานี้ได้พลิกคว่ำแล้วอย่างแท้จริง
มีคนร่ำร้องว่าถูกใส่ร้าย มีบางคนตะโกนว่าฟ้าไร้ตา แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจกับสิ่งเหล่านั้น
เขาได้เป็นกระบี่ที่แหลมคมอย่างเต็มตัว !
และสำเร็จภารกิจเหล่านี้ด้วยความเย็นชา ผู้คนที่มีรายชื่อต่างถูกเขาจัดการไปในทันที และจวนของคนเหล่านี้ ก็ถูกทหารที่เขาพามาสั่งปิดด้วยเช่นกัน
จนถึงวันนี้ เดือนหนึ่งวันที่สามสิบ ในที่สุดเรื่องที่ยุ่งเหยิงนั่นก็ถูกจัดการเสียจนหมดแล้ว
ในขณะนี้เขานั่งอยู่ในศาลาเถาหรานของจวนฟู่ รอบข้างคือศิษย์ทั้งสามของสำนักเต๋า นอกจากนั้นยังมีต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลว
เมื่อครู่เขาได้บอกเล่าเรื่องราววันที่ยี่สิบหกเดือนหนึ่งกับพวกนางโดยละเอียด หลังจากที่ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในอารามตกตะลึง เขาก็ยังได้กล่าวอีกว่าและเพราะเรื่องเหล่านี้จึงได้มีขุนนางหลายคนที่ได้กลายเป็นนักโทษ
สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจ มองไปยังทะเลสาบซวนอู่ที่เปล่งประกาย แล้วกล่าวว่า “ข้าเคยเห็น จินหลิงต้นยูคาลิปตัสเสียงนกขมิ้นยามฟ้าสาง ดอกไม้ศาลาริมแม่น้ำฉินหวายบานอย่างรวดเร็ว ใครจะรู้ได้กันว่าจะจางหายได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ ได้เห็นพวกเขาสร้างตึกที่งดงาม ได้เห็นเขาเลี้ยงฉลองกับแขกเหรื่อ และได้เห็นพวกเขาพังทลายลง”
ต่งชูหลานและคนอื่นที่ได้ยินอย่างนั้นก็ถอนหายใจเสียยาวเหยียด ลอบคิด ความรุ่งโรจน์ของตระกูลที่มีอำนาจทั้งหก ช่างเหมือนดังกับที่ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะกล่าวมาอย่างแท้จริง
สร้างตึกที่งดงาม เลี้ยงฉลองแขกเหรื่อ เคยยิ่งใหญ่ถึงเพียงใด แต่กลับพังทลายในชั่วข้ามคืน !
นี่คือความไม่เที่ยงของชีวิต ดังนั้นจึงควรหวงแหนชีวิตในตอนนี้เอาไว้
“แล้วเหตุใดจึงเป็นกรงนก ข้าคิดว่าฟ้าดินก็คือกรงนก ประเทศก็คือกรงนก จวนนี้ก็คือกรงนก หากใจมิเป็นอิสระ เยี่ยงนั้นทุกอย่างก็คือกรงนก”
ดวงตาเรียวของต่งชูหลานเลิกขึ้น “เจ้าจะหมายความว่าจวนหลังนี้คอยดักเจ้าไว้งั้นรึ ข้า เวิ่นหวินและเสี่ยวโหลวคอยดักเจ้าไว้เยี่ยงนั้นรึ ? ”
“อ่า…ข้ามิได้จะหมายความว่าเยี่ยงนั้น ! ”
“เยี่ยงนั้นเจ้าหมายความว่าเยี่ยงไร ? ”
“ความหมายที่ข้าจะสื่อคือ…หากไร้กรงในจิตใจ ดวงตาก็ย่อมไร้กรงเช่นกัน ! ”
ในขณะนั้นเอง ขันทีเจี่ยก็ได้เดินเข้ามาอย่างเลื่อนลอย เขามองฟู่เสี่ยวกวนอย่างคับแค้นใจ แล้วกล่าวว่า “สงครามทางตะวันออกได้เริ่มขึ้นแล้ว ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เจ้าเข้าวัง ! ”
ประโยคสุดท้ายที่หยูเวิ่นเทียนเอ่ยออกมาราวกับโกรธเป็นอย่างมาก แม้แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขาเอ่ยอาจจะเป็นจริง ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะทรงให้คำตอบเยี่ยงไรแก่เขา ?
แล้วจึงนึกต่อไปว่า บัดนี้ไม่ว่าฮ่องเต้จะทรงตรัสเยี่ยงไรก็ดูไร้ความหมาย
เรื่องการกบฏ ตามปกติจะต้องเตรียมแผนการล่วงหน้าเป็นเวลานาน เนื่องจากป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
ในประวัติศาสตร์มีกบฏไร้สมองมิน้อย หากนำเอาประสบการณ์ของพวกเขามาเป็นบทเรียน อีกทั้งวางแผนอย่างแยบยล ผลที่ออกมาคงจะไม่เกิดข้อผิดพลาดมากนัก
หยูเวิ่นเทียนได้วางแผนมาตั้งแต่รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 1 ปัจจุบันนับได้ 9 ปีแล้ว เวลาเนิ่นนานนี้เพียงพอต่อการที่เขาจะวางกำลังคนไว้ในราชวัง และเพียงพอสำหรับการที่เขาจะนำกองทหารมาแฝงตัวไว้ในสุสานหลวงนี้ได้
ดังนั้นจากที่ฟู่เสี่ยวกวนมองดู การที่หยูเวิ่นเทียนก่อกบฏในครานี้สิ่งที่ได้เปรียบคือ
หนึ่ง ความรวดเร็ว
มิมีผู้ใดคาดคิดว่าหยูเวิ่นเทียนจะก่อกบฏ ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยใกล้ชิดกับหยูเวิ่นเทียนมาก่อน แม้แต่พบหน้ากันก็มิเคย หอชิงเฟิงซี่หยู่มิได้ให้ความสำคัญกับหยูเวิ่นเทียน
เนื่องจากเรื่องสวรรคตของไทเฮาเป็นเรื่องกะทันหัน เขาจึงได้ใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ ฮ่องเต้จะทรงออกจากพระราชวังไปยังสุสานหลวง ข้างกายมิมีองครักษ์ปกป้อง
สองนั้นเนื่องจากเป็นโอกาส
เขารู้ว่าองค์จักรพรรดิจะทรงเข้าไปยังสุสานหลวง และรู้ว่าเชื้อพระวงศ์แทบจะทุกคนเดินทางไป ณ ที่นี้ด้วย ดังนั้นเขาจึงไม่เลือกลงมือที่ด้านนอก เพราะบุคคลสำคัญในราชวงศ์หยูล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นี่
บัดนี้องค์ชายองค์หญิงและเชื้อพระวงศ์คนอื่น ๆ ล้วนตกเป็นตัวประกันของเขา แม้แต่ฮ่องเต้และพระสนมซั่งก็ด้วย เช่นนั้นการที่เขาจะยึดครองราชวงศ์หยูก็มิใช่เรื่องยาก
สาม นี่คือผลของการอดกลั้น
8 ปี ! เขาลักลอบทำเรื่องราวมากมายเช่นนี้ได้ถึง 8 ปี ! พระสนมซั่งเคยดูแลหอชิงเฟิงซี่หยู่ นางมิรับรู้เรื่องเหล่านี้สักนิดเดียวเลยงั้นรึ ?
เช่นนั้นเมื่อปีก่อนที่เขาถูกลอบฆ่า ณ เมืองหลวง ก็เป็นฝีมือของคนกลุ่มนี้เยี่ยงนั้นรึ ?
ฟู่เสี่ยวกวนปัดความคิดนี้ทิ้งไป หยูเวิ่นเทียนต้องการราชวงศ์หยู เขาจะมาใส่ใจบุตรชายพ่อค้าที่ดินธรรมดา ๆ เยี่ยงเขาเพื่อเหตุใดกัน ?
ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังคิดไปต่าง ๆ นานา
ฮ่องเต้ก็ทรงเอ่ยขึ้นมาว่า “ดังนั้นนี่คือเหตุผลที่เจ้าก่อกบฏงั้นรึ ? ”
“ทูลเสด็จพ่อ นี่คือวิธีที่ลูกจะล้างแค้นแทนเสด็จแม่ได้”
“เพียงแค่คำพูดของเว่ยต้าจ้วง เจ้าก็คิดจะประหารข้าเยี่ยงนั้นรึ ? ”
หยูเวิ่นเทียนคารวะอีกครั้ง “ลูกมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ลูกคิดว่าเสด็จพ่ออายุมากแล้ว ควรจะลงจากบัลลังก์ได้แล้ว”
“เจ้ามิเคยคิดบ้างรึว่าคำที่ออกมาจากปากเว่ยต้าจ้วงเป็นเรื่องโกหก ? ”
“ขันทีเว่ยหาได้มีเหตุผลโกหกลูกไม่ เนื่องจากหากลูกขึ้นสู่บัลลังก์ ขันทีเว่ยยังคงจะอยู่ที่นี่เพื่อปกป้องเหล่าบรรพบุรุษ”
“หากว่าเว่ยต้าจ้วงคือผู้ที่หลงเหลืออยู่ของลัทธิจันทราในราชวงศ์ก่อนเล่า ?”
“……” หยูเวิ่นเทียนนิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นส่ายหัวเอ่ยว่า “เป็นไปมิได้ ! ”
หยูยิ่นหัวเราะอย่างประชดประชัน ทรงมองไปยังราชครูเฟ่ยแล้วกล่าวว่า “เจ้ารู้เรื่องนี้ก่อนหน้าแล้วรึ ? ”
ราชครูเฟ่ยคารวะแล้วตอบว่า “กระหม่อมมิอาจปิดบังฝ่าบาทได้ กระหม่อมได้เข้ามามีส่วนร่วมของเรื่องนี้ในวันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง ตอนเทศกาลโคมไฟที่ผ่านมา”
เขาเพียงเอ่ยว่ามีส่วนร่วม แต่มิได้เอ่ยว่าตนรู้ องค์ชายใหญ่เคยพูดจาหว่านล้อมเขา แต่เขาก็ลังเลมาโดยตลอด
“เจ้าเองก็เป็นขุนนางเก่าแก่ของราชวงศ์ ช่างร่วมก่อกบฏกับเขาได้ง่ายดายถึงเพียงนี้…ภายในจิตใจของเจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน ?”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมคิดว่าการที่เฟ่ยอันบุตรชายของกระหม่อมถูกใส่ความ แต่ฝ่าบาททรงมิได้ให้ความเป็นธรรมแก่เขา หลายปีมานี้กระหม่อมเห็นบุตรชายทนทำนา ในใจขมขื่นยิ่งนัก จิตใจที่เคยร้อนเป็นไฟกลับค่อย ๆ เยือกเย็น ความสามารถของเฟ่ยอันนั้นฝ่าบาททรงทราบดี ความมุ่งทะเยอทะยานของเขานั้นฝ่าบาทก็ทรงทราบดี แต่เขากลับต้องหมดสิ้นความหวังในน้ำมือของฝ่าบาท กระหม่อมอายุมากแล้ว บุตรชายคนโตของกระหม่อมควรจะสืบสกุลต่อไป แต่บัดนี้เขายังทำนาอยู่ ตระกูลเฟ่ยเกรงว่าจะสูญสิ้นแล้ว ดังนั้น…กระหม่อมเพียงคิดทำเพื่อตระกูลเฟ่ยเท่านั้น ขอฝ่าบาทโปรดทรงเข้าใจพ่ะย่ะค่ะ”
หยูยิ่นครุ่นคิดอยู่สักพัก ดวงตาคู่นั้นเผยให้เห็นความเจ้าเล่ห์
“อืม เจ้าอายุมากแล้วจริง ๆ เจ้าลืมไปเสียแล้วว่าเฟ่ยอันเคยเป็นสหายร่วมชั้นเรียนกับข้า”
ราชครูเฟ่ยได้ยินดังนั้น คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้น
เฟ่ยอันเป็นสหายร่วมชั้นของฮ่องเต้ !
นั่นเป็นเรื่องที่นานมาแล้ว เขาคิดว่าฝ่าบาทจะทรงลืมไปแล้วเสียอีก คาดมิถึงว่าฝ่าบาทจะยังทรงจำได้…เช่นนั้นเรื่องกองทหารตะวันออกมิใช่ฝีมือของเฟ่ยอัน เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงรับสั่งให้เขาแบกรับโทษอยู่ถึง 5 ปี ?
เขาเพียงคิดได้ดังนั้น ฮ่องเต้ก็ทรงตรัสออกมาว่า “เช่นนั้นหยูเวิ่นเทียนนำกองทหารจากพื้นที่ล่าสัตว์หลวงทางใต้มายังที่นี่งั้นรึ ? ”
ราชครูเฟ่ยพยักหน้า “องค์ชายใหญ่ประสงค์จะทำการใหญ่ หากในมือมิมีกำลังทหารคงมิได้แน่ อีกทั้งทหารจากพื้นที่ล่าสัตว์หลวงล้วนเป็นทหารที่องค์ชายใหญ่ฝึกฝนมากับมือ”
ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เข้าใจว่า หยูเวิ่นเทียนมิเลวเลย
หยูยิ่นมองไปยังหยูเวิ่นเทียน มุมปากเผยอขึ้น มิรู้ว่าเยาะเย้ยเขาหรือตนเองกันแน่
“แท้จริงข้าประสงค์ว่าเดือนสองวันที่สอง ในวันที่มังกรเชิดหน้านั้น ข้าจะไปฝึกฝีมือที่พื้นที่ล่าสัตว์ทางใต้”
ฝ่าบาททรงเดินหน้าขึ้นมาสองก้าวจากนั้นเอ่ยว่า “เจ้านั้นมิเลว โตขึ้นมากทีเดียว แต่การกระทำของเจ้าและความเจ้าเล่ห์นี้มิอาจเป็นผู้นำแผ่นดินได้ เดิมทีเจ้าวางแผนไว้ที่พื้นที่ล่าสัตว์เรียบร้อยแล้ว เช่นบริเวณลานนั้น นับจากปีที่แล้ววันที่สองเดือนสิบสอง เจ้าก็มิได้เดินทางไปอีก เนื่องจากได้วางกับดักไว้มากมาย
“อีกทั้ง…เจ้ายังให้มือธนูซุกซ่อนอยู่ในวังของเจ้าอีกด้วยมิใช่รึ”
“เจ้าเกรงว่าข้าจะไม่อยู่ที่วังหลวง จึงได้วางกำลังทหารไว้ที่พื้นที่ล่าสัตว์เช่นกัน”
“แท้จริงการเตรียมการเหล่านี้ดียิ่ง ข้าเองเมื่อรับรู้ก็รู้สึกชื่นชม หมายความว่าเจ้ามิได้มีความรู้ด้านทหารเพียงเปลือกนอก”
หยูเวิ่นเต้าขวมดคิ้ว แววตาเต็มไปด้วยแรงอาฆาต !
ในใจของเขาเริ่มกังวล แผนการเหล่านั้นเตรียมไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เดิมทีเขาคาดว่ามิมีผู้ใดรรู้ แต่เสด็จพ่อกลับรู้ได้อย่างละเอียด !
ความรู้สึกนี้คล้ายกับถูกฉีกเสื้อผ้าออกจากร่างกาย ทุกอณูถูกฝ่ายตรงข้ามรับรู้ หาได้ลึกลับแม้แต่น้อย
เขายังมิได้ลงมือ ฮ่องเต้ก็ทรงตรัสมาว่า “เจ้ารอประเดี๋ยว อย่าได้รีบร้อนไป นาน ๆ ทีข้าจะมีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้า”
จากนั้นฮ่องเต้ก็ทรงทอดพระเนตรไปยังผู้เฒ่าชือ สายตาเปลี่ยนไปจนทำให้เขาก้มหัวลงโดยไม่รู้ตัว
“ข้าปฏิบัติต่อตระกูลชือมิดีเยี่ยงนั้นรึ ? ”
“ทูลฝ่าบาท ตระกูลชือแต่โบราณมาได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาทจึงได้มีวันนี้”
“แล้วเหตุใดเจ้าจึงเข้าร่วมก่อกบฏด้วย ? ”
“…” ท่านผู้เฒ่าชือนิ่งเงียบไปชั่วครู่ “เนื่องจากกระหม่อมมิมีทางเลือกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “องค์ชายใหญ่ข่มขู่เจ้างั้นรึ ? ”
“หาใช่ไม่ แต่เป็นเพราะกระหม่อมมิต้องการเห็นฟู่เสี่ยวกวน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลงทันใด ตาเฒ่านี่ การที่เจ้าก่อกบฏเกี่ยวข้องอันใดกับข้า ?
ท่านผู้เฒ่าชือหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยว่า “ในปีที่แล้ว ณ พระราชวังจินเตี้ยน บุตรชายข้าสั่งให้ฟู่เสี่ยวกวนคุกเข่าเพื่อคารวะฝ่าบาท แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับต่อว่าเขาเสียจนกระอักเลือด กระหม่อมคิดว่าตระกูลชือรับใช้ฝ่าบาทมาโดยตลอด ฝ่าบาทจะต้องทรงลงโทษเขาเป็นแน่…แต่คาดมิถึงว่าพระองค์จะมิทรงลงโทษ แต่กลับให้เขาเป็นจิ้นชื่อ”
“นี่อาจมิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด เพียงแต่จากเรื่องนี้ทำให้กระหม่อมรู้ถึงความหมายในใจของฝ่าบาท ขอเอ่ยตามตรงว่าราชวงศ์หยูทั้งสิบสามเขต ตระกูลชือของข้านั้นส่งขุนนางไปไม่น้อย และโดยมากได้ทำการทุจริต หากฝ่าบาทจะทรงตัดรากตระกูลทั้งหกนี้ กระหม่อมจะนิ่งดูดายได้เยี่ยงไร เมื่อครุ่นคิดไตร่ตรองดูแล้ว หากเปลี่ยนเป็นองค์ชายใหญ่ปกครองประเทศ ตระกูลชือจึงจะได้รับความสงบสุข”
“นี่คือเหตุผลของเจ้างั้นรึ ? ดังนั้นการที่ชือเฉาหยวนมิได้ติดตามขบวนมาด้วย เนื่องจากได้ลงมือกับเยี่ยนเป่ยซีในพระราชวัง ? ”
ผู้เฒ่าชือพยักหน้า “กระหม่อมมิมีทางเลือก ขอฝ่าบาทโปรดทรงเข้าใจ ! ”
หยูยิ่นสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นมองไปยังหยูเวิ่นเทียน
“ข้าประสงค์จะเอ่ยบางสิ่งจากหัวใจ”
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงมิแต่งตั้งรัชทายาท ? เนื่องจากข้าต้องการดูให้ดีเสียก่อน”
“การที่เจ้าวางแผนการทั้งหมดนี้ ข้ารับรู้มาโดยตลอด นี่มิใช่วิธีการปกครองประเทศที่ถูกต้อง ความสามารถเพียงนี้มิอาจก้าวขึ้นสู่บัลลังก์ได้ มิใช่เส้นทางที่ถูกต้อง สิ่งใดคือเส้นทางที่ถูกต้องงั้นรึ ? คือการวางแผนเพื่อราชวงศ์หยู คือกระทำให้ประชากรราชวงศ์หยูมีความสุข สร้างอาณาเขตให้กับราชวงศ์หยู สิ่งเหล่านี้ต่างหากเล่า”
“ข้ามองดูเจ้าทำเรื่องราวไร้สาระเหล่านี้ในเมืองหลวง และคิดว่าหากปล่อยเอาไว้จะทำให้เกิดปัญหาใหญ่เป็นแน่ ดังนั้นข้าจึงเห็นด้วยกับความคิดเห็นของเยี่ยนเป่ยซีว่าให้เจ้าเดินทางไปรับหน้าที่ดูแลกองทหารตะวันออก สิ่งนี้เมื่อครั้นเจ้ายังเล็กก็ได้เอ่ยกับข้า ข้ามิเคยลืม ข้าเพียงคิดว่าเจ้าจะทุ่มเทให้กับกองกำลังทหารตะวันออก เรียนรู้หลักการจากกองทหารเพื่อนำมาพัฒนาประเทศ”
“ความประสงค์ของข้านี้มิได้ตัดเจ้าออกจากบัลลังก์รัชทายาท แต่หวังว่าเจ้าจะปรับปรุงตัวและเปลี่ยนแปลงแนวคิดกลับมา หวังว่าเจ้าจะเติบโตและมั่นคงขึ้น สามารถเข้าใจว่าแสงอาทิตย์เจิดจ้ากว่าแสงจันทร์เยี่ยงไร”
“แน่นอนว่าข้าเองก็มองดูน้องสี่ของเจ้ามาตลอด การกระทำของเขาก็เป็นเช่นเดียวกับเจ้า เพียงแต่เขาฉลาดกว่า เขากระทำสิ่งใดมิเคยให้ข้าจับได้ เช่นการปล้นคุกเมื่อคืนเทศกาลโคมไฟ และเช่นลอบฆ่าฟู่เสี่ยวกวน อีกทั้ง…เรื่องที่เขาติดต่อกับแคว้นเฟ่ย เกรงว่าบัดนี้เขาจะกำลังวางแผนจัดการนายพลเจียงเกาหยวนที่เจ้าส่งไปยังกองกำลังทหารตะวันออก”
หยูเวิ่นเทียนหรี่ตาลง ขมวดคิ้วแล้วจ้องไปยังหยูยิ่น สายตาทั้งสองคู่ประสานกันโดยไม่มีใครยอมใคร แต่ภายในใจเขารู้สึกไม่มั่นคง
เขามิพบความกังวลใด ๆ บนใบหน้าของหยูยิ่นและพระสนมซั่ง เมื่อเขาเห็นเสด็จพ่อและพระสนมซั่งนิ่งสงบได้เพียงนี้
หรือจะมีสิ่งใดไม่คาดฝันกัน ?
เขาครุ่นคิดอย่างละเอียด จากนั้นพบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ
ในที่นี้ทุกคนล้วนเป็นฝ่ายเดียวกับตน อีกทั้งยังมีผู้เก่งกาจเช่นขันทีเว่ย ทหารทั้งห้าร้อยนายก็ยังมิใช่คู่มือขันทีเว่ย และในราชวังนั้น คาดว่าเสนาบดีกรมกลาโหมเฟ่ยปังและเสนาบดีกรมพิธีการชือเฉาหยวนอีกทั้งขุนนางทั้งหลายจะควบคุมราชวังได้แล้ว เพียงแต่เขาได้รับชัยชนะที่นี่ แล้วได้ตราหยกและตราลัญจกรสืบบัลลังก์ ทุกอย่างคงจบลงด้วยดี
เมื่อคิดได้ดังนั้นความไม่สงบในจิตใจของเขาก็เบาบางลง เขาเอ่ยปากออกมาว่า “เสด็จพ่อพ่ะย่ะค่ะ ลูกเข้าใจในความหวังดีของพระองค์แล้ว เช่นนั้นบัดนี้ลูกขอทูลให้เสด็จพ่อสละราชบัลลังก์ให้แก่ลูก มิทราบว่าเสด็จพ่อจะทรงยินยอมหรือไม่ ? ”
“การที่ลูกกระทำไปเยี่ยงนี้ ก็มิใช่เพราะลูกประสงค์ แต่เพราะถูกบีบบังคับเช่นกัน หอชิงเฟิงซี่หยู่มีอยู่ทุกหนแห่ง เจ้าหน้าที่ก็จับจ้องลูกราวแมลงวัน หากต้องการทำการใหญ่ ลูกจำเป็นจะต้องลอบกระทำ”
“บัดนี้อาทิตย์ได้ส่องแสงออกมาแล้ว ลูกขอให้คำสัญญาว่าต่อจากนี้จะยืนหยัดในแสงสว่าง พัฒนาราชวงศ์หยูให้รุ่งเรือง เสด็จพ่อคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”
หยูยิ่นมิได้เอ่ยคำใดมาเป็นเวลาเนิ่นนาน
เขาหลับตาลงช้า ๆ จากนั้นเอ่ยเพียงว่า “หากเจ้าได้บัลลังก์นี้ไป เจ้าจะจัดการอย่างไรกับพระสนมซั่งและ…เชื้อพระวงศ์คนอื่น ๆ ? ”
หยูเวิ่นเทียนหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วตอบกลับไปว่า “เสด็จพ่อรับรองว่าจะได้อยู่อย่างสงบในบั้นปลายชีวิต ส่วนบรรดาเชื้อพระวงศ์ล้วนมีเลือดเนื้อราชวงศ์หยู ลูกจะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเมตตา แม้แต่น้องสี่ก็เช่นกัน ลูกมิต้องการเห็นการนองเลือด ดังนั้นลูกเพียงต้องการให้คนสองคนตาย”
เขามองมายังพระสนมซั่ง “สตรีจอมมารยาที่ทำให้เสด็จแม่จากไป จำเป็นต้องตายชดใช้ด้วยชีวิต ! ”
จากนั้นหันไปยังฟู่เสี่ยวกวน “บุตรพ่อค้าที่ดินจากหลินเจียงคนนี้ เขาจำเป็นต้องตาย !”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงยิ่ง ข้ามิได้ไปทำสิ่งใดแก่เจ้าเลย เหตุใดข้าจึงต้องตายเล่า ?
ฮ่องเต้ก็ตกตะลึงเช่นกัน หยูเวิ่นเทียนจึงเอ่ยว่า “เขา…ช่างอันตรายยิ่ง ลูกมิชอบ”
สวรรค์ เหตุผลอันไร้ซึ่งเหตุผล !
หากเจ้าก่อกบฏสำเร็จ ข้าจะอันตรายได้เยี่ยงไร ?
ฮ่องเต้ทรงรู้สึกว่าประโยคนี้เหนือความคาดหมาย ดังนั้นเขาจึงได้ยิ้มออกมาแล้วหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน
เจ้าหมอนี่มิเลว สามารถทำให้หยูเวิ่นเทียนเกลียดได้
แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ ประโยคนี้องค์ชายสี่เคยเอ่ยกับองค์ชายห้าเมื่อครั้งที่อยู่วัดฟูจื่อ
หยูยิ่นมองไปทางหยูเวิ่นเทียนแล้วตรัสว่า “หากเจ้าเปลี่ยนความคิดเสียบัดนี้ ข้าจะมิถือโทษเจ้า”
“เสด็จพ่อ การตัดสินใจลงมือในวันนี้ ลูกได้ไตร่ตรองและรอคอยมาถึง 8 ปี ดังนั้น…” หยูเวิ่นเทียนคารวะหยูยิ่นอีกครั้ง “ดังนั้นลูกหวังว่าเรื่องในวันนี้จะจบลงด้วยดี อย่าได้ให้มีเลือดไหลนอง เนื่องจากที่แห่งนี้คือสุสานหลวง คาดว่าบรรพบุรุษทั้งหลายคงมิอยากให้พวกเรารบกวนไปมากกว่านี้ เสด็จย่าก็ต้องการจะเสด็จขึ้นไปพบเสด็จปู่ อย่าได้พลาดเวลาเสด็จขึ้นสู่สวรรค์เลยพ่ะย่ะค่ะ”
หยูยิ่นแสดงสีหน้าแห่งความผิดหวังออกมา จากนั้นคือความเด็ดขาด
“เช่นนั้น เจ้าจงตายเสียเถิด ! ”
เมื่อตรัสจบ ตำแหน่งที่ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ก็สั่นสะเทือน ที่บนพื้นคล้ายกับว่ามีกำแพงขึ้นมาขวางไว้ ในขณะเดียวกันหยูเวิ่นเทียนก็ขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นเอ่ยว่า “ฆ่า ! ”
กำแพงนั้นผุดขึ้นมาทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพียงแค่ครึ่งหนึ่ง ขันทีเว่ยก็กระโดดขึ้นสู่กำแพง ฟู่เสี่ยวกวนโยนปล่อยชวงหานเยวี่ยหมิงและทลายกระดูก
ยาทั้งสองเม็ดนี้ระเบิดออกกลางอากาศแล้วกระจัดกระจายไปทั่ว ขันทีเว่ยนำมือที่กำดาบยาวไว้ขึ้นมาปิดจมูกแล้วฟันลงไปด้านหน้า ควันลอยฟุ้ง ดาบนั้นพุ่งตรงเข้ามาท่ามกลางหมอกควัน
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง แต่กลับพบว่าขันทีเจี่ยที่อยู่ด้านหลังองค์ฝ่าบาท ขันทีผู้ที่ไร้ซึ่งพิษภัยคนนั้นเขาใช้นิ้วมือดีดดาบออกไป แขนข้างนั้นหดกลับไปในเสื้ออย่างรวดเร็วราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
“แกร๊ง… !”
เสียงโลหะดังขึ้น และสะท้อนกลับมากังวานชัดเจน
ฟู่เสี่ยวกวนเห็นว่าขันทีเว่ยคล้ายกับถูกกัด เหมือนมีค้อนใหญ่ทุบเข้าที่ทรวงอกอย่างแรง
เขากระอักเลือดออกมาแล้วร่างกายก็กระเด็นออกไป…กำแพงยกสูงขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดฟู่เสี่ยวกวนพบว่าทั้งสองข้างของทางเดินนั้นมีทหารยืนอยู่มากมาย !
ด้านขวาผู้ที่ยืนถือกระบี่เล่มยาวและอีกมือหนึ่งกำไหสุราไว้ เขาก็คือหัวหน้าราชองครักษ์ ฮั่วหวยจิ่นนั่นเอง !
ส่วนด้านซ้ายผู้ที่ยืนกวัดแกว่งดาบยาวไปมา ก็คืออดีตนายพลแห่งกองทัพใต้ที่ทำนาอยู่ ณ หนานหลิง เฟ่ยอัน !
คำว่าสุสาน คำอธิบายตามตัวอักษรคือมาจากเจริญและดับ
สุสานฮ่องเต้โดยทั่วไป จะต้องตั้งสูงตระหง่าน มีความหมายถึงท้องฟ้า
แต่ยามที่ฟู่เสี่ยวกวนมองขึ้นไป บนแท่นขนาดใหญ่นั้นกลับมิมีป้ายหลุมศพ มีเพียงศิลาจารึกขนาดใหญ่หนึ่งแผ่นที่ตั้งอยู่ตรงสุดขอบ รวมไปถึงสิงห์สีขาวอ่อนขนาดใหญ่เท่ากันที่อยู่ด้านข้างแผ่นศิลาจารึก
ขบวนได้มาหยุดอยู่ด้านล่างของแท่นนั้น ราชองครักษ์ที่อยู่ด้านหน้ากระจายตัวออกเป็นสองฝั่ง หลังจากนั้นนักบวชเต๋านับร้อยก็ได้เดินมายังแท่นบูชาเบื้องหน้าศิลาจารึก เชื้อพระวงศ์ก็ได้เดินมาถึงด้านหน้าของศิลาจารึก และแบ่งยืนเป็นสองแถวเช่นเดียวกัน
ผู้ที่แบกหามโลงพระศพเดินไปด้านหน้าอีกครา จนมาถึงบนแท่นบูชา และได้วางลงบนหลังเต่าลึกลับบนแท่นบูชา
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าเรื่องจะจบเพียงเท่านี้แล้ว แต่ก็พบว่าผู้เก็บดวงวิญญาณมิได้เคลื่อนไหว พวกเขาเพียงยืนอยู่ต่อ และยังคงประคองโลงพระศพที่เย็นเฉียบนั่นไว้
นักบวชเต๋าเริ่มทำพิธีที่แท่นบูชา มือของฟู่เสี่ยวกวนแข็งค้าง ทำได้เพียงสบถในใจ พิธีการของเหล่านักบวชเต๋าหน้าเหม็นซับซ้อนอย่างแท้จริง ทั้งขับร้องทั้งร่ายรำ ยันต์เหลืองในมือโบกสะบัดไปรอบ ๆ ไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
และได้ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ในที่สุดนักบวชเต๋ากลุ่มนั้นก็หยุดลง หยูซีผู้นำสำนักโหราศาสตร์เดินออกมา ยืนอยู่บนแท่นโดยที่ในมือนั้นถือเข็มทิศเอาไว้พร้อมกับมองไปบนท้องฟ้า เมื่อผ่านไปอีก 1 ก้านธูป เขาก็ตะโกนขึ้นมาว่า “เวลาอันดีได้มาถึงแล้ว ประตูเซียนจะเปิดออก โอรสสวรรค์และหลานชายจงเดินมาด้านหน้า และร่วมส่งไทเฮาสู่สวรรคาลัย”
กลุ่มคนได้คุกเข่าลงเบื้องหน้าโลงพระศพภายใต้การนำขององค์ชายใหญ่ แต่ละคนยกแขนเสื้อขึ้นมาปิดหน้าและร่ำไห้สะอึกสะอื้น ช่างได้ผลอย่างยิ่งในท่ามกลางพายุหิมะนี้
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังหยูเวิ่นหวินที่อยู่ด้านล่าง เกรงว่าจะมีเพียงนางที่โศกเศร้าอย่างแท้จริง
“เปิดสุสานหลวง ! ”
ขณะที่หยูซีตะโกนขึ้นมาอีกครา ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ยินเสียงดังลั่นดังมาจากทางด้านหลัง ทันใดนั้นเท้าก็สั่นไหว ราวกับพื้นกำลังสั่น
เขาหันหน้าไปมอง ดวงตาเบิกโพลงฉับพลัน !
ภูเขาที่อยู่ด้านหลังศิลาจารึกนั่น แยกตัวออกแล้ว !
ดังนั้นภูเขาลูกนี้จึงเป็นสุสานหลวง !
โลงพระศพถูกยกขึ้นมาอีกครา ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้าไปยังทางเข้าขนาดใหญ่ของถ้ำ
ทหารเฝ้าสุสานไทเฮา 3,000 นายที่อยู่ด้านหน้าแบ่งออกเป็นสองแถว และเดินได้ออกมาตรงกลาง 500 คน พวกเขาเดินอยู่ด้านหน้าของขบวนทัพ กองทหารองครักษ์ที่คอยปกป้องโลงพระศพมิได้ตามเข้าไปอีก มาถึงตรงนี้ ก็ถือว่าเสร็จสิ้นหน้าที่ของทหารเฝ้าสุสานไทเฮาแล้ว เมื่อเข้าไปสุสานจักรพรรดิก็เป็นหน้าที่ของทหารเฝ้าสุสานหลวงแล้ว
ทหารองครักษ์ 500 คนนำพานักบวชเต๋าจำนวนร้อยกว่าคนและโลงพระศพเดินเข้าไปในถ้ำ แสงไฟภายในนั้นมิได้สลัว ฟู่เสี่ยวกวนมองไปรอบ ๆ อย่างพินิจพิจารณา ผนังหินที่เกลาเกลี้ยงได้ถูกแกะสลักเมฆมงคลและสัตว์ร้ายที่เหมือนกับมีชีวิตจริง ๆ มีแสงไฟที่ส่องสว่างอยู่มากมาย
ทางเดินลาดชันเล็กน้อย น่าจะยาวไกลเป็นอย่างมาก ยังมองมิเห็นขอบเขตที่สิ้นสุด คาดว่าสุสานที่แท้จริงคงจะอยู่ใต้เขาจื่อจิน
จำนวนคนที่เข้าไปในสุสานจักรพรรดิลดน้อยลงไปเป็นจำนวนมาก กองทหารองครักษ์ไม่ได้ตามเข้าไป ขุนนางนับร้อยที่อยู่ลำดับสุดท้ายก็ไม่ได้ตามเข้าไป นอกจากเชื้อพระวงศ์ ก็มีคนเก็บศพและผู้อาวุโสไม่กี่ท่านเท่านั้นที่เข้าไปได้ นี่คือข้อกำหนดของสุสานหลวง ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบ แต่คาดว่าพื้นที่ด้านในนั้นน่ากลัวว่าจะมิพอรองรับคนเป็นจำนวนมาก และภายในสุสานหลวงก็น่าจะเงียบสงบ
ภายในสงบอย่างแท้จริง แม้แต่กลุ่มนักบวชเต๋าในยามนี้ก็ไม่ได้สวดมนต์อีกต่อไป
ขบวนเดินทางกันด้วยความเคารพ หลังจากนั้นก็ได้มาถึงมุมหนึ่ง
ทันใดนั้นหูของฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ยิน ด้านในนั้นราวกับมีเพลงดังออกมา แต่มิได้ดึงดูดความสนใจของเขา
โลงพระศพหันไปทางมุมนั้น และแล้วด้านในนั้นก็ถูกเปิดออกสู่สายตา ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังมองสำรวจไปรอบ ๆ ทันใดนั้นตะเกียงด้านในก็ดับลง !
ชั่วพริบตานั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ยินเสียงของลูกธนูที่ถูกปล่อยออกมา หลังจากนั้นลูกธนูก็พุ่งเข้ามาที่ร่างของเขา เขาแทบจะหันหลังกลับออกไปทันที และโผเข้าใส่ฮ่องเต้ให้ล้มลงไปกับพื้น
“ข้าศึกบุก ! ”
เขาลากฮ่องเต้ไปยังด้านหลังของหัวมุม หลังจากนั้นก็ปรี่เข้าไปช่วยพระสนมซั่ง
ให้ตายเถอะ !
คาดมิถึงว่าศัตรูจะซ่อนตัวอยู่ในสุสานหลวง !
เข้าใจจุดประสงค์ได้โดยที่มิต้องกล่าว !
ในใจของฟู่เสี่ยวกวนพลันหนาวเหน็บยิ่ง ครานี้เป็นไปได้ยากที่จะหลบหนีพ้น
เขากระชากพระสนมซั่งออกมาจากด้านนอกหัวมุม เดิมทีคิดว่าพระสนมซั่งจะต้องหวาดกลัวเป็นอย่างมาก แต่คาดมิถึงว่าสีหน้าของพระสนมซั่งจะยังคงราบเรียบอยู่ดังเดิม
“ฝ่าบาท สุดท้ายพวกเขาก็ลงมืออย่างอดใจมิไหวจนได้พ่ะย่ะค่ะ”
หยูยิ่นนั่งลงกับพื้น สีหน้ามืดครึ้มราวกับน้ำ
“มิใช่ ตอนนี้จะทำเยี่ยงไรต่อไปขอรับ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนร้อนรนเป็นอย่างมาก
“จะทำอันใดได้อีกกัน เจ้าลองหันมองไปทางด้านหลังของเจ้าดูสิ”
ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังกลับ ทันใดนั้นจิตใจก็พลันจมดิ่งลงไปสู่ก้นบึ้ง
บนทางผ่านนั้นมีทหารที่ปกปิดใบหน้าไว้ยืนอยู่ในความมืด มือถือกระบี่และดาบ ต่างรอคอยกันหน้าสลอน พวกเขามิมีทางตีฝ่าวงล้อมออกไปได้เป็นแน่ และไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะส่งข่าวคราวไปให้กองทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านนอก
“หยูเวิ่นเทียน พอได้แล้ว !”
ฮ่องเต้กู่ร้องจากในลำคอ เสียงต่อสู้จากด้านนอกค่อย ๆ เงียบลง หลังจากนั้นตะเกียงน้ำมันก็สว่างขึ้นอีกครา
“ลูกเองก็รู้สึกว่าพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อโปรดเข้ามาด้วย”
หยูยิ่นลุกขึ้นยืนจากพื้น สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สองมือไขว้หลังและเดินออกไปทางด้านนอก
พระสนมซั่งมองฟู่เสี่ยวกวน และเดินออกไปด้านนอกเช่นกัน
ฟู่เสี่ยวกวนจะสามารถทำเยี่ยงไรได้ ? เขาเองก็ทำได้เพียงเดินตามออกไปแต่โดยดี
ถึงได้พบว่าที่นี่คือห้องทรงกลมที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ มีเส้นทางอยู่สามสาย ทางซ้าย กลาง และขวา ต่างก็มีแผ่นศิลาจารึกตั้งอยู่ด้านหน้าของแต่ละทาง
เดิมทีทหารเฝ้าสุสานหลวงเหล่านั้นจะยืนอยู่ข้างกันกับศิลาจารึก ในยามนี้กลับล้มลงไปกับพื้นกันถ้วนหน้า
ทหารองครักษ์ทั้งห้าร้อยนายที่เข้ามาส่งดวงวิญญาณ ในยามนี้ราวกับไร้วิญญาณ สายโลหิตหลั่งไหลไปทั่วสารทิศ
องค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียนยังคงสวมชุดไว้อาลัย เพียงแค่ในยามนี้เขากลับยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามโดยที่เบื้องหน้าคือศพทหารนับพัน และยังมีคนอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างกายเขา คือราชครูอาวุโสเฟ่ยและนายท่านผู้เฒ่าชือ ทั้งยังมีขันทีเว่ย
เชื้อพระวงศ์กลุ่มนั้นมิได้มีผู้ใดเสียชีวิต พวกเขาในยามนี้ต่างหวาดกลัวถึงขีดสุด มีผู้คนจำนวนมากที่ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในระยะเวลาอันสั้นนี้
องค์ชายสี่หยูเวิ่นชูหยักยิ้มมุมปาก ดวงตาชำเลืองมององค์ชายใหญ่อย่างดูถูก หลังจากนั้นก็ก้มหน้าโดยมิทราบว่ากำลังคิดอันใดอยู่
ดวงตาของหยูเวิ่นหวินเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว นางย่อมทราบถึงสถานการณ์ในอดีต แต่คาดมิถึงว่าพี่ใหญ่จะกล้าลงมือก่อกบฏเยี่ยงนี้ เขาโง่ไปแล้วใช่หรือไม่
หยูหงอี้สบถในใจ ข้ามาถึงเมืองหลวงด้วยความยากลำบาก เดิมทีตั้งใจไว้ว่าหลังจากที่เสร็จพิธีส่งไทเฮาสู่สวรรคาลัย ก็จะไปหาฟู่เสี่ยวกวนเพื่อหยอกล้อ…ตอนนี้กลับกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตไปเสียแล้ว คาดว่าเขาคงต้องถูกฝังอยู่กับไทเฮาเป็นแน่
หยูยิ่นเดินมาถึงด้านหน้าทัพ เขาจ้องมององค์ชายใหญ่อย่างพินิจ นึกไปถึงเซวี๋ยปิงหลานที่เป็นมเหสีขององค์รัชทายาทในปีนั้น นึกถึงคำพูดของนางในยามที่นางคิดว่าตนจะไม่รอดในตอนที่คลอดหยูเวิ่นเทียนออกมา “หม่อมฉันต้องไปแล้ว ทารกที่ไร้มารดาน่าสงสารที่สุด องค์รัชทายาท…พระองค์ต้องปกป้องเขานะเพคะ”
“ปิงหลาน ข้าปกป้องเขามาโดยตลอด แต่ในตอนนี้เขากลับจะสังหารฮ่องเต้ สังหารบิดา เพียงเพื่อยึดครองต้าหยู ! ” หยูยิ่นลอบกล่าวอยู่ในใจหน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่
“เหตุใดเจ้าถึงรีบร้อนเยี่ยงนี้ ? ” หยูยิ่นเอ่ยถาม
หยูเวิ่นเทียนคำนับอย่างนอบน้อม “ทูลเสด็จพ่อ เพราะลูกทราบว่าเสด็จพ่อตัดสินใจที่จะส่งลูกไปยังกองทัพชายแดนตะวันออก”
“นี่มิใช่อุดมการณ์ของเจ้าเยี่ยงนั้นรึ ? ”
“เป็นอุดมการณ์ของลูกอย่างแท้จริง เพียงแค่…ลูกใคร่ครวญอยู่นาน หากประเทศนี้ได้มาอยู่ในมือของลูก เยี่ยงนั้นลูกก็จะสามารถสั่งการกองทัพชายแดนตะวันออกได้โดยปริยาย และมิขัดกับอุดมการณ์ของลูก”
องค์ชายสี่หยูเวิ่นชูแสยะยิ้ม ลอบด่าทออยู่ในใจว่า อุดมการณ์เวรตะไลล่ะสิไม่ว่า !
ณ ที่นี่จึงเงียบสนิทไร้สิ้นเสียงอันใด
อยู่เนิ่นนาน หยูยิ่นจึงได้เอ่ยถามอีกว่า “ต่อให้เจ้าสังหารข้า เจ้าก็มิสามารถควบคุมขุนนางอาวุโสในราชสำนักได้ มีแต่จะทำให้ราชวงศ์หยูตกอยู่ในความโกลาหลคราใหญ่ เจ้าจักทำให้ประเทศของราชวงศ์หยูที่มีมานานสองร้อยกว่าปีล่มสลาย !”
“คงมิขอรบกวนเสด็จพ่อในเรื่องนี้ เยี่ยนเป่ยซีก็ชราแล้ว ตระกูลที่มีอำนาจทั้งหกก็มีผู้มีความสามารถหน้าใหม่อีกมาก ในราชสำนักก็มีขุนนางที่ไม่ได้ความอยู่อีกมาก แน่นอน ช่วงหลายปีมานี้ก็มีขุนนางอีกมากที่ประทับใจในตัวลูก ดังนั้นต่อให้เกิดความวุ่นวายก็จะวุ่นวายเพียงไม่กี่วันเท่านั้น”
หยูยิ่นคิ้วขมวดนิ่ว “สรุปแล้วเจ้าเริ่มวางแผนเกี่ยวกับเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ? ”
หยูเวิ่นเทียนโค้งคำนับอีกครา “ตั้งแต่วันที่ลูกทราบสาเหตุการตายของเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ”
หยูยิ่นตวาดลั่น “เจ้าช่างโง่อะไรถึงเพียงนี้ แม่ของเจ้าสิ้นใจในอ้อมกอดของข้า นางสิ้นใจเพราะคลอดเจ้า นั่นคือความจริง หากเจ้ายังมีสมองอยู่ก็ใช้ใคร่ครวญให้ดี หากข่าวลือนั่นเป็นความจริง เจ้าจะมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ได้เยี่ยงไร ? ”
หยูเวิ่นเทียนลุกขึ้นยืน เขาจดจ้องไปที่ฮ่องเต้ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาและเรียบนิ่ง “รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 1 เสด็จพ่อได้ขึ้นครองราชย์ ลูกอายุครบ 14 ปี ฤดูหนาวปีนั้น จินหลิงก็ได้เกิดหิมะตกคราใหญ่เช่นเดียวกัน ฝ่าบาทได้มอบบรรดาศักดิ์เสด็จแม่ให้เป็นมเหสี สุสานของเสด็จแม่ก็ได้ถูกย้ายมายังสุสานหลวงท่ามกลางหิมะที่ตกหนักในฤดูหนาวปีนั้น”
“ลูกได้ตามมา หลังจากที่เคารพศพก็มิได้จากไปแต่อย่างใด และได้อยู่ไว้ทุกข์ที่นี่เป็นเวลาครึ่งปี เสด็จพ่อคงจะจดจำได้”
“ตอนนั้นขันทีเว่ยที่อยู่ปรนนิบัติเสด็จแม่ในปีนั้น ก็ได้ถูกเสด็จพ่อส่งมายังที่นี่ ลูกและขันทีเว่ยย่อมรู้จักกัน ยามที่เสด็จแม่คลอดลูก ขันทีเว่ยก็ได้ยืนอยู่ด้านหลังของเสด็จแม่”
“หญิงสารเลวนั่น…” หยูเวิ่นเทียนยื่นมือชี้หน้าพระสนมซั่ง ด้วยสีหน้าเย้ยหยัน “มิผิดเลย หญิงสารเลวนั่นได้มาเยี่ยมเสด็จแม่ มิใช่หลังจากที่เสด็จแม่คลอดลูกออกมา แต่เป็นก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน นางได้ให้เสด็จแม่ดื่มยาไปหนึ่งชาม สิ่งนี้ได้มีจดไว้ในสมุดบันทึกของเสด็จแม่ หากเสด็จพ่อมิเชื่อ ก็สามารถไปตรวจสอบดูได้”
“ประจวบเหมาะที่วันนั้นขันทีเว่ยมิได้อยู่ข้างกายเสด็จแม่ เขาได้ถูกเสด็จพ่อสั่งให้ไปจวนเซวี๋ย กล่าวว่าเพื่อแจ้งข่าวดี แต่จากที่ลูกได้มอง เป็นพวกท่านที่จงใจให้ขันทีเว่ยปลีกตัวออกไป และสมคบคิดสังหารเสด็จแม่”
“แต่เดิมหมอหลวงคาดการไว้ว่าเสด็จแม่จะคลอดในอีกสามวันให้หลัง แต่หลังจากที่เสด็จแม่ดื่มยาถ้วยนั้น…เช้าวันถัดมาก็ต้องคลอดลูกตั้งแต่ย่ำรุ่ง หลังจากนั้นจึงได้สิ้นพระทัย บันทึกของหมอหลวงจึงเป็นการคลอดบุตรยาก แต่เสด็จพ่อ ลูกอยากจะถามเสด็จพ่อ แท้จริงแล้วเสด็จแม่สิ้นใจเพราะการคลอดยากหรือเพราะถูกวางยากันแน่ ?”
คำกล่าวของหยูเวิ่นเทียนทำให้ทุกคนต่างตกตะลึงอย่างถึงที่สุด ราวกับว่าพวกเขาได้ลืมความกลัวที่มีต่อนักโทษไปจนหมดสิ้น สายตาต่างตกอยู่ที่แผ่นหลังของพระสนมซั่งกันถ้วนหน้า ยกเว้นหยูเวิ่นหวินกับหยูเวิ่นเต้ารวมไปถึงฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนเพียงเหลือบมองพระสนมซั่ง เขามิทราบว่าที่หยูเวิ่นเทียนกล่าวมานั้นจริงหรือไม่ แต่สำหรับเขาในตอนนี้มิได้สำคัญนัก
ที่สำคัญกว่าก็คือ… ยาพิษ 2 เม็ดที่อยู่ในมือของเขา หนึ่งคือชวงหานเยวี่ยหมิง อีกหนึ่งเม็ดคือทลายกระดูก ผลิตโดยศิษย์พี่ใหญ่ ย่อมเป็นของที่ดีเป็นแน่ !
หยูยิ่นสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และเงยหน้าขึ้นมา มองไปยังยอดกระโจม “ดังนั้น เว่ยต้าจ้วงเป็นผู้เล่าเรื่องเหล่านี้ให้เจ้าฟังเยี่ยงนั้นรึ ? ”
“ขันทีเว่ยเป็นผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นหนึ่งมาเนิ่นนานแล้ว สำหรับยาพิษ เขาย่อมมีความรู้อยู่บ้าง ขันทีเว่ยได้วิเคราะห์จากกากยาที่เหลือในถ้วยยานั้น ในนั้นจะมีรสชาติของยา มันเรียกว่ายูงเขียว กลิ่นยานี้มิใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด แต่น้อยคนนักที่จะทราบว่าการผสมยูงเขียว, หญ้าใบเลื่อย และหากได้เติมผลเนื้อม่วงเข้าไปอีก มันจะเป็นยากระตุ้นครรภ์ที่มีพิษ”
“ช่างบังเอิญ ส่วนผสมทั้งสามของกากยานั้นก็อยู่ที่นี่ เสด็จพ่อจะกล่าวความจริงกับข้าในตอนนี้เลยได้หรือไม่ ภายในสุสานหลวงแห่งนี้ ต่อหน้าดวงวิญญาณของบรรพบุรุษและเสด็จแม่ ! ”
ตอนที่ 240 พระราชพิธีฝังพระศพ
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนหนึ่งวันที่ยี่สิบหก หิมะตกหนัก !
ท้องฟ้าเริ่มสาง แต่ประตูใหญ่ของพระราชวังยังคงปิดสนิท ณ ท้องถนนไท่ผิงมีขุนนางสวมชุดสีขาวดำยืนอยู่เรียงราย
โดยมีชือเฉาหยวนเสนาบดีกรมพิธีการเป็นผู้นำขบวน พวกเขายืนเปิดทางออกเป็นสองฝั่ง
ราชครูเฟ่ยและหนิงไท่ฟู่ยืนอยู่หน้าประตู รอรับพระศพของไทเฮา
อากาศช่างหนาวเหน็บ หนาวเสียจนฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าเท้าของเขาชาไร้ความรู้สึกเสียแล้ว เขามองไปที่ชายชราทั้งสองด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าพวกเขาจะหนาวตายไปเสียก่อน
เยี่ยนเป่ยซีฉลาดยิ่ง เขาใช้ข้ออ้างว่ามีเรื่องต้องจัดการมากมาย แล้วซ่อนตัวอยู่ในสำนักงานดื่มชาร้อนอ่านเอกสารแต่เพียงผู้เดียว บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าการได้นั่งอ่านเอกสารที่น่าเบื่อเหล่านั้นในห้องทำงานก็ไม่เลวนัก
สวี่หวยซู่ ชื่อหลางแห่งกรมพิธีการยืนอยู่ด้านหน้าฟู่เสี่ยวกวน เขาค่อย ๆ ขยับจนกระทั่งมาถึงฟู่เสี่ยวกวนที่ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยว เขายิ้มแล้วเอนศีรษะมาเอ่ยว่า “บิดาของเจ้าไปที่จวนสวี่มา”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะ “เมื่อใดกัน ? ”
“เจ้ามิรู้รึ ? เมื่อวานตอนบ่าย ประมาณยามเซิน”
ฟู่เสี่ยวกวนคิดอยู่ในใจว่าบิดาของเขาต้องการอะไรกันแน่ ? เมื่อวานประมาณยามเว่ยเขาส่งบิดาออกจากเมืองไป เขากลับมาอีกงั้นรึ ?
เช่นนั้นเขากลับไปแล้วหรือยัง ?
“เขาว่าเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“ได้ยินมาว่า บิดาของเจ้ามาคุยโวโอ้อวดจากนั้นก็เดินทางจากไป แม้แต่น้ำชาสักอึกก็ยังไม่แตะ”
“เพื่อมารดาข้างั้นรึ ? ”
สวี่หวยซู่พยักหน้า
ไร้สาระ !
มีประโยชน์อันใดกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนทำได้เพียงคิดว่าเนื่องจากพ่อค้าที่ดินรายใหญ่ผู้นั้นภูมิใจที่มีลูกชายมากความสามารถเยี่ยงเขา เดิมทีที่เคยขายหน้าไปก็สามารถกู้กลับมาได้อีกครา
ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้ว่าหลังจากฟู่ต้ากวนไปกู้ศักดิ์ศรีคืนมาจากจวนสวี่แล้วก็ได้เดินทางไปหงซิ่วจาว
“บิดาของเจ้ามิได้โกรธ เขาฝากคำพูดให้เจ้าประโยคหนึ่ง”
“เขากล่าวว่าเยี่ยงไร ? ”
“หากเจ้ายังมิอาจปล่อยวางได้ จงหาเวลาว่างไปยังจวนสวี่เสียหน่อย”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง การที่เขามิเดินทางไปจวนสวี่ ก็หมายความว่าเขาได้ปล่อยวางแล้วงั้นรึ ?
“ตอนนี้ข้ายังมิว่าง แต่ก็ยังมิอาจจะปล่อยวางได้…” เขาหันกลับไปมองสวี่หวยซู่ ยักคิ้วแล้วเอ่ยว่า “ข้ามิเข้าใจเสียจริง แม่ของข้าจวนจะตายอยู่แล้ว เหตุใดเขาจึงใจดำเช่นนั้นกัน ? ”
“งั้นเจ้าจงลองไปจวนสวี่ดูเถิด” สวี่หวยซู่เอ่ยจบก็เดินไปด้านหน้า ปล่อยให้ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ในแถวสุดท้ายแต่เพียงลำพังตามเดิม
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วขึ้น บัดนี้เขาไม่ว่างจริง ๆ อีกทั้งยังไม่มีอารมณ์ที่จะเดินทางไปจวนสวี่
ประตูพระราชวังถูกเปิดออก ด้านในมีเสียงดังขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองตามเสียงแล้วพบว่ามีโคมไฟมากมายยาวเป็นขบวน
ผู้ที่เดินนำหน้ามาสวมใส่ชุดเกราะในมือถือปืนยาวขึ้นขี่อยู่บนม้า ที่หัวของเขาโพกผ้าสีขาวเอาไว้ พวกเขาตั้งแถวยาวแล้วเดินออกมาจากประตูอย่างช้า ๆ
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าคงจะเป็นฮั่วหวยจิ่นที่เดินนำมา แต่เมื่อมองดูใกล้ ๆ กลับพบว่ามิใช่
ขบวนทหารม้า 3,000 นายเดินย่ำไปบนถนนไท่ผิง ต่อด้วยนักบวชเต๋าหลายร้อยคน พวกเขาสวมใส่ชุดสีเหลืองลวดลายยันต์แปดทิศ ในมือถือธง พวกเขาเดินไปบนถนนไท่ผิงและสวดมนต์อยู่ตลอดทาง
หลังจากนักบวชเต๋า ตามด้วยราชองครักษ์ 1,000 คน พวกเขาสะพายดาบไว้ที่เอว มิได้ขี่ม้าแต่เดินอยู่บนถนน
ต่อจากนั้นคือเหล่าองค์หญิง องค์ชายและราชวงศ์ทั้งหลาย โดยมีองค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียนเดินนำ รวมกันราว 100 คนเห็นจะได้
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปเห็นหยูหงอี้ บุตรชายของเสียนชินอ๋อง ช่างคุ้นหน้าคุ้นตายิ่ง เขาตั้งใจว่าเมื่อจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้วจะต้องไปยังหอซื่อฟางของเขาเสียหน่อย
หลังขบวนเหล่านี้ก็คือพระศพของไทเฮา มีผู้แบกหามทั้งสิ้น 18 คน โดยมีฮ่องเต้หยูอี้และพระสนมซั่งอยู่ด้านข้าง
เมื่อพระศพมาถึงประตูใหญ่ ราชครูเฟ่ยและหนิงไท่ฟู่ก็เดินตรงมาร่วมอัญเชิญพระศพ
เมื่อพระศพแบกมาถึงขบวนที่ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ ฮ่องเต้ทรงเงยหน้ามองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วกำชับบางอย่างกับขันทีเจี่ย
ขันทีเจี่ยเดินมาทางฟู่เสี่ยวกวน กระซิบบางอย่างกับเขา จากนั้นพบเพียงฟู่เสี่ยวกวนที่มีท่าทีตกตะลึง เขานึกอยู่ในใจว่ามิใช่ใครก็สามารถเข้าร่วมขบวนแบกพระศพได้ ฝ่าบาททรงหมายความว่าเยี่ยงไร ?
“เสี่ยวกวน เร็วเข้า ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย เขายืนอยู่ด้านหลังฮ่องเต้แล้วยื่นมือไปยังโลงพระศพ
เขาคิดว่าฮ่องเต้จะทรงเอ่ยบางอย่างกับเขา แต่พระองค์มิได้แม้แต่จะหันหลังมามอง
สายตาของขุนนางใหญ่ทั้งหลายจ้องมายังฟู่เสี่ยวกวน !
ตามหลักการแล้ว ไทเฮาเสด็จสวรรคต ผู้ที่จะประคองโลงพระศพได้นอกจากฮ่องเต้และพระสนมแล้ว ก็ควรจะเป็นองค์รัชทายาทหรือชายาขององค์รัชทายาท จากนั้นก็เป็นตัวแทนขุนนาง แล้วจึงจะเป็นผู้ที่ฮ่องเต้ทรงเลือกขึ้นมา ส่วนผู้ที่ถูกเลือกนั้นควรจะเป็นผู้อุทิศตนแก่ราชวงศ์เช่นเยี่ยนเป่ยซีหรือเยี่ยนซือเต้า
ฮ่องเต้ยังมิได้แต่งตั้งรัชทายาท ดังนั้นองค์ชายทั้งหลายจึงได้แต่เดินนำหน้าพระศพ
แต่ฮ่องเต้ทรงเลือกฟู่เสี่ยวกวนมาเพียงผู้เดียว ในสายตาของขุนนางทั้งหลายเหล่านี้พวกเขามิพอใจนัก
เนื่องจากนโยบายบรรเทาสาธารณภัยในครั้งนั้นงั้นรึ ?
เนื่องจากได้สลักชื่อลงบนหินเชียนเปยสือบรรทัดที่หนึ่งงั้นรึ ?
หรืออาจจะเป็นเรื่องการต่อสู้ ณ ถนนสายยาวนั้น ที่ทำให้ฮุ่ยชินอ๋องถูกจัดการอย่างราบคาบ ?
ด้วยเหตุผลใดมิมีใครรู้ พวกเขารู้เพียงแต่ว่าฟู่เสี่ยวกวนในตอนนี้อวดเก่งเกินไปเสียแล้ว !
หนิงไท่ฟู่ได้แต่เสียใจ เหตุการณ์ที่ถนนสายยาววันนั้นหากตนมิได้ปรากฏตัวที่จวนผู้ว่าจินหลิงคงจะดีกว่านี้หรือไม่ ?
ส่วนใบหน้าของราชครูเฟ่ยแข็งทื่อ ไม่รู้ว่าเพราะอากาศหนาวเย็นหรือเพราะตนอับอายเนื่องจากตนตัดสินคดีผิดก่อนหน้านี้
การต่อสู้บนถนนสายเลือดนั้น ราชครูเฟ่ยคาดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะต้องตกตายเป็นแน่ คาดมิถึงว่าเขาไม่ตาย กลับได้รับการชมเชยจากฝ่าบาท
เรื่องใบปลิวในคืนเทศกาลโคมไฟ เขาสงสัยในตัวฟู่เสี่ยวกวนยิ่ง แต่ก็มิมีหลักฐานใดที่สามารถมัดตัวเขาได้
เฟ่ยอันบุตรชายคนโตของเขาออกจากคุกมาเมื่อวานก็ได้ถือดาบจากไป เขาพอจะเดาได้ว่าบุตรชายตนจะทำสิ่งใด เขาทำได้เพียงนึกในใจว่าผู้นั้นเป็นคนที่องค์ชายใหญ่ปั้นมากับมือ เมื่อนึกถึงเรื่องที่องค์ชายใหญ่จะเดินทางไปรับหน้าที่แม่ทัพของทหารตะวันตก เขาผู้นั้นคงจะหยิ่งผยองยิ่งกว่าเดิม
หากเจ้าเดินทางไปฆ่าเขาในครานี้…ตระกูลเฟ่ยเกรงว่าจะพบกับภัยพิบัติคราใหญ่ !
เขาจึงได้เขียนจดหมายลับไปถึงเฟ่ยอัน หวังว่าจะสามารถจัดการหายนะครานี้ของตระกูลเฟ่ยได้
เขามิเข้าใจเสียจริงว่าเหตุใดบุตรชายคนโตของเขาไปทำนาอยู่ถึง 5 ปี เมื่อออกจากคุกมาแล้วจึงได้ตัดสินใจกลับไปทำเรื่องเลวร้ายที่เขาเคยคิดจะทำแต่ก็ทำไม่สำเร็จ !
ในเมื่อเจ้ายังมิอาจปล่อยวาง ก็จงกำเอาไว้มิดีกว่าหรือ !
ท่านผู้เฒ่าชือก็ยืนอยู่ที่แห่งนี้ด้วย เขามองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วยิ้มขึ้น แต่มิมีผู้ใดรู้ได้ว่ารอยยิ้มนั้นหมายถึงสิ่งใด
สวี่หวยซู่และสวี่หวินกุยสบตากัน แววตาของทั้งสองต่างตกตะลึง
หยูเวิ่นเทียน องค์ชายใหญ่เพียงชายตาไปมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน คิ้วหนาเข้มของเขามิได้ขยับ แต่มุมปากกลับเผยอขึ้น
หยูเวิ่นชู องค์ชายสี่มองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนแล้วเลิกคิ้วยิ้มขึ้นอย่างเยือกเย็นแฝงไปด้วยความเกลียดชัง
หยูเวิ่นเต้า องค์ชายห้านั้นเพียงเบ้ปากแล้วคิดในใจว่าเขาได้รับความชอบจากเสด็จพ่อไม่น้อยทีเดียว
ส่วนหยูเวิ่นหวิน องค์หญิงเก้านั้นจิตใจนิ่งสงบ นางนึกเพียงว่าหากว่าที่พ่อสามีของนางเดินทางมายังเมืองหลวง แต่นางกลับมิสามารถเดินทางไปพบได้คงจะเสียใจยิ่ง
มีเพียงหยูชิงหลานองค์หญิงสามเท่านั้นที่มองมายังฟู่เสี่ยวกวนแล้วตัดสินใจว่า จะร้องขอเสด็จแม่ให้เอ่ยกับเสด็จพ่อว่าในวันที่ส่งตัวเจ้าสาว หนึ่งในผู้อารักขาจะต้องมีฟู่เสี่ยวกวน !
โดยรวมแล้วไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนาง เมื่อพบว่าฮ่องเต้ทรงเลือกให้ฟู่เสี่ยวกวนเข้าประคองโลงพระศพก็มีความคิดเห็นต่าง ๆ ในใจ สีหน้าของแต่ละคนแตกต่างกันไป
ขบวนยาวราวมังกรนี้ดำเนินไปยังถนนไท่ผิง ด้านข้างของถนนทั้งสองมีประชากรจำนวนมาก ฟู่เสี่ยวกวนไม่แน่ใจว่าพวกเขาเหล่านี้คิดเห็นเยี่ยงไรกัน อากาศหนาวเหน็บเพียงนี้ นอนอยู่ใต้ผ้าห่มมิดีกว่ารึ ?
ออกมายืนตากหิมะขาวโพลนเช่นนี้ ไม่ลำบากหรือไรกัน ?
ท้องฟ้าเริ่มสว่าง แต่หิมะยังคงตกลงมาไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
ในเมืองจินหลิงมีองครักษ์เฝ้าระวังในทุกที่ที่พระศพเคลื่อนผ่าน และมีทหารตรวจยามตลอดเวลา ดังนั้นบนท้องถนนจึงไม่มีผู้มิเกี่ยวข้องใดปรากฏขึ้น แต่ประตูหน้าต่างของบ้านเรือนทั้งสองฝั่งถูกเปิดออกและมีผู้คนโผล่หัวออกมามากมาย พวกเขามองดูขบวนยาวเหยียดนี้แล้วถอนหายใจออกมา พิธีช่างยิ่งใหญ่และเคร่งครัด มีกฎเกณฑ์มากเสียจริง !
ท้องฟ้าสว่างไสว ลมหยุดกรรโชก แต่หิมะยังคงตกหนัก
ขบวนออกไปจากเมืองจินหลิง มุ่งเข้าสู่ป่าที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ
ที่ป่านั้นมีองครักษ์ขี่ม้าตรวจตราดูอย่างเคร่งครัด เมื่อพบว่าขบวนเดินทางมาถึง พวกเขาก็ยกปืนขึ้นสู่ฟ้า จากนั้นยิงขึ้นไป แรงสั่นสะเทือนทำให้หิมะหล่นลงยังพื้น
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่ามือของตนแข็งทื่อไปเสียแล้ว หากรู้ว่าจะหนาวถึงเพียงนี้เขาคงสวมใส่ถุงมือเช่นเดียวกับฮ่องเต้และพระสนมซั่ง คาดว่าคงอบอุ่นไม่น้อย
แต่เนื่องจากเขามิได้คาดคิดมาก่อน เขาตั้งใจจะติดตามขบวนอยู่ที่ด้านท้ายของขุนนาง เช่นนั้นก็สามารถนำมือซุกไว้ด้านในชุดได้ อีกทั้งยังได้ชื่นชมบรรยากาศรอบ ๆ อีกด้วย เอ่ยตามตรงว่าเขามิได้รู้สึกอะไรกับการจากไปของไทเฮาเท่าใดนัก
เขาได้พบพระนางเพียง 2 ครั้ง ซึ่งทั้งสองครั้งนั้นก็มิใช่ความทรงจำที่ดีนัก ส่วนสุดท้ายที่จัดการได้ ในสายตาฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าคงเป็นเพราะพระสนมซั่งหาวิธีช่วยเหลือต่างหาก
ใช้ชีวิตของฮุ่ยชินอ๋อง แลกกับการที่ให้ไทเฮาทรงรับคำให้หยูเวิ่นหวินแต่งงานกับฟู่เสี่ยวกวนได้
ดังนั้นเขามิอาจรู้ได้ว่าไทเฮาทรงเป็นคนเช่นไร พระนางทรงจริงใจหรือเพียงเสแสร้ง
แต่เนื่องจากถูกสั่งสอนมาว่าให้เอื้อเฟื้อต่อเด็กและเคารพผู้ใหญ่ ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงต้องทำท่าทีเคร่งขรึม แม้จะมิได้เสียใจก็ตาม แต่ภายในใจก็อดรู้สึกที่จะให้ความเคารพไม่ได้
เพียงแต่สายตาของเขาตื่นเต้นมากกว่าผู้อื่นเล็กน้อย เขามักเงยขึ้นมองด้านหน้า และในที่สุดก็เห็นภูเขาสูงที่อยู่ไกลออกไป
แม้ภูเขาลูกนั้นจะไม่สูงมาก อีกทั้งยังดูเลือนลางเนื่องจากหิมะที่ปกคลุมอยู่ จึงทำให้ดูศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมาก
ขบวนยังคงเดินหน้าต่อไป ภูเขาลูกนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ สามารถมองเห็นต้นไม้ที่คล้ายกับดอกเห็ด
ที่เชิงเขานั้นทุกสิ่งอย่างมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนได้เห็นเกล็ดน้ำแข็งเกาะอยู่บนกิ่งของต้นสนแห้ง
เกล็ดน้ำแข็งนั้นยาวประมาณหนึ่งเมตร ช่างใสยิ่ง หากมีแสงมากระทบเข้าคงจะส่องประกายเป็นสีรุ้ง คาดว่าจะทำให้ภูเขาจื่อจินนี้ดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
เขามองไปรอบ ๆ กาย ที่นี่มีองครักษ์มากกว่าที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีทหารเพิ่มมาอีกหนึ่งกลุ่ม พวกเขาสวมใส่ชุดเกราะสีดำ สะพายคันธนูไว้ที่หลังและมีดาบยาวแขวนที่เอว คาดว่าคงจะเป็นองครักษ์ของฝ่าบาทเป็นแน่
ขบวนเคลื่อนเข้าไปยังภูเขาจื่อจิน
เมื่อมาถึงพื้นที่กว้างยังกลางเขา ฟู่เสี่ยวกวนก็แลเห็นขันทีที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุด
เขาผู้นั้นคือขันทีเว่ย !
เขาคือยอดฝีมือผู้คุ้มครองที่แห่งนี้จริง ๆ ด้วย !
เช่นนั้นท่านผู้เฒ่าชือกล่าวว่าให้เขามาดูที่นี่ ดูสิ่งใดกัน ?
ท่านผู้เฒ่าชืออยู่ในขบวนส่งพระศพนี้ด้วย แต่เสนาบดีกรมพิธีการชือเฉาหยวนมิได้ติดตามมา เขามีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าอีกงั้นหรือ ?
ตอนที่ 239 แผนการ
ฟู่เสี่ยวกวนตัดสินใจจะเลิกงานในช่วงบ่าย
เทียบกับการต้องมาอ่านสาสน์ที่น่าเบื่อในเสมียนกลางแล้ว เขามีเรื่องสำคัญยิ่งกว่านั้นที่ต้องไปจัดการ
เนื่องจากเยี่ยนเป่ยซีได้กล่าวเอาไว้เช่นนั้นแล้ว เยี่ยงนั้นก็ไร้หนทางที่จะคัดค้านการไปทางเหนือได้ ดูเหมือนว่าระยะเวลาในการเดินทางไปงานชุมนุมวรรณกรรมราชวงศ์อู๋ยังเหลืออีกห้าถึงหกเดือน แต่เวลานั้นกลับหายไปในพริบตา !
มื้ออาหารกลางวันได้ถูกลำเลียงวางบนโต๊ะในหลีเฉินซวนแล้ว บัดนี้ต่งชูหลานกำลังต้มชาให้พ่อสามีของนางในอนาคต
ในตอนนั้นเองฟู่เสี่ยวกวนจึงได้กล่าวกับฟู่ต้ากวน “ตามสถานการณ์ในตอนนี้ เรื่องการหมั้นหมายอย่างน้อยก็คงต้องรอไปอีกเป็นเดือน…” เขาหันหน้าไปหาต่งชูหลาน และรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย “ชูหลาน เจ้าทราบดีว่าข้านั้นรีบร้อนอยากจะแต่งกับพวกเจ้าเข้าเรือนถึงเพียงไหน แต่คาดมิถึงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นมาแบบกะทันหันเยี่ยงนี้…”
ต่งชูหลานแย้มยิ้ม ในใจของนางย่อมเสียใจเป็นอย่างมาก แต่นางก็เข้าใจว่านี่คือมิใช่เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนจะตัดสินได้ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหยูเวิ่นหวิน เยี่ยงนั้นก็ทำได้เพียงแค่เปลี่ยนวัน
“เจ้ามิต้องคิดสิ่งใดให้มากความ ก็เหมือนดังกับ ‘นางฟ้าสะพานนกกางเขน’ ที่เจ้าเป็นผู้เขียน ข้าสามารถรอเจ้าได้”
ประโยคที่กล่าวว่าความรักทั้งสองจะยืนยาวได้ ขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในทุกเมื่อเชื่อวัน แต่เพราะฟู่ต้ากวนอยู่ที่นี่ ต่งชูหลานย่อมอายที่จะกล่าวออกไป นางคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะต้องเข้าใจได้เป็นแน่
“วันนี้ที่สำนักงาน อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยซีได้มอบหมายงานให้ข้า ข้าจะเล่าเรื่องนี้ให้พวกท่านลองฟังดู”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวคำพูดเหล่านั้นของเยี่ยนเป่ยซีออกมาอย่างจริงจัง ต่งชูหลานเงยหน้าขึ้นมามองฟู่เสี่ยวกวนทันที ในแววตามีความกังวลพาดผ่าน แต่เพราะมีฟู่ต้ากวนอยู่ด้วย นางจึงยังมิได้กล่าวอะไรออกไป
แต่ฟู่ต้ากวนที่ได้ยินเยี่ยงนั้น กลับคิ้วขมวด
“ในอดีตเคยได้ยินพ่อค้ากล่าวกันถึงหย่งหนิงโจว ความกันดารของสถานที่นั้นเลวร้ายยิ่งกว่าซีหรง เหมียวเจียง เชียงไจ้เสียอีก ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนผู้นี้ต้องการให้เจ้าไปตรวจการณ์สถานที่ทรุดโทรมเยี่ยงนั้นด้วยเหตุใด ที่นั่นนอกจากเนินดินสูงที่ไร้ที่สิ้นสุดและข้าวฟ่างสีแดงที่อ่อนแอแล้ว นอกจากนั้นก็มิมีสิ่งอื่นใดอีก ใช่…ตอนนี้สถานที่แห่งนั้นยังมีหัวหน้าโจรกงเซินจ่างแห่งแม่น้ำหวงเหออยู่ อย่าไป อย่าได้ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนั้นเป็นอันขาด เจ้าไปมิได้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้อยากไป แต่เขามีหนทางให้เลือกด้วยเยี่ยงนั้นรึ ?
อีกฝ่ายเป็นถึงอัครมหาเสนาบดีของราชวงศ์ เขาที่เป็นเพียงขุนนางขั้นสี่ตัวน้อย ๆ ลำแขนอย่างเขาจะไปสู้ต้นขาได้เยี่ยงไร ดังนั้น เขาจึงกล่าวได้เพียงว่า “ท่านพ่อมิต้องกังวลใจกับเรื่องนี้ ข้ารู้สึกว่าไปดูไว้ก็พอ”
“มิใช่ บุตรของข้า เจ้าได้ไปรังแกเยี่ยนเสี่ยวโหลวหลานสาวของเขาหรือไม่ ชายชราผู้นั้นกำลังแก้แค้นเจ้าอยู่ใช่หรือไม่ ? ” ทันใดนั้นฟู่ต้ากวนก็นึกถึงเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวกับเขาว่ามีเยี่ยนเสี่ยวโหลวเป็นลูกสะใภ้อีกหนึ่งคน คิดไปแล้วว่าเยี่ยนซือเต้าผู้นั้นมิสามารถคว้าหัวใจของหยุนชิงได้ ในตอนนี้บุตรชายของหยุนชิงกลับต้องมาตบแต่งกับบุตรีของตระกูลเยี่ยน สองพ่อลูกนี่คิดจะร่วมมือกันเล่นงานฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นรึ ?
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มอย่างขัดเขิน “ท่านพ่ออย่าได้คิดไปไกลเยี่ยงนั้น มันมิมีเรื่องอันใด”
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไปอีกอึดใจ และเขาก็กล่าวออกมาอีกว่า “ข้าคิดไว้ว่า ท่านพ่อต้องกลับไปยังหลินเจียง ให้ผู้รับผิดชอบโรงงานต่าง ๆ รอการเรียกตัวมาเมืองหลวงจากข้า จำไว้ว่าต้องเรียกเฝิ๋งหล่าวซื่อ ทั้งยังให้เฝิ๋งหล่าวซื่อพาช่างเหล็กที่เข้าใจลักษณะของภูเขามาด้วยสองสามคน นอกจากนั้นก็ให้จัดเตรียมพ่อบ้านมาด้วย พวกเขาจะพักประจำที่ผิงหลิงและชวีอี้ ให้พวกเขานั่งรถม้าของขนส่งของซีซานมายังเมืองหลวง ผู้รับผิดชอบขนส่งซีซานก็ต้องตามมาด้วยเช่นกัน คร่าว ๆ ก็เป็นประมาณนี้”
ฟู่ต้ากวนเบิกตากว้าง “เจ้าคิดจะทำอันใดอีกกัน ? ”
“ข้าอยากจะเปิดโรงงานในที่สองแห่งนั้น”
ดวงตาของต่งชูหลานเป็นประกาย ทันใดนั้นนางก็ได้คิดว่าโรงงานชุดชั้นในของตนนั้นจะสามารถขยายออกไปได้หรือไม่ ?
ตามคำกล่าวของฟู่เสี่ยวกวน ต้องคิดขยายกิจการ ต้องดำเนินการไปทั่วทั้งแว่นแคว้น หากสามารถสร้างโรงงานที่สองแห่งนั้นได้ ก็จะสามารถสร้างตลาดทางเหนือได้ เรื่องนี้ต้องกล่าวกับเขาในภายภาคหน้า เยี่ยงนั้นนางเองก็ต้องตามเขาไปด้วยเช่นกัน
ฟู่เสี่ยวกวนนึกถึงมารดาทั้งหกของตน ก็กล่าวขึ้นมาว่า “หลังจากที่ท่านพ่อกลับไปที่หลินเจียงก็ลองกล่าวกับแม่ทั้งหกดู บอกว่าสองสถานที่นั้นจะลดและละเว้นภาษี ลองดูว่าตระกูลพวกนางจะยินยอมที่จะไปดูหรือไม่ หากเห็นด้วย ก็ต้องให้พวกเขาตามมา”
ที่สำคัญคือแม่ห้า แม่หกและแม่เจ็ด ตระกูลของแม่ห้าคือกิจการค้าอาวุธยุทโธปกรณ์ หากสามารถเปิดเหมืองแร่ที่ผิงหลิงและชวีอี้ได้ พวกเขาสามารถสร้างโรงงานขึ้นที่นั่นได้
และตระกูลของแม่หกคือช่างตัดเย็บ ทุกคนย่อมต้องใส่เสื้อผ้าอาภรณ์อยู่แล้ว
ตระกูลของแม่เจ็ดชวูหลิงหลงก็เป็นกิจการค้าผ้าพอดี คาดว่าพวกเขาก็คงสนใจตลาดของทางเหนือเช่นกัน
แต่ฟู่ต้ากวนกลับส่ายหน้า “ปัจจุบันสิ่งที่พ่อค้ากลัวมากที่สุดคือการค้าขายต่างถิ่น มังกรที่แข็งแกร่งยากที่จะชนะงูถิ่น พ่อค้าประจำถิ่นย่อมมีความสัมพันธ์ทางผลประโยชน์กับราชสำนักมาเนิ่นนานมิใช่รึ พ่อค้าทางใต้อย่างพวกเราหนีไปทางเหนือ…ยังมิทันจะได้ดื่มซุป หม้อก็หายไปเสียแล้ว”
นี่คือสถานการณ์ค้าขายในปัจจุบัน
เพราะการจำกัดที่มีต่อพ่อค้าของทางราชสำนักมีมากขึ้น จนทำให้กิจการต่างถิ่นลำบากมากยิ่งขึ้น ช่องทางการส่งของถูกปิดกั้น แต่พ่อค้าก็ยังคงไล่ล่าเพื่อแสวงหาผลกำไร พวกเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้สินค้าของตนเองได้ถูกส่งออกไป แต่ก็ไร้หนทางที่จะหลีกเลี่ยงความสัมพันธ์ทางการเงิน หรือร่วมมือกับพ่อค้าต่างถิ่นได้ เยี่ยงนั้นต้นทุนไร้รูปลักษณ์ที่ตามมาก็จะยิ่งมากขึ้น ราคาของสินค้ามีแต่จะสูงมิมีลง จึงเป็นผลให้ยอดขายยากที่จะเพิ่มพูนขึ้นได้
เปลืองแรงและไม่ได้รับผลตอบแทนที่ดี ดังนั้นจึงมีพ่อค้าหลายรายเอนเอียงไปอีกข้าง จึงต้องขอเสบียงจากหนึ่งในสามหมู่ผืนนาของตนเอง การหมุนเวียนของสินค้าก็จะน้อยลงไปอีก เว้นแต่จะทำกำไรได้มาก หรือมีต้นไม้ใหญ่ให้หนุน มิเช่นนั้นพ่อค้าทั่วไปก็จะหนีออกมามิได้
ฟู่เสี่ยวกวนลอบถอนหายใจ แต่ยังคงโน้มน้าวบิดาของตนดังเก่า “ท่านพ่อ หากข้าขอหนังสือราชการจากตระกูลเยี่ยนได้…ความหมายของข้าคือให้ตระกูลเยี่ยนไปยังชวีอี้และผิงหลิงเพื่อทำหนังสือรับรองการลงทุนให้กับทุกท่าน เยี่ยงนี้ก็จะคลี่คลายความพะว้าพะวงของพวกเขาได้แล้วมิใช่รึ ท่านต้องบอกกับพวกเขาว่า โอกาสมีเพียงครั้งเดียว หากพลาดไปก็มิมีโอกาสอีกแล้วแล้ว หากต้องการเงินมากขึ้น หากต้องการให้รากฐานของวงศ์ตระกูลสูงยิ่งขึ้น ต้องใจกล้าเข้าไว้ มิเช่นนั้นหากรอจนกระทั่งปัจจัยพร้อมเพรียง เกรงว่าจะมิมีแม้แต่ซุปให้ดื่ม”
ฟู่ต้ากวนครุ่นคิดกับประโยคนี้อยู่เนิ่นนาน หลังจากนั้นจึงตัดสินใจที่จะออกจากเมืองหลวงเพื่อกลับไปยังหลินเจียงในช่วงบ่ายนี้
“ลูกชาย เจ้าต้องได้รับหนังสือการรับรองจากตระกูลเยี่ยนให้จงได้ มิเช่นนั้นหากเหล่าพ่อตาของข้าเชื่อคำที่ข้ากล่าวไปแล้ว และได้ร่วมกันไปลงทุนก้อนใหญ่ที่ผิงหลิงและชวีอี้ แต่ผลลัพธ์กลับกลายเป็นโยนเงินลงน้ำแล้วมิได้รับอะไรกลับมาแม้แต่น้อย…พ่อคาดว่ามารดาทั้งหลายของเจ้าจะต้องฆ่าพ่อเป็นแน่ ! ”
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานอำลาฟู่ต้ากวน ยามที่กลับไปถึงจวนฟู่ท้องฟ้าก็ค่ำมืดแล้ว
หอซี่หยู่ส่งข่าวคราวมา เฟ่ยอันได้ออกมาจากเรือนจำของจวนผู้ว่าเขตจินหลิงแล้ว ได้ขึ้นรถม้ากลับไปยังเรือนหนานหลิง หลังจากที่ชำระล้างกายแล้วเขาก็ถือดาบที่ขัดจนเงาขึ้นม้าศึกและออกไปจากเขตหนานหลิง มุ่งหน้าไปทางตะวันออก ยังมิทราบจุดหมาย
เขามิได้ประหลาดใจที่เฟ่ยอันสามารถออกมาได้ แต่ที่เขาตกใจก็คือที่คนผู้นี้มิจับจอบแต่กลับจับดาบอีกครา…เขาต้องการทำอันใดกันแน่ ?
“ลอบติดตามการเคลื่อนไหวของเฟ่ยอัน มีข่าวคราวอันใดให้รีบแจ้งข้าทันที ! ”
เย่อู่ซุ่ยจากอาคารสิบสองโค้งคำนับและจากไป ต่งชูหลานจึงได้เอ่ยสิ่งที่คิดอยู่ในใจกับฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานแล้วกล่าวว่า “ข้าเห็นด้วยกับวิธีการของเจ้า แต่ข้าไม่เห็นด้วยกับเจ้าที่จะลงมือด้วยตนเอง เรื่องนี้ให้พี่รองของเจ้าไปจัดการก็ได้มิใช่รึ ? ”
“ข้ามิไว้วางใจให้เขาทำ”
“…นั่นสินะ” ฟู่เสี่ยวกวนใคร่ครวญแล้วจึงกล่าวความกังวลในใจออกไป “กงเซินจ่างอยู่ที่หุบเขาผิงหลิง ชวีอี้และผิงหลิงมิได้อยู่ห่างจากหุบเขาผิงหลิงมากนัก อย่างไรก็ตามอดีตพ่อตาหลิวซานเปี้ยนของเขาและจินกังใหญ่ทั้งสองที่เป็นลูกน้องของเขาก็ตายเพราะข้า ดังนั้นการเดินทางครานี้…ข้ายังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ต้องไปจัดการ”
ดวงตาต่งชูหลานแข็งกร้าว จ้องฟู่เสี่ยวกวนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หรือว่าเจ้าต้องการไปปราบปรามกองโจรเยี่ยงนั้นรึ ?”
“จำเป็นต้องปราบปราม” ฟู่เสี่ยวกวนกุมมือของต่งชูหลาน และเอ่ยอย่างเชื่องช้า “เจ้าลองไตร่ตรองดู สองสถานที่นั้นมิสมดุลกันเป็นทุนเดิม หากมิทำลายกงเซินจ่าง แล้วจะมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการทำกิจการได้เยี่ยงไร รอจนกระทั่งโรงงานของพวกเราสร้างขึ้นมา ทันทีที่สินค้าผลิตออกมา แล้วพวกเขาก็เข้ามาปล้นไปเสียจนหมด เจ้าลองคิดดูเถิด ว่าเยี่ยงนั้นยังสามารถดำเนินกิจการไปได้ต่อหรือไม่ ? ”
“หากต้องการสร้างกิจการจากที่ตรงนั้น ลำดับแรกต้องล้มกงเซินจ่างเสียให้สิ้น เพราะความแร้นแค้นของทางเหนือ จึงทำให้ผู้คนมิเกิดภูมิปัญญา ประเพณีพื้นบ้านถึงแม้จะเรียบง่ายแต่ก็เต็มไปด้วยจิตวิญญาณ การกำจัดกงเซินจ่างมีประโยชน์อยู่ 2 ประการ ประการแรกย่อมเป็นการแก้ไขความพะว้าพะวง ประการที่สองเพื่อทำให้พวกหัวหมอตกใจกลัว เยี่ยงไรแล้วก็ต้องจัดการเรื่องนี้ ทั้งยังต้องจัดการให้สำเร็จ”
“กองทัพชายแดนเหนือบอกไร้หนทางกำจัดกงเซินจ่าง”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “มิใช่พวกเขามิมีหนทาง แต่พวกเขาต้องการเลี้ยงกงเซินจ่างไว้ เพื่อที่จะยื่นมือมาขอเงินกับทางราชสำนักเสียมากกว่า”
ต่งชูหลานจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนและเงียบอยู่เนิ่นนาน นางเข้าใจความหมายในคำพูดของฟู่เสี่ยวกวน แต่กลับกังวลมากยิ่งขึ้นไปอีก
“หากเจ้าตัดหนทางการหารายได้ของพวกเขา เจ้าเคยคิดถึงผลที่จะตามมาในภายหลังบ้างหรือไม่ว่าจะเป็นเยี่ยงไร ? ”
“ยังมีเวลาอีกสองสามเดือน ข้าจะทำแผนการรับมือให้ดีที่สุด จะมิทำการใดที่ก่อให้เกิดความสุ่มเสี่ยงเหมือนคราที่แล้ว เหตุผลที่ข้าให้พี่รองของเจ้าไปก็เพราะสองอาคารที่กำลังจะสร้างนั้นที่ตรอกชิงหลวน รอจนปูนซีเมนต์ส่งมาถึงก็จะเริ่มก่อสร้าง เรื่องนี้ก็มีเพียงเจ้าที่จะสามารถคอยจับตาดูได้…”
“มิเอา” ปากเล็กของต่งชูหลานเบะออก “ข้ากลับรู้สึกว่าให้พี่รองไปจับตาดูสองอาคารที่จะก่อสร้างนั้นจะดีกว่า เยี่ยงไรแล้วข้าก็จะตามเจ้าไป”
เอาเถอะ ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ห้ามปรามต่งชูหลานอีก ต่งชูหลานจึงออกจากจวนฟู่ไปด้วยความรื่นเริง นางต้องการไปที่ถนนเส้นวัดเฉิงหวงอีกครา เพื่อซื้อร้านค้าที่ได้ดูไว้เมื่อปีที่แล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในศาลาเถาหรานเพียงลำพัง ใคร่ครวญถึงเรื่องที่จะทำต่อไป
พิธีแห่ขบวนพระศพของไทเฮาในวันพรุ่งนี้ ได้มีนามของเขาบนรายชื่อนั้น
ใช้โอกาสนี้ไปดูเขาจื่อจินเสียหน่อยก็มิเสียหาย
ในอดีตมิเคยได้พบเจอกับขันทีเว่ยมาก่อน ฝีมือของเขาที่ได้แสดงไว้ที่หลานถิงจี๋นั้นมิธรรมดา ตามคำกล่าวของซูเจวี๋ย อย่างน้อยขันทีอาวุโสผู้นี้ย่อมเป็นถึงผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นหนึ่ง เพราะคาดมิถึงว่าซูซูจะไร้หนทางออกกระบี่ฉินได้
เขาจะใช่ขันทีใหญ่ที่อยู่ภายในเขาจื่อจินหรือไม่ ?
ซูเจวี๋ยคิดว่ามีความเป็นไปได้อย่างมาก เพราะถึงแม้ผู้คนในยุทธภพจะมีอยู่มาก แต่ส่วนใหญ่จะเหมือนกับต้าเฉินจินกังและปี้ตู๋จินกังที่เป็นผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นสาม
ซูซูและเจ็ดกระบี่ป่ากระบี่ โดยพื้นฐานก็เป็นถึงผู้มีฝีมือระดับขั้นสอง และเป็นจำนวนที่มีหาได้ยากยิ่ง
ส่วนที่เหมือนกันกับซูโหรว ซีเหมินเพียวเสวี่ย ถือเป็นเพียนเซี่ยขั้นหนึ่ง และเฉกเช่นเดียวกับศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ย…เขากล่าวว่าเขานั้นมิได้ไปถึงขั้นเซิ่งเจียเลยแม้แต่ครึ่งก้าว ก็เป็นเพียงเพียนเซี่ยขั้นหนึ่ง
เอาเถอะ กลับกันตนเองในตอนนี้ก็ยังเป็นคนไร้ขั้น คงมิอาจจะเอ่ยอะไรออกมาได้
สำหรับการไปเขาจื่อจินนั้นจะตรวจเจอสิ่งใดหรือไม่ ฟู่เสี่ยวกวนกลับมิได้ตั้งความหวังใด ๆ ไว้ทั้งนั้น
หลังจากนั้นในเดือนสองยามที่มังกรทั้งสองเผยตัว ให้มีการล่าสัตว์ที่สวนหลวงหนานซาน นี่คือข้อเสนอขององค์ชายใหญ่เมื่อหลายปีที่แล้ว และได้รับคำอนุญาตจากฮ่องเต้แล้ว เพียงแต่ไม่ทราบว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหลังจากพิธีส่งไทเฮากลับชั้นฟ้าหรือไม่
และต้องไปราชวงศ์อู๋ทั้งอย่างนั้นแล้ว
ระยะห่างระหว่างเมืองหลวงราชวงศ์หยูไปยังเมืองกวนหยุนเมืองหลวงของราชวงศ์อู๋ยาวไกลมากกว่าสามพันแปดร้อยลี้ ต้องใช้เวลาเกือบจะสี่สิบวันในการเดินทาง !
จากนั้นก็กลับมาเมืองหลวงอีกครา แล้วก็ต้องไปยังชวีอี้…ข้าอยู่ที่ชวีอี้เพื่อปราบปรามกองโจร ลากยาวจนไปถึงปีหน้า ด้วยวิธีนี้ก็จะหลีกเลี่ยงการไปส่งตัวองค์หญิงสามถึงแคว้นฮวงที่แสนลำบากนั่นได้ !
แคว้นฮวงมีท่าป๋าชิว คนผู้นี้คิดจะคร่าชีวิตของข้า ที่ใดเป็นสนามรบของผู้รับเชิญ มิไปย่อมดีกว่า
ตอนที่ 238 หาเหาใส่หัว
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนหนึ่งวันที่ยี่สิบห้า ณ สำนักงานเสมียนกลาง พระราชวังแห่งเมืองหลวง
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกปวดหัวยิ่งเมื่อมองไปยังเอกสารกองโตที่วางอยู่บนโต๊ะ
เอกสารเหล่านี้คือเอกสารทางราชการต่าง ๆ ที่ส่งมาจากทั่วทุกพื้นที่ของราชวงศ์หยูนับแต่ปีใหม่เป็นต้นมา เนื้อหาครอบคลุมทุกเรื่องราวต่าง ๆ นานา โดยมากจะเกี่ยวข้องกับการปกครองของแต่ละท้องที่ สถานการณ์การทำนาในช่วงฤดูใบไม้ผลิ การขอเข้ารับตำแหน่งราชการ อีกทั้งเรื่องการขอความช่วยเหลือด้านการเงินเป็นต้น แต่ก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนดูแล้วไม่ปกติ
อาทิเช่น บนภูเขาเป่ยจี๋นอกเมืองซีเฉิงคล้ายได้ยินเสียงของมังกร พบเห็นเมฆาหลากสี สัตว์น้อยใหญ่แตกตื่น ดูแล้วเป็นเรื่องมงคลยิ่ง
ณ ชนบทแห่งหนึ่งทางใต้ มีหญิงคนหนึ่งคลอดลูกออกมา เมื่อลืมตาดูโลกทารกก็ได้เอ่ยปากพูดว่าราชวงศ์หยูจงเจริญรุ่งเรือง !
หรือเช่นเมืองผู่โจวทางด้านตะวันตก อีกทั้งฉบับนี้เป็นจดหมายจากขุนนางระดับสูง เขียนมาว่าในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนหนึ่งวันที่สิบห้า หิมะตกลงจากฟากฟ้า ต้นเมเปิ้ลสายพันธุ์จีนต้นหนึ่งที่ใบได้ร่วงโรยไปสิ้นแล้ว มีนกเฟิ่งหวงบินมาเกาะ จากนั้นหันหน้าไปทางพระราชวังหลวงแล้วก้มหัวคารวะอยู่เก้าทีก่อนบินจากไป
เขาโยนหนังสือเหล่านี้ไปไว้ข้าง ๆ แล้วนึกขึ้นมาในใจว่า หากข้าเป็นผู้เขียนคงน่าสนใจกว่าเอกสารของพวกเจ้ามากมายนัก !
เขายกแก้วน้ำชาขึ้นมาดื่ม จากนั้นเริ่มต้นการทำงานของวันใหม่ เขาจัดการเอกสารที่มองแล้วเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ออกมาจากกองเอกสารเหล่านี้ จากนั้นทำรายงานทีละฉบับเป็นความหมายว่าเขาได้อ่านเรียบร้อยแล้ว จากนั้นก็ส่งไปยังท่านซังหยูเพื่อพิจารณา หลังจากตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งแล้ว เอกสารเหล่านี้จะถูกส่งเข้าไปยังสำนักอัครมหาเสนาบดี โดยมีอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยซีร่วมกับเสนาบดีทั้งหกร่วมกันพิจารณา ก่อนที่จะส่งต่อแก่ฮ่องเต้
หากเป็นเอกสารเร่งด่วนจะมีตราประทับที่หน้าเอกสาร เอกสารเช่นนี้เรียกว่าเอกสารประทับตราแดง ประเภทนี้จะต้องเร่งรีบดำเนินการให้เสร็จเร็วที่สุด
ในมือฟู่เสี่ยวกวนมิมีหนังสือประเภทนี้อยู่ ดังนั้นเขาจึงค่อย ๆ เปิดเอกสารเหล่านี้ดูทีละหน้า ๆ
เขาเปิดอย่างรวดเร็ว และลงนามอย่างรวดเร็วเช่นกัน เวลาในช่วงเช้าหมดไปกับสิ่งเหล่านี้ แต่สุดท้ายเขาก็มิพบว่ามีเอกสารใดเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจเลย
เกือบทุกฉบับล้วนเกี่ยวกับการเกษตร แต่ที่มากที่สุดนั้นคือการร้องขอเงิน
เอกสารประเภทนี้ เขาเพียงลงความคิดเห็นว่า “แนะนำให้ดำเนินการตามความเหมาะสม ! ”
จนกระทั่งในมือของเขาจับเข้าที่หนังสือจากเยี่ยนซีเหวิน เขาก็ยิ้มขึ้นมา
เจ้าหมอนี่ให้ความสำคัญกับเขตเหยาจริง ๆ เอกสารนี้เขาได้เขียนถึงความร่วมมือกับซีซาน แรกเริ่มเอ่ยถึงสถานที่ทำงานของเขตเหยาที่พัฒนามาจากซีซานและเป็นไปได้ด้วยดี เขายื่นของบประมาณจากทางราชวังเพื่อสร้างท่าเรือขนาด 50 ลี้ขึ้นที่เขตเหยา เพื่อสะดวกต่อการขนส่งสินค้าและวัสดุต่าง ๆ จากซีซาน สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนมองเยี่ยนซีเหวินสูงขึ้นไม่น้อย เจ้าหมอนี่ไม่เลว !
ดังนั้นเขาจึงได้ลงความคิดเห็นอย่างตั้งใจว่า “แผนการดำเนินงานนี้ยอดเยี่ยม โปรดพิจารณาและส่งต่อไปถึงชั้นบนสุด
จากนั้นเขาได้เรียกฉีเหมยเข้ามา วานให้นำเอกสารที่อ่านเรียบร้อยแล้วไปยังที่ทำงานของซังหยู เขาลุกขึ้นยืนแล้วจัดแจงเสื้อผ้าเตรียมตัวเลิกงาน
ในวันนี้ต่งชูหลานจะเดินทางมาที่จวนเพื่อเยี่ยมพ่อของเขา เขาจะต้องรีบกลับจวน
แต่ทว่าเมื่อเขากำลังจะก้าวขาออกไป ฉีเหมยก็วิ่งเข้ามาแล้วเอ่ยว่า “ท่านฟู่ รอสักครู่ขอรับ !”
ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังกลับไป ฉีเหมยวิ่งมาหยุดอยู่ข้าง ๆ เขา “ท่านซังเชิญท่านเข้าพบ…อีกทั้งท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนก็อยู่ที่นั่นด้วยขอรับ”
ให้ตายสิ !
ถึงเขาจะทำงานล่วงเวลาก็มิได้มีค่าตอบแทน !
“ท่านซังมีเรื่องอันใดงั้นรึ ? ”
“ข้าน้อยมิทราบ แต่เกรงว่าจะเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้ขอรับ”
วันพรุ่งนี้เป็นวันที่ยี่สิบหกเดือนหนึ่ง เป็นวันที่ต้องจัดการงานพระศพของไทเฮา เมื่อเขานึกไปถึงประโยคที่หยูเวิ่นเต้าเอ่ยกับเขาเมื่อคืนนั้นแล้วจึงได้ลอบถอนหายใจแล้วหันหลังกลับไปยังห้องทำงานของท่านซังหยู
“นั่งลงก่อน ! ”
เยี่ยนเป่ยซีเอ่ยกับเขา จากนั้นหันไปเอ่ยกับซังหยูว่า “หิมะทางเหนือครานี้สร้างความเดือดร้อนยิ่ง แทบจะครอบคลุมไปทั้งหย่งหนิงโจว ผิงหลินอี้และชวีอี้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ทั้งสองแห่งนี้มีบ้านเรือนนับร้อยหลังพังทลาย มีผู้คนเสียชีวิตสามร้อยยี่สิบกว่าคน บาดเจ็บกว่าพันคน เนื่องจากทั้งสองแห่งนี้มีภูมิประเทศค่อนข้างพิเศษ จึงเป็นการยากที่จะเข้าถึงเพื่อช่วยเหลือ ข้าได้ให้คังผิงขนย้ายสิ่งของต่าง ๆ สำหรับการช่วยเหลือจากเมืองหลานหลิงไปแล้ว กำชับให้ทหารจากเขตเหนือบางส่วนคุ้มครองพวกเขาไป คาดว่าคงไม่มีปัญหามาก เพียงแต่ว่านี่เป็นการช่วยเหลือเบื้องต้นมิใช่การจัดการปัญหา เนื่องจากในทุกปีทั้งสองเขตนี้จะเป็นเช่นนี้ ทำให้ประชากรในท้องที่อพยพไปเมืองอื่น ประชากรน้อยลงทุกปี ๆ จึงทำให้ทั้งสองเขตค่อนข้างยากจน”
เยี่ยนเป่ยซีขมวดคิ้วขึ้น แววตาของเขาขุ่นหมองแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้จะต้องได้รับการจัดการแก้ไขจากต้นเหตุ มิเช่นนั้น…ข้าเกรงว่าทั้งสองเขตนี้จะกลายเป็นเมืองร้างเข้าเสียสักวัน”
ซังหยูพยักหน้าเห็นด้วย เขาจึงตอบกลับไปว่า “นั่นสิ ทางเหนือมีภัยพิบัติจากหิมะ ทางใต้มีภัยพิบัติจากน้ำ ในแต่ละปีได้ใช้งบประมาณในการจัดการของคลังหลวงไปมากโข ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน นี่มิใช่ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะราชวงศ์หยู แต่โบราณมาในแต่ละปีล้วนมีเหตุการณ์เช่นนี้ มิใช่ฝีมือของมนุษย์…จะมีวิธีใดจัดการได้กัน ?”
เยี่ยนเป่ยซีครุ่นคิดแล้วถอนหายใจออกมา
เขาเข้าใจถึงความหมายของซังหยูเป็นอย่างดี และในความเป็นจริงก็เป็นดังเช่นที่ซังหยูกล่าวมา
ทางเหนือมีหิมะตกหนักในทุก ๆ ปี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าบ้านเรือนที่มุงด้วยจากของประชาชนจะมิอาจทนต่อพายุหิมะได้ !
หย่งหนิงโจวนับว่าเป็นพื้นที่ยากจนที่สุดในราชวงศ์หยู พื้นดินแตกระแหง มีภูเขามากมายแต่สภาพอากาศแปรปรวนตลอดทั้งปี มีผลงานการเพาะปลูกน้อยที่สุด ชีวิตของชาวบ้านเป็นไปได้อย่างยากลำบาก
หากบ้านเรือนพังเสียหายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาไร้ที่หลบภัย ท้ายที่สุดคงจะต้องหนาวตาย
ส่วนเรื่องอุทกภัยจากแม่น้ำหวงเหอนั้นก็เป็นปัญหาที่มีมาช้านานเช่นกัน ปีที่แล้วเสนาบดีกรมอุตสาหกรรมได้เอ่ยกับฮ่องเต้ว่าต้องการขยายพื้นที่แม่น้ำ แต่เนื่องจากต้องใช้เงินจำนวนมาก ท้ายที่สุดฝ่าบาทก็มิได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นอีก เนื่องจากหักค่าใช้จ่ายตายตัวแล้ว กรมคลังเหลือเงินอยู่ในมือน้อยเต็มทน
สุดท้ายแล้วปัญหาเหล่านี้ก็เป็นเพราะเงินเพียงคำเดียว ดังนั้นเยี่ยนเป่ยซีจึงมองมายังฟู่เสี่ยวกวน
“หนังสือกั๋วฟู่ลุ่นที่เจ้าเขียนนั้นข้าได้อ่านแล้ว พระสนมซั่งก็ทรงอ่านแล้วเช่นกัน เหลือเพียงแต่ฝ่าบาทที่ยังมิมีเวลาได้อ่าน ที่เรียกเจ้ามานี้เพราะต้องการหารือกับเจ้าเรื่องของหนังสือกั๋วฟู่ลุ่น ข้าอยากถามเจ้าว่า หากเจ้าเป็นนายอำเภอของผิงหลิงอี้และชวีอี้ เจ้าจะจัดการเยี่ยงไร ? ”
“เน้นจุดแข็ง เลี่ยงจุดอ่อน”
“พูดจาภาษามนุษย์มิได้หรือเยี่ยงไรกัน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนนำมือลูบจมูกแล้วหัวเราะว่า “ทั้งสองที่นั้นข้ามิรู้ว่ามีทรัพยากรใดบ้าง แต่จากที่ฟังท่านทั้งสองเมื่อครู่เกรงว่าจะไม่มีแนวทางการพัฒนาใด เหตุใดมิคิดแนวทางอื่น ? ย้อนกลับมายังหนังสือกั๋วฟู่ลุ่น ทั้งสองที่นั้นมิสามารถดึงดูดการลงทุนได้ และมิอาจจะใช้เป็นสถานที่ก่อสร้างโรงงานได้มิใช่รึ ? ”
“ทั้งสองท่านโปรดพิจารณา หากข้าเป็นนายอำเภอของทั้งสองแห่งนั้น ข้าจะยื่นขอลดการเรียกเก็บภาษีของพ่อค้ากับราชวงศ์ เพื่อดึงดูดให้พวกเขามาก่อสร้างโรงงานที่นี่”
“ที่แห่งนั้นเดิมทีก็ยากแค้นมากยิ่งนัก หากจะให้ลดภาษีลงอีก…จะมิยากแค้นกว่าเดิมรึ ? ” ซังหยูเอ่ยถาม
“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ กลับทำให้มีคุณค่าแก่การผลิตอีกด้วย เดิมทีพวกเขาก็กินได้มิอิ่มท้อง หากพวกเขาเข้าไปทำงานที่โรงงานก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังได้ผลผลิตเพิ่มเติม สินค้าเหล่านี้จะหมุนเวียนอยู่ในตลาด ระหว่างการหมุนเวียนของสินค้าเหล่านี้ ทางประเทศจะได้รับภาษีมากขึ้น และเกษตรกรที่มีเงินอยู่ในมือก็จะนำมาใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น เมื่อพวกเขาใช้จ่าย เงินก็จะหมุนเวียนในตลาดและประเทศก็จะได้รับภาษีเพิ่มขึ้นเช่นกันมิใช่รึขอรับ”
“นี่คือการยิงศรดอกเดียวได้นกถึง 3 ตัว ประการแรกเปลี่ยนเกษตรกรเป็นแรงงาน พวกเขามีรายได้เพิ่มขึ้นและสภาพความเป็นอยู่ของพวกเขาก็จะดีขึ้น ประการที่สองพ่อค้าเนื่องจากการลดภาษีทำให้ราคาต้นทุนของสินค้าลดลง และการขายก็ขยายกว้างมากขึ้น ยิ่งขายได้มากกำไรก็ยิ่งมาก และประการที่สามก็คือประเทศนั่นเอง การหมุนเวียนของสินค้าจะนำมาซึ่งการหมุนเวียนของเงินตรา ภาษีของประเทศจะไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากการลดหย่อนภาษีของทั้งสองแห่งนี้อย่างแน่นอน ตรงกันข้ามมันจะมากขึ้นด้วยซ้ำ ทั้งสองเขตนั้นก็เช่นกัน การเงินจะดีขึ้น มองจากภายนอกอาจคิดว่าลดลงเนื่องจากภาษีน้อยลง แต่ในความเป็นจริงแล้วจะเพิ่มขึ้นแน่นอน”
“แต่ว่าจะเพิ่มขึ้นเท่าใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของขุนนางที่ปกครองท้องถิ่นนั้น ว่าจะดึงดูดการลงทุนได้มากน้อยเพียงใด”
ซังหยูยังไม่เคยอ่านหนังสือกั๋วฟู่ลุ่น เขาจึงรู้สึกมึนงงกับหลักการเหล่านี้ เนื่องจากในราชวงศ์หยูนั้น ผู้ทำการค้ามิได้รับการยกย่องในสังคมเท่าใดนัก
ความคิดของเขายังถูกกำหนดอยู่ในด้านการเกษตร แต่ในทั้งสองที่นั้นการเกษตรกลับไม่สามารถพัฒนาได้
ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องจะอาศัยภาษีการเกษตรเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของทั้งสองเขต ต่อให้ไม่เก็บภาษีแม้แต่อีแปะเดียว เกษตรกรเหล่านั้นก็ยังมิอาจกินได้อิ่มท้อง
เยี่ยนเป่ยซีเคยอ่านหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นอย่างละเอียดหลายรอบ เขาเริ่มจะยอมรับความคิดเห็นจากหนังสือนั้น ทำให้เขาเข้าใจคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนได้เป็นอย่างดี
เพียงแต่ว่าฮ่องเต้ยังมิเคยอ่าน เนื่องจากยุ่งอยู่กับเรื่องพระศพของไทเฮา เขาเองจึงมิกล้าดำเนินการโดยพลการ
แต่เขาเองก็รู้สึกเป็นกังวลเกี่ยวกับแผนการนี้มิใช่น้อย จะทำให้เกษตรกรมิสนใจการทำนาหรือไม่ ? เหล่าทหารจะมิใส่ใจฝึกฝนต่อสู้หรือไม่ ? บรรดาบัณฑิตจะมิตั้งใจร่ำเรียนหรือไม่ !
แม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะได้อธิบายเรื่องราวเหล่านี้ในหนังสือไว้แล้ว อีกทั้งยังได้อธิบายว่าการแบ่งหน้าที่ทางสังคมจะทำให้ทุกอาชีพรุ่งเรืองมากยิ่งขึ้น เนื่องจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจจะทำให้ทุกสิ่งก้าวหน้าไปด้วย
การก้าวหน้านี้จะส่งผลในระยะยาว ผลผลิตทางการเกษตรจะสูงขึ้น ชุดเกราะและอาวุธของทหารจะดีขึ้น และบัณฑิตจะมไม่ต้องอดทนร่ำเรียนเพียงตำราเซิ่งเซียน พวกเขาสามารถเลือกเรียนได้ตามสิ่งที่พวกเขาต้องการ
ด้านท้ายของหนังสือกั๋วฟู่ลุ่น ฟู่เสี่ยวกวนแนะนำแนวทางให้สำนักศึกษาจี้เซี่ยเปิดสอนทักษะด้านต่าง ๆ โดยมีเจ้าหน้าที่กรมอุตสาหกรรมเป็นผู้สอน จุดประสงค์เพื่อให้พวกเขาได้รู้ถึงหลักการที่แท้จริง เข้าใจถึงเหตุผลและสามารถทำประโยชน์ให้กับสังคมได้
และเขาก็ได้เอ่ยว่าจะเปลี่ยนแนวทางการคิดของบัณฑิตเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ โดยต้องเริ่มต้นจากเศรษฐกิจ เมื่อพวกเขาเห็นข้อได้เปรียบมหาศาลเหล่านั้น จึงจะสนใจที่จะเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ มิเช่นนั้นพวกเขาก็จะยังคงมีความคิดแบบเดิม ๆ นั่นคือการเข้ารับราชการเท่านั้น
นี่เป็นโครงการขนาดใหญ่ จากประสบการณ์ของเยี่ยนเป่ยซี เขารู้ดีว่าหากดำเนินการไปแล้วจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมายในประเทศชาติ แต่เขามิอาจรู้ได้ว่าผลออกมาจะเป็นเยี่ยงไร ดังนั้นเขาจึงมิกล้าตัดสินใจด้วยตนเอง
เยี่ยนเป่ยซีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน
“หลังกลับจากงานชุมนุมวรรณกรรมราชวงศ์อู่ ข้าจะส่งเจ้าไปยังสถานที่ทั้งสองแห่งนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงแล้วรีบเอ่ยว่า “ข้าน้อยไม่ว่าง ! ”
เจ้ากำลังล้อเล่นอันใดอยู่กัน ?
ส่งข้าไปยังที่กันดารเช่นนั้น อยู่จวนมิใช่ว่าสบายกว่ารึ ?
“ข้ามิได้หารือกับเจ้า…” เยี่ยนเป่ยซีลุกขึ้นยืนแล้วทุบไปที่เอว “นี่คือคำสั่ง ! ”
เขาเดินตรงไปยังประตูแล้วเอ่ยทิ้งท้ายไว้ว่า “เจ้าสามารถเดินทางไปที่ทั้งสองแห่งนั้นเพื่อศึกษาก่อนได้ ข้าอนุญาตให้เจ้านำโรงงานที่ซีซานไปตั้งยังทั้งสองแห่งนั้นได้”
เขามองตามหลังเยี่ยนเป่ยซีไป อยากจะตบหน้าตัวเองเสียจริง ให้ตายสิ ! นี่มิใช่ว่าเป็นการเรื่องใส่ตนเองหรอกรึ หาเหาใส่หัวชัด ๆ !
ตอนที่ 237 นายพลเฟ่ย
ฟู่ต้ากวนยืนอยู่เบื้องหน้าประตูหลีเฉินซวนและมองแผ่นหลังของบุตรชายที่เดินห่างออกไป มองไปยังท้องฟ้าที่มืดมิด และหิมะที่ตกหนักภายใต้แสงจากโคมไฟ จากนั้นก็ส่ายหน้า และถอนหายใจออกมา
ถึงแม้ฟู่เสี่ยวกวนจะอธิบายกับเขาแล้วว่าที่ไปจวนผู้ว่าเขตจินหลิงในครานี้เป็นเรื่องของราชการ แต่ยามดึกค่อนจะเที่ยงคืนเยี่ยงนี้ยังมีงานราชการอันใดอีกกัน ?
ให้บุตรชายของข้านอนพักบ้างได้หรือไม่ ?
อาหารของวังหลวงก็มิได้อร่อยนักหรอก !
จวนผู้ว่าเขตจินหลิง
ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนมาถึง หนิงหยู่ชุนก็กำลังเดินวนไปวนมา
เมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามา เขาก็หยุดยืนอยู่กับที่ และกล่าวขึ้นมาว่า “มีอยู่สองเรื่องที่ทำให้ต้องเชิญเจ้ามา เรื่องที่หนึ่งเกี่ยวกับมือสังหารทั้งเจ็ด นี่คือสำนวนการไต่สวน ประเดี๋ยวเจ้าค่อยไปอ่าน เพราะยังมีเรื่องที่สอง เขาอยากพบเจ้า”
“เฟ่ยอันรึ ?”
“อือ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็คิ้วขมวดและเดินวนไปมาอยู่ภายในห้องโถง เหตุใดเฟ่ยอันจึงต้องการพบเขา ?
คนสองคนที่ไม่เคยพบพานกันมาก่อน มีเพียงฟู่เสี่ยวกวนที่ส่งคนของหอซี่หยู่ไปจับตามองเฟ่ยอันอยู่ตลอดเวลาเพียงเท่านั้น
หากเป็นเรื่องของบุญคุณและความแค้น ระหว่างทั้งสองคนมิมีทั้งบุญคุณและความแค้นต่อกัน เพียงเป็นเพราะฟู่เสี่ยวกวนได้ทราบเรื่องผู้บัญชาการกองทัพชายแดนตะวันออก และได้ทำการสวมรอยสังหารชาวบ้าน 800 คนจากปากของหลินหง เขาจึงทำเพื่อชาวบ้าน 800 คนที่ต้องสังเวยชีวิตอย่างไม่เป็นธรรม
สิ่งที่เฟ่ยอันควรทำในตอนนี้คือหาทางออกไปจากที่นี่ เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนคิดไว้ว่าเฟ่ยอันได้ออกไปแล้ว อย่างไรเขาก็เป็นบุตรชายคนโตของตระกูลเฟ่ย การมีอยู่ของราชครูอาวุโสเฟ่ย มันก็มิใช่เรื่องยากหากเขาต้องการที่จะออกไป โดยเฉพาะในยามที่ฝ่าบาทไม่มีเวลามาใส่ใจกับเรื่องนี้ เขาก็จะยิ่งชำระล้างตนเองได้ง่ายขึ้น
ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยถามหนิงหยู่ชุน “ตระกูลเฟ่ยมิได้มาฉวยคนของตนไปงั้นรึ ? ”
“มิมี”
“กรมราชทัณฑ์จะมิมารับเขาจริง ๆ รึ ? ”
“ตั้งแต่คืนเทศกาลโคมไฟคุกของกรมราชทัณฑ์ก็ได้ถูกปล้น ในตอนนี้กรมราชทัณฑ์ยังคงต้องปรับปรุงอีกมากโข ข้าก็ได้ส่งเรื่องไปแล้ว เพียงแต่กรมราชทัณฑ์ในตอนนี้ยังมิรับช่วงต่อ ข้ายังมีวิธีอื่นอีกงั้นหรือ ? ”
นี่คือเผือกร้อนอย่างแท้จริง หนิงหยู่ชุนอยากจะจัดการส่งอดีตนายพลท่านนี้ไปให้กรมราชทัณฑ์โดยเร็ว
“เอาเถอะ ข้าจะเข้าไปพบนายพลท่านนี้เสียหน่อย”
“ข้าได้ตั้งโต๊ะอาหารและสุราแล้ว หลังจากที่เจ้าพบเสร็จก็จงออกมา พวกเรามาดื่มสุรากันเสียหน่อย ข้ามีเรื่องที่จะต้องคุยกับเจ้าอีกมากมายนัก”
“เรื่องอันใดกัน ? ” ฟู่เสี่ยวกวนชักฝีเท้ากลับมา และมองไปทางหนิงหยู่ชุน
“เรื่องเล็กน้อย ! ” หนิงหยู่ชุนก็ได้สาวเท้าไปยังด้านหลังจวน
ฟู่เสี่ยวกวนยักไหล่ คิดว่าคนผู้นี้ดูมีภูมิฐานกว่าช่วงที่รับตำแหน่งแรก ๆ ราวกับเป็นคนละคน
ด้วยการนำทางของจินเชียนฮู่ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้มาถึงเรือนจำของจวนผู้ว่า
แสงไฟด้านในนั้นสลัวเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีกลิ่นอับชื้นโชยมา
ที่นี่มีเจ้าหน้าที่ค่อนข้างมาก คาดว่าคงจะเป็นการจัดการหลังจากที่คุกของกรมราชทัณฑ์ถูกปล้น
“ท่านขุนนางฟู่ ข้าน้อยมีอยู่หนึ่งเรื่องที่จดจำได้มาจนถึงวันนี้ คาใจจนยากที่จะอดทน มิทราบว่าสมควรที่จะถามออกไปหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนถึงได้ตระหนักขึ้นมาว่าในตอนนี้ตนได้เป็นถึงเจี้ยนอี้ต้าฟูของเสมียนกลางแล้ว เขาค่อนข้างจะไม่คุ้นชินกับคำเรียกท่านขุนนางสักเท่าใดนัก เขายิ้มบาง ๆ และเอ่ยว่า “เจ้าอยากถามสิ่งใดก็จงถามมาเถิด”
“ขอบังอาจถามท่านขุนนางฟู่ เรื่องที่ท่านถูกโจมตีเมื่อปีที่แล้ว มีผู้ใดช่วยไว้หรือไม่ ? ”
จินฮ่าวจือคิดมาตลอดว่ามีคนเข้าไปช่วยเหลือฟู่เสี่ยวกวน แต่พวกเขาก็มิพบรอยเท้าของบุคคลที่สองในสถานที่เกิดเหตุ และเมื่อรวมกับสนามรบบนถนนเส้นยาวสิบลี้ในปีนี้ของฟู่เสี่ยวกวน ก็ทำให้เขาเริ่มสงสัยในข้อสรุปในตอนแรกเริ่ม ท่านขุนนางผู้นี้ราวกับมิใช่นักวรรณกรรมที่อ่อนแอและสามารถจัดการได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น แต่เขาก็มิสามารถสัมผัสถึงตัวตนของชาวยุทธจากตัวของฟู่เสี่ยวกวนได้ ดังนั้นจึงได้เอ่ยถามเขาเยี่ยงนี้
ฟู่เสี่ยวกวนกลับกล่าวออกมาอย่างสบาย ๆ “เรื่องคืนนั้นเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จะมีคนมาช่วยได้เยี่ยงไร แต่ภายหลังก็ได้มีคนตามมาช่วย เจ้าก็ถือเสียว่ามีคนมาช่วยข้าก็แล้วกัน”
ประโยคนี้ค่อนข้างคลุมเครือ แต่จินฮ่าวจือกลับได้ตัดสินไปแล้วว่า “ท่านขุนนางฟู่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ! ”
“เจ้าหนู ข้าอยากถามเจ้าสักหนึ่งคำถาม”
เจ้าหนูมีนามว่าจินฮ่าวจือเขารู้สึกไม่คุ้นชินเล็กน้อย แต่เขาก็ได้ตอบรับออกไปทันที “เชิญท่านขุนนางฟู่ขอรับ”
“ตอนที่เจ้าไปจับกุมเฟ่ยอัน เขากำลังทำสิ่งใดอยู่ ? มีการขัดขืนหรือไม่ ? ”
“เรียนท่านขุนนาง คืนเทศกาลโคมไฟข้าน้อยได้พาเจ้าหน้าที่มือปราบ 300 นายไปยังคฤหาสน์เสียนหยุนที่เขตหนานหลิง เฟ่ยอันผู้นั้นกำลังลับดาบอยู่ที่สวนดอกไม้หลังจวน เขา…มิได้ขัดขืนแต่อย่างใดขอรับ”
คืนนั้นเฟ่ยอันมิได้ขัดขืนอย่างแท้จริง เพียงแค่กล่าวกับจินฮ่าวจือว่า “พวกเจ้าจะช่วยรอให้ข้าลับดาบเล่มนี้ให้เสร็จอีกสัก 1 ก้านธูปได้หรือไม่ พอเสร็จแล้วข้าจะตามพวกเจ้าไป”
แต่แล้วใจที่เป็นกังวลของจินฮ่าวจือก็ได้ปล่อยวาง รอไปเพียง 1 ก้านธูปเท่านั้น เฟ่ยอันก็ได้ลับดาบเล่มนั้นจนเกิดประกาย จากนั้นก็นำดาบใส่ปลอก มิแม้แต่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า และเขาก็ได้ปล่อยให้จินฮ่าวจือใส่โซ่ตรวนและคุมตัวเขาไปยังจวนผู้ว่าเขตจินหลิง
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าเพราะการเพาะปลูกมานานหลายปีจึงทำให้นายพลผู้นี้ได้หล่อเลี้ยงนิสัยใจคอให้ดีขึ้น
ทั้งสองได้มาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของเรือนจำ นักโทษในนี้มีน้อยมากจนสามารถนับคนได้ สภาพแวดล้อมก็สะอาดสะอ้านมากโข แต่เพราะปัญหาทางสถานที่ กลิ่นเหม็นอับจึงหนักขึ้นมาเล็กน้อย
“ท่านขุนนางฟู่ เฟ่ยอันถูกคุมขังอยู่ที่นี่ ข้าน้อยจะรออยู่ที่ด้านนอก”
“อือ”
จินเชียนฮู่หยิบกุญแจของห้องขังออกมาและเปิดประตู ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ตรงทางเข้าประตูและมองเข้าไปด้านใน
เฟ่ยอันนั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าโต๊ะตัวหนึ่ง และได้เงยหน้ามองมาทางเขา
แสงสะท้อนจากตะเกียงน้ำมันบนกำแพง เฟ่ยอันมิได้ดูมีท่าทีของอาชญากรเลยแม้แต่น้อย
เสื้อผ้าของเขายังคงสะอาดสะอ้าน ผมเผ้าของเขายังดูแลอย่างดี ใบหน้าของเขาค่อนข้างเคร่งเครียด ในตอนที่ดวงตาคู่นั้นลืมขึ้นมา ภายในแววตานั้นมิได้มีร่องรอยของจิตสังหาร และไม่มีท่าทีแค้นเคือง ฟู่เสี่ยวกวนราวกับรู้สึกได้ว่าสายตานั้นเรียบนิ่งเป็นอย่างมาก ดวงตาที่อยู่เบื้องหลังของสายตานั้น สงบนิ่งราวกับหุบเขาที่เงียบสงบ
เขาก้าวเดินเข้าไปด้านใน จินเชียนฮู่ล็อคประตูกรงขัง และเดินไปยังทางเข้า นั่งลงที่บันได และหยิบน้ำเต้าสุราที่อยู่ข้างเอวขึ้นมาดื่ม
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงตรงข้ามกับเฟ่ยอัน และเอ่ยถามด้วยท่าทีที่เฉยชา “เหตุใดจึงไม่ออกไป ? ”
“ที่นี่สงบ” เขาตอบกลับมาสั้น ๆ เพียงเท่านี้
“…ใช่ ตอนนี้เป็นช่วงพักการเกษตร จึงหมดหนทางจะปลูก”
“ปีนี้หิมะตกหนัก ปีหน้าจึงจะเป็นปีที่ดี”
“ท่านนายพลคิดว่า จับดาบกับปลูกข้าวมีข้อแตกต่างกันเยี่ยงไร ?”
“มิได้แตกต่างกันแต่อย่างใด จับดาบสังหารศัตรูปกป้องบ้านเมือง การทำนาเพื่อผลิตเสบียงอาหารเพื่อหล่อเลี้ยงประเทศชาติ”
สองมือของฟู่เสี่ยวกวนวางลงบนโต๊ะ เขาค้ำมันกับโต๊ะเพื่อยืนขึ้น และโน้มตัวไปจ้องเฟ่ยอัน หลังจากนั้นก็เอ่ยถาม “เยี่ยงนั้นเหตุใดดาบของนายพลจึงได้สะบั้นคอราษฎรของราชวงศ์หยูกัน ? ”
เฟ่ยอันเงยหน้ามองฟู่เสี่ยวกวน และมิได้เกิดความขุ่นเคืองใจเพราะคำพูดนั้นแต่อย่างใด เขาเพียงยิ้มบาง ๆ ใบหน้าที่อ่อนล้าจึงเกิดริ้วรอยขึ้นมา
“ดังนั้นเจ้าจึงใส่ร้ายข้าเยี่ยงนี้น่ะรึ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด “ท่านคิดว่าข้าเป็นผู้แจกใบประกาศนั่นงั้นรึ ? ท่านคิดว่าท่านถูกใส่ร้ายเยี่ยงนั้นรึ ? ”
เฟ่ยอันถอนสายตากลับมา มองสองมือบนโต๊ะของฟู่เสี่ยวกวน แต่มิได้แก้ตัวอะไรออกไป เขากลับค่อย ๆ วางมือของตนลงบนโต๊ะ และกล่าวว่า “มือที่จับพู่กันกับมือที่จับดาบมิเหมือนกัน ข้าได้ยินเรื่องที่เจ้าสนิทสนมคลุกคลีกับชาวนาที่เมืองหลินเจียงมา คิดไปว่าเจ้าจะมิเหมือนกับเยาว์ชนทั่วไป ข้ามิเข้าใจบทกวี แต่รู้สึกว่าบทกวีที่เจ้าประพันธ์นั้นมิเลว แต่ข้ายังคงคิดว่าบทความ ‘เยาวชนราชวงศ์หยูกล่าว’ ของเจ้านั้นดีกว่ามากโข เมื่อมองในตอนนี้ การพบเจอกับเจ้ามิเหมือนกับที่เคยได้ยินมา เจ้าไปเถอะ ให้คนของหอซี่หยู่ถอนตัวไปเสีย เปล่าประโยชน์ที่จะให้ข้าอยู่ที่นี่”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะ ทรุดตัวนั่ง เฟ่ยอันราวกับมิได้สนใจจะพูดคุยกับเขา เขาหลับตาลง สายตาของฟู่เสี่ยวกวนหลุบมองสองมือนั้น
เป็นสองมือที่กว้างและหนาทั้งยังสั้นและหยาบกร้าน
เป็นสองมือคู่นี้ แต่กลับเต็มไปด้วยเลือดของราษฎร 800 คนของราชวงศ์หยู คนผู้นี้ที่เคยควบคุมกองทัพชายแดนตะวันออกที่มีผู้ใต้บังคับบัญชาถึง 300,000 นาย
แต่คำพูดของเขานั้นมีหมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?
หรือว่าข่าวคราวที่หลินหงบอกกับเขามานั้นจะมิใช่เรื่องจริงงั้นรึ ?
หรือว่าเรื่องนี้ยังคงมีความลับอย่างอื่นซ่อนอยู่กัน ?
“ท่านมิอยากแก้ตัวรึ ?”
“……”
“เยี่ยงนั้นที่ท่านอยากจะพบข้าเพราะเหตุใดรึ ? ”
“……”
“ท่านปล่อยปู้เนี่ยนซือไท่ไปเพราะเหตุอันใดกัน ? ”
ครั้งนี้เฟ่ยอันเบิกตากว้าง “มิใช่ว่าข้าปล่อยปู้เนี่ยนซือไท่ไป แต่เป็นข้ามิสามารถเอาชนะนางได้ นางสามารถหนีไปได้ นอกจากนั้น นางก็มิใช่ชือไท่อะไรทั้งนั้น ! ”
“เยี่ยงนั้นนางเป็นใครกัน ? ”
“เจ้าอยากรู้จริงๆ รึ ? ”
“แน่นอน ! ”
“นางคือลูกหลานที่หลงเหลืออยู่ของอดีตองค์หญิงจิ้งอัน !”
“…” ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง แต่เฟ่ยอันกลับหัวเราะขึ้นมา “เจ้ากลัวรึ ? ”
“ราชวงศ์ก่อนได้ถูกทำลายไปกว่าสามสิบปีแล้ว นางยังก่อเหตุอันใดได้อีกงั้นรึ ? ”
เฟ่ยอันหลับตาลงอีกครา “เจ้ารู้เรื่องมาน้อยเกินไป เจ้ากลับไปเถอะ ข้าได้พบกับเจ้าแล้ว เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
นี่มันหมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?
เจ้าให้คนไปเรียกข้าออกมาจากจวนที่อบอุ่นกลางค่ำกลางคืน ก็เพื่ออยากพบหน้าข้าเพียงเท่านั้นรึ ?
“ข้ารู้สึกว่ามันยังมิพอ ! ”
“เยี่ยงนั้นเจ้ามีอะไรจะพูดก็พูดมา ข้าจะรับฟัง”
ฟู่เสี่ยวกวนกลับลุกขึ้นยืน หันหลังกลับไปทางด้านนอกและตวาดลั่น เฟ่ยอันลืมตาขึ้นมาอีกคราด้วยความประหลาดใจ แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้หันหลังกลับมา ทั้งยังทิ้งท้ายไปอีกหนึ่งประโยคว่า “หากพูดถึงเรื่องการเกษตร ท่านย่อมสู้ข้ามิได้ หากพูดถึงการรบ…ภายภาคหน้าท่านจะได้ทราบว่าท่านก็ยังมิอาจเทียบข้าได้ ข้ามิสนว่าท่านจะบริสุทธิ์หรือไม่ หากท่านยังมีสติสัมปชัญญะอยู่บ้าง ก็ขัดดาบของท่านเพื่อวิญญาณอาฆาตทั้งแปดร้อยดวงนั่น ไปปลิดหัวของคนชั่วตัวจริงมาเซ่นไหว้ประชาชนของราชวงศ์หยูทั้งแปดร้อยคนนั้นเสีย”
จินฮ่าวจือเปิดประตูกรงออก ฟู่เสี่ยวกวนก้าวเดินออกไปข้างนอกและมิหันหน้ากลับมา
เฟ่ยอันมองตามแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวน จนหายลับไปจากสายตา ทันใดนั้นคิ้วของเขาก็ขมวดเล็กน้อย ผ่านไปเนิ่นนาน จึงได้เอ่ยพึมพำมาหนึ่งประโยค “ดูเหมือนว่า ข้าจะต้องออกไปทำอันใดสักอย่าง”
……
……
ด้านหลังจวนผู้ว่าเขตจินหลิง
ที่นี่มิได้มีเพียงหนิงหยู่ชุนแต่เพียงผู้เดียว
เบื้องหน้าโต๊ะทรงสี่เหลี่ยมมีคนนั่งอยู่ 3 คน หนึ่งในสองคนนั้นคือฮั่วหวยจิ่น และอีกหนึ่งคนที่คาดไม่ถึงก็คือหยูเวิ่นเต้า
หยูเวิ่นเต้ายังคงสวมชุดไว้ทุกข์ มองสายตาสงสัยของฟู่เสี่ยวกวนและกล่าวเบา ๆ ขึ้นมา “เสด็จแม่ให้ข้าออกมาตรวจเมือง”
ตรวจเมืองมารดาเจ้าเถอะ !
เป็นข้ออ้างเพื่อหาเรื่องดื่มสุราทั้งนั้น !
เหตุเพราะการสวรรคตของไทเฮา ฮ่องเต้จึงมิมีเวลาทรงงาน ดังนั้นการป้องกันเมืองในยามนี้จึงสำคัญอย่างยิ่ง จึงได้มอบราชโองการให้แก่ฮั่วหวยจิ่น ให้เขานำราชองครักษ์หนึ่งหมื่นนายออกนอกเมืองเพื่อปกป้องประตูเมืองทั้งสี่
นอกจากนี้ยังมีทั้งเจ้าหน้าที่มือปราบจากศาลาว่าการทั้งใต้และเหนือของจวนผู้ว่าจินหลิงที่ออกตระเวนไปทั่วเมืองทั้งวันทั้งคืน ดังนั้นช่วงหลายวันนี้ความปลอดภัยของเมืองจินหลิงจึงดีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ไหนเลยจะมีเรื่องของหยูเวิ่นเต้า
“เวิ่นหวินตอนนี้เป็นเยี่ยงไรบ้างขอรับ ? ”
“ผ่ายผอมลงไปมาก นางคงจะเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก หลังจากจบเรื่องนี้เจ้าคงต้องชดเชยให้นางเสียหน่อยแล้ว”
“ที่ข้าออกมาในค่ำนี้ก็เพราะเสด็จแม่ให้ข้าออกมาหาเจ้า คาดมิถึงว่าเจ้าจะมาที่นี่ ดังนั้นข้าจึงได้พลอยดื่มสุราไปด้วย มามามา ดื่มก่อนเถิด 3 จอก !”
ทั้งสี่ดื่มไปทั้งหมด 3 จอก หยูเวิ่นเต้าเช็ดปากแล้วจึงได้มองมาทางฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ไทเฮาจะไปสุสานจักรพรรดิที่เขาจื่อจินในเดือนหนึ่งวันที่ยี่สิบหก เจ้าก็จะต้องตามไปด้วย ! ”
พื้นดินกว้างใหญ่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ พื้นธรณีถูกแช่แข็งเย็นยะเยือกหลายพันลี้
ถนนแห่งเมืองหลวงเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บ มิค่อยมีผู้คนเดินไปมาเท่าใดนัก เหลือเพียงไฟสีเหลืองนวลในโคมไฟที่แขวนอยู่ตามข้างทางที่ยังคงส่องสว่าง
ฟู่เสี่ยวกวนเดินฝ่าท่ามกลางหิมะมาจนถึงจวนฟู่ เขาสะบัดเท้าเพื่อให้หิมะหลุดออกไป ในใจก็พลันคิดไปว่า รองเท้าหนาถึงเพียงนี้แต่ก็ยังมิอาจต้านทานความหนาวเย็นของหิมะที่แทรกซึมเข้าไปจนถึงกระดูกได้ มิรู้ว่าท่านพ่อจะทนต่ออากาศที่เมืองหลวงนี้ได้หรือไม่
เขาเดินมาถึงหลีเฉินซวน เมื่อผลักประตูเข้าไป อากาศอันอบอุ่นจากด้านในก็ลอยออกมา อากาศหนาวเย็นจากด้านนอกลอยตามเขาเข้าไป ทำให้ขี้เถ้าในเตาผิงลอยฟุ้ง
ฟู่เสี่ยวต้านั่งอยู่ด้านหน้าเตาผิง เขาดื่มน้ำชาอย่างมีความสุข คิดมิถึงว่าจู่ ๆขี้เถ้าจะลอยขึ้นมาปะทะกับใบหน้าของเขา เขาเงยหน้าขึ้นมองแล้วยิ้ม
“ชุนซิ่ว ข้ากลับมาแล้ว เตรียมสำรับข้าวได้”
“เจ้าค่ะ ! ”
ชุนซิ่วยิ้มด้วยท่าทางมีความสุขยิ่ง ความรู้สึกคล้ายกับหวนไปยังช่วงเวลาที่หลินเจียง
“ลูกพ่อ ลุกขึ้นขยับร่างกายเพิ่มความอบอุ่นก่อนเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นไปด้วยใบหน้าอันเปี่ยมด้วยรอยยิ้ม เขานั่งลงข้าง ๆ ฟู่ต้ากวน เขาเทใบชาที่บัดนี้เต็มไปด้วยขี้เถ้าทิ้งไป จากนั้นต้มกาใหม่ แล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อ อากาศที่นี่หนาวกว่าหลินเจียงมากนัก ท่านปรับตัวได้หรือไม่ ? ”
“เมื่อก่อนข้าเดินทางไปทั่วสารทิศ ขึ้นเหนือล่องใต้ อากาศเลวร้ายแบบใดที่ข้ายังมิเคยพบกัน ? อีกทั้งเมื่อก่อนข้าเองก็เคยอยู่ที่เมืองจินหลิงในฤดูหนาว…” ฟู่ต้ากวนยืดคอขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างจ้องไปยังฟู่เสี่ยวกวน เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “เรื่องในพระราชวังนั้น เมื่อใดจึงจะจัดการเรียบร้อย ? ”
“สำนักโหราศาสตร์ดูฤกษ์ไว้วันที่ยี่สิบหกเดือนหนึ่ง พิธีกรรมของสำนักเต๋าจะทำถึงวันที่ยี่สิบแปด อีกไม่กี่วันเท่านั้น เพียงแต่ว่า…เรื่องงานหมั้นหมายคาดว่าจะต้องเลื่อนออกไปก่อน เนื่องจากตามธรรมเนียมแล้ว เวิ่นหวินจะต้องไว้ทุกข์เป็นเวลาครึ่งปี”
“อืม…” ฟู่เสี่ยวกวนหดตัวลง แววตาของเขาเคร่งขรึมในทันที หลังครุ่นคิดชั่วครู่แล้วจึงได้เอ่ยว่า “เช่นนั้นคงต้องรอกระทั่งเดือนแปดเสียแล้ว”
ฟู่ต้ากวนเข้าใจดีว่าหากเรื่องของหยูเวิ่นหวินยังมิได้จัดการให้เรียบร้อย ก็มิอาจดำเนินการเรื่องที่จวนต่งได้เช่นกัน เนื่องจากเรื่องนี้มิได้แบ่งแยกว่าใครมาก่อนมาหลัง นอกเสียจากต่งชูหลานได้แต่งเข้าบ้านก่อนหน้านี้แล้ว ในตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจัดการเรื่องขององค์หญิงให้เรียบร้อยเสียก่อน
เนื่องจากที่ไทเฮาเสด็จสวรรคต แม้แต่การที่จะเชิญคนจากจวนต่งมาร่วมรับประทานอาหารก็ยังมิกล้า หากได้ยินไปถึงหูฝ่าบาทเข้า เกรงว่าฝ่าบาทจะทรงมิพอพระทัย
เมื่อเขานึกถึงเรื่องราวที่ถนนสายยาวนั้น ในใจก็กังวลยิ่ง เมืองหลวงนี้ช่างอันตรายนัก ฟู่เสี่ยวกวนหดคอลงมาอีก เขาเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า “ลูกพ่อ เมื่อตอนปีใหม่พ่อได้รวบรวมเงินทองดูแล้ว มีประมาณ 1,200,000 ตำลึง”
ฟู่เสี่ยวกวนเบิกตากว้าง “มากมายถึงขนาดนั้นเชียวหรือ ?”
ฟู่ต้ากวนพยักหน้า จากนั้นเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันเบาว่า “พ่อคิดเช่นนี้ จวนของพวกเรามีเงินทองมากมาย อีกทั้งผืนนาล้นหลามที่ผลิดอกออกผลในทุกปี ยังไม่รวมถึงกิจการของลูกที่ภูเขาซีซาน เท่านี้ก็เพียงพอให้พวกเราทุกคนใช้จ่ายอย่างมีความสุขตลอดชีวิตแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังมายิ้มว่า “ท่านพ่อต้องการจะเอ่ยอันใด จงกล่าวออกมาเถิด”
“พ่อหมายความว่า…ลูกจะลาออกจากตำแหน่งหน้าที่พวกนั้นได้หรือไม่ พวกเรากลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุขที่เมืองหลินเจียง เป็นพ่อค้าที่ดินผู้มั่งคั่ง จะมิดีกว่าหรือ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะเอ่ยบางคำออกมา กลับถูกฟู่ต้ากวนพูดขัดขึ้นมาว่า “พ่อนั้นหวังว่าเจ้าจะไม่ใช้ชีวิตอย่างหนักหนามากจนเกินไป พ่อเพียงหวังว่าเจ้าจะสืบสานกิจการในครอบครัวต่อไปได้ ส่วนเรื่องตำแหน่งในราชวังนั้นเป็นความใฝ่ฝันของแม่เจ้า แต่นางเพียงอยากให้เจ้าเป็นเพียงแค่ขุนนางชั้นเล็ก แต่จากที่พ่อดู บัดนี้ตำแหน่งเจ้าใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ จิตใจของพ่อเริ่มเป็นกังวลมากขึ้นทุกที”
“ลูกพ่อ บัดนี้เจ้ามีทั้งชื่อเสียงและเงินทอง เจ้าควรรีบวางมือเมื่อครั้นสถานการณ์ยังดีอยู่มิดีกว่าหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาให้แก่บิดาของเขา เขาแอบถอนหายใจ ความจริงคำพูดของผู้เป็นพ่อนั้น เขาเห็นด้วยยิ่ง แต่บัดนี้เขามิอาจตอบรับได้
เนื่องจากบัดนี้เขาก่อเรื่องไว้มากมายเสียเหลือเกิน ตระกูลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหกแห่งเมืองหลวง นอกจากตระกูลเยี่ยนแล้ว อีกห้าตระกูลก็มิได้ชื่นชอบเขาเท่าใดนัก หากเขาถอนตัวตอนนี้ เขาเชื่อว่าวันรุ่งขึ้นจวนต่งคงถูกฆาตกรรมเสียจนหมดสิ้น อีกทั้งศัตรูผู้ยิ่งใหญ่นั่นคือองค์ชายสี่ !
บัดนี้เขาทำได้เพียงพึ่งพาบารมีของฮ่องเต้ แล้วใช้ความคิดอันล้ำหน้ามาแก้ไขราชวงศ์หยู เพื่อให้ตนได้ยืนอยู่ในพระราชวังอย่างมั่นคง มั่นคงถึงขั้นที่ว่าองค์ชายคนใดก็มิกล้าต่อกรกับเขา เช่นนี้จึงจะรักษาความปลอดภัยของคนในจวนฟู่ไว้ได้
นี่แหละที่กล่าวกันว่าขึ้นหลังเสือแล้วลงยาก และคงต้องปล่อยไปตามน้ำเสียแล้ว
“ข้าจะกลับไปหลินเจียงเป็นแน่”
ฟู่ต้ากวนดีใจยิ่ง แต่คาดไม่ถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเอ่ยต่อ “แต่ยังมิใช่บัดนี้”
เขามิอยากอธิบายเรื่องนี้แก่ฟู่ต้ากวน จึงได้เอ่ยถามถึงเรื่องอื่น
“แม่ทั้งหกของข้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? เสี่ยวซีเดินได้แล้วรึ ?”
“แม่ทั้งหกสบายดี ส่วนเสี่ยวซียังเดินมิได้ แต่คลานได้แล้ว…พ่อกำลังเอ่ยถึง…”
“ท่านพ่อ ข้าจะบอกข่าวดีแก่ท่านว่า ท่านอาจจะมีลูกสะใภ้เพิ่มอีกหนึ่งคน”
ประโยคนี้ทำให้ฟู่ต้ากวนหันมาให้ความสนใจ เขารีบเอ่ยถามว่า “บุตรสาวบ้านใดกัน ?”
“ตระกูลเยี่ยน หลานสาวของท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยซี”
“หา…!”
ฟู่ต้ากวนตกตะลึงยืดตัวตรง เขาอ้าปากค้างอยู่สองนาน
ในที่สุดก็สูดลมหายใจเข้าแล้วเอ่ยว่า “บุตรสาวของเยี่ยนซือเต้างั้นรึ ?”
“มิใช่ เป็นบุตรสาวของเยี่ยนฮ่าวชู”
ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจออกมา เขานึกในใจว่าบุตรชายของตนคงไปจากเมืองหลวงตอนนี้มิได้เป็นแน่
คนหนึ่งก็เป็นถึงองค์หญิง อีกคนหนึ่งเป็นบุตรสาวของเสนาบดีกรมคลัง บัดนี้มีหลานสาวของอัครมหาเสนาบดีเพิ่มมาอีกคน…เขาเอามือกุมขมับ ต่อให้มิคำนึงถึงฮ่องเต้ เพียงแค่เสนาบดีกรมคลังและอัครมหาเสนาบดี ก็คงมิปล่อยให้บุตรชายของตนกลับหลินเจียงเพื่อเป็นพ่อค้าที่ดินเป็นแน่
เช่นนั้นเขาคงต้องปรับเปลี่ยนความคิดของตนใหม่เสียแล้ว เขาล้มเลิกการอบพบยครอบครัวมายังเมืองหลวง จวนฟู่ที่หลินเจียงนั้นจะแตะต้องมิได้ ไม่เพียงแต่เท่านี้ เขายังคงต้องออกเดินทางไปรอบ ๆ อาทิเช่นราชวงศ์อู่หรือแคว้นฝาน
ในฐานะพ่อค้าที่ดินรายใหญ่ผู้มีความคิดและไม่โอ้อวด เขามิได้ดีใจเนื่องจากบุตรชายของตนมีภรรยาที่แข็งแกร่งเพียงนี้ ในทางกลับกัน เขาค่อนข้างจะกังวลใจ
ยิ่งสูงยิ่งหนาว !
หากตกลงมาละก็ มีเพียงแค่ความตายเท่านั้นที่รออยู่ !
เขามิได้เอ่ยถึงแผนการในใจให้ฟู่เสี่ยวกวนฟัง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจงรับหน้าที่ของเจ้าในเมืองหลวงให้ดีที่สุด ตระกูลเรามิขาดแคลนเงินทอง เจ้าอย่าได้ทำการทุจริต ความสัมพันธ์ในราชวังนั้นซับซ้อนยิ่งนัก เจ้าควรวางตัวให้ดี อีกอย่างหนึ่งก็คือ เจ้าฆ่าทหารม้าของฮุ่ยชินอ๋องทั้งสี่ร้อย ณ ถนนสายยาวนั้นจริงหรือไม่ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วส่ายหัว “ข้าจะมีความสามารถเช่นนั้นได้เยี่ยงไร ? เป็นซูซูและซูโหรวต่างหาก”
“อ้อ แม่นางซูซูหน้าตางดงามยิ่ง ไม่เลวเลยทีเดียว”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองบิดาผู้อ้วนท้วนของเขา ท่านพ่อหมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?
“เมื่อหลายวันก่อนที่ชุนซิ่วเดินทางมารับพ่อ พ่อเห็นแม่นางซูซูเข้า ก็ตกตะลึง พ่อคิดว่า…คิดว่าเป็นภรรยาคนใหม่ของเจ้า ดังนั้นพ่อจึงได้พูดคุยกับนางมากมาย เช่นเรื่องราวของเจ้าในอดีตและบัดนี้ แล้วก็…เอาเป็นว่าพ่อมิได้เอ่ยถึงเจ้าในทางที่ไม่ดีเลย แม่นางคนนั้นตั้งใจฟังและยิ้มออกมาบางครา พ่อจึงได้เอ่ยออกไปอีกประโยคหนึ่ง”
ฟู่เสี่ยวกวนสงสัย จึงรีบเอ่ยถามว่า “ท่านพ่อเอ่ยว่าเยี่ยงไร ?”
“พ่อบอกนางว่า…ข้านั้นรับอนุภรรยาถึง 6 คน ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น หากแม่นางแต่งเข้าตระกูลฟู่แล้ว รับรองว่าลูกชายข้าจะปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียม ! ”
“……”
เมื่อเห็นท่าทางของฟู่เสี่ยวกวน ฟู่ต้ากวนก็หัวเราะออกมา “ซูซูกล่าวว่านางเป็นเด็กกำพร้า เติบโตมาในสำนักเต๋า พ่อมิได้คิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้ สตรีเยี่ยงนี้จะดูแลครอบครัวได้เป็นอย่างดี อีกทั้งนางมีทักษะการต่อสู้ที่ดี หากเจ้าได้นางมา นางก็สามารถติดตามปกป้องเจ้าได้ในทุกหนแห่งมิใช่รึ ? ”
“ท่านพ่อ… !” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ท่านอย่าได้คิดไปไกล ซูซูยังเด็กนัก ในสายตาข้า นางยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมด้วยซ้ำ ข้าเห็นนางเป็นน้องสาวคนหนึ่ง เรื่องเช่นนี้ท่านอย่าได้เอ่ยออกมาอีกเชียว อีกทั้ง…ท่านพ่อไม่รู้ว่าแม่นางเก่งกาจเพียงใด นางเป็นถึงผู้มีความสามารถแห่งสำนักเต๋า ! หากข้าได้นางมาเป็นภรรยา นางคงได้ตบตีข้าเป็นว่าเล่นไป ข้าจะใช้ชีวิตได้เยี่ยงไรเล่า ? ”
เมื่อฟู้ต้ากวนครุ่นคิดดู เขาก็รู้สึกว่าตนมิได้คำนึงถึงส่วนนี้ แม่นางซูซูมิใช่บุตรสาวตระกูลใหญ่ที่ถูกอบรมสั่งสอนมาอย่างดี ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าแล้วไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก เขาเอ่ยถึงเรื่องที่หลินเจียงขึ้นมา
“จางจือเช่อ หัวหน้าตระกูลจางเจ้าจำได้หรือไม่ ? บิดาของจางเพ่ยเอ๋อร์ที่กระโดดน้ำฆ่าตัวตายเพราะเจ้า”
อะไรคือกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเพราะข้า ?
ท่านพ่อช่างไม่ยุติธรรมเสียจริง !
“จำได้ มีอันใดรึ ? ”
“บุตรชายของเขา จางเหวินฮั่น ได้คัดเลือกเป็นจิ้นซื่อเมื่อปีก่อน เดือนสิบสองก็ได้รับตำแหน่ง ข้าจำได้ว่า…เขาไปรับหน้าที่เป็นนายอำเภอแห่งผิงหลิงอี้ จางเหวินฮั่นจัดงานเลี้ยงฉลองยิ่งใหญ่อยู่สามวันสามคืน ! พ่อคิดว่า ลูกพ่อได้รับตำแหน่งใหญ่โตเพียงนี้ ควรจะจัดงานฉลอง ณ หอหลินเจียงสักหนึ่งเดือนเป็นเยี่ยงไร ?”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจประโยคท้ายของฟู่ต้ากวน เขาสนใจที่ประโยคแรกมากกว่า
จางเหวินฮั่นไปรับหน้าที่ที่ผิงหลิงอี้งั้นรึ…เยี่ยนหลินชิว ลูกพี่ลูกน้องของเยี่ยนซีเหวินเดินทางไปยังชวูอี้ ทั้งสองที่นี้อยู่ในเขตหลิน ล้วนเป็นดินแดนที่แห้งแล้งและต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากชาวฮวงทางตอนเหนือ ไม่รู้ว่าเขาจะปกครองผิงหลิงอี้เยี่ยงไร ?
เมื่อพบว่าบุตรชายมิเอ่ยอันใดออกมา ฟู่ต้ากวนจึงได้เอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นอะไรไป ?”
“ข้าคิดว่าเงินเหล่านั้นนำไปเสาะหาผู้มีความสามารถจะเป็นประโยชน์กว่า ท่านพ่อ ร้านค้าที่ซีซานเปิดแล้ว ในปีนี้เขตเหยาเป็นจุดสำคัญทีเดียว ข้านั้นมิอาจเดินทางออกจากที่นี่ได้ ท่านเองก็ต้องดูแลแม่ทั้งห้าที่กำลังตั้งครรภ์ พวกเราควรจัดการหาผู้มีความสามารถและเชื่อถือได้ให้ช่วยจัดการเรื่องเหล่านั้นดีหรือไม่ ? ”
ฟู่ต้ากวนหัวเราะแห้ง ๆ ออกมา “ในบรรดาคนที่เจ้าช่วยเหลือไว้ในภูเขาซีซานก็มีผู้มากความสามารถอยู่หลายคน คนหนึ่งมีนามว่าลวี่ตงผิง เจ้ายังจำได้หรือไม่ แม้เขาจะอายุ 60 ปีแล้ว แต่ก็ยังชัดเจนในทุก ๆ เรื่อง พ่อจึงได้เลื่อนตำแหน่งให้เขาเป็นผู้ดูแลเรือนซีซานนั่น และย้ายจางเช่อไปยังเขตเหยาแล้ว”
“พ่อคิดเช่นนี้ ลวี่ตงผิงได้รับการยอมรับจากคนในซีซาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของเรือนซีซานหรือภูเขาเฟิ่งหลิน โดยมากพวกเขาก็เป็นคนซีซาน จึงให้เขามารับหน้าที่นี้ ผลออกมาดียิ่ง แต่ที่เขตเหยาโดยมากเป็นคนของเราเอง คุ้นเคยกับจางเช่อดี การที่ให้เขาไปยังเขตเหยาจะเหมาะสมกว่า”
“อีกทั้งจวนฟู่ที่หลินเจียง ไป๋หยู่เหลียนได้ส่งคนจำนวน 40 คนมา กล่าวว่าถูกขับไล่ออกจากกลุ่มทหารตอนฝึกซ้อม แต่ทว่าฝีมือดีกว่าผู้ดูแลทั่วไปหลายเท่า ข้าจึงได้รับเอาไว้”
ขิงนี่ยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดเสียจริง !
การจัดการของฟู่ต้ากวนนั้น ฟู่เสี่ยวกวนเห็นด้วยและนับถือเขายิ่ง ทั้งสองพ่อลูกสนทนากันอย่างสนุกสนาน ทันใดนั้นประตูของหลีเฉินซวนก็ถูกเปิดออกอีกครา
ชุนซิ่วเดินนำจินเชียนฮู่แห่งจวนผู้ว่าเขตจินหลิงเดินเข้ามา
เขากำมือขึ้นคารวะ “ข้าน้อย จินฮ่าวจือ คารวะท่านขุนนางฟู่ ท่านขุนนางหนิงเรียนเชิญท่านไปยังจวนผู้ว่าเขตจินหลิงขอรับ”
ตอนที่ 235 ฟู่ต้ากวนมาเยือนเมืองหลวง
หิมะตกในครานี้ยังมิมีท่าทีว่าจะหยุดเลยแม้แต่น้อย
เพียงพริบตาก็เป็นวันที่ยี่สิบเดือนหนึ่งแล้ว ฟู่ต้ากวนมาถึงจวนฟู่ที่เมืองหลวงเป็นเวลา 4 วันแล้ว แต่เดิมเขาตั้งใจว่าจะรีบไปจัดการสู่ขอให้กับลูกชายให้แล้วเสร็จ แต่คาดมิถึงว่าจะตรงกับวันสวรรคตของไทเฮาเข้าพอดี
บัดนี้จึงยังมิได้เอ่ยถึงเรื่องการสู่ขอแต่อย่างใด ฝ่าบาทได้แถลงราชโองการมาแล้ว งานรื่นเริงทั้งหมดในเมืองจินหลิงภายในหนึ่งเดือนนี้ให้ยกเลิกทั้งหมด หอนางโลม หรือแม้กระทั่งหงซิ่วจาวก็ห้ามเปิดกิจการ โคมไฟสีแดงในเมืองหลวงถูกเปลี่ยนเป็นสีขาวทั้งหมดแล้ว แม้แต่ผู้คนในเมืองหลวง ก็ต้องสวมเสื้อผ้าสีขาวตั้งแต่วันที่สิบแปดของเดือนหนึ่งเช่นกัน
เมืองจินหลิงถูกเปลี่ยนเป็นสีขาวไปทั้งแถบ มีเพียงดอกบ๊วยที่เบ่งบานเท่านั้นที่กล้าละเมิดคำสั่งศักดิ์สิทธิ์ของฮ่องเต้
“ชุนซิ่ว เจ้าว่าวันนี้คุณชายจะกลับมายามใดกัน ? ” สีหน้าของฟู่ต้ากวนดูวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“เรียนนายท่าน บ่าวคิดว่าตอนนี้ในวังหลวงคงอึกทึกครึกโครมอยู่เป็นแน่ เกรงว่าคุณชายจะปลีกตัวออกมาได้ยากเจ้าค่ะ”
“เยี่ยงนั้น…เจ้าพาข้าไปเดินเล่นในเมืองหลวงหน่อยเถิด ไปยังที่ที่คุณชายเคยไป ข้าอยากจะไปดูเสียหน่อย”
“เจ้าค่ะนายท่าน ! ”
ในรถม้าฟู่ต้ากวนก็ได้เอ่ยถามเรื่องราวของฟู่เสี่ยวกวนในเมืองหลวงอีกครา ชุนซิ่วต่างพูดไปทีละเรื่อง ๆ กล่าวถึงการต่อสู้ที่อันตรายที่ถนนเส้นยาว และก็ได้กล่าวถึงบทกวีและบทความที่ยอดเยี่ยมของคุณชาย เป็นต้น
ความจริงมีอยู่หลายเรื่องที่นางมิได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วยตนเอง แต่นั่นมิได้มีผลกระทบกับข่าวคราวที่นางได้ฟังมา
เกินจริงไปเสียหน่อย แต่เมื่อเทียบกับเรื่องจริงที่ได้ฟังมาก็ดูมีชีวิตชีวามากกว่า
“วันนั้นหิมะตกหนัก คุณชายอยู่ที่ถนนเส้นยาวนี้ และได้ลงโทษอันธพาลผู้หนึ่ง ผลลัพธ์ก็คืออันธพาลผู้นั้นเป็นบุตรชายของฮุ่ยชินอ๋อง ต่อมาคุณชายก็ได้เผชิญหน้ากับการแก้แค้นของฮุ่ยชินอ๋อง ทหารม้า 400 นายปรี่ไปสังหารคุณชาย เห็นเพียงคุณชายยืนอยู่บนถนนเส้นยาวเพียงลำพัง มือถือดาบเล่มใหญ่ราวกับเทพเจ้าลงมาจุติ และสังหารทหารม้า 400 นายจนเหลือไว้เพียงเกราะแห่งความอับอาย ! ”
“นายท่าน ท่านคงยังมิเคยเห็นท่าทางที่น่าเกรงขามของคุณชายในเวลานั้น สายโลหิตห้าลี้บนถนนยาวสิบลี้ กล่าวได้ว่านั่นคือผลงานของคุณชาย” ชุนซิ่วกล่าวไปแล้วก็ลอบมองฟู่ต้ากวน และเอ่ยอีกว่า “นายท่านต้องการลงรถไปดูหรือไม่เจ้าคะ ที่นี่คือถนนเส้นยาวเจ้าค่ะ”
“เยี่ยงนั้นต้องไปดู ! ”
ฟู่ต้ากวนและชุนซิ่วลงจากรถม้า ซึ่งเป็นหน้าร้านของร้านอู่เว่ยจายพอดี
ชุนซิ่วยื่นมือชี้ไปทางด้านหน้า และกล่าวว่า “วันนั้นในที่แห่งนี้ คุณชายยืนอยู่ที่ตรงนี้ ทหารม้า 400 นายปรี่มาจากฝั่งตรงข้าม…นายท่านคงยังมิทราบ ทุกคนที่อยู่บนถนนเส้นยาวนั้นแตกฮือราวกับนก มีเพียงคุณชายยืนอยู่เพียงผู้เดียว ชายเสื้อปลิวไสว ถือดาบและพุ่งเข้าไปหาทหารม้ากองนั้น ไม่มีศัตรูคนใดที่เหมาะสมกับดาบเล่มนั้นได้เลยเจ้าค่ะ”
ชุนซิ่วภูมิใจอย่างมาก จึงได้ผายมือขึ้นมา “วันนั้นดวงอาทิตย์ส่องแสง เส้นทางที่คุณชายพาดผ่านต่างมีสายโลหิตสาดกระเซ็นไปทั่ว…” ขณะที่กล่าวนางก็เดินไปข้างถนน หลังจากนั้นก็โน้มตัวลงไปหาอย่างตั้งใจ ราวกับกำลังหาร่องรอยของเลือดในวันนั้นมาเป็นหลักฐานว่าตนมิได้โอ้อวด แต่นางตามหาไม่เจอ จนเกือบจะชนเข้ากับเจียงหยูที่เพิ่งออกมา
“แม่นางท่านกำลังตามหาสิ่งใดอยู่กัน ? ” เจียงหยูเอ่ยถามอย่างสงสัย
“อือ… มิมีเจ้าค่ะ แม่นางได้เห็นการสู้รบที่ผ่านมาเมื่อหลายวันก่อนหรือไม่ ? ”
เจียงหยูสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และพยักหน้า
ชุนซิ่วดีใจอย่างมาก “ท่านจะสามารถเล่าให้นายท่านของข้าฟังได้หรือไม่ ? ”
“พวกท่าน…เป็นใครกัน ?”
“โอ้ ชายหนุ่มที่ลงโทษคนชั่วที่นี่ในวันนั้นคือคุณชายของเจ้านายตระกูลของข้าเอง”
“คุณชายฟู่รึ ? ” ดวงตาเจียงหยูเป็นประกาย
“ใช่เจ้าค่ะ ! ”
เจียงหยูเดินมายังเบื้องหน้าฟู่ต้ากวน และคำนับอย่างนุ่มนวล “วันนั้น เป็นคุณชายฟู่ที่ออกโรงเพื่อข้า หากมิใช่คุณชายฟู่ เกรงว่าข้า…คงได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของคนชั่วไปนานแล้ว”
ฟู่ต้ากวนผงะ เขาคิดจริง ๆ ว่าชุนซิ่วเพียงทำเพื่อให้เขาเบิกบานเท่านั้น เขาจะไม่รู้ถึงบทบาทของบุตรชายตนเองได้เยี่ยงไร ?
หากกล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนได้ประพันธ์บทกวีที่ยอดเยี่ยมในตอนนี้เขาจักเชื่ออย่างแน่นอน แต่หากจะกล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนถือดาบด้วยท่าทีดุดันเยี่ยงนั้น…ต่อให้ตายเขาก็ยากที่จะเชื่อ
“วันนั้นบุตรชายของข้าได้สู้รบกับกองทหารม้า 400 นายจริงหรือไม่ ? ”
เจียงหยูพยักหน้าอย่างหนักแน่น แล้วกล่าวว่า “วันนั้นข้างกายคุณชายฟู่ยังมีสตรีที่งดงามอีกหนึ่งนาง แม่นางผู้นั้นก็มีฝีมือที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก แน่นอนว่า คุณชายฟู่เก่งกาจอย่างมาก สายโลหิตห้าลี้ในถนนเส้นยาวสิบลี้ที่เป็นที่กล่าวขานในเมืองหลวง ก็คือการต่อสู้ของคุณชายฟู่ในวันนั้นเจ้าค่ะ”
“ชนะรึ ? ”
“คุณชายฟู่ย่อมชนะอยู่แล้วเจ้าค่ะ ! ”
ฟู่ต้ากวนอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง เกล็ดหิมะตกลงในปากของเขา ค่อนข้างชุ่มฉ่ำไม่น้อย
“แล้วเขาได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ? ” จากนั้นฟู่ต้ากวนก็กังวลขึ้นมา
“เรื่องนั้น…ข้าเองก็มิทราบ แต่เรื่องที่ร่างของคุณชายฟู่อาบเลือดนั่นคือเรื่องจริง เพียงแต่มิทราบว่านั่นคือโลหิตของศัตรูหรือของ… จากนั้นเขาก็ได้เดินจากไป ข้ามิทันแม้แต่จะกล่าวขอบคุณเขาด้วยซ้ำ”
“โอ้… ! ” ฟู่ต้ากวนพยักหน้า ใบหน้าที่อวบอิ่มนั้นฉีกยิ้มขึ้นมา “ขอบคุณแม่นางที่เล่าสู่กันฟัง”
กล่าวจบเขาก็เดินไปด้านหน้า ปล่อยให้หิมะตกหนักใส่ร่างของตน ราวกับอยากดูว่าห้าลี้นั้นแท้จริงแล้วมีความยาวเท่าใด ราวกับกำลังครุ่นคิดว่าช่วงเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนดี บุตรชายผู้นี้ได้เก่งกาจขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ต่อจากนั้นพวกเขาก็ได้มายังอารามซุ่ยเยว่
ฟู่ต้ากวนเพียงเมียงมอง หลังจากนั้นก็ขึ้นรถม้าและตรงไปยังตรอกซานเยวี่ย และหยุดอยู่ที่หน้าประตูจวนฮุ่ยชินอ๋องอยู่ครู่หนึ่ง
“ที่นี่คือจวนฮุ่ยชินอ๋อง” ชุนซิ่วชี้เข้าไปและกล่าวว่า “ในวันที่สองของสนามรบนองโลหิต คุณชายร่ำสุราท่ามกลางหิมะ ณ ที่แห่งนี้ และได้สังหารคนชั่วไปหลายสิบคน”
“ความขัดแย้งของคุณชายและจวนฮุ่ยชินอ๋องผู้นี้ได้รับการคลี่คลายแล้วหรือยัง ? ” ฟู่ต้ากวนเองถามด้วยความกังวลอย่างยิ่ง คิดว่าคนผู้นี้คือชินอ๋องที่สง่าผ่าเผย ชุนซิ่วผู้นี้ย่อมมิทราบว่ามันร้ายแรงเพียงใด หากก่อให้เกิดหายนะที่ใหญ่หลวงขึ้น จะได้รีบกลับไปที่หลินเจียงเพื่อเก็บของมีค่าและเพื่อให้หนีได้ทัน
“คลี่คลายไปเนิ่นนานแล้วเจ้าค่ะ ฮุ่ยชินอ๋องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ได้ยินว่าจะจากเมืองหลวงไปในต้นฤดูใบไม้ผลิ เหมือนจะกลับไปยังหลิงหนาน บ่าวเองก็มิได้สนใจเจ้าค่ะ”
“ชนะเยี่ยงนั้นรึ ? ”
“อือ” ชุนซิ่วยังคงพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ชนะเจ้าค่ะ !”
ฟู่ต้ากวนถอนหายใจอย่างโล่งอก เจ้าเด็กคนนี้ เรื่องสำคัญถึงเพียงนี้กลับมิมีบอกกล่าวในจดหมาย พอข้ามาถึงเมืองหลวงเจอหน้ากันก็ไม่แม้แต่จะบอกกล่าวสักเล็กน้อย แบบนี้ไม่ได้การ จะปล่อยให้เขาปกปิดทุกอย่างมิได้ เช่นนั้นจะต้องเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นในไม่ช้าก็เร็วเป็นแน่ !
ต่อจากนั้นชุนซิ่วก็พาฟู่ต้ากวนไปยังหลานถิงจี๋
“คุณชายเริ่มต้นจาก ณ ที่แห่งนี้” ชุนซิ่วชี้ไปยังบนกำแพงของหอหลานถิง แน่นอน ว่าบนกำแพงในตอนนี้มิเหลืออันใดแล้ว
“ยามที่คุณชายมาถึงเมืองหลวงปีที่แล้ว นโยบายบรรเทาสาธารณภัยได้ถูกติดไว้ที่นี่ นโยบายฉบับนั้นได้เข้าพระเนตรของฝ่าบาท หลังจากนั้นฝ่าบาทก็ได้พระราชทานตำแหน่งจิ้นซื่อให้แก่คุณชาย ทั้งยังตกรางวัลเป็นขุนนางขั้นห้าเรียกว่าอะไรสักอย่างนี่แหละเจ้าค่ะ”
“ฉาวซ่านต้าฟู เจ้าจงจำให้มั่น” ฟู่ต้ากวนสำทับอีกหนึ่งประโยค
“อ่า ใช่ ฉาวซ่านต้าฟูเจ้าค่ะ”
และชุนซิ่วก็ได้พาฟู่ต้ากวนมายังเบื้องหน้าของหินเชียนเปยสือ
“เทศกาลไหว้พระจันทร์เมื่อปีที่แล้วทำนองเพลงสายน้ำบทนั้นของคุณชาย นายท่านดูเจ้าค่ะ สลักไว้เป็นลำดับที่หนึ่ง”
ฟู่ต้ากวนเงยหน้าขึ้นไป เขาทราบถึงเรื่องนี้ แต่น่าเศร้าใจที่เพียงแค่ได้ยินยังมิเคยได้มาเห็นด้วยตาตนเอง
หินเชียนเปยสือรึ !
นี่คือความฝันของนักวรรณกรรมตั้งมากมาย !
คาดมิถึงว่าบุตรชายของตนเองจะทิ้งชื่อไว้ที่ด้านบนนี้จริง ๆ !
พรจากบรรพบุรุษตระกูลฟู่ วิญญาณของหยุนชิงที่อยู่บนสวรรค์คอยให้พรอยู่เป็นแน่ ระดับวรรณกรรมของตระกูลฟู่ลอยสูงขึ้น ได้กำเนิดนักปราชญ์มาแล้ว 1 คน
แต่แล้วเรื่องที่ตามมานั้นก็ทำให้น่าตกใจเสียยิ่งกว่า
“นี่คือ ‘ชิงหยู่หว่าน ค่ำคืนแห่งหยวนเซียว’ ที่คุณชายประพันธ์ขึ้นที่เทศกาลโคมไฟเจ้าค่ะ นายท่านดูสิเจ้าคะ ได้สลักเป็นอันดับที่หนึ่งเช่นกัน” ชุนซิ่วไม่ได้มาร่วมเทศกาลโคมไฟ นางนึกเสียใจอยู่มาก แต่ในยามนี้กลับคิดได้อย่างทะลุปรุโปร่งยิ่งขึ้น
สุดท้ายแล้วตนเองก็เป็นเพียงสาวใช้ของคุณชาย คุณชายบินสูงขึ้นเรื่อย ๆ นางรู้สึกว่าตนเองตามคุณชายมิทันเสียแล้ว เยี่ยงนั้นก็ช่วยคุณชายจับตามองจวนฟู่เสียดีกว่า ให้คุณชายมิต้องคอยละล้าละลังกับด้านหลัง นั่นต่างหากที่เป็นเรื่องที่ตนเองควรกระทำในตอนนี้
ฟู่ต้ากวนเดินมายังเบื้องหน้าหินเชียนเปยสือ ด้านข้างกันนั้นยังมีผู้คนอีกมากมายที่เงยหน้ามอง เขาอ่านบทกวีนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ ถึงได้ทราบว่าตนเองรู้จักบุตรชายผู้นี้น้อยยิ่งนัก
ได้ยินผู้คนด้านข้างต่างพูดถึงบทกวีนี้ เอ่ยชื่นชมบุตรชายของตน ในใจของเขาก็ยิ่งมีความสุขราวกับดอกไม้บาน
คิดถึงเมื่อปีนั้น ตนเองก็เคยมาที่หลานถิงจี๋แห่งนี้ และก็ได้อ่านท่องบทกวีบนหินเชียนเปยสือเฉกเช่นคนเหล่านี้เช่นกัน ในใจก็เกิดความริษยาที่อธิบายไม่ได้
ตอนนั้นยังจินตนาการไว้ว่าหากบทกวีของตนได้ขึ้นบนหินเชียนเปยสือนี้ หยุนชิงคงไม่ต้องรับโทษจากจวนสวี่เยี่ยงนี้
ความฝันของข้ามิได้สมปรารถนา แต่ข้าก็มีบุตรชายที่ทำให้มันสัมฤทธิ์ผลได้ !
ทั้งยังได้ถึงสองบท !
และสองบทนั้นก็ได้สลักเป็นลำดับที่หนึ่ง
เยี่ยงนี้ยังมีลำดับที่สองบนหินเชียนเปยสืออีกรึ ?
ฟู่ต้ากวนตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด ในใจคิดว่าควรจะหาวันเวลาพาฟู่เสี่ยวกวนไปพบกับคนที่จวนสวี่ดีหรือไม่ ? มิใช่ บทกวีของบุตรชายน่าจะเผยแพร่ไปทั่วเมืองหลวงแล้ว เยี่ยงนั้นจวนสวี่เองก็ย่อมทราบ เหตุใดพวกเขาจึงมิมาจวนฟู่เพื่อเข้าพบเสี่ยวกวนกัน ?
ในตอนที่เขากำลังสับสนงุนงง ชุนซิ่วก็กล่าวอีกว่า “นายท่านเจ้าคะ ท่านตามข้ามา”
ชุนซิ่วพาฟู่ต้ากวนไปยังด้านหน้าหินเชียนเปยสืออีกหนึ่งแผ่น “นายท่าน ดูเจ้าค่ะ”
ฟู่ต้ากวนเงยหน้าขึ้นไปมองอีกครา ลำดับที่หนึ่งที่ได้สลักบนหินเชียนเปยสือแผ่นนั้นก็คือชื่อของฟู่เสี่ยวกวนอีกคราพร้อมกับ ‘เยาวชนราชวงศ์หยูกล่าว’ ที่เขาเป็นผู้ประพันธ์ !
นี่มัน…!
ที่หนึ่งถึงสามครา !
บทกวีและบทร้อยแก้วของบุตรชายตนได้สลักเป็นลำดับที่หนึ่งถึง 3 ครั้ง !
เขากลับสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ประจวบเหมาะกับที่ด้านข้างนั้นได้มีชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังท่องมันอยู่ เยาวชนราชวงศ์หยูที่งดงามของข้า อมตะเหมือนฟ้า !
เยาวชนราชวงศ์หยูที่แข็งแกร่งของข้า ไร้ขอบเขตเหมือนแว่นแคว้น !
ฟู่ต้ากวนหันไปมองชายหนุ่มผู้นั้น รอยยิ้มบนใบหน้าอวบสดใสอย่างไร้ที่เปรียบ และเอ่ยถาม “ขอถามคุณชาย บทความนี้ดีเยี่ยงไรรึ ? ”
ชายหนุ่มผู้นั้นสองมือไขว้หลังยืนด้วยท่าทีทะนงตัว ชำเลืองมองฟู่ต้ากวนอย่างเหยียดหยามเล็กน้อย และตอบอย่างภาคภูมิใจถึงที่สุดว่า “บทความนี้ย่อมดีเป็นแน่แท้ มิเพียงแต่ได้บัญญัติเป็นบทเรียน ทั้งยังได้สลักเป็นอันดับหนึ่งบนหินเชียนเปยสือ ลองถามนักวรรณกรรมทั่วใต้หล้าได้ ยังมีผู้ใดอยู่สูงยิ่งกว่าคุณชายฟู่อีกหรือไม่ ! ”
กล่าวอย่างภาคภูมิใจราวกับว่าเขาเป็นผู้เขียน
ทันใดนั้นฟู่ต้ากวนก็ส่งตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงให้กับชายผู้นั้น “เจ้ากล่าวได้ เยี่ยมมาก !”
ชายหนุ่มผู้นั้นรับมา ทันใดนั้นดวงตาก็เบิกกว้างอย่างตกตะลึง “ท่านตาผู้นี้ ท่านกำลังหมายความว่าเยี่ยงไร ?”
“ข้าเห็นเจ้าใส่เสื้อผ้าที่ค่อนข้างบาง ชีวิตของนักวรรณกรรมมิได้ดีเท่าใดนัก ข้าทราบดี นำไปซื้อเสื้อผ้าเพิ่ม และที่เหลือก็ซื้อตำราเสีย”
ทันใดนั้นกระบอกตาของนักวรรณกรรมผู้นั้นก็ร้อนผ่าว และกุมมือของฟู่ต้ากวนเอาไว้อย่างเร่งรีบ “ท่านตา ท่านคือตาของข้า ซือหม่าหนานผู้นี้ !”
“เยี่ยงนั้นเจ้าก็คือบุตรชายของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว”
ใบหน้าของซือหม่าหนานชะงักค้าง ชายชราผู้นี้กล่าวอันใดกัน ?
ฟู่ต้ากวนหัวเราะและปลีกตัวเดินออกมา “ข้าคือบิดาของฟู่เสี่ยวกวน ! ”
มารดามันเถอะ “นายท่านโปรดรอก่อน ! ”
ซือหม่าหนานรีบตามติด ชายหนุ่มรอบด้านต่างก็ได้ยินประโยคนั้น ให้ตายเถอะ ! บิดาของฟู่เสี่ยวกวนนี่ !
“นายท่านขอรับ…นายท่าน… หอซื่อฟาง ข้าหม่าซิงกำลังจะจัดงานเลี้ยงที่หอซื่อฟาง ขอเชิญนายท่านร่วมดื่มกับพวกเราด้วยเถิด !”
ฟู่ต้ากวนโบกชายเสื้อด้วยท่าทีเรียบเฉย “ข้ามิว่าง ! ”
ตอนที่ 234 ไทเฮาสวรรคต
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนหนึ่ง วันที่สิบหก
ท้องฟ้ามืดครึ้ม เมฆน้อยลอยต่ำ
ในเช้าตรู่ของวันนี้ ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ตื่นขึ้นมาออกกำลังกายแต่เช้าตามเคย เขานอนพักผ่อนอย่างเต็มที่
เมื่อคืนแม้จะมิได้เมามาก แต่หลังจากส่งต่งชูหลานเรียบร้อยแล้วเดินทางกลับมายังจวนก็ถึงเวลาไก่โห่พอดี
เขาอาบน้ำชำระร่างกายจากนั้นก็ได้ดื่มโจ๊กเม็ดบัวกับพุทราแดงแล้วก็นั่งครุ่นคิดอยู่สักพัก บิดาของเขาคาดว่าคงจะเดินทางมาถึงจินหลิงในวันนี้ แล้วก็นึกถึงผู้บุกรุกในคืนนั้นที่ถูกกังขังไว้ในศาลจินหลิง อีกทั้งนึกถึงเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่บาดเจ็บเนื่องจากปกป้องเขา เขาก็ควรจะเดินทางไปเยี่ยมนาง
อยากจะมีวิชาแยกร่างเสียจริง !
เขาควรต้องไปรับบิดาก่อน เนื่องจากเรื่องสู่ขอเป็นเรื่องใหญ่
เมื่อตัดสินใจได้จึงเตรียมตัวเดินทางออกไป แต่กลับชนเข้ากับหยูเวิ่นเต้าเสียเยี่ยงนั้น
หยูเวิ่นเต้าวิ่งมาอย่างรีบร้อยพร้อมกับกลิ่นคาวเลือด ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังเขา เสื้อผ้าสีขาวถูกเลือดประดับคล้ายดอกเหมยที่เบ่งบานหลายดอก
“ท่านเป็นอะไรไป ?”
“อย่าเพิ่งเอ่ยถามข้า ประเดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟัง ให้ข้ายืมชุดเจ้าก่อน ข้าจะอาบน้ำที่นี่”
“เอ่อ มิใช่เยี่ยงนั้น กระหม่อมจะออกไปข้างนอก”
หยูเวิ่นเต้าจ้องมาที่ฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาเยือกเย็น “จะไปไหนกัน เร็วเข้า รีบเดินทางเข้าวังพร้อมข้า เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้จะทำเยี่ยงไร เขาหันหลังกลับเดินเข้าไปพร้อมหยูเวิ่นเต้า จากนั้นจัดแจงให้เขาอาบน้ำชำระร่างกาย แล้วเรียกชุนซิ่วเข้ามา
“ซิ่วเอ๋อร์ วันนี้ข้ามีธุระเร่งด่วน แต่ทว่าท่านพ่อจะเดินทางมาถึงในวันนี้ เจ้าจงนำผู้ดูแลสักสิบคนเดินทางออกไปรอท่านพ่อที่ท่าเรือ แล้วนำทางพวกเขากลับมายังจวน”
“เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้”
“อ้อ…ประเดี๋ยวก่อน” ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขามิเคยพบเห็นหยูเวิ่นเต้ามีท่าทีจริงจังเช่นนี้มาก่อน คาดว่าคงเป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ “หากในวันนี้ข้ามิได้กลับมา จงบอกกับท่านพ่อว่าข้าเข้าเวร”
ชุนซิ่วก็ตกตะลึงเช่นกัน คุณชายมิได้มีท่าทีจริงจังเช่นนี้มานานมากแล้ว เกิดเรื่องใหญ่ใดขึ้นงั้นรึ ?
นางมิได้เอ่ยถามออกมาให้มากความ เพียงพยักหน้าตอบรับเขาแล้วไปจัดการธุระตามที่คุณชายสั่ง ส่วนซูซูเมื่อได้ยินดังนั้นก็เอ่ยว่า “ข้าจะไปกับแม่นางชุนซิ่ว”
“อืม ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ตรงข้ามกับซูเจวี๋ย ซูเจวี๋ยเอ่ยถึงเรื่องเมื่อคืนออกมา
“ที่อารามซุ่ยเยว่ข้ามิได้ข้อมูลใดกลับมา เมื่อคืนที่เมืองจินหลิงมีไฟไหม้หลายแห่ง ข้าเองได้ไปดูเช่นกันอีกทั้งก็ได้ฆ่าไปหลายคน เหล่าคนพวกนั้นล้วนเป็นชาวยุทธ แต่เนื่องจากองค์ชายห้าได้ทรงวางแผนรับมือไว้แล้ว จึงมิอาจก่อให้เกิดการสูญเสียได้มากนัก”
เรื่องราวที่อารามซุ่ยเยว่เหนือความคาดหมายของฟู่เสี่ยวกวน
เขามิรู้จริง ๆ ว่าคนที่อยู่ในอารามซุ่ยเยว่คือใคร แต่เขาเดาว่าคนผู้นั้นมีจุดประสงค์เพื่อหาบางสิ่งในอาราม เนื่องจากที่แห่งนั้นถูกเปิดเผยแล้ว พวกเขามิอาจใช้เจ้าหน้าที่ในการรายงานใด ๆ ได้อีก
พวกเขากำลังค้นหาสิ่งใดกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าคงเกี่ยวข้องกับความลับบางอย่างของเจ้าหน้าที่ หรืออาจเป็นรายนามบางอย่างหรือบันทึกรายงานก็เป็นได้
ปู้เนี่ยนซือไท่สามารถใช้แผนการเช่นนั้นเพื่อหลบหนีไปได้ คาดว่าคงกังวลว่าจะถูกเจ้าหน้าที่ติดตามไล่ฆ่าเป็นแน่
จากความสามารถของเจ้าหน้าที่แล้ว นางมิมีความมั่นใจว่าจะเอาตัวรอดได้ ความลับเหล่านั้นยังคงเก็บซ่อนไว้ในอารามซุ่ยเยว่…วันนี้หากมีเวลามากพอจักต้องไปดูเสียหน่อย มิใช่ว่าไม่เชื่อซูเจวี๋ย แต่เรื่องนี้สำคัญยิ่ง เขามีประสบการณ์ด้านนี้ดี ควรจะไปลองเสี่ยงดูเสียหน่อย
“สิ่งที่ข้าอยากจะบอกกับเจ้าอีกอย่างหนึ่งนั้นคือ คนที่วางเพลิงเผาไหม้เมื่อคืนนี้ โดยส่วนมากเป็นผู้ที่เคยร่วมเดินทางกับหลิวจิ่วเม่ย์”
ฟู่เสี่ยวกวนเกิดความสงสัย เช่นนั้นพวกคนที่บุกเข้ามา ณ หลานถิงจี๋จะเป็นฝีมือของหลิวจิ่วเม่ย์นี้ด้วยหรือไม่ ?
“จุดประสงค์ในการวางเพลิงของพวกเขาคือการปล้นคุก พวกเขาต้องการช่วยเหลือหลิวซานเปี้ยน แต่มิรู้ว่าสำเร็จหรือไม่ ?”
“ข้ากำลังจะบอกเจ้าพอดี…”หยูเวิ่นเต้าเอ่ยขึ้นขัดจังหวะ เขาสวมใส่ชุดยาวสีเขียวอ่อนเดินออกมา “พวกเขาทำสำเร็จ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกใจยิ่ง หยูเวิ่นเต้าเอ่ยต่อไปว่า “พวกเขามิเพียงกระทำได้สำเร็จ นอกจากช่วยหลิวซานเปี้ยนกับจินกังทั้งสองออกไปได้แล้ว ยังฆ่าพวกชาวยุทธที่เจ้าจับได้ที่นอกจวนฮุ่ยชินอ๋องอีกด้วย”
ไอ้บ้าเอ๊ย !
คนพวกนั้นถูกกุมตัวไปโดยฮั่วหวยจิ่น กักขังไว้ที่ศาลจินหลิง แรกเริ่มกังขังไว้ในคุกที่จวนผู้ว่าเขต จากนั้นจึงส่งไปยังคุกของกรมราชทัณฑ์ นั่นหมายความว่าพวกมันโจมตีเข้าไปถึงด้านในคุกของกรมราชทัณฑ์เลยงั้นรึ !
พวกมันมีความสามารถมากถึงเพียงนี้เลยรึ ?
เมื่อพบว่าฟู่เสี่ยวกวนเกิดความสงสัย หยูเวิ่นเต้าจึงยักคิ้วแล้วกล่าวต่อว่า “พวกมันมีสายสืบภายใน แต่ข้ามิสามารถจับพวกมันได้ จากการคาดเดาของข้า…เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับองค์ชายสี่อย่างแน่นอน ! ”
“เหตุใดท่านจึงกล่าวเช่นนี้ ? ”
“เจ้าลองคิดดูเถิด พวกคนที่ถูกเราจับได้ ณ ด้านนอกจวนฮุ่ยชินอ๋อง พวกมันหนีไปได้เพียงแค่ 2 คน ทั้งสองเดินทางไปยังที่พักของเจ้าหน้าที่ พวกคนเหล่านี้เดินทางจากอารามซุ่ยเยว่ไปยังจวนฮุ่ยชินอ๋อง อารามซุ่ยเยว่เป็นสถานที่ที่ใช้ติดต่อแห่งหนึ่งของเจ้าหน้าที่ ดังนั้นพวกมันคงเป็นคนของเจ้าหน้าที่ทางการ”
“พวกหลิวจิ่วเม่ย์เป็นพวกอยู่กันเป็นกลุ่ม มีข้อดีคือจำนวนคนที่มาก พวกมันไม่มีความสามารถพอที่จะบุกโจมตีเข้าไปด้านในคุกของกรมราชทัณฑ์เป็นแน่ แต่เจ้าหน้าที่ทำได้”
“เจ้าลองคิดดู ในเมื่อพวกมันช่วยเหลือสามคนนั้นออกมาได้แล้ว เหตุใดต้องฆ่าคนทั้งยี่สิบคนนั้นด้วย ? เนื่องจากการที่คนพวกนั้นมีชีวิตอยู่ ไม่มีผลดีต่อเจ้าหน้าที่ อีกอย่าง กรมราชทัณฑ์มิได้ทำการสอบสวนทั้งยี่สิบคนนี้ หมายความว่าพวกเขาไม่มีหลักฐานว่าเป็นคนขององค์ชายสี่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องตาย”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองดูท้องฟ้า แล้วเอ่ยถามออกมาว่า “คนพวกนั้นพาหลิวซานเปี้ยนกับอีกสองคนจากไปเมื่อเวลาใด ?”
“ประมาณเที่ยงคืน”
บัดนี้เป็นช่วงสายแล้ว…ตามมิทันแล้วเป็นแน่ !
“เจ้าคิดสิ่งใดได้งั้นรึ ? ” หยูเวิ่นเต้าเอ่ยถาม
“พวกหลิวซานเปี้ยนตายแล้วเป็นแน่”
หยูเวิ่นเต้าตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาเข้าใจความหมายของฟู่เสี่ยวกวนและรู้สึกอารมณ์เสียขึ้นมาทันใด
องค์ชายสี่ย่อมให้พวกหลิวจิ่วเม่ย์ออกจากเมืองหลวงเป็นแน่ !
ในเมื่อคนพวกนั้นสมรู้ร่วมคิดกับเจ้าหน้าที่ คาดว่าด้านในต้องมีคนคอยจัดการเรื่องนี้ องค์ชายสี่ใช้คนเหล่านี้ในการทำให้เมืองหลวงวุ่นวาย และใช้คนเหล่านี้เข้าไปจู่โจมเผาคุกจนมอดไหม้
สิ่งที่เขาทำมีเพียงจุดประสงค์เดียว นั่นคือการฆ่าปิดปาก !
พวกเขาฆ่าคนในคุกทั้งยี่สิบคนนั่นทิ้งเสีย จากนั้นฆ่าชาวยุทธที่เข้ามาข้องเกี่ยว เช่นนี้ก็มิมีสิ่งใดสามารถสืบสาวราวเรื่องมาถึงเขาได้
“มิน่าเล่า ในค่ำคืนนั้นคนของหอชิงเฟิงจึงหาคนมิพบ เนื่องจากพวกเขาได้แยกตัวออกจากกัน มีบางส่วนหลบหนีออกจากเมืองแล้วซ่อนตัวอยู่…แผนการร้ายกาจยิ่ง ! ” หยูเวิ่นเต้าถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง
ฟู่เสี่ยวกวนนึกขึ้นได้ถึงเรื่องเมื่อคืน เขากล่าวกับซูเจวี๋ยว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เมื่อคืนนี้มือสังหารทั้งเจ็ดถูกขังไว้ ณ ศาลจินหลิง จงช่วยข้าจับตามองด้วย”
ซูเจวี๋ยพยักหน้าตอบรับ เขาเข้าใจว่าฟู่เสี่ยวกวนหมายความว่าเยี่ยงไร หากทั้งเจ็ดนี้มีความข้องเกี่ยวกับหลิวจิ่วเม่ย์ พวกเขาจะเป็นแหล่งข้อมูลแหล่งเดียวที่มีในตอนนี้
เขาขอตัวเดินทางจากไป ซูโหรวที่นั่งปักผ้าอยู่นั้นใช้ดวงตาคู่เรียวเล็กนั่นมองมายังฟู่เสี่ยวกวน
ชายหนุ่มผู้นี้มีความคิดรอบคอบยิ่ง เป็นผู้ที่มีความสามารถโดยมิต้องสงสัย เสียดายที่เขาฝึกฝนกำลังภายในไม่สำเร็จ หรืออาจจะยากที่จะสามารถฝึกออกมาได้ วันทั้งวันเขามีเรื่องมากมายต้องจัดการ จะมีเวลาไหนมาฝึกฝนกัน !
“ในวังหลวงเกิดเรื่องใหญ่ เจ้าจงเดินทางเข้าไปพร้อมกับข้า”
“เรื่องอันใดกัน ? ”
“ไทเฮา สวรรคต !”
ฟู่เสี่ยวกวนตะลึงไปชั่วขณะ เขารีบลุกขึ้นเดินตามหยูเวิ่นเต้าออกจากจวนฟู่เพื่อเดินทางไปยังพระราชวัง
……
……
เกล็ดหิมะลอยลงมาตกที่จมูกของฟู่เสี่ยวกวน เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เมฆสีเทายังคงลอยต่ำอยู่เหนือศีรษะ เป็นสัญญาณว่าหิมะจะตกหนัก
ประตูพระราชวังถูกเปิดออก แต่โคมไฟสีแดงสดใสเมื่อคืนได้ถูกถอดออกจนสิ้น มีเพียงบางมุมมืดเท่านั้นที่ยังคงหลงเหลืออยู่
ทั้งสองเดินเข้ามาด้านในโดยมิส่งเสียงใดออกมา อารมณ์ของพวกเขาต่างขุ่นหมอง
ฟู่เสี่ยวกวนนึกถึงขันทีเว่ยที่เดินทางมายังทะเลสาบเว่ยยางเพื่อให้เขาประพันธ์กวี คาดว่านี่คงเป็นความปรารถนาหนึ่งของไทเฮา มิรู้ว่าพระนางจะทรงได้อ่านหรือไม่
เรื่องราวเกี่ยวกับไทเฮา ฟู่เสี่ยวกวนมิอาจเอ่ยออกเป็นคำพูดได้
นับจากเรื่องราวของฮุ่ยชินอ๋อง พระตำหนักฉือกงก็ได้มัวหมองลงไปมากนัก
หยูเวิ่นหวินกล่าวว่าต่อให้มิมีเรื่องของฮุ่ยชินอ๋องเกิดขึ้น ไทเฮาก็ทรงมีรับสั่งให้เขาเข้าเฝ้าอยู่ดี เนื่องจากตอนจบของหนังสือความฝันในหอแดง
พระนางมิชอบฉากจบนั่น พระนางคิดว่าแม้จะเป็นนิยายแต่ก็ควรจะจบลงอย่างงดงาม
ในเย็นวันที่สิบสี่เดือนหนึ่ง พระนางทรงให้คณะงิ้วร้องตอนพระสนมหยวนในนิยาย อีกทั้งเอ่ยคำตักเตือนอย่างเด็ดขาดกับขุนนางเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหก
พระนางทรงหวังว่าราชวงศ์หยูจะพัฒนาขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ก็ทรงรู้ดีว่าบัดนี้สถานการณ์ไม่ค่อยดีนัก
เมื่อไม่กี่วันก่อน หยูเวิ่นเต้าได้กล่าวกับเขาถึงเรื่องนี้ว่าหากต้องการให้ไทเฮาทรงเอ็นดู ก็ควรจะสนทนากับนางเรื่องการเกษตร เขายังมิทันได้สนทนาใด ๆ กับพระนาง ทำได้เพียงมอบของขวัญเป็นธัญพืชกำหนึ่งและกระดาษใบหนึ่ง ยังมิรู้ด้วยซ้ำว่าพระนางทรงพอพระทัยหรือไม่ พระนางก็ทรง…
ในวันนั้นเขาเห็นสีพระพักตร์ของพระนางไม่ค่อยดีนัก แต่ผ่านไปเพียงแค่สองวัน…ฟู่เสี่ยวกวนแอบถอนหายใจเบา ๆ สรรพสิ่งล้วนอนิจจัง สุขทุกข์มิแน่นอนอย่างแท้จริง !
พวกเขาเดินเข้าไปใกล้พระตำหนักฉือกงมากขึ้นเรื่อย ๆ บรรยากาศเริ่มมืดครึ้มมากขึ้น
ขันทีและนางในวิ่งกันจ้าละหวั่นมองดูแล้ววุ่นวายยิ่ง ขุนนางระดับสูงก็เดินขวักไขว่ไปมา เมื่อฟู่เสี่ยวกวนพบเห็นคนของสำนักโหราศาสตร์ เขาจึงเชื่อว่าทุกสิ่งนั้นเป็นเรื่องจริง
บัดนี้ผู้รับผิดชอบใหญ่ยังคงเป็นเยี่ยนซีเป่ยซี แต่ทว่าเรื่องการเสด็จสวรรคตของไทเฮา เหตุใดจึงมิมีพระบัญชาจากฮ่องเต้กัน ?
หยูเวิ่นเต้าพาฟู่เสี่ยวกวนไปยังห้องข้างพระตำหนัก เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วจึงเดินทางมายังประตูใหญ่ของพระตำหนักฉือกง
ด้านในมีทั้งเสียงร้องไห้และควันธูปลอยมา เมื่อเข้าไปด้านในก็พบว่ากลุ่มคนชุดดำกลุ่มใหญ่คุกเข่าอยู่ที่พื้น หยูเวิ่นเต้าสะกิดฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นทั้งสองก็คุกเข่าลง
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้น เขามองเห็นพระสนมซั่งนำพระสนมบางส่วนนั่งเผากระดาษทีละใบ ๆ นักบวชเต๋าหลายสิบคนนั่งอยู่ด้านบน พวกเขาสวดมนต์พึมพำออกมา บางคราก็เคาะกลองใบเล็กนั่น มีหัวหน้านักบวชคนหนึ่งนำคณะอีกสิบกว่าคนเดินวนรอบมุ้งขาว กระดาษเหลืองในมือโปรยลงสู่ด้านล่าง คาดว่าน่าจะกำลังทำพิธี
หน้าต่างถูกเปิดออกสองบาน มีลมโชยเข้ามาเบา ๆ พัดมุ้งบางให้เปิดออก ฟู่เสี่ยวกวนมองเห็นหญิงชราที่นอนอยู่ด้านใน
เขาส่งสายตามองหา ในที่สุดก็พบกับหยูเวิ่นหวิน
นางสวมใส่ชุดไว้ทุกข์เช่นกัน และนั่งคุกเข่าอยู่ร่วมกับองค์หญิงองค์ชายคนอื่น ๆ บ่าของนางตกลง คาดว่านางคงจะเสียใจไม่น้อย
ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนมองดูหยูเวิ่นหวิน ก็ได้มีชายหนุ่มคนหนึ่งหันมาพบเข้ากับเขา
สายตาทั้งสองคู่ประสานกันเพียงชั่วครู่เท่านั้น
เป็นองค์ชายสี่ หยูเวิ่นชู !
ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยพบกับองค์ชายสี่มาก่อน แต่ทั้งสองก็รู้ได้แน่ชัดว่าอีกฝ่ายคือใครจากสายตาเมื่อครู่ !
ตอนที่ 233 กระตุ้นเมืองหลวงอีกครา
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนหนึ่งวันที่สิบห้า ภายในค่ำคืนนี้เกิดเรื่องราวขึ้นมาอย่างมากมาย
ใบประกาศนั้นได้ปลิวว่อนไปทั่วทั้งเมืองหลวง และในตอนนี้เรื่องราวนายพลสูงสุดของกองทัพชายแดนตะวันออกอย่างเฟ่ยอันต่างก็เป็นที่รับรู้กันถ้วนหน้า
ค่ำคืนนั้นมวลชนต่างก็หลั่งไหลมาล้อมรอบจวนผู้ว่าเขตจินหลิง เพื่อแสวงหาความเป็นธรรมและยุติธรรมต่อเรื่องนี้
เฟ่ยอันก็ได้ถูกมือปราบของจวนผู้ว่าเขตจินหลิงจับกุมในคืนนั้นเช่นกัน และต้องรอการไต่สวนต่อไป
เกิดไฟไหม้ขึ้นในเมืองจินหลิงมากกว่าสิบจุด ผู้ตายก็มากเช่นกัน ในนั้นมีทั้งราษฎรของเมืองหลวง และโจรป่า กล่าวได้ว่าในคืนนั้นหอชิงเฟิงซี่หยู่ได้สูญเสียไพร่พลไปมากเช่นกัน
ในคืนนั้นประตูใหญ่ของวังหลวงเมืองจินหลิงได้ถูกปิดลง จากสายตาของราษฎรในเมืองหลวง คาดว่าคงกังวลว่าฝูงชนจะปรี่เข้าไปในวังหลวงด้วยความโกรธแค้นจนก่อให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้น
ครึ่งค่อนคืนให้หลัง ในตอนที่เฟ่ยอันถูกพามายังจวนผู้ว่าเขตจินหลิง หลังจากที่ฝูงชนได้ปาขยะและรองเท้าประดังเข้ามา เหมือนว่าความกรุ่นโกรธในใจจะได้ถูกระบายออกไปเสียบ้างแล้ว ดังนั้นจึงได้แยกย้ายกันกลับไป ทะเลสาบเว่ยยางเพิ่งจะถูกยกเลิกคำสั่ง ดังนั้นทุกคนจึงได้ทราบว่าฟู่เสี่ยวกวนได้ประพันธ์บทกวีที่โดดเด่นขึ้นในงานกวีเทศกาลโคมไฟอีกครา
ราวกับบทกวี ‘ชิงหยู่หว่าน ค่ำคืนแห่งหยวนเซียว’ ได้ถูกลมใบไม้ผลิพัดพาไปทั่วทุกมุมของเมืองจินหลิง ทุกคนต่างประหลาดใจและยกย่องบทกวีของฟู่เสี่ยวกวน พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นเป็นเทพเหวินฉวี่ซิงที่กลับชาติมาเกิดอย่างแท้จริง
เหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่ที่ยังมิได้ออกเรือน ต่างกอบกุมบทกวีนั้นไว้ และรู้สึกราวกับว่านอนไม่หลับอีกครั้ง ความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาพักใหญ่แล้ว
ต่อจากลมใบไม้ผลิก็คือคำชื่นชมของห้านักปราชญ์แห่งราชวงศ์หยู จึงได้ถูกสลักไว้เป็นลำดับที่หนึ่งบนหินเชียนเปยสือของเทศกาลโคมไฟอย่างมิต้องสงสัย และได้ล้ม ‘โต๊ะหยก งานโคมไฟ’ ที่อยู่มานานนับสิบปีของเหวินสิงโจวลงไปอย่างราบคาบ
แน่นอนว่านี่คือเรื่องที่สมควรได้รับการยกย่องจากผู้คนในเมืองหลวง ดังนั้นหงซิ่วจาวที่มีแผนเดิมว่าจะปิดร้านก็ได้แขวนโคมแดงขึ้นอีกครา ผู้เรียบเรียงทำนองก็คืออาจารย์หูฉินหู แต่ครานี้ผู้ขับร้องกลับเป็นหลิ่วเยียนเอ๋อร์
ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่ตามเรื่องมากับข่าวคราวนี้ด้วย
บทความ ‘เยาวชนราชวงศ์หยูกล่าว’ ที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ประพันธ์ ก็ได้รับการยกย่องจากเหล่านักปราชญ์ในค่ำคืนนั้นเช่นกัน จึงได้ขึ้นเป็นอันดับที่หนึ่งในร้อยแก้วของหินเชียนเปยสือเช่นกัน
เมืองหลวงก็ได้พลุ่งพล่านขึ้นมาทันใด !
“ลำดับที่หนึ่งถึง 3 ครั้ง ลำดับที่หนึ่งถึง 3 ครั้งเลยมิใช่รึ ! ”
“มิมีใครทำได้มาก่อน ต่อจากนี้ก็คงจะมิมีเช่นกัน ! ”
“พวกเจ้าลองอ่านบทความนี้โดยละเอียด ช่างไพเราะเสนาะหู และสนุกสนานเป็นอย่างมาก ! ”
“ดังนั้นหากฟ้ามิให้กำเนิดฟู่เสี่ยวกวน คงเงียบเหงาเหมือนกับค่ำคืนที่ยาวนานไปชั่วนิรันดร์อย่างแท้จริง ! ”
“…..”
ไม่ว่าจะเป็นเรือบนแม่น้ำฉินหวาย หรือหอนางโลมในเมืองจินหลิง การค้าขายในคืนนี้ก็ครึกครื้นมากยิ่งนัก
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับมิทราบเรื่องแต่อย่างใด
หลังจากที่ถอนคำสั่งทะเลสาบเว่ยยาง พวกเขาก็ขึ้นเรืออูเผิง และเดินทางมาจนถึงท่าเทียบเรือ
ฟู่เสี่ยวกวนบอกลาฉินเหวินเจ๋อและคนอื่น ๆ พร้อมกับไหว้วานให้ชางกวนเหมี่ยวนำมือสังหารที่ไร้วรยุทธ์ทั้งเจ็ดไปส่งที่จวนผู้ว่าเขตจินหลิง เขากับต่งชูหลาน ซูโหรวและซูซูไปส่งเยี่ยนเสี่ยวโหลวจนถึงจวนด้วยกัน
ซูซูและซูโหรวขึ้นรถม้าคันเดียวกัน ส่วนฟู่เสี่ยวกวนกับต่งชูหลานและเยี่ยนเสี่ยวโหลวไปด้วยกัน
ต่งชูหลานประคองเยี่ยนเสี่ยวโหลว และเอ่ยเสียงแผ่ว “บาดแผลของเจ้าใหญ่ไม่น้อย พรุ่งนี้ข้าจะขอให้เวิ่นหวินนำหมอหลวงไปหาที่จวนเยี่ยน แต่ก็ต้องดูแลสุขภาพและพักฟื้นให้ดี อย่าให้เหลือต้นตอของอาการเรื้อรัง อย่างไรเสีย…”
ต่งชูหลานก็กลอกตามองบนใส่ฟู่เสี่ยวกวน เบะปากและกล่าวออกมาว่า “อย่างไรเสียคนผู้นี้ก็มีพลังมาก ทั้งยังพลิกแพลงได้ หากเจ้าได้แต่งเข้าจวนฟู่จริง ๆ เจ้าก็ควรจะมีสุขภาพร่างกายที่ดี”
คำพูดนี้ค่อนข้างคลุมเครือ เยี่ยนเสี่ยวโหลวที่ได้ยินเยี่ยงนั้นก็หน้าแดงขึ้นมาทันพลัน ในใจครุ่นคิดว่าชูหลานก็ไร้ซึ่งความวิตกใด ๆ ยังมิทันได้ตบแต่งก็กล้าที่จะพูดคำเหล่านี้ออกมาแล้ว
เพียงแต่…เขาพลิกแพลงเยี่ยงไรกัน ?
ในหัวของเยี่ยนเสี่ยวโหลวเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ทันใดนั้นก็ก้มหน้าหลบ และไม่กล้าสบตาคนทั้งสองอีก
“เจ้าอย่าได้คิดไปเรื่อย ความหมายของข้าคือเขามีเรื่องอีกมาก เรื่องที่เราต้องกังวลใจก็มีไม่น้อย แต่ก็มิสามารถไปรั้งขาของเขาเอาไว้ได้”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย แม้ความจริงแล้วเป็นตนเองที่คิดเลยเถิด ดูเหมือนว่าหลังจากที่กลับไปแล้วจะต้องอ่านตำราอบรมสตรีอีกสักครา
“อือ… !” เสียงของนางแผ่วเบาราวกับแมลง และได้เอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า “กล่าวได้ว่า พี่สาวไร้ข้อขัดแย้งเยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? ”
ต่งชูหลานจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอีกครา ลอบถอนหายใจ บุรุษที่ดีเยี่ยงนี้สตรีใดจะไม่หลงกัน กล่าวไปแล้วเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็มิเลว หากฟู่เสี่ยวกวนได้รับการหนุนหลังจากตระกูลเยี่ยน เส้นทางในภายภาคหน้าของเขาก็ย่อมดีขึ้น
“ขอกล่าวกับเจ้าอย่างไม่ปิดบัง ข้าย่อมมิสมัครใจที่จะให้มีคนเข้ามาแบ่งปันกับข้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่ง แต่ในวันนี้เจ้าได้ช่วยชีวิตเขาไว้ บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตา ข้านั้นมิมีปัญหาอันใด รอจนเจ้าหายดีแล้วข้าจะนัดให้เวิ่นหวินออกมา พวกเราทั้งสามมาดื่มชาด้วยกัน สบายใจได้ ข้าจะช่วยเจ้า เวิ่นหวินก็คงจะใจอ่อนเช่นกัน หากรู้ว่าเจ้าได้ช่วยเขาเอาไว้ คิดว่านางคงมิมีข้อขัดแย้งอันใด สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเจ้าตอนนี้คือพักฟื้นให้หายดีเสียก่อน หนทางในอนาคตยังอีกยาวไกล พวกเราต้องร่วมเดินทางไปด้วยกัน”
“เสี่ยวโหลวขอบคุณพี่สาวเจ้าค่ะ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย นี่คือเรื่องของข้า คาดไม่ถึงว่าจะมิมีผู้ใดถามตนสักคำ !
เขาถูกเมินเฉยไปทั้งอย่างนั้น และหญิงสาวทั้งสองคนก็ตัดสินเรื่องใหญ่ด้วยกันเพียงลำพังไปทั้งอย่างนั้นเช่นกัน
เขาย่อมไม่ปฏิเสธเยี่ยนเสี่ยวโหลว ในฐานะผู้ชายคนหนึ่งแล้ว หลังจากที่ได้ผ่านประสบการณ์อย่างมากมายมากับสาวงามแล้วหากเขายังมิรู้สึก นั่นก็ราวกับว่าเป็นการเสแสร้งมิใช่รึ มิเหมือนกับสัตว์ร้ายพรรค์นั้น !
เมื่อนำเยี่ยนเสี่ยวโหลวมาส่งจวนเยี่ยน ฟู่เสี่ยวกวนก็มิทราบว่าเหตุใดจนถึงป่านนี้เยี่ยนเป่ยซีและเยี่ยนซือเต้าจึงยังไม่กลับจวน พวกเขาออกจากจวนเยี่ยน และมิได้ตรงกลับไปยังจวนฟู่ แต่กลับไปยังจวนผู้ว่าเขตจินหลิง
ผู้คนที่ล้อมรอบด้านนอกของจวนผู้ว่าเขตจินหลิงได้แยกย้ายออกไปนานแล้ว ด้านนอกในตอนนี้เหลือเพียงแต่ความยุ่งเหยิง
ประตูจวนผู้ว่ายังมิปิด ไฟด้านในก็ยังคงสว่างโร่อยู่ ผู้เฝ้าประตูทางด้านหน้าในมือถือคบเพลิงและยังคงยืนเฝ้าระวังอยู่
ฟู่เสี่ยวกวนและพรรคพวกลงจากรถม้า มองไปยังพื้นที่แดงฉาน คาดว่าเรื่องที่ตนสร้างขึ้นมานั้นได้สร้างความลำบากให้กับหนิงหยู่ชุนไม่น้อยเลยทีเดียว เขาจึงอดที่จะหัวเราะไม่ได้
“เจ้าหัวเราะอันใดกัน ? ”
“พวกเจ้าลองดู บนพื้นมิเพียงมีโคมไฟที่แตก ทั้งยังมีไข่ไก่ ขนมปิ้ง ขวดสุรา รองเท้าอย่างมากมาย มีแม้กระทั่ง…นี่มันเกินไปแล้ว คาดมิถึงว่าจะเป็นกางเกงใน ! ถือว่าสวยงามอย่างยิ่ง !”
ต่งชูหลานหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยใบหน้าแดงก่ำ และก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็กระซิบถามข้างใบหูของต่งชูหลาน “เจ้าลองเดาดูสิว่าเจ้าของกางเกงในตัวนี้เป็นผู้ถูกกระทำหรือผู้กระทำกัน ? ”
ต่งชูหลานหันหน้าหนี กัดริมฝีปาก ตาเรียวเลิกขึ้น “หัวของเจ้านี่นะ…เหตุใดจึงคิดได้แต่เรื่องนี้กัน ไร้สาระเสียจริง ! ”
“ข้าว่าเป็นผู้กระทำ” ฟู่เสี่ยวกวนยืนตัวตรงและหัวเราะเสียงดังลั่น “ไปเถอะ พวกเราเข้าไปดูผู้ว่าผู้ยิ่งใหญ่กันเสียหน่อย !”
…..
ซูซูยืนอยู่กับที่ไม่ขยับ จนกระทั่งฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานเข้าจวนไปแล้ว จึงได้หันหน้ามามองซูโหรว และเอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่สาม เขาใช้สิ่งใดมาตัดสินกันว่าสตรีนางนั้นคือผู้กระทำ ? ”
“…..”
ซูโหรวชำเลืองมองซูซู หากปล่อยให้เด็กคนนี้อยู่กับฟู่เสี่ยวกวนนานเกินไป ได้ถูกคนผู้นี้พาเสียคนไปในไม่ช้าก็เร็วเป็นแน่ !
“ศิษย์พี่สาม ท่านยังมิได้ตอบข้า”
“เพราะกางเกงในตัวนั้นยังไม่ขาด”
“โอ้…” ซูซูพยักหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
…..
หลังจวนผู้ว่าเขต
หนิงหยู่ชุนและฮั่วหวยจิ่นนั่งประจันหน้ากัน
บนโต๊ะไม่มีแม้แต่เม็ดถั่ว มีเพียงสุรา 2 ขวด แล้วจอกสุรา 2 ใบ
“เฮ้อ… เรื่องวุ่นวายนี่ บัดนี้นี้ยุ่งยากยิ่งนัก น้องฮั่วเอ๋ย อัญเชิญเทพเป็นเรื่องง่ายแต่ยากที่จะส่งกลับ ข้าในตอนนี้มิรู้จะทำเช่นไรแล้ว”
“เจ้าจะคิดมากไปทำไมกัน ? เรื่องของอดีตนายพลสูงสุด มิใช่เรื่องที่ผู้ว่าเขตเยี่ยงเจ้าจะไต่สวนได้ ทันทีที่ท้องฟ้าสว่างกรมขุนนางจะมานำตัวเขาไป”
“อือ… ! ” หนิงหยู่ชุนรินสุราหนึ่งจอก และชนจอกกับฮั่วหวยจิ่น ทันทีที่แตะโดนปาก ก็กลับกล่าวออกมาว่า “ที่ข้าเป็นกังวลก็คือ กรมขุนนางจะมิกล่าวอันใดและปกปิดเรื่องนี้ไว้”
ในตอนที่ฮั่วหวยจิ่นกำลังจะถามว่าเพราะเหตุใด ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากทางประตูอย่างไม่คาดคิด “การคาดการณ์ของท่านขุนนางหนิงมิเลวเสียทีเดียว…” ผู้ที่มาตามเสียงนั้นคือฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลาน พวกเขาเดินเข้ามาในเรือนและนั่งลง
“มิใช่ว่า ท่านเป็นถึงผู้ว่าเขตจินหลิงที่สง่าผ่าเผย มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีเลยรึ ? ”
“กับผีสิ ข้าเพิ่งจะว่างเท่านั้นเอง ! ”
“โอ้” ฟู่เสี่ยวกวนหันไปกล่าวกับต่งชูหลาน “ชูหลาน เจ้าให้ซูซูไปสั่งซื้อสำรับอาหารหนึ่งโต๊ะที่หอซื่อฟางให้มาส่งที่นี่ และให้ส่งซีชานเทียนฉุนมาด้วยหนึ่งลัง”
“เกรงว่าหอซื่อฟางจะปิดร้านแล้ว”
“มิเป็นไร ซูซูมีหนทางให้หอซื่อฟางเปิดประตู”
ต่งชูหลานเดินออกไปด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง หนิงหยู่ชุนนำจอกออกมาสองสามใบ และหยิบขวดสุราขึ้นมาอีกหนึ่ง และส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน
“เจ้าได้ออกชูโรงที่หลานถิงจี๋ ค่ำคืนนี้ท้องของข้าและฮั่วหวยจิ่นได้เพียงแต่กลืนลมหนาวเข้าไป ดังนั้นการได้ทานสำรับอาหารของเจ้าก็คงจะมิใช่เรื่องเกินจริงอันใด”
ฮั่วหวยจิ่นเองก็หันไปมองฟู่เสี่ยวกวน คนผู้นี้ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง !
บทกวีโต๊ะหยกนั้นพวกเขาก็รู้จักกันดี ทันทีที่หนิงหยู่ชุนได้อ่านบทกวี ‘ชิงหยู่หว่าน ค่ำคืนแห่งหยวนเซียว’ ก็มั่นใจได้ว่ากวีบทนี้จะต้องได้ลำดับที่หนึ่งบนหินเชียนเปยสือ และย่อมล้มบทกวีโต๊ะหยกของเหวินสิงโจวไปได้อย่างแน่นอน และข่าวคราวที่ตามมาก็เป็นจริงดังนั้น ไม่เพียงแต่บทกวี ‘ชิงหยู่หว่าน ค่ำคืนแห่งหยวนเซียว’ บทนั้นที่ได้ขึ้นเป็นลำดับที่หนึ่งบนหินเชียนเปยสือของเทศกาลโคมไฟ แม้แต่บทความ ‘เยาวชนราชวงศ์หยูกล่าว’ ของเขาก็ได้ขึ้นเป็นลำดับที่หนึ่งบนหินเชียนเปยสือในหมวดบทร้อยแก้วเช่นกัน
ดังนั้น คนผู้นี้น่าจะเป็นนักวรรณกรรม !
อีกทั้งเมื่อไม่กี่วันก่อนคนผู้นี้ก็ยังได้ต่อสู้กับกองทัพทหารของฮุ่ยชินอ๋องที่ถนนเส้นยาวสิบลี้นั่นอีก
“พี่ฟู่ ในตอนนี้ข้ามิเข้าใจท่านเสียจริง ได้ยินมาว่าค่ำนี้ท่านได้ถูกโจมตีมาอีกครา แต่เห็นท่านในตอนนี้ที่ดูสดใสร่าเริงคาดว่าท่านคงไร้อันตรายอันใดแล้ว มามามา พวกเรามาดื่มกันเถิด” ฮั่วหวยจิ่นยกจอก ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่าและชนจอกดื่มกันสองคน
“ได้ไต่สวนคนเหล่านั้นแล้วรึ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
“เจ้าจะรีบทำบ้าอันใดกัน ให้ข้าได้พักหายใจบ้างเถอะ”
“ข้ามิได้จะสื่อเยี่ยงนั้น” ฟู่เสี่ยวกวนก็รินสุราอีกครา “มามามา ให้หมดอีกแก้ว ความหมายของข้าคือยามที่ท่านจะไต่สวนช่วยแจ้งกับข้าเสียหน่อย อย่างไรแล้วพวกเขาก็มาเพื่อสังหารข้า ข้าเองก็ควรจะรับรู้อะไรบ้าง”
หนิงหยู่ชุนไม่ได้ตอบอันใดฟู่เสี่ยวกวนอีก “มามามา ดื่มสุราเถิด มิคุยเรื่องราชการแล้ว”
หากไม่พูดคุยเรื่องงานราชการทั้งสามก็มิทราบว่าควรจะพูดคุยอันใด ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด และกล่าวกับฮั่วหวยจิ่นว่า “ช่วงข้ามปีเจ้าก็มิได้กลับรึ ? ”
“คงทำได้แค่ฝัน ช่วงข้ามปีเป็นเวลาที่ทหารรักษาการณ์ยุ่งที่สุด”
ฮั่วหวยจิ่นเห็นสีหน้างุนงงของฟู่เสี่ยวกวน จึงอธิบายเสริมว่า “เพื่อความปลอดภัย ทหารรักษาการณ์นับแสนต้องผลัดกันตระเวนไปทั่วเมือง ภายในเมืองมีทหารรักษาการณ์ 30,000 นาย ทุกวันต้องส่งคนออกไปอย่างน้อย 5,000 นาย แยกกันไปสำรวจตามถนนตามตรอกของจินหลิง 10 กลุ่ม และทหารรักษาการณ์ด้านนอกเมือง 70,000 นาย อย่างน้อยก็ต้องส่งออกไปถึง 10,000 นาย แบ่งสำรวจรอบเมืองไป 2 ทาง และทหารรักษาการณ์ที่ประจำประตูเมืองก็ต้องส่งคนไปเพิ่มถึง 3 เท่า เจ้าลองใคร่ครวญดูเถิด ข้าจะเดินจนทั่วได้เยี่ยงไร”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกแปลกประหลาด และหันมองหนิงหยู่ชุน “เยี่ยงนั้น ศาลาว่าการฝั่งเหนือและใต้ของเจ้ามีไว้เพื่อกระทำการใดกัน ? ”
“กล่าวไปแล้วเจ้าในตอนนี้ก็เป็นเจี้ยนอี้ต้าฟูของเสมียนกลาง เจ้าได้เป็นขุนนางอย่างสบายใจ ศาลาว่าการฝ่ายเหนือและใต้รับผิดชอบเรื่องความปลอดภัยของบ้านเมือง แต่ทหารรักษาการณ์ของหวยจิ่นรับผิดชอบการก่อกบฏ อย่างในค่ำนี้ หากฝ่าบาทแถลงราชโองการมา ก็สามารถกำหนดได้ว่าเป็นกบฏ”
กล่าวจบ สีหน้าของหนิงหยู่ชุนก็แปรเปลี่ยนเป็นดุดัน “หากข้าได้ทราบว่าใครเป็นผู้เผยแพร่ใบประกาศแมลงเม่านี่ ข้าจะให้เขาได้ลิ้มลองโทษที่มีทั้งหมดในคุกนี้สักคราเป็นแน่ ! ”
แม้ฟู่เสี่ยวกวนก็มิกล้าออกเสียง ได้แต่กลืนน้ำลายหนึ่งอึก รู้สึกขนลุกขนพองเล็กน้อย
ตอนที่ 232 มัจฉามังกรว่อนเวียนว่าย (2)
หากจะให้เอ่ยคงยืดยาว แต่การต่อสู้ได้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทุกสิ่งอย่างเกิดขึ้นกะทันหันยิ่ง พวกที่มามุงดูต่างก็ได้สติขึ้นหลังจากที่เห็นเยี่ยนเสี่ยวโหลวถูกทำร้าย จากนั้นก็พากันส่งเสียงตะโกนร้อง เสียงโลหะกระทบกันไปมา มีคนล้มลง เลือดสาดกระเซ็น ฉินเหวินเจ๋อและคนอื่น ๆ ตกใจส่งเสียงกรีดร้องออกมา นอกจากซั่งกวนเหมี่ยวแล้ว คนอื่น ๆ ล้วนตื่นตระหนกอย่างยิ่ง
ซั่งกวนเหมี่ยวคว้าดาบที่เอวออกมา มองดูสภาพร่างไร้วิญญาณที่พื้นอีกทั้งศีรษะคนที่กลิ้งไปมา กระเพาะของเขารู้สึกปวดด้วยความเกร็ง แต่ก็ถูกเขาระงับความปวดนั้นเอาไว้
หัวใจของเขาเต้นโครมคราม มือที่ถือดาบเล่มยาวสั่นคลอน เขาพยายามอย่างยิ่งที่จะทำให้ตนสงบลง แต่กลับพบว่าเมื่อเขาเห็นเลือดสีแดงสดที่กระจายอยู่ตรงหน้านี้ ทุกสิ่งอย่างที่ตั้งใจไว้ก็ดูไร้ความหมายยิ่ง
“กินลงไป!” ฟู่เสี่ยวกวนยื่นยาลูกกลอนให้แก่เขาเม็ดหนึ่ง เขามิได้ลังเลแต่กลับกลืนลงไปทันที จากนั้นหันหน้าไปทางสามคนนั้นใช้ผ้าคาดปิดจมูกจากนั้นหยิบดาบขึ้นมาอีกคราแล้วพุ่งเข้าไป
ซูซูวางมือลงบนฉิน แต่มิได้ดีดออกมา เนื่องจากมีคนผู้หนึ่งกำลังบินลงมาจากชั้นบรรยากาศ
ซูซูขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ นางจ้องไปยังคนผู้นั้นแล้วปล่อยสายฉิน
ตายแล้ว!
นี่คือความคิดของซูซู
ศิษย์พี่ใหญ่มิอยู่ที่นี่ นางและศิษย์พี่สามแค่ 2 คนคาดว่าจะสู้กับชายชราผู้นี้มิได้
นางจะหนีไปดีหรือไม่?
ด้วยความสามารถของซูซู หากนางจะหนีคิดว่าคงหนีพ้น แต่ชายชราผู้นี้มีจุดประสงค์คือต้องการชีวิตของฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่
ท่านอาจารย์เคยกล่าวว่าหากรู้ตัวว่ามิอาจสู้กับศัตรูได้ให้รีบหนี บรรดาพวกกล้าหาญไม่รู้เป็นรู้ตายมักอายุสั้น มองจากภายนอกอาจแข็งแกร่งความจริงแล้วไม่ต่างจากคนโง่!
เช่นนั้น…จะหนีดีหรือไม่?
หากตนหนีไป ฟู่เสี่ยวกวนคงมิใช่คู่ต่อสู้ของชายชราผู้นั้น
นางกินปิงถังหูลู่ของเขาไปตั้งมากมาย ขนมที่ร้านอู่เว่ยจายที่สัญญาไว้ เขายังมิได้ซื้อให้นางเลย หากหนีไปตอนนี้เกรงว่าจะมิสมเหตุสมผล และยังขาดทุนอีกด้วย
ยังมิไปก็ได้ อยู่ต่อสู้เสียหน่อยแล้วกัน !
เมื่อคิดได้ดังนั้นก็คลายความกังวลลง พลังภายในถูกจุดออกมา มือของนางขาวขึ้นเรื่อย ๆ ขาวสว่างกว่าแสงจันทร์เสียอีก
สีหน้าของนางเหมือนขาดเลือด ขาวซีดเผือดคล้ายกระดาษ
นางมีโอกาสโจมตีแค่ครั้งเดียวเท่านั้น!
ชายชรามองมายังซูซู มือของนางโบกเบา ๆ แสงจันทร์รอบข้างส่องมายังซูซู มือของนางที่ขาวซีดเริ่มจางลง สีหน้ากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง นางดีดสายฉินออกไป คล้ายกับดาบไร้เงาที่พวยพุ่งออกไป มีเพียงไม่กี่เสียง คล้ายกับเสียงของสายน้ำธรรมชาติที่กำลังไหล
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องไปยังชายชราผู้นั้น เขาเป็นขันที!
“ข้าน้อยแซ่เวย อาศัย ณ เขาจื่อจิน”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง เขาได้เผลอกำมือของตนไว้แน่น
“ไทเฮาทรงมีรับสั่งต้องการชมกวีที่ท่านแต่งในเทศกาลโคมไฟนี้ จึงได้ส่งข้าน้อยมา มิทราบว่าคุณชายประพันธ์เสร็จแล้วหรือไม่ ? ”
ทั้งสามทำท่าจะลุกจากไป ขันทีเว่ยสะบัดมือ ฟู่เสี่ยวกวนเห็นเข็มเล่มเล็ก ๆ ลอยออกไป 3 เล่ม จากนั้นทั้งสามก็ล้มลงกับพื้นพร้อมกับร้องโหยหวนออกมา
“ยังมิเสร็จ”
“เช่นนั้นก็จงประพันธ์ต่อ ไทเฮาทรงรออยู่”
ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังมามองดูซูซู แล้วเอ่ยว่า “จงกุมตัวพวกเขาเอาไว้ก่อน ทำลายวรยุทธ์ของพวกเขาเสีย ประเดี๋ยวข้าจะมาไต่สวนด้วยตนเอง”
ซูซูเบ้ปากไม่สนใจ ซั่งกวนเหมี่ยวจึงก้าวออกไปอย่างกล้าหาญ
ฟู่เสี่ยวกวนทำไม้ทำมือไปทางขันทีเว่ย “ข้าจะไปเขียนต่อบัดนี้ ! ”
“เมื่อสักครู่เพิ่งจะทำการต่อสู้ มีผลต่อจิตใจของคุณชายหรือไม่? อย่าได้เขียนแบบส่งเดช”
“มิต้องกังวล”
ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ เดินมายังห้องอักษรนอกหลานถิงจี๋ ซั่งกวนเหมี่ยวเดินออกมาพอดี เดิมทีเขารู้สึกเสียดายคาดว่างานกวีเทศกาลโคมไฟนี้คงจบแล้ว แต่คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะลงมือเขียนกวี
เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะฝนหมึกให้ท่านเอง คุณชายพักผ่อนสักประเดี๋ยวก่อนเถิด”
ขันทีเว่ยที่อยู่ด้านหลัง ใช้สายตาคู่นั้นจ้องมายังฟู่เสี่ยวกวน สีหน้าสงบราวกับน้ำนิ่ง หาได้มีผู้ใดรู้ว่าเขาคิดสิ่งใดอยู่
เขาหันมามองซูซูที่เดินตรงเข้ามาแล้วเอ่ยทักทายว่า “ท่านอาจารย์ของเจ้าสบายดีหรือไม่?”
“สบายดี ท่านรู้จักเขาด้วยรึ?”
“เมื่อสามสิบปีก่อนเคยพบกันครั้งหนึ่ง”
จากนั้น…
ทั้งสองคนจบการสนทนาเพียงเท่านี้
ฟู่เสี่ยวกวนจับพู่กัน เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์แล้วก้มหน้าลงมือเขียน
“ชิงหยู่หว่าน ค่ำคืนแห่งหยวนเซียว”
ชางกวนเหวินซิ่วตกตะลึงเล็กน้อย เขานึกย้อนไปที่ไท่เหอปีที่ยี่สิบ ท่านเหวินสิงโจวแห่งราชวงศ์อู่เคยได้ประพันธ์บทกวี ชิงหยู่หว่าน เทศกาลโคมไฟ ไว้ ณ หลานถิงจี๋นี้ กวีบทนั้นจารึกไว้ ณ หินเชียนเปยสือกวีเทศกาลโคมไฟในบรรทัดที่หนึ่ง ค่ำคืนนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็จะเขียนกวีชิงหยู่หว่านเพื่อประลองงั้นรึ?
เขาเองกังวลใจไม่น้อย เนื่องจากหลายปีมานี้ ผู้คนในราชวงศ์หยูมิมีผู้ใดไม่รู้จักกวีบทนั้น!
ฟู่เสี่ยวกวนจะทำได้หรือไม่?
ในขณะเดียวกัน ต่งชูหลานและฉินปิ่งจงและคนอื่น ๆ ก็พากันเดินเข้ามา เมื่อเห็นฉากตรงหน้า พวกเขาก็พากันเข้ามารุมล้อมเพื่อรอชมกวีที่ฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์
“ชิงหยู่หว่าน ค่ำคืนแห่งหยวนเซียว !”
เขาจะประลองกับเหวินสิงโจว!
ขันทีเว่ยก็รู้สึกประหลาดใจยิ่ง เขารู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนมีชื่อเสียง ตนเคยได้อ่านหนังสือความฝันในหอแดงเล่มนั้น และรู้จักกวีทำนองเพลงสายน้ำ ชายหนุ่มผู้มากความสามารถของราชวงศ์หยูคนนี้ จะสามารถสู้กับเหวินสิงโจวได้หรือไม่?
จากนั้นเขาถึงกับขมวดคิ้วหน้ามุ่ย ตัวอักษรนี้…หากเปรียบเทียบกับเหวินสิงโจวแล้ว ราวหิ่งห้อยกับดวงจันทร์ !
เขาผิดหวังยิ่ง ในใจเขาคิดว่าชื่อเสียงที่โด่งดังไปทั่วนั้นคงจะเอ่ยกันเกินจริง
ฟู่เสี่ยวกวนหยุดลงชั่วครู่ จากนั้นลงมือเขียนต่อไปโดยมิได้หยุดคิดอีก!
ลมบูรพาพัดพันโคมบุปผา
โรยร่วงก้านกลีบมาดุจสายฝน
ควบอาชารถม้าหอมพร้อมสุคนธ์
บรรเลงดนตรีกระจ่างกลางจันทร์เพ็ญ”
ชางกวนเหวินซิ่วตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขากำมือแน่น
ฉินปิ่งจงลูบคลำหนวดเคราของเขา ดวงตาเบิกกว้างพร้อมกับอ้าปากค้าง
ต่งชูหลานก็เช่นกัน นางกุมมือขึ้นปิดปาก ดวงตาอันงามงดยิ้มจนคล้ายกับจันทร์ครึ่งเสี้ยว
สายตาของฉินเหวินเจ๋อคล้ายกับถูกตะปูปักไว้บนกระดาษ เขามิอาจละสายตาไปจากที่นั่นได้เลย
ซูซูมิเข้าใจเท่าไรนัก นางเอนศีรษะมอง คล้ายกับให้ความสนใจ
ส่วนขันทีเว่ยต่างไปจากผู้อื่น เขามองไปยังกระดาษใบนั้นอีกครา ในใจก็รู้สึกได้ถึงคลื่นลูกใหญ่
บัดนี้ ช่างเงียบสงบไร้ซึ่งเสียงใด ๆ
ฟู่เสี่ยวกวนทำเหมือนมิมีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาลงมือเขียนต่อ
เมื่อมัจฉามังกรว่อนเวียนว่าย แสงโคมทองส่องฉายลวดลายเห็น
ชุดปักดิ้นทองเหลื่อมเลื่อมลายเป็น ทิ้งกลิ่นหวานซ่านกระเซ็นอยู่ริมทาง
ในหมู่ชนหนใดใฝ่หวนหา พันร้อยครั้งตั้งตาค้นหาร่าง
นวลนารีมิพบหลบอำพราง จนพบนางแล้วโคมฉายคล้ายหม่นมัว”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคำนับต่อหน้าทุกคน
ชางกวนเหวินซิ่วรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาทั้งดีใจทั้งมิอยากเชื่อสายตาของตน เขารับรู้ได้จากก้นบึ้งของหัวใจว่ากวีบทใหม่กำเนิดขึ้นแล้ว!
กวีบทนี้สามารถทำให้กวีของเหวินสิงโจวลดตำแหน่งลงมาได้!
ยอดเยี่ยม งดงามยิ่ง!
ข้าช่างมีบุญเสียจริง ที่ได้พบเห็นกวีชั้นยอดนี้ด้วยตาของตนเอง!
สีหน้าแววตาของฉินปิ่งจงมิได้แตกต่างจากชางกวนเหวินซิ่วเท่าใดนัก เขายิ้มอย่างพอใจพลางลูบไปที่เครายาว เขาคล้ายกับได้ย้อนกลับไปในวัยหนุ่ม
ลมบูรพาพัดพันโคมบุปผา
โรยร่วงก้านกลีบมาดุจสายฝน
ควบอาชารถม้าหอมพร้อมสุคนธ์
บรรเลงดนตรีกระจ่างกลางจันทร์เพ็ญ
เมื่อมัจฉามังกรว่อนเวียนว่าย แสงโคมทองส่องฉายลวดลายเห็น
ชุดปักดิ้นทองเหลื่อมเลื่อมลายเป็น ทิ้งกลิ่นหวานซ่านกระเซ็นอยู่ริมทาง
ในหมู่ชนหนใดใฝ่หวนหา พันร้อยครั้งตั้งตาค้นหาร่าง
นวลนารีมิพบหลบอำพราง จนพบนางแล้วโคมฉายคล้ายหม่นมัว”
“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมเสียจริง! ราชวงศ์หยูเป็นบุญยิ่ง! ข้า ฉินปิ่งจง ก็มีบุญเช่นกันที่ได้อ่านกวีที่งดงามถึงเพียงนี้…แม้นตายไปข้าก็มิเสียดายชีวิตนี้แล้ว!”
ฉินปิ่งจงตะโกนโห่ร้องดังลั่น ทำให้บรรดาลูกศิษย์จำนวนมากเข้ามามุงดู
เยี่ยนเสี่ยวโหลวที่นอนอยู่ชั้นสาม เมื่อได้ยินเสียงก็ทำท่าจะลุกขึ้นไปดู แต่กลับถูกซูโหรวเอ่ยห้ามว่า “อย่าขยับ ! บาดแผลเพิ่งใส่ยาปิดสนิท เจ้าควรนอนพักผ่อนเสียก่อน”
“ข้ามิเป็นไรแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนต้องประพันธ์กวีที่ยอดเยี่ยมออกมาเป็นแน่ ข้าต้องไปดู!”
นางคล้ายกับลืมความเจ็บปวดที่หลังไปชั่วขณะ นางลุกขึ้นมา จากนั้นเดินไปพิงกำแพงเพื่อที่จะตามไปยังต้นเสียง
ซูโหรวถอนหายใจแล้วส่ายหัว ชายหนุ่มผู้นั้นจะทำให้สตรีอีกกี่นางที่จะต้องเจ็บช้ำใจกัน!
ซูโหรวช่วยพยุงนางไป เยี่ยนเสี่ยวโหลวเดินมาถึงด้านนอกหอหลานถิง นางมองดูกวีบทนั้นแล้วไม่ขยับเขยื้อนอันใด
พันร้อยครั้งตั้งตาค้นหาร่าง นวลนารีมิพบหลบอำพราง จนพบนางแล้วโคมฉายคล้ายหม่นมัว!
เขาประพันธ์ให้ผู้ใดกัน?
คาดว่าคงเป็นต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน
พวกนาง…ช่างโชคดีเสียจริง!
ข้า ข้า…เหตุใดข้าจึงได้ช้าไปก้าวหนึ่งเสมอ?
น้ำตาของนางไหลรินลงมาเปียกปอนไปที่กระดาษนั้น ทำให้หมึกจางเป็นวง ขันทีเว่ยรีบคว้ากระดาษมาไว้ในมือ “ข้าขอตัวกลับวังก่อน”
เขาเงยหน้ามองดูฟู่เสี่ยวกวน “เจ้า ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”
เขาหันไปมองซูซูแล้วเอ่ยว่า “ฉินดาบนั้น คือการใช้อารมณ์ความรู้สึกในการบรรเลงให้เป็นดาบ เจ้าหาได้มีความรู้สึกไม่ เยี่ยงนั้นจะสามารถยื่นดาบออกมาได้เยี่ยงไร!”
เขากล่าวจบก็ลอยตัวหายไปท่ามกลางแสงจันทร์
ชางกวนเหวินซิ่วตะลึงยิ่ง เขาตะโกนไล่หลังว่า “เจ้าขันทีชรา คืนกวีของข้ามา!”
ฉินปิ่งจงเดินมายังโต๊ะ จากนั้นหยิบพู่กันขึ้น เขาคัดลอกบทกลอนนั้นลงไป
“ท่านชางกวน กวีนี้ข้าจำได้ขึ้นใจ ต่อให้เขานำไปก็ไร้กังวล”
“ถ้าเช่นนั้นต่อจากนี้…?”
“เชิญพวกท่านไปยังชั้นสองเถิด”
“อืม!”
……
“นางต้องพักผ่อน” ซูโหรวเอ่ยกับฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่ท่าทางอ่อนโรยแล้วรู้สึกสงสาร เขาเดินเข้ามาใกล้เยี่ยนเสี่ยวโหลว จากนั้นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดไปยังน้ำตาบนใบหน้านาง ในใจเขาคิดว่ากางเกงชั้นในของนางตัวนั้นยังอยู่ที่ห้องของเขา เขาจะคืนมันให้กับนางดีหรือไม่?
เยี่ยนเสี่ยวโหลวมิรู้ถึงความคิดของฟู่เสี่ยวกวน นางดีใจยิ่งเนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนเช็ดน้ำตาให้นาง
“เจ้าเด็กโง่…!”
ณ หอหลานถิงชั้นสาม
เยี่ยนเสี่ยวโหลวเอนกายลงอย่างเชื่อฟัง ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ข้างกายของเธอ
แน่นอนว่ายังมีต่งชูหลาน ซูซูและซูโหรวด้วย
บัดนี้ทุกอย่างยังคงเงียบสงบ มีเพียงรอยยิ้มบนใบหน้าของเยี่ยนเสี่ยวโหลวเท่านั้น
เขากล่าวว่าข้าเป็นเด็กโง่ ข้ามิได้โง่สักหน่อย เพียงแต่ตอนนั้นเรื่องราวเกิดขึ้นกะทันหัน ข้าไม่มีเวลาไปคิดไตร่ตรอง
ต่งชูหลานกุมมือเยี่ยนเสี่ยวโหลวไว้ นางตบลงเบา ๆ แต่มิได้เอ่ยอันใดออกมา เมื่อนางรู้ว่าเยี่ยนเสี่ยวโหลวเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยฟู่เสี่ยวกวน สิ่งนี้ก็เพียงพอสำหรับคำตอบใด ๆ แล้ว
ด้านซูซูกำลังนั่งครุ่นคิดถึงคำพูดของขันทีเว่ยที่ว่า “เจ้าหาได้มีความรู้สึกไม่ จะสามารถยื่นดาบออกมาได้เยี่ยงไร!
มิใช่ว่าข้าปล่อยดาบออกไปแล้วรึ?
ท่านอาจารย์ยังมิเคยกล่าวเช่นนี้เลยนี่?
หรือเขาผู้นี้จะเข้าใจเรื่องฉินดาบด้วย?
แต่ซูโหรวเข้าใจในความหมายนั้นดี การที่ท่านอาจารย์ปล่อยซูซูออกมายังโลกแห่งนี้ คาดว่าคงต้องการให้นางออกมาตามหาความรู้สึก เพื่อปลดปล่อยพลังของฉินดาบนั่นด้วยตัวของนางเอง
ฉินเหวินเจ๋อและคนอื่น ๆ อยู่ที่หน้าประตูหอหลานถิง เนื่องจากกวีของฟู่เสี่ยวกวนที่แพร่กระจายไป บรรดาผู้คนที่จะไปเรียกร้องความยุติธรรมเรื่องเฟ่ยอัน ก็ได้มารวมตัวกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ พวกเขาคล้ายกับเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่าวันนี้คือเทศกาลโคมไฟ การที่พวกเขาเดินทางมาที่นี่ก็เพื่อประพันธ์กวี
แต่เมื่อพวกเขาได้ยินกวีชิงหยู่หว่านของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว พวกเขาก็พากันนิ่งเงียบ ไม่มีผู้ใดเดินไปยังโต๊ะเพื่อประพันธ์กวีอีกเลยแม้แต่คนเดียว
จะให้พวกเขาประพันธ์ไปเพื่ออะไรเล่า?
ยังมีผู้ใดเขียนได้ยอดเยี่ยมกว่าเขาอีกงั้นรึ!
“ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเขาคือผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้านี้!”
“ดังนั้นเขาจึงได้กดทับกวีของเหวินสิงโจวลงไป”
“ดังนั้นที่ว่าเมื่อมัจฉามังกรว่อนเวียนว่าย ก็เป็นเฉกเช่นค่ำคืนนี้…!”
ตอนที่ 231 มัจฉามังกรว่อนเวียนว่าย (1)
ถนนเส้นยาวสิบลี้ ได้มีชายหนุ่มยืนอยู่ตรงใจกลางของถนน
หยูเวิ่นเต้าที่แบกกระบี่ยาวไว้ที่หลังยังคงยืนอยู่ตรงกลางถนน สายลมของฤดูใบไม้ผลิยังคงอยู่ เหล่าพรรณไม้มองดูแล้วให้ความรู้สึกสดชื่นยิ่ง
แต่คนบนถนนเส้นยาวนั้นมีไม่มาก หยูเวิ่นเต้าทราบได้ว่าคนเหล่านั้นอาจจะไปจวนผู้ว่าเขตจินหลิงแล้ว
จวนผู้ว่าเขตจินหลิงมีฮั่วหวยจิ่นเป็นผู้นำของทหารรักษาการณ์ เขามิสามารถคาดเดาได้ว่าเกิดเรื่องใหญ่อันใดขึ้น ดังนั้นคำสั่งที่เขาได้รับมาก็คือการตรวจตราทั่วเมือง คนของหอชิงเฟิงทั้งหมดก็ได้เคลื่อนไหวแล้วเช่นกัน !
หงจวงนั่งอยู่บนหลังคาข้าง ๆ เขา กระบี่ยาวพาดอยู่บนขา และมองไปรอบด้านด้วยสายตาระมัดระวัง
หยูเวิ่นเต้าเดินไปทางร้านอู่เว่ยจาย เจียงหยูกำลังปิดร้าน นางอยากจะไปชมความสนุกสนานที่จวนของผู้ว่าเขตจินหลิง
เยี่ยงไรแล้วเรื่องที่เกี่ยวกับความลับของนายพลสูงสุดของกองทัพชายแดนตะวันออก ก็ไม่ทราบว่าผู้ว่าเขตจินหลิงผู้นั้นจะกล้าจับเขาหรือไม่
“ขนมกลีบดอกกุ้ยฮวาครึ่งชั่ง” หยูเวิ่นเต้าเอ่ยกล่าว
“คุณลูกค้ามาได้จังหวะพอดี หากมาช้ากว่านี้อีกเล็กน้อย ก็มิมีเหลือแล้ว”
“…กิจการของแม่นางมิเลวเลย”
“อือ ก็พอได้เจ้าค่ะ พอดีวันนี้ข้าต้องการไปชมความสนุกสนาน”
เจียงหยูนำขนมกลีบดอกกุ้ยฮวาใส่ลงถุงกระดาษอย่างว่องไวและส่งให้กับหยูเวิ่นเต้า หยูเวิ่นเต้าจึงเอ่ยถามขึ้นมา “จะไปชมความสนุกที่ใดกัน ?”
“จะไปดูที่จวนผู้ว่าเขตจินหลิง แล้วจากนั้นค่อยไปหลานถิงจี๋… คาดว่างานกวีของหลานถิงจี๋น่าจะเริ่มขึ้นแล้ว ข้าจะไปดูคุณชายฟู่ประพันธ์กวีเสียหน่อย”
หยูเวิ่นเต้าหัวเราะขึ้นมา “น่าจะมิได้แล้ว ข้าเพิ่งจะข้ามมาจากทางนั้น จวนผู้ว่าเขตจินหลิงได้ถูกทหารรักษาการณ์ปิดเฝ้าระวังไว้แล้ว เรือบนน่านน้ำทะเลสาบเว่ยยาง ก็ได้ถูกสั่งห้ามมิให้เดินเรือแล้ว ดังนั้น เจ้ามิไปเสียจะดีกว่า”
“หะ… ! ” เจียงหยูตกใจอยู่เล็กน้อย “ข้าขอถามคุณชาย เกิดเรื่องอันใดขึ้นงั้นรึ ? ”
หยูเวิ่นเต้าหันหลังจากไป และทิ้งไว้เพียงหนึ่งประโยค “เรื่องวุ่นวายเล็กน้อย”
ทันทีที่หยูเวิ่นเต้ากล่าวจบ ทันใดนั้นหงจวงที่อยู่บนหลังคาก็ได้ยืนขึ้น หลังจากนั้นก็กระโจนออกไป หยูเวิ่นเต้าเงยหน้าขึ้นไปมอง ทางตะวันตกของถนนเส้นยาวก็ได้มีเปลวไฟทะยานขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ
ดวงตาของเขาจ้องเขม็ง ขยับฝีเท้า และหายไปจากประตูหน้าร้านอู่เว่ยจาย
เจียงหยูวิ่งออกมา มองไปตามเปลวไฟ ก็พึมพำขึ้นมาว่า “สวรรค์ มีคนจงใจสร้างความโกลาหล ! ”
หลังจากนั้นนางก็พบเห็นว่ามีคนทะยานขึ้นจากใจกลางเปลวเพลิง มีประกายของดาบแสงของกระบี่ส่องประกายขึ้นมา นางรีบหันกลับไปยังร้านอู่เว่ยจาย ปิดประตูลง และหยุดความคิดที่จะออกไปเสีย
กระบี่ยาวของหงจวงทะยานบิน ฝ่ายตรงข้ามคือชายฉกรรจ์ที่ถือดาบไว้ วิถีดาบดุร้ายและดุดัน เดินบนเส้นทางที่รุนแรง
นักดาบของภูเขาดาบ !
หยูเวิ่นเต้ามิได้ไปสมทบหงจวง เพราะเบื้องหน้าของเขาก็มีคนยืนประจัญหน้าอยู่เช่นกัน เป็นสตรีที่ปิดบังใบหน้า ในมือถือดาบบางไว้อยู่
ทั้งสองสบตากัน ต่อจากนั้นก็เข้าปะทะ คาดมิถึงว่าจะใช้วิถีแห่งกระบี่ของป่ากระบี่
“เจ้าคือใคร ?” หยูเวิ่นเต้าเหวี่ยงกระบี่ของสตรีผู้นั้นออกแล้วเอ่ยถาม
“กฎของป่ากระบี่ ออกมาจากภูเขาแล้วทุกคนต่างเป็นนาย ระวังกระบี่ !”
กระบี่สะบั้นลมใบไม้ผลิ จะเกิดสายพลังไปทั่วสารทิศ ต้นไม้นั้นล้มลง โคมไฟบนนั้นจุดไฟติดกับต้นไม้ ไฟลุกโชนไปตามผืนหินบนถนนเส้นยาว
…..
…..
จันทร์กระจ่างฟ้า ค่ำคืนที่หนาวเหน็บช่างยาวนาน
หลานถิงจี๋ยังคงครึกครื้น แต่ความครึกครื้นนี้ได้ออกห่างจากโคมไฟและบทกวีไปแล้ว บัณฑิตส่วนมากกำลังคุยกันเรื่องราวของเฟ่ยอัน หลังจากนั้นก็พูดคุยกันถึงเรื่องการเมืองของราชวงศ์หยูในปัจจุบัน
แต่ละคนต่างฮึกเหิมและเร่าร้อน แทบอยากจะให้ตนเองได้เป็นอัครมหาเสนาบดีของราชวงศ์เสียเดี๋ยวนี้
เรื่องการพูดถึงทหารจากกระดาษข้อความที่ได้รับเมื่อครู่เป็นสิ่งที่บัณฑิตชื่นชอบ เพราะการพูดนั้นไร้หลักฐาน และมันดูเรียบง่ายมากเกินไป
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจกับคำพูดเหล่านี้ เขาพาคนทั้งกลุ่มมายังริมทะเลสาบเว่ยยาง ทะเลสาบเว่ยยางใต้แสงจันทร์คลื่นทอเป็นประกาย ความมืดที่ห่างไกลราวกับกลืนเป็นแผ่นเดียวกับเส้นขอบฟ้า
เนื่องจากเรือบนน่านน้ำยังไม่ได้ถูกยกเลิกคำสั่ง เขาจึงมิทราบว่าสถานการณ์ของเมืองหลวงในตอนนี้เป็นเยี่ยงไรแล้ว แต่เมื่อนึกถึงการลงมือของคนในราชสำนักเหล่านั้น คาดว่าคงควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว เพียงแต่แปลกใจอย่างมากที่ไม่ทราบว่าท้ายที่สุดแล้วเฟ่ยอันได้ถูกจับกุมหรือไม่
ในตอนนั้นเอง กลุ่มบัณฑิตด้านหลังของเขาก็มีคนเจ็ดคนได้ขยับเข้ามาใกล้เขาอย่างเงียบงัน
ยามนั้นเอง เยี่ยนเสี่ยวโหลวและหญิงสาวหนึ่งกลุ่มก็ปรากฏขึ้นมาใกล้เคียงกับพวกเขา
เยี่ยนเสี่ยวโหลวหันมองฟู่เสี่ยวกวน แล้วรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง นางผละมาจากสตรีกลุ่มนั้น และวิ่งไปทางฟู่เสี่ยวกวน
ในตอนที่คนทั้งเจ็ดกำลังเข้าใกล้ฟู่เสี่ยวกวนทันใดนั้นก็รู้สึกถึงพลังงานบางอย่าง รู้สึกแปลกประหลาดเล็กน้อย พวกเขาต่างก็หยุดลง หลังจากนั้นก็หันสบตากับคนในกลุ่ม ทั้งเจ็ดคนนั้นมิใช่กลุ่มเดียวกัน แต่เป็นคนจากสองกลุ่ม
มี 4 คนหนึ่งกลุ่ม และเป็น 3 คนอีกหนึ่งกลุ่ม
คนทั้งสี่มาจากผู้มีฝีมือระดับสูงทั้งยี่สิบของเมืองหลวง นอกนั้นอีกสามคนกลับเป็นมือสังหารชาวยุทธที่ชือเฉาหยวนเชิญมา
พลังงานเยี่ยงนั้น ย่อมถูกปล่อยมาจากผู้มีวรยุทธ์ระดับสูงเฉกเช่นพวกเขา แน่นอนว่า ซูซูในยามนี้นางก็รับรู้ได้ ดังนั้นนางจึงวางกล่องฉินลง นั่งลงริมลำธาร วางฉินไว้บนขา สองมือวางลงบนฉินไปโดยปริยาย
การเคลื่อนไหวของนางทำให้ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตัวฉับพลัน เขารับรู้ถึงอันตรายที่มาเยือน แต่สำหรับฉินเหวินเจ๋อและบัณฑิตเหล่านั้น พวกเขากลับคิดว่าสาวงามอย่างซูซูต้องการบรรเลงฉินใต้แสงจันทร์
พลังงานจึงหายไปทั้งอย่างนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างมิทราบตัวตนของฝ่ายตรงข้าม ต่างฝ่ายต่างคิดอย่างคาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะพาผู้ติดตามที่ทรงพลังเยี่ยงนี้มาด้วย ค่อนข้างตึงมือ แต่คำสั่งก็ต้องมาก่อน
เยี่ยงนั้นก็จัดการเขาก่อน !
ในยามที่ทั้งสองฝ่ายกำลังจะลงมือ เยี่ยนเสี่ยวโหลวก็บินถลาเข้ามาราวกับนกนางแอ่น และบังเอิญก้าวผ่านใจกลางของคนสองกลุ่มที่แข็งแกร่งนั่น กระบี่ยกขึ้น ดาบสั้นแทงออก คันธนูกำลังน้าวสาย อีกทั้งยังมีก็มีมีดสั้นที่ทอประกายวิบวับใต้แสงจันทร์
“ระวัง !”
ฟู่เสี่ยวกวนและทุกคนต่างร้องลั่น ทั้งสองฝ่ายลงมือฉับพลันภายใต้เสียงตะโกนนี้ ซูซูคิ้วขมวด และดึงเส้นสายของฉินสองเสียง “เจิ้ง…”
เสียงฉินที่ดังขึ้นสองเสียง ทำให้กระบี่ที่ไร้ลักษณ์ถลาไปในชั่วพริบตา “เช้ง เช้ง” เสียงโลหะกระทบกันดังขึ้นสองครั้ง จนดาบและกระบี่ที่กำลังจะโดนร่างเยี่ยนเสี่ยวโหลวได้กระเด็นออกไปด้วยสองเสียงนั้น ในขณะเดียวกัน ด้ายในมือของซูโหรวก็ได้บินออกไป พันเข้าที่เอวของเยี่ยนเสี่ยวโหลวและออกแรงกระชาก เยี่ยนเสี่ยวโหลวบินเข้ามา ร่วงหล่นลงข้างกายฟู่เสี่ยวกวน เหงื่อเย็นอาบไปทั่วทั้งร่าง
หลังจากนั้นในชั่วขณะที่ทุกคนกำลังให้ความสนใจกับการต่อสู้ บัณฑิตที่ยืนอยู่ด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวนกลับจ้องมองแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวนและแสยะยิ้มเล็กน้อย
“ระวัง ! ” ในยามที่รอยยิ้มน้อยๆ นั้นตกกระทบกับดวงตาของเยี่ยนเสี่ยวโหลว นางดึงฟู่เสี่ยวกวนแล้วสะบัดตัวเขาไปด้านหลังของนาง บัณฑิตผู้นั้นมิได้เป็นวรยุทธ์ แต่มีดสั้นในมือของเขากลับแหลมคมยิ่งนัก
บัณฑิตผู้นั้นได้แทงมีดสั้นออกไป เขาคาดว่าคนผู้นี้ต้องเป็นฟู่เสี่ยวกวนอย่างแน่นอน !
มีดสั้นได้แทงเข้าไปในร่าง เขารู้สึกถึงแรงขัดขืน จนกระทั่งเขาได้กลิ่นเลือด หลังจากนั้นเลือดก็ได้ไหลอาบมีดสั้นจนไหลมาถึงมือของเขา ในตอนที่เขากำลังจะแทงให้ลึกขึ้น ทันใดนั้นกลับรู้สึกเย็นไปทั่วลำคอ ศีรษะของเขาได้หลุดลอยออกจากลำตัว และได้เห็นแสงจันทร์อย่างพอดิบพอดี
“เสี่ยวโหลว…เสี่ยวโหลว !”
ฟู่เสี่ยวกวนตกใจอย่างยิ่ง แต่เยี่ยนเสี่ยวโหลวกลับยกยิ้ม
เขากำลังอุ้มนาง ในอ้อมกอดของเขาอบอุ่นเป็นอย่างมาก นางชื่นชอบยิ่งนัก และรู้สึกอยากให้ช่วงเวลานี้ เป็นนิจนิรันดร์ !
“ให้ข้าตรวจดูก่อนเถิด”
ซูโหรวมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด รับเยี่ยนเสี่ยวโหลวมาและได้บินตรงไปยังหอหลานถิง จากนั้นจึงขึ้นไปบนชั้นสาม
“ข้าคงต้องขอยืมสถานที่แห่งนี้ ข้าต้องช่วยนาง ขอให้นักปราชญ์ทุกท่านหลีกไปด้วย !”
ชางกวนเหวินซิ่วและคนอื่น ๆ ลงไปด้านล่างตึกโดยว่าง่าย “แม่นางสบายใจได้ ข้าและคนอื่น ๆ จะเฝ้าอยู่ที่ประตู จะมิมีผู้ใดสามารถขึ้นมาบนชั้นสามได้ ! ”
“ข้าต้องมีชีวิตรอด !” ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองนักฆ่าทั้งเจ็ดด้วยสายตาดุร้าย หลังจากนั้นก็หันไปมองฉินเหวินเจ๋อ
สีหน้าของเขาช่างน่ากลัว จนฉินเหวินเจ๋ออดที่จะถอยเท้าไปไม่ได้ ชางกวนเหมี่ยวคิ้วขมวด และกล่าวว่า “เรื่องนี้ มิเกี่ยวข้องกับเหวินเจ๋อ”
“เขาคือใคร ?”
“บัณฑิตของสำนักศึกษา และเป็นสมาชิกของสมาคมกวีหลานถิงเช่นกัน มีนามว่าจ้าวต้ง มิมีภูมิหลังอันใด”
ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ไถ่ถามอีก หลังจากจบเรื่องคงต้องให้หอชิงเฟิงซี่หยู่ตรวจสอบเรื่องราวของจ้าวต้งอย่างถี่ถ้วนอีกครา
ต่งชูหลานมิได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด นางครุ่นคิดเงียบ ๆ อยู่ชั่วอึดใจ และกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าจะไปหอหลานถิง”
นางย่อมต้องไปหอหลานถิงเพื่อดูเยี่ยนเสี่ยวโหลว เยี่ยนเสี่ยวโหลวช่วยชีวิตฟู่เสี่ยวกวนไว้ นางคาดไม่ถึงเวลาในช่วงเวลาเพียงพริบตาเยี่ยนเสี่ยวโหลวจะเด็ดเดี่ยวถึงเพียงนั้น มิแม้แต่จะนึกคิดว่าตนเองจะเป็นหรือตาย
แม่นางผู้นี้ มาด้วยน้ำใสใจจริง เฮ้อ…! ต่งชูหลานถอนหายใจเงียบ ๆ
ซูซูมิได้ดีดฉินอีก นางมองคนทั้งเจ็ด
ตอนนี้มีผู้บาดเจ็บสาหัสถึง 3 คน อีก 4 คนที่เหลือต่างจับคู่ไปปะทะกับฝ่ายตรงข้าม มองดูแล้วพอฟัดพอเหวี่ยง ปะทะกันจนท้องฟ้ามืด
ทั้งสี่คนประมือกันไปก็ราวกับรู้สึกถึงความแปลกประหลาดขึ้นมา หลังจากนั้นในตอนที่ดาบและกระบี่ประสานกันก็ได้เอ่ยถามกันและกัน ถึงได้ทราบว่าเป้าหมายของทุกคนต่างก็คือฟู่เสี่ยวกวน
บัดซบ ฟ่านเฉิงเฉิงหดหู่เป็นอย่างมาก ทั้งสองฝ่ายต่างหยุดมือ และรวมกันเข้ามาสังหารฟู่เสี่ยวกวน
“วิถีปกปักษ์ !”
ซูซูกล่าวกับฟู่เสี่ยวกวนหนึ่งประโยค สีหน้าเคร่งเครียด สองมือน้าวสาย หลังจากนั้นก็ปล่อยออก “เจิ้ง…” เสียงฉินดังขึ้น พลังของกระบี่ไร้ลักษณ์ก็ได้ทะยานออกไป
ฟ่านเฉิงเฉิงเข้าไปเป็นผู้แรก ดาบยาวในมือร่ายรำ หมุนจนเกิดแสงและเงา หักล้างพลังของกระบี่ไร้ลักษณ์ หลังจากนั้นก็เขาก็ได้ฟาดดาบในมือลง
ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบว่าแท้จริงแล้ววิถีปกปักษ์นี้มีเพื่ออันใด เขายืนอยู่ด้านหน้าซูซู มองดาบที่ฟาดลงมา ทันใดนั้นก็โยนขวดออกไปหนึ่งใบ
ขวดใบนั้นแตกกลางอากาศ ควันลอยพุ่งออกมา ฟู่เสี่ยวกวนโน้มกายคุกเข่า ในใจคิดถึงยาพิษของศิษย์พี่ใหญ่…ต้องยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น จึงจะใช้ได้ผล
“ระวัง !” ฟ่านเฉิงเฉิงทะยานออกไปพร้อมกับดาบ ข้ามผ่านควันนั้น เส้นทางของดาบยาวยังคงมิเปลี่ยนแปลง
ซูซูน้าวสายฉินออกยาว ในชั่วพริบตาที่ฟ่านเฉิงเฉิงจะข้ามผ่าน นางก็ปล่อยสายออก
“เจิ้ง… !”
เสียงฉินดังอ้อยอิ่ง
“เช้ง เช้ง เช้ง… !”
เกิดประกายไฟขึ้นมาชั่วขณะ กระบี่ไร้ลักษณ์แตกสลาย ดาบอ่อนแรง ฟู่เสี่ยวกวนคุกเข่ากำหมัด และออกหมัดไปอย่างรุนแรง คาดมิถึงว่าจะทรงพลังยิ่ง
“ตายเสีย ! ” ฟ่านเฉิงเฉิงคำรามลั่น เขาลืมไปแล้วว่าตอนนี้ในอากาศได้มีพิษไร้ลักษณ์กระจายอยู่ เขาสูดหายใจเฮือกใหญ่ หลังจากนั้นก็รู้สึกมึนเล็กน้อย ต่อจากนั้นทั่วทั้งร่างก็ไร้แรง แม้แต่ดาบในมือก็ยากที่จะควบคุมเอาไว้ได้
หมัดของฟู่เสี่ยวกวนทะยานมาถึงเสียงดัง “ปึก” หนึ่งหมัดต่อยเข้าที่ลำตัวดาบ ดาบยาวสั่นกระเพื่อม ฟ่านเฉิงเฉิงเปิดช่องว่างให้โจมตี ยังไม่ทันที่เขาจะได้กรีดร้อง หมัดอีกหนึ่งข้างของฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ลอยมาเกือบจะถึงหน้าของเขาแล้ว
“ปึง… !”
“โครม… !”
เขาถูกหมัดนี้ของฟู่เสี่ยวกวนเข้าไปอย่างจัง จนตัวของเขาลอยขึ้นไปสู่อากาศ กระอักเลือดเป็นสายและล้มลงไปกระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง
“เจ้า เจ้า เจ้ามันไร้ยางอาย…ชวงหานเยวี่ยหมิง…” จากนั้นเขาก็สลบล้มลงไป
มือสังหารอีก 3 คนเย็นยะเยือกไปทั้งใจ ชวงหานเยวี่ยหมิงมีผลกับผู้ที่มีวรยุทธ์ระดับสูงเท่านั้น กำลังภายในแข็งแกร่งเท่าใดยาพิษก็ร้ายแรงเท่านั้น หลังจากที่วิชาร้อยพิษสูญสิ้นไป ยาพิษชนิดนี้ก็ไม่ได้ปรากฏขึ้นในยุทธภพอีกเป็นเวลานานกว่าแปดสิบปีแล้ว
หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นผู้รู้วิชาร้อยพิษที่เหลืออยู่กัน ?
ซูซูส่ายหน้า ครุ่นคิดถึงเรื่องในอารามปีนั้น ที่ศิษย์พี่ใหญ่ใช้ของสิ่งนี้จนเกือบจะทำให้ท่านอาจารย์สิ้นชีพ แล้วนับประสาอะไรกับพวกเจ้ากัน ?
ตอนที่ 230 ค่ำคืนลมโชย ลอยดอกไม้โคมไฟ (3)
ที่วัดฟูจื่อนั้นเป็นเพียงซากปรักหักพัง
และท่ามกลางซากปรักหักพังนี้ ได้ถูกทำความสะอาดเรียบร้อย และได้มีโต๊ะตัวหนึ่งวางอยู่ ที่บนโต๊ะเต็มไปด้วยสุราและอาหารมากมาย
ด้านข้างมีเตาผิง 3 ตัว แต่มีคนนั่งเพียงแค่ 2 คน
พวกเขาคือองค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียนและองค์ชายสี่หยูเวิ่นชู
หยูเวิ่นชูจุดไฟไปยังตะเกียงที่วางอยู่บนโต๊ะ เขารินสุราลงไปในภาชนะนั้นแล้วทำการอุ่นสุรา จากนั้นเอ่ยออกมาว่า “น่าเสียดายที่มิมีหิมะ”
“แต่มีดวงจันทร์”
“……ข้าว่าหิมะจักดีกว่า เหมือนตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ในตรอกซานเยว่ เขาดื่มสุราท่ามกลางหิมะ คาดว่าคงจะรู้สึกดียิ่ง”
“น้องสี่ ในค่ำคืนนี้ประตูเมืองทั้งสี่ถูกปิดลง เจ้ากลับสบายอารมณ์ในที่เยี่ยงนี้ได้ ที่นี่ไม่เพียงแต่ห่างไกลผู้คน อีกทั้งลมยังแรง พี่เพียงอยากถามเจ้าว่า เจ้าต้องการให้เมืองหลวงวุ่นวายจริงงั้นหรือ?”
องค์ชายสี่เผยอยิ้ม ดวงตาคู่นั้นหรี่ลงจนเป็นเส้นเดียวกัน เขารินสุราให้แก่องค์ชายใหญ่แล้วจึงตอบกลับไปว่า “เรื่องเช่นนี้ข้ามิได้เป็นคนทำ”
“นอกจากเจ้าแล้ว ข้านึกไม่ออกว่าจะมีผู้ใดอีก”
“เชิญ ๆ ๆ เราพี่น้องมิได้ร่วมดื่มกันเช่นนี้น่าจะ 6 ปีแล้วสินะ ในฐานะน้อง ข้าขอดื่มให้ท่านพี่!”
หยูเวิ่นเทียนยกแก้วสุราขึ้นชนไปยังแก้วของหยูเวิ่นชู ดื่มจนหมดจากนั้นเงยหน้ามองหยูเวิ่นชู
“ข้าคิดว่าท่านพี่เข้าใจอะไรข้าผิดเป็นแน่ แม้เราสองคนจะมีเรื่องบาดหมางกัน แต่ข้าก็มิต้องการให้เมืองหลวงวุ่นวายไปหรอก เนื่องจากยากที่จะจัดการให้สงบได้ อีกทั้ง เงินในคลังหลวงเองก็เหลือน้อยเต็มทน”
หยูเวิ่นเทียนขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย “ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดว่าผู้ใดเป็นผู้กระทำ?”
“นอกจากฟู่เสี่ยวกวนแล้ว ข้าคิดไม่ออกว่าจะมีผู้ใดกล้าทำเช่นนี้!”
หยูเวิ่นเทียนยิ่งขมวดคิ้วเข้ามาเสียจนแทบติดกัน “ฟู่เสี่ยวกวนงั้นหรือ? เพราะเหตุอันใด?”
หยูเวิ่นชูหัวเราะออกมาเสียงดัง “ท่านพี่ ท่านคงไม่รู้จักฟู่เสี่ยวกวนมากพอ คนผู้นี้ทำสิ่งต่าง ๆ ตามอำเภอใจ หาได้มีเหตุผลไม่? หากจะเอ่ยถึงเหตุผลนั่นคือ……”หยูเวิ่นชูเลิกคิ้วขึ้นแล้วรินสุรามาสองจอก “ข้าคิดว่าเขาต้องการทำให้เสด็จพ่อเห็น”
“เขามิกลัวงั้นหรือ?”
“จากที่ข้ารู้จักเขา ในสายตาของเขาไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด มิเช่นนั้นเหตุการณ์ฆ่าฟันที่ถนนสายยาวนั่นเขาจะกล้าทำหรือ? อีกทั้งดื่มสุราท่ามกลางหิมะและชื่นชมการฆาตกรรม เขาจะทำได้งั้นหรือ?”
หยูเวิ่นชูสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “ข้าขอกล่าวกับท่านพี่ตามตรงว่า มีคนของข้าเสียชีวิต 1 คนบาดเจ็บสาหัส 20 คนที่ตรอกซานเยว่ ล้วนเป็นฝีมือของฟู่เสี่ยวกวน”
หยูเวิ่นเทียนนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยถามว่า “ในเมื่อเจ้ามิอยากให้เกิดพายุลูกใหญ่ที่เมืองหลวงนี้ เหตุใดเจ้าจึงต้องแอบโยกย้ายคนของทางการถึง 12 คน?”
หยูเวิ่นชูยิ้มออกมาทันใด “มองดูแล้วท่านพี่ก็มิได้นิ่งดูดายอย่างที่ผู้อื่นเห็น เชิญเถิด พวกเราพี่น้องมาร่วมดื่มต่อ แล้วข้าจะบอกว่าควรทำอย่างไร”
เมื่อดื่มเข้าไปสามจอก เขาเริ่มมึนเมาเล็กน้อย ผมของหยูเวิ่นชูพัดปลิวท่ามกลางลมแรง
“ข้าเพียงแค่ต้องการปิดปากพวกลูกน้องที่ถูกกักขังในคุกทั้งยี่สิบคนเท่านั้น”
หยูเวิ่นเทียนตกตะลึง “เจ้ามิกลัวว่าจะถูกจับได้งั้นหรือ?”
“ในค่ำคืนนี้ลมช่างแรงนัก เหมาะกับการฆ่าฟัน ดื่มสุราสังสรรค์หวนลำลึกถึงเรื่องเก่า จะไปคิดมากทำไมกัน? ท่านพี่ว่าข้าพูดถูกหรือไม่?”
“เจ้ามันบ้าไปแล้ว!”
“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ข้าพบว่ามีใครบางคนช่างบ้าคลั่งกว่าข้ามากนัก”
“ฟู่เสี่ยวกวนงั้นหรือ?”
หยูเวิ่นเทียนหัวเราะเหอะ ๆ แต่มิได้ตอบอันใดออกไป เขากล่าวต่อมาว่า “ท่านพี่ ทหารตะวันตกนั้นเกรงว่าจะเสียแรงเสียเวลาท่านเปล่า ๆ จะไปจริงหรือ?”
“นี่คือความปรารถนาของข้า เหตุใดข้าจะไม่ไปเล่า?”
หยูเวิ่นชูพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “อืม ความปรารถนา!” จากนั้นลุกขึ้นยืน เขาย่างกรายออกไปบริเวณพื้นที่สะอาดจากนั้นเหยียบขยี้รูปสักการะบูชาที่ตกอยู่บนพื้น เงยหน้ามองดูดวงดาวแล้วก้มลงหยิบหินก้อนหนึ่งปาออกไปสุดแรง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ ดวงตามองไปยังเมืองจินหลิงที่ยังคงสว่างไสวแล้วตะโกนว่า “ความปรารถนาบ้าบออะไรกัน!”
ตะโกนเสร็จก็หันหน้ามาจ้องไปที่หยูเวิ่นเทียน “มาเถิด ท่านพี่มาชมดอกไม้ไฟด้วยกัน ท่านคิดว่ามันงดงามเฉกเช่นที่เราเห็นด้วยตาหรือไม่?”
“นี่มันสมัยไหนแล้ว? ท่านเอ่ยกับข้าถึงความปรารถนา! ผู้คิดคดทรยศในวังหลวงมากมาย นางสนมนางกำนัลล้วนกระทำสิ่งชั่วร้าย เสด็จพ่อคิดว่าตนรู้ดีไปหมดทุกเรื่อง คิดว่าตนจะจัดการได้ทุกเรื่องงั้นหรือ? ทุเรศ! น่ารังเกียจ! ขี้หมา! น่าสะอิดสะเอียนกว่าขี้หมาเสียอีก!”
“หยูเวิ่นชู!” องค์ชายใหญ่ลุกขึ้นยืนแล้วนำมือจับไปที่ดาบของตน
“ท่านพี่จะฆ่าข้างั้นหรือ? มาสิ!” หยูเวิ่นชูชี้มาทางหยูเวิ่นเทียน “ข้าขอถามท่านหน่อย รู้หรือไม่ว่าเสด็จแม่ของท่านสวรรคตด้วยเหตุใด? รู้หรือไม่ว่าไท่เหอเพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ปี บัดนี้แม้แต่หนูสักตัวยังมิกล้าย่างเข้ามาในคลังหลวงเนื่องจากแทบไม่มีของกิน! รู้หรือไม่ว่าบัดนี้ราชวงศ์หยูกำลังตกอยู่ในอันตราย? และท่านรู้หรือไม่ว่าหากข้ามิส่งคนไปเจรจากับแคว้นอี๋ อีกฝั่งคงทำสงครามไปนานแล้ว!”
“ความปรารถนาของท่าน……ดีนัก!” หยูเวิ่นชูเอ่ยด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มคล้ายกับเหนื่อยหอบ เขานั่งลงบนรูปปั้นรูปหนึ่ง
“เจ้าชักจะไปกันใหญ่แล้ว!” หยูเวิ่นเทียนเดินออกไปจากนั้นก้มมองหยูเวิ่นชู “การจากไปของเสด็จแม่ หมอหลวงได้ทำการตรวจสอบชัดเจนและบันทึกไว้ เจ้าเมาแล้วอย่าได้หาเรื่องพูดจาไร้สาระ!”
“ส่วนเรื่องคลังหลวงนั้น เนื่องจากหลายปีมานี้ราชวงศ์หยูมิได้ราบรื่นเท่าใดนัก นี่คือผลของธรรมชาติ หาได้เป็นเพราะเสด็จพ่อไม่! อีกอย่างข้าขอกล่าวกับเจ้าตรงนี้ว่า หากไม่มีพระสนมซั่งคอยสนับสนุนราชวงศ์หยู เกรงว่าราชวงศ์หยูคงจะสิ้นแล้ว แม้นางจะมิใช่เสด็จแม่แท้ ๆ ของข้า แต่ข้านั้นก็เคารพนับถือนางยิ่ง เจ้าอย่าได้ใส่ร้ายนางเช่นนี้!”
หยูเวิ่นเทียนชี้หน้าหยูเวิ่นชู “ข้าเห็นแก่ที่เราเป็นพี่น้องกัน เจ้าจงจำไว้ว่าข้าจะทนเพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น หากข้าได้ยินเจ้าเอ่ยวาจาสามหาวอีก ข้าคงมิอาจอดทนที่จะสั่งสอนเจ้าได้!”
“เจ้าไม่ได้มีสิทธิ์เป็นห่วงราชวงศ์แม้แต่น้อย เจ้าอย่าได้สร้างเรื่องเพิ่มเป็นพอ เท่านี้ก็ดียิ่งแล้ว!”
“เจ้า……เจียมตัวให้ดี!”
หยูเวิ่นเทียนหันหลังเดินจากหายไปท่ามกลางวัดฟูจื่อ
หยูเวิ่นชูเองก็มิได้หันหลังกลับไปมอง เขายังคงจ้องไปที่ด้านล่างภูเขาแล้วหัวเราะออกมา ใบหน้าอันหล่อเหลาเผยถึงความเจ้าเล่ห์ แต่ดวงตานั้นมีน้ำตาคลอเบ้า
“ฟู่เสี่ยวกวน เจ้าคงใกล้ตายแล้วสินะ!”
เขาพึมพำออกมา คำพูดของเขาล่องลอยไปกับสายลม
……
……
ณ พระตำหนักฉือกงแห่งวังหลวง
นางสนมมากมายนำหน้าด้วยพระสนมซั่ง บัดนี้คุกเข่าอยู่เต็มพระตำหนัก
ภายในจุดธูปหอมไว้ แต่มิได้เปิดหน้าต่าง อีกทั้งเตาผิงสี่ทิศ ทำให้ภายในพระตำหนักฉือกงอบอ้าว
ม่านก็มิได้ถูกเปิดออก หมอหลวงที่เข้าไปให้การรักษาถูกขับออกมายืนรออยู่ที่ด้านหน้าประตู
ขันทีชราคนหนึ่งเปิดม่านออกแล้วเดินตรงมาทางนางสนมทั้งหลาย เขาคุกเข่าลงข้าง ๆ พระสนมซั่งแล้วเอ่ยด้วยเสียงอันเบาว่า “ไทเฮาทรงมีรับสั่งให้พระสนมซั่งเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมซั่งลุกขึ้นจากนั้นเดินตามขันทีชราผู้นั้นเข้าไป
องค์ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยูได้นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยมีหยูเวิ่นหวินนั่งอยู่ปลายเตียง
พระสนมซั่งตกตะลึงเล็กน้อย นางเดินด้วยความระมัดระวังมายังหัวเตียงแล้วเอ่ยถามว่า “ไทเฮาทรงรู้สึกดีขึ้นหรือยังเพคะ?”
บัดนี้ไทเฮาได้ลืมตาขึ้นอย่างไร้เรี่ยวแรง นางไออยู่สองสามครั้งจากนั้นเอ่ยว่า “มาเถิด มานั่งที่นี่”
องค์ฮ่องเต้ทรงหลบทางให้นางนั่งแทนที่ตน พระสนมซั่งนั่งลงแล้วยื่นมือไปจับมืออันไร้เรี่ยวแรงนั่น
“ไทเฮาเพคะ มีเรื่องอันใดรอให้หายจากอาการประชวรก่อนค่อยรับสั่งก็ได้เพคะ รอให้อุ่นขึ้นกว่านี้อีกหน่อย หม่อมฉันจะพาพระองค์เสด็จไปพักผ่อนที่เรือนหนานซานนะเพคะ ที่นั่นมีต้นท้อที่ไทเฮาทรงปลูกด้วยพระหัตถ์ คาดว่าคงจะออกผลแล้ว หม่อมฉันจะไปเชิญแม่นางซูซูจากสำนักเต๋ามา ได้ยินว่านางมีฝีมือบรรเลงพิณอันยอดเยี่ยม สามารถเรียกบรรดาฝูงนกได้ คงจะเป็นภาพที่งดงามยิ่งนะเพคะ”
ดวงตาของไทเฮากะพริบอยู่สองสามที คล้ายกับกำลังหวนนึกถึงเรือนหนานซานอยู่
เมื่อครั้นนางยังสาว ได้เดินทางไปพร้อมฮ่องเต้องค์ก่อนและปลูกต้นท้อไว้มากมาย จากนั้นมาทุกปีในเดือนที่สาม ที่แห่งนั้นก็ครึกครื้นยิ่ง
ดอกไม้สีชมพูอ่อนอันงามตา ดึงดูดผีเสื้อและนกน้อย พวกมันเต้นรำท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิอย่างงดงาม
แต่ทว่า ฤดูใบไม้ผลินี้คงมาไม่ถึงเสียแล้ว
นางพยายามฝืนยิ้มออกมา กล้ามเนื้อบนใบหน้าเกร็งตึง แต่ท้ายที่สุดก็มิอาจยิ้มได้
“ฟู่เสี่ยวกวน เขาดีนัก จากนี้ไป……เจ้าจงดูแลช่วยเหลือเขาให้ดี”
“เพคะ!” พระสนมซั่งพยักหน้า
“ของขวัญที่ข้าได้รับในงานวันนั้น มีเพียงของขวัญจากฟู่เสี่ยวกวนเท่านั้นที่ทำให้ข้าประทับใจ”
“เรื่องราวแห่งวังหลังนี้มิอาจขาดผู้นำได้ เมื่อข้าจากไป เจ้าจงรับตำแหน่งฮองเฮานี้แล้วดูแลจัดการต่อ ช่วยแบ่งเบาภาระของฝ่าบาท”
“เวิ่นหวิน เด็กคนนี้มีแววตาดี…… ย่าเองก็อยากจะเห็นงานแต่งงานของหลานกับฟู่เสี่ยวกวนยิ่ง……แต่ย่าคงรอไม่ไหวแล้ว”
“ไม่เพคะ! เสด็จย่าจะต้องได้เห็นแน่ ข้ามิยอมให้เสด็จย่าจากไป!” หยูเวิ่นหวินร้องไห้ออกมาเสียงดัง นางสนมที่อยู่ด้านนอกได้ยินเข้าก็สีหน้าซีด
“เด็กน้อยเอ๋ย……ย่าอายุเจ็ดสิบแล้ว มีชีวิตอยู่มามากพอแล้ว สมควรไปรับใช้เสด็จปู่ของเจ้าต่อแล้ว……เรือนหนานซานนั้น……ย่า……มอบให้พวกเจ้า……”
เสียงของไทเฮาเริ่มขาด ๆ หาย ๆ และเบาลงเรื่อย ๆ นางยื่นมืออันสั่นเทาออกไป หยูเวิ่นหวินรีบเอื้อมมือไปจับ “ประคอง……ข้าหน่อย”
พระสนมซั่งและหยูเวิ่นหวินช่วยกันประคองไทเฮาลุกขึ้น
“เปลี่ยนชุดให้ข้า……ชุดนั้น……ปักลายดอกท้อ……สีแดง”
“เสด็จย่าเพคะ ท่านจะ……”
“ข้าอยากออกไปสูดอากาศสักหน่อย ที่นี่อึดอัดเกินไป วันนี้มิใช่เทศกาลโคมไฟหรือ? อ้อ……หลานถิงจี๋……ฟู่เสี่ยวกวน……เขาแต่งกวียอดเยี่ยมอันใดออกมากัน?”
องค์ฮ่องเต้เอ่ยบางคำกับขันทีชรา จากนั้นขันทีจึงรีบวิ่งออกไปทางประตู
“เสด็จแม่โปรดรอสักครู่ ลูกได้ให้คนไปนำกวีบทนั้นของฟู่เสี่ยวกวนมาจากหลานถิงจี๋แล้ว”
“อืม……ข้าจะรอ แน่……”
เยี่ยนเป่ยซีที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านนอกพระตำหนักฉือกงรู้สึกใจหาย เวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้วฝ่าบาทยังมิทรงออกมา พระสนมที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าก็มิได้มีท่าทีเคลื่อนไหว แม้แต่หมอหลวงก็ยังไม่ออกมาเช่นกัน
เกิดเรื่องใหญ่แน่!
เยี่ยนเป่ยซีลุกขึ้นยืนโดยไม่ลังเล เขาเดินออกไปจากพระตำหนักฉือกงแล้วตรงไปยังหอการเมือง
ไทเฮาทรงสวมชุดสีแดงสด มีพระสนมซั่งและหยูเวิ่นหวินประคองนางไว้
“ลุกขึ้นเถิด”
ไทเฮาทรงเห็นพระสนมมากมายนั่งคุกเข่าอยู่หน้าประตู
“ด้านนอกมีลมหนาวเย็นนักเพคะ”
“มิเป็นไร ไปหอชีเฟิ่ง”
หอชีเฟิ่งมีห้าชั้น ณ ชั้นบนสุด ไทเฮาทรงให้หยูเวิ่นหวินเปิดหน้าต่างออก
ลมหนาวโบกโชยพัดผมขาวปลิว นางเพ่งมองไปด้านนอก อืม เมืองจินหลิง ดอกไม้ต้นไม้มากมาย ช่างงดงามเพียงนี้
นางยิ้มออกมาในที่สุด “เวิ่นหวิน……ด้านนอกเรือนหนานซาน……มีนาผืนหนึ่ง……ย่าเป็นคนทำขึ้นมาเอง……จงให้ฟู่เสี่ยวกวน……นำเมล็ดข้าวนั้น……ไปเพาะปลูกให้เต็ม……ย่า……อยากเห็นยิ่งว่าผืนนาหนึ่งหมู่ที่ให้ผลผลิตห้าหกร้อยชั่งนั้น……เป็นอย่างไร……”
เสียงฆ้องดังขึ้น ใจของเยี่ยนเป่ยซีสั่นไหว พู่กันของเขาชะงักลงจนน้ำหมึกหยดหนึ่งหยดลงสู่กระดาษ
ตอนที่ 229 ค่ำคืนลมโชย (2)
ในเวลาเดียวกัน
ทั่วทุกมุมของเมืองหลวงต่างก็ได้รับใบประกาศเยี่ยงนี้ หลานถิงจี๋เองก็มิใช่ข้อยกเว้น
มีบัณฑิตอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก หลังจากที่พวกเขาได้อ่านใบประกาศนั้นจบพวกเขาต่างก็เปลี่ยนแปลงตัวตนในทันที เปลี่ยนแปลงเป็นเยาว์ชนที่โกรธแค้น !
พลังของเยาว์ชนที่โกรธแค้นนั้นรุนแรงเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขามีความรู้ เข้าใจกฎหมาย และมีความชอบธรรมเป็นเลิศ
คาดมิถึงว่าเฟ่ยอันจะกล้าตัดศีรษะราษฎรของราชวงศ์หยูเพื่อสวมรอยเป็นผลงานของทหาร
นี่ไม่เพียงแต่จะฝ่าฝืนกฎหมาย นี่มันเป็นการก่อกบฏด้วยซ้ำ
“ท้องฟ้าแจ่มใส คาดไม่ถึงว่าเจ้าคนชั่วจะใจกล้าถึงเพียงนี้ ข้าและคนอื่นร่ำเรียนเพื่อส่งเสริมความเป็นธรรมชะล้างสิ่งขุ่นมัว กบฏเฟ่ยอันที่กระทำการผิดต้องได้รับการลงโทษ หากทุกท่านยังมีจิตใจที่แกร่งกล้า มิต้องไปกลัวอำนาจของตระกูลเฟ่ย โปรดตามข้ามา ไปยังจวนผู้ว่าเขตจินหลิงเพื่อยื่นคำร้องเพื่อทุกคนกัน”
มวลชนต่างฮึกเหิม เสียงตะโกนเรียกเฟ่ยอันสะเทือนลั่นไปทั่วฟ้า
ฟู่เสี่ยวกวนมองอย่างใจเย็น และหันไปถามฉินเหวินเจ๋อที่อยู่ข้างกาย “คนผู้นั้นคือใครกัน”
“บัณฑิตของจี้เซี่ย เฉินชู่”
“มีภูมิหลังเยี่ยงไรหรือ”
ฉินเหวินเจ๋อครุ่นคิด แล้วส่ายหน้า “เหมือนจะเป็นจวี่เหรินในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่6 ศึกษาที่จี้เซี่ยเป็นเวลา 2 ปี อยู่ในเกณฑ์ที่ไม่เลว”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า และจดจำนามเฉินชู่นี้ไว้
“พวกเราจะไปดูความครึกครื้นนั้นหรือไม่” ชางกวนเหมี่ยวเอ่ยถามด้วยท่าทีกกะเหี้ยนกระหือรือ
“พวกเจ้ามีความคิดเยี่ยงไรกับสถานการณ์ในตอนนี้” ฟู่เสี่ยวกวนไม่ขยับ แต่กลับเอ่ยถามขึ้นมา
“เมื่อได้อ่านสิ่งที่เขียนบนใบประกาศ น่าจะเป็นความจริง เพียงแต่ยังดูมีลับลมคนในอยู่เล็กน้อย” ฉินเหวินเจ๋อตอบกลับไป
“ลองกล่าวมา”
“เจ้าคิดว่า หากฝ่าบาทมิทรงทราบเรื่องที่เฟ่ยอันตัดศีรษะประชาชนเพื่อสวมรอยเป็นผลงานของทหาร เขาสมควรจะได้เป็นนายพลสูงสุดของกองทัพชายแดนตะวันออกใช่หรือไม่ แต่ในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 3 เขากลับชิงลาออกไปยังเขตหนานหลิง… ความหมายของข้าคือ ฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ แต่ด้วยเหตุอันใดสักอย่าง จึงมิได้ประกาศเรื่องนี้ออกไป ในตอนนี้ก็ได้ถูกคนนำออกมาแฉ ทั้งยังป่าวประกาศให้คนทั่วเมืองหลวงทราบ เกรงว่าฝ่าบาทก็คงปวดหัวไม่น้อย”
ฟู่เสี่ยวกวนเหลือบมองฉินเหวินเจ๋อ ชายผู้นี้ไม่เลว ใคร่ครวญได้หมดจด เขาจึงได้ถามขึ้นมาอีกว่า “เนื่องจากตอนนี้เรื่องนี้ได้ถูกเปิดโปงแล้ว พวกเจ้าคิดว่าเฟ่ยอันจะทำเช่นไร และฝ่าบาทจะทรงลงมือเช่นไร ? ”
ตามความเข้าใจของฉินเหวินเจ๋อ ฟู่เสี่ยวกวนกำลังทดสอบเขาอีกครา เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ และตอบว่า “เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ในครานี้ เกรงว่าเฟ่ยอันจะหลบซ่อน ส่วนทางฝ่าบาท ย่อมต้องให้โทสะของราษฎรคลี่คลายก่อน หลังจากนั้นก็จะใช้วาจายืดเวลาออกไป สามัญชนมักจะถูกยุยงได้ง่ายที่สุด แต่ก็หลงลืมเรื่องเหล่านี้ได้ง่ายที่สุดเช่นกัน”
“ขอเพียงผ่านไปไม่กี่วัน พวกเขาก็จะถูกเรื่องในชีวิตประจำวันกำจัดไป และจะหลงลืมเรื่องนี้ไป นอกจากนี้… พวกเขามิมีกำลังมากพอจะมาล้อมรอบจวนผู้ว่าเขตจินหลิงเป็นวัน ๆ เพื่อคนที่ไม่รู้จักเพียงคนเดียว มิมีทางเรียกร้องความเป็นธรรมเพื่อคนแปดร้อยคนที่ไม่รู้จัก ดังนั้นข้าคิดว่าเรื่องนี้ในท้ายที่สุดก็จะสลายหายไปเป็นควัน หรือบางทีคงจะอยู่ในความทรงจำของพวกเขา และคงพูดขึ้นมาเป็นครั้งคราวว่า เฮ้อ.. เฟ่ยอันผู้นั้น เหมือนว่าจะยังไม่ตาย”
ฉินเหวินเจ๋อยกยิ้ม สองมือแบออก “ผลลัพธ์คร่าว ๆ ก็น่าจะเป็นเช่นนี้”
ชางกวนเหมี่ยวถอนหายใจ “ดังนั้นข้าจึงมิฟังคำแนะนำของท่านปู่และเลือกหนทางจอมยุทธ์ ทั้งยังเรียบง่ายกว่าการเป็นทหารเล็กน้อย ความเป็นความตายอยู่กับหนึ่งดาบ มิเหมือนกับเรื่องบนท้องพระโรง… เมื่อทราบแล้วก็จะว้าวุ่นใจ มิทราบก็รำคาญใจไปอีก ความยุติธรรมที่เรียกกัน… ความยุติธรรมที่มาทีหลัง ยังเรียกว่าความยุติธรรมได้อีกหรือ”
ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ตอบเขาไป ปัญหานี้คือปัญหาของระบบ เขาไร้หนทางจะตอบให้..ได้
……
…..
วังเตี๋ยอี๋
พระสนมซั่งคิ้วขมวด ฝ่าบาทมิได้อยู่ที่นี่ในยามนี้ นางเดินไปยังลานกว้าง เงยหน้าขึ้นไปมองดวงจันทร์สว่างบนฟ้า ทันใดนั้นก็มอบสามคำสั่งให้ขันทีเหนียนไปจัดการ “รีบปิดหลานถิงจี๋ เรือทั้งหมดที่อยู่ในทะเลสาบเว่ยหยางห้ามเทียบท่า นอกจากนั้นสั่งไปยังหนิงหยู่ชุน จัดการคดีนี้ และโทสะของมวลชนเสีย หลังจากที่กลับมาเจ้าก็รีบไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท ทูลถวายฝ่าบาทให้โยกย้ายยามรักษาการณ์เข้ามาในเมือง”
“กระหม่อมจะไปจัดการ”
ขันทีเหนียนหันหลังออกไป หยูเวิ่นหวินจึงเอ่ยถามขึ้นมา “เสด็จแม่ ในเมื่อเฟ่ยอันกระทำการร้ายแรงเยี่ยงนี้ ให้พวกเขาทำเรื่องนี้ให้ใหญ่ขึ้นอีกเสียหน่อยมันไม่ดีหรือเพคะ”
พระสนมซั่งหันกลับมา และเอ่ยถาม “เจ้ารู้อย่างนั้นหรือว่าใครเป็นผู้ลงมือ”
“ก็บนนั้นมิใช่เขียนไว้ว่าจากคนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านมิใช่หรือเพคะ”
พระสนมซั่งยกยิ้ม คิดว่าใช้ชีวิตให้เรียบง่ายดั่งเวิ่นหวินคงจะดีเสียกว่า
นางมิได้ตอบ กลัวว่าหยูเวิ่นหวินจะเป็นกังวล
คาดไม่ถึงว่าชายผู้นั้นจะทำเรื่องที่ใหญ่โตถึงเพียงนี้
นี่มันสร้างความโกลาหลได้อย่างแท้จริง
เกรงว่าในยามนี้จะมีผู้คนมากมายที่กำลังรอความตื่นเต้น เกรงว่าในยามนี้จะยังมีคนอีกจำนวนมากใช้โอกาสโหมกระพือกองไฟ
“พระวรกายของไทเฮาเป็นเยี่ยงไรบ้าง”
“มิค่อยดีเพคะ วันนี้สลบไปแล้วสองหน และเสวยเพียงโจ๊กถ้วยเล็กหนึ่งถ้วยเท่านั้น”
“ช่วงนี้ เจ้าไปอยู่ข้างกายไทเฮาให้มากเถอะ จากที่ดูในตอนนี้แล้ว คงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว”
“เพคะ” หยูเวิ่นหวินก้มหน้า ดวงตาแดงระเรื่อ
“ยังต้องมีเรื่องอีกมากมาย”
…..
…..
เยี่ยนเป่ยซีหยิบใบประกาศนั้นขึ้นมาชำเลืองมองเพียงเท่านั้น
“เตรียมรถ”
“หยิบชุดเข้าเฝ้ามา”
“เรียกเยี่ยนซือเต้ากลับมา และให้เข้าวังประเดี๋ยวนี้”
“ไปเชิญราชครูอาวุโสเฟ่ยเข้าวัง”
เมื่อออกคำสั่งไปจนหมดสิ้น เขาก็เปลี่ยนมาใส่ชุดเข้าเฝ้า ขึ้นรถม้า และตรงไปยังวังหลวงในทันที
……
…..
เขตหนานหลิง เรือนเสียนหยุน
ในมือของเฟ่ยอันถือประกาศนั้นเอาไว้ แต่สีหน้ากลับนิ่งเรียบราวกับน้ำ
ราชครูอาวุโสเฟ่ยสองมือไขว้หลังและเดินวนไปมาอยู่ที่สวนด้านหลังเรือน ผ่านไปชั่วครู่ เขาก็หยุดลง หันมองเฟ่ยอัน และกล่าวว่า “เจ้าต้องหนีไปประเดี๋ยวนี้”
เฟ่ยอันวางประกาศในมือลง และส่ายหน้า
“ข้าจักมิไปไหนทั้งนั้น”
“นี่มันมีคนเจตนาก่อเรื่องขึ้นมา ในตอนนี้พ่อก็ยังมิทราบว่าเป็นพระประสงค์ของฝ่าบาทใช่หรือไม่ หากนี่มิใช่พระประสงค์ของฝ่าบาท หากเจ้าไม่หนี จะยื้อเวลาให้กับฝ่าบาทได้เยี่ยงไร”
“ท่านพ่อ ข้าแบกรับเรื่องนี้มา 6 ปี เหนื่อยแล้ว ท่านมิต้องสนใจข้า มันจะเป็นเยี่ยงไรก็ให้เป็นไปเยี่ยงนั้น หากจะสามารถทำให้ฝ่าบาทสมปรารถนา… ลูกจะตายก็มิเป็นไร”
“เหลวไหล”
ราชครูอาวุโสเฟ่ยสบถมาหนึ่งคำ ดวงตาหย่อนคล้อยคู่นั้นวาวโรจน์ “ข้าจะเข้าวังหลวงไปก่อน เจ้าเองก็รีบหนีไปเสีย”
เขาหันหลังจะออกไป แต่เฟ่ยอันกลับมิได้เดินตาม
เขาลุกขึ้นยืนและหยิบดาบยาวที่ขึ้นสนิมบนกำแพงลงมา ลูบไล้อย่างเชื่องช้า สองตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ราวกับนี่มิใช่ดาบที่เย็นยะเยือก แต่เป็นคนรักที่นุ่มนวล
ฟู่เสี่ยวกวน คนอย่างเจ้านี่ใช้ได้เลย
เขาตักน้ำขึ้นมาหนึ่งถังจากในบ่อ หยิบดาบมายังที่รับดาบ และเริ่มขัดดาบยาวนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ
แต่มิรู้ว่าเขานั้นต้องการจะสังหารผู้ใด
……
…..
หลานถิงจี๋กำลังร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
เยาว์ชนนับหมื่นโดยมีเฉินชู่เป็นผู้นำยังมิได้ออกจากหลานถิงจี๋ เพราะคาดไม่ถึงว่าเรือเหล่านั้นจะมิเข้ามาสักลำ
พวกเขาด่าทอ พวกเขาตะโกน พวกเขาเผาผลาญพลังไปมาก หลังจากนั้นก็เหนื่อยล้า และถอยกลับไปยังลานกว้างศาลาหลานถิง
ชางกวนเหวินซิ่ว ฉินปิ่งจงและนักปราชญ์อีก 5 ท่านกำลังยืนอยู่ที่ชั้นสามของศาลาหลานถิง กำลังมองทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่ด้านล่าง ต่างก็กังวลใจกับทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้น
“งานกวีนี้… เกรงว่าจะไปต่อไม่ได้เสียแล้ว”
“ตอนนี้งานกวีมิได้สำคัญแล้ว ที่สำคัญคือหนทางที่ดีสำหรับฝ่าบาท ที่จะควบคุมชายหนุ่มเหล่านั้น หากให้พวกเขาออกไป เกรงว่าเมืองหลวงจะยิ่งวุ่นวายไปกันใหญ่ ! ! ”
“จะหยุดไว้ได้นานเท่าใด อย่างไรในตอนท้ายก็ต้องปล่อยพวกเขาไปไม่ใช่หรือ”
“รอจนถึงยามที่พวกเขาออกไป ก็จะยิ่งไร้อำนาจอีก ไม่สามารถพลิกคลื่นใหญ่อันใดขึ้นมาได้”
ฟู่เสี่ยวกวนมองผู้คนที่กำลังเดินไปมา ในใจก็คาดเดาได้ขึ้นมาบ้าง ถือว่าการตอบสนองของราชสำนักราชวงศ์หยูยังเร็วอยู่มาก คาดไม่ถึงว่าจะหาทางรับมือได้ในระยะเวลาอันสั้น และไม่ทราบว่าเมืองหลวงในตอนนี้จะเป็นเยี่ยงไร
จวนผู้ว่าเขตจินหลิงกำลังถูกฝูงชนรุมล้อม
ในใจของหนิงหยู่ชุนตอนนี้คิดแต่จะด่าทอมารดามัน เวรตะไล ใครมันช่างทำเรื่องเลวร้ายเยี่ยงนี้กัน ข้าจักจับเขาออกมา และโบยมัน 50 ครั้งเสีย
แต่เขาในตอนนี้ยังไร้แรงจะไปนึกถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลัง เขาได้รับคำสั่งลับ ๆ จากพระสนมซั่ง ในตอนนี้เขาต้องสยบโทสะของชาวบ้านที่โง่เขลาเหล่านี้
เขายืนอยู่บนเวทีสูงหน้าประตูจวนผู้ว่า และคำรามเสียงดังลั่น “พวกเจ้าเงียบลงเสียครู่ เงียบเสีย ! ”
แต่ว่าเสียงตะโกนจากลำคอของเขาก็ยังไร้หนทางจะทำให้คนที่โกรธแค้นเหล่านั้นสงบลงได้
ครุ่นคิดไปแล้ว เขาก็หันหลังกลับไปยังด้านหลังลาน หยิบดาบเล่มใหญ่ออกมา
“ข้าบอกให้พวกเจ้าเงียบ”
ด้วยเสียงคำรามของเขา ดาบใหญ่ในมือที่เฉือนเวทีใต้เท้า ประกายดาบสว่างวาบขึ้นมาและฟันไปที่แท่นสูงหนึ่งของเวทีก็หักไป นั่นจึงทำให้คนส่วนใหญ่ตื่นตกใจ เขาใช้ดาบยาวชี้ไปและตะโกนอีกครา “เรื่องร้องทุกข์ของพวกเจ้า ข้าได้ทราบแล้ว ข้าเองก็ได้รับเอาไว้แล้ว พวกเจ้าเชิญแยกย้ายเสีย หลังจากที่ข้าทำการสอบสวนแล้วจักประกาศให้พวกเจ้าทราบอย่างแน่นอน ! ”
“เฟ่ยอันล่ะ”
“เจ้ามีปัญญาจะจับเฟ่ยอันเยี่ยงนั้นหรือ”
“ขุนนางสุนัข เจ้าแค่ต้องการให้ทุกคนสงบลง ! ”
“ไม่ต้องไปเชื่อเขา พวกเราต้องการให้จับกุมเฟ่ยอัน ”
“…..”
หนิงหยู่ชุนเหงื่อแตกพลั่ก เขาขบกรามแน่น “พวกเจ้าจงฟัง.. ข้าจะส่งคนไปจับกุมเฟ่ยอัน”
เขาเรียกจินเชียนฮู่ “พามือปราบ ไปจับกุมเฟ่ยอัน”
จินเชียนฮู่ตกใจ นายท่านจะลงมือจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ
หนิงหยู่ชุนก็ได้เอ่ยกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบาอีกครา “จงจำไว้ รักษาความปลอดภัยของเฟ่ยอันด้วย”
“ข้าน้อยรับคำสั่ง”
จินเชียนฮู่พามือปราบสามร้อยนายขี่ม้าออกไป “ถอยไปเสีย พวกเจ้าล้อมรอบอยู่ที่นี่ ข้าและคนอื่นจะออกไปได้เยี่ยงไร”
มวลชนตระหนักได้จึงเปิดทางให้ มือปราบสามร้อยนายก็จับดาบและเดินทางออกไป
“พวกเจ้าจงฟังข้า” หนิงหยู่ชุนก็ตะโกนอีกว่า “มันมิได้เป็นการดีนักที่พวกเจ้าจะล้อมรอบที่นี่ด้วยจำนวนคนที่มากมาย หากเกิดเรื่องนอกเหนือความคาดหมายจักกลายเป็นเรื่องใหญ่แน่ ข้า หนิงหยู่ชุน ขอรับปากกับพวกเจ้าว่าจะจับกุมเฟ่ยอันมาให้ได้ แต่ขอให้พวกเจ้าแยกย้ายกันไปซะ หากพวกเจ้าไม่เชื่อ ก็ทิ้งตัวแทนจำนวนเล็กน้อยไว้เป็นพยานไว้ ณ ที่นี้ ในตอนนี้ข้าจะให้เวลาพวกเจ้า 1 ก้านธูป หยุดคิดที่จะก่อเรื่องหากไม่แยกย้าย เพราะโทษคือการจับเจ้าคุมขัง”
“จุดธูป”
ก้านธูปหนึ่งก้านถูกจุดขึ้นบนเวที หนิงหยู่ชุนมิได้สวมชุดเข้าเฝ้า แต่กลับสวมชุดเกราะที่เป็นประกาย เขาถือดาบและยืนอยู่บนเวทีสูงด้วยท่าทีองอาจ ดวงตาคู่นั้นสอดส่องไปในกลุ่มคน กลัวว่าจะมีใครในนั้นที่จงใจปลุกปั่นโทสะของคนเหล่านั้นขึ้นมาอีก
ให้ตายเถอะ หากเกิดความโกลาหลในจินหลิง จะต้องเป็นปัญหาใหญ่เป็นแน่
เพียงไม่นาน ก็มีเสียงเกือกม้าดังขึ้นมาจากสองข้างทาง เขาหันไปมอง จิตใจที่คอยเป็นกังวลก็ได้ปล่อยวางในที่สุด
ฮั่วหวยจิ่นยืนอยู่บนหลังม้าโดยที่มือจับหอกเอาไว้
เบื้องหลังของเขาคือทหารรักษาการณ์ เป็นเหมือนพื้นที่สีดำขนาดใหญ่
ฮั่วหวยจิ่นมองขบวนตรงหน้าด้วยความตกใจ มีผู้คนมารวมตัวอยู่ที่นี่เท่าไหร่กัน
เขามิอาจจะคาดเดาได้
เขาหยิบน้ำเต้าสุราที่เอวขึ้นมาดื่ม สายตามิได้มองไปทางฝูงชนตรงนั้น กลับมองต้นไม้และโคมไฟที่อยู่ข้างทาง
อือ งดงามอย่างยิ่ง
ตอนที่ 228 ค่ำคืนลมโชย (1)
งานเทศกาลโคมไฟนี้เป็นอีกหนึ่งเทศกาลสำคัญที่บรรยากาศครึกครื้นยิ่ง
เมืองหลวงถูกประดับตกแต่งไปด้วยโคมไฟหลากสี บนถนนมีเสียงประทัดดังมามิขาดสาย อีกทั้งเสียงการแสดงของชาวบ้านที่นำมาจัดแสดง
เช่น เวทีใหญ่ที่ใช้ร้องงิ้ว
เช่น การละเล่นไม้หึ่ง
และเช่นการแสดงเชิดสิงโต
แน่นอนว่าไม่มีการเชิดมังกร เนื่องจากมังกรเป็นสัญลักษณ์ของฮ่องเต้ ในสมัยนี้หากนำสัญลักษณ์ของฮ่องเต้มากระทำเช่นนี้คาดว่าคงมิดีแน่
หากจะเอ่ยว่าในงานเทศกาลโคมไฟนี้ ที่แห่งใดครึกครื้นที่สุด คงมิใช่หอนางโลม และมิใช่หงซิ่วจาว แต่กลับเป็นหลานถิงจี๋
ในค่ำคืนนี้ ณ หลานถิงจี๋ไม่เพียงแต่มีงานกวี อีกทั้งยังมีงานเทศกาลโคมไฟอีกด้วย
ในใจของชาวเมืองหลวงทุกคนนั้นรู้สึกว่างานกวีนี้สำคัญยิ่ง แต่ทว่าการที่จะทำให้กวีของตนนั้นถูกส่งต่อไปยังชั้นสามของหอหลานถิงเกรงว่าจะยาก แต่เทศกาลโคมไฟนั้นทุก ๆ คนสามารถเข้าร่วมได้ อีกทั้งยังมีของรางวัลอีกด้วย
ฟู่เสี่ยวกวนเดินจากหอซื่อฟางมายังท่าเรือเว่ยยาง และได้พบกับฉินเหวินเจ๋อและเยาวชนคนอื่น ๆ ด้วย
หนึ่งในนั้นฟู่เสี่ยวกวนเคยพบกับเขามาก่อน เขาคือต่งซิวหวยนั่นเอง เป็นบุตรชายของท่านลุงรองของต่งชูหลาน
ฟู่เสี่ยวกวนโบกไม้โบกมือทักทายพวกเขา จากนั้นก็ได้แบ่งกลุ่มเพื่อขึ้นเรือไปยังหลานถิงจี๋
แม้ยังมีเวลาอีกมากโขกว่างานกวีหลานถิงจี๋จะเริ่มขึ้น แต่ผู้คนมากมายได้เดินทางมา ณ หลานถิงจี๋ก่อนแล้ว
เนื่องจากงานโคมไฟได้เริ่มขึ้นแล้ว
โคมไฟรูปแบบต่าง ๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า บนโคมไฟเขียนตัวหนังสือไว้ช่างดูลึกลับยิ่ง
หลาย ๆ คนมองดูสิ่งนี้แล้วครุ่นคิด บางคนก็หัวเราะออกมา
ฟู่เสี่ยวกวนให้ความสนใจกับสิ่งนี้มากเช่นกัน เนื่องจากในชาติที่แล้วเขามิเคยเห็น
ซูซูก็ด้วย แน่นอนว่านางมิได้สนใจตัวอักษรบนโคมไฟ แต่นางหลงใหลในความงดงามที่หลากหลายของโคมไฟเสียมากกว่า
ต่งชูหลานดูตื่นเต้นมิน้อย นางเดินมาหยุดที่หน้าโคมไฟดวงหนึ่ง บนโคมไฟเขียนว่า “เพียงจุดและอักษรจื่อ แม่ทัพตัดรถทิ้ง”
คำใบ้นี้ช่างยากยิ่งนัก นี่คือสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนคิดเมื่อเห็นคำใบ้ จากนั้นเขาเห็นต่งชูหลานขมวดคิ้วครุ่นคิด เนิ่นนานทีเดียว นางจึงได้ยิ้มออกมาแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้แล้วว่าคือตัวอะไร”
บอกตามตรงว่าฟู่เสี่ยวกวนไม่ถนัดเรื่องนี้นัก เขาจึงเอ่ยถามว่า “ตัวอักษรใดกัน ? ”
“ ‘字’ ตัวอักษรจื้อ ที่หมายถึงอักษรนั่นเอง !”
“เจ้าอธิบายให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่ ? ”
“เขียนจุดลงไป จากนั้นตามด้วยตัวอักษรจื่อ ‘子’ คำว่าแม่ทัพ ‘军’ ตัดรถ ’车’ ทิ้งไป ก็รวมกันเป็น字พอดีมิใช่หรือ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ บรรดาผู้คนรอบข้างต่างพากันชื่นชม ต่งชูหลานหยิบโคมไฟนี้ไปยังหอหลานถิง เมื่อนางเดินกลับมาพบว่าในมือมีของรางวัลมาด้วย
ผู้คนรอบข้างจึงเกิดความสนใจกันขึ้นมา พวกเขาพยายามมองหาคำใบ้ที่อาจจะเดาออก และมีหลาย ๆ คนได้รับของรางวัล
ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ร่วมด้วย เขามองไปยังต่งซิวหวย จนทำให้ต่งซิวหวยรู้สึกประหม่า เนื่องจากเขาเป็นสมาชิกของสมาคมกวีหลานถิงด้วย
“ท่านพ่อหมายความว่า…ให้ข้าดูว่าข้าจะสามารถติดตามเจ้าไปยังราชวงศ์อู่เพื่อเข้าร่วมงานเทศกาลฤดูหนาวในครั้งนี้ได้หรือไม่ ดังนั้นท่านพ่อจึงตั้งใจเชิญเจ้าและพี่ชูหลานไปรับประทานอาหารที่จวน…”
ต่งซิวหวยค่อนข้างอ้อมค้อม เขามิรู้จะเอ่ยมันออกมาอย่างไร เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองดูฟู่เสี่ยวกวนก็เอ่ยอีกประโยคที่ว่า “แน่นอนว่าหากเจ้ามีผู้อื่นคัดเลือกไว้แล้ว หรือไม่สะดวก ข้าไม่จำเป็นต้องเดินทางไปก็ได้”
ฟู่เสี่ยวกวนตบบ่าต่งซิวหวยเบา ๆ เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า “คนตั้งหนึ่งร้อยคน จะเลือกคนในครอบครัวไปสักคนมิได้เชียวหรือ”
“เช่นนี้หมายความว่า เจ้าเห็นด้วยกับการให้ข้าเดินทางไปด้วยงั้นรึ ? ” ต่งชิวหวยเอ่ยถามด้วยความดีใจ
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “เจ้าอย่าได้ตะโกนเสียงดังไป เรื่องนี้ข้าจะจำใส่ใจไว้ เมื่อถึงเวลาข้าเพียงเขียนชื่อเจ้าก็เพียงพอแล้วมิใช่รึ”
ต่งซิวหวยจึงได้ถอนหายใจออกมา จากนั้นทำความคารวะฟู่เสี่ยวกวนด้วยใบหน้าอันยิ้มแย้ม
เขาเคยคิดมาก่อนว่าตนและฟู่เสี่ยวกวนนั้นมิได้คุ้นเคยกันเท่าใดนัก อีกทั้งความสามารถของตนก็มิได้โดดเด่น ฟู่เสี่ยวกวนจะเห็นเขาในสายตาได้เยี่ยงไร
แต่ในค่ำคืนนี้เมื่อเขารวบรวมความกล้าเอ่ยออกมา คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะตอบตกลงโดยไม่แม้แต่จะครุ่นคิด
พี่เขยคนนี้ ช่างดีจริง !
“พวกเจ้าคุยสิ่งใดกันอยู่รึ ? ” ฉินเหวินเจ๋อเดินเข้ามา ในมือเขามีตุ๊กตารูปลิง
“กำลังคุยเรื่องคำใบ้พวกนี้นะสิ” ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปทางโคมไฟ “เหวินเจ๋อ เจ้าว่านี่คือคำใด ? ”
เมื่อเหวินเจ๋อได้ยินดังนั้น ก็คิดว่าฟู่เสี่ยวกวนตั้งใจจะทดสอบตนงั้นหรือ ?
เขารีบเก็บสีหน้าท่าทาง แล้วตั้งใจมองไปยังโคมไฟนี้พลางทำท่าครุ่นคิด
น่าสงสารยิ่งนัก ฟู่เสี่ยวกวนเพียงแค่เอ่ยออกไปเท่านั้นเอง คิดไม่ถึงว่าฉินเหวินเจ๋อจะจริงจังถึงเพียงนี้
ฟู่เสี่ยวกวนยักไหล่ จากนั้นมองหาซูซูกับต่งชูหลาน ทั้งสองหายไปเสียแล้ว ข้างกายเขามีเพียงซูโหรว
บัดนี้ซูโหรวมิได้กำลังปักผ้า แต่นางมองดูคำใบ้เหล่านี้อย่างสนใจ ดวงตาเรียวเล็กคู่นั้นคล้ายกับเบิกกว้างกว่าเดิม
ช่างกวนเหมี่ยวเดินมาข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวนแล้วทักทายว่า “คุณชายฟู่ได้รางวัลมากเพียงใดแล้ว ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือแล้วกล่าวว่า “เดามิออกแม้แต่ตัวเดียว”
“เหอะ ๆ ! ”
ช่างกวนเหมี่ยวรู้สึกว่าคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนนี้ไม่ตลกเอาเสียจริง
หากเขายังเดาไม่ออก แล้วผู้ใดเล่าจะเดาออก ?
เขายังคงถ่อมตนเสมอ เขาเลือกที่จะไม่เข้าไปแย่งโคมไฟกับเยาวชนเหล่านี้ นี่คือการให้อย่างแท้จริง เขาช่างเป็นผู้นำไปเสียทุกด้านจริง ๆ !
“การที่เจ้าไม่เข้าร่วมก็เป็นการดี จะได้ให้โอกาสผู้อื่นด้วย อ้อ แต่ประเดี๋ยวงานกวีเจ้าอย่าได้ถ่อมตนไป…” ช่างกวนเหมี่ยวเดินเข้ามากระซิบใกล้หูฟู่เสี่ยวกวนว่า “ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ล่วงหน้า ได้ยินท่านปู่เอ่ยว่าบทความเยาวชนราชวงศ์หยูกล่าวของเจ้านั้นน่าจะได้รับพิจารณาในค่ำคืนนี้ ท่านปู่คิดเห็นว่าผลงานของเจ้านั้นน่าจะผ่าน อีกทั้งได้จารึกบนหินเชียนเปยสือ ส่วนจะอยู่ในบรรทัดใดนั้น ท่านปู่คาดว่าจะได้จารึกในบรรทัดที่หนึ่ง สุดท้ายผลจะเป็นเช่นไร คงต้องรอดูอาจารย์อีก 4 ท่าน”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดใจ เรื่องหินเชียนเปยสือนั้นไม่แปลก แต่ทว่าค่ำคืนนี้คือเทศกาลโคมไฟ เหตุใดจึงนำบทความนั้นมามีส่วนเกี่ยวข้องกัน ?
แต่เขาก็มิได้ซักถามให้มากความ เพียงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “บทความนั้นหากได้เผยแพร่ไปสู่ลูกหลาน จะทำให้มันมีค่ายิ่ง”
ช่างกวนเหมี่ยวในฐานะผู้มีความรู้ทั้งด้านวรรณกรรมและการต่อสู้ก็เห็นด้วยเช่นกัน
บทความนั้นมีพลังยิ่ง หากสามารถสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนราชวงศ์หยูให้ตระหนักในหน้าที่ตนเองได้ พวกเขาจะเป็นแรงขับเคลื่อนของประเทศ ความรุ่งโรจน์ของราชวงศ์หยูจะอยู่มิไกลเกินเอื้อม !
บัดนี้เอง ซูซูก็ได้กระโดดโลดเต้นมายังข้างกายฟู่เสี่ยวกวน ในมือของนางถือถังหูลู่ไว้ในมือ 2 ไม้
ซ้ายคำหนึ่ง ขวาคำหนึ่ง นางดูมีความสุขยิ่ง บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันสดใส รู้สึกว่าสถานที่นี้ทำให้นางพบกับความสุขที่แท้จริงของชีวิต
……
ท้องฟ้ามืดลงเรื่อย ๆ เมืองจินหลิงถูกโคมไฟหลากสีประดับประดาเป็นแสงงดงามจนสว่างคล้ายกับกลางวัน
ณ ศาลจินหลิง หนิงหยู่ชุนนำมือกุมขมับ นี่เป็นเรื่องที่สิบสองแล้วสินะ !
“จงให้ทหารส่งกำลังคนไปให้ทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลานถิงจี๋ หยี่ฮวาถาย ตรอกชิงหลวนและท่าเรือฉินหวาย ที่ใดมีผู้คนมากจงระวังเป็นพิเศษ เมื่อพบผู้ใดกระทำผิดให้รีบกุมตัวทันที ดื่มสุราทะเลาะวิวาทก็กุมตัวทันที นอกจากนี้จงระมัดระวังไฟไหม้ โคมไฟมากมายเพียงนี้ หากเกิดเหตุการณ์มิคาดฝันขึ้นคงจะไม่ดีเป็นแน่… !”
และในเวลาเดียวกัน ท่ามกลางเมืองจินหลิที่ครึกครื้นที่สุดได้ปรากฏขอทานขึ้นกลุ่มหนึ่ง
พวกเขามิได้เป็นที่สังเกตของผู้คน เนื่องจากเดิมทีที่เมืองจินหลิงก็มีขอทานอยู่ไม่น้อย
ขอทานเหล่านี้มิได้แตกต่างจากขอทานคนอื่น ๆ พวกเขานั่งคุดคู้อยู่ในมุมตรงกำแพง สีหน้าเย็นเยือกมองไปยังความสว่างไสวและรื่นเริง แต่ทว่าทันใดนั้นพวกเขาก็ลุกขึ้นยืน บ้างปีนขึ้นไปบนกำแพง บางคนปีนขึ้นต้นไม้
จากนั้น…
มีกระดาษมากมายร่วงลงมาจากท้องฟ้า คล้ายกับใบไม้ร่วงหล่นในฤดูใบไม้ร่วง
กระดาษเหล่านั้นตกลงบนศีรษะของผู้คนมากมาย เมื่อพวกเขาหยิบขึ้นมาดู จากนั้นมองไปพบว่าขอทานเหล่านั้นได้หายตัวไปแล้ว
พวกเขาอ่านมันออกมา จากนั้นพากันส่งเสียงฮือฮาด้วยความไม่น่าเชื่อ แต่สุดท้ายพวกเขาก็แน่ใจว่าสิ่งที่เขียนอยู่บนกระดาษนั้นคือเรื่องจริง !
“นักโทษอันดับหนึ่งของประเทศ เฟ่ยอัน ! ”
หัวข้อง่ายดายชัดเจน แต่ทว่าดึงดูดความสนใจจากผู้คนไม่น้อย
“รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 2 ทหารใต้รบกับทหารราชวงศ์อู่ ณ ภูเขาฉีซาน แพ้ราบคาบ ! ”
นายพลเฟ่ยอัน แม่ทัพทหารใต้ในเวลานั้น บังคับให้รองนายพลหลินผิงเข้าฆ่าฟันชาวบ้านที่ภูเขาฉีซานกว่าแปดร้อยคน ! ตัดศีรษะของพวกเขาจากนั้นนำเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อรับรางวัล !
การกระทำของเฟ่ยอันสื่อให้เห็นว่าเขามิได้เกรงกลัวกฎหมาย เลือดสีแดงสดของชาวบ้านทั้งแปดร้อยคนนั้นแปดเปื้อนไปบนชุดของเขา !
จากนั้น ข้าได้รอดชีวิตจากการฆ่าฟันในครานั้นมาได้โดยมิมีผู้ใดรู้ ข้าเดินทางมายังเมืองหลวงเพื่อป่าวประกาศการกระทำชั่วของนักโทษผู้นี้ !
เลือดของพี่น้องทั้งแปดร้อยคนได้แห้งเหือดไป พวกเขาถูกฝังไว้ที่ใดมิมีใครรู้ แต่ทว่าฟ้ายังมีตา ! ความยุติธรรมมิมีวันจางหาย ! วิญญาณของทั้งแปดร้อยคนนั้นมิเคยจากที่แห่งนั้นไป
พวกเขาเคียดแค้น !
เนื่องจากนักโทษผู้นี้มิเพียงแต่รอดชีวิตได้ ทั้งยังอยู่ดีมีสุขปลูกข้าวทำนาอยู่ที่หนานหลิง !
ข้าขอเอ่ยถามขุนนางแห่งราชวงศ์หยูว่า กฎหมายคือสิ่งใด ?
ข้าอยากขอเอ่ยถามประชากรของราชวงศ์หยูว่า พวกเราควรคืนเลือดเนื้อแก่พวกเขาหรือไม่ !
ข้าอยากถามเฟ่ยอันว่า การกระทำอันโหดเหี้ยมของเจ้าเช่นนี้ เจ้ามิเกรงกลัวฟ้าดินงั้นหรือ !
เพื่อความยุติธรรมและสงบสุขแห่งราชวงศ์หยู เพื่อวิญญาณที่คร่ำครวญทั้งแปดร้อยนั้น เพื่อพี่น้องใต้หล้าจะมิถูกเจ้าคนชั่วนั่นรังแก เพื่อให้ราชวงศ์หยูได้รุ่งเรืองต่อไป ข้าขอเสนอว่า ให้ทุกคนที่ได้รับบทความนี้ จงไปร้องทุกข์ ณ ศาลจินหลิง เพื่อพี่น้องที่ตายไปโดยมิมีความผิดของเราทั้งหลาย ให้นักโทษเฟ่ยอันได้ชดใช้ด้วยศีรษะของเขา สังเวยแก่พี่น้องที่จากไปทั้งหลาย ! ”
“เป็นเช่นนี้ไปได้เยี่ยงไร ? ”
“มิเช่นนั้นนักโทษเฟ่ยอันจะออกจากตำแหน่งนายพลทหารใต้แล้วกลับสู่บ้านเกิดด้วยเหตุใด ? ”
“หนีกลับไปบ้านเกิดแล้วจะมีประโยชน์อันใด ? ”
“ใช่ๆๆ ไปเถอะพวกเรา ไปร้องทุกข์ที่ศาลจินหลิงกัน ! ”
“ประหารเฟ่ยอัน ! ”
“เพื่อความยุติธรรมและสันติสุข ! ”
“……”
ผู้คนมากมายพากันต่อแถวยาวราวหางมังกร เสียงดังสนั่นหวั่นไหวราวกับท้องฟ้าจะถล่ม !
จิงหยูเว่ย จินเชียนฮู่ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น เขาให้ลูกน้องนำกระดาษนี้ส่งไปยังศาลอย่างรวดเร็ว
จากนั้นพยายามเข้าไปยุติการกระทำของของฝูงชนในเขตเมือง แต่ทว่าผู้คนมากมายเหลือเกิน เขามิอาจเข้าถึงได้ เขามิกล้าคว้าดาบออกมาและไม่มีพื้นที่เพียงพอด้วยซ้ำ
เขากระโดดข้ามไปแล้วมองยังผู้คนมากมายนี้ พยายามมองหาผู้ต้องสงสัย และในที่สุดเขาก็มองเห็นขอทานคนหนึ่งกำลังจากไป
เขารีบกระโดดลอยตัวไป ดาบตกลงที่คอของขอทานผู้นั้น
“ยอมรับมาเสีย นี่คือแผนการของผู้ใด ? ”
ขอทานผู้นั้นหันมายิ้มแล้วมองไปยังเชียนจิฮู่ “ดูจากการแต่งกายของท่านแล้ว น่าจะเป็นตัวแทนแห่งความยุติธรรม เหตุใดมิไปจับกุมตัวผู้กระทำผิด กลับมาเสียเวลาจับกุมข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าการเสียสละตนเพื่อความยุติธรรมคือสิ่งใด ?”
เมื่อเขากล่าวจบก็ยื่นมือไปจับมีดที่จ่ออยู่ตรงคอเขา จากนั้นปาดไปที่คอของตน เลือดสด ๆ ทะลักออกมามากมาย
เขายังคงยิ้ม สายตามองไปยังโคมไฟที่คล้ายกับดอกไม้เบ่งบาน ช่างงดงามพาให้ผู้คนหลงใหล
“ความยุติธรรม…มิมีวันสาย !”
เขาล้มลงสู้พื้น แต่ทว่าใบหน้ายังคงยิ้มรื่น !
ตอนที่ 227 เรื่องจุกจิก
“คนที่อยู่ด้านในอารามอารามซุ่ยเยว่นั้นเก่งกาจหรือไม่ ? ”
ณ จวนฟู่ ศาลาเถาหราน
ฟู่เสี่ยวกวนและซูซูนั่งประชันหน้ากันเพื่อถามถึงข้อสงสัยที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจ
“มีผู้ที่เก่งกาจอย่างมากอยู่ 1 คน”
“ในอารามซุ่ยเยว่นั้นมีกี่คนกัน ? ”
“3 คน ! ”
“เจ้าสามารถสู้กับพวกเขาได้หรือไม่ ?”
“ค่อนข้างตึงมือ”
“เวลานั้นหากข้าต้องการที่จะเข้าไป เจ้าจะห้ามข้าหรือไม่ ? ”
สองขาของซูซูแกว่งไปมา แล้วตอบว่า “ไม่”
ดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนเบิกกว้าง “จะส่งข้าไปตายเยี่ยงนั้นรึ ? ”
ซูซูตกใจเล็กน้อย “ก็ไม่เป็นเยี่ยงนั้นเสมอไป ยังมิทันปะทะจะรู้แพ้รู้ชนะได้เยี่ยงไร ? กล่าวไปแล้ว…หากสู้มิได้จริง ๆ ข้าย่อมหนีไปได้อยู่แล้ว”
“…..”
เอาเถอะ เด็กสาวผู้นี้พึ่งพามิได้อย่างแท้จริง ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน และโบกมือ “ราตรีสวัสดิ์ ! ”
“ราตรีสวัสดิ์ ! ”
ข้าได้เอ่ยอะไรผิดไปเยี่ยงนั้นรึ ?
สองคิ้วดั่งใบหลิวของซูซูขมวดมุ่นอยู่เนิ่นนาน หลังจากนั้นก็กระตุกเลิกขึ้น รู้สึกว่าตนเองมิได้พูดอะไรผิดไป นางจึงเดินกลับห้องของตนเองไปอย่างสดชื่น
ฟู่เสี่ยวกวนกลับไปถึงห้องก็มิได้นอนแต่อย่างใด กลับเขียนจดหมายถึงไป๋ยู่เหลียน
เนื้อความในจดหมายกล่าวถึงเรื่องการฝึกของซีซานได้รับการยินยอมจากฮ่องเต้แล้ว สามารถวางใจและฝึกฝนทหารชุดนั้นต่อไปได้อย่างเต็มที่
“ข้าคาดว่าเจ้าคงได้พาทหารกองนั้นฝึกที่ภูเขาเฟิ่งหลินแล้ว จึงอยากจะเอ่ยเตือนอยู่สองเรื่อง
ประการแรก หมอทหารก็สามารถเข้าร่วมการฝึกได้ และทหารทั้งหมดที่มีอยู่ในตอนนี้ อย่างน้อยก็ต้องเตรียมหมอทหารไว้ 20 นาย และต้องเป็นจำพวกที่เข้าใจการรักษาบาดแผลภายนอกเป็นหลัก
ประการที่สอง นอกจากการฝึกฝนทางกายภาพ ศิลปะการยิงปืนก็ต้องมาเป็นอันดับแรก เจ้าต้องเชื่อว่าคนของซีซานเหล่านั้นจะสามารถปรับปรุงการใช้ดินปืนและปืนให้ดีได้ เพราะนั่นคืออาวุธหลักของพวกเขาในภายภาคหน้า
นอกจากนี้เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว อยู่แต่ในป่าในเขาเกรงว่าจะมิเจอกับนางในดวงใจ ข้ากำลังครุ่นคิดว่าควรหาจากที่เมืองหลวงนี้ให้เจ้าสักหนึ่งคนหรือไม่ แต่มิรู้ว่าเจ้าชอบหญิงสาวลักษณะแบบไหน หากเจ้ามีเวลาว่างก็บอกข้าสักหน่อยแล้วกัน
นอกจากนี้ยามอยู่ในเมืองหลวงข้านั้นมีอิสระยิ่ง ฮ่องเต้ทรงเลื่อนขั้นให้ข้าอีกแล้ว และข้ากับต่งชูหลานรวมถึงหยูเวิ่นหวินก็ใกล้จะหมั้นหมายกันแล้ว ที่บอกเล่าเรื่องเหล่านี้ให้เจ้าฟังก็เพราะข้ารู้สึกว่าข้ายอดเยี่ยมอย่างมาก แต่เหมือนว่าเจ้าพวกสำนักเต๋าที่อยู่ที่นี่จะมองกันไม่ออก ข้าจึงรู้สึกไม่ดีที่จะพูดกับพวกเขาตรง ๆ จึงเป็นเรื่องที่กลัดกลุ้มยิ่งนักที่มิมีผู้ใดที่จะสามารถแบ่งปันเรื่องที่น่าหดหู่ในใจนี้ได้ ดังนั้นจึงมากล่าวให้เจ้าฟัง ให้เจ้าได้กลัดกลุ้มเสียหน่อย เยี่ยงนั้นข้าคงรู้สึกดีขึ้น
เอาล่ะ พรุ่งนี้ก็เทศกาลโคมไฟแล้ว ข้าคงจะต้องประพันธ์บทกวีขึ้นมาเพื่อเขย่าขวัญพวกเขาหน่อยแล้ว ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนวางพู่กันลงและครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน เขารู้สึกว่าควรจะเขียนจดหมายถึงฉินเฉิงเย่สักหนึ่งฉบับ ถามเขาเกี่ยวกับเรื่องการพัฒนาของดินปืนและปืนไฟ อีกทั้งได้กล่าวถึงข้อขัดแย้งและข้อเสนอแนะของตนอีกมากมายที่มีต่อปืนคาบศิลาอีกครั้ง ท้ายที่สุดก็กล่าวว่าหากปืนใหญ่ทำเสร็จแล้ว ก็ส่งมาให้เขาอย่างเงียบ ๆ เขาอยากจะทดลองอานุภาพของปืนใหญ่ด้วยตนเอง
ใช้ยิงถล่มจวนฮุ่ยชินอ๋อง เรื่องนี้น่าสนใจยิ่ง เพียงแต่ยามฤดูใบไม้ผลิคนผู้นั้นก็จะจากเมืองหลวงไปแล้ว มิรู้ว่าจะทันการหรือไม่
…..
…..
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนหนึ่งวันที่สิบห้า เทศกาลหยวนเซียวหรือที่เรียกว่าเทศกาลโคมไฟ
ช่วงเช้าฟู่เสี่ยวกวนเก็บตัวเขียนหนังสือ แน่นอนว่าย่อมเป็น ‘หนังสือกั๋วฟู่ลุ่น’ วันนี้เขียนไปจวนจะเสร็จแล้ว แต่แน่นอนว่าเขาจะมิมีทางมอบให้เยี่ยนเป่ยซีแต่โดยเร็ว การทำงานนอกเวลาเช่นนี้เป็นเรื่องที่สบายที่สุดอย่างหาที่เปรียบมิได้
ระยะเวลาในการส่งมอบให้เยี่ยนเป่ยซียังเหลืออีก 3 วัน เขาต้องการใช้วันหยุดสามวันนี้อย่างมีความสุข เพราะคำนวณตามเวลาแล้ว พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่สิบหกเดือนหนึ่ง บิดาของเขาก็จะมาถึงเมืองหลวงแล้ว
ยามใกล้เที่ยง เขาก็ได้เขียนหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นจนแล้วเสร็จ จากนั้นไม่นานต่งชูหลานก็มาถึง
“ท่านแม่เรียกให้เจ้าไปทานข้าวด้วยกัน” ใบหน้าของต่งชูหลาน ตกกระทบกับแสงอาทิตย์เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ที่ส่องสว่าง ฟู่เสี่ยวกวนเกิดความมัวเมาฉับพลัน กำลังจะยื่นมือออกไปเพื่อลูบใบหน้าของนาง ต่งชูหลานกลับกระโดดออกไปอีกทาง สองมือไขว้หลังและมองเขาอย่างขบขัน “เจ้าอย่าได้คิด ! ”
“แค่กแค่ก…” ยังไม่ทันสำเร็จ ฟู่เสี่ยวกวนจึงรู้สึกเสียใจเล็กน้อย และกล่าวยิ้ม ๆ “ยังคงเป็นท่านแม่ยายที่เอ็นดูข้า เยี่ยงนั้น ออกเดินทางกันตอนนี้เลยดีหรือไม่ ? ”
“อื้อ ! ”
ทั้งสองขึ้นรถม้า ทันทีที่ประตูถูกปิดลง ฟู่เสี่ยวกวนก็อุ้มต่งชูหลานขึ้นมาวางไว้บนตัก
“เจ้า…อย่า… !”
ต่งชูหลานราวกับแมวที่ขดตัวด้วยอารามตกใจ ใบหน้าของนางแดงขึ้นมาทันพลัน
“หึหึ เจ้ายังคิดว่าจะหนีเงื้อมมือของข้าคนนี้พ้นอีกรึ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนสามารถทำตัวรุ่มร่ามกับต่งชูหลานได้ในที่ลับตาคนเท่านั้น ดังเช่นตอนนี้ที่พวกเขากำลังนั่งอยู่ในรถม้า
บนถนนเต็มไปด้วยการจราจร เสียงผู้คนดังเซ็งแซ่ อย่างไรแล้วก็เป็นช่วงเทศกาลใหญ่ เมื่อรวมแสงแดดที่กำลังดีในวันนี้ จึงมีคนสัญจรไปมาอย่างหนาตา แต่มิมีใครรู้ว่าในรถม้าคันหนึ่งกำลังเกิดเรื่องราวที่สวยงามขึ้น
ดวงตาของต่งชูหลานเริ่มพร่ามัว นางรู้สึกกระหาย รู้สึกร้อนรุ่ม รู้สึก…ก้นบึ้งภายในใจมีปีศาจตัวน้อยโผล่ขึ้นมา
นางกัดริมฝีปากเบา ๆ ราวกับยากที่จะควบคุม นางอยากจะจับมือของฟู่เสี่ยวกวนออกไป แต่ก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรง
นั่นมิใช่เพราะไม่มีแรง แต่เป็นเพราะนางรู้สึกชอบอย่างแท้จริง
นี่…ก็คือ…เหตุผล…ที่สวรรค์…ต้องสร้าง…ชายและหญิง
ราวกับโลกภายนอกได้ขาดหายไป ราวกับนางอยู่ในแดนแห่งสรวงสวรรค์ เหลือเพียงก้าวสุดท้ายก็จะได้แตะมัน
ฟู่เสี่ยวกวนหยุดมือ ผ่านไปหลายอึดใจ ต่งชูหลานจึงได้กลับมายังโลกมนุษย์ เสียงรบกวนจากด้านนอกดังเข้ามา นางถึงได้สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และขยับลงมานั่งข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน
“คนนิสัยไม่ดี !” ดวงตาฉ่ำน้ำของนางเหลือบจ้องฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง กลืนน้ำลายหนึ่งอึก เลียริมฝีปากที่แดงสด ถอนหายใจออกมายาว ๆ ไม่กล้าที่จะหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนอีก และกลับมาจัดการเสื้อผ้าของตนเองให้เรียบร้อย
“ชูหลาน”
“อือ”
“ข้ารักเจ้า ! ”
“…..”
มือของต่งชูหลานชะงักฉับพลัน เด็กสาวอายุใกล้จะสิบหกปีไหนเลยจะเคยได้ยินคำพูดที่โจ่งแจ้งเยี่ยงนี้ !
แม้จะเป็นเพียงประโยคที่มีเพียงสามคำ แต่ราวกับเป็นค้อนหนักที่ทุบหน้าอกของนาง จนบัดนี้ใจของนางดิ้นพล่านจนไม่สามารถจะควบคุมได้
ใจของนางเต้นแรงระรัว ผ่านไปเนิ่นนานจึงได้เม้มริมฝีปาก พยักหน้าเล็กน้อยจนแทบจะไม่สามารถสังเกตเห็นได้
คนผู้นี้เป็นคนช่างยั่วแหย่ นางคงจะถูกเขารังแกเยี่ยงนี้ไปทั้งชีวิต !
…..
…..
การทานข้าวมื้อนี้ของจวนต่งอิ่มหนำสำราญเป็นอย่างมาก
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังประจบสอพลอแม่ยายและทานกันอย่างเอร็ดอร่อย ในใจของต่งซิวเต๋อรู้สึกแปลก ๆ ขึ้นมา
เขายังมิทันได้ถามว่าแท้จริงแล้วตนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่แท้จริงหรือไม่ ต่งคังผิงกลับกล่าวขึ้นมาก่อน
“เรื่องของซิวจิ่นและฉินชูหยา รีบหาเวลาจัดการเสีย แม่นางชูหยารอซิวจิ่นจนเสียเวลาไปไม่น้อยแล้ว หากมิรีบไปสู่ขอ ข้ากังวลว่าฉินฮุ่ยจือจะคัดค้านเอาได้”
ฟู่เสี่ยวกวนถึงได้ทราบว่าพี่เขยใหญ่ของตนยังมิได้แต่งงาน และคาดไม่ถึงว่าคู่หมั้นหมายของเขาจะเป็นถึงบุตรีของฉินฮุ่ยจือฝ่ายการเมืองของราชสำนัก และเป็นน้องสาวของฉินโม่เหวิน
พี่เขยใหญ่ผู้นี้มิเลวเลย !
ในเวลานั้นเขาเป็นเพียงขุนนางตัวเล็ก ๆ ในกั๋วจื่อเจี้ยน คาดมิถึงว่าจะคบหากับบุตรสาวของฉินฮุ่ยจือ แต่ได้ยินชายชรากล่าวว่าบุตรีนามฉินชูหยายังคงรอเขา
แน่นอน ว่าเขามิมีสิทธิ์ในการกล่าวถึงเรื่องนี้
ฮูหยินต่งกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว เจ้าลองดูแล้วกันว่าจะไปสู่ขอเมื่อใด ? ”
“ไปตอนบ่ายเถิด พรุ่งนี้คงวุ่นวายกันอีก เกรงว่าจะมิมีเวลาและล่าช้าออกไป”
นี่เป็นเพียงการพูดคุยระหว่างมื้ออาหารกลางวันเท่านั้น หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานก็ออกมาจากจวนต่ง พวกเขามิได้ไปหลานถิงจี๋ แต่กลับไปยังจวนฟู่
“นี่คือโฉนดที่ดินของตรอกชิงหลวนสองผืนนั่น”
ฟู่เสี่ยวกวนนำโฉนดที่ดินสองผืนที่ได้รับมาจากมือของนายท่านผู้เฒ่าชือออกมาจากห้อง และวางที่เบื้องหน้าของต่งชูหลาน
“ใช้เงินไปเท่าใดกัน ? ” ต่งชูหลานค่อนข้างประหลาดใจ ผืนที่สองแปลงตรงนั้นเป็นที่ที่ดียิ่ง นางคาดมิถึงเลยว่าตระกูลชือจะขายให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน
“มิได้เสียเงิน”
“…จริงหรือ ? ” ดวงตาของต่งชูหลานเบิกกว้าง
“ข้ามิหลอกเจ้าอยู่แล้ว นายท่านผู้เฒ่าชือเป็นคนฉลาด เมื่อเทียบกับชือเฉาหยวน เขามองขาดกว่ามาก”
“เขาเห็นอะไรจากเจ้ากัน ? ตระกูลชือก็มีบุตรสาวเพียงผู้เดียว แต่คนผู้นั้นก็แต่งออกไปนานแล้ว เขาคิดอะไรกับเจ้ากัน ? ” ต่งชูหลานรู้สึกไม่เข้าใจอย่างยิ่ง
“นายท่านผู้เฒ่าชือเป็นคนที่ทำธุรกิจอย่างแท้จริง เขายอมลงทุนที่ดินสองผืนนี้กับข้า ลงเดิมพันกับอนาคตของข้า”
ต่งชูหลานครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน และเข้าใจความหมายประโยคนั้นของฟู่เสี่ยวกวนโดยคร่าว ๆ แล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนเป็นขุนนางกูเฉินในมือของฮ่องเต้ ฮ่องเต้ตัดสินใจที่จะแก้ไขการปกครองส่วนท้องถิ่นทั้งหมด อำนาจของตระกูลชือย่อมถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้อง นายท่านผู้เฒ่าชือใช้ที่ดินสองผืนนี้ซื้อฟู่เสี่ยวกวน สิ่งที่ต้องการคือหากในยามที่ดาบของฮ่องเต้จะบั่นหัวของตระกูลชือ ฟู่เสี่ยวกวนสามารถทำให้ดาบใบนั้นแฉลบไปเล็กน้อย นั่นก็เพียงพอแล้ว
“จะเกิดปัญหาขึ้นหรือไม่ ? ”
“มิมีทางอย่างแน่นอน” ส่วนเหตุผลว่าทำไม ฟู่เสี่ยวกวนมิได้อธิบายออกไป
“เจ้าวางแผนใช้ที่ดินสองแปลงนั้นเยี่ยงไร ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนนำรูปภาพหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อและส่งให้กับต่งชูหลาน “ทำตามภาพนี้ นามของมันคือ…ศูนย์การค้าหยู๋ฝู ข้าคาดว่าคงมิมีเวลามาจัดการเรื่องนี้ ปูนซีเมนต์จากซีซานจะถูกส่งมาที่นี่ เรื่องนี้ข้าคงต้องมอบให้เจ้าจัดการแล้ว เจ้าจงจัดหาช่างจากในเมืองหลวงเตรียมไว้ด้วย”
นี่คืออาคารห้าชั้น ชั้นที่หนึ่งเปิดได้ทั้งสี่ทิศ ทั้งสี่ด้านต่างก็มีบันไดขึ้นไปบนอาคาร ทุกชั้นต่างกว้างขวางและสว่างโล่ง ส่วนตรงกลางนั้นเป็นช่องว่าง ราวกับช่องแสงบนหลังคา
เป็นรูปแบบพิเศษ ต่งชูหลานกลับเข้าใจความหมายของตึกนี้ เหมาะแก่การนำมาใช้ในการค้าขายยิ่ง เพราะสะดวก และมีขนาดที่ใหญ่เป็นอย่างมาก
“เงินชดใช้จากจวนฮุ่ยชินอ๋องเป็นทั้งหมด 200,000 ตำลึง ใช้ปรับปรุงบ้านหลังนี้ไปแล้ว 10,000 ตำลึง ส่วนที่เหลือก็เพียงพอที่จะนำมาปรับแต่งอาคารสองหลังนี้…” ต่งชูหลานมองฟู่เสี่ยวกวน และเอ่ยถาม “อาคารหลังใหญ่สองหลังนี้ ต่อให้นำสินค้าที่ซีซานของเจ้าและชุดชั้นในของที่นี่ไปวางขาย ก็ใช้พื้นที่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เจ้าเตรียมจะขายสิ่งใดเพิ่มอีกรึ ? ”
“พวกเราเลือกเพียงทำเลที่ดีที่สุดก็เพียงพอแล้ว นอกจากนั้นก็ปล่อยให้เหล่าพ่อค้าแม่ค้าเข้ามาเช่า เน้นเป็นสินค้าที่หลากหลาย ทุกชั้นจะมีกำหนดว่าให้ขายสิ่งใด อย่างเช่นชั้นหนึ่งขายเพียงเสื้อผ้า ชั้นที่สองขายเพียงเครื่องประดับสีน้ำ ความหมายก็คือเยี่ยงนี้ เจ้าทำตามก็พอแล้ว”
ต่งชูหลานจึงพินิจพิจารณาอย่างถี่ถ้วนอีกครา ครุ่นคิดว่าตึกบนที่ดินสองผืนนั้นอยู่ในทำเลที่ดี ปล่อยเช่าก็เป็นอีกวิธีที่ดีอย่างมาก ดังนั้นนางจึงนำโฉนดที่ดินสองผืนนั้นและกระดาษรูปภาพแผ่นนั้นมาเก็บไว้อย่างระมัดระวัง ใจยังจดจ่ออยู่ที่สถานที่สองแห่งนั้น คิดว่าต้องนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับเวิ่นหวินเสียหน่อย กลับกัน ช่างของกรมอุตสาหกรรมก็มิได้มีงานอันใด หรือว่าจะให้พวกเขามาสร้างอาคารสองหลังนี้ดี
หลังจากนั้นทั้งสองก็พูดคุยกันเรื่องการค้าอีกเล็กน้อย ส่วนมากเป็นต่งชูหลานที่ถาม ฟู่เสี่ยวกวนตอบ ต่งชูหลานได้รับประโยชน์อย่างมาก รู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวน เหตุใดจึงได้เปลี่ยนแปลงไปเก่งกาจถึงเพียงนี้หลังจากที่ถูกคนของนางใช้ไม้ทุบตีเข้าไป
หรือว่าจะนางจะต้องเอาไม้ไปตีเขาอีกสักครา ?
ต่งชูหลานเอี่ยวตัวมองท้ายทอยของฟู่เสี่ยวกวน ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกขนลุกขนพอง
ยามดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้พาต่งชูหลาน ซูโหรวและซูซูออกมาจากจวนฟู่ และตรงไปยังหอซื่อฟาง
ซูเจวี๋ยไม่ได้ไปด้วยกัน เขาต้องไปอารามซุ่ยเยว่ ความหมายของฟู่เสี่ยวกวนก็คือ เจ้าเพียงแค่ไปเมียงมองดูก็พอ
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืนอย่างสง่าแล้วค่อย ๆ เอ่ยปากว่า
“หนานเซียงจื่อ ค่ำคืนแห่งฤดูหนาว
ราตรีมืดมิดอันเงียบสงบ แม้ยามใกล้ยามเหม่า1 แต่ผ้าห่มนั้นยังคงเย็นเยือกไร้คนคลุม
ไม้หอมในเตาผิงถูกเผาจนหมดมอด ช่างหนาวเหน็บ ค่ำคืนเยี่ยงนี้จะยาวนานไปถึงเมื่อใด
นอกหน้าต่างมีเพียงหิมะขาวคู่กับดวงจันทร์สกาว
ในค่ำคืนอันหนาวเย็นเฉกเช่นนี้ ภาพดอกเหมยเบ่งบานทำให้มิอาจข่มตาได้
ข้านึกถึงดอกเหมยนั้น และดอกเหมยเองก็นึกถึงข้าเช่นกัน
ครั้นตื่นขึ้น น้ำในแจกันหยกกลับกลายเป็นน้ำแข็งไปเสียแล้ว”
เมื่อกวีถูกกล่าวจบ ทุกคนในโถงแห่งนั้นล้วนเงียบสนิทมิมีผู้ใดเอ่ยสิ่งใดออกมาแม้แต่ผู้เดียว
ต่งชูหลานขมวดคิ้วขึ้น ซูซูอ้าปากค้างแม้นางจะมิค่อยเข้าใจ เสวี่ยเฟยเฟยยังคงมองมาที่ฟู่เสี่ยวกวน แต่แววตานั้นไร้ซึ่งความกังวล หลิ่วเยียนเอ๋อร์แลไปที่กระดาษใบนั้น นางมิอาจวางพู่กันลงได้เลย
บรรดาศิษย์แห่งสมาคมหลานถิงเคยได้ยินมาว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นมีความสามารถยิ่ง แต่วันนี้เพิ่งได้พบเห็นกับตาตนเอง ยิ่งทำให้พวกเขาตกตะลึงเข้าไปเสียยกใหญ่
นี่คือผู้ที่เขียนกวีทำนองเพลงสายน้ำ นี่คือผู้เขียนหนังสือความฝันในหอแดง และผู้ที่เขียนหนังสือเยาวชนราชวงศ์หยูกล่าว !
เขาคือผู้นำด้านวรรณกรรม เขาคือเยาวชนที่มีความรู้มากมายอย่างแท้จริง !
บทกวีหนานเซียงจื่อนี้ แสดงให้เห็นถึงความสง่างามของนักกวี ประโยคที่ว่าน้ำในแจกันหยกกลายเป็นน้ำแข็งนั้น ช่างมีความหมายลึกซึ้งและชวนให้ชื่นชมไม่รู้จบ
นี่คือความสามารถอย่างแท้จริง !
ผู้ที่นั่งอยู่ในที่แห่งนี้ล้วนเป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง แต่เมื่อพวกเขาหวนนึกถึงกวีหนานเซียงจื่อบทนี้ พวกเขาต่างยอมคำนับก้มหัวให้กับฟู่เสี่ยวกวน
ฉินเหวินเจ๋อลุกขึ้นมาเป็นคนแรก เขามองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยความเคารพนับถือ ในใจของเขาพลันนึกถึงคำพูดของท่านปู่ เป็นไปตามนั้นจริง ๆ มิมีผิดเพี้ยน !
เขาเริ่มปรบมือขึ้น จากนั้นผู้คนต่างพากันยืนขึ้นและปรบมือด้วยความชื่นชม เสียงปรบมือดังสนั่นไปทั่วแม่น้ำฉินหวายคล้ายเสียงฟ้ากระหน่ำ ดวงจันทราที่ลอยขึ้นสู่ยอดฟ้านั้นก็คล้ายกับกำลังเต้นระบำให้สอดคล้องจังหวะเสียงปรบมือ
ทันใดนั้น ก็มีสตรีนางหนึ่งก้าวออกมา นางกระซิบที่ข้างหูฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นได้ยื่นกระดาษใบหนึ่งแก่เขา
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย จากนั้นยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้ามีความสามารถไม่เพียงพอให้ทุกท่านชื่นชมถึงเพียงนี้ ขออภัยด้วย ทุกท่านขอรับ ข้ามีเรื่องสำคัญจะต้องไปจัดการ แม้อาจจะทำให้พวกท่านรู้สึกหมดสนุก ไว้คราหน้าข้าขอเลี้ยงตอบแทนและขออภัยทุกท่านสำหรับเรื่องในวันนี้ ข้าต้องขอตัวก่อน หวังว่าพวกท่านจะเข้าใจ ! ”
เมื่อกล่าวจบ ผู้คนล้วนพากันสงสัย แต่มิมีใครคิดว่าเขาทำไม่ถูกต้อง นึกไปแล้วเขาอายุยังน้อยแต่กลับได้รับตำแหน่งเสมียนกลางเจี้ยนอี้ต้าฟูอีกทั้งไท่จงต้าฟู สองร้อยกว่าปีนี้ในราชวงศ์หยูหาได้มีผู้ใดที่อายุยังไม่เต็มสิบเจ็ดปีแต่มีความสำเร็จเยี่ยงนี้ได้ !
การที่เขามีธุระมากมายต้องจัดการจึงเป็นเรื่องธรรมดา เนื่องจากเสมียนกลางเป็นสถานที่สำคัญยิ่งในราชวัง เนื่องจากต้องจัดการทุกเรื่องในประเทศ
ฉินเหวินเจ๋อทำการคารวะ “น้องฟู่คือแบบอย่างของผู้ร่ำเรียนวรรณกรรมเช่นพวกเรา เป็นผู้ซึ่งส่องสว่างเฉกเช่นดวงอาทิตย์และแข็งแกร่งราวกับอินทรี น้องฟู่คือเยาวชนของราชวงศ์หยูอย่างแท้จริง ! ”
“คุณชายฟู่ ได้โปรดรับการคารวะจากพวกข้าด้วย ! ”
เมื่อสิ้นเสียง ฉินเหวินเจ๋อพวกเขาทั้งหลายต่างโค้งคารวะฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทีจริงใจ
ฟู่เสี่ยวกวนได้แต่ยิ้มอยู่ลึก ๆ ในใจ
นับจากนี้ไป เยาวชนของราชวงศ์หยูคงจะเดินตามรอยของฟู่เสี่ยวกวนกันมากมาย
ฟู่เสี่ยวกวนคาราวะกลับจากนั้นได้เดินออกไป ทุกสายตาจับจ้องเขาไปจนลับตา
“นี่คือผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ! ” ฉินเหวินเจ๋อยกจอกสุราขึ้น จากนั้นหันไปทางพวกเขาทั้งหลายแล้วเอ่ยว่า “บัดนี้ พวกเราจงมาศึกษากวีหนานเซียงจื่อนี้โดยละเอียดกันเถิด”
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนขึ้นเรือเล็กออกจากหงซิ่วจาวไปยังท่าเรือ
“เกิดเรื่องใดขึ้นงั้นรึ ? ” ต่งชูหลานมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนที่มีสีหน้ากังวลแล้วเอ่ยถาม
“ปู้เนี่ยนซือไท่แห่งอารามซุ่ยเยว่ยังมิตาย ! ”
ต่งชูหลานมิได้รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าใดนัก นางมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนแต่มิได้เอ่ยถามอันใดขึ้นมาอีก นางได้แต่ถอนหายใจ เนื่องจากเขามีเรื่องต้องจัดการมากขึ้นเสียทุกวัน
หวนนึกถึงเมื่อครั้งที่ได้เดินทางไปยังหลินเจียง เขามีชีวิตอย่างอิสระ ใบหน้ามักแฝงไปด้วยรอยยิ้มเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เรือนซีซาน เขาได้พูดคุยกับชาวบ้านอย่างไม่ถือตัว อีกทั้งยังลงไปในนาด้วยตนเอง เขานั่งลงพูดคุยกับพวกเกษตรกรถึงซีซานและความใฝ่ฝันในอนาคต
ในตอนนั้นเขาเองก็วุ่นมากเช่นกัน แต่ดูไปช่างมีความสุข มิได้เหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด
บัดนี้เขาได้ตั้งหลักปักฐานที่เมืองหลวง อีกทั้งยังเข้าทำงานในเสมียนกลาง งานเขายุ่งมากกว่าเดิมมากนัก อีกทั้งรอยยิ้มของเขาก็ค่อย ๆ จางหายไป เหลือไว้เพียงแต่อุบายต่าง ๆ ซึ่งทำให้เขาดูเป็นกังวลตลอดเวลา
มิน่าเล่า ก่อนหน้านี้เขาถึงดูกังวลใจยิ่งนัก
ช่างเป็นดังที่ว่ามีเพียงหิมะและดวงจันทร์สกาว น้ำในแจกันหยกกลับกลายเป็นน้ำแข็งไปเสียแล้ว !
“ข้าหวังให้เจ้ามีความสุข”
ฟู่เสี่ยวกวนกุมมือนางไว้ “เจ้ามิต้องเป็นห่วงข้าไปหรอก หาได้มีเรื่องใหญ่อันใดไม่”
ต่งชูหลานเหล่ตามองเขา นางนึกในใจว่าหากมิใช่เรื่องใหญ่ เขาจะออกมาอย่างรีบร้อนเช่นนี้เพื่อเหตุใดกัน ?
ซูซูจ้องมองทั้งสองตาเขม็ง นางเบ้ปากแล้วนึกในใจว่า เชอะ ! ชายหญิงคู่นี้ มิเห็นข้าอยู่ในสายตาบ้างเลยรึเยี่ยงไรกัน ?
ศิษย์พี่รองเคยบอกไว้ว่าหากกุมมือกันอาจทำให้ตั้งครรภ์ได้ !
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังท่าเรือฉินหวาย เขามิได้ใส่ใจแววตาของซูซูแม้แต่น้อย บัดนี้เขานึกเพียงแต่ว่าเฟ่ยอันรู้ได้เยี่ยงไรว่าปู้เนี่ยนซือไท่ยังมิตาย ?
เหตุใดเขาจึงไว้ชีวิตปู้เนี่ยนซือไท่ ?
เขาต้องการทำสิ่งใดกันแน่ ?
เรือน้อยลอยใกล้ฝั่ง พวกเขาขึ้นสู่ท่าเรือแต่มิได้เดินทางไปยังจวนฟู่ แต่กลับไปยังอารามซุ่ยเยว่
เขาต้องการไปดูให้ชัดเจน
แม้เขาจะอยากรู้เรื่องราวของอารามซุ่ยเยว่ แต่เกรงว่าคงมิสามารถหาข้อมูลใดได้เลย
……
ค่ำคืนเริ่มมืดสนิท เมืองจินหลิงไร้ซึ่งเงาผู้คนและเสียงใด ๆ
ภายใต้แสงนวลจันทร์ ทำให้ได้ยินเสียงเกือกม้าเหยียบย่ำบนพื้นธรณีได้อย่างชัดเจน
ระหว่างทาง ฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยกับต่งชูหลานว่า บิดาของเขากำลังเดินทางมาเมืองหลวงเพื่อสู่ขอนาง
เขามิได้คาดคิดถึงสิ่งที่ต้องจัดการมากมายเหล่านี้ ต่งชูหลานหน้าแดง แต่ก็มิได้ตอบกลับฟู่เสี่ยวกวน นางเพียงแค่ชายตามองเขาแล้วกล่าวว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเวิ่นหวินด้วย ดังนั้นเรื่องพิธีการเกรงว่าจะยุ่งยากสักหน่อย…บัดนี้จิตใจของเจ้ามิได้อยู่กับเรื่องนี้ เจ้าเองก็มิต้องกังวลเกี่ยวกับข้า จงไปทำในสิ่งที่เจ้าต้องการเถิด ข้าจะไม่เป็นภาระแก่เจ้าแน่ แต่ข้ามีสิ่งหนึ่งอยากกำชับกับเจ้าว่า ไม่ว่าเรื่องใดจงครุ่นคิดให้ดีก่อนกระทำการ อย่าได้เสี่ยงอันตราย จงจำให้ขึ้นใจ ! ”
“อืม ! ” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าแล้วเอื้อมมือไปเปิดม่าน ท่ามกลางความมืดมิดและความเงียบสงบนี้ พวกเขาได้ยินยามตีฆ้องบอกเวลา “โหม่ง โหม่ง โหม่ง ! บัดนี้เวลายามจื่อ2 แล้ว ! ”
ซูซูได้ยินดังนั้นก็รีบคว้าฉินขึ้นมาไว้ในมือ
ฟู่เสี่ยวกวนมองดูซูซูด้วยความตกใจ
ซูซูเงี่ยหูฟัง จากนั้นนางจึงเอ่ยออกมาว่า “มีคนมา”
“ที่ใด ? ”
“บินไปแล้ว”
ในเมืองหลวงก็หาได้ปลอดภัยไม่ !
เหตุใดถึงยังมีชาวยุทธบินไปมาเช่นนี้กัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าเรื่องนี้ควรเอ่ยให้หนิงหยู่ชุนฟังเสียหน่อย
เนื่องจากเมืองหลวงนี้ควรจะเป็นสถานที่ที่ห้ามใช้พลังตัวเบาลอยไปลอยมาถึงจะถูกมิใช่รึ ?
รถม้ายังคงเดินหน้าไป จนกระทั่งไปถึงหน้าประตูอารามซุ่ยเยว่
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ลงจากรถ เขาเพียงเปิดม่านออกไปมองดูประตูนั้นอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “กลับจวน ! ”
ผู้ขับรถม้าแปลกใจยิ่ง แต่เขาก็บังคับม้าให้กันกลับจวนฟู่ตามคำสั่ง
“เป็นอะไรไป ? ” ต่งชูหลานเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ
ฟู่เสี่ยวกวนเอื้อมมือไปลูบแก้มนางแล้วเอ่ยว่า “จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกว่าเข้าไปดูก็มิมีความหมาย สู้กลับบ้านนอนเสียดีกว่า”
ซูซูจ้องไปยังฟู่เสี่ยวกวนเป็นความหมายว่า โกหก !
มีคนอยู่ในอารามซุ่ยเยว่ !
หูของซูซูนั้นดียิ่ง นางย่อมได้ยินเป็นแน่ แต่นางคาดว่าฟู่เสี่ยวกวนคงมิได้ยิน เนื่องจากเขายังฝึกวิชาไปได้ไม่ถึงไหน
ฟู่เสี่ยวกวนรู้ว่าภายในอารามซุ่ยเยว่นั้นมีคนอยู่ แต่เขามิได้รับรู้จากการได้ยิน หากแต่เขาเดาเอาต่างหากเล่า
ประตูของอารามซุ่ยเยว่ถูกปิดไว้ แต่กลอนประตูด้านนอกยังคงสั่นไหว
ลมหนาวนี้สามารถโบกพัดโคมไฟให้ปลิวได้ แต่มิอาจพัดกลอนประตูนั้นได้ อีกทั้งประโยคที่ซูซูกล่าวว่ามีคนมา ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนเดาได้ว่าคนเหล่านั้นคงเดินทางมาที่อารามซุ่ยเยว่เป็นแน่
หากมิใช่เพราะต่งชูหลานเดินทางมาด้วย เขาคงต้องเข้าไปดูให้แน่ชัด แต่ต่งชูหลานอยู่ข้างกายเขาเช่นนี้ เขาจะกล้าเสี่ยงอันตรายได้เยี่ยงไร
……
ณ อารามซุ่ยเยว่มีคนสองคนยืนอยู่ และอีกคนที่นั่งอยู่
พวกเขาอยู่บริเวณใกล้กับต้นเหมยนั้น
ชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมชุดสง่างามนั่งอยู่บนเก้าอี้ เขานั่งอยู่ตรงข้ามกับสตรีที่ปิดผ้าบังหน้าไว้
บัดนี้ชายหนุ่มผู้นั้นยิ้มขึ้น ส่ายหัวคล้ายกับผิดหวัง “ข้าคาดว่าคืนนี้จะได้พบกับเขาเสียหน่อย คาดมิถึงว่าเขาจะระมัดระวังถึงเพียงนี้ เสียโอกาสอันดียิ่ง”
เอ่ยจบก็ลุกขึ้น เขายกมือขึ้นจับไปยังกิ่งของต้นเหมย เด็ดมันออกมาดอกหนึ่ง นำมาดมแล้วออกคำสั่งว่า “มีอยู่สองเรื่อง ! ”
คนชุดดำทั้งสองยกมือกำขึ้น “เชิญคุณชายสั่งการ ! ”
“หนึ่ง จงไปตามหาปู้เนี่ยนซือไท่ จำไว้ว่าจับเป็นเท่านั้น”
“สอง…งานเทศกาลโคมไฟ งานกวีหลานถิงจี๋ จงฆ่าฟู่เสี่ยวกวนเสีย และต้องแน่ใจว่ามันได้ตายไปแล้ว ! ”
คนชุดดำทั้งสองรับคำสั่งแล้วจากไป ที่แห่งนั้นกลับคืนสู่ความเงียบอีกครั้ง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองดูดวงจันทร์ จากนั้นก้มลงมองดอกเหมยในมือ ด้านหลังเขาปรากฏสตรีในชุดสีแดงขึ้นนางหนึ่ง
“เจ้ามิได้อยากพบเขาในวันที่สองเดือนสองหรอกรึ ? เหตุใดจึงรีบร้อนฆ่าเขาเช่นนี้ ? ”
ชายหนุ่มยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เขาดีดนิ้วขึ้น ดอกเหมยดอกนั้นลอยขึ้นสู่อากาศ มันถูกตัดออกเป็นส่วน ๆ แล้วร่วงลงสู่พื้น
“เขาช่างอันตรายเสียเหลือเกิน ข้าคิดว่ามิอาจควบคุมเขาได้…เช่นนั้นให้เขาตายไปเสียดีกว่า”
สตรีนางนั้นหัวเราะออกมา แล้วเอ่ยถามอีกครั้งว่า “เช่นนั้นนายพลเฟ่ยเล่า ? ”
ชายหนุ่มเก็บรอยยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ผู้ที่รู้จักวิชากัศยปแสร้งตายของราชวงศ์ก่อนนั้นมีไม่มากนัก ผู้ที่รู้จักองค์หญิงจิ้งอันยิ่งน้อยกว่า เฟ่ยอันมิใช่ผู้ไร้ประโยชน์เสียทีเดียว เจ้าจิ้งจอกนี่ยังมั่นคงนัก ! ”
“ด้านในนั้นคนของพวกเราได้ค้นหาทั้งสิ้นแล้ว มิพบสิ่งใด ปู้เนี่ยนซือไท่ขนย้ายไปแล้วงั้นรึ ? หรืออาจจะตกอยู่ในมือของปู้เนี่ยนซือไท่ ? ”
ชายผู้นั้นส่ายหัว “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ก่อน จากแผนการแสร้งตายของปู้เนี่ยนซือไท่นั้นแน่นอนว่านางมิได้นำหนังสือเล่มนั้นไว้ที่ตัวเป็นแน่”
“เช่นนั้นนางซ่อนไว้ที่ใดกัน ? ”
ชายหนุ่มยื่นมือออกมาหยิบดอกเหมยไปอีกดอก จากนั้นเอ่ยว่า “ข้าในฐานะองค์ชายก็ประมาทเกินไป ข้าควรให้ฟู่เสี่ยวกวนเข้ามา บางทีเขา…อาจจะหามันพบ”
1 ยามเหม่า คือ 05.00 – 06.59 น.
2 ยามจื่อ คือ 23.00 – 24.59 น
ตอนที่ 225 ตีกลองส่งดอกไม้
แม้ว่าสายลมที่พัดมาจากแม่น้ำจะแผ่วเบา แต่เหตุเพราะอากาศหนาวเหน็บเป็นอย่างมาก สายลมได้พัดผ่านใบหน้า เขารู้สึกราวกับมีดบาด
ฟู่เสี่ยวกวนยืนรับลมหนาวจากแม่น้ำเพียงลำพัง สายตาจ้องมองไปยังเงาจันทร์เต็มดวงที่อยู่บนผืนแม่น้ำฉินหวาย มันถูกสายลมยามค่ำคืนพัดขึ้นลงทำให้ผิวน้ำเกิดระลอกคลื่น ฉีกขาด แตกสลาย และกลับมารวมตัวใหม่วนเวียนอยู่เฉกเช่นนั้น
“เจ้าดูสิ่งใดอยู่กัน ? ” ต่งชูหลานเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“ดูแสงจันทร์สิ เจ้าดู ดวงจันทร์ที่อยู่บนผิวน้ำดูมีชีวิตชีวายิ่งกว่าบนท้องฟ้าเสียอีกใช่หรือไม่ ? ”
ซูซูเบะปากและไม่พอใจอย่างมาก “เจ้านี่นะ เหตุใดจึงชอบทำตัวเหมือนกันกับท่านอาจารย์ ข้าบอกว่า ข้า ! หิว ! แล้ว ! ”
“ได้ได้ได้ ! ” ฟู่เสี่ยวกวนทำได้เพียงยอมแพ้ “ขึ้นไปกันเถอะ”
ภายใต้การนำทางของซั่งกวนเหมี่ยว ทั้งสี่คนก็ได้ขึ้นไปยังเรือหรูของหงซิ่วจาว และตรงไปยังชั้นสาม
ชั้นสามในเวลานี้เหลือโต๊ะเพียงหนึ่งตัวและมิมีที่นั่งอื่นอีก ฟู่เสี่ยวกวนมองไปที่ตรงนั้น เข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย ที่นี่มีแต่คนหนุ่มสาว ทั้งยังเป็นเหล่าเยาวชนทางวรรณกรรม
เสวี่ยเฟยเฟยมิได้ร้องเพลงอยู่ที่นี่ คนหนุ่มสาวเหล่านั้นต่างกำลังกระซิบกระซาบ สายตาของทุกคนในยามนี้จึงตกอยู่ที่ฟู่เสี่ยวกวน
และแล้วซั่งกวนเหมี่ยวก็ได้เปิดปากขึ้น “สมาคมกวีหลานถิงได้เหมาที่นี่ เพื่อที่จะได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องงานกวีกับท่าน เชิญนั่ง ! ”
และก็ได้มีชายหนุ่มที่สวมชุดผ้าไหมสีฟ้าเดินออกมา เขาเดินมาถึงด้านหน้าของฟู่เสี่ยวกวน และโค้งคำนับด้วยความเคารพ “ตัวข้า ฉินเหวินเจ๋อ เคยได้พบกับคุณชายฟู่แล้ว”
“พี่ฉินเกรงใจแล้ว…ความจริงอีกไม่กี่วันข้าก็ต้องไปที่สำนักศึกษาอยู่แล้ว พวกท่านมิจำเป็นต้องทำเยี่ยงนี้เลย”
“พวกข้าทราบดี เพียงแต่ตั้งแต่เทศกาลไหว้พระจันทร์ปีที่แล้ว ทำนองเพลงสายน้ำบทนั้นของน้องฟู่เป็นที่แพร่หลายในเมืองหลวง ข้าและคนอื่นต่างก็ชื่นชมและอยากจะพบเจอน้องฟู่ แต่ตอนนั้นน้องฟู่ยังอยู่ที่หลินเจียง ข้าจึงมิอาจทำได้ตามใจอยาก ต่อมาก็มีความฝันในหอแดงของน้องฟู่เล่มนั้นที่โด่งดังไปทั่วเมืองหลวงอีกหน ข้าและคนอื่นต่างก็เลื่อมใสกันมากยิ่งขึ้น อยากจะเห็นความสง่างามของน้องฟู่ด้วยตาของตนเอง ต่อจากนั้นน้องฟู่ก็ได้มายังเมืองหลวง แต่เหมือนน้องฟู่จะยุ่งอยู่เล็กน้อย แต่เดิมพี่เยี่ยนซีเหวินได้บอกกับข้าและคนอื่นว่าผ่านไปสักสองสามวันจะแนะนำให้ข้าและคนอื่น…ด้วย ดังนั้นจนมาถึงตอนนี้ หากข้ายังรอและมิเริ่มออกตัว เกรงว่าการจะได้พบเจอน้องฟู่ก็มิรู้ว่าจะต้องรอไปถึงไหนเดือนไหน”
ฉินเหวินเจ๋อกล่าวด้วยท่าทางวางตัวดี ท่าทางสง่างามนี้เหมือนกันกับฉินปิ่งจงเป็นอย่างมาก ฟู่เสี่ยวกวนอดที่จะมองเขาด้วยความชื่นชมไม่ได้
ซูซูเบะปากอีกครา เหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน และเหลือบมองไปยังฉินเหวินเจ๋อ ครุ่นคิดว่าเหตุใดแค่ทานข้าวจึงยากถึงเพียงนี้ แต่ละคนท่าทางเสแสร้งจอมปลอม นี่คือหน้ามนุษย์แต่จิตใจเป็นสัตว์ร้ายที่อาจารย์กล่าวอย่างนั้นหรือ หรือว่าเสแสร้งแกล้งทำรึ หรือว่าจะซ่อนมีดไว้ภายใต้รอยยิ้มกัน
อยากจะแทงเขาสักสองดาบ !
ฟู่เสี่ยวกวนคำนับให้กับทุกคนและกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า “ทุกท่าน ข้ามิได้เจตนาแต่อย่างใด มีคำกล่าวว่าผู้ใฝ่ตำราเป็นผู้มีคุณธรรมสูง แท้จริงแล้วข้ามิใช่ผู้ใฝ่ตำรา ข้าเป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดินแห่งหนึ่ง ดังนั้นคุณธรรมสูงส่งมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับข้า เพียงแต่ธุระของข้านั้นมีอยู่มากมาย จึงทำให้การเดินทางไปยังสำนักศึกษาล่าช้าไป มามามา นำสุรามา พวกเราต่างก็เป็นชายหนุ่มของราชวงศ์หยู เมินมารยาทและข้อจำกัดเหล่านั้นไปเสีย มาดื่มด้วยกันเถิด ! ”
คำพูดนี้สามารถเอาชนะใจชายหนุ่มกลุ่มนี้ได้ในทันที ดังนั้นจึงมีเสียงปรบมือ และเสียงกู่ร้องดังขึ้นมา
“สุรามา ! ”
“ไม่เมาไม่เลิกรา ! ”
“น้องฟู่เป็นคนที่พิเศษอย่างแท้จริง ! ”
“นี่แหละคือความสง่างามของชายหนุ่มราชวงศ์หยู ! ”
“…..”
ทุกคนนั่งลง โต๊ะของฟู่เสี่ยวกวนนอกจากต่งชูหลานและซูซูแล้ว ทั้งยังมีซั่งกวนเหมี่ยว ฉินเหวินเจ๋อ รวมไปถึงบัณฑิตอีกสามรายที่ฉินเหวินเจ๋อเชิญมา
สาวใช้นางหนึ่งเดินเข้ามา อาหารและสุราถูกจัดวางไว้บนโต๊ะ ซูซูมิได้มีเกรงใจ หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อปลากระรอกเข้าปาก…รสชาติแย่เทียบกับที่คุณนายต่งทำมิได้เลย !
สำหรับซูซูที่เป็นสตรีบอบบาง ฉินเหวินเจ๋อได้เหลือบมองนางอยู่หลายครา แต่มิใช่เพราะนางไร้มารยาท แต่เพราะซูซูสวยงามเกินไป บัดนี้นางราวกับรูปปั้นที่ไม่มีที่ติเลยแม้แต่น้อย
เขาดึงสายตากลับมามองฟู่เสี่ยวกวน และเอ่ยแนะนำ “ผู้นี้คืออู๋เชวีย เป็นรองหัวหน้าของสมาคมกวีหลานถิง ข้าชื่นชมเขาเป็นอย่างมาก บ้านของเขาอยู่ที่เขตหนานหลิง มีพื้นฐานเป็นชาวเกษตร แต่พี่อู๋กลับอาศัยความพยายามอย่างไม่ลดละจากซิ่วไฉจนเขาได้เป็นจวี่เหรินและได้เข้าเรียนที่สำนักศึกษา”
อู๋เชวียตื่นเต้นอย่างมาก เขามิได้มีเรื่องข้องเกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวนมากนักในเมืองหลวง และคนระดับฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นแบบอย่างที่บัณฑิตต่างเลื่อมใส ในวันนี้ที่ได้มานั่งร่วมโต๊ะกับฟู่เสี่ยวกวน เขารู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่กับในความฝัน
เขาลุกขึ้น เดินมายังด้านหน้าของฟู่เสี่ยวกวน และรินสุราจนเต็มจอกให้กับฟู่เสี่ยวกวน
“ข้ามีนามว่าอู๋เชวีย ขอดื่มให้กับคุณชายฟู่ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “ผู้คนมักกล่าวว่าครอบครัวที่ยากจน ยากที่จะมีบุตรชายที่จะประสบความสำเร็จ ข้ามิคิดเยี่ยงนั้น พี่อู๋ ท่านเป็นตัวอย่างที่ดี หมดจอก ! ”
ทั้งสองชนจอกและดื่มจนหมด อู๋เชวียก็ได้รินให้ฟู่เสี่ยวกวนจนเต็มอีกครา ก่อนจะกลับไปนั่งที่
ชายหนุ่มอู๋เชวียผู้นี้ถือว่าใช้ได้ ฟู่เสี่ยวกวนได้จดจำชื่อของเขาไว้แล้ว
ต่อจากนั้นฉินเหวินเจ๋อก็ได้แนะนำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้จักกับชายหนุ่มอีก 2 คน ผู้หนึ่งมีนามว่าซังเหลียง เป็นหลานชายคนเล็กของหัวหน้าเสมียนในเสมียนกลางซังหยู อีกคนมีนามว่ากงซุนเค่อ มิได้เป็นคนของจินหลิง แต่มาจากตระกูลขุนนางซินโจว
ฟู่เสี่ยวกวนได้จดจำชื่อของพวกเขาเอาไว้แล้ว และมิสามารถต้านทานความกระตือรือร้นของพวกเขาได้ ดังนั้น…ในตอนนี้เขาจึงทำได้เพียงแค่ดื่มสุรา
ต่งชูหลานกังวลใจเป็นอย่างมาก ฟู่เสี่ยวกวนได้ดื่มสุราเข้าไปเยอะพอควร ดูเหมือนว่าคืนนี้เขาอาจจะเมาเสียแล้ว !
ต่งชูหลานครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ อาการเมาเป็นการทำร้ายร่างกายมากเกินไป ดังนั้นนางจึงยืนขึ้น โค้งคำนับให้กับเหล่าชายหนุ่มที่อยู่ ณ ที่นี้ และกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “หากจะกล่าวไปพวกเจ้าต่างก็เป็นศิษย์พี่หรือศิษย์น้องของข้ากันทั้งสิ้น ดังนั้นข้าจึงมิเห็นเป็นคนอื่น ระดับสุราของเขามีขีดจำกัด พวกเจ้าเล่นผลัดกันเข้ามาเยี่ยงนี้ เขาย่อมทนดื่มต่อไปมิไหว แต่เขาเป็นคนที่ชอบทำตามอำเภอใจและรักในอิสรเสรี ไม่รู้จักการปฏิเสธ แน่นอน ข้ามิได้จะปฏิเสธแทนเขา แต่จะกล่าวว่า…สุราต่อจากนี้ ข้าจะช่วยเขาดื่มเอง อย่างไรเสียพรุ่งนี้ก็ได้มีงานเทศกาลโคมไฟ เขาต้องไปประพันธ์กวีที่หลานถิงจี๋ หากคืนนี้เมามายเสียยกใหญ่ และพรุ่งนี้มิตื่นขึ้นมา คงจะมิงามเสียเท่าใดนัก พวกเจ้าคิดเห็นเยี่ยงไร ? ”
ชายหนุ่มเหล่านี้ย่อมรู้จักต่งชูหลานเป็นอย่างดี เยี่ยงไรแล้วนางก็คือสาวงามหนึ่งในสามของเมืองหลวง และต่งชูหลานก็ได้เข้าศึกษาในสำนักศึกษาอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ส่วนเรื่องระหว่างนางและฟู่เสี่ยวกวน ในตอนนี้ก็ได้เป็นที่ประจักษ์แจ้งแล้ว เยี่ยนซีเหวินถอนตัวจากแม่นางต่งชูหลาน ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้สาวงามไปครอบครอง
เมื่อหวนคำนึงถึงคำพูดของต่งชูหลาน งานกวีเทศกาลโคมไฟในวันพรุ่งนี้คือเรื่องใหญ่ยิ่ง ทั้งยังมิสามารถให้ฟู่เสี่ยวกวนดื่มจนเมาได้จริง ๆ เพียงแต่ต่งชูหลานนางเป็นสตรีที่อ่อนแอ…นางสามารถดื่มสุรานี้ได้งั้นรึ ?
ดังนั้นจึงมีคนเสนอขึ้นมาว่า “เยี่ยงนั้นพวกเรามางานสุราจะดีกว่า เชิญเสวี่ยเฟยเฟยหรือหลิ่วเยียนเอ๋อร์มาเป็นเจ้ามือ หากผู้ใดแพ้ผู้นั้นดื่ม เยี่ยงนี้ก็ดูเหมือนจะไม่ยุติธรรมมากนัก”
สิ่งที่เรียกว่างานสุรา มีความหมายเดียวกับงานน้ำชา เป็นกิจกรรมที่สนุกสนานประจำร้านอาหารหรือหอนางโลมของเหล่านักวรรณกรรม โดยจะให้เจ้ามือตั้งหัวข้อ โดยจะตอบเป็นกลอนคู่หรือบทกวีก็ย่อมได้ หากต่อไม่ได้ หรือตอบได้ไม่ดีพอ ก็จะถูกปรับแพ้ให้ดื่มสุรา
ฟู่เสี่ยวกวนที่เข้าใจแล้ว ฉับพลันก็รู้สึกว่าวิธีนี้ดีอย่างยิ่ง ให้ความสง่างามที่มากกว่าการดื่มสุรายิ่ง ง่ายดายกว่าดอกฝ้ายที่ลอยลม และเขาเชื่อว่าจะมิได้ดื่มอีกต่อไป
ฉินเหวินเจ๋อลุกขึ้นยืนและเดินไปทางห้องด้านหลังของหงซิ่วจาว เพียงไม่นานก็ได้เชิญเสวี่ยเฟยเฟยและหลิ่วเยียนเอ๋อร์มายังโต๊ะที่พวกเขานั่งอยู่
สตรีสองนางเดินออกมาคนหนึ่งอุ้มกลอง อีกคนหนึ่งถือดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่
เสวี่ยเฟยเฟยหันหน้ามองไปทางฟู่เสี่ยวกวนริมฝีปากก็แย้มยิ้มขึ้นมา “เมื่อครู่ข้าได้ปรึกษากับน้องเยียนเอ๋อร์มาเล็กน้อย พนันสุรานั้นมิยุติธรรม เยี่ยงไรแล้วทุกคนต่างก็รับรู้กันดีว่าคุณชายฟู่เป็นผู้มีพรสวรรค์ มิใช่ว่าข้าจะดูถูกพวกท่าน ข้าเพียงเกรงว่าพวกท่านจะมิใช่คู่มือของเขา ดังนั้น วิธีการเล่นจะขอเปลี่ยนเป็นตีกลองส่งดอกไม้ ดีหรือไม่ ? ”
เหล่าบัณฑิตต่างปรบมือเกรียวกราว รู้สึกว่าวิธีนี้ดีอย่างยิ่ง อย่างน้อยก็ยุติธรรม
“ข้าคิดว่าผู้ที่ได้รับดอกไม้นั้น ไม่เพียงแต่ต้องดื่มสุรา แต่ยังต้องเติมเต็มความปรารถนาของข้า ถือเป็นข้อต่อรองเพิ่มเติม และข้าคิดว่ามันน่าสนใจดี ในตอนนี้ให้น้องเยียนเอ๋อร์ตีกลอง ข้าจะเป็นผู้ตัดสินว่าจะให้ดอกไม้ตกที่ผู้ใด”
หลิ่วเยียนเอ๋อร์ปิดตาให้กับเสวี่ยเฟยเฟย นางนั่งลงด้านหลังของเสวี่ยเฟยเฟย เหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างมีเลศนัย ลอบยิ้มที่มุมปาก ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกอยากจะไปเข้าห้องน้ำ…ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
อย่างไรก็ตามมันอดที่จะทำให้เขาคิดมากไม่ได้ หลิ่วเยียนเอ๋อร์ถือไม้ตีกลองและเคาะเป็นจังหวะ เสวี่ยเฟยเฟยโยนดอกไม้สีแดงในมือออกไปอย่างไม่ใส่ใจนัก
เมื่อเสียงกลองดังขึ้น ดอกไม้ก็ได้ถูกส่งผ่านมือของเหล่าบัณฑิตไปเรื่อย ๆ หลังจากนั้นก็ถูกส่งไปถึงมือของซังเหลียง เขารีบส่งต่อไปให้อู๋เชวีย อู๋เชวียตื่นตระหนก และโยนไปให้กับฉินเหวินเจ๋อ ฉินเหวินเจ๋อก็โยนไปให้กับซั่งกวนเหมี่ยวอย่างไม่ลังเล มือของซั่งกวนเหมี่ยวนั้นว่องไวอย่างหาที่สุดมิได้ เขามิแม้แต่จะรับดอกไม้นั้น เขาดีดออกไปเพียงเบา ๆ และดอกไม้นั้นได้ตกไปในมือของฟู่เสี่ยวกวน
ด้านข้างของฟู่เสี่ยวกวนคือต่งชูหลาน ต่อจากนั้นก็คือซูซู เขาทำได้เพียงโยนทิ้งไป ทันใดนั้นเอง เสวี่ยเฟยเฟยก็ตวาดขึ้น “หยุด ! ”
เสียงกลองหยุดลง ฟู่เสี่ยวกวนที่ถือดอกไม้อยู่นั้นก็ได้ยืนขึ้นมา
เสวี่ยเฟยเฟยดึงผ้าคลุมที่บดบังสายตาลง และหันมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน
หลิ่วเยียนเอ๋อร์ปิดปากที่ลอบยิ้มอยู่ทันพลัน นึกไปถึงตอนที่โต้ตอบกับเสวี่ยเฟยเฟยอยู่ชั่วครู่ มาได้เวลาอย่างพอดิบพอดี
ฟู่เสี่ยวกวนก็อับจนคำพูดยิ่ง เหตุใดจึงบังเอิญถึงเพียงนี้กัน ?
เสวี่ยเฟยเฟยกล่าวขึ้นมา “นี่คือสุราจอกแรก ท่านควรดื่ม” นางกล่าวพลางเดินเข้าไป หยิบขวดสุราและรินให้กับฟู่เสี่ยวกวนด้วยตนเอง แต่กลับถูกต่งชูหลานรับไป
“เกรงว่าเฟยเฟยอาจจะไม่ทราบ เมื่อครู่ข้าได้กล่าวกับทุกคนไปแล้ว เขา…มิสามารถดื่มได้มาก เพราะเขาต้องไปงานกวีเทศกาลโคมไฟในวันพรุ่งนี้”
เสวี่ยเฟยเฟยครุ่นคิดชั่วครู่และพยักหน้า “นี่เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง พวกข้าวาดหวังว่าท่านจะประพันธ์บทกวีที่ดีกว่าออกมาได้ในงานกวีเทศกาลโคมไฟวันพรุ่งนี้ หากล้มเหวินสิงโจวแห่งราชวงศ์อู๋ผู้นั้นลงได้คงจะเป็นเรื่องดีมิน้อย”
บทกวี ‘โต๊ะหยก’ ของเหวินสิงโจวในปีนั้นในวันนี้ยังคงเป็นกลอนลำดับที่หนึ่งบนหินเชียนเปยสือของงานกวีเทศกาลโคมไฟ สำหรับบัณฑิตต้าหยูที่อยู่ในยุควรรณกรรมรุ่งเรือง นี่คือความอับอายอย่างแท้จริง นี่ก็ได้ผ่านมาเป็นเวลานานแล้ว แต่กลับยังมิมีผู้ใดที่จะประพันธ์บทกวีออกมาได้ดีกว่าของเหวินสิงโจว
ดังนั้น ก็เป็นความคาดหวังของบัณฑิตอีกมากมายเช่นกัน
ต่งชูหลานดื่มสุรา เสวี่ยเฟยเฟยจึงกล่าวต่ออีกว่า “เมื่อครู่ก็ได้กล่าวไปแล้ว คนที่ได้รับดอกไม้ต้องทำให้ข้าสมปรารถนาหนึ่งอย่าง…ความปรารถนาของข้าคือ ให้ท่านประพันธ์บทกวีขึ้นมา”
ฝูงชนอยู่ในความโกลาหล และปรบมือเกรียวกราว ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา ลอบคิดว่าโชคดีที่ขอให้ข้าประพันธ์บทกวี หากเรียกให้ข้าไปรอที่เตียง…ข้าจะรอหรือไม่รอกัน ?
“ช่วงไม่กี่วันก่อนหน้านั้นข้านอนไม่หลับเพราะมีเรื่องจุกจิกอยู่มาก และได้อยู่ตัวคนเดียวในตอนกลางคืน ดังนั้นข้าที่อยู่ในลานบ้านก็ได้เห็นว่าดอกบ๊วยได้เบ่งบานแล้ว จึงได้คิดบทกวีขึ้นมาหนึ่งบท พอดีกับในวันนี้ที่ได้ท่องมาหนึ่งรอบ ดังนั้นจะมาแบ่งปันกับทุกท่าน”
หลิ่วเยียนเอ๋อร์ได้หยิบสมบัติทั้งสี่ของห้องหนังสือออกมาได้ชั่วครู่แล้ว และในตอนนี้ก็ได้ถูกนำมาวางไว้บนโต๊ะ ทุกสายตาต่างมองมาที่ฟู่เสี่ยวกวนอย่างตั้งหน้าตั้งตาคอย
แท้จริงแล้วทุกคนในห้องนี้ต่างหันมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน ดังนั้นบัดนี้ทั้งโถงแห่งนี้ก็ได้เงียบสงัดลง ราวกับเสียงหายใจของพวกเขาก็ได้หยุดไปเช่นกัน
เขาจะประพันธ์กวีอะไรออกมากัน ?
ความหมายของประโยคนี้ในยามที่ฟัง คาดว่าจะเป็นหัวข้อเกี่ยวกับบ๊วย
เขาบอกว่านอนมิหลับและอยู่คนเดียวในตอนกลางคืน คาดว่าน่าจะเป็นประกายดาบเงากระบี่จากการต่อสู้กับฮุ่ยชินอ๋องในหลายวันก่อนเป็นแน่
คำพูดของไทเฮาที่ดูมิได้มีเจตนาใดนั้น กลับทำให้บรรดาผู้อาวุโสต่างเหงื่อตก
ท่านราชครูเฟ่ยลุกขึ้นยืน จากนั้นถวายบังคมทูล “ไทเฮาพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดเห็นว่าราชวงศ์หยูแข็งแรงดุจดวงอาทิตย์ แสงอันแรงกล้านี้จะมีผลกระทบเนื่องจากหนอนเพียงไม่กี่ตัวได้เยี่ยงไร”
“เจ้ามิจำเป็นต้องกังวลเช่นนี้ เพียงแค่คอยดูฉากสำคัญก็พอ…ข้านั้นอายุมากแล้ว หูตาฝ้าฟาง มองมิออกถึงบทละครเหล่านี้ เมื่อตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนสิ้นพระชนม์ ข้าจำได้ว่าเจ้าเป็นผู้นำวิญญาณ ช่วงนี้ข้ามักฝันถึงพระองค์บ่อย ๆ พระองค์…ยังคงวุ่นวายในแต่ละวัน เพียงแต่มักตรัสว่าที่ภูเขาจื่อจินนี้ดี แต่ทว่าช่างเงียบเหงาสักหน่อย ข้าคิด ๆ ดูแล้วคงถึงคราที่ข้าจะไปอยู่เป็นเพื่อนพระองค์แล้ว”
หนิงไท่ฟู่รีบลุกขึ้น ถวายบังคมแล้วเอ่ยว่า “ไทเฮาทรงมีอายุมั่นขวัญยืนหมื่น ๆ ปี คาดว่าที่ฮ่องเต้องค์ก่อนกล่าวมานั้น เพราะต้องการให้ไทเฮาช่วยดูแลใต้หล้าฟ้าดินต่อไป”
ไทเฮาหัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าอย่าได้ปลอบใจข้าเลย ภายในใจข้าใสราวกับกระจก ข้าเข้าใจดี หากเอ่ยว่ามีสิ่งใดยังเป็นกังวล…นั่นก็คงจะเป็นจิตใจของฝ่าบาทอ่อนโยนเกินไป มิเหมือนฮ่องเต้องค์ก่อน การปกครองในตอนนี้ข้ามิเข้าใจ เพียงแต่ต้องการตักเตือนว่า ในฐานะประชากร ควรจะวางตัวให้ดี ! ”
บรรดาผู้อาวุโสต่างพากันหวาดกลัวแล้วตัวสั่น พวกเขาได้ยินไทเฮาเอ่ยต่อว่า “หนังสือเยาวชนราชวงศ์หยูกล่าว ที่ฟู่เสี่ยวกวนเขียนนั้นดีเยี่ยม หากพวกเจ้ายังมิเคยอ่าน ข้าแนะนำให้เจ้าไปอ่านเสีย ข้าชอบประโยคที่กล่าวว่า เยาวชนราชวงศ์หยูงดงามดุจท้องฟ้าที่มิมีวันล่มสลาย ! เยาวชนราชวงศ์หยูกว้างใหญ่ ดุจผืนแผ่นดินอันแผ่กว้างไปไร้ซึ่งขอบเขต ! ข้านั้นแก่แล้วอีกทั้งได้แต่พำนักอยู่ในพระตำหนักฉือกง พวกเจ้าเองก็ชราลงเช่นกัน บางคนอาจจะยังคงอยู่รับใช้ราชวงศ์ แต่บางคนก็กลับบ้านเกิดไปแล้ว…”
ไทเฮาทรงสูดหายใจเข้าลึก ๆ สีพระพักตร์เปลี่ยนไป “ทุกคนล้วนต้องการให้ลูกหลานมีชีวิตที่รุ่งเรือง ข้าเองก็เช่นกัน เฉกเดียวกับบุตรชายองค์ที่สามของฮุ่ยชินอ๋อง หลานชายของข้า เขากระทำผิดต่อกฎหมายบ้านเมืองก็สมควรได้รับโทษ นี่คือสิ่งที่ทุกคนพึงปฏิบัติ พวกเจ้าเองก็มีลูกหลานมากมาย จงกำชับพวกเขาไว้ให้ดี อย่าให้พวกเขาออกนอกลู่นอกทาง หากในอนาคตผู้ใดกระทำผิดกฎหมายบ้านเมือง…จงดูข้าเป็นตัวอย่าง พวกเจ้าจงเคารพในกฎหมายบ้านเมือง”
ไทเฮาทรงลุกขึ้นยืน ท่าทางพระนางคล้ายกับเหนื่อยล้าเหลือเกิน นางเดินตรงไปยังพระตำหนักแล้วหันมาเอ่ยทิ้งท้ายว่า “หากพวกเจ้าผู้ใดละเลยกฎหมายบ้านเมือง อย่าหาว่าข้ามิตักเตือน ! ”
ทุกคนมองตามหลังไทเฮาไป บัดนี้เป็นเวลาโพล้เพล้ อาทิตย์กำลังจะตกดิน แสงสีส้มอ่อนนั้นมองไปแล้วช่างดูหดหู่
“เวิ่นหวินพาข้ากลับตำหนักหน่อย พระสนมซั่ง…เจ้าและฝ่าบาทช่วยข้าดูแลผู้มาร่วมงานด้วยเถอะ”
……
งานเลี้ยงที่เดิมทีควรจะสนุกสนานครื้นเครง แต่บัดนี้บรรยากาศกลับเงียบเหงาและจบลง หลังจากไทเฮาทรงเสด็จกลับไปพักผ่อน ก็มิได้เสด็จออกมาจากพระตำหนักอีกเลย
ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย จากคำพูดของไทเฮาเมื่อครู่ดูคล้ายไร้เรี่ยวแรง เกรงว่า…จะเหลือเวลาน้อยเต็มที
งานเลี้ยงจบลงอย่างรวดเร็ว ฟู่เสี่ยวกวนรอต่งชูหลานเพื่อจะเดินทางกลับจากพระตำหนักฉือกงด้วยกัน ส่วนเวิ่นหวินหลังจากเข้าไปพร้อมกับไทเฮาแล้วก็มิได้ออกมาอีก
ดวงจันทร์ลอยขึ้นสู่ยอดฟ้า อากาศเริ่มหนาวเย็น หนาวเหน็บเข้าไปถึงในกระดูก
“คาดว่าไทเฮาทรงเหนื่อยล้ามากแล้ว ได้ยินมาว่าเมื่อตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนยังมีชีวิตอยู่ ไทเฮาทรงเป็นผู้ช่วยที่ดีของเขา คล้ายกับพระสนมซั่ง ฝ่าบาททรงครองราชย์มาได้ 9 ปี พระนางมิเคยเอ่ยถามถึงเรื่องการปกครอง แต่ในใจนั้นกระจ่างแจ้งยิ่ง พระนางตั้งใจให้คณะงิ้วร้องท่อนนั้นออกมา และตั้งใจเอ่ยกับขุนนางทั้งหลายก่อนเสด็จกลับไป เนื่องจากทรงเข้าใจดีว่าราชวงศ์หยูในปัจจุบันนั้นมิมั่นคง พระนางตั้งใจจะโจมตีจิตใจพวกเขาสักหน่อย…”
ต่งชูหลานเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ จากนั้นถอนหายใจออกมาว่า “เพียงแต่น่าเสียดายยิ่ง”
“น่าเสียดายสิ่งใด ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเดินจับมือต่งชูหลานออกมา มือของนางค่อนข้างเย็น
“เสียดายที่เวลาของไทเฮาทรงมีไม่มากแล้ว ดังนั้น…จึงไม่มีผลต่อพวกเขาเท่าไหร่”
ฟู่เสี่ยวกวนก้มหน้ามองดิน แล้วกล่าวออกมาว่า “เจ้าว่า เหตุใดเพียง 8 ปีจึงได้แย่ลงถึงเพียงนี้ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนต้องการถามต่งชูหลานว่า แปดปีที่ผ่านมาฮ่องเต้ทรงทำอะไรบ้าง ?
ต่งชูหลานจ้องเขาตาเขม็ง “เจ้าอย่าได้ปากพล่อยไป ที่นี่คือพระราชวัง”
อืม ฟู่เสี่ยวกวนทำได้เพียงเงยหน้ามองท้องฟ้า แสงจากดวงจันทร์ตกกระทบมายังยอดไม้เกิดเป็นเงาทอดยาว พระราชวังใหญ่โตเพียงนี้เหตุใดช่างเงียบเหงา
ฟู่เสี่ยวกวนมิชอบบรรยากาศเช่นนี้มากนัก เขาชื่นชอบบรรยากาศครึกครื้นเสียมากกว่า
ทั้งสองคนเดินทางมาถึงประตูวังหลวง ที่นี่ค่อนข้างคึกคักเนื่องจากผู้คนที่เดินทางมาร่วมงานได้เอ่ยลากัน ณ จุดนี้แล้วขึ้นรถม้ากลับไป
ขณะที่ทั้งสองกำลังจะก้าวขึ้นรถม้า ก็มีชายหนุ่มผู้หนึ่งก้าวเข้ามา
“ข้าน้อย ชางกวนเหมี่ยว เป็นคนในตระกูลชางกวนเหวินซิ่ว คารวะคุณชายฟู่ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกใจเล็กน้อย เขามิเคยพบกับชางกวนเหมี่ยวมาก่อน ชายหนุ่มผู้นี้มีรูปร่างกำยำ คิ้วเข้ม ตาแหลมคม มองไปมิคล้ายกับผู้ร่ำเรียนตำรา แต่เหมือนชาวยุทธเสียมากกว่า
“สวัสดีท่านชางกวน”
เมื่อเอ่ยจบก็มองไปยังต่งชูหลาน ชูหลานรู้จักเขา นางจึงยิ้มทักทาย
“เนื่องจากข้าน้อยได้ยินชื่อเสียงของท่านมาช้านาน คนในครอบครัวข้าก็มักเอ่ยถึงท่านเสมอ ในคืนนี้พระจันทร์เต็มดวงอีกทั้งยังมิดึกมากนัก ข้าน้อยอยากจะเชิญชวนท่านและแม่นางชูหลานไปร่วมกินดื่มที่หงซิ่วจาว ท่านว่าเป็นเยี่ยงไร ? ”
“มีเรื่องอันใดงั้นหรือ ? ”
“ข้าน้อยอยากจะแนะนำชายหนุ่มรูปร่างกำยำให้ท่านได้รู้จัก ขอบอกท่านตามตรงว่า พวกข้านั้นจะเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมราชวงศ์อู๋ ดังนั้นจึงคิดว่าควรทำความรู้จักท่านไว้เสียก่อน”
เขาช่างตรงไปตรงมานัก ฟู่เสี่ยวกวนเผยยิ้มขึ้นมา “มีใครบ้างงั้นรึ ? ”
“ทุกคนล้วนเป็นบัณฑิต สมาชิกของสมาคมกวีหลานถิงพวกเราล้วนเป็นผู้คลั่งไคล้ท่าน”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “อืม ข้าจะตามไปที่หงซิ่วจาว”
ชางกวนเหมี่ยวสีหน้ายินดียิ่ง ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานเดินขึ้นรถม้าไป กระทั่งถึงแม่น้ำฉินหวาย
ซูซูนั่งอยู่ในรถม้านี้ด้วย ข้างกายนางมีกล่องฉินวางอยู่ นางเอ่ยด้วยท่าทางมิพอใจว่า “หึ ! เป็นพวกเจ้าช่างดีเสียจริง ข้ายังมิได้กินข้าวด้วยซ้ำ ! ”
“ที่หงซิ่วจาวมีอาหารมากมาย ประเดี๋ยวเจ้าสั่งได้ตามต้องการ”
ดวงตาของซูซูเป็นประกายทันที “จริงรึ ? ”
“จริงสิ ! ”
“ข้าได้ยินมาว่าร้านอู่เว่ยจายเปิดขายแล้ว”
“อืม ๆ ๆ วันพรุ่งนี้ข้าจะซื้อให้เจ้าตามที่เจ้าต้องการเลยเป็นเยี่ยงไร”
เด็กสาวอายุ 14 ปีคนนั้นมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ในใจของนางนอกเหนือจากการกินแล้ว คงมิมีสิ่งใดให้ครุ่นคิด
ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้หันมาถามต่งชูหลานว่า “สมาคมกวีหลานถิงคืออะไรเยี่ยงนั้นรึ ? ”
“สมาคมกวีหลานถิงนั้นก่อตั้งมาช้านานแล้ว เป็นสมาคมที่ใหญ่ที่สุดของสำนักศึกษาจี้เซี่ย บัดนี้หัวหน้าสมาคมคือฉินเหวินเจ๋อ บุตรคนที่สี่ของฉินฮุ่ยจือ”
คงคล้ายกับชมรมในตอนเรียนมหาวิทยาลัยในชาติก่อนหน้านี้ ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยถามต่อไปว่า “ชางกวนเหมี่ยว…เขาเป็นคนเยี่ยงไรกัน ?”
“เขามีชื่อเสียงพอควรในสำนักศึกษาจี้เซี่ย อายุประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี กวีของเขามิมีชื่อเสียง แต่เขาเขียนนโยบายได้ดี อีกทั้งมีความสามารถด้านกวีและวรยุทธ บัดนี้เขาได้เปลี่ยนไปศึกษาด้านการต่อสู้แล้ว สถานศึกษามิได้สอนเฉพาะวรรณกรรม แต่สอนการต่อสู้ด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนยังไม่เคยเดินทางไปยังสำนักศึกษาจี้เซี่ยมาก่อน เดิมทีเขาคิดว่าราชวงศ์หยูให้ความสำคัญด้านวรรณกรรมเสียอีก สำนักศึกษาต่าง ๆ คงสอนเฉพาะวรรณกรรมเท่านั้น คาดมิถึงว่าจะสอนการต่อสู้ด้วย
“แต่ก็เป็นเพียงการต่อสู้ในเบื้องต้นเท่านั้น ได้ยินมาว่าแต่ก่อนการต่อสู้ของสำนักศึกษาจี้เซี่ยนั้นรุ่งเรืองยิ่ง วรรณกรรมและการต่อสู้อัตราห้าสิบห้าสิบ เพียงแต่ต่อมาผู้ศึกษาการต่อสู้น้อยลงเรื่อย ๆ บัดนี้เหลือผู้ที่ศึกษาการต่อสู้เพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น”
นี่คือผลของการที่ราชวงศ์หยูให้ความสำคัญกับวรรณกรรมมากเกินไป แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ประหลาดใจแต่อย่างใด บัดนี้เขาคิดถึงเพียงแต่ฉินเหวินเจ๋อ
ชื่อนี้คล้ายกับเคยได้ยินมาก่อน ในเมื่อเขาคือบุตรคนที่สี่ของฉินฮุ่ยจือ ก็ต้องเป็นลูกหลานตระกูลฉินผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองหลวงเป็นแน่ อยากจะรู้เสียจริงว่าเขาจะเป็นคนอย่างไร ?
ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยเดินทางไปพบกับฉินหยูเหิง สำหรับตระกูลฉินนั้น ฟู่เสี่ยวกวนคุ้นเคยกับฉินปิ่งจงและฉินโม่เหวิน อีกทั้งฉินเฉิงเย่ที่ซีซานเท่านั้น อ้อแล้วยังมีฉินรั่วเสวียที่เมืองหลวงอีกผู้หนึ่ง
……
ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังเดินทางไปที่แม่น้ำฉินหวาย ณ หลังจวนจวิ้นเสียนหวินแห่งหนานหลิ่ง ท่านนายพลแห่งกองทัพใต้ได้ยืนถือดาบยาวอยู่ตรงหน้าใครบางคน
เป็นสตรีนางหนึ่ง จากแสงของดวงจันทร์ ทำให้มองเห็นหน้านางได้อย่างสลัว ๆ ว่านางคือปู้เนี่ยนซือไท่แห่งอารามซุ่ยเยว่ ที่เดิมทีควรตายไปแล้ว
“ท่านอาจารย์ช่างเก่งกาจนัก”
บัดนี้ปู้เนี่ยนซือไท่หาได้เป็นอย่างที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยเห็นไม่ !
นางเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ ใบหน้าไร้ซึ่งความหวาดกลัวใด ๆ ท่าทีของนางนิ่งสงบ ดวงตาที่เคยมืดมนนั้นเปลี่ยนเป็นประกาย
“ท่านนายพลเฟ่ยรู้ได้เยี่ยงไรว่าข้ายังมิตาย ? ”
“หยางเจี้ยนจื่อในสมัยราชวงศ์ก่อนได้คิดวิชากัศยปแสร้งตายขึ้นมา โดยใช้ผงกระดองเต่าพันปีผสมกับไม้จันทน์ ทำให้ชีพจรหยุดลงชั่วคราวแต่มิตาย ท่าน…เหตุใดจึงมีวิชานี้ ?”
ปู้เนี่ยนชือไท่หันหน้ามาทางนายพลเฟ่ยแล้วยิ้มขึ้น เมื่อนางอ้าปากก็พบเพียงเหงือกหาได้มีฟันแม้แต่ซี่เดียว ทำให้เฟ่ยอันรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
ให้ตายสิ ! น่ากลัวยิ่ง !
“เดาสิ ! ” นางเอ่ยออกมาเพียงสองคำ
“จากหนังสือบันทึกแห่งเมืองหลวงที่เคยบันทึกไว้ หยางเจี้ยนจื่อเมื่อครั้งยามที่มีชีวิตอยู่เคยรับศิษย์เพียงคนเดียวนั่นคือองค์หญิงจิ้งอัน เมื่อราชวงศ์หยูยึดครองราชวังได้ ก็ประหารทุกคนทิ้งเสียเว้นแต่องค์หญิงจิ้งอัน หยางเจี้ยนจื่อได้ขี่ม้าเข้าโจมตีจินหลิงเพียงลำพัง เพื่อแก้แค้นแก่ราชวงศ์เก่า ปรากฏว่าพ่ายแพ้ถูกฆ่าตาย ส่วนองค์หญิงจิ้งอันก็มิมีใครเคยพบเห็นนางอีกเลย”
เขาชี้มาทางนางแล้วเอ่ยว่า “ดังนั้น เจ้าคือทายาทขององค์หญิงจิ้งอัน ! เป็นเชื้อสายของราชวงศ์ก่อน ! ”
ปู้เนี่ยนซือไท่หัวเราะออกมา ทำให้ปากอันไร้ฟันอ้าจนมองเห็นด้านในได้อย่างชัดเจน
“เจ้าช่างฉลาดนัก เพียงแต่เจ้ามิควรอยากรู้เช่นนี้ หากตัดสินใจแทงไปที่โลงศพนั้นแต่แรก ข้าคงมิอาจมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว”
“บัดนี้ ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้ง่ายดายเช่นกัน ! ”
“ไม่หรอก บัดนี้ความแค้นในใจเจ้าลดลงไปมากแล้ว เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของข้าอีกต่อไป แต่ว่า…เหตุใดเจ้าจึงไม่ประหลาดใจเกี่ยวกับหยี่ฮวาถายของข้ากัน ? ”
“เรื่องพรรคนั้น ไม่เกี่ยวกับข้าแต่ประการใด จงรับดาบไปซะ ! ”
ดาบยาวเล่มนั้นถูกยกขึ้น แม้จะมีร่องรอยของสนิม แต่ก็เต็มไปด้วยความแค้น !
ปู้เนี่ยนชือไท่กระโดดขึ้นสู่อากาศ นางเพียงแค่แตะเท้าเบา ๆ แต่กลับลอยออกไปในระยะที่ไกลจากเฟ่ยอันมากแล้ว
“ท่านนายพลเฟ่ย บุญคุณที่ช่วยชีวิตข้านั้น ข้าจะกลับมาทดแทนให้วันหลัง ! ”
เมื่อกล่าวจบนางก็จากไป ดวงจันทร์ยังคงส่องสว่าง เฟ่ยอันยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าของเขาแฝงไปด้วยความกังวลใจ
ตอนที่ 223 ละครในละครนอก
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนหนึ่งวันที่สิบ ยามบ่าย
ถึงแม้แสงอาทิตย์จะมิได้ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายมากเสียเท่าใด แต่ก็ยังคงสว่างไสวเจิดจ้า
โคมไฟและสีสันรอบด้านของพระตำหนักฉือหนิงกงถูกจัดให้ดูครึกครื้นมากกว่าปกติ
ภายในตำหนักนางในมีพระสนมซั่งเป็นผู้นำของเหล่านางในและบรรดาเชื้อพระวงค์รวมไปถึงฮูหยินของเหล่าขุนนาง ภายในลานด้านนอกจะมีขุนนางในราชสำนักชั้นน้อยใหญ่และบุคคลมีชื่อเสียงของเมืองหลวง
ในยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังหลบตัวอยู่ที่โต๊ะตัวมุมด้านหน้าของลาน เขาได้นั่งร่วมกับฉินปิ่งจงและชางกวนเหวินซิ่ว
ส่วนของขวัญที่จะมอบให้ไทเฮานั้น เขาได้ให้หยูเวิ่นหวินไปแล้ว คิดว่าหยูเวิ่นหวินก็คงจะได้มอบให้ไทเฮาแล้วเช่นกัน เพียงแต่มิทราบว่าไทเฮาจะชอบหรือไม่
ต่งชูหลานเองก็ตามต่งหยวนชื่อมารดาของนางเขาไปในพระตำหนักนางในแล้ว คาดว่าวันนี้คงยากที่จะเจอกันอีก
ในตอนนี้ฉินปิ่งจงกำลังจ้องมาทางฟู่เสี่ยวกวน และได้เอ่ยถามขึ้นมา “วันพรุ่งนี้หลังจากงานกวีเทศกาลโคมไฟ เจ้าต้องเลือกคนที่จะไปเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมราชวงศ์อู๋แล้ว เจ้าเคยได้ไปดูที่สำนักศึกษาจี้เซี่ยหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้คิดถึงเรื่องยุ่งยากพวกนี้ ช่วงหลายวันนี้เขาเอาแต่เขียนหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นเล่มนั้น หากจะต้องไปเลือกบัณฑิต ก็คงต้องรอให้เขียนหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นจนเสร็จ แล้วส่งมันให้กับเยี่ยนเป่ยซีเสียก่อน
“ข้านั้นไร้ฝีมืออย่างแท้จริง…” เขาหันมองชางกวนเหวินซิ่ว แล้วกล่าวยิ้ม ๆ “หากจะกล่าวถึงผู้ที่คุ้นเคยกับผู้มีพรสวรรค์ของเมืองหลวง ข้าคิดว่ามิมีผู้ใดเทียบกับขุนนางระดับสูงช่างกวนได้แล้ว หรือไม่…ขุนนางระดับสูงช่างกวนช่วยเป็นธุระให้ข้าเถิด เรื่องการเลือกบัณฑิตนี้ ท่านจะช่วยข้าได้หรือไม่ ?”
ชางกวนเหวินซิ่วหัวเราะร่า และลูบเครายาวของเขา “เจ้าคิดจะแอบอู้งานรึ ข้าจะบอกเจ้าให้ เจ้าอย่าได้ดูถูกบัณฑิตแห่งราชวงศ์อู๋ไป ตั้งแต่ที่เหวินสิงโจวได้เข้ามาควบคุมเกี่ยวกับวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋จนถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสี่สิบกว่าปีแล้ว ในสี่สิบกว่าปีมานี้วรรณกรรมของราชวงศ์อู๋น่าสนใจยิ่งขึ้น มิเหมือนดังเก่าก่อนอีกต่อไปแล้ว ถึงกล่าวว่าราชวงศ์อู๋ยังคงเป็นอาวุธที่แข็งแกร่ง คลื่นลูกใหม่ในวงการวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ก็ได้มีผู้แสดงความสามารถออกมาเป็นจำนวนมากแล้ว และจัวตงหลายก็ถือเป็นแนวหน้าของสำนักศึกษาหลีชานเขตหลานซี มีนามเรียกว่าศิษย์ทั้งเจ็ดแห่งหลานซี ในปลายปีที่แล้ว ณ เมืองกวนหยุนเมืองหลวงราชวงศ์อู๋ได้จัดงานชุมนุมขึ้น บทกวีและบทความของทั้งเจ็ดได้กวาดล้างแนวโน้มที่ไม่เคยมีมาก่อนของราชวงศ์อู๋ไป ต่างก็ได้รับคำชมจากเหวินสิงโจวกันถ้วนหน้า และบทกวีของจัวตงหลาย ‘คำนึงทาสที่อ่อนช้อย จันทราในสารท’ ก็ชนะเป็นลำดับที่หนึ่ง”
“กวีบทนั้น…ท่วมท้นไปด้วยพลังอย่างแท้จริง มีทั้งความนุ่มนวล และยังมีพลังที่ยิ่งใหญ่นัก”
กล่าวถึงตรงนี้ชางกวนเหวินซิ่วก็เคาะจังหวะและท่องออกมา
“อาทิตย์ตก ณ ประจิม สันดอนหนาวเหน็บ หุบเขาไผ่ที่มืดลึกจางหายไป
หยกดำขึ้นทางบูรพา ณ เมฆาที่คล้อยต่ำ ดาราส่องสว่างเป็นจุดจุด
แสงจันทร์ราวน้ำค้าง กระบี่ยาวต่างร่ายรำ แตกสลายเป็นหิมะนับหมื่น
บทเพลงบรรเลงดัง เอื้อนเอ่ยถามผู้มีพรสวรรค์ในใต้หล้า
ย้อนมองไปหลานซีในปีนั้น ดอกไม้เขาลี่ซานได้เบ่งบาน สุกใสดั่งสายโลหิต
ชูสุราและเอ่ยถาม ยามที่อ่าน กลับพบลมแรงดังพายุ
พายเรือไปในทะเลตำรา ยึดมั่นไม่เยาะเย้ยข้า กร่ำตำราทราบวิทยายุทธ์
แม่น้ำที่หนาวเหน็บกับเงาที่โดดเดี่ยว อริแห่งยุทธภพใต้จันทราแห่งสารท”
ชางกวนเหวินซิ่วส่ายหัวไปมาพร้อมบอกเล่าต่อ “เจ้าลองดูสิ แม่น้ำที่หนาวเหน็บกับเงาที่โดดเดี่ยว อริแห่งยุทธภพใต้จันทราแห่งสารท… นี่มันเป็นการเคลื่อนไหวที่มีชีวิตชีวา และประโยคก่อนหน้าพายเรือไปในทะเลตำรา ยึดมั่นไม่เยาะเย้ยข้า กร่ำตำราทราบวิทยายุทธ์ที่รวมเข้าด้วยกัน และประโยคสุดท้ายก็คือจัวตงหลาย คนผู้นั้นเปรียบตัวเองถึงเงาของความโดดเดี่ยวที่ดื้อรั้นจะแล่นไปในทะเลตำรา ทั้งยังมีความโดดเดี่ยวกับการเป็นผู้มีฝีมือของยุทธภพที่ไร้อริ ดังนั้นความลึกซึ้งของบทกวีนี้จึงสูงส่งอย่างมาก”
ฟู่เสี่ยวกวนตกอยู่ในภวังค์ แม่น้ำที่หนาวเหน็บกับเงาที่โดดเดี่ยว อริแห่งยุทธภพประโยคนั้น เนิ่นนานแล้วที่มิได้นึกถึงมัน
แม่น้ำที่หนาวเหน็บกับเงาที่โดดเดี่ยว อริแห่งยุทธภพใต้จันทราแห่งสารท ช่างน่าเหลือเชื่อ… แต่คนผู้นี้ก็ประพันธ์ออกมาได้ไพเราะอย่างแท้จริง ถึงแม้เขาจะไม่สามารถแยกแยะข้อดีข้อเสียของบทกวีนี้ได้ แต่อย่างน้อยคนผู้นี้ก็เขียนเอง เมื่อเทียบกับตนเองที่คัดลอกมานั้น…เรื่องราวของผู้ใฝ่รู้จะบอกว่าคัดลอกมาได้อย่างไรกัน
ข้าก็เป็นแค่ผู้เคลื่อนย้ายวรรณกรรมของสองโลกเท่านั้น นี่เกียรติยศของข้า !
ดวงตาของชางกวนเหวินซิ่วเบิกกว้าง หรือว่าผู้มีพรสวรรค์แห่งราชวงศ์หยูของข้าก็ตกใจจนติดในภวังค์ของบทกวีนี้เช่นกันรึ ?
“เสี่ยวกวน…”
“โอ้… !”
“ข้าคิดว่าบทกวีนี้มิได้สวยงามมากนัก หากแต่เถรตรงไปเสียเล็กน้อย ร่องรอยตำหนิของการขัดเกลาก็หนักเกินไป ยังคงห่างชั้นที่จะเทียบกับทำนองเพลงสายน้ำของเจ้าได้”
ฟู่เสี่ยวกวนขัดเขินเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำอย่างคาดไม่ถึง โชคดีที่แสงแดดเริ่มเคลื่อนที่ และตกกระทบบนใบหน้าของเขา ชางกวนเหวินซิ่วกับฉินปิ่งจงและคนอื่น ๆ จึงมิได้สังเกตเห็น
“มิมีกวีอันดับหนึ่งตั้งแต่ครั้งโบราณ เสี่ยวกวนเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มผู้มีความรู้ ยามเมื่อเจ้าไปยังราชวงศ์อู๋ย่อมเป็นสิงโตสู้กับกระต่าย ทุ่มกำลังของเจ้าทั้งหมดที่มีให้เต็มที่”
ทันใดนั้นชางกวนเหวินซิ่วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมา เขามีความสามารถมากมายเพียงนี้ อีกทั้งยังเป็นชายหนุ่มที่ถ่อมตน ด้วยความคิดของตนแล้ว มิใช่ว่าจัวตงหลายก็มิสามารถเทียบกับเขาได้แล้ว
“หากจะกล่าวถึงนักวรรณกรรม เยาวชนของราชวงศ์อู๋ก็ขาดสตรีผู้นี้ไปมิได้เช่นกัน นางคือธิดาของเหวินตี้แห่งราชวงศ์อู๋ องค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวของราชวงศ์อู๋ อู๋จ้าว”
ฟู่เสี่ยวกวนตกใจอีกครา อู๋จ้าวรึ ?
อู๋เจ๋อเทียนเยี่ยงนั้นรึ !
“ประเดี๋ยวก่อน ๆ ขุนนางระดับสูงช่างกวน จ้าวในชื่ออู๋จ้าวนั้นคือจ้าวตัวใดกัน ?”
“จ้าวที่แปลว่าส่องสว่าง”
“โอ้…ท่านเชิญต่อได้เลย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนวางใจ เขายังกังวลใจในเรื่องพื้นที่เวลาทับซ้อนนี้อย่างแท้จริง
ชางกวนเหวินซิ่วกล่าวอีกว่า “อู๋จ้าวมีชื่อเล่นว่าหลิงเอ๋อร์ ยามที่อยู่สำนักศึกษาหลีชานนอกจากเหวินสิงโจวก็มิมีผู้ใดทราบถึงตัวตนของนาง ทุกคนต่างเรียกนางว่าอู๋หลิงเอ๋อร์ และเป็นหนึ่งในศิษย์ทั้งเจ็ดแห่งหลานซี ได้ยินมาว่าสตรีผู้นี้ไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญฉิน หมากรุก ตำรา และการวาดภาพ วิทยายุทธ์ของนางก็ยังแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก นางเป็นอัญมณีของเหวินตี้ การชุมนุมของราชวงศ์อู๋ในปลายปีที่แล้ว นางเองก็ได้ประพันธ์หนึ่งบทกวี ‘ขานรับฟ้าเวิ้งว้าง คิดถึง’ บทกวีนี้ก็ได้รับคำชมจากเหวินสิงโจวเช่นกัน ข้าคาดว่า งานชุมนุมวรรณกรรมเทศกาลฤดูหนาวในปีนี้ ศิษย์ทั้งเจ็ดแห่งหลานซีย่อมต้องไปอย่างแน่นอน เจ้าคงไร้หนทางที่จะรับมือกับบัณฑิตที่มากมายของราชวงศ์อู๋ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นเรื่องการคัดเลือกบัณฑิต ข้าคงจะช่วยเจ้าคัดเลือกได้เพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น แต่ผู้ที่ตัดสินใจเป็นคนสุดท้าย ยังคงต้องให้เจ้าเป็นผู้พิจารณาด้วยตนเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า ชางกวนเหวินซิ่วช่วยเขาเลือกในขั้นตอนแรกได้ก็เพียงพอแล้ว นี่ก็คือน้ำใจที่ใหญ่มากแล้ว ลดภาระของเขาไปได้ไม่น้อย “เยี่ยงนั้น คงต้องรบกวนขุนนางระดับสูงช่างกวนแล้วขอรับ”
“แล้ว…ซีชานเทียนฉุนของเจ้า จะมอบให้ข้าสักขวดสองขวดได้หรือไม่ ? ”
ฉินปิ่งจงหัวเราะร่า และชี้ไปทางชางกวนเหวินซิ่ว “ในที่สุดหางจิ้งจอกของเจ้าก็โผล่ออกมา”
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็กล่าวยิ้ม ๆ “เรื่องเล็กน้อยมากนัก เพียงแต่ในยามนี้ที่จวนของข้ามิมีเหลือแล้ว แต่ที่ซีซานคงจะส่งมาถึงในอีกไม่กี่วัน ข้าจะนำไปมอบให้ถึงในจวนของท่านด้วยตนเองขอรับ”
ท่ามกลางกลุ่มคนที่กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แต่แล้วนางในผู้หนึ่งก็ได้เดินมาหาฟู่เสี่ยวกวน และกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหูของเขา ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืนและคำนับให้กับทุกคน “ข้าขอตัวสักครู่ ประเดี๋ยวจะกลับมาพูดคุยด้วยใหม่”
เขาเดินออกมาจากพระตำหนักฉือหนิงกง เขาพบกับขันทีผู้หนึ่งที่อยู่ด้านนอกของตำหนัก ขันทีผู้นี้ได้ส่งหลอดขี้ผึ้งขนาดเล็กให้กับเขา หลังจากนั้นก็หันหลังกลับออกไป
ฟู่เสี่ยวกวนเปิดตลับเล็กออก และหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา
รายงานเดือนสิบสอง งานเทศกาลโคมไฟเตรียมพร้อมไว้สมบูรณ์แล้ว
สอง เฟ่ยอันแวะเวียนไปอารามซุ่ยเยว่ ได้ขนโลงศพของปู้เนี่ยนชือไท่ไปยังเขตหนานหลิง
สาม หยี่ฮวาถายราวกับหายไปในชั่วข้ามคืน แม้แต่หนานป้าเทียนก็หายไปอย่างไรร่องรอย
ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด และใช้ตะบันไฟเผากระดาษแผ่นนั้นทิ้งไป
เขาเงยหน้ามองดวงอาทิตย์ ครุ่นคิดถึงโลงศพของปู้เนี่ยนชือไท่…หรือว่าจะมีความลับอันใดซ่อนอยู่กัน ?
แต่โลงศพนั้นเขาไม่เพียงแต่จะส่งคนของหอซี่หยู่ไปตรวจสอบ ทั้งยังให้ศิษย์พี่สามซูโหรวไปตรวจสอบด้วยตนเอง มิมีสิ่งแปลกปลอมอื่นใดอยู่ภายในนั้น นอกเสียจากกลิ่นไม้จันทน์รุนแรงที่โชยมาในยามเปิดโลงศพ
มันมีเหตุอันใดที่เฟ่ยอันต้องนำศพของปู้เนี่ยนชือไท่และโลงศพไปยังเขตหนานหลิง ?
เขาเป็นเพียงนายพลของกองทัพชายแดนใต้ และนี่คือแม่ชีแห่งอารามซุ่ยเยว่ที่มิมีชื่อเสียงอะไร…แต่เหตุอันใดจึงได้เกี่ยวข้องกัน ?
หรือต่อให้มีความเกี่ยวข้องกันจริง แต่ก็มิถึงกับต้องให้เขามาด้วยตนเองมิใช่รึ
ส่วนการหายตัวไปของหยี่ฮวาถาย ฟู่เสี่ยวกวนย่อมระมัดระวังอย่างถึงที่สุด แต่ก็ยังอยู่ในการคาดการณ์ของเขา
บนราชสำนักเยี่ยนเป่ยซีได้ทูลเสนอฝ่าบาทให้องค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเต้าไปควบคุมกองทัพชายแดนตะวันออก แต่ก่อนที่องค์ชายใหญ่จะตัดสินพระทัยได้ หยี่ฮวาถายมิมีทางจะเคลื่อนไหวอีก
เยี่ยงนั้น…ก็รอให้ถึงเย็นพรุ่งนี้
งานเทศกาลโคมไฟจะจัดขึ้นในคืนวันพรุ่งนี้ ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับกองทัพชายแดนใต้สังหารพลเรือนและประกาศเนรเทศนั้นก็เอาไว้หลังจากที่ดอกไม้ได้เบ่งบานไปทั่วเมืองจินหลิง ค่อยมาดูกันอีกทีว่าเฟ่ยอันจะมีการเคลื่อนไหวอันใดอีก
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็เดินเข้าไปในพระตำหนักฉือหนิงกง และได้ยินเสียงกู่ร้องดังขึ้นมา
ไทเฮาเดินลงมาโดยมีเหล่าสนมนางในประคองลงมา
“ข้า…ยามที่มองไปที่พวกเจ้า ในใจมีความสุขอย่างยิ่ง พวกเจ้าต่างเป็นเสาหลักของราชวงศ์หยู และยังมีคนเก่าคนแก่อีกมากมายที่อยู่กับราชวงศ์หยูมาถึงสามราชวงศ์…ราชครูอาวุโสเฟ่ย ร่างกายของเจ้ายังแข็งแรงดีสินะ ดีมาก เข้ามาอีกนิดสิ ให้ข้าได้มองเจ้าให้ชัดเจนขึ้น”
“นั่นคือ…หนิงไท่ฟู่รึ ? สายตาของข้ามิค่อยดีแล้ว หนิงไท่ฟู่ เจ้าเองก็เข้ามาใกล้ ๆ สิ ใช่ แล้วก็เยี่ยนเป่ยซี มามา พวกเจ้าเข้ามาทั้งหมด…มาอยู่ข้าง ๆ ข้า”
ผู้อาวุโสทั้งสามต่างเดินเข้าไปด้วยร่างกายที่สั่นสะท้าน ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ราวกับได้นึกย้อนกลับไปในตอนที่ยังเยาว์วัย ภาพในตอนนั้นและคำพูดต่าง ๆ ก็ได้ฉายชัดขึ้นมา หรือบางทีอาจจะนึกถึงช่วงเวลาที่ได้หารือเกี่ยวกับนโยบายประเทศกับฮ่องเต้องค์ก่อน ที่ได้แบ่งปันช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ด้วยกัน
แต่ในวันนี้ ถึงแม้พวกเขาจะยังเป็นบุคคลเรียกฟ้าเรียกฝนของราชวงศ์หยูที่ยิ่งใหญ่ แต่กาลเวลาก็ได้เร่งเร้าผู้คน เฉกเช่นเดียวกับดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดินในยามนี้
หลังจากนั้นไทเฮาก็ได้ขานชื่อผู้อาวุโสอีกหลายคน จากนั้นก็ได้กล่าวอีกว่า “วันนี้อากาศดีอย่างยิ่ง ข้านั้น ได้เชิญคณะละครมาแสดง ให้พวกเขาแสดงละครเพลงให้พวกเจ้าได้รับชม…นั่นคือความฝันในหอแดงที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ประพันธ์ ข้าชื่นชอบอย่างมาก หวังว่าพวกเจ้าเองก็จะชอบเช่นกัน”
กล่าวจบนางก็โบกมือขึ้น ม่านสีแดงบนเวทีสูงจึงได้เปิดออก เสียงฆ้องกลองดังขึ้น และได้พบกับสตรีผู้หนึ่งอยู่บนเวที คาดมิถึงว่านางจะคือหลิ่วเยียนเอ๋อร์แห่งหงซิ่วจาว !
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลง สายตามองไปยังบนเวทีสูง จากนั้นเสียงฉินก็ได้ดังขึ้นอีกครา หลิ่วเยียนเอ๋อร์ร่ายรำอ่อนช้อย คาดมิถึงว่านางจะร้องบทกวีคิ้วแข็งโค้ง
บางทีนี่อาจจะกำลังเริ่มการแสดง
หลังจากนั้นสายตาของฟู่เสี่ยวกวนก็ผละจากเวทีสูง มองไปยังทางไทเฮา ก็ได้เห็นหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานที่กำลังนั่งอยู่ด้านหลังอย่างพอดิบพอดี ทั้งสองกินผลไม้เชื่อมที่อยู่บนโต๊ะ และมองการแสดงอย่างตั้งใจ
ราวกับรับรู้ถึงสายตาของฟู่เสี่ยวกวนที่มองมา สตรีทั้งสองต่างมองมาทางเขา หลังจากนั้นก็แย้มยิ้มขึ้น ทันใดนั้นภายในใจของฟู่เสี่ยวกวนก็อบอุ่นขึ้นมา
การร้องเพลงของหลิ่วเยียนเอ๋อร์เป็นเพียงการเริ่มต้นการแสดง ถัดจากการร้องเพลงและร่ายรำของนาง ก็ได้มีคนปรากฏขึ้นมาบนเวที
ฟู่เสี่ยวกวนมองอยู่ชั่วครู่ เป็นการแสดงฉากแรกที่เจี๋ยหยวนชุนกลับไปยังจวนเจี๋ย และได้จัดงานเลี้ยงที่หรูหรา
นี่คือจุดเริ่มต้นหายนะของจวนเจี๋ย เพื่อต้อนรับการกลับมาของพระสนมเจี๋ยหยวนชุน จึงใช้จ่ายมือเติบเพื่อสร้างกิจการขึ้นมา จนสูญเสียเงินของจวนเจี๋ยไปเป็นจำนวนมาก
และนั่นก็ได้ไปแตะฟางเส้นสุดท้ายของจวนเจี๋ย ในตอนที่ทุกคนกำลังคิดว่าเจี๋ยหยวนชุนที่ได้แต่งตั้งให้เป็นพระสนมจะทำให้จวนเจี๋ยฟื้นขึ้นมาได้อีกครา แต่กลับมิมีผู้ใดคิดว่าจวนเจี๋ยในยามนี้ยากจนข้นแค้นยิ่งนัก จนถึงขนาดที่รายรับที่ได้มิเพียงพอต่อรายจ่ายด้วยซ้ำ
หลังจากการแสดงจบลง ทันใดนั้นไทเฮาก็ได้เอ่ยถามกับผู้อาวุโสข้างกายว่า “ข้าคิดมาเสมอว่า หากเจี๋ยหยวนชุนมิได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นสนม เกรงว่าจวนเจี๋ยจะยังประคับประคองไปได้อีกช่วงเวลาหนึ่ง…แต่ข้ากลับคิดว่า หากต้าหยูมีมอดน้อยลงอีกสักนิด จะกลับมาแข็งแกร่งขึ้นได้หรือไม่ พวกเจ้าต่างก็เป็นผู้อาวุโสที่สุขุมรอบคอบ จากคำพูดของข้า พวกเจ้าคิดเห็นว่าเยี่ยงไรกัน ? ”
ตอนที่ 222 รังแก
ในที่สุดชีวิตอันแสนสงบสุขก็กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง แม้ภายใต้ความสงบจะยังมีคลื่นอยู่ก็ตาม
หลังจากที่ไทเฮาทรงอ่อนข้อ เรื่องของฟู่เสี่ยวกวนกับหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานจึงได้ลงเอยกันด้วยดี เขาได้เขียนจดหมายไปหาบิดา เพื่อเชิญให้เขาเดินทางมาเมืองหลวง หลังจากนับวันแล้วคาดว่าบิดาจะเดินทางมาถึงเมืองหลวงประมาณวันที่สิบหกนี้
หลายวันมานี้ ฟู่เสี่ยวกวนนอกจากจะเขียนหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นแล้ว ก็ได้คลุกคลีหยอกเย้าอยู่กับแม่นางทั้งสอง
สตรีทั้งสองหลังจากได้รับอนุญาตจากครอบครัวแล้ว พวกนางก็มักกระทำการหยอกล้อให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกลำบากทั้งกายและจิตใจ ทั้งสามคนอยู่กันอย่างมีความสุข และรอวันที่จะเข้าหอวิวาห์
“วันพรุ่งนี้เป็นวันที่สิบสี่เดือนหนึ่ง ไทเฮาจะทรงฉลองพระชนมายุ 70 พรรษา เดิมทีเสด็จพ่อประสงค์ให้จัดงานเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่ แต่ไทเฮามิยินยอม สุดท้ายแล้วเสด็จพ่อจึงได้เชิญขุนนางคนสนิทและญาติทั้งหลายไปร่วมรับประทานอาหาร ณ พระตำหนักฉือหนิง ดูการแสดงงิ้วและร่วมสนุกสนานไปกับไทเฮา”
หยูเวิ่นหวินนำผมไปทัดที่หู แก้มนางแดงเรื่อแล้วกล่าวว่า
“ในวันพรุ่งนี้เจ้าก็ควรไป” ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดสักครู่ก่อนเอ่ยถามว่า “ฮุ่ยชินอ๋องไปจากเมืองหลวงแล้วหรือยัง ? ”
“ยัง ไทเฮาทรงพระทัยอ่อน กล่าวว่าบัดนี้อากาศหนาวเหน็บ อีกทั้งระยะทางยาวไกลนัก เมื่อหิมะตกหนักจะเดินทางไม่สะดวก จึงได้กักเขาไว้ในจวนฮุ่ยชินอ๋อง รอจนกว่าอากาศอุ่นขึ้นจึงค่อยเดินทาง”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีกเกี่ยวกับเรื่องนี้ นี่คือขีดจำกัดของพระนางแล้ว เขามิควรกระทำการใดไปมากกว่านี้
แต่ความเสียหายของจวนฟู่ ศาลจินหลิงกล่าวว่าจะให้คนของจวนฮุ่ยชินอ๋องมาชดเชยให้ในสองสามวันนี้…ควรจะเร่งเขาสักหน่อยดีหรือไม่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนตัดสินใจเดินทางไปเยี่ยมฮุ่ยชินอ๋องที่จวน เนื่องจากเงินจำนวน 200,000 ตำลึงมิใช่เงินน้อย ๆ หากว่าฮุ่ยชินอ๋องเกิดตุกติกละก็ คงจะขาดทุนไม่น้อย !
“ไปเถอะ พวกเราไปดูจวนฮุ่ยชินอ๋องกัน”
“ดูสิ่งใดกัน ? ” หยูเวิ่นหวินเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ไปดูว่าเขายังอยู่ดีหรือไม่นะสิ ! ”
……
เดิมทีจวนฮุ่ยชินอ๋องที่ครึกครื้นโอ่อ่า เพียงไม่กี่วันเท่านั้น กลับกลายเป็นสถานที่อันเงียบสงัดว่างเปล่า
ฮุ่ยชินอ๋องได้ไล่บรรดาบ่าวใช้ออกจำนวนมาก อีกทั้งเจ้าหน้าที่สิบกว่าคนก็เช่นกัน บัดนี้มีเพียงเขาที่กำลังนั่งดื่มชากับบุตรชายคนโต หยูเล่อ
“จากสถานการณ์ตอนนี้ เกรงว่าน้องสามของเจ้าคงจะมิรอดแน่…พระสนมซั่งเป็นสตรีที่มีแผนการในใจมากมาย บัดนี้คนที่ไปร้องทุกข์ ณ ศาลจินหลิงยังมีมากโข เดิมทีพ่อคาดว่าจะได้ออกจากที่นี่เร็วสักหน่อย คาดมิถึงว่าไทเฮาจะทรงรั้งพ่อไว้ เจ้าจงเขียนจดหมายไปถึงน้องรองของเจ้า บรรดาเจ้าหน้าที่ของพ่อนั้นเป็นเหมือนแขนขา พวกเขาได้แยกย้ายกันไปยังจวนฉางเล่อ จงกำชับให้น้องรองของเจ้าต้อนรับพวกเขาให้ดี”
สีหน้าของหยูเล่อเคร่งเครียด เขาตอบกลับมาว่า “รับทราบขอรับเสด็จพ่อ”
“อีกอย่าง…พ่อคาดว่าจะออกเดินทางในเดือนสาม ระยะทางไปยังจวนฉางเล่อช่างยาวไกล ให้น้องรองของเจ้าส่งจอมยุทธ์ชุดดำมา…เจอกันที่เมืองหลินเจียง”
“เหตุใดให้ไปเจอกันที่เมืองหลินเจียงขอรับ ? ให้พวกเขารออยู่ที่เขตแดนจินหลิงมิดีกว่าหรือ ? ”
ฮุ่ยชินอ๋องยิ้มจากนั้นกัดฟันเอ่ยว่า “น้องสามของเจ้าจะตายเปล่ามิได้ ! พ่อ…จะให้ตระกูลฟู่ตายตามไปพร้อมกับเขา ! ”
หยูเล่อเพียงแค่เคยพบกับฟู่เสี่ยวกวนครั้งหนึ่ง แต่เขาก็รู้สึกเกรงกลัวชายผู้นี้อยู่ในใจลึก ๆ
เขาเป็นเพียงพ่อค้าที่ดินในเมืองหลินเจียงเท่านั้น แต่กลับใช้เวลาเพียงสองวันทำให้จวนชินอ๋องที่เคยผาสุกกลับกลายเป็นเช่นนี้ได้ นี่บ่งบอกได้ว่าเขาน่ากลัวสักเพียงใด อีกทั้งยังมีพระสนมซั่งเป็นคนคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง หรือบางทีฮ่องเต้อาจจะช่วยเหลือเขาอยู่ก็เป็นได้ !
หากเสด็จพ่อของเขาคิดกำจัดตระกูลฟู่…เกรงว่าเจ้าหมอนั่นจะบ้าคลั่งกว่านี้ ! เขาจะทำเรื่องเหนือความคาดหมายออกมาหรือไม่ ?
“เสด็จพ่อ…”
“พ่อรู้ว่าเจ้ากังวลสิ่งใดอยู่” ฮุ่ยชินอ๋องยกน้ำชาขึ้นดื่ม “หาได้มีผู้ใดรู้จักจอมยุทธ์ชุดดำไม่ ให้พวกเขาบุกเข้าไปฆ่าคนในเรือนซีซานจนสิ้น จากนั้นเผาจวนฟู่ทิ้งซะ นี่เป็นเรื่องที่กระทำได้ง่ายดาย หากฟู่เสี่ยวกวนต้องการจะตรวจสอบ…เขาจะเอาหลักฐานที่ใดมาตรวจสอบกัน !”
หยูเล่อครุ่นคิดดู หากจอมยุทธ์ชุดดำกระจายตัวบุกเข้าไปในเรือนซีซาน จากความสามารถของพวกเขา คาดว่าคงปลิดชีพตาเฒ่าฟู่นั่นได้ง่าย ๆ หลังเสร็จภาระกิจให้รีบหลบหนีออกมาจากเมืองแล้วแยกย้ายกันไป คงไม่มีความเสี่ยงใด ๆ
“ลูกเข้าใจแล้วขอรับ”
ในขณะนั้นเอง ผู้ดูแลจวนเก่าแก่คนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยความรีบร้อน “ทูลฝ่าบาท องค์หญิงเก้าและฟู่เสี่ยวกวนประสงค์จะเข้าพบพ่ะย่ะค่ะ !”
หยูเล่อตกตะลึงเบิกตากว้าง สีหน้าเขาเปลี่ยนไปทันที คล้ายกับนกที่เห็นคันธนูยังไงยังงั้น
ฮุ่ยชินอ๋องเองก็ขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย เจ้าหมอนี่เดินทางมาในครานี้…ต้องการสิ่งใดกัน ?
แต่เนื่องจากองค์หญิงเก้าได้เสด็จมาด้วย เขาจึงมิอาจปฏิเสธการเข้าพบได้ จึงจำเป็นต้องเผชิญหน้า
โดยให้พวกเขาไปรอยังสวนดอกไม้หลังจวน
ฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวินเดินตามผู้ดูแลคนนั้นเข้าไปด้านใน
เขาโบกไม้โบกมือทักทายฮุ่ยชินอ๋อง จากนั้นเอ่ยอย่างยิ้มแย้มว่า “ท่านอ๋องสบายดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ! ”
สีหน้าของฮุ่ยชินอ๋องนิ่งเรียบ เขามิได้สนใจฟู่เสี่ยวกวน แต่กลับหันไปทักทายองค์หญิงเก้าว่า “อาถูกคนผู้น้อยต่ำต้อยทำร้ายเสียจนแทบมิเหลือแม้แต่ชีวิต คาดมิถึงว่าองค์หญิงจะเห็นแก่อดีตที่ผ่านมาจึงได้เดินทางมาเยี่ยมเยียน อาซึ้งใจยิ่งนัก ! ”
ทว่าหยูเวิ่นหวินเกลียดแค้นเสด็จอาผู้นี้เข้ากระดูกดำ อาจเป็นเพราะว่านางใกล้ชิดกับฟู่เสี่ยวกวนมาเป็นเวลานาน แต่นางมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา ได้แต่ยิ้มจาง ๆ
“เสด็จอามิต้องซึ้งใจไปหรอกเพคะ เนื่องจากในวันนี้หลานเดินทางมาพร้อมกับฟู่เสี่ยวกวน…เพียงต้องการมาดูว่าที่จวนของเสด็จอายังมีของมีค่าหลงเหลือบ้างหรือไม่เท่านั้น”
ฮุ่ยชินอ๋องสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “หลานเห็นอาตกบ่อน้ำเช่นนี้ แล้วยังจะปาหินใส่ลงมาอีกรึ ?”
“เสด็จอากล่าวเกินไปแล้วเพคะ หลานเพียงแค่ต้องการ…ปิดปากบ่อเท่านั้น ! ” หยูเวิ่นหวินยังคงยิ้มรื่น ฟู่เสี่ยวกวนเองก็แอบยิ้มอยู่ในใจ ฮุ่ยชินอ๋องมองพวกเขาอย่างเย็นชา หยูเล่อเองก็นั่งอย่างไม่เป็นสุข
ประโยคเมื่อครู่ออกจากปากองค์หญิงเก้า !
เป็นพระประสงค์ของฮ่องเต้งั้นหรือ ?
“เรื่องอื่น ๆ เสด็จอาเจรจากับฟู่เสี่ยวกวนเองเถิดเพคะ หลานเพียงแค่มาดู”
ทั้งสองคนนั่งลงตรงข้ามกับฮุ่ยชินอ๋อง ฟู่เสี่ยวกวนมองไปทางหยูเล่อแล้วเอ่ยว่า “ท่านซื่อจื่อ จวนของท่านนั้นคงมิยากจนถึงขนาดมิมีน้ำชาใช่หรือไม่ ? หากเป็นเช่นนี้กระหม่อมคงต้องไปเรียกร้องกับศาลจินหลิงให้ปิดจวนของท่านอีก เนื่องจากพวกท่านทำลายจวนของกระหม่อมเสียจนมิมีชิ้นดี แต่ยังมิได้ชดใช้ให้กระหม่อมเลยสักนิด กระหม่อมมีสิทธิ์สงสัยว่าพวกท่านได้นำทรัพย์สินขนย้ายหนีไปเสียแล้ว ? ”
“หากพวกท่านหลบหนีไปจริงๆ…” ฟู่เสี่ยวกวนหันไปเอ่ยกับหยูเล่อทีละคำอย่างชัดเจนว่า “กระหม่อมจะไปตามเอาที่ใคร ? ”
“เจ้า !…”
“ชงชา ! ช่างมิรู้จักมารยาทเอาเสียเลย ! ” ฟู่เสี่ยวกวนนั่งหลังตรงและตะคอกไปยังหยูเล่อ
หยูเล่อกลืนน้ำลายลงคอ เขาสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วเริ่มลงมือชงชา
ความคิดของเสด็จพ่อถูกต้องแล้ว ควรให้จอมยุทธ์ชุดดำไปยังเมืองหลินเจียงเร็วสักหน่อย แล้วจัดการทำลายตระกูลฟู่เสีย มิเช่นนั้น…อย่าเรียกข้าว่าหยูเล่อ !
เมื่อมองเห็นสีหน้าของหยูเล่อ ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ละสายตากลับมามองฮุ่ยชินอ๋อง เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า “ท่านอ๋อง เงินจำนวน 200,000 ตำลึงเล่า ! หากพระองค์มิชดใช้ให้ข้า ข้าคงต้องอาศัยอยู่ที่นี่เสียแล้ว”
“เจ้ากล้างั้นรึ ! เจ้านี่มันเกินไปแล้ว ! ” ฮุ่ยชินอ๋องรู้สึกโมโหจนเลือดขึ้นหน้า
ฟู่เสี่ยวกวนโบกไม้โบกมือแล้วกล่าวว่า “ท่านอ๋องทรงไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย แต่โบราณมามีติดค้างต้องมีคืน ฆ่าคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต หยูจิ่งฟ่านฆ่าคนเขาก็ชดใช้ด้วยชีวิต ส่วนพระองค์ในฐานะบิดาก็ติดหนี้ข้าเช่นกัน พระองค์ทำเช่นนี้มิขายหน้าหรือ ? พระองค์กำลังทำให้ราชวงศ์ขายหน้าอยู่หรือเปล่า ! บัดนี้พระองค์มิอาจออกจากจวนได้ หรือจะไหว้วานให้ข้าช่วยป่าวประกาศ ? ”
ฮุ่ยชินอ๋องลำบากใจเป็นอย่างมาก เงินตั้ง 200,000 ตำลึง ! มันไม่มากเกินไปงั้นหรือ !
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้น จากนั้นตบลงไปที่มือของหยูเล่อ “เพี๊ยะ !” หยูเล่อตกใจเสียจนขวัญหาย เขายังมิทันได้เอ่ยปากพูด ก็ได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่า “เจ้าชงชาหลงจิ่งอย่างไรกัน ? เจ้ามิรู้จักวิธีชงหรือไร ! ไปชงมาใหม่ !
หยูเล่อตกตะลึง ฮุ่ยชินอ๋องลุกขึ้นทันที “ฟู่เสี่ยวกวน อย่าให้มากไปกว่านี้ !”
ฟู่เสี่ยวกวนก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นเช่นกัน สีหน้าเขายังคงเยือกเย็นไม่เปลี่ยนแปลง
“ในคืนนี้เป็นวันเฉลิมฉลองไทเฮาครบ 70 พรรษา ! ”
“แต่ท่านอ๋องถูกกักบริเวณเช่นนี้ คงไปร่วมงานมิได้”
“แต่ข้า…ต้องไป”
“พระองค์ลองเดาดูว่ากระหม่อมจะเอ่ยสิ่งใดกับพระนาง ?”
“พระองค์ลองทายดูว่าหลังจากกระหม่อมเอ่ยไปแล้ว ในวันรุ่งขึ้นพระองค์จะถูกกักตัวในจวนของตระกูลหรือไม่ ? ”
“กระหม่อมจะบอกให้ว่า หากพระองค์ไม่ชดใช้เงินให้กับกระหม่อม…กระหม่อมรับรองว่าพระองค์จะมิอาจเดินทางกลับไปยังจวนฉางอันที่หลิงหนานได้เป็นแน่ ! ”
ฮุ่ยชินอ๋องตัวสั่นสะท้าน ฟู่เสี่ยวกวนทำตัวโอ้อวดเพียงนี้ แต่เขากลับมิอาจทำสิ่งใดได้เลย
เขาเดาได้ว่าชายผู้นี้จะต้องเอ่ยวาจาให้ไทเฮาทรงเชื่อตามที่เขาต้องการเป็นแน่ อีกทั้งในคืนนี้ฮ่องเต้ก็ทรงประทับอยู่ด้วย ไหนจะบรรดาขุนนางชั้นสูงต่าง ๆ หากเขาได้รับโทษมากขึ้น…เกรงว่าแม้แต่โอกาสแก้ตัวก็คงจะมิมี
ทั้งสองคนสบตากัน แววตาของฮุ่ยชินอ๋องเริ่มอ่อนลง เขานั่งที่บนเก้าอี้อย่างไรเรี่ยวแรง
เงินจำนวน 200,000 ตำลึงเชียว !
เงินเหล่านี้ใช้จ้างวานจอมยุทธ์ชุดดำได้มากเพียงใด !
แต่เขาจะต้องมาเสียให้ฟู่เสี่ยวกวนเปล่า ๆ งั้นรึ !
เงินจำนวนนี้…ข้าจะคิดบัญชีกับเจ้าในภายหลังแน่ ! ข้าจะให้เจ้าชดใช้ร้อยเท่าพันเท่า !
“เจ้าชนะแล้ว”
ฮุ่ยชินอ๋องเอ่ยออกมาอย่างผู้แพ้
“เงินเล่า ? ” ฟู่เสี่ยวกวนมองไปทางเขาจากนั้นเอ่ยถามอย่างหน้าเลือด
“เล่อเอ๋อร์ จงไปหามารดาเจ้า นำเงินจำนวน 200,000 ตำลึงมา”
หยูเล่อรีบลุกขึ้นแล้วออกจากลานนั้นไป
ฟู่เสี่ยวกวนสีหน้ากลับมาเป็นปกติ เขานั่งลงอย่างสบายอารมณ์ จากนั้นรินน้ำชาให้ฮุ่ยชินอ๋อง “ชาหลงจิ่งนี้ ที่จริงก็มิเลวเท่าใดนัก หากท่านอ๋องทรงตอบรับแต่แรกก็คงมิเกิดเรื่องบาดหมางขึ้นใช่หรือไม่ ? ”
เขารินชาไปพลางเอ่ยว่า “ท่านอ๋องอาจจะทรงมิเข้าใจกระหม่อมเท่าใดนัก กระหม่อมนั้นเป็นคนมีเหตุผล ยังไงเสียกระหม่อมก็เป็นผู้ร่ำเรียนตำรา มิชอบรบราฆ่าฟัน แต่พระองค์มิทรงมีเหตุผลเอาเสียจริง เช่นเหตุการณ์ ณ ถนนสายยาววันนั้น บุตรชายของพระองค์เป็นผู้ผิด กระหม่อมจึงได้สั่งสอนเขาแทนพระองค์เท่านั้น แต่พระองค์ก็ทำให้เป็นเรื่องใหญ่จนได้…”
เอ่ยจบ ฟู่เสี่ยวกวนก็หันไปมองฮุ่ยชินอ๋อง รอยยิ้มบนใบหน้าค่อย ๆ จางลงไป “ท่านอ๋องเป็นผู้มีความคิดรอบคอบและยุติธรรม เหตุใดจึงเข้าข้างบุตรชายที่กระทำผิดกัน ? กระหม่อมมิเข้าใจเสียจริง ในวันนี้มีโอกาสเข้าเฝ้า ข้าจึงอยากถามให้แน่ชัด ขอทรงเอ่ยให้ข้าฟังได้หรือไม่”
“ท่านอ๋อง…แม้ว่าจวนชินอ๋องจะสามารถฝึกฝนทหารได้ 3,000 คน แต่พระองค์ควรระลึกว่าทหารเหล่านี้ท้ายที่สุดคือทหารของฝ่าบาท ! หากพระองค์เดินทางไปยังจวนฉางเล่อแล้วยังมิยอมวางมือ เกรงว่าใต้หล้านี้คงมิมีผู้ใดช่วยพระองค์ได้ ! ”
ฮุ่ยชินอ๋องตกตะลึงสุดขีด แต่เขาก็ได้ฟังฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยต่อมาว่า “มีอีกเรื่องหนึ่งที่กระหม่อมต้องการจะบอก กระหม่อมนั้นเป็นคนลืมยาก ! ใครทำอะไรกระหม่อมไว้กระหม่อมย่อมมิลืมง่าย ๆ แน่ เรื่องที่ถนนสายยาวนี้กระหม่อมเอ่ยกล่าวว่าจะระเบิดจวนท่าน เรื่องนี้…กระหม่อมมิได้เอ่ยเพียงขบขัน ! ”
ตอนที่ 221 กระดาน
ดวงอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า
แสงสีเหลืองสลัวของดวงอาทิตย์กระจายไปตามแนวเขา
เหตุเพราะด้านนอกมีป่าบ๊วยบดบังอยู่ แสงสว่างภายในศาลาซุ่ยเวยแห่งพระตำหนักฉือหนิงกงจึงดูสลัวลงเล็กน้อย
ข้ารับใช้สาวจุดตะเกียง ในห้องสว่างขึ้น ไทเฮาหยิบตะบันไฟขึ้นมา และจุดไม้จันทน์ลงไปในกระถางธูป ควันนั้นราวกับเสา กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วทั้งห้อง
“ข้ากลัวความหนาว จึงเปิดหน้าต่างน้อยมาก แต่หมอหลวงกลับบอกว่า…ทุกยามเช้า 1 ชั่วยาม ต้องเปิดหน้าต่าง 1 เค่อเพื่อให้อากาศถ่ายเท ข้าชราแล้ว คิดว่าคงอยู่ผ่านไปได้ไม่กี่วัน ก็คงจะได้ไปอยู่กับฮ่องเต้องค์ก่อนแล้ว”
นางเดินตัวสั่นไปยังเตียง หยูเวิ่นหวินรีบเข้าไปประคอง และเอ่ยเสียงแผ่ว “พระพลานามัยของไทเฮายังดีอยู่เพคะ อย่างไรก็ต้องมีชีวิตอยู่ถึง 120 ปีได้แน่”
“เด็กสาวอย่างเจ้า…เยี่ยงนั้นข้าก็จะกลายเป็นปีศาจมิใช่รึ แต่หากทานพรของเหล่าลูกหลานเข้าไป ข้าก็จะได้รับผลกรรม”
นางนั่งลงบนเตียง และโบกมือไปมา “พวกเจ้าก็นั่งเถอะ เวิ่นหวินเอ๋ย เจ้าต้มชา ต้มเหยียนฉาจากหลิงหนานที่มารดาเจ้าส่งมาให้ข้าที รสชาติใช้ได้เลยทีเดียว พวกเจ้าก็ลองชิมดูเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนโค้งคำนับอย่างสุภาพ นั่งลงตามความเหมาะสม ซูซูเมียงมอง และก็นั่งลงข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนไม่เข้าใจความคิดของไทเฮาผู้นี้เลย เมื่อเทียบกับในอดีตก็เหมือนกับเป็นคนละคน เยี่ยงนั้นคนไหนที่เป็นไทเฮาตัวจริง ?
เหมือนว่าไทเฮาเพิ่งจะสังเกตเห็นซูซูขึ้นมา จึงตกใจเล็กน้อย และเอ่ยถามว่า “ลูกสาวตระกูลใดกัน งดงามราวกับน้ำแข็งแกะสลัก เหตุใดข้าจึงมิเคยพบเจอมาก่อน ?”
ดวงตาของซูซูเบิกกว้าง รอยยิ้มสดใสผุดขึ้นมาเล็กน้อย ฟู่เสี่ยวกวนรีบตอบทันพลัน “ทูลไทเฮา นี่คือ…องครักษ์ของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้…” ไทเฮาส่งสายตาอย่างมีเลศนัยไปให้หยูเวิ่นหวิน หยูเวิ่นหวินพยักหน้าน้อย ๆ
“เจ้าเข้ามาสิ ให้ข้าได้มองอย่างถี่ถ้วน”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นและเดินเข้าไป ไทเฮาเงยหน้าขึ้น ดวงตาลืมขึ้นมาน้อย ๆ ระยะห่างยังคงห่างไปเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงตบลงที่เตียง “เข้ามานั่งใกล้ ๆ ข้าหน่อย”
ฟู่เสี่ยวกวนเข้าไปนั่งแต่โดยดี ไทเฮาจ้องมองเขาอย่างถี่ถ้วนอยู่เนิ่นนานหลายอึดใจ ในดวงตากลับมิมีร่องรอยฟาดฟันดั่งเมื่อครู่
“หน้าตาของเจ้า…ช่างเหมือนกับมารดาของเจ้ามิมีผิด ! ”
“ไทเฮารู้จักมารดาของกระหม่อมด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
ไทเฮาดึงสายตากลับมา ระบายยิ้มเล็กน้อย ร่องรอยบนใบหน้าดูลึกขึ้น
“ในตอนนั้นสวี่หยุนชิงเป็นสตรีมีความสามารถที่มีชื่อเสียงของเมืองหลวง ในเวลานั้น…ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังเป็นเพียงองค์รัชทายาท กล่าวได้ว่า สวี่หยุนชิงก็เป็นหนึ่งในผู้ที่น่าเลื่อมใส”
ราวกับไทเฮากำลังดำดิ่งลงไปในความทรงจำ หยูเวิ่นหวินที่ต้มชาอยู่กลับประหลาดใจเล็กน้อย หันมองไปทางองค์หญิงใหญ่ องค์หญิงใหญ่ก็เพียงแต่ยิ้มบาง ๆ
“ข้าจำได้ว่าประมาณรัชสมัยไท่เหอปีที่ 40 งานกวีหลานถิงจี๋ในเทศกาลไหว้พระจันทร์ปีนั้น ข้าและฮ่องเต้องค์ก่อนได้ไปดู และก็เป็นตอนนั้นเองที่ข้าได้พบกับสวี่หยุนชิงเป็นคราแรก นางถูกล้อมรอบด้วยชายหนุ่มหนึ่งกลุ่มราวกับจันทราที่มีดวงดาราล้อมรอบ หนึ่งในนั้นมีต่งคังผิง เยี่ยนซือเต้า ทั้งยังมี…โอ้ ใช่ ยังมีสีฉวินเหมยบุตรคนเล็กของตระกูลสีและองค์รัชทายาทของราชวงศ์อู๋ เหวินตี้องค์ปัจจุบัน อู๋ฉางเฟิง แน่นอนองค์รัชทายาทเองก็รวมอยู่ด้วย”
“ยังจำได้ว่าในตอนนั้นข้าได้กล่าวกับฮ่องเต้องค์ก่อนว่า…สวี่หยุนชิงคงเป็นสตรีที่ปักปิ่นแล้ว จะส่งความประสงค์ไปให้สวี่เช่ากวงหรือไม่ ให้สวี่หยุนชิงได้อภิเษกกับองค์รัชทายาทขึ้นเป็นสนมขององค์รัชทายาท”
ฟู่เสี่ยวกวนตกใจจนอ้าปากค้างเล็กน้อย ในปีนั้นมารดาเขา…มีเสน่ห์ถึงเพียงใดกัน ?
หยูเวิ่นหวินเองก็มิทราบเรื่องนี้ เมื่อได้ยินเยี่ยงนั้นก็ตกอยู่ในภวังค์ แม้ว่าน้ำในกาจะเดือดแล้วก็ยังมิรู้ตัว โชคดีที่องค์หญิงใหญ่นั่งลง และรับหน้าที่ต้มชาต่อ
“หากในยามนั้นหากฮ่องเต้องค์ก่อนพยักหน้า ไทเฮาของราชวงศ์หยูตอนนี้ ก็คงจะเป็นสวี่หยุนชิงไปแล้ว ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงไปชั่วขณะและเอ่ยถามว่า “มิใช่ เหตุใดกระหม่อมจึงได้ยินมาเพียงว่าเยี่ยนซือเต้าชอบมารดาของกระหม่อม ? ”
“ไร้สาระ ผู้ที่ชอบมารดาเจ้าในเมืองหลวงนี้มีอยู่มากมาย”
ทันใดนั้นไทเฮาก็ถอนหายใจ และกล่าวอีกว่า “เป็นเรื่องวาสนาทั้งสิ้น…บางทีอาจจะเป็นโชคชะตา จากนั้นข้าก็ได้ไปถามฮ่องเต้องค์ก่อนเช่นกัน แต่ฝ่าบาทก็มิมีคำตอบให้ หลังจากนั้น…ข้าก็ได้ยินมาว่าสวี่หยุนชิงแต่งกับเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียง หลังจากนั้น ข้าก็มิเคยถามถึงนางอีก แต่ก็มิคาดคิดเลยว่าบุตรชายของนางจะโตถึงเพียงนี้แล้ว”
จนถึงตอนนี้ คำพูดที่กล่าวถึงมารดาของเขา มีด้วยกันทั้งหมดสามแบบ
แบบที่หนึ่งคือเรื่องเล่าจากฟู่ต้ากวนเมื่อยามอยู่เบื้องหน้าหลุมศพ แบบที่สองคือเรื่องเล่าเหตุการณ์ในอดีตที่ได้ฟังมาจากอาจารย์หูฉินหูที่หงซิ่วจาว และแบบที่สามก็คือในตอนนี้ ความทรงจำที่ไทเฮามีต่อสวี่หยุนชิง
ในเรื่องเล่าแบบที่หนึ่ง มารดาและบิดาพบรักกัน และได้หนีตามกันไป ในเรื่องเล่าที่สอง ฟู่ต้ากวนคือมือที่สาม ตามที่หูฉินเล่ามา มารดามิได้ชอบพอกับบิดา เดิมทีนางควรจะแต่งกับเยี่ยนซือเต้า
แต่ในเรื่องแบบที่สาม คาดมิถึงว่ามารดาเกือบจะได้เป็นไทเฮา เพียงเพราะฮ่องเต้องค์ก่อนหน้ามิได้พยักหน้า เยี่ยงนั้นเหตุใดฮ่องเต้องค์ก่อนจึงมิยินยอมกัน
บางทีระหว่างมารดาและองค์ชายอาจไร้ซึ่งความรัก เยี่ยงนั้นที่ตนเองได้รับความโปรดปรานจากไทเฮา จะมีมารดาเป็นเหตุผลอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบ นี่คือเรื่องที่ไร้หนทางจะหาคำตอบ และเขาก็มิมีจิตใจที่จะอยากทราบความจริง
“เมื่อครู่พระองค์กล่าวว่ามีองค์รัชทายาทของราชวงศ์อู๋อยู่ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“มิผิด งานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์หยูในปีนั้น เหวินสิงโจวจากราชวงศ์อู๋ได้พาบัณฑิตจากราชวงศ์อู๋มาเข้าร่วม อู๋ฉางเฟิง องค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์อู๋ก็อยู่ที่นั่น”
เรื่องนี้ฉินปิ่งจงมิเคยเอ่ยถึง ดูเหมือนว่าการมาขององค์รัชทายาทราชวงศ์อู๋จะเป็นความลับ ฉินปิ่งจงจึงมิทราบ
“เอาล่ะ ตอนนี้มารดาของเจ้าก็ได้ไปสวรรค์แล้ว และเจ้าในตอนนี้ก็ได้มีอนาคตแล้ว นางคงสบายใจแล้วเช่นกัน”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นและถอยไปนั่งยังโต๊ะน้ำชา ไทเฮาราวกับอ่อนล้าเล็กน้อย นางหลับตาลงอยู่เนิ่นนานและมิได้กล่าวอันใดอีก
หยูเวิ่นหวินจึงหลุดออกจากภวังค์ และรีบรับชาที่ต้มได้ที่แล้วมารินให้กับองค์หญิงใหญ่ และเอ่ยแนะนำกับฟู่เสี่ยวกวนเสียงแผ่ว “นี่คือเสด็จป้าของข้า องค์หญิงใหญ่”
ฟู่เสี่ยวกวนรับทำความเคารพ “คำนับเสด็จป้า ! ”
องค์หญิงใหญ่หัวเราะร่า หยูเวิ่นหวินตื่นตกใจ ใบหน้าแดงก่ำในพลัน
ฟู่เสี่ยวกวนจึงตระหนักขึ้นมาได้ว่ายังมิสามารถเรียกเยี่ยงนี้ได้ในตอนนี้ แต่เมื่อได้กล่าวไปแล้วก็มิอาจคืนคำกลับมาได้ เขาจึงยิ้มแหย และกล่าวอีกว่า “กระหม่อมเห็นความเป็นกันเองของเสด็จป้า ดังนั้นจึงอดที่จะเรียกออกมาเยี่ยงนั้นมิได้ เสด็จป้าโปรดประทานอภัยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าคนนี้ ปากหวานนัก…เวิ่นหวินเอ๋ย เจ้าและชูหลานต้องจับตาดูเขาเอาไว้ให้จงดี เสด็จป้ากังวลเหลือเกินว่าปากของเขาจะไปหลอกลวงหญิงสาวอีกเป็นจำนวนมาก”
หยูเวิ่นหวินเม้มปากและจ้องฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง ลอบคิดว่าเสด็จป้ายังมิทราบถึงเยี่ยนเสี่ยวโหลวหลานสาวของเยี่ยนเป่ยซีผู้นั้น เกรงว่านางจะตกหลุมของเขาเสียแล้ว
ไทเฮาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าคิดว่า เยี่ยงไรแล้วก็เป็นเชื้อสายของเชื้อพระวงศ์ เรื่องนี้จะช่างมันไปได้หรือไม่ ? ”
องค์หญิงใหญ่ส่งสายตาให้กับฟู่เสี่ยวกวน หมายความได้ว่าให้เขาถอยทางให้แก่ไทเฮาเยี่ยงนี้ เรื่องนี้ได้บรรลุเป้าหมายแล้ว เยี่ยงนั้นก็ช่างมันไปเสีย
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับกล่าวอย่างจริงจัง “กราบทูลไทเฮา กระหม่อมคิดว่าองค์ชายสามสมควรได้รับโทษทางกฎหมายอย่างสาสม ส่วนฮุ่ยชินอ๋อง กระหม่อมคิดว่าเพื่อมิให้ก่อปัญหาขึ้นมาอีก ไทเฮาทรงโปรดเกลี้ยกล่อมให้ชินอ๋องออกจากเมืองหลวงไปยังที่ของเขาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
และแล้วก็เงียบไปอีกครั้งอย่างเนิ่นนาน
“ต้องให้เขาสิ้นชีพจริง ๆ หรือ ? ”
บรรยากาศในยามนี้หนักอึ้ง หน้าต่างมิได้เปิดออก แม้แต่หายใจยังรู้สึกลำบาก
“ทูลไทเฮา องค์ชายสามจะตายตกหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับกฎหมาย กระหม่อมอยากจะให้ไทเฮาทรงตระหนัก เรื่องที่องค์ชายสามก่อฆาตกรรมกลางวันแสก ๆ ประชาชนนับร้อยที่ถนนเส้นยาวต่างรู้เห็น และเรื่องเลวร้ายที่องค์ชายสามได้กระทำในอดีต คาดว่าไทเฮาเองก็ทรงทราบเป็นอย่างดี กระหม่อมเข้าใจพระประสงค์ของไทเฮา แต่กระหม่อมอยากให้ไทเฮาทรงตระหนัก ว่ามีผู้ใดบ้างที่เข้าใจหัวอกของบิดามารดาของคนที่เป็นเหยื่อกัน ? ”
“หากกระทำชั่วแล้วมิได้รับโทษ เยี่ยงนั้นความดีก็มิมีความหมาย และกฎหมายทางศีลธรรมของประเทศนี้ ก็จะล่มจมด้วยเรื่องนี้เช่นกัน ทำให้ขุนนางเพิกเฉยต่อกฎหมาย ประชาชนไม่เชื่อในกฎหมาย ก็จะไร้ซึ่งกฎเกณฑ์ สำหรับราชวงศ์หยู นั่นร้ายแรงอย่างยิ่ง กระหม่อมกล้ายืนยันได้ว่า หากองค์ชายสามมิได้รับโทษทัณฑ์ เยี่ยงนั้นกฎหมายทางศีลธรรมของราชวงศ์หยูก็จะถดถอยไปอย่างน้อยร้อยปีพ่ะย่ะค่ะ”
“ดังนั้นเพื่อบ้านเมืองของต้าหยู กระหม่อมคงต้องขอทูลไทเฮาโปรดลงโทษตามผิดด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
และเงียบลงไปอีกครา
มีเพียงควันของชา และควันหอมของไม้จันทน์
ผ่านไปเนิ่นนาน ดวงตาของไทเฮาก็ยังมิลืมขึ้น นางเอ่ยอย่างเชื่องช้า “ข้าเหนื่อยแล้ว เรื่องของเจ้าและเวิ่นหวิน…ข้าคงเห็นด้วย เจ้าจงจดจำให้ดีว่าข้านั้นรักและเอ็นดูเวิ่นหวินเป็นอย่างมาก หากเจ้าทำให้นางเจ็บช้ำน้ำใจ…ข้าจักมิปล่อยเจ้าไว้แน่ ! ”
นางยกมือขึ้นมาโบกเล็กน้อย “พวกเจ้าออกไปเถอะ เวิ่นหวิน เปิดหน้าต่างนั้นออก ข้าต้องการพักผ่อนสักประเดี๋ยว”
ไทเฮายินยอมกับเรื่องของหยูเวิ่นหวินและฟู่เสี่ยวกวนแล้ว เดิมทีแล้วเป็นเรื่องที่น่าดีใจ แต่ในยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวินกลับดีใจไม่ออก
ไทเฮาทราบแน่ชัดว่าองค์ชายสามต้องตายตก ในฐานะคนเป็นยาย นางย่อมอยากช่วยเหลือองค์ชายสาม ในฐานะไทเฮาของประเทศ นางก็เข้าใจความหมายในคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างดี
นางเหนื่อยอย่างแท้จริง เหนื่อยที่จิตใจ
นางคาดมิถึงว่าที่ปีนั้นนางเมตตาให้ฮุ่ยชินอ๋องอยู่ที่เมืองหลวงต่อ จะกลับก่อให้เกิดโศกนาฎกรรมเฉกเช่นในตอนนี้ หากปีนั้นมิแก้ไขข้อกำหนด และปล่อยให้ฮุ่ยชินอ๋องไปยังหลิงหนาน บางทีอาจจะมิกลายมาเป็นเช่นนี้
นางนอนลงบนเตียงแต่มิได้หลับใหล แต่ในยามที่ลืมตาขึ้นมา เหม่อมองเพดานที่ว่างเปล่า หยาดน้ำตาก็หลั่งรินออกมาทางหางตา
…..
…..
ณ วังเตี๋ยอี๋
ฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวินนั่งลงข้างกัน
หยูเวิ่นหวินเล่าเรื่องทั้งหมดให้พระสนมซั่งโดยละเอียด สีหน้าพระสนมซั่งครึ้มลงไปเล็กน้อย ผ่านไปเนิ่นนานจึงได้ถอนหายใจออกมา
“ข้ารู้สึกว่ามันไร้ค่านักสำหรับไทเฮา แต่มิใช่ฮุ่ยชินอ๋อง ฮุ่ยชินอ๋องแสดงละครออกมาได้ดีเยี่ยม ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิเข้าใจ จึงเอ่ยถาม “พระสนมจะหมายถึง…”
“เขามิใช่คนโง่ถึงเพียงนั้น ที่แสดงออกเยี่ยงนั้นต่อหน้าไทเฮาก็เพื่อจะออกไปจากเมืองหลวง หากเขาก้มหน้ารับผิด ไทเฮาย่อมใจอ่อน จนอดที่จะมีความคิดที่จะรั้งเขาให้อยู่ที่เมืองหลวงมิได้”
“แต่เขาเข้าใจว่าในตอนนี้หากอยู่เมืองหลวงต่อไปก็ไร้ความหมาย สู้ให้เขากลับไปหลิงหนานและรอคอยกลับมาเสียจะดีกว่า ดังนั้นเขาจึงมิยอมรับผิด กลับเลือกที่จะปะทะกับเจ้าต่อไป จุดประสงค์มีเพียงหนึ่ง ก็คือให้ไทเฮายอมแพ้กับเขา”
ฟู่เสี่ยวกวนจึงตระหนักขึ้นมาได้ ฮุ่ยชินอ๋องทราบว่าตนนั้นจะตายไม่ได้ และเขาก็มีโอรสอีก 2 พระองค์ แต่หากอยู่ที่เมืองหลวงต่อไป บางทีอาจจะมีหายนะที่ใหญ่ยิ่งกว่า เลือกจากไปจึงเป็นทางเลือกที่ดียิ่งกว่า
ถึงแม้ที่หลิงหนานจะทุรกันดาร และก็อยู่ห่างไกลจากดินแดนฮ่องเต้ ที่ดินหนึ่งหมู่สามส่วน เขายังคงสามารถกำเริบเสิบสานได้อีกมาก
ตนเองยังคงใจอ่อนเกินไป !
“ในตอนนี้คงทำได้เพียงเท่านี้ ปล่อยเขาไปเถิด เยี่ยงไรแล้วก็ก่อคลื่นมิได้มากหรอก เสี่ยวกวน เจ้าสามารถเขียนจดหมายเชิญบิดาของเจ้ามาที่นี่ได้แล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนดีใจอย่างมาก ใบหน้าของหยูเวิ่นหวินแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม
พระสนมซั่งเหม่อมองต้นบ๊วยด้านนอกหน้าต่าง ใบหน้าสงบนิ่ง แต่ภายในกลับโล่งใจอย่างยิ่ง
เพื่อให้ลูกสาวของตนสามารถสมรสกับฟู่เสี่ยวกวนได้ กระดานที่ได้ตั้งเอาไว้ ก็จะพบกับบทสรุปที่ประสบความสำเร็จ
และหมากของกระดานต่อไปก็ได้ถูกวางไว้แล้ว ต่อจากนี้ เพื่อทุกสิ่งมีชีวิต คงต้องคอยตามสถานการณ์ของเมืองหลวงต่อไป !
ตอนที่ 220 ไทเฮาทรงพระเกษมสำราญ
ในค่ำคืนนี้ ฟู่เสี่ยวกวนร่วมดื่มกับหยูเวิ่นเต้าจนถึงเวลาที่ดวงจันทร์ขึ้นสู่กลางท้องฟ้า
เป็นไปตามที่ฟู่เสี่ยวกวนคาดไว้ หอชิงเฟิงซี่หยู่มิได้ต่อสู้กับหยี่ฮวาถาย สถานที่แห่งนั้นเมื่อผู้คนจากไปก็ไร้สิ้นเงา
หยูเวิ่นเต้ารู้สึกผิดหวังและเสียใจเล็กน้อย เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามมิได้สนใจต่อสู้กับเขาแม้แต่น้อย
“ข้าคือผู้พ่ายแพ้ที่แท้จริง ! ”
“ท่านคิดเช่นนั้นก็มิถูก”
“ถ้าเช่นนั้นข้าควรทำเยี่ยงไร ? ”
“…องค์ชายควรจะต่อสู้เพื่อตำแหน่ง ! ”
หยูเวิ่นเต้ามองไปยังฟู่เสี่ยวกวนครู่หนึ่ง “สุราดื่มไปไม่น้อย ดวงจันทร์ขึ้นสู่ยอดฟ้าแล้ว ข้าขอตัว ! ”
เขาเดินกลับออกไป เมื่อเดินไปถึงประตูจวนฟู่จึงได้เอ่ยขึ้นมาว่า “ในวันพรุ่งนี้ คาดว่าไทเฮาจะทรงรับสั่งเรียกตัวเจ้าเข้าวัง หากพระนางชอบ เจ้าสามารถเอ่ยเรื่องเพาะปลูกนั่นให้พระนางฟังได้”
หมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนยืนมองจนกระทั่งรถม้าของหยูเวิ่นเต้าลับตาไป เขาหันหลังกลับเข้าไปในจวน ในใจยังนึกถึงประโยคของหยูเวิ่นเต้าเมื่อครู่ หรือไทเฮาจะทรงรักในการเพาะปลูกงั้นรึ ?
……
…….
รัชสมัยเซวียนลี่ที่แปด เดือนหนึ่งวันที่เก้า อากาศแจ่มใส
การที่มิต้องประชุมแต่เช้าช่างดียิ่ง !
แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้เสียเวลานอนเล่นอยู่บนเตียง เขายังคงตื่นแต่เช้าและออกกำลังกาย อาบน้ำ นั่งสมาธิ กินข้าวตามปกติ
นับจากการต่อสู้ที่ถนนสายยาวนั้น ทุกคราเมื่อเขานั่งสมาธิ คล้ายกับมีพลังบางอย่างที่บอกไม่ถูก คล้ายกับมีลมปราณหมุนเวียนในร่างกาย แต่เขาก็มิอาจจับต้องได้ และมิอาจสร้างลมปราณที่จุดตันเถียนได้เช่นกัน
จากคำกล่าวของซูเจวี๋ย บัดนี้เขาขาดเพียงเวลาที่เหมาะสม เมื่อเวลานั้นมาถึง ลมปราณเหล่านี้จะก่อตัวขึ้นเอง
สิ่งนี้จะว่าไปก็อัศจรรย์ยิ่ง เขาไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถึงเวลาตามที่ซูเจวี๋ยกล่าว ดังนั้นจึงได้แต่นั่งสมาธิเพื่อฝึกคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางต่อไป
กระทั่งดวงอาทิตย์เริ่มขึ้น ความรู้สึกนั้นก็ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ คล้ายกับบางอย่างกำลังก่อกระแสไหลเชี่ยว คล้ายกับกำลังลอยอยู่แต่มิอาจจับต้องได้
ต่อจากนั้น เขาก็ได้เขียนหนังสือกั๋วฟู่ลุ่น ณ หอเถาหราน บทที่สอง เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างกำไรจากทุนและภาษี
ในตอนเช้าต่งชูหลานมิได้เดินทางมา เนื่องจากนางได้เดินทางไปยังร้านเสื้อผ้า และเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานตามที่ฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยนำเมื่อวาน
ฟู่เสี่ยวกวนรออยู่กระทั่งตอนบ่ายจึงได้รับคำสั่งให้เข้าเฝ้าจากไทเฮา เขาวางพู่กันลงจากนั้นได้นั่งคิดอะไรบางอย่างอยู่กว่าครึ่งก้านธูป จากนั้นจึงไปอาบน้ำแล้วพาซูซูเข้าวังไปพร้อมกับเขา
ซูซูรู้สึกประหลาดใจยิ่งเมื่อเข้ามาในราชวัง
“โอ้โห ! ที่นี่ช่างกว้างใหญ่ยิ่งนัก ! ”
“ดูนั่น ! วังนั้นงดงามยิ่ง ชายคานั่นคือเฟิ่งหวงใช่หรือไม่ ? ”
“……”
ท่าทางของซูซูกับท่านยายหลิวเมื่อตอนเข้ามาในราชวังคราแรกนั้นมิได้ต่างกันเลย
ขันทีเหนียนนำทางฟู่เสี่ยวกวนและซูซูมายังพระตำหนักฉือหนิงกง
เป็นพระตำหนักขนาดใหญ่ที่อยู่ทางใต้ของวังหลวง มองดูแล้วใหญ่โตยิ่งกว่าวังเตี๋ยอี้ของพระสนมซั่งมากนัก
พระตำหนักฉือหนิงกงอยู่ใจกลางราชวัง รอบด้านสี่ทิศเป็นศาลาและสวนดอกไม้
เมื่อทั้งสามเดินเข้ามาด้านใน คล้ายกับได้ยินเสียงใครบางคนร้องงิ้วออกมา เมื่อตั้งใจฟังดี ๆ พบว่าเป็นเนื้อร้องของบทนิยายความฝันในหอแดง
ไทเฮาเรียกเขาเข้าเฝ้าเนื่องจากต้องการให้เขาฟังงิ้วงั้นรึ ?
บัดนี้ฮุ่ยชินอ๋องคงจะตื่นแล้ว เขา…จะอยู่ที่พระตำหนักฉือกงด้วยหรือไม่ ?
เขาหยุดฝีเท้าลงทันใดแล้วกล่าวกับขันทีเหนียนว่า “มีอยู่เรื่องหนึ่งข้าคงต้องไหว้วานขอให้ท่านช่วย”
“เชิญนายน้อยกล่าวมาได้เลยขอรับ”
“ฮุ่ยชินอ๋องจะกลับหลิงหนาน ข้าต้องการให้คนของหอซี่หยู่แฝงกายเข้าไปในจวนฮุ่ยชินอ๋อง ถ้าได้อยู่ข้างกายฮุ่ยชินอ๋องจะเป็นการดียิ่งนัก”
ขันทีเหนียนนึกอยู่ในใจว่า ฮุ่ยชินอ๋องจะกลับหลิงหนานหรือไม่ยังมิอาจตัดสินได้ เหตุใดนายน้อยจึงได้วางแผนเช่นนี้ ?
“ประเดี๋ยวข้าน้อยส่งนายน้อยเข้าไปแล้วจะรีบจัดแจงขอรับ”
“อืม…อ้อ จงสั่งให้คนในราชวงศ์อู่เขียนรายงานเกี่ยวกับวัดหานหลิง อีกทั้งเรื่องราวของเหวินตี้กับราชวงศ์อย่างละเอียดมาให้ข้า แผนที่ราชวงศ์อู่ก็ด้วย เมื่อได้แล้วจงส่งมาให้ข้า”
“ขอรับนายน้อย”
“เชิญนำทางได้”
เสียงงิ้วนั้นยิ่งฟังยิ่งชัดเจนขึ้น ในที่สุดพระตำหนักฉือกงอันงดงามก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าฟู่เสี่ยวกวน
ตรงกลางของพระตำหนักมีเวทีแสดงงิ้วตั้งอยู่ ด้านล่างมีร่มถูกวางไว้มากมายอยู่บนเก้าอี้ แต่บัดนี้มีเพียงร่มคันเดียวที่ถูกกางออก ด้านในร่มมีคนสี่คน
ผู้ที่นั่งอยู่ด้านหน้าสุดเป็นหญิงชราผมขาวผิวพรรณผ่องใส คาดว่าคงจะเป็นไทเฮาแน่นอน ด้านขวาของพระนางเป็นสตรีรุ่นราวคราวเดียวกับพระสนมซั่ง ส่วนด้านซ้ายของพระนางคือฮุ่ยชินอ๋อง !
หยูเวิ่นหวินนั่งอยู่ข้าง ๆ สตรีผู้นั้น บัดนี้นางได้ละสายตาจากการแสดงงิ้ว แล้วมองมายังฟู่เสี่ยวกวน
แววตานั้นทั้งชื่นชม และเป็นกังวลในเวลาเดียวกัน
ขันทีเหนียนได้พาฟู่เสี่ยวกวนและซูซูมายังจุดที่ไทเฮาประทับอยู่ จากนั้นเขาได้คุกเข่าลงไป และกล่าวว่า “กระหม่อมพาฟู่เสี่ยวกวนมาเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ !”
ฟู่เสี่ยวกวนคุกเข่าตามลงไป “กระหม่อม ฟู่เสี่ยวกวน คารวะไทเฮา ! ขอพระองค์ทรงพระเกษมสำราญ ! “
ไทเฮาตกตะลึงเล็กน้อย หมายความว่าอย่างไรกัน ?
เกษมสำราญงั้นรึ ?
อืม ช่วงนี้ข้ามิเกษมสำราญเอาเสียเลย !
ซูซูมิมีความรู้เกี่ยวกับมารยาทในราชวัง นางมองซ้ายมองขวาแล้วคุกเข่าตามไป แต่มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา นางมิรู้ว่าควรเอ่ยอันใดออกมา เพียงแต่รู้สึกรำคาญมารยาทเช่นนี้นัก
ไทเฮาทรงโบกพระหัตถ์ บ่าวรับใช้นางหนึ่งเดินขึ้นไปบนเวที โค้งคำนับนักแสดงงิ้วแล้วเดินลงมาด้านล่าง บัดนี้ทุกอย่างได้เงียบสงบลง
“เจ้าคือฟู่เสี่ยวกวนงั้นรึ ? ”
“กระหม่อมคือฟู่เสี่ยวกวนพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าไทเฮาจะทรงเอ่ยให้เขาลุกขึ้น แต่พระนางมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก ดังนั้นเขาจึงเงยหน้าขึ้นมอง พอดีจังหวะประสานสายตากับไทเฮา เขาจึงได้รีบก้มหน้าลงไปและเกิดความวิตกกังวลในใจ
เนื่องจากสายตาที่เขาเห็นเมื่อครู่ของไทเฮา แฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น !
หยูเวิ่นหวินมิพอใจเท่าใดนัก นางมองไปยังไทเฮา องค์หญิงใหญ่ก้มหน้า พร้อมกับบีบมือของนางเบา ๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง ไทเฮาจึงทรงได้ถอนหายใจออกมาแล้วเอ่ยว่า “ลุกขึ้นเถิด ! ”
“ขอบพระทัยไทเฮา !”
ทั้งสามลุกขึ้นยืน ขันทีเหนียนคารวะแล้วจากไป ส่วนฟู่เสี่ยวกวนและซูซูยืนคู่กันไม่ขยับ
“หากข้าต้องการให้หลินไต้ยวี่มีชีวิตอยู่ เจ้าสามารถแก้ไขหนังสือนั้นได้หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไปประมาณห้าวินาที “การที่หลินไต้ยวี่มีชีวิตอยู่เป็นความทรมาน สู้ตายไปเสียจะดีกว่าพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“แต่ข้าต้องการให้นางมีชีวิตอยู่ ! ”
เสียงนี้แหลมคม แสดงถึงไทเฮาที่ทรงกริ้วเป็นอย่างยิ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ต่อให้หลินไต้ยวี่มีชีวิตอยู่ ก็มิอาจเปลี่ยนแปลงชะตาของจวนเจี๋ยได้ ทั้งที่นางตายไปแล้ว แต่หากคนในจวนเจี๋ยที่ควรตายมิตาย คนที่มิควรตายกลับตาย กระหม่อมขอทูลถามว่า นี่คือความผิดของผู้ใดงั้นหรือ ? ”
“บังอาจ ! ” ไทเฮากริ้วมาก นางตะโกนออกมา ฟู่เสี่ยวกวนรีบโค้งคารวะและเอ่ยว่า “ขอพระนางทรงพระเกษมสำราญ !”
หยูเวิ่นหวินกำมือองค์หญิงใหญ่ไว้แน่น องค์หญิงใหญ่ตบลงบนมือนางเบา ๆ สีหน้ามิได้แสดงความกังวลแม้แต่น้อย
ฮุ่ยชินอ๋องที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ไทเฮา บัดนี้ตาแดงก่ำไปด้วยความแค้น เขาลุกขึ้นยืนแล้วชี้ไปทางฟู่เสี่ยวกวน “เจ้าโจรใจบาป กล้าดีอย่างไรเสียมารยาทต่อหน้าไทเฮาเช่นนี้ ทหาร ! ”
แต่ทันใดนั้นพบว่ามีขันทีเก่าแก่คนหนึ่งเดินเข้ามา เขาทำความคารวะไทเฮาจากนั้นยื่นหนังสือฉบับหนึ่งไปให้กล่าวด้วยเสียงอันเบาว่า “ทูลไทเฮา นี่คือ…หนังสือร้องทุกข์ของชาวบ้านสี่คนที่ถูกฮุ่ยชินอ๋องและองค์ชายสามรังแกพ่ะย่ะค่ะ”
ฮุ่ยชินอ๋องได้ยินดังนั้นก็โมโหยิ่ง “พวกเขาใส่ความข้า ! พวกเขาต้องการให้บุตรชายข้าถึงแก่ความตาย ! พวกเขาต้องการให้ข้าไร้สิ้นทุกอย่าง ! ”
“หุบปาก ! ” ไทเฮาทรงตะโกนออกมา ฮุ่ยชินอ๋องถึงกับหน้าแดงก่ำ หายใจเข้าออกไม่เป็นปกติ
แต่ไทเฮามิได้ทรงใส่ใจเขา กลับหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน
“การต่อสู้อาบเลือดที่ถนนสายยาวนั่น เจ้าดื่มสุราฉลองท่ามกลางหิมะ มองไปช่างกล้าหาญนัก ในวันนี้ที่ข้าเรียกเจ้าเข้าเฝ้าก็ต้องการถามเจ้าเรื่องฮุ่ยชินอ๋อง เจ้าคิดว่าเขาควรจะมีจุดจบเช่นไร ? ”
อืม นี่สิถูกต้องแล้ว
น้ำเสียงตวาดเมื่อครู่มิได้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนตกใจกลัว บัดนี้อารมณ์ของไทเฮาดูจะสงบลงมากแล้ว
“ทูลไทเฮา กระหม่อมคิดว่า แม้จะเป็นองค์ชาย แต่หากกระทำผิดก็ควรได้รับบทลงโทษเช่นเดียวกับสามัญชนพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ ?” ไทเฮาขมวดคิ้วขึ้นด้วยความเหลือเชื่อ เดิมทีดวงตาที่สงบลงแล้วกลับปะทุขึ้นอีกครั้ง
“กระหม่อมคิดว่า บ้านเมืองมีกฏหมาย การที่องค์ชายสามรังแกฆ่าฟันนั้น ประชากรจำนวนมากเห็นด้วยตาของพวกเขาเอง อีกทั้งยังมีคนของจวนผู้ว่าเขตกำลังสืบสวนเรื่องนี้ หากไทเฮาทรงปกป้ององค์ชายสาม กระหม่อมขอประทานอภัยเอ่ยถามว่า พระนางเห็นกฎหมายบ้านเมืองในสายตาหรือไม่ ? พระนางทรงคิดว่าฝ่าบาทจะทำเยี่ยงไรเมื่อประชากรทราบเรื่องนี้เข้า ? พวกเขาจะพากันเอ่ยถึงพระนางเช่นไร ? พวกเขาจะคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับราชวงศ์หยูของเรา ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามหลายคำถามพร้อม ๆ กัน สีหน้าของฮุ่ยชินอ๋องเปลี่ยนไปทันที “บุตรชายข้าอายุยังน้อย อีกทั้งมิเคยรังแกสตรีพวกนั้น เขากลับใช้กฎหมายบ้านเมืองและฝ่าบาทเข้ามาข่มขู่ไทเฮา ! เจ้าเห็นว่าราชวงศ์คืออะไรกัน ! ทหาร ! จับตัวมันไปโบยให้ตาย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะแล้วกล่าวว่า
“ฮุ่ยชินอ๋อง ท่านอยากกระอักเลือดอีกงั้นรึ ?” กล่าวจบสีหน้าเขาก็แฝงไปด้วยความเยือกเย็น ดวงตาคู่นั้นจ้องมองไปยังฮุ่ยชินอ๋องและไม่ได้ขยับไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว
“การที่บุตรชายของท่านทำผิดหรือไม่ ศาลจะเป็นผู้ตัดสินคดีความเอง กระหม่อมจะเอ่ยให้ฟังว่า การที่บุตรชายของท่านเป็นเช่นนี้ เนื่องจากการอบรมสั่งสอนของท่านไร้ผล ! ท่านเคยได้ยินหรือไม่ที่โบราณกล่าวว่าพ่อเป็นเช่นไร ลูกก็เป็นเช่นนั้น ! เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดท่านไม่เพียงแต่มิรู้สำนึก ทั้งยังใช้อำนาจของไทเฮาสั่งให้โบยกระหม่อม…ท่านบ้าไปแล้วรึ ? กระหม่อมคิดว่าท่านจะเข้าใจในหลักการง่าย ๆ นี้เสียอีก คาดมิถึงว่าท่านจะลากไทเฮาลงมาที่ต่ำเช่นนี้ด้วย ! ”
“ท่านคิดว่าคนทั่วหล้ามิมีตาหรือไร ? ท่านคิดว่าไทเฮาจะทรงหลงกลเชื่อท่านงั้นรึ ? การที่ท่านมีชีวิตอยู่นี่ช่างสิ้นเปลืองอาหารสิ้นดี ท่านคือตัวแทนแห่งความชั่วร้าย ความน่ารังเกียจและความเจ้าเล่ห์ของโลกใบนี้ ! ”
“เจ้า…!”
“เจ้าอะไรงั้นหรือ ! หากท่านมีจิตใต้สำนึกสักน้อย ท่านจะกล้าฉุดไทเฮามาข้องเกี่ยวด้วยอีกงั้นรึ ! หากท่านมีความกตัญญูอยู่บ้าง ก็ควรจะคุกเข่าขอโทษพระนางเสีย แล้วกล่าวความจริงอันชั่วร้ายที่ท่านกระทำไปให้พระนางฟัง เพื่อให้พระนางทรงให้อภัย แต่นี่ท่านทำสิ่งใดอยู่ ? ท่านมิเพียงแต่ไม่สำนึก อีกทั้งยังแอบอ้างไทเฮามาลงโทษกระหม่อม…การที่ไทเฮาทรงมีบุตรชายเยี่ยงท่าน กระหม่อมเสียใจแทนพระนางจริง ๆ และเห็นใจฝ่าบาทยิ่งที่มีน้องชายเยี่ยงท่าน ท่านจง…ตายไปเสียเถิด ! ”
“เจ้า…อึก…!”
ฮุ่ยชินอ๋องโกรธจนถึงขีดสุด เขากระอักเลือดออกมาอีกครั้ง มืออันสั่นเทาชี้ไปยังฟู่เสี่ยวกวน “เจ้า เจ้า ! เสด็จแม่…ช่วยตัดสินความเป็นธรรมแก่ลูกด้วยพ่ะย่ะค่ะ…”
“หุบปาก ! ”
ไทเฮาทรงลุกชึ้น ฮุ่ยชินอ๋องรีบคุกเข่าลงไป แต่ไทเฮากลับมิได้สนใจเขา นางยังคงหลับตาอยู่อย่างนั้น
“เจ้ากลับไปได้”
“เสด็จแม่ ! ”
“ข้าสั่งให้เจ้ากลับไป ! ”
ซูเจวี๋ยไม่เข้าใจในคำพูดของฟู่เสี่ยวกวน แต่ต่งชูหลานกลับรู้สึกกังวลใจเล็กน้อย
“เหมือนกับประโยคที่เจ้าได้กล่าวไว้ในคืนนั้นที่เรือนซีซานเมื่อปีที่แล้ว ความกังวลใจของซูเจวี๋ยมิได้ไร้เหตุผล สุดท้ายแล้วประเทศของราชวงศ์หยูก็เป็นประเทศทางวัฒนธรรมและการเล่าเรียน เชิดชูความรู้ หากบทความของเจ้าได้เผยแพร่ออกไป จะมิเป็นศัตรูกับเหล่าบัณฑิตทั่วทั้งใต้หล้ารึ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนเอนร่างไปข้างหลัง เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืน เขาราวกับคุยกับตนเอง และก็เหมือนกำลังอธิบายไปในตัว “ในอดีตข้ามิทราบถึงสถานการณ์ของราชวงศ์หยู ย่อมวาดหวังขึ้นมาอย่างช้า ๆ แต่ในตอนนี้ที่ได้ทราบมาโดยคร่าว ๆ แท้จริงแล้วก็กังวลอยู่เช่นกัน กังวลให้ต้นไม้ต้นนี้อย่าล้มลง และข้าก็หวังจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายภายใต้ต้นไม้นี้ไปชั่วชีวิต”
เขาหยุดนิ่ง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และเอ่ยต่ออีกว่า “ไม่กี่วันก่อนข้าได้ไปจวนเยี่ยน เยี่ยนเป่ยซีเอ่ยถามข้าหนึ่งคำถาม ในตอนนั้นข้ายังคิดว่าคำถามของเขาค่อนข้างไร้สาระ แต่เมื่อมาตระหนักในตอนนี้ คำถามของเขากลับหมายถึงสถานการณ์ปัจจุบันของราชวงศ์หยู”
“เขากล่าวว่า เขามีที่ดินหนึ่งแปลง ได้ปลูกต้นกุยช่ายไว้แต่กลับละเลยมัน ดังนั้นที่ดินนั้นจึงเต็มไปด้วยวัชพืช เอ่ยถามข้าว่าจะกำจัดวัชพืชนั้นไปเรื่อย ๆ หรือจะกำจัดต้นกุยช่ายและวัชพืชให้หมดเกลี้ยงแล้วค่อยปลูกใหม่… คำตอบของข้าคือหากที่ดินนั้นแห้งแล้งไปแล้ว สู้ปล่อยไปจะดีกว่า แต่หากดินนั้นยังอุดมสมบูรณ์ เยี่ยงนั้นก็กำจัดวัชพืชไปอย่างช้า ๆ เถอะ”
“ในยามนั้นข้าคิดว่านี่คือทางเลือกที่เขากำลังเผชิญ การจัดระเบียบการปกครองใหม่ของฝ่าบาทเป็นสิ่งที่เลี่ยงมิได้ แต่อำนาจของตระกูลเยี่ยนเป็นอันดับที่หนึ่งของราชวงศ์หยู ดาบเล่มนั้นย่อมตัดลงมายังศีรษะของตระกูลเยี่ยน ข้าคิดว่าเขาอาจจะหมายถึงทางเลือกของตระกูลเยี่ยน แต่ในวันนี้ดูเหมือนว่าข้านั้นจะคิดผิด ที่เขาถามมานั้นมิใช่หนทางเลือกของตระกูลเยี่ยน แต่เป็นหนทางเลือกของประเทศนี้”
“ประเทศเปรียบเหมือนที่ดินนั่น และมันก็ได้แห้งแล้งไปนานแล้ว เพียงแต่ต้นกุยช่ายและวัชพืชที่อยู่บนหน้าดินนั้นยังเขียวชอุ่ม แต่นั่นก็แค่แข็งนอกแต่อ่อนใน ดังนั้นฝ่าบาทจึงได้เอ่ยนโยบายยี่สิบคำขึ้นในการประชุมใหญ่ราชวงศ์ ความตั้งใจก็มีอยู่ 2 ประการ ประการแรกเพื่อรวมประชาชนในราชวงศ์หยูให้เป็นปึกแผ่น กล่าวว่าพวกเขานั้นคืออนาคตที่สวยงาม เพื่อให้ประชาชนทั่วทั้งใต้หล้าอยู่อย่างสุขสบาย ประการที่สองก็เพื่อค้นหายาที่ดี เพื่อยืดอายุขัยของราชวงศ์หยู จนไปถึงขั้นทำให้ราชวงศ์หยูฟื้นคืนชีพขึ้นอีกครา”
“นี่คือโรคเรื้อรัง มิมียาใดรักษาได้ แต่ทางเหนือมีชาวฮวงที่จ้องตาเป็นมัน และทางตะวันออกก็มีแคว้นอี๋ที่เตรียมกระโจนสู่สนามรบ ราชวงศ์หยูมิมีเวลามาชักช้าแล้ว ข้ากล้าสาบานว่า หากราชวงศ์หยูเผยความอ่อนแอให้เห็นเพียงนิด ย่อมเกิดสงครามระหว่างสองสถานที่นี้อย่างแน่นอน และความอ่อนแอนี้จะเกิดขึ้นหลังการปะทุของการฉ้อโกงเสบียงบรรเทาสาธารณภัย เพื่อจัดระเบียบการปกครองใหม่ ฝ่าบาทต้องการให้ราชวงศ์หยูตกอยู่ในความสับสนสักปีสองปี แต่นี่คือความวุ่นวายของการขัดแย้งจากภายใน และเป็นความขัดแย้งของตระกูลที่มีอำนาจทั้งหก ข้ามิทราบว่าฝ่าบาทใช้สิ่งใดมามั่นใจว่านี่คือความขัดแย้งภายใน มิใช่จากภายนอก หากเกิดความวุ่นวายทั้งภายในและภายนอก…ข้าในฐานะคุณชายเศรษฐีที่ดินก็คงจะไร้หนทางมีความสุขกับชีวิตอิสระเสียแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนเล่าออกไปเสียมากมาย ซูเจวี๋ยและต่งชูหลานถึงได้ตระหนักว่าสถานการณ์ของราชวงศ์หยูในตอนนี้ร้ายแรงยิ่งนัก !
พวกเขาอดไม่ได้ที่จะมีสีหน้าเคร่งเครียด หากใต้หล้าเกิดความโกลาหล เปลวไฟสงครามโหมกระพืออีกครา จะมีอีกกี่ชีวิตกันที่จะถูกเปลวไฟนั้นแผดเผา ?
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับยิ้มขึ้นมา “พวกเจ้าอย่าได้คิดมากเกินไป นี่เป็นเพียงการวิเคราะห์ของข้าเท่านั้น อย่างไรแล้วราชวงศ์หยูก็เป็นประเทศใหญ่ ต่อให้เกิดเรื่องราวมากมาย ก็มิมีทางพังทลายภายในครึ่งปีเป็นแน่”
“หากเกิดขึ้นจริง ๆ พวกเราจะรับมือได้เยี่ยงไร ? ” ต่งชูหลานเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“กองทัพสี่ชายแดนมีมากกว่าสามแสนคน นอกจากนี้ยังมีทหารจากจวนโจว ที่ได้รับการฝึกในทุกรูปแบบ แม้ที่เมืองหลวงนี้จะมีกองกำลังอีกกว่าแสนคน ในความเป็นจริงแล้วหากต้องเข้ารบ ข้าคิดว่าภายในราชวงศ์หยูมั่นคงพอ อย่างมากทุกคนในใต้หล้าก็แค่ใช้ชีวิตประจำวันให้เข้มงวดมากขึ้น และหวังว่าราชวงศ์หยูจะมิใช่ผู้แพ้”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้พูดปลอบใจพวกเขา กองทัพที่มีจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านคน จะพ่ายแพ้อย่างง่ายดายถึงเพียงนั้นได้เยี่ยงไร !
ยามที่เขาเข้าราชสำนัก ก็มิได้มีความรู้เกี่ยวกับกำลังรบทางกองทัพของราชวงศ์หยูลึกซึ้งมากสักเท่าใด เพียงแค่ได้ฟังจากปากของไป๋ยู่เหลียนมาเท่านั้น และได้รับรู้มาว่ากำลังรบของกองทัพชายแดนตะวันออกมีปัญหาเล็กน้อย ส่วนกองทัพชายแดนเหนือก็ได้ปะทะกับชาวฮวงมาตลอดทั้งปี คาดว่ากำลังรบคงจะมิมีปัญหาอันใด
ต่งชูหลานครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน กล่าวออกมาเยี่ยงนั้นก็เหมือนว่าฟู่เสี่ยวกวนจะหมายถึงตนได้ตีตนไปก่อนไข้ แล้วเหตุใดเมื่อครู่เขาต้องกล่าวเสียงแผ่วเยี่ยงนั้นกันด้วยเล่า ?
ชุนซิ่วได้จัดโต๊ะอาหารที่ศาลาเถาหราน คาดมิถึงว่าองค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าจะมากับลวี่ซั่ง
“บังเอิญมาได้เวลาอาหารพอดี ข้ายังมิได้ทานข้าวมา นำสุราของเจ้าออกมาด้วย” หยูเวิ่นเต้ามิเคยเกรงใจฟู่เสี่ยวกวนมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เขาทำตัวราวกับเป็นเจ้าของที่นี่ไปแล้วครึ่งตัว
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้รำคาญพี่เขยผู้นี้แต่อย่างใด อย่างไรเสียหยูเวิ่นเต้าก็ได้ช่วยเขาไว้ไม่น้อย
หยูเวิ่นเต้าทักทายซูเจวี๋ย แล้วนั่งลงเบื้องหน้าโต๊ะ หันมองซ้ายขวาและเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ซูม่อไปอยู่ที่ใดกัน ข้ามิได้พบกับเขามาสักพักแล้ว ?”
“เหมือนว่าจะมีธุระที่อาราม เขาได้เดินทางไปตั้งแต่ปีที่แล้ว กระหม่อมว่า…ซีชานเทียนฉุนของกระหม่อมคงเหลือไม่มากแล้ว พวกท่านดื่มกันอย่างประหยัดได้หรือไม่ ?”
หยูเวิ่นเต้าจ้องเขาเขม็ง “เจ้าอย่าได้ตระหนี่นักเลย หากซูม่อกลับมาแล้วก็ฝากบอกเขาเสียหน่อย หงจวง…อือ เหมือนว่าหงจวงจะคิดถึงเขานะ”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะ ซูเจวี๋ยหันหน้าไปมองหยูเวิ่นเต้าอย่างตื่นตะลึง ซูซูเกือบจะตกลงมาจากชิงช้า
ฟู่เสี่ยวกวนเคยพบแม่นางหงจวงผู้นั้น ปีที่แล้วนางได้ติดตามหยูเวิ่นหวินไปยังซีซาน อาจกล่าวได้มิเต็มปากว่างดงาม แต่ก็มิได้ขี้ริ้วขี้เหร่ แต่เมื่อเทียบกับซูม่อแล้ว นางก็มิได้ดูดีเท่ากับซูม่อ
แม่นางผู้นั้นค่อนข้างจะเย็นชา พูดจาน้อยคำนัก คาดมิถึงว่าจะเป็นพวกเย็นชาแต่ใจร้อน
“เรื่องนี้…หากซูม่อกลับมาแล้ว กระหม่อมจะคุยกับเขา”
สุราและอาหารถูกจัดตั้งไว้บนโต๊ะเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างนั่งล้อมโต๊ะ ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยถามหยูเวิ่นเต้าว่าคืนนี้มาทำอันใดที่จวนฟู่
“จะต้องรบแล้ว แต่การรบครานี้น่าเบื่อนัก ข้ามิสามารถออกหน้าได้ จะให้อยู่ในวังหลวงก็อยู่ไม่สุข คิดไปคิดมา ข้าเดินออกมาหาเจ้าเพื่อดื่มสุราที่นี่เสียดีกว่า”
เหตุผลนี้มีอานุภาพยิ่ง ต่งชูหลานที่ยังมิเข้าใจ จึงเอ่ยถามขึ้นมา “รบหรือเพคะ ? องค์ชายห้าผู้ยิ่งใหญ่เยี่ยงพระองค์จะรบกับผู้ใดกัน ?”
หยูเวิ่นเต้าหัวเราะขึ้นมา “รบกับพี่ชายของข้า ! ”
ต่งชูหลานผงะ พี่ชายของพระองค์เยี่ยงนั้นรึ ? “องค์ชายใหญ่หรือว่าองค์ชายสี่เพคะ ?”
“พี่สี่…แต่ข้าก็มิมั่นใจเท่าใดว่าพี่ใหญ่จะมาร่วมสนุกด้วยหรือไม่”
ต่งชูหลานจ้องมองหยูเวิ่นเต้าที่บัดนี้มีท่าทีจริงจังมิเหมือนว่ากำลังโกหกอยู่ แต่เรื่องนี้มิสามารถพูดโกหกออกมาได้ เยี่ยงนั้นระหว่างองค์ชาย…หรือว่าจะยังมีข้อขัดแย้งอันใดอยู่ ?
นางมิมีทางเอ่ยถามออกไปอีก ข้อพิพาทเรื่ององค์รัชทายาท กับเรื่องนี้จะเป็นการดีกว่าหากรับทราบข้อมูลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ฟู่เสี่ยวกวนเริ่มสนใจ “จะเปิดศึกเมื่อใดกัน ? ”
“เฮ้อ…” หยูเวิ่นเต้าเงยหน้ามองไปบนฟ้า “เมื่อดวงจันทร์ขึ้นกลางฟ้า”
“ดี กระหม่อมขอให้พระองค์โชคดีมีชัย ! ” ฟู่เสี่ยวกวนชนจอกสุรากับหยูเวิ่นเต้า และยกดื่ม ทันใดนั้นก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า “ศึกครานี้…เกรงว่าจะมิต้องสู้”
“เพราะเหตุอันใด ? ”
“กระหม่อมรู้สึกว่าหยี่ฮวาถายในตอนนี้มิมีความคิดที่จะสู้กับพระองค์”
หยูเวิ่นเต้ายกจอกสุราขึ้นมาแต่มิได้ดื่มลงไป เขาขมวดคิ้วนิ่ว เม้มริมฝีปากเข้าหากัน ริมฝีปากของเขาบางเป็นเส้นตรง เส้นริมฝีปากก็ยาวยิ่ง มองดูแล้วคมราวกับกระบี่
“คนของกระหม่อมคอยจับจ้องการเคลื่อนไหวของหยี่ฮวาถายอยู่ตลอด”
“พวกกระต่ายเจ้าเล่ห์ยังมีโพรงอีก 3 โพรง กระหม่อมคาดว่าที่หยี่ฮวาถาย เกรงว่าพวกเขาจะหนีไปหมดแล้ว”
“เหตุใดเจ้าถึงคิดว่าเขาจะไม่ปะทะกับข้า ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนแสยะยิ้ม “กระหม่อมเพียงแค่คาดเดา” บัดนี้เขาได้จ้องมองสายตาที่สับสนของหยูเวิ่นเต้า จึงกล่าวเสริมให้อีกหนึ่งประโยค “เขาต้องการช่วงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท มิมีความจำเป็นที่จะต้องเสียแรงมาต่อกรกับพระองค์ อุดมการณ์ของพระองค์คือเป็นผู้นำทางการต่อสู้ เขากลับปรารถนาอย่างยิ่ง แล้วจะสู้กับพระองค์เพื่อให้สูญเสียทั้งสองฝ่ายเพื่อเหตุอันใด ? ”
หยูเวิ่นเต้าตื่นตระหนก ให้ตายเถอะ นี่มิใช่ว่าเสียโอกาสไปเปล่าเยี่ยงนั้นรึ !
เขาดื่มสุราจนเกลี้ยงจอก เช็ดปาก และใช้ตะเกียบคีบอาหารขึ้นมาทาน
เขาเชื่อในการคาดเดาของฟู่เสี่ยวกวนไปแล้ว 5 ส่วน แต่เขามิได้ให้คนแยกย้าย รอจนดวงจันทร์ขึ้นกลางฟ้าแล้วคอยดูสถานการณ์อีกครา
“วันนี้ข้าได้ยินข่าวมา คาดมิถึงว่าเยี่ยนเป่ยซีได้ทูลเสด็จพ่อให้พี่ใหญ่หยูเวิ่นเทียนขึ้นนำกองทัพชายแดนตะวันออก…เจ้าลองกล่าวมาสิว่าเยี่ยนเป่ยซีมีจุดประสงค์อันใดกัน ?”
ฟู่เสี่ยวกวนตกใจกับข่าวนี้อย่างยิ่ง ดูเหมือนว่าเยี่ยนเป่ยซีจะได้เลือกหนทางนี้แล้ว เลือกถอนตัวจากตำแหน่งนายพลสูงสุดของกองทัพชายแดนตะวันออก
เขาเลือกหนทางตัดแขนตนเอง อีกทั้งยังเด็ดเดี่ยว เพียงแต่เหตุใดเขาจึงเสนอหยูเวิ่นเทียนกัน ?
องค์ชายใหญ่เป็นผู้ร่วมลงชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท หากปล่อยให้เขาได้กุมอำนาจทางทหาร…คิดไปแล้วฮ่องเต้ก็คงมิมีทางตกปากรับคำเป็นแน่
“เขาแค่เพียงแสดงท่าทีต่อฝ่าบาทเพียงเท่านั้น คิดไปแล้วองค์ชายใหญ่มิมีทางออกห่างจากเมืองหลวงเป็นแน่ ท้ายที่สุดแล้วศูนย์รวมอำนาจก็อยู่ที่เมืองหลวง หากเขาจากไป แล้วจะแย่งชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทได้เยี่ยงไร ?”
“เจ้าคิดผิด เขายินยอมที่จะไปจริง ๆ ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกใจ จึงเอ่ยถามขึ้นว่า “เพราะเหตุใดกัน ?”
“เพื่ออุดมการณ์ เจ้าเชื่อหรือไม่ ? ” หยูเวิ่นเต้ากล่าวขึ้นมาและมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างจริงจัง ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแย้มและส่ายหน้า
อุดมการณ์อันใด อุดมการณ์ของเขาคือขึ้นเป็นฮ่องเต้มิใช่หรอกรึ !
“ฝ่าบาทมีพระประสงค์อันใดรึ ? ”
“เสด็จแม่เล่าว่าฝ่าบาทยังมิแสดงท่าทีอันใด”
ต่อจากนั้นหยูเวิ่นเต้าก็พ่นลมหายใจและถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “พี่ใหญ่ของข้าเป็นบุคคลที่โดดเด่น ถึงแม้จะมิเหมือนข้าที่ถูกส่งไปป่ากระบี่ตั้งแต่วัยเยาว์ แต่เสด็จพ่อก็ได้เชิญอาจารย์มาสอนวิทยายุทธ์ให้กับเขาตั้งแต่วัยเยาว์เช่นกัน จนถึงวันนี้ก็ยังมิทราบว่าอาจารย์ของเขาคือผู้ใด และจนถึงวันนี้ก็ยังมิมีผู้ใดทราบว่าทักษะที่แท้จริงของเขานั้นแข็งแกร่งเพียงใด นอกจากนี้เขาก็ชื่นชอบยุทธวิธีการรบ ทั้งยังท่อง ‘กลยุทธ์สงคราม’ ที่เผิงถูเป็นผู้ประพันธ์ได้จนขึ้นใจ แน่นอนว่าเขาต้องใด้อ่านตำราสงครามมาอีกจำนวนมาก หากกล่าวถึงวิทยายุทธ์ ข้ามิอาจเทียบเขา พี่สี่ก็มิอาจจะเทียบเขาได้ และในวันนี้ที่กองทัพชายแดนตะวันออกเหม็นเน่า เสด็จแม่เกรงว่าเสด็จพ่อจะเห็นด้วยที่จะให้พี่ใหญ่นำกองทัพชายแดนตะวันออก”
“มิกลัวว่าจะเป็นการเลี้ยงเสือเยี่ยงนั้นรึ ? ”
หยูเวิ่นเต้าหัวเราะ “จะมีอันใดน่ากังวลกัน ? เนื้อเน่าก็อยู่ในหม้อนั่น”
ฟู่เสี่ยวกวนจึงตระหนักขึ้นมาได้ กล่าวได้ว่า น่ากลัวว่าสิ่งที่พระสนมซั่งคาดไว้จะถูก และก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ฝ่าบาทจะตอบรับ
ราชวงศ์หยูกำลังวุ่นวาย ฝ่าบาทได้ตระเตรียมพระทัยเอาไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว แต่จะวุ่นวายถึงเพียงใด ฝ่าบาทก็มิได้คาดไว้ แทนที่จะอยู่ในเมืองหลวง สู้ส่งองค์ชายใหญ่ออกไปควบคุมอำนาจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะดีกว่า
ต่อให้สถานการณ์ในเมืองหลวงวุ่นวายเกินกว่าจะจัดการได้ สุดท้ายก็ยังมีองค์ชายใหญ่ที่จะสามารถนำทหารมากวาดล้างสถานการณ์ที่ยุ่งเหยิงได้
นี่ต่างหากที่เรียกว่าความเด็ดเดี่ยวที่จะหักแขนของตนเอง !
หยูเวิ่นเทียนควบคุมกองทัพชายแดนตะวันออกไว้ พระปิตุลาของเขาเซวี๋ยติ้งชานก็ควบคุมกองทัพชายแดนตะวันตก ทางตะวันตกก็ยังมีกษัตริย์แห่งเจิ้นซีเพ่งเล็งอยู่ เซวี๋ยติ้งชานมิมีทางต่อต้านราชวงศ์หยูได้
ตราบใดที่พรมแดนทั้งสองอยู่ในกำมือ ถึงแม้ว่ากุยช่ายทั้งหมดในชายแดนนี้จะถูกกำจัดออกไป แต่ดินแดนแห่งนี้ ก็จะยังอยู่ในกำมือของราชวงศ์หยู
แต่ฝ่าบาทกลับละเลยปัญหาอย่างหนึ่งไป มิมีผู้ใดอยากเป็นกุยช่าย หากมีดนั้นมิคมพอ เกรงว่าจะทำให้มือที่จับมีดนั้นบาดเจ็บได้
ฟู่เสี่ยวกวนกลับมายังจวนฟู่ เขามิได้รีบลงมือเขียนหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นในทันที เนื่องจากเย่อู๋เซิงผู้รับผิดชอบเดือนสิบสองของหอชิงเฟิงซี่หยู่ได้เข้ามารอเขาก่อนหน้านี้แล้ว
“เรียนคุณชายขอรับ นี่คือรายงานของอารามซุ่ยเยว่”
ปู้เนี่ยนชือไท่แห่งอารามซุ่ยเยว่มิได้ออกมาจากจวนฮุ่ยชินอ๋องอีกเลย ฟู่เสี่ยวกวนอยากรู้ยิ่งนักว่านางกำลังทำสิ่งใดอยู่กันแน่
เมื่อเขารับกระดาษนั้นแล้วจึงเปิดออกดู ฟู่เสี่ยวกวนถึงกับขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ
“ปู้เนี่ยนชือไท่ปลิดชีพตนเองลงในเวลาเที่ยงของวันนี้ ! ”
ตายแล้วงั้นรึ ?
เหตุใดนางจึงตัดสินใจปลิดชีพตนเอง ?
เพียงเพราะความลับของอารามซุ่ยเยว่ถูกเปิดเผยงั้นรึ ?
หรืออาจเป็นเพราะคนของหยี่ฮวาถายถูกจับตัวไปกว่าสิบคน ?
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นจึงเอ่ยว่า “จงส่งคนไปจับตาดูที่อารามซุ่ยเยว่ไว้ให้ดี โดยเฉพาะหนังสือเข้าออกทุกฉบับ”
“ข้าน้อยรับทราบขอรับ ! ”
เย่อู๋เซิงเดินทางออกจากจวนฟู่ไป ฟู่เสี่ยวกวนนั่งคิดต่อไปว่า จากคำกล่าวของจีหลินชุน ปู้เนี่ยนซือไท่มีตำแหน่งสูงเสียทีเดียวสำหรับหยี่ฮวาถาย ส่วนอารามซุ่ยเยว่นั้นมีไว้สำหรับร่างจดหมายหรือรายงานต่าง ๆ เช่นเรื่องราวที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลอบฆ่านั้นก็ได้ผ่านอารามซุ่ยเยว่ก่อนไปถึงหอเยียนจือ จากนั้นจึงนำส่งไปยังหลินหงเพื่อส่งต่อไปให้หยางชีกับจ้าวซื่อ
ตามแผนการเดิมนั้น เมื่อทั้งสองลักพาตัวฟู่เสี่ยวกวนได้แล้ว จะส่งเขาขึ้นไปยังเรือที่จอดเทียบท่าเหนือภูเขาลั่งซาน แต่เนื่องจากแผนการล้มเหลว จึงได้เผาทำลายเรือนั้นทิ้งเสีย ส่วนเรื่องจะนำตัวฟู่เสี่ยวกวนส่งไปที่ใด ? อีกทั้งผู้ใดเป็นคนสั่งจับตัวฟู่เสี่ยวกวนนั้นก็ไม่มีใครรู้ เนื่องจากข้อมูลต่าง ๆ ถูกทำลายเสียจนหมดสิ้น จีหลินชุนรู้เพียงเท่านี้ นางและหลินหงมิรู้ว่าผู้ใดที่อยู่บนเรือลำนั้น
สรุปได้ว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหยี่ฮวาถายอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงได้ให้ซูเจวี๋ยคอยจับตามองดูหยี่ฮวาถายเอาไว้
แต่ในวันนี้เขาได้ทูลถามพระสนมซั่งเมื่อตอนอยู่ในวังเตี๋ยอี๋ และตัดสินใจว่าจะมิเข้าไปข้องเกี่ยวเรื่องหยี่ฮวาถายอีก เนื่องจากเขามิอาจทนต่อผลที่ตามมาได้ แต่หยูเวิ่นเต้าสามารถทำได้
หอชิงเฟิงซี่หยู่กับหยี่ฮวาถาย นี่คือการต่อสู้ระหว่างสององค์กรมืดขนาดใหญ่ในเมืองหลวง แน่นอนว่าองค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าและองค์ชายสี่หยูเวิ่นชูจะมิออกมาเผชิญหน้ากันด้วยตนเอง
ฟู่เสี่ยวกวนโยนกระดาษนั้นเข้าไปในเตาผิง จากนั้นสั่งให้ชุนซิ่วเตรียมหมึก และเริ่มลงมือเขียนหนังสือกั๋วฟู่ลุ่น
“ธรรมชาติของมนุษย์ นับแต่เกิดจนดับสูญ มักมีความเห็นแก่ตนเป็นสันดาน ! ”
เขาเขียนประโยคนี้ลงในหนังสือเป็นประโยคแรก เมื่อพิจารณาอยู่สักพัก เขาก็โยนกระดาษแผ่นนั้นทิ้งไปในเตาผิง
แนวคิดนี้แหลมคมเกินไป เกรงว่าเยี่ยนเป่ยซีและฝ่าบาทจะมิอาจยอมรับได้
“สิ่งใดคือกลยุทธ์ทางเศรษฐกิจที่ดี ? นั่นหมายความว่าจะต้องส่งเสริมให้ปวงชนในใต้หล้าสร้างความมั่งคั่ง อีกทั้งต้องออกกฎหมายคุ้มครองทรัพย์สินของปวงชนทุกคน ! ”
“เมื่อปวงชนมีแรงจูงใจในการแสวงหาความมั่งคั่ง โดยได้รับการสนับสนุนจากประเทศชาติ ความมั่งคั่งของพวกเขาก็จะเติบโตขึ้นและจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศคึกคักมากยิ่งขึ้น ทำให้เก็บภาษีได้มากขึ้น และนี่คือผลที่จะได้รับ ! ”
“บทที่ 1 เกี่ยวกับปัจจัยที่เพิ่มประสิทธิภาพแรงงาน”
“ข้อที่ 1 การแบ่งงานทางสังคม”
“ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เพียงแต่มีการแบ่งงานที่แตกต่างกันออกไปในสังคม ชาวนาเพาะปลูกในไร่นาเพื่อผลิตอาหาร คนงานสร้างอุปกรณ์เพื่อเพิ่มผลผลิต พ่อค้าขายสินค้าเพื่อให้สินค้าหมุนเวียน เจ้าหน้าที่บริหารประเทศเพื่อให้สังคมมีเสถียรภาพและสามารถพัฒนาได้อย่างมีระเบียบ ทุกคนต่างทำในสิ่งที่ควรทำในหน้าที่ของตน นี่คือสภาพปัจจุบันของสังคม แต่ยังมิเพียงพอเนื่องจากสภาพสังคมในปัจจุบัน จำกัดความคิดของผู้คนในการแสวงหาความมั่งคั่ง ควรจะต้องมีการปฏิรูปเพื่อกระตุ้นความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ผู้คนมีความกล้าที่จะแสวงหาความมั่งคั่งโดยมิต้องกังวล”
“……”
“ข้อดีของการปรับปรุงการแบ่งงานทางสังคม คือการเพิ่มประสิทธิภาพของแรงงานจำนวนมาก การใช้ความสามารถของแรงงานให้ถูกต้องกับงาน ทักษะของแรงงาน และการใช้วิจารณญาณในการเพิ่มผลผลิตสินค้า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นการเพิ่มมูลค่าทั้งสิ้น”
“……”
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังตัวอักษรที่เขาเขียนลงไปอย่างตั้งใจ เขามิทันได้รู้ตัวว่าต่งชูหลานได้เดินเข้ามาอยู่ใกล้ ๆ เขา
ต่งชูหลานเอียงคอมอง นางยิ่งคิดยิ่งเป็นกังวล คิ้วงามคู่นั้นขมวดเสียจนแทบเข้ามาชิดกัน แววตาเต็มไปด้วยความสงสัย
“ตัวอย่างเช่น ในการผลิตเสื้อผ้าหากมีการแบ่งหน้าที่ ดังเช่น การออกแบบ การเลือกวัสดุ การเตรียมวัสดุ การตัดเย็บและการจัดห่อแนวการปฏิบัติในปัจจุบันมิได้ให้ความสำคัญกับการออกแบบ ดังนั้นเสื้อผ้าที่ขายในท้องตลาดจึงมีลักษณะคล้ายคลึงกัน กระบวนการทั้งหมดทำเสร็จสิ้นโดยคน ๆ เดียว ซึ่งหมายความว่าไม่มีการแบ่งงานกันทำ หากแบ่งหน้าที่กันมีคนเลือกวัสดุ มีคนเตรียมวัสดุ มีคนตัด มีคนเย็บและมีคนจัดห่อ พวกเขาทำเฉพาะหน้าที่ของพวกเขาเท่านั้น แน่นอนว่าจะมีความเชี่ยวชาญเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งเดิมทีอาจตัดเย็บเสื้อผ้าได้ 10 ตัว ก็จะสามารถเพิ่มผลการผลิตเสื้อผ้าได้ 50 ตัวหรือหลายร้อยตัวในทุก ๆ วัน นี่คือการเพิ่มขึ้นของผลผลิตสินค้า และเป็นการสร้างมูลค่าที่เพิ่มขึ้น”
ต่งชูหลานจึงได้เข้าใจ ร้านเสื้อผ้าของนางนั้น หากบรรดาแรงงานแบ่งหน้าที่กัน ก็อาจจะผลิตเสื้อผ้าได้มากกว่าเดิมหลายเท่างั้นรึ ?
นางตัดสินใจจะลองนำไปปฏิบัติตาม แต่นางมิได้จากไปในทันที เนื่องจากนางต้องการดูต่อไปว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเขียนสิ่งใดต่อ
“…เรื่องของการเกษตรมีลักษณะเฉพาะ มิอาจแบ่งหน้าที่ย่อยได้เหมือนอุตสาหกรรมอื่น อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพด้านการผลิตของการเกษตร มีความเกี่ยวข้องกับเครื่องมือในปัจจุบัน ผลผลิตของการเกษตรต่ำมากในแต่ละปี ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้แรงงานจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็สร้างมูลค่าได้ไม่มาก หากต้องการลดแรงงาน จะต้องปรับปรุงอุปกรณ์ในการทำเกษตร ตัวอย่างเช่น พื้นที่ 1 หมู่ต้องการคน 1 คนในการเพาะปลูก หากมีอุปกรณ์ที่ดี ในเวลาเดียวกันคนหนึ่งคนสามารถเพาะปลูกได้ 2 หมู่ขึ้นไป นี่คือการลดแรงงานแต่ได้เพิ่มผลผลิต ส่วนชาวนาที่เหลือให้จัดการส่งพวกเขาไปประกอบอาชีพอื่น สิ่งนี้เรียกว่าการถ่ายโอนแรงงานและเป็นการเริ่มต้นสำหรับการพัฒนาทางเศรษฐกิจ…”
แสงแดดสีส้มอ่อนส่องกระทบมายังทะเลสาบซวนอู่
เตาผิง ณ หอเถาหรานได้ถูกเติมถ่านเข้าไปใหม่ เปลวไฟพลิ้วไหวท่ามกลางสายลมยามเย็น ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนหน้าแดงเรื่อ ต่งชูหลานเองก็เช่นกัน
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงเขียนต่อไปอย่างขะมักเขม้น ต่งชูหลานก็ยังคงยืนดูอย่างตั้งใจ มิได้ขยับไปที่ใด
ซูซูนั่งไกวชิงช้าพลางกินปิงถังหูลู่อย่างเอร็ดอร่อย นางมิเข้าใจเลยจริง ๆ ว่าบทความนั้นมีสิ่งใดน่าสนใจกัน ?
เมื่อสักครู่นางได้เดินเข้าไปมองเช่นกัน นอกจากตัวหนังสืออันเป็นเอกลักษณ์ของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว นางมิได้มีความรู้สึกถึงความน่าสนใจแม้แต่นิดเดียว มิได้สวยงามหรือน่าหลงใหลเหมือนบทกวี
ซูเจวี๋ยหยิบบทความที่ฟู่เสี่ยวกวนเขียนเสร็จแล้วขึ้นมาอ่านพร้อมกับเดินไปรอบ ๆ หอเถาหราน เขาเองก็รู้สึกว่าสิ่งที่เขียนไปนั้นมีเหตุผล แต่ก็คล้ายกับมีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
เมื่อคิดไปคิดมา ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่า บทความนี้เพียงต้องการให้กำลังใจ สนับสนุนให้ผู้คนแสวงหากำไร !
อืม มิถูกต้อง หากทุก ๆ คนล้วนแต่ไปแสวงหากำไร จะมิก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นหรอกรึ ?
สิ่งนี้ขัดแย้งกับหลักปรัชญา !
หลักปรัชญาสนับสนุนให้ผู้คนมีจิตใจงดงาม มีความเมตตากรุณา มีความชอบธรรมและมารยาท สนับสนุนการปกครองโดยวรรณกรรม แต่สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนเขียนนี้ให้ความสำคัญกับเงินทอง การปลดปล่อยความต้องการในการแสวงหาผลกำไรของผู้คน
ซูเจวี๋ยถอนหายใจออกมายาวๆ บทความนี้หากเผยแพร่ออกไป…เกรงว่าบรรดาปัญญาชนทั่วหล้าคงจะโกรธเกรี้ยวเสียจนทนมิได้ !
เนื่องจากในสายตาของปัญญาชนนั้น มีเพียงการร่ำเรียน จึงจะก้าวไปสู่สังคมชั้นสูงได้ มิมีสิ่งใดสูงส่งไปกว่าการร่ำเรียนหนังสือ ประโยคนี้ได้สืบทอดกันมาแต่โบราณ
หากพ่อค้าได้รับการยกย่อง จะมิเป็นการขายหน้าต่อปัญญาชนงั้นรึ ?
แต่อย่างไรก็ตาม เขามองออกถึงคุณค่าของบทความนี้ เปรียบเสมือนการฝึกดาบ เมื่อถูกดาบคมจี้อยู่ตรงหน้าอก คนเราจึงจะใช้ทุกวิถีทางในการต่อสู้เพื่อให้ตนรอดไปได้
หากเขาปรับปรุงเนื้อความแล้วลดความบาดหมางลงเสียหน่อยคงจะดีกว่านี้
ซูเจวี๋ยคิดเช่นนั้น
ต่งชูหลานในฐานะผู้ทำการค้า นางกลับรู้สึกว่านี่เป็นความคิดที่ดียิ่งนัก
บัดนี้ตำแหน่งของพ่อค้าต่ำต้อยยิ่งนัก หากมิมีตระกูลใหญ่ทั้งหกคอยสนับสนุน เกรงว่าบรรดาพ่อค้าเหล่านั้นคงมิอาจขยายกิจการของตนได้ อีกทั้งยังมิกล้าก้าวเข้ามาในวงการการค้า
ซึ่งหากขุนนางเข้าขัดขวางพวกเขา แน่นอนว่าพ่อค้าจะขาดทุนไม่น้อย หรืออาจจะถึงแก่ชีวิตเลยก็เป็นได้
พระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า บรรยากาศเริ่มมืดครึ้มลง ชุนซิ่วเดินเข้ามาจุดโคมไฟเพิ่มแสงสว่าง นางมองไปที่คุณชาย…นางตระหนักว่าควรจะเรียกคุณชายไปกินอาหารเสียก่อนดีหรือไม่ ?
ไม่นานต่อมา ฟู่เสี่ยวกวนก็วางพู่กันลง ในที่สุดเขาก็เขียนเสร็จสิ้นไปหนึ่งบท แต่ได้เขียนแตกต่างไปจากหนังสือกั๋วฟู่ลุ่นในชาติที่แล้ว เนื่องจากเขาเพิ่มความคิดเห็นส่วนตัวเข้าไปมากโขเสียทีเดียว โดยรวมแล้วเขาพอใจในสิ่งที่เขาเขียนเป็นอย่างมาก
เขาได้กลิ่นมะลิอ่อน ๆ โชยมา ใบหน้าของเขายิ้มขึ้นทันควัน เมื่อหันหลังกลับไปพบว่าเป็นต่งชูหลานจริง ๆ
“เสร็จแล้วรึ ?”
“ยังขาดอีกมากนัก…เห้อ ในการประชุมใหญ่ราชวงศ์เมื่อเช้านี้ ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนก็ได้มอบหมายหน้าที่หนักหนานี้ให้แก่ข้า”
“ให้เขียนสิ่งนี้งั้นรึ ? ”
“อืม…” ฟู่เสี่ยวกวนบิดตัวแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงมีนโยบายยี่สิบคำออกมา นั่นคือ ป่วยต้องมีทางรักษา แก่ชราต้องมีการดูแล ที่พักต้องมีแหล่ง…แต่กรมคลังมิมีเงินมากพอ ฝ่าบาททรงมอบหน้าที่นี้ให้ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน จากนั้นท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนก็โยนหน้าที่นี้มาให้กับข้า นโยบายนี้มีหน้าที่เพียงชี้แนะว่าควรทำเช่นไร ส่วนทั้งสองจะเห็นด้วยและนำไปใช้หรือไม่ ก็มิใช่เรื่องที่ข้าต้องกังวล”
ต่งชูหลานและซูเจวี๋ยนั่งลงที่ตรงข้ามฟู่เสี่ยวกวน ต่งชูหลานมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนตาไม่กะพริบ นางยิ้มขึ้นจนเห็นลักยิ้มอันน่าหลงใหล “ได้ยินท่านพ่อเล่าว่า…เจ้าได้เลื่อนตำแหน่งงั้นหรือ ? ”
“อย่าได้เอ่ยถึงเรื่องนี้เลย ข้าคาดว่าเขาคงวางแผนเล่นงานข้าเสียมากกว่า เสมียนกลางเจี้ยนอี้ต้าฟู หึหึ ! ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเพียงต้องการหลอกใช้ข้าเพียงเท่านั้น ! ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยมาด้วยความไม่พอใจ แต่ต่งชูหลานกลับหัวเราะร่า
การที่ได้เข้าไปทำงานในเสมียนกลาง คนอื่น ๆ ดิ้นรนแทบตาย แต่เขากลับมานั่งบ่นงั้นรึ ! เขาอยากจะกลับไปเป็นพ่อค้าที่ดินแห่งหลินเจียงหรือเยี่ยงไร ?
ซูเจวี๋ยขยับหมวกของตน แล้วเอ่ยว่า “บทความของเจ้านี้น่าสนใจ เพียงแต่มีความเห็นบางประการที่ขัดแย้งกับปรัชญาเดิม หากลบทิ้งไปจะมิดีกว่ารึ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจดีถึงความหมายของซูเจวี๋ย เขาเองก็ได้คิดมาก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่เขามิได้ทำมัน
“มิอาจตัดทิ้งไปได้ นี่คือนโยบายปฏิรูป มิสามารถที่จะสร้างสมดุลที่มาจากความขัดแย้งของจิตวิญญาณได้ มีเพียงแค่ต้องเลือกทางใดทางหนึ่งเท่านั้น นี่เป็นเรื่องของฝ่าบาทและท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ส่วนข้านั้น…เพียงแค่เขียนความขัดแย้งเหล่านั้นออกมาเพียงเท่านั้น”
ตอนที่ 217 หนังสือกั๋วฟู่ลุ่น
คำพูดของฟู่เสี่ยวกวนทำให้เยี่ยนเป่ยซีและซังหยูชะงักนิ่งเงียบไร้คำกล่าวใด ๆ ออกมาชั่วครู่
ในยุคของเกษตรกรรมเยี่ยงนี้ ถึงแม้พ่อค้าจะมีบทบาทมากยิ่งขึ้น แต่ในนโยบายของชาติ ชาวเกษตรก็ยังถือว่าเป็นบทบาทสำคัญอยู่
โครงสร้างชนชั้นบัณฑิต ชาวเกษตร ชั้นแรงงาน และพ่อค้ามิเคยมีการเปลี่ยนแปลง ดังนั้นเหล่าปัญญาชนจึงทุ่มเทที่จะเข้าไปเป็นขุนนางในราชสำนัก ซึ่งเป็นชนชั้นลำดับที่หนึ่งในสังคม และถึงแม้รายได้ของชาวเกษตรจะต่ำเตี้ยเรี่ยดินอย่างมาก จนถึงขั้นอาจจะใช้ชีวิตได้อย่างน่าสังเวช แต่ในชนชั้นของระดับชาติแล้ว พวกเขาเป็นรองเพียงบัณฑิตเท่านั้น
แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ชีวิตประจำวันของพ่อค้านั้นดีที่สุด แม้ว่าตัวตนของพวกเขาจะต่ำที่สุดก็ตาม
อย่างเช่นเศรษฐีอันดับหนึ่งของหลินเจียงฟู่ต้ากวน เขาเป็นเพียงเศรษฐีที่ดิน ค้าขายธัญพืช แท้จริงแล้วก็เป็นพ่อค้าเช่นกันมิใช่รึ
เขามีเงินทองมากมาย จนฟู่เสี่ยวกวนสามารถใช้ได้อย่างสุรุ่ยสุร่าย แต่ความกล้าของเขากลับเล็กจ้อย และกลัวการรุกรานจากขุนนางมากที่สุด
ข้อเสียเปรียบในกระดานหมากนี้ เยี่ยนเป่ยซีกับซังหยูและคนอื่น ๆ ย่อมมองมิออก ในความรู้ของพวกเขา พ่อค้ามิได้ทำการเพาะปลูก กลับค้นพบหนทางลัดในการซื้อและการขายเพื่อให้ได้กำไร หรืออาจจะเป็นหลังจากที่วัสดุราคาต่ำของพวกเขาได้ผ่านการแปรรูปแล้ว หลังจากนั้นจึงจะได้รับกำไรอย่างมหาศาลในยามที่ทอดสู่ตลาด
พฤติกรรมเหล่านี้สำหรับผู้ที่ผ่านการศึกษาทั่วไป มันคือการได้รับมาโดยมิต้องลงแรง ซึ่งเป็นการลักขโมยทุจริตเอารัดเอาเปรียบและมิใช่หนทางที่ถูกต้อง
แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของฟู่เสี่ยวกวน เป็นคราแรกที่ทั้งสองได้ครุ่นคิดถึงปัญหานี้อย่างตั้งใจ พวกเขาย่อมทราบองค์ประกอบภาษีของกรมคลังเป็นอย่างดี ในอดีตมิได้รู้สึกเลยว่ามันมีความผิดปกติที่พ่อค้าเป็นผู้จ่ายภาษีเกินกว่าครึ่ง แต่ในตอนนี้กลับเข้าใจแล้วว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนจึงกล่าวว่าต้องให้การพาณิชย์เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่และรุ่งเรืองยิ่งขึ้นจึงจะแก้ปัญหาเงินคลังขาดแคลนได้
แท้จริงแล้วเรื่องนี้ใหญ่หลวงยิ่ง ต่อให้เยี่ยนเป่ยซีจะเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี แต่เขาก็มิกล้ากระทำการเปลี่ยนแปลงนโยบายระดับชาติ
“ยังมีหนทางอื่นอีกหรือไม่ ?” เยี่ยนเป่ยซีเอ่ยถาม
“ข้ามิมีแล้ว เหตุผลเพียงหนึ่งเดียวที่ง่ายดายก็ได้กล่าวกับท่านไปแล้ว หากไร้หนทางแก้ไขตัวตนของพ่อค้าได้ ข้าก็มิมีประโยชน์ในฐานะขุนนาง หรือไม่…ท่านถือเสียว่าข้าเป็นเพียงมูลฝอยไปเสียเถอะ”
“ไสหัวออกไป ! ”
เยี่ยนเป่ยซีลุกขึ้นยืน สองมือไขว้หลังและเดินวนไปมาอย่างฉุนเฉียว
“เจ้าจงเขียนรายละเอียดความคิดเห็นของเจ้าออกมา…” เขาสูดลมหายใจลึก ๆ “ข้าจักต้องนำเรื่องนี้ไปหารือกับฝ่าบาท ท้ายที่สุดก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินพระทัยของฝ่าบาท ดังนั้นบทความของเจ้าต้องทำให้ข้าสงบลงให้จงได้”
ทันใดนั้นในหัวของฟู่เสี่ยวกวนก็พลันนึกถึง “หนังสือกั๋วฟู่ลุ่น” ที่เคยอ่านในชีวิตก่อน กล่าวได้เลยว่าก็แทบจะเป็นเหตุผลเดียวกัน เพียงแต่เขาอ่านหนังสือเล่มนั้นได้ไม่ละเอียดพอเท่าความฝันในหอแดง แต่หากเขียนตามความหมายของตำราเล่มนั้นโดยประมาณชายชราผู้นี้ก็น่าจะพอรับได้
“ข้าต้องการเวลาครึ่งเดือน”
“นานถึงเพียงนั้นเลยรึ ? มิได้ ข้าให้เวลากับเจ้าเพียง 3 วันเท่านั้น !”
ชายชรานี่ เจ้ามองข้าเป็นเครื่องจักรกลหรือเยี่ยงไรกัน !
“มิสามารถทำได้ใน 3 วัน สิ่งนี้ยุ่งยากยิ่งกว่านโยบายบรรเทาสาธารณภัยเป็นร้อยเท่า สิ่งที่เกี่ยวข้องนั้นมีมากมายเกินไป อย่างน้อยต้อง 10 วัน มิเช่นนั้นแล้วก็ล้มเลิกการเจรจา ! ”
ซังหยูเฝ้ามองทั้งสองต่อรองกันด้วยท่าทีแปลกใจ เขาอยู่ในเสมียนกลางมาจวนจะยี่สิบปีแล้ว แต่เป็นคราแรกที่ได้เห็นเรื่องเช่นนี้ คาดมิถึงว่าท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนจะโต้เถียงกับชายหนุ่มผู้หนึ่งจนหน้าดำหน้าแดง ก็เพื่อช่วงเวลาเพียงไม่กี่สิบวันนั้น แต่ก็คาดมิถึงว่าชายหนุ่มผู้นี้จะกล้าแข็งข้อกับท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน แท้จริงก็คือลูกวัวแรกเกิดที่ไม่กลัวเสือ เป็นจริงดังในร้อยแก้ว เยาวชนราชวงศ์หยูที่กล่าวไว้ว่า อาทิตย์สีชาดโผล่พ้น หนทางส่องสว่าง แม่น้ำพวยพุ่งจากใต้ดิน แผ่เป็นมหาสมุทรที่กว้างสุดลูกหูลูกตา !
และผลลัพธ์ก็ออกมามากกว่าที่เขาคาดเอาไว้ ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนยอมพ่ายแพ้แล้ว !
ท่าทางของฟู่เสี่ยวกวนที่ตั้งท่าจะล้มแผงขายของและจากไป ก็ทำให้เยี่ยนเป่ยซีต้องถอยไปก้าวใหญ่ในท้ายที่สุด
“ได้ ๆ 10 วัน หากเจ้าเขียนบทความนั้นออกมามิได้ รอดูได้เลยว่าข้าจะจัดการกับเจ้าเยี่ยงไร ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเริงร่า และหยิบจอกชาและส่งไปเบื้องหน้าเยี่ยนเป่ยซีอย่างร่าเริง “ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนใจกว้างยิ่งกว่ามหาสมุทร…ท่านโปรดใจเย็น ข้ามิกล้ารับปากได้ว่าจะสามารถเขียนบทความออกมาได้ แต่ข้าน้อยขอรับปาก หากสามารถตระหนักถึงความสำคัญของพ่อค้าได้ เริ่มต้นการพาณิชย์ใหม่ได้ ก็จะเห็นผลสำเร็จภายในเวลาสามปี”
“สามปีนานเกินไป หนึ่งปี หนึ่งปีเท่านั้น ! ”
นี่มันมิมีเหตุผลแล้ว การเพาะต้นกล้ายังต้องรอครึ่งปีกว่าจะเก็บเกี่ยวได้ !
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ทุกอย่างย่อมมีข้อกำหนด เศรษฐกิจก็เช่นกัน ต่อให้ฝ่าบาทจะทรงเห็นด้วย การดำเนินนโยบายนี้ต้องรอนานเท่าใด ต้องใช้เวลานานเท่าใดกว่าที่พ่อค้าเหล่านั้นจะยอมรับ ขุนนางแต่ละพื้นที่ต้องใช้เวลานานเท่าใดในการปรับตัวเข้ากับนโยบายนี้ และเหล่าพ่อค้าจะต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะสร้างโรงงานผลิตสินค้าของตนเองได้ ? ”
“ดังนั้นต้องทานข้าวก็ต้องทานเป็นคำ ๆ ไป มิเช่นนั้น…ข้าวคงจะติดคอตาย ! ”
เยี่ยนเป่ยซีคิ้วขมวด ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวมาก็เป็นความจริง เป็นตนเองที่ร้อนรนมากเสียเกินไป
“เอาล่ะ ๆ ข้ามิขอโต้เถียงกับเจ้าเรื่องเหล่านี้แล้ว เจ้าจงทำบทความนี้ออกมาให้แล้วเสร็จเสียก่อนแล้วค่อยมาหารือกันอีกครา”
“ข้าน้อยน้อมรับคำสั่ง…เพียงแต่ที่นี่มีผู้คนอยู่มากมายและจะรบกวนการใช้ความคิดของข้า ดังนั้นข้าน้อยจึงมีความคิดว่า ในสิบวันนี้คงจะมิมาที่นี่แล้ว ต้องใช้ความคิดอยู่ที่จวนอย่างเงียบ ๆ เยี่ยงนั้นจึงจะสามารถเขียนบทความออกมาได้ ท่านเห็นด้วยกับข้าหรือไม่ ?”
“ไปไป ไสหัวไป ! เจ้าชอบทำให้ข้ารำคาญเสียจริง”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่าก่อนจะกุมหมัดและโค้งคำนับเยี่ยนเป่ยซีและซังหยู “ท่านขุนนางระดับสูงเยี่ยน ท่านขุนนางระดับสูงซัง ข้าน้อยขอตัวก่อน ! ”
พวกเขาจ้องมองแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวนที่หายไปด้านนอกประตูแล้ว เยี่ยนเป่ยซีจึงหัวเราะขึ้นมา “ท่านซัง ชายผู้นี้ท่านคิดเห็นว่าเป็นเยี่ยงไร ?”
“สายตาของท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนนั้นมิมีผู้ใดเหมือน ถึงข้อโต้แย้งของเขา…แม้จะสวนทางอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อได้ฟังดี ๆ แล้วก็สมเหตุสมผลยิ่ง นโยบายการเกษตรสำคัญระดับชาติมีประวัติศาสตร์มาตั้งแต่โบราณมาจนถึงปัจจุบัน แต่กลับมิมีผู้ใดกล่าวถึงข้อแตกต่าง และปล่อยให้เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นมาแต่ช้านาน แต่เมื่อได้ฟังสิ่งที่เขากล่าวในวันนี้ ราวกับต้องมีการปฏิรูปอย่างแท้จริงเกิดขึ้นเสียแล้ว”
“อือ…” เยี่ยนเป่ยซีลูบเคราสั้นพยักหน้าและกล่าวอย่างเชื่อมั่น “แรงต่อต้านของเรื่องนี้ต้องใหญ่หลวงเป็นแน่ ปัญหามิได้อยู่ที่ฝ่าบาท แต่ต้องมีการคัดค้านจากผู้คนในหมู่บัณฑิตเป็นแน่ พวกเขาต่างก็มีฐานะต่ำต้อยและความคิดนี้ก็ได้ฝังรากลึกอยู่ภายในจิตใจของบัณฑิต คนเหล่านี้ต่างดูถูกพ่อค้ายิ่ง ต่างคิดว่าพวกเขานั้นหน้าเงินและเห็นแก่ตัว มุ่งแสวงหาแต่ผลประโยชน์ หากนโยบายนี้ได้รับการผลักดัน พวกเขาจะต้องโดดออกมาคัดค้านเป็นแน่ ท่านซัง ดังนั้นจะต้องมีการเตรียมการไว้ล่วงหน้าจึงจะดี”
ซังหยูพยักหน้า “ข้าจะไปคุยกับขุนนางระดับสูงช่างกวนเหวินซิ่ว ก่อนอื่นคงต้องรอดูไปก่อน รอจนกว่าจะได้รับคำอนุญาตให้ปฏิรูปจากฝ่าบาท แล้วจากนั้นจึงจะเชิญขุนนางระดับสูงช่างกวนเหวินซิ่วจากสำนักศึกษาจี้เซี่ยมาเปลี่ยนความคิดความอ่านของเหล่าบัณฑิต โดยผ่านตำราที่ออกโดยกั๋วจื่อเจี้ยน และจะถูกมอบให้กับเหล่าบัณฑิตของราชวงศ์หยู เพื่อให้พวกเขามีการเตรียมความพร้อมทางด้านจิตใจเสียก่อน”
“นโยบายนี้ใช้ได้ เฮ้อ…หากมีเวลามาพอถึงแปดหรือสิบปี การผลักดันเรื่องนี้ก็คงมิยากลำบากเยี่ยงนี้ แต่ในตอนนี้ เวลามิคอยข้าแล้ว”
…..
…..
ณ วังเตี๋ยอี๋
ฮ่องเต้หยูยิ่นแต่งกายด้วยชุดลำลองและกำลังนั่งผิงเตาไฟพร้อมกับอ่านตำราไปด้วย ในตอนที่หยูเวิ่นหวินจะลุกออกไป กลับถูกหยูยิ่นเรียกเอาไว้ “เวิ่นหวิน ข้าขอถามเจ้าเสียหน่อย…ครั้งก่อนที่เจ้าและต่งชูหลานไปยังเรือนซีซานที่หมู่บ้านเสี้ยชุน เจ้าเคยได้เห็นโรงงานที่เขาสร้างขึ้นมาใช่หรือไม่ ? ”
หยูเวิ่นหวินนั่งลงอีกครา และทำหน้ามุ่ย
“ในเวลานั้นเขามีเพียงโรงกลั่นสุรา น้ำหอมยังอยู่ในขั้นเตรียมการยังมิได้ผลิตออกมาเพคะ และก็ยังมิมีแม้แต่เงาของสบู่แม้แต่ชิ้นเดียว”
“โอ้…กล่าวได้ว่า ภายในระยะเวลาสั้น ๆ สองถึงสามเดือน เขาก็สามารถสร้างน้ำหอม สบู่และปูนซีเมนต์เหล่านั้นออกมาได้เยี่ยงนั้นรึ ? ”
“เพคะ ประมาณนั้น ที่เสด็จพ่อตรัสถามเยี่ยงนี้มีความหมายอันใดหรือเพคะ ? หรือว่าเสด็จพ่อสนใจโรงงานของเขารึเพคะ ?”
พระสนมซั่งเหลือบมองหยูเวิ่นหวิน “เจ้าคิดสิ่งใดอยู่กัน ? เสด็จพ่อของเจ้าจะสนใจสิ่งเหล่านั้นของฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงนั้นรึ ?”
“ก็ไม่แน่นี่เพคะ ! ”
หยูยิ่นหัวเราะ วางหนังสือที่อยู่ในมือลง และเอ่ยถามอีกครา “ต้นทุนน้ำหอมและสบู่ของเขาเท่าใดรึ ? และเขาได้ตั้งราคาขายเท่าไว้เท่าใด ?”
“นั่น…” หยูเวิ่นหวินกลอกตาไปมา แล้วกล่าวว่า “น้ำหอมหนึ่งขวดมีต้นทุน 3 ตำลึง รวมกับค่าขนส่งและเบ็ดเตล็ดแล้ว พวกเราจึงขายในราคา 10 ตำลึง ต้นทุนของสบู่นั้นอยู่ที่หนึ่งชิ้นประมาณ 2 ตำลึง พวกเราขายที่ 7 ตำลึง”
“โอ้…คำนวณเยี่ยงนั้นรึ ราคาขายสูงกว่าต้นทุนถึงสองเท่า” หยูยิ่นพยักหน้า เหมือนว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่
“มิใช่ เสด็จพ่อถามถึงสิ่งนี้ทำไมรึเพคะ ?”
หยูยิ่นมิได้ตอบกลับไป แต่กลับเอ่ยถามขึ้นมาอีกครา “ในขณะที่เจ้าอยู่ที่ซีซาน ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าหนึ่งประเทศให้ความสำคัญในด้านพาณิชย์ เพิ่มตัวตนของพ่อค้าให้สูงขึ้น ประเทศนี้ก็จะเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น เจ้าบอกสิ่งที่เขาพูดในตอนนั้นให้ข้าฟังได้หรือไม่ เล่าโดยละเอียด ข้าต้องการฟังให้เข้าใจ”
หยูเวิ่นหวินเหลือบมองพระสนมซั่ง พระสนมซั่งก็พยักหน้าเช่นกัน
“ตกลงกันก่อนเพคะ หากเสด็จพ่อทรงฟังแล้วมิชอบพระทัย ก็มิสามารถไปตำหนิฟู่เสี่ยวกวนได้ เพราะในยามที่เขาบอกกับข้าและชูหลานก็เคยได้กล่าวแล้วว่าคำพูดเหล่านี้ค่อนข้างจะสวนทางกับนโยบายของชาติ จึงห้ามกล่าวให้คนนอกฟังโดยเด็ดขาด”
หยูยิ่นคิ้วขมวด “กล่าวมาเถอะ ข้าจะคิดเล็กคิดน้อยกับฟู่เสี่ยวกวนได้เยี่ยงไร”
ดังนั้น หยูเวิ่นหวินหวนนึกไปถึงคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนที่ได้กล่าวไว้ในค่ำคืนที่ร่วมรับประทานปลาด้วยกัน และกล่าวกับหยูยิ่นออกไปโดยละเอียด
“เขาพูดว่าเมิ่งจื่อมีคำกล่าวไว้ว่า ไพร่ฟ้าค่าสูงหนัก บ้านเมืองรองลงมา ราชาไร้น้ำหนักใด นี่คือคำกล่าวของนักปราชญ์ ประชาชนสำคัญที่สุด พวกเขาคือรากฐานของประเทศชาติ ความสำคัญของพวกเขาคืองานที่อยู่ขั้นพื้นฐานที่สุด แต่กลับสร้างในสิ่งที่พวกเขามองไม่เห็น และมิสามารถประมาณการมูลค่ามันได้”
“…..”
“เขายังถามอีกว่าภาษีเหล่านั้นมาจากที่ใด วิเคราะห์กลับไปก็มาจากชาวนาและเหล่าเกษตร เหล่าคนงาน รวมไปถึงเหล่าผู้ครอบครองที่ดินเช่นข้า ทั้งยังมีพ่อค้าอีกด้วย”
“ทั้งที่คนเหล่านี้มีความสำคัญถึงเพียงนี้ แต่เหตุใดประเทศกลับมิให้ความสำคัญกับคนเหล่านี้กัน ปัญญาชนดูถูกชาวนา เรียกพวกเขาว่าไม้ปักดินเหนียว ขุนนางดูถูกพ่อค้า คิดว่าทั่วร่างของพวกเขาเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นสาบทองแดง พวกเขากลับมิเคยคิดถึงด้วยซ้ำ ว่าเบี้ยหวัดที่พวกเขาได้รับ ส่วนมากก็เป็นภาษีจากพ่อค้าทั้งสิ้น ดังนั้นหากให้ความสำคัญกับการค้า ให้ความสำคัญกับพ่อค้ามากยิ่งขึ้น ประเทศนี้ก็จะเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน”
“เขาได้กล่าวไว้เยี่ยงนี้เพคะ เสด็จพ่ออย่าได้กริ้วนะเพคะ !”
หยูเวิ่นหวินจ้องมองหยูยิ่นอย่างกังวลใจ หยูยิ่นหันมองไปยังท้องฟ้าด้านนอกด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ราวกับกำลังครุ่นคิดถึงคำพูดนี้ แต่ยังคงมิออกความคิดเห็นใด
นี่มิใช่เรื่องเล็ก ๆ เหมือนกับคำพูดของเวิ่นหวิน คำพูดนี้มีความขัดแย้งอยู่เล็กน้อย เพราะคำพูดนี้มันขัดกับนโยบายปัจจุบัน
แต่รายได้จากภาษีของราชสำนักก็เป็นดังที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวมาอย่างแท้จริง มาจากเกษตร ชนชั้นแรงงาน และพ่อค้า อย่างน้อยภาษีจากพ่อค้าก็มากเกินครึ่ง
เยี่ยงนั้นหากข้าต้องการส่งเสริมทางค้า แล้วจะเปลี่ยนมุมมองของปัญญาชนในใต้หล้านี้ได้เยี่ยงไร ?
หยูยิ่นมิเข้าใจ ครุ่นคิดถึงนโยบายยี่สิบคำที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้เขียน เจ้าหนุ่มนั่นจะมีวิธีการทำให้บรรลุผลได้หรือไม่ ?
ตอนที่ 216 เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงาน
เมื่อใกล้เวลาบ่าย ฟู่เสี่ยวกวนก็เดินทางออกจากวังเตี๋ยอี๋ แล้วมุ่งหน้าไปยังที่ทำการของเสมียนกลาง
พระราชวังใหญ่โตเพียงนี้ มีท้องพระโรงเฉิงเทียนเป็นใจกลาง และมีถนนไท่ผิงเป็นถนนสายหลักใช้ในการสัญจร ด้านตะวันออกและตะวันตกทั้งสองข้างเป็นสำนักงานต่าง ๆ
เสมียนกลางตั้งอยู่ในทางทิศตะวันออก ตำแหน่งที่ตั้งมิเลวเสียทีเดียว ทิวทัศน์สวยงาม แต่อาจดูเก่าแก่ไปสักเล็กน้อย
ฟู่เสี่ยวกวนยืนพิจารณาสถานที่แห่งนี้จากภายนอกอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงได้เดินเข้าไปด้านใน
ภายในนั้นช่างเงียบสงบ มีเพียงชายวัยกลางคนผู้หนึ่งสวมใส่ชุดราชการนั่งจิบชาอยู่ข้างเตาผิง
ฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้ไปรับชุดทำงาน เขามิรู้ว่าชุดที่ชายผู้นั้นสวมใส่คือตำแหน่งใด แต่เมื่อคิดทบทวนดูแล้ว เขามิเคยพบเห็นชายผู้นี้ในการประชุม ดังนั้นจึงได้เดินหน้าเข้าไป
ฉีเหมยหันหน้ามามองดูฟู่เสี่ยวกวน เขามิรู้จักชายผู้นี้ แต่ดูจากอายุคาดว่าคงเป็นคุณชายตระกูลใดตระกูลหนึ่ง เดินทางมาแต่เช้าเช่นนี้ คงจะต้องการนำหน้าผู้อื่นสินะ
ฉีเหมยมิได้มองข้ามเขาไป หากสามารถเข้ามายังที่นี่ได้ แน่นอนว่าต้องมิใช่คนธรรมดา เขาเป็นเพียงขุนนางขั้นเจ็ด ตำแหน่งเล็กน้อยเพียงเท่านี้ มิกล้าต่อปากต่อคำกับผู้ใด
“เชิญคุณชาย”
“ขอบคุณท่านมาก”
“อย่าได้เกรงใจไปเลย เชิญดื่มชาก่อนเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงตรงข้ามฉีเหมย เอ่ยถามขึ้นมาว่า “เอ่อ…มิทราบว่าท่านมีนามว่าเยี่ยงไร ?”
“อ้อ ข้าชื่อฉีเหมย คุณชายเดินทางมาเร็วไปเสียหน่อย ในวันนี้เพิ่งเปิดสำนักงาน อีกทั้งในตอนเช้ามีการประชุมใหญ่ราชวงศ์ เหล่าขุนนางชั้นสูงกลางวันคงได้กลับไปนอนพักสักงีบหนึ่ง”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะแล้วกล่าวว่า “เหตุใดท่านฉีเหมยจึงมิได้กลับไปนอนสักงีบ ? ”
“เห้อ…” ฉีเหมยวางม้วนหนังสือในมือลง “เจ้าคิดว่าข้ามิอยากกลับไปนอนงั้นรึ ? แต่ในวันนี้เป็นข้าที่ต้องอยู่เวร แม้จะมิมีเรื่องใด ๆ แต่ที่นี่ก็จำเป็นต้องมีคนคอยเฝ้า มิทราบว่าคุณชายมาหาผู้ใด ? ”
“อ้อ ข้ามาคอยท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน”
ฉีเหมยตะลึง เจ้าหนุ่มนี่เป็นใครกัน ?
“นัดหมายไว้แล้วงั้นรึ ? ”
“อืม”
ฉีเหมยจึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ชายหนุ่มผู้นี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ !
ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนมิใช่ผู้ที่ใครต้องการพบก็พบได้ แม้แต่เขาเองที่ทำงานในเสมียนกลาง ก็ยังพบเจอเขาน้อยครั้งนัก ที่สำคัญไปกว่านั้น ชายหนุ่มผู้นี้นัดหมายกับท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนไว้แล้ว
“ชานี้เริ่มจางแล้ว ข้ามีชาดี ๆ อยู่ คุณชายโปรดรอสักครู่”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มตอบ จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินไปรอบ ๆ เขามองเห็นแผนผังตำแหน่งต่าง ๆ แขวนอยู่ที่ผนัง
แน่นอนว่าผู้ที่อยู่ด้านบนสุดคือฮ่องเต้ จากนั้นคือสำนักการเมืองทั้งสี่สำนัก อันได้แก่ สำนักเลขาธิการ เสมียนกลาง สำนักเสนาบดีและสำนักผู้ตรวจการ
ภายใต้สำนักเสนาบดีแบ่งออกเป็นหกกรม ได้แก่กรมขุนนาง กรมพิธีการ กรมคลัง กรมโยธาธิการ กรมกลาโหมและกรมราชทัณฑ์
ภายใต้สำนักผู้ตรวจการแบ่งเป็นสำนักงานตรวจสอบและสำนักรักษาความลับ
ซึ่งมีองค์ประกอบง่ายดายกว่าในชาติที่แล้วมากนัก
ฉีเหมยต้มชากาใหม่ ฟู่เสี่ยวกวนหลังอ่านจบแล้วจึงเดินกลับไปที่เดิมแล้วเอ่ยถามว่า “สำนักงานของเรานี้งานยุ่งหรือไม่ ?”
ฉีเหมยคาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะใช้คำว่าเรา “ข้าจะเอ่ยให้ฟังนับจากพรุ่งนี้เป็นต้นไป ที่นี่จะกลายเป็นที่ยุ่งที่สุดในพระราชวัง เจ้ามิรู้หรอกรึ ? หนังสือทุกฉบับจะต้องนำมาให้พวกเราอ่านดูก่อน หนังสือมีมาจากที่ต่าง ๆ มากมาย โดยรวมแล้วคือชีวิตที่สุขสบายนั่งดื่มชาเช่นตอนนี้ ข้าคาดว่าจะมิมีอีกแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจออกมา หากเป็นเช่นนี้เขาจะเอาเวลาที่ไหนไปจัดการเรื่องราวต่าง ๆ มากมายของเขาเล่า !
“เจ้าหน้าที่ทุกคน…งานยุ่งหมดงั้นรึ ?” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามออกไป ภายในใจเขาคิดว่าตำแหน่งเจี้ยนอี้ต้าฟูคงจะมิได้วุ่นสักเท่าไหร่นัก ?
“เหอะ ๆ ท่านซางจงซูลิ่งยังมิได้หยุดพักตั้งแต่เช้าจรดค่ำ เจ้าคิดว่าพวกเราจะเป็นเยี่ยงไรเล่า ? ”
“ถ้าเยี่ยงนั้นคงมิมีเวลาแอบอู้งานเป็นแน่”
ฉีเหมยเงยหน้ามองดูฟู่เสี่ยวกวน หรือชายหนุ่มผู้นี้จะเข้ามาทำงานที่เสมียนกลางกัน ?
มองดูแล้วมิน่าใช่ ที่เสมียนกลางมิเคยมีผู้ที่อายุน้อยเพียงนี้เข้ามาทำงาน ผู้ที่สามารถเข้ามาในเสมียนกลางได้ อย่างน้อยก็อายุอานามสามสิบขึ้นไปแล้ว
“คุณชาย ข้าจะอธิบายให้ฟังง่าย ๆ ว่า หากจะแอบอู้งานละก็ ต้องไปที่จิ่วซื่ออู่เจียน ที่นั่นงานสบายนัก เหอะๆๆๆ”
“เห้อ…หาได้เหมือนที่เสมียนกลางไม่ ตื่นเช้ากว่าไก่ นอนดึกยิ่งกว่าสุนัข ! หากพบเจอปัญหาใดเข้า อาจต้องทำงานทั้งคืนก็มิใช่เรื่องแปลกใด ๆ ”
จิตใจฟู่เสี่ยวกวนห่อเหี่ยวลงทันที เขาตกหลุมพรางของเยี่ยนเป่ยซีเข้าให้แล้ว !
มิได้การแล้ว เขาจะต้องไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท เขารับตำแหน่งนี้มิได้ !
กว่าจะมีชีวิตที่แสนสุขสบายได้ในชาตินี้ เขาจะไม่ยอมรับหน้าที่หนักหนากับชีวิตแสนวุ่นวายอีกเด็ดขาด !
เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “ขอบพระคุณท่านฉีที่ชี้แนะข้า ข้าขอตัวก่อน”
“อ้าวๆๆ มาดื่มชาก่อนค่อยไปสิ ! ”
แต่ฟู่เสี่ยวกวนวิ่งเร็วราวกับกระต่าย เขาวิ่งออกมาจวนถึงประตูของสำนักงาน ขายังไม่ทันจะได้ก้าวออกไป ก็พบว่าเยี่ยนเป่ยซียืนอยู่ตรงหน้า !
“คิดจะหนีงั้นรึ ? เจ้าช้าไปเสียแล้ว ! หึ ๆ ”
ข้างกายของเยี่ยนเป่ยซีมีชายชรารุ่นราวคราวเดียวกันยืนอยู่ ชายชราผู้นี้มองไปแล้วค่อนข้างมั่งคั่ง แม้ผมจะเริ่มหงอกขาวแต่ใบหน้าดูอวบอิ่ม โดยรวมแล้วมิเลวทีเดียว
ชายชราผู้นั้นมองดูแล้วยิ้มให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นเยี่ยนเป่ยซีจึงเอ่ยขึ้นว่า “พระประสงค์ของฝ่าบาท เจ้ากล้าขัดขืนงั้นรึ ? ”
“มิใช่เช่นนั้น ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน นี่ท่านกำลังโกงข้า ! ”
“เจ้าลองเอ่ยมาว่าข้าโกงเจ้าเยี่ยงไร ?”
“เอ่อ…ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ข้าจะกล่าวให้ท่านฟังว่า ข้านี้มีนิสัยเกียจคร้านจนเคยตัว ท่านกลับให้ข้ามาทำงานในที่ที่วุ่นวายเพียงนี้ หากข้าทำสิ่งใดผิดพลาดขึ้นมา จะทำให้ท่านอับอายขายหน้าเสียเปล่าใช่หรือไม่ ? เอาเช่นนี้ไหม…ท่านโปรดเมตตา ปล่อยข้าไปเถิดได้หรือไม่ ? ให้ข้าเป็นเพียงไท่จงต้าฟูก็พอได้หรือไม่ ? ”
เสียงคุยกันที่ด้านหน้าประตูถูกฉีเหมยได้ยินเข้า เขาจึงเดินมาตรวจดู พบว่าท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนและท่านซังก็อยู่ ณ ที่นี้ด้วย อีกทั้งชายหนุ่มเมื่อครู่ถูกพวกเขาดักเอาไว้ที่หน้าประตู
เมื่อได้ยินชายหนุ่มต่อรองกับท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน เขาก็สงสัยขึ้นมาทันทีว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นใครกันแน่ ? เหตุใดจึงกล้ากระทำเช่นนี้ !
“ฟู่เสี่ยวกวน ข้าจะบอกกับเจ้าให้ว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าคือคนของเสมียนกลาง ต่อให้ตายไปวิญญาณก็ยังเป็นของเสมียนกลาง ! อย่าได้คิดหนีไปไหนเชียว ฝ่าบาทจะมิทรงกลับคำแน่ อีกอย่าง…เจ้ามีความอดทนสูงมิใช่รึ ? เพียงแค่เจ้าทำหน้าที่ของตนเองได้ดี ข้ารับรองว่าท่านขุนนางระดับสูงซังจะให้อิสระแก่เจ้าเป็นแน่ ข้อเสนอนี้เจ้าคิดว่าเป็นเยี่ยงไร ?”
“ท่านกำลังรังแกข้าอยู่ !”
เยี่ยนเป่ยซีหัวเราะออกมา เขานึกในใจว่า อืม ! ข้ารังแกเจ้าแล้วอย่างไรเล่า ?
เจ้ายังหนุ่มยังแน่น แต่ละวันชอบทำตัวอวดเก่ง ไม่ทำการทำงาน คอยแต่แก้แค้นคนโน้นคนนี้ไปทั่ว ไร้สาระสิ้นดี เรื่องราวในราชวังจึงจะนับว่าเป็นเรื่องสำคัญ เจ้ายังมิเข้าใจงั้นรึ ?
“ไปๆๆ ข้าจะอธิบายเกี่ยวกับงานให้เจ้าฟัง”
ฟู่เสี่ยวกวนทำได้เพียงก้าวขาเข้ามาด้านใน ด้านฉีเหมยตกตะลึงอ้าปากค้าง…เขาคือฟู่เสี่ยวกวนงั้นรึ !
มิน่าเล่าท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนจึงได้นัดหมายกับเขาไว้ ที่แท้ชายหนุ่มผู้นี้จะมารับตำแหน่งเจี้ยนอี้ต้าฟู
เขาอายุยังไม่เต็มสิบเจ็ดเสียด้วยซ้ำก็ได้รับตำแหน่งสูงถึงเพียงนี้ !
ข้าอยู่ในเสมียนกลางมา 3 ปีแล้ว แต่กลับมีตำแหน่งเพียงจู่ซูขั้นเจ็ดเพียงเท่านั้น…
เขาทำความเคารพเยี่ยนเป่ยซีและซังหยู จากนั้นทั้งสามคนก็เดินเข้าไปด้านใน
“ผู้นี้คือท่านซังหยู เป็นจงซูลิ่งสูงสุดของเจ้า ต่อจากนี้เจ้าจะทำงานให้แก่ท่านซัง ก่อนหน้านี้ข้าได้ปรึกษาหารือกับท่านซังแล้ว เจ้ามีหน้าที่รับผิดชอบนโยบายยี่สิบคำของฝ่าบาท”
ผู้ดูแลนำน้ำชาเข้ามาวางให้ จากนั้นเยี่ยนเป่ยซีก็มองไปยังฟู่เสี่ยวกวนที่หน้าตาบูดบึ้งแล้วกล่าวว่า “ดูเจ้าสิ เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน ? ข้ารู้ดีว่าเรื่องนี้ค่อนข้างยากลำบาก ฝ่าบาทเองก็ทรงรู้ดีเช่นกัน แต่หากเจ้าทำออกมาได้ดี เจ้าจะได้รับผลงานมากมายเพียงใดรู้หรือไม่ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้น และเอ่ยถามว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ท่านว่าเรารับราชการเพื่อสิ่งใด ? ”
“…เพื่อความสุขของประชาชน เพื่อความรุ่งเรืองของประเทศชาติบ้านเมือง”
“ข้าคิดว่ารับราชการเพื่อเงินเท่านั้น”
“เจ้า…!” เยี่ยนเป่ยซีเริ่มแสดงท่าทางไม่พอใจออกมา “เจ้าจะมีความรู้สึกนึกคิดสักหน่อยมิได้หรือไรกัน ? เอาล่ะ เพื่อเงินทองก็ตามแต่ เจ้าต้องการเอ่ยสิ่งใด จงกล่าวออกมาตรง ๆ ! ”
“ข้าอยากจะบอกว่า…ข้ามิได้ขาดแคลนเงินทอง ! ”
ท่านขุนนางซังหัวเราะออกมาเสียงดัง เยี่ยนเป่ยซีสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ผ่านไปสักครู่เขาจึงเอ่ยออกมาว่า “ข้ารู้ดีว่าเจ้ามิขาดแคลนเงินทอง แต่ราชวงศ์หยูต้องการเงิน ! เจ้าลองไปถามท่านเสนาบดีต่งดูสิว่ากรมการคลังนั้นยังมีเงินเหลืออยู่เท่าใด ? เจ้ารู้ดีว่าหากทำสงครามจะต้องสิ้นเปลืองเงินจำนวนมหาศาล ! กรมการคลังจัดการเงินทุกอีแปะอย่างดี แต่ในทุก ๆ ปีมักมีเรื่องที่คาดมิถึงเกิดขึ้น เช่น อุทกภัยและสงคราม”
“ท่านเสนาบดีต่งนอนมิหลับมาเป็นเวลานาน เนื่องจากคำนึงถึงเรื่องเงินนี้ ฝ่าบาทเองก็เสวยพระกระยาหารได้ไม่มากนักเนื่องจากเรื่องเงินนี้ เจ้าเล่า…เจ้ามีความสามารถถึงเพียงนี้ แต่เหตุใดกลับมิยินดีช่วยเหลือราชวงศ์หยูกัน ?”
……
บัดนี้ท่านขุนนางระดับสูงซังก็ยิ้มไม่ออก เขามองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทีจริงจัง
ฟู่เสี่ยวกวนถือถ้วยชาไว้ในมือ ผ่านไปเนิ่นนานเขาจึงได้เงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ท่านขุนนางระดับสูงซัง เรื่องการหาเงินของประเทศนั้นจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยาก แต่วิธีที่ง่ายที่สุดก็คือทำสงคราม ! ”
เยี่ยนเป่ยซีและซังหยูตกตะลึง ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยต่อไปว่า “หากมีกองทหารที่แข็งแกร่ง และทางเราเป็นผู้เริ่มสงคราม วิธีการปล้น…เป็นวิธีที่ตรงไปตรงมาและได้ผลที่สุด”
เยี่ยนเป่ยซีและซังหยูมองหน้ากัน ปล้นงั้นรึ ?…ทหารราชวงศ์หยูจะทำเช่นนั้นได้เยี่ยงไรกัน !
ประเทศอื่น ๆ มิมาปล้นราชวงศ์หยูก็นับว่าบุญโขแล้ว นี่เจ้ากำลังจะให้ราชวงศ์หยูไปปล้นผู้อื่นงั้นรึ ?
“นอกจากปล้นเล่า ?”
“นอกจากนี้ก็ยากยิ่ง”
“ลองกล่าวมา”
“เปลี่ยนแปลงประเทศ แก้ไขและยกฐานะของพ่อค้าให้มากกว่าเกษตรกร ! ”
เยี่ยนเป่ยซีตกตะลึง ซังหยูก็เช่นกัน
“จะเป็นไปได้เยี่ยงไร ? หากกดขี่เกษตรกรแล้วใครจะเป็นผู้เพาะปลูกกัน ? เรื่องอาหารต่าง ๆ จะจัดการเยี่ยงไร ? หากมิมีอาหารกิน การค้าต่าง ๆ จะมีประโยชน์อันใด ?”
ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นไปได้ยาก แต่หากให้ทั้งสองเท่าเทียมกันคงจะมิยากเท่าใดนัก ! ”
“ท่านทั้งสองลองไตร่ตรองดูว่าเงินทองเหล่านี้มาจากที่ใด ? เงินของประเทศมาจากภาษีใช่หรือไม่ แต่บัดนี้จากการบันทึกพบว่าพ่อค้าเสียภาษีมากกว่าเกษตรกร หากมิเพิ่มภาษีก็ต้องเพิ่มการค้าให้มากยิ่งขึ้น ! ”
“มีเพียงการค้าเจริญรุ่งเรือง หากพ่อค้าได้เงินมากขึ้น ประเทศจึงจะมีเงินมากมายตามมา ดังนั้นข้าน้อยคิดว่าหากมิแก้ไขนโยบายในส่วนนี้ ตำแหน่งของพ่อค้ามิสูงขึ้น เงินทอง…คงจะมิสามารถวิ่งเข้ามาในกรมการคลังเองได้ ! ”
“วันนี้พอเพียงเท่านี้ เลิกประชุม…ฟู่เสี่ยวกวน เจ้าอยู่ก่อน”
เพียงหนึ่งประโยคของฮ่องเต้ ก็ทำให้เหล่าขุนนางต่างมองฟู่เสี่ยวกวนเป็นตาเดียวอีกครา
นึกย้อนไปถึงคราแรกที่คนผู้นี้ได้ขึ้นมาบนพระราชวังจินเตี้ยน ฮ่องเต้ก็ได้ตรัสออกไปเยี่ยงนี้เช่นกัน เมื่อลองคิดดูแล้วเกรงว่าคนผู้นี้จะได้รับความโปรดปรานจากพระองค์อย่างแท้จริง เยี่ยงนั้นเกรงว่าเรื่องระหว่างคนผู้นี้และองค์หญิงเก้าที่เป็นข่าวลือในเมืองหลวงคงจะเป็นเรื่องจริง
ดังนั้นเมื่อทุกคนเดินออกไปในยามที่เดินผ่านฟู่เสี่ยวกวนก็ได้หันมายิ้มและคำนับให้ ฟู่เสี่ยวกวนยืนนิ่ง ครุ่นคิดไปแล้วก็โค้งคำนับกลับไป
“ตอนบ่ายข้าจะพาเจ้าไปที่เสมียนกลางสำนักตรวจสอบพระราชโองการและทำความรู้จักกับสหายร่วมงานของเจ้า…ภายภาคหน้าหากมีเรื่องลำบากอันใดก็จงมาบอกกับข้า แต่เจ้าต้องพึงระลึกไว้เกี่ยวกับ นโยบายยี่สิบคำของฝ่าบาท เจ้าจงใช้ช่วงเวลานี้ไปคิดให้ดี”
แท้จริงแล้ว จิ้งจอกเฒ่านี่ก็ต้องการให้เขาไปเสมียนกลางก็เพื่อสิ่งนี้
“ขอบพระคุณท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนที่สนับสนุนให้เลื่อนขั้น ยามบ่ายข้าจะเฝ้ารอท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนอยู่ที่เสมียนกลาง”
“อย่าทำให้เรื่องของข้าสูญเปล่า…” เยี่ยนเป่ยซีเหลือบมองซ้ายขวา เหล่าขุนนางได้เดินออกไปกันได้พอประมาณแล้ว เขาจึงเอ่ยถามเสียงแผ่ว “เรื่องหลานสาวของข้า เจ้าไตร่ตรองว่าเยี่ยงไรแล้วบ้าง ?”
ฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างอึดอัด กางเกงชั้นในของนางเขายังวางมันไว้ที่จวนกำลังครุ่นคิดว่าควรจะหาเวลาเอาไปคือเยี่ยนเสี่ยวโหลวดีหรือไม่ เมื่อคิดถึงใบหน้าแดงระเรื่อของเด็กสาวผู้นั้น อือ สวยสะคราญตาน่ามองเชียว
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ข้าจะบอกความจริงกับท่านหนึ่งอย่าง เรื่องระหว่างข้าและองค์หญิงเก้า…”
เยี่ยนเป่ยซีโบกมือ “ข้ามิสนเรื่องเล็กน้อยเหล่านั้นของเจ้า โดยสรุปแล้ว ข้าขอให้เจ้าจงจำไว้ ใจของหลานสาวข้าอยู่ที่เจ้า ข้ามิอยากเห็นนางต้องเสียใจ” กล่าวจบเยี่ยนเป่ยซีก็เงยหน้าขึ้นมา และกล่าวโดยแฝงความนัยเอาไว้ว่า “ภายภาคหน้าเจ้าสามารถทำงานในเสมียนกลางได้ โดยอยู่ภายใต้สายตาของข้า หากอยากให้ชีวิตในแต่ละวันสะดวกสบาย เจ้าจงทำเรื่องนี้ให้สมบูรณ์แบบเพื่อข้า ข้าจะไม่บังคับเจ้า ปีนี้ ข้าจะให้เวลาเจ้าหนึ่งปี หากเจ้ารังแกหลานสาวของข้า ข้าสาบานว่าภายภาคหน้าเจ้าจะมิได้อยู่ดีกินดีเป็นแน่”
กล่าวจบเยี่ยนเป่ยซีก็สาวเท้าจากไป
“เฮ้เฮ้เฮ้…” ฟู่เสี่ยวกวนตะโกนเสียงดังขั้นมาสามครั้ง เยี่ยนเป่ยซีก็มิได้หันกลับมา แต่บนใบหน้าของชายชรานั้นกลับเผยรอยยิ้มที่ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยเห็นมาก่อน
เวรเอ๊ย ! นอกจากชายชราผู้นี้จะพาตนเองมาทำเรื่องเสมียนกลางแล้วก็คาดไม่ถึงว่าจะยังเห็นแก่ตัวถึงเพียงนี้ !
ผิดพลาดไปหมดแล้ว !
“อือ เสี่ยวกวน เมื่อครู่อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนกล่าวสิ่งใดกับเจ้ากัน ?”
ในยามนี้บนพระราชวังจินเตี้ยนเหลือเพียงฮ่องเต้กับขันทีเจี่ยและมีฟู่เสี่ยวกวนเป็นสามคน ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมาก่อนจะตอบ “ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนกล่าวว่า…ต้องการให้กระหม่อมจัดการเรื่องนโยบายยี่สิบคำของฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ตาเฒ่าผู้นี้ เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวยิ่งนัก !
“ลำบากเยี่ยงนั้นรึ ?”
“ทูลฝ่าบาท ลำบากพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้ มีจุดที่ลำบากก็ถูกแล้ว หากง่ายดายเยี่ยงนั้น อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนก็จะมิฝากฝังงานนี้ให้กับเจ้า”
ไม่ ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าหลังจากที่เขากล่าวว่าลำบากแล้วฮ่องเต้จะขอให้เยี่ยนเป่ยซีหาผู้อื่นมารับผิดชอบเรื่องนี้แทน แต่มิคาดคิดว่าฮ่องเต้จะทรงเห็นด้วยกับเยี่ยนเป่ยซี
เขาไร้โอกาสจะคัดค้าน “พระสนมซั่งต้องการพบเจ้า…ช่วงปีใหม่เจ้ามิได้เข้ามาในวังหลวงเลย เจ้ามีธุระอันใดเยี่ยงนั้นรึ ?”
เรื่องนั้นหมายถึงช่วงเวลาก่อนสนามรบนองเลือดที่ถนนเส้นยาวและงานเลี้ยงหน้าประตูจวนฮุ่ยชินอ๋องในเมื่อวาน
“ทูลฝ่าบาท เป็นความผิดของกระหม่อม เพียงแค่ช่วงหลายวันนี้ กระหม่อมยุ่งเป็นอย่างมาก จนไร้หนทางปลีกตัวมาได้ อีกประเดี๋ยวกระหม่อมจะเข้าไปรับผิดกับพระสนมซั่งพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาเถอะ ไปได้”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกไปอย่างไม่เร่งรีบ ฮ่องเต้หยูยิ่นมองตามแผ่นหลังของเขา ทันใดนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมา “เจ้าว่า…เขาจะรับภาระไว้ได้หรือไม่ ?”
ขันทีเจี่ยกระวนกระวายค้อมตัวและตอบกลับไป “พระเนตรของฝ่าบาทจับจ้องไปที่เขาแล้ว เขาย่อมทำได้พ่ะย่ะค่ะ”
หยูยิ่นยกยิ้ม “ชายชราเยี่ยงเจ้า ยิ่งอยู่ก็ยิ่งกลับกลอก ข้ายังมิได้ลงโทษที่เจ้าแถลงราชโองการเท็จ”
เสียง ฟุบ ดังขึ้น ขันทีเจี่ยลงไปคุกเข่ากับพื้น “กระหม่อมผิดไปแล้ว ฝ่าบาทโปรดลงทัณฑ์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“พอแล้ว ๆ เรื่องนั้น…เจ้าทำได้มิเลว แต่ครั้งหน้าจะมิมีการผ่อนปรน”
…..
ภายในวังเตี๋ยอี๋อบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ
บนโต๊ะนั้นมีอาหารที่สวยงามวางอยู่จนเต็มโต๊ะ และในนั้นก็มีหงเซาซือจึโถว่ที่ฟู่เสี่ยวกวนชื่นชอบมากที่สุด แน่นอนว่ายังมีซุปที่เขาชอบมากที่สุดอยู่อีกด้วย
“คิดว่าเจ้าคงจะหิว ทานกันก่อนเถอะ” พระสนมซั่งยิ้มแย้ม หยูเวิ่นหวินดูขัดเขิน แต่หยูเวิ่นเต้ากลับจ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง
ถือดีอันใดกัน ?
เสด็จแม่ลำเอียง !
ในเวลาปกติที่มาหาเสด็จแม่อย่างมากที่สุดก็จะมีกับข้าว 3 อย่างและซุปอีก 1 ถ้วย แต่พอบอกว่าวันนี้ฟู่เสี่ยวกวนจะมา คาดไม่ถึงว่าจะทำซุป 1 ถ้วยและกับข้าวถึง 8 อย่าง
พระสนมซั่งกลับมิได้สนใจเขา และหันไปกล่าวกับฟู่เสี่ยวกวนว่า “ได้ยินมาว่าเจ้าฉลองช่วงข้ามปีที่บ้านของชูหลาน ?”
“มิขอปิดบังพระสนมพ่ะย่ะค่ะ ตัวคนเดียวในเมืองหลวงมันทำให้กระหม่อมอ้างว้างยิ่งนัก ดังนั้น…เสนาบดีต่งจึงเชิญให้กระหม่อมไปฉลองข้ามปีที่จวนของเขาพ่ะย่ะค่ะ”
สองคิ้วของพระสนมซั่งเลิกขึ้น “เป็นความจริงรึ ? ”
“เอ่อ ก็มิใช่ทั้งหมด ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะความหน้าหนาของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”
หยูเวิ่นหวินหัวเราะร่า พระสนมซั่งเองก็รื่นเริง “ข้ามิได้จะโทษเจ้าแต่อย่างใด อย่างไรแล้วในช่วงข้ามปีวังหลวงก็มีเรื่องให้ต้องทำมากมาย เจ้ามาที่นี่ก็คงจะไม่เหมาะนัก ลองชิมหงเซาซือจึโถว่ที่ข้าทำดูสิว่ารสชาติเป็นเยี่ยงไรบ้าง เมื่อเทียบกับฝีมือฮูหยินต่งแล้ว…ประเดี๋ยวเจ้าลองกล่าวดูแล้วกัน”
จะกล่าวเยี่ยงไรออกไปได้ ?
ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นแม่ยายทั้งคู่ แต่ก็มิสามารถทำให้โกรธเคืองได้แม้แต่คนเดียว !
ฟู่เสี่ยวกวนคีบหงเซาซือจึโถว่หนึ่งชิ้นวางในถ้วยและชิมอย่างตั้งใจ หลังจากนั้นก็กล่าวประจบ “อือ ฝีพระหัตถ์ของพระองค์อร่อยยิ่ง พระองค์ก็ลองเสวยเถิด”
“เจ้าก็ลองกล่าวมาก่อนสิ ?”
“นี่…หงเซาซือจึโถว่ที่พระองค์ทำละมุนลิ้นยิ่งนัก พอกัดกินไปแล้วชุ่มคอมีน้ำมันแต่ไม่เลี่ยนพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วที่ฮูหยินต่งต่งทำเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
พระสนมซั่งจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน ลอบคิดว่าเจ้าหนุ่มนี่จะตอบกลับมาว่าเยี่ยงไร
“ฮูหยินต่งต่งทำได้ชุ่มคอและละมุนลิ้น เลี่ยนแต่ไร้น้ำมันพ่ะย่ะค่ะ !”
หยูเวิ่นหวินหัวเราะขึ้นอีกครา พระสนมซั่งส่ายหน้า “เจ้านี่นะ…ปากของเจ้านี่หลอกล่อคนให้ตายได้อย่างแท้จริง”
กะล่อนปลิ้นปล้อน ! หยูเวิ่นเต้าจ้องฟู่เสี่ยวกวนอีกครา ก่อนจะคีบซือจึโถว่มาหนึ่งชิ้น อือ รสชาติมิเลวจริง ๆ เจ้าหนุ่มนี่มิได้พูดไร้สาระ
เมื่อทานอาหารเสร็จแล้ว ข้ารับใช้สตรีได้เข้ามาเก็บจานชาม ทั้งสี่คนเดินมานั่งที่หน้าโต๊ะน้ำชา หยูเวิ่นหวินเองก็ต้มชามาหนึ่งกา
“เจ้ามิต้องกังวลเรื่องของฮุ่ยชินอ๋อง ข้าเพียงแค่อยากจะถามเจ้า เจ้ารู้ได้เยี่ยงไรว่ามีทางลับใต้ดินในอารามซุ่ยเยว่ที่เชื่อมต่อไปยังจวนฮุ่ยชินอ๋อง ?”
“เมื่อวานกระหม่อมได้ไปอารามซุ่ยเยว่ พบว่าที่ลานตรงกลางนั้นบ่อน้ำอยู่ ล้อที่ใช้ชักน้ำในบ่อมีหิมะคลุมอยู่ แต่เมื่อข้าออกมาจากห้องโถง หิมะนั้นก็ได้หายไปแล้ว นั่นแสดงว่าย่อมมีคนไปแตะต้องล้อนั่น แต่ในยามนั้นปู้เนี่ยนชือไท่ก็อยู่ในวิหาร ดังนั้นข้าจึงมั่นใจว่าที่ตรงนั้นมีเส้นทางลับ ส่วนเหตุใดจึงเชื่อมไปสู่จวนฮุ่ยชินอ๋อง…แท้จริงแล้วเป็นเพียงสิ่งที่ข้าคาดเดา”
พระสนมซั่งเงียบไปอึดใจ แต่มิได้นึกสงสัย
และฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้กล่าวลงรายละเอียดอะไร
ความจริงแล้วก่อนหน้านั้นไม่กี่วันได้มอบหมายให้ศิษย์พี่ใหญ่ไปทำแผนที่ป้องกันเมืองหลวงมาหนึ่งฉบับ แต่เขากลับมิได้รับแผนที่ป้องกันนี้ กลับกันเขาได้รับแผนที่ฉบับรื้อถอนของเมืองจินหลิงในราชวงศ์ก่อนมาหนึ่งฉบับ
ของสิ่งนี้มีอายุอยู่เล็กน้อย กระดาษแผ่นนั้นได้เป็นสีเหลืองไปแล้ว หากตรวจสอบย้อนกลับไป ก็มีประวัติไม่ต่ำกว่าสามร้อยปี
บนแผนที่ฉบับรื้อถอนนี้ ได้ลงรายละเอียดตั้งแต่ถนนใหญ่ยันตรอกเล็กในเมืองหลวง ทั้งยังระบุโครงสร้างทางน้ำของเมืองหลวงอีกด้วย
จากที่มองในแผนที่นี้ ฟู่เสี่ยวกวนก็พบว่าใต้ดินของจวนฮุ่ยชินอ๋องมีร่องระบายน้ำที่ทอดทิ้งยาวไปถึงเขตใต้อย่างพอดี ดังนั้นเขาจึงไปอารามซุ่ยเยว่ และจึงตัดสินว่าจุดสิ้นสุดของเส้นทางนี้อยู่ที่อารามซุ่ยเยว่
เยี่ยนเป่ยซีกล่าวว่าจีหลินชุนต้องซ่อนตัวอยู่ในจวนฮุ่ยชินอ๋อง นั่นมิใช่การหลอกเขา แต่เมื่อซูโหรวไปตามหาที่จวนฮุ่ยชินอ๋อง กลับมิพบจีหลิงชุน
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าในตอนที่ความพ่ายแพ้ของฮุ่ยชินอ๋องได้ถูกกำหนดออกมา จีหลินชุนจะต้องใช้ทางลับใต้ดินเดินทางไปยังอารามซุ่ยเยว่
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะค้นหาในอารามซุ่ยเยว่ และใช้ข้ออ้างว่าเขาทำแมวหนึ่งตัวหายไป ได้เข้าไปค้นหาในห้องเหล่านั้น แต่กลับมิพบอะไรทั้งสิ้น
ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงใช้กางเกงในตัวนั้นมาบังคับข่มขู่ปู้เนี่ยนชือไท่อีกครา จุดประสงค์ก็เพื่อให้ฝ่ายขุนนางมาตรวจสอบและปิดที่นั่นไปเสีย เขาก็จะมีเวลามากพอที่จะเข้าค้นหา แต่แล้วปู้เนี่ยนชือไท่ก็ออกตัวมอบจีหลินชุนให้กับเขาภายใต้สถานการณ์ที่ถูกบังคับ ดังนั้นเขาจึงมั่นใจว่าภายในอารามซุ่ยเยว่ย่อมมีบุคคลที่สำคัญยิ่งกว่าจีหลินชุน
ที่อารามซุ่ยเยว่นั้นมีคนของหอซี่หยู่เฝ้าอยู่ตลอดเวลา ปู้เนี่ยนชือไท่ก็ย่อมทราบ ดังนั้นคนผู้นี้ย่อมใช้ทางลับใต้ดินเดินทางไปยังจวนฮุ่ยชินอ๋อง เพราะในยามนี้จวนฮุ่ยชินอ๋องได้ถูกปิดไปแล้ว
และยังมีงานเลี้ยงที่ฟู่เสี่ยวกวนจัดขึ้นในตรอกซานเยวี่ยที่หน้าจวนฮุ่ยชินอ๋อง และรอให้คนเหล่านั้นออกมาจากจวนฮุ่ยชินอ๋อง
มิเกินไปจากที่เขาคาดเดา คนเหล่านั้นก็ได้ออกมาจริง ๆ ซูซูใช้ฉินเหมือนกระบี่สังหารไปเสียหนึ่ง และบาดเจ็บไปอีกสิบแปด หนีไปอีกสอง และหนึ่งในสองที่หนีไปนั้นก็มีสตรีหนึ่งนาง อีกผู้หนึ่งคือชายเยาว์วัยผู้หนึ่ง เพราะมีผ้าคลุมใบหน้าอยู่ ฟู่เสี่ยวกวนจึงมองมิเห็นรูปลักษณ์ของพวกเขา แต่มิต้องรีบร้อน เพราะซูโหรวติดตามพวกเขาอยู่ไกล ๆ
พวกเขาไปยังหยี่ฮวาถาย !
หลังจากนั้นซูโหรวก็คอยอยู่ที่นั่นตลอดเวลา รออาศัยจังหวะที่ชายหนุ่มผู้นั้นไปทำธุระส่วนตัว หลังจากนั้นจึงลอบจับชายหนุ่มผู้นั้นกลับมา
ฟู่เสี่ยวกวนอ้างอิงจากคำสารภาพของจีหลินชุน จึงทราบว่าสตรีผู้นั้นคือหนานป้าเทียน แต่จีหลินชุนมิทราบถึงตัวตนของชายหนุ่มผู้นั้น คิดว่าคนผู้นั้นน่าจะมีสถานะที่สูงส่งในหยี่ฮวาถาย
และในตอนนี้ ซูเจวี๋ยก็ได้รออยู่ที่ด้านนอกหยี่ฮวาถาย มิรู้เหมือนกันว่าหลังจากที่กลับไป ซูเจวี๋ยจะมีข่าวดีมาให้เขาหรือไม่
“คาดว่าไทเฮาจะเรียกเจ้าไปเข้าเฝ้าที่พระตำหนักฉือหนิงกงในวันพรุ่งนี้ เจ้ามิต้องกังวลใจไป ในวันนี้ข้อกล่าวหาทั้งหมดของฮุ่ยชินอ๋องได้ประทับอยู่ที่โต๊ะทรงอักษรของไทเฮาแล้ว เมื่อรวมเข้ากับการที่มีคนไปตีกลองร้องทุกข์ที่จวนผู้ว่าเขตจินหลิงอยู่ทุกวัน ไทเฮาเป็นคนที่รักษาหน้าตาและเกียรติยศเป็นอย่างมาก ต่อให้ในใจของพระนางจะมิชอบอย่างยิ่ง แต่พระนางก็ไร้หนทางจะออกหน้าปกป้องฮุ่ยชินอ๋องได้”
“ฮุ่ยชินอ๋องจะตายมิได้ นี่คือเรื่องที่เจ้าต้องจำให้มั่น เรื่องของเจ้าและเวิ่นหวิน ขอแค่เพียงไทเฮาพยักหน้า เรื่องนี้ เป็นเรื่องของการแลกเปลี่ยน”
พระสนมซั่งยกจอกน้ำชาขึ้นดื่ม “…หรือจะกล่าวได้ว่า เป็นการประนีประนอมของไทเฮา”
ฟู่เสี่ยวกวนยังรู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อย ที่ฮุ่ยชินอ๋องมิตาย และไปยังพื้นที่พระราชทานหลิงหนาน นั่นคือภูเขาสูงที่อยู่ห่างไกลดินแดนของฮ่องเต้ หากเขาสร้างลูกไม้อันใดขึ้นที่นั่น ก็คงจะเป็นเรื่องที่ลำบากไม่น้อย
“หรือว่าในระหว่างที่ฮุ่ยชินอ๋องเดินทางไปยังที่พระราชทานของเขา…” เพียงดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนมืดคล้ำ พระสนมซั่งก็ส่ายหน้า
“มิได้ เยี่ยงนั้นจะไปแตะโดนเข้าที่ความอดทนสุดท้ายของไทเฮา และฝ่าบาทก็มิยินยอมที่จะแบกชื่อเสียงที่ย่ำแย่เยี่ยงนั้น ให้เขาไปเถอะ คงก่อระลอกคลื่นใหญ่อันใดมิได้อีกแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า เนื่องจากพระสนมซั่งได้แสดงจุดยืนแล้ว เยี่ยงนั้นก็ให้เรื่องจบลงที่ตรงนี้ การที่สามารถใช้เรื่องนี้มาทำให้ไทเฮายอมประนีประนอมได้ สำหรับเขาแล้วเป็นผลประโยชน์ที่อยู่นอกเหนือความคาดหมาย เยี่ยงนั้นเรื่องระหว่างเขาและหยูเวิ่นหวิน ก็จะมิถูกขัดขวางอีกต่อไป
“หากกระหม่อมไปแตะต้องหยี่ฮวาถาย จะมีผลเยี่ยงไรตามมาพ่ะย่ะค่ะ ?”
“มีผลลัพธ์ที่เจ้ามิอาจจะชดใช้ได้อยู่ ! ”
ทันใดนั้นสีหน้าของพระสนมซั่งก็เคร่งเครียดขึ้นมา “เจ้าสามารถตรวจสอบเรื่องของหยี่ฮวาถายได้แต่มิสามารถกระทำการอันใดได้ เรื่องนี้…ถามแล้วก็ไปจัดการเถอะ”
ตอนที่ 214 ฟู่เสี่ยวกวนเลื่อนขั้น
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนนำมือประสานกันแล้วก้มหน้าลง มิมีผู้ใดรู้ว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่
น่าสงสารยิ่งนักเจ้าหนุ่ม อายุยังน้อยแต่กลับถูกข้าบีบบังคับเสียจนเป็นเช่นนี้ เขามิได้มีเพื่อนฝูงอื่นใดที่เมืองหลวง ช่างโดดเดี่ยวเสียจริง
แต่นี่คือชายหนุ่มที่ราชวงศ์หยูต้องการ !
ไม่ข้องเกี่ยวสิ่งยั่วยุ รู้จักที่ต่ำที่สูง รู้ผิดรู้ถูก เข้าใจถึงหลักการอย่างถ่องแท้
อีกทั้งที่สำคัญ เขามีความรู้อยู่มากมาย !
มิต้องเอ่ยถึงนโยบายแก้ไขอุทกภัย เพียงแค่เรื่องสุราที่นำส่งให้วังหลวงหลวงก็สร้างรายได้แก่จวนฟู่มากโข เวิ่นหวินกล่าวว่าสุรานี้เขาเป็นผู้คิดค้นเอง ยอดสุราซีซานนั้นรสเลิศกว่าสุราเทียนเซียงมากนัก เมื่อปีใหม่ที่ผ่านมาเขาก็ได้ผลิตสบู่หอมขึ้น หลังจากใช้สิ่งนี้อาบน้ำช่างทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นยิ่ง หากพรมน้ำหอมเพิ่มขึ้นสักหน่อยก็จะยิ่งสดชื่นขึ้น ข้าจำได้ว่าในคืนนั้นพระสนมซั่งใช้สบู่ชำระร่างกายแล้ว วรกายนางนุ่มลื่นกว่าทุกครา…
นี่คือความสามารถอย่างแท้จริง เดิมทีฮ่องเต้มิได้คิดว่าเขาพิเศษแต่อย่างใด แต่บัดนี้ชี้ชัดแล้วว่าเขาผู้นี้ช่างเก่งกาจนัก ! เนื่องจากหลายสิ่งนี้คนอื่น ๆ กลับคิดไม่ถึง หรือคิดได้แต่ก็มิสามารถลงมือทำได้สำเร็จ
ฮ่องเต้หวนนึกถึงประโยคที่เวิ่นหวินเอ่ยกับพระสนมซั่งหลังกลับมาจากซีซาน
คล้ายกับมีประโยคหนึ่งที่ว่า ‘ หากประเทศใดให้ความสำคัญกับการค้า และยกตำแหน่งพ่อค้าให้สูงขึ้นได้ ประเทศนั้นจะรุ่งเรืองยิ่ง ’
แน่นอนว่านี่มิใช่ความคิดของหยูเวิ่นหวิน เห็นได้ชัดว่าความคิดนี้มาจากฟู่เสี่ยวกวนอย่างแน่แท้
เขาได้กล่าวสิ่งใดกับเวิ่นหวินอีกบ้าง ?
อืม เรื่องนี้ต้องไปสอบถามเวิ่นหวินให้รู้ความเสียแล้ว มองดูแล้วเขาผู้นี้ฉลาดพอควร
หากเขามีวิธีจัดการกับเรื่องเศรษฐกิจ ปัญหาที่ราชวงศ์หยูได้พบเจอคงจะจัดการได้เสียที อีกทั้งนโยบายยี่สิบคำของข้าอาจจะทำให้เป็นจริงได้
เมื่อทรงคิดได้ดังนั้น ฮ่องเต้ก็ตรัสออกมาว่า “เรื่องการแก้ไขปัญหาที่แม่น้ำหวงเหอ ค่อยตัดสินในภายหลัง”
เมื่อได้ยินดังนั้น ปี้ตงและต่งคังผิงก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หากฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยยืนยันความคิดของพระองค์ เกรงว่าจะจัดการได้ยาก ราชวงศ์หยูมิอาจขึ้นภาษีได้อีกแล้ว สิ่งนี้ทุกคนเห็นพ้องต้องกัน ในแต่ละปีภาษีของราชวงศ์หยูมีตัวเลขคงที่ อีกทั้งยังต้องดูว่าปีนั้นผลผลิตดีหรือไม่
เสนาบดีทั้งสองกลับสู่ที่นั่งตน ฮ่องเต้เองก็ทรงกลับไปประทับ ณ เก้าอี้มังกร ครุ่นคิดชั่วครู่ก่อนจะตรัสว่า “เทศกาลฤดูหนาว ณ ราชวงศ์อู่ ในเมื่อเหวินตี้เอ่ยนามเชิญฟู่เสี่ยวกวน… ฟู่เสี่ยวกวน…”
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังก้มหัวครุ่นคิดเรื่องที่ซูเจวี๋ยรื้อวัดฟูจื่อเมื่อวาน จู่ ๆ ก็ได้ยินฮ่องเต้ขานชื่อตนจึงได้รีบเงยหน้าขึ้นตอบรับว่า “พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”
เขาเหม่อลอยอะไรกัน ? ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว คณะขุนนางมองไปยังเขา ฮ่องเต้มิทรงชื่นชอบเขาจริง ๆ ด้วย หรือฮ่องเต้จะรอให้เขาเดินทางกลับมาแล้วจึงลงโทษกัน ?
มีความเป็นไปได้มากทีเดียว เนื่องจากหากบัดนี้ฝ่าบาทสั่งประหารเขา จะเอ่ยกับเหวินตี้เยี่ยงไร คงจะส่งผลต่อมิตรภาพของทั้งสองประเทศเป็นแน่
“งานชุมนุมวรรณกรรมแห่งราชวงศ์อู่ในครั้งนี้มีเจ้าเป็นผู้นำ ประเดี๋ยวข้าจะมอบหมายอำนาจแก่เจ้า จงคัดสรรนักเรียนจำนวน 100 คน งานชุมนุมครั้งนี้เกี่ยวกับวรรณกรรม แท้จริงแล้วถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 60 พรรษาของไทเฮา ดังนั้น…กรมพิธีการจงส่งขุนนางติดตามไปด้วย เป็นตัวแทนราชวงศ์หยูเข้าร่วมยินดี เรื่องนี้ขอมอบหมายให้เสนาบดีชือเป็นผู้จัดการ จงเขียนรายการของกำนัลให้ข้าดูเสียก่อน”
เรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนรู้มาก่อนแล้วจึงมิได้ตกใจอะไร ในขณะที่เขากำลังแทรกตัวเข้าไปรับราชโองการนั้นก็ได้ยินฮ่องเต้ตรัสต่อไปว่า “หลังจากข้าครุ่นคิดอยู่นาน ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนเป็นตัวแทนราชวงศ์หยูและได้เดินทางไปในครานี้ ตำแหน่งฉาวซ่านต้าฟูดูต่ำต้อยเสียเกินไป…”
เมื่อฝ่าบาทตรัสคำนี้ออกมา ขุนนางทั้งหลายก็พากันแตกตื่น และคอยฟังฮ่องเต้ว่าจะตรัสสิ่งใดออกมาต่อ
เหตุผลนี้ดูไปก็สมเหตุสมผล…เพียงแต่ฟู่เสี่ยวกวนเพียงแค่เดินทางไปร่วมงานเท่านั้น เดิมทีเขาก็มีความสามารถอยู่แล้ว นี่ก็เพียงพอแล้วมิใช่รึ ? เหตุใดจึงต้องเลื่อนขั้นให้แก่เขาด้วย ?
หรือฝ่าบาทจะทรงยกเขาขึ้นไปให้สูงก่อนที่จะปล่อยให้ตกสู่ดิน ?
ทรงต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนผ่อนคลายความกังวล และทำหน้าที่ทูตให้ดีที่สุด และเมื่อเดินทางกลับมาแล้วค่อยเชือดเขางั้นรึ ?
ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นก็ดีใจขึ้นมาทันที นี่เขาจะได้เลื่อนขั้นงั้นรึ ?
“ดังนั้น ข้าตัดสินใจว่าจะมอบตำแหน่งหยินชิงกวงลวี่ต้าฟูแก่ฟู่เสี่ยวกวน พวกท่านคิดว่าเยี่ยงไร ?”
เมื่อฝ่าบาทตรัสจบ เสียงจากด้านล่างก็เริ่มดังขึ้น
ตำแหน่งหยินชิงกวงลวี่ต้าเทียบเท่ากับขุนนางขั้นสามทีเดียว !
แม้จะเป็นเหวินซ่านกวน แต่ก็เป็นขั้นสาม !
เจ้าหนุ่มนี่เลื่อนขั้นทีเดียวสามขั้น…ฮ่องเต้ยกเขาขึ้นสูงเกินไปหรือไม่ ?
อีกทั้งเขายังมิได้ทำคุณงามความดีใด ๆ ยังมิรู้ด้วยซ้ำว่าเขาจะเอาชนะนักกวีแห่งราชวงศ์อู่ได้หรือไม่ !
“กระหม่อม…ขอคัดค้านพ่ะย่ะค่ะ ! ”
เยี่ยนเป่ยซีก้าวขึ้นมา
ฮ่องเต้จ้องไปที่เขาตาเขม็ง ตาเฒ่านี่เรื่องมากเสียจริง !
เพียงแค่ตำแหน่งเหวินซ่านกวนขั้นสามเท่านั้นมิใช่หรือ ? ฟู่เสี่ยวกวนช่วยข้าจัดการเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย เพียงแต่ขุนนางคนอื่น ๆ มิรู้เท่านั้น ! เยี่ยนเป่ยซี เจ้ารู้อยู่แก่ใจ เหตุใดยังลุกขึ้นมาขัดขวางข้ากัน !
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ โปรดรับฟังความคิดเห็นของกระหม่อม”
ฮ่องเต้ทรงเอนพระวรกายไปที่เก้าอี้มังกรแล้วเสตามองมาทางเขา “ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน ลองกล่าวมา”
“กระหม่อมคิดเห็นว่า ฟู่เสี่ยวกวนยังอายุมิเต็มสิบเจ็ดปี เรื่องของอายุนั้น…อาจจะดูน้อยไปสักหน่อย แต่เขามีความสามารถสร้างคุณประโยชน์ไม่น้อย แน่นอนว่าควรได้รับการเลื่อนขั้น เพียงแต่มิควรเลื่อนทีละหลายขั้น เนื่องจากความสามารถของเขาบัดนี้ยังมิเพียงพอต่อการเลื่อนขั้นสามขั้น อีกทั้งฝ่าบาททรงลองไตรตรองดูว่า หากฟู่เสี่ยวกวนทำคุณงามความดีกลับมา พระองค์จะทรงประทานรางวัลแก่เขาเช่นไรพ่ะย่ะค่ะ ?”
อืม…นั่นสิ ตาเฒ่าผู้นี้กล่าวมีเหตุผล ข้ารีบร้อนไปเองจริง ๆ เขายังมีอนาคตอีกยาวไกล โอกาสในการเลื่อนขั้นมีอีกมากนัก หากต่อไปเขาทำคุณงามความดีอีก คงมิมีตำแหน่งจะเลื่อนให้แก่เขาแล้ว
“ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนกล่าวมามีเหตุผล เช่นนั้นท่านคิดว่าข้าควรมอบตำแหน่งใดแก่เขา ?”
“กระหม่อมคิดเห็นว่า ควรให้ตำแหน่งเสมียนกลางเจี้ยนอี้ต้าฟู ! ”
เมื่อเยี่ยนเป่ยซีกล่าวจบ ขุนนางคนอื่น ๆ ก็ฮือฮากันขึ้นมาอีกครั้ง
ตำแหน่งเจี้ยนอี้ต้าฟูเป็นตำแหน่งขั้นสี่ แต่แตกต่างกันอย่างชัดเจน !
นั่นหมายความว่าเขาได้เข้ามาสู่ใจกลางและสามารถแตะต้องเรื่องราวต่าง ๆ ได้ อีกทั้งยังมีสิทธิ์ในการร่วมพัฒนาประเทศ คล้ายกับเลขาธิการของอัครมหาเสนาบดี มีหน้าที่ร่างนโยบายต่าง ๆ
ตำแหน่งนี้อาจไม่ใหญ่โต แต่ส่งผลกระทบต่อการทำงานของประเทศยิ่งนัก และหากเขาเติบโตในหน้าที่นี้ ในอนาคตอาจจะได้เข้าร่วมอย่างเต็มตัวก็เป็นได้ และกลายเป็นหนึ่งในเสนาบดีทั้งหก อีกทั้งการมีส่วนร่วมในการเมือง
มองจากภายนอกแล้ว เยี่ยนเป่ยซีลดตำแหน่งของเขาลงถึงสองขั้น แต่ขุนนางทั้งหลาย ร้อนรนใจเช่นนี้เนื่องจากมองออกว่าท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนต้องการฟู่เสี่ยวกวนมาร่วมทำงานด้วย !
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เขาเคยได้ยินเยี่ยนเป่ยซีเอ่ยกับเขาถึงเรื่องตำแหน่งนี้ที่จวนเยี่ยน คาดมิถึงว่าเขาจะเสนอความคิดเห็นนี้มาต่อหน้าฮ่องเต้
เขามองไปยังฮ่องเต้ที่กำลังนำมือลูบไปที่เคราและทรงขมวดคิ้ว
นี่ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก ช่วงนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้ศึกษาเกี่ยวกับตำแหน่งของขุนนางต่าง ๆ และเข้าใจถึงคำว่าเสมียนกลางดี หากเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวเกรงว่าจะไม่เป็นอิสระ
ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยปากคัดค้าน ฝ่าบาทก็ทรงตรัสขึ้นมาว่า
“ข้าเห็นด้วย ! ตกลงตามนี้ ฟู่เสี่ยวกวนรับตำแหน่งเสมียนกลางเจี้ยนอี้ต้าฟู…เพียงแต่หากการเดินทางไปราชวงศ์อู่ในครานี้ไปในนามของเจี้ยนอี้ต้าฟูเกรงว่าจะมิเหมาะสมนัก อืม เช่นนั้นฟู่เสี่ยวกวนจงรับตำแหน่งไท่จงต้าฟู และใช้ตำแหน่งนี้ในการเป็นตัวแทนเดินทางไปร่วมงานวรรณกรรม ณ ราชวงศ์หยู ก่อนและหลังการเดินทางไปราชวงศ์อู่ ฟู่เสี่ยวกวนจงรอคำสั่งของเสมียนกลาง”
ขุนนางเหล่านั้นยิ่งส่งเสียงอึกทึกขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนได้รับสองตำแหน่งในคราเดียวงั้นรึ !
ตำแหน่งไท่จงต้าฟูเหมาะสมแก่การใช้เดินทางไปราชวงศ์อู่ แต่อีกตำแหน่งคือเจี้ยนอี้ต้าฟูนั้นก็ไม่ธรรมดา ! หรือฝ่าบาทจะไม่ทรงมีพระประสงค์ลงโทษเขากัน ?
หรือฝ่าบาททรงลืมไปแล้วว่าน้องชายของตนยังสลบไสลอยู่ที่โรงหมอหลวง ?
แต่ตำแหน่งเจี้ยนอี้ต้าฟูนั้นเยี่ยนเป่ยซีเป็นผู้เสนอออกมา ขุนนางต่าง ๆ จึงมิกล้าคัดค้าน บัดนี้พวกเขาทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาซุบซิบกัน และสบถออกมาอย่างมิพอใจ
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หากเขาต้องการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของราชวงศ์หยู ก็จำเป็นต้องรับตำแหน่งนี้ แม้เจี้ยนอี้ต้าฟูจะไม่มีอำนาจในการตัดสินใจ แต่ก็มีสิทธิ์ในการแนะนำ หากเขาสามารถชี้นำเยี่ยนเป่ยซีได้ เขาก็สามารถทำตามแผนที่ต้องการได้ ซึ่งการจะเปลี่ยนแปลงราชวงศ์หยูก็ทำได้ง่ายขึ้นเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงยิ้มขึ้นมา
“ทุกท่าน โปรดหลีกทางให้ข้าด้วย”
เขาเบียดกับผู้คนจนถึงด้านหน้า แล้วคุกเข่าลงไป “กระหม่อมฟู่เสี่ยวกวน ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ”
หยูยิ่นมองดูฟู่เสี่ยวกวนที่อยู่ตรงหน้า เขายิ่งมองยิ่งถูกใจนัก แม้แต่เยี่ยนเป่ยซีเองก็รู้สึกเช่นกัน ในครั้งนี้ชายชราคนนี้ช่วยเขามากจริง ๆ คงจะคิดได้แล้วสินะ
“ข้าคาดหวังไว้กับเจ้ามาก หวังว่าต่อไปนี้เจ้าจะทุ่มเทแรงกายแรงใจให้แก่ราชวงศ์หยู ! อย่างสุดความสามารถ”
“กระหม่อมขอสละชีวิตเพื่อฝ่าบาท เพื่อราชวงศ์หยูพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ดูสิ ดูสิ ความรู้สึกนึกคิดเช่นนี้ ช่างเป็นชายหนุ่มที่ราชวงศ์หยูต้องการเสียจริง !
“ลุกขึ้นเถิด ! ”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน แล้วหันหลังกลับไปด้วยท่าทางมีความสุข เขามองไปยังสายตารอบข้างที่เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา
สวี่หวยซู่ภูมิใจยิ่งนัก ต่งคังผิงเองก็เช่นกัน ส่วนชือเฉาหยวนมิได้แสดงอาการใดออกมา หนิงหยู่ชุนมองดูเขาอย่างลังเลใจ…
สรุปแล้วคือฟู่เสี่ยวกวนได้รับเลื่อนขั้นจากขั้นสามเป็นขั้นสี่ อีกทั้งได้รับทีเดียวถึงสองตำแหน่ง สิ่งนี้ทำให้เหล่าบรรดาขุนนางล้วนไม่พอใจอย่างยิ่ง หลังจากที่เขาเดินทางกลับจากราชวงศ์อู่แล้วหากฮ่องเต้มิได้ลงโทษเขา นั่นหมายความว่าเขาจะยืนหยัดอยู่ในราชวังนี้อย่างเต็มตัว อีกทั้งยังมีเยี่ยนเป่ยซีสนับสนุนเขาอีกด้วย !
มองดูแล้วฟู่เสี่ยวกวนคงเป็นคนของตระกูลเยี่ยน
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีอำนาจใดในเมืองหลวง เยี่ยนเป่ยซีกำลังปูทางแก่บุตรชายของเขานั่นเอง
หากเยี่ยนเป่ยซีเกษียณเมื่อใด และเยี่ยนซือเต้าขึ้นรับตำแหน่งแทนเขา ในฐานะอัครมหาเสนาบดีแน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนจะต้องอยู่ใต้บังคับบัญชาของเยี่ยนซือเต้า
ระยะเวลาที่เยี่ยนเป่ยซีจะเกษียณยังเหลืออีกหลายปี หลายปีนี้ภายใต้ความช่วยเหลือจากเยี่ยนเป่ยซี ฟู่เสี่ยวกวนคาดว่าคงจะได้เป็นจงซูลิ่งได้แน่ !
เมื่อถึงเวลาเยี่ยนซือเต้าขึ้นเป็นอัครมหาเสนาบดี ฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นผู้ช่วยที่ดีของเขา
ชายชราผู้นี้มองการณ์ไกลนัก !
เช่นนั้น…ฟู่เสี่ยวกวนคงจะได้เป็นผู้มีอำนาจคนใหม่ในเมืองหลวงนี้
เมื่อคิดได้ดังนั้น หลาย ๆ คนก็เริ่มมีท่าทีเปลี่ยนไป พวกเขาแสดงท่าทีอ่อนน้อมต่อฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมาทันที ขุนนางที่ออกห่างจากฟู่เสี่ยวกวนเมื่อครู่ บัดนี้ได้ส่งยิ้มให้แก่เขาและร่วมแสดงความยินดีกับเขาด้วย
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย
จงไปให้พ้น !
ข้าคือขุนนางผู้โดดเดี่ยว !
ตอนที่ 213 การประชุมใหญ่ราชวงศ์ (II)
เหล่าขุนนางกำลังยืนรออยู่เบื้องล่างและรอให้ฮ่องเต้ทรงตรัส แต่ฮ่องเต้ในยามนี้… ?
ฮ่องเต้หยูยิ่นในยามนี้กำลังทอดถอนหายใจบนบัลลังก์มังกร !
ข้าต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นขุนนางกูเฉิน แต่เขากลับตัดหนทางในการเป็นขุนนางกูเฉินไป !
ข้าต้องการให้ฮุ่ยชินอ๋องออกห่างจากเมืองหลวง เขาได้พลิกล้มฮุ่ยชินอ๋องอย่างสุดกำลัง ทั้งยังเหยียบย่ำอย่างโหดเหี้ยมอีกด้วย !
ขุนนางเยี่ยงนี้ในใต้หล้านี้จะหาได้จากที่ใดอีก ?
นี่คือคนที่สวรรค์ส่งมาเพื่อช่วยประคับประคองบ้านเมืองของข้า เพื่อลงโทษคนทรยศและขจัดขุนนางชั่วทั้งหลาย !
เขามีสติปัญญาเยี่ยงนี้ตั้งแต่ยังเยาว์วัย แต่ดูกลุ่มคนชั่วอย่างพวกเจ้า เหอะ ! รู้ที่จะต่อกรกับข้า รู้ที่จะหาหนทางเพื่อตนเอง เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตระกูลของตนเอง !
กลุ่มคนชั่ว !
พวกเจ้า…ไม่เหมาะแม้แต่จะถือรองเท้าให้กับฟู่เสี่ยวกวนด้วยซ้ำ !
ยิ่งฮ่องเต้คิดมากเท่าใดก็ยิ่งมีโทสะ ยิ่งเปรียบเทียบก็ยิ่งเดือดดาล ร่องรอยความอ่อนโยนบนพระพักตร์ได้หายไป เปลี่ยนแปรเป็นดูดุดัน แต่เหล่าขุนนางเหล่านั้นต่างก็มองไม่ออก และคิดว่าฮ่องเต้คงจะกริ้วฟู่เสี่ยวกวนด้วยเรื่องของฮุ่ยชินอ๋อง
ฟู่เสี่ยวกวนเป็นแค่เพียงฉาวซ่านต้าฟูขั้นห้า เขามีคุณสมบัติมายืนอยู่ที่นี่ได้ที่ไหนกันเล่า ?
แต่การที่เขาได้มายืนอยู่ที่นี่ในตอนนี้ คาดว่าฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า
อย่างไรเสียฮุ่ยชินอ๋องก็เป็นถึงพระอนุชาของฮ่องเต้ โอรสที่สามของฮุ่ยชินอ๋องก็เป็นถึงพระราชนัดดาของฮ่องเต้เช่นกัน !
หนึ่งพู่กันมิสามารถเขียนอักษรหยูได้สองตัว ไม่เพียงหลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนทำร้ายองค์ชายสามจนสิ้นฤทธิ์ เขายังทำให้ฮุ่ยชินอ๋องต้องอับอายอย่างรุนแรง นี่ถือว่าเป็นการทำลายชื่อเสียงของฮุ่ยชินอ๋องโดยตั้งใจ และเป็นการทำลายเกียรติของราชวงศ์ไปด้วย ในฐานะพระเชษฐา ย่อมมีโทสะแทนผู้เป็นพระอนุชา
โชคดีที่ยามอยู่ด้านนอกนั้นมิได้ทำความใกล้ชิดกับคนผู้นี้ น่ากลัวเกินไปแล้ว ต่อให้ครานี้คนผู้นี้จะมิตายแต่ก็คงถูกถลกหนังเป็นแน่ !
ต่อให้มีพระสนมซั่งคอยคุ้มครองก็ไร้ประโยชน์ อย่างไรเสียในใต้หล้าคำพูดของฮ่องเต้ก็ถือเป็นที่สุด ต่อให้พระสนมซั่งจะมีหนทางมากมาย แต่พระนางก็เป็นเพียงสตรี ทั้งยังเป็นสตรีของฮ่องเต้ ต่อให้สนิทชิดเชื้อเพียงใด ฮ่องเต้ก็ย่อมสำคัญกว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้น
นอกจากเยี่ยนเป่ยซีและขุนนางระดับสูง ผู้อื่นที่พอจะรู้สาเหตุที่ฮ่องเต้กริ้วอย่างแท้จริงแล้ว พลเรือนและทหารส่วนใหญ่ในราชสำนักต่างก็คิดว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องประสบกับหายนะเป็นแน่
ดังนั้นจึงมีคนหันไปมองเสนาบดีกรมพิธีการชือเฉาหยวน ทั้งยังขยิบตาให้กับชือเฉาหยวน ได้ความหมายว่าเจ้ายังมิเข้าใจพระประสงค์ของฮ่องเต้หรือ มิใช่โอกาสนี้เพื่อล้างอายเรื่องเมื่อปีที่แล้วรึ ?
สีหน้าของชือเฉาหยวนเคร่งขรึม ดึงสายตากลับมาและก้มหน้านิ่ง ลอบคิดในใจว่าข้าคนนี้จะเชื่อคำยุยงของพวกเจ้ารึ พวกโง่ ข้ามิมีทางหลงกลพวกเจ้าเป็นแน่ !
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิเข้าใจ เขาหันมองไปรอบด้านด้วยสีหน้างุนงง อือ คนเหล่านั้นดูจะออกห่างไปจากเขาอีกเล็กน้อย เขาเงยหน้ามองไปทางฮ่องเต้ เหมือนว่าฮ่องเต้เพิ่งจะทรงตระหนักขึ้นมาได้ว่านี่คือประชุมใหญ่ราชวงศ์ครั้งแรกของการเปิดราชสำนัก
“แค่ก ๆ ขุนนางทั้งหลาย…ราชสำนักได้เปิดแล้ว จงสำรวมตัว รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เป็นปีที่สำคัญที่สุดตั้งแต่ที่ข้าสืบทอดมา ในหลายวันมานี้ข้าไตร่ตรองมาโดยตลอด ปีที่ 8 ที่ได้ผ่านไป ข้าเองก็ได้ทำผิดพลาดไปมากมาย ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าจะทำงานอย่างหนัก ข้าเองก็หวังว่าภายในปีใหม่นี้พวกเจ้าก็จะทำงานอย่างหนักเช่นกัน”
“ตั้งแต่ที่ต้าหยูก่อตั้งขึ้นมาจนถึงวันนี้ก็นับเป็นเวลากว่าสองร้อยปีแล้ว ภายใต้การนำของฮ่องเต้ผู้ชาญฉลาดแห่งต้าหยู จะก่อให้เกิดพลังของต้าหยูและจะเกิดการพัฒนาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ชีวิตความเป็นอยู่ของทุกคนก็จะรุ่งเรืองขึ้นเช่นกัน”
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองทางฮ่องเต้ด้วยความประหลาดใจอีกครา นี่มันคือคำนำบนนโยบายบรรเทาสาธารณภัยของตนมิใช่เยี่ยงนั้นรึ ? ฮ่องเต้ตรัสถึงมัน ณ ที่นี่มีความหมายเยี่ยงไรกัน ?
“แต่ข้าคิดว่า สิ่งเหล่านี้ยังมิพอ ข้าที่อยู่ในระหว่างวันพักผ่อน ก็ได้มีแผนการพัฒนาอนาคตของต้าหยู ก็คือตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ข้าต้องการผลักดันนโยบายยี่สิบคำ พวกเจ้าจงจดจำไว้ เบี้ยหวัดจากฮ่องเต้ก็คือการแบ่งเบาความทุกข์ของฮ่องเต้ หากมีผู้ใดเลี้ยงเสียข้าวสุก ข้า จะมิมีทางยอมอดกลั้น !”
“ตั้งแต่รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เป็นต้นไป ข้าต้องการบรรลุผลในสิ่งที่ได้รับการสอนสั่งมา ทำงานมีรายได้ ป่วยต้องมีทางรักษา แก่ชราต้องมีการดูแล ที่พักต้องมีแหล่ง นี่คือนโยบายยี่สิบคำของข้า หากสามารถกระทำได้ จะเป็นการก่อตั้งยุคที่รุ่งเรือง นี่ก็เพื่อความสุขของลูกหลานแห่งต้าหยู และเพื่อความหวังของแว่นแคว้นต้าหยู ! ”
เห้อ ฮ่องเต้ช่างหน้าไม่อายเสียจริง !
ฟู่เสี่ยวกวนอ้าปากค้างและหดศีรษะกลับไป สายตาจดจ้องที่พื้น คิดในใจว่า…นี่เป็นเพียงการพูดลอย ๆ โดยมิมีรายละเอียดเลยมิใช่หรือ จะบรรลุผลได้ที่ไหนกัน ?
หลังจากที่ฮ่องเต้ได้กล่าวนโยบายยี่สิบคำของเขาออกไป เยี่ยนเป่ยซีและต่งคังผิงก็เกิดความประหลาดใจเล็กน้อย แต่พวกเขาเป็นคนเจ้าเล่ห์ เลยมิได้แสดงสีหน้าออกไป
แต่เดิม ในตอนที่นโยบายที่มาอยู่ในพระหัตถ์ของฮ่องเต้ พวกเขาเองก็เคยได้อ่านในห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้ให้ความสนใจนโยบายฉบับนี้อย่างยิ่ง ในเวลานั้นยังได้เอ่ยถามอยู่ว่า “พวกเจ้าว่า กระทำในสิ่งที่ได้รับการสอนสั่งมา ทำงานมีรายได้ ป่วยต้องมีทางรักษา แก่ชราต้องมีการดูแล ที่พักต้องมีแหล่งจะสามารถบรรลุผลได้หรือไม่ ? ”
ยังคงจำประโยคที่ต่งคังผิงตอบกลับไปได้เลยว่า “เว้นเสียแต่พลังของต้าหยูจะแข็งแกร่งอย่างที่มิเคยมีมาก่อน”
เจ้ายี่สิบคำนี้ย่อมดีเป็นอย่างมาก แต่ก็เป็นอุดมคติมากเกินไป หากต้องการให้บรรลุผล ค่าใช้จ่ายย่อมมากเสียจนยากเกินจะคาดเดาได้ ดังนั้นในตอนที่อยู่ห้องทรงพระอักษรจึงได้ตอบอย่างขอไปที
แต่ในยามนี้ฮ่องเต้กลับยืนยันที่จะให้ยี่สิบคำนี้เป็นนโยบายแรกของการประชุมใหญ่ราชวงศ์ในปีนี้…ต่งคังผิงรู้สึกไม่สบายใจอยู่เล็กน้อย เขาทราบดีว่าเงินคงคลังเหลืออยู่เท่าใด จะจัดการเรื่องนี้ให้ดีได้เยี่ยงไร ?
“ข้าทราบว่าเป็นการยากอย่างมากที่จะบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ แต่มันคือการลงมือของมนุษย์…” เขาลุกขึ้นยืน ราวกับตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย เขาที่อยู่บนแท่นมังกรก้าวมาข้างหน้า และกล่าวอีกว่า “ฮ่องเต้องค์แรกและอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนหวินชวนได้รับนามว่าเป็นผู้ก่อตั้งยุครุ่งเรืองของไท่เหอในประวัติศาสตร์ต้าหยู ขุนนางทั้งหลาย ในเมื่อพวกเขาสามารถทำได้ แล้วเหตุใดข้าและพวกเจ้าจะมิสามารถทำได้กัน ? ”
“ดังนั้น เรื่องนี้ให้เสมียนกลางสำนักตรวจสอบเป็นผู้ร่างรายละเอียด โดยมีเยี่ยนเป่ยซีเป็นผู้ดูแล”
เยี่ยนเป่ยซีคิดถึงเงินคงคลังที่ใกล้จะหมด ทั้งยังต้องเตรียมการรบทางตะวันออก ฝ่าบาท กระหม่อมจะจัดการเยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ ?
แต่เขาก็มิกล้ากล่าวเยี่ยงนั้นออกไป เขาทำเพียงก้าวไปด้านหน้า และโน้มคำนับ “กระหม่อม เยี่ยนเป่ยซีน้อมรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ !”
“อือ ตอนนี้มากล่าวกันถึงเรื่องที่สอง”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจฟังในเรื่องที่ฮ่องเต้จะกล่าวต่อ เขากำลังคิดว่าต้องทำเยี่ยงไรจึงจะอยู่ในประเทศที่กำลังจะล่มสลายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจให้กระเตื้อง เพื่อบรรลุผลของอุดมคตินั้น
การเพิ่มภาษีนั้นมิมีทางใช้การได้ และภาษีในปัจจุบันของราชวงศ์หยูก็สาหัสสากรรจ์เป็นอย่างมาก หากเพิ่มภาษีขึ้นอีก เกรงว่าจะทำให้ราชวงศ์หยูเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นเป็นแน่
เมื่อลองคิดทบทวนดูดี ๆ แล้ว ก็คงทำได้เพียงเริ่มต้นจากการค้าขายเท่านั้น
แต่การค้าระหว่างสี่ประเทศในปัจจุบันกลับมิรุ่งเรือง และการติดต่อกับแคว้นเล็ก ๆ ที่อยู่นอกเหนือสี่ประเทศนี้ก็น้อยยิ่ง นี่คือการปิดประเทศ มิก่อให้เกิดประโยชน์อันใดแก่การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างยิ่ง
หากต้องการพัฒนาการค้า เยี่ยงนั้นก็ต้องส่งเสริมความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจของประชาชน มีเพียงหลังจากที่เศรษฐกิจของประชาชนรุ่งเรืองแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถผลิตสินค้าที่ใช้ในเชิงพาณิชย์ได้
นี่จะทำให้เกี่ยวเนื่องไปถึงอีกปัญหาหนึ่ง และในยุคนี้ก็ยังคงถือการเกษตรไว้เป็นหลัก กำลังผลิตนั้นต่ำเป็นอย่างมาก นั่นคือข้อจำกัดของแรงงานจำนวนมาก ซึ่งเหมือนกับในซีซาน หากมิใช่เพราะผู้ประสบภัยนับหมื่นนั้น ซีซานก็มิมีทางพัฒนาได้เร็วเยี่ยงนี้
เยี่ยงนั้นก็แก้ไขกำลังการผลิตที่เป็นปัญหาแรกไปได้แล้ว
ฟู่อีต้ายเพิ่งจะงอกออกมา หากในปีนี้ฟู่เอ้อต้ายเป็นไปอย่างราบรื่น การจะเพิ่มผลผลิตของต้นข้าวนั้นก็ต้องรออย่างน้อยอีก 3 ปี เพราะการเพาะเมล็ดต้องได้รับการบ่มเพาะ และต่อให้บ่มเพาะสำเร็จแต่ก็ยังห่างไกลจากความเพียงพออยู่ดี
การผลิตอุปกรณ์ทางการเกษตรที่ซีซานได้เริ่มขึ้นแล้ว สิ่งนี้สามารถเพิ่มผลผลิตบางส่วนได้ แต่หากต้องผลักดันให้ทั่วราชวงศ์หยูก็มิใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายดายนัก
ปัญหาแรกคือการรับงาน ปัญหาที่สองที่เป็นปัญหาหลักคือเงิน
แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็มิมีแผนจะส่งอุปกรณ์เหล่านั้นออกไปอย่างไร้เหตุผล เยี่ยงนั้นชาวนาที่ยากจนก็มิมีทางซื้อได้เป็นแน่
นี่ก็เพื่อให้ชาวนาสามารถมีรายได้เพิ่มขึ้นมา เยี่ยงนั้นเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับความสามารถของเหล่าขุนนางท้องถิ่น หากพวกเขามีความคิดที่จะแก้ไขได้มากพอ ดึงดูดให้เกิดการลงทุน เหล่านักลงทุนก็ยินยอมที่จะลงทุนกับการสร้างโรงงาน
แต่ก็จะเกี่ยวข้องกับปัญหาทางสถานะของพ่อค้าอีก หากมิสามารถรักษาผลประโยชน์ของพวกเขาได้ การดึงดูดการลงทุนก็คงจะว่างเปล่าไปอีกครา
คิดไปคิดมา เรื่องยุ่งยากเหล่านี้ก็อยู่ที่โครงสร้างของระบบอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นกำลังการสนับสนุนของราชสำนัก หรือจะเป็นความสามารถของขุนนางท้องถิ่น หรือความเชื่อใจของนักลงทุนและอื่น ๆ ต่างก็เชื่อมต่อกันจนมิสามารถแยกออกจากกันได้
ยากยิ่งนัก !
ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจ
นี่มิใช่เรื่องที่จะผ่านไปได้ในปีสองปีนี้ แต่ราชวงศ์หยูในตอนนี้ต้องการความมั่นคงที่สุด !
มั่นคง สงบเอาไว้ รักษาเสถียรภาพของสถานการณ์ในปัจจุบันนี้เอาไว้ให้จงได้เสียก่อน แล้วจึงจะมีวิธีช่วยสิ่งอื่นได้
ในวันนี้ฮ่องเต้ได้ทำให้เรื่องนี้สูงขึ้นมาถึงเพียงนี้ แต่กลับมอบปัญหาที่ยากเย็นให้แก่ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนและท่านพ่อตา ลองดูว่าพวกเขาจะมีวิธีการรับมือเยี่ยงไร
การทำงานร่วมกันของทางเขตเหยามีการเร่งมือขึ้น ความคิดของเยี่ยนซีเหวินยังมิได้เป็นอนุรักษนิยมนัก เรื่องนี้ควรส่งจดหมายไปให้เยี่ยนซีเหวิน ให้เริ่มการปฏิรูปที่เขตเหยา หลังจากที่มีประสบการณ์แล้ว รอคอยเวลาแล้วผลักดันทั้งประเทศอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะดีกว่า
เมื่อวางเรื่องนี้ลง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ยินในสิ่งที่ฮ่องกำลังจะตรัส “การบูรณะแม่น้ำหวงเหอเป็นปัญหาที่ยาก บูรณะทุกปีก็เอ่อล้นมันทุกปี ฝ่ายควบคุมน้ำของกรมโยธาธิการไร้หนทางจะจัดการกับเรื่องนี้แล้วอย่างนั้นรึ ? ปี้ตง ปีที่แล้วข้าให้เจ้าคิดหาหนทาง เจ้าลองกล่าวมาให้ข้าฟังสิ”
ชายผู้หนึ่งเดินออกมา ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ด้านหลังสุด จึงเห็นแต่เพียงผมสีดอกเลาและร่างกายที่งองุ้มเล็กน้อยเท่านั้น
“ปี้ตงทูลฝ่าบาท…กระหม่อมคิดว่าควรขุดให้แม่น้ำกว้างขึ้นเพื่อฤดูแล้ง เพียงแต่โครงการนี้ค่อนข้างใหญ่หลวงนัก ดังนั้นจึงต้องใช้กำลังคนหลายแสนคน แต่ทางกรมคลัง…” ปี้ตงหันคอมองไปทางเสนาบดีต่ง และกล่าวว่า “ความหมายของทางกรมคลังมีอยู่ว่า เงินนั้นขาดแคลนอย่างมาก ดังนั้น ฝ่าบาท กระหม่อมก็ลำบากอย่างมากเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
บรรยากาศในยามนี้หนักอึ้งทันพลัน แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับคิ้วขมวด เพราะวิธีการของปี้ตงนั้นไม่ถูกต้อง
และเขามิได้โดดออกไปเพื่อแก้ไข แต่ยังคงเฝ้ามองต่อไป เพราะเห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ยังมิสามารถจัดการได้ในตอนนี้
เป็นไปอย่างที่คิด ฝ่าบาทคิ้วขมวดและหันมองไปทางเสนาบดีต่ง ต่งคังผิงทำได้เพียงเดินออกมา โค้งคำนับและกล่าวอย่างนอบน้อม “ทูลถวายฝ่าบาท เมื่อสิ้นปีของปีที่แล้วกรมคลังได้วางแผนเรื่องราวที่มากมายของปีนี้ไว้จนหมดแล้ว เอกสารฉบับนั้นกระหม่อมได้ถวายให้ฝ่าบาททอดพระเนตรแล้ว หากต้องเพิ่มค่าใช้จ่ายการบูรณะแม่น้ำหวงเหอเข้าไปอีก…เสนาบดีปี้คำนวณมาว่าต้องใช้ถึง 600,000 ตำลึง ซึ่งนั่น…กระหม่อมมิสามารถออกให้ได้พ่ะย่ะค่ะ”
เงิน !
ประเทศที่ใหญ่โตของข้า เหตุใดจึงขาดแคลนเงินกัน ?
พระตำหนักฉือหนิงกงของไทเฮาที่ต้องการปรับปรุงใหม่ก็เลื่อนออกมา 2 ปีแล้ว หรือแม้แต่แผนงานวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาปีที่ 70 ในวันที่สิบสี่ของเดือนนี้ พวกเขาวางไว้จะใช้ 100,000 ตำลึง ในตอนนี้ก็ลดลงจนเหลือเพียง 30,000 ตำลึงเท่านั้น
เงินเหล่านี้…ควรมาจากที่ใดกัน ?
หรือว่าต้องไล่หกตระกูลที่มีอำนาจเหล่านั้นออก ?
ทันใดนั้นหยูยิ่นก็เกิดความคิดนี้ขึ้นมา แต่เขาเข้าใจว่ายังคงไม่สามารถทำได้ในตอนนี้
เขาเดินวนไปมาอยู่บนแท่นมังกร ทันใดนั้นก็หันไปมองฟู่เสี่ยวกวน
ตอนที่ 212 ประชุมใหญ่ราชวงศ์ (I)
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนหนึ่งวันที่แปด พายุหิมะตกหนัก !
แท้จริงในฐานะฉาวซ่านต้าฟู การประชุมใหญ่ราชวงศ์นี้มิได้เกี่ยวข้องกับเขาแต่ประการใด แต่เมื่อคืนฮ่องเต้ทรงให้ขันทีเจี่ยเจาะจงรายชื่อเขาเข้าร่วมการประชุมด้วย
จะให้เขาหลีกเลี่ยงเยี่ยงไรเล่า ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงตื่นแต่เช้าตรู่อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและขึ้นรถม้าเดินทางไปยังพระราชวัง โดยมีซูซูติดตามไปด้วย
หลังจากการปะทะกัน ณ จวนฮุ่ยชินอ๋องเมื่อคืนที่ผ่านมา หยูเวิ่นหวินได้พำนักต่อ จากนั้นต่งชูหลานเองก็เดินทางมาที่จวนฟู่ด้วยเช่นกัน
เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนเสี่ยงอันตรายนี้ สตรีทั้งสองได้ตำหนิเขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเมื่อหยูเวิ่นหวินเอ่ยถามถึงเรื่องเยี่ยนเสี่ยวโหลวว่าเป็นมาอย่างไร ต่งชูหลานจึงได้เล่าความออกไปอย่างมิเต็มใจนัก
ฟู่เสี่ยวกวนอธิบายให้ฟังว่า เดิมทีเขาคิดว่าตระกูลเยี่ยนเป็นศัตรู แต่บัดนี้ความจริงเพิ่งได้ปรากฏให้เขาเห็นว่า ตระกูลเยี่ยนแท้จริงคือหมากตัวหนึ่งของฝ่าบาท เขาจึงมิมีความจำเป็นต้องข่มขู่ตระกูลเยี่ยนอีกต่อไป อีกทั้งมิมีความจำเป็นที่จะเข้าไปข้องเกี่ยวกับเยี่ยนเสี่ยวโหลวอีก
เพียงแค่สตรีสองนางนี้ เขายังมิได้จัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย เขาจะเอาแรงที่ไหนไปคิดเรื่องอื่นได้เล่า ?
การประชุมใหญ่ของราชวงศ์จะเริ่มขึ้นในเวลาหกโมงเช้า ฟู่เสี่ยวกวนหงุดหงิดยิ่งนัก ฤดูหนาวเช่นนี้ท้องฟ้ายังมิสว่างดีเสียด้วยซ้ำ
รถม้าดำเนินไปบนท้องถนนอันเงียบเหงา เสียงล้อไม้กระทบกับหิมะฟังไปคล้ายเสียงเพลงกล่อมนอน ซูซูส่ายหัวไปมาด้วยความง่วงงุน
“ยืมบ่าเจ้าหน่อย” ซูซูพึมพำออกมา จากนั้นพิงไปที่บ่าของฟู่เสี่ยวกวนแล้วหลับไป มองดูแล้วน่าสงสารยิ่งนัก แม่นางคงมิเคยตื่นแต่เช้าเช่นนี้
เมื่อคืนซูซูใช้ฉินสังหารชาวยุทธไปถึง 23 คน หลังจากกลับถึงจวนก็นอนต่อจนกระทั่งเช้า ซูเจวี๋ยกล่าวว่าสิ่งที่ซูซูฝึกนั้นทำร้ายสภาพจิตยิ่ง เนื่องจากต้องใช้พลังในการฆ่าคน
วิธีการเช่นนี้สามารถฆ่าศัตรูได้ดีเยี่ยม แต่ขณะเดียวกันก็ทำร้ายสภาพร่างกายและจิตใจมากเช่นกัน เมื่อคืนนี้ถือเป็นขีดจำกัดของซูซูแล้ว หากมีศัตรูมากกว่านี้อีก ซูซูอาจจะถูกทำร้ายจนถึงภายใน เช่นนั้นคงมิดีแน่
เมื่อคืนมีชาวยุทธ 2 คนวิ่งหนีไป คนหนึ่งถูกซูเจวี๋ยจับตัวได้ บัดนี้ถูกขังอยู่ในจวน ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นสตรีมีทักษะการต่อสู้ที่ดี สุดท้ายแล้วนางจึงหลบหนีไปได้
ชายที่จับได้นั้นเป็นบุคคลสำคัญ ดังนั้นชาวยุทธจึงได้ช่วยเขาอย่างไม่คิดชีวิต เกรงว่าจะไม่ธรรมดา
แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เข้าไปสอบสวนทันที กลับให้เขากินอย่างดีและเลี้ยงเอาไว้ก่อน
บัดนี้เขามองไปยังซูซู ลำบากแม่นางนี่มิน้อยเลย นางแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก ใบหน้าอันกลมของนางดูคล้ายกับมีความสุขยิ่งนัก อีกทั้งยังกลืนน้ำลายลงไปด้วย มองดูแล้วคงจะกำลังฝันว่าได้กินอาหารเลิศรสอยู่เป็นแน่
เจ้าจอมตะกละ !
รอให้เขาจัดการเรื่องราวของฮุ่ยชินอ๋องเรียบร้อยเสียก่อน หากร้านอู่เว่ยจายของเจียงหยูเปิดขายตามปกติเมื่อใด เขาจะซื้อขนมให้นางกินจนหนำใจทีเดียว
เขายื่นมือออกไปลูบหัวนางเบา ๆ ในครานี้นางมิได้หลบอีกทั้งยังส่งเสียงคล้ายกับมีความสุขออกมา “อืม…”
รถม้ามาถึงทางเข้าประตูพระราชวัง ฟู่เสี่ยวกวนปลุกซูซูให้ตื่น จากนั้นลงรถแล้วเดินเข้าไป ด้านหน้าท้องพระโรงเฉิงเทียนมีผู้คนยืนรออยู่มากมาย
หิมะตกหนักถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทมิใจดำไปหน่อยรึ อย่างน้อยควรจะสร้างศาลาไว้ก็ยังดี
ขุนนางเหล่านั้นพูดคุยทักทายกัน ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เข้าไปร่วมวงสนทนาด้วย เขาเพียงยืนมองอยู่ไกล ๆ อย่างสงบเงียบ บัดนี้เขาคล้ายกับพระเจ้าที่ยืนมองดูเหล่าฝูงชน
หนิงหยู่ชุนเดินถือร่มมาทางเขา พิจารณาแล้วเอ่ยว่า “เจ้ากำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน ?”
“ข้ากำลังคิดว่า…เหตุใดข้าจึงมินำร่มมาด้วย ?”
หนิงหยู่ชุนจ้องเขาตาเขม็ง จากนั้นเก็บร่มลง “เรื่องเมื่อวานตอนเที่ยง ข้าคิดมิตกจริง ๆ ”
“ท่านหนิง หากคิดมากไปจะทำให้เสียสุขภาพจิตได้”
“หลังจากกลับไปยังจวนผู้ว่าเขต ข้าได้ใช้หนังสือจากเสนาบดีสีเดินทางเข้าไปในจวนฮุ่ยชินอ๋อง ครอบครัวของเขาล้วนอยู่ด้านใน ปัญหาของข้าคือ เหตุใดชาวยุทธเหล่านั้นจึงมิจับกุมตัวครอบครัวของฮุ่ยชินอ๋อง ? หรือเพราะเหตุใดพวกเขาจึงไม่ช่วยครอบครัวของฮุ่ยชินอ๋องกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนนำมือซุกเข้าไปในแขนเสื้อ ขาข้างหนึ่งของเขาขยี้ไปบนพื้นหิมะ ผ่านไปชั่วครู่จึงได้เอ่ยว่า “ชาวยุทธมิได้มีสิ่งใดโกรธแค้นกับครอบครัวของเขา เหตุใดต้องจับตัวกัน ? ส่วนเรื่องเหตุใดพวกเขามิช่วยเหลือนั้น เนื่องจากมิจำเป็นต้องช่วย ฮุ่ยชินอ๋องรู้ว่าตนมิตายแน่ ดังนั้นครอบครัวของเขาก็มิได้มีความจำเป็นต้องหลบหนี”
“ที่จริงข้าก็มิได้คิดมาก่อนว่าครอบครัวของเขาจะหลบหนีไป ส่วนข้าต้องการต่อสู้กับชาวยุทธเหล่านั้น เหตุใดชาวยุทธจึงได้ออกมาจากจวนฮุ่ยชินอ๋อง…เมื่อวานพวกท่านล้วนเป็นพยานได้ ฮุ่ยชินอ๋องเป็นพวกเดียวกับชาวยุทธ เขาจะหลบหนีเพื่อสิ่งใด ?”
หิมะบนพื้นถูกเขาขยี้จนละลายเป็นน้ำ เขาเดินไปอีกสองก้าวจากนั้นกล่าวว่า “ท่านหนิง หากตรวจสอบแล้วพบว่าชาวยุทธเหล่านี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับองค์ชาย…ท่านว่า ฮุ่ยชินอ๋องนับว่าตั้งใจก่อกบฏหรือไม่ ? ”
หนิงหยู่ชุนตกตะลึง เขากระแอมออกมาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้เอ่ยไปโดยมิมีหลักฐาน ! ”
“ชาวยุทธเหล่านั้นถูกกุมตัวอยู่ที่เรือนจำใต้ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นถาม
“เรือนจำเหนือกุมตัวข้าราชการจำนวนมากไว้ มีเพียงเรือนจำใต้ที่พอมีที่ว่าง”
“หากจะนำตัวพวกเขามาสอบสวนต้องทำเช่นไร ? ”
“หากเจ้าหมายถึงชาวยุทธเมื่อวาน ต้องใช้ตราประทับของข้า หนังสือจากเสนาบดีสี หนังสือจากศาลต้าหลี่ ล้วนใช้ได้ทั้งนั้น เนื่องจากพวกเขามิได้มีความสำคัญใด หากเป็นพวกข้าราชการจะต้องใช้หนังสืออย่างเป็นทางการจากศาลต้าหลี่”
“อ้อ…”ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด ทำให้หนิงหยู่ชุนรู้สึกประหลาดใจ
เขามองความคิดชายหนุ่มผู้นี้มิออกอย่างแท้จริง เมื่อครั้งที่เขาเจรจากับฉินโม่เหวิน ฉินโม่เหวินก็กล่าวว่าชายผู้นี้มิธรรมดา ฝากให้เขาดูแลอย่างดีครั้นเมื่ออยู่เมืองหลวง
ในวันนี้มองดูแล้วช่างไม่ธรรมดาอย่างแท้จริง เขากล้าหาญถึงขั้นจัดการฮุ่ยชินอ๋อง อีกทั้งใช้กลยุทธ์ต่าง ๆ มาจัดการฮุ่ยชินอ๋องจนพ่ายแพ้ ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ใช้เวลาเพียงแค่ 2 วัน !
บัดนี้หนิงหยู่ชุนและสีฉวินเหมยยังมิเข้าใจว่า เหตุใดจึงได้มีชาวยุทธออกมาจากจวนฮุ่ยชินอ๋องเช่นนั้น แต่ดูจากที่เขาจัดเตรียมงานเลี้ยงไว้ คาดว่าเขาคงรู้ล่วงหน้าแล้ว แต่เขารู้ได้อย่างไรกัน ?
หนิงหยู่ชุนมิได้เอ่ยถามต่อไป เพราะเสนาบดีสีได้เอ่ยถึงพระสนมซั่งขึ้นมา
ทั้งสองมิได้เอ่ยอันใดอีก มีขุนนางบางคนเดินผ่านพวกเขาไป มองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วยิ้มอย่างประหม่าจากนั้นรีบเดินจากไป มิมีผู้ใดกล้าทักทายฟู่เสี่ยวกวน
ให้ตายสิ ! ทำเหมือนกับเขาเป็นปิศาจที่น่ากลัวไปได้ !
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมา หนิงหยู่ชุนเข้าใจดี เนื่องจากชายหนุ่มผู้นี้มีวิธีการที่น่ากลัว บัดนี้เรื่องราวของเขาและฮุ่ยชินอ๋องยังมิจบลง ขุนนางเหล่านี้หวาดกลัวเขาก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
แต่หากว่าฮุ่ยชินอ๋องยังอยู่บนโลกใบนี้ ฟู่เสี่ยวกวนก็มิอาจได้ชัยชนะมา
เมื่อได้ยินเสียงฆ้อง ประตูท้องพระโรงก็เปิดออกอย่างช้า ๆ หนิงหยู่ชุนมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้วนึกในใจว่า หากเขาถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวจะส่งผลต่อจิตใจเขาหรือไม่
“ไปกันเถิด การประชุมจะเริ่มขึ้นแล้ว”
“อืม”
ฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้เดินออกไป เนื่องจากเขาหันไปเห็นสวี่หวยซู่ ชื่อหลางของกรมพิธีการเดินมาทางเขา
“ท่านพ่อได้ข่าวว่าเจ้าเดินทางมาเมืองหลวง”
“เมื่อตอนปีใหม่เจ้ามิได้เดินทางมายังจวนสวี่ มองดูแล้วเจ้ายังคงมีความโกรธแค้นในใจ”
“เรื่องของแม่เจ้าได้ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว บัดนี้ท่านพ่อก็แก่ชราลง หากเจ้ายินยอมละก็ สามารถไปเยี่ยมเยียนท่านได้”
“ส่วนเรื่องของเจ้าสองวันมานี้…ข้ามิอาจช่วยเหลือเจ้าได้ หากเจ้าอยากมีชีวิตอย่างสงบที่เมืองหลวง ก็จงวางตัวให้ดี”
“ข้าได้ยินเรื่องราวของเจ้าและต่งชูหลาน ข้าเองก็เอ่ยให้ท่านพ่อฟังเช่นกัน เขามิได้เอ่ยอันใดออกมา แต่เขาได้แสดงหน้ามีความสุขออกมา อีกทั้งในวันนั้นเขากินข้าวได้หนึ่งชามในมื้อกลางวัน”
“ไปเถิด การประชุมจะเริ่มขึ้นแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงยืนอยู่ที่เดิม เขามิได้เอ่ยอันใดออกมาสักคำ เพียงมองตามหลังสวี่หวยซู่ไป จากนั้นก้มมองดูน้ำที่พื้น มือทั้งสองข้างยังคงอยู่ในแขนเสื้อ เขาเดินไปทางพระราชวังอย่างช้า ๆ คล้ายกับคนชรา
ภายในท้องพระโรงอันแสนอบอุ่น อุณหภูมิสูงกว่าด้านนอกมากนัก ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เบียดเข้าไปด้านใน แต่กลับยืนอยู่ในแถวสุดท้ายจนเกือบถึงประตู จึงทำให้รู้สึกหนาวเย็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เท้า
เนื่องจากเขาเข้ามาท้าย ๆ นอกเสียจากผู้คนที่อยู่แถวเดียวกับเขา คนอื่น ๆ จึงมิได้สังเกตเห็นเขา แต่บรรดาคนที่เห็นเขาไม่กี่คนนั้น ก็พยายามหนีห่างออกไป ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนดูเป็นแกะดำในแถว
เขายืนอยู่ตรงกลางเพียงคนเดียว อีกสองข้างได้อยู่ห่างจากเขาไปประมาณ 2 เมตร
ให้ตายสิ ! นี่ข้ากลายเป็นขุนนางผู้โดดเดี่ยวงั้นหรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ใส่ใจเท่าไรนัก เขาจึงมิได้เอ่ยทักทายขุนนางเหล่านั้นเช่นกัน อีกทั้งยังรู้สึกพอใจกับปรากฏการเช่นนี้เป็นอย่างมาก
นี่หมายความว่าเยี่ยงไรรึ ?
นี่หมายความว่าคนเหล่านี้เกรงกลัวเขา !
ฟู่เสี่ยวกวนเดามิผิด เมื่อปีก่อนเขาได้ต่อปากต่อคำกับเสนาบดีชือเสียจนท่านเสนาบดีกระอักเลือดเป็นลมไป อีกทั้งไม่กี่วันก่อนเขาได้ทำให้ฮุ่ยชินอ๋องกระอักเลือดเช่นกัน !
ได้ยินมาว่าเดิมทีเมื่อวานไทเฮาจะสอบสวนเขาด้วยตนเอง แต่ฮุ่ยชินอ๋องได้เป็นลมไปเสียก่อนจึงได้ถูกส่งไปตัวไปให้หมอหลวง ปากของเขานั้นช่างร้ายกาจนัก !
อีกทั้งเรื่องการปะทะกันที่ถนนสายยาว มีคนกล่าวว่าเขามีความสามารถราวกับเทพบนสวรรค์ คนธรรมดาทั่วไปมิอาจขัดขวางได้ และมีคนกล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนมีทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมยิ่ง และมีคนกล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนสามารถฆ่าทหารม้าของฮุ่ยชินอ๋องจำนวน 400 คนได้อย่างง่ายดาย !…”
ขุนนางเหล่านี้ได้ฟังดูแล้วต่างก็หวาดกลัว ไม่ว่าอย่างไรฟู่เสี่ยวกวนก็ถือว่าชนะแล้ว นั่นหมายความว่าปากของเขาช่างเก่งกาจจนน่ากลัว ฝีมือของเขาก็เช่นกัน
บุคคลเยี่ยงเขา ควรอยู่ให้ห่างได้ยิ่งดี หากไม่ระวังไปขัดขาเขาเข้าละก็…เกรงว่าจะเป็นเหมือนฮุ่ยชินอ๋อง
ฟู่เสี่ยวกวนไม่รู้ถึงความคิดของเหล่าขุนนาง บัดนี้เขายืนเซไปมาด้วยอาการง่วงนอน
ไม่นานต่อมา ขันทีเจี่ยก็เดินเข้ามาจากนั้นประกาศเสียงอันดังว่า “ฮ่องเต้เสด็จ ! ”
ขุนนางทุกคนรีบคุกเข่าลงที่พื้น ฟู่เสี่ยวกวนเองก็คุกเข่าลงเช่นกัน
ฮ่องเต้เดินเข้ามาด้านใน เสด็จประทับ ณ บัลลังก์มังกรแล้วตรัสว่า “ลุกขึ้นเถิด ! ”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
เสียงขุนนางทั้งหลายยืนขึ้น ฮ่องเต้มองไปยังกลุ่มคนทั้งหลาย สุดท้ายสายตาตกไปที่ฟู่เสี่ยวกวน พระองค์ทรงขมวดคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เขาผู้นี้กลายเป็นขุนนางผู้โดดเดี่ยวไปแล้วรึ ? น่าสงสารยิ่งนัก ข้าควรจะ…มอบรางวัลให้แก่เขาเพื่อเป็นการปลอบใจดีหรือไม่ ?
ตอนที่ 211 หัก
โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว !
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า และดื่มสุรา
ฮั่วหวยจิ่นเหลือบมองไปทางซูซูอีกครา ลอบคิดไปว่านางคือคนจากสำนึกกระบี่ของสำนักเต๋าสินะ
ใช้ฉินเป็นดั่งกระบี่ ใช้สำนึกเป็นดั่งกระบี่ แม่นางยังมิรู้จักสำนึก ดังนั้น จึงทำได้เพียงใช้ฉินเป็นดั่งกระบี่
สำนักเต๋าเผยตัวตนสู่โลกน้อยมาก ยุทธจักรในใต้หล้ามีความเข้าใจเกี่ยวกับป่ากระบี่และภูเขาดาบอย่างลึกซึ้ง แต่ความเข้าใจเกี่ยวกับสำนักเต๋าและนิกายฝูกลับน้อยอย่างมาก
แต่ฮั่วหวยจิ่นรู้ เพราะจวนกษัตริย์แห่งเจิ้นซีแต่เดิมก็คือสมาพันธ์บู๊ลิ้ม
ซูซูผู้นี้สังหารคนชั่วที่แข็งแกร่งได้อย่างง่ายดายเพียงพริบตา นั่นทำให้สีฉวินเหมยกับหนิงหยู่ชุนรวมไปถึงหยูเวิ่นหวินตกตะลึงอย่างถึงที่สุด เป็นเด็กสาวที่ดูมิมีพิษมีภัยอันใด คาดมิถึงว่าจะตัดร่างที่แข็งแกร่งให้ขาดเป็นสองท่อนได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว นี่มันน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก !
พวกเขาต่างก็หันไปมองซูซู แต่ซูซูกลับก้มหน้าดื่มสุราอย่างเงียบ ๆ
เหล่าสายตาที่มองมานั้นค่อนข้างกดดัน จนซูซูรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงวางขวดสุราลง และก้มหน้าให้ต่ำยิ่งกว่าเดิม
จีหลินชุนมองสองชิ้นส่วนศพที่อยู่บนพื้นหิมะ ด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว
นางเข้าใจแล้วว่าเหตุใดคนเหล่านั้นถึงมิกล้าลงมือกับฟู่เสี่ยวกวนภายในอารามซุ่ยเยว่
พวกเขาได้มาถึงจวนฮุ่ยชินอ๋องแล้ว เหตุใดต้องออกมาทางประตูหน้าด้วยกัน ?
จีหลินชุนมิเข้าใจ หยูเวิ่นเต้าเองก็มิเข้าใจ ฟู่เสี่ยวกวนยืมกระบี่เขามาโดยไม่ถาม “แล้วเช่นนี้ผู้ใดคอยเฝ้าอยู่ทางด้านหลังของจวนชินอ๋องกัน ? ”
เพราะคนผู้นี้ปรี่เข้ามาทางประตูด้านหน้า นั่นหมายความว่าทางด้านหลังมีบางสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคอยอยู่
“ศิษย์พี่สามซูโหรว”
“โอ้…” หยูเวิ่นเต้าพยักหน้า คิดไปถึงสตรีนางหนึ่งที่มีดวงตาเรียวบางและมักจะปักผ้าลายเป็ดอยู่ตลอดเวลา คาดมิถึงว่านางจะฝึกการเย็บชุดสวรรค์ไร้รอยตะเข็บ !
นางอยู่ทางด้านหลัง คนภายในนั้นย่อมเลือกพังประตูหน้าเท่านั้น
ซูโหรวในยามนี้นั่งอยู่บนกำแพงของด้านหลังจวน นางมิได้กำลังปักผ้า แต่กลับกำลังนั่งดื่มสุรา
อากาศหนาวถึงเพียงนี้ ให้ข้ามาเฝ้าที่นี่ แต่มิให้ข้าเข้าไปสังหารด้านใน สังหารไปเพียงผู้เดียวก็ไร้ซึ่งเงาผู้อื่นอีก เขากำลังคิดทำอันใดอยู่กัน ?
เขาให้ศิษย์พี่ใหญ่ไปวัดฟูจื่อ บอกให้ศิษย์พี่ใหญ่รื้อวัดฟูจื่อนั้นเสีย… นี่มันเรื่องอะไรกัน ในวัดนอกจากรูปปั้นดินเผาและไม้แกะสลักก็มิมีสิ่งอื่นใดแล้ว ความหมายของการเคลื่อนไหวของเขาในครานี้คืออันใดกัน ?
ซูโหรวมิรู้ ซูเจวี๋ยและคนอื่น ๆ เองก็มิเข้าใจเช่นกัน
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองซูซู และยื่นมือออกไปลูบหัวของซูซู นั่นทำให้ซูซูรู้สึกไม่คุ้นชินเท่าใดนัก นางขืนตัวเล็กน้อย แต่มิได้หลบ
“ประเดี๋ยวหากมีคนออกมาอีก อย่าสังหาร ข้าต้องการจับเป็น”
“อือ”
ซูซูกล่าวออกมาเพียงหนึ่งคำ
แต่ภายในประตูนั้นยังไร้การเคลื่อนไหว ฟู่เสี่ยวกวนมิได้รีบร้อน ทุกคนต่างรอกันหลายอึดใจ คิดว่าฉากนี้อีกเพียงไม่นานก็คงจะจบลงแล้ว แต่ก็อดที่จะเบื่อหน่ายมิได้ จึงเริ่มดื่มสุรากันอีกครา
“งานกวีหลานถิงจี๋ในเทศกาลโคมไฟ เสี่ยวกวน เจ้าต้องประพันธ์บทกวีที่ดีออกมาอีกครา และให้ได้สลักไว้บนหินเชียนเปยสืออีกครา ข่มบทกวีของเหวินสิงโจวผู้นั้นลงมาเสีย ! ”
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงได้นึกถึงเรื่องของเหวินสิงโจวแห่งราชวงศ์อู๋ที่ฉินปิ่งจงเคยกล่าวกับเขาไว้
คนผู้นี้ยอดเยี่ยมยิ่ง ในรัชสมัยไท่เหอปีที่ 20 เขาได้มาเข้าร่วมงานกวีที่เมืองหลวงในเทศกาลโคมไฟ และได้สลัก “โต๊ะหยก งานโคมไฟ” กวีที่เขาเป็นผู้ประพันธ์ไว้เป็นลำดับแรกบนหินเชียนเปยสือในงานกวีเทศกาลโคมไฟ
คนผู้นั้นเป็นผู้มีความรู้อย่างแท้จริง ไฉนเลยจะเหมือนกับตน…ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมาด้วยท่าทีขลาดเขิน และกล่าวยิ้ม ๆ “นั่นคือนักปราชญ์แห่งราชวงศ์อู๋ ข้าจะเทียบกับเขาได้เยี่ยงไร ?”
สีฉวินเหมยได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกเหมือนโดนขัดใจเล็กน้อย “เจ้านี่ช่างดูถูกตัวเองเสียจริง ทำนองเพลงสายน้ำของเจ้ายังสามารถสลักเป็นกวีลำดับแรกบนหินเชียนเปยสือในงานกวีเทศกาลไหว้พระจันทร์ได้ แล้วเหตุใดงานกวีเทศกาลโคมไฟจะมิได้กัน ราชวงศ์หยูในปัจจุบัน มีเจ้าเป็นนักกวีอันดับหนึ่งอย่างแท้จริง ข้าได้ยินชางกวนเหวินซิ่วผู้นั้นกล่าวมาว่า งานเขียน “เยาวชนราชวงศ์หยูกล่าว” ของเจ้าเองก็ได้รับคะแนนจากนักปราชญ์ทั้งห้าในคืนของเทศกาลโคมไฟ ความหมายของชางกวนเหวินซิ่วคือ บทกวีนี้ก็ได้ขึ้นเป็นกวีลำดับแรกบนหินเชียนเปยสือเช่นกัน เจ้าลองนึกตามข้าดู หากงานกวีเทศกาลโคมไฟ เจ้าได้ขึ้นเป็นที่หนึ่งอีก ก็มิใช่ว่าเจ้าได้ลำดับที่หนึ่งมาสามศิลาแล้วรึ ? หากลองมองใต้หล้านี้ดู ว่ามีใครที่ยังสามารถทำเยี่ยงนี้ได้บ้าง ต่อให้เป็นเหวินสิงโจวก็ทำมิได้ ! ”
ครุ่นคิดถึงหินเชียนเปยสือ ก็ราวกับนึกถึงป้ายฝังศพตัวเอง ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะกล่าวว่าตนเองจะไม่เข้าร่วมงานกวีเทศกาลโคมไฟแล้ว แต่กลับพบว่าสายตาของผู้คนต่างมองมาที่ตนเอง และสายตาเหล่านั้นก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง !
โดยเฉพาะหยูเวิ่นหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลว !
ลำดับที่หนึ่งสามศิลา !
เป็นความสำเร็จที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง !
ในความคิดของเยี่ยนเสี่ยวโหลว เกียรติยศนี้สูงส่งยิ่งกว่าการเป็นรุ่นที่สามของตระกูลเยี่ยนเสียอีก
ดังนั้น ท่ามกลางสายตากดดัน ฟู่เสี่ยวกวนจึงต้องกล้ำกลืนคำนั้นลงไป และกล่าวอย่างเขินอายว่า “กวีมิมีที่หนึ่ง ข้าคงทำได้เพียงกล่าวว่าจะลองพยายามดู”
สีฉวินเหมยจึงได้พยักหน้าอย่างพึงพอใจ มิมีใครกล้ารับปากว่าบทกวีของตนนั้นจะได้สลักอยู่บนหินเชียนเปยสือ และยิ่งมิต้องไปพูดถึงการอยู่ในลำดับที่หนึ่งเลย
จีหลินชุนเขียนเรื่องราวที่รู้มาทั้งหมดแล้วจึงส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวนอย่างกังวลใจ นางคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะลองดูมัน แต่คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะสอดมันเข้าไปในแขนเสื้ออย่างไม่สนใจ
และในตอนนี้ ทันใดนั้นก็ได้มีคนมากกว่าสามสิบคนออกมาจากประตูฝั่งตรงข้าม
คนเหล่านั้นต่างก็ถืออาวุธเอาไว้ในมือ ในมือของสามคนด้านหน้าถือโล่ป้องกันเอาไว้ ด้านหลังของโล่ยังมีมืออีกธนูสามคน ในพริบตาที่พวกเขาก้าวผ่านประตูใหญ่ก็ได้ยิงธนูมาทางศาลาสามดอก
มือของซูซูวางทาบบนสายฉินอีกครา ฮั่วหวยจิ่นได้ดึงหอกออกมา หอกพุ่งออกไปในพริบตา “ตึงตึงตึง !” และปะทะกับลูกธนูทั้งสามดอกอย่างแม่นยำ ซูซูขึงพืดสายฉิน หลังจากนั้นเสียง “เจิง…” ดังขึ้น และเกล็ดหิมะก็ถูกตัดอีกครา
หลังจากที่สิ้นเสียง ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ก็ได้เห็นประกายไฟสว่างขึ้นมาทางด้านหน้า การรับมือภายใต้การโจมตีที่ไร้ลักษณ์ ทำให้มือโล่ถูกค้อนทุบจนร่างพลิกคว่ำ หลังจากนั้นก็ได้มีคนถือกระบี่พุ่งทะยานไปบนท้องฟ้า
คนเหล่านี้มิได้มุ่งสังหารมาที่ศาลาแห่งนี้ แต่โผบินไปทั่วทุกทิศเพียงพริบตา
ซูซูไม่สบอารมณ์แล้ว คิ้วของนางขมวดนิ่ว โอบกอดฉินตัวใหญ่ไว้ และมีเสียง ตู้ม ! ดังขึ้นมา ยอดศาลาก็ได้หักลง !
นางโผบินออกไป และหยุดอยู่ที่ยอดศาลา หลังจากนั้นก็ดีดฉินอีกสามสาย
“เจิงเจิงเจิง…”
เสียงเสนาะของสายฉินดังขึ้นสามครา แยกไปสามทาง เลือดสามสายจากคนสามคนสาดกระจาดไปบนฟ้าก่อนจะตกลงมาสู่พื้นธรณี
ซูซูนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดศาลา สองมือยังคงวางอยู่บนฉิน ทันใดนั้นก็มีดาบลอยขึ้นฟ้าและผ่ามาทางนาง “รีบไป ! ”
ต่อจากเสียงคำรามของคนผู้นั้น สายลมจากดาบก็ก่อให้เกิดพายุหิมะ พัดผ่านมาซึ่งความหนาวเหน็บ
ซูซูยืดสายฉินจนเกิดเสียง “เจิง…” ดังขึ้นอีกครา พายุหิมะแตกกระจายด้วยเสียงฉิน เพียงพริบตาดาบเล่มนั้นก็ถูกผ่าสามครั้งติดต่อกัน หลังจากนั้นซูซูก็มิได้ให้ความสนใจเขาอีก แต่นางกลับดึงสายฉินเจ็ดสายในเวลาเดียวกัน
แต่ครานี้มิใช่เสียงกระทบที่ซ้ำซาก แต่กลับมีจังหวะของการสัมผัส ราวกับท่วงทำนองหนึ่ง
เพียงเสียงดังขึ้นมา หิมะรอบตัวของซูซูก็สลายไปทันพลัน กระบี่ไร้ลักษณ์ทั้งเจ็ดพุ่งทะยานไปยังกลุ่มคนชั่วเหล่านั้น
เร็วอย่างไร้ที่เปรียบ !
ไร้เงาและไร้ลักษณ์ !
แขนของบางคนขาดลง ขาของบางคนได้หายไป และมีศีรษะของบางคนที่ปลิวไป โอ้ นั่นเป็นอุบัติเหตุ
ซูซูทำตามคำสั่งของฟู่เสี่ยวกวนอย่างระมัดระวังว่าห้ามสังหารพวกเขา เรื่องนี้น่ารำคาญอยู่ไม่น้อย
นักดาบที่อยู่เบื้องหน้าใช้สามดาบฟาดฟันกระบี่ที่ไร้ลักษณ์ของนาง ดาบยาวส่องประกาย ทันใดนั้นพายุหิมะก็ถูกตัดเป็นสองภายใต้ดาบเล่มนี้
ราวกับจะเปิดทางด้วยดาบนี้ !
ซูซูก้มหน้า หาได้สนใจมองดาบที่ผ่าลงมาจากกลางอากาศไม่
ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ เคลื่อนตัวออกมาจากศาลา ยืนอยู่บนถนน และมองไปทางศาลาหลังนั้น
ซูซูสวมชุดขาว ผมยาวถูกปล่อยคลอเคลียบ่า นางนั่งไขว่ห้าง และวางฉินเอาไว้บนตักของนาง
นางก้มหน้าลูบฉิน เสียงฉินดังอ้อยอิ่ง ราวกับอยู่ในอารามมัวเมา ราวกับมิรู้ว่าดาบเล่มนั้นกำลังจะจ่ออยู่ที่ศีรษะ
มือที่กุมหอกของฮั่วหวยจิ่นบีบรัดแน่นขึ้นเล็กน้อย เขามิรู้ว่าแม่นางผู้นั้นจะสามารถหยุดดาบนั้นได้หรือไม่ นั่นคือดาบทรราชของภูเขาดาบเชียว
ดาบทรราชฟันฟาดฉินที่อ่อนนุ่ม…จะเป็นฉินที่ขาดหรือจะเป็นดาบที่หักกัน ?
ด้วยเสียงฉินที่ดังขึ้นนอกจากหิมะที่อยู่ข้างกายของซูซู ก็ยังมีนกที่บินอยู่ไกล ๆ และยังมีคนร้ายอีกสิบกว่าคนที่กำลังวิ่งหนีและเพิ่งจะพบว่าร่างกายของตนเองนั้นได้ขาดอวัยวะในร่างกายไปส่วนใดส่วนหนึ่ง
ซูซูดึงสายฉินอย่างเบามือ ราวกับเป็นท่อนส่งของบทเพลง
“ติ๊ง… !”
สายเส้นนั้นส่งเสียงที่ดังกังวานออกมา หิมะเหล่านั้นราวกับร่ายระบำไปพร้อมกับทำนอง ดาบเล่มนั้นราวกับตัดลงไปบนสายน้ำที่ไม่มีที่สิ้นสุด
หลังจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ก็ได้เห็นฉากที่น่าตื่นตาตื่นใจ !
ดาบนั้นหักลงฉับพลัน หลังจากนั้นก็กระเด็นออกมือของคนผู้นั้น และต่อจากนั้นมือของคนผู้นั้นก็หลุดออกจากร่างเช่นกัน สีหน้าของมือดาบผู้นั้นซีดเซียวทันพลัน “สำนึกกระบี่ ! ”
เคราใต้คางของเขาขาดไปทีละนิ้ว ๆ หลังจากนั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงกระบี่ด้ามหนึ่งสัมผัสมาถึงคอของเขา เขาคิดว่าตนเองจะตายอย่างแน่นอน แต่คาดไม่ถึงว่ากระบี่นั้นจะสลายไปในทันใด
เขาตกลงมาจากกลางอากาศ เลือดไหลจากแขนขวาเป็นทางยาว แต่เขาไม่ได้สนใจมัน
ไหล่ของซูซูมีนกตัวหนึ่งเกาะอยู่ มือของนางได้ผละออกจากสายฉินแล้ว เสียงของฉินได้หายไปนานแล้ว แต่นกตัวนั้นยังคงไม่บินไปไหน ราวกับยังมัวเมาอยู่ในเสียงฉินที่มาเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ
“เสียงอันไพเราะของฉินเทพบรรเลงไปได้ครึ่งเพลงเท่านั้นกลับตัดดาบทรราชของถูจิ้งที่มีทักษะสูงระดับที่สองของภูเขาดาบได้ สำนักเต๋า…ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง” ฮั่วหวยจิ่นกล่าวชื่นชมเสียยกใหญ่
“คนผู้นี้เป็นคนของภูเขาดาบรึ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนตกใจเล็กน้อย เพราะไป๋ยู่เหลียนก็เป็นศิษย์ของภูเขาดาบเช่นกัน
“มีอะไรน่าแปลกใจกัน ภูเขาดาบมิเคยก้าวก่ายเบื้องล่างมาก่อน”
หมายความได้ว่าศิษย์ของภูเขาดาบหากได้ออกจากภูเขามาแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไร ภูเขาดาบก็จะไม่ยุ่งทั้งนั้น จุดนี้ที่มิเหมือนกับสำนักเต๋า
“ความจริง…ป่ากระบี่เองก็เป็นเช่นนั้น” หยูเวิ่นเต้าชะงักไปและกล่าวขึ้นมา “เจ้าอย่าคิดว่าเจ็ดกระบี่ของป่ากระบี่ตามข้าลงมาจากเขา ให้คิดว่าศิษย์ของป่ากระบี่ทุกคนมีความคิดเป็นของตนเอง ความจริงแล้วป่ากระบี่ยังมีระดับสูงที่อยู่ในกองกำลังต่าง ๆ อีกมาก อย่างเช่นหยี่ฮวาถาย และอย่างเช่นเขาจื่อจิน”
นึกย้อนกลับไปในตอนที่ซูซูเคยติดตามนายหญิงสิบสาม พวกนางได้พูดคุยกันเบื้องหน้าเขาจื่อจิน ทันใดนั้นที่พื้นหิมะก็ปรากฏกระบี่หนึ่งด้าม ซูซูกล่าวว่าหญิงสาวชุดขาวที่สวมหน้ากากผู้นั้นใช้กระบี่ดอกฝนไร้ขอบเขตแห่งป่ากระบี่
แล้วสำนักเต๋าเล่า ?
“มีเพียงสำนักเต๋า หากพวกเขาทำการเลือกแล้ว ลูกศิษย์ทั้งหมดของสำนักเต๋าก็ต้องทำตามทางเลือกนั้น และในวันนี้สำนักเต๋าเหมือนว่าจะเลือกเจ้าแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงมิต้องกังวลเกี่ยวกับสำนักเต๋า”
“ได้…” ฟู่เสี่ยวกวนมองไปทางศาลายอดหักอีกครา ซูซูได้ลงมาแล้ว เก็บฉินหลังนั้นเข้ากล่อง หิมะได้ตกลงมาตามรูบนหลังคาศาลา งานเลี้ยงนี้มิสามารถจัดต่อไปได้แล้ว
“ท่านขุนนางหนิง ข้าขอมอบโจรเหล่านี้ให้ท่านนำไปพิจารณาคดี”
“วุ่นวาย…” หนิงหยู่ชุนส่ายหน้า เรื่องวุ่นวายนี้มิใช่เรื่องง่ายที่จะต้องจัดการ !
“เจ้าเรียกพวกข้ามาที่นี่ เพื่อให้พวกข้ามาดูสิ่งนี้รึ ? ” หยูเวิ่นเต้าเอ่ยถาม
“นี่คือกระดานแรก อย่าได้เร่งรีบไป”
“เมื่อครู่หนีไปสอง”
“โอ้… มิเป็นไร ข้าให้พวกเขาหนีไปเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนลอบถอนหายใจอีกครา คาดมิถึงว่าแม่ชีในอารามซุ่ยเยว่นั่นจะไม่ออกมา !
ตอนที่ 210 ทำลาย
พายุหิมะพัดเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ฟืนในกองไฟระอุแรงกว่าเดิมเนื่องจากมีลมพัดเข้ามา ขี้เถ้าถ่านถูกพัดปลิวมาติดที่ใบหน้าของจีหลินชุน
แม้จะมิได้ร้อน แต่นางกลับรู้สึกว่ามันช่างร้อนยิ่ง นางอยากให้ขี้เถ้าเหล่านี้มีมากอีกสักหน่อย ให้กองทับถมนางได้เลยยิ่งดี
นางมิมีทางเลือกใด ๆ นางเชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนจะทำได้สำเร็จ
ทุกชีวิตล้วนมีค่า แม้ว่าจะพบเข้ากับอุปสรรคต่าง ๆ คล้ายกับถ่านไม้เหล่านี้ที่สุดท้ายก็ต้องกลายเป็นเถ้าถ่านสีเทา แต่อย่างน้อยในชีวิตก็เคยได้ผจญภัยพบกับเรื่องราวที่น่าสนใจมาก่อน มันคล้ายกับกองไฟสว่างไสวท่ามกลางความเหน็บหนาว เป็นสีสันที่ไม่เหมือนใคร คล้ายกับดอกเหมยสีแดงที่เบ่งบานท่ามกลางหิมะขาวโพลน
สายตานางมองไปยังจวนฮุ่ยชินอ๋อง จากนั้นมองไปยังกองศีรษะกองโต นางนึกอยู่ในใจว่าหากคนเราตายไปแล้วจะเป็นเยี่ยงไร ? จะรู้สึกหนาวหรือไม่ ?
ศีรษะเหล่านั้นเคยมีชีวิตชีวามาก่อน แต่บัดนี้กลับเยือกเย็นไร้ความรู้สึกใด ๆ
นางละสายตาออกจากที่นั่น ก้มหน้าลงคล้ายกับกำลังจะเอ่ยบางสิ่งออกมา ฟู่เสี่ยวกวนได้โบกมือห้าม
จีหลินชุนตกตะลึงอีกครา เขาเปลี่ยนใจแล้วงั้นรึ ?
เมื่อคิดดูแล้วคงเป็นเช่นนั้น เขามิรู้ว่าศัตรูของเขาแข็งแกร่งเพียงใด หากปล่อยให้เขามิรู้ต่อไปอาจยังมีโอกาสรอดชีวิตได้ หากเขารู้แล้วละก็เกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิตเขาเอง
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือ จากนั้นด้านหลังเขาปรากฏคนกระโดดลงมาจากหลังคา จีหลินชุนจึงได้รู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนได้จัดเตรียมทุกอย่างไว้แต่แรกแล้ว
“จงไปซื้อพู่กัน กระดาษและหมึกมา” ฟู่เสี่ยวกวนส่งเงินสองตำลึงไปยังคนผู้นั้น เขาตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปท่ามกลางหิมะ
ไม่นานเขาก็กลับมา ฟู่เสี่ยวกวนกางกระดาษให้จีหลินชุน “เจ้าจงฝนหมึกด้วยตนเอง อยากเขียนอะไรก็จงเขียนออกมา”
จีหลินชุนค่อย ๆ ฝนหมึก จากนั้นก็เขียนมันลงไป ซูซูกินปิงถังหูลู่จนหมดแล้ว นางจึงได้เปิดกล่องฉินออก จากนั้นก็หยิบมันออกมาวางไว้บนโต๊ะ
ฟู่เสี่ยวกวนมองดูด้วยความประหลาดใจ เมื่อรออยู่ชั่วครู่จึงได้เอ่ยถามว่า “ข้าคิดว่าเจ้าจะบรรเลงมันเสียอีก”
“เจ้าคิดมากเกินไป ! ”
ซูซูนั่งไขว่ห้างอย่างสบายใจ “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าฉินของข้านี้มีไว้สำหรับฆ่าคน หากเจ้าอยากจะชื่นชมก็ไปชื่นชมที่หงซิ่วจาว”
ฟู่เสี่ยวกวนยืดคอไปพิจารณาฉินนั้น ด้านบนสลักคำว่าร่าวเหลียงไว้สองตัว คาดว่าเป็นชื่อของฉิน ฟู่เสี่ยวกวนมิมีความรู้เกี่ยวกับเครื่องดนตรีเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงยิ่งประหลาดใจกว่าเดิม
หรือแม่นางซูซูจะเป็นเหมือนกับมารพิณหกนิ้วกัน ?
เขามองซูซูถือฉินนั้นไว้ในมือ เสียงที่ออกมาจากฉินของนางสามารถฆ่าคนได้…ฟู่เสี่ยวกวนยิ่งคาดหวังว่าจะเห็นมันยิ่ง
“ร่าวเหลียง…นี่คือฉินเทพร่าวเหลียงั้นรึ ? ” เยี่ยนเสี่ยวโหลวนึกขึ้นมาได้ นางเดินมาหยุดอยู่ข้างซูซูแล้วมองดูฉินนี้ด้วยท่าทีจริงจัง
“เทพงั้นรึ ? หนักจะตายไป ที่ข้าไม่สูงก็เพราะท่านอาจารย์มักให้ข้าแบกฉินหนัก ๆ นี้เอาไว้ตลอดน่ะสิ” ซูซูเอ่ยอย่างโมโห แต่ดวงตาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวกลับยิ่งเป็นประกาย
“เป็นฉินของเทพร่าวเหลียงมิผิดแน่ ช่างในราชวงศ์ก่อนได้ทำขึ้น เจ้าดูนี่ สิ่งนี้คือสัญลักษณ์ของฉินเทพเป็นรูปค้อน ให้ตายสิ ! ข้าได้พบเห็นฉินเทพร่าวเหลียงในตำนานรึนี่ !”
ซูซูมองดูเยี่ยนเสี่ยวโหลวด้วยท่าทางประหลาดใจ นี่เป็นเพียงฉินโบราณธรรมดามิใช่รึไง ? เหตุใดต้องตื่นเต้นถึงเพียงนี้ ?
ท่านอาจารย์เรียกมันว่าฉินโบราณ แต่มิเคยบอกกับนางว่าฉินนี้มีชื่อว่าร่าวเหลียง ดังนั้นซูซูจึงตั้งชื่อฉินนี้ว่าฉินโบราณตามท่านอาจารย์ตลอดมา
ในขณะที่เยี่ยนเสี่ยวโหลวกำลังดีใจอยู่นั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงเกือกม้าดังขึ้นท่ามกลางลมหิมะ ไม่ช้าไม่เร็ว เป็นจังหวะจะโคน
ฟู่เสี่ยวกวนมองเห็นใครบางคนขี่ม้าและถือดาบไว้ในมือ เขาคือฮั่วหวยจิ่นนั่นเอง
ฮั่วหวยจิ่นหยุดม้าแล้วมองไปยังศาลาที่ตั้งไว้กลางถนน จากนั้นก็มองไปรอบ ๆ ทิศ เขากระโดดลงจากหลังม้าแล้วเดินมานั่งลงข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน
“ข้าคิดมาตลอดว่างานอดิเรกข้ามิเหมือนผู้ใด มองดูแล้วเจ้าเองก็เป็นเช่นเดียวกับข้า”
“หากต้องการชมละคร ควรหาสถานที่เหมาะสม มิเช่นนั้นคงมิได้อรรถรส”
ฮั่วหวยจิ่นยิ้มขึ้น จากนั้นก็ปักหอกในมือของเขาลงไปข้าง ๆ ตัว หอกนั้นได้ปักลึกลงไปและตั้งตรงอยู่ข้าง ๆ เขา
“มิเลว ! ”
“เห้อ…”ฮั่วหวยจิ่นถอนหายใจออกมา เขาหยิบสุราเทียนฉุนออกมารินใส่ถ้วย “หากเปรียบเทียบเรื่องกังฟู ข้านั้นมิอาจเทียบได้กับศิษย์พี่ใหญ่สำนักเต๋า”
ซูซูหันกลับมามองฮั่วหวยจิ่น นางนึกในใจว่า เจ้าคิดว่าจะสู้กับข้าได้งั้นรึ ?
ในขณะเดียวกัน ณ ตรอกซานเยวี่ยก็ได้มีคนสี่เดินเข้ามา หยูเวิ่นเต้า สีฉวินเหมย หนิงหยู่ชุนและหยูเวิ่นหวิน
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มให้หยูเวิ่นหวิน นางจ้องไปยังฟู่เสี่ยวกวน มิได้พบกันเพียงไม่กี่วัน เขากลับรื่นเริงจัดงานเลี้ยงท่ามกลางหิมะขึ้น อีกทั้งยังมิได้เอ่ยชวนตน !
เมื่อพบว่าต่งชูหลานก็มิได้อยู่ ณ ที่นี้ นางก็สบายใจขึ้นเล็กน้อย
นอกจากหยูเวิ่นเต้าที่พอจะเดาออกถึงเหตุการณ์นี้แล้ว คนอื่น ๆ มิได้มีผู้ใดเข้าใจถึงสถานการณ์นี้ เขาจัดงานเลี้ยงและดื่มสุราท่ามกลางหิมะอยู่หน้าจวนฮุ่ยชินอ๋อง คงจะต้องการประกาศชัยชนะเป็นแน่
“ฮุ่ยชินอ๋องเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
“จะเป็นเยี่ยงไรไปได้อีกเล่า ? เขากระอักเลือดเพราะคำพูดของเจ้ามากเพียงนั้น จึงได้เป็นลมและถูกส่งตัวไปรักษาในวัง เจ้าจงระวังตัวไว้ให้ดีเถิด ข้าได้ยินมาว่าไทเฮาทรงกริ้วเป็นอย่างมาก”
เนื่องจากมิมีกับแกล้ม ฟู่เสี่ยวกวนจึงรินเหล้าให้แก่ทุกคน หนิงหยู่ชุนยกดื่มในอึกเดียวแล้วกล่าวขึ้นว่า “วังหลวงมีประกาศว่า เมื่อฮุ่ยชินอ๋องหายดีแล้ว เรื่องนี้จะทำการสอบสวนขึ้นอีกครา คาดว่าคงมิสามารถประหารเขาได้…อย่างมากก็ถูกขับไล่ออกไปจากเมืองหลวงและยึดจวนคืน”
“อืม” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้เขาประหลาดใจมากนัก
ไม่นานต่อมา รถม้าแปดคันจากหอซื่อฟางได้เดินทางมาถึงพร้อมกับอาหารสิบสองอย่าง
ซูซูยังมิได้เก็บฉินลง แต่นางกลับสะพายมันขึ้นทั้งอย่างนั้น แม้จะดูประหลาดแต่นางหาได้สนใจไม่
หยูเวิ่นหวินมองไปยังเยี่ยนเสี่ยวโหลวเป็นระยะ นางมิพอใจเท่าใดนัก เหตุใดแม่นางคนนี้จึงได้อยู่กับฟู่เสี่ยวกวนกัน ? ชูหลานมิได้ห้ามปรามเขาหรือเยี่ยงไร ?
เรื่องของหยูเวิ่นหวิน ต่งชูหลานและฟู่เสี่ยวกวนได้กำหนดไว้แล้ว และทุกคนในเมืองหลวงย่อมรู้ดี หรือตระกูลเยี่ยน…จะต้องการฟู่เสี่ยวกวนกัน ?
มิได้การแล้ว เรื่องนี้นางจะต้องไปถามชูหลานให้รู้เรื่อง
ฟู่เสี่ยวกวนยกแก้วขึ้น ยิ้มแล้วกล่าวว่า “ขอดื่มเพื่อพวกท่านทุกคน อีกประเดี๋ยวเชิญชมการแสดงพร้อมกัน”
เมื่อเหล้าลงสู่กระเพาะ อีกทั้งความร้อนจากกองไฟ ทำให้ความหนาวเหน็บจางหายไปในทันที จากนั้นก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความอบอุ่น
“เจ้ากำลังทำสิ่งใดอีกกัน ?” หนิงหยู่ชุนรู้สึกถึงลางไม่ดี
“ฮ่า ๆ ๆ มิใช่อย่างที่ท่านคิด อีกประเดี๋ยวจะมีชาวยุทธปรากฏตัว พวกท่านอย่าได้กลัวไป มีองค์ชายอยู่ที่นี่ อีกทั้งแม่นางซูซูก็อยู่ที่นี่ด้วย”
สีฉวินเหมยหน้าแดงเพราะฤทธิ์เหล้า เขามองไปยังฟู่เสี่ยวกวน “เจ้าหมายความว่า…ที่จวนฮุ่ยชินอ๋องนี้ยังมีชาวยุทธอยู่งั้นรึ ? ”
“ท่านเสนาบดีสี ท่านอย่าได้ลืมไปว่าฮุ่ยชินอ๋องส่งชาวยุทธไปสังหารข้า ! อีกทั้งยังทำลายจวนข้า อีกประเดี๋ยวพวกเขาต้องปรากฏตัวเป็นแน่…หากโชคดีอาจจะได้ปลาตัวใหญ่อีกด้วย ! ”
นี่เขากำลังเพิ่มโทษให้แก่ฮุ่ยชินอ๋องงั้นรึ ?
“การที่เชิญทุกท่านมาในวันนี้ เนื่องจากต้องการให้ทุกท่านเป็นพยานและชมฉากต่าง ๆ ด้วยตาตนเอง มาเถิด ๆ ๆ อากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ เชิญกินให้อิ่มหนำแล้วค่อยชมการแสดง”
สีฉวินเหมยมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน เจ้าหนุ่มนี่เจ้าเล่ห์นัก คงจะต้องระวังตัวไว้ให้ดี
ทุกคนเริ่มลงมือกิน เหลือเพียงจีหลินชุนเท่านั้นที่ยังนั่งเขียนหนังสือ
หนิงหยู่ชุนรู้สึกถึงความผิดปกติ เหตุใดแม้แต่กินข้าวยังต้องบันทึกกัน ?
“แม่นางคือ… ?”
“อ้อ มิต้องสนใจนางหรอก นางได้กระทำความผิดและควรต้องเขียนหนังสือสำนึกผิด”
สตรีนางนี้คือคนของฟู่เสี่ยวกวนงั้นรึ ?
หนิงหยู่ชุนมิได้เอ่ยถามอันใดอีก มิมีผู้ใดเอ่ยเรื่องจวนฮุ่นชินอ๋อง แต่กลับกินดื่มอย่างสำราญใจ
“ในวันรุ่งขึ้น ข้าคาดว่าฝ่าบาทจะทรงกล่าวถึงเรื่องเทศกาลฤดูหนาว จิ่วชางกวนเหวินซิ่วกล่าวว่าเขาได้เตรียมการไว้ตั้งแต่ก่อนตรุษจีนแล้ว โดยให้เจ้าเป็นผู้นำ คาดว่าฝ่าบาทจะทรงเห็นด้วย ต่อจากนี้เจ้าต้องคัดเลือกคนเอาไว้ นักเรียนจำนวน 100 คนหาได้มิยาก เพียงในวังเจ้าก็สามารถจัดหานักเรียนชั้นเลิศได้ง่ายดายนัก แต่ในเรื่องของทหารอารักขา…ข้าอยากจะเตือนให้เจ้าเตรียมไว้มากเสียหน่อย
สีฉวินเหมยพูดด้วยท่าทางที่เป็นกังวล
เจ้าเด็กหนุ่มนี่ยิ่งมองยิ่งคล้ายสวี่หยุนชิง เห้อ…มิว่าเยี่ยงไรก็ต้องช่วยเขาเสียหน่อย
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เคยได้ยินมาว่าเมื่อสมัยหนุ่มๆ ท่านเคยชอบพอกับแม่ของข้างั้นรึ ? ”
สีฉวินเหมยหน้าแดงทันที ยังดีที่เดิมทีดื่มสุราเข้าไปทำให้หน้าแดงอยู่แล้วจึงมองไม่ค่อยออกนัก
“ในยามนั้นคนที่ชอบพอแม่เจ้ามีมากมายนัก ! ”
“แม่ข้ามิได้ชอบพ่อข้าใช่หรือไม่ ?”
สีฉวินเหมยหยุดชะงักลงชั่วครู่ จากนั้นยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเรื่องราวผ่านไปแล้ว เจ้าจะรื้อฟื้นเพื่อสิ่งใดกัน มา ๆ ๆ ดื่มด้วยกันเถิด ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้คะยั้นคะยอเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เขาเพียงแค่เอ่ยถามไปเท่านั้น ในขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนาน ซูซูได้หยิบพิณมาไว้ด้านหน้า นิ้วของฮั่วหวยจิ่นจับลงไปที่หอก
“ดูสิ การแสดงกำลังจะเริ่มแล้ว ! ”
หน้าจวนฮุ่ยชินอ๋อง ประตูใหญ่ได้ถูกเปิดออก ด้านในมีชายผู้หนึ่งเดินออกมา เขากำดาบเล่มยาวไว้ในมือ ทหารรักษาความปลอดภัยสิบกว่าคนยังมิทันได้ตั้งตัว เขาก็ได้พุ่งตัวเข้ามาทันที
นิ้วของซูซูแตะลงไปที่สายฉินเส้นหนึ่ง ฮั่วหวยจิ่นมองไปยังนาง จากนั้นจึงผ่อนคลายหอกในมือลงแล้วยกถ้วยสุราขึ้นดื่ม
“เช้ง !…”
ในขณะที่ชายผู้นั้นกำลังจะทะยานขึ้นสู่ฟ้าและฟันดาบนั้นลง ซูซูก็ได้ดีดสายฉินเส้นนั้นเช่นกัน
มิมีเสียงใด ๆ
แต่ฟู่เสี่ยวกวนเห็นกับตาว่าเมื่อเสียงเช้ง ! นั้นสิ้นสุดลง หิมะนอกศาลาที่พวกเขานั่งอยู่ได้ถูกตัดขาดเป็นสองส่วน !
คล้ายกับมีดาบล่องหนแหวกออกไป ทำให้กองหิมะเหล่านั้นถูกแบ่งออกเป็นสองกองอย่างไร้ร่องรอย
เรื่องนี้เกิดขึ้นเพียงเสี้ยววินาที เลือดสีแดงสดพุ่งกระจายกลางอากาศร่างของชาวยุทธคนนั้นขาดออกเป็นสองท่อน !
ร่างทั้งสองท่อนของเขาตกลงสู่พื้น เลือดสีแดงสดของเขาได้ย้อมไปที่หิมะที่ขาวโพลน คล้ายกับกลีบดอกเหมยที่เบ่งบานไปทั่วพื้นธรณี
ตอนที่ 209 นี่มิใช่การให้ร้าย
จีหลินชุนจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสีหน้าสงสัย
ซูซูถือถังหูลู่ที่ซื้อมาจากร้านข้างทางราวกับมิแปลกใจกับสถานการณ์นี้ แท้จริงแล้วนางมิได้คิดถึงเรื่องนี้เลย หากฟู่เสี่ยวกวนต้องการจะไปที่ใดนั่นมิใช่เรื่องของนาง เรื่องของนางคือการตามติดฟู่เสี่ยวกวน เพื่อป้องกันมิให้มีผู้ใดมาสังหารคนผู้นี้เพียงเท่านั้น
เยี่ยนเสี่ยวโหลวเองก็มิเข้าใจว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนถึงมาที่นี่อีกครั้ง ถึงแม้ศีรษะที่กองสุมกันนั้นจะมีหิมะปกคลุมอยู่ แต่หิมะก็มิอาจปกคลุมได้ทั่วถึง ทำให้ด้านล่างยังเห็นศีรษะได้ชัดเจน สีหน้าที่ดุร้ายของแต่ละคนทำให้ผู้ที่พบเห็นหวาดกลัว
มิมีผู้ใดเอ่ยถามออกมา ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิได้กล่าวสิ่งใด เพียงยืนท่ามกลางหิมะอย่างโง่งม มองประตูจวนบานนั้นที่ถูกปิดลง
จีหลินชุนกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าแล้ว เหตุใดเจ้าถึงมิถามข้าเรื่องที่ติดอยู่ในใจเหล่านั้นกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “การที่นางส่งเจ้าออกมาอย่างง่ายดายเยี่ยงนี้ ก็เห็นได้แล้วว่าเจ้านั้นมิได้สำคัญ”
ผ่านไปชั่วครู่ เขาก็กล่าวขึ้นมาอีกว่า “ภายในนั้นยังมีปลาตัวใหญ่อยู่ เพียงแต่ข้าหย่อนเหยื่อตกปลาไว้ที่นี่ ! ”
จีหลินชุนหน้าซีดเผือดขึ้นมาฉับพลัน
เพียงไม่นานก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากตรอกซานเยวี่ย จากนั้นเยี่ยนเสี่ยวโหลวและคนอื่น ๆ ก็รู้สึกประหลาดใจอย่างคาดมิถึงว่าคนเหล่านั้นจะพกสิ่งของเหล่านี้มาด้วย และต่อจากนั้นพวกนางก็ต้องรู้สึกประหลาดใจยิ่งกว่าเดิมเมื่อพบว่าคนเหล่านั้นได้ตั้งศาลาขนาดใหญ่ขึ้นที่ใจกลางถนนของตรอกแห่งนี้
ภายในศาลามีโต๊ะและเก้าอี้ คาดมิถึงว่าบนเก้าอี้นั้นจะยังปูด้วยขนสัตว์
หลังจากนั้นพวกเขาก็ขนย้ายเตาไฟทั้งสี่ และซีชานเทียนฉุนเข้ามาอีกหนึ่งกล่อง
“ลมหิมะด้านนอกนั้นรุนแรงเกินไป พวกเรานั่งรอกันในนี้เถอะ”
ฟู่เสี่ยวกวนพาพวกเขาเดินเข้ามาในศาลา นั่งลงเบื้องหน้าโต๊ะ คิ้วของจีหลินชุนขมวดนิ่ว นางรู้สึกตกใจอย่างถึงที่สุด
นางเคยคิดว่าหากไปยังจวนฟู่จะต้องได้รับการทรมานร้อยแปดวิธี นางเคยคิดจะกินยาพิษฆ่าตัวตาย แต่เพียงหนึ่งเดียวที่นางมิเคยคิดคือฟู่เสี่ยวกวนจะไม่ถามสิ่งใดกับนาง ไม่ถามแม้แต่ประโยคเดียว
ที่ฟู่เสี่ยวกวนระดมผู้คนมาสร้างศาลาที่นี่ย่อมมิใช่เพื่อนั่งดูหิมะอย่างแน่นอน และยิ่งมิใช่เพื่อการดื่มสุรา เยี่ยงนั้นเขายังรู้อะไรอีกกัน ?
เป็นอย่างที่คาดไว้ ฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวกับหนึ่งคนในนั้นว่า “ไปหอซื่อฟางและสั่งสำรับที่ดีที่สุดสำหรับ 1 โต๊ะ แล้วให้พวกเขามาส่งที่นี่ บอกกับพวกเขาว่า หากอาหารเย็นชืด ข้าจะคิดบัญชีกับหลงจู๊ของพวกเขาเอง !”
“ขอรับคุณชาย ! ”
คนผู้นั้นเดินออกจากศาลาและโบกมือให้กับฟู่เสี่ยวกวน และคนกลุ่มนั้นก็ได้เดินตามเขาไป ตรอกซานเยวี่ยได้กลับมาเงียบสงบดังเดิมอีกครา แม้แต่ผู้คนที่เดินผ่านไปมา เมื่อมองเห็นฉากเช่นนี้ เสียงฝีเท้าที่เคยเร่งรีบก็เบาลงไปเล็กน้อยด้วย
นี่คือคุณชายฟู่แห่งหลินเจียง !
คุณชายฟู่ต้องการจะเฝ้าประตูของฮุ่ยชินอ๋องด้วยตนเอง เพื่อทวงคืนความยุติธรรม และจัดการกับองค์ชายสามที่ชั่วร้ายจนตาย
หากถามในใต้หล้า ยังมีผู้ใดกล้าหาญได้เท่าคุณชายฟู่ผู้นี้อีก ที่กล้าพังทลายจวนฮุ่ยชินอ๋องอย่างสุดกำลัง !
เมื่อวานยังคงเป็นกังวลที่คุณชายฟู่เป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดิน แต่ต้องต่อกรกับชินอ๋องผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์หยู คาดว่าสถานการณ์จะไม่เอื้ออำนวยแก่คุณชายฟู่ แต่คาดมิถึงว่าทันทีที่ฟ้าสาง คุณชายฟู่กลับประณามฮุ่ยชินอ๋องอย่างสบายอกสบายใจที่ศาลาว่าการ จนทำให้ฮุ่ยชินอ๋องที่กำเริบเสิบสานไร้สิ้นพลังที่จะโต้แย้ง จนถึงขั้นกระอักเลือดออกมาอย่างสาหัส ได้ยินว่าในตอนนี้ก็ยังทำการรักษากับแพทย์หลวงอยู่ในจวนผู้ว่าเขตจินหลิง
หลังจากนั้นคุณชายฟู่ก็ได้พาผู้คนจำนวนมากเดินไปตามท้องถนน จนมาถึงที่นี่ และประณามฮุ่ยชินอ๋องอย่างเจ็บแสบอีกครา และยังได้กล่าวประโยคนั้นที่กำลังพูดกันไปทั่วเมืองจินหลิงว่า บุคคลประเสริฐของราชวงศ์หยู เป็นนิรันดร์เหมือนท้องฟ้า ผู้แข็งแกร่งของราชวงศ์หยู ไร้เขตแดนเหมือนแว่นแคว้น
แต่เดิมบทความ เยาวชนราชวงศ์หยู ก็สามารถเข้าใจได้เช่นนี้ !
เดิมทีราษฎรของราชวงศ์หยูก็สามารถได้รับเกียรติยศเยี่ยงนี้เช่นกัน !
หากฟ้ามิกำเนิดฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ โลกใบนี้คงเหมือนกับค่ำคืนที่ยาวนานไปชั่วนิรันดร์คงจะเป็นเยี่ยงนั้นจริง ๆ !
คนที่เดินผ่านศาลานี้มักจะหันมายิ้มให้กับฟู่เสี่ยวกวน ราวกับจะแสดงออกว่าพวกข้ารู้ความหมายของเจ้า พยายามเข้าล่ะ !
ให้ตายเถอะ เพียงไม่นานฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกว่าเหมือนหน้าตนเองจะเป็นตะคริวเล็กน้อย เขาไม่ได้หันมองไปรอบ ๆ อีก แต่หันไปมองทางจีหลินชุนแทน
“นั่งเถอะ ยืนเยี่ยงนั้นคงจะเมื่อยแย่ พวกเรายังต้องอยู่ที่นี่อีกนาน”
จีหลินชุนทำเพียงนั่งลง แต่ภายในใจก็ยังคงกังวลดังเดิม
เพียงไม่นาน ก็มีผู้มาเยือนตรอกซานเยวี่ยอีกหนึ่งคน เขาก้มลงกระซิบข้างหูของฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนผุดรอยยิ้มเริงร่าขึ้นมาทันพลัน และกล่าวกับคนผู้นั้นว่า “ข้ามีใบรายชื่ออยู่หนึ่งใบ เจ้าเรียกเหล่าพี่น้อง ให้ไปส่งเทียบเชิญพวกเขามาที่นี่”
คนผู้นั้นรับใบรายชื่อไปอ่าน ตกใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็โค้งคำนับให้และถอยออกไป ก่อนที่หายตัวไปท่ามกลางลมหิมะ
จนถึงตอนนี้ ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยขึ้นมาเสียงเรียบ แล้วถามว่า “รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 3 ฤดูใบไม้ผลิ ผู้ใดสั่งให้เจ้าไปที่กรมเจี้ยวฟาง ? ”
จีหลินชุนตื่นตะลึงขึ้นมาทันพลัน นางเงยหน้ามองไปยังทางลมหิมะ นางมิได้ตอบอันใด
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงออกไปจากอารามซุ่ยเยว่ ? ”
จีหลินชุนยังคงมิเปิดปากกล่าวสิ่งใดออกมา
ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูก ราวกับกำลังคุยกับตนเอง “คนในสมัยก่อนกล่าวว่าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา… พวกเขามิอาจหลอกข้าได้ !”
เขาหันกลับไปมองยังตราประทับที่ติดอยู่บนบานประตูสีแดงเข้ม สีหน้ายังคงราบเรียบอยู่ดังเดิม “บ่อน้ำนั่นคือทางเดิน ต้นบ๊วยนั่นก็คือสัญญาณลับ”
เมื่อถึงตรงนี้ จีหลินชุนจึงได้ดึงสายตาหันกลับมาจ้องฟู่เสี่ยวกวน เป็นคราแรกที่นางได้พบกับฟู่เสี่ยวกวน นางคาดมิถึงว่าชายหนุ่มที่ยังเยาว์วัยผู้นี้จะทราบความลับนี้ได้ !
พวกเขารับรู้นานแล้วว่าด้านนอกอารามซุ่ยเยว่นั้นมีคนคอยจับตามองอยู่ แต่พวกเขาเชื่อว่าความลับนี้จะมิมีทางรั่วไหลอย่างแน่นอน เพราะแต่เดิมภายในอารามซุ่ยเยว่มิได้มีสองคน และพวกเขาก็รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของเหล่าผู้จับตามองมาตลอด
เยี่ยงนั้นแล้วฟู่เสี่ยวกวนรู้ได้เยี่ยงไรกัน ?
ราวกับฟู่เสี่ยวกวนพูดประโยคลอย ๆ ที่มิมีความเกี่ยวข้องอันใด เขานั่งพิงเก้าอี้และหันมองประตูสีแดงบานนั้น
“พวกเจ้าคงมิรู้ ข้าผู้นี้ชื่นชอบดอกไม้อย่างมาก โดยเฉพาะการเก็บดอกไม้ ประจวบกับกิ่งดอกบ๊วยของต้นนั้นที่ยื่นมาถึงบ่อน้ำ ยามที่ข้าเข้ามาก็ได้เหลือบมองกิ่งดอกบ๊วยนั้นพอดี กิ่งดอกบ๊วยนั้นมีอยู่ 12 ดอก ทั้งยังมีอีก 5 ดอกตูม และยามที่ข้าออกมากิ่งบ๊วยนั้นกลับมีอยู่เพียง 10 ดอกและดอกที่ตูมก็ยังมีอีกห้าดอก เจ้ามิเชื่อหรือ เยี่ยงนั้นตอนนี้ข้าจะปล่อยให้เจ้ากลับไปนับ”
สิ่งนี้ทำให้จีหลินชุนปวดใจเป็นอย่างมาก ดอกไม้สองดอกนั้นถึงแม้จะมิใช่นางที่เป็นผู้เด็ด แต่นางก็รู้ว่านี่คือข่าวสารของภายใน และจากที่มองในตอนนี้ก็มีความหมายว่าได้ละทิ้งตนแล้ว
ซูซูเบ้ปากเพราะความเปรี้ยวของถังหูลู่ สองตากลมโตหรี่เล็กลง แต่ยังคงจดจ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวน คิดว่าคนผู้นี้เป็นคนที่คิดอย่างรอบคอบ หากผู้อื่นเด็ดดอกไม้ดอกอื่นแทนเล่า เจ้าก็มิรู้แล้วมิใช่หรือ ?
และทันใดนั้นเยี่ยนเสี่ยวโหลวจึงได้เข้าใจความหมายบางส่วน และสำหรับเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนทำทั้งหมดในวันนี้ ก็ยังให้ความรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังมองดอกไม้ท่ามกลางสายหมอก แต่นางกลับรู้สึกว่านี่ช่างน่าสนใจอย่างยิ่ง ให้ความรู้สึกเหมือนกับการลอกชั้นขนมดอกกุ้ยฮวาทีละชั้น ๆ และค่อยเอาเข้าปาก หลังจากนั้นก็เคี้ยวอย่างละเอียดเพื่อลิ้มรสอย่างช้า ๆ
“ที่ข้ากล่าวนั้นเป็นความจริง เจ้าลองเดาว่าเหตุใดข้าจึงมิมัดมือมัดเท้าเจ้า ?”
“เจ้าต้องการให้ข้าหนี ? ”
“มิใช่ ข้าต้องการให้เจ้าทราบ ว่ามิมีผู้ใดกล้ามาช่วยเจ้า”
“นอกจากนี้ เจ้าอย่าได้พยายามกินยาพิษ นอกจากจะเพิ่มความผิดบาปให้กับตนเองก็มิมีความหมายใดอีก เพราะข้ามีศิษย์พี่ใหญ่ที่สามารถแก้พิษได้”
ฟู่เสี่ยวกวนขยับเรือนร่าง เพื่อให้ตนเองนั่งสบายขึ้นเล็กน้อย “หากเป็นอดีตก่อนหน้านี้ ข้าคาดว่าจะมีคนมาช่วยเจ้า หรือไม่ก็สังหารเจ้าซะ แต่เพราะเหตุนองเลือดที่ถนนเส้นยาวที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ข้าชนะและในยามนี้ก็ได้จัดงานเลี้ยงใหญ่โตหน้าประตูจวนฮุ่ยชินอ๋อง มิมีผู้ใดกล้ามาสังหารข้าอีก และก็มิมีผู้ใดกล้ามาช่วยเจ้าเช่นกัน”
“ความจริงแล้วข้าสามารถบอกความลับให้เจ้าฟังได้อีกหนึ่งเรื่อง อุโมงค์ที่อยู่ใต้บ่อน้ำนั้น…” ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปยังบานประตูสีแดงเข้ม หัวใจของจีหลินชุนเย็นเยียบฉับพลัน เย็นเยียบยิ่งกว่าอากาศหนาวของหิมะตอนนี้เสียอีก
จบแล้ว !
มิแปลกที่เขาจะรออยู่ที่นี่ มิแปลกที่เขากล่าวว่าหย่อนเหยื่อตกปลาที่นี่
ในยามนี้สีหน้าของจีหลินชุนเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมา เขาส่ายหน้า “สายลับระดับเจ้า…เพียงคำพูดเดียวก็ทำให้เจ้าโกรธแล้วรึ ข้ารับมิได้จริง ๆ ”
“ความจริงข้าเพียงแต่คาดเดาเท่านั้น แต่ในตอนนี้ก็สามารถมั่นใจได้แล้ว โชคดีที่เจ้ามิใช่คนของข้า มิเช่นนั้น…เจ้าได้ตายไปนานแล้ว”
จีหลินชุนอ้าปากค้างอย่างตกใจ และกลืนน้ำลายลงคอ คำพูดนั้นทำให้ใจของนางสั่นไหว ที่เขากล่าวมานั้นคืออาการของข้าเมื่อครู่รึ ข้าได้เผยพิรุธออกมาเยี่ยงนั้นรึ ?
คำพูดของของเขาก่อนหน้านี้ก็เพื่อปูทางสำหรับตอนนี้รึ ?
ย่อมต้องเป็นเยี่ยงนั้น !
เขาใช้คำพูดก่อนหน้านั้นเพื่อทำให้ตนเองเชื่อว่าเขาทราบเรื่องทั้งหมด หลังจากที่ตนเองคลายการระมัดระวัง เขาจงใจพูดประโยคนี้เพื่อให้เขาคิดว่าตนเองรู้และยังตอบสนองได้อย่างเป็นธรรมชาติ และในตอนนี้เขาจึงมั่นใจในการคาดเดาของเขาแล้ว !
นี่คือชายหนุ่มที่ยังไม่ครบสิบเจ็ดปีดี ?
ต่อให้เป็นที่ปรึกษาของหยี่ฮวาถายก็มิสามารถสู้เขาได้ !
ไม่น่าแปลกใจที่เขายังมีชีวิตรอดมาจากการลักพาตัวในปีที่แล้วมาได้ ไม่น่าแปลกใจที่เขาจะสามารถพลิกคว่ำฮุ่ยชินอ๋องได้อย่างง่ายดาย ที่ปรึกษาของหยี่ฮวาถายคิดว่านี่คือโชคของฟู่เสี่ยวกวน ยามนี้จีหลินชุนเชื่ออย่างสุดใจ ว่าทั้งหมดนี่คือความสามารถของฟู่เสี่ยวกวนเอง !
“เจ้าว่า หากข้าโยนเจ้าเข้าไปในจวนฮุ่ยชินอ๋องตอนนี้ แล้วพวกเขาก็ปีนออกมาจากที่ใดที่หนึ่งในจวนฮุ่ยชินอ๋อง แต่กลับพบเจ้าเข้าพอดี พวกเขาจะคิดอย่างไรกัน ?”
“ข้าคาดว่าด้วยความฉลาดของเจ้าคงมิเข้าใจ ข้าจักเสริมให้อีกหนึ่งประโยค หากพวกเขาพบเห็นเจ้าเข้า และข้าโผล่ขึ้นมาทางด้านหลังของเจ้าอย่างพอดิบพอดี เยี่ยงนี้เจ้าคงจะสามารถเข้าใจได้แล้วสินะ”
สีหน้าของจีหลินชุนซีดเผือดไปอีกครา
นางย่อมเข้าใจ คนเหล่านั้นย่อมคิดว่านางขายพวกเขาเป็นแน่ !
“น่าสนใจมากมิใช่รึ เจ้าคิดว่าในสถานการณ์เยี่ยงนี้ พวกเขาจะฆ่าเจ้าก่อนหรือฆ่าข้าก่อนกัน ? ”
“ข้ามิได้ต้องการให้ร้ายเจ้าแต่อย่างใด สำหรับข้า ชีวิตของเจ้ามิสำคัญอย่างแท้จริง แต่หากเจ้าให้ความร่วมมือกับข้า ข้าคิดว่าในเมืองหลวงที่ใหญ่โตนี้ เกรงว่ามีเพียงข้าที่จะสามารถรับประกันความปลอดภัยของเจ้าได้ ดังนั้นกลับไปยังหัวข้อเมื่อครู่ รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 3 ฤดูใบไม้ผลิ ผู้ใดที่ให้เจ้าไปยังกรมเจี้ยวฟาง ครานั้นได้เลือกไปกี่คน ปีที่แล้วจ้าวซื่อและหยางชีได้ลักพาตัวข้า ผู้ที่อยู่เบื้องหลังนั้นคือผู้ใดกัน ? ”
“ปัญหาสามข้อ แลกกับการรักษาชีวิตเจ้าไว้ เจ้าต้องเลือกด้วยตนเอง หากรอจนงานเลี้ยงเริ่ม เจ้าจักมิมีโอกาสอีกแล้ว”
จนถึงตอนนี้ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ปิดปากลงมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก
แต่เยี่ยนเสี่ยวโหลวในยามนี้มีความรู้สึกว่ามีขนมกุ้ยฮวาจะถูกลอกออกทั้งหมดแล้ว จากที่นางมองสถานการณ์ทั้งหมดนี้ยังเหลือชั้นสุดท้ายอยู่ เยี่ยงนั้นก็รอให้คนของอารามซุ่ยเยว่มาถึงจวนฮุ่ยชินอ๋อง
ซูซูรู้สึกว่าเรื่องวุ่นวายจักกวนประสาทกันมากเกินไปแล้ว นางมิเคยคิดถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
เพียงไม่นาน ซูโหรวก็มาถึง โดยที่ด้านหลังแบกฉินตัวใหญ่มาด้วย
“ศิษย์น้องหก เจ้าชักจะขี้เกียจเกินไปแล้ว ฉินนี้ข้ามอบให้เจ้า ข้าและศิษย์พี่ใหญ่ยังมีเรื่องให้ต้องจัดการ…” ซูโหรวลืมตาที่เล็กเรียวมามองฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนได้มอบงานที่แปลกอย่างมากให้พวกเขา แต่นางมิได้ถามออกไปว่าทำไม แต่กลับกล่าวว่า “เจ้าจงเฉลียวใจให้มาก เจ้าเด็กซูซูนี่…บางเวลาก็พึ่งพามิได้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนแสยะยิ้ม แต่ซูซูกลับเบะปาก นึกถึงศิษย์ทั้งแปดของสำนักเต๋า คนที่พึ่งพาไม่ได้มากที่สุดคือศิษย์พี่สี่ต่างหาก !
ตอนที่ 208 ใส่ความ
“ท่านซือไท่ ท่านทำเช่นนี้มิถูกต้อง ! ”
ปู้เนี่ยนซือไท่หันหลังกลับไปมองแล้วเบิกตาจ้องมอง “สิ่งนี้มาจากที่ใด ? ”
ซูซูหลบอยู่ด้านหลังฟู่เสี่ยวกวนแล้วหัวเราะออกมา เยี่ยนเสี่ยวโหลวหน้าแดงเรื่อ ดีที่แสงไม่สว่างมากนัก มิเช่นนั้นนางคงจะหันหลังวิ่งหนีไป
นางมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้วคิดว่า เขาช่างทำเรื่องน่าอายเสียจริง เรื่องเช่นนี้มีเพียงเขาผู้เดียวที่กล้าคิดออกมา
สิ่งนั้นคือกางเกงชั้นในของเยี่ยนเสี่ยวโหลว แน่นอนว่าเขามิได้ถอดมันออกมาโดยที่ฟู่เสี่ยวกวนใช้กำลังข่มขู่ แต่ฟู่เสี่ยวกวนหว่านล้อมอยู่นาน สุดท้ายเยี่ยนเสี่ยวโหลวจึงยอมถอดออกมาโดยมิเต็มใจมากนัก
“สิ่งนี้มีประโยชน์ เชื่อข้าเถิด”
“เอ่อ…” มีผู้ใดกันจะนำของใช้ส่วนตัวของหญิงสาวให้แก่ชายหนุ่มเช่นนี้ ?
หลังจากเยี่ยนเสี่ยวโหลวครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน และนึกไปว่าอาจเป็นประโยชน์แก่เขาจริง ๆ ก็เป็นได้ ดังนั้นนางจึงยอมกัดฟันถอดออกให้แก่เขา
ฟู่เสี่ยวกวนถือกางเกงชั้นในสีแดงสดแล้วเดินมาหยุดที่หน้าปู้เนี่ยนซือไท่ เขาประหลาดใจเล็กน้อยเนื่องจากสตรีผู้เรียบร้อยอย่างเยี่ยนเสี่ยวโหลวน่าจะเลือกใส่สีอ่อน ๆ คาดมิถึงว่านางจะสวมใส่สีแดง
หากใช้หลักวิทยาศาสตร์ทางด้านสีสันมาตัดสินนิสัย แม่นางเสี่ยวโหลวผู้นี้มีนิสัย…เร่าร้อน
คำนี้เขามิกล้าเอ่ยออกไป เพียงแต่นึกในใจก็รู้สึกว่าน่าสนใจอยู่ไม่น้อย
“ท่านซือไท่ได้รับฉายาว่าปู้เนี่ยนซึ่งแปลว่าไร้สิ่งยึดติด แต่จากที่ข้าดู ข้าว่ามิใช่เช่นนั้น ดูจากขนาดแล้วมิใช่ขนาดของท่าน เล็กไปสองขนาด ท่านบอกกับข้าได้หรือไม่ว่าสิ่งนี้เป็นของผู้ใดกัน ? หรือว่า…ที่แห่งนี้ท่านซุกซ่อนสตรีผู้อื่นไว้ ?”
“เจ้า เจ้าอย่าใส่ความผู้บริสุทธิ์ ! ” ปู้เนี่ยนซือไท่ลุกขึ้นยืน สีหน้าของนางโมโหจนขาดสติ
อืม เขาต้องการให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ แต่นี่ยังมิพอ
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับกล่าวว่า “ท่านซือไท่ ข้านั้นมาตามหาแมวของข้า ท่านกล่าวว่าข้าใส่ร้าย…หรือท่านคิดว่าข้าเดินทางมาที่นี่โดยนำของสิ่งนี้มาด้วยงั้นรึ ? ท่านลองฟังข้าดู ช่วงนี้ที่เมืองหลวงมักมีสตรีหายตัวไป ทางจวนผู้ว่าเขตหาตัวพวกนางมิพบ ในวันนี้ข้าพบเบาะแสบางอย่างนี้ในอารามซุ่ยเยว่ของท่าน ขอถามท่านว่า ข้าควรจะไปฟ้องร้องหรือมิไปฟ้องร้องกัน ? ”
ปู้เนี่ยนซือไท่เข้าใจดีว่าเรื่องกางเกงชั้นในที่อารามซุ่ยเยว่ของนางนั้นเป็นเพียงเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใส่ร้ายนาง เดิมทีนางควรจะฟ้องร้องให้ตรวจสอบ
แต่บริเวณนี้มิอาจให้ตรวจสอบได้ โดยเฉพาะตอนนี้
นางถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า “เจ้าต้องการสิ่งใด ? ”
“คืนแมวของข้ามา เรื่องนี้ข้าจะทำเป็นมิเคยเกิดขึ้น”
“ข้ามิเคยเห็นแมวเจ้ามาก่อน จะคืนให้แก่เจ้าได้เยี่ยงไร ?”
“ข้าไม่สนใจ ข้าจะนับถึงสิบ หากไม่เห็นแมวที่ข้าต้องการ อารามซุ่ยเยว่ของท่านเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้น และชีวิตต่อจากนี้…ท่านคงต้องไปนอนในคุก”
“สิบ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินถือกางเกงชั้นในนั้นออกไปทีละก้าว ๆ
“เก้า ! ”
เขาเดินไปยังปากประตูใหญ่
“แปด ! ”
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
“เจ็ด ! ”
จากนั้นหันไปมองต้นเหมยต้นหนึ่ง
“หก ! ”
สายตาของเขาจ้องไปยังขอบบ่อ
“ห้า ! ”
เขาเริ่มขมวดคิ้วขึ้น
“ช้าก่อน ! ”
ทันใดนั้นเอง ปู้เนี่ยนซือไท่ส่งเสียงออกมา สายตาของฟู่เสี่ยวกวนยังคงจ้องไปที่ขอบบ่อนั้น เนื่องจากฝาปิดบ่อเคยถูกเปิดออก เพราะหิมะที่ปกคลุมอยู่ได้หายไป
“ซือไท่หาแมวที่ข้าต้องการพบแล้วงั้นหรือ ?”
“ขอเชิญเข้าไปดื่มชาด้านในก่อน ข้าจะใช้เวลาหาสักครู่”
“ข้ามิกระหายและมิประสงค์ดื่มชา…” ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังกลับไปมองปู้เนี่ยนซือไท่แล้วยิ้ม “อืม…ดื่มน้ำในบ่อนั่นสักหน่อยเป็นไร”
สายตาเขาจ้องไปยังลูกประคำของซือไท่ เป็นจริงดังที่คิด เมื่อเขากล่าวคำนั้นออกไป ปู้เนี่ยนซือไท่ชะงักลงชั่วครู่ จากนั้นจึงได้หมุนลูกประคำต่อ
เขาใช้ไม้หยิบกางเกงชั้นในลงมาแล้วใส่ลงในกระเป๋า ซูซูได้แต่จ้องมองมิพูดอันใด ส่วนเยี่ยนเสี่ยวโหลวนั้นอายจนไร้ซึ่งคำบรรยาย
เขา…เขาหมายความว่าอย่างไร ?
หรือเขามีนิสัยเช่นนี้กัน ?
ตายแล้ว ช่างน่าอายจริง ๆ ต่อไปนางจะมองหน้าเขาได้อย่างไร !
สีหน้าของเยี่ยนเสี่ยวโหลวในบัดนี้ ฟู่เสี่ยวกวนมองไปแวบหนึ่ง หากมิใช่เพราะกำลังจัดการเรื่องสำคัญอยู่ เกรงว่าจะเกิดฉากงดงามขึ้นเหมือนในละครเสียแล้ว
“อากาศหนาวเหน็บเยี่ยงนี้ หากท่านดื่มน้ำบ่อลงไป เกรงว่าอาจจะทำให้ปวดท้องได้”
“อืม ซือไท่กล่าวถูกแล้ว ที่จริงข้ามิได้อยากดื่มน้ำ เพียงแต่ต้องการแมวตัวนั้น !”
“ท่าน…ไม่ค่อยมีเหตุผลนัก”
“ผิดแล้วท่านซือไท่ ท่านเก็บซ่อนแมวของข้าไว้ อีกทั้งยังมีกางเกงชั้นในสตรีด้วย ไม่ว่าเยี่ยงไรข้าก็รู้สึกว่าที่อารามซุ่ยเยว่แห่งนี้มิสะอาดนัก เมื่อวานข้าต่อสู้กับทหารจากจวนฮุ่ยชินอ๋องจนแทบไม่เหลือชีวิต ในวันนี้ข้าเดินทางมาที่นี่ ท่านซือไท่อายุมิน้อยแล้ว คงจะเข้าใจในความหมายข้าดี ข้าคิดว่ามิจำเป็นต้องเอ่ยให้มากความ เพียงข้านั้นพบสิ่งของสกปรกในอารามของท่าน อารามนี้ก็ต้องปิดลง”
“สิ่งของนั้นข้าพบแล้ว และข้าก็ให้เวลาท่าน ลองดูสิ ข้ามีเมตตาเพียงใด แต่ท่านซือไท่มิแสดงความจริงใจแก่ข้า ดังนั้น…”
“สี่ สาม สอง…”
“ช้าก่อน ! ” ปู้เนี่ยนซือไท่หยุดมิให้ฟู่เสี่ยวกวนนับต่อไป นางเคยได้ยินมาว่าเขาโหดเหี้ยมเพียงใด เรื่องในวันนี้เกรงว่าคงจัดการมิง่าย แต่หากมอบให้เขาและขับไล่เขากลับไปก็คงดีกว่ารอให้ทหารมาตรวจค้นแล้วไม่เหลือสิ่งใด
“ซือไท่เห็นด้วยแล้วงั้นหรือ ?”
ปู้เนี่ยนซือไท่พยักหน้า “รอข้าสักครู่”
นางหันหลังเดินกลับไป แต่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยขึ้นมาว่า “แมวของข้านั้นมูลค่าหนึ่งพันตำลึง ท่านจงอย่าได้ไปนำแมวจรจัดที่ไหนมาตบตาข้า”
ปู้เนี่ยนซือไท่หยุดฝีเท้าลงชั่วครู่ จากนั้นเดินเข้าไปด้านใน
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เดินตามไปด้วย เขามองไปยังบ่อนั้นอีกครั้ง เนื่องจากระยะห่างค่อนข้างไกล อีกทั้งปากบ่อยังมีต้นเหมยบังตา
บัดนี้เยี่ยนเสี่ยวโหลวจึงได้เข้าใจว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังทำสิ่งใด ส่วนซูซูเพียงแต่ยืนกินลูกอมในมือของนางเสียแทบจะหมดแล้ว
เยี่ยนเสี่ยวโหลวก้มหน้าก้มตา นางมิรู้ว่าควรจะขอของชิ้นนั้นคืนมาหรือไม่ แต่ว่าจะให้นางเอ่ยเช่นไร ? นางสวมกางเกงชั้นในจนชินเสียแล้ว บัดนี้รู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก
ของชิ้นนี้ต่งชูหลานและองค์หญิงเก้าทำขึ้นมา เหตุใดเขามิไปนำมาสักชิ้นเล่า เหตุใดต้องมาบังคับให้นาง…เห้อ ยิ่งคิดยิ่งน่าอาย
เยี่ยนเสี่ยวโหลวก้มหน้าต่ำลงกว่าเดิม แก้มนั้นแดงเรื่อ เมื่อฟู่เสี่ยวกวนหันมาพบจึงได้หรี่ตาลงมอง แม่นางผู้นี้…มิเลว !
ไม่นานต่อมา มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านใน ซูซูยืนขึ้นเพื่อปกป้องฟู่เสี่ยวกวนตามสัญชาตญาณ ฟู่เสี่ยวกวนหันความสนใจจากเยี่ยนเสี่ยวโหลว สายตาเขายังคงมองไปยังปากบ่อและภูเขาจำลองนั้น
“ข้าคิดว่านี่คือแมวที่ท่านตามหา”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปทางบ่อน้ำ เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า เกล็ดหิมะตกลงมายังไปหน้าของเขา “ด้านในมืดไปหน่อย พามันออกมาให้ข้าดูข้างนอกเถิด”
ปู้เนี่ยนซือไท่พาสตรีผู้หนึ่งตรงไปยังที่เขายืนอยู่ ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้มองไปทางนาง
อายุราวยี่สิบห้าปี หน้าตาดูดี แต่แววตาค่อนข้างดุร้าย นางจ้องมองเขาคล้ายกับจะกัดกิน
“แม่นางชื่อว่าอะไร ?”
“จีหลินชุน”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แมวตัวนี้มีมูลค่าเหมาะสมกับหนึ่งพันตำลึง แต่เยี่ยนเป่ยซีกล่าวว่าแม่นางจีหลินชุนอยู่ที่จวนฮุ่ยชินอ๋อง เหตุใดจึงมาอยู่ที่อารามนี้กัน ?
“ปู้เนี่ยนซือไท่ แมวข้านั้นหาพบแล้ว นับจากนี้…พวกเราไม่มีสิ่งใดติดค้างกัน ท่านว่าอย่างไร ?”
“เช่นนั้นข้าขอขอบคุณท่านมาก ! ”
“ข้ามิรบกวนเวลาท่านแล้ว เราจะพาแมวกลับไปเดี๋ยวนี้”
“เชิญ ! ”
“มิต้องไปส่ง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนพาจีหลินชุนจากไปจริง ๆ เมื่อเขาเดินผ่านบ่อน้ำนั่นก็มิได้เหลียวมองไปอีก ปู้เนี่ยนซือไท่มองเขาจนลับตาไป จากนั้นได้เดินไปปิดประตูอารามลง
คาดไม่ถึงว่าขณะที่นางกำลังปิดประตู ฟู่เสี่ยวกวนก็โผล่เข้ามา ทำให้นางตกใจไม่น้อย
“หึ ๆ ท่านซือไท่ ข้าว่าที่นี่มิเลวทีเดียว พรุ่งนี้ข้าจะมาสร้างรูปปั้นให้ใหม่ ไม่ทราบว่าท่านเห็นด้วยหรือไม่ ? ”
ปู้เนี่ยนซือไท่สูดหายใจเข้าลึกๆ “ตามใจท่าน…”
“ท่านจะไปแล้วงั้นรึ ? ”
ปู้เนี่ยนซือไท่ตกตะลึง หลายปีมานี้ ในวันนี้นางตกตะลึงนับครั้งไม่ถ้วนจริง ๆ !
ฟู่เสี่ยวกวนทำท่าไม่รู้ร้อนรู้หนาว คำที่เขาเอ่ยออกมาทุกประโยคช่างมีความหมายลึกซึ้ง ฟังดูแล้วช่างหนาวเหน็บ
เช่นเดียวกับบัดนี้ ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยออกมาอีกว่า “อากาศหนาวเหน็บเพียงนี้ ท่านซือไท่จะไปที่ใดเล่า ? สู้พำนักอยู่ที่นี่ยังสามารถให้ความอบอุ่น มิดีงั้นรึ ? ”
เขาส่ายหัวแล้วเดินจากไป !
ปู้เนี่ยนซือไท่ยืนดูเงาของเขาจนลับตา นางยืนอยู่สักพักจนหิมะตกลงบนศีรษะเป็นสีขาว
นางหันหลังกลับเข้าไปด้านใน เมื่อเดินผ่านบ่อน้ำนั้น นางได้เด็ดกิ่งเหมยออกมากิ่งหนึ่ง
……
……
ไม่ว่าซูซูหรือเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็คิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะพาตัวจีหลินชุนกลับไปยังจวนฟู่ แม้แต่แม่นางจีหลินชุนเองก็คิดเช่นนั้น
ระหว่างทาง นางครุ่นคิดมากมาย หากมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบากเช่นนั้น สู้ยอมอยู่ในกำมือฟู่เสี่ยวกวนเสียดีกว่า
ต่อให้ตายด้วยน้ำมือเขา ก็นับว่ามีค่าแล้ว เพราะเขาผู้นี้เป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง
ไม่ว่าจะเป็นวรรณกรรม การต่อสู้หรือกลยุทธ์ต่าง ๆ เขาก็มิเป็นรองใคร
แต่พวกนางคิดไม่ถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้พานางไปยังจวนฟู่ แต่กลับพาทั้งสามไปยังตรอกซานเยวี่ย และเดินมาถึงหน้าจวนฮุ่ยชินอ๋อง
ศีรษะที่กองไว้ยังคงอยู่ที่เดิม
ประตูบานนั้นปิดสนิท มีแผ่นผนึกปิดไว้ ด้านในไร้ซึ่งเสียงใด ๆ
หน้าประตูมีทหารยามคอยเฝ้าระวังไว้ เมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมา ใบหน้าของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความเคารพนับถือ
ตอนที่ 207 ชือไท่ไม่รักษาจารีต
สีฉวินเหมยมองฟู่เสี่ยวกวนที่หันหลังเดินจากไป ลอบคิดว่าในที่สุดก็สามารถพิจารณาคดีอย่างสงบได้เสียที แต่แล้วเขาก็ต้องตกตะลึงอีกครา
ฝูงชนที่ออกันหน้าประตูศาลาว่าการก็ฮึกเหิมขึ้นมาอีกครา !
เสียงกู่ร้องที่ดังกึกก้องราวกับต้อนรับวีรบุรุษที่กลับมาพร้อมกับชัยชนะก็ไม่ปาน แม้แต่เสียงตบไม้ปลุกสติของเขาก็ถูกเสียงเฮลั่นสนั่นกลบ
แม้แต่เจ้าหน้าที่ในศาลที่ยืนอยู่สองฝากของศาลในยามนี้ต่างก็หันหน้ามองออกไปข้างนอกเช่นกัน ก็พบฟู่เสี่ยวกวนที่ยกสองมือขึ้นสูง เดินไปพร้อมกับตะโกนเสียงดังว่า “สวัสดีพ่อแม่พี่น้องทุกท่าน ! ”
“สวัสดีเสี่ยวกวน ! ”
“ลำบากพ่อแม่พี่น้องทุกท่านแล้ว ! ”
“เสี่ยวกวนก็ลำบากเช่นกัน ! ”
“ในที่สุดคนชั่วก็ถูกลงโทษ ! ”
“คนดีย่อมได้รับผลตอบแทนที่ดี ! ”
“…..”
เยี่ยงนี้แล้วจะทำเยี่ยงไรได้ ?
สีฉวินเหมยดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมราชทัณฑ์มา 5 ปีเต็ม พิจารณาคดีมานับครั้งมิถ้วน แต่กลับเพิ่งเคยเจอสถานการณ์เช่นนี้เป็นคราแรก
เขามิได้กรุ่นโกรธ ทั้งยังหัวเราะออกมา และส่ายหน้าเท่านั้น
หากมีคนผู้นี้อยู่ในเมืองหลวง เมืองหลวงจะต้องครึกครื้นมากยิ่งขึ้นเป็นแน่ หากคนผู้นี้ได้เข้าไปยังพระราชวังจินเตี้ยนหลังเปิดราชสำนักในวันพรุ่งนี้ เกรงว่าบนพระราชวังจินเตี้ยนคงจะน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
เยี่ยงนี้ มันช่างยอดเยี่ยมเสียจริง !
ในที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินเข้าไปกลางฝูงชน ทันใดนั้นเขาก็ตะโกนขึ้นกลางวงล้อมว่า “หากฟ้ามิกำเนิดฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ โลกใบนี้คงเหมือนกับค่ำคืนที่ยาวนานไปชั่วนิรันดร์ ! ”
ดังนั้นผู้คนในกลุ่มก็ตะโกนตามขึ้นมาเช่นกัน “หากฟ้ามิกำเนิดฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้…”
เสียงยังคงดังมิมีที่สิ้นสุดเสียงเหล่านี้ดังกึกก้องไปทั่วเมืองหลวง คาดมิถึงว่าคนเหล่านั้นจะเดินตามฟู่เสี่ยวกวนไปด้วย เดินไปพร้อมกับตะโกนว่า หากฟ้ามิกำเนิดฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้…
นี่…ผู้คนในร้านรวงสองข้างทางต่างวิ่งออกมามองดู หน้าต่างบนชั้นสองที่เคยปิดอยู่ก็ได้เปิดออกและมีศีรษะยื่นออกมา หลังจากนั้นทุกคนต่างก็ตกตะลึง จนได้มีการถามไถ่ หลังจากที่ได้ทราบเรื่องราวตื้นลึกหนาบาง ทันใดนั้นเหล่าผู้คนในเมืองหลวงก็ดีใจกันถ้วนหน้า
สนามรบนองเลือดเมื่อวาน ฟู่เสี่ยวกวนได้กลายเป็นวีรบุรุษในดวงใจของพวกเขา คาดมิถึงว่าเมื่อวานฮุ่ยชินอ๋องจะกล้ากระทำเรื่องที่ทำให้ทุกคนไม่พอใจ โชคยังดีที่ฟู่เสี่ยวกวนมีโชคจึงยังมีชีวิตต่อไปได้
ภายในศาลาว่าการในวันนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้ด่าทอฮุ่ยชินอ๋องจนกระอักออกมาเป็นเลือด นั่นทำให้ทุกคนต่างโล่งใจยิ่ง ฟู่เสี่ยวกวนเป็นตัวแทนของผู้คนนับร้อยนับพันในเมืองหลวง เสียงของเขาคือตัวแทนเสียงของประชาชนจำนวนมาก คำพูดที่เขาด่าทอฮุ่ยชินอ๋อง ก็คือคำที่ประชาชนเหล่านั้นอยากด่าแต่มิกล้าด่าออกมาโดยตรง
ในวันนี้ที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ด่าออกมาจนเขากระอักเลือด พวกเขาต่างก็รู้สึกว่าเหมือนกับได้เป็นตัวของตนเอง แน่นอนว่าหากฟ้ามิกำเนิดฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ โลกใบนี้คงเหมือนกับค่ำคืนที่ยาวนานไปชั่วนิรันดร์อย่างแท้จริง !
เสียงฝูงคนจำนวนมากเดินตามฟู่เสี่ยวกวนผ่านถนนและตรอกซอย จนมาถึงตรอกซานเยวี่ย
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือ เสียงจากฝูงชนจึงค่อย ๆ เบาลง
เขาตะโกนออกไปว่า “ทุกท่าน ที่นี่คือจวนฮุ่ยชินอ๋อง ข้าขอสัญญากับทุกท่านภายใต้พระบัญชาของพระชนนี ข้าฟู่เสี่ยวกวน จะระเบิดจวนฮุ่ยชินอ๋องนี้ให้เป็นจุณ คนทำผิดย่อมหนีมิพ้นเงื้อมมือของกฎหมาย แม้ว่าคนผู้นั้นคือชินอ๋อง หากกระทำผิดกฎหมายก็ต้องได้รับโทษเช่นเดียวกับสามัญชน”
“ดังนั้น การปกครองที่ใสสะอาดคือการมีเทพเจ้าคอยสอดส่องดูแล เสี่ยวกวนหวังว่าราษฎรแห่งต้าหยูจะสามารถเป็นคนดี และเผชิญหน้ากับความชั่วได้ และยังสามารถสามัคคีปรับเตือนกันเพื่อรวมเป็นหนึ่งได้ ด้วยวิธีนี้ ต้าหยูจะเต็มไปด้วยความหวัง ด้วยวิธีนี้ ความชั่วร้ายต่าง ๆ จะหมดลง”
“บุคคลผู้ประเสริฐของราชวงศ์หยู เป็นนิรันดร์เหมือนท้องฟ้า ! ผู้แข็งแกร่งของราชวงศ์หยู ไร้เขตแดนเหมือนแว่นแคว้น ! เสี่ยวกวน…เป็นกำลังใจให้กับทุกท่าน ! ”
ราวกับเสียงหวีดหวิวของภูเขาและเสียงคำรามของมหาสมุทรดังก้องอยู่ในตรอกซานเยวี่ย แม้แต่หิมะที่อยู่บนต้นหลิวก็สั่นสะเทือนจนตกลงมาเช่นกัน คนภายในจวนฮุ่ยชินอ๋องกลับสั่นสะท้านท่ามกลางเสียงที่ดังสนั่น
…..
“ท้ายที่สุดแล้วเขาต้องการทำอะไรกันแน่ ? ”
เป็นเยี่ยนซือเต้าที่เอ่ยถาม แต่ในความเป็นจริงในยามนี้ก็มีคนอีกมากมายที่สงสัยเช่นเดียวกัน
อย่างเช่นชือเฉาหยวนตระกูลชือ เฟ่ยปังและเฟ่ยอู่ของตระกูลเฟ่ย ฉินฮุ่ยจือตระกูลฉิน เซวี๋ยเจ๋อจากตระกูลเซวี๋ย แน่นอนว่ายังมีองค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้า และรวมไปถึงองค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียนและองค์ชายสี่หยูเวิ่นชูและคนอื่น ๆ
เยี่ยนเป่ยซีตอบกับเยี่ยนซือเต้าว่า “ใช้โอกาสจากสถานการณ์ ! ”
“การลงมือในครานี้มีความหมายว่าเยี่ยงไร ? ”
“เผยแพร่พระนามของพระชนนี…. คนผู้นี้จงใจสร้างชื่อเสียง โดยเฉพาะของพระชนนี คนผู้นี้สามารถรุกฆาตหมากกระดานนี้ได้แล้ว ต่อให้ฮุ่ยชินอ๋องมิตาย ก็ต้องถูกถลกหนังออกมา ! ”
มีอีกหลายคำตอบที่คล้ายคลึงกัน มีเพียงองค์ชายสี่หยูเวิ่นชูเพียงผู้เดียวที่ยิ้มบาง ๆ “หากฟ้ามิกำเนิดฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ โลกใบนี้คงเหมือนกับค่ำคืนที่ยาวนานไปชั่วนิรันดร์ คนผู้นี้ยิ่งอยู่ยิ่งน่าสนใจ ข้าอยากจะพบเขาสักครา”
ด้านหลังองค์ชายสี่มีสตรีสวมชุดขาวและหน้ากากยืนอยู่ น้ำเสียงของนางเย็นชาราวกับน้ำแข็ง “พระองค์เตรียมพร้อมจะพบเขาเมื่อไหร่เพคะ ? ”
“หลังจากวันที่สองเดือนสองเถิด… หากเขายังมิตาย เยี่ยงนั้นก็จะได้พบกัน”
ฟู่เสี่ยวกวนชักชวนให้ทุกคนแยกย้าย และพาซูซูกับเยี่ยนเสี่ยวโหลวลุยหิมะออกไป
เขาเองก็ได้แนะนำเยี่ยนเสี่ยวโหลวไปแล้ว แต่แม่นางทำราวกับไม่ได้ยินคำแนะนำนั้น ในเมื่อไม่สามารถไล่ให้ไปได้ ก็ทำได้เพียงพาไปด้วยเท่านั้น
เขาต้องการไปอารามซุ่ยเยว่ !
ต้องการจะไปตั้งแต่เมื่อวาน แต่ไม่คิดว่าจะล่าช้าไปเพราะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
เมื่อวานหอซี่หยู่ได้ส่งข่าวมาว่า มีผู้ชายคนหนึ่งได้เข้าไปในอารามซุ่ยเยว่และมิออกมา จนถึงในตอนนี้ก็ยังมิมีข่าวคราวอันใดจากหอซี่หยู่ เยี่ยงนั้นก็หมายความว่ายังมิออกมา…นั่นทำให้ฟู่เสี่ยวกวนอดที่จะคิดมากไม่ได้ แต่ชือไท่ผู้นั้นก็อายุมากแล้ว ดูแล้วมิน่ามีทางเป็นไปได้
เยี่ยงนั้นพวกเขาทำอะไรอยู่กันแน่ ?
พวกเขาทั้งสามคนเดินฝ่าไปท่ามกลางลมหิมะ พูดคุยกันไม่กี่คำ เพียงแค่ในตอนที่ซูซูเดินผ่านถนนเส้นยาวก็ลอบมองร้านอู่เว่ยจาย ประตูยังคงมิเปิด เมื่อนึกถึงขนมปิ้งถุงใหญ่ที่ถูกหั่นจนเป็นผง ก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ดังนั้นนางจึงซื้อขนมน้ำตาลจากแผงขนมเล็ก ๆ ที่อยู่ข้างทางแทน
“เจ้าเอาสักหนึ่งชิ้นหรือไม่ ? ”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวส่ายหน้า ในฐานะคุณหนูแห่งตระกูลเยี่ยน นางไม่สามารถเลียขนมน้ำตาลตามทางเดินเยี่ยงซูซูได้
“รสชาติดีเยี่ยม จะมิลองจริง ๆ รึ ?”
“ขอบคุณแม่นางซูมาก แต่มิเป็นไรจริง ๆ ”
เอาเถอะ ซูซูเองก็ไร้หนทางจะเข้าใจ ก็เหมือนกับเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่ไร้หนทางจะเข้าใจซูซูเช่นกัน
ทั้งสามเดินต่อไปข้างหน้า ถนนเส้นยาวกลับมาเป็นดังเดิมแล้ว มิรู้เหมือนกันว่าศพเหล่านั้นถูกเก็บไปที่ใด หิมะได้ปกคลุมรอยเลือดที่พื้นของเมื่อวานไปจนหมด หากมิมีชั้นวางของที่หักพังตามสองข้างทาง ก็ยากที่จะเห็นร่องรอยของสงครามนองเลือดในเมื่อวานได้
เดินกันอย่างสบายอารมณ์ และทั้งสามก็ได้มาถึงตรอกซุ่ยเยว่
เยี่ยนเสี่ยวโหลวมิรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนคิดจะทำอันใด นางคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องการมาเดินเล่น ในตอนนี้นางก็ยังคงคิดเช่นนั้น จนกระทั่งฟู่เสี่ยวกวนได้หยุดฝีเท้าลงที่ด้านหน้าอารามซุ่ยเยว่
หรือว่าเขาจะมากราบไหว้พระแม่หนี่วากัน ?
ตะเกียงและธูปของอารามซุ่ยเยว่มิได้มีชีวิตชีวาถึงเพียงนั้น ต่อให้ต้องการกราบไหว้ก็ควรจะไปที่วัดเฉิงหวงเสียมากกว่า
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองป้ายชื่ออารามซุ่ยเยว่ สามอักขระตัวใหญ่นั้นเป็นลายพร้อยไปแล้ว จนแยกสีที่เคยมีแต่เดิมไม่ได้
ประตูอารามถูกปิดไว้ แหวนทองแดงบนประตูก็หมองเช่นกัน
เขาเดินเข้าไป เปิดประตูออกดังเอี๊ยด เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็จะพบเห็นลานบ้าน ใจกลางลานบ้านนั้นมีบ่อปลาประดับอยู่ ข้างบ่อปลานั้นมีต้นบ๊วยหนึ่งต้น ต้นบ๊วยผลิดอกบานอย่างสวยงาม ทำให้พื้นหลังขาวดำของที่แห่งนี้ดูมีสีสันขึ้นมา
ด้านล่างต้นบ๊วยมีบ่อน้ำ คันล้อบนปากบ่อได้ถูกหิมะปกคลุม
เขาเดินเข้าไปข้างใน ข้ามผ่านทางลานบ้านและเดินเข้าไปในระเบียงทางเดิน หลังจากนั้นก็เข้าไปในห้องโถงใหญ่
ใจกลางห้องโถงมีตะเกียงน้ำมันไม่กี่ดวง แสงไฟค่อนข้างจะสลัว
รูปปั้นพระแม่หนี่วาอยู่ที่ใจกลางห้องโถง ภายใต้แสงไฟที่สลัวมองไปแล้วก็เหมือนกับประติมากรรมที่มีชีวิต เพียงแต่รูปปั้นนั้นเริ่มด่างพร้อย น้อยนักที่จะมองเห็นร่องรอยของสีในอดีต
แท่นบูชาด้านหน้ารูปปั้นมีกระถางธูปวางอยู่ ภายในกระถางธูปนั้นมีธูปที่ถูกเผาไปถึงครึ่งแล้วปักอยู่
กลิ่นธูปลอยอบอวล จนมีกลิ่นของไฟเพิ่มขึ้นมา
ฟู่เสี่ยวกวนหันมองไปรอบด้าน หลังจากที่กำลังจะเดินอ้อมรูปปั้นไป แต่แล้วก็พบว่าประตูที่อยู่ทางด้านข้างก็ได้เปิดออก มีแม่ชีที่สวมชุดสีดำคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน
“ผู้ใจบุญมาเสี่ยงเซียมซีหรือว่าจุดธูปกันรึ ? ” แม่ชีผู้นั้นหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวน หนึ่งมือยกขึ้นเจริญพรและเอ่ยถามหนึ่งประโยค
“ท่านคือปู้เนี่ยนซือไท่ใช่หรือไม่ ?”
“เป็นอาตมาเอง”
“กลิ่นธูปในอารามดูแล้วมิมีชีวิตชีวาเลยขอรับ”
“มิเป็นไร คนทั่วไปตาไร้แวว มิรู้ถึงพลังขององค์เทพหนี่วา ภายภาคหน้า…พระแม่สำแดงเดชเมื่อใด ธูปจะงอกงามขึ้นมาเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด ทันใดนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมา “ท่านยังมิยอมแพ้หรือขอรับ ?”
เป็นคำถามที่แปลกประหลาด แต่แม่ชีกลับตกใจ ลูกประคำในมือเริ่มหมุน “อาตมามิทราบว่าคุณชายกำลังหมายถึงสิ่งใด”
“โอ้ มิมีความหมายอันใด เพียงแค่ไถ่ถามเท่านั้น”
เขาเดินไปข้างหน้า เมื่อมาถึงด้านหน้าประตูทางด้านข้าง เอื้อมศีรษะมองเข้าไปทางด้านใน ภายในนั้นมิมีแสงไฟ มืดสนิท ดูแล้วหน้าต่างก็คงจะถูกปิดเช่นกัน
“ซือไท่ขอรับ คือว่าข้าพเจ้า อ่าไม่ แมวของข้าหายไปหนึ่งตัว คนด้านล่างกล่าวว่าแมวตัวนั้นได้เข้ามาในอารามซุ่ยเยว่ ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อมาหาแมวของข้า เป็นแมวสีดำ ไม่ทราบว่าซือไท่เห็นบ้างหรือไม่ ? ”
ปู้เนี่ยนซือไท่คิ้วขมวดขึ้นมาเล็กน้อย “อาตมามิเคยเห็นแมวของคุณชายมาก่อน”
“โอ้…แมวของข้ามีมูลค่าหลายพันตำลึง ติดตามข้ามานานหลายปี มิสามารถปล่อยมันหายได้ ดังนั้นซือไท่ขอรับ ข้าขอหาโดยรอบนี้ได้หรือไม่ ?”
ซูซูที่เลียขนมน้ำตาลจ้องมองแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวน คนผู้นี้ต้องการทำอันใดกันแน่ ? เขามีแมวผีแบบนั้นที่ไหนกัน ?
เยี่ยนเสี่ยวโหลวเองก็มิทราบอันใดทั้งสิ้น หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมีข้อสงสัยกับสถานที่แห่งนี้กัน ?
เขาย่อมมิทำอะไรอย่างไร้เป้าหมาย ในความคิดของเยี่ยนเสี่ยวโหลว เรื่องราวที่ฟู่เสี่ยวกวนเล่ามานั้นย่อมมีความนัย แต่มิใช่สิ่งที่คนหนุ่มสาวในเมืองหลวงจะสามารถเทียบได้
แต่จิตใจของปู้เนี่ยนซือไท่กลับตื่นตระหนก เพราะที่แห่งนี้เป็นสถานที่เปิด นางทำได้เพียงตกปากรับคำ หากเขาพบเจอสถานที่ลับนั้นเข้าจริง ๆ เยี่ยงนั้นคงจะแย่อย่างมาก
นางคาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมายังที่นี่ และในตอนนี้ควรทำเช่นไรดี ?
“ซือไท่ขอรับ ท่านลองเดาได้ไหมขอรับว่าแมวตัวนั้นของข้าไปหลบซ่อนอยู่ที่ใด ?”
ลูกประคำที่อยู่ในมือของปู้เนี่ยนซือไท่หมุนเร็วขึ้น สายตาของฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองที่ลูกประคำวงนั้น เขารู้แล้วว่าเขานั้นได้มาถูกที่ ที่นี่ ย่อมมีความลับอยู่ !
“เยี่ยงนั้น เชิญคุณชายทำตามสบายเลย” ปู้เนี่ยนซือไท่คิดว่าสถานที่แห่งนี้มีความลับซ่อนอยู่ และก็คิดว่าเขามิมีทางรู้เป็นแน่
“ขอบพระคุณซือไท่ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนและซูซูเดินเข้าไปในห้องด้านข้าง เยี่ยนเสี่ยวโหลวครุ่นคิด หยิบตะเกียงน้ำมันมาหนึ่งเตาและเดินตามเข้าไป ปู้เนี่ยนชือไท่คุกเข่าลงเบื้องหน้ารูปปั้นพระแม่หนี่วา ท่องพระคัมภีร์อยู่ในใจเงียบ ๆ แต่กลับหวังให้ฟู่เสี่ยวกวนรีบออกมาโดยเร็ว
เพียงไม่นาน ฟู่เสี่ยวกวนก็เดินออกมาจากห้องด้านข้าง ในมือถึงไม้หนึ่งด้าม บนไม้ด้านนั้นมีกางเกงที่สวยงามตัวหนึ่งแขวนอยู่
“ซือไท่เอ๋ย ท่านดูจะมิรักษาจารีตเอาเสียเลย ! ”
ตอนที่ 206 ฟู่เสี่ยวกวนร้องทุกข์
เมื่อเสียงกลองร้องทุกข์ดังขึ้น ลูกขุนหนิงหยู่ชุนที่อยู่ด้านในก็ตกตะลึง เกิดอะไรขึ้นอีกกัน ?
สีฉวินเหมยที่กำลังสืบสวนเจียงหยูอยู่ เมื่อได้ยินเสียงกลองดังขึ้นก็นึกในใจเช่นกันว่าเหตุใดจึงมีผู้ร้องทุกข์ในเมืองหลวงมากมายเช่นนี้ ?
หนิงหยู่ชุนและสีฉวินเหมยสบตากัน แต่สีฉวินเหมยจะทำอันใดได้เล่า ? นอกเสียจากพยักหน้าแล้วให้เจียงหยูรอชั่วครู่ เขาอยากจะเห็นหน้าผู้มาร้องทุกข์ผู้นี้เสียหน่อย
ฟู่เสี่ยวกวนถือจดหมายร้องทุกข์เดินเข้าไปด้านใน
“ข้าน้อย ฟู่เสี่ยวกวน จิ้นซื่อที่ฮ่องเต้ทรงประทานตำแหน่งให้เมื่อรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่แปด คารวะท่านทั้งสอง ! ”
สีฉวินเหมยตกตะลึงไปชั่วครู่ เจ้านี่เข้ามาด้วยเหตุใดกัน ? ข้ากำลังจัดการคดีของเจ้าอยู่มิใช่หรือ ?
หนิงหยู่ชุนเองก็ทำตัวไม่ถูกเช่นกัน เจ้าเป็นหนึ่งในพยานมิใช่หรือ อีกประเดี๋ยวเมื่อสอบสวนฮุ่ยชินอ๋องแล้วก็จะเรียกตัวเจ้าเข้ามาเช่นกัน เจ้าจะรีบร้อนไปทำไม ?
นี่มันมิถูกต้องตามกระบวนการ
สีฉวินเหมยกระแอมออกมาเพื่อกลบเกลื่อนความอึดอัดใจ “ข้ายังมิได้เรียกตัวเจ้าเข้ามา”
“อ้อ มิใช่เช่นนั้นขอรับท่าน เมื่อเช้าตรู่ข้าน้อยเดินทางไปยังจวนฮุ่ยชินอ๋อง แต่ด้านในช่างเงียบสนิท ข้าน้อยคิดว่าฮุ่ยชินอ๋องถูกจับตัวไปแล้ว ข้ารับใช้ภายในจวนควรจะส่งเสียงร่ำไห้มิใช่หรือ…”
เขาเอ่ยพลางมองไปยังฮุ่ยชินอ๋อง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอฮุ่ยชินอ๋อง เขาอดมิได้ที่จะมอง อีกทั้งฮุ่ยชินอ๋องเองก็มองมายังฟู่เสี่ยวกวน เขาก็มิเคยเห็นฟู่เสี่ยวกวนมาก่อน สายตาแห่งความแค้นแผ่รังสีออกมา
ชายผู้ดูไร้เรี่ยวแรงนี่จัดการบุตรชายของตนเสียจนพิการงั้นรึ !
ชายหนุ่มผู้ดูมีเมตตานี่ ภายในใจช่างโหดร้ายและเป็นพวกเดียวกับสำนักทั้งสามจัดการทหารม้าของตนตายไปกว่าครึ่ง !
เขาเป็นเพียงบุตรชายพ่อค้าที่ดินธรรมดา ๆ เท่านั้น !
เขาเป็นเพียงปัญญาชนในราชวงศ์หยู ต่อให้มีตำแหน่งจิ้นซื่อ แต่นั่นก็เพราะฝ่าบาททรงแต่งตั้งให้ !
เขาเป็นเพียงชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งตนมิเคยเห็นอยู่ในสายตา แต่กลับทำลายจวนฮุ่ยชินอ๋องที่ตนสร้างมาด้วยความยากลำบากมานับสิบปีเสียจนไม่เป็นท่า !
แม่งเอ้ย ! บัดนี้ฮุ่ยชินอ๋องช่างเคียดแค้นเขาและต้องการจัดการเป็นที่สุด
ฟู่เสี่ยวกวนกลับขมวดคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากฮุ่ยชินอ๋องหน้าตาดีทีเดียว คล้ายคลึงกับฝ่าบาทมาก ตามปกติแล้วผู้มีลักษณะเช่นนี้มักมีสติปัญญาล้ำเลิศ เหตุการณ์โจมตีที่ถนนสายนั้นถูกวางแผนมาอย่างดี แต่เรื่องราวเมื่อคืนนั้นช่างไร้ซึ่งความคิดสิ้นดี
หรือเขาจะถูกความแค้นบังตาเสียจนขาดสติกัน ?
“ท่านผู้ใหญ่ขอรับ เรื่องเมื่อคืนที่ฮุ่ยชินอ๋องส่งชาวยุทธมาโจมตีข้าที่จวน มีจุดประสงค์เพื่อปลิดชีพข้า ทำให้ข้าน้อยขวัญเสียยิ่งนัก ข้าน้อยตั้งใจว่าหลังจากตัดสินคดีจะให้ทางจวนฮุ่ยชินอ๋องชดใช้ค่าทำขวัญเสียหน่อย แต่คาดมิถึงว่าที่จวนชินอ๋องจะเงียบสงัดเช่นนั้น ข้าน้อยมิแน่ใจว่าฮุ่ยชินอ๋องยังมีกำลังจ่ายค่าชดเชยนั่นหรือไม่ หากพวกเขาหลบหนีไป เช่นนั้น…ค่าทำขวัญของข้าน้อย 200,000 ตำลึงจะไปหาผู้ใดมารับผิดชอบเล่า ? ”
ฮุ่ยชินอ๋องได้ยินดังนั้นก็สะดุ้ง เขาชี้นิ้วไปที่หน้าฟู่เสี่ยวกวน “เจ้า เจ้ามัน ! ช่างหน้าด้านหน้าทน ! ”
เงินตั้ง 200,000 ตำลึง จวนของเจ้ามีมูลค่ามากมายเช่นนั้นหรือ ?
มีผู้ใดกระทำเช่นเจ้ากัน ?
“กระหม่อมเป็นปัญญาชน พวกเราให้ความสำคัญกับชื่อเสียงยิ่ง ท่านมิเชื่องั้นหรือ ? บัดนี้จวนข้ายังคงสภาพเมื่อคืนไว้ ท่านสีและท่านหนิงเชิญเดินทางไปตรวจสอบด้วยตนเองได้ขอรับ ! อ้อ กระหม่อมขอเอ่ยว่า หยกขาวปี่เซียะที่ฝ่าบาททรงประทานให้กระหม่อมนั้นมีมูลค่ากว่าหนึ่งแสนตำลึง คงมิเกินไปหรอกใช่หรือไม่ ? ”
“เจ้า ! เจ้าบังอาจ ! ” ฮุ่ยชินอ๋องโมโหมาก กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุกขึ้น
เขาเคยพบเจอคนหน้าไม่อายมาก่อน แต่มิเคยพบผู้ใดหน้าด้านเท่าฟู่เสี่ยวกวนอีกแล้ว !
ฮุ่ยชินอ๋องแทบกระอักเลือด เขาได้แต่เก็บมันไว้ในใจ ช่างน่าเจ็บใจยิ่งนัก
ฟู่เสี่ยวกวนเดินมาหยุดต่อหน้าฮุ่ยชินอ๋องแล้วยิ้มขึ้น เขานำมือปัดนิ้วฮุ่ยชินอ๋องไปทางอื่นแล้วกล่าวว่า “ท่านหมายความว่า สิ่งของที่ฝ่าบาททรงประทานให้มิมีค่างั้นรึ ?”
สีฉวินเหมยได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง เจ้านี่ช่างกล้าเอ่ยออกมา !
หนิงหยู่ชุนเงยหน้าหลับตาลง ในใจเขานึกไปว่าชายผู้นี้ช่างไร้ยางอายหาใครเปรียบปาน !
ฮุ่ยชินอ๋องหยุดชะงัก คำพูดของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อครู่เพียงไม่กี่คำ กลับทำให้ทุกสิ่งอย่างเปลี่ยนไป ในขณะที่เขากำลังจะคัดค้านออกมา ฟู่เสี่ยวกวนก็ชี้หน้าเขาและเอ่ยว่า “ในฐานะชินอ๋อง ท่านมิเห็นฝ่าบาทอยู่ในสายตา ในฐานะน้องชาย ท่านมิเห็นพี่ชายในสายตาเลยรึ ในฐานะราชโอรสของไทเฮา ท่านกล้ากระทำสิ่งเหล่านี้ได้เยี่ยงไร ! ”
“หุบปาก อย่าได้เอ่ยอันใดออกมา ! กระหม่อมขอถามท่านสักหน่อย ท่านรู้จักมารยาทหรือไม่ ? ท่านรู้จักคุณธรรมหรือไม่ ? ท่านรู้หรือไม่ว่าใต้หล้านี้เป็นของผู้ใด ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนตะโกนออกมาในประโยคสุดท้าย ทำให้ทุกคนในศาลล้วนตกตะลึง
ผู้คนมากมายที่อยู่ด้านนอกก็พากันอยากรู้อยากเห็น
เหอะ ๆ ฟู่เสี่ยวกวนเริ่มประลองฝีปากแล้ว ! ครั้งนี้จะทำให้ผู้ถูกกล่าวหากระอักเลือดอีกหรือไม่ ?
“กระหม่อมขอเอ่ยตามตรงว่า ใต้หล้าฟ้าดินนี้เป็นของฮ่องเต้โดยแท้จริง ! บุตรชายไร้คุณธรรมของท่านทำเรื่องเลวร้ายต่อสตรีมากมาย ท่านยังกล้าส่งทหารมาเอาชีวิตข้า ! ท่านต้องการก่อกบฏงั้นหรือ ? หากฮ่องเต้สั่งสอนบุตรของท่าน ท่านก็จะนำทหารเข้าโจมตีวังหลวงงั้นหรือ ? ”
“เจ้า ! เจ้า !……”
“กระหม่อมบอกว่าอย่าได้กล่าวอันใดออกมา ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องเขาตาเขม็ง สายตานั้นเต็มไปด้วยแรงอาฆาต ทำให้ฮุ่ยชินอ๋องตกใจกลัวจนตัวสั่น กระอักเลือดสด ๆ ออกมา
ฟู่เสี่ยวกวนเอี้ยวตัวหลบ จากนั้นชี้ไปที่เขาและกล่าวอีกว่า “ไทเฮาทรงมีจิตใจเมตตา เป็นแบบอย่างอันดีงาม ทำให้ผู้คนทั่วทั้งใต้หล้าเคารพนับถือ แต่ท่านเล่า ? กลับเย่อหยิ่งจองหอง ปล่อยให้บุตรชายทำชั่ว ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจแต่กลับมิไตร่ตรองอีกทั้งยังเหยียบย่ำกฎหมายของราชวงศ์ ท่านมิเห็นไทเฮาอยู่ในสายตาเลยงั้นหรือ ? ท่านต้องการให้ไทเฮาโมโหงั้นหรือ ! จิตใจชั่วร้ายยิ่ง !”
“อึก…… !”
ฮุ่ยชินอ๋องกระอักเลือดออกมาไม่หยุด “เจ้า ! เจ้า……” เขาทรุดลงนั่งบนเก้าอี้ ฟู่เสี่ยวกวนก้าวขึ้นไปหนึ่งก้าวจากนั้นก้มตัวลงมองฮุ่ยชินอ๋อง
“ไทเฮาทรงมีพระกรุณาล้นพ้น ให้เจ้าพำนักที่เมืองหลวง เมื่อคิดถึงจะได้เดินทางไปพบสะดวก แต่ท่านเล่า ? ท่านสำนึกในพระประสงค์นั้นหรือไม่ ? นกกายังรู้คุณตอบแทนป้อนเหยื่อ แต่ท่านเล่า ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยืดตัวขึ้นแล้วตะโกนออกไปด้วยเสียงอันดังว่า “ท่านมันจิตใจยิ่งกว่าสัตว์!”
“อึก…… !”
ฮุ่ยชินอ๋องกระอักเลือดแดงสด ๆ ออกมาอีกครั้ง ครานี้ร่างกายอ่อนแรงล้มลง แขนทั้งสองข้างห้อยร่อแร่ ดวงตาคู่นั้นจ้องเขม็ง
ผู้คนที่อยู่ด้านนอกเห็นดังนั้นก็พากันส่งเสียงออกมา สีฉวินเหมยทำการบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมดลงไปไม่ขาดแม้แต่ตัวอักษรเดียว
เขาและหนิงหยู่ชุนตกตะลึงตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว
สีฉวินเหมยอยู่ในเหตุการณ์คราที่ฟู่เสี่ยวกวนทำให้ชือเฉาหยวนกระอักเลือด แต่ในครั้งนี้หนักกว่ายิ่งนัก ฮุ่ยชินอ๋องกระอักเลือดไม่หยุด แทบจะสิ้นลมเสียแล้ว
ส่วนหนิงหยู่ชุนเคยได้ยินเรื่องราวนั้นมาก่อนเช่นกัน ในวันนี้ได้เห็นด้วยตาตนเอง ช่างน่าตกตะลึงยิ่งนัก !
เจ้าผู้นี้มิเพียงแต่อวดเก่ง แต่ยังมีความคิดรอบคอบ เขาพุ่งประเด็นมาที่ไทเฮาและใช้ชื่อเสียงของพระนางมาข่มขู่ฮุ่ยชินอ๋อง ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็คงมิอาจตอบโต้ได้เช่นกัน
ท่าทางอันยิ่งผยองเต็มไปด้วยความมั่นใจนั้นทำให้ฮุ่ยชินอ๋องกระอักเลือดจนแทบถึงแก่ชีวิต
ต่อจากประโยคที่ว่าเขานั้นยิ่งกว่าสัตว์ ผู้คนที่อยู่ภายนอกก็พากันวิจารย์ว่า “ฆ่าชินอ๋องที่จิตใจต่ำช้ายิ่งกว่าสัตว์ ! ”
“คืนความบริสุทธิ์ให้แก่ไทเฮา ! ”
“ลงโทษชินอ๋องใจทรามนี้เสีย ! ”
“เทวดาฟ้าดิน ในที่สุดก็ส่งความยุติธรรมมาสักที บุญของราชวงศ์หยู บุญของประชาชน ! ”
“ขอบคุณที่ประทานฟู่เสี่ยวกวนมา ณ ที่นี้ ! ”
“หากจะแต่งงาน ให้แต่งงานกับชายเช่นฟู่เสี่ยวกวนนี้ ! ”
“ฟู่เสี่ยวกวน ! ฟู่เสี่ยวกวน ! ฟู่เสี่ยวกวน !……”
ให้ตายสิ ! ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง พวกเขาโห่ร้องตามน้ำกันทำไม ? ข้ายังจัดการธุระไม่เสร็จเลย
เยี่ยนเสี่ยวโหลวอยู่ในฝูงชนนี้ด้วย นางเป็นห่วงฟู่เสี่ยวกวนมาก จึงต้องการเดินทางมาดูให้เห็นกับตา แต่คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับอยู่สบายดี แต่เป็นฮุ่ยชินอ๋องที่แทบตาย !
เขา……เป็นวีรบุรุษของประชาชนโดยแท้จริง !
ด้านวรรณกรรม เขาได้จารึกชื่อไว้บนหินเชียนเปยสือ
ด้านการต่อสู้ เขาสามารถฆ่าศัตรูโดยมิเกรงกลัว
แม้แต่การต่อปากต่อคำ ก็สามารถทำได้น่าทึ่งเพียงนี้ อีกทั้งยังสามารถทำได้จนถึงแก่ชีวิตคนได้ !
คำพูดคมคาย โจมตีได้ด้วยปากกาและฝีปาก
ฟู่เสี่ยวกวนเห็นเยี่ยนเสี่ยวโหลวเช่นกัน เขายิ้มและโบกมือให้นาง เยี่ยนเสี่ยวโหลวอายหน้าแดงและโบกมือกลับ
ฟู่เสี่ยวกวนนึกได้ว่ายังจัดการธุระไม่เสร็จ เมื่อสักครู่เขาได้ระบายอารมณ์ออกมาแล้ว แต่ทรัพย์สินที่เสียหายไปยังมิได้เรียกค่าเสียหายกลับคืนมา
ดังนั้นเขาจึงทำท่าทางให้ทุกคนสงบลง เสียงจากภายนอกจึงได้เบาลง
เขาหันหน้าไปทางสีฉวินเหมยและหนิงหยู่ชุน คารวะแล้วกล่าวว่า “ท่านทั้งสอง นี่คือคำร้องทุกข์ของข้าน้อย”
เขายื่นคำร้องทุกข์ไปให้ แล้วเอ่ยว่า “ข้าน้อยสงสัยว่าฮุ่ยชินอ๋องจะโยกย้ายทรัพย์สิน ข้าน้อยขอให้ท่านทั้งสองปิดจวนชินอ๋องห้ามมิให้เข้าออก และให้เขาชดเชยค่าเสียหายแก่ข้าน้อยด้วย”
นี่มัน……ยากเกินกำลัง !
คดียังมิได้สรุปผล ไม่สิ คดียังมิได้สอบสวนด้วยซ้ำไป จะปิดจวนฮุ่ยชินอ๋องได้เยี่ยงไร
สีฉวินเหมยนึกถึงคำของบิดาว่า อย่าไปฟังเสียงหมาเห่า ให้ม้าเดินตามทางอันถูกต้อง !
ตัวเขานั้นเดินตามทางอันถูกต้อง ส่วนเรื่องเหตุผลนั้น ฟู่เสี่ยวกวนได้เขียนมาในคำร้องแล้วมิใช่หรอกหรือ ?
เขาโบกมือแล้วกล่าวว่า “ทหาร ! ”
“บัดนี้จวนชินอ๋องสถานการณ์ไม่ดีนัก อีกทั้งคำให้การของฟู่เสี่ยวกวนมีเหตุผลเพียงพอ ดังนั้น ข้าตัดสินให้ปิดจวนชินอ๋อง มิให้ผู้ใดเข้าออก ผู้ใดขัดขืน……ประหาร !”
ฮุ่ยชินอ๋องรวบรวมเรี่ยวแรงที่มีอันน้อยนิดเอ่ยออกมาว่า “อย่า……”
แต่ทว่า……กลับไม่มีผู้ใดสนใจฟังเขาเลย
สีฉวินเหมยมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน “เจ้า……หมดธุระแล้วหรือยัง ?”
เป็นความหมายว่าเขาจะทำการสอบสวนต่อไปได้แล้วหรือไม่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะหึ ๆ “ขอบพระคุณท่านทั้งสอง ข้าน้อยขอลา”
“ไป ๆ ๆ ! ” สีฉวินเหมยโบกไม้โบกมือ หากมีเจ้านี่อยู่ด้วย เกรงว่าจะยากต่อการสอบสวน
ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังกลับไปมองเจียงหยู่แล้วเอ่ยถามว่า “ร้านอู่เว่ยจายของเจ้า ยังเปิดอยู่หรือไม่ ? ”
เจียงหยูมองไปทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาเคารพนับถือ “คุณชาย ร้านยังมิเปิด”
“อืมก็ดี รอให้ทุกอย่างผ่านพ้นไปเสียก่อนแล้วค่อยเปิดใหม่ ท่านทั้งสองนี้เป็นผู้มีความยุติธรรม หากเจ้ามีเรื่องใดคับแค้น จงเอ่ยไปตามตรง”
“ข้าน้อยขอบพระคุณคุณชาย”
“ไม่สิ แม่นางควรไปขอบพระคุณไทเฮา ข้าเองก็ได้ฟังคำชี้แนะจากไทเฮาจึงได้เข้าใจในสัจธรรมต่าง ๆ ”
“เป็นเช่นนี้เอง ข้าน้อยขอขอบพระคุณไทเฮาเพคะ”
ให้ตายสิ เจ้านี่ช่างเล่ห์เหลี่ยมมากมายนัก !
หนิงหยู่ชุนเองก็คิดเช่นนี้
ตอนที่ 205 วันที่เจ็ดของเดือนแรก
“ถึงอย่างไรก็ค่อนข้างน่าเสียใจ”
ไหล่ของพระสนมซั่งมีนกพิราบส่งสารหนึ่งตัวเกาะอยู่ นางส่งกระดาษในมือให้กับฮ่องเต้ และกล่าวอีกว่า “ไร้หนทางจะตั้งข้อหาสมรู้ร่วมคิดให้กับเขาได้ เยี่ยงนั้นก็ทำได้แค่ส่งเขาไปยังหลิงหนาน”
ฮ่องเต้รับกระดาษนั้นมาดู หลังจากนั้นจึงโยนมันลงไปในเตาไฟเพื่อเผาทำลายทิ้ง
“เฟ่ยอันจะตกหลุมพรางอย่างนั้นได้เยี่ยงไร”
พระสนมซั่งถอนหายใจ และเอ่ยถาม “ต่อจากนี้จะจัดการกับคุณชายจี้อย่างไรเพคะ ? ”
“ให้เขาไปกองทัพชายแดนตะวันออก และให้มีคนคอยจับตามองดูเขาตลอดคาดว่าคงจะดีขึ้น”
“จะกำจัดจริง ๆ หรือเพคะ ? ”
“เสบียงจากจวนฟู่ได้ส่งออกไปเรื่อย ๆ แล้ว ชุดแรกคาดว่าอย่างเร็วที่สุดก็จะส่งถึงเมืองหลานหลิงในต้นเดือนหน้า ตามการคาดการของเยี่ยนเป่ยซีและข้า สงครามครานี้จะระเบิดหลังจากที่เฟ่ยกั๋วกลับไปถึงกองทัพชายแดนตะวันออก แต่ท้ายที่สุดแล้วสนามรบครานี้ก็เป็นอีกเป้าหมายหนึ่ง ตระกูลเฟ่ยต้องการให้เฟ่ยกั๋วกลับมาควบคุมกองทัพชายแดนตะวันออกอีกครา ดังนั้นต้องให้เฟ่ยกั๋วกลับไปยังกองทัพชายแดนตะวันออก อีกทั้งเสบียงชุดแรกก็ใกล้จะถึงแล้ว”
นึกถึงตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยเตือนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาได้จัดส่งเสบียงทันทีหลังจากที่เขารับภาระนี้ไว้ เจ้าหนุ่มนั่น ข้าเป็นหนี้เขาเสียแล้ว
นี่คือผู้เยาว์ของราชวงศ์หยู อมตะเหมือนฟ้า ข้าจะจดจำเขาไว้ให้ดี ในอนาคต…ข้าจะทำให้เขาไร้ขอบเขตเหมือนกับแว่นแคว้น !
“มีรายงานมาว่ายังขาดแคลนอาวุธและชุดเกราะอีกมาก”
“มิเป็นไร พังไปแล้วก็สามารถสร้างใหม่ได้…แต่ภายในเมืองหลวงนี้ ควรแก่เวลาจัดวางเสียใหม่แล้ว”
……
…..
คืนที่มืดมิดและลมหนาวในคืนวาน สุดท้ายหิมะก็ได้ก่อตัวและตกลงมาสู่พื้นธรณี
ท่ามกลางละอองที่มากมาย เมืองหลวงที่ใหญ่โตราวกับถูกม่านหมอกปกคลุม มองออกไปก็ไม่สามารถเห็นภาพตรงหน้าได้ชัดเจนนัก
ประตูจวนฮุ่ยชินอ๋องมิได้ถูกเปิดออกอีก ศีรษะของผู้คนกว่าสามร้อยคนถูกกองพะเนินเทินทึกอยู่ด้านนอกประตูมองดูแล้วคล้ายกับภูเขา
ถนนเส้นนี้มีชื่อเรียกที่ไพเราะอย่างยิ่ง มีนามว่าตรอกซานเยวี่ย สองข้างทางของตรอกนี้มีต้นหลิวที่เก่าแก่เรียงรายอยู่จำนวนมาก สีเขียวของต้นหลิวที่เก่าแก่ในยามนี้ได้จางหายไปตามธรรมชาติ ร่วงโรยเสียจนไร้ชีวิตชีวา เหลือทิ้งไว้เพียงกิ่งก้านสาขาเท่านั้น
แต่ในทันทีที่ถึงเดือนสาม ต้นหลิวเก่าแก่เหล่านี้ก็จะผลิใบใหม่ขึ้นมา และกลีบดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ก็จะเบ่งบานสร้างความสวยงามให้กับถนนทั้งสาย
ทันทีที่ฤดูใบไม้ผลิมาถึง ใบหลิวของตรอกนี้ก็จะปลิวไสว จึงได้มีสมญานามว่าแดดในฤดูใบไม้ผลิของหิมะเดือนสามแห่งเมืองหลวง
แต่เวลานี้มิใช่เดือนสาม ในวันนี้คือวันที่เจ็ดเดือนหนึ่ง แต่กลับมีหิมะตกลงมาเรื่อย ๆ จนทำให้ต้นหลิวกลายเป็นสีขาวโพลน และทำให้เลือดที่กลายเป็นสีดำบนถนนกลายเป็นสีขาวไปด้วย
ในยามที่ท้องฟ้าส่องสว่างขึ้นเล็กน้อย สุนัขสีดำหนึ่งตัวได้กลิ่นเลือดจึงวิ่งไปยังหน้าประตูของจวนฮุ่ยชินอ๋อง มันมองศีรษะของผู้คนที่ถูกกองไว้ดังเช่นภูเขา ราวกับตื่นกลัวขึ้นมา มันจึงเห่าอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากนั้นก็มีเสียงตะโกนอย่างสิ้นหวังดังมาจากในจวน จี้หยุนกุย ! เจ้าทำข้าเสียเรื่อง ข้าผู้นี้ จะมิมีทางปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด !
สุนัขสีดำตัวนั้นตื่นตระหนกจนวิ่งหนีไป ทิ้งรอยประทับของฝ่าเท้าไว้บนหิมะบาง ๆ ที่ปกคลุมถนน ดูงดงามอย่างยิ่ง
ดวงตาฮุ่ยชินอ๋องแดงก่ำ สองมือโอบกอดแจกันศิลาที่ตกทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษโยนกระแทกลงกับพื้นจนเกิดเสียงดัง “เพล้ง ! ” และแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ หญิงสาวที่โอบฉินอยู่นั้นต่างก็กระจายตัวออกไป ซื่อจื่อหยูเล่อและโอรสคนที่สองหยูฮวนที่ยืนอยู่ข้างตู้ก็แตกตื่นเช่นกัน ลอบคิดว่าของชิ้นนี้เป็นของที่เสด็จพ่อชื่นชอบมากที่สุด จากที่มองในตอนนี้เหตุการณ์ดูจะย่ำแย่เสียแล้ว
ฮุ่ยชินอ๋องนอนมิหลับไปทั้งคืน เขามิได้รับข่าวคราวอันใดทั้งสิ้น ดังนั้นเขาจึงทราบว่าเรื่องนี้ได้ถูกจี้หยุนกุยวางอุบายเข้าแล้ว
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อให้ตัวสงบลง แต่ในใจกลับครุ่นคิดว่าสุดท้ายจี้หยุนกุยก็คงจะหนีไปยังเขตหนานหลิง หากเพื่อให้เขากระตุ้นเฟ่ยอันโดยแท้จริง…ก็คงต้องประหารชีวิตฮ่องเต้เสีย !
“เตรียมรถ เตรียมรถ ! ”
ฮุ่ยชินอ๋องตะโกนพลางวิ่งออกไปจากห้องอักษรอย่างตื่นตระหนก จึงได้พบว่าท้องฟ้าได้สว่างแล้ว หิมะตกหนัก จนร่างกายเย็นเยียบ
เขาขึ้นรถม้า องครักษ์เปิดประตูจวนชินอ๋อง แต่รถม้ากลับมิทะยานไปข้างหน้า
เขาเลิกหน้าต่างรถออก ก็พบเห็นทหารของจวนผู้ว่าเขตจินหลิง จิงหยูเว่ยที่มีอาวุธพร้อมในยามนี้กำลังยืนอยู่ที่ด้านหน้าประตูด้วยท่าทีเคร่งขรึม
ใจกลางของจิงหยูเว่ยยังมีเกี้ยวรถอีกหนึ่งคัน ทันใดนั้นคนที่อยู่ในเกี้ยวนั้นก็ได้เดินลงมา เขาคือหนิงหยู่ชุน
“ผู้ว่าเขตจินหลิงหนิงหยู่ชุนเข้าเฝ้าฮุ่ยชินอ๋อง ! ”
“เหอะ ! ข้ามีธุระเร่งด่วนต้องออกไปนอกเมือง เจ้ามาที่นี่มีธุระอันใด ? ”
“ทูลชินอ๋อง เมื่อคืนมีสตรีนางหนึ่งมาตีกลองร้องทุกข์ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับองค์ชายสาม แต่ข้าคิดว่าเมื่อคืนฝ่าบาทเกรงว่าจะมิมีเวลาว่าง ดังนั้นจึงตัดสินพระทัยมารอรับเสด็จที่นี่ในวันนี้…ฝ่าบาท ประตูจวนชินอ๋องของพระองค์ เหตุใดจึงมีศีรษะของผู้คนมากมายถึงเพียงนี้กัน นี่คือคดีใหญ่ กระหม่อมจึงเล็งเห็นว่า เยี่ยงนั้นจึงขอเชิญพระองค์เสด็จไปยังจวนผู้ว่าเขตจินหลิง แน่นอน กระหม่อมย่อมต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง ยังคงต้องให้พระองค์แสดงความบริสุทธิ์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้า…เจ้าก็แค่ผู้ว่าเขตจินหลิงผู้ต่ำต้อย กล้าขวางทางข้าเยี่ยงนั้นรึ ? ข้ามิสนใจจวนผู้ว่าเขตเยี่ยงเจ้า ข้าจะออกเดินทาง ดูสิว่าเจ้าจะหยุดข้าได้เยี่ยงไร ! ”
หนิงหยู่ชุนส่ายหน้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ยื่นมือไปรับเกล็ดหิมะ เขามองดูลายเกล็ดหิมะอยู่สักพัก หลังจากนั้นก็บีบมัน
“กระหม่อมทราบดีว่าคงมิดีนักที่จะมาเชิญพระองค์ ดังนั้น…” หนิงหยู่ชุนหันหน้าไปทางเกี้ยวและกล่าวว่า “ขันทีเจี่ย หากท่านยังไม่ลงมา ฮุ่ยชินอ๋องก็จะหนีไปแล้วนะขอรับ ! ”
หนี ? ข้าจะหนีอะไรกัน ?
ฮุ่ยชินอ๋องสะดุ้งโหยง และพบว่าประตูเกี้ยวนั้นได้ถูกเปิดออก ขันทีเจี่ยผู้ถ่ายทอดราชโองการที่อยู่ข้างกายฮ่องเต้ได้เดินลงมา
สองมือของเขาสอดเข้าไปในแขนเสื้อ วิ่งเบา ๆ ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม จนมาถึงด้านหน้ารถม้าของฮุ่ยชินอ๋อง และเอ่ยเสียงแผ่วว่า “พระประสงค์ของฝ่าบาทคือ…เกียรติยศของราชวงศ์ยังต้องให้พระองค์ดูแลรักษา ฝ่าบาทได้ฝากคำพูดมากับกระหม่อม ฝ่าบาทตรัสว่าฮุ่ยชินอ๋องย่อมตามผู้ว่าเขตหนิงไปยืนยันความบริสุทธิ์ที่จวนผู้ว่าเขต ฝ่าบาทคงคิดผิด คาดมิถึงว่าพระองค์จะหลบหนี กล่าวกันว่า ประเทศนี้ก็คือของฮ่องเต้ พระองค์จะหนีไปที่ไหนได้หรือพ่ะย่ะค่ะ ตามความคิดของกระหม่อม พระองค์ทรงเสด็จตามผู้ว่าเขตหนิงไปยังจวนผู้ว่าเขตเพื่อกระทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กเสีย จะมิงดงามยิ่งกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้ามิได้คิดหนี ! ”
“นั่น…กระหม่อมจะนำไปทูลกับฝ่าบาท ว่าพระองค์มิได้มีความคิดที่จะหนี เยี่ยงนั้นพระองค์จะตามไปที่จวนผู้ว่าเขตจินหลิงได้หรือไม่ มิฉะนั้นกระหม่อมก็มิอาจจัดการธุระนี้ได้ หากตรึงกำลังขึ้นมาจริง ๆ…เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าพระองค์คงยากที่จะถอยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฮุ่ยชินอ๋องหลับตาและเงยหน้า ก่อนจะเงียบไปหลายอึดใจ “เอาเถอะ ข้าจะลองไปจวนผู้ว่าเขตดู”
หนิงหยู่ชุนพาฮุ่ยชินอ๋องออกเดินทาง ขันทีเจี่ยเหม่อมองเงาร่างที่ค่อย ๆ หายไปท่ามกลางหิมะ เขาส่ายหน้าและกลับขึ้นรถม้า ก็พบเห็นฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังยิ้มร่า
“คุณชายฟู่ หากฝ่าบาททราบเรื่องราชโองการเท็จนี้ ข้าคงโดนตัดศีรษะเป็นแน่ !”
“ท่านขันทีประกาศพระราชโองการอันใดหรือ มิมีนี่ขอรับ ท่านขันทีแค่แนะนำฮุ่ยชินอ๋องเพียงเท่านั้น แต่เดิมฮุ่ยชินอ๋องก็คิดจะหนีออกไปจากเมืองหลวงอยู่แล้ว แต่ด้วยการชักชวนของท่านขันทีที่กระตุ้นให้รอการพิจารณาคดีที่จวนผู้ว่าเขตจินหลิง นี่คือผลงานที่ยิ่งใหญ่ต่างหากขอรับ”
“แต่ข้าย้ายออกจากมาจากฝ่าบาทแล้ว ! ”
“ใช่แล้ว ก็มิมีความผิดแต่อย่างใด ฝ่าบาทก็แค่คอยถือ… มิใช่ ก็แค่เพื่อใช้เพื่อสยบเหล่าคนร้ายเท่านั้น”
เหมือนจะมีเหตุผล ขันทีเจี่ยหาวออกมา “ไปเถอะ ข้ายังอยากกลับไปนอนฝันดี พรุ่งนี้ราชสำนักก็เปิดทำการแล้ว อีกทั้งยังมีการประชุมใหญ่ในวันพรุ่งนี้ ท่านเองก็ต้องเข้าวังหลวงแต่เช้าด้วย”
“ขอบพระคุณท่านขันที เดินทางโดยสวัสดิภาพ”
ฟู่เสี่ยวกวนนำเงินห้าพันตำลึงยัดใส่มือขันทีเจี่ย “พวกเราต่างก็เป็นคนคุ้นเคย คงมิต้องพูดให้มากความ ปีใหม่นี้ยังมิได้ไปทักทายท่านด้วย นี่คือสินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากข้า ท่านขันทีโปรดรับไว้”
กล่าวจบเขาก็โดดลงจากเกี้ยวรถ และโบกมือให้กับขันทีเจี่ย ขันทีเจี่ยส่ายหน้ายิ้ม เกี้ยวรถยกขึ้นอย่างช้า ๆ และออกเดินทางไปยังวังหลวง
ซูซูสวมชุดกระโปรงขาวยืนอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ ไม่รู้เมื่อไหร่ที่หางม้าที่ผูกตรงท้ายทอยของนางคลายออกจนปล่อยผมยาวคลอเคลียกับไหล่
ผมยาวปลิวไสวท่ามกลางสายลม มองไปแล้ว…ฟู่เสี่ยวกวนก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ โชคดีที่เป็นช่วงกลางวัน หากเป็นตอนกลางคืน คงจะน่ากลัวไม่น้อย
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ? ” ซูซูเอ่ยถามอย่างสงสัย
“มองดู”
“มองดูอะไร ? ”
“มองดูว่าจะมีคนมาหรือไม่”
ฟู่เสี่ยวกวนได้มาอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ของจวนฮุ่ยชินอ๋องเป็นเวลาครึ่งชั่วยามแล้ว
ประตูใหญ่ได้ปิดไปตั้งแต่ที่ฮุ่ยชินอ๋องออกมาแล้ว ภายในนั้นมิมีเสียงอันใด ซูซูเองก็มิเข้าใจ ความจริงฟู่เสี่ยวกวนก็ไม่เข้าใจ เขาคิดว่าที่ปรึกษาจี้หยุนกุยจะกลับมายังจวนฮุ่ยชินอ๋อง แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะหนีไปแล้ว
เมื่อวานซูโหรวได้ไปจวนฮุ่ยชินอ๋อง แต่กลับไม่พบจีหลินชุน
ดังนั้นเขาจึงใช้ป้ายหยกที่ฮ่องเต้มอบให้ ปรี่เข้าไปในวังหลวงตั้งแต่ที่ฟ้ายังไม่สว่าง เมื่อเจอขันทีเจี่ยจึงตามมายังที่นี่กับหนิงหยู่ชุน
เขาลองเสี่ยงโชคดูว่าจะเจอจี้หยุนกุยหรือไม่ เพราะเขาคิดว่าจวนฮุ่ยชินอ๋องใหญ่ยิ่ง หากต้องการซ่อนใครไว้ก็สามารถทำได้อย่างง่ายดาย หากจีหลินชุนเป็นบุคคลสำคัญ ดังนั้นคนที่รู้ว่านางซ่อนตัวอยู่ที่ใดก็คงจะมีเพียงน้อยนิด
ฮุ่ยชินอ๋องย่อมรู้ แต่อย่างไรก็ตาม เหตุเพราะสถานะของเขาเป็นถึงฮุ่ยชินอ๋อง หากเขาเป็นตายก็คงจะมิยอมพูด ฟู่เสี่ยวกวนหมดหนทางกับเขา
แต่หากเป็นนายทหารก็จะง่ายดายยิ่งขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนมีหนทางมากมายที่จะทำให้เขาอ้าปาก
“ไปเถอะ”
“ไม่ดูแล้วรึ ?”
“มิมีอะไรน่าดูแล้ว”
“เยี่ยงนั้นพวกเราในตอนนี้จะไปที่ใดกัน ? ”
“ไปดูความครึกครื้นที่จวนผู้ว่าเขตจินหลิง”
……
…..
เหตุเพราะราชสำนักยังไม่ได้เปิด และเพราะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับฮุ่ยชินอ๋อง ดังนั้นผู้ไต่สวนคดีของเจียงหยูภายในจวนผู้ว่าเขตจินหลิงจึงเป็นเสนาบดีกรมราชทัณฑ์สีฉวินเหมย
เป็นเรื่องที่ยุ่งยากยิ่ง !
ในวันนี้สีฉวินเหมยรู้สึกไม่ดีตั้งแต่ได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาท มิใช่เพราะกลัวฮุ่ยชินอ๋อง แต่เพราะคำพูดของบิดาที่กลับมาจากทุ่งเลี้ยงสัตว์โม่หนานได้กล่าวกับเขาในเมื่อเช้า
“ข้าเลี้ยงม้ามาทั้งชีวิต เข้าใจเหตุผลอย่างหนึ่งว่า สุนัขของเขาจะเห่าอย่างไร ก็อย่าละเลยเพื่อให้ม้าเดินไปในทางที่ถูก ! ”
นี่คือเหตุผลอันใดกัน ?
“เจ้าจงพิจารณาคดีนี้อย่างสุดชีวิต มิต้องไปสนว่าคนผู้นั้นจะเป็นฮุ่ยชินอ๋อง เท่านี้ก็พอแล้วมิใช่หรือ สุนัขเห่านั้นน่ารำคาญ เจ้าของบ้านจะไม่ตีม้า จะตีเพียงสุนัขเท่านั้น เชื่อพ่อ มิมีผิดแน่นอน”
เอาเถอะ !
สีฉวินเหมยสำรวมจิตใจ ใบหน้าตื่นตระหนก และกระแทกไม้ปลุกสติดัง ปึง “นำโจทย์เจียงหยูขึ้นชั้นศาล ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนและซูซูที่อยู่ด้านนอกหันมองซ้ายขวา ราวกับเขานึกอะไรขึ้นมาได้ จึงกล่าวพึมพำ “ไม่ได้ ข้าก็ต้องฟ้องเรื่องนี้ด้วย”
กล่าวจบเขาก็หันหลังกลับไปยังห้องเจ้าหน้าที่ที่อยู่ตรงข้าม จ่ายไปหนึ่งตำลึง และขอให้เจ้าหน้าที่ที่ด้านในเขียนคำร้องเรียนโดยละเอียด หลังจากที่เจ้าหน้าที่เขียนเสร็จก็เอาแต่มองหน้าฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนลูบใบหน้า และเอ่ยถาม “ท่านมองอะไรรึ ?”
“อ่า โอ้ เจ้าจักช่วยลงนามบนหนังสือเล่มนี้ให้ข้าได้หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนรับหนังสือมา เป็นหนังสือความฝันในหอแดงอีกครา “เยี่ยงนั้นท่านก็คืนหนึ่งตำลึงให้ข้า”
เจ้าหน้าที่ผู้นั้นส่งเงินหนึ่งตำลึงคืนให้กับฟู่เสี่ยวกวนด้วยสีหน้าเจ็บปวด ฟู่เสี่ยวกวนหยิบพู่กันขึ้นมาและเขียนนามของตัวเองลงไป เจ้าหน้าที่ผู้นั้นหยิบขึ้นมาดู และเหลือบตามองฟู่เสี่ยวกวนอีกครา ลอบคิดถึงตัวอักษรนี้…หรือว่าข้าจะเริ่มต้นวันนี้ด้วยการโดนหลอกเยี่ยงนั้นรึ
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจเขา และนำเรื่องร้องทุกข์วิ่งไปยังประตูจวนผู้ว่าเขต และตีกลองที่อยู่ด้านนอกเสียงดัง “ตึงตึงตึง…”
ตอนที่ 204 ความมืดในทุกค่ำคืน ( II )
แสงไฟในจวนชือมิได้ดับลง
นายท่านผู้เฒ่าชือเดินไปมาอยู่ในจวนรอบแล้วรอบเล่า เขายังมิอาจตัดสินใจได้
หลังจากที่เขาได้เจรจากับฟู่เสี่ยวกวนเป็นการส่วนตัวคราที่แล้ว เขาก็รับรู้ได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ไม่ธรรมดา เดิมทีเขาก็มองว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้มีความสามารถทั่วไป แต่เหตุการณ์ในวันนี้ทำให้เขาต้องมองฟู่เสี่ยวกวนเสียใหม่อีก
คนเพียง 2 คนกับดาบ 2 เล่ม สามารถเอาชนะทหารม้า 400 นายได้ !
แม้สภาพแวดล้อมจะถูกจำกัด แต่พวกเขาก็เป็นถึงทหารม้า !
มิใช่ว่าฮุ่ยชินอ๋องจัดตั้งกองทัพขึ้นมาส่วนตัวรึ ในฐานะฮุ่ยชินอ๋อง เขาสามารถมีทหารส่วนพระองค์ได้ถึง 800 นายพร้อมกับม้า
ทหารของฮุ่ยชินอ๋องนั้น พวกเขาล้วนเป็นทหารปลดประจำการและผู้ที่รับผิดชอบในการฝึกอบรมพวกเขาก็เป็นนายพลของกองทัพฝ่ายหนึ่งอีกด้วย
เรื่องนี้ฮุ่ยชินอ๋องมิได้ปิดบัง ในกิจกรรมล่าสัตว์หลวงช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขามักจะนำทหารม้าของเขาไปแสดงต่อหน้าฮ่องเต้
การทำตัวเปิดเผยและตรงไปตรงมาเช่นนี้ทุกคนล้วนรับรู้
ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นทหารม้าที่มีประสิทธิภาพในการรบอย่างแท้จริง แต่กลับล้มเหลวในการสังหารฟู่เสี่ยวกวน อีกทั้งเกือบจะถูกกวาดล้างโดยสำนักเต๋าเสียจนสิ้นซาก
“ท่านพ่อ ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้……คงมิง่ายที่จะจัดการเขา ! ” จากเหตุการณ์นี้ชือเฉาหยวนก็ได้ทำความรู้จักกับฟู่เสี่ยวกวนเสียใหม่ นับจากเรื่องคืนนี้ เกรงว่าฮุ่ยชินอ๋องอาจจะถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวงก็เป็นได้ อีกทั้งคงมิได้กลับมายังเมืองหลวงนี้อีก
เพียงเวลาแค่วันหนึ่ง ฮุ่ยชินอ๋องก็ถูกเขาจัดการจนยากที่จะลืมตาอ้าปาก เห็นได้ชัดว่าภายนอกอันแสนเงียบสงบของเขานั้นเป็นรูปลักษณ์ที่หลอกตา
“ผู้ที่จะฆ่าฟู่เสี่ยวกวนได้ เจ้าหาพบแล้วหรือไม่ ? ”
“ท่านพ่อ ข้าได้หาพบแล้ว เพียงแต่…จะยังฆ่าเขาอยู่งั้นรึ ? ”
“เหตุใดถึงมิฆ่า ? ” ผู้เฒ่าชือถอยหลังออกมาหนึ่งก้าวแล้วยืนอยู่ที่หน้าต่างมองออกไปยังค่ำคืนอันมืดมิด “คืนเทศกาลหยวนเซียว ฟู่เสี่ยวกวนจะเข้าไปยังหลานถิงจี๋อย่างแน่นอน……เรื่องนี้เจ้าจงรายงานกับองค์ชายใหญ่ให้รับรู้ ดูว่าพระองค์มีท่าทีเยี่ยงไร”
ชือเฉาหยวนไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลังจากท่านพ่อได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนแล้วจึงได้มุ่งมั่นเช่นนี้ แน่นอนว่าตัวเขาเองก็อยากฆ่าฟู่เสี่ยวกวนยิ่งนัก แต่นั่นเพราะเขาต้องการระบายความแค้นในใจออกมา แต่หลังจากเกิดเรื่องในวันนี้ขึ้น เขาก็มิได้มีความคิดที่อยากจะฆ่าฟู่เสี่ยวกวนอีก
อีกอย่างหนึ่งเพราะเจ้าหมอนี่ตายยากยิ่ง ดีมิดีอาจถูกแว้งกัดได้ แม้แต่ชินอ๋องเองยังถูกเขาแว้งกัดเอา นับประสาอะไรกับตระกูลชือเล่า
ผู้เฒ่าชือมิได้เข้าใจเขามากนัก เพียงแต่พึมพำออกมาว่า “ท้องฟ้ามืดเช่นนี้ คาดว่าหิมะจะตกในไม่ช้า”
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนและองค์ชายห้าอีกทั้งฮั่วหวยจิ่นนั่งดื่มสุรา ณ ศาลาเถาหราน คนจากจวนฟู่มิอาจนิ่งนอนใจได้
ฮูหยินต่งเป็นผู้ที่กังวลมากที่สุด นางขมวดคิ้วขึ้นมองดูต่งคังผิง แล้วเอ่ยถามว่า “ในค่ำคืนนี้ฮุ่ยชินอ๋องจะลงมือกับฟู่เสี่ยวกวนหรือไม่ ? เจ้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยตนเองดีหรือไม่ ? ”
ต่งคังผิงส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “เจ้าอย่าได้กังวลใจไป รอสักประเดี๋ยวเถิด”
“รอสิ่งใดอีกเล่า ? ”
“รอข่าวจากฟู่เสี่ยวกวน”
แม้จวนต่งจะมีรากฐานที่ดีในเมืองหลวง แต่พวกเขาก็มิได้มีเส้นสายมากนัก เหตุการณ์ในค่ำคืนนี้จะเป็นอย่างไรพวกเขาก็มิอาจรู้ได้ แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อตอนเย็น พวกเขากลับกังวลใจขึ้นมา
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าในคืนนี้จะมีเหตุการณ์ต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย ขอให้พวกเขาอย่าได้ออกมาข้างนอก ชูหลานเองก็อย่าได้ไปที่จวนฟู่ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วเขาจะส่งคนมาแจ้งข่าว
หรือว่าจะเกิดเหตุขึ้นงั้นรึ ?
เหตุใดบัดนี้ยังมิมีข่าวคราวใด ๆ แม้แต่น้อย ?
ต่งชูหลานเองก็กังวลใจเช่นกัน นางอยากเดินทางไปที่จวนฟู่ด้วยตนเอง แต่เมื่อนึกถึงประโยคที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าให้ระมัดระวังตนเป็นพิเศษ นางจึงได้ถอดใจ
เขาผู้นี้ช่างใจกล้าเสียจริง กล้าทำร้ายองค์ชายจนพิการ อีกทั้งยังต่อสู้กับทหารม้ากว่าสี่ร้อยนาย !
เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร ?
เขามิคิดบ้างหรือว่าหากพ่ายแพ้แล้วถูกฮุ่ยชินอ๋องสังหาร นางและเวิ่นหวินจะทำเยี่ยงไร ?
เรื่องนี้นางจะต้องตักเตือนเขาสักหน่อย เขาใกล้จะมิใช่ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว หากทำการใดโดยไม่คิดเช่นนี้ หากทว่า…เกิดเรื่องใดขึ้นกับเขา พวกนางจะทำเยี่ยงไรเล่า ?
ในขณะที่พวกเขาคิดไปต่าง ๆ นานาก็มีรถม้าคันหนึ่งมาหยุดลงที่หน้าจวนต่ง ชุนซิ่วเดินลงมาจากรถนั้น
นางกำลังจะทำความเคารพ แต่ต่งชูหลานกลับรีบคว้านางไว้ “ราบรื่นดีใช่หรือไม่ ? ” ต่งชูหลานเอ่ยถามด้วยท่าทางวิตกกังวล
ชุนซิ่วยิ้มออกมา “นายหญิง ทุกอย่างเรียบร้อยดีเจ้าค่ะ”
คำว่านายหญิงนี้ทำให้ต่งชูหลานหน้าแดง นางรีบเอ่ยต่อว่า “รีบเล่าให้ข้าฟังเร็วเข้า”
ชุนซิ่วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้น ณ จวนฟู่ออกมาอย่างละเอียด ฮูหยินต่งฟังแล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งใจ “โชคดีที่องค์ชายห้าส่งคนมาคุ้มครองไว้ ฮุ่ยชินอ๋องนั่นมิเพียงแต่บุตรชายของเขาจะก่อเรื่องแล้ว เขากลับยังต้องการฆ่าฟู่เสี่ยวกวนอีกด้วย สมควรตายยิ่งนัก ! ”
ต่งซิวเต๋อยักไหล่ “พวกเจ้าดูสิ ข้าบอกแล้วว่าเขาจะมิเป็นไรแน่”
ฮูหยินต่งจ้องไปยังเขา “เจ้าตัดสินจากอะไรกัน ?”
“คนดีมักอายุไม่ยืน คำกล่าวนี้ว่ากันมาแต่โบราณ”
“เจ้าหมายความว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนไม่ดีงั้นรึ ?”
เมื่อต่งซิวเต๋อเห็นว่ามารดากำลังอารมณ์เสียจึงได้หยุดลง ในใจเขาพลันคิดว่าหากฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนดี จะมีผู้ใดในใต้หล้านี้มิดีอีกเล่า !
ต่งชูหลานเองก็มองไปทางต่งซิวเต๋อ จากนั้นหันมายังชุนซิ่วและกล่าวว่า “เช่นนั้น…บัดนี้เขากำลังทำอันใดอยู่กัน ? ”
“นายหญิง บัดนี้คุณชายกำลังดื่มสุราอยู่เจ้าค่ะ”
ดื่มสุรางั้นหรือ ? ต่งชูหลานตะลึงเล็กน้อย “ดื่มกับผู้ใด ?”
“องค์ชายห้า เยี่ยนซือเต้าและนายพลผู้ที่เพิ่งรู้จักกันเจ้าค่ะ”
……
……
คนที่องค์ชายห้ารอคอยก็คือเยี่ยนซือเต้านั่นเอง
เยี่ยนซือเต้าได้ออกจากจวนเยี่ยนไปเมื่อเวลาใกล้ค่ำ จากนั้นก็ไปยังจวนเฟ่ย
เขาเดินทางไปพบเฟ่ยอัน เนื่องจากก่อนหน้านี้สองวัน เฟ่ยอันได้เดินทางมาพบเขาเช่นกัน
เยี่ยนซือเต้าดื่มสุรากับเขาสองสามจอก จากนั้นขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“มิอาจเอ่ยโทษเขาข้อหาออกจากกองทัพเป็นการส่วนตัวได้ เนื่องจากเขามีหนังสืออยู่ในมือ อีกทั้งเขาเป็นผู้บังคับบัญชาทหารม้า เขามิต้องรายงานผู้ใดรวมถึงฝ่าบาทด้วย”
“การเดินทางของเขาครานี้มีเหตุผลอันใด ?” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
เยี่ยนซือเต้ามองไปยังฟู่เสี่ยวกวน ภายใต้แสงไฟสลัว ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนคล้ายคลึงกับหยุนชิงมากเสียทีเดียว
เขาตกตะลึงชั่วครู่ จากนั้นก็ยิ้มออกมา
“จะเป็นเรื่องอื่นนอกเสียจากเรื่องบรรเทาสาธารณภัยได้เยี่ยงไร”
จากนั้นเยี่ยนซือเต้าได้เล่าเรื่องราวให้ฟู่เสี่ยวกวนฟังโดยละเอียด เขารู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนควรจะได้รับฟังมัน
“เมื่อปีก่อนฝ่าบาทได้ตรวจสอบการทุจริตอย่างละเอียด และจับกุมเจ้าหน้าที่หลายร้อยคนจากทุกระดับ บัดนี้พวกเขาถูกคุมขังอยู่ในคุกของวัดต้าหลี่ เมื่อเห็นว่าเรื่องราวใกล้ถึงจุดสิ้นสุดเข้ามาแล้ว หลาย ๆ คนมิอาจนิ่งนอนใจได้อีกต่อไป รวมถึงตระกูลเยี่ยนด้วย”
เรื่องความกล้าหาญของเยี่ยนซือเต้านี้ ฟู่เสี่ยวกวนชื่นชมเขายิ่งนัก แต่องค์ชายห้ากลับนิ่งเฉย
“นี่มิใช่เรื่องน่าอายใด ๆ เนื่องจากตระกูลเยี่ยนถือเป็นผู้นำของหกตระกูลอันยิ่งใหญ่แห่งเมืองหลวง นับจากรุ่นที่ท่านปู่ได้สืบทอดกันมา เกรงว่าแม้แต่ท่านพ่อเองก็คงมิทราบว่ามีผู้คนมากมายเพียงใดพึ่งพิงตระกูลเยี่ยนจนได้ดิบได้ดี”
เขาดื่มสุราเข้าไปแล้วกล่าวว่า “ดังนั้นเมื่อถึงช่วงปลายปี เพื่อยุติการสอบสวนของฝ่าบาท ทหารของแคว้นอี๋จึงได้ออกมาเคลื่อนไหว พวกเขาไปยังที่ราบสีหม่าข้ามแม่น้ำบริเวณชายแดนตะวันออก และมีรายงานว่าพวกเขากำลังส่งเสบียงและน้ำจำนวนมาก อีกทั้งยังมีแม่ทัพเดินทางมาตรวจงานด้วยตนเอง”
“เหตุการณ์เหล่านี้แสดงว่าทางตะวันออกเริ่มไม่สงบแล้ว ดังนั้นฝ่าบาททรงครุ่นคิดแล้วตัดสินพระทัยประหารผู้ทำผิดทุกคนโดยไม่สอบสวน นับว่าเป็นการอ่อนข้อให้แล้ว และบรรดาตระกูลใหญ่ก็ได้วางใจลงไม่น้อย”
“แต่เฟ่ยกั๋วกลับมารายงานกับข้าในครานี้ กล่าวว่าฝ่าบาทมิทรงเปลี่ยนแปลงความคิดนั้น สิ่งเหล่านี้เขาเพียงเอ่ยให้พวกเราฟัง แท้จริงแล้วเขาหมายความว่า…สงครามทางตะวันออกยังคงดำเนินต่อไป เมื่อถึงเวลานั้นฝ่าบาทจะทรงมิมีเวลามาใส่ใจในตระกูลทั้งหก พวกเขาจึงจะปลอดภัยอย่างแท้จริง”
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังเยี่ยนซือเต้าและฟังคำพูดของเขาอย่างตั้งใจ “เหตุใดเขาจึงตัดสินเช่นนั้น ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเกรงว่าเรื่องที่ทางบ้านเขาขนส่งข้าวไปทางตะวันออกถูกค้นพบเข้าแล้วหรือ แต่เยี่ยนซือเต้าเอ่ยว่า “เขากล่าวว่า เป็นการคาดเดาของราชครูเฟ่ย”
“เหตุใดเขากล้าเอ่ยสิ่งนี้กับเจ้า ? ”
“ประการแรก ไม่ว่าจะเกิดเรื่องใดขึ้นกับทหารก็มิอาจมองข้ามได้ ประการที่สอง…” เยี่ยนซือเต้าสาดสุราในถ้วยลงไปที่พื้น “ท่านพ่อเคยทำผิดอยู่ครั้งหนึ่ง”
“เรื่องใดกัน ?” หยูเวิ่นเต้าเอ่ยถาม แต่ฟู่เสี่ยวกวนนั้นพอจะเดาได้ก่อนแล้ว
“รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 1 ฉินถงมิควรตาย แต่ตอนนั้นการงานของท่านพ่อกำลังรุ่งเรือง หลังจากสงครามที่ราบสีหม่า ราชครูเฟ่ยได้เดินทางมาพบท่านพ่อและพูดคุยอยู่เป็นเวลานาน ดังนั้นเฟ่ยปังจึงถูกย้ายไปที่กรมกลาโหมและเยี่ยนฮ่าวชูพี่ชายคนที่สามของข้าถูกย้ายไปเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดของกองทัพชายแดนตะวันตก ”
“เรื่องนี้ท่านพ่อเจ้ารู้หรือไม่ ? ”
“ท่านพ่อกล่าวเรื่องนี้กับฝ่าบาทในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 5 ”
“เหตุใดเขาจึงเอ่ยออกมา ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
“เนื่องจากท่านพ่อกล่าวกับข้าประจำว่า ตระกูลเยี่ยนคือผู้รับใช้ฝ่าบาทอย่างแท้จริง”
“หลังจากฝ่าบาททรงรับทราบแล้วก็มิได้กล่าวโทษเขา แต่กลับเชื่อใจเขามากขึ้น ฝ่าบาทมิได้ทรงขัดขวางแผนการของเขาที่จะจัดการกับฉินถง จุดประสงค์นี้เพื่อให้หมากนี้เดินต่อไป และเพื่อให้ตระกูลเฟ่ยคาดว่าจากการได้ร่วมมือกันในครานี้พวกเขาจะสามารถร่วมมือกันต่อไปได้”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยออกมา เยี่ยนซือเต้ามองดูเขาชั่วครู่ จากนั้นรินสุราให้ฟู่เสี่ยวกวนและมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก
“เกี่ยวกับทางตะวันออก ตระกูลเยี่ยนจะจัดการเยี่ยงไร ? ”
“ท่านพ่อกล่าวว่า…คงต้องทำสงคราม”
หากเป็นเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาททรงมิได้เปลี่ยนแปลงความคิดเดิม อีกทั้งตระกูลเยี่ยนก็เข้าใจดี
ถ้าเช่นนั้นเยี่ยนเป่ยซีจะเรียกเยี่ยนฮ่าวชูกลับมาหรือไม่ ?
เมื่อคิดถึงเรื่องที่ตนสร้างขึ้นแก่เยี่ยนเป่ยซี ณ เรือนเยี่ยน ฟู่เสี่ยวกวนอยากจะตบหน้าตนเองเสียจริง
เยี่ยนเป่ยซีเป็นคนของฝ่าบาท แต่เขากลับยื่นมือเข้าไปอยากช่วยให้ตระกูลเยี่ยนรอดพ้น นี่มันช่างเป็นเรื่องโง่เขลาเสียจริง !
“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ฮุ่ยชินอ๋องคาดว่าจะไปหาเฟ่ยอันที่เขตหนานหลิง เฟ่ยกั๋วบอกกับข้าเอง เขากล่าวว่า…จิตใจของเฟ่ยอันได้ยอมแพ้ตั้งนานแล้ว การที่หวินกุยจะเชิญเฟ่ยอันกลับมาเป็นเรื่องโง่เขลานัก”
มิรู้ว่าดวงจันทร์และดวงดาวสีสลัวบนท้องฟ้าได้ถูกบดบังไปตั้งแต่เมื่อใด ลมหนาวพัดเข้ามาเอื่อย ๆ รู้สึกหนาวอย่างยิ่ง
เยี่ยนเสี่ยวโหลวได้กลับมาถึงจวนเยี่ยน ไฟในห้องอักษรของท่านปู่ยังคงสว่างอยู่ นางครุ่นคิด กระชับเสื้อผ้าและเดินไปทางนั้น
เยี่ยนเป่ยซีลุกขึ้นนั่งเอนกายไว้กับพนักพิง กระแอมไออยู่ 2 ครั้ง บนใบหน้ามิอาจบดบังร่องรอยความเหนื่อยล้าเอาไว้ได้มิด
เยี่ยนเสี่ยวโหลวเดินเข้าไปประคอง นางรู้สึกเจ็บปวดใจเล็กน้อย จึงกล่าวขึ้นมาว่า “ท่านปู่ควรพักผ่อนแต่โดยเร็วนะเจ้าคะ ตั้งแต่เข้าฤดูหนาวมาอาการไอก็ยังมิบรรเทาขึ้นเลย อย่าทำร้ายร่างกายเลยนะเจ้าคะ”
เยี่ยนเป่ยซียิ้มบางๆ “เฮ้อ…ปู่ชรามากแล้ว กระดูกในร่างกายก็ย่ำแย่ลงอย่างเห็นได้ชัด ” เขาเดินไปทางหน้าต่าง เปิดหน้าต่างที่ปิดสนิทนั้นออกไป ลมหนาวที่พัดเข้ามากระทบกับใบหน้า รู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงกระดูก
เขาสั่นเทาอยู่เล็กน้อย สูดดมรับอากาศหนาวนี้ และเงยหน้ามองไปบนฟากฟ้า “คืนนี้…เหตุใดจึงมืดยิ่งนัก ? ”
“คาดว่าพรุ่งนี้คงจะมีหิมะตกอีกครา ที่นี่หนาวเกินไป เข้าไปด้านในเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะปิดหน้าต่างเอง”
“อย่าปิดหน้าต่างเลย ให้อากาศได้ถ่ายเทเสียบ้าง ไหนเจ้าลองบอกมาสิว่าเจ้าเห็นสิ่งใดบ้างที่จวนฟู่ ? ”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวเล่าสิ่งที่เห็นในจวนฟู่ทั้งหมด แต่เพิกเฉยต่อเรื่องสุดท้ายที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ทำลายข้าวของทุกห้องของตนเอง เพราะฟู่เสี่ยวกวนบอกให้นางทำเป็นมิเห็นเรื่องนี้ไปเสีย เยี่ยงนั้นก็ถือว่านางมิเคยเห็นและรับรู้เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้มาก่อน
“เขาได้ฝากให้ข้านำคำพูดมากล่าวกับท่านปู่เจ้าค่ะ”
“โอ้ เขากล่าวว่าเยี่ยงไร ?”
“เขากล่าวว่า…เรื่องธนูสุริยะพินาศข้ารู้ดี ควรถอยไปก่อนหนึ่งก้าวเพื่อให้ทุกอย่างราบรื่นขึ้น”
“เขากล่าวเยี่ยงนั้นรึ ? ”
“เจ้าค่ะ นี่คือคำพูดที่เขากล่าวไว้”
เยี่ยนเป่ยซีนั่งลงบนเตียง นิ้วชี้มือขวาของเขาค่อย ๆ เคาะที่ขอบเตียง และมีเสียงของความไม่พอใจดังขึ้นมาเบา ๆ
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 1 เรื่องที่เกิดขึ้นที่กองทัพชายแดนตะวันออก ในยามนั้นได้ส่งผ่านกรมกลาโหมไปยังคณะเสนาบดี และเสมียนกลางสำนักตรวจสอบพระราชโองการจึงจะได้ทราบ
เพราะการตายในสนามรบของฉินถง ฉินปิ่งจงที่เข้าร่วมการหารือทางการเมืองของราชสำนักคิดว่าสำนวนฉบับนี้มีจุดที่น่าสงสัยอยู่มากมาย จึงร้องขอให้คณะเสนาบดีส่งคนไปตรวจสอบที่กองทัพชายแดนตะวันออก
หลังจากนั้นราชครูอาวุโสเฟ่ยจึงได้มาหาเยี่ยนเป่ยซี ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ 2 ชั่วยาม จากนั้นบนราชสำนัก เยี่ยนเป่ยซีได้ให้เยี่ยนซือเต้าส่งคนของคณะเสนาบดีไปตรวจสอบเรื่องที่กองทัพชายแดนตะวันออก
สามเดือนให้หลัง ผู้ตรวจสอบจึงได้กลับมาที่เมืองหลวง กล่าวว่าสาส์นบังคมทูลของกองทัพชายแดนตะวันออกถูกต้อง นายพลฉินถงได้พาทหารม้าบุกไปยังที่ราบสีหม่า และตกอยู่ในวงล้อมของทหารจากแคว้นอี๋ ในตอนที่กองทัพชายแดนตะวันออกได้ส่งกองทัพออกไปช่วยเหลือ นายพลฉินถงก็ได้สิ้นชีพไปแล้ว ทหารม้านับพันนายกลับมาได้เพียงครึ่งหนึ่ง
นี่คือสงครามที่ราบสีหม่าในแบบฉบับราชสำนัก
เยี่ยนเป่ยซีย่อมทราบเรื่องธนูสุริยะพินาศ เยี่ยงนั้นความหมายของควรถอยไปก่อนหนึ่งก้าวเพื่อให้ทุกอย่างราบรื่นขึ้น ย่อมหมายถึงให้ถอนตัวจากตำแหน่งนายพลสูงสุดของกองทัพชายแดนตะวันออกมาเสีย
หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องการตรวจสอบเรื่องราวที่ที่ราบสีหม่าอีกครากัน ?
แต่เรื่องฉ้อโกงในปัจจุบันก็ทำให้ขุนนางต่างอยู่กันอย่างมิเป็นสุขกันถ้วนหน้า หรือว่าฮ่องเต้จะทรงมีความคิดที่จะลงมือกับกองทัพชายแดนตะวันออกในเวลานี้เยี่ยงนั้นรึ ?
แน่นอนว่า หากเรียกเยี่ยนฮ่าวชูกลับมา ดาบในครานี้ก็จะมามิถึงหัวของตระกูลเยี่ยน เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวไว้แล้ว ว่าเป้าหมายของเขาคืออำนาจของตระกูลเฟ่ย
รากฐานอำนาจของตระกูลเฟ่ยในกองทัพนั้นฝังลึกยิ่ง ในอดีตมีเฟ่ยอันเป็นแม่ทัพของกองทัพชายแดนทางใต้ ถึงแม้เฟ่ยอันในตอนนี้จะซ่อนตัวอยู่ในเขตหนานหลิง แต่เขาก็ควบคุมกองทัพชายแดนทางใต้มาถึง 20 ปีเต็ม !
และเฟ่ยปังก็เคยควบคุมกองทัพชายแดนตะวันออกถึง 15 ปี ใช้การสละชีพในที่ราบสีหม่าทำข้อตกลงกับเยี่ยนซือเต้าเพื่อโยกย้ายไปยังเสนาบดีกรมกลาโหมนี่ก็ใกล้จะ 8 ปีแล้ว ในแปดปีนี้ก็มิรู้เหมือนกันว่าเขาใช้อำนาจมืดวางกำลังคนไว้ที่กองทัพใหญ่แต่ละชายแดนเท่าใด
และในตอนนี้เฟ่ยอู่ก็ได้เป็นผู้บัญชาการทหารม้าเกราะเบาของกองทัพชายแดนตะวันออก ใคร่ครวญดูแล้วแผนการอำนาจของตระกูลเฟ่ยต้องการให้เฟ่ยอู่กุมกองทัพชายแดนตะวันออกไว้ให้ได้
จากที่ดูในตอนนี้ ผลประโยชน์ของการสมคบคิดนี้ ตระกูลเยี่ยนมิได้มีผลประโยชน์ร่วมด้วยแต่อย่างได้ แต่นี่กลับทำให้ตระกูลเฟ่ยมีอำนาจมากยิ่งขึ้น
คาดการณ์พลาดไปหมดแล้ว !
เยี่ยนเป่ยซีเงยหน้าขึ้นอย่างช้า ๆ ในใจกลับครุ่นคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวงได้เพียงกี่วันกัน ? เหตุใดจึงทราบเรื่องราวเสียมากมาย ? หรือว่าฮ่องเต้และพระสนมซั่งจะไว้วางใจเขาถึงเพียงนั้นเชียวรึ ?
หรือว่าฮ่องเต้และพระสนมซั่งได้ตรวจสอบจนแน่ชัดแล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นบุตรชายของสวี่หยุนชิงและฟู่ต้ากวน ?
คิดไปแล้วก็น่าจะเป็นเยี่ยงนั้น มิเช่นนั้นอาศัยความสามารถของฟู่เสี่ยวกวนเพียงผู้เดียว เขาจะทราบเรื่องเมื่อแปดปีที่แล้วได้เยี่ยงไร ทั้งยังเป็นเรื่องที่ไกลจากกองทัพชายแดนตะวันออกไปถึง 1,000 ลี้
ฟู่เสี่ยวกวนเป็นเบี้ยในพระหัตถ์ของฝ่าบาท เยี่ยนเป่ยซีมั่นใจในจุดนี้อย่างมาก เนื่องจากเบี้ยนี้ได้ชี้ไปทางกองทัพชายแดนตะวันออก เยี่ยงนั้นในท้ายที่สุดก็จะกลืนกินอำนาจของตระกูลเฟ่ยในเมืองหลวงเป็นแน่
ความอยากนี้ค่อนข้างใหญ่โตนัก ต่อให้ฝ่าบาทจะกลืนกินอำนาจของตระกูลเฟ่ยได้ ก็เกรงว่าเบี้ยตัวนี้จะถูกกำจัดหายไปจากกระดานเช่นกัน
เสียงนิ้วเคาะกับขอบเตียงได้หยุดลงแล้ว เยี่ยนเป่ยซีกล่าวกับเยี่ยนเสี่ยวโหลวเสียงเรียบว่า “เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้าเองก็จะพักผ่อนแล้วเช่นกัน”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวขอตัวลาและเดินออกไป ต้วนหยุนโฉวก็เดินเข้ามา
“ฟู่เสี่ยวกวนมิตาย เมืองหลวงจะมิสงบสุข”
เยี่ยนเป่ยซีเงียบไปอีกอึดใจ “เขาตายมิได้ ภายภาคหน้ามิต้องให้ความสนใจแก่ฟู่เสี่ยวกวนอีก ลองมองออกไปให้ไกลอีกสักเล็กน้อย และให้ความสนใจทางตะวันออกเถิด”
…..
ฮั่วหวยจิ่นควบม้าเพียงลำพังไปตามถนนเส้นใหญ่
แสงไฟริมถนนใหญ่แกว่งไหวไปมาตามสายลม และทำให้เงาของเขาถูกดึงจนรูปร่างเปลี่ยนไปดูแล้วช่างประหลาดยิ่งนัก
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า มันมืดมิดราวกับถูกทาทับไปด้วยน้ำหมึก
“หิมะจะตกอีกแล้วรึ ! แต่เดิมคาดว่าฤดูหนาวทางตะวันออกหนาวมากแล้ว แต่ฤดูหนาวของทางใต้ก็มิได้ต่างกันสักเท่าใดเลย !”
เขาบ่นอีกครา “ถ้ามีสุราสักขวดคงจะดีมิน้อย”
“ข้ารู้จักสถานที่ที่หนึ่งที่มีสุรา” องค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าที่สะพายกระบี่ไว้ด้านหลัง ลงมายังเบื้องหน้าของเขา ฮั่วหวยจิ่นลงจากม้าและกำลังจะโน้มคำนับ หยูเวิ่นเต้าโบกมือ “เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่ ?”
“ข้าจะไปจวนฟู่”
“เยี่ยงนั้นข้าไปด้วย”
“เรื่องราวจบลงแล้วเยี่ยงนั้นรึ ?”
หยูเวิ่นเต้าเองก็เงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมิด และแสยะยิ้มออกมา “เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น”
ทั้งสองเดินเข้าไปในจวนฟู่ ภายในจวนฟู่ข้าวของถูกทำลายกระจัดกระจาย
ฮั่วหวยจิ่นคิ้วขมวด คาดว่าที่นี่น่าจะเตรียมการการต่อสู้ไว้เป็นอย่างดีแล้ว แต่เหตุใดจึงเป็นเยี่ยงนี้ไปได้ ?
“มองมิออกหรือ ? ”
ฮั่วหวยจิ่นส่ายหน้าและหันไปมองหยูเวิ่นเต้า หยูเวิ่นเต้ามิได้ตอบกลับไป เขาเพียงตะโกนเสียงดังลั่น “ฟู่เสี่ยวกวน เอาสุรามา ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกมาอย่างเชื่องช้า คำนับทั้งสอง และเอ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น “พระองค์ทรงทอดพระเนตรเห็นจวนของกระหม่อมหรือไม่ว่าในตอนนี้วุ่นวายถึงเพียงใด…”
“ไปดื่มที่ศาลานั่น ! ”
ศาลาเถาหรานมีกองไฟอยู่ 2 เตา และมีอาหารจานเล็กที่กำลังร้อนกรุ่นไม่กี่อย่างวางอยู่บนโต๊ะหิน แน่นอนว่ายังมีซีซานเทียนฉุนอีก 3 ขวด
ฟู่เสี่ยวกวนรินสุรา หยูเวิ่นเต้าจึงเอ่ยแนะนำ “ผู้นี้คือโอรสคนที่สองของกษัตริย์แห่งเจิ้นซี ฮั่วหวยจิ่น และเป็นผู้บัญชาการทหารรักษาเมืองในค่ำคืนนี้”
คุ้นเคยกับชื่อนี้นัก ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด หยูเวิ่นหวินเคยกล่าวกับเขา เป็นเพราะเรื่องขององค์หญิงสามหยูเวินหวินจึงได้เอ่ยนามนี้ขึ้นมา
นางกล่าวว่าแท้จริงองค์หญิงสามได้มีคนในดวงใจแล้ว ซึ่งก็คือโอรสคนที่สองของกษัตริย์แห่งเจิ้นซี ฮั่วหวยจิ่น
คนผู้นี้ดูอายุประมาณ 20 ปี รูปลักษณ์สง่างาม หากมิมีหอกวางอยู่ข้างกาย คาดว่าคงมิมีผู้ใดคิดว่าเขาคือแม่ทัพใหญ่ผู้หนึ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนชูจอกไปทางฮั่วหวยจิ่น แล้วกล่าวว่า “เรื่องในวันนี้ เสี่ยวกวนจะสลักจำเอาไว้ในใจ ขอมิกล่าวอันใดมาก พวกเราได้รู้จักกันเป็นคราแรก สามจอกพ่ะย่ะค่ะ !”
ฮั่วหวยจิ่นหัวเราะ ยามที่อยู่ทางตะวันตกอันแสนห่างไกลก็เคยได้ยินนามฟู่เสี่ยวกวนนี้เช่นกัน ก็เหมือนกับคนทั่วไปในใต้หล้า เป็นเพราะความฝันในหอแดงเล่มนั้น และเป็นเพราะบทกวีที่อยู่ในลำดับแรกบนหินเชียนเปยสือ
แต่เดิมเขาคิดว่าเป็นปัญญาชนที่มีความรู้มากล้น เขาได้มาเมืองหลวงและพบกับองค์หญิงสามหยูชิงหลานสองครา หยูชิงหลานเองก็เคยกล่าวถึงคนผู้นี้เช่นกัน กล่าวว่าวรรณกรรมของคนผู้นี้ล้ำเลิศนัก ทั้งยังเข้าใจในเรื่องของการปกครอง
นั่นมิได้มีสลักสำคัญอันใด แต่เหตุการณ์รบในถนนเส้นยาววันนี้กลับทำให้ฮั่วหวยจิ่นต้องเปลี่ยนความคิดที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวนเสียใหม่ คาดมิถึงว่าคนผู้นี้จะใจกล้าถึงเพียงนี้ และที่สำคัญกว่านั้นคือคนผู้นี้สังหารโดยมิกะพริบตา !
ปัญญาชนหนึ่งคนนั้นมิน่ากลัว แต่ที่น่ากลัวคือปัญญาชนที่มิกลัวตาย
ดังนั้นตามแผนการแล้ว หลังจากที่สังหารทหารม้า 300 นายของฮุ่ยชินอ๋องไปได้ เขาควรจะกลับกองกำลังได้แล้ว แต่เขากลับอยากเห็นหน้าฟู่เสี่ยวกวนเสียหน่อย เพราะหยูชิงหลานกล่าวว่า เรื่องงานอภิเษกสมรสในสิ้นปี มีความเป็นไปได้อย่างมากที่ฟู่เสี่ยวกวนจะได้เป็นราชทูตเดินทางไปยังแคว้นฮวง
“หวยจิ่นเองก็ได้ยินชื่อเสียงของน้องฟู่มาเนิ่นนานแล้ว ได้มาพบปะในวันนี้ เป็นวีรบุรุษเยาว์วัยอย่างที่คาดคิดไว้จริง ๆ สามจอก 1”
ทั้งสองจึงชนและดื่มไปสามจอกทั้งอย่างนั้น หยูเวิ่นเต้าเพียงดื่มจอกที่ตนมี
“ค่ำคืนนี้ฝ่าบาทก็ลำบากเช่นกัน พวกเราเองก็สามจอก !”
หยูเวิ่นเต้าเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน ลอบคิดว่าเจ้าลืมความดีของข้าไปเสียแล้ว !
หลังจากที่ชนกันอีกสามจอก ฟู่เสี่ยวกวนก็เอ่ยปากขึ้นอีกครา แต่กลับกล่าวถึงข้อสงสัยที่อยู่ในใจ “ฮุ่ยชินอ๋องผู้นั้น…ฝ่าบาทเข้าใจอย่างถ่องแท้มากน้อยเพียงใดพ่ะย่ะค่ะ ? ข้าน้อยรู้สึกว่าสมองของเขาค่อนข้างจะมีปัญหาพ่ะย่ะค่ะ ?”
ประกาศห้ามออกจากจวนยามค่ำคืนของเมืองจินหลิง เป็นสัญญาณที่ชัดเจนอย่างยิ่ง กล่าวได้ชัดว่าภายในวังหลวงมิต้องการให้เกิดการปะทะขึ้นอีก และกล่าวได้ว่าภายในวังหลวงอาจจะมีหนทางป้องกันการปะทะที่จะเกิดขึ้นแล้ว แต่เขากลับยังคงเปิดฉากโจมตีในสนามรบที่มิมีโอกาสชนะเยี่ยงนี้
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดไปมาแล้วก็ไม่เข้าใจว่าเพื่อเหตุใดกัน จึงสรุปได้เพียงว่าสมองของฮุ่ยชินอ๋องนั้นมีปัญหา
“ข้าเองก็มิคุ้นเคยเท่าใดนัก แต่หลังจากผ่านเหตุการณ์ในคืนนี้ไป เขาย่อมกลับตัวลำบากแล้ว ตามการคาดการณ์ของข้า…เขาจะถูกขับไล่ ให้ไปอยู่ที่หลิงหนานที่เขาได้รับพระราชทานมา”
ตายยากเสียจริง !
เยี่ยงนี้ก็จะยิ่งพัวพันไปกันใหญ่
สำหรับศัตรู ตั้งแต่ชาติที่แล้วจนถึงปัจจุบันฟู่เสี่ยวกวนมีคติประจำใจเพียงหนึ่งเท่านั้น มีเพียงศัตรูที่ตายแล้วเท่านั้นจึงจะเป็นศัตรูที่ดีที่สุด !
หากฮุ่ยชินอ๋องไม่ตาย เขาคงจะรู้สึกอึดอัดมิน้อย
“ต้องทำเยี่ยงไรจึงจะสังหารเขาได้ ? ”
ฮั่วหวยจิ่นใจกระตุกกับคำถามนี้ พลางเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน ก็พบว่าในแววตาของชายผู้นี้เต็มไปด้วยจิตสังหาร
“เฮ้อ…เสด็จลุงหกของข้าได้รับความโปรดปรานจากไทเฮาอย่างมาก หากต้องการปลิดชีพเขา คงจะต้องสวมหมวกกบฏให้เขาเสีย มิเช่นนั้นคงจะทำให้เขาตายตกมิได้”
“โอ้…” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด ในหัวเกิดความคิดร้าย ๆ ขึ้นมาเสียมากมาย
“ข้าได้รับข่าวมาว่า ผู้บัญชาการกองทหารม้าเกราะเบาเฟ่ยกั๋วกองทัพชายแดนตะวันออกกลับมาเมืองหลวงแล้ว”
“มิมีคำสั่งโยกย้ายของกรมกลาโหมรึ ?”
“เรื่องนั้นง่ายถึงเพียงนั้นเลยรึ ? พี่ชายของเขาคือเสนาบดีกรมกลาโหม”
ฮั่วหวยจิ่นคิ้วขมวด เดิมทีเขาก็เป็นคนจากกองทัพชายแดน และเข้าใจกฎระเบียบของกองทัพเป็นอย่างดี
หากผู้บัญชาการท่านใดออกมาโดยมิได้รับหมายของกรมกลาโหม ก็จะต้องได้รับโทษประหาร !
เยี่ยงนั้นเฟ่ยกั๋วกลับมาทำอันใดที่เมืองหลวงกัน ?
“พวกเจ้าดื่มสุรารอกันไปก่อนเถิด โอ้ ข้าจะไปนำตะเกียบกับถ้วยมาอีกหนึ่งชุด ประเดี๋ยวจะมีผู้มาเยือนอีกผู้หนึ่ง” หยูเวิ่นเต้ากล่าวขึ้นมาเบา ๆ เสียงเรียบ
ฟู่เสี่ยวกวนเหม่อมองฟ้า ท้องฟ้ามืดมิด เกรงว่าในตอนนี้น่าจะเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว และก็มิรู้ว่าจะมีผู้ใดมาอีกกัน
เขาทราบสถานการณ์ในค่ำคืนนี้มิมากนัก แต่จากรายงานที่หอชิงเฟิงซี่หยู่ส่งมา เขาก็ได้เข้าใจบริบทโดยคร่าว ๆ แล้ว
ข้าเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งเท่านั้น !
พวกเจ้ามิกลัวว่าข้าจะถูกผู้อื่นกำจัดออกไปเยี่ยงนั้นรึ ?
ประตูจวนของฮุ่ยชินอ๋องค่อย ๆ เปิดออก ภายในมีรถม้าคันหนึ่งวิ่งออกมา รถม้าคันนี้มุ่งตรงไปทางตะวันออก มันวิ่งไปอย่างเชื่องช้า ทำให้ได้ยินเสียงเกือกม้าที่วิ่งไปบนถนนได้อย่างชัดเจน
ผ่านไปประมาณ 2 ก้านธูป มีทหารม้าจำนวน 300 คน ออกมาจากจวนของฮุ่ยชินอ๋อง
พวกเขายังคงยืนอย่างสงบในตรอกซานเยวี่ย เมื่อชายผู้นำขบวนให้สัญญาณดาบ ทหารม้ากว่าสามร้อยคนก็มุ่งหน้าไป แต่ก็มิได้ส่งเสียงดังเท่าใดนัก เนื่องจากเกือกม้าถูกห่อหุ้มเป็นอย่างดี
ที่ประตูจวนฮุ่ยชินอ๋องปรากฏชายชุดดำเดินออกมายี่สิบกว่าคน ผู้ที่เดินนำหน้าสะพายดาบอยู่ด้านหลัง เขากระโดดขึ้นจากพื้นสู่ชายคาที่อยู่ตรงข้าม ชายชุดดำอีกยี่สิบกว่าคนที่ตามหลังมาก็กระโดดตามเขาไป พวกเขามุ่งตรงไปยังจวนฟู่
ผ่านไปอีก 2 ก้านธูป ที่จวนฮุ่ยชินอ๋องก็มีรถม้าออกมาอีกคันหนึ่ง มันวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วและมุ่งตรงไปยังทิศใต้
ผู้ที่นั่งอยู่ในรถม้าคันนี้คือชายชุดดำนั่นเอง เขาขมวดคิ้วขึ้นจากนั้นยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
เซียวจ้านนำกองทหารม้านี้ไปยังถนนของเมืองหลวงอย่างเงียบ ๆ เขาต้องการเข้าจู่โจมจวนฟู่โดยการพุ่งทะลุประตูใหญ่เข้าไป จากนั้นร่วมมือกับซีเหมินเพียวเสวี่ยที่นำชาวยุทธมุ่งตรงไปยังจวนฟู่เช่นกัน !
แต่สิ่งที่เขาคาดมิถึงก็คือ ที่สุดตรอกซานเยวี่ยนั้นมีชายผู้หนึ่งขี่ม้าพร้อมปืนในมืออยู่กลางถนน
เขายืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวพร้อมม้าคู่ใจ ประกอบกับแสงไฟสลัวทำให้เซียวจ้านเกิดแรงกดดันมากทีเดียว
เซียวจ้านขมวดคิ้วขึ้น จากนั้นยกดาบโบกไปข้างหน้า ในวันนี้เขามีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวนั่นคือ “ฆ่า ! ”
แต่ต่อจากนั้นเขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติไป ชายผู้ที่ยืนอยู่นั้นมิได้ขยับไปไหน เขาเพียงมองไปทั้งสองข้างซ้ายและขวา บนหลังคาก็ปรากฏคนจำนวนมาก
คนเหล่านั้นถือธนูและลูกธนูเพ่งเล็งมายังพวกเขา !
หยู่หลินจวิน !
นี่คือกับดัก !
เขาประหม่าขึ้นมาทันที เมื่อชายผู้นั้นโบกปืนในมือ หลังคาทั้งสองฝั่งก็ปรากฏลูกธนูยิงออกมาราวกับสายฝนท่ามกลางพายุอันดุเดือด !
“ฉึบๆๆ !”
“อ๊าก… !”
“ฮี้ๆๆ !”
มีทั้งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดและเสียงของม้าที่ถูกยิง หลังการโจมตีทหารม้าเหล่านั้นสูญเสียกำลังไปกว่าครึ่ง
พวกเขายังคงถูกโจมตีอย่างต่อเนื่อง เซียวจ้านกัดฟันกรอด ๆ เขาหวังว่าจะสามารถฝ่าพายุลูกธนูเหล่านี้ไปได้และยังคงหวังว่าจะไปถึงจวนฟู่เสี่ยวกวนได้ !
แต่เขาก็กลับต้องสิ้นหวังในทันใด
พวกเขาอยู่ห่างจากชายผู้นั้นเพียง 300 เมตร แต่ทั้งสองข้างของระยะทาง 300 เมตรได้มีทหารหยู่หลินจวินตั้งอยู่สองแถวพร้อมธนู
การโจมตีของพายุลูกธนูได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง หลังจากนั้นเพียงไม่กี่อึดใจ ทหารม้าที่ยังมีชีวิตอยู่ของเซียวจ้านเหลือเพียงห้าสิบกว่าคน
เมื่อชายผู้นั้นส่ายหัวและบังคับม้าให้เดินกลับไป สิ่งที่ทำให้เซียวจ้านต้องพบกับความสิ้นหวังก็เกิดขึ้น
ตรงหัวมุมปรากฏทหารขึ้นจำนวน 1,000 คน !
เป็นองค์รักษผู้พิทักษ์วังหลวง ทหารชั้นยอดของราชวงศ์หยู เดิมทีพวกเขาควรจะอยู่ปกป้องที่นอกเมืองหลวง แต่บัดนี้กลับปรากฏตัวขึ้นที่นี่
“นอกจากแม่ทัพที่นำมา จงปลิดชีพทุกคนจากนั้นตัดหัวพวกมันมา นำไปกองไว้ที่หน้าจวนฮุ่ยชินอ๋อง แล้ว…แม่ทัพนั่นนำไปยังจวนผู้ว่าเขตจินหลิง เมื่อเสร็จสิ้นแล้วพวกเจ้ากลับไปพักผ่อนได้”
“น่าเบื่อสิ้นดี ! ” ฮั่วหวยจิ่นบ่นออกมา จากนั้นขี่ม้าค่อย ๆ จากไปยังจวนฟู่
เขาขี่ม้าไปอย่างช้า ๆ บนถนนที่เงียบสงบนี้คล้ายกับไม่รีบร้อนแม้แต่น้อย
……
ในขณะเดียวกัน ณ ที่แห่งหนึ่งในเมืองหลวง คนชุดดำเหล่านั้นตั้งเป้าหมายไปยังบรรดาสตรีผู้ที่เคยถูกหยูจิ่งฟ่านรังแก
พวกเขาต้องการฆ่าปิดปาก นี่เป็นเรื่องที่ใครก็สามารถเดาได้ สตรีเหล่านั้นเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไป แต่คนชุดดำเหล่านั้นเป็นถึงชาวยุทธผู้แข็งแกร่ง เมื่อพวกเขาปฏิบัติภารกิจนี้เรียบร้อยยังต้องไปทางจวนฟู่เพื่อเป็นกำลังเสริมด้วย
ดังนั้นเมื่อตอนที่พวกเขามาถึงจึงมิได้ใส่ใจว่ามีใครซ่อนอยู่บนชายคา
พวกเขาคือคนของหอชิงเฟิงซี่หยู่ หรือเอ่ยให้ถูกนั่นก็คือ เป็นนักดาบจากหอชิงเฟิงนั่นเอง
พวกเขาเหล่านี้กำดาบไว้ในมือและกระโดดออกมาจากหลังคา การต่อสู้ใช้เวลาไม่นานนัก คนชุดดำก็พ่ายแพ้ให้แก่พวกเขา
บรรดานักดาบของหอชิงเฟิงมิได้จากไปในทันที แต่พวกเขายังคงรออยู่ ณ ที่นั้น เนื่องจากพวกเขายังมิได้รับคำสั่งให้ถอยกลับ
ซีเหมินเพียวเสวี่ยพาผู้มีความสามารถมายังทะเลสาบซวนอู่
ภายใต้แสงดาวและแสงจันทร์อันสลัว ทะเลสาบซวนอู่ที่เยือกแข็งดูมืดมิดราวกับไร้ก้นบึ้ง
ในใจของเขาแท้จริงมิได้ชื่นชอบการต่อสู้ในค่ำคืนเท่าใดนัก เนื่องจากในค่ำคืนนี้เมืองหลวงได้ปิดเมืองลง หมายความว่าเรื่องราวนี้ไปถึงหูของฮ่องเต้เข้าแล้ว และการปิดเมืองนี้เพื่อป้องกันการต่อสู้อย่างดุเดือดของทั้งสองฝ่าย
ฟู่เสี่ยวกวนมีซูเจวี๋ยและซูโหรวคอยคุ้มกันให้อยู่ หากพวกเขาต้องการเข้าโจมตีจวนฮุ่ยชินอ๋องก็คงมิมีผู้ใดสามารถหยุดพวกเขาได้
แต่สวีหวินกุยที่ปรึกษาอันดับหนึ่งของฮุ่ยชินอ๋องได้ชิงลงมือในค่ำคืนนี้ก่อน เขาเอ่ยว่าหากพลาดค่ำคืนนี้ไปเกรงว่าจะมิมีโอกาสเสียแล้ว หากฟู่เสี่ยวกวนไม่ตาย ก็คงเป็นศีรษะของฮุ่ยชินอ๋องที่ต้องขาด
แต่การที่จะปลิดชีพฟู่เสี่ยวกวนมิใช่เรื่องง่าย ซูเจวี๋ยมีความสามารถถึงเพียงนั้น แต่ตนกลับมีเพียงผู้ช่วยที่ไร้ความสามารถ มิอาจเทียบได้กับซูเจวี๋ยเลยแม้แต่น้อย !
จะให้พวกเขาต่อสู้ได้เยี่ยงไร ?
ซีเหมินเพียวเสวี่ยเองก็มิรู้เช่นกัน จากแผนการของหวินกุย เดิมทีสั่งให้พวกเขารออยู่ที่นี่ เมื่อเซียวจ้านพาทหารม้ามาโจมตีจวนฟู่ จะใช้ไฟเป็นสัญลักษณ์ ให้พวกเขาเข้าโจมตีฟู่เสี่ยวกวน ปลิดชีพเขาและถอยทัพกลับให้เร็วที่สุด !
หวินกุยกล่าวว่าเมื่อทหารม้าโจมตีจวนฟู่แล้ว จะต้องมีผู้มีฝีมือเข้าต่อสู้แทนฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่ และตัวฟู่เสี่ยวกวนเองจะอยู่ด้านหลังสุด ซึ่งนี่เป็นโอกาสดี หากพลาดไปแล้วก็อาจก่อให้เกิดการต่อสู้นองเลือดได้อีกครา
สิ่งที่กล่าวมานั้นคล้ายกับมีเหตุผล ดังนั้นซีเหมินเพียวเสวี่ยจึงได้รออยู่ที่นี่เพื่อรอข่าวจากเซียวจ้าน
ซูซูยังคงนั่งไกวชิงช้าที่ศาลาเถาหราน นางมองไปยังทะเลสาบซวนอู่ ในใจก็นึกว่าเหตุใดเขายังมิกลับมากัน ?
เยี่ยนเสี่ยวโหลวนั่งอยู่ตรงข้ามฟู่เสี่ยวกวน นางมีความกลัวเล็กน้อยเนื่องจากมิได้จุดเทียนให้แสงสว่าง
เรื่องการเดินทางมาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวทำให้ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจไม่น้อย เขาไม่รู้ว่าจะคุยกับนางถึงเรื่องใด เนื่องจากทั้งสองคนมิได้คุ้นเคยกัน
ดังนั้นเขาจึงยกแก้วขึ้นเอ่ยว่า “ข้าไม่เป็นอะไรจริง ๆ ประเดี๋ยวจะให้คนส่งเจ้ากลับไปยังจวน คืนนี้มิได้ปลอดภัยนัก”
ดวงตาของนางจ้องมองไปยังเขา ค่ำคืนนี้ช่างปลอดภัยยิ่งนัก เนื่องจากบนท้องถนนไม่มีแม้แต่เงาคน
นางรู้สึกกังวลเล็กน้อย เนื่องจากนี่เป็นครั้งแรกที่พบกับฟู่เสี่ยวกวนสองต่อสอง แน่นอนว่านางไม่ได้เห็นซูซูที่ไกวชิงช้าอยู่ในสายตา
“ที่จริงเรื่องนี้เจ้าสามารถไปฟ้องร้องได้ และให้ทางจังหวัดจัดการ เหตุใดจึงต้องเสี่ยงอันตรายเช่นนั้น ? ก่อนหน้านี้ที่เจ้าถูกลักพาตัวได้ลืมไปแล้วรึ ?”
ประโยคนี้แฝงไปด้วยความเป็นห่วงและการต่อว่า คล้ายกับภรรยาดุสามีอย่างไรอย่างนั้น
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะหึ ๆ “ในตอนนั้นข้ามิได้คิดมาก อีกทั้งข้าหารู้ไม่ว่าเขาเป็นบุตรชายของฮุ่ยชินอ๋อง หากข้ารู้คงทำตามที่เจ้าแนะนำเมื่อครู่”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวหลงเชื่อ จากนั้นนึกถึงคำที่ท่านปู่ฝากมาบอกกับฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมาได้จึงเอ่ยว่า “ท่านปู่กำชับให้ข้าบอกเจ้าว่าจีหลินชุนอยู่ที่จวนฮุ่ยชินอ๋อง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้น เดิมทีเขาคิดว่าหอชิงเฟิงซี่หยู่ได้กวาดล้างทุกสิ่งไปแล้ว ดังนั้นจีหลินชุนคงจะถูกฆ่าหรือถูกไฟคลอกไปด้วยเช่นกัน นางมิควรที่จะมีชีวิตอยู่ เขาคาดไม่ถึงว่านางกลับอยู่ที่จวนฮุ่ยชินอ๋อง !
จากข้อมูลของจีหลินชุน นางเป็นคนของหยี่ฮวาถาย ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจขององค์ชายสี่ หรือระหว่างองค์ชายสี่กับฮุ่ยชินอ๋องจะมีความสัมพันธ์กันมากกว่าที่เขาคิด ?
“รอข้าประเดี๋ยว ข้าจะรีบกลับมา”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นเดินไปยังลานด้านในเพื่อพบซูโหรว เขาเชิญนางไปยังจวนฮุ่ยชินอ๋องเพื่อนำตัวจีหลินชุนกลับมา
“เจ้ามิกังวลเกี่ยวกับที่นี่งั้นรึ ?”
“ที่นี่มิอาจเกิดเรื่องใดขึ้นได้ องค์ชายห้าทรงส่งผู้ดูแลมาถึง 7 คน”
ซูโหรวเดินทางจากไป ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้กลับมายังศาลาเถาหราน “เจ้าจงกลับไปบอกกับท่านปู่ของเจ้าว่า…เรื่องธนูสุริยะพินาศข้ารู้ดี ควรถอยไปก่อนหนึ่งก้าวเพื่อให้ทุกอย่างราบรื่นขึ้น”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวงุนงง นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดข้อความโต้ตอบของทั้งสองจึงได้แปลกประหลาดนัก ?
มองดูแล้วฟู่เสี่ยวกวนคงเข้าใจความหมายของท่านปู่ดี แต่ท่านปู่จะเข้าใจความหมายของฟู่เสี่ยวกวนหรือไม่ ?
“เจ้าวางใจได้ เขาเข้าใจแน่”
ทันใดนั้น ดอกไม้ไฟถูกจุดขึ้นจากในจวน ทำลายความเงียบสงบของค่ำคืนนี้ ช่างงดงามเสียจริง
“เจ้าควรไปได้แล้ว อีกประเดี๋ยว…เกรงว่าเจ้าจะตกใจ”
เขาเป็นห่วงข้าอย่างนั้นหรือ ?
เยี่ยนเสี่ยวโหลวดีใจยิ่งนัก นางส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “เจ้ายังมิกลัว เหตุใดข้าต้องกลัว ?”
ซีเหมินเพียวเสวี่ยได้รับสัญญาณ เขาโบกดาบไปด้านหน้า จากนั้นชาวยุทธทั้งยี่สิบกว่าคนก็ตามเขาไปยังทะเลสาบซวนอู่ ตรงไปยังจวนฟู่
“มิใช่เช่นนั้น อีกประเดี๋ยวจะมีคนเข้ามาปลิดชีพข้า”
“เช่นนั้นเจ้าจงไปกับข้า”
อืม…เรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนจะอธิบายอย่างไรให้นางเข้าใจ ?
เนื่องจากการที่พวกเขาบุกเข้ามาในจวนฟู่เป็นสิ่งเริ่มต้นที่สำคัญ แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยกับเยี่ยนซีโหลว แต่สตรีนางนี้ก็มีจิตใจแข็งแกร่งไม่ธรรมดา
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราเข้าไปด้านในเถิด”
“อืม !”
ฟู่เสี่ยวกวนพาเยี่ยนซีโหลวเดินเข้าไปด้านใน ซีเหมินเพียวเสวี่ยพามือสังหารมาถึงศาลาเถาหราน จากนั้นพุ่งเข้าไปตามทางเดิน ซูซูกระโดดไปยังหลังคาของศาลาชิงซินและมองดูพวกเขาเหล่านั้น
ซีเหมินเพียวเสวี่ยหยุดฝีเท้าลงทันใด !
“ระวังกับดัก !”
จวนฟู่มิได้จุดไฟแม้แต่ดวงเดียว เขาไม่เห็นร่องรอยการต่อสู้แม้แต่น้อย แล้วทหารม้าของเซียวจ้านเล่า ?
เขาตัดสินใจจากไปแต่ยังมิทันได้หันหลังกลับ ก็พบว่าเขาพลาดโอกาสนั้นไปเสียแล้ว
ศาลาเถาหรานที่ด้านหลังพวกเขา มีไฟดวงหนึ่งถูกจุดขึ้น เมื่อเขาหันหลังกลับไปมองพบว่าซูเจวี๋ยนั่งอยู่ที่นั่น
และเมื่อเขามองไปยังจวนฟู่ ก็พบว่ามีไฟถูกจุดขึ้นมากมาย และดวงไฟเหล่านั้นตรงมาทางพวกเขา
แสงไฟเหล่านั้นส่องอยู่บนดาบ ไฟเจ็ดดวง ดาบเจ็ดเล่ม !
จอมยุทธทั้งเจ็ด !
ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกมา ในมือของเขาถือดาบอยู่และฟันสิ่งของในจวนเสียหาย หน้าต่าง กำแพง ทางเดินอีกทั้งหยกขาวปี่เซียะที่ฮ่องเต้ประทานให้
เยี่ยนเสี่ยวโหลวตกตะลึง ฟู่เสี่ยวกวนหันมายิ้มให้นางแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้…เจ้าจงทำเป็นมิเห็นเถิด !”
ตอนที่ 201 เผชิญหน้า ( 1 )
หยูหลินจ้องมององค์หญิงใหญ่อยู่หลายอึดใจด้วยสีหน้ามืดครึ้ม หลังจากนั้นจึงหันหลังไปโค้งคำนับไทเฮา “เยี่ยงนั้น ลูกก็ขอรับจิ่งฟ่านกลับจวนพ่ะย่ะค่ะ”
ในตอนที่เขากำลังจะจากไป องค์หญิงใหญ่ก็กล่าวอีกว่า “ช้าก่อน…เสด็จพี่ น้องว่าให้จิ่งฟ่านอยู่ภายในตำหนักจะดีกว่านะเพคะ อย่างไรแล้วที่ตำหนักก็ย่อมมีหมอที่มีความสามารถเป็นเลิศมิใช่รึ เสด็จพี่วางใจเถิด น้องจะไปเยี่ยมเยียนหลานชายผู้นั้น จะมิให้เขาได้รับความอยุติธรรมอีก…เสด็จแม่ มีความคิดเห็นเยี่ยงไรบ้างเพคะ ? ”
ไทเฮาพยักหน้า “ที่ซูหรงกล่าวมานั้นสมเหตุสมผล เจ้าก็ยอมถอยเสียเถอะ ข้ารู้สึกเหนื่อยแล้ว”
“น้องเจ็ด ! เจ้าช่างจิตใจดีเหลือเกิน เสด็จแม่โปรดรักษาพระพลานามัย ลูก…ขอลาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
หยูหลินจึงหันหลังเดินออกจากพระตำหนักฉือหนิงกงกลับไปยังจวนฮุ่ยชินอ๋อง
“ฝ่าบาทมิราบรื่นหรือพ่ะย่ะค่ะ ?”
ภายในศาลาหลวนยวนมีที่ปรึกษาชุดดำผู้หนึ่งนั่งอยู่ เมื่อเห็นฮุ่ยชินอ๋องปรี่เข้ามาด้วยท่าทีเดือดดาล จึงวางตำราในมือลง และเอ่ยถาม
“หยูซูหรง ! นางทำข้าเสียเรื่อง ! ”
ที่ปรึกษาชุดดำต้มน้ำชา และกล่าวเสียงเรียบ “หากให้กระหม่อมเดา…กระหม่อมบอกกับพระองค์ว่าอย่าพาองค์ชายสามไปที่ตำหนัก ดูแล้วองค์ชายสามคงถูกกันไว้ให้อยู่ในตำหนัก เป็นเพราะองค์หญิงใหญ่ที่ทำพระองค์เสียเรื่อง เยี่ยงนั้นพระสนมซั่งจึงมิออกพระพักตร์ กลยุทธ์ขององค์หญิงใหญ่ก็มิเกินไปกว่าการลาก ท้ายที่สุดเรื่องที่องค์ชายสามทำมาในหลายปีมานี้ก็มิสามารถเอื้อนเอ่ยต่อหน้าพระพักตร์ของไทเฮาได้”
เขาหันไปมองฮุ่ยชินอ๋อง “เยี่ยงนั้นในตอนนี้พระองค์ต้องจัดการด้วยกันสามเรื่อง และยิ่งเร็วยิ่งดี ! ”
“คุณชายโปรดชี้แนะข้าด้วยเถิด !”
“ประการแรก รีบไปตามหาเหล่าหญิงสาวที่องค์ชายสามเคยข่มเหงในหลายปีนี้ สังหารทิ้งทั้งหมด อย่าให้มีชีวิตอยู่แม้แต่คนเดียว”
“ประการที่สอง ส่งทหารภายในจวนออกไป ให้ซีเหมินเพียวเสวี่ยพาโจรป่ามาจำนวนหนึ่ง และสังหารฟู่เสี่ยวกวนเสีย”
“ประการที่สาม ส่งเทียบเชิญของพระองค์มาให้กระหม่อม ข้าต้องออกไปนอกเมือง”
“คุณชายจะไปที่ใดหรือ ?”
“เขตหนานหลิง ข้าต้องไปพบแม่ทัพใหญ่ที่ปลูกนาอยู่”
หยูหลินชะงัก “คุณชายหมายความว่าเยี่ยงไร ?”
ที่ปรึกษาชุดดำลุกขึ้นยืน “ลองดูก่อนว่าจะเกลี้ยกล่อมแม่ทัพใหญ่ผู้นั้นได้หรือไม่”
หยูหลินใจกระตุก “ยังมิถึงเวลา ! ”
“ข้าทราบ แต่สถานการณ์ในตอนนี้พวกเราช้าไปแล้วหนึ่งก้าว ดังนั้นจึงต้องเร่งรีบในส่วนที่เหลือ”
ที่ปรึกษาชุดดำก้มศีรษะและเดินไปสองก้าว แล้วจึงเอ่ยถาม “ฝ่าบาทคิดว่าเรื่องในวันนี้เป็นเรื่องบังเอิญหรือพ่ะย่ะค่ะ ?”
มิใช่เยี่ยงนั้นรึ ?
ที่ปรึกษาชุดดำส่ายหน้า “ถึงแม้ไทเฮาจะยังละเว้นให้ฝ่าบาทประทับที่เมืองหลวงได้ แต่ฝ่าบาทกลับมิโปรดปราน ในวันนี้องค์ชายสามได้ออกไปเที่ยวข้างนอก เดิมทีคงจะไปที่ทะเลสาบเว่ยยาง แต่ระหว่างทางกลับเปลี่ยนเส้นทางไปถนนเส้นยาวแทน เพราะองครักษ์ข้างกายกล่าวว่าเจียงหยูมาที่ร้านอู่เว่ยจายในวันนี้ ดังนั้นเขาที่ติดพันกับสตรีที่ยังมิแต่งงานอย่างเจียงหยูจึงไปยังร้านอู่เว่ยจาย”
“และประจวบกับฟู่เสี่ยวกวนที่ไปถนนเส้นยาวนั้นอย่างดิบพอดี และฟู่เสี่ยวกวนก็ได้พบเรื่องเลวร้ายระหว่างองค์ชายสามและเจียงหยู หากเป็นผู้อื่นเกรงว่าจะมิกล้ายุ่งเรื่องขององค์ชายสาม แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับกล้า เพราะตั้งแต่ต้นจนจบเขามิทำให้องค์ชายสามเอ่ยนามของเขาเลย”
“นี่คือเรื่องบังเอิญจริงเยี่ยงนั้นรึ ? ”
หยูหลินตื่นตระหนก “กล่าวได้ว่า…ลูกชายของข้าตกไปในกับดักของผู้อื่นเยี่ยงนั้นรึ ?”
“มิใช่ผู้อื่น แต่เป็นพระสนมซั่งพ่ะย่ะค่ะ !”
ที่ปรึกษาชุดดำจ้องฮุ่ยชินอ๋อง “ฝ่าบาทโปรดใคร่ครวญอีกครา เวลาที่ต่อสู้กันที่ถนนเส้นยาวนั้นนานถึงเพียงนั้น แม้แต่จวนผู้ว่าเขตจินหลิงก็ต้องทราบ และหากมิมีซื่อจื่อและหนิงไท่ฟู่เข้าไปขวาง หนิงหยู่ชุนย่อมส่งเจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการทั้งฝั่งเหนือและใต้ออกไปช่วยได้ทันกาลเป็นแน่ แต่เหตุใดหอชิงเฟิงซี่หยู่ขององค์ชายห้าจึงมิเคลื่อนไหวเลย ?”
ฮุ่ยชินอ๋องสะดุ้งตื่น “นังจิ้งจอกสารเลวนั่นต้องการให้เรื่องนี้เป็นเรื่องราวใหญ่โต ! ”
“ดังนั้น ฝ่าบาท สถานการณ์ในวันนี้พวกเราเป็นฝ่ายถูกกระทำ เพื่อแผนการในภายภาคหน้า พระองค์มีเพียงสองทางเลือก ประการแรกคือเข้าวังไปอธิบายเหตุผลกับไทเฮาและปล่อยวางองค์ชายสาม ถอยออกมาอย่างเต็มตัว ไปยังหลิงหนานที่ได้รับพระราชทานมา ประการที่สองคือปิดตายเรื่องนี้เสีย ซึ่งมีแต่ต้องสังหารฟู่เสี่ยวกวน แม้ว่าไทเฮาจะลงโทษฝ่าบาท แต่ก็คงมิหนักหนาถึงเพียงนั้น ต่อให้พระสนมซั่งจะมีหนทาง แต่หากไทเฮายังคงอยู่ พระนางก็มิอาจพลิกฟ้าได้ ! ”
หลิงหนานหนาวเหน็บ เมื่อปีนั้นเป็นเพราะเหตุผลนี้หยูหลินจึงได้ขอร้องต่อหน้าพระพักตร์ของไทเฮาเพื่อที่จะได้อยู่ในเมืองหลวง หรือว่าในยามนี้ที่แก่ตัวแล้วแต่กลับยังต้องไสหัวไปอยู่หลิงหนานเยี่ยงนั้นรึ ?
หยูหลินครุ่นคิดถึงตนเองที่จากไปอย่างหัวซุกหัวซุน เกรงว่าคนชั่วผู้นั้นคงจะหัวเราะยกใหญ่ และป่าวประกาศเรื่องที่เขาเป็นผู้แพ้ให้คนทั้งเมืองหลวงทราบ
ยินยอมพร้อมใจรึ ?
แผนการมากมายในเมืองหลวงที่วางมาหลายปีจะต้องปล่อยวางเยี่ยงนั้นรึ ?
หากมิปล่อยวาง เยี่ยงนั้นก็มีแค่เลือกหนทางที่สอง คือการทดแทนเรื่องทั้งหมดด้วยการตายของฟู่เสี่ยวกวน !
ฮุ่ยชินอ๋องหยูหลินตัดสินใจและตะโกนเสียงดัง “ เรียกคนมา !”
…..
เมืองหลวงในค่ำคืนนี้เงียบสงบอย่างมาก
เพราะการห้ามออกจากจวนในยามดึก ทำให้ถนนและตรอกที่คึกคักในยามนี้ร้างและไร้ผู้คน ท่ามกลางแสงไฟสลัวของถนน มีเพียงสุนัขป่าหนึ่งถึงสองตัวเท่านั้นที่วิ่งผ่าน เหลือไว้เพียงเสียงเห่าหอน และมิมีสิ่งอื่นใดอีก
สนามรบนองเลือดในถนนเส้นยาววันนี้ เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนทำร้ายองค์ชายสามแห่งจวนฮุ่ยชินอ๋องจนพิการได้ดังไปทั่วเมืองหลวง เรื่องนี้น่าระทึกขวัญยิ่งกว่าเรื่องที่ทำนองเพลงสายน้ำของเขาได้ถูกสลักไว้บนหินเชียนเปยสือเป็นลำดับที่หนึ่งเสียอีก
ผู้หนึ่งเป็นถึงชินอ๋อง ผู้หนึ่งคือคุณชายเศรษฐีที่ดิน มีฐานันดรที่แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ในสายตาของทุกคน เป็นเรื่องง่ายดายนักที่ชินอ๋องท่านหนึ่งจะกดขี่คุณชายเศรษฐีที่ดิน ในความเป็นจริงแล้วก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้น ทหารม้า 400 นายได้ลงมือบุกจู่โจมเพื่อหมายจะเอาชีวิตฟู่เสี่ยวกวนที่ถนนเส้นยาวสิบลี้นั้น เหตุการณ์เช่นนี้พบเห็นได้น้อยมากในประวัติศาสตร์ของเมืองจินหลิง ครั้งสุดท้ายที่เกิดเหตุการณ์เยี่ยงนี้ก็คืนล้มล้างราชวงศ์เก่า
ทหารม้าสี่ร้อยคนต่อสู้กับผู้ที่ไร้อาวุธเพียง 2 คน ในสถานการณ์เยี่ยงนี้ย่อมมิเกิดอะไรที่เกินความคาดหมาย แต่แล้วก็เกิดสิ่งนอกเหนือจากนั้นมาได้ มิเพียงฟู่เสี่ยวกวนจะมิถูกสังหาร กล่าวกันว่าทหารม้า 400 นายของจวนฮุ่ยชินอ๋องได้เหลือชีวิตกลับไปเพียง 100 นาย
ฟู่เสี่ยวกวนได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้างกายเขามีผู้ช่วยเหลือเพียง 3 คน ด้วยเช่นนี้ โลหิตก็ได้หลั่งรินไปตลอดระยะทางครึ่งหนึ่งของถนนยาวสิบลี้ แต่คาดมิถึงว่าเลือดเหล่านั้นจะเป็นของทหารม้าของจวนฮุ่ยชินอ๋องทั้งสิ้น
ผู้คนในเมืองหลวงต่างชื่นชอบเรื่องราวเช่นนี้ เหล่าผู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมที่ไม่สามารถร้องทุกข์ได้ เหล่าคนที่ข่มกลั้นไม่กล้าพูดออกไป ราวกับได้รับการปลดปล่อยจากเรื่องนี้ ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงกลายเป็นตัวแทนของความยุติธรรม
ถนนเส้นยาวสิบลี้ ฟู่เสี่ยวกวนยืนถือดาบอยู่เพียงลำพังภายใต้แสงแดดอันอบอุ่นในฤดูหนาว ได้เห็นดาบของเขากวัดแกว่งไปมา เหล่าข้ารับใช้ชั่วเหล่านั้นต่างตายตกภายใต้ดาบของเขา
ช่วงเวลานั้นฟู่เสี่ยวกวนราวกับมีเทพสงครามประทับร่าง ท่าทางน่ายำเกรงและเก่งกาจเป็นที่สุด
เขาคือวีรบุรุษแห่งเมืองหลวง และเป็นวีรบุรุษแห่งต้าหยู !
นามของฟู่เสี่ยวกวนได้โด่งดังขึ้นมาในเมืองหลวงอีกครา แต่มิใช่เพราะผลงานทางวรรณกรรมของเขา แต่เป็นเพราะวรยุทธ์ของเขา เหล่าผู้คนในเมืองหลวงจึงได้ทราบว่าแต่เดิมแล้วฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นชายหนุ่มที่มีความสามารถรอบด้าน และเป็นแบบอย่างให้กับคนหนุ่มสาวทั้งใต้หล้า
แต่หลังจากที่ผ่านความตื่นเต้นมาแล้ว เหล่าผู้คนก็ค่อย ๆ สงบลง เริ่มคิดถึงผลที่จะตามมาจากสนามรบบนถนนเส้นยาวนั้นในภายหลัง
คำสั่งห้ามออกมายามวิกาลโดยพลการในคืนนี้ก็มาจากเหตุนี้ด้วยเช่นกัน
มีผู้คนในเมืองหลวงหลายคนชื่นชมฟู่เสี่ยวกวน แต่ก็เริ่มกังวลว่าชายหนุ่มจากหลินเจียงผู้นี้จะถูกฮุ่ยชินอ๋องสังหารหรือไม่ ท้ายที่สุดแล้วความแตกต่างทางชนชั้นก็มิสามารถทดแทนกันได้ อย่างไรก็ตามฮุ่ยชินอ๋องก็เป็นถึงพระอนุชาขององค์ฮ่องเต้ แล้วฟู่เสี่ยวกวนเล่า เขาเป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียงเท่านั้นเอง !
ไฟที่อยู่ภายในห้องของเหล่าคุณหนูที่หลงใหลในความฝันในหอแดงยังมิทันได้ดับดี พวกนางต่างครุ่นคิดถึงชายหนุ่มผู้นั้นที่มีบุคลิกองอาจและห้าวหาญ จึงได้รู้ว่าแต่เดิมปัญญาชนผู้นี้ก็สามารถแกว่งดาบชโลมโลหิตที่ถนนเส้นยาวนั้นได้
นี่คือการดำรงอยู่ของวีรบุรุษ นั่นทำให้เหล่าหญิงสาวที่หลงใหลเลื่อมใสในตัวของฟู่เสี่ยวกวนมากยิ่งขึ้น และยิ่งทำให้เหล่าหญิงสาวกังวลกันมากยิ่งขึ้น
เยี่ยนเสี่ยวโหลวในยามนี้กังวลใจอย่างมาก
นางเดินไปเดินมาอย่างไม่สบายใจอยู่ภายในห้องหนังสือของท่านปู่เยี่ยนเป่ยซี ครุ่นคิดถึงคำพูดของท่านปู่ที่กล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนจะไม่เป็นไร แต่ใจดวงนี้ก็มิอาจปล่อยวางได้
ถึงแม้ท่านปู่จะบอกว่าฟู่เสี่ยวกวนไม่เป็นไร แต่เหตุใดยังต้องให้ท่านลุงไปจวนเฟ่ยด้วยกัน ?
“เสี่ยวโหลวเอ๋ย”
“เจ้าคะ”
เยี่ยนเป่ยซีนั่งเอนเก้าอี้อ่านหนังสือ และกล่าวเสียงเรียบว่า “พรุ่งนี้ลุงของเจ้าจะไปเยี่ยมฟู่เสี่ยวกวน เจ้าช่วยนำข้อความจากข้าไปบอกกับเขา”
“ท่านปู่กล่าวมาได้เลยเจ้าค่ะ ! ”
“เจ้ากล่าวว่า…จีหลินชุนแห่งหอเยียนจือ อยู่ที่จวนฮุ่ยชินอ๋อง”
นี่มันหมายความว่าเยี่ยงไร ?
เยี่ยนเสี่ยวโหลวคิ้วขมวด เยี่ยนเป่ยซีพลิกหน้ากระดาษ “เจ้ากล่าวไป เขาก็จะทราบ”
ทันใดนั้นด้านนอกจวนเยี่ยนก็มีเสียงฝีเท้าของม้าดังขึ้น เยี่ยนเสี่ยวโหลวหันมองไปทางด้านนอกด้วยความตกใจ แน่นอนว่าต้องมองไม่เห็น “ค่ำคืนนี้จะต้องเกิดเรื่องครึกครื้นเป็นแน่ เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
“โอ้ เยี่ยงนั้นท่านปู่ก็พักผ่อนเถิดเจ้าค่ะ”
“ข้าจะรออีกสักประเดี๋ยว”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวมิทราบว่าท่านปู่กำลังรออันใด นางกลับไปยังห้องของตนเอง นั่งลงหน้าโต๊ะหนังสือ ในใจพลันนึกถึงอันตรายและความปลอดภัยของฟู่เสี่ยวกวน และเมื่อนางนึกถึงเสียงเกือกม้าเมื่อครู่น่าจะเป็นของราชองครักษ์ของวังหลวง เป็นไปได้หรือไม่ที่ฮุ่ยชินอ๋องจะชิงลงมือกับฮ่องเต้ และส่งราชองครักษ์ไปสังหารฟู่เสี่ยวกวนเสีย ?
นางจะสามารถนั่งอย่างสงบได้เยี่ยงไร ลุกขึ้นยืน และกล่าวกับสาวใช้ของตนว่า “เสี่ยวเซวี๋ย เตรียมรถ”
“คุณหนูจะไปที่ใดเจ้าคะ ?”
“ไปเยือนจวนฟู่”
ภายในห้องหนังสือของเยี่ยนเป่ยซี ต้วนหยุนโฉวได้เดินเข้ามา “นายท่านขอรับ คุณหนูเสี่ยวโหลวออกไปแล้วขอรับ”
เยี่ยนเป่ยซีมิได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด แม้แต่สายตาของเขาก็ยังคงอ่านหนังสือในมือ มิแม้แต่จะเหลือบสายตาขึ้นมา เขากล่าวเรียบ ๆ ว่า “เจ้าตามนางไปเถอะ คอยจับตาดูไว้”
…..
ค่ำคืนนี้จวนผู้ว่าเขตจินหลิงไฟสว่างโร่
หลังจากที่กลองด้านนอกของศาลาว่าการดังขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง หนิงหยู่ชุนเดินเข้าไปในศาลาว่าการ ท่ามกลางเสียงทรงอำนาจของหัวหน้าศาล เขานั่งอยู่บนแท่น
“ผู้ใดมากัน ? เหตุใดจึงได้มาตีกลองค่ำมืด ?”
“เรียนท่านขุนนาง ข้า เจียงหยู ข้าเป็นคู่หมั้นคู่หมายของหลิวซิวผิง ในวันนี้เขาถูกคนชั่วอย่างหยูจิ่งฟ่านทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ในวันนี้ข้าเองก็เกือบถูกคนชั่วหยูจิ่งฟ่านทำให้อับอาย โชคดีที่ฟู่เสี่ยวกวนผ่านมาเจอความอยุติธรรมนี้และชักดาบเข้ามาช่วย มิเช่นนั้นข้าคงประสบเคราะห์จากเงื้อมมือของชายชั่วร้ายผู้นั้น ข้าครุ่นคิดถึงฟ้าดินที่สดใส หยูจิ่งฟ่านอาศัยอำนาจที่ล้นฟ้าของตระกูลก่อกรรมทำชั่วโดยมิสนกฎบ้านกฎเมือง… ข้ายากที่จะสงบใจได้ ดังนั้นข้าจึงมาตีกลองร้องทุกข์ หวังว่านายท่านจะนำคนชั่วผู้นั้นเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ เพื่อปกป้องความเป็นธรรม และคนดีอย่างฟู่เสี่ยวกวน ! ”
เจียงหยูคุกเข่าอยู่ที่พื้น พร้อมร้องทุกข์ทั้งน้ำตา
“มีเรื่องจะร้องทุกข์เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“มีเจ้าค่ะ นายท่านโปรดอ่านด้วยเจ้าค่ะ ! ”
หนิงหยู่ชุนเดินลงไป รับคำร้องมาอ่าน และเอ่ยถาม “หยูจิ่งฟ่านผู้นี้คือโอรสคนที่สามของฮุ่ยชินอ๋องเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่เจ้าค่ะ ! ”
“โอ้… เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชินอ๋อง และจะเกี่ยวข้องกับเกียรติของราชวงศ์ หากคำร้องของเจ้าเป็นเท็จ เจ้าทราบถึงโทษใช่หรือไม่ ? ”
“ทุกคำที่ข้าได้กล่าวไปเป็นความจริง ในเวลานั้นเพื่อนบ้านและคนข้างถนนที่ร้านอู่เว่ยจายของข้ามีผู้คนอยู่มากมาย นายท่านสามารถสอบถามได้เจ้าค่ะ”
“อือ…เตรียมกำลังคน และรีบไปจับกุมผู้ต้องหา หยูจิ่งฟ่าน มา ! ”
Click to Hide Advanced Floating Content

Kingdom66

Brazil999
หลังจากการต่อสู้สิ้นสุดลงไม่นาน ตระกูลใหญ่ทั้งหกก็ได้รับข้อมูลอย่างละเอียด
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของพวกเขา และเหตุการณ์ในครานี้จะนำมาสู่ผลลัพธ์ที่มิสามารถหลีกเลี่ยงได้
เรื่องผลการต่อสู้ครั้งนี้แต่ละคนคิดไม่ตรงกัน เยี่ยนเป่ยซีคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะชนะ แต่ราชครูเฟ่ยคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องตายอย่างแน่นอน !
ส่วนคนอื่น ๆ คิดว่าความสามารถของฟู่เสี่ยวกวนนั้นจะสามารถสู้กับฮุ่ยชินอ๋องได้หรือ ?
เมื่อได้ยินว่าช่วยชีวิตองค์ชายสามแห่งจวนฮุ่ยชินอ๋องได้แล้ว แต่เขากลับพิการ อีกทั้งเป็นองค์ชายที่ฮุ่ยชินอ๋องรักมากที่สุด ฮุ่ยชินอ๋องจะปล่อยเขาไปหรือ ?
แต่หัวหน้าตระกูลสีกล่าวกับสีฉวินเหมยว่าเขาเห็นมิตรงกันกับราชครูเฟ่ย
ส่วนเรื่องที่ไทเฮาจะให้ฮุ่ยชินอ๋องพำนักต่อที่เมืองหลวง ฝ่าบาทก็มิพอใจเท่าใดนัก อีกทั้งเรื่องของฟู่เสี่ยวกวนกับองค์หญิงเก้าก็เริ่มแพร่หลายไปทั่ว พระมารดาขององค์หญิงเก้านั่นคือพระสนมซั่ง นางมิใช่สตรีทั่วไป !
หอชิงเฟิงซี่หยู่นั้นอยู่ในมือขององค์ชายห้า แต่การต่อสู้ในครั้งนี้หอชิงเฟิงซี่หยู่กลับนิ่งเงียบ นี่หมายความว่าอย่างไรงั้นรึ ? นั่นหมายความว่าพระสนมซั่งประสงค์ให้เรื่องนี้ใหญ่โตขึ้น ส่วนเหตุผลที่นางต้องการเช่นนั้นเพราะต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนมีชีวิตรอด และให้ฮุ่ยชินอ๋องถูกขับไล่ออกจากเมืองหลวงไปยังหลิ่งหนาน
“แท้จริงแล้วเมื่อหลายปีก่อนท่านอาจารย์ฉินเคยกล่าวกับลูกถึงฟู่เสี่ยวกวนว่า เมื่อครานั้นฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาเมืองหลวง ท่านอาจารย์เอ่ยว่าฟู่เสี่ยวกวนเคยช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากเขตเหยากว่าสามหมื่นคน นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขาสร้างกุศล และเนื่องจากความเมตตาของเขาไปขัดขวางผลประโยชน์ของใครหลาย ๆ คน เขาจึงเดินทางมาเมืองหลวงเพื่อหาที่พึ่งพิง หากเป็นไปได้ ท่านอาจารย์อยากให้ข้าเข้าช่วยเหลือเขา จากจุดยืนของข้า ต่อให้ไม่คำนึงถึงหยุนชิง ข้าก็ต้องช่วยเหลือเขาแน่”
“เรื่องของสวี่หยุนชิงอย่าได้เอ่ยถึงอีกเลย”
“อืม…” สีฉวินเหมยพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “ข้าคิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่มาพบข้าด้วยตนเอง แต่กลับเข้าพึ่งพิงฝ่าบาท ข้าชื่นชมเจ้าหนุ่มนี่เสียจริง เพียงแต่ทว่า…เขามิได้มีรากฐานใด ต่างจากฮุ่ยชินอ๋องที่ได้รับความโปรดปรานจากไทเฮาเป็นอย่างยิ่ง แต่บัดนี้องค์ชายสามของฮุ่ยชินอ๋องกลับถูกทำร้ายจนพิการ หากฮุ่ยชินอ๋องเกิดความเคลื่อนไหวใด ๆ เกรงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมิอาจต้านทานได้”
อาจารย์สียิ้มอย่างเยือกเย็นแล้วส่ายหัว “เจ้านั้น มองข้ามความสามารถของพระสนมซั่งเกินไปเสียแล้ว ! ”
ในเวลาเดียวกัน เมื่อพระสนมซั่งจากวังเตี๋ยอี๋ฟังความที่หยูเวิ่นเต้าเอ่ยมาแล้ว นางก็กำชับให้หยูเวิ่นเต้าไปจัดการบางอย่าง “จงส่งคนไปหาสตรีที่มีนามว่าเจียงหยู แล้วปกป้องนางให้ดี จงกำชับให้นางไปร้องทุกข์ที่จวนผู้ว่าเมืองจินหลิง ส่วนเรื่องคำร้องทุกข์จงไปหากั๋วจื่อเจี้ยนจิ่วชางกวนเหวินซิ่วให้ช่วยเขียน”
“เสด็จแม่…นี่ยังอยู่ในช่วงวันหยุด”
“หาได้เป็นไรไม่ หนิงหยู่ชุนจะเปิดศาลดำเนินความเอง”
หยูเวิ่นเต้าลุกขึ้นจากไป พระสนมซั่งหันไปกล่าวกับขันทีเหนียนอย่างเคร่งเครียดว่า “จงไปคุ้มกันผู้ที่เคยมีเรื่องบาดหมางกับองค์ชาย นับจากพรุ่งนี้จงจัดการส่งคนไปตีกลองร้องทุกข์ที่จวนผู้ว่าเมืองจินหลิง”
ขันทีเหนียนสะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นออกไปเพื่อทำตามคำสั่ง
องค์ฮ่องเต้ ทรงเดินไปยังห้องบรรทมของวังเตี๋ยอี๋แล้วกล่าวว่า “สนมที่รักของข้า เจ้ามิกลัวว่าหยูหลินจะตอบโต้งั้นหรือ ? ”
พระสนมซั่งยิ้มแย้มแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นหม่อมฉันจึงได้ทูลขอความช่วยเหลือจากฝ่าบาท ให้ฮั่วหวยจิ่นออกคำสั่งลับปิดเมืองจินหลิง เช่นนั้นคาดว่าคงสมบูรณ์แบบ”
“หยูหลินส่งบุตรชายของเขาไปยังพระตำหนักฉือหนิงกงแล้ว”
“มิเป็นไรเพคะ เวิ่นหวินอยู่ที่นั่น องค์หญิงใหญ่ก็เช่นกัน”
“ข้า…ควรจะไปดูด้วยตนเองเสียหน่อย”
“หม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทไม่ควรเดินทางไปคงจะดีกว่า เนื่องจากในตอนนี้…การพบเจอกันคงไม่ดีเท่าใดนัก”
……
ณ วังหลวง บรรยากาศในพระตำหนักฉือหนิงกงของไทเฮาค่อนข้างเคร่งขรึม
หยูเวิ่นหวินนั่งอยู่ที่ข้าง ๆ ไทเฮา โดยฮุ่ยชินอ๋องคุกเข่าอยู่หน้าไทเฮา
ร่างกายขององค์ชายสามเต็มไปด้วยเลือด เขานอนอยู่บนเตียงและส่งเสียงครางเบา ๆ
ข้างๆเขานั้นมีแพทย์หลวงอยู่สามคน ซู่หรานคุกเข่าอยู่ด้านหลังก้มหน้าก้มตาไม่เอ่ยอันใดออกมา
“เสด็จแม่ทรงกรุณาลูกให้อยู่ในเมืองหลวง ลูกนั้นก็มิกล้าออกไปไหน อีกทั้งหากเสด็จแม่มิได้รับสั่งให้เข้าพบ ลูกเองก็มิกล้าเข้าวังเนื่องจากจดจำคำสั่งสอนของเสด็จแม่ไว้ในใจ อีกทั้งป้องกันชาวประชากล่าวคำครหา จึงได้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย คาดมิถึงว่าเจ้าฟู่เสี่ยวกวนนั้นกลับบังอาจทำร้ายบุตรชายของลูกเสียจนพิการ…บุตรชายข้า…ข้าขาดผู้สืบสกุลไปแล้ว”
“เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ ลูกนั้นหาได้มีเรื่องบาดหมางกับฟู่เสี่ยวกวนไม่ ก่อนหน้านี้ลูกเองก็เคยอ่านหนังสือความฝันในหอแดงของเขา รับรู้ว่าเขานั้นมีความสามารถ คาดมิถึงว่าชายหนุ่มผู้นี้จะมีจิตใจโหดเหี้ยมเพียงนี้ ! ลูก…ลูกมิอาจทนได้อีกต่อไป อีกทั้งเพื่อหน้าตาของราชวงศ์เอง ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ทำลายผู้สืบทอดตระกูลของเรา เพียงลำพังตัวลูกนั้นยังมิได้โกรธเคืองเขา แต่เขาได้ตบหน้าราชวงศ์ต่อหน้าหลาย ๆ คน สิ่งนี้ลูกมิอาจทนต่อไปได้พ่ะย่ะค่ะ ! ดังนั้นลูกจึงได้ส่งทหารจำนวน 400 คนไปจัดการเขา คาดมิถึงว่าเขาจะร่วมมือกับพวกจอมยุทธเหล่านั้น และฆ่าฟันทหารของลูกไปกว่าสามร้อย บนท้องถนนเต็มไปด้วยเลือดสาดกระเซ็น เสด็จแม่มิได้เห็นภาพนั้นด้วยตาของตนเอง ช่างน่ากลัวยิ่งนัก ! ”
“ลูกขอทูลเสด็จแม่ทรงมอบความเป็นธรรมแก่หลานของท่านด้วย ขอให้เสด็จพี่ส่งทหารไปจับกุมผู้ร้ายนั่นมาเสีย ให้เขาเกรงกลัวในกฎหมาย อีกทั้งเป็นการแก้แค้นแก่บุตรชายข้าด้วย ! ”
“บุตรชายข้า !…”
หยูหลินร้องไห้ออกมาเสียงดัง หยูเวิ่นหวินโมโหเบิกตากว้าง นางจ้องไปยังเสด็จอาแล้วกล่าวว่า “เจ้าใส่ร้ายผู้อื่น ! ”
หยูเวิ่นหวินทำท่าจะลุกขึ้น องค์หญิงใหญ่ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นางดึงชายเสื้อนางไว้ จากนั้นกล่าวว่า “เวิ่นหวิน อย่าเสียมารยาทไป ความคิดจิตใจของเสด็จย่าแจ่มใสยิ่งกว่ากระจกเงา จะมิให้ความยุติธรรมกับฟู่เสี่ยวกวนได้อย่างไร ? เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน นั่งรอดูเรื่องราวต่อไปเถิด”
เดิมทีไทเฮาทรงโกรธมาก ฟู่เสี่ยวกวนไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน ? บังอาจจัดการกับหลานของนางเสียจนพิการเช่นนี้
นางกำลังจะเรียกขันทีเหอให้ไปตามองค์ฮ่องเต้มา แต่เมื่อได้ยินองค์หญิงใหญ่และหยูเวิ่นหวินเอ่ยเช่นนั้น นางจึงได้เกิดความสงสัยขึ้น
ฮุ่ยชินอ๋องเป็นบุตรชายคนเล็กของนาง การที่เขายังอยู่ในเมืองหลวงก็เป็นพระประสงค์ของนางเอง หลายปีมานี้หยูหลินอยู่ในเมืองหลวงด้วยความสงบและเคารพกฎหมายตลอดมา แต่เรื่องของหลานชายผู้นี้ นางเองก็ได้ยินมาไม่น้อย
เพียงแต่นางไม่ได้ใส่ใจ อาจเป็นเพราะอายุยังน้อยจึงยังขาดสติในการกระทำเรื่องต่าง ๆ เมื่อเขาโตขึ้นแล้วคงจะคิดได้เอง
ส่วนเรื่องในวันนี้ หยูจิ่งฟ่านก่อปัญหาอันใดต่อฟู่เสี่ยวกวนเสียจนทำให้เกิดเรื่องราวต่าง ๆ ตามมาหรือไม่ ?
แต่ไม่ว่าอย่างไร หยูจิ่งฟ่านก็เป็นหลานชายของนาง ฟู่เสี่ยวกวนกล้าลงมือโหดเหี้ยมเพียงนี้ เกรงว่าจะไม่เห็นราชวงศ์อยู่ในสายตา !
ชายบ้านนอกผู้นี้บังอาจมากเกินไปแล้ว !
ไทเฮายิ่งคิดยิ่งโมโห ในสายตาของนางแล้วฟู่เสี่ยวกวนจะมีค่ามากไปกว่าหลานชายของตนได้อย่างไร ?
นางมองดูแล้วต่อให้หยูจิ่งฟ่านทำผิดอย่างใหญ่หลวง ฟู่เสี่ยวกวนก็ไม่มีสิทธิ์กระทำเช่นนี้
ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความโมโห สูดหายใจเข้าลึก ๆ และกำลังจะเรียกคนเข้ามา กลับได้ยินองค์หญิงใหญ่กล่าวว่า “เสด็จแม่ จากที่ลูกดูแล้วองค์ชายสามสภาพร่างกายน่าเป็นห่วงยิ่ง พวกเราควรจะรีบเรียกหมอหลวงให้รักษาเขาก่อนดีหรือไม่ ? เนื่องจากเสด็จแม่ทรงทราบเรื่องราวนี้ก่อนแล้วมิใช่หรือเพคะ ? ”
อืม ถูกต้อง ชีวิตของหลานชายสำคัญกว่าสิ่งใด ๆ
“จงหามเขาลงไป ตั้งใจรักษาให้ดีอย่าให้ผิดพลาดแม้แต่น้อย”
หมอหลวงก้มหัวลงคำนับ จากนั้นแบกหยูจิ่งฟ่านออกไปจากพระตำหนักฉือหนิงกง
องค์หญิงใหญ่ลุกขึ้นแล้วเดินลงไป กล่าวว่า “เสด็จพี่คุกเข่าอยู่เนิ่นนาน ประกอบกับความรู้สึกโศกเศร้า น้องลองครุ่นคิดดูแล้ว เหตุการณ์นั้นยังมีรายละเอียดอีกมากที่เสด็จพี่ละเลยมองข้าม น้องว่าเสด็จพี่ควรกลับไปพักผ่อนเสีย เมื่อกลับไปคิดทบทวนดีแล้วค่อยมาเรียกร้องความเป็นธรรมกับเสด็จแม่ เป็นเยี่ยงไร ? ”
“ไม่ ๆ ๆ บุตรชายข้าถูกทำร้ายจนเป็นเช่นนั้น แต่ผู้ร้ายกลับลอยหน้าลอยตา ข้านั้น…จะพักผ่อนให้สงบได้เยี่ยงไร ? ”
“อ้อ เรื่องนี้ข้าก็เข้าใจดี เพียงแต่…” องค์หญิงใหญ่หันหลังกลับไปยังไทเฮากล่าวว่า “เสด็จแม่เพคะ เหตุการณ์ในครั้งนี้จะฟังความข้างเดียวมิได้ แน่นอนว่าลูกเชื่อในคำพูดของเสด็จพี่ แต่การที่จะจับตัวฟู่เสี่ยวกวนมาลงโทษนั้นก็ควรมีพยานมายืนยันด้วย เพราะหากตัดสินผิดไป ชื่อเสียงของเสด็จแม่อาจเสียหายได้เพคะ ฟู่เสี่ยวกวนแม้จะเป็นเพียงข้าราชการระดับน้อย แต่ผลงานของเขามีผลกระทบต่อผู้คนมากมายทีเดียว หากคำกล่าวของเสด็จพี่เป็นจริง การจะปลิดชีพฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นเรื่องถูกต้องไร้คำกล่าวหา แต่หากเสด็จพี่มีเรื่องปิดบังละก็…”
“เสด็จพี่ ท่านได้ปิดบังสิ่งใดไว้หรือไม่ ? บัดนี้เอ่ยกับเสด็จแม่ยังทัน มิเช่นนั้น…อาจจะพาเสด็จแม่ลงสู่คำครหาด้วย ! บรรดาปัญญาชนทั้งหลายจะกล่าวถึงเสด็จแม่เยี่ยงไร ? ประวัติศาสตร์จะจารึกถึงเสด็จแม่อย่างไร ?”
องค์หญิงใหญ่หยุดลงชั่วครู่ จากนั้นเอ่ยต่อว่า “แน่นอนว่าพวกเราจะต้องรักษาหน้าตาของราชวงศ์เอาไว้ แต่ชื่อเสียงของเสด็จแม่ก็สำคัญมากเช่นกันใช่หรือไม่ ? เสด็จพี่ !”
คำกล่าวขององค์หญิงเก้านั้นทำให้หยูหลินตัวสั่น ไทเฮาเองก็ตกตะลึงเช่นกัน ถูกต้องแล้ว ต่อให้ฟู่เสี่ยวกวนสมควรตาย แต่ก็ควรหาเหตุผลรัดตัวเขาไว้
มิเช่นนั้นหากฆ่าไปโดยไร้เหตุผล เกรงว่าจะเกิดผลเสียตามมาทีหลัง !
โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญญาชนทั้งหลาย หากเรื่องโกหกนี้ถูกเผยแพร่ออกไป นางเองคงถูกตำหนิไม่น้อย ?
สำหรับผู้คนในสมัยนี้นั้น ชื่อเสียงสำคัญกว่าเงินทองเป็นร้อยเป็นพันเท่า
พวกเขาต้องรักษาชื่อเสียงของตนให้ดี และไทเฮาที่กำลังจะเข้าสู่เจ็ดสิบพรรษาก็ยิ่งต้องคำนึงถึงสิ่งนี้ เนื่องจากเรื่องราวของนางจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ หากคนรุ่นหลังวิพากษ์วิจารย์นางไปในทางไม่ดี นางคงจะทำใจไม่ได้
“เจ้าลุกขึ้นเถิด เรื่องนี้ทำตามที่น้องเจ้าแนะนำ วันพรุ่งนี้จงไปเรียกตัวฟู่เสี่ยวกวนมา หลังข้าสอบถามทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว รับรองว่าจะให้ความยุติธรรมแก่เจ้าแน่นอน”
“เสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่ ! หลานชายของท่านสภาพร่างกายเป็นอย่างไรท่านก็เห็นด้วยตนเองแล้ว หากเสด็จแม่ไม่เชื่อลูก ลูกจะ…ลูกยอมพุ่งชนกำแพงตายเพื่อแสดงถึงความจริงใจของลูก”
เอาสิ ! แน่จริงก็ทำเลย หยูเวิ่นหวินโมโหมาก ดวงตากลมโตคู่นั้นจ้องมองเขาเสียจนแดงก่ำ
เขากล้าใส่ความฟู่เสี่ยวกวนได้อย่างไร !
เจ้ากล้าดียังไงจะทำลายเรื่องของข้าและฟู่เสี่ยวกวน !
เจ้าตายไม่ดีแน่ !
องค์หญิงใหญ่กลับสงบนิ่ง นางมองไปยังหยูหลินแล้วกล่าวว่า “เสด็จพี่ เสด็จแม่มิใช่ว่าไม่เชื่อท่าน แต่เสด็จแม่เพียงต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนตายไปอย่างไม่มีสิ่งใดแคลงใจ ในเมื่อเสด็จพี่ยืนยันว่าบริสุทธิ์จริง เหตุใดมิอาจรอถึงวันพรุ่งนี้ได้ ? ในเมื่อเสด็จแม่รักและเอ็นดูท่าน ท่านเองก็ควรคิดแทนเสด็จแม่ด้วย มิควรใช้ความเป็นความตายมาบีบบังคับกัน การกระทำเช่นนี้ยังเห็นเสด็จแม่อยู่ในสายตาอยู่อีกหรือไม่ ? ”
ดวงอาทิตย์อัสดง ทะเลสาบซวนอู่ยังคงมีแผ่นน้ำแข็งปกคลุมอยู่ครึ่งหนึ่งส่วนอีกครึ่งหนึ่งทอแสงสีแดงระยิบระยับ
บาดแผลของซูซูและฟู่เสี่ยวกวนได้รับการรักษาเรียบร้อยแล้ว ไหล่ทางซ้ายและขวาของซูซูได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่มิได้ส่งผลต่อการเลียถังหูลู่ของนางอย่างมีความสุข
ตามร่างกายของฟู่เสี่ยวกวนมี 3 รอย ที่ต้นขามีหนึ่งรอย ที่ด้านหลังมีหนึ่งรอย และแขนด้านซ้ายอีกหนึ่งรอย
โชคดีที่เป็นเพียงแผลแฉลบที่ไม่ได้ลึกมาก แต่รอยฟันทางด้านหลังกลับยาวอย่างมาก ซูโหรวเป็นผู้จัดการบาดแผลของฟู่เสี่ยวกวน นางใช้เส้นไหมพิเศษและใช้เข็มเย็บปิดบาดแผล หลังจากนั้นก็พรมยาของสำนักเต๋าให้อีกเล็กน้อย ฟู่เสี่ยวกวนกัดริมฝีปากครางออกมาอย่างเจ็บปวด
ในตอนนี้พลังของเขาได้ฟื้นคืนมาเล็กน้อยแล้ว เขาได้ไปยังศาลาเถาหรานด้วยการประคองของชุนซิ่ว เพราะองค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าได้มารอเขาอยู่
“ความจริงข้ามิควรมารบกวนเจ้าในวันนี้ แต่ก็หักห้ามความสงสัยไว้มิอยู่ ดังนั้นจึงได้มาถึงที่นี่”
องค์ชายห้าต้มชาและมองสำรวจฟู่เสี่ยวกวน ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนซีดเซียว บนร่างยังคงมีกลิ่นของยาสมุนไพร แต่เขาก็ยังดูมีชีวิตชีวาและพละกำลังอยู่ มิเหมือนตอนที่ถูกลักพาตัวไปปีที่แล้ว บาดแผลในตอนนั้นสาหัสยิ่ง
“ข้าจะตายแล้ว พระองค์ก็มิมาช่วย” ฟู่เสี่ยวกวนยกชาขึ้นมาดื่ม เงยหน้ามองไปทางดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน และก็ได้ยินหยูเวิ่นเต้ากล่าวอย่างขำขัน “มิใช่ว่าข้ามิอยากไปช่วย”
“นั่นเพราะเหตุใดกัน ? ”
“เพราะเสด็จแม่กล่าวว่าเจ้าจะมิตาย”
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วขึ้น เขาเองก็ได้สะสางเรื่องให้เป็นระเบียบแล้ว คิดในใจว่าหอชิงเฟิงซี่หยู่ย่อมรู้ว่าเขากำลังถูกโจมตีที่ถนนเส้นยาว แต่องค์ชายห้ากลับมิมาช่วย เขาเองก็คิดในใจว่าศาลาว่าการผู้ว่าจินหลิงย่อมทราบว่ามีการต่อสู้ที่ถนนเส้นยาว แต่มิมีเงาของเจ้าหน้าที่แม้แต่เพียงผู้เดียว
ในตอนที่กำลังสู้ก็มิได้คิดถึงเรื่องนี้ ระหว่างที่เดินทางกลับเขาถึงได้คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
ในยามนี้ที่องค์ชายห้ามาหาเขา ก็ได้ปัดเป่าข้อสงสัยที่ใหญ่ที่สุดในใจเขาไปได้ แต่ก็มิรู้ว่าพระสนมซั่งใช้อะไรมาตัดสินว่าเขานั้นจะมิมีทางตาย
ส่วนผู้ว่าการจินหลิง หนิงหยู่ชุน ก็ยังมิเคยมาคลุกคลีกับเขา ภายใต้อำนาจของฮุ่ยชินอ๋อง การที่หนิงหยู่ชุนเลือกจะเก็บศพก็เป็นอะไรที่สมเหตุสมผลยิ่ง เยี่ยงไรแล้วเขาก็มิมีความจำเป็นต้องสร้างความขุ่นเคืองใจให้กับชินอ๋องผู้สูงศักดิ์เพื่อคนที่มิเคยสนิทสนมกันมาก่อน
“ข้าได้ไปที่ศาลาว่าการผู้ว่าจินหลิงมาแล้ว”
“พระองค์เห็นอะไรหรือไม่ ? ”
“หนิงหยู่ชุนอยากจะมาช่วยเจ้า แต่หยูเล่อซื่อจื่อจากจวนฮุ่ยชินอ๋องอยู่ที่นั่น ยามที่ข้าไปถึง หนิงไท่ฟู่ก็มาแล้วเช่นกัน สถานการณ์ค่อนข้างตึงเครียด เพราะหนิงหยู่ชุนโกรธอย่างยิ่ง”
“หนิงหยู่ชุนเป็นคนเช่นไรกัน ? ”
“เป็นจอหงวนรัชสมัยไท่เหอปีที่ 45 และรัชสมัยไท่เหอปีที่ 48 ได้บูรณะวิหารจี๋ยิงขึ้นใหม่ รัชสมัยไท่เหอปีที่ 50 เป็นรองผู้บัญชาการกองทหารราบของกองทัพชายแดนตะวันออก รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 4 เป็นนายกองทหารราบของกองทัพชายแดนตะวันออก ในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 6 ได้กลับมายังราชสำนักจนถึงเดือนสิบปีที่ผ่านมา ได้เป็นผู้ตรวจสอบราชการเสนาบดีของคณะเสนาบดี”
ได้ยินเช่นนั้น ก็พบว่าหนิงหยู่ชุนเป็นพลเรือนและทหารที่มีความสามารถรอบด้าน
สองวันก่อนหน้านั้นเยี่ยนเป่ยซีก็กล่าวว่าคณะเสนาบดีขาดผู้ตรวจสอบราชการคณะเสนาบดี คิดดูแล้วคงเป็นหลังจากที่โยกย้ายหนิงหยู่ชุนไปรับตำแหน่งผู้ว่าการจินหลิงจึงจะมีตำแหน่งว่าง
“คนผู้นี้เป็นคนเที่ยงธรรม เคยเรียนร่วมสำนักและชั้นเดียวกันกับฉินโม่เหวิน ครั้งนี้มิใช่ความตั้งใจของเขาที่มิได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แต่เพราะถูกบิดาของเขา หนิงไท่ฟู่ กดดันเอาไว้”
ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ อย่างไรแล้วก็มิใช่ทุกคนที่จะสามารถก้มหัวให้กับอำนาจได้ ดังนั้นเขาจึงเพียงถอนหายใจและพยักหน้า
“ในตอนที่ข่าวคราวการรบจากถนนสายยาวมาถึงศาลาว่าการผู้ว่าการจินหลิง ท่าทางของผู้คนเหล่านั้นต่างก็รู้สึกยินดีอย่างมาก หยูเล่อเป็นบุตรคนโตของฮุ่ยชินอ๋อง ในยามนั้นพวกเขายากที่จะเชื่อ ความจริงข้าเองก็ยากที่จะเชื่อ นั่นคือทหารม้าประจำกองทั้งหมด 400 นาย คาดมิถึงว่าพวกเขาจะชนะมาได้ แต่สำนักเต๋า…” สายตาของหยูเวิ่นเต้าหันไปมองซูโหรวและหันไปทางซูซู “แท้จริงแล้วสำนักเต๋ายอดเยี่ยมอย่างมาก”
“ในยามนั้นหนิงไท่ฟู่ก็ยืนขึ้นมา สีหน้าย่ำแย่เล็กน้อย เขาส่ายหน้าและเดินจากไป แต่หนิงหยู่ชุนกลับดีใจยิ่งนัก เขาถึงกับหยิบขวดซีชานเทียนฉุนขึ้นมาดื่มแต่เพียงผู้เดียว มิได้คำนับข้าและมิได้คำนับหยูเล่อ คาดว่าคงมิพอใจที่ข้ามิไปช่วยเจ้าเช่นกัน”
“นี่คือเหตุการณ์ที่ศาลาว่าการผู้ว่าจินหลิง ! ”
“กลับไปแล้วพระองค์ก็อย่าได้ไปพูดเรื่องนี้กับเวิ่นหวินเชียว โปรดอย่าทำให้นางกังวลใจ”
“อย่างไรก็ปิดมิอยู่หรอก ใช่ ! ข้าจะเตือนเจ้าเสียหน่อย วันที่สิบเดือนนี้ มีความเป็นไปได้ที่พระชนนีจะเรียกเจ้าเข้าเฝ้า นี่คือโอกาสเดียวของเจ้ากับน้องสาวข้า หวังว่าเจ้าจะกุมเอาไว้ได้”
ฟู่เสี่ยวกวนตะลึงค้าง นึกถึงที่ช่วงหลายวันมานี้หยูเวิ่นหวินมิได้ออกมาข้างนอกแล้วจึงเอ่ยถาม “พระชนนีทรงโปรดสิ่งใดกัน ?”
“ข้าจักไปรู้ได้เยี่ยงไร พระชนนียังขาดสิ่งใดอีกกัน พระนางมิขาดแคลนสิ่งใดทั้งนั้น… แต่อย่างไรก็ตาม พระชนนีทรงกังวลใจกับเรื่องการดำรงชีวิตของราษฎร ยามที่เสด็จพ่อไปเยี่ยมเยียนพระนางก็ถามเป็นครั้งคราว”
ให้ตายเถอะ จะเริ่มลงมือจากตรงไหนกัน ?
เรื่องนี้ต้องสำเร็จเท่านั้นมิสามารถพลาดพลั้งไปได้
“ช่วงนี้เวิ่นหวินกำลังทำอันใดอยู่รึ ? ”
“ฝึกซ้อมงิ้วกับพระชนนี”
“ฝึกซ้อมงิ้วรึ ? ฝึกซ้อมเรื่องอะไร ? ”
“ความฝันในหอแดงของเจ้าอย่างไรหละ พระชนนีได้เชิญคณะงิ้วมา ในช่วงนี้ก็ทำอยู่แต่กับเรื่องนี้ กล่าวว่าจะขึ้นแสดงอย่างเป็นทางการในวันที่สิบสี่ของเดือนนี้”
“จะกล่าวว่า พระชนนีพอพระทัยกับความฝันในหอแดงเยี่ยงนั้นรึ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนเอนร่างขึ้นมา และเอ่ยถามอย่างดีใจ
แต่คาดมิถึงว่าหยูเวิ่นเต้าจะจ้องเขาตาเขม็ง “หากเจ้าเขียนตอนจบให้สวยงามอีกสักเล็กน้อย เกรงว่าพระชนนีคงจะชื่นชอบเจ้าได้จริง ๆ แต่เจ้ากลับทำเรื่องที่มิเหมาะสมออกมา ดังนั้นตัวเจ้าในความคิดของพระชนนี…มีจิตใจที่ดำมืดเกินไป มิเช่นนั้นน้องสาวข้าจะต้องวิ่งไปตำหนักของพระชนนีทำไมทุกวัน ก็มิใช่เพื่อกอบกู้ความคิดที่พระชนนีมีต่อเจ้ากลับมาอย่างสุดกำลังหรือ”
เฮ้ นี่จะมาโทษข้ามิได้นะ !
ตอนนี้จะอันใดได้ ? เกรงว่าหนังสือถูกจำหน่ายไปทั่วใต้หล้าแล้ว คงมิสามารถนำกลับมาแก้ไขได้
ฟู่เสี่ยวกวนขบกัดริมฝีปาก คงต้องคิดหาทางจากวิธีอื่น
หลังจากนั้นคำพูดต่อมาของหยูเวิ่นเต้าก็ได้ทำลายภวังค์ของเขาอีกครา
“ฮุ่ยชินอ๋องเป็นที่โปรดปรานของพระชนนีนัก นี่คือเหตุผลที่เขายังสามารถอยู่ในเมืองหลวงได้ ในวันนี้เจ้าล่วงเกินฮุ่ยชินอ๋องอย่างเอาเป็นเอาตาย ข้าคาดว่าในยามนี้ฮุ่ยชินอ๋องจะวิ่งเข้าไปในวังแล้ว เรื่องของเจ้าและน้องสาวมีคนรับรู้อยู่มาก ฮุ่ยชินอ๋องย่อมมิยินยอมให้เจ้าได้อภิเษกสมรสกับน้องสาวข้า ดังนั้น…ในตอนนี้ข้าจึงกังวลใจกับเรื่องของพวกเจ้าสองคน”
ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด เป็นเรื่องที่ยุ่งยากยิ่งนัก เกิดเรื่องให้ช้ากว่านี้อีกสักสองสามวันก็ยังดี แล้วตอนนี้จะทำเยี่ยงไร ?
เขามิสามารถก้มหัวให้ฮุ่ยชินอ๋องได้ หรือความจริงต่อให้เขาอยากก้มหัวให้ ฮุ่ยชินอ๋องก็มิมีทางยอม
ในวันนี้ที่ได้สังหารทหารทั้งสี่ร้อยกว่านายของฮุ่ยชินอ๋อง ทั้งยังทำบุตรคนที่สามของเขาเกือบพิการ เป็นสถานการณ์ที่หากมิตายตกก็มิอาจจะจบสิ้นกันได้
ในสถานการณ์ตอนนี้ ฮุ่ยชินอ๋องย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางมิให้หยูเวิ่นหวินแต่งงานกับฟู่เสี่ยวกวน หากฟู่เสี่ยวกวนได้กลายเป็นพระราชบุตรเขยขององค์ฮ่องเต้ ต่อให้ฮุ่ยชินอ๋องจะใจกล้ามากเพียงใด ก็มิอาจก่อเหตุในกลางวันแสก ๆ เยี่ยงนี้ได้อีก
กลับกัน หากฟู่เสี่ยวกวนยืมหนังเสือขององค์ฮ่องเต้เพื่อประมือกับจวนฮุ่ยชินอ๋อง จวนฮุ่ยชินอ๋องก็จะสั่นคลอนอย่างแน่นอน
“ท่านมิมีความคิดดี ๆ เลยรึ ? ”
สองมือหยูเวิ่นเต้าแบออกและส่ายหน้า “เรื่องยุ่งยากเพียงนี้มีเพียงเจ้าที่จะสามารถแก้ไขได้”
เหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
หยูเวิ่นเต้าลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ ข้าต้องกลับแล้ว เจ้าก็ลองกลับไปคิดให้ดี ยังมีเวลาอีก 3 วัน ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถคิดหาวิธีที่ดีได้”
มีวิธีกับผีสิ !
หยูเวิ่นเต้าออกจากจวนฟู่ไป ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองไปทางดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน ในหัวกำลังคิดยุ่งเหยิงอย่างมาก เรื่องนี้…เขาไร้หนทางอย่างแท้จริง
เพียงไม่นาน ต่งชูหลานก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว นางมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างถี่ถ้วนอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้นก็จ้องเขาตาเขม็ง “เจ้าจะอยู่อย่างสงบมิได้เลยหรือ ? พอข้าได้ยินข่าว วิญญาณของข้าตื่นกลัวจวนจะหายไปเสียแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “เจ้าดูสิ ข้าในตอนนี้มิได้สบายดีอยู่หรอกรึ ? ”
“ดีตรงไหนกัน ? …ข้าจะไปต้มซุปบำรุงให้เจ้า”
ต่งชูหลานเดินไปทางห้องครัวโดยไม่แม้แต่จะนั่งลง จิตใจของฟู่เสี่ยวกวนจึงรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง นึกถึงคำของบิดาที่กล่าวไว้ แต่งกับภรรยาที่เหมือนกับต่งชูหลาน คำพูดนั้นมีความเข้าใจอย่างยิ่ง !
…..
แสงไฟได้สว่างขึ้นภายในเรือนเวิ่นเยวี่ย ณ จวนเยี่ยน
เยี่ยนเป่ยซีกำลังดื่มชาอยู่เพียงลำพัง ด้านหลังของเขายังคงมีชายชราที่แบกดาบเล่มใหญ่นั้นอยู่
หลังจากที่เขาดื่มชาก็เอ่ยถามขึ้นมาทันพลันว่า “การสู้รบที่ถนนเส้นยาว ฝ่ายฟู่เสี่ยวกวนมีกัน 4 คนสามารถล้มทหารม้าไปได้ 300 นาย กล่าวได้ว่านอกจากฟู่เสี่ยวกวน อีก 3 คนก็ถือว่าเป็นผู้มีฝีมือยอดเยี่ยมอย่างนั้นรึ ? ”
“เรียนท่านประมุข… แม้แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็เก่งกาจอย่างมาก”
“โอ้…” เยี่ยนเป่ยซีดื่มชาไปหนึ่งอึก “เขาเก่งกาจเพียงใดกัน ? ”
“จากมุมมองของข้า ถึงแม้เขาจะมิเป็นวรยุทธ์ แต่เขาก็ชนะได้ด้วยคำว่าโหดเหี้ยม ทหารที่ถูกเขาสังหารไปนั้นมีถึง 312 คน ดังนั้นข้าจึงมิกล้าคาดเดาได้ว่า เมื่อปีที่แล้วที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลักพาตัวไป ความจริงแล้วมิมีผู้ช่วยแต่อย่างใด จากท่าทางของเขาในวันนี้ มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นฝีมือของเขาเอง ทั้งยังสังหารหยางชีและจ้าวซื่อด้วยตัวเขาเองอีกด้วย”
เยี่ยนเป่ยซีเงียบไปหลายอึดใจ ลูบเคราไปมา และกล่าวกับตนเองว่า “กล่าวได้ว่า คนผู้นี้มิได้โหดเหี้ยมแต่เพียงอย่างเดียว”
ชายชรายังตอบกลับมาคำเดิม “ในความคิดของข้า เขามิเพียงโหดเหี้ยม แต่ยังใจเย็นอย่างยิ่ง มิเหมือนกับบัณฑิต กลับให้ความรู้สึกเหมือนทหารที่ผ่านความเป็นความตายมามากแล้ว ! ”
นี่เป็นเรื่องที่แปลกอย่างมาก
เมื่อปีที่แล้วที่ฟู่เสี่ยวกวนมายังเมืองหลวง หลังจากที่ได้รับความเมตตาจากองค์ฮ่องเต้ เยี่ยนเป่ยซีก็ได้ตรวจสอบความจริงเกี่ยวกับตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนโดยละเอียด
คนผู้นี้เป็นคุณชายท่านหนึ่งของตระกูลเศรษฐีที่ดินของหลินเจียง ก่อนที่ต่งชูหลานจะไปหลินเจียงเมื่อปีที่แล้ว คนผู้นี้หาดีมิได้อย่างแท้จริง
แต่หลังจากที่ถูกทหารองครักษ์ของต่งชูหลานทำร้ายจนสลบ เขาก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
แต่จุดที่โดดเด่นของเขาก็ยังคงเป็นด้านวรรณกรรม จนถึงสิ่งของเหล่านั้นที่เขาสร้างขึ้นที่ซีซาน จากมุมมองของเยี่ยนเป่ยซี มันยากที่จะเป็นที่โดดเด่นได้
ส่วนเรื่องการรบ… คนผู้นี้ในอดีตแม้แต่มีดทำครัวก็มิเคยสัมผัสมาก่อน แต่แล้วเหตุใดที่ทำให้ต้วนหยุนโฉวรู้สึกว่าเขานั้นเหมือนทหารที่เคยผ่านความเป็นความตายมาในสนามรบกัน ?
เยี่ยนเป่ยซีมิเคยสงสัยกับวิสัยทัศน์ของต้วนหยุนโฉวมาก่อน สรุปแล้วคนผู้นี้ผ่านอะไรมากันแน่ ยังมีความลับอะไรของเขาที่ข้ายังมิรู้อีกรึ ?
เยี่ยนเป่ยซีมิเข้าใจ จึงเอ่ยถามอีกครา ” ชาวยุทธอย่างพวกเจ้ามักจะมีข่าวลืออยู่เสมอ กล่าวกันว่าในยามที่สำนักเต๋าปรากฏตัวก็คือในยามที่โลกเกิดความโกลาหล นี่มีหลักฐานหรือไม่ ?”
“เรียนท่านประมุข มิมีหลักฐานขอรับ”
“โอ้…” เยี่ยนเป่ยซีพยักหน้าน้อย ๆ จึงวางใจไปได้อีกเปลาะ “เจ้าไปบอกซือเต้า ให้เขาพาเสี่ยวโหลวไปเยี่ยมฟู่เสี่ยวกวนที่จวนฟู่ในวันพรุ่งนี้”
ต้วนหยุนโฉวตะลึงงันไปชั่วขณะ ยกมือขึ้นคำนับ ถอยออกไปจากเรือนเวิ่นเยวี่ย และจึงไปยังจวนของเยี่ยนซือเต้า
หลังจากที่เยี่ยนซือเต้าได้ยินเช่นนั้นก็ผงะไปเช่นกัน เรื่องการต่อสู้ที่ถนนเส้นยาวในวันนี้ได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง กล่าวจากสถานการณ์ ระหว่างฮุ่ยชินอ๋องและฟู่เสี่ยวกวนได้เป็นสถานการณ์ที่หากมิตายก็คงมิจบสิ้นไปเสียแล้ว
หนึ่งคนคือชินอ๋องแห่งวังหลวง หนึ่งคนเป็นบุคคลที่มีอำนาจคนใหม่ตัวเล็ก ๆ ของเมืองหลวง เยี่ยนเป่ยซีกลับกล้าตัดสินใจเยี่ยงนี้ในช่วงเวลาที่อ่อนไหวที่สุด เยี่ยนซือเต้ามิเข้าใจ ต้วนหยุนโฉวเองก็มิเข้าใจเช่นกัน
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนและซูชูเริ่มเหนื่อยล้าลง
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าบัดนี้เขาทั้งสองมิอาจต่อสู้กับพวกนี้ได้ และซูซูเองก็เริ่มหมดแรงแล้ว เขาจะปล่อยให้ซูซูเป็นแบบนี้ไม่ได้
เขาถอนหายใจออกมาและสั่งว่า ” ถอย ! ”
เมื่อซูซูได้ยินดังนั้น นางก็จับมือฟู่เสี่ยวกวนแล้ววิ่งหนีไป นางเองก็เข้าใจว่าหากสู้กันต่อไปต่อให้ฆ่าได้อีกสักสิบยี่สิบคนก็ไร้ประโยชน์
นางไม่ชนะแน่ ถ้าเช่นนั้นจะรีรออะไร รีบหนีเป็นการดี
” ตามไป ! ”
เสียงคำส่งดังมาจากด้านหลัง จากนั้นตามด้วยเสียงฝีเท้าของม้า
เมื่อเห็นทหารตามเข้ามาใกล้ ซูซูก็พาฟู่เสี่ยวกวนแทรกตัวเข้าไปในเรือนเรือนหนึ่ง ภายในตื่นตกใจชุลมุน
” ให้ตายสิ พวกแกออกไปสู้สิ ! ”
ซูซูรู้สึกผิด แต่นี่มิใช่เวลามานั่งเอ่ยคำขอโทษ “พวกเราใช้เวลาไม่นาน”
” เห้อ… ”
มีทหารขี่ม้าเข้ามา แต่เนื่องจากสถานที่ค่อนข้างคับแคบจึงเข้ามาเพียง5คน ซูซูกระโดดขึ้นสูง นางและดาบเล่มนั้นเฉียดกันไปนิดหนึ่ง เสื้อผ้าของนางถูกเฉือนขาด หมัดของนางจัดการกับทหารที่เข้ามาได้หนึ่งชีวิต นางรับดาบนั้นมาแล้วกระโดดขึ้นขี่ม้า…แต่ทว่า
นางขี่ม้าไม่เป็น !
นางทำตัวไม่ถูก เมื่อพบว่ามีดาบกำลังพุ่งเข้ามา นางก็กระโดดลอยตัวขึ้น ฉึบ ! ฉับ ! เสียงดาบฟาดฟันต่อสู้ นางกำจัดอีก 4 คนจนตกม้าด้วยท่าทีร้อนรน
” ขี่ม้า ฝ่าออกไป !”
ซูซูตะโกนออกมา ฟู่เสี่ยวกวนขึ้นม้า ซูซูกระโดดขึ้นมาหลังเขา “ย่ะ ! วิ่งไป !…”
แต่ทว่า…ฟู่เสี่ยวกวนก็ขี่ม้าไม่เป็นเช่นกัน เขาขับเครื่องบินเป็น แต่ในสมัยนั้นการขี่ม้าออกรบได้ล้าหลังไปแล้ว
“เป็นอะไรไป ? ”
“ข้าขี่ม้าไม่เป็น”
“แล้วจะทำเยี่ยงไรดี ? ”
“เจ้าด้วยงั้นหรือ ?”
” ที่สำนักเต๋ามีลาตัวหนึ่ง แต่ใช้สำหรับโม่แป้ง ท่านอาจารย์กล่าวว่ามิให้ขี่”
ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความลังเล ทันใดนั้นก็มีทหารม้ามุ่งตราเข้ามา ซูซูยกดาบขึ้นสู้ เช้ง ! นางใช้ดาบเปิดทางแล้วตะโกนออกมาว่า ” จับให้แน่น !”
นางใช้ดาบแทงเบา ๆ ไปที่สะโพกของม้า เมื่อม้าเกิดอาการเจ็บจึงร้องและวิ่งตรงออกไปอย่างไม่คิดชีวิต
ฟู่เสี่ยวกวนแทบหงายหลัง เขาจับอานม้าไว้แน่น แล้วเอนตัวไปข้างหน้า เขาพยายามนึกถึงฉากที่เคยเห็นในหนัง มือกำแน่นแล้วบังคับหัวม้าไปทางขวาเพื่อให้ม้าเปลี่ยนทิศทาง
แต่ภายนอกมีคนกว่าสิบคนถือดาบตรงมาทางเขา เช้ง ! ฉับ ! ฉึบ !…แสงไฟจากดาบกระทบกันเป็นประกาย ” อ๊าก… !” แขนของนางถูกฟันเข้าอีกครั้ง
ฟู่เสี่ยวกวนเตะเข้าที่ท้องม้า เขาปรับทิศทางของมันให้เข้าที่ จากนั้นวิ่งออกไป
“ตามไป !…”
ด้านหลังของเขามีเสียงตะโกนตามมา ทหารกว่าสองร้อยคนตามมาด้วยความดุเดือด
การต่อสู้เหล่านี้ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับคนเดินเท้าและพ่อค้าบนถนนสายยาวนี้ การสู้อย่างดุเดือดกลางวันแสก ๆ เช่นนี้ แน่นอนว่าพวกเขาจะต้องหลบซ่อนอย่างรวดเร็ว
ฟู่เสี่ยวกวนไม่รู้ว่าซูซูบาดเจ็บมากน้อยเพียงใด เขารู้เพียงว่าหากครั้งนี้สามารถเอาชีวิตรอดไปได้ เขาจะต้องจัดการกับฮุ่ยชินอ๋องแน่นอน !
ม้าศึกนั้นเสียเลือดมาก ความเร็วของมันช้าลงเรื่อย ๆ เขาได้ยินเสียงกีบม้าดังมาชัดเจนขึ้นทุกที “ เดี๋ยวเราจะหลบเข้าไปในเรือนอีกเรือนหนึ่ง เจ้ายังไหวใช่ไหม ?”
“ไหวสิ เพียงแต่เสียดายขนมเหลือเกิน…”
เหอะ ๆ สำหรับนางแล้วขนมเหล่านั้นดูสำคัญมากเสียจริง ฟู่เสี่ยวกวนมิเข้าใจในความคิดนางจริง ๆ
“เห้อ หากข้านำพิณมาด้วยคงดี ท่านอาจารย์กล่าวว่าข้าเกียจคร้านเกินไป ดูแล้วคงเป็นเช่นนั้น”
“พิณสามารถปลิดชีพคนได้หรือ ? ”
“ถ้ามิเช่นนั้นข้าจะฝึกพิณไปเพื่อเหตุใดกัน ? ”
“……”
เอาเถอะ ฟู่เสี่ยวกวนยังคงมิเข้าใจ
“ระวัง พวกมันตามมาแล้ว ! ”
“อืม พวกเราเห็นทีต้องจัดการให้เรียบร้อยที่นี่เสียแล้ว”
“อืม…พวกเราน่าจะรอดตายแล้วล่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมอง ที่ถนนนั้นปรากฏคนหนึ่งขึ้น
เป็นสตรีในชุดสีขาว
นางถือเข็มปักผ้าอยู่ในมือยืนอยู่กลางถนน นางก้มหน้าก้มตาปักผ้า เมื่อเข้าใกล้ฟู่เสี่ยวกวนแล้วนางจึงได้เงยหน้าขึ้น ดวงตาเล็กเรียวนั้นมองไปยังพวกเขาแล้วยิ้มขึ้น
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ยิ้มออกมาเช่นกัน
ในที่สุดม้าศึกตัวนั้นก็หมดแรงลงแล้วล้มลงที่พื้น ซูซูคว้าฟู่เสี่ยวกวนไว้แล้ววิ่งตามหลังซูโหรวไป
“ศิษย์พี่สาม พวกเขาแย่งขนมของข้าไป พวกมันสมควรตาย ! ” ซูซูกัดฟันเอ่ยออกมา ซูโหรวพยักหน้ารับรู้
กลุ่มศัตรูใกล้เข้ามาทุกที ซูโหรวยกมือขึ้น
เข็มในมือนางลอยออกไป มีด้ายสีแดงผูกอยู่
“ท่านหัวหน้า ! ”
เมื่อสิ้นเสียงซูโหรว ซูซูก็หยิบดาบขึ้นมาเตรียมพร้อมต่อสู้ที่ข้างหน้าซูโหรว
ฟู่เสี่ยวกวนไม่เข้าใจถึงสถานการณ์ แต่เมื่อเขามองไปยังเส้นด้ายนั้น
เข็มเจาะเข้าไปที่ลูกกระเดือกของทหารคนหน้าสุด เส้นด้ายนั้นรัดแน่น ทหารคนที่สองตามหลังมาถูกด้ายนั้นพอดี เลือดสด ๆ สาดกระจาย ศีรษะของเขาถูกตัดขาด !
จากนั้นตามด้วยคนที่สามคนที่สี่และต่อ ๆ ไป ด้ายเส้นนี้ปลิดชีพคนไปกว่ายี่สิบชีวิต
จากนั้นเข็มเล่มนั้นทะลุไปยังร่างของทหารอีกคนหนึ่ง เข็มเล่มนี้คร่าชีวิตพวกเขาไปอีกกว่าสิบชีวิต !
ทหารเหล่านั้นหยุดการโจมตีลง สีหน้าของพวกเขาซีดเผือดลงทันที
ด้านหลังทหารเหล่านี้มีเสียงรถม้ามาเป็นระยะ ๆ ท่ามกลางถนนอันเงียสงัดนี้ ทำให้เสียงดังชัดเจนขึ้น
ทหารที่เหลืออยู่ร้อยกว่าคนแบ่งออกเป็นสองแถว รถคันนั้นฝ่าออกมาท่ามกลางพวกเขาแล้วหยุดลงด้านหน้า เมื่อรถหยุดลงมีชายคนหนึ่งก้าวลงจากรถ เขาสวมชุดเขียวผมสีขาวบ่งบอกถึงอายุ
เขามองไปยังฟู่เสี่ยวกวนและอีกสองคน จากนั้นมองไปทางซ้าย ทางขวา สุดท้ายมาหยุดลงที่ซูโหรว
“วิทยายุทธ์เข็มเพชรฆาต…หายสาบสูญไปกว่าร้อยปี ในวันนี้ได้เห็นกับตา เป็นบุญของข้านัก ช่างเก่งสมคำร่ำลือ”
“เจ้าเป็นใคร ?” ซูซูถือดาบชี้ไปยังเขา
ชายชราลูบไปยังเคราของตนแล้วเอ่ยว่า “ข้าคือดาบไร้เงา ซีเหมินเพียวเสวี่ย”
ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง ช่างโชคดีที่มิใช่ซีเหมินชุนเสวี่ย
ซูโหรวขมวดคิ้วขึ้น “หึ ๆ ท่านซีเหมินเพียวเสวี่ยที่สาบสูญกว่าสิบปี ในวันนี้ออกมาเป็นหมารับใช้ให้แก่ฮุ่ยชินอ๋องรึ ?”
“แม่นางกล่าวเช่นนี้ก็มิถูก ฮุ่ยชินอ๋องรักในความยุติธรรมนัก หากแม่นางต้องการพึ่งพิงท่านฮุ่ยชินอ๋องละก็ ข้าสามารถช่วยเจ้าได้ คิดดูแล้วฮุ่ยชินอ๋องคงมิใจดำกับสตรีเช่นนี้ ดีไม่ดีอาจให้ตำแหน่งทหารแก่เจ้าด้วย เป็นเยี่ยงไร ?”
ซูโหรวหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า “ข้าอยากรู้เสียจริงว่าดาบไร้เงานั้นจะเร็วเพียงใด”
ซีเหมินเพียวเสวี่ยส่ายหัวแล้วเอ่ยว่า “เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
“งั้นข้าเล่า ? ”
ด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวนมีชายคนหนึ่งก้าวออกมา เขาสวมใส่เสื้อผ้าลินินและหมวกทรงสูง ด้านหลังสะพายดาบอยู่
เขาเดินไปหยุดข้าง ๆ ซูซู และมองไปยังบาดแผลบนร่างกายของนางด้วยท่าทางจริงจัง จากนั้นหยิบขวดยาส่งให้ “เจ้ามีเลือดออก เจ็บหรือไม่ ? ”
“ศิษย์พี่…ข้าเจ็บมาก ! ”
บัดนี้ซูซูจึงได้ร้องไห้ออกมา นางร้องไห้ไปพลางเอ่ยว่า “พวกเขา พวกเขาแย่งขนมข้า ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนงุนงงเป็นไก่ตาแตก แต่เขาก็นึกขึ้นได้ว่าซูซูมีอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น เขาจึงได้เข้าใจว่าขนมนั้นสำคัญกับนางเพียงใด
“ข้าจะจัดการกับพวกเขาเพียงครู่แล้วตอนกลับ ข้าจะซื้อปิงถังหูลู่ให้เจ้าดีหรือไม่ ? ”
“อืม ก็ได้” ซูซูหยุดร้องไห้ ซูโหรวมองไปยังซูเจวี๋ยแล้วกล่าวว่า “ข้าสู้กับเขาได้”
“ข้ารู้ เพียงแต่เจ้าจะเหนื่อยมาก”
“เอาเถอะ” ซูโหรวใส่ยาให้ซูซู ซูเจวี๋ยเดินหน้าขึ้นไปสองก้าวแล้วขยับหมวกให้ตรง เขาโค้งคำนับแล้วกล่าวว่า “ข้า ศิษย์พี่ใหญ่สำนักเต๋า ซูเจวี๋ย ขอเชิญท่านหยิบดาบ !”
ซีเหมินเพียวเสวี่ยขมวดคิ้ว ศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักเต๋านั้นมิได้มีชื่อเสียงนัก แท้จริงควรกล่าวว่าศิษย์ของสำนักเต๋ามิได้มีชื่อเสียงนักนอกเสียจากเจ้าสำนัก
แต่ซีเหมินเพียวเสวี่ยก็มิได้ดูถูกซูเจวี๋ยเนื่องจากเจ้าสำนักนั่นมีความสามารถระดับเทพก็ว่าได้ ลูกศิษย์ของเขาแต่ละคนเกรงว่าจะมิธรรมดา !
แม้แต่วิชาเข็มเพชรฆาตที่สาบสูญมานานยังปรากฏขึ้นอีกครา คาดว่าชายผู้ที่สะพายดาบไว้ด้านหลังนี้จะมีวิชาใดที่เก่งกาจกว่านั้นเสียอีก ?
“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะมิออมมือ จงรับดาบข้าไปซะ !”
ดาบนั้นลอยออกไปแสงอาทิตย์ตกกระทบแวววาวแสบตา ฟู่เสี่ยวกวนมองเห็นดาบนั้นเพียงแวบหนึ่ง จากนั้นดาบก็ลอยมาอยู่ตรงหน้าซูเจวี๋ย
เขามิได้ตกใจแม้แต่น้อย เพียงแต่ดาบของซูเจวี๋ยที่สะพายอยู่นั้นหายไปเสียแล้ว
เมื่อมองอีกที ดาบนั้นปรากฏที่ด้านหน้าของซูเจวี๋ยวนั่นเอง ดาบสีเทานั้นแทงทะลุด้ามไม้
ซูเจวี๋ยถือดาบไว้ “ติ๊ง…” เสียงดาบถูกดีดออกไป ลอยไปทางซีเหมินเพียวเสวี่ย เขาขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย คล้ายกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรู
ดาบที่เด้งกลับไปค่อย ๆ ช้าลง ไม่เหมือนกับตอนที่พุ่งออกมา
มันลอยมาทีละคืบ ๆ คล้ายกับแบกบางอย่างอันหนักอึ้งไว้ ในสายตาของซีเหมินเพียวเสวี่ย คล้ายกับดาบนั้นกำลังกดทับเขามาทุกวินาที
พลังดาบเจี้ยนซื่อ !
ซูเจวี๋ยใช้ดาบของตนทำให้ดาบของเขามีพลังขึ้นมา !
ความสามารถนี้เทียบเท่ากับการเป็นเทพขึ้นมาทุกที
หรือสำนักเต๋าจะมีปรมาจารย์ขั้นเทพกำเนิดขึ้นงั้นหรือ ?
ซีเหมินเพียวเสวี่ยถอยหลังออกไปทีละก้าว ๆ
เขาถอยออกไปถึง 8 ก้าวในทีเดียว จากนั้นจับดาบไว้ยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ เขาโค้งตัวลงกล่าวว่า “เรื่องวันนี้ถือว่าจบสิ้นกัน กลับจวน !”
“ช้าก่อน ! ” ศิษย์พี่ใหญ่เอ่ยปากพูด
เขาเดินหน้าเข้ามาแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าทำให้ศิษย์น้องหกข้าบาดเจ็บ อีกทั้งยังแย่งชิงขนมของนางไป พวกเจ้าจะต้องอยู่ก่อน ! ”
ซีเหมินเพียวเสวี่ยตกตะลึง นี่มันอะไรกัน ! ขนมนั้นคืออะไร ? ใช้ทองคำทำหรืออย่างไร ?
“เจ้าต้องการเยี่ยงไร โปรดกล่าวมา ? ”
“เอาเช่นนี้…”
ดาบของซูเจวี๋ยลอยออกไป ท่ามกลางแสงอาทิตย์อันอบอุ่น ดาบของเขาฟันลงอย่างนุ่มนวล
จากนั้นปรากฏศีรษะตกลงมาเลือดสาดกระจาย
ชีวิตของทหาร 58 คนจบลงด้วยดาบนี้เพียงดาบเดียว
ซูเจวี๋ยเก็บดาบลงแล้วหันไปทางฟู่เสี่ยวกวน
ซีเหมินเพียวเสวี่ยมองดูดาบนั้นด้วยสีหน้าตกตะลึง จากนั้นเขาหันหลังกลับเตรียมขึ้นรถ ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยออกไปว่า “เมื่อเจ้ากลับไปแล้วจงบอกกับฮุ่ยชินอ๋องว่า เรื่องในวันนี้มิจบเพียงเท่านี้แน่ ข้าจะจัดการกับเขาอย่างแน่นอน ! ”
ตอนที่ 197 ถนนสายยาวอาบไปด้วยเลือด (I)
เป็นคราแรกที่ฟู่เสี่ยวกวนได้เห็นซูซูเดือดดาลเยี่ยงนี้ และเหตุก็เกิดจากขนมปิ้งเพียงถุงเดียวเท่านั้น !
ชีวิตของตนเองราวกับมิสำคัญเหมือนกับขนมปิ้งถุงนั้นของซูซู ฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างหงุดหงิดเมื่อตระหนักถึงปัญหานี้ขึ้นมา
เอาเถอะ ในตอนนี้มิใช่เวลามาคิดเรื่องนั้น เพราะเหล่าทหารม้ามิมีทางหยุดลงเพียงเพราะนายพลล้มลง
พวกเขาทำตัวราวกับศพ เผชิญหน้ากับความโหดร้ายของซูซูโดยไร้ความหวาดกลัว
เมื่อขนมปิ้งถุงนั้นมิเหลือแล้ว ซูซูจึงมีมือว่างขึ้นมาอีกข้าง นางยืนอยู่ตรงกลางของถนนทางยาว ออกหมัดสะบัดเท้า เปลี่ยนความโศกเศร้าเป็นกำลัง พลิกคว่ำทหารม้าเกือบร้อยนายที่ปรี่เข้ามาแนบไปกับพื้น
หลังจากนั้นปัญหาก็เกิดขึ้น ซูซูถอยเท้าไปด้านหลังหนึ่งก้าว ถอนไปอีกก้าว ฟู่เสี่ยวกวนก็พบว่าพลังสีขาวจากหมัดของซูซูเริ่มน้อยลง และมิเหลือในที่สุด
นี่คือเหตุผลที่ปรมาจารย์การต่อสู้ไร้หนทางต่อการกับราชสำนัก
วิทยายุทธ์ของพวกเขาแข็งแกร่ง บางทีอาจจะต้านได้ถึงหนึ่งร้อย และอาจจะเป็นพัน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับทหารม้าที่ต้องรับแรงปะทะครั้งแล้วครั้งเล่า พลังภายในของพวกเขาก็จะหมดลง หลังจากนั้นก็จะกลายเป็นปลาที่จะถูกฆ่าบนเขียง
“ย๊า…”
ซูซูไม่ทันระวังจนโดนบาดเข้าที่แขนซ้าย ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าออกลึก ๆ และคำรามลั่น “ข้าเอง ! ”
ซูซูมิลังเล นางถอยไป 2 ก้าว ปรับลมหายใจและหวังว่าจะฟื้นพลังภายในได้โดยเร็วที่สุด
ถนนที่ยาวอย่างยิ่งเส้นนี้ เป็นถนนที่เก่าแก่มาก และมิได้กว้างขวางมากนัก หากทหารม้าจะพุ่งเข้ามาในสนามรบ ก็สามารถเข้ามาพร้อมกันได้แค่แถวละสามถึงสี่เท่านั้น
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบดาบขึ้นมาและยืนหยัดอยู่เบื้องหน้าของซูซู สองขางอลงเล็กน้อย สองมือกุมดาบ และเผชิญหน้ากับทหารม้าที่ปรี่เข้ามาอีกครา เขามิปรี่เข้าไปปะทะกับเหล่าทหาร แต่เลือกที่จะเฉือนม้า
มิใช่หัวม้า แต่เป็นขาม้า
เขาโน้มกายต่ำลง ดาบของทหารบนม้าศึกมาไม่ถึงเขา ดาบของเขาจึงเฉือนเข้าที่ขาของม้าอย่างโหดเหี้ยม
ม้าศึกกรีดร้องและล้มลงไปกับพื้น ฟู่เสี่ยวกวนมิมีเวลาสนใจเหล่าทหารที่ตกลงมาจากหลังม้า เขาพุ่งจากซ้ายไปขวา และจัดการคว่ำม้าศึกทั้งสองด้านล้มลงไปกับพื้น
ทหารม้าที่อยู่ด้านหลังยังคงปรี่เข้ามา “ถอย” ฟู่เสี่ยวกวนตวาดลั่น เฉือนพลางถอยไปพลาง เผชิญหน้ากับม้าศึกที่ปรี่เข้ามา ทหารม้ารอบด้านต่างลุกขึ้นมาจากพื้น ฟู่เสี่ยวกวนก็ตกอยู่ในวงล้อมอย่างรวดเร็ว
เขาดูสงบนิ่งมากขึ้น ราวกับได้กลับไปยังสนามรบในชาติที่แล้ว โลหิตทั่วร่างเริ่มพลุ่งพล่าน ใบหน้าราวกับดูปราดเปรียวยิ่งขึ้น
เสียงเคร้งเคร้งดังขึ้น เขาสกัดดาบทั้งสองที่พุ่งมาทางด้านซ้ายไว้ได้ ย่อร่างลงไป ตวัดดาบออกไป เสียงฉั๊วะดังขึ้น และตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวน หน้าท้องของทหารนายหนึ่งก็ฉีกขาด เขากู่ร้องอย่างบ้าคลั่ง คิดจะยัดลำไส้กลับเข้าไปในท้อง แต่ทั้งหมดนั้นก็เสียแรงเปล่า
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เหลียวแลให้มากความ ดาบของเขาตวัดขึ้นไปด้านบน ปัดดาบทางด้านขวาออกไป และฉวยโอกาสผ่าลงไป จากนั้นทหารอีกนายหนึ่งก็ถูกดาบของเขาเฉือนตั้งแต่ไหล่จนถึงหน้าท้องและตายโดยที่ตายังมิปิดลง
แสงแดดยังคงอ่อนโยน
หยาดโลหิตสีแดงไหลลงบนพื้นถนนเป็นทางยาว
สีหน้าของฟู่เสี่ยวกวนสงบลงเรื่อย ๆ
เขารู้สึกเหมือนตนเองดำดิ่งลงไปในสภาวะหนึ่ง พวกทหารม้าเหล่านั้นในสายตาของฟู่เสี่ยวกวนแล้วเปรียบเหมือนตุ่นและมด แต่เขาในยามนี้เขาราวกับยมทูต ที่มาเก็บเกี่ยวชีวิตของตุ่นและมดเหล่านั้นอย่างไม่แยแส
มิรู้ว่าฟาดฟันดาบออกไปเท่าใดแล้ว และมิรู้เหมือนกันว่าเฉือนจนตายไปเท่าใด เสียงฉึกดังขึ้น ดาบของเขาก็เฉือนเข้าที่สะบักของทหารนายหนึ่ง คาดมิถึงว่าดาบจะหัก
มือกุมด้ามดาบไว้ เขาเหวี่ยงออกไปเต็มกำลัง แทงไปในลำคอของทหารนายหนึ่ง ทหารนายนั้นจับดาบที่แทงเข้าไปในลำคอและตกลงมาจากหลังม้าศึก
หนึ่งดาบเฉือนเข้าที่หลังของฟู่เสี่ยวกวน สายโลหิตพุ่งกระฉูด เขากลิ้งไปกับพื้น และหยิบดาบขึ้นมาได้สองด้าม
ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกล้าเล็กน้อย ราวกับจมอยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ เขาอยากจะคว้าบางสิ่งเอาไว้ แต่ก็พบว่าข้างกายนั้นมิมีแม้แต่เชือกฟาง
สองมือของเขาสะบัดดาบ วิถีของดาบกลายเป็นไร้ระเบียบ สองมือที่กำดาบเริ่มปวดร้าว สองขาของเขาก็เริ่มสั่นเทา
แรงมันถดถอย
ฟู่เสี่ยวกวนสะบัดหัวอย่างแรง เพื่อให้ตนเองยังตื่นตัว
แต่ด้านหลังของเขากลับมีทหารอีกนายหนึ่งที่กำลังย่องเข้ามาใกล้ ทหารผู้นั้นมิได้ฟาดลงมา แต่เป็นการแทง !
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สังเกต เขายังคงติดพันกับทหารห้านายที่ปรี่เข้ามาทางด้านหน้า
หนึ่งจ้าง
หกฉื่อ
สามฉื่อ
สองมือของทหารผู้นั้นกุมดาบไว้แถวเอว ขอเพียงเข้าไปใกล้ได้อีกหนึ่งฉื่อ เขาเชื่อว่าหนึ่งดาบนี้จะสามารถแทงฟู่เสี่ยวกวนจนตายได้
ในตอนที่เขากำลังตื่นเต้นถึงขีดสุด ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเย็นวาบไปทั้งลำคอ ศีรษะของเขาปลิดปลิว ออกห่างจากร่างกาย ร่างของเขายังยืนอยู่ตรงนั้น ยังคงอยู่ในท่วงท่ากำดาบมิเปลี่ยนแปลง
แทงเขาจนตาย !
ในหัวของเขามีคำสั่งเกิดขึ้น แต่ร่างกายของเขามิสั่งการแล้ว
เขาอ้าปากอย่างคาดไม่ถึง ราวกับรู้สึกว่ามันยากที่จะเชื่อ
หัวของเขากลิ้งอยู่ในอากาศ ดวงตาของเขามองไปบนฟ้า แสงแดดในวันนี้ราวกับสว่างอย่างยิ่ง หลังจากนั้นสายตาของเขาก็มองไปบนหลังคา หิมะบนหลังคาที่ยังมิละลายขาวโพลนปกคลุมหลังคาจนมิด สุดท้ายสายตาของเขาก็จับจ้องไปบนพื้น
ที่พื้นมีน้ำ มีโคลน แต่พวกมันเป็นสีแดง แดงราวกับเลือด
ปึก ! ศีรษะของเขาตกกระทบพื้น ในดวงตาก็แดงราวกับเลือด
ปึก ! ร่างของเขาล้มลงไปกับพื้น ซูซูได้มาถึงข้างกายของฟู่เสี่ยวกวน
……
…..
ศาลาว่าการผู้ว่าจังหวัดจินหลิง
ฮุ่ยชินอ๋อง หยูเล่อซื่อจื่อกำลังนั่งตรงข้ามกับหนิงหยู่ชุน โดยไร้ซึ่งน้ำชา
“พอแล้ว” หนิงหยู่ชุนกล่าวออกมาสองคำด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ
หยูเล่อส่ายหน้า “มิพอ”
“เขาคือฟู่เสี่ยวกวน ! ”
“เขาคือน้องสามของข้า ! ”
“เรื่องที่องค์ชายสามกระทำได้ผ่านไปแล้ว”
“ถึงกระนั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็จะมาสั่งสอนเขามิได้ ท่านขุนนางหนิง ศักดิ์ศรีของจวนฮุ่ยชินอ๋องหรือชีวิตของฟู่เสี่ยวกวนกันแน่ที่สำคัญ ? ”
หนิงหยู่ชุนเงียบไปเนิ่นนาน
ฮุ่ยชินอ๋องหยูหลินแห่งเมืองหลวงมีการดำรงอยู่ที่พิเศษ
ในฐานะที่เป็นโอรสคนเล็ก เขาได้รับความรักจากพระชนนีเป็นอย่างมาก ตามกฎระเบียบ ก่อนที่องค์รัชทายาทจะขึ้นครองบัลลังก์ แต่เดิมหยูหลินที่อยู่ในฐานะชินอ๋องสมควรถูกแต่งตั้งและให้ไปอยู่ในอาณานิคมของเขา แต่พระชนนีกลับแก้กฎระเบียบ เหตุผลก็เพราะจะได้มีโอรสในเมืองหลวงเพิ่มอีก 1 คน พระหทัยของพระนางจึงมีความสุขยิ่งขึ้น
แต่เดิมฮุ่ยชินอ๋องก็ปฏิบัติตามกฎระเบียบ แต่บุตรชายคนที่สามของเขาหยูจิ่งฟ่านกลับมิอยู่ในกฎเกณฑ์
ตามที่ฉินโม่เหวินได้เคยกล่าวไว้ ต่อให้หยูจิ่งฟ่านตายไปพันครั้งก็มิน่าเสียดาย แต่เหตุผลเป็นเพราะฮุ่ยชินอ๋อง เขาไม่เพียงแต่จะมิถูกลงทัณฑ์ แต่กลับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น
คดีที่เกี่ยวกับหยูจิ่งฟ่านในศาลาว่าการเหนือและใต้อย่างน้อยก็มีถึง 23 คดี 18 คดีเป็นการปล้นสะดมหญิงสาว 3 คดีคือสังหารริมถนน อีก 2 คดีที่เหลือคือทำร้ายจนพิการ
ตระกูลหนิงมิใช่หนึ่งในหกตระกูลมีอำนาจแห่งเมืองหลวง ถึงแม้ปัจจุบันประมุขของตระกูลจะได้เป็นถึงไท่ฟู่ แต่หากเทียบกับจวนฮุ่ยชินอ๋อง ก็ไร้อำนาจวิเศษใด ๆ
ดังนั้นฮุ่ยชินอ๋องจึงส่งซื่อจื่อนำมาก่อน มิใช่เพื่อขอร้องให้องค์ชายสาม เพียงมาคอยจับตาหนิงหยู่ชุนเท่านั้น เพื่อห้ามมิให้เขาส่งเจ้าหน้าที่ออกไปทำลายเรื่องของฮุ่ยชินอ๋อง
ตอนนี้องค์ชายสามได้ถูกพาเข้าไปในจวนฮุ่ยชินอ๋องแล้ว ก่อนที่จะมาศาลาว่าการผู้ว่า หยูเล่อซื่อจื่อก็ได้เข้าไปหาอยู่ชั่วครู่ เป็นตายมิอาจทราบ สีหน้าของเสด็จพ่อเดือดดาลอย่างที่มิเคยเห็นมาก่อน
เยี่ยงนั้นเรื่องนี้ถ้าหากมิตายก็ยังคงมิจบ !
“ฟู่เสี่ยวกวนเป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทอย่างมาก”
“แล้วเยี่ยงไร ? ฟู่เสี่ยวกวนตายไป ฝ่าบาทก็มิสามารถคุมขังน้องชายของตนได้ และร่างกายของพระชนนีก็ยังแข็งแรงอย่างมาก ไม่กี่วันที่ผ่านมาเสด็จพ่อของข้าก็ได้พาข้าเข้าวังไปเยี่ยมเยียน ยังสามารถทานข้าวได้ครึ่งชามในหนึ่งมื้อ”
“องค์หญิงเก้าก็อาจจะชอบพอกับเขา”
หยูเล่อเลิกคิ้วขึ้น “บุรุษในใต้หล้ามีมากมาย ผู้มีความสามารถที่มีพรสวรรค์ก็มากล้น ระหว่างพวกเขามิได้มีสัญญาหมั้นหมาย ดังนั้นแม้ว่าองค์หญิงเก้าจะสนใจในตัวฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนตายไป อย่างมากที่สุดนางก็แค่เสียใจประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น เจ้าว่าข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่ ? ”
“บางทีพระองค์อาจจะกล่าวได้ถูกต้อง…” หนิงหยู่ชุนลุกขึ้นยืน “แต่กระหม่อมต้องทำอันใดสักอย่าง”
หยูเล่อคิ้วขมวด และลุกขึ้นยืนเช่นกัน “เก็บศพได้ แต่ห้ามขัดขวาง ทำเหมือนกับเรื่องที่หอชิงเฟิงซี่หยู่ ณ ตรอกชิงหลวนเมื่อปีก่อน”
“หากกระหม่อมต้องขัดขวางให้ได้เล่า ? ”
หยูเล่อเงียบไปหลายอึดใจ หนิงไท่ฟู่เดินเข้ามาจากทางด้านนอก
“นั่งลง ! ”
……
…..
สวนต้นบ๊วยภายในสวนดอกไม้ด้านหลังวังเตี๋ยอี๋
คิ้วขององค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าขมวดนิ่ว แต่พระสนมซั่งกลับกำลังชื่นชมต้นบ๊วยที่สวยสดอย่างใจเย็น
“หากยังมิไป ลูกเกรงว่าจะมิทันการณ์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“แสงแดดในหน้าหนาวของจินหลิงมีมิมากนัก เจ้าดูดอกบ๊วยนี่สิ สีสันสวยสดอย่างยิ่งใช่หรือไม่ ? ”
“เสด็จแม่…”
“มือสังหารทั่วไปมักจะลงมือในวันที่ฝนตกหรือไม่ก็คืนเดือนมืด เพราะการสังหารเยี่ยงนั้นเป็นการกระทำที่ต่ำเล็กน้อย ข้ากลับชื่นชมฮุ่ยชินอ๋อง คาดมิถึงว่าเขาจะสังหารในเวลาที่แดดจ้าเยี่ยงนี้ นี่ถือได้ว่าเป็นการสังหารที่ค่อนข้างมีศิลปะ…”
พระสนมซั่งหันกลับมามองหยูเวิ่นเต้า “เจ้าคิดว่าเขาจะสิ้นชีพเยี่ยงนั้นรึ ? ”
“ทหารม้า 400 นายเป็นของจวนฮุ่ยชินอ๋องที่ได้รับการฝึกฝนมาแบบกองทัพ มีแค่เพียงฟู่เสี่ยวกวนและสตรีนามซูซูผู้นั้น พวกเขาต้านมิไหวอยู่แล้ว”
“ใครบอกเจ้าว่ามีเพียงพวกเขาเพียงสองคนกัน ? ”
“…ยังมีใครอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
“เจ้ามองสำนักเต๋าต่ำไปแล้ว” พระสนมซั่งหันหลังไปหยิบผลบ๊วยจากต้นบ๊วย “สำนักเต๋าจะเผยตัวในช่วงเวลาของความโกลาหล นี่คือประเพณีที่สืบทอดมานับพันปีของสำนักเต๋า และในตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าความโกลาหลนั้นจะมาเยือนแล้ว ในเมื่อสำนักเต๋าเลือกฟู่เสี่ยวกวนแล้ว เจ้านิกายสำนักเต๋าก็จะมิยอมให้ฟู่เสี่ยวกวนตายเป็นแน่”
“มิใช่แม่ห้ามมิให้เจ้าไปช่วยฟู่เสี่ยวกวน แต่กำลังมองดูอยู่ ว่าท้ายที่สุดแล้วสำนักเต๋าส่งลูกศิษย์มากี่ราย และอยากจะมองดูว่าฮุ่ยชินอ๋องจะจัดเก็บหมากรุกในตอนท้ายเยี่ยงไร มิใช่ว่าพระชนนีปกป้องเขาอยู่เยี่ยงนั้นหรือ หากเขามิกระทำการสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ก็ไร้หนทางที่จะขับไล่เขาออกไปจากเมืองหลวงแล้ว”
“เจ้าไปดูที่ศาลาว่าการผู้ว่าจินหลิงเถอะ จำไว้ เพียงดู มิต้องพูดเรื่องอะไรทั้งนั้น และมิต้องถามถึงอันใดทั้งสิ้น”
……
…..
ถนนยาวสิบลี้เต็มไปด้วยเลือด !
ซูซูและฟู่เสี่ยวกวนตกอยู่ในศึกนองเลือด คาดมิถึงว่าทหารม้า 400 นายจะถูกพวกเขาสองคนสังหารไปแล้วถึงครึ่งหนึ่งโดยที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่
ยามนี้ร่างของทั้งสองต่างอาบไปด้วยเลือด มีทั้งเลือดของตนเอง แต่ส่วนมากเป็นของศัตรู
ดวงตาของฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้เป็นสีแดงไปแล้ว แต่เขายังคงให้ตัวเองรักษาความสงบนิ่งเอาไว้อย่างเต็มกำลัง บังคับให้แรงของทุกส่วนยังสามารถใช้ในสถานที่ที่สำคัญที่สุดได้
ใบหน้าละเอียดลออของซูซูเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เป็นแสงระยิบระยับภายใต้แสงแดดที่ส่องมา
“เจ้าว่า…พวกเราจะตายตกที่นี่หรือไม่ ? ”
“สบายใจเถิด มีข้าอยู่ เจ้ามิตายหรอก ! ”
ซูซูหัวเราะคิกคัก ลอบคาดมิถึงว่าชายผู้นี้ที่ยังมิได้เข้าสู่หนทางวิทยายุทธ์ก็กล้าพ่นคำพูดที่บ้าระห่ำเยี่ยงนั้นออกมา
แต่ชายผู้นี้ก็ถือว่าค่อนข้างยอดเยี่ยม คาดมิถึงว่าจะสังหารไปมิน้อย โดยที่ไม่กะพริบตา
ทหารม้าที่อยู่ตรงหน้ามิให้โอกาสพวกเขาได้หายใจ ทหารม้าที่เหลืออยู่ 200 นายปรี่เข้าในถนนเส้นยาวนี้อีกครา !
เสียงเกือกม้าห้อตะบึง ราวกับเสียงกลองรบของพญายม !
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเดินหน้าขึ้นไป นอกจากหยูจิ่งฟ่านและพรรคพวกของเขาแล้ว ทุกคนล้วนมองไปยังเขา
หญิงกลางคนนั่นถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมาว่า “ซิ่วไฉก็คือซิ่วไฉวันยังค่ำ เขามิรู้ถึงความน่ากลัวของโลกสักนิด แม่นางจงรีบออกจากที่นี่เถิด หากให้เจ้าคนนั้นพบเข้า…”
แม่นางคนนั้นหายไปไหนเสียแล้ว ?
หญิงคนนั้นหันหลังไปมอง แต่กลับพบว่าซูซูยืนอยู่ข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“แย่แล้ว ! ”
หยูจิ่งฟ่านเหลือบมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้วเพ่งไปที่ใบหน้าของซูซูโดยไม่ละสายตา
“หืม ? เมืองหลวงมีนางฟ้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ? ” หยูจิ่งฟ่านนำมือขยี้ตาของเขาด้วยสีหน้ามีความสุข คล้ายกับลืมเรื่องเจียงหยูไปเสียแล้ว
ซูซูยิ้มรื่น นางนึกในใจว่าเดิมทีตนก็หน้าตามิเลว มิเช่นนั้นพวกเขาจะจ้องมองมาที่นางด้วยเหตุใด ?
แต่ผู้คนพวกนี้หน้าตาแสนธรรมดา ความสูงเพียง160 เซนติเมตร ใบหน้าอ้วนกลมแม้จะไม่เท่ากับศิษย์พี่รอง แต่ก็ไม่น่าชม นอกจากนี้ยังมีริ้วรอยและแฝงถึงความดุร้าย ไม่น่ามองเลยสักนิด
ซูซูคิดอยู่ในใจจากนั้นส่ายหัว ถามออกมาว่า “พวกเจ้าไม่มีกระจกหรือเยี่ยงไร ? ”
หยูจิ่งฟ่านตกตะลึง เขารีบเอ่ยขึ้นมาว่า “มีสิ ! บ้านข้ามีกระจกมากมาย”
ซูซูเดินเขย่งเท้าขึ้นด้วยท่าทางไม่มีพิษภัย “เหตุใดเจ้าไม่ส่องกระจกเสียบ้าง ? หน้าตาอัปลักษณ์เยี่ยงนี้ออกมาพบกับผู้คนจะทำให้ผู้อื่นตกใจเสียเปล่า ! ”
ให้ตายสิ ! คำกล่าวและท่าทางอันไร้เดียงสาของซูซูเมื่อครู่ ทำให้ผู้คนรอบข้างส่งเสียงหัวเราะออกมา
หยูจิ่งฟ่านหุบยิ้มลงทันที เขาโมโหมาก เนื่องจากในชีวิตนี้เขามิเคยถูกผู้ใดกล่าวหาว่าหน้าตาอัปลักษณ์มาก่อน !
“เอาเถอะ ถึงอย่างไรวันนี้ข้าก็จะคว้าดอกฟ้าอย่างเจ้ามาเชยชมให้ได้ ! ”
จากนั้นเขาก็โบกมือกล่าวว่า “ลงมือ !”
พรรคพวกของเขาพากันกรูเข้ามา หญิงกลางคนนั้นตกใจกระทืบเท้าปึง ! ตายแน่ ตายแน่ ๆ ! ชีวิตแม่นางจบสิ้นแล้ว
แต่ต่อจากนั้นนางก็ตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ซูซูมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วพยักหน้า
ดังนั้นซูซูจึงลงมือ “พลั่ก… ! ”
“อึก… ! ”
บรรดานักเลงต่างหน้าตาฟกช้ำดำเขียว ซูซูยักไหล่และปัดมือที่เลอะของนาง จากนั้นนางจึงเดินกลับมาด้วยรอยยิ้มอันพึงพอใจ
ตายแล้ว !
หยูจิ่งฟ่านตกตะลึง ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง ปากของเขาก็เช่นกัน ให้ตายซิ ! แม่สาวน้อยนี่เก่งกาจนัก ผู้คุ้มกันของข้าไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะตอบกลับด้วยซ้ำก็ถูกนางจัดการเสียมิเป็นท่า
ผู้คุ้มกันเหล่านั้นนอนร้องโอดครวญอยู่บนพื้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
ฟู่เสี่ยวกวนยื่นมือออกไปบีบคอของหยูจิ่งฟ่านไว้กล่าวว่า “เจ้ามีความสามารถเพียงเท่านี้รึ ? ”
“แค่ก ๆ ! เอามือสกปรกของเจ้าออกไปเดี๋ยวนี้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนปล่อยมือออก หยูจิ่งฟ่านสำลักออกมา ในใจเขาเริ่มหวาดกลัว แต่เมื่อนึกถึงตำแหน่งของตนแล้วก็ฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะแล้วเตะไปยังท้องของเขา หยูจิ่งฟ่านถูกเตะเสียจนกระเด็นไปตกที่พื้น
“แล้วเจ้ารู้ไหมว่าข้าคือใคร ? ”
ผู้คนรอบข้างอกสั่นขวัญหาย หญิงวัยกลางคนนั่นรีบวิ่งเข้ามา นางมองดูหยูจิ่งฟ่านที่นอนอยู่บนพื้นแล้วกล่าวกับฟู่เสี่ยวกวนด้วยเสียงอันเบาว่า “คุณชาย รีบพาแม่นางหนีไปเร็วเข้า หนีไปยิ่งไกลยิ่งดี อย่าได้กลับมาเมืองจินหลิงอีกเลย”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจ เขากลับหันมากล่าวกับแม่นางเจียงหยูว่า “แม่นางรีบประคองเขาขึ้นมาเถิด จากนั้นไปหาหมอมารักษาให้ดี มิเช่นนั้นอาจเจ็บปวดฝังลึกลงกระดูกได้”
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ สำหรับเจียงหยูคล้ายกับเป็นความฝัน
เดิมทีนางคิดว่าทุกอย่างจบสิ้นแล้ว แม้นางเอ่ยว่าจะไปฟ้องร้อง แต่ในใจนางรู้ดี นักเลงเหล่านี้เป็นถึงหลานขององค์ฮ่องเต้ ฝ่าบาทจะเข้าข้างนางได้เยี่ยงไร ?
เดิมทีนางคิดว่าคู่หมั้นของนางจะถูกพวกเขาทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต คาดมิถึงว่าทั้งสองจะมาช่วยตนไว้ แม่นางชุดสีม่วงนั่นช่างเก่งกาจยิ่งนัก สามารถจัดการกับพวกอันธพาลได้เพียงพริบตา คุณชายผู้นี้ก็ช่างกล้าหาญ กล้าลงมือกับองค์ชายที่โหดเหี้ยมแห่งเมืองหลวง
ให้ตายสิ !
เขากล้าทำลงไปได้อย่างไร !
เจียงหยูคุกเข่าคารวะเขา “ขอบคุณคุณชายและคุณหนูที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้ หากชาติหน้ามีจริง ข้าน้อยจะขอเป็นบ่าวรับใช้เพื่อตอบแทนบุญคุณของท่านทั้งสอง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนนำมือขึ้นลูบจมูก เขาเข้าใจว่าประโยคเมื่อครู่นั้นหมายถึงชาตินี้ให้แล้วกันไปก่อน เอาเถอะ ถ้าเช่นนั้นก็แล้วกันไป
“เอาละ เจ้าประคองเขาไปเถิด”
หยูจิ่งฟ่านตะเกียกตะกายขึ้นมา ร่างกายเขาเต็มไปด้วยดินโคลน
เขาชี้หน้าฟู่เสี่ยวกวนแล้วตะโกนออกมาว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร ? ข้าคือ…”
ฟู่เสี่ยวกวนตบไปที่ใบหน้าของเขา ทำให้เขามิอาจเอ่ยออกมาให้จบประโยคได้
“เจ้า ! เจ้ากล้าตบหน้าข้า ! ”
หยูจิ่งฟ่านเช็ดรอยเลือดที่มุมปาก เขาจ้องมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้วกล่าวว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือ…”
ครั้งนี้ฟู่เสี่ยวกวนดึงคอเสื้อเขาไว้ แล้วตบเข้าไปสองสามที ทำให้หยูจิ่งฟ่านมึนงง เดิมทีใบหน้าของเขาก็กลมอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งกลมเข้าไปอีก จมูกทั้งสองข้างมีเลือดไหลซึม
“ข้าอยากจะรู้นักว่าข้าต่อยเจ้าแล้วยังไง ? ”
“ข้า ข้า ข้าคือ…”
ฟู่เสี่ยวกวนถีบเข้าเต็มเปา “ปึง… ! ” หยูจิ่งฟ่านล้มลงทันที
“อึก… !”
หยูจิ่งฟ่านกลิ้งหลายตลบและนอนหมดท่าอยู่บนพื้น เขาเอามือดันพื้นไว้
“กรี๊ด ! แย่แล้ว ! ตายแน่ ๆ ! ”
ผู้คนรอบข้างกรีดร้องขึ้นมาด้วยความตกใจกลัว ฟู่เสี่ยวกวนปัดมือแล้วเดินไปทางร้านอู่เว่ยจาย “นำขนมเลิศรสของเจ้าพวกนี้ใส่ห่อให้ข้าหน่อย”
เขาหยิบเงินออกมา 5 ตำลึงจากนั้นโยนไปที่คนขาย ซูซูเดินตามเขาไป แม่นางในร้านจึงได้สติและรีบหยิบขนมให้เขา ในใจก็คิดว่าชายผู้นี้เป็นใครกัน ? เหตุใดทำร้ายหยูจิ่งฟ่านผู้อำมหิตแล้วยังใจเย็นได้เพียงนี้ คาดว่าเขาคงมิธรรมดาแน่
เจียงหยูหลังจากพาหลิวซิวผิงไปพักแล้วจึงเดินออกมากล่าวว่า “ท่านผู้มีพระคุณ เงินเหล่านี้ข้ารับไว้มิได้ หลิงเอ๋อ ให้พวกเขามากกว่านี้อีก พวกเราต้องปิดร้านแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ขัดแย้งเจียงหยู หากเขามิต้องจ่ายเงินแน่นอนว่าเป็นเรื่องดี เขาเก็บเงินเข้าไปในถุงตามเดิม ซูซูหอบขนมไว้ในอ้อมแขน ทั้งสองเดินไปกินไปราวกับมิมีเรื่องใดเกิดขึ้น
“เขาจะตายหรือไม่ ? ” ซูซูเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“น่าจะไม่ อืม ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เจ้าจัดการกับพวกเขาอย่างไร ? ”
“อ้อ ข้าลงมืออย่างรุนแรง เกรงว่าเขามิอาจลุกขึ้นมาได้อีก”
แม่สาวน้อยผู้นี้ลงมือเด็ดขาดนัก แต่เขาก็ชื่นชอบ
ซูซูหยิบขนมขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วกัดลงไป “โอ้โห ชิ้นนี้อร่อยเสียจริง เจ้าลองชิมดู” กล่าวจบนางก็ยัดขนมที่กัดไปแล้วคำหนึ่งใส่ปากฟู่เสี่ยวกวนไป “อืม มิเลว ไม่รู้ว่าหลังเกิดเรื่องนี้ร้านอู่เว่ยจายยังจะเปิดอีกหรือไม่ ? ”
“เกรงว่าไม่เสียแล้ว เขามิใช่โอรสของท่านชินอ๋องหรือ ? พวกเราจัดการกับโอรสของเขาเช่นนั้น ท่านชินอ๋องคงจะมิปล่อยพวกเราไปแน่ และร้านอู่เว่ยจายก็คงจะได้รับผลกระทบด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ฮุ่ยชินอ๋องนี้เขามิรู้จัก แต่ดูจากวิธีการเลี้ยงดูบุตรแล้ว ต่างจากเสียนชินอ๋องที่หลินเจียงอย่างชัดเจน
เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เป็นกังวลใจ เนื่องจากมีผู้คนมากมายเป็นพยานว่าเขาผู้นั้นทำเกินเหตุไป ต่อให้อยู่ต่อหน้าองค์ฮ่องเต้ เขาก็ยังคงยืนยันคำเดิม
บัดนี้เขามิอาจเดาได้ว่าท่านฮุ่ยชินอ๋องจะจัดการเขาอย่างไร แต่คิดว่าภายใต้ฟ้านี้ต่อให้เป็นชินอ๋องก็คงมิกล้าทำการใด ๆ โดยลำเอียงต่อหน้าสาธารณชน…
ดังนั้นเขาจึงเดาว่าชินอ๋องจะไม่จัดการกับเขาต่อหน้าทุกคนแน่ ในขณะที่เขากำลังคิดเรื่องนี้ บนท้องถนนก็มีเสียงดังโวยวาย จากนั้นตามมาด้วยเสียงฝีเท้าของม้า เมื่อหันไปมองพบว่าทหารม้ากลุ่มหนึ่งตรงมายังเขาและซูซู
นายพลที่นำหน้ามายกดาบขึ้นแล้วจ้องไปยังฟู่เสี่ยวกวน ตะโกนออกมาว่า “ฆ่า ! ”
ซูซูตกใจแล้วนำมือข้างหนึ่งโอบขนมเอาไว้ มืออีกข้างหนึ่งคว้าฟู่เสี่ยวกวนให้มาหลบด้านหลัง
นางไม่มีอาวุธในมือ สถานการณ์ตอนนี้นางค่อนข้างจะเสียเปรียบ
และนางมิอาจกระโดดหลบหนีได้ เพราะหากนางทำเช่นนี้ ฟู่เสี่ยวกวนจะทำอย่างไรเล่า ?
เมื่อเห็นซูซูยืนบนพื้นด้วยเท้าเปล่า มือซ้ายของนางยังคงถือขนมไว้ มือขวาของนางกำแน่น และเมื่อนายพลผู้นั้นคว้าดาบฟันลง นางก็เอี้ยวตัวหลบและชกหมัดออกไป
ดาบนั้นเฉียดหลังของนาง ซูซูกำหมัดแล้วต่อยออกไปที่ท้องม้า ม้ารบนั่นถูกแรงต่อยของนางกระเด็นไปที่ร้านค้าข้าง ๆ
ร้านค้านั้นขายผักและผลไม้ ซึ่งบัดนี้กระจายว่อนตามแรงกระแทกของม้า
นายพลกระเด็นตกจากหลังม้า ในมือทั้งสองข้างถือดาบไว้จ้องมาทางซูซู ชายผู้นี้เป็นกังฟู ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้น
กองทัพม้าด้านหลังกรูกันเข้ามา พวกเขาตรงมายังฟู่เสี่ยวกวน
ซูซูกังวลใจมาก นางรีบเตะดาบนั้นออกไปจากตัวแล้วใช้ร่างกันฟู่เสี่ยวกวนไว้ ดวงตาทั้งสองข้างเบิกกว้างและต่อยออกไปอีกครั้ง
หมัดนี้ชกเข้าไปที่สันดาบ ทำให้ดาบนั้นหักเหทิศทาง ผู้ที่เป็นเจ้าของดาบรู้สึกถึงความเจ็บปวดและดาบนั้นหลุดมือเขาไป ซูซูใช้เท้าเล็ก ๆ ของนางเตะเข้าไปที่ม้ารบอีกครา ตุบ ! ม้านั้นกระเด็นออกไปตกลงสู่พื้นอย่างจัง
นายพลผู้นั้นลุกขึ้นหยิบดาบออกมาอีกครั้ง ทหารด้านหลังของเขากว่าร้อยคนแบ่งเป็นสองแถวกรูเข้ามา กวัดแกว่งดาบไปยังฟู่เสี่ยวกวน
ซูซูกำลังตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน นางเดือดดาลคล้ายกับเสือ และรุมเข้าสู่ฝูงชน ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนทั้งจากคนและม้า…
เลือดสีแดงสดสาดกระเด็น เห็นได้ชัดว่าหมัดของนางนั้นหนักเพียงใด หมัดเพียงหมัดเดียวของนางเทียบได้กับแท่งเหล็กทีเดียว
ทันใดนั้นดาบของนายพลผู้นั้นก็ตรงเข้ามาอย่างไม่มีเสียง ฟู่เสี่ยวกวนตะโกนว่า “ระวัง ! ”
ซูซูเอี้ยวตัวหลบ ดาบนั้นฟันผ้าห่อขนมที่นางกอดเอาไว้ขาดสองท่อน ขนมเหล่านั้นตกลงสู่พื้น ซูซูโมโหสุดขีด
“ชดใช้ขนมข้ามา ! ”
ชุดสีม่วงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วทำให้นายพลตาลาย จากนั้นเขารู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ท้องและแผ่นหลัง เขาล้มลงที่พื้นกระอักเลือดสด ๆ ออกมา
“ข้าสั่งให้เจ้าชดใช้ขนมแก่ข้า ! ชดใช้ขนมให้ข้า ! ได้ยินหรือไม่… ! ”
ซูซูเตะอัดเข้าไปอีกหลายที นายพลผู้นั้นคล้ายกับจะสิ้นลมหายใจ เขารู้สึกเสียใจยิ่ง และอยากจะหันไปกล่าวกับซูซูเหลือเกินว่า “ข้ายินดีชดใช้ขนมแก่เจ้า…!”
ฟู่เสี่ยวกวนได้ออกมาจากจวนฟู่ในยามบ่าย และพาซูซูไปทางตอนใต้ของเมือง
แสงแดดอ่อน ๆ ทำให้หิมะบนหลังคาและยอดไม้กำลังละลาย น้ำหิมะรวมตัวกันจนเป็นหยดน้ำใส หลังจากนั้นก็ตกลงมาแผ่วเบา แตกกระจายบนพื้นหินอ่อน น้ำแข็งบนผืนหินอ่อนได้ละลายไปแล้ว และมีโคลนติดอยู่บนพื้นเล็กน้อย
พวกเขามิได้นั่งรถม้า เพียงเดินไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้น
ซูซูยังคงเดินเท้าเปล่า สวมชุดกระโปรงยาวกรอมเท้าสีม่วง ชุดที่นางใส่บางอย่างมาก และช่างแตกต่างกับผู้อื่นอย่างยิ่งเพราะในยามนี้มิมีผู้ใดสวมใส่เสื้อผ้าบาง ๆ แบบนาง เมื่อรวมกับใบหน้าที่ไร้ที่ตินั่น ก็มีสายตามากมายที่มองมาทางพวกเขาอย่างสนใจ
“ข้าว่า ยามออกมาด้านนอกเจ้าจะสวมรองเท้าได้หรือไม่ ? ”
“เหอะ สวมรองเท้ามันมิสบายนี่”
“มิสบายเยี่ยงไร ? ”
“ก็…เดินไปเพียงสองสามก้าวก็มีเหงื่อแล้ว มันเปียก ข้ารู้สึกว่ามันสวมใส่มิสบายเท่าใดนัก”
โอ้ เหงื่อที่เท้า !
ฟู่เสี่ยวกวนไร้หนทาง เขาเองก็มิรู้ว่าจะควบคุมสิ่งนี้อย่างไร “แล้วเจ้ามิหนาวจริง ๆ เยี่ยงนั้นรึ ? ”
ซูซูส่ายหน้า “สบายมาก เยี่ยงนั้นเจ้าอยากลองถอดรองเท้าเดินรึไม่ ? ”
ให้ข้าลองกับผีเจ้าสิ !
เอาเถอะ คอยมองดูไปก็แล้วกัน ขอเพียงคนเหล่านั้นมิคิดว่าตนเป็นคนทารุณนางก็พอ
ทั้งสองเดินผ่านถนนมาสองสามสาย ทันใดนั้นซูซูก็หยุดลง นางรั้งชายเสื้อของฟู่เสี่ยวกวนไว้ และชี้ไปทางด้านหน้า ก่อนจะเอ่ยถามว่า “เหตุใดตรงนั้นคนเยอะจัง ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนมองตาม นั่นเป็นร้านค้าเล็กที่ไม่เตะตาผู้คน และคนเหล่านั้นเหมือนกำลังต่อแถวซื้ออะไรบางอย่างอยู่
“เยี่ยงนั้นลองเดินเข้าไปดูดีหรือไม่ ? ”
“ดี !” ซูซูพยักหน้า นางชื่นชอบความครึกครื้นยิ่ง เพราะนางใช้ชีวิตที่สำนักเต๋านานเกินไปแล้ว และสำนักเต๋าก็เงียบเหงาเกินไป
ทั้งสองคนเดินมาถึงด้านหน้าร้านค้า ฟู่เสี่ยวกวนจึงพบว่าที่นี่คือร้านขายขนมปิ้ง
ร้านอู่เว่ยจาย !
ป้ายผ้าประกาศที่มีสามตัวอักษรขนาดใหญ่ได้แขวนติดอยู่บนทับหลังของร้านค้า ด้านหน้าประตูมีโต๊ะต้อนรับ พนักงานในร้านต่างก็เดินถือถาดขนมปิ้งมาให้กับพนักงานทางด้านหน้าดูแล้วช่างเป็นภาพที่วุ่นวายเสียจริง และที่โต๊ะต้อนรับด้านหน้าก็มีชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ ดูแล้วเป็นวัยรุ่นอายุอานามยี่สิบปี ทั้งสองต่างกำลังยุ่งกับการนำขนมปิ้งของลูกค้ามาห่อให้ดี รับเงินแล้ว หลังจากนั้นก็กล่าวขอบคุณ
กิจการนี้มิเลว เหมือนว่าร้านอู่เว่ยจายนี้ได้ขายมาเป็นเวลาหลายปีแล้วเช่นกัน
“เจ้าอยากลองชิมหรือไม่ ? ”
“อือ !”
ซูซูเลียริมฝีปาก กลิ่นหอมหวานที่โชยมาจากภายในร้านได้กระตุ้นความอยากของนางนานแล้ว ต่อให้ฟู่เสี่ยวกวนมิพูด นางก็จะหยุดซื้อเพื่อลิ้มรสมันอย่างแน่นอน
รสชาติย่อมไม่แย่ แต่มิรู้ว่าจะอร่อยเทียบกับถังหูลู่ได้หรือไม่
ทั้งสองได้เดินมายังท้ายแถว ฟู่เสี่ยวกวนลองนับคร่าว ๆ ด้านหน้านั้นยังมีอีกยี่สิบลำดับ ดูเหมือนว่าจะต้องรออีกเสียหน่อย
เขาอยากจะไปดูอารามซุ่ยเยว่ แต่มิได้เร่งรีบอันใด เพราะเพียงต้องการไปดูเท่านั้น
ป้าที่ยืนอยู่ด้านหน้าเขาเหลือบมองมาทางเขา หลังจากนั้นสายตาก็ไปตกอยู่ที่ซูซู
ป้าดวงตาวาวโรจน์ “ไอหยา ช่างเป็นคนที่งดงามอะไรเยี่ยงนี้ ! เพ่ย ๆ งดงามเกินไปแล้ว ราวกับน้ำแข็งแกะสลัก… ไอหยา แม่นาง เจ้าสวมชุดบางอะไรเยี่ยงนี้ ! อย่าทำให้ตัวเย็นสิ ไอหยา แม้แต่รองเท้าก็มิได้ใส่ หน้าหนาวที่พื้นเย็นเยี่ยงนี้ เจ้าแอบหนีออกมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ซูซูงงอยู่ชั่วขณะ ป้าท่านนั้นหันมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน
แขนซ้ายของนางถือตะกร้าสาน มือขวาชี้ไปทางฟู่เสี่ยวกวน “เจ้าเป็นพี่ชายนางรึ ? พี่ใหญ่ จิตใจกว้างขวางเสียหน่อยเถอะ เจ้าสวมชุดเหมือนมนุษย์มนา แต่สาวน้อยผู้นี้กลับใส่เสื้อผ้าชิ้นบางนางจะถูกแช่แข็งเอา เจ้ารีบพานางกลับบ้านไปเถอะ ข้ามิได้กล่าวถึงเจ้าและผู้ใหญ่ในบ้านของเจ้า แต่เดิมแล้วร่างกายของสตรีนั้นต่างหวาดกลัวความเย็น น้องสาวของเจ้ายังเด็กคงยังมิรู้สึกอะไร แต่ภายภาคหน้าหากแต่งงานมีลูกก็จะทราบกันเอง เมื่อถึงเวลานั้นจะเจ็บปวดไปทั้งร่าง และจะถูกบ้านของสามีรังเกียจ รีบกลับไปเร็ว ๆ เชื่อฟังกันด้วย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนไร้เดียงสาอย่างมาก เขาหันไปมองซูซู มีความหมายว่าพวกเราต้องไปจากที่นี่แล้วใช่หรือไม่ แต่ซูซูกลับส่ายหน้า นางหันไปมองป้าและกล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ท่านป้า ข้าได้รับรู้ถึงความกรุณาของท่านแล้ว มันเป็นเยี่ยงนี้ ข้ามิได้ถูกลักพาตัวออกมา…”
นางเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนในขณะที่กล่าว บนใบหน้าก็มีร่องรอยของความขัดเขิน นางก็กล่าวกับคุณป้าผู้นั้นอีกว่า “แท้จริงแล้ว ข้าและเขาหนีตามกันมาเจ้าค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง ป้าท่านนั้นจ้องเข้าด้วยอารามตกใจอ้าปากค้าง ที่แท้ก็มิใช่พี่น้องกัน สาวน้อยผู้นี้อายุเท่าใดกันเอง เจ้าหนุ่มนี่ก็ลักพาตัวมาเสียแล้ว มันได้ที่ไหนกัน !
“เจ้าทำเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ? สาวน้อยงดงามถึงเพียงนี้ ดูก็รู้แล้วว่าเป็นคุณหนูจากตระกูลใหญ่ เจ้าเองก็ดูมีการศึกษา คาดว่าคงเป็นพวกปัญญาชนที่ยากจนล่ะสิ”
กล่าวดังนั้นป้าก็ลากซูซูออกมา และเอ่ยเสียงแผ่ว “เจ้าอย่าได้เชื่อการแสดงเยี่ยงนั้น มันเป็นคนหลอกลวงทั้งสิ้น ลมปากของปัญญาชน เป็นปีศาจที่หลอกลวง เจ้าอย่าได้ไปเชื่อคำพูดของพวกเขาทั้งหมด มิฉะนั้นเจ้าจะเสียใจไปทั้งชีวิต มา บอกกับป้ามาว่าเจ้าเป็นลูกสาวของบ้านไหน ป้าจะเป็นที่พึ่งให้แก่เจ้า หากเขากล้าพาเจ้าไป ป้าจะไปแจ้งกับทางการเอง ! ”
ซูซูเริงร่าขึ้นมา ฟู่เสี่ยวกวนยากที่จะโต้แย้งออกไป ในยามนี้เหล่าลูกค้าที่กำลังต่อแถวต่างก็หันมองมาทางเขา ทั้งยังมีคนมาล้อมรอบตัวเขาไว้
คนเหล่านี้ชี้มาที่เขา ในสายตาเต็มไปด้วยความดูถูก
“กระทำตนเหมือนสุนัข คาดมิถึงว่าจะหลอกให้สาวน้อยน่ารักผู้นี้หนีตามมา…ช่างน่าขายหน้านักสำหรับผู้มีความรู้ ! ”
“ให้ตายเถอะอย่างน้อยก็น่าจะซื้อรองเท้าให้แม่นางสวมใส่สักคู่ ช่างน่าสงสารยิ่ง ข้าที่สวมรองเท้าผ้าฝ้ายก็ยังรู้สึกหนาวเย็นยิ่งนัก”
“เฮ้อ… โลกล่มสลาย ใจคนยากหยั่งถึง คิดแล้วก็มิเหมาะสมกันอย่างยิ่ง ที่บ้านสาวน้อยต่างก็ไม่เห็นด้วยแล้ว แต่ก็ยังคิดใช้วิธีสกปรก”
เสียงต่าง ๆ ดังเข้าหูของฟู่เสี่ยวกวน ทันใดนั้นเขาก็หัวเราะขึ้นมา ในตอนที่กำลังจะตอกกลับคนเหล่านั้น แต่แล้วเขาก็เงยหน้ามองไปทางด้านหน้า
“ไสหัวไปให้หมด เปิดทางให้ข้าเดี๋ยวนี้ ! ”
ชายชั่วที่พาดดาบไว้ที่เอวนับสิบคนขับไล่แถวผู้คนที่ต่อกันอยู่หน้าร้านอู่เว่ยจาย “มองอะไรกัน ? มองอีกข้าจะควักตาของเจ้าเสีย”
คนหลายคนต่างก้มหน้าหลบ
ด้านหลังชายชั่วเหล่านั้นคือเกี้ยวหลังหนึ่ง และในตอนนี้เกี้ยวหลังนั้นก็ได้มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูร้านอู่เว่ยจาย หลังจากนั้นก็มีคนเดินลงมาจากเกี้ยว
ชายผู้นี้มีรูปร่างเตี้ย สวมเสื้อขนสัตว์สีขาว และสวมหมวกหนังสีขาวไว้บนศีรษะ
“คนผู้นี้คือใคร ? เหตุใดจึงเผด็จการนัก ?” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
“หยุดพูด พระองค์คือบุตรชายของฮุ่ยชินอ๋องนามหยูจิ่งฟ่าน เสี่ยวหยูที่น่าสงสาร เกรงว่ายากที่หนีให้พ้นเงื้อมมือเขาแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด และหันไปเห็นหยูจิ่งฟ่านที่หยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูร้านอู่เว่ยจาย มองไปทางด้านใน และเอ่ยถาม “เสี่ยวหยูล่ะ ?”
ชายหญิงวัยรุ่นที่ยืนอยู่ด้านในโต๊ะรับรองต่างหน้าเปลี่ยนสี พวกเขากล่าวเสียงแผ่วเบาอย่างไม่เป็นสุข “เสี่ยวหยู… มิมา”
หยูจิ่งฟ่านหัวเราะ สองมือไขว้หลังและหันหลังกลับมา มองผู้คนรอบด้านด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด ดังนั้นเหล่าชายโฉดก็ตะโกนขึ้นมาอีกครา “ไสหัวไปให้หมด ของชั้นต่ำเยี่ยงนี้อร่อยตรงไหนกัน ?”
และก็เห็นหยูจิ่งฟ่านโบกมือเรียกชายชั่วที่ตะโกนอยู่เมื่อครู่ ชายผู้นั้นก็ปรี่เข้ามาหา และก็ได้ยินเสียงเพี๊ยะดังขึ้นมา คาดมิถึงว่าหยูจิ่งฟ่านจะตบเข้าที่ใบหน้าของชายโฉดผู้นั้นอย่างแรง
“เจ้ากำลังกล่าวถึงอะไร ? นี่คือของที่แย่เยี่ยงนั้นรึ ? เจ้าอย่าได้คิดทำลายชื่อเสียงของร้านอู่เว่ยจาย เจ้ารับรู้ความผิดของตนเองแล้วหรือยัง ?”
ชายชั่วผู้นั้นกุมแก้มและพยักหน้ารัว “กระหม่อมผิดไปแล้ว ๆ กระหม่อมมิบังควรทำลายชื่อเสียงของร้านอู่เว่ยจายเยี่ยงนี้”
“อือ รับรู้ว่าผิดเยี่ยงนั้นก็ดีแล้ว ยังมิทุบโต๊ะรับรองนี้ให้ข้าอีกรึ !”
ผู้ที่มองอยู่พักหนึ่งอย่างฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง ให้ตายเถอะ สมองคนพวกนี้ชักจะมีปัญหาแล้ว !
ชายชั่วผู้นั้นรีบโค้งคำนับ ดึงดาบข้างเอวออกมา เสียงกระแทกกับโต๊ะดังปึง วัยรุ่นที่อยู่ด้านในโต๊ะรับรองกรีดร้องอย่างหวาดกลัว พนักงานที่อยู่ภายในร้านต่างหยุดลง และมองไปทางด้านนอกอย่างหวาดกลัว
“หยุดมือ ! ”
น้ำเสียงเกรี้ยวกราดดังมาจากข้างในร้านอู่เว่ยจาย หลังจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็เห็นสตรีอายุสิบเจ็ดถึงสิบแปดปียืนอยู่ที่โต๊ะรับรองด้านหน้า
เอาเถอะ สตรีผู้นี้ก็งดงามยิ่ง
“องค์ชายสามเพคะ โปรดปล่อยหม่อมฉันไปได้หรือไม่ ? พระองค์เป็นองค์ชาย หม่อมฉันเป็นเพียงสามัญชนเท่านั้น พระองค์โปรดปรานหญิงสาวแบบไหนจะหามิได้หรือเพคะ เหตุใดต้องมาพัวพันแต่กับหม่อมฉันกัน ? ”
หยูจิ่งฟ่านฉีกยิ้ม “ข้าชื่นชอบความโหดร้ายของเจ้า กล่าวได้อีกว่า ข้านั้นจริงใจกับเจ้า หาเปลี่ยนเป็นผู้อื่นได้ ไฉนข้าจะต้องมาอดรนทนรอเยี่ยงนี้ด้วยเล่า ข้าต้องการตบแต่งเจ้าเป็นอนุ หลังจากนั้น พวกเรามาขยายร้านอู่เว่ยจายให้ยิ่งใหญ่ คลอดลูกชายสักหลาย ๆ คน ต่อจากนั้นก็ให้ลูก ๆ ของเรามาดูแลต่อ เสี่ยวหยูของข้า เจ้ารู้สึกว่าสิ่งที่ข้ากล่าวมานั้นเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?”
“องค์ชายสามเพคะ หม่อมฉันหมั้นหมายแล้ว และมีคนที่จะแต่งงานด้วยแล้วเพคะ ระหว่างพวกเรา…”
“อ่า หากเจ้ามิพูดข้าก็ลืมไปเสียสนิท” หยูจิ่งฟ่านเอ่ยแทรกคำพูดของเสี่ยวหยู หลังจากนั้นก็โบกมือไปทางด้านหลัง จึงเห็นชายชั่วสองคนคุมตัวคนผู้หนึ่งเข้ามา
มองเห็นหน้าของคนผู้นี้ไม่ชัด เพราะใบหน้าที่บวมช้ำ และเต็มไปด้วยเลือด
ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของหญิงสาวที่ชื่อว่าเสี่ยวหยู นางเปิดประตูของโต๊ะรับรองออกและวิ่งออกมา
“พระองค์ทำอะไรกับเขา ? กรี๊ด พระองค์ทำอันใดกับเขาเพคะ ซิวผิง ซิวผิง ข้าคือเจียงหยู เจ้า เจ้า เจ้า…”
หญิงสาวที่ชื่อเจียงหยูก็เงยหน้าขึ้นมา สายตาของนางราวกับมีประกายไฟลุกท่วม นางจ้องมองหยูจิ่งฟ่าน กล่าวออกไปโดยท่าทีเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ฟ้าดินเป็นพยาน พระองค์มีฐานันดรเป็นถึงองค์ชาย ใช้อำนาจกดขี่ผู้คน พระองค์ยังมองเห็นกฎของบ้านเมืองอีกหรือไม่ ! ”
หยูจิ่งฟ่านหัวเราะร่า “ดูสิ ดูสิ ข้าชอบเจ้าที่เหมือนม้าพยศเสียจริง” หลังจากนั้นสีหน้าของเขาก็มืดครึ้มทันพลัน และเดินไปยังเบื้องหน้าของเจียงหยู “เจ้ากำลังกล่าวถึงกฎบ้านเมืองกับข้าเยี่ยงนั้นหรือ เจ้ายังมิรู้อีกอย่างนั้นหรือว่าองค์ชายเยี่ยงข้านี่แหละที่เป็นตัวแทนของกฎบ้านเมือง”
หลังจากนั้นเขาก็หันหลังกลับ ก่อนจะกระชากผมของชายที่ชื่อซิวผิงขึ้นมา “เจ้าต้องกล่าวเยี่ยงไรต้องให้ข้าผู้นี้สอนหรือไม่ ?”
“ไม่ ไม่ ไม่กล้า… เจียงหยู งานสมรสของเรา…” เขาก้มหน้าหลบอีกครา หลังจากนั้นก็กล่าวออกมาอย่างยากลำบาก “ยกเลิกเสีย ! ”
“เจ้าพูดอะไร หลิวซิวผิง เจ้าพูดอีกครั้ง พวกเราเป็นเพื่อนสมัยเด็กที่โตมาด้วยกันนะ พวกเราสาบานว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน หรือว่าเจ้าลืมมันไปหมดสิ้นแล้ว ? เพียงเพราะว่าเจ้ากลัวเขาเยี่ยงนั้นรึ ! เหตุใดเจ้าจึงเป็นเช่นนี้ไปได้กัน ? ”
“เจ้ารอข้า ข้าจะไปกราบทูลฮ่องเต้ ข้ามิเชื่อว่าเขาจะกล้าสังหารผู้คน ข้ามิเชื่อว่าใต้ฝ่าพระบาทยังมีผู้ใดกล้าเมินเฉยต่อกฎหมายบ้านเมือง”
“โอ้โอ้… เอาเถอะ เจ้าจงไปทูลเลย จำทางไปวังหลวงให้ดีด้วยล่ะ อย่าได้เดินไปผิดทาง” สีหน้าของหยูจิ่งฟ่านมืดครึ้มลง เขาเลิกคิ้วขึ้นและโบกมือ “ตอนนี้ ข้าจักสังหารมันลงต่อหน้าเจ้าเสีย ! ”
“ฆ่ามัน ! ”
“อย่านะ ! ” เจียงหยูกรีดร้องอย่างสิ้นหวัง
เฮ้อ ข้าเพียงแค่อยากกินขนมปิ้งนี้เพียงเท่านั้น
ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไป สองมือไขว้หลังและมองไปยังหยูจิ่งฟ่าน คิ้วขมวดนิ่ว และเอ่ยเสียงเข้มแต่เรียบนิ่ง “นี่เรียกว่าพระองค์อดรนทนรอได้เยี่ยงนั้นรึ ? ”
ตอนที่ 194 จิตใจงดงามแต่วิธีการโหดเหี้ยม
ฟู่เสี่ยวกวนใช้เวลากว่า 1 ก้านธูปจึงได้อ่านข้อมูลของเซวี๋ยติ้งชานจนครบถ้วน
เพียงแค่ข้อมูลที่เขามี คาดว่าเซวี๋ยติ้งชานนี้จะไม่ธรรมดา
ในปีรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 1 ฮ่องเต้ทรงประทานตำแหน่งจักรพรรดินีให้แก่เซวี๋ยปิงหลาน และทรงให้เซวี๋ยติ้งชานเป็นแม่ทัพของทหารกองทัพตะวันตก ผ่านไป 8 ปี เขาได้จัดระเบียบทหารตะวันตกได้เป็นอย่างดี
อย่างน้อยชายแดนระหว่างราชวงศ์หยูกับแค้วนฝาน ได้สงบสุขตลอดแปดปีมานี้
เขาผู้นี้เดินทางไปขอเข้าศึกษา ณ สำนักศึกษาจี้เซี่ยในรัชสมัยไท่เหอปีที่ 35 ศึกษาวิชาเอกเกี่ยวกับกลยุทธ์ทางทหาร ในปีนั้นเขาอายุ 17 ปี แต่ปัจจุบันเขาอายุ 44 ปีแล้ว
เอกสารฉบับนี้มิได้จารึกเกี่ยวกับเรื่องเขาก่อนอายุ 17 ปี แต่ได้เอ่ยถึงว่าเซวี๋ยติ้งชานได้ใช้ดาบเล่มหนึ่ง มีความยาว 2 เมตรและหนักประมาณ 44 ชั่ง มองดูแล้วเขาจะมีทักษะด้านวรยุทธ มิเช่นนั้นเขาคงมิอาจหยิบดาบเล่มนี้ได้
สาเหตุที่ฟู่เสี่ยวกวนอ่านข้อมูลของเซวี๋ยติ้งชานเหล่านี้ เนื่องจากเขาเป็นลุงขององค์ชายใหญ่และองค์ชายห้า หากฝ่าบาทยังมิทรงแต่งตั้งรัชทายาท เกรงว่าองค์ชายทั้งสองจะต้องขัดแย้งกันไม่จบไม่สิ้นเป็นแน่ และเรื่องที่เขาถูกลักพาตัวเมื่อปีก่อนคล้ายจะเกี่ยวข้องกับองค์ชายสี่
ดังนั้นเขาจึงต้องทำความเข้าใจว่าองค์ชายห้านั้นเป็นคนเยี่ยงไรกัน
แต่บัดนี้เขารู้เพียง 2 ประการ นั่นคือหยี่ฮวาถายและเซวี๋ยติ้งชาน
พระมารดาขององค์ชายห้านามว่าพระสนมอัน ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยพบและไม่รู้ว่าเป็นคนเยี่ยงใด แต่เมื่อนางเป็นคนของตระกูลเซวี๋ย ก็คงมิธรรมดา
ฟู่เสี่ยวกวนมิเข้าใจเสียจริง ตนเองเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไร้ตำแหน่งใด ๆ เหตุใดองค์ชายจึงต้องตามอาฆาตแค้นเขาด้วย !
หากจะจัดการกับองค์ชายสี่แน่นอนว่ามิใช่เรื่องง่าย อย่างน้อยบัดนี้เขายังมิมีคุณสมบัติพอ
ตอนนี้เขาทำได้เพียงแอบตรวจสอบประวัติขององค์ชาย ส่วนเรื่องโอกาส ว่ากันว่าโอกาสมักมีให้ต่อผู้ที่เตรียมพร้อมเสมอ
ไม่นานต่อมา เย่อู๋ซุ่ยได้วิ่งเข้ามาหาเขาแล้วคุกเข่าลงต่อหน้าฟู่เสี่ยวกวน ร้องไห้น้ำตานองหน้ากล่าวว่า “ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ มิทราบว่าคุณชายคือ…”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ลุกขึ้นเถิด ข้าเพียงอยากถามเจ้าว่า บันทึกของเฟ่ยอันที่ข้าต้องการเล่า ?”
เย่อู๋ซุ่ยได้ยินดังนั้นก็รีบหยิบกระดาษออกมาจากกระเป๋าส่งให้แล้วกล่าวว่า “อยู่ที่นี่ขอรับ ขอเชิญคุณชาย โปรดลองดู”
“ข้าสั่งให้เจ้าลุกขึ้น ! ” ฟู่เสี่ยวกวนตะโกนออกมา ทำให้เย่อู๋ซุ่ยอกสั่นขวัญหายรีบลุกขึ้นยืน ก้มหน้าลงมองพื้น
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบกระดาษเหล่านั้นขึ้นมาอ่าน “ค่ำคืนวันที่สามสิบ ผู้ดูแลเขตหนานหลิงพาผู้รับใช้เข้าไปในเรือนหนานหลิง และออกมาในเวลาต่อมา ในค่ำคืนนั้นมิได้มีผู้ใดเข้าออกอีก”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้น “วันนี้วันที่เท่าไหร่ ?”
“คุณชายขอรับ วันนี้วันที่หก”
“เหตุใดเรื่องราวที่เกิดในคืนวันที่สามสิบ จึงเพิ่งนำมาให้ข้าดูวันนี้ ? หากข้ามิเรียกเจ้ามา เกรงว่าเจ้าคงมินำมาให้ข้าดูใช่หรือไม่ ? ”
เย่อู๋ซุ่ยคุกเข่าลงไปอีกครา “มิใช่ขอรับคุณชาย สิ่งนี้หาได้สำคัญไม่ ผู้ดูแลเขตหนานหลิงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเฟ่ยอันมาตลอด ในแต่ละปีเขาจะเดินทางไปเยี่ยมเฟ่ยอัน ข้าน้อยคิดว่า คิดว่า…”
“คิดว่าเยี่ยงไร ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนโมโหสุดขีด “ปึง ! ” เขาตบลงไปที่โต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนกัดฟันกรอด เขาอยากจะเตะเจ้านี่ไปไกล ๆ เสียจริง แต่เมื่อคิดดูอีกทีเขาก็มิได้เตะออกไปจริง ๆ แต่กลับถามว่า “คนรับใช้ที่ผู้ดูแลเขตพาไปด้วยคือผู้ใด ? ”
เย่อู๋ซุ่ยจะรู้ได้เยี่ยงไร บัดนี้เขาวิตกกังวลมาก เมื่อคิดถึงกฎการลงโทษของหอซี่หยู่ น้ำตาก็ไหลมาเป็นทาง
ฟู่เสี่ยวกวนประคองเขาขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “เอาเถิด หาใช่เรื่องใหญ่ไม่ นับแต่นี้จงตั้งใจจับตามองเฟ่ยอัน อ้อ ข้าขอมอบหน้าที่ให้เจ้าอีกหนึ่งอย่าง หากทำได้ดีก็ถือว่าลบล้างความผิดไป แต่หากไม่…อย่าหาว่าข้าโหดร้าย”
“ข้าน้อยจะทำให้ดีขอรับ เชิญคุณชายรับสั่ง”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบกระดาษ พู่กันและน้ำหมึกออกมาจากนั้นเขียนบางอย่างลงไป
“สิ่งนี้เจ้าจงคัดลอกให้ข้า 1 ฉบับ”
เย่อู๋ซุ่ยลุกขึ้นมาดู เฟ่ยอัน นักโทษอันดับหนึ่ง !
เย่อู๋ซุ่ยตกใจจนหัวใจแทบหลุดออกมา เขาต้องการทำสิ่งใดกัน ?
จากนั้นเขาได้อ่านข้อความด้านล่างด้วยอาการมือไม้สั่นเทา แม้แต่กระดาษที่อยู่ในมือยังแทบจับไว้ไม่อยู่
เนื้อหานั้นเขียนถึงการพ่ายแพ้ของกองทัพตะวันตกในรัชสมัยเซวียนลี่ที่สอง เฟ่ยอันกล่าวหาว่าท่านรองนายพลหลินฆ่าฟันชาวบ้านกว่าแปดร้อยคน จากนั้นตัดหัวส่งไปยังเมืองหลวง ในท้ายบทความกล่าวว่า เฟ่ยอันจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต เขาจะต้องถูกสวรรค์ลงโทษ วิญญาณทั้งแปดร้อยของชาวบ้านยังมิจากไปไหน เนื่องจากรอวันแก้แค้นเขาอยู่
นี่ไม่ต่างไปจากหนังสือสงคราม เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับท่านแม่ทัพตะวันตก แม้มิได้เอ่ยถึงตระกูลเฟ่ยแม้แต่คำเดียว แต่ตระกูลเฟ่ยจะมิข้องเกี่ยวได้เยี่ยงไร
หากบทความนี้ถูกแพร่ออกไป…เย่อู๋ซุ่ยนึกไม่ออกจริง ๆ ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ในราชวังจะวุ่นวายเพียงใด
เดิมทีเขาไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ที่ฟู่เสี่ยวกวนให้เขาคัดลอกหนังสือนี้ แต่หลังจากเขาคัดลอกเสร็จแล้วจึงได้รู้ตัวว่าตนเองโง่เขลาเพียงใด
“ดีมาก สิ่งที่ข้าจะให้เจ้าทำก็คือไปหาโรงพิมพ์แล้วจัดพิมพ์บทความนี้หนึ่งหมื่นฉบับ จงจำไว้ว่าอย่างน้อยหนึ่งหมื่นฉบับ ต้องพิมพ์ให้แล้วเสร็จก่อนวันที่สิบห้า จากนั้นในคืนเทศกาลหยวนเซียวจงส่งคนออกแจกจ่ายบทความนี้ในที่ผู้คนคับคั่ง เช่นหลานถิงจี๋”
ฟู่เสี่ยวกวนนำฉบับที่เขาเขียนด้วยตนเองโยนเข้าเตาไฟเผามอด
เย่อู๋ซุ่ยถือกระดาษไว้ในมือ เขามีความรู้สึกอยากตายขึ้นมาทันที
“เหตุใดกัน ? ทำมิได้ ? หรือเจ้ากลัว ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจออกมา คนเช่นนี้จะให้เขาไปจัดการเรื่องเอกสารได้เยี่ยงไร ? ช่างไร้ประโชยน์สิ้นดี !
“จงใช้กระดาษที่ธรรมดาที่สุด จากนั้นไปหาสำนักพิมพ์เล็ก ๆ เพิ่มเงินให้พวกเขาหน่อย ยามแจกบทความนี้จงใช้สมองสักหน่อย…อ้อ หากเจ้าทำมิได้ข้าจะให้ผู้อื่นทำแทน ข้าเห็นท่าทางของเจ้าแล้วรำคาญใจจริง ข้าคงต้องเรียกขันทีเหนียนมานำตัวเจ้าไปเสียแล้วล่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนทนไม่ไหวอีกต่อไป เจ้านี่เป็นคนอย่างไรกัน ! เป็นถึงผู้รับผิดชอบชั้นสิบสอง เขาคงต้องเรียกตัวไป๋ยู่เหลียนมาเสียแล้ว และเย่อู๋ซุ่ยนี่ควรกำจัดทิ้ง ! เขาจะทำเรื่องอื่น ๆ ต่อไปได้เยี่ยงไร !
“มะ ไม่ ! ไม่ขอรับ ข้าน้อยทำได้ ข้าน้อยเพียงแต่…กังวลเล็กน้อย”
“บ้านเจ้าอยู่ที่ตรอกลี่ฮวา มีภรรยา 3 คน มีบุตรทั้งสิ้น 6 คน เจ้าจงจำไว้ว่าหากเรื่องนี้ถูกเผยแพร่ไป พวกเขาจะต้องตายตามเจ้าไปด้วย ! ” ฟู่เสี่ยวกวนทำสีหน้าเคร่งขรึม หาได้เหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดไม่
“ข้าน้อยจะทำให้ดีขอรับ ขอคุณชายโปรดวางใจ ! ”
ซูซูยืนดูเหตุการณ์จากด้านนอก สีหน้านางเต็มไปด้วยความสงสัย เขาผู้นี้เข้าใจยากจริง เปลี่ยนอารมณ์ได้ไวเหลือเกิน
อืม จะว่าอย่างไรดี ซูซูครุ่นคิด คงคล้ายกับศิษย์พี่รองที่น่ารัก และคล้ายกับศิษย์พี่สี่ที่เด็ดขาดน่าเกรงขาม อีกทั้งคล้ายศิษย์พี่ห้าที่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์…แต่แบบไหนที่เป็นตัวตนของเขากันแน่ ?
ซูซูงุนงง นางเดินไปยังศาลาเถาหรานนั่งไปยังเสาชิงช้าแล้วแกว่งไปมา จากนั้นมองไปยังซูโหรวที่กำลังนั่งปักผ้าอยู่แล้วเอ่ยว่า “เขา…คล้ายกับสวมหน้ากากเอาไว้หลายชั้นเหลือเกิน”
คำกล่าวของนาง ทำให้ซูโหรวอดมิได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมามอง
“แต่ตัวตนที่แท้จริงของเขามีเพียงหนึ่งเดียว”
“เป็นเช่นไรกัน ?”
ซูเจวี๋ยวางหนังสือในมือลงแล้วกล่าวว่า “จิตใจเหมือนพระโพธิสัตว์ แต่การกระทำโหดเหี้ยมเหมือนโจร”
ซูซูเบิกตากว้าง นางครุ่นคิดอยู่นานแต่ไม่ยังคงไม่เข้าใจ
ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม มิหลงเหลือความโกรธเคืองเมื่อครู่
“ท่านพี่ใหญ่ ข้ามีบางเรื่องต้องรบกวนท่าน”
“เรื่องใดกัน ?”
“ข้าต้องการแผนที่ 2 แผ่น แผ่นแรกคือสถานที่ล่าสัตว์ของราชวงศ์ แผ่นที่สองคือ…แผนที่ป้องกันเมือง”
“ข้าให้เวลา 3 วัน”
“ตกลง ! ”
ณ วังเตี๋ยอี๋ ขันทีเหนียนเล่าบทสนทนาทั้งหมดกับฟู่เสี่ยวกวนให้แก่พระสนมซั่งฟังโดยละเอียด พระสนมซั่งยิ้มออกมาแล้วเอ่ยกับหยูเวิ่นเต้าว่า “เจ้าดูสิ เขาลงมือกับหอซี่หยู่แล้ว เพียงแต่ยังไม่มาก…เนื่องจากเขาเพิ่งรับมือไป เจ้าลองดูเอาเถิด เขาจะต้องเปลี่ยนแปลงทุกอย่างของหอซี่หยู่เป็นแน่”
“แต่การที่เขาทำเช่นนั้นจะส่งผลให้ตัวตนถูกเปิดเผย จะทำให้เรื่องราวต่างๆเป็นไปได้ยากหรือไม่ ?”
“นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ บัดนี้เขาได้ส่งสัญญาณออกมา 2 ประการ ประการแรกเพื่อให้ศัตรูเห็น ให้คนเหล่านั้นรับรู้ถึงความสามารถของเขา ประการที่สองก็เพื่อให้ข้าเห็น ให้ข้ารู้สึกว่าการที่มอบหอซี่หยู่แก่เขานั้น ข้าคิดได้ถูกต้อง”
หยูเวิ่นเต้านึกในใจว่า เขาผู้นี้มีแผนการร้ายกาจนัก “แต่หากเขาเปลี่ยนแปลงผู้รับผิดชอบเสียหมด ท่านแม่จะควบคุมทุกอย่างได้เยี่ยงไร ? ”
“ผิดแล้ว ข้ามิต้องการควบคุมทั่วหล้า และมิต้องการควบคุมคนเหล่านั้น ข้าเพียงควบคุมฟู่เสี่ยวกวนผู้เดียวก็พอ”
“ท่านแม่……ท่านเชื่อใจเขาเช่นนั้นหรือ ? ”
พระสนมซั่งมิได้ตรัสสิ่งใดออกมา คล้ายกับนางกำลังคิดบางสิ่งอยู่ จากนั้นเอ่ยว่า “คนที่ทำให้แม่เชื่อใจได้นั้นมีมิมากนัก แต่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นหนึ่งในนั้น หากเจ้าว่าง แม่ว่าเจ้าควรจะเรียนรู้จากเขาบ้าง”
หยูเวิ่นเต้าทำตัวไม่ถูก
เอาเถอะ ในเมื่อเสด็จแม่กล่าวมาเช่นนั้น และมิใช่คราแรกที่นางเอ่ยกับเขา
“สองวันนี้เสด็จน้องไปอยู่ที่ใดกัน ? ”
“ไทเฮาเรียกตัวเข้าพบ กล่าวว่าเชิญคณะการแสดงมา และกำลังฝึกซ้อมเรื่องความรักในหอแดง ในวันพระราชสมภพเจ็ดสิบพรรษาของไทเฮา จะนำมาแสดงภายในพระราชวัง หากเจ้าสนใจเมื่อถึงเวลาก็มาชมได้”
หยูเวิ่นเต้ากล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าขอมิเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยพ่ะย่ะค่ะ ข้ามิสนใจ”
“แต่หากในวันนั้น ไทเฮาทรงมีรับสั่งฟู่เสี่ยวกวนเข้าพบเล่า ? ”
หยูเวิ่นเต้าชะงักลง เขานึกในใจว่าการที่ไทเฮาจะรับสั่งให้ฟู่เสี่ยวกวนเข้าพบนั้น อาจเพราะเรื่องน้องสาวของเขากัน ?
บัดนี้ตำแหน่งของฟู่เสี่ยวกวนยังไม่ไปถึงไหน หากน้องสาวเขาจะแต่งงานกับฟู่เสี่ยวกวน เกรงว่าจะต้องแก้ไขกฎระเบียบ ซึ่งเรื่องนี้เขาได้ยินเสด็จพ่อตรัสเมื่อหลายวันก่อน แต่เสด็จแม่ทรงเห็นว่าเรื่องนี้ทางที่ดีควรให้ไทเฮาเป็นคนออกหน้า หากไทเฮาทรงตรัสออกมาด้วยพระองค์เอง ฝ่าบาทจะต้องทรงรับฟังแน่นอน และเมื่อฝ่าบาททรงรับสั่งออกไป คงมิมีผู้ใดกล้าคัดค้าน
ไทเฮาทรงเอ็นดูองค์หญิงเก้า หากไทเฮาทรงมีรับสั่งให้แก้ไขกฎระเบียบ ฝ่าบาทจะทรงคัดค้านงั้นหรือ ?
นี่นับว่าเป็นความกตัญญูอย่างหนึ่งที่ฝ่าบาทมิทรงขัดแย้งได้ เช่นนั้นเรื่องของน้องสาวและฟู่เสี่ยวกวนก็จะลงเอยด้วยดี
“ดังนั้นในวันที่สิบสี่เดือนหนึ่ง ไทเฮาจะทรงเชิญขุนนางเก่าแก่มาร่วมงาน ส่วนวันที่ทรงเรียกฟู่เสี่ยวกวนเข้าพบนั้นคือวันที่สิบเดือนหนึ่ง ยังเหลือเวลาอีก 4 วัน จะเป็นไปได้หรือไม่นั้นต้องรอดูว่าในวันที่สิบเดือนหนึ่ง ไทเฮาจะทรงรับสั่งเช่นใดต่อไป”
ฟู่เสี่ยวกวนใคร่ครวญอยู่เนิ่นนาน ก็ยังคงส่ายหน้าดังเดิม
“เจ้ามิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ ส่วนเยี่ยนเสี่ยวโหลว…ถึงแม้ข้าจะเคยพบกับนางมาก่อน แต่ในยามนี้ก็มิมีความรู้สึกอื่นใดขึ้นมา ตระกูลเยี่ยนเป็นต้นไม้ใหญ่ของราชวงศ์หยู เยี่ยนเป่ยซีมิมีทางปล่อยให้ต้นไม้ใหญ่นี้ล้มลงอย่างง่ายดาย เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทุกสิ่งของตระกูลเยี่ยนมาจากฮ่องเต้ หลังจากเริ่มทำงาน เขาจะเรียกตัวเยี่ยนฮ่าวชูกลับมา และให้เยี่ยนฮ่าวชูบอกลาตำแหน่งแม่ทัพกองทัพชายแดนตะวันออก เป็นการแสดงความตั้งใจของตระกูลเยี่ยนต่อฮ่องเต้”
“เหตุใดเขาต้องทำเยี่ยงนี้ด้วย ? มิใช่เป็นการหักแขนของตัวเองหรอกรึ ? ” หยูเวิ่นหวินเอ่ยถาม
“เขาชราแล้ว วางใจเถิด เขามิกล้าลงพนันหรอก !”
และในยามนี้ ภายในจวนเยี่ยนที่เข้มงวด เยี่ยนเป่ยซีและเยี่ยนซือเต้ากำลังนั่งคุยกันอยู่ในห้องอักษร
เยี่ยนซือเต้าก็ถามว่าทำไมเช่นกัน
เยี่ยนเป่ยซีครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน และกล่าวว่า “ข้าชราแล้ว แต่ฝ่าบาทยังหนุ่มยังแน่น ข้ามิสามารถนำชีวิตนับพันคนในตระกูลเยี่ยนไปเดิมพันกับสิ่งใดที่มีผลลัพธ์ที่มิสามารถจะคาดเดาได้”
“ดังนั้นจึงต้องถอนตัวออกจากกองทัพชายแดนตะวันออกหรือ ?”
“ในตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนถามข้าด้วยคำถามนั้น ข้ามิได้ตอบกลับไป ขูดกระดูกเพื่อรักษาพิษและตัดแขนต่างก็มีความเจ็บปวดบนร่างตัวเองทั้งสิ้น ความแตกต่างอยู่ที่ความเจ็บปวดระยะสั้นกับระยะยาว โบราณกล่าวว่าความเจ็บปวดระยะยาวมิสู้ความเจ็บปวดระยะสั้น เยี่ยงนั้นตัดแขนไปเสียย่อมจะเป็นการดีกว่า”
เยี่ยนซือเต้าคิ้วขมวด แต่เยี่ยนเป่ยซีกลับยิ้มบาง ๆ และกล่าวอีกว่า “เขามิได้ถามคำถามกับข้า แต่เป็นการแสดงปัญหาออกมาให้เห็นโดยชัด และให้ตัวเลือกแก่ข้า ไม่ว่าจะเลือกหนทางใด ตระกูลเยี่ยนก็ได้รับความเสียหายอย่างมากทั้งสิ้น แน่นอน ว่าการให้ตระกูลเยี่ยนเสียหายนั้นมิเท่าเทียม เนื่องจากต้องปกป้องประเทศนี้ ตระกูลอื่นก็ต้องตัดแขนของตนเองเช่นกัน หากจะเจ็บก็ต้องเจ็บกันทุกฝ่าย”
“ท่านพ่อมีแผนว่าเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“องค์ชายใหญ่ชื่นชอบการสู้รบมิใช่หรือ ลองเสนอไปเถิด พระองค์ค่อนข้างเหมาะสมกับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพชายแดนตะวันออก”
“นั่น… เกรงว่าฝ่าบาทจะมิทรงเห็นด้วย”
“ไม่ ฝ่าบาทจะทรงเห็นด้วย”
เยี่ยนซือเต้ามิเข้าใจว่าเหตุใดบิดาถึงแน่ใจยิ่งนัก ทันทีที่องค์ชายใหญ่ออกห่างเมืองหลวง หากคิดอยากจะกลับไปก็มิง่ายดายอีกแล้ว หากฮ่องเต้ให้เขาอยู่ที่เมืองหลวง ก็กล่าวได้ว่าฝ่าบาทต้องการให้เขาขึ้นตำแหน่งองค์รัชทายาท แต่หากฝ่าบาททรงเห็นด้วยจริง ๆ…เยี่ยงนั้นตำแหน่งองค์รัชทายาทของเขาก็ยากที่จะช่วงชิงแล้ว
“หากองค์ชายใหญ่ไปกองทัพชายแดนตะวันออก เยี่ยงนั้นก็ต้องย้ายผู้บัญชาการเซวี๋ยติ้งชานกองทัพชายแดนตะวันตกกลับมา”
เซวี๋ยติ้งชานคืออาขององค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียนและองค์ชายสี่หยูเวิ่นชู คนผู้นี้ได้รับความไว้วางใจจากฮ่องเต้อย่างยิ่ง ตั้งแต่เซวี๋ยปิงหลานสิ้นใจไปหลังคลอด ฝ่าบาทก็จัดงานราชาภิเษก และประทานบรรดาศักดิ์แต่งตั้งชายาเอกเซวี๋ยปิงหลานเป็นองค์จักรพรรดินี ในขณะเดียวกันก็มีรับสั่งให้เซวี๋ยติ้งชานเป็นแม่ทัพของกองทัพชายแดนตะวันตก
ตระกูลเซวี๋ยที่ต่ำต้อยในเมืองหลวงตลอดมา สตรีทั้งสองอภิเษกสมรสกับฮ่องเต้ ต่อให้เซวี๋ยปิงหลานตายไปแล้ว แต่ก็ยังคงถูกจารึกให้เป็นองค์จักรพรรดินี พอจะเห็นได้แล้วว่าฝ่าบาทมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งให้แก่เซวี๋ยปิงหลาน และก็พอจะเห็นได้ว่าความเมตตาของฝ่าบาทที่มีต่อตระกูลเซวี๋ย
ดังนั้นหากคิดจะไปแตะต้องเซวี๋ยติ้งชาน เรื่องราวจะต้องลำบากมากเป็นแน่
เยี่ยนเป่ยซีส่ายหน้า “เคลื่อนไหวเซวี๋ยติ้งชานมิได้แล้ว…ทำเช่นนี้ไปก่อนเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าจะใคร่ครวญเรื่องอื่นในภายหลัง”
เยี่ยนซือเต้าเงยหน้ามองไปทางที่บิดาเดินไป จึงได้เห็นร่องรอยความอ่อนเพลียบนใบหน้า
ก่อนที่จะรู้สึกตัวได้ ผมของเขาก็ขาวโพลนแล้ว บนใบหน้าของเขาก็มีริ้วรอยของกาลเวลาที่ผ่านมานานหลายปี หนังตาของเขาหย่อนคล้อย ในยามนี้ที่ก้มต่ำ จึงมองมิเห็นว่าดวงตาคู่นั้นกำลังลืมตื่นหรือปิดสนิทอยู่
เยี่ยนซือเต้าโค้งคำนับและถอยออกมา ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะในลานบ้าน มองแปลงดินที่อยู่ตรงมุมนั้น ฤดูใบไม้ผลิ บิดาได้ปลูกผักกุยช่ายที่แปลงตรงนั้น หลังจากนั้นเพราะงานที่มากมายจึงมิมีเวลามาจัดการ สุดท้ายก็กลายเป็นวัชพืชที่เติบโต ผักกุยช่ายเหล่านั้นถูกวัชพืชปกคลุมจนหมด จนมองมิออกว่าไหนผักกุยช่ายไหนวัชพืช
ยังจดจำเช้าตรู่ในวันนั้นได้ บิดาเหม่อมองแปลงดินผืนนั้นอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็หัวเราะออกมา หยิบจอบขนาดเล็กมา และพลิกผืนดินจนหมด เพียงไม่นาน ผืนดินนั้นก็เต็มไปด้วยวัชพืชอีกครา บิดามิได้สนใจไยดีอีก จนถึงฤดูใบไม้ร่วง วัชพืชเหล่านั้นก็เหี่ยวเฉา จนถึงฤดูหนาว บนผืนดินนั้นนอกจากหิมะแล้ว ก็มิเห็นร่องรอยของวัชพืชอีก
ปัจจุบันบิดาอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถึงแม้เขาจะตัดสินใจมาแล้ว แต่เยี่ยนซือเต้าก็เข้าใจว่าการตัดสินใจในครานี้ยากถึงเพียงไหน
ขูดกระดูกรักษาพิษ ตัดแขนของตนเอง จะต้องทำเยี่ยงนั้นจริง ๆ รึ ?
คำถามของฟู่เสี่ยวกวนแท้จริงแล้วมีความนัยซ่อนอยู่หรือไม่ ?
หรือว่าเขารู้เรื่องภายในของการตาย ณ ที่ราบสีหม่ากัน ?
มิฉะนั้นเขาจะรู้เรื่องที่เป่ยหวังฉวนยิงธนูได้เยี่ยงไร ?
แล้วเหตุใดบิดาจึงมิตัดสินสังหารฟู่เสี่ยวกวนกลับอยากจะให้เสี่ยวโหลวตกแต่งกับฟู่เสี่ยวกวนแทนกัน ?
เยี่ยนซือเต้าคิดอย่างไรก็คิดมิตก ก้มหน้าก้มตาเดินไปเรือนของเขา เฟ่ยอู่ผู้บัญชากองทหารม้าของกองทัพชายแดนตะวันออกได้เดินทางกลับเมืองหลวงในคืนวันส่งท้ายที่ครึกครื้นที่สุด ในยามนี้กำลังรอความคิดเห็นของเขาอยู่ที่ห้องอักษร
…..
ขันทีเหนียนได้มาถึงจวนฟู่ยามบ่าย
“เรื่องที่นายน้อยได้ให้ข้าไปตรวจสอบเมื่อไม่กี่วันก่อน…เรื่องที่หนึ่งเพราะห่างไกลจากเยว่โจวจึงยังมิมีข่าวคราวในเร็ว ๆ นี้ เรื่องที่สองคืออารามซุ่ยเยว่ คุณชายโปรดอ่าน”
ภายในหลีเฉินซวน ฟู่เสี่ยวกวนและขันทีเหนียนนั่งประจันหน้ากัน ในมือของขันทีเหนียนมีกระดาษอยู่หลายใบ ในยามนี้ได้ส่งให้ฟู่เสี่ยวกวนหนึ่งใบ
“นี่คือเรื่องที่สาม เอกสารทั้งหมดของแม่ทัพใหญ่เซวี๋ยติ้งชานของกองทัพชายแดนตะวันตก ขอให้คุณชายโปรดอ่านเช่นกัน”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบกระดาษแผ่นแรกขึ้นมาอ่าน
“อารามซุ่ยเยว่ได้สร้างขึ้นในราชวงศ์ที่แล้วในรัชสมัยหงเต๋อปีที่ 3 มีประวัติศาสตร์มาได้ 560 ปี ได้มีบูชารูปปั้นเทพหนี่วา ณ ที่นี้ เจริญรุ่งเรืองในราชวงศ์ก่อนอย่างยิ่ง แต่ในวันนี้ได้ตกต่ำลง และมีคนไปสักการะน้อยอย่างมาก ส่วนเหตุผลนั้นมิได้มีบันทึกไว้ มีข่าวลือจากชาวบ้านว่าเพราะฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์ก่อนดูหมิ่นรูปปั้นเทพหนี่วา จนทำให้ราชวงศ์ก่อนหน้าล่มสลาย หลังจากนั้นเทพหนี่วาก็ได้จากไป อารามนี้จึงไร้จิตวิญญาณอีกต่อไป”
“ในวันนี้อารามซุ่ยเยว่มีเพียงแม่ชีท่านหนึ่งคอยดูแล นามแท้คือเฉินซีหยุน ในทางธรรมคือปู้เนี่ยนชือไท่ เข้าอารามเมื่อรัชสมัยไท่เหอปีที่20 จนถึงปัจจุบันก็ได้เป็นระยะเวลา 42 ปีแล้ว นับเป็นเวลาห้าวันแล้วหลังจากที่ได้รับคำสั่ง แต่ก็ยังมิพบใครเข้าไปในอาราม ยังคงทำการตรวจตราสามร้อยห้าสิบสี่อาคารต่อไป จนถึงวันนี้ก็ยังไร้ข่าวคราว”
ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด ขบเม้มริมฝีปาก และวางกระดาษแผ่นนั้นลง แล้วจึงเอ่ยถาม “ท่านแม่ชีปีนี้อายุเท่าใดแล้วกัน ?”
ขันทีเหนียนชะงัก บนรายงานนั้นมิได้มีกล่าวไว้ เขาได้แต่ส่ายหน้า
“ก่อนที่แม่ชีผู้นี้จะเข้าอารามซุ่ยเยว่ไปอยู่ที่ใดมาก่อน ? ทำอะไร ? มีบ้านอยู่ที่ใดอีก ? และมีญาติหรือไม่ ?”
ขันทีเหนียนตัวแข็งค้าง เมืองหลวงที่ใหญ่โตนี้มีประชากรถึงหนึ่งแสนคน นอกเสียจากจะไปหาผู้ว่าจินหลิงเพื่อดูเอกสารที่เก็บเอาไว้หลายสิบปี มิฉะนั้นจะไปรู้ได้จากที่ใดกัน ดังนั้นเขาจึงส่ายหน้าอีกครา
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ ทันใดนั้นใบหน้าก็มืดมนฉับพลัน
“ขอกล่าวประโยคที่พวกท่านอาจมิชอบฟังนัก หอซี่หยู่นี้…มีความสามารถเพียงเท่านี้เยี่ยงนั้นรึ ?”
ขันทีเหนียนหน้าเปลี่ยนสี หอซี่หยู่แห่งนี้เป็นพระสนมซั่งที่สร้างขึ้นมาด้วยเลือดและเนื้อ นี่คือเรื่องที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งของพระสนมซั่ง แต่กลับได้รับความคิดเห็นที่มิดีจากปากของฟู่เสี่ยวกวน เขาย่อมอยากโต้แย้ง แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิเปิดโอกาสให้เขาได้โต้แย้งเลยแม้แต่น้อย
“สิ่งที่เรียกว่าข่าวกรอง ก็คือเข้าใจความเกี่ยวข้องของคนและเรื่องราวอย่างหมดจด หากมิทราบเหตุ จะไปทราบผลได้เยี่ยงไร หากมองเพียงผิวเผิน แล้วจะไปเจอสิ่งที่ซุกซ่อนอยู่ได้เยี่ยงไร ?”
“ท่านจงถ่ายทอดคำพูดของข้าออกไป ภายภาคหน้า มิว่าเยี่ยงไรทุกฝ่ายของหอซี่หยู่ต้องส่งรายงานมาให้ข้า นี่คือคำสั่ง ข้าต้องการรู้รายละเอียดทุกอย่าง ท่านจงจำไว้ ทุกรายละเอียด !”
“รายละเอียดเป็นตัวกำหนดความสำเร็จและล้มเหลว การขุดคุ้ยจะทำให้ค้นเจอเบื้องลึก ! ”
“นอกจากนี้ คือวิธีการจัดการของซี่หยู่ใช้หรือไม่ รายงานเหล่านี้ได้มาถึงท่าน ท่านจึงค่อยส่งมาให้ข้า ระหว่างนั้นท่านลองกล่าวมาว่าล่าช้าไปเท่าใดแล้ว หากเป็นเรื่องที่เร่งรีบ กว่าข้าจะได้รู้ผัดกะหล่ำดอกก็คงเย็นหมดแล้ว ดังนั้นขันทีเหนียน…”
สีหน้าเคร่งเครียดของฟู่เสี่ยวกวนสลายไปทันพลัน และผุดรอยยิ้มน้อย ๆ ขึ้นมา เขารินชาให้ขันทีเหนียน เงยหน้ามองขันทีเหนียน และกล่าวอย่างจริงจัง “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป รายงานทั้งหมดให้ส่งมาที่ข้า ส่วนภายในตำหนัก…ช้าเสียหน่อยคงมิมีความสำคัญอันใด นี่คือข้อคิดเห็นของข้า ขันทีเหนียนโปรดนำไปทูลพระสนมซั่งด้วย หากนางมิชอบ หอซี่หยู่นี้ กล่าวตามจริง สำหรับข้าแล้ว มันมิมีค่าอันใดเลย”
ขันทีเหนียนสะดุ้งและหัวเราะขึ้นมา “เยี่ยงนั้น ข้าจะนำไปทูลถวายพระสนมเอก คิดว่าพระสนมคงเห็นด้วยเป็นแน่ อย่างไรพระสนมก็ได้มอบดาบเฟิ่งเจี้ยนให้แก่ท่านแล้ว นั่นหมายความว่าท่านสามารถกระทำการเปลี่ยนแปลงกับหอซี่หยู่ได้”
“หากเป็นเยี่ยงนั้น จะดีอย่างมาก”
เขาจึงหยิบข่าวกรองของเซวี๋ยติ้งชานขึ้นมาอ่านอีกครา และกล่าวขึ้นมาอีกว่า “ประเดี๋ยวท่านกลับไปแล้วรบกวนมอบคำสั่งของข้าไปยังอาคารสิบสอง เย่อู่ซุ่ยผู้นั้น… มีความบาดหมางกับข้า ข้าไปซื้อชาคาดมิถึงว่าเขาจะเก็บเงินกับข้า เหอะ ในตอนนี้อย่าเพิ่งบอกกับเขา รอจนข้าหาผู้ที่เหมาะสมเจอแล้ว ค่อยเอาไปเปลี่ยนกับเขา”
กล่าวด้วยท่าทีสบาย ๆ แต่ขันทีเหนียนกลับตื่นตระหนกยิ่ง
เขาย่อมไม่ตกใจที่ฟู่เสี่ยวกวนโดนเรียกเก็บเงินที่ไปซื้อชาที่อาคารสิบสอง แต่เป็นความหมายเบื้องลึกในคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนต่างหาก
คำพูดก่อนหน้านี้คือต้องการกุมอำนาจ คำพูดนี้คือต้องการสะสางให้สิ้น
ชายผู้นี้ใจกล้ายิ่งนัก ดูแล้วพระสนมซั่งมิได้มองเขาผิดไปเลย
หอซี่หยู่มิได้สมบูรณ์แบบและมิได้เข้มงวด ถึงแม้จะเป็นองค์กรลับสำหรับสอดแนมที่จัดตั้งขึ้นมาก็ตาม แต่ปัญหานั้นยังคงมีอยู่มาก แท้จริงแล้วพระสนมซั่งก็ทราบ เพียงแต่ฐานันดรของพระนางคือนางสนม มิมีเวลามากมายและมิมีกำลังในการจัดการหอซี่หยู่ถึงเพียงนั้น ในปัจจุบันที่ได้ส่งมอบให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน เดิมทีพระสนมซั่งยังกังวลใจว่าคนผู้นี้จะมิให้ความสำคัญ แต่ความกังวลใจนี้คงมิจำเป็นแล้ว
“การจัดการของหอซี่หยู่ทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของคุณชายเพียงผู้เดียว”
“อือ…เซวี๋ยติ้งชาน ภรรยาของคนผู้นี้คือสีฉวินเหมยน้องสาวของสีฮวา…”
ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวดอีกครา และเอ่ยถามว่า “ตระกูลสีนี้ ม้าศึกของราชวงศ์หยูแทบจะมาจากตระกูลสีทิ้งสิ้นเลยหรือไม่ ? ”
“ตอบคุณชาย เป็นเยี่ยงนั้น ตระกูลสีเป็นเจ้าของทุ่งเลี้ยงสัตว์ โดยเจ้าของบ้าน สีจื้อปัจจุบันนี้อายุได้หกสิบห้า และมิได้พักที่เมืองหลวง แต่พักอยู่ที่ทุ่งเลี้ยงสัตว์โม่หนาน หนึ่งในสามทุ่งเลี้ยงสัตว์ที่ใหญ่ที่สุด กิจการทุ่งเลี้ยงสัตว์ของตระกูลสีเริ่มเมื่อราชวงศ์ก่อน ก่อนการล่มสลายของราชวงศ์ก่อน ตระกูลสีได้มอบม้าศึกชั้นดีจำนวนมากให้ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งต้าหยู ช่วยให้ต้าหยูล้มล้างราชวงศ์ก่อนไปได้ ในแรกเริ่มก่อตั้งต้าหยู ทุ่งเลี้ยงสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดทั้งสามของราชวงศ์หยูก็ได้มอบให้ตระกูลสีเป็นผู้ดูแล ฝ่าบาทผู้ก่อตั้งยังได้ทรงเขียน อยู่และตายไปกับประเทศ ด้วยตนเองหนึ่งแผ่นและมอบให้แก่ตระกูลสี”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบหน้าที่สองขึ้นมาอ่านต่อ “กล่าวได้ว่า ตระกูลสีก็คือผู้คุ้มครองอยู่เพียงหนึ่งเดียวใช่หรือไม่ ?”
ขันทีเหนียนพยักหน้า “ความหมายประมาณนั้น ในประวัติศาสตร์ตระกูลสีได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้แต่ต้อยต่ำอย่างมาก ในราชสำนักก็มีเพียงสีฉวินเหมยผู้เดียวที่เข้าเป็นขุนนาง…ทั้งยังมีอันดับที่สองของปีที่แล้วสีส่วง สีฉวินเหมยเป็นบุตรคนโต ถูกมอบหมายให้ไปเป็นนายอำเภอเขตกงที่หนานจิงจังหวัดเหอหนาน คิดว่าใกล้จะจากเมืองหลวงไปในเร็ว ๆ นี้”
“อือ ท่านไปเถอะ…และเรียกเย่อู่ซุ่ยมาพบข้าด้วย ! ”
Click to Hide Advanced Floating Content

Kingdom66

Brazil999
ตอนที่ 192 คนสุดท้าย
ใบหน้าของเยี่ยนเสี่ยวโหลวยังแดงไม่หาย
หัวใจของนางเต้นโครมครามเนื่องจากประโยคที่ปู่ของนางเอ่ยออกมาสักครู่
ความหมายช่างชัดเจนนัก เพียงแค่ฟู่เสี่ยวกวนยินยอม นางก็จะกลายเป็นคนของเขาทันที แต่เขาจะยินยอมหรือไม่ ?
นางมิอาจเดาได้ แต่ภายในใจของสาวน้อยเช่นนางเต็มไปด้วยความหวังและเป็นกังวล
นางไม่เข้าใจถึงตัวอย่างที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวขึ้นเมื่อครู่ แต่รับรู้ได้ว่ามิควร เนื่องจากเยี่ยนฮ่าวชูเป็นบิดาของนาง
คาดว่าฟู่เสี่ยวกวนคงมิรู้มาก่อน มิเช่นนั้นเขาจะยกตัวอย่างเช่นนั้นหรือ ? นี่เป็นการไร้มารยาทอย่างถึงที่สุด
ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้จริง ๆ บัดนี้เขาหันมายิ้มกับเยี่ยนซีเหวินแล้วกล่าวว่า “ตัวอย่างที่ข้ากล่าวไปเมื่อครู่อย่าได้นำมาใส่ใจ ข้ามิได้มีจุดประสงค์อื่น หวังว่าอัครมหาเสนาบดีจะเข้าใจเป็นพอ”
เยี่ยนซีเหวินมองไปยังเยี่ยนเสี่ยวโหลว จากนั้นจ้องไปยังฟู่เสี่ยวกวน “ท่านอาสามของข้าคือบิดาของเสี่ยวโหลว”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงและรีบยกมือกำขึ้นคารวะ “ปากข้านี่พล่อยเสียจริง ขออภัยด้วย ข้ามิรู้มาก่อนว่าเขาเป็นบิดาของเจ้า เอาเยี่ยงนี้ดีหรือไม่ นี่ก็ถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว ข้าขอเชิญทุกท่านไปร่วมรับประทานอาหาร ณ หอซื่อฟาง เพื่อขออภัยแม่นางเสี่ยวโหลว และเป็นการเลี้ยงอำลาพวกท่านด้วย”
เยี่ยนซีเหวินมิได้รู้สึกไยดี เขากล่าวว่า “เรื่องอาหารมิจำเป็น ข้ายังต้องไปพบท่านพ่ออีก ข้าเองก็ไม่รั้งเจ้าไว้เพื่อกินข้าวเช่นกัน” จากนั้นเขาหันไปกำชับเสี่ยวโหลวว่า “เจ้าจงจัดแจงที่นี่ให้เรียบร้อย ข้าจะไปส่งเขาเอง”
“อืม” เยี่ยนเสี่ยวโหลวตอบรับ จากนั้นเงยหน้ามองดูฟู่เสี่ยวกวน นางคาดว่าวันนี้คงไม่มีคำพูดใดออกจากปากเขาแน่
เยี่ยนซีเหวินพาฟู่เสี่ยวกวนเดินออกมา จากนั้นเอ่ยขึ้นว่า “ท่านปู่ได้เอ่ยออกมาแล้ว เจ้าคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”
“ซีเหวิน เจ้ารู้จักข้าดี ข้านั้นมิมีความใฝ่ฝันยิ่งใหญ่ใด เพียงต้องการเป็นพ่อค้าที่ดินธรรมดา ๆ เท่านั้น ข้าคาดว่าเจ้าคงมิเชื่อ แต่เจ้าลองทบทวนดู ชีวิตคนเราช่างสั้นนัก ข้าเองก็มิได้ขาดแคลนเงินทอง อีกทั้งข้ายังรักในความเรียบง่าย เหตุใดจึงต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในท้องพระโรงกัน ? เช่นนี้มิใช่หาเรื่องใส่ตัวหรือ ? ที่ใดจะมีความสุขได้เท่าซีซานอีกเล่า ? ”
เรื่องนี้เยี่ยนซีเหวินมิได้แสดงความคิดเห็นใด ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้รักในการค้นคว้า เขาจะทนคิดถึงที่ภูเขาซีซานได้นานหรือ ?
“เรื่องน้องสาวข้า เจ้ามีความคิดเห็นเยี่ยงไร ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนทำตัวไม่ถูก “ระหว่างข้ากับน้องสาวเจ้า พวกเรามิได้ทำสิ่งใดเสียหาย ข้าขอบอกตามตรงว่าเนื่องจากข้าเกรงว่าเจ้าจะมิพอใจ ดังนั้นทุกคราที่พบกับน้องสาวเจ้า แม้แต่หน้านาง ข้ายังมิกล้าเหลือบตามอง อีกทั้งเจ้าเข้าใจข้าดี ข้ามิกล้าทำเยี่ยงนี้เป็นแน่”
เยี่ยนซีเหวินหยุดฝีเท้าลงแล้วมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน
“ปัญหาคือตอนนี้น้องสาวข้ามีใจให้เจ้า มิใช่เพราะคำพูดของท่านปู่ หนังสือความฝันในหอแดงของเจ้าทำนางเจ็บปวดมิน้อย ข้าเคยตักเตือนนางแล้ว แต่ยิ่งข้าเอ่ยเตือนนางมากเท่าใด นางก็ยิ่งแน่วแน่ ข้าหวังจะให้น้องสาวมีความสุข แต่หากเรื่องนี้เจ้ามิรับปาก นางจะมีความสุขได้เยี่ยงไร ?”
เยี่ยนซีเหวินกล่าวต่อโดยไม่ให้โอกาสฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยแทรก “น้องสาวข้ามิแพ้แม่นางต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินเลย เจ้าจะรับราชการหรือไม่ ข้ามิสน แต่เรื่องของน้องสาวข้า เจ้าจะต้องรับคำ มิเช่นนั้นนางจะเสียใจ และหากนางเสียใจ ต่อให้ตายข้าก็ไม่ยกโทษให้เจ้า ! ”
ให้ตายสิ…ฟู่เสี่ยวกวนไม่รู้จะเอ่ยอย่างไร
“ข้าว่า…”
“ว่าอะไร ! พอเถิด เรื่องนี้เอาตามที่ข้าบอก ข้าจะกลับไปบอกกับน้องสาวว่าเจ้ารับคำแล้ว แต่เนื่องจากองค์หญิงเก้า ดังนั้นจึงยังมิอาจสู่ขอได้ เจ้าไปได้แล้ว”
“จะให้ข้าไปได้เยี่ยงไรเล่า ! ”
“ทำไมหรือ ? เจ้าอยากจะอยู่ร่วมอาหารกลางวัน ? ย่อมได้ ถ้าเช่นนั้นพวกเรากลับเข้าไปด้วยกัน”
“มิใช่… ! ”
“เจ้าเป็นลูกผู้ชายกลับทำตัวไม่หนักแน่นงั้นหรือ ? ผู้ชายมีภรรยาและอนุหลายคนเป็นเรื่องปกติ น้องสาวข้ามิรังเกียจ แต่เจ้ามีปัญหางั้นหรือ ? เอาล่ะ ข้าวุ่นมาก เจ้าเองก็กลับไปได้แล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนยังมิทันได้เอ่ยคำใดก็ถูกเยี่ยนซีเหวินผลักออกมาจากจวนเยี่ยน เมื่อเขาหันหลังกลับไปมอง พบว่าประตูบานนั้นค่อย ๆ ปิดลง เยี่ยนซีเหวินโบกมืออำลาเขาแล้วเดินหันหลังกลับไป
ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจออกมายาว ๆ
เรื่องของจางเพ่ยเอ๋อร์ลอยเข้ามาในสมองของเขา เห้อ…สตรีในยุคนี้ทำให้เขาเปิดโลกทัศน์ได้มากทีเดียว หาได้เหมือนในชาติก่อนไม่ การแต่งงานและหย่าร้างทำได้เพียงคำเดียว การปลิดชีพเพื่อความรักนั้นหาได้ยากยิ่ง
ตอนนี้เขาควรทำเยี่ยงไรดี ?
ร่างบางที่ยืนอยู่ในศาลา สวมชุดสีขาวผ่องในมือถือดอกเหมยสีแดงยังคงลอยมา ช่างชัดเจนและงดงามยิ่ง
แต่ทว่า…นางคือคุณหนูตระกูลเยี่ยน !
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหัวแล้วรีบขึ้นรถม้าตรงไปยังจวนฟู่
ซูซูนั่งอยู่ในรถม้าด้วย ในมือนางถือปิงถังหูลู่ไว้ ดวงตาเป็นประกายมองมายังฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยว่า “ผู้ชาย มักชอบเสแสร้ง ! ”
……
……
ณ หอเถาหราน จวนฟู่แห่งทะเลสาบซวนอู่
แสงแดดกระทบกับหิมะที่ปกคลุมบนทะเลสาบซวนอู่ ทอแสงแวววาวแสบตา ฟู่เสี่ยวกวนหันหน้าไปทางอื่น เขากลับมานั่งอยู่กลางหอนั้นแล้วครุ่นคิดว่าจะจัดการเรื่องของเยี่ยนซีเหวินอย่างไรดี
แม้ว่าตระกูลเยี่ยนจะพบกับปัญหาใด ๆ แต่จากที่ฟู่เสี่ยวกวนมองดูแล้ว หาได้เกี่ยวข้องกับเยี่ยนซีเหวินหรือเยี่ยนเสี่ยวโหลวไม่
เยี่ยนซีเหวินรับหน้าที่เป็นนายอำเภอ เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อเขตเหยา เพราะต้องการประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
ส่วนเยี่ยนเสี่ยวโหลวนั้นเป็นเพียงสตรีทั่วไป เดิมทีนางมิควรต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในตระกูล หากนางต้องเสียใจเพราะถูกโยงเข้ามายุ่งเกี่ยวเรื่องนี้ นั่นเป็นสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนมิต้องการจะเห็น
เยี่ยนเป่ยซี !
จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่เก่งกาจนัก !
ปัญหาที่เขาตั้งขึ้นมา ฟู่เสี่ยวกวนกลับตอบมิได้
ซูโหรวเดินเข้ามาพร้อมกับเส้นด้ายสีแดง นางปักผ้าไปพลางเอ่ยว่า “ตาเฒ่านั่นมิธรรมดา น่าจะเป็นเพลงดาบที่อาจารย์ของไป๋หยู่เหลียนคิดค้นขึ้น มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว คาดมิถึงว่าจะตกอยู่ที่ตระกูลเยี่ยน”
ซูโหรวร้อยด้ายเสร็จก็เงยหน้าขึ้นมามองฟู่เสี่ยวกวน “สตรีนางนั้นเป็นคนดี แม้ว่าตระกูลเยี่ยนจะไม่ถูกกับเจ้า แต่หาได้เป็นความผิดของนางไม่ เจ้าจงแยกแยะให้ดี”
เรื่องวุ่นวายยังมีไม่มากพอหรือไงกัน !
ซูซูนั่งไกวชิงช้าไปมา นางเพิ่งทำมันเสร็จเมื่อวานนี้
นางหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยว่า “ข้าเองก็คิดเช่นนี้ ในวันนั้นเจ้าเมามาก แม่นางเสี่ยวโหลวประคองเจ้าไปที่เตียง นางเป็นหญิงสาวแต่กลับมิรังเกียจ ข้ามิเข้าใจว่าเจ้ามีอคติอันใด ? หากเป็นข้าคงตอบตกลงไปแล้ว จะทำให้ยุ่งยากเพราะเหตุใดกัน ! ”
ทันใดนั้นเอง ต่งชูหลานก็เดินเข้ามา นางได้ยินเสียงหัวเราะของซูซูมาแต่ไกล และได้ยินคำพูดของซูซู
นางจึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจวว่า “เรื่องใดยุ่งยากกัน ? ”
“ท่านพี่ชูหลาน ช่วยตัดสินที การที่เจ้าทั้งสองคนรักกัน ตระกูลของเจ้าทั้งสองส่งผลกระทบใด ๆหรือไม่ ? ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเคยถูกกักบริเวณ แต่การที่เจ้าถูกกักบริเวณทำให้ความรักที่เจ้ามีต่อฟู่เสี่ยวกวนน้อยลงหรือไม่ ? ”
ต่งชูหลานอ้าปากค้าง เหตุใดจึงได้เอ่ยเรื่องนี้ออกมาเล่า ?
ซูซูเป็นเพียงสาวน้อยที่แสนซื่อ ต่งชูหลานจึงมิได้เอ่ยโทษนาง นางเพียงมองไปยังซูซูแล้วเอ่ยว่า “มีใครบางคนเคยเขียนกวีเนื้อความว่า ร่างไร้สองปีกหงส์ที่งดงาม จิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน ดังนั้นความรักที่สำคัญคือจิตใจตรงกัน มิได้เกี่ยวข้องกับชาติตระกูลแต่อย่างใดและมิได้เกี่ยวข้องกับผู้อื่นด้วย ความรักเป็นเพียงสิ่งที่งดงามและละเอียดอ่อน ซูซู ต่อไปหากเจ้ามีชายในดวงใจแล้วจะเข้าใจเอง ”
“เห็นหรือไม่เล่า ข้าเอ่ยไว้มิมีผิด พี่ชูหลานก็คิดเช่นนี้ ดังนั้น ฟู่เสี่ยวกวน เรื่องนั้นเจ้าคิดมากไปหรือไม่ ? ”
ต่งชูหลานมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนยักไหล่แล้วเล่าเรื่องที่พบกับเยี่ยนเป่ยซีให้นางฟังอย่างละเอียด
ต่งชูหลานขมวดคิ้วขึ้น เนื่องจากเยี่ยนเสี่ยวโหลวเป็นหนึ่งในสาเหตุ แต่มิใช่ต้นเหตุ
“เรื่องนี้มิธรรมดา”
“อืม ข้าต้องการทดสอบเยี่ยนเป่ยซีสักหน่อย”
“ตระกูลเยี่ยนเป็นตระกูลอันดับหนึ่งแห่งราชวงศ์หยู ตอนนี้สถานการณ์บ้านเมืองก็ยังมิค่อยดีนัก อีกทั้งได้ยินมาว่าตระกูลเยี่ยนให้การสนับสนุนองค์ชายใหญ่ องค์รัชทายาทยังมิได้กำหนด หากว่าฝ่าบาททรง…ตระกูลเยี่ยนสามารถสนับสนุนองค์ชายใหญ่ได้สุดกำลัง หากเรื่องนี้เกิดขึ้น คำที่เอ่ยในวันนี้เกรงว่าจะนำความเดือดร้อนมาให้เจ้าเป็นแน่”
คำพูดของต่งชูหลานเตือนสติฟู่เสี่ยวกวนไว้
เขาประมาทเกินไป !
ความหมายของฝ่าบาทนั้นเขาเข้าใจดี แต่เขามิอาจคาดเดาได้ว่าแผนการของฝ่าบาทจะสำเร็จหรือไม่
เขาครุ่นคิดว่าหากผู้นำสูงสุดของประเทศต้องการปรับเปลี่ยนระบอบ จะสร้างความไม่สงบสุขให้แก่ประเทศชาตินานหลายปี เขาคงคิดการมาดีแล้ว
แต่หากฝ่าบาทมิได้เป็นเช่นนั้น แต่กลับเลือกทางนี้เนื่องจากไม่มีทางเลือกอื่น…ก็อาจจะพลิกผันได้ !
ฟู่เสี่ยวกวนหลับตาลงแล้วหายใจเข้าลึก ๆ ตัวเขาที่ระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา บัดนี้กลับหุนหันพลันแล่นได้เยี่ยงไรกัน !
“เรื่องนี้……ข้าไม่ได้ไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน”
“เจ้าอย่าได้ใส่ใจไป เยี่ยงไรเสียราชวงศ์หยูก็ยังมั่นคง หากมีผู้ใดคิดก่อกบฏเกรงว่าจะมิง่าย”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าแล้วได้ยินชูหลานเอ่ยต่อว่า “หากต้องการป้องกันละก็…”
ต่งชูหลานกัดริมฝีปากแล้วมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน “แม่นางเสี่ยวโหลวก็มิเลว เพียงแต่เจ้าลองไปถามความคิดเห็นของเวิ่นหวินดูก่อน”
ซูซูหัวเราะออกมา “พี่ชูหลานกล่าวได้ถูกต้องแล้ว เจ้าเป็นผู้ชายแท้ ๆ เรื่องนี้เจ้ามีแต่ได้กับได้ เจ้าคิดสิ่งใดอยู่กัน ? ”
ต่งชูหลานจ้องไปยังซูซู เรื่องนี้เป็นเรื่องน่ายินดีที่ไหนเล่า !
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้แข็งแกร่ง เขาจะไปทนต่อพายุของตระกูลเยี่ยนได้เยี่ยงไร !
มองดูแล้วนี่คือการเตือนจากเยี่ยนเป่ยซี หากฟู่เสี่ยวกวนยังแสร้งทำเป็นมิรู้ เกรงว่าเขาจะถูกกดดันจากตระกูลเยี่ยนอย่างหนัก
ต่อให้ฝ่าบาทหรือพระสนมซั่งเองรักษาชีวิตฟู่เสี่ยวกวนไว้ได้ แต่หากตระกูลเยี่ยนยังดำรงอยู่ ฟู่เสี่ยวกวนก็มิอาจกระทำการใด ๆ ราบรื่นได้
เรื่องการแต่งงานของตนยังมิได้จัดการด้วยซ้ำ แต่จู่ ๆ กลับมีสตรีโผล่มาอีกนางหนึ่ง แน่นอนว่าต่งชูหลานมิพอใจ นางเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึงว่า “นี่จะต้องเป็นคนสุดท้าย ! ”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวเงยหน้ามองฟู่เสี่ยวกวน ลอบคิดว่าเขานั้นจะตอบเยี่ยงไร ?
เยี่ยนซีเหวินนิ่งคิดคิ้วขมวด คิดว่าหากท่านปู่ถามตน ตนเองจะตอบเยี่ยงไร ?
ฟู่เสี่ยวกวนกักเก็บสีหน้า และแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง คิดว่าผักกุยช่ายนี้ไม่ว่าจะไปอยู่ในสมัยใดต่างก็โชคร้ายเสียจริง
เขาคาดไม่ถึงว่าเยี่ยนเป่ยซีจะถามคำถามนี้ออกมา แต่นี่มิใช่ความเกี่ยวข้องของผักกุยช่ายและวัชพืช แต่เป็นการถามสถานการณ์ปัจจุบันที่ราชสำนักกำลังเผชิญ
เขาไม่พยายามคาดเดาคำตอบที่เยี่ยนเป่ยซีอยากได้ ผ่านไปหลายอึดใจ เขาจึงเอ่ยขึ้นมาว่า
“มิ่งจื่อ เรียนเบื้องบน มีเมฆ มีปลา ข้าก็ชอบทั้งสิ้น และข้าก็ชอบตีนหมีเช่นกัน ท่านมิสามารถมีได้ทั้งสองสิ่ง ทิ้งปลาและเลือกตีนหมีเพียงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่เมิ่งจื่อเลือก ที่ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนถามมา เสี่ยวกวนคิดว่าหากแปลงนาผืนนั้นแห้งแล้ง ปล่อยไปเสียจะดีกว่า รอไปจนถึงช่วงฤดูหนาว หิมะลูกใหญ่นี้จะปกคลุมทั้งผักทั้งพืชจนสลายไปกับพื้นดิน แต่นั่นกลับกลายเป็นปุ๋ยเพื่อปรับปรุงผืนดิน หากแปลงนานั้นเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์…เยี่ยงนั้นก็จงต้องกำจัดวัชพืชอย่างช้า ๆ มิฉะนั้นพวกมันจะไปทำร้ายต้นกุยช่าย ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยง แต่ผลลัพธ์ในท้ายที่สุดก็จะกลายเป็นดี ผักกุยช่ายที่เหลืออยู่จะเติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง”
คำพูดนี้ค่อนข้างสำคัญ เขาเริ่มต้นด้วยปลาและตีนหมี เพื่อแสดงความเกี่ยวข้องของการเลือก ความหมายก็คือนักปราชญ์เองก็สามารถเลือกได้เพียงหนทางเดียวเท่านั้น เยี่ยงนั้นท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเองก็ทำได้เพียงสร้างทางเลือกให้กับตนเอง
และปัจจุบันมีการฉ้อโกงภายในราชสำนักอย่างร้ายแรง เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ได้สร้างทางเลือกไว้แล้ว ในฐานะบุคคลหนึ่งที่เป็นอัครมหาเสนาบดีของแคว้นที่มีผู้อยู่ใต้การบังคับบัญชานับหมื่น ย่อมเดินตามรอยพระบาทของฮ่องเต้ เพื่อกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง
และหากแปลงนาผืนนั้นแห้งแล้งอย่างที่เขาได้กล่าวไป ความหมายก็คือหากกำลังของชาติว่างเปล่า คงจะดีกว่าหากปล่อยทิ้งและมิใส่ใจ ความจริงประโยคนี้คงขัดหูขัดตาใครไปบ้าง เพราะการปล่อยวางมิสนใจ หลังจากผ่านหิมะครั้งใหญ่พืชและผักก็จะถูกซักล้างไปจนหมด บ่งชี้ถึงการล่มสลายของราชวงศ์หยู
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสิ่งที่มิพึงปรารถนาอย่างยิ่ง
แต่นี่ก็เป็นเพียงอีกหนึ่งความจริง ก็เหมือนกับต้นไม้แก่ที่รากเน่าไปจนหมดแล้ว ต่อให้อยากช่วยให้มันกลับมามีชีวิตมากเพียงใด ก็มิมีทางช่วยกลับมาได้ ทำได้เพียงมองมันร่วงหล่น หลังจากนั้นก็เพียงแค่หาต้นไม้ใหม่และเฝ้าดูพวกมันเติบโต
ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบว่าราชวงศ์หยูในตอนนี้แท้จริงแล้วมีผู้ป่วยที่สาหัสหรือไม่ แต่เยี่ยนเป่ยซีย่อมทราบ ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะพูดออกมา เพื่อดูการเลือกของเยี่ยนเป่ยซี
เยี่ยนเสี่ยวโหลวครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน มิใช่มิเข้าใจความหมายของฟู่เสี่ยวกวน นางเติมชาจนเต็มทั้งสี่ถ้วย ส่งให้ท่านปู่และฟู่เสี่ยวกวน เมียงมองท่านปู่ ในยามนี้ท่าทีของเยี่ยนเป่ยซีจริงจังถึงที่สุด
เยี่ยนซีเหวินเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน คิดว่าคนผู้นี้ใจกล้ามิเบา หากเป็นตนเอง ย่อมเลือกที่จะกำจัดวัชพืชเหล่านั้นทิ้ง
ส่วนเรื่องดิน…ชีวิตของทุกคนต่างอยู่ในแปลงนาผืนนี้กันทั้งสิ้น เยี่ยงนั้นก็หาวิธีปรับเปลี่ยนกันไปอย่างช้า ๆ
ผ่านไปเนิ่นนาน เยี่ยนเป่ยซีจึงพยักหน้า และไม่แสดงความคิดเห็นอันใดเกี่ยวกับคำพูดนั้นของฟู่เสี่ยวกวน
“ฤดูใบไม้ผลินี้ข้าเลี้ยงปลามากมายในบ่อน้ำนั้น หลังจากนั้นก็จะปลูกบัว และมีพืชน้ำอีกมากมาย หวังว่าปลาเหล่านั้นจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่มิรู้ว่าเมื่อใดที่ได้มีแมวเข้ามา พวกมันมักจะอาศัยช่วงเวลาที่มิมีผู้คนสนใจไปขโมยปลาในบ่อ ดังนั้นปลาจึงน้อยลงไปเรื่อย ๆ เพื่อปลาเหล่านั้น ข้าจึงเลี้ยงสุนัขสักตัว หวังว่าสุนัขตัวนี้จะไล่แมวได้ แต่สุดท้าย…คาดมิถึงว่าแมวกับสุนัขต่างร่วมกันขุดโพรง”
“ข้าขอถามเจ้า จะไล่แมวหรือขับไล่สุนัขออกไปดี ? ”
ให้ตายเถอะ ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกอีกครา รู้สึกว่าท่านอัครมหาเสนาบดีควรจะไปเป็นพระ เขาต้องได้เป็นพระอาจารย์ที่ยอดเยี่ยมเป็นแน่
ผู้อาวุโสอยากจะกล่าวอะไรก็กล่าวมาตรง ๆ มิได้หรือ ?
มัวแต่จะเล่นทายสำบัดสำนาน คำตอบของคำถามนี้แบบนี้มันน่าเบื่อมาก ท่านจะรู้หรือไม่ !
ความหมายคือสถานการณ์ที่ราชวงศ์หยูกำลังเผชิญในปัจจุบัน
ราชวงศ์หยูคือบ่อน้ำ และแมวเหล่านั้นก็เป็นตัวแทนของแคว้นอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ราชวงศ์หยูและสุนัขก็หมายถึงกองทัพของราชวงศ์หยู
ดูเหมือนว่ากองทัพของราชวงศ์หยูจะมีปัญหา พวกเขาไร้บทบาทในการปกป้องแว่นแคว้น จนไปถึงขั้นร่วมมือกับประเทศอื่นเพื่อกัดกินผลประโยชน์ของราชวงศ์หยู
ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงมิตอบและโน้มกายลงพร้อมเอ่ยถามอย่างจริงจัง “แท้จริงแล้วเลวร้ายถึงเพียงนั้นเลยหรือขอรับ ? ”
“ยังมิถึงขั้นนั้น”
ความหมายของมันดูค่อนข้างร้ายแรงอยู่ทีเดียว
ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด ยกจอกชาขึ้นมาดื่ม และกล่าวอย่างมิคิดอะไร “ข้าตีสุนัข โดยมิเคยมองไปที่เจ้าของ ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเล่า ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนคิดเห็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
เยี่ยงนั้นต้องตีสุนัขก่อน !
เยี่ยนเป่ยซียิ้มอย่างเงียบ ๆ คำพูดนี้มิมีการไว้หน้าเขาโดยสิ้นเชิง ชายผู้นี้ช่างเถรตรง มิแปลกใจที่ฝ่าบาทให้เขาเป็นดาบ ช่างคมยิ่งนัก เพียงแค่ดาบนั้นแข็งเกินไปทั้งยังหักได้ง่าย สำหรับเขานี่มิใช่เรื่องที่ดีเท่าใดนัก
แต่คิดในทางกลับกัน ในราชวงศ์หยูที่ยิ่งใหญ่ ขุนนางนั้นมีจำนวนนับหมื่น หากมิสามารถขจัดความยุ่งเหยิงภายในเวลาอันรวดเร็วโดยปลายดาบเพื่อกำจัดความเสี่ยงได้ ก็จะเข้าสู่สภาวะหยุดชะงักในทันที เยี่ยงนั้นราชวงศ์หยูก็จะตกอยู่ในอันตรายอย่างแท้จริง
ในฐานะผู้มีส่วนได้ส่วนเสียกับต้าหยู เยี่ยนเป่ยซีย่อมมิคาดหวังให้เกิดปัญหากับราชวงศ์หยู แต่ในทางเดียวกัน เขาก็มิต้องการให้ผลประโยชน์โดยอำนาจของตระกูลเยี่ยนสูญเสียมากเกินไปเช่นกัน
เขาได้อ่านขาดหมากบนกระดานของฮ่องเต้หมดแล้ว และเข้าใจว่าปีนี้ค่อนข้างที่จะวิกฤต ฮ่องเต้ต้องการจัดระบอบบ้านเมืองใหม่ การตรวจสอบการฉ้อโกงเสบียงบรรเทาสาธารณภัยโดยละเอียด และใช้โอกาสนี้กำจัดรากเหง้าของกองกำลังสำคัญก็เป็นเพียงขั้นตอนแรกเท่านั้น และขั้นต่อไป…ย่อมตกอยู่ที่ราชสำนักอย่างแน่นอน
ส่วนเหตุที่ฮ่องเต้ตัดสินประหารคนเหล่านั้นโดยมิไต่สวน เยี่ยนเป่ยซีเองก็อ่านได้ขาดเช่นกัน
กองทัพมิมั่นคง !
โดยเฉพาะกองทัพชายแดนตะวันออก !
ผู้บัญชาการกองทัพชายแดนตะวันออกก็คือเยี่ยนฮ่าวชู บุตรชายคนที่สามของเยี่ยนเป่ยซี !
เยี่ยงนั้นฮ่องเต้ที่ประสงค์จะจัดระบอบบ้านเมืองใหม่ ก็ต้องทำให้กองทัพเสถียรภาพเสียก่อน ผลลัพธ์ถึงจะเป็นไปตามธรรมชาติ อาจจะเปลี่ยนผู้บัญชาการ หรือจะ…ขจัดทิ้ง
ในส่วนนี้ เยี่ยนเป่ยซีต้องทำการตัดสินใจ
แต่เขามีเพียงหนึ่งหนทาง ต้องส่งมอบอาญาสิทธิ์ของกองทัพชายแดนตะวันออกไป เพื่อปกป้องความสงบสุขของเยี่ยนฮ่าวชู
นั่นเป็นวิธีที่เยี่ยนเป่ยซีมิยินยอมที่สุด แต่เขาก็มิมีหนทางอื่นอีกแล้ว
ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพชายแดนตะวันออก แรกเริ่มต้องจ่ายค่าตอบแทนไปมากโข วางแผนอยู่เนิ่นนานกว่าจะได้มาอยู่ในมือของตระกูลเยี่ยน แต่ในเวลานี้กลับต้องส่งมอบมันให้กับผู้อื่น ภายในใจของเยี่ยนเป่ยซีย่อมมิยินยอมอย่างถึงที่สุด
ในตอนที่เขากำลังใช้ความคิด ฟู่เสี่ยวกวนก็กล่าวขึ้นมา
“เนื่องจากท่านอัครมหาเสนาบดีได้ถามข้ามาสองคำถาม ข้าเองก็ขอถือดีถามท่านอัครมหาเสนาบดีหนึ่งคำถาม”
เยี่ยนเป่ยซีเงยหน้ามองฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนก็กล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้าขอยกตัวอย่าง ท่านอัครมหาเสนาบดีมิต้องคิดมากขอรับ สมมติว่าวันหนึ่งท่านแม่ทัพเยี่ยนต้องบัญชาการนำกองทัพชายแดนตะวันออกไปสู้รบกับกองกำลังของแคว้นอี๋ ณ ที่ราบสีหม่า…”
เยี่ยนเป่ยซีคิ้วขมวดทันพลัน
ฟู่เสี่ยวกวนมิสนใจและกล่าวต่อ “ขณะนั้นสถานการณ์ทั้งสองฝ่ายต่างคับขัน และยากที่จะกำหนดผู้ชนะ ในเวลานั้นเอง เป่ยหวังฉวนแห่งราชวงศ์อู๋ก็ยิงธนูใส่ท่านแม่ทัพเยี่ยน ลูกศรปักเข้าที่ไหล่ขวาของท่านแม่ทัพเยี่ยน และนั่นคือศรอาบยาพิษ นายทหารทุกคนต่างเชิญให้ท่านแม่ทัพเยี่ยนกลับเมืองไปรักษาตัว แต่เพราะสถานการณ์รบที่คับขัน ท่านแม่ทัพเยี่ยนจึงยืนหยัดที่จะอยู่ จนกระทั่งสองสามวันให้หลัง ทัพของแคว้นอี๋พ่ายและถอนตัวออกจากที่ราบสีหม่า”
สองตาของเยี่ยนเป่ยซีจ้องฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง สายตาทิ่มแทง ความอบอุ่นของเตาไฟในที่นี้ราวกับไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง
เยี่ยนซีเหวินตื่นตระหนก เยี่ยนเสี่ยวโหลวก็แสดงท่าทีร้อนรนออกมา
พวกเขามิเคยเห็นท่านปู่แสดงท่าทางเย็นชาเยี่ยงนี้มาก่อน
ฟู่เสี่ยวกวนราวกับมิรู้สึก และถามขึ้นมาอีกครา “หลังจากที่ท่านแม่ทัพเยี่ยนผู้กุมชัยชนะกลับถึงเมืองก็ไปหาท่านหมอ หลังจากที่ท่านหมอได้ดูอาการก็เอ่ยถามท่านแม่ทัพเยี่ยนหนึ่งประโยค”
“ท่านหมอถามว่า พิษนี้เกินกว่าจะรักษาได้แล้ว หากต้องการรักษา ก็มีเพียง 2 ทางเลือก ประการแรกขูดกระดูกเพื่อรักษาพิษ ซึ่งจะเจ็บปวดอย่างยิ่ง และจะเจ็บปวดอย่างเนิ่นนาน ผลดีคือรักษาแขนขวาไว้ได้ ประการที่สองตัดแขนขวาทิ้งเสีย เจ็บปวดเพียงครู่ เพียงแต่ภายภาคหน้าอาจจะไม่สะดวกอย่างยิ่งเพราะขาดไปหนึ่งแขน เยี่ยงนั้นท่านแม่ทัพจะเลือกหนทางใดกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนสบตากับเยี่ยนเป่ยซี และมิมีการยอมถอยแม้แต่นิด
“เยี่ยงนั้นเสี่ยวกวนขอเอ่ยถามท่านอัครมหาเสนาบดี ท่านอัครมหาเสนาบดีจะเลือกอย่างไรขอรับ ? ”
ทันใดนั้นเยี่ยนเป่ยซีก็หัวเราะขึ้นมา สายตาทิ่มแทงได้หายไป เขาสูดลมหายใจเข้าออกอย่างลึกๆ รินชาและยกขึ้นดื่ม พลางมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง
แสงแดดด้านนอกหน้าต่างกำลังพอดี ดอกบ๊วยที่กำลังผลิบานนั้นมองดูแล้วช่างสบายตานัก
“หลานสาวของข้าเยี่ยนเสี่ยวโหลวปักปิ่นไปเมื่อวาน และยังมิมีคู่หมั้นคู่หมาย”
เยี่ยนเป่ยซีมิได้ตอบฟู่เสี่ยวกวน กลับกล่าวประโยคที่น่าประหลาดใจขึ้นมาแทน
เยี่ยนเสี่ยวโหลวหน้าแดงในทันพลัน ฟู่เสี่ยวกวนกลับผงะ
เขากลับสูดหายใจเข้าลึก ๆ ยังมิทันจะได้หายใจออก เยี่ยนเป่ยซีกลับหันตัวมาอีกครา “เสมียนกลางในตอนนี้ก็ขาดเจี้ยนอี้ต้าฟูไป 1 ตำแหน่ง เสนาบดีผู้ดูแลกิจการของทัพก็ขาดผู้ตรวจสอบเรื่องคณะเสนาบดีไป 1 ตำแหน่ง ต่างก็เป็นขุนนางขั้นสี่ แต่พวกเขาเหล่านั้นต่างก็มีอำนาจในมือ และได้เข้าไปยังใจกลางของราชวงศ์หยูอย่างแท้จริง”
เขาลุกขึ้นยืน สองมือไขว้หลังและเดินออกทางด้านนอก ก้าวไปพร้อมกล่าวขึ้นมาว่า “นกที่ดีจะเลือกไม้เกาะ เจ้าเป็นคนฉลาด ข้าหวังว่าก่อนวันที่สิบห้าของเดือนจะได้รับคำตอบจากเจ้า”
ชายชราที่แบกดาบใหญ่ไว้ที่หลังเพิ่งจะได้เงยหน้ามามองฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้ แน่นอน ฟู่เสี่ยวกวนก็มองตาของเขาเช่นกัน
สายตาของทั้งสองสบเข้าหากันกลางอากาศ ถึงแม้จะมองมิเห็นประกายไฟ แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็รับรู้ถึงจิตสังหารที่เข้มข้นได้อย่างชัดเจน
ชายชราที่แบกดาบใหญ่ไว้ที่หลังเดินตามเยี่ยนเป่ยซีออกไปข้างนอก ภายในเรือนเวิ่นเยวี่ยจึงสงบลง มีเพียงเสียงประกายไฟที่ดังขึ้นมาจากเตาไฟเป็นครั้งคราวเท่านั้น
ผ่านไปเนิ่นนาน เยี่ยนซีเหวินจึงส่ายหน้าและกล่าวว่า “เจ้ามิควรยกท่านอาสามของข้าขึ้นมาสมมติ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเชิงเห็นด้วย แต่มิได้กล่าวอันใดกับเยี่ยนซีเหวิน บางเรื่อง มีเพียงการประสบความเจ็บปวดกับตัวเท่านั้น ที่จะทำให้ท่านปู่ของเขาเผชิญหน้ากับมันได้
แน่นอน ว่าประโยคสมมติของฟู่เสี่ยวกวนก็มีความหมายที่ลึกซึ้งแฝงอยู่
รัชสมัยเซวียนลี่ที่1 กองทัพชายแดนตะวันออกของฉินถงต่อสู้กับแคว้นอี๋ ณ ที่ราบสีหม่า ตามที่ไป๋ยู่เหลียนได้กล่าวไว้ หลังจากที่พวกเขาทลายวงล้อมได้ก็พักฟื้นกันอยู่ที่ชายแดนราชวงศ์หยู ฉินถงกลับถูกเป่ยหวังฉวนนักรบรุ่นที่หนึ่งของราชวงศ์อู๋ปักศรจนถึงแก่ความตาย
ไป๋ยู่เหลียนกล่าวว่าที่เมืองหลวงราชครูอาวุโสเฟ่ยแจ้งว่าฉินถงถูกสังหารด้วยศรเทพของเป่ยหวังฉวนเพียงดอกเดียว และนับให้การออกรบในครานั้นเป็นความพ่ายแพ้ หลังจากนั้นกองทัพชายแดนตะวันออกก็เกิดการระดมพลครั้งใหญ่ อดีตผู้บัญชาการอย่างเฟ่ยปังได้เข้ารับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหมของราชสำนัก และเยี่ยนฮ่าวชูบุตรชายคนที่สามของเยี่ยนเป่ยซีได้เข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพชายแดนตะวันออก
คำถามของฟู่เสี่ยวกวนมีความหมายอยู่สองขั้น เพียงอยากจะเห็นว่าการตายของฉินถง ได้มีเงาของเยี่ยนเป่ยซีหรือไม่ เพราะไม่ว่าจะคิดเยี่ยงไร ตระกูลเยี่ยนก็ได้รับผลประโยชน์จากเรื่องนั้นอย่างมากล้น
นี่คือการแหวกหญ้า จะทำให้งูแตกตื่นหรือไม่ ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิทราบ
เขาทราบเพียงว่ามีความเสี่ยงอย่างมาก นี่มิใช่อสรพิษตัวจ้อย แต่มันคืองูหลามขนาดยักษ์ต่างหากเล่า !
แต่เขาก็เลือกที่จะถามเยี่ยงนั้นออกไป เพราะเขาทราบดีว่าฮ่องเต้ย่อมหวังให้เขาทำเยี่ยงนั้น เพียงแต่เขาคาดมิถึงว่าเยี่ยนเป่ยซีจะยื่นกิ่งมาให้เขาเกาะอีกครา และยังน่าดึงดูดใจอย่างยิ่ง
เขาหันมองเยี่ยนเสี่ยวโหลว กล่าวตามจริง สตรีผู้นี้เป็นสาวงามอย่างแท้จริง
แต่เขาก็มิกล้ารับกิ่งที่เยี่ยนเป่ยซียื่นมาให้ เพราะมันย่อมมีพิษ
ทั้งอาจเป็นพิษที่ร้ายแรงอย่างยิ่ง !
“หลังจากนั้นล่ะ”
ซูซูมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทางตกตะลึง “ไม่มีต่อจากนี้แล้ว พวกเขาสองคนตายแล้ว”
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึงผู้สังหารไปไหนแล้ว?”
“อ่อ เขาไปในเขาแห่งนั้น แต่ข้าไม่ได้เข้าใกล้เขานั้น เนื่องจากที่นั่นมียอดฝีมือ”
ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจอย่างมาก “ทำไมเจ้าถึงรู้ว่าในเขานั้นมียอดฝีมือ?”
ซูซูมองฟู่เสี่ยวกวนราวกับมองคนปัญญาอ่อน ปากเล็ก ๆ เหยียดออก “ข้าเข้าใจภาษานก”
“……”
จะคุยกันรู้เรื่องไหมแบบนี้ ?
“เจ้าไม่เชื่อหรือ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิเชื่อ ซูซูเลิกคิ้วสูง กินผลไม้เคลือบน้ำตาลของนางต่อไป แล้วพูดพึมพำว่า “ความสามารถของข้าก็มีมากมาย อย่าคิดว่าเจ้าสามารถแต่งบทกลอนบทกวีได้ก็เก่งกาจนักหนาแล้ว !”
ซูโหรวเงยหน้าขึ้น ดวงตาเล็ก ๆ คู่นั้นมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน คล้ายกับยินดีในความทุกข์ของผู้อื่น “น้องหกเข้าใจภาษานกจริง ๆ ”
“งั้นเจ้าบอกข้าหน่อยว่านกพูดอะไรกับเจ้าบ้าง?”
ซูซูหัวเราะเสียงดังลั่น “เจ้าช่างโง่จริงเชียว !”
ฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกว่าประโยคที่ตนถามนั้นช่างโง่เง่าจริงด้วย เขาลูบจมูกไปมา เดินไปที่ศาลาเถาหรานแล้วนั่งลง แต่กลับได้ยินซูซูพูดอีกว่า “นกกระจอกน้อยตัวหนึ่ง มันบอกว่าห้ามเข้าไปในเขานั้น มีกลิ่นอายการฆ่ารุนแรงมาก รีบหนีไป…..ดังนั้นข้าก็เลยวิ่งหนีมา”
ข้าเชื่อเจ้าก็บ้าแล้ว!
ตอนนี้เองซูเจวี๋ยก็เดินออกมา เขาจัดหมวกไปมาให้ดี แล้วพูดขึ้นว่า “ที่น้องหกพูดนั้นถูกต้องแล้ว เขาจื่อจินนั้นเมื่อก่อนข้าก็เคยไปซุ่มดูอยู่เช่นกัน ในนั้นมียอดฝีมือจริง ๆ ”
ฟู่เสี่ยวกวนอึ้งไปชั่วครู่ ในเมื่อซูเจวี๋ยบอกว่ามียอมฝีมือ งั้นก็ต้องมีแน่นอน ซูเจวี๋ยน่าเชื่อถือกว่าซูซูหลายเท่าเลย
“เก่งแค่ไหน ?”
“อย่างน้อยก็ขั้นที่หนึ่ง อาจจะเป็นกึ่งเทพด้วยซ้ำ”
ห๊ะ นี่มันเก่งเกินไปแล้ว “งั้นเจ้าเก่งแค่ไหน[1]” ฟู่เสี่ยวกวนมองไปที่ซูเจวี๋ยแล้วถามประโยคนี้
“ข้าหรือ? ข้าต่ำมาก”
ซูซูหัวเราะเสียงดังลั่นขึ้นมาอีก เสียงหัวเราะราวกับกระดิ่ง ไพเราะเสนาะหู น่าฟังมาก
“เยี่ยงนี้มิใช่ว่าการสำรวจเขาจื่อจินก็จะยากมากหรือ?”
“นอกจากเจ้าจะมีลายลักษณ์อักษรของฝ่าบาท หรือช่วงเทศกาลจงหยวนที่จะมีการไหว้บรรพบุรุษของราชวงศ์หยูทุกปี ซึ่งเจ้าสามารถติดตามฝ่าบาทไปได้ มิเช่นนั้น……ก็มีเพียงท่านอาจารย์เท่านั้นที่จะสามารถลอบขึ้นไปได้โดยไม่รบกวนฝีมือผู้นั้น”
แย่มาก ดูเหมือนว่าเรื่องนี้คงจะต้องหยุดไว้แค่นี้ก่อน
เขาไม่ใช่สายเลือดของราชวงศ์ แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลที่จะขอร้องให้ฝ่าบาทมีราชโองการให้ไปสำรวจสุสานของราชวงศ์ด้วย เช่นนั้นก็รอดูช่วงเทศกาลจงหยวนว่าจะมีโอกาสได้เข้าไปที่นั่นหรือไม่
ซูเจวี๋ยส่งกระดาษให้ฟู่เสี่ยวกวนแผ่นหนึ่ง แล้วพูดว่า “ผลการตรวจสอบของวัดฟูจื่อออกมาแล้ว ด้านบนนอกจากวัดที่ผุพังแห่งนั้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรอื่นอีก”
ฟู่เสี่ยวกวนรับกระดาษแผ่นนั้นไปดู ไม่ถูกสิ ปีที่แล้วตอนที่เขากับต่งชูหลานขึ้นไปที่นั่น ก็ถูกคนขวางเอาไว้ที่สันเขา แล้วเหตุใดถึงไม่พบอะไรเลยเล่า ?
หรือว่าในคืนนั้นเป็นแค่ความบังเอิญงั้นหรือ?
แต่หลินหงเคยกล่าวไว้ว่าจีหลินชุนเถ้าแก่เนี้ยของหอเยียนจือก็เคยไปที่วัดฟูจื่อ หรือจะบอกว่านี่เป็นเรื่องหลอกลวงงั้นหรือ?
หลินหงไม่มีทางโกหกเขาในเรื่องนี้ ถ้าเช่นนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
บนแผ่นกระดาษนี้เขียนอย่างละเอียดว่า : วัดฟูจื่อไม่เคยพบร่องรอยการเคลื่อนไหวของคนเลย วัดที่อยู่บนยอดเขาเต็มไปด้วยใยแมงมุม ศาลเจ้าด้านในเต็มไปด้วยฝุ่นที่หนามาก สีทองที่ติดอยู่ที่ตัวของรูปปั้นก็ลอกออกไปนานแล้ว ดังนั้นที่นี่ไม่มีคนมานานแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้น ถ้าเช่นนั้น คืนนั้นใครกันที่อยู่บนเขา ? เขาทำอะไรอยู่บนเขากัน ?แล้วจีหลินชุนขึ้นไปที่วัดฟูจื่อเพื่ออะไรกันอีก ?
……
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำได้แค่ตัดเงื่อนงำออกไป ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ทำอะไรเลยทั้งวัน นอกจากเดินเล่นตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวง รอคนมาลอบฆ่า แต่กลับไม่มีปลามาติดแหเลย คล้ายกับว่าคนที่เคยอยากให้เขาตายนั้นได้หายตัวไปแล้ว พริบตาเดียวฤดูหนาวที่หนาวเหน็บก็ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 วันที่ห้าเดือนแรก หิมะหยุดตก อากาศแจ่มใส
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะออกไปเดินเล่นต่อ กลับคาดไม่ถึงว่าเยี่ยนซีเหวินมาหา
“ไม่ใช่ว่าเจ้าควรไปแล้วหรือ?”
“ใช่ ออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า”
“นี่เจ้าจะมาบอกลาข้าหรือ?”
เยี่ยนซีเหวินจ้องฟู่เสี่ยวกวนชั่วครู่ ควรจะเป็นเจ้าที่มาบอกลาข้าจะดีกว่าไหม !
“ท่านปู่เชิญเจ้าไปที่จวน”
ฟู่เสี่ยวกวนอึ้งไปชั่วครู่ เยี่ยนเป่ยซีงั้นหรือ ?
อัครเสนาบดีผู้นี้เชิญตนเองไปทำไมกัน?
ในราชสำนักก็เคยเจอกับอัครเสนาบดีอยู่หลายครั้ง แต่มีการพูดคุยกันแค่ 2 ครั้งเท่านั้น
ครั้งหนึ่งที่ห้องทรงพระอักษรตอนที่อธิบายนโยบายบรรเทาสาธารณะภัย อีกครั้งหนึ่งคือในที่ทำการเสมียนกลาง เยี่ยนเป่ยซีตั้งใจจะสนับสนุนตนเอง แต่กลับถูกตนเองปฏิเสธไป
“มีธุระอะไรหรือ” ฟู่เสี่ยวกวนถามด้วยความแปลกใจ
“ข้าจะรู้ได้เยี่ยงไร? อาจจะเป็นเพราะร้อยแก้ว《ผู้เยาว์ของราชวงศ์หยู》ก็ได้ ท่านปู่คัดลอกร้อยแก้วนี้ขึ้นมาใหม่ แล้วนำไปแขวนที่กลางห้องโถงของตระกูลข้า ข้าว่าเจ้าก็หน้าใหญ่พอสมควรเชียวนะ ผ่านมาหลายปีนี่เป็นครั้งแรกที่ท่านปู่ให้ความสำคัญกับร้อยแก้วสักบท
ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมา พูดด้วยรอยยิ้มว่า “มีจุดธูปหอมบูชาตัวอักษรทุกวันไหม ? ”
“ไปให้พ้น……”
ไม่มีทางพูดคุยกับเจ้านี่ดี ๆ ได้เลย เจ้านึกว่าตัวเองเป็นเทพมาจุติงั้นหรือ!
ทั้งสองคนเดินทางมาถึงจวนเยี่ยนด้วยรถม้าคันเดียวกัน เมื่อเดินลงมาจากรถม้า ฟู่เสี่ยวกวนก็มองบริเวณโดยรอบอย่างจริงจัง
ที่นี่ตั้งอยู่ในตรอกซีไหลเขตใต้ของจินหลิง เป็นตรอกเก่าแก่ที่ค่อนข้างเงียบสงบ ปากทางเข้าตรอกมีป้ายใหญ่ตั้งอยู่ บนป้ายมีตัวอักษรสองคำที่เขียนว่าซีไหล ส่วนด้านข้างสองฝั่งเป็นโคลงกลอนคู่
ซีไหลสดชื่น เมฆหมอกพัดเอาความเศร้าไป
แม่น้ำต้าเจียงไปทางตะวันออก ชะล้างคลื่นลูกเก่าให้หมดสิ้นไป
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้ว แล้วถามขึ้นว่า “ตัวหนังสือเหล่านี้ใครเป็นผู้เขียนกัน?”
“เซี่ยงเวิ่นเฟิงนักพรตของราชวงศ์ก่อน”
“อ้อ…..” ชื่อนี้เหมือนจะเคยได้ยิน ดูเหมือนว่านักพรตผู้นี้ยังมีบทกวีมากมายที่ถูกจารึกไว้บนหินเชียนเปยสือ
ป้ายด้านหน้าของจวนเยี่ยนดูยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าจวนซือเสียอีก
ด้านหน้าประตูใหญ่มีสิงโตหยกขาวสองตัวพร้อมไข่มุกหยกที่มีพลังอยู่ในปาก ดูสง่างามภายใต้แสงตะวัน
บนทับหลังมีตัวอักษรสองคำที่เขียนอย่างวิจิตรตระการตาว่าตระกูลเยี่ยน
ประตูหน้ามีผู้คุ้มกัน 2 นายยืนตัวตรงอยู่ พวกเขาสวมชุดเกราะที่ดูสง่างาม ในมือถือง้าวยาวไว้
“เช่นนี้ก็ได้หรือ”
“เป็นของกำนัลจากฮ่องเต้องค์ก่อน ตระกูลเยี่ยนได้ชุดเกราะสามร้อยคน”
ก็ดี เป็นเพียงตระกูลเดียวในเมืองหลวง ฟู่เสี่ยวกวนทำได้เพียงแอบอิจฉา
ผลักประตูใหญ่นั้นออก เยี่ยนซีเหวินพาฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไป เขามองสำรวจบริเวณโดยรอบอีกชั่วครู่ ในใจรู้สึกยินดีมาก เนื่องจากจวนของตระกูลนี้ไม่ได้ใหญ่กว่าตระกูลของตน!
แม้จะรู้สึกละอายใจนิดหน่อย แต่จวนฟู่ของเขาเคยเป็นจวนของชินอ๋องราชวงศ์ก่อน ในเมืองหลวงที่ใหญ่โตเช่นนี้ก็ต้องถูกจัดอยู่ในห้าอันดับต้น ๆ เช่นกัน ตระกูลอัครเสนาบดีนี้แน่นอนว่าไม่มีทางเทียบกับมันได้
จวนอัครเสนาบดีใหญ่โตมาก แต่ฟู่เสี่ยวกวนมากับเยี่ยนซีเหวิน จึงไม่สามารถมองสำรวจโดยทั่วได้
ในจวนนั้นครึกครื้นมาก ระหว่างทางมีคนรับใช้มากมายเดินผ่าน สองข้างทางในลานสวนของบ้านก็มีเสียงหัวเราะด้วยความยินดีดังออกมา เยี่ยนซีเหวินมิอธิบายสิ่งใด เขาพาฟู่เสี่ยวกวนเดินทะลุผ่านไปที่ตรอก และเดินไปยังด้านในสุดของจวนเยี่ยน
ดังนั้นทุกอย่างจึงค่อย ๆ เงียบสงบลง หลังจากนั้นก็มาถึงเรือนที่ดูประณีตแห่งหนึ่ง
ในระหว่างนั้นหิมะที่อยู่บนภูเขาจำลองก็ยังไม่ได้ละลายไป สระบัวที่อยู่ใต้ภูเขาจำลองได้ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ต้นเหมยหลายต้นที่กระจัดกระจายอยู่ในสวนกำลังเบ่งบาน มีศาลาหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ใต้ต้นเหมยที่ใหญ่ที่สุด ในศาลาแห่งนั้นมีสตรีบอบบางสวมชุดสีขาวยืนอยู่
นางผมยาวปะบ่า หันตัวกลับมา ปรากฏสีหน้าหยกแวววาว แฝงไว้ด้วยอารมณ์กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ให้ความรู้สึกเหมือนกล้วยไม้
นางคือเยี่ยนเสี่ยวโหลว ตอนนี้นางกำลังยืนอยู่ในศาลาหลังนั้น ยื่นมือที่เรียวขาวดังหยกออกมาหนึ่งข้าง จับเอาเหมยที่อยู่กลางศาลาไว้แน่นหนึ่งกิ่ง ดึงมาไว้ที่ด้านหน้าของตนเอง
เหมยสีแดง ชุดสีขาว ใบหน้าที่แดงระเรื่ออยู่ในความขาว สิ่งเหล่านี้ฉายอยู่ในดวงตาของฟู่เสี่ยวกวน
แม่นางผู้นี้…..นับวันยิ่งชวนมอง
แล้วมองไปทางเยี่ยนซีเหวิน อืมม ความแตกต่างกันเยอะเลยทีเดียว
ระหว่างสองพี่น้อง จะว่าไปแล้วมารดาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็เคยเป็นคนที่ผู้คนให้ความชื่นชอบ
ฟู่เสี่ยวกวนละสายตาออกมา บุรุษรูปงามต้องมีหลักการ แก้วตาดวงใจของตระกูลเยี่ยนนี้ เขามิได้รู้สึกอะไรเลย
ขณะนั้นเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่อยู่ในศาลามองมาที่พวกเขา นางปล่อยมือจากเหมยกิ่งนั้น กิ่งเหมยกระเด็นออกมา สาดหิมะที่ละเอียดร่วงหล่นพื้น นางเดินออกมาจากศาลานั้น มีรอยยิ้มแฝงอยู่บนหน้า ยิ่งใกล้เข้ามา ใบหน้ารูปไข่นั้นกลับดูสวยงามและอ่อนโยนกว่าดอกเหมยนั้นเสียอีก
“คารวะคุณชาย”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวคารวะอย่างอ่อนโยน ฟู่เสี่ยวกวนอึ้งไปชั่วครู่ กำหมัดตอบกลับอย่างเป็นมารยาท “คารวะแม่นาง”
หลังจากนั้นเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็ก้มหน้าลงอย่างเขินอาย แล้วหลบอยู่ด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวน ก้าวเดินอย่างแช่มช้อย ตามเยี่ยนซีเหวินเข้าไปในเรือนเวิ่นเยวี่ย
ในเรือนเวิ่นเยวี่ยมีชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ ด้านหลังของชายชราคนนั้นก็มีชายชราอีกคนยืนอยู่
ชายชราที่นั่งอยู่ผู้นั้นแน่นอนว่าก็คือเยี่ยนเป่ยซี แต่ชายชราอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลังนั้นฟู่เสี่ยวกวนไม่เคยพบ แต่กลับดึงดูดความสนใจจากฟู่เสี่ยวกวน
เนื่องจากชายชราผู้นั้นแบกดาบเอาไว้อยู่
ดาบที่ยาวมากหนึ่งเล่ม
ชายชราผู้นั้นก้มศีรษะอยู่ตลอด ดูเหมือนว่ากำลังงีบหลับอยู่ ไม่ได้เงยหน้าลืมตาขึ้นมามองพวกเขาตั้งแต่ต้นจบจน
เยี่ยนเป่ยซีวางม้วนตำราในมือลงแล้วเงยศีรษะขึ้นมา ความสนใจก็ไปตกอยู่ที่ฟู่เสี่ยวกวน หลังจากนั้นชั่วครู่ เขาโบกมือขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ “นั่งสิ”
ฟู่เสี่ยวกวนโค้งคำนับตัวด้วยความเคารพ “ขอบคุณท่านอัครเสนาบดี”
เยี่ยนซีเหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็คารวะต่อเยี่ยนเป่ยซีเป็นพิธีเช่นกัน เยี่ยนซีเหวินนั่งลงข้างกายเป็นเพื่อนฟู่เสี่ยวกวน เยี่ยนเสี่ยวโหลวนั่งลงด้านซ้าย หยิบเอาน้ำเดือดขึ้นมาเพื่อชงชา
“ได้ข่าวว่าเจ้าใกล้จะหมั้นหมายกับซูหลานแล้วหรือ”
ฟู่เสี่ยวกวนตะลึงเล็กน้อย อัครเสนาบดีผู้ยิ่งใหญ่ผู้นี้คิดไม่เลยถึงว่าจะสนใจกุ้งตัวเล็ก ๆ อย่างเขาด้วย?
การที่เยี่ยนเป่ยซีรู้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอันใด อย่างไรเสียวันแรกของปีนั้นเขาและต่งชูหลานก็ไปเยี่ยมเยียนญาติเหล่านั้น อีกทั้งยังอยู่ในบ้านของลุงสามของต่งชูหลานด้วย เยี่ยนซีเหวินผู้นี้ก็ยังไปเจอเขาเลย
“อืม รอจนท่านพ่อของข้ามาที่เมืองหลวงก็จะจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”
มือที่หิ้วกาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวสั่นเล็กน้อย คิ้วของเยี่ยนเป่ยซีค่อย ๆ ขมวดขึ้น สีหน้าของเยี่ยนซีเหวินกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยแม้แต่นิด แค่ในใจกำลังถอนหายใจอยู่เท่านั้น
“วันนี้ที่เชิญเจ้ามา เป็นเพราะข้ารู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย อยากจะฟังความคิดเห็นของเจ้าเสียหน่อย และเรื่องของเจ้ากับซูหลานนั้น……ข้าคิดว่าหากปัญหาของเจ้ากับองค์หญิงเก้ายังไม่ได้แก้ไข เกรงว่ายากที่จะราบรื่นได้”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอย่างละเอียด ความหมายของคำพูดนี้มิได้หมายความว่าตระกูลเยี่ยนยังมีความคิดอะไรบางอย่างกับชูหลาน แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงองค์หญิงเก้า เรื่องนี้จะต้องเป็นไปตามขั้นตอน แม้ว่าฝ่าบาทจะเห็นด้วยที่จะให้องค์หญิงเก้าแต่งกับฟู่เสี่ยวกวน แต่องค์หญิงเก้าก็ต้องถูกจัดอยู่ในอับดับก่อนต่งชูหลาน
แม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะไม่เคยแบ่งแยกระดับสตรีทั้งสองนางนี้ แต่ในสายตาของคนรอบข้าง ลำดับสูงใหญ่นี้ดูเหมือนว่าจะชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง
ถ้าเช่นนั้น……แน่นอนว่าไม่สามารถหมั้นหมายกับตระกูลต่งก่อนได้
แต่ทำไมเสนาบดีต่งในตอนนั้นถึงไม่ได้แย้งเรื่องนี้ขึ้นมา?
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเล็กน้อย พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องนี้ข้าน่าจะขาดการพิจารณาอย่างดี ขอถามหน่อยว่าอัครเสนาบดีมีข้อสงสัยอันใด?”
เยี่ยนเป่ยซีลูบหนวดอยู่ชั่วครู่แล้วเอ่ยปากพูดว่า “ข้าเคยปลูกผักกุยช่ายอยู่ในลานแห่งนี้หนึ่งแปลง แต่เป็นเพราะว่าขาดการดูแล ทำให้เกิดพวกวัชพืชขึ้นมามากมาย ซึ่งยากแก่การแยกแยะว่าต้นไหนเป็นต้นกุยช่าย แล้วต้นไหนคือวัชพืช ข้าอยากถามเจ้าว่า……ควรจะถอนเอากุยช่ายและวัชพืชทั้งหมดออกแล้วปลูกใหม่ หรือว่าใช้สติปัญญาสักนิดหน่อยกำจัดถอนเอาวัชพืชพวกนั้นออกไปเสีย?”
[1]ประโยคนี้นอกจากจะแปลว่า ‘งั้นเจ้าเก่งแค่ไหน?’ ยังสามารถแปลอีกความหมายหนึ่งได้ว่า ‘เจ้าสูงมากแค่ไหน?’
ตอนที่ 189 ข่าวจากซี่โหลว
ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่จวนชือหนึ่งชั่วโมงก่อนจะจากไป นายผู้เฒ่าชือยืนอยู่ที่หน้าจวนชือจวบจนรถม้าของฟู่เสี่ยวกวนหายเข้าไปในพายุหิมะ
ในใจของชืออีหมิงมีคำถามว่าทำไมอยู่มากมาย แต่ไม่กล้าถามตอนนี้ เนื่องจากสีหน้าของท่านปู่ดูเคร่งขรึมมาก
เขาประคองท่านปู่กลับเข้าไปในจวน นายผู้เฒ่าชือตรงไปยังอี้เว่ยซวนโดยลำพัง เขาสังเกตเห็นว่าหลังที่เคยยืดตรงของท่านปู่แต่เดิมนั้น ตอนนี้คิดไม่ถึงว่าจะโค้งงอลงไปเยอะเลย เมื่อครู่ตอนที่คุยกับฟู่เสี่ยวกวน ดูเหมือนว่าจะทำให้ท่านปู่เหนื่อยมาก
นายผู้เฒ่าชือจับไม้เท้าก้าวเข้ามาที่อี้เว่ยซวน ชือเฉาหยวนยังคงคุกเข่าอยู่
“ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
“ท่านพ่อ ลูกเข้าใจแล้ว”
“งั้นพูดให้ข้าฟังหน่อย” นายผู้เฒ่าชือนั่งอยู่บนเก้าอี้ ยกถ้วยชาขึ้น จึงพบว่าน้ำชานี้เย็นเสียแล้ว
“ลูกคิดว่า ฟู่เสี่ยวกวนบัดนี้ได้กลายเป็นดาบเล่มหนึ่งในมือของฝ่าบาท ฟู่เสี่ยวกวนมาจากหลินเจียง ไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับพวกขุนนาง ด้วยเหตุนี้ฝ่าบาทจึงใช้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นดาบเพื่อจัดการกับขุนนางทั้งหลาย ล้างบางกลุ่มอำนาจต่าง ๆ ”
นายผู้เฒ่าชือชงชาใหม่อีกครั้ง ผ่านไปนานมาก จึงเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “ที่เจ้าเห็นนั้นเป็นเพียงละครฉากเล็ก ๆ ช่างมันเถอะ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าจะกลับมาดูแลจวนชือใหม่อีกครั้ง แน่นอนว่าข้าจะคอยอยู่เบื้องหลัง เจ้ายังคงยืนอยู่เบื้องหน้าเช่นเคย ตอนนี้เจ้าลองพูดมาสิว่าจะจัดการเรื่องราวระหว่างฟู่เสี่ยวกวนเยี่ยงไรดี ?”
ชือเฉาหยวนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดขึ้นว่า “ลูกคิดว่าควรจะตีสนิทเป็นมิตร”
ตามความคิดของชือเฉาหยวนนั้น ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนกลายเป็นดาบในมือของฝ่าบาทแล้ว ทั้งยังเป็นดาบที่แหลมคม ถ้าเช่นนั้นการทำตัวเป็นมิตรแน่นอนว่าไม่ผิดเป็นแน่ อย่างน้อยดาบเล่มนี้ก็จะไม่ทำร้ายตัวเอง
แต่นายผู้เฒ่าชือกลับส่ายหัวไปมา
“ข้าได้ตัดสินใจยกที่ดินตรงตรอกชิงหลวนสองผืนนั้นให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนไปแล้ว”
ชือเฉาหยวนเงยหน้าตะลึงเล็กน้อย ที่แท้ท่านพ่อได้เริ่มตีสนิทกับฟู่เสี่ยวกวนแล้ว
“ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือ……ลอบฆ่าฟู่เสี่ยวกวนซะ !”
ชือเฉาหยวนตกตะลึงจนตาเบิกโพลง นี่เพื่ออะไรกัน?
ปีก่อนก็เพราะเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลอบฆ่า ทำให้ท่านพ่อต้องไปขอพบพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย อีกทั้งยังขอให้หอชิงเฟิงซี่หยู่กำจัดกิจการทั้งสองที่ของครอบครัวตนเอง จุดประสงค์ก็เพื่อลบตระกูลชือออกจากเหตุการณ์นั้น
บัดนี้ยังเอากิจการสองที่นั้นมอบให้กับฟู่เสี่ยวกวนอีก ผลกระทบจากเหตุการณ์นั้นไม่ใช่ว่าถูกกำจัดไปหมดแล้วหรือ?
ทำไมตอนนี้กลับจะต้องมาลอบฆ่าฟู่เสี่ยวกวนอีก ?
ชือเฉาเสียนงุนงงไปทั้งใบหน้า ราวกับว่าอยู่ในความฝัน
“……โลกนี้ก็เหมือนกับหมากรุก ทุกคนล้วนเป็นเพียงตัวหมาก สิ่งที่พ่อไม่พอใจก็คือเจ้าไม่มีจิตสำนึกในการเป็นตัวหมาก นี่เป็นความแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดระหว่างเจ้ากับฟู่เสี่ยวกวน เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเป็นเพียงหมากตัวหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงกล้าที่จะมาจวนชืออย่างเปิดเผย แล้วเขาก็กล้าที่จะไปจวนอื่นอีก 5 จวนที่เหลืออยู่ด้วย หากเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลอบฆ่าเมื่อปีก่อนเป็นฝีมือของเจ้าจริง ข้าก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่เรื่องนั้นกลับมิใช่ฝีมือเจ้า มิหนำซ้ำตระกูลชือของข้าก็ยังต้องรับมาแบกรับความผิดนั้นไว้”
“นี่ย่อมเป็นข้อตกลงที่ขาดทุนย่อยยับ เช่นนั้นก็จงหยุดไว้แค่เท่านี้ เพื่อยุติความเสียหาย หลังจากนั้นค่อยเอากำไรกลับมาในตอนท้าย นี่จึงจะเป็นหลักการของพ่อค้า และเป็นหลักการของโลกใบนี้ ในเมื่อข้อตกลงนั้นเป็นเพราะองค์ชายใหญ่จึงทำให้เราเสียเปรียบ แล้วเราจะชดเชยความสูญเสียจากเงื้อมมือขององค์ชายใหญ่ได้เยี่ยงไร ? ลอบฆ่าฟู่เสี่ยวกวน ทำให้องค์ชายใหญ่ได้เห็น”
แม้ชือเฉาหยวนจะเป็นคนละเอียดรอบคอบ แต่กลับไม่สามารถขจัดเมฆหมอกที่ปกคลุมอยู่ในตอนนี้ได้
ก่อนหน้านี้ท่านพ่อยังด่าเขาว่าเหยียบเรือสองลำ แต่ตอนนี้ หรือจะหมายความว่าให้ขึ้นเรือขององค์ชายใหญ่งั้นรึ ?
“ไปเตรียมการเถอะ จงจำไว้ว่าใต้หล้านี้เป็นของฮ่องเต้ สายตาที่จ้องมองนั้นมีอยู่เยอะ ใช้สมองเสียบ้าง เจ้าออกไปเถอะ ข้าเหนื่อยมากแล้ว”
ชือเฉาหยวนโค้งตัวแล้วถอยออกไป นายผู้เฒ่าชือจับไม้เท้าด้วยมือทั้งคู่ไว้ สายตามองไปที่ถ้วยน้ำชา ควันในถ้วยชาลอยไหวไปมา หมอกควันขุ่นมัวจริงเท็จยากจะคาดเดา
……
รถม้าของฟู่เสี่ยวกวนหยุดอยู่หน้าหอเซียงเย่ เนื่องจากเห็นดอกเหมยกระถางหนึ่งวางอยู่นอกหน้าต่างชั้นบน
เขาเดินเข้าไปในหอเซียงเย่แล้วตรงไปที่ชั้นสาม ตอนนั้นสือเอ้อเยว่เย่อู่ซุ่ยกำลังยืนเอามือไขว้หลังเดินครุ่นคิดไปมาอยู่ลำพัง คิ้วขมวดแน่น ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องที่ตัดสินใจได้ยาก
เขาเห็นฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมา จึงรีบเข้าไปต้อนรับ และพาฟู่เสี่ยวกวนขึ้นไปยังชั้นสี่
“นี่คือรายงานลับ เชิญคุณชายตรวจดู”
ฟู่เสี่ยวกวนรับมาดู และขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
“จากการตรวจสอบ ฉูไจจินกังและลูกน้อง 3 คนที่ตายไปแล้ว ผู้ลงมือมีชื่อว่าจู้กาน ในคืนวันที่หนึ่งเดือนแรก จู้กานและนายหญิงสิบสามปรากฏตัวขึ้นที่ประตูทิศใต้ แล้วออกจากเมืองไปที่เขาจื่อจิน เนื่องจากความพิเศษของเขาจื่อจิน ข้าน้อยจึงมิสามารถเข้าใกล้ได้ เมื่อตรวจสอบแรงจูงใจของฉูไจจินกัง ก็เพื่อช่วยหลิวซานเปี้ยนและคนอื่น ๆ แต่สิ่งที่จู้กานและนายหญิงสิบสามทำในตอนนี้ยังไม่ทราบ”
“อีกอย่าง ตอนที่ข้าน้อยค้นหาฉูไจจินกังลวี๋เฟิง ก็มีคนมาที่นี่เพื่อตรวจสอบแล้ว ข้าน้อยสงสัยว่าเป็นฝีมือของหยี่ฮวาถาย พวกนั้นคงกำลังสืบหาอยู่”
เขาจื่อจินหรือ ?
นายผู้เฒ่าชือบอกว่านอกเมืองจินหลิงมีที่ที่ยอดเยี่ยมอยู่แห่งหนึ่ง คิดว่าคุณชายฟู่ยังไม่เคยไป หากคุณชายฟู่มีเวลาก็สามารถไปดูที่นั่นได้ สถานที่แห่งนั้นเรียกว่าเขาจื่อจิน เป็นที่ที่รู้จักกันในนามสถานที่ที่งดงามที่สุดของจินหลิง เป็นภูเขาหนึ่งในสี่ของเจียงหนาน คิดว่าจะไม่ทำให้คุณชายฟู่ผิดหวัง
นายผู้เฒ่าชือไม่ได้บอกว่าเขาจื่อจินที่แท้แล้วเป็นสถานที่อะไร แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่านั่นจะไม่ใช่คำพูดที่ฟุ่มเฟือย แต่แฝงไว้ด้วยความหมายที่ลึกซึ้ง
“พูดถึงภูเขาจื่อจินนี้หน่อย”
“สถานที่แห่งนี้ในราชวงศ์ก่อนเรียกว่าเขาจงซาน เคยเป็นที่พักตากอากาศของราชวงศ์ก่อน แต่วันนี้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเขาจื่อจิน……กลายเป็นสุสานหลวงของราชวงศ์หยู สุสานของฮ่องเต้ราชวงศ์หยูล้วนอยู่ที่เขาจื่อจิน”
เย่อู่ซุ่ยนิ่งงันไปชั่วครู่ เงยหน้ามองฟู่เสี่ยวกวน อีกทั้งยังพูดเสียงต่ำว่า “เขาจื่อจินมีการคุ้มกันที่แน่นหนา มีองครักษ์คุ้มกันอยู่ที่สุสานราว 3,000 คน และอยู่ในสังกัดของขันทีเว่ยที่เป็นขันทีใหญ่”
“แล้วหยี่ฮวาถายคืออะไร ?”
“เรียนคุณชาย หยี่ฮวาถายเป็นสถานที่ขึ้นชื่อที่หนึ่งของจินหลิง เป็นการรวมกลุ่มกันที่คล้ายกับซี่โหลว เป็นอำนาจที่อยู่ในมือขององค์ชายสี่”
นี่เป็นอะไรที่ซับซ้อนเป็นพิเศษอย่างยิ่งเชียว!
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้ว เอากระดาษนี้เก็บเข้าแขนเสื้อ “เอาล่ะ เรื่องนี้พอแค่นี้เถอะ”
เขาหันหลังและเดินออกจากหอเซียงเย่ เดินไปอย่างเด็ดขาดมาก
เย่อู่ซุ่ยกลับไปที่ชั้นสาม เขียนจดหมายหนึ่งฉบับ ใช้พิราบสื่อสารส่งไปในวัง
เขาไม่ได้บอกกับฟู่เสี่ยวกวนว่าขันทีเว่ยที่เป็นขันทีใหญ่นี้เคยรับใช้ฮองเฮามาก่อน ซึ่งก็คือมารดาขององค์ชายใหญ่
เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงองค์ชาย 2 พระองค์ เรื่องนี้ก็จะใหญ่ไปหน่อยแล้ว เขาต้องบอกขันทีเหนียนให้รู้สักคำ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ฟู่เสี่ยวกวนทำอะไรที่น่าตกใจขึ้นมา
ฟู่เสี่ยวกวนกลับมาถึงจวนฟู่แล้ว เขาไม่ทำอะไร แต่หยิบกระดาษขึ้นมาหนึ่งแผ่นแล้วเริ่มวาดอะไรบางอย่างออกมา
สิ่งที่เขาวาดคืออาคารแห่งหนึ่ง นี่ก็คือที่ดินที่ว่างเปล่าที่ตรอกชิงหลวนซึ่งจะสร้างเป็นห้างสรรพสินค้าขึ้นมา
หลังจากนั้นเขาก็เขียนจดหมายฉบับหนึ่ง ให้ฟู่ต้ากวนซึ่งเป็นบิดาของเขา จดหมายฉบับนี้เขียนยาวมาก สอบถามถึงสถานการณ์ของครอบครัว และขอให้ท่านพ่อไปที่ซีซานสักครั้ง
ไปซีซานหนึ่งคือต้องส่งคนไปเจรจากับเยี่ยนซีเหวินที่อำเภอเหยา สองคือเขาต้องการเลือกผู้ดูแล 30 คนจากซีซานและส่งมาที่จวนฟู่ในเมืองหลวง สามคือก่อสร้างอาคารใหญ่สองหลังนี้เขาต้องการปูนซีเมนต์ ซึ่งต้องขนจากซีซานส่งมายังเมืองหลวง
หลังจากนั้นก็พูดถึงเรื่องที่เขาอยู่ที่เมืองหลวง ทุกอย่างเรียบร้อยดี ขอให้ท่านพ่อจัดการเรื่องที่ซีซานทั้งหมดให้ลุล่วงแล้วค่อยมาที่เมืองหลวง มาทำการหมั้นหมายระหว่างตระกูลต่งกับตระกูลฟู่ให้เรียบร้อย
สุดท้ายเมื่อคิดไปคิดมา ก็จรดปลายพู่กันถามถึงท่านแม่ทั้งหก โดยหวังว่าพวกนางจะให้กำเนิดน้องชายน้องสาวอีกมากมายให้กับตนเอง
เรียกหาชุนซิ่วให้นำจดหมายฉบับนี้ไปส่ง ฟู่เสี่ยวกวนเดินมาที่ศาลาเถาหราน เหม่อมองหิมะที่พัดปลิวอย่างอิสระและครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างรอบคอบ
ฉูไจจินกังลวี๋เฟิงเป็นลูกน้องของกงเซินจ่าง รับหน้าที่มาเมืองหลวงเพื่อช่วยชีวิตหลิวซานเปี้ยนกับอีก 3 คน
นายหญิงสิบสามตามคำบอกเล่าของซูเจวี๋ย ดูเหมือนว่าที่นางมาเมืองหลวงจะเป็นเพราะหลิวจิ่วเม่ย์ซึ่งเป็นลูกสาวของหลิวซานเปี้ยน เป้าหมายเหมือนกันแน่นอน
พวกเขาทั้งหมดมาที่นี่ก็เพื่อช่วยชีวิตหลิวซานเปี้ยน แต่เหตุใดจู้กานที่นายหญิงสิบสามพามาต้องฆ่าพวกลวี๋เฟิงทั้งสี่คนด้วยล่ะ ?
คำตอบมีเพียงหนึ่งเดียว ตัวตนของลวี๋เฟิงทั้งสี่คนถูกเปิดเผยแล้ว และนายหญิงสิบสามรู้ฐานะของซูเจวี๋ย
เพื่อป้องกันมิให้ฟู่เสี่ยวกวนคลำตามเถาวัลย์มาได้ ดังนั้นจู้กานจึงตัดเถาวัลย์เส้นนี้ให้ขาด แต่ทำไมพวกเขาต้องไปเขาจื่อจินล่ะ?
ซี่โหลวสงสัยว่าหยี่ฮวาถายที่เป็นลูกน้องขององค์ชายสี่ก็เคยไปตรวจสอบเช่นกัน จากจุดเล็ก ๆ จุดนี้ฟู่เสี่ยวกวนไม่มีทางที่จะวิเคราะห์ออกมาได้ เนื่องจากคนของซูเจวี๋ยก็เคยไปตรวจสอบเช่นกัน
เลิกคิดถึงหยี่ฮวาถายก่อน ถ้าเช่นนั้นตอนนี้สถานที่ที่สำคัญที่ต้องตรวจสอบก็คือเขาจื่อจิน แต่เขาจื่อจินนี้เป็นสุสานของราชวงศ์ คนธรรมดาสามัญชนจะสามารถเข้าไปได้อย่างไร?
ก่อนหน้านี้นายผู้เฒ่าชือก็เคยพูดถึงเขาจื่อจินกับเขาเช่นกัน เจ้าเฒ่าผู้นี้ร้ายจะตาย คิดไม่ถึงเลยว่าจะบอกให้ข้าไปดูเมื่อมีเวลาว่าง…..นี่มันเป็นเรื่องที่หัวขาดได้เลยนะ!
หากคนธรรมดาไม่สามารถเข้าใกล้เขาจื่อจินได้ แล้วนายหญิงสิบสามกับจู้กานเข้าไปได้อย่างไร?
ขันทีเว่ยที่เป็นขันทีใหญ่ที่เขาไม่รู้จักผู้นี้อาจจะเป็นผู้ชี้นำของสองคนนี้ก็เป็นได้ ?
ฟู่เสี่ยวกวนไม่เชื่อสิ่งนี้ เพราะว่าสองคนนี้เป็นชาวลวี่หลินธรรมดา ตามที่ซูเจวี๋ยกล่าวมา พวกเขาเป็นยอดฝีมือขั้นที่สอง ส่วนขันทีเว่ยในเมื่อถูกเรียกว่าเป็นขันทีใหญ่ ในเมื่อดูแลองค์รักษ์เฝ้าสุสานสามพันนายอยู่ ในเมื่อได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาทในการคุ้มกันสุสานหลวงแน่นอนว่าต้องไม่ใช่คนธรรมดา
ตัวเองถูกเรื่องนี้ทำให้ไขว้เขวไปใช่หรือไม่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนที่ชาญฉลาด มีคนตั้งใจล่อลวงความสนใจของเขาไปที่เขาจื่อจินหรือ ?
หรือเป็นไปได้ว่าในเขาลูกนั้นซ่อนความลับอะไรไว้อยู่ ?
ตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่นั้น ซูซูกลับมาแล้ว
นางห่อปากเล็ก ๆ เท้าเปล่าสองข้าง บนตัวเต็มไปด้วยดินเหนียวไม่น้อย แต่ในมือกลับถือผลไม้เคลือบน้ำตาลไว้หนึ่งไม้
“สองคนนั้นตายแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนอึ้งไปชั่วครู่ ตายแล้วหรือ ?
“ข้าติดตามสตรีที่เรียกว่านายหญิงสิบสามผู้นั้นไปที่เขาลูกหนึ่ง ที่ตีนเขา มีชายที่ชื่อว่าจู้กานยืนรออยู่…..ตอนนั้นคนผู้นี้แบกปล้องไผ่ไว้หนึ่งปล้อง ยืนอยู่ท่ามกลางลมพายุหิมะ ราวกับว่ารอกำลังนายหญิงสิบสามกลับมา”
ซูซูเลียผลไม้เคลือบน้ำตาลหนึ่งคำ พูดต่อว่า “นายหญิงสิบสามเพิ่งเดินมาถึงตรงหน้าเขา ที่พื้นหิมะนั้นก็ปรากฏกระบี่เล่มหนึ่งขึ้นมาทันที นายหญิงสิบสามทำได้เพียงสกัดเอาไว้ได้หนึ่งดาบ หลังจากนั้นก็ถูกกระบี่เล่มที่สองแทงเข้าที่หน้าอก ก็ประมาณนี้ นายหญิงสิบสามก็ยืนอยู่ที่พื้นหิมะนั้น ตรงหน้าสองคนนั้นยังถูกปักด้วยป้ายหนึ่งอัน บนนั้นเขียนว่าผู้ที่บุกรุกเขตหวงห้าม ตาย!”
“เจ้าเห็นรูปร่างหน้าตาของนายหญิงสิบสามผู้นั้นหรือไม่ ?”
“อู้ว……พายุหิมะแรงไปหน่อย ดูจากรูปร่างก็เหมือนกับสตรี ใส่ชุดสีเขียวทั้งตัว บนใบหน้ามีผ้าปิดหน้าสีดำปิดบังไว้ แต่กระบี่สองเล่มนั้นข้ากลับเห็นชัดเจนเลย เป็นกระบี่หลินม่านเทียนฮัวหยู่เพลงแรกคือแทงบุรุษในบุปผา และเพลงที่สองย่ำหิมะหาเหมย”
ตอนที่ 188 ผลลัพธ์
“เจ้าคุกเข่าอยู่ตรงนี้และคิดให้ดี เมื่อไหร่ที่คิดออกแล้ว เมื่อนั้นก็ค่อยกลับไป เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนมาขอพบนั้น ก็ให้ข้าผู้เฒ่าคนนี้ไปพบเจ้าเด็กหนุ่มนั่นเถอะ”
“อีกอย่าง ฝ่าบาทตัดสินใจที่จะประหารนักโทษโดยไม่ไต่สวนอีก นี่ก็ไม่ใช่ข่าวดีนัก เจ้าคิดถึงเหตุผลนั้นให้ได้หน่อยเถอะ”
นายผู้เฒ่าชือก็ลุกขึ้นยืน จับไม้เท้าแล้วเดินออกไป
ชือเฉาหยวนใช้โอกาสนี้ค้นหาสิ่งผิดปกติในรับสั่งของฝ่าบาทอย่างละเอียด
เรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นที่อำเภอเหยา ฟู่เสี่ยวกวนได้รับผู้ลี้ภัยนอกอำเภอเหยามาสามหมื่นกว่าคน ซึ่งประจวบเหมาะที่องค์หญิงเก้ากับต่งชูหลานอยู่ที่ซีซาน
พวกนางเป็นสักขีพยานของเหยื่อที่เคราะห์ร้าย ดังนั้นจึงเขียนจดหมายหนึ่งฉบับส่งกลับมาที่เมืองหลวง
ต่อจากนั้นฝ่าบาทก็ทรงกริ้วเมื่อได้อ่านจดหมายฉบับนี้ จำได้ว่าวันนั้นที่พระราชวังจินเตี้ยน ฝ่าบาททรงด่าว่าพวกขุนนางใหญ่อย่างไม่มีชิ้นดี แม้กระทั่งอัครเสนาบดีเยี่ยนเป่ยซีก็ไม่ละเว้นเช่นกัน
ในสถานการณ์เช่นนี้ ฝ่าบาทไม่ได้ปรึกษาหารือกับเสมียนกลาง แต่กลับออกราชโองการลงมาด้วยตนเอง แล้วยังแต่งตั้งตัวแทนพระองค์โดยตรง โดยที่ไม่มีเวลาให้ผู้คนได้คัดค้าน จากนั้นก็เริ่มการตรวจสอบอย่างครึกโครม
นี่เป็นเหตุการณ์ที่ฝ่าบาททำขึ้นมา
ส่วนพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยก็ให้ความร่วมมือกับฝ่าบาทในที่ลับ โดยเรียกหัวหน้าตระกูลใหญ่ทั้งหกมาเข้าเฝ้า เพื่อกล่าวถึงการตัดสินใจของฝ่าบาท และกล่าวว่าหวังว่าพวกเขาจะให้ความร่วมมือ ระหว่างตัดข้อมือกับตัดชีวิต พวกเจ้าเลือกกันเอาเอง !
นี่เป็นคำพูดที่พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยตรัสเอาไว้ ชือเฉาหยวนเชื่อว่าแต่ละตระกูลล้วนจำได้ขึ้นใจ
จากเหตุการณ์เล็กน้อย ได้กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โตมาจนถึงตอนนี้ได้
แม้ว่าปีก่อนฝ่าบาทจะมีรับสั่งให้พวกเขามารวมตัวกันอีกครั้ง และกล่าวว่าเนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวโยงเป็นวงกว้าง จึงกลัวว่าจะเป็นการทำลายรากฐานของบ้านเมือง ดังนั้นนักโทษเหล่านั้นจะประหารโดยที่ไม่ต้องไต่สวนอีก นี่คือสิ่งที่ทุกตระกูลได้รับฟัง เยี่ยงนั้นก็เท่ากับว่าเรื่องนี้ได้จบลงแล้ว อย่าไปสืบสาวเอาความอีก แม้ว่าทั้งหกตระกูลใหญ่จะได้รับความเสียหายกันไป แต่รากฐานก็ยังคงอยู่ วันข้างหน้าก็ยังคงออกดอกออกผลได้
การประนีประนอมของฝ่าบาทเป็นบทสรุปที่ดีที่สุด และในกระบวนการนี้ ทั้งหกตระกูลใหญ่เดิมทีก็ไม่มีอำนาจที่จะต่อต้านได้อยู่แล้ว
แต่เมื่อได้ยินที่บิดากล่าวในวันนี้ ดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะมีเบื้องลึกเบื้องหลังยิ่งกว่านั้น หรือว่า……ชือเฉาหยวนใจสั่นขึ้นมา คนพวกนั้นไม่น่าจะเหิมเกริมถึงเพียงนั้นหรอกนะ ?
มีคนอยากจะยืมโอกาสนี้เพื่อก่อกบฏ นี่เป็นเพียงความคิดชั่ววูบที่ผ่านเข้ามาในหัวของชือเฉาหยวน แต่เขาก็ปฏิเสธความคิดนี้ไป เนื่องจากความคิดนี้มันช่างบังอาจเกินไป
ถ้าเช่นนั้นฟู่เสี่ยวกวนเป็นตัวละครเช่นไรในเรื่องนี้กันล่ะ?
ชือเฉาหยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด ฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนที่เริ่มเรื่องนี้ขึ้น แต่กลับสอดคล้องกับความปรารถนาของฝ่าบาท และนโยบายการบรรเทาสาธารณะภัยของเขาก็เป็นวิธีที่ดีที่ทำให้ฝ่าบาทจัดการแก้ไขเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว เป็นธรรมดาที่ฝ่าบาทต้องการใช้งานเขา และแน่นอนว่าก็มีบางคนที่อยากจะฆ่าเขาเช่นกัน
แต่ใครกันที่เป็นคนวางแผนลอบฆ่าฟู่เสี่ยวกวน ?
ที่แย่กว่านั้นคือเรื่องนี้ดันเกิดขึ้นหลังจากที่ตนเพิ่งมีเรื่องกับฟู่เสี่ยวกวนที่พระราชวังจินเตี้ยน ไม่ว่าจะมองจากด้านไหน ตัวเองคงหนีไม่พ้นต้องเกี่ยวข้องเรื่องนี้
ใครกันที่อยากให้ฟู่เสี่ยวกวนตายที่สุด?
เขาคิดถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา แต่กลับเชื่อได้ยาก
องค์ชายใหญ่ !
ท่านพ่อขอเข้าเฝ้าพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยและขอให้องค์ชายห้าทำลายกิจการทั้งสองแห่งนั้นของตระกูลชือ เพื่อแสดงให้ซั่งกุ้ยเฟยเห็นว่าตระกูลชือไม่ได้เกี่ยวข้องกับการลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวนเลย
หากมองเข้าไปให้ลึกอีก การเคลื่อนไหวของท่านพ่อก็เท่ากับเป็นการบอกให้ทุกคนรู้ว่าตระกูลชือเป็นคนลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวนเอง !
นี่ไม่ขัดแย้งกันหรือ เนื่องจากท่านพ่อขอเข้าเฝ้าพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย เรื่องนี้ย่อมเป็นความลับ และพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยก็ให้องค์ชายห้าไปจัดการสถานที่สองแห่งนั้น นี่ก็เป็นการทำให้ทุกคนได้เห็น
ในมือขององค์ชายห้าถือหอชิงเฟิงซี่หยู่อยู่ ดังนั้นเขาจึงลงมือกับตระกูลชือได้อย่างง่าย แต่ตระกูลชือก็ยังคงสงวนท่าทีมาจนบัดนี้ ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับว่าตระกูลชือก็คือมือมืดที่อยู่เบื้องหลังการลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวน
การที่ตระกูลชือแบกรับความผิดนี้ไว้ ก็เพื่อให้ความสำคัญกับฉากที่อยู่ในกระดานนี้
ถ้าเช่นนั้น ใครกันที่เข้ามาร่วมกระดานนี้ ?
ชือเฉาหยวนคิดตกกับปัญหาบางส่วนแล้ว แต่ยังมีส่วนที่ลึกลงไปอีก ที่ตนยังมองไม่ทะลุ
……
ประตูจวนชือเปิดออก ชืออีหมิงรับคำสั่งจากท่านปู่และตอนนี้ก็ยืนมองพายุหิมะอยู่ที่หน้าประตู รอการมาถึงของฟู่เสี่ยวกวน
ในใจของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย เป็นเวลากว่าสิบปีแล้วที่ท่านปู่ไม่ได้สนใจเรื่องราวในตระกูลชือ ในช่วงระยะเวลาสิบปีนี้ล้วนเป็นท่านลุงที่ดูแลตระกูลชืออยู่
วันนี้การมาเยี่ยมเยียนของฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นแค่เรื่องเล็ก ทำไมถึงทำให้ท่านปู่ต้องออกหน้าได้ ?
หรือว่าเป็นเพราะร้อยแก้วบทนั้นเมื่อวานนี้ ?
ร้อยแก้วบทนั้นแม้ว่าจะดีมาก แต่ก็ไม่น่าทำให้ท่านปู่ต้องมาต้อนรับเขาด้วยตัวเองเลย !
ในระหว่างที่ชืออีหมิงกำลังสับสนกับความคิดอยู่นั้น รถม้าของฟู่เสี่ยวกวนก็มาถึงตระกูลชือแล้ว ในใจของเขาค่อนข้างเสียใจ โจรพวกนั้นที่แท้ก็มิได้โง่เขลาจนเกินไป
เมื่อลงจากรถม้า ชืออีหมิงก็กำมือคำนับอย่างสุภาพ ฟู่เสี่ยวกวนก็คำนับตอบกลับเช่นกัน
“ยังคงเป็นคำพูดประโยคนั้นที่เมื่อวานได้กล่าวไป แม้ว่าร้อยแก้วของเจ้าจะดี แต่ตัวเจ้านั้น ข้าก็ยังคงไม่ชอบอยู่ดี แต่ข้าได้รับคำสั่งจากท่านปู่ให้รอเจ้าอยู่ที่นี่ ซึ่งนี่ไม่ใช่ความต้องการของข้าเลย ดังนั้นเจ้าก็อย่าได้ยินดีเกินกว่าเหตุไปเลย”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกขำในใจ เจ้าเด็กนี่นิสัยค่อนข้างดี แต่ดื้อรั้นไปหน่อย
“ไม่ว่าเจ้าจะชอบหรือไม่ แต่อย่างไรข้าก็มาแล้ว และเจ้าก็รอข้าอยู่ที่หน้าประตูนี้จริงแท้แน่นอน เอาล่ะพอแค่นี้เถอะ วันหลังกินดื่มก็เท่ากับว่ามีต้นทุนแล้ว ไม่ว่าเจ้าจะคิดอย่างไรก็ไม่สำคัญแล้ว”
ชืออีหมิงถลึงตาจ้องเขาชั่วครู่ คนผู้นี้ช่างน่ารังเกียจเสียจริง
“หิมะค่อนข้างตกหนัก ยังไม่เชิญข้าเข้าไปอีกหรือ?”
“เหอะ”
ชืออีหมิงหันหลังและพาฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปในจวนตระกูลชือ เดินไปที่ศาลาอี้เว่ยซวน
พวกเขาไม่รู้เลยว่าบนต้นไทรเก่าต้นหนึ่งที่อยู่สวนด้านหลังตระกูลชือ มีคนสวมชุดขาวคนหนึ่งกำลังมองพวกเขาอยู่ จวบจนพวกเขาเข้าไปที่อี้เว่ยซวนแล้ว คนชุดขาวผู้นี้จึงหายลับไป
และคนชุดขาวผู้นี้ก็มิรู้ว่าในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งซึ่งไม่ไกลจากเขานัก ซูโหรวกำลังนั่งปักดอกไม้อยู่ด้านใน เมื่อเห็นคนจากไป ซูโหรวก็ไม่ได้ตามอีกฝ่าย แต่คนที่จากไปเป็นอีกคนซึ่งก็คือซูซูที่ชมหิมะอยู่ใต้ศาลาแห่งหนึ่ง
ในศาลาอี้เว่ยซวนราวกับความอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิ นายผู้เฒ่าชือโค้งเอวลงมือทั้งคู่วางอยู่บนเตาที่ให้ความอบอุ่น
เขาเห็นฟู่เสี่ยวกวนเข้ามา ก็ลุกขึ้นยืนอย่างสั่นเทา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยร่องลึกนั้นได้ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงมีเมตตาว่า “ได้ยินชื่อเสียงของคุณชายฟู่มานาน คนชราอย่างข้าก็อยากจะพบสักครั้ง เมื่อปีก่อนได้ยินมาว่าคุณชายฟู่ถูกโจรพวกนั้นทำร้าย เดิมทีอยากจะไปเยี่ยมเยียนที่จวนตระกูลฟู่ แต่คิดไม่ถึงว่าอาการบาดเจ็บของคุณชายจะหนักหนาจนลุกไม่ขึ้น ข้าต้องแสดงความเสียใจด้วย เมื่อวานได้ทราบมาว่าวันนี้คุณชายจะมาเยี่ยมเยียน ข้าจึงรู้สึกดีใจมาก ที่วันนี้จะได้พบคุณชายผู้โด่งดังของเมืองหลวง ข้าขอคารวะ ! ”
ระหว่างที่พูดเขาก็คำนับฟู่เสี่ยวกวนทันที เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนคิดจะหลบเลี่ยง แต่กลับเปลี่ยนใจกะทันหัน เขายืนอยู่เช่นนั้น รับเอาการคารวะจากนายผู้เฒ่าชือ
ไม่นึกเลยว่าจะเป็นนายผู้เฒ่าชือจริง ๆ ถ้าเช่นนั้นแล้วชือเฉาหยวนล่ะ ?
ในเมื่อเป็นนายผู้เฒ่าผู้นี้ออกโรง เรื่องนี้คิดว่าน่าจะจัดการได้ง่ายขึ้นแล้ว
ในระหว่างที่พบปะพูดคุยกันช่วงสั้น ๆ ฟู่เสี่ยวกวนก็คิดตกถึงเหตุผลนั้นแล้ว
“รับการคำนับจากนายผู้เฒ่าเพื่อให้ใจสงบนิ่ง” ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวประโยคนี้ไป ชืออีหมิงขมวดคิ้วขึ้น รู้สึกว่าคนผู้นี้ช่างไม่มีสัมมาคารวะเอาเสียเลย !
อย่างไรเสียที่นี่ก็เป็นตระกูลชือที่เป็นหนึ่งในหกตระกูลใหญ่ของเมืองหลวง !
และชายชราที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็คือคนที่มีอำนาจมากที่สุดในตระกูลชือ !
เมืองหลวงที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้ จะมีสักกี่คนเชียวที่สามารถรับการคารวะจากท่านปู่ได้
เพื่อความสงบสุขทางใจ ใครสงบสุขทางใจมิทราบ ? รับการคำนับเช่นนี้อย่างมิเกรงกลัว ไม่กลัวว่าจะอายุสั้นหรือ ?
“ที่จริงแล้วในใจของเสี่ยวกวนรู้สึกละอายใจนัก ชื่อเสียงและบารมีของท่านผู้เฒ่า เสี่ยวกวนก็เคยได้ยินและควรจะมาเข้าเยี่ยมเยียนนานแล้ว แต่เนื่องจากมีเรื่องหลายอย่างติดพันจึงทำให้ปลีกตัวได้ยาก ขอให้ท่านผู้เฒ่าอภัยด้วยเถอะ ! ”
ขณะพูดฟู่เสี่ยวกวนก็โค้งคำนับกลับคืนนายผู้เฒ่าชืออย่างเคารพสุภาพเช่นกัน นายผู้เฒ่าชือหัวเราะเสียงดัง แต่ในใจกลับถอนหายใจออกมา
คนผู้นี้ก็คือเบี้ยตัวหนึ่ง !
ในกระดานหมากเบี้ยจะไม่อยู่ในสายตา
แต่หากหมากเบี้ยตัวนี้อยู่ในมือของฝ่าบาท ก็เป็นไปได้ว่าจะสังหารเทพได้ !
ในเมื่อเขารับเอาการคำนับ ก็หมายความว่าทั้งหมดนี้ได้ผ่านไปแล้ว นี่เป็นความหวังทั้งหมดของนายผู้เฒ่าชือ เนื่องจากชือเฉาหยวนเปิดฉากมาก็จัดการผิดพลาดแล้ว ตอนนี้เขาจำเป็นต้องปฏิรูปทิศทางของตระกูลชือ และฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นตัวแทนทิศทางการดำเนินงานของฝ่าบาท
“มามามา ฟู่เสี่ยวกวนเชิญนั่ง พอดีข้าชงชาหลงจิ่ง 1 กา เชิญคุณชายฟู่มาชิมสักหน่อย”
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงอย่างมิเกรงใจ พลางพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ช่างบังเอิญยิ่งนัก เสี่ยวกวนไม่มีอะไรที่ชื่นชอบ ก็มีเพียงแค่ทำนาและดื่มชาเท่านั้นที่คุ้นเคย”
นายผู้เฒ่าชือรินน้ำชาให้ฟู่เสี่ยวกวนด้วยรอยยิ้ม แล้วพูดขึ้นว่า “ข้ารู้มาว่าบ้านของคุณชายฟู่เป็นเจ้าของที่ดินที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลินเจียง แต่ถ้าจะพูดถึงการทำนาแล้วล่ะก็……ข้ากลับคิดว่าเขตหนานหลิงปลูกได้ไม่เลว ไม่ทราบว่าคุณชายเคยได้ยินได้ยินมาบ้างหรือเปล่า ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนสะบัดแขนเสื้อยกถ้วยน้ำชาขึ้นหลับตาลงและดมกลิ่นอย่างละเอียด กลิ่นอายความหอมที่เข้มข้นพวยพุ่งออกมา ทำให้ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาเลย
“ชาดี ! ” เขาค่อย ๆ จิบไปหนึ่งคำ ยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ “นาที่แม่ทัพใหญ่ปลูกนั้น จะต้องเป็นนาดี แต่วันนี้ที่มาขอเข้าพบถึงที่โดยมิได้นัดหมาย ไม่ใช่เพื่อจะหารือเรื่องการทำนากับท่านผู้เฒ่า”
นายผู้เฒ่าชือยิ้มตาหยีแล้วพูดขึ้นว่า “คุณชายฟู่มีธุระอันใดรีบพูดมาได้เลย หากข้าสามารถตัดสินใจได้เอง ข้าย่อมจะจัดการให้คุณชายได้”
“เป็นแบบนี้ ตระกูลชือไม่ใช่ว่ามีการค้าขายเครื่องหอมและชาดหรือ ? ข้ามีตำรับการปรุงอยู่แผ่นหนึ่ง…….” ขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนพูดอยู่นั้นก็หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อและส่งไปให้นายผู้เฒ่าชือ ก่อนจะพูดอีกว่า “นี่ไม่ใช่ตำรับการทำเครื่องหอมแน่นอน ของเล่นชิ้นนี้เขาเรียกว่าสีผึ้งทาปาก ซึ่งในตลาดตอนนี้ต้องขายดีกว่ากระดาษแดงเยอะเป็นแน่ มีไว้ควบคู่กับเครื่องหอมของตระกูลท่าน ทำออกมาก็ง่ายมาก เป็นของเล่นที่หาเงินได้ ท่านค่อย ๆ ลองดู”
นายผู้เฒ่าชือพิจารณาดูอย่างละเอียดยิ่งขึ้น ชืออีหมิงก็ไม่เข้าใจ เจ้าหมอนี่คิดจะทำอะไรกันแน่ ?
นี่คือการแสดงให้เห็นว่าพังพอนไม่ได้มีความจริงใจในการมาอวยพรปีใหม่ให้ไก่ !
หากของชิ้นนี้เป็นของเล่นที่หาเงินได้ แล้วทำไมถึงไม่ไปทำเองล่ะ ?
ร้านถิงเหม่ยก็เป็นร้านขายของสตรีมิใช่รึ หากสีผึ้งทาปากนี่ดีมากจริง ๆ แล้วเหตุผลใดต้องให้ตระกูลชือด้วย
แต่หลังจากนั้นสีหน้าของนายผู้เฒ่าชือก็หนักใจยิ่งขึ้น หลังจากดูเสร็จก็คิดไปมาอย่างรอบคอบอีกครั้ง หลังจากนั้นจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ของชิ้นนี้ตามประสบการณ์ของข้าต้องขายได้ดีอย่างแน่นอน”
“งั้นก็สำเร็จตามนี้แล้วใช่หรือไม่ ?”
“อืม งั้นก็ตามนี้ !”
ท่ามกลางการจ้อมมองของชืออีหมิงอย่างงุนงง นายผู้เฒ่าชือก็หยิบเอาใบโฉนดที่ดิน 2 ฉบับออกมาจากในแขนเสื้อให้ฟู่เสี่ยวกวนไป
“ปีก่อนได้ยินจากหลานชายคนนี้ว่าเจ้าค่อนข้างสนใจที่ดินสองผืนนี้ ตำรับสีผึ้งทาปากของเจ้านี้มีมูลค่าห่างไกลจากที่ดินสองผืนนั้นเยอะ เป็นข้าต่างหากที่เอาเปรียบเจ้า”
ฟู่เสี่ยวกวนก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะเป็นไปอย่างราบรื่นเช่นนี้ เจ้าหมาป่าเฒ่าผู้นี้…….ช่างเป็นเจ้าของที่ที่ร้ายกาจอย่างที่คิดไว้เชียว !
ต่อจากนั้นนายผู้เฒ่าชือก็ขยับตัวอีกเล็กน้อย แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “นอกเมืองจินหลิงมีที่ดินที่สวยงามแห่งหนึ่ง คิดว่าคุณชายฟู่คงยังมิเคยไป หากคุณชายฟู่มีเวลาก็สามารถไปดูที่นั่นได้ สถานที่แห่งนั้นเรียกว่าเขาจื่อจิน เป็นสถานที่งดงามและมีชื่อเสียงของจินหลิง และยังเป็นหนึ่งในสี่ของภูเขาแห่งเจียงหนาน คิดว่าคงจะไม่ทำให้คุณชายฟู่ผิดหวังเป็นแน่”
ตอนที่ 187 มูลเหตุ
ตอนที่มาจินหลิงครั้งที่แล้ว ฟู่เสี่ยวกวนกับต่งชูหลานเคยไปที่วัดฟูจื่อในคืนฝนตก และได้เก็บพุทราจีนมาลูกหนึ่ง จากนั้นก็เดินเล่นไปตามทาง แต่ยังไม่ทันจะถึงยอดเขา กลับมีคนเข้ามาขวาง
เขาเคยคิดจะพาซูม่อไปสำรวจที่นั่นในวันอื่น ทว่ากลับถูกลักพาตัวไปเสียอย่างนั้น ทำให้เขาลืมเลือนเรื่องนี้ไป ตอนที่อยู่หลินเจียงเขาได้ไต่สวนหลินหง ซึ่งหลินหงเคยกล่าวถึงวัดฟูจื่อ
ในฐานะที่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของราชวงศ์ก่อนหน้านี้ เมื่อก่อนวัดฟูจื่อเคยเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด บนยอดเขามีวิวทิวทัศน์ที่งดงาม สามารถมองเห็นเมืองจินหลิงได้ครึ่งเมือง ซึ่งวัดฟูจื่อเคยเป็นศาลบรรพบุรุษของราชวงศ์ก่อน ดังนั้นจึงกลายเป็นสถานที่รวมตัวของเหล่าบัณฑิต
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะที่นี่คือศาลบรรพบุรุษของราชวงศ์ก่อน หลังจากที่ราชวงศ์หยูสถาปนาขึ้นมา ตัวตนของวัดฟูจื่อก็ค่อย ๆ ลดบทบาทลง จากนั้นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางวรรณกรรมของราชวงศ์หยูจึงเปลี่ยนมาเป็นที่หลานถิงจี๋ ทำให้วัดฟูจื่อตกต่ำลงเรื่อย ๆ ต่อมาก็มีน้อยคนนักที่จะขึ้นไปยังที่นั่น กระทั่งตอนนี้ แม้แต่ประตูวัดก็ชำรุดทรุดโทรมมาก เห็นได้ชัดว่ามันได้จางหายไปจากสายตาของทุกคน
หลินหงกล่าวว่า ก่อนที่ฟู่เสี่ยวกวนจะถูกลักพาตัวไปก่อนหน้านี้ 5 วัน เถ้าแก่เนี้ยหอเยียนจือจีหลินชุนเคยขึ้นไปที่วัดฟูจื่อ
ในเมื่อวัดฟูจื่อกลายเป็นซากปรักหักพัง ภายในไม่มีพุทธรูปองค์ใดให้กราบไหว้ แล้วจีหลินชุนขึ้นไปทำอะไรที่วัดฟูจื่อ ?
สถานที่แห่งนั้นคงไม่กลายเป็นที่ซ่อนความลับบางอย่างหรอกนะ ?
ฟู่เสี่ยวกวนไม่สามารถปลีกตัวไปจัดการได้ แต่ถ้าหากซูเจวี๋ยสามารถตรวจสอบที่นั่นอย่างเงียบ ๆ ได้ นี่จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด
ซูเจวี๋ยพยักหน้าตกลง ถอดหมวกออกแล้วนำอีกาตัวนั้นออกมาจากหมวก เขียนกระดาษเล็ก ๆ แผ่นหนึ่งแล้วสอดเข้าไปในกระบอกเล็ก ๆ จากนั้นก็นำไปผูกที่ขาของอีกา แล้วลูบหัวอีกาอย่างอ่อนโยน ก่อนจะปล่อยให้มันโผบินออกไป และหายไปในความมืด
เรื่องนี้เกี่ยวพันกับฟู่เสี่ยวกวน แต่เขาไม่มีอำนาจที่จะใช้หอชิงเฟิงซี่หยู่ไปตรวจสอบได้ เนื่องจากเจ้าของหอชิงเฟิงซี่หยู่คือพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย
ไม่ใช่ว่าฟู่เสี่ยวกวนสงสัยซั่งกุ้ยเฟย แต่เขาไม่เชื่อใจหอชิงเฟิงซี่หยู่ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังในการลอบสังหารเขา ก่อนที่ทุกอย่างจะกระจ่าง เขาก็ไม่อยากจะรบกวนใคร
แน่นอน ยกเว้นคนที่นั่งอยู่ที่นี่ คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่เขาเชื่อใจมากที่สุด
“เจ้าแน่ใจจริง ๆ รึที่จะเอาตัวเองไปเสี่ยง ? ” ซูเจวี๋ยถาม
“ไม่นับว่าเป็นการเอาตัวเข้าไปเสี่ยง ที่นี่อยู่ใต้เท้าของโอรสสวรรค์ พวกเขาไม่กล้าลงมือสังหารคนอย่างเอิกเกริกหรอก อีกอย่างนับตั้งแต่ที่ข้ารู้เรื่องนี้ เป็นธรรมดาที่ข้าจะเพิ่มความระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น ตราบใดที่พวกเจ้าสามารถมาหาข้าภายใน 50 ลมหายใจ ข้าเชื่อว่าจะสามารถปกป้องตัวเองได้ อย่าลืมสิว่าตัวข้านั้นก็ได้ฝึกคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางเช่นกัน”
ซูซูหัวเราะคิกคักขึ้นมา เมื่อนึกถึงคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางของเขา ถ้าหากไปเจอยอดฝีมือขั้นที่สามเข้า เกรงว่าเขาคงมีชีวิตอยู่ไม่ถึง 50 ลมหายใจ
ซูโหรวเห็นต่งชูหลานกับหยูเวิ่นหวินแสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมา จึงกล่าวว่า “พวกท่านทั้งสองมิต้องกังวลไป มีข้าอยู่ เขาจะไม่เป็นอะไร”
“เจ้าเอาอะไรมาแน่ใจ ? ” หยูเวิ่นหวินถามอย่างไม่เต็มใจนัก คนเรามีเพียงแค่ชีวิตเดียว หากมีบางคนต้องการให้เขาหายไป…เรื่องนี้อาศัยแค่คำพูดประโยคเดียวมายืนยันไม่ได้
ซูโหรวมองไปยังเกล็ดหิมะที่ปลิวไสวใต้โคมไฟสีแดงด้านนอกศาลาชิงซิน นางยิ้มจาง ๆ แล้วสะบัดเข็มปักในมือออกไป พริบตาเดียวก็ดึงมันกลับมา จากนั้นนางก็ถือเข็มปักแล้วยื่นไปตรงหน้าหยูเวิ่นหวิน ปลายเข็มมีเกล็ดหิมะแผ่นหนึ่งเสียบคาไว้อยู่ มีลักษณะเป็นหกเหลี่ยม สีใสจนมองเห็นทะลุไปอีกด้าน จากนั้นมันก็ค่อย ๆ ละลาย
“อาศัยการปักดอกไม้มาเกือบยี่สิบปี”
หยูเวิ่นหวินมองซูโหรวอย่างตกตะลึง ส่วนซูโหรวก็ก้มหน้าปักผ้าลายเป็ดยวนยางต่อ
ตอนที่เข็มบินออกไปนางก็มองไม่เห็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนดึงมันกลับมาพร้อมเกล็ดหิมะเลย นี่คือวรยุทธ์ที่ท่านพี่เคยเอ่ยถึงหรือเปล่า ? พี่ชายของนางใช้กระบี่ ส่วนซูโหรวใช้เข็ม !
ต่งชูหลานกับฟู่เสี่ยวกวนก็ตกใจเช่นกัน พวกเขาไม่เคยเห็นซูโหรวลงมือมาก่อน จึงคิดไม่ถึงเลยว่านางจะเก่งกาจถึงเพียงนี้ ถ้าหากต้องการสังหารคน คงสามารถฆ่าคนได้อย่างไร้ร่องรอย
คิดดูแล้วก็น่ากลัว เข็มเล็ก ๆ นี้สามารถบินออกไปเก็บชีวิตของใครสักคนที่อยู่ห่างออกไปได้ คาดว่าแม้แต่เจ้าหน้าที่ทางการก็มิอาจตรวจสอบสาเหตุการตายได้ คนจากยุทธภพช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก !
เช่นนั้นศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ย…คงไม่ใช่ว่าเขาจะใช้กระบี่ไม้ที่อยู่ด้านหลังเป็นอาวุธหรอกนะ ?
แล้วซูซูล่ะ ? คงไม่ใช่ใช้พิณในการสู้หรอกนะ
……
เดือนหนึ่งวันที่สาม หิมะยังคงตกหนัก
หลังจากฟู่เสี่ยวกวนออกกำลังกายอาบน้ำแล้วเมื่อเห็นโลกในตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะขับร้องบทกวีออกมา
ฟ้าดินกว้างใหญ่
บ่อน้ำอนธการ
สุนัขดำกายาขาว
สุนัขขาวกายาบวม !
ต่งชูหลานอดยิ้มมุมปากไม่ได้ ซูซูที่นั่งแกว่งเท้าอยู่บนหินจำลองก็รู้สึกว่านี่เป็นบทกวีที่ดี
คำพูดสั้นกะทัดรัดแต่ครอบคลุม เพียงได้ฟังก็เข้าใจ เพียงแต่ที่นี่ไม่มีสุนัขขาวดำ ถ้าไม่ใช่เพราะศิษย์พี่สอง ในสำนักคงมีสุนัขอยู่คู่หนึ่ง
เจ้าสุนัขที่น่าสงสาร เมื่อฤดูหนาวปีที่แล้ว ถูกข้าตุ๋นทั้งน้ำตาพร้อมศิษย์พี่สองและอาจารย์
วันที่สาม เหล่าพ่อค้าแม่ค้าเปิดกิจการกันตามปกติ
ต่งชูหลานอยากจะพูดคุยเกี่ยวกับรายรับรายจ่ายเมื่อปีที่แล้วกับฟู่เสี่ยวกวน แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับไม่สนใจ นางเองก็คร้านจะพูดเรื่องนี้กับเขา อย่างไรก็ตามรายได้ทั้งหมดก็อยู่ในบัญชีของนาง
“เจ้าต้องเร่งรัดสินค้าของซีซาน โดยเฉพาะสุรา ข้าได้บอกให้พี่รองไปดูร้านใหม่เรียบร้อยแล้ว และวางแผนที่จะซื้อเพิ่มอีกสองสามแห่ง ตอนนี้ชื่อเสียงของสุราเซียงเฉวียนกับสุราเทียนฉุนเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง แต่เมืองหลวงกลับไม่มีขาย จะให้เป็นเช่นนี้มิได้ พวกเราต้องมีร้านเป็นของตัวเองเพื่อขายสุราทั้งสองชนิดนี้ ชื่อของร้านยังคงเป็นหยู๋ฝูจี้”
“นอกจากนี้แผนงานของถิงเหม่ยในเมืองหลวงจะต้องเสร็จสมบูรณ์ภายในปีนี้ ร้านถิงเหม่ยทั้งสี่แห่งของเมือง จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในสองเดือน จากนั้นก็ค่อยมองดูว่าควรจะขยายไปยังรอบนอกหรือไม่”
“เมื่อคืนแม้จะรู้ฝีมือของพี่ซูโหรว แต่เจ้าก็ต้องระวังตัว อย่างไรเสียกระบี่ไม่มีตา และกระดูกของเจ้าก็ไม่แข็งเท่ากับเหล็กกล้า ไม่เช่นนั้น เจ้าก็แขวนหม้อเหล็กไว้กับตัวเพื่อป้องกันการโจมตีดีรึไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมา ถ้าเช่นนั้นหรือจะให้ข้าสร้างกระทะเหล็กขึ้นมาเพื่อป้องกันตัวดี ?
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าออกกำลังกายทุกวัน แต่เดาว่าเจ้ากับเวิ่นหวินคงลืมการวิ่งในตอนเช้าไปแล้ว”
ต่งชูหลานกลอกตาใส่เขา วิ่งตอนเช้าเนี่ยนะ…อากาศในตอนเช้าดีจะตาย ใครจะอยากตื่นออกมาวิ่งกัน ?
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ ต่งชูหลานก็เดินทางไปยังร้านถิงเหม่ยที่ตรอกชิงหลวน ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด จากนั้นก็เรียกให้คนไปเตรียมรถม้าเพื่อที่จะเดินทางไปยังตระกูลชือ
เขานั่งอยู่ในรถม้า การไปเยี่ยมคารวะตระกูลชือมิใช่ความคิดชั่ววูบ แต่เมื่อวานตนเองได้บอกกล่าวเรื่องนี้กับชืออีหมิงไปแล้ว
และจุดประสงค์ที่เขาต้องการจะไปพบก็คือพื้นที่ 2 แห่งที่ตรอกชิงหลวน
พื้นที่โล่งทั้งสองแห่งนั้นค่อนข้างใหญ่มาก และอยู่ในทำเลที่ดี ถ้าหากสร้างห้างสรรพสินค้าครบวงจรบนพื้นที่ทั้งสองแห่งนั้น ที่นั่นจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของเมืองจินหลิง ในอนาคตจะต้องสร้างรายได้จำนวนมหาศาลอย่างแน่นอน
ชือเฉาหยวนย่อมมิอยากเห็นหน้าเขา แต่ถ้าหากชืออีหมิงนำคำพูดนั้นไปกล่าวกับเขา แน่นอนว่าชือเฉาหยวนก็ต้องอยู่พบหน้าเขา
ตราบใดที่ชือเฉาหยวนยอมพบหน้า เขาก็มีโอกาสถึง 5 ส่วนในการเกลี้ยกล่อมให้อีกฝ่ายปล่อยมือจากที่ดินสองผืนนั้น
ส่วนจุดประสงค์ที่สองที่ไปยังตระกูลชือ ก็เพื่อแสดงท่าทีให้องค์ฮ่องเต้เห็น !
ไม่ใช่ว่าจะให้ข้าเป็นขุนนางกูเฉินรึ ? เยี่ยงนั้นข้าจะแสดงให้ท่านเห็นเอง
ส่วนจุดประสงค์ที่สาม…เขาอยากจะหลอกล่อให้นักฆ่าลงมือ แต่คิดไปคิดมานักฆ่าคงมิโง่ขนาดนั้น ดังนั้นจุดประสงค์นี้จึงคิดว่าอาจจะไม่เกิดขึ้น
……
ในเช้าวันที่สามของเดือนแรก ชือเฉาหยวนไปยังห้องหนังสือที่ด้านหลังสวนดอกไม้ เพื่อเข้าพบบิดาของเขา
“เรื่องเมื่อวาน มิรู้ว่าท่านพ่อตัดสินเยี่ยงไร ? ”
นายผู้เฒ่าชือเดินไปมาในห้องหนังสือโดยใช้ไม้เท้าหัวนกกระเรียนขาวพยุงตัว สติปัญญาของเขามิเลวเลย แม้ว่าจะเป็นผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบก็ตาม หลังมิค่อม ดวงตามิพร่ามัว มีแต่ผมสีขาวโพลน และรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า
“ตระกูลชือของพวกเราเริ่มต้นจากชาดทาหน้า และสืบทอดต่อกันมาจนบัดนี้ก็รุ่นที่ห้าแล้ว สมัยรุ่นที่สามมีคนในตระกูลได้เข้าไปเป็นขุนนาง แต่หลายปีมานี้…อิทธิพลตระกูลชือในราชสำนักก็ยังอ่อนแอที่สุด คนในเมืองหลวงต่างก็คิดว่าตระกูลใหญ่อันดับสองก็คือพวกเรา แต่มีเพียงพวกเราเท่านั้นที่รู้ว่า ตระกูลชือของพวกเรานั้นเทียบตระกูลเซวี๋ยไม่ได้ อย่างมากก็เอาชนะได้แค่ตระกูลฉินเท่านั้น แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าสองพี่น้องตระกูลฉินแตกคอกัน”
นายผู้เฒ่าชือนั่งลงข้างโต๊ะน้ำชา สองมือยังคงกุมไม้เท้าเอาไว้ และกล่าวต่อไปว่า “ตอนฟู่เสี่ยวกวนถูกลอบสังหารเมื่อปีที่แล้ว องค์ชายห้าก็ส่งคนในหอชิงเฟิงซี่หยู่มากวาดล้างหย่งเล่อฟางกับหอเยียนจือ ดังนั้นเจ้าต้องผิดชอบเรื่องนี้ ! ”
“ท่านพ่อ…”
นายผู้เฒ่าชือโบกมือ ขัดคำพูดของชือเฉาหยวน
“แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าก็เป็นคนรอบคอบ แต่ทำไมวันนั้นที่พระราชวังจินเตี้ยนเจ้าถึงได้ยื่นหน้าออกไป ? เจ้ามิตอบ และปล่อยให้ข้ามาคาดเดาเอาเอง”
ชือเฉาหยวนหลั่งเหงื่อออกมาจนเต็มไปใบหน้า เขาลดศีรษะลง และฟังอยู่เงียบ ๆ
“องค์ชายใหญ่กำพร้ามารดาตั้งแต่เด็ก แต่เจ้าควรรู้ไว้ว่าลุงขององค์ชายใหญ่คือตระกูลเซวี๋ย แม้ในเมืองหลวงตระกูลเซวี๋ยจะถ่อมตัว แต่พวกเขาก็ยังมีความสามารถส่งเซวี๋ยปิงหลานขึ้นเป็นฮองเฮาได้ ฉะนั้นการจะตัดสินความแข็งแกร่งของพวกเขาจึงมิอาจจะทำได้ง่ายนัก หรือเจ้าคิดว่าองค์ชายใหญ่ผู้นั้นเป็นคนเรียบง่ายกระนั้นหรือ ? ”
“คนอื่น ๆ คิดว่าองค์ชายใหญ่คือผู้มีความสามารถแค่ทางบู๊ หรือว่าเจ้าก็ตาบอดเช่นกัน ? ”
ชือเฉาหยวนคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังปึก “ท่านพ่อ…ข้า ลูกเองก็ถูกบีบบังคับเช่นกัน ! เป็นองค์ชายใหญ่ที่สั่งข้า พระองค์ตรัสว่า ตรัสว่าฟู่เสี่ยวกวนช่างขัดพระเนตรของพระองค์นัก ดังนั้นจึงรับสั่งให้ลูกทำให้เขาอับอายที่พระราชวังจินเตี้ยน”
นายผู้เฒ่าชือกระแทกไม้เท้าลงกับพื้นดัง “ปึง ! ” ชือเฉาหยวนใจสั่นขึ้นมา นายผู้เฒ่าสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้านี่มัน…อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าคิดจะทำอะไร ข้าแก่แล้วก็จริง แต่สายตามิได้ฝ้าฟาง การเหยียบเรือสองแคมมีแต่จะทำให้ตกลงไปในน้ำ เหตุใดเจ้าถึงไม่เรียนรู้เรื่องนี้จากอาจารย์เยี่ยน ? ”
นายผู้เฒ่าชืออดเจ็บใจมิได้ที่ไม่อาจฝนทั่งให้เป็นเข็ม เขาส่ายหน้า “เมืองหลวงต่างก็พูดว่าตระกูลเยี่ยนและตระกูลของพวกเราล้วนสนับสนุนองค์ชายใหญ่ แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นรึ ? เจ้าเชื่อเรื่องนี้รึ ? ตระกูลเยี่ยนสนับสนุนเพียงองค์ฮ่องเต้ที่ได้นั่งบนบัลลังก์มังกร ! และตระกูลของพวกเราก็ต้องเป็นเหมือนตระกูลเยี่ยน ! เจ้าแค่ต้องยืนเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ อยากจะอยู่กึ่งกลางระหว่างสองแถว คิดว่าใต้หล้านี้มีเรื่องที่ดีงามเช่นนั้นอยู่จริงหรือ ? ”
“ดังนั้นข้าจะไปเข้าเฝ้าพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย แล้วขอให้พระนางตรัสกับองค์ชายห้าให้ส่งหอชิงเฟิงซี่หยู่ไปทำลายกิจการทั้งสองแห่งนั้นให้สิ้นซาก”
ชือเฉาหยวนเงยหน้าขึ้นอย่างตื่นตระหนก และมองไปยังบิดาของตนด้วยแววตาสงสัย จากนั้นก็ก้มหน้าลงอีกครั้ง
ฉากหน้าบิดาเหมือนจะให้คำอธิบายแก่ฟู่เสี่ยวกวน แต่ความจริงแล้วก็แค่แสดงให้ซั่งกุ้ยเฟยเห็น และพิสูจน์ให้พระนางเข้าใจว่าเรื่องการลอบสังหารของฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้เกี่ยวข้องกับตระกูลฉือ
“เจ้าคิดว่าราคานี้สูงเกินไปใช่หรือไม่ ? แล้วก็ยังคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนไม่ใช่คนสำคัญอะไร ? ”
ชือเฉาหยวนไม่ตอบกลับ เพราะว่าเขาคิดเช่นนั้นจริง ๆ
“เจ้ามองกระดานหมากนี้ไม่ออก ! และไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากระดานหมากนี้ใครเป็นผู้เล่น ! ”
“เจ้าคิดจริง ๆ หรือว่าการตรวจสอบในครั้งนี้ของฝ่าบาทเป็นเรื่องบังเอิญ ? หรือเจ้าคิดจริง ๆ ว่าที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลอบสังหารเป็นเพราะนโยบายของเขาที่ล่วงเกินคนอื่น ๆ ? ”
“ไร้เดียงสา ! ”
ตอนที่ 186 นกของศิษย์พี่ใหญ่
เดิมทีชางกวนเหวินซิ่วกำลังต้อนรับแขกอยู่ในบ้าน แต่หลังจากร้อยแก้ว《ผู้เยาว์ของราชวงศ์หยู》ถูกส่งมาในมือของเขา ทันใดนั้นเขาก็ลืมไปว่าในห้องโถงนั้นยังมีแขกเป็นจำนวนมาก
เขาอ่านบทร้อยแก้วอย่างละเอียด สองตาพลันเปล่งประกายวิบวับ ยกมือทุบโต๊ะชาดังปึงแล้วลุกขึ้นยืน พร้อมอุทานออกมาสามคำติด ๆ กัน “ยอดเยี่ยม ! ยอดเยี่ยม ! ยอดเยี่ยม ! ”
จากนั้นก็ทิ้งแขกไว้ในห้องโถงส่วนตัวเองก็เดินจากไปพร้อมกับบทร้อยแก้ว ปล่อยให้แขกที่เหลือต่างมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ
ชางกวนเหวินเดินทางไปยังจวนของฉินปิ่งจง
บทร้อยแก้วที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ แน่นอนว่าจะต้องแบ่งปันกับคนสนิทถึงจะคุยกันถูกคอ !
ก็เหมือนกับคนรักชา เมื่อมีชาดีอยู่ในมือ ก็อยากที่จะลิ้มรสชานี้ไปพร้อม ๆ กับคนที่รักชาด้วยกัน
คนธรรมดาเหล่านั้นจะรู้ถึงความยอดเยี่ยมของร้อยแก้วนี้ได้อย่างไร ในเมืองหลวงอันใหญ่โต มีเพียงอาจารย์ฉินที่สามารถแบ่งปันความสุขนี้ได้
ขณะเดียวกัน หกตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงก็ทราบถึงบทร้อยแก้วนี้แล้ว หลังจากบรรดาหัวหน้าตระกูลอ่านร้อยแก้วนี้จบแล้ว บางคนก็ครุ่นคิด บางคนก็ถึงกลับทำจอกชาร่วงหล่น และมีบางคนได้ตัดสินใจอะไรบางอย่าง
ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากร้อยแก้วนี้ เขาถูกเยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ ส่งกลับจวนฟู่ จากนั้นก็นอนยาวมาตลอดจนถึงยามฟ้ามืด
เมื่อเขาลืมตาขึ้น ก็พบว่าข้างกายนั้นมีต่งชูหลานกับหยูเวิ่นหวินนั่งอยู่ทั้งสองคน
“ร้อยแก้วบทนั้นเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ชอบมันมาก โดยเฉพาะเสด็จแม่ หลังจากที่ได้อ่านร้อยแก้วนี้แล้วก็ตรัสออกมาประโยคหนึ่ง พระองค์ตรัสว่า…สุดท้ายข้าก็มิเคยมองพลาด ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ ต่อจากนี้จะกลายเป็นหินหลักกลางกระแสชลของราชวงศ์หยู ! หึหึ เด็กคนนี้ช่างน่าสนใจจริง ๆ ”
ต่งชูหลานวางร้อยแก้วลง ในใจก็รู้สึกยินดีเช่นกัน แต่ปากกลับเปล่งวาจาออกมาว่า “เขาผู้นี้ มีความสามารถ แต่กลับไม่รู้จักประมาณตนเอง นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ดื่มเหล้าจนเมามายเช่นนี้ ในเมื่อมิสามารถดื่มเหล้าได้มาก แล้วจักยังฝืนดื่มทำไม ได้ยินมาว่าหลังจากที่ท่องร้อยแก้วจบ เขาก็ถูกพวกเยี่ยนซีเหวินเทเหล้าให้ดื่มสามสิบกว่าจอก ! จึงเมาจนกลายเป็นเช่นนี้ เฮ้อ ต่อจากนี้คงต้องเข้มงวดเสียหน่อย”
“ได้อย่างไรกัน เมาแล้วเจ็บตัวเช่นนี้ เขายังสติดีอยู่หรือไม่ หวังว่าอาการคงมิกำเริบหนักนัก ข้าจะไปตุ๋นซุปโสมให้เขาสักชาม”
หยูเวิ่นหวินกล่าวพลางลุกขึ้นยืน ต่งชูหลานเงยหน้ามองนางด้วยความตกใจ “เดี๋ยวก่อน…เจ้าจะตุ๋นซุปรึ ? แต่เจ้าตุ๋นซุบได้แย่มาก ข้าจะไปด้วย”
หยูเวิ่นหวินเลิกคิ้วสวย ใบหน้าแสดงความภูมิใจออกมา “ข้าเรียนรู้การตุ๋นซุปจากเสด็จแม่มาหลายวันแล้ว มั่นใจได้ว่ามันจะไม่เป็นเหมือนเมื่อก่อน เจ้ารอนี่เถอะ”
ต่งชูหลานคิดเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยให้หยูเวิ่นหวินไป นางถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็หันหัวกลับมา ก่อนจะเห็นฟู่เสี่ยวกวนกำลังจ้องนางตาแป๋วอยู่บนเตียง
“ปวดหัวหรือไม่ ? ” ต่งชูหลานเดินเข้าไปนั่งอยู่ข้างเตียงแล้วเอ่ยถาม
“หัวไม่ปวด แต่ปวดใจ”
ต่งชูหลานตื่นตกใจ ดื่มเหล้าแล้วปวดใจได้ด้วยหรือ ? จะทำเช่นไรดีนะ ?
“อ่า…ข้าจะไปเรียกหมอมา”
“อย่า ! ” ฟู่เสี่ยวกวนรีบจับมือของต่งชูหลานไว้ ใบหน้าเผยยิ้มกรุ้มกริ่มออกมา “แค่เจ้าช่วยนวดข้าก็พอแล้ว”
พูดพลางยกมือที่จับมาวางไว้ที่หน้าอก อืม ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่เลย จากนั้นเขาก็ยัดมือน้อย ๆ เข้าไปในเสื้อ ต่งชูหลานยังคงเชื่ออย่างจริงจัง นางนวดหน้าอกของฟู่เสี่ยวกวนอย่างเบามือ พลางเอนร่างก้มลงมา นวดไปพลางถามไปพลาง “สบายหรือไม่ ? ”
“อืม สบายมาก…อย่าหยุดนะ”
ใบหน้าต่งชูหลานกับเขายิ่งใกล้กันเรื่อย ๆ ลมหายใจดุจดอกกล้วยไม้ รินรดบนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน ทำให้เขาเคลิบเคลิ้มขึ้นมาทันพลัน จากนั้นก็กระตุกมือดึงร่างของต่งชูหลานลงมากอด แล้วดึงผ้านวมขึ้นมาคลุม
ต่งชูหลานหน้าแดงก่ำ เสียงกระซิบอย่างเขินอายดังขึ้นว่า “เจ้ามันคนเลว ! เวิ่นหวินก็อยู่นะ ปล่อยมือ ! ”
“ไม่ปล่อย ! ”
“นี่…อย่า…อื้อ…”
ผ่านไปสิบลมหายใจ ต่งชูหลานกลืนน้ำลายแล้วลุกขึ้นยืนอย่างเขินอาย นางจัดแจงเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย ถลึงตาใส่ฟู่เสี่ยวกวน อารมณ์ที่พุ่งขึ้นมานั้นยากที่จะสงบลงได้
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยท่าทีกระปรี้กระเปร่า เขาเชยคางต่งชูหลาน “ ท่านหมอ อาบน้ำด้วยกันหรือไม่ ? ”
“ไปให้พ้น ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนก็เดินไปอาบน้ำ ต่งชูหลานหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ นางรีบเดินออกจากห้องไป ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายลงมา เกล็ดหิมะตกกระทบลงใบหน้านาง ปลิวไปที่หว่างคิ้วนาง และละลายซึมเข้าไปในใจ
เย็นสบายจนซึมซับเข้าไปถึงหัวใจ แต่สุดท้ายความเย็นนี้ก็คล้ายกับจะถูกหัวใจที่รุ่มร้อนแผดเผาจนละลาย
คนเลว ข้าเกือบจะตกหลุมเจ้าไปแล้ว ต้องระวังมากกว่านี้ !
โคมไฟที่ศาลาชิงซินพลันสว่างขึ้นมา ผู้คนต่างมารวมตัวกันที่โต๊ะเพื่อทานอาหารเย็นด้วยกัน
ดวงตาสุกสกาวของซูซูเหลือบมองไปทางหยูเวิ่นหวินบ้าง มองไปทางต่งชูหลานบ้าง จากนั้นก็นึกถึงเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่ได้รู้จักเมื่อตอนเที่ยง ตอนฟู่เสี่ยวกวนเมามายจนไม่ได้สติ หญิงสาวที่ชื่อเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็กังวลจนเกือบจะร้องไห้ออกมา หลังจากที่พาฟู่เสี่ยวกวนกลับมาส่ง ณ จวนฟู่ เยี่ยนเสี่ยวโหลวผู้นั้นก็เป็นคนคลายผ้าคาดที่รัดแน่นออกเพื่อให้เขาสบายตัวขึ้น
ตอนแรกนางคิดว่าระหว่างฟู่เสี่ยวกวนกับเยี่ยนเสี่ยวโหลวอาจจะมีอะไรบางอยาง แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะมิเป็นเช่นนั้น หยูเวิ่นหวินบ้างคล้ายกับว่าจะสนิทกับฟู่เสี่ยวกวนมาก นางถึงกับลงมือทำซุปเพื่อฟู่เสี่ยวกวนด้วยตัวเอง มิเพียงตักข้าว แต่ยังตักกับให้เขาถึงสามครา
เป็นคู่ชายหนุ่มหญิงสาว !
ส่วนพี่ชูหลานก็มิมีท่าทีตอบสนองใดใด หรือว่า…สตรีสองนางนี้จะรู้จักเป็นการส่วนตัว ?
หากฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ชายของตนล่ะก็ หึหึ ! ซูซูคิดต่อไปว่า นางคงจะพุ่งเข้าไปไล่พวกผีเสื้อให้พ้นจากฟู่เสี่ยวกวน !
ชายผู้นี้มีเสน่ห์มาก พี่สาวชูหลานที่งดงามขนาดนี้ แล้วยังจะหยูเวิ่นหวินที่เพิ่งโผล่มาก็งดงามมิแพ้กัน ยังมีเยี่ยนเสี่ยวโหลวคนนั้นด้วย เหอะ เจ้าผู้ชายหน้าเหม็น อาศัยเพียงบทกวีที่ฟังไม่เข้าใจเหล่านั้นก็สามารถคว้าหัวใจของพวกนางได้แล้ว โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเสียจริง !
ซูเจวี๋ยทานข้าวอย่างเรียบร้อย แม้แต่สายตาของเขาก็จดจ้องแต่เพียงชามของตน ส่วนซูโหรวก็เงยหน้ามองศิษย์น้องหก สายตาของศิษย์น้องหกจับจ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวน เป็นไปไม่ได้น่า แม้ศิษย์น้องหกจะอายุ 14 ปีแล้ว แต่นางก็ไร้เดียงสามากหากเทียบกับคนรุ่นเดียวกัน ไหนเลยจะรู้จักคำว่ารักได้
ฟู่เสี่ยวกวนไม่ใส่ใจสิ่งใด เขาหิวมาก จึงกินอาหารไปพลางดื่มซุปไปพลางด้วยท่าทีมีความสุข แต่จู่ ๆ เขาก็เงยหน้ามองออกไปด้านนอก
มีนกสีดำตัวหนึ่งบินฝ่าลมหิมะเข้ามาจากด้านนอก มันบินไปเกาะไหล่ของซูเจวี๋ย ฟู่เสี่ยวกวนจ้องนกตัวนั้นตาเขม็ง เขามิเคยเห็นมันมาก่อน แต่ก็รู้จักมัน นี่คืออีกา !
ซูเจวี๋ยวางตะเกียบลง พลางยืดแขนข้างหนึ่งออกมา อีกาตนนั้นจึงกระโดดเกาะแขนของเขา เขาหยิบกระบอกขนาดเล็กที่ผูกขาอีกาออกมา จากนั้นก็ถอดหมวกออก อีกาตัวนั้นจึงบินเข้าไปในหมวก และซูเจวี๋ยก็สวมหมวกอีกครั้ง พร้อมยกสองมือขึ้นมา เขาดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากกระบอกขนาดเล็กนั่น เมื่อก้มหน้าอ่าน คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นมาทันที
ฟู่เสี่ยวกวน หยูเวิ่นหวิน ต่งชูหลานพากันจ้องมองไปที่หมวกของซูเจวี๋ย พวกเขาอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง นี่มันอะไรกัน ใช้หมวกใบนั้นเป็นรังของนกได้ด้วยรึ !
ซูเจวี๋ยมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน แล้วอธิบายออกมาประโยคหนึ่ง “เพื่อความสะดวกนะ เจ้าลองอ่านนี่”
ฟู่เสี่ยวกวนอยากถามว่าอีกาตัวนี้ดื่มกินอย่างไร แต่สุดท้ายก็มิพูดและรับกระดาษแผ่นนั้นมาอ่าน จู่ ๆ เขาก็ขมวดคิ้ว
ในกระดาษเขียนไว้บรรทัดหนึ่ง : จากการตรวจสอบ นอกจากหลู่เฟิงจินกังจะตายแล้ว ลูกสมุน 3 คนที่เหลือก็ตายเช่นกัน ทั้งหมดถูกฆ่าในครั้งเดียว แต่สภาพบาดแผลมิใช่รอยกระบี่ แต่เป็นหลุม คาดว่าน่าจะเป็นไม้ไผ่ เพราะจู้กานก็อยู่ที่เมืองหลวงด้วย ส่วนจู้กานและนายหญิงสิบสามได้หายตัวไป กำลังสืบหาอยู่
“เที่ยงวันที่สามสิบ ข้ากับซูซูได้ไปทานอาหารที่เผิงแห่งหนึ่งตรงฝั่งประตูทิศใต้ หลู่เฟิงจินกังผู้นี้ถูกซูซูทำร้ายจนบาดเจ็บ ส่วนลูกสมุนอีก 3 คนได้หลุดปากกล่าวว่าที่มาเมืองหลวงในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะช่วยหลิวซานเปี้ยน หลิวซานเปี้ยนผู้นี้มีบุตรสาวนามว่าหลิวจิ่วเม่ย์ คนเจียงหูเรียกนางว่าจิ้งจอกยิ้มหลิวจิ่วเม่ย์ นางมีวรยุทธ์ที่สูงส่งและจิตใจโหดเหี้ยม นายหญิงสิบสามเคยติดหนี้บุญคุณหลิวจิ่วเม่ย์ หากนางกับจู้กานเดินทางมาที่เมืองหลวง ข้าคิดว่าพวกเขาคงมาเพื่อเรื่องนี้ เพียงแต่…ทำไมจู้กานถึงได้สังหารพวกจินกัง ? ”
ซูเจวี๋ยอธิบายอย่างตั้งใจ ฟู่เสี่ยวกวนก็ฟังอย่างละเอียด
ซี่โหลวมิมีข้อมูลนี้ แล้วซูเจวี๋ยทราบได้อย่างไร ?
เขามองซูเจวี๋ยอย่างแปลกใจ ซูเจวี๋ยยิ้มจาง ๆ “ใต้หล้าจะเกิดความวุ่นวาย ท่านอาจารย์จึงได้วางหมากไว้ก่อนแล้ว”
“ความหมายของเจ้าคือ…ใต้หล้ากำลังจะโกลาหล ? ”
“มิใช่ความหมายของข้า แต่เป็นความคิดของท่านอาจารย์”
“แล้วเขาคิดว่าอย่างไร ? ”
“…เขาคิดว่าแค่แหงนหน้ามองฟ้ากว้าง”
“…” ฟู่เสี่ยวกวนไม่รู้ว่าควรจะกล่าวเช่นไรดี ซูเจวี๋ยคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะไม่เชื่อ จึงกล่าวเสริมขึ้นมาอีกประโยค “แต่…ความคิดของท่านอาจารย์มิเคยพลาด”
ฟู่เสี่ยวกวนเริ่มสนใจผู้สังเกตของสำนักเต๋าขึ้นมา คนผู้นี้มิใช่คนธรรมดา ใต้หล้าจะเกิดความโกลาหลฟู่เสี่ยวกวนก็เพิ่งจะทราบ เพราะว่าฝ่าบาทจะทำการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ พระองค์มิเสียดายที่จะปล่อยให้ราชวงศ์หยูวุ่นวายไปอีกสองสามปีเพื่อที่จะกำจัดภัยร้ายที่ซ่อนเร้นของราชวงศ์
ผู้สังเกตคงจะมองออกนานแล้ว ดังนั้นจึงได้วางหมากของตนทิ้งไว้ หมากนี่คาดว่าคงจะมีลักษณ์เหมือนกับหอชิงเฟิงซี่หยู่
“เจ้าคิดว่าเป้าหมายของพวกเขาคือข้า ? ”
ซูเจวี๋ยพยักหน้า “ต้องรู้ก่อนว่าการจะช่วยพวกหลิวซานเปี้ยนออกมานั้นมิง่ายนัก แต่ถ้าหากจับตัวเจ้าได้ ก็สามารถบังคับฝ่าบาทได้ อย่างไรเสียฝ่าบาทคงมิยอมใช้ชีวิตเจ้าแลกกับชีวิตพวกนักโทษ ด้วยวิธีนี้อัตราความสำเร็จจะสูงมาก”
“ทางการทราบหรือไม่ว่าสี่คนนี้ตาย ? ”
ซูเจวี๋ยพยักหน้า “หนิงหยู่ชุน ผู้ว่าเขตจินหลิงคนใหม่ส่งคนไปตรวจสอบแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนหรี่ตาลง ผ่านไปชั่วสามอึดใจจึงกล่าวว่า “ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าออกไปข้างนอกตามลำพัง ส่วนพวกเจ้าก็ติดตามข้าห่าง ๆ เถอะ”
“ไม่ได้ ! ”
ต่งชูหลานปฏิเสธทันที
“นี่อันตรายเกินไป จะเป็นอย่างไรถ้าหากพวกเขาไม่ได้คิดจะลักพาตัวเจ้า แต่ลอบสังหารเจ้า ? ”
ซูเจวี๋ยพยักหน้าและกล่าวว่า “พวกเราต้องวิเคราะห์กันให้ดี นี่น่าจะเป็นกับดัก บางทีพวกนั้นอาจจะจงใจทำให้เจ้าคิดว่าพวกเขาอยากจะลักพาตัวเจ้าเพื่อนำไปแลกกับพวกหลิวซานเปี้ยน หากเจ้าตัดสินใจพลาดโดยการใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ ซึ่งถ้าหากพวกเราอยู่ห่างจากเจ้า นักฆ่าก็จะมีโอกาสอย่างมากที่จะสังหารเจ้าสำเร็จ และบางทีนี่อาจจะเป็นเป้าหมายของมัน”
หยูเวิ่นหวินตื่นตระหนก อันตรายถึงเพียงนี้เชียวเหรอ? “มิเช่นนั้น ข้าจักขอให้เสด็จพ่อส่งองค์รักษ์มาคุ้มครองเจ้าดีหรือไม่ ? ”
ซูซูเพิ่งรู้ว่าหญิงสาวคนนี้แท้จริงแล้วเป็นธิดาขององค์ฮ่องเต้ ดังนั้นนางจึงยิ่งไม่เข้าใจ ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้…หรือว่าอาจจะเป็นโอรสนอกสมรสของจักรพรรดิบางแคว้น ?
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า ครุ่นคิดอยู่สักพักแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าอย่าได้กังวลไป ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ข้าจะทำตัวโอ้อวดในเมืองหลวง ถ้าหากพวกเขาคิดจะลักพาตัวข้า นั่นหมายความว่าพวกเขาคือคนของหลิวจิ่วเม่ย์ แต่ถ้าหากพวกเขาคิดสังหารข้า แสดงว่าพวกมันเป็นคนของขุมกำลังอื่น”
“ณ เวลานี้ข้าทราบขุมกำลังบางส่วนแล้ว แต่ตอนนี้จำเป็นที่จะต้องตรวจสอบว่ายังมีขุมกำลังอื่นอีกรึไม่”
“ข้าไม่ชอบถูกคนอื่นจับจ้องในมุมมืด ศิษย์พี่ใหญ่ โปรดทำเรื่องหนึ่งให้แก่ข้า ให้คนของท่านตรวจสอบวัดร้างที่อยู่เหนือวัดฟูจื่อขึ้นไป ! ”
ตอนที่ 185 ผู้เยาว์ของราชวงศ์หยู
“วันนี้ได้พบปะกับทุกท่าน เพียงคำพูดอย่างตรงไปตรงมาคงมิอาจบรรยายถึงความรู้สึกได้ แน่นอน จะมิกล่าวถึงความขุ่นเคืองใจในกาลก่อน ในตอนที่พี่ซีเหวินได้กล่าวขึ้นมา ข้าจึงคิดได้ว่าทุกคนล้วนเป็นผู้เยาว์ของราชวงศ์หยู เช่นนั้นก็เอาผู้เยาว์เป็นหัวข้อเถอะ”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวจบ บรรยากาศพลันเงียบสนิทขึ้นมาทันที
เยี่ยนเสี่ยวโหลวรีบเงยหน้าขึ้น บนใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความยินดี เยี่ยนซีเหวินกับคนอื่น ๆ ก็ตกใจเช่นกัน เจ้าหมอนี่ไม่แต่งกลอนแต่กลับจะเขียนบทร้อยแก้วเยี่ยงนั้นรึ…ร้อยแก้วนั่นจะออกมาเป็นเช่นไรหนอ ?
ซูซูที่กำลังหยิบกุ้งก็มองรอบ ๆ อย่างมึนงง ไอหยา คนพวกนี้จ้องฟู่เสี่ยวกวนทำไม ? ก็แค่บทร้อยแก้วเองมิใช่หรือ ? แล้วทำไมพวกเขาถึงแสดงท่าทีตกตะลึงเช่นนี้ หรือว่าเมื่อก่อนฟู่เสี่ยวกวนมิเคยเขียนร้อยแก้ว ?
คนเหล่านั้นพากันวางจอกเหล้าลง คล้ายกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง เช่นนั้นกุ้งนี้ข้าควรจะกินดีหรือไม่ ?
ซูซูคิดในใจอย่างลังเล ก่อนจะวางกุ้งลงในถ้วย แล้วหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างสนใจ เขาจะเขียนร้อยแก้วแบบไหนออกมากันนะ ?
เยี่ยนเสี่ยวโหลวเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ “ข้าจะฝนหมึกให้คุณชายเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน เดินหน้าไปสองสามก้าว ยกยิ้มแล้วกล่าวว่า “ไม่จำเป็น ข้าท่องแล้วท่านเขียนเถอะ”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวรู้สึกมีความสุขขึ้นมาในใจ “เช่นนั้น…เสี่ยวโหลวมิเกรงใจ”
ฟู่เสี่ยวกวนเหม่อมองไปยังหิมะตกหนักที่โปรยปรายอยู่นอกหน้าต่าง หิมะเข้าปกคลุมทะเลสาบเว่ยยางจนขาวโพลน ผ่านไปสามอึดใจ จึงเปิดปากท่องออกมา
“โลกากว้างใหญ่ไพศาล ฟ้าดินไร้ซึ่งขอบเขต”
ฉับพลันบรรยากาศก็เดือดพล่านขึ้นมา เหล่าชายหนุ่มต่างก็กลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว มีเพียงเยี่ยนเสี่ยวโหลวที่ตวัดปลายพู่กัน บนกระดาษนั้นมีเสียงดังครืดคราดอย่างต่อเนื่อง
ฟู่เสี่ยวกวนยกสองมือไพล่หลังก้าวเดินสองก้าว แล้วท่องต่อ
“ผู้เยาว์ของราชวงศ์หยู ความรับผิดชอบของผู้เยาว์ราชวงศ์หยู
ความรับผิดชอบในวันนี้ มิได้อยู่ที่ใคร แต่ล้วนอยู่ที่เราเหล่าผู้เยาว์ทั้งสิ้น
ผู้เยาว์ฉลาดแคว้นฉลาด ผู้เยาว์แข็งแกร่งแคว้นแข็งแกร่ง
……”
ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังกลับมา มองไปยังผู้เยาว์ที่นั่งอยู่ สีหน้าเคร่งขรึม แววตาจริงจัง สองมือยกขึ้นเหนือหัว แล้วกล่าวเสียงสูง
“อาทิตย์ยามสนธยาลอยสูงเด่น สาดแสงส่องไปทั่วหล้า ธารบาดาลนิ่งไหลลึก ผืนน้ำกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
มังกรซ่อนธารา กางเล็บขึ้นโผบิน พยัคฆ์หนุ่มกู่ร้อง ร้อยสรรพสัตว์ตื่นกลัว
พญาอินทรีย์ลองกางปีก บังเกิดลมพายุพัดกวาด มวลผกาแรกแย้ม งดงามตระการตา
กานเจี้ยงแรกฝนใบ ส่องประกายแหลมคม นภาสวมฟ้าคราม ปฐพีย่ำดินเหลือง
ตั้งตระหง่านตลอดกาล หยัดยืนไปทั่วแปดทิศ อนาคตดุจห้วงสมุทร ทอดยาวไปไกลชั่วกัลป์”
ฟู่เสี่ยวกวนหยุดลงชั่งครู่ แล้วชี้นิ้วไปทางกลุ่มรุ่นเยาว์ พร้อมกล่าวว่า
“เราเหล่าผู้เยาว์ราชวงศ์หยูอันงดงาม ยืนยงดั่งท้องฟ้ามิแก่เฒ่า !
เราเหล่าผู้เยาว์ราชวงศ์หยูผู้แข็งแกร่ง แว่นแคว้นไร้ซึ่งพรมแดน ! ”
……
ผ่านไปหลายอึดใจ ฟู่เสี่ยวกวนก็ยิ้มกว้างแล้วพูดว่า “ข้าพูดจบแล้ว”
ทว่าบรรยากาศก็ยังคงเงียบสงัด
ใบหน้าทุกคนเผยร่องรอยความตกตะลึง แม้กระทั่งซูซูก็รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่มีความสามารถจริง ๆ ถึงแม้ว่านางจะไม่เข้าใจความหมายของร้อยแก้วนี้ก็เถอะ แต่เมื่อฟังแล้วกลับดังก้องอยู่ในหู ทั้งทำให้เลือดเนื้อเดือดพล่านขึ้นมา
ส่วนเยี่ยนเสี่ยวโหลวยังคงถือพู่กันไม่วาง และจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างไม่ละสายตา ในใจคิดว่า…นี่แหละคือวีรบุรุษในดวงใจของข้า !
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เยี่ยนซีเหวินก็ปรบมือขึ้นมา จากนั้นจัวหลิวหวินก็ปรบมือตาม ตามมาด้วยฟางเหวินซิงและอันลิ่วเย่ ปิดท้ายด้วยพวกชืออีหมิงทั้งสี่คน
เสียงปรบมือดังขึ้นเรื่อย ๆ จากนั้นทุกคนก็ลุกขึ้นยืน ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่เยี่ยนซีเหวินคำนับฟู่เสี่ยวกวนอย่างเลื่อมใส
“เราเหล่าผู้เยาว์ราชวงศ์หยูอันงดงาม ยืนยงดั่งท้องฟ้ามิแก่เฒ่า ! เราเหล่าผู้เยาว์ราชวงศ์หยูผู้แข็งแกร่ง แว่นแคว้นไร้ซึ่งพรมแดน ! พรสวรรค์ของพี่ฟู่นั้น ซีเหวินมิอาจเทียบได้เลย ร้อยแก้วนี้ถือกำเนิดขึ้นมา ย่อมต้องนำเข้าสู่บทเรียน เพื่อส่งเสริมให้ผู้เยาว์ของราชวงศ์หยูรู้จักแบกรับความรับผิดชอบของตนเอง ผู้เยาว์ของราชวงศ์หยูคือร้อยแก้วที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา”
เขาถอนสายตาจากฟู่เสี่ยวกวนแล้วมองไปทางชืออีหมิงกับคนอื่น ๆ แย้มยิ้มออกมาแล้วกล่าวว่า “ข้าเคยถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะผู้มีพรสวรรค์ แต่ตอนนี้เมื่อได้มองย้อนกลับไปถึงตนเองในอดีตแล้ว…” เขาส่ายหน้า “นั่นคือความไร้สาระแบบเด็ก ๆ ! ”
เขายกนิ้วชี้ไปทางคนเหล่านั้น “ข้าไม่อาจจะสั่งสอนพวกเจ้า เพราะข้ามิมีคุณสมบัติที่จะสั่งสอน ได้ฟังร้อยแก้วบทนี้แล้ว พวกเจ้าคิดอย่างไรบ้าง ? พวกเจ้าลองถามใจตนเองเถิด รวมถึงข้าด้วยที่ต้องถามใจตนเอง ข้าคิดว่าแม้แต่เด็กถือรองเท้าของฟู่เสี่ยวกวน ข้าก็มิคู่ควร ! ”
เยี่ยนซีเหวินพลันตื่นเต้นถึงขีดสุด เขากล่าวเสียงดังว่า “พวกเจ้าสามารถเขียนบทกวีอย่างท่วงทำนองแห่งสายน้ำได้รึไม่ ? เขียนนโยบายบรรเทาสาธารณภัยล่ะ ? หรือแม้กระทั่งเขียนร้อยแก้วอย่างผู้เยาว์ของราชวงศ์หยูได้หรือไม่ ? ”
เขาเงยหน้าทอดมองไปยังทะเลสาบเว่ยยาง พลางสูดหายใจเข้า ชืออีหมิงกับคนอื่น ๆ พากันก้มหน้าลง
“ผู้เยาว์ฉลาดแคว้นฉลาด ผู้เยาว์แข็งแกร่งแคว้นแข็งแกร่ง เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตแล้ว แค่แต่งบทกวีออกมาเพียงบทเดียวก็ภาคภูมิใจกันนักหนา หรือสามารถเขียนบทความดีดีออกมาสักหนึ่งบทก็พากันปลาบปลื้มจนจุกอก พวกเรามิเคยครุ่นคิดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นภายในแคว้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เคยคิดหาหนทางแก้ไขปัญหา เบื้องหลังของพวกเรามีต้นไม้ใหญ่ มิเคยเกรงกลัวลมฝนหรือแดดร้อน ชีวิตผ่านไปอย่างสุขสบาย จากนั้นก็พากันหลงลืมปณิธานของตนไป”
“นี่คือเรื่องที่น่าเศร้าใจของพวกเรา คือเรื่องที่น่าเศร้าใจของราชวงศ์หยู ! ”
“วันนี้ได้ฟังบทร้อยแก้วของพี่ฟู่ ข้าถึงได้เข้าใจหน้าที่ของตนเอง ถึงได้ชัดเจนว่าอะไรคือเป้าหมายที่ข้ากำลังพยายามอยู่ อาทิตย์ยามสนธยาลอยสูงเด่น สาดแสงส่องไปทั่วหล้า ธารบาดาลนิ่งไหลลึก ผืนน้ำกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ! มามามา ดื่มเพื่อร้อยแก้วนี้ หากมิเมามายก็ไม่กลับ ! ”
เยี่ยนซีเหวินคล้ายกับคลุ้มคลั่งไปแล้ว
“เสี่ยวเอ้อ รินเหล้า ! ”
“พี่ฟู่ ท่านเป็นทั้งอาจารย์เป็นทั้งสหายของข้า ซีเหวินผู้นี้สามารถกล่าวได้ว่าพวกเรารู้จักกันช้าเกินไปแล้ว รู้จักกันช้าเกินไป ! มามามา จอกแรกนี้ ซีเหวินขอคารวะท่าน ได้รับการชี้แนะจากท่าน ทำให้ซีเหวินรู้แจ้งในฉับพลัน ! ต่อจากนี้ ซีเหวินจะยกท่านเป็นเหมือนหัวม้า ไม่ว่าท่านไปทางไหน ข้าก็จะพุ่งตามไปทันที ! ดื่ม ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขาไม่คาดว่าเยี่ยนซีเหวินจะตื่นเต้นขนาดนี้เพราะบทร้อยแก้ว…จอกเดียวยังมิพอ เยี่ยนซีเหวินยังดื่มกับเขาถึงสามจอกติดต่อกัน
และรู้สึกอึดอัดใจเพิ่มขึ้นอีก เมื่อจู่ ๆ ชืออีหมิงก็ถือจอกเหล้าลุกขึ้นยืน เขาหันมาทางฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็พูดขึ้นประโยคหนึ่งว่า “อันที่จริงแล้วข้าก็ยังไม่ชอบเจ้าอยู่ดี แต่ร้อยแก้วนี้ข้าชื่นชอบมาก สามจอกนี้ถือว่าเป็นการขออภัยจากข้า ! ”
ตามมาด้วยเซวี๋ยตงหลิน สีส่วง เฟ่ยเชียน ฟางเหวินซิง อันลิ่วเย่ หวงเฉิง สุดท้ายก็จัวหลิวหวิน
ทุกคนต่างก็คารวะฟู่เสี่ยวกวนอย่างเลื่อมใส จากนั้นก็ยกดื่มถึงสามจอก พวกเขาพากันเดินไปทางโต๊ะเขียนหนังสือ เพื่อคัดลอกบทร้อยแก้วนี้
ดวงตาของซูซูเบิกกว้างอย่างตกใจ ยอดฝีมือที่มีวรยุทธ์โดดเด่นในสำนักเต๋าก็ได้รับความเคารพจากผู้อื่น แต่คิดไม่ถึงเลยว่าผู้ที่มีความสามารถในด้านวรรณกรรมของโลกมนุษย์จะได้รับการยกย่องจากผู้อื่นเช่นกัน
ชายผู้นี้…เป็นผู้มีความสามารถจริง ๆ !
เยี่ยนเสี่ยวโหลวเห็นฟู่เสี่ยวกวนดื่มเหล้าไปสองสามจนถึงสิบจอก ในใจก็แอบเป็นห่วงมิได้ เขาจะเมามายรึไม่ ? ร้อยแก้วบทนี้ยังมิมีชื่อเลยนะ
ดังนั้นนางจึงเอ่ยถามออกมาว่า “คุณชาย ร้อยแก้วนี้มีชื่อว่ากระไรหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนที่เมามายถึงเจ็ดส่วน ก็เดินที่โต๊ะหนังสือ จากนั้นก็รับพู่กันจากเยี่ยนเสี่ยวโหลวมา เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก “ให้ชื่อว่าผู้เยาว์ของราชวงศ์หยู ! ”
ตัวอักษรทั้งห้าคำบนกระดาษนี้ ยังคงดูมิได้เช่นเคย แต่ในสายตาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวและคนอื่น ๆ แล้ว ตัวอักษรนี้กลับดูกล้าหาญและดุดัน
เยี่ยนเสี่ยวโหลวหยิบร้อยแก้วบทนี้ขึ้นมาเป่าให้แห้งอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เก็บเอาไปในอกเสื้อ เหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนแวบหนึ่ง หมุนร่างแล้วเดินออกไป ฟู่เสี่ยวกวนในตอนนี้หน้าแดงก่ำเพราะความเมามาย
……
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 วันที่สองของเดือนแรก ฟู่เสี่ยวกวนเมามายอยู่ในหอซื่อฟาง
ในวันเดียวกันนั้น 《ผู้เยาว์ของราชวงศ์หยู》ก็ได้เผยแพร่ออกไป เริ่มต้นจากหกตระกูลใหญ่ที่ทรงอิทธิพล จากนั้นก็แพร่สะพัดออกไปประหนึ่งคลื่นน้ำขยายเป็นวงกว้าง ลอยไปยังจวนฉิน จวนชางกวนเหวินซิ่ว จวนต่ง สุดท้ายก็ลอยเข้าไปในวังหลวง
ตกค่ำ ในวังหลวงยังคงคึกคักมีชีวิตชีวา
แม้ว่าวังเตี๋ยอี๋ของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยจะชื่นชอบความเงียบสงบ แต่ตอนนี้กลับมีบรรยากาศรื่นเริงยินดี
องค์ฮ่องเต้หยูยิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านข้างเตา ในมือกำลังถือกระดาษแผ่นหนึ่งเอาไว้
หยูเวิ่นหวินนั่งอยู่ด้านข้างคอยนวดขาให้เขา ส่วนหยูเวิ่นเต้าก็นั่งอยู่อีกด้านคอยต้มชา
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยคลี่ยิ้มกว้าง ขณะมองภาพอันอบอุ่นตรงหน้า แล้วคิดว่านี่คือช่วงเวลาที่ดีที่สุด
“กุ้ยเฟย…เจ้าเด็กนี่ แย่จริง ๆ ! ”
“หากฝ่าบาทตรัสว่าเขาแย่ งั้นเขาก็แย่จริง ๆ ”
“ความรับผิดชอบในวันนี้ มิได้อยู่ที่ใคร แต่ล้วนอยู่ที่เราเหล่าผู้เยาว์ทั้งสิ้น…ประโยคนี้ กุ้ยเฟยคิดว่าอย่างไร ? ”
ซั่งกุ้ยเฟยกล่าวยิ้ม ๆ “ตอนอ่านครั้งแรกหม่อมฉันคิดว่า อาจจะหมายถึงหวังว่าผู้เยาว์ของราชวงศ์หยูจะออกมาแบกรับหน้า แทนที่จะหลีกหนี”
“อืม…ล้วนเป็นคนของราชวงศ์หยู ถ้าหากผู้เยาว์ของราชวงศ์หยูสามารถตระหนักถึงเรื่องนี้ได้ ราชวงศ์หยูของข้าคงมิต้องกังวลสิ่งใด ! ”
“แน่นอนเพคะ ดังนั้นท่อนหลังของร้อยแก้วนี้จึงใช้คำเปรียบเปรยหลายอย่างเพื่อกระตุ้นคนรุ่นเยาว์ โดยเฉพาะสองประโยคสุดท้าย เราเหล่าผู้เยาว์ราชวงศ์หยูอันงดงาม กับเราเหล่าผู้เยาว์ราชวงศ์หยูผู้แข็งแกร่ง”
หยูยิ่นชำเลืองมอง พลางใคร่ครวญอีกครั้ง ทั้งเอ่ยถามอีกว่า “กานเจี้ยงแรกฝนใบ…กานเจี้ยงคืออะไร ? ”
“หม่อมฉันเองก็มิทราบเพคะ แต่ตามความหมายแล้ว มันน่าจะเป็นชื่อของศาตราวุธบางชนิด อาจจะเป็นดาบหรือไม่ก็กระบี่”
“อ้อ…” หยูยิ่นพยักหน้า จากนั้นก็วางกระดาษแผ่นนี้ลง “เจ้าช่วยข้าจำเสียหน่อยเถอะ ร้อยแก้วบทนี้ข้าจะให้ชางกวนเหวินซิ่วนำเข้าบทเรียน และให้กั๋วจื่อเจี้ยนเผยแพร่ร้อยแก้วนี้ไปทั่วแคว้น ข้าอยากให้รุ่นเยาว์ทั่วแคว้นได้อ่านมัน และทำความเข้าใจบทร้อยแก้วนี้อย่างลึกซึ้ง”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยพยักหน้า หยูเวิ่นหวินอมยิ้มขึ้นมา แล้วถามว่า “เสด็จพ่อ ในเมื่อเขาเขียนร้อยแก้วให้แรงบันดาลใจที่ดีเช่นนี้ออกมา ก็ควรที่จะตบรางวัลให้เขาใช่หรือไม่ ? ”
หยูยิ่นชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง พลางส่ายหน้า ว่ากันว่าเมื่อบุตรสาวเกิดจัดหันหน้าไปด้านนอก นี่ยังมิได้อภิเษกสมรสเลยแท้ ๆ แต่ก็คิดเผื่อเจ้าเด็กนั่นเสียแล้ว
“แม้นี่จะถือว่าเป็นคุณงามความดี แต่คุณงามความดีนี้กลับมิชัดเจนนัก ร้อยแก้วบทนี้อาจจะส่งผลกระทบต่อรุ่นเยาว์เป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่อาจจะกล่าวได้ว่าทั้งหมดเป็นคุณงามความดีของฟู่เสี่ยวกวน ดังนั้น…ไว้รอหลังจากเทศกาลฤดูหนาวสิ้นสุดลงก็ค่อยว่ากันอีกที”
หยูเวิ่นหวินกำลังจะแย้ง แต่กลับเห็นสายตาของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยที่มองมา ดังนั้นนางจึงกลืนคำพูดกลับเข้าไป
“พรุ่งนี้ในวังหลวงก็มิมีเรื่องใหญ่อันใด เจ้าก็ออกไปหาเขาเถอะ”
หยูเวิ่นหวินพลันดีใจขึ้นมา “ขอบพระทัยเพคะเสด็จพ่อ ! ”
“เจ้ามิจำเป็นต้องขอบใจข้า ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่กล้าออกจากวังอีก เรื่องงานแต่งงานระหว่างต่งชูหลานกับฟู่เสี่ยวกวนได้ถูกกำหนดไว้แล้ว”
“อ่า…” จู่ ๆ หยูเวิ่นหวินก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมา “พวกเขา…กำลังจะหมั้น ? ”
“เหอะ รอให้ราชสำนักเปิดเสียก่อนเถอะ ข้าจะเรียกต่งคังผิงเข้าเฝ้า เรื่องต่งชูหลานกับฟู่เสี่ยวกวนสามารถเป็นไปได้ แต่ไม่อาจจะข้ามหน้าองค์หญิงเก้าของข้า ! เจ้าเด็กนั่นนับวันก็ยิ่งเหิมเกริมขึ้นเรื่อย ๆ ปีที่แล้วข้าก็เคยเอ่ยกับเขาอย่างอ้อม ๆ แต่เขากลับแกล้งทำเป็นหูหนวก ทั้งที่เคยกล่าวแล้วว่าพ้นปีใหม่นี้ฟู่เสี่ยวกวนจักต้องมาสู่ขอ เจ้าเด็กนี่ ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา ! ”
หยูเวิ่นหวินยิ่งรู้สึกว้าวุ่น นางกล่าวอย่างขมขื่น “หม่อมฉันเคยตรัสกับเสด็จพ่อแล้ว ถ้าหากไม่อยากทำผิดกฎของวัง ก็ควรยกหม่อมฉันให้เป็นบุตรบุญธรรมของจวนต่ง เช่นนั้นหม่อมฉันจึงจะสามารถแต่งกับฟู่เสี่ยวกวนได้…แต่เสด็จพ่อมิทรงเห็นด้วย”
“ไม่มีทาง ! ข้ามิยอมให้ต่งคังผิงได้หน้าก่อนข้า ! กฎ….กฎสามารถเปลี่ยนแปลงได้ ! ฟู่เสี่ยวกวนจักต้องมาสู่ขอกับข้าก่อน จากนั้นค่อยถึงตาต่งคังผิง ! ”
ตอนที่ 184 นิสัยของหนุ่มสาว
เยี่ยนเสี่ยวโหลวกับซูซูนั่งบนรถม้าคันเดียวกัน
แน่นอนว่าทั้งสองคนไม่รู้จักกัน แต่ต่างก็รู้สึกตกตะลึงกับใบหน้าของกันและกัน และรู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นคนที่งดงามมาก ดังนั้นจึงพากันเหลือบมองอยู่หลายครั้ง
เยี่ยนเสี่ยวโหลวคิดในใจเงียบ ๆ ว่า สาวสวยคนนี้เป็นคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ตระกูลไหนกัน ?
ส่วนซูซูคิดในใจเงียบ ๆ ว่าทำไมข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนถึงมีคนหน้าตาดีมากมายถึงเพียงนี้ ?
หากพูดถึงความหล่อเหลา เขาก็ไม่ได้หล่อเหลาเท่ากับศิษย์น้องซูม่อ หากพูดถึงวรยุทธ์ ช่างเถอะ เขาแทบไม่มีความสามารถเลย
เขามิใช่ดอกไม้ที่เพิ่งแย้มบาน จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ผึ้งอยากจะเข้ามารุมตอมบนตัวเขา !
เยี่ยนเสี่ยวโหลวเอ่ยปากซักถามขึ้นก่อนว่า : “ไม่ทราบว่าแม่นางมีนามว่าอะไรหรือ ? ”
ซูซูยิ้มแย้ม และตอบกลับว่า “ข้ามีนามว่าซูซูคำว่าซูมาจากคำว่าซูฉิ่งที่แปลว่าตื่น พี่สาวล่ะ ? ”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวเริ่มผ่อนคลายมากขึ้น นางยิ้มแย้มแล้วพูดขึ้นว่า “ข้ามีนามว่าเยี่ยนเสี่ยวโหลว คำว่าเยี่ยนมาจากคำว่าเยี่ยนจือที่แปลว่านกนางนวล ส่วนคำว่าเสี่ยวโหลวมาจากคำว่าเสี่ยวโหลวทิงหยู่ที่แปลว่าฟังเสียงฝน”
“อ๋อ ยินดีที่ได้รู้จักพี่สาว”
“อืม ยินดีที่ได้รู้จักน้องสาว”
จากนั้น….จากนั้นก็ไม่มีเรื่องคุยแล้ว เยี่ยนเสี่ยวโหลวอยากจะซักถามแต่ไม่กล้าเสียมารยาทถามซูซูว่าทำไมนางถึงอยู่ที่จวนฟู่ได้ ส่วนซูซูก็ไม่ได้คิดอยากจะถามเยี่ยนเสี่ยวโหลวว่าทำไมถึงมาจวนฟู่
ดังนั้นบรรยากาศบนรถม้าเลยเข้าสู่สภาวะนิ่งเงียบ ทั้งที่ฟู่เสี่ยวกวนกับเยี่ยนซีเหวิน เขาทั้งสองคนที่อยู่ข้างหน้ากลับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
“หลังจากพบกันครั้งนี้ พวกเขาต้องไปจากเมืองหลวงในเดือนแรกของปีเพื่อเข้าไปรับตำแหน่งในพื้นที่ เฮ้อ….จากกันครั้งนี้ มิรู้ว่าจะสามารถพบกันอีกเมื่อไหร่ ใต้ฟ้าเดียวกันไม่มีงานเลี้ยงใดไม่มีวันเลิกรา เรื่องจริงคือน่าเสียดายที่ต้องจากกัน คงรู้สึกโดดเดี่ยวมากแน่”
เยี่ยนซีเหวินรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย และหวนนึกถึงช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตในเมืองจินหลิง 18 ปี ทั้งยังหวนคิดถึงสหายรุ่นราวคราวเดียวกันที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กเหล่านั้น และสหายที่ร่วมเรียนด้วยกันด้วย ตอนนี้ต่างคนต่างต้องจากลา ต่างคนต่างต้องเดินหน้าตามเส้นทางของตัวเอง ซึ่งเส้นทางนั้นอาจเป็นแสงสว่าง เป็นหมอกควันมืดสลัว เป็นดอกไม้โปรยตามทาง หรืออาจเป็นขวากหนามและหลุมพราง
“ข้าไม่เคยเห็นเจ้ามีสีหน้าท่าทางห่อเหี่ยวแบบนี้มาก่อนเลย คนเราทุกคนต้องมีการเติบโต เมื่อเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง ซึ่งวันนี้พวกเจ้าต่างก็มีเส้นทาง ดังนั้นสนใจเพียงเดินลุยไปข้างหน้า….อีกอย่าง ข้าก็มิรู้ว่าครั้งนี้เจ้าเชิญใครมาบ้าง ? ”
เยี่ยนซีเหวินเก็บสีหน้าระทมทุกข์ และพูดว่า : “จิ้นซื่อสิบอันดับแรกของปีนี้ นอกจากฉินหายหยู่กับเยี่ยนหลินชิวที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของข้าแล้ว คนที่เหลืออีก 8 คนล้วนเชิญมาหมดแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนหวนนึกถึงความทรงจำเล็กน้อย แปดคนนั้นเขาจำได้ อันที่จริงก็เคยพบกันมาก่อนแล้วที่พระราชวังจินเตี้ยน
“ฉินหายหยู่กับเยี่ยนหลินชิวก็รับราชการข้างนอกหรือ ? ”
เยี่ยนซีเหวินพยักหน้าเล็กน้อย “ฉินหายหยู่ไปเจียงเป่ยเต้ารับตำแหน่งนายอำเภอไคหยาง ณ ฉีโจว ฉินโม่เหวิน ลุงสองของเขาเป็นเต้าถายที่เจียงเป่ยเต้า ส่วนเยี่ยนหลินชิวลูกพี่ลูกน้องของข้าไปซานตงเต้าเพื่อรับตำแหน่งนายอำเภอชูอี้ ณ หย่งหนิงโจว พวกเขาจากไปตอนต้นเดือนสิบเอ็ดแล้ว ปีนี้เลยไม่สามารถกลับมา”
ฟู่เสี่ยวกวนนึกถึงแผนที่แผ่นนั้นที่เคยเห็นในห้องทรงพระอักษร เขาขมวดคิ้วและซักถามว่า : “อำเภอชูอี้ ? อำเภอชูอี้ที่อยู่ใกล้ ๆ ผิงหลิงนะรึ ? ”
“ใช่ สถานที่นั้นล่ะ…..ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านพ่อกับท่านปู่คิดอะไรอยู่”
จากราชวงศ์หยูไปแคว้นฮวง เมื่อถึงทางเหนือจะมี 2 เส้นทาง เส้นทางแรกต้องผ่านด่านเยี่ยนซานเหนือ นี่คือเส้นทางหลวงที่ใกล้ที่สุด เส้นทางที่สองต้องอ้อมผิงหลิง ซึ่งจะต้องผ่านภูเขาผิงหลิงซึ่งตั้งอยู่ระหว่างอำเภอชูอี้กับอำเภอผิงหลิง
สถานที่นั้นเป็นดินจืดมาตั้งแต่สมัยโบราณ แม้แต่คนที่อยู่ชานเมืองยังไม่กล้าไปอาศัยเลย ประการแรกเส้นทางคมนาคมยากลำบาก ประการที่สองมีหญ้าให้ตัดไม่เพียงพอให้ม้าเคี้ยวกินไปตลอดทาง
แต่หัวหน้าโจรกบฏกงเซินจ่างแห่งแม่น้ำหวงเหอก็อาศัยอยู่ในภูเขาผิงหลิง ทหารจำนวนมากเคยล้อมปราบแต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้เลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดเจนว่าภูเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยอันตรายและภูมิศาสตร์ก็ซับซ้อนมากด้วย
หากต้องการทำผลงานที่อำเภอชูอี้ ความยากถือว่าไม่น้อยเลย
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มจาง ๆ “เจ้าต้องเชื่อมั่นในสายตาท่านพ่อและท่านปู่ของเจ้า”
เยี่ยนซีเหวินยักคิ้วด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้พูดว่าถ้าหากราชวงศ์หยูกับแคว้นฮวงทำสงครามขึ้นจริง ๆ ระยะห่าง 300 ลี้ระหว่างอำเภอผิงหลิงกับอำเภอชูอี้ของเมืองซินเฉิงจะกลายเป็นยุทธ์ศาสตร์ที่สำคัญ
เมื่อดูจากแผนที่แผ่นนั้น อำเภอชูอี้กับอำเภอผิงหลิงของเมืองซินเฉิงต่างเป็นมุมของกันและกัน เมื่อถอยหลังไปอีกสามร้อยกว่าลี้ก็จะเป็นเมืองหย่งหนิงของหย่งหนิงโจว คิดดูแล้วเมืองหย่งหนิงนับว่าเป็นเมืองทรงอำนาจอีกเมืองหนึ่ง ซึ่งส่วนใหญ่ใช้เป็นป้อมปราการยุทธศาสตร์ให้กับทหารทางเหนือ
“ถ้าหากเจ้าเชื่อข้าก็ให้ลูกพี่ลูกน้องของเจ้า ทุ่มเทแรงกายแรงใจไปไว้ที่การป้องกันเมืองของอำเภอชูอี้” ฟู่เสี่ยวกวนยังคงพูดขึ้นอย่างยิ้ม ๆ ทำให้เยี่ยนซีเหวินตกใจจนต้องหันหน้ามามองเขา เพราะเยี่ยนเป่ยซีปู่ของเขาก็พูดแบบนี้เช่นกัน
เจ้าหมอนี้….”ทำไมเจ้าถึงคิดแบบนี้ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกเล็กน้อย คลี่ยิ้มและพูดว่า “ข้าคิดว่าสถานที่แห่งนั้นคงยากที่สร้างผลงานด้านเศรษฐกิจได้ ไม่สู้สะสมอาหารกับสร้างกำแพงเมืองจะดีกว่าหรือ”
เยี่ยนซีเหวินเผยสายตาที่เป็นประกายทันที สะสมอาหารกับสร้างกำแพงเมือง ซึ่งนี่เป็นความต้องการของท่านปู่ แต่เจ้าหมอนี่กลับใช้คำพูดไม่กี่คำอธิบายความหมายจนชัดเจน “บางครั้งข้าก็มักจะคิดว่า ในสมองของเจ้าบรรจุอะไรกันแน่ ? เฮ้อ….” เยี่ยนซีเหวินถอนหายใจหนึ่งเฮือก “เรื่องกวี ข้าก็สู้เขาไม่ได้ ตอนแรกข้ายังนึกว่าเรื่องการบริหารจัดการ เจ้าคงจะเทียบข้ามิได้ แต่เมื่อเห็นนโยบายบรรเทาสาธารณภัยของเจ้าแล้ว และเมื่อได้ยินที่เจ้าพูดวันนี้ ช่างเถอะ ข้าไม่สามารถเทียบเจ้าได้เลย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะฮ่าฮ่าขึ้น “พี่ซีเหวินไม่ควรดูถูกตัวเอง ! ”
ข้าไม่บังอาจหรอก !
รถม้ามาถึงหอซื่อฟาง จากนั้นทั้งสี่คนก็เดินลงจากรถม้า และเดินเข้าหอซื่อฟางทันที
วันนี้เป็นวันที่สองของต้นปี แขกในหอซื่อฟางจึงมีไม่มาก ห้องที่เยี่ยนซีเหวินจองอยู่ที่ชั้นสาม ซึ่งเป็นสถานที่ที่ฟู่เสี่ยวกวนเชิญพวกเขามาครั้งก่อน โดยตรงหน้าต่างสามารถเห็นทะเลสาบเว่ยยางด้วย
เมื่อผลักประตูเดินเข้าไปก็พบว่าข้างในมีคนนั่งอยู่ 8 คน ในตอนนี้พวกเขากำลังจิบชาพูดคุยกันอยู่
ทั้งแปดคนนี้มีชืออีหมิงเป็นหัวหน้า เมื่อเห็นเยี่ยนซีเหวินเดินเข้ามาก็ลุกขึ้นแสดงความเคารพ แต่ทว่าข้างหลังของเยี่ยนซีเหวิน มีฟู่เสี่ยวกวนเดินตามมาหลังด้วย !
เจ้าหมอนั่นนี้ !
วันสอบคัดเลือกในพระราชวังหลวง เขาอวดเก่งในพระราชวังจินเตี้ยน ก่อให้เกิดการมีการเปรียบเทียบในปีนี้ขึ้นมา จนทำให้กลายเป็นฝันร้ายของเหล่าชายหนุ่ม และกลายเป็นศัตรูของคนอื่นอย่างรวดเร็ว !
“พี่ซีเหวิน นี่หมายความว่าอย่างไร ? ” ชืออีหมิงซักถามขึ้น เยี่ยนซีเหวินเชิญพวกเขามาพบปะ แต่มิได้บอกว่าจะเชิญฟู่เสี่ยวกวนมาด้วย นอกจากฟางเหวินซิง อันลิ่วเย่ จัวหลิวหวินและหวงเฉิง 4 คนที่เหลือล้วนเป็นลูกหลานของหกตระกูลใหญ่ ทุกคนมิมีปัญหาเรื่องความขัดแย้ง แต่แน่นอนว่าเยี่ยนซีเหวินก็รู้ว่าเขาไม่ค่อยถูกคอกับฟู่เสี่ยวกวน แต่เขากลับเชิญเจ้านั่นมาด้วย ซึ่งนี่เหมือนกับไม่ไว้หน้าเขาเลย
เยี่ยนซีเหวินยิ้มและพูดว่า “วันที่ 25 เดือนเก้าเมื่อปีที่แล้ว ที่งานรำลึกกวีหลานถิงจี๋ ข้าได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนเป็นครั้งแรก อืม ในตอนนั้นเหวินซิงกับลิ่วเย่ก็อยู่ด้วย มามามา ทุกคนนั่งลงก่อน เดี๋ยวข้าจะค่อย ๆ พูดอธิบายกับพวกเจ้า”
ฟู่เสี่ยวกวนไม่เอามาใส่ใจ ถึงยังไงเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาก็ได้ส่งของไปคารวะหกตระกูลใหญ่แล้ว
ชืออีหมิงเบิกตาเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาดูถูกแวบหนึ่ง หลังจากที่ทุกคนนั่งลง ซูซูกับเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็เดินมานั่งด้านข้างของฟู่เสี่ยวกวน ถึงแม้สาวงาม 2 คนนี้จะทำให้พวกเขารู้สึกหวั่นไหว แต่ก็หมดความรู้สึกในชั่วพริบตา เพราะ….คิดว่าเจ้าหมอนี้คงจับปลาสองมือแน่เลย
ด้วยเหตุนี้ยิ่งสร้างความรู้สึกเคียดแค้นต่อฟู่เสี่ยวกวนมากขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนยังคงเผยรอยยิ้ม และกวาดสายตามองใบหน้าทุกคนหนึ่งรอบ
“ตอนที่พบกับเขาที่งานรำลึกกวีหลานถิงจี๋ อันที่จริงข้าก็มีความรู้สึกเหมือนกันกับพวกเจ้านั่นแหละ ข้าเองก็รู้สึกเกลียดขี้หน้าเขาคนนี้เหมือนกัน และคิดว่าคงเกลียดมากกว่าพวกเจ้าด้วย ! แต่หลังจากที่พวกเราได้ร่วมดื่มเหล้าด้วยกันที่นี้ จากนั้นก็ถูกส่งไปยังอำเภอเหยา ส่วนเขาก็กลับเมืองหลินเจียง พวกเราจึงมีโอกาสได้รู้จักกัน หลังจากร่วมงานกันไม่กี่ครั้ง จากนั้นข้าก็รู้สึกว่าเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเป็นอาจารย์ของข้า แต่ข้าไม่ยินยอม ดังนั้นข้าเลยเป็นสหายกับเขาแทน”
เยี่ยนซีเหวินหยุดนิ่งชั่วขณะ และพูดต่อว่า : “วันนี้ข้าไม่ได้พูดเกลี้ยกล่อมให้พวกเจ้ากับเขาปรับความเข้าใจกัน แต่ข้าได้พูดจบแล้ว ส่วนความแค้นระหว่างพวกเจ้ากับเขา…ไม่สิ พวกเจ้ากับเขามีความแค้นอะไรต่อกันหรือ ? ”
เยี่ยนซีเหวินซักถามโดยตรงขึ้น ซืออีหมิงกับคนอื่น ๆ หันมาสบตากัน ตกลงมีความแค้นอะไรกันหรือ ?
ชืออีหมิงอยากพูดถึงอดีต เพราะในตอนนั้นที่พระราชวังจินเตี้ยน ฟู่เสี่ยวกวนได้ด่าทอชือเฉาหยวนอย่างรุนแรงจนกระอักเลือด แต่เซวี๋ยตงหลิน สีส่วงและเฟ่ยเชียนกลับพูดไม่ออก
ยิ่งไม่ต้องพูดว่าในใจนั้นไม่ได้มีความรู้สึกเคียดแค้นต่อฟู่เสี่ยวกวน
เยี่ยนซีเหวินหัวเราะฮ่าฮ่าดังขึ้น และพูดเพิ่มเติมขึ้นว่า : “ล้วนเป็นนิสัยของหนุ่มสาว รอให้พวกเจ้าได้รับตำแหน่งขุนนางเหมือนบิดาก่อน เรื่องไร้สาระจะทำให้พวกเจ้าปวดสมอง จากนั้นพวกเจ้าจะรู้ว่าการกระทำตอนนี้ไร้เดียงสามากแค่ไหน ! ”
นี่เป็นประสบการณ์ที่ประสบพบเจอกับตัวเองของเยี่ยนซีเหวิน เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่คมเข้มมาก ซึ่งไม่ใช่คำพูดสั่งสอน แต่เป็นการรำพึงรำพันความรู้สึกของตัวเอง ดังนั้นเมื่อเหล่าชายหนุ่มได้ยินแบบนี้ก็รู้สึกว่าจริงใจ
เช่นนั้นหมายความว่าข้าไร้เดียงสาหรือ ?
ไม่มีใครกล้าพูดอันใด เยี่ยนซีเหวินรู้สึกเสียใจภายหลัง เขาคาดหวังอยากให้ชายหนุ่มเหล่านี้ผูกมิตรกับฟู่เสี่ยวกวน บางทีฟู่เสี่ยวกวนอาจจะไม่สามารถช่วยอะไรพวกเขาได้ แต่ถ้าหากได้รับคำชี้แนะจากฟู่เสี่ยวกวน คงมีประโยชน์เป็นอย่างมากต่ออนาคตข้างหน้าของพวกเขา
ช่างเถอะ ช่างเถอะ ถือเสียว่าเจตนาดีของข้าเป็นเพียงแค่ลมพัดผ่านล่ะกัน “เสี่ยวเอ้อ รินเหล้า ! ”
ภายในห้องฟู่เสี่ยวกวนพูดน้อยที่สุด เยี่ยนเสี่ยวโหลวที่นั่งด้านขวาของเขาก็เอาแต่กังวลแทนเขา ส่วนซูซูที่นั่งหัวโต๊ะด้านซ้ายข้างเขาไม่รู้สึกรู้สาอะไร
สิ่งที่เยี่ยนเสี่ยวโหลวกังวลแน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ฟู่เสี่ยวกวนแทบไม่มีเจตนาเป็นศัตรูต่อเหล่าชายหนุ่มเหล่านี้เลย
เรื่องลอบสังหารครั้งก่อนยังไม่สามารถสืบความจริงได้ เพราะเรื่องบรรเทาสาธารณภัยทำให้มีผู้คนจำนวนมากคิดฆ่าเขา และคนเหล่านั้นคงไม่ใช่ฝีมือของชายหนุ่มเหล่านี้หรอก มีเพียงความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้อาวุโสของพวกเขา
บัญชีแค้นนี้ต้องชำระแน่นอน หลังจากเหตุการณ์นี้สิ้นสุดลง หนึ่งคนในเหล่าชายหนุ่มนี้หรือใครบางคนต้องคิดว่าเขาเป็นศัตรูแน่ ซึ่งเรื่องนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว หากถึงเวลานั้นจริง เขาก็ไม่สนใจที่จะต้องฆ่าเพิ่มอีกไม่กี่คน
ในตอนนี้บรรยากาศน่าอึดอัดมาก เยี่ยนซีเหวินครุ่นคิดอยู่สักพัก และพูดกับฟู่เสี่ยวกวนว่า : “ฟู่เสี่ยวกวน มามามา ช่วยแต่งกลอนที่น่าสนใจหน่อยได้หรือไม่ ? ”
เอาอีกแล้วหรือ !
ฟู่เสี่ยวกวนเบิกตามองเยี่ยนซีเหวินแวบหนึ่ง แต่เมื่อเยี่ยนเสี่ยวโหลวได้ยินแบบนี้กลับรู้สึกดีใจเลยรินเหล้าเต็มถ้วยให้กับฟู่เสี่ยวกวน และพูดว่า “ครั้งก่อนกลอน คลื่นเซาะทราย ยกจอกสุราต้อนรับลมวสันต์ ที่คุณชายแต่งช่างละเมียดละไมมาก เสี่ยวโหลวขอชนจอกเป็นเกียรติต่อคุณชาย อีกอย่างหวังว่าคุณชายจะไม่ปฏิเสธด้วย”
ขณะที่พูดเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็ยกแก้วเหล้าขึ้น ส่วนฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกเล็กน้อย ก่อนจะยกจอกเหล้าดื่มหมดแก้ว
“กลอนในวันนี้ข้าขอไม่แต่งนะ”
อ่า….!
อันที่จริงต่อให้เป็นชืออีหมิงในตอนนี้ก็หวังอยากให้ฟู่เสี่ยวกวนแต่งกลอนบทหนึ่ง เพราะบรรยากาศน่าเป็นใจเป็นอย่างมาก
พึ่งพาเพียงคลังคำศัพท์ในหนังสือความฝันในหอแดงก็ยากที่จะมีคนมาเทียบเท่าได้
เยี่ยนเสี่ยวโหลวรู้สึกผิดหวังทันที นางวางแก้วเหล้าลงและก้มหน้าลง ในใจแอบคิดเงียบ ๆว่าตัวเองไม่มีความสำคัญจริง ๆ
จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ยิ้มและพูดขึ้นว่า : “ข้าอยากแต่งกลอนทั่วไปเพื่อชื่นชมทุกท่าน”
ตอนที่ 183 โครงการทดลองปฏิรูป
รัชสมัยเซวียนลี่วันที่เก้าต้นเดือนสอง
เมื่อวานยังมีแสงอาทิตย์สว่างสดใส วันนี้กลับมีหิมะโปรยปรายเสียแล้ว
ซูซูกับซูโหรวนั่งในศาลาเถาหรานอย่างเบิกบานใจ วันนี้นางสวมอาภรณ์สีขาว เปียขนาดเล็กที่ถักบนหัวทั้งสองข้างนั้นได้แกะออกแล้ว เปลี่ยนเป็นทรงผมหางม้ามัดรวบไว้ข้างหลัง
แต่นางยังคงไม่สวมรองเท้า ตอนนี้นางนั่งบนม้านั่งโยกเยกไปมาอย่างซุกซน
“ศิษย์พี่สาม ท่านรู้จักกับฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างมาก เขาคนนี้….เป็นคนร้ายกาจจริงหรือ ? ”
เมื่อวานซูซูได้ยินบทสนทนาระหว่างต่งคังผิงกับฟู่เสี่ยวกวนแล้ว แน่นอนว่ามีหลายเรื่องที่นางฟังไม่รู้เรื่อง ดังนั้นจึงรู้สึกว่าพวกเขามีความสามารถสูงส่งและลึกล้ำ
ซูโหรวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับเบิกตาอันเรียวเล็กเหลือบมองซูซู “ศิษย์น้องหก อย่ากล่าวโทษว่าศิษย์พี่ไม่ได้เตือนเจ้า ความสงสัยนี่อาจจะไม่ใช่เรื่องดีก็เป็นได้”
“ศิษย์พี่พูดแบบนี้ก็มิถูก อาจารย์เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า เส้นทางการฝึกยุทธ์เริ่มต้นจากความสงสัย ? ทุกคนต่างก็หวังอยากโผบินเหมือนดั่งนก หวังอยากมีการเคลื่อนไหวคล่องแคล่วเหมือนวานร หวังอยากมีพละกำลังมหาศาลดุจหมีดำ ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มเลียนแบบจนค่อย ๆ เริ่มมีวรยุทธ์ และเริ่มมีกำลังภายในด้วย สุดท้ายก็สามารถโผบินอย่างอิสระเหมือนดั่งนกจริงหรือไม่ ? ดังนั้น….ความสงสัยเป็นตัวสร้างความก้าวหน้าต่างหาก ! ”
ซูโหรวหัวเราะเล็กน้อย จากนั้นดวงตาคู่นั้นก็เปลี่ยนเป็นสายตาแหลมคมขึ้น “แต่ถ้าหากเจ้าเกิดความสนใจต่อใครคนหนึ่ง หรือชายหนุ่มที่เพิ่งมีอายุ 16 ปี เจ้าต้องไปทำความรู้จักกับเขาให้มากก่อน อย่างเช่นตอนนี้ หลังจากที่เจ้าเริ่มรู้จักกับเขามากขึ้น เจ้าก็จะพบว่าหัวใจของเจ้าไม่มีคนอื่นแล้ว นี่คือ…ความสนใจที่ทำให้หญิงสาวต้องทุกข์ทรมาน ! ”
ซูซูเบิกตากว้างและมึนงงชั่วขณะ จากนั้นนางก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา
“ศิษย์พี่ช่างหยอกเก่งจริง ๆ อย่างเขาจะมีความสามารถทำแบบนั้นได้หรือ ? เป็นเพราะรู้จักกับเขามากขึ้นก็จะถูกเขาดึงดูดความสนใจเยี่ยงนั้นหรือ ? เลยเอาเขาเก็บไว้ในหัวใจ ? และยินยอมแต่งงานกับเขา ยินยอมคลอดลูกลิงให้กับเขา โดยไม่สนใจอะไรทุกอย่างอย่างนั้นหรือ ? ไม่เอาหรอก เรื่องนี้ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลย”
ครั้งนี้ซูโหรวไม่ตอบกลับ แต่นางเหลือบมองซูซูเป็นบางครั้งบางคราว ขณะเดียวกันก็ก้มหน้าปักผ้าลายเป็นยวนยางต่อ
เมื่อคิดถึงตอนนั้น มิใช่ว่าตัวเองก็สงสัยว่าทำไมศิษย์พี่ใหญ่ชอบปรับหมวกให้ตรงอยู่ตลอดเวลาหรอกหรือ ?
ราวกับย้อนกลับไปเมื่อก่อน ซูโหรวอดไม่ได้ที่จะยิ้มแย้มออกมา
เหมือนกับในหมวกของศิษย์พี่ใหญ่ซ่อนความลับอะไรบางอย่าง นางชอบถือกระบองไม้ไผ่กระบอกหนึ่งแทงใส่หมวกใบนั้น ศิษย์พี่ใหญ่มักพูดว่าอย่างท้อแท้ จากนั้นเขาก็จะยกมือทั้งสองข้างปรับหมวกใบนั้นให้ตรงเสมอ
เมื่อก่อนซูโหรวชอบที่จะทำเช่นนี้ เพราะศิษย์พี่รองบอกว่าในหมวกของศิษย์พี่ใหญ่นั้นมีนกน้อยตัวหนึ่ง––ซึ่งเมื่อได้ยินแบบนี้ ซูโหรวก็มีสีหน้าแดงก่ำทันที มีนกน้อยอะไรที่ไหนเล่า เป็นนกตัวใหญ่ต่างหาก !
ครั้งนั้นศิษย์พี่ใหญ่เคืองโกรธมาก และด่าทอนางอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรก แถมยังสั่งสอนศิษย์พี่รองด้วย แต่จนถึงตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่ก็ยังคงไม่บอกเลยว่า เหตุใดถึงเลี้ยงนกตัวหนึ่งไว้ในหมวก
ตอนนี้สาวน้อยคนนี้ยังเด็กมาก เพราะใช้ชีวิตอยู่แต่ในสำนัก นางเลยมีความไร้เดียงสามากกว่าผู้หญิงรุ่นเดียวกันที่อยู่โลกภายนอก ทั้งที่ยังไม่สามารถปักปิ่นเป็นหญิงสาวสมบูรณ์ก็มีความคิดหาผู้ชายสักคนแต่งงานแล้ว ดังนั้น…สักวันนางต้องถูกตกหลุมพรางแน่ และไม่สามารถปืนขึ้นมาได้ด้วย
สำหรับเรื่องนี้แล้วซูโหรวทำได้เพียงตักเตือน ส่วนในอนาคตซูซูจะตกหลุมพรางของฟู่เสี่ยวกวนหรือเปล่านั้น นางรู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก
ซูซูยังคงแกว่งเท้าทั้งสองข้างไปมาพร้อมจ้องมองทะเลสาบซวนอู่ที่มีหิมะตกหนักทับถมกัน ไม่นานนางก็ยื่นมือหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากใต้แขนอาภรณ์ ซูโหรวเงยหน้ามองขึ้น และเห็นเป็นหนังสือเรื่องความฝันในหอแดง
……
เมื่อใกล้ถึงเวลาเที่ยง เยี่ยนซีเหวินก็มาถึงจวนฟู่ ซึ่งข้างหลังของเขามีเยี่ยนเสี่ยวโหลวติดตามหลังมาด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยนเสี่ยวโหลวมาที่จวนฟู่เลย ในใจจึงมีความรู้สึกกังวลและสงสัยเป็นอย่างมาก ตลอดทางนางเอาแต่ครุ่นคิดตลอดว่า ฟู่เสี่ยวกวนกำลังทำอะไรอยู่ ? ฉลองปีใหม่เขาอยู่เมืองหลวงคนเดียวจะรู้สึกโดดเดี่ยวหรือไม่ ?
จากนั้นคำพูดของพี่ชายก็ทำร้ายจิตใจนางอย่างแรง –– “น้องสาว พี่ชายขอรับประกันว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นชายหนุ่มที่หาพบยาก แต่เจ้าช้าไปก้าวหนึ่งแล้วล่ะ ! ”
ต่อมานางเพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองกังวลเป็นเรื่องไม่จำเป็น ที่แท้ฟู่เสี่ยวกวนฉลองวันปีใหม่ที่จวนต่ง เมื่อวานเขายังติดตามต่งชูหลานไปเยี่ยมเยือนญาติของตระกูลต่งด้วย –– ซึ่งหมายความว่า เรื่องของพวกเขาสองคนได้ถูกกำหนดแล้ว และตอนนี้ก็ไม่สามารถขัดขวางได้
ถึงแม้เยี่ยนเสี่ยวโหลวยังคงเผยรอยยิ้มบนใบหน้าแต่ความรู้สึกผิดหวังได้เกาะกุมเต็มหัวใจของนางแล้ว นางก้มหน้าคิด แต่ในใจก็รู้สึกไม่ยินยอม แต่ต่อให้ไปพบฟู่เสี่ยวกวนที่จวนฟู่จะมีความหมายอะไร?
มันเป็นความรู้สึกวุ่นวายใจเท่านั้น !
“ความหมายของพี่ชายคือ เจ้าสามารถทอดทิ้งคำว่าอารมณ์ได้หรือไม่ ? ฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนที่น่าคบหาเป็นสหายคนหนึ่ง เหมือนกับต่งชูหลาน เมื่อข้าทอดทิ้งคำว่าอารมณ์ หัวใจก็จะปล่อยวาง และรู้สึกว่าต่งชูหลานเป็นคนที่น่าคบเป็นสหายคนหนึ่ง”
รถม้ายังคงขับเคลื่อนไปจวนฟู่ เยี่ยนเสี่ยวโหลวครุ่นคิดอยู่สักพักใหญ่ นางยังคงคิดไม่ออกว่าต้องปรับทัศนะคติแบบไหนไปพบฟู่เสี่ยวกวน และละทิ้งคำว่าอารมณ์นี้!
หลินไต้ยวี่มองออกหรือไม่ ? นางทำไม่ได้
เซวี๋ยเป่าชายมองออกหรือไม่ ? นางก็ทำไม่ได้เหมือนกัน
หลินไต้ยวี่ได้รับความรักจากเจี๋ยเป่าหยู แต่สุดท้ายกลับไม่ได้รับความสุข ส่วนเซวี๋ยเป่าชายไม่ได้รับความรักจากเจี๋ยเป่าหยู แต่สามารถครอบครองเจี๋ยเป่าหยู
ถึงแม้สุดท้ายจะเป็นโศกนาฏกรรม แต่อย่างน้อยพวกนางก็เคยครอบครอง
จากนั้นความสงสัยต่อฟู่เสี่ยวกวนยิ่งเพิ่มทวีคูณมากขึ้น เยี่ยนเสี่ยวโหลวพบว่าตัวเองยิ่งถลำลึกเช่นกัน แต่วันนี้คิดอยากปีนขึ้นจากหลุมพราง กลับตระหนักได้ว่าไม่มีสถานที่ให้หยุดพักแล้ว
เยี่ยนซีเหวินถอนหายใจหนึ่งเฮือก และครุ่นคิดในใจว่าเจ้าหมอนั่นเป็นปีศาจทำร้ายจิตใจคน !
น้องสาวได้พบกับเขาเพียงแค่ครั้งเดียว ซึ่งเป็นการพบกันครั้งแรกที่หลานถิงจี๋ ในตอนนั้นพวกเขาไปดื่มเหล้าที่หอซื่อฟางด้วยกัน จากนั้น….จากนั้นเยี่ยนซีเหวินก็รู้เลยว่าหัวใจของน้องสาวฝากไว้บนตัวของฟู่เสี่ยวกวนแล้ว
นางอ่านแต่เพียงหนังสือความฝันในหอแดง สิ่งที่นางซักถามมากที่สุดคือเรื่องของฟู่เสี่ยวกวน และสิ่งที่นางตั้งใจฟังมากที่สุดก็คือเรื่องที่เกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวนด้วย
ความสงสัย….คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เด็กสาวเริ่มรู้จักกับความรัก ในเมืองหลวงอันกว้างใหญ่นี้ เด็กสาวแบบนี้ มีเพียงน้องสาวของเขาเพียงคนเดียว !
เช่นนั้น จะทำอย่างไรจึงจะสามารถช่วยเหลือน้องสาวได้บ้าง ?
ซึ่งครึ่งหลังในการเดินทาง เยี่ยนซีเหวินเอาแต่ครุ่นคิดเพียงประเด็นนี้
ฟู่เสี่ยวกวนต้อนรับสองพี่น้องเยี่ยนซีเหวินในหลีเฉินซวน เขาต้มชาหลิ่งหนานเหยียนหนึ่งกา
หลังจากที่เยี่ยนซีเหวินเดินเข้าจวนฟู่ก็คอยสังเกตเขาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งฟู่เสี่ยวกวนหันหน้ามองน้องสาวแวบหนึ่ง โดยที่บนใบหน้าแทบไม่มีความรู้สึกอะไรเลย นอกเสียจากสีหน้าเป็นมิตร และดวงตาคู่นั้นก็ไม่มีสายตาตกตะลึงในความงามของน้องสาวด้วย
เจ้าหมอนี้….เยี่ยนเสี่ยวโหลวเป็นถึงหนึ่งในสามสาวงามของเมืองหลวงเชียวนะ เพียงแค่หน้าตา ก็สามารถยืนเคียงคู่หยูเวิ่นหวินกับต่งชูหลานได้อย่างมิเสียเปรียบเลย ส่วนเรื่องความรู้การศึกษา น้องสาวของตัวเองก็มีการศึกษาสูงกว่าหยูเวิ่นหวินกับต่งชูหลานมากนิดหน่อย––แต่เขากลับเหลือบมองเพียงแค่แวบเดียว !
“ชานี้มีรสชาติเลิศ เหมาะกับการดื่มในช่วงฤดูหนาวมาก เชิญท่านทั้งสองลิ้มลอง”
ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาแล้วยื่นให้กับเยี่ยนเสี่ยวโหลวและเยี่ยนซีเหวิน พลางพูดขึ้นว่า “เมื่อคืนข้าได้ครุ่นคิดอย่างละเอียดแล้ว สถานที่ที่อำเภอเหยามีที่ดินจำนวนมาก และที่โรงงานซีซานก็สามารถก่อสร้างเพิ่มได้เล็กน้อย ฉะนั้นข้าจึงมีความในใจอยากคุยกับพี่ซีเหวิน ถ้าหากพี่ไม่ชอบ เช่นนั้นก็คิดเสียว่าข้าไม่เคยพูดมาก่อนก็แล้วกัน”
เยี่ยนซีเหวินยกถ้วยชาขึ้นมาดมเล็กน้อย ก็เพียงแค่ชาหลิ่งหนานเหยียนเท่านั้น นึกว่าอะไรเสียอีก ของแบบนี้ที่จวนของตระกูลเยี่ยนมีเยอะถมเถไป
“เชิญพูดต่อ”
“ข้าคิดว่าการค้าสำคัญมากกว่าการเกษตร….ข้ารู้ว่าเจ้าต้องตกใจมาก แต่ช่วยฟังที่ข้าพูดจนจบด้วย” เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเห็นสายตาตกใจของสองพี่น้องก็ยิ้มแย้มขึ้น “ปัญหาอยู่ที่กำลังการผลิตที่ล้าหลัง และเครื่องมือทางการเกษตร ซึ่งปัญหานี้นำไปสู่การขาดแคลนจำนวนเกษตรกรเป็นจำนวนมาก ประสิทธิภาพของพวกเขาค่อนข้างต่ำ ตระกูลของข้าเป็นเจ้าของที่ดิน เรื่องนี้ข้าทราบดี ต่อให้พวกเขาทุ่มเทความพยายามทั้งปี เกษตรกรคนหนึ่งก็สามารถทำผลผลิตคิดเป็นเงินตำลึงแล้ว คงได้เพียงแค่สี่ถึงห้าตำลึงเท่านั้น เจ้าฟังไม่ผิด เป็นเพียงเงินที่พวกเราใช้จ่ายค่าเหล้าที่หอซื่อฟางเท่านั้น”
“แต่หากดำเนินการตามข้า ถึงแม้เงินตอบแทนแต่ละวันของเกษตรกรจะแค่ 20 อีแปะ หนึ่งเดือนก็ได้เพียง 600 อีแปะ หนึ่งปีก็ได้เพียง 7,200 อีแปะ ซึ่งอย่างน้อยก็เป็นเงิน 7 ตำลึง ซึ่งมากกว่ารายได้ไถนาสองสามตำลึง แต่ถ้ามีผู้เชี่ยวชาญ ตำลึงนี้ก็จะยิ่งเพิ่มเท่าตัว”
“ดังนั้นหากเปรียบเทียบอย่างง่ายดายคือ สำหรับพวกเขาแล้ว รายได้ของพวกเขาเพิ่มมากขึ้น สำหรับบิดาของเจ้าที่เป็นขุนนางแล้ว ภาษีที่เก็บจากการเกษตรก็ยังมิเท่าภาษีที่เก็บจากโรงงานของข้าเลย”
“ความคิดของข้าคือ หลังจากที่โรงงานในอำเภอเหยาเปิดกิจการ เจ้าสามารถพึ่งพาสถานะขุนนางของบิดา ไปพูดเกลี้ยกล่อมเหล่าเกษตรกรให้พวกเขาล้างเท้าแล้วเข้ามาทำงานที่โรงงาน นี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น และไม่นานความรุ่งเรืองจะบังเกิดขึ้นที่อำเภอเหยาจนราชสำนักต้องได้ยิน ในตอนนั้นคงได้คุณูปการยิ่งใหญ่แน่”
เยี่ยนซีเหวินขมวดคิ้วครุ่นคิด ไม่นานก็ซักถามขึ้นว่า “แล้วไร่นาจะทำอย่างไร ? คงไม่ปล่อยให้รกร้างใช่หรือไม่ ? ”
“ที่ดินที่อำเภอเหยาล้วนเป็นที่ดินของข้า แล้วข้าจะปล่อยให้พวกมันรกร้างได้อย่างไรกัน ! กล่าวอย่างไม่ปิดบัง สถาบันวิจัยและพัฒนาที่ซีซานกำลังทำการผลิตอุปกรณ์การเกษตร ปีหน้าการปรับปรุงดินก่อนหว่านข้าวในฤดูใบไม้ผลิก็สามารถใช้งานจริง ถึงตอนนั้นพี่ซีเหวินคงรู้ว่าประสิทธิภาพเหนือกว่ากำลังคนเป็นอย่างมาก”
“พูดให้ละเอียดหน่อย”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะฮ่าฮ่า “ข้าอธิบายแบบนี้ล่ะกัน ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนคนหนึ่งคนสามารถปลูกข้าวได้ 10 ตารางวา แต่หากใช้เครื่องมือการเกษตร หนึ่งคนสามารถปลูกข้าวอย่างน้อย 30 ตารางวา อีกอย่างไม่เปลืองแรงมากด้วย”
เยี่ยนซีเหวินเบิกตากว้างขึ้นมาทันที ถ้าหากสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนพูดเป็นความจริง ถือว่าการเพาะปลูกข้าวมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดเลย ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่พลิกฟ้าพลิกแผ่นดินเป็นอย่างมาก !
“จริงหรือ ? ”
“ข้าจะหลอกเจ้าได้อย่างไร แต่ข้าเพียงพูดถึงอนาคตเท่านั้น อุปกรณ์เหล่านั้นยังไม่สามารถผลิตเร็วได้ขนาดนั้น ต้องทำให้หมู่บ้านเสี้ยชุนก่อน จึงจะวนไปถึงรอบของอำเภอเหยา”
“พี่ฟู่เจ้าไม่ใจกว้างเลย พูดเพียงครึ่งเดียวได้อย่างไร ? แล้วทำอย่างไรถึงจะสามารถยกระดับการผลิตอุปกรณ์การเกษตรเหล่านั้นได้ ? เจ้าต้องการอะไรก็พูดมาตามตรง”
“ข้าต้องการช่างตีเหล็ก ช่างตีเหล็กจำนวนมาก ! และสามารถอยู่อำเภอเหยาเพื่อผลิตอุปกรณ์การเกษตรเหล่านั้นที่โรงงานได้”
เยี่ยนซีเหวินครุ่นคิดสักพัก และส่ายมือเล็กน้อย “สำนักหล่อเหยาเซียงคืนให้กับเจ้า รอให้ข้ากลับอำเภอเหยา เจ้าส่งคนมาพูดคุยกับข้า”
ฟู่เสี่ยวกวนคิดไม่ถึงเลยว่าเยี่ยนซีเหวินจะตอบรับโดยตรงแบบนี้ เช่นนี้ย่อมดีมาก ช่างตีเหล็กในมือของเขาล้วนอยู่ที่ภูเขาเฟิ่งหลิน และช่างเหล็กเหล่านั้นก็ยังมีงานที่สำคัญกว่านั้นทำอีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ โครงการทดลองปฏิรูปแห่งแรกของราชวงศ์หยูก็ก่อตั้งแล้ว
นับตั้งแต่เริ่มเกษตรกรรม นับตั้งแต่เริ่มต้นที่อำเภอเหยา เพราะอุปกรณ์การเกษตรของโรงงานที่อำเภอเหยา เกษตรกรหลายคนก็ถูกปลดปล่อยจากการไถนารูปแบบเก่า พวกเขาเดินเข้ามาในโรงงานกลายเป็นพนักงาน และเริ่มผลิตสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพื่อกลายเป็นสิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจของราชวงศ์หยู
นี่เป็นผลลัพธ์
ภายใต้สายตาที่เคารพนับถือของเยี่ยนเสี่ยวโหลวนั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็พาซูซูกับเยี่ยนซีเหวินไปจากจวนฟู่แล้วเดินทางไปที่หอซื่อฟาง
ตอนที่ 182 ฟ้าร้องน่ากลัวท่ามกลางความเงียบ
ตั้งแต่ต้นจนจบ เยี่ยนซีเหวินเดินเข้าไปในศาลาเซียงหมิงแล้วก็พูดประโยคนี้กับหยวนซุ่ย
“เจ้านี่นะ ข้าว่าเจ้าชักจะว่างเกินไปซะแล้ว ! ”
สิ่งนี้ทำให้หยวนซุ่ยอับอายมาก ตัวเขาเองต้องการให้อีกฝ่ายกับซูหลานปรับความเข้าใจกัน ความหวังดีกลับล้มเหลว แล้วเขายังต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้อีก
เยี่ยนซีเหวินได้จากไปแล้ว ต่งซูหลานมองดูหยวนซุ่ยด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ ท่านลุงสาม พวกท่านก็เห็นแล้วนะ ดังนั้นเรื่องของข้ากับเสี่ยวกวน ก็หวังว่าจะได้รับคำอวยพรจากพวกท่าน อีกทั้งหวังว่าในงานหมั้นของพวกเรา ท่านลุงสามกับท่านป้าสามจะไปร่วมงานด้วย ซูหลานจะซาบซึ้งใจมาก”
ต่งซูหลานกับฟู่เสี่ยวกวนออกจากบ้านตระกูลหยวนแล้ว หยวนซุ่ยและภรรยามองหน้ากัน ยังคงไม่มีอะไรที่น่าจดจำ
……
“น่าเบื่อ ! ”
ซูซูกินผลไม้เชื่อมลูกสุดท้ายในปาก แก้มป่องเล็กน้อย พูดประโยคนั้นขณะเคี้ยวอย่างระมัดระวัง
ชุนซิ่วไม่เห็นด้วย นางกลับรู้สึกว่าน่าสนใจมากกว่า
“น่าเบื่อทำไม ? คุณชายของข้าชนะแล้ว เจ้าไม่เห็นสีหน้าของหัวหน้าตระกูลหยวนและฮูหยินของเขาหรือ ? ข้าเกลียดท่าทางหยิ่งยโสตรงหน้าจนแทบจะทนไม่ไหวที่จะไปตบเขาสักฉาดสองฉาด แต่ในที่สุดคุณชายของข้าก็อดทนเพื่อดูสถานการณ์โดยรวม จากนั้นหลังจากที่คุณชายเยี่ยนมาถึง เขาก็อ่อนน้อมถ่อมตนต่อหน้าคุณชายของข้า ข้าดูแล้ว เขายังระมัดระวังตัวอยู่มาก นั่นนะเป็นถึงคุณชายใหญ่ของตระกูลเยี่ยนแห่งเมืองหลวง สถานะของเขาจึงสูงส่ง เขาไม่คล้ายว่าถูกท่าทางสง่างามเปี่ยมไปด้วยปัญญาของคุณชายกดข่มหรอกเหรอ ? นั่นแหละ สุดท้ายหัวหน้าตระกูลหยวนและฮูหยินถึงได้ดูอึดอัดจนทนไม่ได้ราวกับกินแมลงวันเข้าไป”
ซูซูไม่มีทางเข้าใจหลักการเหล่านี้ นางใช้ชีวิตอยู่ในสำนักเต๋ามาโดยตลอด อาศัยอยู่บนยอดเขาสูงสุดของสำนัก แม้แต่ศิษย์ธรรมดาเหล่านั้นก็แทบจะไม่ได้ติดต่อกันเลย แม้อาจารย์จะบอกว่าโลกมนุษย์และในสำนักนั้นไม่เหมือนกัน แต่ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ ความคิดของนางยังคงเรียบง่ายและตรงไปตรงมา
นางไม่คิดว่าจะมีอะไรมากมายในนั้น ดังนั้นนางจึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยหลังจากฟังคำอธิบายของชุนซิ่ว
“อย่างนี้แล้ว…….คุณชายของเจ้ามีความสามารถมากแค่ไหน ? ”
“แน่นอนซิ ! ” ชุนซิ่วเงยคอขึ้นอย่างภาคภูมิใจ “ เมื่อคุณชายของข้ายังอยู่ในหลินเจียง ชื่อเสียงของเขาได้สร้างความตกตะลึงให้กับเมืองจิงหลิงแห่งนี้ ข้าจะบอกให้ ชื่อเสียงของคุณชายได้แพร่กระจายไปทั่วราชวงศ์หยู เพราะแม้แต่ราชวงศ์อู๋ที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายพันลี้ก็รู้เรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นทำไมราชวงศ์อู๋ถึงได้เลือกคุณชายของข้าไปร่วมงานวรรณกรรมเทศกาลฤดูหนาว ?”
ซูซูกลืนผลไม้เชื่อมที่อยู่ในปากลงไป แล้วขมวดคิ้วครุ่นคิด ดูเหมือนจะเป็นเหตุผลเช่นนี้ มิน่าล่ะความฝันในหอแดงนั้นจึงสวยงามน่าอ่านอย่างนั้น ?
ดูเหมือนว่าข้าควรจะไปอ่านด้วยนะ
เมื่อวานนี้คุยกับฟู่เสี่ยวกวนเรื่องที่มีคนจะลักพาตัวเขา ทำไมเขาถึงยังนิ่งเฉยไม่มีการตอบสนองเลย ?
นี่ไม่ขยับเหมือนภูเขาหรือ ?
หรือว่ามีการวางแผนล่วงหน้า ?
ซูซูไม่ได้คิดอีกต่อไป อย่างไรก็ตามนี่คือเรื่องของฟู่เสี่ยวกวน ถ้ามีคนร้ายที่ไม่ได้มีสายตายาวไกลต้องการปล้นฟู่เสี่ยวกวนจริง ๆ แล้ว ด้วยฝีมือของนางกับศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์พี่หญิงสามแล้ว เว้นแต่จะมียอดฝีมือบางคนมา มิเช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
รถม้าของฟู่เสี่ยวกวนกับต่งซูหลานจอดอยู่ข้าง ๆ โรงน้ำชาแห่งหนึ่ง
“เจ้ารอข้าสักครู่ ข้าไปซื้อชานิดหน่อย”
“ที่บ้านมีชาอยู่ไม่ใช่หรือ ? ” ต่งซูหลานถามกลับด้วยความสงสัย
“ อืม ว่ากันว่าที่หอเซียงเย่นี้มีชาศิลาชุดหนึ่งที่ผลิตในหลิงหนาน รสชาติดีมาก ”
ฟู่เสี่ยวกวนพูดพร้อมกับลงจากรถม้าไป เดินเข้าในหอเซียงเย่ เดินตรงขึ้นไปยังชั้นสาม
ชั้นสามไม่ขายน้ำชา ขายเฉพาะใบชา เถ้าแก่เย่อู๋ซุ่ยของหอเซียงเย่กำลังลูบเคราของเขาและจิบชาหอมถ้วยหนึ่งอย่างจริงจัง
เพิ่งเป็นวันแรกของปีใหม่ ผู้คนที่ซื้อสินค้าในช่วงปีใหม่ได้ซื้อไปก่อนปีใหม่แล้ว ขณะนี้บนชั้นสามจึงไม่มีใครเลย
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปรอบ ๆ การตกแต่งบนชั้นสามนี้ไม่เลวเลย โทนสีโบราณกลิ่นหอมโบราณมีความคิดสร้างสรรค์ยิ่งนัก
เย่อู๋ซุ่ยคิดไม่ถึงว่าจะมีคนมา เงยหน้ามองมายังชายหนุ่มคนนี้ “ คุณชายคิดจะซื้อชาอะไรดี ? ”
“ หมิงเฉียนหลงจิ่ง 2 ตำลึง ไท่ผิงโหวกุ้ย 3 ตำลึง จวินซานอิ๋นเจิน 4 ตำลึง เพิ่มไท่หูเพียวเสวี่ยอีก 5 ตำลึง”
เย่อู๋ซุ่ยรู้สึกเครียดนิดหน่อย เขายิ้มและพูดว่า “ขอโทษนะคุณชาย หมิงเฉียนหลงจิ่งขาดสินค้า ทะเลสาบไท่หูมิเคยมีหิมะโปรยปรายจึงไม่มีเพียวเสวี่ย (หิมะโปรยปราย) เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้หรือไม่ ? ”
“ถ้าเช่นนั้นก็เอาเมิ่งติ่งกานลู่ 2 ตำลึง เนื่องจากทะเลสาบไท่หูไม่เคยมีหิมะ จึงเปลี่ยนเป็นเหม่ยเหรินยวี่ซือ 5 ตำลึง”
เย่อู๋ซุ่ยโค้งคำนับ” คุณชายโปรดตามข้ามา”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินตามเย่อู๋ซุ่ยขึ้นไปชั้นสี่ ในใจคิดว่าใครเป็นคนคิดรหัสลับนี้ขึ้นมา ยุ่งยากเกินไปแล้ว ต่อไปต้องทำให้ง่ายขึ้นสักหน่อย
บริเวณชั้นสี่มีใบชาจำนวนมากวางอยู่โดยรอบ และมีโต๊ะน้ำชาอยู่ตรงกลาง เย่อู๋ซุ่ยเชิญฟู่เสี่ยวกวนเข้าไปนั่ง แล้วพูดขึ้นว่า “ ให้รอคำสั่งของผู้ส่งสารในเดือน 12”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งจากแขนของเขาและส่งมอบให้เย่อู๋ซุ่ย “ข้ายังมีธุระ เจ้าทำตามคำชี้แนะนี้ของเบื้องบน ยิ่งเร็วยิ่งดี ถ้าได้ข่าวคราวแล้วก็ให้วางกระถางดอกบ๊วยไว้ที่หน้าต่างนี้ แล้วจะมีคนมารับไป”
“ เดือน 12 ทราบ”
“เอาชาศิลาจากหลิงหนานให้ข้า 2 ชั่ง เอาแบบดีนะ ข้าจะเอาไปเป็นของฝาก ”
“ขอรับ”
เย่อู๋ซุ่ยหันตัวกลับไปหยิบกล่องไม้แล้วส่งมอบให้ฟู่เสี่ยวกวน “ ชาศิลาแท้ ๆ ของหลิงหนาน หอมอบเชย หนึ่งชั่งราคา 10 ตำลึง”
ยังต้องจ่ายเงินกับสิ่งพิเศษนี้หรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าตัวเองเป็นคนวงใน สามารถดื่มชาได้ฟรี อืม เรื่องนี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ คาดว่าเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของซั่งกุ้ยเฟย
เขาจ่ายเงินไป 20 ตำลึง ถือกล่องชาเดินลงไปข้างล่าง เย่อู๋ซุ่ยเห็นด้านหลังนั้นหายลับไป ถึงได้มองดูกระดาษในมือใบนี้
เป็นหนานเหมินอีกแล้ว !
ยังกับโจรชาวลวี่หลิน !
อ่อ ได้ยินมาว่ามีคนถูกทุบตีในสถานที่นั้น แต่คำสั่งนี้ไม่ได้ต้องการตรวจสอบว่าคนนั้นถูกใครทุบตี แต่เพื่อตรวจสอบตัวตนของคนคนนั้น ยังมีร้านเหล้าเล็ก ๆ……เย่อู๋ซุ่ยหยุดคิดสักครู่แล้วก็เดินลงไปข้างล่าง
ฟู่เสี่ยวกวนและผู้ติดตามกลับถึงบ้านตระกูลต่ง นั่งลงในศาลาชุ่ยชินกับต่งคังผิงและฮูหยิน สีหน้าต่งคังผิงสงบนิ่ง แต่ว่าฮูหยินตื่นเต้นเล็กน้อย นางถามว่า “ เป็นอย่างไรบ้าง ? ราบรื่นดีหรือไม่ ? ”
ต่งซูหลานพยักหน้าแล้วยิ้ม ๆ “ไม่ผิดไปจากที่คาดคิดเมื่อคืน ลุงสองไม่ได้ทำให้พวกเราลำบากใจ มีแต่ลุงสาม…..จู่ ๆ ก็เชิญเยี่ยนซีเหวินมา”
“หา…..! ” ต่งฮูหยินใจกระตุกพักหนึ่ง “มีความขัดแย้งเกิดขึ้นงั้นหรือ ? ”
ต่งซูหลานส่ายหัว “ ไม่มี เยี่ยนซีเหวินเปลี่ยนไปจากเดิมมาก แต่ข้าบอกไม่ถูกว่าเปลี่ยนแปลงไปตรงไหน คือว่า…..” ต่งซูหลานขมวดคิ้วครุ่นคิดเรื่องนี้ พูดอีกว่า “ คือรู้สึกว่าไม่มีความจองหองมากเหมือนเมื่อก่อน สงบเยือกเย็นลงไปมาก ในระหว่างคำพูดจาก็ไม่มีท่าทีอวดดีอย่างเดิม”
ต่งซูหลานอธิบายรายละเอียดให้ท่านพ่อท่านแม่ ในที่สุดต่งฮูหยินก็ถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก เนื่องจากการยืนกรานของต่งซูหลาน ตระกูลเยี่ยนไม่สามารถยึดติดได้อย่างสมบูรณ์ เสี่ยวกวนลูกเขยคนนี้ก็ค่อนข้างดี แต่ไม่มีรากฐานอะไรเลยนะซิ เฮ้อ !
แม้ท่านพี่จะบอกว่าเด็กคนนี้ช่วยเหลือทางราชสำนักมากมาย แต่เขาต้องต่อสู้เพื่อสิ่งนี้ทั้งหมด เด็กที่น่าสงสาร เส้นทางราชการง่ายขนาดนั้นเลยเชียวหรือ ?
ท่านพี่ของตัวเองก็ไม่มีรากฐาน ได้ครอบครองในส่วนที่เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นของฝ่าบาท ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาท ถึงได้คว้าตำแหน่งเสนาบดีกรมคลัง โอย ก็ยังไม่รู้เลยว่าฟู่เสี่ยวกวนจะสามารถก้าวเดินได้ทางไหนบ้าง
พอแล้วพอแล้ว ลูกหลานมีทางรอดของเขาเอง ข้าไปทำอาหารอร่อย ๆ เพื่อให้เขาดีกว่า และข้าก็ทำเพื่อเขาได้แค่เรื่องนี้เอง
ต่งฮูหยินออกจากศาลาชุ่ยชินไปเข้าครัว ฟู่เสี่ยวกวนสนทนาอยู่กับต่งคังผิง หลัก ๆ ต่งคังผิงพูดถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ระหว่างญาติเหล่านี้
“ต่งซิวมู่ ลูกชายคนที่สามของลุงใหญ่ของซูหลาน ได้รับโทษฐานติดสินบนและบิดเบือนกฎหมาย รอมาเกือบ 3 ปี ก็ได้รับตำแหน่งนายอำเภอเหอหยูที่หนิงโจวเมื่อเดือนสิบของปีที่แล้ว เจ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อาวุโสฉิน ลูกชายของผู้อาวุโสฉินก็ไปรับตำแหน่งจือโจวที่หนิงโจวเมื่อตอนเดือนเก้าปีที่แล้ว…..”
ต่งคังผิงยังพูดประโยคนี้ไม่จบ ฟู่เสี่ยวกวนก็เข้าใจแล้ว เขากำลังจะแสดงออกว่า อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์นี้ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ขอแค่ให้ผู้อาวุโสฉินพูดถึงสิ่งนั้นในจดหมายของเขาถึงฉินติ้งฟางก็พอแล้ว ต่งคังผิงพูดอีกว่า “เต้าถายคนก่อนของแม่น้ำหวงเหอตอนเหนือ บัดนี้ถูกส่งไปจองจำในคุกแล้ว คน ๆ นี้ข้าก็รู้จัก เคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนสถาบันจี้เซี่ย นามโจวตู้ เดินตามรอยของอาจารย์ทวดเฟ่ย”
“เต้าถายของแม่น้ำหวงเหอตอนใต้เซี่ยหลิงได้ระงับการสอบสวนในตอนนี้ คนผู้นี้เดิมทีได้รับการชื่นชมจากท่านผู้เฒ่าตระกูลซืออดีตหัวหน้าตระกูลซือคนก่อน ตั้งแต่ท่านผู้เฒ่าตระกูลซือออกจากคณะเสนาบดีแล้ว คนผู้นี้ก็สนิทชิดเชื้อกับตระกูลเยี่ยน ในครั้งนี้…คาดว่าคงจะเลี่ยงภัยพิบัติได้ลำบาก ณ ตอนนี้มีการเสนอชื่อเต้าถายของแม่น้ำหวงเหอตอนเหนืออยู่ 2 คน คนหนึ่งคือเยี่ยนชิวผิงของตระกูลเยี่ยน เป็นลูกชายคนรองของเยี่ยนเป่ยซีด้วย อีกคนหนึ่งคือเซวี๋ยจือชิวแห่งตระกูลเซวี๋ย คนผู้นี้เดิมทีเป็นจือโจวที่ไช้โจวของแม่น้ำหวงเหอตอนใต้ ดำรงตำแหน่ง 5 ปี ผลงานค่อนข้างดี ภายใต้การบริหารจัดการของเขา ภัยภิบัติทางตอนใต้ของแม่น้ำหวงเหอ เขตไช้โจวเสียหายน้อยที่สุด ”
“ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเยี่ยนหรือตระกูลเซวี๋ย ต่างก็จ้องยึดตำแหน่งเต้าถายของแม่น้ำหวงเหอตอนเหนือนี้ ตระกูลซือดูเหมือนไม่มีการเคลื่อนไหว ดังนั้นคาดว่าเซี่ยหลิงจะถูกถอดในไม่ช้านี้”
“โดยรวมแล้ว ครั้งนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังจากวันที่เจ็ดเปิดว่าราชการแผ่นดินแล้ว จะมีการโยกย้ายตามมาอีกมากมาย ในความเห็นของข้า ฝ่าบาทจะใช้คนใหม่มากขึ้น แต่ในความเป็นจริง ผู้มาใหม่เหล่านี้ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของหกตระกูลใหญ่ ดังนั้นแล้ว ตัวเจ้าเองจงคิดวิเคราะห์อย่างรอบคอบ อย่าเพิ่งด่วนใจร้อน ฝ่าบาทนี้ มิได้โง่เขลา”
ประโยคสุดท้ายของต่งคังผิงแผ่วเบา แต่หนักแน่น ก้องอยู่ในหูของฟู่เสี่ยวกวน ถึงกับทำให้เขาขมวดคิ้ว
เขาไม่ได้รู้จักฝ่าบาทลึกซึ้ง เพียงไม่กี่ครั้งที่ได้พบก็รู้สึกว่าพระองค์นั้นค่อนข้างใจดี บวกกับระดับความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหยูเวิ่นหวินแล้ว เขาไม่มีความคิดว่าฝ่าบาทจะเลวร้าย
แต่ในตอนนี้ต่งคังผิงพูดอย่างจริงจัง นั่นหมายความว่าฝ่าบาททรงทราบเรื่องนี้ทั้งหมด ดังนั้นถ้าอยากจะแก้ปัญหานี้ ก็ต้องโยนไปให้เหล่าตระกูลใหญ่ทั้งหกจัดการ
ฟู่เสี่ยวกวนก็คิดถึงเรื่องนี้เช่นกัน ในรัชสมัยของฝ่าบาท การใช้เล่ห์เหลี่ยมแบบนี้ไม่ถือว่าไม่เหมาะสม เขายังเต็มใจที่จะเป็นเสนาบดีที่โดดเดี่ยว กลายเป็นเบี้ยในพระหัตถ์ของฝ่าบาท ไม่ใช่เพื่อสิ่งอื่นใด เพียงเพื่อให้สามารถอยู่บนโลกนี้ได้อย่างสะดวกสบาย
แล้วความคิดของข้าควรเติบโตอยู่ที่ใด ?
แสวงหาข้อดีหลีกเลี่ยงข้อเสีย ? เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ผล
เสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล ?
อย่างนี้เป็นไปได้ทีเดียว
แค่ว่าตอนนี้ตนเองยังไม่ได้ทำอะไร จึงยังมิต้องรีบร้อน
คิดมาคิดไป ต้องสร้างความเข้มแข็งให้ตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์เช่นนี้
ไม่จำเป็นต้องขัดแย้งกับพระองค์ แต่ต้องมีเงินทุนเพียงพอในมือ—–ไม่ได้หมายความว่าต้องการกบฎ มันเหนื่อยเกินไปที่จะกบฎต่อเรื่องแบบนี้ แต่จะทำให้ฝ่าบาทแยกออกจากตนเองในตอนนี้ก็คงจะไม่ได้ แล้วควรเริ่มต้นจากที่ไหน ?
“เช่นเดียวกับเกมหมากรุกของเจ้า เริ่มจากที่ตั้งจุดเล็ก ๆ ฟ้าร้องน่ากลัว….ท่ามกลางความเงียบ ! ”
ตอนที่ 181 เจ้าว่างเกินไปสินะ
“พูดไปแล้วเจ้าคงมิเชื่อ จริง ๆ แล้วข้าอยากเป็นนายน้อยที่ร่ำรวย แต่ว่าบารมีของข้ามีไม่ถึง ! ข้าต้องบอกเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง พวกเจ้าพูดมากเช่นนี้ ไม่คิดหรือว่าเหตุใดตระกูลเยี่ยนถึงไม่สร้างความยุ่งยากให้ข้า ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยกถ้วยชาขึ้นมา สายตาของหยวนซุ่ยจ้องเขม็ง หยวนฮูหยินก็ขมวดคิ้ว
ในฐานะซื่อหลางจงฝ่ายขวา ตำแหน่งของหยวนซุ่ยไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่ก็ข้องแวะกับเรื่องสำคัญเกือบจะทั้งหมดของราชวงศ์หยู
ในฐานะหน่วยงานบริหารสูงสุดของราชวงศ์หยู ฎีกากราบทูลของขุนนางต่าง ๆ ในราชวงศ์หยูล้วนแล้วแต่ผ่านการตรวจสอบจากส่วนกลางแล้วจึงส่งมอบให้ท่านอัครมหาเสนาบดี เว้นแต่จะเป็นรายงานลับของฮ่องเต้แล้ว นอกนั้นไม่มีอะไรที่ไม่รู้ หยวนซุ่ยรับราชการเป็นซื่อหลางจงฝ่ายขวามา 5 ปีแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่เคยพูดคุยกับอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยชี แต่เขาก็เข้าใจว่าอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยชีเป็นคนอย่างไร
สามารถเสริมสร้างความมั่นคงในประเทศได้ เยี่ยนเป่ยชีย่อมไม่ใช่คนโง่
อย่างไรก็ตามหยวนซุ่ยไม่ได้คำนึงถึงจุดนี้ เรื่องราวของราชวงศ์นี้ มีเพียงส่วนเล็ก ๆ ที่ไม่ได้สื่อสารผ่านจากระดับล่างขึ้นบน แต่เป็นความลับจากบนลงล่าง ความลับนี้จะไปไม่ถึงระดับของหยวนซุ่ย ดังนั้นเขาจึงแทบไม่รู้ความลับอะไรเลย
เช่นเรื่องที่องค์หญิงใหญ่ไปพบต่งคังผิง
เช่นเหตุใดจึงปล่อยให้ต่งซิวจิ่นออกจากเวทีไป
และดังเช่นองค์หญิงใหญ่กับอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยชีเคยหารือในเชิงลึกและบรรลุผลนานาประการ
นี่มิใช่ความผิดของหยวนซุ่ย แต่ผิดที่ว่าตำแหน่งของเขาต่ำเกินไป
ดังนั้นพอฟู่เสี่ยวกวนถามขึ้นมา เขาก็งุนงง ใช่แล้ว ตระกูลเยี่ยนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ ทำไมถึงไม่สร้างความยุ่งยากให้ฟู่เสี่ยวกวนล่ะ ?
นอกจากนี้สถานการณ์ปัจจุบันก็แสดงให้เห็นว่าต่งคังผิงเห็นด้วยกับเรื่องของสองคนนี้ คนฉลาดเช่นต่งคังผิง เป็นไปได้ไหมที่จะให้ซูหลานแต่งงานเพราะความสามารถด้านวรรณกรรมของฟู่เสี่ยวกวน ?
หยวนซุ่ยสูดหายใจเข้าลึก ในใจยิ่งทวีความเคลือบแคลง แต่เขาก็ยังยืนกรานในมุมมองของตนเอง
“ที่ว่าเหตุใดตระกูลเยี่ยนไม่สร้างความยุ่งยากให้แก่เจ้า เรื่องนี้ข้ามิสนใจ แต่ข้าเป็นลุงสามของซูหลาน เกี่ยวกับการแต่งงานของซูหลาน ข้ายังพอพูดได้บ้าง เยี่ยนซีเหวินกับซูหลานเติบโตมาด้วยกันที่จินหลิง เคยเรียนในสถาบันเดียวกันและเล่นกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ เยี่ยนซีเหวินเป็นหลานชายคนโตของบุตรชายคนโตตระกูลเยี่ยน อนาคตต้องสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเยี่ยน แล้วเจ้าล่ะ ? หนุ่มน้อย ผู้ฉลาดต้องรู้จักตัวเอง….. ”
หยวนซุ่ยพูดยังไม่ทันจบ ก็เห็นเยี่ยนซีเหวินเดินเข้ามาพร้อมกับคนเฝ้าประตู
วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผู้อาวุโสคนนี้เชิญเขา เยี่ยนซีเหวินเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมบ้านตระกูลหยวนถึงได้ส่งเทียบเชิญมาหาเขาแต่เช้า บอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องการเชิญให้เขามาพบที่บ้านตระกูลหยวน
เยี่ยนซีเหวินคิดไปคิดมาก็ไม่เห็นว่าตัวเองจะมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับบ้านตระกูลหยวน ช่างเถอะ เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่ามีเรื่องสำคัญอะไร ดังนั้นเขาถึงได้เดินทางมา
จากนั้น เขาก็ชะงัก
นี่มันอะไรกัน!
ตาเฒ่าหยวนซุ่ยผู้นี้เลวมาก !
ต่งซูหลานอยู่ที่นี่ ฟู่เสี่ยวกวนก็อยู่ที่นี่ มันเป็นสิ่งที่เยี่ยนซีเหวินเจ็บปวดที่สุดในหัวใจ เขารู้เรื่องทั้งหมดจากบิดาของเขาแล้ว และรู้แล้วว่าเรื่องระหว่างเขากับต่งซูหลานยังไงก็เป็นไปไม่ได้ เขาหลีกเลี่ยงเรื่องที่ทำร้ายจิตใจนี่มาตลอด แต่วันนี้หยวนซุ่ยคนนี้กลับมาวางหมากเรื่องนี้อีก
เยี่ยนซีเหวินไม่ได้แสดงอะไรออกมา ใบหน้าของเขาอ่อนโยน โค้งคำนับให้ฟู่เสี่ยวกวน นี่เป็นมารยาทที่ศิษย์พึงกระทำ
หยวนซุ่ยและภรรยาตกตะลึงจนอ้าปากค้าง มองดูด้วยความประหลาดใจ เห็นเยี่ยนซีเหวินเดินตรงไปหาฟู่เสี่ยวกวน แล้วนั่งลงข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน พูดด้วยรอยยิ้ม “พี่ฟู่ ท่านใจดีกับข้าตอนอยู่ที่ซีซาน รู้ว่าท่านมาถึงเมืองหลวง เดิมทีก็คิดแล้วว่าจะหาเวลาเชิญท่านไปเลี้ยงอาหารที่หอซื่อฟาง นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว มื้อเที่ยงนี้ข้าขอเลี้ยงข้าวท่านสักมื้อนะ ? ”
นี่มันเรื่องอะไรกัน ?
หยวนซุ่ยและภรรยาคิดว่าพอเยี่ยนซีเหวินมาถึงคงจะบดขยี้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผุยผงแน่ และเขาคงแสดงออกถึงความรู้สึกในใจต่อซูหลานอย่างแน่นอน ตราบใดที่เยี่ยนซีเหวินแสดงท่าทีออกมา ก็จะเป็นการประกาศอย่างชัดเจน และเพื่อเป็นการรักษาหน้าตาของตระกูลเยี่ยน เยี่ยนซือเต้าต้องไปจวนตระกูลต่งเพื่อทาบทามเรื่องการแต่งงานอย่างแน่นอน
ตราบใดที่การแต่งงานนี้ถูกกล่าวถึง ต่งคังผิงจะทำอย่างไรได้ นอกจากทำได้เพียงแค่เห็นด้วย เพราะตระกูลเยี่ยนไม่ยอมเสียหน้าจากการถูกปฏิเสธอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้เยี่ยนซีเหวินไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ เขาแค่มองไปที่ต่งซูหลานอย่างรู้สึกผิด จากนั้นก็นั่งคุยสัพเพเหระกับฟู่เสี่ยวกวน และยังจะเลี้ยงข้าวเที่ยงฟู่เสี่ยวกวนอีก !
สองคนนี้ใช่ชายหนุ่มที่กำลังแย่งชิงหญิงสาวที่ไหนกัน !
นี่มันเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานานชัด ๆ !
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ต่งซูหลานมิเหมาะสมที่จะไปกับเขา อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังไม่ได้หมั้นหมายกัน ดังนั้นไม่ควรปล่อยให้ต่งซูหลานติดต่อใกล้ชิดกับผู้ชายคนนี้
ดังนั้นเขาจึงยิ้มและพูดว่า “ขอบคุณความกรุณาของพี่ซีเหวิน วันนี้คงมิสะดวกจริง ๆ ข้ากับซูหลานจะไปเยี่ยมเยียนญาติ แล้วต้องกลับไปที่จวนตระกูลต่ง เจ้าจะกลับไปที่อำเภอเหยาเมื่อไหร่ ? หรือพรุ่งนี้ข้าจะจองโต๊ะที่หอซื่อฟางแล้วเชิญฟางเหวินซิงและคนอื่น ๆ มารวมตัวกันดี ? ”
“วันที่ห้าออกเดินทาง เดิมทีไม่ควรจะกลับมา แต่มีเรื่องบางอย่างในใจที่ต้องกลับมาอีกครั้ง ถ้างั้นก็กำหนดเป็นวันพรุ่งนี้ ข้าจะไปจองโต๊ะที่หอซื่อฟาง เรื่องนี้เจ้าต้องฟังข้า ข้าเกิดและเติบโตที่นี่เป็นคนจินหลิง พวกฟางเหวินซิงจะเสริมในส่วนที่ขาดไป พวกเราจะออกจากเมืองหลวงวันที่ห้าไปยังสถานที่ต่าง ๆ เพื่อรับตำแหน่ง หลังจากนั้นคงเป็นเรื่องยากสักหน่อยที่จะได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เฮ้อ…..! ”
เยี่ยนซีเหวินถอนหายใจเฮือกหนึ่ง รินชาใส่ถ้วยแล้วยกดื่ม “ เวลาแห่งความสุขไปแล้วไม่หวนกลับ จริง ๆ แล้วข้าหวังว่าเมื่อถึงวันที่สิบห้าของเดือนหนึ่งแล้วค่อยจากไป”
“อยากอยู่ที่เมืองหลวงให้หลายวันหน่อยหรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนไม่แปลกใจ เพราะการกลับมาไม่ใช่เรื่องง่าย ไปคราวนี้เกรงว่าจะเป็นปีเลยเชียว
เยี่ยนซีเหวินส่ายหัวไปมา “มิใช่ว่าคิดถึงบ้าน แต่เป็นเพราะวันที่สิบห้าของเดือนหนึ่งจะมีงานกวีซ่างหยวนของหลานถิงจี๋ ข้าต้องการชนะเจ้าสักรอบ งานกวีวันไหว้พระจันทร์ข้าก็พ่ายแพ้ไปแล้ว ในงานกวีซ่างหยวนข้าคงไม่แพ้เจ้าอีกใช่หรือไม่ ? น่าเสียดาย เกรงว่ารอบนี้ยากที่จะกลับมา ถ้าเจ้าแต่งบทกวีดี ๆ ในงานกวีซ่างหยวนล่ะก็ อย่าลืมส่งจดหมายเล่าให้ข้าฟังบ้างนะ”
หยวนซุ่ยและภรรยาสับสนมากขึ้น ข้าเชิญเจ้ามาเพราะเรื่องของเจ้ากับต่งซูหลาน พวกเจ้ากลับใช้สถานที่ของข้าเพื่อคุยเรื่องอดีต !
ผิดแผนหรือเปล่า ?
ดูจากการสนทนาระหว่างเขาทั้งสองสิ ดูเหมือนว่ายังมีมิตรภาพเหลืออยู่ระหว่างเขาสองคน !
เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?
หยวนซุ่ยก็ไม่กล้าถาม แม้ว่าเยี่ยนซีเหวินจะเป็นเพียงนายอำเภอเล็ก ๆ แต่เขาก็คงไม่กล้าถาม ขณะนี้ทำได้เพียงแค่รับฟังเท่านั้น
ต่งซูหลานรู้สึกว่าเยี่ยนซีเหวินดูเหมือนจะเปลี่ยนไปมาก คนผู้นี้เป็นคนดีจริง ๆ หวังว่าเขาจะเจอคนที่เขาชอบในอนาคตนะ
ฟู่เสี่ยวกวนคิดไม่ถึงว่าเยี่ยนซีเหวินต้องการอยู่ต่อที่เมืองหลวงเพื่อจุดประสงค์นี้ เขาลูบจมูกพลางพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “พี่ซีเหวิน ข้าคิดว่าข้าด้อยกว่าท่านในการจัดการการปกครอง แต่ถ้าเกี่ยวกับบทกวีแล้วล่ะก็ …พี่ชาย ข้าไม่ได้โอ้อวดนะ ท่านตามไม่ทันหรอก ”
เยี่ยนซีเหวินจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็มีอาการหงุดหงิดและถอนหายใจอีกครั้ง “ เจ้ารู้หรือไม่ ? ที่จริงข้าสามารถไปรับตำแหน่งจือโจวที่เมืองใดก็ได้ แต่ท่านปู่ไม่ยินยอม…” จากนั้นก็จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาแบบมีเลศนัย “ พูดไปแล้วข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่เชื่อข้า นี่คือคำพูดที่ท่านปู่พูดกับข้า : ในบทกวีและบทความ เจ้าเทียบฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ ในการปกครองเจ้าก็เทียบฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ เจ้าก็เหมือนกับพ่อของเจ้า เริ่มจากอำเภอเถอะ”
“ ฟังแล้วนะ ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าเป็นปู่ของข้าหรือเป็นปู่ของเจ้ากันแน่ ! มีอย่างที่ไหนที่ปู่ของตัวเองพูดยกย่องคนอื่นแล้วมาให้ร้ายหลานชายของตน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกขบขัน เจ้าเด็กนี้เป็นนายอำเภอแค่ 2 เดือน แต่กลิ่นอายความเป็นนักเลงหนักแน่นไม่น้อยเลย
อย่างไรก็ตามคำพูดเหล่านี้เปรียบเสมือนฟ้าร้องกึกก้องในหูของหยวนซุ่ยและภรรยา อะไรนะ ? ฟู่เสี่ยวกวนคนนี้ถึงกลับได้รับการประเมินค่าอย่างสูงจากเยี่ยนเป่ยซี ?
เจ้าหมอนั่นอาศัยอะไรกัน ?
นโยบายบรรเทาสาธารณภัยรึ ?
“ พี่ซีเหวิน ท่านต้องเชื่อในสิ่งที่ปู่ของท่านพูดนะ ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดร้อนจริงหรือไม่”
“เหอะ ! ”
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ….!”
ดวงอาทิตย์สาดแสงด้านนอก ระหว่างที่หนุ่มน้อยทั้งสองคุยไปหัวเราะไป
นี่มีความเกลียดชังที่ไหนกัน มีความหึงหวงอิจฉาที่ไหนกัน
เยี่ยนซีเหวินเกิดในตระกูลการเมืองการปกครอง เข้าใจคำว่าการเมืองการปกครองรึไม่ ไม่ผิดที่เขาชอบต่งซูหลาน แต่เมื่อเขารู้ความจริงเล็กน้อยที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ก็รู้แล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้สำหรับตัวเขาและต่งซูหลาน
เขาไม่รู้ว่าทำไมฟู่เสี่ยวกวนถึงเป็นที่โปรดปรานขององค์หญิงใหญ่ และก็ไม่เข้าใจว่าทำไมฟู่เสี่ยวกวนเป็นที่โปรดปรานของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย เขาไม่จำเป็นต้องรู้เหตุผล ตราบใดที่มีผลลัพธ์เช่นนี้ เขาก็สามารถตัดสินได้หลายเรื่องแล้ว
การตรวจสอบเรื่องการทุจริตโกงกินในครั้งนี้ ตระกูลเยี่ยนก็มีการสูญเสีย แต่เมื่อเทียบกับอีก 5 ตระกูลแล้ว การสูญเสียตระกูลเยี่ยนนั้นถือว่าน้อยสุด เพราะเยี่ยนเป่ยซียอมหักข้อมือของเขา และเบื้องหลังมีการบรรลุข้อตกลงบางอย่างกับพระสนมซั่งกุ้ยเฟย
ในฐานะที่ฟู่เสี่ยวกวนริเริ่มเรื่องนี้ เยี่ยนซีเหวินได้เริ่มให้ความสนใจเขามากพอ
เขารู้ดีว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นหมากตัวหนึ่ง เขาเคยคิดว่าหลังจากตรวจสอบและจัดการกับการทุจริตโกงกินแล้ว ตัวหมากฟู่เสี่ยวกวนจะถูกทิ้งไป อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าหลังจากนั้นเขาไม่เพียงแต่ไม่ถูกทิ้ง ทว่ากลับมีแนวโน้มที่จะผ่านเรื่องนี้ไปได้ กลายเป็นเบี้ยที่สามารถเดินต่อไปได้
เนื่องจากแผนบรรเทาภัยพิบัติ และกำลังจะไปเป็นทูตของราชวงศ์อู๋ แม้กระทั่งมีแนวโน้มว่าในปลายปีจะได้ติดตามองค์หญิงสามไปแคว้นฮวงเพื่อทำหน้าที่เป็นทูตแห่งสันติภาพ
สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่สำคัญ แต่สุนัขจิ้งจอกเฒ่าที่คมเฉียบอย่างเยี่ยนเป่ยชี กลับได้กลิ่นรสชาติที่แตกต่าง
“ ในราชสำนักของราชวงศ์หยู ข้าราชสำนักมีความสัมพันธ์กัน ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะไม่อดทนอีกต่อไป เด็กคนนี้เป็นหมากนอกกระดานและปรากฏตัวขึ้นมาในเวลาที่เหมาะสม เกรงว่า…….เมื่อผ่านร้อนผ่านหนาวไป เด็กคนนี้จะกลายร่างเป็นมังกร ! ”
ประโยคนี้เป็นคำพูดที่เยี่ยนเป่ยชีพูดกับเยี่ยนซือเต้าเมื่อคืนที่ผ่านมา ซึ่งเยี่ยนซีเหวินได้ยินโดยปริยาย เขาเข้าใจความคิดของปู่ แต่เขาก็ยังมิเห็นว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงจะกลายร่างเป็นมังกรได้
“เจ้าจะอยู่เมืองหลวงนานแค่ไหน ? ” เยี่ยนซีเหวินถาม
“คงจะใช้เวลานาน”
“แล้วเรื่องการลงทุนที่อำเภอเหยาล่ะ ? เมื่อได้พูดไว้แล้ว เจ้าอย่าลืมเสียล่ะ ! ”
“เรื่องนี้เจ้าวางใจ เรื่องทำกำไรข้าจำได้ชัดเจนที่สุด ข้าเขียนจดหมายส่งถึงบิดาข้าแล้ว จากนั้นหนึ่งปีบิดาข้ากับพ่อบ้านจางจะไปดูทำเลถิ่นฐานของเจ้า อย่างไรก็ตามเราสองคนมาพูดคุยกันให้ชัดเจนกันก่อนว่า ภาษีที่ควรจ่ายจะให้เจ้ามีมิน้อยอย่างแน่นอน แต่เจ้าต้องไม่มายุ่งเกี่ยวกับวิธีทำธุรกิจของข้า”
เยี่ยนซีเหวินหัวเราะขึ้นมา “เจ้ากังวลว่าข้าจะว่างมากไปหรือไง ? ดีล่ะ พรุ่งนี้เที่ยงเจอกันที่หอซื่อฟาง”
เขาลุกขึ้นยืนในขณะที่เขาพูดกับหยวนซุ่ย “ ส่วนเจ้า ข้าดูแล้วเจ้าคงจะว่างมากเกินไปสินะ ! ”
ต่งชูหลานและท่านลุงรองนามว่าต่งเสียงฟางนั่งอยู่ศาลาเซียงหมิงซวน ใบหน้าอันผอมเพรียวเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ในมือถือถ้วยน้ำชาอยู่แต่ก็เย็นชืดเสียแล้ว
ต่งซิวหวย บุตรชายคนรองของเขามองไปยังท่านพ่อ จากนั้นเมื่อคิดว่าเมื่อเช้ามีคนจากที่บ้านท่านอามาบอกว่าพี่ชูหลานจะเดินทางมาหา ท่านพ่อของเขาก็มีสีหน้าเป็นกังวล เกรงว่าจะมีเรื่องใดที่ทำให้กังวลใจ
เมื่อไตร่ตรองดูก็พบว่าคงเป็นเรื่องคู่หมั้นของนางเป็นแน่
ทุกคนล้วนคิดว่าต่งชูหลานจะแต่งงานกับเยี่ยนซีเหวิน แต่คิดมิถึงว่าภายในระยะเวลาสั้น ๆ นี้สถานการณ์จะพลิกผันไป บุตรพ่อค้าที่ดินจากเมืองหลินเจียงมิรู้ว่าใช้วิธีการใดจึงได้เอาชนะเยี่ยนซีเหวิน และบัดนี้ตระกูลเยี่ยนก็มิได้มีท่าทีใด ๆ แม้แต่น้อย !
เรื่องนี้ช่างประหลาดนัก ตระกูลเยี่ยนแห่งเมืองหลวงนี้มั่นคงดุจขุนเขา ในสายตาของตระกูลเยี่ยนนั้น เมืองหลินเจียงเทียบมิได้แม้แต่น้อย เมื่อก่อนเขาเคยร่วมรับประทานอาหารกับเยี่ยนซีเหวิน ต่งซิวหวยรู้ดีว่าเยี่ยนซีเหวินคิดเยี่ยงไรกับพี่สาวของเขา แต่หลังจากเหตุการณ์นั้นเยี่ยนซีเหวินก็เงียบหายไป อีกทั้งเยี่ยนซือเต้าก็ด้วย
ต่งซิวหวยรู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้มิเลวทีเดียว เขามีชื่อเสียงในด้านการศึกษา แม้แต่เยี่ยนซีเหวินก็ยังสู้มิได้
เขาคือผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง แม้ฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นบุตรพ่อค้าที่ดิน แต่บัดนี้ฝ่าบาททรงมอบตำแหน่งจิ้นซื่อให้แก่เขา อีกทั้งตำแหน่งราชการให้เขาด้วย ได้ยินมาว่ากั๋วจื่อเจี้ยนกำลังจัดทำหนังสือประวัติศาสตร์ โดยจะนำเหตุการณ์ที่ผ่านมาหลายพันปีรวบรวมและบันทึกลงไป ซึ่งเรื่องนี้ผู้ที่เสนอความคิดเห็นก็คือฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้นั่นเอง
เมื่อคืนข้ามปี เขาและท่านพ่อได้พูดคุยกัน เขารู้ดีว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเดินทางไปยังราชวงศ์อู่เพื่อเข้าร่วมเทศกาลฤดูหนาว ท่านพ่อเอ่ยว่าทางราชวงศ์อู่ได้เจาะจงรายชื่อเขาเพียงคนเดียว มองดูแล้วชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนมิได้โด่งดังเพียงในเมืองหลวงเท่านั้น แม้แต่ราชวงศ์อู่ก็ยังสามารถรับรู้ได้ เช่นนั้นชายหนุ่มที่มากความสามารถเยี่ยงนี้ ท่านพ่อควรจะดีใจและอวยพรพวกเขา มิใช่นั่งกังวลเช่นนี้ ?
ต่งซิวฟางยกชาขึ้นมาดื่ม จากนั้นวางถ้วยลงกล่าวว่า “เจ้าจงไปยังห้องโถงด้านหน้า เรียกพวกเขาเข้ามา”
ต่งซิวหวยเดินออกจากศาลาเซียงหมิงซวน ต่งเสียงฟางจึงได้ถอนหายใจออกมาแล้วเงยหน้ามองดูดอกเหมย
หิมะที่ปกคลุมบนกิ่งก้านของต้นเหมยกำลังละลาย สีแดงและสีขาวตัดกันช่างงดงามยิ่ง
ผ่านไปไม่นาน ด้านนอกก็มีเสียงหัวเราะของต่งซิวหวยและต่งชูหลานดังเข้ามา จากนั้นทั้งสองก็เดินเข้าไปในศาลาเซียงหมิงซวน ต่งเสียงฟางมองไปยังต่งซิวหวยและต่งชูหลาน จากนั้นมองไปยังใบหน้าของชายหนุ่มผู้นั้น
เป็นเขานั่นเอง เขาที่อยู่ในพระราชวังจินเตี้ยนและทำให้เสนาบดีกรมพิธีการต้องขายหน้าในวันนั้น
เรื่องในตอนนั้นต่งเสียงฟางมิได้รับรู้ เนื่องจากหากฮ่องเต้มิได้มีรับสั่งให้เข้าเฝ้า โดยนิสัยแล้วเขาจะมิเข้าร่วมประชุม เรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นตัวเขาได้ยินมาจากผู้อื่น เขาเพียงรู้สึกว่าน่าเสียดายจริง ชายหนุ่มผู้นี้มีความสามารถ แต่กลับสร้างเรื่องขัดใจตระกูลชือซึ่งเป็นหนึ่งในหกตระกูลใหญ่ได้ เกรงว่าต่อไปคงจะอยู่ในเมืองหลวงลำบากเสียแล้ว
เขามิได้ใส่ใจเรื่องของฟู่เสี่ยวกวนเท่าไรนัก ที่เขารู้นั้นมิต่างอันใดกับที่ชาวบ้านในเมืองหลวงรับรู้ นั่นคือเขาเป็นผู้เขียนหนังสือความฝันในหอแดงและประพันธ์กวีแห่งสายน้ำ กระทั่งปลายปีที่ผ่านมา ราชวงศ์อู่ส่งหนังสือมายังองค์จักรพรรดิและส่งต่อไปยังหงหลู่ซื่อ เขาจึงได้ทำความรู้จักฟู่เสี่ยวกวนมากขึ้น
จึงได้รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นบุตรชายของพ่อค้าที่ดินแห่งเมืองหลินเจียง อีกทั้งเขาเป็นผู้เขียนนโยบายบรรเทาสาธารณภัย อืม ชายหนุ่มผู้นี้เป็นผู้มีความสามารถ เพียงแต่หงหลู่ซื่ออยู่ในความดูแลของกรมพิธีการ ชือหยวนหมิงเป็นเสนาบดีกรมพิธีการ ดังนั้นเขาจึงมิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวน แต่กลับรู้สึกชื่นชมเขาเท่านั้น
ต่อมาเมื่อได้ยินว่าบุตรสาวของน้องสามนามว่าต่งชิวหลานและฟู่เสี่ยวกวนคล้ายกับมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เขาจึงได้รู้สึกว่าเรื่องนี้มิดีนัก เนื่องจากเยี่ยนซีเหวินและต่งชูหลานกำลังไปได้ราบรื่น หากมีเรื่องเหล่านี้แพร่ออกไป เกรงว่าชื่อเสียงของต่งชูหลานจะเสียหาย อีกทั้งตระกูลเยี่ยนให้ความสำคัญกับชื่อเสียงของพวกเขามาก อาจทำให้เกิดปัญหาตามมาได้
เขาเคยเดินทางไปสนทนากับต่งคังผิงมาหลายครา แต่ดูเหมือนน้องสามของเขาจะมิได้ใส่ใจในเรื่องนี้นัก
เดิมทีเขาต้องการจะไปเจรจากับฟู่เสี่ยวกวน ตักเตือนเขาให้รู้จักที่ต่ำที่สูงและถอนตัวออกไปด้วยตนเอง แต่คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเดินทางกลับไปยังหลินเจียงแล้ว
การที่เขาเดินทางมาเมืองหลวงครานี้ คาดว่าคงจะมาเพื่อสู่ขอต่งชูหลาน !
อีกทั้งจากต้นจนปัจจุบัน ตระกูลเยี่ยนหาได้มีท่าทีใด ๆ ไม่
ดังนั้น หากฟู่เสี่ยวกวนมิได้เดินทางไปยังราชวงศ์อู่ในฐานะราชทูต เขาคงจะขัดขวางเรื่องระหว่างทั้งสองอย่างแน่นอน
แต่บัดนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป ต่งเสียงฟางรู้ดีว่าหากฟู่เสี่ยวกวนเดินทางกลับมาจากราชวงศ์อู่ ฝ่าบาทจะทรงประทานรางวัลอย่างงามแน่นอน
ดังนั้นบัดนี้เขาจึงมิจำเป็นต้องทำให้ฟู่เสี่ยวกวนลำบากใจ
นี่คือเหตุผลที่เขารู้สึกเป็นกังวล
ฟู่เสี่ยวกวนเดินตามพวกเขาเข้ามาอยู่ด้านหลังสุดด้วยรอยยิ้ม ท่าทีมิได้กังวลสักเล็กน้อย ชายผู้นี้…ในสายตาของต่งเสียงฟาง เขาช่างหนักแน่นเสียจริง
ต่งชูหลานพาฟู่เสี่ยวกวนมาทำความเคารพต่อหน้าต่งเสียงฟาง จากนั้นแนะนำเขาให้แก่ต่งเสียงฟาง ฟู่เสี่ยวกวนคำนับเขาอีกครั้ง แล้วเดินกลับไปยังที่นั่งของตน
ต่งเสียงฟางมิได้เอ่ยถามคำถามที่ฟู่เสี่ยวกวนคาดเดาไว้ เขาพูดคุยกับต่งชูหลานและหันมาคุยกับฟู่เสี่ยวกวนบ้างบางครา แต่มิได้เอ่ยถึงเรื่องราวในราชวัง เป็นเพียงหัวข้อสนทนาทั่วไปในครอบครัว กล่าวว่าต่งชูหลานเป็นเหมือนไข่มุกแห่งจวนต่ง จะทำให้นางเสียใจมิได้เป็นอันขาด
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยปากรับคำ เดิมทีเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เขาจะต้องทำอยู่แล้ว ขอขอบพระคุณผู้ใหญ่ทั้งหลายที่เอาใจใส่
พวกเขาสนทนากันประมาณ 2 ก้านธูป เมื่อเห็นว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานแล้ว ต่งชูหลานจึงได้เอ่ยขอบคุณต่งเสียงฟางที่เชิญพวกเขามาร่วมรับประทานอาหาร จากนั้นพาฟู่เสี่ยวกวนเดินไปยังจวนของหยวนซุ่ย
เมื่อมองตามหลังฟู่เสี่ยวกวนไป ต่งเสียงฟางมิได้ถอนหายใจออกมาอย่างทุกที แต่หันไปกล่าวกับต่งซิวหวยว่า “เทศกาลฤดูหนาว คณะทูตจะเดินทางไปยังราชวงศ์อู่ ราชวงศ์หยูส่งคนไปกว่าร้อย พ่อต้องการให้เจ้าเดินทางไปด้วย”
“ข้า… ? ” ต่งซิวหวยอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ เนื่องจากผู้มีความสามารถแห่งราชวงศ์หยูมีไม่น้อย เพียงแค่สำนักศึกษาจี้เซี่ยก็มีนับห้าพันคน อีกทั้งสำนักหลานถิงก็เต็มไปด้วยผู้มีพรสวรรค์ ยิ่งมิต้องพูดถึงจวนต่าง ๆ จะมีมากมายเพียงใด
หากได้เป็นตัวแทนคณะทูตเดินทางไปยังราชวงศ์อู่ แน่นอนว่าจะต้องเป็นเกียรติยิ่ง หากต่อไปได้เป็นจิ้นซื่อละก็ คาดว่าจะได้รับเงินจำนวนมากทีเดียว ต่งเสียงฟางครุ่นคิดดีแล้วจึงได้ตัดสินใจเช่นนี้
“วันที่สิบห้าเดือนหนึ่ง ค่ำคืนแห่งเทศกาลหยวนเซียว ฟู่เสี่ยวกวนจะต้องเดินทางไปร่วมเทศกาลโคมไฟหลานถิงจี๋ เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าจงไปด้วย แล้วก็…เชิญเขาและชูหลานมายังจวนด้วย”
……
……
เป็นไปตามที่ต่งคังผิงคาดเดาไว้ ต่งเสียงฟางมิได้กดดันฟู่เสี่ยวกวน แต่ที่ต่งซูหลานกังวลใจนั้นก็คือหยวนซุ่ยมิได้ไว้หน้าฟู่เสี่ยวกวนเท่าไรนัก
เขาเอ่ยถามฟู่เสี่ยวกวนต่อหน้าต่งชูหลานว่า “เจ้าคิดว่าตนเองมีสิ่งใดดีกว่าเยี่ยนซีเหวินกัน ?”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะแล้วนำมือลูบจมูกเอ่ยว่า “ข้าและต่งชูหลานมีดวงใจที่เชื่อมโยงกัน เรื่องนี้มิจำเป็นต้องไปเปรียบเทียบกับผู้ใด”
“เหอะ ๆ…”หยวนซุ่ยหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า “มิจำเป็นงั้นหรือ ? นั่นเนื่องจากเจ้ามิมีสิ่งใดที่จะหยิบยกมาเปรียบเทียบได้ต่างหากเล่า ! ต่อให้เจ้ามีชื่อเสียงโด่งดัง แต่สิ่งนี้ทำให้อิ่มท้องได้หรือไม่ ? อย่าได้คิดว่าตนเขียนหนังสือมาเล่มหนึ่งก็สามารถหยิ่งผยองได้ ชีวิตมิใช่บทกวี แต่สิ่งที่สำคัญคืออำนาจ ! ”
“หัวหน้าตระกูลเยี่ยน เยี่ยนเป่ยซีเมื่อครั้นวัยหนุ่มเป็นเช่นเจ้า ประพันธ์กวีโด่งดัง แต่เมื่อเขาเข้ารับราชการก็มิได้ประพันธ์กวีขึ้นมาอีกมิใช่หรือ ? เยี่ยนซือเต้าก็เช่นกัน พวกเขาทั้งสามรุ่นได้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่มั่นคงของราชวงศ์หยู เนื่องจากผลงานกวีของพวกเขางั้นหรือ ? มิใช่แน่ แต่ว่าเป็นผลงานราชการของพวกเขาต่างหากเล่า ! ”
“ชูหลานยังเยาว์วัย หาได้รู้เรื่องราวพวกนี้ไม่ นางเพียงมองรูปลักษณ์ที่งดงามภายนอกของเจ้า แต่ในสายตาข้า รูปลักษณ์ภายนอกของเจ้านั้นหาได้มีค่าไม่ ! ”
หยวนซุ่ยถอนหายใจออกมาแล้วมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทางรังเกียจ
ฮูหยินหยวนที่นั่งอยู่ข้างๆเขามองดูฟู่เสี่ยวกวน แล้วหันไปเอ่ยกับชูหลานว่า “ชูหลาน เรื่องนี้เจ้าอย่าได้รีบร้อนไป สตรีเลือกคู่ครองจะต้องค่อยเป็นค่อยไป หากเลือกผิดละก็คิดจนตัวตาย ชีวิตในภายภาคหน้าของเจ้าจะมีความสุขหรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจในครั้งนี้ นิสัยตรงไปตรงมาของท่านลุงเจ้ารู้ดี เขาหวังดีต่อเจ้าจึงได้ตักเตือน เจ้าเปรียบเสมือนหงส์ที่อยู่บนยอดฟ้า เหตุใดจึงต้องร่อนลงไปเกลือกกลั้วกับดินโคลน”
“ช้าก่อน เยี่ยนซีเหวินคาดว่าคงเดินทางมาใกล้ถึงแล้ว เขารับหน้าที่อยู่ที่อำเภอเหยาเป็นเวลานาน พวกเจ้ามิได้พบกันก็เป็นเวลาเนิ่นนานเช่นกัน เมื่อเขาเดินทางมาถึงพวกเจ้าลองคุยกันดู เชื่อข้า ข้าเห็นเจ้าเดินเข้ากองไฟเช่นนี้ก็กังวลแทนเจ้ายิ่ง”
ต่งชูหลานรู้สึกโมโหขึ้นมาทันใด
ข้าและฟู่เสี่ยวกวนมีใจให้กัน เกี่ยวข้องอันใดกับคนอื่น ๆ!
อีกทั้งยังกล้าเชิญเยี่ยนซีเหวินมาด้วย พวกเขาหมายความว่าเยี่ยงไร ?
สีหน้าของนางเปลี่ยนไปทันที ฟู่เสี่ยวกวนจับมือนางไว้แล้วเอ่ยว่า “อ้อ ซีเหวินก็เดินทางมาด้วยงั้นหรือ ? ช่างเหมาะเจาะเสียจริง”
ต่งชูหลานเมื่อถูกฟู่เสี่ยวกวนจับไว้จึงได้สติกลับคืนมา และคิดว่าเมื่อเยี่ยนซีเหวินเดินทางมาถึง นางจะให้เขาทำความเคารพฟู่เสี่ยวกวนในฐานะอาจารย์และศิษย์ ให้ทุกคนได้เห็นว่าเยี่ยนซีเหวินหรือฟู่เสี่ยวกวนกันแน่ที่แข็งแกร่ง !
หยวนซุ่ยขมวดคิ้ว เขามิเข้าใจว่าชายหนุ่มผู้นี้คิดการใดอยู่ แม้ได้ยินมาว่าเขาช่วยเหลือเยี่ยนซีเหวินในการจับกุมเหล่าโจรแปดร้อยคนที่ซีซาน แต่ความดีความชอบนั้นเป็นของเยี่ยนซีเหวิน เขาข้องเกี่ยวอันใดด้วย ?
คงจะเป็นเพราะเยี่ยนซีเหวินมีจิตใจงดงาม จึงได้เอ่ยชื่อเขาต่อหน้าฝ่าบาท เพื่อให้ฝ่าบาททรงประทานรางวัลให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนด้วยเท่านั้น ส่วนเยี่ยนซีเหวินคาดว่าคงได้ตำแหน่งจือโจว มีอนาคตกว้างไกล และเดินตามรอยเยี่ยนซือเต้าผู้เป็นบิดา
ตระกูลเยี่ยนสืบต่อตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีมาสี่รุ่น ในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หยูสองร้อยปีมานี้มิปรากฏตระกูลใดที่มีความสามารถเยี่ยงนี้ได้ ! เจ้าบังอาจเรียกเพียงชื่อของเยี่ยนซีเหวิน ? กล้าดีอย่างไร ?
“เจ้าไม่มีความจำเป็นต้องไปประจบประแจงตระกูลเยี่ยน เจ้ามิมีคุณสมบัตินั้น คนเราจักต้องรู้จักที่ต่ำที่สูง บิดาของเจ้าเป็นพ่อค้าที่ดินแห่งหลินเจียง และเป็นมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งหลินเจียง เจ้ามิขาดแคลนเงินทอง กลับไปเป็นคุณชายที่บ้านเกิดเจ้ามิดีกว่าหรือ ? เหตุใดต้องมาขัดขวางอนาคตของชูหลาน ? หากเจ้ากลับใจตอนนี้ยังทัน เนื่องจากงานแต่งงานยังมิได้ประกาศออกไป หากเจ้าทำให้ตระกูลเยี่ยนมิพอใจเข้า…เกรงว่าบิดาของเจ้าก็คงมิอาจช่วยเหลือได้”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมา คล้ายกับมิได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของหยวนซุ่ย
“พวกท่านอาจมิเชื่อ แต่เดิมทีข้าต้องการเป็นเพียงคุณชายที่ร่ำรวยเงินทอง แต่ความสามารถของข้ามากเกินไป ! อ้อ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ข้ามิได้กล่าวออกมา พวกท่านมิสงสัยหรือว่าเพราะเหตุใดตระกูลเยี่ยนจึงมิได้หาเรื่องข้ากัน ?”
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 9 เดือนที่หนึ่งวันที่หนึ่ง ยามเช้าตรู่
เมืองจินหลิงหลังจากที่มีเสียงดังตลอดทั้งคืนตอนนี้ราวกับยังหลับใหลอยู่ในความฝันและยังมิตื่นขึ้นมา ฟู่เสี่ยวกวนได้ตื่นแล้ว และยังคงออกกำลังกายดังเก่าอยู่ภายในจวน
ซูซูตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่ นางนั่งอยู่บนหลังคาศาลา สองเท้าเปล่าที่เรียบเนียนราวกับหยกกวัดแกว่งไปมา นางมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนที่วิ่งอยู่ในลานเป็นครั้งคราว ในใจคิดว่าคนผู้นี้ช่างว่างนัก… หากการวิ่งสามารถทำให้ฝึกฝนวิทยายุทธ์ได้ เยี่ยงนั้นเหตุใดนักรบในใต้หล้ายังต้องนั่งสมาธิที่น่ารำคาญกัน ดังนั้นนางจึงใช้เวลาที่มากมายนี้มองไปยังท้องฟ้าทางตะวันออก
ท้องฟ้าโปร่งหลังพายุหิมะ ท้องฟ้าอันห่างไกล ทันทีที่แสงสีแดงลอยขึ้นมา ใบหน้าของซูซูก็ถูกอาบไปด้วยแสงที่เรืองรอง
ใบหน้าขาวละเอียดคิ้วโก่งแช่มช้อย ดวงตากระจ่างใส มุมปากของนางยกขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าประดับไปด้วยรอยยิ้ม ปากเล็กยกยิ้มขึ้นมาบาง ๆ จนเผยให้เห็นฟันเงางามสองสามซี่
นางกำลังขบคิด…
ขบคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในจวนต่งคืนนั้น เดิมที นี่คือช่วงข้ามปี
นางบีบถุงแดงในแขนเสื้อที่ฮูหยินต่งให้มา และนี่คืออั่งเปาปีใหม่
ความทรงจำในวัยเด็กแล่นเข้ามาในใจ คลุมเครืออยู่เล็กน้อย มันก็นานมากแล้วที่มิได้กลับไปคิดถึง คาดมิถึงว่ามันจะค่อย ๆ เลือนหายไป ในยามที่ได้คิดถึงมันอีกครา จึงได้พบว่ามันเลือนลางไปหมดแล้ว
นางงอขาขึ้นมา และใช้สองแขนโอบกอดเอาไว้ จ้องมองแสงอาทิตย์ที่ไม่จ้าและไม่ค่อยอบอุ่น และนึกถึงคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนที่บอกกับนางในเมื่อคืนวาน…
เยาวชนที่แตกต่าง ก็จะเกิดความสับสนที่ต่างกัน อย่างไรก็ตาม เยาวชนจะเติบใหญ่ และความสับสนจะหายไป หลังจากค่ำคืนที่มืดมิดผ่านไป แสงอาทิตย์ก็จะลอยขึ้นมาดังเดิม !
ใช่แล้ว… หลังจากค่ำคืนที่มืดมิดผ่านไป แสงอาทิตย์ก็จะลอยขึ้นมาดังเดิม
เหมือนกับในตอนนี้
อือ คนผู้นี้ปลอบโยนผู้อื่นได้ดี มิเหมือนศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่ใหญ่มักจะกล่าวว่า เจ้าจะไปคิดถึงมันอีกทำไม มิเหมือนกับศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่รองมักจะกล่าวว่า อยู่กับปัจจุบันมิดีกว่าหรือ ? มิเหมือนกับศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่สามมักจะกล่าวว่า คิดมากไปมีแต่จะทำให้เจ้าลำบาก
พวกเขาต่างเป็นเด็กกำพร้า สำหรับอดีตที่ผ่านมา ท้ายที่สุดก็ไม่ขอที่จะกลับไปเผชิญหน้ากับความทรงจำที่ย่ำแย่นี่อีก นี่…อาจจะเป็นความสับสนระหว่างการเติบโต
ซูซูสูดหายใจเข้าออกลึก ๆ เพราะคำพูดนั้นของฟู่เสี่ยวกวน นางถึงรู้สึกว่าตนเองได้เดินออกมาจากความทรงจำที่ย่ำแย่นั้นได้แล้ว ราวกับได้ลบหมอกควันที่อยู่ภายในใจออกไปจนหมดสิ้น ความรู้สึกเริ่มผ่อนคลาย แม้แต่แสงอาทิตย์นี้ ก็ราวกับสวยงามยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
ทันใดนั้นก็เกิดลมปราณขึ้นที่จุดตันเถียนของซูซู หลังจากนั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างกำเริบเสิบสาน หลังจากนั้นซูซูก็ยืนขึ้น ทันใดนั้นบริเวณรอบตัวนางระยะสิบเมตรก็ดูแปลกออกไป
ซูเจวี๋ยย่างก้าวไปในอากาศ
ซูโหรวก็บินไปถึงหลังคาที่อยู่ตรงกันข้ามในทันที
ฟู่เสี่ยวกวนหยุดฝีเท้า และมองไปทางซูซูอย่างประหลาดใจ
ชุดกระโปรงสีเหลืองบนร่างนางเคลื่อนไหวโดยไร้ลม หิมะที่อยู่บนหลังคากระเพื่อมทันพลัน หิมะที่อยู่บริเวณนั้นหมุนรอบกายของนาง หลังจากนั้นความเร็วก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพียงไม่นาน หิมะโดยรอบก็ลอยวน หลังจากนั้นก็ห่อหุ้มซูซูเอาไว้ในใจกลาง ราวกับมีมนุษย์หิมะอยู่บนหลังคาก็มิปาน
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตะลึงอย่างยิ่ง และหันมองไปทางซูเจวี๋ย ใบหน้าของซูเจวี๋ยดูกังวล ลืมแม้แต่จะจัดหมวกที่เบี้ยวไปเล็กน้อย มือที่ปักผ้าของซูโหรวหยุดลง ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยเห็นร่องรอยระมัดระวังที่หัวคิ้วของนาง
“นี่คือ… ?”
ผ่านไปหลายอึดใจ ซูเจวี๋ยจึงโดดลงมา เขาลงมาที่ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนและจัดหมวกเบา ๆ “เฮ้อ…ศิษย์น้องหกทะลวงได้อีกแล้ว ! ”
“ทะลวงอะไรกัน ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามอย่างสงสัย
“คัมภีร์พระสูตรเก้าหยางมีทั้งหมด 9 ขั้น แต่เดิมศิษย์น้องหกฝึกจนถึงขั้นที่ 2 แล้ว แต่อาจารย์มิให้นางฝึกต่อ แต่ในตอนนี้…คาดมิถึงว่านางจะทะลวงได้โดยที่มิต้องฝึก สถานการณ์ที่ได้มองในตอนนี้ เกรงว่าจะมิใช่ปัญหาของการทะลวงขั้นที่ 3”
ฟู่เสี่ยวกวนชื่นชมอย่างมาก ให้ตายเถอะ มนุษย์ที่เหนือมนุษย์ !
หากตนมีเวลาว่างก็จะนั่งสมาธิ เขาจดจำคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางเอาไว้ในหัวใจ แต่ผ่านไปนานหลายเดือน กลับมิรับรู้สึกถึงสิ่งที่เรียกว่าลมปราณได้เลย แต่ซูซูมิจำเป็นต้องฝึก ก็ยังมิอาจยับยั้งการทะลวงเอาไว้ได้
“นี่… จะมีปัญหารึไม่ ? ”
ซูเจวี๋ยส่ายหน้า “ท่านอาจารย์กล่าวว่า… อย่าไปฝืน ปล่อยไปตามธรรมชาติ ในตอนนี้ศิษย์น้องหกเป็นธรรมชาติอย่างยิ่ง ย่อมมิมีปัญหาแน่นอน”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองมนุษย์หิมะนั้นอีกครา ภายใต้แสงอาทิตย์ที่สาดส่อง มนุษย์หิมะก็ทอประกายแสง งดงามอย่างมาก ท่าทางเหมือนผู้มีฝีมือสูงส่งอย่างแท้จริง “แล้วเหตุใดนางจึงถูกหิมะห่อไว้เยี่ยงนั้น ? ”
“เพราะ…นางร้อนเกินไป ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะ คำอธิบายนี้ เกินกว่าที่เขาจะเข้าใจ
เอาเถอะ มาดูกันว่าการทะลวงของผู้มีฝีมือนั้นจะเป็นเยี่ยงไร
แต่หลังจากนั้นก็มิมีอื่นใดอีก
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หิมะหนาที่ห่อหุ้มซูซูละลายลงอย่างช้า ๆ ร่างของนางมีหมอกบาง ๆ ปกคลุม หมอกนั้นลอยอ้อยอิ่งไปตามสายลมยามเช้าจากนั้นก็สลายไป หลังจากนั้นซูซูก็โผล่ออกมา ชุดกระโปรงเหลืองนั้นมิเปียกเลยแม้แต่นิด
นางลืมตาขึ้น ยังคงมองดวงอาทิตย์ในรุ่งอรุณ เผยยิ้มหวานหยด จนเหมือนว่าแสงอาทิตย์จะสิ้นแสงไปเสียแล้ว
นางนั่งลงอีกครา สองเท้าเปล่ากวัดแกว่ง ก้มหน้ามองไปทางฟู่เสี่ยวกวน “เฮ้เฮ้ มองอะไรกัน มิเคยเห็นหญิงงามหรือ นกโง่บินนำหน้าเจ้าไปไกลถึงเพียงไหนแล้ว เหตุใดเจ้ายังมิรีบบินให้เร็วขึ้นอีก ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหมดคำพูดฉับพลัน นี่มันจะโจมตีกันเกินไปแล้ว
เขาก้มหน้าและออกตัววิ่งต่อ ในใจกลับคิดว่าหากเด็กนี่โตขึ้นมิรู้เหมือนกันว่าจะมีชายหนุ่มต้องเจ็บปวดเพราะนางอีกเท่าใด
……
…..
ต่งชูหลานได้มาถึงจวนฟู่ในช่วงเช้า เมื่อวานเรื่องราวของทั้งสองได้กำหนดลงในขั้นแรกแล้ว ในช่วงหลายวันนี้ก็รอให้ฟู่ต้ากวนมาเมืองหลวงเพื่อสู่ขอ เมื่อได้รับการยินยอมจากบิดามารดา ในวันนี้นางก็ต้องพาฟู่เสี่ยวกวนไปเยี่ยมญาติ
มิได้เป็นทางการ แต่ก็สำคัญอย่างมาก
ตระกูลต่งและตระกูลหยวนต่างก็เติบโตในจินหลิง ทั้งสองตระกูลมีบางคนเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนัก และก็มีบางคนทำกิจการของตนเอง
สิ่งสำคัญในครานี้มีอยู่ 2 ประการ ประการแรกเพื่อแสดงให้บรรดาญาติได้รับรู้ว่าเรื่องของตนและฟู่เสี่ยวกวนได้รับคำยินยอมจากบิดาและมารดาแล้ว เยี่ยงนั้นบรรดาป้า ๆ ก็จะมิริหาหนทางจับคู่นางกับคุณชายตระกูลใหญ่คนไหนอีก ประการที่สองก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าภายภาคหน้าฟู่เสี่ยวกวนจะอยู่ที่เมืองหลวงและดำรงตำแหน่งเป็นขุนนางของราชสำนักเป็นเวลานาน ขุนนางจากตระกูลต่งและตระกูลหยวนมีมิมากและตำแหน่งก็มิสูง ถึงแม้จะช่วยอะไรฟู่เสี่ยวกวนมิได้ แต่ก็อย่าได้สร้างปัญหาเพิ่ม
หนึ่งในนั้นที่ค่อนข้างยุ่งยากก็คือท่านลุงรองและท่านน้าสามของต่งชูหลาน ท่านลุงรองต่งเสียงฟางดำรงเป็นหงหลูซื่อช่าวชิงคนปัจจุบัน เป็นขุนนางขั้นหก กล่าวไปแล้วเมื่อเทียบกับฟู่เสี่ยวกวนที่เป็นฉาวซ่านต้าฟูขั้นห้าก็ยังต่ำกว่าอยู่ครึ่งระดับ
ท่านน้าสามหยวนซุ่ยดำรงเป็นซือหลางจงฝ่ายขวาของสำนักตรวจสอบพระราชโองการ และเป็นขุนนางขั้นหกเช่นกัน อยู่ภายใต้การปกครองของเยี่ยนเป่ยซีโดยตรง ดังนั้นท่านน้ารองจึงเป็นคนที่กระตือรือร้นให้ต่งชูหลานแต่งกับเยี่ยนซีเหวินมากที่สุด
ต่งชูหลานได้เกริ่นเรื่องของญาติให้ฟู่เสี่ยวกวนฟังโดยละเอียดแล้วในเมื่อวาน เพียงหวังว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเก็บอารมณ์ของตนเองไว้ให้ดีเพราะอาจจะมีบางคนที่แสดงความมิพอใจออกมา
นางรู้นิสัยของฟู่เสี่ยวกวนดี เป็นผู้ที่จะมิทำให้ตนเองเดือดร้อน แต่อย่างไรแล้วญาติเหล่านี้ก็เป็นผู้อาวุโส หวังว่าเมื่อถึงเวลาแล้วหากมิน่าเกลียดเกินไป ก็จะอดทนกันไป
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ใส่ใจ อย่างไรก็มิเหมือนกับชือเฉาหยวนที่เป็นคนนอก ส่วนเรื่องขาดทุน…ได้แต่งงานกับต่งชูหลานจะขาดทุนเล็กน้อยหรือได้รับความไม่ยุติธรรมเล็กน้อยก็มิเป็นไร
“เจ้าดูสิว่ายังต้องเตรียมสิ่งใดอีกหรือไม่ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
“พอแล้ว นี่มิใช่การเยี่ยมเยียนอย่างเป็นทางการ…หลังจากที่พวกเราแต่งงานกันเสร็จแล้วก็ยังต้องไปอีกครา”
“ได้ เยี่ยงนั้นพวกเราเตรียมออกเดินทางเถิด”
ภายใต้การจัดการของชุนซิ่ว ข้ารับใช้ในจวนต่างก็ใส่ของขวัญจนเต็มรถม้า ออกเดินทางด้วยรถม้า 4 คัน เดินทางผ่านเมืองจินหลิงที่เพิ่งตื่นขึ้นมาจากการเฉลิมฉลองในคืนวันปีใหม่ หลังการจุดพลุเมื่อคืนวานทำให้หลงเหลือเศษสีแดงไว้เกลื่อนพื้น และออกเดินทางไปเยี่ยมญาติของตระกูลต่งและหยวน
มาพร้อมกันกับซูซูและชุนซิ่ว
ซูซูมาเพราะสงสัย นางรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจเล็กน้อย และนางยังมิมีโอกาสได้เห็นตึกรามบ้านช่องในเมืองหลวง ส่วนชุนซิ่วมาเพื่อจัดการเรื่องการขนของขวัญของข้ารับใช้ นอกจากนี้นางยังอยากมาเห็นว่าญาติของตระกูลต่งแท้จริงแล้วเป็นเยี่ยงไร ? มิฉะนั้นหากนายท่านมาถามในภายหลัง นางจะตอบกลับไปได้เยี่ยงไรเล่า ?
ฟู่เสี่ยวกวนมิถนัดกับการไปมาหาสู่เยี่ยงนี้ ในชาติก่อนตนเป็นเด็กกำพร้า จะมีญาติที่ไหนกัน
หลังจากผ่านการฝึกฝนที่เข้มงวด ก็กลายเป็นหมาป่าเดียวดาย แม้แต่แฟนสาวสักคนก็ยังมิมี ดังนั้นจึงมิมีญาติเพิ่มเติมเข้ามา
ดังนั้นยามที่อยู่ในจวนของลุงใหญ่น้ารองและอาสามของต่งชูหลาน ฟู่เสี่ยวกวนมิได้กล่าวอันใดมาก ส่วนใหญ่จะเป็นต่งชูหลานที่ยิ้มหวานให้กับพวกเขาและเปิดตัวฟู่เสี่ยวกวนอย่างยิ่งใหญ่ หลังจากนั้นก็กล่าวอวยพรปีใหม่และพูดคุยกับพวกเขาอีกเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงบอกลาและไปบ้านหลังถัดไปทันที
เครือญาติเหล่านี้แทบจะทำกิจการอยู่ในจินหลิงทั้งสิ้น บุตรชายต่างก็เป็นบัณฑิตในสำนักศึกษา มีเพียงบุตรชายคนที่สามของลุงใหญ่ต่งซิวมู่ที่ได้เป็นจิ้นซื่อในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 5 จากภาวะขาดตำแหน่งในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 8 เดือนสิบจึงได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายอำเภอของอำเภอเหอหยูในหนิงโจวที่ทางแม่น้ำหวงเหอ ก็ถือว่าได้เข้ามาสู่เส้นทางราชการแล้ว
พวกเขาต่างก็เคยได้ยินชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนมาช้านาน ทราบเพียงว่าเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียงที่มีพรสวรรค์ที่น่าทึ่ง ดังนั้นสีหน้าของญาติเหล่านั้นจึงดูชื่นชอบอย่างมาก ส่วนเบื้องหลัง พวกเขากลับยังคงส่ายหน้า รู้สึกว่าต่งชูหลานฉลาดหลักแหลมถึงเพียงนั้น ต่งคังผิงเองก็ผ่านอะไรมามาก แต่เหตุใดจึงตัดเยี่ยนซีเหวินที่ถืออำนาจแห่งตระกูลเยี่ยน แล้วมาเลือกฟู่เสี่ยวกวนที่อยู่ในสายว่างงานผู้นี้กัน
ในสายตาของพ่อค้า การลงทุนครานี้ถึงแม้จะพูดมิได้ว่าขาดทุน แต่ก็มิได้ผลกำไรอันใด แต่หากไปลงทุนกับอำนาจแห่งตระกูลเยี่ยน แม้จะเป็นเหล่าเครือญาติก็จะได้รับอานิสงส์ไปด้วยบ้าง
ในตอนนี้แสงสว่างนั้นก็ได้มอดไปแล้ว ทุกคนต่างเสียใจ แต่เยี่ยงไรแล้วนี่ก็คือเรื่องในบ้านของต่งคังผิง แม้แต่พี่ใหญ่อย่างต่งหมิงฝานก็พูดอะไรมิได้มากนัก
“ต่อจากนั้นพวกเราต้องไปบ้านของท่านลุงรอง เมื่อวานที่ได้พูดถึงหงหลูซื่อช่าวชิงให้เจ้าฟัง เมื่อวานหลังจากที่เจ้าไปท่านพ่อก็บอกกับข้าว่าท่านลุงรองจะมิทำให้เจ้าลำบากใจ เพราะเรื่องที่เจ้าจะไปร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ในเทศกาลฤดูหนาวก็มีหงหลูซื่อเป็นผู้ดำเนินการ ท่านลุงรองทราบว่ามีเจ้าเป็นผู้นำ ท่านลุงรองฉลาดหลักแหลมยิ่ง ถึงแม้ตำแหน่งขุนนางจะต่ำกว่า แต่มีมิตรในราชสำนักอย่างกว้างขวาง คิดว่าเขาคงทราบความหมายของสิ่งนี้ดี”
ฟู่เสี่ยวกวนจับมือของต่งชูหลานขึ้นมากุม แล้วเอ่ยอย่างขำ ๆ “เจ้ามิจำเป็นต้องกังวลกับข้าเลย กลับกันน่าจะเป็นเจ้าที่เหนื่อยมากกว่า ลำบากเจ้าแล้ว”
ต่งชูหลานยิ้มน้อย ๆ บนใบหน้ามีก้อนเมฆสีแดงสองก้อนมาประดับ “ข้ามิเหนื่อยเลย ข้ารู้สึกดีมากจริง ๆ ในอดีตข้ากังวลเรื่องท่านพ่อท่านแม่ แต่ในตอนนี้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็ได้แก้ไขไปแล้ว ได้ความช่วยเหลือจากองค์หญิงใหญ่ก็ส่วนหนึ่ง แต่เป็นเจ้าที่ทำมากยิ่งกว่า…เสี่ยวกวน ทั้งหมดนี้มันคุ้มค่า”
ซูซูที่มีถังหูลู่อยู่ในมือนั่งอยู่ในรถม้าทางด้านหลังเลียไปพลางกล่าวไปว่า “เรื่องนี้…น่าเบื่อยิ่ง ! ”
ชุนซิ่วหันหน้าไปมองซูซู สาวน้อยผู้นี้ราวกับชื่นชอบทานของหวานเป็นอย่างมาก “ของหวานทานมาก ๆ จะทำให้อ้วน”
ซูซูเลิกคิ้วสวยทั้งสอง ลอบคิดว่าอย่างศิษย์พี่รองที่ทานเนื้อต่างหากจึงจะอ้วน
ค่ำคืนอันมืดมิด เกล็ดหิมะล่องลอยไปในท้องนภาอันกว้างใหญ่
แสงไฟในเมืองหลวงส่องสว่าง พลุและดอกไม้ไฟถูกจุดมิขาดสาย
แสงไฟในจวนต่งก็สว่างสดใสเช่นกัน ภายในห้องโถงใหญ่มีแสงนวลของเทียนและเสียงหัวเราะฮาเฮ
หลังจากฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาที่แห่งนี้ นี่เป็นปีแรกและครั้งแรกที่เขาได้ร่วมเทศกาลข้ามปี เขามีความสุขมาก แม้ว่าจะอยู่ห่างไกลจากครอบครัว แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น
จวนต่งต้อนรับเขาเข้ามาเป็นสมาชิกในครอบครัวอย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ยายของเขามีท่าทีที่เปลี่ยนไปจากหลังมือเป็นหน้ามือ ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนอดคิดมิได้ว่านี่เขาฝันไปหรือไม่
“เสี่ยวกวน มานี่ ลองชิมปลาดูสิ”
“เสี่ยวกวน กินเยอะ ๆ ลองชิมกุ้งนี่ดูสิ”
“ซิวเต๋อ ! ปลานั้นทำให้เสี่ยวกวนกิน เจ้าอย่าแตะนะ !”
“……”
ต่งซิวเต๋อคล้ายกับถูกกดดัน เขาเอ่ยว่า “ท่านแม่ ข้าอยากจะรู้จริง ๆ ว่าผู้ใดกันแน่ที่เป็นลูกชายของท่าน !”
ทุกคนเมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ ฮูหยินต่งจึงได้รู้สึกตัว นางเอ่ยว่า “เจ้าลูกคนนี้ ! ฟู่เสี่ยวกวนมาจากต่างถิ่น ที่นี่เขามิมีญาติคนอื่นใด แม่จะต้องดูแลเขาอย่างดี !”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มให้กับต่งซิวเต๋อแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่รอง…ท่านแม่เอ่ยมิผิดเพี้ยน ลูกเขยก็คือลูกเช่นกัน ปกติแล้วท่านพี่ก็ได้กินอาหารดี ๆ ทุกวัน แต่ข้าเพิ่งได้กินครั้งแรกเท่านั้น ในฐานะพี่ชาย ท่านพี่ยอมให้ข้าบ้างเถิด”
ต่งชูหลานยื่นมือไปหยิกเข้าที่ขาฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนสูดปากด้วยความเจ็บ แม่นางคนนี้มือหนักเสียจริง !
ต่งซิวเต๋อจ้องไปยังฟู่เสี่ยวกวน “ครั้งแรกเยี่ยงนั้นรึ ? เจ้ากินอาหารที่จวนของเรามาตั้งสี่มื้อแล้ว !”
“ซิวเต๋อ เงียบนะ… !” ฮูหยินต่งว่าดุต่งซิวเต๋อ จากนั้นหันมายิ้มให้กับพวกเขาอีกสามคน “พวกเจ้าอย่าได้เกรงใจไป ถือว่าที่นี่เป็นบ้านของตนเอง เชิญกินได้ตามสบาย”
ซูเจวี๋ยโค้งคำนับขอบคุณอย่างมีมารยาท ซูโหรวยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ขอบพระคุณท่านฮูหยิน !” ส่วนซูซู นางเพิ่งเคยสัมผัสบรรยากาศข้ามปีเป็นครั้งแรก นางดีใจเสียจนขอบตาแดง
ฮูหยินต่งมองดูซูซู สตรีงดงามเพียงนี้ แต่ว่า… “แม่นาง สวมใส่เสื้อผ้าบางเช่นนี้ มิหนาวงั้นหรือ ? ”
ที่ห้องโถงมีกองไฟสุมอยู่ แน่นอนว่าไม่หนาวเท่าใดนัก ซูซูส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ท่านฮูหยินต่ง ข้า ข้ามิหนาว”
“มาเถิด กินอาหาร ปลานี้เป็นอาหารขึ้นชื่อของเมืองหลวงเชียว แม่นางลองชิมดู” ฮูหยินต่งคีบปลาชิ้นหนึ่งแล้ววางลงไปในชามของซูซู นางน้ำตาเอ่อล้นออกมา
“หืม ! แม่นางเป็นอะไรไป ?”
“ข้าขอบคุณท่านฮูหยินต่ง ข้า…ข้ามิเป็นไร” ซูซูยกแขนขึ้นมาปาดน้ำตา จากนั้นก้มหน้าก้มกิน
ซูเจวี๋ยตกตะลึงเล็กน้อย เขาเอ่ยกับฮูหยินต่งว่า “ที่จริงพวกเรานั้นล้วนเป็นเด็กกำพร้า เติบโตมาในสำนักเต๋า หลังจากได้รู้จักกับคุณชายฟู่ ก็ได้คุณชายคอยดูแล พวกเราพี่น้องจึงได้อยู่อารักขาคุณชาย ซูซูอายุยังน้อย นางอาจจะยังคิดถึงครอบครัวเดิมอยู่บ้าง ขอฮูหยินอย่าได้ถือสา”
เรื่องของสำนักเต๋า ต่งคังผิงรู้ดี เนื่องจากเขาติดตามเรื่องราวอยู่เสมอ อีกทั้งเขายังมีข้อมูลของสำนักชิงเฟิงซี่หยู่ที่องค์ชายห้าก่อตั้งขึ้นอีกด้วย
เขาคิดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะรู้จักกับคนเหล่านี้ได้ พวกเขาเปรียบเสมือนดาบสองคม หากฟู่เสี่ยวกวนใช้ถูกก็ได้ประโยชน์ แต่หากใช้ผิดวิธีก็อาจทำให้ตนเองบาดเจ็บได้
เขายกจอกขึ้นแล้วกล่าวว่า “หลังจากเสี่ยวกวนถูกจับตัวในคราก่อน ข้าก็รู้สึกเป็นห่วงถึงความปลอดภัยของเขา ขอบอกตามตรงว่าเสี่ยวกวนมีศัตรูที่เมืองหลวงมากทีเดียว และอาจเป็นพวกคนมีความสามารถ ดังนั้นความปลอดภัยของเสี่ยวกวนคงต้องไหว้วานพวกเจ้าทั้งสามแล้ว ข้าขอดื่มเพื่อทั้งสาม”
ซูเจวี๋ยยกแก้วขึ้น “นายท่านต่งวางใจได้ พวกข้าจะคอยดูแลคุณชายทุกฝีก้าว !”
บรรยากาศเริ่มผ่อนคลายลง ซูซูเดินออกมาจากความทรงจำเก่า ๆ ได้ นางยกแก้วสุราขึ้นดื่ม จากนั้นก็เริ่มเอ่ยเรื่องราวต่าง ๆ ที่พานพบ ทำให้คนอื่น ๆ หัวเราะออกมาอย่างสนุกสนาน ฮูหยินต่งยิ่งทวีความเอ็นดูนางมากขึ้น
งานเลี้ยงฉลองอันสำราญดำเนินมากระทั่งเกือบเที่ยงคืน จานชามบนโต๊ะถูกจัดเก็บเรียบร้อย ทุกคนพากันไปยังลานด้านหน้า บ่าวรับใช้ยกน้ำชาและขนมออกมาวางบนโต๊ะ
ขนบธรรมเนียมของราชวงศ์หยู ในค่ำคืนข้ามปีจะต้องเฝ้ารอวันใหม่ แม้จะมิได้อยู่รอกระทั่งตะวันขึ้น แต่ก็ควรจะรอถึงเที่ยงคืน
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงตรงหน้าต่งคังผิงและฮูหยินต่ง เขาคิดอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยว่า “ท่านลุงท่านป้า ข้ามีความคิดบางอย่างอยู่ พวกท่านลองฟังดูว่าเหมาะสมหรือไม่ ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ข้าอยากจะให้ท่านพ่อมาสู่ขอชูหลานที่เมืองหลวง จัดการเรื่องของข้าและแม่นางชูหลานให้เรียบร้อย พวกท่านทราบดีว่าในปีหน้าข้าจะต้องเดินทางไปทำหน้าที่เข้าร่วมงานชุมนุมกวี หากเรื่องนี้ยังมิรีบจัดการ…ข้าเกรงว่าจะมิอาจวางใจปฏิบัติหน้าที่ได้”
ต่งชูหลานเขินอายจนก้มหน้าลงไป หัวใจนางเต้นดังโครมคราม
ต่งคังผิงและต่งหยวนชื่อสบตากัน จากนั้นก็มองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาเคร่งขรึม
“เรื่องนี้ข้าทั้งสองมิขัดข้อง รีบจัดการให้เร็วก็เป็นเรื่องดี ข้าหวังว่าเจ้าจะไปปฏิบัติหน้าที่จนมีผลงานที่ยอดเยี่ยมกลับมา !”
เขาเงยหน้าขึ้นแล้วสูดอากาศเข้าลึก ๆ เอ่ยต่อไปว่า “พี่ชายของชูหลานไปรับหน้าที่เต้าถาย ณ เมืองเหอหนาน เขียนจดหมายมาเล่ามากมาย ข้าเอ่ยกับเจ้าตามตรงว่า บัดนี้ราชวงศ์หยูดูไปคล้ายสงบราบรื่น แต่แท้จริงภายในช่างเน่าเฟะ ฮ่องเต้ทรงต้องการปรับปรุงระบบการปกครอง เรื่องนี้ส่งผลต่อตระกูลใหญ่ทั้งหก หรืออาจจะส่งผลต่อชีวิตเลยก็ว่าได้ ! ความหมายของฝ่าบาทนั้นคือจะปล่อยให้ราชวงศ์หยูยุ่งเหยิงอีกสักพัก และนี่คือความกล้าหาญของฝ่าบาท พวกเราผู้รับใช้ฝ่าบาทแน่นอนว่าจะต้องเป็นกังวลแทนพระองค์”
ต่งคังผิงนำมือลูบไปที่หนวดเครา “นี่คือโอกาสที่ดีในการสร้างผลงาน ข้าหวังว่าเจ้าจะคว้าโอกาสนี้เอาไว้ มิจำเป็นจะต้องได้รั้งตำแหน่งเสนาบดี แต่อย่างน้อยได้เป็นข้าราชการระดับสามก็ยังดี เช่นนี้จึงจะสามารถตั้งหลักในเมืองหลวงได้อย่างมั่นคง”
ฟู่เสี่ยวกวนฟังจบก็นึกว่า เหตุใดฝ่าบาทจึงกระทำเยี่ยงนี้ ?
นี่คือความเจ็บปวดที่ไม่ธรรมดา !
พิษที่สะสมมากว่าสองร้อยปี หากกระจายไปตอนนี้ เกรงว่าจะเกินกว่าควบคุมได้ !
เป็นไปตามที่ต่งคังผิงกล่าว นี่คือโอกาสที่ดีในการสร้างผลงาน หากตระกูลยิ่งใหญ่ทั้งหกถูกทำลายหรืออ่อนกำลังลง ก็จะมีคลื่นลูกใหม่ก่อตั้งขึ้นมา
เขาครุ่นคิดแล้วพยักหน้า “ข้าจะพยายาม !”
การตัดสินใจนี้ เขาคิดได้ตั้งแต่ก่อนเดินทางมายังเมืองหลวงเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเพื่อตนเองหรือเพื่อครอบครัวก็ตาม หากสามารถทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ เขาก็จะลองดู !
“อืม…” ต่งคังผิงจิบชาแล้วกล่าวว่า “ข้าเกรงว่าเจ้าจะมิกล้า จนต้องยอมแพ้ไป”
ต่งชูหลานมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทีกังวล ส่วนต่งซิวเต๋อนั้นมิได้กังวลสักเล็กน้อย น้องเขยของเขาผู้นี้ หากกล่าวว่าจะพยายาม แน่นอนว่าเขาต้องได้มา เนื่องจากน้องเขยผู้นี้มิใช่ผู้ที่มีจิตใจงดงามอย่างที่เห็น
น้องเขยของเขามีแผนการแยบยลไม่น้อยกว่าใคร หลังจากที่เยี่ยนซีเหวินเดินทางกลับมาเมืองหลวงก็มิได้มายังจวนต่งนี้อีก ได้ยินชือเฉาหยวนกำชับกับลูกหลานว่า จะขัดผู้ใดก็ได้แต่จงอย่าไปขัดใจฟู่เสี่ยวกวน
มองดูจากท่าทีที่เปลี่ยนไปของทั้งสองตระกูลแล้ว เขามั่นใจว่าทั้งสองตระกูลมิอยากมีปัญหากับฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่ เขาอยากจะรู้นักว่าเจ้าหมอนี่ทำได้เยี่ยงไร
ซูซูหาได้เข้าใจในหัวข้อที่พวกเขาสนทนากันไม่ เพียงแต่รู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนช่างน่าสงสารนัก ที่มิอาจมีชีวิตตามที่ตนต้องการได้
คนเราเกิดมาควรได้แสวงหาในสิ่งที่ตนชอบมิใช่หรือ ? เหตุใดต้องลำบากเช่นนี้ด้วยเล่า ?
“ท่านลุงขอรับ ในเมื่อฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยแล้ว ข้ามีคำพูดหนึ่งต้องการเอ่ย กรมคลังเปรียบเสมือนคลังของแคว้น แต่เงินของคลังบัดนี้ช่าง…ควรต้องวางแผนเสียใหม่ ข้าคิดว่าหลังการปรับปรุงในครานี้ คงกินเวลาไม่ต่ำกว่าสองถึงสามปี ต่อให้องค์หญิงสามแต่งงานกับชาวฮวง แต่แคว้นอี๋จากด้านตะวันออกก็จะใช้โอกาสนี้ อีกทั้งแคว้นฝานและราชวงศ์อู่ ข้านั้นมิได้คุ้นเคยสักเท่าใด พวกเราควรป้องกันไว้ล่วงหน้า”
“ดังนั้นในปีหน้าที่ส่งราชทูตไปนั้นจึงมีความหมายยิ่ง เจ้าเองก็ต้องทำใจไว้บ้าง ส่วนเรื่องคลังแคว้น…ตอนนี้คับขันเสียจริง ในปีหน้าภาษีจะเพิ่มเป็น 2 เท่า เรื่องนี้ข้าเองก็จนปัญญา”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ที่จริงหากราชวงศ์ให้ความสะดวกแก่พ่อค้ามากกว่านี้ อีกทั้งให้การสนับสนุนที่มากขึ้น เรื่องภาษีก็จัดการได้ง่าย”
“หืม ? อย่างไรกัน ?”
“ภาษีโดยมากมาจากพ่อค้า แต่บัดนี้ฐานะของพ่อค้าช่างต่ำต้อยนัก อีกทั้งบรรดาผู้รู้หนังสือมักดูถูกพ่อค้า หากว่าทางราชวังยกระดับของพ่อค้าขึ้นให้เท่ากับผู้มีความรู้ทั้งหลาย จะทำให้บรรดาพ่อค้ากระตือรือร้นขึ้น เดิมทีพ่อค้าก็มากไปด้วยเงินทอง หากพวกเขาได้รับการยกย่องชื่อเสียงด้วย ก็จะมีผู้คนขวนขวายเป็นพ่อค้ามากขึ้น มิใช่มุ่งหวังแต่เข้ารับราชการ เมื่อการค้าดำเนินไปได้ดี ก็จะเก็บภาษีได้มากขึ้นและรวดเร็ว อีกทั้งอาชีพอื่น ๆ ก็มิใช่ว่าจะต่ำต้อย เช่น การทดลองและปรับปรุงสามารถนำมาใช้ให้สิ่งต่าง ๆ สะดวกขึ้นได้ แม้แต่การทอผ้า หากนำมาพัฒนาก็สามารถได้คุณภาพและจำนวนที่มากขึ้นตามมาด้วย ประการแรกนั้นสามารถลดต้นทุนการผลิต ประการที่สองนั้นสามารถจำหน่ายตามจำนวนที่ต้องการ การค้าก็จะเจริญรุ่งเรืองขึ้น การพัฒนาปรับปรุงนั้นมีข้อดีคือสามารถค้นพบคำตอบในด้านต่าง ๆ ได้ สิ่งนี้ต้องใช้เวลาและประสบการณ์ หรือกระทั่งช่วยให้แคว้นมั่นคงขึ้น สืบต่อไปยังรุ่นลูกหลาน !”
มิเพียงแต่ราชวงศ์หยูเท่านั้น แต่ราชวงศ์อู่และแคว้นฝานอีกทั้งแคว้นอี๋เองก็มิได้ใส่ใจในด้านการค้า กลับกันชาวฮวงนั้นให้ความสำคัญมากกว่าทั้งสามแคว้นดังกล่าว
แต่การค้าระหว่างแคว้นมิได้ดำเนินขึ้นง่าย ๆ จะต้องมีรับสั่งจากฮ่องเต้ พ่อค้าทั้งหลายต่างตามล่าผลกำไร แท้จริงแล้วราชวงศ์หยูและชาวฮวงได้ทำการขนของหนีภาษีกันเป็นเวลาช้านาน อีกทั้งมีปริมาณมากเสียด้วย
สำหรับราชวงศ์หยูนั้น เงินจำนวนมหาศาลจะต้องสูญไป เมื่อฟู่เสี่ยวกวนกล่าวถึงเรื่องนี้ ต่งคังผิงก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
“ที่เจ้าว่ามานั้นก็มีเหตุผล…เมื่อผ่านปีใหม่ไปแล้ว เจ้าจงไปเขียนมาเป็นลายลักษณ์อักษร ข้าจักลองนำเสนอฝ่าบาท แต่ก็อย่าได้ให้ความหวังไว้มากนัก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงนี้ค่อนข้างใหญ่ บรรดาผู้มีความรู้…คาดว่าคงพากันออกมาคัดค้าน”
“อืม !” ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มขึ้น เนื่องจากเขารู้ว่าผู้มีความรู้ทั้งหลายมิออกมาคัดค้านแน่นอน
“เอาละ ๆ ใกล้จะข้ามปีแล้ว อย่าได้แต่มัวคุยเรื่องปวดหัวเช่นนี้เลย มาๆๆ ข้าจะมอบอั่งเปาให้ทุกคน ขออวยพรให้ทุกคนมีความสุข สมหวังดังปรารถนา ร่ำรวยเงินทอง สุขภาพแข็งแรง !”
ฮูหยินต่งยิ้มแล้วหยิบอั่งเอาออกมาแจกทุกคน แม้แต่สามพี่น้องแซ่ซูก็มีด้วย ซูซูดีใจยิ่งนัก นางเก็บรักษาไว้ด้วยความระมัดระวัง
“พวกเราไปจุดดอกไม้ไฟกันเถิด”
ทุกคนพากันเดินออกมา จากนั้นบ่าวรับใช้แบกหีบใส่ดอกไม้ไฟและพลุเข้ามาวางไว้ จากนั้นปักลงบนหิมะ
บัดนี้ ในเมืองหลวงเต็มไปด้วยเสียงและแสงสีจากพลุที่จุดขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนหยิบพลุดอกหนึ่งให้ต่งชูหลาน “เจ้าลองจุดดูสิ !”
ต่งชูหลานจุดไฟด้วยความระมัดระวัง จากนั้นวิ่งกลับมายังข้างกายของฟู่เสี่ยวกวน
“ปุ้ง…!” เสียงดังสนั่นหวั่นไหวผสมผสานไปกับเสียงหัวเราะของทุกคนในยามค่ำคืน ณ เมืองหลวง
ซูซูถือถังหูลู่หนึ่งไม้แล้วเดินกลับไปที่เพิงสุราเล็ก ๆ นั่น
ซูเจวี๋ยจัดหมวก ไม่แม้แต่จะถาม กลับกล่าวขึ้นมาว่า “พวกเราควรกลับได้แล้ว”
“โอ้…ได้เลย ! ”
ลูกน้องทั้งสามคนของหลู่เฟิงรู้สึกประหลาดใจ ลูกพี่ล่ะ ? แม่นางผู้นี้ยังกระโดดโลดเต้นได้อยู่…หรือว่าลูกพี่จะแก่แล้วจริง ๆ
ดังนั้นหนึ่งในนั้นจึงหันมองซูซูและเอ่ยถาม “ลูกพี่ของข้าเล่า ? ”
“โอ้ เขาทนรับไม่ไหว นอนอยู่นjะ”
ทั้งสามคนปล่อยวางและระเบิดหัวเราะออกมา “ไปไปไป กลับไปดูลูกพี่ รอจับเจ้าสุนัขฟู่เสี่ยวกวนได้ มันจะต้องชดเชยให้กับลูกพี่อย่างเต็มที่”
ทั้งสามลุกขึ้นยืนและกำลังจะจากไป ทันใดนั้นซูซูกลับเรียกเอาไว้ “รอก่อน…เมื่อครู่พวกเจ้ากล่าวว่าจะจับผู้ใดกัน ? ”
คนผู้นั้นปิดปาก ส่วนอีกคนเอ่ยขึ้นมาอย่างขำ ๆ “มิมี ๆ เจ้านี่ดื่มเยอะไปแล้ว พวกข้าขอลา วันข้างหน้าลูกพี่ย่อมไปตามหาเจ้าเป็นแน่”
“โอ้ เกรงว่าเขาจะมาหาข้ามิได้เสียแล้ว เบื้องล่างของเขามิสามารถใช้การได้แล้ว มิมีแรง”
ทั้งสามหันมองหน้ากัน เป็นไปมิได้ ลูกพี่มักกล่าวเสมอว่าเขามีแรงมากมายนี่ ?
หรือว่าเขาจะโกหก ?
ทันใดนั้นทั้งสามก็แสดงท่าทีเข้าใจอย่างสุดซึ้ง จากนั้นก็หันหลังและเดินออกจากเพิงสุราไป
เหล่าพ่อค้าที่อยู่อีกโต๊ะหนึ่งก็ได้เดินออกไปแล้ว เพิงสุราจึงเงียบลง เถ้าแก่เนี้ยจึงได้เดินออกมา และเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “แม่นาง เจ้าคงเดือดร้อนใช่หรือไม่ ?”
ซูซูชะงัก “ไม่ เขามิใช่คู่มือของข้า”
“อ่า… แม่นางหมายความว่าเยี่ยงไรรึ ? ”
“โอ้ เขาสู้ข้ามิได้ โดนข้าชกเข้าไป คาดว่า…คงพิการเสียแล้วกระมัง”
เถ้าแก่เนี้ยตื่นตะลึง ใจที่กังวลก็ค่อยปล่อยวาง “ดีดี พวกนั้นสมควรตาย มองดูก็รู้ว่ามิใช่คนดี แม่นางรีบกลับเถอะ ข้าเองก็จะปิดร้านและกลับบ้านแล้ว”
“โอ้ ตามสบายเลย”
ซูซูลุกขึ้นยืนและเดินออกไปกับซูเจวี๋ย เถ้าแก่เนี้ยมองเงินที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วตะโกนเสียงดัง “แม่นาง เงินนี่…”
ซูซูหันหลังให้และโบกมือ “ข้าได้กล่าวไว้แล้วว่าเงินเป็นของเจ้า ! ”
เถ้าแก่เนี้ยเงยหน้ามองแผ่นหลังของซูซู ผ่านไปเนิ่นนานจึงได้ดึงสายตากลับมา สองนิ้วแตะลงบนโต๊ะ และหยิบเหรียญโลหะนั้นขึ้นมา
ในเวลานั้นก็มีชายร่างผอมเดินออกมาจากโรงครัว มือซ้ายของเขาถือจานเนื้อวัว มือขวาหยิบขวดสุรา เขามองไปยังที่ที่ห่างไกลออกไป และมองไปที่เถ้าแก่เนี้ย
“นายหญิงสิบสาม การลุยน้ำโคลนครานี้…เหมือนว่าจะลึกเอาการอยู่”
เถ้าแก่เนี้ยที่มีนามว่านายหญิงสิบสามพยักหน้าน้อย ๆ “หากมิใช่เพราะหลิวจิ่วเม่ย์ออกนอกหน้าเอง ข้าก็คงไม่มายังน้ำโคลนแห่งนี้ จู้กาน เจ้าว่าปีศาจน้อยผู้นี้จะใช่ผู้ที่มาจากสำนักเต๋าหรือไม่ ? ”
จู้กานนั่งอยู่เบื้องหน้าโต๊ะทานเนื้อวัวและดื่มสุรา “ยากจะกล่าว มิมีใครพบเจอปีศาจน้อยมาก่อน… ข้าคิดว่ามิน่าใช่ ท่านอาจารย์กล่าวไว้มิใช่รึว่าปีศาจน้อยเป็นผู้ใช้ฉิน นางมิมีฉิน นอกจากนี้ท่านอาจารย์ยังเล่าว่าท่านเจ้าอารามห้ามมิให้ปีศาจน้อยฝึกวรยุทธ์ หลู่เฟิงผู้นั้นถึงแม้จะแย่ไปเล็กน้อย แต่ก็อยู่ในขั้นสามระดับสูง”
นายหญิงสิบสามเองก็นั่งลง ทานเนื้อวัวและดื่มสุรา ผ่านไปเนิ่นนานจึงได้เอ่ยขึ้นมา “เจ้าคิดผิดแล้ว ในตอนนี้ข้ามั่นใจว่านางคือปีศาจน้อยซูซู”
“เพราะเหตุใดกัน ? ”
“เพราะบัณฑิตข้าง ๆ นั้นคือซูเจวี๋ยศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักเต๋า และเพราะร่างกายของปีศาจน้อยประหลาดตั้งแต่แรกเกิด อากาศที่หนาวขนาดนี้กลับใส่ชุดผ้าบาง ๆ และเดินเท้าเปล่า… นอกจากนางแล้วในใต้หล้านี้ยังจะเป็นใครไปได้อีกรึ ? ”
จู้กานคิ้วขมวด “นั่นยิ่งยุ่งยากกว่าเดิมมิใช่หรือ ? แค่ซูโหรวพวกเราทั้งสองก็ยังมิสามารถจัดการได้ ในตอนนี้กลับมีศิษย์ใหญ่ซูเจวี๋ยและปีศาจน้อยซูซูที่มีฝีมือระดับสูงคอยอยู่ข้างกายฟู่เสี่ยวกวน… งานนี้หนักหนายิ่ง จากที่ข้ามอง ทิ้งมันไปจะดีกว่า”
ทันทีที่สิ้นเสียงจู้กาน ตะเกียบในมือของนายหญิงสิบสามพลันพุ่งไปกลางอากาศ ทันใดนั้นร่างของจู้กานก็บินขึ้นไปในอากาศ ภาพที่เห็นคือกลุ่มคนที่คลาคล่ำบนถนน
เขาล้มลง และตะเกียบของนายหญิงสิบสามก็คว้ากระดาษมาได้แผ่นหนึ่ง
นางหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่าน และส่งให้กับจู้กาน “ดูเหมือนว่า… ต่อให้เราอยากไปก็ไปมิได้เสียแล้ว”
……
…..
ยามที่ซูซูและซูเจวี๋ยเดินผ่านร้านหาบเร่ขายน้ำตาลนางก็ซื้อน้ำตาลปั้นอีกครา เดินไปด้วยพร้อมกับกินน้ำตาลปั้นไปด้วย ทันใดนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมา “ศิษย์พี่ใหญ่ หรือแท้จริงแล้วฟู่เสี่ยวกวนทำเรื่องโหดเหี้ยมที่ไร้คุณธรรมอันใดกันแน่ ? ”
ซูเจวี๋ยชะงักไปอึดใจหนึ่ง “เขามิได้ทำเรื่องโหดเหี้ยมไร้คุณธรรมอันใด ! ”
“แล้วเหตุใดเหล่าคนเมื่อครู่ต้องการจับเขากัน ? ทั้งร้านสุราเมื่อครู่ข้าสังเกตุเห็นบางสิ่งผิดปกติ เถ้าแก่เนี้ยผู้นั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นยอดฝีมือระดับสูง แต่กลับแสร้งแสดงท่าทีหวาดกลัวอย่างยิ่งออกมา… นี่มิใช่ว่าต้องการปกปิดเยี่ยงนั้นหรือ นอกจากนั้นในครัวก็ยังมีผู้มียอดฝีมืออยู่อีกคน ความหนาบางของเนื้อวัวนั้นเป็นแบบเดียวกันทั้งสิ้น แต่เดิมข้าคิดว่าจะเป็นร้านแย่ ๆ แต่พวกเขาก็มิได้ทำอะไรกับพวกเรา ศิษย์พี่ว่าท้ายที่สุดแล้วพวกเขาคิดจะทำอันใดกันแน่ ? ”
ซูเจวี๋ยมิคาดคิดเลยว่าศิษย์น้องหกที่มิสนใจสิ่งใดจะมีความสามารถในการสังเกตถึงเพียงนี้ เขาย่อมรู้ว่ามีผู้มีฝีมือระดับสูง 2 คน ดังนั้นเขาจึงมิได้ไปกับซูซู
แต่เดิมเขาคิดว่าสองคนนั้นจะใช้พิษ แต่ทั้งสองก็มิได้ทำอันใดทั้งสิ้น
เหมือนกับที่ซูซูกล่าวไว้ นี่คือการปกปิด ย่อมมีบางอย่างผิดปกติเป็นแน่
แต่ดูแล้วสองคนนี้กับสี่คนนั้นจะมิใช่พวกเดียวกัน เรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยาก
ตามที่ซูเจวี๋ยกล่าวมา เรื่องนี้ใช้ความคิดมากเกินไป นี่มิใช่ทางของเขา ดังนั้นเขาจึงได้กล่าวออกไปหลังครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน “เรื่องนี้ ให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้จัดการเถอะ”
ซูซูเบ้ปาก และมิคิดถึงปัญหานั้นอีก นางเดินเล่นพลางซื้อของไปด้วย ในตอนนี้ของในมือซูเจวี๋ยก็มีของเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากนั้นมือของนางก็มิมีที่ว่างสำหรับถือของอีกแล้ว ทั้งสองจึงได้กลับจวนฟู่
“ฉกเงินรึ ? ”
“จะเรียกว่าฉกเงินได้เยี่ยงไร ? เขาแพ้นี่ ของที่ยึดมาได้ก็เป็นของข้า ใช่… ศิษย์พี่ใหญ่ ข้าลืมซื้อชุดใหม่ให้ท่านไปเลย นี่เกินหนึ่งปีแล้วมิใช่หรือ ไอหยา ท่านรอก่อน ข้าจะไปซื้อให้”
“อย่า ! เจ้าหยุดได้แล้ว ข้าชอบสวมใส่เยี่ยงนี้ แต่เจ้า จะซื้อเสื้อผ้ามาเสียมากมายทำไมกัน ? ”
“เพื่อความดูดี ข้าเปลี่ยนชุดแล้ว พวกเราก็ไปหาฟู่เสี่ยวกวนกันเถอะ”
“ไปหาเขาด้วยเหตุใดกัน ? ”
“…ศิษย์พี่ มิใช่ว่ามีคนจะจับเขาเยี่ยงนั้นหรือ ? เยี่ยงนั้นก็ควรไปบอกเขาสิ ให้เขาถูกจับตัวไป ไม่อย่างนั้นพวกเราจะทราบได้เยี่ยงไรว่าใครที่ต้องการจับเขา ? ”
คำพูดนี้ดูเหมือนจะมิมีปัญหาอะไร ซูเจวี๋ยพยักหน้า รอจนซูซูเปลี่ยนไปสวมใส่ชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนแล้ว ทั้งสองก็เดินออกจากจวนฟู่ไปยังจวนต่ง
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงอยู่ที่จวนต่ง
หลังจากที่ทานมื้อกลางวันด้วยกันแล้ว ต่งคังผิงก็เชิญชวนเขาเล่นหมากรุก เขาเล่นสิ่งนี้เป็น ทั้งยังเคยได้รับรางวัล
ต่งชูหลานนั่งต้มชาอยู่ด้านข้าง ส่วนต่งซิวเต๋อนั่งอยู่อีกด้านและจ้องมองอย่างสนใจ
ฟู่เสี่ยวกวนใช้หมากดำ การวางหมากค่อนข้างรวดเร็วและยุ่งเหยิง ส่วนหมากของต่งคังผิงกลับมั่นคงและแข็งแกร่งอย่างมาก ดังนั้นสถานการณ์บนกระดานตอนนี้มีฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้โจมตี ส่วนต่งคังผิงผลัดรุกและรับ
หมากรุกเดินไปได้ครึ่งทาง สถานการณ์ของหมากดำในยามนี้มิสู้ดีนัก การป้องกันของหมากขาวนั้นล้ำลึก หมากดำราวกับดูจะหมดหวังอยู่ในที ดังนั้นในยามที่แถวกลางของหมากดำยังมิได้ตั้งอำนาจมังกรน้อยก็ถูกหมากขาวรุกรานจนแตกพ่าย ในยามนี้เพียงฉับพลันก็จะจบชีวิตในทันที ราวกับฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีความต้องการที่จะช่วยชีวิต คาดมิถึงว่าเขาจะลงหมากในสถานที่แปลกใหม่
ต่งชูหลานคิ้วขมวดเล็กน้อย ต่งซิวเต๋อเบ้ปาก เอาเถอะ น้องเขยประพันธ์บทกวีได้ดียิ่ง ส่วนการเดินหมาก…น่าจะแย่เสียแล้ว
หมากสีขาวในมือของต่งคังผิงกลับเชื่องช้าและมิได้วางลงไป “ในรัชสมัยไท่เหอราชวงศ์หยูได้มีแม่ทัพใหญ่นามว่าเผิงถู คนผู้นี้ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นมาตลอดชีวิต โดยเฉพาะรัชสมัยไท่เหอปีที่ 13 ที่ขับไล่ชาวฮวงไปจนรุ่งเรือง เขาคือราชวงศ์หยูเพียงผู้เดียวที่รุกรานอาณานิคมของชาวฮวงมาตลอดสามปี จนชาวฮวงพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง และบังคับให้ท่าป๋าปู้ที่เป็นหัวหน้าของชาวฮวงในยามนั้นทำหนังสือยอมจำนน หลังจากนั้น ฮ่องเต้องค์แรกก็ได้มอบให้เผิงถูเป็นเจ้าเมือง และได้อยู่ในสุสานหลวง”
หมากขาวของต่งคังผิงถูกวางลงไป และได้ฆ่ามังกรตัวน้อยที่อยู่ใจกลางตรงนั้น แล้วกล่าวอีกว่า “ท่านเจ้าเมืองเผิงได้เขียนตำรารบขึ้นมา นามว่ากลยุทธ์สงคราม ในนั้นมีประโยคกล่าวไว้ว่า นักรบที่ดี จะเห็นกลยุทธ์ไว้ที่หนึ่ง มหาชนแห่งสามทัพ ดำเนินไปตามกลยุทธ์ มองให้ทั่ว อยู่ในสภาพที่เหมาะสม จึงจะชนะ”
ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจเล็กน้อย ชัยชนะที่มาจากความเหมาะสมเป็นประโยคที่อยู่ในตำรารบของซุนจื่อ ภายภาคหน้าหากมีเวลาคงต้องอ่านกลยุทธ์สงครามที่เผิงถูเขียนขึ้นมาเสียหน่อย
ความหมายของต่งคังผิงก็คือหมากก็คือพลทหารที่อยู่ในสนามรบ หมากเหล่านั้นก็คือทหารที่อยู่ในมือ จากสถานการณ์ในตอนนี้ ทหารของฟู่เสี่ยวกวนเหมือนจะใช้การไม่ได้แล้ว
อย่างไรก็ตามฟู่เสี่ยวกวนยังคงปักหลักอยู่กับที่ราวกับมิมีที่ให้ลง ต่งคังผิงเฝ้ามองอย่างตึงเครียด และรุกเป็นบางครา จากสนามรบที่เผชิญหน้าตรงกองกลางได้กลายเป็นการต่อสู้ของกองกำลังขนาดเล็กจากทางด้านข้าง
“การเดินหมากของเจ้ากลับแปลกใหม่ อือ น่าสนใจยิ่ง”
ฟู่เสี่ยวกวนได้รับชัยชนะเล็ก ๆ จากส่วนด้านข้าง แต่หากมองจากทั้งกระดานยังเป็นเขาที่พ่ายแพ้ อย่างน้อยก็เป็นในความคิดของต่งชูหลาน เพราะแนวโน้มส่วนใหญ่นั้นสำคัญกว่า
“อือ หมากนี้ลงได้สวย นี่คือชัยชนะ”
ฟู่เสี่ยวกวนค่อย ๆ ล้อมรอบกินเบี้ยของต่งคังผิง สถานการณ์ค่อยพลิกผันไปอย่างช้า ๆ ต่งชูหลานจ้องมองอย่างจริงจัง ลอบคิดว่าการยึดไปทีละน้อยเยี่ยงนี้ ยังชนะได้อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?
และท้ายที่สุด ในที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็ยกมือยอมจำนน ต่งชูหลานพินิจพิจารณา คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะพ่ายแพ้ไปเพียง 1 ตัว !
สองมือของฟู่เสี่ยวกวนแบออก ในตอนที่กำลังจะกล่าว ต่งคังผิงกลับโบกมือและจ้องไปที่หมากรุก
หลังจากนั้นเขาก็เก็บหมากขาวในมือ เขาลงกระปุกและส่ายหน้า “จบกระดาน ชูหลานเก็บกระดานนี้ไว้”
ต่งชูหลานมิทราบด้วยเหตุใด กระดานหมากนี้เห็นได้ชัดว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้แพ้ เหตุใดยังต้องเก็บไว้กัน ?
“เจ้าว่างแล้วค่อยไปศึกษาโดยละเอียดอีกครา”
ฟู่เสี่ยวกวนคาดมิถึงว่าต่งคังผิงจะมองออก เขาลูบจมูกด้วยความละอายใจ ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ด้านนอกจวน “เฮ้เฮ้ พวกข้ามาหาฟู่เสี่ยวกวน หากเจ้ากล้าขวางพวกข้าอีก ข้าจักตีพวกเจ้าให้สลบจริง ๆ ด้วย”
น้ำเสียงของเด็กผู้หญิงนี้ มิใช่หยูเวิ่นหวินเป็นแน่ ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานมองหน้ากัน ต่างก็มีความสงสัย หลังจากนั้นทั้งสองก็ลุกขึ้นและเดินออกไป
และเห็นเป็นคนผู้หนึ่งที่สวมชุดสีเขียวที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ซูเจวี๋ยที่ยืนตัวตรง บนศีรษะนั้นถักเป็นเปียเล็ก ๆ ปากยังคงเลียถังหูลู่ อีกทั้งสาวน้อยผู้นั้นก็ยังยืนบนหิมะด้วยเท้าเปล่าของนาง
ต่งชูหลานให้ทหารยามถอยออกไป สาวน้อยผู้นั้นหันมองต่งชูหลานอย่างเริงร่า ทันใดนั้นก็ยิ้มอย่างสดใส “พี่สาวงดงามยิ่ง ! ”
ต่งชูหลานผงะ และยิ้มกลับไปอย่างขัดเขิน “น้องสาวก็งดงามเช่นกัน ! ”
ซูซูเลียถังหูลู่และมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน ท่าทางดูประหลาดใจเล็กน้อย “ท่านคือฟู่เสี่ยวกวนหรือ ? ”
“เจ้าคือ… ? ”
“ข้ามีนามว่าซูซู ท่าน…” ซูซูมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างพินิจพิจารณา “เจ้าผู้นี้…พอใช้ได้ ! ”
ตอนที่ 176 เจ้าทนมิไหวเป็นแน่
ซูเจวี๋ยมองไปยังซูซูด้วยท่าทางประหลาดใจ ซูซูมองมายังเขาและกะพริบตาให้กับเขาหนึ่งครั้ง
ซูเจวี๋ยนึกในใจว่าศิษย์น้องหกนี้แม้จะมีนิสัยเป็นสตรีแปลกประหลาด แต่นางมิเคยยอมเสียเปรียบผู้ใด…มองดูแล้วซูซูต้องการเงินงั้นหรือ ? เอาเถอะ อย่างไรเสียก็ต้องมีผู้จ่ายเงินค่าอาหารอยู่ดี
เถ้าแก่เนี้ยเดินสวมผ้ากันเปื้อนออกมา นางเช็ดมือทั้งสองข้างที่ผ้ากันเปื้อนนั้นแล้วเอ่ยถามว่า “แม่นางรับอะไรดี ? ”
ชายผู้นั้นโบกมือแล้วกล่าวว่า “ไปๆๆ พวกเรายังมีอาหารเพียงพอ”
เถ้าแก่เนี้ยได้ยินก็ตกตะลึง คนพเนจรพวกนี้นางมิกล้าขัดใจ แต่แม่นางผู้นี้รูปร่างหน้าตางดงามยิ่ง ในวันสำคัญเช่นนี้เหตุใดจึงมาที่นี่กัน ? น่าสงสารจริง อากาศหนาวเพียงนี้นางสวมใส่เสื้อผ้าบาง ๆ รองเท้าก็มิสวมใส่ เห้อ…เท้านั่นขาวซีดราวกับหิมะ นางพบเจอกับคนพเนจรเช่นนี้ช่างน่าอดสู จะทำเยี่ยงไรดี ?
เถ้าแก่เนี้ยขยิบตาให้ซูซู แต่นางคล้ายกับไม่รู้สึกใด ๆ คิ้วนางขมวดขึ้นแล้วจ้องไปยังชายผู้นั้นว่า “ข้ามิกินเศษเดนของพวกเจ้าหรอก หากมิมีเงินก็ไสหัวไปซะ ! ถ้ามีเงินก็สั่งอาหารให้ข้าใหม่…นี่เจ้า แท้จริงแล้วมีเงินหรือไม่ ? หากมิมีก็เอ่ยมาตรง ๆ อย่ามาทำอวดเก่งต่อหน้าข้า !”
หลู่เฟิงชะงักลงชั่วครู่ ในฐานะหนึ่งในจินกังทั้งแปดของกงเซินฉาง เขาบุกป่าฝ่าฟันมาทั่วทิศกว่าสิบปี นี่เป็นคราแรกที่ได้พบสาวงามเช่นนี้ อีกทั้งเป็นคราแรกที่ถูกสาวงามเช่นนี้ดูถูก
เขาเดินมาด้านหน้าซูซู เขาหยิบเงินออกมาจากกระเป๋า 10 ตำลึงแล้วตบลงไปที่โต๊ะ
“แม่นาง เงินทองข้ามากมายยิ่งกว่าสิ่งใด !” จากนั้นเขาก็เดินจากไป เงินนั้นฝังลึกลงไปในโต๊ะตามแรงทุบของเขา
ซูซูมองดูเงินบนโต๊ะแล้วเบิกตากว้าง
“โอ้โห……ไม่เลวนี่ ! เจ้ามีเงินจริง ๆ ด้วย ถ้าเช่นนั้น…เรามากินข้าวก่อนดีหรือไม่ ? ”
หลู่เฟิงหัวเราะเหอะ ๆ สตรีนางนี้มองไปแล้วมิใช่คุณหนูจากจวนใดแน่ คาดว่าคงเป็นสาวใช้ของชายโต๊ะข้าง ๆ นั่น
เขามองไปยังซูเจวี๋ย มองดูแล้วคงเป็นพวกคลั่งตำรา นั่งอ่านหนังสือราวกับท่อนไม้มิขยับเขยื้อน หรือเพราะเกรงกลัวตนกัน
เขานั่งลงด้านหน้าแล้วเอ่ยถามว่า “อยากกินอะไรเจ้าสั่งได้ตามใจชอบ วันนี้ข้าอารมณ์ดียิ่ง”
ซูซูดีใจยิ้มออกมา แล้วกล่าวกับเถ้าแก่เนี้ยว่า “นี่ที่มีอะไรขึ้นชื่อบ้าง นำมาให้หมด ส่วนค่าอาหารเขาเป็นคนจ่าย เจ้างัดออกมาจากโต๊ะเองแล้วกัน”
หลู่เฟิงตกตะลึง นี่เป็นเงิน 10 ตำลึงเชียว สถานที่เช่นนี้ต่อให้กินจนเต็มโต๊ะ ก็ประมาณ 1 ตำลึงเท่านั้น !
เขารู้สึกเสียดายเล็กน้อย เนื่องจากการปล้นแต่ละทีมิใช่เรื่องง่าย อีกทั้งการเดินทางมาครั้งนี้มิใช่เพื่อปล้น แต่เพื่อหาวิธีช่วยเหลือหลิวซานเปี้ยน ซ่งต้าเป่าและหวงซื่อหลาง
แต่แม่นางนี้ได้กล่าวออกไปแล้ว หากเขามิตอบตกลงคงจะถูกมองว่าเป็นพวกตระหนี่ขี้เหนียว และส่งผลต่อชื่อเสียงของเขา ดังนั้นหลู่เฟิงจึงทำได้เพียงเอ่ยว่า “ไม่ได้ยินหรือไง ? รีบไปจัดการเข้าซี อาหารและสุราชั้นดีไปเตรียมออกมา !”
คนจากโต๊ะข้าง ๆ ก็พากันหันไปมอง จากนั้นก้มหน้าก้มตากินข้าวของตนต่อไป
คนที่หลู่เฟิงพามามีทั้งสิ้น 3 คน พวกเขากินดื่มอย่างสนุกสนาน ในวันนี้พวกเขาโชคดีเสียจริง ที่ได้พบแม่นางรูปงามคนนี้ คาดว่าเมื่อหัวหน้าจัดการเรื่องที่เมืองหลวงเรียบร้อยแล้ว คงพานางกลับผิงหลิงด้วย เนื่องจากหัวหน้าอายุปาเข้าไปสามสิบกว่าแล้ว จวบจนปัจจุบันเพิ่งจะแย่งชิงภรรยาไปได้เพียง 3 คน
เถ้าแก่เนี้ยได้ยินแล้วจึงรีบเดินเข้าไปในครัว นางถอนหายใจออกมาเบา ๆ ด้วยความเป็นกังวล
แต่นางก็ยังต้องทำหน้าที่ของตนต่อไป อีกทั้งชาวพเนจรเหล่านั้น นางเองก็ไม่กล้าต่อกรด้วย
อาหารในร้านค่อนข้างเรียบง่าย ไม่นานต่อมาเนื้อวัวจานโตและอาหารอื่น ๆ อีก 3 อย่างก็ยกขึ้นมา อีกทั้งสุราหนึ่งไห หลู่เฟิงเปิดไหสุรานั้นออก รินให้ซูเจวี๋ยและซูซู
“มาๆๆ แม่นาง การได้พบกันนับว่าเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิตแล้ว ชนแก้ว !”
ซูซูยกจอกสุราขึ้นมาสูดดมแล้วขมวดคิ้ว “สุรานี้มิใช่สุราชั้นเลิศ รสชาติเทียบมิได้กับสุราเทียนฉุนหรือเทียนเซียงด้วยซ้ำ…ข้าหิวแล้ว เจ้าดื่มเองแล้วกัน ข้าขอกินอาหารดีกว่า”
เมื่อเอ่ยจบก็วางจอกสุราลงอย่างไม่เกรงใจ จากนั้นจึงยกมือไปแตะซูเจวี๋ยและกล่าวว่า “กินสิ เย็นแล้วจะไม่อร่อย”
ซูเจวี๋ยหยิบตะเกียบขึ้นมา หลู่เฟิงสีหน้าไม่พอใจ แม่นางผู้นี้ยังเรียกร้องดื่มเทียนฉุนและเทียนเซียง หึ ๆ ข้ายังมิเคยได้ลิ้มลอง ในขณะที่เขากำลังจะโวยวาย ซูซูก็หยิบเนื้อชิ้นหนึ่งแล้วใส่เข้าปากเขา “กินเยอะ ๆ หน่อย มิเช่นนั้นข้าเกรงว่าอีกเดี๋ยวเจ้าจะรับไม่ไหว”
หลู่เฟิงยิ้มขึ้นมา คนที่ติดตามมาอีกสามคนก็พากันหัวเราะออกมา แม่นางผู้นี้ช่างน่าสนใจจริง
“แม่นาง ข้ารับได้อยู่แล้ว กลัวแต่แม่นางจะทนมิไหว !”
“หืม ! ถ้าเช่นนั้นรีบกินเข้าเถิด กินอิ่มแล้วลองดูว่าใครจะทนไม่ไหว…ข้าขอบอกก่อนว่า หากรับไม่ไหวจะร้องไห้มิได้ และห้ามร้องโอดครวญ มิเช่นนั้นอาจทำให้ผู้อื่นตกใจได้”
“ดูคำพูดเจ้าสิ เยี่ยม ! ข้าชอบ ! แต่เจ้าร้องได้ ข้าชอบฟัง อีกประเดี๋ยวร้องดัง ๆ ก็ได้ ยิ่งดังข้ายิ่งชอบ”
ซูซูเบิกตาโตกว้าง เขาเป็นคนประเภทใดกัน ข้าต่อยเจ้าก็ควรเป็นเจ้าที่ร้อง ข้าจะร้องไปทำไมกัน ? ข้ามิได้มีความชอบเช่นนั้นสักหน่อย
แต่การที่ได้กินอาหารดี ๆ มื้อนี้ เดี๋ยวนางจะสนองให้ตามความต้องการของเขา
เถ้าแก่เนี้ยเดินถืออาหารมา 2 จาน ซูซูและซูเจวี๋ยก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อไป ส่วนหลู่เฟิงยกไหสุราขึ้นมาดื่มอย่างสำราญใจ เขามองดูนางด้วยสายตาเจ้าเล่ห์อย่างไม่ละสายตา
เวลาผ่านไป 1 ก้านธูป อาหารมากมายบนโต๊ะก็ถูกซูซูและซูเจวี๋ยกินจนหมดเกลี้ยง ซูซูเรอออกมาจากนั้นลุกขึ้นยืนมองไปยังหลู่เฟิงว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าไปหาที่ที่เหมาะสมเป็นไร ? ข้าขอบอกกับเจ้าก่อนว่า จงไปหาที่ที่ไม่ค่อยมีผู้คน มิเช่นนั้นหากถูกพบเข้าคงมิดี เนื่องจากเรื่องนี้อาจทำให้ผู้พบเห็นตกใจได้”
หลู่เฟิงรีบวางสุราลง “ดีๆๆ ข้าเองก็คิดเช่นนี้ เนื่องจากกลางวันแสก ๆ เช่นนี้หากถูกพบเข้าคงไม่ดี หรือว่าเจ้าจะตามข้ามา ? ”
“อ้อ ถ้าเช่นนั้นเชิญนำทาง”
หลู่เฟิงหันไปส่งสัญญาณให้กับทั้งสามคน ให้พวกเขานั่งรออยู่ที่นี่ เขาพาซูซูออกไปจากร้านและตรงไปยังลานกว้างที่ห่างออกไป
ซูเจวี๋ยมิได้ตามไปด้วย เขาเพียงถอนหายใจออกมาแล้วส่ายหัว
ในสายตาของพวกเขาทั้งสามนั้น เจ้าหนอนหนังสือนี่แลกสาวงามเช่นนั้นเพื่ออาหารมื้อเดียว ช่างไร้ค่าเสียจริง
ซูซูเดินกอดอกตามหลังหลู่เฟิงออกมาท่ามกลางหิมะ จนกระทั่งมาถึงลานกว้างแห่งหนึ่ง นางมองไปรอบ ๆ จากนั้นตั้งใจฟังเสียงลม ที่แห่งนี้ห่างไกลจากผู้คนจริง ๆ ในระยะใกล้ ๆ นี้มิน่าจะมีใครอยู่ อืม เยี่ยมมาก !
หลู่เฟิงนำมือมาถูกันไปมาด้วยท่าทางหื่นกระหาย
ในวันนี้เขาช่างโชคดีเสียจริง !
สตรีงดงามเพียงนี้ใช้เงินเพียง 10 ตำลึงก็ได้ตัวมา รอให้เขาจัดการธุระเรื่องที่เมืองหลวงให้เรียบร้อยเสียก่อน เขาจะกลับมาพาแม่นางคนนี้กลับไปด้วย ให้พวกคนอื่น ๆ อิจฉาเขา
เมื่อเขาก้าวขาเดินเข้าไปในเรือน ซูซูก็มองเขาด้วยแววตาประหลาดใจ เขาหันมากวักมือเรียก “เข้ามาสิ !”
“หา ? เข้าไปทำอะไร ? ที่นี่ไม่สะดวกกว่าหรือ ? ”
หลู่เฟิงยิ้มขึ้น แม่นางผู้นี้มีความชื่นชอบแตกต่างกับผู้อื่นเสียจริง แต่ด้านนอกหิมะหนาเพียงนี้ ไม่หนาวไปหน่อยหรือ !
“ด้านนอกหนาวเย็นเกินไป เข้ามาข้างในเถอะ อบอุ่นหน่อย”
ซูซูรู้สึกว่าเขาผู้นี้แปลกประหลาดเสียจริง ต่อสู้กันต้องการความอบอุ่นด้วยหรือ ? เมื่อเริ่มต่อสู้ร่างกายขยับเขยื้อนก็อบอุ่นเอง
“ข้าว่าด้านนอกดีกว่า กว้างขวางกว่านัก ด้านในคับแคบข้าเกรงว่าเจ้าจะขยับได้ไม่เต็มที่”
หือ……เรื่องนี้ ต้องใช้พื้นที่มากขนาดนั้นเชียวหรือ ?
หลู่เฟิงงุนงงมาก “หรือว่าบนเตียงยังไม่พองั้นหรือ ? ข้าว่าเตียงนี้ก็ใหญ่โตทีเดียว รีบเข้ามาเร็ว ๆ เข้า !”
ซูซูขมวดคิ้วขึ้น เขาคิดสิ่งใดกัน ? กล้าดียังไงคิดเยี่ยงนี้กับนาง !
นางหัวเราะหึ ๆ จากนั้นกระโดดขึ้นไปท่ามกลางหิมะหนา ขึ้นไปสู่ยอดหลังคาและลากคอหลู่เฟิงไปด้วยมือเพียงข้างเดียว “ปึง… !” เสียงร่างของหลู่เฟิงตกลงมากระทบกับพื้น ทำให้หิมะกระจายออกเป็นวงกว้าง
หลู่เฟิงถูกนางทุ่มเสียจนมึนงง เขาตกตะลึงอย่างยิ่งสตรีนางนี้เป็นผู้มีความสามารถจริง ๆ !
เขาลุกขึ้นจากพื้น แล้วกำแส้ไว้ในมือ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองมายังซูซูด้วยความระมัดระวังแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นใครกัน ? ”
ซูซูยืนกอดอกเขย่งเท้าแล้วเงยหน้ามองเขา “ไหนว่าจะไม่เอ่ยถามชื่อกันเล่า ? ข้ายังมิได้เอ่ยถามชื่อเจ้าสักหน่อย”
“เจ้าต้องการสิ่งใด ? ”
ซูซูตกตะลึงอ้าปากค้าง นางเอนหัวด้วยความสงสัย “ข้ากินอาหารเจ้าไปมื้อนี้ไงเล่า ? ดังนั้นจึงเป็นคู่ฝึกซ้อมให้เจ้า”
หลู่เฟิงตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน ให้ตายสิ เขาไม่ได้หมายความว่าเช่นนั้น ! นางเข้าใจเยี่ยงนั้นไปได้อย่างไร ?
แม่นางผู้นี้มีฝีมือดี จากการโจมตีเมื่อครู่เขาสัมผัสได้ ตัวเขายังมิอาจหลบทัน หรือนางจะเป็นคนจากหนึ่งในสี่สำนักใหญ่กัน ?
จะทำเยี่ยงไรได้เล่า ! คงต้องโทษตนเองที่โชคร้าย
“มองดูแล้วแม่นางคงเข้าใจข้าผิดไป เอาเถอะ ๆ การที่ข้าได้เลี้ยงอาหารแม่นางมื้อนี้ก็นับว่าเป็นบุญแล้ว ไปเถอะ เชิญแม่นางกลับไปได้”
“ได้อย่างไรเล่า ? ข้าเอ่ยคำไหนคำนั้น ข้ายังมิได้ร้องให้เจ้าฟังเลย !”
หลู่เฟิงอยากจะบอกออกไปว่าข้าไม่อยากฟังแล้ว แต่เขาก็มิได้เอ่ยออกมา เนื่องจากวินาทีนั้นเท้าของซูซูถีบเข้าที่เขาเต็มแรง
หลู่เฟิงรีบถอยหลังออกมาแล้วสะบัดแส้ในมือออกไป ซูซูยกมือทั้งสองขึ้นจากนั้นก็จับแส้ไว้นางกระตุกแส้นั้นเบา ๆ แต่หลู่เฟิงกลับรู้สึกว่าเขาได้ถูกพลังบางอย่างดึงไปด้านหน้า ทำให้เขาหน้าคะมำลงไปยังเท้าของซูซู
“โอ๊ย… !”
เมื่อแส้ในมือคลายลง เขาก็ถูกเตะให้ลอยขึ้นสู่อากาศอีกครา และตกลงมาในกองหิมะ
“ข้ามาแล้ว !”
ซูซูกำแส้ไว้ในมือ นางกวัดแกว่งไปมาและฟาดลงไปดังพั่บ ! “อ๊ากกกก… !”
นางฟาดไปร้องไป แส้นั้นตวัดไปยังหลู่เฟิง เขาส่งเสียงร้องราวกับหมูถูกเชือด
“อ้าว ไหนเจ้าว่ารับไหวกัน อย่าเพิ่งร้องสิ!”
“เพี๊ยะ… !”
เสียงแส้ฟาดลงมาที่เนื้อหนังของหลู่เฟิง “อย่าร้อง !”
ซูซูตะคอกออกมาเสียงดัง แต่ความเจ็บปวดบนร่างกายของหลู่เฟิง จะให้เขาหยุดร้องได้อย่างไร
“ข้าสั่งว่าห้ามร้อง ! ห้ามร้อง ! ได้ยินหรือไม่ ! …!”
หลู่เฟิงหยุดเสียงร้องลง ซูซูจึงก้มลงไปมอง “ข้ากล่าวแล้วว่าเจ้ามิอาจทนได้ เหตุใดจึงมิฟังกัน ? ”
ตอนที่ 175 ซูซู (2)
โดยทั่วไป วันปีใหม่ที่31ควรอยู่ที่บ้านของตนเอง
แต่ฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างพิเศษ ถึงแม้ที่เมืองหลวงเขาจะมีบ้านหนึ่งหลังแล้ว แต่เพราะเขายังมิได้แต่งงาน ดังนั้นเขายังปรี่ไปจวนต่งอย่างหน้าด้าน
ส่วนซูเจวี๋ย ซูโหรวรวมไปถึงซูซูที่เพิ่งมาถึงจวนฟู่ เดิมทีพวกเขาก็ตัวคนเดียวอยู่แล้ว ช่วงข้ามปีในอดีตก็อยู่แต่ในอาราม และมิมีความรู้สึกอยากไปที่แห่งใดเป็นพิเศษ แต่ในตอนนี้พวกเขาอยู่ที่จวนฟู่ ความแตกต่างคือในจวนนั้นประดับโคมไฟเอาไว้อย่างมากมาย ถนนใหญ่ด้านนอกจวนครึกครื้นเป็นอย่างมาก นอกเหนือจากนั้น… ก็เหมือนจะมิมีอะไรแล้ว
ฮูหยินต่งมิมีข้อคิดเห็นอันใดที่ฟู่เสี่ยวกวนจะมาที่บ้านในช่วงข้ามปี เป็นเพราะตั้งแต่ได้เปิดกล่องที่ฟู่เสี่ยวกวนนำมาให้ ซึ่งในห้ากล่องใหญ่นั้นมีเงินให้ใช้ได้อย่างฟุ่มเฟือย !
หลังจากที่ฮูหยินต่งได้นับ ตั๋วเงินภายในนั้นก็มีมากถึง 30,000 ตำลึง สำหรับจวนต่ง นับเป็นทรัพย์สินที่มหาศาลอย่างมิต้องสงสัย การมาเมืองหลวงครั้งที่แล้ว ยามที่ฟู่เสี่ยวกวนและซูม่อปรี่เข้ามาขโมยตัวต่งชูหลานไปก็เคยได้ยินฮูหยินต่งคุยกับต่งซิวจิ่น เรื่องที่จวนต่งมิได้ร่ำรวย ฟู่เสี่ยวกวนก็รับรู้ ดังนั้นเขาจึงมิสนคำคัดค้านของต่งชูหลาน เขาจึงตัดสินใจด้วยตนเองที่จะมอบเงินให้ 30,000 ตำลึง คิดที่จะใช้ประโยชน์จากเงินที่แวววาวเหล่านั้น หวังว่าท่านแม่ยายจะชื่นชอบตัวเองมากขึ้นอีกสักเล็กน้อย
ถึงแม้จะบรรลุเป้าหมายแล้ว ยามที่ฮูหยินต่งได้มองฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้อีกครา ก็รู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้มิเลว สายตาของชูหลานก็มิเลว โชคดีที่ฟู่เสี่ยวกวนยอมอดทนอดกลั้น ไม่อย่างนั้นหากสูญเสียลูกเขยที่ดีเยี่ยงนี้ไปคงน่าเสียดายมิใช่น้อย
ในบางครั้งนางก็ยังนำมาเปรียบเทียบกับเยี่ยนซีเหวิน ฟู่เสี่ยวกวนนั้นหากเทียบกับตระกูลเยี่ยนก็คงจะเทียบมิติด แต่จากที่มองในตอนนี้ความรู้ของฟู่เสี่ยวกวนมีมากกว่าเยี่ยนซีเหวินมากนัก ได้ยินว่าเขาได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท หากได้รับการสนับสนุนจากขุนนางระดับสูงอย่างลับ ๆ ลองคิดทบทวนดูแล้วเขาสามารถเข้าร่วมในราชสำนักได้มิยากเย็นนัก
เยี่ยงนี้ก็ถือว่าใช้ได้แล้ว !
โอ้ เหมือนจะจำได้ว่าเขามีอาการป่วยทางสมอง มิได้การ ข้อดีของเขาอยู่ที่สมอง หากเกิดอาการป่วยที่สมองอีกคราจะยิ่งลำบาก ดังนั้นต่งหยวนชื่อจึงเข้าครัวไปทำซุปนกพิราบด้วยตนเอง ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานมาถึงจวนต่งและเดินเข้าไปในห้องโถง บ่าวรับใช้วัยชราก็ได้นำซุปนกพิราบมาวางตรงหน้าฟู่เสี่ยวกวน
“ฮูหยินลงมือทำสิ่งนี้ด้วยตนเองเลยนะเจ้าค่ะ ใช้เทียนหม่าที่องค์จักรพรรดิทรงมอบให้แก่นายท่านต่งมา ใช้นกพิราบที่มีอายุ 3 เดือนมาเคี่ยวเป็นเวลา 2 ชั่วยาม สิ่งนี้เป็นอาหารบำรุงสมอง คุณชายทานตอนที่ยังร้อนนะเจ้าคะ”
สีหน้าของต่งชูหลานจึงมีรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับ ต่งซิวเต๋อจึงรู้สึกแย่ขึ้นมาทันพลัน
แต่ฟู่เสี่ยวกวนมีความสุข เขาหัวเราะร่าและหยิบช้อนขึ้นมาชิมอย่างไม่เกรงใจ ทั้งยังเอ่ยชมไม่ขาดปาก “ฝีมือท่านป้าเป็นหนึ่งในใต้หล้ามิมีสอง ทำเอาเสี่ยวกวนรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นเหมือนอยู่บ้านเลยขอรับ”
ต่งซิวเต๋อจ้องฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง “น้องเขย แท้จริงแล้วเจ้าได้วางยาเสน่ห์ใส่ท่านแม่หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “ท่านพี่รอง ท่านป้าผู้ยิ่งใหญ่มีดวงตาราวกับคบเพลิง เหตุไฉนข้าต้องวางยาเสน่ห์ด้วยเล่า ข้าจักบอกให้ ซุปนี้รสชาติเป็นเลิศอย่างยิ่ง ท่านอยากลิ้มลองหรือไม่ ? ”
“ออกไปให้พ้น ! ”
ทันใดนั้นต่งซิวเต๋อก็รู้สึกว่าน้องเขยมิได้ดีเท่าใดนัก เพิ่งเป็นเวลาสองวันตั้งแต่ที่เขามาถึงจวนต่ง แต่มารดาของเขาก็เอนเอียงไปทางฟู่เสี่ยวกวนเสียแล้ว ราวกับบุตรชายของตนเองนั้นไร้ตัวตน ให้ตายเถอะ เหตุใดถึงได้รู้สึกว่าข้ากำลังชักนำหมาป่าเข้าบ้านกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนย่อมละเลยความรู้สึกของต่งซิวเต๋อ อือ ความรู้สึกของพี่รองมิได้สำคัญอันใด
หลังจากนั้นต่งคังผิงก็เดินออกมา ทั้งสี่คนนั่งลงที่โต๊ะน้ำชาผิงไฟต้มน้ำชาและพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวถึงบ้านที่หลินเจียง กล่าวว่าเป็นคราแรกที่ได้พบกับต่งชูหลาน กล่าวว่าเป็นเพราะต่งชูหลานตนถึงได้เปลี่ยนไปและเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย
ทางเขากำลังพูดคุยกันอย่างสบายอารมณ์ ส่วนภายในศาลาเถาหรานจวนฟู่ ณ ทะเลสาบซวนอู่สองศิษย์พี่น้องก็กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
ซูซูนั่งอยู่บนเก้าอี้สองเท้าเปล่ากวัดแกว่งไปมา จ้องมองศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ที่กล่าวว่า ชายแซ่ฟู่ผู้นี้เป็นผู้ที่มีความสามารถ เขามีมากเท่าใดกัน ? ”
ซูเจวี๋ยพยักหน้า “ศิษย์น้องข้าได้อ่านความฝันในหอแดงที่เขาเป็นผู้ประพันธ์ และเคยได้เห็นบทกวีที่ได้สลักบนหินเชียนเปยสือบทนั้น คนผู้นี้มีพรสวรรค์ยิ่ง แต่มันน่าประหลาดที่เขาดูมิค่อยใส่ใจกับสิ่งเหล่านั้น”
“ศิษย์พี่หมายความเยี่ยงไรเจ้าคะ ? ”
“ข้ามิเคยเห็นเขาอ่านตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้ามาก่อน ยามที่ข้าพบเขาคราแรก เขาก็ได้เป็นขุนนางแล้ว แต่มิใช่ผ่านจากการสอบ แต่ใช้ทางลัดโดยการเขียนนโยบายบรรเทาสาธารณะภัยหนึ่งฉบับ นโยบายนั้นเจ้าคงจะรู้จัก ท่านอาจารย์ขอให้พวกเราออกมาปกป้องเขา นั่นก็เพราะศิษย์น้องเล็กส่งนโยบายฉบับนั้นมา”
ซูซูเอียงคอด้วยท่าทางครุ่นคิด แล้วส่ายหน้า “ข้าเองก็มิทราบ ข้ามิชอบอ่านตำรา โดยเฉพาะพวกนโยบาย ทำลายก้านสมองเสียมากเกินไปเจ้าค่ะ แล้วหลังจากนั้นล่ะเจ้าคะ ? ”
“หลังจากนั้นหรือ หลังจากนั้นเขาก็ได้เป็นขุนนาง และถูกลักพาตัวในไม่กี่วันถัดมาหลังจากที่รับตำแหน่งขุนนาง เกือบจะถึงแก่ความตาย แต่ชายผู้นี้ก็วาสนาดี ศิษย์น้องกล่าวว่ายามที่ไปเจอเขานั้นทั่วร่างอาบไปด้วยโลหิต จนทำให้ศิษย์น้องตื่นกลัวยิ่ง แต่ชายผู้นี้ก็ใจกล้านัก คาดมิถึงว่าเขาจะสังหารโจรที่ลักพาตัวเขาทั้งสองลงได้ ! ”
ซูซูเบ้ปากและกล่าวว่า “จะสังหารโจรทั้งสองนั้นมิได้ได้เยี่ยงไร ศิษย์น้องมิใช่ว่าสอนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางและสิบสามกระบี่ฉวนเจินให้กับเขาแล้วหรอกหรือ หากเขามิชนะนั่นต่างหากที่แปลก ! ”
ซูเจวี๋ยยืดตัวปรับท่านั่ง จ้องมองศิษย์น้องหกอย่างเคร่งเครียด และกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าทุกคนในใต้หล้าจะเหมือนเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ เขามิเคยได้ฝึกกำลังภายใน และมิเคยฝึกแม้แต่วิถีกระบี่ พลังและความแข็งแกร่งของเขาเมื่อเทียบกับบุคคลธรรมดาก็ถือว่ามากกว่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ศิษย์น้องกล่าวว่าโจรสองคนนั้นอย่างน้อยก็อยู่ที่ระดับสาม หากเป็นผู้อื่นไหนเลยจะหลบหนีได้เร็วและลอบสังหารกลับไปได้กัน ?”
ซูซูจึงได้รู้สึกประหลาดใจขึ้นมาเล็กน้อย โอ้ ! ใช่ อาจารย์กล่าวว่าผู้ที่เหมือนปีศาจเยี่ยงข้านั้นมีเพียงหนึ่งมิมีสอง มิมีทางเอาเขามาเปรียบเทียบกับข้าได้ แบบนั้นคงอันตรายอย่างยิ่ง แต่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคนผู้นี้มีความกล้าและมีกลยุทธ์ที่ดีเยี่ยมยิ่งนัก
“ที่ท่านอาจารย์ให้เจ้าออกมาในครานี้ได้ฝากคำพูดอะไรให้เจ้านำมาบอกพวกข้าหรือไม่ ? ”
ซูซูแบสองมือออก “มิมี กล่าวเพียงในอารามยามนี้หนาวเย็นเกินไป โลกมนุษย์นั้นดูครึกครื้นเล็กน้อย อาจารย์บอกให้ข้าออกเดินทางเพื่อเรียนรู้โลกมนุษย์ให้มากขึ้น หลังจากนั้นก่อนเทศกาลฤดูหนาวก็ไปที่ราชวงศ์อู๋ ให้หาลูกศิษย์ของเป่ยหวังฉวนแล้วส่งสัญลักษณ์ให้ และในช่วงปีใหม่ก็ให้ไปแคว้นฝาน ไปหาลูกศิษย์ของเจ้าอาวาสนิกายฝูคูฉานและส่งสัญลักษณ์ให้เช่นกัน ก็มีเพียงเท่านี้มิมีสิ่งใดแล้ว”
ซูเจวี๋ยคิ้วขมวด ราชวงศ์อู๋ เทศกาลฤดูหนาว มิใช่ว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะไปร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ในเทศกาลฤดูหนาวหรอกหรือ ? อาจารย์ต้องการจะทำสิ่งใด… น่าสนใจยิ่ง
เมื่อนึกย้อนกลับไปยังเดือนสี่วันที่ยี่สิบแปดของปีนี้ คืนเดือนแรมไร้ซึ่งจันทราและดวงดารา อาจารย์กำลังตกปลาอยู่ในทะเลสาบสีซิง ในตอนนั้นตนเองกำลังทำความสะอาดปลากะพงที่อาจารย์ตกขึ้นมาได้ ศิษย์น้องรองกำลังก่อไฟ ศิษย์น้องสามกำลังปักผ้าอยู่ข้าง ๆ ศิษย์น้องสี่กำลังจับปลาอยู่ในทะเลสาบ หลังจากที่จับได้หนึ่งตัวก็แขวนไว้ที่ตะขอตกปลาของอาจารย์ นั่นคือวิธีการตกปลาของอาจารย์ ศิษย์น้องห้าโผบินไปรอบ ๆ ภูเขาเพื่อตามหาหัวหอมป่า ศิษย์น้องหกกำลังบรรเลงฉิน ศิษย์น้องเจ็ดหยิบไม้ขึ้นมาตีนกที่กำลังบิน ส่วนศิษย์น้องเล็กกำลังถอนขนนก
ทันใดนั้นท่านอาจารย์ก็มองไปบนฟ้า หลังจากนั้นก็เปล่งเสียงออกมาคำหนึ่งด้วยท่าทีซับซ้อน “อ่า…”
คำว่า อ่า นั้นก็แปลกมากแล้ว ท่านอาจารย์ราวกับตกใจเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นก็ขึ้นไปอาคารห้าชั้นนำเข็มทิศกลับมาที่ข้างทะเลสาบสีซิง หลังจากนั้นก็วางเข็มทิศไว้ที่พื้น นับนิ้วคำนวณอยู่เป็นเวลา 1 ก้านธูป หลังจากนั้นก็เงียบลงไปอีกคราเป็นเวลา 1 ก้านธูป สุดท้ายก็ให้ศิษย์น้องออกนอกอารามไป
มิมีผู้ใดรู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น จนกระทั่งถึงเดือนสิบ ท่านอาจารย์กล่าวว่าเจ้าและเจ้าสามก็ควรออกจากอารามได้แล้ว ปกป้องคนที่ศิษย์น้องเล็กของพวกเจ้ากำลังปกป้องไว้ให้ดี อย่าให้เขาสิ้นชีพ
ตอนนี้ก็เดือนสิบสอง ศิษย์น้องหกก็ได้ออกจากอารามมาเช่นกัน
เยี่ยงนั้น…ในค่ำวันนั้นท้ายที่สุดท่านอาจารย์กำลังคำนวณสิ่งใดออกมากัน ?
เมื่อได้มองในวันนี้ก็พบว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นแตกต่างจากผู้คนทั่วไป ประกอบกับเรื่องต่าง ๆ ที่เขาทำขึ้นที่ซีซาน รวมไปถึงกองทัพที่เขาฝึกฝน มันแตกต่างจากโลกนี้อย่างสิ้นเชิง
หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ เป็นคนที่ฟ้าลิขิตชะตากรรมอย่างแท้จริง ?
“ท่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน ? ”
ซูเจวี๋ยหลุดจากภวังค์ “ข้ากำลังคิดว่า แท้จริงแล้วนี่คือสิ่งที่ท่านอาจารย์กำหนดไว้ เพราะฟู่เสี่ยวกวนจะต้องไปราชวงศ์อู๋ก่อนเทศกาลดูหนาวเช่นกัน”
“เขาเองก็ต้องไปหรือ ไปทำอันใดกัน ? ”
“เขาไปเข้าร่วมงามชุมนุมวรรณกรรม”
“โอ้ ศิษย์พี่ ข้าหิวแล้ว ท่านมีเงินบ้างหรือไม่ ? ”
ซูเจวี๋ยขัดเขิน ฟู่เสี่ยวกวนมิเคยให้อั่งเปากับพวกเขาไว้เลย ชีวิตก่อนหน้านี้ก็อยู่แต่ในอารามมิต้องใช้เงิน ตอนนี้ได้อยู่กับฟู่เสี่ยวกวนก็มีกินมีดื่มโดยมิต้องใช้เงินเช่นกัน ดังนั้น…เขาจึงมิมีเงินติดตัวแม้แต่อีแปะเดียว
ซูซูหัวเราะอย่างมีเลศนัย “ฮิฮิ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านมิมี”
“เจ้ามีเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ซูซูพยักหน้า และลุกขึ้นยืน “ไป แต่ศิษย์พี่สามมิอยู่ ศิษย์น้องเยี่ยงข้าจะพาท่านไปทานของอร่อยเอง ! ”
ซูเจวี๋ยครุ่นคิด ในวันนี้เป็นวันหยุดของที่จวน มิมีอะไรทานอย่างแท้จริง เยี่ยงนั้นก็ออกไปหาอะไรทานข้างนอกกับศิษย์น้องหกจะดีกว่า
“ได้ ครั้งนี้ให้ศิษย์น้องออกเงิน ครั้งหน้าศิษย์พี่จะเลี้ยงเจ้าเอง”
ซูซูเหยียบหิมะด้วยเท้าเปล่าสองมือไขว้หลังและกระโดดออกข้างนอกจวนฟู่ นางพาซูเจวี๋ยเดินผ่านถนนที่คึกคัก หันมองซ้ายขวา บางครั้งก็หยุดที่หน้าแผง หยิบตุ๊กตาที่วางขายขึ้นมาดู บางครั้งก็หยุดที่หน้าแผงร้านขนมน้ำตาลปั้น มองนายช่างปั้นน้ำตาลด้วยความคุ้นชิน หลังจากนั้นก็ออกไปอีก จนมาถึงหน้าร้านสุราหลังเล็ก ๆ ที่สะพานแห่งหนึ่ง
ในวันนี้ก็เป็นวันที่สามสิบของปีแล้ว มีร้านค้ามากมายที่ยังมิเปิด ข้างทางต่างก็เต็มไปด้วยร้านค้าหาบเร่ ร้านสุราเล็ก ๆ เองก็มิใช่ข้อยกเว้น
เพิงผ้าเรียบง่ายที่เอาไว้กีดกั้นหิมะที่เบาบาง ในนั้นมีคนอยู่เพียงสองโต๊ะเท่านั้น
โต๊ะหนึ่งในนั้นนั่งกันอยู่สี่คนดูแล้วเหมือนพวกโจรป่า เพราะพวกเขามีกระบี่พาดไว้ที่หลัง หรือไม่ก็ดาบพาดข้างกาย ส่วนอีกหนึ่งโต๊ะดูไปแล้วเหมือนจะเป็นพ่อค้า บนร่างของพวกเขาต่างก็มีผ้าคลุม ใบหน้ามีรอยยิ้มประดับ และกำลังดื่มชา
ซูซูพาซูเจวี๋ยเดินเข้าไปนั่งที่เก้าอี้เบื้องหน้า และตะโกนลั่น “เถ้าแก่ สั่งอาหาร”
ทหารสี่คนที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ ต่างพากันมองมายังซูซู หลังจากนั้นดวงตาก็เป็นประกาย จนทำให้ชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะระรื่นขึ้นมา “โอ้ ยังมีสาวน้อยที่งดงามถึงเพียงนี้อยู่อีกหรือ มามา สาวน้อย มาดื่มด้วยกันกับพวกข้าสักแก้วเถอะ !”
ในตอนที่ซูเจวี๋ยกำลังจะบันดาลโทสะ ซูซูกลับคว้าเขาเอาไว้ นางหันไปมองชายผู้นั้นอย่างรื่นเริง มิใช่เรื่องง่าย มีค่าอาหารมื้อนี้เสียแล้วสิ
“โอ้ คุณชาย มิอย่างนั้น… คุณชายทั้งหลายมานั่งดื่มกับข้าสักจอกได้หรือไม่ ? ”
“เป็นความรู้สึกที่ดียิ่ง ฮ่าฮ่า ข้าจะไปนั่งดื่มกับแม่นางผู้นั้นสักจอก ! ”
ตอนที่ 174 ซูซู (1)
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 8 เดือนสิบสองวันที่สามสิบ เมืองจินหลิงได้มีหิมะตกลงมาโปรยปราย
เกล็ดหิมะสีขาวผ่องล่องลอยไปในนภา ร่อนลงสู่ภาคพื้น ปกคลุมยอดไม้และเชิงคาขาวโพลน ช่วยให้สีแดงของดอกเหมยดูโดดเด่นเป็นอย่างมาก
หยูเวิ่นหวินยืนอยู่ที่สวนดอกเหมย เกล็ดหิมะตกลงมายังคิ้วของนาง สายตามองไปยังกิ่งก้านของดอกเหมย นางนึกไปถึงดอกเหมยที่ทะเลสาบซวนอู่คงจะเบ่งบานแล้วเช่นกัน
กฎต่าง ๆ ในราชวังเดิมทีก็มากโข แน่นอนว่าพิธีต่าง ๆ ในปีใหม่ต้องมากมายกว่าเดิมหลายเท่านัก เมื่อวานได้มีโอกาสเดินทางไปพบเสด็จย่าและพูดคุยอยู่กับท่านทั้งวัน
ในวันนี้เดิมทีตั้งใจจะออกไปสูดอากาศภายนอกสักหน่อย แต่เสด็จแม่กลับรับสั่งว่ามิให้ออกไปที่ใด ดังนั้น…เขาผู้นั้นอยู่ที่เมืองหลวงแต่เพียงผู้เดียวในวันเช่นนี้ เขาจะข้ามปีเพียงลำพังได้เยี่ยงไร ?
เขาจะโดดเดี่ยวหรือไม่ ?
ชูหลานจะสามารถออกมาอยู่เป็นเพื่อนเขาได้หรือไม่ ?
เห้อ…เสด็จย่ากล่าวว่าให้พาเขาเข้าวังมาพบท่านสักหน่อย เรื่องนี้มิใช่เรื่องดีนัก เนื่องจากนางรู้ดีว่าเสด็จย่าจะถามเขาเกี่ยวกับหนังสือความฝันในหอแดง เหตุใดหลินไต้ยวี่จึงไม่แต่งงานกับเจี๋ยเป่าหยู ?
นั่นสิ เหตุใดกัน ?
หยูเวิ่นหวินได้อ่านหนังสือความฝันในหอแดงเช่นกัน นางเองก็มิเข้าใจว่าหากหลินไต้ยวี่มีร่างกายอ่อนแอ จึงเป็นเหตุผลที่เจี๋ยเป่าหยูไม่แต่งงานกับเธอ แต่หากว่าเขาแต่งงานกับหลินไต้ยวี่ จากนั้นรับเซวี๋ยเป่าชายเป็นอนุภรรยา จะมิสมบูรณ์แบบกว่าหรือ ?
ส่วนเรื่องของนางและฟู่เสี่ยวกวนนั้น เสด็จย่าคล้ายกับมองออก จากคำพูดของเสด็จย่าบางคราคล้ายกับมิชอบฟู่เสี่ยวกวนเท่าใดนัก แต่เสด็จย่ายังมิเคยพบเขาเลยสักครา
หรืออาจเป็นเพราะหนังสือนั่น ?
หยูเวิ่นหวินมิเข้าใจเสียจริง นางนึกในใจว่าคงต้องให้ฟู่เสี่ยวกวนเข้าพบเสด็จย่าเสียก่อนสักครา หวังว่าเสด็จย่าจะชื่นชอบเขาหลังได้พบ
……
……
ณ จวนฟู่แห่งทะเลสาบซวนอู่ ต่งชูหลานและฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ด้วยกันที่ห้องโถง
ฟู่เสี่ยวกวนกำชับให้ชุนซิ่วเรียกคนในจวนมาพร้อมหน้ากัน เขาวางหีบไม้ไว้หีบหนึ่ง ด้านในเต็มไปด้วยผ้าห่อสีแดง
สิ่งเหล่านี้เขาและชุนซิ่วทำด้วยกัน 2 คน แน่นอนว่าซูโหรวได้เข้ามาช่วยบ้าง นางเพียงแต่สงสัยว่าสิ่งนี้มีไว้เพื่อเหตุใด
ผ้าแดงแต่ละห่อมีเงินอยู่ 10 ตำลึง คุณชายกล่าวว่าใกล้ปีใหม่แล้ว คุณชายจึงมอบของขวัญแก่ทุกคน สิ่งนี้เรียกว่าอั่งเปาซึ่งมีไว้สำหรับเป็นของขวัญปีใหม่นั่นเอง
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินได้ดูแลจวนฟู่จวบจนกระทั่งปัจจุบันมีบ่าวรับใช้กว่าหนึ่งร้อยแปดสิบคน อีกทั้งผู้ดูแลจากเรือนซีซานกว่าสามสิบคน พวกเขาเหล่านี้ยืนอยู่พร้อมหน้ากัน และมิรู้ว่าคุณชายเรียกมาในวันนี้นั้นมีเรื่องอันใด
“ในวันนี้เป็นวันที่สามสิบ ช่วงที่ผ่านมานี้พวกเจ้าทุกคนได้ทุ่มเทเพื่อจวนฟู่ ข้ารับรู้มาโดยตลอด คู่หมั้นของข้าหรือนายหญิงของพวกเจ้าในอนาคตเป็นผู้มีจิตใจงดงามยิ่ง นางรู้สึกได้ถึงความลำบากของทุกคน และคิดว่าในปีใหม่นี้พวกเจ้าควรได้รับรางวัล จึงได้เรียกพวกเจ้ามาในวันนี้ นายหญิงของพวกเจ้าจะแจกจ่ายรางวัลด้วยตนเอง และหวังว่าพวกเจ้าจะตั้งใจทำงานให้จวนฟู่ต่อไป”
เรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวกับต่งชูหลานเมื่อคืน นางรู้สึกประหลาดใจว่าเหตุใดจึงต้องมอบเงินเหล่านี้ด้วย ตามปกติแต่ละเดือนพวกเขาก็ได้รับเงินเดือนมิขาดแม้แต่ตำลึงเดียว เหตุใดจึงต้องมอบอั่งเปาอีกกัน ?
แต่เมื่อฟู่เสี่ยวกวนชี้แจงนางก็เข้าใจ นี่คือสินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นเอง
อีกอย่างจวนฟู่มิขาดแคลนเงินทอง ดังนั้นนางจึงเห็นด้วยกับเขา
บรรดาผู้คนทั้งหลายต่างพากันฮือฮา เนื่องจากพวกเขาโดยมากล้วนถูกคัดเลือกโดยต่งชูหลาน ค่าตอบแทนที่พวกเขาได้รับนั้นมากกว่าที่อื่นหลายเท่า ตอนนี้นายหญิงของพวกเขายังจะมอบรางวัลแก่พวกเขาอีก ช่างเป็นเรื่องที่ประหลาดใจแต่ก็น่ายินดีนัก
ต่งชูหลานแสดงใบหน้ายิ้มแย้ม ภายในใจนางเปี่ยมไปด้วยความสุข เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่านางเป็นนายหญิงของจวนนี้ !
นางกล่าวว่า “กฎระเบียบของจวนต่ง ข้าจะเอ่ยปรับปรุงให้ดีขึ้น ขอให้พวกเจ้าตั้งใจอย่างเต็มที่ เรื่องของรางวัลนั้นข้ามิได้หวงแต่อย่างใด แต่หากมีใครคิดก่อกบฏหรือทำลายตระกูลฟู่ ข้าเองก็จะมิเห็นอกเห็นใจแต่อย่างใด พวกเราทุกคนยังจะต้องอยู่ร่วมกันอีกนาน ข้ามิใช่คนใจไม้ไส้ระกำ แต่พวกเจ้าก็ควรทำตามกฎระเบียบ”
“สิ่งนี้เรียกว่าอั่งเปา เนื่องจากปีนี้มิได้ทำการประเมินการทำงาน ดังนั้นพวกเจ้าทุกคนจะได้รับเท่าเทียมกัน ถุงละ 10 ตำลึง !”
ทุกคนพากันโห่ร้องด้วยท่าทางดีใจ เงินตั้งสิบตำลึงเชียว !
แต่ละเดือนค่าตอบแทนของพวกเขาคือ 900 อีแปะ…เช่นนั้นเท่ากับค่าแรงทั้งปีมิใช่เหรอ !
มิมีนายผู้ใดใจดีเช่นนี้อีกแล้ว แม้แต่ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ทั้งหกก็เช่นกัน
ดังนั้น…“ข้าน้อยขอบพระคุณนายหญิง ! ”
“ข้าน้อยขอติดตามรับใช้นายหญิงอย่างซื่อสัตย์ตลอดไป ! ”
“โอ้…ข้าน้อย ข้าน้อยทำบุญมาด้วยอะไรกัน ชาตินี้จึงได้มาพานพบกับนายหญิงที่จิตใจงดงามเพียงนี้ !”
“……”
บัดนี้ต่งชูหลานจึงได้เข้าใจถึงความสุขที่แท้จริง นางตื้นตันใจเสียจนยิ้มออกมา มีผู้คนสรรเสริญเยินยอนางช่างดีเสียจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำที่เรียกว่านายหญิง ช่างมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก
“เอาล่ะ เอาล่ะ !” ต่งชูหลานโบกมือให้ทุกคนเงียบลง “มีการให้รางวัลก็ย่อมมีการลงโทษ ในปีหน้าหากพวกเจ้าทำงานมิผ่านเกณฑ์ ก็จะถูกลดอั่งเปาลงไปด้วย หากทำได้ดีก็จะได้เพิ่มอั่งเปา ส่วนผู้ที่ทำการใด ๆ อันส่งผลเสียแก่จวนฟู่ มิเพียงแต่มิได้อั่งเปา แต่อาจถูกขับไล่ออกจากจวนได้ หรืออาจส่งตัวไปให้ทางการตรวจสอบ พวกเจ้า…จงจำไว้ให้ดี !”
ซูโหรวนั่งปักผ้าอยู่ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็นึกในใจว่า นางผู้นี้ช่างน่าสนใจจริง
ซูเจวี๋ยที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ก็เงยหน้ามองดูซูโหรวแล้วเอ่ยถามว่า “น้องสาม…เจ้าว่าพวกเราจะได้อั่งเปานั่นหรือไม่ ? ”
“เจ้ามิใช้เงิน จะเอาอั่งเปานั่นไปทำไมกัน ? ”
ซูเจวี๋ยตกตะลึงชั่วครู่ จากนั้นละสายตาหันกลับมาอ่านหนังสือต่อไป
ซูโหรวเลิกคิ้วขึ้น ดวงตาคู่นั้นมองดูซูเจวี๋ย เจ้าหนอนหนังสือนี่ อ่านแต่หนังสือทั้งวัน !
ต่งชูหลานหยุดนิ่งไปชั่วครู่ จากนั้นเอ่ยต่อไปว่า “เอาละ วันนี้ข้าขอเอ่ยเพียงเท่านี้ อาจจะเอ่ยมากไปสักหน่อย แต่ข้าต้องการให้พวกเจ้าจำเอาไว้ บัดนี้เข้าแถวเข้ามารับอั่งเปาไปได้ หลังรับอั่งเปาไปแล้วก็ออกไปได้ วันนี้ข้าให้พวกเจ้าหยุดงาน หากต้องการซื้อสิ่งใดก็จงออกไปซื้อเสีย”
พวกเขาเข้าแถวรับอั่งเปาจากต่งชูหลานทีละคน ๆ แต่ละคนล้วนโค้งคำนับและเอ่ยเรียกนางว่านายหญิง
เมื่อแจกอั่งเปาเรียบร้อยแล้ว ผู้คนมากมายก็ได้เดินทางจากไป แต่เสียงยังคงดังมามิขาดสายถึงเรื่องชื่นชมนายหญิง
ต่งชูหลานหยิบอั่งเปาออกมาจากกระเป๋า แล้วส่งให้ชุนซิ่วเอ่ยว่า “ชุนซิ่ว นี่คือน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากข้า”
“หืม…” ชุนซิ่วรีบโบกมือ “ข้าน้อยมิบังอาจ ขอให้นายหญิงเก็บคืนไปเถิด”
ต่งชูหลานคว้าข้อมือชุนซิ่วไว้ จากนั้นนำอั่งเปายัดใส่มือนาง กล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าติดตามรับใช้คุณชายแต่เล็กแต่น้อยจวบจนบัดนี้ มิมีผู้ใดที่ทำงานได้ดีไปกว่าเจ้าอีกแล้ว เจ้ารู้ดีว่าคุณชายนั้นมีเรื่องราวต้องจัดการมากมาย เรื่องในจวนต่าง ๆ นานาต้องรบกวนให้เจ้าดูแลแทนด้วย นอกจากเจ้าแล้วข้ามิได้คุ้นเคยกับผู้อื่นไปกว่านี้ มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่คอยดูแลคุณชายด้วยความซื่อสัตย์เสมอมา และคอยปกป้องจวนฟู่ไว้”
ชุนซิ่วน้ำตานองหน้า เนื่องจากคุณชายเริ่มโตขึ้นแล้ว
อีกทั้งในวันนี้คุณชายยังได้ประกาศตำแหน่งนายหญิงแห่งจวนต่ง คุณหนูต่งเองก็ได้เริ่มทำหน้าที่นายหญิงของ ส่วนตนนั้นคล้ายกับผู้ไม่มีประโยชน์อันใดเข้าไปทุกที ๆ คุณชายก็คงมิต้องการนางเหมือนแต่ก่อนแล้ว
“เจ้าร้องไห้ทำไมกัน ? นายหญิงให้รางวัลเจ้าจากใจ ที่ชูหลานเอ่ยมามิผิดเพี้ยน ข้าและนางมีเรื่องต้องจัดการมากมาย เรื่องในจวนบางเรื่องก็ละเลยไป เจ้าต้องคอยช่วยดูแทนพวกข้า เช่นนี้ไหม เจ้ามาเป็นผู้ดูแลจวนฟู่แห่งนี้เป็นเยี่ยงไร ? ”
ชุนซิ่วรีบโบกมือปฎิเสธ “ข้าน้อยมิมีความสามารถเพียงพอ ข้าน้อยเพียงต้องการรับใช้คุณชายและคุณหนู หากท่านทั้งสองมิรังเกียจ…ข้าน้อยจะขอรับใช้ไปจนตาย !”
ต่งชูหลานยิ้มออกมา “เจ้านี่นะ พวกเราล้วนหวังว่าเจ้าจะอยู่กับเราไปทั้งชีวิต แต่เจ้าเป็นสตรี จักต้องออกเรือนเข้าในสักวันหนึ่ง เจ้ามีชายในดวงใจหรือไม่ หากมีจงเอ่ยกับข้ามา ข้าจะจัดการให้เอง”
“ข้า ข้ามิอยากออกเรือน”
“นั่นเพราะเจ้ายังไม่พบเจอกับผู้ที่ถูกใจ เอาล่ะ พวกข้าจะต้องไปแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานเดินทางออกไปจากจวนฟู่ ชุนซิ่วตกตะลึงอยู่เนิ่นนาน เมื่อได้สติกลับคืนมา นางก็เข้าไปยังห้องใหญ่เพื่อทำความสะอาดให้เรียบร้อย นี่คงเป็นห้องพักของนายทั้งสองในอนาคต เมื่อนึกถึงคุณชายเมื่อก่อนและบัดนี้ช่างต่างกันมากเหลือเกิน ชุนซิ่วก็อดมิได้ที่จะหลั่งน้ำตา
คุณชายเติบใหญ่แล้วจริง ๆ คุณชายได้เดินทางมาแสนไกลและตั้งหลักปักฐานอยู่ ณ เมืองหลวงนี้ มีคู่หมั้นรูปงามถึง 2 คน เพียงแต่คุณหนูต่งได้ตำแหน่งนายหญิง อีกท่านหนึ่งคือองค์หญิงเก้าเชียว จะให้องค์หญิงเป็นอนุภรรยางั้นหรือ ?
ซูโหรวนำผ้าที่เพิ่งปักเสร็จขึ้นมาดู จากนั้นวางไว้บนโต๊ะกล่าวว่า “พวกเขารักกันหวานชื่น ข้านั้นต้องติดตามไปปกป้องดูแลความปลอดภัย…ศิษย์พี่ เจ้าว่านี่คือเรื่องอันใดกัน ? ข้ารู้สึกว่ากำลังถูกเจ้าศิษย์น้องนั่นหลอกเอาเสียแล้ว ? ”
ซูเจวี๋ยเงยหน้าขึ้นมองด้วยท่าทีจริงจัง “เจ้าอย่าได้โกรธแค้นผู้ใดไป นี่มิใช่เพียงความต้องการของศิษย์น้อง แต่เป็นความตั้งใจของท่านอาจารย์ด้วยเช่นกัน…อีกทั้ง ท่านอาจารย์เขียนจดหมายมากล่าวว่า ศิษย์น้องหกซูซูได้ออกเดินทางจากสำนักตั้งแต่เดือนสิบสองวันที่ยี่สิบ คาดว่าน่าจะรีบมาเพื่อพบพวกเรา
ซูโหรวตกตะลึงเล็กน้อย “นางอยู่ต่อมิไหวแล้วงั้นหรือ ? ”
“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ท่านอาจารย์กล่าวว่า……ที่แห่งนั้นแม้แต่นกก็หาได้ยากนัก”
ซูโหรวหัวเราะออกมา “ซูซูเดินทางจากมาก็ดี ศิษย์พี่รองคงจะได้อ้วนท้วนขึ้นบ้าง”
“ที่ข้ากังวลคือ หากซูซูเดินทางมาที่นี่จริง ๆ จักทำเยี่ยงไรเล่า ?”
ซูโหรวครุ่นคิดชั่วครู่ อืม นี่เป็นอีกปัญหาหนึ่ง หากนางดีดพิณนั่นแล้วเรียกฝูงนกในเมืองหลวงมามากมาย จะไม่เป็นจุดสนใจเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หรือว่า…ข้าจะไปขับไล่นางเอง ? ”
ร่างอรชรขาวผ่อง สะพายกล่องดำไว้ที่หลังเดินตรงเข้ามาด้านใน
กล่องนั้นคือกล่องใส่พิณ ขนาดกว้างกว่าตัวนางเล็กน้อยด้านบนสูงกว่าศีรษะนางเกินครึ่ง มองไปคล้ายสัตว์ประหลาด แต่นางดูจะเคยชินแล้ว
นางถักผมเปียสองข้าง สวมใส่ชุดผ้าป่านเบาบาง เท้าเปล่าอันขาวผ่องของนางเหยียบย่ำอยู่บนหิมะ ในมือถือรองเท้าไว้คู่หนึ่ง อีกข้างหนึ่งถือปิงถังหูลู่ นางเดินมาพลางกินขนมนั้นอย่างสบายอารมณ์ไม่รู้สึกถึงความหนาวเหน็บ และไม่ใส่ใจในรูปลักษณ์ของตนแม้แต่น้อย
นางมิต้องกังวลเรื่องรูปลักษณ์แต่อย่างใด ไม่ว่านางจะทำอิริยาบถใด ๆ ก็คือสตรีที่งามที่สุดในจักรวาล !
“ศิษย์พี่สาม จะขับไล่ผู้ใดอย่างนั้นหรือ ? ”
ซูซูเดินกินปิงถังหูลู่มายังห้องโถงใหญ่ ซูเจวี๋ยตกตะลึงพร้อมกับเบิกตากว้าง เอ่ยถามว่า “เจ้าเข้ามาด้านในได้เยี่ยงไร ?”
“อ้อ ข้าเพียงทำให้พวกเขาหลับไปน่ะ จากนั้นก็เดินเข้ามาอย่างที่ศิษย์พี่เห็น ! ”
ภายในเรือนของฉินปิ่งจงค่อนข้างเงียบเหงา
ถึงแม้โคมไฟสีแดงจะถูกนำมาแขวนประดับ และก็ได้ทำความสะอาดทุกซอกทุกมุมแล้ว แต่ผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่กลับมีเพียงไม่กี่คน
ฉินปิ่งจงรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ฉินเฉิงเย่มิได้กลับมา แต่หลังจากที่ได้อ่านจดหมายที่ฉินเฉิงเย่เขียนให้เขาก็รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจ หลานชายคนนี้รู้ความขึ้นมาบ้างแล้ว ถึงแม้จะมิได้เป็นไปตามทางที่เขากำหนด แต่ในจดหมายก็ได้กล่าวว่าตัวเขากำลังทำงานที่ยิ่งใหญ่อยู่ในซีซาน นั่นก็มากพอที่จะทำให้เขามีความสุขจากใจจริง เมื่อเป็นเยี่ยงนี้ ฉินปิ่งจงก็ได้แต่ปล่อยวาง
“หลังช่วงข้ามปีเจ้าจะยังไปสำนักศึกษาหลินเจียงอีกหรือไม่ ข้ารู้สึกว่ามิจำเป็นต้องไปแล้ว อยู่ที่เมืองหลวงเถอะ ภายภาคหน้าข้าคงจะได้อยู่ที่เมืองหลวงนานยิ่งขึ้น”
ฉินปิ่งจงครุ่นคิด หลานชายก็ไปซีซานแล้ว ที่จวนนี้ก็มีเพียงฉินรั่วเสวียซึ่งดูมิค่อยเข้าท่าเสียเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า “แบบนั้นก็ดี ข้าจักอยู่ที่เมืองหลวง เพื่อความสบายใจของเหล่าบัณฑิต”
“ส่วนเรื่องนักปราชญ์เหวินสิงโจวแห่งราชวงศ์อู๋ คนผู้นี้พี่ชายรู้จักมากน้อยเพียงใด ? ”
ฉินปิ่งจงผงะเล็กน้อย “เหวินสิงโจวงั้นหรือ ? คนผู้นี้อายุไล่เลี่ยกันกับข้า ทั้งชีวิตนี้มาเยือนราชวงศ์หยูเพียง 3 ครา ครั้งแรกคือไท่เหอ…ประมาณรัชสมัยไท่เหอปีที่ 20 ในเวลานั้นพวกข้าต่างยังเยาว์วัย ไล่เลี่ยพอ ๆ กันกับเจ้า เขาเป็นตัวแทนราชวงศ์อู๋มาร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์หยูที่หลานถิงจี๋ในเทศกาลโคมไฟ และได้ประพันธ์บทกวีนามโต๊ะหยก ที่เทศกาลโคมไฟ และได้รับรางวัลบทกวีชั้นนำของเทศกาลโคมไฟในปีนั้น อีกทั้งยังได้สลักไว้เป็นบทกวีลำดับแรกบนหินเชียนเปยสือของเทศกาลโคมไฟ”
“ครั้งที่สองน่าจะช่วงรัชสมัยไท่เหอปีที่ 40 ครานั้นเขาได้มีชื่อเสียงในใต้หล้าแล้ว เป็นที่รู้จักในนามบุคคลแรกของวงการวรรณคดีของราชวงศ์อู๋ ครั้งนี้เขามาที่ราชวงศ์หยูเพื่อนำบัณฑิตมาแลกเปลี่ยน เขาได้นำบัณฑิตจากราชวงศ์อู๋มา 50 คน และพักที่สำนักศึกษาจี้เซี่ย เขาได้อบรมและฟังพวกข้าบรรยายการสอนเช่นกัน ครานี้อยู่ที่ราชวงศ์หยูค่อนข้างนาน ประมาณครึ่งปีได้ มีข้ากับเขาและกั๋วจื่อเจี้ยนจิ่วชางกวนเหวินซิ่วในปัจจุบัน ที่ถือว่าสนิทสนมพอควร และมักจะดื่มสุราและพูดคุยกัน ข้าชื่นชมเขายิ่งนัก เขามีการวิจัยเรื่องการศึกษาที่ค่อนข้างลึกซึ้ง ตั้งแต่เขาอายุได้ประมาณ 20 ปีก็ได้เริ่มเผยแพร่และผลักดันการศึกษาในราชวงศ์อู๋และได้เกลี้ยกล่อมให้จักรพรรดิราชวงศ์อู๋ในยามนั้นให้สร้างสำนักศึกษาหลวงขึ้นมา บัณฑิตที่เขานำมาด้วย 50 คนในครานั้นต่างก็มีพรสวรรค์กันทั้งสิ้น พวกเขาใช้เวลาเรียนที่สำนักศึกษาจี้เซี่ยเป็นเวลาครึ่งปี หลังจากนั้นเขาก็กลับไปยังราชวงศ์อู๋”
“ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การศึกษาในราชวงศ์อู๋ก็ได้เผยแพร่อย่างรวดเร็ว วรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ก็ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมา”
“ครั้งสุดท้าย…เป็นตอนรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 1 ที่จักรพรรดิพระองค์ใหม่ได้ขึ้นครองราชย์ เหวินสิงโจวและคณะทูตได้เดินทางมาแสดงความยินดี ข้าและเขาได้พูดคุยกันอย่างยาวนานอีกครา แต่ครั้งนี้กลับมิน่าพอใจ เพราะความเข้าใจในการศึกษาของพวกเราต่างกัน กล่าวให้ถูกต้อง ก็คือเขาคิดว่าการศึกษาเยี่ยงนี้มิสมบูรณ์แบบ”
“โดยสรุป เหวินสิงโจวย่อมเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ จากการพบกันครั้งสุดท้าย ข้าเองก็เคยไตร่ตรอง การศึกษานี้ได้รับการสืบทอดมาเป็นเวลาพันปี แท้จริงแล้วในทุกยุคทุกราชวงศ์ต่างก็มีนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ปรับปรุงเพื่อให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น และในตอนนี้สิ่งที่เหล่าบัณฑิตเทิดทูนก็คือความรักต่อเพื่อนมนุษย์ ความเที่ยงธรรมถูกต้อง พิธีการและความเคารพ สติปัญญา และความจริงใจเชื่อใจซึ่งกันและกัน จึงจะสามารถรักษาความสงบในใต้หล้าได้ ทัศนคติของเหวินสิงโจวคือความรักต่อเพื่อนมนุษย์ ความเที่ยงธรรมถูกต้อง พิธีการและความเคารพ สติปัญญา และความจริงใจเชื่อใจซึ่งกันและกัน… แน่นอนว่าผู้ที่ได้ศึกษาย่อมเข้าใจ ส่วนสำหรับเหล่าผู้ที่มิเคยได้เข้าศึกษา ก็มิสามารถควบคุมพวกเขาได้ ดังนั้นใต้หล้าจึงได้มีผู้ร้ายในหลายรูปแบบ เช่น หัวขโมย มือสังหาร เหล่ากบฏและอื่น ๆ นอกจากความรักต่อเพื่อนมนุษย์ ความเที่ยงธรรมถูกต้อง พิธีการและความเคารพ สติปัญญา และความจริงใจเชื่อใจซึ่งกันและกันที่เขาได้เสนอออกไป ก็ยังควรมีกฎหมาย คำอธิบายของเขาในเรื่องกฎหมายคือกฎระเบียบ ข้อบังคับ ใช้กฎระเบียบกำหนดบรรทัดฐานการกระทำของผู้คน และใช้ข้อบังคับกำหนดความหนักเบาการกระทำของพวกเขา หลังจากบัญญัติบทลงโทษและประกาศออกไป จากนั้นผู้คนจึงได้รู้ว่าเรื่องใดกระทำได้ เรื่องใดมิสามารถกระทำได้”
ฉินปิ่งจงกล่าวเสียมากมายในคราเดียว ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้รู้จักเหวินสิงโจวในเบื้องต้นผ่านคำพูดนี้แล้ว
คนผู้นี้…ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง !
เขาได้ข้ามผ่านการศึกษาของยุคนี้ไปแล้ว และได้สร้างสถานการณ์ใหม่ขึ้นมา หากวิธีการศึกษาของเขาได้ถูกเผยแพร่ในราชวงศ์อู๋มากพอ เยี่ยงนั้นราชวงศ์อู๋ก็จะเป็นแคว้นแรกในประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนจากการปกครองของมนุษย์ไปเป็นนิติธรรม
สำหรับเหวินสิงโจวผู้นี้ เขาได้ยืนอยู่ในจุดที่สูงจุดใหม่แล้ว สำหรับแคว้นของราชวงศ์อู๋ ต้องเดินนำหน้าแคว้นอื่น ๆ เป็นแน่ !
“เจ้าถามเรื่องของเหวินสิงโจวด้วยเหตุใด ? ”
“เป็นเยี่ยงนี้ ในเทศกาลอาหารฤดูหนาวปีหน้าข้าจักต้องไปร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ที่จะจัดขึ้น ได้ยินมาว่าเหวินสิงโจวคือนักปราชญ์ของราชวงศ์อู๋ อย่างไรก็ต้องได้พบกัน จึงอยากทำความเข้าใจคนผู้นี้เสียก่อน”
“โอ้…” ฉินปิ่งจงพยักหน้าเล็กน้อย เงียบไปอึดใจแล้วกล่าวว่า “หากเจ้าเจอเขา ฝากนำคำพูดของข้าไปบอกกับเขาด้วย”
“พี่ชายกล่าวมาเถิด”
“กล่าวว่า… หลังจากที่ได้ครุ่นคิดมาหลายปี ข้าคิดว่าเขาถูกต้องแล้ว หากเขาได้เขียนตำราขึ้นมาแล้ว ขอให้เขานำมาให้ข้าอ่านด้วย”
……
…..
พวกเขาพูดคุยกันจนถึงยามพลบค่ำ ท้องฟ้าถูกทาทับด้วยสีดำของค่ำคืนไปเสียแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานบอกลาฉินปิ่งจง และกลับไปยังจวนต่ง
ระหว่างทางต่งชูหลานก็ได้เอ่ยถามคำพูดนั้นของฉินปิ่งจง “อาจารย์ฉินคิดว่าเหวินสิงโจวคิดถูกแล้ว…เยี่ยงนี้มิใช่ว่าจะส่งผลกระทบขนาดใหญ่แก่ระบบการศึกษาของราชวงศ์หยูหรือ ? ”
“ประวัติศาสตร์มักก้าวไปข้างหน้า เมื่อประวัติศาสตร์พัฒนาไปได้ระดับหนึ่ง การศึกษาก็จำต้องมีความก้าวหน้า ความจริงข้าก็คิดว่าทัศนคติของเหวินสิงโจวเป็นสิ่งที่ถูก เพียงแต่…ยังมิสมบูรณ์แบบ”
ต่งชูหลานก็รู้สึกว่าประหลาด เจ้าเพียงได้ฟังมุมมองที่แปลกใหม่ก็รู้สึกว่าไม่ดีพร้อมแล้วรึ ?
“เยี่ยงนั้นเจ้าลองกล่าวว่าเยี่ยงไรที่เรียกว่าสมบูรณ์แบบ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมา “หากข้ากล่าวว่าสมบูรณาญาสิทธิราชย์มิใช่สิ่งที่ถูกต้อง เจ้าจักรายงานข้าหรือไม่ ? ”
ต่งชูหลานจ้องเขาเขม็ง “ไร้สาระ ! ความคิดของเจ้าอันตรายอย่างยิ่ง อย่าได้กล่าวออกไปเชียว”
“เฮ้อ… ข้ารู้ ดังนั้น เรื่องการเขียนบทความ ข้ามิได้ใจกล้าถึงเพียงนั้น”
เมื่อกลับไปยังจวนต่ง ต่งคังผิงก็ได้ถึงเรือนแล้ว เมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานกลับมาแล้วก็โบกมือเรียก ทั้งสองคนเดินเข้าไป และนั่งลงเบื้องหน้าต่งคังผิง
“เรื่องนั้นฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้พวกเจ้าไปทำ ดังนั้นเงินจึงมิได้ผ่านกรมคลัง แต่ให้ผ่านทางชูหลานที่จ่ายในนามของตระกูลเจ้า แต่มิสามารถอัดเม็ดเงินจำนวนมากนี้ผ่านเข้าไปในนามของชูหลานได้ในคราเดียว ดังนั้นตระกูลฟู่ของเจ้าจักต้องสำรองจ่ายไปก่อน เรื่องนี้เจ้าควรเข้าใจด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกตกใจไปเสียเล็กน้อย มีการทำธุรกิจแบบนี้ที่ไหนกัน ?
ต่งชูหลานที่มิทราบอันใดทั้งสิ้น หันมองหน้าบิดา เสนาบดีต่งเพียงเล่าโดยสังเขปให้ต่งชูหลานฟัง ต่งชูหลานเองก็ดีใจมิออกฉับพลัน นี่คือเรื่องของแคว้น แล้วทำไมจึงต้องให้ตระกูลฟู่สำรองจ่ายไปก่อนด้วย ?
นั่นคือเงินก้อนใหญ่ มิต้องกล่าวว่าตระกูลฟู่จะนำออกมาได้หรือไม่ หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นมาระหว่างทาง มิใช่ว่าตระกูลฟู่จะเสียฮูหยินและทหารรึ ?
ต่งคังผิงจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทีไร้เดียงสายิ่ง “นี่คือข้อเสนอที่เจ้าทูลองค์จักรพรรดิด้วยตนเองนี่ เจ้าลองคิดดู หากเงินก้อนใหญ่นี้ถูกยกให้อยู่ในนามชูหลาน หากมีผู้จงใจตรวจสอบก็ยอมรู้ว่าเกิดเรื่องอันใดเป็นแน่ พระประสงค์ของฝ่าบาทในยามนื้คือการผ่านไปได้อย่างงดงาม และนำเงินก้อนนี้แบ่งปลีกย่อยออกไปให้ชูหลาน เยี่ยงนี้ก็มิมีผู้ใดให้ความสนใจแล้วมิใช่หรือ”
และต่งคังผิงมิได้กล่าวออกมาว่า เงินคลังที่มีอยู่ในท้องพระคลังนอกจากส่วนที่ต้องใช้จ่ายในปีหน้าที่จัดสรรไว้เรียบร้อยแล้ว ก็มีมิเพียงพอต่อการจ่ายเงินก้อนนี้แล้ว !
ให้ตายเถอะ นี่มันกลายเป็นโยนก้อนหินกระทบเท้าตนเอง !
เมื่อเห็นท่าทางยอมแพ้ของฟู่เสี่ยวกวน ต่งคังผิงก็หัวเราะขึ้นมาและกล่าวว่า “หลังจากที่เจ้าไป องค์จักรพรรดิก็ได้เรียกรวมตัวเสนาบดีจากตระกูลมีอำนาจทั้งหกที่อยู่ในราชสำนัก หลังจากนั้นก็มอบแครอทให้แก่พวกเขาเป็นรางวัล และตัดสินลงโทษเหล่าขุนนางที่ต้องโทษทั้งหมดในวันที่สองเดือนสอง และหลังจากที่ตรัสราชโองการก็ได้เรียกหน่วยสอบสวนกลับมา”
ดูเหมือนว่าที่องค์จักรพรรดิจะยอมรับความคิดของเขา นั่นก็คือการแสดงความอ่อนแอให้ศัตรูเห็น
“นอกจากนั้นก็เป็นองค์ชายใหญ่ที่มาห้องทรงพระอักษร”
ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด และเอ่ยถาม “องค์ชายใหญ่เยี่ยงนั้นหรือ ? พระองค์มีเรื่องอันใดกัน ? ”
ต่งคังผิงพยักหน้า “องค์ชายใหญ่หยูเวิ่นเทียน พระราชมารดาของเขาเซวี๋ยปิงหลานคืออดีตจักรพรรดินี องค์จักรพรรดินีได้สิ้นพระทัยในยามที่ประสูติองค์ชายใหญ่…องค์ชายใหญ่ไร้พระราชมารดาตั้งแต่เยาว์วัย ปัจจุบันเสียงสนับสนุนจากท้องพระโรงให้องค์จักรพรรดิแต่งตั้งองค์ชายใหญ่ขึ้นเป็นองค์รัชทายาทก็สูงอย่างมาก ประการแรกคือตระกูลเซวี๋ยได้ให้การสนับสนุนในที่ลับ ประการที่สองก็เกี่ยวข้องกับฐานันดรของพระองค์”
“ประเดี๋ยวก่อน มิใช่ว่าเซวี๋ยปิงหลานก็เป็นคนของตระกูลเซวี๋ยหรือ ? ”
“ใช่ บุตรีทั้งสองของตระกูลเซวี๋ยอภิเษกสมรสกับองค์จักรพรรดิ อีกผู้หนึ่งก็คือพระราชมารดาขององค์ชายสี่พระสนมเอก อันเซวี๋ยปิงชิง”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้ารับราวกับรู้แจ้ง ตระกูลเซวี๋ยนี้…ให้กำเนิดผู้มีพรสวรรค์
“องค์ชายใหญ่ให้ความสำคัญด้านกำลัง เพราะในเยาว์วัยนั้นร่างกายอ่อนแอ ในยามนั้นฝ่าบาทยังมิได้ขึ้นครองราชย์จึงได้เชิญอาจารย์ที่มีชื่อเสียงมาสอนวิทยายุทธ์ ว่ากันว่าในตอนนี้ร่างกายดียิ่ง พระองค์มาที่ห้องทรงพระอักษรกลับมิได้มีเรื่องใหญ่อันใด คือมาขอให้องค์จักรพรรดิอนุญาตให้เขาจัดงานล่าสัตว์ขึ้นวันที่สองเดือนสองที่สวนหลวงหนานซาน ความหมายของพระองค์ก็คือใต้หล้าสุขสงบมาเนิ่นนาน ฝ่ายบุ๋นมีความสามารถในการปกครองแคว้น แต่ฝ่ายบู๊มีความสามารถในการทำให้แคว้นสงบ ดังนั้นงานล่าสัตว์ในครานี้พระองค์ประสงค์จะเชื้อเชิญเหล่านักปราชญ์เข้าร่วมด้วย อย่างน้อยก็ให้พวกเขาได้เห็นว่านักรบต่อสู้กับสัตว์ร้ายเยี่ยงไร ให้พวกเขาได้เห็นเลือด ให้ได้รับรู้ถึงความโหดร้ายของสงคราม จะได้เข้าใจประโยชน์ของการดำรงอยู่ของนักรบ”
นี่ก็ถือว่าเป็นความคิดที่ดี ฟู่เสี่ยวกวนลอบยอมรับในใจ วรรณกรรมของราชวงศ์หยูในตอนนี้ก้าวไปไกลจนทำให้ระดับชั้นของนักปราชญ์สูงส่ง บนท้องพระโรงขุนนางฝ่ายบู๊ยากที่จะตีเสมอกับขุนนางฝ่ายบุ๋นได้ หากไร้การรบราก็เป็นช่วงสงบไม่มีเรื่องอันใดทำ แต่หากสงครามระเบิดขึ้นมาจริง ๆ การให้นักปราชญ์มาควบคุมก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างยิ่ง
ในยามนี้เขายังมิวางใจ ต่งคังผิงและฟู่เสี่ยวกวนก็ได้พูดคุยกันเรื่องบนท้องพระโรงอีกเล็กน้อย นั่นทำให้ฟู่เสี่ยวกวนได้รับประโยชน์อย่างมาก
เพียงไม่นานต่งซิวเต๋อก็กลับมาอย่างเริงร่า เดินเข้ามาในห้องโถงและกล่าวอย่างมีความสุข “สถิติการขายในวันนี้งดงามทีเดียว แม้แต่สบู่ที่เพิ่งปล่อยสู่ตลาดก็ขายหมดอย่างรวดเร็ว… น้องเขยเอ๋ย น้ำหอมและสบู่ในตอนนี้เป็นของที่หาได้ยากนัก เจ้าต้องทำออกมาให้ได้มากยิ่งขึ้น”
เสียงเรียกน้องเขยทำให้จิตใจของฟู่เสี่ยวกวนเบิกบาน เพราะเสนาบดีต่งมือสั่นจนแทบจะทำจอกชาหล่นจากมือ
“สบู่นั้นราคาเท่าใดกัน ? ”
“น้องสาวตั้งราคา 1 ก้อนอยู่ที่ 6 ตำลึง”
“…..” ฟู่เสี่ยวกวนหันมองไปทางต่งชูหลาน ต่งชูหลานเม้มริมฝีปากจนเป็นรอยยิ้ม “เจ้าเคยกล่าวไว้มิใช่หรือ ? ยามที่ความต้องการซื้อของตลาดมีมากกว่าความต้องการขาย ต้นทุนของสินค้ามิมีผลต่อราคาตลาด”
แต่ว่า…ต้นทุนของสบู่มิเกิน 5 อีแปะอย่างไรเล่า คาดมิถึงว่าต่งชูหลานจะกล้าขายในราคา 6 ตำลึง !
แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็แสดงท่าทีเห็นด้วยออกไป “เจ้าทำได้ถูกต้องยิ่ง จากนี้สบู่จะถูกส่งมามิมีขาด”
หลังจากนั้นบ่าวรับใช้วัยชราก็เดินเข้ามาบอกว่ามื้อเย็นได้เตรียมพร้อมแล้ว สามารถไปที่ห้องอาหารเพื่อรับประทานได้แล้ว
บนโต๊ะนั้นมีหงเซาซือจึโถว่ที่กำลังร้อน ๆ ฟู่เสี่ยวกวนชอบอย่างมาก นั่นหมายความว่าในที่สุดตนเองก็ได้รับการยอมรับจากแม่ยายแล้ว
ต่งหยวนชื่อเองก็ชอบอย่างมาก นายท่านกล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนได้แก้ไขปัญหาไปได้แล้ว ทั้งยังช่วยธุระชิ้นใหญ่ของตน คนผู้นี้มิเลว ดูเหมือนว่าในอดีตจะเข้าใจเขาผิดไป
ต่งซิวเต๋อเองก็ชื่นชอบทานหงเซาซือจึโถว่เช่นกัน เขากลืนน้ำลายลงคอ คว้าตะเกียบและยื่นออกไป และก็ได้ยินเสียง เพี๊ยะ ดังตามมา
ต่งหยวนชื่อจ้องเขาเขม็ง “เจ้าเร่งรีบอันใดกัน ? ข้าทำให้เสี่ยวกวนนะ ! ”
ต่งซิวเต๋อแสดงสีหน้าทะมึนทันที เวรอันใดกัน แท้จริงแล้วผู้ใดคือบุตรชายของท่านกันแน่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนรับป้ายหยกมาแล้วรีบออกไปทันที ฮ่องเต้เผยรอยยิ้ม แล้วกล่าวว่า “เจ้าดูสิ ข้ารู้เลยว่าเขาใส่ใจมากแค่ไหน”
“ฝ่าบาท หากในกรณีที่ฝั่งตะวันออกยังคงมีสงครามเกิดขึ้นเล่าพ่ะย่ะค่ะ?”
“ก็ต้องสู้ มิใช่ว่ายังมีเสบียงสนับสนุนสงครามในครั้งนี้ตั้งหนึ่งเดือนรึ ยังต้องกลัวอันใด”
ต่งคังผิงครุ่นคิด ความจริงก็คงต้องเป็นเช่นนั้น หากฝั่งตะวันออกมีสงครามเกิดขึ้นจริงๆ นั่นก็หมายความว่าเป็นการฉีกหน้าราชสำนัก ซึ่งฝ่าบาทจะไม่แสดงความเมตตาอีกต่อไป โลหิตคงไหลนองทั่วไปเมืองหลวงอย่างเลี่ยงมิได้ เยี่ยงนั้นเวลาเพียงหนึ่งเดือนก็เพียงพอแล้ว
หากการคาดการณ์ของฟู่เสี่ยวกวนถูกต้อง สงครามฝั่งตะวันออกคงยังมิเกิดขึ้น นี่เป็นเรื่องดีสำหรับทุกคน
ฝ่าบาทจำเป็นต้องเตรียมตัว ส่วนคนที่หลบซ่อนอยู่ก็วางแผนการอย่างช้าๆ พวกเขาต่างก็ได้รับผลประโยชน์จากราชวงศ์หยู ย่อมไม่คาดหวังว่าราชวงศ์หยูจะเกิดความวุ่นวายขึ้น หรือแม้กระทั่งล่มสลาย เกรงว่าแม้แต่องค์ชายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็คงไม่อยากเห็นผลลัพธ์นี้
แน่นอนฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจความเกี่ยวพันธ์นี้ดี ดังนั้นเขาจึงมิอยากให้ฝ่าบาทรีบร้อนลงมือกับคนพวกนั้น เพื่อเรียกคืนอำนาจ แล้วเรื่องนี้จะคลี่คลายโดยธรรมชาติ
แม้ว่าต้นไม้ใหญ่ต้นนี้จะเน่าเฟะ แต่ก็ล้มไม่ได้!
ไม้ล้มวานรเตลิด หากมันล้มลงมาจริงๆ บรรดาตระกูลที่ช่วยบริหารแคว้นกันมาอย่างยากลำบากหลายรุ่นก็คงสูญเสียที่พึ่งพิง สิ่งนี้ล้วนแล้วแต่เป็นการทำร้ายทั้งสองฝ่าย หากไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ ก็คงมิมีใครกล้าทำเช่นนั้น
เมื่อออกจากห้องทรงพระอักษรได้ ฟู่เสี่ยวกวนก็มุ่งหน้าไปยังวังหลัง อาศัยป้ายหยกในมือเป็นทางผ่าน
เมื่อมาถึงด้านนอกของวังเตี๋ยอี๋ ขันทีเหนียนก็ออกมาต้อนรับ เมื่อเห็นป้ายหยกที่ห้อยอยู่ข้างเอวของฟู่เสี่ยวกวน ก็พลันตื่นตกใจขึ้นมา
“คารวะคุณชาย”
“องค์หญิงเก้าเล่า?”
“เรียนคุณชาย องค์หญิงเก้านั้นเสด็จไปเยี่ยมเยียนพระชนนี จนบัดนี้ก็ยังมิเสด็จกลับมา”
“อ้อ…ตอนนี้ข้ามีสามเรื่องที่อยากจะให้เจ้าทำ”
“คุณชายโปรดกล่าว”
“เรื่องแรก มีเกาะแห่งหนึ่งในทะเลสาบต้งถิง ณ เยว่โจว บนเกาะแห่งนั้นมีภูเขาลูกหนึ่ง นามว่าจวิ้นชาน ตรงตีนเขาจะมีหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆอยู่แห่งหนึ่ง ในหมู่บ้านจะมีหญิงชราแขนด้วนข้างหนึ่ง ซึ่งหญิงชราผู้นี้เลี้ยงดูเด็กสาวคนหนึ่ง เมื่อคำนวณตามปีแล้ว ปีนี้น่าจะอายุหกขวบ ข้าต้องการรู้ว่าหญิงชราแขนด้วนนั่นเป็นใคร นางทำมาหากินเยี่ยงไร ยังมีประวัติความเป็นมาของเด็กสาวผู้นั้นด้วย จำไว้ว่า ข้อมูลจะต้องถูกต้องและละเอียด”
ขันทีเหนียนชะงักเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า
“เรื่องที่สอง ส่งคนตรวจสอบอารามซุ่ยเยว่ที่ตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองหลวงอย่างใกล้ชิด ข้าอยากรู้ว่าแม่ชีผู้นั้นเป็นใคร และคนที่นางติดต่อด้วยคือใคร”
“เรื่องที่สาม ข้าต้องการข้อมูลทั้งหมดของแม่ทัพเซวี๋ยติ้งชานที่ประจำการฝั่งตะวันตก”
“เรื่องที่สี่ ข้าอยากรู้ความเคลื่อนไหวทั้งฝั่งศัตรูและฝั่งเราทางตะวันออก จำไว้ การเคลื่อนไหวที่ว่านั้น! รวมไปถึงกลยุทธ์ที่ทางราชสำนักแคว้นอี๋คิดจะใช้กับราชวงศ์หยู และรวมถึงการจัดวางทหารของกองทัพทางทางตะวันออก!”
“หลังจัดการเรื่องพวกนี้เสร็จสิ้นให้ส่งคนมาที่จวนข้าทันที ขันทีเหนียน จะมีปัญหาอันใดหรือไม่?”
ขันทีเหนียนโค้งกาย “สำหรับหอชิงเฟิงซี่หยู่แล้ว คุณชายมิจำเป็นต้องถามว่ามีปัญหาอันใดหรือไม่ ตราบใดที่ใต้หล้ายังมีเรื่องราว หอชิงเฟิงซี่หยู่ก็สามารถตรวจสอบให้คุณชายได้ทราบอย่างชัดเจน”
สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจ ดูเหมือนว่า ตนเองจะประเมินอำนาจของหอชิงเฟิงซี่หยู่ต่ำไป
“เช่นนั้นก็ดี ข้าต้องขอตัวไปก่อน หวังว่าจะได้รับข้อมูลเร็ววัน”
“คุณชายโปรดเดินระวัง ข้าน้อยจะไปจัดการตามที่สั่ง”
ฟู่เสี่ยวกวนหมุนตัวจากไป ขันทีเหนียนยืดกายตรง ดวงตาที่ขุ่นมัวคู่นั้นค่อยๆสว่างขึ้น เขามองแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวนจนกระทั่งอีกฝ่ายลับสายตาไป จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปในวังเตี๋ยอี๋
ซั่งกุ้ยเฟยอ่านหนังสือ พลางฟังคำรายงานของขันทีเหนียน แล้วพยักหน้า
“กล่าวเยี่ยงนี้…แสดงว่าเรื่องที่เขาทราบก็มีมิน้อย ข้อแรกนั้นยังมิต้องบอกแก่เขาในตอนนี้ มันยังไม่ถึงเวลา จงถ่วงเวลาไว้ ส่วนข้อสองนั้นจัดการตามที่เขาต้องการเถิด ส่วนข้อสาม…ก็ให้เขาเถอะ ส่งข้อมูลเหล่านั้นให้เขาทั้งหมด พระมารดาขององค์ชายสี่อันกุ้ยเฟยก็คือเซวี๋ยปิงชิงน้องสาวของเซวี๋ยติ้งชาน”
……
ฟู่เสี่ยวกวนออกจากพระราชวังก็ตรงไปหาซูม่อที่รออยู่ตรงนั้นแล้วพากันเดินทางกลับจวน
เขานั่งลงในหลีเฉินซวน สั่งให้ชุนซิ่วนำกระดาษหมึกพู่กันมาให้ เนื่องจากเขาจะเขียนจดหมายฉบับยาวขึ้นมา เมื่อเขียนเสร็จก็อ่านทวนอีกรอบหนึ่ง ทั้งเพิ่มเติมข้อความบางอย่างลงไปก่อนจะจดหมายนั้นส่งให้ซูม่อ
“เรื่องนี้สำคัญมาก คงต้องให้เจ้าไปส่งด้วยตนเอง”
“ไปไหน?”
“เมืองหลินเจียง นำมันไปส่งถึงมือบิดาของข้า จำไว้ ต้องถึงมือบิดาของข้าเท่านั้น! และห้ามให้ใครรู้ร่องรอยของเจ้า!”
นับตั้งแต่ที่ซูม่อรู้จักฟู่เสี่ยวกวนมานี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นท่าทางระมัดระวังของฟู่เสี่ยวกวน นี่แสดงว่าเรื่องนี้ต้องสำคัญมากแน่ๆ เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง เอ่ยปากถาม “ในเมื่อไปหลินเจียง เจ้าจักให้ข้าแวะไปที่ซีซานรึไม่?”
“ไม่ต้อง หลังจากที่เจ้าไปที่หลินเจียงแล้วก็ไปที่เยว่โจว ทะเลสาบต้งถิงที่เยว่โจวมีภูเขานามจวิ้นชาน ที่ตีนภูเขานั้นมีหมู่บ้านชาวประมงอยู่ ในหมู่บ้านมีหญิงชราแขนด้วนที่เลี้ยงดูเด็กสาวอายุหกขวบ สังหารหญิงชราผู้นั้นซะ แต่มิต้องลงมือกับเด็กสาวคนนั้น คอยแอบดูอยู่มุมมืดเพื่อดูสิว่าใครจะมาติดต่อกับเด็กสาวผู้นั้น ถ้าหากมีคนพาเด็กสาวผู้นั้นไป เจ้าก็สะกดรอยตามเขาไปอย่างเงียบๆ จะต้องรู้ให้แน่ชัดว่าพวกเขาจะไปตั้งหลักกันที่ใด”
“ได้!”
“จากนั้น เจ้าก็กลับมาที่เมืองหลวง ตกดึกก็หาโอกาสจุดไฟเผาอารามซุ่ยเยว่ คอยดูสิว่าแม่ชีที่นั่นจะไปที่ใด”
นี่มันเรื่องอะไรกัน? ซูม่อจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างตกตะลึง ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกแล้วหัวเราะแห้งๆ “แม่ชีผู้นี้หาใช่สตรีผู้มีคุณธรรม ข้าอยากรู้ว่าภายใต้ภาพลักษณ์เยือกเย็นประดุจหยกสะอาดนั้นจะซุกซ่อนความดำมืดอะไรไว้”
“พูดภาษาคนสิ!”
“เอ่อ…ก็ได้ แม่ชีผู้นี้อาจจะรู้ว่าใครกันที่ต้องการจะสังหารข้า”
“จริงรึ?”
“ข้าหลอกเจ้าแล้วได้อะไรเล่า?”
“งั้นก็ให้ข้าไปจุดไฟเผาอารามคืนนี้มิดีกว่ารึ?”
“โง่จริงเชียว เจ้ายังต้องสะกดรอยตามนางอีก เจ้าจะมีเวลาพอรึ? ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือกลับไปที่หลินเจียงก่อน”
ซูม่อครุ่นคิด จากนั้นก็เก็บจดหมายเข้าไปในอกเสื้อ “ศิษย์พี่หญิงจะคุ้มครองเจ้า”
เขาหันหลังแล้วเดินออกไป เปลี่ยนชุดเป็นสีเขียวอ่อน ด้านหลังสะพายกระบี่ยาวไว้แล้วเดินเที่ยวในเมืองจินหลิง
ฟู่เสี่ยวกวนก็ออกจากจวนฟู่ โดยมีซูโหรวติดตามอยู่ข้างกาย เขามุ่งหน้าไปยังจวนต่ง แล้วบอกกล่าวกับต่งหยวนชื่อและต่งชูหลานว่าทุกอย่างปกติดี อีกไม่ช้าท่านลุงก็จะกลับมาแล้ว ยังขอให้ท่านป้าทำหงเซาซือจึโถว่ให้กินตอนมื้อเย็น
เมื่อเห็นท่าทางผ่อนคลายของเขา ฮูหยินต่งกับต่งชูหลานก็วางใจ
“ยังมีเวลาอีกนานกว่าจะถึงมื้อเย็น ข้ากับชูหลานแวะไปหาอาจารย์ฉินที่จวนก่อน ข้ามีจดหมายคนในครอบครัวที่ต้องส่งมอบให้”
“งั้นก็ไปเถอะ จำไว้ว่าต้องกลับมาทานอาหาร”
ต่งซิวเต๋อคิดว่ามารดาของตนมิเปลี่ยนไปเร็วหน่อยหรือ เขาอยากจะไปดูถิงเหม่ยเช่นกัน ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง “ท่านแม่ เย็นนี้ข้าจะกลับมาทานอาหารเย็นนะ”
“จะไปไหนก็ไปเถอะ!”
ต่งซิวเต๋อพลันรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมา และเมื่อเห็นรอยยิ้มหยอกล้อของฟู่เสี่ยวกวนก็นึกโมโห เขารู้สึกว่าตนเองอาจจะไม่ใช่บุตรของมารดาจริงๆก็ได้
ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานขึ้นมารถม้าคันเดียวกัน บนรถม้าต่งชูหลานถามเสียงจริงจังว่า “ไม่มีเรื่องอะไรจริงหรือ?”
“แน่นอน ในเมื่อพ่อตาลงมือด้วยตัวเองแล้วข้าจะยังมีสิ่งใดให้ทำอีก?”
หมัดน้อยๆของต่งชูหลานทุบลงบนร่างของฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงฉวยโอกาสนี้ดึงร่างของนางเข้ามาในอ้อมกอด และรวบมือข้างนั้น ต่งชูหลานจึงขยับตัวไม่ได้
เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนได้รับการยอมรับจากบิดามารดาแล้ว ความหนักอึ้งในจิตใจของต่งชูหลานจึงค่อยๆผ่อนคลายลง ในใจของสาวน้อยเปี่ยมล้นไปด้วยจินตนาการชีวิตในอนาคต ทันใดนั้นความสุขก็เอ้อล้นขึ้นมา
“เบาหน่อย…!” ต่งชูหลานซุกใบหน้าที่เขินอายลงกับอ้อมกอดของฟู่เสี่ยวกวน
“แบบนี้ สบายไหม?”
คนผู้นี้…ช่างน่ารังเกียจนัก!
ด้านนอกรถม้าเต็มไปด้วยเสียงผู้คนดังคึกคัก ทว่าภายในรถม้ากลับเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
พริบตาเดียวก็มาถึงจวนฉินแล้ว ฟู่เสี่ยงกวนปล่อยมือ แล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ สงบสติอารมณ์ของตน ส่วนต่งชูหลานก็ยืดกายตรง แล้วสบตากับฟู่เสี่ยวกวนแวบหนึ่ง จากนั้นก็จัดแจงเสื้อผ้าและทรงผม แต่ทว่าริ้วสีแดงบนใบหน้ากลับมิจางหายไป
เป็นเยี่ยงนี้จะดีได้อย่างไร?
ต่งชูหลานนึกในใจว่าถ้าหากอยู่ที่จวนฟู่ ตนเองจะสามารถยืนหยัดปฏิเสธได้จริงเหรอ?
ยังมิได้แต่งงานกัน ฉะนั้นจะปล่อยให้เขาทำเช่นนั้นมิได้
“ก่อนจะแต่งงานกัน เจ้าห้ามแตะต้องข้า!”
พูดจบนางก็หัวเราะออกมา แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับทำสีหน้าไร้เดียงสา “นี่จะตำหนิข้ามิได้”
“หรือเจ้าจะตำหนิข้า?”
“นี่เป็นสิ่งที่เจ้าต้องยอมรับนะ ชูหลานของข้า เจ้างดงามมาก เจ้ามิรู้ตัวเลยหรือว่างดงามมากเพียงใด ข้าเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดา ถ้าหากเผชิญหน้ากับสาวงามอย่างเจ้าแล้วยังเฉยเมยได้อยู่…นี่เท่ากับว่าข้าด้อยกว่าสัตว์ร้ายหรือ?”
ต่งชูหลานกลอกตาใส่เขา แต่ในใจกลับเปรมปรีดิ์
มีสาวน้อยอายุสิบห้าคนไหนบ้างที่ไม่หวังว่าจะได้ยินคำชมจากคนรัก? ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนที่บ้าคลั่งดังสัตว์ร้าย!
ทั้งสองคนลงจากรถ ยืนตากลมหนาวด้านหน้าจวนฉินปิ่งจงอยู่ครึ่งชั่วธูป ความอบอุ่นในใจก็พลันจางหายไป ทั้งสองพากันเดินเข้าไปในจวน
หลังจากทราบข่าวจากบ่าวใช้ ฉินปิ่งจงก็เดินออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง
“พี่ฉิน!”
“น้องฟู่!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า….!”
หนึ่งชราหนึ่งหนุ่มต่างหัวเราะออกมาอย่างปลอดโปร่ง จากนั้นต่งชูหลานก็ถามสารทุกข์สุกดิบของอาจารย์ฉิน ก่อนที่อาจารย์ฉินจะนำพวกเขาเข้าไปในหว่านชิงฉวน
ฉินรั่วเสวียก็อยู่ที่นั่นด้วย นางกำลังอ่านหนังสือ อ่านไปพลางร้องไห้ไปพลาง ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่คน!
เขามันไม่ใช่คน!
ก็เห็นอยู่ว่าคนที่เจี๋ยเป่าหยูชอบคือหลินไต้ยวี่ ก็เห็นอยู่ว่าคนที่หลินไต้ยวี่ชอบคือเจี๋ยเป่าหยู แต่ฟู่เสี่ยวกวนที่ไม่ใช่คนผู้นั้นกลับดำเนินเรื่องราวให้จบลงโดยโศกนาฏกรรม!
เพียงเพราะน้องสาวหลินอ่อนแอและป่วยง่าย?
เพียงเพราะฮูหยินหวางชอบเซวี๋ยเป่าชาย?
แต่บรรพชนชอบน้องสาวหลิน!
เป่าหยูผู้น่าสงสาร จนกระทั่งถึงวันแต่งงานจึงได้ทราบว่าผู้ที่แต่งด้วยนั้นมิใช่น้องสาวหลิน
น้องสาวหลินผู้น่าสงสาร ในวันแต่งงานของเป่าหยูก็เจ็บปวดจนทานทนมิได้จึงกระอักเลือดตาย…
ฉินรั่วเสวียร้องไห้จนตาบวม อ่านไปร้องไห้ไปและด่าฟู่เสี่ยวกวนไป ดังนั้น…ตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินมาถึงหน้าประตูจึงแสดงท่าทางละอายใจ ฉินปิ่งจงก็รู้สึกเก้อเขินขึ้นมา ฉินรั่วเสวียยังคงร้องไห้ไปด่าไป!
“ฟู่เสี่ยวกวน ท่านมันคนจิตใจโหดเหี้ยม! ท่านเริ่มความวุ่นวายขึ้นมาสุดท้ายก็โยนมันทิ้งไป! ท่าน…ฮือออ…ท่าน…ท่านทำเช่นนี้กับน้องสาวหลินได้เยี่ยงไร!”
“อ่า มิเช่นนั้น พวกเราเปลี่ยนที่ดีหรือไม่?” ฟู่เสี่ยวกวนกระซิบถาม
“โอ้ ได้ ได้!”
ฉินปิ่งจงจะจัดการหลานสาวผู้นี้ได้รึ?
สำหรับเรื่องนี้ ตัวเขาเองก็เคยเตือนฉินรั่วเสวียอยู่หลายครั้ง ว่านั่นก็เป็นเพียงแค่วรรณกรรมเท่านั้น วรรณกรรมมิใช่เรื่องจริง ฟู่เสี่ยวกวนเพียงแค่ยืมหนังสือเรื่องนี้บอกกล่าวหลักการบางอย่าง
แต่จิตใจของสาวน้อยก็อดกลั้นมิได้ ว่ากันว่าตอนที่หนังสือความฝันในหอแดงจบลง สาวน้อยทั่วทั้งเมืองหลวงก็พากันก่นด่าฟู่เสี่ยวกวนกันระนาว….เฮ้อ เจ้าหนุ่มผู้นี้ ช่างทำบาปโดยแท้!
“คุณชายฟู่ ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าขอรับ ! ”
ท่าทางเคร่งเครียดของขันทีเจี่ยทำให้ต่งหยวนชื่อและต่งชูหลานตึงเครียดขึ้นมาทันพลัน แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับยิ้มบาง ๆ และกล่าวกับพวกนางว่า “ดูเหมือนว่าจะมิมีเรื่องใหญ่หลวงอันใด พวกท่านมิต้องตึงเครียดไป ท่านป้า หงเซาซือจึโถว่นี้อร่อยมาก หากสะดวก มื้อเย็นโปรดทำอาหารจานนี้อีกคราด้วยขอรับ”
นี่มันช่วงเวลาใดกันแล้ว คาดมิถึงว่าเด็กนี่จะนึกถึงมื้อค่ำขึ้นมา !
ต่งหยวนชื่อจ้องฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง “หากมิมีธุระ หงเซาซือจึโถว่นี้ย่อมทำให้เจ้าทานอีกคราได้อยู่แล้ว แต่หากมีธุระ…ก็อย่าแม้แต่จะคิดละเลยหน้าที่เพื่อมากิน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า “ข้ารับปากว่าจะมิมีธุระแน่นอน เอาเถิด พวกท่านคอยฟังข่าวอย่างสบายใจ ข้าขอตัวไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทก่อน”
ฟู่เสี่ยวกวนออกจากจวนต่งมาพร้อมกับขันทีเจี่ย เมื่อขึ้นรถมาแล้ว สีหน้าของเขาก็มืดครึ้มทันพลัน
จากที่ได้เห็น เกรงว่าการคาดเดาของตนเองจะเป็นจริง เหล่าคนโง่นั้นสมควรตายทั้งสิ้น ! รบกวนเวลากระชับความสัมพันธ์กับแม่ยายของข้า เกือบจะเอาชนะใจแม่ยายได้อยู่แล้วเชียว ในตอนที่วันแห่งความสุขกำลังกวักมือเรียก กลับถูกเหล่าคนโง่นั่นทำลายเสียได้
ท่าทางเข่นเขี้ยวของฟู่เสี่ยวกวนทำขันทีเจี่ยตื่นกลัว ชายผู้นี้…ท่าทางราวกับจะกินคน คิดจะทำอันใดกัน ?
“อ่า ขันทีเจี่ย ดูความจำของข้าสิ…” ฟู่เสี่ยวกวนนำน้ำหอม 2 ขวดจากในแขนเสื้อออกมาและส่งให้กับขันทีเจี่ย “ข้าเพิ่งมาถึงเมืองหลวงเมื่อวาน คิดไว้แล้วว่าจะนำน้ำหอมไปให้ท่านขันทีในตอนที่เข้าวังหลวงในเมื่อวาน แต่คาดมิถึงว่าจะมีธุระมากมายจนเสียเวลาไป ผลก็คือวันนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าเป็นวันหยุดแล้ว แต่เดิมนั้นเสียใจอยู่ไม่น้อย แต่วันนี้ก็ประจวบเหมาะกับที่ฝ่าบาทให้ท่านออกมาหาข้า หรือนี่ จะเป็นโชคชะตากัน”
ขันทีเจี่ยดีใจ ของสิ่งนี้ในปัจจุบันได้มีขายที่เมืองหลวงแล้ว ถึงแม้จะเป็นขวดเล็กและมีราคา 12 ตำลึง แต่สำหรับพวกเขาแล้วก็มิถือว่าเป็นปัญหาอะไร
ของสิ่งนี้ดียิ่ง ครั้งที่แล้วที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ให้เขามา 1 ขวดก็ยังมิหมด ในวันนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ให้เขามาอีก 2 ขวด ถึงแม้จะมิใช่ของล้ำค่า แต่ที่ล้ำค่าก็คือความคิดที่วิจิตรของชายผู้นี้
“เยี่ยงนั้นข้าขอมิเกรงใจคุณชายฟู่แล้ว…” ขันทีเจี่ยนำน้ำหอมเก็บไว้ในชายเสื้อ แล้วกล่าวอีกว่า “เดิมทีในวันนี้ฝ่าบาทตั้งใจจะไปพระตำหนักฉือหนิงกงเพราะเป็นห่วงพระชนนี คาดมิถึงว่าเสนาบดีต่งจะปรี่เข้ามาหา หลังจากนั้นก็ได้พูดขึ้นมาหนึ่งเรื่อง…เสนาบดีต่งกล่าวว่าเป็นความคิดของท่าน คุณชายฟู่เป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง ถึงแม้ฝ่าบาทจะมิเคยชมเชย แต่จากที่ข้าได้มอง ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของคุณชายอย่างมาก มิฉะนั้นคงมิรีบให้ข้าออกมาเชิญท่านเข้าวังเยี่ยงนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะน้อย ๆ “ท่านขันทีชมกันเกินไปแล้ว… ขอบังอาจถามท่านขันที ที่ห้องทรงพระอักษรนอกจากฝ่าบาทและเสนาบดีต่งแล้ว ยังมีขุนนางท่านอื่นอีกหรือไม่ ? ”
“ในขณะนี้ยังมิมี แต่หลังจากที่ข้าส่งท่านเข้าวังแล้วก็ยังต้องไปที่จวนเยี่ยนและตระกูลเฟ่ย”
“โอ้… ลำบากท่านขันทีแล้ว”
เรื่องสำคัญเยี่ยงนี้ ฝ่าบาทย่อมปรึกษาหารือกับเยี่ยนเป่ยซีและเยี่ยนซือเต้า ส่วนตระกูลเฟ่ย… เฟ่ยปังที่ควบคุมกรมกลาโหม ก็ควรมีส่วนร่วม
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบครุ่นคิดและมีความคิดขึ้นมาหนึ่งอย่าง หลังจากที่เข้าเฝ้าฝ่าบาท ก็ควรจะไปหาขันทีเหนียนเสียหน่อย เรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยาก วังหลังมิใช่ที่ที่เขาจะเข้าไปได้ตามใจชอบ มิมีเทียบเชิญของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยหรือมิมีหยูเวิ่นหวินคอยนำ เขาก็ไร้หนทางที่จะเข้าไป
ทันทีที่มาถึงห้องทรงพระอักษรวังหลวง ขันทีเจี่ยก็เอ่ยลาขอตัว ฟู่เสี่ยวกวนจึงก้าวเข้าไปข้างใน
ด้านในเงียบสงบไร้เสียง
ฝ่าบาทกำลังยืนอยู่ข้างกำแพง ที่มีแผนที่ขนาดใหญ่ประดับเอาไว้อยู่
ต่งคังผิงนั่งอยู่ด้านข้างโต๊ะน้ำชา และกำลังพลิกเปิดสมุดบัญชีเล่มหนาในมือ
มิมีผู้ใดสนใจฟู่เสี่ยวกวน นี่มันค่อนข้างอึดอัด เขาหันมองซ้ายมองขวา แล้วกล่าวว่า “กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท ! ”
ฮ่องเต้มิได้สนใจเขา ยังคงมองแผนที่ดังเก่า ต่งคังผิงเองก็มิได้เงยหน้ามามองเขา ยังคงมองสมุดบัญชีเล่มนั้นด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด
เอาเถอะ ฟู่เสี่ยวกวนเม้มปาก และนั่งลงข้ามโต๊ะน้ำชาตามสบาย และเทน้ำชาให้กับต่งคังผิงและตนเองคนละจอก
ต่งคังผิงเหลือบมองเขา เด็กนี่ใจกล้ายิ่งนัก !
“เป็นเยี่ยงไรบ้างขอรับ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนโน้มตัวลงไปเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“มิดี”
“โอ้… ขอข้าดูหน่อย ! ”
ต่งคังผิงเหลือบสายตาขึ้นมามอง ลอบคิดในใจว่าของที่ซับซ้อนเยี่ยงนี้เจ้าจะสามารถอ่านให้เข้าใจได้รึ ?
แต่เขาก็ส่งสมุดบัญชีเล่มหนึ่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน “นี่คือบัญชีเสบียงของซานหนานตงเต้าในปีนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนรับมาและอ่านสิบบรรทัดในหนึ่งคราอย่างว่องไว เสียงพลิกหน้ากระดาษดังฟึบฟับ มีเพียงบางคราที่หยุดหายใจ หลังจากนั้นก็พลิกอ่านต่อ ใช้เวลาไปไม่เท่าไหร่ เขาก็ได้อ่านสมุดบัญชีเล่มหนานั้นจนจบ
ต่งคังผิงเหลือบสายตามองเขาอีกครา ลอบคิดในใจว่าคนผู้นี้ประพันธ์บทกวีได้ดี แต่เรื่องบัญชีก็เป็นเพียงคนนอก
“ตามการจดบันทึกของสมุดบัญชี เม็ดเงินที่ใหญ่ที่สุดแบ่งได้เป็น 2 รอบซึ่งมาจากเดือนห้าและเดือนเจ็ด เดือนห้าเสบียงของซานหนานตงเต้ารวมทั้งหมดเป็น 186,999 ถัง ส่งไปที่ซินโจว ให้เหตุผลว่าเพื่อเตรียมสงครามทางเหนือ ปลายเดือนเจ็ดเสบียงทั้งหมดของซานหนานตงเต้ารวบรวมได้ 230,000 ถัง ส่งไปทางเหนือและใต้ของเหอหนาน ให้เหตุผลว่าเป็นการบรรเทาสาธารณภัยของราชสำนัก ในปีนี้ธัญพืชแบบหยาบและแบบละเอียดของซานหนานตงเต้ารวบรวมได้ทั้งหมด527,000 ถัง เมื่อหักลบไป 316,000 ถัง ก็จะเหลือ 211,000 ถัง… เสบียงของซานหนานตงเต้ามิสามารถเคลื่อนไหวได้แล้ว เมื่อลองคิดดู เจี้ยนหนานตงเต้าก็เกือบจะเป็นเยี่ยงนั้นเช่นกัน”
ต่งคังผิงเงยศีรษะขึ้นมา และมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง เพราะตัวเลขนั้นถูกทั้งหมด !
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวด้วยคิ้วขมวด “เยี่ยงนั้นก็ต้องโยกย้ายเสบียงจากเจียงหนานและเจียงเป่ย…” เขาลุกขึ้นยืน และเดินไปยังด้านข้างของฮ่องเต้ และกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงถอยด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
ต่งคังผิงตาโตฉับพลัน ฮ่องเต้ยกฝ่ามือจนเกือบจะตีเข้าที่หัวของฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนกลับไม่ได้มองไปทางเขา กลับยื่นมือไปบนแผนที่
สองฝั่งแม่น้ำเหนือใต้ของแม่น้ำแยงซีต้องขนเสบียงไปทางทิศตะวันออก… แต่ก็ห่างกันเสียมากจริง ๆ !
แผนที่นี้มีข้อแตกต่างจากแผนที่โลกก่อนอย่างมาก ตามเส้นทางของแผนที่นี้แล้ว เสบียงของสองฝั่งแม่น้ำแยงซีต้องขนย้ายทางน้ำข้ามผ่านไปทางจินหลิงจนไปถึงเจิ้นเจียง หลังจากนั้นเคลื่อนย้ายทางบกจากซานหนานตงเต้าจนถึงหลานหลิงเมืองทางตะวันออกที่ใหญ่ที่สุดของต้าหยู นี่มันบ้าอะไร แล้วทะเลเล่า ?
อย่างน้อยบนแผนที่นี้ก็มิมีทะเล นามของเมืองชั้นหนึ่งแม่น้ำแยงซีก็แทบจะมิเหมือน ชื่อและเขตการปกครองทั้งหมดแตกต่างสิ้นเชิง
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดอย่างมาก โลกนี้ต่างจากโลกก่อน นี่มิใช่โลกคู่ขนานเยี่ยงนั้นหรือ ?
ตอนนี้ข้าอยู่ที่ใดกันแน่ ?
ในตอนนี้มิใช่เวลามาวุ่นวายกับคำถามนี้ ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวขึ้นมาว่า “การระดมเสบียงที่สองฝั่งแม่น้ำแยงซีไปที่หลานหลิง อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน นี่ยังมิรวมกองหิมะที่ปิดทางในฤดูหนาว ดังนั้นเรื่องนี้ขึ้นอยู่กับฝ่าบาทแล้วว่าจะเลือกเส้นทางใด”
สุดท้ายฝ่ามือของหยูยิ่นก็มิได้ตบลงไป เขาจ้องตาฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง และตะโกนลั่น “ข้าต้องเลือกรึ ? ข้าคือโอรสสวรรค์ เป็นเจ้าของแผ่นดิน เหตุใดข้าต้องเลือกด้วย ?”
ฟู่เสี่ยวกวนหันศีรษะมาและโน้มกายคำนับ “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดเช่นนี้ ถอยหนึ่งก้าวท้องฟ้ากว้างทะเลไกล อดทนชั่วขณะสถานการณ์จะสงบสุข สิ่งที่พวกเราต้องการตอนนี้คือเวลา นอกจากนี้… ยังต้องการข่าวสาร ข้ามิทราบว่ากองทัพชายแดนของแคว้นอี๋มีการเคลื่อนไหวที่แปลกไปหรือไม่ แต่มิว่าจะคิดเยี่ยงไรก็ย่อมมี อย่างน้อยพวกเขาก็จำต้องแสดงออกถึงความน่าเกรงขามออกมาให้พระองค์ทอดพระเนตร ความจริงแล้วฝ่าบาทมิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องเลย เร่งรีบอันใดกัน ? ชำระแค้นหลังฤดูใบไม้ร่วง เรื่องแบบนี้มิใช่ว่าดีกว่าหรือพ่ะย่ะค่ะ ? ”
หยูยิ่นสูดลมหายใจหนัก ๆ สองวันก่อนหน้านี้เขาได้รับข่าวการเปลี่ยนแปลงของกองทัพชายแดนของแคว้นอี๋ แต่การเปลี่ยนของกองทัพชายแดนในหนึ่งปีมีนับครั้งไม่ถ้วน เขาจึงมิได้ใส่ใจเท่าใดนัก อย่างไรแล้วกองทัพชายแดนตะวันออกก็มี 300,000 คน แคว้นอี๋ก็คงมิใจกล้าเข้ามาตีอย่างแน่นอน
แต่ที่ได้ฟังต่งคังผิงกล่าวในวันนี้ เขาถึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา แต่ก็รู้สึกได้ว่าเรื่องนี้ได้กลายเป็นเรื่องร้ายแรงแล้ว หลังจากนั้นจึงให้ต่งคังผิงตรวจสอบ โดยผ่านมือกรมคลังชื่อหลางฝ่ายขวาเถาจัว เสบียงของซานหนานตงเต้าและเจี้ยนหนานตงเต้าใกล้จะหมดเต็มทีแล้ว
ทันทีที่สงครามเริ่ม เสบียงที่กักเก็บอยู่ในหลานหลิงนานที่สุดก็อยู่ได้แค่หนึ่งเดือนเศษ ในตอนนี้เป็นฤดูหนาว ต้องขนย้ายเสบียงมาจากที่อื่น ด้วยเวลาแล้วคงจัดการได้ไม่ทั่วถึง
“เจ้าหมาป่าสันดานชั่ว ! ข้าเคยเอาเปรียบพวกเขาเยี่ยงนั้นหรือ ? มิคาดคิดเลยว่าพวกเขาจะกล้าเอาหมาป่าเข้ามาถึงในห้อง ! ”
“ฝ่าบาท กระหม่อมมีแผนการอยู่ แต่มิทราบว่าควรกล่าวออกไปดีหรือไม่ ? ”
“มีแผนการอันใดก็กล่าวออกมา ! ”
“โอ้… เยี่ยงนั้นกระหม่อมจะกล่าวแล้ว กระหม่อมคิดว่าเหล่าขุนนางที่คิดคดก็คงได้รับการตรวจสอบแล้ว เยี่ยงนั้นสังหารไปเลยจะดีกว่า และเรียกหน่วยสอบสวนกลับมา มิทราบว่าฝ่าบาทเห็นมีพระประสงค์เยี่ยงไรบ้าง ? ”
“ประหารเลยรึ ? ข้ายังมิได้ไต่สวนเลย ข้าอุตส่าห์จับตาข่ายเอาไว้ได้แล้ว จะยอมปล่อยไปอย่างง่ายดายได้เยี่ยงไร”
ฟู่เสี่ยวกวนไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะ และกล่าวว่า “ความหมายของกระหม่อมมิได้ต้องการให้ฝ่าบาทปล่อยวาง แต่… พวกเราต้องการเวลา นักโทษที่ถูกคุมตัวเหล่านั้นจะมิถูกไต่สวนแต่ประหารในทันที ให้หน่วยสอบสวนทุกฝ่ายกลับมา เป็นการแสดงท่าทีของพระองค์ให้คนเหล่านั้นได้เห็น พวกเขาจะคิดว่าฝ่าบาทจะมิไล่ตามเรื่องทุจริตเสบียงบรรเทาสาธารณภัยอีก เยี่ยงนั้นเรื่องสงครามทางตะวันออกก็จะมิเริ่มต้นขึ้นเป็นแน่”
“หากประหารพวกเขาไปแล้ว ข้าจะรู้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังได้เยี่ยงไร ? ”
“ฝ่าบาท เป็ดขาว แท้จริงมีอยู่มากมายพ่ะย่ะค่ะ”
หยูยิ่นชะงัก แล้วจ้องฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง เจ้าเด็กคนนี้… ใช้ได้นี่ !
ต่งคังผิงตกใจอีกครา เรื่องสังหารเป็ดขาวเคยเกิดขึ้นในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 3 การตัดสินโทษประหารผู้ร้ายทั้งหกสิบสองคน และในนั้นมีเป็ดขาวอยู่ทั้งสิ้น 52 ตัว หรือก็คือแพะรับบาป ฝ่าบาททรงพิโรธกับเรื่องนี้จึงได้สั่งสอบสวนกรมขุนนาง จนทำให้ชื่อหลางในกรมขุนนางถูกถอดไป 19 คน คาดมิถึงว่าเจ้าหนุ่มนี่จะกล้าแนะนำให้ฝ่าบาทใช้เป็ดขาวแทนที่ผู้ร้ายเหล่านั้น!
“เสี่ยวกวน อย่าได้พูดไร้สาระเกี่ยวกับเรื่องนี้ ฝ่าบาททรงมีพระประสงค์ของพระองค์เอง” ต่งคังผิงเอ่ยอย่างร้อนรน
หยูยิ่นกลับโบกมือ “ระดมขนย้ายเสบียงจากเจียงหนานเจียงเป่ยเถอะ แต่จงใจไว้ว่าต้องจัดการเรื่องนี้อย่างเงียบ ๆ ทางที่ดีที่สุดอย่าได้ดึงความสนใจของพวกเขา”
นี่มันยากอย่างมาก อย่างไรแล้วการระดมขนย้ายเสบียงของราชสำนักก็เป็นเรื่องใหญ่ มิสามารถปกปิดจากขุนนางในราชสำนักได้
ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจ เรื่องยุ่งยากนี้ควรทำด้วยตนเอง ถือเสียว่าช่วยท่านพ่อตาแล้วกัน
“เรื่องนี้ ท่านขุนนางต่งมอบให้ข้าเถิด”
“เจ้าทำได้รึ ? ”
“บุรุษต้องทำได้ พวกท่านเตรียมไว้เพียงเงินตำลึง แต่เงินตำลึงนี้จะต้องมิผ่านกรมคลัง ส่วนเรื่องอื่น ๆ ข้าจะจัดเตรียมเอง”
เดิมทีตระกูลฟู่เป็นเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงอยู่แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างฟู่ต้ากวนและตระกูลค้าธัญพืชก็เป็นไปได้ด้วยดี และนอกจากนี้ ตระกูลแม่สี่ของตนในตอนนี้เป็นผู้ส่งสินค้าทางเรือ ทางตนเองยังมีขนส่งซีซาน การเคลื่อนไหวแบบส่วนตัวโดยมิผ่านราชสำนักนั้นจะมีขนาดเล็กลงไปมากโข
“ได้ หากเจ้าจัดการเรื่องนี้ได้ดี ข้าจะเลื่อนขั้นให้เจ้า”
“มิได้พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมเป็นเบี้ยน้อยในพระหัตถ์ของพระองค์ที่ยังมิเคยข้ามแม่น้ำ และในตอนนี้ก็เป็นเพียงความพยายามเล็กน้อยเพื่อจะแบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาท นอกจากนี้กระหม่อมก็มีหนึ่งคำขอเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ากล่าวมา ! ”
“เรื่องในวันนี้ โปรดให้มีเพียงเราสามคนที่อยู่ ณ ที่นี้เท่านั้นที่ทราบ”
“ได้ ! ”
“นอกจากนี้… กระหม่อมยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่จะร้องขอ”
“…..”
“กระหม่อมอยากจะไปวังหลัง แต่ค่อนข้างลำบากนักเพราะมิมีป้ายแขวนเอว เรื่องนี้…”
ฮ่องเต้เบิกตาโพลง ก่อนจะโยนป้ายหยกไปให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน “ออกไป ! ”
“จากนี้ไป พวกเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ท่านป้า แม้ว่าจวนของข้าจะใหญ่ แต่ก็อ้างว้างหนาวเหน็บเหลือเกิน ปีใหม่ที่จะถึงนี้ ทุกครอบครัวล้วนอยู่พร้อมหน้ามีความสุข ท่านก็เห็นว่าข้านั้นอยู่ลำพังเพียงผู้เดียว…ข้ามิควรอยู่เยี่ยงนี้ในวันปีใหม่ใช่หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนมองต่งหยวนชื่อด้วยสีหน้าคาดหวัง ต่งซิวเต๋อที่อยู่ข้างกายก็หัวเราะขึ้นมา “ใช่ ! ”
ต่งหยวนชื่อถลึงตาใส่ต่งซิวเต๋อ ต่งชูหลานก็เขินอายจนหน้าแดง ก่อนจะก้มหน้าลง ต่งคังผิงลูบเคราด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ผ่านไปสักพัก ต่งหยวนชื่อก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เจ้าเด็กผู้นี้ช่างหน้าหนาเสียจริง !
จากนั้นนางก็เหลือบมองไปทางเก้าอี้นั้น มือของฟู่เสี่ยวกวนกุมมือของต่งชูหลานไว้ ต่งชูหลานก็ไม่มีความตั้งใจที่จะดึงมือออก ทันใดนั้นก็นึกไปถึงเมื่อคืนวานที่ได้พูดคุยกับสามี แล้วยังมีคำพูดจากองค์หญิงใหญ่ที่ทรงตรัสเมื่อคราวก่อน สุดท้ายนางจึงยอมถอยออกมาก้าวหนึ่ง
ช่างเถอะ…หัวใจของบุตรสาว คงถูกเขาคว้าเอาไปหมดแล้ว
“เจ้าอยู่เมืองหลวงฉลองปีใหม่เพียงลำพังความจริงก็คงเหน็บหนาวใจมิน้อย หากจะมา ก็มาเถอะ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก สุดท้ายความกังวลในจิตใจก็หายไป เขารีบร้อนลุกขึ้นคารวะต่งหยวนชื่ออีกครั้ง กล่าวเสียงสูง “หลานขอบคุณท่านป้ามาก วันนี้หลานจะไม่กลับไปกินข้าวที่บ้าน”
ได้คืบจะเอาศอกนี่ ต่งหยวนชื่อหัวเราะเสียงดังแล้วมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างชื่นชม ดูสิ นี่คือเขยของข้า ถ้าเปลี่ยนเป็นเยี่ยนซีเหวิน เขาจะกล้าไร้ยางอายเยี่ยงนี้หรือ ?
ตอนนี้ต่งหยวนชื่อเหมือนจะเปิดใจบ้างแล้ว นางยิ้มแล้วกล่าวว่า “ตามใจเจ้าเถอะ เที่ยงนี้ก็อยู่ทานอาหารด้วยกันที่นี่เลย”
ด่านนี้ดูเหมือนว่าจะผ่านแล้ว หลังจากนั้นบทสนทนาก็ราบรื่น และพูดคุยอย่างเป็นกันเองมากขึ้น
“ที่จริงตัวเจ้าเองก็มีญาติอยู่ที่เมืองหลวง อยากจะไปทำความรู้จักหรือไม่ ? ถ้าเจ้ายินดี ข้าจะไปเป็นตัวแทนพูดให้เจ้า”
ต่งคังผิงพูดถึงสวี่เช่ากวงของจวนสวี่ผู้เป็นตาของฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบกลับ “ความปรารถนาของบิดาข้าคืออยากให้ข้าทำความรู้จักกับญาติที่นี่ แต่มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ยากจนแม้อยู่ในเมืองหลวงก็ไร้คนถามหา ร่ำรวยแม้อยู่ในภูเขาลึกก็มีญาติ การเปรียบเทียบนี้แม้จะไม่เหมาะสม แต่ความหมายนั้นคล้ายคลึงกัน ปีนั้นก่อนมารดาจะจากไปในใจก็อยากกลับมาพบหน้าสักครั้ง ทว่าพวกเขากลับมิยอมเปิดประตู ความหมายคือมิให้อภัยมารดาและดูแคลนบิดา หากข้าไปพบพวกเขาในเวลานี้เกรงว่าจะไร้ความหมาย แต่ถ้าข้ากลายเป็นขุนนางใหญ่ ได้รับการแต่งตั้งมียศฐาบรรดาศักดิ์ เมื่อนั้นประตูของพวกเขาก็จะเปิดออกเอง”
ประโยคนี้คล้ายกับแฝงความพยาบาทเล็กน้อย ต่งคังผิงมิได้คัดค้าน นี่เป็นเรื่องของฟู่เสี่ยวกวน เขาไม่สะดวกที่จะเข้าไปยุ่ง ความจริงแล้วตอนที่ฟู่เสี่ยวกวนเข้าไปยังพระราชวังจินเตี้ยน สวี่หวยซู่และสวีหวินกุยเคยพูดคุยเรื่องนี้กับเขาในยามที่พบหน้ากัน เรื่องในปีนั้นค่อนข้างอ่อนไหวมาก ตอนที่สวี่หยุนชิงยังอยู่ที่เมืองหลวง ต่งคังผิงก็เป็นหนึ่งในคนที่ตามจีบสวี่หยุนชิง ดังนั้นจึงรู้จักกับสองคนนี้มานานแล้ว
สวี่เช่ากวงเกษียณตัวเองออกจากกั๋วจื่อเจี้ยนหลังจากสวี่หยุนชิงกับฟู่ต้ากวนหนีตามกันไปได้ไม่นาน ต่อมาชายชราผู้นั้นก็ออกจากจวนน้อยครั้งมาก ได้ยินสองพี่น้องสวีหวินกุยกล่าวว่า ตั้งแต่นั้นมา สวี่เช่ากวงก็อุทิศตนให้กับพุทธศาสนา ในบ้านมีรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิมที่อัญเชิญมาจากวัดฉีเสียรูปหนึ่ง
ดูเหมือนว่าตอนนี้สวี่เช่ากวงกำลังชดใช้ความผิด บางทีอาจจะรู้สึกผิดกับสวี่หยุนชิง หรือบางทีก็อาจจะทำเพื่อความสบายใจ
เรื่องเหล่านี้ต่งคังผิงเล่าให้ฟู่เสี่ยวกวนฟัง ฟู่เสี่ยวกวนก็ตั้งใจฟัง สุดท้ายก็กล่าวอย่างจริงจังว่า “ความจริงตอนที่บิดามารดาหนีตามกันไปนั้นข้าก็คิดว่าพวกท่านทำไม่ถูก ตามหลักธรรมชาติของบิดาแล้ว ข้าจะไม่ตำหนิเขา เพื่อไล่ตามสิ่งที่เรียกว่าความรัก บุตรสาวของตนถึงกลับหนีตามกันไป…เปลี่ยนเป็นข้า ข้าก็คงไม่สบายใจ แต่ถ้าหากมารดาของข้ามิคิดดึงดันจะแต่งงานกับบิดามากนัก และการที่เขาจะพยายามขัดขวาง ข้าก็เข้าใจเหตุผลนี้ได้ แต่ข้าแค่ไม่เข้าใจเหตุผลว่าในเมื่อมารดาของข้าป่วยหนัก เพียงแค่อยากจะเห็นหน้าครอบครัวเป็นครั้งสุดท้ายในรอบสิบปี ความปรารถนาที่เรียบง่ายเช่นนี้กลับเป็นความจริงมิได้หรือ สุดท้ายท่านก็ต้องจากไปพร้อมกับความเสียใจ….ข้ารู้สึกว่านี่ดูไร้มนุษยธรรมเกินไป”
ต่งคังผิงไม่สามารถหาอะไรมาหักล้างในเรื่องนี้ได้ เขาถอนหายใจยาว “เอาเถอะ เรื่องนี้ไว้เป็นเรื่องในอนาคต ค่อยมาดูกันอีกทีสิว่าเจ้าจะมีโอกาสแก้ไขอะไรได้หรือไม่”
ต่งคังผิงมองไปทางบรรดากล่องมากมายที่กองอยู่อีกด้าน แล้วกล่าวว่า “แม้ว่าครอบครัวของเจ้าจะเป็นเศรษฐีที่ดิน แต่ในเมื่อมาอยู่ที่เมืองหลวงและซื้อบ้านเรือนที่นี่ ค่าใช้จ่ายต่อจากนี้คงมีมากเป็นเท่าตัว ข้าวของเหล่านี้…ข้ากับป้าของเจ้าขอรับแค่ใจก็พอ อยู่ทานอาหารเที่ยงแล้วค่อยนำกลับไปเถอะ”
ฟู่เสี่ยวกวนรีบร้อนโบกมือและรับกาชาจากต่งชูหลานมารินชาให้ต่งคังผิงกับต่งหยวนชื่อจนเต็ม จากนั้นก็กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “กล่าวอย่างไม่ปิดบังท่านลุงท่านป้า บ้านหลานชายนั้นมั่งคั่ง ของขวัญเหล่านี้ล้วนมาจากความตั้งใจจริงของหลานชาย ท่านลุงสามารถคิดว่า…ข้ามาที่นี่เพื่อจ่ายค่าอาหารก็ได้”
“จ่ายค่าอาหาร…ก็ได้ งั้นข้าจะรับไว้” ต่งคังผิงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า “การตรวจสอบครั้งนี้พบเจอเหตุการณ์ทุจริต 13 เรื่อง เมื่อวานนี้มีการถอดถอนตำแหน่งเต้าถาย 4 คน จือโจว 3 คน นายอำเภอ 117 คน ในเมืองหลวง โย่วซื่อหลางกรมคลังมีส่วนเกี่ยวข้อง นอกนั้นก็เป็นหลางจงผู้หนึ่งจากกรมขุนนางซึ่งถูกกุมตัวรอไต่สวนปีหน้า”
ต่งคังผิงส่ายหน้า แล้วกล่าวต่อไปว่า “เหตุการณ์ครั้งนี้ได้สั่นสะเทือนไปทั่วราชสำนัก นี่นับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สองร้อยกว่าปีของราชวงศ์หยู ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะยังไม่จบ ฝ่าบาทไม่เพียงแต่เรียกคืนความเคารพในฐานะองค์ฮ่องเต้ กระทั่งขุนนางในเมืองหลวงที่ถูกจับกุมส่วนใหญ่ก็มิมีคำสั่งให้ศาลต้าหลี่สอบสวน คาดว่าครั้งนี้ฝ่าบาทคงจะลงมืออย่างเหี้ยมโหดเพื่อแก้ปัญหาอย่างละเอียด ด้วยเหตุนี้จึงมีตำแหน่งว่างหลายที่ จิ้นซื่อจำนวนมากจึงถูกเรียกเข้ารับราชการเพื่อเติมเต็มตำแหน่งที่ขาดหายไป เหตุการณ์ในครั้งนี้ดูคล้ายจะสงบ แต่ความจริงแล้วกลับมีคลื่นใต้น้ำ”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด คลื่นใต้น้ำที่ต่งคังผิงกล่าวถึงเกรงว่าน่าจะเป็นการตอบโต้ของหกตระกูลใหญ่ แม้ว่าเขาจะไม่รู้สถาณการณ์เบื้องลึกของเหล่าขุนนางที่โดนจับ แต่คาดว่าก็คงมีความเกี่ยวข้องกับหกตระกูลที่ทรงอำนาจ
หกตระกูลใหญ่อยู่มานานแล้ว ภูมิหลังของพวกเขาลึกซึ้งมากและไม่เคยโดนสืบสาวมาถึงตัว อาจจะกล่าวได้ว่าจนกระทั่งวันนี้ก็ยังไม่ส่งผลกระทบต่อรากฐานของพวกเขา แต่ถ้าการสืบสวนยังคงดำเนินต่อไป สุดท้ายสักวันพวกเขาจะถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย พวกเขาย่อมไม่ยอมให้เป็นเยี่ยงนั้น ฉะนั้นพวกเขาจำเป็นที่จะต้องลงมือ
“เรื่องนี้…หากฝ่าบาทตั้งใจจะตรวจสอบต่อจริง ๆ ควรใส่ใจกับการป้องกันชายแดนด้วย”
ต่งคังผิงขมวดคิ้ว พลางถามว่า “หมายถึงอะไร ? ”
“ท่านลุงลองนึกถึง การดึงหัวไชเท้าออกจากโคลน ภัยพิบัตินี้สุดท้ายก็จะไหม้ไปถึงตัวหกตระกูลใหญ่ แล้วพวกเขาจะยอมให้จับโดยละม่อมหรือไม่ ? ข้าคิดว่าไม่ ถ้าเช่นนั้นจะหยุดเรื่องนี้ได้เยี่ยงไร ? ก็ต้องหาบางสิ่งมาดึงความสนใจจากฝ่าบาท เรื่องนี้จักต้องเป็นเรื่องที่รอมิได้”
ต่งคังผิงขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม เรื่องที่สามารถดึงความสนใจจากฝ่าบาทได้ ย่อมต้องเป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้า อย่างเช่น หากมีศัตรูจากภายนอกรุกรานเข้ามา การป้องกันแถมชายแดนอลม่าน เพียงเท่านี้ความสนใจของฝ่าบาทก็จะถ่ายเทไปที่สงครามนั้น——นี่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่เป็นไปมิได้
สุนัขยามจวนตัวก็ยังรู้จักกระโดดกำแพง แล้วตระกูลทรงอำนาจทั้งหกจะมิยอมดิ้นรนหรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนยังถามอีกประโยคว่า “ท่านลุง ทรัพยากรที่อยู่ในกรมคลัง เพียงพอที่จะสนับสนุนสงครามรึไม่ ? ความหมายของข้าก็คือ ถ้าหากแคว้นอี๋หรือชาวฮวงบุกรุกเข้ามา กรมคลังมีทรัพยากรมากพอที่จะส่งไปยังชายแดนหรือไม่ ? ”
“ภัยคุกคามที่ใหญ่สุดของพวกเราก็คือชาวฮวงที่อยู่ทางเหนือ นับตั้งแต่ชาวฮวงให้ทหาร 100,000 นายรักษาการที่ด่านเยี่ยนซาน ทรัพยากรของกรมคลังส่วนใหญ่ก็ถูกส่งไปยังเมืองซินเฉิง…” ต่งคังผิงพลันใจสะท้าน ความคิดที่ไม่ดีผุดขึ้นมาโดยฉับพลัน ครั้งนี้ทรัพยากรเป็นจำนวนมากได้ถูกส่งไปบรรเทาทุกข์ตามพื้นที่ประสบภัย ถ้าหากเกิดสงครามขึ้นที่ทางตะวันออกจริง ๆ เรื่องทรัพยากรก็จะกลายเป็นเรื่องเร่งด่วน แม้ว่าจะมีการเวนคืนที่ดินเพื่อเพาะปลูกแต่ก็ยากที่จะจัดหาอาหารได้อยู่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาวุธชุดเกราะเลย
“พวกเขา…กล้าฟั่นเฟือนถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ” ต่งคังผิงถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“หลานเพียงแค่คาดเดา เมื่อหัวจวนจะหลุดออกจากบ่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบ้ามากแค่ไหน ก็ทำได้ทั้งนั้น”
ต่งคังผิงผวาลุกขึ้นยืน “ข้าจักเข้าวัง”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก “ไม่ต้องหรอกท่านลุง ข้าแค่พูดไปเรื่อย”
“ไม่ เรื่องนี้มีความเป็นไปได้อย่างมาก เพราะว่าโย่วซื่อหลางแอบส่งอาวุธชุดเกราะเป็นจำนวนมากไปที่เมืองซินเฉิง ตอนนี้สิ่งที่ข้ากังวลใจคือ เขาถ่ายโอนอาหารจากซานหนานตงและหลินหนานตงหรือเปล่า”
ต่งคังผิงรีบร้อนออกจากจวนต่งโดยไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า บรรยากาศในตอนนี้พลันหนักอึ้ง ฟู่เสี่ยวกวนแบมือด้วยท่าไร้เดียงสา “ข้าแค่พูดไปเรื่อยเท่านั้น”
ต่งหยวนชื่อมิได้ตำหนิเขา นางลุกขึ้นยืน “ข้าเป็นเพียงฮูหยินคนหนึ่งมิเข้าใจเรื่องใหญ่เหล่านั้น แต่การที่เจ้าได้กล่าวเตือนเรื่องนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องดี หากไม่มีอันใดเกิดขึ้นก็ถือว่าทุกอย่างเพียงแค่คิดไปเอง แต่ถ้าหากเกิดขึ้นแล้ว…อย่างน้อยการที่เจ้าคาดการณ์ล่วงหน้าก็จะสามารถช่วยแก้ไขปัญหาได้มิน้อย พวกเจ้าตามสบายเถอะ ข้าจะไปจัดเตรียมอาหารเที่ยงที่โรงครัว”
ต่งชูหลานกลอกตาใส่ฟู่เสี่ยวกวน แอบคิดในใจว่ามิง่ายเลยที่บิดาจะได้มีโอกาสพักผ่อน แต่คำพูดของเขากลับสร้างความตกใจให้กับบิดาจนต้องวิ่งกลับไปที่วังหลวง——ควรจะเอ่ยชมเจ้าหรือว่าด่าเจ้าดี ?
ต่งซิวเต๋อมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสีหน้าเลื่อมใส จุ๊ ๆ น้องเขยคนนี้เพียงแค่พูดไปเรื่อย แต่กลับทำให้บิดาตื่นตระหนกจนต้องกลับไปที่วังหลวง หากเป็นเยี่ยนซีเหวินจะสามารถทำเช่นนี้ได้หรือไม่ ?
“น้องเขย เรื่องนี้ที่เจ้ากล่าว…มีความเป็นไปได้จริงหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูก “ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นข้า หากถูกทางราชสำนักตรวจสอบ จวนจะสาวมาถึงตัวได้แล้ว ข้าคงมิอยู่เฉยแล้วยืดหัวรอดาบฟันลงมาหรอก”
เยี่ยงนั้นก็มีความเป็นไปได้มากสินะ ต่งชูหลานขมวดคิ้วสวย ในใจรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา แต่ก็ยังคาดว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทั้งสามคนนั่งพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เรื่องที่พูดคุยส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องของถิงเหม่ย กล่าวว่าเสื้อตัวเล็กเหล่านั้นขายดีมาก แล้วยังน้ำหอมนั่นอีก ของเหล่านี้ขาดตลาดแล้ว
ตอนนี้เขากำลังมองหาร้านค้าอื่น คิดว่าถ้าหากทั่วทั้งเมืองหลวงมีร้านถิงเหม่ยผุดขึ้น ยอดขายจะต้องดีมากแน่ ๆ ตอนนี้ถนนฝั่งทิศใต้ของเมืองใกล้ๆกับศาลหลักเมืองคือทำเลที่ดีมาก กำลังอยู่ในช่วงสอบถามกับเถ้าแก่ของร้านนั้น
สำหรับเรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนแสดงท่าทีสนับสนุน ต่งชูหลานก็คิดว่าหากซื้อร้านมาได้จะดีที่สุด ตอนนี้มีเงินอยู่ในมือของนางถึง 40,000 ตำลึง แน่นอนว่ารายได้หลักมาจากหนังสือความฝันในหอแดง
จากนั้นบ่าวหญิงชราก็เชิญพวกเขาไปทานอาหาร บรรยากาศตอนทานอาหารเที่ยงค่อนข้างตึงเครียด เนื่องจากต่งคังผิงมิได้กลับมา
ตามกำหนดการช่วงบ่ายฟู่เสี่ยวกวนจะไปหาฉินปิ่งจงที่จวน ประการแรกเพื่อพบหน้าและสอบถามความเป็นอยู่ ประการที่สองเพื่อมอบจดหมายของฉินเฉิงเย่ให้ฉินปิ่งจง
หลังทานอาหารเสร็จฟู่เสี่ยวกวนก็กล่าวลาต่งหยวนชื่อกับต่งชูหลาน ตอนนั้นเองขันทีเจี่ยก็เดินเข้ามาหาเขาอย่างเร่งรีบ
“คุณชายฟู่ ฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้า ! ”
ความรู้สึกที่เสนาบดีต่งมีต่อฟู่เสี่ยวกวนนั้นถือว่าค่อนข้างลึกซึ้ง
เขารู้ว่าเด็กหนุ่มนี่มีพรสวรรค์ เขียนความฝันในหอแดง ทั้งยังให้บุตรีของตนเองรับผิดชอบด้านการค้าขาย ได้ยินมาว่าทำเงินไม่น้อย ใช้เงิน 30,000 ตำลึงซื้อเรือนหลังใหญ่ที่อยู่ตรงทะเลสาบซวนอู่
หลังจากนั้นในคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ ทำนองเพลงสายน้ำของเด็กหนุ่มผู้นี้ก็ได้ถูกสลักไว้เป็นลำดับแรกบนหินเชียนเปยสือ และเรื่องนี้ก็เป็นบุตรีของตนเองด้วยที่ส่งบทกวีนี้ขึ้นไป
ความจริงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็เข้าใจแล้วว่าระหว่างบุตรีของตนและฟู่เสี่ยวกวนได้มีความสัมพันธ์ระดับหนึ่งแล้ว
เขาอยากจะตัดความสัมพันธ์นี้ เพราะไม่ว่าจะมองจากทางไหน เยี่ยนซีเหวินก็เป็นบุตรเขยที่ดีที่สุด ดังนั้นต่งชูหลานจึงถูกสั่งห้าม แต่หลังจากนั้นเพราะองค์หญิงเก้าได้เชิญต่งชูหลานให้ไปหลินเจียงด้วยกัน การสั่งห้ามนั้นก็กลายเป็นเรื่องขบขัน ทั้งยังทำให้ต่งชูหลานกลายเป็นนกที่บินออกจากกรง การได้บินไปหลินเจียงอีกครา โผบินหนนี้… ก็พบว่าได้บินหายไปแล้ว
หลังจากนั้นก็ได้มีจดหมายสองฉบับส่งตรงจากซีซานหลินเจียงมายังเมืองหลวง จดหมายขององค์หญิงเก้าส่งไปยังวังหลวง ส่วนจดหมายของต่งชูหลานส่งถึงมือของเขา หลังจากที่ได้อ่านเข้าก็ทราบว่าจะต้องเกิดเรื่องใหญ่ เป็นที่แน่นอนว่าฝ่าบาททรงพิโรธ เบื้องหน้าได้ส่งหน่วยตรวจสอบไปสี่เส้นทาง แต่ความจริงแล้วในเบื้องหลังนั้นก็ยังมีอีกหลายเส้นทาง
การสอบสวนติดตามเสบียงอาหารบรรเทาสาธารณภัยทั้งสิบสามเขตจึงได้เริ่มต้นขึ้น ระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 3 เดือน ก็ได้มีเต้าถายถูกไล่ออกไป 3 ท่าน และขุนนางระดับโจวและระดับเซี่ยนอีกหลายร้อยท่าน
นี่คือประวัติศาสตร์การฉ้อโกงที่ใหญ่ที่สุดของราชวงศ์หยู และในวันนี้ก็ยังคงมิจบสิ้น เพราะจนถึงวันนี้ก็ยังคงอยู่ในระหว่างติดตาม และสาเหตุกลับเป็นเพราะฟู่เสี่ยวกวนผู้ที่มิค่อยมีใครรู้จักที่อยู่ในซีซานหลินเจียงที่ห่างไกล!
หลังจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้มายังเมืองหลวง เจ้าเด็กหนุ่มนี่ใจกล้ายิ่ง แต่นั่นก็ทำให้ต่งคังผิงชื่นชมเป็นอย่างมาก
เขาได้เขียนนโยบายบรรเทาสาธารณภัยฉบับนั้นขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง หลังจากนั้นก็ได้เข้ามายังท้องพระโรง ครั้งแรกที่ได้เข้าพระราชวังจินเตี้ยนก็ด่าทอชือเฉาหยวนจนกระอักเลือดล้มพับไป แต่เดิมเขาคิดว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ใจกล้าและมิเข้าใจพิธีการ แต่ในวันนี้เมื่อมาคิดดูแล้ว เกรงว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คงตั้งใจ
หลังจากนั้นต่งคังผิงก็คอยสังเกตฟู่เสี่ยวกวน ทั้งยังได้รู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้แท้จริงแล้วมีพรสวรรค์ด้านการปกครอง แต่เขาเลือกจะกลับไปยังหลินเจียง
ส่วนเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลอบสังหาร ต่งคังผิงมิเห็นว่าเป็นเรื่องที่เลวร้าย ตั้งแต่นั้นมา ฝ่าบาทก็ให้ความสำคัญกับเขายิ่งขึ้น ดังนั้นจึงเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตในท้องพระโรงของเขาในภายภาคหน้า
และเนื่องจากการลงทัณฑ์ของฝ่าบาท หลังจากนั้นก็มิมีใครกล้าไปยุ่งกับฟู่เสี่ยวกวนอีก มิใช่เพราะพวกเขากลัว แต่เพราะพวกเขารับรู้ได้ถึงอันตราย
ตอนนี้เขาก็ได้มาที่เมืองหลวงอีกครา ได้ยินว่าฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้เขานำบัณฑิตของราชวงศ์หยูเข้าร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ในเทศกาลช่วงฤดูหนาว นี่คือเรื่องที่ดีงาม หากมิผิดไปจากที่คาดการณ์ หลังจากที่จบเรื่องนี้ ฟู่เสี่ยวกวนจะได้เลื่อนตำแหน่ง
ฝ่าบาทมิมีทางให้เจ้าเด็กคนนี้อยู่ว่าง เพราะในตอนนี้ราชวงศ์หยูมีคนมากเกินไป
จากการมองในยามนี้ หนทางการเป็นขุนนางของฟู่เสี่ยวกวนก็มิมีอุปสรรคอันใดมากแล้ว
ต่งคังผิงและภรรยาของเขาต่งหยวนชื่อได้พูดคุยกันอย่างจริงจังในเมื่อคืนวาน ต่งหยวนชื่อจึงได้รู้ว่าแต่เดิมเด็กหนุ่มฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ก็มีภูมิหลังเช่นนี้ด้วย
“จะกล่าวว่า… เขาเหมาะสมกับบุตรีของเราหรือ ? ”
“ข้าคิดว่าไม่เลว”
“ที่บุตรของข้าซิวจิ่นได้ดำรงตำแหน่งเต้าถายที่มีเกียรติก็เป็นเพราะเด็กหนุ่มนั่น ? ”
“มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าเสนาบดีเยี่ยงข้าในสายตาพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยมีน้ำหนักเท่าใดกัน ? ”
“เรื่องการค้าบุตรของข้า ซิวเต๋อ… ก็เป็นเขาที่จัดการหรือ ? ”
“นี่คือสิ่งที่ชูหลานกล่าวมา คิดไปแล้วก็คงเป็นเช่นนั้น”
ต่งหยวนชื่อเงียบอยู่เนิ่นนาน แล้วเอ่ยถามขึ้นมา “เหตุใดกัน”
ความหมายนี้มิได้เอ่ยถามว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนจึงทำเช่นนั้น แต่เป็นการถามว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนจึงสามารถทำเช่นนั้นได้ ต่งคังผิงเพียงยิ้มบาง ๆ เขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่แปลกประหลาดนั้นแล้ว โดยผ่านเรื่องฉ้อโกงในครานี้ การโยกย้ายขุนนางในราชสำนักทั้งบนล่างบ่อยครั้ง และการเริ่มใช้ขุนนางหน้าใหม่
หากให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อีกสักหน่อยก็จะมองออกได้ไม่ยากว่าอำนาจของตระกูลทรงอำนาจทั้งหกกำลังถูกลิดรอน และกล่าวได้ว่า… ฝ่าบาทต้องการลงมือ เยี่ยงนั้นเด็กหนุ่มฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นตัวแทนในช่วงเวลาของคลื่นลูกใหญ่นี้ และสร้างสวรรค์ของตนเองขึ้นมาหรือไม่ ?
……
…..
ต่งคังผิงและต่งหยวนชื่อเดินมายังห้องโถงด้านหน้า ซึ่งเต็มไปด้วยกล่องที่เพิ่งขนย้ายเข้ามา
ในยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนกำลังพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับต่งซิวเต๋ออยู่ที่ลานหน้าบ้าน บ่าวรับใช้วัยชราจึงได้กล่าวเสียงแผ่วเบาขึ้นมาว่านายท่านกับฮูหยินได้มารอที่ห้องโถงแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนจึงรีบเดินไปยังห้องโถง ลอบคิดในใจว่าอย่าให้คนผู้นี้มาทำให้เรื่องดี ๆ ของข้าล่าช้าออกไป
ต่งซิวเต๋อกล่าวถึงหลิ่วเยียนเอ๋อร์แห่งหงซิ่วจาว กล่าวว่าแม่นางเยียนเอ๋อร์ได้ร้องเพลงใหม่ นามว่า กวีดอกไม้ฝังศพ ก็เป็นอาจารย์หูที่เรียบเรียงทำนอง เย็นชาแต่ก็งดงาม… จุ๊ ๆ สร้างมาเพื่อเรียกน้ำตาจริง ๆ เลย
“น้องเขย เมื่อไหร่จะพาข้าไปฟังเยี่ยงนั้นหรือ”
“ได้”
“น้องเขย บทกวีนั้น… เจ้าเขียนขึ้นมาได้เยี่ยงไร”
“เขียนไปเรื่อยก็ได้มาแล้ว”
“มิใช่ พวกข้าวิเคราะห์กันว่า… เจ้าได้แสดงความเจ็บปวดผ่านทางตัวละครนั้นหรือไม่?”
“หลบไป”
ให้ตายเถอะ เห็นประตูห้องโถงอยู่เบื้องหน้าสายตาแล้ว แต่คนผู้นี้ก็ยังถามคำถามเด็กน้อยอยู่อีก
เมื่อเข้าไปในห้องโถง ฟู่เสี่ยวกวนก็คำนับต่งคังผิงและต่งหยวนชื่ออย่างเคารพ “คำนับท่านลุงท่านป้า ข้า ฟู่เสี่ยวกวน มาเยี่ยมเยียนและคารวะท่านลุงท่านป้าขอรับ”
“อือ เข้ามานั่งเถิด”
“ขอบคุณท่านลุงท่านป้า”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไป และนั่งลงตรงข้ามกันกับต่งคังผิงและต่งหยวนชื่อ ต่งชูหลานนั่งลงต้มชาทางด้านขวาอย่างไม่สบายใจ ต่งซิวเต๋อครุ่นคิดและนั่งลงเคียงข้างฟู่เสี่ยวกวน
สีหน้าของต่งหยวนชื่อมิได้เบิกบานเพียงเพราะคำพูดเมื่อคืนวานของต่งคังผิง นางครุ่นคิดไปมา อย่างไรแล้วฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นเพียงบุตรชายของตระกูลเศรษฐีที่ดิน ไหนเลยจะเอามาเปรียบเทียบกับเยี่ยนซีเหวินที่อยู่ในตระกูลใหญ่มาสามชั่วอายุคนในเมืองหลวง?
ครานี้เป็นครั้งแรกที่นางได้พบฟู่เสี่ยวกวน เด็กหนุ่มผู้นี้รูปลักษณ์ไม่เลว และเมื่อมองกล่องที่กองอยู่รอบ ๆ ห้อง ของขวัญที่มอบให้มานั้นก็เกรงว่าจะมิเบา มีมารยาทรอบด้าน แต่ในขณะนี้นางก็มิอาจก้าวข้ามอคติที่อยู่ในใจไปได้
ต่งคังผิงเอ่ยกล่าว น้ำเสียงกลับราบเรียบ
“อาการบาดเจ็บของเจ้ารักษาได้หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนตอบกลับ “ขอบคุณท่านลุงที่เป็นห่วง ในตอนนี้ได้หายเป็นปกติ และมิเหลือร่องรอยอาการเรื้อรังอันใดแล้ว”
“อือ…” ต่งคังผิงพยักหน้า “เจ้าน่ะ เรื่องที่เจ้าได้ทำที่ซีซาน ชูหลานได้เล่าให้ข้าฟังหมดแล้ว ถึงแม้สุราและน้ำหอมของเจ้าจะค้าขายดี ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่อย่างไรแล้วการค้าขายก็มิให้หนทางที่ดีงาม ข้ากลัดกลุ้มมาโดยตลอด ในอดีตที่พระราชวังจินเตี้ยน ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้ากรมคลัง และในเวลานั้นฝ่าบาทก็มิได้คัดค้านอันใด เหตุใดเจ้าถึงกอดฉาวซ่านต้าฟูเอาไว้ไม่ปล่อยกัน”
ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปสองอึดใจ และกล่าวยิ้ม ๆ “เป็นเยี่ยงนี้ขอรับ เดิมทีที่ข้ามายังเมืองหลวง ไร้รากฐานโดยสิ้นเชิง มีแต่เพียงนโยบายที่ฝ่าบาททรงชื่นชมเพียงฉบับเดียว… พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ข้าก็จะกล่าวความจริง ข้าเองก็มิทราบว่าตัวตนของข้าในพระทัยของฝ่าบาทนั้นมีน้ำหนักเท่าใด นั่นก็ถือว่าได้เปรียบแล้ว หากได้คืบจะเอาศอก ในสายพระเนตรของฝ่าบาท หรือในสายตาของเสนาบดีมากมายในพระราชวังจินเตี้ยน พวกเขาจะคิดว่าข้าโลภเกินไปหรือไม่ ? ”
“หากจะกล่าวคุณูปการของนโยบายฉบับนั้นก็คงมีอยู่ แต่หากกล่าวถึงคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ก็คงจะมิสามารถพูดถึงได้ ดังนั้นที่พระราชวังจินเตี้ยนข้าจึงทำได้เพียงน้อมรับการสนับสนุนของท่านลุงเอาไว้ แต่ก็มิกล้าจะทำตามได้ ! ”
ต่งคังผิงคิ้วขมวดเล็กน้อย ลูบเคราสั้น ๆ และพยักหน้า
เรื่องนี้เขามิได้คิดมาก่อน ความคิดของเด็กหนุ่มนี้สมเหตุสมผล เดิมทีเขานั้นได้ทำให้ขุนนางในราชสำนักหลายท่านขุ่นเคือง หากจะโลภหวังสิทธิประโยชน์ เกรงว่าจะเกิดหายนะในไม่ช้า สู้ถอยออกมาหนึ่งก้าวจะดีกว่า
ทันใดนั้นต่งชูหลานก็เงยหน้าขึ้นมามองฟู่เสี่ยวกวน เมื่อครู่ผู้ชายคนนี้กล่าวว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน… ท่านพ่อมิทันได้ฟังเยี่ยงนั้นหรือ ?
“เยี่ยงนั้นเจ้ามาเมืองหลวงครานี้ มาเพื่อทำอันใดกัน ? ”
“ตอบท่านลุง ในช่วงที่ข้ากลับไปหลินเจียงหนึ่งเดือนกว่า ข้าก็ครุ่นคิดถึงปัญหานี้มาโดยตลอด ชีวิตของมนุษย์ควรก้าวหาประโยชน์และหลีกเลี่ยงอันตรายไปวัน ๆ ไปชั่วชีวิต หรือว่าควรจะเผชิญหน้ากับความลำบากและสร้างกิจการขึ้นมากัน มิขอปิดบังท่านลุงท่านป้า ในอดีตข้าหวังเพียงจะเป็นเศรษฐีที่ดินที่มีอิสระไปวัน ๆ ไปจนชั่วชีวิต แต่เมื่อได้พบกับชูหลาน ข้ารู้สึกว่าต้องเปลี่ยนแปลง เพื่อชูหลาน เพื่อตระกูลฟู่ และเพื่อตระกูลต่ง ข้าควรจะเปลี่ยนมัน ดังนั้นเมื่อคราได้ตระหนักถึงปัญหานี้ จึงได้กลับมาที่เมืองหลวง”
มือที่จับกาของต่งชูหลานสั่นเล็กน้อย หนังตาของต่งหยวนชื่อกระตุกแผ่วเบา ต่งคังผิงยังคงสงบนิ่งดังเดิม
“จะกล่าวว่า… การมาครั้งนี้ เจ้าจะช่วงชิงรึ ? ”
ความจริงที่ฟู่เสี่ยวกวนอยากจะพูดก็คือ การมาครั้งนี้ ข้าคิดเพียงจะเอาตัวรอดในเมืองหลวงไปวัน ๆ และมิให้ส่งผลกระทบต่อคุณชายเศรษฐีที่ดินที่มีอิสระของตน
เขามิกล้ากล่าวเยี่ยงนั้น ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าอย่างจริงจัง “งานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ในเทศกาลฤดูหนาวปีหน้า การเลือกให้ข้าไป ข้าคิดว่าเป็นโอกาสอย่างหนึ่ง”
เรื่องนี้เสนาบดีในราชสำนักต่างรู้ดี ความจริงแล้วนี่คือโอกาส หากฟู่เสี่ยวกวนได้สร้างชื่อเสียงให้ราชวงศ์หยูที่ราชวงศ์อู๋ นี่มีความหมายเหมือนกับนักรบที่ชนะสงครามกลับมา ถึงแม้จะไม่ได้สร้างผลงานบุกเบิกอาณาเขต แต่ฝ่าบาทก็ย่อมตกรางวัล
“อือ นี่ถือเป็นโอกาส คงไม่ใช่เรื่องยากอันใดสำหรับเจ้าที่มีพรสวรรค์ทางวรรณกรรม เรื่องลอบสังหารของเจ้า ตอนนี้เริ่มมีเค้าโครงหรือยัง ? ”
“เรื่องนี้ยังมิมีจริง ๆ ขอรับ ในเมืองหลวงข้าเปรียบดังแหนไร้ราก ต่อให้มีใจอยากจะตรวจสอบแต่ก็ไร้พละกำลัง”
คำพูดนี้กล่าวอย่างจริงใจ ต่งหยวนชื่อมองฟู่เสี่ยวกวน รู้สึกสบายตาขึ้นมาเล็กน้อยยามมองชายหนุ่มนี่
“ในความคิดของข้า ก็ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นไปเยี่ยงนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “ข้า… ในขณะนี้ทำได้เพียงเท่านี้”
ในที่นี้มีเพียงต่งชูหลานที่รู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนได้ควบคุมหน่วยข่าวกรองขนาดใหญ่ไว้แล้ว และนางรู้นิสัยของฟู่เสี่ยวกวนดี เขาจะยอมแพ้กับเรื่องนี้ได้อย่างไร !
แต่ต่งชูหลานมิสามารถพูดได้ เพราะซั่งกุ้ยเฟยได้ตรัสให้นางทราบแล้ว นั่นหมายความว่านางต้องเก็บไว้เป็นความลับ
ต่งหยวนชื่อยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเล็กน้อย และเริ่มเอ่ย “ข้าจะกล่าวกับเจ้าอย่างไม่ปิดบัง ข้ามีความคิดเห็นเกี่ยวกับเจ้าอยู่ แต่ในตอนนี้บุตรีของข้ายอมรับว่าต้องเป็นเจ้า ข้าเองก็ทำเพียงประนีประนอม แต่มิได้หมายความว่าข้ายินยอมให้ชูหลานแต่งกับเจ้า เนื่องจากเจ้ารู้อยู่แล้วว่าตนเองเป็นแหนไร้ราก เยี่ยงนั้นข้าจะเฝ้ารอว่าวันใดที่เจ้าจะวางรากฐานที่เมืองหลวงนี้ได้ เมื่อถึงเวลานั้น… เรื่องของเจ้าและชูหลานจึงจะมีโอกาส”
“ท่านแม่…”
“ท่านป้า…” ฟู่เสี่ยวกวนกุมมือต่งชูหลานเพื่อรั้งเอาไว้ และกล่าวยิ้ม ๆ “เมื่อท่านป้าได้เอ่ยมาเช่นนี้ ข้าก็วางใจ”
ต่งหยวนชื่อประหลาดใจเล็กน้อย นี่มิใช่เรื่องที่ง่ายดาย ความตั้งใจเดิมของนางแม้จะมิใช่เพื่อให้ฟู่เสี่ยวกวนตื่นกลัวจนถอย แต่ก็เพื่อเพิ่มแรงกดดันให้เขา กลับนึกมิถึงเลยว่าเขาจะมีท่าทางที่ดีใจอย่างยิ่งเยี่ยงนี้
“ต่อจากนี้ พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ท่านป้าขอรับ เรือนของข้าถึงจะหลังใหญ่ แต่ก็อ้างว้าง นี่ก็เป็นวันปีใหม่แล้ว ทุกคนต่างมีความสุข ท่านเห็นหรือไม่ขอรับว่าข้านั้นตัวคนเดียว… ข้าขออยู่ที่นี่เพื่อฉลองวันปีใหม่ได้หรือไม่ ? ”
สำนักเต๋าล้วนมีแต่พวกพิเศษเช่นนี้หรือ ?
ศิษย์ส่วนใหญ่ที่สำนักเต๋ารับเข้ามามักจะเป็นเด็กกำพร้า ดูได้จากแซ่ซูเป็นหลัก ดังนั้นพวกเขาจึงใช้แซ่ว่าซู
ผู้สังเกตการณ์จะออกไปท่องใต้หล้าทุก 3 ปี หากพบผู้มีแววในด้านวรยุทธ์ ซึ่งมักจะเป็นเด็กกำพร้า ผู้สังเกตการณ์ก็จะพาตัวเขากลับมาด้วย ตอนนี้สำนักเต๋ามีลูกศิษย์มากกว่าร้อยคนขึ้นไป แต่ศิษย์ที่ได้รับการสั่งสอนจากผู้สังเกตการณ์โดยตรงกลับมีแค่ 8 คน ซูม่อเป็นคนสุดท้าย
ส่วนศิษย์รุ่นที่สามคนอื่น ๆ ก็จะได้รับการสั่งสอนโดยเหล่าศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิงของซูม่อ ซึ่งผู้สังเกตจะไม่เข้าไปแทรกแซง เนื่องจากตัวพวกเขานั้นยุ่งมาก
ตอนที่กล่าวว่าผู้สังเกตนั้นยุ่งมาก…อากัปกริยาของซูม่อก็แปลกไป แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ไม่ได้พูดขึ้นมา
ช่างเถอะ สำนักเต๋าแห่งนี้ตั้งแต่ผู้สังเกตการณ์ไปจนถึงลูกศิษย์ ก็น่าจะมีคนปกติแค่ไม่กี่คน
หลังจากทั้งสี่คนดื่มเสร็จก็พากันแยกย้ายกลับห้อง ซูเจวี๋ยนั่งสมาธิ ซูโหรวปักผ้าต่อ ซูม่อคว้ากระบี่แล้ววิ่งออกไป ร่ายรำกระบี่ท่ามกลางหิมะตกหนัก ฟู่เสี่ยวกวนมองชมอยู่สักพัก ก่อนจะส่ายหน้า แล้วกลับห้องตัวเองไป
สิบสามกระบี่ฉวนเจินเหมือนกัน แต่ทำไมช่องว่างถึงได้กว้างกันนัก ?
ฟู่เสี่ยวกวนหวนคิดถึงเหตุการณ์ในพระราชวังวันนี้ แล้วหยิบดาบรูปนกฟีนิกซ์สีทองออกมาดูอย่างละเอียด
ฝีมือวิจิตรตระการตามาก นกฟีนิกซ์น้อยโผบินตรงด้ามดาบก็งดงามราวกับมีชีวิตจริง ๆ อืม ช่างประณีตล้ำค่ามาก หากวันไหนตกอับ นำสิ่งนี้ไปแลกคงได้เงินมามิน้อยเลย
เก็บดาบสั้นไว้ในอกเสื้อ พลางครุ่นคิดในใจว่าพรุ่งนี้จักต้องหาเวลาไปพบฉินปิ่งจง จดหมายฉบับนั้นของฉินเฉิงเย่ยังอยู่กับเขา ฉินปิ่งจงมาถึงเมืองหลวงก่อนหน้าเขาสามวันแล้ว จดหมายนี้สมควรจะส่งมอบให้เขา
คืนนี้หากการสนทนาระหว่างชูหลานกับบิดาเป็นไปได้ด้วยดี พรุ่งนี้ก็ต้องไปเยี่ยมคารวะที่จวน เฮ้อ พรุ่งนี้ก็เป็นเดือนสิบสองวันที่ยี่สิบแปดแล้ว พริบตาเดียวก็จะถึงวันสิ้นปี ยังต้องไปเยี่ยมเยียนตระกูลใหญ่ทั้งหกอีก
การเป็นขุนนางกูเฉิน ไม่มีผลกระทบอะไรกับการไปมาหาสู่ระหว่างฟู่เสี่ยวกวนและหกตระกูลใหญ่ คิด ๆ ดูแล้วพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยคงเข้าใจเรื่องนี้ อีกอย่างในเมืองหลวงแห่งนี้ต่อให้เป็นการเคลื่อนไหวเล็ก ๆ น้อย ๆ ของตน ซั่งกุ้ยเฟยก็คงจะทราบ
แน่นอนเขามิเชื่อว่าดาบสั้นเล่มนี้จะมอบให้กับตนเองจริง ๆ ขันทีเหนียนคงรับผิดชอบจับตาดูเขา
แม่ยายผู้นี้ช่างร้ายกาจเสียจริง หอชิงเฟิงซี่หยู่ก่อตั้งมาหลายปีแล้ว แต่มิรู้ว่าชั้นสามนั้นมีไว้ทำอันใด
เขาเพียงแค่อยากรู้เรื่องนี้ บัดนี้ในเมื่อสามารถรับข่าวกรองผ่านทางหอชิงเฟิงซี่หยู่ได้ สำหรับเขาแล้ว นี่จะเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเขาอย่างมาก
ต่อมา เขาก็สั่งการขันทีเหนียนอีกครั้ง——ทะเลสาบต้งถิงห่างจากเยว่โจวไปประมาณ 800 ลี้ ที่นั่นมีเกาะอยู่เกาะหนึ่ง บนเกาะมีภูเขานามว่าจวิ้นชาน ที่ตีนเขาจะมีหมู่บ้านชาวประมงแห่งหนึ่ง ในหมู่บ้านมีหญิงชราแขนขาดข้างหนึ่ง ซึ่งอาศัยอยู่กับเด็กสาวคนหนึ่ง คำนวณตามปีแล้ว ปีนี้เด็กคนนั้นคงอายุได้ 6 ขวบแล้ว
หากสิ่งที่หลินหงพูดเป็นความจริง งั้นเด็กผู้นี้ก็คือบุตรสาวของหนานป้าเทียน
หลิงหงมิรู้ว่าใครเป็นผู้สั่งการให้ลอบสังหารฟู่เสี่ยวกวน แต่คำสั่งนี้มาจากหยี่ฮวาถาย——ซึ่งหลินหงก็เป็นสมาชิกของหยี่ฮวาถายเช่นกัน และผู้ที่สั่งให้จ้าวซื่อหยางชีดำเนินการตามคำสั่งก็คือหลินหง เพียงแค่นางมิได้ออกหน้าเท่านั้น
สำหรับเบื้องลึกเบื้องหลังของหยี่ฮวาถายหลินหงเองก็รู้ไม่มากนัก ตอนนี้เมื่อมาคิดดูแล้วลักษณะของหยี่ฮวาถายก็ไม่ได้แตกต่างจากหอชิงเฟิงซี่หยู่นัก แต่มีสิ่งหนึ่งที่หลินหงพูดออกมาแล้วดึงดูดความสนใจฟู่เสี่ยวกวน ก่อนเกิดเรื่อง 1 วัน หนานป้าเทียนได้ไปที่อารามซุ่ยเยว่ ซึ่งอารามซุ่ยเยว่คือสถานที่นัดพบของหยี่ฮวาถาย ด้านในมีเพียงแม่ชีผู้หนึ่ง ที่คอยดูแลรูปปั้นเจ้าแม่หนี่วา
หนานป้าเทียนผู้นี้เคยกล่าวกับฉินโม่เหวินว่า สตรีสะสวยผู้นั้นเคยเป็นองค์รักษ์ขององค์ชายสี่
วรยุทธ์สูงส่งดุดัน ยากจะหาใครมาเป็นคู่มือได้ ตอนนี้นางกับหยี่ฮวาถายมีบางอย่างเกี่ยวข้องกัน สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่มความสนใจในตัวนางมากขึ้น
จากการวิเคราะห์นี้ เบื้องหลังของเหตุการณ์ในครั้งนั้นดูเหมือนจะมีเงาขององค์ชายสี่อยู่ ตระกููลเฟ่ยกับตระกูลสีคือตระกูลใหญ่ที่คอยสนับสนุนองค์ชายสี่ วันนี้เขาจึงขอร้องให้ขันทีเหนียนตรวจสอบเฟ่ยอันอีกครั้ง เขาอยากเห็นว่าถ้าหากเฟ่ยอันมีปัญหา องค์ชายสี่จะมีปฏิกิริยาอย่างไร ?
แน่นอน เรื่องที่ซี่โหลวคงมิอาจตรวจสอบแล้วรู้ผลได้ทันที แต่ตอนนี้เขากำลังจะขุดมันขึ้นมาอีกครั้ง อันที่จริงแล้วเขาไม่สามารถทำอะไรตระกูลเฟ่ยได้ เพราะว่าเรื่องที่ซี่โหลวนั้นมองมิเห็นหนทางเลย อีกอย่างเขาก็ไม่มีอำนาจในการบังคับใช้กฎหมายด้วย
แต่เขาก็ยังยืนกรานจะทำเช่นนี้ พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยคิดว่านี่คือการเคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์ แต่ความตั้งใจเดิมของฟู่เสี่ยวกวนคือการแหวกหญ้าให้งูตื่น
การเคลื่อนไหวในครั้งนี้อันตรายมาก หากพยัคฆ์ถูกทำให้ตกใจก็อาจจะพุ่งเข้ามาขย้ำตัวเองจนบาดเจ็บสาหัส ส่วนงูนั้นหากตื่นตระหนกขึ้นมา แล้วจัดการไม่ดีก็อาจถูกแว้งกัดได้
นี่คือการร่ายรำบนปลายกระบี่ ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจ มีเรื่องใหญ่แบบนี้ แล้วจะสงบสติอารมณ์ฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางได้อย่างไร ?
……
วันต่อมา หิมะแรกได้หยุดตกแล้ว ท้องฟ้าเป็นสีฟ้าใสราวกับคริสตัล
หลังจากวิ่งออกกำลังในตอนเช้าแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนก็กลับมาอาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วทานอาหารเช้า จากนั้นก็ไปที่ศาลาเถาหราน
พระอาทิตย์เพิ่งลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า แสงสีแดงที่ย้อมท้องฟ้าดูราวกับไข่แดงที่เพิ่งกินไปเมื่อครู่
หิมะหนาทับถมบนทะเลสาบซวนอู่ ส่องประกายวิบวับประหนึ่งดวงดาวที่เจิดจรัส
จิตใจพลันสงบนิ่ง ผ่านไปไม่กี่อึดใจเขาก็นั่งขัดสมาธิในศาลาเถาหราน จากนั้นก็ฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยาง
ปีศาจน้อยนามซูซูผู้นั้นเขาย่อมมิอาจเลียนแบบได้ แต่ซูม่อที่ใช้เวลาฝึกฝนถึงสามปีจึงจะเกิดลมปราณขึ้นนั้น ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าตนเองน่าจะทำได้ กระทั่งยังทำได้ดีกว่าซูม่อ
ขณะนั่งสมาธิอยู่นั้น เสียงฝีเท้าที่เดินอย่างเร่งรีบก็ดังขึ้น เขาลืมตา หันไปมอง ก็พบว่าต่งชูหลานกำลังเดินเข้ามาอย่างเร็วรี่ราวกับนกน้อยโผบิน
เขาลุกขึ้นยืน ก่อนจะทะยานออกไปประหนึ่งหมาป่าผู้หิวโหย
ทันใดนั้นนกน้อยก็ถูกหมาป่าโผเข้าใส่ แล้วดึงร่างเข้ามาในอ้อมกอด ซูม่อที่อยู่ไกลออกไปก็หมุนตัวเดินจากไปอย่างเงียบ ๆ ชุนซิ่วที่เพิ่งจะเดินเข้ามาพร้อมเตาใหม่ก็เดินกลับไปเช่นกัน
นกน้อยที่น่าสงสารเช้านี้คงถูกหมาป่าย่ำยีอย่างแน่นอน——ต่งชูหลานคงลืมไปว่าเมื่อวานเพิ่งจะบอกฟู่เสี่ยวกวนว่าห้ามแตะเนื้อต้องตัวตนเองอีก
แน่นอน ฟู่เสี่ยวกวนย่อมไม่สนใจคำเตือน
สายลมอันเย็นยะเยือกในยามเช้าที่บาดลึก เวลานี้ค่อย ๆ อบอุ่นขึ้นมา
ผ่านไปชั่วก้านธูป ต่งชูหลานยังคงอ้าปากค้างอย่างตะลึง วงหน้าได้รูปแดงก่ำยิ่งกว่าพระอาทิตย์
ยังมิทันได้กินผลไม้ต้องห้าม แค่รสชาติของใบไม้ก็หวานล้ำถึงเพียงนี้ หากเป็นรสชาติของผลไม้…จะไม่ถึงตายหรือ ?
ลมหายใจสีขาวพ่นออกมาจากปากเล็ก ๆ ของต่งชูหลาน กระทบบนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน มันทั้งร้อนและมีกลิ่นหอม “ปล่อยมือข้านะ ! ”
ต่งชูหลานกระซิบพูด
“ไม่ ! ”
“เจ้า…” ต่งชูหลานเม้มปากแน่น ดวงตากระจ่างใสดุจสายน้ำคล้ายกับมีหมอกปรากฏขึ้น “อย่า…! ”
“หืม…! ”
นางกลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะเหนี่ยวคอของฟู่เสี่ยวกวนลงมา กดจูบที่ริมฝีปากของฟู่เสี่ยวกวนเร็ว ๆ คราหนึ่ง
“จุ๊บ…!”
“ปล่อยมือเถอะ วันนี้ไม่มีหมอกนะ ! ”
“นี่…” ต่งชูหลานพูดเสียงแผ่ว ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะหึหึ จากนั้นก็ปล่อยมือ ต่งชูหลานรู้สึกปั่นป่วนราวกับมีคลื่นลมถาโถมอยู่ในใจ
จะทำอย่างไรดี ทุกครั้งที่เห็นเขาในใจก็คาดหวังว่าจะถูกเขารังแกเยี่ยงนี้…ข้ากลายเป็นคนหน้ามิอายไปแล้วหรือ ?
ไอหยา ไม่ได้นะ ต่อไปต้องไม่ปล่อยให้เขาทำเยี่ยงนี้อีก ถ้า ถ้าหาก ถ้าหากใครคนใดคนหนึ่งทนมิไหวแล้วทำแบบนั้นขึ้นมา จะทำอย่างไร !
ต่งชูหลานสงบสติอารมณ์ แล้วสูดอากาศเย็นเข้าไปลึก ๆ จากนั้นก็นั่งฝั่งกันตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน แล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “เมื่อวานข้าได้พูดคุยกับท่านพ่อท่านแม่แล้ว ท่านแม่เหมือนจะไม่ยินดีนัก ส่วนท่านพ่อก็มิแสดงท่าทีอะไร ท่านบอกแค่ว่า…หากเจ้าอยากจะมาก็มา เจ้าอยากไปหรือไม่ ? ”
“อยากไปสิ พวกเราไปตอนนี้เลย”
“เอ๊ะ…รอก่อน”
“รออะไร ? ”
ต่งชูหลานกลอกตาใส่เขา ก็รอให้นางสงบสติอารมณ์ก่อนสิ
……
รถม้า 10 คันขับมุ่งหน้าไปยังจวนต่ง ก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าจวน ฟู่เสี่ยวกวนให้ข้ารับใช้หยิบคนช่วยกันยกของขวัญทั้งกล่องเล็กกล่องใหญ่ทั้งหมดบนรถม้าไปวางไว้ที่หน้าห้องโถง
เหล่าผู้ดูแลจวนต่งเมียงมองด้วยความตกใจ ก่อนจะนึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าศึกชิงนางครั้งนี้คุณชายเยี่ยน เยี่ยนซีเหวินจักปราชัยให้กับคุณชายฟู่
หญิงชราที่เคยต้อนรับฟู่เสี่ยวก่อนหน้านี้ ก็ยืนมองฟู่เสี่ยวกวนที่ยืนเคียงข้างคุณหนูอย่างเงียบ ๆ นึกถึงตอนปลายเดือนเก้าที่พบคุณชายผู้นี้ครั้งแรก ฮูหยินปล่อยให้เขารอเก้ออยู่ที่หน้าห้องโถง เด็กหนุ่มผู้นี้ก็อดทนนั่งรออยู่เงียบ ๆ ตลอดบ่าย
ดูจากนิสัยของเด็กหนุ่มคนนี้แล้ว นางจึงคิดว่าเขาอาจจะกลับมาอีกครั้งในวันที่สอง แต่คาดมิถึงเลยว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จักหาญกล้าลอบไปที่เรือนหลังแล้วลักพาตัวคุณหนูไป——ตัวคุณหนูเองก็ใจกล้าเช่นกัน หากเด็กหนุ่มคนนี้มีเจตนาที่ชั่วร้าย เกรงว่าทั้งชีวิตคงจบสิ้นเป็นแน่
สำหรับฟู่เสี่ยวกวน หญิงชราก็บอกมิได้ว่ารู้สึกชอบหรือไม่ นางเพียงแค่คิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้ช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก หลังจากนั้นคุณชายเยี่ยนก็มิเคยมาเหยียบที่นี่อีกเลย เดิมทีก็เคยได้ยินข่าวมาว่าตระกูลเยี่ยนคิดจะส่งคนมาสู่ขอ แต่สุดท้ายข่าวลือนี้ก็เงียบหายไป
ดูเหมือนว่า คุณหนูจะมีสายตาที่เฉียบแหลม
เมื่อวานคุณหนูได้กล่าวว่าเด็กหนุ่มผู้นี้อยากจะมาเยี่ยมคารวะถึงจวน หลังจากที่ฮูหยินกลับไปที่ห้องก็ถึงกลับถอนหายใจยาว และมิเอ่ยอันใดออกมาสักประโยค คิดว่าคงยอมแพ้แล้ว
ตอนนั้นเองต่งซิวเต๋อพี่รองของต่งชูหลานก็ออกมา เมื่อเด็กหนุ่มคนนี้เห็นฟู่เสี่ยวกวนก็หัวเราะเสียงดัง แล้วเดินหน้าเข้าไปกอดฟู่เสี่ยวกวน
“น้องเขย ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าต้องชนะ ตอนนี้จิตใจของข้ารู้สึกผ่อนคลายขึ้นเยอะ เพื่อเลี่ยงมิให้เป็นแค่ความฝันตื่นหนึ่ง ข้าเสนอให้เจ้ารีบสู่ขอน้องสาวของข้าเสีย”
ต่งชูหลานถลึงตาใส่ต่งซิวเต๋อ แต่กลับมิเอ่ยคัดค้านออกมา ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะแล้วกล่าวว่า “พี่รองกล่าวมีเหตุผล เยี่ยงนั้นวันนี้เรามาคุยปัญหานี้กับบิดามารดาของพวกท่านกัน”
สีหน้าของหญิงชราที่ยืนอยู่ด้านหลังพลันตกใจขึ้นมา เด็กหนุ่มผู้นี้ช่าง….ใจกล้ายิ่งนัก !
“จริงสิ แล้วพี่ใหญ่ล่ะ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
“เขาเหรอ ออกไปรับตำแหน่งเต้าถายที่เหอหนานแล้ว เขาเขียนจดหมายส่งกลับมาบอกว่ามีปัญหามากมายเกินไป เกรงว่าคงจะกลับมามิทันฉลองปีใหม่”
เรื่องนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจ ต่งซิวจิ่นเคยพบเขาอยู่หลายครั้ง ตอนที่อยู่กั๋วจื่อเจี้ยน แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนกลับมิได้สนใจอะไรเลย ไม่นึกเลยว่าชายหนุ่มคนนั้นจะกลายเป็นขุนนางและออกไปรับราชการข้างนอก เกรงว่าเสนาบดีต่งคงใช้วิธีการบางอย่าง
เขามิรู้ว่าที่ต่งซิวจิ่นสามารถออกไปรับราชการที่ข้างนอกได้ และยังสามารถปีนป่ายไปยังตำแหน่งเต้าถายนั้น ล้วนมีสามารถมาจากเขา
วันหนึ่ง ณ พระราชวังจินเตี้ยน องค์จักรพรรดิทรงเมินเฉยข้อโต้แย้งต่าง ๆ แล้วแต่งตั้งต่งซิวจิ่นเป็นเต้าถายที่เหอหนาน เรื่องนี้ทำให้กลุ่มอำนาจหลายกลุ่มที่เล็งตำแหน่งนี้ไว้ต่างก็พากันตกตะลึง
จากนั้นองค์หญิงใหญ่ก็เสด็จมาที่จวนต่ง ตอนนั้นเสนาบดีต่งจึงเข้าใจความนัยของซั่งกุ้ยเฟย
บุตรชายของตนแท้จริงแล้วมิได้อยู่ในสายพระเนตรของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย แต่เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนมายังเมืองหลวง สายพระเนตรของซั่งกุ้ยเฟยจึงตกมาที่จวนต่ง สัญชาตญาณอันเฉียบแหลมได้บอกเขาว่า ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เรียบง่ายอย่างที่คนอื่นคิด
ท้องฟ้ามืดครึ้ม ลมเริ่มตก แต่หิมะกลับตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ
ในป้านเยี่ยนซวนมิได้จุดไฟ จึงดูมืดสลัว ขันทีเหนียนได้ออกไปแล้ว ตอนนี้จึงเหลือฟู่เสี่ยวกวนเพียงผู้เดียว
เขาต้มชาและดื่มชาเพียงลำพัง มุมปากยังคงประดับด้วยรอยยิ้มมิจางไปไหน
เนื่องด้วยตัวเองในตอนนี้ได้มีต้นไม้ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าคอยโอบอุ้ม เนื่องจากองค์จักรพรรดิต้องการแก้ไขการทำงานของราชสำนัก เยี่ยงนั้นตัวเขาในตอนนี้ควรทำให้เขาเห็น
สำหรับการสอบสวนเฟ่ยอันใหม่อีกครา ก็เป็นเพียงเพราะข้อมูลที่หลินหงบอกเขามาเท่านั้น
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่2 กองทัพชายแดนตะวันออกถูกกองทัพของราชวงศ์อู๋กวาดล้างที่ภูเขาฉีซาน แต่เรื่องที่ถูกรายงานไปถึงราชสำนักกลับเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ !
ในเอกสารรายงานของเฟ่ยอัน สนามรบครานั้นสังหารศัตรูไปถึง 800 คน ทั้งยังมีหัวส่งไปยังเมืองหลวงอีกด้วย
ช่างน่าสมเพชนัก ภายในแปดร้อยหัวนั้นมิมีคนของราชวงศ์อู๋เลยแม้แต่คนหนึ่ง ทั้งหมดนั้นคือชาวบ้านในหมู่บ้านที่อยู่ใต้ภูเขาฉีซาน !
เมื่อมาคิดเรื่องนี้ในตอนนี้คาดว่าน่าจะเป็นข่าวกรองที่ส่งกลับมาจากซี่โหลว หลังจากนั้นบิดาของหลินหงจึงได้ถูกกุมขัง ต่อมาเฟ่ยอันก็ได้ลาออกไปทำนาที่เขตหนานหลิง
เรื่องนี้ยังมิได้เผยแพร่ในราชสำนัก จึงจัดการอย่างเงียบ ๆ เยี่ยงนี้ คิดไปว่าองค์จักรพรรดิไม่อยากลงมือกับตระกูลเฟ่ย แน่นอนว่าความเกี่ยวข้องที่อยู่ในนั้นใหญ่อย่างมาก หรือบางทีอาจเป็นเพราะความยุ่งเหยิงของผลประโยชน์นั้นกว้างเกินไป
อย่างไรก็ตามอำนาจของตระกูลเฟ่ยก็ได้ฝังรากลึกไว้ในราชวงศ์หยู เบื้องบนมีทหารผ่านศึกสามราชวงศ์อย่างราชครูอาวุโสเฟ่ย เบื้องล่างก็มีเสนาบดีกรมกลาโหมคนปัจจุบันเฟ่ยปัง ทั้งยังมีขุนนางฝ่ายตรวจการอย่างเฟ่ยติ้ง
ยังมีบุตรชายคนที่สี่ของราชครูอาวุโสเฟ่ยเฟ่ยกั๋ว คนผู้นี้ในยามนี้อยู่ในกองทัพชายแดนตะวันออก ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองทหารม้า
ส่วนที่ว่าเหตุใดองค์จักรพรรดิจึงไม่ใช้โอกาสนั้นจับกุมตระกูลเฟ่ย ฟู่เสี่ยวกวนมิมีความคิดที่จะหวนรำลึก แต่ในตอนนี้เขาอยากจะเคลื่อนไหวตระกูลเฟ่ย นี่มิได้เกี่ยวข้องกับเรื่องลอบสังหารเขาในครานั้น เขามิต้องการให้ชาวบ้านทั้งแปดร้อยคนต้องตายอย่างสูญเปล่า
หากการทำนาสามารถชดใช้บาปกรรมได้… ทุ่งนาทั่วใต้หล้านี้ก็มิเพียงพอ !
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานกำร่มกระดาษและเดินกลับไปยังป้านเยี่ยนซวน มองแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังดื่มชาเพียงลำพังท่ามกลางแสงไฟสลัว ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าแผ่นหลังนั้นช่างโดดเดี่ยว และรู้สึกปวดใจอย่างอธิบายไม่ถูก
อย่างไรแล้วก็เป็นเพียงชายหนุ่มที่อายุ 17 ปี พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยจะคาดหวังในตัวเขาสูงเกินไปหรือไม่ ?
“คิดสิ่งใดกัน” หยูเวิ่นหวินจุดตะเกียง ป้านเยี่ยนซวนจึงสว่างขึ้นมา
“คิดว่าข้าต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะสามารถสู่ขอพวกเจ้าจากพ่อตาได้” ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองหยูเวิ่นหวิน ช่างเป็นใบหน้าที่สดใสเสียจริง ๆ
หยูเวิ่นหวินส่งเสียงจิ๊จ๊ะเล็กน้อย ด้วยใบหน้าเขินอาย “เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าข้าจะได้ผอมลีบเสียยิ่งกว่าดอกหวง… เกรงว่าคนบางคนจะรังเกียจกันก็มิทันเสียแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ แล้วกล่าวว่า “ผิวที่งดงามนับพันก็เหมือนเดิม จิตวิญญาณที่น่าสนใจคงมีเพียงหนึ่งจากในหมื่น ข้าดูเป็นคนที่มองผิวเผินเยี่ยงนั้นรึ”
ต่งชูหลานกลอกตาใส่เขา “ข้าดูแล้ว… คุณธรรมของเจ้ายังไปมิถึง”
“เอาล่ะ ๆ ควรกลับได้แล้ว เย็นนี้ฝ่าบาทจะมายังวังเตี๋ยอี๋ ดังนั้น มือเย็นวันนี้ควรกลับไปจัดการด้วยตนเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วขึ้น สองมือค้ำโต๊ะน้ำชาและลุกขึ้นยืน “เฮ้อ… คิดว่าจะได้ทานข้าวอีกสักมื้อ ไปเถอะ เวิ่นหวินจะไปด้วยหรือไม่”
“ข้าจักไปที่ไหนได้ ?พวกเจ้าไปก่อนเถอะ เสด็จแม่ต้องการให้ข้าอยู่ต่อ พรุ่งนี้หากมีเวลาว่างจะไปหาพวกเจ้าที่จวนฟู่อีก”
ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานได้ออกมาจากพระราชวัง และก็ได้พบกับซูม่อที่รออยู่ที่หน้าประตูพระราชวัง ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจเล็กน้อย จึงเอ่ยถาม “เสร็จแล้วหรือ”
“อือ เสร็จแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนมองร่างของซูม่อที่เต็มไปด้วยหิมะ จึงตบบ่าของเขา แล้วกล่าวว่า “ความจริงเจ้ามิต้องมารับข้าก็ได้”
“ข้ารับปากกับไป๋ยู่เหลียนแล้ว นอกจากข้าตายไปแล้ว เจ้าจะถูกทำร้ายอย่างแน่นอน”
“…เอาเถอะ กลับกัน ชูหลาน เจ้าจะจัดการอย่างไรดี ?”
“ข้าต้องกลับไปคุยกับท่านพ่อที่จวน”
“อือ เยี่ยงนั้นข้าไปส่งเจ้าก่อน”
……
…..
ณ วังเตี๋ยอี๋ ขันทีเหนียนยืนอยู่ด้านหลังของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยด้วยความเคารพ และรายงานเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนตอบรับจะจัดการเรื่องของซี่โหลวโดยละเอียด
องค์จักรพรรดิหยูยิ่นวางตะเกียบ ดวงตาของหยูเวิ่นหวินเบิกกว้าง หยูเวิ่นเต้าคิ้วขมวด พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยกลับยังสงบนิ่ง นางตักซุปให้องค์จักรพรรดิ แล้วกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ฝ่าบาททรงทอดพระเนตรเพคะ หม่อมฉันกล่าวแล้วว่าชายผู้นี้ละเอียดอ่อนนัก”
หยูยิ่นเงียบไปอึดใจ “ท่านกล่าวว่า… ในมือของเขานั้นมีดาบสังหารตระกูลเฟ่ยอยู่ เรื่องนี้จะใหญ่เกินไปหรือไม่ ? ทั้งในปีนั้นก็มีคนรู้เรื่องนี้เพียงไม่กี่คน เขารู้ได้เยี่ยงไรกัน?”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยครุ่นคิด และตอบกลับ “หม่อมฉันกลับคิดว่าเขาเริ่มต้นการเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยมจากตระกูลที่มีอำนาจทั้งหก ดังที่กล่าวว่าเคาะภูเขาสะเทือนพยัคฆ์ ในภูเขานั้นต้องมีเสืออยู่เท่านั้นจึงจะเป็นไปได้ ส่วนที่ว่าเขารู้เรื่องนี้ได้เยี่ยงไร เรื่องนี้หม่อมฉันเองก็มิทราบ”
ทันใดนั้นหยูเวิ่นเต้าก็นึกเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลอบสังหารขึ้นมา สตรีนางหนึ่งจากหอเยียนจือนามหลินหงได้หายตัวไป ฐานะของหญิงสาวผู้นั้นเขาย่อมรู้ดี บิดาของหลินหงเป็นรองแม่ทัพของเฟ่ยอัน
ในยามที่หยูเวิ่นเต้าต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนมอบหลินหงให้กับเขา กล่าวว่าหากเจ้านำนางมาให้ข้า เรื่องนี้ก็จะทำเป็นบทความที่ดีได้ แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับตอบกลับมาว่า เรื่องได้ทีขี่แพะไล่เยี่ยงนั้น ท่าน สู้ข้ามิได้
เยี่ยงนั้นเจ้านั่นก็กำลังได้ทีขี่แพะไล่อย่างนั้นรึ ?
ดังนั้นหยูเวิ่นเต้าจึงกล่าวความคิดเห็นออกไป และกล่าวเสริมไปอีกประโยคด้วยความกรุ่นโกรธ “บทนำบทความของเขา… ลูกคิดว่ามิงดงามเท่าใด”
หยูเวิ่นหวินได้ยินเยี่ยงนั้นก็สับสน เพิ่งจะรับรู้ว่ายังมีอีกหลายหนทางที่คาดไม่ถึง ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มยามปกติของฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นการแสดงอย่างนั้นหรือ?
“ไม่ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เรื่องวิทยายุทธ์เจ้าย่อมอยู่สูงกว่าฟู่เสี่ยวกวน แต่หากกล่าวถึงเรื่องการวางอุบาย เวิ่นเต้าเอ๋ย เจ้าเทียบเขามิได้อย่างแท้จริง”
ซั่งกุ้ยเฟยผงะแล้วจึงกล่าวว่า “ครั้งที่แล้วที่เขามาเมืองหลวง แต่เดิมหม่อมฉันคิดว่าเขานั้นไร้หนทางจึงอยากมาขอความช่วยเหลือจากหม่อมฉัน แต่คาดมิถึงว่าเขานั้นจะเข้าพระเนตรฝ่าบาทด้วยนโยบายบรรเทาสาธารณภัย และได้รับรางวัลจากฝ่าบาทอีกด้วย ณ พระราชวังจินเตี้ยน เหตุใดเขาจึงกล้าทำให้เสนาบดีกรมพิธีการชือเฉาหยวนด่าทอจนกระอักเลือดล้มพับไป ผู้อื่นคงคิดว่าเลินเล่อ แต่ความจริงแล้วเขาเพียงใช้โอกาสนั้นเพื่อทดสอบท่าทีของฝ่าบาท”
“ฝ่าบาทมิได้ตำหนิเขา ดังนั้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาจึงได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่าเขานั้นได้เปรียบกว่าผู้อื่น ดังนั้นทุกคนจึงคิดว่าเขาจะอยู่ที่เมืองหลวงอาศัยสถานการณ์ตีเหล็กตอนกำลังร้อนเพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับของฝ่าบาท แต่เขากลับอาศัยอาการบาดเจ็บหลบออกจากเมืองหลวงไปยังหลินเจียง”
“นี่มิใช่กลยุทธ์การแสร้งจับเพื่อปล่อย และเขาก็มีธุระที่หลินเจียงอีกมากมายอย่างแท้จริง เรื่องเหล่านี้ฝ่าบาทเองก็รับทราบ ในสายตาหม่อมฉันแล้วก็มิใช่เรื่องเสียหายอะไร เพียงแต่หม่อมฉันยังไม่เข้าใจการเปรียบเทียบระหว่างเรื่องเหล่านี้กับอนาคตของเขา เหตุใดเขาจึงมองว่าซีซานสำคัญยิ่งกว่า?”
“หม่อมฉันลองมาครุ่นคิด วันนี้ที่มอบเรื่องซี่โหลวให้แก่เขา เขาก็มิได้หวาดหวั่นอันใด หลังจากที่ขันทีเหนียนพูดคุยกับเขาเรื่องซี่โหลว เขาก็ยังคงเยือกเย็นดังเก่า ทั้งยังให้ปัญหาที่ยากแก่ขันทีเหนียนหนึ่งข้อ นี่คือการทดสอบความสามารถของซี่โหลว และกำลังทดสอบว่าเขานั้นสามารถควบคุมซี่โหลวได้จริงหรือไม่ แน่นอน ความหมายลึกซึ้งที่ใหญ่ที่สุดข้าคิดว่าเป็นท่าทางของฝ่าบาทที่แสดงออกว่ายินยอมให้เขาเป็นขุนนางกูเฉินเพคะ”
หยูเวิ่นเต้าขบคิดอยู่ชั่วครู่และเบ้ปาก ท่าทางของเจ้าบ้านั่นดูแล้วมิมีพิษภัยอันใด นึกไม่ถึงว่าจะหลอกลวงกันทั้งสิ้น
หยูเวิ่นหวินกลับหวาดกลัวเล็กน้อย นางหันมองไปทางเสด็จพ่อ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วว่า “เสด็จพ่อเพคะ… เขา ความจริงเขาอยากจะเป็นแค่คุณชายเศรษฐีที่ดินที่มีอิสระ หากมิใช่เพราะถูกจดหมายของข้าบังคับจนเป็นเยี่ยงนี้ ท้ายที่สุดแล้วเขาก็เป็นเพียงชายหนุ่มที่อายุยังน้อย ไหนเลยจะเก่งกาจดั่งที่เสด็จแม่กล่าวมา เขาย่อมมิใช่คู่มือของจิ้งจอกเฒ่าเหล่านั้น?”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเองก็หันไปมองหยูยิ่น ความจริงแล้วนางก็กังวล เพราะฟู่เสี่ยวกวนเป็นเพียงฉาวซ่านต้าฟูขั้นห้า ถึงแม้เขาจะมีองค์จักรพรรดิหนุนหลัง แต่องค์จักรพรรดิก็มิสามารถเอาเขาไว้ข้างกายได้ตลอดเวลา หากพบเจอสถานการณ์ปลาตายตาข่ายขาด คนเหล่านั้นคงจะดิ้นรนเหมือนสุนัขจนตรอก ต่อให้ดื่มน้ำกานี้ของฟู่เสี่ยวกวนลงไปก็ยากที่จะทน
หยูยิ่นมิได้แสดงอะไร เขาใช้ช้อนตักซุปขึ้นมาลิ้มรส เป็นเวลาเนิ่นนาน จึงกล่าวว่า “เรื่องของฝึกของกลุ่มนั้น ข้าเห็นด้วย”
“แล้วเรื่องงานชุมนุมวรรณกรรมในเทศกาลอาหารฤดูหนาวของราชวงศ์อู๋ล่ะเพคะ?”
“มิเปลี่ยนแปลง ให้เขาไป”
“พระชนนีตรัสว่าต้องการพบฟู่เสี่ยวกวน หม่อมฉันเล็งเห็นว่าท่าทางของพระชนนีดูมิชอบพอเสียเท่าไหร่ คิดว่าคงเป็นเพราะบทสรุปของความฝันในหอแดง ได้ยินมาว่าหลังจากที่พระชนนีได้อ่านบทสรุปในวันนั้นก็พาลเสวยอะไรไม่ลง… หม่อมฉันเองก็เข้าใจพระชนนี แต่พระนาง… เรื่องนี้ฝ่าบาทพอจะเกลี้ยกล่อมได้หรือไม่เพคะ ?”
หยูยิ่นผงะไปเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวขำ ๆ “เยี่ยงนั้นก็นัดเวลาแล้วพาฟู่เสี่ยวกวนไปเข้าเฝ้า และมิให้เกิดเรื่องไม่ดี เมื่อถึงเวลาก็ให้เวิ่นหวินไปด้วยกัน เสด็จแม่ชื่นชอบเวิ่นหวิน”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยพยักหน้า แล้วเอ่ยถามอีกว่า “ฟู่เสี่ยวกวนต้องการตรวจเรื่องซี่โหลวของเฟ่ยอัน ฝ่าบาทมีความคิดเห็นเยี่ยงไรบ้างเพคะ?”
“อนุญาต !”
……
…..
จวนฟู่ได้ติดโคมไฟสีแดงเอาไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว ในยามนี้จึงได้สว่างขึ้นมา
ฟู่เสี่ยวกวนกับซูม่อ ซูเจวี๋ย และซูโหรว ทั้งสี่คนกำลังนั่งดื่มสุราอยู่ในหลีเฉินซวน
เตาผิงภายในหลีเฉินซวนกำลังลุกโชน ภายในนั้นมิมีความหนาวเหน็บแม้แต่นิด
“ในหลายวันมานี้ เวลาการฝึกคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางของท่านนับวันยิ่งน้อยลง… หรือว่าท่านยอมแพ้แล้วกัน ?” ซูม่อเอ่ยถาม
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะน้อย ๆ “มิได้ยอมแพ้ เพียงแต่ธุระยิบย่อยมันเยอะขึ้นเรื่อย ๆ ระยะเวลาฝึกจึงลดน้อยลงไปมาก”
“เอาเถอะ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านมิใช่สายต่อสู้”
สองตาของฟู่เสี่ยวกวนเบิกกว้าง “ข้าเพิ่งฝึกมาได้เพียงครึ่งปีเท่านั้น เจ้าอยากให้เป็นแบบไหนกัน?”
ตาเรียวของซูโหรวเหลือบมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน แต่ซูม่อกลับทำเป็นทองมิรู้ร้อน “ท่านรู้หรือไม่ว่าในสำนักเต๋าใครเป็นผู้ฝึกคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางได้เร็วที่สุด?”
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองศิษย์พี่ใหญ่อย่างซูเจวี๋ย ในเมื่อเป็นศิษย์พี่ใหญ่ และท่าทางสงบเสงี่ยมหักห้ามใจตนเองของซูเจวี๋ยที่มีให้เห็น เยี่ยงนั้นก็ต้องเป็นเขาแล้ว
แต่คาดมิถึงว่าซูเจวี๋ยจะส่ายหน้า หมวกที่อยู่บนหัวเอียงเล็กน้อย เขาขยับให้เข้าที่ แล้วจึงกล่าวว่า “ผู้ที่มีพรสวรรค์มากที่สุดในสำนักเต๋าคือศิษย์น้องหกซูซูของข้า นางเข้าสำนักเต๋าในตอนอายุ 5 ปี สามารถสร้างลมปราณได้ภายในสามวัน ผ่านไปอีกสามวันก็บรรลุคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางขั้นที่หนึ่ง ผ่านไปอีกสามวันก็บรรลุขั้นที่สอง หลังจากนั้น… อาจารย์ก็ไม่อนุญาตให้นางฝึกการต่อสู้ และในตอนนี้นางอายุได้ 14 ปี ในช่วงระยะเวลา 9 ปี นางก็มิได้ฝึกอีกเลย”
ฟู่เสี่ยวกวนตาโต “แล้วมันเยี่ยงไรกัน ?”
“อาจารย์กล่าวว่า… หากมิสามารถควบคุมสิ่งอัปมงคลของซูซูไว้ได้ เกรงว่าจะรักษาโลกนี้ไว้มิได้เช่นกัน !”
เป็นไปได้ที่จะกลายเป็นเซียนอย่างนั้นหรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนย่อมไม่เชื่ออย่างแน่นอน “แล้วนางเรียนรู้อันใดต่อไปรึ?”
“ฝึกฉิน เสียงฉินของศิษย์น้องหกนั้น… เป็นเหมือนเสียงของธรรมชาติอย่างแท้จริง” ซูเจวี๋ยเงยหน้าเล็กน้อย ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความชื่นชม “เพียงเสียงฉินของนางดังขึ้น สำนักเต๋านกนับร้อยก็มายามเช้า ช่างสละสลวยเสียนี่กระไร แต่อย่างไรก็ตามศิษย์น้องรองของข้านั้น…”
เมื่อพูดถึงประเด็นหลัก ซูเจวี๋ยก็ปิดปากทันพลัน ถอนหายใจ แล้วส่ายหน้า จนหมวกใบนั้นขยับไปเล็กน้อย จนเขาลืมที่จะจัดให้ตรง
“ศิษย์น้องรองของเจ้าล่ะเป็นเยี่ยงไร?”
“เขา… จึงได้ทานนกเยอะทีเดียว !”
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินฟังมิเข้าใจ ส่วนเรื่องของหนังสือความฝันในหอแดงนั้นพวกนางมิชอบเรื่องราวในตอนจบ เหตุใดเซวี๋ยเป่าชายจึงแต่งงานกับเจี๋ยเป่าหยู น่าสงสารน้องสาวหลินยิ่งนัก พวกเขาทั้งสองเข้าหอวิวาห์ ส่วนตนได้แต่เสียใจจนช้ำใจตายเพียงลำพัง ทั้งสูญเสียเงินทองและชีวิต ช่างไม่คุ้มค่าเสียจริง !
หยูเวิ่นเต้ามิได้อ่านหนังสือเล่มนั้นเนื่องจากเขาไม่ได้สนใจนัก เขาเพียงได้ยินเสด็จแม่และฟู่เสี่ยวกวนสนทนากัน แม้จะมิได้ตั้งใจฟังนัก แต่ก็พอจะจับใจความได้
ดังนั้นเขาจึงมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน คาดว่าที่เสด็จแม่เรียกให้ฟู่เสี่ยวกวนมาพบ เนื่องจากต้องการดูว่าฟู่เสี่ยวกวนมีนิสัยอย่างไร
เจ้าหมอนี่ช่างฉลาดนัก เดิมทีข้าเป็นคนร่าเริง อืม มองดูแล้วเจ้าหมอนี่ก็ร่าเริงไม่น้อย
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเองก็ทรงมีพระประสงค์เช่นนั้น เมื่อได้ยินคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนจึงได้วางใจ ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้มีไหวพริบ แสงแดดจะต้องส่องไปยังที่มืดมนอยู่วันยังค่ำ……เยี่ยม ! แต่แท้จริงแล้วบนโลกใบนี้ยังมียังมีอีกหลายพื้นที่นักที่แสงแดดส่องไม่ถึง อย่างเช่น……ต้นหญ้าที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ !
จากสถานการณ์ตอนนี้ ต้นไม้ใหญ่เหล่านั้นบดบังแสงแดด บรรดาวัชพืชเล็ก ๆ ที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่กำลังกัดกินรากของราชวงศ์หยูที่เปรียบเสมือนต้นไม้นั้น หากมิรีบจัดการถอนทิ้งไปเสีย เกรงว่าทุกสิ่งที่ทำไปจะสูญเปล่า
“เมื่อครั้นที่เยี่ยนซีเหวินส่งเรื่องราวนี้มาให้ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงไม่พอพระทัยยิ่ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยมองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วนั่งลงดื่มน้ำชา นางหยิบแก้วชาขึ้นมาแล้วมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน
ฎีกาฉบับนั้นฟู่เสี่ยวกวนเคยเห็น เขียนได้ดีทีเดียว เหตุใดฝ่าบาททรงมิพอพระทัยกัน? เขาจึงส่ายหัวแล้วเอ่ยว่า “ขอพระสนมโปรดชี้แนะ”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยยิ้มแล้ววางแก้วชาลง ตรัสว่า “เจ้าหนอ……เจ้าคิดเช่นใดฝ่าบาทและข้าล้วนเข้าใจดี ที่จริงเยี่ยนซีเป่ยอีกทั้งเยี่ยนซือเต้าก็เช่นกัน เจ้าคิดว่าจะหลอกลวงฝ่าบาทง่ายดายเพียงนี้หรือ? เยี่ยนซีเหวินร่วมมือกับเจ้าในการจับกุมลูกสมุนของกงเซินฉางทั้งสองคน อีกทั้งสามารถฆ่าโจรกว่าแปดร้อยคนงั้นหรือ?”
“เขามิมีความสามารถนั้นหรอก แต่เจ้ามี”
บัดนี้ต่งชูหลานจึงได้เข้าใจว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ทำเรื่องราวอันน่ากลัวเช่นนั้น ในใจนางรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันใด นางมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนแล้วตำหนิเขาในใจ เหตุใดเรื่องราวใหญ่โตเพียงนี้เขาจึงไม่บอกนางกัน !
หากเขากลัวว่านางจะเป็นกังวล นางยังพอจะเข้าใจได้ แต่นางไม่ชอบการกระทำเช่นนี้ หากเขาเป็นอะไรไปนางจะไม่กังวลได้อย่างไร ? หากเขามิบอกกล่าว นางคงกังวลใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม !
เหตุผลง่ายดายเพียงนี้เหตุใดเขาไม่เข้าใจ เมื่อกลับถึงจวนคอยดูว่านางจะจัดการเขาอย่างไร !
และด้วยเหตุผลเช่นเดียวกัน ในสายตาของฝ่าบาทแล้วนี่เป็นการกระทำที่ไม่จำเป็น !
“เดิมทีนี่เป็นผลงานของเจ้า เหตุใดเจ้าจึงทำอวดดีได้มอบคุณงามความดีเช่นนี้ให้แก่เยี่ยนซีเหวินกัน? หรือเจ้าอยากเห็นตระกูลเยี่ยนสืบทอดอัครมหาเสนาบดีสี่รุ่นเกิดขึ้น?”
คำพูดของซั่งกุ้ยเฟยค่อนข้างรุนแรง ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจว่าเขาได้ทำตัวอวดดีเกินไป
เขารู้ว่าชาวฮวงที่ชื่อว่าท่าป๋าชิวนั้นส่งนักฆ่ามาฆ่าเขา ความสงสัยที่ว่าเป็นฝีมือของตระกูลเยี่ยนได้ลบล้างไป เขาเพียงต้องการใช้โอกาสนี้สานสัมพันธ์กับตระกูลเยี่ยน เนื่องจากต่อไปในภายภาคหน้าตนทำการใด ๆ ในเมืองหลวงจะได้ราบรื่น แต่กลับมองข้ามผู้ที่จะสามารถช่วยเขาได้ในเมืองหลวงหรือแม้กระทั่งทั้งแคว้นได้อย่างแท้จริงผู้นั้นได้อย่างไร !
องค์จักรพรรดิจึงจะทรงเป็นต้นไม้ใหญ่แห่งใต้ฟ้านี้ แต่เขากลับไปอาศัยร่มไม้อื่น เขาฟังคำกล่าวของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยที่หยิบยกเนื้อหาหนังสือมาอ้าง เปรียบเปรยว่าราชวงศ์หยูกำลังพบเจอปัญหาเดียวกับจวนเจี่ย ในเมื่อกล่าวแล้วว่าเดิมทีโชคชะตาของจวนเจี่ยสามารถแก้ไขได้ เช่นนั้นราชวงศ์หยูก็สามารถแก้ไขได้เช่นกัน นี่เป็นความหมายว่ามิต้องการให้เขาไปพึ่งพิงต้นไม้ใหญ่ต้นอื่นนอกจากฝ่าบาท !
ซึ่งหากฟู่เสี่ยวกวนต้องการเป็นขุนนาง เขาจะได้เป็นเพียงขุนนางกูเฉิน ! ต้องเป็นกูเฉินเท่านั้น !
ความหมายของฝ่าบาทนั่นคือ ทรงมีพระประสงค์ให้เขาเป็นเช่นแสงอาทิตย์ที่สาดส่องไปยังใต้ก้อนหิน หรือแม้แต่ทุกที่ที่มืดมิด ให้พวกเขาได้เผยตัวตนที่แท้จริง ให้พวกเขาอันตรธานหายไป
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้น จากนั้นคารวะพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย
“กระหม่อมขอบพระทัยพระสนมยิ่ง กระหม่อมเข้าใจแล้วว่าควรทำอย่างไร ! ”
ซั่งกุ้ยเฟยทรงยิ้มอย่างพอใจ เขามีความคิดที่หลักแหลม หากได้รับใช้ฝ่าบาทคงจะดี
เพียงแต่……ขุนนางกูเฉินมิได้เป็นกันง่าย ๆ เขายังอายุไม่ถึง 17 ปีเสียด้วยซ้ำ โครงร่างของเขามองดูแล้วไม่เลว แต่อุปสรรคมากมายที่จะต้องพบเจอ เขาจะป้องกันมันได้อย่างไร?
“เวิ่นเต้า”
“ขอรับเสด็จแม่ ! ”
“หอชิงเฟิงซี่หยู่……หอซี่หยู่นั้นมอบให้ฟู่เสี่ยวกวน”
หยูเวิ่นเต้าตกตะลึง เขาเอ่ยถามด้วยความมิเข้าใจว่า “เสด็จแม่ขอรับ……หอซี่หยู่……?”
“ถูกต้องแล้ว ข้าหมายถึงหอซี่หยู่ นับแต่นี้จงมอบหอซี่หยู่ให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนดูแล แม้แต่เจ้าเองก็มิอาจเข้าไปจัดการเรื่องใด ๆ หรือนำสิ่งของใด ๆ ออกมา”
หยูเวิ่นเต้าหยิบดาบรูปนกฟีนิกซ์สีทองออกมามอบให้แก่พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย ภายในใจของเขายังเต็มไปด้วยความสงสัย
เขามิได้เสียดายแต่อย่างใด แต่ว่าหอซี่หยู่นั้นสำคัญมาก เหตุใดเสด็จแม่จึงให้ฟู่เสี่ยวกวนดูแล นางเชื่อใจฟู่เสี่ยวกวนมากเช่นนั้นเชียวหรือ?”
ซั่งกุ้ยเฟยรับดาบนั้นมา จากนั้นมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน “หอชิงเฟิงซี่หยู่มีทั้งสิ้นสองหอ ต่อจากนี้เจ้าจะรู้เอง หอซี่หยู่เป็นหนึ่งในนั้น ใช้สำหรับตรวจสอบข่าวสารคำร้องทุกข์จากทั่วแคว้น ก่อตั้งอยู่นอกราชวัง ไม่เกี่ยวข้องกับขุนนางใด ๆ เมื่อเจ้าไปที่นั่นจะเข้าใจเอง บัดนี้ผู้ที่ดูแลหอซี่หยู่ก็คือ……ขันทีเหนียน”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยมอบดาบนั้นแก่ฟู่เสี่ยวกวน แต่เขามิได้หยิบขึ้นมาพิจารณา ขันทีเหนียนที่อยู่ข้าง ๆ พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยก้าวขึ้นมา คารวะฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนตกใจจึงรีบลุกขึ้นทำท่าคารวะกลับ แต่พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยโบกมือห้ามแล้วกล่าวว่า “บัดนี้เจ้ามีดาบเฟิ่งเจี้ยนอยู่ในมือ ขันทีเหนียนต้องฟังคำบัญชาจากเจ้า”
“ข้าน้อยคารวะนายน้อย”
“เอ่อ……ท่านขันทีเหนียนเชิญนั่งเถิด”
“ข้าน้อยมิบังอาจ”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อเขาให้เจ้านั่งลงก็จงนั่งลงเถิด ก่อนหน้านี้เจ้ารับใช้ข้าจึงได้ฟังคำสั่งข้า บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่นี่ เจ้าทำตามเขาก็พอ”
“ขอบพระคุณ นายน้อย”
ขันทีเหนียนนั่งลงตามคำสั่ง ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยถามเรื่องราวใด ๆ แต่ได้ก้มหน้าพิจารณาดูดาบนั้น จากนั้นเก็บลงไป
มองดูแล้วหอชิงเฟิงซี่หยู่คงก่อตั้งโดยหยูเวิ่นเต้า
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย……แม่ยายผู้นี้มีความสามารถยิ่งนัก !
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานก็ตกตะลึงไม่น้อย พวกนางคิดมาตลอดว่าหอชิงเฟิงซี่หยู่นั้นองค์ชายห้าใช้เก็บสะสมผลงานด้านศิลปะต่าง ๆ เพื่อความสนุกสนานเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะมีความสำคัญเช่นนี้
ในเมื่อพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยมอบหอซี่หยู่ให้ฟู่เสี่ยวกวน นั่นหมายความว่านางไว้วางใจเขา ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจะต้องดูแลหอซี่หยู่นี้ให้ดีตามความคาดหวังของนาง
ซั่งกุ้ยเฟยลุกขึ้นจากโต๊ะ ตรัสว่า “เวิ่นเต้า เวิ่นหยุน ชูหลาน พวกเจ้าออกไปเดินชมหิมะเป็นเพื่อนข้าสักหน่อย”
ดังนั้นจึงเหลือฟู่เสี่ยวกวนและขันทีเหนียนเพียง 2 คน พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยมีพระประสงค์ให้ฟู่เสี่ยวกวนทำความคุ้นเคยกับหอซี่หยู่ได้รวดเร็วขึ้น
“เชิญท่านขันทีเหนียนกล่าว”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้อ้อมค้อม เขารินน้ำชาแก่ขันทีเหนียนแล้วเอ่ยปาก
“เรียนนายน้อย หอซี่หยู่หาได้มีสำนักงานใหญ่ไม่ นายน้อยอยู่ที่ใด ที่นั่นคือสำนักงานใหญ่ แต่ภายในมีการแบ่งโครงสร้าง ชั้นล่างของหอซี่หยู่มีหลงจู๊ 12 คน นับแต่เดือนหนึ่งถึงเดือนสิบสอง ห้าในสิบสองคนนี้ดูแลเรื่องข่าวสารคำร้องทุกข์ หลงจู้เดือนที่หนึ่งและสองดูแลแคว้นอี๋ เดือนสามเดือนสี่ดูแลแคว้นฮวง เดือนห้าดูแลราชวงศ์อู่ ส่วนที่เหลืออีก 7 คนนั้น หกคนดูแลเขตต่าง ๆ ในราชวงศ์หยู หลงจู๊เดือนสิบสองอยู่ที่จินหลิง”
ฟู่เสี่ยวกวนรับฟังอย่างตั้งใจ นี่คือระบบการทำงานอย่างง่าย ๆ โดยเรียกชื่อแทนเป็นชื่อเดือน ไม่เลวเลยทีเดียว มิน่าเล่าขันทีผู้นี้จึงได้มีชื่อเรียกว่าเหนียน ซึ่งหมายถึงปีนั่นเอง
“ภายใต้หลงจู๊ทั้งสิบสองเดือนมีหอ 360 แห่ง หลงจู๊แต่ละคนดูแล 30 แห่ง หอเหล่านี้เป็นอุตสาหกรรมของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเป็นส่วนมาก ที่เหลือเป็นอุตสาหกรรมของผู้อื่น เพียงแต่สิบกว่าปีมานี้ คนของเราเข้าไปมีส่วนร่วมด้วย”
“เรื่องต่าง ๆ ในแคว้นจะถูกรวบรวมมาไว้ที่หอทั้งสามร้อยหกสิบแห่งนี้ จากนั้นส่งต่อไปยังหลงจู๊ จากการพิจารณาของหลงจู๊ทั้งหลาย พวกเขาจะนำมาสรุปให้แก่ข้าน้อย และข้าน้อยนำส่งมาให้นายน้อย”
“หากนายน้อยมีสิ่งใดรับสั่ง เพียงแค่กล่าวกับข้าน้อย ข้าน้อยจะนำคำสั่งของท่านไปบอกต่อแก่หลงจู๊ทั้งหลาย ให้พวกเขาทำตามคำสั่ง”
“ส่วนรายชื่อคนในหอซี่หยู่มิได้อยู่ในมือของข้าน้อย หากนายน้อยต้องการดู วันรุ่งขึ้นข้าน้อยจักนำไปมอบให้ที่จวน”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า การทำงานเกี่ยวกับข่าวสารนั้นเขาค่อนข้างจะคุ้นเคย ส่วนเรื่องแผนการทำงานของหอซี่หยู่นั้นเขายังมิได้วางแผนเปลี่ยนแปลง เนื่องจากยังมิได้ไปสัมผัสด้วยตนเอง”
“บัดนี้ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ต้องการให้ซี่หยู่ตรวจสอบ”
“เชิญนายน้อยกล่าว”
“ช่วยตรวจสอบอดีตท่านนายพลที่ประจำการกองทหารตะวันตกที่บัดนี้ปลูกข้าวอยู่ที่เขตหนานหลิงให้ข้าที ข้าต้องการรู้สองเรื่อง เรื่องแรกนั้นคือในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 2 ฤดูใบไม้ผลิ สงครามระหว่างกองทหารราบของกองทัพชายแดนทางใต้กับกองทัพชายแดนของราชวงศ์อู๋ในเทือกเขา ฉีซานซึ่งมีพรมแดนติดกับราชวงศ์อู๋ กล่าวกันว่าราชวงศ์หยูชนะสงคราม และมีหัวศัตรูถึงเจ็ดแปดร้อยคนถูกส่งไปยังเมืองหลวง สิ่งที่ข้าต้องรู้ก็คือหัวมนุษย์เจ็ดแปดร้อยนี้……เป็นหัวของทหารราชวงศ์อู๋จริงหรือ?”
ขันทีเหนียนตกตะลึง จากนั้นรีบพยักหน้า
“เรื่องที่สอง ข้าต้องการให้ชิงเฟิงซี่หยู่จับตามองท่านนายพลนี้ให้ดี แม้แต่เขาเข้าห้องน้ำเวลาใดก็ต้องรายงาน”
ขันทีเหนียนนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นพยักหน้าตอบรับ
สีหน้าอันเคร่งขรึมของฟู่เสี่ยวกวนจางหายไป เหลือไว้แต่รอยยิ้มอันสดชื่น
“เรื่องนี้หากท่านขันทีเหนียนรู้สึกลำบากใจ จงบอกข้ามาโดยตรง ข้ามิโทษท่าน”
ขันทีเหนียนเงยหน้าขึ้น กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุกเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ที่จริง……เรื่องแรกนั้นได้ปิดไปแล้ว เนื่องจากบัดนี้เฟ่ยอันได้ยื่นหนังสือลาออกด้วยตนเองและเดินทางออกจากเมืองหลวงไปยังเขตหนานหลิง ส่วนเรื่องที่สอง……ก่อนหน้านี้ชิงเฟิงซี่หยู่ได้จับตามองเฟ่ยอันตลอดเวลา กระทั่งเมื่อปีที่แล้วจึงได้เลิกจับตามองเขา เนื่องจากสี่ปีมานี้เฟ่ยอัยได้ทำนาอยู่จริง ๆ ”
“ผิดแล้ว เรื่องแรก แม้จะปิดไปแต่ยังมิได้ข้อสรุป ประชากรราชวงศ์หยูเจ็ดแปดร้อยคนเชียว……จะให้พวกเขาตายโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้มิได้ ! ”
ต่งชูหลานได้แจ้งเรื่องการมาเมืองหลวงของฟู่เสี่ยวกวนให้หยูเวิ่นหวินทราบแล้ว เพียงแค่ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ราชวังก็มีกิจธุระมากมาย ในวันนี้ต้องไปเข้าเฝ้าพระชนนีพอดิบพอดี เรื่องนี้ย่อมสำคัญอย่างแน่นอน พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยย่อมมิอนุญาตให้หยูเวิ่นหวินออกมาก่อน
คาดว่าในตอนนี้หยูเวิ่นหวินคงจะเสร็จธุระแล้ว แต่นางกล่าวว่ามีธุระด่วน… ยังมีเรื่องด่วนอันใดอีกอย่างนั้นหรือ?
ทั้งสองไม่ได้รั้งอยู่ที่ถิงเหม่ยเป็นเวลานาน ฟู่เสี่ยวกวนเพียงทักทายกับต่งซิวเต๋อไม่กี่ประโยค แต่เจ้าต่งซิวเต๋อกลับกล่าวถึงหลิ่วเยียนเอ๋อร์แห่งหงซิ่วจาว
ท่าทางลำพองดีใจนั้นทำให้ต่งชูหลานนึกชังจนอดที่จะเตะเขาไม่ได้
“เอาล่ะ ๆ รอจนธุระในหลายวันนี้ผ่านไป พวกเราค่อยไปหงซิ่วจาวเพื่อฟังหลิ่วเยียนเอ๋อร์ร้องคิ้วแข็งโค้งจะดีกว่า”
ทั้งสองคนขึ้นรถม้าคันเดียวกันกลับมาจนถึงจวนฟู่ หยูเวิ่นหวินที่สวมชุดสีแดงคลุมด้วยขนสัตว์กำลังยืนอยู่เพียงลำพังในศาลาเถาหราน เหม่อมองหิมะบนทะเลสาบซวนอู่ที่แข็งเป็นน้ำแข็ง
ฟู่เสี่ยวกวนและทั้งสองคนเดินเข้าไป หยูเวิ่นหวินหันหน้ากลับมา ใบหน้าก็แย้มยิ้ม แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็มองเห็นถึงความกลัดกลุ้มภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มนั้น
ทั้งสามคนนั่งลง ชุนซิ่วนำถ่านใหม่มาลงให้ และเข้าโรงครัวไปเพื่อทำมื้อเที่ยง
“มิใช่ว่าบิดาของเจ้าและเหล่ามารดาทั้งหลายของเจ้าจะมาด้วยเยี่ยงนั้นหรือ”
“พูดไปพวกเจ้าก็มิเชื่อ บิดาของข้าเก่งกาจยิ่งนัก แต่งงานได้ 2 เดือน มารดาทั้งห้าของข้าก็ตั้งครรภ์ มิสามารถทนต่อแรงกระแทกของการเดินทางได้ ดังนั้นจึงต้องอยู่ที่หลินเจียงเท่านั้น”
ใบหน้าของหญิงสาวทั้งสองแดงระเรื่อขึ้นมาทันพลัน แต่ในใจกลับคิดว่า… อะไรนะ
มีสตรีทั้งสองที่แตกต่างกันแต่มิมีใครในโลกนี้เทียบได้นั่งอยู่ข้างกาย ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกถึงแรงกระตุ้นที่รุนแรง เขาอยากจะคว้าหญิงสาวทั้งสองเข้ามากอด แต่เขาก็ต้องยับยั้งความคิดนี้เอาไว้อย่างสุดกำลัง อย่างไรก็ยังมีวันข้างหน้า
“เป็นเยี่ยงนี้…” หยูเวิ่นหวินก็เก็บอาการตื่นเต้นไป ท่าทางแปรเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา “สองวันก่อนหน้านั้น ทูตราชวงศ์อู๋ที่พักอยู่ที่เมืองหลวงได้นำเอกสารมาหนึ่งฉบับ กล่าวว่าเทศกาลอาหารฤดูหนาวในปีหน้าราชวงศ์อู๋จะจัดงานชุมนุมวรรณกรรมครั้งแรกในใต้หล้า ณ วัดหานหลิง ขอเชิญผู้มีความสามารถจากทั่วทุกแคว้นมาเข้าร่วม ประการแรกเพื่อเฉลิมฉลองการขึ้นครองราชย์ราชวงศ์อู๋ครบรอบขึ้นสิบปีของจักรพรรดิเหวิน ประการที่สองคือเนื่องในวันคล้ายวันพระราชสมภพหกสิบปีของพระชนนีแห่งราชวงศ์อู๋ ประการที่สาม… เพื่อเพิ่มชื่อเสียงดีงามในด้านวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ แต่เมื่อเทียบกับราชวงศ์หยูก็ยังห่างกันหลายขั้น เหวินตี้หวังจะใช้งานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้กระตุ้นนักกวีของราชวงศ์อู๋ ผู้มีชื่อเสียงในราชวงศ์หยูของเรามีจำนวน 100 คน แคว้นฝานมี 30 คน แคว้นอี๋มีเพียง 20 คน และแคว้นฮวงมีเพียง 10 คน”
ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินเยี่ยงนั้นก็เอ่ยถาม “นี่มิเกี่ยวข้องกับข้า ให้ขุนนางระดับสูงชางกวนเหวินซิ่วส่งบัณฑิตไป 100 คนก็ได้แล้วมิใช่หรือ ?”
ต่งชูหลานกลอกสายตาใส่ฟู่เสี่ยวกวน คนผู้นี้ บางเวลาสมองก็ดีอย่างกับอะไร แต่บางเวลาก็เหมือนคนสมองทึบ กลับฟังความหมายของคำพูดนี้ไม่ออก !
ทันใดนั้น หยูเวิ่นหวินก็เงยหน้ามามองฟู่เสี่ยวกวน “ที่น่าประหลาดใจก็คือในเอกสารฉบับนั้น นามที่ถูกระบุเอาไว้นั้นมีเพียงเจ้า !”
ฟู่เสี่ยวกวนอ้าปากด้วยความงงงัน “นี่หมายความว่าข้าต้องไปเยี่ยงนั้นรึ ?”
“เรื่องนี้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งสองแคว้น ในเมื่อเหวินตี้เอ่ยชื่อเจ้ามาแล้ว เสด็จพ่อย่อมให้เจ้าไป นี่คือเวลาเผยแพร่ชื่อเสียงของราชวงศ์หยู ความจริงต่อให้เหวินตี้ไม่เลือกเจ้า ข้าก็คาดได้ว่าเสด็จพ่อย่อมให้ส่งเจ้าไป ใครใช้ให้ตอนนี้เจ้าเป็นบุคคลที่มีพรสวรรค์และโด่งดังที่สุดของราชวงศ์หยูกัน”
หยูเวิ่นหวินกล่าวคำพูดนี้โดยที่จ้องมองไปทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยความคับแค้นใจ ฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้ก็บริสุทธิ์อย่างมาก
สตรีนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ประหลาด หากเจ้าไร้ชื่อเสียง พวกนางก็จะไม่สนไม่แลเจ้า แต่หากเจ้าโด่งดังมากไป พวกนางก็จะมิสบายใจอย่างยิ่ง
เหตุใดชื่อบนเอกสารนี้จึงชี้ไปที่นามของฟู่เสี่ยวกวน เรื่องนี้ทำให้หยูเวิ่นหวินข้องใจอยู่นาน วันนี้เอ่ยถามเสด็จแม่ เสด็จแม่ก็เพียงยิ้มให้
“เสด็จแม่ให้ข้ามาเชิญเจ้าและชูหลานไปทานข้าวเย็นที่วังเตี๋ยอี๋”
ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบว่าภายในนั้นมีพิธีการอันใด แต่เมื่อเป็นเทียบเชิญจากพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเขาย่อมต้องไป ส่วนเรื่องงานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋ เขามิสนใจอย่างแท้จริง
ก่อนวันเทศกาลอาหารฤดูหนาวสองวันก็เป็นวันเช็งเม้ง เขายังมีธุระอีกมากมายที่เมืองหลวง ที่ซีซานก็ยังต้องรอการติดต่อทางจดหมายจากเขา หากต้องไปราชวงศ์อู๋ อย่างน้อยก็ทำให้ล่าช้าไปสองถึงสามเดือน ที่สำคัญคือเรื่องนี้มิได้มีประโยชน์อันใด กล่าวได้อีกว่าหากชนะงานชุมนุมวรรณกรรมขึ้นมา อย่างมากที่สุดก็คงเป็นการที่องค์จักรพรรดิจะกล่าวถึงเขาในฐานะฉาวซ่านต้าฟูขั้นห้า
เอาเถอะ ก็เหมือนว่าจะเป็นหนทางที่ดี
เรื่องนี้มาทำให้แผนเดิมของฟู่เสี่ยวกวนปั่นป่วน จึงทำได้เพียงเปลี่ยนแผนเท่านั้น
ต่งชูหลานไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับราชวงศ์อู๋มากนัก รู้ว่าราชวงศ์อู๋มีนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียงมากอยู่ผู้หนึ่งมีนามว่าเหวินสิงโจว ความรู้ทางวรรณกรรมราวกับมหาสมุทร ออกเดินทางด้วยเรือลำเล็ก ปีนไต่ภูผาขึ้นไป เพื่อทัศนา!
คนผู้นี้เคยมาจินหลิง ทั้งยังบรรยายการสอนอยู่ที่สำนักศึกษาจี้เซี่ยนานนับเดือน เป็นผู้มีความรู้อย่างแท้จริง แม้แต่ขุนนางระดับสูงชางกวนเหวินซิ่วก็นับถืออย่างมาก
และงานชุมนุมวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋นี้ คิดอย่างไรคุณชายเหวินผู้นี้ก็ต้องเข้าร่วมเป็นแน่ ถึงขั้นเป็นไปได้อย่างมากที่ผู้ที่กำหนดหัวข้อก็คือเขา หรืออาจจะเป็นผู้ตรวจในขั้นสุดท้ายก็เป็นได้
ต่งชูหลานเปลี่ยนความคิด บทกวีของฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นที่รู้จักระดับแนวหน้าของโลก ต่อให้เป็นเหวินสิงโจว ก็อยากที่จะสร้างความยากลำบากให้แก่บทกวีเหล่านั้นของฟู่เสี่ยวกวนได้ ไม่อย่างนั้นชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนคงมิดังในราชวงศ์อู๋หรอก
หลังจากทานอาหารกลางวันทั้งสามก็พูดคุยกัน ครานี้ฟู่เสี่ยวกวนนำน้ำหอมและสบู่ที่หอบมามอบให้กับต่งชูหลาน น้ำหอมมีไม่มาก แต่สบู่นั้นมีมาหลายกล่องใหญ่
“ของสิ่งนี้ใช้ยามอาบน้ำ ตอนนี้ทำขึ้นมาเพียง 2 กลิ่น พวกเจ้าลองดู”
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินหยิบแกะสบู่ที่ถูกห่อด้วยกระดาษออกและสัมผัสอย่างระมัดระวัง อย่างแรกคือเรื่องกลิ่น ในมือของต่งชูหลานคือกลิ่นดอกมะลิ ในมือของหยูเวิ่นหวินคือกลิ่นดอกกุ้ยฮวา กลิ่นเบาบางกว่าน้ำหอมอยู่มากโข สัมผัสได้ถึงความลื่นในมือ ยามนี้เป็นฤดูหนาว จึงเย็นมาก
“ข้าเองก็มิทราบว่าโดยปกติพวกเจ้าใช้สิ่งใดยามอาบน้ำ ของสิ่งนี้ใช้ถูตามร่างกายยามอาบน้ำ ทำความสะอาดผิวได้ดียิ่งขึ้นและทำให้ผิวเนียนนุ่มขึ้น อย่างไรแล้ว พวกเจ้าก็ลองด้วยตนเองก่อน”
ดวงตาของต่งชูหลานเป็นประกาย หากของสิ่งนี้เป็นไปตามที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าว ย่อมขายดีเป็นแน่ โดยเฉพาะฤดูร้อน
“เรียกให้คนนำของสิ่งนี้ไปส่งที่ถิงเหม่ย วางไว้ 2 กล่อง ถึงเวลาก็ส่งของเหล่านี้ให้แก่คุณหญิงคุณหนูผู้สูงศักดิ์”
“ข้าเองก็จะนำกลับตำหนัก หากใช้ดี คาดว่าเสด็จป้าเองก็คงสนใจ หากของสิ่งนี้ได้เข้าสู่พ่อค้าหลวงย่อมมีหนทางการขายเพิ่มอีกหนึ่ง”
ต่งชูหลานเงยหน้าขึ้นมาถาม “ต้นทุนของชิ้นนี้เท่าใด”
“ต้นทุนประมาณ 5 อีแปะ”
ของสิ่งนี้ทำมาจากน้ำมันหมู เถ้าพืช แอลกอฮอล์ และเครื่องหอมที่เจือจาง ปริมาณผลิตสูงมาก แต่เมื่อคำนวณต้นทุนแล้วกลับไม่แพง
“พวกเราลองใช้ก่อนแล้วค่อยกำหนดราคา”
ในเรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยสิ้นเชิง ตามแผนเดิมคือน้ำหอมจะขายในราคา 1 ตำลึงแต่ในวันนี้กลับถูกหญิงสาวทั้งสองขายไปในราคา 10 ตำลึงต่อหนึ่งขวด มิมีของแล้ว ทั้งนี่ยังเป็นฤดูหนาว หากถึงหน้าร้อนคงร้ายแรงยิ่งขึ้น
ฟู่เสี่ยวกวนตัดสินใจแล้วว่าจะหาเวลาว่างเขียนจดหมายถึงบิดาของเขา ต้องเพิ่มกำลังการผลิตของน้ำหอม ให้ร้านขายกระจกของหยู๋จงถานผลิตเพิ่มอีกหลายสิบชุด
เมื่อถึงเวลา พวกเขาทั้งสามก็ได้ลุกขึ้นตรงไปยังวังเตี๋ยอี๋
ซั่งกุ้ยเฟยมิได้อยู่ในวังเตี๋ยอี๋ แต่กลับอยู่ที่ป้านเยี่ยนซวนทางด้านหลังสวนดอกไม้
ป้านเยี่ยนซวนมีหน้าต่างทั้งสี่ด้าน ใจกลางมีโต๊ะน้ำชา ตำรา ซู่ฉิน และกระบี่ยาว ในยามที่กลุ่มหยูเวิ่นหวินมาถึงป้านเยี่ยนซวนตามการนำทางของขันทีเหนียน พระสนมซั่งก็กำลังนั่งอยู่เบื้องหน้าหน้าต่างและมองหิมะที่คลุมเต็มสวน
ด้านข้างโต๊ะน้ำชานั้นยังมีคนนั่งอยู่อีกหนึ่ง เขาคือองค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้า ซึ่งในยามนี้กำลังต้มชาอยู่
ยามที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามา เขาก็เหลือบมองขึ้นมา หลังจากนั้นก็ยิ้มให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน และก้มหน้าลงไปต้มชาดังเดิม
นี่คือเหยียนฉาที่เก็บมาจากด้านหลังเขาของป่ากระบี่ด้วยตนเอง ใช้น้ำหิมะที่สดใหม่ ในยามนี้กาค่อยมีควันลอยขึ้นมา น้ำยังมิเดือด หยูเวิ่นเต้าก็เทเหยียนฉาลงไปหนึ่งช้อน ลดไฟลงมากโข หลังจากนั้นกลิ่นหอมก็ลอยฟุ้งจมูก
ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ด้านหลังของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยและก้มคำนับด้วยความเคารพ แล้วกล่าวว่า “กระหม่อมขอถวายบังคมพระสนมเอกพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยดึงสายตากลับมาและหันหลังกลับ แล้วกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “พิธีรีตองเกินไปแล้ว มาเถอะ นั่งลงกันเถิด ชูหลาน มาข้างข้า”
หยูเวิ่นหวินเบะปาก นั่งประกบซ้ายขวาของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย ฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นเต้ากลับนั่งลงข้างกันซึ่งตรงกันข้ามกับซั่งกุ้ยเฟย
“เมื่อครู่ข้ากำลังมองสวนดอกเบญจมาศของข้า มองมิเห็นแล้ว ต่างถูกหิมะกลบจนมิด… ความจริงแล้วก็มิมีอันใดน่ามอง ดอกเบญจมาศที่อยู่ใต้กองหิมะต่างเหี่ยวเฉาจนหมด หลายวันมานี้ข้าคิดจะดึงพวกมันขึ้นมา แต่กลีบดอกไม้เหล่านั้นก็แค่เคยงดงาม ข้าก็เป็นอันต้องพับความคิดนั้นไป แต่คิดว่ามันไร้ความหมาย ให้พวกมันตายไปตามธรรมชาติ และในตอนนี้ก็กลัวเพียงแค่ว่าจะจมลงไปในดินเหนียว”
หยูเวิ่นเต้ารินน้ำชาหนึ่งจอกและส่งให้กับพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย
“ไต้ยวี่ในความฝันในหอแดงของเจ้าฝังศพถึงสามครา ข้ารู้สึกว่านางถูกต้อง นางเข้าใจดอกไม้ รู้สึกว่าหากดอกไม้ตกลงไปในดินเหนียวคงจะสะอาดที่สุด กวีดอกไม้ฝังศพนั้นก็เขียนได้ดียิ่ง เมื่อสิ้นฤดูใบไม้ผลิ บุปผาร่วงโรยผู้คนตายจากมิอาจรับรู้… น่าเศร้าสลดเกินไป ดังนั้นแท้จริงข้าได้คาดคิดถึงจุดจบของหลินไต้ยวี่ไว้แล้ว ข้ามิรู้ว่าเพราะเหตุใดเจ้าถึงสามารถเขียนเรื่องแบบนี้ออกมาได้ แต่ที่ข้าอยากจะบอกกับเจ้าคือ ฤดูไม้ผลิยังมิสิ้นบุปผาก็ร่วงโรย เจ้าได้ตามข้ามา…”
ซั่งกุ้ยเฟยเดินมาที่หน้าต่างอีกครา ครั้งนี้นางเปิดหน้าต่างออก ความหนาวค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา แต่เหมือนกับนางมิรู้สึกถึง
“เจ้าดู ดอกเบญจมาศที่ข้าตั้งอกตั้งใจและเฝ้ารอเหล่านั้นต่างมิมีแล้ว แต่เจ้าลองมองไปยังป่าบ๊วยที่อยู่ตรงนั้น กลับมีดอกตูมผุดขึ้นมาอย่างมากมาย ผ่านไปไม่เพียงกี่วันเท่านั้น มันก็จะบานแล้ว”
“ที่พูดมานั้นมิใช่เพราะข้าปลงอนิจจังกับจุดจบของหลินไต้ยวี่ ข้าเพียงนึกถึงปัญหาหนึ่งมาโดยตลอด เจ้าเป็นแสงสว่าง แล้วเหตุใดในหนังสือกลับมืดมนเยี่ยงนั้น ราวกับได้ปลดความคิดบางส่วนของเจ้าออกมา ในวันนี้ที่เรียกเจ้ามาก็เพราะอยากจะถามเจ้า เจตนาที่แสดงผ่านดอกไม้ของไต้ยวี่ จวนเจี๋ยมืดมนและสกปรกจริง ๆ เยี่ยงนั้นหรือ?”
คำพูดที่ดูไร้ขอบเขตของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยนั้นฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจดี ความจริงแล้วความหมายที่ซ่อนอยู่ในความฝันในหอแดงก็คือความไม่พอใจที่มีต่อราชสำนัก ผู้ประพันธ์ต้องการแสดงความไม่พอใจนี้ผ่านออกมาทางจวนเจี๋ย
ทุกคนที่ได้เห็นบางทีอาจจะเป็นคู่รักที่อยู่ในเรื่องราวของความรุ่งโรจน์และเสื่อมโทรมของภายในจวนเจี๋ย แต่พระสนมซั่งที่ฉลาดหลักแหลม ย่อมเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในนั้น
ฟู่เสี่ยวกวนโค้งคำนับด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวว่า “ความจริง… ข้านั้นโปร่งใส และจะโปร่งใสตลอดกาล”
ซั่งกุ้ยเฟยหันหน้ามองมาที่ฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนจึงกล่าวอีกว่า “ความมืดและความสกปรกของจวนเจี๋ยนั้นเป็นเรื่องจริง ความจริงแล้วมันมิสามารถเสื่อมลงได้ เหตุผลที่แท้จริงก็คือมันขาดแสงสว่างไป ยามที่เขียนตำรา ข้ามิได้ดำดิ่งไปกับหมอกควันนั้น แต่กลับทำให้ข้าเข้าใจหนึ่งหลักการ นั่นก็คือ… แสงสว่างท้ายที่สุดก็ปัดเป่าความมืดมิด ก็เหมือนกับบุปผาที่จะผลิบานได้ในทุกฤดูกาล”
ตอนที่ 164 ข้าเป็นคนดี
“ชมบุปผาฤดูใบไม้ผลิ ชื่นชมจันทราคราใบไม้ร่วง สายลมโชยมายามหน้าร้อน ฤดูหนาวผิงไฟอุ่นท่ามกลางหิมะขาว”
ผู้คนมากมายโหยหาชีวิตที่งดงามเช่นนี้ !
แต่มีสักกี่คนเล่าที่มีชีวิตเยี่ยงนี้ ?
ต่งชูหลานทอดสายตาไปยังทะเลสาบซวนอู่อันไกลออกไป หิมะที่โปรยลงมาคล้ายผีเสื้อที่กำลังโบยบิน กระพือปีกแล้วร่อนลงสู่ทะเลสาบ ณ วินาทีนั้นคล้ายกับตกอยู่ในความฝัน
เกล็ดหิมะเย็นเยือก แต่ต่งชูหลานกลับมองว่าหิมะเหล่านี้เป็นความหวังก่อนก้าวสู่ฤดูที่อบอุ่น
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังพยายามอย่างยิ่งเพื่ออนาคต เขามิใช่ชายหนุ่มที่เที่ยวเตร่ไปวัน ๆ อีกต่อไป เขาเปลี่ยนแปลงตนเองในระยะเวลาสั้น ๆ อีกทั้งยังสามารถรับผิดชอบหน้าที่อันใหญ่หลวง
“ไปเถอะ พวกเราไปซื้อของกัน ข้าเองมาเมืองหลวงตั้งนานแล้วยังมิเคยได้เดินสำรวจร้านค้าต่าง ๆ เลย นี่ก็ใกล้ปีใหม่แล้ว พวกเราไปจัดหาซื้อของกันเถิด” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยจบก็จับมือชูหลานลุกขึ้น
“อืม”
ทั้งสองเดินมายังลานใหญ่ เขาพาซูม่อและชุนซิ่วอีกทั้งบ่าวรับใช้อีกสิบกว่าคนออกจากจวนฟู่ไป
ปีใหม่ใกล้เข้ามาแล้ว ทั่วท้องถนนของเมืองหลวงถูกประดับไปด้วยโคมไฟสวยงามสีสันสดใส
แม้หิมะจะตกลงมาไม่ขาดสาย แต่ความหนาวเหน็บก็มิอาจปิดกั้นบรรยากาศครึกครื้นนี้ได้
ฝูงชนบนท้องถนนเดินกันขวักไขว่ ใบหน้าของทุกคนเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มอันน่ายินดี บรรดาเศรษฐีทั้งหลายล้วนพาบ่าวใช้ออกจ่ายตลาด หรือแม้แต่ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปก็ได้นำเงินที่เก็บสะสมไว้ออกมาเพื่อจับจ่ายใช้สอย ซื้ออาหารและเสื้อผ้าสำหรับปีใหม่เป็นต้น
ลูกเล็กเด็กแดงพากันปั้นหิมะที่ขาวโพลน ในมือของพวกเขาถือประทัดและดอกไม้ไฟเอาไว้ บางคนโยนประทัดไปท่ามกลางกลุ่มคน เมื่อประทัดดังขึ้นผู้คนแตกตื่น เด็กน้อยเหล่านั้นก็หัวเราะได้ใจและวิ่งหนีไปโยนใส่อีกกลุ่มหนึ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานเดินมองดูภาพเหล่านั้น สำหรับฟู่เสี่ยวกวนเขารู้สึกว่านี่มันช่างน่าตื่นตาตื่นใจเสียจริง นี่เป็นการก้าวข้ามปีครั้งแรกนับจากที่เขาเดินทางมายังโลกนี้
ส่วนเรื่องของที่ต้องซื้อหานั้น……ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้เสียเลยว่าต้องซื้อสิ่งใด เนื่องจากสิ่งเหล่านี้ต่งชูหลานเป็นผู้จัดการ
เมื่อหวนนึกถึงในชาติก่อน สมัยเด็ก ๆ เขาก็เคยสัมผัสกับบรรยากาศครึกครื้นเช่นนี้ แม้ว่าในตอนนั้นครอบครัวจะยากจน แต่ในทุก ๆ วันข้ามปีเขาจะได้กินอย่างอิ่มหนำสำราญ
เมื่อโตขึ้นมา เขาได้เดินทางไปยังสนามฝึก ในแต่ละปีเขาราวกับหมาป่าเดียวดายที่เดินอยู่ในสถานที่ที่มืดมิดที่สุดในโลก คำว่าปีใหม่สำหรับเขาห่างเหินออกไปทุกวัน
ดังนั้น ปีใหม่ในความทรงจำของเขาคือการได้กินอาหารอร่อย ๆ เท่านั้น
“ท่านพ่อกล่าวว่าในวันพรุ่งนี้ให้เจ้าไปที่จวนได้ เช่นนี้เรื่องราวต่าง ๆ คงตามมามากทีเดียว” ต่งชูหลานนำผ้าไหมใส่ลงไปในตะกร้าที่บ่าวรับใช้ถือไว้ “เช่นนั้นหมายความว่าท่านพ่อยอมรับเรื่องราวของเราทั้งสองแล้ว ข้าจะต้องพาเจ้าไปยังจวนญาติ ๆ และทำความรู้จักกับพวกเขา อีกทั้งตอนที่เจ้าได้รับบาดเจ็บ ผู้ที่มอบของแด่เจ้านั้นข้าไว้รวบรวมรายชื่อไว้แล้ว บัดนี้เจ้าหายดีก็ควรไปเยี่ยมเยียนพวกเขาสักหน่อย อีกทั้งควรมอบของขวัญกลับด้วย เพื่อแสดงถึงน้ำใจ”
ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจดี เรื่องที่ตนต้องไปทำความรู้จักกับญาติของต่งชูหลานนั้นก็เพื่อให้เรื่องของตนทั้งสองนั้นราบรื่นขึ้น ส่วนเรื่องส่งของกำนัลกลับไปแก่ผู้ที่เคยมอบของขวัญแก่เขานั้น ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เนื่องจากพวกเขาล้วนเป็นตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง การที่เขาเดินทางไปพบพวกเขาด้วยตนเองก็เพื่อต่อไปทำการใด ๆ ในเมืองหลวงสะดวกขึ้น
“ตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจทั้งหกนั้นมิต้องมอบของขวัญหรอก ส่วนญาติ ๆ ของเรา ข้าจะต้องจัดเตรียมของขวัญให้สมศักดิ์ศรี” ฟู่เสี่ยวกวนยิ้ม
ต่งชูหลานยิ้มอย่างเขินอาย นางไม่มีข้อขัดแย้งเกี่ยวกับเรื่องนี้
แม้ว่าบัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนจะมีชื่อเสียง อีกทั้งยังเป็นคุณชายของพ่อค้าที่ดิน แต่บัดนี้เขามีตำแหน่งทางราชการถึงขั้นห้า แต่สำหรับเมืองหลวงแล้ว อำนาจเล็กน้อยเพียงเท่านี้เทียบมิได้กับเมืองหลวงเสียเลย ญาติของนางโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายมารดาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้นัก หากของกำนัลไม่มีคุณค่า เกรงว่าพวกเขาจะมีอคติต่อฟู่เสี่ยวกวนได้
ญาติของนางล้วนต้องการให้นางแต่งงานกับเยี่ยนซีเหวิน พวกเขาจะต้องนำฟู่เสี่ยวกวนไปเปรียบเทียบกับเยี่ยนซีเหวินแน่นอน ซึ่งเรื่องนี้ช่างน่าหนักใจนัก แต่ก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
พวกเขาเดินเลือกซื้อของกระทั่งมาถึงตรอกชิงหลวนอันรุ่งเรือง
ท่าเรือนี้เดิมทีเป็นพื้นที่บันเทิงใหญ่โตที่สุดในเมืองหลวง แต่นับจากถูกชิงเฟิงซี่หยู่เผาทำลายก็มิได้สร้างขึ้นมาใหม่ รอยเขม่าสีดำถูกหิมะสีขาวหนาปกคลุม แต่ยังมิอาจบดบังร่องรอยกำแพงหักพังนั้นได้
ฟู่เสี่ยวกวนหยุดฝีเท้าลงที่นี่เป็นเวลาเนิ่นนาน เขานึกในใจว่าพื้นที่อันแพงโขแห่งนี้ กลับปล่อยให้รกร้างช่างน่าเสียดายยิ่ง การที่ตระกูลชือทำเยี่ยงนี้ เพื่อต้องการให้เขาเห็นหรือให้ผู้ใดเห็นกันแน่ ?
ทันใดนั้นเองมีรถม้าสองคันปรากฏขึ้นเบื้องหน้า รถม้าคันแรกมีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินลงมา ชายผู้นี้ฟู่เสี่ยวกวนรู้จักดี เขาคือชืออีหมิงนั่นเอง ส่วนรถม้าคันหลังมีชายสองคนเดินลงมา ทั้งสองคนนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้จัก
ชืออีหมิงก็กำลังจ้องมองมาที่ฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน เขาตกตะลึงเล็กน้อยและนึกในใจว่า เจ้าปิศาจนี่เดินทางมาเมืองหลวงเมื่อใดกัน ?
แล้วเขาหยุดอยู่ที่นี่ดูสิ่งใด ?
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วเดินหน้าขึ้นไป โบกมือทักทายชืออีหมิง “สวัสดีปีใหม่ อีหมิง ! ”
ชืออีหมิงงุนงงชั่วขณะ ยังไม่ถึงปีใหม่สักหน่อย เสียสติไปแล้วหรือไร ?
เรื่องราวที่พระราชวังจินเตี้ยนเมื่อสองเดือนก่อนยังเขายังจำได้ขึ้นใจ เจ้าหมอนี่มิเพียงแต่ทำให้ท่านลุงกระอักเลือดเสียจนสาหัส อีกทั้งยังทำตัวโอ้อวด ทำให้จอหงวนอย่างเขาไร้บทบาท
ส่วนลึกในใจของชืออีหมิงนั้นเขามิเคยลืมความแค้นที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวน อีกทั้งเขาเคยเอ่ยถามท่านลุงว่าจะปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปง่าย ๆ งั้นหรือ ?
เขายังคงจำค่ำคืนนั้นได้ดี ชือเฉาหยวนนิ่งเงียบไปพักใหญ่ จากนั้นจึงถอนหายใจออกมากล่าวว่าหากฟู่เสี่ยวกวนมิได้พบเข้ากับเหตุการณ์โจมตีนี้ เขาคงมิหยุดเพียงเท่านี้แน่ แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับถูกลอบทำร้าย อีกทั้งองค์ชายห้ายังยื่นมือเข้ามา ความแค้นครั้งนี้……เกรงว่าจะต้องเก็บไว้เสียก่อน
เวลายังอีกยาวไกล !
ท่านลุงชือเฉาหยวนกล่าวไว้ในค่ำคืนนั้น
จากนั้นตระกูลชือก็ได้นำของขวัญชิ้นโตไปให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน เรื่องนี้ชืออีหมิงรู้ดี อีกทั้งเขายังเดินทางไปจวนฟู่ด้วยตนเอง เพียงแต่ในตอนนั้นฟู่เสี่ยวกวนยังนอนอยู่บนเตียงจึงมิได้เจอ หากเจ้านอนอยู่บนเตียงเช่นนั้นทั้งชีวิตคงจะดีไม่น้อย !
ระยะเวลาไม่กี่นาที ชืออีหมิงนึกเรื่องราวต่าง ๆ มามากมาย จากนั้นเขาได้ยิ้มกับตัวเองแล้วโบกมือตอบกลับไป “หายดีแล้วงั้นหรือเสี่ยวกวน ? ”
“ขอบใจเจ้ามาก ข้าหายดีแล้ว ข้าฝากไปเรียนท่านหัวหน้าตระกูลชือว่า ข้าจะเข้าไปเยี่ยมเยียนท่านที่จวนเพื่อขอบคุณจากใจ”
ชืออีหมิงครุ่นคิด เจ้าหมอนี่มีแผนการใดกัน ? แต่มิว่าเรื่องใด หากเป็นความคิดของเขาคงมิใช่เรื่องดีเท่าใดนัก แต่ชืออีหมิงก็มิอาจปฏิเสธได้ เขาเป็นเพียงบุตรชายในตระกูล แต่ฟู่เสี่ยวกวนจะเข้าไปเยี่ยมเยียนท่านหัวหน้าตระกูล ดังนั้นเขาจึงได้แต่ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ต้องดูว่าท่านหัวหน้าตระกูลมีเวลาหรือไม่”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินหน้าเข้ามาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ทำให้ชืออีหมิงตงใจเสียจนถอยหลังไปสองก้าว แววตาของเขาแฝงไปด้วยความตื่นตระหนก เจ้าหมอนี่มีนิสัยแปลกประหลาด หรือคิดจะลงไม้ลงมือกับเขากัน ?
“อีหมิง เจ้าไม่เข้าใจข้าเอาเสียเลย นับจากนี้หากมีเวลา ข้าแนะนำให้เจ้าทำความรู้จักข้าให้มากกว่านี้สักหน่อย แล้วเจ้าจะรู้ว่าแท้จริงข้าเป็นคนดี อย่างเช่นเยี่ยนซีเหวิน ก่อนหน้านี้เขาเข้าใจข้าผิดไป แต่บัดนี้ก็ได้ขจัดความคิดนั้นไปแล้ว”
เป็นคนดีอย่างนั้นรึ ?
หากเจ้าเป็นคนดี บนโลกนี้คงมิมีคนเลว !
แต่เรื่องของเยี่ยนซีเหวินกับฟู่เสี่ยวกวน เขาได้ยินท่านลุงเอ่ยถึง กล่าวว่าเมื่อเยี่ยนซีเหวินไปประจำการที่อำเภอเหยา ก็ได้นำตัวผู้ร้าย 3 คนและหัวคนอีก 800 หัวเข้าสู่เมืองหลวง ท่านลุงกล่าวว่าโจรเหล่านี้เยี่ยนซีเหวินและฟู่เสี่ยวกวนร่วมกันฆ่าทำลาย ฮ่องเต้ทรงพอพระทัยยิ่ง เยี่ยนซีเหวินได้รับคำชมเชยจากฝ่าบาทอีกด้วยว่า “ท่านซือเต้า ลูกชายของท่านช่างเก่งกาจนัก รอบรู้ทั้งบุ๋นและบู้ ในภายภาคหน้าข้าคงมีผู้รับใช้ที่ยิ่งใหญ่และจงรักภักดีเพิ่มอีก 1 คน ! ”
แต่สิ่งที่ประหลาดใจนั่นคือ ในรายงานได้กล่าวถึงฟู่เสี่ยวกวนด้วย แต่ฝ่าบาททรงตรัสเพียงประโยคเดียวว่า “อืม ฟู่เสี่ยวกวนก็มิเลว”
มิมีผู้ใดเข้าใจความหมายของฝ่าบาท เรื่องนี้ก็ได้ผ่านไปท่ามกลางความสงสัย ฝ่าบาทเองก็มิได้ตกรางวัลแต่อย่างใด
แต่จากเรื่องนี้ ชือเฉาหยวนคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องการสานสัมพันธ์กับตระกูลเยี่ยน ดังนั้นความอาฆาตระหว่างฟู่เสี่ยวกวนและเยี่ยนซีเหวินคาดว่าคงคลี่คลายลงแล้ว
ในขณะที่ชืออีหมิงกำลังคิดเรื่องนี้อยู่นั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “พื้นที่แห่งนี้มิเลวเลย เจ้าสนใจจะ……ขายให้ข้าหรือไม่ ? ”
ชืออีหมิงจ้องฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง “เจ้าอย่าได้คิดไป ท่านหัวหน้าตระกูลกำลังจะสร้างหย่งเล่อฟางขึ้นมาใหม่ มิขายให้เจ้าแน่นอน”
“อืม” ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด “เช่นนั้นข้าจะลองไปถามท่านหัวหน้าตระกูลดูอีกที อีหมิง เจ้าควรจะปรับปรุงทัศนคติที่มีต่อข้า ข้าเป็นคนดีจริง ๆ รอให้ข้าจัดการเรื่องราวต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว พวกเราไปร่วมรับประทานอาหารที่หอซื่อฟางดีหรือไม่ ? เยี่ยนซีเหวินก็ใกล้จะกลับมาแล้ว เมื่อถึงเวลาเจ้าไปด้วยกันเถิด อีกทั้งสีส่วง หางเหวินซิงด้วย อ้อ ! ยังมีเซวียตงหลินอีก เมื่อถึงเวลาเรียกพวกเขาให้มาร่วมดื่มเถิด ข้าจะจัดการทุกอย่างไว้ให้ เช่นนั้นเอาตามที่ข้าบอกเมื่อครู่แล้วกัน รอข่าวสารจากข้าละ วันนี้ข้าต้องขอตัวก่อน”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวจบก็เอื้อมมือมาตบไหล่ชืออีหมิงแล้วเดินจากไป ชืออีหมิงขมวดคิ้วมองตามหลังฟู่เสี่ยวกวน เขายังมิได้ตกลงเสียด้วยซ้ำ เหตุใดจึงคิดเองเออเอง !
ชายอีก 2 คนที่มาด้วยกันก้าวขึ้นมาแล้วเอ่ยถามว่า “เขาเป็นใครกัน ? ”
“ท่านพ่อขอรับ เขาก็คือฟู่เสี่ยวกวน”
ชือเฮ่อเสียงขมวดคิ้วมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน ร่างนั้นค่อย ๆ ลับตาไปในฝูงชน
ต่งลูหลานขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย แล้วเอ่ยถามว่า “เจ้ากล่าวมากมายเช่นนั้นกับเขาด้วยเหตุใด ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกแล้วตอบว่า “เขาเป็นถึงจอหงวนในปีนี้ อีกทั้ง……เดิมทีพวกเราก็ตั้งใจไปเยี่ยมเยียนตระกูลใหญ่ทั้งหกมิใช่หรือ ? ในเมื่อวันนี้ได้พบเข้าก็เพียงแต่กล่าวให้รู้ล่วงหน้าเท่านั้น ไม่มีความหมายอื่นใด”
ต่งชูหลานมิได้คิดต่อไป พวกเขาเดินมายังร้านขายเครื่องประดับ พวกเขาซื้ออัญมณีมากมาย จากนั้นไปยังหอเยียนจือเพื่อซื้อแป้งฝุ่น สุดท้ายพวกเขาเข้าไปยังร้านถิงเหม่ยที่อยู่ข้างหอเยียนจือ
นี่เป็นร้านของพวกเขาเอง ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งมาเป็นครั้งแรก
อืม ไม่เลวเลยทีเดียว ป้ายชื่อนี้ได้ทำตามอย่างที่เขาออกแบบไว้ การจัดวางด้านในก็สวยงามประณีต ภายในมีสตรีจำนวนไม่น้อย ร้านนี้ต่อไปคงจะได้รับความนิยมมากทีเดียว
ต่งชูหลานกำชับให้คนนำของที่จัดซื้อส่งกลับไปยังจวนฟู่ จากนั้นนางได้พาฟู่เสี่ยวกวนขึ้นไปที่ชั้นสอง
ต่งซิวเต๋อนั่งอยู่ที่ชั้นสอง ที่นี่คือห้องทำงานของเขา เนื่องจากเขาเป็นบุรุษ หากเดินไปเดินมาที่ด้านล่างเกรงว่าจะไม่เหมาะสม
เมื่อต่งซิวเต๋อมองเห็นฟู่เสี่ยวกวนเขาก็ยิ้มอย่างดีใจ และกล่าวออกมาว่า “เมื่อสักครู่องค์หญิงเก้าเดินทางมาที่นี่ กล่าวว่ามีธุระกับเจ้า”
รัชสมัยเซวียนลี่ ปีที่ 8 เดือนสิบสองวันที่ยี่สิบเจ็ด หิมะแรกของฤดูหนาวที่เมืองหลวงจินหลิงได้ตกลงมาแล้ว
หิมะที่ตกหนักทำให้เมืองจินหลิงที่ใหญ่โตถูกตกแต่งไปด้วยสีเงิน จวนฟู่ที่เมืองหลวงท่ามกลางหิมะที่ตกหนักนี้ก็ได้เปลี่ยนไปจนเหมือนบทกวีเหมือนภาพวาด
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในศาลาเถาหรานและมองไปยังทะเลสาบซวนอู่ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ ในใจนั้นมีเรื่องที่ปลงตกอยู่มากมาย
เพียงพริบตาก็ได้มาถึงโลกนี้เป็นเวลาเจ็ดเดือนกว่าแล้ว เวลามิได้ยาวนาน แต่กลับทำหลายสิ่งหลายอย่างลงไปแล้ว
ซีซานเริ่มเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ นอกจากนั้นการวิจัยและพัฒนาไฟ ดินปืนก็เพิ่งเริ่มต้น ผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นก็ได้ออกขายสู่ตลาดแล้ว หลังจากนี้ สิ่งของที่ดูทำได้อย่างง่ายดายจะนำพาความมั่งคั่งอันมหาศาลมาให้แก่เขา
การก่อสร้างในปีหน้าเป็นเวลาหนึ่งปีที่ภูเขาเฟิ่งหลิน ก็จะได้กลายเป็นเรือนซีซานที่สอง และมีความสำคัญยิ่งขึ้น
และในตอนนี้ก็ได้มีกองกำลังเป็นของตนเอง ถึงแม้จะยังอยู่ในช่วงเติบโต แต่อนาคตกลับน่าคาดหวัง นี่คือหนึ่งในต้นทุนชีวิตของตนเอง
หลังจากนั้นตนเองก็ได้มีสาวงามล่มเมืองมา 2 คน และได้มีฐานะเป็นจิ้นซื่อ ทั้งยังได้เป็นขุนนางว่างงานขั้นห้า
ราวกับทั้งหมดนั้นสวยงามอย่างมาก แต่ความสวยงามนี้ก็เหมือนกับหิมะครั้งใหญ่ ภายนอกนั้นดูขาวสะอาดไร้ที่ติ แต่ฟู่เสี่ยวกวนทราบดีว่าภายนอกที่สวยงามนี้มีอันตรายที่ซุกซ่อนเอาไว้อยู่
หลินหงถูกเขามอบให้กับซูม่อ ลอบส่งไปยังสถานที่ที่มิมีใครสามารถนึกถึงได้
ในตอนนี้นางยังต้องมีชีวิตอยู่ เพราะนาง… รู้มากเกินไปแล้ว!
ลมพัดมา เกล็ดหิมะลอยเข้ามาในศาลาเถาหราน ตกลงที่ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน หนาวเย็นอยู่เล็กน้อย
ชุนซิ่วปรี่เข้ามาโดยที่ยกเตาอุ่นมาด้วยอารามกระทืบเท้า และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ติดบ่นเล็กน้อย “คุณชายเจ้าคะ อากาศเย็นถึงเพียงนี้ออกมาทำไมเจ้าคะ หากหนาวจนไปทำให้ร่างกายย่ำแย่จะทำเยี่ยงไรเจ้าคะ?”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเบา ๆ และกล่าวว่า “ร่างกายคุณชายของเจ้ามิได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น”
“ตอนที่ออกเดินทางนายท่านก็ได้ย้ำนักย้ำหนา ที่จินหลิงหนาวกว่าที่หลินเจียงมากนะเจ้าคะ ข้าจึงต้องดูแลท่านให้ดี… หากท่านป่วยขึ้นมา ข้าจักอธิบายกับนายท่านว่าเยี่ยงไรเจ้าคะ ?”
“เอาล่ะ ๆ เตาไฟนี้ดีอย่างมาก วางลงเถิด นานมากแล้วที่มิได้เห็นหิมะตก ข้าจึงอยากจะดู”
ชุนซิ่วครุ่นคิดว่าควรตุ๋นซุปไก่โสมมาบำรุงให้แก่คุณชายเสียหน่อย จึงได้กลับไปในเรือน ฟู่เสี่ยวกวนวางเตาลงที่ข้างเท้า คิดไปว่าหากมีมันเทศวางย่างอยู่บนเตานี้ด้วยก็คงมิเลว
เพียงไม่นานต่งชูหลานก็มาถึงโดยที่สวมเสื้อขนสัตว์ มือถือร่มกระดาษท่ามกลางสายลมและหิมะ ฟู่เสี่ยวกวนมองไปทางนาง ทันใดนั้นก็ตื่นตะลึง
เส้นผมสีอ่อนปลิวไปตามสายลม สวมชุดสีขาวที่ขาวยิ่งกว่าหิมะ ราวกับนางฟ้าที่บินลงมาบนโลกมนุษย์ในภาพวาด
เมื่อเข้าไปใกล้ ก็ได้เห็นใบหน้าสวยได้รูปที่แดงปลั่งราวกับดอกโบตั๋นที่เบ่งบาน ดวงตาคู่นั้นบนใบหน้าได้รูปสั่นระริกราวกับมีระลอกคลื่น
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืนและเดินเข้าไป ต่งชูหลานทิ้งร่มกระดาษในมือแล้ววิ่งมาหาเขา ความสุขบนใบหน้านั้นมิอาจซ่อนเอาไว้ได้ ราวกับการรอคอยที่ทรมานมานับพันปี
นางปรี่เข้าหาอ้อมกอดของฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนอุ้มนางเอาไว้ หมุนวนไปมาท่ามกลางลมหิมะ มิได้ว่องไว แต่ราวกับเป็นการเต้นรำที่งดงามที่สุด
หนึ่งแขนของต่งชูหลานเหนี่ยวรั้งคอของฟู่เสี่ยวกวน สีแดงระเรื่อบนใบหน้าได้รูปยิ่งดูสวยงาม ดวงตาคู่นั้นก็เริ่มพร่ามัว ราวกับสายหมอกท่ามกลางลมหิมะ
ในยามนี้ไร้เสียง
หิมะร่วงหล่นระหว่างคิ้วของนาง หนึ่งปากหยุดอยู่ระหว่างริมฝีปากของนาง
ดวงตาปิดลงอย่างเชื่องช้า ในยามนี้จิตใจถึงได้สงบลง
……
…..
“หนึ่งเดือนกว่าผ่านมานี้… ข้าและเวิ่นหวินมักจะมาที่นี่ อือ พวกเรามักจะมานั่งที่ศาลาเถาหรานนี้ พูดคุยกันเรื่องกิจการ พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของเจ้า” ต่งชูหลานนั่งผิงไฟอยู่ข้างเตา ริ้วแดงบนใบหน้ายังมิหายไป งดงามยิ่งขึ้นยามอยู่ภายใต้แสงไฟที่สะท้อนมา จนผู้มองอย่างฟู่เสี่ยวกวนใจเต้นระรัว จะทำอย่างไรกับสาวน้อยผู้นี้ดี ?
ต่งชูหลานเหลือบสายตามองสายตาที่ร้อนแรงของฟู่เสี่ยวกวนก็กลอกสายตาใส่ “เหล่าท่านลุงมิใช่บอกว่าจะกลับมาเมืองหลวงพร้อมเจ้าหรือ ? เหตุใดจึงมิมากัน ? เจ้าอยู่ที่หลินเจียง ทุกอย่างดีหรือไม่ ?”
แย่แล้ว ๆ ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวว่า “เพราะมารดาทั้งห้าของข้าต่างตั้งครรภ์ทั้งหมด และมิสามารถทนความยากลำบากของการเดินทางได้ ข้าคิดว่า… หลังข้ามปีจะให้ท่านพ่อไปที่บ้านของเจ้าเพื่อสู่ขอ เจ้าว่าดีหรือไม่ ?”
ต่งชูหลานก้มหน้าทันพลัน ขบเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ขนตาแพยาวสั่นไหว กล่าวเสียงแผ่วจนแทบจะมิได้ยิน “เป็นปีหน้าจะดีที่สุด หลังจากช่วงข้ามปีก็ยังคงวุ่นวายอยู่บ้าง ท่านพ่อของข้าคงมิกล่าวขัดขวางอันใดอีก แต่ทางท่านแม่คงมีความรู้สึกคัดค้านในใจ หลังจากที่เจ้าไป องค์หญิงใหญ่ก็เคยเสด็จประพาสมาที่จวน เคยกล่าวกับท่านแม่เรื่องความดีของเจ้า เชื่อว่าท่านแม่เองก็เข้าใจพระประสงค์ขององค์หญิงใหญ่”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “ข้ากลับกังวลใจกับเรื่องนี้อย่างมาก ข้าคิดเยี่ยงนี้ ช่วงข้ามปีนี้ข้าอยากจะไปเยี่ยมเยียนบิดาและมารดาของเจ้า หวังว่าจะได้ไปพูดคุยต่อหน้าพวกท่าน จนถึงวันนี้ก็ยังมิเคยได้พบกับท่านแม่ยายเลย ท่านคงยังมิทราบสิว่าข้านั้นหล่อเหลาขนาดไหน หากหลังจากที่ไปพบแม่ยายแล้วท่านชอบ เยี่ยงนั้นเรื่องของเราก็มิสำเร็จใช่หรือไม่ ?”
ต่งชูหลานเหลือบสายตามองฟู่เสี่ยวกวน “ก็สวยสิ… เรื่องนี้เจ้าจงรอข่าวคราวจากข้า ราชสำนักจะพักในวันพรุ่งนี้ คืนนี้ข้าจะลองกล่าวกับท่านพ่อ ดูว่าเขามีความคิดเห็นเยี่ยงไรบ้าง”
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็กุมมือของต่งชูหลานเอาไว้ในมือ และหัวเราะอย่างโง่งม
“เจ้าหัวเราะอันใดกัน”
“ชูหลาน ข้าอยากจะแต่งงานมากจริง ๆ ”
“ข้า แท้จริงแล้วข้าเองก็อยาก”
ฟู่เสี่ยวกวนคว้าต่งชูหลานมากอดไว้ในอ้อมกอด การเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของปีศาจ ที่นี่สวยงามอย่างไร้ที่สิ้นสุด ราวกับต้นดอกท้อนับหมื่นกำลังเบ่งบาน
มีหนึ่งหมื่นคำที่ถูกละไว้ในที่นี้
**ผ่อนลงทีละน้อย ต่งชูหลานถอนหายใจออกมา ราวกับได้ประสบกับพายุที่โหมกระหน่ำ
นี่คือความรักที่ลึกซึ้ง เคลิบเคลิ้มและดื่มด่ำ ขาดแต่เพียงการสัมผัสที่น่ายินดีครั้งสุดท้ายที่เป็นขั้นตอนที่สวยงามที่สุดที่คนต่างรอคอย
“เจ้าคนชั่ว มิกลัวผู้ใดมาเห็นเลยหรือ”
“เจ้าดูสิ ท้องฟ้าเต็มไปด้วยลมหิมะ จะมีผู้ใดมาเห็นได้กัน มิหนำซ้ำ… พวกเราก็เป็นความลับ”
ต่งชูหลานกัดริมฝีปากและจ้องฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง “เพียงครั้งนี้เท่านั้น ก่อนที่จะได้แต่งงานกัน เจ้าก็ห้ามมาลูบ มาแตะต้องตัวข้าอีก !”
ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูก และเอ่ยบทกวีออกมากด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ
ขอท่านอย่าอาวรณ์อาภรณ์สวย
จงฉกฉวยเวลาวัยหนุ่มสาว
ยามดอกไม้เบ่งบานรีบเด็ดเอา
อย่ารอจนเหี่ยวเฉาทิ้งกิ่งไป
ดวงตาคู่สวยของต่งชูหลานมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนอย่างอ่อนโยน กวางน้อยในใจกระโดดโลดเต้น กับเพียงแค่บทกวีที่เอ่ยออกมาตามใจปาก แบบนั้นทั้งชีวิตนี้ก็คงถูกเขารังแก
“แท้จริงแล้วข้านั้นมิได้มีความทะเยอทะยานอะไรที่ยิ่งใหญ่นัก ในอดีตคิดแต่เพียงจะเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินหลินเจียงอย่างสงบ ความจริงแล้วตอนนี้ข้าก็ยังคงคิดเช่นนั้นอยู่ จนกระทั่งได้พบกับเจ้า หลังจากนั้นก็ได้พบกับเวิ่นหวิน ข้ารู้สึกว่าตนเองควรพยายามให้มากยิ่งขึ้น ถึงแม้จะเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดิน ก็ต้องเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินที่มีอิสระลอยตัว”
“อยากจะใช้ชีวิตอย่างอิสระ ก็ต้องมีต้นทุนของอิสระ ดังนั้นจึงได้ติดตามการตรวจสอบการฉ้อโกงของราชสำนัก ข้าจึงได้มาถึงเมืองหลวง ในอนาคตอันใกล้นี้ พื้นฐานแล้วหากข้าได้อยู่ที่เมืองหลวง เต็มที่ก็คงเป็นขุนนาง เป็นขุนนางที่ดี เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ เป็นขุนนางในแบบที่สามารถปกป้องครอบครัวของเราได้”
“หลังจากนั้น… ข้าจักลาออกจากการเป็นขุนนาง และชมดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิ มองดวงจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วง รับลมเย็นฤดูร้อน และฟังเสียงหิมะฤดูหนาวไปกับพวกเจ้า นี่ต่างหากคือชีวิตที่ข้าไล่ตาม นี่ต่างหากที่จะคุ้มค่ากับการมาโลกนี้ของข้า”
ตอนที่ 162 เรื่องเก่าเมื่อหลายปีก่อน
รัชสมัยเซวียนลี่ ปีที่ 8 เดือนสิบสองวันที่ยี่สิบ เมื่อฟู่เสี่ยวกวนกลับมายังเรือนซีซานก็ได้นำแผนงานต่าง ๆ ที่ภูเขาเฟิ่งหลินให้แก่จางเช่อ อีกทั้งจัดการเรื่องงานปีใหม่เรียบร้อยแล้วจึงพาซูม่อกลับหลินเจียง
ฉินเฉิงเย่มิได้กลับไปด้วย เขากล่าวว่าสำนักอาวุธปืนเพิ่งจะสร้างแล้วเสร็จ ยังมีอีกหลายอย่างต้องจัดการ จึงได้ไหว้วานให้ฟู่เสี่ยวกวนนำจดหมายฉบับหนึ่งกลับไปให้ปู่ของตน
ไป๋ยู่เหลียนก็อยู่ต่อที่ซีซานเช่นกัน ประการแรกเพื่อปกป้องภูเขาซีซาน ประการที่สองนั้นเนื่องจากเขามิต้องการให้ทหารเหล่านี้หยุดการฝึกฝนอย่างเข้มงวด
ณ เมืองหลินเจียง บัดนี้เริ่มมีบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลองปีใหม่ บนท้องถนนประดับโคมไฟสวยงาม ใบหน้าของผู้คนเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันยินดีปรีดา บรรดาสตรีก็พากันเก็บกวาดเพื่อต้อนรับปีใหม่
เมื่อกลับมายังจวนฟู่ ฟู่เสี่ยวกวน ฟู่ต้ากวนอีกและแม่ทั้งหกนั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ ภายในมีกองไฟจุดอยู่ เพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกายในความหนาวเหน็บเช่นนี้
สีหน้าของฟู่ต้ากวนดูมีชีวิตชีวาไม่น้อย ใบหน้าอันอุดมสมบูรณ์นั่นมองไปคล้ายกับคลายความกังวลไปมากทีเดียว
แม่ทั้งหลายก็เช่นกัน แต่เมื่อพวกนางมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้วนึกในใจว่า ลูกคนนี้……ผอมลงอีกแล้ว
“พ่อมีเรื่องจะปรึกษากับเจ้าสักหน่อย การเดินทางไปเมืองหลวงครานี้ เกรงว่าพ่อจะไปด้วยมิได้เสียแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักลงเล็กน้อย “เราตกลงกันแล้วมิใช่หรือ ? เหตุใดจึงเปลี่ยนใจกันเล่าท่านพ่อ ? ”
“เอ่อ คือว่า แม่ทั้งห้าของเจ้าบัดนี้ได้ตั้งครรภ์แล้ว ระยะทางไปเมืองหลวงไกลโข พวกนางเพิ่งจะตั้งครรถ์อ่อน ๆ มิอาจทนต่อการเดินทางยาวไกลได้ ปีหน้า ! ปีหน้าพวกเราจะไปด้วยแน่นอน”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วมองไปยังแม่ทั้งห้าของเขาที่บัดนี้เต็มไปด้วยรอยยิ้มและท่าทางเขินอาย
ท่านพ่อ……มีความสามารถมากจริง ๆ !
ฟู่เสี่ยวกวนนับถือฟู่ต้ากวนยิ่งนัก ระยะเวลาเพียง 3 เดือน เขาทำได้จริงเสียด้วย !
ฟู่ต้ากวนหัวเราะหึ ๆ แล้วกล่าวว่า “แม้ว่าพวกเราจะมิได้เดินทางไปด้วย แต่เจ้ายังคงต้องเดินทางไปตามเดิม สัญญากับพวกนางไว้แล้ว จะผิดสัญญามิได้ ข้าได้จัดแจงเรื่องเรือสำหรับเดินทางไปเมืองหลวงให้แล้ว ออกเดินทางค่ำคืนนี้ เนื่องจากเวลามีจำกัด พ่อเองก็มิรั้งเจ้าไว้ให้อยู่ต่อสักสองสามวัน”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดดู ในจวนก็ครึกครื้นเนื่องจากมีแม่ทั้งห้าแล้ว ส่วนเขาก็จำเป็นจะต้องเดินทางไปเมืองหลวงสักหน่อย เนื่องจากหนังสือขออนุญาตฝึกทหารยังมิแล้วเสร็จ เรื่องนี้ว่าเล็กมิเล็ก ว่าใหญ่มิใหญ่ แต่หากไม่มีหนังสือนี้ เกรงว่ามีผู้ใดจ้องเล่นงานทหารทั้งสองพันกว่าคนของเขาเข้า คงลำบากไม่น้อย
อีกทั้งต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินเขียนจดหมายมาถึงเขา หวังว่าเขาจะเดินทางไปเมืองหลวงในปีใหม่นี้
“ขอรับ เรื่องนี้ข้าเข้าใจดี”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวจบก็หยิบแผนงานที่ภูเขาเฟิ่งหลินออกมามอบให้ฟู่ต้ากวน “นี่คือแผนงานในปีหน้า ช่วงแรกจะต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย ท่านพ่อช่วยจัดเตรียมให้ข้าด้วย อีกทั้งการเดินทางไปเมืองหลวงครานี้ข้าคงมิได้กลับมาในเวลาอันเร็ว เรื่องต่าง ๆ ที่ภูเขาซีซานนั้นข้าได้กำชับให้จางเช่อจัดการดูแลเรียบร้อยแล้ว หากท่านพ่อมีเวลา ช่วยไปตรวจงานให้ข้าด้วยขอรับ”
เขาหยิบน้ำหอมและสบู่ออกมาจากกล่องที่วางอยู่ข้าง ๆ แล้วกล่าวว่า “สิ่งนี้เรียกว่าสบู่ ใช้ชำระร่างกายให้หอมสะอาด พวกท่านลองนำไปใช้ดู ของสิ่งนี้ยังมิได้วางขายที่หลินเจียง แต่จะนำไปขายที่เมืองหลวงก่อน ส่วนน้ำหอมนี้พวกท่านรู้จักดี ข้ามอบให้พวกท่านเอาไว้ใช้ น้ำหอมนี้ก็จะวางขายในเมืองหลวงก่อนเช่นกัน”
ฟู่ต้ากวนพยักหน้า “เรื่องที่ซีซานเจ้ามิต้องเป็นกังวลไป จงไปจัดการเรื่องที่เมืองหลวงอย่างสบายใจเถิด ข้ายังยืนยันคำเดิมว่า สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการรับราชการ เพียงแค่เจ้าได้รับราชการที่เมืองหลวง การค้าต่าง ๆ ก็จะเป็นไปได้อย่างราบรื่น อีกทั้งยังสามารถขยายวงกว้างขึ้นอย่างง่ายดาย ต่อไปตระกูลฟู่คงต้องพึ่งพาเจ้าแล้ว ที่เมืองหลวงนั้นอันตราย เจ้าจงดำเนินการทุกเรื่องด้วยความระมัดระวัง สองวันมานี้พ่อคิดดูแล้ว หากเจ้ามิมีความสามารถเพียงพอก็จงอยู่ที่หลินเจียงเถิด มีความสุขกว่ามากนัก”
ฟู่ต้ากวนมิได้เอ่ยออกมาตามตรงว่าเขามีความเป็นห่วงบุตรชายของเขาเพียงใด ตระกูลฟู่มิได้มีอำนาจใดในราชวัง หากบุตรชายของตนต้องการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เกรงว่าเป็นเรื่องยากทีเดียว!
แม้ว่าที่สะใภ้ทั้งสองมีชื่อเสียงอำนาจก็จริงอยู่ แน่พวกนางก็เป็นสตรี หากบุตรชายของตนก่อเรื่องขัดใจผู้เป็นใหญ่เป็นโตเข้า พวกนางก็มิอาจช่วยได้
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วพยักหน้าตอบรับ เขาเอ่ยอำลาท่านพ่อและแม่ทั้งหก จากนั้นเดินเข้าไปยังสวนด้านหลัง
เขานั่งลงที่ศาลาเหลียงถิง อากาศหนาวเย็นเล็กน้อย เขาให้ชุนซิ่วนำที่รองนั่งมาจากนั้นกำชับให้ซูม่อเรียกหลินหงเข้าพบ
นับจากที่ได้พาตัวแม่นางหลินหงมาจากหอเยียนจือ ฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยถามนางสองสามครั้ง แต่ในทุกครั้งก็มิได้มีข้อมูลใดเพิ่มเติม ในวันนี้เขาตัดสินใจถามนางอีกครั้งหนึ่ง
“เชิญนั่งเถิด แม่นางหลิน”
หลินหงนั่งตรงข้ามกับฟู่เสี่ยวกวน นางมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนตลอดเวลา เขาผู้นี้ยิ่งมองยิ่งไม่เข้าใจ นางมิรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนเชื่อในสิ่งที่นางกล่าวไปหรือไม่ หากเชื่อละก็ นางคิดว่าเขาจะฆ่านางเสีย หากเขาไม่เชื่อละก็ เหตุใดเขาจึงยังถามนางมิหยุดหย่อน ?
ฟู่เสี่ยวกวนต้มน้ำชากาหนึ่ง จากนั้นเอ่ยว่า “แม่นางหลิน ท่านพ่อของเจ้าเคยเป็นรองนายพลของกองทัพใต้ ในรัชสมัยเซวียนลี่ ปีที่ 2 ท่านพ่อของเจ้าได้กระทำความผิด ฝ่าบาทจึงทรงรับสั่งให้ประหารชีวิตในปีต่อมา”
หลินหงมีท่าทีตกใจ ดวงตาทั้งสองนั้นมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยความสงสัย แต่เขามิได้เงยหน้ามองนางแม้แต่น้อย “แม่นางหลิน เจ้าเองได้ถูกส่งไปยังกรมเจี้ยวฟางในรัชสมัยเซวียนลี่ ปีที่ 2 เช่นกัน ในตอนนั้น……เจ้ายังเด็ก อายุเพียง 15 ปี”
“รัชสมัยเซวียนลี่ ปีที่ 3 ฤดูใบไม้ร่วง มีการประกาศตัดหัวนักโทษ ท่านพ่อของเจ้าคือหนึ่งในนั้น ทุกคนล้วนคิดว่าท่านพ่อของเจ้าถูกลงโทษประหารชีวิตไปแล้ว แต่แท้จริงมิได้เป็นเช่นนั้น บัดนี้ท่านพ่อของเจ้าอยู่ที่หลิ่งหนาน แม้ว่าที่นั่นจะค่อนข้างลำบาก แต่อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่ ทุกคนได้อยู่พร้อมหน้ากัน ยกเว้นเจ้า”
หัวใจของหลินหงคล้ายถูกบีบ นางกำมือไว้แน่น รู้สึกว่าบัดนี้ร่างกายได้สั่นสะท้าน
“เจ้าดูเองเถิด เรื่องเหล่านี้เจ้ามิได้บอกข้าแต่ข้าก็รู้ ข้ายังรู้อีกว่าการกระทำของจ้าวซื่อและหยางซีเป็นคำสั่งของเจ้า ประหลาดใจใช่หรือไม่ ? ถึงเวลาที่เจ้าจะบอกกับข้าแล้ว ผู้ใดกันที่มีความสามารถในการช่วยเหลือพ่อเจ้า? ข้อแลกเปลี่ยนที่เจ้าตกลงกับเขาคืออะไร ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาลงในถ้วย ยื่นให้หลินหง จากนั้นมองไปยังหน้าของนางซึ่งยังคงไร้ความรู้สึกใด ๆ
ผ่านไปเนิ่นนาน ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เอาเถอะ ข้าจะบอกกับเจ้าอีกสักหน่อยก็ได้ว่า จงจำไว้ให้ดี ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าถามเจ้า หากเจ้ายังคงยืนยันที่จะนิ่งเงียบ……ข้าคงต้องขออภัยล่วงหน้า ในเมื่อข้ารู้ว่าพ่อของเจ้าอยู่ที่หลิ่งหนาน แน่นอนว่าข้ามีความสามารถที่จะหาเขาจนพบ ข้าจำได้ว่าเจ้ายังมีน้องชายอีกคนหนึ่ง”
“รัชสมัยเซวียนลี่ ปีที่ 3 ฤดูใบไม้ผลิ เจ้าของหอเยียนจือได้เดินทางไปพบเจ้า ณ กรมเจี้ยวฟาง ผ่านไปสิบกว่าวัน นางได้พาตัวเจ้าออกจากกรมเจี้ยวฟางเพื่อเดินทางไปยังหอเยียนจือ จากความสามารถของเจ้าเดิมทีสามารถเป็นดาวเด่นที่หอเยียนจือได้ไม่ยาก แต่เจ้ามิทำเช่นนั้น เจ้าพยายามทำตัวให้เรียบง่ายที่สุด น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเจ้ากำลังทำสิ่งใด จนกระทั่งมาพบเข้ากับข้าที่บังเอิญได้ยินหยางซีเอ่ยถึงเจ้า ข้าจะบอกกับเจ้าให้ว่า หากข้ามิได้ลักพาตัวเจ้าออกมาเสียก่อน เจ้าเองก็คงตายเสียแล้ว มิใช่ตายด้วยการโจมตีจากชิงเฟิงซี่หยู่ แต่ในค่ำคืนนั้นมีกลุ่มลอบสังหารอีกหนึ่งกลุ่ม เนื่องจากเจ้าได้เผยตัวตนแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อีกต่อไป บัดนี้คนเหล่านั้นยังคงตามหาตัวเจ้าอยู่ หากข่าวของเจ้าแพร่สะบัดไป เกรงว่าเจ้าคงมีชีวิตอยู่ไม่เกินคืนนี้”
“จีหลินชุนมิได้มีความสามารถมากถึงขนาดช่วยเหลือพ่อของเจ้าได้ ผู้ที่บงการเรื่องนี้ คือผู้ใด ? ”
ตอนที่ 161 แผนการใหญ่
เพราะการมาของฟู่เสี่ยวกวน จึงทำให้คนในภูเขาต้วนหุนซานมีแรงกำลังใจกันมากยิ่งขึ้น
ฟู่เสี่ยวกวนไปตรวจสอบเหมืองแร่ตามการนำทางของเฝิ๋งหล่าวซื่อ เขามิมีแนวคิดใดกับสิ่งนี้ แต่รับรู้อยู่หนึ่งเรื่อง นั่นคือปัญหาความปลอดภัยของเหมืองแร่
“ตอนนี้พวกเรามีปูนซีเมนต์แล้ว เหมืองนี้จึงต้องแข็งแรงมากพอ เพื่อมิให้เกิดการถล่ม ข้อคิดเห็นของข้าคือจะสามารถนำปูนซีเมนต์มาเสริมความแข็งแกร่งเหมืองนี้ได้หรือไม่ และเหมืองนี้หากขุดไปได้ในระยะหนึ่งคาดว่าจะเกิดการรั่วซึมของน้ำ พวกเจ้าจงอย่าลืมหาวิธีการรับมือที่ดี จะหยุดไปก็ได้ แต่ห้ามเกิดอุบัติเหตุเด็ดขาด !”
ที่ได้ฟังมา คุณชายใช้เงินมหาศาลถึงจะได้เก็บเกี่ยวได้มากอย่างในตอนนี้ แต่คุณชายยอมให้หยุดได้เพื่อความปลอดภัยของพวกเรา ยอมสูญเสียเงินจำนวนมากไปเปล่า ๆ เพื่อให้พวกเรามีชีวิตอยู่ต่อ
คุณชาย… ยิ่งใหญ่นัก
หลังจากที่เฝิ๋งหล่าวซื่อและนายช่างทั้งหลายที่ได้ยินเยี่ยงนั้นก็ค่อนข้างซาบซึ้ง เมื่อเข้าใจความตั้งใจของคุณชายแล้ว ก็ตั้งมั่นแล้วว่าจะมิให้เกิดปัญหาใด ๆ ขึ้นที่เหมืองแร่นี้เด็ดขาด
หลังจากนั้นเฝิ๋งหล่าวซื่อก็พาฟู่เสี่ยวกวนออกมาจากเหมืองแร่ ใช้เวลาอยู่สองวันเต็ม เขาได้พาฟู่เสี่ยวกวนไปยังภูเขาที่อยู่ใกล้เคียง ฟู่เสี่ยวกวนได้มีความประทับใจคราแรกกับที่นี่
นี่คือสถานที่ที่ดี !
ทางด้านซ้ายของภูเขายิงโฉวซานเป็นภูเขาสูงชัน ง่ายต่อการป้องกันยากต่อการโจมตี ทางด้านขวาของภูเขาชูหยุนซานสูงตระหง่านเสียดเมฆา บนเขาเป็นป่าทึบ แต่ด้านล่างของภูเขานั้นกลับเป็นที่ราบขนาดใหญ่
โครงสร้างของภูเขายิงโฉวซาน ภูเขาต้วนหุนซานและภูเขาชูหยุนซานราวกับล้อมเข้าหากัน ทางเชื่อมต่อของภูเขายิงโฉวซานและภูเขาต้วนหุนซานอยู่ใกล้กันมาก เฝิ๋งหล่าวซื่อกล่าวว่าที่แห่งนั้นเรียกกันว่าท้องฟ้ารำไร ค่อนข้างคล้ายคลึง และระยะห่างระหว่างภูเขาต้วนหุนซานและภูเขาชูหยุนซานค่อนข้างห่าง กระแสน้ำสายนี้ไหลผ่านระหว่างเขาทั้งสอง ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ด้านล่างของภูเขาชูหยุนซานอยู่ทางด้านขวาของแม่น้ำ
ในหัวของฟู่เสี่ยวกวนได้มีแผนการที่ใจกล้าขึ้นมา เขาอยากจะสร้างที่นี่ให้เป็นฐานที่ตั้งของซีซาน
หากได้บุกเบิกพื้นที่ราบด้านล่างของภูเขาชูหยุนซาน อย่างน้อยก็ได้ถึงหนึ่งล้านหมู่ และมิมีความกังวลทางด้านชลประทาน
บนภูเขายิงโฉวซานและภูเขาต้วนหุนซานติดตั้งกองเฝ้าระวัง หุบเขาภูเขาต้วนหุนซานทั้งหมดถูกวางไว้เป็นโรงหลอมและโรงตีเหล็ก คนงานจำนวนมากสามารถพักที่นี่ได้ ได้อยู่ใกล้บริเวณที่ทำงาน
และตีนภูเขาชูหยุนซานก็สามารถสร้างหมู่บ้านได้ เหล่าคนซีซานที่สร้างครอบครัวแล้วก็สามารถแบ่งบ้านและทุ่งนาภายในหมู่บ้านนั้นได้ เยี่ยงนั้นพวกเขาจึงจะถือว่าตั้งรกรากได้ และจะมิมีความคิดที่จะจากไปอีก
จะสร้างโรงหมอและสำนักศึกษาภายในหมู่บ้าน เยี่ยงนั้นก็จะคลายความกังวลที่อยู่ด้านหลังของพวกเขาได้โดยสมบูรณ์
ลงไปตามลำธารหยุนซีอีกหลายลี้ก็จะเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ เฝิ๋งหล่าวซื่อกล่าวว่าสายน้ำของลำธารหยุนซีจะไหลจากภูเขาเฟิ่งหลินหลังจากนั้นจะไปยังอำเภอเหยา ท้ายที่สุดก็จะไหลไปแม่น้ำแยงซี ฟู่เสี่ยวกวนชอบที่นี่เป็นอย่างมาก เพราะมีเกาะอยู่กลางทะเลสาบ ภูมิทัศน์ของที่นี่ดีอย่างมาก เขารู้สึกว่าควรสร้างคฤหาสน์ตากอากาศบนเกาะนั้น หลังจากที่ได้เกี่ยวดองกันแล้ว ก็จะพาต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินมาพักที่นี่ยามฤดูร้อน เยี่ยงนั้นคงจะงดงามเป็นอย่างยิ่ง
เพราะเกี่ยวข้องกับเวลา เขาจึงไม่ได้ไปเทือกเขาที่อยู่ห่างออกไป เรื่องนี้จึงมอบให้กับไป๋ยู่เหลียน ให้ไป๋ยู่เหลียนพาขบวนไปที่ภูเขา หนึ่งเพื่อฝึกฝน สองเพื่อสำรวจทาง
เมื่อกลับมาถึงเรือนที่ต่อเติมชั่วคราว ฟู่เสี่ยวกวนก็เรียกเฝิ๋งหล่าวซื่อให้หาผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจและธรณี นั่งกันอยู่เต็มห้อง
เขากำลังเขียน ๆ วาด ๆ อยู่โต๊ะตรงกลาง หลังจากนั้นก็เงยหน้ามองกลุ่มคนที่เดินเข้ามา และกล่าวยิ้ม ๆ “เป็นแบบนี้ ภายภาคหน้าข้าอยากย้ายจุดศูนย์รวมมาไว้ที่นี่ ไม่กี่วันนี้ข้าและเฝิ๋งหล่าวซื่อก็ได้เริ่มออกเดินไปในขั้นต้นแล้ว เกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา ตอนนี้จึงอยากหารือกับพวกเจ้าเสียเล็กน้อย ลองดูว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ อย่างไรแล้วพวกเจ้าก็เชี่ยวชาญยิ่งกว่าข้า”
เหล่าอาจารย์ที่ได้ยินเยี่ยงนั้น ก็ปลื้มปริ่มทันพลัน ถึงแม้จะได้ยินมานานแล้วว่าคุณชายอ่อนน้อมถ่อมตน แต่หลังจากที่ได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดในวันนี้ก็รู้สึกอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งลูบเคราและกล่าวอย่างจริงจัง “คุณชายโปรดกล่าวมาเลยขอรับ ข้าและคนอื่นจะให้คำปรึกษาแก่คุณชายเอง”
“เอาล่ะ พวกเจ้าลองอ่านสิ่งนี้…” ฟู่เสี่ยวกวนส่งรูปภาพที่ใช้ถ่านวาดและมีข้อความกำกับใต้รูปสองสามฉบับให้กับผู้อาวุโสท่านนั้น แล้วจึงเอ่ยถามว่า “เจ้ามีนามว่าอะไร”
“อ่า ข้าน้อยแซ่ฉ้ายนามหมิง หมิงที่มาจากดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ที่สว่าง”
“โอ้…” ฟู่เสี่ยวกวนชะงักไปเล็กน้อย นามนี้ดี จำได้ง่ายดี
“เนื่องจากพวกเราได้ซ่อมถนนมาจนถึงเบื้องล่างภูเขาต้วนหุนซานนี้แล้ว สิ่งที่ข้าคิดไว้ก็คือว่าจะสามารถพัฒนาสถานที่ใกล้เคียงนี้ไปด้วยได้หรือไม่ พวกเจ้าอ่านจบแล้วก็ลองเสนอแนวคิดมา จำได้ว่าการคบค้าสมาคมกับคุณชายเยี่ยงข้านั้น ข้าสนใจแต่เพียงพูดทุกอย่างที่รู้ให้หมดเปลือก คุณชายอย่างข้ามิมีทางลงโทษเพียงเพราะความคิดเห็นของพวกเจ้ามิตรงกัน”
ทุกคนต่างพยักหน้า ต่างก็ก้มอ่านทีละคน หลังจากผ่านไปได้ครึ่งชั่วยาม เหล่านายช่างที่ได้อ่านแผนการของฟู่เสี่ยวกวนจนจบแล้ว ต่างก็ตกใจกันทั้งสิ้น
นี่มันมากกว่าแผนการแล้ว นี่เรียกได้ว่าเป็นการสร้างเมืองเล็ก ๆ ขึ้นที่นี่ !
“เงินลงทุนในการจัดการครานี้… คุณชายได้ลองเตรียมงบประมาณโดยรวมแล้วหรือไม่ขอรับ ?”
“มิต้องคำนึงถึงเงินทุน ที่ข้าอยากทราบก็คือโครงสร้างธรณีของสถานที่นี่มีปัญหาหรือไม่ ตัวอย่างหากสร้างหมู่บ้านที่ด้านล่างภูเขาชูหยุนซานนี้ จะได้รับผลกระทบจากโคลนถล่มหรือไม่ ลำธารหยุนซีนี้จะก่อให้เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์เพราะระดับน้ำที่ขึ้นสูงในฤดูฝนหรือไม่ โครงสร้างธรณีบนภูเขายิงโฉวซานมั่นคงหรือไม่ รวมไปถึงหุบเขาที่เราอยู่กันในตอนนี้ จะมีอันตรายอยู่ในที่นี้หรือไม่”
จากนั้นอาจารย์ที่อายุน้อยอีกท่านหนึ่งก็กล่าวขึ้นมา “จากบันทึกของอำเภอเหยา ภูเขาเฟิ่งหลินลูกนี้มิเคยเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่มาก่อน ในตอนที่ทำการสำรวจเหมืองแร่ภูเขาต้วนหุนซานข้าและคนอื่น ๆ ก็ได้สำรวจภูเขายิงโฉวซานและภูเขาชูหยุนซานด้วยเช่นกัน โครงสร้างธรณีของทั้งสามลูกนั้นคล้ายคลึงกัน หินฐานรากของภูเขาแข็งแกร่ง พืชคลุมดินบนภูเขานั้นเหมาะสม ความเป็นไปได้ของการก่อตัวของดินถล่มนั้นแทบจะไม่มี แต่โปรดระวังลำธารหยุนซีไว้ หากภูเขาเฟิ่งหลินเกิดฝนตกเป็นเวลานาน ระดับน้ำของลำธารหยุนซีย่อมสูงขึ้นอย่างแน่นอน แต่จากการสังเกตพื้นที่ราบด้านล่างภูเขาชูหยุนซานด้วยสายตาของข้า บันทึกระดับน้ำที่สูงที่สุดของลำธารหยุนซีระยะห่างที่ท่วมจากพื้นที่ราบจะอยู่ที่ 50 ก้าว และระดับน้ำจะมิสูงเกินกว่า 1 เมตร หากคุณชายต้องการดำเนินการตามแผนนี้ จะต้องสร้างทางน้ำขึ้นมาในส่วนนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดคิ้วขมวด “ไป พวกเราไปดูสถานที่กัน”
ดังนั้นพวกเขาจึงเดินไปถึงข้างลำธารหยุนซีที่อยู่ด้านล่างภูเขาชูหยุนซาน นายช่างอายุน้อยผู้นั้นกล่าวว่า “คุณชายลองดูขอรับ หลังจากที่น้ำจากต้นน้ำซัดสาดก็จะทิ้งรอยเอาไว้ เนินลาดนี้เกิดจากการซัดสาด จนถึงตรงนี้… พวกเราสามารถแยกแยะความแตกต่างออกมาได้ พุ่มไม้เตี้ยที่เหี่ยวแห้งด้านบนกับหญ้าและวัชพืชที่กระจายอย่างแน่นหนา แต่จากตรงนี้ไปยังริมแม่น้ำ กลับเบาบางลงอย่างเห็นได้ชัด พวกเรามาดูความแตกต่างของธรณี ดังนั้นจึงยึดตรงนี้เป็นเขต ปริมาณความชื้นของดินด้านบนนั้นน้อยกว่าด้านล่างอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้น ข้าน้อยจึงคิดว่าเส้นนี้จะเป็นสถานที่ที่น้ำขึ้นสูงที่สุดของลำธารหยุนซี”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า คำพูดจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคนิคมิใช่ของปลอม
เขาเงยหน้ามองออกไประยะไกล ที่ตรงข้ามในระยะห่างออกไปนั้นคือหุบเขาภูเขาต้วนหุนซาน ที่นั่นมีเพียงลำธารสายเล็ก
“หากนำน้ำส่วนหนึ่งของลำธารหยุนซีขึ้นไปบนภูเขาต้วนหุนซานเล่า?”
ฟู่เสี่ยวกวนเสนอความคิดเห็น นายช่างหลายคนต่างคิ้วขมวด
และการลอกคูน้ำมากกว่ายี่สิบลี้ก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น !
พวกเขาเคยครุ่นคิดถึงปัญหานี้มาก่อน เพราะไม่ว่าเยี่ยงไรการหลอมเหล็กหรือการตีเหล็กก็ห่างจากน้ำไม่ได้ นอกจากนี้ผู้คนในหุบเขาจำนวนสองถึงสามหมื่นคนก็ยังต้องดื่มต้องกิน
แม่น้ำสายนี้เดิมทีเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ และวิธีการที่ดีที่สุดก็คือการนำน้ำลำธารหยุนซีส่วนหนึ่งออกไป ไม่คาดคิดว่าคุณชายจะกล่าวขึ้นมาในยามนี้ เยี่ยงนั้น… ปัญหานี้ก็ได้รับการแก้ไขไปโดยปริยายแล้ว
ดังนั้น แผนการที่ใหญ่โตนี้จึงได้ถูกกำหนดลงไปในกำหนดการ
ตอนที่ 160 ภูเขาเฟิ่งหลิน
พิธีแต่งงานของหวางเฉียงกลายเป็นสถานที่สำคัญของหมู่บ้านหวังเจียชุน
ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ที่แห่งนี้มาเนิ่นนานเพิ่งเคยได้เห็นงานเลี้ยงที่ใหญ่โตเพียงนี้เป็นคราแรก อีกทั้งยังเพิ่งเคยได้ลิ้มรสอาหารเลิศหรูเช่นนี้ และยังเป็นคราแรกที่ได้มีโอกาสยกจอกร่วมดื่มกับคุณชาย
ภาพเหล่านี้บรรดาหนุ่มสาวที่ยังมิได้แต่งงานจดจำไว้อย่างขึ้นใจ ล้วนคิดว่าเมื่องานแต่งตนก็จะจัดให้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ดังนั้นจึงต้องไปยังซีซานเพื่อหางานทำ เก็บเงินสักก้อน สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่คุณชายเปลี่ยนแปลงให้แก่พวกเขา
ค่ำคืนนั้นฟู่เสี่ยวกวนดื่มสุราเข้าไปมิใช่น้อย เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สามารถนำความสุขและชีวิตการเป็นอยู่ที่ดีกว่าเดิมมาให้พวกเขาเหล่านี้ได้
เขามิอาจเปลี่ยนแปลงคนทั้งโลกได้ แต่เขาได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คนที่นี่แล้ว และเขาจะทำให้คนเหล่านี้มีความสุขเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ปีหน้า….จะต้องดียิ่งขึ้นกว่านี้ !
ฟู่เสี่ยวกวนเมามายจนมิอาจเดินด้วยตนเองได้ ซูม่อจึงแบกเขากลับมายังเรือนซีซาน เมื่อเขาตื่นมาอีกครา พบว่าท้องฟ้าเริ่มสาง เหล่าวิหคต่างบินออกจากรัง
เขาลุกขึ้นนั่งบนเตียง ขยี้ตา จากนั้นหวนนึกถึงเรื่องราวเมื่อคืน ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มขึ้นจากนั้นลุกไปล้างหน้าแปรงฟัน ต่อมาเขาได้เรียกจางเช่อเข้าพบ
“เจ้าช่วยจัดการให้ข้าที ข้าจะเดินทางไปภูเขาเฟิ่งหลิน นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้วผู้คนบนภูเขาซีซานจะฉลองกันเยี่ยงไร เจ้าวางแผนให้ข้าด้วย หากผู้ใดมีผลงานต้องให้รางวัล ส่วนให้ผู้ใด ? ให้เยี่ยงไร ? เจ้าจงเขียนให้ข้าอย่างละเอียด เมื่อทางไปภูเขาเปิดใช้งานได้ เดิมทีข้าตั้งใจจะนำคนกลุ่มหนึ่งออกมา แต่บัดนี้เมื่อคิดดูปรากฏว่ายังทำมิได้ เนื่องจากเหมืองนั้นได้เปิดทำการเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงต้องมีการเตรียมการเรื่องการตีเหล็กหลอมเหล็กในปีหน้า ส่วนนั้นต้องการคนจำนวนมิน้อย ดังนั้นจึงต้องจัดเตรียมการก่อสร้างเพิ่มเติมที่ภูเขาเฟิ่งหลิน ฤดูหนาวเช่นนี้มิเท่าไหร่ แต่หากถึงฤดูร้อนเรื่องของความสะอาด ถ้าดูแลมิดีอาจเป็นปัญหาใหญ่ได้”
“ดังนั้นจงนำอิฐขนส่งไปที่ภูเขาเฟิ่งหลิน เมื่อผ่านปีใหม่ไปพวกเขาจะได้ก่อสร้างที่อยู่อาศัยได้ อีกทั้งโรงตีเหล็กด้วย ข้าต้องการขนาดที่ใหญ่โตมาก การที่ข้าเดินทางไปครานี้ก็เพื่อสำรวจพื้นที่ อีกทั้งดูว่าสามารถใช้เป็นสถานที่ฝึกพิเศษสำหรับทหารเหล่านั้นในขั้นตอนต่อไปได้หรือไม่ ! ”
“สิ่งที่ข้าจะกล่าวมีเพียงเท่านี้ ส่วนเรื่องอื่นเจ้าจงพิจารณาดู บางทีข้าอาจคำนึงมิทั่วถึง เจ้าช่วยวางแผนให้ข้าด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนกำชับเรียบร้อยแล้วก็สั่งให้ชุนซิ่วทำการเก็บของเพื่อเตรียมตัวเดินทาง ที่นี่มีเพียงซูเจวี๋ยอยู่ดูแลก็เพียงพอ ส่วนซูม่อและซูโหรวล้วนเดินทางไปกับเขาด้วย
……
……
ภูเขาเฟิ่งหลินอยู่ที่ทางตะวันตกของอำเภอเหยา ห่างจากอำเภอเหยาประมาณ 50 ลี้ เชิงเขามีหมู่บ้านเล็ก ๆ จากนั้นก็เป็นภูเขาเรียงราย ก่อนหน้านี้ภูเขาเฟิ่งหลินเป็นพื้นที่รกร้าง นับจากมีคนของซีซานเข้ามาอาศัยสองสามหมื่นคน ที่แห่งนี้ก็ครึกครื้นขึ้นกว่าเดิม แต่เมื่อถนนตัดลึกเข้าไป ด้านนอกก็เริ่มเงียบสงบลง
ถนนที่รถม้าสองคันสามารถขี่สวนทางกันได้ จากเชิงเขาเข้าสู่ในเขา ถนนด้านหนึ่งเชื่อมต่อกับอำเภอเหยา อีกด้านหนึ่งเชื่อมต่อกับหุบเขามากมาย
ขบวนรถม้าของฟู่เสี่ยวกวนขี่ผ่านเข้าไปบนถนนลูกรังสายใหม่นี้ ผ่านเข้าไปด้านในภูเขาและลับตาไปในพุ่มไม้เขียวชอุ่ม
พวกเขาเดินทางผ่านภูเขาหลายลูก อีกทั้งข้ามแม่น้ำหลายสาย ในที่สุดรถม้าก็ได้มาหยุดตรงภูเขาต้วนหุนซาน
ที่แห่งนี้ดูเหมือนอยู่คนละโลกกับภายนอก ภายนอกนั้นดูเงียบสงบร่มเย็น แต่ที่นี่กลับมีผู้คนมากมายเสียงดังจอแจ มีผู้คนเข้าออกภูเขาต้วนหุนซานตลอดเวลา ด้านซ้ายของภูเขาก็มีเสียงของช่างที่เปิดถนนดังมาเป็นระยะ ๆ ทางด้านขวามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังทำสะพาน เมื่อฟู่เสี่ยวกวนลงจากรถม้า เขาก็ได้เห็นภาพที่ทุกคนกำลังทำงานอย่างขะมักเขม้น
มีชาวซีซานผ่านมาและพบเห็นฟู่เสี่ยวกวนเข้า พวกเขาตกตะลึงเนื่องจากชายผู้นี้มองไปช่างคล้ายคลึงกับคุณชายเหลือเกิน แต่ทว่าคุณชายจะมาอยู่ในที่แบบนี้ได้เยี่ยงไร ?
พวกเขาได้แต่เพียงสงสัย แต่มิกล้าเข้าไปทักทาย มีบางคนวิ่งเข้าไปในเหมืองเพื่อเรียกให้เฝิงซื่อออกมาดูให้แน่ใจ คาดว่าเขานั้นย่อมรู้จักคุณชายเป็นอย่างดี ?
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกมีความสุข เมื่อมองเห็นสายตาที่สงสัยของคนเหล่านั้น ไม่นานเขาก็เดินเข้าไปในเหมือง
เฝิงซื่อและนายช่างคนอื่น ๆ กำลังศึกษาประสิทธิภาพของการขนส่ง เมื่อได้ยินว่ามีชายหนุ่มหน้าตาคล้ายคุณชายเดินทางมา เขาก็ครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้านี่มีตาหามีแววไม่ ชายผู้นั้นต้องเป็นคุณชายแน่นอน พวกเจ้าจงไปดูกับข้าเร็ว”
หืม ? เป็นคุณชายเดินทางมาจริงเยี่ยงนั้นหรือ ?
หลายคนวางงานในมือของตนลง จากนั้นวิ่งตามเฝิงซื่อออกไปด้านนอก เมื่อข่าวนี้แพร่ไป ไม่นานก็มีคนจำนวนมากมารวมตัวกันอย่างครึกครื้น
“คุณชายงั้นหรือ ? คุณชายที่พวกเจ้ากล่าวถึงกันประจำเยี่ยงนั้นหรือ ? ” คนที่เอ่ยถามคือกลุ่มคนที่เดินทางมาตอนท้าย ๆ ฟู่ต้ากวนเป็นคนจัดการพาพวกเขามาส่งที่นี่ พวกเขามิเคยพบกับคุณชาย เพียงแต่ได้ยินเรื่องราวของคุณชายในทุก ๆ วัน
“แน่นอน พวกเจ้ามิรู้อะไร หากมิใช่เพราะคุณชาย พวกเราคงอดตายอยู่ที่นอกอำเภอเหยาเสียแล้ว เร็วเข้า ! หากไปช้ากว่านี้อาจมิได้พบคุณชายแล้วก็เป็นได้”
ดูพวกเขากล่าวเข้าสิ คล้ายกับคุณชายจะหายไปจากโลกนี้เสียอย่างนั้น
“ให้ตายสิ ! พวกเรามาช้ากันเกินไป… !”
“มิต้องกังวลไป ในเมื่อคุณชายเดินทางมาถึงที่นี่ ข้าเชื่อว่าเขาจะต้องมาดูพวกเราแน่”
“เจ้าจะไปรู้อะไร คราก่อนข้ากลับไปยังภูเขาซีซาน ท่านปู่กล่าวว่าคุณชายจัดการดูแลอยู่หลายเรื่อง และต้องเดินทางไปเมืองหลวง ต่อไปนี้อาจมิได้อยู่ที่ซีซานเป็นเวลานานนัก”
“……”
ด้านซูโหรวก็รู้สึกประหลาดยิ่ง ผู้คนมากมายก่ายกองท่าทางดีอกดีใจเมื่อเห็นเขา คล้ายกับเจ้าหนุ่มน้อยนี่เป็นบุพการีให้กำเนิดพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น มิเห็นว่าเขาจะทำสิ่งใดใหญ่หลวงเสียหน่อย
ซูม่อเคยชินกับบรรยากาศเช่นนี้ เขายืนอยู่ข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน และพยายามสอดส่องสายตาไปยังกลุ่มคนด้วยความระมัดระวัง
เฝิงซื่อดีใจยิ่งนัก เป็นคุณชายจริง ๆ คุณชายเดินทางมาที่นี่จริง ๆ ด้วย !
ฟู่เสี่ยวกวนส่งยิ้มให้อย่างเบิกบานใจ คนเหล่านี้เป็นคนของเขา นี่คือทรัพย์สมบัติที่แท้จริง เพียงแค่มีกลุ่มคนที่จงรักภักดีต่อเขาเช่นนี้อยู่ เขาจึงจะสามารถดำเนินกิจการให้รุ่งเรืองต่อไปได้ และยังสามารถใช้ชีวิตให้สำราญใจตนเช่นนี้ได้อีกด้วย
เขายกมือขึ้น กำมือแล้วโบกไปมา ไม่นานทุกเสียงก็เงียบสงบลง มิมีเสียงใดเล็ดลอดอกมา มีเพียงเสียงของธรรมชาติเท่านั้น
“พวกเจ้าทุกคน ที่ผ่านมาอาจจะลำบากเสียหน่อย ! ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ย “ในวันนี้ที่ข้าเดินทางมาที่นี่เพื่อตรวจสอบว่าทุกเรื่องราวที่ดำเนินการมานั้นเป็นเยี่ยงไรบ้าง ข้าขอกล่าวกับพวกเจ้าไว้ ณ ที่นี้ว่า พวกเจ้าทั้งหลายยอดเยี่ยมมาก ! ”
กลุ่มคนเหล่านั้นเฮฮาขึ้นมาอีกครั้ง
“คุณชายเอ่ยชมพวกเราเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“นั่นสิ ข้ายอมตายเพื่อคุณชายได้เลย”
“คุณชายเป็นผู้ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง หากมิมีคุณชาย ใครเล่าจะรู้ว่าที่แห่งนี้มีสิ่งล้ำค่าอยู่ ? หากมิมีคุณชาย ใครกันจะกล้าลงทุนลงแรงเข้ามายังภูเขารกร้างเช่นนี้ ! ”
“ข้าบอกพวกเจ้าแล้วว่าคุณชายน่ะ คือพระโพธิสัตว์ที่มีชีวิตลงมาสู่โลกจริง ๆ พวกเจ้ามิเชื่อข้า ! ”
“……”
ฟู่เสี่ยวกวนปล่อยให้พวกเขาเฮฮาอยู่ชั่วครู่ จากนั้นทำสัญลักษณ์มือให้เงียบลง
“ในวันนี้ที่ข้าเดินทางมามีความต้องการอยู่ 2 ประการ ประการแรกข้าจะมาดูว่าที่นี่เปลี่ยนแปลงไปเยี่ยงไรบ้าง มองดูแล้วทุกอย่างเป็นไปตามที่วางแผนไว้ ข้าพอใจยิ่ง ! ประการที่สองนั้น เนื่องจากใกล้ปีใหม่แล้ว พวกเจ้าทุกคนจะได้รับอั่งเปาจากข้า รับรองว่าจะข้ามปีใหม่ไปอย่างมีความสุขแน่นอน อีกทั้งข้ามีธุระที่ต้องจัดการในเมืองหลวง ข้าจะเดินทางจากไปเร็วกว่ากำหนด เรื่องทุกเรื่องที่นี่ข้าได้กำชับกับจางเช่อไว้เรียบร้อยแล้ว หวังว่าพวกเจ้าจะพยายามและขยันขันแข็งต่อไป ที่ภูเขาซีซานขาดพวกเจ้าไปมิได้ และข้าฟู่เสี่ยวกวน ก็ขาดพวกเจ้ามิได้เช่นกัน ! “
พวกเขาเหล่านั้นส่งเสียงโห่ร้องกันขึ้นมา หลายคนน้ำตานองหน้าด้วยความตื้นตัน
คุณชายยังคงจดจำพวกเขาไว้ในใจเสมอ !
ภูเขาซีซานขาดพวกเขาไปไม่ได้ !
“พวกเราล้วนเป็นชาวซีซาน ! ขอให้คุณชายวางใจได้ ! ”
ณ วินาทีนั้น เสียงพวกเขาก็ดังสนั่นก้องสะเทือนไปทั่วท้องฟ้า !
ตอนที่ 159 งานแต่ง
เยี่ยนซีเหวินนำคน 800 คนและหัวหน้ากบฏ 3 คนไปยังหลินเจียงจวนโจว เขาต้องการรายงานกับขุนนางระดับสูงจือโจว และให้ขุุนนางระดับสูงจือโจวส่งคนมาเพื่อพาคน 800 คนและหัวหน้ากบฏ 3 คนไปกุมขังที่เมืองหลวง
เอกสารการรายงานการปะทะฉบับนั้นเยี่ยนซีเหวินย่อมเขียนให้ฟู่เสี่ยวกวนอ่านด้วย เขาจัดกลุ่มโจรเหล่านี้ให้อยู่ในกองกบฏ เพราะโจรเหล่านี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของกงเซินจ่าง หลังจากนั้นก็ใช้ภาษาที่งดงามที่สุดในการบรรยายการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย กล่าวได้ชัดว่านี่คือผลลัพธ์ของความร่วมมือกันระหว่างเจ้าหน้าที่อำเภอเหยาและทหารเฝ้ายามของซีซาน ตนเองเป็นผู้นำคอยวางแผนอยู่ที่เรือนซีซาน ฟู่เสี่ยวกวนให้ความร่วมมืออย่างสุดกำลัง เรือนซีซานได้กำราบหัวหน้ากบฏทั้งสองภายใต้ภูเขาไต้ชานโดยสูญเสียคนนับร้อยและคนบาดเจ็บอีก 80 คน
ในช่วงท้ายของเอกสารกล่าวถึงปัญหาที่ไร้ที่สิ้นสุดของกลุ่มโจร เจ้าหน้าที่จากอำเภอเหยามิสามารถรับมือเพียงลำพังได้ ขอองค์ฮ่องเต้ทรงอนุญาตให้จัดตั้งกองหน่วยปราบปรามซีซาน เพื่อป้องกันการจู่โจมของโจร และเพื่อปกป้องความสงบสุขของประชาชน
สำหรับฟู่เสี่ยวกวนนั้นอยากจะให้ลบที่กล่าวถึงตัวเองและซีซานออกไป แต่ที่เยี่ยนซีเหวินกล่าวไว้ก็มีเหตุผล เจ้าหน้าที่อำเภอเหยามีแค่ 20 คนจะจับโจรตั้ง 800 คนได้หรือ กล่าวไปแล้วฝ่าบาทจะเชื่อรึ ?
แน่นอนว่าเยี่ยนซีเหวินเองก็เขียนให้ตระกูลเยี่ยนหนึ่งฉบับ เพียงแต่จดหมายฉบับนี้มิได้ให้ฟู่เสี่ยวกวนอ่านมัน
จดหมายฉบับนี้กล่าวถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับที่นี่รวมไปถึงความคิดของตนเองที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวน ทั้งยังสำทับไปว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้เป็นคนที่ไม่เลว หากในตระกูลมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเขา ลองมองผลงานอันยิ่งใหญ่ที่เขามอบให้แล้ว แล้วดูว่าจะสามารถหักลบไปได้หรือไม่
หลังจากผ่านการรบมาสองครา ในที่สุดทหารใหม่ที่สนามฝึกภูเขาไต้ชานก็ได้รู้จักกับความโหดร้ายของสนามรบ และก็ได้เข้าใจเหตุผลที่ว่าศัตรูมีอยู่ทุกที่ในที่สุด การฝึกของพวกเขาหนักยิ่งขึ้น พวกเขาต่างก็สุขุมมากยิ่งขึ้น
ไป๋ยู่เหลียนใช้โอกาสนี้เลื่อนตำแหน่งระดับผู้นำขึ้นมาหนึ่งกลุ่ม ในที่สุดก็ได้มีหัวหน้าหมวดและผู้นำจนครบ แต่ยังคงไร้ซึ่งผู้นำระดับกองพันและกองพล ตามความหมายของฟู่เสี่ยวกวน นายทหารระดับผู้นำของกองพันอย่างน้อยก็ต้องรออีกครึ่งปีให้หลัง และนายทหารระดับกองพลก็ต้องรอให้ถึงอีกหนึ่งปีให้หลัง
ค่ายที่ภูเขาไต้ชานได้กลับมาฝึกประจำวันดังเดิม โรงงานซีซานก็เข้าสู่เส้นทางที่ถูกต้องแล้ว
การทดลองสบู่ได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว และในวันนี้ก็ได้เริ่มผลิตแล้ว
ปริมาณการผลิตพื้นฐานที่มั่นคงของโรงงานน้ำหอมขึ้นอยู่กับอุปกรณ์การผลิต น้ำหอมชุดที่หนึ่ง 300 ขวดที่ได้เก็บไว้ใกล้จะ 2 เดือนแล้วก็ได้ถูกส่งไปยังเมืองหลวง และจะถูกส่งออกไปอย่างต่อเนื่อง แต่มากที่สุดก็มิอาจเกิน 500 ขวด
บุคลากรในโรงงานผลิตกระดาษก็ได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว ช่วงนี้ก็ได้เริ่มทดลองผลิตแล้ว ระยะเวลาในการผลิตก็คงมิห่างกันมาก
ส่วนศูนย์วิจัยและพัฒนาที่สำคัญที่สุด ฉินเฉิงเย่และคนอื่น ๆ ได้ติดตั้งและปรับแต่งอุปกรณ์ที่จำเป็นแล้ว เพราะปัจจุบันนี้แร่เหล็กของภูเขาเฟิ่งหลินยังมิได้ทำการถลุงออกมา ฉินเฉิงเย่มิรู้ว่าพวกเขาได้ใช้เส้นทางไหน ถึงได้มีเหล็กจำนวนมิน้อยจากสำนักหล่ออำเภอเหยา ในตอนนี้กำลังศึกษาว่าจะทำเยี่ยงไรให้สิ่งเจือปนในเหล็กน้อยลง และเพิ่มความแข็งแกร่งให้มากขึ้น
ในส่วนของไฟและดินปืนที่หลี่อี้รับผิดชอบก็ได้มีการพัฒนา การต่อต้านความชื้นได้เพิ่มมากขึ้น แต่หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ดูแล้วยังคงรู้สึกว่ายังไม่ได้ตามความต้องการเมื่ออยู่ในสนามรบ นอกจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้มอบหัวข้อวิจัยให้หลี่อี้ 2 เรื่อง หนึ่งคือการหน่วงของเวลา สองคือการกระตุ้น
ส่วนเตาหลอมของภูเขาเฟิ่งหลินในตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนก่อสร้าง จดหมายจากเฝิ๋งหล่าวซื่อกล่าวไว้ว่าเตาหลอมนี้ได้รับการรับรองจากช่างหลอมแล้ว พวกเขาตัดสินใจที่จะทดลองสร้างออกมาก่อน หลังจากนั้นค่อยมาดูว่าต้องแก้ไขที่ตรงไหนอีกหรือไม่
เขาต้องไปภูเขาเฟิ่งหลินเสียหน่อย แต่ยังมิใช่ตอนนี้ เพราะงานแต่งของหวางเฉียงได้มาถึงแล้ว
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 8 เดือนสิบสอง วันที่สิบสอง บ้านของหวางเอ้อที่หมู่บ้านหวังเจียชุนคึกคักเสียยิ่งกว่าช่วงข้ามปีในอดีต
ประการแรกเพราะชื่อเสียงของหวางเอ้อในหมู่บ้านหวังเจียชุนสูงส่งอย่างมาก ประการที่สองตระกูลของหวางเอ้อได้รับความไว้วางใจจากคุณชาย ในวันนี้ทีมก่อสร้างของหวางเอ้อก็ได้มีชื่อเสียงในระยะ 10 ลี้นี้ ส่วนประการที่สาม ก็เพราะหวางเอ้อได้ประกาศไว้เนิ่นนานแล้ว ว่าคุณชายจะมาร่วมงานแต่งของหวางเฉียงด้วยตนเอง
ยามนี้ประจวบเหมาะเป็นช่วงพักของเกษตรกร ระยะเวลาก็ห่างจากช่วงข้ามปีมิถึง 20 วัน ผู้คนจำนวนหนึ่งร้อยกว่าคนในหมู่บ้านหวังเจียชุนจึงได้มากันที่บ้านของหวางเฉียง
เหล่าเด็กและสตรีต่างไปช่วยกันต้มน้ำล้างจาน เหล่าชายชราและชายหนุ่มต่างไปเคลื่อนย้ายโต๊ะและเก้าอี้ของบ้านตนเองมา นั่งดื่มชาและพูดคุยกันอยู่ด้านนอกเรือน
หวางเอ้อวุ่นวายกับการวิ่งเข้าออกเพื่อทักทายแขกเหรื่อ หวางเฉียงได้จัดกลุ่มต้อนรับขึ้นมาโดยมีชายหนุ่มสิบกว่าคนเพื่อแบกเกี้ยวเจ้าสาวและเป่าขลุ่ยซอนาไปยังบ้านของจางเสี่ยวเหมย
ระยะห่างของทั้งสองบ้านนับแล้วไม่เกินร้อยเมตร แต่ก็มิสามารถละเลยพิธีการนี้ได้
โรงครัวภายในบ้านนั้นย่อมมิพอ จึงได้ขุดเตาดิน 5 เตาที่ทำนบกั้นน้ำด้านนอกบ้านของหวางเอ้อ ในยามนี้ไฟในเตาดินได้ถูกจุดขึ้นมา ภายในหม้อนึ่งบนเตาก็เต็มไปด้วยเนื้อนึ่งชั้นดี
พ่อครัวผู้นี้ได้เชิญมาจากหมู่บ้านเซี่ยชุน เขากำลังวุ่นกับเขียงยาวที่อยู่ข้างเตาดิน ข้างกายนั้นมีหญิงสาวมากมายคอยเป็นลูกมือ กล่าวว่าหวางเฉียงนั้นมีวาสนายิ่ง จางเสี่ยวเหมยเองก็ได้แต่งงานกับคนที่ดี ทั้งหมดนี้เป็นพรจากคุณชาย งานแต่งงานของบุตรตนในภายภาคหน้าก็ห้ามน้อยหน้าตระกูลของหวางเอ้อ หากคุณชายมีเวลาว่างสามารถมาที่บ้านของตนได้ก็จะเป็นเกียรติยิ่ง นั่นคือสิ่งสำคัญที่จะสามารถจารึกไปในวงศ์ตระกูลและอื่น ๆ ได้
ฟู่เสี่ยวกวนได้เตรียมของขวัญที่มีค่าเอาไว้
เขานำถุงแดงใบใหญ่มาด้วย 1 ใบ หลังจากนั้นก็มีกำไลมรกต 1 ชิ้น กำไลนี้ได้รับมาเป็นของขวัญในตอนที่อยู่เมืองหลวง ในวันนี้จึงนำมามอบให้กับผู้อื่น
ผู้ที่มากับเขานั้นมีซูม่อ ซูโหรวและซูเจวี๋ย แน่นอนว่ามีสาวใช้ชุนซิ่วด้วย
เหตุผลที่ซูโหรวมาด้วยก็เพราะนางค่อนข้างสงสัย งานแต่งนั้นเป็นแบบใดกัน ? สำหรับซูโหรวที่เติบโตมาในสำนักเต๋าตั้งแต่ยังเล็ก เลยมิมีใครสอนนางเรื่องแบบนี้
ส่วนซูเจวี๋ย เอาเถอะ ซูเจวี๋ยนั้นได้โดนซูโหรวลากมา
ทั้งหมดได้เดินข้ามทุ่งนามาจนถึงหมู่บ้านหวังเจียชุน และหมู่บ้านหวังเจียชุนในวันนี้ก็ดูมีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยบรรยากาศใหม่ ๆ ซื่อเหอเยวี่ยนเรือนกระเบื้องอ่อนที่เรียงรายถูกจัดไว้เป็นระเบียบ เรือนแต่ละหลังต่างสร้างด้วยปูนซีเมนต์
สะอาดเป็นระเบียบ สวยงามและกว้างขวาง ในสายตาของฟู่เสี่ยวกวน ให้ความรู้สึกถึงชนบทแบบใหม่
“คุณชายมาแล้ว คุณชายมาแล้ว ! ” เด็กน้อยที่เล่นกันอยู่เห็นฟู่เสี่ยวกวนจากระยะไกล พวกเขาวิ่งโร่และส่งเสียงไปตลอดทาง สร้างความตื่นตระหนกให้แก่หวางเอ้อและเหล่าเกษตรกรภายในเรือน
ดังนั้นหวางเอ้อจึงพาชาวบ้านออกไปต้อนรับ ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือและเดินเข้าไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“วันนี้เจ้ามิต้องสนใจข้าหรอก ทำธุระของเจ้าเถอะ ได้ไปรับภรรยาคนใหม่มาแล้วหรือยัง”
“ยังขอรับ ยังมิได้เวลา ใกล้กันเท่านี้ มิกี่ก้าวเท่านั้น”
“ข้ามิได้เตรียมอันใดมา นี่คือของขวัญเล็กน้อย เจ้ารับไว้เถิด”
“มิได้ขอรับ…”
“ทำไมกัน คำพูดของคุณชายใช้มิได้รึ ? กำไลนี้มอบให้ภรรยาของเจ้า เจ้าอย่าได้เอาไปซ่อนเล่า”
ทุกคนต่างหัวเราะ หวางเอ้อจึงรับไว้ด้วยความขัดเขิน และนำกลุ่มฟู่เสี่ยวกวนเข้าไปภายในบ้าน
ซูโหรวเพิ่งได้รับรู้ว่างานแต่งนี้ค่อนข้างครื้นเครง เพียงแต่… หากตนแต่งงานไป ไหนเลยจะมีแขกแบบนี้ได้กัน ?
ซูเจวี๋ยเดินตัวตรงเข้าไป มองชายหนุ่มด้านหน้าที่มีผู้คนรายล้อม คิดไปแล้วเขาก็แตกต่างจากผู้อื่นจริง ๆ คิดมิถึงว่าจะกลมกลืนกับชาวบ้านเหล่านี้ จนมิมีแม้แต่ช่องว่าง ดูแล้วสิ่งที่ศิษย์น้องพูดไว้จะถูกต้อง
ในยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนเหมือนกับเกษตรกรคนหนึ่ง เขาพูดคุยกับเกษตรกรเหล่านี้ถึงเรื่องการผลิต เป็นหัวเรื่องที่กล่าวอย่างมีเหตุและมีผล ฟังแล้วดูเหมือนจะมีประสบการณ์ยิ่งกว่าเกษตรกรเหล่านี้เสียอีก ซูเจวี๋ยหันมามองฟู่เสี่ยวกวนอีกครา คิดแล้วก็สงสัยว่ามีใครบนโลกใบนี้ไหมที่มีความรู้ตั้งแต่กำเนิดออกมา ?
ตอนที่ 158 ตัดหัวศัตรู
การต่อสู้ในครานี้พัฒนาขึ้นกว่าคราก่อนมาก
เหล่าทหารมิได้ส่งเสียงดังใด ๆ ออกมา ระหว่างปฏิบัติภารกิจ พวกเขาได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี อีกทั้งลงมือต่อศัตรูอย่างเด็ดขาดกว่าคราก่อน
เพียงเวลา 2 ก้านธูป การต่อสู้ก็ได้สิ้นสุดลง ไป๋ยู่เหลียนจุดคบเพลิงขึ้นแล้วมองไปรอบ ๆ ก่อนออกคำสั่งว่า “ค้นหาทุกซอกมุมโดยละเอียด อย่าให้เหลือแม้แต่ผู้เดียว จงตัดหัวศัตรูทุกคนมากองรวมกันที่นี่ จากนั้นกลับไปรวมตัวกันที่ค่าย ! ”
อีกด้านหนึ่ง ซูม่อกำลังใช้ดาบฟาดลงไปที่ซ่งต้าเป่า “หนีไปสิ ! วิ่งเร็วมิใช่หรือ ? เหตุใดจึงมิวิ่ง ! ”
“อ๊าก…อ๊าก… !” ซ่งต้าเป่าส่งเสียงร้องโหยหวนราวกับหมูถูกตอน ซูม่อใช้ดาบนั้นฟาดลงไปทุกส่วนของเขาที่มีกระดูก บัดนี้สภาพเขามิได้ต่างจากหลิวซานเปี้ยนเลย อีกทั้งยังน่าสมเพชกว่าด้วยซ้ำ
กระดูกทั้งตัวของเขาถูกทุบจนแตกหัก หลิวซานเปี้ยนที่นอนอยู่ข้าง ๆ รู้สึกว่าตนโชคดีมิน้อยที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนจัดการเขา ฟู่เสี่ยวกวนเพียงทุบแขนขาทั้งสองข้างของเขาเพียงเท่านั้น
ดูเจ้าต้าเป่าสิ น่าสงสารเสียยิ่งกระไร เห้อ…ร่างกายกำยำสูงใหญ่เช่นนั้น กลับถูกทุบตีเสียจนสภาพดูมิได้…โธ่ ต้าเป่าเอ๋ย แกกลัวเสียจนขี้แตกเลยหรือนี่ เหม็นจริง ! ข้าทนดูต่อไปมิได้จริง ๆ !
หลังจากที่ซูม่อระบายอารมณ์เรียบร้อยแล้ว เขาได้เก็บดาบแล้วเอ่ยว่า “ชื่อเสียงของข้าถูกเจ้าทำให้แปดเปื้อนไปแล้ว หากมิใช่เพราะคุณชายเอ่ยห้าม ข้าคงมิไว้ชีวิตเจ้าแน่ !”
หลิวซานเปี้ยนเบิกตามองดู แสงไฟกระทบกับใบหน้าอันหล่อเหลาของซูม่อแล้วนึกในใจว่า ที่แห่งนี้มีคนประเภทใดกันบ้างนี่ !
หากเขาสามารถมีชีวิตรอดกลับไปได้ เขาคงจะมิกลับมาแก้แค้นแน่นอน !
……
……
เหล่าทหารจุดคบเพลิงแล้วใช้มีดในมือตัดหัวซากศพที่กองกระจัดกระจาย บางคนทนมิได้จึงอาเจียนออกมา และถูกหัวเราะเยาะว่า “ซานเอ๋อ เจ้านี่มันช่างมิได้เรื่องเสียจริง กลับบ้านไปเลี้ยงลูกดีกว่าไหม ! ”
“เหอะ ๆ ข้าฆ่าไปถึง 3 คน เจ้าเล่า ? ”
“โอ้ ! มิเลวนี่ ข้าฆ่าไปเพียงคนเดียวเท่านั้น…แต่จะโทษข้าก็มิถูก พวกเจ้ามันเหมือนหมาบ้า เมื่อมาถึงก็แทบมิเหลือให้ข้าจัดการแล้ว”
“ฮ่าๆๆๆ……”
เสียงหัวเราะดังไปรอบทิศ ซานเอ๋อลุกขึ้นยืนแล้วสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจินตนาการว่าเขากำลังตัดหัวหมู
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เหล่าทหารก็กลับมายังค่ายที่ภูเขาไต้ชาน
แม้บนใบหน้าของพวกเขาจะเปี่ยมไปด้วยความภูมิใจ แต่ก็มิได้มีผู้ใดส่งเสียงออกมา
ไป๋ยู่เหลียนกำไม้ไว้ในมือแล้วเดินวนไปมา เฉินป๋อก้าวขึ้นมาด้านหน้าสุดแล้วทำความเคารพเขา จากนั้นรายงานด้วยเสียงดังฟังชัดว่า “รายงานผู้คุม ทั้งกองทัพมี 2,458 คน นับได้ 2,450 คน การต่อสู้ครานี้มีผู้บาดเจ็บ 8 คน บาดเจ็บสาหัส 1 คน จบการรายงาน โปรดชี้แนะด้วยเถิด ! ”
“กลับเข้าแถว ! ”
“รับทราบ ! ”
ไป๋ยู่เหลียนสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วจ้องมองไปยังพวกเขา “พวกเจ้ามัวทำอะไรกันอยู่ ! เพียงแค่จัดการโจรกลุ่มหนึ่งกลับปล่อยให้มีผู้บาดเจ็บได้ถึง 8 คน ! การฝึกซ้อมที่ผ่านมามิได้จำใส่สมองอันน้อยนิดของพวกเจ้าเลยหรือไร ? ฝ่ายตรงข้ามเป็นเพียงผู้ไร้ความสามารถกลุ่มหนึ่ง อีกทั้งพวกเจ้ายังซุ่มโจมตี ขายหน้า ! ขายหน้าเสียจริง ! พวกเจ้าจะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ? ”
“เฉินป๋อรับคำสั่ง ! ”
“ขอรับ ! ”
“ทุกคน วิ่งไปกลับ 50 ลี้ พื้นที่ภูเขาด่วน เตรียมตัว…ปฏิบัติ ! ”
“รับทราบ ! ”
……
……
ณ เรือนซีซาน ซูเจวี๋ยถอนหายใจแรงออกมา
เขาจัดระเบียบหมวกของตนให้ตรง จากนั้นจัดแจงเสื้อผ้า เมื่อครุ่นคิดชั่วครู่จึงตัดสินใจติดกระดุมที่เสื้อของซูโหรวด้วย
ซูโหรวนอนอย่างเงียบ ๆ อยู่ที่บนเตียง ลมหายใจของนางเป็นปกติดี สีหน้าแดงระเรื่อก็จางลง แต่ยังปรากฏถึงความมิพอใจให้เห็น ซูเจวี๋ยเลิกคิ้วจากนั้นก็หยิบหนังสือขึ้นมานั่งอยู่ที่หน้าต่างทำทีว่ากำลังอ่านอย่างตั้งใจ
ไม่นานต่อมามีเสียงดังเข้ามา เป็นซูม่อนั่นเอง
เมื่อซูม่อแลเห็นซูโหรวนอนอยู่บนเตียงก็ตกตะลึงเล็กน้อยแล้วยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย
“เอ่อ…น้องเล็ก เจ้าอย่าได้คิดไปไกล ศิษย์พี่สามของเจ้าถูกพิษและข้าได้ทำการถอนพิษให้นางเมื่อครู่ บัดนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว มิได้มีเรื่องอื่นใด…เจ้ามีธุระอันใดงั้นหรือ ?”
“อ้อ ข้าเพียงแค่แวะมาถามสารทุกข์สุกดิบศิษย์พี่เท่านั้น…ท่านแน่ใจหรือว่าเป็นเช่นนั้นจริง ? ”
“น้องเล็ก ข้าเคยโกหกผู้ใดงั้นหรือ ? ”
อืมนั่นก็จริงอยู่ เมื่อซูม่อนึกทบทวนดู ศิษย์พี่ใหญ่แต่ไหนแต่ไรมามิเคยโกหกผู้ใดแม้แต่คนเดียว
“มิใช่เช่นนั้น ศิษย์พี่ เพียงแต่…หนังสือในมือท่านกลับหัวอยู่ อ้อ จับตัวหวงซื่อหลางได้แล้ว ข้าจะไปดูเสียหน่อย ท่านพักผ่อนเถิด”
“……อืม ไปเถอะ”
ซูโหรวกลับหนังสือให้ถูกด้าน จากนั้นก็จัดหมวกของเขาอีกครั้งหนึ่ง พึมพำเบา ๆ ว่า “การกินอาหารและเรื่องในกามล้วนเป็นธรรมชาติของมนุษย์ มิเคยพบผู้ใดรักคุณธรรมมากกว่าความงดงามของหญิงสาว…”
……
……
ในครานี้มีผู้ถูกส่งมายังเรือนซีซานทั้งสิ้น 3 คน ผู้ที่นอนมา 2 คนนั่นคือหลิวซานเปี้ยนและซ่งต้าเป่า ส่วนอีกคนที่ยังเดินได้นั่นคือหวงซื่อหลาง
ฟู่เสี่ยวกวน เยี่ยนซีเหวินอีกทั้งไป๋ยู่เหลียนและซูม่อนั่งลงที่โต๊ะหิน บนโต๊ะมีอาหารหลายอย่าง อีกทั้งยอดสุราซีซานที่ขาดมิได้
นอกจากเยี่ยนซีเหวินแล้ว อีก 3 คนมิได้ชายตาไปมองศัตรูทั้งสามคนที่เพิ่งถูกนำตัวมาแม้แต่น้อย ฟู่เสี่ยวกวนถือขวดสุราไว้ในมือจากนั้นกล่าวว่า “ พวกเจ้าลองลิ้มรสสุรานี้ รสดีเสียจริง ยอดสุราซีซานห้าสิบดีกรี เก็บไว้นาน 3 เดือน แม้เวลายังน้อยไปเสียหน่อยก็ตาม หากเก็บไว้สัก 3 ปีหรือ 30 ปีคงจะรสดีกว่านี้หลายเท่านัก แต่เท่านี้ก็รสเลิศกว่าเดิมมากแล้ว มาเถอะๆๆ ลองชิมดู”
ไป๋ยู่เหลียนรินสุราลงในถ้วยของเขา กลิ่นหอมลอยมาเตะจมูก เขารู้ได้ทันทีว่าสุรานี้มิเหมือนเดิม
“มาเถิด มาดื่มฉลองให้กับความสำเร็จในค่ำคืนนี้กัน”
ทั้งสี่คนยกแก้วขึ้นดื่ม ใบหน้าของเยี่ยนซีเหวินแดงก่ำ นี่คือสุราชนิดใดกัน ? รสเลิศกว่าเทียนเซียงมากนัก ? ”
“รสดียิ่ง” หลังจากดื่มหมดแก้ว ไป๋ยู่เหลียนจึงเอ่ยออกมา “กลมกล่อมหอมกรุ่นกว่าเดิมมาก ต่อแต่นี้ข้าจะดื่มแต่สุรานี้เท่านั้น ! ”
“เหอะ ๆ เจ้าอย่าได้คิดไปเอง สุรานี้ข้านำมาเพียงขวดเดียว ต่อไปต้องรออีก 3 ปี เนื่องจากข้าได้ปิดโรงเก็บไปแล้ว”
ไป๋ยู่เหลียนจ้องไปยังฟู่เสี่ยวกวน “3 ปีงั้นหรือ ? ข้าว่า 3 เดือนก็เพียงพอแล้ว !”
“เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อนไป เมื่อ 3 ปีมาถึง เจ้าจะเข้าใจว่าการรอคอยถึง 3 ปีนั้นช่างคุ้มค่ายิ่งนัก”
หลิวซานเปี้ยนและซ่งต้าเป่าด่าพวกเขาอยู่ในใจ บัดนี้เป็นฤดูหนาว พื้นช่างหนาวเหน็บยิ่งนัก อีกทั้ง…กลิ่นสุรานั่นช่างหอมเหลือเกิน สุราป่าเทียบมิได้เลยแม้แต่น้อย
หวงซื่อหลางเองก็อึดอัดใจเช่นกัน เขามิรู้ด้วยซ้ำว่าผู้ใดเป็นคนจับเขาทุ่มลงพื้น และไม่รู้ว่ายาพิษที่ตนโยนไปครั้งสุดท้ายนั่นคือพิษใด มิรู้ว่าได้ทำให้พวกซุ่มโจมตีเหล่านั้นได้รับพิษหรือไม่
และบัดนี้เขาเองก็หิวมากแล้ว อีกทั้งกลิ่นอาหารและสุราอันหอมยั่วยวนนั่นทำให้เขาน้ำลายไหล แต่ทำได้เพียงกลืนน้ำลายตนเอง
ข้าเป็นถึงหนึ่งในแปดจินกังเชียว ได้รับฉายาว่าปี้ตู๋จินกังผู้เชี่ยวชาญด้านพิษ ก่อนหน้านี้ข้าเดินทางไปที่ใดล้วนได้กินดื่มอย่างสำราญ
อ้อ ข้าเพียงแค่ถูกจับตัวไว้ เป็นเชลยผู้มีเกียรติ หาได้เหมือนเจ้าสองคนที่นอนกองอยู่บนพื้นนั่น ช่างน่าสมเพชเสียจริง !
ตอนที่ 157 สงครามกลางคืน
ไป๋ยู่เหลียนเอียงคอจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน จ้องอยู่เยี่ยงนั้นเป็นเวลานาน
คนผู้นี้ต้องการใช้ยาพิษจริง ๆ !
เจ้าอย่าแม้แต่จะกล่าว สองทัพมาปะทะกันก็ยังมิมีใครทำเยี่ยงนี้มาก่อน สิ่งที่เรียกว่ายาพิษนั้นเป็นสิ่งที่ชาวลวี่หลินใช้กัน หากใช้ยาพิษในสนามรบ จะมิโหดเหี้ยมเกินไปหน่อยหรือ ?
หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนแก้พิษให้ทหารคนสุดท้ายเสร็จก็ลุกขึ้นยืน กล่าวอย่างยิ้มแย้ม “ยาพิษก็ถือเป็นกลยุทธ์หนึ่ง ทุกสนามรบต่างก็มีกลยุทธ์ที่ตั้งเป้าไว้ทั้งนั้น ตัวอย่างเช่นการยึดจุดยุทธศาสตร์ของคูเมือง และการสังหารแม่ทัพของศัตรูและอื่น ๆ แต่มิว่าจะเป็นวิธีการใดก็ตามเป้าหมายก็ยังเป็นการสังหารศัตรู วิธีการสังหารศัตรูนั้นมีมากมาย แต่ถ้าทำให้เรื่องนี้มันง่ายดายยิ่งขึ้นก็จะดียิ่งกว่ามิใช่หรือ ? ”
“ตัวอย่างเช่น หากมียาพิษที่สามารถกระจายไปกับสายลมได้ หลังจากที่ศัตรูได้สูดดมยาพิษเข้าไปก็จะสูญเสียพลังการต่อสู้ มิใช่ว่าจะทำให้เราบรรลุเป้าหมายของกลยุทธ์ที่ตั้งไว้ได้ง่ายดายยิ่งขึ้นหรือ ? ”
“สิ่งที่เรียกว่าศัตรู ก็คือคนประเภทที่เจ้าตายข้าอยู่ ศัตรูแบบใดกันจะทำตัวน่ารักกับพวกเจ้า ? แน่นอนว่าผู้ที่ต้องตายก็ต้องเป็นศัตรู ส่วนศัตรูจะตายเยี่ยงไร…เจ้ารู้สึกว่ามันสำคัญหรือ ? ”
ไป๋ยู่เหลียนเองก็ลุกขึ้นยืน “เยี่ยงนี้จะเสียพื้นฐานไปหรือไม่ ? ”
“ไม่ ยาพิษก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ สร้างขึ้นจากความสามารถที่แข็งแกร่งของพวกเขา เจ้าลองคิดดู หากต้องการวางยาพิษในกองทัพของศัตรู พวกเขาก็ต้องเข้าไปในกองทัพของศัตรูให้ได้ก่อนมิใช่หรือ ? หากต้องการไปวางยาพิษที่คูเมืองของศัตรู พวกเขาก็ต้องมีความสามารถในการลอบเข้าไปในคูเมืองของศัตรูมิใช่หรือ ? ”
“เสี่ยวไป๋เอ๋ย ทิศทางของกลยุทธ์นั้นมิสามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว แต่การใช้กลยุทธ์นั้นกลับสามารถยืดหยุ่นได้ เรื่องนี้เจ้าลองเอาไปคิดดู หากเจ้าคิดได้แล้วก็บอกข้าแล้วกัน ข้าจะไปเชิญศิษย์พี่ใหญ่”
“ด้านนอกคงใกล้ถึงเวลาต่อสู้แล้ว พวกเราไปดูกันเถิด” ฟู่เสี่ยวกวนตบบ่าของไป๋ยู่เหลียน แล้วทั้งสองก็เดินไปทางภูเขาไต้ชาน
……
…..
“ซื่อหลาง เกือบจะได้แล้วใช่ไหม” ซ่งต้าเป่าเอ่ยถามอย่างกังวล
“เจ้าไปสำรวจอีกครา หากสถานที่ที่มีไฟนั้นไร้เสียงแล้วก็กลับมา”
ซ่งต้าเป่าโผบินลงไปด้านล่างเขา ซ่อนตัวอยู่ข้าง ๆ โรงอาหาร ยืดหูตั้งใจฟังอย่างจริงจัง เหล่าทหารที่นอนอยู่บนพื้นหลังจากดื่มยาเข้าไปก็เพิ่งตื่นขึ้นมา ในสมองว่างเปล่า ร่างกายอ่อนล้าและไร้แรง เสียงต่าง ๆ ดังขึ้นมา ความชัดเจนเยี่ยงนี้ ทำให้ซ่งต้าเป่าปลื้มปีติ
เขาบินไปทางภูเขาไต้ชาน ไม่กี่ครั้งก็กลับมาถึงข้างกายของหวงซื่อหลาง “สำเร็จแล้ว พวกเขาทั้งหมดถูกวางยาแล้ว”
“จริงเยี่ยงนั้นรึ ? ”
ซ่งต้าเป่าใช้มือข้างเดียวตบอก “ข้าได้ฟังเองกับหู มิใช่เท็จอย่างแน่นอน !”
“ดี… ! ” หวงซื่อหลางโบกมือ และเอ่ยเสียงเข้ม “พวกเจ้าทั้งหลาย จงทำตามที่ข้าสั่ง ไปช่วยอาซานเปี่ยนออกมาโดยเร็ว”
ซ่งต้าเป่าพาโจรทั้งห้าร้อยคนทะยานลงไปจากเขาอย่างลำพองใจ หลิวซานเปี้ยนได้ยินเสียงดังมาจากบนเขา ความสิ้นหวังที่มีอยู่ในใจทันใดนั้นก็เกิดความหวังขึ้นมา ตามกำหนดเวลา หวงซื่อหลางน่าจะมาถึงแล้ว
สองวันที่ผ่านมาเขาถูกทรมานจนอยากจะตายไปเสีย และในวันนี้ก็เหลือเพียงลมหายใจที่รวยรินเท่านั้น
ทั้งหมดนี้ต้องโทษฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้น รอข้ากลับไปถึงผิงหลิง ข้าจักขอให้ลูกเขยกงเซินจ่างส่งคนมาถล่มที่นี่ให้ราบเป็นหน้ากลอง ข้าจักใช้กระบี่ประหารฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นเพื่อระบายความเกลียดชังในใจของข้า !
เฉินป๋อและซูม่อได้ดักซุ่มอยู่สองข้างทางนานแล้ว ซ่งต้าเป่าไม่นึกว่าจะมีการดักซุ่มในที่นี่ เขาปรี่มายังอนุสาวรีย์วีรชนด้วยความดีใจ และใช้ดาบฟันเสาไม้ไผ่จนหักลงมา แต่ลืมไปว่าตนเองนั้นมีเพียงมือข้างเดียว มิมีอีกข้างให้ประคอง ไม้ไผ่หักลงมา จึงเกิดเสียงดังปึง หลิวซานเปี้ยนเจ็บจนหน้าเหยเกจนเอ่ยปากด่าทอ “ซ่งต้าเป่า มารดาเจ้าเถอะ ! เจ้าอยากให้ข้าตกลงมาตายรึ รีบเข้ามาประคองข้าเดี๋ยวนี้”
ซ่งต้าเป่าเองก็หวาดกลัวอยู่มิน้อย หากทำให้หลิวซานเปี้ยนตกลงมาตาย โทษของตนเองคงมิสามารถลบล้างออกได้อีกต่อไป
โชคยังดี ที่ชายชราผู้นี้ยังดวงแข็ง ยังคงสามารถด่าทอกันได้ !
เขาวิ่งเข้าไปและประคองหลิวซานเปี้ยนขึ้นมา ทันใดนั้นอาการเจ็บก็แล่นขึ้นมา หลิวซานเปี้ยนเบะปากและสูดลมหายใจเข้าไป ถึงนึกขึ้นมาได้ว่าข้อต่อของตนนั้นหัก
“มิไหว ข้ายืนมิได้แล้ว ต้องแบกข้าไป”
ซ่งต้าเป่าได้ยินดังนั้น ก็เรียกทหารสองสามนายมา “มาเร็ว ๆ แบกนายท่านหลิวขึ้นมา”
หวงซื่อหลางยืนอยู่บนเขาตลอดเวลา ฟังเสียงความวุ่นวายที่ดังมาจากด้านล่าง ลอบคิดว่ามิสามารถเชื่อถือในเรื่องที่ไอ้โง่เป่าเอ๋อทำได้อย่างแท้จริง มิใช่ว่าไปช่วยเหลือรึ แต่เหตุใดถึงได้เคลื่อนไหวใหญ่โตกันเสียจริง !
ในยามที่เขากำลังรออย่างร้อนรน ซูโหรวก็ถลาลงมาจากบนต้นไม้อย่างแผ่วเบา และได้ลงมาที่ด้านหลังของหวงซื่อหลาง หลังจากนั้นก็ยื่นมือแตะที่ไหล่ของหวงซื่อหลางเบา ๆ
หวงซื่อหลางชะงัก ความหนาวเหน็บพลันแล่นขึ้นมาฉับพลัน เขามิได้ขยับและมิได้หันหน้ากลับไป แต่ในมือกลับบีบขวดเล็กใบหนึ่งไว้แล้ว ขวดที่นำออกมายามตื่นตระหนกนั้นเขาเองก็มิรู้เช่นกันว่านั่นคือพิษอะไร
ซูโหรวหัวเราะหึ ๆ ทันใดนั้นหวงซื่อหลางก็ขนลุกขึ้นมา เขาสาดขวดเล็กในมือออกไปทางด้านหลังอย่างมิคิด ซูโหรวจิ้มไปที่กลางหลังของหวงซื่อหลาง หลังจากนั้นก็กลั้นลมหายใจ คิดว่าฝีมือที่อ่อนด้อยของเจ้าจะทำอันใดข้าได้เยี่ยงนั้นรึ ?
หวงซื่อหลางล้มลงไปกับพื้นเสียงดัง ซูโหรวคิ้วขมวดทันพลัน ดวงตาเรียวเหลือบมองขึ้นมา ทันใดนั้นใบหน้าก็แดงก่ำ “หวงซื่อหลาง เจ้ามันเป็นสุนัข กล้ากระทำต่ำช้าถึงเพียงนี้ ! ”
“อั๊ก… ! ” ลูกเตะเพียงคราเดียว หวงซื่อหลางก็ถูกเตะจนตัวลอยขึ้นไปบนอากาศ หลังจากนั้นเข็มปักผ้าในมือของซูโหรวก็โผออกไปพร้อมกับเส้นด้ายหลายสายพันเข้ากับตัวหวงซื่อหลางแล้วจับแขวนเอาไว้บนต้นไม้ ซูโหรวจึงบินไปทางเรือนซีซานอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ประมาทไปแล้ว ๆ คาดมิถึงว่าจะโดนพิษสาดกลับมาเยี่ยงนี้ มิได้การแล้ว หากศิษย์พี่ใหญ่ไร้หนทางแก้… ทางที่ดีที่สุดคือศิษย์พี่ใหญ่จะต้องแก้พิษนี่ให้ได้ ฮี่ฮี่ฮี่…
นางปรี่เข้าไปยังด้านหลังเรือน กระแทกตัวเปิดประตูห้องของศิษย์พี่ใหญ่ดังปึง เส้นด้ายในมือพุ่งออกมาพันมือพันเท้าของศิษย์พี่ใหญ่ที่กำลังงุนงง
“ศิษย์พี่ใหญ่… ข้า ข้า อยาก… !”
กล่าวไปถึงหลังจากที่ซ่งต้าเป่าช่วยเหลือหลิวซานเปี้ยนออกมาได้ ตามแผนก็คือพาลูกน้องทั้งห้าร้อยคนถอนกำลังกลับไปจากภูเขาไต้ชาน ในตอนที่เขาคิดว่าทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ท่ามกลางความมืดมีเสียงดังโฉ่งฉ่าง
“เผชิญหน้าศัตรู ! เผชิญหน้ากับศัตรู ! ” ซ่งต้าเป่าตื่นตระหนก ฟุ่บ หนึ่งกระบี่ฟันเข้าที่ไหล่ของเขา “อ๊าก…! ไป ไป”
“อ๊าก… วิ่งโว้ย ! ”
“อย่าวิ่งไป ศัตรูมีไม่มาก สังหารมันเดี๋ยวนี้ ! ”
“อ๊าก ขาของข้า ขาของข้าหายไปแล้ว… !”
“อั๊ก ข้าถูกยิง ลูกธนูปักข้าแล้ว ข้าจะตายแล้วๆ เวรเอ๊ย… !”
“สังหารมารดามันเถอะ ใครจะฆ่าก็ฆ่าไปเลย ข้าไปแล้ว !”
เสียงโหยหวน เสียงกรีดร้อง เสียงตะโกน และเสียงปะทะกันของอาวุธ ทันทีที่เกิดเสียงวุ่นวายขึ้น ความสงบสุขของค่ำคืนนี้ก็ถูกทำลายลงทันที
ซ่งต้าเป่าตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก การโจมตีอย่างกะทันหันยามค่ำคืนทำให้ทหารทั้งห้าร้อยนายของฝั่งตนเองสับสนวุ่นวาย ตอนนี้ต้องทำเยี่ยงไร มิว่าเยี่ยงไรก็ต้องช่วยหลิวซานเปี้ยนออกมา ใช่ ไปช่วยเหลือหลิวซานเปี้ยน !
“ไปกับข้า ! ”
เขาวิ่งไปถึงตัวของนายทหารที่กำลังแบกหลิวซานเปี้ยน “เร็วเข้า ๆ วิ่งให้เร็วกว่านี้ ! ”
หลิวซานเปี้ยถูกแรงสะเทือนจนหน้าตาเหยเก “ไอหยา ไอหยา เป่าเอ๋อ เจ้าลูกสุนัข นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น ? ”
“อาซานเปี่ยนอดทนอีกเพียงเล็กน้อย พวกเราโดนซุ่มโจมตี ! ”
“เหตุใดพวกเจ้าจึงถูกซุ่มโจมตีอีกแล้ว ? ”
หลิวซานเปี้ยนอยากจะร้องแต่ไร้น้ำตา ลูกธนูพุ่งปักร่างของทหารสองสามคนที่แบกเขาอยู่ ทหารสองสามนายนั้นล้มลงไป และเขาก็ล้มลงไปกับพื้นที่อีกครา “เวรตะไลเอ๊ย ! ” หลิวซานเปี้ยนสบถออกมา เขาอยู่มาครึ่งชีวิตแล้ว แต่มิเคยรู้สึกหมดหวังเท่าในตอนนี้มาก่อน !
ตอนที่ 156 หลงกล
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง มิมีผู้ใดอยู่ที่สนามฝึกฝนไต้ชาน
ทหารทุกนายกลับมายังห้องพัก พวกเขาพักผ่อนอยู่ประมาณ 1 ก้านธูปจึงได้ไปยังโรงครัว
ไป๋ยู่เหลียนยืนรออยู่ที่โรงครัว เมื่อทหารทุกนายมาครบแล้ว เขาจึงได้เอ่ยว่า “คืนนี้เราจะกินข้าวตามลำดับกลุ่ม กลุ่มที่หนึ่งกินก่อนจากนั้นตามด้วยสองและสาม และเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบ”
เหล่าทหารล้วนสงสัย เหตุใดในคืนนี้จึงเปลี่ยนแปลงกฎการกินข้าว ? แต่ก็มิมีผู้ใดเอ่ยถามเนื่องจากนี่คือคำพูดของไป๋ยู่เหลียน นับว่าเป็นคำสั่ง
กลุ่มหนึ่งแบ่งเป็น 5 แถว แถวหนึ่งแบ่งเป็น 3 หมู่ หมู่หนึ่งมีประมาณ 10 คน รวมทั้งสิ้น 150 คน นี่คือวิธีการแบ่งแยกโดยฟู่เสี่ยวกวน เมื่อครั้งที่รวบรวมทหารใหม่ ไป๋ยู่เหลียนมิเข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงแบ่งเช่นนี้ เนื่องจากมิเหมือนกับวิธีในปัจจุบัน เดิมทีไป๋ยู่เหลียนก็มิค่อยเคยชินเท่าใดนัก แต่บัดนี้กลับรู้สึกว่ามันค่อนข้างสะดวกกว่าวิธีการเดิมเป็นอย่างมาก
สามกลุ่มรวมกันเป็นหนึ่งกรม สามกรมรวมกันเป็นหนึ่งกอง สามกองรวมกันเป็นหนึ่งกองทัพ ซึ่งบัดนี้ทหารของซีซานรวมกันได้หนึ่งกองทัพพอดี เฉินป๋อได้รับหน้าที่เป็นผู้นำกองทัพ ส่วนซูม่อถูกจัดว่าเป็นบุคคลภายนอก
หนึ่งกลุ่มมีทั้งสิ้นร้อย 50 คน พวกเขานั่งรวมกันเรียบร้อย ไป๋ยู่เหลียนเอามือไขว้หลังแล้วเดินไปเดินมากล่าวว่า “พวกเจ้าจงจำให้ดี ไม่ว่าสถานการณ์ใด พวกเจ้าจะต้องระมัดระวังตัวตลอดเวลา ! เนื่องจากศัตรูซ่อนตัวได้ในทุกหนแห่ง เขาอาจจะปลอมตัวเป็นพ่อครัวนำอาหารผสมยาพิษมาให้พวกเจ้าได้ หรืออาจปลอมเป็นผู้ป่วย คนชรา คนพิการเพื่อเรียกร้องความสงสารจากพวกเจ้า เมื่อพวกเจ้าเข้าใกล้ศัตรูด้วยความไว้ใจ พวกเขาอาจจะแทงขั้วหัวใจเจ้าได้ในพริบตา !”
“สนามรบนั้น มิเพียงหมายถึงการที่สองกองทัพเผชิญหน้ากัน แต่มิว่าที่ใดมีศัตรู ที่นั่นก็คือสนามรบ ! ”
“ประสบการณ์ที่ฝึกฝนมาทั้งหมดนี้ ข้ามิต้องการให้พวกเจ้าแลกมาด้วยเลือดเนื้อ ช่างมิคุ้มค่าเสียจริง และเมื่อยามที่พวกเจ้ารู้ตัวก็อาจจะสายเกินไปแล้ว ดังนั้นในยามฝึกฝนพวกเจ้าจะต้องพยายามให้ถึงที่สุด หลังจากการฝึกฝนจะต้องพยายามจดจำและนำไปประยุกต์ใช้ว่าหากพวกเจ้าเป็นศัตรู จะใช้วิธีการใดในการกำจัดพวกเรา”
“ข้าเองเคยคิดว่าหากอยู่ในป่าเขา ข้าจะวางกับดักเอาไว้ และนำยาพิษใส่ลงไปในแม่น้ำเพื่อรอพวกเจ้ามาดื่มกิน ข้าจะทำให้พวกเจ้าตื่นตระหนกและแตกตัว จากนั้นข้าคงจะจัดการกับพวกเจ้าทีละคนจนหมดสิ้น ! ”
“หากพวกเจ้ามิมีความรอบคอบ เจ้าจะตายเยี่ยงไรอาจมิรู้ตัวเสียด้วยซ้ำ พวกเจ้าจงจดจำไว้ให้ดีว่า พวกเราเป็นทหารฝึกฝนพิเศษ พวกเราใช้สมองในการทำงานมิใช่เพียงร่างกายเท่านั้น ! ”
“พวกเจ้ามิเหมือนกองทัพใด ๆ ในโลกนี้ ! ”
“หากทำมิได้……กลุ่มที่สองกินข้าว……พวกเจ้าจะถูกขับไล่ออก หรืออาจมิเหลือแม้แต่ชีวิต ! ”
กลุ่มที่หนึ่งกินเสร็จแล้ว พวกเขา 150 คนไปรวมกันในมุมหนึ่ง จากนั้นกลุ่มที่สองได้เข้าไปนั่งลง”
ฟ่านตงหลินเป็นชาวซีซาน เขาอายุยังน้อยอีกทั้งยังมีความสามารถ จึงถูกฟู่เสี่ยวกวนคัดเลือกมาแต่แรก เขานั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะกินข้าวโดยไม่ลงมือหยิบตะเกียบ เขารู้สึกได้ว่าวันนี้ผู้คุมเปลี่ยนไปจากเดิม หรือว่าอาจมีแผนการใดซ่อนอยู่ ?
ผู้คนรอบข้างกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย เขาเองก็หิวมากเช่นกัน แต่สัมผัสของเขายืนยันว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ เพื่อนทหารข้าง ๆ เขาเอ่ยถามว่า “เหตุใดมิกิน มิหิวหรือ ? ”
“เจี่ยนเตา ข้ารู้สึกว่าอาหารพวกนี้มิปกติ”
ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าเจี่ยนเตาเมื่อครู่ตกตะลึง เขาวางตะเกียบลงมองไปยังไป๋ยู่เหลียนจากนั้นหันกลับมาถามว่า “หรือครูฝึกจะวางยาพวกเรา ? ”
“นิสัยของครูฝึกเจ้ามิเข้าใจหรือ ? อย่างไรก็ตามข้าว่าอาหารนี้มิปกติ ข้ามิกิน”
เจี่ยนเตาเองก็วางตะเกียบลง “เจ้ากล่าวค่อนข้างมีเหตุผล จากนิสัยของเขาแล้ว เขาอาจวางยาถ่ายพวกเราได้”
ไป๋ยู่เหลียนมองเห็นพวกเขาแล้วนึกในใจว่า ยอดเยี่ยม สามร้อยคนมีถึงสองคนที่รอดไปได้ เจ้าคนที่ชื่อว่าฟ่านตงหลินเป็นถึงหัวหน้ากลุ่มที่สอง ส่วนเจี่ยนเตานั้นแม้จะเป็นผลมาจากที่ฟ่านตงหลินตักเตือน แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ชนะในความคิดนั้น
ต่อมาคือกลุ่มที่สาม มี 3 คนที่ระมัดระวังจึงมิได้กินข้าว หนึ่งในนั้นมีทหารเก่าแก่นามว่าจ้งต้าฉุย ที่เหลืออีก 2 คนเป็นทหารใหม่
เมื่อกลุ่มที่สี่กินข้าว ยาพิษในกลุ่มที่หนึ่งได้เริ่มออกฤทธิ์
เมื่อเห็นว่าทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบคนนอนเอามือกุมท้องกองอยู่ที่พื้น ทหารคนอื่น ๆ ล้วนตกตะลึง ไป๋ยู่เหลียนกลับโบกไม้โบกมือกล่าวว่า “มิมีสิ่งใดน่าประหลาดใจ ศัตรูได้วางยาพิษในบ่อน้ำ บัดนี้พวกเขาได้สิ้นชีพแล้ว ต่อจากนี้ผู้ที่กินข้าวทุกคนล้วนสิ้นชีพ”
ทหารที่กินข้าวเข้าไปแล้วแต่พิษยังไม่ออกฤทธิ์ พวกเขาจึงทำตัวไม่ถูก ทหารทั้งสองคนที่มิได้กินข้าวก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขารู้สึกดียิ่งนักที่ได้เกิดความหวาดกลัวขึ้นเสียก่อน
ไป๋ยู่เหลียนฟาดแส้ลงแล้วกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเรียบว่า
“บัดนี้ สหายของพวกเจ้าได้รับพิษจากศัตรูแล้ว ควรทำเยี่ยงไรดี ?”
“พวกเราควรให้ความช่วยเหลือ” ซ่งเฉียงตะโกนออกมา
“อืม เจิ้งเฉียงเจ้าจงไปช่วยเหลือดู ? ”
เจิ้งเฉียงตกตะลึง เขามิอาจถอนพิษได้ จะทำอย่างไรดีเล่า ?
“เจ้ามิอาจช่วยเหลือพวกเขาได้ ใช่หรือไม่ ? ”
เจิ้งเฉียงก้มหน้าลงมองพื้น
“ดังนั้นเจ้ายอมที่จะเห็นสหายของเจ้าตายไปต่อหน้าต่อตาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
เจิ้งเฉียงมิอาจตอบกลับได้ ทหารทุกคนก็เช่นเดียวกัน
“เกี่ยวกับเรื่องยาพิษนั้น หากมิรู้ว่าคือพิษใด ให้ลองทำเยี่ยงนี้…เจิ้งเฉียงเอาน้ำกรอกปากเอ้อล่ายจื่อ กรอกจนกระทั่งเขาอ้วกออกมา”
ไป๋ยู่เหลียนเงยหน้าขึ้นกล่าวกับทุกคนว่า “เมื่อเห็นเจิ้งเฉียงเอาน้ำกรอกปากเอ้อล่ายจื่อ ในฐานะลูกทีมของเจิ้งเฉียงพวกเจ้ามัวทำสิ่งใดอยู่ ? จงจำไว้ ศัตรูอยู่ทุกหนแห่ง ! พวกเจ้าจะต้องเข้ามาป้องกันเจิ้งเฉียงไว้ จากวิธีการฝึกฝนของเรา สร้างกำแพงป้องกัน เตรียมอาวุธ พร้อมต่อสู้ตลอดเวลา !”
“พวกเจ้าช่างไร้ความสามารถยิ่งนัก ! ช่างน่าเอือมระอาจริง ๆ มิเข้าใจความหมายที่ข้าเอ่ยงั้นหรือ ? ” ไป๋ยู่เหลียนตะโกนออกมา
“รับทราบ ! ”
“รับทราบบ้าบออะไรเล่า ! ”
“จงปฏิบัติบัดนี้ เร็วเข้า ! อ้อมออกไปทางด้านหลังกระทั่งอนุสาวรีย์วีรชน ข้าจะบอกกับพวกเจ้าว่าพิษนี้มิใช่ข้าเป็นผู้วาง แต่คือศัตรู ได้ยินหรือไม่ ! พวกมันอยู่บนภูเขาไต้ชาน และรอให้พวกเจ้าทั้งหมดถูกพิษซึมเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นจะเข้าช่วยเหลือหลิวซานเปี้ยนไป เข้าใจหรือไม่ ? ”
“จงจดจำไว้ให้ขึ้นใจว่า ห้ามเจ็บ ห้ามตาย ! ทุกคนต้องมีชีวิตรอดกลับมา ปฏิบัติ ! ”
หลังการเคลื่อนไหวไม่นาน การฝึกปฏิบัติก็เริ่มขึ้น ทหารทุกคนเคลื่อนที่อย่างเงียบ ๆ ตรวจสอบอาวุธของตนครบถ้วนอย่างรวดเร็ว จากการนำทีมโดนเฉินป๋อและซูม่อ พวกเขาแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่และซ่อนตัวอยู่ในความมืด
ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกมาปรบมือ เขามองดูร่างนอนเรียงรายอยู่นับร้อยแล้วหัวเราะขึ้น
“มัวหัวเราะอะไรอยู่ มาเถอะ ช่วยชีวิตพวกเขา ! ”
ไป๋ยู่เหลียนขว้างขวดเปล่าออกไป จากนั้นเทผงสีขาวลงไปในถังน้ำ ทั้งสองช่วยกันนำน้ำกรอกปากทหารทีละคน ๆ
“พวกเขาช่างไม่ระมัดระวังเสียจริง ! ให้ตายเถอะ ! ทหารที่ข้าพากลับมาด้วยมีเพียงฉุยจื่อเท่านั้นที่มิกินข้าว หากเรื่องนี้เป็นฝีมือของศัตรูจริง ๆ ทหารกว่าสองพันคนนี้คงตายกันหมดแน่”
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงหัวเราะ แล้วกล่าวว่า “ศัตรูมีอยู่ทุกที่นั้นคือเรื่องจริง เราจะต้องกำชับพวกเขาให้ตระหนักอยู่ตลอดเวลา…เจ้าว่า หากข้าเชิญศิษย์พี่ใหญ่มาสอนเรื่องยาพิษแก่พวกเขา จะดีหรือไม่ ? ”
“เป็นความคิดที่ดีเยี่ยม ! แม้พวกเขาจะมิรู้หนังสือ แต่หากตั้งใจฟังก็สามารถเข้าใจวิธีการแก้พิษได้”
“มิใช่ ! ข้าต้องการให้พวกเขารู้วิธีการใช้ยาพิษ ส่วนเรื่องการแก้พิษปล่อยให้เป็นเรื่องของหมอติดตามก็พอ”
ตอนที่ 155 วางยาพิษ
ฟู่เสี่ยวกวนและเยี่ยนซีเหวินคุยกันอยู่ในเรือนซีซานเพียง 2 คน บนภูเขาไต้ชาน ปี้ตู๋จินกังหวงซื่อหลางมองหลิวซานเปี้ยนที่ห้อยอยู่บนเสาไม้ไผ่ด้วยอาการอ่อนระโหยโรยแรง สองตาพลันแดงก่ำ
ซ่งต้าเป่าที่อยู่ข้าง ๆ เขาเตะก้อนหินบนพื้นแรง ๆ “เป็นความผิดข้า เป็นความผิดข้าทั้งสิ้น ที่ทำให้อาซานเปี่ยนต้องมาอยู่ในสภาพนี้ ข้าจักลงไปสังหารมันและช่วยอาซานเปี่ยนกลับมา ! ”
เขากล่าวจบและทำท่าจะถลาลงไป แต่หวงซื่อหลางก็ได้คว้าตัวเขาไว้ “เจ้ามันรนหาที่ตาย ก็เห็นชัดแล้วว่าพวกมันกำลังใช้อาซานเปี่ยนมาล่อให้พวกเราติดกับ ด้านล่างย่อมมียอดฝีมือซุ่มอยู่เป็นจำนวนมากแน่ ๆ… เรื่องนี้คงต้องวางแผนกันยาว”
“หากจะต้องมัวมาวางแผนกันอีก อาซานเปี่ยนอาจจะตายได้ แม้ว่าพวกเราจะกลับไปอย่างปลอดภัย เยี่ยงนั้นจะไปอธิบายกับพี่กงได้เยี่ยงไร ? เหมือนเจ้าจะลืมพี่สะใภ้คนใหม่ของพี่กง คนที่เจียงหูเรียกกันว่าจิ้งจอกยิ้มหลิวจิ่วเม่ย หากบิดานางตายที่นี่ พวกเรายังจะมีชีวิตได้อยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ซูโหรวที่นั่งปักผ้าอยู่บนต้นไม้ที่ห่างออกมาก็เลิกคิ้วเล็กน้อย จิ้งจอกยิ้มหลิวจิ่วเม่ยรึ นางแต่งงานกับกงเซินจ่างเยี่ยงนั้นรึ ? ฟู่เสี่ยวกวนดูเหมือนว่าจะพบเจอเข้ากับความลำบากเสียแล้ว
หวงซื่อหลางขบกรามแน่น และเงยหน้ามองท้องฟ้า “ประเดี๋ยวจะลองดูว่าสามารถส่งคนแฝงเข้าไปในค่ายของพวกมันได้หรือไม่ มีเพียงแค่การหยดยาพิษนี้ลงไปในบ่อน้ำ และรอจนกระทั่งทหารเหล่านั้นใช้น้ำมาทำอาหารเย็น จึงจะมีโอกาสช่วยอาซานเปี่ยนออกมาได้”
“ข้าจักไป ถึงแม้แขนของข้าจะถูกซูม่อบั่นไปแล้ว แต่พลังตัวเบายังคงอยู่ ถือเสียว่าให้ข้าชดใช้ความผิด”
หวงซื่อหลางเหลือบมองซ่งต้าเป่า เขาขมวดคิ้วพร้อมกับเอ่ยถามออกมา “จะกล่าวว่าวิทยายุทธ์ของซูม่อก้าวหน้าไปขั้นหนึ่งแล้วเยี่ยงนั้นรึ ? ”
“เฮ้อ… ข้าชะล่าใจไป สิบสามกระบี่ของซูม่อร้ายกาจอย่างมาก ดูแล้วคงก้าวหน้าไปขั้นหนึ่งไปเสียแล้วจริง ๆ ”
“หากซูม่ออยู่ในค่าย เจ้าจะมีโอกาสไปวางยาได้ที่ไหนกัน ? ”
“เขากลับไปเรือนซีซานแล้ว ค่ายในยามนี้มิมีผู้มีฝีมือระดับสูงแล้ว”
หวงซื่อหลางครุ่นคิด หยิบถุงผ้าออกมาจากในอกและส่งให้กับซ่งต้าเป่า “ระวังด้วย หากมิสามารถทำอันใดได้ก็กลับออกมา อย่าให้ถูกจับได้”
ซ่งต้าเป่ายัดถุงผ้าไว้ในเสื้อ “พวกเจ้ารอฟังข่าวจากข้าได้เลย”
เขาโผบินไปไม่กี่ครั้ง ก็หายไปจากภูเขาไต้ชาน จนมิสามารถมองเห็นตัวเขาได้อีก
ซูโหรวมิได้เคลื่อนไหว นางยังคงปักผ้าอย่างสงบ
ซ่งต้าเป่าได้มาถึงค่ายแล้ว ถึงจะตระหนักได้ว่าการป้องกันของที่นี่นั้นเข้มงวดยิ่ง
ทหารสองพันกว่านายยังคงฝึกซ้อมอาวุธอยู่ในสนาม แต่ด้านนอกค่ายนั้นกลับมีทหารยืนรักษาการณ์ และมีหน่วยลาดตระเวนกลุ่มละ 5 คนเดินอยู่เป็นระยะ ๆ
พอเขาสบโอกาสจึงรีบไปซ่อนตัวอยู่ด้านข้างของค่ายทันที ในยามที่กำลังอับจนหนทาง ก็มีชายหนุ่มที่สวมใส่ชุดและหมวกสีขาวปรากฏขึ้นมาตรงหน้าเขา เขาร้อนใจยิ่ง ในตอนที่กำลังจะคว้าเขาคนนั้นเอาไว้ แต่คาดมิถึงว่าเขาคนนั้นจะกล่าวว่า “เฮ้ยเฮ้ย เจ้าแอบอยู่ตรงนั้นเพื่อจะอู้งานรึ รีบไปยกน้ำมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ น้ำในครัวกำลังจะใช้หมดแล้ว”
ซ่งต้าเป่าดีใจอย่างยิ่ง สวรรค์เมตตาเขาแล้ว !
เขารีบพยักหน้า “ขอรับ ๆ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”
กล่าวจบเขาก็เดินออกมา เดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าวชายเสื้อขาวก็พูดอีกว่า “เฮ้ย ๆ สมองเจ้ามันอยู่ที่หว่างขารึ ? โรงครัวอยู่ทางนั้น โง่จริงเชียว มิแปลกใจเลยที่ถูกแยกมาอยู่ที่โรงครัว”
“อ่า…ข้าเลอะเลือนเสียแล้ว” ซ่งต้าเป่ารีบเอ่ยขอโทษ ก้มหน้าและเดินไปทางโรงครัว
ชายเสื้อขาวฉีกยิ้มขึ้นมา ดูชั่วร้ายเป็นอย่างมาก แท้จริงแล้วเขาก็คือไป๋ยู่เหลียน
โจรผู้นี้หัวไม่ดียิ่ง หากไม่ชี้ทางให้เขา ไป๋ยู่เหลียนกังวลว่าคนผู้นี้คงจะถูกทหารลาดตระเวนพบเจอได้โดยเร็ว
ไปดูเสียหน่อยว่าเจ้านั่นจะวางยาอะไร ไป๋ยู่เหลียนครุ่นคิดและไปทางบ่อน้ำ
ซ่งต้าเป่าหยิบถังน้ำมาจากโรงครัวแล้วหยุดยืนอยู่ข้างบ่อน้ำ เมื่อมองไปรอบ ๆ ด้านแล้วไม่เห็นคน ดังนั้นเขาจึงหยิบยาพิษออกมาจากอกและหยดลงไปในบ่อ หลังจากนั้นก็หยิบสองถังน้ำเดินไปในโรงครัว
ไป๋ยู่เหลียนคุกเข่าลงข้างบ่อน้ำแต่ก็มิเห็นอะไร เขานึกครุ่นคิด หยิบน้ำเต้าสุราและดื่มสุราที่อยู่ภายในจนหมด เติมน้ำในบ่อจนเต็มน้ำเต้าสุราและเดินออกไปจากค่ายฝึก เพื่อมุ่งหน้าไปยังเรือนซีซาน
ซ่งต้าเป่านำน้ำมาสิบถังและเติมน้ำไปจนเต็ม ในใจมีความสุขอย่างยิ่ง หลังจากที่ทหารเหล่านี้ทานอาหารที่ทำจากน้ำนี้ก็จะล้มลงไปกับพื้น ไร้พลังต่อสู้ เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะบั่นหัวของมันแต่ละคนเพื่อตอบแทนความอัปยศของแขนที่หายไปนี้
เขาลอบออกมาจากค่าย กลับไปยังบนเขา ด้วยสีหน้าดีใจ
“สำเร็จแล้ว ข้าใส่ยาพิษไปจนหมดแล้ว”
หวงซื่อหลางจ้องมองเขาอย่างสงสัย “ง่ายดายเพียงนี้เลยรึ ?”
“พวกเขามิได้มีการเตรียมป้องกัน ค่ายนั้นถึงแม้จะมีทหารยาม แต่หละหลวมยิ่ง ในขณะที่ข้ากำลังตามหาโรงครัว ได้มีพ่อครัวเรียกข้าไปแบกน้ำโดยบังเอิญ นั่นก็ประจวบเหมาะเลยมิใช่หรือ ข้าจึงวางยาและแบกน้ำไป จึงมิมีผู้ใดสนใจข้า”
หวงซื่อหลางรู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อย แต่เมื่อครุ่นคิด อย่างไรแล้วกลุ่มคนเบื้องล่างนี้ก็มิใช่ทหาร และก็มิมีใครรู้ว่าหวงซื่อหลางคนนี้จะมาที่นี่ แบบนั้นแล้วการป้องกันจะอ่อนลงก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก
“ดี เรื่องนี้เจ้าทำได้ดียิ่ง รอจนช่วยอาซานเปี่ยนได้แล้ว ที่นี่คงอลหม่านนัก ในยามนั้นซูม่อย่อมมาที่นี่ พวกเราจะอ้อมไปจนถึงซีซาน ไปยังเรือนนั้นจัดการบั่นหัวของฟู่เสี่ยวกวนและรีบกลับไปเถิด”
“เป็นความคิดที่ดี ! แล้วจะลงมือเมื่อใด ? ”
“รอจนพวกเขาทานข้าวเสร็จไปครึ่งชั่วยาม เมื่อยาออกฤทธิ์ข้าและคนอื่น ๆ จะปรี่ลงไปช่วยอาซานเปี่ยน แต่เจ้าจงจำไว้ว่า เมื่อช่วยอาซานเปี่ยนแล้ว พวกเราจะถอยกลับไปภูเขาไต้ชานและอ้อมไปซีซาน อย่าได้คิดจะสังหารทหารเหล่านี้ พวกเรามิมีเวลา และนี่มิใช่เป้าหมายของการมาของเรา”
ซ่งต้าเป่ารู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้ารับ
หลิวซานเปี้ยนได้หายไปจากมือของเขา และลูกน้องทั้งสามร้อยคนที่เขานำไปก็ถูกกวาดเรียบ แม้แต่ตนเองก็ยังเสียแขนไปหนึ่งข้าง ตอนนี้เขามิมีคุณสมบัติจะไปโต้เถียงกับหวงซื่อหลางได้เลยแม้แต่น้อย สิ่งที่ครุ่นคิดอยู่ในใจคือขอให้ครานี้ประสบความสำเร็จ มีเพียงเท่านี้ ในยามที่กลับไปพบพี่กงที่ภูเขาผิงหลิงแล้วยังจะทำให้เขาได้รับเม็ดเงินจำนวนมหาศาล
ไป๋ยู่เหลียนกลับไปยังเรือนซีซาน เขาทักทายฟู่เสี่ยวกวน แล้วจึงเดินตรงเข้าไปในห้องของซูเจวี๋ย เพียงไม่นานก็เดินออกมาอีกครา พยักหน้าให้กับฟู่เสี่ยวกวน แล้วจึงออกจากเรือนซีซานไป เยี่ยนซีเหวินที่มองตามรู้สึกสับสนยิ่ง
“เขาคือผู้ใดกัน ? “
“หัวหน้าองครักษ์ของข้า เป็นชาวลวี่หลิน เพราะได้ยินว่าข้าผู้นี้เป็นผู้มีคุณธรรม กล้าหาญ ช่างวางแผนและมีอนาคตทั้งที่อายุยังน้อย เขาจึงได้มาขอติดตามข้า”
ไป๋ยู่เหลียนก้าวข้ามประตูดวงจันทร์มาพอดิบพอดี สะดุดเล็กน้อยแต่ก็มิได้ล้มลงไปบนพื้น
เยี่ยนซีเหวินเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างดูถูก “เจ้ามันหน้าหนาจริงเชียว…จะบอกว่า ปี้ตู๋จินกังอะไรนั่นมาถึงแล้วเยี่ยงนั้นรึ ? ”
“อือ มาแล้ว พาลูกน้องมา 500 นาย ท่านกลัวหรือไม่ ? ”
“…เหมือนจะมิกลัว แต่ค่อนข้างประหม่า หากปะทะกันเมื่อใดพาข้าไปดูด้วย ? ”
อย่างไรเขาก็เป็นนายอำเภอ และเรื่องต่าง ๆ ของชาวลวี่หลินก็น่าสนใจอยู่มิน้อย บ้านเมืองล่ะ ? การเพาะปลูกเล่า ?
“ดูอันใด ย่อมปะทะกันยามค่ำ มองมิเห็นอันใดทั้งนั้น หากท่านโดนลูกหลงเข้า ข้าจักไปรับโทสะของตระกูลเยี่ยนได้เยี่ยงไร”
เยี่ยนซีเหวินเสียใจอย่างมาก ถึงแม้หนังสือที่เขาอ่านมาทั้งหมดจะเป็นหนังสือของนักปราชญ์ แต่ก็เคยได้ยินเรื่องราวของชาวลวี่หลินมามิน้อย
เรื่องพวกนี้เดิมทีแล้วเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไกลตัวเขา แต่ในยามนี้กลับได้อยู่อย่างใกล้ชิด ความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงมิได้
“ประเดี๋ยวข้าจะออกไปเสียหน่อย ท่านอยู่ที่นี่เถิด”
“เจ้าจะไปไหน ? ”
“ข้าจะไปดูพวกเขาสังหารคน”
“แล้วเหตุใดเจ้าไปได้…แต่ข้าไปมิได้ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูก “เพราะ… เจ้ายังเป็นเด็ก”
ตอนที่ 154 เจ้าต้องการทำสิ่งใดกันแน่
เยี่ยนซีเหวินมองไปยังยุ้งฉางที่เต็มไปด้วยธัญพืช ในใจเขาจึงได้ผ่อนคลายความกังวลลง
ถ้าหากเกิดปัญหาขึ้นกับธัญพืชเหล่านี้ เยี่ยงนั้นคงเกิดเรื่องใหญ่
ยุ้งฉางแห่งนี้ใช้เก็บเสบียงอาหารสำหรับทำสงคราม หากเป็นช่วงเวลาสงบสุขไร้สงคราม อาจมิเกิดประโยชน์ใด ๆ เนื่องจากอาหารเหล่านี้ล้วนมาจากพ่อค้าข้าว คลังเก็บเสบียงของอำเภอมักขายอาหารเหล่านี้ในช่วงฤดูกาลที่สำคัญ จากนั้นก็นำเงินไปซื้ออาหารใหม่เข้ามาเก็บสำรองไว้ต่อไป
แต่เยี่ยนซีเหวินเข้าใจดีว่าหากเกิดสงครามขึ้น ทางการอาจประกาศขนย้ายเสบียง เมื่อถึงเวลานั้นหากทางการมีคำสั่งให้อำเภอเหยาขนส่งเสบียงไป แต่อำเภอเหยากลับมิมีเสบียง นี่เป็นความผิดอันใหญ่หลวง
แม้ว่าบัดนี้สถานการณ์จะอยู่ในความสงบ แต่สิ่งที่เรียกว่าสงครามนี้ หารู้ไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด
อาจารย์กู้เหวินที่เขาพามาจากเมืองหลวงด้วยก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก และกล่าวกับเยี่ยนซีเหวินว่า “คุณชาย ฟู่เสี่ยวกวนได้เชิญท่านไปซีซาน กล่าวว่าจะมอบหมายหน้าที่ใหญ่หลวงแก่ท่าน……ท่านจะไปหรือไม่ ? ”
“ไป ข้าเองก็อยากจะรู้ยิ่งว่าเขาต้องการให้ข้าทำสิ่งใด”
“ถ้าเช่นนั้นท่านจะให้ข้าจัดเตรียมรถม้าเลยหรือไม่ ? ”
“อืม ช้าก่อน นำไม้ทับกระดาษไปด้วย เรื่องเสบียงในครานี้ ข้าติดหนี้บุญคุณเขาไม่น้อย”
กู้เหวินตกตะลึงเล็กน้อย ที่ทับกระดาษนั้นเป็นสิ่งของที่คุณชายรักและหวงแหน มองดูแล้วความสัมพันธ์กับคุณชายและฟู่เสี่ยวกวนช่างต่างจากที่เคยได้ยินมาว่าทั้งสองไม่ถูกกัน
ช่วงบ่ายของวันต่อมา เยี่ยนซีเหวินเดินทางมายังเรือนซีซานอีกครั้งหนึ่ง ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยทักทายเขาอยู่สองสามคำก็พาเขาไปยังภูเขาไต้ชาน
“คือเช่นนี้ ครั้งที่แล้วเจ้ากล่าวกับข้าว่ามีโจรมายังสองฝั่งแม่น้ำใช่หรือไม่? เป็นเรื่องบังเอิญเสียจริงที่โจรเหล่านั้นเล็งเป้าหมายมายังข้า ดังนั้นข้าจึงได้ทำลายพวกเขาเสียหมดสิ้น แน่นอนว่าความดีงามนี้ข้ารับไว้คงไร้ประโยชน์ แต่เมื่อข้าคิดไปคิดมา สิ่งนี้อาจทำประโยชน์แก่เจ้าได้ เจ้าจงลองดู”
เมื่อเยี่ยนซีเหวินมองไปยังซากศพนับร้อยที่กองกระจัดกระจายอยู่ เขาก็กลั้นจมูกจนแทบไม่มีอากาศหายใจ
เขามิเคยเห็นภาพอันน่าสยดสยองเช่นนี้มาก่อน เขาตกตะลึงไปชั่วครู่ จากนั้นวิ่งออกไปอาเจียนข้าง ๆ
กู้เหวินเองก็มิเคยพบเห็นมาก่อน แต่เขามีวัยวุฒิกว่าจึงอดกลั้นเอาไว้ได้ เขาเดินเข้าไปพยุงเยี่ยนซีเหวินเอาไว้ ในใจก็นึกว่าหากคุณชายได้ผลงานเหล่านี้มา คงจะส่งผลดีไม่น้อย
ผ่านไปเนิ่นนาน เยี่ยนซีเหวินจึงตั้งสติได้ เขาเอามือข้างหนึ่งตบหน้าอกตัวเอง อีกข้างหนึ่งชี้ไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้วกล่าวว่า “เจ้ามันช่างโหดร้ายนัก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนยักไหล่อย่างไม่แยแสแล้วกล่าวว่า “เจ้ากล่าวว่าข้าเยี่ยงนี้ได้อย่างไร ? ข้าขอถามเจ้าครั้งเดียวว่า นี่คือผลงานที่ยิ่งใหญ่ใช่หรือไม่ ? แล้วเจ้าจะรับไว้หรือไม่ ? ”
กลิ่นอายผลงานการเมืองลอยมาปะทะกับจมูกของเยี่ยนซีเหวิน เขาเข้าใจถึงความหมายนั้นดี จึงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “รับสิ ข้าเดินทางมาไกลเช่นนี้ จะให้กลับไปมือเปล่าได้อย่างไร”
“ตามนั้น ในเมื่อเจ้าเดินทางมาไกลเช่นนี้ หากไม่รีบร้อนก็พักที่นี่สักหนึ่งคืนเป็นไร ข้ายังมีบางสิ่งจะมอบแก่เจ้าอีก”
เยี่ยนซีเหวินลุกขึ้นยืนตัวตรง ขมวดคิ้วมองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยถามว่า “ยังมีโจรอีกงั้นหรือ ? ”
“อืม ไปเถอะ กลับไปแล้วข้าจะเล่าให้ฟัง”
ทั้งสามเดินทางกลับมายังเรือนซีซาน เยี่ยนซีเหวินนั่งอยู่ที่สวนด้านหลัง เขาดื่มน้ำชาเข้าไปสามแก้วจึงรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง
“ศพกว่าสามร้อยศพที่เจ้าเห็นเมื่อครู่ เป็นลูกสมุนของกงเซินฉางจอมโจรแห่งหวงเหอ เขามีลูกน้องฝีมือดีอยู่ทั้งสิ้น 8 คน คนสามร้อยคนนี้เป็นหนึ่งในลูกน้องของเขาที่นำพามา แต่น่าเสียดายที่ความมืดบดบัง ซ่งต้าเป่าได้ถูกตัดแขนแต่หนีไปได้ แต่ทว่าข้ามีลูกน้องอีกคนหนึ่งของเขาอยู่ในมือ ชื่อว่าหลิวซานเปี้ยน พรุ่งนี้ข้าจะนำตัวเขามาให้เจ้า”
เยี่ยนซีเหวินมองดูฟู่เสี่ยวกวน เหตุใดเขายังคงนิ่งสงบได้เพียงนี้ ราวกับว่าเป็นเรื่องที่กระทำอยู่ทุกวันไม่มีผิดเพี้ยน
พวกเขาเหล่านั้นเป็นจอมโจรอย่างแท้จริง
ผู้คุ้มกันของเขามีอยู่กี่คนกัน ?
ผู้คุ้มกันของเขาเหล่านี้ปลิดชีพโจรกว่าสามร้อยคนได้อย่างไร ?
เรื่องนี้ทำให้เยี่ยนซีเหวินมิอาจเชื่อได้ แม้ว่าเขามิเคยนำทัพ แต่ความสามารถของผู้ดูแลนั้นเขารู้ดี
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามว่า “เจ้ายืมกำลังทหารจากจวนโจวงั้นหรือ”
“มิได้ หากข้ายืมกำลังทหารจากจวนโจว ผลงานนี้ข้าจะให้เจ้าได้อย่างไร”
เมื่อเยี่ยนซีเหวินคิดดูก็รู้สึกว่าเรื่องนี้สมเหตุสมผล พวกเขามิใช่โจรธรรมดา หากแต่เป็นโจรที่อยู่ภายใต้กงเซินฉาง แตกต่างกันลิบลับ
ชื่อเสียงของกงเซินฉางโด่งดังจนได้รับการบันทึกเอาไว้ กองกำลังทหารทางเหนือเคยส่งกำลังไปล้อมไว้ แต่พวกเขาก็ได้กลับมามือเปล่า
หากเขาบันทึกลงในหนังสือว่าตนและฟู่เสี่ยวกวนร่วมมือกัน ล้อมกลุ่มโจรสามร้อยคนนี้ไว้ที่อำเภอเหยา และทำให้ซ่งต้าเป่าได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งจับตัวหลิวซานเปี้ยนได้……เช่นนั้นเขาคงมีผลงานไม่น้อย เขาไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากตระกูลก็สามารถทำให้ฝ่าบาททรงพอพระทัยได้ อีกทั้งไม่ว่าอย่างไรก็เป็นผลงานชั้นเยี่ยมที่สมควรยกย่อง
ผลงานดีงามเช่นนี้ เหตุฟู่เสี่ยวกจึงมอบให้เขากัน
เยี่ยนซีเหวินเอ่ยถามไปว่า “ข้าไม่รู้ว่าเจ้านั้นทำได้อย่างไร ข้าเพียงแต่ต้องการถามเจ้าว่า การที่เจ้ามอบผลงานชิ้นเลิศแก่ข้านี้ มีข้อแลกเปลี่ยนใด ? ”
เจรจากับผู้มีความสามารถมักไม่เหนื่อยและเปลืองเวลา
“แม้ว่าพวกเราจะมิได้เป็นอาจารย์และศิษย์กันจริง ๆ แต่ก็เป็นในนาม เมื่อเจ้าพบข้าก็ควรทำความเคารพตามข้อกำหนด เจ้าว่า……หากผลงานนี้มิให้ลูกศิษย์ตนแล้วจะให้ใคร ? ”
“หึ ! ” เยี่ยนซีเหวินเข้าใจในเรื่องนี้ดี แต่เขามิชอบยิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวมันออกมาตามตรง ทำให้เขาโมโหเป็นที่สุด
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาด้วยท่าทีมีความสุขแล้วกล่าวว่า “เจ้าดูตัวเจ้าสิ เหตุใดจึงโกรธแค้นง่ายนักหนา เอาละ ในปีหน้าข้าคงใช้เวลาในเมืองหลวงนานเสียหน่อย เจ้าก็รู้ดีว่าข้ามีศัตรูไม่น้อย เอ่ยตามตรงว่าแม้แต่ตระกูลเยี่ยนของเจ้าเอง ข้าก็มิรู้ว่าสร้างศัตรูไว้หรือไม่ ผลงานนี้มอบให้เจ้า ประการแรกเป็นการยืนยันว่าข้ามิได้คิดเป็นปรปักษ์กับตระกูลเยี่ยน ประการที่สอง…..ตระกูลเยี่ยนของเจ้ามีชื่อเสียงและเป็นที่เคารพมาสามสมัย ต่อไปในภายภาคหน้าหากข้าต้องการตั้งหลักปักฐานในเมืองหลวง ก็จำเป็นจะต้องหาผู้คุ้มครองที่เชื่อถือได้ใช่หรือไม่”
เหตุผลนี้ช่างเหมาะสม เยี่ยนซีเหวินนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นจึงได้เข้าใจในความคิดของฟู่เสี่ยวกวน
เจ้านี่ช่างหลักแหลมเสียจริง อายุเพียงเท่านี้สามารถวางแผนการในระยะยาวได้ดีเพียงนี้ ส่วนเรื่องที่ตระกูลเขามีผู้เป็นศัตรูกับฟู่เสี่ยวกวนหรือไม่นั้นเขามิรู้ แต่หากเขายินดีเข้าข้างตระกูลเยี่ยน ก็เป็นเรื่องดี
“เอาละ การที่เจ้ากล่าวมานั้นข้ายังพอจะเข้าใจบ้าง เจ้าว่าคืนนี้ยังมีบางสิ่งให้ข้า คืออันใดกัน”
“จอมโจรมาด้วยกัน 2 คน ค่ำคืนนี้ปี้ตู๋จินกังจะนำคนกว่าห้าร้อยมาที่นี่ แต่พรุ่งนี้เช้าตรู่ข้าจะพาเจ้าไปเก็บศพพวกเขาเอง รับรองว่าครั้งนี้แม้แต่ปี้ตู๋จินกังเองก็ไม่รอด”
เยี่ยนซีเหวินยังคงมิเข้าใจความหมายของฟู่เสี่ยวกวน ในขณะที่เขาคิดจะเอ่ยถาม ฟู่เสี่ยวกวนก็ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวว่า “ข้าคิดว่าที่นี่ไม่ปลอดภัย มีวิธีใดในการเพิ่มผู้ดูแลเป็นสองสามพันคน”
เยี่ยนซีเหวินขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “มีเพียงวิธีเดียวนั่นคือขออนุญาตกับทางการ หากมีหนังสือนี้แล้ว……จะลองดูก็ได้ เพียงแต่ เจ้าต้องการทำสิ่งใดกันแน่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งตัวตรง สีหน้าของเขานิ่งเรียบกล่าวว่า “หากข้าปลิดชีพเจ้านี้ได้ กงเซินฉางจะเอาข้าไว้งั้นหรือ ? “
ตอนที่ 153 เหยื่อ
เรือนหลังซีซาน หมอกลงราวกับเส้นด้าย สะท้อนให้เห็นแสงของโคมไฟ สลัวลอยในอากาศอยู่เนิ่นนานให้สัมผัสของแดนสวรรค์บนโลกมนุษย์อยู่เล็กน้อย
ท่ามกลางสายหมอก ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ นั่งล้อมรอบโต๊ะหิน บนโต๊ะนั้นมีอาหารสองสามอย่างที่เป็นกับแกล้มสุรา กำลังร้อนได้ที่จนมีควันลอย
“มา หนึ่งจอก” ฟู่เสี่ยวกวนยกจอก ไป๋ยู่เหลียน ซูม่อ ซูเจวี๋ยและซูโหรวชนจอกกัน
ทันใดนั้นไป๋ยู่เหลียนก็มองฟู่เสี่ยวกวนและเอ่ยถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย “ตอนที่เจ้าซักถามหลิวซานเปี้ยน ท่าทางใจเย็นนั้นเป็นของจริงหรือแสร้งทำกัน”
นี่กำลังถามสิ่งใดกัน ? ฟู่เสี่ยวกวนจ้องไป๋ยู่เหลียน “เอาเถิด เจ้าก็คิดว่าข้าแสร้งไปแล้วกัน”
ไป๋ยู่เหลียนจ้องมองเขาอย่างครุ่นคิด ก้มหน้าดื่มสุราหนึ่งแก้ว เจ้าจักกล่าวว่าคนผู้นั้นเมินเฉยต่อสิ่งมีชีวิต แต่เขาก็ได้ช่วยชีวิตผู้ประสบภัยไว้อีกนับหมื่น หากจะกล่าวว่าเขานั้นให้ความเคารพยำเกรงต่อชีวิตอย่างเต็มที่ การขยับมีดของเขาก็เหมือนกับการฆ่าไก่ฆ่าสุนัขก็มิปาน
“ซ่งต้าเป่าล่ะ” ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจสายตาของไป๋ยู่เหลียน และหันไปถามซูม่อ
“หนีไปแล้ว”
ไป๋ยู่เหลียนหัวเราะ ซูม่อเดือดดาลอย่างยิ่ง “ข้าบั่นแขนเขาไปหนึ่งข้าง และเป็นข้างที่ถือกระบองหนามนั้นด้วย หนีไปได้แล้วยังไง ? ไอ้เวรนั้นไร้ประโยชน์แล้ว”
“ตามที่หลิวซานเปี้ยนกล่าวมา อีกสองวันหวงซื่อหลางจะพากองโจรมาอีกห้าร้อย พวกเราวางแผนดักซุ่มโจมตีเขาเสียหน่อย ดีหรือไม่” ไป๋ยู่เหลียนเอ่ยถาม
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดและปฏิเสธคำแนะนำนี้ “ที่นี่คือสนามรบ ให้เป็นสงครามที่ปะทะซึ่ง ๆ หน้า หากหวงซื่อหลางใช้พิษ ก็เชิญหมอให้มาวินิจฉัยว่าจะตายหรือไม่ นานเท่าใดจึงจะตาย แก้พิษได้หรือไม่ หากแก้ได้ เยี่ยงนั้นก็ให้พวกเขาได้รับยาพิษและได้เรียนรู้”
ซูม่อลอบคิดว่าคนผู้นี้ช่างบ้าเสียจริง เขาจนปัญญาแล้วจริง ๆ ทหารเหล่านั้นโชคร้ายเสียแล้ว
แต่ภายในใจของฟู่เสี่ยวกวนกลับคิดว่ามิเป็นอะไร นึกถึงชาติก่อนยามที่ตนเองได้เข้ารับการฝึก เป็นเรื่องยากที่จะป้องกันยามอาจารย์ผู้ฝึกวางยาพิษ จนกระทั่งหลังจากที่ได้ออกมาจากฐานแล้ว แม้แต่การดื่มน้ำก็จะทำการตรวจสอบเสียก่อน มันได้ฝังลึกเข้ากระดูกจนถึงสัญชาตญาณ มีเพียงแบบนี้ จึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
“เรื่องการแก้พิษนั้น หมอเชื่อถือมิได้ ให้ข้าจัดการเถิด”
เป็นซูเจวี๋ยที่กล่าวขึ้นมา เขาเพิ่งจะคีบเนื้อท้องปลาและกลืนลงไปหลังจากที่เคี้ยวละเอียดดีแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนมองซูเจวี๋ยด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “ศิษย์พี่ใหญ่ยังทำสิ่งนี้ได้อีกหรือ”
“เข้าใจเล็กน้อย”
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้ม ซูม่อเองก็หัวเราะ “ศิษย์พี่ใหญ่เป็นปรมาจารย์ฉีหวงอย่างแท้จริง และก็เป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้พิษ ใต้หล้านี้ยังมิมีพิษใดที่เอาชนะศิษย์พี่ใหญ่ได้”
ซูเจวี๋ยโบกมือ “ศิษย์น้องโปรดอย่ากล่าวเยี่ยงนั้น การใช้พิษนั้นเป็นหนทางเล็ก ๆ แต่สามารถแปรเปลี่ยนได้เป็นพัน ศิษย์พี่ใหญ่เพียงศึกษาตามอำเภอใจ ยังห่างไกลจากปรมาจารย์มากนัก”
ซูโหรวเงยหน้าใช้ตาเรียวชำเลืองมองซูเจวี๋ย ลอบคิดว่าศิษย์พี่ใหญ่ศึกษาตามอำเภอใจนั้นเป็นเรื่องจริง และเกือบจะทำอาจารย์สิ้นชีพมาแล้ว
“เยี่ยงนั้นเรื่องนี้คงต้องลำบากศิษย์พี่ใหญ่แล้ว ต่อจากนี้พวกเจ้าต้องทราบว่าหวงซื่อหลางใช้พิษเมื่อใด และใช้ที่ใด เรื่องนี้มีเพียงเจ้าและซูม่อเฝ้าติดตาม”
ไป๋ยู่เหลียนพยักหน้า นึกไปถึงหลิวซานเปี้ยนที่พาไปไว้ที่สนามฝึก และเอ่ยถาม “เยี่ยงนั้นท่านไว้ชีวิตหลิวซานเปี้ยนเพื่อการใดกัน”
“ไว้ชีวิตเขา แล้วพรุ่งนี้ก็แขวนเขาเอาไว้กับเสา ปักไว้หน้าอนุสาวรีย์วีรชน”
ซูโหรวก็ได้เหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างพิจารณาอีกครา ลอบคิดว่าคนผู้นี้จะโหดเหี้ยมไปหรือไม่
แต่ไป๋ยู่เหลียนกลับเห็นด้วยอย่างยิ่ง “สามารถทำเยี่ยงนั้นได้ ประการแรกเพื่อให้เหล่าทหารใหม่ได้เห็น ประการที่สองเพื่อล่อให้หวงซื่อหลางติดกับ”
ทั้งห้าคนนั่งทานอาหารดื่มสุราและคุยเล่นกัน ดังนั้นจึงได้เอ่ยถึงเรื่องของชาวฮวงขึ้นมา
“ข้าคาดมิถึงจริง ๆ ว่าคนที่มาสังหารท่านในครานี้จะเป็นชาวฮวงที่ส่งมา ทั้งยังเป็นท่าป๋าชิวที่โด่งดังในหมู่ชาวฮวงอีกด้วย ข้าว่า สรุปแล้วที่เมืองหลวงท่านได้ก่อหายนะอันใดให้แก่ชาวฮวงกัน” ไป๋ยู่เหลียนเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ชาวฮวงหน้าตาเยี่ยงไรข้ายังมิรู้ด้วยซ้ำ เจ้าว่าข้าเสียเปรียบหรือไม่ วันนั้นที่พระราชวังจินเตี้ยน เหล่าขุนนางพลเรือน ทหารและเสนาบดีกำลังหารือกันเรื่องการอภิเษกสมรสขององค์หญิงสามและท่าป๋าเฟิง ข้ารึก็ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังสุดและครุ่นคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ พวกเจ้าลองกล่าวมา เรื่องเกี่ยวดองนี้เกี่ยวข้องอันใดกับข้ากัน แค่ฝ่าบาททรงเอ่ยนามของข้า และต้องการให้ข้าพูดออกไป”
“ข้าจักกล่าวเยี่ยงไรได้ ข้ามิรู้ธรรมเนียมในท้องพระโรงด้วยซ้ำ ดังนั้นข้าจึงกล่าวไปส่ง ๆ องค์หญิงสามเป็นถึงกิ่งไม้สีทองและใบหยกของราชวงศ์หยู สภาพแวดล้อมของชาวฮวงทุรกันดารเกินไป เยี่ยงนั้นสู้ให้ชาวฮวงสร้างตำหนักองค์หญิงเหมือนของต้าหยูขึ้นมา ผลลัพธ์ก็คือพวกเขาได้สร้างพระราชวังในนามของชาวฮวงขึ้นมาได้ ข้าเพียงเอ่ยออกไปเยี่ยงนั้น ไหนเลยจะไปคาดคิดได้ว่าฝ่าบาทจะสั่งให้คนจดลงไป”
ฟู่เสี่ยวกวนแบสองมือออก ด้วยใบหน้าใสซื่อ “ชาวฮวงก็ไร้เหตุผล จู่ ๆ ก็เชิญคนมาสังหารข้า เรื่องนี้มิใช่เกิดจากข้าเสียหน่อย”
ทุกคนต่างมีความสุข ไป๋ยู่เหลียนส่ายหน้า “ท่านนี่นะ แบบนี้เขาเรียกปากพาซวย”
เขายกสุราขึ้นมาดื่ม และกล่าวต่อว่า “เจ้ามิรู้ว่าชาวฮวงนั้นยากจนเพียงใด ในอดีตนั้นพวกเขาต่างเลี้ยงสัตว์อย่างเร่ร่อน ที่พักก็คือเพิงชนิดหนึ่งที่เรียกว่าเยิร์ต สามารถถอดและใช้ม้าวัวลากไปได้ตลอดเวลา ต่อจากนั้นจึงได้สร้างเมืองขึ้นที่ด่านเยี่ยนซาน ความจริงแล้วก็ใช้หินสร้างบ้านขึ้นมา แม้แต่กำแพงเมืองก็มิมี พวกเขาตั้งนามเมืองนี้ไว้ว่าฮวงจิง นั่นแสดงให้เห็นว่าแคว้นฮวงก็มีเมืองหลวง”
“ดังนั้นเจ้าลองคิดตาม ในวันนี้เพราะคำพูดของเจ้า ชาวฮวงจำต้องใช้อำนาจจากทั้งประเทศมาสร้างพระราชวัง นี่คืองานที่หนักและสิ้นเปลืองงบประมาณ ตามที่ข้าได้คิดไว้ ทันทีที่พระราชวังสร้างเสร็จ ชาวฮวงก็จะยากจนลงจนมิเหลืออะไร ท่าป๋าชิวก็คืออาของท่าป๋าเฟิง เทียบเคียงกับองค์ชายของราชวงศ์หยู และคนผู้นี้ค่อนข้างคุ้นเคยกับประเพณีของต้าหยู ว่ากันว่าเคยเข้าเรียนที่สำนักศึกษาจี้เซี่ยที่เมืองหลวง เป็นมันสมองข้างกายของท่าป๋าเฟิงอย่างแท้จริง เขาย่อมเข้าใจถึงอันตรายที่มี แต่ท่าป๋าเฟิงก็ได้ยินยอมและสร้างตำหนักขึ้นมา เขาไร้หนทางจะโต้กลับ จึงทำได้เพียงตามหาท่านเพื่อระบายอารมณ์”
ซูม่อและคนอื่น ๆ เพิ่งจะเข้าใจ เมื่อได้มองฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกว่าคนผู้นี้เป็นหายนะอย่างแท้จริง
“ในตอนนี้ก็รับทราบเป้าหมายแล้ว คุณงามความดีนี้ยังจะยกให้เยี่ยนซีเหวินอยู่หรือไม่”
“ให้ ยกความดีให้เขาเสียหนึ่ง และรอดูว่าตระกูลเยี่ยนที่เมืองหลวงจะมีปฏิกิริยาเยี่ยงไร”
ชะงักชั่วอึดใจ ฟู่เสี่ยวกวนไตร่ตรองอยู่เล็กน้อย และเอ่ยเสียงแผ่ว “ในปีหน้าเมื่อตำหนักของชาวฮวงสร้างเสร็จ หรือก็คือช่วงเวลาอภิเษกสมรสขององค์หญิงสาม ทันทีที่ข้าได้รับข่าวคราว มีความเป็นไปได้ยิ่งที่ฝ่าบาทจะแต่งตั้งข้าเป็นราชทูตเดินทางไปยังแคว้นฮวง ข้าคิดไว้เยี่ยงนี้ เมื่อถึงเวลานั้นทหารชุดนี้จะต้องมีความสามารถทางการรบแล้ว ข้าจะหาข้ออ้างเพื่อนำพวกเขาเข้าขบวนส่งตัวไปด้วย และเดินทางไปยังแคว้นฮวงกับข้า”
ไป๋ยู่เหลียนพยักหน้า “หากท่านได้กลายเป็นราชทูตจริง ๆ ก็จำต้องนำคนกลุ่มนี้ไปด้วย ข้าคิดว่าท่าป๋าชิวคงมิยอมรามือหรอก”
“ไม่ไม่ไม่…” ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือ “ปัญหาของข้ามิได้ใหญ่ถึงเพียงนั้น อย่างไรแล้วฝ่าบาทก็มิประสงค์ให้ข้าไปตายด้วยเงื้อมมือของชาวฮวงอยู่แล้ว ข้าต้องการให้เจ้านำทหารชุดนี้ไปขโมยม้าศึกกลับมา”
ไป๋ยู่เหลียนและคนอื่น ๆ ต่างตกใจ ตื่นตระหนกไปกับความคิดที่โลดโผนของฟู่เสี่ยวกวน
ม้าศึกของชาวฮวงมิมีใครในโลกที่เทียบได้ แต่ที่ท่านระหกระเหินวิ่งไปไกลพันกว่าลี้เพื่อขโมยม้าศึกชาวบ้าน และเรื่องอภิเษกสมรสจะเป็นเยี่ยงไรกัน
หากท่าป๋าเฟิงเดือดดาลจนมิเข้าร่วมอภิเษก หัวบนบ่าของฟู่เสี่ยวกวนต้องมีกี่หัวจึงจะพอให้ฝ่าบาทบั่นเยี่ยงนั้นหรือ
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “มามามา ดื่มสุรากัน ๆ เรื่องนี้ ข้าจะพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วจะบอกกับเจ้าว่าทำเยี่ยงไร”
ตอนที่ 152 ศิลปะ
การต่อสู้สิ้นสุดในเวลาเพียง 1 ก้านธูป เนื่องจากคนจำนวน 500 คนต่อสู้กับ 300 คน อีกทั้งยังเป็นการซุ่มโจมตี การแพ้ชนะจึงมิต้องกล่าวถึง
ไป๋ยู่เหลียนมาถึงที่นี่และจุดไฟขึ้น
ทหารฝึกใหม่เหล่านั้นแลเห็นซากศพและเลือดที่ยังไม่แข็งตัวเจิ่งนองไปทั่วพื้นธรณี จึงได้เกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา บางคนก็ทรุดลงที่พื้นและอาเจียนออกมา บางคนก็หวาดกลัวตัวสั่นจนหลับตาลง
ไป๋ยู่เหลียนนำหมอมารักษาผู้บาดเจ็บ ซึ่งมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 12 คน บาดเจ็บสาหัส 18 คนและบาดเจ็บทั่วไป 30 คน
สีหน้าเขายังคงนิ่งเรียบดั่งน้ำนิ่ง และกล่าวกับแพทย์คนหนึ่งว่า “นำผู้บาดเจ็บกลับไปรักษา พวกที่เหลือเข้าแถวบัดเดี๋ยวนี้ ! ”
เมื่อสิ้นเสียงคำสั่งของไป๋ยู่เหลียน เฉินป๋อที่ยืนอยู่หน้าสุดตามด้วยทหารกว่าสองพันคนเข้าแถวอย่างสงบ
ฟู่เสี่ยวกวนกระโดดลงมาจากต้นไม้ ซูโหรวยังคงนั่งปักผ้าอยู่บนต้นไม้ตามเดิม ส่วนซูม่อมิได้อยู่ที่นี่ เขาติดตามไล่ฆ่าซ่งต้าเป่าไป
“ข้าคิดว่าเราควรฝังศพผู้เสียชีวิตเหล่านี้รวมกันที่ภูเขาไต้ชาน โดยจารึกป้ายหน้าหลุมศพว่า…วีรบุรุษ เพื่อให้ผู้มีชีวิตอยู่ได้มาเคารพ ส่วนผู้บาดเจ็บสาหัสที่มิสามารถฝึกฝนต่อไปได้ ทำการแจกจ่ายเงินชดเชยและมอบหมายหน้าที่ให้เขารับผิดชอบที่ซีซาน”
ไป๋ยู่เหลียนพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “อัตราความเสียหายในการต่อสู้ในครานี้ค่อนข้างมาก อาจทำให้ทหารบางคนหวาดกลัว ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่ แต่หากมิสามารถแก้ไขได้ คงต้องให้พวกเขากลับไปยังซีซานเพื่อรับผิดชอบในหน้าที่อื่นแทน”
“เนื่องจากครานี้เป็นคราแรกที่พวกเขาได้ทำการต่อสู้อย่างถึงเลือดถึงเนื้อ ทหารที่จากไปล้วนเป็นทหารใหม่ ประการแรกนั้นคือประสบการณ์น้อย ประการที่สองคือความหวาดกลัวในจิตใจ อีกทั้งสมาชิกในแต่ละกลุ่มมิเข้าใจกันอย่างที่ควร และสุดท้ายคือมิเด็ดขาด ! ”
เขาใช้น้ำเสียงตะคอกออกมาในประโยคสุดท้าย แม้น้ำเสียงเช่นนี้ฟังดูจะมีพลังน่าเกรงขาม แต่ในสายตาฟู่เสี่ยวกวนมองว่ามิควร เนื่องจากการลอบสังหารควรดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ เขาคาดหวังว่าต่อให้ต้องสูญเสียทหารหนึ่งคนต่อศัตรูหนึ่งคน ก็มิควรตะโกนออกมาเยี่ยงนี้ พวกเขาเป็นทหารฝึกฝนพิเศษ พวกเขาควรจะลอบสังหารอย่างไร้เสียงและเด็ดเดี่ยว เหมือนกับการหั่นผักปลา ซึ่งหาได้จำเป็นต้องออกเสียงไม่
“อืม การฝึกฝนในขั้นตอนต่อไปจักต้องคำนึงถึงปัญหาเหล่านี้ให้มากกว่าเดิม”
“แต่ก็มิต้องรีบร้อนเสียเกินไป เพียงให้พวกเขารับรู้ถึงอันตรายของการต่อสู้ก็เพียงพอ ให้พวกเขาตระหนักถึงข้อนี้ และนับจากนี้…พวกเขาจะต้องพบเจอกับอุปสรรคอีกมากมาย ท้ายสุดผู้ที่ผ่านบทพิสูจน์ได้เท่านั้นจึงจะนับว่าเป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยจบก็มองไปยังหลิวซานเปี้ยนที่พยายามดิ้นรนอยู่บนต้นไม้แล้วกล่าวกับซูโหรวว่า “ปล่อยตัวเขาลงมาเถิด ข้ามีเรื่องอยากถามเขาสักหน่อย”
ตุ๊บ ! เสียงหลิวซานเปี้ยนตกลงมาจากต้นไม้
ฟู่เสี่ยวกวนก้มตัวลงไปข้าง ๆ หลิวซานเปี้ยน เขาหยิบมีดขึ้นมาตัดเชือกที่ปิดหน้าหลิวซานเปี้ยนออกจากนั้นจึงเอ่ยถามว่า “เจ้าเป็นใคร ? ”
หลิวซานเปี้ยนจึงได้สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วกล่าวว่า “เจ้าคือฟู่เสี่ยวกวนงั้นหรือ ? ”
“ถูกต้องแล้ว ข้าหน้าตาหล่อเหลามากงั้นหรือ ? เจ้าเป็นใคร ? เจ้ายังมิได้ตอบข้า ! ”
“ข้าคือหลิวซานเปี้ยน ผู้ติดตามท่านกงเซินฉาง หากเจ้าปล่อยตัวข้าไปแต่โดยดี ข้าจักขอร้องให้ท่านกงเซินฉางไว้ชีวิตเจ้า ! ”
เพี๊ยะ ! ! !
เสียงฝ่ามือปะทะใบหน้าดังสนั่น หลิวซานเปี้ยนหน้าหันกระอักเลือดออกมา เขารีบหันหน้ากลับมาจ้องฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับยิ้มอย่างระรื่นใจ
“กงเซินฉางอะไร ข้ามิรู้จัก ! จะให้ข้าปล่อยไปคงเป็นไปมิได้แน่ เจ้าจงตอบคำถามข้ามาตามตรงแต่โดยดี ข้าสามารถให้เจ้าสิ้นใจอย่างมิทรมาน”
“อย่าได้ฝันไป !”
เพี้ยะ ! ! !
เสียงฝ่ามือดังขึ้นอีกครั้ง
หลิวซานเปี้ยนถูกฟู่เสี่ยวกวนตบเข้าเสียจนมึนงง มองดูแล้วเขาจะมิยอมง่าย ๆ เป็นแน่ แต่เขาจะมิยอมถูกเอาเปรียบ หากฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามมา เขาจะตอบตามความเป็นจริงไปก่อน แล้วรอให้ปี้ตู๋จินกังมาช่วยเหลือ
แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยถามสิ่งใดออกมาอีก เขาตัดเชือกที่ผูกรัดตัวของหลิวซานเปี้ยนออก จากนั้นจับมือเขาขึ้นมาข้างหนึ่ง กดลงไปที่พื้น
“เจ้า เจ้า ! จักทำสิ่งใด ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบกริชออกมา แล้วกรีดลงไปที่ข้อมือนั้น
“อย่า ! ช้าก่อน ! จงถามมา ข้าจะตอบเจ้าทุกคำถาม อ๊าก… ! ”
เสียงร้องโหยหวนดังขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนตัดนิ้วหัวแม่มือของเขาจนขาด แต่ก็มิได้เอ่ยถามสิ่งใดออกมาอีก
“อ๊าก !”
เขาตัดนิ้วนางของหลิวซานเปี้ยนจนขาด แต่ยังคงนิ่งเงียบมิเอ่ยคำใด
“อ๊าก ! ”
หลิวซานเปี้ยนเจ็บปวดทรมาน สีหน้าซีดเผือด ตัวสั่นระริก แววตาแฝงไปด้วยความหวาดกลัว
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้น จากนั้นจับหัวหลิวซานเปี้ยนลากไปยังที่สะอาดสะอ้าน แล้วพึมพำกับตัวเองว่า “ข้าเป็นคนรักความสะอาด หากจะฆ่าใครก็ต้องการฆ่าอย่างสะอาดสะอ้าน จึงจะมีความสุข”
ซูโหรวหันหัวไปทางฟู่เสี่ยวกวน ดวงตาเล็กเรียวของนางมองดูเขาแล้วนึกในใจว่า เจ้านี่ในยามปกติแล้วช่างนิ่งเงียบ คาดมิถึงว่าจะโหดร้ายได้เพียงนี้ น่าสนใจเสียจริง !
ทหารกว่าสองพันคนมองเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้านี้แต่ก็มิได้ตื่นตระหนกใด ๆ ทหารบางคนได้ลืมความน่ากลัวจากการสู้รบเมื่อครู่ไปเสียแล้วด้วยซ้ำ
ที่แท้คุณชายของพวกเขาเก่งกาจกล้าหาญเช่นนี้เชียวหรือ !
นี่คงเป็นความนิ่งสงบเยือกเย็นที่คุณชายกล่าวมาตลอด
ดังนั้น ความคิดถอดใจที่พวกเขามีก่อนหน้านี้ก็มลายหายไป เดิมทีการที่พวกเขามีชีวิตมาได้ถึงวันนี้ก็เนื่องจากคุณชายช่วยเหลือไว้ อีกทั้งพวกเขายังเป็นกลุ่มคนที่คุณชายคัดเลือกจากจำนวนสามหมื่นคนด้วยตนเอง
คุณชายกล่าวว่าผู้ที่ผ่านการทดสอบกระทั่งบทสุดท้ายจึงจะเป็นผู้มีความสามารถอย่างแท้จริง ถ้าพวกเขาถอดใจและจากไปตอนนี้ ก็เท่ากับเป็นการทำให้คุณชายต้องขายหน้ามิใช่หรือ ? พวกเขาจะต่างอะไรกับพวกขี้ขลาดตาขาว ? ต่อให้พวกเขาได้กลับไปยังซีซาน แต่จะเอาหน้าที่ไหนไปพบกับคนอื่น ๆ กัน ?
ส่วนทหารเก่ากว่าห้าร้อยคนที่ไป๋ยู่เหลียนพากลับมาด้วยก็ตกตะลึงในสิ่งที่เห็น ตามปกติคุณชายเป็นผู้ชื่นชอบในวรรณกรรม เหตุใดจึงมีด้านที่โหดร้ายเด็ดขาดเช่นนี้ ! โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อครู่ที่เขาตัดนิ้ว ช่างง่ายดายคล้ายหั่นผัก หรือว่าเขา…จะสังหารคนมามากมายนับไม่ถ้วน ?
ฟู่เสี่ยวกวนตัดนิ้วหลิวซานเปี้ยนต่อไป ทำให้หลิวซานเปี้ยนอยากตายไปเสียตอนนี้ เขาเป็นคนเยี่ยงไรกัน ! นี่มันปีศาจชัด ๆ !
“ข้ายอมแล้ว ! ข้าจะเอ่ยทุกอย่างตามความจริง ! ขอร้อง ให้ข้าได้กล่าวเถิด !”
“อ้อ ! เจ้าจะบอกข้าแล้วหรือ ? อืม บอกมาซิ”
ฟู่เสี่ยวกวนนำกริชที่เปื้อนเลือดชุ่มโชกเช็ดไปยังเสื้อผ้าของหลิวซานเปี้ยนที่กำลังกลัวเสียจนหน้าซีดปากสั่น
“ปะ ปะ เป็นชาวฮวงนามว่าท่าป๋าชิวจ้างวานให้พวกข้าจัดการเจ้า ข้า ข้า…ข้าเพียงแต่ช่วยซ่งต้าเป่าและหวงซื่อหลางคิดแผนการเท่านั้น”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้น เขาคาดเดาผิดไป ท่าป๋าชิวเป็นใครกัน ? ข้าไปทำให้ชาวฮวงมิพอใจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?
เขาครุ่นคิดชั่วครู่แล้วกล่าวว่า “ข้ามิได้มีเรื่องโกรธแค้นกับท่าป๋าชิว เหตุใดเขาต้องการชีวิตข้า ? ”
“ข้า ข้าได้ยินว่าชาวฮวงกำลังสร้างพระราชวัง และพวกเขากล่าวว่า ว่านี่คือความคิดของเจ้า”
อ้อ…บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เข้าใจ ในตอนนั้นเขาเพียงแค่เอ่ยออกไปโดยมิได้ใส่ใจ กลับส่งผลให้เดือดร้อนมาถึงตอนนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาคาดมิถึงจริง ๆ
“ซ่งต้าเป่าและหวงซื่อหลางเป็นใครกัน ? ”
“จินกังผู้มีชื่อเสียงที่เป็นลูกสมุนของท่านกงเซิงฉาง ซ่งต้าเป่ามีฉายาว่าต้าเฉินจินกัง ส่วนหวงซื่อหลางมีฉายาว่าปี้ตู๋จินกัง”
“บัดนี้หวงซื่อหลางอยู่ที่ใด ? เขาพากองกำลังมาเท่าใด ? ”
“จากแผนการเดิม สองวันนี้หวงซื่อหลางจะเดินทางมาถึงหมู่บ้านเซี่ยชุนนำคนมาทั้งสิ้น 500 คน”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบมีดขึ้นมา ขมวดคิ้วแล้วฟันลงไป
“อ๊าก… !”
ฉึบ…!
“อ๊าก… !”
ฟู่เสี่ยวกวนโยนมีดทิ้งไป หลิวซานเปี้ยนตะโกนออกมาด้วยเสียงอันดังว่า “ฟู่เสี่ยวกวน…เจ้ามันยิ่งกว่าปีศาจร้าย ! ”
แขนขาทั้งสองข้างของเขาถูกฟู่เสี่ยวกวนฟันจนปวดร้าว ความเจ็บปวดที่สุดแสนบรรยายนั่นมิอาจทำให้เขาสลบไป
ฟู่เสี่ยวกวนเดินกลับมายังหน้าแถวด้วยสีหน้านิ่งเรียบ จากนั้นกล่าวว่า
“พวกเจ้าจงจดจำไว้ว่า การสังหารเป็นศิลปะชนิดหนึ่ง เมื่อใดที่พวกเจ้าสามารถฝึกฝนศิลปะนี้ได้อย่างดี เมื่อนั้นพวกเจ้าจะเป็นทหารอย่างแท้จริง ! ”
ตอนที่ 151 การต่อสู้ที่โกลาหล
เฉินป๋อสบสายตาเข้ากับซูม่อ ส่งสัญญาณมือ ซูม่อพยักหน้า
เฉินป๋อหันหน้าไปทางด้านหลังและส่งสัญญาณมือ ดังนั้นทหารทั้งห้าร้อยนายจึงเก็บคันศร คลานและลุกขึ้นมาจากพื้น หลังจากนั้นจึงเดินย่องตามเฉินป๋อเข้าไปยังป่าทางซ้ายมือ
กลุ่มของซ่งต้าเป่าที่กำลังลงจากเขามิรับรู้ถึงอันใดทั้งสิ้น เขากำลังสงสัยว่า คนกลุ่มนั้นวิ่งหายไปที่ใดกัน ? เหตุใดจึงมิมีเสียงแล้ว?
หลิวซานเปี้ยนเองก็รู้สึกถึงความแปลกประหลาด หรือว่าพวกเขาปลุกชายกลุ่มนั้นมาทรมานแล้วตอนนี้ก็กลับไปนอนเสียแล้ว ?
ครุ่นคิดอย่างไรก็รู้สึกว่ามีส่วนที่ผิดแปลกอยู่ เขาจึงให้ขบวนหยุด และเรียกสายลับ 3 คนนั้นออกมา
“สถาณการณ์ปกติของที่นี่เป็นเยี่ยงไร ? ”
หนึ่งในสายลับตอบกลับมา “ปกติก็เป็นเยี่ยงนี้ ข้าเฝ้าสังเกตการณ์ที่นี่มาแล้วห้าวัน ทุกค่ำพวกเขาจะวิ่งมาที่ภูเขาไต้ชานนี้ 1 รอบ ส่วนที่มิเหมือนกันก็คือ… ค่ำนี้เส้นทางของพวกเขาแตกต่างออกไป”
หลิวซานเปี้ยนคิ้วขมวด วิธีการฝึกของคนกลุ่มนี้ค่อนข้างประหลาด เหตุใดวันนี้พวกเขาจึงเปลี่ยนเส้นทางกัน ตนเองและคนเหล่านี้กระจายตัวกันมายังหมู่บ้านเซี่ยชุน ค่ำนี้เป็นครั้งแรกที่มารวมตัวกันที่นี่ ฟู่เสี่ยวกวนมิมีเหตุผลที่จะรู้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเขา
หลิวซานเปี้ยนคิดว่าตนเองคงคิดมากไป ดังนั้นเขาจึงเอ่ยถามเสียงแผ่วอีกครา “เจ้ามั่นใจใช่หรือไม่ว่าที่เรือนซีซานมีเพียงฟู่เสี่ยวกวนกับผู้หญิงคนนั้นและคนอื่นอีกไม่กี่คน ?”
“ใช่ ถึงแม้จะค่อนข้างไกล แต่ข้าและคนอื่น ๆ ต่างได้วิเคราะห์การเคลื่อนไหวของคนเหล่านั้นแล้ว นอกจากฟู่เสี่ยวกวนและหญิงสาวผู้นั้นที่สถานะแตกต่างออกไปแล้ว คนที่เหลืออยู่ต่างก็เป็นคนรับใช้”
“ดี พวกเจ้าทำได้ไม่เลว พวกเราออกเดินทาง ! ”
สายลับทั้งสามนำทาง ในคืนเดือนดับที่มืดมิดนี้พวกเขามิกล้าจุดไฟ ดังนั้นการเดินลงจากเขาจึงช้าอย่างมาก
ทุกคนต่างมิรู้ว่าด้านหลังของพวกเขานั้น มีซูโหรวที่กำลังประคองฟู่เสี่ยวกวนที่นั่งอยู่บนต้นไม้
“ท่านพูดถูก เป้าหมายของพวกเขาแท้จริงแล้วคือท่าน”
“มิใช่ เจ้าจะปล่อยมือของเจ้าได้หรือไม่ ? ”
“โอ้… ข้ากลัวท่านตกลงไป”
ซูโหรวปล่อยมือ และนำเข็มปักผ้าออกมาปักผ้าอีกครา
“คนผู้นั้นมีนามว่าซ่งต้าเป่า คนเจียงหูเรียกกันว่าต้าเฉินจินกัง เป็นหนึ่งในแปดจินกังที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของกงเซินจ่าง ปรมาจารย์กระบองแห่งแม่น้ำฮวงโห มีชื่อเสียงมากที่แม่น้ำฮวงโห กระบองหนามในมือมีน้ำหนัก 88 ชั่ง ในทันทีที่กระแทกเข้ากับร่างน้อย ๆ ของเจ้า… เกรงว่าชีวิตน้อย ๆ นี้คงจบสิ้นแล้ว”
ซูโหรวราวกับกำลังพูดกับตนเอง แล้วกล่าวอีกว่า “ศิษย์น้องได้มอบคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางแก่เจ้า แต่เวลาก็ผ่านมานานมากแล้วกลับยังมิเห็นการเปลี่ยนแปลงอันใด… มิใช่ว่าพี่สาวจะโจมตีเจ้า แต่เจ้ามิเหมาะกับหนทางการต่อสู้จริง ๆ ดังนั้นแล้วเจ้าจะออกมาร่วมชมความสนุกทำไมกัน ?”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจ และหัวเราะน้อย ๆ “อยากจะดูเสียหน่อยว่าเหล่าทหารใหม่จะกลัวจนความกล้าหดหายหรือไม่ ประเดี๋ยวพอปะทะกันเจ้าจับตาดูให้ดี บาดเจ็บได้ แต่พยายามอย่าให้เสียชีวิต”
“ท่านดูถูกไป๋ยู่เหลียนเกินไปแล้ว ถึงแม้วิชาดาบของเสี่ยวเหลียนเหลียนจะมิดีเท่าใด แต่ถ้าหากเป็นด้านทหาร เขาจักฝีมือดี ท่านโชคดีอย่างมาก เสี่ยวเหลียนเหลียนเป็นผู้มีจิตใจสูงส่ง แต่กลับถูกท่านปราบได้”
นี่มิใช่คำพูดหลอกลวง ช่วงหลายวันมานี้ฟู่เสี่ยวกวนมักจะมาดูที่สนามฝึก แน่นอนว่าเขามิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแผนการฝึกของไป๋ยู่เหลียน ทั้งสองเพียงแค่ประชุมกันเป็นบางครา ฟู่เสี่ยวกวนจะให้ข้อแนะนำขั้นสูง แต่หลังจากที่ไป๋ยู่เหลียนได้ฟังก็ชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง
ตัวอย่างเช่นการจู่โจมตอนกลางคืนเยี่ยงนี้
ในตอนนี้ทุกคนต่างเตรียมตัวพร้อมกันแล้ว เพียงรอให้ศัตรูตกหลุมพราง
ทางด้านซ่งต้าเป่าและคนอื่น ๆ ในยามนี้ก็ยังคงมิรู้สึกตัว ภายใต้การนำของสายลับ ค่อย ๆ เดินเข้าไปในวงล้อมที่เฉินป๋อและซูม่อวางเอาไว้
“เหตุใดข้าจึงคิดว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ ข้ารู้สึกกังวลยิ่ง” คิ้วของหลิวซานเปี้ยนยังคงขมวดแน่นมิคลาย
ซ่งต้าเป่าฉีกยิ้ม “การเดินทางในค่ำคืนนี้ต่างก็กลัวชนกับผี อาซานเปี้ยนเป็นเพียงที่ปรึกษา มิเหมือนทหารอย่างพวกข้า ที่มักจะทำการปล้นในคืนเดือนดับและลมแรงเยี่ยงนี้ แต่ข้ากลับชอบค่ำคืนเยี่ยงนี้ สังหารคนได้เร็วยิ่ง ถึงแม้จะมิเห็นโลหิต แต่ก็สัมผัสได้ถึงความอุ่นร้อนของมันที่สาดกระทบใบหน้า…”
ทันทีที่สิ้นเสียงของซ่งต้าเป่า ก็มีหยดเลือดหล่นกระทบบนใบหน้าของเขา เขายื่นมือขึ้นมาลูบ แล้วเงยหน้าขึ้นไปมอง ฝนตกเยี่ยงนั้นหรือ?
ชั่วพริบตาที่เขากำลังสับสน ก็มีเลือดสาดกระเด็นมาบนใบหน้าของเขาอีกครา ครั้งนี้เขารู้สึกถึงความอุ่นร้อน และเกิดความตื่นตระหนกอย่างมาก จึงกู่ร้องออกมาทันพลัน “มีศัตรู ! ”
หลังจากนั้นข้างกายของเขาก็มีคนล้มลงไปกองกับพื้น
หลิวซานเปี้ยนตื่นตกใจยกใหญ่ หลังจากนั้นก็รีบคลานลงไปกับพื้น “ศัตรูอยู่ที่ใด ? ศัตรูอยู่ที่ใดกัน ? ”
ซ่งต้าเป่าเหวี่ยงกระบองหนามในมือ เสียงตึง ๆ ดังขึ้นมา ดวงโตคู่นั้นของเขามองไปรอบด้านแต่ก็มองได้มิค่อยชัดนักเพราะมืดเกินไป จะมองเห็นศัตรูได้เยี่ยงไร !
“ใครมันกล้าโจมตี กล้าแสดงตัวออกมาหรือไม่ ? ”
เขาเหวี่ยงกระบองหนาม และตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าพวกขี้ขลาดทั้งหลาย ออกมาให้ข้าสังหารเดี๋ยวนี้ ! ”
ดังนั้นเขาจึงพาคนสองร้อยกว่าคนพุ่งเข้าโจมตีดั่งลูกศร
คนผู้นี้มีวิทยายุทธ์ที่แข็งแกร่ง กระบองหนามนั้นร่ายรำอย่างพลิ้วไหว มีดของลูกน้องที่อยู่ด้านหลังของเขาแทงมั่วไปหมดจนเกิดความชุลมุนวุ่นวาย ระหว่างเสียงตึง ๆ ก็มีคนถูกสังหารไปถึงยี่สิบสามสิบคน
พวกเขาพุ่งไปถึงสถานที่ซุ่มโจมตีของซูม่อ ซูม่อส่งสัญญาณมืออย่างต่อเนื่อง ทหารใหม่ที่อยู่ด้านหลังเก็บคนธนูและชักดาบ ยังคงเป็นกลุ่มห้าคน พวกเขารีบพุ่งเข้าไปโจมตีทันทีทุกย่างก้าวดูมีพลังราวกับว่าพื้นธรณีจะพังทลาย
อีกด้านหนึ่งเฉินป๋อส่งสัญญาณมือออกคำสั่ง ทหารทั้งห้าร้อยคนวิ่งไปพร้อมกับเขา และล้อมรอบซ่งต้าเป่าและคนอื่น ๆ อย่างสุดชีวิต
ซูม่อถือดาบพุ่งตรงไปทางซ่งต้าเป่า ทหารที่เหลือโรมรันอยู่กับกลุ่มโจร
หลิวซานเปี้ยนคลานลุกขึ้นมาจากพื้น มองสนามรบเบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง ผ่านไปเพียงสามอึดใจ เขาพลิกตัวและวิ่ง หลังจากนั้นก็ล้มลงไปกองกับพื้นอย่างแรง
ขาทั้งสองข้างของเขาโดนเชือกพันไว้ หลังจากนั้นร่างของเขาก็หมุนอยู่กลางอากาศ เขาถูกเชือกพันจนเหมือนบ๊ะจ่าง
ซูโหรวแขวนเขาไว้บนต้นไม้ หลังจากนั้นก็ปักผ้าต่อ แต่สายตากลับมองไปยังสนามรบเบื้องหน้า
ตั้งแต่ต้นจนจบ ทหารใหม่เหล่านั้นมิได้ส่งเสียงใดใด นั่นทำให้ซูโหรวต้องมองฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียนอย่างชื่นชม
ในสนามรบขณะนี้ กลุ่มเล็ก ๆ จำนวนห้าคนพุ่งเข้าไปราวกับล้อรถ คนที่หนึ่งฟันเข้าไป ขยับฝีเท้าออก คนที่สองก็เข้าไปในตำแหน่งของคนที่หนึ่งอย่างพอดิบพอดี ตวัดดาบลงไปอีกครา หมุนวนไปเยี่ยงนี้และทะลวงไปในวงศัตรู ราวกับหั่นผักก็มิปาน ในสายตาซูโหรว มันราวกับรังแกกัน แต่ทหารใหม่ที่ลงสนามก็ตื่นตระหนกถึงที่สุด
นี่คือการจับดาบจริงและฆ่าคนจริง ๆ !
พื้นฐานของพวกเขาคือเกษตรกร มิมีปัญหากับการจับจอบ แต่ที่จับอยู่ตอนนี้กลับกลายเป็นดาบ !
เลือดสาดกระเซ็นลงบนใบหน้าพวกเขา ดาบเล่มนั้นเฉือนบนร่างของพวกเขา ดาบของพวกเขาเองก็บั่นเข้าที่คอของศัตรู สหายที่อยู่ข้างกายล้มลงไป หลังจากนั้นตาก็แดงก่ำ ดังนั้นจึงลืมแล้วสิ้นการลำดับความสำคัญ
“ข้าจะฆ่าเจ้าสุนัข ! ”
“อ๊าก มือของข้า มือของข้า… !”
“พี่น้องทั้งหลาย ฆ่าพวกมันให้หมด !”
……
…..
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า สุดท้ายก็วุ่นวายไปหมด แต่ก็มิเป็นไร อย่างไรนี่ก็เป็นสนามแรกของพวกเขา จบเรื่องนี้ไป๋ยู่เหลียนย่อมทำสรุปออกมาอยู่แล้ว มีบางคนจะไปจากที่นี่ และมีบางคนที่จะเติบโตอย่างช้า ๆ
ผู้อยู่รอดคือผู้ที่เหมาะสม พวกเขามิใช่ดอกไม้ในเรือนกระจก พวกเขาจำต้องมีประสบการณ์ที่แฝงไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเยี่ยงนี้จึงจะสามารถยืนหยัดในอนาคตได้ !
ตอนที่ 150 พบกันโดยบังเอิญ
“ท่านต้องการหยั่งเชิงตระกูลเยี่ยนงั้นหรือ ? ”
ซูโหรวนั่งอยู่ตรงข้ามฟู่เสี่ยวกวน นางมิได้เงยหน้าขึ้นมอง แต่ยังคงปักลายดอกไม้ลงไปบนผ้าอย่างใจเย็น
“เจ้าว่า…หลินเจียงมีตระกูลมั่งคั่งมากมาย แล้วเหตุใดพวกเขาจึงต้องจัดการกับซีซานของข้ากัน ? หากพวกเขาต้องการปล้นอาหาร ข้ายังเข้าใจได้ แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขามิได้มีจุดประสงค์เพื่อปล้นอาหาร แต่ที่ซีซานก็ไม่ได้มีเงินทองมากมาย มันคุ้มค่าต่อการที่พวกเขาจะเดินทางมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อีกอย่างหนึ่ง จวนของเศรษฐีอันดับหนึ่งแห่งหลินเจียงนั้นมีการป้องกันไม่แน่นหนาเท่ากับที่นี่ด้วยซ้ำ เดิมทีข้าคาดว่าพวกเขาจะเพียงมองดูแล้วจากไป คาดมิถึงว่าพวกเขาคิดจะเล่นงานที่นี่ ดังนั้นข้ามั่นใจว่าการปล้นสะดมมิใช่วัตถุประสงค์ที่แท้จริง แต่เป้าหมายของพวกเขาคือชีวิตข้าต่างหาก”
“ข้ามิรู้ว่าเป็นผู้ใดที่ต้องการชีวิตข้ากันแน่ แต่การที่สามารถให้จอมโจรทั้งสองมาปลิดชีพข้าได้นั้น ต้องมิใช่คนธรรมดาแน่ ผู้ที่สามารถต่อสู้กับกงเซินฉางได้นั้นมีมิมาก ข้ามิอาจรู้ว่าพวกเขาใช้สิ่งใดมาแลกกับชีวิตข้ากัน แต่ก็คงมิพ้นเงินทอง กำลังทหารและอาวุธ หรือ…เขาต้องการเข้ารับการอภัยโทษ พวกเขาเหล่านี้เป็นโจร หากข้าตายในน้ำมือพวกเขา ก็มิมีสิ่งใดต้องสงสัย หากกงเซินฉางยินยอมรับการอภัยโทษจากองค์จักรพรรดิ ก็อาจได้รับตำแหน่งทางราชการได้”
“ข้าอยากเชิญเยี่ยนซีเหวินมาลองเจรจาดู เขายินดีจะรับผิดชอบหน้าที่ใหญ่หลวงนี้หรือไม่ ? ”
ซูโหรวมองดูฟู่เสี่ยวกวน ชายหนุ่มอายุเพียงเท่านี้กลับมีแผนการมากมายในใจ เขามิเหนื่อยบ้างหรือ ?
“เจ้าคิดมากไปหรือไม่ ? ”
“ข้าหวังว่าจะเป็นเยี่ยงนั้น ผมข้าร่วงติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน พรุ่งนี้จักต้องใช้ชุนซิ่วนำเหอโส่วอูตุ๋นกับซุปไก่ให้เสียแล้ว”
……
……
ท่ามกลางความมืดมิดใต้ภูเขาไต้ชาน สนามฝึกพิเศษมีทหารจำนวนกว่าสองพันคนสวมใส่เครื่องแบบใหม่ พวกเขามีอาวุธสี่ชิ้น และแบกกระเป๋าใบใหญ่น้ำหนักกว่าสี่สิบจิน
ไป๋ยู่เหลียนและซูม่อยืนอยู่ด้านหน้า แสงไฟสลัวส่องลงมาบนใบหน้าเคร่งขรึมของเขาที่มองไปยังกลุ่มคน
“ฝึกปฏิบัติยามวิกาล……ออกเดินทาง ! ”
เมื่อสิ้นคำสั่งของไป๋ยู่เหลียน เฉินป๋อนำขบวนฝึกวิ่งไปยังภูเขาไต้ชาน
ซ่งต้าเป่า จอมโจรมากความสามารถนำลูกน้องกว่าสามร้อยคนยืนอยู่บนภูเขาไต้ซาน เขาหันไปทางหลิวซานเปี้ยนแล้วเอ่ยถามว่า “นี่พวกมัน…กำลังทำสิ่งใด ? ”
หลิวซานเปี้ยนก็มิเข้าใจเช่นกัน เขาขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “หรือพวกมันจะเห็นพวกเราแล้ว ? ”
“มิน่าใช่ ทิศทางที่พวกมันไปเป็นอีกทางหนึ่ง”
“รอดูสถานการณ์ไปก่อน เกรงว่าจะมีแผนการซ่อนอยู่”
ซูม่อเดินตามปิดท้ายขบวนฝึก พวกเขาหารู้ไม่ว่าบัดนี้มีคนอีกกลุ่มหนึ่งจับตามองพวกเขาอยู่ พวกเขายังคงวิ่งขึ้นไปบนภูเขาไต้ซาน เมื่อคบเพลิงดับลง ทั้งสี่ทิศก็มืดมิด ได้ยินเพียงเสียงฝีเท้าท่ามกลางความเงียบสงัดของป่าเขา
เฉินป๋อได้รับคำสั่งจากไป๋ยู่เหลียนว่าในค่ำคืนนี้จะไม่ฝึกซ้อมตามเส้นทางเดิม เขาจึงได้เปลี่ยนเส้นทาง
เส้นทางนี้เป็นทิศทางที่ซ่งต้าเป่าซ่อนตัวอยู่ ซ่งต้าเป่าเงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้าเหล่านั้นแล้วกล่าวว่า “พวกมันมุ่งหน้ามาทางเรา”
หลิวซานเปี้ยนตกตะลึง เขามิรู้ว่าผู้ใดในกลุ่มพลาดท่าตอนไหน ครานี้แย่แน่ ๆ
“พวกเราถอนกำลังก่อน”
“มิสู้หรือ ? ”
“สู้ได้เยี่ยงไร ? คนมากมายเพียงนั้น สามารถล้อมพวกเราได้โดยง่าย”
ซ่งต้าเป่าออกคำสั่งแล้วเดินนำลงมาจากภูเขา
ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วธูป กองทหารที่นำโดยเฉินป๋อได้เดินทางมาถึงจุดที่ซ่งต้าเป่าซ่อนตัวอยู่ พวกเขาหาได้รู้ไม่ว่าก่อนหน้านี้มีคนกลุ่มหนึ่งซ่อนตัวอยู่ จึงได้วิ่งผ่านไปโดยมิสังเกต
ซ่งต้าเป่าที่ยืนดูอยู่จากตีนเขามีสีหน้าตกตะลึง ดึกดื่นเช่นนี้พวกเขามิหลับนอน แต่กลับออกมาวิ่งเพื่อเหตุใดกัน ?
เขามองไปยังหลิวซานเปี้ยน หลิวซานเปี้ยนเองก็จ้องเขาตาเขม็ง แม้พวกเขาจะได้รับสมญานามว่าเป็นผู้ฉลาดหลักแหลม แต่บัดนี้พวกเขาทั้งสองก็มิอาจเข้าใจได้
เสียงฝีเท้าเริ่มเบาลงกระทั่งสิ้นเสียง
“พวกเราไปดูสักหน่อยดีหรือไม่ ? ”
หลิวซานเปี้ยนครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “อืม ดูแล้วพวกมันมิได้รู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่”
ดังนั้นซ่งต้าเป่าจึงได้พาลูกสมุนอีกสามร้อยคนขึ้นสู่ภูเขา ผ่านไปสองยาม แสงไฟด้านล่างก็เริ่มสว่างขึ้น คนกลุ่มนั้นคล้ายว่าวิ่งกลับไปยังตำแหน่งเดิม
ลาดตระเวนงั้นหรือ ?
เจ้านายพวกเจ้าเป็นใครกัน ?
ความคิดพิกลยิ่งนัก !
ซ่งต้าเป่ามองไปยังกลุ่มคนด้านล่าง พวกเขาแยกย้ายตัวกันกลับไปยังที่พักของตน เวลาผ่านไปครึ่งเล่มธูป แสงไฟทั้งหมดก็ถูกดับลง คาดว่าคงเข้านอนแล้ว
“พวกเราเข้าไปจัดการพวกมันดีหรือไม่ ? ” ซ่งต้าเป่าเอ่ยถาม หลิวซานเปี้ยนรีบเอ่ยห้ามว่า “มิได้ อาจทำให้เรื่องสำคัญผิดพลาดได้ รอให้พวกเราผ่านบริเวณนี้ไปจนถึงเรือนซีซาน และนำหัวของฟู่เสี่ยวกวนมาให้ได้ จากนั้นควรรีบหลบหนี มิควรอยู่ต่อทำสงครามกับพวกเขา”
“อืม”
ซ่งต้าเป่านั่งลงที่พื้น เขานำกระบองเหล็กวางลงบนต้นขา ล้วงหยิบไก่ย่างขึ้นมากินกับสุราอย่างสบายอารมณ์
เมื่อถึงเวลาสองยาม เขาได้นำมือเช็ดปากอันมันเยิ้มแล้วหยิบกระบองเหล็กขึ้นมาแล้วกล่าวว่า “ออกเดินทาง !”
เขายังมิทันได้ก้าวขาออกไป ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงนกหวีดดังมาจากค่าย เขาตกใจแล้วออกคำสั่งว่า “ช้าก่อน ! ” จากนั้นมองไปยังต้นเสียง
หลังจากสิ้นเสียงนกหวีด แสงไฟก็ส่องสว่างขึ้นอีกครา เขาแลเห็นคนจำนวนมากวิ่งออกมารวมตัวกัน
“…ท่านลุงซานเปี้ยน ท่านว่าพวกมันค้นพบพวกเราแล้วหรือไม่ ? ”
นี่มันน่าสับสนยิ่ง ?
หลิวซานเปี้ยนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แล้วส่ายหัว “พวกมันยังมิได้พบพวกเรา หากรู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี่เหตุใดเมื่อครู่จึงมิเข้าจับกุม ? ”
ซ่งต้าเป่านำมือลูบหัวด้วยความสงสัย “หากว่า…พวกเขากำลังปั่นให้พวกเราหัวหมุนเล่า ? ”
มิน่าจะเป็นไปได้ !
“พวกเราเดินทางออกจากที่แห่งนี้อีกเส้นทางหนึ่ง มิต้องสนใจพวกเขา จัดการเรื่องสำคัญเสียก่อน มอบหมายสองสามคนอยู่ที่นี่ดูความเคลื่อนไหวของพวกเขาเป็นพอ”
พวกเราจะมัวเสียเวลาต่อไปมิได้ หากถูกคนกลุ่มนี้จูงจมูกจนกระทั่งเช้าจะทำเยี่ยงไร ?
ซ่งต้าเป่าคิดว่าสมเหตุสมผล จึงได้เดินทางออกจากภูเขาทางทิศตะวันตก
ไฟที่ค่ายนั้นมอดลงอีกครั้งหนึ่ง เฉินป๋อได้นำพวกเขาฝึกฝนการโจมตียามวิกาล พวกเขาเหล่านั้นมายังทางทิศตะวันตกของภูเขาไต้ชาน และแฝงตัวอยู่ที่นั่น
นี่คือหนึ่งในเป้าหมายของการฝึกฝนยามวิกาล ค่ำคืนนี้มิได้ต่างจากที่ผ่านมา เนื่องจากพวกเขาได้คุ้นเคยกับการรวมตัวและออกรบในสถานการณ์คับขันแล้ว
พวกเขาเปรียบเสมือนกับเสือชีตาร์ แบ่งเป็นกลุ่มละ 5 คนและกำลังคืบคลานท่ามกลางความมืด ก้าวไปข้างหน้าอย่างเงียบ ๆ
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวกับไป๋ยู่เหลียนว่า เหตุการณ์เช่นนี้มักพบได้บ่อยครั้ง เป้าหมายคือคฤหาสน์หรือค่ายของศัตรู ดังนั้นจะต้องมีความอดทนสูงและมีจิตใจที่สงบนิ่ง เนื่องจากเป้าหมายมักอยู่ระยะไกล เหล่าทหารจะต้องเข้าใกล้ศัตรูโดยมิให้พวกเขารู้ตัว และโจมตีกะทันหัน
ไป๋ยู่เหลียนจดจำคำสั่งของฟู่เสี่ยวกวนอย่างขึ้นใจ เนื่องจากพวกเขาได้ทดลองมาหลายคราแล้วพบว่าสิ่งนี้ได้ผลดี แต่ก็ช่างอันตรายนัก
บัดนี้เฉินป๋อเดินนำอยู่หน้าสุด และมีซูม่อเดินตามมา
ทันใดนั้น ซูม่อได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากบนเขา เขาใช้ภาษามือออกคำสั่งอย่างรวดเร็ว กระทั่งส่งต่อไปยังแถวสุดท้าย
ทหารทุกนายเมื่อได้รับสัญญาณนี้ก็เปลี่ยนทิศทาง จากนั้นหยิบคันธนูขึ้นมาพร้อมเตรียมลูกธนู
ตอนที่ 149 สอดแนม
ไม่กี่วันหลังจากนั้น ร้านอาหารแห่งหนึ่งในหมู่บ้านเซี่ยชุน
กลุ่มชายหนุ่มท่าทางเหมือนพ่อค้าห้าคนกำลังกินอาหารดื่มสุราอยู่ในห้องหรูหรา ผู้ที่อยู่หัวโต๊ะคือชายหน้าดำ ไหล่ลู่เหมือนเหยี่ยว ดวงตาเหมือนตาจิ้งจอก ค่อนข้างดุร้าย
“การสังเกตการณ์ของเจ้าตอนนี้เป็นเยี่ยงไรบ้าง?”
“รายงานท่านทูตต้าเฉินจินกัง การป้องกันของซีซานค่อนข้างเข้มงวด บริเวณโดยรอยในช่วงหนึ่งลี้มักจะมีหน่อยลาดตระเวนกลุ่มเล็ก ๆ อยู่ตลอดเวลา ฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นแทบจะหดหัวอยู่แต่ในเรือนซีซานและออกมาน้อยมาก มิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเข้าไปสอดแนม… ข้าน้อยคิดว่าควรรอท่านทูตปี้ตู๋จินกังมาก่อน แล้วค่อยวางแผนกันใหม่ ? ”
“เหอะ…”
ชายโหดเหี้ยมหน้าดำผู้นี้คือหนึ่งในจินกังทั้งแปดที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหัวหน้ากองโจรกงเซินจ่างแห่งแม่น้ำหวงเหอ ในยามนี้ดวงตาคู่นั้นของเขาถลึงจนโต ปากก็อ้ากว้างขึ้น และกล่าวไปว่า “เหตุใดพวกเจ้าจึงขี้ขลาดกันนัก? วันนี้คนของข้าสามร้อยคนได้มาถึงหมู่บ้านเซี่ยชุนแล้ว แต่พวกเจ้ากลับบอกให้ข้ารอ ! พี่กงของข้ายังคงรอให้ข้านำหัวของคนผู้นั้นกลับไปที่ผิงหลิง มิมีทาง ต้องลงมือภายในคืนนี้เท่านั้น!”
“นั่น… ท่านทูตคงยังมิทราบ ที่ด้านใต้ภูเขาไต้ชานยังคงมีทหารที่ทำการฝึกอยู่อีกมากมาย ระดับการป้องกันของที่นั่นพรั่งพร้อมอย่างมาก พวกข้ามิกล้าเข้าไปใกล้ นอกจากนี้ข่าวสารจากท่านทูตมาอย่างล่าช้า และก็มิทราบว่าภายในเรือนซีซานแห่งนั้นมียอดฝีมือระดับสูงอยู่หรือไม่ หากมียอดฝีมือระดับสูงอยู่ แล้วท่านทูตรีบบุกเข้าไป แล้วถูกยอดฝีมือเหล่านั้นคอยก่อกวนจนทหารที่อยู่ด้านใต้ของภูเขาไต้ชานมาช่วยได้ทันกาล ก็ย่อมย่ำแย่เป็นแน่ ท่านทูตช่วยพิจารณาอีกคราด้วย ! ”
ในตอนที่ต้าเฉินจินกังกำลังจะสาดโทสะ ชายวัยกลางคนท่าทางเหมือนที่ปรึกษาที่อยู่ทางด้านขวาของเขาก็ตบมือเขา แล้วกล่าวว่า “ในตอนที่ข้าเพิ่งมาถึง พวกเขาดูคุ้นชินกับสถานที่นี้ดี ข้ารู้สึกว่าไม่ควรหุนหันกับเรื่องนี้ ไม่ก็เยี่ยงนี้ คืนนี้ก็ให้ทั้งสามไปสืบข่าวที่เรือนซีซานอีก ข้าและท่านทูตจะพานักรบทั้งสามร้อยคนไปดูลาดเลาที่ภูเขาไต้ชาน หลังจากที่พวกเจ้าสืบจนได้ข่าวคราวก็มารวมตัวกับพวกข้าที่ภูเขาไต้ชาน แล้วค่อยตัดสินใจอีกคราว่าจะรอกลุ่มของท่านทูตปี้ตู๋จินกังหรือไม่ เห็นว่าเยี่ยงไรบ้าง ”
ต้าเฉินจินกังครุ่นคิด กลยุทธ์นี้ยอดเยี่ยมยิ่ง จึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย อีกทั้งสายสืบทั้งสามคนก็ลองใคร่ครวญดูแล้วจึงเห็นว่า คงทำได้เพียงเท่านี้ ทั้งสามคำนับและจากไป ภายในห้องหรูนั้นจึงเหลือเพียงต้าเฉินจินกังและที่ปรึกษาผู้นี้สองคน
“เด็กน้อย เรื่องนี้มิได้ง่ายดายอย่างที่คิดไว้นัก” ที่ปรึกษาผู้นั้นกล่าวขึ้นมา “เจ้าลองคิดดู ว่าเหตุใดองค์ชายแห่งแคว้นฮวง ท่าป๋าชิวจึงต้องมาหาพี่กงของพวกเราและให้เงินค่าหัวของฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้กัน นามฟู่เสี่ยวกวนนั้นข้าเคยได้ยินมาก่อน เป็นผู้ประพันธ์ความฝันในหอแดงประพันธ์ทำนองเพลงสายน้ำ และเป็นผู้ได้สลักนามไว้บนหินเชียนเปยสือ คนผู้นี้ก็เป็นเพียงนักกวีผู้หนึ่ง คุ้มกันหรือไม่ที่องค์ชายชาวฮวงจะตั้งค่าหัวของคนผู้นี้ไว้สูง”
ต้าเฉินจินกังที่มีใบหน้าดำผู้นั้นมีนามว่าซ่งต้าเป่า ที่ปรึกษาวัยกลางคนนี้คือนายทหารผู้หนึ่งของกงเซินจ่าง มีนามว่าหลิวซานเปี้ยน
“ความหมายของอาซานเปี่ยนคือ… ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้มิได้ง่ายดายเยี่ยงนั้นหรือ?”
หลิวซานเปี้ยนพยักหน้า “ได้ยินมาว่าซูม่อศิษย์ปิดสำนักของสำนักเต๋าคอยอยู่ข้างกายเขาตลอดเวลา แต่กลับมิเคยได้ยินเรื่องผลการรบที่ยอดเยี่ยมของซูม่อมาก่อน แต่คิดอย่างไรแล้วก็คงมิธรรมดา เขาย่อมมิใช่คู่มือของเจ้าอย่างแน่นอน ข้ากังวลว่าเขาจะดึงตัวเจ้าไว้ หลังจากนั้นจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่หากกลุ่มทหารด้านล่างภูเขาไต้ชานตามมาได้ทัน การเคลื่อนไหวในครานี้ใหญ่หลวงนัก เพราะเกี่ยวข้องไปถึงแผนการใหญ่ของพี่กง พวกเราต้องทำสำเร็จเท่านั้นมิอาจพลาดได้ ทั้งยังต้องสำเร็จภายในคราเดียว มิฉะนั้นจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่หากเรื่องมันไปถึงราชสำนัก ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังกับเรื่องนี้ให้มากยิ่งขึ้น”
“เยี่ยงนั้น… ข้าเชื่อท่าน ค่ำนี้จะพาพี่น้องทั้งหลายไปสังเกตการณ์ที่ภูเขาไต้ชาน”
……
…..
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ฟู่เสี่ยวกวนนั่งสมาธิอยู่ในเรือน ส่วนซูโหรวยังคงปักผ้าอยู่ริมลำธารดังเก่า ทันใดนั้นนางก็เงยหน้ามองไปที่ไกลออกไป ก่อนจะหันหน้ามาคุยกับฟู่เสี่ยวกวน “โจรสามคนนั้นสอดแนมอยู่ที่ด้านนอกอีกแล้ว สรุปว่าต้องสังหารพวกเขาหรือไม่”
ฟู่เสี่ยวกวนลืมตาและยกยิ้ม ดูเหมือนว่าโจรกลุ่มนี้มีเป้าหมายจะโจมตีซีซาน
นี่เป็นครั้งที่ห้าแล้ว แต่เพราะการป้องกันของซีซานที่แข็งแกร่งขึ้น พวกเขาจึงทำได้เพียงมองระยะไกลจากบนเขาซีซาน ซึ่งมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น
“ไม่ก็… ไหว้วานเจ้าไปดูพวกเขาสักรอบดีหรือไม่ ? แต่มิต้องสังหารพวกเขา แค่เพียงไปฟังว่าสรุปแล้วพวกเขานั้นจะทำอันใด พวกเขาย่อมมีผู้สมรู้ร่วมคิดด้วย หากสามารถรู้ได้ว่าพันธมิตรของพวกเขานั้นซ่อนตัวอยู่ที่ใด ล่วงรู้ถึงแผนการของพวกเขาได้ย่อมเป็นการดีที่สุด”
ซูโหรวคิ้วขมวด ยุ่งยากถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
เอาเถอะ หากมองจากผลประโยชน์ที่ไม่เลวของเขา เยี่ยงนั้นตนเองก็ไปเสียหน่อย อย่างไรแล้วที่นี่ก็ยังมีศิษย์พี่ที่เก่งกาจอยู่ ไม่ต้องกังวลเลยว่าจะเกิดปัญหาขึ้นที่นี่
ดังนั้นนางจึงเดินไปทางประตูเรือนด้านหลังพร้อมกับปักผ้าไปด้วย ร่างกายราวกับสายลมที่ไร้น้ำหนัก และหายตัวไปในเพียงพริบตา
ซูโหรวโผบินอยู่หลายครั้งจึงได้มาถึงด้านหลังของสายลับทั้งสามอย่างเงียบเชียบ ซ่อนกายอยู่บนต้นไม้ มือยังคงปักผ้าอยู่ดังเก่า เพียงแต่สองตาเรียวคู่นั้นแง้มขึ้นมาเล็กน้อย และมองไปทางสายลับทั้งสาม
“ข้ารู้สึกว่าที่ซีซานไม่มีผู้มีฝีมือแล้ว ซูม่อไปทางด้านล่างภูเขาไต้ชาน ไปอยู่นานก็ยังมิเห็นกลับมา”
“พวกเจ้าลองดูอีกครา ผู้หญิงคนนั้นที่อยู่ในเรือนเล่า?”
“คาดว่าคงกลับห้องไปแล้ว… พวกเจ้าว่าฟู่เสี่ยวกวนกับผู้หญิงคนนั้นจะมีความสัมพันธ์เยี่ยงไรกัน?”
“คุณชายที่ร่ำรวยนั้นสบายเสียจริง ออกมาข้างนอกก็พกหญิงสาวมาด้วย ยังจะมีความสัมพันธ์อื่นใดได้อีกกัน ย่อมเป็นชู้รักเป็นแน่”
ดังนั้นอีกสองคนจึงได้หัวเราะอย่างชั่วร้ายขึ้นมา เข็มปักผ้าในมือของซูโหรวชะงักไป เกือบจะลงมือไปแล้ว สามคนนั้นช่างไม่รู้เลยว่าเทพแห่งความตายอยู่ที่ด้านหลัง
“ท่านทูตต้าเฉินจินกังกล่าวว่าตอนค่ำจะไปดูที่ภูเขาไต้ชาน ที่นั่นมีอะไรให้ดูกัน ข้าคิดว่าทางที่ดีที่สุดควรรอให้ ท่านทูตปี้ตู๋จินกังมาถึงแล้วลงมือด้วยกัน เรื่องพิษของท่านทูตปี้ตู๋จินกังนั้นถือเป็นอันดับหนึ่ง หากเขาลงมือก็ทำให้กลุ่มคนเบื้องล่างภูเขาไต้ชานล้มตายได้ เรือนซีซานนี้ก็รอให้พวกเราไปปล้นได้แล้วมิใช่รึ”
“ใช่แล้ว มิรู้ว่าทำไมต้าเฉินจินกังถึงต้องรีบร้อนด้วยกัน คาดว่าเพื่อจะแย่งคุณงามความดีนี้ไว้”
“ช่างเถอะ ๆ พวกเรากลับกันเถิด รอบุกโจมตีเรือนซีซานนี้ พวกเจ้าไปขโมยเงิน ข้าจักไปจับตัวผู้หญิงคนนั้น ย่อมงดงามเป็นแน่ พวกเจ้าห้ามมาแย่งกับข้า”
“ซานเอ๋อ เจ้ากำลังคิดอันใดกัน มันจะเวียนมาถึงเจ้าเยี่ยงนั้นรึ ข้าเคยได้ยินว่าท่านทูตต้าเฉินจินกังค่อนข้างให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เจ้าคงมิอยากมีชีวิตแล้วสินะ?”
“ไปกันเถอะ ๆ หน่วยลาดตระเวนจะขึ้นมาจากด้านล่างอีกแล้ว อย่าได้ประมาท หากถูกพบเจอเข้า พวกเราคงสิ้นชีพ”
ทั้งสามคนได้ออกไปจากสถานที่นั้น ผ่านไปตามแนวสันเขาและลงเขาไปในที่ห่างออกไป และตรงไปยังหมู่บ้านเซี่ยชุน
ซูโหรวครุ่นคิดว่าต้องตามไปยังซ่องโจรของพวกเขาและทลายให้ไม่เหลือใช่ไหม แต่เมื่อนึกถึงที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวไว้ว่าจำเป็นต้องใช้โจรพวกนี้มาฝึกทหาร… ยุ่งยากเสียจริง นางโผบินอยู่ไม่กี่คราก็มาถึงเรือนซีซาน หลังจากนั้นก็นำข่าวที่ได้ยินไปแจ้งกับฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้แจ้งให้ไป๋ยู่เหลียนทราบ เขาได้บอกกับไป๋ยู่เหลียนแล้วว่ามีความเป็นไปได้ที่จะมีโจร ดังนั้นหากเหล่าทหารที่อยู่ด้านล่างภูเขาไต้ชานพบเจอกับกลุ่มโจรโดยไม่คาดคิด พวกเขาจะใช้กลยุทธ์ใดจัดการกับมัน นี่คือความสามารถในการตอบสนองในสนามรบ ถือว่าเป็นบททดสอบแรกของเหล่าทหารใหม่
เขาได้ส่งคนไปแจ้งเยี่ยนซีเหวินแล้ว เชิญให้เยี่ยนซีเหวินออกเดินทางมายังซีซานในวันพรุ่งนี้ทันทีที่เช้า และมอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้แก่เขา
ตอนที่ 148 จักก่อกบฏหรือ ?
สายฝนในฤดูหนาวได้หยุดลง หมอกในยามเช้าค่อย ๆ จางหาย เปลี่ยนเป็นดวงอาทิตย์เข้ามาแทนที่
ในวันนี้โรงผลิตสบู่ของเขาจะทำการทดลองผลิตเป็นคราแรก ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เดินทางมาแต่เช้าตรู่
ผู้รับผิดชอบโรงผลิตสบู่นี้มีนามว่าหลินเฉิงปิ่ง เป็นลูกพี่ลูกน้องของจางเช่อ ก่อนหน้านี้เขาได้สอนหนังสือในสำนักศึกษาแห่งหนึ่ง ซึ่งได้รับค่าตอบแทนเพียงเดือนละ 500 อีแปะ เขาดูแลคนทั้งครอบครัวเพียงผู้เดียว จางเช่อจึงให้เขาออกจากสำนักศึกษาแห่งนั้นแล้วมารับผิดชอบโรงผลิตสบู่แห่งนี้
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ออกความคิดเห็นใด เนื่องจากเขาไว้ใจจางเช่อมาก หากเขาตัดสินใจเช่นนี้ หลินเฉิงปิ่งคงสามารถดูแลโรงผลิตสบู่นี้ได้ไม่มีปัญหา
บัดนี้หลินเฉิงปิ่งนำคนจำนวนกว่าร้อยคนเข้าไปยังโรงงานผลิต เขาได้เรียนรู้ทักษะขั้นตอนต่าง ๆ มาอย่างแตกฉาน แต่บัดนี้ก็ยังคงมีความตื่นเต้นเล็กน้อย
สำหรับผู้เป็นอาจารย์แล้วนั้น สิ่งเหล่านี้คงมิใช่เรื่องถนัดนัก แต่เมื่อได้ยินว่าค่าตอบแทนวันละ 100 อีแปะ หนึ่งเดือนก็ได้ค่าตอบแทนถึง 3,000 อีแปะ นี่เป็นเงินก้อนใหญ่เลยทีเดียว หากเขามีเงินจำนวนนี้ก็จะสามารถให้ครอบครัวอยู่อย่างมีความสุขได้ ดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจทิ้งศักดิ์ศรีในการเป็นอาจารย์และเดินทางมายังที่แห่งนี้ เนื่องจากปากท้องต้องมาก่อนเสมอ
หลินเฉิงปิ่งสูดหายใจเข้าแล้วทำท่าทีจะอธิบายขั้นตอนในการทำสบู่ ก็พบว่าคุณชายฟู่เดินทางมาถึงพอดี เขารีบเดินหน้าขึ้นไปทำความเคารพด้วยท่าทีตื่นเต้น
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเหอะ ๆ จากนั้นจับมือกับเขากล่าวว่า “ท่านหลี่อย่าได้เกรงใจไป ทำตัวตามสบาย ข้าเพียงแวะมาเยี่ยมดูเท่านั้น ที่นี่เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ คำพูดของเจ้าถือว่าเด็ดขาด จงกล้าที่จะทดลองเถิด อย่าได้เกรงกลัวความพ่ายแพ้”
หลินเฉิงปิ่งตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนหน้านี้จางเช่อเคยกล่าวกับตนว่าคุณชายมิเหมือนผู้ใด มองดูแล้วคงเป็นเยี่ยงนั้น
“คุณชายเชื่อมั่นในตัวข้าเช่นนี้ ข้า เฉิงปิ่ง จะมิทำให้ท่านผิดหวัง ! ”
คุณชายไว้ใจเขาเพียงนี้ เขาก็รู้สึกถึงความมั่นใจขึ้นมา บัดนี้เขายืนอยู่ต่อหน้าคนงานนับร้อยคน ไม่ต่างอันใดกับยืนอยู่ด้านบนเวที หลินเฉิงปิ่งส่งสายตามองไปยังพวกเขาเหล่านั้น แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันดังฟังชัดว่า “พวกเราจะทำการทดลองในปริมาณน้อยเสียก่อน จงดูให้ดี ข้าจะทำให้ดูหนึ่งครั้ง จากนั้นพวกเจ้าจงทำตามที่ข้าสอน”
หลินเฉิงปิ่งพับแขนเสื้อขึ้นมาจากนั้นเริ่มลงมือทำการทดลอง ทุกขั้นตอนเขาช่างใส่ใจและระมัดระวัง เขาทำตามในกระดาษที่ฟู่เสี่ยวกวนบันทึกไว้ในทุกขั้นตอน ฟู่เสี่ยวกวนยืนดูอยู่สักพัก เมื่อเห็นว่ามิมีปัญหาใดที่น่ากังวลจึงได้เดินจากไปอย่างเงียบ ๆ
เขาไปยังโรงกลั่นน้ำหอม จากนั้นไปยังโรงกลั่นสุราและโรงผลิตกระดาษ ที่นี่กำลังเตรียมการ คาดว่าหลังปีใหม่คงจะได้เริ่มทดลองผลิต
ท้ายที่สุดเขาเดินทางไปยังกระท่อมที่ปลูกขึ้นมาอย่างเรียบง่าย ที่แห่งนี้ถูกใช้เป็นสถานที่สำหรับศึกษาและดูแลผู้ชรา ในปีหน้าจึงจะเปิดรับสมัครนักเรียนรุ่นที่หนึ่ง ส่วนบ้านพักคนชรานั้นมีทั้งชายและหญิงชราอยู่ด้านใน
ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมายังที่แห่งนี้ด้วยตนเอง พวกเขาตื้นตันใจยิ่งนัก ทุกคนค่อย ๆ มาล้อมรอบฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทางซาบซึ้งใจ และได้ฟังเรื่องราวที่คุณชายกล่าวให้ฟังเกี่ยวกับเมืองหลวง พวกเขาพูดคุยกันกระทั่งเวลาเที่ยงตรง จางเช่อเข้ามาหาเขาและรายงานว่านายท่านเดินทางมายังเรือนซีซาน
ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้กล่าวอำลากับคนชราทั้งหลาย จากนั้นตามจางเช่อกลับเรือนไป
“ข้านำสิ่งของขนย้ายมาบางส่วน สิ่งอื่นเมื่อเสร็จสิ้นแล้วจะส่งตามมา…ลูกชายข้า นี่เจ้าคิดจะก่อกบฏหรือ ?”
สองพ่อลูกนั่งอยู่ที่ลานด้านหลังเพียงลำพัง บัดนี้ฟู่ต้ากวนนั่งจ้องฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอันเบา อีกทั้งแววตาเป็นกังวล
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า “ท่านพ่อคิดอันใดอยู่กัน ? ข้าเพียงแต่ต้องการฝึกฝนผู้คุ้มกันเรือนแห่งนี้เท่านั้น ! ”
ฟู่ต้ากวนแลดูบุตรชายของตนด้วยสายตาสงสัย “จริงหรือ ? แม้ว่าชุดนั้นข้าจะมิเข้าใจ แต่สำหรับอาวุธต่าง ๆ ข้ารู้จักดี ผู้คุ้มกันเรือนเหตุใดต้องสวมชุดและถืออาวุธเช่นนี้ ? ทุกอย่างสามพันชิ้น มีทั้งกริช มีด ดาบ คันไม้ ธนู…ลูกข้า เจ้าถูกผู้ใดทำให้แค้นเคืองใจเมื่อครั้นเดินทางไปยังเมืองหลวงหรือ ? หรือฝ่าบาทบังคับสิ่งใดเจ้ากัน ? เล่ามาให้พ่อฟังเถิด พ่อมิเอาไปบอกผู้ใดหรอก”
จะมิให้ฟู่ต้ากวนกระวนกระวายได้เยี่ยงไร บุตรชายของเขากลับมายังซีซานอย่างเร่งรีบ จากนั้นไม่กี่วันก็เขียนจดหมายกลับมาว่าต้องการอาวุธเหล่านี้อย่างเร่งด่วน แม้อาวุธเหล่านี้จะมิได้อยู่ในการควบคุมของทางการ แต่ก็อันตรายพอควร
อาวุธ 4 ชนิด ชนิดละ 3,000 ชิ้น สามารถเตรียมทหารจำนวน 12,000 นายได้มิใช่หรือ ?
ตนเป็นเพียงพ่อค้าที่ดิน การมีผู้คุ้มกันเป็นเรื่องธรรมดา แต่มิอาจแอบแฝงกองกำลังทหารได้ เมืองหลินเจียงนี้มีเพียงจวนชินอ๋องเท่านั้นที่มีทหารจำนวน 500 นาย บุตรชายเขากระทำเช่นนี้ ต้องการจะทำการกบฏงั้นหรือ ?
แต่ฟู่ต้ากวนก็ได้จัดเตรียมทุกสิ่งอย่างตามที่ขอมา อีกทั้งเดินทางมาด้วยตนเอง เขาอยากเห็นเสียจริงว่าบุตรชายเขาจะทำสิ่งใด หากจะก่อกบฏจริง ๆ เขาจะได้เตรียมการต่อจากนี้เอาไว้
อาทิเช่น…เดินทางไปยังแคว้นอื่น
“หาได้มีเรื่องราวเช่นนั้นไม่ท่านพ่อ ข้าเพียงแต่ต้องการฝึกฝนผู้คุ้มกันจวน ประมาณ 4,000 คนเห็นจะได้ ท่านพ่อคิดมากไปเสียจริง อุตสาหกรรมที่ซีซานนี้กำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น จำเป็นต้องมีผู้คุ้มกันเพิ่มขึ้นมิใช่หรือ ? บรรดาผู้คุ้มกันที่หลินเจียงนั้นมิมีความสามารถพอ จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ อีกทั้งจวนฟู่ที่เมืองหลวงก็ช่างใหญ่โต จำเป็นต้องมีผู้คุ้มกันจำนวนมากเช่นกันใช่หรือไม่ ? อีกอย่างข้างั้นหรือจะก่อกบฏ ? ข้ากล่าวแล้วว่าต่อไปภายภาคหน้าองค์หญิงเก้าจะมาเป็นภรรยาของข้า เช่นนั้นฝ่าบาทก็เป็นท่านพ่อตา ข้าจะไปก่อกบฏกับพ่อตาด้วยเหตุใดกัน ? ”
ฟู่ต้ากวนครุ่นคิด เขาขมวดคิ้วขึ้นแล้วนึกในใจว่า อืม เป็นเช่นนั้นเสียจริงด้วย ข้าคิดมากไปเองสินะ ?
“เพียงแค่สองร้อยกว่าคน เจ้าจักนำอาวุธมากมายเช่นนี้ไปทำสิ่งใดกัน ? ”
“ทุกคนจำเป็นต้องมีครบทั้งสี่อาวุธ”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปเปิดหีบออก แล้วหยิบกริชขึ้นมาเล่มหนึ่งแล้วพิจารณาดู จากนั้นเดินไปยังโต๊ะหินแล้วหั่นลง สันมีดงอบิดเบี้ยว กำลังความร้อนไม่สูงพอ อีกทั้งมีส่วนผสมของเหล็กมากเกินไป
“เจ้าใช้สิ่งนี้ตัดก้อนหินจะเป็นไปได้อย่างไรเล่า”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า ลองใช้ไปก่อนสักระยะ เมื่อโรงหลอมเหล็กของเขาเสร็จสิ้นเมื่อใดค่อยทำใหม่
เขาเดินไปเปิดอีกหีบหนึ่งออกดู พบว่าด้านในเป็นเสื้อผ้า เขาหยิบขึ้นมาดูพบว่าเป็นสีเขียว มิอาจทำเสื้อทหารพรานได้ แต่เนื้อผ้าดียิ่ง แต่แน่นอนว่ามิอาจเทียบเท่ากับชุดสำหรับออกรบจริง เนื่องจากชุดนี้มิได้ป้องกันไฟ แรงดึงและอื่น ๆ ไม่ได้เลย
“ชุดเช่นนี้ใส่ออกมาแล้วจะดูแปลกตาหรือไม่ ? ” ฟู่ต้ากวนมองดูด้วยความประหลาดใจ เสื้อสั้นเพียงนี้อีกทั้งกางเกงที่หลวมโคร่ง ทั้งเสื้อและกางเกงมีกระเป๋ามากมาย หากมิได้เพิ่มค่าแรงให้หลายเท่า เกรงว่าเขาคงไม่ทำให้แน่
“แท้จริงแล้วการสวมใส่ชุดเช่นนี้คล่องตัวนัก กระเป๋าสามารถใส่ของได้หลายอย่าง ทั้งยังสามารถแขวนสิ่งของได้อีกด้วย ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขอบพระคุณท่านพ่อเป็นอย่างยิ่ง”
จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงให้จางเช่อเรียกไป๋ยู่เหลียนเข้ามา กำชับให้เขานำกำลังคนมาขนของเหล่านี้ไปยังสถานที่ฝึกฝน
“ท่านพ่อ แม่ทั้งห้าของข้ามีอาการใดบ้างหรือไม่ ? นี่ก็ผ่านไปถึงสองเดือนแล้ว ท่านพ่อควรเร่งรีบสักหน่อย”
“เห้อ…อย่าพูดถึงเลย นอกเหนือจากแม่ห้าแล้ว คนอื่น ๆ หาได้มีอาการใดไม่ ข้าได้ใช้ข้ออ้างนี้ในการข่มขู่พ่อของนางเพื่อทำอาวุธเหล่านี้ มิเช่นนั้นเขาจะกล้าทำให้ได้อย่างไร ! ตาเฒ่านั่นเจ้าเล่ห์นัก กล่าวว่าหากผลิตเกินจำนวน 500 ชิ้น จะต้องรายงานไปยังทางการให้อนุมัติ ทางการจะอนุมัติได้เยี่ยงไรเล่า ? เรื่องนี้ชัดเจนว่ามิอาจได้รับการอนุมัติแน่ ข้าจึงได้กล่าวว่า หากเขามิทำ ข้าจักหย่ากับลูกสาวเขาเสีย ! ฮ่าๆๆ ตาเฒ่านั่นกัดฟันกรอด แต่สุดท้ายก็ตกปากรับคำ”
ฟู่เสี่ยวกวนนับถือบิดาของตนยิ่ง อัจฉริยะเสียจริง !
แต่กฎเกณฑ์เหล่านี้เขามิเคยรู้มาก่อน บัดนี้ได้ฟังก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่วุ่นวายนัก เมื่อใดที่กลับไปหลินเจียง เขาคงต้องหาวิธีทำหนังสืออนุญาตเสียหน่อย
ตอนที่ 147 ผลลัพธ์ของการฝึกประจักษ์แจ้ง
สภาพแวดล้อมสามารถเปลี่ยนแปลงบุคคลได้
ฟู่เสี่ยวกวนได้ตระหนักถึงจุดนี้อย่างลึกซึ้งแล้วจากตัวของเยี่ยนซีเหวิน
ในเวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่เดือน คุณชายสะโอดสะองจากเมืองหลวงที่เคยมีกิริยาสุภาพ ก็ได้ถูกเรื่องยุ่งยากเหล่านั้นของอำเภอเหยาทรมานชีวิตจนกลายเป็นชายหนุ่มที่อัดอั้นและเต็มไปด้วยคำบ่น
ทั้งสองร่วมดื่มสุราด้วยกัน เยี่ยนซีเหวินยังคงดื่มไม่หยุดราวกับดื่มน้ำเปล่า ทั้งด่าทอขุนนางที่ทำเรื่องน่ารังเกียจในราชสำนักเหล่านั้น ฟู่เสี่ยวกวนรับฟังและหัวเราะ บางครั้งก็เอ่ยขึ้นมาสองประโยค ท้ายที่สุดก็กล่าวว่า “ท่านจงจดจำในวันนี้ ภายภาคหน้าอย่าได้ใช้ชีวิตในแบบอย่างที่ท่านเกลียดชังที่สุด ! ”
“ข้ามิมีทาง… ข้ามิเข้าใจ ข้าได้เขียนแจกแจงเรื่องนี้เป็นจดหมายไว้อย่างละเอียดและส่งไปให้บิดาและผู้อาวุโสในตระกูลแล้ว แต่เหตุใดพวกเขากลับมิสนับสนุนให้ส่งหนังสือของข้าขึ้นไปยังราชสำนัก กลับมาสั่งให้ข้าเงียบแทนเยี่ยงนี้รึ นี่มันน่าเสียใจถึงเพียงใดกัน เฮ้อ…ข้าอยากเป็นเหมือนเจ้าที่เป็นคุณชายตระกูลเศรษฐีที่ดินที่ไร้กังวลและสบายใจที่สุด”
เยี่ยนซีเหวินส่ายหน้าและเดินออกมา หลังจากที่ได้พูดคุยกับฟู่เสี่ยวกวนเกรงว่าจิตใจของเขาจะเริ่มดีขึ้นมาเล็กน้อย “ลาก่อน ! ”
“ลาก่อน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองแผ่นหลังของเยี่ยนซีเหวินในใจเองก็ค่อนข้างหนักอึ้ง เขาเองก็มิคาดคิดว่าอำเภอเหยาที่มีขนาดเล็กจะหนักหนาถึงเพียงนี้ ด้วยการอุปมาจากการสังเกตโดยรวม เยี่ยงนั้นสิบสามมณฑลของราชวงศ์หยูที่ใหญ่โตนี้ ยังมีอีกกี่รัฐอีกกี่อำเภอที่ดีกัน ?
การก่อตั้งราชวงศ์ เส้นทางสุดท้ายต่างก็เดินไปทางเดียวกัน จากยามเริ่มต้นที่เต็มไปด้วยบาดแผลจนมาถึงยุคเฟื่องฟูไปต่อยังยุครุ่งโรจน์จนตกต่ำและพังทลายไปในท้ายที่สุด เหตุผลนั้นมีมากมาย แต่หนึ่งในนั้นที่ทุกราชวงศ์ต่างก็มีก็คือการเจริญรุ่งเรืองของตระกูลที่มีอำนาจ
ตระกูลเหล่านั้นต่างก็เคยสร้างคุณูปการแก่ราชวงศ์ใหม่ องค์ฮ่องเต้ย่อมตกรางวัลให้ ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ลำดับต้น ๆ ในเวลาเดียวกัน
เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตระกูลตนเอง พวกเขาย่อมทำการขยาย เพื่อหล่อเลี้ยงอำนาจของตระกูลตนเองไว้ในวังหลวง อิทธิพลเหล่านั้นขึ้นอยู่กับการขยายใหญ่ของตระกูล ท้ายที่สุดก็ได้กระจายไปทั่วทุกรัฐและอำเภอ
มิมีตระกูลที่มีอำนาจตระกูลใดที่จะสามารถรับประกันได้ว่าอิทธิพลของตนเองนั้นจะใสสะอาด คิดกลับกัน หากบุคคลสำคัญที่อยู่เบื้องล่างกระทำการบางอย่างขึ้นมา พวกเขายังคงต้องปกป้องไว้ เพื่อกวาดเหตุการณ์ภายหลังที่จะตามมา สิ่งนั้นก่ออำนาจให้เบื้องล่างมีหลักมั่นคงจนมิต้องกลัวอันใด ดังนั้นจึงได้เน่าเปื่อยลงไปอย่างช้า ๆ เยี่ยงนี้ จนกระทั่งมิสามารถจัดการได้
เต้าถายคนก่อนของเจียงเป่ยเต้าก็คือคนของตระกูลเยี่ยน ถึงแม้ครานี้ตระกูลเยี่ยนจะยอมถอยจากเจียงเป่ยเต้า แต่เต้าถายผู้เดิมกลับมิได้รับการลงโทษ กลับได้รับเงินกลับบ้านเกิดเป็นกอบเป็นกำ นี่คือผลลัพธ์จากเงื้อมมือของตระกูลที่มีอำนาจอย่างตระกูลเยี่ยน และที่เยี่ยนซีเหวินด่าทอไปมา ความจริงแล้วก็ด่าตระกูลของตนเอง
ออกสู่โลกภายนอกอย่างไร้ประสบการณ์ อย่าพึ่งลำพองใจ ความตั้งใจเดิมคือการสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ แต่คาดมิถึงว่าอุปสรรคอย่างแรกจะมาจากตระกูลของตนเอง เยี่ยนซีเหวินเข้าใจถึงเหตุและผลดี มิฉะนั้นคงมิได้มีตั๋วเงินจำนวนหนึ่งแสนตำลึงนี้ และคงมิถูกตักเตือนอย่างเคร่งครัดว่าห้ามนำไปทูลถวายราชสำนักเยี่ยงนี้
ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบว่าเยี่ยนซีเหวินจะเพิกเฉยหรือไม่ เพียงหวังว่าเขาจะสามารถปัดทิ้งภาระนั้นให้ตกไปได้ และซ่อมแซมอำเภอเหยาขึ้นมาใหม่
หลังจากนั้นเขาก็เดินขึ้นไปบนชั้นสอง และนั่งจนถึงมืดค่ำ
ในที่สุดก็เขียนบทสุดท้ายที่เหลืออยู่ของความฝันในหอแดงจนหมด ในยามนี้เขาได้วางพู่กันลงด้วยความปลื้มปิติ ราวกับว่าตัวเองได้เขียนขึ้นมาจริง ๆ ก็มิปาน
หากตอนสุดท้ายถูกปล่อยออกไปคาดว่าตนเองคงถูกด่าทออย่างน่าอนาถเป็นแน่ เยี่ยงนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาด่าไปเถิด
การเจริญรุ่งเรืองและร่วงหล่นของตระกูลเจวี๋ยก็คือภาพสะท้อนของสังคม ส่วนจะตีความกันเยี่ยงไร นั่นมิได้เกี่ยวข้องอันใดกับฟู่เสี่ยวกวนคนนี้
ครุ่นคิดไป เขาก็หยิบยกพู่กันขึ้นมาเติมประโยคปิดท้ายไปสองประโยค
หน้ากระดาษเต็มไปด้วยคำพูดไร้สาระ น้ำตาหนึ่งสายแห่งความเสียใจ ต่างกล่าวว่าผู้ประพันธ์นั้นโง่งม ใครเล่าจะเข้าใจรสชาติของมัน
กล่าวถึงส่วนของความเสียใจ คนเหลวไหลยิ่งน่าเศร้าสลด เหตุจากความฝันที่มีร่วมกัน อย่าได้ขำความโง่เขลาของปุถุชนเลย !
……
…..
ฝนฤดูหนาวก็ยังคงตกติดต่อกันหลายวัน
ในวันนี้ก็ได้ตกหนักขึ้นแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองฟ้า หยิบร่มน้ำมันและเดินออกไปจากเรือนซีซาน
เขาไปยังสนามฝึกที่ภูเขาไต้ชาน คนเหล่านั้นได้ถูกไป๋ยู่เหลียนฝึกฝนมาสิบกว่าวันแล้ว เขาอยากไปดูว่าผลลัพธ์เป็นเยี่ยงไรแล้วบ้าง
เมื่อเข้าไปใกล้ ก็ได้ยินไป๋ยู่เหลียนคำรามลั่น “เร็วอีก ทำให้เร็วขึ้นอีก พวกเจ้ามันไก่อ่อน มิได้กินข้าวหรือไร เร็วเร็วเร็ว ความเร็วพวกเจ้าในตอนนี้ หากพบเจอศัตรูคงไร้ชีพแล้ว เร็วขึ้นอีก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมีความสุข นึกไปถึงตอนที่ยามนั้นที่อาจารย์ฝึกซ้อมตนเอง นี่มันราวกับฝันร้ายจริง ๆ
ในใจของเขารู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา ราวกับได้ย้อนกลับไปยังสนามที่เคยฝึกฝนนั้น และเป็นวันที่ฝนตกเช่นกัน ทำการฝึกแต่ละอย่างให้เสร็จอย่างเอาเป็นเอาตาย
เขาเก็บร่มกันฝน เดินเข้าไปในสนามฝึก ก็เห็นกลุ่มคนที่กำลังก้าวข้ามสิ่งกีดขวางภายใต้การนำของซูม่อ
ซูม่อย่อมมิมีปัญหา เขาคือยอดฝีมือ แต่ทหาร 2,500 นายด้านหลังของเขากลับลำบากยิ่ง แม้แต่ทหารผ่านศึกทั้งห้าร้อยนายก็แทบจะตามมิทัน แต่ทหารใหม่สองพันนายในยามนี้ได้หลุดกลุ่มไปแล้ว ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความโกรธและกำลังไล่กวดอย่างเอาเป็นเอาตาย
ไป๋ยู่เหลียนที่เห็นฟู่เสี่ยวกวนเดินมาจึงปรี่เข้าไปหา “วิธีนี้ใช้ได้ผลจริง เวลาเพียงสิบกว่าวัน พวกเขาก็ดูได้อะไรมาบ้างแล้ว ข้าคิดว่าในครึ่งปีให้หลังคนเหล่านี้ย่อมทำให้ข้าประหลาดใจได้”
แน่นอนอยู่แล้ว นี่คือหนึ่งในวิชาที่ตนเองได้รับการฝึกมา หากวิธีการนี้มิสามารถฝึกคนเหล่านั้นได้ก็จบกันเพียงเท่านี้
“ฝึกการลากในตอนเย็นโปรดระวังความปลอดภัย โครงสร้างของดินภูเขาไต้ชานหละหลวม ก้าวเดินกันอย่างระวังด้วย”
“ข้าได้ทำการเลือกเส้นทางใหม่แล้ว จะไม่พังทลายอย่างแน่นอน ความชันและความลำบากจะเพิ่มมากขึ้นเล็กน้อย วันที่หนึ่งคนที่เร็วที่สุดใช้เวลากลับมาที่กองไปสองชั่วยามกว่า ๆ คนที่ช้าที่สุดใช้เวลาสามชั่วยามครึ่ง เมื่อคืนวานคนที่เร็วที่สุดใช้เวลาไปเพียงเกือบสองชั่วยาม และคนช้าที่สุดก็ใช้เวลาไปเพียงสองชั่วยามกว่า ๆ พัฒนาอย่างเห็นได้ชัด ความมุ่งมั่นแข็งแกร่งยิ่ง”
“อีกสองสามวันอาวุธและเครื่องแต่งกายจะถูกส่งมา เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าก็ส่งคนไปรับ นอกจากนี้ให้ใส่ใจเรื่องอาหาร การฝึกฝนที่ใช้พลังสูงเยี่ยงนี้ต้องให้อาหารที่ครบถ้วน ต้องทานปลาและเนื้อให้เยอะ ขอให้ท่านหมอทำสูตรอาหารที่โภชนาครบถ้วนแล้วนำไปให้โรงครัว ไม่ต้องกลัวที่จะใช้เงิน ภายภาคหน้าพวกเขาจะเป็นนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า”
ไป๋ยู่เหลียนพยักหน้า นั่นก็เป็นปัญหาที่เขากังวลใจ นึกไปถึงปีนั้นที่ยังอยู่ในกองทัพชายแดนตะวันออก นอกจากต้องไปออกรบแล้ว หนึ่งวันจะมีอาหารเพียงสองมื้อ ช่วงเวลาเหล่านั้นที่ผ่านไป ราวกับเอาชีวิตไปแขวน ในตอนนี้พวกเขาเหล่านั้นต่างมีความสุข ถึงแม้การฝึกจะค่อนข้างลำบาก แต่หนึ่งวันมีอาหารสี่มื้อ และกินดีอยู่ดีทุกมื้อ
“ไป๋ยู่เหลียนเจ้าว่าการนำของซูม่อนี้มิเหมาะสมหรือไม่ ? ความสามารถทางกายภาพของเขานำหน้าทหารเหล่านี้ไปมาก จะไปทำลายความตั้งใจของพวกเขาหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างกังวล หากพยายามอย่างเต็มที่แต่กลับมิมีความหวังแม้แต่น้อยนิด การระเบิดย่อมรุนแรง ทำได้ไม่ดีก็คงจะผิดหวังและดูถูกตัวเอง
“พรุ่งนี้ข้าจะบอกให้เขาช้าลงมาหน่อย ความตั้งใจเดิมที่วางให้เขาเป็นผู้นำก็เพราะการเคลื่อนไหวทางยุทธวิธีของเขาได้มาตรฐานอย่างยิ่ง อยากจะให้ทหารเหล่านั้นเรียนรู้ได้ดี แต่มิเคยคำนึงถึงปัญหาที่เจ้าได้กล่าวมา”
“ช่วงนี้ต้องเฝ้าระวังเล็กน้อย ยามค่ำต้องมีคนคอยเฝ้ายาม ข้าได้ยินมาว่ามีกลุ่มโจรได้มาถึงเจียงเป่ยแล้ว หากพบเจอ ก็ทำให้พวกมันได้เห็นเลือด”
“ความรู้สึกนี้เป็นเรื่องที่ดี” ไป๋ยู่เหลียนหัวเราะ กองทัพที่แท้จริงต้องผ่านการล้างเลือดและกองไฟ หากในยามนี้มีกลุ่มโจรพุ่งเข้ามา ก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดี
ตอนที่ 146 จอมโจร
เยี่ยนซีเหวินมองดูฟู่เสี่ยวกวน “ข้ามิอยากเอาเปรียบเจ้า เจ้าขายให้กับข้าในราคาตลาด เพราะอย่างไรเสียเงินก็มิใช่ของข้า”
“เรื่องนี้มิเป็นปัญหา”
ธัญพืชนั้นเดิมทีก็ต้องขาย ไม่ว่าขายให้แก่ผู้ใดก็มีค่าเท่ากัน อีกทั้งราคาที่เยี่ยนซีเหวินรับซื้อนั้นสูงกว่าถึงสองเท่า
เยี่ยนซีเหวินจึงได้วางใจ เดิมทีเขายังกังวลใจว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมิขายให้แก่เขา หากเป็นเช่นนั้นเขาจะต้องเดินทางไปยังอำเภออื่นเพื่อซื้อธัญพืช แม้จะซื้อได้เช่นกัน แต่ก็ไม่รวดเร็วเท่าซื้อกับฟู่เสี่ยวกวน
คลังอาหารเหลือเพียงน้อยนิด หากมิรีบจัดซื้ออาหารเข้าคลังก็คงเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่
“เจ้าต้องการวันใด ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
“หากวันนี้ส่งได้จักดียิ่งนัก”
“ตกลง แต่ค่าขนส่งเจ้าต้องเป็นคนจ่าย ข้าจะจัดส่งไปให้ยังจวน”
เยี่ยนซีเหวินเบ้ปากแล้วกล่าวว่า “เอาเถิด ๆ ตามอย่างที่เจ้าว่าเลย”
“เชิญนั่งก่อนข้าไปจัดการสักครู่”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกไปจากห้องโถง เยี่ยนซีเหวินจึงได้ถอนหายใจออกมา การเดินทางมาซีซานครั้งนี้เขามีความประทับใจดีทีเดียว
หมู่บ้านเซี่ยชุนนั้นมีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้หมู่บ้านเซี่ยชุนมิได้เป็นเช่นนี้ นับแต่คุณชายเดินทางมาที่ซีซานก็ได้ปรับปรุงหลาย ๆ อย่างกระทั่งปัจจุบัน
เนื่องจากคุณชายได้สร้างอุตสาหกรรมจำนวนมากในซีซาน ชาวบ้านและเกษตรกรได้รับเงินจำนวนไม่น้อย จากนั้นยังมีผู้ประสบภัยอีกหลายหมื่นคน พวกเขาเหล่านั้นถูกเรียกว่าชาวซีซาน พวกเขาต่างก็วุ่นวายอยู่กับหน้าที่ของตน กลุ่มที่ใหญ่สุดอยู่ในภูเขาเฟิ่งหลินทำเหมืองแร่ ฟู่เสี่ยวกวนมีข้อกำหนดว่า ทุกเดือนหลังจากจ่ายค่าแรงจะทำการหยุด 2 วัน ดังนั้นพวกเขาจะไปยังหมู่บ้านเซี่ยชุน จึงทำให้หมู่บ้านเซี่ยชุนรุ่งเรืองขึ้นจวบจนปัจจุบัน
ได้ยินชาวซีซานกลุ่มนั้นกล่าวว่าเมื่อใดที่พวกเขาเก็บเงินได้มากพอก็จะไปสร้างบ้านอยู่ที่หมู่บ้านเซี่ยชุน 50,000 คนเชียว ! ภายในสองปีคาดว่าหมู่บ้านเซี่ยชุนคงจะรุ่งโรจน์กว่าอำเภอเหยาเป็นแน่
เขาผู้นี้มีความสามารถจริง !
เยี่ยนซีเหวินนับถือเขามาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามองไปยังโรงอิฐขนาดใหญ่นั่น จึงพบว่าตนร่ำเรียนตำรามามากมายก็ยังมิอาจเข้าใจได้ อีกทั้งมิอาจทำเยี่ยงเขาได้
หากเขาปรับปรุงหมู่บ้านเซี่ยชุนไปเรื่อย ๆ สักสองปีคาดว่าอาจรุ่งเรืองเทียบเท่าเมืองหลวงก็เป็นได้ หรือว่าเขาจะ… ?
ความคิดนี้ลอยเข้ามาในสมองของเขา แต่เขาก็สลัดความคิดนี้ทิ้งไปทันควัน จะเป็นไปได้อย่างไรเล่า
ฟู่เสี่ยวกวนเดินกลับมากล่าวว่า “จัดการเรียบร้อยแล้ว ข้าจะส่งไปจำนวน 10,000 ถังก่อน ประเดี๋ยวเจ้าจงไปตรวจสอบบัญชีกับจางเช่อ ข้าจะให้คนครัวทำกับข้าวสักสามสี่อย่าง ร่วมดื่มกันเสียก่อนค่อยกลับเถิด อาจจะมิได้รสดีเท่ากับหอซื่อฟาง แต่สดใหม่กว่าแน่นอน”
เยี่ยนซีเหวินพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “อุตสาหกรรมของเจ้าต้องการขยายใหญ่หรือไม่ ? หากเจ้าต้องการ อำเภอเหยามีพื้นที่กว้างขวาง ข้าสามารถให้เจ้าใช้ได้โดยมิเสียค่าใช้จ่าย”
หืม ? เจ้านี่เริ่มรู้จักวิธีทำการค้าแล้วหรือ
เพียงแต่ฟู่เสี่ยวกวนเพียงยิ้มออกมา “ตอนนี้ยังมิสามารถทำได้ ประการแรกคนงานมิเพียงพอ ประการที่สองโรงงานที่นี่ข้าเองเพิ่งได้เริ่มดำเนินการ นอกเหนือจากโรงกลั่นสุราแล้ว อย่างอื่นยังมิได้วางขาย แต่หากมีโอกาสในภายภาคหน้าข้าจักร่วมมือกับเจ้าแน่นอน เพียงแต่มีข้อแม้ว่าภาษีทุกอีแปะ ข้าจะจ่ายไม่ขาดสักอีแปะเดียว แต่เจ้าก็มิอาจเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการของข้าด้วยเช่นกัน”
“ข้าจะไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการเจ้าทำไมกัน ? หากเจ้ามิได้ทำสิ่งผิดกฎหมายก็เพียงพอ อำเภอเหยายากจนเหลือเกิน เจ้าจงเร่งรีบไปพัฒนาเถิด”
ความคิดของเยี่ยนซีเหวินเตือนเขาได้ว่า โรงงานเหล่านี้มิใช่เรื่องซับซ้อนใด เพียงแต่มีผู้รับผิดชอบก็พอ เขาต้องฝึกฝนพวกคนงานจนชำนาญการเสียก่อน จากนั้นจึงจะส่งตัวไปดูแลในที่ต่าง ๆ ในไม่ช้าก็จะสามารถขยายกิจการได้อย่างรวดเร็ว
เรื่องนี้จักต้องวางแผนงานให้ดี เขาตั้งใจจะดำเนินการปีหน้า แน่นอนว่าต้องให้ความสำคัญกับหมู่บ้านเซี่ยชุนมากกว่าที่อื่น เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนต้องการจะทำให้เซี่ยชุนกลายเป็นปราสาท
“ปีหน้า เมื่อผ่านปีนี้ไปแล้วข้าจักไปเยี่ยมเจ้าที่อำเภอเหยา”
เยี่ยนซีเหวินพยักหน้าแล้วมองไปด้านนอก “เจ้าจงกำชับให้ผู้ดูแลระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากบัดนี้มิค่อยสงบนัก”
“ท่านหมายความเยี่ยงไร ? ”
เยี่ยนซีเหวินหยิบชาขึ้นมาดื่มแล้วตอบว่า “ท่านพ่อเขียนจดหมายมาว่า…สองฝั่งแม่น้ำหวงเหอมีโจรหลบหนีขึ้นมา อีกทั้งหัวหน้าโจรเป็นถึงกงเซินจ่าง ยอดโจรแห่งแม่น้ำหวงเหอที่มีชื่อเสียง เขามีทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งมีลูกน้องที่แข็งแกร่งอีก 8 คน จากเดิมพวกเขาอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำหวงเหอ แต่ปีนี้หลังเกิดอุทกภัยทำให้มีผู้ประสบภัยจำนวนมาก พวกเขาเข้าไปแย่งชิงเงินทองและอาหารมาจากอำเภอภายใต้การปกครองถึงห้าอำเภอของหนิงโจว แล้วหอบเงินหลบหนีไปยังชวีอี้และผิงหลิงอี้ และปล้นสะดมตามเส้นทางที่ผ่าน เขาผู้นี้คัดเลือกผู้ประสบภัยหมื่นคน ก่อตั้งตนขนานนามว่ากองทัพสวรรค์ และมีคติว่าบัญชาสวรรค์ พวกเขาอาศัยอยู่ในภูเขาผิงหลิง ทางการได้ปิดล้อมและปราบปรามหลายครา แต่เทือกเขาผิงหลิงกว้างขวาง อีกทั้งพวกเขาล้วนฉลาดแกมโกง การจับกุมถูกใช้เงินไปจำนวนมากแต่ก็มิเป็นผล “
“พวกเขาไปผิงหลิงเกี่ยวอันใดกับพวกเราเล่า ? ระยะทางห่างกันเพียงนี้ เขาคงมิอาจโจมตีถึงที่นี่ได้”
“เขามิอาจโจมตีมายังที่แห่งนี้ได้ แต่ได้ยินมาว่าลูกน้องคนสนิทของเขาจำนวน 3 คนพร้อมกับโจรกลุ่มหนึ่งมิได้เดินทางไปยังภูเขาผิงหลิง หากแต่เดินทางมาตามสองฝั่งแม่น้ำ กระทั่งปัจจุบันคาดว่าเดินทางมาถึงแม่น้ำฉางเจียงแล้ว เพียงแต่พวกเขามีความเจ้าเล่ห์ยิ่ง มักปลอมตัวเป็นพ่อค้าหรือผู้พเนจร หาได้มีผู้ใดเคยเห็นหน้าคร่าตาของพวกเขาไม่ ดังนั้นทางการจึงได้วางกับดักเอาไว้มากมาย แต่พวกเขามีประสบการณ์มามาก มิอาจตรวจสอบพวกเขาพบ”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้น วัตถุประสงค์ของกลุ่มโจรเหล่านี้ชัดเจนยิ่ง นั่นคือปล้นสะดม
ภูเขาผิงหลิงนั้นคาดว่าคล้ายคลึงกับหลู่เหลียงเมื่อชาติที่แล้ว ซึ่งเป็นดินแดนอันขมขื่น หากต้องการใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นเกรงว่าจะเป็นไปอย่างยากลำบาก
แน่นอนว่าพวกเขาเหล่านี้มิกล้าก่อโจรกรรมที่เขตโจว เป้าหมายของพวกเขาคือเศรษฐีในชานเมือง และพวกเขาจะไม่ทำการปล้นอาหาร เนื่องจากมีขั้นตอนในการขนย้ายที่ลำบาก เป้าหมายเดียวของพวกเขาก็คือเงิน !
พวกเขาสามารถนำเงินไปจ้างวานให้คนนำทางไปยังผิงหลิงได้อย่างง่ายดาย
จอมโจรกงเซินฉางนำเงินไปซื้ออาวุธและชุดเกราะ หากมีสิ่งเหล่านี้ก็จะง่ายต่อการเดินทางไปปล้นยังเมืองรอบ ๆ
ใช้การปล้นในการกินอยู่เพื่อทำการปล้นต่อไป นี่คือวิถีชีวิตของกงเซินเช่อ
ที่นี่เขามีผู้มากความสามารถอยู่หลายคนจึงมิต้องเป็นกังวล แต่จะต้องส่งกำลังคนไปดูแลจวนที่หลินเจียงบ้าง เนื่องจากโจรทั้งสามที่กล่าวมานั้นล้วนมีฝีมือเป็นเลิศ
หากพวกเขาลงมือขึ้นมา ก็ยากที่จะป้องกัน
“ผิงหลิงอยู่ห่างจากกองกำลังทหารเหนือไกลหรือไม่ ? ”
“มิไกลเลย อีกทั้งอยู่ใกล้กับแคว้นฮวง ทหารทางเหนือก็มิกล้าลงมือโดยพลการ มีวิธีใดที่เหมาะสมหรือไม่ ? หากนำกองกำลังทหารจำนวนหนึ่งไปลาดตระเวน แล้วชาวฮวงฉวยโอกาสบุกเข้ามาจักทำเยี่ยงไร ? ”
เมื่อครุ่นคิดดูก็พบว่าจริงดังนั้น ฟู่เสี่ยวกวนจึงมิได้ถามต่อไป ทั้งสองพูดคุยกันในเรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ เมืองหลวง เยี่ยนซีเหวินถอนหายใจออกมา กล่าวว่าตนคาดมิถึงที่ชืออีหมิงจะสอบติดจอหงวน
“เจ้าควรเพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้น เนื่องจากชืออีหมิงนั้นมีความคิดและแผนการแนบเนียน เหตุใดวันนั้นเขาจึงได้ทำให้เจ้าต้องอึดอัดใจกัน ? ฐานะผู้นำตระกูลชือ เขามีความจำเป็นที่จะกล่าวคำเหล่านั้นกับเจ้าหรือ เนื่องจากในตอนนั้นเจ้ามีเพียงชื่อเสียง มิได้มีตำแหน่งใด ๆ เขาไม่จำเป็นต้องเห็นเจ้าในสายตาหรอกมิใช่หรือ ? ”
เรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนเคยคิดมาก่อนหน้านี้ แต่เขาก็ไม่เข้าใจ
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าว่าเหตุใดในวันนั้นเขาจักต้องทำกับข้าเช่นนั้นกัน ? ”
“เจ้าอยากรู้งั้นรึ ?”
“แน่นอน !”
“รอให้เจ้าสร้างโรงงานที่อำเภอเหยาสักสองสามแห่ง แล้วข้าจักเล่าให้ฟัง”
“ข้าหิวแล้ว ลงมือกินเถิด จงนำยอดสุราซีซานออกมาอีก ! ”
ตอนที่ 145 เยี่ยนซีเหวินมาเยี่ยมเยียน
แรกเริ่มของฝนในฤดูหนาว หนาวเหน็บอ้างว้างเวทนาและน่าเศร้า
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ที่โต๊ะอักษรบนชั้นสอง ถือพู่กันและหันไปมองฝนหนาวเหน็บด้านนอกหน้าต่างด้วยจิตใจที่ว้าวุ่น
เขากำลังครุ่นคิดถึงปัญหาตอนจบของความฝันในหอแดง
ต้องแก้เสียหน่อยหรือไม่ ?
หากเป็นไปตามวิธีการเขียนของผู้ประพันธ์ต้นฉบับการให้หลินไต้ยวี่ร้องไห้จนตายจะอนาถาเกินไปหรือไม่ เรื่องการทารุณกรรมทางจิตใจนั้นมิใช่เรื่องที่ดี ลองนึกถึงเหล่าหญิงสาวที่ติดหนังสือเล่มนี้แล้ว พวกนางย่อมใฝ่ฝันให้หลินไต้ยวี่แต่งงานกับเจี๋ยเป่าหยู หลังจากนั้นมาก็ใช้ชีวิตอยู่ในจวนเจี๋ยไปจนผมหงอก
หลังจากครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ฟู่เสี่ยวกวนก็ตัดสินใจที่จะเคารพผู้ประพันธ์ต้นฉบับ และขอล่วงเกินหญิงสาวเหล่านั้น
ในตอนที่เขียนตอนนี้เสร็จ จางเช่อก็มารายงาน กล่าวว่าเยี่ยนซีเหวินผู้ดูแลคนใหม่ของอำเภอเหยาได้เดินทางมาเยี่ยมเยียน
ฟู่เสี่ยวกวนผงะไปเล็กน้อย ในตอนนี้เขายังมิสามารถวิเคราะห์ได้ว่าตระกูลเยี่ยนนั้นเป็นมิตรหรือศัตรูเลย
คราแรกในตอนที่อยู่เมืองหลวง หญิงสาวนามหลินหงที่ซูม่อพากลับมาและตอนนี้ก็ยังถูกซ่อนไว้ที่เรือนหลัง เขาได้พูดคุยกับหญิงสาวผู้นั้นเพียงไม่กี่ครั้ง ข้อมูลที่ได้รับมานั้นมีไม่มาก จนถึงวันนี้หญิงสาวผู้นั้นก็ยังมิปริปาก แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิรีบร้อน เขาได้กุมความลับบางอย่างของหลินหงไว้แล้ว เขาหวังเพียงว่าหลินหงจะปริปากเองมิใช่ปล่อยให้เขาใช้วิธีการทรมาน
เรื่องนี้มีผู้เกี่ยวข้องอยู่มากมาย ฉินปิ่งจงกล่าวว่าหากคิดไปทางความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุด หากตระกูลที่มีอำนาจในเมืองหลวงเป็นผู้ลงมือ เบื้องหลังของตระกูลที่มีอำนาจนี้จะมีเงาขององค์ชายใดอยู่หรือไม่ ?
ก่อนที่จะได้ข้อสรุป ฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้กำจัดความเป็นไปได้นี้ไป ช่วงเวลาที่ได้ติดต่อกับองค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้านั้นมากที่สุด ฉะนั้นเขาสามารถได้รับการถูกยกเว้น
และผู้ที่น่าสงสัยที่สุดก็คือองค์ชายใหญ่และองค์ชายสี่ ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นสองพระองค์ที่ต่อสู้เพื่อตำแหน่งองค์รัชทายาท แต่เบาะแสในปัจจุบันนี้ยังมิรู้ว่าใครเป็นผู้แพ้ใครเป็นผู้ชนะ ดังนั้นจึงมีองค์ชายและเสนาบดีจำนวนมากที่ได้รับผลประโยชน์จากการลี้ภัยในครานี้ เพราะเรื่องผู้ลี้ภัยของฟู่เสี่ยวกวนจึงนำพาหายนะสู่บ่อปลา กองตรวจสอบที่ได้รับมอบหมายจากองค์จักรพรรดิย่อมทำให้ขุนนางตกม้าตายเป็นจำนวนมาก
แบบนั้นราวกับได้ตัดขาดรากเหง้าของเหล่าเสนาบดีในราชสำนักไป ปัญหานี้กล่าวไปย่อมใหญ่โตอย่างยิ่ง องค์ชายทั้งสองพระองค์ย่อมยืนหยัดเพื่อกองกำลังของตนเอง สังหารฟู่เสี่ยวกวนเพียงคนเดียวก็สามารถซื้อใจคนได้ เรื่องราวก็จะราบรื่นไปได้โดยปริยาย
แต่ท้ายที่สุดแล้วจะเป็นองค์ชายใหญ่หรือองค์ชายสี่กัน หรือจะมิใช่ทั้งสองพระองค์กัน ?
ในตอนนี้ก็มิอาจทราบได้
ในคราแรกฉินโม่เหวินกล่าวว่าตระกูลเยี่ยนและตระกูลชือสนับสนุนองค์ชายใหญ่ ส่วนตระกููลเฟ่ยและตระกูลสีนั้นสนับสนุนองค์ชายสี่ ความขัดแย้งระหว่างตนเองและตระกูลชือเป็นที่ประจักษ์ และเพราะเหตุจากผลประโยชน์ ตระกูลเยี่ยนและตระกูลชือก็ได้ถูกผูกมัดไว้ด้วยกันอีกครา ดังนั้นสถานการณ์ในตอนนี้จึงคลุมเครือเกินไป และยังไร้หนทางที่จะมองเห็นได้ชัดเจน
ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ฟู่เสี่ยวกวนก็เดินออกมาจากเรือนหลัง และไปต้อนรับเยี่ยนซีเหวินที่ด้านหน้าเรือนด้วยตนเอง
“คำนับพี่ซีเหวิน ข้าเพิ่งกลับมาจากเมืองหลวงได้เพียงไม่กี่วัน แต่เดิมควรเป็นข้าที่ไปอำเภอเหยาและเข้าพบพี่ซีเหวินด้วยตนเอง แต่ในวันนี้กลับทำให้พี่ซีเหวินต้องลำบาก ข้าน้อยผิดไปแล้ว พี่ซีเหวิน… เชิญด้านในเถิด ! ”
เยี่ยนซีเหวินเพียงได้เจอฟู่เสี่ยวกวนก็เริ่มมีน้ำโห เมื่อนึกไปถึงการพนันที่เมืองหลวง จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังโค้งคำนับด้วยความเคารพ “กระทำโดยมารยาทแต่มิได้หมายถึงข้าจะชื่นชมเจ้าด้วยใจจริง”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “มิเป็นไร ๆ ความจริงข้ากลัวท่านจะลืมไปแล้ว”
กล่าวจบฟู่เสี่ยวกวนก็พาเยี่ยนซีเหวินเดินไปยังเรือนหลัง เยี่ยนซีเหวินจ้องมองแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง แต่ก็ไร้หนทางกับคนผู้นี้
เฮ้อ เป็นภัยพิบัติของการยั่วยุแห่งความเยาว์วัยทั้งนั้น หากในคืนไหว้พระจันทร์มิได้เดิมพันกับต่งชูหลาน ตนเองก็มิจำเป็นต้องมาถอนหายใจต่อหน้าคนผู้นี้เลย !
เข้าไปในห้องรับรองด้านหลังเรือนแล้วนั่งลง ฟู่เสี่ยวกวนได้กำชับกับชุนซิ่วให้นำชาที่ดีที่สุดมา แล้วลงมือต้มชาให้เยี่ยนซีเหวินด้วยตนเอง
“ข้ากลับมาได้เพียงไม่กี่วัน ตั้งใจจะไปเยี่ยมเยียนท่านที่อำเภอเหยาอยู่แล้ว แต่เพียงนึกถึงท่านที่เพิ่งจะขึ้นรับตำแหน่งได้ไม่นาน คงจะมีเรื่องยุ่งยากให้จัดการอีกมากมายเป็นแน่ กำลังคิดว่าจะไปหาท่านยามท้ายปี… ช่วงข้ามปีจะกลับเมืองหลวงหรือไม่ ? ”
เยี่ยนซีเหวินถอนหายใจ “เกรงว่าปีนี้คงจะมิได้กลับไป เจ้ามิต้องกล่าวเลยว่าความจริงแล้วเรื่องยุ่งยากนั้นมีมากมายเพียงใด หยู๋เหลียนจือเสี้ยนคนก่อนหน้านั้นได้ถูกพาตัวไปเมืองหลวงแล้ว อาจารย์ของเขาได้เสียชีวิตอย่างกะทันหัน ช่วงเวลานี้ข้าได้ตรวจสอบเงินและเสบียงคงคลังของอำเภอเหยา คาดมิถึงว่าจะเหลือเงินเพียงสามพันสองร้อยกว่าตำลึงและธัญพืชก็เหลือมิถึงหนึ่งร้อยถัง!”
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองเยี่ยนซีเหวินอย่างตกใจ นั่นคืออำเภออำเภอหนึ่งเชียวนะ เหตุใดจึงเป็นเยี่ยงนี้กัน? หยู๋เหลียนผู้นั้นกล้าฉ้อโกงอย่างร้ายกาจถึงเพียงนี้เลยรึ ?
“เจ้ามิเชื่อใช่ไหม ข้าเองก็มิเชื่อ อาจารย์ของข้าเป็นทางตระกูลที่พามาจากเมืองหลวง หลังจากที่ท่านได้ตรวจสอบสมุดบัญชีอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็บอกข่าวที่เลวร้ายยิ่งกับข้ามา” เยี่ยนซีเหวินในยามนี้ขบกรามอย่างเดือดดาล ราวกับในดวงตานั้นมีกองไฟปะทุขึ้นมาสองกอง
“ข่าวอันใดกัน ?”
“หึหึ ภาษีนั่น เป็นการเก็บภาษีเวรจากสองปีให้หลัง !”
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็นึกถึงภาพยนตร์ที่เคยดูมาเรื่องหนึ่ง ภาพยนตร์เรื่องนั้นมีชื่อว่าปล่อยให้กระสุนบินไปสักครู่ ค่อนข้างคล้ายคลึงกันทีเดียว
เขาหัวเราะ เมื่อเทียบกับเอ้อเฉิงแล้ว อำเภอเหยานี้ถือว่าดีกว่าเล็กน้อย
“เจ้ายังหัวเราะได้ เห็นข้าเป็นตัวตลกเยี่ยงนั้นหรือ ?” เยี่ยนซีเหวินจ้องฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง หลังจากนั้นก็ถอนหายใจยาวเหยียด “ข้านั้นมายังอำเภอเหยาด้วยความทะเยอทะยาน แต่ราวกับโดนไม้ฟาดจนข้าสับสนไปหมด ในคราแรกก่อนที่จะออกมาจากเมืองหลวง บิดาและผู้อาวุโสต่างได้เคยเล่าถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดให้ข้าฟังแล้ว ความจริงแล้วนี่ก็เป็นหนึ่งสิ่งที่พวกท่านได้คาดการณ์ไว้ เดิมทีข้าคิดว่าข้าได้เตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่หลังจากที่ได้รับทราบความจริง ขอกล่าวกับเจ้าอย่างมิปิดบัง ข้าเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง ! ”
“เจ้าว่าขุนนางหยู๋เหลียนผู้นั้นขึ้นดำรงตำแหน่งได้เยี่ยงไร? ตำแหน่งที่ตั้งอำเภอเหยาก็มิเลว หลายปีมานี้ก็มิได้มีภัยพิบัติหรืออันตรายอันใด ท้ายที่สุดแล้วเขาทำให้เงินและเสบียงในคลังหมดไปได้เยี่ยงไรกัน แท้จริงแล้วเขาฉ้อโกงเงินไปจำนวนเท่าใดกัน ข้าได้ส่งหนังสือไปให้บิดาข้าแล้ว คนผู้นั้น ลงดาบฆ่าให้ตายไปสักพันเล่มก็มิอาจสงบความเกลียดชังของข้าได้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนรินชาให้เยี่ยนซีเหวินอย่างเยือกเย็น สำหรับเรื่องนี้เขามิได้โกรธเท่ากับเยี่ยนซีเหวินเสียเท่าไหร่
เยี่ยนซีเหวินใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงมาโดยตลอด เดิมทีจวนเยี่ยนเป็นตระกูลที่มีอำนาจอันดับหนึ่งในเมืองหลวง และเขาก็เป็นผู้มีความสามารถอันดับหนึ่งของเมืองหลวงเช่นกัน คาดว่าเรื่องหยิบย่อยภายในราชสำนักเขาเองก็รู้มาเพียงตื้นเขิน หรือจะกล่าวได้ว่าเพราะบรรพบุรุษคอยดูแล เขาจึงมิได้มีประสบการณ์ด้วยตนเอง
การมารับตำแหน่งที่อำเภอเหยาในครานี้เต็มไปด้วยความลำพองใจ สิ่งที่คิดไว้คือจะเป็นดั่งสมัยบิดาของเขา สามารถทำบางอย่างได้ที่นี่ สร้างผลงานที่ใหญ่โต หลังจากนั้นก็ได้เลื่อนขั้น จนกระทั่งได้เข้าไปในวังหลวง แม้ว่าก่อนที่จะมาบิดาได้กล่าวถึงความเป็นไปได้หลาย ๆ อย่างให้เขาฟัง แต่เขาก็มิคาดว่าจะเป็นเยี่ยงนี้จริง ๆ
ดังนั้นแล้ว ขุนนางระดับสูงจือเสี้ยนที่เพิ่งอายุได้สิบเจ็บสิบแปดปีผู้นี้ จึงสับสนมึนงงไปกับการเผชิญหน้าในครานี้ และถึงได้เข้าใจความโหดร้ายของโลกใบนี้ โดยท้ายที่สุดแล้วตนเองก็ยังอ่อนหัดอยู่ดี
“ข้าคาดว่าเสบียงเหล่านั้นได้ไหลไปกับแม่น้ำหวงเหอสองสายนั้นแล้ว”
“ใช่แล้ว ช่วงเวลาสั้น ๆ เพียงสามเดือน รวมทั้งเสบียงบรรเทาทุกข์ที่ทางราชสำนักมอบให้ทั้งหมดหนึ่งแสนถัง ทั้งหมดต่างไหลไปกับแม่น้ำหวงเหอสองสายแล้ว โดยเฉพาะหนิงโจว”
“แล้วเงินที่ได้กลับมาเล่า ? ”
เยี่ยนซีเหวินแบสองมือออก “เม็ดเงินดาด ๆ มิมีบัญชี และมิรู้ด้วยว่าเงินเหล่านั้นหายไปที่ใดแล้ว”
“เรื่องนี้… มีเพียงบิดาของท่านเท่านั้นที่จะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ ท่านเพียงแค่กล่าวเรื่องจริงของที่นี่ไปก็เพียงพอแล้ว”
เยี่ยนซีเหวินถอนหายใจออกมาอย่างหนักหน่วง หลับตาและส่ายหน้าไปมา “ที่ตระกูลได้ส่งคนมาแล้ว บอกมิให้ยกเรื่องนี้ขึ้นมากล่าว แล้วส่งตั๋วเงินมาหนึ่งแสนตำลึง กล่าวว่ามีคนใช้เงินจำนวนนี้เพื่อซื้อความสงบสุขของที่แห่งนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ตกใจกับเรื่องให้เงินเพื่อปัดภัย แต่สิ่งที่เขาตกใจคือเพราะเหตุใดเยี่ยนซีเหวินจึงบอกเรื่องนี้แก่เขา
“ข้าต้องการเสบียง เจ้าเป็นเศรษฐีที่ดิน ข้าจึงทำได้เพียงมาซื้อกับเจ้าเท่านั้น”
ตอนที่ 144 เตาหลอมเหล็กทรงสูง
สำหรับการฝึกอบรมพิเศษเพิ่งดำเนินขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ใส่ใจรายละเอียดมากนัก เขาให้ไป๋ยู่เหลียนจัดการก็เพียงพอ
ต่อจากนี้เขาวางแผนจัดทำโรงงานสบู่และโรงงานกระดาษ สิ่งเหล่านี้ง่ายกว่ามากนัก เขาใช้เวลาเพียง 1 ชั่วยามก็สามารถวาดโครงร่างออกมาสำเร็จ และวานให้ชุนซิ่วไปเรียกจางเช่อมาพบ
” สิ่งนี้ใช้สำหรับผลิตสบู่ วัตถุดิบและอุปกรณ์เรียบง่ายมาก เจ้าลองดู จากนั้นจงไปหาผู้ที่เชื่อถือได้มารับผิดชอบโรงงานทั้งสองนี้ ส่วนเรื่องวิธีการผลิตกระดาษนั้น ข้าเขียนไว้อย่างละเอียด วิธีของข้าแตกต่างจากเดิมมากนัก เจ้าจงไปจัดการหานายช่างชำนาญการ แล้วทำตามวิธีของข้า เจ้าลองนำไปอ่านดูจากนั้นไปคัดเลือกคน แล้วค่อยจัดซื้ออุปกรณ์ หลังจากทดลองทำแล้วก็นำมาให้ข้าดู”
จางเช่อรับมาอ่าน การผลิตสบู่นั้นแท้จริงแล้วใช้น้ำมันหมู เถ้าถ่านและน้ำมันหอม ……วัตถุดิบเหล่านี้หาได้ไม่ยากเพียงแต่ขั้นตอนการผลิตซับซ้อนหลายขั้นตอน คุณชายได้เขียนอย่างละเอียด หากทำตามทีละขั้นตอนคาดว่าน่าจะมิยากอย่างที่เห็น
จากนั้นเขาได้หยิบวิธีผลิตกระดาษขึ้นมาดู อืม วัตถุดิบที่คุณชายเลือกใช้ก็คือไม้ ไม้จะนำมาทำกระดาษได้อย่างไร ? เขาเคยเห็นแต่คนใช้กกทำเป็นกระดาษซึ่งมีต้นทุนสูงมาก คนธรรมดาทั่วไปคงมิอาจมีกำลังมากพอที่จะซื้อมาใช้ได้ แต่หากว่าใช้ไม้ก็สามารถหาวัตถุดิบได้อย่างง่ายดาย
ความคิดของคุณชายช่างหลักแหลมเสียจริง ก่อนหน้านี้ตนมิเคยเห็นคุณชายสนใจเรื่องเหล่านี้ เขาไปรู้จักวิธีเหล่านี้มาได้อย่างไรกัน ?
จางเช่อไม่เข้าใจเสียจริง หลังจากพิจารณาอยู่ชั่วครู่ จางเช่อก็ขอตัวออกไปจัดการกับสองเรื่องนี้
ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางไปยังศูนย์วิจัยซีซาน
หลี่อี้อยู่ที่ห้องทดลองชั้นหนึ่งด้านนอกสุด ตอนที่เขาเลือกห้องทดลองก็ได้เลือกห้องนี้เป็นห้องแรก เนื่องจากหากเกิดเหตุการณ์ใดขึ้นมาระหว่างทำการทดลอง จะได้วิ่งออกไปได้เร็วที่สุด
ฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกว่าความคิดนี้สมเหตุสมผล เพราะการทดลองสามารถเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ตลอดเวลา
ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปในห้องทดลองดินระเบิด ก็พบว่าหลี่อี้และอาจารย์อีกหลายท่านกำลังถกถึงปัญหาของสัดส่วนวัตถุดิบอยู่
เขาได้แต่ยืนฟังโดยมิได้ออกความคิดเห็นใด จากนั้นก็เดินออกมามุ่งหน้าตรงไปยังห้องทดลองอาวุธปืนที่อยู่ชั้นเดียวกัน
ฉินเฉิงเย่และนายช่างอีก 20 คนกำลังวิเคราะห์แผนโครงสร้างอาวุธที่ฟู่เสี่ยวกวนร่างขึ้น เขายืนฟังชั่วครู่ พบว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาวางแผนไว้มิผิดเพี้ยน จึงได้เดินทางออกจากศูนย์วิจัยซีซานกลับไปยังเรือนซีซาน
ห้องทดลองอาวุธปืนยังต้องการเครื่องมือและวัตถุดิบ บัดนี้พวกเขายังคงค้นคว้าเกี่ยวกับปืนคาบศิลาว่าเป็นเช่นใดอยู่
เขารู้สึกว่าตนมิมีสิ่งใดต้องทำแล้ว จึงได้นั่งสมาธิอยู่ที่ลานกว้าง เพื่อฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางต่อไป
ซูซิ่วหันมามองฟู่เสี่ยวกวน เข็มปักผ้าในมือกำลังขยับ นางอยากใช้เข็มนั้นแทงไปที่เขา แต่ก็ได้ยินเสียงหนึ่งเอ่ยห้ามขึ้นเสียก่อน “อย่าคิดกระทำทางลัดเชียว!”
ซูซิ่วเบ้ปากแล้วนึกในใจว่า เจ้านี่มีเรื่องราวต่าง ๆ ต้องทำมากมาย มิมีเวลาพอที่จะฝึกฝน การที่เขาจะฝึกกำลังภายในได้ต้องรออีกสักกี่ปีกัน? หากนางใช้เข็มทิ่มแทงเขาสักหน่อย อาจทำให้เขาเกิดพลังขึ้นมาได้บ้าง นี่เป็นการกระทำทางลัดอย่างไร?
ส่วนเขาจะมีใจศรัทธาที่มั่นคงหรือไม่……เจ้านี่จะเอาใจศรัทธามาจากที่ใด!
หากศิษย์พี่รองอยู่ที่นี่ด้วยคงดี เขาจักต้องสนับสนุนข้าให้ทิ่มสักสามสี่ครั้งแน่นอน
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้รับรู้ว่า หากซูเจวี๋ยไม่เข้าไปขัดขวางเสียก่อน ในขณะนี้จิตวิญญาณของเขาอาจเดินทางไปตามเส้นทางลมปราณที่อธิบายไว้ในพระสูตรเก้าหยาง เพื่อมองหาพลังภายใน
ในตอนบ่าย ฟู่เสี่ยวกวนเขียนจดหมายให้ต่งชูหลานฉบับหนึ่ง จากนั้นก็ฝึกรำดาบต่อไป จางเช่อนำทางเฝิงซื่อมายังด้านใน เขารู้สึกได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนช่างน่าชื่นชมนัก
“มาเถิด มาๆๆๆ เชิญนั่งก่อน” ฟู่เสี่ยวกวนนำดาบของซูม่อวางลงข้าง ๆ โต๊ะ จากนั้นสั่งให้ชุนซิ่วรินน้ำชามาสามถ้วย
“คุณชาย!” เฝิงซื่อคารวะฟู่เสี่ยวกวน เขาหัวเราะหึ ๆ แล้วกล่าวว่า “อย่าได้ทำตัวเหินห่างเช่นนี้เลย เชิญนั่งเร็ว”
“นี่มัน……” เฝิงซื่อครุ่นคิดชั่วครู่แล้วนั่งลงไป ในขณะที่จางเช่อกำลังจะเดินออกไป ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ให้เขาอยู่ด้วยกันเสียก่อน
“สถานการณ์ที่ภูเขาเฟิ่งหลินเป็นเยี่ยงไรบ้าง?” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
“คาดว่าในเดือนหน้าจะสามารถใช้งานถนนได้ขอรับ ข้าได้ให้คนกลุ่มหนึ่งเดินทางไปขุดแร่ ณ ภูเขาต้วนหุนซานแล้ว……” เฝิงซื่อโน้มตัวเข้ามากล่าวด้วยท่าทีระมัดระวังว่า “คุณชายขอรับ ข้าจักบอกแก่ท่านว่าเหมืองนั้นช่างใหญ่โตพอควร! นายช่างเซี่ยกล่าวว่าเพียงแค่เหมืองนี้เหมืองเดียว ก็สามารถขุดได้เป็นร้อยปี!”
ในใจฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกยินดียิ่ง หลิวจือโจวได้มอบของขวัญชิ้นใหญ่แก่เขาแล้ว
“นายช่างเซี่ยคือใคร?”
“เป็นช่างตีเหล็กที่ข้าน้อยได้ตัวมาจากสำนักหล่อของอำเภอเหยา เขามีสายตาที่แหลมคมยิ่ง และด้วยเหตุนี้พวกเราจึงสามารถค้นหาเหมืองได้อย่างแม่นยำ”
“เรื่องนี้เจ้าจัดการได้ดีนัก ปลายปีข้าจะให้รางวัลเพิ่ม! จางเช่อ จงบันทึกเอาไว้ให้ข้าด้วย ข้าเกรงว่าตนเองจะลืมไปเสีย อ้อ การที่ข้าเรียกเจ้ากลับมาในครั้งนี้เนื่องจากมีเรื่องอื่นจะเจรจากับเจ้า ข้าได้ยินว่าเจ้าเริ่มสร้างเตาหลอมเหล็กแล้วงั้นหรือ?”
“ขอรับ ที่หุบเขาต้วนหุนซานนั้นใหญ่โตมาก ด้านตะวันตกของภูเขามีน้ำตกและทะเลสาบอยู่ นายช่างเซี่ยกล่าวว่าที่แห่งนี้เหมาะสมยิ่งในการสร้างเตาหลอมเหล็ก……คุณชายมีแผนการอย่างอื่นหรือไม่?”
เฝิงซื่อท่าทางกระวนกระวาย เนื่องจากเรื่องใหญ่โตเพียงนี้เขากลับทำโดยพลการ มิได้รายงานให้คุณชายรับรู้เสียก่อน
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า “เดิมทีข้าก็คิดว่าจะสร้างเตาหลอมเหล็กที่นี่ หากแต่วิธีสร้างเตาหลอมเหล็กนั้นจะต้องทำการแก้ไข เจ้าจงดูสิ่งนี้”
เขานำโครงร่างที่วาดเสร็จแล้วยื่นให้เฝิงซื่อดู กล่าวว่า “เจ้าจงกลับไปปรึกษากับนายช่างเซี่ยและคนอื่น ๆ เรื่องการผลิตเตาหลอมเหล็กนี้ เตานี้เรียกว่าเตาหลอมเหล็กทรงสูง ต้องการใช้เครื่องเป่าขนาดมหึมาสำหรับการเผาไหม้ การที่บริเวณนั้นมีน้ำตกสูงเป็นการดียิ่ง เจ้าจงไปหาโจวเจิ้ง บอกให้เขาสร้างกังหันน้ำขนาดใหญ่อีกจำนวนหนึ่ง ใช้พลังของกังหันน้ำขับเคลื่อนเครื่องเป่า คล้ายกับการทำปูน เจ้าคงเข้าใจดี”
เฝิงซื่อเป็นช่างหิน สิ่งเหล่านี้เขาจะรู้จักได้อย่างไร คุณชายได้เขียนวิธีการต่าง ๆ ไว้บนกระดาษ แต่เขามิรู้หนังสือ! เมื่อลองคิดดูแล้ว นายช่างเซี่ยเป็นผู้มีความรู้คงจะเข้าใจได้
“เรียนคุณชายตามตรงว่าข้าหาได้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ไม่ ข้าจะนำกลับไปให้นายช่างใหญ่ทั้งหลายดู แต่เรื่องกังหันน้ำนั้นข้าเข้าใจดี คุณชายมีเรื่องอื่นที่จะให้ข้าทำอีกหรือไม่?”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่สักพัก เขารู้สึกว่าจะต้องให้เฝิงซื่อไปกำชับกับนายช่างทั้งหลาย มิฉะนั้นพวกเขาอาจไม่ยอมรับสิ่งใหม่ ๆ เหล่านี้
“เจ้าจงไปบอกกับพวกนายช่างว่า เตาหลอมเหล็กทรงสูงนี้จะสามารถสร้างความร้อนได้สูงนัก สามารถทำให้เหล็กหลอมละลายได้ในเวลาอันสั้น อีกทั้งสามารถขจัดสิ่งแปลกปลอมได้ดีกว่า หากมิใช่ปัญหาอันมาจากฝีมือการก่อสร้าง จงอย่าได้ปรับปรุงให้มากนัก”
เฝิงซื่อจดจำคำพูดนี้ได้ขึ้นใจ จากนั้นก็ลุกขึ้นจากไป ฟู่เสี่ยวกวนหันไปกล่าวกับจางเช่อว่า “ถนนที่ภูเขาเฟิ่งหลินเรียบร้อยแล้วจงรายงานข้าด้วย ข้าจักเข้าไปดูด้วยตนเอง อ้อ ผู้คนที่เข้าไปทำถนนนั้นหลังจากเสร็จงานแล้วก็ให้พวกเขาพำนักที่นั่นไปก่อน หลังจากข้าเดินทางไปดูแล้วค่อยวางแผนว่าจะให้พวกเขาทำอย่างไรต่อ”
“ขอรับ!”
“ฤดูใบไม้ผลินในปีหน้า สำนักศึกษาซีซานจะเปิดแล้ว ผู้คนที่ภูเขาซีซานมีไม่น้อยที่เป็นผู้ร่ำเรียนตำรา จงไปจัดหาผู้อาวุโสที่สามารถสอนหนังสือได้มาเป็นอาจารย์ที่นี่เถิด”
“อีกทั้งที่ซีซานจำเป็นจักต้องสร้างโรงพยาบาล เนื่องจากพวกที่ฝึกพิเศษคงได้รับบาดเจ็บไม่มากก็น้อย ดังนั้นพวกเขาจะต้องได้รับการรักษาอย่างเร็วที่สุด”
“เรื่องโรงผลิตสบู่และกระดาษ จงไปคัดเลือกสตรีจากชาวบ้านในซีซาน เนื่องจากสิ่งนี้สิ้นเปลืองวัตถุดิบมาก เจ้าจงระมัดระวังอย่าได้เกิดข้อผิดพลาดเพราะวัตถุดิบอาจมิเพียงพอ”
ตอนที่ 143 ออกเรือ
เช้าตรู่ของฤดูหนาวอากาศเย็นจัด ดอกไม้สีแดงที่มีอยู่ในลานบ้านต่างจางตาลงไป กลีบดอกไม้ต่างร่วงหล่นไปกับพื้น
หลังจากผ่านการฝึกฝนมาสองวันเต็ม ๆ ไป๋ยู่เหลียนและซูม่อถึงได้จำภาษามือที่ฟู่เสี่ยวกวนสอนทั้งหมดได้ขึ้นใจ
ในวันนี้ฟู่เสี่ยวกวนจะจัดระเบียบทหารผ่านศึกทั้งห้าร้อยนายที่ไป๋ยู่เหลียนพามาและผู้ประสบภัยทั้งสองพันนายที่เขาเป็นผู้คัดเลือกใหม่
สนามฝึกซ้อมด้านนอกเรือนซีซาน คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ฟู่เสี่ยวกวนกับไป๋ยู่เหลียนและซูม่อเดินไปยังเวทีสูงที่อยู่เบื้องหน้า
หลังจากที่ทหารใหม่ทั้งสองพันนายได้การฝึกฝนมานานสองเดือนก็ดูเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง แตกต่างจากสภาพหน้าเหลืองผิวแห้งยามที่มาถึงซีซานช่วงแรก ๆ
พวกเขามีมื้ออาหารที่ดี สภาพหอพักก็ดีเยี่ยม และเริ่มมีแรงผลักดันจากภายใต้การฝึกฝนของหัวหน้าทหารยามเฉินป๋อ
ส่วนทหารห้าร้อยนายที่ไป๋ยู่เหลียนพามาในยามนี้ต่างยืนสงบนิ่ง ถึงแม้พวกเขาจะมาถึงที่นี่ได้เพียงไม่กี่วัน แต่ก็เคยได้ยินเกี่ยวกับนิสัยใจคอของคุณชาย
แต่เดิมพวกเขานั้นมิเชื่อ แต่หลังจากที่มาถึงเรือนซีซานก็ได้ยินเรื่องมากมายที่คุณชายผู้นี้ทำ คิดแล้วก็คงมิใช่เรื่องเท็จเป็นแน่
ตั้งแต่ที่ติดตามไป๋ยู่เหลียนมา ชีวิตของพวกเขานั้นก็ได้ขายให้แก่ไป๋ยู่เหลียนไปแล้ว แต่ไป๋ยู่เหลียนกลับกล่าวว่าชีวิตของพวกเขาต้องขายให้แก่คุณชายนามฟู่เสี่ยวกวน ——ดังนั้นในยามนี้พวกเขาจึงรอดูท่าที
อย่างไรแล้วพวกเขาก็เคยเป็นทหารของไป๋ยู่เหลียน ย่อมเชื่อมั่นในตัวไป๋ยู่เหลียน แต่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นชายหนุ่มที่เพิ่งจะอายุ 16 ปีในตอนนี้เป็นได้เพียงคนแปลกหน้าสำหรับพวกเขา พวกเขายากที่จะเชื่อว่าชายหนุ่มอายุ 16 ปีจะสามารถทำอะไรได้มากมาย ยิ่งไปกว่านั้นชายหนุ่มผู้นี้ก็เป็นคุณชายจากตระกูลเศรษฐีที่ดิน
แต่เยี่ยงไรแล้วก็ต้องไว้หน้าแก่ไป๋ยู่เหลียน ดังนั้นในยามนี้พวกเขาจึงยืนตัวตรง มิหลงเหลือรูปลักษณ์ของกองทัพทหารชายแดนตะวันออกอีกแล้ว
กลุ่มฟู่เสี่ยวกวนสามคนเดินขึ้นไปบนเวที ผู้ที่ตื่นเต้นขึ้นมาก่อนก็คือทหารใหม่ 2,000 นาย ฟู่เสี่ยวกวนที่อยู่ในใจของพวกเขานั้นราวกับเป็นพระเจ้า
“คุณชายขอรับ คุณชาย คุณชาย…”
ทหารผ่านศึกทั้งห้าร้อยนายที่อยู่ด้านข้างต่างผงะ ให้ตายเถอะ บ้าคลั่งกันได้ถึงเพียงนี้เลยรึ?
ทหารใหม่ 2,000 นายต่างตื่นเต้นจนฉุดไม่อยู่ หากมิใช่เพราะคำสั่งของเฉินป๋อ และในยามนี้เฉินป๋อก็ยืนอยู่ด้านหน้าสุดของขบวน ไม่อย่างนั้นแล้วคนเหล่านี้ก็อาจจะพุ่งไปข้างหน้าไปก็เป็นได้
ผ่านไปหลายอึดใจฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ยกมือขึ้นและกดลง ทันใดนั้นก็เงียบนิ่งและไร้เสียง
ไป๋ยู่เหลียนและซูม่อสบตากัน ในแววตาฉายแววตื่นตะลึง
นี่คือคำสั่งหยุด ถึงแม้ทหารใหม่จะมีเพียง 2,000 นาย แต่ฟู่เสี่ยวกวนออกท่าทางเพียงหนึ่งเท่านั้น ก็สามารถสั่งให้พวกเขาอยู่อย่างเป็นระเบียบอย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คนผู้นี้หากบอกว่าเป็นผู้นำทหาร ก็คงมิเกินคาดเท่าใด
“ในวันนี้ที่ให้พวกเจ้ามารวมตัวกัน เพราะต่อจากนี้ข้ามีประกาศสำคัญจะมาแจ้งให้ทราบ ตอนนี้ข้าจักแนะนำคนผู้หนึ่งให้พวกเจ้ารู้จัก เขามีนามว่าไป๋ยู่เหลียน”
ฟู่เสี่ยวกวนยื่นมือออกไป ไป๋ยู่เหลียนก็มาหยุดยืนที่ด้านหน้า
“ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป พวกเราต้องจัดตั้งกองกำลังส่วนตนกองใหม่ พวกเจ้าคือสมาชิกรุ่นแรกของกองกำลังส่วนตนนี้ แต่ว่า…” ฟู่เสี่ยวกวนกวาดสายตามองไปทั้งสนามด้วยท่าทีเคร่งขรึม และน้ำเสียงก็เพิ่มความดุดันขึ้น “ช่วงเวลาต่อจากนี้ไป พวกเจ้าจะเผชิญกับการฝึกที่เข้มงวดที่สุด ครึ่งปีให้หลัง พวกเจ้าจะเข้าสู่การทดสอบครั้งแรก ผู้ที่ทดสอบไม่ผ่านก็จะถูกคัดออก หนึ่งปีให้หลัง ผู้ที่ไม่ผ่านการทดสอบครั้งที่สองก็จะถูกคัดออก นี่มันโหดร้ายอย่างยิ่ง แต่ข้าต้องการเพียงทหารชั้นยอด เพราะกองกำลังทหารที่เก่งกาจที่สุดในโลกนี้จะมีชื่อที่พิเศษ มีนามว่าดาบเทวะ”
“ดาบที่เหมือนพระเจ้า สามารถทำให้ศัตรูหวาดผวาได้ในทุกที่ที่ผ่านไป !”
“ในวันนี้ของปีหน้าข้าจะรอพวกเจ้าที่ตรงนี้ รอให้พวกเจ้าผ่านการทดสอบ และกลายมาเป็นสมาชิกของดาบเทวะ!”
“การฝึกต่อจากนี้มีไป๋ยู่เหลียนเป็นผู้รับผิดชอบทั้งหมด พวกเจ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งของนายพลไป๋อย่างมิมีข้อแม้ หากมีผู้ใดมิฟังคำสั่ง ก็สังหารเสีย!”
“หากใครใจเสาะก็ไปได้ตั้งแต่ตอนนี้ หากมีผู้ใดไม่สามารถทนรับได้ระหว่างการฝึก ก็ไปได้ตลอดเวลา ข้าจักไม่กล่าวโทษพวกเจ้า เพราะการฝึกตั้งแต่นี้ต่อไปจะทำลายความเข้าใจของพวกเจ้าไปจนสิ้น”
“ต่อจากนี้ต้องอยู่ในโอวาทของนายพลไป๋ !”
ไป๋ยู่เหลียนแบกดาบเล่มใหญ่สวมใส่ชุดที่คล่องแคล่วสองมือไขว้หลังและยืนอยู่บนเวทีสูง
สองวันมานี้ฟู่เสี่ยวกวนได้เขียนรายละเอียดแผนการฝึกทั้งหมดให้แก่เขา ภายใต้ภูเขาไต้ชาน มีสนามฝึกแห่งใหม่ได้สร้างเสร็จดีแล้ว แน่นอนว่าอุปกรณ์ที่ติดตั้งในสนามฝึกเหล่านั้นไป๋ยู่เหลียนไม่เคยเห็นมาก่อน
และฟู่เสี่ยวกวนก็แสดงให้เขาได้ดูทีละอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการคลานไปข้างหน้าหรือก้าวข้ามสิ่งกีดขวาง การเคลื่อนไหวของฟู่เสี่ยวกวนพลิ้วไหวราวกับสายน้ำอย่างไร้ที่ติ
ไป๋ยู่เหลียนและซูม่อในยามนั้นตื่นตะลึงอย่างถึงที่สุด หากทหารทุกคนสามารถบรรลุการเคลื่อนไหวตามยุทธวิธีที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้กำหนดไว้ได้ ตามสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวไว้ เยี่ยงนั้นแล้วกองทัพนี้จะน่ากลัวขนาดไหนกัน?
ตามแผนกำหนดการของฟู่เสี่ยวกวน ตอนเช้าจะฝึกฝนร่างกาย ตกบ่ายจะเป็นการฝึกฝนการใช้อาวุธ ตกเย็น… ตกเย็นวิ่งขึ้นไปบนภูเขาไต้ชาน โดยแบกรับน้ำหนัก 60 ชั่ง !
“ศักยภาพของมนุษย์นั้นไร้ขีดจำกัด นั่นคือสิ่งที่เรียกว่าหน่วยรบพิเศษ ความจริงแล้วก็เป็นไปตามมาตรฐานของการฝึกยุทธวิธี ใช้การฝึกฝนที่ห่างไกลจากการฝึกฝนของทหารทั่วไปเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของพวกเขา ฝึกฝนพวกเขาให้กลายเป็นอาวุธสงคราม ก็เท่านั้น”
เอาเถอะ ต่อจากนี้ข้าจักฝึกกระต่ายเหล่านี้ให้กลายเป็นอาวุธสงครามให้ได้ !
“ข้าจะกล่าวเพียงประโยคเดียว ทหารของข้ามิมีคนอ่อนแอ !”
“คุณชายกล่าวไว้แล้ว ผู้ใดที่มิฟังคำสั่ง ก็สังหารเสีย !”
ไป๋ยู่เหลียนแผ่จิตสังหารออกมา พลิกมือชักดาบยาวออกมา เกิดเสียงดังสนั่น ทันใดนั้นเวทีสูงที่อยู่ใต้เท้าก็ถูกตัดมุม
ดาบยาวในมือของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร “ต่อจากนี้จะทำการแบ่งกลุ่ม เฉินป๋อ ออกมา ! ”
……
…..
ทีมถูกแบ่งออกไปตามแผนการเดิมอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะทหารเก่าหรือทหารใหม่ต่างก็ให้ความร่วมมือดีอย่างยิ่ง บางทีเพื่อที่จะได้เข้าดาบเทวะ หรือบางทีอาจเป็นเพราะถูกบังคับโดยอำนาจดาบของไป๋ยู่เหลียน แต่สรุปแล้ว ความกังวลใจแต่เดิมในเรื่องความขัดแย้งกันระหว่างคนเก่าคนใหม่ของฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้ปรากฏขึ้น
ขบวนทัพที่ใหญ่โตถูกไป๋ยู่เหลียนลากไปสนามฝึกที่ภูเขาไต้ชาน มีชาวบ้านมากมายเข้ามาเมียงมอง ฟู่เสี่ยวกวนใคร่ครวญ แล้วจึงส่งทหารยามไม่กี่คนไปขอให้พวกเขาออกห่างไป หลังจากนั้นก็มีป้ายติดประกาศที่ด้านนอก สถานที่สำคัญทางทหาร ห้ามเข้ารับชม !
ท้ายที่สุดแล้วนี่ก็คือการฝึกทหาร ถึงแม้จะเป็นกองกำลังส่วนตน แต่ก็เป็นกองกำลังที่มากเกินไป ในกรณีที่มีผู้มีจุดประสงค์แอบแฝงเข้ามายุ่ง ถึงแม้ฟู่เสี่ยวกวนจะมีวิธีแก้ไขปัญหา แต่เยี่ยงนั้นจะยุ่งยากอย่างมาก เพราะย่อมมีคนจับเรื่องนี้มาทำเป็นบทความ
เรือนหลังซีซานมีซูเจวี๋ยกับซูโหรว ส่วนซูม่อนั้นให้ความสนใจกับวิธีการฝึกฝนอย่างมาก โดยหลังจากได้รับการยินยอมจากฟู่เสี่ยวกวน ซูม่อก็เข้าร่วมเช่นกัน
เรือนหลังเงียบอย่างยิ่ง
ภายในห้องซูเจวี๋ยกำลังนั่งสมาธิฝึกลมหายใจ ซูโหรวปักดอกไม้อยู่ข้างลำธาร ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในศาลาเพียงลำพังและกำลังเขียนจดหมายให้กับฟู่ต้ากวน
ภายในจดหมายนั้นมีอยู่สองเรื่อง ประการแรกต้องการให้แม่ห้ามอบหมายให้ครอบครัวของนางตีอาวุธขึ้นมาชุดหนึ่ง อาวุธชุดนี้จะแตกต่างจากปกติทั่วไป หนึ่งคือมีดสั้น หนึ่งคือดาบ หนึ่งคือ** สุดท้ายก็คือหน้าไม้ธรรมดา
ประการที่สองต้องการให้แม่หกมอบหมายให้ครอบครัวของนางเย็บเสื้อผ้าขึ้นมาจำนวนหนึ่ง สิ่งนี้จะมีความแปลกใหม่อย่างมาก ต้องทำตามแบบชุดออกรบที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยใส่มา
สุดท้ายเขาก็หยิบกระดาษขึ้นมาวาด และระบุไว้เป็นพิเศษว่าสิ่งนี้ต้องเก็บไว้เป็นความลับ
หลังส่งจดหมายออกไป ฟู่เสี่ยวกวนก็นอนอยู่บนเก้าอี้ ครุ่นคิดถึงทหาร 2,500 นายว่าสุดท้ายแล้วจะหลงเหลืออยู่เพียงเท่าใด หากเขาได้รับสั่งให้เป็นทูตของการอภิเษกสมรสจริง ๆ กองกำลังนี้ก็ต้องพาไปด้วยแต่นั่นมิใช่เพื่อปกป้องเขา แต่เขาต้องการขโมยม้าศึกของชาวฮวงเล็กน้อย
ตอนที่ 142 อาหารพื้นบ้าน
ฟู่เสี่ยวกวนไปยังเรือนพักอาศัยของหวางเอ้อ
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนกับหวางเอ้อและหวางเฉียงได้นั่งดื่มชาร่วมกัน หลีเสี่ยวเหมยภรรยาของหวางเอ้อกำลังวุ่นวายกับการทำอาหารอยู่ในครัว
สำหรับครอบครัวของหวางเอ้อแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนเปรียบเสมือนผู้มีพระคุณของเขา ซึ่งในวันนี้ผู้มีพระคุณเดินทางมาหาตน นับว่าเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง
เพียงแต่พวกเขามิมีอาหารเลิศหรูราคาแพง มีเพียงผักหญ้าที่เก็บเกี่ยวมาตามป่าเขา พวกเขารู้สึกกังวลอย่างยิ่ง แต่บัดนี้มองดูคุณชายกินดื่มอย่างเอร็ดอร่อยมิมีทีท่ารังเกียจใด ๆ
“ช่วงนี้ภายในครอบครัวมีสิ่งใดติดขัดหรือไม่ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนถามออกไปตามมารยาท
“ไม่มีขอรับ ต้องขอบพระคุณคุณชายที่สร้างเรือนอย่างดีให้พวกเราอาศัยอยู่ อีกทั้งผลผลิตในปีนี้มากกว่าปีก่อนหนึ่งส่วน คุณชายยังให้วัวควายสำหรับไถนา ทำให้พวกเรามิต้องกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ความเป็นอยู่ดีขึ้นอย่างมากทีเดียวขอรับ”
หวางเอ้อกล่าวออกมาจากใจจริงด้วยความซาบซึ้ง หากคุณชายมิได้สร้างที่พักอาศัยนี้ให้แก่พวกเขา หากไม่มีวัวควายสำหรับไถนา คาดว่าต้องใช้เวลาสามถึงห้าปีจึงจะดีขึ้นมาได้
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว หากมีสิ่งใดติดขัดจงบอกกล่าวกับข้า หรือถ้าชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนอย่างไรก็ให้พวกเขาบอกกับข้าได้โดยตรง หากข้าช่วยเหลือได้ข้าจะช่วยเหลือเต็มที่……หวางเฉียงสร้างเรือนหอเรียบร้อยแล้วหรือ ? ”
“เรียบร้อยแล้วขอรับ แม้แต่เรือนเก่าของเสี่ยวเหมยเองก็ได้ซ่อมแซมด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า มองดูแล้วปัญหาต่าง ๆ ของตระกูลหวางจัดการได้ดีทีเดียว
“งานแต่งงานของหวางเฉียงและเสี่ยวเหมยจัดขึ้นแล้วหรือยัง ? ข้าเดินทางไปเมืองหลวงใช้เวลานานพอควร”
“ยังมิได้จัดขอรับ ดูฤกษ์ยามเหมาะสมแล้วจะจัดขึ้นวันที่สิบสองเดือนสิบสองนี้”
“อืม เวลานั้นข้ายังคงอยู่ที่ซีซาน เมื่อถึงเวลาข้าจะมาดื่มร่วมยินดีด้วย”
หวางเฉียงยิ้มออกมาอย่างดีใจ คุณชายให้เกียรติเดินทางมาร่วมยินดีกับเขา ทำให้เขาซาบซึ้งใจยิ่งนัก
“ยินดีอย่างยิ่งขอรับ ตอนนี้พวกเรามีรายได้มากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก บุตรชายคนรองทำงานที่โรงปูนได้ค่าแรงวันละ 40 อีแปะ ข้าและพี่ชายก่อตั้งกลุ่มก่อสร้างขึ้นมา รับจ้างงานทั่วไป เราทั้งสองมีรายได้วันละเจ็ดแปดสิบอีแปะ ข้าและภรรยาคำนวณดูแล้วว่างานแต่งงานนี้จะจัดให้ดีที่สุด”
ใบหน้าของเขาเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ชีวิตใหม่กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว และจะดียิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ตนเองได้ทำความรู้จักกับฟู่เสี่ยวกวนโดยบังเอิญ และสนิทสนมกับคุณชายเนื่องจากป้ายจื่อนั้น ทำให้เขาเข้าใจนิสัยของคุณชายมากขึ้น อีกทั้งเข้าใจว่าครอบครัวตนหรือกระทั่งหมู่บ้านหวังเจียชุนก็ล้วนได้รับความเมตตาจากคุณชาย จึงทำให้มีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้
งานแต่งงานนี้ ประการที่หนึ่งเนื่องจากหวางเฉียงมีเงินมากขึ้น ประการที่สองเนื่องจากจะทำให้คุณชายเสียหน้ามิได้ ดังนั้นต่อให้ตอนนี้พวกเขาไม่มีหมูสักตัว ก็จะต้องไปหาซื้อหมูมาให้ได้สัก 3 ตัว และเชิญพ่อครัวที่มีฝีมือที่ดีที่สุด จัดงานสามวันสามคืน ให้ลูกชายของตนต้อนรับเสี่ยวเหมยเข้าบ้านอย่างสมเกียรติ บัดนี้นางเป็นถึงผู้รับผิดชอบโรงกลั่นน้ำหอมที่ซีซานเชียว คุณชายให้ค่าตอบแทนวันละ 100 อีแปะ !
เรื่องงานแต่งนี้จึงจำเป็นจะต้องจัดใหญ่โตให้เสี่ยวเหมยพึงพอใจจึงจะดี
ทั้งสามพูดคุยกันในเรื่องราวที่ผ่านมาและในอนาคตที่จะถึง ฟู่เสี่ยวกวนมองไปมิได้เหมือนกับเจ้าของที่ดินแต่อย่างใด อีกทั้งเรื่องของการเพาะปลูกต่าง ๆ แลเหมือนจะชำนาญกว่าผู้ทำการเพาะปลูกมาทั้งชีวิตอย่างหวางเอ้อเสียด้วยซ้ำ
สิ่งนี้ทำให้หวางเอ้อและหวางเฉียงเคารพนับถือยิ่งนัก ความรู้ใหม่หลาย ๆ อย่าง หวางเอ้อเรียกให้หวางเฉียงจดจำเอาไว้ในหัว เนื่องจากเขาทั้งสองไม่รู้หนังสือ
เช่น วิธีการเลี้ยงแม่พันธุ์หมู วิธีการฆ่าเชื้อโรคในเล้าไก่ อีกทั้งเรื่องการติดตาต่อกิ่งก็น่าอัศจรรย์เช่นกัน สามารถนำต้นไม้สองชนิดมาต่อกิ่งเข้าด้วยกันได้ หวางเฉียงคิดว่าคุณชายนั้นกำลังคุยโว แต่ก็วางแผนว่าหลังปีใหม่จะลองทำดู
จากนั้นหลีเสี่ยวเหมยก็สวมผ้ากันเปื้อนลายดอกไม้เดินออกมา นางเช็ดทำความสะอาดโต๊ะแล้วกล่าวกับหวางเอ้อว่า “ท่านลุง เชิญคุณชายรับประทานอาหารเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เกรงใจ เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงแอบแฝงว่า “ยังมิแก้ไขคำเรียกอีกหรือ ? ”
หลีเสี่ยวเหมยตอบด้วยเสียงอันเบาว่า “ต้องรอให้แต่งงานกันก่อนจึงจะเรียกได้เจ้าค่ะ”
หวางเอ้อหัวเราะแล้วเชิญฟู่เสี่ยวกวนไปนั่งที่ตำแหน่งหัวโต๊ะอาหาร ส่วนเขาและหวางเฉียงนั่งอยู่ข้างซ้ายและขวา
ฟู่เสี่ยวกวนนำเทียนฉุนติดมือมาด้วย แน่นอนว่าพวกเขามิมีแก้วเหล้า แต่ใช้ถ้วยดินเผาแทน
อาหารพื้นบ้านที่ไม่ได้จัดจานสวยงาม แต่ปริมาณมากพอสำหรับทุกคนอีกทั้งยังส่งกลิ่นหอมยั่วยวนเตะจมูก ฟู่เสี่ยวกวนเห็นเข้าก็เริ่มเอามือจับตะเกียบ
หวางเอ้อทำตัวไม่ถูก เนื่องจากมิรู้ว่าคุณชายผู้ไม่ขาดแคลนอาหารการกินใด ๆ จะสามารถกินอาหารพื้นบ้านเช่นนี้ได้หรือไม่ แม้ว่าอาหารมื้อนี้จะจัดว่าดีกว่าที่ผ่านมาหลายเท่านัก แต่หวางเอ้อทำงานที่เรือนซีซานมานาน เขารู้ดีว่าอาหารของคุณชายแต่ละวันช่างวิจิตรน่ากินเพียงใด
ภรรยาของเขาทำอาหารได้เลิศรส อีกทั้งมีหลีเสี่ยวเหมยช่วยอีกแรง ทำให้อาหารหน้าตาออกมาดูดี หวังว่าคุณชายจะกินได้มากขึ้น
พวกนางใช้เวลาไม่นานในการทำอาหารทั้งแปดอย่างโดยมีเนื้อสัตว์เป็นหลัก
“ขอเชิญคุณชายลิ้มรสขอรับ”
“พวกนางเล่า ?”
“เอ่อ คือ…คุณชายขอรับ สตรีมิอาจร่วมโต๊ะได้”
มิใช่ว่าหวางเอ้อรังเกียจพวกนางแต่อย่างใด ทว่าเวลานี้มีแขกมาเยี่ยมเยียน สตรีจะร่วมรับประทานอาหารโต๊ะเดียวกันมิได้
“ทำเช่นนี้มิถูกต้อง ควรแก้ไขปรับปรุง ไปเรียกพวกนางมาเถิด นี่คือคำสั่งของข้า”
“เอ่อ…ขอรับ เสี่ยวเหมย ไปเรียกท่านป้ามาร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน นี่คือคำสั่งของคุณชาย”
สตรีทั้งสองนางมีท่าทีอึดอัดใจ พวกนางนำมือเช็ดกับผ้ากันเปื้อน จากนั้นดึงเก้าอี้ออกมานั่ง แต่มิกล้าหยิบตะเกียบ
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “ข้อบังคับบางข้อก็จำต้องมีการปรับปรุง จากที่ข้ามองดู ข้าเองมิได้แตกต่างไปจากพวกท่าน เหตุใดจึงต้องแบ่งแยกชายหญิงกัน ทุกคนล้วนเท่าเทียม บัดนี้เสี่ยวเหมยเป็นผู้รับผิดชอบโรงกลั่นน้ำหอม นางมีความสามารถมากกว่าชายบางคนเสียอีก เหตุใดจึงจะร่วมโต๊ะมิได้ ? ”
หลีเสี่ยวเหมยกล่าวด้วยเสียงอันเบาว่า “เนื่องจากท่านเป็นผู้มีจิตใจกว้างขวาง หากผู้อื่นมาพบเข้า จักนำไปนินทาได้”
เรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เถียงกลับไป เนื่องจากเกี่ยวข้องโดยตรงกับความคิดเห็นส่วนตัวของหลาย ๆ คน หากจะทำการปรับปรุงแก้ไข มิใช่เรื่องที่จะทำได้ในวันสองวัน
“เอาเป็นว่า หากข้าร่วมกินข้าวด้วย พวกเจ้าก็อย่าได้ทำตัวห่างเหิน มา ๆ ๆ ข้าได้กลิ่นหอมเช่นนี้ก็หิวเสียจนท้องร้อง รีบกินเถอะ”
ฟู่เสี่ยวกวนไม่มีพิธีรีตองมากมาย เขากล่าวจบก็ลงมือกินในทันที รสชาติอาจมิได้เลิศรสเสียไร้ที่ติ เนื่องจากวัตถุดิบมีจำกัด นอกจากเกลือแล้วพวกเขามิได้มีเครื่องปรุงอื่นอีก
หวางเอ้อหยิบตะเกียบขึ้นมา หวางเฉียงพยักหน้าให้เสี่ยวเหมย หลีเสี่ยวเหมยก็หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารให้ว่าที่แม่สามี ภรรยาของหวางเอ้อจึงได้เริ่มกินอย่างกังวล
ฟู่เสี่ยวกวนชื่นชอบยิ่งนัก เขาเอ่ยชมรสมือของเสี่ยวเหมยมิขาดปาก ทำให้เสี่ยวเหมยรู้สึกอาย
“เสี่ยวเหมย ต่อไปนี้เรื่องน้ำหอมเจ้าจงจัดการด้วยตนเอง วิธีการผสมน้ำหอมของเจ้ายอดเยี่ยมนัก สามารถเพิ่มประเภทของดอกไม้ให้มากกว่าเดิม ปีหน้าเจ้าจงไปแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์แก่ชาวบ้าน ให้พวกเขาได้เพาะปลูกกุหลาบในพื้นที่ขนาดใหญ่ อีกทั้งดอกมะลิด้วย สองกลิ่นนี้ใช้เป็นกลิ่นหลัก ส่วนอย่างอื่นเอาตามที่เจ้าเห็นสมควร ข้าจะมิเอ่ยถามใด ๆ ให้มากความ”
“หา ! ข้า…ข้า เกรงว่าจะมิได้”
“วางใจเถิด มีข้าเป็นผู้สนับสนุน เจ้าจะเกรงกลัวสิ่งใด ? ”
ตอนที่ 141 ชะตาสวรรค์ลิขิต
ความเข้าใจเรื่องการทำสงครามซูม่อย่อมมิลึกซึ้งเท่าไป๋ยู่เหลียน ท้ายที่สุดแล้วไป๋ยู่เหลียนก็คือทหารกรำศึกที่เกษียณจากกองทัพฝ่ายตะวันออก แต่ซูม่อกลับมิมีประสบการณ์นี้
ซูม่ออ่านตำราการทำสงครามฉบับพิเศษนี้ด้วยสีหน้ามิเข้าใจ เขามิเข้าใจเลย เพียงแต่รู้สึกได้ว่ามันยอดเยี่ยมมาก ดังนั้นเขาจึงได้เอ่ยถามว่า “กล่าวได้ว่า สิ่งนี้ที่เขาเขียนขึ้นมาแตกต่างจากการฝึกฝนของกองทัพในปัจจุบันนี้หรือ”
ไป๋ยู่เหลียนจึงได้รินสุราหนึ่งจอกแล้วดื่มจนหมด ก่อนจะกล่าวว่า “มันแตกต่าง เป็นสองแนวคิดที่แตกต่างไปอย่างมาก อธิบายให้เจ้าฟังเยี่ยงนี้แล้วกัน การฝึกฝนกองทหารม้าของเรา ขั้นพื้นฐานที่สุดคือการขี่ม้า หลังจากนั้นจึงเป็นการเรียงแถว รูปแบบประสานการรบและอื่น ๆ แต่ที่เขาเขียนนั้นกลับมีแค่การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของแต่ละบุคคล ทั้งยังมีสิ่งจำเป็นสำหรับการทำสงครามในแต่ละสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน การฝึกกองทหารม้ามีจำนวนคนและม้านับพัน เขาเริ่มจากหนึ่งคน หลังจากนั้นเป็นห้าคน และมากที่สุดก็คือการประสานเข้าด้วยกันสิบคน แต่การประสานกันนี้ต้องใช้ความเชี่ยวชาญ เมื่อร่วมเข้าด้วยกันก็คือรูปแบบการรบพื้นฐานที่ยึดคนสิบคนไว้เป็นหนึ่ง และเหมาะกับทุกสภาพแวดล้อม”
ซูม่อเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว จึงได้เอ่ยถาม “แต่เขามิมีม้า ราชสำนักควบคุมม้าศึกอย่างเข้มงวด”
“ดังนั้นวิธีการนี้ของเขาจึงหลีกเลี่ยงม้า และหลีกเลี่ยงที่จะใช้คนมากมาย เหมาะสมกับการสืบสวนและโจมตีเร็วโดยเฉพาะ แน่นอนว่าการตัดศีรษะที่เขาพูดเอาไว้นั้น… ข้ารู้สึกว่ามันค่อนข้างยาก ท้ายที่สุดแล้วการให้กองกำลังเล็กไปบุกค่ายทหารหลักของศัตรูก็ยังไม่สอดคล้องต่อความเป็นจริง”
ภายในคู่มือนั้นมีอีกหลายสิ่งที่ซูม่อไม่เข้าใจ หลังจากที่ได้ถาม แม้แต่ไป๋ยู่เหลียนเองก็สับสนขึ้นเรื่อย ๆ เพียงได้บอกว่ารอให้ถึงวันพรุ่งนี้ แล้วมาดูว่าเขานั้นจะอธิบายเยี่ยงไร
……
…..
เช้าวันรุ่งขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนยังคงออกกำลังกายที่ลานบ้าน
อาการบาดเจ็บที่สะบักไหล่หายเร็วกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้ คิดว่าคงเป็นผลจากการฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยาง
จากที่ซูม่อกล่าวไว้คัมภีร์พระสูตรเก้าหยางของสำนักเต๋าคือเทคนิคการวางรากฐานที่มั่นคง ห่างไกลจากป่ากระบี่ ภูเขาดาบที่ใช้จิตใจเย็นชา แต่ต้องชนะด้วยความอ่อนโยนและความยาวนาน หากเจ้าอดรนฝึกฝนต่อไป แม้ว่าจะมิสามารถหายใจได้แล้ว แต่อย่างน้อยก็มีผลในการยืดอายุขัย
ในช่วงหลายวันนี้ก็ได้เสริมด้วยเทคนิคการฝังเข็มของซูโหรว ช่วงไหล่หลงเหลือเพียงความเจ็บปวดอีกเล็กน้อย กระดูกที่หักจากหมัดของพี่สี่ในยามใกล้ตายก็คาดว่าน่าจะหายดีแล้ว
หลังจากที่ออกกำลังกายก็ได้ไปอาบน้ำแล้วจึงไปทานอาหารเช้ากับซูม่อ ฉินเฉิงเย่ ไป๋ยู่เหลียนและคนอื่น ๆ ฉินเฉิงเย่เดินออกไปอย่างรีบร้อน ฟู่เสี่ยวกวนมองตามแผ่นหลังของฉินเฉิงเย่แล้วหัวเราะ ชายคนนี้อายุไล่เลี่ยกันกับเขา แต่ในวันนี้ก็ได้เข้าร่วมการวิจัยและพัฒนาอาวุธปืนไฟจนมิสามารถถอนตัวได้… แต่หวังว่าจะมิใช่เพียงความสนใจในชั่วขณะเท่านั้น
รอจนกระทั่งชุนซิ่วมาเก็บจานชาม ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เอ่ยถามซูเจวี๋ยและซูโหรวว่าคุ้นชินกับที่พักแล้วหรือยัง ต้องการสิ่งของอื่น ๆ อีกหรือไม่
ซูเจวี๋ยยังคงนั่งตัวตรง และคิดว่าที่นี่ดีมากแล้ว ค่อนข้างเงียบสงบ เหมาะแก่การบำเพ็ญตบะ
แต่ซูโหรวกลับกล่าวว่าต้องการผ้าไหมและเส้นด้ายหลากสี เพราะวัสดุที่นางนำมาใกล้จะปักเสร็จหมดแล้ว
ในเรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนย่อมเติมเต็มความต้องการของนางอย่างแน่นอน จนถึงขั้นถามนางว่าสามารถนำสิ่งที่นางปักไปขายไปได้หรือไม่ เพราะนกเป็ดน้ำที่ซูโหรวปักนั้นสวยงามมากจริง ๆ หากเอาไปปล่อยในร้านที่สวยงามก็จะเป็นอีกภูมิทัศน์หนึ่ง… บางทีเอาพวกชุดชั้นในเหล่านั้นมากให้นางปักอะไรเล็กน้อยจะได้ไหมนะ
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิด เขาในตอนนี้ยิงมิมีเวลาทำสิ่งนั้น
ต่อจากนั้นไป๋ยู่เหลียนก็นำตำราการทำสงครามฉบับนั้นมาวางบนโต๊ะ ฟู่เสี่ยวกวนดึงสีหน้ากลับมา และอธิบายให้ไป๋ยู่เหลียนฟังอย่างจริงจัง ซูม่อเองก็ตั้งใจฟังอย่างมาก ซูเจวี๋ยฟังแล้วก็เดินออกไป ช่วงเวลาฝึกฝนของเขามาถึงแล้ว ซูโหรวมิได้เดินออกไป ยังคงปักลายเป็ดน้ำต่อ และเงยหน้าขึ้นมามองฟู่เสี่ยวกวนบ้างเป็นครั้งคราว
“การทำสงครามฉบับพิเศษนี้รวมไปถึงทุกสถานการณ์ และภาษามือนั้นมิจำเป็นต้องส่งเสียงใด ๆ ทั้งยังถ่ายทอดคำสั่งได้อย่างถูกต้อง นี่มิใช่เรื่องมากกว่าจำเป็น ตัวอย่างเช่น พวกเราต้องโจมตีลานกว้างเยี่ยงนี้อย่างรวดเร็ว แต่มีองครักษ์คอยเฝ้าอยู่มากมาย หากพูดคุยกันในยามที่รวมตัวก็จะถูกฝ่ายตรงข้ามพบเจอได้ง่าย แต่ภาษามือจะมิเป็นเช่นนั้น ต่อจากนี้ข้าจะสอนภาษามือเจ้า หลังจากนั้นข้าคิดไว้เยี่ยงนี้ ให้ทหาร 500 คนที่เจ้านำมาและทหารใหม่ ณ ที่นี้จับกลุ่มกันใหม่ ผู้อาวุโสนำมือใหม่ ทหารผ่านศึก 1 คนนำทหารใหม่ 4 คน เป็นกลุ่มละ 5 คนพอดี ส่วนเรื่องกลยุทธ์ให้ทหารผ่านศึกเหล่านั้นเป็นผู้ฝึกสอน”
“เจ้าต้องดูอย่างตั้งใจ”
ต่อจากนั้นซูม่อก็จ้องมองการขยับในแต่ละท่าของฟู่เสี่ยวกวน หลังจากนั้นก็อธิบายความหมายของแต่ละท่วงท่าโดยละเอียด ช่วงเช้าผ่านไป คำอธิบายท่วงท่าของเขาก็มีมากถึง 36 ท่า
ทุกการขยับแบบง่าย ๆ ของฟู่เสี่ยวกวนมีความหมายที่ไม่เหมือนกัน แต่ความหมายของการขยับเพียงไม่กี่ครั้งนั้นกลับมีความหมายที่ชัดเจน ทั้งยังใช้ระยะเวลาสั้นกว่าการพูด
“ทั้งหมดนี้เป็นภาษาใหม่แบบหนึ่ง ต่อจากนี้ข้ากล่าวเจ้าทำ”
ทั้งสองคนยังคงฝึกซ้อมต่อไป ไป๋ยู่เหลียนทำผิดอยู่หลายครา จนซูโหรวยิ้มเยาะ “เสี่ยวเหลียน ใช้สมองหน่อยสิ”
ทันใดนั้นใบหน้าที่หล่อเหลาของไป๋ยู่เหลียนก็แดงขึ้นมา “เจ้าพูดใหม่อีกทีสิ”
ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้นไปจนถึงตอนเย็น มื้ออาหารกลางวันเป็นไปอย่างเรียบง่าย แม้แต่ตอนทานอาหาร มือของไป๋ยู่เหลียนก็ยังคงมิหยุดขยับ และแท้จริงแล้วมือของซูม่อก็ยังคงขยับอยู่เช่นกัน
วันนี้ทั้งวันทุกคนต่างไม่ได้ออกไปไหน สิ่งที่ทำทั้งหมดก็มีเพียงเรื่องนี้
“ของสิ่งนี้ต้องสลักเอาไว้ในสมอง เจ้าที่อยู่ในฐานะผู้บังคับบัญชา ต้องออกคำสั่งกับผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างแม่นยำ คนของเจ้าเองก็ต้องเข้าใจคำสั่งของพวกเจ้าให้แม่นยำ มิฉะนั้นเจ้ากล่าวตะวันออก เขาไปตะวันตก แล้วภารกิจจะสำเร็จได้เยี่ยงไร”
ไป๋ยู่เหลียนเห็นด้วยอย่างยิ่ง ฟู่เสี่ยวกวนมีธุระจึงออกไปข้างนอก เขาฝึกภาษามือกับซูม่อต่อไป ซูโหรวคอยแก้ไขประโยคให้อยู่ตลอดเวลา หากฟู่เสี่ยวกวนอยู่ย่อมมองซูโหรวด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
แต่ไป๋ยู่เหลียนไม่ได้เอาจริงกับการฝึกภาษามือกับซูม่อเท่าใด พวกเขารู้ว่าความสามารถในการจดจำของซูโหรวเกรงว่าจะมิมีใครในใต้หล้านี้เทียบได้แล้ว
จนถึงยามเย็นฟู่เสี่ยวกวนก็ยังมิกลับมา ไป๋ยู่เหลียนและคนอื่น ๆ กำลังทานอาหารกันอยู่ ก็พูดถึงฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมา
“เจ้าว่าสมองของเขามีความคิดเยี่ยงไร ถึงสามารถคิดท่าทางที่ง่ายดายเยี่ยงนี้ให้ออกมาเป็นภาษา…” ซูม่อส่ายหน้า ยากที่จะเชื่อได้ลง “ข้าเคยเห็นเขาประพันธ์บทกวีด้วยตาของตนเอง เพียงแค่ตวัดปลายพู่กัน ถึงแม้อักขระจะน่าเกลียดแต่ก็ต้านทานบทกวีที่ดีของเขาไว้ไม่ไหว การออกแบบอาคารที่ด้านนอกซีซานเหล่านั้นก็เป็นเขาที่วาดมันขึ้นมาทีละหลัง ตัวข้ายังได้เห็นการกำเนิดสิ่งที่เรียกว่าปูนซีเมนต์นั้นด้วยสายตาของตนเอง ทั้งนี้เขายังทำเมล็ดพืชที่เรียกว่าฟู่อีต้ายออกมา กล่าวว่าในภายภาคหน้าผลผลิตของข้าวจะมีถึงห้าร้อย หกร้อยและจะสูงไปถึงหนึ่งพันชั่ง พวกเจ้าคงมิอยากเชื่อ ข้าเห็นเขาม้วนขากางเกงและลงไปในทุ่งนากับตา วันนั้นฝนตกอย่างหนัก เพื่อสิ่งนี้แล้วเขาจึงรีบกลับมายังหลินเจียง ลงไปในทุ่งนาท่ามกลางฝนตกหนัก ถึงแม้จะสวมหมวก แต่ยามที่ลุกขึ้นมากลับเปียกไปทั้งร่าง”
“ตอนนี้เขาคงทำของสิ่งนี้ขึ้นมาอีก พวกเจ้าเคยเห็นคนที่มีความสามารถรอบด้านเยี่ยงนี้บนโลกนี้เยี่ยงนั้นหรือ”
ไป๋ยู่เหลียนเลิกคิ้วขึ้น แล้วกล่าวอย่างขำขัน “ยามที่ข้าและเขาพบกันครั้งแรกก็รู้สึกว่าเขานั้นแตกต่าง ยามนั้นที่ลานฝึกด้านนอกเรือน เขาวิ่งเข้ามา หยุดยืนมองข้าฝึกดาบ ข้าสะบัดดาบออกไปทางเขา เขาไม่แม้แต่จะกะพริบตาด้วยซ้ำ ในตอนนั้น ข้าก็รู้สึกว่าเขานั้นแตกต่างไปจากผู้อื่น”
ทันใดนั้นซูเจวี๋ยก็เอ่ยขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ตามคัมภีร์ลัทธิเต๋ากล่าวไว้ว่า ผู้ที่เกิดมามีความรู้ ได้รับชะตาสวรรค์ลิขิต เรียกกันว่าบุคคลแห่งโชคชะตา”
“ศิษย์น้องคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนคือบุคคลแห่งโชคชะตาหรือ”
“มิใช่ แต่เป็นท่านอาจารย์ที่คิดเยี่ยงนั้น ไม่เยี่ยงนั้นแล้วเหตุใดเจ้าและข้าจักต้องออกมากัน”
ตอนที่ 140 กองกำลังพิเศษ
ค่ำคืนอันเงียบสงบราวสายน้ำนิ่ง ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือและอ่านรายงานล่าสุดโดยละเอียด
โรงผลิตปูนก็ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แต่ละวันยังคงปริมาณผลิตอยู่ที่ 1,000 ชั่ง เฟิ๋งซีทำเตาเผาขนาดเล็กและกำลังทดลองในอัตราส่วนใหม่ เขาหวังว่าจะเพิ่มปริมาณผลิตได้ และหวังว่าปูนจะมีแรงยึดเกาะที่แข็งแกร่งขึ้น
ซึ่งเป็นเรื่องดียิ่งนัก ฟู่เสี่ยวกวนหวังว่าจากการค้นคว้าทดลอง พวกเขาจะสามารถนำข้อผิดพลาดต่าง ๆ ไปพัฒนาและปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น
ด้านของโรงกลั่นน้ำหอม เน้นกลิ่นดอกเบญจมาศและดอกคามิเลียเป็นหลัก เนื่องจากในตอนนั้นชาวบ้านได้ทำการปลูกดอกไม้สองชนิดนี้ค่อนข้างมาก แต่เมื่อจางเสี่ยวเหมยทดลองน้ำหอมสองกลิ่นนี้ได้พบเจอปัญหาเข้า นั่นคือกลิ่นหอมนั้นอ่อนเกินไปเสียจนแทบไม่ได้กลิ่น
จางเสี่ยวเหมยค้นหาวิธีแก้ไขด้วยการนำหัวน้ำหอมจากดอกกุ้ยฮวาและหัวน้ำหอมของดอกไม้ทั้งสองนี้ผสมเข้าด้วยกัน ทำให้ลดกลิ่นอันเข้มข้นจากเดิมของดอกกุ้ยฮวาลง ซึ่งเกิดเป็นกลิ่นหอมน่าหลงไหล บัดนี้น้ำหอมของนางได้ใช้ส่วนผสมดังกล่าว ซึ่งนางเป็นคนคิดค้นและตัดสินใจทั้งหมด เนื่องจากนางหาตัวฟู่เสี่ยวมิพบ แต่สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนมองนางเปลี่ยนไปไม่น้อย เมื่อนึกได้ว่าหวางเฉียงและจางเสี่ยวเหมยจะแต่งงานกันปลายปี และนี่ใกล้เวลาปลายปีแล้ว วันพรุ่งนี้เห็นทีจะต้องถามไถ่เรื่องงานแต่งงานสักหน่อยว่าจัดเตรียมแล้วหรือไม่
บัดนี้โรงกลั่นเหล้าก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี นอกจากนำส่งไปยังโรงกลั่นน้ำหอมแล้ว ยังมีเก็บไว้ในคลังกว่าพันชั่ง เนื่องจากปริมาณผลิตน้ำหอมไม่มาก ในรายงานจึงปรากฏคำถามว่าจะให้พักการกลั่นแอลกอฮอล์หรือไม่ เนื่องจากการผลิตจะต้องใช้ธัญพืชจำนวนไม่น้อย ส่งผลให้ยอดสุราซีซาน สุราเทียนฉุนและสุราเซียงเฉวียนมีปริมาณผลผลิตที่น้อยลง
และบัดนี้โรงกลั่นสุราขยายพื้นที่ใหญ่กว่าเดิมสิบเท่าตัว มีผู้กลั่นกว่าพันคน บรรดาผู้กลั่นสุราแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ผลิตสุรา 3 ประเภท ปัจจุบันปริมาณผลิตยอดสุราซีซานเดือนละ 200 ชั่ง สุราเทียนฉุนเดือนละ 3,000 ชั่ง และสุราเซียงเฉวียนเดือนละ 6,000 ชั่งโดยประมาณ
ส่วนโรงเก็บสุราที่ภูเขาซีซานใช้สำหรับเก็บยอดสุราซีซานเท่านั้น บัดนี้มีปริมาณร้อยกว่าชั่ง เนื่องจากโรงกลั่นสุราแห่งใหม่เปิดได้เพียง 2 เดือน อีกทั้งส่วนหนึ่งจะต้องส่งเข้าไปยังพระราชวัง
เรื่องสุดท้าย เกี่ยวกับภูเขาเฟิ่งหลิน
หลังจากได้กำลังคนมากว่าสามหมื่นคน เส้นทางสู่ภูเขาเฟิ่งหลินคาดว่าจะใช้งานได้หลังปีใหม่ ส่วนเฟิ๋งซื่อได้นำคนประมาณ 1,000 คนเข้าไปยังภูเขาต้วนหุนซาน ซึ่งบัดนี้ก็ได้ขุดแร่ออกมาจำนวนไม่น้อย ใช้กำลังคนไม่น้อยเช่นกัน แต่นับจากนั้นครึ่งเดือน พวกเขาใช้ดินระเบิดที่หลี่อี้ทำขึ้น จึงทำให้การขุดเป็นไปได้อย่างรวดเร็วขึ้น
เฟิ๋งซื่อได้เริ่มทำเตาหลอมเหล็ก เมื่อการเปิดถนนสำเร็จลุล่วงก็จะมีกำลังคนเพียงพอ คาดว่าหลังปีใหม่จะสามารถเริ่มขุดแร่ได้
เมื่ออ่านถึงตรงนี้ ฟูเสี่ยวกวนก็ครุ่นคิดพักหนึ่ง เขาหยิบแท่งถ่านและกระดาษขึ้นมาร่างบางอย่างขึ้น
เขากำลังวาดเตาหลอมเหล็กทรงสูง ดูค่อนข้างโบราณ แต่ก็เหมาะสมกับยุคนี้
สิ่งนี้จะต้องใช้เครื่องเป่าขนาดใหญ่ ส่วนพลังงานฟู่เสี่ยวกวนยังคงใช้กังหันน้ำดังเดิม แต่จะต้องขนาดใหญ่กว่าที่ภูเขาซีซานมากนัก
เขาขีดเขียนและลบไปมาเป็นเวลานาน ในที่สุดก็ได้ตามที่ฟู่เสี่ยวกวนต้องการ วันพรุ่งนี้เขาจะให้คนไปตามเฟิ๋งซื่อกลับมา หากใช้วิธีของเฟิ๋งซื่อ ประการแรกจำนวนผลิตของการถลุงเหล็กนี้ไม่สูงนัก และประการที่สองมีสิ่งสกปรกปะปนมากเกินไปจนไม่เป็นไปความคาดหวังของฟู่เสี่ยวกวน
เขาวุ่นวายอยู่กับเรื่องราวเหล่านี้ถึงดึกดื่น แต่มองไปยังห้องของซูม่อที่อยู่ตรงข้ามก็พบว่าไฟยังคงส่องสว่าง
ซูม่อและไป๋ยู่เหลียนนั่งดื่มสุราร่วมกัน
“เป็นอย่างไร? เชื่อหรือยังว่าข้ามิได้โกหกเจ้า” ไป๋ยู่เหลียนหัวเราะด้วยความชอบใจ
“อืม” ซูม่อพยักหน้า “เจ้าว่าการที่เขาทำเรื่องเหล่านี้เพื่อจุดประสงค์ใดกัน? ดินปืนและปืนได้กำหนดแล้วว่าไม่สามารถนำมาใช้ในสนามรบได้มิใช่หรือ?”
“ข้าเองก็มิเข้าใจเช่นกัน อาจเป็นเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นอาวุธที่สามารถปลิดชีพได้อย่างน่ากลัว จึงต้องการนำมาใช้ในสนามรบ”
ไป๋ยู่เหลียนชะงักไปชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยว่า “เจ้าลองนึกทบทวนดู ในสนามรบระยะทางที่ธนูสามารถโจมตีคู่ต่อสู้ได้คือ 200 ก้าว แต่ดินระเบิดและปืนมีระยะมากกว่า 200 ก้าว เพียงแต่สิ่งนี้ต้องเตรียมการใช้งานยุ่งยากและนานพอควร อีกทั้งความแม่นยำต่ำ และขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วย แต่หากสามารถนำข้อเสียเหล่านี้ไปปรับปรุงเล่า? ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการทำสงครามได้ใช่หรือไม่?”
ซูม่อเองก็เห็นด้วยกับข้อคิดเห็นนี้ ข้อเสียที่กล่าวมาเขาก็เข้าใจดี และคาดว่าสำนักอาวุธปืนเองก็ได้พยายามทดลองไม่น้อย แต่จวบจนปัจจุบันก็ยังมิได้มีการปรับปรุง หมายถึงว่ามีความยากมากทีเดียว ฟู่เสี่ยวกวนจะสามารถทำได้งั้นหรือ?
ฟู่เสี่ยวกวนยังมิอยากเข้านอน เขาจึงได้มายังห้องของซูม่อ และร่วมดื่มกับพวกเขาทั้งสอง
ซูม่อจึงได้เอ่ยถามถึงเรื่องนี้ สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนตอบกลับมาเป็นสิ่งที่เขามิเคยคาดคิดมาก่อน
“แท้จริงแล้วหาได้ยากไม่ ปืนคาบศิลา……สิ่งของที่ข้าจะทำการทดลองนี้เรียกว่าปืนคาบศิลา พวกเจ้าคอยดูเถิด สิ่งนี้เมื่อทำสำเร็จ ทหารปืนจำนวน 1,000 คนสามารถเอาชนะศัตรูกว่า 5,000 คนได้……พวกเจ้ามิเชื่องั้นหรือ! ถ้าเช่นนั้นจงคอยดูเถอะ”
อย่าว่าแต่ซูม่อ แม้แต่ไป๋ยู่เหลียนเองก็มิเชื่อเขา แน่นอนว่าพวกเขาจะจับตารอดูปืนคาบศิลานี้ทำออกมาสำเร็จ
ฟู่เสี่ยวกวนดื่มสุราเข้าไป จากนั้นหยิบกระดาษสองสามแผ่นส่งให้ไป๋ยู่เหลียน “ข้าเคยร่างนโยบายเกี่ยวกับการทำสงครามเมื่อตอนอยู่เมืองหลวง แต่กลับถูกปฏิเสธ สิ่งนี้มีความสำคัญมากนัก เจ้าลองดู ข้ามิได้หารือกับเจ้า แต่พวกเจ้าจะต้องทำตามวิธีที่ข้าสั่ง”
ไป๋ยู่เหลียนรับไปมองดู : คู่มือปฏิบัติการพิเศษ
คือสิ่งใดกัน?
จากนั้นเขาได้มองไปยังตัวอักษรที่อยู่ด้านล่าง จากนั้นดวงตากลมโตภายใต้คิ้วคมเข้มก็เกิดความสงสัย แม้แต่ทำให้เขาลืมดื่มสุรา เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นมองมาใหม่และละสายตาครุ่นคิด กระทั่งอ่านจบ
กระดาษเพียงไม่กี่แผ่นนี้ทำให้ไป๋ยู่เหลียนมิอาจจินตนาการได้ เขาเป็นถึงทหารเก่าแก่ อีกทั้งเคยเป็นเซียวฉีเว่ย
แม้ว่าเขาจะอยู่กับการต่อสู้ แต่ก็อ่านหนังสือมานับไม่ถ้วน
ความใฝ่ฝันของเขาคือการเป็นนายพลที่สง่า แต่เหตุการณ์สะเทือนใจของกองทัพแห่งตะวันออกนั้นทำลายความฝันของเขาทั้งสิ้น
เขานำกำลังทหารกลับมาห้าร้อยนาย เนื่องจากคิดว่ากิจการต่าง ๆ ของฟู่เสี่ยวกวนจะยิ่งดำเนินยิ่งใหญ่ เมื่อถึงเวลาจำต้องใช้คนเฝ้ายามจำนวนไม่น้อย ดังนั้นคนเหล่านี้จะได้มีงานทำ
เพียงเท่านี้เอง
แต่บัดนี้ หลังจากเขาอ่านดูนโยบายเหล่านี้ ความเงียบในจิตใจของเขาก็รู้สึกเดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง!
นี่มิใช่หนังสือการใช้กำลังทหาร! นี่มันมากกว่าสิ่งนั้น!
สิ่งนี้คือวิธีการทำสงครามในแบบใหม่ ซึ่งเน้นความสามารถในการรบของทหารแต่ละคน อีกทั้งความร่วมมือและพลังความสามัคคี โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการฝึกซ้อม อุปกรณ์ที่ใช้และประเภททหาร เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ไม่เหมือนกับทหารชาติใดในโลก!
“เจ้าลองดูอย่างละเอียด ในวันรุ่งขึ้นข้าจะกล่าวว่าควรทำอย่างไร” ฟู่เสี่ยวกวนดื่มสุราเข้าไป จากนั้นลุกขึ้นตบบ่าไป๋ยู่เหลียนกล่าวว่า “เชื่อข้าเถิด เรื่องนี้มิมีใครรู้ดีไปกว่าข้า!”
ฟู่เสี่ยวกวนจากออกไปแล้ว ซูม่อรับกระดาษในมือไป๋ยู่เหลียนมาดู และมีท่าทางเดียวกับไป๋ยู่เหลียนไม่มีผิด
ทั้งสองสายตาประสานกัน ผ่านไปชั่วครู่ ซูม่อจึงได้กล่าวว่า “นี่…..จริงหรือ?”
ไป๋ยู่เหลียนหัวเราะแล้วถามว่า “เรื่องนี้คาดว่าจะเป็นเรื่องจริง!”
ซูม่อหันออกไปยังนอกหน้าต่างและมองตามเงาของฟู่เสี่ยวกวนไป
เขาผู้นี้ เป็นใครกันแน่นะ?!
ตอนที่ 139 ศูนย์วิจัยซีซาน
ตามที่ฉินปิ่งจงกล่าวมาทั้งหมด เรื่องราชทูตในงานอภิเษกสมรสถือว่าเป็นงานที่ดี
แต่ฉินปิ่งจงก็ได้เตือนเช่นกันว่าเขาอาจจะมีอันตรายที่ยังซ่อนเร้นอยู่ เช่น หากไปถึงยังที่ทุรกันดารแล้วองค์หญิงสามเกิดเปลี่ยนใจ จะทำเยี่ยงไร?
ยกอีกตัวอย่างในกรณีที่เป็นแผนการหนึ่งของชาวฮวง ท่าป๋าเฟิงใช้เรื่องอภิเษกสมรสมาเป็นประเด็น เพื่อล่อให้องค์หญิงสามออกไป หลังจากนั้นก็จับองค์หญิงสามไว้เป็นตัวประกัน ราชวงศ์หยูจะช่วยหรือมิช่วยกัน
หากช่วย เยี่ยงนั้นกองทหารจะต้องไปยังด่านเยี่ยนซาน ชาวฮวงทุกข์ทรมานจากการสกัดกั้นของด้านเยี่ยนซานเพราะทำให้ลำบากที่จะลงไปทางใต้ แต่หากด่านเยี่ยนซานได้เปิดออก ทหารม้าของชาวฮวงก็จะไร้อุปสรรค ราชวงศ์หยูจะขวางได้เยี่ยงนั้นหรือ?
หากไม่ช่วย นั่นแทบจะมิมีความเป็นไปได้ เพราะนั่นเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของต้าหยู
แน่นอนว่าสองสิ่งสุดท้ายที่ฉินปิ่งจงกล่าวมาความเป็นไปได้นั้นน้อยยิ่ง หากฟู่เสี่ยวกวนได้รับแต่งตั้งให้เป็นราชทูตส่งตัว หลังจากที่กลับไปยังเมืองหลวง คงมิได้เป็นฉาวซ่านต้าฟูที่ว่างงานถึงเพียงนั้นอีก
การวิเคราะห์ของฉินปิ่งจงนี่คือแผนการของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย เป้าหมายก็คือการยกระดับฟู่เสี่ยวกวนขึ้นไปทีละขั้น
ดูเหมือนว่าแนวโน้มของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยจะอยู่ที่การอภิเษกสมรสขององค์หญิงเก้า เยี่ยงนั้นแล้วในไม่ช้าก็เร็วฟู่เสี่ยวกวนก็จะได้รับการแต่งตั้งเป็นหวางเย่ แต่ก็มิอาจทราบได้ว่าระหว่างนั้นจะราบรื่นหรือไม่ ย่อมมีความยากลำบาก พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยจะหาโอกาสสร้างความดีความชอบให้ฟู่เสี่ยวกวนอีกมากมาย เยี่ยงนั้นต้องดูว่าฟู่เสี่ยวกวนจะฉวยเอาไว้ได้อยู่หรือไม่
หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนกลับมาถึงจวนฟู่ก็ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน หากเป็นเยี่ยงนั้นจริง เหตุผลมันก็เหมือนจะมีเพียงหนึ่งเดียว ซั่งกุ้ยเฟยหวังให้หยูเวิ่นหวินมีความสุข
เอาเถอะ ยังมีเวลาอีก 1 ปี ในตอนนี้สิ่งที่ต้องการมากที่สุดยังคงเป็นสองจุดนั้นมิเปลี่ยนแปลง
หลังจากที่ออกมาจากสำนักศึกษาหลินเจียง ฟู่เสี่ยวกวนก็ไปยังจวนของหลินเจียงจือโจวหลิวจือต้งอีกครา เพื่อนำของงดงามที่นำมาจากเมืองหลวงไปมอบให้เล็กน้อย กล่าวขอบพระคุณพี่ชายหลิวที่ชี้แนะ
ส่วนเรื่องข่าวคราวในเมืองหลวงของฟู่เสี่ยวกวน หลิวจือต้งก็ได้ทราบมานานแล้ว เข้าใจดีว่าน้องชายผู้นี้เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยม ระหว่างทั้งสองคนมิมีสิ่งใดต้องระมัดระวัง เพียงแค่ในตอนนี้เยี่ยนซีเหวินหลานชายของอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนได้เข้ารับตำแหน่งที่อำเภอเหยาแล้ว ถ้าเจ้าไปหมู่บ้านเซี่ยชุน หากเขาได้รู้ข่าวเข้าเกรงว่าจะไปเยี่ยมเยียนเจ้าถึงหมู่บ้านเซี่ยชุน
ฟู่เสี่ยวกวนมิใส่ใจในเรื่องนี้ อย่างน้อยจากที่มองในตอนนี้ ระหว่างทั้งสองก็มิได้มีความขัดแย้งต่อกัน หลังจากที่เยี่ยนซีเหวินได้รับรู้ความในใจของต่งชูหลานก็ยอมแพ้ไป ปณิธานเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้อยู่ที่หนทางชีวิตในการเป็นขุนนาง
……
เช้าวันรุ่งขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนได้ออกเดินทาง ไปยังสำนักศึกษาหลินเจียงเพื่อรับฉินเฉิงเย่และได้นายช่างจากสำนักอาวุธปืนและสำนักหล่อทั้งยี่สิบคนออกเดินทาง พวกเขาได้เดินฝ่าสายหมอกไปยังหมู่บ้านเซี่ยชุน
ในตอนเที่ยงก็ได้มาถึงหมู่บ้านเซี่ยชุน ฟู่เสี่ยวกวนเลิกผ้าม่านขึ้นมอง ริมแม่น้ำไป๋สุ่ย ลานบ้านอิฐและกระเบื้องสีน้ำเงินได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว คละเคล้ากันจนมีเสน่ห์น่าสนใจทั้งยังเงียบและสงบ
นั่นคือหมู่บ้านหวังเจียชุนในรูปแบบใหม่ เกษตรกรได้ย้ายกลับไปแล้ว ในยามนี้ได้มีเขม่าควันลอยคละคลุ้งอยู่บนหลังคา และมีเสียงสุนัขและไก่ขันเป็นบางครา
ขบวนรถตรงเข้าไปในเรือนซีซาน จางเช่อและไป๋ยู่เหลียนได้ออกมาต้อนรับ
“คนพวกนั้นได้ที่พักเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
“ขอรับคุณชาย ต่างก็ได้ที่พักเรียบร้อยแล้ว อยู่ด้านนอกเรือนขอรับ”
“จัดหาที่พักให้นายช่าง 20 ท่านนี้ด้วย อย่าละเลยพวกเขา”
“ขอรับ” จางเช่อได้พานายช่างหน้าใหม่ทั้งยี่สิบคนเดินออกไป ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวกับคนที่เหลือ “พวกเจ้าตามข้าเข้ามาข้างใน”
ทุกคนต่างเดินเข้าไปในเรือน ฟู่เสี่ยวกวน ซูม่อและคนอื่น ๆ หลังอาบน้ำเสร็จแล้ว ก็ออกมาทานอาหารกลางวันด้วยกัน และจัดให้ซูเจวี๋ยและซูโหรวพักในห้องข้างกันกับซูม่อ และจัดให้ฉินเฉิงเย่นอนห้องที่อยู่ข้าง ๆ ตนเอง
“ไป พวกเราไปดูกัน”
ฟู่เสี่ยวกวนได้พาคนทั้งกลุ่มเดินออกมาจากเรือนซีซานโดยไม่มีหยุดเท้า และแล้วก็ได้มาถึงสถานที่ที่เคยได้วางโครงการเอาไว้ แต่ในวันนี้พื้นที่ขนาดใหญ่ก็ได้มีการสร้างโรงงานหลายแห่งที่เขาเคยทิ้งรูปไว้ให้
โรงงานน้ำหอมและโรงงานกลั่นเหล้าหลังใหม่ได้เริ่มทำการนานแล้ว อีกสองส่วนที่เหลือยังคงไร้การเคลื่อนไหว
ที่โรงงานตรงนั้นด้านหลังสุดมีอาคารสามชั้นหลังใหญ่อยู่ ฟู่เสี่ยวกวนจึงชี้ให้ฉินเฉิงเย่ดู แล้วกล่าวขำ ๆ “เจ้าดูสิ นี่คือศูนย์วิจัยซีซาน แต่ในตอนนี้ยังคงว่างเปล่า พวกเราไปดูกันเถอะ”
จิตใจของฉินเฉิงเย่เริ่มสูบฉีด อาคารหลังนั้นใหญ่โตกว่าสำนักอาวุธปืนที่เมืองหลวงไม่รู้ตั้งกี่เท่า สถานที่นั้นจะเป็นสถานที่ทำงานของตนตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปแล้ว
ระหว่างเดินทางฟู่เสี่ยวกวนก็กล่าวว่า “ในเรื่องขออาวุธปืนไฟ อย่างไรแล้วก็มีเจ้าและนายช่างทั้งแปดที่เข้าใจที่สุด ต้องการเครื่องจักรอะไรหรือต้องการสั่งทำสิ่งใด ภายภาคหน้าพวกเจ้าเพียงทำเอกสารข้อกำหนดออกมา ผู้นี้คือจางเช่อ พ่อบ้านซีซาน เขาจะให้ความร่วมมือกับพวกเจ้าอย่างเต็มที่”
“อือ ภายภาคหน้าคงต้องลำบากพ่อบ้านจางแล้ว”
“คุณชายอย่าได้กล่าวเยี่ยงนั้นเลยขอรับ ข้าน้อยทำเพื่อรับใช้พวกท่าน นี่คือสิ่งที่คุณชายมอบหมายมา”
เมื่อคิดตามเยี่ยงนั้น ต่อจากนี้ก็หมดกังวลไปได้
ทุกคนได้มาถึงหน้าประตูบานใหญ่ของศูนย์วิจัยซีซาน ทันใดนั้นก็มีเสียงระเบิด “บึ้ม…” ดังมาจากทางด้านใน จากนั้นก็เห็นคนสองสามคนวิ่งหน้าดำออกมาจากด้านในด้วย คนที่วิ่งอยู่ทางด้านหน้าสุดคือหลี่อี้
หลี่อี้ได้รับความไว้วางใจจากฟู่เสี่ยวกวนในการวิจัยและพัฒนาดินระเบิดและยาชนิดใหม่ แต่ในตอนนี้ที่เข้าสู่ช่วงการทดลองสำคัญเยี่ยงนี้ กลับล้มเหลวอีกแล้ว
ใบหน้าของเขาเปื้อนรอยดำ ผมเองก็ถูกเผาเกรียมไปหลายจุด เสื้อผ้าบนร่างก็เต็มไปด้วยรูมากมาย
หัวของหลี่อี้เกือบจะชนกับร่างของฟู่เสี่ยวกวน ในตอนนี้ที่สำลักลมหายใจอย่างรุนแรง จนเป็นควันออกมา พอเงยหน้าขึ้นมาจึงได้พบกับคุณชายที่มองมาที่ตนเองด้วยรอยยิ้ม
“อ่า ฮ่า คำนับคุณชาย”
“เจ้ากำลังทำอันใดกัน”
“ปรับสูตรขอรับ ความเสถียรยังมิค่อยดีเท่าไหร่ ทำพลาดแล้ว”
ห้าคนที่ออกมาพร้อมหลี่อี้ต่างก็ตกตะลึงเช่นกัน คุณชายกลับมาแล้วหรือ
คุณชายได้กลับมาแล้วจริง ๆ
พวกเขาต่างก็เคยเป็นผู้ประสบภัย เข้าใจเรื่องดินระเบิดและยา เลยถูกหลี่อี้ดึงตัวมาทำทางนี้
“พวกเจ้าจงจำคำข้าไว้ให้ดี การทดลองดำเนินไปอย่างช้า ๆ ได้ ต้องดำเนินภายใต้ความปลอดภัยที่ได้รับประกันจริง ๆ เจ้าลองดูตัวเอง หากเกิดมีข้อผิดพลาดจะทำเยี่ยงไร ยกไว้เป็นตัวอย่าง หลี่อี้ เจ้าควรกำหนดความปลอดภัยออกมาเป็นข้อ ๆ”
“โอ้ ขอรับ”
“แนะนำให้พวกเจ้ารู้จักเสียหน่อย ในภายภาคหน้าพวกเจ้าต้องร่วมมือกันอีกนาน ผู้นี้คือฉินเฉิงเย่จะเป็นผู้รับผิดชอบในการวิจัยและพัฒนาปืนไฟ ผู้นี้คือหลี่อี้รับผิดชอบปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น หลี่อี้ เฉิงเย่ได้พานายช่าง 8 ท่านจากสำนักอาวุธปืนเมืองหลวงมาด้วย พวกเขาได้ผ่านการวิจัยมาค่อนข้างมาก ต่อจากนี้เจ้าและพวกเขาต้องพูดคุยกันให้มาก เฉิงเย่ ในเมื่อเจ้าได้มาถึงที่นี่แล้ว ข้าเองก็ต้องอธิบายกฎเกณฑ์หนึ่งข้อให้เจ้าฟัง อยู่ในที่ของข้า ทุกคนนั้นเท่าเทียมเท่ากัน ไม่มีการแบ่งแยกสูงหรือต่ำรวยหรือจน ทุกคนต้องปฏิบัติกับทุกคนอย่างเท่าเทียม ดังนั้นเป้าหมายจึงมีเพียงหนึ่ง ก็คือสำเร็จการวิจัยและพัฒนาโครงการ ทำการวิจัยเทคนิคออกมาให้บริสุทธิ์ที่สุด ห้ามผสมสิ่งอื่นลงไปด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวด้วยความจริงจัง ถึงอย่างไรฉินเฉิงเย่ก็เป็นคุณชายจวนฉินที่มาจากเมืองหลวง เขากังวลเรื่องอารมณ์ของคุณชาย หากเดือดดาลขึ้นมาคงมิเอื้อประโยชน์ต่อความสามัคคี
และฉินเฉิงเย่ในยามนี้มิได้นึกรังเกียจ กลับกันยังชอบอย่างมาก เพราะเขาเกลียดวิธีการวางอุบายของราชสำนักอย่างมาก สิ่งที่เขาคิดถึงก็มีเพียงการทำวิจัยให้ถึงแก่นแท้ที่สุด
“ท่านสบายใจเถิด ข้ามิมีปัญหา”
“อือ ข้าเชื่อเจ้า”
หลังจากที่ซูเจวี๋ยได้ยินดังนั้นก็ขยับปีกหมวก ซูโหรวที่กำลังปักลายน้ำสองตาก็เหลือบขึ้นมามองฟู่เสี่ยวกวนอย่างพินิจอีกครา
“สถานที่เจ้าเลือกได้ด้วยตนเอง แค่เหลือชั้นสองไว้ให้ข้าก็พอ หลังจากนั้นต้องการซื้อสิ่งใด ต้องการคนและเงินเท่าใด หรือแม้แต่ต้องการครัวแบบพิเศษที่นี่ก็ย่อมได้ บ่ายนี้เจ้ากับเหล่าช่างฝีมือรวมตัวกันมาทั้งหมด และเตรียมการให้เร็วที่สุด พยายามเพื่อไขว่คว้าหนทางที่ถูกต้องในเร็ววัน”
ตอนที่ 138 ผู้มีความสามารถ
ค่ำคืนนี้ จวนฟู่ได้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย บรรยากาศครึกครื้นยิ่งนัก
ฟู่เสี่ยวกวนเล่าเรื่องการใช้ชีวิต ณ เมืองหลวงให้แก่พวกเขาฟัง แต่เขามิได้กล่าวถึงเรื่องที่ทำให้ท่านเสนาบดีกรมพิธีการกระอักเลือด อีกทั้งมิได้เล่าเรื่องที่ตนถูกลอบฆ่า เนื่องจากกลัวว่าพวกเขาจะเป็นห่วง เรื่องราวที่เขากล่าวนั้นเรียบง่ายราวกับเป็นเรื่องที่จัดการได้โดยง่ายดาย
ฟู่เสี่ยวกวนได้แต่งเรื่องความยากลำบากขึ้นบ้างเล็กน้อย แม่ทั้งหกของเขากลับเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
สุดท้ายฟู่ต้ากวนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ลูกข้า เจ้ามีนางในดวงใจหรือไม่ ? บัดนี้จวนฟู่ของเรามีแม่สื่อมามิขาดสาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุตรสาวของเหยาจี้ นางไปหาแม่เจ็ดของเจ้าแทบจะทุกวัน พ่อมองดูแม่นางก็มิได้มีข้อบกพร่องใด เจ้าว่า…จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยเป็นอย่างไร ?”
แม่ทั้งหกมองมายังฟู่เสี่ยวกวน เขานำมือลูบจมูกแล้วหัวเราะว่า “เรื่องนี้ท่านพ่อวางใจได้ ข้ามีนางในดวงใจแล้ว อยู่ที่เมืองหลวง ปีใหม่พวกเราเดินทางไปก็จะได้พบ”
“ใครกัน ? เล่าให้ฟังได้หรือไม่” ชวูหลิงหลงถามด้วยความสงสัย
แม้นางจะแต่งงานแล้ว แต่นางก็อายุเพียง 16 ปี ยังมีความอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา
“ต่งชูหลาน บุตรสาวของท่านเสนาบดีต่ง นางเคยเดินทางมายังหลินเจียงเพื่อเจรจาเกี่ยวกับพ่อค้าหลวง”
“เป็นนางเองหรือ ! ” แม่ทั้งหกของเขาตกตะลึง ฟู่เสี่ยวกวนมีความสัมพันธ์กับกรมการคลังนี่เอง มิน่าเล่าเขาถึงได้ดำเนินการทุกอย่างราบรื่นในเมืองหลวง มิธรรมดาเสียจริง แต่ก็น่าเห็นใจสตรีเมืองหลินเจียงที่เฝ้าคร่ำครวญคิดถึงเขาตลอดเวลา
ฟู่ต้ากวนขมวดคิ้ว เขารู้ดีว่าสถานการณ์ครอบครัวของตนเป็นเช่นไร แม้ตัวเขาจะเคยกล่าวไว้ว่าหากหาภรรยาควรหาให้ได้เช่นแม่นางต่งชูหลาน แต่บัดนี้เมื่อเขาได้ยินว่านางในดวงใจของบุตรชายคือแม่นางต่งชูหลาน ก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันที
ครอบครัวของทั้งสองมิเหมาะสมกัน เกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์สะเทือนใจขึ้นอีกครา
“ครอบครัวของเขา…มีความคิดเห็นว่าอย่างไร ?” ฟู่ต้ากวนเอ่ยถาม
“หาได้มีความคิดเห็นใดไม่ ข้าและแม่นางต่งมีความรู้สึกตรงกัน อีกทั้งข้าได้รับตำแหน่งจิ้นซื่อจากฝ่าบาทอีกด้วย”
เมื่อฟู่ต้ากวนลองคิดทบทวนดู อืม จริงด้วยสิ ! บัดนี้ลูกข้ามีตำแหน่งในราชการ ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้อาจมีความเป็นไปได้
“เจ้าคาดว่าจะแต่งงานกันเมื่อใด ? พ่อจะได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า”
“ท่านพ่ออย่าได้รีบร้อนใจไป รออีกสักสองสามปีเถิด”
“ได้อย่างไรเล่า ? แม่นางชูหลานจะรอเจ้าได้หรือ ? ครอบครัวของนางจะเห็นด้วยหรือ ? มิได้ ๆปีใหม่นี้เดินทางไปสู่ขอนางที่เมืองหลวงเป็นไร ? ”
“เอ่อ…ควรรออีกสักหน่อยจริง ๆ ท่านพ่อ เนื่องจากมิได้มีเพียงแม่นางต่งชูหลานเพียงคนเดียว”
“หืม ?…” ฟู่ต้ากวนตกตะลึง แม่ทั้งหกของนางก็หัวเราะออกมา “ฟู่เสี่ยวกวน เจ้านี่ไม่ธรรมดาเสียจริง เดินทางไปเมืองหลวงเพียงสองเดือน ก็มีนางในดวงใจถึงสองคน อีกคนหนึ่งคือใครกัน ?”
“คือ…อีกคนหนึ่งคือองค์หญิงเก้า หยูเวิ่นหวิน”
“หา…! ” ทุกคนล้วนอุทานเป็นเสียงเดียวกัน แม้แต่ฟู่ต้ากวนเองก็นั่งงงเป็นไก่ตาแตก
องค์หญิงงั้นหรือ !
องค์หญิงก็ต้องคู่กับพระราชบุตรเขยมิใช่หรอกหรือ ?
หรือองค์หญิงเก้าจะลดตัวลงมากัน ?
ว่าแต่เขาไปรู้จักกับองค์หญิงเก้าได้เยี่ยงไร ?
เขานำทรัพย์สมบัติมากมายกลับมา หรือนี่คือสิ่งที่ฝ่าบาททรงมอบให้ ?
คาดว่าคงเป็นเช่นนั้น มิเช่นนั้นฝ่าบาทจะทรงเขียนป้ายจวนฟู่ด้วยพระองค์เองเยี่ยงนั้นหรือ ? ฝ่าบาททรงต้องการให้ตระกูลฟู่มีหน้ามีตา เพื่อยกระดับราชบุตรเขยของตนนั่นเอง
ดังนั้นแม่ทั้งหกจึงมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาร้อนผ่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งฉีชื่อ บัดนี้นางจึงได้เชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้โกหกนาง
หากฟู่เสี่ยวกวนและองค์หญิงเก้าแต่งงานกันจริง ๆ หากเสี่ยวซีต้องการเพชรนิลจินดานั่นมิใช่เรื่องง่ายดายหรือ อีกอย่างในอนาคตคาดว่าจวนฟู่คงต้องย้ายไปยังเมืองหลวง
“เรื่องราวระหว่างนั้นค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นท่านพ่ออย่าได้รีบร้อนใจไป ข้าจะจัดการให้เหมาะสมอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องการสู่ขอ พวกท่านจงกล่าวว่าข้ามีคู่หมั้นหมายแล้ว ให้พวกนางถอดใจเสีย อย่าได้กล่าวชื่อแม่นางต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินออกไป อาจทำให้พวกนางเสียหายได้”
การเลี้ยงต้อนรับดำเนินไปอย่างราบรื่น ฟู่ต้ากวนดื่มสุราไปมิใช่น้อย ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจเขาเนื่องจากมีแม่ทั้งหกคอยดูแล หลังจากนั้นเขาได้พาซูม่อเดินทางออกจากจวนฟู่ไปยังสำนักศึกษาหลินเจียง
ฉินปิ่งจงเดินทางมาก่อนหน้าเขาสองวันแล้ว เขาจะเดินทางไปพบฉินปิ่งจงเพื่อนำตัวฉินเฉิงเย่ไปยังซีซาน
ตอนนั้นที่จวนฉินในเมืองหลวง ฉินเฉิงเย่ให้ความสนใจกับอาวุธปืนมาก อีกทั้งเคยประจำการอยู่สำนักอาวุธปืนมาก่อน เขาและอาจารย์ค้นคว้าทดลองมาด้วยกัน และได้ทำการปรับปรุงวิธีต่าง ๆ นานา เพียงแต่ราชสำนักมิให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เท่าใดนัก จึงมิได้มีทุนการค้นคว้าทดลอง ดังนั้นวิธีการต่าง ๆ ที่พวกเขาคิดขึ้นมาล้วนแต่ยังมิได้ปฏิบัติจริง
เขาผู้นี้มีนิสัยใฝ่รู้ใฝ่เรียน เขาชื่นชอบในการค้นคว้า ความคิดหลักแหลม ท่าทางว่องไว พวกเขาเจรจากันเรื่องอาวุธนี้ ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่ามีลักษณะคล้ายกับปืนคาบศิลาเมื่อชาติที่แล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าเขาอาจจะได้บุคคลมีความสามารถมาร่วมงานด้วย อีกทั้งก่อนหน้านี้ฉินเฉิงเย่กล่าวว่ามีนายช่างด้านอาวุธจำนวนมากต้องการออกจากที่นั่น หากฟู่เสี่ยวกวนยินดีเขาก็พร้อมที่จะไป ดูเหมือนว่าอาจจะพานายช่างมาได้หลายคน อีกทั้งหยูเวิ่นหวินได้ทูลขอพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยให้จัดหานายช่างจากสำนักหล่อสักสิบคนให้กับเขาด้วย
พวกเขาเป็นผู้บุกเบิกการวิจัยอาวุธปืนกลุ่มแรกของซีซาน อีกทั้งยังเป็นกลุ่มที่มีความสามารถมากที่สุดบนโลก ณ เวลานี้ด้วย
เมื่อเดินทางมาถึงสำนักศึกษาหลินเจียง สระบัวข้างศาลาเหลียงถิงมืดสนิทไร้แสงไฟ อากาศเริ่มเย็นลง ฉินปิ่งจงมิอาจทนทานต่ออากาศหนาวเหน็บเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน
บ่าวรับใช้นำทางฟู่เสี่ยวกวนและซูม่อมายังชั้นสอง ที่นี่มีแสงไฟส่องสว่างไสว
ที่ห้องหนังสือชั้นสอง ฟู่เสี่ยวกวนได้พบกับฉินปิ่งจงและฉินเฉิงเย่ ทุกคนล้วนสนุกสนานครึกครื้น พวกเขาได้ร่วมดื่มชาด้วยกัน
“เจ้าเดินทางมาถึงหลินเจียงเมื่อใดกัน ? ” ฉินปิ่งจงเอ่ยถาม
“ข้าเพิ่งมาถึงเมื่อตอนเย็นวันนี้”
“เหตุใดมิพักผ่อนร่างกายเสียก่อนเล่า ? ”
“ในวันพรุ่งนี้ข้าจักเดินทางไปยังซีซาน ดังนั้นเวลาจึงมีไม่มากนัก……เฉิงเย่ เจ้าสามารถพานายช่างกลุ่มนั้นมาได้หรือไม่ ? ”
ฉินเฉิงเย่สีหน้าดีใจคล้ายกับนกที่ถูกปล่อยออกจากกรงให้เป็นอิสระ
“มีทั้งสิ้น 8 คนล้วนเป็นนายช่างใหญ่ แต่เรื่องค่าตอบแทนข้าบอกกับพวกเขาตามที่ท่านกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ จะกลับคำมิได้เชียว”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะและตบลงที่บ่าของฉินเฉิงเย่และกล่าวว่า “วางใจเถิด เรื่องเงินทองข้ามีมากเหลือ”
ฉินเฉิงเย่ดีใจยิ่งนัก เขาเอ่ยว่า “เกรงว่าท่านจะมิรู้ถึงค่าใช้จ่ายในการทดลองอาวุธปืนมาก่อนว่ามากน้อยเพียงใด”
“มิต้องเป็นกังวล ขอเพียงพวกท่านตั้งใจและกล้าหาญในการค้นคว้าทดลองเป็นพอ”
บัดนี้ในที่สุดฉินเฉิงเย่ก็ค้นพบความสนใจของเขาเสียที เขารับรู้ได้ถึงความสนใจของหลานชายของเขาที่ออกมาจากใจจริง ถ้าเช่นนั้นก็ตามใจเขาเถิด
“โม่เหวินได้เข้ารับหน้าที่แล้ว เขากล่าวว่าเมื่อทุกสิ่งอย่างจัดการเรียบร้อยแล้ว เขาจะเดินทางมาเยี่ยมเจ้าที่หลินเจียง”
“ได้อย่างไรเล่า ? บัดนี้เขาเป็นถึงเต้าถาย เมื่อข้าจัดการธุระที่ซีซานเรียบร้อยแล้ว ข้าจักเดินทางไปเยี่ยมเขาด้วยตนเอง”
ฉินปิ่งจงยิ้มแล้วกล่าวว่า “หากจะกล่าวไป ตำแหน่งเต้าถายนี้ก็ได้เจ้าช่วยเหลือจึงได้มา”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงไปชั่วขณะ ฉินปิ่งจงส่ายหัว “ข้ารู้เรื่องความสัมพันธ์ของเจ้ากับองค์หญิงเก้าดี เพียงแต่ข้าคาดไม่ถึงว่าในใจพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยนั้นจะชื่นชมเจ้าถึงเพียงนี้ !”
“ก่อนที่ข้าจะออกเดินทางได้รับฟังข่าวดีมาข่าวหนึ่ง ข้าครุ่นคิดอยู่นาน และเห็นว่าควรจะบอกเรื่องนี้แก่เจ้า เพื่อให้เจ้าได้เตรียมใจล่วงหน้า”
ฟู่เสี่ยวกวนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ฉินปิ่งจงจึงกล่าวต่อว่า “ชาวฮวงยอมรับข้อเสนอของฝ่าบาท ซึ่งหมายความว่าพวกเขากำลังก่อสร้างพระราชวังเพื่อเตรียมต้อนรับองค์หญิงสาม แน่นอนว่าคงมิได้ยิ่งใหญ่เท่ากับราชวงศ์หยู จากการคาดประมาณ พระราชวังนี้จะสร้างแล้วเสร็จในฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า เมื่อองค์หญิงสามเสด็จไปยังแคว้นฮวง คาดว่าเจ้าจะได้เป็นเอกอัครราชทูตในการเดินทางครั้งนี้”
“ผู้ใดเป็นคนกล่าวกัน ? ”
“องค์หญิงใหญ่ หยูซูหรง ! ”
ตอนที่ 137 กลับบ้าน
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 8 เดือนสิบเอ็ด วันที่สิบหก ยามเย็น เรือสำเภาก็ได้มาถึงหลินเจียง
สำหรับทุกเรื่องที่ไป๋ยู่เหลียนได้กล่าวมาในวันนี้ ผลสรุปสุดท้ายก็คือฉินถงได้กลายมาเป็นเหยื่อของผลประโยชน์ทางการเมือง
คาดว่าในตอนแรกคงทำตามแผนการของตระกูลฉิน ที่คิดจะฟูมฟักฉินถงให้กลายเป็นนายพลสูงสุด แต่ท้ายที่สุดแล้วในตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจทั้งหกของเมืองหลวง ตระกูลฉินก็อ่อนแอที่สุด
แค่ราชครูเฟ่ยเพียงใช้หนึ่งคันธนูก็ลบล้างแผนการของตระกูลฉิน ทั้งยังทำให้เฟ่ยปังได้รับตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหมของเมืองหลวง และหนึ่งในนั้นตระกูลเยี่ยนย่อมยอมหลีกทางให้แก่ตระกูลเฟ่ย มิฉะนั้นเยี่ยนฮ้าวชูก็มิมีความเป็นไปได้ที่จะใช้ฐานะขุนนางขึ้นเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพตะวันออก
แต่การคาดเดานี้ก็ยังมีความขัดแย้งอยู่หลายจุด ยกตัวอย่างหากฉินถงไม่ตาย หากตระกูลเยี่ยนและตระกูลเฟ่ยร่วมมือกัน เฟ่ยปังได้กลายเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม เยี่ยนฮ้าวชูได้กลายเป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพตะวันออกก็มิใช่เรื่องลำบากอันใด
แล้วเหตุใดพวกเขาจึงต้องสังหารฉินถงกัน ?เพียงเพื่อกดดันจวนฉินเยี่ยงนั้นรึ ? สำหรับฟู่เสี่ยวกวนแล้ว ความน่าจะเป็นของเรื่องนี้มิสูงนัก เพราะฉินถงคือหลานคนโตของฉินปิ่งจง และถึงแม้ในเวลานั้นฉินปิ่งจงจะยังมิได้แตกหักกับฉินหยูเหิง และเขามิใช่หัวหน้าตระกูล เป็นเพียงแค่นักปราชญ์ท่านหนึ่ง มิได้เป็นภัยคุกคามต่อใคร เยี่ยงนั้นแล้วความลับที่ซ่อนอยู่นั้นเกรงว่าคงมิอาจมีผู้ใดรับรู้ไปตลอดกาล
หลังจากที่ถึงหลินเจียง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เขียนจดหมายหนึ่งฉบับแล้วมอบให้ไป๋ยู่เหลียน ไป๋ยู่เหลียนพาวีรชนทั้งห้าร้อยคนแยกย้ายกันขึ้นรถม้าไปยังเรือนซีซาน ส่วนฟู่เสี่ยวกวน ซูม่อ ซูเจวี๋ยรวมทั้งซูโหรวตรงไปยังจวนฟู่ที่หลินเจียง
ท้ายที่สุดเขาได้จากหลินเจียงมา 2 เดือนแล้ว ย่อมต้องกลับบ้านไปดูความเรียบร้อยเสียหน่อย
ในตอนที่รถม้ามาถึงจวนฟู่ หลังจากที่กลุ่มของฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไป ฟู่ต้ากวนที่กำลังเดินไปมาอยู่ในลานด้านหน้าก็สะดุ้งขึ้นมาทันที หลังจากนั้นก็ตะโกนอย่างดีใจ “ฮ่าฮ่าฮ่า บุตรชายของข้า ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็หัวเราะ ร่างท้วมของบิดาผอมลงไปมากแล้ว
หลังจากที่ฟู่ต้ากวนกล่าวจบ ห้องที่อยู่ติดลานด้านหน้าก็ได้มีสตรีที่งดงามทั้งห้าเดินออกมา แต่ละนางงามหยดย้อยราวกับน้ำที่ชุ่มชื้น นั่นย่อมเป็นแม่ทั้งห้าของเขาอย่างแน่นอน
“ไอหยา เสี่ยวกวนบุตรของข้า ทำแม่เจ็ดคิดถึงจะตายแล้ว ! ” คำพูดนี้มาจากชวูหลิงหลง
ฟู่เสี่ยวกวนจะทำเยี่ยงไรได้ ? แม่เจ็ดผู้นี้อายุอ่อนกว่าเขาเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่นางกลับเป็นมารดาด้วยนี่สิ !
“ไอหยา แม่ทั้งห้าของข้านี่เอง ข้าเองก็คิดถึงพวกท่านเหลือเกิน มามามา เสี่ยวกวนมีของขวัญมามอบให้พวกท่านด้วย ลองดูว่าชอบอันใดก็เลือกไปได้เลย”
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือ คนรับใช้หลายคนขนย้ายกล่องใบใหญ่ห้าใบลงมาจากรถม้า
เขาเปิดกล่องเหล่านั้นออกทีละใบ แสงสีทองเป็นประกายทำให้ดวงตาของพวกนางมืดบอด “อย่าเอาไปจนหมด เก็บเอาไปให้กับแม่รองด้วย”
“แม่รองเล่า ? ”
“ให้นมลูกอยู่ที่เรือนตะวันออก… ข้าว่ามันไม่คุ้มค่าเสียเลยที่เจ้าซื้อของเหล่านี้มา”
“ท่านพ่อ ของเหล่านี้มีคนให้มาอีกทีหนึ่ง”
“โอ้ ! เยี่ยงนั้นจะมากกว่านี้ก็ย่อมได้”
คนรับใช้สองคนนำแผ่นป้ายหนึ่งใบลงมา ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวกับฟู่ต้ากวนว่า “ของสิ่งนี้ขอมอบให้ท่าน ท่านเลือกเองเลยว่าจะนำไปแขวนในวันเวลาใด ฝ่าบาททรงเขียนด้วยพระองค์เอง”
ฟู่ต้ากวนปลื้มปีติทันพลัน เขาจ้องมองป้ายนั้นอย่างละเอียด และใช้มือลูบมัน “กล่าวได้ว่า ป้ายจวนฟู่ของพวกเราก็ได้รับพระราชทานจากฝ่าบาทเยี่ยงนั้นหรือ ไอหยา นั่นเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งสำหรับสุสานบรรพบุรุษของตระกูลฟู่ มิได้การ พรุ่งนี้ข้าจักไปหน้าหลุมศพมารดาเจ้าแล้วจุดธูปสักดอกสองดอก”
แม่ทั้งห้าที่ในมือนั้นต่างก็ถือของสวยงามอยู่หลายชิ้น ทันทีที่ได้ยินว่าป้ายนั้นเป็นป้ายพระราชทานจากองค์ฮ่องเต้ ทันใดนั้นก็มาล้อมรอบและมองดูอย่างมีความสุข นี่คือเกียรติยศที่สูงส่งหาที่ใดเปรียบ ใคร่ครวญดูหลินเจียงที่ใหญ่โตแห่งนี้สิ ตระกูลใดบ้างที่ได้รับป้ายพระราชทานเยี่ยงนี้จากองค์ฮ่องเต้ ?
ในตอนนี้พวกนางถือว่าเป็นคนของจวนฟู่กันทั้งสิ้น ตระกูลฟู่ได้รับความโปรดปรานจากองค์ฮ่องเต้พวกนางก็ได้รับเกียรตินั้นด้วยเช่นกัน
นี่คือแนวคิดของวงศ์ตระกูล หญิงสาวที่แต่งงานแล้วโชคชะตาของชีวิตจะเป็นหนึ่งเดียวกับตระกูลของสามี
“บุตรชายของข้า เสี่ยวกวน เจ้ายอดเยี่ยมยิ่ง ! พวกเจ้ามาดูกัน ของสิ่งนี้คือสิ่งที่เสี่ยวกวนได้รับมาจากฝ่าบาทด้วยมือของตนเอง… เสี่ยวกวนเอ๋ย เจ้าในตอนนี้ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท ได้รับตำแหน่งขุนนางแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองดวงตาที่เปล่งประกายของชวูหลิงหลง และกล่าวยิ้ม ๆ “ได้รับมาแค่ขุนนางตำแหน่งเล็ก ๆ ฝ่าบาทประทานฐานะจิ้นซื่อให้แก่ข้า และตกรางวัลตำแหน่งว่างงานอย่างฉาวซ่านต้าฟู”
ชวูหลิงหลงดีใจอย่างยิ่ง และจึงเอ่ยถาม “ฉาวซ่านต้าฟูนี้เป็นขุนนางขั้นใดกัน ? ”
“ขั้นห้า”
“ไอหยา นี่มันช่างน่าทึ่งมากเสียจริง ข้ามีลูกพี่ลูกน้องที่อยู่ห่างไกลกัน ปีนี้อายุได้ 40 ปี จนถึงตอนนี้ยังเป็นเพียงนายอำเภอขั้นที่เก้า พวกเจ้าดูสิ เสี่ยวกวนไปเมืองหลวงเพียงสองเดือนเป็นช่วงเวลาเพียงสั้น ๆ แต่กลับได้ตำแหน่งขุนนางขั้นที่ห้ากลับมา หากเวลาผ่านไปได้อีกสักหน่อย ขุนนางขั้นหนึ่งคงมิหนีไปไหนแน่ !”
แม่ทั้งห้าและบิดาในยามนี้ยินดีอย่างถึงที่สุด ความสุขในที่นี้ทำให้ฉีซื่อที่อยู่เรือนตะวันตกตกใจไปด้วย นางอุ้มลูกเดินออกมา ฟู่เสี่ยวกวนคำนับฉีซื่อทันทีที่พบ “คำนับแม่รอง ได้ยินว่าข้าได้มีน้องสาวแล้ว ขอข้าอุ้มได้หรือไม่ ? ”
ฉีซื่อส่งบุตรสาวในมือให้ ฟู่เสี่ยวกวนมองน้องสาวที่ยังแบเบาะและมีความสุขขึ้นมาทันพลัน มิว่าอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ก็ถือว่าตนเองนั้นได้มีน้องสาวแล้ว
“แม่รอง ของเหล่านี้ข้านำกลับมาจากเมืองหลวง ท่านลองดูและเลือกของที่ชอบไปได้เลย… นอกจากนี้ เรือนที่เมืองหลวงได้ปรับปรุงเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใหญ่กว่าเรือนนี้ตั้งหลายสิบเท่า ท่านพ่อกล่าวว่ายามข้ามปีจะพาพวกเราทั้งครอบครัวไปยังเมืองหลวง”
แม่ทั้งห้าต่างยินดียิ่งขึ้น มีเพียงฉีซื่อที่ผิดหวังเล็กน้อย นางหวังอย่างยิ่งว่าตนเองจะคลอดบุตรชาย พร้อมกับจ้องมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน อายุที่ยังเยาว์วัยแต่ได้สร้างกิจการที่ใหญ่โตขึ้นมา คิดว่าหยุนชิงที่นอนอยู่ในหลุมศพก็คงตื่นขึ้นมาหัวเราะเช่นกัน
“แม่รอง นี่คือน้องสาวคนแรกของข้า ข้าชื่นชอบนางยิ่งนัก ต่อจากนี้ไปนางจะได้ใช้ชีวิตเยี่ยงองค์หญิง ท่านต้องดูแลนางให้ดี ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวประโยคนี้อย่างจริงจัง ฉีซื่อชะงัก ในใจพลันดีใจปลื้มปีติยิ่ง นี่คือคำสัญญาที่ฟู่เสี่ยวกวนมีต่อนาง
ปมในใจของนางพลันคลายออก และกล่าวยิ้ม ๆ “เมื่อได้ยินเสี่ยวกวนกล่าวเยี่ยงนี้ แม่รองก็สบายใจยิ่งนัก แม่รองนั้นย่อมเลี้ยงดูเสี่ยวซีเป็นอย่างดี ส่วนความมั่งคั่งและความร่ำรวยในภายภาคหน้าของเสี่ยวซี คงขึ้นอยู่กับเจ้าที่เป็นพี่ชายของนางแล้ว”
“นางชื่อฟู่เสี่ยวซีหรือ ? เป็นชื่อที่ดี แม่รองสบายใจเถิด รอนางเติบใหญ่เสียหน่อยจะได้ไปเล่าเรียนที่เมืองหลวง” ความจริงฟู่เสี่ยวกวนนึกตำหนิชื่อนี้อยู่ในใจ ตัวซีนั้นเขียนได้ยากเกินไป ภายภาคหน้าหากน้องสาวได้เข้าเรียน เกรงว่าจะลำบากนางอยู่เล็กน้อย
เมื่อส่งเด็กคืนฉีซื่อแล้ว ฟู่ต้ากวนจึงกล่าวขึ้นมา “เอาล่ะ ๆ ยกของทั้งหมดนี้ไปเก็บเสีย พวกเสี่ยวกวนเพิ่งจะกลับมา คงเหนื่อยกับการนั่งรถและเรือ รีบไปอาบน้ำอาบท่าเถิด กำชับโรงครัวให้ทำอาหารดี ๆ ขึ้นโต๊ะเพื่อรองรับบุตรชายของข้าและพรรคพวกที่เดินทางมาไกล”
ฟู่เสี่ยวกวนกับซูม่อและคนอื่น ๆ เดินไปยังเรือนหลัง และในท้ายที่สุดความวุ่นวายเมื่อครู่ก็ค่อย ๆ สงบลง
เขาสั่งให้ชุนซิ่วจัดสาวใช้สองคนไปจัดเก็บห้องให้แก่ซูเจวี๋ยและซูโหรวสองห้อง แล้วจึงเข้าไปอาบน้ำที่ห้องอาบน้ำอีกสักเล็กน้อย หลังจากนั้นก็มาถึงภายในเรือน และล้มตัวนอนบนเก้าอี้เอนหลัง
ช่างสบายยิ่งนัก !
“เจ้าว่า… ข้าในตอนนี้เป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดินทั้งอย่างนี้ก็ดีพอแล้ว ในตอนนี้ข้ากลับนำพาตัวเองออกไปทรมานกับอีกหลายเรื่อง ซีซานก็เติบใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เมืองหลวงก็ยิ่งลึกลง เจ้าต้องการสิ่งใดเยี่ยงนั้นรึ ? ”
กลุ่มพี่น้องของซูม่อสามคนนั่งล้อมโต๊ะหิน ซูโหรวยังคงปักผ้า ในยามนั้นก็เหลือบสายตามามองฟู่เสี่ยวกวน
“เหล่าชายหนุ่มที่อยู่บนโลกใบนี้ย่อมอยากสร้างคุณูปการ”
ชุนซิ่วยกน้ำชาเข้ามา ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงและเริ่มชงชา
“พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางไปซีซาน ต่อจากนั้นก็มีอีกสองเรื่องที่สำคัญยิ่ง”
เพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ฟู่เสี่ยวกวนราวกับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน เมื่อครู่ราวกับซึมเศร้าอยู่เล็กน้อย แต่เพียงพริบตาเขาก็มีพลังเพิ่มขึ้นมาเป็นร้อยเท่าสำหรับการเตรียมพร้อมในวันพรุ่งนี้
ตอนที่ 136 เรื่องราวความหลัง
สายลมพัดเหนือแม่น้ำ เมื่อพระอาทิตย์ส่องแสง หมอกบางก็เริ่มจางหาย
ฟู่เสี่ยวกวนขึ้นเรือเพื่อเดินทางไปเมืองหลินเจียง ซึ่งจอดเทียบท่าอยู่ใกล้ ๆ ท่าเรือ ณ ชั้นสามของเรือ ฟู่เสี่ยวกวนได้พบกับไป๋ยู่เหลียนอีกครั้งหนึ่ง
ผู้ที่ติดตามมากับฟู่เสี่ยวกวนนอกเหนือจากซูม่อและชุนซิ่วแล้ว ยังมีซูเจวี๋ยและซูโหรว
ซูเจวี๋ยอายุราว 40 ปี เขาใส่หมวกสวมชุดยาวสีคราม สะพายดาบไม้คาดอก ใบหน้าเหลี่ยม คิ้วหนาดกดำเข้ากับดวงตาคมเข้ม แม้แต่หนวดเคราก็ยังถูกจัดแต่งเป็นระเบียบ
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้พบกับซูเจวี๋ยครั้งแรก เขาก็เข้าใจถึงคำว่า สมบูรณ์แบบ !
หลังจากได้รู้จักกันมาในระยะเวลาอันสั้นนี้ ยิ่งทำให้เขาเข้าใจว่าสิ่งใดเรียกว่าสมบูรณ์แบบ
หมวกใบนั้นที่ใส่จะอยู่ในตำแหน่งเดียวกันทุกครั้งมิมีบิดเบี้ยว ท่าทางการนั่งที่สง่างามไร้ที่ติ แม้ว่ายามกินข้าวหรือก้าวเดิน ทุกอิริยาบถของเขาล้วนน่าชื่นชม แต่เขากล่าวว่าสิ่งนี้มิได้เรียกว่าสมบูรณ์แบบ แต่คือกฎระเบียบ ! ซึ่งกฎระเบียบมีไว้ปฏิบัติตาม มิอาจฝ่าฝืนได้ ! ฟู่เสี่ยวกวนมองเขาด้วยความนับถือ
ผู้ที่ปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดเช่นนี้ เขาเกิดมาทั้งสองชาติยังมิเคยพบเจอมาก่อน
ส่วนซูโหรวอายุราว 30 ปี หน้าตาธรรมดา หากจะกล่าวถึงจุดเด่นของนางก็คือดวงตาเล็กเรียว มองไปคล้ายกับคนกำลังหลับตาตลอดเวลา แต่นางหาได้หลับตาอยู่ไม่ บางครานางจะหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน แต่โดยมากนางจะนั่งปักผ้าอย่างเงียบ ๆ
นิสัยของซูโหรวนั้นเรียบร้อย อ่อนโยน แต่ซูม่อกลับกล่าวต่อฟู่เสี่ยวกวนว่า นิสัยที่แท้จริงของนางนั้นมิได้เป็นอย่างที่ตามองเห็น
การปักผ้า เป็นภารกิจที่ท่านอาจารย์มอบให้แก่นาง ได้ยินมาว่านางปักผ้ามานานกว่ายี่สิบปีแล้ว แต่เหตุผลที่ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงนั้นคือ หากท่านอาจารย์มิได้บังคับให้นางปักผ้าตั้งแต่เด็ก เกรงว่านางจะทำลายวัดเต๋าตงซานก็เป็นได้ !
ฟู่เสี่ยวกวนนึกถึงคำที่กล่าวว่า สมาธิสั้น บางทีซูโหรวอาจเป็นเช่นนี้ เพียงแต่ยังมิเคยพบว่านางขยับไปที่อื่นเท่าไหร่นัก
ไป๋ยู่เหลียนลุกขึ้นยืน เขาคารวะให้แก่ซูเจวี๋ย และซูเจวี๋ยเองก็คารวะตอบเขาเช่นกัน
ไป๋ยู่เหลียนคารวะให้กับซูโหรว นางได้แต่ยิ้มและมองดูไป๋ยู่เหลียน กล่าวว่า “หืม ! เจ้าเหลียนเหลียนเติบใหญ่เช่นนี้แล้วหรือ ?”
ไป๋ยู่เหลียนยิ้มให้นางแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่โหรว ลายที่ท่านปักนั้นนับวันยิ่งงดงามขึ้น”
“แน่นอน หากเจ้ามีนางในดวงใจ ข้าจะปักให้เจ้าสักหนึ่งคู่”
ซูเจวี๋ยยังคงนั่งหลังตรง และกล่าวกับซูโหรวว่า “ศิษย์น้องสาม ระวังคำพูดเสียหน่อย”
ซูโหรวมีท่าทีไม่พอใจ นางขมวดคิ้วและมิได้เอ่ยคำใดออกมาอีก ได้แต่ก้มหน้าก้มตาปักผ้าของตนต่อไป
ฟู่เสี่ยวกวนแคลงใจยิ่งนัก สำนักเต๋านี้รับคนประเภทใดมาบ้างกัน ?
ซูม่อเคี้ยวข้าวคำละสามสิบสามครั้งทุกคำ ทุกอิริยาบถของซูเจวี๋ยล้วนเป็นระเบียบ ส่วนซูโหรวนั้นแตกต่างไปอย่างชัดเจน แล้วคนอื่น ๆ เล่า ?
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยถามคำถามเหล่านี้กับซูม่อ แต่เขากลับถามไป๋ยู่เหลียนว่า “เจ้าไปอยู่ที่ใดมากันแน่ ? ”
ไป๋ยู่เหลียนรินสุราและดื่มเข้าไป จากนั้นก็หัวเราะแล้วตอบกลับว่า “ ข้าเดินทางไปยังด้านตะวันออก เมื่อครั้นที่ข้าจากไป มีศิษย์น้องมากมายต้องการไปกับข้า แต่บัดนั้นตัวข้าเองยังเอาตัวมิรอด จึงได้ให้พวกเขาเข้าไปอยู่ในค่ายทหารตะวันออก กระทั่งได้มาพบเจ้าที่เรือนซีซาน ข้ามีความคิดว่าจะพาพวกเขามาอยู่ด้วย เจ้าว่าอย่างไร ?”
“เยี่ยมเลยทีเดียว ! เพียงแต่…จักต้องเตียมการลาออกจากค่ายทหารตะวันออกหรือไม่ ?”
“พวกเขาล้วนเป็นทหารภายใต้บังคับบัญชาของท่านนายพลฉิน นับแต่ท่านนายพลฉินจากไป พวกเขาเหล่านั้นรวมทั้งข้าก็ล้วนถอดใจกับการเป็นทหาร ตัวข้าเองได้ออกจากกองทัพมาทันทีในปีนั้น พวกข้าก็กลายเป็นทหารผ่านศึก บรรดาทหารใหม่ล้วนมิชอบพวกข้าเท่าใดนัก ตอนที่ข้าไปยื่นใบถอนตัวจากกองทัพ ท่านนายพลคนใหม่ก็เห็นด้วยในทันที นายพลคนใหม่ชื่อว่าเฟ่ยอู่ ได้ยินมาว่าเป็นคนจากตระกูลเฟ่ยแห่งเมืองหลวง เพียงแค่ลูกหลานผู้มีอำนาจ หาได้รู้เรื่องเกี่ยวกับการทำสงครามไม่ โชคดีที่หลายปีมานี้มิได้ทำสงครามกับที่ใด มิเช่นนั้นทหารแห่งตะวันออกทั้งหลายคงแย่แน่ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนนึกถึงเรื่องที่ต่งซิวเต๋อกล่าวกับเขาเมื่อครั้นตอนอยู่เมืองหลวง ท่านนายพลสูงสุดแห่งทหารตะวันออกก็คือบุตรชายคนที่สามของเยี่ยนซีเป่ย นามว่าเยี่ยนฮ่าวชู ในตอนนั้นต่งซิวเต๋อเพียงหัวเราะหึ ๆ และกล่าวว่าให้ข้าราชการพลเรือนทั่วไปจัดการเป็นแม่ทัพใหญ่แห่งตะวันออก น้ำเสียงของเขาไม่ปกตินัก อีกทั้งบัดนี้ได้รับฟังเรื่องราวจากไป๋ยู่เหลียน เขาสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติไปแน่นอน
เพียงแต่สิ่งนี้เป็นเรื่องของฝ่าบาทกับหน่วยทหาร ฟู่เสี่ยวกวนมิได้นำมาใส่ใจนัก
“ต่อให้เจ้าเดินทางไปที่นั่น ก็มิจำเป็นต้องใช้เวลานานเช่นนี้มิใช่หรือ ? ”
“มีสหายบางคนปลดประจำการแล้ว ข้าคิดว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ดีมากยิ่งขึ้น……”
ไป๋ยู่เหลียนดื่มเหล้าเข้าไปอีกหนึ่งอึก จากนั้นถอนหายใจยาวออกมาพร้อมกับกล่าวว่า “ข้านึกมิถึงว่าพวกเขาจะมีชีวิตที่ลำบาก พวกเขาเคยเป็นถึงกองกำลังหลักของกองทหารม้าเบาแห่งกองทัพชายแดนตะวันออกเชียว พวกเราฝ่าฟันการปิดล้อม ณ ที่ราบสีหม่าภายใต้กองทัพหงหลิงแคว้นอี๋ออกมาได้ ปลิดชีพศัตรูกว่าสามพันคน แต่ขณะที่พวกข้ากำลังปรับปรุงชายแดนราชวงศ์หยูนั้น ท่านนายพลฉินถูกยิงด้วยลูกดอกปริศนา มันคือลูกดอกของกองทัพหลิงหง ตอนนั้นพวกข้าคิดว่าแม่ทัพฉินถูกศัตรูฆ่า แต่บัดนี้เพิ่งได้รู้ความจริงว่านายพลถูกฆ่าโดยคนของตัวเอง “
“เหตุผลที่พวกเขาปลดประจำการนั้น เนื่องจากการรบ ณ ที่ราบสีหม่าพ่ายแพ้ ดังนั้นพวกเขาจึงมิได้รับเงินบำเหน็จบำนาญที่ควรจะได้รับ พวกเขาเป็นทหารมาทั้งชีวิต ท้ายที่สุดกลับต้องมาเผชิญกับชีวิตที่ยากไร้เช่นนี้ ดังนั้น…ข้าจึงได้ไปตามหาพวกเขาทีละคนตามรายชื่อที่บันทึกไว้ จึงใช้เวลานานไปเสียหน่อย”
ฟู่เสี่ยวกวนฟังดูแล้วขมวดคิ้ว เรื่องนี้ไม่เหมือนสิ่งที่ต่งซิวเต๋อกล่าวเท่าใดนัก แต่ชัดเจนว่าสิ่งที่ไป๋ยู่เหลียนกล่าวน่าเชื่อถือยิ่งกว่า เนื่องจากเรื่องที่ต่งซิวเต๋อเล่ามานั้น เขาได้ยินมาจากผู้อื่นอีกทีหนึ่ง
“ผู้ใดสังหารท่านแม่ทัพฉิน ? ”
“ราชวงศ์อู๋ เป่ยหวังชวน ! ”
มิใช่เพียงฟู่เสี่ยวกวนเท่านั้นที่ตกตะลึง แต่ซูม่อและซูเจวี๋ยก็ตกตะลึงเช่นกัน ซูโหรวนั้นได้หยุดการปักผ้าของนางลงทันที
เป่ยหวังชวน หนึ่งในนักรบผู้ยิ่งใหญ่แห่งเจียงหู ได้เดินทางไปกองทัพชายแดนตะวันออกเพื่อฆ่านายพลฉิน ฟังดูแล้วมิน่าเป็นไปได้ เนื่องจากตำแหน่งของพวกเขามีความแตกต่างกันมากโข อีกทั้งเป่ยหวังชวนมีเหตุผลใดที่ต้องทำเช่นนี้เล่า ?
“เพื่อธนูคันหนึ่ง เป่ยหวังชวนมิอาจปฏิเสธธนูคันนี้ได้ !”
“ธนูสยบตะวันที่ทำโดยช่างไม้ผู้เลืองชื่อในราชวงศ์ก่อนงั้นหรือ ? ” ซูม่อถามขึ้น
ไป๋ยู่เหลียนพยักหน้าและกล่าวว่า “เป่ยหวังชวนใช้วิชาด้านธนูที่มิมีผู้ใดเทียบได้กลายมาเป็นเทพแห่งสงครามผู้ยิ่งใหญ่ แต่น่าเสียดายที่เขาพ่ายแพ้ให้แก่เจ้าสำนักป่ากระบี่ ท่านอาจารย์กล่าวว่าลู่เสี้ยวเฟิงใช้ดาบเวหาฟันธนูของเป่ยหวังชวนจนหัก ทำให้เป่ยหวังชวนพ่ายแพ้ จู๋ซีซึ่งเป็นช่างผู้มีชื่อเสียงในราชวงศ์ก่อน ได้ใช้เวลาทั้งชีวิตของเขาสร้างอาวุธขึ้นมาเจ็ดชิ้น ดาบเวหานับเป็นหนึ่งในนั้น หากธนูสยบตะวันอยู่ในมือของเขา การต่อสู้ในครั้งนั้นคงตัดสินแพ้ชนะไม่ง่าย”
“เช่นนั้น ผู้ใดใช้ธนูนี้มาหลอกล่อเป่ยหวังซีกัน ? ”
“ตระกูลเฟ่ยแห่งเมืองหลวง ท่านอาจารย์เฟ่ย”
“มีหลักฐานงั้นหรือ ? ”
ไป๋ยู่เหลียนได้แต่ส่ายหน้า
ตอนที่ 135 ประทับตรา
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 8 เดือนสิบเอ็ด วันที่สิบสี่ ยามเช้า จินหลิงปกคลุมไปด้วยหมอก
ทางด้านนอกประตูทางใต้ของเมืองหลวง รถม้า 5 คันจอดเรียงรายเลียบข้างทาง แต่มีเพียง 3 คนเท่านั้นที่ยืนอยู่ข้าง ๆ รถม้า
ฟู่เสี่ยวกวน ต่งชูหลาน และหยูเวิ่นหวิน
ซูม่อและคนอื่น ๆ มิได้ลงจากรถ ทั้งสามคนกำลังล่ำลากัน ตนเองมิจำเป็นจะต้องเข้าไปเพื่อให้ผู้อื่นเกลียดเล่น
ดวงตาคู่สวยของต่งชูหลานแดงระเรื่อ บางทีเมื่อคืนอาจจะไม่ได้นอนหลับดี หรือบางทีอาจเป็นเพราะในยามนี้กำลังอดกลั้นไม่ให้น้ำตาไหลออกมา นางยัดกระเป๋าผ้าใส่มือของฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ข้ายังมิเห็นเจ้าใส่เสื้อผ้าที่เย็บให้ครั้งที่แล้วเลย คิดว่าคงเล็กไป ครั้งนี้เลยทำผืนใหญ่ให้เจ้าใหม่ หน้าหนาวมาเยือนแล้ว ที่ซีซานคงมิมีผู้ใดดูแลเจ้า เจ้าต้องใส่ใจให้มากยิ่งขึ้น เดิมทีก็มิได้ดูแลร่างกายให้ดี อย่าได้ให้อาการป่วยมันคุกคาม”
กล่าวจบต่งชูหลานก็ยื่นมือไปจัดสาบเสื้อให้กับฟู่เสี่ยวกวน ดูเป็นธรรมชาติ ราวกับสามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันมานานหลายปี
ฟู่เสี่ยวกวนกุมมือของต่งชูหลานเอาไว้ แล้วกล่าวว่า “วางใจเถิด ข้าจักดูแลตัวเองให้ดี เจ้าดูมือเล็ก ๆ ของเจ้าสิเย็นไปหมดแล้ว เจ้าเองก็ต้องใส่เสื้อผ้าให้มากขึ้น”
“อืม” ต่งชูหลานก้มหน้าหลบ “เจ้าเองก็ควรจะกลับมาเมืองหลวงในเร็ววันด้วย ถึงแม้ข้าจะรู้ว่าความรักทั้งสองจะยืนยาวได้ ขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในทุกเมื่อเชื่อวัน… แต่หากมิต้องแยกจากกัน นั่นย่อมดีกว่าอยู่แล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าและถอนหายใจน้อย ๆ เขาเองก็มิอยากไป แต่เขาไม่ไปไม่ได้ มันมิใช่เพราะเรื่องโชคร้ายไร้สาระของเมืองหลวงอะไรนั่น แต่อย่างไรเขาก็ต้องไปซีซาน
ต่งชูหลานเงยหน้ามองเขา และยิ้มบาง ๆ “เจ้าอย่าทำให้ตนเองลำบาก ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นผู้คิดทำการใหญ่ พวกเราจะมิฉุดรั้งเจ้าอย่างแน่นอน พูดคุยกับเวิ่นหวินเถิด จิตใจของนาง… ก็ทรมานอย่างมากเช่นกัน”
ต่งชูหลานเดินออกไปอีกทาง หันหลังให้กับฟู่เสี่ยวกวน สุดท้ายน้ำตาที่เอ่อคลอในตาก็ไหลลงมาอย่างมีอาจฝืน
รู้อยู่แล้วว่าช่วงข้ามปีเขาจะกลับมายังเมืองหลวง
รู้อยู่แล้วว่าเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ สี่สิบกว่าวันเท่านั้น แต่ทำไมถึงต้องร้องไห้กัน ?
ต่งชูหลานที่แข็งแกร่งผู้นั้นไปอยู่ที่ไหนแล้ว ?
ในยามที่ได้พบว่ามีไหล่ไว้ให้คอยพึ่งพิง ความแข็งแกร่งที่เคยมีก็แปรเปลี่ยนเป็นอ่อนแอไปทันพลัน
หยูเวิ่นหวินยื่นมือไปลูบใบหน้าฟู่เสี่ยวกวน นี่คือครั้งแรกที่ทั้งสองสัมผัสกันใกล้ถึงเพียงนี้ หัวแม่มือของนางลูบไล้ไปตามคิ้วที่เรียวยาว มีหยดน้ำค้างเกาะที่คิ้วอยู่มากมาย
ใบหน้าของนางขึ้นสีแดงระเรื่อ รู้สึกได้ว่าหัวใจนั้นเต้นแรงยิ่งขึ้น นางชอบความรู้สึกอย่างนี้ยิ่งนัก แต่ก็รู้สึกว่าเหมือนกับขาดอะไรไป ใช่แล้ว หากเขา… มือของฟู่เสี่ยวกวนก็สัมผัสใบหน้าที่เปราะบางราวกับจะแตกได้ของหยูเวิ่นหวิน เย็นและนุ่ม ได้เข้าใกล้เยี่ยงนี้ ก็จะทำให้เขาแทบจะอดใจรั้งนางเข้ามากอดเอาไว้ไม่อยู่
ใจของหยูเวิ่นหวินเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ ใช่ ความรู้สึกในตอนนี้ถูกต้องแล้ว
“ข้า… จะรอเจ้ากลับมา” กล่าวจบ หยูเวิ่นหวินก็ก้มหน้าลงไป นางเขินอายยิ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่ได้กล่าวอะไรชัดเจนเยี่ยงนี้กับบุรุษ นางกลัวอย่างมาก อีกทั้งก็ชอบอย่างยิ่ง นางคิดว่านี่คือเรื่องราวของชั่วชีวิตนี้
“อือ” ฟู่เสี่ยวกวนเชิดใบหน้ารูปไข่ที่แดงก่ำขึ้นมา จ้องมองดวงตาที่มีเสน่ห์คู่นั้น และเอ่ยอย่างจริงจังว่า “ข้าจะตบแต่งกับพวกเจ้า โดยจะจัดงานที่ใหญ่โตที่สุดในใต้หล้า”
หยูเวิ่นหวินมิกล่าวอะไรอีก นางมิรู้ว่าควรกล่าวอันใด ในใจนั้นตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ในแววตานั้นมีประกายของความหวังขึ้นมา
ฟู่เสี่ยวกวนสูดหายใจเข้าลึก ๆ หนึ่งครา จ้องมองริมฝีปากที่แดงนุ่ม ยกยิ้มร้ายขึ้นมา แล้วมือข้างหนึ่งจับคางของหยูเวิ่นหวินไว้ และขยับเข้าไปใกล้
ดวงตาของหยูเวิ่นหวินเบิกกว้าง ใบหน้าที่ใกล้กันแค่เอื้อมดูเลือนราง หลังจากนั้น… ก็เป็นความรู้สึกที่วิเศษอย่างมาก ! สมองของนางว่างเปล่าไปในทันที ราวกับจะดับลงไปในยามนี้เสียอย่างนั้น
ฟู่เสี่ยวกวนยืดตัวยืนตรง จ้องมองท่าทีขัดเขินของหยูเวิ่นหวินและทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้นมา
เขากุมมือของหยูเวิ่นหวินและเดินไปทางต่งชูหลาน และโอบกอดต่งชูหลานเอาไว้ในอ้อมแขน ต่งชูหลานก็หน้าแดงด้วยความขัดเขิน ในใจรู้สึกตื่นตระหนกแต่ก็มีความสุขอย่างยิ่ง
“ข้าจักประทับตราเอาไว้ที่ริมฝีปากของพวกเจ้า เพียงเท่านี้พวกเจ้าก็จะเป็นคนของฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้แล้ว”
ทันใดนั้นหยูเวิ่นหวินก็โอบฟู่เสี่ยวกวน และแนบชิดเข้าไปอีกครั้ง หลังจากนั้นก็ปล่อยออก และผ่อนลมหายใจเล็กน้อย
“ชูหลาน พวกเราเองก็ประทับตราบ้างเถอะ”
อย่างไรต่งชูหลานก็มิได้ใจกล้าเท่าหยูเวิ่นหวิน นางจึงแอบหันมองไปรอบ ๆ ก็รู้สึกว่าหมอกนี้ช่างดีเสียจริง หากหนาแน่นขึ้นอีกเล็กน้อยก็จะดียิ่งกว่านี้
นางโอบรอบคอของฟู่เสี่ยวกวน เขย่งปลายเท้าและประทับลงไปทั้งอย่างนั้น แต่เร่าร้อนยิ่งกว่าหยูเวิ่นหวินเสียอีก เช่นเดียวกับครั้งแรกในคืนวันฝนตกที่แม่น้ำฉินหวาย
“เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าก็เป็นของพวกข้าทั้งสองแล้ว อย่าได้ไปหาเศษหาเลยที่ข้างนอกนั่นเชียว” หยูเวิ่นหวินจ้องฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง หลังจากนั้นก็หัวเราะคิกคัก
“ข้าสัญญา ! ”
“เจ้าไปเถอะ จำไว้ว่าพวกข้ารอเจ้าอยู่ที่เมืองหลวงนี้ก็พอ” ต่งชูหลานกล่าวอย่างแผ่วเบา
“อือ พวกเจ้าก็กลับไปได้แล้ว น้ำค้างแรงยิ่ง หากรับเอาความเย็นไปมาก ๆ อาจจะทำให้ไม่สบายขึ้นมาได้”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปทางรถม้า หันหลังกลับมาโบกมือ และขึ้นรถม้าไป รถม้าทั้งสามคันขับเข้าไปในสายหมอกอย่างเชื่องช้า และเลือนหายไปจนไม่เห็นแม้แต่เงา
“ชูหลาน ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าในอกนั้นมันวูบโหวง ? ”
“เพราะ… ในใจของเจ้ามีเขาเข้าไปเติมเต็มแล้ว”
“นี่คือความรักเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
ต่งชูหลานพยักหน้า และเอ่ยพึมพำ “ใช่ นี่แหละคือความรัก”
เบญจมาศป่าข้างทางเบ่งบาน ดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำตาของต่งชูหลานเห็นมันปลิวไปตามสายลมยามเช้า ช่างงดงามและแข็งแกร่ง
……
…..
ฟู่เสี่ยวกวนที่นั่งอยู่บนรถม้ากำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย
เขารู้สึกว่าตนเองนั้นโชคดี ชาติที่แล้วมิเคยมีความรักมาก่อน ในชาตินี้จึงเพิ่มมาให้เขาถึงสองคน ทั้งยังเป็นสตรีที่งดงามและอ่อนโยนถึงเพียงนี้
นี่คือสิ่งที่ควรค่าให้เขาหวงแหนและปกป้อง ดังนั้นการเดินทางไปซีซานจึงเร่งรัดยิ่งขึ้น
กองกำลังมากมายในเมืองหลวงต่างเกี่ยวพันกันอย่างซับซ้อน ขยับเพียงหนึ่งแต่สั่นสะเทือนกันไปถ้วนหน้า หากในมือของตนเองไร้อำนาจ เยี่ยงนั้นตระกูลฟู่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะถูกพายุลูกใหญ่ฉีกเป็นชิ้น ๆ อยู่ตลอดเวลา
ในฐานะที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นบุคคลสองโลก เขามิเคยมอบชีวิตของตนเองให้ใครหน้าไหนมาควบคุม แม้แต่ฝ่าบาทเองก็ยังมิได้ !
เขาหันออกไปมองทัศนียภาพด้านนอกหน้าต่างที่เต็มไปด้วยหมอก นึกไปถึงรสสัมผัสของริมฝีปากสีแดงชาด ใบหน้าพลันทอประกายมุ่งมั่นขึ้นเรื่อย ๆ
ซูม่อและเขาอยู่ในรถคันเดียวกัน เขามองใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนที่เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ทราบได้ว่าจิตใจของคนผู้นี้กำลังมีความคิดอีกมากมายอยู่เป็นแน่
เขาชื่นชมฟู่เสี่ยวกวนจากก้นบึ้งหัวใจของเขา อายุเพียงเท่านี้แต่มีจิตใจที่มุ่งมั่น วางแผนเกินมนุษย์ หมากที่วางไว้คนธรรมดามิอาจตามได้ทัน แต่มิรู้ว่าภาพที่เขาได้วางเอาไว้แท้จริงแล้วเป็นเช่นไรกันแน่
ต้นเดือนสิบเอ็ดวันที่ห้า ฟู่เสี่ยวกวนได้ออกมาจากตำหนักขององค์ชายห้า เหตุผลคือจวนที่ทะเลสาบซวนอู่ซ่อมเสร็จแล้วจึงไม่ขอรบกวนต่อ แต่ความจริงก็คือไป๋ยู่เหลียนได้มาถึงเมืองหลวงแล้ว
วันเดียวกันกับที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลักพาตัว ในยามที่ซูม่อกำลังพาฟู่เสี่ยวกวนกลับโรงเตี๊ยม ฟู่เสี่ยวกวนก็กล่าวถึงนามหนึ่งกับเขา คืนนั้นเขาจึงไปที่หอเยียนจือ และลักพาตัวหญิงสาวนามหลินหงผู้นั้นกลับมาที่จวนฟู่โดยมิให้รู้ตัว
ไป๋ยู่เหลียนมิได้มาเมืองหลวงเพียงลำพัง ด้านนอกเมืองมีศพอีกห้าร้อยศพที่ไป๋ยู่เหลียนนำกลับมาด้วย หลินหงถูกไป๋ยู่เหลียนพาไป ในยามนี้ไป๋ยู่เหลียนและศพอีกห้าร้อยร่างกำลังอยู่บนเรือสำเภาลำหนึ่งที่มุ่งตรงไปยังหลินเจียง รอเพื่อจะได้พบกับพวกเขาในวันนี้
มิมีผู้ใดรู้ว่าบนเรือสำเภานั้นมีศพห้าร้อยร่างซ่อนอยู่ซึ่งเป็นของฟู่เสี่ยวกวน ซูม่อค่อนข้างคาดหวัง หากมีผู้ใดต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนเกิดอุบัติเหตุระหว่างทางกลับ… เกรงว่าจะเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดเสียเล็กน้อย
ตอนที่ 134 กลับไปเสียดีกว่า
เช้าวันต่อมา ฟู่เสี่ยวกวนถูกหามเข้าไปยังพระราชวัง
ร่างกายของเขาถูกพันไปด้วยผ้า เหลือไว้เพียงแต่บริเวณหน้า
บรรดาเสนาบดี ขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารมองมายังเขา จึงได้รู้ว่าเขามิได้แสร้งทำ เนื่องจากผ้าพันแผลนั้นยังมีรอยเลือดสีแดงซึมออกมา มองดูช่างน่าสงสารนัก
ชือเฉาหยวนมองดูฟู่เสี่ยวกวนที่นอนอยู่บนพื้นกระดานด้วยสายตาเย็นชา เขานึกแค้นใจยิ่งที่มือสังหารสองคนนั้นไร้ความสามารถ เพียงแค่คนที่ไร้ทักษะเช่นนี้ยังไม่มีทางปลิดชีพได้สำเร็จ !
ตระกูลชือร่ำรวยมหาศาล ต่อให้บ่อนทั้งสองนั้นถูกองค์ชายห้าเผาทำลายสิ้นแล้วเป็นเยี่ยงไร ? มีเพียงเขาตายไปเท่านั้นจึงจะลบล้างได้
ฝ่าบาททรงรับรู้อาการที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวกวน ทรงขมวดคิ้วและนึกในใจว่าเขายังไม่หายอีกหรือ ?
“ช่วย ช่วยประคอง ข้า ลุกขึ้นที ! ” ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง บ่าวรับใช้สองคนเข้ามาประคองเขา ฟู่เสี่ยวกวนมองไปทางฝ่าบาทแล้วกล่าวว่า “กระหม่อม ฟู่เสี่ยวกวน ถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ขอประทานอภัยฝ่าบาทที่มิสามารถคุกเข่าถวายบังคมได้”
“หาได้เป็นไรไม่ ร่างกายเจ้ายังไม่หายดี ข้ายังไม่บังคับให้เจ้าเข้าวัง จงกลับไปรักษาตัวที่บ้านเถิด”
“ทูลฝ่าบาท หากรอให้ร่างกายข้าหายดีคงต้องใช้เวลานานทีเดียว กระหม่อมอยากทูลขอฝ่าบาทกลับไปยังหลินเจียง หนึ่งนั้นเพราะห่างบ้านเกิดมานาน อยากกลับไปดูท่านพ่อท่านแม่ สองนั้นเพราะสภาพอากาศและปัจจัยอื่นเอื้ออำนวยต่อการฟื้นฟูร่างกาย คาดว่าหลังกลับไปข้าจะสามารถรักษาตัวได้ดีขึ้น กระหม่อมน่าจะกลับมายังเมืองหลวงได้เร็วขึ้น”
เขาจะไปแล้วหรือ ?
องค์ฮ่องเต้ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ บัดนี้สถานการณ์ในเมืองหลวงค่อนข้างจะวุ่นวาย อีกทั้งตัวเขาก็มีส่วนร่วมในความวุ่นวายครั้งนี้ด้วย หากส่งเขาออกจากเมืองหลวงเสียก่อนก็คงเป็นการดี
ดังนั้นจึงได้พยักหน้าและตรัสว่า “ตามนั้น ข้าให้เจ้ากลับไปพักฟื้นที่หลินเจียง หลังจากหายดีแล้ว ข้าจะมอบหมายหน้าที่สำคัญให้แก่เจ้า”
“กระหม่อม ขอบพระทัยฝ่าบาท… กระหม่อม ออกเดินทางได้เลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? กระหม่อมอยู่ที่นี่ต่อไปก็อาจรกหูรกตาผู้อื่นได้”
“ไปเถิด ! ” ฝ่าบาททรงโบกมือกับเขา
“พ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”
“ทุกท่าน เสี่ยวกวนต้องขอตัวกลับไปรักษาตัวเสียก่อน ขอทุกท่านดูแลสุขภาพให้ดี เพื่อช่วยฝ่าบาทบรรเทาภัย อากาศเริ่มเย็นขึ้น ท่านเสนาบดีชือ ข้าเห็นว่าท่านสวมใส่ชุดค่อนข้างบาง ร่างกายท่านรับไหวหรือ ? ท่านอย่าได้จ้องข้าตาเขม็งเช่นนั้น ข้าเพียงแต่หวังดี เอาล่ะ ทุกท่าน ไว้พบกันใหม่ในโอกาสหน้า ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ใส่ใจสายตาอาฆาตแค้นของพวกเขา แต่กลับนอนอยู่บนกระดานไม้อย่างสำราญใจ บ่าวรับใช้สองคนแบกเขาออกไปจากพระราชวังจินเตี้ยน สายตาของเขาแลเห็นท้องฟ้าสีครามแทรกไปด้วยก้อนเมฆขาว
……
……
ค่ำคืนเงียบสงัด ณ จวนฟู่แห่งเมืองหลวง งานเลี้ยงเล็ก ๆ สิ้นสุดลง ฟู่เสี่ยวกวน หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานได้นั่งอยู่ที่ศาลาชิงซิน
“ระหว่างทางเจ้าจงเพิ่มความระมัดระวังเป็นเท่าตัว หวงเตี๋ย หงจวงและลวี่ซั่งล้วนเป็นผู้ที่มีฝีมือดาบยอดเยี่ยม ข้ามิเข้าใจเสียจริงว่าเหตุใดเจ้าจึงปฏิเสธความหวังดีจากท่านพี่ หากระหว่างทางเกิดเรื่องอันใดขึ้น เจ้าจะให้ข้าและชูหลานทำเยี่ยงไร ?”
หยูเวิ่นหวินมองดูฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทีมิพอใจ แม้แต่ในเมืองหลวงนี้ยังมีคนกล้าลงมือทำร้ายเขา หากออกจากเมืองนี้และเดินทางกลับไปยังหลินเจียง จะไม่ลงมือง่ายขึ้นหรือ ?
ต่งชูหลานเองก็มิเข้าใจเช่นกัน การที่เขาเอาชีวิตรอดมาได้จากเหตุการณ์นี้นับว่าโชคดีมหาศาล หากเกิดเหตุการณ์เดียวกันขึ้นอีกครั้ง นางเกรงว่าจะมิอาจจะรอดพ้นไปได้อีกแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะแล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าอย่าได้กังวลกันไปเลย ข้าชี้แจงกับองค์ชายห้าแล้ว แท้จริงแล้วสถานการณ์ในเมืองหลวงของพี่เจ้าในตอนนี้นั้นอันตรายมากกว่าข้าเสียอีก หากข้านำตัวนักดาบทั้งสามไปด้วย แล้วเกิดมีผู้ใดคิดลงมือกับหอชิงเฟิงหยู่จะทำเยี่ยงไรเล่า ? อีกทั้งความปลอดภัยของข้า มีซูม่อและศิษย์พี่ของเขาทั้งสองคุ้มกันก็เพียงพอแล้ว ทั้งสองนั้นมิชอบเปิดเผยตัวตน พวกเจ้าจึงไม่รู้เท่านั้นเอง”
ต่งชูหลานมองไปยังซูม่อที่ยืนอยู่ด้านหลังฟู่เสี่ยวกวน ซูม่อพยักหน้าตอบรับ
ในเมื่อมีคนจากสำนักเต๋าถึง 3 คนคอยคุ้มกันเขา หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานจึงได้วางใจมากขึ้น
“เจ้าทั้งสองจงตั้งใจดูแลร้านเสื้อผ้าให้ดีเถิด นอกเหนือกจากด้านการเงินแล้ว ด้านอื่น ๆ มิต้องไปยุ่งเกี่ยว ให้พี่รองของเจ้าเป็นผู้จัดการด้วยตนเอง เขาจะบริหารได้ดี เมื่อถึงปีใหม่ ข้าจะเดินทางมายังเมืองหลวง ส่วนหลังปีใหม่จะอยู่ต่อหรือกลับไปนั้น คงต้องคอยดูสถานการณ์ที่ภูเขาซีซาน…”
ฟู่เสี่ยวกวนมองดูหยูเวิ่นหวินแล้วกล่าวว่า “เรื่องแต่งงานขององค์หญิงสาม ตัดสินใจเยี่ยงไรงั้นหรือ ? ”
“ชาวฮวงส่งทูตที่ชื่อว่าท่าป๋าชิวมารังควานอีกครั้งหนึ่ง เขามิเห็นด้วยกับเรื่องที่ข้าเสนอต่อองค์ฝ่าบาท จึงได้ถูกเสด็จพ่อขับไล่กลับไป ท่าป๋าชิวเดินทางออกจากเมืองหลวงได้สิบกว่าวันแล้ว กล่าวว่าเรื่องนี้จักต้องหารือกับท่าป๋าเฟิง หากว่าท่าป๋าเฟิงมิเห็นด้วย เห็นทีคงต้องทำสงคราม”
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าเรื่องการแต่งงานนี้ค่อนข้างแปลก หากแคว้นฮวงแข็งแกร่งจริง เหตุใดจึงต้องทำการแต่งงานเชื่อมโยงความสัมพันธ์เล่า? สู้ทำสงครามบุกเข้ามาโดยตรงจะไม่ง่ายกว่าหรือ?”
จากที่ฉินปิ่งจงกล่าว แคว้นฮวงนี้หลังรวบรวมอำนาจในพื้นที่ทุ่งหญ้าได้ ก็มีความแข็งแกร่งมากขึ้น อีกทั้งมีสัญญาร่วมมือกับแคว้นอี๋ เหตุผลที่พวกเขาไม่ทำสงครามโดยตรงกับราชวงศ์หยูคือสิ่งใดกัน ?
ฉินปิ่งจงนั้นเข้าใจดีว่าการทำสงคราม นอกจากจะสิ้นเหลืองทรัพย์สินเงินทองแล้ว ยังต้องเสียกำลังคนอีกด้วย หากทั้งสองฝ่ายอยู่อย่างสงบสุข ไม่ทำสงครามต่อกันคงเป็นเรื่องดีสำหรับประชากร
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ฟู่เสี่ยวกวนยังคงความคิดเห็นเดิมของเขา เขาคาดว่าภายในของแคว้นฮวงนั้นไม่มั่นคง หากท่าป๋าเฟิงทำสงครามตอนนี้ อาจส่งผลต่อบัลลังก์ของเขา แต่หากการแต่งงานสำเร็จ ท่าป๋าเฟิงอาจได้รับผลสำเร็จในด้านการเมืองไม่น้อย
แต่บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงมิอาจตัดสินได้อย่างมั่นใจ
“เขาจักต้องเห็นด้วยเป็นแน่” หากตนไม่ได้คาดเดาผิดไป ท่าป๋าเฟิงจะต้องเห็นด้วยอย่างแน่นอน
“หลังจากที่ข้ากลับไปแล้ว หากพวกเจ้ามีเวลา จงมาที่นี่บ้าง หากจวนนี้มิมีผู้อาศัยเป็นเวลานานก็คงจะเสื่อมโทรมลงไปอีก”
ต่งชูหลานยิ้มแล้วกล่าวว่า “พวกข้าต้องมาอย่างแน่นอน เงินจำนวนหลายแสนตำลึงเชียว”
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็หัวเราะขึ้น “หลังข้ากลับไปยังซีซาน จักส่งผู้ดูแลมาสัก 10 คน พวกเจ้าทั้งสองจะได้พักผ่อนอย่าสบายใจ ส่วนเรื่องบ่าวรับใช้ เจ้าทั้งสองจัดการกันเอง บัดนี้ก็วันที่สิบสามเดือนสิบเอ็ดแล้ว ห่างจากปีใหม่เพียงแค่เดือนกว่า ๆ พวกเราจะได้พบกันในเร็ววัน”
แม้เวลาหนึ่งเดือนกว่าจะไม่ยาวนาน แต่สำหรับต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินนั้นช่างนานแสนนาน
ต่งชูหลานนึกย้อนไปว่า ตนเดินทางไปยังหลินเจียงเมื่อเดือนสาม และพบเข้ากับฟู่เสี่ยวกวนที่หอหลินเจียงเป็นคราแรก บัดนั้นนางมิได้ยินดีนัก แต่บัดนี้นึกขึ้นมา ช่างมีความสุขยิ่ง
หรือนี่คงเป็นสิ่งที่ฟ้ากำหนดไว้ !
หากตนมิได้พบกับฟู่เสี่ยวกวนที่หลินเจียง หรือหากว่าฟู่เสี่ยวกวนในตอนนั้นมิใช่อันธพาล คงมิถูกนางเหวี่ยงตกลงไป และคงมิเกิดเรื่องราวต่าง ๆ ตามหลังมา
เช่นนั้นทั้งสองคงมิได้พบกัน และมิอาจเดินร่วมกันมาถึงวันนี้ได้
แต่เนื่องจากเหตุผลใดกัน ?
ต่งชูหลานคิดว่าคงเป็นเพราะตนเกิดความสงสัยในตัวฟู่เสี่ยวกวน
หยูเวิ่นหวินเองก็เช่นกัน
หากต่งชูหลานมิได้กล่าวกับตนว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ที่น่าสนใจ นางคงมิเกิดความสงสัยขึ้น
และเนื่องจากความสงสัยนี้เอง นางจึงได้เดินทางไปยังหลินเจียง ต่อมาก็ได้เดินทางไปหลินเจียงอีกครั้งและอีกครั้ง กระทั่งกลายมาเป็นเช่นทุกวันนี้
แท้จริงยังมีผู้คนอีกมากมายที่มีความสนใจและสงสัยในตัวฟู่เสี่ยวกวน เช่นเยี่ยนเสี่ยวโหลว
ครั้นเมื่อกลับจากหงซิ่วจาวในคราก่อน บทเพลงคิ้วเเข็งโค้งก็แพร่หลายเป็นที่นิยมไปทั่ว เยี่ยนเสี่ยวโหลวอยากเห็นนักว่าในสมองของฟู่เสี่ยวกวนมีสิ่งใดอยู่บ้าง
แต่นางมีนิสัยต่างไปจากต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน นางเป็นคุณหนูในบ้านตระกูลใหญ่ที่ยึดถือตามคำสั่งสอนของท่านพ่อท่านแม่ ดังนั้น นางจึงทำได้เพียงสงสัย อีกทั้งครุ่นคิดอยู่ในใจทุกวัน นางมิอาจรู้ตัวได้ว่าตนเองตกอยู่ในความครอบงำเสียแล้ว
เมื่อได้ยินว่าเขาจะเดินทางจากไปในวันรุ่งขึ้น
เมื่อได้ยินว่าเขาบาดเจ็บสาหัส
นางอยากเดินทางไปพบเขาเสียจริง !
ได้ยินมาว่าบทความของความฝันในหอแดงตอนสุดท้ายจะวางจำหน่ายในวันรุ่งขึ้น
เรื่องราวความรักของเจี๋ยเป่าหยูและหลินไต้ยวี่คงได้สุขสม เนื่องจากในนิยายทุกเรื่อง คู่รักมักลงเอยกันด้วยดีตลอดมา
Click to Hide Advanced Floating Content

Kingdom66

Brazil999
ตอนที่ 133 ควันหลงที่ยังไม่จบสิ้น
ตกกลางคืน เรื่องของตรอกชิงหลวนก็ได้เผยแพร่ไปทั่วจินหลิงอย่างรวดเร็ว ผู้คนในเมืองหลวงต่างก็คิดว่ากำลังมีฉากละครที่ยิ่งใหญ่กำลังแสดงอยู่ แต่แล้ว ท้ายที่สุดพวกเขาก็ต้องผิดหวัง
ไม่ว่าจะเป็นตระกูลชือที่คอยควบคุมกิจการทั้งสอง หรือจวนผู้ว่าที่คอยรับผิดชอบความสงบสุขของเมืองหลวง ก็มิได้เปล่งเสียงแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป
สองสถานที่ที่กลายเป็นเพียงเถ้าถ่านท่ามกลางสายฝนอยู่ที่นั่น เปรียบเสมือนรอยแผลสองแห่งของทางตอนใต้และตอนเหนือของตรอกชิงหลวน
……
…..
สองวันให้หลัง ก็ได้มีคนทยอยมาเยี่ยมเยียนฟู่เสี่ยวกวนถึงเรือนหลังใหม่อีก เขายังคงนอนอยู่บนเตียง ผู้ที่มาเยี่ยมเยียนต่างก็ถูกซูม่อและชุนซิ่วขวางไว้ข้างนอก
“แม้อาการบาดเจ็บของคุณชายจะควบคุมได้แล้ว แต่บาดแผลนั้นก็ยังสาหัสยิ่งนัก พวกท่านคงมิทราบ ในยามที่พวกข้าหาเขาเจอ ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยโลหิต จนทำให้เสื้อผ้าแข็งตัว ท่านหมอหลวงกล่าวว่าเป็นโชคดีอย่างใหญ่หลวงของคุณชาย หากล่าช้าไปอีกหนึ่งชั่วยาม ต่อให้เป็นพระเจ้าก็ยากที่ช่วยชีวิตเขาได้ ดังนั้นพวกข้าขอขอบพระคุณในความมีน้ำใจของพวกท่านแทนคุณชายของพวกข้า แต่คุณชายต้องการการพักผ่อนอย่างสงบ และ…เขาอาจจะหมดสติได้ทุกเมื่อ”
ต่งคังผิงส่งคนมามอบของขวัญ ก่อนจะส่ายหน้าแล้วเดินจากไป
เมื่อคนอื่น ๆ เห็นว่าต่งคังผิงมิเข้ามา ก็ครุ่นคิด และเลือกจะวางของขวัญไว้และเดินออกไป
จวนฟู่ที่ใหญ่โตได้สงบลงมาอีกครั้ง ฟู่เสี่ยวกวนปีนลงจากเตียง มองชุนซิ่วที่พาสาวใช้กลุ่มหนึ่งมาตรวจของขวัญที่กองพะเนินเป็นภูเขาอย่างขบขัน ทันใดนั้นก็รู้สึกขึ้นมาว่าหากมีคนมาลักพาตัวเขาอีกก็จะสมบูรณ์ทันที
ตกเย็น ฉินปิ่งจงและฉินโม่เหวินก็ได้มายังจวนฟู่ ฟู่เสี่ยวกวนรอรับพวกเขาอยู่ที่ศาลาชิงซินในสวนดอกไม้ทางด้านหลัง
“ข้าและโม่เหวินจะออกจากเมืองหลวงพรุ่งนี้ ข้าจะพาเฉิงเย่ไปหลินเจียง ส่วนโม่เหวินจะไปเจียงเป่ยเต้าเพื่อรับตำแหน่ง”
“พวกท่านออกตัวเดินทางไปก่อน คาดว่าอีกสองวันข้าก็จะกลับหลินเจียง”
“ฝ่าบาทจะปล่อยเจ้าไปหรือ ? ” ฉินโม่เหวินเอ่ยถาม
“หึหึ ถือโอกาสใช้อาการบาดเจ็บนี้หนีหายไประยะเวลาหนึ่ง”
ฟู่เสี่ยวกวนชงชาให้ทั้งสองคน ฉินโม่เหวินเอ่ยถามอีกว่า “เจ้าอยู่ที่หลินเจียง… มีอุปสรรคอันใดหรือไม่ ?”
นี่คือการไถ่ถามความคิดเห็นของฟู่เสี่ยวกวน ที่ซีซานหลินเจียงแห่งนั้นฟู่เสี่ยวกวนมีอุตสาหกรรมอยู่มากมาย หากทางสำนักก่ออุปสรรคจนทำให้เรื่องมิอาจราบรื่นได้ เยี่ยงนั้นฉินโม่เหวินก็จะช่วยเขาจัดการเรื่องนี้ให้ได้โดยปริยาย
“ขอบคุณพี่โม่เหวินมาก แต่หลินเจียงจือโจวนามหลิวจือต้ง คนผู้นี้ถือว่าใช้ได้ แท้จริงแล้วที่มาเมืองหลวงในครานี้ก็เพราะเขาแนะนำมา มิฉะนั้นข้าก็ยังมิทราบว่าการรับผู้ประสบภัยมานับหมื่นคนมาจะมีผลลัพธ์เยี่ยงนี้อยู่ด้วย”
ฉินโม่เหวินพยักหน้า และกล่าวอีกว่า “องค์ชายห้าถูกฝ่าบาทกักบริเวณอีกแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ หยูเวิ่นเต้าผู้นั้นน่าสนใจอย่างยิ่ง อยู่ที่จวนของหยูเวิ่นเต้ามาได้สิบวัน ทั้งสองคนมักจะสนทนากันบ่อยครั้ง ย่อมเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่บ้างแล้ว
หยูเวิ่นเต้าจบจากป่ากระบี่ สี่ปีก่อนหน้านั้นได้พาเจ็ดกระบี่แห่งป่ากระบี่กลับมายังเมืองหลวง และได้เปิดกิจการดังเช่นในวันนี้ ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าเขากำลังใช้ความสามารถอย่างสูญเปล่า แต่หยูเวิ่นเต้ากลับยังยืนหยัดในอาชีพนั้น
ในพิมพ์เขียวกิจการของหยูเวิ่นเต้า ต้องการเปิดหอชิงเฟิงซี่หยู่ไปทั่วหล้า ความคิดของเขามิใช่ต้องการเป็นองค์จักรพรรดิแต่ต้องการรวบรวมวงการยุทธจักร
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าสมองของคนผู้นี้มีปัญหา เพราะต่อจากนั้นเขาได้ถามซูม่อ นิกายใหญ่ทั้งสี่แห่งเจียงหู ท้ายที่สุดแล้วใครเป็นผู้เก่งกาจที่สุด ซูม่อกล่าวว่าหลังจากผ่านการรบราฆ่าฟันกันมาหลายปี ความแข็งแกร่งในตอนนี้ยังถือว่าสมดุล
ผู้มีวรยุทธ์ที่ยิ่งใหญ่ในใต้หล้าทั้งหกคน ทั้งสี่นิกายใหญ่ต่างก็มีอยู่เพียงหนึ่งคนเท่านั้น นอกจากนั้นอีกสองคน หนึ่งคือเป่ยหวังฉวนจากราชวงศ์อู๋ อีกหนึ่งคนนั้นทราบเพียงมีนามว่าโหยวเป่ยโต้ว
ดังนั้นแต่ละนิกายจึงมียอดยุทธ์อยู่เพียงหนึ่งเพื่อบรรลุขอบเขตของผู้มีฝีมือขั้นสูง พลังของศิษย์ก็ต่างกันและไม่ได้แกร่งกว่ากันนัก หยูเวิ่นเต้าจึงมิมีความน่าจะเป็นที่จะรวบรวมวงการยุทธจักรได้
“เรื่องคืนนั้นทำให้โด่งดังกันเกินไปแล้วหรือไม่ ?”
“เป็นชือเฉาหยวนที่ร่ำไห้ร้องทุกข์ต่อหน้าองค์ฮ่องเต้ ที่ห้องทรงพระอักษร เรื่องนี้ตระกูลชือมิได้มีรายงานมา ดังนั้นจวนผู้ว่าการย่อมจัดการอย่างแน่นอน ฝ่าบาททรงทราบดี ฝ่าบาทเองก็มิมีพระประสงค์จะสนใจกับเรื่องนี้เช่นกัน แต่ชือเฉาหยวนกลับวิ่งโร่ไปร่ำไห้ร้องทุกข์ต่อหน้าพระพักตร์ที่ห้องทรงพระอักษรแต่เพียงลำพัง สบถสาบานว่าเรื่องที่เจ้าถูกลักพาตัวไปนั้นมิได้เกี่ยวข้องกับตระกูลชือทั้งสิ้น ตระกูลชือของเขาเพียงได้รับภัยพิบัติเพียงเท่านั้น ดังนั้นฝ่าบาทจึงมอบราชโองการลับให้แก่หนิงหยู่ชุน หลังจากนั้นจึงกักตัวองค์ชายห้าเอาไว้”
ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปอึดใจแล้วกล่าวว่า “ความจริงข้าก็มิเชื่อว่าตระกูลชือจะเป็นคนทำ อย่างไรแล้วข้าและชือเฉาหยวนก็เป็นศัตรูกันเห็นได้ชัด ที่พระราชวังจินเตี้ยนข้าก็ด่าเขาจนอีกฝ่ายเป็นลมล้มพับไป ขุนนางพลเรือนและขุนนางทหารนับร้อยต่างรู้ดี ดังนั้นกล่าวตามเหตุและผล เขาต้องการแก้แค้นข้านั่นเป็นเรื่องที่ธรรมดา แต่อย่างไรตระกูลชือก็เป็นถึงหนึ่งในหกตระกูลผู้มีอำนาจแห่งเมืองหลวง เยี่ยงไรแล้วก็คงมิใช้วิธีที่งี่เง่าเยี่ยงนี้”
“ที่ข้าล่าช้าและเพิ่งรับมอบในตอนนี้ก็เพราะตรวจสอบเรื่องนี้มาโดยตลอด จ้าวซื่อและหยางชี สี่ปีก่อนหน้านี้ เป็นช่วงก่อนหน้านั้นที่หอชิงเฟิงซี่หยู่ขององค์ชายห้ายังมิถูกจัดตั้ง ทั้งสองอาศัยว่าเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์อู่ซู่เข้าไปยังหอเยียนจือและหย่งเล่อฟาง หลังจากที่องค์ชายห้ากลับมายังเมืองหลวงและลงมือครั้งแรกที่เขตซีเฉิง ทั้งสองออกจากเขตตงเฉิงไปยังเขตซีเฉิง หลังจากนั้นก็กลายมาเป็นคนของหอชิงเฟิงซี่หยู่”
“ข้าได้ตรวจสอบข้อมูลในช่วงเวลานั้นอย่างถี่ถ้วน แต่เดิมทั้งสองได้ถูกขับไล่ออกมา เหตุผลที่แท้จริงยังมิแน่ชัด เพราะสองวันก่อนหน้านั้นพระภิกษุผู้ที่รับผิดชอบที่แห่งนั้นได้ถูกคนของหอชิงเฟิงซี่หยู่สังหารไป แต่ก็ยังมีจุดที่น่าสงสัยอยู่ หลังจากที่ทั้งสองคนได้ออกไปจากเขตตงเฉิงก็ใช้ชีวิตสำมะเลเทเมาอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง กล่าวได้ว่าในช่วงระยะเวลานั้น พวกเขาก็กลายเป็นคนร่ำรวยในทันตา ข้าไปคุกเพื่อสอบถามผู้ต้องหาที่เคยร่วมงามกับหยางชีและจ้าวซื่อ ผู้ต้องหากล่าวว่า…ในตอนนั้นจ้าวซื่อและหยางชีได้ไปพบคนผู้หนึ่ง”
“ผู้ใด ?”
“หนานป้าเทียนจากหนานเหมิน !”
ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด “หนานป้าเทียนคือผู้ใดกัน ?”
“เป็นหญิงสาวที่งดงามยิ่งผู้หนึ่ง ปีนี้อายุได้ 26 ปี มีวรยุทธ์ยอดเยี่ยม เป็นหัวหน้ากองกำลังใต้ดินหนานเหมิน แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ ผู้หญิงคนนี้เคยเป็นองครักษ์ขององค์ชายสี่”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง สายตาของฉินโม่เหวินเคร่งขรึมอย่างยิ่ง น้ำเสียงแผ่วเบาลงทันพลัน “หลังจากที่องค์จักรพรรดินีสิ้นพระชนม์เพราะการประสูติขององค์ชายใหญ่ ตอนนี้ในราชสำนักได้แบ่งฝ่ายสนับสนุนออกเป็นสองฝั่ง ฝ่ายหนึ่งมีตระกูลเยี่ยนและตระกูลชือที่สนับสนุนให้องค์ชายใหญ่ได้เป็นองค์รัชทายาท และอีกฝ่ายนั้นมีตระกููลเฟ่ยและตระกูลสีเป็นผู้นำ สนับสนุนองค์ชายสี่ให้ได้เป็นองค์รัชทายาท ทั้งสองฝ่ายมีกำลังที่พอฟัดพอเหวี่ยง ในตอนนี้ฝ่าบาทยังคงพลานามัยแข็งแรง ดังนั้นการต่อสู้เพื่อแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทยังคงอยู่ในที่ลับตา”
เมื่อมาวิเคราะห์เยี่ยงนี้ เรื่องนี้ก็เหมือนว่าจะกลับคืนสู่สภาพเดิมได้
แต่เดิมเป็นองค์ชายใหญ่และองค์ชายสี่ที่แย่งชิงตำแหน่งรัชทายาท มิคาดคิดว่าองค์ชายห้าจะกลับมา แต่องค์ชายห้านั้นเป็นโอรสของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย และตอนนี้ในวังหลังก็มิมีผู้ใดที่สามารถสู้กับซั่งกุ้ยเฟยได้ เยี่ยงนั้นองค์ชายห้าก็ถือว่าได้เปรียบ
หลังจากที่องค์ชายห้ากลับมาสิ่งที่เขาทำคือปราบปรามกองกำลังใต้ดินที่เขตซีเฉิง คาดว่าองค์ชายสี่คงเกิดความหวาดกลัวเล็กน้อย หลังจากนั้นก็มอบให้หญิงสาวนามหนานป้าเทียนส่งคนไปเป็นไส้ศึกที่หอชิงเฟิงซี่หยู่แห่งนั้น จ้าวซื่อและหยางชีก็คือหนึ่งในนั้น
ต่อมาองค์ชายสี่ก็ได้พบว่าสิ่งที่หอชิงเฟิงซี่หยู่ทำนั้นกระทำเรื่องเล็กน้อยอย่างสำนักคุ้มภัย ไส้ศึกเหล่านั้นก็มิได้แสดงความสามารถที่มีประโยชน์อันใด
ตั้งแต่ที่ตนเองได้มาถึงเมืองหลวง ได้สร้างความอับอายให้ชือเฉาหยวนบนพระราชวังจินเตี้ยน ดังนั้นองค์ชายสี่จึงขยับนิ้วก้อยของเขา ใช้คนของหอชิงเฟิงซี่หยู่มาลักพาตนไป
ดาบขององค์ชายห้าย่อมมิอาจยืมได้โดยไร้เหตุผล บัญชีนี้จักต้องเอาคืน และผู้ที่ต้องคืนบัญชีย่อมตกอยู่ที่ตระกูลชือ ประการแรกสร้างความอับอายให้แก่ตระกูลชือที่สนับสนุนองค์ชายใหญ่ ประการที่สองเป็นการกระตุ้นความขัดแย้งระหว่างองค์ชายใหญ่และองค์ชายห้า ประการที่สามทำให้เสนาบดีในราชสำนักเข้าใจว่าองค์ชายห้าเป็นแค่คนที่มุทะลุ
ขยับเพียงหนึ่งได้ถึงสาม และตัวเองก็เป็นเพียงหมากที่ไม่มีนัยสำคัญอะไรที่ถูกนำมาใช้อย่างพอดิบพอดี !
“เรื่องเล็กน้อยเยี่ยงนี้ ! ” ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ
ตอนที่ 132 สายฝนหนาวเหน็บโปรยปราย
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่แปด เดือนสิบเอ็ด วันที่สิบ ฝนตก ณ เมืองจินหลิง
เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลักพาตัวผ่านไปกว่าครึ่งเดือน ฟู่เสี่ยวกวนพำนักอยู่ที่จวนของหยูเวิ่นหวินได้สิบกว่าวัน จากการดูแลรักษาอย่างดีของหมอหลวง สภาพร่างกายของเขาจึงฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สีหน้าของเขาก็ดูดีขึ้นไม่น้อย
เมื่อห้าวันก่อนเขาได้เดินทางออกจากพระราชวัง เนื่องจากจวนใหญ่ที่ทะเลสาบซวนอู่ปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานนั่งอยู่ที่หอเถาหรานกลางสวนดอกไม้ ในมือของเขาถือคันเบ็ดที่ติดเหยื่อตกปลาไว้ในมือ และนั่งรอปลามาติดเบ็ด
ต่งชูหลานถือสมุดบัญชีแล้วนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะอย่างสงบ
ฝนในช่วงต้นฤดูหนาวตกลงมากลางทะเลสาบ หยดน้ำจาง ๆ รวมตัวกันหนาแน่น หมอกบาง ๆ กระจายอยู่บนพื้นผิวทะเลสาบ มองออกไปช่างน่าตื่นตานัก ทะเลสาบและท้องฟ้าบรรจบเชื่อมต่อเป็นแผ่นเดียวกัน
“อีกเพียงห้าวัน ถิงเหม่ยก็สามารถเปิดกิจการได้แล้ว ข้าคิดว่าเราเลือกเวลาไม่เหมาะสมเท่าใดนัก ควรจะเลือกฤดูใบไม้ผลิหรือฤดูร้อนคาดว่าจะได้ผลดีกว่านี้” ต่งชูหลานเอ่ยขึ้น
“อืม ไม่เป็นไร ช่วงนี้เราจะต้องทำการโฆษณาให้ร้านค้าและสินค้าของเราเป็นที่รู้จักเสียก่อน เนื่องจากการที่จะได้รับความยอมรับจากสตรีทั้งหลาย ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง”
ฟู่เสี่ยวกวนพูดพลางหยิบธัญพืชมากำหนึ่งแล้วโปรยลงไป ธัญพืชนี้เขาใช้สำหรับหมักสุราเทียนฉุนเชียว เหตุใดปลาจึงไม่มาติดเบ็ดกัน ?
“เจ้ากลับเข้าไปด้านในก่อนเถิด ด้านนอกอากาศหนาวเย็น ร่างกายเจ้ายังไม่แข็งแรงเท่าใดนัก”
“มิเป็นไร เพียงแต่แขนข้างซ้ายเท่านั้นที่ยังไม่สามารถใช้แรงได้มาก แต่แผลที่…ก้น ก็ทำให้ลำบากยิ่งยามลุกนั่ง”
ต่งชูหลานมองค้อนเขา และคำนวณบัญชีที่อยู่ในมืออีกครั้งแล้วกล่าวว่า “จวนนี้ใช้เงินในการปรับปรุงจำนวน 107,800 ตำลึง เป็นรายได้ที่มาจากการจำหน่ายหนังสือความฝันในหอแดงทั้งสิ้น……”
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือ แล้วหัวเราะกล่าวว่า “เรื่องเช่นนี้มิจำเป็นต้องมารายงานแก่ข้า ข้าเห็นตัวเลขเหล่านี้แล้วปวดหัวยิ่งนัก เงินเหล่านั้นเจ้าจะนำไปทำอันใดก็ตามแต่เจ้าเถิด มิต้องกังวลว่าท่านพ่อข้าจะมิมีเงิน นอกเสียจากในบัญชีเจ้ามีเงินน้อยกว่า 50,000 ตำลึง”
ต่งชูหลานมองดูฟู่เสี่ยวกวน นางเองก็ชื่นชอบการกระทำเช่นนี้ ดังนั้นจึงมิได้เอ่ยถึงเรื่องรายรับอีก
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่นางจะต้องรายงานฟู่เสี่ยวกวนนั่นคือ “นับจากที่เจ้าย้ายเข้ามายังที่นี่ ฝ่าบาทได้ทรงมอบป้ายจวนฟู่ที่ทรงเขียนด้วยตนเองมาสองแผ่น แผ่นหนึ่งนั้นแขวนไว้ที่นี่ อีกทั้งดีหมี 5 คู่ โสมโบราณ 100 ต้น หยกขาวและอุปกรณ์การเขียนอักษรทั้งสี่ อ้อ แล้วก็ตระกูลยิ่งใหญ่ทั้งหกนั้นส่งคนมา หนึ่งในนั้นมีเยี่ยนซือเต้าจากจวนเยี่ยน ชืออีหมิงจากจวนชือ ฉินโม่เหวินจากตระกูลฉิน เฟ่ยปังจากจวนเฟ่ย สีฉวินเหมยจากจวนสี…พวกเขาเหล่านี้นำของกำนัลมาให้เจ้ามากมาย เหตุใดเจ้าจึงต้องแสร้งทำเป็นหลับและมิพบปะกับพวกเขาเล่า ? ”
ต่งชูหลานไม่เข้าใจเสียจริง หากว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องการตั้งหลักปักฐานที่เมืองหลวง เขาควรใช้โอกาสนี้ผูกสัมพันธ์กับพวกเขามิใช่หรือ ?
แต่ทุกทีที่ฟู่เสี่ยวกวนรู้ว่ามีคนมาเยี่ยม เขาก็จะวิ่งไปยังห้องนอน และมิอยากพบปะกับผู้ใด
แม้ว่าต่งชูหลานจะรู้ดีว่าเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลอบทำร้ายนั้นเกี่ยวข้องกับตระกูลใหญ่ทั้งหก แต่การปฏิบัติตามมารยาทเช่นนี้ก็มิได้มีสิ่งใดเสียหาย
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ และกล่าวว่า “บัดนี้ยังมิถึงเวลา เจ้าอย่าได้เอ่ยกับใครว่าข้าหายดีแล้ว แม้แต่ท่านพ่อตาถามไถ่ก็จงบอกว่าข้ายังมิอาจลงจากเตียงได้”
ต่งชูหลานอายหน้าแดง นางกัดปากตนแล้วถามว่า “เจ้าตั้งใจจะหลบหนีไปถึงเมื่อไหร่กัน ? ”
“อีกสัก 3 วัน”
“เพราะเหตุใด ?”
“เนื่องจากสิ่งของที่พวกเขานำมาให้นั้น…ยังมิพอ ! ”
……
……
ณ หอชิงโหลวแสนอบอุ่น ไม่ว่าอากาศข้างนอกจะหนาวเหน็บเพียงไร แต่ภายในนั้นมีสตรีงามคอยดูแลรินชาและเหล้าตลอดเวลา อีกทั้งยังขับร้องบทเพลงกล่อมจิตใจให้สงบคลายกังวล
ส่วนบ่อนพนันช่างครึกครื้นยิ่ง บางคนได้เป็นเศรษฐีในชั่วคืน
ทิศเหนือของตรอกชิงหลวนมีหอนางโลมที่ใหญ่ที่สุด ชื่อว่าหอเยียนจือ
ทิศใต้ของตรอกชิงหลวนมีบ่อนพนันที่ใหญ่ที่สุด ชื่อว่าหย่งเล่อฟาง
บัดนี้ทั้งสองที่ครึกครื้น แสงไฟส่องสว่างไสว หรูหราตระการตา
ด้านข้างหอเยียนจือ มีพระรูปหนึ่งนั่งอยู่ด้านใน รอบกายเขาถูกล้อมรอบด้วยชายรูปร่างกำยำหลายสิบคนยืนกำดาบไว้ในมือ
พระรูปนั้นยิ้มและมองไปยังชายกลุ่มนั้น สายตาเขาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของชายผู้หนึ่งแล้วกล่าวว่า “เจ้ารับผิดชอบหลินหงใช่หรือไม่ ? ”
เขารีบโค้งตัวแล้วตอบกลับว่า “เรียนเจ้าสำนัก หลินหงเป็นเพียงแค่สาวรับใช้ของเฟิ่งหลิงเอ๋อร์”
“เจ้าจงบอกข้ามาว่าหลินหงอยู่ที่ใด ? ”
“เรื่องนี้…ข้าน้อยมิทราบ ขอท่านเจ้าสำนักโปรดลงโทษด้วย”
“ข้าต้องลงโทษเจ้าแน่นอน”
เมื่อสิ้นเสียงลง ลูกประคำเม็ดหนึ่งลอยมาจากในมือเขา ชายผู้นั้นเบิกตากว้าง ตาข้างหนึ่งของเขาถูกลูกประคำฝังลงไป เขาล้มลงกับพื้นและดิ้นไปมาด้วยความเจ็บปวดพระรูปนั้นเดินไปยังเขาและเก็บลูกประคำนั้นขึ้นมาร้อยดังเดิม
“พวกเจ้าจงจำไว้ ทุกครั้งที่ออกปฏิบัติการ หากผิดพลาดก็คือตาย”
เมื่อเขาพูดจบ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มก็เปลี่ยนไป “จัดการมันซะ ! ”
ทันใดนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินมาจากตรอกชิงหลวน !
บัดนี้ได้เดินมาถึงหอเยียนจือแล้ว !
พวกเขาสวมชุดสีดำ ใบหน้าปกปิดด้วยผ้าสีดำ ในมือถือดาบ
ไม่มีผู้ใดกล่าวคำพูดออกมา ผู้ที่อยู่ด้านหน้าสุดแกว่งดาบ คนชุดดำกลุ่มนั้นบุกเข้าไปในหอเยียนจือ เลือดสดสาดกระเซ็นไปทั่วสารทิศ ลูกประคำในมือของพระรูปนั้นถูกดีดไปยังชายผู้เดินนำหน้ามา ชายชุดดำแกว่งดาบตัดลูกประคำออกเป็นสองท่อน
“ลวี่ซั่ง ! ”
“พวกเจ้าเป็นคนจากชิงเฟิงซี่หยู่…”
ดาบคมกริบฟันลง ศีรษะและร่างกายของพระรูปนั้นจนแยกออกจากกัน !
เพียงเวลาธูปหนึ่งเล่ม คนชุดดำกลุ่มนั้นเดินถือดาบนองเลือดออกมา และเพียงเวลาธูปหนึ่งเล่ม พวกเขาก็จุดไฟเผาแล้วหายตัวไปท่ามกลางสายฝน
จวนผู้ว่าการเมืองจินหลิง ฉินโม่เหวินมองออกไปด้านนอก แล้วกล่าวกับหนิงหยู่ชุนที่จะมารับตำแหน่งแทนเขาว่า “น่าจะถึงเวลาแล้ว ส่งคนไปจัดการเก็บศพเถอะ”
ณ จวนฟู่ทะเลสาบซวนอู่ องค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าดื่มกับฟู่เสี่ยวกวนเป็นแก้วสุดท้าย กล่าวว่า “แม่นางที่ชื่อว่าหลินหงนั้น เจ้านำนางไปซ่อนไว้ที่ใด ? ”
“หากเจ้านำตัวนางมาให้ข้า เรื่องนี้อาจทำให้เป็นเพียงบทความที่จบลงอย่างงดงาม”
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังนอกหน้าต่าง ผ่านไปชั่วครู่จึงยิ้มตอบว่า “เรื่องการเขียนบทความนั้น ท่าน สู้ข้ามิได้”
หยูเวิ่นเต้ามองฟู่เสี่ยวกวนอยู่นาน จากนั้นจึงลุกขึ้นเดินจากไป “ฤดูใบไม้ร่วงได้ผ่านพ้น อากาศเริ่มเย็นลง หวังว่าเจ้าจะหนาวเหน็บ ! ”
ตอนที่ 131 ใบไม้สีเหลืองปลิวอยู่ตรงหน้าต่าง
ซูม่อแบกฟู่เสี่ยวกวนกลับมายังโรงเตี๊ยม
“เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าให้คุณชาย ข้าจะไปตามหมอ”
ซูม่อกลับหลังเดินออกไป ชุนซิ่วมองฟู่เสี่ยวกวนที่นอนอยู่บนเตียงด้วยเลือดอาบร่าง น้ำตาก็ไหลพรากลงมา
“คุณชายเจ้าคะ อย่าทำให้บ่าวกลัวสิเจ้าคะ ท่านจะตายไม่ได้นะเจ้าคะ… !”
นางร้องไปพลางพูดไปพลางและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฟู่เสี่ยวกวนอย่างเบามือ ในตอนที่กำลังจะถอดกางเกงก็พบว่ากางเกงและบาดแผลนั้นติดกัน นางค่อย ๆ พลิกร่างของฟู่เสี่ยวกวนอย่างระมัดระวัง ใช้กรรไกรตัดส่วนที่ติดอยู่ออก คิดว่าจะรอหลังจากที่ท่านหมอมาแล้วค่อยจัดการ
นางเปลี่ยนให้ฟู่เสี่ยวกวนสวมเสื้อผ้าสีฟ้า นั่งอยู่ด้านหน้าเตียงมองใบหน้าและปากของฟู่เสี่ยวกวนที่ซีดเผือด นึกถึงคุณชายที่เคยใช้ชีวิตอย่างเสเพลกับช่วงหลังมานี้ที่ต่างกันจนราวกับเป็นคนละคน ทันใดนั้นก็รู้สึกขึ้นมาว่าหากคุณชายใช้ชีวิตอย่างเสเพลไปทั้งชีวิต เกรงว่าจะมิต้องประสบกับหายนะเยี่ยงนี้
ถึงแม้ฟู่เสี่ยวกวนจะไม่เคยพูดถึงเป้าหมายที่มาเมืองหลวงในครานี้ต่อหน้านาง แต่เมื่อนับจากเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนพูดมาและกระทำมาทั้งหมดในหลายเดือนนี้ ชุนซิ่วก็ได้เข้าใจเหตุและผลที่อยู่ในนั้น
หากคุณชายเป็นเหมือนในอดีต เขาทำเรื่องชั่วร้ายที่หลินเจียงเอาไว้มาก หยอกเย้าเหล่าหญิงสาว ทั้งยังพาสหายชั้นเลวไปทานข้าวที่หอหลินเจียง แล้วจึงไปหออี้หงเพื่อดื่มสุราและฟังฝานตั่วเอ๋อร์ขับร้อง
หากเป็นเยี่ยงนั้น ชั่วชีวิตของคุณชายก็จะใช้ชีวิตได้แต่หลินเจียงเท่านั้น ถึงแม้จะสร้างเรื่องยุ่งยากให้แก่นายท่าน ถึงแม้ในสายตาผู้อื่นจะเป็นได้เพียงคุณชายเสเพลที่ไร้ประโยชน์ แต่เขาก็จะมีความสุขอย่างยิ่ง นอนจนตื่นเองในทุกวัน ออกไปสำมะเลเทเมาในทุกวัน หลังจากดื่มจนเมาก็กลับมา ล้มตัวนอนบนเตียง และหลับฝันไปอย่างสงบสุข
ไหนเลยจะเหมือนกับในปัจจุบันนี้ ชุนซิ่วมองคุณชายในตอนนี้ก็รู้สึกปวดใจ
ตื่นเช้ายิ่งกว่าไก่ นอนดึกยิ่งกว่าสุนัข มิใช่ จะเอาคุณชายไปเปรียบกับไก่และสุนัขได้เยี่ยงไร !
เรื่องที่คุณชายต้องกังวลใจนั้นมีมากยิ่ง ไม่ว่าจะที่ซีซานหรือที่เมืองหลวง คุณชายมักจะมีเรื่องให้ทำอย่างมิรู้จักจบจักสิ้น กังวลอยู่ตลอดเวลา คุณชายกล่าวว่าคนหนุ่มสาวมิพยายามบรรพบุรุษคงเศร้าใจ ชุนซิ่วเข้าใจประโยคนี้ แต่ตระกูลฟู่ก็มีกิจการที่ใหญ่โตแล้ว คุณชายเป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดิน หากอยู่อย่างสงบ เขียนบทกวี ประพันธ์ตำรา นั่นก็ดีมากยิ่งแล้ว เหตุใดต้องเข้าไปสู้กับเหล่าขุนนางด้วยกัน
แต่ก็ถือว่ายังดี เกือบจะรักษาชีวิตไว้มิได้เสียแล้ว เฮ้อ…
ในตอนที่ชุนซิ่วกำลังครุ่นคิดอย่างไร้สาระ ซูม่อพาท่านหมอมา 3 ท่าน
ท่านหมอทั้งสามล้อมรอบเตียงของฟู่เสี่ยวกวน ปลดเสื้อผ้าของเขาเพื่อสำรวจบาดแผลตรงสะบักไหล่ซ้ายและก้นของเขาอย่างถี่ถ้วนอยู่ชั่วครู่ ท่านหมอหนึ่งในนั้นส่ายหน้าและกล่าวว่า “แขนข้างนี้เกรงว่าจะใช้การมิได้แล้ว”
มีคนสองสามคนวิ่งเข้ามาจากทางด้านนอก หยูเวิ่นหวินมองไปรอบ ๆ พร้อมกับตาโตเมื่อเห็นอาการของฟู่เสี่ยวกวน “เจ้าหมอกำมะลอ รีบไสหัวออกไปบัดเดี๋ยวนี้ ! ”
ท่านหมอทั้งสามต่างสะดุ้งตกใจ หันไปมองซูม่อ ซูม่อพยักหน้า อย่างไรองค์หญิงก็เก้ามาแล้ว นางย่อมมีท่านหมอที่ดียิ่งกว่า
“ยกเขาขึ้น นำไปส่งวังหลวง… เสด็จพี่ของข้าอยู่ที่วัง ข้าจะไปกับพวกเจ้า”
“กระหม่อมจะแบกเขาพ่ะย่ะค่ะ เขา… มีบาดแผลที่ด้านหลัง ไม่สามารถนอนได้พ่ะย่ะค่ะ” ซูม่อกล่าว
“ได้ ชูหลาน รบกวนเจ้าไปที่หลานหยวน ตามหาเสด็จพี่ของข้า”
“เพคะ อีกประเดี๋ยวหม่อมฉันจะไปวังหลวง”
……
…..
หลานหยวนคือสวนชา
ในยามนี้ฉินโม่เหวินและหยูเวิ่นเต้ากำลังดื่มชาด้วยกันในห้องหนึ่ง
“กระหม่อมเชื่อว่าต้องมิใช่สิ่งที่ฝ่าบาทต้องการ กระหม่อมต้องการเข้าพบฝ่าบาท อยากจะทราบพระประสงค์ของฝ่าบาท เรื่องราวที่ผ่านมาเป็นเยี่ยงนี้ มีหลายคนที่ต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนตาย แต่มิมีหลักฐานใด ๆ ปรากฏบนตัวของมือสังหารทั้งสอง หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเรื่องนี้จักต้องตรวจสอบอย่างละเอียด ซึ่งเกรงว่าจะใช้เวลานาน แต่กระหม่อมจะต้องถูกย้ายไปยังเจียงเป่ยในอีกไม่ช้า”
หยูเวิ่นเต้าเพิ่งได้รู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่หมู่บ้านเซี่ยชุนทำเรื่องมากมายที่เขาไม่เคยได้ยิน และเพิ่งได้ทราบเหตุผลที่ฟู่เสี่ยวกวนมายังเมืองหลวง
ชายผู้นี้มีความสามารถยิ่งนัก
แต่เดิมเขาคิดเพียงว่าฟู่เสี่ยวกวนปราดเปรื่องด้านวิชาการ มิคาดคิดเลยว่าจะยังชอบทำสิ่งที่เรียกว่าการค้นคว้า ทั้งยังถึงขั้นเขียนกลยุทธ์บรรเทาสาธารณภัยจนเข้าพระเนตรเสด็จพ่อ
เมื่อเข้าใจเหตุและผลแล้ว หยูเวิ่นเต้าครุ่นคิด แล้วจึงกล่าวกับเด็กสาวผู้หนึ่งที่อยู่ทางด้านหลัง “ศิษย์น้อง เจ้าจงไปยังหอชิงเฟิงซี่หยู่ตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวกับหยางชีและจ้าวซื่อมาทั้งหมด เจ้าจงจำไว้ว่าต้องละเอียดรอบคอบ หลังจากนั้นก็พาศิษย์พี่ใหญ่ที่อยู่สำนักกฎหมายมาพบกับข้าที่นี่ เรื่องนี้…พวกเราจะต้องตรวจสอบอย่างเงียบเชียบ จะให้ผู้อื่นล่วงรู้มิได้เด็ดขาด”
ศิษย์น้องผู้นั้นรับคำสั่งและเดินออกไป หยูเวิ่นเต้าถึงได้ถามว่า “ใครที่มารับตำแหน่งต่อจากเจ้ากัน ?”
“หนิงหยู่ชุน บุตรชายคนที่สี่ของหนิงไท่ฟู่”
หยูเวิ่นเต้าครุ่นคิด และมิมีภาพจำอันใดกับคนผู้นี้
“ดูเหมือนว่าเมืองหลวงแห่งนี้จักมิสมดุลเสียแล้ว ผ่านไปอีกไม่กี่คืนอาจจะเกิดเรื่องขึ้น เมื่อถึงเวลาข้าจะส่งคนไปบอกกล่าวกับเจ้าก่อน ศาลาว่าการเหนือใต้และทหารยามอีก 100 นายของเจ้ามิต้องขยับไปไหน ไหน ๆ พวกเขาก็กล้ามายืมดาบของข้าไปฆ่าคน ข้าจักฆ่าคนเหล่านั้นให้พวกเขาได้ประจักษ์เอง”
หยูเวิ่นเต้ากล่าวอย่างแผ่วเบา หัวใจของฉินโม่เหวินพลันบีบรัด “ฝ่าบาท… อย่าทำเรื่องนี้ให้ใหญ่โตเลยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ข้าลำดับความสำคัญไว้แล้ว ไม่ลำบากเจ้าหรอก เจ้าคือคนที่เสด็จแม่ข้าลงนามไว้ที่เจียงเป่ยเต้า ความหมายของท่านแม่ เจ้าคงเข้าใจใช่หรือไม่ ? ”
ฉินโม่เหวินพยักหน้า
เรื่องนี้ฉินโม่เหวินได้เคยปรึกษากับฉินปิ่งจงมานานแล้ว
ฉินปิ่งจงคิดว่าบ้านของฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่หลินเจียง หากราชสำนักยังคงมีคนที่อยากให้จวนฟู่ตายตก คงหนีไม่พ้นเจียงเป่ยเต้าจวนเต้าถาย เยี่ยงนั้นแล้วตำแหน่งเจียงเป่ยเต้าถายก็สำคัญอย่างยิ่ง
ปัจจุบันผู้ดำรงตำแหน่งอยู่คือเซี่ยเซวี๋ยนลูกพี่ลูกน้องของอนุนางหนึ่งในจวนเยี่ยน อายุได้เพียง 46 ปี กล่าวได้ว่าอยู่ในช่วงเวลาที่หนทางการเป็นขุนนางนั้นราบรื่น แต่กลับถูกเจียงเป่ยเต้าที่ได้รับราชโองการให้มาตรวจสอบและถูกตัดสินว่าไม่มีความสามารถในการบรรเทาสาธารณภัย เขายังคงมิถูกจับกุม ส่วนพระราชโองการฉบับนั้นขององค์ฮ่องเต้ก็ได้ปลดตำแหน่งขุนนางของเขาออก และกำลังรอมอบให้ฉินโม่เหวิน
กระดานหมากนี้ตอนนี้ดูแล้วกำลังล้อมรอบฟู่เสี่ยวกวนไว้ ดังนั้นฉินโม่เหวินจึงเข้าใจอย่างยิ่งว่าฟู่เสี่ยวกวนสำคัญต่อจิตใจของราชสำนักอย่างไร
“ไหน ๆ เจ้าก็เข้าใจแล้ว ความจริงหากข้าสังหารคนเหล่านั้นที่จินหลิง เกรงว่าเสด็จพ่อก็คงพอใจอยู่ไม่น้อย”
ฉินโม่เหวินมิกล้ารับคำนี้ เขายกจอกชาขึ้นมาจิบ เงยหน้าขึ้นมาก็เห็นต่งชูหลานที่วิ่งเข้ามา
“เจอตัวเขาแล้ว บาดเจ็บหนัก หยูเวิ่นหวินกำลังรับเขาเข้าวังหลวง ตรัสว่าจะจัดให้อยู่ที่…ตำหนักองค์ชายเพคะ”
หยูเวิ่นเต้าดีใจขึ้นมาทันพลัน น้องสาวผู้นี้เฉลียวฉลาดยิ่งนัก
เขาลุกขึ้นยืน และกล่าวกับเด็กสาวที่อยู่อีกด้าน “ศิษย์น้องหก เจ้าจงไปบอกกับศิษย์น้องเล็ก เข้าวังมาหาข้า ข้าจะต้องกลับไปดูเขาเสียหน่อย”
ฉินโม่เหวินบอกลาหยูเวิ่นเต้า ต่งชูหลานกล่าวถวายพระพรของพระองค์ทรงพระเจริญกับหยูเวิ่นเต้าแล้วก็ไปยังในวังเช่นกัน ฉินโม่เหวินนั่งลงและเหม่อมองไปบนท้องฟ้า
ท้องฟ้าแต่เดิมที่เคยสดใสไม่รู้เมื่อใดที่จะเปลี่ยนเป็นสีเทาขึ้นมา สายลมแรงที่พัดผ่าน มีใบไม้สีเหลืองร่วงหล่นลงมาด้านนอกหน้าต่าง
“เมืองหลวงนี้… เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นเสียแล้ว”
องค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้าเข้าใจความหมายดีอย่างยิ่ง เขาต้องทำอันใดสักอย่าง เพราะผู้ที่จะสังหารฟู่เสี่ยวกวนมาจากหอชิงเฟิงซี่หยู่ของเขา
แม้ว่าเขาจะมิทราบเรื่องนี้มาก่อน แต่ในตอนนี้เขาเองก็ต้องแสดงท่าทีออกไปบ้างเช่นกัน ประการแรกคือนำเรื่องนี้ทูลถวายฝ่าบาทโดยตรงนี่เป็นสิ่งที่ควรกระทำ ประการที่สองคือสั่นประสาทผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ เหมือนกับที่เขาได้กล่าวเอาไว้ ไหน ๆ ก็กล้าที่จะยืมดาบของข้าไปฆ่าคน ข้าก็จะฆ่าคนให้พวกเขาดูเสียหน่อย
ฉินโม่เหวินถึงขั้นสามารถคาดเดาได้ว่าองค์ชายห้าจะลงมือที่ใด ดังนั้นเขาจึงได้กล่าวว่าอย่าทำให้เรื่องนี้ใหญ่โตเกินไป
หากเป็นอย่างที่ฉินโม่เหวินคาดการณ์ไว้จริง เกรงว่ากองกำลังใต้ดินทางตะวันออกของเมืองจะถูกชำระล้างโดยเลือด และผู้ที่เลี้ยงดูกองกำลังใต้ดินเหล่านั้นก็คือหนึ่งในหกตระกูลผู้มีอำนาจอย่างตระกูลชือ
ตอนที่ 130 หอชิงเฟิงซี่หยู่
สายตาเขามองเห็นคนกลุ่มนั้นเดินเข้ามา เป็นทหารของทางการ
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นว่า “ท่านหัวหน้า ที่นี่มีศพถูกตัดหัว ! ”
ผ่านไปชั่วครู่ก็มีคนเอ่ยขึ้นมาว่า “พวกเจ้าดูซิ ว่านี่คือจ้าวหมาจื่อใช่หรือไม่ ? ”
“อืม คล้ายคลึงมาก แต่ว่า…ท่านหัวหน้าขอรับ ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่เพียงนักกวีหรอกหรือ ? จ้าวหมาจื่อนี้ได้รับสมญานามว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของหอชิงเฟิงซี่หยู่ อีกอย่างหนึ่ง ท่านหัวหน้าขอรับ คนจากหอชิงเฟิงซี่หยู่จะกระทำเรื่องเหล่านี้หรือ ? ”
“อย่าได้เอ่ยไปให้มากความ เรื่องนี้ปล่อยให้ท่านผู้ว่าการเมืองจัดการ นำศพของเขาและหยางชีแบกกลับไปให้ท่านผู้ว่าการเมือง แล้วจำใส่หัวไว้ว่าหากท่านผู้ว่าการเมืองมิได้กล่าวสิ่งใด พวกเจ้าก็อย่าได้เอ่ยออกมาแม้แต่คำเดียว ! ”
“ข้าน้อยรับทราบขอรับ ! ”
“ออกค้นหาต่อไป ฟู่เสี่ยวกวนมิอาจลงมือสังหารทั้งสองได้เพียงลำพัง เขาจะต้องมีผู้ช่วยแน่นอน คาดว่าจะยังมีชีวิตอยู่”
ฟู่เสี่ยวกวนมิกล้าลงไป เขาไม่รู้จักคนเหล่านี้ และมิอาจไว้ใจใครได้
หากเป็นแผนการหลอกล่อเขาให้ตายใจขึ้นมากันล่ะ ?
เช่นนั้นเขาคงมิอาจเอาตัวรอดได้เป็นแน่
คนกลุ่มนั้นขึ้นไปค้นหายังภูเขา และพบรอยเลือดที่หยดอยู่ พวกเขาพูดคุยกันชั่วครู่ จากนั้นแยกย้ายกันตามหา
ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจับตามองทหารเหล่านั้น ณ จุดที่เขาซ่อนตัวก็ปรากฏบุคคลหนึ่งขึ้น
เขารีบหยิบมีดขึ้นและฟันลง แต่ได้ยินเสียงแผ่วเบากล่าวออกมาว่า “ข้าเอง”
ซูม่อ !
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งเข้าใจว่าซูม่อนั้นน่ารักเพียงใด
เขายิ้มออกมาด้วยความโล่งอก แต่มีดเจ้ากรรมได้ตกลงไปที่พื้นด้านล่าง เขาหลับตาลง คอเอียงเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย
……
……
ฉินโม่เหวินมิได้นอนตลอดคืน เขานั่งอยู่ที่จวนผู้ว่าการเมือง
ท้องฟ้าเริ่มสาง คิ้วคู่นั้นมองไปคล้ายทวีความกังวลมากขึ้น
ผ่านไปกว่าสามชั่วยามแล้ว ยังมิมีรายงานจากผู้ใดเลย
เขารู้ดีว่าฟู่เสี่ยวกวนทำให้ชือเฉาหยวนขุ่นเคืองใจที่พระราชวังจินเตี้ยน และเขารู้ดีว่าฟู่เสี่ยวกวนแย่งชิงต่งชูหลานไปจากเยี่ยนซีเหวิน เนื่องจากก่อนหน้านี้เยี่ยนซีเหวินคิดว่าแม่นางต่งชูหลานจะต้องแต่งงานกับเขาอย่างแน่นอน
แต่เรื่องเหล่านี้มิใช่เหตุผลที่แท้จริง ฉินโม่เหวินคาดว่าเหตุผลที่มีใครบางคนส่งนักฆ่ามาจัดการเขา คงเป็นเพราะนโยบายบรรเทาสาธารณภัยต่างหาก !
นโยบายนั้นได้รับการยอมรับจากฝ่าบาท อีกทั้งกรมคลังได้จัดการร่างระเบียบต่าง ๆ เสร็จสิ้น ใกล้ถึงเวลาดำเนินการเต็มที การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เช่นนี้ขัดผลประโยชน์ของผู้คนมากมาย รวมถึงบางคนในตระกูลใหญ่ที่มีอำนาจทั้งหกแห่งเมืองหลวงนี้
พวกเขาเป็นผู้ที่มีอำนาจอย่างแท้จริง และกองกำลังใต้ดินนั้นก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
พวกเขาเหล่านั้นมีเหตุผลมากพอที่จะฆ่าฟู่เสี่ยวกวน และสามารถทำได้โดยง่ายดาย
เรื่องนี้ฉินโม่เหวินเคยได้ยินมาจากต่งชูหลานและรับรู้ว่าแก้ไขได้ยากยิ่ง เขาเพียงแต่ภาวนาให้ฟู่เสี่ยวกวนถูกพบตัวโดยปลอดภัย
ผ่านไปอีกครึ่งยาม ท้องฟ้าสว่างขึ้น ฉินโม่เหวินดื่มชาเข้าไปอีกสองถ้วย และในที่สุดเขาก็ได้รับข่าวสารแรก
ทหารสี่นายแบกศพสองศพเข้ามาด้านใน คนหนึ่งเข้าไปกระซิบรายงานข้างหูฉินโม่เหวิน เขาขมวดคิ้วจนหัวคิ้วแทบชนกัน
หอชิงเฟิงซี่หยู่ ?
“ไปสืบสวนข้อมูลของทั้งสองมา อีกทั้ง…ดูจากสถานการณ์ที่พวกเจ้าพบ ฟู่เสี่ยวกวนมีอันตรายหรือไม่ ?”
“ที่ตีนเขาลั่งซานมีกระท่อมหลังหนึ่งถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน ท่านจินเชียนฮู่กล่าวว่าฟูเสี่ยวกวนน่าจะถูกจับตัวมายังที่กระท่อมนั้นก่อน จากนั้นจึงฉวยโอกาสหลบหนีออกมา หรืออาจจะมีผู้ติดตามมาช่วย ท่านจินเชียนฮู่คาดว่าเป็นอย่างที่สองมากกว่า เนื่องจากไม่ไกลจากกระท่อมเท่าไรนักพบศพของหยางชีถูกธนูปักสามดอก ดอกที่ปลิดชีพเขาคือดอกที่ปักตรงลูกกระเดือก พวกเราออกตามหาเขาทั่วภูเขา พบศพของจ้าวหมาจื่อ ที่ขาถูกธนูปักหนึ่งดอก ที่กลางอกหนึ่งดอก หัวถูกตัดขาด ท่านจินเชียนฮู่จึงได้คิดว่ามีคนมาช่วยฟู่เสี่ยวกวนแน่นอน เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนไม่มีความสามารถในการฆ่าทั้งสองได้ด้วยตนเอง”
ฉินโม่เหวินมองไปที่ศพของทั้งสอง มองอยู่ชั่วครู่จากนั้นกล่าวว่า “ออกตามหาต่อไป ! ”
ร่างไร้วิญญาณทั้งสองนั้นถูกส่งไปยังห้องพิสูจน์หลักฐานเพื่อตรวจสอบต่อไป
ฉินโม่เหวินนั่งลงนำมือประสานกันถูไปมา คล้ายกับไม่สามารถควบคุมสติของตนเองได้
ผ่านไปเนิ่นนาน เขาจึงได้สูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วดื่มน้ำเข้าไป จากนั้นลุกขึ้นสั่งการว่า “เตรียมรถม้า ไป……จวนต่ง”
ต่งชูหลานเองก็มิได้นอนทั้งคืนเช่นกัน นางเฝ้ารอคอยด้วยความร้อนรนใจกระทั่งรุ่งเช้า เมื่อถึงยามสายจึงได้รับข่าวสารที่ฉินโม่เหวินได้บอกกล่าว
ฉินโม่เหวินมิได้เข้าไปในจวน แต่ยืนอยู่หน้าจวนและกล่าวว่า “ยังหาเขามิเจอ แต่แม่นางอย่าได้กังวลไป เขาน่าจะปลอดภัย เนื่องจากนักฆ่านั้นจับได้แล้ว บัดนี้ข้าต้องการเชิญแม่นางเดินทางเข้าวังไปพบพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย ทูลว่า…ข้าอยากทูลเชิญองค์ชายห้ามาร่วมดื่มชาเสียหน่อย”
ต่งชูหลานฉลาดหลักแหลม เมื่อนางได้ยินดังนั้นจึงตกตะลึงและถามว่า “เป็นคนจากหอชิงเฟิงซี่หยู่งั้นหรือ ? ”
ฉินโม่เหวินพยักหน้า ต่งชูหลานกล่าวว่า “ข้าจักไปเดี๋ยวนี้”
ต่งชูหลานรีบเดินทางเข้าวังด้วยป้ายหยกที่หยูเวิ่นหวินให้นางไว้ นางเดินทางไปพบหยูเวิ่นหวินก่อน หยูเวิ่นหวินตกใจเสียจนหน้าซีด จากนั้นทั้งสองก็เดินทางไปยังวังเตี๋ยอี๋
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเองก็ทรงตกใจมากเช่นกัน นางรีบให้ขันทีเหนียนไปตามองค์ชายห้ามา แต่เมื่อนางคิดทบทวนดูแล้ว เรื่องนี้มิน่าใช่นิสัยของหยูเวิ่นเต้าที่จะกระทำการเยี่ยงนี้
เหตุที่ฉินโม่เหวินมิได้ทูลฝ่าบาทเรื่องนี้ คาดว่าคงมีความคิดเช่นเดียวกับนาง แม้ว่าองค์ชายห้าหยูเวิ่นเต้านี้จะก่อเรื่องขึ้นมากมาย แต่ก็มิใช่เรื่องเลวร้ายแต่อย่างใด
เมื่อครั้นหยูเวิ่นเต้าอายุได้ 6 ปี เขาได้ถูกพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยพาไปฝึกวิทยายุทธ ณ เจี้ยนหลิน หนึ่งนั้นเนื่องจากหยูเวิ่นเต้าชื่นชอบ สองนั้นเนื่องจากพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยมิประสงค์ให้องค์ชายห้าเข้าแย่งชิงบัลลังค์
เมื่ออายุครบ 15 ปี หยูเวิ่นเต้าฝึกฝนตนจนสำเร็จการศึกษาและเดินทางกลับมายังเมืองหลวง เขาใช้เวลา 3 ปีในการจัดการเมืองจินหลิงที่แสนวุ่นวาย เหล่าอันธพาลเร่ร่อนของเมืองจินหลิง และกลุ่มโจรลวี่หลินซานก็อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา ดังนั้นเขาจึงสร้างกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในใต้ดินของเมืองจินหลิงนามว่า——หอชิงเฟิงซี่หยู่ขึ้น
พวกเขามิได้ปล้นฆ่าหรือทำลาย แต่ทำการค้าเป็นของตนเอง—— องค์ชายห้าทรงก่อตั้งกลุ่มคุ้มกันขึ้น คนเหล่านั้นถูกแบ่งเป็นหลายประเภท มีทั้งจับกุมผู้ร้าย ขนของ นำทางอีกทั้งธุรกิจด้านต่าง ๆ บัดนี้ชื่อเสียงของหอชิงเฟิงซี่หยู่ได้ลือเลื่องเป็นที่รู้จักของชาวลวี่หลิน และขยายกิจการไปทั่วจนถึงแคว้นฝานและแคว้นอู๋
ดังนั้นไม่ว่าจะคิดอย่างไร องค์ชายห้าก็มิได้มีความโกรธแค้นกับฟู่เสี่ยวกวนแต่อย่างใด
อีกทั้งเมื่อคืนองค์ชายห้าก็ทรงอยู่ที่หงซิ่วจาวด้วย
องค์ชายห้าเดินทางมายังวังเตี๋ยอี้ หลังจากถวายบังคมเสด็จแม่เรียบร้อยก็ได้ฟังเรื่องราวจากต่งชูหลานโดยละเอียด เขาเองก็ขมวดคิ้วด้วยความงุนงง
“ข้าจะเดินทางไปพบท่านฉินโม่เหวินสักหน่อย อีกอย่าง…ข้าขอยืนยันว่าเหตุการณ์นี้มิใช่ข้าเป็นผู้บงการ”
เขายกมือขึ้นสาบาน มองขึ้นไปยังท้องฟ้าแล้วกล่าวว่า “ผู้ใดกล้าดีแอบอ้างชื่อข้าไปฆ่าคนกัน ! ” จากนั้นก็หันไปทางแม่นางต่งชูหลานแล้วกล่าวว่า “หากมีข่าวสารจากฟู่เสี่ยวกวน รบกวนแม่นางช่วยส่งคนมาบอกข้าด้วย”
ตอนที่ 129 ค่ำคืนที่ตื่นตระหนก
หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกลักพาตัวไปเพียงไม่นานซูม่อก็กลับมาถึงโรงเตี๊ยม
เขาเปิดประตูเข้าไปยังห้องของฟู่เสี่ยวกวน คิ้วขมวดขึ้นมาทันพลัน ตู้เสื้อผ้าข้างประตูล้มลงไปกับพื้น หน้าต่างที่อยู่ตรงกันข้ามถูกเปิดออก และคุณชายหายตัวไป
ในใจของเขามีคำว่าซวยแล้วดังขึ้นมา จากนั้นก็ไปเคาะประตูเพื่อเรียกชุนซิ่ว
“ตอนนี้เจ้าจงฟัง อย่าตื่นตระหนก คุณชายหายตัวไป ข้าต้องการให้เจ้ารีบไปทำเรื่องหนึ่ง”
ชุนซิ่วจะไม่ตื่นตระหนกได้เยี่ยงไร ดวงตาของนางเบิกกว้างอย่างตกตะลึง ซูม่อกล่าวอีกว่า “เจ้าจงไปจวนต่งบัดเดี๋ยวนี้ จะต้องเข้าพบคุณหนูต่งให้จงได้ไม่ว่าจะด้วยหนทางใดก็ตาม เจ้าบอกกับนางเรื่องที่คุณชายหายตัวไปก็พอแล้ว นางรู้ว่าจะต้องจัดการเยี่ยงไรต่อไป”
ซูม่อกล่าวจบก็กลับไปยังห้องของฟู่เสี่ยวกวน และโผบินออกไปทางหน้าต่าง
เมืองหลวงที่ใหญ่โต มองไปทางใดก็เห็นแต่แสงไฟ ควรจักไปหาจากที่ใดกัน ?
ชุนซิ่วถลกชายกระโปรงและวิ่งออกไปด้านนอกโรงเตี๊ยม ระยะห่างระหว่างโรงเตี๊ยมและจวนต่งมิไกลกันนัก นางวิ่งไปจนถึงหน้าประตูจวนต่ง สองมือคว้าที่เคาะประตูทั้งสองและตะโกนลั่น “เร็วเขา รีบมาเร็วเข้า ข้าต้องการพบคุณหนูชูหลาน ! ”
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ประตูด้านหนึ่งของประตูบานใหญ่ก็ถูกแง้มออก เขาขยี้ตาเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยถาม “เจ้าเป็นใคร มีเรื่องเร่งด่วนอันใดถึงต้องมาพบคุณหนูกลางค่ำกลางคืนเยี่ยงนี้ ? ”
“เร็วเข้า ให้ข้ารีบเข้าไป คุณชายของข้าหายตัวไป ข้าต้องรีบไปพบคุณหนูต่งประเดี๋ยวนี้” ชุนซิ่วกล่าวอย่างตื่นตระหนก ผู้ดูแลประตูหน้านิ่วคิ้วขมวด “คุณชายคือผู้ใดกัน ? ”
“ฟู่เสี่ยวกวนเจ้าค่ะ คุณชายของข้าคือฟู่เสี่ยวกวน ! ”
“โอ้ ฟู่เสี่ยวกวน ขอประทานโทษด้วยคุณหนู ฮูหยินใหญ่มีคำสั่งว่าฟู่เสี่ยวกวนมิสามารถเข้ามาในจวนต่งได้”
ในตอนที่ผู้ดูแลประตูเรือนกำลังจะปิด ชุนซิ่วที่มิรู้ว่าไปเอากำลังมาจากที่ใด ทันใดนั้นนางก็กระแทกเข้าไป ผู้ดูแลไหนเลยจะคาดการณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์เยี่ยงนี้ขึ้น ทันทีที่ประตูเรือนถูกชุนซิ่วกระแทกจนเปิดออก และประตูเรือนก็กระแทกเข้าที่ใบหน้าผู้ดูแลอย่างจัง เลือดไหลออกจากทางหน้าผากและจมูกในทันที ชุนซิ่วเข้าไปในจวนต่งได้ ก็วิ่งเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
“คุณหนูต่ง ! คุณหนูต่งเจ้าคะ…!”
ชุนซิ่ววิ่งไปพลางตะโกนร้อง ทำเอาผู้คนมากมายต่างแตกตื่น
ไฟสว่างขึ้นทันพลัน มีทหารยามวิ่งเข้ามา เสียงเอ่ยถามเซ็งแซ่ และเสียงตวาดลั่น
“มีมือสังหาร ! ”
“คุณหนูต่งเจ้าคะ ! ”
เสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดชุนซิ่วก็ถูกทหารยามกลุ่มหนึ่งล้อมรอบเอาไว้ “อย่าขวางข้า ข้ามีเรื่องเร่งด่วนต้องไปพบกับคุณหนูของเจ้า ! ”
“ก็แค่คนบ้าเท่านั้น ควบคุมตัวแล้วเอาไปขังเสีย อย่าให้ไปรบกวนการพักผ่อนของนายท่านได้”
ต่งชูหลานที่อาบน้ำเสร็จแล้วแต่ยังมิได้นอน ในยามนี้กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะอักษรและใคร่ครวญถึงแผนการตลาดที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวไว้ ทันใดนั้นนางเหมือนได้ยินเสียงโวยวายดังขึ้นทางด้านนอกอย่างเลือนราง ราวกับมีเสียงของเด็กสาวผู้หนึ่งกำลังเรียกนางอยู่
นางวางพู่กันและเดินออกไป เมื่อมาถึงชานเรือน เสียงก็ยิ่งดังฟังชัดขึ้น หลังจากนั้นนางจึงได้เห็นชุนซิ่วที่กำลังดิ้นรน
“หยุดประเดี๋ยวนี้ ! ” ต่งชูหลานตะโกนลั่น ปรี่เข้าไปและเอ่ยถาม “ชุนซิ่ว เกิดเรื่องอันใดขึ้น ? ”
“คุณชายเจ้าค่ะ คุณชาย ท่าน ท่านหายตัวไปเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ ! ” ต่งชูหลานตกใจอย่างยิ่ง
“ซูม่อให้ข้ามาหาท่าน เขาได้ออกไปตามหาคุณชายแล้วเจ้าค่ะ”
“ปล่อยนาง…” ต่งชูหลานครุ่นคิดเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น แล้วจึงหันไปกล่าวกับทหารยามผู้หนึ่ง “เตรียมรถ”
“ดึกดื่นเยี่ยงนี้คุณหนูต้องการ…”
“ข้าสั่งให้เจ้าไปเตรียมรถ ! ” ต่งชูหลานตวาดลั่น ทหารยามผู้นั้นจึงรีบวิ่งออกไปทันที
“ไป เจ้าไปด้วยกันกับข้า”
ห้องโถงเรือนใหญ่ของจวนต่ง ฮูหยินต่งเตรียมจะปรี่ออกไปด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยว แต่เสนาบดีต่งกลับขวางทางนางเอาไว้ “ปล่อยนางไป”
“เหตุอันใดเจ้าคะ ? ”
“มิมีเหตุใดทั้งนั้น ! ”
รถม้าหนึ่งคันทะยานออกไปในค่ำคืนที่เงียบสงบ และตรงไปทางจวนฉินท่ามกลางแสงไฟสลัว
นี่มิใช่จวนฉินที่ฉินปิ่งจงอาศัยอยู่ แต่เป็นจวนฉินที่เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ทั้งหก
คนที่ต่งชูหลานต้องการพบก็คือฉินโม่เหวิน ผู้ว่าการเมืองจินหลิงคนปัจจุบัน มีเพียงเขาที่จะระดมกำลังพลของศาลาว่าการของเมืองหลวงทั้งทางเหนือและใต้ได้
เพียงหนังสือเยี่ยมเยือนของต่งชูหลานเข้าไปได้ไม่นาน ฉินโม่เหวินก็เดินออกมา เขาทราบดีว่าที่ต่งชูหลานมาหาเขาในยามนี้ย่อมเป็นเรื่องที่ใหญ่คับฟ้าเป็นแน่ ดังนั้นเขาจึงมิได้ให้ผู้ดูแลเชิญต่งชูหลานเข้ามา
“ฟู่เสี่ยวกวนหายตัวไปเจ้าค่ะ ! ” ต่งชูหลานมิมีความคิดจะเข้าไปเช่นกัน เพียงกล่าวประโยคนั้นออกไปตรง ๆ
ฉินโม่เหวินเองก็คิ้วขมวดเช่นกัน “นานเท่าใดแล้ว ? ”
“เกือบจะหนึ่งชั่วยามแล้วเจ้าค่ะ”
“ไป ไปจวนผู้ว่ากับข้า”
เป็นเวลากลางคืน ทหารลาดตระเวนนับพันนายของศาลาว่าการเหนือและใต้ของจินหลิงออกตัวไป เพื่อตามหาทุกซอกมุมภายในเมืองหลวง
ในบรรดาเหล่านั้นมีทหารลาดตระเวน 100 นายที่ควบม้าเร็วออกไปทางสี่เส้นทางออกนอกเมืองหลวง ออกไปตามหาด้านนอกตัวเมืองหลวง
……
…..
ในยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนหลบอยู่ด้านหลังก้อนหินยักษ์ก้อนหนึ่ง เขาใช้ดาบตัดแขนเสื้อออกหนึ่งข้าง ใช้ไม้ขนาดสั้นสองชิ้นมารองรับไว้ และมัดเข้ากับสะบักซ้าย
ตามประสบการณ์ในชาติก่อนของเขา บาดแผลนี้มินับว่าเป็นบาดแผลที่ร้ายแรงนัก แต่ระยะเวลาในการฟื้นตัวให้หายดีกลับต้องใช้เวลานานเป็นอย่างยิ่ง
สุดท้ายเมื่อมัดสะบักซ้ายไว้อย่างดีแล้ว เขาก็เช็ดเหงื่อบนใบหน้า หย่อนก้นลงนั่งกับพื้น แต่กลับต้องร้องซี้ดขึ้นมา สูดลมหายใจเข้าก็และยืนขึ้นอีกครา
ลืมไปสิ้นว่ายังมีอีกหนึ่งรูอยู่ที่ก้น ใช้มือสัมผัส ก็สัมผัสได้ถึงความเหนียวหนืดไปทั้งมือ เลือดยังคงไหลอยู่
สถานที่มืดมิดของภูเขาที่แห้งแล้งนี้ เขาไร้หนทางจะตามหาสมุนไพรที่ใช้ห้ามเลือดได้ ทำได้เพียงตัดเสื้อปั้นเป็นลูกกลม ๆ และอุดไว้ที่ปากแผลตรงก้น
เขาไม่รู้ว่านอกจากโจรสองคนนี้แล้วยังมีผู้สมรู้ร่วมคิดอีกเท่าใด ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเคลื่อนไหวจนเกินความจำเป็น และไม่กล้าแม้แต่จะก่อกองไฟ จนถึงตอนนี้เขาก็ได้ย้ายสถานที่ เปลี่ยนไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ทางด้านหลัง
ที่เอวของเขาคาดดาบไว้หนึ่งเล่ม แบกคันศรไว้ที่ไหล่ ภายในถุงธนูนั้นมีลูกธนูสองดอกที่ปักอยู่บนศพพี่สี่
นี่คือปัจจัยพื้นฐานในการอยู่รอดของเขา ในตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือรอจนฟ้าสว่างอย่างสงบ เขาเชื่อว่าซูม่อจะคิดหาหนทางในยามที่เขาไม่อยู่ได้
เมื่อวิเคราะห์ตามดวงจันทร์และดวงดาว ที่ตั้งของเขาในตอนนี้อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองจินหลิง เขาย่อมมิรู้จักนามของเขาลูกนี้ แต่เมื่อคำนวณจากเวลาแล้ว ระยะทางคงไม่ไกลจากจินหลิงเท่าใด
โจรทั้งสองคนได้ถูกเขาสังหารไปแล้ว เขาคงไปไต่ถามผู้ที่สั่งการอยู่เบื้องหลังมิได้ เบาะแสเพียงหนึ่งเดียวคือหญิงสาวนามหลินหงจากหอเยียนจือที่เจ้าเจ็ดได้เอ่ยถึง
แน่นอนว่าเขานั้นมิได้ค้นตัวโจรทั้งสอง หวังว่าจะหาเบาะแสจากร่างของพวกเขาได้มากขึ้น
นึกถึงช่วงเวลาที่มาถึงจินหลิงมากว่าหนึ่งเดือนนี้ จากภายนอกผู้ที่ผิดใจกับเขาก็เหมือนจะมีชือเฉาหยวนเพียงผู้เดียว สำหรับเยี่ยนซีเหวิน… ฟู่เสี่ยวกวนนึกคิดใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วน แม้เวลาที่ได้คลุกคลีกับเยี่ยนซีเหวินจะมีมิมาก คนผู้นี้ถึงแม้บางเวลาจะหลุดความไม่พอใจที่มีต่อตัวเขาออกมาบ้าง แต่ท้ายที่สุดก็ค่อนข้างจะนับถือกัน แต่ก็ไม่แน่เสมอไป อย่างไรก็เป็นลูกหลานของตระกูลเยี่ยน หากเมืองนี้ลึกลับอีกสักเล็กน้อย ตนเองก็คงยากที่จะมองออกเช่นกัน
ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ชอบต่งชูหลานอย่างแท้จริง หากตนเองตายไป โอกาสของเขาก็จะมากยิ่งขึ้น
โจรทั้งสองย่อมรู้ว่าคืนนี้ตนเองจะต้องไปหงซิ่วจาว หากซูม่อไม่ไปส่งหยูเวิ่นหวิน โจรสองคนนั้นก็จะมิมีโอกาสลงมือเช่นกัน นี่คือเรื่องบังเอิญ เพราะซูม่อมิได้อยู่ในแผนการของฝ่ายตรงข้าม
ในยามที่กำลังครุ่นคิดนั้น ท้องฟ้าก็ค่อย ๆ สว่างขึ้น
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกหนาวเล็กน้อย ร่างกายสั่นสะท้าน นั่นเป็นอาการจากการเสียเลือดมากเกินไป เขาต้องกลับให้ถึงจินหลิงโดยเร็ว
ทันใดนั้น เขาก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมาจากในป่า นั่นคือเสียงฝีเท้า เสียงดังอย่างมาก เมื่อลองตั้งใจฟังอย่างน้อยก็มีกันประมาณ 10 คน
เขามิทราบว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นมิตรหรือศัตรู ดังนั้นจึงได้ออกห่างจากต้นไม้นั้นอย่างช้า ๆ ไปยังที่ห่างไกลออกไป และปีนขึ้นไปบนยอดต้นไม้
ตอนที่ 128 สงครามเลือด
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้ว ถือโอกาสที่ไฟยังมิดับมอด มองไปยังที่แห่งนี้อย่างรวดเร็ว
ไม่มีหน้าต่าง หากพี่สี่ต้องการจะวางเพลิงจริง ๆ การหนีเอาตัวรอดอาจจะพุ่งออกมาทางตรง หรืออาจจะออกไปทางหลังคา
หลังคาเป็นมุงจาก หากปีนขึ้นไปตามเสาหลักก็สามารถหนีออกไปได้มิยากนัก
เพียงแต่เขาต้องการมีดสักเล่มหนึ่ง
มีดของเจ้าเจ็ดนั้นอยู่ห่างจากเขาไปเล็กน้อย เขามิกล้าเอื้อมไปหยิบ ทำได้เพียงรอให้พี่สี่ห่างออกไปสักหน่อยเขาจึงจะหยิบได้
ด้านนอกมีเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา ในมือเขายังคงถือคันธนูไว้มิได้วาง สายตาจับจ้องไปยังประตูบานนั้น
“ข้าจะเผาเจ้าให้ไหม้เกรียม ! เจ้าเจ็ด ข้าจะแก้แค้นให้เจ้าเอง ! ”
“ข้าจะเผาเจ้า ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนได้กลิ่นน้ำมัน กลิ่นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เขารีบคว้ามีดที่ตกอยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว และไปยังเสาหลักต้นนั้น
เขาปีนขึ้นไปด้านบน ใช้ขาเกาะเกี่ยวเสาไว้ ธนูยังคงเล็งไปที่ประตู
เขายังมิได้ปีนขึ้นไปบนหลังคา แต่ยังคงตั้งตารอคอยให้พี่สี่วางเพลิง
ผ้าห่มผืนหนึ่งที่เต็มไปด้วยน้ำมันจุดไฟโยนเข้ามาด้านใน ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้วางธนูลงและหยิบมีดออกมา ควันไฟลอยคลุ้ง เขากลั้นลมหายใจและรีบใช้มีดทำลายหลังคานี้ เขาโผล่หัวออกไปและรีบหดกลับมาโดยเร็ว
ฉึบ ! มีลูกธนูดอกหนึ่งยิงมาปักกลางหลังคา
ฟู่เสี่ยวกวนตกใจเสียจนเหงื่อตก เขาวางแผนผิดไป ไอ้บ้าเอ๊ย มันรู้ได้ยังไงเนี่ย !
แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรดี ?
ควันที่ด้านล่างลอยขึ้นมาเรื่อย ๆ เขาปีนขึ้นไปตามขื่อ มีแสงแวววาวสะท้อนมาและมีดนั้นปักลงบนหลังคา !
เขาผู้นั้นอยู่บนหลังคา !
ฟู่เสี่ยวกวนขวัญเสีย เขาปล่อยมือและร่วงลงด้านล่าง
เขารีบลุกขึ้น เก็บมีดหยิบธนูและวิ่งตรงไปยังประตูนั้น เขายิงลูกธนูออกไปหนึ่งดอก
เขาย่องราวกับแมว ธนูดอกที่สองถูกยิงออกไป เขามองเห็นว่าประตูตรงหน้านี้อันตรายที่สุด
เขามิได้วิ่งผ่าออกไป แต่กลับย้อนมาหยิบร่างไร้วิญญาณของเจ้าเจ็ดมาบังเอาไว้และพุ่งออกไป
“ฉึบ…ฉึบ…ฉึบ… !”
ลูกธนูสามดอกปักเข้าที่ร่างของเจ้าเจ็ด ฟู่เสี่ยวกวนหาที่หลบภัยหลังเขาหิน
เขารีบวิ่งไปยังด้านหลังหินนั้น โยนร่างของเจ้าเจ็ดลงและหยิบคันธนูขึ้นมา
กระท่อมหลังนั้นถูกเผาเป็นผุยผง แสงไฟเจิดจ้า เขาพิงอยู่ที่ด้านหลังของหินด้วยความสงบ ใช้สมาธิตั้งมั่นคอยฟังเสียง
มีเสียงคนวิ่งเข้ามา ระยะห่างประมาณ 50 ก้าว
เสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้เรื่อย ๆ ดังมาจากด้านขวา ระยะห่าง 30 ก้าว
เสียงวนไปทางซ้าย ระยะห่างประมาณ 40 ก้าว เขาคือยอดฝีมือ
เสียงฝีเท้าเงียบลง ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้ว ขยับตัว เตรียมธนู ยิง !
“ฉึบ… !”
“ติ๊ง….. !”
เขาไม่รู้ว่าธนูดอกเมื่อครู่ยิงถูกเป้าหมายหรือไม่ แต่ธนูของคู่ต่อสู้ยิงเฉียดใบหูของเขาปักเข้าที่หิน เขาเหงื่อออกท่วมตัว
เขาหยิบลูกธนูออกมาอีกดอกหนึ่งแล้วตั้งใจฟังเสียง
มีเสียงลมมาจากด้านบน เขายิงธนูออกไปโดยมิคิดและวิ่งออกมาอย่างสุดแรงเกิด “ฉึบ…… !” เขามิได้หันหลังไปมอง แต่กลับเตรียมลูกธนูออกไปอีกหนึ่งดอก ให้ตายสิ ! พี่สี่นั่นมีวิชาตัวเบาด้วยหรือ !
ธนูดอกนั้นถูกพี่สี่ใช้มีดปัดตกลงสู่พื้น ร่างของเขาร่อนลงสู่พื้น ปลายเท้าทั้งสองแตะเบา ๆ เขาเก็บมีดและเตรียมธนู จากนั้นลอยตัวติดตามไป
พี่สี่เองก็ปวดหัวเช่นกัน ! ใครเล่าบอกว่าเขาเป็นเพียงผู้ร่ำเรียนหนังสือ มีพวกนักปราชญ์คนไหนยิงธนูได้แม่นเช่นนี้กัน ?
ขาของเขาได้รับบาดเจ็บจากลูกธนู เขาไม่เข้าใจเสียจริงว่าเจ้าหมอนั่นรู้ตำแหน่งของเขาได้อย่างไรกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนคล้ายกับถูกบางสิ่งขัดขาจนสะดุดล้ม ลูกธนูของพี่สี่นั้นลอยเหนือเขาบนอากาศ เขาแอบสบถอยู่ในใจว่าซวยแล้วสิ !
ฟู่เสี่ยวกวนนอนราบลงที่พื้น จากนั้นปล่อยลูกธนูออกไป
พี่สี่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ คันธนูในมือเขายังมิได้หยิบลูกธนู เขากำลังจะหยิบมันขึ้นมาแต่สายธนูถูกลูกธนูของฟู่เสี่ยวกวนปักเข้าเสียจนขาด ! ลูกธนูนั้นเฉียดหูเขาไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น
ฟู่เสี่ยวกวนรีบลุกขึ้นวิ่งไปยังบนภูเขา
บนภูเขานั้นมีต้นไม้ เขาคาดว่าในป่าไม้เช่นนี้เขาจะสามารถเอาชนะยอดฝีมือนี้ได้
พี่สี่โมโหเป็นที่สุด เจ้านั่นมิได้รับอันตรายแม้แต่น้อย แต่เขากลับเกือบเอาชีวิตไม่รอด !
หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ใด ?
เมื่อไม่มีคันธนู เขาจึงได้หยิบลูกดอกแล้วปาไปทางฟู่เสี่ยวกวน
ฉึบ ! ฟู่เสี่ยวกวนสูดปาก ให้ตายสิ ! ลูกดอกปักเข้าที่ก้นของเขา !
เขาแทรกตัวเข้าไปยังในป่าแล้วหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ อดทนกับความเจ็บปวดที่ก้น เขาก้มลงเตรียมลูกธนู และคอยฟังเสียงจากรอบทิศ ค้นหาตำแหน่งของพี่สี่
ที่แห่งนี้อยู่ห่างจากกระท่อมหลังนั้นค่อนข้างไกล แสงไฟมิอาจส่องมาถึงได้ ทำให้ทุกด้านมืดมิด
แต่เขาจำเป็นจะต้องออกค้นหา ทำการล่อเหยื่อออกมา มิเช่นนั้นรอให้ฟ้าสางอาจมีเจ้าหน้าที่เดินทางมาตรวจสอบ และอาจทำให้ล้มเหลวได้ง่ายๆ
ทางซ้าย 80 ก้าว 70 ก้าว 50 ก้าว 30 ก้าว……ยิง ! ฉึบ…… เขาหลบไปยังอีกฟากหนึ่งของต้นไม้ ฉึบ ! ธนูดอกหนึ่งปักลงที่ต้นไม้
ยิง !
ยิงต่อไป !
เขายิงธนูและวิ่งหนีไปพร้อม ๆ กัน ด้านพี่สี่ก็ปัดลูกธนูและวิ่งไล่ตามไป คนเล่า ?
มันหายไปไหนอีกแล้ว !
ฟู่เสี่ยวกวนหลบอยู่หลังก้อนหินก้อนหนึ่งแล้วเล็งไปด้านหน้า นี่คือลูกธนูดอกสุดท้ายแล้ว
50 ก้าว 30 ก้าว 20 ก้าว……10 ก้าว !
ยิง !
อึก !
เขายิงถูก ! ฟู่เสี่ยวกวนรีบหยิบมีดออกมาและแทงไปยังฝ่ายตรงข้ามท่ามกลางความมืดมิด
“อ๊าก !” ธนูดอกนั้นปักเข้าที่ท้องของพี่สี่จนแทบทะลุ แต่เขายังคงยืนถือดาบแกว่งไปมาท่ามกลางความมืดมิด เช้ง !……มีดดาบทั้งสองกระทบกัน ฟู่เสี่ยวกวนจับมีดเอาไว้และรวบรวมพลังทั้งหมด เขาเตะเข้าไปยังท้องของพี่สี่ที่มีลูกธนูปักอยู่
“อ๊ากกก……” ธนูดอกนั้นปักทะลุช่องท้องของพี่สี่ ร่างของเขาก็กระเด็นด้วยแรงถีบ ร่างนั้นตกกระทบลงสู่พื้น แต่เขากลับใช้แรงปามีดออกไปทางฟู่เสี่ยวกวน
“ไปตายซะ !”
ฟู่เสี่ยวกวนรีบลุกขึ้นหวังจะวิ่งหนี แต่มีดลอยมาอย่างรวดเร็ว ฟู่เสี่ยวกวนหมอบลงกับพื้น และดึงลูกดอกที่ปักอยู่ตรงก้นออกมาโดยไม่มีเวลาแม้แต่จะครุ่นคิด ตอนนั้นเองมีดของพี่สี่ก็ลอยมายังฟู่เสี่ยวกวนที่นอนอยู่บนพื้น
“เจ้าสิ ! ไปตายซะ !” ฟู่เสี่ยวกวนใช้ลูกดอกนั้นแทนลูกธนู และปาออกไปทันที ลูกดอกปักเข้าที่กลางใจของพี่สี่ !
“อึก !”
ฟู่เสี่ยวกวนรีบกลิ้งไปกับพื้น พี่สี่ล้มลง ก่อนเขาจะตายได้ปล่อยหมัดสุดท้ายอันทรงพลังมายังบ่าข้างซ้ายของฟู่เสี่ยวกวน
“กร๊อบ !” เสียงกระดูกดังขึ้น กระดูกที่บ่าของฟู่เสี่ยวกวนแตก เจ็บเสียจนเขาเหงื่อท่วมตัว
ให้ตายเถอะเจ้านี่ !
ไอ้บ้าเอ๊ย !
มาพลาดท่าเอาวินาทีสุดท้าย !
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นมาด้วยท่าทางเจ็บปวด เขาหยิบดาบของพี่สี่ขึ้นมาและฟันมันลงไป หัวของพี่สี่กลิ้งไปตามพื้นดิน
ตอนที่ 127 มุ่งสังหาร
ฟู่เสี่ยวกวนฟื้นขึ้นมาแล้ว บริเวณท้ายทอยยังปวดร้าว
เขายกคอขึ้นมาและสะบัดหัว รอบด้านต่างมืดมิด มือเท้าถูกมัด มีผ้าเหม็น ๆ ยัดเอาไว้ในปาก ในเวลานี้เขากำลังนอนอยู่ที่พื้น
เขาพยายามฟังเสียงอย่างตั้งใจ แต่กลับมีเพียงเสียงแมลงฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้น ย่อมอยู่ชานเมืองเป็นแน่ ในตอนนี้เขาต้องช่วยเหลือตัวเอง
ดีดดิ้นร่างไปมาเบา ๆ อยู่กับพื้น เท้าไปชนเข้ากับอะไรสักอย่าง เขาลุกขึ้นนั่ง หันตัวกลับไป ใช้มือที่ถูกมัดเอาไว้ด้านหลังสัมผัสไปมา เป็นเก้าอี้ตัวเล็กหนึ่งตัว
สองเท้าจรดกับพื้น และเคลื่อนไหวไปด้านหลังอย่างช้า ๆ และแล้วสองมือก็สัมผัสกับอะไรได้อีกครา เมื่อลูบอย่างตั้งใจ ในใจพลันยินดี นั่นคือโถเซรามิก
เขาใช้สองเท้าที่ถูกมัดเกี่ยวเก้าอี้ตัวเล็กให้เข้ามา และดันร่างขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ แบบนี้จะได้สูงขึ้นอีกหน่อย ในตอนนี้เขาต้องทำให้โถเซรามิกนี้ให้แตก เยี่ยงนั้นจึงจะทำลายเชือกที่มัดมืออยู่นี้ได้
ดังนั้นเขาจึงหันหลังกลับไป ใช้สองขาหนีบโถเอาไว้ ออกแรงจนเสียง เพล้ง ดังขึ้นมา ฟู่เสี่ยวกวนสะดุ้งตกใจ
ได้มีเสียงขึ้นมาจากทางด้านนอก “พี่สี่ ข้าเหมือนจะได้ยินเสียงจากด้านใน”
“เจ้านั่นคงจะตื่นขึ้นมาแล้ว อย่าได้ยุ่งกับเขา นอนไป”
“พี่ใหญ่ ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นถึงขุนนาง พี่ว่า…จะมีเรื่องยุ่งยากหรือไม่ ? ”
“เจ้าเจ็ดกล่าวไร้สาระเกินไปแล้ว พวกเราทำงานแบบนี้จะมากลัวเรื่องยุ่งยากทำไมกัน? รับเงินมาแล้วส่งของไป รีบนอนได้แล้ว ประเดี๋ยวยังต้องไปส่งของอีก”
“โอ้ ดี”
เสียงสองคนจากทางด้านนอกมิได้ไกลนัก ฟู่เสี่ยวกวนหันร่างกลับมาอย่างระมัดระวังและใช้มือทางด้านหลังหยิบเศษแผ่นเซรามิกขึ้นมาหนึ่งชิ้น และค่อย ๆ ตัดเชือกอย่างแผ่วเบา พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ส่งเสียงใด
“ข้ารู้สึกไม่สบายใจเท่าใด ข้าไปดูจะดีกว่า” เจ้าคนที่ชื่อเจ้าเจ็ดลุกขึ้นมา และจุดไฟบนน้ำมันตะเกียงส่งเสียงกุกกัก
ฟู่เสี่ยวกวนนอนลงไปบนพื้นเบา ๆ ใช้หลังซ่อนเศษเซรามิกที่แตกเหล่านั้น หลับตาลง แต่ให้เหลือช่องมองรอดเอาไว้
คนร้ายที่เดินเข้ามาระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง ทั้งยังใช้ผ้าปิดบังใบหน้า มือข้างหนึ่งของเขาถือมีดอีกมือถือตะเกียงไฟและมองอย่างพินิจพิจารณา เมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนขยับไปจากตำแหน่งเดิม ก็คิ้วขมวด แล้วเดินเข้าไปเตะ
ฟู่เสี่ยวกวนลืมตาขึ้นมา มีเสียงร้องดังขึ้นมาจากในปาก ใบหน้าแสดงความหวาดกลัวอย่างยิ่ง
เจ้าเจ็ดผู้นั้นจึงได้สบายใจ ยื่นมือไปตบใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวว่า “อย่าร้อง ร้องไปก็มิมีประโยชน์ เจ้าอย่าได้โทษพี่ชาย หากจะกล่าวโทษก็โทษตัวเจ้าที่ไปสร้างความขุ่นเคืองให้แก่คนที่ไม่ควรจะดีกว่า เอาล่ะ นอนเงียบ ๆ หากเจ้ากล้าร้อง จนทำให้พี่สี่ของข้าหลับนอนไม่สบาย เขาจะเอามีดแทงเจ้าอย่างแน่นอน”
“อืออือ” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย เจ้าเจ็ดหันหลังจากไป เขามิได้รู้เลยว่าในยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนอาศัยไฟอ่อนแสงของตะเกียงลอบตรวจสอบห้องนี้อย่างรวดเร็ว และจดจำเอาไว้ในใจ ด้านนอกนั้นก็มีเสียงของพี่สี่ดังขึ้นมา “ก็แค่บัณฑิตอ่อนแอผู้หนึ่ง เจ้าจะทรมานไปทำไม คิดว่าจะหนีไปได้รึ ? ”
“หึหึ ได้มาสำรวจข้าจึงจะโล่งใจ เอาล่ะ พี่สี่ นอนเถอะ”
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงตัดเชือกอย่างเบามือต่อไป เพียงไม่นานด้านนอกก็มีเสียงกรนดังขึ้นมา
คาดว่าน่าจะผ่านไปแล้วหนึ่งชั่วยาม ในที่สุดเชือกที่มัดมือของเขาไว้ก็ขาด ดึงผ้าเหม็นในปากออกมา และถอนหายใจเสียยืดยาว
จากนั้นการตัดเชือกที่มัดขาเอาไว้ก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างยิ่ง เพียงเขามีความอดทนให้มากที่สุด ไม่ต้องการให้กระเทือนไปถึงสองคนด้านนอก ดังนั้นจึงทำให้เขาใช้เวลานานไปอีกครึ่งชั่วยาม
ในห้องนี้มิมีประตูอื่นอีก หากจะออกไปต้องผ่านห้องทางด้านหน้าไป สองคนด้านนอกในยามนี้กำลังหลับใหล เขามิทราบว่าทั้งสองคนนั้นเก่งกาจเพียงใด ดังนั้นเขาจึงไม่ออกไปทดลอง
จำต้องให้ความสำคัญกับฝีมือฝ่ายตรงข้ามให้มาก และจำเป็นต้องเอาให้ถึงตายในคราเดียว มิฉะนั้นผู้ที่ตายก็คงจะเป็นตัวเอง
ห่างออกไปทางซ้าย 5 เมตรคือผนัง บนผนังนั้นมีคันศร ลูกธนูและหนังสัตว์สองผืน คาดว่าข้างนอกนั้นจะเป็นภูเขา และทั้งสองคนนั้นย่อมมิใช่เกษตรกร เพราะเมื่อครู่เขาไม่เห็นอุปกรณ์เกษตรใด ๆ
เขาเดินไปอย่างช้า ๆ อาศัยความจำ และสัมผัสคันศรและลูกธนูบนผนังได้
เขาหยิบลูกธนูมาสองดอก ใช้มือสัมผัสไปทั่ว ๆ ด้ามธนูทำมาจากไม้ หัวธนูทำมาจากเหล็ก หัวธนูค่อนข้างคม ถือว่าเป็นอาวุธที่ไม่เลว
ดังนั้นเขาจึงนำคันศรและถุงธนูลงมา จากนั้นก็ถอยกลับเข้ามุมอย่างเงียบ ๆ
แล้วจึงนำถุงธนูมาคาดไหล่ น้าวสายธนู จากนั้นก็หยิบลูกธนูหนึ่งอันมาวางบนสายธนู
จากนั้นก็รอ รอไปอย่างยาวนาน
คุ้นชินกับสัมผัสนี้ยิ่งนัก ราวกับว่าเขาได้กลับไปยังสนามรบในชาติที่แล้วอีกหน เพื่อสังหารเป้าหมาย อยู่ใต้พื้นหิมะโดยไม่ขยับเป็นเวลาสองวันสองคืน
ทำสมองให้ว่างเปล่า มิต้องไปคิดถึงสิ่งใด แม้แต่การหายใจก็ต้องเปลี่ยนให้เป็นจังหวะ หากมิใช่ผู้ที่มีฝีมือระดับสูง ก็ยากที่จะมีคนรับรู้ถึงการคงอยู่ของเขา
ไร้กังวลและไร้ความหวาดกลัว ดวงตาของเขาจับจ้องไปที่เพียงประตูด้านหน้า สองมือของเขายังมิได้ยกขึ้นมา แต่หยิบคันศรและลูกธนูขึ้นมาวางไว้บนขา ทำเยี่ยงนี้จะสามารถรักษาพลังกาย และสามารถยกมือยิงได้ในทันที
หลังจากนั้นผ่านไปได้อีกหนึ่งชั่วยาม ด้านนอกก็ได้มีการเคลื่อนไหว
“เจ้าเจ็ดตื่นได้แล้ว ต้องไปส่งตัวแล้ว”
“ฮ้าว…” เจ้าเจ็ดคนนั้นเหมือนว่ากำลังหาว “พี่สี่ เสร็จงานนี้พวกเราก็ล้างมือและไม่ต้องทำงานแบบนี้อีกแล้วใช่หรือไม่ ?”
“อือ งานนี้เจ้าของเขาให้มา 2,000 ตำลึง พี่สี่จะมิเอาเปรียบเจ้า แบ่งกันไปคนละครึ่ง แล้วเอาเงินไปเถอะ ไปไกลได้เท่าไหร่ยิ่งดี หาภรรยางาม ๆ สร้างครอบครัว ทำกิจการเล็กน้อยให้ผ่านไปได้ในแต่ละวันก็พอแล้ว”
ไฟสว่างขึ้นมา เจ้าเจ็ดคนนั้นค่อนข้างตื่นเต้น “ขอบคุณพี่สี่มาก ได้รับเงินนี้มาแล้วข้ายังต้องกลับไปหอเยียนจืออีก”
“เจ้าจะกลับไปทำอันใด ? ”
“หลินหง ข้าจะไปรับหลินหงออกมา”
“เจ้าเป็นโรคประสาทรึ ก็แค่นางโลมผู้หนึ่งเท่านั้น เจ้านี่หายตัวมานานแล้ว ย่อมมีคนไปแจ้งราชสำนักแล้ว เจ้ากลับไปเยี่ยงนี้ก็ปะทะกันพอดี รนหาที่ตาย!”
ด้านนอกนั้นเงียบลงไป ผ่านไปได้ชั่วครู่ น้ำเสียงของพี่สี่ก็ดังขึ้นอีกครา “เจ้าเจ็ด ฟังข้านะ เมื่อมีเงินจำนวนนี้แล้ว ก็ไปหากุลสตรีที่ดี หลินหงผู้นั้น…เจ้าเลี้ยงมิไหวหรอก”
“อือ ข้าจะเชื่อฟังพี่สี่”
“นี่สิจึงจะถูกต้อง ไปนำเจ้านั่นออกมา และใช้กระสอบคลุมเอาไว้”
ฟู่เสี่ยวกวนยกคันศรและลูกธนูขึ้นมา น่าเสียดาย ที่ไม่ได้เข้ามากันสองคน เยี่ยงนั้นก็ทำได้แค่ฆ่าเพียงคนเดียวไปก่อน ส่วนอีกหนึ่งคนค่อยหาโอกาส
แสงไฟใกล้เข้ามา ฟู่เสี่ยวกวนน้าวสายทันพลัน
เจ้าเจ็ดก้าวเท้าหน้าเข้ามาในประตู มิได้สัมผัสถึงเหตุการณ์ที่ประหลาดออกไปเลยแม้แต่น้อย
เท้าหลังของเจ้าเจ็ดก็ได้ก้าวเข้ามา เขามองไปทางที่ฟู่เสี่ยวกวนเคยนอนอยู่
สองตาฟู่เสี่ยวกวนหรี่ลงเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ปล่อยสาย
“ฟวับ… !”
“อั๊ก… ปึง… !”
ลูกธนูเสียบลำคอ ตะเกียงน้ำมันตกลงไปบนพื้น สองตาของเจ้าเจ็ดเบิกกว้าง สองมือกุมลูกศรที่แทงทะลุลำคอไปและล้มลงไปกับพื้น
“เจ้าเจ็ด เจ้าเจ็ด!”
ฟู่เสี่ยวกวนน้าวธนูอีกครา และเพ่งมองไปที่ประตู แต่คนผู้นั้นก็ไม่ได้เข้ามา
“เจ้าเจ็ด !”
คนที่อยู่ด้านนอกกรีดร้อง “กูจะสับมึงให้ละเอียดเลย !”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ขยับแม้แต่น้อย เขายังคงจ้องมองไปทางประตูอย่างสงบนิ่ง
“มึงกล้า มึงก็ออกมาเจอกู !”
ประกายแสงจากดาบกวัดแกว่งอยู่ที่หน้าประตู แต่ชายผู้นั้นก็มิได้เข้ามา
“ดี ดี มึงไม่ออกมาใช่หรือไม่ กูจะเผามึงให้ตายเอง !”
ตอนที่ 126 เรื่องราวเมื่อวันวาน
กลิ่นชาอุ่น ๆ หอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ
ฟู่เสี่ยวกวนมองดูอาจารย์หูต้าเจียและนึกไปว่าหากมารดาเขายังมีชีวิตอยู่ คาดว่าคงอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
อาจารย์หูก้มหน้าจัดเรียงอุปกรณ์ชงชาแล้วกล่าวว่า “รัชสมัยไท่เหอ ปีที่ 40 ในตอนนั้นแม่ของเจ้าก็อายุเพียง 15 ปีเช่นเดียวกับพวกนาง”
“ในตอนนั้นพวกข้าล้วนศึกษา ณ สำนักศึกษาจี้เซี่ย ตัวข้าเป็นเพียงคนธรรมดา แต่แม่ของเจ้าเป็นสตรีที่มีชื่อเสียงแห่งเมืองหลวง”
“วันไหว้พระจันทร์ปีนั้น งานกวีหลานถิงครึกครื้น ข้าและแม่ของเจ้าก็เดินทางไปร่วมด้วยเนื่องจากในงานนั้นจะมีชายหนุ่มผู้มีความรู้เดินทางมามากมาย สำหรับพวกข้าในสมัยนั้น ในใจเต็มไปด้วยความใฝ่ฝัน มักจินตนาการว่าสาวงามมักคู่กับชายหนุ่ม ในตอนนั้นชายหนุ่มที่มีชื่อเสียงที่สุดคือเยี่ยนซือเต้า สีฉวินเหมย ฉินจื่อโหยว อีกทั้ง…” นางหันมามองต่งชูหลาน “อีกทั้งต่งคังผิง บิดาของเจ้า”
ต่งชูหลานตกตะลึง บิดาของนางเป็นผู้มีชื่อเสียงในตอนนั้นด้วยหรือ ? เหตุใดนางจึงมิเคยรู้มาก่อน นางรู้เพียงว่าบิดาของนางวุ่นอยู่กับเรื่องราชการในทุก ๆ วัน เมื่อกลับมาก็ได้แต่นั่งดีดลูกคิด มิเคยเห็นเขาประพันธ์กวีเลย
เมื่อพบว่าต่งชูหลานมีสีหน้าประหลาดใจดังนั้น อาจารย์หูก็หัวเราะและกล่าวว่า “มิต้องสงสัยไป บิดาของเจ้ามีชื่อเสียงมากเสียจริงในตอนนั้น”
“ฉินจื่อโหยวคือผู้ใด ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
“บุตรชายคนรองของฉินปิ่งจง เขาได้จากไปด้วยอาการเจ็บป่วยในรัชสมัยเซวียนลี่ ปีที่ 5”
เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าเล่าเขาจึงไม่เคยได้ยินแม้กระทั่งชื่อเสียงเรียงนาม
“หากเป็นไปตามที่ว่ากัน แม่ของเจ้าควรจะคู่กับเยี่ยนซือเต้า เนื่องจากเขานั้นรูปงาม เยี่ยนซือเต้าในตอนนั้นรูปงามกว่าเจ้าในตอนนี้เสียอีก แน่นอนว่าเนื่องจากตระกูลเยี่ยนเป็นที่รู้จักเลื่องชื่อลือนาม สวี่เช่ากวงหรือตาของเจ้าต้องการให้หยุนชิงแต่งงานกับตระกูลเยี่ยน”
ฟู่เสี่ยวกวนรับฟังด้วยความตั้งใจ เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับมารดา บิดาของเขาไม่เคยเอ่ยอันใดให้เขาฟังเลย คาดว่าคงจะไม่อยากกล่าวถึงเนื่องจากทำให้เศร้าโศก
“รัชสมัยไท่เหอ ปีที่ 41 ฤดูใบไม้ผลิ ฟู่ต้ากวนเดินทางมาจากหลินเจียง เขามาเพื่อเข้าร่วมชุนเหวย แต่หาได้มีผู้ใดเห็นเขาในสายตา เนื่องจากเขามิมีชื่อเสียง”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง ชายร่างท้วมผู้นั้นเคยเป็นจวี่เหรินมาก่อนงั้นหรือ ?
“เขาผู้นั้นมักมายังหงซิ่วจาวซึ่งนับว่ามีชื่อเสียงรู้จักกันไปทั่วตั้งแต่สมัยก่อน แม่ของเจ้าแต่งกวีส่วนข้าแต่งทำนอง ดึงดูดผู้คนมากมายรวมทั้งผู้มีอำนาจและปัญญาชน ฟู่ต้ากวนเป็นผู้มีจิตใจกว้างขวางและจิตใจดี เขารู้จักกับปัญญาชนมากมาย จึงทำให้แม่ของเจ้าสนใจเขาขึ้นมา”
“แน่นอนว่าแม่เจ้าเพียงมองเขาว่าเป็นชายอ้วนมีเงินทองแต่ไม่ฉลาดนัก ไม่คิดที่จะอยู่ร่วมชีวิตกับเขา”
“หลังจากนั้นก็ได้เกิดเรื่องราวมากมายขึ้น พ่อของเจ้าจึงมิได้เข้าร่วมงานชุนเหวย แต่เหตุผลหลักแล้วเพราะถูกตระกูลเยี่ยนข่มขู่ เหตุเพราะพ่อของเจ้ามาดื่มสุราที่หงซิ่วจาวและกล่าวว่าจะรักเพียงหยุนชิงผู้เดียว บัดนั้นเยี่ยนซือเต้าและคนอื่น ๆ ก็อยู่ที่นั่น เยี่ยนซือเต้าไม่พอใจอย่างยิ่งและข่มขู่ฟู่ต้ากวน แน่นอนว่าเรื่องนี้มีเพียงไม่กี่คนที่รับรู้ ข้าเองก็เพียงได้ยินเขากล่าวกัน เรื่องราวเป็นเช่นไรคงมีแต่พ่อเจ้าที่รู้”
“พ่อของเจ้าอาจเพราะเรื่องนี้จึงทำให้เขาจริงจังกับแม่เจ้ามาก สองปีนั้นหยุนชิงแทบมิได้มาหงซิ่วจาวเนื่องจากหลบหน้าเขา สองปีนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าเองก็มิรู้ แต่ท้ายสุดเยี่ยนซือเต้าก็มิได้แต่งงานกับหยุนชิง และรัชสมัยไท่เหอ ปีที่ 43 ฤดูหนาว พ่อและแม่ของเจ้าก็หนีตามกันไป”
อาจารย์หูดื่มชาเข้าไปคำหนึ่งจากนั้นมองออกไปยังนอกหน้าต่าง ผ่านไปเนิ่นนานเลยทีเดียวจึงหันกลับมามองฟู่เสี่ยวกวนและกล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า “แท้จริงแล้ว…แต่ต้นจนจบ แม่เจ้าหาได้ชอบพ่อเจ้าไม่ ! ”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ฟังก็รู้สึกว่ามิใช่เช่นนั้น เขาจึงแย้งขึ้นมาว่า “แต่ที่ป้ายหลุมศพท่านแม่นั้น ข้าได้อ่านแล้ว พวกเขาทั้งสองพบกันครั้งแรกที่แม่น้ำฉินหวาย จากนั้นได้พูดคุยกันที่หลานถิงจี๋ จากนั้นท่านพ่อก็ไปสู่ขอท่านแม่ แต่ตระกูลสวี่มิยินยอมจึงได้เกิดเรื่องราวที่ท่านแม่หนีตามกันมา บัดนี้ท่านพ่อยังคงรักท่านแม่สุดหัวใจ หลังจากท่านแม่จากไป เขาได้รับอนุภรรยามาเพียงคนเดียวเท่านั้น ต้องเป็นเพราะความรักที่ทั้งสองมีต่อกันเป็นแน่”
อาจารย์หูยิ้มและกล่าวว่า “บัดนี้ทุกสิ่งทุกอย่างได้เปลี่ยนไป คนเราเองก็เปลี่ยนแปลง ข้าเพียงแต่เอ่ยออกไปเท่านั้น มิได้มีความหมายอื่นใด หากต่อจากนี้เจ้ามีโอกาสเดินทางไปราชวงศ์อู่ จงไปหาภรรยาของติ้งกั๋วโหว หรือหยูหยูซึ่งเป็นท่านป้ารองขององค์หญิงเก้า แม่ของเจ้านั้นสนิทกับนาง เรื่องราวสองปีนั้นองค์หญิงทรงรู้ชัดเจน”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้น อาจารย์หูต้องการกล่าวสิ่งใดกัน ?
หรือมีความลับใดระหว่างพวกเขาทั้งสองคน ?
อาจารย์หูมองเห็นฟู่เสี่ยวกวนสงสัยจึงได้เอ่ยว่า “ข้านั้นรักและชื่นชมหยุนชิงมาก ปัญหาคาใจนี้ติดค้างมาสิบกว่าปี ข้าเองเคยเดินทางไปยังราชวงศ์อู่เพื่อพบองค์หญิงรอง แต่นางมิได้กล่าวสิ่งใดแก่ข้าแม้แต่น้อย นางกล่าวเพียงว่าเรื่องที่ผ่านมาแล้วให้แล้วไปเถิด”
“เจ้าเป็นบุตรชายของหยุนชิง ข้าคาดว่าองค์หญิงจะทรงบอกความจริงแก่เจ้า”
มีบางสิ่งไม่ปกติ ความหมายของอาจารย์หูนั้นคล้ายกับตนมิใช่ลูกของฟู่ต้ากวน แต่พ่อและแม่ของเขาแต่งงานกันเมื่อตอนรัชสมัยไท่เหอ ปีที่ 44 และให้กำเนิดเขามาในฤดูหนาว ทั้งสองครองรักกันมาตั้งแต่รัชสมัยไท่เหอ ปีที่ 43 ระหว่างนั้นหาได้เกิดเรื่องอื่นใดไม่ ต่อให้แม่ของตนไม่ได้ชอบพอเขา แต่เป็นดังที่ท่านพ่อกล่าว เมื่ออยู่กันไปก็กลายเป็นความรักขึ้นมาได้
เรื่องราวที่ผ่านมาเหล่านั้นสำคัญหรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าไม่สำคัญนัก
ดังนั้นเขาจึงได้ยิ้มและเอ่ยว่า “ขอขอบพระคุณอาจารย์ฉินเป็นอย่างยิ่งที่ได้บอกกล่าวเรื่องราวของท่านแม่ให้ฟัง อีกทั้งขอบพระคุณที่ช่วยข้าในตอนที่ข้าทำผิดต่อต่งชูหลาน”
“ข้าเพียงแต่มอบสุราให้ต่งคังผิงไหหนึ่ง เจ้ามิต้องขอบใจข้าหรอก นี่เป็นการพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสมิใช่หรือ ? ”
ต่งชูหลานจึงได้เข้าใจว่าเมื่อตอนอยู่หลินเจียง เหตุใดท่านพ่อจึงได้เขียนจดหมายให้นาง ที่แท้…อาจารย์หูรู้จักกับท่านพ่อมาก่อนนี่เอง
“ถ้าเช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน”
“อืม หากมีเวลาก็แวะมาเยี่ยมเยียนพูดคุยได้ตลอดเวลา”
“แน่นอน ข้าขอตัวก่อน”
“ไปเถิด”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเดินออกมาจากหงซิ่วจาวก็ได้ขึ้นรถม้า เขามองไปยังสตรีทั้งสองและถามว่า “ข้าหน้าตาไม่เหมือนท่านพ่อใช่หรือไม่ ? ”
หยูเวิ่นหวินหัวเราและกล่าวว่า “จะกล่าวเยี่ยงนั้นก็ได้ ไม่เหมือนจริงเสียด้วย”
“เจ้าคงจะคล้ายกับแม่ ได้ยินอาจารย์หูกล่าวมาแล้ว แม่เจ้าคงเป็นหญิงงามคนหนึ่งทีเดียว”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า น่าจะเป็นเช่นนั้น
เมื่อรถม้ามาถึงยังจวนต่งตรอกหวู่อี้ ซูม่อที่แบกเงินจำนวนสองแสนตำลึงไว้บนหลังก็มอบให้แก่ต่งชูหลาน ฟู่เสี่ยวกวนวานให้เขาไปส่งหยูเวิ่นหวินที่ในวัง จากนั้นตนจึงเดินทางกลับที่พักพร้อมชุนซิ่ว
เขาครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องที่อาจารย์ฉินกล่าวมา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่เข้าใจจึงได้ล้มเลิกความคิด
ชุนซิ่วกลับไปยังห้องของนาง ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องก็ได้ยินเสียงดังขึ้น จากนั้นศีรษะด้านหลังก็เจ็บขึ้น ดวงตาพร่ามัวแต่มิได้ล้มลง
ชายชุดดำสองคนเข้ามาจับตัวเขาไว้ แล้วใช้กระสอบคลุม อีกคนหนึ่งแบกเขาขึ้นมาและกระโดดออกไปจากหน้าต่างหายไปในความมืดมิด
ตอนที่ 125 บทเพลงนี้ควรมีอยู่บนฟ้าเท่านั้น
ข้าเคยร้องเพลงที่ใหนกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนนึกย้อนอย่างไรก็นึกไม่ออก
เขาเรียบเรียงทำนองไม่เป็น ไม่อย่างนั้นก็คงเรียบเรียงทำนองออกมาและมอบให้หลิ่วเยียนเอ๋อร์เป็นผู้ขับร้องแบบนั้นคงดีที่สุด
เรื่องเหล่านี้มิใช่ทางของเขาเลยแม้แต่น้อย !
แล้วตอนนี้จะจัดการเยี่ยงไรดีเล่า ? จะปล่อยไปอย่างมิสนใจก็คงมิได้ มีคนมากมายกำลังมองอยู่ หรือควรจะทำเหมือนอยู่ในคาราโอเกะ ?
เมื่อเขาคิดได้เยี่ยงนั้น ก็สงบใจลงมาได้
“ในพวกเจ้าผู้ใดเรียบเรียงทำนองได้บ้าง ? ”
“ข้าทำได้ ! ” ดวงตาคู่นั้นของหลิ่วเยียนเอ๋อร์ในยามนี้เป็นประกายออกมา
นามฟู่เสี่ยวกวนนี้นางรู้จักมาก่อนที่จะมายังหงซิ่วจาว นางเองก็เคยได้อ่านความฝันในหอแดง ทั้งยังมิใช่เพียงหนึ่งครั้ง นางเองก็เคยไปหลานถิงจี๋ และได้เห็นหินเชียนเปยสือมาแล้ว
และในวันนี้เมืองหลวงก็ได้มีข่าวคราวว่าฟู่เสี่ยวกวนได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท และคล้ายกับว่าจะกลายมาเป็นผู้มีอำนาจคนใหม่แห่งเมืองหลวง
คนผู้นี้เป็นเหมือนตำนาน เมื่อได้มาเจอในค่ำคืนนี้ ก็มิอาจจะปล่อยผ่านไปได้
“เยี่ยงนั้น” ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด “เสียงของข้านั้นไม่ไพเราะสักเท่าไหร่ พวกเราไปข้างนอก ข้าจะร้อง ส่วนเจ้าเรียบเรียงทำนอง หลังจากนั้นก็ให้เจ้านำมาร้อง เจ้าคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”
หลิ่วเยียนเอ๋อร์ย่อมคิดอันใดมิออกเป็นแน่ แต่หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานมิได้เต็มใจด้วย พวกเจ้าจะออกไปร้องข้างนอกนั่นมันหมายความว่าเยี่ยงไรกัน? ไม่ได้ หลิ่วเยียนเอ๋อร์งดงามถึงเพียงนี้ทั้งยังค่อนข้างเจ้าแผนการ ควรป้องกันเอาไว้
“เจ้าทั้งสองคนก็ไปด้วยกันเถิด” ฟู่เสี่ยวกวนหันไปพูดกับหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลาน
“ดี”
ผู้คนนับร้อยบนอาคารชั้นสามก็ไม่ได้ยินดีเช่นกัน พวกเขามิได้อยากฟังฟู่เสี่ยวกวนร้องเพลง แต่ฟู่เสี่ยวกวนมานัดหลิ่วเยียนเอ๋อร์ออกไปข้างนอก คนผู้นี้ต้องการทำอันใดกันแน่ ?
อย่าได้ปล่อยให้เขาลักพาหลิ่วเยียนเอ๋อร์หนีไปนะ !
ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้สนใจเสียงเหล่านั้น แล้วพาหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานเดินออกไปด้านนอก
หลิ่วเยียนเอ๋อร์เรียกสาวรับใช้ 2 คนนั้นที่บรรเลงกู่เจิงให้หยิบพู่กันหมึกกระดาษและเดินออกไปเช่นกัน
ผ้าม่านถูกปิด บนหัวเรือชั้นสามมีคนผู้หนึ่งนั่งดื่มสุราอยู่เพียงลำพัง นั่นคืออาจารย์หูฉินหู
หลิ่วเยียนเอ๋อร์คำนับอาจารย์หูและบอกกล่าววัตถุประสงค์ที่มา สายตาของหูฉินที่มองไปทางฟู่เสี่ยวกวนดูประหลาดใจเล็กน้อย นางมิได้พูดอะไรออกไป ครุ่นคิดถึงหลิวหยุนชิงที่มีน้ำเสียงที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง บุตรชายของนางผู้นี้ก็คงมิต่างกันเท่าใด
หลังจากนั้น…
อาจารย์หูก็เหม่อมองไปยังดวงจันทร์และดวงดาวบนท้องฟ้า รู้สึกว่าพระเจ้าก็ยังถือว่ามีความเท่าเทียม
ฟู่เสี่ยวกวนร้องคิ้วแข็งโค้งในชาติที่แล้วออกมา แน่นอนว่าเส้นเสียงย่อมมิไพเราะ ทำให้หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานพากันป้องปากและหัวเราะออกมา
แต่หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ร้องออกมาอีกสองสามประโยค หูฉินก็ลุกขึ้นนั่ง สีหน้าแปรเปลี่ยนไปอย่างจริงจัง จนถึงขั้นหยิบพู่กันของสาวใช้นางหนึ่งขึ้นมา ตนเองเริ่มฟังทำนองการร้องของฟู่เสี่ยวกวน
เพียงไม่นาน ฟู่เสี่ยวกวนก็ร้องจบ เหงื่อออกท่วมกาย ถึงได้รู้สึกขึ้นมาว่าการไม่ขับร้องต่อหน้าผู้คนมากมายเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
หลิ่วเยียนเอ๋อร์คุกเข่าอยู่ข้างกายหูฉินทั้งสองพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องทำนองเพลง หลิ่วเยียนเอ๋อร์ร้องออกมาเป็นครั้งคราว หลังจากนั้นก็ปรับเปลี่ยน ผ่านไปหนึ่งก้านธูป การเรียบเรียงทำนองเพลงคิ้วแข็งโค้งใหม่อีกครั้งก็เสร็จสิ้น
หลิ่วเยียนเอ๋อร์ยังคงร้องต่อไป แล้วจึงจับความรู้สึกได้ขึ้นเรื่อย ๆ หูฉินล้มตัวลงนอนเก้าอี้อีกครา มองดวงจันทร์และดวงดาวบนท้องฟ้า ก็รู้สึกว่าพระเจ้านั้นไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย
นางมิจำเป็นต้องฟังอีกก็ทราบได้ เพียงบทเพลงนี้ถูกปล่อยออกไป คิ้วแข็งโค้งย่อมเป็นที่นิยมแน่นอน และจะโด่งดังไปได้ไกลกว่าในอดีต
เจ้าเด็กหนุ่มนี่… แข็งแกร่งยิ่งกว่าบิดาของเขาเป็นร้อยเท่า !
“แบบนี้ได้ไหมเจ้าคะ ? ” หลิ่วเยียนเอ๋อร์มองฟู่เสี่ยวกวนและเอ่ยถามด้วยความเคารพ
จนกระทั่งหลิ่วเยียนเอ๋อร์ร้องเพลงนี้ออกมา หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานถึงได้พบว่าไพเราะถึงเพียงใด เช่นนั้นแล้วฟู่เสี่ยวกวนก็เรียบเรียงทำนองได้อย่างนั้นหรือ?
เห็นได้ชัดว่ามิได้
แล้วเหตุใดเขาจึงร้องเพลงนี้ออกมาได้กัน ?
มิมีผู้ใดทราบได้
“อือ ร้องเยี่ยงนี้เสีย ! ”
“เจ้าคะ พวกเราเข้าไปกันเถิด”
ผู้คนด้านในยังดื่มสุราและซุบซิบกัน เรื่องที่คุยกันนั้นแทบจะเกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวนทั้งสิ้น
ฟางเหวินซิงรับฟังด้วยจิตใจสงบนิ่ง จางเหวินฮั่นรับฟังด้วยความอึดอัด องค์ชายห้ารับฟังและเกิดความสงสัยในตัวฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมา ความสงสัยมิใช่เรื่องที่ดี
ทั้งสี่คนเดินเข้า ในห้องนี้ก็เงียบลงไปอีกครั้ง
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงพร้อมกับหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลาน หลิ่วเยียนเอ๋อร์ยืนกลางลานด้วยใบหน้าสุขใจ
“วันนี้เป็นโชคดีของเยียนเอ๋อร์ ที่ได้คุณชายฟู่เป็นผู้ประพันธ์เพลงคิ้วแข็งโค้งนี้ให้ใหม่ เป็นการร้องคราแรกของเยียนเอ๋อร์ อาจมีข้อบกพร่อง แต่มิใช่ความผิดพลาดของทำนอง แต่เยียนเอ๋อร์ยังมิชำนาญนัก คุณชายและนายท่านทั้งหลายโปรดให้อภัยด้วยเจ้าค่ะ”
ผู้ดูแลนำฉินขึ้นมา อาจารย์หูนั่งลงเบื้องหน้าฉิน นางต้องการบรรเลงคิ้วแข็งโค้งนี้ด้วยตนเอง !
สองข้างของฉินมีกู่เจิง 2 ตัว สาวใช้สองนางก็ได้นั่งลงเบื้องหน้ากู่เจิง ในใจรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง
หลิ่วเยียนเอ๋อร์พยักหน้าให้กับอาจารย์หู เสียงฉินดังขึ้นมา มีเสียงกู่เจิงแว่วเรไร
หลิ่วเยียนเอ๋อร์ร่ายรำ แปลงรูปแบบจากก่อนหน้านี้ แปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลและอ่อนช้อย
เสียงฉินราวกับสายน้ำ เสียงกู่เจิงราวกับสายหมอก ท่วงท่าร่ายรำราวกับควัน เสียงร้องยังมิดังขึ้นมา แต่ผู้คนราวกับอยู่ในลำธารกลางหุบเขา เสมือนกับมีดอกกล้วยไม้ที่กำลังเบ่งบานอย่างช้า ๆ
“หนึ่งคือดอกไม้ชั้นฟ้าในพระราชวัง หนึ่งคือหยกงามที่ไร้ตำหนิ…”
บางคนหลับตา บางคนอ้าปากค้าง บางคนถึงขั้นกลั้นหายใจ ในยามนี้จิตใจของทุกคนกำลังหลงใหลไปกับเสียงเพลงนี้ จนยากที่จะควบคุมตัวเองได้
องค์ชายห้าเองก็มิเข้าใจสัมผัสทางดนตรี แต่เขากลับรู้สึกว่าไพเราะอย่างยิ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนลิ้มรสโดยละเอียด รู้สึกว่าหลิ่วเยียนเอ๋อร์ร้องได้ไพเราะกว่าโลกในชาติที่แล้วของเขา
สองมือของหยูเวิ่นหวินเท้าใต้คางไม่แม้แต่จะกะพริบตา ดวงตาของต่งชูหลานหลับพริ้ม ในจินตนาการราวกับล่องลอยเข้าไปในความฝันในหอแดง
เสวี่ยเฟยเฟยในยามนี้ยืนอยู่ด้านหลังม่าน รับฟังเพลงนี้ ด้วยจิตใจที่เศร้าสร้อยเล็กน้อย
แม้เขาจะชี้แนะข้า แต่เขากลับเรียบเรียงทำนองเพลงที่ไพเราะเยี่ยงนี้ให้กับหลิ่วเยียนเอ๋อร์ !
ทำนองที่เรียบเรียงด้วยน้ำมือของเขา มีเพียงบนสวรรค์เท่านั้นที่จะมีทำนองเยี่ยงนี้ได้ !
ราวกับเวลาได้ผ่านไปเนิ่นนาน แต่กลับเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เสียงเพลงล่องลอยเข้าสู่เมฆา เสียงฉินแตกเป็นคลื่นกระจายไปทั่วขอบฟ้า ผู้คนต่างมัวเมาและไม่ขอตื่นขึ้นมา
หลิ่วเยียนเอ๋อร์เองก็อยู่ในอาการมัวเมา คางของนางเชิดขึ้นเล็กน้อย สองแขนกางออก แขนเสื้อสีแดงตกหล่น สองตาปิดแน่น สีหน้าไม่สุขและไม่เศร้า แต่น้ำตากลับไหลลงเป็นสองทาง
แต่เดิม นี่คือความฝันในหอแดง !
หลายคนได้ตื่นขึ้นมาจากความฝัน ต่างถอนหายใจกันถ้วนหน้า นี่คือความฝันในหอแดง !
เสียงปรบมือดังขึ้น กึกก้องไปทั่วห้อง เนิ่นนานอย่างไม่มีสิ้นสุด
หลิ่วเยียนเอ๋อร์ปล่อยให้น้ำตาร่วงหล่น หลังจากนั้นก็หันไปมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความซาบซึ้ง นางออกไปจากที่นี่ ตรงไปยังห้องแต่งตัวที่อยู่ด้านหลัง นั่งลงด้านหน้าบานกระจกอยู่เนิ่นนานถึงได้โล่งใจจากการร้องเพลงเมื่อครู่
นางใช้ชายเสื้อซับรอยน้ำตาบนใบหน้า มองใบหน้าสะสวยบนกระจก ยกยิ้มอย่างเศร้าสร้อย แล้วหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนสองสามบรรทัด
นางหยิบกรงออกมาจากมุมๆหนึ่ง ในนั้นมีนกพิราบอยู่หนึ่งตัว นางใส่จดหมายนี้เข้าไปในกระบอกเล็ก ๆ ใช้ขี้ผึ้งปิดให้สนิทและมัดไว้กับขาของนกพิราบ
ผลักหน้าต่างให้เปิดออก สายลมใบไม้ร่วงพัดผ่านใบหน้า กางมือออก นกพิราบสื่อสารจึงได้กระพือปีกขึ้นไป วนอยู่สองสามรอบ และตรงไปทางทิศใต้
ในยามนี้กลุ่มฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ก็ได้ออกไปจากชั้นสาม และตามหญิงสาวผู้หนึ่งลงไปยังห้องที่อยู่ชั้นสอง
อาจารย์หูหยิบใบชาไปตามอารมณ์ ต้มชาหลงจิ่งที่หยุนชิงชื่นชอบที่สุด
“ใช้เวลาค่อนข้างนาน แต่ปีนั้นมารดาของเจ้าก็ดื่มมันทั้งปี แท้จริงแล้วข้ามิชอบ รสชาติค่อนข้างจืดชืด แต่ดื่มตามนางไปเป็นเวลานาน ก็เริ่มคุ้นชิน เจ้าก็ลองชิมดู”
ตอนที่ 124 หลิ่วเยียนเอ๋อร์
เขาคือฟู่เสี่ยวกวนอย่างนั้นหรือ ?
นอกจากพวกเยี่ยนซีเหวินแล้ว คนอื่น ๆ ก็ไม่เคยมีใครเคยพบฟู่เสี่ยวกวนมาก่อน แต่ล้วนก็เคยได้ยินชื่อเสียงของชายผู้นี้มามิน้อย เนื่องจากชื่อของเขาได้ถูกจารึกไว้บนหินเชียนเปยสือ
เสวี่ยเฟยเฟยก็ตกใจเช่นกัน มิน่าเล่าเขาจึงมิสนใจนาง เนื่องจากตนมิได้ร้องออกมาตามบทที่เขาแต่งขึ้นนั่นเอง
เสวี่ยเฟยเฟยเอ่ยด้วยท่าทีเขินอาย “ข้าน้อยไร้ความสามารถ ดัดแปลงให้บทกวีเหล่านี้เกิดมลทิน ขอคุณชายได้โปรดอภัยด้วย”
“อ้อ มิใช่เช่นนั้นหรอก ข้าเพียงกล่าวออกไปเท่านั้น เจ้าอย่าได้ใส่ใจ”
“หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ คำพูดของคุณชายนั้นข้าน้อยเข้าใจดี เดิมทีข้าน้อยเข้าใจเพียงเปลือกนอก หาได้เข้าใจในเเก่นแท้ ข้าน้อยจะทำการปรับปรุง หากคุณชายมีข้อชี้แนะใด ๆ เชิญแนะนำข้าน้อยด้วยเถิด”
ข้าจะแนะนำได้เยี่ยงไรเล่า ?
เจ้าร้องไปตามที่ต้องการก็เพียงพอ
เสวี่ยเฟยเฟยกล่าวขออภัยกับฟู่เสี่ยวกวนเรียบร้อยแล้วก็เดินไปหยิบพิณ อาจารย์หูฉินจึงกล่าวขึ้นว่า “เฟยเฟยเพียงแค่ต้องการขับร้องออกมาให้ดีที่สุด ในโลกนี้มีเพียงเจ้าที่เข้าใจในความหมายกวีนี้ลึกซึ้งที่สุด จงอย่าได้ถ่อมตัวเลย อ้อ…อีกประเดี๋ยว ไปคุยกับข้าที่หัวเรือหน่อยได้หรือไม่ ? ”
“ย่อมได้ขอรับ”
หูฉินยิ้ม “เจ้าช่างหน้าตาเหมือนกับแม่ของเจ้านัก” เมื่อกล่าวจบนางก็เดินจากไป และบรรยากาศรอบข้างก็ครึกครื้นขึ้นมาอีกครั้ง
บัดนี้ม่านลูกปัดได้ถูกเปิดออกอีกครา มีผู้คนสามคนเดินเข้ามา
เมื่อพวกเขาเงยหน้ามองจึงตกตะลึง หยูเวิ่นหวินเองก็เช่นกัน นางตกตะลึงและกะพริบตาถี่ ๆ ชายหนุ่มผู้นั้นมองไปยังต่งชูหลาน จากนั้นมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นจึงเดินไปนั่งในตำแหน่งมุมห้อง
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินมองหน้ากัน หยูเวิ่นหวินยักไหล่ แสดงความหมายว่านางเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาที่นี่
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังชายหนุ่มผู้นั้น คิ้วหนา ตาคม สวมใส่ชุดสีเขียวแปลกตา ส่วนชายหนุ่มอีกสองคนมีดาบอยู่ในมือ อีกทั้งสายตาน่าเกรงขาม คาดว่าน่าจะเป็นผู้คุ้มกันของเขา
“เขาเป็นใครกัน ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
“ท่านพี่ของข้าเอง”
อ้อ องค์ชายห้านั่นเอง
ฟู่เสี่ยวกวนจำได้ว่าขันทีเจี่ยเคยกล่าวไว้ ทางที่ดีควรไปเข้าเฝ้าองค์ชายห้า เขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่ ?
เยี่ยนซีเหวินก็รู้จักองค์ชายห้า แต่เขาก็มิเข้าใจเอาเสียจริงว่าวันนี้คือวันอะไร องค์หญิงเก้าเดินทางมาที่นี่ ต่อจากนั้นองค์ชายห้าก็ตามมา เดิมทีคิดว่าวันรุ่งขึ้นตนจะต้องเดินทางไปจากเมืองหลวงแล้ว ค่ำคืนนี้เขาจะมาดื่มสุราและประพันธ์บทกวีและเชิญให้แม่นางเสวี่ยเฟยเฟยขับร้องเสียหน่อย แต่มองดูแล้วคงมิได้ อีกทั้งที่แห่งนี้ยังมีผู้มากความสามารถด้านกวีอย่างฟู่เสี่ยวกวนอยู่ด้วย
ตนอย่าได้ทำการใดเพื่อให้ตัวเองขายหน้าเลย
ไม่นานต่อมา เสียงกู่เจิงก็ดังขึ้น
หลังม่านนั้นปรากฏสตรีชุดสีแดงย่างกรายออกมา นางสูงกว่าเสวี่ยเฟยเฟยเล็กน้อย หน้าตาดูดี นางแบกดาบเอาไว้ที่ด้านหลัง มองไปแล้วช่างมีเสน่ห์
“ข้าน้อย หลิ่วเยียนเอ๋อร์” นางมองมายังฟู่เสี่ยวกวนและกล่าวว่า “เยียนเอ๋อร์จะขอขับร้องบทกวีคิ้วแข็งโค้ง คุณชายโปรดให้คำชี้แนะด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง หากกล่าวอะไรไปมากอาจทำให้เดือดร้อนได้ ดังนั้นอยู่นิ่ง ๆจะดีกว่า
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจนิ่งเงียบไม่กล่าวคำใดออกมา ไม่ว่ากวีคิ้วแข็งโค้งนี้จะร้องออกมาเป็นเยี่ยงไร เขาก็จะกล่าวเพียงคำว่าดีเท่านั้น !
หลิ่วเยียนเอ๋อร์ปลดดาบของนางออก บ่าวรับใช้นำกู่เจิงถือเข้ามา มิใช่หนึ่งเครื่อง แต่เป็นสามเครื่อง
หลิ่วเยียนเอ๋อร์นั่งลง จัดระเบียบเสื้อผ้า นิ้วของนางวางลงบนสาย “ตึ๊ง……” เสียงเพลงเริ่มบรรเลงขึ้น
องค์ชายห้านำมือลูบคาง เขามิได้มองหลิ่วเยียนเอ๋อร์ แต่กลับมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน
เขาก็คือฟู่เสี่ยวกวน !
หน้าตาใช้ได้ ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นเป็นพิเศษ น้องสาวของเขานั้นแต่เดิมเป็นพวกหัวสูง แต่ครานี้ตาบอดหรือไงกัน ?
น่าจะมิใช่ เจ้านั่นมีความรู้อยู่มิน้อย คาดว่าน้องสาวคงจะถูกความสามารถของเขาดึงดูด เสด็จแม่เองก็มิรู้ว่าเป็นอะไรไป กำชับให้เราเรียนรู้จากเขาอีก !
จะให้เรียนอะไรจากเขางั้นหรือ ?
ศึกษาหาความรู้จากตำรา ?
สิ่งนี้มิน่าเป็นไปได้ เสด็จแม่รู้ดีว่าเขาเป็นคนอย่างไร
เขาเก็บสายตากลับมา ยกจอกสุราขึ้นดื่มแล้วมองไปยังหลิ่วเยียนเอ๋อร์
หลิ่วเยียนเอ๋อร์เอ่ยปากร้อง “หนึ่งนั้นคือดอกผกาลั่งเยวี่ยน อีกหนึ่งนั้นคือหยกงามไร้ที่ติ……” เมื่อสิ้นเสียงขับร้อง นางจึงลุกขึ้นอย่างช้า ๆ
แต่กู่เจิงอีกสองเครื่องยังคงบรรเลงอยู่ นางย่างกรายไปทางผู้ชมและร่ายรำไปตามทำนองเพลง ชุดสีแดงพริ้วไสว ช่างงดงามยิ่ง
ทำนองเพลงนี้ต่างจากในชาติก่อน ฟู่เสี่ยวกวนทำการเปรียบเทียบกันแล้วรู้สึกว่าไม่น่าฟังเหมือนในชาติที่แล้ว แต่ระบำนี้ช่างน่าดูนัก หลิ่วเยียนเอ๋อร์คงจะฝึกฝนกังฟูมาก่อน เอวนางอ่อนช้อยแต่มีพลัง
ดังนั้นผู้คนจำนวนมากต่างก็จ้องนางตาไม่กะพริบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยามหน้าท้องถูกเปิดขึ้นเป็นระยะ ยามเต้นตามลีลา ชายหนุ่มมากมายล้วนจ้องตาเป็นมัน
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไป เขาเพียงแค่รับชมเท่านั้น
เมื่อสิ้นเสียงบรรเลง หลิ่วเยียนเอ๋อร์ก็จบการร่ายรำลง นางยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนโดยมิกล่าวคำใด
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ปรบมือหรือเอ่ยคำใดเช่นกัน
ผ่านไปหลายวินาทีจึงมีเสียงปรบมือดังขึ้น อ้อ ที่แท้ควรต้องทำเช่นนี้ ฟู่เสี่ยวกวนเพียงแต่มิเข้าใจว่าเหตุใดต้องรอให้ผ่านไปหลายวินาทีกัน
“คุณชายฟู่ หลิ่วเยียนเอ๋อร์ร้องเป็นอย่างไรบ้าง ? ”
เอาละ มาแล้ว ! จางเหวินฮั่นเองก็คิดเช่นนี้อยู่ในใจ คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเอ่ยออกมาเพียง “เยี่ยม ! ”
“จริงหรือ ?”
“แน่นอน”
ฟู่เสี่ยวกวนเบิกตากว้าง ข้ามิได้กล่าวว่าเยี่ยมไปแล้วหรือไร ?
“เยียนเอ๋อร์ฝึกขับร้องตั้งแต่อายุ 3 ปี ฝึกกังฟูอายุ 4 ปี ฝึกดาบอายุ 5 ปี บัดนี้ 16 ปีแต่ยังไร้จุดหมาย โชคดีที่ท่านหูต้าเจียรับเลี้ยงไว้ เมื่อได้ยินกวีคิ้วแข็งโค้งนี้เป็นคราแรกก็รู้สึกชื่นชอบนัก จึงได้ฝึกฝนระบำให้เข้ากับจังหวะทำนองเพลง เยียนเอ๋อร์เพียงแต่ต้องการให้คุณชายฟู่ได้ติชม เพียงแต่…คุณชายหาได้ให้คำแนะนำไม่ เยียนเอ๋อร์ไม่มีความสามารถพอ มิเหมือนท่านพี่เฟยเฟย”
เยียนเอ๋อร์กล่าวด้วยท่าทีเศร้าโศก บรรดาผู้คนอื่นก็เริ่มไม่พอใจ นางได้อ้อนวอนร้องขอถึงเพียงนี้ เหตุใดฟู่เสี่ยวกวนเจ้าไม่แนะนำสิ่งใดแก่นางสักหน่อย ?
หลิ่วเยียนเอ๋อร์ขับร้องได้ดีเยี่ยม นางจะเข้าตาฟู่เสี่ยวกวนจริง ๆ งั้นหรือ ?
แม้แต่องค์ชายห้าเองก็รู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนเย่อหยิ่งไปเสียหน่อยหรือไม่ ?
ฟู่เสี่ยวกวนไม่รู้จะทำเยี่ยงไร จึงได้ลุกขึ้น
“เจ้านั้นขับร้องได้ไพเราะยิ่ง จะให้ข้าตำหนินั้นคงมิอาจกล่าวออกมาได้”
“หากคุณชายมิอาจพูดออกมาได้ เช่นนั้นก็ขับร้องออกมาเป็นไร ? ” คำพูดของหลิ่วเยียนเอ๋อร์บัดนี้ดูเปลี่ยนไป
“ขับร้อง ! ขับร้อง ! ฟู่เสี่ยวกวน ! ”
พวกเขาเหล่านี้นึกสนุกอะไรกัน !
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานเองก็เช่นกัน พวกนางมิเคยได้ยินฟู่เสี่ยวกวนขับร้องเพลงมาก่อน
“เจ้าจะไม่ร้องสักหน่อยหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มอย่างขมขื่น แต่องค์ชายห้ากลับยิ้มอย่างมีความสุขยิ่ง
อยากรู้เสียจริงว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไป !
ตอนที่ 123 ร้องได้ไม่เลว
ก่อนจะโหมโรง ทุกคนที่นั่งอยู่นั่นต่างก็ตั้งใจฟัง ในเวลานี้นอกจากเสียงฉินแล้วก็มิมีเสียงอื่น
มิใช่ ยังมีเสียงทานข้าวของฟู่เสี่ยวกวน แต่มิไม่ดังมากนัก จึงมิส่งผลกระทบต่อผู้อื่น
เสวี่ยเฟยเฟยหันมองไปทางฟู่เสี่ยวกวนอีกครั้ง คุณชายผู้นั้นก็ยังคงทานอยู่ ราวกับว่าเขามาที่นี่ก็เพื่อทานเท่านั้น !
หลังจากโหมโรงเสร็จ เสวี่ยเฟยเฟยก็เริ่มร้องเพลง
“จันทร์สกาวเช่นนี้มีเมื่อใด ถือถ้วยสุราถามฟ้าคราม…”
ในเวลานั้นเองฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เงยหน้าขึ้นมาเหลือบมอง ร้องบทกวีที่ข้าเป็นผู้ประพันธ์นี่ ข้าสามารถเก็บค่าลิขสิทธิ์ดีหรือไม่?… ถือว่าร้องได้ดี หากมีวิธีการร้องแบบโลกก่อนคงจะดียิ่งขึ้น
ในที่สุดใบหน้าของเสวี่ยเฟยเฟยก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมา และในที่สุดคุณชายผู้นั้นก็ถูกเสียงร้องของข้าดึงดูดความสนใจ หลังจากนั้น…
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงก้มหน้าทานข้าว ทั้งยังตักซุปมาหนึ่งถ้วย
เสวี่ยเฟยเฟยเริ่มจะอารมณ์เสียแล้ว คนผู้นี้กำลังหาเรื่องกันอยู่อย่างนั้นหรือ ?
ในฐานะหัวหน้าสาวงามแห่งเมืองหลวง เสวี่ยเฟยเฟยมีความมั่นใจต่อรูปลักษณ์และพรสวรรค์ของตนอย่างถึงที่สุด ไม่ว่าเมื่อใด ขอเพียงนางยืนอยู่ในสถานที่แห่งนี้ นางก็เป็นที่จับจ้องของทุกสายตา ขอเพียงนางขับร้อง นางก็จะเป็นราชินีของที่นี่ !
แต่ในตอนนี้กลับมีคนท้าทายอำนาจของนาง และกำลังดูหมิ่นศักดิ์ศรีของนาง นี่ไม่เห็นนางอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ !
ความผิดแปลกของเสวี่ยเฟยเฟยดึงดูดความสนใจของคนบางคนได้ เยี่ยนซีเหวินเองก็รับรู้ได้ จึงมองไปตามสายตาของเสวี่ยเฟยเฟย เขาจึงเห็นฟู่เสี่ยวกวน
คนผู้นี้… อยากทานมากนักก็ไปทานที่หอซื่อฟางไป ของที่นี่มีอะไรที่อร่อยกัน ?
เสวี่ยเฟยเฟยเสียงเพี้ยน นั่นทำให้นางอับอายเล็กน้อย นางจึงรีบสงบจิตสงบใจ และไม่มองไปทางฟู่เสี่ยวกวนอีก
ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบ ทั้งยังฟังไม่เข้าใจ ในตอนนี้ได้ทานจนอิ่มแล้ว ดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมา เอ๊ะ พวกเจ้ามองข้าทำไมกัน ?
เขาสบสายตากับคนเหล่านั้น ปะทะไปตรง ๆ สายตาเหล่านั้นมองมาที่เขาอย่างไม่พอใจ ข้าเพียงทานข้าวเท่านั้นมิใช่รึ ข้าไปยั่วโมโหพวกเจ้าเมื่อใดกัน ?
จางเหวินฮั่นเหลือบมอง แท้จริงแล้ว คนผู้นี้เหมือนว่าจะสร้างปัญหาอีกคราเสียแล้ว
เสวี่ยเฟยเฟยพยายามทำให้ตนเองสงบสติอารมณ์ลงมา และไม่ไขว้เขวไปกับชายผู้นั้นอีก มือเรียวของนางลูบไล้ฉิน พร้อมร่ายรำไปพร้อมกัน ชายเสื้อยาวปลิวไสว รูปร่างที่อ่อนช้อยนั้นราวกับนางสวรรค์
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าการเต้นรำนี้ดูดีอย่างยิ่ง ราวกับภาพบุคคลบินบนฟ้าบนจิตรกรรมฝาผนังที่ตุนหวงก็ไม่ปาน
“วนรอบศาลาสีแดงสด รอดต่ำผ่านรอยแกะสลักบนหน้าต่าง ส่องสว่างผู้ที่ยังมิหลับใหล…”
เสียงขับร้องดังขึ้นมาอีกครา ไพเราะเสนาะหู สายตาเหล่านั้นผละไปจากฟู่เสี่ยวกวน สายตาทั้งหมดต่างก็ตกอยู่ที่เสวี่ยเฟยเฟย
ในยามที่เสวี่ยเฟยเฟยหันกลับไปมองหางตาก็เหลือบมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนกำลังมองนาง และบนใบหน้านั้นก็มีรอยยิ้มประดับอยู่ เยี่ยงนี้ก็ถูกต้องแล้ว แบบนี้จึงเหมือนชายหนุ่มคนหนึ่ง บุรุษในใต้หล้านั้นต่างเป็นเช่นเดียวกัน เสวี่ยเฟยเฟยเชิดคางขึ้นด้วยความลำพองใจ เสียงฉินบรรเลงประสานกับเสียงร้อง การร่ายรำเปลี่ยนไปนุ่มนวล ร่างกายนั้นราวกับต้นหลิวอ่อนแอที่ปลิวไหวอย่างเชื่องช้าไปตามสายลม
“เพียงหวังผู้คนอายุยืนยาว แม้ห่างกันพันลี้ ร่วมกันชมจันทร์งาม…”
เนื้อเพลงสุดท้ายได้กล่าวออกไป เสียงฉินค่อย ๆ แผ่วเบา เสวี่ยเฟยเฟยโอบฉินเอาไว้ในขณะที่ยืน เป็นเสียงที่ไพเราะจนยากที่จะลืมเลือน
เต็มไปด้วยความงดงาม ทุกคนต่างมัวเมาไปกับทำนองเพลงนี้ และกำลังซึมซับรสสัมผัสที่มีเสน่ห์นี้โดยละเอียด แต่แล้วก็มีเสียงดังขึ้นมา เยี่ยม ! เยี่ยมมาก !
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวชมพลางปรบมือ หลังจากนั้นก็เหลือบมอง… เอ๊ะ คนเหล่านี้โง่หรือไม่ สตรีผู้นี้ร่ายรำและขับร้องได้ไม่เลวเลย เหตุใดจึงมิมีผู้ใดปรบมือกัน?
จางเหวินฮั่นตบหน้าผาก บรรยากาศวิเศษเยี่ยงนี้ดันถูกเจ้านั่นทำลายลงไปแล้ว ยอดเยี่ยมจริง ๆ
ทุกคนต่างหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน มันเป็นใครกัน ? เข้าใจสัมผัสทางดนตรีหรือไม่ ? เข้าใจการชื่นชมหรือไม่ ?
เสวี่ยเฟยเฟยระงับความเดือดดาลภายในอกไว้ และเดินไปทางฟู่เสี่ยวกวน “คุณชายคิดว่าข้าบรรเลงได้มิดีหรือเจ้าคะ?”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก “เปล่า ก็ดี”
“เยี่ยงนั้นแล้วคุณชายกำลังคิดว่าข้าร้องได้ไม่ดีหรือเจ้าคะ?”
มิใช่ ข้าปรบมือให้เจ้านะ หรือว่าเจตนาที่ดีนี้จะถูกแปลเป็นเจตนาร้ายกัน?
“ถือว่าร้องได้ไม่เลว”
ให้ตายเถอะ ชายผู้นี้ปากดีเสียจริง !
ฟางเหวินซิงอารมณ์ไม่ดี เสวี่ยเฟยเฟยเป็นถึงนักร้องสาวอันดับหนึ่งของเมืองหลวง บทเพลงทำนองเพลงสายน้ำนี้อาจารย์หูเป็นผู้เรียบเรียงทำนองด้วยตนเอง และเสวี่ยเฟยเฟยก็เป็นนักร้องหลักเพียงหนึ่งเดียว แต่คนผู้นี้กลับกล่าวว่าร้องได้ไม่เลวเท่านั้น !
เสวี่ยเฟยเฟยเองก็ตกตะลึง เป็นเวลาสองเดือนที่ตัวนางร้องได้ขับร้องทำนองเพลงสายน้ำ เป็นหนึ่งบทเพลงที่ตนเองต้องขับร้องในทุกคืน ได้รับคำชมจากผู้คนมานับไม่ถ้วน แต่เขากลับกล่าวว่าก็ไม่เลว!
เพียงแค่ไม่เลวเยี่ยงนั้นรึ !
“เยี่ยงนั้นคุณชายคิดว่าขับร้องอย่างไรจึงจะถือว่าเป็นการร้องที่ดีเยี่ยมเจ้าคะ” ?
นี่คือการทดสอบข้ารึ ?
ฟู่เสี่ยวกวนจะเข้าใจสัมผัสทางดนตรีได้ที่ไหนกัน เขาเพียงตั้งใจฟังอย่างรื่นหูเท่านั้น แต่เขาก็ยังคงยิ้ม และกล่าวว่า “เจ้ามิเข้าใจความหมายของบทกวี บทกวีนี้คือจินตนาการของผู้ประพันธ์ที่มีต่อพระจันทร์ในตอนที่กำลังดื่มสุราในค่ำคืนวันไหว้พระจันทร์”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวพร้อมกับลุกขึ้นยืน เยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ รู้ดีว่านี่คือบทกวีที่เขาเป็นผู้ประพันธ์ และในตอนนี้เขากำลังจะพูดถึงความรู้สึกในตอนที่ประพันธ์บทกวีนี้ขึ้นมา ดังนั้นพวกเขาจึงตั้งใจฟังอย่างยิ่ง
“จันทร์สกาวเช่นนี้มีเมื่อใด ถือถ้วยสุราถามฟ้าคราม” ฟู่เสี่ยวกวนยกจอกสุราบนโต๊ะขึ้นมาอย่างเชื่องช้า “ไม่ทราบว่าในวังสวรรค์คืนนี้เป็นปีใด หมายถึงในยามนั้นจิตใจของผู้ประพันธ์กำลังไหวหวั่น ในเวลานั้นภายในจิตใจของผู้ประพันธ์ค่อนข้างแห้งเหี่ยว ดังนั้นถึงได้เอ่ยถามฟ้าคราม ข้าคิดจะเหินลมกลับไป แต่เกรงว่าวังงามดุจหยก สูงหนาวเสียจนทนมิได้ ในยามนั้นผู้ประพันธ์ได้เมามาย จึงอยากจะขึ้นไปบนฟ้า แต่ก็รู้สึกว่าดวงจันทร์ที่สว่างไสวนั้นช่างไกลเหลือเกิน คิดได้ว่าบนนั้นคงหนาวเหน็บ ในยามนั้นภายในจิตใจของผู้ประพันธ์เกิดความขัดแย้ง อยากจะโผบินแต่ก็มิกล้า ประจักษ์อยู่ในเสียงเพลง จุดนี้ควรจะร้องซ้ำ แต่มิใช่ยืดคอและร้องออกมาเสียงดัง”
“ท่อนล่างนั้นต้องการเขียนถึงอารมณ์ของการพลัดพราก อารมณ์นี้ต้องใช้เสียงต่ำ ผู้ประพันธ์เอ่ยถามจันทรา คนเรามีทุกข์ มีสุข มีพบ มีพราก จันทร์มีมืด มีสว่าง มีเต็ม มีเสี้ยว เป็นเช่นนี้มาแต่โบราณ มิอาจสมบูรณ์พร้อม นี่คือผลลัพธ์ของการถามจันทร์ ผลลัพธ์ย่อมมิสวยงาม หลังจากนั้นจึงได้มี เพียงหวังผู้คนอายุยืนยาว แม้ห่างกันพันลี้ ร่วมกันชมจันทร์งาม นี่คือจินตนาการภายในใจของผู้ประพันธ์ แม้จะห่างไกลกันพันลี้ แต่ก็ยังสามารถชื่นชมความงามของจันทราดวงเดียวกันได้”
“ข้าคิดว่า ท่อนบนนั้นผู้ประพันธ์คงเมามาย จิตใจที่ค่อนข้างกล้าหาญจึงอยากจะเอ่ยถามจันทร์ทั้งยังอยากบินขึ้นไป ในคำร้องตรงนี้ต้องการแสดงถึงความรู้สึกที่บ้าคลั่งและมิปล่อยวาง จนกระทั่งสูงหนาวเสียจนทนทานมิได้ ทำนองตรงนี้ควรจะปรับให้ต่ำลง เพราะเขาหวาดกลัว ไหนเลยจะเหมือนอยู่บนโลกมนุษย์ ประโยคนี้คล้องจองกับท่อนด้านบน ผู้ประพันธ์ต้องการยืมสุรามาร่ายรำ ท่ามกลางความมึนงงรู้สึกเหมือนตนเองมิได้อยู่ในโลกมนุษย์อีกต่อไป เยี่ยงนั้นแล้วในบทเพลงควรแสดงออกมาเยี่ยงไร ข้าคิดว่าการร่ายรำในตรงนี้ควรจะเป็นอิสระมากกว่านี้ ส่วนเสียงร้องนั้นควรจะค่อย ๆ เลือนหายไป”
“ก็โดยประมาณนี้ แต่เจ้าก็ถือว่าร้องได้ไม่เลวแล้ว ทำนองเพลงก็เรียบเรียงได้ไม่เลว หากเจ้าดื่มสุรามาก ๆ และมาร้องอีกครา คาดว่าจะดียิ่งขึ้น”
ฟู่เสี่ยวกวนแสดงความคิดเห็นไปอย่างชัดแจ้ง ไม่เพียงแต่จะทำให้เสวี่ยเฟยเฟยตื่นตะลึง ทั้งยังทำให้แขกทั้งชั้นสามนี้สงบลงได้
คนผู้นี้คือใครกัน ?
กล่าวได้อย่างสมเหตุสมผลอยู่เล็กน้อย !
ในยามที่เขาประพันธ์บทกวีนี้เขาได้ดื่มจนเมามายแล้ว สิ่งที่เขาคิดไว้แต่เดิมคือข้าและเขากำลังชื่นชมดวงจันทร์ดวงเดียวกันในระยะที่ห่างกันไกลถึงพันลี้
ดวงตาของพวกเราสบกันบนดวงจันทร์ เป็นการเฝ้ามองซึ่งกันและกัน
ในยามนี้เอง อาจารย์หูฉินหูก็เดินเข้ามา
นางหันมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“เจ้าคือฟู่เสี่ยวกวน ! ”
นางมิได้ถาม แต่มั่นใจอย่างยิ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ยกยิ้ม และก้าวไปข้างหน้า และคารวะอย่างนอบน้อม “คารวะอาจารย์หู ! ”
ตอนที่ 122 หงซิ่วจาว
ค่ำคืนแห่งฤดูใบไม้ร่วง อากาศหนาวเย็น ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว ถนนสายยาวครึกครื้นมีชีวิตชีวา แม่น้ำฉินหวายมีหมอกลงบาง ๆ สายลมพัดคลื่นไอเย็นเข้ามาที่ใบ้หน้าเป็นระลอก
พวกเขาทั้งห้าคนล่องเรือลำเล็กเพื่อขึ้นไปยังหงซิ่วจาวเสียงเพลงบรรเลงไพเราะ กลิ่นสุราหอมหวนเย้ายวนใจ
เมื่อพวกเขาก้าวข้ามบันไดเรือ ก็มีสาวงามเดินมาต้อนรับพวกเขาและเอ่ยว่า “คุณชายและคุณหนูจะไปที่ชั้นไหนคะ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนไม่เข้าใจ เขาหันไปมองหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลาน
หยูเวิ่นหวินตอบว่า “ชั้นสาม”
สตรีนางนั้นยื่นมือออกมาแล้วกล่าวว่า “ขอเชิญพวกท่านตามเสี่ยวชุ่ยมาด้านนี้เถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยขึ้นว่า “ที่แห่งนี้มีอะไรพิเศษหรือ ?”
“ที่ชั้นหนึ่งโดยส่วนมากจะมาดื่มสุราและชมการแสดง แต่มิใช่เสวี่ยเฟยเฟยและหลิ่วเยียนเอ๋อร์ ชั้นสองนั้นไม่มีห้องกั้น เป็นสถานที่ดื่มสุราชิมชาและพูดคุยกัน ส่วนชั้นสามนั้นเป็นชั้นที่ดีที่สุดในหงซิ่วจาว หากต้องการดูเสวี่ยเฟยเฟยร้องระบำก็จะต้องมายังชั้นนี้ ได้ยินมาว่าผู้ที่มาใหม่ นามหลิ่วเยียนเอ๋อร์มีความสามารถทั้งร่ายรำและฟันดาบ ในเมื่อเดินทางมาแล้วก็ควรขึ้นไปดูสักหน่อย” หยูเวิ่นหวินเอ่ยแนะนำ
ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เข้าใจ และเอ่ยถามต่อว่า “เช่นนั้นที่ชั้นสามมีอาหารกินหรือไม่ ? ”
“แน่นอน ! นี่เป็นรายได้ส่วนมากของหงซิ่วจาวทีเดียว”
ถ้าเช่นนั้นก็ดี เขาเริ่มหิวขึ้นมาแล้ว
เมื่อขึ้นไปยังชั้นสาม สตรีนางนั้นนำมือปัดม่านลูกปัดให้เป็นทาง ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ เดินเข้าไปด้านใน พวกเขาพบว่ามีหลายคนที่รู้จักนั่งอยู่ด้วย
เยี่ยนซีเหวิน เยี่ยนเสี่ยวโหลว ฟางเหวินซิง โจวเทียนโย่วและอันลิ่วเย่
บรรดาเยี่ยนซีเหวินก็มองมายังพวกเขาเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายต่างก็แสดงสีหน้าตกตะลึง ไม่คาดคิดว่าจะเจอกันที่นี่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยี่ยนซีเหวิน เมื่อเขามองไปยังฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็มองไปยังต่งชูหลาน ในที่สุดเขาก็มั่นใจว่าชายที่ต่งชูหลานชอบพอนั้นคือฟู่เสี่ยวกวนจริง ๆ
จากนั้นเมื่อเขามองไปยังหยูเวิ่นหวินแล้วก็มีท่าทีตกใจ เหตุใดองค์หญิงเก้าจึงได้มากับพวกเขาเหล่านี้กัน
ในขณะที่เขากำลังจะลุกขึ้นถวายบังคมองค์หญิงเก้า หยูเวิ่นหวินก็โบกมือห้าม
พวกเยี่ยนซีเหวินรู้สึกอึดอัดใจยิ่ง !
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับไม่มีท่าทีใด ๆ เขาโบกไม้โบกมือทักทายเยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ อย่างเป็นมิตร อีกทั้งยังถามขึ้นว่า “พวกเจ้ากินอะไรแล้วหรือยัง ? ”
เยี่ยนซีเหวินนึกในใจว่า พวกเขามาดื่มสุราและฟังเพลงที่นี่ แน่นอนว่าต้องกินแล้ว นี่มันมิใช่คำถามไร้สาระหรือ
เขาพยักหน้า ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มและเอ่ยต่อไปว่า “พวกเรายังมิได้กิน หรือว่า…พวกเรากินร่วมกันอีกสักหน่อยดีหรือไม่ ? ”
เยี่ยนซีเหวินไม่เข้าใจความรู้สึกที่ตนมีต่อฟู่เสี่ยวกวนเท่าใดนัก เขาชื่นชมในความสามารถของฟู่เสี่ยวกวน แต่ก็โกรธเคืองที่แย่งแม่นางต่งชูหลานไปจากเขา เขาชื่นชมการปฏิบัติตนของฟู่เสี่ยวกวน แต่ก็ช่างเกลียดใบหน้าอันหยิ่งผยองของเขาเสียเหลือเกิน
บัดนี้ที่เขามองเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของฟู่เสี่ยวกวนยิ่งทำให้ไม่พอใจ แต่ก็ยังคงโค้งรับและเอ่ยตามมารยาทว่า “พวกเรากินเรียบร้อยแล้ว พวกท่านเชิญตามสบาย”
“ถ้าเช่นนั้นข้าไม่เกรงใจละนะ” ทั้งห้าคนนั่งลงและเอ่ยว่า “เอาอาหารแนะนำของที่นี่สิบอย่าง สุราสองชั่ง ข้าวสวยมากหน่อย”
สตรีผู้นั้นกล่าวว่า “คุณชายเจ้าคะ ไม่มีข้าวสวย”
“เอ่อ……เช่นนั้นเอาเส้นหมี่สักสองเหลี่ยง ? ”
“ขออภัยเจ้าค่ะ ไม่มีเส้นหมี่”
ฟู่เสี่ยวกวนงุนงง เขาเอ่ยถามไปว่า “ถ้าเช่นนั้นมีอะไรที่ทำให้กินแล้วอิ่มท้องได้บ้าง ?”
“บัวลอยข้าวเหนียวใส่ไข่”
“ตกลง เอามาคนละหนึ่งชาม”
จางเหวินฮั่นมองดูฟู่เสี่ยวกวน ในใจนึกไปว่าเขาช่างไม่รู้จักมารยาทเสียจริง จังหวะพอดีที่ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้น พบว่าจางเหวินฮั่นมองตนอยู่ จึงรีบเอ่ยถามขึ้นมาว่า “รับสักชามไหม ?”
จะบ้าหรือไร !
จางเหวินฮั่นหันหน้าหลบสายเขาและโบกมือว่า “ขอบคุณ”
จางเหวินฮั่นรู้ว่าฝ่าบาททรงมองตำแหน่งจิ้นซื่อแก่ฟู่เสี่ยวกวน อีกทั้งตำแหน่งฉาวซ่านต้าฟูด้วย ทำให้เขานอนไม่หลับทั้งคืน
เขาเคยเป็นคุณชายที่ใช้ชีวิตเสเพลไปวัน ๆ ไม่มีความรู้ความสามารถใด ๆ แม้แต่น้อย ก่อนหน้านี้ตนไม่เคยเห็นเขาในสายตา แต่ผ่านไปเพียงครึ่งปีเท่านั้น เขาได้เปลี่ยนแปลงตนไปเหมือนคนละคน กระทั่งฝ่าบาทยังทรงชื่นชอบเขา สิ่งนี้ทำให้จางเหวินฮั่นมิอาจจะรับได้ !
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะสิ่งใดกันแน่ ?
จางเหวินฮั่นได้แต่เฝ้าถามตัวเองว่าเพราะเหตุใด เหตุใดเขามิต้องเข้าสอบคัดเลือกก็สามารถเป็นจิ้นซื่อได้ ?
เหตุใดเขาจึงได้รับความรักจากแม่นางต่งชูหลาน ?
เหตุใดฝ่าบาทจึงได้มอบตำแหน่งทางราชการให้แก่เขา ?
สิ่งที่ตนพยายามอย่างยิ่งมาทั้งชีวิต เหตุใดเขาจึงได้มาอย่างง่ายดาย ?
โลกนี้ช่างไม่ยุติธรรมเสียจริง !
ในวันรุ่งขึ้น เขาจะต้องเดินทางกลับหลินเจียงเพื่อรอสำนักพระราชวังหลวงเรียกตัว ซึ่งมิอาจคาดเดาได้ว่าต้องรออีกกี่ปี
ในวันรุ่งขึ้น เยี่ยนซีเหวินก็จะเดินทางไปหลินเจียงเช่นกัน เขาต้องไปรับผิดชอบหน้าที่ที่อำเภอเหยา
ในค่ำคืนนี้พวกเขามาเพื่ออำลาเยี่ยนซีเหวิน คาดไม่ถึงว่าจะพบกับฟู่เสี่ยวกวน
เขาสัมผัสได้ว่าการพบปะกับฟู่เสี่ยวกวนมิใช่เรื่องดี คนผู้นั้นเปรียบเสมือนความโชคร้าย หวังว่าจะไม่เกิดเรื่องร้ายใด ๆ ขึ้นก็เพียงพอ
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับมิได้คิดใด ๆ เพียงประหลาดใจที่ว่าจะมีผู้ขับร้องบรรเลงมิใช่หรือ ? นักร้องเล่า ?
อาหารและสุรานำมาวางไว้เรียบร้อย ทั้งห้าคนก็เริ่มลงมือรับประทาน
ผู้คนยังขึ้นมามิขาดสายกระทั่งที่นั่งในชั้นสามเต็ม แต่ทุกคนล้วนพูดคุยกันเสียงเบา ทุกคนล้วนมีมารยาทในที่สาธารณะ สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจยิ่ง
แต่นางก็ยังแปลกใจมิคลาย นางสงสัยนักว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนอายุน้อยเพียงนี้สามารถเขียนหนังสือความฝันในหอแดงได้ ?
เนื้อหาในหนังสือกล่าวว่า ณ จวนเจี่ยได้มีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่เมื่อนึกคิดดูก็แฝงไปด้วยความรู้และแนวทางในการปฏิบัติตน
ฟู่เสี่ยวกวนอายุได้เพียง 17 ปี แต่กลับมีความรู้ราวอายุ 70 ปี เขารับรู้ได้เกี่ยวกับความซับซ้อนในความสัมพันธ์ของมนุษย์ แม้แต่ท่านปู่เองก็ยังต้องยอมรับ
เดิมทีนางคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นหลงใหลในการเรียน แต่คาดไม่ถึงว่านโยบายการบรรเทาสาธารณภัยนั้นเขาจะเป็นผู้ร่างมันขึ้นมา เมื่อท่านปู่กลับมากล่าวและอธิบายให้นางฟัง นางจึงได้เข้าใจและยกย่องความคิดนั้น
ท่านปู่ยังกล่าวว่าเขาเขียนนโยบายเกี่ยวกับสงคราม แม้ว่านโยบายนี้มิได้หยิบนำมาใช้ แต่ท่านปู่กลับให้ท่านลุงเยี่ยนซือเต้าคัดลอกไว้ฉบับหนึ่งและส่งไปให้เยี่ยนฮ้าวชูผู้เป็นพ่อ และแนะนำให้ลองปฏิบัติตาม
มองดูแล้วแนวความคิดของเขาน่าจะเกิดประโยชน์
เขามีความรู้ทั้งด้านวรรณกรรมและการทหาร เขาผู้นี้เก่งกาจจริงอย่างนั้นหรือ ?
ในขณะที่เยี่ยนเสี่ยวโหลวกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หงซิ่วจาวก็ได้เปิดม่านออก
เสียงดนตรีบรรเลงขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองก็พบว่ามีสตรีนางหนึ่งในมือถือพิณเดินออกมาอย่างช้าๆ
สตรีนางนี้หน้าตารูปร่างไม่เลวทีเดียว นี่คือความรู้สึกที่ฟู่เสี่ยวกวนมีต่อเสวี่ยเฟยเฟยหลังจากพบกันครั้งแรก
หลังจากนั้นเขาก็ก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อยต่อไป ก็เพียงแค่หน้าตาดูดี แน่นอนว่าเทียบมิได้กับแม่นางต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน ดังนั้นเขาจึงมิได้ใส่ใจนัก
หากแต่แม่นางเสวี่ยเฟยเฟย เมื่อมองออกไปพบว่าผู้คนล้วนถูกเสียงเพลงของนางดึงดูด เอ๋ ! เหตุใดยังมีคุณชายท่านหนึ่งก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารอยู่กัน !
เหตุการณ์เช่นนี้มีไม่บ่อยนัก ผู้ที่ขึ้นมายังชั้นสามมักจ่ายเงินจำนวนมาก ทั้งนี้เพื่อมาชมการแสดงของตน แต่คุณชายท่านนี้กลับแตกต่าง !
ดังนั้นนางจึงได้เริ่มบรรเลงบทเพลงทำนองแห่งสายน้ำขึ้น
ตอนที่ 121 นางฟ้าสะพานนกกางเขน
หลังจากทำความคุ้นเคยกับเมืองหลวงได้ครึ่งเดือน ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เข้าใจขึ้นมาหนึ่งเรื่อง ไม่ว่าเขาจะไปหรือไม่ไปวังหลวง ก็มิมีผลกระทบอันใดทั้งสิ้น
เพราะเขาเป็นเหวินซ่านกวน ไม่ว่าจะกั๋วจื่อเจี้ยนหรือกรมคลัง เขาก็มิต้องรอฟังคำสั่งทั้งสิ้น หรือกล่าวได้ว่า มิมีใครสามารถควบคุมเขาได้โดยสิ้นเชิง
หลังจากนั้นเขาก็ได้ไปทำความเข้าใจกับเหวินซ่านกวนอีกคน และได้รับการยืนยันมา ดังนั้นเขาจึงเข้าวังหลวงไปเดินรอบ ๆ เป็นครั้งคราว หลังจากนั้นก็กลับไปยังโรงเตี๊ยม
จวนหลังใหญ่ที่ทะเลสาบซวนอู่นั้นกำลังดำเนินการปรับปรุงอย่างเต็มกำลัง ตามความคืบหน้าในตอนนี้ คาดว่าน่าจะแล้วเสร็จปลายเดือนสิบ และเหลือเวลาอีกเพียงครึ่งเดือน แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับมิได้รีบร้อนอันใด
ในยามนี้ท้องฟ้ามืดมิดแล้ว เขานั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะและอ่านจดหมายตอบกลับของฟู่ต้ากวน
“บุตรชายของข้ายอดเยี่ยมยิ่ง ! พ่อรู้สึกตื่นเต้นอย่างหาที่สุดมิได้ คิดว่านี่คือพรจากมารดาของเจ้าที่อยู่บนชั้นฟ้า พ่อได้ไปสุสานของมารดาเจ้า และเผากระดาษเงินไปให้นางอีกเล็กน้อย
การแต่งงานใหม่ของพ่อเจ็บปวดแต่ก็มีความสุข ราวกับว่าได้อ่อนเยาว์ลงไปอีกหลายปี แต่กระดูกกระเดี้ยวนั้นรับมิไหวแล้ว ดังนั้นจึงซื้อโสมมาเป็นจำนวนมาก และส่งไปให้เจ้าเล็กน้อย บุตรชายเอ๋ย การเตรียมตัวไว้ล่วงหน้าย่อมดีกว่า
ฉีซื่อคลอดแล้ว เป็นเด็กหญิง เหมือนว่านางจะมิชอบเท่าใด แต่พ่อชอบอย่างมาก หวังว่าเจ้าจะรักและเอ็นดูน้องสาวผู้นี้
ข้าไปที่ซีซานมา ดังนั้นจึงส่งจดหมายตอบกลับเจ้าล่าช้าไป
โรงงานเหล่านั้นใกล้จะสร้างเสร็จแล้ว พ่อบ้านจางกล่าวว่าเจ้ายังมิได้วางแผนขั้นต่อไป มิทราบว่าโรงงานเหล่านั้นมีไว้ทำสิ่งใด ข้าเองก็มิทราบ เรื่องนี้ทำได้เพียงรอเจ้ากลับมา หากมิสะดวก ก็ทิ้งไว้ที่ตรงนั้นก่อน อย่างไรเจ้าก็ได้มีตัวตนเป็นขุนนางแล้ว เรื่องของฝ่าบาทย่อมสำคัญที่สุด
แหล่งแร่ในภูเขาเฟิ่งหลินแห่งนั้นได้ดำเนินการแล้ว แต่การซ่อมถนนหนทางเป็นไปได้อย่างล่าช้า กล่าวกันว่ายังไปมิถึงครึ่งทาง แต่เฝิ๋งหล่าวซื่อก็ได้พานายช่างไปอีกเป็นจำนวนมาก กล่าวว่าต้องเปิดภูเขา ข้ามิเข้าใจเรื่องนี้ จึงปล่อยให้พวกเขาทำไป
เรื่องเงินโปรดวางใจและใช้ไปอย่างเต็มที่ ส่วนในบ้านนั้นมีเงินมากน้อยเพียงใด ข้ายังต้องใช้เวลาในการจัดการอีกเล็กน้อย คาดว่ายังเหลืออยู่หกถึงเจ็ดแสนตำลึง จึงส่งตั๋วเงินจำนวน 200,000 ตำลึงมาให้เจ้าพร้อมกับจดหมายนี้ ใช้วัสดุที่ดีที่สุดในการปรับปรุงจวนหลังใหญ่นั้นให้แก่ข้า รอจนกระทั่งฤดูใบไม้ผลินี้ข้าจักพาแม่ทั้งหกของเจ้าไปเมืองหลวงด้วยกัน
อยู่ในราชสำนักเจ้าต้องปราดเปรื่อง จำต้องดูแลทั้งเบื้องบนและเบื้องล่าง ต้องการสิ่งใดก็ต้องจ่ายเงินออกไป อย่าไปก่อความขุ่นเคืองให้แก่ผู้อื่น เรื่องนี้เจ้าต้องจำเอาไว้ให้มั่น
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง ทางด้านซีซานได้มีผู้ประสบภัยเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งหมื่นกว่าคน ข้าใคร่ครวญแล้วจึงรับพวกเขาไว้ชั่วคราว แล้วส่งพวกเขาไปซ่อมหนทางที่ภูเขาเฟิ่งหลิน และเหล่าดอกไม้ที่ชาวไร่ปลูกไว้ก็บานแล้ว พ่อบ้านจางกล่าวว่าเดิมทีเจ้าตั้งไว้ที่ 1 ชั่ง 100 อีแปะ เนื่องจากเจ้าได้กล่าวเรื่องนี้เอาไว้แล้ว ก็จะคิดตามราคานี้ไปก่อน แม่นางนามจางเสี่ยวเหมยกล่าวว่าสิ่งนี้จะนำมาทำน้ำหอม ข้าจึงส่งบางส่วนกลับไปยังหลินเจียง เพื่อให้บรรดาแม่ ๆ ของเจ้าใช้ ดมแล้วมีกลิ่นหอมยิ่ง พวกนางชื่นชอบอย่างมาก
ท้ายที่สุดนี้โรงกลั่นสุราใหม่ได้เปิดทำการแล้ว ข้าได้เชิญนายช่างมาอีกสามสิบกว่าคน และได้หาลูกมือจากเหล่าผู้ประสบภัยอีกสามถึงสี่ร้อยกว่าคน ข้าอยากจะถามเจ้าเสียเล็กน้อย นายช่างกลั่นสุรานามจางเอ้อหนิวที่เจ้าขังไว้ที่ซีซาน ได้มือขาดไปแล้วหนึ่งข้าง เจ้าเตรียมจะจัดการเยี่ยงไร?
และในตอนนี้เจ้าก็ได้เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและมีตำแหน่งเป็นขุนนางแล้ว แต่อายุยังน้อยนัก บุตรีตระกูลใหญ่ในหลินเจียงต่างตั้งตาคอยกัน โดยเฉพาะเด็กสาวนามเหยาเสี่ยวม่านจากตระกูลเหยาจี้ มาหาแม่เจ็ดของเจ้าถึงจวนทุกวัน มันหมายความว่าต้องการจะแต่งงานกับเจ้า จะจัดการเยี่ยงไร เจ้าต้องแสดงความคิดเห็นออกมา มิอย่างนั้นข้าก็มิรู้จะจัดการเยี่ยงไร
เอาล่ะ อากาศเย็นแล้ว จงใส่เสื้อเพิ่มขึ้นอีกสักชั้น
พุทราที่เจ้าส่งมามิค่อยสดใหม่นัก แต่รสชาติยังคงดีอย่างยิ่ง… จวนสวี่ หากเจ้ายินยอมพร้อมใจ ก็ไปเยี่ยมเยียนเสีย
บิดาฟู่ต้ากวน รัชสมัยเซวียนลี่ ปีที่ 8 เดือนสิบวันที่สิบ”
ฟู่เสี่ยวกวนคิดอยู่เป็นเวลานาน เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าแม่เจ็ดคือผู้ใด สำหรับจวนสวี่ ในตอนนี้เขายังมิคิดจะไปเยือน
นายช่างกลั่นเหล้าผู้นั้นมีนามว่าหลี่เอ้อหนิว เดิมทีตั้งใจจะสังหารที่ซีซานเพื่อให้เป็นที่ประจักษ์แก่เหล่านายช่างทั้งหลาย ผลสุดท้ายหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานไปด้วยจึงฆ่ามิสำเร็จ และหลงลืมไปแล้ว
เรื่องของซีซานในตอนนี้ดูแล้วยังต้องใช้เวลาพอสมควรเป็นแน่แท้ โชคดีที่การจัดทำน้ำหอมถูกส่งมอบให้จางเสี่ยวเหมยแล้ว ดูเหมือนว่าจางเสี่ยวเหมยจะทำได้ดีกว่าที่คิด
เหยาเสี่ยวม่านเป็นใคร เขาคิดอยู่เนิ่นนานก็คิดไม่ออก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจอีก
ส่วนเรื่องผู้ประสบภัยที่มีมาเพิ่มอีกหมื่นกว่าคน เขามิได้รู้สึกแปลกใจอะไร ก่อนหน้านี้ไม่กี่วันก็ได้รับฟังที่ห้องทรงพระอักษรมาบ้างแล้ว เรื่องนี้บิดาจัดการเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม
วางจดหมายลง และหยิบกล่องนั้นออกมา ให้ซูม่อใช้ดาบแหวกกลอนให้เปิดออก สองชั้นด้านหน้าสุดนั้นมีโสมอายุยี่สิบปีถูกห่อไว้ด้วยผ้าแดง ด้านล่างของกล่องนั้นมีตั๋วเงินอยู่เต็มเปี่ยม บิดาช่างใจกล้าเสียเหลือเกิน 200,000 ตำลึงเชียวนะ !
หากหายไป จะให้ไปตามเอากับใคร ?
และในตอนนั้นเองต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินก็ได้กลับมา สีหน้าดูมีความสุขยิ่ง แต่ก็มีความเหนื่อยล้าที่มิอาจปกปิดไว้ได้
“ลานตรงนั้นถูกแก้ไขเรียบร้อยแล้ว เวิ่นหวินได้ซื้อทาสสาววัยเยาว์จากกรมเจี้ยวฟางมาสี่สิบกว่าคน เพื่อจัดการที่พักภายในจวนให้เป็นที่เรียบร้อย วัสดุจำเป็นตอนบ่ายก็สามารถนำเข้าโกดังได้แล้ว พรุ่งนี้ก็จะเริ่มทำการผลิตได้”
ในเรื่องของชุดชั้นในฟู่เสี่ยวกวนเพียงให้คำปรึกษาเล็กน้อยเท่านั้น นอกเหนือจากนี้ก็มิได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว มองออกและรับรู้ได้ถึงความสำเร็จของพวกนาง
“นี่คือตั๋วเงินที่บิดาข้าส่งมาให้ พวกเจ้าเก็บเอาไว้ ทางซีซานยังมีเรื่องอีกมากมายที่รอให้ข้ากลับไปจัดการ ข้าต้องหาเวลาไปเจรจากับฝ่าบาท”
ต่งชูหลานรับกล่องนั้นมาดู ตื่นตกใจ เมื่อได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวเยี่ยงนั้น จึงเอ่ยถาม “เจ้าจะไปแล้วหรือ ?”
“ใช่ เรื่องที่ซีซานสำคัญอย่างยิ่ง พวกเจ้าก็ทราบ แต่ยังมิได้กำหนดวันและเวลา”
“แล้ว… เจ้าจะกลับมาอีกเมื่อใดกัน ? ” หยูเวิ่นหวินเอ่ยถาม
“มิว่าอย่างไรวันฉลองปีใหม่ก็ต้องกลับมา เพราะพ่อข้ากล่าวว่าช่วงวันฉลองปีใหม่ต้องกลับมาพักที่เมืองหลวง”
ทันทีที่สองสาวได้ยินว่าเขานั้นจะกลับไปหลิงเจียง ดวงใจพลันวูบโหวง ตั๋วเงินกล่องนี้ในสายตานี้ดูเยี่ยงไรก็ไร้ความรู้สึก สิ่งที่ทำมาทั้งหมดในหลายวันนี้ดูกลับกลายเป็นจืดชืดในทันที
โดยมิทันรู้สึกตัว ฟู่เสี่ยวกวนที่อยู่ในใจของพวกนางก็ได้กลายเป็นสลักอยู่บนแกนกระดูกไปเสียแล้ว ราวกับว่าเพียงมีเขาอยู่ข้างกาย จิตใจก็สงบ พวกนางชอบแบบนั้น ต่อให้มันจะทรมานจะเหนื่อยเพียงไหน ก็มิเคยรับรู้ถึงเลย
ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิยินยอมหากการจากไปของตนเองจะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของพวกนาง ดังนั้นเขาจึงเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เมื่อครู่ เหมือนสมองของข้าจะนึกถึงกลอนบทหนึ่งขึ้นมาได้อีกหน”
“ชุนซิ่วฝนหมึก”
“ข้าเอง” ชุนซิ่วเมียงมองหยูเวิ่นหวินที่แย่งหน้าที่ฝนหมึกของนางไป ปากเล็กจึงมุ่ยลงน้อย ๆ
ต่งชูหลานกลอกสายตามองบนใส่เขา และวางกระดาษให้กับเขา แล้วฟู่เสี่ยวกวนก็ถือพู่กัน และจรดลงไป
นางฟ้าสะพานนกกางเขน
เมฆละเอียดเปลี่ยนลักษณ์อย่างชำนาญ ดวงดาวที่ลอยล่องพาลชิงชัง ทางช้างเผือกที่แสนไกลก็เข้มขึ้น
ลมทองพานพบน้ำค้างใส ได้รับชัยชนะ ท่ามกลางผู้คนอีกมากมาย
ละมุนเสมือนนที นัดพบราวกับฝัน อดทนกับทางกลับสะพานนกกางเขน
ความรักทั้งสองจะยืนยาวได้ ขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในทุกเมื่อเชื่อวัน
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินเหม่ออยู่ตรงนั้นไปชั่วขณะ
ใช่แล้ว หากความรักทั้งสองจะยืนยาวได้ ก็ขึ้นอยู่กับความสม่ำเสมอในทุกเมื่อเชื่อวัน !
ที่ซีซานฟู่เสี่ยวกวนยังมีเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เขามิสามารถอยู่ที่เมืองหลวงกับพวกข้าได้ตลอดเวลา เขาจะกลับมาอีกครายามฤดูใบไม้ผลิ เหตุใดพวกข้าจึงต้องวุ่นวายเพียงนี้กัน
“อือ ข้าสลักจำเอาไว้ในใจแล้ว เจ้าวางใจและไปซีซานเถิด เมืองหลวงมีข้าและเวิ่นหวินอยู่ จะจัดการทุกอย่างไว้ให้ดี”
ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้ม “ไปกัน พวกเราไปหงซิ่วจาวกันเถิด !”
ตอนที่ 120 ยั่วยุ
วันเวลาหลังจากนั้นช่างร่มเย็นและสงบสุข
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการจัดการร้านเสื้อผ้าและจวนหลังใหญ่ ณ ทะเลสาบซวนอู่ พวกนางไม่มีเวลาสนใจฟู่เสี่ยวกวนนัก
ส่วนฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางเข้าไปยังพระราชวังหลวงทุกวัน บางคราก็ไปยังกั๋วจื่อเจี้ยนดื่มน้ำชาและสนทนากับชางกวนเหวินซิ่ว เขามิได้ทำการใดเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ก็รู้จักผู้คนมากมายขึ้น รวมถึงว่าที่พี่ภรรยาต่งซิวจิ่น
แต่ต่งซิวจิ่นนั้นจะต้องเดินทางจากเมืองหลวงในเดือนสิบ เพื่อรับตำแหน่งจือโจว ณ เมืองชิงโจว เขตเหอหนาน
คณะตรวจสอบการทุจริตได้ทำการตรวจสอบใกล้แล้วเสร็จ บัดนี้มีข้าราชการจำนวนมากถูกจับ และกุมตัวไปยังเรือนจำต้าหลี่แห่งเมืองหลวง
บางคราก็ไปยังกรมการคลังและร่างรายละเอียดการบรรเทาภัยพิบัติ แน่นอนว่าต่งคังผิงร่วมมือกับเขาด้วยเพื่อปรับปรุงแก้ไขแผนงานให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
จะทำเยี่ยงไรได้ สิ่งที่พ่อตามอบหมายให้เขาทำจะมิทำได้หรือ มิหนำซ้ำยังต้องทำให้ดีอีกด้วย
เขาเริ่มได้รับการยอมรับจากคนในกรมการคลังมากขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอนว่าเขาถูกหลาย ๆ คนอิจฉาริษยา
แต่ก็มิได้นำมาใส่ใจ เนื่องจากเขามิได้วางแผนดำรงชีวิตในเมืองหลวง
ส่วนชือเฉาหยวนที่ถูกเขาต่อปากต่อคำเสียจนกระอักเลือดนั้น เคยได้พบอีกไม่กี่ครา แต่ชือเฉาหยวนก็มิได้มองเขาแม้แต่หางตา ฟู่เสี่ยวกวนคอยระมัดระวังเขาตลอดเวลา เขาว่ากันว่าหมาเห่าไม่กัด หมากัดไม่เห่า เขาเป็นถึงหัวหน้าตระกูลชือแห่งตระกูลใหญ่ทั้งหกของเมืองหลวง จะอดทนต่อการดูถูกเช่นนั้นได้เยี่ยงไร การที่เขานิ่งเงียบไปนั้นฟู่เสี่ยวกวนมิเชื่อว่าเขาวางมือลงอย่างแน่นอน ดังนั้นทุกครั้งที่เดินทางไปด้านนอกเขาจะพาซูม่อไปด้วย เมื่อเลิกงานก็มีซูม่อขี่รถม้ามารับ ณ หน้าประตูวัง
ผ่านไปสิบกว่าวันแล้ว เหตุการณ์ยังคงเงียบสงบ แต่วันนี้ท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยซีเรียกตัวเขาเข้าพบเพื่อเจรจาบางอย่าง ทั้งสองดื่มชาและหารือกันเป็นเวลานาน
“เจ้าเคยเอ่ยว่าเพื่อปณิธานแห่งฟ้าดินได้ยืนหยัด เพื่อชะตามวลประชาที่มั่นคง เพื่อสืบทอดความรู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อสันติสุขในทุกสมัย…เจ้าเป็นผู้มีความสามารถยิ่ง เหตุใดมิทำคุณประโยชน์แก่ราชวงศ์หยูมากกว่านี้กัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนรินน้ำชาให้เยี่ยนเป่ยซีและกล่าวว่า “ท่านอัครเสนาบดีขอรับ หลายวันมานี้ข้าอุทิศตนในหลาย ๆ เรื่อง เช่น การเสนอแนะให้กั๋วจื่อเจี้ยนเขียนบันทึกประวัติศาสตร์ อีกทั้งการทำสิ่งเล็กสิ่งน้อยแก่กรมการคลัง แม้จะเป็นเพียงเรื่องราวเล็กน้อย แต่ก็เป็นการเติมแต่งราชวงศ์หยูให้งดงามสมบูรณ์ยิ่งขึ้น”
เยี่ยนเป่ยซีมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่าเกรงขามว่า “คนเราควรใช้ความสามารถอย่างเต็มที่ ความสามารถของเจ้านั้นทำคุณประโยชน์แก่ราชวงศ์หยูได้มากกว่านี้หลายเท่านัก”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ตกใจกลัวในน้ำเสียงของเขา เอ่ยกลับไปว่า “ท่านอาจมิทราบว่าสมองข้านั้นมิได้ปราดเปรื่องตลอดเวลา บางคราก็มึนงง หากใช้สมองมากเกินไปอาจเกิดอาการขึ้นมาอีกก็เป็นได้และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ดังนั้นข้าจึงมิอาจรับผิดชอบสิ่งที่ใหญ่หลวงได้ ส่วนเรื่องเล็กน้อยที่กระทำอยู่ ณ บัดนี้ เสี่ยวกวนได้กระทำสุดกำลังความสามารถแล้วขอรับ”
เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวมานั้น เยี่ยนเป่ยซีได้รู้มาก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่เขาไม่คิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมีอาการหนักเพียงนี้ ช่างน่าเสียดายนัก
“การทุจริตเรื่องสิ่งของบรรเทาสาธารณภัยในครั้งนี้ ทำให้ตำแหน่งทางการหลายตำแหน่งว่าง เดิมทีข้าอยากให้เจ้าไปยังเมืองหนิงโจว เนื่องจากที่นั่นได้รับผลกระทบมากที่สุด แต่ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้ผลมากที่สุดเช่นกัน แม้เจ้าอายุยังน้อยแต่กลับมีความสามารถยิ่ง อีกทั้งนโยบายการบรรเทาสาธารณภัยได้เขียนขึ้นโดยตัวเจ้าเอง เป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุดในการดำรงตำแหน่งผู้นำของเมืองจือโจว เมื่อผ่านไปอีกสองสามปีค่อยโยกย้ายไปดำรงตำแหน่งเต้าถาย ณ เหอหนาน ก็นับว่าเป็นตำแหน่งใหญ่โตทีเดียว”
เยี่ยนเป่ยซีลุกขึ้นอย่างช้า ๆ เขานำมือนวดบริเวณเอวเล็กน้อย จากนั้นถอนหายใจเบา ๆ ว่า “ข้านั้นอายุมากแล้ว คาดว่าคงทำคุณประโยชน์ได้อีกเพียงไม่กี่ปี ข้าหวังว่าหลังจากที่ข้าเกษียณแล้ว เจ้าจะสามารถเข้ารับตำแหน่งเต้าถายนี้ และกลับมายังที่นี่ หากเป็นเช่นนั้น…คงจะดำรงตำแหน่งเสมียนกลางได้โดยไม่มีผู้ใดคัดค้าน”
เขาก้าวเดินไปสองสามก้าวแล้วหันหลังกลับมามองฟูเสี่ยวกวน กล่าวว่า “ข้ากล่าวกับเจ้ามากมายเช่นนี้ หากเจ้าเห็นด้วยกับข้า…” เยี่ยนเป่ยซีหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา “ข้าก็จะบันทึกชื่อเจ้าลงไป เจ้าจะกลายเป็นจือโจวที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ราชวงศ์หยูสองร้อยกว่าปีมานี้ และจะเป็นเต้าถายที่อายุน้อยที่สุดอีกทั้งยังเป็นเสมียนกลางที่อายุน้อยสุดก็เป็นได้”
นี่นับว่าเป็นโชคดีนัก !
เยี่ยนเป่ยซีมิคาดคิดว่าจะมีผู้ใดปฏิเสธได้ ฟู่เสี่ยวกวนได้หยิบยกเรื่องสมองมาเป็นข้ออ้างเนื่องจากก่อนหน้านี้เขามิรู้เรื่องราวเหล่านี้ แต่เมื่อได้ยินได้ฟังแล้ว เขาคงจะตัดสินใจได้ไม่ยาก
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับถอนหายใจออกและกล่าวอย่างอึดอัดใจว่า “ความกรุณาของท่าน ข้าน้อย ฟู่เสี่ยวกวน ซาบซึ้งใจยิ่งนัก แต่มิอาจรับปากท่านได้ ข้ารู้สึกผิดยิ่ง แต่สมองข้ามิได้ปกติดั่งคนทั่วไป…”
เยี่ยนเป่ยซียกมือขึ้นโบก จากนั้นวางหนังสือลงกล่าวว่า “เจ้าไปได้แล้ว”
“ข้าน้อยขอลา”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกมาด้วยความโล่งอก
จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่ยั่วยุเขาถึงเพียงนี้ มีจุดประสงค์อันใดกัน ?
เยี่ยนเป่ยซีมองตามหลังเขาไปแล้วขมวดคิ้ว ทันใดนั้นมีคนหนึ่งเดินออกมาจากด้านใน เป็นองค์หญิงใหญ่นั่นเอง
“เจ้าแพ้แล้ว”
เยี่ยนเป่ยซีพยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นเรื่องที่ต่งชูหลานจะออกเรือนกับฟู่เสี่ยวกวน เจ้าจงกำชับกับคนในจวนเจ้าว่าอย่าเข้ามาขัดขวางอีก”
เยี่ยนซีเป่ยพยักหน้าอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาจึงหันหลังกลับมาและถามว่า เหตุใด ?
เขามิได้ถามถึงเรื่องของต่งชูหลานกับเยี่ยนซีเหวิน หากแต่ถามว่าเหตุใดองค์หญิงใหญ่จึงมั่นใจว่าฟู่เสี่ยวกวนเลือกที่จะปฏิเสธเรื่องนี้ได้
“เนื่องจากเขานั้นไม่ละโมบ ข้าได้ฟังคำพูดของเขาที่ท้องพระโรง แม้ว่าจะอายุยังไม่ 17 ปี หากแต่ช่างชัดเจนแน่วแน่ในทุกเรื่อง”
“หากข้าสนับสนุนเขา ทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นไปไม่ยาก อีกทั้งเขามีความสามารถถึงเพียงนี้”
“ข้าคิดว่าเขามิได้เชื่อใจเจ้า มิเช่นนั้นคงจะไม่พยายามปฏิเสธ นอกจากนี้เมื่อวานข้าได้เดินทางไปยังวังของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย พระนางมีความคิดว่าบัดนี้มีตำแหน่งว่างมากมาย เจ้าอย่าได้ให้เยี่ยนซีเหวินไปเป็นเพียงขุนนางขั้นที่เก้าเลย จงเลือกให้เขาไปรับตำแหน่งจือโจวเถิด”
“ซีเหวินนั้นมิมีความสามารถพอ”
“ฟู่เสี่ยวกวนมีความสามารถงั้นหรือ ? ”
เยี่ยนเป่ยซีครุ่นคิดแล้วพยักหน้า
“ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ท่านจัดการเองเถิด แต่พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยมีรับสั่งเช่นนั้น เรื่องตำแหน่งของเต้าถาย ณ เจียงเป่ย…เจ้าคงต้องเว้นเอาไว้”
เยี่ยนเป่ยซีครุ่นคิดอีกพักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยถามว่า “ให้ผู้ใด ? ”
“ตระกูลฉิน ฉินโม่เหวิน”
“เช่นนั้นผู้ว่าเขตจินหลิงเล่า ? ”
“ฮั่วหวยจิ่น บุตรชายคนที่สองของฮั่วตงหลิน มีการออกคำสั่งโยกย้ายกรมกลาโหม ฮั่วหวยจิ่นเดินทางกลับมาที่เมืองหลวงเพื่อดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการเขต เป็นผู้นำทหารรักษาวัง”
ฮั่วหวยจิ่น เดิมทีดำรงตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการทหารม้าเบาในกองทัพชายแดนตะวันตก และเป็นผู้นำทหารรักษาเมืองในอดีต แต่เขาเป็นบุตรชายของกษัตริย์แห่งเจิ้นซี ฝ่าบาทจะทรงมอบทหารรักษาเมืองให้แก่เขาอย่างวางใจงั้นหรือ ?
เรื่องนี้เยี่ยนเป่ยซีมิได้คิดให้ปวดหัว เขากล่าวไปว่า “ผู้ว่าราชการเขตจินหลิงนั้น เดิมทีข้าตั้งใจมอบให้แก่หนิงไท่ฟู่”
“สิ่งนี้มิใช่เรื่องใหญ่หนักหนา เช่นนั้นก็ให้หนิงไท่ฟู่รับผิดชอบเถิด เรื่องการทุจริตในครานี้หนักหนากว่ามาก ฝ่าบาทจะต้องตรวจสอบอย่างเคร่งครัดเป็นแน่ เจ้าจงไปส่งข่าวแก่อีกห้าตระกูลว่าสิ่งใดควรปล่อยวางให้ปล่อยวาง อีกทั้งควรปล่อยวางด้วยตนเอง อย่าได้ไปคิดติดสินบนใด ๆ หากผู้ใดปฏิบัติตามมิได้… “
องค์หญิงใหญ่หันหลังเดินจากไป เยี่ยนเป่ยซีเงยหน้าแล้วหลับตาลง เรื่องนี้เขาจะต้องไปจัดการด้วยตนเอง สตรีที่อยู่ในวังเตี๋ยอี้ผู้นั้นช่างน่ากลัวนัก
เนื่องจากตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีของตระกูลเยี่ยนที่สืบกันมาสามสมัย ก็เกิดจากคำพูดของนาง อีกทั้งบัดนี้ชื่อเสียงที่ลือเลื่องเป็นที่เคารพนับถือของผู้คนทั่วไปนั้นเปรียบเสมือนเชือกที่ผูกคอเยี่ยนเป่ยซีไว้ แม้ว่าเขาอยากจะดิ้นให้หลุดก็มิอาจทำได้
ตอนที่ 119 วางหมากลงตรงไหน
ฉินโม่เหวินกำลังแข่งหมากล้อมกับฉินปิ่งจงที่ลานกว้าง
เขาครองหมากสีขาว ในยามนี้มังกรตัวใหญ่ได้ถูกหมากสีดำล้อมไว้แล้ว จะขยับซ้ายหรือไปทางขวาท้ายที่สุดก็แก้ไขมิได้อยู่ดี
ฉินปิ่งจงกล่าวขึ้นมาว่า “หมากนี้หากเป็นฟู่เสี่ยวกวน เขาจะรีบทิ้งมังกรใหญ่และไปจัดการทางเดินแทน”
“หากไร้ตัวอำนาจใหญ่แล้ว การวางทางเดินจะมีประโยชน์อันใด ? ”
“เจ้าคิดผิดแล้ว ผู้คนมักจะให้ความสนใจกับตัวที่มีอำนาจใหญ่ จนละเลยรายละเอียดเล็ก ๆน้อย ๆ ข้าเองก็เคยแพ้เยี่ยงนี้มาก่อน มิมากมาย แค่เสียหมากเดียว”
ฉินโม่เหวินเงยหน้าขึ้นมา และเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ท่านลุง ความหมายของท่านคือ ฟู่เสี่ยวกวนทิ้งมังกรใหญ่ไปแต่กลับใช้ตัวเล็กที่เหลืออยู่ชนะท่านด้วยตัวเองเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ใช่ ข้ายังจำคำพูดของเขาได้ เขากล่าวว่า…โลกก็เหมือนหมาก เพื่อมิให้ใครมารังแกข้าได้ จิตใจต้องเหมือนมหาสมุทร ที่สามารถรองรับผู้คนที่เหมือนแม่น้ำร้อยสายได้ น้องชายของข้าผู้นี้ มองขาดได้มากกว่าผู้คนมากมายในราชสำนัก ดังนั้นเขาจึงมิอยากเป็นเพียงขุนนางในกรมคลัง แต่เลือกที่จะเป็นเหวินซ่านกวน”
สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นที่พระราชวังจินเตี้ยนในวันนี้ฉินโม่เหวินรับรู้มาแต่เนิ่นแล้ว และได้บอกกับฉินปิ่งจงแล้ว เพราะเขามิเข้าใจว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังคิดจะทำอันใด
“แต่ฉาวซ่านต้าฟูนี้มิมีประโยชน์ต่อการก้าวหน้าของเขาในราชสำนักแม้แต่น้อย” ฉินโม่เหวินวางหมากอย่างยอมแพ้ และพูดคุยกับฉินปิ่งจงว่าท้ายที่สุดแล้วในครานี้ฟู่เสี่ยวกวนมีความหมายเยี่ยงไรกันแน่
“ข้าคิดว่ามีใครอีกหลายคนที่มองเหมือนเจ้า แต่ข้ามิคิดอย่างนั้น ดังพระบัญชาของฝ่าบาท ในราชโองการฉบับนั้น ฟู่เสี่ยวกวนมีความรู้ในการปกครองบ้านเมือง เป็นบุคคลมีพรสวรรค์ที่หาได้ยากในใต้หล้า บุคคลเยี่ยงนี้หากคิดจะกระทำการใหญ่ก็มิยากลำบากเกินไป โดยเฉพาะเขาที่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท แต่เหตุใดเขาถึงเลือกเป็นเหวินซ่านกวน ? เพราะโอกาสยังมามิถึงอย่างไรเล่า ! เจ้าใคร่ครวญดู เขาอายุยังมิทัน 17 ปีดี แต่กลับได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท หากจะทำตนได้คืบจะเอาศอกอีก พวกผู้อาวุโสในราชสำนักเหล่านั้นจะมิขัดขาเขาเยี่ยงนั้นรึ เขาจะเหมือนมังกรใหญ่ของเจ้าที่ถูกโอบล้อมไว้อย่างแน่นหนาและมิสามารถทะลวงออกมาได้ เพราะเขานั้นมิมีรากฐานที่แข็งแกร่งเพียงพอ เกรงว่าต่อให้มีฝ่าบาทคอยหนุนหลังก็ยากที่จะทำให้สำเร็จได้ ในเมื่อเป็นเยี่ยงนั้นแล้ว เหตุใดจึงไม่ถอยมาหนึ่งก้าว อย่าได้ไปสร้างมังกรตัวใหญ่ขึ้นมา เยี่ยงนั้นแล้วการโอบล้อมนี้ก็จะหายไปโดยธรรมชาติ”
ฉินโม่เหวินครุ่นคิดคิ้วขมวด หยิบหมากมังกรสีขาวบนกระดานขึ้นมา บนกระดานมีหมากสีดำอยู่จำนวนมาก แต่หมากมังกรใหญ่ได้มาอยู่ในเงื้อมมือแล้ว
มิลงหมาก กระดานหมากนี้ก็จะมิมีประโยชน์อันใด
ชายผู้นั้น เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง !
เยี่ยงนั้น แล้วเขาจะวางหมากต่อไปเยี่ยงไร ?
ฉินโม่เหวินหยิบหมากขาวในมือวางลงไปบนกระดานอีกหน โดยวางไว้ตรงมุมของกระดาน
ฉินปิ่งจงลูบเคราเบา ๆ และส่ายหน้า
“มิใช่”
“หรือว่าเขาจะมิวางหมากไปตลอดไป ? ”
“ไม่ หมากของเขาจะมิวางอยู่บนกระดาน”
ฉินโม่เหวินเงยหน้าขึ้นมาอย่างตกใจ และจ้องมองฉินปิ่งจง หากมิวางบนกระดานแล้วจะรุกฆาตได้เยี่ยงไร ?
“ข้าเองก็มิทราบ แต่ตามที่ข้าได้ลองใคร่ครวญมิมีอะไรมากไปกว่าสองจุดนี้ ประการแรกเขาเล่นหมากอยู่ในกระดานอื่น อาจจะกล่าวได้ว่าเขามิได้เดินหมากกับเสนาบดีในราชสำนัก หากเหล่าเสนาบดีอยากจะเล่นหมากด้วย เยี่ยงนั้นก็มีแต่ต้องไปที่กระดานของเขา ประการที่สอง…ขอบเขตของกระดานนั้นบางทีอาจจะอยู่ที่ซีซาน ณ หลินเจียงก็เป็นได้ จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังคิด นโยบายที่เขาออกว่าให้ชาวฮวงสร้างพระราชวังตามแบบต้าหยูนั้น ก็เป็นหมากของเขาเช่นกัน”
ฉินรั่วเสวียได้ยินเยี่ยงนั้นก็ตะลึงงัน ทุกคนต่างก็มีอายุที่ไล่เลี่ยกัน เหตุใดจึงได้มีความแตกต่างมากมายถึงเพียงนี้ ? แท้จริงแล้วฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนที่รอบคอบเยี่ยงนั้นหรือ ?
ดังนั้นนางจึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย “ที่ท้องพระโรงเขาก็คงกล่าวไปเพียงส่ง ๆ เท่านั้น หรือว่ายังมีความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่หรือเจ้าคะ ? ”
ฉินปิ่งจงเอ่ยขำ ๆ “เจ้าลองครุ่นคิดดู ดินแดนที่ชาวฮวงอยู่อาศัยเป็นสถานที่ทุรกันดาร หากพวกเขาต้องสร้างพระราชวังขึ้นมา ประการแรกต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ประการที่สองต้องใช้เวลายาวนานอย่างยิ่ง หากจะกล่าวว่าเรื่องนี้เสียทั้งแรงงานเสียทั้งเงินทองก็มิเกินจริงนัก สำหรับชาวฮวงแล้วนั้นมีอันตรายเป็นร้อยและไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น เป็นกลยุทธ์ที่มองการณ์ไกลใช่หรือไม่ ? ”
ฉินรั่วเสวียกำลังใคร่ครวญตาม ฉินโม่เหวินพยักหน้าน้อย ๆ
อย่างไรก็ตามฟู่เสี่ยวกวนที่ได้ก้าวเข้ามาในจวนฉินยามนี้แท้จริงแล้วมิได้คิดมากถึงเพียงนั้น
เขาเพียงต้องการโล่ปกป้องตนเท่านั้น ในยามนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดของเขายังคงอยู่ที่ซีซาน
เขาต้องฝึกฝนหน่วยที่มีความสามารถทางการรบเป็นพิเศษขึ้นที่ซีซาน และยังต้องสร้างปืนหินเหล็กไฟและปืนใหญ่ขึ้นที่ศูนย์วิจัยที่ซีซานออกมาให้จงได้
ในยุคสมัยอาวุธโลหะเย็นนี้ สิ่งของเหล่านี้ต่างหากที่เป็นอาวุธที่สังหารอย่างแท้จริง สำหรับนโยบายการทำสงครามที่ถูกปฏิเสธที่ห้องทรงพระอักษร เขาค่อนข้างเสียใจเล็กน้อย แต่นี่ก็มิสามารถขวางแผนการที่เขาวางไว้ได้
อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้ดันบังเอิญไปตรงกับสิ่งที่ฉินปิ่งจงวิเคราะห์เอาไว้ แท้จริงแล้วเขามิได้วางหมากไว้ที่เมืองหลวง หมากนี้แท้จริงแล้วถูกวางไว้ที่ซีซาน
สำหรับชาวฮวง มโนธรรมต่อฟ้าดิน ความคิดเห็นนั้นแท้จริงแล้วฟู่เสี่ยวกวนกล่าวไปเพียงส่งเดชเท่านั้น แต่กลับนำหายนะไปสู่พวกเขา
“พี่ฉิน ข้ามารบกวนอีกแล้ว” หลังจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็หันไปมองชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายฉินปิ่งจง
คิ้วหนาตาโต โดยเฉพาะลักยิ้มที่สองมุมข้างปากที่เหมือนแกะสลักก็มิปาน ดูเป็นทรงและมีชีวิต
เคยเจอมาก่อน ที่เขตจินหลิงแห่งนั้น
“ เขาคือหลานชายของข้า ฉินโม่เหวิน เป็นผู้ว่าการเขตจินหลิง ”
“คำนับพี่โม่เหวิน ! ”
“คำนับพี่ฉิน ! ”
เมื่อคำนับทั้งสองแล้ว ฉินปิ่งจงจึงกล่าว “มามา มานั่งกันเถิด รั่วเสวีย ไปต้มชากาใหม่มาหน่อยสิ”
ทั้งหมดนั่งลง ฉินปิ่งจงจึงกล่าวยิ้ม ๆ “เมื่อครู่ข้ากับโม่เหวินกำลังพูดคุยกันเรื่องของเจ้า เจ้าในตอนนี้เป็นถึงผู้มีอำนาจคนใหม่ของเมืองหลวง ในวันนี้คงได้รับเทียบเชิญมามากมายแล้วใช่หรือไม่ ?”
มิมีสิ่งนั้นจริง ๆ
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า แล้วถอนหายใจเบา ๆ “พี่ชาย ข้าจะกล่าวกับท่านอย่างมิปิดบัง นอกจากเทียบเชิญของพี่โม่เหวินฉบับนี้แล้ว ข้าก็มิได้รับเทียบเชิญจากผู้อื่นอีกเลย ท่านดูสิ ท่านยังกล่าวเลยว่าข้านั้นเป็นผู้มีอำนาจคนใหม่ของเมืองหลวง แต่ความจริง มันไร้ค่าในสายตาของผู้อื่น ! แต่กล่าวกันตามจริงแล้ว ตัวข้าเองก็มิชอบการคบค้าสมาคมที่ยุ่งเหยิงเยี่ยงนั้น มันไร้ความหมาย เสียเวลาไปโดยใช่เหตุ มิเหมือนท่านที่ข้าสามารถสนทนาได้อย่างมีความสุขโดยมิต้องพะว้าพะวังใด ๆ ”
ฉินปิ่งจงหัวเราะร่า ฉินโม่เหวินเองก็รู้สึกชายผู้นี้เป็นคนที่ดูเปิดเผยและอารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้รับเทียบเชิญจากผู้อื่นนั่นทำให้ฉินโม่เหวินประหลาดใจเล็กน้อย จากมุมมองนี้ ขุนนางมากมายในราชสำนักต่างตกอับแล้ว จึงต้องลอยแพผู้มีอำนาจคนใหม่แห่งเมืองหลวงผู้นี้ไป
“ฝ่าบาทให้เจ้าไปมาระหว่างกั๋วจื่อเจี้ยนและกรมคลังได้อย่างอิสระ เจ้าจะวางแผนไว้เยี่ยงไร ? ”
“ข้าจะขอดูก่อน เมื่อต้องไปก็คงต้องไป แต่อย่างไรก็คงไปเดินเล่นเพียงเท่านั้น ในช่วงนี้คงต้องหาโอกาสไปเจรจากับฝ่าบาท ข้าอยู่ที่เมืองหลวงไปก็ไร้ประโยชน์ ขอให้ฝ่าบาทปล่อยข้ากลับหลินเจียง ทางนั้นยังคงมีเรื่องวุ่นวายอีกมากที่รอให้ข้ากลับไปจัดการ”
เป็นไปตามการคาดคิด ฉินโม่เหวินรู้สึกว่าสายตาของท่านลุงช่างแม่นยำนัก ชายผู้นี้อยากจะหนี มิใช่อยากจะอยู่
ในตอนนี้ฉินเฉิงเย่ก็ได้ออกมา “ท่านจะกลับซีซานเมื่อใด ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมามอง “ข้าย่อมคิดว่ายิ่งเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี แต่ในยามนี้ยังมิใช่ข้าที่จะเป็นผู้ตัดสินใจ”
ฉินปิ่งจงคิ้วขมวดนิ่ว และเอ่ยถามกลับไป “เหตุใดเจ้าจึงอยากไปซีซานกัน ? ”
“หลานคิดว่า หนทางนับพันสาย มิได้มีเพียงเส้นทางของการศึกษาเพียงเท่านั้น หลานชอบการศึกษาและค้นคว้า อยากไปซีซานเพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอันแรงกล้า”
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นตะลึง ทำไมเจ้าเด็กนี่ถึงไม่ไปตามทางปกติเล่า !
ฉินปิ่งจงเงียบไปหลายอึดใจ หันมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน แล้วเอ่ยถาม “เจ้ามีความรู้สึกว่าเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก จะให้ข้าเป็นคนตอบเยี่ยงนั้นรึ ? ข้าจะไปรู้ได้เยี่ยงไรเล่าว่าใจของท่านอยากจะให้เขาไปหรือมิอยากให้เขาไปกัน?
ดังนั้นเขาจึงถามฉินเฉิงเย่ “เจ้าทำอะไรได้รึ ? ”
“ข้ารู้สึกสนใจปืนไฟเป็นอย่างยิ่ง ก่อนหน้านี้เคยได้ลองไปศึกษาโดยละเอียดที่สำนักอาวุธปืนมาแล้ว เจ้าปืนไฟนี้ยังมิอาจนำไปใช้ในสนามรบได้เพราะยังคงมีข้อบกพร่องอยู่อีกหลายประการ ข้าอยากแก้ไขปัญหานี้ แต่มีเพียงที่ซีซานเท่านั้นที่จะทำให้ข้าค้นคว้าขึ้นมาได้”
ฟู่เสี่ยวกวนจึงรีบหันไปกล่าวกับฉินปิ่งจงในทันที “ข้ารู้สึกว่าเขาใช้ได้ ! ”
ตอนที่ 118 จดหมายถึงบ้าน
สุดท้ายผลการแข่งขันที่พวกเขาทั้งสามคนรอคอยก็มาถึง ชืออีหมิงจอหงวน สีส่วงปั๋งเหยี่ยนและฟางเหวินซิงเป็นทั่นฮวา
เดิมทีชืออีหมิงคิดว่าตนนั้นจะดีใจยิ่ง แต่เมื่อขันทีเจี่ยประกาศผลการแข่งขันออกมาแล้ว เขาพบว่าแท้จริงในใจเขากลับมิได้ดีใจเลย……ทั้งสิ้นนี้เป็นเพราะฟู่เสี่ยวกวน !
ดูเจ้านั่นสิ ยืนดูพระราชโองการขององค์ฮ่องเต้อยู่ได้ !
เอาไปชื่นชมที่บ้านไม่ได้หรือไร ?
ชืออีหมิงรู้สึกว่าเขาตั้งใจทำเช่นนั้นเพื่อให้ตนโกรธ หมายความว่าการที่ตนได้รับตำแหน่งจอหงวนนั้นมิมีสิ่งใดน่ายกย่อง ? เขาได้รับตำแหน่งขุนนางขั้นที่ห้า ส่วนอีกสามคนยังจะต้องรอต่อไปซึ่งหาได้มีใครรู้ไม่ว่าเมื่อใด !
ดังนั้นชืออีหมิงจึงไม่มีกระจิตกะใจใด ๆ ในใจเขาคิดเพียงว่าจะจัดการฟู่เสี่ยวกวนอย่างไรดี
สีส่วงมิได้แสดงสีหน้าใด ๆ ออกมา แม้เขาจะได้รับตำแหน่งปั้งเหยี่ยนซึ่งได้เป็นเพียงที่สาม เดิมทีเขาตั้งใจจะได้ที่หนึ่ง เพราะผู้คนมักจดจำแต่ที่หนึ่งเท่านั้น !
เห้อ ไม่สิ เกรงว่าผู้ได้รับที่หนึ่งในปีนี้คาดว่าอาจไม่มีใครจำได้ เพราะทุกคนล้วนมัวแต่จดจำฟู่เสี่ยวกวน
เขามองไปทางฟู่เสี่ยวกวนอีกครั้งหนึ่ง และพบว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังม้วนเก็บพระราชโองการอยู่ด้วยความระมัดระวัง สีหน้าอันภาคภูมิใจนั้น เห็นได้ชัดว่าเขามิเห็นทั้งสามอยู่ในสายตา
หึ ! ก็แค่เด็กน้อยไร้เดียงสา ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะเย่อหยิ่งได้สักเพียงใด !
มีเพียงฟางเหวินซิงเท่านั้นที่ชื่นชมยินดี เนื่องจากเดิมทีเขามิได้ติดอันดับสิบคนแรก อีกทั้งไม่อาจคิดมาก่อนว่าจะได้รับคัดเลือกเป็นสามอันดับแรก เขาคาดว่าตนจะได้อันดับทั่นฮวา และก็เป็นไปตามนั้นซึ่งทำให้เขายินดียิ่งนัก
ส่วนฟู่เสี่ยวกวน เขามิได้มีจิตใจริษยาแต่อย่างใด กลับกันเนื่องจากกวีคลื่นลมทรายนั่นทำให้เขาชื่นชมฟู่เสี่ยวกวนเสียมากกว่า
แม้ฟู่เสี่ยวกวนจะแย่งความสำคัญในวันนี้ของพวกเขาไป แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นคนที่มีความสามารถจริง ๆ !
เหมือนคราที่หลานถิงจี๋ เขาผู้นี้ก็ทำให้เยี่ยนซีเหวินยอมถอยไปได้ และยังชื่นชมเป็นสหายกับเยี่ยนซีเหวินเสียด้วยซ้ำ ทำให้เยี่ยนซีเหวินเกิดความเคารพยกย่องเขาอย่างน่ายินดี ต่อจากนั้นเมื่อเยี่ยนซีเหวินเอ่ยถึงเขาก็มักกล่าวด้วยความชื่นชม
นี่ก็คือความสามารถเฉพาะตัวของเขา ฟางเหวินซิงรู้ดีว่าฟู่เสี่ยวกวนมีวิธีการหลากหลาย ดังนั้นการที่ฝ่าบาททรงประทานตำแหน่งให้แก่เขา ฟางเหวินซิงมิได้ประหลาดใจแต่ประการใด ซ้ำยังคาดว่าสมควรแล้วอีกด้วย
เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น ฟู่เสี่ยวกวนก็เตรียมตัวที่จะจากไป เขาพูดคุยกับชางกวนเหวินซิ่วอยู่สองสามคำ จากนั้นได้เอ่ยปากรับคำว่าจะเดินทางไปคารวะเขาที่กั๋วจื่อเจี้ยนด้วยตนเอง
เมื่อทั้งสองอำลากันเรียบร้อย คนอื่น ๆ ก็ได้เดินทางจากไปแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนจึงเดินทางออกจากที่นั่นเพียงลำพัง เขาเรียกรถม้าคันหนึ่งมาและกล่าวถึงสถานที่ที่จะไป พร้อมทั้งหยิบพระราชราชโองการขึ้นมาหัวเราะอย่างมีความสุข
ในที่สุดก็ได้ตำแหน่งขุนนางเล็ก ๆ มาสักที !
ถือว่ามารดาของเขาตั้งชื่อได้เหมาะสมนัก
เขานำพระราชราชโองการเก็บไว้ในแขนเสื้อและหลับตาลง นึกถึงคัมภีร์พระสูตรเก้าหยาง
เมื่อกลับถึงที่พัก เขาได้อาบน้ำชำระร่างกายและนำพระราชราชโองการมาวางไว้บนโต๊ะ คุยโวโอ้อวดกับชุนซิ่วและซูม่อ
“บัดนี้ คุณชายของพวกเจ้าก็มีตำแหน่งทางราชการเสียที อีกทั้งมิใช่เพียงซิ่วไฉ แต่เป็นจิ้นซื่อ เป็นอย่างไรข้าเก่งหรือไม่ ? ”
ชุนซิ่วได้ยินดังนั้นก็แววตาเป็นประกาย โอ้ เรื่องจริงเยี่ยงนั้นหรือนี่ คุณชายได้รับตำแหน่งแล้ว !
คุณชายมีความสามารถจริง ๆ ด้วย !
ว่าแต่ฉาวซ่านต้าฟูคือตำแหน่งอะไรงั้นหรือ ?
“เป็นตำแหน่งขุนนางขั้นที่ห้า ท่านขุนนางระดับสูงจือโจวแห่งหลินเจียงก็แค่ขุนนางขั้นที่สี่เท่านั้น หากข้าขยันสักหน่อยก็สามารถได้ขั้นที่สามมามิยากนัก”
ชุนซิ่วเบิกตากว้างด้วยความเคารพชื่นชม !
ตำแหน่งใหญ่โตเช่นนี้เชียวหรือ !
คุณชายทำความฝันของนายท่านสำเร็จแล้ว !
ชุนซิ่วนึกขึ้นมาได้ว่ามีจดหมายเชิญฝากถึงฟู่เสี่ยวกวนฉบับหนึ่ง เมื่อฟู่เสี่ยวกวนหยิบขึ้นดูก็พบว่าเป็นฉินโม่เหวิน เชิญให้เดินทางไปจวนฉินในคืนนี้
อืม ได้เวลาไปเยี่ยมเยียนท่านพี่ฉินบ้างแล้วสินะ
ซูม่อส่งสายตาเหล่มองไปทางฟู่เสี่ยวกวน เขาเองก็อดมิได้ที่จะชื่นชมชายหนุ่มผู้นี้ เขาเดินทางมาเมืองหลวงได้เพียงกี่วันกัน ? ด้วยความสามารถของเขาทำให้ฝ่าบาททรงมอบตำแหน่งแก่เขาได้ คงเนื่องมาจากนโยบายนั้นเป็นแน่ เขารู้ดีว่านโยบายที่ฟู่เสี่ยวกวนเขียนนั้นมิเหมือนผู้ใด แต่คาดมิถึงว่าจะได้รับความชื่นชมถึงเพียงนี้
หลายคนอาจเข้าใจว่าฟู่เสี่ยวกวนโชคดี แต่ซูม่อหาได้คิดเช่นนั้นไม่ เขาเข้าใจดีว่าฟู่เสี่ยวกวนมีความสามารถ ไม่ว่าเรื่องที่เขากำลังทำที่ซีซานหรือเรื่องนโยบายในเมืองหลวง สิ่งเหล่านี้ล้วนมิใช่โชค หากแต่เป็นความสามารถ !
ฟู่เสี่ยวกวนเขียนจดหมายไปถึงฟู่ต้ากวนอย่างตั้งใจ
“ท่านพ่อ ขออวยพรท่านให้มีความสุขในชีวิตแต่งงาน ! ”
ข้าเดินทางมายังเมืองหลวงได้สิบกว่าวันแล้ว ในวันนี้ได้รับพระราชราชโองการจากองค์ฮ่องเต้ ประทานตำแหน่งจิ้นซื่อแก่ข้า อีกทั้งยังมอบตำแหน่งขุนนางขั้นที่ห้าฉาวซ่านต้าฟูแก่ข้าด้วย
ท่านพ่อรับรู้แต่เพียงผู้เดียวก็พอ อย่าได้ไปคุยโวโอ้อวดแก่ผู้คนภายนอกเลย
อีกทั้งข้าได้ขอให้พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยทูลขอฝ่าบาทให้ทรงเขียนคำว่าจวนฟู่แก่เรา เช่นนี้ตระกูลฟู่ของเราคงจะได้เป็นที่เคารพนับถือ ข้าคิดว่าท่านพ่อคงจะดีใจเป็นแน่
ท่านพ่อ ข้าต้องการเงินเล็กน้อย ชูหลานซื้อจวนหลังโตที่นี่ มีจำนวนห้องกว่าร้อยห้อง คำนวณคร่าว ๆได้ประมาณ 100,000 ตำลึง ข้าเองก็มิรู้ว่าเรามีเงินมากมายเพียงนั้นหรือไม่ รอให้ที่แห่งนี้ปรับปรุงเรียบร้อย ท่านพ่อและท่านแม่ทั้งหกเดินทางมาอาศัยอยู่ที่นี่เถิด
เรื่องที่ซีซานนั้นต้องขอให้ท่านพ่อช่วยข้าดูด้วย หากมีสิ่งใดผิดปกติก็เขียนจดหมายมาหาข้าได้ทันที บัดนี้ข้ายังมิอาจออกจากเมืองหลวงได้ เนื่องจากคาดว่าองค์ฮ่องเต้จะมีพระราชประสงค์ให้ข้าเข้าเฝ้า
ท่านแม่รองให้กำเนิดบุตรหรือยัง ? ข้าได้น้องชายหรือน้องสาว ? ท่านพ่ออย่าลืมเขียนจดหมายมาบอกข้าด้วย
วันนี้พอเท่านี้ก่อน เรื่องเงินนั้นขอให้ท่านพ่อบอกจำนวนที่รับได้แก่ข้าด้วย”
หลังจากให้ชุนซิ่วปิดผนึกเรียบร้อยก็ส่งจดหมายออกไป ที่อยู่ที่ให้ไว้เป็นของตระกูลต่ง เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เนื่องจากตอนนี้เขายังอาศัยอยู่ที่โรงเตี๊ยม และคาดว่าจะต้องอาศัย ณ ที่แห่งนี้ไปสักระยะหนึ่ง
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินกำลังวุ่นอยู่กับร้านขายชุดชั้นใน คาดว่าจะลืมเขาไปเสียแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนไม่มีอะไรทำจึงได้กินข้าวกับซูม่อและชุนซิ่ว จากนั้นก็กลับไปยังห้องพักเพื่อเขียนหนังสือความฝันในหอแดง
เขาต้องหาเงิน เงินจำนวนมหาศาลกำลังไหลออกไป ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ไม่มั่นใจว่าจะมีเพียงพอหรือไม่
เขามิเคยสนใจเรื่องการเงินในบ้านมาก่อน อีกทั้งสุราที่หยู๋ฝูจี้ขายได้เท่าไรเขาก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่เมื่อนึกถึงว่าเงินที่ใช้ไป ณ ภูเขาซีซานมากมายเพียงนั้น อีกทั้งต่อมาขุดเหมืองก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก หากที่บ้านเขามีเงินไม่มากพอเขาก็ควรที่จะหาเพิ่มใช่หรือไม่
เมื่อได้นั่งลงเขียนหนังสือเขาก็เขียนจนกระทั่งเวลาเที่ยง อืม ไม่เลว เขาเขียนได้ถึง 5 บท และในเวลานั้นต่งชูหลานได้เดินทางกลับมา รอยยิ้มที่งดงามราวดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลินั้นปรากฏบนใบหน้านาง
“ร้านค้าในตรอกชิงหลวนทั้งสองร้านนั้นซื้อไว้เรียบร้อยแล้ว ตำแหน่งที่ตั้งนั่นยอดเยี่ยมนัก อยู่ใกล้กับเหวินเซียงโหลว พวกเราเดินทางไปที่หอหงผายและซื้อพื้นที่กว้างขวางไว้ ตั้งใจจะใช้เป็นสถานที่สำหรับตัดเย็บเอ่อ…ชุดชั้นใน หยูเวิ่นหวินเดินทางกลับวังไปแล้ว นางกล่าวว่าจะกลับไปถามซั่งกุ้ยเฟยว่าสามารถช่วยซื้อบ่าวสาวรับใช้สักจำนวนหนึ่งให้ได้หรือไม่ เนื่องจากพวกนางมีความสามารถด้านเย็บปักถักร้อย หากให้พวกนางมาช่วยงานเย็บ คาดว่าจะสวยงามกว่า”
แน่นอนว่าสิ่งนี้คงขาดไม่ได้ ฟู่เสี่ยวกวนจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ลำบากพวกเจ้าหน่อยนะ”
ต่งชูหลานกำลังจะเดินไปดื่มน้ำ เมื่อเห็นพระราชราชโองการที่วางไว้บนโต๊ะก็หยิบขึ้นมาดูและอ้าปากค้าง “นี่…เป็นเรื่องจริงหรือ ? ” ต่งชูหลานมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยความไม่อยากเชื่อ
“สิ่งนี้นำมาปลอมแปลงได้งั้นหรือ ? ”
ต่งชูหลานคาดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งเอ่ยออกมาได้ไม่กี่วันเท่านั้นก็สามารถทำได้สำเร็จแล้ว นี่เป็นสิ่งที่น่าชื่นชมยิ่งนัก น่าชื่นชมยิ่งกว่าสิ่งใด ๆ ที่เขาทำในช่วงนี้กว่าสิบเท่า
หากเป็นเช่นนี้ ฟู่เสี่ยวกวนก็มีตำแหน่งทางราชการเสียที เช่นนั้นเรื่องที่ท่านพ่อขัดขวางคงจะน้อยลงบ้าง
“พวกเราต้องฉลองเสียหน่อย ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งนึกถึงคำเชิญจากฉินโม่เหวินขึ้นได้ “ไปกันเถอะ ไปจวนท่านพี่ฉิน ! ”
ตอนที่ 117 ผู้มีอำนาจคนใหม่แห่งเมืองหลวง
มิมีใครสามารถเข้าใจความในใจของฟู่เสี่ยวกวนได้ แม้แต่ฝ่าบาทในยามนี้เองก็ยากที่จะเข้าใจ
มิว่าเยี่ยงไรก็ตามฉาวซ่านต้าฟูนี้ก็หมดหนทางจะเปรียบเทียบกับขุนนางกรมคลังได้ ถึงแม้จะเป็นขั้นห้า แต่ช่องว่างระหว่างนั้นก็ยังมีมากกว่าพันลี้
ด้วยชื่อเรียกฉาวซ่านต้าฟูนี้ หากมิใช่การเรียกเข้าเฝ้าจากองค์ฮ่องเต้ ก็มิอาจย่างก้าวเข้ามาในพระราชวังจินเตี้ยนได้ และมิมีกรมสังกัดเช่นกัน ไร้งานราชการโดยสิ้นเชิง แล้วจะมีเกียรติได้เยี่ยงไร ?
แต่ขุนนางในกรมคลังแตกต่างออกไป ขุนนางนั้นจะมีหน้าที่ที่รับผิดชอบเฉพาะบุคคล ทุกวันต้องมายังกรมคลังเพื่อเข้างาน หลังจากนั้นก็จัดทรัพย์สินและแรงงานอยู่ที่กรมคลัง จำต้องติดต่อกับหลายสำนักงาน
จัดทรัพย์สินและแรงงานอยู่ภายในวังหลวง ต่อจากนั้นก็จะได้รู้จักกับขุนนางอีกมากมาย หลังจากนั้นก็จะได้เข้าไปในแวดวงเหล่านั้น หากรู้จักวางตน ก็จะมีผู้สูงศักดิ์สนับสนุน และหากมีสหายที่ดีคอยผลักดัน ก็จะได้เข้าร่วมไปในวังวนของราชสำนักราวกับปลาได้น้ำ ถึงจะมีโอกาสโผบินจากพื้นไปสู่เมฆาได้
ดังนั้นเป็นตัวฟู่เสี่ยวกวนเองที่ตัดหนทางของตนเอง จนต่งคังผิงค่อนข้างผิดหวัง แต่ชางกวนเหวินซิ่วกลับยินดียิ่ง
“เสี่ยวกวนเสียนตี้ ตำแหน่งขุนนางนี้ดีนัก ภายภาคหน้าเจ้ามานั่งที่กั๋วจื่อเจี้ยนของทางข้าได้ กั๋วจื่อเจี้ยนมีหนังสือมากมาย เจ้ามาอ่านได้ทุกเมื่อ”
ฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้ยังคงคุกเข่าอยู่ หากฝ่าบาททรงยังมิตรัสเขาก็ยังมิสามารถลุกขึ้นได้ ทำได้เพียงยิ้มขมขื่นในใจ และหันหน้าไปกล่าวขอบคุณกับชางกวนเหวินซิ่ว
ผู้อาวุโสผู้นี้เป็นคนดี !
“เจ้าลุกขึ้นเสีย” ในที่สุดฝ่าบาทก็ทรงตรัสขึ้นมา
“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ !”
“จากสายตาของข้ามิควรมีเพียงเท่านี้ ในฐานะที่เจ้าได้รับนามว่าฉาวซ่านต้าฟูไปแล้ว วันปกติก็เข้าไปนั่งในกรมคลัง และรอการโยกย้ายจากเสนาบดีต่ง”
“หะ… ! ” ฟู่เสี่ยวกวนมิอยากจะเข้าวังหลวงนี่
เขาเพียงอยากมีแค่ตำแหน่ง หลังจากนั้นก็กลับหลินเจียง ดังนั้นแล้วหากมีคนคิดวางแผนใส่ร้ายเขา เยี่ยงนั้นแล้วก็ต้องผ่านการตรวจสอบจากทางศาลต้าหลี่ มิเหมือนกับฐานะในก่อนหน้านี้ แม้จะอยู่ที่หลินเจียงก็จะสำเร็จโทษเขาได้ทันที
องค์ฮ่องเต้ทรงเหลือบมอง เยี่ยงไรเล่า เจ้าหนุ่มนี่โง่หรืออย่างไรเล่า ?
โอ้ อย่างไรเนื้อในของเขาก็เป็นเพียงปัญญาชนทางวรรณกรรมเท่านั้น มิฉะนั้นแล้วเยี่ยงนี้…
“ในวันปกติเจ้ายินยอมที่จะอยู่กรมคลังก็ย่อมได้ ยินยอมที่จะอยู่กั๋วจื่อเจี้ยนก็ย่อมได้เช่นกัน เรื่องนี้ถูกกำหนดไว้เยี่ยงนี้ !”
ขุนนางมากมายต่างหันมองหน้ากันอีกครา มิถูกต้องแล้ว นับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์หยูมาจนถึงวันนี้เป็นระยะเวลาสองร้อยกว่าปีมิเคยมีเรื่องแบบนี้ขึ้นมาก่อน !
นี่ได้รับความโปรดปรานไปมากมายถึงเพียงใดกัน? ถึงขั้นได้รับตำแหน่งที่ว่างงานและสามารถไปได้ทั้งสองกรม ทั้งยังมิต้องอยู่ภายในขอบเขตของสองกรมนี้
เห็นได้ชัดว่าองค์ฮ่องเต้ต้องการอุปถัมภ์ค้ำชูฟู่เสี่ยวกวน ถึงได้มีอิสระมากมายเพียงนี้ ก็เหมือนกับให้โอกาสแก่ฟู่เสี่ยวกวน ให้เขาได้มีโอกาสใกล้ชิดกับอีกหลายหน่วยงานของราชสำนัก และได้รู้จักกับขุนนางมากมาย ชายผู้นี้ ได้จังหวะที่จะโผบินแล้ว
เมื่อได้ครุ่นคิดเมื่อครู่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่ามีสตรีอยู่ในใจสองคนแล้ว ต่งชูหลานเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่อีกหนึ่งคนก็มิอาจระบุตัวตนได้
ผู้ที่มีความตั้งใจก็นึกขึ้นได้ว่าองค์หญิงเก้าเคยประพาสไปยังหลินเจียง และที่เมืองหลวงหลายวันนี้ก็เหมือนจะมีข่าวคราวว่าฟู่เสี่ยวกวนและองค์หญิงเก้าอยู่ด้วยกัน เยี่ยงนั้นแล้วสตรีอีกหนึ่งคนที่ฟู่เสี่ยวกวนชมชอบมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นองค์หญิงเก้า!
แต่พระราชบุตรเขยมิสามารถดำรงตำแหน่งขุนนางของวังหลวงได้ แต่ฝ่าบาทก็ยังให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นขุนนาง มีสิ่งใดที่พิเศษอีกกัน ?
คิดมิออกแล้ว แม้จะคิดมิออก ก็ตัดสินใจไปหนึ่งเรื่องแล้ว หากภายภาคหน้าฟู่เสี่ยวกวนมิได้ทำผิดใหญ่หลวงอันใด เกรงว่าจะได้กลายเป็นผู้มีอำนาจคนใหม่ของเมืองหลวงไป !
ยังมิทันอายุครบสิบเจ็ดปีดีดัก ก็ประพันธ์ตำราจนเป็นที่พูดถึง ได้รับการสลักนามบนหินเชียนเปยสือ ถวายกลยุทธ์บรรเทาภัยพิบัติแก่ฝ่าบาท ฝ่าบาทประทานตำแหน่งจิ้นซื่อให้ แต่งตั้งเป็นฉาวซ่านต้าฟูขุนนางขั้นที่ห้า ไปมาระหว่างกรมคลังและกั๋วจื่อเจี้ยนได้อย่างอิสระ เพิ่งผ่านไปได้นานเท่าใดกัน ?
เมื่อวานเป็นครั้งแรกที่ชายผู้นี้ได้เข้าวัง แต่กลับทำเสนาบดีกรมพิธีการชือเฉาหยวนด่าทอจนกระอักเลือดและเป็นลมล้มพับไป
วันนี้เป็นครั้งที่สองที่ชายผู้นี้ได้เข้าวัง ก็ทำให้ฝ่าบาทปูนบำเหน็จรางวัลอย่างใหญ่โตเยี่ยงนี้ได้ ท้ายที่สุดแล้วเขากำลังทำอันใดอยู่กันแน่ ?
การตอบคำถามเมื่อวานยามบ่ายที่ห้องทรงพระอักษรก็มิได้มีการแพร่งพรายออกมา เหล่าขุนนางต่างมิทราบว่ากลยุทธ์บรรเทาสาธารณภัยฉบับนั้นผ่านการพิจารณาและเริ่มนำไปใช้แล้ว สิ่งที่พวกเขาคิดคือนโยบายสงครามฉบับนั้นได้เข้าพระเนตรฝ่าบาทแล้วหรือไม่ ?
แต่การทดสอบของวังหลวงนั้นเลือกมาเพียงสามอันดับแรก และในตอนนี้จิ้นซื่อทั้งสามก็ได้มายืนอยู่ ณ ที่นี่แล้ว ยังมีที่ว่างในสามอันดับแรกให้ชายผู้นี้อีกเยี่ยงนั้นหรือ ?
จิตใจของชืออีหมิง ฟางเหวินซิงและสีส่วงต่างโศกเศร้ายิ่ง วันนี้เป็นวันที่ฝ่าบาทจะประกาศสามอันดับแรกของการทดสอบ ในวันนี้ ณ ที่นี่พวกเขาควรเป็นตัวเอกจึงจะถูกต้อง แต่ความสนใจเหล่านั้นกลับถูกฟู่เสี่ยวกวนแย่งชิงไปเสียจนหมด แม้แต่กั๋วจื่อเจี้ยนและกรมคลังต่างก็แย่งชิงตัวเขา แต่ชายผู้นั้นกลับมิยินยอมพร้อมใจ !
แท้จริงแล้วเจ้าต้องการจะทำอันใดกันแน่ ?
ชืออีหมิงอยากจะเข้าไปถามเหลือเกิน
ใช่ หาโอกาสฟาดเจ้าเด็กนี่สักครา แล้วไถ่ถามให้เต็มที่ !
ในยามนี้เหมือนว่าฝ่าบาทจะเพิ่งตระหนักได้ว่ายังมิได้ประกาศผู้ที่สอบได้สามอันดับแรกของการทดสอบ ดังนั้นเขาจึงกวักมือเรียก ขันทีเจี่ยได้ร่างพระราชโองการปูนบำเหน็จรางวัลของฟู่เสี่ยวกวนเสร็จแล้ว และวางลงบนโต๊ะมังกรขององค์ฮ่องเต้
องค์ฮ่องเต้หยิบตราขึ้นมาและประทับลงไป ขันทีเจี่ยกระแอมไอล้างลำคอ
“ฟู่เสี่ยวกวนรับราชโองการ !”
ฟู่เสี่ยวกวนทำได้เพียงคุกเข่าลงไปอีกครา
“ด้วยโองการแห่งฟ้า องค์ฮ่องเต้มีพระบัญชาว่า ฟู่เสี่ยวกวนจากหลินเจียงมีแผนทางการเมืองอย่างเต็มเปี่ยม มีความรู้ในวิธีการปกครองบ้านเมือง เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่งในใต้หล้า นอกจากนี้กลยุทธ์บรรเทาสาธารณภัยฉบับนั้น ลึกซึ้งไปถึงใจของข้า สามารถช่วยเหลือผู้ประสบภัยจากไฟและน้ำไว้นับหมื่นคน ข้าผู้ต้องส่งเสริมใต้หล้า เพื่อให้ประชาราษฎรของข้าได้รับพระกรุณาธิคุณกันถ้วนหน้า ดังนั้น ข้าจึงประทานตำแหน่งจิ้นซื่อแก่ฟู่เสี่ยวกวน และแต่งตั้งให้เป็นฉาวซ่านต้าฟู สามารถไปได้ทั้งกั๋วจื่อเจี้ยนและกรมคลัง ประทับตราองค์ฮ่องเต้”
ฟู่เสี่ยวกวนกู่ร้องทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นยืน รับราชโองการมาจากมือของขันทีเจี่ย จนถึงตอนนี้ จิตใจของเขาถึงได้สงบลงอย่างแท้จริง
เขากลับหลังหันไปมองเหล่าขุนนางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม สองมือกอบกุมกันไว้ ในยามนี้ใบหน้าของอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยซีเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เดินไปข้างหน้าและตบบ่าของฟู่เสี่ยวกวนอย่างเป็นกันเอง “ยินดีด้วยคุณชายฟู่ คุณชายฟู่เป็นผู้มีพรสวรรค์ ข้าชื่นชมอย่างแท้จริง วันใดมีเวลาว่าง ก็ขอเชิญคุณชายฟู่มานั่งเล่นที่จวนเยี่ยนได้ทุกเมื่อ”
“อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนให้เกียรติเยี่ยงนี้ ข้าน้อยจะขอรับไว้ ภายภาคหน้าจะไปเยี่ยมเยือนที่จวนของท่านเป็นแน่ จะขอน้อมฟังคำสอนของท่านอัครมหาเสนาบดีเยี่ยน”
อัครมหาเสนาบดีผู้นี้ต่างก็แสดงท่าทีออกมาแล้ว ขุนนางอีกร้อยชีวิตก็ควรจะแสดงท่าทีออกไปเช่นกัน
ดังนั้นคำอวยพรและคำเชื้อเชิญมากมายต่างมีมาไม่ขาดสาย สีหน้าของชือเฉาหยวนแข็งกระด้าง เจ้าเด็กนี่ คนต้อยต่ำได้รับลาภยศไปเสียแล้ว !
จิ้นซื่อทั้งสามต่างตกตะลึงอีกครา พี่ใหญ่ พวกข้ายังคงรอองค์ฮ่องเต้ประกาศอยู่นะว่าใครกันที่ได้เป็นจอหงวน
เจ้ารู้จักจอหงวนหรือไม่ ?
ที่หนึ่งในแผ่นดิน ที่หนึ่งในแผ่นดินเลยนะ !
จอหงวนในปีนี้ดูไร้รสชาติเสียมิมี… !
ชางกวนเหวินซิ่วเบียดเข้าไปมิได้ ทำได้เพียงตะโกนเสียงดัง “ฟู่เสียนตี้ ประเดี๋ยวเสร็จสิ้นการเข้าเฝ้าข้าจะรอเจ้าอยู่ด้านนอก ! ”
ชื่อหลางกรมพิธีการสวี่หวยซู่ยืนมองอยู่ห่าง ๆ สีหน้าค่อนข้างปลื้มปีติ ไม่ว่าเยี่ยงไร บุตรชายมิได้ความของน้องสาวในตอนนี้ดูจะมีโอกาสขึ้นมาแล้ว เพียงแค่ท้ายที่สุดแล้วเขานั้นจะเดินไปทางไหน ?
เรื่องนี้ต้องบอกกับบิดาสักหน่อยหรือไม่ ?
บิดาจะยอมรับหลานชายผู้นี้ได้หรือไม่ ?
ต่งคังผิงมิได้เข้าไปร่วมยินดีกับฟู่เสี่ยวกวน และเลือกที่จะพูดคุยกับเยี่ยนซือเต้าเป็นการส่วนตัว
“พี่เยี่ยน เรื่องนี้ยังคงดูที่ความตั้งใจของเด็ก ๆ อยู่หรือไม่ ? ”
เยี่ยนซือเต้ายิ้มบาง ๆ “น้องต่ง ต้นไม้ที่ไร้รากมิสามารถเติบโตได้ น้ำที่ไร้ตาน้ำก็มิอาจกลายเป็นทะเลสาบได้ คนที่ไร้รากฐานก็ยากที่จะเป็นหลักได้ เรื่องนี้มิต้องรีบร้อนไป คอยดูต่อไปอีกสองปี คิดเห็นเยี่ยงไรบ้าง ?”
ต่งคังผิงใจสั่นสะท้าน เข้าใจความหมายของเยี่ยนซือเต้าในทันพลัน
เยี่ยนซือเต้ามิถือหางฟู่เสี่ยวกวน เพราะ…เขามิมีอะไรเลยทั้งสิ้น !
“นี่มิใช่เจตนารมณ์ของข้า คิดว่าองค์หญิงใหญ่คงจะเคยมาพบเจ้า”
“มิเป็นไร คิดว่าองค์หญิงใหญ่เองก็คงมิอยากจะเห็นชูหลานต้องทนทุกข์เช่นกัน”
ตอนที่ 116 อย่าแย่งกัน ข้าต้องการตำแหน่งฉาวซ่านต้าฟู
เมื่อฝ่าบาทตรัสออกมาเช่นนั้น ในท้องพระโรงก็เริ่มมีเสียงดังไม่สงบเช่นเดิม
ชือเฉาหยวน เสนาบดีกรมพิธีการนั้นจะสามารถอดทนนั่งนิ่งได้อย่างไร ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยคัดค้าน แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวันก่อนถูกเขาผู้นี้ตอกกลับจนล้มไม่เป็นท่า จะพลาดท่าอีกมิได้แน่ ! ดังนั้นเขาจึงได้ส่งสายตาไปยังสวี่หวยซู่ ชื่อหลางของกรมพิธีการ สร้างความลำบากใจให้สวี่หวยซู่ไม่น้อย
ฟู่เสี่ยวกวนเป็นหลานของเขา ฝ่าบาททรงโปรดปรานและมีรับสั่งมอบตำแหน่งให้แก่เขา ในฐานะลุง เขาจะกำจัดฟู่เสี่ยวกวนได้อย่างไร ?
จวนสวี่ได้กระทำผิดต่อหยุนชิงมามากแล้ว หากเขาจะยังทำเรื่องเช่นนี้อีก วิญญาณของน้องสาวที่อยู่บนสวรรค์คาดว่าคงจะโกรธแค้นเขามากเป็นแน่
ในขณะที่เขากำลังจะเอ่ยบางอย่างออกไป คาดไม่ถึงว่ามีใครบางคนเอ่ยตัดหน้าเขา
ผู้นั้นคือชางกวนเหวินซิ่วนั่นเอง
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมีความคิดเห็นว่าความสามารถของฟู่เสี่ยวกวนนี้ สามารถทำงานในกั๋วจื่อเจี้ยนได้! กระหม่อมขอประทานอภัยที่จะทูลว่า กระหม่อมเองมีอายุมากแล้วและมีความประสงค์จะลาออกเพื่อกลับไปพักผ่อนตามภูมิลำเนาเดิม ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณามอบตำแหน่งกั๋วจื่อเจี้ยนจี้จิ่ว[1]แก่ฟู่เสี่ยวกวนเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมั่นใจว่าเขาจะสามารถนำพาราชวงศ์หยูให้ก้าวไปอย่างสง่างามได้!”
คำพูดของชางกวนเหวินซิ่วนี้ทำให้ผู้คน ณ ที่นั้นต่างก็ตกตะลึง
ล้อเล่นหรืออย่างไร ?
ตำแหน่งกั๋วจื่อเจี้ยนจี้จิ่วนั้นจะต้องเป็นผู้นำด้านการศึกษาทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีความรับผิดชอบเรื่องการบูชารำลึก มีอำนาจมากนัก ยิ่งไปกว่านั้นในอดีตผู้ที่ครอบครองตำแหน่งนี้มิมีผู้ใดไม่ได้ร่ำเรียนวิชาจนแตกฉาน แต่ฟู่เสี่ยวกวนที่แม้แต่หนวดยังขึ้นไม่ครบเสียด้วยซ้ำ เขาอายุได้เพียง 16 ปี หากให้เขารับตำแหน่งกั๋วจื่อเจี้ยน บรรดาผู้อาวุโสจะทำใจได้อย่างไร ?
ชืออีหมิง ฟางเหวินซิงและสีส่วงล้วนอึดอัดนัก…เจ้านี่ไม่แม้แต่จะเข้าร่วมการสอบ เพียงแค่คำพูดของฝ่าบาทคำเดียวก็ทำให้เขากลายเป็นจิ้นซื่อได้ แม้พวกเขาทั้งสามจะได้รับคัดเลือกเป็นสามอันดับแรก แต่ก็ยังต้องรอคอยว่าจะมีตำแหน่งว่างเมื่อใด ต่อให้มีตำแหน่งว่าง ก็คงเริ่มจากตำแหน่งธรรมดา ๆ แม้แต่เยี่ยนซีเหวินเองก็ยังได้รับตำแหน่งนายอำเภอที่เป็นขุนนางระดับเก้าในพื้นที่เขตชานเมือง แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับได้รับตำแหน่งฉาวซ่านต้าฟูขุนนางระดับห้า!
แม้ว่าตำแหน่งฉาวซ่านต้าฟูนี้จะเป็นตำแหน่งว่าง ๆ ไร้ซึ่งอำนาจหรือหน้าที่ แต่ก็มีหน้ามีตาไม่น้อย
ยิ่งแข่งขันยิ่งน่าคับแค้นเสียจริง !
ไม่รู้ว่าเขาโชคดีมาจากไหน !
ฝ่าบาทเองก็ทรงตกตะลึงเช่นกัน เหตุใดชางกวนเหวินซิ่วจึงแทรกมือเข้ามายุ่งเกี่ยว ? ฟู่เสี่ยวกวนจะสามารถดำรงตำแหน่งกั๋วจื่อเจี้ยนจี้จิ่วได้งั้นหรือ ? ชายชราผู้นี้เต็มไปด้วยความรู้มากมาย เขาต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนอึดใจหรืออย่างไร ?
เขาต้องการให้เสนาบดีทั้งหลายจับตามองฟู่เสี่ยวกวน และอยากเห็นเขายืนอยู่ในราชสำนักนี้อย่างยากลำบากงั้นหรือ !
เหอะ ๆ ข้าอ่านความคิดเจ้าออก ข้าจะมิยอมให้เจ้าได้ใจเป็นแน่ !
ในขณะที่ฝ่าบาทกำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา สวี่หวยซู่ได้ลุกขึ้นยืนและกล่าวว่า
“กระหม่อมคิดเห็นว่าคำพูดของท่านชางกวนเกินไปเสียหน่อย ความสามารถของฟู่เสี่ยวกวนนั้นกระหม่อมเองก็ชื่นชมนัก แต่หากจะให้เขารับตำแหน่งกั๋วจื่อเจี้ยนจี้จิ่วเกรงว่าจะไม่เหมาะสมนัก กระหม่อมคิดว่ามิควรทำเช่นนี้ ประการแรกกั๋วจื่อเจี้ยนจี้จิ่วจะต้องดูและจัดการการศึกษาทั่วประเทศ และเป็นองค์กรสำคัญที่จะคัดเลือกผู้มีความสามารถแก่ฝ่าบาท ประสบการณ์ของฟู่เสี่ยวกวนนั้นยังมีไม่มากพอ ประการที่สองนั้นตำแหน่งกั๋วจื่อเจี้ยนจี้จิ่วเปรียบเสมือนตัวแทนด้านการศึกษาของทั้งประเทศ ท่านชางกวนเหวินซิ่วนั้นเป็นผู้มีความรู้รอบด้าน และได้รับความเชื่อถือจากผู้คนทั่วทั้งประเทศ แต่ฟู่เสี่ยวกวนแม้ว่าหนังสือความฝันในหอแดงของเขาจะได้รับความนิยมสูง อีกทั้งได้จารึกกวีของเขาไว้ในหินเชียนเปยสือบรรทัดที่หนึ่ง แม้จะมีความสามารถครบครัน แต่ยังมีอีกหลายเรื่องนักที่ต้องเรียนรู้ เช่นด้านศีลธรรม เช่นนี้จึงจะครบครัน เช่นนั้นกระหม่อมคิดเห็นว่า ตำแหน่งฉาวซ่านต้าฟูที่ฝ่าบาททรงประทานให้นั้นเหมาะสมยิ่ง เนื่องจากเป็นเพียงตำแหน่งแต่มิได้ปฏิบัติงานใด ฟู่เสี่ยวกวนสามารถใช้โอกาสนี้ฝึกฝนตนเองให้เพียบพร้อมมากขึ้น”
ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นว่าตำแหน่งที่ฝ่าบาทประทานให้นั้นเป็นเพียงชื่อ แต่ไม่มีหน้าที่ใด ๆ เขากลับยิ่งชอบใจ เนื่องจากที่ซีซานยังมีเรื่องอีกมากมายนักรอเขากลับไปจัดการ
แต่เขาผู้นี้คือใครกัน ?
มองไปช่างคุ้นตานัก
อาจเคยพบกันมาก่อน แต่เขาจำไม่ได้เสียแล้ว
ท่านเสนาบดีต่งก็ได้ก้าวออกมาและกล่าวว่า “กระหม่อมคิดเห็นว่านโยบายของฟู่เสี่ยวกวนนั้นยอดเยี่ยมยิ่งนัก หากกรมการคลังได้นำนโยบายของเขามาปรับใช้ คาดว่าจะได้ผลเป็นอย่างดี ดังนั้นกระหม่อมมีความเห็นว่าควรให้เขาไปอยู่ในกรมการคลัง และขอฝ่าบาททรงมอบตำแหน่งชื่อหลางแห่งกรมการคลังแก่เขา เพื่อแก้ไขเหล่าปัญหานี้”
เมื่อฝ่าบาททรงได้ยินดังนั้นก็เห็นด้วย ตำแหน่งชื่อหลางแห่งกรมการคลังก็เป็นขุนนางระดับห้าด้วยเช่นกัน เพียงแต่จะมีอำนาจ พอดีกับนโยบายนี้ที่เขาเป็นผู้ร่างขึ้นมา หากให้เขาได้ลงมือจัดการด้วยตนเองก็จะได้เห็นถึงความสามารถอันแท้จริงของเขาด้วย
ฝ่าบาทกำลังจะตรัส แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้คุกเข่าลงทันใด!
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ คำพูดของท่านเสนาบดีต่งเมื่อครู่ไม่เหมาะสม !”
อะไรกัน !ทุกคนในที่นี้ล้วนเข้าใจว่าต่งคังผิงต้องการให้เขามีหน้ามีตาและผลงาน เนื่องจากเรื่องของฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลานได้แพร่ออกไป ประกอบกับการที่องค์หญิงเก้าทรงกล่าวเตือนเยี่ยนซือเต้าด้วยตนเอง หากเยี่ยนซือเต้าล้มเลิกการสู่ขอต่งชูหลานให้แก่เยี่ยนซีเหวิน การที่ต่งชูหลานจะแต่งงานกับฟู่เสี่ยวกวนคงเป็นเรื่องที่ถูกกำหนดไว้แน่นอน
ถ้าเช่นนั้นการที่เสนาบดีต่งจะผลักดันลูกเขยก็เป็นเรื่องที่ทุกคนเข้าใจได้ แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับปฏิเสธ !
กรมการคลังเป็นกรมที่ใหญ่ที่สุดเชียว !
พวกเขาดูแลปากท้องของประชาชนทั้งประเทศ ใครก็ตามที่ต้องการอาหารหรือเงินทองล้วนต้องพึ่งพาพวกเขา แต่เจ้านี่กลับปฏิเสธ !เขากำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน ?
ต่งคังผิงเองก็งุนงงเช่นกัน จากนั้นเขาได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่า “ฝ่าบาทอาจจะยังมิทราบว่ากระหม่อมและแม่นางต่งชูหลานเป็นเพื่อนกันมาแต่เล็กกระทั่งชอบพอจะหมั้นหมายกัน ณ บัดนี้ ท่านเสนาบดีต่งกำลังจะกลายเป็นพ่อตาของกระหม่อมในไม่ช้านี้ กระหม่อมแม้ว่าจะมีจิตใจบริสุทธิ์ แต่ก็คิดว่าพ่อตาและลูกเขยอยู่ในกรมการคลังทั้งสองคนเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมนัก…”
เมื่อฝ่าบาททรงได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจ เขาและต่งชูหลานชอบพอจนถึงขั้นจะหมั้นหมาย ? แล้วองค์หญิงเก้าของข้าเล่า ?
ซั่งกุ้ยเฟยมิได้กล่าวว่าองค์หญิงน้อยของข้าชอบพอฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้หรือ ?
เหตุใดมันช่างวุ่นวายถึงเพียงนี้ ?
“ช้าก่อน !”
ทุกคนในที่นี้ล้วนตกตะลึง เรื่องนี้รู้อยู่แก่ใจตนเองก็เพียงพอ เหตุใดต้องเอ่ยต่อหน้าฝ่าบาทในที่สาธารณะเช่นนี้ด้วย เขาต้องการสิ่งใด ?
เยี่ยนซีเป่ยชายตามองไปยังฟู่เสี่ยวกวน และคิดในใจว่าเรื่องของหลานชายเขากับต่งชูหลาน เกรงว่าเป็นไปมิได้เสียแล้ว
อายุเพียงเท่านี้ แต่กลับมีจิตใจแน่วแน่ มองดูก็รู้ว่าต่อไปในภายภาคหน้าเขาจะได้เป็นใหญ่เป็นโต
เสนาบดีต่งโมโหยิ่งนัก ข้าเองยังมิได้ตอบตกลงเสียด้วยซ้ำ !เจ้ากลับนำเรื่องนี้มากล่าวในท้องพระโรง ตั้งใจให้ข้าไร้หนทางหรืออย่างไร ?
ฝ่าบาททรงยืนขึ้นมองดูฟู่เสี่ยวกวนและตรัสว่า “เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าชอบพอกับต่งชูหลานกระทั่งตกลงจะหมั้นหมายงั้นหรือ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนมองดูท่าทีของฝ่าบาทด้วยความตกใจ ตายแน่ ๆ หยูเวิ่นหวินคงยังมิได้กล่าวเรื่องนี้ให้ฝ่าบาทฟังแน่นอน
“ทูลฝ่าบาท ดวงใจของกระหม่อมมีหญิงสาวอยู่สองคน ชูหลานนั้นนางได้ปลุกหม่อมฉันขึ้นมาจากชีวิตที่ไร้ค่าไปวัน ๆ ส่วนอีกคนนั้นในใจของหม่อมฉัน นางก็มิได้มีค่าน้อยไปกว่าชูหลานเลย เพียงแต่บัดนี้กระหม่อมยังมิอาจเอ่ยชื่อของนางออกมาได้ กระหม่อมมีความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ หากชีวิตนี้ได้รับใช้ฝ่าบาท แม้ตายกระหม่อมก็ยอม เพียงแต่หากกระหม่อมเอ่ยชื่อสตรีนางนั้นออกมา ขอฝ่าบาททรงเป็นพยานในการหมั้นหมายนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ !”
องค์จักรพรรดิทรงขมวดคิ้ว เป็นเช่นนี้เอง…ประเดี๋ยวคงต้องไปถามหยูเวิ่นหวินเกี่ยวกับความจริงในเรื่องนี้
คำกล่าวเมื่อครู่ของเขาว่าหากได้รับใช้เรา แม้ตายก็ยอมนั้น ช่างหนักแน่นยิ่งนัก
“ถ้าเช่นนั้นข้าขอถามเจ้าว่า เจ้ามีความคิดเห็นว่าอย่างไร ?”
“กระหม่อมต้องการตำแหน่งฉาวซ่านต้าฟู ขอฝ่าบาททรงพระกรุณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ !”
[1] จี้จิ่ว ผู้อำนวยการ แต่คำนี้เป็นตำแหน่งผู้อำนวยการมหาวิทยาลัย
ตอนที่ 115 ฟู่เสี่ยวกวนรับตำแหน่ง
“ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ท่านเข้าเฝ้า คุณชายฟู่โปรดตามข้าไปเข้าเฝ้าที่พระราชวังด้วยเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินเยี่ยงนั้น ในใจก็นึกยินดี แต่สีหน้ายังคงเรียบเฉย
“เยี่ยงนั้นคงต้องรบกวนท่านขันทีแล้ว ฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศเย็นเยี่ยงนี้ ทำให้ข้าน้อยนึกถึงท่านขันทีขึ้นมาว่ายังขาดเสบียงหรือเครื่องนุ่งห่มบ้างไหม น้ำใจเล็กน้อยนี้อยากจะขอให้ท่านขันทีรับเอาไว้ และนำไปซื้อโสมแก่และหวงฉีมาตุ๋นสักเล็กน้อย เพื่อบำรุงร่างกาย จึงจะมีกำลังรับใช้ฝ่าบาทนะขอรับ”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวพร้อมกับยัดตั๋วเงินจำนวนห้าพันตำลึงใส่มือของขันทีเจี่ย นี่คือเรื่องปกติ แต่ปัจจุบันนี้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานนัก หากรับตั๋วเงินนี้ไว้เกรงว่าจะมิดี
ในตอนที่ขันทีเจี่ยกำลังจะถอยห่าง ฟู่เสี่ยวกวนก็หยิบขวดน้ำหอมกลิ่นดอกกุ้ยฮวาขึ้นมา 1 ขวด และกระซิบข้างหูของขันทีเจี่ย “สิ่งนี้คือน้ำหอมที่ข้าน้อยทำขึ้นมา พรมตามร่างกายเล็กน้อยก็จะมีกลิ่นหอมติดทนนาน แล้วสิ่งนี้ยังมิได้ออกสู่ตลาด ข้าน้อยจึงอยากให้ท่านขันทีช่วยทดลองใช้เล็กน้อย”
นี่คือของชั้นดี !
ขันทีเจี่ยนำน้ำหอมขึ้นมาดมที่ปลายจมูก ในใจก็นึกชื่นชอบยิ่ง
ขันทีมีปัญหาที่ใหญ่หลวงอยู่หนึ่งสิ่ง โดยเฉพาะกับขันทีชราอย่างขันทีเจี่ย คือกลิ่นประหลาดที่ยากจะจัดการ หากมีสิ่งนี้ก็จะแก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากนี้ได้
“สิ่งนี้ข้าจะรับเอาไว้ ส่วนตำลึงเงินนี้…”
ฟู่เสี่ยวกวนกำมือของขันทีเจี่ยไว้ “มิต้องกล่าวอันใดแล้วขอรับ นี่คือน้ำใจเล็กน้อยของข้า พวกเราไปกันเถิด อย่าให้ฝ่าบาททรงรอนานเลย”
ขันทีเจี่ยเมียงมองฟู่เสี่ยวกวนอย่างพินิจพิจารณาอยู่ชั่วครู่ สายตาของฟู่เสี่ยวกวนใสกระจ่าง ใบหน้าประดับรอยยิ้มที่จริงใจ เขาจึงรับตั๋วเงินและน้ำหอมมา “เชิญคุณชาย !”
ตลอดทางขันทีเจี่ยบอกเล่าเรื่องที่ต้องระมัดระวังอย่างมากมายในวังหลวงให้ฟู่เสี่ยวกวนฟัง ในตอนท้ายก็กล่าวถึงเสนาบดีกรมพิธีการชือเฉาหยวน
“เสนาบดีชือยังคงเป็นหัวหน้าตระกูลชือ เมื่อวานที่พระราชวังจินเตี้ยนท่านกลับทำให้เขาขุ่นเคืองจนกระอักเจียนตาย ข้าจึงอยากจะเอ่ยเตือนคุณชายฟู่เสียเล็กน้อย ยามปกติเวลาออกไปไหนโปรดนำใครติดตามไปด้วย โปรดระวังการแก้แค้นของตระกูลชือ”
“อยู่แทบพระบาทของฝ่าบาท พวกเขาตระกูลชือยังกล้าทำร้ายผู้คนตามท้องถนนเยี่ยงนั้นหรือ ?”
ขันทีเจี่ยยิ้มน้อย ๆ “เมืองหลวงแห่งนี้เป็นที่ที่งูและมังกรอยู่ปะปนกัน ตระกูลชือนี้เป็นหนึ่งในหกตระกูลที่มีอำนาจของเมืองหลวง ใช้เงินเพียงเล็กน้อย ก็มีคนพร้อมจะถวายชีวิตให้พวกเขา”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า คิดว่าหลังจากนี้ยามออกไปไหนคงต้องพาซูม่อไปด้วยแล้วจริง ๆ
ขันทีเจี่ยลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “องค์ชายห้าพระเชษฐาขององค์หญิงเก้า คุณชายฟู่ควรหาโอกาสไปพบพระองค์ให้จงได้”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก หยูเวิ่นหวินก็เคยเกริ่นไว้ว่านางมีพี่ชายอยู่หนึ่งคน เพียงแต่มิเคยกล่าวโดยรายละเอียด หรือว่าองค์ชายห้าผู้นี้จะมีอะไรที่พิเศษอยู่กัน ?
เขาหันไปมองขันทีเจี่ย ขันทีเจี่ยเพียงยิ้ม และมิอธิบายอันใด
……
…..
ทั้งสองได้มาถึงท้องพระโรงเฉิงเทียน ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปข้างหน้าและคุกเข่าลงเสียงดัง “ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี”
องค์ฮ่องเต้หยูยิ่นชะงัก ข้ากำลังหารืออยู่กับเหล่าขุนนาง ยังมิทันเรียกเจ้า เจ้าจะคุกเข่าลงเพื่ออะไรกัน ?
“ลุกขึ้น”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้น ครุ่นคิดไปถึงคำพูดเมื่อครู่ของขันทีเจี่ย และมองไปยังมุมสุดของแถวสุดท้ายที่ผ่านมา
เอ๊ะ ชือเฉาหยวนก็อยู่ที่นี่ !
คนผู้นี้หายดีได้โดยเร็วเยี่ยงนั้นหรือ ?
เอ๊ะ ชืออีหมิง ฟางเหวินซิงและสีส่วงก็อยู่ที่นี่ คาดว่าน่าจะเป็นสามอันดับแรกของการทดสอบของวังหลวง
มิใช่ พวกเจ้าจ้องมาทางข้าทำไมกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนลูบใบหน้า คิดว่าตนเองก็ได้ล้างหน้าแล้ว หรือว่าล้างไม่สะอาดกัน?
องค์ฮ่องเต้เหลือบมอง ความสนใจของเหล่าขุนนางนั้นได้โดนฟู่เสี่ยวกวนแย่งไปจนหมดแล้ว ทำอะไรอยู่กัน ?
“อะแฮ่ม เมื่อครู่กล่าวไปถึงไหนแล้ว ?”
“ทูลฝ่าบาท เมื่อครู่กล่าวถึงเรื่องการอภิเษกสมรสขององค์หญิงสามพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้ใช่ มาพูดคุยกันต่อ หลังจากที่ตกลงกันเสร็จแล้วเสนาบดีชือจงไปหงหลูซื่อเพื่อนำความประสงค์ของข้าไปบอกกับท่าป๋าชิว เรื่องดำเนินการไปตามความประสงค์ของข้า ดำเนินพิธีการไปตามข้อกำหนดของราชวงศ์หยู”
“กระหม่อมรับสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
“เอาล่ะ พวกเจ้าคุยกันต่อ”
ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะได้ทราบว่าเรื่องงานอภิเษกสมรสขององค์หญิงสามได้กล่าวถึงเรื่องกำหนดวาระกันแล้ว ดูเหมือนว่าจะได้ข้อสรุปกันแล้ว ความกังวลใจเหล่านั้นของหยูเวิ่นหวินจะเพิ่มเป็นมากล้นเสียแล้ว
ต่อจากนั้นขุนนางต่างก็แสดงความคิดเห็นกัน เช่นเสนอข้อเรียกร้องให้แคว้นฮวงจัดหาวัว แกะ และม้าจำนวนหลายพันตัว ส่วนทางราชวงศ์จะจัดเตรียมสินสมรสเช่น ผ้าไหม ใบชา เครื่องลายครามและอื่น ๆ อีกมากมาย
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าเรื่องนี้ยุ่งยากอย่างยิ่ง เขาหาได้สนใจเรื่องนี้ไม่ และมิได้รับฟังอย่างตั้งใจ แต่ก็ยืนเมียงมองเหล่าขุนนางทีละคนที่ด้านหลังสุด
สายตาตกอยู่ที่ด้านหลังของเสนาบดีต่ง เมื่อคืนวานต่งชูหลานสามารถออกมาจากจวนได้ หรือว่าเป็นเพราะเมื่อวานที่ข้ายืดอกช่วยเหลือผู้อาวุโสผู้นี้ในห้องทรงพระอักษรกันนะ?
แต่ต่งชูหลานกล่าวว่าน่าจะเป็นเพราะองค์หญิงใหญ่ หรือว่าตัวตนของต่งชูหลานแท้จริงแล้วจะเหมือนในละครกัน นางคือลูกนอกสมรสของเสนาบดีต่งและองค์หญิงใหญ่หรือ ?
เสนาบดีต่งค่อนข้างสง่างาม ในวัยเยาว์ย่อมสง่างามกว่านี้เป็นแน่ จะเป็นที่โปรดปรานขององค์หญิงใหญ่ก็มิแปลก แต่เสนาบดีต่งมีความสามารถอย่างมาก และต้องการเป็นขุนนาง ดังนั้นการเป็นพระราชบุตรเขยขององค์หญิงใหญ่จึงคว้าน้ำเหลว ทั้งสองจึงทำได้เพียงส่งผ่านความคิดถึงผ่านต่งชูหลาน
เหมือนว่ามีเหตุผลอย่างยิ่ง !
มิฉะนั้นเหตุใดองค์หญิงใหญ่จึงต้องแทรกแซงงานสมรสของต่งชูหลานกัน เยี่ยงนั้นก็จะผิดใจกับตระกูลเยี่ยนถึงสามช่วงอายุ
ฟู่เสี่ยวกวนยิ่งคิดก็ยิ่งมีความสมเหตุสมผล ลอบหัวเราะในใจ จนผุดรอยยิ้มขึ้นมา บนใบหน้านั้นจึงมีรอยยิ้มแปลก ๆ ประดับขึ้นมาเล็กน้อย
องค์ฮ่องเต้เงยหน้าขึ้นมาอย่างพอดิบพอดี เจ้าเด็กนี่ยิ้มอันใดกัน ?
หรือว่าสิ่งที่เหล่าขุนนางเสนอมามีสิ่งที่มิเหมาะกัน ?
“ฟู่เสี่ยวกวน เจ้าลองกล่าวมา ว่าการอภิเษกสมรสในครานี้ยังขาดสิ่งใดหรือไม่ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนสะดุ้งตกใจ ข้าจะไปรับทราบระเบียบการเหล่านั้นได้เยี่ยงไร ?
เขารีบกุมกำปั้นในทันที “กระหม่อมรู้สึกว่าท่านเสนาบดีทั้งหลายต่างกล่าวได้อย่างสมเหตุสมผลอย่างถึงที่สุด”
“ข้าบอกให้เจ้าพูดเจ้าก็พูดมา มากล่าวอะไรเลอะเทอะกับข้ากัน” องค์ฮ่องเต้ลอบวิจารณ์อยู่ในใจ เมื่อครู่เห็นชัด ๆ ว่าเจ้ากำลังยิ้มอยู่ รอยยิ้มเมื่อครู่ดูมีเลศนัยยิ่ง ยอมมีความคิดที่ดีอยู่เป็นแน่
นี่…
ฟู่เสี่ยวกวนกลืนน้ำลายหนึ่งอึก ยามนี้มีขุนนางมากมายต่างหันมองมาทางเขา ในสายตานั้นแฝงไปด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย มิรู้ว่าเรื่องที่ใหญ่หลวงเยี่ยงนี้เหตุใดฝ่าบาทจึงต้องขอความคิดเห็นจากชายหนุ่มที่ไร้ตำแหน่งผู้นี้กัน
“กระหม่อมคิดว่า วิถีชีวิตของชาวฮวงอยู่ในดินแดนทุรกันดาร องค์หญิงสามเป็นผู้สูงส่ง หากไปทางนั้น ปัญหาแรกที่ต้องใคร่ครวญเลยคือสถานที่ประทับพ่ะย่ะค่ะ ดังนั้นกระหม่อมคิดว่าฝั่งชาวฮวงควรสร้างตำหนักประทับขององค์หญิงตามแบบฉบับต้าหยูขึ้นมา เรือนประทับนั้นเป็นเรื่องใหญ่หลวง หากองค์หญิงสามเสด็จไปแล้วมิอาจประทับได้อย่างสุขกาย ไหนเลยจะมีพระทัยไปกล่อมเกลาชาวฮวงเหล่านั้นกันพ่ะย่ะค่ะ!”
องค์ฮ่องเต้ผุดยิ้มทันที ดูสิ ดูสิ เจ้าหนุ่มผู้นี้ช่างเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก เสนาบดีตำแหน่งโตอย่างพวกเจ้าพูดกันมาค่อนวัน ยังมิกล่าวถึงประเด็นนี้กันเลย
“เพื่อให้สอดคล้องต่อความประสงค์ของข้า เสนาบดีชือ เพิ่มไปอีกหนึ่งข้อ ไม่ ข้อนี้ต้องเขียนไว้เบื้องหน้าสุด ท่าป๋าเฟิงต้องสร้างพระราชวังขึ้นมาตามแบบต้าหยูของข้า สร้างพระราชวังเสร็จดีเมื่อใด ก็มาอภิเษกสมรสกับธิดาของข้าได้เมื่อนั้น”
ฟู่เสี่ยวกวนหดหัวกลับมา ในใจลอบคิดว่าการเงียบนั้นคือสิ่งล้ำค่า ข้าผู้นี้จะทำให้ผู้อื่นมิพอใจอีกหรือไม่ ?
“เรื่องนี้ตกลงกันเพียงเท่านี้ ฟู่เสี่ยวกวน เจ้าออกมา”
มีอันใดกันอีก ?
“ขอทาง ขอทางขอรับ…” ฟู่เสี่ยวกวนบีบตัวจนไปถึงด้านหน้าสุด ฝ่าบาทยังคงรอให้เขาคุกเข่าก้มศีรษะอยู่นะ คนผู้นี้เหตุใดถึงยังยืนโง่อยู่ตรงนั้นกัน
“อะแฮ่ม เป็นเยี่ยงนี้ ถึงแม้ฟู่เสี่ยวกวนจะยังมิเคยเข้าร่วมการทดสอบ แต่ความสามารถของคนผู้นี้ข้าคงมิจำเป็นต้องกล่าวซ้ำอีก พวกเจ้าคงได้รับทราบกันอยู่แล้ว นอกจากนี้ ฟู่เสี่ยวกวนยังมีความคิดเห็นเพื่อแคว้นชาติบ้านเมืองของข้า เข้าใจข้าอย่างยิ่ง ดังนั้น ข้าจึงยกให้เป็นกรณีพิเศษ ขอมอบตำแหน่งจิ้นซื่อให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน และขอแต่งตั้งให้เป็นฉาวซ่านต้าฟู[1]”
[1] ฉาวซ่านต้าฟู คือตำแหน่งขุนนางบุ๋น
ตอนที่ 114 แบบร่างธุรกิจ
เช้าตรู่วันต่อมา ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินเดินทางมายังที่พักที่ฟู่เสี่ยวกวนอาศัยอยู่ชั่วคราว ต่งซิวเต๋อได้เดินทางมาด้วยเช่นกัน เขาอยากรู้ว่าน้องสาวและน้องเขยนั้นจะมีเงินทองมากน้อยเพียงใด
แน่นอนว่าเขาเองก็ประหลาดใจว่าน้องสาวและพี่เขยนั้น มีความสัมพันธ์กันอย่างไร ?
นางเป็นถึงองค์หญิงเก้าเชียว !
สถานที่ฟู่เสี่ยวกวนพำนักอยู่ตอนนี้คือจวนของชินอ๋องในราชวงศ์ก่อนหน้า แต่เขามิใช่ชินอ๋องแต่อย่างใด หากองค์หญิงและบุตรเศรษฐีที่ดินเช่นเขาลงเอยกัน เขาจะได้รับตำแหน่งพระราชสวามี ถ้าเป็นเช่นนั้นน้องสาวของเขาจะทำเยี่ยงไร ?
บัดนี้มองดูแล้วน้องสาวตนและองค์หญิงเก้าคล้ายกับมิมีปัญหาขัดแย้งอันใดกัน แต่ต่อไปเล่า ?
ต่งซิวเต๋อไม่เข้าใจเป็นอย่างยิ่ง เขาอยากจะมาดูด้วยตาตนเอง
ทั้งสี่คนนั่งร่วมโต๊ะกัน หยูเวิ่นหวินกล่าวออกมาเป็นคนแรกว่า “เมื่อคืนข้าได้ไปกราบทูลกับเสด็จแม่ ท่านก็มิได้แสดงท่าทางอันใด กล่าวว่าจะต้องสอบถามจากปี้ตง เสนาบดีกรมโยธา ที่ผ่านมาทางราชสำนักมิเคยก่อสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ แต่คาดว่าไม่มีผลใด เพียงแต่ค่าใช้จ่ายเรื่องของวัสดุอุปกรณ์และค่าแรง พวกเราจะต้องจัดหาเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าตอบรับ ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบสิ้นเสียที
“ข้าสั่งให้เสี่ยวฉีไปพบกับผู้ค้าแรงงานเรียบร้อยแล้ว กำชับนางซื้อบ่าวรับใช้และคนสวนมาจำนวนหนึ่ง เพื่อเตรียมการจัดเก็บทำความสะอาดล่วงหน้า อีกทั้งในอนาคตท่านลุงและท่านป้าจำนวนมากมายจะได้เดินทางมาอย่างสะดวก มีบ่าวรับใช้ไม่ติดขัด ส่วนผู้ดูแลนั้นหายากเสียจริง หรือเจ้าจะคัดสรรจากซีซานมาบ้างก็คงดี”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าอีกครั้ง บัดนี้เขามีแม่ถึงหกคน อีกทั้งแม่รองของเขาคาดว่าน่าจะให้กำเนิดบุตรแล้ว ยังไม่รู้ว่าเป็นน้องชายหรือน้องสาว
“เมื่อคืนข้าลองคำนวณดูคร่าวๆ การที่จะบูรณะจวนนี้ให้กลับมาเป็นดังเดิม และจัดหาเครื่องใช้ในเรือนเท่าที่จำเป็น ต้องใช้เงินจำนวน 58,000 ตำลึง หากเครื่องใช้ในเรือนคัดสรรให้ประณีตขึ้นมาสักหน่อย และประดับด้วยแปลงดอกไม้ ต้องใช้เงินประมาณเจ็ดหมื่นกว่าตำลึง ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าไม่มีคนอาศัย ณ ที่แห่งนี้เป็นเวลานานเท่าใด”
ต่งซิวเต๋อสูดหายใจเข้าลึก พื้นที่แห่งนี้หากต้องการปรับปรุงและพักอาศัยต้องใช้เงินถึงหนึ่งแสนตำลึงเชียวหรือ !
ต่งชูหลานเลิกคิ้วและเอ่ยขึ้นว่า “เวิ่นหวิน ถ้าเช่นนั้นร้านเสื้อผ้าของพวกเราควรรีบดำเนินการให้เร็วที่สุด ต่อจากนี้ต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยทีเดียว”
“ เช่นนั้น ! ร้านในตรอกชิงหลวนห้าแห่งนั้น ท่านพี่สามรับปากขายให้ข้า 2 ร้าน ราคาร้านละ 3,000 ตำลึง เงินส่วนนี้ข้าจะจ่ายเอง”
“เจ้าได้ร้านสองร้านนั้นมาแล้วจริงหรือ ? ราคานี้…เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่ตรอกชิงหลวนนั้นราคาร้านเท่าใด ? ข้าจะบอกแก่เจ้าว่า ทำเลที่แย่ที่สุดมีมูลค่าถึง 8,000 ตำลึง ทำเลดีที่สุดอาจถึง 15,000 ตำลึงได้ ! ”
หยูเวิ่นหวินตกตะลึง เรื่องเล็กน้อยเพียงนี้นางมิเคยหยิบมาใส่ใจ หากไม่ใช่เพราะครั้งที่แล้วกล่าวขึ้น ณ เรือนซีซาน นางคงมิได้คิดเกี่ยวกับร้านนี้แม้แต่น้อย
“หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้แต่แรก…ข้าควรจะเอามาทั้งสิ้นเสียจริง !”
สตรีสองนางกำลังวางแผนอนาคตอย่างตื่นเต้น ต่งชูหลานเผยถึงความสามารถส่วนตัวอันน่าทึ่งในด้านการค้าแก่ทุกคน แต่ละขั้นตอนช่างละเอียดนัก รูปแบบธุรกิจส่งเสริมการขายชุดชั้นในถูกสร้างขึ้นด้วยพู่กันของนาง
ฟู่เสี่ยวกวนตั้งใจฟัง เขากำลังครุ่นคิดว่าควรจะกล่าวกับพวกนางเรื่องกางเกงในสตรีหรือไม่
ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ขายครบทั้งชุดจะไม่ดีกว่าหรือ
ดังนั้นเขาจึงได้วาดรูปออกมา สตรีทั้งสองเมื่อได้เห็นก็อายเสียจนหน้าแดง
พวกนางมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยสายตาแปลกประหลาด ในใจได้นึกว่าเหตุใดเขาจึงได้คิดสิ่งประหลาด ๆ เช่นนี้กัน ?
เหตุใดจึงได้นึกถึงกางเกงชั้นใน หรือเขาจะเคยพบเห็นมาก่อน ?
หลังจากเรื่องนี้จบลงคงจะต้องสอบถามดูเสียหน่อย แต่กางเกงชั้นในนี้มองไปก็งดงามดีเหมือนกัน คาดว่าหลังสวมใส่คงจะสบายน่าดู
ด้วยวิธีนี้ ต้าหยูจึงได้กำเนิดสินค้าสองชนิดที่เป็นการปฏิวัติสตรีขึ้นมา จากนั้นก็แพร่กระจายไปยังเหล่าเศรษฐีแคว้นต่าง ๆ
แต่บัดนี้ก็ยังประสบปัญหาหนึ่งขึ้นมา “ข้าและเวิ่นหวินมิอาจลงมือได้ด้วยตนเอง เรื่องนี้จักต้องหาผู้ที่ไว้ใจได้มาจัดการดูแล”
ปัญหานี้ต่งชูหลานนึกขึ้นมาได้ ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ตอบกลับไปว่า “เรื่องนี้ปล่อยให้ท่านพี่รองของเจ้าจัดการเถิด”
“เขา…!” ต่งชูหลานเบิกตากว้าง ท่านพี่ผู้นี้นอกเสียจากเงินทอง ก็มิมีสิ่งใด จะเชื่อถือได้หรือไม่ ? คงจะมิทำให้ร้านต้องปิดตัวลงใช่หรือไม่
อีกอย่าง เขาเป็นบุรุษ หากให้เขาจัดการขายของใช้สตรีเช่นนี้…ใครจะกล้าซื้อกัน ?
ต่งซิวเต๋อมิเข้าใจว่าพวกเขาพูดถึงขายสิ่งใดกันอยู่ เพียงแต่ได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าจะให้ตนไปช่วยดูแลร้านค้า แน่นอนว่าเขาช่างยินดีนัก อีกทั้งสตรีทั้งสองนางดูภาคภูมิใจยิ่ง สินค้านี้น่าจะต้องได้รับความนิยมสูง
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วกล่าวว่า “เชื่อข้าเถิด ท่านพี่รองขายสินค้านี้ได้แน่นอน”
“ขายสิ่งใดกัน ?” ต่งซิวเต๋อเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“ท่านกล่าวว่าเงินของสตรีได้มาง่ายที่สุดมิใช่หรือ ? แน่นอนว่าต้องขายเกี่ยวกับสินค้าสำหรับสตรี”
ต่งซิวเต๋อแววตาเป็นประกายขึ้นมาทันที แต่เขาก็ส่ายหัวในเวลาต่อมาแล้วกล่าวว่า “ที่ทาแก้มนั้นเหวินเซียงโหลวได้ทำไปก่อนแล้ว และเหวินเซียงโหลวก็ตั้งอยู่ในตรอกชิงหลวน พวกเจ้าจะไปแข่งขันกับเขาได้อย่างไร ?”
ฟู่เสี่ยวกวนตบบ่าต่งซิวเต๋อแล้วเอ่ยว่า “ข้ามิได้ขายที่ทาแก้ม แต่ถึงแม้ว่าจะขายที่ทาแก้มก็ได้กำไรงามเช่นกัน ท่านพี่มิได้สำรวจการตลาดอย่างจริงจัง ข้าจะอธิบายให้ฟังคร่าวว่า ๆ เหวินเวียงโหลวนั้นขายที่ทาแก้มคุณภาพสูง สำหรับสตรีชั้นสูง แต่ในเมืองหลวงนี้ยังมีร้านขายที่ทาแก้มจำนวนไม่น้อย พวกเขาขายสำหรับชนชั้นกลางหรือชั้นล่าง ซึ่งขายได้กำไรงามเช่นกัน หากไม่เชื่อข้า ท่านสามารถไปตรวจสอบได้”
“พวกเราจำเป็นต้องผลิตสินค้าสำหรับผู้คนหลายชนชั้นหรือไม่ ? ” ต่งชูหลายเอ่ยถาม
“ไม่ พวกเราจะผลิตเพื่อสตรีชั้นสูงเท่านั้น”
หยูเวิ่นหวินไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงไม่ผลิตทั้งสำหรับสตรีชั้นสูง ชั้นกลางและชั้นล่างในคราเดียว พวกเขาจะได้ครอบครองการตลาดนี้ ?
“ความสนใจของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน สตรีชั้นสูงเหล่านี้มีความต้องการของสองชิ้นนี้มากกว่า และพวกเจ้าจะต้องให้ความสนใจต่อเนื้อผ้า การออกแบบและความสวยงาม และพัฒนาต่อไปให้ดียิ่งขึ้น”
“เมืองหลวงใหญ่โตเพียงนี้ หากขายอยู่ที่ตรอกชิงหลวนแห่งเดียวคงไม่ได้แน่ พวกเจ้าจะต้องทำให้ชื่อเสียงร้านของตรอกชิงหลวนเป็นที่รู้จักก่อน จากนั้นจึงขยายร้านไปยังแหล่งชุมชนร้านแห่งที่สองและแห่งที่สาม หรืออาจขยายทั่วทั้งแคว้นก็เป็นได้ การทำการค้าเช่นนี้เรียกว่าการดูแลกิจการแบบตัวแทนจำหน่าย สิ่งนี้คือวัตถุประสงค์แท้จริงของพวกเรา”
“นอกจากนี้น้ำหอมที่ซีซาน อีกทั้งสบู่ที่กำลังจะผลิต สิ่งของเหล่านี้ล้วนมีวัตถุประสงค์เพื่อสตรีชั้นสูง สามารถนำมาขายด้วยกันได้ แต่อย่าเพิ่งรีบร้อนไป เราควรค่อย ๆ ทำทีละก้าว แบบร่างของเราคือเช่นนี้ แต่จุดมุ่งหมายของพวกเราทั้งสิ้นก็คือการขยายร้านค้าไปทั่วแคว้นนั่นเอง”
ต่งชูหลานครุ่นคิดชั่วครู่จากนั้นจึงเข้าใจ แววตาสดใสคู่นั้นมองดูฟู่เสี่ยวกวนด้วยความชื่นชม บุตรพ่อค้าธรรมดาคนหนึ่ง สามารถมีหัวคิดด้านการค้าเช่นนี้ !
วิธีการค้าเช่นนี้ยังไม่มีมาก่อน หากพวกเขาสามารถทำได้ตามที่คิด คงจะได้กำไรจนน่าตกใจ
หยูเวิ่นหวินมองดูด้วยความไม่เข้าใจ อย่างไรเสียเรื่องเหล่านี้ต่งชูหลานเป็นคนจัดการ ดังนั้นนางจึงมิจำเป็นต้องไปครุ่นคิด
สตรีสองนางมิได้ลังเลแต่อย่างใด พวกนางลุกขึ้นยืนเตรียมตัวจากไป ต่งซิวเต๋อรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก เขาพอเข้าใจความหมายของฟู่เสี่ยวกวนอยู่บ้าง แต่ยังไม่เข้าใจว่าจะขายสิ่งใด
“ต่อไปท่านก็จะรู้เอง แต่ข้าขอกล่าวกับท่านก่อนว่า การค้าก็คือการค้า จะไม่มีการละเว้นเรื่องของกฎเกณฑ์ใด ๆ !”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยอย่างตั้งใจ ต่งซิวเต๋อฟังด้วยความตื่นเต้น
นี่คือการรตักเตือน เนื่องจากต่งซิวเต๋อรักในเงินทอง แต่เขาก็รู้ว่าสิ่งใดควรมิควร
มองจากการแต่งกายแล้ว เขาคือขันทีเจี่ยนั่นเอง !
“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ท่านเข้าพบ ขอเชิญคุณชายฟู่เดินทางเข้าวังไปกับพวกข้าเถิด”
ตอนที่ 113 จวนหลังใหญ่
ยามที่ฟู่เสี่ยวกวนออกมาจากวังหลวงท้องฟ้าก็มืดมิดไปเสียแล้ว
หลักพื้นฐานของกลยุทธ์บรรเทาสาธารณภัยได้ผ่านการพิจารณาแล้ว แต่นโยบายสงครามกลับพบกับฝ่ายค้านที่แข็งแกร่งอย่างอัครเสนาบดีเยี่ยนซือเต้าและเสนาบดีกรมกลาโหมเฟ่ยปัง
แท้จริงแล้วเหตุผลนั้นง่ายดาย สงครามในสมัยนี้ใช้อาวุธโลหะเย็นเป็นหลัก และรูปแบบการทำสงครามด้วยอาวุธโลหะเย็นก็ได้กำหนดแล้วว่าต้องใช้คนและม้าศึกจำนวนมาก ทั้งยังต้องการอาวุธและชุดเกราะเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงการป้องกันในแนวหลังที่มโหฬาร
จนกระทั่งฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าอาวุธโลหะเย็นนั้นควรถูกคัดออก และบ้านเมืองควรให้ความสำคัญแก่การวิจัยอาวุธปืน ในจุดนี้แม้แต่ฝ่าบาทก็มิเห็นชอบ
ในปัจจุบันนี้มีปืนไฟแล้ว แต่สิ่งนี้ยังไร้ค่าอย่างยิ่ง ระยะหวังผลสั้น ความแม่นยำต่ำ ต้นทุนสูง ทั้งยังเปราะบางอย่างยิ่ง !
สภาพแวดล้อมของสงครามเปลี่ยนแปลงไปมาตลอดเวลา และสิ่งนี้ก็ไร้ประโยชน์ยามอยู่ในวันที่ฝนตกหรือหน้าฝนที่ชื้นแฉะ… เจ้าว่าหากเป็นการเผชิญหน้าของสองทัพ แล้วปืนไฟของเจ้ากระสุนด้าน นี่มิเท่ากับปล่อยให้ถูกศัตรูทำลายเยี่ยงนั้นหรือ ?
โดยรวมแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนยังคงต้องสาธิตรูปแบบการทำสงครามของอนาคตโดยละเอียด อย่างเช่นจัดตั้งกลุ่มรบพิเศษบนภูเขา จัดตั้งกองกำลังทหารพรานมืออาชีพ จัดตั้งกองทหารม้าเกราะหนักและต่าง ๆ นานา
กล่าวมิได้ว่าสิ่งที่เขาพูดมานั้นไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง อย่างน้อยเยี่ยนซือเต้าและเฟ่ยปังก็จะคิดตามอย่างลึกซึ้งในทุกครา หลังจากนั้นก็จะปฏิเสธด้วยเหตุผลนานัปการ
ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้สึกเสียใจแต่อย่างใด เมื่อเทียบกับกลยุทธ์บรรเทาสาธารณภัยแล้วผลกระทบของเรื่องนี้ใหญ่โตกว่านัก หรือต่อให้เป็นฝ่าบาทก็ยังมิมีความมั่นใจมากพอในการเปลี่ยนแปลง
มิเป็นไร กลับกันเป้าหมายในการเดินทางมาเมืองหลวงครานี้จนถึงตอนนี้ก็สำเร็จจนเกือบจะเห็นผลที่แท้จริงแล้ว นี่ขึ้นอยู่กับการตัดสินพระทัยของฝ่าบาทในตอนสุดท้ายที่มีต่อเขา
ยามที่ฟู่เสี่ยวกวนกลับไปถึงโรงเตี๊ยมหยูเวิ่นหวินก็มาคอยเขาอยู่แล้ว
“เป็นเยี่ยงไรบ้าง ?” หยูเวิ่นหวินเอ่ยถามอย่างตั้งตาคอย
“แน่นอนว่ามิมีปัญหา” ในยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนผ่อนคลายไปทั้งร่าง ซูม่อและชุนซิ่วจึงได้วางใจลง
“ยังมิได้ทานอาหารใช่หรือไม่ ? ”
“เสด็จพ่อของท่านตระหนี่นัก ข้าช่วยพระองค์แก้ไขปัญหาที่ใหญ่หลวง แต่มิแม้แต่จะตรัสให้ข้าอยู่ต่อเพื่อทานข้าวเลย”
หยูเวิ่นหวินกลอกตามองบนใส่เขา “เจ้าฝันหวานไปหน่อยแล้ว พวกข้าก็ยังมิได้ทานเช่นกัน เยี่ยงนั้น… ไปหงซิ่วจาวดีหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจเล็กน้อย และเอ่ยถาม “หงซิ่วจาวมิใช่จำพวกหอนางโลมหรือ ? ”
“หงซิ่วจาวมิใช่ อาจารย์หูฉินหูมิอนุญาตให้เด็กสาวของนางรับแขก ต่างก็เป็นผู้บริสุทธิ์ทั้งสิ้น เพียงไปฟังเพลงดื่มสุรา ในระยะสิบลี้ของแม่น้ำฉินหวายนี้มีเพียงร้านเดียว เจ้าคงจำได้”
ฟู่เสี่ยวกวนจำได้ว่าก่อนที่จะออกเดินทางบิดากล่าวว่ายามที่มาถึงเมืองหลวง หากมีวันว่าง จงไปเยี่ยมหาอาจารย์หูแห่งหงซิ่วจาว เขามิได้ลืม เพียงแค่ก่อนหน้านั้นยังมิมีเวลา ทั้งยังต้องอยู่กับชูหลาน ในยามนี้ที่ได้มีเวลาพักผ่อนแล้ว ก็ลองไปดูเสียหน่อย
ในตอนที่กำลังจะออกเดินทาง เงยหน้ามาก็พบเข้ากับสองพี่น้องต่งซิวเต๋อและต่งชูหลาน ฟู่เสี่ยวกวนดีใจเป็นอย่างมาก หยูเวิ่นหวินเข้าไปถามจึงได้รู้ว่าเสนาบดีต่งกลับจวนแล้ว มิรู้ด้วยเหตุใดจึงได้ปล่อยต่งชูหลานออกมา
ดังนั้นต่งชูหลานจึงเอ่ยถาม “เป็นพระองค์หรือไม่ที่พูดคุยกับบิดาของข้าเพคะ ? ”
หยูเวิ่นหวินส่ายหน้าพัลวัน “เปล่านี่ ข้าหาได้มีความสามารถใหญ่โตถึงเพียงนั้น ? ”
ต่งชูหลานครุ่นคิดและกล่าวว่า “เยี่ยงนั้นก็คงจะเป็นองค์หญิงใหญ่”
แต่มิว่าเยี่ยงไร ต่งชูหลานก็ได้อิสระกลับคืนมาแล้ว นี่คือเรื่องที่สมควรเฉลิมฉลอง ดังนั้นหยูเวิ่นหวินจึงกล่าวว่าให้ไปหงซิ่วจาวด้วยกัน แต่คาดมิถึงว่าต่งชูหลานจะปฏิเสธข้อเสนอนี้
“พวกเราไปทะเลสาบซวนอู่เถิด จวนหลังนั้นซื้อมาไว้เนิ่นนานแล้ว เขายังมิรู้ตำแหน่ง ข้าเองก็ยากนักที่จะได้ออกมา พาพวกเจ้าไปดูด้วยกัน ถ้าหากว่าข้าถูกกักขังขึ้นมาอีกคราจะทำเยี่ยงไร ? ”
หยูเวิ่นหวินครุ่นคิด เรื่องนี้สำคัญยิ่งกว่าการไปหงซิ่วจาว พวกเขาจึงเปลี่ยนเป้าหมายไปทะเลสาบซวนอู่แทน
ฟู่เสี่ยวกวนย่อมมิได้สนใจ มีเพียงต่งซิวเต๋อที่เสียใจอย่างยิ่ง
“ได้ยินมาว่าที่หงซิ่วจาวมีคนใหม่มาอีกแล้วนามว่าหลิ่วเยียนเอ๋อร์ งดงามยิ่งกว่าเซวี๋ยเฟยเฟย โดยเฉพาะการรำดาบนั่น จนเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ห้ามพลาดของเมืองหลวง น่าเสียดาย น่าเสียดายยิ่งนัก !”
ฟู่เสี่ยวกวนและต่งซิวเต๋อขึ้นรถม้ามาคันเดียวกัน ชายผู้นี้ก็ยังบ่นถึงเรื่องนี้ไม่หยุด ฟู่เสี่ยวกวนจึงประหลาดใจอยู่เล็กน้อย “ท่านเคยเจอหลิ่วเยียนเอ๋อร์เยี่ยงนั้นหรือ ?”
“ข้าตั้งใจจะไปค่ำนี้ แต่น้องสาวของข้าต้องการให้ข้าพานางมาหาเจ้า แต่เดิมข้าคิดเอาไว้ว่าพวกเจ้าเองก็จะไปที่หงซิ่วจาวเช่นกัน แต่ในตอนนี้กลับต้องไปดูจวนอะไรนั่นของเจ้า ข้ากล่าวว่าจวนหลังนั้นมันไม่วิ่งหายไปไหนหรอก ค่อยไปดูพรุ่งนี้มิได้หรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่วน แล้วกล่าวว่า “หลิ่วเยียนเอ๋อร์ผู้นั้นเองก็มิวิ่งหนีไปไหนมิใช่หรือ? แล้วจะเป็นอะไรไปหากไปคืนพรุ่งนี้แทน ? ”
ต่งซิวเต๋อตีอกชกหัว “เจ้าจะไปรู้อะไรกัน หลิ่วเยียนเอ๋อร์มาหงซิ่วจาวได้สามวันแล้ว เรื่องแบบนี้ยิ่งลงมือเร็วเท่าใดก็ยิ่งดี เรียกว่าส่งฟืนไฟกลางหิมะ หากรอจนกระทั่งนางมีชื่อเสียงในเมืองหลวงแล้วค่อยไป อย่างมากที่สุดก็มิเกินไปกว่าเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลาย เจ้าว่าจิตใจของหลิ่วเยียนเอ๋อร์ จะเห็นส่งฟืนไฟกลางหิมะ หรือเพิ่มดอกไม้บนผ้าทอลายเป็นสิ่งสำคัญกว่ากัน”
เป็นอีกครั้งที่ฟู่เสี่ยวกวนต้องมองพี่รองผู้นี้ด้วยอีกมุมมองหนึ่ง คนผู้นี้มักจะจับใจความสำคัญของปัญหาได้เสมอ มันสมองมิเลวจริง ๆ
ทั้งสองจึงพูดคุยถึงดอกไม้งามของเมืองหลวงไปทั้งเยี่ยงนี้ ต่งซิวเต๋อมีข้อมูลในมืออย่างมากมายจึงกล่าวอย่างลำพองใจมิรู้จบ
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ให้ความสนใจแต่อย่างใด ฟังไปเรื่อยเปื่อยเพื่อฆ่าเวลา เขามิได้สลักจดจำนามเหล่านั้นเท่าใดนัก
และก็ได้เดินทางมาจนถึงหน้าประตูของจวนใหญ่ที่อยู่ในเขตทะเลสาบซวนอู่
ต่งชูหลานหยิบกุญแจ และเปิดประตูบานหนาที่ใหญ่โต
ชุนซิ่วและซูม่อไปซื้อโคมไฟมาสองสามอัน ต่างถือกันไว้คนละอัน และเข้าไปในจวนหลังใหญ่
ยกเว้นต่งชูหลานที่เคยมาสำรวจอย่างถี่ถ้วนแล้ว ต่างก็เป็นครั้งแรกของคนอื่น ๆ ที่ได้มา แม้แต่หยูเวิ่นหวินก็ยังตื่นตะลึงกับความอลังการของจวนชินอ๋องในราชวงศ์ก่อน เพียงแต่ว่าเป็นเวลานานแล้วที่มิมีผู้อาศัยอยู่ ภายใต้แสงไฟก็พบเห็นวัชพืชเติบโตไปทั่วทุกมุมจวน สีบนชายคาศาลาต่างก็เป็นลายพร้อยไปแล้ว โดยรวมแล้ว จวนนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ใหญ่โตกว่าจวนฟู่ที่หลินเจียงหลายสิบเท่า
แต่ต่อจากนี้ก็ต้องทำการบูรณาจวนหลังใหญ่นี้ เกรงว่าเงินที่จะต้องจ่ายออกไปก็มิเบา
ฟู่เสี่ยวกวนพึงพอใจกับที่แห่งนี้อย่างยิ่ง หน้าจวนหันเข้าหาถนน ด้านหลังคือทะเลสาบซวนอู่ สวนดอกไม้ที่อยู่ด้านหลังยื่นออกไปยังกลางทะเลสาบ หากมีคันเบ็ดตกปลา เพียงเอื้อมมือออกไปก็ตกปลาได้แล้ว
“เจ้ารู้สึกเยี่ยงไรบ้าง ? ” ต่งชูหลานเอ่ยถาม
“ยอดเยี่ยมยิ่ง ! ” ฟู่เสี่ยวกวนตอบอย่างหนักแน่น
ต่งชูหลานหัวเราะ เงินสามหมื่นตำลึง หากฟู่เสี่ยวกวนมิชอบ แม้จะมิขาดทุนหากต้องขายที่นี่ออกไปอีกครา แต่ความตั้งใจของนางจะเสียแรงเปล่าไปในทันที
“ต่อจากนี้เจ้าวางแผนไว้เยี่ยงไร ?”
“อาจจะอยู่ที่เมืองหลวงต่ออีกในช่วงเวลาสั้นๆ แต่อย่างไรข้าก็ยังต้องกลับไปซีซานอีกสักระยะหนึ่ง ทางนั้นยังมีเรื่องอีกมากมายที่รอให้ข้ากลับไปแก้ไข แต่มิได้มีผลกระทบใด ๆ ก่อนอื่นต้องทำความสะอาดที่นี่เสียก่อน คงจะดีกว่าไปพักที่โรงเตี๊ยมอย่างมาก”
หยูเวิ่นหวินครุ่นคิด และกล่าวว่า “พรุ่งนี้ข้าจักนำเรื่องนี้ไปถามเสด็จแม่ นี่คือจวนชินอ๋องของราชวงศ์ก่อน การจะซ่อมแซมอาคารเหล่านี้มิใช่เรื่องง่ายดายนัก ดูแล้วจะต้องให้นายช่างกรมเครื่องไม้ของวังหลวงมาซ่อมแซม อย่าได้ให้นายช่างด้านนอกเหล่านั้นมาทำลายได้”
ต่งชูหลานเห็นด้วยกับความคิดนี้ เค้าโครงของจวนหลังนี้วิจิตรและตระการตา จำเป็นต้องใช้นายช่างมืออาชีพจึงจะมีวิธีกู้สภาพเดิมคืนมาได้ แต่จำต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน
“เงินจากหนังสือความฝันในหอแดงมีอีก 25,000 ตำลึง หากไม่พอค่อยหาเอากับเจ้าอีก”
ต่งซิวเต๋อตกตะลึง เขารู้อยู่แล้วว่าน้องสาวรวย แต่มิคาดคิดว่าน้องสาวจะรวยถึงเพียงนี้ !
หลังจากนั้นต่งชูหลานก็เอ่ยพึมพำขึ้นมาหนึ่งประโยค “ดูเหมือนราคาหนังสือคงต้องสูงขึ้นแล้ว ผืนที่ดินใหญ่เพียงนี้ ค่าใช้จ่ายในภายภาคหน้าคงมิใช่น้อย”
ตอนที่ 112 คลายปัญหา ณ ห้องทรงพระอักษร ( 2 )
“เอาตามนั้น!”
องค์ฮ่องเต้ทรงโบกมือเป็นสัญญาณ ขันทีเจี่ยจึงได้นำน้ำชามาให้ฟู่เสี่ยวกวน
องค์ฮ่องเต้และเสนาบดีทั้งห้าล้วนขมวดคิ้วครุ่นคิด เนื่องจากคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนเมื่อครู่สามารถชี้แจงได้อย่างชัดเจนว่าเหตุผลของการที่ประชาชนมิได้รับสิ่งของบรรเทาสาธารณภัยนั้นคืออะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งประโยคสุดท้ายนั้น ผลกำไรเพียงสามเท่า พวกเขาก็สามารถกระทำการใด ๆ อันผิดกฎหมายได้ ดังนั้นกำไรสิบเท่านี้ เกรงว่าบรรดาข้าราชการเหล่านั้นต่อให้รู้ว่าอาจจะถูกตัดหัว แต่พวกเขาก็ยังกล้าเสี่ยง
สิ่งนี้คือนิสัยตามธรรมชาติของมนุษย์ นั่นหมายความว่าต่อให้เปลี่ยนผู้รับผิดชอบไปก็ไม่อาจเป็นผล
แน่นอนว่าในบรรดาข้าราชการเหล่านี้คงมีข้าราชการที่ซื่อสัตย์รวมอยู่ด้วย แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าราชการที่ซื่อสัตย์บริสุทธิ์ก็มักไม่มีบทบาทใด ๆ
เมื่อสืบสาวราวเรื่อง ก็เปรียบเสมือนกับแหจับปลา ซึ่งแหนี้จะต้องมีตาแห และอาจเป็นหนึ่งในข้าราชการชั้นสูงก็เป็นได้
ฟู่เสี่ยวกวนได้นั่งลงบริเวณที่นั่งแถวผนัง เขาดื่มชาไปพลางคิดไปว่าอีกประเดี๋ยวจะเอ่ยยกยอพ่อตาอย่างไรดี
ไม่นานต่อมา หนิงไท่ฟู่ก็เอ่ยว่า “เจ้าอย่าทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมได้หรือไม่ ? เจ้าคิดว่าภายในราชสำนักแย่ถึงขั้นนี้แล้วหรือ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนยังมิทันได้เอ่ยคำใดออกมา ฝ่าบาทก็ทรงเอ่ยขึ้นว่า “หนิงไท่ฟู่ สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวมานั้นเป็นเรื่องจริง” เมื่อฝ่าบาทตรัสจบก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมา ขันทีเจี่ยนำไปให้หนิงไท่ฟู่ “สิ่งนี้คือรายงานที่ได้รับล่าสุด บัดนี้เหยียนซีไป๋อยู่ที่เหอหนาน ในที่นั้นราคาอาหารสูงขึ้นถึงสิบห้าเท่า มิใช่เพียงสิบสองเท่าดังที่ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยเมื่อครู่”
หนิงไท่ฟู่หยิบหนังสือนั้นขึ้นมาพิจารณาดู เขาขมวดคิ้วขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่ทวีความโมโหมากขึ้น
“กระหม่อมพบเห็นกลุ่มชายกำยำกำลังรวมตัวกัน เกรงว่าจะเกิดเหตุการณ์ชุลมุนขึ้นจึงได้เข้าไปถาม ได้ความว่าพวกเขาอยู่ที่นี่ต่อไปก็มีแต่จะอดตาย ได้ยินว่าที่หมู่บ้านเซี่ยชุนแห่งหลินเจียง มีผู้ใจบุญรับช่วยเหลือพวกเขา มีอาหารการกินและที่อยู่ อีกทั้งยังสามารถทำงานแลกเงินได้อีกด้วย หากไปช้าเกรงว่าจะสายเกินไป”
“ในขณะที่กระหม่อมเดินทางกลับ ได้เข้าไปถามถึงราคาข้าว ปรากฏว่าราคาสูงถึงชั่งละ 260 ตำลึง ข้าวฟ่างราคาชั่งละ 120 ตำลึง ข้าวสาลีชั่งละ 200 ตำลึง…อย่าว่าแต่ผู้ประสบภัยเลย แม้แต่ผู้ที่อาศัยในเมืองหลวงเองก็เกรงว่าไม่อาจมีกำลังที่จะซื้อได้”
“กระหม่อมได้ไปสอบถามกับข้าราชการ พวกเขากล่าวว่าอาหารบรรเทาสาธารณภัยนั้นได้แจกจ่ายในทุกวัน แต่จำนวนคนมากเสียเหลือเกิน พวกเขาเองก็มิรู้ว่าจะทำเยี่ยงไร ! ”
“กระหม่อม ช่างเจ็บปวดหัวใจยิ่งนัก ! เจ้าหน้าที่ที่ทุจริตด้านอาหารและทรยศต่อแผ่นดินเช่นนี้ กระหม่อมจะสอบสวนอย่างแน่นอน ! “
นี่คือรายงานลับ มิได้ผ่านการตรวจสอบจากส่วนกลาง และบัดนี้一一ได้เอ่ยประกาศต่อหน้าทุกคน แม้แต่เยี่ยนเป่ยซีเองก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป
ผ่านไปเนิ่นนาน เสนาบดีต่งได้โค้งคำนับและเอ่ยว่า “กระหม่อมมีความผิด แม้กระหม่อมจะมีตำแหน่งหน้าที่สูง แต่มิรู้ว่าเกิดการทุจริตถึงขั้นนี้ กระหม่อมยอมรับในความผิดทั้งปวง ขอฝ่าบาททรงลงโทษกระหม่อมด้วย !”
ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นก็คิดในใจว่าจะเป็นเช่นนี้ไม่ได้ พ่อตาเขาจะถูกฝ่าบาทกล่าวโทษเหมารวมเช่นนี้มิได้ ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นยืน
“ข้าน้อยมีความเห็นว่าเรื่องนี้มิใช่ความผิดของเสนาบดีต่ง”
ฝ่าบาททรงตกตะลึง เหตุใดชายหนุ่มนี้จะต้องปกป้องต่งคังผิงกัน ?
แต่เยี่ยนซือเต้าเข้าใจอย่างถ่องแท้ เจ้าหนุ่มนี่นับว่าฉลาดหลักแหลมเสียทีเดียว
“สิ่งที่กรมการคลังรับผิดชอบนั้นรวมถึงเรื่องอุทกภัยในครานี้ด้วย การตรวจสอบเรื่องอาหารในทุกพื้นที่เดิมทีก็เป็นหน้าที่ของกรมการคลัง เหตุใดเจ้าจึงเอ่ยว่าเรื่องนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเสนาบดีต่งกัน ?”
เมื่อฝ่าบาทตรัสถาม ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มีความจำเป็นยิ่งที่ต้องตอบ อีกทั้งต้องตอบให้ถูกประเด็น จึงจะสามารถปัดความผิดให้เสนาบดีต่งได้
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมมีความคิดเห็นว่าในแต่ละเขตเมืองควรมีการตรวจสอบอย่างเคร่งครัด กรมการคลังนั้นเพียงได้รับตัวเลขจากการตรวจสอบของเขตต่าง ๆ และแจกจ่ายอาหาร หากอาหารที่แจกจ่ายไปขาดหายแน่นอนว่าอยู่ในความรับผิดชอบของกรมการคลัง แต่อาหารที่แจกจ่ายไปหาได้มีปัญหาไม่ ดังนั้นจึงเป็นความผิดของข้าราชการเขตต่าง ๆ แม้กรมการคลังจะมีหน้าที่ในการตรวจสอบ แต่พวกเขาก็มีกำลังคนไม่เพียงพอ แต่คนของกรมขุนนางมากกว่ามากนัก หากจะกล่าวถึงความผิดควรกล่าวโทษกรมขุนนางอันดับแรก อีกทั้งกระหม่อมคิดว่าบัดนี้มิใช่เวลาที่จะถกเถียงถึงความผิดใคร พวกเราควรกลับมายังหัวข้อเดิมที่ว่าจะแก้ไขปัญหาได้เยี่ยงไร และจะปรับปรุงเยี่ยงไรมิดีกว่าหรือ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนพยายามเปลี่ยนหัวข้อสนทนา เมื่อฝ่าบาททรงครุ่นคิดก็เห็นว่าเป็นเรื่องจริง นโยบายการแก้ไขยังมิได้บทสรุปแม้แต่น้อย ดังนั้นพระองค์จึงทรงตรัสขึ้นว่า “เรื่องนี้เราจะหารือกันในภายหลัง บัดนี้พวกท่านลองพิจารณาดูว่านโยบายนี้มีสิ่งใดขัดข้องหรือไม่ ?”
ต่งคังผิงนั่งลงด้วยความไม่สบายใจนัก เขามองไปยังฟู่เสี่ยวกวน
เยี่ยนเป่ยซีกล่าวว่า “ข้ามีหนึ่งคำถาม ขอให้คุณชายฟู่โปรดชี้แจงเสียหน่อย”
ฟู่เสี่ยวกวนรีบโค้งตัวคำนับและกล่าวว่า “ข้าน้อยมิบังอาจ ขอเชิญท่านกล่าวเถิด”
แม้เขาจะไม่รู้จักเยี่ยนซีเป่ยมาก่อน แต่เหตุผลที่ว่ายิ่งอายุมากยิ่งมีตำแหน่งสูงนั้นคงเป็นจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มักกล่าวในตอนท้าย ๆ เกรงว่าจะเป็นอัครมหาเสนาบดีเสียด้วยซ้ำ
“บรรดาพ่อค้าโก่งราคาขึ้นสูงเช่นนี้ แต่ผู้ประสบภัยกลับไม่มีเงินซื้อ ถ้าเช่นนั้นพวกเขาจะทำไปเพื่อเหตุใด ? ”
นี่คือข้อจำกัดของผู้คนในโลกนี้ บางทีอาจเพราะพวกเขาอยู่ในความสะดวกสบาย จึงไม่ได้คำนึงถึงคนยากจนเหล่านั้น
“ประการแรก การที่พวกเขาโก่งราคาอาหาร มิใช่เพราะต้องการขายให้ผู้ประสบภัย แต่เพื่อหาเงินจากผู้มีเงินทอง”
“ประการที่สอง ราคาอาหารนั้นค่อย ๆ ขึ้นทีละนิด ครั้นตอนเกิดเหตุ สมมุติว่าพวกเขาเดินทางมาถึงที่นี่ พวกเขามีเงินติดตัวมาเล็กน้อย แม้จะไม่มากมายแต่ก็ยังสามารถซื้ออาหารได้ แต่เมื่อราคาอาหารปรับสูงขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาจึงไม่อาจซื้อได้ และรอคอยอาหารบริจาคจากทางการ แต่โจ๊กบริจาคของทางการก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ ถ้าเป็นเช่นนี้แล้วจะทำเยี่ยงไรได้เล่า ? เวลานี้บังเอิญมีผู้รับซื้อที่ดิน เพื่อปากท้อง พวกเขาจึงตัดสินใจขายในราคาต่ำ”
“ดังนั้นแท้จริงแล้ว การที่ราคาอาหารสูงขึ้น พวกเขามีวัตถุประสงค์เพื่อที่ดิน พวกท่านลองคิดดูเถิด หากผู้คนกว่าแสนยอมขายพื้นที่ในราคาต่ำ นี่มิใช่การซื้อขายที่ดีเยี่ยมหรือ? และนั่นคือวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการปรับราคาอาหารต่าง ๆ ”
ในที่สุดพวกเขาก็พากันพยักหน้าด้วยความเห็นด้วย
บัดนี้ ฟู่เสี่ยวกวนได้อธิบายค่อนข้างละเอียด เขาหยุดลงชั่วครู่และเอ่ยว่า “จากการที่กระหม่อมพูดคุยกับพวกเขา หากราคาอาหารมิได้เพิ่มสูงขึ้นเช่นนี้ พวกเขาก็สามารถเอาตัวรอดได้จนกระทั่งอุทกภัยลดลง”
“เพียงแค่เวลาสิบกว่าวัน พวกเขาก็สามารถกลับคืนสู่ถิ่นพำนักอาศัยได้ และปลูกที่อยู่อาศัยรวมทั้งทำการเพาะปลูกใหม่ แม้จะลำบาก แต่ก็ยังดีกว่าต้องเสียที่นาไปเป็นหลายเท่า อีกหลายปีข้างหน้านี้หากได้รับผลผลิตดี ชีวิตการเป็นอยู่ของพวกเขาจะดีขึ้น มิใช่เป็นเช่นที่เห็นนี้ เมื่อพวกเขาไม่มีที่ดิน ต่อให้กลับไปก็คงไม่มีความหมายอันใดอีก”
“หากฝ่าบาททรงกรุณา เว้นภาษีแก่พวกเขา อีกทั้งมอบอุปกรณ์ในการเพาะปลูก ความกรุณาของพระองค์ในครานี้ รับรองว่าพวกเขาจะจดจำไปจนวันตาย ! ”
ตอนที่ 111 คลายปัญหา ณ ห้องทรงพระอักษร (1)
ช่วงสุดท้ายของวัน วังเตี๋ยอี๋ภายในศาลาซิ่วชุนเหลือเพียงหยูเวิ่นหวินและฟู่เสี่ยวกวนเพียงสองคน พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยหยิบบทกวีนั้นกลับวัง กล่าวว่าอยากจะพักสายตาเสียหน่อย
ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวินกำลังส่งสายตาหยอกล้อกันอยู่ กลับพบขันทีที่เคยยืนอยู่ในท้องพระโรงเฉิงเทียนกำลังวิ่งเบา ๆ มาตามทางเดินเล็ก ๆ
“คุณชายฟู่ ฝ่าบาททรงเรียกเข้าเฝ้า โปรดตามข้าไปห้องทรงพระอักษร”
หยูเวิ่นหวินเหลือบมองขันทีเจี่ยด้วยใบหน้าบูดบึ้ง ขันทีเจี่ยรีบยกยิ้ม ค้อมกายลงและกล่าว “ขอองค์หญิงเก้าโปรดประทานอภัย เป็นรับสั่งจากฝ่าบาทอย่างแท้จริงพ่ะย่ะค่ะ”
“เหอะ ! ” หยูเวิ่นหวินหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน แล้วกล่าวเสียงแผ่วเบา “ข้าจะไปหาชูหลานสักประเดี๋ยว แล้วตอนค่ำจะไปหาเจ้า”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินตามขันทีเจี่ยมาถึงห้องทรงพระอักษร ยังมิทันจะได้เปิดประตูเข้าไป ก็มีเสียงโวยวายจากข้างในดังออกมา
“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมคิดว่ามิเหมาะสม นับแต่อดีตมานั้นว่าการบรรเทาสาธารณภัยจะเป็นทางราชสำนักที่จะแจกจ่ายเงิน เสบียงและเครื่องนุ่งห่มให้แก่ผู้ประสบภัย ปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้มิใช่ปัญหาที่เกิดจากวิธีการของการบรรเทาสาธารณภัย แต่ปัญหาเกิดจากคนของการบรรเทาสาธารณภัยพ่ะย่ะค่ะ ความตั้งใจของฝ่าบาทที่ให้ทั้งสิบสามกรมลงไปตรวจสอบมิใช่เยี่ยงนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ เหล่าขุนนางที่ทำการทุจริตเหล่านั้นก็ถูกตรวจพบ และได้ทำการลงโทษเพื่อป้องกันมิให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม ทั้งยังส่งขุนนางหน้าใหม่เข้ารับตำแหน่ง ด้วยบทเรียนจากก่อนหน้านี้ กระหม่อมคิดว่าเรื่องนี้สามารถจัดการได้”
“กระหม่อมคิดว่าที่ราชครูหนิงกล่าวมานั้นมีเหตุผลพ่ะย่ะค่ะ ความหมายแต่เดิมของการบรรเทาสาธารณภัยนั้นคือการมอบผลประโยชน์ให้แก่ผู้ประสบภัย เพื่อมิให้พวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานกับการพลัดถิ่น หากทำตามวิธีการของฟู่เสี่ยวกวน ก็จะกลายเป็นราชสำนักขายเสบียงให้แก่ผู้ประสบภัยมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ แล้วเหล่าผู้ประสบภัยจะมองกันเยี่ยงไร พวกต่างบ้านต่างเมืองจะมองกันเยี่ยงไร พวกเขาจะมิคิดว่าราชวงศ์หยูใช้สถานการณ์ยากลำบากนี้รังแกผู้ประสบภัยเยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“แต่ก็มิสามารถปฏิเสธได้โดยสิ้นเชิงพ่ะย่ะค่ะ การจัดการหลังภัยพิบัติที่ได้กล่าวไว้ในกลยุทธ์นี้ก็ยังคงมีความสมเหตุสมผลอย่างมาก โดยเฉพาะการนำศพมาเผารวมกัน แม้จะดูไร้มนุษยธรรมอยู่มาก แต่ด้วยวิธีนี้จะสามารถหลีกเลี่ยงการแพร่ระบาดของโรคระบาดได้อย่างแท้จริง ยังจำได้ว่าเมื่อไท่เหอปีที่ 39 ยังคงเป็นเหตุอุทกภัยสองฝั่งแม่น้ำหวงเหอ ตามการจดบันทึกหลังเกิดภัยพิบัติ มีผู้เสียชีวิตจากเหตุอุทกภัยมากกว่า 42,000 คน แต่โรคระบาดที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุอุทกภัยกลับคร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 123,000 คน เมื่อใคร่ครวญในยามนี้ น่าจะเป็นเพราะศพเหล่านั้นมิได้รับการจัดการอย่างทันท่วงทีพ่ะย่ะค่ะ”
“…..”
องค์ฮ่องเต้หยูยิ่นนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรรู้สึกปวดเศียรเล็กน้อย ใต้บัลลังก์นั่งอยู่ทั้งหมด 5 คน หนึ่งคือราชครูหนิงฝาชุน อีกหนึ่งคือเสนาบดีกรมคลังต่งคังผิง ต่างก็แสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่ามิเห็นด้วยกับนโยบายนี้
แต่เดิมเขานั้นยังคาดหวังกับอัครมหาเสนาบดีเยี่ยนเป่ยซี แต่เยี่ยนเป่ยซีกลับทำตัวลื่นเป็นปลาไหล เมื่อมีเรื่องดีหนึ่งสิ่งก็มิอาจปฏิเสธได้โดยสิ้นเชิง แต่นั่นก็เป็นการปฏิเสธกลยุทธ์นี้ไปโดยสิ้นเชิงแล้ว โดยการหยิบยกการจัดการหลังภัยพิบัติที่มิเกี่ยวข้องกันขึ้นมา ข้าเองก็ทราบว่าการจัดการหลังภัยพิบัตินั้นสำคัญยิ่ง แต่การจัดการหลังภัยพิบัตินั้นมิได้ยุ่งยากเท่ากับการบรรเทาสาธารณภัยมิใช่หรือ ?
เฟ่ยปังเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม เยี่ยนซือเต้าเป็นตัวแทนองคมนตรี ทั้งสองคนเป็นผู้รับผิดชอบทางการทหาร และพร้อมที่จะพิจารณานโยบายสงครามเหล่านั้น ทว่าในยามนี้ คนอื่น ๆกำลังถกเถียงกันเรื่องการบรรเทาสาธารณภัย คาดว่าทั้งสองคนคงมิกล่าวอันใด
สายตาของเขามองออกไปทางข้างนอก ในใจพลันดีใจ ฟู่เสี่ยวกวนได้มาถึงแล้ว
“กระหม่อมขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะคุกเข่าลงไปคำนับ แต่องค์ฮ่องเต้กลับกล่าวว่า “มามามา มิต้องพิธีรีตองอันใดมาก กลยุทธ์นี้เจ้าเป็นผู้ทำขึ้นมา เจ้าจงมาไขข้อสงสัยให้พวกเขาประเดี๋ยวนี้”
องค์ฮ่องเต้โยนเรื่องวุ่นวายนี้ออกไป พิงเก้าอี้มังกรเพื่อรับชมฉากเบื้องหน้า
ฟู่เสี่ยวกวนกุมกำปั้นประสานมือคารวะ และกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้าน้อยมาจากบ้านนอก มิเข้าใจประเพณีของแผ่นดินใหญ่ หากข้าน้อยกระทำการใดผิดพลาดไป ทุกท่านโปรดให้อภัยด้วย”
กล่าวจบเขาก็หยุดยืนที่ตรงกลาง และกล่าวว่า “หากทุกท่านมีข้อสงสัยโปรดเอ่ยถามมา ข้าน้อยจะอธิบายให้แก่พวกท่านโดยละเอียด”
ผู้อาวุโสทั้งห้าที่นั่งอยู่มองฟู่เสี่ยวกวนอย่างพินิจพิจารณา เด็กหนุ่มผู้นี้ต่อปากต่อคำกับชือเฉาหยวนเสนาบดีกรมพิธีการที่ท้องพระโรงเฉิงเทียน ดูแล้วมิรู้ถึงความละเอียดอ่อนภายในจิตใจที่แท้จริงอย่างถึงที่สุด ในยามนี้ที่ยืนอยู่ในห้องทรงพระอักษรก็ดูไม่สะทกสะท้านเช่นกัน มิมีท่าทีระมัดระวังเลยแม้แต่น้อย นิสัยของเด็กหนุ่มผู้นี้ใจเย็นอย่างถึงที่สุด
ต่งคังผิงจึงลุกขึ้นยืน “ข้าขอถามเจ้า เจ้าคิดว่าเหตุใดราชสำนักจึงมีการบรรเทาสาธารณภัย ? ”
แม้นว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมิทราบว่าคนผู้นี้คือบิดาของต่งชูหลาน แต่คนผู้นี้ก็สง่ายิ่ง มิหนำซ้ำยังคล้ายคลึงกับต่งซิวเต๋ออยู่เล็กน้อย อีกทั้งในยามนี้ก็กำลังถกกันถึงปัญหาเรื่องบรรเทาสาธารณภัยที่อยู่ภายใต้การดูแลของกรมคลัง เยี่ยงนั้นตัวตนของคนผู้นี้ก็แทบจะเปิดเผยออกมารอมร่อ
เขาคารวะให้แก่ต่งคังผิงอย่างสุภาพยิ่ง และตอบกลับว่า “ข้าคิดว่าการบรรเทาสาธารณภัยของราชสำนัก มีเพื่อราษฎรที่ประสบภัยพิบัติ”
“ในเมื่อเจ้าเองก็ทราบ แล้วเหตุใดภายในกลยุทธ์นี้จึงปฏิเสธวิธีการที่ทำมานับพันปีและเปลี่ยนแปลงเสถียรภาพของราคาเสบียงกัน ? ”
“ขอตอบใต้เท้า วิธีการที่มิได้เปลี่ยนแปลงมานับพันปี ข้าน้อยคิดว่า วิธีการล้าหลังที่จะนำมาพัฒนาสังคมต้องมีการเปลี่ยนแปลง หากยังคงยึดติดกับสิ่งที่สืบทอดมาช้านาน การพัฒนาสังคมก็จะหยุดตัวลง หลังจากนั้นก็จะก่อให้เกิดการทุจริตอีกมากมาย หากราชสำนักแตกแยก ในสถานเบาจะสูญเสียเพียงบุคลากรและสินทรัพย์ แต่สถานหนักอาจจะคุกคามไปถึงความปลอดภัยของบ้านเมือง”
“เจ้าคิดว่าวิธีการบรรเทาทุกข์ที่ทำมากันโดยตลอดนั้นล้าหลังไปแล้วรึ ?” ต่งคังผิงเอ่ยถามด้วยใบหน้าคิ้วขมวด
“ใช่ มันมิเหมาะสมต่อการพัฒนาสังคมอีกแล้ว”
ต่งคังผิงเงียบไปอึดใจ แล้วเอ่ยถามอีกว่า “สิ่งที่เรียกว่าการบรรเทาสาธารณภัย เดิมทีคือทางราชสำนักจะแจกจ่ายเสบียงและเครื่องนุ่งห่มให้แก่ผู้ประสบภัย ตามนโยบายของเจ้าแล้วนั่นคือการเก็บเงิน สำหรับกรมคลังและราชสำนักแล้ว เกรงว่าราคาเดิมที่ขายออกไปนั้นจะเป็นเงินได้ นั่นเป็นเรื่องที่ดี แต่สำหรับเหล่าผู้ประสบภัยเล่า พวกเขามีเงินซื้อเยี่ยงนั้นรึ หากมิมีเงินจะมิอดตายหรือ เยี่ยงนั้นแล้วพวกเขาจะมีความคิดเยี่ยงไรต่อราชสำนักกัน ? ”
นี่คือปัจจัยหลักของปัญหา องค์ฮ่องเต้หยูยิ่นเองก็มิเข้าใจปัญหานี้มาโดยตลอด เขาจึงยืดตัวนั่งหลังตรง
“ขอตอบใต้เท้า ตระกูลข้าน้อยเป็นเจ้าของที่ดิน คาดว่าใต้เท้าเองก็คงทราบ แต่ข้าน้อยแตกต่างจากคุณชายตระกูลพ่อค้าที่ร่ำรวยเหล่านั้น ข้าน้อยชื่นชอบเกษตรกรและมักจะพูดคุยกับเกษตรกรเสมอ หนนี้ก็ได้รับผู้ประสบภัยมาทั้งสิ้นสามหมื่นกว่าคน ข้าน้อยเองก็ได้เข้าไปใกล้ชิดกับพวกเขา ดังนั้นข้าน้อยจึงรับรู้ถึงความคิดของพวกเขาเป็นอย่างดี”
“ใต้เท้าทั้งหลายควรทราบถึงราคาของข้าวในเขตประสบภัย สองวันก่อนหน้านี้ได้พูดคุยกับพี่ชายฉินปิ่งจง พี่ชายฉินกล่าวว่าราคาข้าวของเขตประสบภัยได้สูงขึ้นจากปกติเป็นห้าเท่า แท้จริงแล้วยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเขตเหอหนานเมืองหนานจิงของสองฝั่งแม่น้ำหวงเหอ ที่ราคาข้าวได้เพิ่มจากปกติได้ถึงสิบสองเท่ามาเนิ่นนานแล้ว เส้นทางเหอหนานมี 2 เมือง 28 เขต ภัยพิบัติร้ายแรง 1 เมือง 6 เขต ราคาของข้าวใน 1 เมือง 6 เขตนี้ได้สูงกว่าปกติไปนับสิบเท่า ตามปกติราคาข้าวจะอยู่ที่ 1 ชั่ง 17 อีแปะ หลังภัยพิบัติแตะไปถึง 170 อีแปะต่อหนึ่งชั่ง นี่คือแนวคิดอันใดกัน นี่มีการนับรวมไปถึงผลกำไรมหาศาลที่อยู่ภายในนั้น ใต้เท้าทั้งหลาย พวกท่านอาจจะคิดว่า เนื่องจากข้าวแพงถึงเพียงนั้น เยี่ยงนั้นก็ทานธัญพืช ขอประทานอภัย ราคาของธัญพืชก็เพิ่มสูงขึ้นเป็นสิบเท่าเช่นกัน แล้วเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้กัน เพราะเสบียงของการบรรเทาสาธารณภัยจากทางราชสำนักมิได้ไปถึงมือของผู้ประสบภัยทั้งหมด พวกเขามิมีเสบียง ทำได้เพียงไปซื้อ และเสบียงต่าง ๆ ที่พวกเขาซื้อมา อย่างน้อยในสามส่วนนั้นก็คือเสบียงจากการบรรเทาสาธารณภัยของทางราชสำนัก”
“พ่อค้าในใต้หล้า หากมีกำไรอยู่สามส่วน พวกเขาจะพุ่งเข้าไปหา หากมีกำไรอยู่ห้าส่วน พวกเขาจะยอมรับกับความเสี่ยง หากมีกำไรเป็นหนึ่งเท่าตัว พวกเขาก็กล้าที่จะเหยียบย่ำกฎหมายทั้งหมดทั้งมวล หากมีกำไรเป็นสามเท่าตัว พวกเขาย่อมกล้าที่จะก่ออาชญากรรมเป็นแน่ ยิ่งมิต้องกล่าวถึงยามนี้ที่พุ่งไปถึงสิบเท่าตัวเลย ! ”
“เช่นเดียวกับขุนนาง พวกเขาเองก็จะมีส่วนร่วมด้วยอย่างแน่นอน ดังนั้น ไม่ว่าราชสำนักจะจัดสรรเสบียงมามากน้อยเพียงใด ผลลัพธ์ในตอนท้ายก็ยังมิเปลี่ยนไป ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวอธิบายออกมาเสียยืดยาว ในเวลานี้ได้เงียบไปอึดใจ เขารู้สึกกระหายเล็กน้อย หันมองไปทางองค์ฮ่องเต้ และเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาท กระหม่อมสามารถกลืนน้ำลายได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
ตอนที่ 110 สงครามคือสิ่งใด
“ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ก่อน”
ประโยคเพียงแผ่วเบาของฝ่าบาท ทำให้เหล่าขุนนางที่เดินผ่านประตูท้องพระโรงไปแล้วต่างตกตะลึง หรือว่านโยบายสงครามคือสิ่งใดที่ชายหนุ่มผู้นั้นเขียนออกมาจะเข้าพระเนตรฝ่าบาทกัน?
โดยเฉพาะชืออีหมิง ฟางเหวินซิงและจิ้นซื่อทั้งสิบ ในใจเกิดความสงสัยและความอิจฉาขึ้นมา
ทุกคนต่างมาท้องพระโรงเฉิงเทียนด้วยกัน ทุกคนร่วมการทดสอบของวังหลวงด้วยกัน แล้วเหตุอันใดฝ่าบาทถึงเรียกเขาไว้เพียงผู้เดียวกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ประหลาดใจ ในใจครุ่นคิดถึงอาหารบนโต๊ะที่สั่งเอาไว้แล้วที่หอซื่อฟาง ดูเหมือนว่าจะมิได้ไปกินเสียแล้ว หรือว่าฝ่าบาทจะเลี้ยงอาหารข้ากัน ?
ก็มิรู้เหมือนกันว่าอาหารชาววังเป็นเยี่ยงไร
สายตาหลายคู่ที่แฝงความนัยต่างก็กวาดมองร่างฟู่เสี่ยวกวน หลังจากนั้นพระราชวังที่ใหญ่โตก็สงบลง
ฝ่าบาทเดินลงมาจากแท่นมังกร สองมือไขว้หลังและมองมาทางฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มองไปทางฝ่าบาทด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ฝ่าบาทดูหล่อเหลาเอาการ จากท่าทางดูแล้วจะอายุประมาณสี่สิบกว่าปี ใบหน้าอวบเล็กน้อย ดวงตาแหลมคม แม้แต่เคราแพะที่อยู่ใต้คางนั้นก็ดูทรงพลังอย่างยิ่ง เพราะมันกระดกขึ้น
“เจ้า ทำได้เยี่ยมมาก !”
ฟู่เสี่ยวกวนมีความสุขอย่างยิ่งที่ได้รับคำชื่นชมจากฝ่าบาท ดังนั้นริมฝีปากจึงแยกยิ้ม
“ขันทีเจี่ย สั่งการคนให้พาเขาไปยังวังเตี๋ยอี๋”
“กระหม่อมน้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากนั้นขันทีเจี่ยก็เรียกทหารองครักษ์หนึ่งนาย และเขาก็นำทางฟู่เสี่ยวกวนไปยังวังเตี๋ยอี๋ หลังจากนั้นเขาก็เดินออกมาจากท้องพระโรงเฉิงเทียนพร้อมกับฝ่าบาท
จบลงแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
มิใช่ว่าจะเชิญข้าทานข้าวเยี่ยงนั้นรึ ?
วังเตี๋ยอี๋คือที่ใดกัน
ฟู่เสี่ยวกวนเต็มไปด้วยความสงสัย แต่ก็มิได้เอ่ยถามขันทีที่นำทางมา เดินผ่านท้องพระโรงเฉิงเทียนไปกับเขา และเลี้ยวผ่านมาอีกหลายตำหนัก เดินมาได้ครึ่งชั่วยาม จึงได้มาถึงวังเตี๋ยอี๋
ประตูหน้าวังมีสตรีผู้หนึ่งยืนอยู่ สตรีผู้นั้นสวมชุดสีแดง ในมือถือผ้าไหมสีแดง บนศีรษะนั้นประดับด้วยปิ่นปักผมสีแดง ปิ่นปักผมนั้นมีสายหินโมราประดับ ดวงตาคู่ใสบนใบหน้ายิ้มแย้มแก้มแดงระเรื่อกำลังมองมาทางเขาอย่างสุขใจ
หยูเวิ่นหวิน !
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ฉีกยิ้ม แสงแดดฤดูใบไม้ร่วงสีแดงสวยสด ตกกระทบไปบนพื้น
……
…..
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยแต่งกายด้วยชุดลำลอง หยูเวิ่นหวินและฟู่เสี่ยวกวนนั่งประกบซ้ายขวา
บนโต๊ะมีเนื้อสัตว์สามอย่าง ผักสามจานและซุปอีกหนึ่งถ้วย ยิ่งเห็นนิ้วชี้ของฟู่เสี่ยวกวนก็ยิ่งสั่นไหว
เขาหิวแล้ว !
“ทำตัวเหมือนเป็นบ้านของตัวเองเถิด ทานอาหารได้”
“ขอบพระทัยพระสนมพ่ะย่ะค่ะ !”
เมื่อพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยตรัสเยี่ยงนั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็มิเกรงใจ ลงมือทานด้วยท่าทีของหมาป่าผู้หิวโหย ในใจก็ลอบวิจารณ์ว่าอาหารของวังหลวงนั้นเมื่อเทียบกับหอซื่อฟางแล้วก็มิได้โดดเด่นอันใด จนกระทั่งเขาได้ดื่มน้ำซุป ถึงได้ถอนหายใจออกมา น้ำซุปถ้วยนี้มีรสชาติที่หาได้ยากยิ่งในใต้หล้า
เป็นกฎของยุคนี้ที่จะมิพูดมิจายามที่กำลังทานอาหาร โดยปกติฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นคนสบาย ๆ จึงมิได้สนใจกับเรื่องเล็กน้อยนี้ แต่ในยามนี้ที่อยู่ในวังหลวง ถึงแม้ซั่งกุ้ยเฟยและหยูเวิ่นหวินจะมิได้กล่าวอันใด เขาก็จำเป็นต้องรักษามารยาทไว้บ้าง เขาเพียงแต่กินอาหารเหล่านั้นอย่างมีความสุขเพียงเท่านั้น
ดังนั้นอาหารที่อยู่บนโต๊ะส่วนใหญ่จะถูกฟู่เสี่ยวกวนจัดการไป แม้แต่น้ำซุปถ้วยนั้น ท้ายที่สุดก็ถูกเขาดื่มไปจนหมด
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยลอบขำในใจ ชายผู้นี้กระทำตนเหมือนอยู่บ้านตนเองจริง ๆ เยี่ยงนั้นก็ดีเป็นอย่างยิ่ง เป็นคนตรงไปตรงมา และมีนิสัยที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับเวิ่นหวินทีเดียว
หลังจากนั้นพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยก็พาฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวินไปยังสวนดอกไม้ นางมิได้ไปสวนดอกเบญจมาศเพื่อกำจัดวัชพืชและตัดแต่งสวน กลับนั่งลงที่ศาลาซิ่วชุน มีสาวใช้ยกผลไม้และน้ำชามาให้ และมีเพียงทั้งสามคนที่นั่งอยู่
“เพียงพริบตาก็ผ่านไปเกือบสองเดือนแล้วที่จากหลินเจียงมา ความฝันในหอแดงของเจ้าเพิ่งจะเขียนได้เพียง 62 บท มิได้ออกใหม่มาเนิ่นนานแล้ว ช่วงหลายวันนี้ยุ่งมากเยี่ยงนั้นหรือ ?”
“ทูลพระสนม ยุ่งอย่างมากอย่างที่พระองค์มิอาจกล่าวได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนจึงเล่าเรื่องบางเรื่องของซีซานให้แก่ซั่งกุ้ยเฟยฟัง รวมไปถึงเหตุผลที่ต้องมายังที่เมืองหลวงนี้ด้วย
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยทราบเรื่องเหล่านี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เจ้าเองก็ทราบผลลัพธ์ที่จะตามมา มาถึงเมืองหลวงแล้วเหตุใดจึงมิมาขอความช่วยเหลือจากข้ากัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มอย่างขัดเขิน “ความจริงแล้วในคราแรกกระหม่อมมีความคิดจะมาขอความช่วยเหลือพระสนมพ่ะย่ะค่ะ พายุในครานี้ค่อนข้างใหญ่ ต้นไม้ใหญ่ที่พอจะคุ้มครองตระกูลฟู่ได้มีไม่มาก พระสนมย่อมเป็นหนึ่งในต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุด หากสามารถโอบกอดต้นไม้ใหญ่เช่นพระสนมไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็นพายุห่าฝนที่ใหญ่เพียงไหน ตระกูลฟู่ก็จะยังสงบสุขและปลอดภัยพ่ะย่ะค่ะ”
“แล้วเหตุใดจึงเปลี่ยนความตั้งใจกัน ? ”
“แท้จริงแล้วจะถือว่าเป็นการเปลี่ยนเจตนาเดิมก็มิได้ เพียงกระหม่อมพบเห็นประกาศการทดสอบแผ่นนั้นของฝ่าบาทโดยบังเอิญ ลอบคิดในใจว่าหาเขียนนโยบายที่เป็นประโยชน์จนเข้าพระเนตรของฝ่าบาทได้ ก็จะมีโอกาสที่จะได้มาเข้าเฝ้าที่วังหลวงพ่ะย่ะค่ะ หากสามารถเข้าเฝ้าได้ ก็อาจจะได้พบกับพระสนม พระองค์มองว่าสถานการณ์ในตอนนี้มิได้เป็นเยี่ยงนั้นหรือพ่ะย่ะค่ะ”
ชายผู้นี้มีความคิดที่ฉลาดและว่องไว หากเขาต้องการมาหาตนเองอย่างแท้จริง เพียงผ่านมาทางชูหลานก็จะบรรลุผลได้อย่างง่ายดาย แต่เขากลับใช้หนทางอื่น มิอยากเป็นหนี้บุญคุณกับตนเองด้วยเรื่องที่ง่ายดายเยี่ยงนี้ ยังเยาว์วัยแต่กลับเป็นบุคคลที่เจนโลก
ในวันนี้ฝ่าบาทได้โปรดปรานเขาแล้ว ตนเองเพียงแค่ทุบตีกับขุนนางในราชวงศ์อีกเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ถือว่าลดเรื่องลงไปได้ไม่น้อยเลย
“ได้ยินว่าที่ท้องพระโรงเฉิงเทียน เจ้าด่าทอเสนาบดีชือจนเขากระอักเลือดและหมดสติไป… เหตุใดจึงบุ่มบ่ามเยี่ยงนั้น ? ”
“ทูลพระสนม เรื่องนี้โทษกระหม่อมมิได้จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมยังมิเคยพบพานเขา มิทราบว่าเหตุใดเขาจึงตั้งเป้ามาที่กระหม่อม ทั้ง ๆ ที่นิสัยของกระหม่อมก็ดียิ่งนัก” ฟู่เสี่ยวกวนยักไหล่ด้วยความเสียใจเล็กน้อย ทั้งยังกล่าวอีกว่า “หากกระหม่อมทำการใดที่ไม่เหมาะสม พอออกไปจากวังหลวง กระหม่อมจะตรงไปยังจวนชือด้วยตนเองเพื่อขอรับโทษเป็นการส่วนตัว”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยลุกขึ้นยืน เดินไปด้านหน้าของระเบียงทางเดิน จ้องมองดอกเบญจมาศที่มีอยู่เต็มสวน ผ่านไปเนิ่นนาน จึงกล่าวว่า “เจ้าจงจำไว้ จงรักษาเจตนาเดิมเอาไว้ให้มั่น”
ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจ พระสนมมิได้มีความหมายจะกล่าวโทษเขา กลับชื่นชมอย่างมาก
เมื่อมาตระหนักถึงในยามนี้ ตอนที่ฝ่าบาทประทับบนบัลลังก์ก็มิได้หักห้ามแต่อย่างใด ทั้งยังปล่อยให้ตนเองกำเริบเสิบสาน ก็คงจะมีความหมายประมาณนี้เช่นกัน
ฝีปากของคนผู้นี้น่าสนใจยิ่ง
“กระหม่อมจะจดจำให้ขึ้นใจพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ฤดูใบไม้ต้นไม้ต่างผลัดใบตกลงมายังพื้นมากขึ้นเรื่อย ๆ เจ้ามีความคิดเห็นเยี่ยงไรกับดอกไม้ที่มีอยู่เต็มสวนนี้ ? ”
“งดงามยิ่งพ่ะย่ะค่ะ !”
หยูเวิ่นหวินหัวเราะน้อย ๆ บุรุษผู้นี้หน้าหนายิ่ง
“เยี่ยงนั้น เจ้าจงประพันธ์บทกวีขึ้นมา หากสามารถทำให้ข้าพึงพอใจได้ ข้าจักไปขอร้องให้ฝ่าบาททรงอักษรจวนฟู่สองคำนี้ให้ เจ้าคิดเห็นเยี่ยงไรบ้าง ?”
ฟู่เสี่ยวกวนปลื้มปีติ หากมีอักษระคำว่าจวนฟู่ที่ฝ่าบาททรงอักษรด้วยพระองค์เอง เกรงว่านี่คงจะเป็นยันต์ป้องกันตน ขอถามว่าในใต้หล้านี้มีขุนนางคนไหนบ้างที่กล้าทำลายป้ายที่ฝ่าบาทเป็นผู้ทรงอักษร?
ต้องประพันธ์บทกวีนี้ขึ้นมาให้จงได้ ทั้งยังต้องตรงกับความพึงพอใจของซั่งกุ้ยเฟยค่อนข้างยากเอาการ !
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ลุกขึ้นยืนและมองออกไปทางสวนดอกไม้ ผ่อนลมหายใจไม่กี่ครั้ง ก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เวิ่นหวิน ฝนหมึก ! ”
สมองของคนผู้นี้มีประกายแล่นผ่านมาอีกแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
หยูเวิ่นหวินยินดีอย่างยิ่ง หากเขาได้รับอักษระประดิษฐ์ของเสด็จพ่อมาแล้วจริง ๆ เยี่ยงนั้นวิกฤตของตระกูลฟู่ก็จะผ่านพ้นไป
ฟู่เสี่ยวกวนถือพู่กัน พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเดินมาถึงด้านหลังของเขา
“สัมผัสสวนเบญจมาศโดยบังเอิญ
ก่อตัวบ้านในโลกของมนุษย์ แต่ไร้เสียงรถม้ามารบกวน
ถามตัวข้าเหตุใดจึงเป็นเยี่ยงนั้น? จิตใจที่ออกห่างจะพบพานความสงบ
เก็บดอกเบญจมาศทางรั้วตะวันออก เมียงมองภูเขาหนานซานอย่างสบายใจ
ภูเขางามทั้งยามเช้าและพลบค่ำ วิหคอยู่รวมกันเป็นฝูง
ความหมายแท้จริงที่แฝงไว้ ลืมแล้วไซร้จะกล่าวแจกแจงความปรารถนา”
ฟู่เสี่ยวกวนเก็บพู่กัน พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยยังคงท่องบทกวีอย่างใจจดจ่อ ในใจนั้นชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็มิได้แสดงท่าทีอันใดออกไป
นี่คือภาพที่นางเขียนขึ้นมาในจิตใจ แต่เดิมนางเป็นสตรีมากความสามารถที่มีชื่อเสียงของฉีโจว ในยามที่สภาพจิตใจมิได้ยินดียินร้าย สิ่งที่คิดเอาไว้คือชีวิตที่มองเห็นภูเขาหนานซานภายในรั้วสวนดอกเบญจมาศ
เป็นเพียงการนำทางของโชคชะตา นางได้กลายเป็นพระสนม มีแผนการและเล่ห์เหลี่ยมอย่างมากมาย แต่ความตั้งใจเดิมของนางนั้นยังมิแปรเปลี่ยน ดังนั้นจึงได้มีสวนดอกเบญจมาศนี้ขึ้นมา
ชีวิตที่สงบสุขเยี่ยงนั้นในตอนนี้ได้ห่างไกลจากนางไปมากโข บางทีอาจเป็นได้เพียงความฝัน ที่ห่างไกลออกไปแล้ว
“บทกวีนี้ ข้าชอบอย่างมาก ข้ามิอนุญาตให้นำไปเผยแพร่ ! ”
ตอนที่ 109 เด็ดดอกเบญจมาศทางรั้วบูรพา
เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ถูกเรียกตัวเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ เพื่อสอบคัดเลือกในพระราชวังหลวงนั้น ก็มีเสนาบดีจำนวนไม่น้อยที่วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นการผิดกฎกติกา !
ในงานชิวเหวยมีผู้คนเดินทางมาเข้าร่วมการคัดเลือก สุดท้ายมีเพียง 300 คนเท่านั้นที่ผ่านการคัดเลือก และมีผู้คนจำนวนมากถูกตัดสิทธิ์ อีกทั้งการสอบคัดเลือกในพระราชวังนี้ จะเลือกจิ้นซื่อสามอันดับแรกจากสิบคน แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เข้าร่วมชิวเหวย ดังนั้นเขามิควรมีสิทธิ์สอบคัดเลือกในพระราชวังหลวง มิเช่นนั้นจิ้นซื่ออีก 10 คนจะหาความยุติธรรมจากที่ใด
หากบรรดาผู้ไม่ได้รับคัดเลือกประท้วงขึ้นมาคาดว่าคงไม่ดีแน่ นักกวีทั้งหลายเมื่อเอ่ยปากออกมาล้วนน่าเกรงขาม เมื่อคิดได้ดังนี้ หลายคนก็มองมายังฟู่เสี่ยวกวน
เพียงเขาผู้นี้ก็สามารถทำให้เสนาบดีกรมพิธีการกระอักเลือดเสียจนเป็นลมล้มพับไปได้ หากนักกวีผู้เข้าสอบกว่าพันคนนั้นทำการประท้วงขึ้นมา สถานการณ์จะเป็นเยี่ยงไร ?
แน่นอนว่าขณะเดียวกันเสนาบดีหลาย ๆ ท่านมิได้เป็นเดือดเป็นร้อนเรื่องที่ฝ่าบาททรงกระทำเช่นนี้
เยี่ยนเป่ยซีที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดนั้นมองดูเหตุการณ์แต่ต้นจนจบด้วยความสงบ กระทั่งชือเฉาหยวนกระอักเลือดเป็นลมไป เขาจึงได้ขมวดคิ้วขึ้น
บุตรชายของเขา เยี่ยนซือเต้า มองดูฟู่เสี่ยวกวนอยู่หลายครา เนื่องจากได้ยินมาว่าต่งชูหลานชอบพอเขาผู้นี้ เดิมทีเขาได้กล่าวกับเสนาบดีต่งว่าจะไปสู่ขอ แต่สองวันมานี้เสนาบดีต่งมีสีหน้าไม่ดีนัก ในวันนี้เขาจึงได้รู้ว่าทั้งหมดเป็นความต้องการขององค์หญิงเก้า เรื่องการสู่ขอจึงได้ยุติลงชั่วคราวเสียก่อน
เขารู้จักกับองค์หญิงเก้าได้อย่างไร ?
ส่วนด้านเสนาบดีต่ง เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเข้ามาในพระราชวัง ตาเขาก็กระตุกตลอดเวลา จากนั้นที่เขาได้ดูเรื่องราวจากต้นจนจบ ในใจก็นึกคิดว่าเขาผู้นี้ช่างหยาบคายเสียจริง นี่คือตระกูลชือ หนึ่งในหกตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในเมืองหลวงเชียว !
ชือเฉาหยวนเป็นถึงเสนาบดีกรมพิธีการ อีกทั้งเป็นผู้นำตระกูลชือคนปัจจุบัน ซึ่งมีครบทั้งอำนาจชื่อเสียงและเงินทอง ฟู่เสี่ยวกวนเป็นเพียงลูกของเศรษฐีที่ดินธรรมดา ๆ กลับกล้ากระทำเช่นนี้ ! ช่างไม่รู้จักสัมมาคารวะเอาเสียเลย !
เปรียบเสมือนหินกะเทาะไข่ เห้อ…นอกเสียจากฝ่าบาทจะทรงปกป้องเขา แต่ฝ่าบาททรงเรียกตัวเขาเข้าสอบคัดเลือกด้วยพระองค์เอง บางทีฝ่าบาทอาจจะปกป้องเขาอยู่ก็เป็นได้
เรื่องของต่งชูหลานและเขาผู้นี้ คงจะต้องรอดูอีกสักพัก
สรุปโดยรวมคือทุกท่านที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนจับตามองดูฟู่เสี่ยวกวน อีกประเดี๋ยวคงได้เห็นว่าคำตอบของเขาเป็นเช่นไร
จิ้นซื่อทั้งสิบคนได้จับพู่กันและเริ่มเขียนคำตอบแล้ว แต่ฟู่เสี่ยวกวนเล่า ? พวกเขาไม่ชอบใจจริง ๆ บัดนี้เขายังคงนั่งฝนหมึก !
แต่ฟ้าดินเป็นพยานได้ ฟู่เสี่ยวกวนมิได้จงใจให้เป็นเยี่ยงนี้
แต่เขามิเคยฝนหมึกด้วยตนเองมาก่อน !
ทุกครั้งชุนซิ่วจะจัดเตรียมไว้ให้เขา แม้แต่ครั้งที่เขียนกลอนตุ้ยเหลียน ณ หอวั่งเจียงโหลว เขาก็ได้ให้องค์หญิงเก้าฝนหมึกให้
เอาล่ะ ไม่เป็นไร บททดสอบนี้ไม่ยากเท่าใดนัก
ฝ่าบาทเองก็มองดูฟู่เสี่ยวกวน เขาเป็นอะไรไป ? เขียนไม่ออกงั้นหรือ ? หากเป็นเช่นนั้นเขาคงไม่เรียกตัวฟู่เสี่ยวกวนเข้ามาแล้ว
เมื่อคิดไปคิดมา ฟู่เสี่ยวกวนเป็นเพียงบุตรชายของเศรษฐีที่ดิน ให้เขียนเกี่ยวกับกวีพรรณนาต่าง ๆ มิใช่เรื่องยาก หากแต่เรื่องสงครามนี้ เกรงว่าเขาเองมีความรู้อยู่ไม่มากเท่าไร
ผู้คนที่คิดเห็นเช่นเดียวกับฝ่าบาทมีไม่น้อย พื้นภูมิของฟู่เสี่ยวกวนทุกคนล้วนรู้ดี แม้ว่าเขาจะอาศัยในเมืองหลินเจียง แต่ชื่อเสียงโด่งดังมายังเมืองหลวง พวกเขาจึงได้สืบหาข้อมูลเกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวน
เป็นเพียงแค่ซิ่วไฉเท่านั้น แท้จริงเขาเป็นเพียงบุตรเศรษฐีที่ดิน เดิมทีนิสัยเกเรแต่ถูกต่งชูหลานจัดการเสียจนตาสว่าง เดิมทีสมองเขาไม่ได้ฉลาดนัก…
แต่เขาผู้นี้ บัดนี้กลับปรากฏตัวขึ้น ณ ท้องพระโรงหลวง อีกทั้งยังนั่งร่วมทำข้อสอบกับจิ้นซื่อทั้งสิบ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับสงคราม คงจะยากเกินไปสำหรับเขาจริง ๆ
ในที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ฝนหมึกเรียบร้อย เขายกพู่กันขึ้นจุ่มน้ำหมึก จากนั้นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ และได้ลงมือเขียน
เอ๋ ! เขาเริ่มเขียนแล้ว
หากส่งกระดาษเปล่าไปคงไม่ดีแน่ ดังนั้นควรจะเขียนอะไรบางอย่างลงไปบ้าง แต่จะไปสู้จิ้นซื่อทั้งสิบได้อย่างไร โดยเฉพาะกับตระกูลใหญ่ทั้งหกนั่น
พวกเขารับใช้ราชวงศ์มายาวนาน แม้นไม่พูดแต่ทุกคนรู้เรื่องราวนี้ดี และในบรรดาตระกูลใหญ่ทั้งหกก็มีลูกหลานทำงานอยู่ในกองทัพต้องห้ามอีกทั้งยังมีนายพลด้วย พวกเขาต้องรู้เรื่องการทหารมากกว่าพ่อค้าที่ดินแห่งหลินเจียงแน่นอน
ดังนั้น ฟู่เสี่ยวกวนคงต้องพ่ายแพ้ ความคิดนี้แม้แต่ฝ่าบาทเองก็ทรงคิดเช่นเดียวกัน
เพียงแต่เขานั้นมิใช่จิ้นซื่อ ถึงเขียนออกมาไม่ดีก็ไม่มีผลใด ๆ ฝ่าบาททรงคิดเช่นนั้น
ฟู่เสี่ยวกวนเริ่มลงมือเขียนว่า
หากต้องการสร้างประเทศที่สงบสุขยาวนาน สิ่งที่ต้องการมิใช่เพียงความใฝ่ฝัน เพราะสุดท้ายแล้วทุกสิ่งจะพ่ายแพ้แก่เหล็กและรอยเลือด !
จะทำเยี่ยงไรให้ชนะสงครามและเสียเลือดเนื้อน้อยที่สุด ในบทความนี้จะอธิบายอย่างละเอียด
แม้เวลาจะผ่านไปสักพันปี แต่การทำสงครามมิได้แปรเปลี่ยนไปมากมายเท่าไรนัก การแพ้ชนะขึ้นอยู่กับกำลังทหารว่าทุ่มเทหรือไม่ อีกทั้งขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ในการสู้รบว่าเตรียมพร้อมหรือไม่ การรบในพื้นที่ราบนั้นใช้ทหารม้าเป็นหลัก และทหารทั่วไปเป็นกำลังเสริม
ซึ่งข้าน้อยมีความคิดเห็นว่า ภายใต้การทำสงครามประเภทนี้ ทุกครั้งที่เมืองถูกโจมตี ทหารจำนวนนับไม่ถ้วนจะถูกสังหารและบาดเจ็บ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่พึงปรารถนานัก ควรเปลี่ยนแปลง
ข้อที่หนึ่ง พลทหารสำคัญที่จิตใจและความพร้อมมิใช่จำนวนมากน้อย
……
…….
ฟู่เสี่ยวกวนบัดนี้คล้ายย้อนกลับไปในชาติที่แล้ว เรื่องของการฝึกจิตใจ และการเลือกอาวุธต่าง ๆ อีกทั้งยังมีการสืบสวนข้อความ การเข้าโจมตีและอีกมากมาย…
เขาเพิ่งรู้ตัวว่าใช้กระดาษเสียจนหมดแล้ว
จะทำอย่างไรดี ?
เขายกมือขึ้นและกล่าวว่า “ฝ่าบาทขอรับ กระหม่อม…ไม่มีกระดาษแล้ว”
องค์ฮ่องเต้กำลังอ่านหนังสือที่อยู่ในมือ ทรงได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึง เพียงแค่นโยบายธรรมดาเท่านั้น กระดาษ 2 แผ่นไม่พอหรือ ?
“ต้องการอีกกี่แผ่น ?”
“เอ่อ…..ขออีก 5 แผ่นก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
เขาแต่งหนังสืออยู่หรือไร ? เสนาบดีทั้งหลายคิดตรงกัน องค์ฮ่องเต้เองก็ตกตะลึง “อืม !”
บัดนี้ฟางเหวินซิงเขียนจบแล้ว แต่เมื่อได้ยินว่าฟู่เสี่ยวกวนยังต้องการอีก 5 เเผ่น……เขาจะเขียนสิ่งใดนักหนา ?
ขันทีเจี่ยนำกระดาษมาให้เขาห้าแผ่น เมื่อมองดูแล้ว เขาก็ต้องตกตะลึง
ตัวอักษรอะไรกัน !
เขาหันหลังกลับมาและนึกในใจว่า เสียดายกระดาษนั้นจริงเชียว
ทุกคนทำได้เพียงรอเขาเขียนเสร็จ บรรดาเสนาบดีที่อายุมากช่างน่าเห็นใจนัก พวกเขายืนกันมากว่าครึ่งวันแล้ว ปวดเอวเสียจริง !
ผ่านไปอีกหนึ่งเล่มธูป ในที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็เขียนเสร็จ
เขาถอนหายใจยาวออกมา และรู้สึกชื่นชมในคำตอบของตนนัก เนื่องจากเป็นความถนัดของเขาในชาติที่แล้ว เขาจึงเขียนได้อย่างราบรื่นและมีความสุข
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนวางพู่กันลงและมองไปรอบ ๆ จึงพบว่ามีเพียงเขาคนเดียวที่ยังมิได้ส่งคำตอบ โชคดีเสียจริงที่การสอบนี้ไม่มีกำหนดเวลา
ขันทีเจี่ยเดินตรงมาเก็บข้อสอบ และนำไปถวายแด่องค์ฮ่องเต้
องค์ฮ่องเต้ทรงนำคำตอบขึ้นมาพิจารณาทีละบท กระทั่งถึงคำตอบของฟู่เสี่ยวกวน จึงทรงขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
ขันทีเจี่ยมองดูเวลาและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอันเบาว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ถึงเวลาเสวยพระกระยาหารแล้ว”
องค์จักรฮ่องเต้ทรงวางกระดาษในมือลง ครุ่นคิดชั่วครู่จึงกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายจงกลับไปเถิด ผลการตัดสินจะถูกประกาศขึ้น ณ หอหลานถิงในวันรุ่งขึ้น เยี่ยนซีเป่ย เยี่ยนซือเต้า เฟ่ยปัง ต่งคังผิง หนิงฝาชุน เจ้าทั้งหลายจงมาพบข้าในยามบ่ายเพื่อหารือ”
ทุกคนจึงได้กราบบังคมลา และขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะเดินออกไปนั้น ฝ่าบาททรงมีรับสั่งขึ้นว่า “ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ก่อน”
ตอนที่ 108 ให้เจ้ากระอักเลือดตาย
ผู้ที่กล่าวออกมานั้นคือเสนาบดีกรมพิธีการชือเฉาหยวน สีหน้าเขาบัดนี้บึ้งตึงและน้ำเสียงเข้มขรึม
ฟูเสี่ยวกวนหันไปมองเขาแล้วตอบกลับไปว่า “ข้ามิใช่จิ้นซื่อ”
“เจ้า…! ที่แห่งนี้คือพระราชวังหลวง แม้เจ้าจะมิใช่จิ้นซื่อ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่าบาทก็ต้องคุกเข่า ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนนำมือลูบจมูกและมองไปยังชือเฉาหยวน เขายิ้มและเอ่ยว่า “ข้ามิทราบว่าท่านเป็นใคร แต่ข้าก็รู้ดีว่าฝ่าบาททรงประทับนั่งด้านบน อีกทั้งขันทีผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตาเมื่อครู่ก็กล่าวอย่างชัดเจนว่าให้จิ้นซื่อทั้งสิบเข้าพบฝ่าบาท เดิมทีข้าก็มิใช่จิ้นซื่อ หรือข้าควรปลอมเป็นจิ้นซื่อด้วย ? เช่นนั้นข้าจะไม่กระทำผิดเนื่องจากหลอกลวงฝ่าบาทหรือ ? ”
ชือเฉาหยวนกำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็เอ่ยตัดหน้าว่า “ท่านและข้ามิเคยมีสิ่งใดบาดหมางกันมาก่อน วันนี้ข้าเพิ่งเดินทางเข้าสู่พระราชวังหลวงเพื่อเข้าเฝ้าเป็นคราแรก เหตุใดท่านจึงทำเช่นนี้กับข้ากัน ? ท่านลุง การมีความเมตตาต่อผู้อื่นมักได้รับผลตอบแทนเป็นทวีคูณ หากฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าคุกเข่าลง แน่นอนว่าข้าจะคุกเข่าในทันที แต่ฝ่าบาทเองยังมิทรงได้รับสั่ง ! ”
ชือเฉาหยวนคาดมิถึงว่าชายหนุ่มจากหลินเจียงผู้นี้จะกล้าต่อปากต่อคำกับเขาต่อหน้าฝ่าบาทและเสนาบดีทั้งหลาย เขาเป็นถึงเสนบดีกรมพิธีการเชียว หากต้องเสียหน้าเพราะเหตุนี้ ผู้คนคงจะนำไปนินทาลับหลังให้สนุกปาก !
“เจ้าช่างปากคอเราะร้ายยิ่งนัก อย่างไรเสียข้าก็เป็นถึงเสนบดีกรมพิธีการ เจ้าย่างกรายเข้ามาในพระราชวังหลวงแต่กลับไม่รู้จักข้อควรปฏิบัติเบื้องต้น เมื่อพบฝ่าบาทควรคุกเข่าคารวะ ข้านั้นเห็นว่าเจ้าไม่รู้กฎเหล่านี้จึงได้เอ่ยเตือน แต่เจ้ากลับต่อปากต่อคำกับข้า และมิเห็นผู้ใดในสายตา เสียเวลาที่ร่ำเรียนโดยเปล่าประโยชน์ ทหาร ! จับตัวมันไปโบย 50 ที !”
ฟู่เสี่ยวกวนโมโหยิ่งนัก เขาหันหลังกลับไปเผชิญหน้ากับชือเฉาหยวนและกล่าวว่า
“ช้าก่อน ! ในเมื่อท่านมีตำแหน่งเป็นถึงเสนาบดีกรมพิธีการ เช่นนั้นคงจะเข้าใจในความหมายของมารยาทดี ข้าขอถามท่านว่า หากไม่เรียนรู้จริยะก็ไม่อาจสามารถยืนหยัดตนได้ ประโยคนี้อยู่ในหนังสือเล่มใด ? ”
“คัมภีร์หลุนอวี่ จี้ซื่อ บทที่ 16 ”
“ข้าขอถามท่านอีกหน่อย การเคารพในจริยะจักทำให้แคว้นชาติรุ่งเรือง ชุมชนมั่นคง ส่งผลดีต่อลูกหลาน ประโยคนี้อยู่ในหนังสือเล่มใด ? ”
“คัมภีร์จั่วจ้วน บทที่ 11 ”
“ยอดเยี่ยมนัก เห็นได้ชัดว่าท่านเป็นผู้มีความรู้ เช่นนั้นข้าขอถามท่านเป็นเรื่องสุดท้าย ในเมื่อท่านเข้าใจเรื่องจริยะเป็นอย่างดี แต่เหตุใดท่านจึงไม่รักษาจริยะ ? ”
ชือเฉาหยวนขมวดคิ้วและครุ่นคิด “ข้าไม่รักษาจริยะข้อใดกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินหน้าขึ้นไปหนึ่งก้าว “ที่นี่คือท้องพระโรงแห่งราชวังหลวง ฝ่าบาทประทับอยู่ ณ ที่นี่ แต่ฝ่าบาทยังมิได้รับสั่งคำใด เป็นท่านเองที่รีบร้อนเอ่ยปากต่อว่าข้า ท่านมิเห็นฝ่าบาทในสายตาอย่างนั้นหรือ ? ในเมื่อท่านมิเห็นฝ่าบาทในสายตา ท่านจะมีจริยะได้อย่างไร ! ”
“เจ้า……เจ้าพูดจาส่งเดช ! ” ชือเฉาหยวนชี้หน้าฟู่เสี่ยวกวนด้วยความโมโห
“ท่านว่าข้าพูดจาส่งเดชงั้นหรือ ? ท่านขันทีผู้เมตตากล่าวแล้วว่าให้จิ้นซื่อทั้งสิบถวายความเคารพต่อฝ่าบาท และข้าขอเอ่ยอีกครั้งว่าข้านั้นมิใช่จิ้นซื่อ ! แต่ท่านกลับกล่าวหาว่าข้าไม่เคารพฝ่าบาท ! ข้าพูดจาส่งเดชหรือท่านกำลังปกปิดสิ่งใดอยู่กันแน่ ? ”
“เจ้าคนบ้านนอกคอกนา ในพระราชวังหลวงมีกฎว่าหากพบฝ่าบาทต้องถวายความเคารพ มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับพวกเขาทั้งสิบคน ! ”
ข้าราชการอีกนับร้อยคนคิดว่าตนกำลังฝันไป
นี่มันอะไรกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้กล้าดีอย่างไรจึงทำตัวเป็นปรปักษ์กับท่านเสนาบดีกรมพิธีการเช่นนี้ ?
อีกทั้งดูจากสถานการณ์แล้วชือเฉาหยวนจะไม่ได้เปรียบเท่าใดนัก ชายหนุ่มผู้นี้หยิบยกคำพูดที่ว่าให้จิ้นซื่อคารวะฝ่าบาทมาถกเถียง จริงอยู่ที่เขามิใช่จิ้นซื่อ แต่ไม่ว่าผู้ใดที่เข้ามายังท้องพระโรงแห่งนี้ก็ควรคารวะฝ่าบาทมิใช่หรือ ? ดังนั้นท่านเสนาบดีกรมพิธีการเองก็ไม่ผิด
แท้จริงแล้วผู้ใดถูกผู้ใดผิดกัน ?
บางคนได้แอบเงยหน้าขึ้นมองฝ่าบาท และพบว่าฝ่าบาทกำลังมองดูด้วยความสนพระทัย คล้ายกับทอดพระเนตรดูละครอย่างไรอย่างนั้น
บรรดาจิ้นซื่ออีกสิบคนที่คุกเข่าอยู่ได้แต่นึกบ่นอยู่ในใจ
พวกเขาเสียเวลารอฟู่เสี่ยวกวนอยู่กว่าชั่วยาม ไม่ง่ายเลยที่จะเดินทางเข้ามายังพระราชวังหลวงและเข้าเฝ้าฝ่าบาท พวกเขากำลังตั้งตารอชิงสามอันดับแรกจากฝ่าบาทอยู่ แต่ฟูเสี่ยวกวนกลับมีปากเสียงกันกับเสนาบดีกรมพิธีการเสียก่อน แล้วเช่นนี้พวกเขาจะได้สอบคัดเลือกเมื่อใดกัน ช่วยหยุดทะเลาะกันสักครู่ก่อนได้หรือไม่ ?
ชืออีหมิงสีหน้าคร่ำเครียด เนื่องจากผู้ที่ฟู่เสี่ยวกวนหาเรื่องด้วยนั้นคือท่านลุงของเขาเอง !
รอให้เหตุการณ์นี้ผ่านไปเสียก่อน หากข้ามิหักขาเจ้าด้วยตนเอง ข้าก็จักมิใช้แซ่ชืออีกต่อไป !
ชาวบ้านนอกก็คือชาวบ้านนอกอยู่วันยังค่ำ กล้าขัดใจแม้กระทั่งตระกูลชือ หนึ่งในหกตระกูลผู้ยิ่งใหญ่ !
ในขณะที่ผู้คนล้วนพากันคิดไปต่าง ๆ นานา ฟู่เสี่ยวกวนได้เดินหน้าขึ้นไปหนึ่งก้าว บัดนี้เขาและชือเฉาหยวนอยู่ห่างจากกันเพียงสองศอกเท่านั้น
“หากไม่เรียนรู้จริยะก็ไม่อาจสามารถยืนหยัดตนได้ ประโยคนี้ท่านอาจรู้ความหมายภายนอก แต่มิเข้าใจถึงภายใน เช่นนั้นข้าจะอธิบายให้ท่านฟัง ! จริยะคือสิ่งใด ? สวินจื่อกล่าวว่าผู้ใดไร้จริยะก็มิควรมีชีวิต การกระทำใดไร้จริยะจะมิสำเร็จ แคว้นใดไร้ซึ่งจริยะจะไร้ความสงบสุข เช่นนั้นหากไร้จริยะจะมิเพียงแต่ไม่สามารถยืนหยัดตนได้ แต่จะส่งผลให้แคว้นไร้ซึ่งความสงบสุขด้วย เช่นในท้องพระโรงแห่งนี้ ฝ่าบาทคือผู้ที่อยู่สูงสุด แต่ฝ่าบาทยังมิได้ตรัสสิ่งใดออกมา ท่านกลับได้เอ่ยแทรกขึ้นก่อน การกระทำนี้เรียกว่าไร้จริยะและผิดต่อกฎบัญญัติ มิเห็นฝ่าบาทในสายตา ! หากทุกท่านในที่นี้เป็นเฉกเช่นท่าน จริยะนี้จะไร้ค่าเพียงใด ? แคว้นนี้จะดำรงอยู่อย่างไร ? ท่านเองก็มีตำแหน่งเป็นถึงเสนาบดีกรมพิธีการ ยิ่งควรรู้ว่าสิ่งใดควรมิควรกว่าผู้ใด ! แต่การกระทำของท่านนั้น มีจริยะอยู่บ้างหรือไม่ ? ท่านต้องการทำให้ที่แห่งนี้ยุ่งเหยิงอย่างงั้นหรือ ? ต้องการให้ผู้คนสาปแช่งอย่างนั้นหรือ ? ”
“เจ้า…… !”
“เจ้าอะไรงั้นหรือ ! ” ฟู่เสี่ยวกวนเดินหน้าขึ้นไปอีกก้าวหนึ่ง “ท่านช่างมีจิตใจโอ้อวดยิ่ง ท่านให้เกียรติฝ่าบาทบ้างหรือไม่ ? ท่านจะกล่าวตนเป็นผู้รับใช้ที่ดีได้อย่างไร ? ข้าจะกล่าวให้ท่านฟังว่า ฝ่าบาทอยู่เหนือสิ่งอื่นใด หากพระองค์ยังมิทรงตรัสวาจา ท่านก็มิมีสิทธิ์เอ่ยปาก ! เช่นเดียวกับพ่อที่ยังไม่ได้เอ่ยคำใด ผู้เป็นบุตรก็มิควรเอ่ยอย่างมิหยุดหย่อน หากข้าเป็นพ่อของท่าน ข้าคงจะตบปากท่านไปนานแล้ว ช่างไม่รู้ความอันใดเลย ! ”
“พรวด……!”
ชือเฉาหยวนกระอักออกมาเป็นเลือดแดงสด ฟู่เสี่ยวกวนเอี้ยวตัวหลบทัน ชือเฉาหยวนชี้นิ้วไปทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยมือที่สั่นเทา และหงายหลังเป็นลมล้มพับไป
ไม่เห็นเหมือนในละครสักหน่อย เขาเพียงแค่กระอักเลือดพุ่งเท่านั้น
ฟู่เสี่ยวกวนยักคิ้วเบ้ปากและเดินหันหลังกลับไป
“กระหม่อม ฟู่เสี่ยวกวน คารวะฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ! ”
เมื่อเขาคุกเข่าลงไป ผู้คนทั้งหลายก็ตื่นจากภวังค์
ฝ่าบาทเอ่ยกับขันทีผู้อยู่ด้านข้างว่า “จงเรียกหมอหลวงมาเถอะ”
สวี่หวยซู่หนึ่งในขุนนางกรมพิธีการผู้ยืนอยู่ด้านหลังมองดูฟู่เสี่ยวกวนตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ เขามีแต่จะเพิ่มความกังวลใจมากขึ้น สีหน้าเปลี่ยนไปกลายเป็นหม่นหมอง
ชายหนุ่มผู้นี้ช่างนิสัยไม่ต่างจากมารดาของเขาเสียจริง มิยอมให้ผู้ใดเอาเปรียบ แต่อาจทำให้ผู้อื่นเสียเปรียบได้ง่ายเชียว !
เขาถอนหายใจยาว และหวังว่าหยุนชิงที่อยู่บนสวรรค์จะช่วยปกป้องเขาด้วย
ฝ่าบาททรงมองดูฟู่เสี่ยวกวนและนึกชื่นชมเขายิ่งนัก ชายหนุ่มผู้นี้ช่างเอ่ยความในใจของเขาออกมาได้ดีเสียจริง !
แต่เดิมในท้องพระโรงนี้ พวกเขาเหล่านั้นแทบมิให้ข้าได้เอ่ยคำใด ข้าทำได้เพียงนั่งรับฟัง หากข้าแข็งข้อเพียงเล็กน้อย พวกเขาจะกล่าวว่าข้าไม่คำนึงถึงผู้อื่น และมีหลายคนขู่จะลาออกหรือแม้กระทั่งวิ่งชนกำแพง !
วันนี้ช่างสะใจเสียจริง !
ข้าคือเจ้าฟ้าของแผ่นดิน หากข้ามิเอ่ยคำใด ผู้ใดจะมีสิทธิ์กล่าวออกมาได้งั้นหรือ ?
ชายหนุ่มผู้นี้หากต่อปากต่อคำไปเรื่อย ๆ และให้พวกเขากระอักเลือดไปเสียให้หมดก็คงดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเยี่ยนเป่ยซีผู้นี้ หากทำให้เขากระอักเลือดตายได้……อ้อ เจ้านี่ยังตายไม่ได้ เห้อ เอาล่ะเรื่องนี้พอเท่านี้ก่อน
“ขอบพระทัยฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“การสอบคัดเลือกในรอบนี้ ขอเชิญจิ้นซื่อทั้งสิบเข้าประจำที่นั่ง……ฟู่เสี่ยวกวน เจ้าเองก็เช่นกัน”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง การคัดเลือกนี้มีแต่จิ้นซื่อเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ ฝ่าบาททรงหมายความว่าอย่างไรกัน ?
แต่ฝ่าบาททรงตรัสแล้ว หากเขาไม่ทำตามอาจถูกลงโทษได้ ดังนั้นจึงได้แต่เดินตามไปนั่งยังโต๊ะสุดท้าย
บนโต๊ะมีกระดาษ พู่กัน หมึกและที่ฝนหมึก ฝ่าบาททรงลุกขึ้นและตรัสว่า “สอบคัดเลือกในพระราชวังหลวงครั้งนี้ ข้าจะออกข้อสอบเพียงข้อเดียว พวกเจ้าทั้งสิบเอ็ดคนจงฟังให้ดี หัวข้อสงครามคือสิ่งใด !”
ตอนที่ 107 การเข้าเฝ้าที่อึดอัด
นี่คือบทกวีที่ฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์ขึ้นมาเพื่อตอบรับคำเชิญของชางกวนเหวินซิ่ว !
กล่าวได้ว่า เขาเขียนบทกวีนี้ขึ้น โดยใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจในการครุ่นคิดเท่านั้น !
ทั้งยังประพันธ์บทกวีนี้ออกมาได้อย่างละเอียดอ่อน นั่นทำให้ผู้คนที่มองดูตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นขุนนางจากกั๋วจื่อเจี้ยนหรือผู้ฝึกสอนแห่งสำนักศึกษาจี้เซี่ย รวมไปถึงชืออีหมิง ฟางเหวินซิงและจิ้นซื่อคนอื่น ๆ หรือแม้แต่ขันทีหลายคน ในยามนี้ต่างก็ตกตะลึง
บางทีพวกเขาอาจจะยังมิเข้าใจบทกวีที่มีเอกลักษณ์นี้ แต่ก็เข้าใจใจความสำคัญที่ชางกวนเหวินซิ่วต้องการคำนับฟู่เสี่ยวกวน !
กั๋วจื่อเจี้ยนจี้จิ่วขุนนางระดับสูงชางกวนเหวินซิ่ว เป็นนักปราชญ์แห่งยุค สูงส่งและมีความสามารถ กลับคำนับให้กับเด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงสิบหก
นั่นหมายความว่าชายหนุ่มผู้นี้มีความสามารถ ระดับสูงจนถึงขั้นที่ทำให้ชางกวนเหวินซิ่วชื่นชมเป็นอย่างมาก
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกไม่สบายใจ เขาถูจมูกไปมาและกล่าวขำ ๆ “ข้ามีอาการบาดเจ็บทางสมอง เมื่อครู่ก็เพียงเกิดวาบขึ้นมาในหัวจึงประพันธ์บทกวีนี้ออกมาได้ หากพวกท่านจะให้ข้าเขียนอีกในตอนนี้ ข้าก็เขียนมิได้แล้ว ดังนั้น… ความจริงแล้วข้านั้นธรรมดาอย่างยิ่ง พวกท่านอย่าได้มองข้าเยี่ยงนั้นเลย”
ธรรมดามารดาเจ้าสิ !
ฟางเหวินซิงลอบด่ากับตนเอง ความสามารถทางวรรณกรรมของฟู่เสี่ยวกวนมีความรู้ที่สัมผัสได้โดยตรง
ในบรรดาชายหนุ่มทั้งสิบ มีเพียงฉินหายหยู่เท่านั้นที่ยังสงบนิ่ง เขาเคยได้ยินจากท่านปู่กล่าวถึงฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ ทั้งยังในยามที่ไปพบปะกับฉินรั่วเสวียและฉินเฉิงเย่ ก็ยังได้ยินพวกเขากล่าวถึงคนผู้นี้ด้วยเช่นกัน
แต่ที่ฉินรั่วเสวียและฉินเฉิงเย่กล่าวถึงนั้นมิใช่เรื่องความสามารถทางวรรณกรรมของเขา แต่เป็นสิ่งของมหัศจรรย์ที่เขาสร้างขึ้นที่ซีซาน โดยเฉพาะฉินเฉิงเย่ ที่ประกาศกร้าวว่าจะออกจากสำนักศึกษา และไปทำสิ่งเหล่านั้นที่ซีซาน
จากสายตาของฉินหายหยู่ก็เป็นเพียงหลงระเริงไปกับทักษะที่แปลกตาเท่านั้น มิได้มีความสลักสำคัญแต่อย่างใด แต่เหมือนว่าฉินเฉิงเย่จะปักใจไปเสียแล้ว และมิทราบว่าเขาและท่านปู่ใหญ่ได้ตกลงกันแล้วหรือไม่
ในยามนี้ที่ได้มาเห็นฟู่เสี่ยวกวนจับพู่กันและประพันธ์ด้วยตาของตนเอง เขาถึงได้เกิดความนับถือคนผู้นี้ขึ้นมาอย่างแท้จริง ในใจครุ่นคิดว่าหากฟู่เสี่ยวกวนไปเข้าร่วมการทดสอบ เขาย่อมติดหนึ่งในสิบอันดับแรกแน่นอน
ในยามที่ทุกคนต่างตกอยู่ในความคิด เรือหลวงก็ได้เทียบท่า กลุ่มคนทั้งหมดได้ขึ้นรถม้าที่ได้จัดเตรียมไว้ให้เป็นที่เรียบร้อย จึงได้ออกเดินทางไปยังพระราชวัง
……
…..
ท้องพระโรงเฉิงเทียน ช่วงเช้าตรู่ได้จบลงไปแล้ว ยามนี้องค์ฮ่องเต้กำลังเอนหลังพิงเก้าอี้มังกรอย่างเกียจคร้าน ในพระหัตถ์ยังคงถือนโยบายบรรเทาสาธารณภัยฉบับนั้นและกำลังอ่านอย่างถี่ถ้วน
“ที่หอหลานถิง… เกิดเหตุอันใดขึ้น?” องค์ฮ่องเต้เอ่ยถามเสียงเรียบ
ขันทีเจี่ยโค้งกายและตอบกลับ “เมื่อครู่เพิ่งทราบข่าวมา ว่ากำลังตามหาฟู่เสี่ยวกวน”
ในท้องพระโรงต่างมีเสนาบดียืนอยู่มากมาย ต่งคังผิง เสนาบดีต่งเองก็อยู่ที่นี่ เมื่อนามนั้นลอยมาเข้าหูเขา เขาก็สะดุ้งเล็กน้อยโดยมิรู้ว่าเพราะเหตุใด
และขุนนางคนอื่นก็ตกตะลึงเช่นกันหลังจากที่ได้ยินนามของฟู่เสี่ยวกวน พวกเขามิทราบว่าองค์ฮ่องเต้ก็ได้เรียกฟู่เสี่ยวกวนเข้าเฝ้าเช่นกัน ดังนั้นจึงรวมหัวกันกระซิบกระซาบ พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ข้องใจ ท้ายที่สุดความสามารถทางด้านวรรณกรรมที่เกริกก้อง ก็ทำให้แม้แต่องค์ฮ่องเต้ยังอยากพบหน้า
นามนี้ได้ดังก้องไปทั่วเมืองหลวงมาเนิ่นนาน ถึงขั้นที่บางตระกูลได้ยกฟู่เสี่ยวกวนมาเป็นแบบอย่างในการอบรมบุตรชาย
“เจ้าคนชั่ว ! ดูเจ้าฟู่เสี่ยวกวนสิ เกิดในตระกูลเศรษฐีที่ดิน แต่กลับประพันธ์หนังสืออย่างความฝันในหอแดงออกมาได้ ทั้งยังได้สลักนามไว้บนหินเชียนเปยสือตั้งแต่อายุยังน้อย เจ้าเล่า เจ้ากลับหาแต่ความสำราญยามค่ำคืนอย่างบ้าคลั่ง!…”
“สิ่งที่เจ้าเขียนนี่เรียกว่าบทกวีรึ ? ไปคัดทำนองเพลงสายน้ำบนหินเชียนเปยสือทั้งหมดหนึ่งพันรอบ !”
แน่นอน ว่าการอบรมเหล่านั้นมิได้ก่อให้เกิดผลกระทบใดใด แต่กลับทำให้เหล่าผู้อาวุโสในเมืองหลวงจดจำนามฟู่เสี่ยวกวนนี้ได้— ชายผู้นั้นกล้ามายังเมืองหลวง ขุนนางทั้งหลายย่อมมีความคิดที่จะตีขาเจ้าสุนัขนี่ให้หัก!
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยามท่ามกลางเสียงกระซิบของเหล่าเสนาบดี องค์ฮ่องเต้วางนโยบายในมือฉบับนั้นลง และเอ่ยถามด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย “เจ้าเด็กนั่น… ยังหาตัวมิเจอรึ ? ”
ขันทีเจี่ยรีบโค้งกายลงมาและกล่าวว่า “คุณชายฟู่มิได้เข้าร่วมชิวเหวย และคิดว่ามิน่าจะไปหลานถิงจี๋ หากจะต้องรอจนหาเขาเจอเกรงว่าจะต้องเสียเวลาไปอีกเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ… หากฝ่าบาทมิอยากรั้งรอแล้ว มิฉะนั้นก็เรียกจิ้นซื่อทั้งสิบมาเข้าเฝ้าในท้องพระโรงและเริ่มการทดสอบก่อนดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
องค์ฮ่องเต้หยูยิ่นคิ้วขมวดอย่างครุ่นคิด “เยี่ยงนั้นก็รอไปก่อน”
เหล่าเสนาบดีบนในท้องพระโรงเฉิงเทียนต่างก็เป็นจิ้งจอกเฒ่า เมื่อได้ยินองค์ฮ่องเต้ตรัสเยี่ยงนี้ ก็เข้าใจความหมายในทันที
ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้สำคัญยิ่ง !
เพื่อรอเขาแล้วองค์ฮ่องเต้ถึงขั้นมิยินยอมที่จะเริ่มการทดสอบ การทดสอบของวังหลวงเป็นการทดสอบครั้งสุดท้ายที่สำคัญที่สุด นั่นคือการคัดเลือกจอหงวน ปั๋งเหยี่ยนและทั่นฮวา
คาดว่าขุนนางมากมายของราชสำนักคงไร้หนทางที่จะจำจิ้นซื่อทั้งสามร้อยคนได้ แต่จอหงวน ปั๋งเหยี่ยนและทั่นฮวาของทุก ๆ ปีนั้นจะเป็นที่จดจำ
เพราะทั้งสามคนจะเป็นตัวแทนของคะแนนสอบที่สูงที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทั้งยังเป็นบุคคลมีพรสวรรค์ที่กลุ่มผู้มีอำนาจจะต้องทุ่มอย่างเต็มกำลังเพื่อดึงมาเป็นพวก
องค์ฮ่องเต้ในยามนี้เองก็เบื่อหน่าย ดังนั้นเขาจึงมองกลุ่มขุนนางเบื้องล่างที่กำลังกระซิบกระซาบกัน รู้สึกว่าค่อนข้างน่าสนใจทีเดียว
เหล่าขุนนางบ้างก็พยักหน้า บ้างก็ยิ้มน้อย ๆ บ้างก็เลิกคิ้วขึ้น บ้างก็คิ้วขมวดนิ่วหน้า
สายตาที่สื่อสารถึงกันนั้นราวกับมีความหมายที่ลึกซึ้ง เต็มไปด้วยความใจเย็น กล่าวเสียงแผ่วเบาอยู่สองสามประโยค ก็หลับตาก้มหน้าหลบและมิกล่าวอันใดอีก
เหล่านี้คือขุนนางของข้า !
บางทีคนที่คึกคักและโอ้อวดมากที่สุดในใจอาจจะวางแผนสังหารฟู่เสี่ยวกวนแล้วก็เป็นได้ บางทีในสายตาที่สื่อสารกันนั้น พวกเขาอาจจะมีวิธีที่จะใช้กำจัดฟู่เสี่ยวกวนแล้ว บางทีชั่วพริบตาที่ก้มหน้า จวนฟู่ก็จะถูกลบไปในทันที
ข้าอยากจะเห็นนัก ใครหน้าไหนจะกล้าโดดออกมาสังหารฟู่เสี่ยวกวน !
เป็นเจ้าหรือ ? เป็นเจ้าหรือ ? หรือว่าเป็นเจ้ากัน ?
องค์ฮ่องเต้มองผ่านไปทีละคน และลอบหัวเราะอยู่ในใจ เขาเองก็มิทราบ ภัยอันตรายนี้ต้องถูกกำจัดไปโดยเร็ว เพราะฟู่เสี่ยวกวนจะตายมิได้ นั่นคือสิ่งที่เขารับปากไว้กับองค์หญิงเก้า หากพวกเจ้าทั้งหลายกล้าทำให้ฟู่เสี่ยวกวนถึงแก่ความตาย…ข้าจักหั่นพวกเจ้าให้เป็นชิ้น ๆ
ยามที่นึกถึงเรื่องนี้พระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้ก็บูดบึ้งเล็กน้อย เหล่าขุนนางที่เฝ้าสังเกตเมื่อได้เห็นดังนั้น ในใจก็ครุ่นคิดว่าที่ฝ่าบาทเริ่มขุ่นเคืองย่อมเป็นเพราะเวลาล่วงเลยมานานแล้วแต่ฟู่เสี่ยวกวนยังมิถึง ประเดี๋ยวชายผู้นั้นมาถึง พระพักตร์ก็คงจะเปลี่ยนไป !
เพียงไม่นาน ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากด้านนอกท้องพระโรงเฉิงเทียน “ผู้สอบจิ้นซื่อทั้งสิบลำดับรวมไปถึงฟู่เสี่ยวกวนจากหลินเจียง มีรับสั่งให้เข้าเฝ้า ! ”
หลังจากนั้นภายใต้การนำทางของขันทีชุดแดงผู้ประกาศราชโองการ จิ้นซื่อทั้งสิบคนและฟู่เสี่ยวกวน และชางกวนเหวินซิ่วก็เดินเข้าไปในพระวิหารใหญ่เฟิ่งเทียน
ระหว่างทาง ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะได้รู้สึกตัวถึงความโอ่อ่าตระการตาของวังหลวงโบราณ โดยเฉพาะพระวิหารเฟิ่งเทียนแห่งนี้
มิมีเวลาให้ใคร่ครวญ เขาเดินตามหลังจิ้นซื่อทั้งสิบไป และยืนอยู่บนพระวิหารเฟิ่งเทียน
โอ้ นั่นคือองค์ฮ่องเต้ !
องค์ฮ่องเต้หยูยิ่นก็มิเคยพบพานกับฟู่เสี่ยวกวนมาก่อน แต่เพียงกวาดมอง เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าชายหนุ่มผู้นั้นย่อมเป็นฟู่เสี่ยวกวน !
เพราะในกลุ่มนั้นมีฟู่เสี่ยวกวนเพียงคนเดียวที่เชิดหน้าขึ้นและสบสายตาเขา ทั้งยังผุดรอยยิ้มสดใสขึ้นมาบนใบหน้า
องค์ฮ่องเต้มีความสุข ขันทีเจี่ยที่อยู่ข้างกายก็ตะโกนขึ้นมา “จิ้นซื่อทั้งสิบเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้”
ดังนั้นจิ้นซื่อทั้งสิบคนจึงคุกเข่าลงไป และตะโกนเสียงเซ็งแซ่ว่าทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่น ๆ ปี
มีเพียงฟู่เสี่ยวกวนที่ยืนอยู่แถวหน้า ราวกับต้นไผ่ที่ตั้งตระหง่าน แปลกประหลาดจนสะดุดตา จนทำให้ชางกวนเหวินซิ่วตื่นตกใจ จึงได้คิดขึ้นมาได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนน่าจะมิรู้พิธีรีตอง ณ ที่นี่
“เจ้าเป็นใครกัน ? อยู่ต่อหน้าพระพักตร์แล้วเหตุใดจึงมิคุกเข่าลงไป”
มีน้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นมาท่ามกลางขุนนางนับร้อยนาย !
ตอนที่ 106 สายลมโบกพัดบนทะเลสาบ
ไม่มีใครคาดคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะไปยังหอซื่อฟาง !
กระทั่งมือปราบทั้งเขตเหนือและเขตใต้ออกป่าวประกาศเรียกชื่อฟู่เสี่ยวกวนผ่านมาทางหอซื่อฟาง หลงจู๊ของหอซื่อฟางจึงได้รีบวิ่งขึ้นไปรายงานแก่ฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนก็ตกใจเช่นกัน เขามิรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นจึงได้พากันลงไปดู และพบต้นเสียงของมือปราบผู้ตีฆ้องร้องป่าว
“ท่านคือฟู่เสี่ยวกวนงั้นหรือ ? ” มือปราบผู้นั้นมองดูฟู่เสี่ยวกวนจากหัวจรดเท้า อืม ฟู่เสี่ยวกวนผู้มากความสามารถนี้ รูปร่างหน้าตาดีเสียจริง
“ข้าคือฟู่เสี่ยวกวน มีธุระอันใดกัน ? ”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า ? พวกเรามือปราบกว่าสองพันคนออกตามตัวท่านเสียให้วุ่น ขอเชิญท่านกลับไปกับพวกเราเถิด ไปจวนฟู่หยิ่นเพื่อพบท่านฉินโม่เหวิน !”
เมื่อพบว่าฟู่เสี่ยวกวนถูกบรรดามือปราบพาตัวไปยังจวนผู้ว่า หยูเวิ่นหวินจึงเกิดความงุนงงในทันที หรือเรื่องที่เขาแอบพบกับต่งชูหลานนั้นถูกท่านเสนาบดีต่งฟ้องร้องกัน ?
ดังนั้นนางจึงได้ตามออกไปด้วย
ซูม่อและชุนซิ่วออกติดตามไปด้วย ชุนซิ่วเป็นกังวลใจยิ่งนัก ส่วนซูม่อวางแผนไว้ว่าหากคุณชายได้กระทำการผิดและถูกจำคุก เขาคงต้องแหกคุกเท่านั้น
ในเมืองหลวงมีผู้เก่งกาจมากมายเหลือเกิน แต่หากองค์หญิงเก้าทรงให้ความช่วยเหลือและเรียกตัวหงจวงมา และหากป่ากระบี่ทั้งเจ็ดมากันครบ อีกทั้งสามารถเชิญศิษย์พี่ใหญ่มาได้ คาดว่าการแหกคุกคงทำได้ไม่ยาก
พวกเขาพากันจินตนาการไปต่าง ๆ นานา กระทั่งมาถึงจวนผู้ว่า
ฉินโม่เหวินและต่งซิวจิ่นเดินออกมา เมื่อต่งซิวเต๋อพบว่าพี่ใหญ่อยู่ที่นี่ เขาก็เริ่มประหม่าทันที หยูเว่นหวินก็เช่นกัน คาดว่าต่งซิวจิ่นเป็นผู้ฟ้องร้องไม่ผิดแน่ !
เขาผู้นี้น่ารำคาญนัก ท่านเสนาบดีต่งก็เช่นกัน !
จะต้องหาวิธีสั่งสอนพวกเขาเสียหน่อยแล้ว
“เจ้าคือฟู่เสี่ยวกวนงั้นหรือ ? ” ฉินโม่เหวินคาดไม่ถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะอายุน้อยเพียงนี้ เขาสามารถประพันธ์บทกวีได้งดงาม อีกทั้งยังถูกจารึกชื่อไว้บนหินเชียนเปยสือบรรทัดที่หนึ่งอีกด้วย มองดูแล้วท่านลุงมีความสามารถในการมองคนจริง ๆ
“ข้าคือฟู่เสี่ยวกวน ! ”
“กล่าวให้เขาฟังเถิด” ฉินโม่เหวินโบกมือและเอ่ยกับต่งซิวจิ่น
“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้ท่านเข้าพบ จงรีบไปรวมตัว ณ หลานถิงจี๋บัดนี้”
“เรื่องแค่นี้หรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
ให้ตายเถอะ ยังมีเรื่องใดสำคัญกว่าที่ฝ่าบาทรับสั่งให้เข้าเฝ้าอีกงั้นหรือ ?
“พวกเราตามหาเจ้ามากว่าหนึ่งชั่วยามจึงเสียเวลาไปไม่น้อย อีกประเดี๋ยวตอนเข้าเฝ้าฝ่าบาท คาดว่าคงกริ้วเป็นแน่ เจ้าจงเตรียมใจไว้ให้ดี”
“เข้าใจแล้ว ข้าจะไปบัดเดี๋ยวนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวินและคนอื่น ๆ นั่งรถม้ากลับไปยังหลานถิงจี๋
เมื่อหยูเวิ่นหวินครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก็ได้มุ่งหน้าไปยังพระราชวังหลวง
ฉินโม่เหวินมองดูรถม้าที่จากไปและเอ่ยขึ้นมาว่า “นางคือองค์หญิงเก้าใช่หรือไม่ ? ”
ต่งซิวจิ่นพยักหน้า
“ข้าได้ยินมาว่า…ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ชอบพอกับน้องสาวของเจ้า ต่งชูหลาน แต่ท่านพ่อของเจ้าขัดขวางมิเห็นด้วย อีกทั้งได้ยินมาว่าท่านเยี่ยนซือเต้ากำลังเตรียมตัวไปสู่ขอนางอย่างงั้นหรือ ? ”
“นี่คือความปรารถนาของท่านพ่อและท่านเยี่ยนซือเต้า”
“เจ้าควรจับตามองให้ดี เหตุใดองค์หญิงเก้าจึงได้มาอยู่กับฟู่เสี่ยวกวนกัน ? ” เมื่อกล่าวจบฉินโม่เหวินก็เดินกลับเข้าไปในจวนผู้ว่า และเอ่ยประโยคทิ้งท้ายว่า “น้องสาวคนเล็กของข้ายังรอตระกูลต่งของเจ้ามาสู่ขออยู่นะ”
……
……
ณ หอหลานถิง ผู้มีคะแนนสูงสุดสิบคนและคนอื่น ๆ ร้อนรนใจราวกับถูกน้ำร้อนลวก
บัดนี้ห่างจากเวลาที่องค์จักรพรรดิกำหนดไว้เพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น แต่กลับยังหาตัวฟู่เสี่ยวกวนไม่พบ !
“หรือเขาจะไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงกัน ? ” เซวียตงหลินเอ่ยขึ้น
“มิน่าใช่ เมื่อไม่กี่วันก่อนข้ายังได้ดื่มสุราอยู่ที่หอซื่อฟางด้วยกันกับเขา”ฟางเหวินซิงตอบ
“นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว เขาอาจเดินทางกลับหลินเจียงไปแล้วก็เป็นได้ ? ”
“เอ่อ……ข้าก็มิอาจคาดเดา”
“หากเขาเดินทางกลับหลินเจียงไปแล้ว จะหาเขาพบได้อย่างไรกัน”
“ถ้าเช่นนั้นพวกเราควรทำเยี่ยงไร ?”
“อย่าเพิ่งร้อนรนใจไป เขามิได้เข้าร่วมสอบคัดเลือกในพระราชวังหลวง คาดว่าอีกประเดี๋ยวหากหาตัวเขามิเจอ อย่างไรเสียก็ต้องพาพวกเราเข้าวังเป็นแน่”
ผ่านไปอีกชั่วครู่ ขันทีผู้ประกาศพระราชโองการและชางกวนเหวินซิ่วก็ได้ปรึกษาหารือกัน และลงความเห็นว่าให้ทั้งสิบคนนี้เดินทางเข้าวังหลวงไปเข้าเฝ้าเสียก่อน ส่วนฟู่เสี่ยวกวนนั้นก็ให้รายงานฝ่าบาทไปตามความจริงและให้พระองค์เป็นผู้ตัดสินพระทัย
พวกเขาพากันเดินออกมาจากหอหลานถิง พอดีกับที่ฟู่เสี่ยวกวนมาถึง เขาป้องมือขึ้นพร้อมกับกล่าวขออภัยว่า “ข้าน้อย ฟู่เสี่ยวกวน ขออภัยด้วยที่ทำให้ทุกท่านคอยนาน ! ”
เขาก็คือฟู่เสี่ยวกวนงั้นหรือ ?
ผู้คนในที่นี้นอกเสียจากฟางเหวินซิงและอันลิ่วเย่แล้ว คนอื่น ๆ ไม่มีใครเคยพบเห็นเขามาก่อน
ชางกวนเหวินซิ่วพิจารณาเขาอยู่ชั่วครู่ ชายหนุ่มผู้นี้มีท่าทีกระฉับกระเฉง อีกทั้งยังดูเฉลียวฉลาด แต่งกายด้วยชุดสีกรมท่า ดูมีสง่าราศี อืม มองดูก็รู้ว่าเป็นผู้มากความสามารถ
“มาเถิด ตามข้ามา”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินตรงมาหาชางกวนเหวินซิ่วอย่างว่าง่าย เขาเดินอยู่ข้าง ๆ ชางกวนเหวินซิ่ว แต่ในราชสำนักเรียงลำดับการเดินอย่างชัดเจน ยิ่งตำแหน่งสูงจะต้องเดินอยู่ด้านหน้า
คนอื่น ๆ มิพอใจอย่างยิ่ง แต่กลับไม่มีใครกล้าเอ่ยอันใดออกมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ได้รับคะแนนสูงสุดทั้งสิบคนนั้น พวกเขามีความสามารถไม่แพ้กัน อีกทั้งการสอบคัดเลือกในพระราชวังหลวงนี้ พวกเขากลับเสียเวลากว่าชั่วยามเพราะลูกเศรษฐีที่ดินธรรมดา ๆ คนนี้ !
เขาผู้นี้เพียงร่างนโยบายที่บังเอิญถูกพระทัยฝ่าบาท แต่กลับได้เดินทางเข้าพระราชวังหลวงพร้อมกับพวกเขา ช่างน่าคับแค้นใจเสียจริง !
ต่อจากนี้หากมีโอกาส พวกเขาจะต้องหาวิธีจัดการฟู่เสี่ยวกวนให้ได้ ให้เขารู้ถึงกฎของเมืองหลวงเสียหน่อย !
สายตาที่ไม่เป็นมิตรมองมาทางฟู่เสี่ยวกวนมากมาย แต่เขามิได้ใส่ใจ และสนทนากับชางกวนเหวินซิ่วต่อไป
“ข้ามีนามว่าชางกวนเหวินซิ่ว ข้าและฉินปิ่งจงเป็นสหายรู้จักกันมานาน ฉินปิ่งจงเรียกเจ้าว่าน้อง ข้าเองก็จะเรียกเจ้าว่าน้องเช่นกัน เป็นเยี่ยงไร ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เกรงใจหรืออ้อมค้อมใด ๆ เขาหัวเราะเหอะ ๆ ออกมาแล้วกล่าวออกมาว่า “ท่านชางกวนที่เคารพ เช่นนั้นข้าจะมิถูกดูว่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงหรืออย่างไรกัน ? ”
“ไม่ๆๆ ในเรื่องของการร่ำเรียนนั้น มิได้ขึ้นอยู่กับใครเรียนก่อนเรียนหลัง ความสามารถของเสียนตี้ ข้าเองก็ชื่นชมนัก—— มีบทกวีใหม่บ้างหรือไม่ ? เอ่ยมาพอให้ข้าได้ชื่นชมหน่อยเป็นไร ? ”
เอ่อ…
บัดนี้ทุกคนได้เดินทางขึ้นสู่เรือเรียบร้อยแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดชั่วครู่แล้วกล่าวว่า “การที่ข้าเดินทางมาเมืองหลวงนั้นมีเรื่องต้องทำมิใช่น้อย ดังนั้นจึงไม่ได้แต่งบทกวีเพิ่มเติม แต่บัดนี้มองดูเรือลำใหญ่ ข้าพอจะคิดคำดี ๆ ออกมาได้บ้าง ขอท่านพี่อย่าได้หัวเราะข้า”
“เตรียมกระดาษและพู่กัน ! ” ชางกวนเหวินซิ่วรู้สึกยินดียิ่ง และยกแขนเสื้อเพื่อฝนหมึกให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน ผู้คนในที่นั้นล้วนตกตะลึง เขาเป็นถึงนักปราชญ์แห่งราชวงศ์หยู แต่กลับมาฝนหมึกให้ฟู่เสี่ยวกวน ! เขาผู้นี้มีความสามารถถึงขนาดไหนกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบพู่กันขึ้น มองไปยังแม่น้ำและเริ่มแตะพู่กันลงกระดาษ
“รำลึกถึงหวางซุน สายลมโบกพัดบนทะเลสาบ”
ผู้คนจำนวนมากล้อมเข้ามา รวมถึงจิ้นซื่อทั้งสิบด้วยเช่นกัน
ฟู่เสี่ยวกวนนั้นเลื่องชื่อลือนาม และบัดนี้พวกเขาได้มีโอกาสเห็นฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์บทกวีด้วยตนเอง
“สายลมอ่อน ๆ โบกพัดมาจากทะเลสาบ ปลายฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้สีเหลืองแดงอีกทั้งกลิ่นผกาหอม
แสงประกายจากสายน้ำและภูผา งดงามไร้ซึ่งคำบรรยาย
ดอกบัวบาน ใบบัวโรย น้ำค้างยามอรุณ เกาะเป็นหยดน้ำบนใบหญ้า
นกกามิแลหลัง คล้ายโกรธเคืองผู้มาเยือนแต่รุ่งอรุณ”
ฟู่เสี่ยวกวนวางพู่กันลง “ขอพวกท่านอย่าหัวเราะออกไป”
เงียบสงบไร้ซึ่งเสียงใด ๆ
ชืออีหมิงและคนอื่น ๆ มองหน้ากันด้วยความตกตะลึง
กวีบทนี้สื่อถึงภาพในฤดูใบไม้ร่วงและบรรยายได้ดีเหลือเกิน แม้แต่ท่านชางกวนเหวินซิ่วเองเมื่อได้อ่านอีกทีอย่างละเอียดแล้ว เขาเองก็รู้ดีว่าไม่สามารถแต่งออกมาได้ในระยะเวลาเพียงเท่านี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกวีบทนี้ได้บรรยายโดยละเอียดถึงความงามของฤดูใบไม้ร่วงซึ่งปราศจากความหดหู่หม่นหมอง
กวีบทนี้เริ่มต้นด้วยประโยคที่ว่า สายลมอ่อน ๆ โบกพัดมาจากทะเลสาบ ทำให้ผู้คนนึกถึงฤดูใบไม้ร่วง จากนั้นคือปลายฤดูใบไม้ร่วง และมีใบไม้สีเหลืองแดงร่วงเป็นกองโตอีกทั้งกลิ่นผกาหอม เขาใช้สีสันและกลิ่นพรรณนาถึงฤดูใบไม้ร่วงได้เป็นอย่างดี
ดอกบัวบาน ใบบัวโรย น้ำค้างยามอรุณ เกาะเป็นหยดน้ำบนใบหญ้า ประโยคนี้ช่างเหมาะสมแก่ฤดูใบไม้ร่วงยิ่งนัก ประโยคสุดท้ายที่ว่า นกกามิแลหลัง คล้ายโกรธเคืองผู้มาเยือนแต่รุ่งอรุณนั้น จินตนาการได้ถึงฝูงนกที่พักผ่อนอยู่ริมบึง พวกมันมิได้ใส่ใจต่อผู้มาเยือนแม้แต่น้อย กลับหันหลังเบือนหน้าหนีคล้ายโกรธเคือง เป็นการหยิบยกธรรมชาติมาพรรณนาได้อย่างงดงาม คล้ายกับรูปภาพอันทรงคุณค่า
“เสียนตี้ช่างมีความสามารถยิ่ง โปรดรับการคารวะจากข้าเถิด ! ”
ตอนที่ 105 ตามหาฟู่เสี่ยวกวน
ชั้นที่สี่ของหอซื่อฟางตกแต่งเป็นสวนชากลางแจ้งที่สวยงาม
ในสวนชานั้นมีภูเขาจำลองและสายน้ำไหลผ่าน ทั้งยังมีดอกไม้และต้นไม้นานาพันธุ์
ดอกเบญจมาศบานสะพรั่งช่างสวยงามยิ่งนัก ดึงดูดผึ้งและผีเสื้อให้โบยบิน
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งดื่มชาอยู่ที่นี่ ที่นี่ช่างเงียบสงบเป็นอย่างมาก ผู้คนเหล่านั้นต่างไปกันที่หลานถิงจี๋ คาดว่าอีกสักประเดี๋ยวหอซื่อฟางคงเต็มไปด้วยผู้คนจนล้นหลาม
“เมื่อวานข้าไปหาเสด็จแม่ จากที่ได้ฟังเสด็จแม่ตรัสมา เกรงว่าเสด็จพ่อจะให้เจ้าเป็นได้เพียงขุนนางเท่านั้น เจ้ามีความคิดเห็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“ในตอนนี้ข้าคิดเพียงแค่ต้องทำเยี่ยงไรจึงจะสามารถแต่งเจ้าเข้าตระกูลฟู่ได้”
ใบหน้าของหยูเวิ่นหวินแดงก่ำขึ้นมาทันพลัน ฟู่เสี่ยวกวนจึงกล่าวอย่างขบขันขึ้นมาอีกว่า “ได้ยินมาว่าต้องมีศักดิ์เป็นชั้นอ๋องจึงจะสามารถทำได้ ข้าเกรงว่าหากรอให้ข้าได้ขึ้นไปเป็นอ๋อง พวกเราก็คงจะชรากันหมดแล้ว จะทำเยี่ยงไรดี ? ”
ต่งซิวเต๋อแทบจะก้มหมอบคารวะฟู่เสี่ยวกวนด้วยความชื่นชม คนที่กล้าหยอกล้อองค์หญิงต่อหน้าคนมากมายในใต้หล้านี้ เกรงว่าจะมีเพียงเขาแค่คนเดียว !
องค์หญิงผู้นี้ก็ใจกล้าล้นฟ้า ได้กล่าวออกมาอีกว่า “ข้ามิสนเรื่องนั้น ให้เวลาเจ้ามากที่สุดสองปี เมื่อถึงเวลาหากเจ้าแต่งกับข้ามิได้ ข้าจะแต่งกับเจ้าเอง !”
ต่งซิวเต๋อตกตะลึง ทั้งสองคนหยอกล้อกันโดยมิสนใจความรู้สึกของคนที่อยู่ด้านข้างเลยรึ ?
แล้วน้องสาวของข้าจะทำเยี่ยงไร ?
“น้องเขย…” เพียงต่งซิวเต๋ออ้าปาก สายตาของหยูเวิ่นหวินก็จ้องมองไปที่ใบหน้าของต่งซิวเต๋อ
“โอ้ พี่เขย ยังมีอีกหนทางหนึ่งที่เจ้าจะได้อภิเษกสมรสกับองค์หญิง”
หยูเวิ่นหวินยกยิ้มในทันที ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยถาม “ลองกล่าวมา”
“ทำผลงาน สร้างผลงานคับฟ้าขึ้นมาหนึ่งเรื่อง ฝ่าบาทก็จะประทานราชโองการอภิเษกสมรสให้”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก และเอ่ยพึมพำ “ทำผลงานที่ใหญ่หลวงคับฟ้าอย่างนั้นหรือ ? ”
“ใช่แล้ว อย่างเช่นทำลายชาวฮวง”
…..ยอดเยี่ยมนัก คงมิสามารถหยุดสนทนาต่อกันได้แล้ว
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็นึกถึงองค์หญิงสามหยูชิงหลานและเรื่องพระญาติขึ้นมาได้ มิรู้ว่าในตอนนี้จะเป็นเยี่ยงไรบ้าง และลืมที่จะถามหยูเวิ่นหวินไป แต่มันคงไม่ดีนักที่จะถามเรื่องนี้ต่อหน้าคนมากมาย รอถามในยามที่อยู่ด้วยกันสองคนจะดีกว่า
“ข้าก็อยากจะไปล้างบางชาวฮวงอยู่ แต่มิมีโอกาส” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยรับปากไปส่ง ๆ
และใช่ ท้ายที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นเพียงนักกวี ไหนเลยจะเข้าใจเรื่องการนำทหารไปออกศึก
“มิต้องล้างบางชาวฮวงก็ได้ มิเช่นนั้นก็กระทำการใหญ่ อย่างเช่นเปิดโปงการทุจริตและฉ้อโกงของเยี่ยนเป่ยซี และพลิกคว่ำตระกูลเยี่ยนของเขา”
สีหน้าของหยูเวิ่นหวินตึงเครียดขึ้นมาทันพลัน ฟู่เสี่ยวกวนเองก็หันไปจ้องต่งซิวเต๋อ คนผู้นี้ คำพูดเยี่ยงนี้ก็กล้าที่เอ่ยออกมา ช่างมิรู้เลยว่าความตายนั้นเขียนเยี่ยงไร !
“จงจำไว้ว่าระวังปากของตนเองด้วย ! ขุนนางระดับสูงเยี่ยนทำงานอย่างหนักมาทั้งชีวิตเพื่อพลเมือง ไหนเลยจะเป็นดังที่เด็กปากมอมเยี่ยงเจ้าใส่ร้าย ! ” ฟู่เสี่ยวกวนจำเป็นต้องแสดงท่าทีของตนเองออกไป หากกำแพงมีหูประตูมีช่อง ต่อให้เขาโดดลงไปในแม่น้ำฮวงโหก็มิอาจชำระล้างได้
ต่งซิวเต๋อเองก็เข้าใจว่าคำพูดของตนนั้นกำลังต่อต้านทั้งใต้หล้า “มิใช่ ขุนนางระดับสูงเยี่ยนย่อมบริสุทธิ์ ข้าเพียงยกตัวอย่างเท่านั้น เป็นความผิดของข้า ข้าขอยอมรับผิด”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ให้ความสนใจต่งซิวเต๋อต่อ เขาหันไปมองหยูเวิ่นหวินและเอ่ยถาม “พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยสบายดีหรือไม่ ? ”
“พระนางสบายดี วันวันเอาแต่ดูแลดอกไม้ใบหญ้าอยู่ในสวนดอกไม้… แต่เมื่อวานเสด็จแม่ได้กล่าวประโยคประหลาดที่ข้ามิค่อยเข้าใจออกมา กล่าวว่า ดูเหมือนว่าที่จัดวางเอาไว้นั้นดูจะซ้ำซ้อนไปเสียหน่อย ข้ามิเห็นว่าพระนางจะจัดวางสิ่งใดเลย”
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิทราบ
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยมิคาดคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะสร้างความสัมพันธ์กับองค์ฮ่องเต้ด้วยนโยบายบรรเทาสาธารณภัย นั่นทำให้นางตีค่าฟู่เสี่ยวกวนสูงขึ้นไปอีกขั้น
ต้องใช้โอกาสจากคดีทุจริตในครานี้ ราชสำนักต้องทำการล้างขั้วอำนาจที่ทุจริตเสียแล้ว
ต้นไม้ใหญ่นามราชวงศ์หยูได้อยู่มานานกว่าสองร้อยปีแล้ว ก่อให้เกิดแมลงและหนอนมากมาย และก่อให้เกิดเครือเถาวัลย์ที่เกาะตามลำต้นไม้ใหญ่อย่างหนาแน่น เครือเถาวัลย์เหล่านั้นควรได้รับการจัดการเสียหน่อย พวกเขาดูดซึมสารอาหารมากเกินไปแล้ว หากมิจัดการ เกรงว่าจะพัวพันกับต้นไม้ใหญ่นี้จนตกตายได้
องค์ฮ่องเต้ย่อมเห็นด้วย และเวลานี้จะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ฟู่เสี่ยวกวนจะร่วมกำจัดการทุจริต
ฟู่เสี่ยวกวนมิใช่หนึ่งในเครือเถาวัลย์เหล่านั้น หากใช้เขา บางทีเขาอาจจะป้องกันเครือเถาวัลย์เหล่านั้นที่จะมารบกวนต้นไม้ใหญ่ในยามที่ใกล้ตายได้
เรื่องใหญ่เหล่านี้ หยูเวิ่นหวินย่อมมิทราบ
ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันนี้ของราชวงศ์หยูเป็นเยี่ยงไร เขาในยามนี้มีเพียงความคิดเดียว นั่นคือการเข้าเฝ้าองค์องค์ฮ่องเต้ !
มีเพียงได้เข้าเฝ้าเท่านั้น ที่จะมอบโอกาสมีชีวิตอยู่ต่อไปให้แก่ตระกูลฟู่ได้
……
…..
ผู้คนจำนวนมากกำลังดื่มชาและพูดคุยกันในหอซื่อฟาง เหล่าขุนนางที่อยู่หลานถิงจี๋กำลังเดือดลุกเป็นไฟ
ทหารยามจำนวนมากถูกส่งออกมา แม้แต่ชางกวนเหวินซิ่วยังกลับไปยังกั๋วจื่อเจี้ยนและเรียกขุนนางทั้งเมืองเพื่อตามหาตัวฟู่เสี่ยวกวน ดังนั้นต่งซิวจิ่นจึงได้ยินข่าวนี้เข้า
เขารู้สึกว่ามันแปลกเล็กน้อย ตั้งแต่ได้ทราบจากปากชางกวนเหวินซิ่วว่าฟู่เสี่ยวกวนได้เขียนนโยบายบรรเทาสาธารณภัยขึ้นมา จนฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นและต้องการให้เขาเข้าเฝ้าพร้อมกับจิ้นซื่อทั้งสิบ
ในจวนตอนนี้สถานการณ์เป็นไปอย่างตึงเครียด น้องสาวผู้ดื้อรั้นเป็นตายร้ายดีเยี่ยงไรก็มิยินยอมแต่งกับเยี่ยนซีเหวิน บิดามารดาก็หัวแข็งต้องการให้น้องสาวแต่งกับเยี่ยนซีเหวินอย่างเอาเป็นเอาตาย เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่เป็นพี่ใหญ่นัก จะให้โน้มน้าวผู้ใดกัน?
มันยากที่จะโน้มน้าวฝั่งใดฝั่งหนึ่ง เพราะมิมีผู้ใดฟังเขา
แต่น้องรองของเขากลับลอยนวล ชิวเหวยก็มิไปเข้าร่วม มิเห็นแม้แต่เงาของคนผู้นั้นทั้งวัน
ในตอนนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้เป็นที่โปรดปรานขององค์ฮ่องเต้แล้ว หากเขาสามารถแสดงตนออกมาได้ดียิ่งขึ้น ฝ่าบาทก็จะตกรางวัลเป็นตำแหน่งขุนนางให้แก่เขา น้องสาวจึงจะมีหนทางแห่งความหวังใช่หรือไม่ ?
เมื่อคิดได้ดังนี้ เขาก็วางทุกอย่างในมือลง และปรี่เข้าไปหาฟู่หยิ่น1 จินหลิงฉินโม่เหวิน เพื่อขอให้เขาส่งคนออกไปตามหาฟู่เสี่ยวกวนทั่วเมืองโดยเร็ว
ฉินโม่เหวินจ้องมองต่งซิวจิ่นอยู่สิบลมหายใจ เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องนี้เยี่ยงนี้รึ ?
ต่งซิวจิ่นเองก็สบสายตากับฉินโม่เหวินอยู่สิบลมหายใจ ข้าตรงมาหาเจ้าก็เพื่อเรื่องนี้นี่แหละ !
หลังจากนั้นฉินโม่เหวินก็ออกหมายเร่งด่วนนี้ออกไป เพื่อให้สำนักงานทางเหนือและใต้ค้นหาฟู่เสี่ยวกวนไปทั่วทั้งเมือง
ยามที่หัวหน้ามือปราบของทั้งสองสำนักเหนือและใต้ได้รับคำสั่งนี้มาก็สับสนไปชั่วขณะ มิมีภาพเหมือนของฟู่เสี่ยวกวน แล้วจะไปหาได้เยี่ยงไรกัน
เมืองจินหลิงในยามนี้คึกคักอย่างเป็นพิเศษ
ตึงตึงตึง
“ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่ใด ? รีบออกมาโดยเร็ว ! ”
ฉินโม่เหวินมิได้สนใจว่าพวกเขานั้นจะใช้วิธีอันใด ในยามนี้เขาและต่งซิวจิ่นหลบไปดื่มสุราอยู่ที่เรือนหลัง
“ฟู่เสี่ยวกวนที่ประพันธ์ความฝันในหอแดงผู้นั้นรึ ?”
“ใช่ ! ”
“โอ้ ลุงของข้ากับเจ้าหนุ่มนี่เป็นสหายต่างวัยกัน เคยได้ยินลุงใหญ่เอ่ยขึ้นมาอยู่”
ฉินโม่เหวินดื่มซีชานเทียนฉุนเข้าไปหนึ่งคำ ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกครา “มีเรื่องรีบร้อนอันใดกัน ? ”
“องค์ฮ่องเต้มีพระราชโองการให้เข้าเฝ้า จึงต้องรีบตามหาตัวเขาให้พบโดยเร็ว”
“องค์ฮ่องเต้งั้นรึ? ฝ่าบาทส่งองครักษ์มาตามหาเขายังจะเร็วกว่า”
ดังนั้นต่งซิวจิ่นจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฉินโม่เหวินฟัง ฉินโม่เหวินเงียบไปเนิ่นนาน “ชายผู้นี้ เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง ภายภาคหน้าหากมีโอกาสต้องไปชวนมาดื่มสุราด้วยกัน… นอกจากนี้ ข้าอยากจะถามเจ้า เจ้าเตรียมจะไปสู่ขอน้องสาวข้าเมื่อไหร่กัน”
“ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า”
“เยี่ยงนั้นก็แปลว่าตกลงแล้ว ! ”
“อือ แต่อย่างไรข้าก็อาจจะต้องออกจากกั๋วจื่อเจี้ยน”
ฉินโม่เหวินคิ้วขมวด “เจ้าจะไปที่ใดกัน ? ”
“องค์หญิงใหญ่ได้ลอบส่งข้อความลับให้บิดาของข้าแล้ว การตรวจตราครานี้คงถูกตัดหัวไปหลายคน ข้ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะถูกส่งตัวออกไป ส่วนจะเป็นจือโจวหรือเต้าถาย2 ในตอนนี้ก็ยังมิอาจบอกได้ เจ้าเองก็อย่าป่าวประกาศไป รอดูโอกาสจากผู้ตรวจการณ์เสียก่อน”
เป็นการดีหากสามารถถูกส่งตัวไปได้ บางทีการถูกส่งตัวออกไปอาจทำให้ได้รับคำชมจากกรมขุนนาง ในภายภาคหน้ายามที่กลับไปเมืองหลวงก็จะมิใช่เพียงบัณฑิตตัวจ้อยในกั๋วจื่อเจี้ยนอีกแล้ว
แต่ฉินโม่เหวินยังคงงุนงง หันมองซ้ายขวา และเอ่ยถามเสียงแผ่ว “บิดาของเจ้าไปพัวพันกับองค์หญิงใหญ่ได้เยี่ยงไรกัน ? ”
ต่งซิวจิ่นแบมือทั้งสองออก “ข้าจะไปรู้ได้เยี่ยงไรเล่า ? ”
ฟู่หยิ่น1 คือผู้ว่าราชการของเมืองหลวง
เต้าถาย2 คือผู้ว่าราชการระดับจังหวัด
ตอนที่ 104 ประกาศรายชื่อ
อีกหนึ่งชั่วยามต่อมา เสียงฆ้องและกลองดังขึ้นจากทะเลสาบเว่ยยาง
ฟู่เสี่ยวกวนหันกลับไปดู พบว่ามีเรือลำหนึ่งลอยอยู่บนทะเลสาบ มองเห็นผู้คนบนเรือเป็นเงาราง ๆ
“นั่นคือเรือที่เดินทางมาติดประกาศ บนเรือนั้นล้วนเป็นเจ้าหน้าที่จากกั๋วจื่อเจี้ยน อีกทั้งอาจารย์จากสำนักศึกษาจี้เซี่ยและขันทีในวังหลวง”
“ขันทีเดินทางมาเพื่อเหตุใดกัน ? ”
“มาเพื่อประกาศพระราชโองการ ผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดสิบอันดับจะต้องติดตามพวกเขากลับไปยังพระราชวังหลวงเพื่อเข้าสอบจิ้นซื่อ และสามอันดับแรกก็คือจอหงวน ปั๋งเหยี่ยนและทั่นฮวาตามลำดับ”
“อ้อ”
เมื่อเรือกำลังเข้าเทียบท่า ผู้คนที่หลานถิงจี๋ก็พากันรุมเข้ามาดู ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกถึงความแออัดจึงได้พาหยูเวิ่นหวินและคนอื่น ๆ ไปรอยังทางเดิน
“หากได้รับคัดเลือกเป็นจิ้นซื่อ จะได้รับตำแหน่งอะไรงั้นหรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
“มิง่ายเช่นนั้นหรอก ในแต่ละปีราชวงศ์หยูได้คัดเลือกจิ้นซื่อกว่าสามร้อยคน แต่มิใช่ว่าจะได้เข้ารับตำแหน่งทันที อาจต้องรอสองถึงสามปีหรืออาจจะนานกว่านั้น ดังนั้นตามปกติแล้วพวกเขาจะเดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อรอคำสั่งเรียกตัว แน่นอนว่าจิ้นซื่อที่พอมีฐานะจะอาศัยอยู่ในเมืองเพื่อสานสัมพันธไมตรีกับผู้คน เมื่อมีตำแหน่งว่างก็จะได้รับเข้าทำงานก่อน โดยทั่วไปจะได้รับตำแหน่งเป็นผู้พิพากษาเขต”
ดังนั้น…การทุจริตเริ่มมาจากตรงนี้ เพื่อให้ตนได้รับตำแหน่งโดยเร็ว พวกเขาเลือกที่จะติดสินบนผู้มีอำนาจ หากไม่มีพวกเขาคอยช่วยเหลือและรอตำแหน่งว่างนี้ก็คงจะเป็นการยากเป็นแน่
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดดู และมีความเห็นว่าจะว่าพวกเขาเหล่านั้นก็มิถูก พวกเขาร่ำเรียนวิชามาก็เพื่อรับราชการ ใช้ความพยายามอยู่หลายปีจึงจะได้มีโอกาสสอบติดจิ้นซื่อ แต่ราชสำนักกลับไม่มีตำแหน่งให้พวกเขาเข้ารับราชการ สิ่งนี้ขัดต่อวัตถุประสงค์การร่ำเรียนของพวกเขาทั้งหลาย พวกเขาจึงทำได้เพียงหาช่องทางอื่น
นี่คือข้อเสียที่หนักหนาเกินแก้ ฟู่เสี่ยวกวนไม่เสียเวลาไปครุ่นคิดเนื่องจากไม่เกี่ยวข้องกับเขาแม้แต่น้อย
ในขณะที่ฆ้องและกลองประสานเสียงกันดังสนั่น ทหารได้เปิดทางเป็นสองแถวให้ผู้ที่อยู่บนเรือเดินลงมา นำด้วยกั๋วจื่อเจี้ยนจากนั้นตามด้วยคนจากสำนักศึกษาจี้เซี่ย ขันทีในชุดสีแดงสดและปิดท้ายด้วยองครักษ์
เป็นการเปิดตัวที่ยิ่งใหญ่และสง่างาม
ขบวนประกาศเดินทางมายังหลานถิงจี๋ กั๋วจื่อเจี้ยนจิ่วชางกวนเหวินซิ่วเดินขึ้นไปยังเวทีที่ตั้งไว้ ลูกศิษย์จำนวนมากเข้ามาล้อมรอบ ชางกวนเหวินซิ่วยกมือทั้งสองขึ้น เสียงก็เงียบลงในทันพลัน
“รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 8 ชิวเหวย มีผู้เข้าสอบจำนวนทั้งสิ้น 5,348 คน ได้รับคัดเลือกเป็นจิ้นซื่อ 300 คน คัดเลือกจากกวีนิพนธ์ คัมภีร์ นโยบายและทฤษฎีทั้งสิ้น 3 ประเภท เรียงคะแนนตามลำดับ ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่ถูกคัดเลือก ส่วนผู้ที่มิได้รับคัดเลือกในปีนี้ขอจงพยายามต่อไป และในการสอบครั้งหน้าขอให้ประสบผลสำเร็จดังหมาย บัดนี้ข้าขอเป็นตัวแทนในการประกาศรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกอย่างเป็นทางการของชิวเหวย รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 8 ! ”
เมื่อสิ้นเสียงกั๋วจื่อเจี้ยน ผู้คนมากมายก็เริ่มส่งเสียงขึ้น แผ่นประกาศสีทองได้ถูกนำไปแขวนที่หลานถิงจี๋
ต่อจากนั้นนอกเหนือจากทหารเฝ้ารักษาประกาศแล้ว ข้าราชการและขันทีทุกท่านก็เดินทางเข้าไปในหอหลานถิง
ประกาศพระราชโองการจากขันทีจะต้องรออีกครึ่งชั่วยาม ในครึ่งชั่วยามนี้มีไว้ให้บรรดาผู้เข้าสอบตรวจสอบรายชื่อของตนบนแผ่นประกาศ
กลุ่มคนมากมาย มีทั้งเสียงไชโยโห่ร้อง มีทั้งเสียงโอดครวญผสมผสานกัน ทำให้มองดูแล้วช่างมีหลากหลายอารมณ์เสียจริง
จางเหวินฮั่นเบียดกับฝูงชนเข้าไป เขาจ้องมองไปยังบรรทัดแรก ไม่มีรายชื่อของเขาติดหนึ่งในสิบ แต่มีฟางเหวินซิงและอันลิ่วเย่
บรรทัดที่สอง 30 คนก็ไม่มีชื่อเขาเช่นกัน แต่มีรายชื่อของโจวเทียนโย่ว
บรรทัดที่สาม บรรทัดที่สี่…….ในที่สุดเขาก็พบชื่อของเขาในบรรทัดที่แปดเป็นรายชื่อท้าย ๆ !
จางเหวินฮั่น ลำดับที่ 220 !
ได้รับคัดเลือก !
ข้าได้รับคัดเลือกเป็นจิ้นซื่อแล้ว !
จางเหวินฮั่นดีใจมาก เขามองดูรายชื่ออีกครั้งหนึ่ง ไม่มีผิดเพี้ยนเป็นแน่ !
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าแล้วน้ำตาซึม เขาร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ
คนที่มีท่าทีแบบเขานั้นมีไม่น้อย ฟางเหวินซินและคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน
สิบอันดับแรกเชียว !
เขาจะได้มีโอกาสเข้าเฝ้าองค์ฮ่องเต้ และอาจมีโอกาสได้รับคัดเลือกเป็นหนึ่งในสามก็ได้ !
งานชิวเหวยในแต่ละปี มีผู้คนมากมายที่ยินดีและเศร้าโศกดังเช่นในวันนี้
ฟู่เสี่ยวกวนมองดูอย่างเงียบ ๆ เขามิได้รู้สึกยินดีปรีดาหรือโศกเศร้า เขาเอ่ยกับหยูเวิ่นหวินว่า ไปดื่มชาที่หอซื่อฟางเสียยังดีกว่า
หยูเวิ่นหวินยินดียิ่ง เนื่องจากนางไม่ชอบสถานที่เสียงดังหนวกหูเช่นนี้อยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงได้เดินทางออกจากหลานถิงจี๋
ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้ว่ามีใครบ้างที่ได้รับคัดเลือก และเขามิได้ใส่ใจเรื่องนี้ ในเมืองหลวงเขารู้จักเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แม้จะเคยร่วมดื่มสุรากับเยี่ยนซีเหวิน แต่เขาก็ไม่ได้นับเยี่ยนซีเหวินเป็นสหายอย่างแท้จริง
นั่นเป็นเพียงแค่ละครตบตาฉากหนึ่งเท่านั้น
อีกทั้งเยี่ยนซีเหวินยังมิวางมือจากต่งชูหลาน กลับให้พ่อของเขาไปสู่ขอนาง เจ้านี่มัน…ขยะชัด ๆ !
เยี่ยนซีเวินถูกฟู่เสี่ยวกวนเกลียดเข้ากระดูกดำด้วยประการฉะนี้ แท้จริงเขานั้นถูกเข้าใจผิด นับจากครั้งที่แล้วที่ร่วมดื่มสุรากัน เขาก็มิได้เอ่ยถึงต่งชูหลานอีก เขามิรู้เรื่องพ่อของเขาเยี่ยนซือเต้าไปหารือกับต่งคังผิงเสียด้วยซ้ำ
บัดนี้ เยี่ยนซีเหวินและฟางเหวินซิงอยู่ด้วยกันร่วมแสดงความยินดี พวกเขามิรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมายังที่นี่ด้วย
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ขันทีในชุดสีแดงเดินออกมาและกล่าวว่า
“ทุกท่านโปรดรับฟังพระราชโองการ ! ”
เสียงดังจอแจเมื่อครู่เงียบลงในทันที
“ฮ่องเต้มีราชโองการรับสั่งว่า จากการคัดเลือกในปีนี้ ทุกท่านล้วนมีทักษะความสามารถเป็นเลิศ ข้าประทับใจยิ่งนัก ข้าคาดหวังว่าผู้ที่มีรายชื่อบนแผ่นประกาศนี้จะมิมีความหยิ่งผยองหรือร้อนใจ และจงพยายามอย่างเต็มที่เพื่ออุทิศตนให้กับราชสำนัก ส่วนผู้ที่มิได้รับคัดเลือกจงอย่าได้ถอดใจ ข้าขอให้พวกเจ้าพยายามมากขึ้นและสอบคัดเลือกอีกคราในปีหน้า ผู้ที่ได้รับคัดเลือกสิบอันดับแรกในชิวเหวยปีนี้ได้แก่ ซืออีหมิง เซวียตงหลิน ฉินหายยวี่ เยี่ยนหลินชิว ฟางเหวินซี สีส่วง เฟ่ยเชียน อันลิ่วเย่ จัวหลิวหวินและหวงเฉิงเดินทางเข้าพระราชวัง”
เดิมทีเมื่อประกาศจบสิ้นลง ผู้คนจะต้องโห่ร้องด้วยความยินดี แต่คาดมิถึงว่าขันทีชราผู้นี้จะอ่านประโยคท้ายสุดออกมาว่า “นอกจากนี้ ฟู่เสี่ยวกวนแห่งหลินเจียงมีความสามารถด้านการประพันธ์บทกวีเป็นที่เลื่องชื่อ เทียบได้กับอาจารย์ชั้นสูง กวีทำนองเพลงแห่งสายน้ำของเขาได้ถูกจารึกไว้บนหินเชียนเปยสือบรรทัดที่หนึ่ง อีกทั้งยังร่างนโยบายแก้ไขปัญหาภัยพิบัติได้ถูกใจข้ายิ่งนัก ดังนั้นข้าขอประกาศให้ฟู่เสี่ยวกวนเข้าพระราชวังพร้อมกันตามพระราชโองการ ! ”
อะไรกัน ?
ผู้คนที่คุกเข่ารับราชโองการอยู่นั้นมองหน้ากันด้วยความงุนงง ฝ่าบาทประกาศพระราชโองการพิเศษเพื่อเขางั้นหรือ ? ฟู่เสี่ยวกวนชื่อนี้พวกเขาและสตรีต่างคุ้นหู แต่คาดมิถึงว่าเขาผู้นี้จะได้รับความเมตตาจากฝ่าบาทเช่นนี้ !
บรรดาผู้ได้รับคัดเลือกล้วนส่งเสียงกระซิบ ทุกคนถามเป็นคำเดียวกันว่าเพราะเหตุใด ? ขันทีผู้ประกาศพระราชโองการก็ทำตัวมิถูกเช่นกัน ข้าได้ประกาศออกไปเรียบร้อยแล้ว เหตุใดพวกเจ้ายังไม่เอ่ยขอบพระคุณในพระมหากรุณา ?
หรือพวกเขาจะฟังไม่ชัดเจน ?
อ้อ ประกาศจบแล้ว เรื่องของฟู่เสี่ยวกวนประเดี๋ยวค่อยหารือกัน
ดังนั้นพวกเขาจึงได้กล่าวสรรเสริญเป็นเสียงเดียวกันว่าทรงพระเจริญ และลุกขึ้นยืน
“เยี่ยนซีเหวิน เรื่องฟู่เสี่ยวกวนเป็นมาอย่างไร ? ” ซืออีหมิงผู้สอบได้คะแนนอันดับหนึ่งเอ่ยถามขึ้น
“ข้าเองก็มิรู้ แต่ในเนื้อหาพระราชโองการกล่าวถึงเรื่องนโยบายบรรเทาสาธารณภัย คาดว่าจะเป็นพระราชโองการที่ฝ่าบาททรงนำไปติดไว้ก่อนหน้านี้”
ซืออีหมิงพยักหน้าเห็นด้วย และเดินเข้าไปในหอหลานถิงพร้อมกับฟางเหวินชิงและพร้อมทั้งอีก 10 คนที่ได้รับคัดเลือก
“ฟู่เสี่ยวกวนเล่า ? ” ชางกวนเหวินซิ่วเอ่ยถามด้วยอาการรีบร้อน
เขาอยากจะเห็นหน้าฟู่เสี่ยวกวนยิ่ง อยากรู้เสียจริงว่าชายหนุ่มมากความสามารถผู้นี้รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
“นั่นสิ ฟู่เสี่ยวกวนเล่า ? ” ขันทีผู้ประกาศพระราชโองการก็เอ่ยถามด้วยเช่นกัน ผู้มีรายชื่อทั้งสิบคนได้เข้ามาด้านในแล้ว ยกเว้นแต่ฟู่เสี่ยวกวน เขาจะกล่าวกับองค์ฮ่องเต้ว่าอย่างไร ?
“เขามิใช่ผู้เข้าสอบในปีนี้ คาดว่าจะมิได้อยู่ที่นี่”
“แล้วเขาจะอยู่ที่ใดกัน ? ”
“ข้าเองก็มิทราบ รีบส่งคนออกตามหาเร็วเข้า ! ”
ตอนที่ 103 เรียกพี่เขย
เพียงพริบตาเวลาได้ผ่านไปสองวันแล้ว รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 8 เดือนเก้าวันที่ยี่สิบแปด ราชวงศ์หยูชิวเหวย ฝนในฤดูใบไม้ร่วงได้สิ้นสุดลงแล้ว
ช่วงกลางวันของสองวันที่ผ่านมา ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ออกไปไหนและขังตัวอยู่แต่ในโรงเตี๊ยมเพื่อฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยาง และประพันธ์ความฝันในหอแดง
เมื่อคืนหยูเวิ่นหวินลอบออกจากวังหลวงมาหาเขา ทั้งสองก็เดินไปคุยไปที่แม่น้ำฉินหวาย แต่มิสามารถอยู่จนดึกดื่นได้ หากดึกเกินไปจนประตูวังหลวงปิดและหากเกิดเรื่องหยูเวิ่นหวินไม่ได้กลับไปยังวังหลวงจะต้องลำบากเป็นแน่
ฟู่เสี่ยวกวนทราบเรื่องที่ต่งชูหลานถูกกักบริเวณอย่างเข้มงวดแล้ว โดยมีฮูหยินต่งเป็นผู้คุมด้วยตนเอง และตอนนี้ตระกูลเยี่ยนก็กำลังหารือกับตระกูลต่งเรื่องปัญหางานสมรสของต่งชูหลานและเยี่ยนซีเหวิน
ช่างยอดเยี่ยมอะไรเยี่ยงนี้ !
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกเดือดดาลอย่างยิ่ง แต่หยูเวิ่นหวินก็บอกเขาว่าอย่าเพิ่งเร่งร้อน ต่งชูหลานเขียนบทความขึ้นมาและไหว้วานให้นางนำไปให้องค์หญิงใหญ่ คิดว่าประเดี๋ยวองค์หญิงใหญ่คงจะออกหน้ามาแทรกแซงเรื่องนี้เป็นแน่
ในสองวันนี้ฝ่าบาทยังมิได้เรียกเขาเข้าเฝ้า ฟู่เสี่ยวกวนจึงแอบกังวลเล็กน้อย เขามิได้แสดงออกไปต่อหน้าหยูเวิ่นหวิน เพียงแค่คิดว่าหากผ่านไปหลายวันเข้า แล้วฝ่าบาทยังมิเรียกเขาเข้าเฝ้า เกรงว่าคงจะต้องเดินไปตามทางที่ฉินปิ่งจงกล่าวไว้
ฉินปิ่งจงได้แนะนำคนผู้หนึ่งให้เขารู้จัก สีฉวินเหมย !
บุตรชายคนรองของหัวหน้าตระกูลสี เสนาบดีกรมราชทัณฑ์แห่งราชวงศ์หยู ทั้งยังเป็นลูกศิษย์ของฉินปิ่งจง และเป็นสหายสนิทกับฉินติ้งฟาง บุตรชายของฉินปิ่งจง หากมีคนเหล่านั้นมาเยือนในรอบสองรอบ บางทีอาจจะหลีกเลี่ยงความโชคร้ายของตระกูลฟู่ไปได้
จดหมายฝากฝังที่ฉินปิ่งจงเขียนนั้นยังคงอยู่ในแขนเสื้อของเขา หากมิต้องนำออกมาใช้ย่อมเป็นการดีที่สุด
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 8 เดือนสิบวันที่หนึ่ง เข้าสู่ช่วงกลางของฤดูใบไม้ร่วง ทะเลสาบเว่ยยางมีหมอกลอยไปมาเอื่อย ๆ บนน่านน้ำมีเรืออูเผิงตรงไปยังหลานถิงจี๋อย่างมากมาย วันนี้เป็นวันประกาศรายชื่อชิวเหวย ป้ายทองนั้นจะติดอยู่ที่หอหลานถิง
ต่งซิวเต๋อมาหาฟู่เสี่ยวกวนถึงโรงเตี๊ยมแต่เช้า มุ่งมั่นที่จะเชิญฟู่เสี่ยวกวนไปยังหลานถิงจี๋ นั่นทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง เจ้ามิแม้แต่จะเข้าร่วมการทดสอบด้วยซ้ำ จะสนใจเรื่องรายชื่อของผู้อื่นเพื่ออันใดกัน
“ครึกครื้น ! ข้าขอบอกกับเจ้าเลย หลานถิงจี๋ในวันนี้ครึกครื้นอย่างยิ่ง”
เอาเถอะ คนผู้นี้อยากจะไปรับชมความครึกครื้น แน่นอนว่าย่อมมีความคิดอื่นที่นอกเหนือจากความครึกครื้นอยู่แล้ว ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงหยิบตั๋วเงินห้าร้อยตำลึงให้เขาหนึ่งใบ
“ข้ารบกวนพี่รองจองหนึ่งโต๊ะที่หอซื่อฟาง”
ต่งซิวเต๋อดีใจขึ้นมาทันพลัน ดูสิ เขายังเป็นน้องเขยที่ยอดเยี่ยม
เมื่อนึกถึงคำว่าน้องเขย ต่งซิวเต๋อก็นึกถึงน้องสาวที่ถูกขังอยู่ในจวน
“น้องสาวข้า นางยังคงดิ้นรนอยู่ เจ้าสบายใจได้”
คำพูดนี้ ราวกับต่งชูหลานเป็นปลาที่อยู่บนเขียง
“สองวันมานี้ท่าทางของบิดาข้าดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย อย่างน้อยก็มิมีท่าทีเข้มงวดอย่างที่ผ่านมา โดยเฉพาะเมื่อวาน ข้าเห็นสีหน้าของบิดาดูทนทุกข์ยิ่ง ท่านเดินไปเดินมาอยู่ภายในเรือนของน้องสาวข้า เดินไปเดินมาอยู่หลายรอบ หลังจากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเสียยาวเหยียด เจ้าได้ใช้กลอุบายอันใดแล้วหรือไม่ ข้ามิเคยเห็นท่านพ่อมีท่าทางยอมแพ้เยี่ยงนี้มาก่อนเลย”
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองต่งซิวเต๋อ นึกสงสัยว่าองค์หญิงใหญ่ลงไปพบเสนาบดีต่งแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
เพียงไม่นาน หยูเวิ่นหวินก็มาถึงโรงเตี๊ยม นั่นทำให้ต่งซิวเต๋อตื่นตระหนกยกใหญ่ เพราะหยูเวิ่นหวินมักไปหาต่งชูหลานที่จวนต่ง ดังนั้นต่งซิวเต๋อจึงรู้จักตัวตนของหยูเวิ่นหวินเป็นอย่างดี
เป็นการพบพานที่น่าประหลาดยิ่ง ต่งซิวเต๋อกำลังจะคารวะ แต่หยูเวิ่นหวินก็จับเขาเอาไว้ “อย่าโหวกเหวกไป เรียกข้าว่าพี่สาวก็เพียงพอแล้ว”
“ฝ่า… มิใช่ เจ้าอ่อนกว่าข้าชัด ๆ !”
“เรียกข้าว่าพี่สาว ! ”
“อ่อ พี่สาว”
“อืม เยี่ยม ! ” หยูเวิ่นหวินหัวเราะ ต่งซิวเต๋อเหลือบมองหยูเวิ่นหวินและเหลือบไปมองฟู่เสี่ยวกวน นี่มันมิถูก ฝ่าบาทเข้ามาทำอันใดในห้องของฟู่เสี่ยวกวนกัน?
ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวงเพียงไม่กี่วันก็เกี้ยวองค์หญิงเก้าได้แล้วหรือ ?
แล้วน้องสาวของข้าจะทำเยี่ยงไร?
เพียงแค่คิดว่าน้องเขยจะโผบินไป ต่งซิวเต๋อก็ไร้เรี่ยวแรง ในยามนี้เขากำลังมองฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวินพูดคุยกัน ท่าทางเล่นหูเล่นตา อากัปกิริยาที่ชิดเชื้อสนิทสนม——มิได้ น้องสาวของเขาไร้หนทางจะออกมาจากจวน แต่จะปล่อยให้น้องเขยผู้นี้ถูกนางจิ้งจอกพาตัวไปมิได้เป็นอันขาด
“แค่ก ๆ น้องเขยเอ๋ย…”
ยังมิทันที่ต่งซิวเต๋อจะกล่าวจบก็ถูกหยูเวิ่นหวินเอ่ยแทรกขึ้นมาเสียก่อน หยูเวิ่นหวินเชิดหน้าคอตั้ง และจ้องมองต่งซิวเต๋อ “เรียกเขาว่าพี่เขย ! ”
“…..”
ต่งซิวเต๋อตะลึงงัน นี่มันหมายความว่าเยี่ยงไรกัน ?
ก็เป็นน้องเขยมิใช่หรือ เหตุอันใดจึงเปลี่ยนเป็นพี่เขยกัน ?
พี่สาว… โอ้ ไม่ !
ที่แท้ก็ความสัมพันธ์ของมือที่สาม !
“ได้ยินหรือไม่ บอกให้เจ้าเรียกเขาว่าพี่เขย ! ”
ในใจของต่งซิวเต๋อสับสนอย่างยิ่ง น้องเขยกลายมาเป็นพี่เขย แต่พี่สาวคนนี้ก็มิใช่พี่สาวของเขาจริง ๆ เยี่ยงนั้นพี่เขยก็จะมิใช่พี่เขยของเขาจริง ๆ เป็นแน่ ?
เมื่อถูกบีบบังคับด้วยอำนาจของหยูเวิ่นหวิน ต่งซิวเต๋อก็ก้มหน้าหลบอย่างชาญฉลาด และเอ่ยออกมาเสียงแผ่วเบา “นั่น…พี่เขย นี่ก็สายมากแล้ว พวกเราควรออกเดินทางหรือไม่ ?”
“ไปที่ใด ?” ดวงตาของหยูเวิ่นหวินเป็นประกาย
“ไปหลานถิงจี๋ ประกาศรายชื่อออกวันนี้ ข้าอยากจะไปดูว่าใครจะได้เลื่อนขั้นอีกกัน”
“ไป ข้าจะไปด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็จนใจอย่างยิ่ง หยูเวิ่นหวินมีนิสัยที่ร่าเริง แตกต่างจากนิสัยของสตรีสมัยนี้อย่างเห็นได้ชัด
นางมิเคยตกอยู่ในสภาพที่ยากลำบากเฉกเช่นสตรีเหล่านั้น นางมีความคิดเป็นของตนเองอย่างเห็นได้ชัด แท้จริงแล้วต่งชูหลานก็มีลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน เพียงแค่การแสดงออกของต่งชูหลานค่อนข้างจะคลุมเครือ อย่างน้อยต่งชูหลานก็มิมีความกล้าที่จะบอกให้พี่ชายของนางเรียกเขาว่าน้องเขยเยี่ยงนี้
นิสัยของพวกนางมีส่วนที่เหมือนกับหญิงสาวในชีวิตก่อน มีความคิดความอ่านที่เป็นของตัวเอง และอยากกำหนดทิศทางชีวิตของตนเอง กล้าที่จะรัก กล้าที่จะเกลียด และมีความกล้าที่จะไล่ตามความฝัน
นี่คืออุปนิสัยที่ฟู่เสี่ยวกวนชื่นชมอย่างมาก เหมือนกับที่เขาเคยได้กล่าวกับจางเพ่ยเอ๋อร์ไป การแต่งงานคือการมีปณิธานเดียวกันจึงจะมีความสุขไปด้วยกัน ก็คือต้องรู้และเข้าใจซึ่งกันและกัน
ทั้งหมดออกเดินทางไปยังทะเลสาบเว่ยยาง ต่งซิวเต๋อเดินทางไปหอซื่อฟางเพื่อจองโต๊ะเสียก่อน ฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวินรวมทั้งซูม่อ ชุนซิ่วและหงจวงทั้งห้าคนขึ้นเรือไปยังหลานถิงจี๋
มีทั้งบัณฑิตที่ร่วมสอบในครานี้ มีทั้งบัณฑิตที่จะเข้าร่วมสอบในภายภาคหน้า และมีบุตรีของตระกูลใหญ่อีกมากมาย
บัณฑิตที่เข้าร่วมในการสอบครานี้กระวนกระวายใจและตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วยามก่อนจะถึงเวลาประกาศรายชื่อ ในยามนี้ราวกับอยู่ในฤดูหนาวมานานนับสิบปี
และที่บุตรีของตระกูลใหญ่มากัน แน่นอนว่ามาเพื่อดูรายชื่อบนประกาศนั้น ผู้ที่มีรายชื่อบนนั้นต่างก็เป็นจิ้นซื่อ หากได้อยู่ในสิบอันดับแรก ก็จะได้เข้าวังหลวงเพื่อเข้าร่วมการทดสอบ
หากเป็นผู้ได้คะแนนสูงสุดของการสอบของวังหลวง ก็จะได้เป็นจอหงวน
ฟู่เสี่ยวกวนมิค่อยเข้าใจเรื่องการสอบนี้เท่าใด แต่เขาก็มิได้เข้าร่วม ที่ถูกต่งซิวเต๋อลากมานี้ก็เพื่อมาดูความสนุกสนานเพียงเท่านั้น
เขาคิดว่ามันมิได้ต่างจากการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเท่าไหร่ แน่นอนว่าเขาเคยเข้าสอบแต่มิได้ครึกครื้นถึงเพียงนี้ จนถึงขั้นที่ว่าในยามที่ผลคะแนนออกก็ยังคงขนย้ายอิฐอยู่ในสถานที่ก่อสร้าง
จำได้ว่าเป็นครูประจำชั้นที่โทรมาหา เขามิได้ร้อนใจแต่อย่างใด แต่เขากลับสอบได้เป็นอันดับที่หนึ่งของเขต แต่ก็มิได้เก่งกาจเท่าอันดับที่หนึ่งของมณฑล
เหมือนจะเป็นที่สาม นานเกินไปแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนมิอยากจะคิดถึงเรื่องเล็กน้อย เขามิได้ไปชิงเป่ย และถูกจับตัวไปยังฐานลับ
หลังจากนั้นก็เริ่มศึกษาเรียนรู้และฝึกฆ่าคน หลังจากนั้นจึงได้ย้ายร่างมาที่นี่ และกลายเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดิน
ฉากละครของชีวิต
ฟู่เสี่ยวกวนและพรรคพวกเดินไปรอบ ๆ หลังจากนั้นก็พบเห็นคนกลุ่มหนึ่ง
เยี่ยนซีเหวินเป็นผู้นำ และเหล่าวัยรุ่นที่กินดื่มด้วยกันในวันนั้น แน่นอนว่าในยามนี้ยังมีผู้คนอีกมากมายที่เพิ่มเติมเข้ามา ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้จัก แต่หยูเวิ่นหวินรู้จัก
“ดูไปแล้วครานี้ดูน่าสนใจอย่างยิ่ง บุตรชายของตระกูลใหญ่ทั้งหกต่างมาร่วมการสอบในครานี้ มิรู้ว่าผู้ใดกันจะได้เข้าวังไปเป็นสามอันดับแรก”
ตอนที่ 102 เรื่องร้อนใจของต่งชูหลาน
ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งจะรายงานถึงรายละเอียดนโยบายนั้นเรียบร้อย ผู้เฝ้าประตูก็เข้ามาบอกว่าองค์หญิงเก้าขอเข้าพบ
ภายในใจฉินปิ่งจงมีคำถามผุดขึ้นมามากมาย แต่เขาทำได้เพียงลุกขึ้นจากนั้นเดินไปต้อนรับ
หยูเวิ่นหวินยืนอยู่หน้าประตู เอามือกอดอก เมื่อเห็นฉินปิ่งจงเดินออกมา นางก็รีบเดินหน้าไป
ฉินปิ่งจงกำลังจะทำความเคารพ หยูเวิ่นหวินรีบเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ฉินอย่าได้ทำเช่นนี้ เวิ่นหวินมาโดยไม่ได้กล่าวล่วงหน้าเพราะว่าต้องการพบฟู่เสี่ยวกวน”
เมื่อพูดจบหยูเวิ่นหวินก็ขยิบตาให้ฟู่เสี่ยวกวนและต่งชูหลาน จากนั้นจึงเดินตามฉินปิ่งจงเข้าไปในห้องหนังสือ
“เรื่องราวเป็นเช่นนี้ นโยบายของเจ้า เสด็จพ่อได้อ่านแล้วกล่าวว่าจะใช้เจ้า”
ฟู่เสี่ยวกวนออกอาการดีใจ ยิ้มและกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงมีพระปรีชาญาณอย่างที่คาดไว้จริง ๆ ”
หยูเวิ่นหวินมองค้อนเขา ในใจนางคิดว่าตนนั้นเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขามากเพียงใด แต่เขากลับยิ้มออกมาอย่างสบายใจเช่นนี้
“ฝ่าบาทได้ทรงตรัสหรือไม่ว่าเมื่อใดจะให้ข้าเข้าพบ ? ”
“ยังมิได้ตรัส แต่คาดว่าจะเป็นหลังงานชิวเหวย”
เอาเถอะ ยังมีเวลาอีก 2 วัน ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ปล่อยวางเรื่องนี้ไว้ แล้วหันไปคุยกับฉินปิ่งจงต่อ
“จากที่ข้ารู้มา ปีนี้หลังจากอุทกภัยที่แม่น้ำหวงเหอ อำเภอใกล้เคียงตลอดเมืองต่าง ๆ ราคาธัญพืชได้ปรับสูงขึ้นกว่าเดิม 5 เท่า นโยบายการตรึงราคาข้าวของเจ้าน่าจะได้ผล แต่มีอย่างหนึ่งที่ข้าไม่เข้าใจเท่าไรนัก ผู้ประสบภัยเหล่านั้นจะนำเงินที่ไหนมาซื้อข้าวกัน ? พวกเขาไม่เหลือกระทั่งที่อยู่อาศัย หลังจากอุทกภัยผ่านไป สิ่งแรกที่พวกเขาต้องทำก็คือปลูกบ้าน แม้ว่าจะพอมีเงินทองเหลืออยู่บ้าง ก็ต้องนำมาปลูกบ้านใหม่ มิใช่นำมาซื้อข้าวสาร”
“เรื่องนี้ท่านโปรดฟังข้าอธิบาย ความจริงแล้วหลังจากเกิดภัยพิบัติขึ้น ผู้ประสบภัยจะเดินทางไปยังเขตเมืองข้าง ๆ ที่ไม่ได้รับผลกระทบและพำนักชั่วคราว ท่านอย่าได้ดูถูกความกระตือรือร้นของพวกเขาเชียว พวกเขาจะสร้างที่อยู่อาศัยง่าย ๆ ขึ้นสำหรับอยู่อาศัยชั่วคราว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรอให้ทุกอย่างดีขึ้นและสามารถกลับไปยังที่ที่พวกเขาเคยอาศัยอยู่โดยเร็วที่สุด ในเวลานี้พวกเขาจำเป็นต้องซื้ออาหาร แต่ราคาอาหารในขณะนี้ยังไม่ได้รับการควบคุม และแม้แต่อาหารที่ใช้ในการบรรเทาสาธารณภัยก็เข้าสู่ตลาดขายในราคาสูง ความต้องการอันดับแรกของผู้คนก็คือการมีชีวิตอยู่ และไม่ว่าอาหารจะมีราคาสูงเพียงใด พวกเขาก็จำเป็นต้องซื้อกิน ดังนั้นพวกเขาจึงใช้เงินที่เหลืออยู่ในมืออย่างรวดเร็ว กระทั่งเลือกที่จะขายที่นาเพื่อให้อยู่รอด เมื่อเงินจากการขายที่ดินถูกใช้ไปจนหมด พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหนี “
“ปัญหานี้เกิดจากราคาอาหารที่สูงขึ้น เจ้าของที่ดินและพ่อค้าข้าวกักตุนอาหารเพื่อบรรเทาภัยพิบัติไว้ โดยการสมรู้ร่วมคิดกับทางการ ดังนั้นผู้ประสบภัยจึงมีไม่พอกินต้องแย่งกันซื้อในราคาสูงจนกระทั่งหมดตัว ในขณะที่เจ้าของที่ดินและพ่อค้าข้าวจะใช้โอกาสนี้ซื้อที่ดินในราคาต่ำ นี่คือเป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขา ! โปรดทราบว่าทั้งหมดนี้ก็เพื่อซื้อที่ดินในราคาต่ำเท่านั้น ! แต่ถ้าราคาอาหารคงที่ ผู้ประสบภัยก็สามารถใช้จ่ายเงินที่เหลืออยู่ในมือของพวกเขาให้ผ่านความอดอยากนี้ไปได้ อีกทั้งผืนนายังอยู่ในมือพวกเขาตามเดิม และสามารถกลับไปทำมาหากินของตนเองต่อไปได้”
“หากทางราชสำนักต้องการซื้อใจประชาชน จงไปปลูกสร้างบ้านเรือนให้พวกเขาใหม่ คาดว่าพวกเขาจะซาบซึ้งในพระคุณไปตลอดชีวิต”
“แท้จริงแล้วความต้องการของประชาชนมิได้มากมายเลย เพียงมีอาหารประทังชีวิต พวกเขาก็พอใจแล้ว”
“หากเป็นเช่นนี้ก็จะสามารถจัดการปัญหาผู้ประสบภัยได้ดีขึ้น หากจะทำให้ละเอียดกว่านี้ ควรจะจดทะเบียนสตรีเด็กและคนชรา อีกทั้งให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาหากมีกำลังพอ จัดหาโอกาสในการจ้างงานให้พวกเขาได้เช่น…การสร้างเขื่อนหรือซ่อมกำแพง ใช้แรงงานของตัวเองเพื่อแลกกับค่าจ้าง จะช่วยแก้ปัญหาได้โดยธรรมชาติ “
ฟู่เสี่ยวกวนแม้จะพูดยาวไปเสียหน่อย แต่เมื่อฉินปิ่งจงครุ่นคิดดูอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็พยักหน้าเห็นด้วย
“แต่หากเป็นเช่นนี้ พื้นที่เหล่านั้นก็จะไม่สามารถถูกกดราคาขายได้ หากฝ่าบาททรงใช้นโยบายของเจ้าจริง เจ้าอาจจะถูกผู้คนมากมายอาฆาตเอาได้”
แน่นอนว่าปัญหานี้ฟู่เสี่ยวกวนคำนึงถึงก่อนแล้ว อย่างไรเสียบัดนี้เขาก็ได้ถูกผู้คนหลายกลุ่มโกรธแค้นอยู่แล้ว หากจะมีเพิ่มอีกสักหน่อยคงไม่เป็นไร
หยูเวิ่นหวินที่เพิ่งเข้ามากลางคันไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร ได้ยินเพียงบทสรุปเท่านั้น ยังคิดว่านโยบายนี้น่าสนใจยิ่ง มิน่าเล่าเสด็จพ่อจึงให้ความสนใจ
ต่งชูหลานมีความกังวลเล็กน้อย ข้าราชการต่าง ๆ เปรียบเสมือนแหขนาดใหญ่ที่หว่านล้อมไปทั่ว นโยบายของฟู่เสี่ยวกวนนั้นต้องการยุติการขายไร่นาที่ไม่เป็นธรรม แท้จริงแล้วข้าราชการทั้งหลายจะเสียผลประโยชน์จากตรงนี้ไป ใครจะรู้ได้ว่าข้าราชการคนใดอยู่ฝ่ายไหน ? หรือมีผู้ใดที่อยู่เบื้องหลังเขาเหล่านั้น ? ”
จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนและฉินปิ่งจงก็ได้พูดคุยถึงปัญหาอื่น ๆ ฉินปิ่งจงมีนิสัยเป็นกันเอง เขาคิดว่าสหายของเขาผู้นี้สมควรแล้วที่ทำการผูกมิตรกัน หากนโยบายของเขาถูกนำไปใช้ คงจะเป็นมีผลดีต่อประชาชนและประเทศมากทีเดียว
ท้องฟ้าเริ่มมืดลง ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ได้เดินทางออกจากจวนฉิน
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานนั่งรถม้าไปคันเดียวกัน หยูเวิ่นหวินกล่าวขอโทษเรื่องที่เดินทางไปจวนต่ง แต่ต่งชูหลานมิได้ถือโทษเนื่องจากนางรู้ว่าหยูเวิ่นหวินมิรู้เรื่องที่ตนถูกกักบริเวณ
“หลังกลับจากหลินเจียง ข้าก็มิได้ออกมาจากจวนเลย ท่านแม่คอยจับตามองอยู่คล้ายกับจับผิดอะไรบางอย่างได้”
“ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไร ? ”
“ไม่เป็นไร เรื่องนี้เจ้าอย่าได้คิดมาก ข้าเองก็ไม่รู้จะบอกเจ้าเรื่องเสี่ยวกวนเดินทางมาเมืองหลวงอย่างไรดี ทำได้เพียงแอบออกไปยามวิกาลเท่านั้น”
“ตื่นเต้นมากใช่หรือไม่ ? ”
“เจ้ามิอยากลองดูบ้างหรือ ? ”
“ต้องอยากแน่ มิเช่นนั้น…คืนพรุ่งนี้ข้าก็แอบออกมาบ้างเป็นยังไง ? ”
……
……
ต่งชูหลานเดินเข้าไปทางประตูใหญ่ของจวนต่งอย่างกล้าหาญ
ห้องโถงด้านหน้ายังคงมีไฟส่องสว่าง นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ จากนั้นตั้งสติชั่วครู่และเดินเข้าไป เสนาบดีต่งและฮูหยินกำลังนั่งอยู่ที่ด้านใน
เมื่อนางเดินเข้าไป เสนาบดีต่งวางหนังสือลงและมองไปที่นาง เอ่ยถามว่า “ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อไหร่ ? ”
ต่งชูหลานตกตะลึง เสนาบดีต่งเอ่ยต่อไปว่า “เขามีเรื่องวิวาทกับเยี่ยนซีเหวินที่หลานถิงจี๋ จากนั้นพวกเขาได้เดินทางไปหอซื่อฟางด้วยกัน แต่สิ่งนี้เป็นเรื่องธรรมดา สิ่งที่พ่อต้องการถามเจ้าคือ เหตุใดเขาจึงกล่าวว่าเจ้าคือคู่หมั้นของเขา ? ”
ท่าทางเรื่องนี้จะหลุดไปถึงหูท่านพ่อเสียแล้ว แต่ต่งชูหลานได้เตรียมแผนรับมือไว้ล่วงหน้า เพียงแต่ไม่คาดคิดว่าจะเร็วเพียงนี้
“ลูกและฟู่เสี่ยวกวนให้คำมั่นสัญญากันแล้วว่าจะเป็นคู่กันตลอดไป”
จากเดิมต่งชูหลานคิดว่านางต้องใช้ความกล้าหาญมากในการเอ่ยประโยคนี้ออกมา แต่แท้จริงแล้วไม่ยากเท่าไร อีกทั้งเมื่อเอ่ยจบกลับโล่งใจกว่าเดิม
“ไร้สาระ ! ”
ต่งคังผิงฟาดหนังสือลงไปที่โต๊ะ “เรื่องใหญ่โตเพียงนี้เหตุใดเจ้ากล้าทำโดยไม่คิด ! พ่อจะบอกเจ้าตรงนี้ว่า เจ้าและฟู่เสี่ยวกวนไม่มีทางเป็นไปได้ ! ”
ต่งชูหลานฟังด้วยความสงบ ต่งคังผิงสูดลมหายใจเข้าและเอ่ยด้วยเสียงต่ำว่า “เดิมทีเจ้ามีสติปัญญาหลักแหลม เหตุใดเรื่องนี้จึงได้โง่เขลานัก ? ฟู่เสี่ยวกวนเป็นบุตรของพ่อค้าที่ดิน เขามิได้มีตำแหน่งทางราชการสักน้อย และบัดนี้เนื่องจากความไม่รู้ของเขาที่ช่วยผู้ประสบภัยไว้กว่าสามหมื่นคน กำลังสร้างความเดือดร้อนมาแก่เขา เจ้ารู้หรือไม่ ? ”
“พ่อจะบอกกับเจ้าว่า ไม่เกินหนึ่งเดือนตระกูลฟู่แห่งหลินเจียงจะอันตรธานไป เพราะเหตุนี้ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเยี่ยงไร เจ้าก็มิอาจแต่งงานกับฟู่เสี่ยวกวนได้ ! ”
“ในวันนี้เยี่ยนซือเต้าเดินทางมาพบพ่อ เยี่ยนซีเหวินกำลังจะเข้ารับตำแหน่งที่ต่างแดน ส่วนเรื่องของเจ้าทั้งสองนั้น ก่อนที่เยี่ยนซีเหวินจะเดินทางออกจากเมืองหลวง จะต้องจัดการให้เสร็จสิ้น ! ”
ตอนที่ 101 การรวมตัวยามค่ำคืน
หยูเวิ่นหวินออกจากวังหลวงขึ้นรถม้าและตรงไปยังจวนต่ง
จิตใจของนางร้อนรนอย่างยิ่ง ครุ่นคิดถึงนโยบายของฟู่เสี่ยวกวนที่ได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อ เสด็จพ่อตรัสแล้วว่าต้องการจะใช้เขา และจะต้องพระราชทานตำแหน่งให้เป็นแน่ เมื่อมีสถานะกับทางราชสำนัก และรวมกับการแต่งตั้งจากเสด็จพ่อ เกรงว่าคนเหล่านั้นจะมิกล้าแตะต้องเขาอีกแล้ว
ข่าวที่ดีเยี่ยงนี้ นางอยากจะไปเจอหน้าฟู่เสี่ยวกวน และเล่าข่าวดีนี้ให้เขาฟัง
เมื่อมาถึงจวนต่ง ฮูหยินต่งก็ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง องค์หญิงเก้าและบุตรีของนางมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นางย่อมชื่นชอบ และองค์หญิงเก้าก็มาหาอยู่บ่อยครั้ง จนนางคุ้นชินแล้ว
“ฝนตกหนักถึงเพียงนี้ หากฝ่าบาทมีธุระกับชูหลานแค่ส่งจดหมายมาก็พอเพคะ มิจำเป็นที่ฝ่าบาทจะต้องมาด้วยตนเองเลย ทอดพระเนตรสิเพคะ เสื้อผ้าเปียกชื้นหมดแล้ว ประเดี๋ยวจะไม่สบายเอานะเพคะ”
หยูเวิ่นหวินหัวเราะน้อย “ข้าหาได้บอบบางถึงเพียงนั้น ท่านป้า ชูหลานอยู่หรือไม่ ? ”
“อยู่เพคะ หม่อมฉันนำทางให้พระองค์เองเพคะ”
“ขอบพระคุณท่านป้า”
ทั้งสองเดินพูดคุยกันไปทางด้านหลังเรือน ในยามนั้นซูม่อกำลังคุกเข่าอยู่บนสันกำแพงทางด้านหลังเรือน สวมหมวกสานและห่มเสื้อคลุม หยิบขวดสุราขึ้นมาและดื่มมันครั้งแล้วครั้งเล่า น่าสงสารยิ่ง
เขาได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นแผ่วเบา จึงเงยหน้าขึ้นไปมอง…หยูเวิ่นหวินและฮูหยินต่ง !
นางมาที่นี่ได้เยี่ยงไรกัน ?
จะจัดการอย่างไรดี ?
หลังจากนั้นเขาก็หันไปมองทางด้านหลังของทั้งสองคน หงจวงยืนอยู่ใต้ต้นกุ้ยฮวา และกำลังจ้องมองมาทางเขาอย่างระมัดระวัง
จบสิ้นแล้ว ไร้โอกาสที่จะทำให้ทั้งสองคนนั้นสลบลงไปแล้ว
ซูม่อครุ่นคิด เก็บขวดสุราคาดไว้ที่เอว เดินข้ามผ่านกำแพง และพลิกตัวลงไปยืนบนพื้น เขาไม่ได้เข้าไปรบกวนหยูเวิ่นหวินและฮูหยินต่ง แต่กลับเดินไปทางหงจวง
“เจ้ากำลังจะทำอะไร ?” มือของหงจวงยังคงกุมอยู่ที่ด้ามดาบ ดวงตาเย็นชาคู่นั้นยังคงมิผ่อนคลาย
“หากข้ากล่าวว่าข้ามาเฝ้ายาม เจ้าจะเชื่อหรือไม่ ? ”
หงจวงเอียงศีรษะหันมองไปทางหยูเวิ่นหวิน และพยักหน้า “ข้าเชื่อ นั่นหมายความว่าชูหลานมิได้อยู่ที่นี่ใช่หรือไม่ ? ”
“เป็นเยี่ยงนั้น ตอนนี้เรื่องราวมันขัดแย้งกันหมดแล้ว จะจัดการเยี่ยงไร ? ”
“นั่นมิใช่เรื่องของข้า ข้าสนว่าเขาจะจัดการเยี่ยงไร”
และแล้วก็มีเสียงตื่นตระหนกดังขึ้นมา “ชูหลาน ชูหลาน ว้าย… !”
คาดว่าฮูหยินต่งคงพบแล้วว่าผู้ที่นอนอยู่บนเตียงนั้นเป็นสาวใช้นามว่าเสี่ยวฉี ซูม่อแบมือทั้งสอง “บอกกับองค์หญิง คุณชายฟู่และคุณหนูชูหลานไปจวนของอาจารย์ฉิน ข้าต้องไปแล้ว”
กล่าวจบซูม่อก็กระโดดข้ามกำแพงไป และหายตัวไปภายใต้ฝนของยามค่ำคืน จวนต่งในยามนี้ตกอยู่ในความอลหม่าน
“ตามคนมา ตามคนมาเดี๋ยวนี้ มีคนชั่วมาลักพาตัวชูหลานไปแล้ว ! ”
คบเพลิงจากทุกที่ในจวนต่งต่างไปรวมตัวกันที่ท้ายเรือน ทหารยามหลายสิบนายตกอยู่ในความแตกตื่น เสี่ยวฉีคลำท้ายทอยที่ยังคงปวดเล็กน้อยและมองไปรอบ ๆ ด้วยสายตาว่างเปล่า
หงจวงยกยิ้ม เจ้าหนุ่มนี่ช่างใจกล้า ถึงขนาดกล้าใช้กลอุบายเยี่ยงนี้มาชิงตัวคน !
นางเดินไปหาหยูเวิ่นหวินด้วยท่าทีตึงเครียด หยูเวิ่นหวินได้ยินเยี่ยงนี้ ตื่นตะลึงขึ้นมาทันพลัน ครุ่นคิดใคร่ครวญ และนางจึงกล่าวกับฮูหยินต่งด้วยอารามตื่นตระหนก “โอ้ ท่านป้า เข้าใจผิดไปแล้ว เมื่อครู่ข้าเพิ่งนึกได้ว่าข้าได้นัดชูหลานไปที่วังหลวงในตอนค่ำ ท่านดูการจดจำของข้าสิ เกรงว่าจะคลาดกันระหว่างผ่านทาง ท่านอย่าได้ตื่นตกใจไป ประเดี๋ยวข้าจะส่งชูหลานกลับมา เมื่อเป็นเยี่ยงนี้ ข้าคงต้องรีบกลับไปโดยด่วนแล้ว”
ฮูหยินต่งชะงักนิ่งยืนอยู่กับที่ ด้วยสีหน้างุนงง มิใช่ชูหลานถูกกักบริเวณ วันนี้นางอยู่ในจวนทั้งวันมิได้ออกไปไหน แล้วฝ่าบาทไปนัดกับชูหลานเมื่อใดกัน?
และต่อให้ฝ่าบาทนัดกับชูหลานไว้แล้ว แล้วเหตุใดเสี่ยวฉีจึงถูกทำให้สลบและสวมรอยนอนอยู่บนเตียงด้วยกัน?
นอกจากนี้ยังมีทหารยามที่อยู่ทางด้านหลัง เขากล่าวจะต้องมีฝีมือระดับสูง เขามิทันได้เห็นหน้าว่าใครก็ถูกทำให้สลบเสียก่อน เห็นได้ชัดว่านี่คือการลักพาตัว และเมื่อครู่องค์หญิงก็ตื่นตระหนกอย่างยิ่ง เหตุใดจึงได้เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเยี่ยงนี้?
เกรงว่าจะมีเรื่องลับลมคมใน จะต้องตรวจให้ดีเสียแล้ว!
……
…..
ในจวนของฉินปิ่งจง คนห้าคนนั่งล้อมรอบโต๊ะน้ำชาหนึ่งตัว
ฉินรั่วเสวียกำลังต้มชา และฟู่เสี่ยวกวนก็กำลังพูดคุยกับฉินปิ่งจง
“แต่เดิมข้าแค่คิดจะทำความดี แต่คาดไม่ถึงว่าจะเป็นการทำลายเรื่องดี ๆ ของตระกูลผู้อื่น ความจริงแล้วตัวข้ามิได้ตระหนักถึงเรื่องนี้เลย แต่ก็ได้หลิงเจียงจือโจวขุนนางระดับสูงหลิวเอ่ยเตือนมา ดังนั้นจึงได้รีบเดินทางมายังเมืองหลวง”
“ได้ยินเจ้ากล่าวเยี่ยงนี้ข้าก็รู้สึกว่ายิ่งต้องรับมือกับเรื่องนี้อย่างระมัดระวัง แท้จริงกล่าวไปก็เป็นขุนนางของต้าหยูทั้งสิบสามกรม และเป็นนักเรียนของข้าอีกมากมาย” ฉินปิ่งจงส่ายหน้าและหัวเราะให้กับตนเอง “พวกเขาขึ้นมาถึงเมืองหลวงเป็นครั้งคราวก็เพื่อมาหาข้า เพื่อส่งของขวัญเหล่านี้ แท้จริงแล้วข้าทราบว่านั่นเพราะข้ายังคงมีชื่อเสียงอีกเล็กน้อย พวกเขาส่วนมากต้องการไปเยี่ยมเยียนจวนอัครมหาเสนาบดีหรือเสนาบดีทั้งหกกรมหรือราชครูผู้อาวุโสเฟ้ยและคนอื่น ๆ นั่นคือความเข้าใจของข้า อย่างไรในท้ายที่สุดข้าก็ลาออกจากทางราชสำนักมานานแล้ว และมิมีอำนาจใด ๆ ”
ฉินปิ่งจงไม่ได้เข้าไปยุ่งเรื่องเล็กน้อยที่คนผู้นี้มิแยแส เขาจึงเอ่ยถามอีกครา “เจ้าได้เดินทางมาถึงเมืองหลวง คิดว่าคงมีแผนรับมือแล้ว เจ้าวางแผนไว้เยี่ยงไรรึ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มเยาะ “กล่าวแบบมิเกรงว่าพี่ชายจะหัวเราะเลย แต่เดิมข้านั้นตัดสินใจตามหาเวิ่นหวินโดยผ่านทางชูหลาน เพื่อไปหาพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยต่อ โอนสินทรัพย์ทั้งหมดของตระกูลข้าไว้ใต้พระนามซั่งกุ้ยเฟยหรือองค์หญิงเก้า ข้านำมาแม้แต่โฉนดที่ดินเสียด้วยซ้ำ เยี่ยงนั้นก็จะได้รับคุ้มครองจากพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย และคนเหล่านั้นคงมิกล้าแตะต้องตระกูลฟู่ของข้า”
ต่งชูหลานเอียงศีรษะหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน คนผู้นี้มิเคยกล่าวถึงมาก่อน หมายความว่าเขาได้เปลี่ยนความตั้งใจไปแล้วสินะ
ฉินปิ่งจงหัวเราะ “ก็เป็นหนทางที่ดีหนทางหนึ่ง กล่าวไปแล้ว เรื่องระหว่างเจ้าและองค์หญิงเก้า…” ฉินปิ่งจงเหลือบมองต่งชูหลาน
เนื่องจากที่ฟู่เสี่ยวกวนกล้าฝากฝังสินทรัพย์ของตระกูลตนเองไว้ใต้พระนามของพระสนมซั่ง คิด ๆ ดูแล้วเรื่องระหว่างฟู่เสี่ยวกวนและองค์หญิงเก้าก็ได้มีการพัฒนาขึ้นมา
เพียงแต่หากฟู่เสี่ยวกวนได้กลายเป็นพระราชบุตรเขย และต่งชูหลานจะทำเยี่ยงไร ?
“ท่านอย่าได้เดาไปเรื่อย ข้ามิมีทางไปเป็นพระราชบุตรเขยได้หรอก แต่ถึงอย่างไรข้าก็ต้องตบแต่งกับหยูเวิ่นหวินอยู่ดี เรื่องนี้มิได้เร่งรีบ”
ฉินรั่วเสวียหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน อภิเษกสมรสกับองค์หญิงเก้า ท่านถือดีอะไรรึ ?
รูปลักษณ์หล่อเหลาเยี่ยงนั้นหรือ ?
เป็นผู้ประพันธ์ความฝันในหอแดงหรือ ?
หรือว่าเพราะมีนามอยู่บนหินเชียนเปยสือกัน ?
พี่ใหญ่ นั่นคือองค์หญิงเลยนะ !
หากต้องอภิเษกสมรสกับองค์หญิง นอกเสียจากท่านจะเป็นองค์ชายต่างสกุล แต่ท่านเป็นเพียงเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียงเท่านั้น ห่างไกลจากองค์ชายมากโข… เอาเถิด ฉินรั่วเสวียไร้หนทางจะจินตนาการได้
แท้จริงแล้วฉินปิ่งจงก็นึกสงสัย เพียงแค่มันคงไม่ดีที่จะถามเรื่องความรักส่วนตัวของเหล่าชายหญิง จึงกลับไปยังหัวข้อเมื่อครู่
“ตั้งแต่ที่เจ้าปล่อยวางที่จะเสาะหาพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย ในตอนนี้มีแผนที่ดีอีกหรือไม่?”
“ฝ่าบาทได้ออกราชโองการเรื่องการสอบจอหงวนใช่หรือไม่? ข้าจึงเขียนเกี่ยวกับนโยบายบรรเทาสาธารณภัย หากเข้าพระเนตรฝ่าบาท ต้องคอยดูว่าจะมีโอกาสได้เข้าเฝ้าหรือไม่ เพียงแค่ให้ข้ามีโอกาสได้เข้าเฝ้าฝ่าบาท ข้าก็จะฉวยตำแหน่งขุนนางมาได้”
เรื่องการสอบจอหงวนฉินปิ่งจงย่อมทราบอยู่แล้ว แรกเริ่มเดิมทีเขายังคงไปดูที่หอหลานถิงอยู่เสมอ ๆ แต่ก็ยังมิมีบทความใหม่เข้ามา เขาเองก็กำลังครุ่นคิดว่าจะปราบปรามเรื่องการฉ้อโกงของบรรเทาทุกข์เยี่ยงไร จนถึงในวันนี้ก็ยังมิเห็นหนทาง
“ไหนลองเล่านโยบายของเจ้ามาให้ข้าฟังสิ”
ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงกล่าวนโยบายออกไปทีละข้อ แน่นอนว่าเขามิได้กล่าวถึงประโยคยอเกียรติในส่วนเริ่มต้นออกไป
ฉินปิ่งจงขมวดคิ้วเป็นบางเวลา พยักหน้าเป็นครั้ง สงสัยเป็นบางครา และครุ่นคิดเป็นบางคราว
ก่อนหน้านี้ต่งชูหลานก็มิรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนเขียนอะไรไว้ พอมาได้ฟังในยามนี้ ก็เผยความรู้สึกออกมาอย่างมากมาย
ฉินรั่วเสวียเองก็ฟังอย่างตั้งใจ แต่ก็มิเข้าใจนัก เพียงแค่รู้สึกว่าคงจะลึกซึ้งอย่างยิ่ง
ส่วนฉินเฉิงเย่นั้นฟังไม่เข้าใจทั้งสิ้น ในใจครุ่นคิดแต่เพียงเรื่องของซีซานที่ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งกล่าวมาเมื่อครู่
เขาสนใจเรื่องราวของซีซานเป็นอย่างยิ่ง ครุ่นคิดว่าจะขอร้องท่านปู่ดีหรือไม่ ว่ายามที่ฟู่เสี่ยวกวนกลับจากหลินเจียง เขาก็จะไปซีซานด้วย
ตอนที่ 100 ข้าต้องการใช้เขา
สายฝนที่โปรยลงในฤดูใบไม้ร่วง ปะทะกับใบไม้แห้งเสียงดังกรอบแกรบ ทำให้รู้สึกเหงาใจและโดดเดี่ยวเสียจริง
ณ สวนด้านหลังของวังเตี๋ยอี๋ในพระราชวังหลวง หยูเวิ่นหวินกำลังยืนอยู่ที่ศาลาซิ่วชุนแต่เพียงลำพัง
ฝนเม็ดหนาตกสู่ชายคาศาลาซิ่วชุนคล้ายเป็นม่านน้ำตก ราวกับหน้าต่างปกคลุมสำหรับฤดูใบไม้ร่วง แต่มิอาจบดบังทัศนียภาพของนางไปได้
ดอกกุ้ยฮวาร่วงหล่นจากต้นเป็นกองโต สีเหลืองอร่ามกระจัดกระจายไปทั่วทั้งพื้น อีกทั้งต้นกล้วยสีเขียวมากมายบริเวณมุมกำแพงนั่นถูกน้ำฝนชะล้างเกิดเป็นสีเขียวชอุ่มในฤดูใบไม้ร่วง
สวนเบญจมาศนั้นอยู่ห่างออกไปเกินจะมองเห็น แต่คาดว่าดอกไม้เหล่านั้นคงจะมีสีสันงดงามตระการตา เพียงแต่มิรู้ว่าบัดนี้จะร่วงโรยไปมากน้อยเพียงใด
สายลมโบกพัดเม็ดฝนมากระทบกับใบหน้าอันงดงามของนาง ชุดที่สวมใส่ก็เริ่มเปียกปอน แต่นางหาได้รู้สึกตัวไม่ บัดนี้ภายในใจมัวแต่เป็นห่วงองค์หญิงสามและคำนึงถึงฟู่เสี่ยวกวน
องค์หญิงสามหยูชิงหลานกล่าวว่า นางต้องการออกไปใช้ชีวิตนอกกำแพงวัง นางอยากออกไปที่ทุ่งหญ้า และนำอารยธรรมของราชวงศ์หยูไปเผยแพร่แก่พวกเขาเหล่านั้น แต่เสด็จพ่อกลับมิทรงเห็นด้วย
แต่ฮั่วหวยจิ่นเล่าจะทำเยี่ยงไร ?
หยูเวิ่นหวินนึกได้ดังนั้น หยูชิงหลานจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า “หวยจิ่น……รู้เรื่องนี้แล้ว”
ท่านพี่มีเรื่องไม่สบายใจ หยูเวิ่นหวินนั้นรู้ดีว่ารอยยิ้มเมื่อครู่มิได้ออกมาจากใจจริง รอยยิ้มช่างเยือกเย็นกว่าฝนที่โปรยลงมานี้เสียด้วยซ้ำ
เช่นนั้นความลับที่ถูกปกปิดไว้นี้คืออะไรกันแน่ ?
นางได้เอ่ยถามเสด็จแม่ พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยที่กำลังต้มซุปโสมอยู่ จึงเอ่ยตอบว่า “หลังจากพี่สามของเจ้าเดินทางจากไป หากเจ้ามีเวลาจงลองไปเข้าเฝ้าพระสนมเอกหนิงกุ้ยเฟยดู”
นางนึกถึงฟู่เสี่ยวกวนขึ้นมา ในวันนี้ได้ยินเรื่องราวจากสองฝั่งแม่น้ำหวงเหอว่าหนักหนามากทีเดียว มีผู้ถูกจับกุมกว่าสิบคนแล้ว ตำแหน่งสูงสุดคือจือโจว ต่ำสุดคือนายอำเภอ และนี่ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น !
ราชสำนักสั่นคลอน องค์ฮ่องเต้ทรงพิโรธ !
“จงไปนำตัวพวกมันกลับมายังเมืองหลวง ข้าจะลงโทษพวกมันให้สาสม ! ”
เรื่องนี้ทำให้ขุนนางหลายคนขาดผลประโยชน์อีกทั้งยังต้องโทษ หลังจากนั้นพวกเขาก็พากันโกรธแค้นฟู่เสี่ยวกวนราวกับพายุโหมกระหน่ำ
หรืออาจจะ……ไร้เมฆและลมฝนก็เป็นได้
จะทำเยี่ยงไรดี ?
หรือข้าควรจะเข้าเฝ้าเสด็จพ่อให้แต่งตั้งฟู่เสี่ยวกวนเป็นพระราชบุตรเขยเลย เช่นนี้จึงจะสามารถปกป้องตระกูลฟู่จากลมพายุในครั้งนี้ได้
หยูเวิ่นหวินตัดสินใจได้ดังนั้นก็เดินออกจากศาลาซิ่วชุนไป บ่าวรับใช้กางร่มให้นางเดินฝ่าเม็ดฝนโปรยปราย
……
……
สำนักอักษรวังหลวง
แสงอาทิตย์ลับตาลง ขันทีเจี่ยทำการจุดเทียนไฟเพิ่มแสงสว่าง
องค์ฮ่องเต้แห่งราชวงศ์หยู “หยูยิ่น” กำลังนั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะมังกร บนโต๊ะนั้นมีหนังสือกองโต เป็นกระดาษที่เก็บรวบรวมมาจากกำแพงหลานถิงจี๋ เรื่องนโยบายบรรเทาสาธารณภัยนั่นเอง
ฝ่าบาททรงขมวดคิ้วแล้วนั่งพิงพระวรกายมายังเก้าอี้มังกร แผ่นแล้วแผ่นเล่าก็ยังไม่ทรงมีนโยบายที่พอพระทัย
ไม่ว่าจะเสนอแนะให้มีการส่งคนไปควบคุมยามแจกจ่าย หากพบการทุจริตให้ลงโทษอย่างเด็ดขาด หรือส่งตัวแทนจากราชสำนักไปดูแลพื้นที่เดือดร้อน ให้ประหารผู้ทำผิดต่าง ๆ นานา
ช่างไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย
ทันใดนั้นขันทีโกวกงกง หัวหน้าขันทีได้เดินเข้ามา ในมือถือถาดไม้ โค้งคำนับและเอ่ยว่า “เชิญฝ่าบาททรงเลือกพะย่ะค่ะ”
หยูยิ่นตะลึงชั่วขณะ เมื่อมองออกไปข้างนอกจึงพบว่าท้องฟ้ามืดลงแล้ว
ฝ่าบาททรงโบกมือและกล่าวว่า “ไปเรือนซั่งกุ้ยเฟย……ให้นางเตรียมซุปโสมไว้ให้ข้าด้วย”
“พะย่ะค่ะฝ่าบาท !” ขันทีโกวกงกงโค้งคำนับและเดินจากไป ขณะที่องค์ฮ่องเต้กำลังจะลุกขึ้น ก็ทรงหยิบกระดาษอีกแผ่นหนึ่งขึ้นมา เมื่อทรงอ่านดูแล้วก็ตกตะลึง
ตัวอักษรช่างน่าเกลียดเสียจริง เหตุใดจึงกล้าใช้ลายมือเช่นนี้มาเขียนจดหมายส่งถึงข้ากัน !
ฝ่าบาททรงกริ้วมาก จากเดิมก็ทรงกริ้วที่ไม่มีนโยบายใดใช้ได้อยู่เป็นทุนเดิมแล้ว หนำซ้ำยังต้องมาพบเห็นตัวอักษรเช่นนี้อีก อยากจะรู้เสียจริงว่าเป็นใครกันที่บังอาจเช่นนี้
ฟู่เสี่ยวกวน ?
ฟู่เสี่ยวกวน !
ชื่อนี้ฝ่าบาททรงเคยได้ยินมาก่อนหน้านี้ ประโยคที่ว่าเพื่อเป็นศูนย์กลางของสวรรค์และโลก เพื่อสร้างชีวิตให้ประชาชนนั้น ชางกวนเหวินซิ่วได้นำมามอบให้ด้วยตนเอง
อีกทั้งหนังสือความฝันในหอแดงก็เช่นกัน ทั้งนางสนมและองค์หญิงต่างอ่านหนังสือเล่มนี้และกล่าวว่าช่างเขียนได้ดียิ่ง ฝ่าบาทเองก็ทรงได้อ่านและเห็นด้วยกับคำชื่นชม ยังมีเหตุการณ์ที่งานกวีไหว้พระจันทร์ที่หลานถิงจี๋ ทำนองเพลงแห่งสายน้ำของเขาได้ถูกจารึกลงในหินเชียนเปยสือบรรทัดที่หนึ่ง สิ่งเหล่านี้ทรงทำให้ฝ่าบาทชื่นชมเขายิ่งนัก
จากเดิมฝ่าบาทคิดว่าอย่างน้อยเขาคงจะได้เป็นจวี่เหริน และทรงรอฟู่เสี่ยวกวนเข้าร่วมงานชิวเหวยแต่ในรายชื่อผู้เข้าร่วมนั้นกลับไม่มีเขา
บัดนี้เขาได้เห็นชื่อนี้สักที แต่ตัวอักษรนี้…หรือจะมีใครแอบอ้างชื่อเขากัน ? หรือฟู่เสี่ยวกวนนี้จะมิใช่ฟู่เสี่ยวกวนนั้น ?
สีหน้าของฝ่าบาทเปลี่ยนไปทันที ขันทีเจี่ยที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ก็ตกตะลึง หรือว่าจะมีเนื้อหาต้องห้ามในจดหมายนั้น ?
มิน่าจะเป็นไปได้ จดหมายทุกฉบับเขาได้อ่านผ่านตาแล้ว นอกจากมีฉบับหนึ่งที่ตัวอักษรไม่น่ามอง นอกจากนั้นก็ไม่มีฉบับใดที่มีเนื้อหาต้องห้าม แล้วฝ่าบาททรง…
องค์ฮ่องเต้ทรงฝืนใจหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นมาอ่าน
สีหน้ากริ้วเมื่อครู่จางหายไปทันที อีกทั้งยังอ่านไปพยักหน้าไป ทรงขมวดคิ้วครุ่นคิดบ้างบางครา สุดท้ายได้วางลงเบา ๆ
และทรงมองออกไปด้านนอกหน้าต่างอีกครั้ง ท่ามกลางสายฝนพรำ ฝ่าบาททรงครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ผ่านไปเนิ่นนานทรงได้หยิบกระดาษนั้นขึ้นมาและพิจารณาใหม่อีกครั้งจากต้นจนจบ สีหน้าบ่งบอกถึงความไม่เข้าใจ เจี่ยกงกงจึงเข้าใจในทันที ไม่รู้ว่าผู้ใดกันที่โชคดี เกรงว่านโยบายของเขาคงเป็นที่พอพระทัยของฝ่าบาท
องค์ฮ่องเต้ครุ่นคิดอีกชั่วครู่ จากนั้นหยิบกระดาษไว้ในมือ ลุกขึ้นและกล่าวว่า “ไปวังเตี๋ยอี๋ ! ”
ณ วังเตี๋ยอี้ พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยต้มซุปหอมกรุ่นเสร็จพอดี นางหันไปมองหยูเวิ่นหวินที่ยังนั่งอยู่และเอ่ยถามว่า
“เสด็จพ่อเจ้าใกล้จะมาแล้ว ยังไม่กลับไปอีกหรือ ? ”
“ข้าต้องการพบเสด็จพ่อ เรื่องนี้เพียงเสด็จพ่อทรงออกคำสั่ง ตระกูลฟู่จึงจะพ้นเคราะห์ภัย”
ซั่งกุ้ยเฟยยิ้ม “เรื่องนี้ข้ามีแผนการอยู่ เจ้าจงกลับไปเถอะ”
“เสด็จแม่เพคะ ถ้าฟู่เสี่ยวกวนเป็นอะไรเพียงเล็กน้อย…..ข้าจะไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อไป ! ”
องค์ฮ่องเต้เสด็จเข้ามาได้ยินพอดี พระพักตร์ทรงเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
“ลูกหญิงเก้าที่รักของข้าอยู่ที่นี่ด้วยรึ ? ทำไมกัน ? ฟู่เสี่ยวกวนเป็นอะไร ?”
“ถวายบังคมเพคะเสด็จพ่อ” หยูเวิ่นหวินรีบคุกเข่าลง หยูยิ่นหัวเราะออกมาว่า “น้อยครั้งที่เจ้าจะคุกเขาคารวะข้า ไหนลองกล่าวมาว่ามีเรื่องใดให้พ่อช่วย ?”
หยูเวิ่นหวินเบ้ปากแล้วเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “ลูกอยากขอร้องให้เสด็จพ่อออกคำสั่งแต่งตั้งฟู่เสี่ยวกวนให้เป็นพระสวามีลูกเพคะ !”
หยูยิ่นหัวเราะออกมาเสียงดัง พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยถือถ้วยซุปออกมาให้ฝ่าบาทด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
“นี่…นี่มันน่าขันตรงไหนเพคะ ?” หยูเวิ่นหวินอายเสียจนหน้าแดง
ฝ่าบาททรงนั่งลงและมองดูองค์หญิงน้อยแล้วตรัสว่า “เจ้าลุกขึ้นเถิด หากเจ้าเอ่ยมาก่อนหน้านี้ พ่อคงจะอนุญาตอย่างแน่นอน แต่บัดนี้ไม่ได้เสียแล้ว”
หยูเวิ่นหวินตกตะลึง “เพราะเหตุใดเพคะ ?”
“เพราะว่าข้าต้องการใช้เขา”
หยูเวิ่นหวินอ้าปากค้าง แม้กระทั่งพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเองก็สงสัยเช่นกัน เหตุใดฝ่าบาท จึงต้องการใช้ฟู่เสี่ยวกวน ?
หยูยิ่นหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมายื่นให้หยูเวิ่นหวินแล้วตรัสว่า “เจ้าลองดูว่านี่ใช่ลายมือเขาหรือไม่ ? ”
เมื่อหยูเวิ่นหวินมองดูก็พบว่านี่คือลายมือของเขาจริง ๆ ลายมือที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน
นโยบายบรรเทาสาธารณภัย ! เขาอยู่ที่หลินเจียงมิใช่หรือ ? แล้วนโยบายแผ่นนี้มาจากที่ใด ?
“เขาอยู่ที่เมืองหลวง สิ่งนี้ได้มาจากศาลาหลานถิง พ่อได้อ่านดูแล้วเห็นว่ามีประโยชน์ยิ่ง แต่มีบางสิ่งยังไม่เข้าใจนัก จึงต้องการเรียกตัวเขาเข้าพบ”
ฟู่เสี่ยวกวนมาเมืองหลวงงั้นหรือ ?
หยูเวิ่นหวินดีใจมาก ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาเมืองหลวงแต่ไม่อาจเข้ามาในวังหลวงได้ เขาต้องไปหาต่งชูหลานแน่นอน เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงรีบลุกขึ้นโค้งคำนับและกล่าวว่า “เสด็จพ่อเสด็จแม่เพคะ ราตรีสวัสดิ์ ! ”
ตอนที่ 99 ตระกูลใหญ่ผู้มีอำนาจทั้งหก
รัชสมัยเซวียนลี่ ปีที่ 8 เดือนเก้าวันที่ยี่สิบหก ต้าหยูชิวเหวยวันที่หนึ่ง ฤดูใบไม้ร่วงฝนตกประปราย
วันนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ออกไปข้างนอก แผนการบรรเทาทุกข์ยังต้องรอให้ชิวเหวยผ่านพ้นไปก่อนจึงจะทราบผลลัพธ์ได้ เมืองหลวงดูแปลกไป ยามกลางวันหมดหนทางจะไปเจอกับต่งชูหลาน เขาจึงเลือกนั่งสมาธิและฝึกคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางไปตามประสา
ยังนั่งได้ไม่นานเท่าไหร่ ชุนซิ่วก็มารายงาน คุณชายรองตระกูลต่งมาพบเขาอีกแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด ก็ลุกขึ้นและต้อนรับต่งซิวเต๋อเข้ามา
ชุนซิ่วชงชาสองกาแล้วก็ถอยเท้าไปยืนอยู่ทางด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนมองต่งซิวเต๋อแล้วเอ่ยถามว่า “วันนี้เป็นวันชิวเหวยมิใช่หรือ ? ”
“มิได้ไป ถึงไปก็สอบมิผ่าน”
ชายผู้นี้ถือว่าฉลาด “ท่านมิกลัวบิดาท่านเฆี่ยนท่านเอารึ ? ”
เมื่อวานได้คุยกับชูหลาน เขาจึงรู้สถานการณ์ของจวนต่งมาโดยประมาณแล้ว
“โดนเฆี่ยนจนชินแล้ว…เจ้าว่าบิดามารดาเป็นคนโง่หรือไม่ ข้าถูกพวกเขาทุบตีตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ พวกเขาก็ยังมิรู้แจ้งกันว่าการตีข้ามิได้ทำให้ปัญหาคลี่คลายได้ ไม่นึกจะใคร่ครวญถึงหนทางอื่นบ้างเลยหรือ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ และเอ่ยถาม “เยี่ยงนั้นท่านว่ายังมีหนทางอื่นใดอีกหรือ ? ”
“อย่างเช่น…ให้เงินข้า ไม่แน่ว่าข้าอาจจะเรียนได้มากขึ้นก็เป็นได้”
คนผู้นี้ไร้ความสามารถยิ่ง โลภตั้งแต่หัวจนจรดปลายเท้า
บางทีอาจเพราะเป็นช่วงเช้าและด้านนอกท้องฟ้าก็ยังมืดครึ้ม คุณชายรองต่งไม่ได้ชวนฟู่เสี่ยวกวนออกไปเดินเล่น ทั้งสองคนนั่งดื่มชาและพูดคุยกัน แต่กลับเพิ่มและเติมเต็มความรู้สึกมาได้ไม่น้อย
ฟู่เสี่ยวกวนคอยทำให้กลมกลืนกันไป เผชิญหน้ากับคุณชายรองต่งผู้นี้เขาก็ต้องใช้ภาษากลางที่ใช้คุยด้วยกัน จนทำให้คุณชายรองต่งนึกชังที่เพิ่งจะมาได้พบพานกันเอาในตอนนี้
หลังจากการแนะนำด้วยความตั้งใจของฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็กล่าวถึงกลุ่มอำนาจในเมืองหลวง
“ตระกูลผู้มีอำนาจทั้งหกในเมืองหลวง อันดับหนึ่งในตอนนี้ย่อมเป็นตระกูลเยี่ยน แต่เยี่ยนหวินชวนก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างความรุ่งโรจน์ของไท่เหอ บุตรชายของเขา เยี่ยนเป่ยซี ก็ได้เป็นอัครมหาเสนาบดีของรัชสมัย ถึงแม้จะเทียบมิได้กับเยี่ยนหวินชวน แต่เมื่อได้ฟังแล้วก็ยังดูยอดเยี่ยมยิ่ง ส่วนเยี่ยนซือเต้ารุ่นที่สามของตระกูลเยี่ยน คนผู้นี้เริ่มต้นจากตำแหน่งนายอำเภอ ก็ได้ไต่ระดับขึ้นมาจนได้รับตำแหน่งเสนาบดี ถึงแม้จะหลีกหนีไม่พ้นจากความช่วยเหลืออย่างสุดกำลังของตระกูลเยี่ยน แต่คนผู้นี้ก็ย่อมมีจุดที่ยอดเยี่ยมของตนเองที่กล่าวกันไว้ว่าจากรุ่นสู่รุ่น กล่าวได้ว่าเยี่ยนซือเต้าผู้นี้ก็น่านับถือ ส่วนรุ่นที่สี่ของตระกูลเยี่ยน ผู้ที่มีพรสวรรค์ที่สุดก็คือเยี่ยนซีเหวิน แต่ข้าก็มิได้มองเยี่ยนซีเหวินในแง่ดีนัก”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงเอ่ยถาม “เหตุใดกัน ? ”
“กล่าวกันไว้ว่าคนรวยจะมีไม่เกินสามช่วงอายุ เขาเป็นรุ่นที่สี่แล้ว! นอกจากนี้เขายังต่อกรกับเจ้ามิได้ จะเอาอันใดขึ้นไปรับช่วงต่อ ? ”
ประโยคนี้ได้กล่าวออกมา…ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเบา ๆ แต่ก็มิได้พูดอะไรออกไป
“ผู้คนต่างถกเถียงกันถึงตระกูลที่มีอำนาจเป็นอันดับสองของเมืองหลวงอย่างมากมาย ก็มีคนที่คิดว่าเป็นตระกูลชือ และก็มีคนที่คิดว่าเป็นตระกูลเฟ้ยเช่นเดียวกัน หากตามที่ข้ามองก็ควรจะเป็นตระกูลชือ เพราะกิจการของตระกูลชือใหญ่โตอย่างยิ่ง ข้าจะบอกกับเจ้า นอกจากชาวฮวง ชาด แป้งน้ำและผ้าไหมที่สดสวยของตระกูลชือก็ได้ถูกส่งออกไปยังแคว้นฝาน แคว้นอี๋และราชวงศ์อู๋ หากจะกล่าวว่าตระกูลชือร่ำรวยจนเป็นศัตรูต่อแคว้น นี่ก็มิใช่เรื่องที่เกินจริง อย่างไรก็ตามหัวหน้าตระกูลชือคนปัจจุบันชือเฉาหยวนก็ดำรงเป็นเสนาบดีกรมพิธีการ ผู้ที่เข้ากันได้กับทุกฝ่าย”
“ส่วนตระกูลเฟ้ย ราชครูอาวุโสเฟ้ยยังมีชีวิตอยู่ แต่อย่าได้ดูแคลนผู้อาวุโสผู้นี้ไป เขานั้นเป็นผู้บุกเบิกที่แท้จริงของสามราชวงศ์ เป็นเสนาบดีผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ว่ากันว่าด้วยอำนาจและชื่อเสียงในรัชสมัยนั้น แม้แต่อัครมหาเสนาบดี เยี่ยนเป่ยซี ก็ถูกเขากดทับเอาไว้เช่นกัน เมื่อได้มาครุ่นคิดก็ทราบได้เลยว่าผู้อาวุโสผู้นี้เก่งกาจถึงเพียงไหน ราชครูอาวุโสเฟ้ยมีบุตรชายทั้งหมด 4 คน บุตรคนโต เฟ้ยอัน อายุ 50 ปี เคยเป็นถึงแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพทางใต้ แต่ปัจจุบันได้เกษียณออกมาแล้ว และทำนาอยู่ที่เขตหนานหลิงนอกเมืองหลวง”
“อะไรนะ ทำนาหรือ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ แม่ทัพใหญ่ของราชวงศ์ทำนา? คนผู้นี้น่าสนใจจริง ๆ
“ใช่แล้ว เขาทำนาด้วยตนเองถึง 10 หมู่ ถึงขั้นเคยกล่าวไว้ว่า ชีวิตชนบทนั้นค่อนข้างสบาย”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า ต่งซิวเต๋อดื่มชาเข้าไปหนึ่งคำ แล้วกล่าวขึ้นมา “เฟ้ยปัง บุตรชายคนที่สองของราชครูอาวุโสเฟ้ย ปีนี้อายุ 45 ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกรมกลาโหม เฟ้ยติ้ง บุตรคนที่สามของราชครูอาวุโสเฟ้ย ปีนี้อายุ 42 ดำรงเป็นต้าฝู ผู้ตรวจการของฝ่ายตรวจการ อย่าได้มองว่าเป็นขุนนางชั้นสาม แต่เขามีสิทธิ์ในการตรวจสอบขุนนางนับร้อยคน ! ”
ต่อจากนั้นต่งซิวเต๋อก็ได้กล่าวถึงตระกูลผู้มีอำนาจทั้งหกที่ยังเหลืออยู่อย่างตระกูลเซวี๋ย ตระกูลสีและตระกูลฉิน
เหล่าตระกูลผู้มีอำนาจนี้ต่างก็มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ตัวอย่างเช่นตระกูลเซวี๋ยที่มีกิจการเรือขนส่งที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า มีอู่เรือ และท่าเทียบเรือ และอื่น ๆ เป็นของตนเอง
ตระกูลสีมีทุ่งเลี้ยงสัตว์ที่ดีที่สุดของราชวงศ์หยู ม้าศึกของราชวงศ์หยูแทบจะเป็นของตระกูลสีทั้งสิ้น และกองทัพทั้งสี่ทิศของต้าหยู ตระกูลสีก็มีทหารม้าที่ยอดเยี่ยมอยู่มากมาย ผู้ที่ยอดเยี่ยมที่สุดก็คือสีฉางเกอที่เกิดจากอนุ คนผู้นี้อายุได้ 35 ปี ได้เป็นผู้บัญชาการกองทหารชายแดนตะวันตก ครุ่นคิดไปแล้วปัญหาของการควบคุมกองทหารตะวันออกก็เป็นเพียงทางด้านของเวลา
สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้คาดคิดเลยก็คือตระกูลฉิน และฉินปิ่งจงก็อยู่ในตระกูลฉินเช่นกัน
ฉินปิ่งจงมิใช่หัวหน้าตระกูล หัวหน้าตระกูลฉินก็คือน้องชายของฉินปิ่งจง ฉินหยูเหิง ฉินหยูเหิงเป็นบุตรชายของฉินฮุ่ยจือและปัจจุบันก็ได้เข้าร่วมกิจการของราชสำนักในท้องพระโรง ตามที่ต่งซิวเต๋อกล่าวมา คนผู้นี้มีความสำคัญน้อยมาก แต่ก็แอบมีแนวโน้มว่าจะได้รับการแต่งตั้งเป็นอัครมหาเสนาบดี แต่ต่งซิวเต๋อมิคิดว่าฉินฮุ่ยจือจะสามารถชนะเยี่ยนซือเต้าได้ เพราะอำนาจของตระกูลเยี่ยนนั้นใหญ่ยิ่ง
เมื่อได้ฟังต่งซิวเต๋อกล่าวถึงความไม่ลงรอยกันของฉินปิ่งจงและฉินหยูเหิงจากความแตกต่างของแนวทางในการพัฒนาตระกูล จากสองพี่น้องที่ภายนอกนั้นดูสนิทสนมกันมานานแรมปี โดยเฉพาะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อรัชสมัยเซวียนลี่ ปีที่หนึ่ง จนทำให้ฉินปิ่งจงเดินทางไปยังหลินเจียง และน้อยครั้งที่จะกลับมายังเมืองหลวง
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่หนึ่ง ต้าหยูและแคว้นอี๋มีการปะทะกันที่ชายแดน หลานชายคนโตของฉินปิ่งจง ฉินถงในยามนั้นได้ดำรงตำแหน่งนายกองของกองพลทหารม้าทางชายแดนตะวันออก ฉินถงนำทัพออกศึก และได้เผชิญหน้ากับกองทัพเกราะแดงของแคว้นอี๋ ทั้งสองฝ่ายทำศึกกันที่ที่ราบสีหม่า กองทัพของเราพ่ายแพ้ ฉินถงตายในสนามรบ นี่คือประวัติศาสตร์ของผู้สละชีพแห่งที่ราบสีหม่า
หลังจากที่ฉินปิ่งจงทราบข่าวการตายในสนามรบของฉินถงก็ปิดประตูจวนถึงไป 3 วัน หลังจากที่เดินทางไปยังหลินเจียง และมิได้ไปมาหาสู่กับฉินหยูเหิงอีก ตระกูลฉินที่เมืองหลวงจึงถูกแบ่งออกเป็นสองสายเลือดอย่างแท้จริง แน่นอนว่าสายเลือดของฉินปิ่งจงไร้อำนาจ ดังนั้นตระกูลฉินในเมืองหลวง โดยทั่วไปจะหมายถึงสายเลือดของฉินหยูเหิง
“อาจารย์ฉิน เจ้าว่าเยี่ยงไรบ้าง ? เขาเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของรัชสมัย อีกทั้งยังเคยได้เป็นส่วนหนึ่งของราชสำนัก แต่คนผู้นี้เมื่อถูกย้อมไปด้วยคำของขงจื๊อก็เลี่ยงไม่ได้ที่ค่อนข้างจะคร่ำครึ เขาคิดมาโดยตลอดว่าต้องการตำราของนักปราชญ์ไปกล่อมเกลาผู้อื่น ผลลัพธ์ที่ได้กลับถูกผู้อื่นสั่งสอน จำเป็นต้องกลุ้มใจถึงเพียงนั้นเลยรึ ?”
ต่งซิวเต๋อส่ายหน้า เขาคิดว่าอาจารย์ฉินมิคุ้มค่า เขาแบมือทั้งสองออก และกล่าวอีกว่า “เจ้ากำลังจะบอกให้หมาป่าทานหญ้าห้ามทานเนื้อ นี่ นี่มัน มิไร้สาระเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“หรือว่ายังมีอะไรซ่อนอยู่ในเรื่องนี้กัน ? ”
“ข้าจะไปรู้เรื่องเท็จจริง ณ ยามนั้นได้เยี่ยงไร แต่อย่างไรยามที่ไปดื่มเหล้าก็ได้ยินเรื่องเล่ามาหนึ่งเรื่อง ยามนั้นหัวหน้ากองทหารตะวันตกก็คือเฟ้ยปัง ฉินถงได้รับคำสั่งให้ออกศึกอย่างเร่งรีบกล่าวว่านี่คือคำสั่งโยกย้ายจากเฟ้ยปัง แต่เฟ้ยปังมิได้รายงานฉินถงว่าเขานั้นกำลังเผชิญกับกองทัพเกราะแดงที่แข็งแกร่งที่สุดของแคว้นอี๋ ! ฉินถงมีกองทหารม้าเบาเพียง 1,000 นาย แต่ฝ่ายตรงข้ามเป็นกองทหารเกราะแดงถึง 10,000 นาย แต่เมื่อมาครุ่นคิดในตอนนี้ก็เหมือนกับเป็นกระดานหมากหนึ่ง หน่วยสอดแนมของฉินถงมิพบข้าศึก แต่กลับถูกฝ่ายตรงข้ามล้อมรอบ รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 3 ฤดูใบไม้ผลิ เฟ้ยปังถูกย้ายไปเป็นเสนาบดีกรมกลาโหม ผู้ที่มาแทนตำแหน่งจอมทัพกองทหารตะวันตกก็คือบุตรชายคนที่สามของเยี่ยนเป่ยซี เยี่ยนฮ้าวชู”
“หึ ขุนนางผู้หนึ่งก็ได้เป็นถึงจอมทัพของกองทหารทางตะวันตก ! ”
ต่งซิวเต๋อลุกขึ้นยืน “เรื่องนี้เจ้าอย่าได้เอาไปพูดสุ่มสี่สุ่มห้าเชียว ตอนนี้ก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว ไปหอซื่อฟางกันดีกว่าไหม ? ”
ตอนที่ 98 ค่ำคืน ณ วัดฟูจื่อ
ทุกสิ่งเงียบสงัด
ฟู่เสี่ยวกวนมีอาการมึนเมาเล็กน้อย สายตาเขายังคงมองไปยังทะเลสาบเว่ยยาง
เยี่ยนเสี่ยวโหลววางพู่กันลง และหันไปมองเขาที่ยืนอยู่ มองไปแล้วช่างโดดเดี่ยว เข้มแข็ง แต่ก็แฝงไปด้วยความเหนื่อยล้า
นางมิเข้าใจว่าเหตุใดจึงรู้สึกเช่นนี้ เขาเป็นเพียงชายหนุ่มอายุได้เพียงแค่ 16 ปี
อาจเป็นเพราะประโยคที่ว่า ‘เสียดายผกาปีหน้าที่ดียิ่งกว่า รู้ไหมว่าครุ่นคิดไว้เหมือนใคร’ ประโยคนั้นก็เป็นได้
นางอยากเข้าไปกอดเขาไว้และกล่าวว่า ปีหน้าดอกไม้จะบานสะพรั่ง และนางจะร่วมชื่นชมกับเขา
แต่นางก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ เนื่องจากยังไม่ถึงวัยอันควร อีกทั้งเพราะรู้ดีว่าฟู่เสี่ยวกวนชอบพอแม่นางต่งชูหลาน
เยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ ต่างสบตากันไปมา แสดงออกถึงความตกตะลึง
หนึ่งนั้นเพราะฟู่เสี่ยวกวนสามารถเดินไปไม่กี่ก้าวก็เอ่ยกวีที่งดงามบทนี้ออกมาได้ สองนั้นเพราะความหมายของกวีที่ต้องการสื่อ
หวนนึกถึงกวีคลื่นลมทรายบทนี้ เมื่อคิดได้ว่าคนเรามีพบย่อมมีจาก ก็รู้สึกหดหู่ใจยิ่ง
หรือเขาจะให้ความสำคัญกับมิตรภาพในครั้งนี้จริง ๆ ? แต่พวกเขาได้รู้จักกันเพียงไม่กี่วันเท่านั้น จะเกิดมิตรภาพขึ้นได้อย่างไร ? กวีบทนี้ฟังแล้วช่างสะเทือนใจยิ่งนัก และทำให้พวกเขารู้สึกละอายใจ
พวกข้า…ปฏิบัติเยี่ยงคนผู้น้อยต่อหน้ากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร !
ดังนั้นเยี่ยนซีเหวินจึงได้เอ่ยกับฟู่เสี่ยวกวนว่า “มิตรภาพของท่านนั้น ข้าเข้าใจดีแล้ว ! ข้าขอดื่มให้ท่าน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังเดินกลับไปยังที่นั่งแล้วยกแก้วขึ้นมา “มาเถอะ เอาเพลงแกล้มสุรา ชีวายาวฤๅสั้น สิ่งผ่องโศกา มีเพียงแค่สุราเทียนฉุน ! หมดแก้ว ! ”
เอาเพลงแกล้มสุรา ชีวายาวฤๅสั้น !
เยี่ยนซีโหลวหยิบพู่กันขึ้นมาอีกครั้งและเขียนประโยคนี้ลงไป นางเข้าใจถึงอักษรทุกตัว เพียงแต่ไม่เข้าใจถึงความหมายที่แท้จริง รู้เพียงว่าประโยคนี้ช่างไพเราะนักจึงได้จดเอาไว้
ส่วนด้านฟางเหวินซิงและอีกหลาย ๆ คนก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน จึงยกแก้วขึ้นแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่ฟู่ ประโยคนั้นของท่านที่ว่าเอาเพลงแกล้มสุรา ชีวายาวฤๅสั้น ช่างไพเราะมากนัก และบ่งบอกถึงอิสระที่แท้จริง ! พวกข้านั้นมิอาจเทียบได้กับท่านพี่เลย เชิญเถิด ข้า ฟางเหวินซิงและสหาย จะร่วมดื่มแก่ท่าน ! ”
บัดนี้บรรยากาศช่างครึกครื้นยิ่ง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ หลานถิงจี๋ก็ถูกฟู่เสี่ยวกวนคลี่คลายให้ดีขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ
เมื่อถึงยามบ่าย สุราได้ถูกดื่มเสียจนหมดสิ้น พวกเขามีอาการเมามายและพากันเดินทางกลับ
……
…….
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนตื่นขึ้นมาก็พบว่าท้องฟ้ามืดแล้ว จึงรีบจัดการอาบน้ำแต่งตัวและเดินทางไปยังประตูด้านหลังของจวนต่งกับซูม่อ
ต่งชูหลานนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง และนึกถึงท่าทางของพี่รองที่กลับมาอย่างมีความสุข อีกทั้งนึกถึงคำพูดที่พี่รองเล่าให้นางฟัง ใบหน้านางก็แดงระเรื่อ แก้มทั้งสองข้างของนางมีสีแดงอ่อน ๆ แทรกขึ้นมา ช่างเป็นภาพที่น่ามองเสียจริง
เขาผู้นี้ เอ่ยกับผู้คนในที่สาธารณชนว่านางคือคู่หมั้นของเขา หากเรื่องนี้แพร่ออกไปถึงหูของบิดามารดา ไม่รู้ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้น ?
แต่ต่งชูหลานก็มิได้คิดตำหนิฟู่เสี่ยวกวนแม้แต่น้อย นางกลับรู้สึกยินดีเสียด้วยซ้ำไป รู้สึกว่านางได้นำหน้าหยูเวิ่นหวินไปแล้ว ส่วนเรื่องที่บิดามารดาจะคิดอย่างไร หญิงสาวที่ตกอยู่ในความรักอย่างนางไม่ทันได้ไตร่ตรอง
บัดนี้พวกเขาใช้วิธีให้ซูม่อทุบท้ายทอยของเสี่ยวฉีและผู้เฝ้าประตูจนสลบไป จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็จูงมือชูหลานวิ่งหนี เหลือเพียงซูม่อที่คอยเฝ้าการณ์ในค่ำคืนอันเงียบสงัดนี้
ทั้งสองนั่งรถม้ามายังแม่น้ำฉินหวาย คาดมิถึงว่าจะมีฝนเม็ดเล็กโปรยลงมา
ทั้งสองเดินเล่นท่ามกลางสายฝนพรำ ต่งชูหลานเอ่ยถามถึงเหตุการณ์เมื่อกลางวันอีกครั้งหนึ่ง ฟู่เสี่ยวกวนก็เล่าให้ฟังตามจริงทุกประการ
“เจ้าไม่กลัวว่าเยี่ยนซีเหวินจะแก้แค้นงั้นหรือ ? ” ต่งชูหลานเอ่ยถามด้วยดวงตาเป็นประกาย ขนตาของนางเปียกปอนไปด้วยสายฝน
“ตอนนั้นข้าเองไม่ทันคิด รู้เพียงว่าเขาจะแย่งภรรยาของข้าไป จะให้ข้าทำอย่างไรเล่า ต่อให้ตระกูลเขาเป็นเสนาบดีถึงสามสมัยแล้วอย่างไร ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง ส่วนต่งชูหลานนั้นหน้าแดงราวกับลูกท้อ
นางกัดปากตนเองและหันหน้าไปทางอื่นเพราะมิกล้าสบตาฟู่เสี่ยวกวน “ใครตกลงว่าจะเป็นภรรยาเจ้ากัน ? ”
เสียงของนางนุ่มนวลราวกับละอองฝน ใบหน้าที่เขินอายนั้นราวกับดอกท้อที่เบ่งบานท่ามกลางสายหมอกภายใต้แสงสลัว ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกหลงใหลขึ้นมาทันที เขาดึงต่งชูหลานมาไว้ในอ้อมกอดอย่างระมัดระวัง ต่งชูหลานหัวใจเต้นแรงยิ่งกว่ากวางน้อยถูกไล่ต้อน คำพูดทุกคำติดอยู่ในลำคอ ฟู่เสี่ยวกวนวางมือข้างหนึ่งไว้ที่เอวของนาง และอีกข้างหนึ่งสัมผัสลงที่ใบหน้า ดวงตาของต่งชูหลานเบิกกว้างเมื่อฟู่เสี่ยวกวนจุมพิตลงไปที่ปากสีแดงราวกับเชอร์รี่ของเธอ
“อือ อือ……”
ต่งชูหลานตกใจและร้อนรน สำหรับหญิงสาวอายุสิบหกเช่นนาง มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องการถวิลหา แต่สิ่งนี้นอกเหนือจากที่นางจะจินตนาการได้
ฟู่เสี่ยวกวนกอดต่งชูหลานไว้แน่น ทั้งสองใกล้ชิดกันได้ยินแม้กระทั่งเสียงของหัวใจ
ริมฝีปากของเขาร้อนราวกับไฟ ต่งชูหลานพยายามขัดขืน แต่หลังจากพยายามอยู่หลายครั้งสุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่ตัวเอง
นางต้องการไฟอันร้อนแรงนั้น นางหวังจะหลอมละลายไปในเปลวไฟ
ดังนั้นนางจึงได้นำมือทั้งสองโอบไปที่คอของฟู่เสี่ยวกวน ปากเรียวบางของนางเผยอออก ลิ้นของทั้งสองสัมผัสกันอย่างเร่าร้อน…!
ไม่อาจหาคำไหนมาอธิบายในวินาทีนี้ได้ !
ท่ามกลางละอองฝน ผมของนางเปียกปอน
ต่งชูหลานยังคงโอบรอบคอของฟู่เสี่ยวกวนไว้ ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ยังคงกอดรัดที่เอวบางของนางอยู่ สายตาทั้งสองคู่สบประสานกัน พวกเขาเข้าใจกันแม้มิได้เอ่ยคำใดออกมา
“ข้าเป็นคนของเจ้าแล้ว อย่าได้รังแกข้าเชียว”
“เมื่อใดที่ภูเขาไร้เนิน แม่น้ำแห้งเหือด ฟ้าผ่าในฤดูหนาว หิมะตกในฤดูร้อน ฟ้าดินเชื่อมต่อเป็นผืนเดียว เมื่อนั้นข้าและเจ้าจึงจะแยกจากกัน ! ”
ต่งชูหลานมิได้เอ่ยคำใดออกมาอีก นางซบลงที่หน้าอกของฟู่เสี่ยวกวน นึกทบทวนคำพูดของฟู่เสี่ยวกวนในใจว่า เมื่อใดที่ภูเขาไร้เนิน แม่น้ำแห้งเหือด ฟ้าผ่าในฤดูหนาว หิมะตกในฤดูร้อน ฟ้าดินเชื่อมต่อเป็นผืนเดียว เมื่อนั้นข้าและเจ้าจึงจะแยกจากกัน !
บัดนี้ ดวงใจของทั้งสองได้หลอมรวมเป็นหนึ่ง ในอนาคตที่แสนยาวไกลนี้พวกเขาพร้อมที่จะเผชิญหน้าไปด้วยกันในทุก ๆ เรื่อง !
“ไปวัดฟูจื่อกันดีหรือไม่ ? ”
“ตกลง ! ”
ทั้งสองมุ่งหน้าไปยังวัดฟูจื่อ ระหว่างทางได้ซื้อโคมไฟติดมือไปด้วย
บันไดหินนั้นเริ่มมีตะไคร่ขึ้นปกคลุม ฟู่เสี่ยวกวนถือโคมไฟไว้มือหนึ่งและจูงมือต่งชูหลานไว้อีกข้างหนึ่ง ทั้งสองเดินขึ้นไปไม่ไกลก็พบกับประตูทางเข้าอันเก่าแก่
ประตูวัดมิได้ปิดเอาไว้ ประตูทั้งสองบานพัดไปมาตามแรงลม
ท่ามกลางลานกว้างอันรกร้าง ต้นพุทรานั้นคล้ายกับร่มกำบังขนาดใหญ่ที่ปกคลุมที่แห่งนี้
ฟู่เสี่ยวกวนเดินถือโคมไฟเข้าไปใกล้ ๆ บนต้นมีลูกพุทรามากมายตามคำร่ำลือ เขาส่งโคมไฟให้ชูหลาน จากนั้นจึงปีนขึ้นไปบนต้นพุทราด้วยท่าทางคล่องแคล่วอย่างกับลิง เมื่อเขาลงมาได้นำลูกพุทรามากมายลงมาด้วย
“ชิมดูสิ” ฟู่เสี่ยวกวนหยิบพุทราขึ้นมาลูกหนึ่งใช้เสื้อเช็ดแล้วส่งให้ต่งชูหลาน นางกัดไปคำหนึ่ง “เป็นอย่างไรบ้าง ? ”
“อืม หวานมาก เจ้าก็ลองดูสิ”
ต่งชูหลานส่งพุทราลูกที่กัดแล้วไปให้ฟู่เสี่ยวกวน “อืม หวานจริง ๆ ”
ทั้งสองกินไปพลางเดินไป ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปสำรวจรอบ ๆ วัด แต่เมื่อเขาเดินไปถึงประตูที่สองก็ได้หยุดฝีเท้าลง
เนื่องจากภายในนั้นมีโคมไฟแขวนอยู่สองโคม อีกทั้งคนสองคนยืนถือดาบอยู่
สองคนนั้นขมวดคิ้วด้วยความสงสัย เนื่องจากท่ามกลางสายฝนเช่นนี้เหตุใดยังมีคนเดินขึ้นมา ดังนั้นพวกเขาจึงยกดาบขึ้น หนึ่งในนั้นเอ่ยออกมาว่า “ที่นี่คือสถานที่หวงห้าม เชิญท่านทั้งสองกลับไปเถิด ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง ที่แห่งนี้หรือคือสถานที่หวงห้าม ?
เขามองไปยังต่งชูหลาน ต่งชูหลานส่ายหน้าเนื่องจากนางเองก็ไม่รู้
ฟู่เสี่ยวกวนจูงมือต่งชูหลานลงมา เขารู้สึกสงสัยในที่แห่งนั้นนัก เขาประหลาดใจมากจริง ๆ ในใจนึกคิดว่าวันหลังจะเรียกซูม่อให้มาดูด้วยกันอีกให้ได้
เมื่อทั้งสองกลับมาถึงตรอกหวู่อี้ ถนนหลังจวนต่ง ก็ได้ร่ำลากันด้วยความอาลัยอาวรณ์ ฟู่เสี่ยวกวนหยิบลูกพุทรากำใหญ่ให้ต่งชูหลาน
“กินพุทราเยอะ ๆ เขาว่าจะได้ลูกชาย ! ”
“เจ้า… ! ”
ต่งชูหลานหยิบมาเพิ่มอีกเล็กน้อยแล้ววิ่งหันหลังเข้าจวนไป
ตอนที่ 97 ชูจอกเหล้าขอลมบูรพา
หลังจากนั้นการเดินทางครั้งนี้จึงมีต่งซิวเต๋อเป็นผู้นำ ฟู่เสี่ยวกวนและเยี่ยนซีเหวินเดินเคียงบ่ากันไป
ฟู่เสี่ยวกวนพูดคุยกับเยี่ยนซีเหวินมาตลอดทาง เยี่ยนซีเหวินตอบเป็นบางครั้งคราว ราวกับฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนชอบพูด หลังจากนั้นไม่นานเยี่ยนซีเหวินก็เริ่มคลายปมในใจได้เล็กน้อยแล้ว จึงเริ่มเป็นฝ่ายชวนฟู่เสี่ยวกวนคุยบ้าง
เหล่าคนอื่นที่เดินตามหลังฟางเหวินซิงมานั้นก็เริ่มรู้สึกตัว ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ที่ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง ภายในระยะเวลาคลุกคลีอันสั้น เขาก็สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวได้ จนเยี่ยนซีเหวินมิมีโอกาสได้โต้กลับ ที่ดีงามที่สุดคือการยอมถอยคนละก้าว การยอมถอยนี้ราวกับได้รับการปลดปล่อย
คนผู้นี้มิต้องการมีเรื่องกับเยี่ยนซีเหวิน อย่างไรตระกูลเยี่ยนก็มีอำนาจ เพียงชี้นิ้วออกไปก็สามารถขยี้เศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงให้เป็นผุยผงได้ ดังนั้นเขาถึงได้ยอมถอยมาหนึ่งก้าว เพื่อให้เยี่ยนซีเหวินได้มีพื้นที่ มิใช่เลือกหนทางที่จะบังคับให้เยี่ยนซีเหวินต้องเสียหน้า
หลังจากนั้นคนผู้นี้ก็เชื้อเชิญเยี่ยนซีเหวินและพวกเขาด้วยมิตรไมตรี นี่ก็เพื่อไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง จนถึงขั้นสามารถเข้าใจได้ว่าเป็นการเข้าหาตระกูลเยี่ยน
แต่คนผู้นี้มีความสามารถอย่างแท้จริง กลอนบทนั้นที่เอ่ยขึ้นมาด้วยท่าทีสบาย ๆ แสดงให้เห็นแล้วว่าความหมายของการเชื้อเชิญในครานี้ก็เพื่อพบปะคนรู้จัก ทั้งยังได้ขจัดบรรยากาศที่เป็นปรปักษ์ที่ตึงเครียดเมื่อครู่ออกไป
หมัดที่ปล่อยออกมาครานี้ เยี่ยนซีเหวินคิดจะรับก็รับ มิคิดจะรับก็ต้องรับอยู่ดี
ชายผู้นี้ คิดใคร่ครวญอย่างรอบคอบและกระทำการอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ภายภาคหน้าหากพบเจอเขา อย่าได้ยั่วโทสะจะเป็นการดีที่สุด
ต่งซิวเต๋อที่เดินนำหน้ามิได้คิดอะไรให้มากมาย เขาดีใจ ดีใจอย่างยิ่ง น้องเขยผู้นี้ยอดเยี่ยมยิ่ง จัดการเยี่ยนซีเหวินให้สงบเสงี่ยมได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนทำให้เยี่ยนซีเหวินผู้นั้นมิเหลือโทสะเลยแม้แต่น้อย
น้องสาวของข้า สายตาของนางเฉียบแหลมยิ่ง !
พวกเขาเดินขึ้นไปยังห้องหรูหราบนชั้นสามของหอซื่อฟาง และแยกย้ายกันไปนั่ง ชุนซิ่วและซูม่อส่ายหัวเล็กน้อยไปทางฟู่เสี่ยวกวน พวกเขาทั้งสองคนขอนั่งรออยู่ข้างนอก
หนนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้บังคับ แต่มิใช่เพราะปัญหาทางสถานะตัวตน แต่เป็นความสบายใจ แท้จริงแล้วเขานั้นมิชอบการทานอาหารกับคนหมู่มาก โดยเฉพาะการทานอาหารที่ต้องใช้ความคิด มันน่าเหนื่อยหน่ายยิ่งนัก
ที่นั่งทางด้านซ้ายของฟู่เสี่ยวกวนคือเยี่ยนซีเหวิน และที่นั่งทางด้านขวาของเขาก็คือต่งซิวเต๋อ
“เสี่ยวเอ้อ ขอสุรา ! ” ฟู่เสี่ยวกวนตะโกนออกไปทางประตู
“มาแล้วขอรับ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนเหลือบมอง ซีชานเทียนฉุน !
ประหลาดใจนัก สุราตระกูลของตนมาขายถึงเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อใดกัน ?
เป็นเวลานานแล้วที่มิได้ใส่ใจเรื่องของหยู๋ฝูจี้ ดูเหมือนว่าจะมีสาขาย่อยที่เมืองหลวงแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนเปิดขวดสุราและรินให้กับทุกคนจนเต็มจอก แต่เมื่อมาถึงเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็ลังเลไปเสียเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นเยี่ยนเสี่ยวโหลวมิได้มีท่าทีปฏิเสธ จึงเติมให้นางจนเต็ม
“สุรานี้ ข้าเป็นผู้กลั่นเอง ! ”
ทุกคนชะงัก เยี่ยนซีเหวินหันหน้ามาเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน ในเวลานี้ซีชานเทียนฉุนและเซียงเฉวียนเป็นที่นิยมในเมืองหลวงอย่างยิ่ง แต่กลับมิมีขายในท้องตลาด สุราเหล่านี้ต่างมาจากหลิงเจียงแต่เป็นจำนวนที่น้อยนิด รวมถึงหอซื่อฟางแห่งนี้ ก็ได้ส่งคนไปซื้อถึงหลินเจียงด้วยเช่นกัน
เยี่ยนซีเหวินและเยี่ยนเสี่ยวโหลวทราบมาว่าสุราของซีซานนั้นเป็นพ่อค้าหลวงที่นำเข้ามา โดยเฉพาะยอดสุราซีซาน ที่มีเพียงท้องพระโรงเท่านั้นที่ได้ครอบครอง
คนผู้นี้ยังกลั่นสุราได้อีกเยี่ยงนั้นรึ ?
“พวกเจ้าคงมิเชื่อกัน ใต้ขวดจะมีอักษรว่าสุราหาได้ยากยิ่งในใต้หล้าซีชานเทียนฉุนที่ฉินปิ่งจง อาจารย์ฉินพี่ชายของข้าเป็นผู้เขียน เขาได้มาที่เมืองหลวงสองสามวันที่แล้ว หากพวกเจ้าได้พบกับเขา ก็สามารถถามได้”
บัณฑิตทุกคนต่างรู้จักชื่อเสียงของอาจารย์ฉินเป็นอย่างดี ได้ยินฟู่เสี่ยวกวนกล่าวประโยคนั้น โดยเขาได้เติมคำว่าพี่ชายไว้ด้านหลังของอาจารย์ฉิน ความหมายนี้จึงแตกต่างออกไป อาจารย์ฉินอยู่ที่หลินเจียงมาเนิ่นนาน เป็นไปได้หรือไม่ที่จะกลายมาเป็นสหายต่างวัยกับชายผู้นี้ ?
ครุ่นคิดแล้วก็มีความเป็นไปได้ บุรุษผู้นี้มั่งคั่งไปด้วยบทกวีและตำรา อาจารย์ฉินก็เป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งรัชสมัย ก่อนหน้านี้ทั้งสองต่างก็อยู่ที่หลินเจียง จึงมีความเป็นไปได้อย่างยิ่ง
เยี่ยนเสี่ยวโหลวหันมามองฟู่เสี่ยวกวนอีกครา นางปลดผ้าคลุมออก ประจวบกับฟู่เสี่ยวกวนที่วางจอกสุราลงพอดี เงยหน้าขึ้นมาก็ได้เห็นใบหน้างดงามที่อยู่ตรงกันข้าม ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
แต่ในใจนั้นกลับไร้ระลอกคลื่นอื่นใด เพียงแค่ประหลาดใจที่โลกใบนี้มีหญิงงามค่อนข้างมาก
เพียงแค่ครู่เดียว ฟู่เสี่ยวกวนก็ดึงสายตากลับมา และเยี่ยนซีเหวินก็ได้เอ่ยถามขึ้น “มิทราบว่าน้องฟู่มาทำอันใดที่เมืองหลวงรึ ? ”
เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนอยากกล่าวว่ามาหาต่งชูหลาน แต่เขาก็เปลี่ยนความคิด อย่าได้กระตุ้นเขาในยามนี้จะดีกว่า
“ข้าได้ยินว่าฝ่าบาทได้จัดการทดสอบขึ้นที่หอหลานถิง จึงอยากจะลองไปดู อยากทราบว่าจะสามารถเข้าพระเนตรของฝ่าบาทได้หรือไม่”
เยี่ยนซีเหวินจึงเกิดความสงสัย “ด้วยพรสวรรค์ของน้องฟู่ เหตุใดจึงมิเดินทางสายเคอจี่กัน ? ”
มาอีกแล้ว มันมาอีกแล้ว ต่งซิวเต๋อลอบตำหนิอยู่ในใจ เหตุใดเยี่ยนซีเหวินจึงได้เป็นผู้ทรงคุณธรรมเยี่ยงนี้ ? จับใครได้ก็ต้องชักชวนอยู่เรื่อย น่าเบื่อยิ่งนัก !
“กล่าวไปก็คงมิมีใครเชื่อ ในอดีตข้านั้นมิคิดจะเป็นขุนนาง ดังนั้นในวันนี้จึงยังเป็นเพียงซิ่วไฉ จึงมิมีคุณสมบัติเข้าร่วมชิวเหวย ในตอนนี้เพิ่งจะได้เข้าใจ แต่หากต้องไปทดสอบเคอจี่ แล้วจึงจะได้มาสอบจิ้นซื่อในท้ายที่สุด นั่นยุ่งยากอย่างยิ่ง และที่สำคัญเวลาของข้ามีไม่มากนัก ดังนั้น จึงเกิดความคิดว่าหากการถกนโยบายนี้สามารถทำให้ฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นได้ ก็จะสามารถประหยัดเวลาไปได้เล็กน้อยใช่หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง !
เหล่าบัณฑิตต่างประหลาดใจ แต่มิมีใครสงสัยว่าเขาจะสอบเคอจี่ จิ้นซื่อ หรือขั้นจอหงวนได้หรือไม่
เพราะฟู่เสี่ยวกวนมีชื่อเสียงอย่างมาก ในสายตาของฟางเหวินซิงและคนอื่น ๆ หากฟู่เสี่ยวกวนไปสอบ ย่อมมิมีปัญหาอันใด
มีเพียงซูม่อที่นั่งอยู่ด้านนอก การฟังของเขานั้นยอดเยี่ยม เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนั้นของฟู่เสี่ยวกวน ก็รู้สึกว่าชายผู้นี้ขี้โอ่เสียจริง
เสี่ยวเอ้อยกอาหารมา ฟู่เสี่ยวกวนจึงยกจอกสุราขึ้น “มีโอกาสได้พบเจอทุกท่านที่เมืองหลวง นับเป็นโชคดีของข้าฟู่เสี่ยวกวน จอกแรก หมดจอกสำหรับการพบพานของพวกเรา !”
ทุกคนต่างชนจอก และดื่มไปหนึ่งจอกพร้อมกัน
ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปเติมให้กับทุกคนจนเต็มอีกครา แล้วกล่าวว่า “พรุ่งนี้เป็นวันชิวเหวย จอกที่สอง ขออวยพรให้ทุกท่านได้มีชื่อบนป้ายทอง พี่ซีเหวินได้เป็นจอหงวนแล้ว ขออวยพรให้จอหงวนได้เข้าสู่ราชสำนักในเร็ววัน”
ดังนั้น จึงได้ดื่มจอกที่สองจนหมด
“เรื่องดีที่จะมาถึงพร้อม ๆ กัน ทุกท่านลงมือทานกันเถิด ประเดี๋ยวข้าจักชนจอกทีละท่าน เพื่อทำความรู้จักกับทุกท่าน เพื่อนมากมายหนทางมากมี ภายภาคหน้าหากทุกท่านเติบโตจนเป็นขุนนางชั้นสูง ก็อย่าลืมสนับสนุนฟู่เสี่ยวกวนจากหลินเจียงผู้นี้ด้วย”
บรรยากาศพลันผ่อนคลายลงมา เยี่ยนเสี่ยวโหลวปิดปากกลั้วหัวเราะ ฟางเหวินซิงและคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นแท้จริงก็เป็นบุคคลที่ไม่เลว แม้แต่เยี่ยนซีเหวินในยามนี้ก็เหมือนจะลืมต่งชูหลานไปเสียแล้ว รู้สึกว่าชายหนุ่มผู้นี้สามารถคบหาได้
ดังที่ว่าจอกสุราผลัดเปลี่ยนความสัมพันธ์ บรรยากาศจึงครึกครื้นขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ทำความรู้จักกับโจวเทียนโย่ว ฟางเหวินซิง อันลิ่วเย่ เยี่ยนเสี่ยวโหลวและคนอื่น ๆ
เมื่อดื่มสุราจนได้ที่ ทันใดนั้นเยี่ยนเสี่ยวโหลวก็กล่าวขึ้นมา
น้ำเสียงของนางแผ่วเบายิ่ง “พี่ฟู่เป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ข้านับถือเป็นอย่างยิ่ง จึงขอฉวยโอกาสนี้ พี่ฟู่จะประพันธ์กวีทำนองเสนาะเกี่ยวกับสุรางานเลี้ยงได้หรือไม่”
ภายในงานเลี้ยงเงียบลง ทุกคนต่างจ้องมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน และสายตาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวนั้นก็ร้อนแรงอย่างถึงที่สุด
“เยี่ยงนั้น ข้าคงต้องขอแสดงฝีมืออันต่ำต้อย”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวรีบเดินไปยังโต๊ะอักษรที่อยู่ข้าง ๆ ถือพู่กันไว้และรอฟัง
“คลื่นลมทราย ชูจอกสุรา ขอลมบูรพา”
ฟู่เสี่ยวกวนยืนสองมือไขว้หลังด้วยท่าทีองอาจ
“ชูจอกสุราขอลมบูรพา โปรดสงบนิ่งอยู่ด้วยกันประเดี๋ยวก่อน”
“ทางเดินต้นหลิวสีม่วงมิได้อยู่ทางบูรพา”
“เพลานั้นจับมือกันเสมอมา ท่องไปรอบบุหงานานาพรรณ”
“รวมตัวและแยกจากทุกข์ระทมจนร้อนรน ความชิงชังไร้หนทางที่สิ้นสุด”
“บุหงาปีนี้ผลิบานกว่าปีที่แล้วมา”
“เสียดายผกาปีหน้าที่ดียิ่งกว่า รู้ไหมว่าครุ่นคิดไว้เหมือนใคร ? ”
ตอนที่ 96 ข้าคือฟู่เสี่ยวกวน
ผู้ที่มีนามว่าเยี่ยนซีเหวินผู้นี้ ฟู่เสี่ยวกวนเคยได้ยินฉิงปิ่งจงเอ่ยให้ฟังที่สำนักศึกษาหลินเจียง
ในตอนนั้นฉิงปิ่งจงกล่าวกับเขาว่า “ข้าจะขอเตือนว่าเยี่ยนซีเหวินผู้นี้สอบติดจอหงวนในปีที่ผ่านมา และเขาก็ชื่นชอบแม่นางต่งชูหลานยิ่งนัก”
เมื่อต่งซิวเต๋อเอ่ยว่าซีเหวินเมื่อครู่ หากแต่เขายังไม่ทันได้คิดว่าผู้นี้ก็คือเยี่ยนซีเหวิน แต่หลังจากที่เขาได้เห็นสีหน้าและแววตาของเยี่ยนซีเหวินนั้น จึงนึกขึ้นได้ว่าผู้นี้ก็คือเยี่ยนซีเหวินนั่นเอง
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้น เมื่อครั้งที่หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานเดินทางมายังหลินเจียง ก็ได้เล่าถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่หลานถิงจี๋ให้เขาฟัง และเล่าให้ฟังว่าทำนองเพลงแห่งสายน้ำของเขานั้นเอาชนะเยี่ยนซีเหวินและพรรคพวกได้ หากวันใดที่เขาเดินทางไปเมืองหลวงและพบเข้ากับเยี่ยนซีเหวิน พวกเขาจะต้องให้ความเคารพต่อฟู่เสี่ยวกวนเหมือนกับลูกศิษย์ที่เชื่อฟังคำสั่งสอน
หากกล่าวอย่างง่าย ๆ ก็คือ ฟู่เสี่ยวกวนเป็นอาจารย์ของพวกเขาทั้งหลายนั่นเอง
ดังนั้นเขาจึงได้ส่งสายตามองไปยังลูกศิษย์กลุ่มนี้แล้วตอบกลับไปอย่างภาคภูมิใจว่า “ข้าก็คือฟู่เสี่ยวกวน ! ”
ดวงตาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวเบิกกว้าง ปากเรียวบางที่ถูกผ้าขาวปิดบังไว้บัดนี้ก็อ้ากว้าง นี่มัน……เป็นไปได้อย่างไรกัน !
เขาผู้นี้ก็คือฟู่เสี่ยวกวน ?
เมื่อสักครู่เขาเพิ่งเอ่ยว่าจะทำลายกวีบรรทัดที่หนึ่งนั่นทิ้งไปเสียมิใช่หรือ เขาเอ่ยว่ามันเป็นเหมือนป้ายหน้าหลุมศพ…สิ่งนี้เป็นความใฝ่ฝันของนักกวีทั้งหลายเชียว เหตุใดเขาจึงจะทำลายมันทิ้งกัน ?
ชายผู้นี้ สมองยังปกติดีอยู่หรือไม่ ช่างแปลกนัก !
เยี่ยนเสี่ยวโหลวมองมายังใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน จู่ ๆ นางก็รู้สึกว่าเขาไม่ได้น่ารังเกียจเหมือนเมื่อครู่ เนื่องจากในโลกนี้คงมีเพียงเขาเท่านั้นที่กล้าเอ่ยคำเช่นนั้นออกมา
เมื่อเยี่ยนซีเหวินได้ยินคำตอบนั้นก็เดินหน้าขึ้นไปสองก้าว ดวงตาทั้งคู่ของเขาจ้องมองไปยังฟู่เสี่ยวกวนและเอ่ยว่า “ข้าขอบอกเจ้าว่า แม่นางต่งชูหลานเป็นของข้า หากเจ้ากล้าคิดแตะต้องนาง ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจไปตลอดชีวิต ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้นด้วยความสงสัย ลูกศิษย์ผู้นี้กล้าขู่เขาเช่นนี้เชียว !
“เจ้าเคยอ่านตำราเซิ่งเซียนหรือไม่ ?” ฟู่เสี่ยวกวนเดินหน้าขึ้นมาสองก้าวเช่นกัน ทั้งสองอยู่ในระยะประชิดเสียจนแทบได้ยินเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายหนึ่ง
“แน่นอน ! ” เยี่ยนซีเหวินยืดอกตอบอย่างภาคภูมิใจ “ข้าเป็นถึงจอหงวนในปีที่ผ่านมา ! ”
“แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าหากคน ๆ หนึ่งไม่ซื่อสัตย์รักษาสัญญาของตน ก็มิควรเหยียบอยู่บนแผ่นดินนี้ ? ข้าขอถามเจ้าว่า ชื่อของข้าถูกจารึกไว้บนหินเชียนเปยสือนี้ ส่วนชื่อของเจ้าอยู่ที่ใดกันเล่า ? ” ฟู่เสี่ยวกวนก้าวเข้ามาอีกก้าวหนึ่ง หน้าผากของทั้งสองแทบจะชนกันอยู่แล้ว
เยี่ยนซีเหวินตื่นตระหนกขึ้นมาทันใด เขานึกได้ถึงการเดิมพันในครั้งนั้น สถานการณ์ก็เปลี่ยนไปทันที เขาถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “นั่นคือเรื่องของกวี บัดนี้เรื่องที่ข้าและเจ้าเอ่ยอยู่นั้นคือแม่นางต่งชูหลาน ! ”
“เจ้าเคยยอมรับว่าจะทำตามคำสั่งของข้าทุกประการ และถ้าหากเจอข้าก็จะให้ความเคารพยำเกรงประหนึ่งศิษย์มิใช่หรือ ? ถ้าหากเจ้าไม่ยอมรับก็ไม่เป็นไร ข้าเพียงจะนำเรื่องนี้ไปป่าวประกาศ อีกทั้งยังจะเขียนลงในหนังสือความฝันในหอแดง”
“ลูกผู้ชายกล้าทำย่อมกล้ารับ สัญญาที่ให้ไว้แน่นอนว่าข้าจะทำตาม แต่เรื่องนี้หาได้เกี่ยวข้องกับกับแม่นางชูหลานไม่ ! ”
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามเจ้าว่า กวีบทนั้นแม่นางชูหลานเป็นผู้นำมาใช่หรือไม่ ? ”
“นี่มัน…แน่นอน !”
“ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับแม่นางชูหลานหรือไม่ ? ข้าจะบอกเจ้าเอาไว้ ณ ที่นี้ว่าแม่นางชูหลานคือคู่หมั้นของข้า หากเจ้ายังกล้าคิดใด ๆ กับชูหลานในใจ ก็นับว่าไม่เคารพข้าอีกทั้งทำผิดต่อคำสัญญา ! ”
เยี่ยนซีเหวินกำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา แต่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ให้โอกาสเขาอีก ฟู่เสี่ยวกวนเดินหน้าไปอีกก้าวหนึ่ง หน้าผากของทั้งสองใกล้ชิดกันมากขึ้น แววตาอันดุเดือดจ้องมองกันเขม็ง ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยขึ้นว่า“หากเจ้ายินยอมเป็นคนที่หยาบคาย ไร้มารยาท ผิดคำพูดไร้ความน่าเชื่อถือและไม่ชอบธรรม หากยินยอมได้รับการขนานนามว่าเป็นศิษย์ผู้อกตัญญู ข้าจะช่วยให้สิ่งเหล่านี้เป็นจริงขึ้นมาเอง ! ”
เยี่ยนซีเหวินเหงื่อออกซึมเต็มหน้าผาก เขาจะกล้าทำเยี่ยงนั้นได้อย่างไร ? แต่เขาก็สัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่ตอนนี้เขาได้ถูกฟู่เสี่ยวกวนปั่นหัวเสียจนมึนงง
ฟู่เสี่ยวกวนถอยกลับไปหนึ่งก้าว สีหน้าดุร้ายเมื่อครู่หายไปในพริบตา อีกทั้งยังมีแววตาอ่อนโยนเข้ามาแทนที่อย่างรวดเร็ว ทำเอาผู้พบเห็นอย่างเยี่ยนซีเหวินนี้อกสั่นขวัญหายยิ่งนัก
ฟู่เสี่ยวกวนนำมือไปตบลงที่บ่าของเยี่ยนซีเหวินด้วยแรงมหาศาล
“เหตุการณ์เมื่อครู่เป็นเพราะเราทั้งสองยังไม่รู้จักกันดีพอ เมื่อได้พบและพูดคุยกันแล้วย่อมปรับความเข้าใจได้เป็นธรรมดา ข้ายังต้องอยู่ที่เมืองหลวงนี้อีกหลายวัน และในอนาคตจะอยู่ที่นี่นานกว่านี้เสียอีก ข้าว่าเราควรจะทำความรู้จักกันเสียใหม่ เริ่มจากข้าก่อนเจ้าว่าอย่างไร ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนตบลงที่บ่าของเยี่ยนซีเหวินอีกครั้ง เยี่ยนซีเหวินพยักหน้าตอบรับอย่างงุนงง
ฟู่เสี่ยวกวนยื่นมือข้างหนึ่งออกไปแล้วเอ่ยว่า “ข้า ฟู่เสี่ยวกวน”
เยี่ยนซีเหวินเองยังรู้สึกว่าบางสิ่งผิดไปจากปกติ แต่เขาต้องรักษาสัญญาเนื่องจากเหตุการณ์ในวันนั้นมีผู้คนอยู่มากมาย เขาไม่สามารถผิดสัญญาได้เป็นแน่ อีกทั้งแม่นางต่งชูหลานเองก็ยังให้คำสาบานด้วยเช่นกัน
ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงยอมรับในผลที่ออกมา ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ชื่นชมยินดีเท่าไรนัก แต่ก็ยื่นมือออกไปและตอบกลับว่า “ข้า เยี่ยนซีเหวิน”
เมื่อทั้งสองจับมือกัน เยี่ยนซีโหลว ซูม่อและคนอื่น ๆ ล้วนตกตะลึง
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?
ทั้งสองเป็นศัตรูกันมิใช่หรอกหรือ ?
คนหนึ่งเป็นชายหนุ่มรับราชการในเมืองหลวง อีกคนหนึ่งเป็นผู้มีพรสวรรค์จากเมืองหลินเจียง
แม้ว่าในงานเทศกาลไหว้พระจันทร์ เยี่ยนซีเหวินจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แม้จะเอ่ยว่ายอมรับในสัญญาแห่งความพ่ายแพ้ แต่ความสามารถของเขาก็มิได้ด้อยไปกว่าฟู่เสี่ยวกวน แน่นอนว่าเขาคงเก็บความอัดอั้นตันใจไว้ไม่น้อย
เรื่องที่เยี่ยนซีเหวินชอบพอแม่นางต่งชูหลานมาเป็นเวลานานนั้น บรรดาผู้มีอำนาจชื่อเสียงในเมืองหลวงต่างก็รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี แต่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นใคร เขาเพิ่งปรากฏตัวได้เพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น !
เขาออกมาหักหน้าเยี่ยนซีเหวินเช่นนี้ จะให้เยี่ยนซีเหวินเอาหน้าไปไว้ที่ไหนกัน ?
จะให้ตระกูลเยี่ยนที่รักษาความดีงามมาถึงสามรุ่นเอาหน้าไปไว้ที่ใด ?
บัดนี้เมื่อทั้งสองจับมือกันเช่นนี้ หรือว่าเยี่ยนซีเหวินจะมีใจโอบอ้อมจริง ๆ ?
ก็คงเป็นเช่นนั้น
ช่างมีคุณสมบัติของคุณชายในตระกูลใหญ่ที่ดีเสียจริง ใจกว้าง กล้าทำกล้ารับ ไม่มีใครเทียม !
ดังนั้นสายตาที่ผู้คนรอบข้างมองเยี่ยนซีเหวินก็เปลี่ยนไปเป็นชื่นชมทันที เว้นแต่จางเหวินฮั่นที่ยังมัวจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา
“ชื่อเสียงของท่านนั้นข้าเองก็เคยได้ยินมาตั้งแต่ที่หลินเจียง และได้ให้ความชื่นชมมาโดยตลอดกระทั่งวันนี้ได้พบด้วยตัวเอง ข้า ฟู่เสี่ยวกวน นับว่ามีบุญนัก พี่รองข้าได้จองโต๊ะอาหารไว้ที่หอซื่อฟาง พวกเรามีเพียง 4 คนเท่านั้น ขอเชิญพวกท่านไปร่วมโต๊ะด้วย จะได้ทำความรู้จักกันมากขึ้น พวกท่านคิดเห็นว่าอย่างไร ? ”
เยี่ยนซีเหวินครุ่นคิดชั่วครู่ หากไม่ไปก็อาจจะถูกกล่าวหาว่าใจแคบ แต่หากตกลงไป จะกินอะไรลงกันเล่า ?
“พวกข้านั้นก็ได้จองโต๊ะอาหารไว้ที่หอซื่อฟางเช่นกัน เมื่อถึงเวลาข้าจะไปดื่มให้กับท่าน” คำว่าอาจารย์นั้น เยี่ยนซีเหวินยังไม่สามารถเรียกฟู่เสี่ยวกวนว่าอาจารย์ได้ จึงได้ใช้คำอื่นที่ฟังดูให้ความเคารพแทน
ฟู่เสี่ยวกวนตบบ่าเยี่ยนซีเหวินแล้วเอ่ยว่า “เป็นเช่นนี้ก็ได้ เรามารวมโต๊ะเข้าด้วยกัน ทุกท่านจะได้ไม่เงียบเหงา เอาตามนี้ละ นี่ถือว่าเป็นความต้องการของอาจารย์ หากเจ้ายังกล้าปฏิเสธละก็คงได้ตัดความสัมพันธ์กันเป็นแน่ ไปกันเถอะ ! จะมีอะไรสำคัญไปกว่าการได้พบเจอคนที่ถูกคอเช่นนี้ แม้อยู่ห่างไกลก็ยังได้เดินทางมารู้จักกัน การได้พบกับทุกท่านในวันนี้ถือว่าเป็นเรื่องดียิ่งนัก ข้า ฟู่เสี่ยวกวน ช่างโชคดีเสียจริง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ให้เวลาพวกเขาครุ่นคิด เขาโบกมือและกล่าวเชิญว่า “ไปกันเถอะ ! ”
จางเหวินฮั่นมิได้เดินตามไปด้วย แต่หาได้มีใครสังเกตเห็นเขาไม่ ที่แท้เขามิเคยอยู่ในสายตาของคนพวกนั้นเลยหรือนี่
เยี่ยนเสี่ยวโหลวเดินตามหลังพี่ชายไป นางมองไปยังรูปร่างสูงใหญ่นั้นที่ดูมั่นคงหนักแน่น คำกล่าวเมื่อครู่ของเขาที่ว่าจะมีอะไรสำคัญไปกว่าการได้พบเจอคนที่ถูกคอเช่นนี้ แม้อยู่ห่างไกลก็ยังได้เดินทางมารู้จักกัน เขาผู้นี้…คือผู้ที่มีความสามารถจริง ๆ !
พี่ชายของนางได้ต่อกรกับเขาเมื่อครู่และพ่ายแพ้ แพ้อย่างราบคาบเสียด้วย
เขาผู้นี้ได้ใช้คำพูดบีบบังคับในตอนแรก จากนั้นก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน คล้ายกับรู้จักพี่ชายนางมาหลายปีอย่างไรอย่างนั้น
พลิกฝ่ามือบังคับเมฆ ปกมือบังคับฝน คำอุปมานี้ไม่ได้เกินไปกว่าความสามารถของเขาจริง ๆ ช่างมีความสามารถนัก !
ตอนที่ 95 เจ้าก็คือฟู่เสี่ยวกวน
เยี่ยนเสี่ยวโหลวหันหน้าไปเหลือบสายตามองฟู่เสี่ยวกวน นางมิรู้จัก รูปร่างท่าทางดูไม่เหมือนพวกไร้มารยาท แต่กลับมีดวงตามืดบอด !
เขากล่าวว่านี่เหมือนกับป้ายหน้าหลุมศพ !
ทั้งยังคิดจะกำจัดบทกวีอันเป็นนิรันดร์นี้ไปอีกด้วย !
นี่เป็นการดูถูกฟู่เสี่ยวกวนอย่างยิ่ง !
ดวงตาของเยี่ยนเสี่ยวโหลวราวกับกระบี่ทิ่มแทงไปทางฟู่เสี่ยวกวน บางทีอาจจะเป็นเพราะได้ฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางมา หรืออาจจะเป็นกลิ่นน้ำหอมที่ลอยมาตามสายลม ฟู่เสี่ยวกวนจึงหันไปมองเยี่ยนเสี่ยวโหลว
สตรีผู้นี้มีรูปร่างสูงโปร่ง สวมใส่ชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อน พาดผ้าคลุมสีเขียวคลุมไหล่เอาไว้ ใบหน้านั้นมีผ้าคลุมอยู่จึงมิเห็นใบหน้า แต่คิ้วใบหลิวและดวงตาเย็นชาคู่นั้นที่จ้องเขม็งมาทางเขากลับงดงามยิ่งนัก คาดว่าคงเป็นหญิงงามแห่งเมืองหลวง
ฟู่เสี่ยวกวนดึงสายตากลับมา คาดว่าคำพูดที่เอ่ยไปเมื่อครู่คงทำให้สตรีผู้นี้โมโห เขาถูจมูกไปมาและหันหลังเดินออกไป
เยี่ยนเสี่ยวโหลวอยากจะต่อว่าชายหนุ่มผู้นี้อย่างยิ่ง มีหลายประโยคที่ติดอยู่ที่ปากแต่มิได้กล่าวออกไป มิใช่ว่ากลัว แต่นางเป็นสตรี ทั้งยังเป็นบุตรีของตระกูลคหบดี ได้รับการสั่งสอนมาอย่างเข้มงวด การมิพูดคุยกับชายหนุ่มแปลกหน้า ก็เป็นหนึ่งในนั้น
กลุ่มของฟู่เสี่ยวกวนทั้งสามคนเดินไปรอบ ๆ จนมาถึงสถานที่จัดงานวรรณกรรม
เขามิรู้ว่าคนเหล่านั้นกำลังทำอะไรกัน เขาเองก็มิรู้ว่าจะไปที่ไหนกันต่อ จึงรั้งรอต่งซิวเต๋ออยู่ที่นี่
เพียงไม่นานต่งซิวเต๋อก็เดินเข้ามา ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“น้องเขย จองที่นั่งที่หอซื่อฟางเรียบร้อยแล้ว เพื่อมิให้เป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงของเจ้า ข้าเลยจองห้องส่วนตัวที่ใหญ่ที่สุด เจ้ามีความคิดเห็นว่าเยี่ยงไรบ้าง?”
“คนเดียวที่เข้าใจข้าคือพี่รอง ท่านจัดการธุระได้ยอดเยี่ยม ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวพลางชี้ไปยังกลุ่มคนมากมายที่อยู่เบื้องหน้า พร้อมกับเอ่ยถาม “พวกเขากำลังทำอันใดกันอยู่หรือ ? ”
ต่งซิวเต๋อแค่นเสียงหัวเราะ “เหอะ ๆ กลุ่มคนโง่นั้นมาสักการะเทพเหวินฉวี่ซิง กล่าวว่าเป็นพิธีทางวรรณกรรม จะต้องเผาบทกวีที่ตนเองประพันธ์ขึ้นมาให้แก่เทพเหวินฉวี่ซิง เพื่อขอให้มีรายชื่อบนป้ายทองคำ สำหรับข้า เทพเหวินฉวี่ซิงเป็นเรื่องเหลวไหล ข้ามิเข้าใจ เหตุใดต้องศึกษาตำราเท่านั้นจึงจะมีอนาคต เหตุใดจึงทำสิ่งอื่นมิได้ หากมารดาของข้าเชื่อข้า และให้ข้าไปทำการค้า จวนต่งจะมาตกอยู่ในสภาวะยากจนจนน่าระอาเยี่ยงนี้รึ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมาทันพลัน พี่รองนั้นมิเลว เข้ากันกับข้าได้ เพียงแค่… “ท่านกล่าวว่าจวนของท่านขาดแคลนเงินทองอย่างนั้นหรือ ? ”
“อ่า…ไม่” ต่งซิวเต๋อปากเปราะ และรีบเอ่ยเป็นพัลวัน “เรื่องความจนและความรวยนั้นอยู่ที่ว่าจะเปรียบเทียบกันเยี่ยงไร เมื่อเทียบกับตระกูลเยี่ยน ตระกูลชือ ตระกูลเฟ้ยและตระกูลที่มีอิทธิพลทั้งหก ตระกูลต่งของข้าย่อมยากจนที่สุด”
สมองของคนผู้นี้ถือว่าใช้การได้ดีเยี่ยม ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยถามขึ้นมาอีกว่า “เยี่ยงนั้นพี่รองมีกิจการใดที่หมายตาเอาไว้หรือไม่ ? ”
เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ต่งซิวเต๋อก็มีแรงขึ้นมา ลดเสียงลงต่ำ และกล่าวด้วยท่าทีมีเลศนัย “ข้าจะบอกกับเจ้า หากจะกล่าวถึงกิจการที่ทำเงินได้ ข้าได้เฝ้าสังเกตมาอย่างเนิ่นนาน จนได้ข้อสรุปออกมา แต่เจ้าอย่าได้เล่าให้ผู้อื่นได้ฟังเชียว เงินจากสตรีและเด็กสาวนั้น ถือว่าได้กำไรมากที่สุด ! ”
ทันใดนั้นสายตาที่ฟู่เสี่ยวกวนใช้มองต่งซิวเต๋อก็ได้เปลี่ยนไป ต่งซิวเต๋อกล่าวอีกว่า “เจ้ามิเชื่อรึ ? ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง เหวินเซียงโหลวร้านชาดแป้งน้ำที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง นี่คือกิจการของตระกูลชือ ข้าเคยเฝ้าดูอยู่ด้านนอกร้านของเขาอยู่เนิ่นนานถึงค่อนวัน จำนวนของสตรีและเด็กสาวที่เข้าออกรวมได้เป็น 3,729 ครั้ง หากปัดเป็นเลขกลม ๆ ก็จะได้ 3,000 คน เจ้ารู้หรือไม่ว่าชาดแป้งน้ำเหล่านั้นราคาแพงถึงเพียงไหน ต่อให้ทุกคนใช้จ่ายคนละ1 ตำลึงเงิน ก็ได้เท่ากับ 3,000 ตำลึงแล้ว!”
“น้องเขย 3,000 ตำลึง นี่แค่เพียงช่วงเช้าเท่านั้น แท้จริงแล้วกิจการจะดียิ่งขึ้นในช่วงค่ำ เยี่ยงนั้นแล้วยอดขายในแต่ละวันจะเท่ากับ 10,000 ตำลึง กำไรจากการค้านี้สามารถแตะได้ถึง 5 ส่วน 5,000 ตำลึงหักลบกับค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องไป 1,000 ตำลึง ทุกวันทำกำไรได้ถึง 4,000 ตำลึง ทุกเดือนก็จะได้ถึง 120,000 ตำลึง !”
“เงินเดือนของบิดาข้าจำนวน 200 ตำลึง เมื่อรวมกับรางวัลยามเทศกาลและงานอื่น ๆ ที่วุ่นวายแล้ว ก็ได้สูงสุดถึง 400 ตำลึง กำไรในแต่ละวันของเขา เทียบเท่ากับหนึ่งปีในการเป็นขุนนางของพ่อข้า เจ้าลองกล่าวมาสิ ว่าการเป็นขุนนางนั้นมีความหมายเยี่ยงไร? ช่างน่าสลดใจยิ่งนัก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนปลื้มปีติ ชายผู้นี้ถือว่ามีความสามารถ เขาเข้าใจการสำรวจและวิเคราะห์การตลาด หากมิได้ไปทำการค้าถือว่าจะกลายเป็นการสูญเปล่าอย่างยิ่ง
รอให้จัดการกับเรื่องวุ่นวายนี้ให้พ้นตัวไปเสียก่อน แล้วค่อยมาคุยเรื่องการค้ากับเขาอย่างสนุกสนาน ก็ยังมิสายไปมิใช่รึ ?
เหมือนว่ากลุ่มคนด้านหน้านั้นจะทำการสักการะเสร็จสิ้นแล้ว ต่งซิวเต๋อเงยหน้าขึ้นไปก็พบกับเยี่ยนซีเหวินที่เดินนำมา เขารู้สึกระคายตาที่ได้พบเจอคนผู้นี้ เสแสร้ง ! ไหนเลยจะเหมือนกับฟู่เสี่ยวกวนที่ซื่อสัตย์และจริงใจ !
ต่งซิวเต๋อมิรู้ว่าระหว่างเยี่ยนซีเหวินและฟู่เสี่ยวกวนได้มีการประลองขึ้นแล้วหนึ่งหนในงานกวีวันเทศกาลไหว้พระจันทร์ ทั้งยังพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถยิ่ง เขาในยามนี้ครุ่นคิดถึงบทกวีนั้นของฟู่เสี่ยวกวนที่สามารถสลักชื่อไว้บนหินเชียนเปยสือได้ แต่เยี่ยนซีเหวินกลับมิมี เยี่ยงนั้นฟู่เสี่ยวกวนย่อมเก่งกาจกว่าเยี่ยนซีเหวิน เยี่ยงนั้นก็ขอยืมชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนมาสยบท่าทางอวดเบ่งของเยี่ยนซีเหวินเสียหน่อย
ดังนั้นเขาจึงโบกมือให้กับเยี่ยนซีเหวิน
หากเป็นปกติ เขาคงจะหลีกเลี่ยงเป็นพัลวัน เพราะเยี่ยนซีเหวินผู้นี้น่ารำคาญยิ่ง !
ราวกับบิดาของเขา ! เขามักจะเปรียบเทียบเยี่ยงนี้เมื่อพบเจอกับเยี่ยนซีเหวินผู้นี้
ในยามนั้นเยี่ยนเสี่ยวโหลวเองก็เดินเข้ามาเช่นกัน และยืนอยู่ด้านหลังของพี่ชาย
เยี่ยนซีเหวินเองก็เห็นต่งซิวเต๋อนานแล้ว เพียงแค่ต่งซิวเต๋อมิได้มาเข้าร่วมงามวรรณกรรม คิดว่าคงจะละทิ้งทางวรรณกรรมไปเสียแล้ว เป็นเรื่องที่ปกติยิ่ง เพราะคนผู้นี้มิใช่ผู้ฝักใฝ่ในตำรา
เดิมทีเขาตั้งใจจะพาฟางเหวินซิงและอีก 6 คนไปดื่มน้ำชาที่หอซื่อฟางก่อน แต่คิดมิถึงจริง ๆ ว่าต่งซิวเต๋อจะโบกมือมาทางเขา
ครุ่นคิดไปมา เห็นแก่หน้าของชูหลาน จึงจะไปเกลี้ยกล่อมเขาอีกครา อาจมิมีหวังในการสอบปีนี้ แต่ก็ยังมีปีหน้ามิใช่หรือ
กลุ่มเยี่ยนซีเหวินได้เดินมายังเบื้องหน้าต่งซิวเต๋อ คิ้วของเยี่ยนเสี่ยวโหลวขมวดในทันที นางเห็นชายหนุ่มน่ารังเกียจผู้นั้นที่ยืนอยู่ข้างต่งซิวเต๋อ แล้วความรู้สึกไม่ชอบใจก็ประทุออกมา
ชายผู้นั้นที่กล่าวอย่างอวดดีว่าอยากจะขูดกวีบทนั้นออก หากท่านพี่สามารถทำให้เขาอับอายได้คงจะยอดเยี่ยม
นางเลื่อมใสในพรสวรรค์ของท่านพี่เป็นอย่างยิ่ง หากว่าต้องจัดลำดับ ในใจของนาง ผู้มีพรสวรรค์ในใต้หล้านี้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นที่หนึ่ง ท่านพี่เป็นที่สอง ครั้งหนึ่งนางเคยคิดว่าท่านพี่เป็นที่หนึ่ง แต่ตั้งแต่ที่ความฝันในหอแดงปรากฏตัวขึ้นมา รวมไปถึงทำนองเพลงสายน้ำที่ได้สลักไว้เป็นแถวแรกบนหินเชียนเปยสือในเทศกาลไหว้พระจันทร์ นางก็ให้ชื่อของฟู่เสี่ยวกวนอยู่ด้านบนของท่านพี่
นี่คือความยุติธรรมที่ตรงไปตรงมายิ่ง เพราะบทกวีของท่านพี่นั้นมิได้สลักไว้บนหินเชียนเปยสือ
เยี่ยนซีเหวินสะบัดพัดไปมา ยิ้มบางให้กับต่งซิวเต๋อและกล่าวว่า “การทดสอบชิวเหวยในครั้งนี้ข้าแนะนำให้ซิวเต๋อไปลองดู มิต้องกล่าวว่ามิมีทางมีรายชื่อ ไปเปิดหูเปิดตาเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์เสียเล็กน้อย ก็ถือเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อการสอบในปีถัดไป หากซิวเต๋อจะสามารถรับฟังคำพูดของข้า…”
ดูสิ ดูสิ มันมาอีกแล้ว !
หลักการทางทฤษฎีครั้งแล้วครั้งเล่ามันทำให้สมองของเจ้ามีเสียงดังอื้ออึง ใครจักไปทนรับได้กัน !
น้องเขย ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ดีกว่า !
“ประเดี๋ยวก่อน” ต่งซิวเต๋อรีบยกมือขึ้นมา “เป็นเยี่ยงนี้นี่เอง เรื่องชิวเหวยนี้คงมิขอรบกวนให้ซีเหวินต้องลำบากแล้ว เชิญซีเหวินมาทางนี้ กำลังคำนึงถึงเจ้าที่เป็นผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวง ผู้นำเหล่าชายหนุ่มหญิงสาว ข้านั้นอยากจะแนะนำน้องเขยของข้าให้เจ้ารู้จักเสียหน่อย”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะ ชายผู้นี้ได้ทำพลาดเป็นคราที่สองแล้ว เขาและต่งชูหลานในยามนี้ยังคงเป็นความสัมพันธ์หลบซ่อนที่ต้องปกปิด และยังมิเห็นแม้แต่แสงสว่าง
แต่เมื่อต่งซิวเต๋อได้กล่าวออกไปแล้ว เขาก็ต้องน้อมรับเอาไว้
ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงเดินเข้าไปด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ยื่นมือออกมา คิดจะจับมือเพื่อเป็นการทักทาย
แต่เขากลับเห็นใบหน้าของเยี่ยนซีเหวินซีดเผือด
ไม่เพียงใบหน้าของเยี่ยนซีเหวินที่ซีดเผือด วัยรุ่นเหล่านั้น รวมไปถึงสีหน้าหญิงสาวคนนั้น ก็ย่ำแย่อย่างถึงที่สุด
ฟู่เสี่ยวกวนจึงดึงมือกลับมาด้วยความประหม่า ยิ้มเล็กน้อย และถูจมูกไปมา และก้าวถอยกลับออกมา
ตอนที่ 94 พิธีรำลึกนักกวี
ในวันพรุ่งนี้เป็นวันชิวเหวย และเป็นอีกวันหนึ่งที่บรรดาผู้ร่ำเรียนหนังสือในราชวงศ์หยูตั้งตารอคอยและตื่นเต้นและเป็นกังวลใจ
เวลาหลายปีมานี้ที่พวกเขามานะบากบั่นพยายามเล่าเรียนก็เพื่อชิวเหวยที่จะจัดขึ้นสามวันต่อจากนี้
หากมีรายชื่อปรากฏบนกระดานนั้น ก็เป็นโอกาสทองที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ทั้งชีวิต และเส้นทางต่อจากนี้จะโรยไปด้วยกลีบกุหลาบ !
แต่หากไม่มีรายชื่อบนกระดานแล้วละก็…จะเอาหน้าที่ไหนกลับไปพบพ่อแม่และบรรพบุรุษได้ ?
ดังนั้น ไม่มีใครรู้ว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปีไหน ก่อนหน้าชิวเหวยหนึ่งวัน จะมีผู้คนจำนวนมากมาสักการะ ณ หลานถิงจี๋ เนื่องจากที่แห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ อีกทั้งเทพเหวินฉวี่ซิงจะลงมาพำนักเป็นบางครา หากได้พรจากท่านคงจะสามารถเขียนบทความดีๆและได้มีรายชื่อปรากฏบนกระดานก็เป็นได้
ดังนั้นทางด้านหลังหลานถิงจี๋จึงได้มีแท่นสำหรับสักการะบูชารำลึกถึงนักกวีที่จากไปโดยเฉพาะ ถัดจากแท่นบูชาคือหอคอยประณีตงดงาม หอคอยนี้มิได้ทำขึ้นมาจากไม้ แต่สร้างด้วยหินสีน้ำเงินที่มีหน้าต่างหลายบานเปิดอยู่ ภายในหอคอยเป็นโพรงโล่ง เพื่อเผากระดาษบทความให้แก่ผู้รู้หนังสือเหล่านั้น
บัดนี้มีผู้คนจำนวนมากเดินทางมายังหลานถิงจี๋ หนึ่งในนั้นมีจางเหวินฮั่น โจวเทียนโย่วและฟางเหวินซิงรวมอยู่ด้วย พวกเขาเดินทางมาร่วมงานชิวเหวยในวันพรุ่งนี้ บัดนี้พวกเขายืนอยู่ด้านนอกกลุ่มคนมากมาย และกำลังพูดคุยถึงเรื่องราวในปีที่ผ่าน ๆ มาอีกทั้งยังรอการเดินทางมาของเยี่ยนซีเหวิน
เยี่ยนซีเหวินได้รับคัดเลือกเป็นจอหงวนในปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าเขาไม่จำเป็นต้องมาร่วมตั้งหน้าตั้งตารอคอยวันชิวเหวยอย่างยากลำบากเช่นนี้
แต่ในนามของตัวแทนชายหนุ่มผู้มากความสามารถแห่งเมืองหลวง งานรำลึกกวีเช่นนี้เขาต้องเดินทางมาร่วมงานอย่างแน่นอน จะมีจุดประสงค์อื่นไปมิได้ นอกเสียจากเดินทางมาให้กำลังใจและอวยพรให้แก่บรรดาศิษย์รุ่นน้องเหล่านี้ ขอพรให้เทพเหวินฉวี่ซิงส่องแสงสว่างมายังพวกเขาด้วย
สิ่งนี้ถือเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจอย่างหนึ่ง ซึ่งสืบทอดกันมาแต่โบราณ มิมีใครรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ถึงกี่ปี อีกทั้งตำนานของเทพเหวินฉวี่ซิงที่เล่าต่อกันไป ทำให้ผู้ที่เดินทางมาร่วมแข่งขันนี้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และต้องการเดินทางมาชมด้วยตาของตนเอง
ไม่นานต่อมา เยี่ยนซีเหวินก็เดินทางมาพร้อมกับเยี่ยนเสี่ยวโหลวผู้เป็นน้อง เยี่ยนเสี่ยวโหลวปิดบังใบหน้าของนางไว้ด้วยผ้าขาวบาง ส่วนเยี่ยนซีเหวินมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“ขออภัยอย่างยิ่งที่ให้พวกเจ้าต้องรอนาน เมื่อครู่ข้าได้ไปจัดแจงโต๊ะอาหารที่หอซื่อฟาง มื้อกลางวันนี้ข้าจะเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารพวกเจ้าเอง”
ฟางเหวินซิงเมื่อได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมาและกล่าวว่า “มองดูแล้วเจ้าคงมีเรื่องน่ายินดีเป็นแน่ เพียงแต่มิทราบว่าเป็นเรื่องหมั้นหมายกับแม่นางชูหลานหรือเรื่องหน้าที่การงานกัน ?”
เยี่ยนซีเหวินหัวเราะเสียงดังออกมาแล้วส่ายหัว “ทางด้านชูหลานนั้นยังไม่ราบลื่นนัก เรื่องนี้ค่อยเป็นค่อยไปเถิด”
หากเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าเขาได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นแน่ ผู้คนมากมายล้วนอิจฉา แต่ก็พากันมาร่วมยินดี
สมัยราชวงศ์หยูนี้ ระบบราชการมิได้เข้าประจำการได้ง่าย ๆ ต้องรอเป็นเวลานานทีเดียว หากคนเก่ายังไม่ออกไป คนใหม่ก็ยากที่จะเข้ามาแทนที่
ได้ยินมาว่าบางคนรออยู่ตั้งแต่อายุ 22 ปีกระทั่ง 48 ปี ใช้เวลาถึง 26 ปีเต็มจึงจะได้รับตำแหน่ง
แน่นอนว่ามิใช่เช่นนี้ทุกคนไป แต่ถึงแม้จะเป็นเยี่ยนซีเหวินเอง ก็ยังต้องรออยู่ถึงหนึ่งปีเต็ม
หากโจวเทียนโย่วและจางเหวินฮั่นสอบติด พวกเขาอาจต้องรอถึงสามปีห้าปีก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด
“พวกเจ้าเองอย่าเพิ่งรีบร้อนไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีรายชื่อปรากฏบนกระดานทอง บัดนี้องค์ฮ่องเต้กำลังสอบสวนคดีทุจริตสิ่งของบรรเทาสาธารณภัย คาดว่าคงมีข้าราชการจำนวนไม่น้อยที่ถูกลงโทษ จากที่ข้ามองดูแล้วนี่เป็นเพียงขั้นแรก ขั้นต่อไปคงจะจัดการกับพวกขุนนาง ดังนั้นพวกท่านจะมีอนาคตยาวไกลอย่างแน่นอน ! ”
พวกเขารู้ดีว่าองค์ฮ่องเต้ทรงส่งคนออกไปตรวจสอบเรื่องการทุจริตนี้ อีกทั้งประกาศนำเสนอนโยบายยังคงติดอยู่ที่กระดานนั้น เพียงแต่พวกเขามิได้คิดอย่างรอบคอบเช่นเดียวกับเยี่ยนซีเหวิน เมื่อในวันนี้เยี่ยนซีเหวินเอ่ยขึ้นมา พวกเขาก็เห็นด้วยว่าจะมีผู้คนจำนวนมากถูกถอดถอน ดังนั้นจะมีตำแหน่งว่างจำนวนไม่น้อย เมื่อคิดได้ดังนี้พวกเขาก็พากันดีอกดีใจ
เยี่ยนเสี่ยวโหลวรู้สึกว่าคำพูดเหล่านี้ช่างไม่น่าสนใจเสียจริง จึงได้เอ่ยกับพี่ชายแล้วปลีกตัวออกไปตามลำพัง นางเดินไปยังหินเชียนเปยสือและมองดูกวีที่ถูกสลักไว้ในบรรทัดที่หนึ่งนั้น
“เมื่อครู่ข้าเห็นต่งซิวเต๋ออยู่ที่หอซื่อฟาง” เยี่ยนซีเหวินขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “เมื่อลองนึกดูก็ไม่ได้พบเจอเขามานานพอควร ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าเขามัวแต่ร่ำเรียนวิชาเพื่อเตรียมตัวสำหรับชิวเหวยนี้เสียอีก มองดูแล้วคาดว่ามิน่าใช่”
คุณชายรองแห่งตระกูลต่งนี้พวกเขารู้จักดี เนื่องจากเป็นพี่ชายของต่งชูหลาน แต่มีไม่กี่คนนักที่ได้พูดคุยใกล้ชิด เนื่องจากมีความสนใจที่แตกต่างกัน
พวกเขานั้นมีจิตใจมุ่งมั่นในการร่ำเรียน แต่คุณชายรองผู้นี้กลับมุ่งมั่นในเรื่องของสาวงาม
การที่เขามีความชื่นชอบนี้ก็มิใช่เรื่องแปลก เนื่องจากในบรรดานักกวีจำนวนไม่น้อยก็มีความชื่นชอบเช่นนี้ อีกทั้งยังสามารถสร้างสรรค์บทกวีที่งดงามจากสตรีเหล่านี้ได้อีกด้วย เพียงแต่คุณชายรองนี้ไม่ได้มีเงินทองมากมายนัก
สิ่งนี้ทำให้เป็นอุปสรรคอยู่บ้าง แต่โชคยังเข้าข้างคุณชายรองแห่งตระกูลต่ง คนผู้นี้มีรูปร่างหน้าตาผิวพรรณดี เมื่อครั้นไปยังหงจาวซิ่ว เซวี๋ยเฟยเฟยมักช่วยเหลือเขาอยู่เสมอ
“เรื่องที่เจ้าเป็นห่วงเป็นใยนี้เขาคงมิอาจเข้าใจได้ นี่เป็นเรื่องที่มิอาจช่วยได้…อ้อ เจ้าได้ถามเขาเกี่ยวกับแม่นางชูหลานหรือไม่ ?”
เยี่ยนซีเหวินยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “ถามดูแล้ว เขากล่าวว่า ชูหลานมีชายในดวงใจอยู่แล้ว”
เป็นไปได้อย่างไรกัน ?
ในเมืองหลวงนี้จะมีชายหนุ่มคนไหนมากความสามารถไปกว่าเยี่ยนซีเหวินได้ ?
ในแคว้นหยูนี้ นอกเสียจากเชื้อพระวงศ์ จะมีตระกูลใดแข็งแกร่งเท่าตระกูลเยี่ยนงั้นหรือ ?
ทุกคนล้วนสงสัย ฟางเหวินซิงจึงเอ่ยว่า “เขาได้บอกหรือไม่ว่าเป็นผู้ใด ? ข้าอยากจะรู้เสียจริงว่าเป็นผู้ใดเก่งกาจมาจากไหน!”
“เขาบอกว่า……เป็นฟู่เสี่ยวกวน !”
……
……
ฟู่เสี่ยวกวน !
บัดนี้ทุกคนได้เงียบเสียงลง แต่ละคนล้วนไม่อยากเชื่อหูตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟางเหวินซิงและจางเหวินฮั่น
เวลานี้ห่างจากเทศกาลไหว้พระจันทร์มาเพียงเดือนกว่า ณ งานกวีในค่ำคืนนั้น คำพูดของฟางเหวินซิงและเยี่ยนซีเหวินลอยเข้ามาในหูพวกเขาทันใด
“หากเขาชนะ ข้าจะทำตามเขาทุกประการ แต่หากเขาแพ้ ก็จะไม่มีสิทธิ์ก้าวเข้ามาในเมืองหลวงอีกแม้แต่ก้าวเดียว ! ”
“ตกลง ข้าเยี่ยนซีเหวินให้สัญญาว่าหากเขาชนะ ข้าจะทำความเคารพเขาเมื่อพบเจอ แต่หากเขาแพ้ก็จงอย่าก้าวเข้ามาในเมืองหลวงนี้อีก ! ”
แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ชนะ ชาวบ้านนอกแห่งหลินเจียงผู้นี้ เขาเดินทางมาเมืองหลวงแล้วงั้นหรือ ? เขาจะทำอย่างไรดี ?
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาเมืองหลวงหรือไม่ แต่เขาก็มีสิทธิ์ในการเดินทางมา เนื่องจากพวกเราแพ้พนันแก่เขา แพ้อย่างราบคาบเสียด้วย เอาละ เรื่องนี้ปล่อยเอาไว้ก่อน พิธีรำลึกใกล้เริ่มขึ้นแล้ว”
จางเหวินฮั่นยังคงใจลอย ในแววตาของเขาแฝงไปด้วยความอาฆาตแค้น
เรื่องที่จางเพ่ยเอ๋อน้องสาวเขาปลิดชีพลงในแม่น้ำนั้นเขารู้ดี เมื่อครั้นบิดาของเขาเขียนจดหมายมา ได้บรรยายเกี่ยวกับเรื่องน้องสาวเขาว่าต้นเหตุทั้งสิ้นนี้มาจากฟู่เสี่ยวกวน
สองพี่น้องมีความผูกพันกันมาก แต่น้องสาวของเขาบัดนี้ได้จากไปอย่างมิมีวันหวนกลับ แค้นครั้งนี้เขาต้องชำระให้จงได้ !
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนนำนโยบายนี่เขียนจนแล้วเสร็จไปติดไว้ที่กำแพงนั่น และเดินทางมายังหินเชียนเปยสือพร้อมกับซูม่อและชุนซิ่ว
เขามองดูบทกวีที่สลักอยู่บนนั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่ไม่มีชื่อของผู้มีชื่อเสียงด้านกวีสลักอยู่แม้แต่ชื่อเดียว เขารู้สึกแปลกใจยิ่ง การเดินทางข้ามมิตินี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง
เขาเดินมาหยุดที่ตรงหน้าหินเชียนเปยสือ พิจารณามองดูทำนองแห่งสายน้ำที่อยู่บรรทัดบนสุดนั้นแล้วหัวเราะเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “ให้ตายเถอะ มองไปแล้วไม่ต่างอะไรกับป้ายหน้าหลุมศพเสียเลย ทำลายทิ้งเสียดีหรือไม่ ? ”
ตอนที่ 93 หลานถิงจี๋
คำตอบที่ตรงไปตรงมาของฟู่เสี่ยวกวนทำให้ต่งซิวเต๋อเสียใจขึ้นมาทันพลัน
คุณชายเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงร่ำรวยมหาศาลนัก ! หากรู้เร็วกว่านี้จะรีดไถให้มากกว่านี้
คุณชายรองผู้น่าสงสารของจวนเสนาบดี มิใฝ่ศึกษา เอ้อระเหยลอยชายไปเรื่อยเปื่อย ในแต่ละวันหากมิเดินเล่นไปทั่วก็จะดื่มสุรา แต่การเงินของจวนเสนาบดีมิได้มั่งคั่ง ก็เหมือนกับที่ซูม่อและฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวไป รากฐานของจวนต่งในเมืองหลวงนั้นค่อนข้างจืดจาง เมื่อใคร่ครวญแล้วเสนาบดีต่งก็ยังคงเป็นรุ่นแรก เทียบกับตระกูลชั้นสูงมากมายในเมืองหลวงมิได้โดยสิ้นเชิง แต่คุณชายรองต่งผู้นี้กลับมีปัญหาอยู่หนึ่งอย่าง สุราหากมิใช่เทียนเซียงก็มิดื่ม หอนางโลมหากมิใช่หงซิ่วจาวก็มิไป ทานข้าวหากมิใช่หอซื่อฟางก็มิอร่อย…
โดยสรุปแล้ว คนผู้นี้เป็นโรคคนรวย แต่ชีวิตมิได้ร่ำรวย !
ฮูหยินต่งเป็นผู้จัดการครอบครัว เคร่งครัดต่อเรื่องการเงินของครอบครัวยิ่ง แต่ละเดือนจะมอบเงินให้เขา 30 ตำลึง นั่นก็ถือว่าสูงยิ่งแล้ว แต่คุณชายรองต่งก็ใช้หมดไปในเวลาไม่กี่วัน
ชายผู้นี้หากในกระเป๋ามิมีเงินติดกายสักตำลึงก็จะไร้เรี่ยวแรง ดังนั้นวันที่เหลืออยู่ก็ทำเพียงอยู่เรือนเล่นกับนก หากมีมิตรสหายมาเชื้อเชิญ ก็ยกข้ออ้างเรื่องชิวเหวยมากล่าว ว่าต้องการศึกษาตำราอย่างจริงจัง
เขารู้ว่าในครอบครัวคนที่มีเงินมากที่สุดก็คือน้องสาวของเขา แต่น้องสาวผู้นั้นตระหนี่นัก หากไปขอร้องเป็นเวลานาน ก็จะให้เขามาหนึ่งหรือสองตำลึงเท่านั้น แต่ก็สามารถไปที่หอซื่อฟางและเชิญสหายสามถึงห้าคนมาทานก๋วยเตี๋ยวร่วมกันได้
พรุ่งนี้จะเป็นวันแรกของชิวเหวย แต่คนผู้นี้กลับมิได้ให้ความสนใจเลยแม้แต่น้อย ยามเช้าได้ชูหลานกล่าวว่ามีธุระจะไหว้วาน เขาจึงไปที่ห้องรับรองของชูหลาน ชูหลานได้มอบภาพเหมือนของฟู่เสี่ยวกวนมา กล่าวว่าเจ้าต้องพาเขาไปเที่ยวเล่น เมืองหลวงมีสถานที่น่าสนใจมากมาย เขามาเมืองหลวงเป็นคราแรกยังมิรู้ที่ทาง
คุณชายรองต่งได้ยินเยี่ยงนั้น ก็หันศีรษะและพร้อมที่จะออกเดินกลับ ข้ามีเวลาว่างถึงเพียงนั้นที่ไหนกัน ชิวเหวยเล่า
แต่เมื่อต่งชูหลานกล่าวประโยคต่อมา เขาก็กระเหี้ยนกระหือรือขึ้นมาทันที ช่างหัวชิวเหวยมันไปเถอะ
ต่งชูหลานกล่าวว่าเจ้าไปบอกเขาว่าทุกวัน 10 ตำลึง เขาจะให้เจ้าอย่างแน่นอน
10 ตำลึงหรือ เยี่ยงนั้นก็สามารถไปหงซิ่งจาวได้ตั้งหนึ่งคืน !
ต่งซิวเต๋อเคยได้ยินชื่อฟู่เสี่ยวกวนมาก่อน แท้จริงแล้วคนผู้นี้คือผู้ประพันธ์ความฝันในหอแดงที่ขายได้ราคาสูงในเมืองหลวง ยิ่งไปกว่านั้นคนผู้นี้ยังได้มีชื่อขึ้นบนหินเชียนเปยสืออีกด้วย
สำหรับเรื่องระหว่างฟู่เสี่ยวกวนและน้องสาว… เขารู้สึกดีเป็นอย่างมาก เยี่ยนซีเหวินผู้นั้นเพียงพบหน้าก็ติเตียนเขาทันที กล่าวว่าเขานั้นงานการไม่สนใจ ไม่ใฝ่ศึกษา คบหาเพื่อนฝูงที่เสเพลและไร้ประโยชน์ต่าง ๆ นานา ทำตัวเหมือนกับบิดาของเขา !
เจ้ากล่าวมาสิว่านี่น่ารำคาญหรือไม่ ?
เจ้าลองดูฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้สิ หรูหรามั่งคั่ง ใฝ่ศึกษามีความรู้ ที่สำคัญฟู่เสี่ยวกวนมิได้กล่าวอะไรไร้สาระให้มากความ แต่เขารู้สึกว่าทั้งสองนั้นกลับใจตรงกันในบางสถานที่
อย่างเช่น…
“ในเมืองหลวงมีร้านอาหารใดที่อร่อยบ้าง ? ”
“เจ้าถามได้ถูกคนแล้ว ที่ริมทะเลสาบเว่ยยาง มีร้านอาหารซื่อฟางอยู่แห่งหนึ่ง ข้าจะบอกให้เจ้าฟัง พ่อครัวในหอซื่อฟางมิใช่ธรรมดา มี 3 คนที่เคยเป็นพ่อครัวหลวง พ่อครัวหลวง เจ้ารู้จักใช่หรือไม่ หอซื่อฟางมีอาหารที่ขึ้นชื่อ 8 อย่าง ล้วนแต่เป็นอาหารอันโอชะ… เจ้าหิวแล้วหรือไม่”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น เมื่อครู่เพิ่งจะทานข้าวเช้า หิวกับผีสิ
“พี่รอง ประเดี๋ยวเราค่อยไปหอซื่อฟาง อย่างไรก็ไปหอหลานถิงกันก่อนเถิด ท่านอธิบายหอหลานถิงให้ข้าฟังได้หรือไม่ ? ”
ความจริงแล้วต่งซิวเต๋อก็มิได้หิว เพียงแค่มิได้ไปหอซื่อฟางมานานแล้ว ในใจนั้นยังคงคำนึงถึง ในยามนี้เนื่องด้วยได้ให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ตัดสินใจ เยี่ยงนั้นก็จะมิพูดถึงเรื่องของหอซื่อฟางอีก
“หอหลานถิงอยู่ที่หลานถิงจี๋ หลานถิงจี๋นี้อยู่ใจกลางทะเลสาบเว่ยยาง สถานที่นี้มีประวัติมายาวนานแล้ว หากต้องย้อนกลับไป… เกรงว่าจะมีประวัติยาวนานมา 800 ปีแล้ว หลานถิงจี๋แห่งนี้เป็นสถานที่รวมตัวของเหล่านักวรรณกรรม มักมีงานชุมนุมบทกวีอยู่เสมอ หากมีบทกวีที่ยอดเยี่ยมพอก็จะได้ไปสลักบนหินเชียนเปยสือ เหมือนกับทำนองเพลงสายน้ำบทนั้นของเจ้า นี่คือความหมายของชื่อเสียงที่จะคงอยู่ตลอดไป”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าเรื่องนี้ค่อนข้างงี่เง่า การสลักนามและบทกวีในบนศิลา เขารับรู้ถึงความรู้สึกของความเป็นอมตะ
ทั้งสี่คนนั่งอยู่บนรถม้า ฟู่เสี่ยวกวนและต่งซิวเต๋อพูดคุยกันมาตลอดทาง และมาถึงทะเลสาบเว่ยยางโดยมิทันได้รู้สึกตัว
เขายืนอยู่บนชายฝั่ง เงยหน้ามองขึ้นไป เห็นหมอกและควันบนผืนน้ำทะเลสาบเว่ยยางไกลจนสุดลูกหูลูกตา ในกลางทะเลสาบที่เลือนรางนั้นจะเห็นอาคารก่อสร้างหลังหนึ่ง ราวกับภาพลวงตาก็มิปาน งดงามและอลังการ
“หอซื่อฟางอยู่ทางนี้” ต่งซิวเต๋อชี้ไปยังทางทิศใต้ แล้วกล่าวอีกว่า “นำเงินมา 12 ตำลึง”
“จะเอาไปทำอันใด ? ”
“โอ้ เจ้ามิรู้กฎของหอซื่อฟาง ต้องจองโต๊ะเอาไว้ล่วงหน้า จองในเวลานี้กำลังดี หากช้ากว่านี้ข้าเกรงว่าจะมิมีที่นั่ง”
มีเหตุผล !
ฟู่เสี่ยวกวนเรียกให้ชุนซิ่วนำตั๋วเงินออกมา 50 ตำลึง และส่งให้กับต่งซิวเต๋อพร้อมกล่าวว่า “เยี่ยงนั้นคงต้องรบกวนพี่รองด้วย ต้องการห้องส่วนตัวหนึ่งห้อง ส่วนเรื่องของอาหารพี่รองน่าจะมีประสบการณ์มากกว่าข้า”
ดูสิ ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้แข็งแกร่งกว่าเยี่ยนซีเหวินเป็นร้อยเท่า !
ทั้งเยาว์วัยและยังเงินหนา ทั้งยังเข้าใจในสัจธรรม ในใต้หล้านี้ยังจะหาชายหนุ่มที่ดีเยี่ยงนี้ได้ที่ไหนอีก ? ในใต้หล้านี้ยังจะมีน้องเขยที่ดีเยี่ยงนี้ได้สักกี่คนกัน !
“น้องเขย ในฐานะพี่ชาย ข้าจะไปที่หอซื่อฟางก่อน พวกเจ้าไปนั่งเรืออูเผิงทางนั้นไปยังหลานถิงจี๋ ประเดี๋ยวข้าจองโต๊ะเสร็จแล้วจะตามพวกเจ้าไป”
เสียงที่เรียกเขาว่าน้องเขยนั้นทำให้ฟู่เสี่ยวกวนอดไม่ได้ที่จะให้ตั๋วเงินกับเขาเป็นจำนวน 500 ตำลึง คุ้มค่ายิ่งนัก หากฮูหยินต่งยินยอมที่จะเรียกเขามาเป็นลูกเขย ฟู่เสี่ยวกวนย่อมยินดีที่จะมอบเงินให้ทันทีหมื่นตำลึง สามารถใช้เงินแก้ปัญหาได้ก็มิใช่เรื่องใหญ่อันใดใช่ไหมเล่า
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบตั๋วเงินหนึ่งใบออกมาจากแขนเสื้อของตนเอง และส่งให้กับต่งซิวเต๋อโดยไม่แม้แต่จะมอง “รบกวนพี่รองแล้ว ข้ามิได้นำของขวัญอันใดมาให้พี่รองเลย นำค่าน้ำชาไปเถิด”
คิ้วตรงคู่นั้นของต่งซิวเต๋อยกโค้งยิ้มทันที “ครอบครัวเดียวกันทั้งนั้น อย่าได้เห็นเป็นคนอื่นคนไกลไปเลย!”
ต่งซิวเต๋อเอ่ยออกมาพลางรับตั๋วเงินมา เขามิได้มอง และเก็บเข้าไปในแขนเสื้อทันที
“เยี่ยงนั้นพวกเจ้าเข้าไปกันก่อนเถิด หลานถิงจี๋กำลังรอการมาของเจ้า”
“ตกลง ! ”
ขบวนของฟู่เสี่ยวกวนทั้งสามคนขึ้นเรืออูเผิง หัวเรือตวัดเหวี่ยงไม้พายไปมา และมุ่งตรงไปยังหลานถิงจี๋ที่อยู่กลางทะเลสาบ
ต่งซิวเต๋อจึงได้เวลาหยิบตั๋วเงินออกมาดู โอ้สวรรค์…น้องเขย 500 ตำลึงถ้วน !
เงินค่าน้ำชาที่มอบให้อย่างใจกว้าง สามีของน้องสาวผู้นี้ได้รับการยอมรับแล้ว เหมือนว่ามารดามิเห็นด้วยกับเรื่องของทั้งสองคน บิดาก็เหมือนจะมิแสดงท่าทีอันใด เรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยาก คงต้องคิดหาหนทางให้พวกเขา อย่าให้เยี่ยนซีเหวินมาตัดขาด เยี่ยงนั้นแล้วในภายหลังเขาก็ยังมีเงินค่าน้ำชาอยู่ หากน้องเขยของเขาเป็นฟู่เสี่ยวกวน !
……
…..
พรรคพวกของฟู่เสี่ยวกวนได้ก้าวไปยังหลานถิงจี๋ ถึงได้สัมผัสถึงบรรยากาศของที่นี่อย่างแท้จริง
ทางเดินต่างเป็นทางโค้งที่คดเคี้ยว ต่างมีศาลาขนาดเล็กอยู่ทุกที่ รอบด้านต่างเต็มไปด้วยภูเขาประดับและสระบัว ทุกหย่อมหญ้าเต็มไปด้วยดอกไม้และพันธุ์พืชที่แปลกประหลาด
เดินผ่านไปมาระหว่างศาลาและสระบัว ราวกับอยู่ในสรวงสวรรค์
จนกระทั่งเดินหลุดมาจากทางเดิน ก็ได้พบกับลานกว้างขนาดใหญ่ที่ใจกลางนั้นมีอาคารสามชั้นหนึ่งหลังตั้งตระหง่าน รูปทรงโบราณเรียบง่ายแต่สง่างาม ถึงแม้จะไม่ตระการตาแต่กลับมีเสน่ห์เสียมากล้น ที่นั่นคือการตกตะกอนของประวัติศาสตร์
ที่ชั้นสามของหอหลานถิงมีโล่ขนาดใหญ่ที่สลักมังกรบินหงส์ร่ายรำสามชิ้นประดับไว้ คอยเฝ้ามองนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมาในที่นี้ มองมาโดยตลอด 800 ปี
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองหอหลานถิงอยู่เนิ่นนาน นึกถึงที่ชูหลานเล่าว่าแผนการบรรเทาทุกข์ถูกแปะไว้บนกำแพงของหอหลานถิงแห่งนี้ ดังนั้นเขาจึงก้าวเดินไปยังเบื้องหน้าต่อไป
ตอนที่ 92 นโยบาย
ค่ำคืนนี้เป็นอีกคืนหนึ่งที่น่าจดจำ
ฟู่เสี่ยวกวนได้ตัดสินใจเปลี่ยนความคิดของตนเองเสียใหม่ เขาไม่คิดจะไปพึ่งพิงใครอีกต่อไป หากตัวเขานั้นแข็งแกร่งพอ ก็จะสามารถบินได้สูงอย่างอิสระตามต้องการ
ต่งชูหลานไม่เข้าใจว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนจึงมีความคิดที่เปลี่ยนไปมากเช่นนี้ แต่ในใจนางก็ชื่นชมเขายิ่งนัก มองดูแล้วคาดว่าคงเกิดจากที่ท่านแม่ของนางปฏิบัติต่อเขาอย่างเยือกเย็นจากเดิมเขาก็มีความสามารถมิใช่น้อยเพียงแต่เขามิยินดีจะไปแข่งขันคัดเลือก แต่ในวันนี้เขาคงคิดได้แล้ว สิ่งนี้จึงเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง
“เนื่องจากการทุจริตอาหารบรรเทาสาธารณภัย ฝ่าบาทจึงมีรับสั่งพิเศษออกมา หยูเวิ่นหวินบอกกับข้าเมื่อตอนที่นางมาเยี่ยม นางบอกว่าทรงมีประกาศติดไว้ที่กำแพงหอหลานถิง หากมีนโยบายในการจัดการให้เขียนแล้วนำไปติดที่ป้ายนั้น ในแต่ละวันจะมีคนจากในวังไปเก็บมาถวายแด่ฝ่าบาท หากมีนโยบายที่ถูกพระทัยฝ่าบาท ก็จะได้รับเชิญให้เข้าวัง ส่วนจะทรงมอบตำแหน่งให้หรือไม่นั้นข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่หากมีโอกาสเข้าเฝ้าฝ่าบาทก็น่าจะมีความเป็นไปได้อยู่ ประกาศนี้ปิดรับนโยบายวันที่ยี่สิบแปดเดือนเก้าที่จะถึง หากเจ้ามีความคิดดี ๆ ก็สามารถลองเขียนไปแปะดูได้ อาจจะได้รับเลือกก็เป็นได้”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเห็นด้วย เขาครุ่นคิดชั่วครู่และรู้สึกว่าพอจะมีวิธีอยู่
“แต่ข้าเขียนหนังสือมิน่าชมเท่าไรนัก”
“มิเป็นปัญหา นี่มิใช่การแข่งขันคัดลายมือ สิ่งที่ฝ่าบาททรงต้องการคือวิธีการจัดการกับปัญหานี้”
ทั้งสองคนลุกขึ้นและเดินหน้าไป ต่งชูหลานชี้ไปยังเรือลำใหญ่ที่แล่นอยู่บนแม่น้ำแล้วเอ่ยว่า “นั่นคือหงซิ่วจาว สุราเทียนเซียงนั้นมีเพียงเรือหงซิ่วจาวเท่านั้นที่มีขาย ดังนั้นในแต่ละวันจึงมีรายได้มากมายนัก บทกลอนต่าง ๆ ของเจ้าล้วนถูกหงซิ่วจาวขับร้องออกมา”
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังเรือนั้นแต่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้สนใจเท่าใดนัก แต่กลับเอ่ยถามขึ้นว่า “วัดฟูจื่ออยู่ที่ใดกัน ? ”
“อยู่ด้านหน้านี้เอง ที่แห่งนั้นแทบจะปิดตัวลง เหตุใดเจ้าจึงเอ่ยถามถึงที่นั่น ?”
“ท่านพ่อเอ่ยว่ามีต้นพุทราต้นหนึ่งอยู่ที่นั่น คาดว่าบัดนี้คงใกล้สุกเต็มที ท่านพ่อบอกว่าพุทรานี้ทั้งลูกโตและมีรสหวาน”
ต่งชูหลานมีท่าทีประหลาดใจ นางเองก็ไม่เคยไปยังที่แห่งนั้น จึงไม่รู้ว่ามีต้นพุทราอยู่
“วันหลังพวกเราไปเก็บมากินกันสักหน่อยเป็นไร ? ”
“อืม ตกลง”
เวลาดำเนินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งดึกดื่น ควรส่งต่งชูหลานกลับไปยังจวนแล้ว หากถูกแม่ยายในอนาคตจับได้คาดว่าคงตายแน่ ๆ
ทั้งสองคนนั่งรถม้าเพื่อเดินทางกลับ พวกเขาร่ำลากันอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจากกันต่งชูหลานเอ่ยถามขึ้นว่า “คืนพรุ่งนี้เจ้าจะมาเวลาใด ? ”
“เวลาใดจึงจะปลอดภัยที่สุด ?”
ต่งชูหลานครุ่นคิดและเอ่ยกลับไปว่า “ถ้าเช่นนั้น……ช่วงค่ำ ๆ ”
“ตกลง ! ”
ซูม่อแอบฟังอยู่เงียบ ๆ ภายในใจเขาคิดว่าเรื่องนี้เมื่อไหร่จะมีจุดจบที่ดีเสียที ?
เมื่อกลับมายังโรงเตี๊ยม ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ไม่สามารถหลับตาลงได้
“ซิ่วเอ๋อร์ ฝนหมึก !”
“หืม ? คุณชายเจ้าคะ มิได้เอามาด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนนึกในใจ อืมนั่นสิ เช่นนั้นคงต้องไปซื้อในวันรุ่งขึ้นแล้ว
……
……
วันต่อมา ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เดินทางไปยังจวนต่งอีก
ชุนซิ่วซื้อหมึก กระดาษ ที่ฝนหมึกและพู่กันกลับมา หลังจากฝนหมึกเรียบร้อยแล้วฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วจึงหยิบพู่กันขึ้นมาขีดเขียน ซูม่อและชุนซิ่วคิดว่าเขาจะเขียนบทกวี แต่เขากลับร่างนโยบายบรรเทาสาธารณภัย
“นโยบายบรรเทาสาธารณภัย”
“นับตั้งแต่ราชวงศ์หยูก่อตั้งขึ้นมาเป็นเวลากว่าสองร้อยปี ภายใต้การปกครองขององค์ฮ่องเต้ผู้ชาญฉลาด ทำให้ประเทศเกิดการพัฒนาและเข้มแข็ง และมาตรฐานการดำรงชีวิตของประชากรก็เฟื่องฟูเช่นกัน จวบจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ประชากรอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข มีสำนักศึกษา มีสถานพยาบาล ผู้ชรามีคนดูแล และไม่มีผู้คนไร้ที่อยู่อาศัย สิ่งเหล่านี้ทำให้ประชากรของประเทศอยู่อย่างสงบสุขเสมอมา และนับว่าเป็นโชคดีของประชากรยิ่งนัก !”
“แม้ว่าโลกจะสวยงามเพียงใดแต่ก็มีวัชพืชขึ้นแทรกเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นเหตุการณ์น้ำท่วมจากแม่น้ำหวงเหอในเดือนเจ็ดของรัชสมัยเซวียนลี่ที่แปดเป็นตัวอย่าง องค์ฮ่องเต้ทรงห่วงใยประชาชนและทรงจัดสรรเงินพร้อมทั้งอาหารจำนวนนับไม่ถ้วน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย นี่คือพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้ของฝ่าบาท แสงสว่างจากฝ่าบาทควรจะถูกส่องไปยังประชากรโดยทั่วถึง แต่กลับถูกบดบังไว้โดยแมลงโลภกลุ่มหนึ่ง ส่งผลให้ผู้ประสบภัยไร้ซึ่งอาหารประทังชีวิต ผู้ประสบภัยนับแสนคนถูกบีบบังคับให้เดินทางออกจากบ้านเกิด ทำให้เกิดเรื่องราวน่าสลดใจยิ่ง แต่สิ่งนี้มิใช่สิ่งที่ฝ่าบาทต้องการเห็น ที่เป็นเช่นนี้เพราะแกะดำเหล่านั้นเห็นแก่ผลประโยชน์ของตนเอง จึงทำให้พระบารมีของฝ่าบาทถูกบดบังลงไปด้วย ต่อให้ลงโทษประหารนับพันครั้งก็ยังไม่อาจชดใช้ได้ ! ”
“หากแต่ถามว่าเหตุใดการทุจริตนี้แม้จะถูกห้ามก็ยังมีผู้กระทำ ? เหตุใดอำนาจของพวกเขายากที่จะทำลาย ?
ข้าน้อยมีความคิดเห็นว่าเกิดจากสิ่งต่อไปนี้”
นโยบายฉบับยาวถูกฟู่เสี่ยวกวนเขียนใส่ไปในกระดาษ ซูม่อจ้องมองเขาตลอดเวลาและพยักหน้าไปตามเนื้อหาที่เขาเขียน บางคราก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดแล้วส่ายหัวอย่างมิเข้าใจ
กระทั่งฟู่เสี่ยวกวนเขียนเสร็จ เขาจึงเอ่ยถามขึ้นว่า “สิ่งนี้……คือนโยบายบรรเทาสาธารณภัยงั้นหรือ ?”
“ถูกต้องแล้ว มิเช่นนั้นท่านเห็นเป็นสิ่งใด ? ”
“มิใช่เช่นนั้น แต่ในข้อนี้กล่าวว่าห้ามมิให้ราชสำนักแจกจ่ายสิ่งของ เช่นนี้ยังจะเรียกว่าบรรเทาสาธารณภัยได้อีกหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะแล้วกล่าวว่า “หากไม่ยกเลิก สิ่งของบรรเทาสาธารณภัยเหล่านี้ก็มิอาจตกไปถึงมือผู้ประสบภัยได้”
“ข้าก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เจ้าว่าราชสำนักควรกำหนดราคาอาหารจากสิ่งของบรรเทาภัยเหล่านี้ ผู้ประสบภัยจะเอาเงินที่ไหนมาซื้ออาหารกัน?”
“เจ้าจงพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนอีกทีสิ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้อธิบายเพิ่มเติม เนื่องจากนโยบายฉบับนี้ค่อนข้างอันตรายอย่างที่ซูม่อกล่าว หากมองจากภายนอกนโยบายของเขาช่างไร้ค่าเสียจริง แต่หากเป็นผู้ที่เข้าใจในเศรษฐกิจดีจะพบว่าวิธีนี้เป็นวิธีการที่เหมาะสมนัก
ต้องดูว่าผู้ที่นำไปใช้นั้นใช้อย่างไร หากเขามีโอกาสเข้าเฝ้าฝ่าบาท เขาจะอธิบายถึงปัญหาเหล่านี้อย่างละเอียด หากเขาไม่ได้รับเลือกและเข้าเฝ้าฝ่าบาท เขาคิดว่าจะไปขอความช่วยเหลือจากฉินปิ่งจง
วิกฤตของตระกูลฟู่ในครั้งนี้จะต้องผ่านพ้นไปให้ได้ และผู้ที่จะตามคิดบัญชีกับเขาคงจะเริ่มลงมือหลังจากการตรวจสอบขององค์ฮ่องเต้สิ้นสุดลง
ตอนนี้เป็นช่วงเวลาคับขัน นอกจากการไปขอความช่วยเหลือผ่านหยูเวิ่นหวินแล้ว บัดนี้เขามีตัวเลือกเพียงเท่านี้
ซูม่อมองดูอยู่เนิ่นนาน ก็ยังมีอีกหลาย ๆ แห่งที่ไม่เข้าใจ แต่เมื่อคิดว่าทุกสิ่งอย่างที่ฟู่เสี่ยวกวนทำ ณ ซีซานนั้น หากไม่ถึงขั้นตอนสุดท้ายที่มีผลสำเร็จ ผู้คนทั่วไปมักไม่สามารถเข้าใจแนวคิดของเขาได้
เขาจึงไม่ได้เอ่ยถามใด ๆ ขึ้นมาอีก
“พวกเราไปหาของอร่อย ๆ กินกันเถอะ”
เมื่อทั้งสามเดินออกมาจากโรงเตี๊ยม กลับพบว่าไม่รู้จะเดินไปทางไหน
หากมีคู่มือท่องเที่ยวคงจะดีไม่น้อย หรือหากต่งชูหลานมิได้ถูกกักบริเวณก็คงจะมีผู้นำเที่ยวที่ดีทีเดียว
ในขณะที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังหาทางไป ก็พบเข้ากับชายหนุ่มคนหนึ่ง ในมือของเขาถือกระดาษอยู่ใบหนึ่งมองดูฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก้มมองไปที่กระดาษในมือและมองมายังฟู่เสี่ยวกวนอีกครั้ง
ชายหนุ่มผู้นี้มีรูปร่างหน้าตาดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งคิ้วหนาเป็นระเบียบ มองไปแล้วคล้ายกับเฟยเชียง ดาราคนหนึ่งในโลกที่แล้ว
“เจ้าคือฟู่เสี่ยวกวน ? ” ชายผู้นั้นเอ่ยขึ้น
“ถูกต้องแล้ว ท่านคือ……”
ชายหนุ่มหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ข้ามีนามว่าต่งซิวเต๋อ ชูหลานคือน้องสาวข้า”
“อ้อ ที่แท้ก็คือพี่รองนี่เอง ! ” ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกเป็นกันเองขึ้นมาทันใด เขาเดินหน้าไปจับมือต่งซิวเต๋ออย่างแน่น
ให้ตายสิ ต่งซิวเต๋อทำตัวไม่ถูก เขาช่างทำตัวเหมือนเพื่อนที่ไม่ได้พบเจอกันมานานหลายปี แต่ข้าไปรู้จักกับเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน !
“เอ่อ เป็นเยี่ยงนี้ น้องสาวข้าออกมามิได้จึงไหว้วานให้ข้าเดินทางพาเจ้าไปเที่ยว”
“ช่างดียิ่งนัก ! ”
“ช้าก่อน ค่าตัวข้ามิใช่ถูก ๆ จ่ายเงินมาก่อน !”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง นี่มันอะไรกัน ?
“พี่รอง ท่านจงว่าราคามาเถิด”
“วันล่ะ 100 ตำลึง ! ”
“ตกลง ! ”
ตอนที่ 91 ชิงตัวคุณหนูต่ง
ผ่านไปไม่นาน สาวใช้ชราก็กลับมายังเรือนหลัง
“ฮูหยินเจ้าค่ะ ชายหนุ่มผู้นั้นออกไปแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินต่งแย้มยิ้ม “เจ้าดูสิ ใจดวงนั้นยังมิมั่นคงพอเลย ไปได้ก็ดี ไปให้ไกลที่สุดได้ยิ่งดี!”
……
…..
คืนนี้เป็นคืนเดือนดับและลมบนสูง เหมาะแก่การ… ชิงตัว !
ฟู่เสี่ยวกวนและซูม่อมาถึงเรือนด้านหลังของจวนต่งอย่างหลบ ๆ ซ่อน ๆ เขาชี้ไปยังด้านใน ซูม่อพยักหน้า คลุมด้วยผ้าสีดำผืนหนึ่ง ดีดร่างขึ้นไป และตกลงด้านบนกำแพง หลังจากนั้นก็ดีดร่างขึ้นไปอีกครา และตกลงมาบนหลังคา
เขาเดินไปบนหลังคาอย่างเงียบงันราวกับแมวตัวหนึ่ง หลังจากนั้นก็คุกเข่าลง และเปิดกระเบื้องออกหนึ่งแผ่น ก่อนจะลอบมองลงไปทางเบื้องล่าง
มิใช่ ในห้องนั้นมีเพียงชายหญิงคู่หนึ่ง ชายผู้นั้นอายุอานามประมาณ 20 ปีได้ หญิงสาวผู้นั้นคือฮูหยิน ดูแล้วอายุอานามประมาณ 40 ปีได้
ในตอนที่เขากำลังจะออกไป กลับได้ยินเสียงดังออกมา “ท่านแม่ น้องสาวได้มอบหัวใจให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นแล้ว อันที่จริงฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นก็มิได้เลวร้าย ท่านเองก็เคยอ่านความฝันในหอแดงเล่มนั้นที่เขาเป็นผู้ประพันธ์ ท่านเองก็รู้จักทำนองเพลงสายน้ำบทนั้นของเขา…”
สตรีผู้นั้นเอ่ยแทรกคำพูดชายผู้นั้น กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ต่างเป็นชื่อเสียงจอมปลอมทั้งสิ้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าบิดาของเจ้าผ่านความยากลำบากมาเท่าใดก่อนที่จะได้นั่งในตำแหน่งเสนาบดีกรมคลังเฉกเช่นในวันนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าภายนอกที่ยิ่งใหญ่ของจวนต่งนี้กลับมิมีรากฐานอันใด”
สตรีผู้นั้นถอนหายใจ “วันนี้ถึงแม้เจ้าจะอยู่ในกั๋วจื่อเจี้ยน แต่เจ้าก็เป็นเพียงจู่เป๋า[1]ตำแหน่งเล็กๆ ในกั๋วจื่อเจี้ยน น้องชายของเจ้ามิได้ความยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก เคอชิวเหวยกำลังจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว แต่เขาเล่า เจ้าบอกข้ามาว่าเขาอยู่ที่ใดในตอนนี้?”
“และในวันนี้บิดาของเจ้าก็มีอายุมากขึ้น หากบิดาของเจ้าเกษียณ ข้าขอถามเจ้า ยังจะมีผู้ใดสนับสนุนจวนต่งหรือไม่ หากไร้ซึ่งการสนับสนุน เจ้าจะยินยอมเป็นจู่เป๋าอยู่ในกั๋วจื่อเจี้ยนไปจนแก่เฒ่ารึ ฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นเป็นเพียงเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงผู้หนึ่ง หากน้องสาวของเจ้าแต่งกับเขา จะมีความสุขอย่างแท้จริงเยี่ยงนั้นรึ เขาสามารถให้อะไรแก่น้องสาวของเจ้าได้บ้าง แต่หากน้องสาวของเจ้าแต่งกับเยี่ยนซีเหวิน หากได้เกี่ยวดองกับตระกูลอัครมหาเสนาบดี หากมีการสนับสนุนอันแข็งแกร่งจากตระกูลเยี่ยน แม้จะอยู่ในกั๋วจื่อเจี้ยน หลังจากที่ชางกวนเหวินซิ่วเกษียณไป ตำแหน่งจี้จิ่ว[2]ก็จะเป็นของเจ้า”
“น้องสาวของเจ้ากินน้ำมันหมูเข้าไปจนตาบอดแล้ว มิรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นใส่ยาเสน่ห์อะไรให้นางหรือไม่ ถึงทำให้นางแยกแยะถูกผิดมิได้ หากในตอนนี้มิห้ามนางเอาไว้ ภายภาคหน้าอาจจะต้องมาเสียใจ เมื่อถึงตอนนั้นคงมิทันกาลแล้ว”
ชายผู้นั้นเงียบอยู่เนิ่นนาน จึงได้กล่าวขึ้นมาว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ท่านรีบพักผ่อนนะขอรับ”
สตรีผู้นั้นออกไปแล้ว ซูม่อมองออกไปด้านนอกกำแพงด้วยความเห็นอกเห็นใจ เรื่องเล็กน้อยนี้ของฟู่เสี่ยวกวนราวกับเป็นละครน้ำเน่า
เขาปิดกระเบื้องหลังคา และออกตัววิ่งไปบนกระเบื้องหลังคาอีกเรือนราวกับแมว ยกกระเบื้องออกดู และเป็นต่งชูหลานพอดี
ซูม่อค่อนข้างประหลาดใจ เพราะต่งชูหลานกำลังนั่งเขียนอะไรสักอย่างอยู่หน้าโต๊ะอักษร กำลังบิดขวดสุราและดื่มอึกแล้วอึกเล่า
เมามายแล้วรึ ?
หากเมามายแล้วอาจยุ่งยากได้
ซูม่อหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ พับเป็นชิ้นเล็ก ๆ สะบัดออกไปด้วยปลายนิ้ว และตกลงที่เบื้องหน้าของต่งชูหลานอย่างพอดิบพอดี
ต่งชูหลานตกตะลึง ลุกขึ้นและมองไปรอบด้าน นอกจากเสียวฉีแล้วก็มิมีผู้ใด
นางหยิบกระดาษนั้นขึ้นมา เปิดออก ทันใดนั้นก็ตื่นเต้นและค่อย ๆ ผ่อนคลายลง
อักขระอันเป็นเอกลักษณ์และมิมีใครเหมือนในใต้หล้า เขียนไว้บนกระดาษว่า “ข้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว ตอนบ่ายได้มาที่ตระกูลเจ้า แต่มารดาของเจ้าไล่ข้าออกมา ข้าอยากพบเจ้า หากเจ้าก็คิดเช่นเดียวกัน โปรดออกมา เหมือนว่าเจ้าจะถูกกักบริเวณ เยี่ยงนั้นข้าจะให้ซูม่อพาเจ้าออกมา หากตกลงให้เจ้าพยักหน้า หากลำบากก็ขอให้เจ้าส่ายหน้า ข้าจะมิโทษเจ้าแต่อย่างใด”
ต่งชูหลานหัวเราะออกมา แบบนี่ช่างน่าสนใจยิ่งนักมิใช่รึ ?
นางย่อมพยักหน้าอยู่แล้ว
ดังนั้นซูม่อจึงถลาบินลงมาจากหลังคา เสี่ยวฉีตื่นตกใจจวนจะกรีดร้อง ซูม่อพุ่งเข้าไปดังคันศรและจัดการให้เสี่ยวฉีสลบไป
“ข้าน้อย ซูม่อ ได้รับคำสั่งจากคุณชายฟู่ให้มารับคุณหนูออกไป”
ต่งชูหลานย่อมรู้จักซูม่อ นางครุ่นคิด “มาเถิด มาช่วยข้าออกไป”
ทั้งสองอุ้มเสี่ยวฉีไปไว้บนเตียง และห่มผ้าคลุมเอาไว้ “พวกเราจะออกไปเยี่ยงไร?” ต่งชูหลานเอ่ยถาม
“มีทางประตูด้านหลังหรือไม่ ? ”
“มีคนเฝ้าอยู่”
“คุณหนูโปรดนำทาง”
ต่งชูหลานดับไฟตะเกียง และเดินไปยังประตูด้านหลังอย่างเบามือเบาเท้า ซูม่อลงมือจัดการให้ผู้รักษาประตูสลบไปอีกครา เปิดประตูด้านหลังและส่งต่งชูหลานออกไป เขาจึงปิดประตู และบินขึ้นไปบนสันกำแพง
“ชูหลาน !”
“เสี่ยวกวน !”
ซูม่อเบะปาก และมิได้ติดตามเข้าไป
เขาต้องคุ้มกันที่นี่ หากสาวใช้หรือทหารยามตื่นขึ้นมา เรื่องวุ่นวายก็จะถูกเปิดเผยมิใช่หรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนกุมมือของต่งชูหลานวิ่งไปตลอดทาง จนมาถึงตรอกหวู่อี้ เรียกรถม้าหนึ่งคัน และบอกว่าไปแม่น้ำฉินหวาย
รถม้ามุ่งตรงไปยังแม่น้ำฉินหวาย ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้มองต่งชูหลานและหัวเราะเสียงดัง
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
ต่งชูหลานขัดเขิน ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันพลัน มือของนางยังคงถูกมือของฟู่เสี่ยวกวนกุมเอาไว้ แต่ก็มิได้มีความตั้งใจจะดึงออกมา
ก้มหน้าหลบและกล่าวอ้อมแอ้มออกมา “ น่าเกลียดนัก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้กล่าวอันใดเพิ่มอีก เขาเพียงมองไปยังต่งชูหลาน รู้สึกว่านี่น่าจะเป็นความรักที่มีความสุขที่สุด
ต่งชูหลานไหนเลยจะเคยมีประสบการณ์กับสายตาที่ร้อนแรงเยี่ยงนี้ นางมิกล้าเงยหน้า ความสุขบนใบหน้ากลับมิจางหายไป ใจดวงน้อยก็ยังคงเต้นกระหน่ำมิหยุด
“เจ้า… มารดาข้าได้ทำให้เจ้าลำบากหรือไม่ ?” ต่งชูหลานเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“มิได้ กับเรื่องนี้ข้าได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว จึงนั่งอยู่เยี่ยงนั้นทั้งบ่าย เรื่องนี้มิโทษเจ้า เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย”
“อืม”
ต่งชูหลานนึกถึงฟู่เสี่ยวกวนที่ได้รับท่าทีเย็นชาแต่กลับมิใส่ใจ นางจึงรู้สึกอึดอัดใจ หากบิดามารดาชื่นชอบเขา ก็คงจะดียิ่งนัก
คนผู้นี้กลับมีหนทางเล็กน้อย ด้วยการเรียกให้ซูม่อข้ามกำแพงมา หากมิทำเยี่ยงนี้ ตนเองก็ยังมิรู้ว่าเขามาถึงเมืองหลวงแล้ว
รถม้าได้มาถึงแม่น้ำฉินหวาย ทั้งสองลงมาจากรถม้า กุมมือกันและหยุดยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำฉินหวาย
แม่น้ำฉินหวายสิบลี้ลมพัดอย่างแผ่วเบา เรือสำเภา 1 ลำบนแม่น้ำลอยไปอย่างเอื่อยเฉื่อย โคมไฟยักษ์สีแดงบนเรือสำเภาถูกแขวนไว้สูง แสงไฟบนเรือสำเภาสว่างไสว เสียงนกกระจ้อยร่ำร้อง นกนางแอ่นเต้นรำลอยมาตามลม เมื่อเทียบกับหลินเจียง ถือว่ารุ่งเรืองกว่ามิรู้ตั้งกี่เท่า
ฟู่เสี่ยวกวนกุมมือต่งชูหลาน และเดินไปตามริมฝั่งแม่น้ำไปเรื่อย ๆ ในยามนี้ราวกับเวลาได้เชื่องช้าลง การจับมือในครานี้ ราวกับจะยาวนานไปจนกว่าผมทั้งหัวจะเป็นสีขาว
ทั้งสองเดินพลางพูดคุยกันไปเรื่อยเปื่อย ฟู่เสี่ยวกวนเล่าว่าเดือนเก้าวันที่สิบแปดบิดาได้รับราชโองการให้รับอนุ 5 คน ต่งชูหลานจึงหัวเราะขึ้นมา
ต่งชูหลานเองก็กล่าวว่าครานี้นางลอบออกจากเมืองหลวงไปยังหลินเจียง หลังจากที่กลับมาก็ถูกมารดาสั่งกักตัว คืนนี้คือครั้งแรกที่ได้ออกมาจากจวน
ต่งชูหลานเอ่ยถามฟู่เสี่ยวกวนว่าเหตุใดจึงได้มาที่เมืองหลวงอย่างกะทันหัน ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด มิได้กล่าวถึงว่าเพราะเหล่าผู้ประสบภัยเหล่านั้น มันมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเกิดเรื่องร้ายขึ้น และย่อมมิได้กล่าวว่าต้องการให้ต่งชูหลานไปหาหยูเวิ่นหวิน
ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจเรื่องหนึ่งขึ้นมา แทนที่จะหาต้นไม้ใหญ่ไว้ยึดเกาะ มิสู้สร้างต้นไม้ใหญ่ขึ้นมาเองเสียจะดีกว่า
มีเพียงหนทางนี้ที่เขาจะปกป้องตระกูลฟู่ และปกป้องเหล่าหญิงสาวที่เป็นที่รักยิ่งของตนได้
“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ ? ”
ทั้งสองนั่งลงที่ศาลาริมฝั่งแม่น้ำ ต่งชูหลานจ้องมองฟู่เสี่ยวกวนและเอ่ยถาม
“ข้ากำลังคิด…หากไม่เข้าร่วมการสอบ ยังมีหนทางใดอีกหรือไม่ ที่จะทำให้ข้าได้เป็นขุนนาง ? ”
[1] จู่เป๋า เป็นตำแหน่งข้าราชการระดับเล็ก หรือก็คือเสมียน มีหน้าที่รวบรวมเอกสารและจัดการเอกสารต่าง ๆ
[2] จี้จิ่ว เป็นตำแหน่งข้าราชการระดับสูง หรือก็คือผู้อำนวยการ
ตอนที่ 90 เดินทางสู่เมืองหลวง
รัชสมัยเซวียนลี่ที่แปด เดือนเก้า วันที่ยี่สิบสาม เวลาบ่าย
ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางมาถึงจินหลินแห่งเมืองหลวง
เนื่องจากเขาไม่รู้จักผู้ใดในเมืองนี้และไม่คุ้นเคยกับถนนหนทาง จึงได้พาซูม่อและชุนซิ่วไปเช่ารถม้ามาสองคันและมุ่งหน้าไปยังตรอกหวู่อี้
ต่งชูหลานอาศัยอยู่ในตรอกหวู่อี้ และนางคือคนเดียวที่ฟู่เสี่ยวกวนรู้จักในเมืองนี้
แน่นอนว่าเขาไม่สามารถเข้าไปในพระราชวังได้ จึงจำเป็นต้องสื่อสารกับหยูเวิ่นหวินผ่านทางต่งชูหลาน เช่นนี้จึงจะมีโอกาสเข้าพบพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย
เขาเข้าพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเป็นการชั่วคราว หลังจากกินข้าวอิ่มท้องแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนสั่งให้ทั้งสองคนกลับไปยังที่พักก่อน ส่วนเขานั้นนำน้ำหอมกล่องหนึ่งเดินทางไปยังจวนต่ง
ต่งชูหลานแอบหนีออกไปจากเมืองหลวงและเดินทางไปหลินเจียง เรื่องนี้นางทำผิดกฎของตระกูลจึงถูกทำโทษให้กักตัวไว้ในห้อง และมีพี่ชายคนโตของนาง ต่งซิวจิ่นเป็นผู้ดูแล
สองพี่น้องบัดนี้กำลังประลองหมากรุกกันอยู่ ต่งชูหลานเดินหมากชนะพี่ชายของนาง ทำให้สีหน้าของนางดูมีความสุขยิ่งนัก
นางมิได้เสียใจที่ถูกกักบริเวณแม้แต่น้อย เนื่องจากจิตใจของนางมีที่พักพิงแล้ว จึงทำให้นางสบายใจยิ่งนัก
ส่วนเรื่องถูกกักบริเวณนางหาได้ใส่ใจไม่ อย่างไรเสียช่วงนี้ก็ไม่มีเรื่องอันใดต้องออกไปข้างนอก
“น้องสาวข้า หลังกลับมาจากหลินเจียงก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคนเชียว” ต่งซิวจิ่นเดินหมากพลางพูดออกมา
“ข้าจะเล่าให้ท่านพี่ก็ได้ว่าข้านั้นชอบฟู่เสี่ยวกวนยิ่ง และหวังว่าเขาเองจะชอบข้าเช่นกัน” ต่งชูหลานเอ่ยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ แต่ผู้ฟังอย่างต่งซิวจิ่นกลับตกตะลึง ที่เขาตกตะลึงนั้นเนื่องจากต่งชูหลานได้เอ่ยออกมาอย่างไม่เขินอาย
น้ำเสียงของนางนิ่งเรียบ แต่ช่างเด็ดขาดไม่มีแม้แต่ความกังวลใจใด ๆ และช่างตรงไปตรงมา !
นั่นหมายความว่าเรื่องนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของนางได้ !
“ท่านแม่มิชอบ”
“……หากท่านแม่มิชอบ” ต่งชูหลานนึกถึงเรื่องราวของฟู้ต้ากวนและสวี่หยุนชิง นางได้แต่ถอนหายใจยาว ๆ ออกมา หรือนี่อาจจะเป็นโชคชะตาของนางกัน นางเอ่ยออกมาอย่างช้า ๆ ว่า “มิชอบก็มิเป็นไร”
……
……
สองพี่น้องประลองหมากรุกกันต่อโดยไม่มีใครเอ่ยอันใดออกมาอีก ฟู่เสี่ยวกวนเคาะประตูจวนจากนั้นก็ยื่นจดหมายให้ฉบับหนึ่ง เขายืนรออยู่ที่ด้านนอกจวน
“อะไรกัน ? ฟู่เสี่ยวกวนงั้นหรือ ? เขายังมีหน้ามายังจวนต่งของเรางั้นหรือ ? ผู้คุม……เดี๋ยว ช้าก่อน” ฮูหยินต่งวางถ้วยชาลงแล้วครุ่นคิดชั่วครู่ “ให้เขาเข้ามาได้ จงไปรอข้าที่ห้องโถงด้านหน้า”
นางมิได้เดินทางไปด้วยตนเอง แต่หันกลับมากำชับกับบ่าวรับใช้สูงวัยผู้หนึ่งว่า “ข้ามิอยากพบหน้าเขา เจ้าจงออกไปดูแทนข้าหน่อย ให้เขาเข้าใจถึงความหมายของข้า”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นน้อมรับคำสั่งแล้วเดินไปยังห้องโถงด้านหน้า
ฟู่เสี่ยวกวนเข้ามายังห้องโถงด้านหน้าของจวนต่งซึ่งบัดนี้ช่างเงียบสงัด
ท่านเสนาบดีต่งวุ่นอยู่กับเรื่องของราชการแต่เช้ายันค่ำ ฮูหยินต่งเป็นผู้ดูแลจัดการทุกสิ่งทุกอย่างในจวนแต่เพียงผู้เดียว ภายในจวนมีกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดยิ่ง แม้แต่บ่าวรับใช้จะย่างกรายแต่ละก้าวก็ยังต้องคอยระมัดระวัง พวกเขามิกล้าทำการใดโดยพลการ แม้แต่ฟู่เสี่ยวกวนเดินผ่าน พวกเขาก็ยังมิกล้าเงยหน้าขึ้นมอง
“คุณหนูของพวกเจ้าอยู่หรือไม่ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามคนเฝ้าประตู เขาส่ายหัวและตอบกลับมาว่า “ข้าน้อยมีหน้าที่เพียงเฝ้าประตู ไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับคุณหนู”
อืม ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าถึงอย่างไรก็ได้เข้ามาแล้ว จะต้องถามเกี่ยวกับต่งชูหลานให้ได้
เขาเดินผ่านสวนดอกไม้แห่งหนึ่งและผ่านไปยังระเบียงทางเดินเข้าไปในประตูวงจันทร์ เมื่อมองเข้าไปก็เห็นศาลาสวยงามแห่งหนึ่ง
ศาลาแห่งนั้นมีบ่าวรับใช้วัยชรายืนอยู่ คนเฝ้าประตูโบกไม้โบกมือให้สัญญาณไปทางนาง จากนั้นจึงขอตัวเดินจากไป ฟู่เสี่ยวกวนเดินตรงเข้าไปในศาลานั้น สายตามองไปยังบ่าวรับใช้ผู้นั้นชั่วครู่
ไม่น่าจะเป็นมารดาของต่งชูหลานแน่ ?
อายุมากเพียงนี้ ไม่ใช่อย่างแน่นอน
ฟู่เสี่ยวกวนเดินมาถึงศาลา เขาโค้งให้ความเคารพหญิงชราผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “ข้า ฟู่เสี่ยวกวน แห่งเมืองหลินเจียงเดินทางมาขอเข้าพบฮูหยินต่ง ขอให้ท่านช่วยนำทางด้วยเถิด”
หญิงชราสีหน้านิ่งเรียบ นางยื่นมือออกไปแล้วเอ่ยว่า “ขอเชิญคุณชาย”
“ขอบพระคุณท่านมาก”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินขึ้นบันไดไป หญิงรับใช้ผู้นั้นยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู เมื่อครั้นเดินผ่านนาง ฟู่เสี่ยวกวนได้หยิบถุงเงินออกมาและส่งให้ “ข้าเดินทางมาจากบ้านนอก ไม่เข้าใจถึงวัฒนธรรมของชาวเมืองเท่าไรนัก น้ำใจเล็กน้อยท่านโปรดรับเอาไว้”
ที่จริงฟู่เสี่ยวกวนไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย เขาเพียงเคยดูในภาพยนตร์จีนที่ยามให้ขันทีช่วยเหลือเรื่องใดในวังหลวง ก็มักจะมอบสินน้ำใจเล็กน้อยเช่นนี้ แม้นางจะไม่ใช่ขันที แต่หลักการนี้น่าจะได้ผลเช่นกัน เขาจึงได้ทำการเช่นนี้ลงไป
หญิงชราผู้นั้นขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามว่า “คุณชายคิดว่าจวนต่งขาดแคลนเงินงั้นหรือ ? ”
เอ่อ……
“แน่นอนว่าจวนต่งมิได้ขาดแคลนเงิน ข้าน้อยเพียงคิดว่าเงินนี้ต่อให้มีมากก็มิใช่ปัญหามิใช่หรือ ? อีกอย่างข้าไม่ได้มีความหมายว่าเช่นนั้น เพียงแต่เมื่อเห็นท่านมีท่าทีโอบอ้อมอารี มองไปช่างคล้ายกับท่านย่าของข้านัก เงินนี้ข้าหามาด้วยตนเองเป็นเงินสุจริต เพียงแค่อยากนำไปให้ท่านใช้เพื่อตอบแทนคุณเท่านั้นเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนพูดไปพลางนำเงินยัดใส่มือของนาง เขาจำได้ดีว่าฉากเหล่านี้เคยพบอยู่บ่อย ๆ ในละคร
หญิงชรากำเงินไว้ในมือ นางทำอะไรไม่ถูกจึงได้แต่เก็บเข้ากระเป๋าไป นางมิได้เอ่ยอันใดออกมาและนำพาฟู่เสี่ยวกวนเข้าไปในศาลา
“ท่านจงนั่งรอก่อนเถิด ฮูหยินพักผ่อนอยู่ หากตื่นแล้วข้าจะเรียนให้ทราบ”
หญิงรับใช้ผู้นั้นจัดเตรียมน้ำชามาให้ฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็เดินไปยืนอยู่ในมุมหนึ่งโดยมิได้เอ่ยอันใดออกมา
เมื่อถึงเวลาบ่ายคล้อย คาดว่าฮูหยินคงจะตื่นจากการพักผ่อนแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้นั่งตั้งตารอ เขายกน้ำชาขึ้นมาดื่มบ้างเป็นบางครา และมองออกไปดูลูกนกกระโดดไปมาที่นอกหน้าต่างโดยไม่มีท่าทีกังวลใจ
เขารออยู่พักใหญ่จนกระทั่งเข้าสู่เวลาเย็น น้ำชาถูกดื่มเสียจนหมด แต่ยังไม่มีท่าทีว่าฮูหยินจะออกมา ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เข้าใจในความหมายของการกระทำนี้
แต่เขามิได้ใส่ใจ และหลับตาลงนั่งสมาธิเพื่อฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยาง
จะแข่งการอดทนมิใช่หรือ ?
มาดูกันว่าใครจะอดทนได้ดีกว่ากัน !
เวลาผ่านไปกระทั่งท้องฟ้ามืดลง
หญิงรับใช้ผู้นั้นเดินจากออกไปอย่างเงียบ ๆ เมื่อตอนที่นางเดินผ่านหน้าฟู่เสี่ยวกวนไป นางได้มองกลับมายังเขา ชายหนุ่มผู้นี้มีลักษณะที่ดีนัก อีกทั้งท่านั่งยังสง่างาม
นางเดินไปยังเรือนด้านหลัง ฮูหยินต่งกำลังปรุงชาโสมอยู่ เมื่อเห็นหญิงรับใช้กลับมาจึงได้เอ่ยถามว่า “กลับไปแล้วงั้นหรือ ? ”
นางส่ายหัวแล้วเอ่ยว่า “ยังคงนั่งอยู่ที่ห้องโถงเจ้าค่ะ”
ฮูหยินต่งเก็บรอยยิ้มลงและเอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ยังไม่ไปงั้นหรือ ? เขาจะอยู่รับประทานอาหารค่ำที่นี่หรืออย่างไร ? ”
หญิงรับใช้ไม่ได้ตอบสิ่งใด ฮูหยินต่งจึงได้กล่าวต่อไปว่า “เขาได้ทำอะไรบ้าง ? ”
“ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าถึงได้โดยง่าย เมื่อข้าน้อยให้เดินเข้าไปในห้องโถงด้านหน้า เขาก็ส่งถุงเงินให้แล้วเอ่ยว่า……เขาเป็นคนมาจากบ้านนอกไม่เข้าใจกฎของเมืองใหญ่นี้ เพียงต้องการมอบให้เพื่อตอบแทนคุณ จากนั้นเขาก็ดื่มน้ำชาเสียจนหมด คาดว่าเขาเข้าใจถึงความหมายของท่านดี แต่ก็มิยอมจากไป มองดูแล้วไม่มีท่าทีเบื่อหน่ายแต่อย่างใด ข้าน้อยยืนเฝ้ามองอยู่ตลอดเวลา เขาไม่แม้แต่จะขยับตัวด้วยซ้ำ ช่างเป็นชายหนุ่มที่……มีจิตใจมุ่งมั่นเสียจริง”
“มีจิตใจมุ่งมั่นงั้นหรือ ข้าอยากรู้นักว่าจะมีจิตใจที่มุ่งมั่นถึงเพียงใด”
หญิงรับใช้นิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “ฮูหยินแสดงออกชัดเจนว่าไม่อยากพบเขา แต่เหตุใดไม่เอ่ยออกไปตามตรงเจ้าคะ ? เขาจะได้ถอดใจไปเสีย เช่นนี้จะไม่ดีกว่าหรือ ? ”
“นี่เจ้ากำลังตำหนิข้างั้นหรือ ? ”
หญิงรับใช้ผู้นั้นรีบโค้งตัวขอโทษ “ข้าน้อยมิบังอาจ”
“ข้าไม่เพียงแต่จะให้ฟู่เสี่ยวกวนถอดใจ แต่จะทำให้ชูหลานถอดใจด้วย ข้าไม่เข้าใจเสียจริงว่าเยี่ยนซีเหวินไม่ดีตรงไหน ? ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าเจ้าหนุ่มบ้านนอกนั่นมีอะไรดีกัน ! ข้าอยากจะรอดูวันที่เขาถอดใจ และวันที่ชูหลานตัดใจ”
“เจ้าจงไปเฝ้าดูเขา จนกระทั่งเขากลับไป”
ตอนที่ 89 พระสนมเอกปลูกดอกไม้
ฟู่เสี่ยวกวนตรงกลับไปยังจวน และพาบิดาของเขาฟู่ต้ากวนมายังเรือนหลัง
“ท่านพ่อ โฉนดที่ดินของที่ซีซานอยู่ที่ใด?”
ฟู่ต้ากวนชะงักนิ่ง “ห้องอักษรของข้า… เจ้าต้องการรึ?”
“เป็นเยี่ยงนี้ ตอนนี้ข้ามีธุระเร่งด่วนต้องรีบไปที่เมืองหลวง จำเป็นต้องนำโฉนดที่ดินเหล่านั้นติดตัวไป ข้ากลับมาเมื่อไหร่จะนำกลับมาให้ท่าน”
ฟู่ต้ากวนคิ้วขมวด มิใช่ว่าเขามิเต็มใจจะให้โฉนดที่ดินเหล่านั้นแก่ฟู่เสี่ยวกวน แต่รู้สึกว่าบุตรชายนั้นแปลกไปเล็กน้อย
เขามิมีปัญหา ลุกขึ้นยืนและรับกล่องนั้นมา
“โฉนดที่ดินของซีซานทั้งหมดอยู่ในนี้”
“ไปเมืองหลวงเยี่ยงไรจะถึงเร็วที่สุด ? ”
“ทางเรือ”
“ท่านจะมิถามหน่อยหรือว่าข้าจะเอาไปทำการใด ? ”
ดังนั้นฟู่ต้ากวนจึงยิ้มตาหยีและเอ่ยถาม “แล้วเจ้าจะทำอันใด ? ”
“ไปวัดฟูจื่อเพื่อไปเด็ดพุทราให้กับท่าน”
“…..”
“ข้าไปแล้ว ท่านพ่อเองก็ต้องเร่งรีบมีน้อง ๆ ให้กับข้า จำไว้ว่าวันสุดท้ายคือวันที่สิบห้าเดือนแปดในปีหน้า”
……
…..
รัชสมัยเซวียนลี่ที่8เดือนเก้าวันที่ยี่สิบ ยามค่ำ
เมืองหลวง วังเตี๋ยอี๋ ณ สวนดอกไม้ด้านหลัง
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยสวมชุดฝ้าป่านมือจับจอบและกำจัดวัชพืชในสวนดอกไม้อย่างพิถีพิถัน
นี่คือสวนดอกเบญจมาศ เป็นดอกเบญจมาศล้ำค่าหลายชนิดที่มาจากฉีโจว
ในช่วงนี้ดอกเบญจมาศได้บานแล้ว สีสันสดใสสวยงามยิ่งนัก
หยูเวิ่นหวินคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ แปลงดอกไม้ และจ้องมองมารดาที่กำลังกำจัดวัชพืช แล้วกล่าวว่า “ข้ายังคงชื่นชอบสีแดงชาดนี้มากกว่า เสด็จแม่ทรงทอดพระเนตร กลีบดอกไม้ที่แดงเข้มนี้ช่างสวยงามเสียจริง”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยยืดตัวขึ้น หยิบผ้าฝ้ายจากในแขนเสื้อขึ้นมาซับเหงื่อที่หน้าผาก แล้วกล่าวอย่างอารมณ์ดี “แม่แก่แล้ว แม่ชอบดอกเบญจมาศสีขาวนี้ยิ่งกว่า กลีบดอกสีขาว ดอกไม้ตูมที่มิแผ่ออก”
“เสด็จแม่มิได้ชราเลยเพคะ หากออกไปพร้อมกัน คนที่มิรู้ก็ยังคิดว่าเสด็จแม่เป็นพระเชษฐภคินีของข้า”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยหัวเราะ “เจ้ามันเด็กน้อย ลามปามนัก”
นางเดินถือจอบออกมาจากสวนดอกไม้ มีสาวรับใช้เดินเข้ามารับจอบ และมีสาวใช้อีกหนึ่งคนเดินถือน้ำอุ่นเข้ามาให้นาง หลังจากที่นางล้างมือจนสะอาดแล้ว ก็เดินพร้อมกับหยูเวิ่นหวินมายังศาลาซิ่วชุนกลางสวนดอกไม้แล้วค่อย ๆ นั่งลง
มีสาวใช้หนึ่งนางยกน้ำ ขนมและผลไม้เข้ามา ซั่งกุ้ยเฟยโบกมือ ทุกคนที่อยู่ ณ ที่นี่จึงต้องออกห่างไป เหลือเพียงขันทีชรายืนหลังค่อมอยู่ด้านหลังของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยด้วยความเคารพ
หยูเวิ่นหวินรินน้ำชาให้ซั่งกุ้ยเฟย และเอ่ยถามยิ้มๆ “เสด็จแม่เพคะ น้ำหอมสองกลิ่นนี้ชอบกลิ่นไหนมากกว่ากันหรือเพคะ?”
ตั้งแต่จากซีซานมา นางและหยูเวิ่นหวินก็ได้นำน้ำหอมบางส่วนกลับมาที่เมืองหลวง และได้มอบให้แก่ซั่งกุ้ยเฟยแต่เนิ่น ๆ แล้ว
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยยิ้มบาง ๆ “หากมีเพียงสองชนิดนี้ ข้าค่อนข้างชอบดอกมะลิ เรียบง่ายและสง่างาม มิเหมือนดอกกุ้ยฮวา ที่ค่อนข้างฉุน”
หยูเวิ่นหวินหน้ามุ่ย “หม่อมฉันชอบกลิ่นของดอกกุ้ยฮวาเสียมากกว่า เขากล่าวว่ารอดอกกุหลาบบานสะพรั่งก็จะทำน้ำหอมกลิ่นดอกกุหลาบขึ้นมา กลิ่นของกุหลาบจะเข้มข้นและละมุน จะหอมยิ่งกว่าดอกกุ้ยฮวาเพคะ”
“สิ่งที่เจ้าได้เห็นที่ซีซานทั้งหมด… เป็นจริงตามที่เจ้ากล่าวมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“ลูกจะกล้าพูดปดได้เยี่ยงไรเพคะ”
“แม่กลัวว่าจะเจ้าจะตาพร่ามัว และเห็นสิ่งที่เขาทำนั้นดีไปเสียหมดทุกอย่าง เขาปรองดองกับชาวนาเหล่านั้นจริง ๆ หรือ สามารถทำให้ผลผลิตของข้าวเพิ่มขึ้นได้เป็นสองเท่าจริง ๆ เยี่ยงนั้นรึ ?” พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยจ้องมองหยูเวิ่นหวิน และเอ่ยถามอย่างจริงจัง
“เพคะ เขามักจะลงไปทุ่งนา พับขากางเกงขึ้นมิได้แตกต่างไปจากชาวนาเลย ส่วนเรื่องเมล็ดพันธุ์ เขากล่าวว่าต้องรอให้ถึงปีหน้าจึงจะทำการเพาะขนาดเล็กขึ้นมา และรับทราบถึงผลลัพธ์ได้ หากต้องการส่งต่อไปยังทั่วประเทศ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามถึงห้าปีเพคะ”
ซั่งกุ้ยเฟยครุ่นคิดเล็กน้อย หันศีรษะมองไปอีกทาง และสูดลมหายใจเข้าออก “เจ้ารู้หรือไม่ ว่าเจ้าได้สร้างความเดือดร้อนครั้งใหญ่หลวงให้แก่เขาแล้ว”
หยูเวิ่นหวินผงะ และกล่าวอย่างประหลาดใจ “หม่อมฉันได้สร้างความเดือดร้อนให้เขาที่ใดกันเพคะ ?”
“พวกเจ้า ท้ายที่สุดแล้วก็ยังเด็กกันเกินไป ! ”
“เสด็จแม่เพคะ บอกหม่อมฉันมาสิเพคะ” หยูเวิ่นหวินร้อนรน นางรู้สึกว่ายามที่อยู่ที่ซีซานนางก็กระทำตนอยู่ในกฎระเบียบเสมอมา มิได้ทำเรื่องที่นอกกรอบแต่อย่างใด
“เขารับผู้ประสบภัยสามหมื่นกว่าคนนั้นมา แต่เดิมแล้วเป็นเรื่องที่ดี หากเรื่องนี้หยุดอยู่ที่อำเภอเหยาแห่งนั้น เรื่องนี้ก็จะมีผู้รับรู้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น แต่เจ้ากับชูหลานกลับเปิดโปงเรื่องนี้มายังราชสำนัก”
“ฝ่าบาททรงเกลียดชังพวกทุจริตยิ่งนัก เดิมทีเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เล็กน้อยเท่านั้น แต่ในวันนี้กลับแปรเปลี่ยนเป็นคดีที่ใหญ่หลวงไปเสียแล้ว”
“เนื่องด้วยฝ่าบาทได้ออกราชโองการมอบหมายให้ผู้แทนพระองค์ ต้องทำการตรวจสอบ”
ซั่งกุ้ยเฟยถอนหายใจ “เจ้าต้องทราบว่าการตรวจสอบในครานี้ จะมีผู้ตกต่ำลงถึงเพียงใด?”
หยูเวิ่นหวินร้อนรน “แต่คนเหล่านั้นสมควรตาย เสด็จแม่มิเห็นหรือเพคะว่าเหล่าผู้ประสบภัยนั้นน่าสงสารขนาดไหน”
“เรื่องนั้นข้าทราบดี แต่เจ้าก็จงคิดตามข้า เรื่องนี้เกิดขึ้นได้เพราะเขารับผู้ประสบภัยเหล่านั้นมา ถึงแม้เจ้าและชูหลานจะเป็นผู้เปิดโปง แต่บัญชีนี้กลับตกอยู่ที่ตัวฟู่เสี่ยวกวนแต่เพียงผู้เดียว เจ้าเข้าใจหรือไม่ ?”
หยูเวิ่นหวินกลายเป็นใบ้ไปในทันพลัน ปากเล็ก ๆ นั้นมิอาจปิดสนิทได้เนิ่นนาน
นางย่อมเข้าใจ กองไฟที่ก่อโดยมิได้ตั้งใจได้ลามไหม้ไปยังฟู่เสี่ยวกวนแล้ว
แล้วตอนนี้จะทำเยี่ยงไร ?
หยูเวิ่นหวินสับสน และรีบกล่าวขึ้นว่า “นั่น เสด็จแม่ขอร้องให้เสด็จพ่อถอนราชโองการกลับมาได้หรือไม่เพคะ?”
“จะไปทำเช่นนั้นได้เยี่ยงไร? ฮ่องเฮ้ตรัสแล้วมิคืนคำ และในวันนี้ใต้หล้าก็ทราบกันโดยถ้วนแล้ว โทสะของเสด็จพ่อของเจ้าเป็นเยี่ยงไรเจ้าก็มิใช่ว่าจะมิรู้ ใครหน้าไหนจะกล้าเสี่ยงโชคร้ายขนาดนั้นกัน?”
“เยี่ยงนั้นจะทำเช่นไร เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ และตัวตนของเขาก็เป็นเพียงตระกูลเศรษฐีที่ดิน หากมีเสนาบดีบางคนเกลียดชังเขา มิใช่ว่าเขาจะถูกทำลายลงไปอย่างง่ายดายเยี่ยงนั้นหรือเพคะ?”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยมองบุตรีที่เริ่มร้อนรน เข้าใจได้ในทันทีว่าจิตใจของบุตรีนั้นอยู่ที่ฟู่เสี่ยวกวนจนหมดแล้วในตอนนี้
ตั้งแต่ที่กลับจากฉีโจวหลังจากที่ได้พบฟู่เสี่ยวกวนที่ซ่างหลินโจว ณ หลินเจียงครานั้น พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยได้สนใจฟู่เสี่ยวกวนอยู่แล้ว ประการแรกเพราะความในใจของบุตรี ประการที่สองเพราะนางชื่นชมในพรสวรรค์ของฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นการเดินทางไปซีซานของหยูเวิ่นหวินและต่งชูหลาน นางเองก็รับทราบเป็นอย่างดี
จนถึงขั้นเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนไปรับผู้ประสบภัย นางก็ทราบอย่างรวดเร็ว
แต่นางมิได้เข้าไปขวางทาง นางเพียงต้องการดูว่าเขาคิดจะทำการใด
หลังจากนั้นนางเองก็รู้แล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนรับผู้ประสบภัยเหล่านั้นมาเพื่อการใด จิตใจก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ชื่นชมทุกเรื่องที่ชายหนุ่มผู้นี้กระทำอยู่ในที่ลับ
เขามิใช่คนไร้สาระ แต่เขามีความสงบนิ่งและสนุกสนานได้ และในวันนี้บัณฑิตที่หมายตาตำแหน่งเบื้องบนก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ที่เหมือนกับฟู่เสี่ยวกวนที่สามารถเป็นอันหนึ่งอันเดียวได้กับเหล่าชาวนาและผู้ประสบภัยจึงดูล้ำค่ายิ่ง
ดังนั้นพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยย่อมช่วยเหลือฟู่เสี่ยวกวน จนถึงขั้นวางหมากเอาไว้แล้ว เพียงแค่หยูเวิ่นหวินและฟู่เสี่ยวกวนมิรับรู้
“เจ้านี่ หักห้ามอารมณ์มิได้เลยจริงเชียว”
ซั่งกุ้ยเฟยลุกขึ้นยืน หันหลังกลับไปกล่าวกับขันทีชราที่อยู่ด้านหลัง “เหนียนกงกง ช่วยข้าส่งข้อความไปบอกกับเยี่ยนเป่ยซี กล่าวว่า… ข้าชื่นชอบเยี่ยนซีเหวินเด็กน้อยผู้นั้นยิ่ง สมควรได้เข้ารับราชการแล้ว โดยให้เริ่มที่… ตำแหน่งนายอำเภอเหยา ณ เมืองหลินเจียง”
“กระหม่อมจะไปในทันพลัน”
“ประเดี๋ยวก่อน ยังมีอีกเรื่อง ส่งเทียบเชิญในนามของข้าให้ราชครูเฟ้ย พรุ่งนี้เวลาเช้าโปรดเชิญราชครูเฟ้ยเข้าวังมาชมดอกไม้ด้วย”
ขันทีเหนียนสะดุ้ง และโค้งคารวะ “กระหม่อมรับด้วยเกล้าพ่ะยะค่ะ”
เมื่อเหนียนกงกงหันหลังเดินออกไป หยูเวิ่นหวินมิทราบว่าเหตุใด “เสด็จแม่เพคะ ช่วยหม่อมฉันคิดหาหนทางด้วยเถิดเพคะ”
“มิต้องรีบร้อน เจ้าไปดูเสด็จพี่ของเจ้าเถิด เมื่อคืนวาน เขาถูกเสด็จพ่อของเจ้าห้ามมิให้ออกไปข้างนอกอีกแล้ว”
ซั่งกุ้ยเฟยกลับเข้าไปในสวนดอกเบญจมาศอีกครา หยิบกรรไกรขึ้นมา และตัดแต่งกิ่งดอกเบญจมาศอย่างพิถีพิถัน
ตอนที่ 88 เรื่องนี้ไม่ดีแน่
ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ใบมะเดื่อสีเหลือง ณ จวนของหลิวจือโจวใบไม้ของต้นนั้นร่วงหล่นลงสู่พื้นดินเป็นกอง
ภายในเรือนมีเพียงหลิวปิ่งจง ฟู่เสี่ยวกวนและหลิ่วซานเย่เพียง 3 คน
สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนนำติดไม้ติดมือมาฝากนั้นจะเป็นอื่นใดไปมิได้นอกจากสุราเทียนฉุน อีกทั้งน้ำหอมจำนวน 2 ขวด
“สิ่งนี้คือน้ำหอม เป็นสิ่งที่สตรีใช้พรมทั่วร่างกายเพื่อเพิ่มความหอม ขวดหนึ่งคือกลิ่นกุ้ยฮวาและอีกหนึ่งขวดคือกลิ่นมะลิ น้ำหอมนี้ข้าเพิ่งเคยทดลองทำเป็นคราแรก ท่านลองนำไปใช้ดูว่าพวกนางจะชอบหรือไม่”
หลิวจือต้งหยิบขวดน้ำหอมขึ้นมาพิจารณาดู ขวดแก้วสวยงามยิ่งทั้งยังมีกลิ่นมะลิหอมอ่อน ๆลอยออกมาเตะจมูก อืม ช่างหอมยิ่งนัก
ชายหนุ่มผู้นี้มีความสามารถมากมายเสียจริง สิ่งที่เรียกว่าน้ำหอมนี้คาดว่าคงขายได้ราคาดีเช่นกัน
หลิวจือต้งมิได้มีท่าทีเกรงใจต่อฟู่เสี่ยวกวนมาก เขาเรียกบ่าวมาและสั่งให้นำน้ำหอม 2 ขวดนี้ไปให้ฮูหยินและคุณหนูลองใช้ดู
หลิ่วซานเย่รินน้ำชาให้แก่หลิวจือโจวและฟู่เสี่ยวกวน หลิวจือโจวจิบน้ำชาเข้าไปหนึ่งอึก ใบหน้าอันเต็มไปด้วยรอยยิ้มเริ่มเปลี่ยนไปเป็นนิ่งเรียบ จากนั้นจึงได้กล่าวกับฟู่เสี่ยวกวนว่า “ข้าขอเอ่ยกับเจ้าตามตรงไม่อ้อมค้อม ฝ่าบาททรงส่งผู้แทน 4 คนเพื่อออกสำรวจการแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์ 13 แห่งทั่วแคว้น โดยแยกเป็นแม่น้ำหวงเหอเขตเหนือและใต้ แม่น้ำแยงซีเขตเหนือและใต้ และด้านตะวันตกของแม่น้ำรวมทั้งสิ้น 5 เขตใหญ่ ซึ่งเป็นเขตการปกครองที่ใหญ่ที่สุดในราชวงศ์หยู โดยมีหลายสิบมณฑลและอีกหลายร้อยอำเภอ ซึ่งในหลายมณฑลยังเป็นสถานที่ที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์มา จึงได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้น เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเอ่ยเรื่องนี้ ? เขามิใช่บุคคลในราชสำนัก อีกทั้งยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย
หลิวจือต้งครุ่นคิดชั่วครู่จากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าผลการตรวจสอบออกมาวุ่นวายถึงเพียงใด ?”
ฟู่เสี่ยวกวนตอบกลับไปว่า “หากท่านกล่าวเช่นนี้……แสดงว่ามีการทุจริตที่ร้ายแรงอย่างนั้นหรือ ? ”
“ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง จากผลการตรวจสอบที่ออกมาทั้งข้าและพื้นที่ใหญ่นั้นมีผู้นำไม่กี่คนที่สุจริต”
ฟู่เสี่ยวกวนนึกอยู่ในใจว่า ในโลกนี้อีกาทุกตัวล้วนเป็นสีดำ ผู้รับราชการเหล่านี้ก็เช่นกัน
เขายังคงรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเขา จึงไม่ได้มีสีหน้ากังวลนัก
หลิวจือต้งหายใจเข้าปอดลึกๆ เขาคิดอยู่ในใจว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นเพียงบุตรชายของพ่อค้าที่ดิน คงไม่เข้าใจเรื่องของราชสำนักเป็นแน่ จึงตัดสินใจเอ่ยให้เขาเข้าใจง่ายมากกว่าเดิม
“ต้นเหตุของเรื่องนี้นั้นเนื่องมาจากผู้ประสบภัยที่เจ้าให้ความช่วยเหลือทั้งสามหมื่นคนในอำเภอเหยา !”
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เข้าใจและตกตะลึง เขานึกถึงจดหมายที่ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินส่งไปยังเมืองหลวง
หากเป็นเช่นนี้จดหมายของพวกนาง อย่างน้อยจดหมายของหยูเวิ่นหวินต้องตกไปถึงมือฝ่าบาทเป็นแน่ ดังนั้นจึงมีรับสั่งให้ออกสำรวจ
เนื่องจากเรื่องนี้มีเขาเป็นมูลเหตุ ดังนั้นบรรดาผู้ที่โชคร้ายถูกตรวจพบว่าทุจริตจึงได้พากันโกรธแค้นเขา !
ให้ตายสิ เขาถูกคนเกลียดชังโดยไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำ !
เขารู้ดีว่าภายในราชสำนักนั้นมีความซับซ้อน ขุนนางเหล่านี้ถูกปลดลง แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลังของพวกเขานั้นไม่ได้ถูกปลดด้วย ไม่ช้าก็เร็วเขาคงถูกตามล้างแค้นเป็นแน่
นอกจากจะมีพื้นที่ไร่นาและเงินทองแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีอะไรอีกเลย หากเขาถูกเล่นงานขึ้นมาจริง ๆ ละก็ จะเอาอะไรไปต่อสู้กับพวกนั้นได้
“บัดนี้เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่ ? ”
“ขอบพระคุณท่านที่ชี้ทาง ข้าเข้าใจแล้ว แต่ข้ากล้าเอ่ยต่อหน้าท่านว่า เดิมทีข้าไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ เพียงแต่ที่ภูเขาซีซานนั้นต้องการกำลังคนจำนวนมากมาช่วยงานเพียงเท่านั้น”
“เจ้าต้องการสิ่งใดนั้นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือบรรดาคนอื่น ๆ คิดอย่างไร ! ”
หลิวจือต้งดื่มชาเข้าไปอีกแก้วหนึ่งแล้วเอ่ยต่อไปว่า “บรรดาผู้ที่นั่งในตำแหน่งใหญ่โตได้นั้นล้วนเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในราชสำนัก พวกเขามีกันทั้งสิ้น 13 คน ใครกันที่ไม่มีส่วนร่วมในท้องพระโรง เรื่องนี้เกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้ หากถูกตรวจสอบขึ้นมาแล้ว อาจมีสองสามคนที่จะต้องถูกปลดออกประจำการเพื่อตอบสนองตามต้องการของประชากร อาจเป็นท่านเสนาบดีหรือชินอ๋องคนใดคนหนึ่งที่โชคร้าย แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด บัญชีแค้นนี้ล้วนตกใส่หัวเจ้า นี่คือสิ่งที่พวกเขาคิดกัน ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่มีค่าในสายตาของพวกเขา แต่การสังหารเจ้าเพื่อระบายอารมณ์ก็ไม่นับว่าเป็นปัญหาใด”
“เจ้าต้องเข้าใจว่า ถึงแม้ครั้งนี้จะมีเบื้องบนยื่นมือเข้ามาปกป้องเจ้า ทำให้เรื่องร้ายคลายลงได้ แต่เจ้าก็ยังคงเป็นผู้ที่พวกเขาต้องการจะกำจัด เนื่องจากเจ้าทำให้พวกเขาเดือดร้อน”
“โดยเฉพาะพวกขุนนางชั้นสูง เนื่องจากกำลังสนับสนุนของพวกเขาตกต่ำลง ฉะนั้นสถานการณ์ของพวกเขาจึงตกต่ำลงเช่นกัน”
“ข้ารับประกันได้ว่า จะต้องมีคนกระทำการบางอย่างแน่ ต้องรอดูว่าผู้ใดจะแข็งแกร่งกว่ากัน พายุลูกนี้ได้ก่อตัวขึ้นแล้ว และเจ้าก็เข้ามาอยู่ในพายุนี้ด้วย เจ้าจะเอาตัวรอดได้อย่างไร ?”
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้เข้าใจอย่างถ่องแท้
ผีเสื้อตัวน้อยอย่างเขากระพือปีกเบา ๆ ที่อำเภอเหยา แต่ลมที่พัดจากการกระพือปีกนั้นกลับพัดไปยังเมืองหลวง
พายุลูกนี้อาจมองไม่เห็นชัดในเมืองหลวง แต่หนึ่งในหลายร้อยอำเภอนั้นต้องได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน คงจะมีผู้ถูกปลดจำนวนไม่น้อยเนื่องจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ และอาจจะมีการสูญเสียชีวิตเกิดขึ้น
ผู้ร้ายในครั้งนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากฟู่เสี่ยวกวน เขาอาจจะถูกลอบสังหารกระทั่งถูกล้มล้างตระกูลก็เป็นได้
เรื่องนี้ไม่ดีแน่ !
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วเสียจนหัวคิ้วแทบติดกัน เขามายังโลกใบนี้ได้เพียงสี่เดือนกว่า และนี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกเกรงกลัว
หากเรื่องนี้ส่งผลแก่เขาเพียงผู้เดียว เขาอาจจะหลบหนีไปก่อนได้ เขาเชื่อมั่นว่าจะสามารถหาที่อาศัยได้สักแห่งในแคว้นนี้ได้ แต่สถานการณ์ในตอนนี้เขาไม่อาจหลบหนีไปได้เพียงลำพัง
เขายังมีบิดา อีกทั้งอนุภรรยาของบิดาถึง 5 คนที่เพิ่งรับเข้ามา จะให้พวกเขาหลบหนีไปที่ใดกัน ?
“หากเจ้าต้องการจะหลุดพ้นจากพายุลูกนี้ จงไปหาต้นไม้ใหญ่กำบังไว้ หากช้ากว่านี้คงสายเกินแก้”
ต้นไม้ใหญ่ที่สามารถปกป้องเขาไว้ได้นั้นมีน้อยนัก หลิวจือต้งรู้ว่ามีอยู่ต้นหนึ่ง แต่ต้องดูว่าฟู่เสี่ยวกวนจะคว้าไว้ได้หรือไม่
“ขอบพระคุณท่านยิ่งที่ชี้นำ บุญคุณในครั้งนี้ข้าจะตอบแทนเป็นแน่ ข้าขอตัวก่อน หลังเรื่องนี้สงบลงแล้ว ข้าจะเดินทางมาพบท่านด้วยตนเอง”
“จงไปเถอะ ข้าได้จับตัวหยู๋เหลียนไว้แล้ว ข้าเองก็จำเป็นต้องทำเช่นนั้น”
……
……
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนจากไป หลิ่วซานเย่ก็เอ่ยถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจว่า “ท่านขอรับ เรื่องนี้ตระกูลฟู่ยากแท้จะหนีพ้น เดิมทีท่านควรจะหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปมีส่วนข้องเกี่ยว เหตุใดกลับบอกเขาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ?”
หลิวจือต้งยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “เนื่องจากข้ารู้ดีว่าเขามีต้นไม้ใหญ่คุ้มกันอยู่”
“ท่านแน่ใจหรือว่าเขาจะไปขอความช่วยเหลือจากพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย ? ”
“หากเขาไม่ไปขอความช่วยเหลือจากซั่งกุ้ยเฟย……ข้าเองก็ไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้เช่นกัน อีกทั้งข้าคงต้องล้มล้างตระกูลฟู่ เพราะข้าก็จะต้องให้คำตอบที่น่าพอใจแก่ผู้มีอำนาจในราชสำนักใช่หรือไม่ ? ”
หลิ่วซานเย่เข้าใจถึงความหมายของเขา หากฟู่เสี่ยวกวนขอร้องให้พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ พระสนมต้องช่วยให้ตระกูลเขารอดพ้นได้เป็นแน่ หากเรื่องราวเป็นไปตามนั้นพวกขุนนางระดับสูงและฟู่เสี่ยวกวนก็จะกลับกลายเป็นพวกเดียวกัน อีกทั้งพวกเขายังอาจได้เลื่อนตำแหน่งอีกด้วย
แต่หลิ่วซานเย่ยังไม่เข้าใจว่าฟู่เสี่ยวกวนจะใช้วิธีใดในการขอความช่วยเหลือจากพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย เพียงฟู่เสี่ยวกวนแค่คนเดียว ซั่งกุ้ยเฟยจะยอมเป็นศัตรูกับบรรดาขุนนางชั้นสูงและบรรดาชินอ๋องงั้นหรือ ?
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยมีพระโอรส 1 คน ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นองค์ชายห้า ซึ่งตอนนี้ฝ่าบาทยังมิได้แต่งตั้งรัชทายาท หากซั่งกุ้ยเฟยต้องการต่อสู้เพื่อตำแหน่งองค์รัชทายาทให้แก่พระโอรสนั้น ทางที่ดีควรถอยห่างจากฟู่เสี่ยวกวนเสีย
ตอนที่ 87 มารดาทั้งห้าของฟู่เสี่ยวกวน
“ข้าอยากลิ้มรสมันอีกสักครั้ง !”
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองไปยังแผ่นหลังของฟู่ต้ากวนที่หายไปทางด้านนอกของประตูวงจันทร์ แล้วดึงสายตากลับมา เขาเอนตัวนอนอยู่บนเก้าอี้และมองดูดวงจันทร์และดวงดาราบนท้องฟ้ายามค่ำคืน
วันนั้นยามเย็นที่มีฝนตกปรอย ๆ หนุ่มสาวคู่หนึ่งก็เดินถือร่มเข้าไปในวัดฟูจื่อ หลังจากนั้นก็เห็นพุทราต้นหนึ่งที่อยู่ภายในวัดฟูจื่อ ต้นพุทราย่อมออกลูกพุทราจำนวนมาก ชายหนุ่มผู้นั้นปีนขึ้นไปบนต้นและเด็ดลงมาไม่กี่ลูก ทั้งสองนั่งกินพุทราใต้ต้นไม้ด้วยกัน เป็นพุทราที่ทั้งใหญ่และหวานหอมเป็นอย่างมาก
ในหัวของฟู่เสี่ยวกวนฉายภาพเยี่ยงนี้ขึ้นมา มันละเอียดอ่อนและอบอุ่น สำหรับฟู่ต้ากวน สิ่งเล็ก ๆ ที่ได้ผ่านมากับสวี่หยุนชิง ยังคงตราตรึงอยู่ในจิตใจ
ดังนั้นเขาจึงได้ใช้ความรักมอบให้กับสวี่หยุนชิงไปจนหมดตั้งนานแล้ว สำหรับเรื่องรับอนุ หากมิใช่เพราะราชโองการ เขาก็มิมีทางใคร่ครวญอย่างแน่นอน
และในวันนี้มันทำให้เขาลำบากใจ แท้จริงแล้วเยี่ยงนี้ก็จะเป็นการทำร้ายมารดาทั้งห้าที่เขาเองก็ยังมิได้พบเจอ
ฟู่เสี่ยวกวนดึงความคิดกลับมา ไม้ได้กลายเป็นเรือแล้ว หวังว่าชายร่างท้วมผู้นี้จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ในเร็ววัน
เขาขึ้นไปยังชั้นสอง และลงพู่กันเขียนความฝันในหอแดงอีกครา
……
…..
วันรุ่งขึ้น หลังจากที่ตื่นขึ้นมาซ้อมกระบวนท่า ออกวิ่ง ซ้อมกระบี่ และอาบน้ำแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนก็เดินไปยังโถงด้านหน้า
เขามาเร็วไปเสียเล็กน้อย จึงมีเพียงฉีซื่อเท่านั้นที่อยู่
ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามาทักทายฉีซื่อ “คำนับแม่รอง !”
ฉีซื่อยกยิ้มบาง ๆ “ครอบครัวเดียวกันมิต้องเกรงใจหรอก”
จางเพ่ยเอ๋อร์โดดแม่น้ำไปแล้ว ร้านสุราชีชื่อถูกปิดตัวลงไปแล้ว ชีหยวนหมิงบุตรชายและหลานคนโตของชีชื่อก็ถูกขับไล่ออกจากบ้าน ทั้งหมดนี้ฉีซื่อได้ทราบมาเนิ่นนานแล้ว
นางกังวลว่าเรื่องนี้จะถูกเปิดโปงมาโดยตลอด หากเรื่องแดงออกไป นางจะสามารถอยู่ที่จวนฟู่นี้ต่อไปได้เยี่ยงไร
นางคือบุตรีของตระกูลเล็ก ยามที่เข้าจวนฟู่มาในคราแรกก็เพื่อความรุ่งเรืองและมั่งคั่งเท่านั้น แต่เมื่อได้ตั้งครรภ์ ความตั้งใจเดิมของนางก็เปลี่ยนไป
นางอยากเป็นฮูหยินใหญ่ของจวนฟู่ นางหวังให้บุตรของตนเองในอนาคตได้สืบทอดกิจการที่ใหญ่โตนี้ แต่เดิมนางนั้นพบเห็นถึงความหวัง เพราะฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนที่ไม่ได้ความ
แต่นางมิได้คาดคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเปลี่ยนไปหลังจากที่ผ่านภัยพิบัติครานั้นมาได้
กลายเป็นชายผู้มีพรสวรรค์ที่ชาวเมืองหลินเจียงกล่าวได้เต็มปากว่าเป็นเทพเหวินฉวี่ซิงลงมาจุติ!
รอยยิ้มบนใบหน้าของฟู่ต้ากวนยิ่งนานวันยิ่งเพิ่มขึ้น ชื่อของฟู่เสี่ยวกวนที่ออกมาจากปากผู้คนก็ยิ่งถี่ขึ้นเรื่อย ๆ
นางกลัว
นางรู้สึกว่าสถานการณ์กำลังเปลี่ยนไปตามที่จางเพ่ยเอ๋อร์ได้กล่าวไว้ ในไม่ช้าก็เร็วตระกูลนี้ก็จะถูกส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน นางและบุตรชายของนางจะต้องอยู่ด้วยลมหายใจของฟู่เสี่ยวกวนไปตลอดชีวิต ราวกับหมาตัวหนึ่ง
ดังนั้นนางจึงไร้หนทางปฏิเสธข้อเสนอของจางเพ่ยเอ๋อร์ ถ้าหากว่าสามารถเอาชนะฟู่เสี่ยวกวนได้…นี่คือสิ่งที่นางใฝ่ฝันถึง
แต่ว่า… ทั้งหมดนั้นก็มิสำเร็จ
นางหวาดกลัวอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งฟู่เสี่ยวกวนไปซีซานอีกครา
นางคิดว่านางจะสามารถลืมเรื่องนี้และเผชิญหน้าฟู่เสี่ยวกวนอย่างสงบได้ ในยามนี้นางถึงได้ค้นพบว่า เดิมทีแล้วนางทำมิได้
นางถึงขั้นมิรู้ตัวด้วยซ้ำว่าก้นบึ้งจิตใจของนางได้เกิดความหวาดกลัวต่อฟู่เสี่ยวกวน ในยามนี้สองมือของนางจับชายเสื้อไว้แน่นโดยมิรู้ตัว
“แม่รองกำลังจะคลอด เรื่องในจวนมิจำเป็นต้องไปกังวลอีก อย่าได้สร้างภาระทางจิตใจ เรื่องที่บิดารับอนุ แม่รองก็รับทราบ ท่านต้องทำตามพระราชโองการขององค์ฮ่องเต้จึงมิสามารถเลี่ยงได้ เรื่องที่สำคัญสำหรับท่านที่สุดในตอนนี้คือความสบายใจ อย่าได้เกิดอุบัติเหตุอันใด”
น้ำเสียงของฟู่เสี่ยวกวนเต็มไปด้วยความห่วงใย ใบหน้าก็ผ่อนคลายอย่างเป็นธรรมชาติ จิตใจของฉีซื่อจึงค่อย ๆ ผ่อนคลายและกล่าวยิ้ม ๆ “แม่รองรับทราบ เพียงแค่อีกประเดี๋ยวอนุทั้งห้าจะเข้ามา…แม่รองนั้นเป็นกังวลเรื่องร่างกายของบิดาเจ้า”
“ที่แม่รองกังวลนั้นมิใช่เรื่องมิสมควร ผ่านไปไม่กี่วันข้าก็ต้องกลับไปซีซานอีกครา แม่รองมีเวลาว่าง ก็ต้มซุปไก่สักเล็กน้อยเพื่อบำรุงบิดาด้วยเถิด”
ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน ฟู่ต้ากวนก็พาหญิงงามทั้งห้าเดินเข้ามา ถึงแม้ฟู่เสี่ยวกวนจะเตรียมใจมาบ้างแต่ก็อดตกใจมิได้ และมองบิดาด้วยสายตาที่แปลกไป
หญิงงามทั้งห้านั้นต่างอายุสิบหกสิบเจ็ดกันทั้งสิ้น!
ในยามนี้ที่เดินตามหลังฟู่ต้ากวนเข้ามานั้น แต่ละคนราวกับมีสายลมฤดูใบไม้ผลิปกคลุม งดงามราวกับดอกท้อ ราวกับว่าในเรือนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นหอม เมื่อมองฟู่ต้ากวนที่เคารพอีกครา…ตอนนี้บนใบหน้าของเขาแสดงความรู้สึกเหี่ยวเฉาออกมา มีร่องรอยความเหนื่อยล้าฝังลึก
ฟู่ต้ากวนพาสตรีทั้งห้าเข้ามา แล้วจึงกล่าวกับสตรีทั้งห้าว่า “นี่คือฉีซื่อเป็นพี่สาวของพวกเจ้า และนี่บุตรชายของข้า ฟู่เสี่ยวกวน”
“เสี่ยวกวน เจ้ามานี่สิ” ฟู่ต้ากวนโบกมือเรียกฟู่เสี่ยวกวน และแนะนำทีละคน
“นี่คือแม่สามของเจ้า”
“นี่คือแม่สี่ของเจ้า”
“นี่คือแม่ห้าของเจ้า”
“นี่คือแม่หกของเจ้า”
“นี่คือแม่เจ็ดของเจ้า”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง ใบหน้าแผ่ประกายความสุข และโค้งคำนับต่อหน้าเด็กสาวไปทีละคนๆ และตะโกนไปเรื่อย ๆ “คำนับแม่สาม คำนับแม่สี่ คำนับแม่ห้า…”
นี่คือการเรียงตามลำดับอายุ ชวูหลิงหลงอยู่ลำดับที่เจ็ด ในตอนนี้นางได้เป็นแม่เจ็ดของฟู่เสี่ยวกวนอย่างเป็นทางการ!
นางมองฟู่เสี่ยวกวน ใบหน้าของนางประดับด้วยรอยยิ้ม ริมฝีปากสีชาดก็เผยอน้อย ๆ แล้วกล่าวว่า “บุตรชายของข้าช่างน่ารักเสียจริง มา แม่เจ็ดจะให้ถุงแดงใบใหญ่แก่เจ้า”
ฟู่เสี่ยวกวนผงะไปอีกครา นี่มันเรื่องอันใดกัน ?
มิใช่ เหมือนว่าจะเคยเจอเด็กสาวผู้นี้มาก่อน ที่ใดกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเบา ๆ และรับถุงแดงใบใหญ่นั้นมาไว้ในอ้อมอก “เสี่ยวกวนขอบคุณแม่เจ็ดยิ่งนัก”
หางตาของแม่คนอื่น ๆ เหลือบมองมาทางชวูหลิงหลง ทุกคนต่างก็เป็นคนที่มาจากตระกูลใหญ่ การกระทำของชวูหลิงหลงที่ได้กระทำไป มันแฝงความคิดบางอย่างเอาไว้ คิดว่าจะปกปิดพวกนางได้หรือยังไงกัน ?
คาดการณ์พลาดไป ในจวนฟู่ ฟู่เสี่ยวกวนก็คือตัวละครหนึ่ง ถูกแม่เจ็ดผู้นี้ประจบเข้า หมากนี้ต้องหาโอกาสพลิกกลับมาก็พอ
“เสี่ยวกวนเอ๋ย แม่เจ็ดของเจ้าได้ยินมาว่าเจ้านั้นได้รับผู้ประสบภัยมาสามหมื่นกว่าคน นางได้ขอร้องทางตระกูลให้จัดผ้ามาเป็นจำนวนมาก และอยากจะมอบให้ผู้ประสบภัยเหล่านั้นได้นำไปถักทอเสื้อผ้าสำหรับฤดูหนาว เจ้าต้องขอบคุณนางในความมีน้ำใจ”
แม่คนอื่น ๆ ต่างตกตะลึง แม่เจ็ดผู้นี้เจ้าเล่ห์ถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ยังมิทันได้ก้าวข้ามประตูก็วางหมากแล้วรึ ?
ดังนั้นแม่สามจึงกล่าวขึ้นมาว่า “เสี่ยวกวนเอ๋ย แม่สามได้ยินมาว่าเจ้านั้นกำลังทำการใหญ่ที่ซีซาน แม่สามมิเข้าใจเรื่องพวกนั้น หากทางเจ้าต้องการสิ่งใดก็มาบอกกับแม่สาม แม่สามจะช่วยเจ้าคิดหาวิธีทางแก้ไขปัญหาเอง”
ทันทีที่แม่สามกล่าวขึ้นมา เหล่าแม่ที่เหลือก็ระงับโทสะเอาไว้มิอยู่ ดังนั้นการทานมื้อเช้าในครานี้จึงเต็มไปด้วยบรรยากาศความห่วงใยของเหล่าแม่ทั้งห้าทำให้กินเวลาไปนานโข สนุกสนานครื้นเครง ร่วมด้วยช่วยกัน ฟู่ต้ากวนมีความสุข ฟู่เสี่ยวกวนก็มีความสุข มีเพียงฉีซื่อที่ราวกับถูกหลงลืมไป
ตระกูลของแม่สามเป็นพ่อค้าค้าเกลือของหลินเจียง ฟู่เสี่ยวกวนสามารถซื้อเกลือในราคาที่ลดลงมาถึง 4 ส่วน
ตระกูลของแม่สี่คือพ่อค้าทางเรือของหลินเจียง มีอู่เรือเป็นของตนเอง และธุรกิจหลักย่อมเป็นการขนส่งสินค้าทางเรือ หากภายภาคหน้าฟู่เสี่ยวกวนต้องการขนส่งสินค้า จะได้ส่วนลดการขนส่งถึง 5 ส่วน
ตระกูลของแม่ห้าคือพ่อค้าเครื่องเหล็กชั้นนำของหลินเจียง มีโรงเหล็กที่ใหญ่ที่สุดไว้ในครอบครอง ถึงขั้นได้มอบชุดเกราะให้แก่กองทัพของราชวงศ์หยู แม่ห้ากล่าวว่าเรื่องอื่นข้าคงช่วยเจ้ามิได้ แต่หากเจ้าต้องการดาบ หอก กระบี่ หรือง้าว ข้าจะขอให้บิดาและพี่ชายตีขึ้นมาเพื่อเจ้า
ตระกูลของแม่หกนั้นคือช่างตัดเสื้อของหลิงเจียง มีร้านตัดเสื้อผ้าไม่เล็กเลยทีเดียว แม่หกกล่าวยิ้ม ๆ ว่าหากแม่เจ็ดมีผ้าที่ต้องการจะตัดเย็บก็สามารถนำมาให้ตัดทอได้ ส่วนค่าแรงนั้นสามารถลดได้ 4 ส่วน
ตระกูลของแม่เจ็ดก็คือชวูจี้หนึ่งในสี่พ่อค้าผ้ารายใหญ่ที่สุดในหลิงเจียง และเป็นหนึ่งในพ่อค้าหลวงเช่นกัน
บิดาผู้นี้สามารถจับบุตรีของพ่อค้าในหลินเจียงได้ทั้งหมดในคราเดียว!
หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนอวยพรให้เจ้าสาวมือใหม่ทุกท่านมีความสุขในงานสมรสแล้วก็เดินออกมา ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าแม่เจ็ดผู้นั้นคือผู้ใด
ฤดูใบไม้ร่วงกลางเดือนแปด ณ. สำนักศึกษาป้านชาน เด็กสาวที่วิ่งไล่ตามเขาได้เร็วที่สุด มิใช่นางหรอกหรือ
นี่นางมุ่งหมายสิ่งใดกันแน่ ?
ตอนที่ 86 ฟู่ต้ากวนรับอนุภรรยา ( II )
ฟู่เสี่ยวกวนถูกซูม่อใช้วิชาตัวเบานำพาเขาเหาะกลับมายังเรือน
บัดนี้เขานั่งอยู่ที่สวนหลังเรือน กำลังครุ่นคิดว่าเขาควรจะใส่ผ้าปิดปากและสวมหมวกด้วยหรือไม่ นี่เขาได้กลายเป็นดาราไปแล้วหรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกแคลงใจยิ่งนัก ถึงแม้เขาจะรู้ว่าหนังสือความฝันในหอแดงที่ตนเขียนได้รับความนิยมสูง มิเช่นนั้นต่งชูหลานคงไม่สามารถซื้อจวนอาศัยในราคาสามหมื่นตำลึงได้โดยง่ายดาย และเขาก็รู้ดีว่าบทกลอนทำนองเพลงแห่งสายน้ำที่ตนเขียนนั้นมีชื่อเสียง แต่เขากลับรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้มีอะไรให้น่าชื่นชมกัน
บรรดาสตรีเหล่านั้นต้องเสียสติไปแล้วแน่ ๆ !
ข้าเพียงต้องการเดินเล่นพักผ่อนให้สบายใจเพียงเท่านั้น นี่ต้องทำเช่นนี้เชียวหรือ ?
สุดท้ายแล้วเขาก็ตัดสินใจอยู่ในจวนมิออกไปไหนตามเคย เขาใช้เวลาในการฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยาง และสิบสามกระบี่ฉวนเจิน เป็นเช่นนี้กระทั่งถึงวันที่สิบแปดเดือนเก้า
ช่วงสายของวันที่สิบแปดเดือนเก้า ประตูใหญ่ด้านข้างของจวนฟู่ได้เปิดออก ฟู่ต้ากวนยืนอยู่หน้าประตูในชุดคลุมยาวสีแดง บนหัวประดับด้วยหมวกสีแดงเช่นกัน ทั้งด้านซ้ายขวามีผู้รับผิดชอบดำเนินงานกว่าสิบคน มีผู้ต้อนรับแขกถึง 50 คน และคนตีฆ้องตีกลองโบกธงอีกจำนวนนับไม่ถ้วน
เนื่องจากพิธีรับอนุภรรยา 5 คนในครั้งนี้ แต่ละคนมีฤกษ์งามยามดีที่แตกต่างกัน ฟู่ต้ากวนจึงได้คำนวณดูแล้วคาดว่าเวลานี้คือเวลาที่เหมาะสมที่สุด เนื่องจากต้องคอยต้อนรับแขกผู้มาร่วมงาน หากมัวแต่ชักช้าจะทำให้ดูแลมิทั่วถึง ดังนั้นจึงได้จัดขึ้นพร้อมกันทั้งหมดห้าคน…จะให้ทำเยี่ยงไรเล่า ? เขามิได้มีวิชาแยกร่างนี่
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็สวมใส่ชุดที่ดูเหมาะสมเข้ากับพิธีในวันนี้และยืนอยู่ด้านหลังของบิดา เขารอคอยดูเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์เหล่านี้ เขารู้สึกตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก และได้หยิบประทัดขึ้นมาและจุดมันขึ้น
“ปุ้ง……!”
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวทำให้บิดาของเขาตกอกตกใจ แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับหัวเราะอย่างมีความสุข เขาได้สั่งให้หลี่อี้ทำประทัดออกมาจำนวนมาก เมื่อถึงเทศกาลตรุษจีนหากนำมาจุดคงจะสนุกสนานยิ่งนัก มันสามารถสร้างบรรยากาศให้ครื้นเครงได้เป็นอย่างดี
พิธีกรคนหนึ่งยืนขึ้นและตะโกนว่า “ได้เวลา……ต้อนรับเจ้าสาวเข้าบ้าน ! ”
เนื่องจากนี่คือการรับอนุภรรยาเข้าบ้าน ตามกฎแล้วจะต้องเข้ามาจากประตูด้านข้างเท่านั้น
ขบวนเกี้ยวที่จอดอยู่ด้านนอกทั้งห้าคันถูกยกขึ้น ขบวนขันหมากต่อยาวไปจนถึงด้านนอกของถนนซีชุ่ย
มีผู้คนออกมาดูความสนุกสนานมากมายก่ายกอง หนึ่งในนั้นก็มีเหยาเสี่ยวม่าน
เสียงฆ้องกลองและแตรดังขึ้น อีกทั้งเสียงประทัดตามมาเป็นระยะ ๆ ขบวนขันหมากเดินไปตามถนนซีซุ่ยอย่างช้า ๆ จากนั้นก็เข้าไปในจวนจากประตูด้านข้าง ใช้เวลาถึงครึ่งก้านธูปเลยทีเดียว กว่าที่ขบวนเหล่านี้จะเข้าไปจนครบ
เหยาเสี่ยวม่านเขย่งเท้าขึ้นและพยายามยืดคอมอง เมื่อพบว่าฟู่เสี่ยวกวนกำลังจะเข้าไปในจวน นางก็ได้โยนเครื่องรางทรงกลมข้ามไป เอ๋ เหมือนจะปาถูกเสียด้วย !
แสงอาทิตย์ปะทะกับบางสิ่งส่งแสงแสบตา จากนั้นจึงได้หล่นลงสู่พื้นแยกออกเป็นสองส่วน
ซูม่อหยิบดาบขึ้นฟัน ทำให้หัวใจของเหยาเสี่ยวม่านแตกออกเป็นสองส่วนเช่นกัน
“ฟู่เสี่ยวกวน ! ฟู่เสี่ยวกวน ! ฟู่เสี่ยวกวน……!”
ถนนซีซุ่ยเริ่มครึกครื้นขึ้น สตรีจำนวนมากเบียดกันเข้ามาและขานชื่อฟู่เสี่ยวกวน เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามาใกล้ เครื่องรางเหล่านั้นก็จะถูกโยนมามากมาย ซูม่อกระโดดขึ้นฟันสิ่งของเหล่านั้นให้ตกลงสู่พื้นดิน
หืม ? วันนี้เป็นวันที่ฟู่ต้ากวนรับอนุภรรยาเข้าบ้านมิใช่หรือ เหตุใดสตรีเหล่านี้จึงได้ร้องเรียกชื่อของฟู่เสี่ยวกวนกัน ?
เขางุนงงยิ่งนักและมองไปยังกลุ่มสตรีที่พยายามเข้าใกล้ฟู่เสี่ยวกวน พวกนางเบียดกันเข้ามาอย่างมิคิดชีวิต นี่มัน……ชายหนุ่มผู้นี้น่าหลงไหลมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ ?
สามยอดผู้มีพรสวรรค์เองก็อยู่ที่นี่ พวกเขาจ้องฟู่เสี่ยวกวนตาเขม็ง และรู้สึกว่าชีวิตช่างมิมีอะไรน่าตื่นเต้นเสียจริง
บัดนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้กลายเป็นฝันร้ายของพวกเขา ไม่ว่าโอกาสใดก็ตาม ตราบใดที่ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่นั่น ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมิมีอะไรโดดเด่นเสียเลย หยูหยุ๋นชิงส่ายหัวและถอนหายใจก่อนจะจากไป ถังซูหยู่เองก็เช่นกัน แต่หลิวจิ่งหางมิได้เดินจากไปแต่อย่างใด เขาเดินไปทางเหยาเสี่ยวม่าน
หากแต่เหยาเสี่ยวม่านมิได้เห็นเขาในสายตาแม้แต่น้อย เขาจึงทำได้เพียงเดินก้มหน้าก้มตาจากออกไป
เมื่อพบกับสถานการณ์เช่นนี้ ฟู่เสี่ยวกวนจึงรีบวิ่งเข้าจวนไปแล้วปิดประตู ด้านนอกมีผู้ตรวจการความสงบอยู่อีกหลายคน
……
……
ณ จวนฟู่ พื้นที่ทางทิศใต้ มีเรือนสามหลังลักษณะหันหน้าเข้าหากัน เนื่องจากผู้ดูแลสวนมิใด้ใส่ใจ เรือนทั้งสามนี้จึงยังโล่งว่าง
บัดนี้ได้ถูกทำความสะอาดและเตรียมพร้อมเป็นสถานที่ต้อนรับอนุภรรยาทั้งห้าคน
เกี้ยวเหล่านั้นจอดลงที่หน้าเรือนนี้ เจ้าสาวทั้งห้าคนถูกส่งตัวไปยังห้องของตนเอง
ฟู่ต้ากวนเดินเข้ามาทักทายทีละคน จากนั้นเขาได้กลับเข้าไปยังห้องโถงใหญ่
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปอย่างงุนงง เขามิรู้ว่ามีคนมาร่วมงานจำนวนเท่าไหร่ แต่ของขวัญต่าง ๆ ที่ส่งมานั้นกลับมีมากมายเสียจนต้องใช้ห้องจัดเก็บหลายห้อง ผู้คนมากมายเดินทางมามอบของขวัญอย่างมิขาดสายตั้งแต่เช้าจนกระทั่งค่ำมืด
นายอำเภอเหยาหยู๋เหลียนและจือโจวหลิวปิ่งจงเดินทางมาในเวลากลางคืน และพวกเขาก็อยู่เป็นคนสุดท้าย
ฟู่เสี่ยวกวนที่นั่งมองดูโดยมิต้องทำการใดยังรู้สึกเหนื่อยล้า เขาช่างเห็นใจบิดายิ่ง เนื่องจากฟู่ต้ากวนมิได้หยุดพักผ่อนแม้แต่น้อย ตั้งแต่เช้ายันค่ำมืด มองดูแล้วก่อนหน้านี้ฟู่เสี่ยวกวนคงมัวแต่กังวลเรื่องสุขภาพร่างกายของบิดาเสียเกินไป ดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจเดินกลับไปยังห้องของตน ที่นี่ช่างเงียบสงบดีเสียจริง
ขณะนี้หลิวปิ่งจงและฟู่ต้ากวนกำลังสนทนากันอย่างสนุกสนาน โดยมีหยู๋เหลียนและหลิ่วซานเย่ร่วมวงสนทนาด้วย
“เรื่องที่องค์ฮ่องเต้ให้ข้าจับตามองดูเจ้า คาดว่าคงเริ่มต้นไปได้ด้วยดี ฤกษ์งามยามดีเช่นนี้ข้าคงไม่รบกวนท่านต่อแล้ว……ฟู่เสี่ยวกวนเล่า ? เหตุใดข้าจึงไม่เห็นเขาเลย ? ”
ฟู่ต้ากวนหัวเราะแล้วตอบกลับไปว่า “บุตรชายข้าผู้นั้นไม่ชอบงานที่มีผู้คนมากมายเช่นนี้นัก วันพรุ่งนี้ข้าจะให้เขาเดินทางไปพบท่านที่จวนเป็นอย่างไร ? ”
“ตกลงตามนั้น พรุ่งนี้เช้าข้าจะรอเขาที่จวน”
……
……
ฟู่ต้ากวนมิได้เดินไปยังเรือนทิศใต้ แต่กลับมายังท้ายจวน สิ่งนี้สร้างความประหลาดใจแก่ฟู่เสี่ยวกวนยิ่ง
ฟู่ต้ากวนนั่งลงบนเก้าอี้ วินาทีนี้บนใบหน้าของบิดาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
“ซิ่วเอ๋อร์ ไปนำซุปโสมมา”
“เห้อ……เหนื่อยเสียจริง ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มขึ้น ภายในใจแอบคิดว่าอีกประเดี๋ยวจะต้องเหนื่อยกว่านี้เป็นแน่
“สิ่งนี้นับว่าเป็นเรื่องใหญ่ในชีวิต ท่านควรจะผ่านมันไปด้วยรอยยิ้มมิใช่หรือ ความสุขเพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น ท่านพ่อควรดื่มซุปบำรุงร่างกายเสียหน่อยเถิด”
ฟู่ต้ากวนดื่มซุปโสมที่ชุนซิ่วยกมา และนึกถึงคำพูดของหลิวปิ่งจงจึงได้เอ่ยไปว่า “ท่านหลิวต้องการพบเจ้าในวันพรุ่งนี้ช่วงเช้าที่จวนของเขา”
“เรื่องอันใดงั้นหรือ ?”
“ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ? เจ้าไปพบเขาในวันพรุ่งนี้ก็รู้เอง……อย่าได้ไปมือเปล่า เขาเป็นถึงขุนนางระดับสูงจือโจว”
“ท่านพ่อจะไม่แนะนำให้ข้ารู้จักกับชื่อของแม่ ๆ ทั้งหลายเหล่านี้หรือ ? ”
“อ้อ ที่จริงตัวข้าเองก็จำได้มิชัดเจนนัก รุ่งเช้าจงมาร่วมรับประทานอาหารเช้าด้วยกันแล้วค่อยทำความรู้จักทีละคน”
“……”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกได้ว่าบิดาของเขามิได้ให้ความสำคัญแก่เรื่องนี้สักเท่าใด จึงได้เอ่ยเตือนสติว่า “ท่านพ่อ นี่คือพระประสงค์ของฝ่าบาทเชียว ท่านอย่าลืมเสียว่าในปีหน้าก่อนวันที่สิบห้าเดือนแปด ข้าจะต้องมีน้อง ๆ ครบ 5 คน มิเช่นนั้นคาดว่าฝ่าบาทเอาเรื่องว่าเป็นการขัดพระราชโองการของฝ่าบาท จะโทษถึงประหารชีวิตเชียว!”
ฟู่ต้ากวนดื่มซุปจนเกลี้ยงและนั่งพิงไปยังเก้าอี้ สายตาของเขามองไปยังท้องฟ้ายามราตรี ดวงตาเล็กบนใบหน้ากลม ๆ คู่นั้นคล้ายกำลังเหม่อลอย
“ในคืนนี้เมื่อสิบเอ็ดปีก่อน เมืองจินหลิงถูกพายุฝนกระหน่ำ เม็ดฝนไม่ใหญ่แต่ละเอียด แม่น้ำฉินหวายมีหมอกลอยขึ้น ข้าและแม่ของเจ้าได้กางร่มเข้าไปในวัดฟูจื่อ ภายในนั้นมีต้นพุทราอยู่ ลำต้นสูงใหญ่ให้ผลหวานกรอบนัก”
ฟู่เสี่ยวกวนรอฟังฟู่ต้ากวนเอ่ยต่อ แต่ผ่านไปเนิ่นนานเขากลับไม่เอ่ยอันใดออกมา ฟู่เสี่ยวกวนจึงถามไปว่า “แล้วต่อจากนั้นเป็นเช่นไร ? ”
ฟู่ต้ากวนลุกขึ้นเขานำมือไขว้หลังแล้วเดินออกไปด้านนอก “ข้าอยากลิ้มรสมันอีกสักครั้ง”
ตอนที่ 85 ฟู่ต้ากวนรับอนุภรรยา ( I )
เศรษฐีที่ดินฟู่ต้ากวนมีราชโองการรับอนุเมื่อเดือนเก้าวันที่สิบแปดได้แพร่กระจายไปในหลินเจียงมาแต่เนิ่น ๆ แล้ว
พ่อค้าตระกูลใหญ่ ขุนนาง และบุคคลมีชื่อเสียงหลายคนต่างก็ได้รับเทียบเชิญที่ส่งมาจากจวนฟู่ มีผู้คนมากมายที่รู้สึกอิจฉาอย่างถึงที่สุด บุรุษในใต้หล้าที่รับอนุนั้นมีอยู่มากมาย แต่ใครเล่าจะมีความสามารถถึงขั้นได้รับราชโองการให้รับอนุจากฝ่าบาท?
“ดูหัวหน้าตระกูลฟู่สิ เมื่อก่อนมีอนุเพียง 1 คน ข้านั้นคิดว่าเขาคงถ่อมตัว ฮูหยินของข้ายังกล่าวว่าแบบเขานั้นเรียกว่าจงรักภักดีมิมีสาม ในยามนี้ทุกคนต่างก็รับรู้กันแล้วว่า คนผู้นี้มิออกเสียงแต่ยามที่ออกปากกลับทำให้ผู้คนตื่นตะลึง ข้าลองถามฮูหยินของข้า พวกท่านลองคาดเดากันดูสิว่าฮูหยินของข้านั้นตอบมาว่าเยี่ยงไร?”
“นางกล่าวว่า… ฟู่ต้ากวนรับอนุนั้นคือความสามารถ หากท่านสามารถทำให้ฝ่าบาทมอบราชโองการให้ได้ มิต้องกล่าวถึงอนุ 5 นาง อนุ 10 นาง ข้าก็ช่วยท่านจัดการให้ได้ทั้งสิ้น!”
ทุกคนต่างหัวเราะร่า พูดคุยกันถึงเรื่องต่าง ๆ ของฟู่ต้ากวนอย่างมีความสุขยิ่ง
“ข้ารู้สึกว่านี่คือการปลูกฝังที่ดีจากบรรพบุรุษตระกูลฟู่ พวกท่านดูสิ ในอดีตฟู่เสี่ยวกวนนั้นไร้ประโยชน์ถึงเพียงไหน ทำท่านฟู่เดือดดาลแทบจะกระอัก แต่เขาในตอนนี้เล่า มิต้องกล่าวถึงเรื่องความสามารถทางด้านวรรณกรรมที่เต็มเปี่ยม พวกท่านคงทราบแล้วว่าเจ้าหนุ่มนั่นได้รับผู้ประสบภัยมาสามหมื่นกว่าคน แต่เดิมพวกข้าต่างก็คิดว่าเจ้าหนุ่มนั่นมีจิตใจเมตตาช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหล่านั้น แต่ในยามนี้พวกเราเพิ่งได้รับรู้ หมากตานี้เขาเดินได้อย่างยอดเยี่ยม”
มีคนเอ่ยแย้งขึ้น “ท่านหลิวคำพูดของท่านดูจะบิดเบือนไปสักเล็กน้อย ขอถามทุกท่านที่อยู่ที่นี่ ใครมีความกล้าพอที่จะรับผู้ประสบภัยสามหมื่นกว่าคนบ้าง มีใครไหมที่มีความสามารถจัดวางผู้ประสบภัยเหล่านั้นไปยังที่ต่าง ๆ ภายในเวลาไม่กี่วัน ขอกล่าวเสริมอีกว่า เสี่ยวกวนได้มอบเงิน ที่พักและอาหารให้ผู้ประสบภัยเหล่านั้นจริง ๆ ”
ทุกคนต่างเงียบงัน ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน แล้วจึงพยักหน้ารับ
ณ ด้านบนหอหลินเจียง ที่นั่งอยู่นี้คือเหล่าหัวหน้าตระกูลพ่อค้ารายใหญ่ในหลินเจียง และมีความสัมพันธ์อันดีกับฟู่ต้ากวน ในยามนี้พวกเขากำลังรวมตัวกัน พูดคุยกันไปมาจนมาถึงเรื่องของสองบิดาและบุตรชายแห่งตระกูลฟู่
“ดังนั้นเจ้าหนุ่มนี่จึงเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง นอกจากนี้ข้ายังได้ยินมาอีกหนึ่งเรื่อง มิรู้ว่าจริงหรือเท็จ พวกท่านอย่าได้นำไปเล่าต่อเด็ดขาด” หัวหน้าตระกูลค้าข้าวหยางจี้หยางอีชานกดเสียงเบาลง “เมื่อไม่กี่วันก่อน ต่งชูหลานบุตรีของเสนาบดีต่งอยู่ที่เรือนซีซาน ณ หมู่บ้านเซี่ยชุน!”
เฮือก….
ทุกคนต่างก็พากันสูดหายใจลึก ต่งชูหลานได้มาหลิงเจียงเมื่อเดือนห้า พวกเขาเองก็เคยทักทายกัน แต่คาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเกี่ยวข้องกับผู้สูงส่งขนาดนั้น
หลังจากนั้นหยางอีชานก็กดเสียงให้เบาลงอีก “นี่มิถือว่ามีอันใด เพราะยังมีผู้สูงศักดิ์อีกหนึ่งท่านที่ไปยังเรือนซีซานกับคุณหนูต่ง !”
“ผู้ใดกัน ?”
หยางอีชานมองซ้ายแลขวา “องค์หญิงเก้า !”
ทุกคนในที่นั้นต่างตกใจ และมิส่งเสียงใด ๆ
ผ่านไปไม่นาน หัวหน้าตระกูลหวงหวงไคหยู่ก็เอ่ยถามเสียงเบา ๆ “เรื่องนี้…เป็นจริงเยี่ยงนั้นรึ ? ”
หยางอีชานแบสองมือออก “ข้าเองก็ได้ยินมาอีกที แต่ข้าคิดว่าเป็นเรื่องจริง เพราะความฝันในหอแดงของเสี่ยวกวนปรากฏตัวขึ้นคราแรกที่เมืองหลวง หนังสือที่ดีเยี่ยมเยี่ยงนั้นคิดว่าผู้สูงศักดิ์ในวังหลวงก็คงจะชอบอ่านเป็นอย่างมากเช่นกัน หลังจากนั้นทำนองเพลงสายน้ำที่เขาเป็นผู้ประพันธ์ก็ได้โด่งดังขึ้นที่หลานถิงจี๋ในค่ำคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ ทั้งยังได้สลักไว้เป็นกวีลำดับแรกบนหินเชียนเปยสือ พวกท่านลองครุ่นคิดดู มีหรือที่คนในวังหลวงจะมิรู้เรื่องนี้?”
“พวกท่านลองครุ่นคิดอีกครา พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยได้ประพาสกลับไปยังมณฑลฉีโจว และได้พักที่ซ่างหลินโจวหนึ่งคืน ฟู่เสี่ยวกวนได้รับเทียบเชิญให้เข้าร่วมงานเลี้ยง ได้ยินอีกว่าได้ประพันธ์กลอนตุ้ยเหลียนหนึ่งบทให้แก่ศาลาของเสียนชินอ๋องอีกด้วย นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนนั่นได้เข้าตาผู้สูงศักดิ์แห่งวังหลวงแล้ว กล่าวตามมโนธรรมท่าน ไม่ว่าข้าหรือท่านมีใครบ้างที่มิอยากให้บุตรสาวของตนได้แต่งงานกับฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้น ? แต่เหตุใดที่ผ่านมาฟู่เสี่ยวกวนถึงมิได้แสดงท่าทีอันใด ข้าจะกล่าวให้พวกท่านฟัง คาดว่าคงเข้าพระเนตรขององค์หญิงเก้า จึงต้องการให้ขึ้นเป็นพระราชบุตรเขย เยี่ยงนั้นพวกท่านคิดว่าที่ฝ่าบาทมอบราชโองการให้ฟู่ต้ากวนรับอนุเข้าจวนนั้น มันเพราะเหตุใดกัน?”
ความฮือฮาจึงบังเกิด สีหน้าของพวกเขาต่างเป็นไปในทางเดียวกัน
แต่แล้วหวงไคหยู่ก็ส่ายหน้าและถอนหายใจ “หากเรื่องนี้เป็นจริง ก็น่าเสียดายแทนเจ้าหนุ่มนั่น ถึงแม้จะได้เป็นถึงพระราชบุตรเขย แต่ทั้งชีวิตนี้ก็มิมีโอกาสได้เข้าเป็นขุนนางในราชสำนักอีกแล้ว”
หยางอีชานเอ่ยแย้งทันพลัน เขากล่าวว่า “ท่านชวูเรื่องนี้ท่านลองคิดตาม ตระกูลฟู่เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในหลินเจียง ในตระกูลมีเงินมิรู้นับเท่าไหร่ ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ขาดทรัพย์สินเงินทอง สิ่งที่ตระกูลฟู่ขาดคือสิ่งใด คือผู้สนับสนุนอย่างไรเล่า!”
หยางอีชานเงียบไปอึดใจ เคาะนิ้วลงกับโต๊ะ แล้วกล่าวอีกว่า “หากเสี่ยวกวนได้กลายเป็นพระราชบุตรเขย มีจวนองค์หญิงเก้าเป็นผู้สนับสนุน ขอถามทุกท่าน ด้วยสถานะของตระกูลฟู่ ยังมีใครกล้าไปสั่นคลอนอีกหรือไม่?”
หวงไคหยู่คิ้วขมวดไปชั่วอึดใจก่อนจะพยักหน้า “หัวหน้าตระกูลหยางกล่าวได้ถูกต้อง”
หลังจากนั้นหวงไคหยู่ก็ยกแก้วขึ้น และชนแก้วกับชวูชั่งหลาย “ดังนั้นท่านชวู อย่าได้กังวลเรื่องของบุตรีท่านอีกเลย เมื่อมาคิดตามในตอนนี้ สายตาของบุตรีท่านนั้นมิได้ต่ำไปกว่าท่านเลย”
ชวูชั่งหลายได้ฟังเยี่ยงนั้น ก็เข้าใจขึ้นมาในทันที
บุตรีชวูหลิงหลงตบแต่งเป็นอนุฟู่ต้ากวน ภายภาคหน้าตระกูลชวูและตระกูลฟู่ก็จะเป็นเครือญาติกัน หากเบื้องหลังของฟู่เสี่ยวกวนมีจวนองค์หญิงคอยหนุนหลัง ตระกูลชวูของตนย่อมได้รับผลประโยชน์ไปด้วยมิน้อย
สำหรับเหล่าพ่อค้าแล้ว พวกเขามิกลัวอันตรายจากการค้า แต่กลัวราชสำนักเข้ามายุ่มย่าม
ดังนั้นใบหน้าเหี่ยวย่นของเขาจึงเผยรอยยิ้มออกมา ยกแก้วแล้วกล่าวว่า “นี่คือหนทางที่บุตรีเป็นผู้เลือกด้วยตนเอง ข้าในฐานะบิดาก็ยื้อไว้มิได้เช่นกัน!”
เนื่องด้วยเจ้าหนุ่มตระกูลฟู่ได้เกี่ยวข้องกับผู้ที่มีฐานะสูงส่งอย่างองค์หญิง จนกระทั่งได้อยู่ในสายพระเนตรของฝ่าบาท เยี่ยงนั้นแล้วการรับอนุของจวนฟู่ก็มิใช่เรื่องเล็กน้อยแล้ว
“คำแนะนำของข้า พวกเราได้ทักทายฟู่ต้ากวนผู้นั้นบ่อยครั้ง ต่างก็รู้กันอย่างดีว่าเป็นบุคคลที่จิตใจดี ครานี้เขาได้รับราชโองการให้รับอนุเป็นเรื่องที่งดงามในหลินเจียง ดังนั้นเงินของขวัญ เกรงว่าจะมากกว่าที่ข้าเคยเจรจาทางการค้าไว้ถึงสองเท่า ทุกท่านเห็นเยี่ยงไรกันบ้าง?”
“ข้าเห็นด้วย ! ”
“ข้าเองก็เห็นด้วย ! ”
จางจือเช่อ หัวหน้าตระกูลจางจี้เองก็พยักหน้าเช่นกัน
จางจือเช่อได้เดินออกมาจากเรื่องที่จางเพ่ยเอ๋อร์กระโดดน้ำฆ่าตัวตายแล้ว เขารู้ว่าที่มาของการตายของบุตรีนั้นอยู่ที่ฟู่เสี่ยวกวน แต่ในวันนี้เมื่อมารับรู้ว่าแต่เดิมฟู่เสี่ยวกวนนั้นเป็นผู้ที่องค์หญิงเก้ามาชอบพอ ก็รู้สึกว่าการตายของบุตรีนั้นช่างไร้ค่าอย่างแท้จริง
แต่ความตายนั้นมิอาจฟื้นคืน เยี่ยงไรตนเองก็มิมีหลักฐาน จึงทำได้เพียงกัดฟันทนขมขื่นกลืนลงไป
……
…..
ฟู่เสี่ยวกวนว่างยิ่ง
เขามิรู้ว่าควรทำอันใด
บิดาตบแต่งอนุและบุตรชายควรทำอันใดกัน?
ในจวนฟู่ได้ประดับประดาไปด้วยโคมไฟสีแดงจนเต็มทั่วทุกพื้นที่ ในจุดต่าง ๆ ประดับไปด้วยตัวอักขระสีแดง ในเรือนก็มีประทัดติดเอาไว้เสียมากมาย เหมือนว่าจะมิมีเรื่องใดให้เขาต้องจัดการเลย
ดังนั้นเขาจึงพาซูม่อและชุนซิ่วออกไปจากจวนฟู่ และไปเดินเล่นในเมืองหลินเจียง
จนถึงวันนี้ !
เขายังมิเคยได้เดินตลาดอย่างจริงจังเลย !
หลินเจียงที่ใหญ่โต ยังมีอีกหลายที่ที่เขายังไม่ได้ไป
ดังนั้นในวันนี้เขาตัดสินใจที่จะเดินไปรอบ ๆ มิใช่การขึ้นรถม้าและแล่นผ่านไปตามท้องถนน
แต่ทว่า….
ในยามที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกมาจากตรอกซีชุ่ย ไปยังถนนต๋าหม่า เขาก็พบเห็นเด็กสาวเป็นจำนวนมาก
เด็กสาวเหล่านั้นแต่งกายครบองค์ ใบหน้าผัดแป้ง ในมือถือพัด ชายเสื้อที่สดใสและผมยาวปลิวไหวไปกับสายลมฤดูใบไม้ร่วง สตรีนั้นแตกต่างกันและก็มีข้อดีในแบบของตนเองที่ต่างกัน
เหยาเสี่ยวม่านเองก็อยู่ในนั้น
ข่าวการกลับมาเจียงหลินของฟู่เสี่ยวกวนราวกับสายลมฤดูใบไม้ร่วง แต่กลับมาปลุกปั่นหัวใจของเด็กสาวเหล่านั้นราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ
ในวันนี้ชวูหลิงหลงได้ตบแต่งกับฟู่ต้ากวน ชวูหลิงหลงได้เคยกล่าวไว้ที่สำนักศึกษาป้านชานว่า บุรุษผู้นั้นเป็นที่แย่งชิง เหตุใดข้าและสตรีผู้อื่นจะตามหาสามีใต้แสงจันทร์มิได้
เด็กสาวทั้งหมดเห็นด้วย
มุมปากของเหยาเสี่ยวม่านยกขึ้นเล็กน้อย ฟู่เสี่ยวกวน ดูสิว่าครั้งนี้เจ้าจะหนีไปที่ไหนได้ !
ตอนที่ 84 ฟู่ต้ากวนรับอนุภรรยา
รัชสมัยเซวียนลี่เดือนเก้าวันที่สิบห้า ฟู่เสี่ยวกวนได้รับจดหมายจากฟู่ต้ากวนหนึ่งฉบับ
เนื้อหาในจดหมายมีเพียงประโยคเดียวนั่นคือ “บุตรชายข้า พ่อจะรับอนุภรรยาเข้าบ้านแล้ว ครั้งนี้รับ 5 คน เจ้าต้องกลับมาร่วมงานเสียหน่อย ทำความรู้จักกับพวกนาง จะได้มิเรียกชื่อผิด”
รวดเร็วเช่นนี้เชียวหรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ในความตกตะลึง จากนั้นจึงได้เข้าใจว่าเรื่องนี้ควรที่จะรีบเร่งเนื่องจากฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้คลอดบุตรภายในวันที่สิบห้าเดือนแปดในปีหน้า ฟู่ต้ากวนจะต้องมีบุตรเพิ่ม 5 คน หากไม่รีบแล้วละก็อาจจะไม่ทันการและอาจจะถูกกล่าวโทษว่าขัดขืนคำสั่งของฝ่าบาท เช่นนี้คงไม่ดีแน่
เขาไตร่ตรองดูสถานการณ์ที่เรือนซีซาน หมู่บ้านหวังเจียชุนก็สร้างเสร็จแล้ว โรงกลั่นน้ำหอมซีซานก็สร้างเสร็จแล้ว ส่วนกระจกที่ออกแบบและขนส่งมาจากหลินเจียงก็อยู่ในขั้นตอนการดำเนินการ
สองวันมานี้เขาได้สอนจางเสี่ยวเหมยอีกหลายครั้ง คาดว่านางคงจำได้ขึ้นใจ
ดอกมะลิและดอกกุ้ยฮวาก็ได้เก็บเกี่ยวมาเป็นที่เรียบร้อย ส่วนดอกไม้สดที่ปลูกใหม่นั้นจะต้องรออีกสักเดือนจึงจะออกดอกเบ่งบาน
โรงกลั่นสุราแห่งใหม่นั้นก็สร้างเสร็จแล้วเช่นกัน โดยมีพื้นที่กว้างขวางกว่าเดิมเป็นสิบเท่า เมื่อไม่กี่วันก่อนได้ลงมือกลั่นสุราเรียบร้อยแล้ว สุราเทียนฉุนและสุราเซียงเฉวียนได้เพิ่มปริมาณการผลิตมากขึ้นไม่น้อย ส่วนยอดสุราซีซานนั้นเพิ่มปริมาณผลิตมากขึ้นถึงสองส่วน เนื่องจากต้องเริ่มกลั่นแอลกอฮอล์เพื่อนำไปใช้ผลิตน้ำหอม
บัดนี้สถานที่ที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จก็คือศูนย์วิจัยและพัฒนากับสำนักศึกษา ต่อจากนั้นก็เป็นโรงงานสบู่และลำดับสุดท้ายคือโรงงานผลิตกระดาษ
จดหมายที่เฝิงหล่าวซื่อส่งกลับมานั้นกล่าวว่าถนนที่ภูเขาเฟิ่งหลินตัดเรียบร้อยแล้ว แต่เนื่องจากภูมิประเทศที่ไม่อำนวยจึงทำให้เกิดความล่าช้า จึงคาดว่าในปลายปีถึงจะสามารถเชื่อมต่อไปยังภูเขาต้วนหุนซานได้
ในจดหมายยังได้กล่าวอีกว่าเขาได้เลือกช่างเหล็กจำนวนกว่ายี่สิบคนและชายร่างกำยำอีกหลายร้อยคนเดินทางเข้าไปในต้วนหุนซานอีกครั้ง เขาต้องการกำลังคนเพื่อสำรวจและศึกษาวิธีการขุดเพิ่มเติม ก่อนหน้านี้มิได้บอกคุณชาย หวังว่าคุณชายจะเข้าใจ
หากเป็นเช่นนี้ เขาก็จะนำเรื่องระเบิดกับยามากล่าวในวาระการประชุมครั้งหน้า
ฟู่เสี่ยวกวนคิดได้ดังนั้นจึงเรียกจางเช่อเข้าพบและให้เขาไปเรียกหลี่อี้มา
หลี่อี้คอยช่วยเหลืออยู่ที่หลังภูเขาซีซาน และได้กลับมายังเรือนซีซานในตอนเที่ยง
“มาได้จังหวะพอดิบพอดีเสียจริง มาเถอะ มากินข้าวกัน” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยเรียกอย่างอบอุ่น
หลี่อี้ตกตะลึง เขารีบโบกไม้โบกมือแล้วเอ่ยว่า “ข้าน้อยมิบังอาจขอรับ คุณชายมีเรื่องอันใดได้โปรดสั่งมาเถิด อีกประเดี๋ยวข้าน้อยจะกลับไปกินที่เพิงพัก”
“อย่าได้พูดไปให้มากความ ข้าให้เจ้านั่งกินด้วยกันก็จงกินเถิด ซิ่วเอ๋อร์ ช่วยตักข้าวให้หลี่อี้ด้วย”
“เอ่อ….” หลี่อี้ไตร่ตรองอยู่นานมาก หากแต่ว่าคุณชาย จะให้ข้าร่วมโต๊ะกินข้าวกับท่านได้อย่างไร จะไม่เป็นการทำผิดกฎหรือ ? ”
“ที่นี่ไม่มีกฎเกณฑ์ใด ๆ ทั้งสิ้น ถ้าเจ้าได้รู้จักข้าไปนาน ๆ กว่านี้ เจ้าจะเข้าใจเอง”
หลี่อี้นั่งลงด้วยจิตใจไม่สงบนิ่ง ชุนซิ่วเดินถือถ้วยใส่ข้าวและตะเกียบมาให้เขา
“กินข้าวกันก่อนเถิด” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยแล้วจับตะเกียบหยิบอาหารใส่ในถ้วยเขา “เดี๋ยวข้าน้อยตักเองขอรับ” หลี่อี้รีบยกถ้วยขึ้นมาเร็วไวและลงมือรับประทาน
“อืม ต้องเช่นนี้สิ… บ้านของเจ้า เมื่อก่อนนี้อยู่ที่ใด ? ” ฟู่เสี่ยวกวนกินไปพลางเอ่ยชวนคุย
“อยู่ที่หนิงโจวอำเภอหุยสุ่ยขอรับ”
“อ้อ…อาศัยอยู่ในอำเภอนั้นหรอกหรือ ? ”
“ขอรับ เหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้เกิดขึ้นยามเที่ยงคืน ทุกพื้นที่ถูกน้ำท่วมคล้ายจมอยู่กลางทะเล จึงทำได้เพียงทิ้งบ้านทิ้งช่องแล้วรีบหนีตาย”
“มีญาติคนอื่นอีกหรือไม่ ? ”
หลี่อี้นิ่งลงชั่วครู่แล้วเอ่ยตอบไปว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน เนื่องจากในตอนนั้นมองอะไรไม่เห็น ทุกคนต่างก็วิ่งหนีตายเป็นพัลวัน ไม่รู้ว่าท่านพ่อและพี่น้องคนอื่นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
“คนดีย่อมได้ผลตอบแทน ข้าจะวานให้ขนส่งซีซานช่วยสืบหาให้อีกแรง”
“ขอบพระคุณคุณชายมากขอรับ ! ”
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยคำใดขึ้นมาอีก ทั้งสองคนก้มหน้ากินข้าวต่อ เมื่อกินเสร็จชุนซิ่วจึงจัดแจงเก็บโต๊ะอาหารให้เรียบร้อย และรินชาให้เขาทั้งสอง
“ข้าจำได้คลับคล้ายคลับคลา ว่าเจ้ามีความรู้ด้านประทัดใช่หรือไม่ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามขึ้นหลังจากดื่มชา
“ขอรับคุณชาย ตระกูลข้าทำประทัดอีกทั้งคุณภาพดี”
“อืม ข้าต้องการให้เจ้าช่วยทำดินปืนระเบิดให้เสียหน่อย เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ว่าดินระเบิดของตระกูลเจ้านั้นมีส่วนผสมอะไรเท่าไหร่บ้าง ? ”
ในยุคนี้มีประทัดและดินปืนระเบิดเกิดขึ้นแล้วจึงมิใช่เรื่องแปลกอันใด หลี่อี้จึงรีบตอบกลับไปว่า “ส่วนผสมเช่นเดียวกับผู้อื่น ๆ นั่นคือ หนึ่งดินประสิวสองกำมะถันและสามคือถ่านไม้”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าตอบรับว่า “เจ้าจงจำวิธีนี้ให้ดี แล้วไปทดลองทำ อัตราส่วนดินประสิว กำมะถันและถ่านไม้คือ 75 : 10 : 15 จงกล้าที่จะทำการทดลอง ข้ามิได้จะให้เจ้าทำประทัด สิ่งที่จะทำออกมานี้ไม่สามารถทนต่อความชื้น ต้องจุดได้อย่างมั่นคง อีกทั้งขั้นตอนการทำข้าแนะนำให้ใช้กำมะถันและดินประสิวบริสุทธิ์ บดและผสมให้เข้ากันละเอียดที่สุด ซึ่งหมายความว่าข้าต้องการให้สิ่งนี้คุณภาพดีเลิศยิ่งกว่าประทัดของเจ้า อีกทั้งต้องให้ความร้อนสูงยิ่งกว่าประทัดเสียอีก”
หลี่อี้ยกมือขึ้นเกาหัว คุณชายรู้เรื่องราวพวกนี้ได้อย่างไร ?
อีกทั้งส่วนผสมของคุณชายและของเขาแตกต่างกันอย่างไร ? แน่นอนว่าเขาจะทำตามที่คุณชายบอก แต่ระดับความร้อนที่คุณชายกล่าวมานั้นคือสิ่งใดกัน ? และควรวัดกันอย่างไร ?
ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมใด ๆ เขาเอ่ยขึ้นเพียงว่า “เจ้าอาจจะยังไม่รู้กฎของซีซาน เรื่องนี้มอบหมายให้เจ้ารับผิดชอบก็ต้องดูแลให้เรียบร้อย ไม่ว่าเจ้าต้องการกำลังคน กำลังทรัพย์ วัสดุเท่าใด ก็สามารถแจ้งกับผู้ดูแลจางได้โดยตรง เขาจะจัดการให้แก่เจ้า สิ่งที่เจ้าต้องทำนั้นคือการค้นคว้าทดลองอย่างไม่มีสิ่งใดกวนใจ”
“ข้าจะต้องเดินทางกลับไปหลินเจียง ศูนย์วิจัยและพัฒนากำลังก่อสร้าง เจ้าสามารถไปใช้บริเวณที่ก่อสร้างเรียบร้อยแล้วในการทดลองได้ ข้าไม่จำกัดวิธีการทดลองของเจ้า เพียงแต่อย่าทำให้ศูนย์ทดลองระเบิดเสียหายเท่านั้นพอ แน่นอนว่าต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของเจ้าด้วย”
หลี่อี้พอเข้าใจอยู่บ้าง ความหมายของคุณชายนั้นคือ เขาต้องการดินปืนระเบิดสีดำที่มีแรงระเบิดสูง
“คุณชายโปรดวางใจ ข้าจะไปพบท่านผู้ดูแลจางบัดเดี๋ยวนี้ ข้าจะต้องทำสิ่งที่คุณชายปรารถนาออกมาให้จงได้ขอรับ”
“ไปเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งพิงอยู่ที่เก้าอี้ครู่หนึ่ง เขาครุ่นคิดและตัดสินใจว่าให้เป็นไปเช่นนี้ก่อน “ซิ่วเอ๋อร์ เตรียมตัวเดินทางกลับหลินเจียง ! ”
……
……
บัดนี้แสงสีส้มระเรื่อได้หายไปจากท้องฟ้าเกือบหมดแล้วมันถูกทาบทับแทนที่ด้วยสีดำของค่ำคืน ขบวนเดินทางของฟู่เสี่ยวกวนกลับมาถึงจวนฟู่แห่งหลินเจียง
ภายในจวนถูกประดับประดาด้วยไฟหลากสี และมีกลิ่นอายของงานเฉลิมฉลองมากมาย
สีหน้าของฟู่ต้ากวนเต็มไปด้วยความลำบากใจ ฟู่เสี่ยวกวนและฉีชื่อกำลังร่วมรับประทานอาหารค่ำด้วยกัน
“ลูกชายข้า พ่อได้เผาพระราชโองการให้แม่ของเจ้าแล้วนะ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง ฟู่ต้ากวนจึงเอ่ยต่อว่า “เรื่องแบบนี้ ต่อไปจะให้ข้าอธิบายกับแม่เจ้าได้อย่างไร ? พ่อทำได้เพียงเผาพระราชโองการนี้ไปให้แม่เจ้ารับรู้ นางจึงจะเชื่อ”
“ท่านพ่อ……ที่จริงมิต้องทำถึงเช่นนี้หรอกขอรับ แม่ของข้าจากไปกว่าสิบปีแล้ว ข้าคิดว่านางคงอยากเห็นจวนฟู่สนุกสนานเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะเป็นแน่”
“เห้อ…จะว่าอย่างไรก็เป็นการไม่ซื่อสัตย์ต่อแม่ของเจ้าอยู่ดี”
“ท่านพ่อ อนุภรรยาทั้งห้านี้ ท่านได้เลือกด้วยตนเองหรือไม่ ? ท่านคงมิได้ไปสุ่มสี่สุ่มห้ารับมาใช่หรือไม่ ? ”
“จะว่าไปแล้วก็น่าแปลกยิ่ง แม่สื่อที่ต้องการช่วยข้าจัดการเรื่องนี้มีมากมายนัก อีกทั้งสตรีที่ยินยอมแต่งงานกับข้าก็มากมี ทุกคนล้วนเป็นสตรีผู้เพียบพร้อม หนึ่งในนั้นมีบุตรสาวของพ่อค้าผ้าด้วย ดังนั้นจึงหาได้ครบห้าคนในเวลาไม่นาน หากแต่งคนหนึ่งก็จัดงานแต่งทีหนึ่งและสามารถเรียกเก็บของขวัญและเงินได้มากกว่า แต่ผู้มาร่วมงานคงจะเบื่อหน่าย ดังนั้นพ่อจึงได้จัดทีเดียวให้แล้วเสร็จไป บ้านเราก็มิได้ขาดแคลนเงินส่วนนั้น”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะอยู่ในใจ เขาผู้นี้จะจัดงานแต่งในครั้งเดียว การส่งตัวเข้าหอนั้นมีสตรีถึง 5 คนรอเขาอยู่ ร่างกายของเขาจะรับไหวงั้นหรือ ?
ตอนที่ 83 แยกจาก
ไม่ว่าจะเพราะเงินเป็นเหตุ หรือเพราะตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนที่อยู่ภายในใจของพวกเขานั้นสูงส่ง แต่โดยสรุปแล้วหลังจากการประชุมครั้งแรก ผู้ประสบภัยและชาวซีซานในวันนี้ ก็เริ่มมีการเคลื่อนไหวดำเนินการเปลี่ยนแปลงกันอย่างฮึกเหิม
ภายใต้การประสานงานของอี้หยู่และจางเช่อ ก็ได้ทำการเลือกหัวหน้าในด้านต่าง ๆ และให้อยู่ภายใต้การดูแลของเหล่าผู้นำ การประชุมที่ซีซานครั้งที่ 2 ของฟู่เสี่ยวกวนได้แสดงออกถึงจิตวิญญาณที่มุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยว
ชาวซีซานและอดีตผู้ประสบภัยเหล่านั้นได้เดินทางไปยังที่ต่าง ๆ ตามที่ฟู่เสี่ยวกวนได้แจกแจงเอาไว้ตั้งแต่ต้น ที่เพิงพักชั่วคราว หลังจากผ่านไปสองถึงสามวัน ก็เงียบสงัด ส่วนที่เหลืออยู่นั้นก็มีเพียงคนชราที่ป่วยและคนพิการ พวกเขาเหล่านี้เข้าสู่ช่วงบั้นปลายของชีวิตแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ให้พวกเขาไปทำงาน แต่กลับจัดคนจำนวนไม่น้อยมาดูแลชีวิตประจำวันของพวกเขา
คุณชายมีจิตใจเมตตาถึงเพียงนี้ ข้าที่คิดจะหากำไรจากเงินของคุณชาย ข้ามัน…มิต่างจากสุกรหรือสุนัขเลย !
เหล่าผู้เฒ่าที่ประสบภัยต่างก็กุมไม้เท้าและเดินทางออกไปยังที่ต่างๆ ผู้ใดก็ดึงรั้งเอาไว้ก็มิอยู่ หากขัดขวางพวกเขาก็มีแต่จะเดือดดาล
“ข้าชราแล้วจริง ๆ รึ ? ข้าอยากไปช่วยสังเกตการณ์ให้คุณชาย หากเจ้าหนุ่มพวกนั้นกล้าขี้เกียจ ไม้เท้านี้ของข้าจะตีกบาลพวกมันให้แตก ! ”
“ข้ามีประสบการณ์การทำถนนและซ่อมสะพานมาบ้าง แผนที่นั้นของคุณชายข้าก็ได้เห็นมาหมดแล้ว มันมีความยากยิ่งนัก ข้าต้องไปดูสถานที่ด้วยตาของตนเอง การวางเส้นทางเยี่ยงนี้จึงจะสมเหตุสมผลยิ่งกว่า”
“แม่เฒ่าอย่างข้าช่วยทำอันใดมิได้เลย ช่วยได้เพียงให้กำลังใจจุดไฟปลุกพลังกายให้ฮึกเหิม คงเป็นสิ่งเดียวที่แม่เฒ่าอย่างข้าจะทำได้”
“พวกเจ้าจงจำไว้ หากทุกอย่างถูกสร้างไว้เสร็จแล้ว ต่อไปลูก ๆ ของพวกเจ้าจะมีตำราไว้อ่าน ส่วนพวกเจ้าก็จะสามารถมีอาชีพที่มั่นคงได้ ผู้หญิงอย่างพวกเจ้าก็สามารถทำงานที่นี่ได้เช่นกัน คุณชายได้กล่าวไว้ว่า โรงน้ำหอมของเขาต้องการสตรี ดังนั้นสิ่งที่พวกเจ้าทำอยู่ทั้งหมดนี้มิใช่เพื่อคุณชาย แต่เพื่ออนาคตของพวกเจ้าเอง เพื่อลูกหลานในอนาคตของพวกเจ้า ข้าชราแล้ว คงไปมิไหว ข้าจะดูอยู่ที่นี่ จะคอยเฝ้ามองการเปลี่ยนแปลงที่ดียิ่งขึ้น เฝ้ามองพวกเจ้าที่จะมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าพวกเจ้าจะไปที่แห่งใดจงจำไว้ว่า พวกเจ้าคือชาวซีซาน อย่าได้ทำให้ชาวซีซานต้องเสียหน้า ! ”
“…..”
ชาวซีซานพักอยู่ที่นี่เพียงชั่วคราวผ่านไปไม่กี่วันก็ต้องพาครอบครัวจากไป ครานี้มิเหมือนกับการลี้ภัย ในใจของพวกเขานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความศรัทธา พวกเขาต้องการตอบแทนบุญคุณอันยิ่งใหญ่ของคุณชาย แม้ว่าจะต้องสละชีวิตก็ตาม !
นี่คือความคิดจากใจจริงของชาวซีซาน ความซื่อสัตย์ของพวกเขา คือการใช้สองมือสองเท้าของตนเอง เพื่อเปิดเส้นทางทองคำให้แก่การพัฒนาซีซาน ในอนาคตที่ซีซานจะต้องเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมากเป็นแน่
เหลือชายหนุ่มที่แข็งแกร่งเพียง 2,000 คนเท่านั้นที่ยังอยู่ภายในเรือนซีซาน ฟู่เสี่ยวกวนส่งพวกเขาไปให้กับเฉินป๋อหัวหน้าทหารยามของที่นี่ คนผู้นี้เคยเป็นรองหัวหน้าของไป๋ยู่เหลียน ฟู่เสี่ยวกวนมีเงื่อนไขเพียงหนึ่งเดียวให้แก่เขา นั่นคือให้ฝึกทั้งสองพันคนนี้ตามมาตรฐานการฝึกทหาร
“ท่านอยากจัดตั้งกองทัพอย่างนั้นรึ ? ” ซูม่อเอ่ยถาม
“ที่ซีซานในภายภาคหน้าจะกลายเป็นจุดสนใจของชาวโลก ข้าต้องเตรียมการล่วงหน้าเล็กน้อย”
“ท่านมิมีชุดเกราะหรืออาวุธ”
“ดังนั้นข้าจึงต้องการหลอมเล็ก”
“หากได้ม้าศึกมาครอบครองจะเป็นการดียิ่งนัก”
“ข้าเองก็คิด โดยเฉพาะม้าของพวกชาวฮวง เฮ้อ…อยากไปปล้นชาวฮวงจริง ๆ ”
“……”
รัชสมัยเซวียนลี่ที่ 8 เดือนเก้าวันที่สิบ กลางคืน
ศาลาเรือนหลังของซีซาน
หยูเวิ่นหวินรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งใจ สีหน้าของต่งชูหลานก็มิค่อยสู้ดี
หยูเวิ่นหวินได้รับสารลับที่มาจากเมืองหลวง และตอนนี้ก็ได้มาอยู่ในมือของฟู่เสี่ยวกวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“เรื่องการทุจริตของการบรรเทาทุกข์ ฝ่าบาทได้ส่งให้ขุนนางระดับสูงไปตรวจสอบทั้งสี่หนทางแล้ว” เรื่องนี้จบลงด้วยพู่กันเพียงด้ามเดียว
“การประชุมครั้งใหญ่ต้นเดือนเก้าของราชสำนัก ทูตตัวแทนท่าป๋าชิวได้มาเข้าเฝ้า ฝ่าบาทประณามโดยโทสะ ตรัสว่ามิขอสานสัมพันธ์ หากชาวฮวงต้องการก่อสงคราม หากเป็นเฉกเช่นนั้นก็ย่อมได้ ! ”
“เหล่าเสนาบดียังมิทันได้เอ่ยค้าน องค์หญิงสามก็ได้บุกเข้ามาในท้องพระโรง เผชิญพระพักตร์กับฝ่าบาทและเสนาบดีอีกร้อยคน คุกเข่าลงอย่างนุ่มนวล และทูลฝ่าบาทให้อนุญาตเรื่องสมรส”
“องค์ฮ่องเต้ทรงพิโรธ สั่งให้กักขังองค์หญิงสามไว้ในจวน ห้ามก้าวออกมานอกจวนแม้แต่ครึ่งก้าว หลังจากนั้นองค์หญิงสามก็ใช้วิธีอดอาหารบีบบังคับ จนกระทั่งวันที่สามเดือนเก้า ฝ่าบาทจึงได้เรียกพบเสนาบดีทั้งหมดด้วยความโศกเศร้า มีราชโองการว่า องค์หญิงสามเป็นผู้ศึกษาใฝ่รู้ในตำรา มีจิตใจที่เมตตา เพื่อช่วยให้ราษฎรรอดพ้นจากความทุกข์จากสงคราม จึงยินยอมอภิเษกสมรสกับฮ่องเต้แคว้นฮวงท่าป๋าเฟิง เพื่อผลประโยชน์ของแคว้นทั้งสอง และเพื่อความสงบสุขตลอดไป…”
ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวดแน่น
นั่นประหลาดยิ่ง องค์หญิงสามกำลังคิดสิ่งใดอยู่กัน ?
ฝ่าบาทและเหล่าเสนาบดีเตรียมพร้อมสู้รบแล้ว แต่นางกลับเข้ามาขวาง ทั้งยังต้องการอภิเษกสมรสกับฮ่องเต้ชาวฮวงด้วยตนเอง หากนางคิดเพื่อราษฎรอย่างแท้จริง สตรีผู้นั้นค่อนข้างสูงส่งยิ่งนัก
มีเพียงวิธีนี้ที่จะหยุดความทะเยอทะยานของชาวฮวงได้เยี่ยงนั้นรึ ?
ฟู่เสี่ยวกวนมิทราบ
หยูเวิ่นหวินเองก็มิทราบ
เสด็จพี่สามหยูชิงหลานคือธิดาที่เกิดจากพระสนมเอกฉงกุ้ยเฟย โตกว่าหยูเวิ่นหวินไม่กี่วัน ทั้งสองเติบโตมาด้วยกัน จึงค่อนข้างเข้าใจกันอย่างลึกซึ้ง แต่ในตอนนี้นางต้องการสมรสกับชาวฮวง อีกทั้งดินแดนของชาวฮวงยังเป็นดินแดนที่ขมขื่นที่ยากเกินกว่าจะพรรณนา!
มิใช่ว่านางหลงรักฮั่วหวยจิ่นโอรสองค์ที่สองของฮั่วหวยจิ่นกษัตริย์แห่งเจิ้นซีมาโดยตลอดเยี่ยงนั้นรึ ?
เกิดอะไรขึ้นกับนางกัน ?
“ปีนี้องค์หญิงสามมีพระชนมายุกี่พรรษาแล้ว?” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
“อายุมากกว่าข้า 23 วัน ปีนี้นางมีพระชนมายุ 16 พรรษาแล้ว”
“ข้ามิเข้าใจองค์หญิงสามผู้นั้นเลยแม้แต่น้อย เหตุที่นางยืนกรานจะอภิเษกสมรสคงมิพ้นสองจุดประสงค์นี้ ประการแรกคือมิต้องการก่อประกายสงคราม ส่วนประการที่สอง…ท่าป๋าเฟิงผู้นั้น ข้าได้ยินมาว่าเขาก็เป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยม หรือว่าพระนางจะชื่นชมบุคคลผู้นั้นจนก่อเกิดเป็นความรักกัน ? ”
หยูเวิ่นหวินคิ้วขมวดมุ่นและนิ่งคิด นางส่ายหน้าและกล่าวว่า “หากเป็นประการแรกข้าเองก็มิมั่นใจ แต่ประการที่สองมิน่าจะเป็นไปได้ เพราะเสด็จพี่สามนั้นนางมีชายในดวงใจแล้ว อย่างน้อยข้าก็ต้องรับรู้เรื่องนี้ ฮั่วหวยจิ่นโอรสองค์ที่สองของกษัตริย์แห่งเจิ้นซี ตอนนี้ได้เป็นผู้บัญชาการกองทหารม้าทางตะวันตก เป็นวีรชนวัยเยาว์ที่มีความเก่งกาจ เมื่อปีที่แล้วเสด็จพี่สามยังพูดกับข้าอยู่เลยว่าต้องอภิเษกสมรสกับเขาเท่านั้น… ยังมิทันข้ามพ้นหนึ่งปีจะเปลี่ยนความตั้งใจเดิมได้เยี่ยงไร ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังมิเคยได้ยินเรื่องความไม่ลงรอยระหว่างพวกเขามาก่อนด้วย”
“เป็นไปได้หรือไม่ว่าฮั่วหวยจิ่นผู้นั้นมิอยากเป็นพระราชบุตรเขย ? ”
หยูเวิ่นหวินจ้องมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวว่า “ฮั่วหวยจิ่นมิจำเป็นต้องขึ้นเป็นพระราชบุตรเขย เพราะเขานั้นเป็นโอรสขององค์ชายต่างสกุล องค์หญิงสามารถแต่งงานกับเขาได้”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเบา ๆ และถูจมูกไปมา ข้าที่เป็นเพียงบุตรชายเศรษฐีที่ดิน ฐานะของข้ากับพวกนางช่างแตกต่างกันอย่างยิ่ง
“เป็นเวลานานแล้วที่ข้าออกจากเมืองหลวงมา ข้าและชูหลานได้ปรึกษากันแล้ว และเตรียมตัวจะออกเดินทางกลับเมืองหลวงในวันรุ่งขึ้น…ข้าอยากไปสอบถามความจริงจากเสด็จพี่สาม”
จะกลับกันแล้วรึ ?
ช่วงหลายวันมานี้ถึงแม้ฟู่เสี่ยวกวนจะยุ่ง แต่ก็มีหญิงสาวทั้งสองเข้ามาหยอกล้อเป็นครั้งคราว ทำให้เขารู้สึกมีความสุขขึ้นมาได้บ้าง ยามที่ทั้งสองต้องการจะจากไปอย่างกะทันหัน มันทำให้เขาอดที่จะรู้สึกเสียดายมิได้
แต่เขาเองก็เข้าใจว่าหญิงสาวทั้งสองนั้นยังมิได้สมรสกับตน เป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งที่พวกนางทั้งสองสามารถอยู่กับเขาได้ตลอดหลายวัน วันเวลาในภายภาคหน้านั้นยังอีกยาวไกล มิจำเป็นจะต้องทำให้เรื่องมันวุ่นวาย
“ต่งชูหลานได้ซื้อจวนไว้ให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว เจ้าที่เป็นเจ้าของบ้านก็หาเวลาไปดูเสียบ้าง”
ฟู่เสี่ยวกวนหันหน้ามองต่งชูหลานด้วยความประหลาดใจ นางมิเคยเอ่ยมัน “ย่อมเป็นเรื่องที่ดี เมื่อถึงเวลานั้นพวกเจ้าก็ย้ายมาอยู่ด้วยกันที่เรือนนั้นเสียสิ”
“เหอะ อย่าได้ฝันหวานไปหน่อยเลย ! ”
ตอนที่ 82 เริ่มต้นจากที่นี่
หลังจากนั้นเป็นเวลาสามวัน ฟู่เสี่ยวกวนก็มิได้เดินทางไปยังเพิงพักชั่วคราว แต่กลับเรียกจางเช่อและอี้หยู่ให้ไปรวบรวมผู้ที่รู้หนังสือและบรรดาช่างต่าง ๆ พร้อมกับจดรายชื่อมาให้เขา
สามวันมานี้เขาได้พบกับคนเหล่านี้ที่เรือนซีซาน
จางหยางเป็นหนึ่งในผู้ประสบภัย อายุเพียง 18 ปี อดีตเคยศึกษาในสำนักศึกษาเอกชน เขามีพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ที่เยี่ยมทีเดียว
หลี่อี้ อายุได้ 22 ปี เขามีความสามารถด้านการประดิษฐ์ มักทำของแปลกใหม่ออกมาเสมอ
โจวกัง อายุ 30 ปี เขารู้หนังสือและเคยเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาเอกชน
เจิ้งตั๋ว อายุ 33 ปี เขารู้หนังสือ อีกทั้งมีความเข้าใจในการค้า
หลู่เจิ้งจวิน อายุ 40 ปี รู้หนังสือ เป็นช่างเหล็ก
……
……
ในมือของฟู่เสี่ยวกวนมีบัญชีรายชื่อเล่มหนา เขาไม่คาดคิดว่าในบรรดาผู้คนมากกว่าสามหมื่นสามพันคนนั้น จะมีผู้รู้หนังสือ 300 คนและมีช่างฝีมือมากถึงหนึ่งพันกว่าคน
นี่คือโชคชั้นใหญ่ที่เขาจะต้องขุดมันขึ้นมาอย่างดี
จากนั้นเขาก็ได้พบกับผู้นำด้านศาสนาและผู้นำด้านอื่น ๆ เขาเอาใจใส่บุคคลเหล่านี้ยิ่ง อีกทั้งยังพาพวกเขาไปยังยุ้งฉางแล้วเอ่ยว่า
“ต่อให้พวกท่านกินอย่างอิ่มหนำสำราญ อาหารในจวนข้าก็มีเพียงพอให้พวกท่านกินทั้งปี”
เขาต้องการให้พวกผู้นำวางใจ เพราะหากผู้นำเหล่านี้อุ่นใจแล้ว คนอื่น ๆ ก็อุ่นใจเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเพิงพักอาศัยชั่วคราวจึงเริ่มเชื่อมากขึ้นเรื่อย ๆ ว่าเขาคือพระโพธิสัตว์ที่ยังมีชีวิตอยู่ และมาช่วยพวกเขาให้รอดพ้น สิ่งนี้ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนไม่กล้าไปที่เพิงชั่วคราวเพื่อพบปะกับคนเหล่านั้นอีก
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เดินทางไปพบเจอกับพวกเขาอีก
หลังจากนั้นสามวัน เขาได้เรียกประชุมทุกคนที่มีรายชื่อให้ไปรวมตัวกันที่ด้านนอกเรือนซีซาน คนมากมายเช่นนี้ คาดว่าในเรือนจะคับแคบไปเสียหน่อย
ผู้เข้าร่วมประชุมด้วยนี้มีอี้หยู่และจางเช่อ หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานแต่งกายเป็นชายนั่งอยู่ด้านหลังฟู่เสี่ยวกวน ส่วนซูม่อและหงจวงอยู่ห่างออกไปนิดหน่อย
“พวกเจ้าคิดว่าชีวิตที่เป็นอยู่นี้เป็นเช่นไรบ้าง พอใจหรือไม่ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่บนเวทีด้านหน้า น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนและใส่ใจ
ผู้คนที่นั่งอยู่ด้านหน้านั้นมองดูฟู่เสี่ยวกวน แม้ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยพบมาก่อน แต่บัดนั้นคล้ายกับกำลังฝันไป
“พอใจมากขอรับ ข้าน้อยขอบพระคุณคุณชาย ! ”
นี่คือสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนกำชับไว้ มิให้พวกเขาเรียกว่าเทพเจ้าหรืออื่น ๆ ให้เรียกว่าคุณชายเท่านั้น
“หากพวกเจ้ามีสิ่งใดที่ต้องการจงเอ่ยมาเถิด หากข้าสามารถทำได้ข้าจะพยายามทำเพื่อพวกเจ้าให้ดีที่สุด”
“ไม่มีแล้วขอรับ คุณชาย พวกเรานั้นมีที่ซุกหัวนอน มีข้าวกินอิ่มท้องเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว พวกเรามีเพียงคำร้องขอเดียว……” ผู้เอ่ยออกมาคือลวี่ตงผิง ชายชราอายุ 60 ปีที่คาดว่าตนจะสิ้นชีวิตระหว่างทางเสียแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะได้รับการช่วยเหลือ
“ท่านลวี่ เชิญกล่าว ! ”
“มิบังอาจ เป็นเช่นนี้ พวกเรานั้นไม่ต้องการกินนอนไปวัน ๆ เปลืองอาหารของคุณชายเช่นนี้ พวกเราล้วนเป็นคนมีมือมีเท้า หวังว่าจะสามารถทำงานให้แก่คุณชายได้บ้าง”
“ถูกต้องขอรับ ! คุณชาย พวกเรานั้นมีความสามารถ แม้ข้าจะไม่สามารถถือคราดไถนาได้ แต่สามารถปลูกข้าวได้ ขอคุณชายได้ให้พวกเราช่วยงานเถิด”
“ข้าน้อยได้ยินมาว่าท่านมีโรงกลั่นสุรา ข้าน้อยมีความรู้ด้านการปรุงสุราอยู่น้อยนิด ขออาสาไปช่วยงานที่โรงกลั่นสุรา”
“ข้าน้อยตีเหล็กได้ อีกทั้งยังมีลูกศิษย์อีกหลายคน ได้ยินมาว่าคุณชายเตรียมตัวขุดเหมืองแร่ ข้าน้อยขออาสาไปช่วยงานที่เหมือง ! ”
“ข้าน้อยสามารถทำดอกไม้ไฟและประทัด และศึกษาด้านไฟกับยา มาบ้างหากมีประโยชน์ต่อท่าน ขอคุณชายโปรดใช้งานเถิด ! ”
……
……
ซูม่อมิเคยเห็นเศรษฐีที่ดินหรือผู้มีอำนาจในโลกนี้คนใด สามารถรวบรวมจิตใจที่แข็งแกร่งได้เช่นนี้ พวกเขาเหล่านี้คือตัวแทนของผู้ลี้ภัย พวกเขามีความรู้ทางด้านหนังสือ มีทักษะ และอำนาจบารมี ฟู่เสี่ยวกวนใช้พวกเขาไม่กี่คนเป็นสื่อกลาง เขาไม่จำเป็นต้องเผชิญหน้ากับผู้คนกว่าสามหมื่นคน เขาเพียงแค่ควบคุมคนส่วนนี้เพื่อควบคุมผู้ประสบภัยทั้งหมด
วิธีที่เขาเลือกใช้นั้นง่ายดาย แม้ว่าวิธีการก่อนหน้านี้จะดูไร้ยางอาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ประสบภัยตั้งแต่แรก จากนั้นเขาก็ได้พบผู้ประสบภัยกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มนี้ และพูดคุยกับพวกเขา รับฟังพวกเขาพูดถึงอดีตที่ผ่านมา และเขาเองก็เล่าให้พวกเขาฟังถึงความสวยงามของอนาคต
เขาช่างมีความอดทนสูงนัก และสามารถรับฟังความในใจของพวกเขาได้สำเร็จ ส่วนเขานั้นก็ปลูกฝังความคิดของตัวเองลงสู่พวกเขาได้สำเร็จเช่นกัน
หากเป็นเช่นนี้ก็คงไม่มีสิ่งใดน่ากังวล
ซูม่อสามารถคาดการณ์ได้ว่านับจากนี้ไปผู้คนกว่าสามหมื่นคนเหล่านี้จะตั้งตารอฟู่เสี่ยวกวนขึ้นเป็นผู้นำ หากการกระทำต่อ ๆ ไปของฟู่เสี่ยวกวนสามารถทำให้ผู้ประสบภัยได้ลิ้มรสความหอมหวานได้ ในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า คาดว่าจะมีน้อยคนนักที่จะออกจากซีซาน
หากเขาผู้นี้เป็นแม่ทัพละก็……น่าเสียดายที่เขามิได้ร่ำเรียนการทหาร
ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนเต็มไปด้วยรอยยิ้มและเป็นกันเองยิ่ง เขายกมือขึ้นกลางอากาศ จากนั้นจึงป้องมือและเอ่ยว่า “ความปรารถนาของพวกเจ้านั้นข้าเองเข้าใจดี ในวันนี้ที่เรียกพวกเจ้ามาประชุมนั้น หนึ่งเพื่อต้องการรับฟังความคิดเห็นหรือปัญหาของพวกเจ้า สองนั้นข้ามีเรื่องที่ต้องการให้พวกเจ้าไปช่วยเหลืออย่างมากมายทีเดียว”
“หลังภูเขาซีซานนี้มีโรงปูนอยู่ ข้าต้องการจำนวนคน 1,000 คน ต้องเป็นผู้มีร่างกายแข็งแรง จะได้รับค่าแรงวันละ 20 อีแปะ หากมีสตรียินดีที่จะช่วยทำอาหาร ข้าจะให้ค่าแรงวันละ 10 อีแปะ”
“ส่วนที่นี่ พวกเจ้าเห็นพื้นที่ราบโล่งนั่นหรือไม่ ข้าต้องการก่อสร้างโรงงานจำนวนมาก อาจต้องใช้คนถึง 2,000 คน คนงานทั่วไปค่าแรงวันละ 20 อีแปะ ส่วนหัวหน้างานหรือหัวหน้าช่างค่าแรงวันละ 60 อีแปะ”
“ที่สำคัญที่สุดนั่นคือภูเขาเฟิ่งหลิน ที่นั่นมีแหล่งแร่เหล็กที่ยังมิได้เริ่มขุด ข้าต้องการทำถนนใหม่เสียก่อน ที่นี่ต้องการคนจำนวน 20,000 คนด้วยกัน ค่าแรงทำถนนวันละ 40 อีแปะ ผู้ที่เข้าใจการวางแผนการสำรวจและการจัดการ ค่าแรงวันละ 60 อีแปะ”
“จากการสำรวจเบื้องต้น คาดว่ามีผู้เดินทางมายังซีซานประมาณ 34,822 คน เป็นผู้ชรา 2,418คน สตรีและเด็ก 4,679 คน พวกเขาเหล่านี้จะคอยดูแลพวกเจ้าอยู่เบื้องหลัง เช่น หุงข้าว ทำอาหาร ต้มน้ำ ทำความสะอาดเป็นต้น ค่าแรงวันละ 5 อีแปะ”
ผู้คนที่นั่งอยู่ที่นั้นเบิกตาโต ชีวิตของพวกเขาได้ถูกคุณชายช่วยเอาไว้ ตามหลักความจริงแล้วหากคุณชายให้พวกเขาทำสิ่งใดแน่นอนว่าพวกเขายินดีทำอย่างยิ่ง มิได้คิดถึงค่าตอบแทนเลยแม้แต่น้อย
เมื่อสักครู่คุณชายเอ่ยว่าจะให้ค่าแรง อีกทั้งยังมิใช่เงินจำนวนน้อย ทำให้พวกเขาดีใจยิ่งนัก เนื่องจากพวกเขาไร้ซึ่งบ้านแล้ว แต่หากในปีหน้าต้องการเดินทางกลับไป การสร้างบ้านใหม่ก็ต้องใช้เงินมากมายพอควร
“หากเป็นเช่นนี้ผู้ช่วยดูแลอยู่เบื้องหลังมีจำนวนประมาณ 7,000 คน ที่เหลือคือกลุ่มคนที่ต้องการใช้แรงหลักจำนวน 27,000 คน นอกจากที่ข้าเอ่ยมาจำนวน 23,000 คนแล้วนั้น ยังเหลืออีก 4,000 คน โรงอิฐต้องการ 1,000 คน โรงดินต้องการ 1,000 คน อีก 2,000 คนนั้นข้าต้องการชายหนุ่มร่างกายกำยำ พวกเขาจะอยู่ที่นี่เพื่อฝึกฝน”
“แผนงานของข้ามีดังนี้ ส่วนรายละเอียดผู้ดูแลจางและผู้ดูแลอี้จะเป็นคนรับผิดชอบ เขาทั้งสองจะเลือกผู้แทนจากกลุ่มพวกเจ้าคอยดูแลงานต่าง ๆ นี่คือแผนงานในขั้นแรก เมื่อทุกสิ่งสร้างแล้วเสร็จ ข้าจะดำเนินการขั้นต่อไป”
“อย่างเช่นหากสำนักศึกษาซีซานสร้างเสร็จ บุตรหลานของพวกเจ้าจะสามารถร่ำเรียนวิชาที่นี่ได้ พวกเจ้าหากใครรู้หนังสือก็สามารถมาสอนได้ อีกทั้งศูนย์การวิจัยและพัฒนาหลังสร้างเสร็จ บุคคลเช่นหลู่เจิ้งจวินและหลี่อี้นั้นจะมาค้นคว้าสิ่งใหม่ ๆ ในที่แห่งนี้ เมื่อถึงเวลาข้าจะชี้ทางให้ แน่นอนว่าพวกเจ้าจะต้องทำมันออกมาได้สำเร็จ”
“นี่เป็นแผนการเบื้องต้น พวกเจ้าโปรดเชื่อว่าอนาคตของพวกเราจะต้องดีขึ้น ดีขึ้นเรื่อย ๆ อย่างแน่นอน ! “
ตอนที่ 81 ที่นี่คือบ้านของพวกเจ้า
เพียงพริบตาก็ผ่านไปถึงหกวันแล้ว หลังจากที่สร้างเพิงริมแม่น้ำแบบง่าย ๆ จนเสร็จสิ้น ก็ได้มีม้าเร็วมาส่งข่าวว่า ผู้ประสบภัยจากอำเภอเหยาพร้อมที่จะเคลื่อนย้ายแล้ว
มิได้เกิดความโกลาหลตามที่ฟู่เสี่ยวกวนคอยเป็นกังวลมาโดยตลอด แต่หลายวันมานี้จำนวนผู้เสียชีวิตก็ยังมีมากกว่าร้อยคน
พวกเขาต่างเป็นตะเกียงไฟที่ไร้น้ำมัน แม้ว่าจะมีอาหารที่ดีขึ้น แม้ว่าจะมีหมอไปทันเวลา แต่พวกเขาก็มิสามารถมีชีวิตรอดได้
ผู้ที่เสียชีวิตนั้นถูกนำไปเผาที่ด้านใต้ภูเขาเหยาภายใต้คำสั่งของฟู่เสี่ยวกวน นี่คือคำสั่งที่ฟู่เสี่ยวกวนได้เน้นย้ำไว้อย่างหนักแน่น เขากลัวว่าคนเหล่านี้จะเพิกเฉยในจุดนี้จนก่อให้เกิดโรคระบาด
ในตอนนี้เหล่าผู้ประสบภัยได้พลังฟื้นคืนมาบางส่วนแล้ว พวกเขาได้ยินว่ามีเศรษฐีผู้หนึ่งต้องการรับพวกเขาไปทำงาน หมั่นโถวและแป้งทอดที่พวกเขาทานในตอนนี้ และพวกหมอที่มาช่วยเหลือพวกเขาในตอนนี้ต่างก็เป็นคนที่เศรษฐีผู้นั้นส่งมา ในที่สุดเหล่าผู้ประสบภัยก็มองเห็นความหวัง และมิหวาดกลัวต่อการอพยพในระยะทางสามร้อยกว่าลี้นี้อีก
จางเช่อดำเนินการได้ตามความต้องการของฟู่เสี่ยวกวนและถูกใจของฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างมาก ป่าวประกาศ ต้องประกาศในหมู่ผู้ประสบภัยเท่านั้น
เผยแพร่ความสวยงามของซีซาน เผยแพร่ชีวิตที่ดีในภายภาคหน้า และบอกกับพวกเขาว่าหลังจากนั้นชีวิตจะต้องดียิ่งกว่าในปัจจุบันเป็นแน่ !
ไม่เพียงแต่จะได้ทานหมั่นโถวแป้งทอด ยังจะได้ทานเนื้อ และมีบ้านให้พัก สรุปก็คือ เจ้าวาดแป้งให้กับพวกเขา เจ้าอยากจะวาดให้ใหญ่เพียงใดก็วาด จำต้องสร้างให้พวกเขาเกิดความคาดหวังขึ้นมา มนุษย์นั้นเพียงมีความหวัง พวกเขาจึงจะมีความกล้าที่จะใช้ชีวิตต่อไป !
ดังนั้น จางเช่อจึงทำตามที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวไว้ เพียงแค่เขาทำโดยอุกอาจไปเสียเล็กน้อย
“คุณชายของข้าคือพระโพธิสัตว์กลับชาติมาเกิด ท่านได้รับข่าวความทุกข์ยากของพวกเจ้าก็ได้ส่งพวกข้าทั้งหลายมาช่วยเหลือพวกเจ้า”
“คุณชายของข้าอยู่ที่ซีซาน เขากล่าวว่า ที่พวกเจ้าได้ประสบกับหายนะครั้งใหญ่หลวง ก็เพราะอนาคตของพวกเจ้านั้นมีดวงชะตาต้องอยู่ร่วมกันที่ซีซาน”
“พวกเจ้าลองครุ่นคิดดู ราชวงศ์หยูใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่เหตุใดพวกเจ้าจึงมาเจียงเป่ยมิไปเจียงหนาน เหตุใดพวกเจ้าจึงมิอยู่ที่ฉีโจวแต่กลับมายังอำเภอเหยาที่เล็ก ๆ นั่น คุณชายของข้ากล่าวว่า นี่คือพรหมลิขิต ชาติที่แล้วของพวกเจ้าคือเด็กของเรือนคุณชาย และในวันนี้คุณชายได้กลับชาติมาเกิด นำทางพวกเจ้ามายังที่นี่ท่ามกลางความมืดมิด พวกเจ้า…คือคนรับใช้ของคุณชายในชาตินี้ คุณชายจะมอบชีวิตใหม่ให้กับพวกเจ้า และพวกเจ้าจะอยู่ภายใต้การนำทางของคุณชาย เพื่ออุดมการณ์ของคุณชาย จงสู้จนสุดชีวิต ! ”
“…..”
นี่คือการล้างสมองอย่างแท้จริง !
หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนได้เห็นเนื้อความที่ส่งกลับมาก็รู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก จางเช่อเป็นคนมีความสามารถยิ่ง เขาสำเร็จในการนำพาผู้ประสบภัยสามหมื่นกว่าคนมาได้ และได้ทำให้ภาพลักษณ์ของคุณชายของตนฝังแน่นอยู่ภายในใจของผู้ประสบภัยกลุ่มนี้
คนในสมัยนี้เชื่อในเรื่องผีและปีศาจ พวกเขามิแม้แต่จะสงสัยในเรื่องที่จางเช่อกล่าวมาเลยแม้แต่นิด
เพราะพวกเขานั้นมุ่งหน้ามายังอำเภอเหยาและมิได้อยู่ที่ฉีโจว ในยามที่พวกเขาคิดว่ากำลังจะตายเพราะความหิว พระโพธิสัตว์ก็ได้ลงมาจากฟากฟ้า นำอาหารมาให้พวกเขา ทั้งยังพาหมอมาให้พวกเขา เมื่อได้มาคิดในตอนนี้ก็คิดว่าเป็นโชคชะตา นี่คือพระมหากรุณาของพระโพธิสัตว์ ชาตินี้ของตนนั้นย่อมมีชีวิตอยู่เพื่อพระโพธิสัตว์ผู้นี้
“ในวันนี้พวกเราจะออกเดินทาง พรุ่งนี้ พวกเจ้าจะได้พบกับคุณชายที่ช่วยพวกเจ้าท่ามกลางความทุกข์ทนนี้ คุณชายได้กล่าวว่าหวังว่าพวกเจ้าจะทำตามข้อที่กำหนดเอาไว้ ผู้แข็งแกร่งต้องคอยประคองคนชราและเด็กเล็ก พวกเรามิสามารถทิ้งผู้ใดไปได้แม้แต่คนเดียว คุณชายรอพวกเจ้าอยู่ที่ซีซาน คุณชายกล่าว เขาได้ตระเตรียมบ้านหลังใหม่ให้พวกเจ้าไว้แล้ว และได้ตระเตรียมเสบียงอาหารไว้อย่างอุดมสมบูรณ์ เพื่อต้อนรับการเริ่มต้นใหม่ของพวกเจ้า ! ”
“ขอบพระคุณในบุญคุณที่พระโพธิสัตว์ช่วยชีวิตเอาไว้ ! ” ชายชราคุกเข่าลงแล้วโขกหัว
“ข้ามีเพียงแรงกายเท่านั้น หวังว่าพระโพธิสัตว์จะมิรังเกียจ ! ” ชายกลางคนภาวนาอย่างแผ่วเบา
“ชีวิตของข้าได้พระโพธิสัตว์เป็นผู้ช่วยเอาไว้ ข้าจะรับใช้เขาไปตลอดชีวิต ! ” ชายหนุ่มกล่าวด้วยความจงรักภักดี
“ตระกูลข้าขอเป็นข้ารับใช้พระโพธิสัตว์ไปทุกชั่วอายุขัย ขอพระโพธิสัตว์ช่วยนำทางพวกเรา…”
จางเช่อรู้สึกว่าผลลัพธ์ที่ได้มานั้นดียิ่ง ต่อจากนี้หากมีเรื่องแบบนี้อีก ก็จะใช้การเผยแพร่เยี่ยงนี้
“ออกเดินทาง ! ”
ภายใต้การนำของจางเช่อหัวทัพใหญ่และทหารยามอีก 300 นาย กลุ่มคนขนาดใหญ่ก็ได้เดินทางไปยังหมู่บ้านเซี่ยชุน
หยู๋เหลียนยืนอยู่บนกำแพงเมือง ลูบเคราแพะที่ยาวเฟื้อย และจ้องมองเม็ดเงินที่เดินหายไป พร้อมกับเอ่ยถามเสียงเรียบ “ตรวจสอบจนกระจ่างแจ้งแล้วหรือไม่” ?
“ขอรับนายท่าน ตรวจสอบจนกระจ่างแจ้งแล้ว ก่อนหน้านี้หลิวจือโจวได้มีการไปมาหาสู่กับฟู่ต้ากวนบ้าง แต่ส่วนใหญ่นั้นจะฝากผ่านอาจารย์หลิ่วซานเย่ เดือนเจ็ดพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยกลับไปยังฉีโจว ได้พักอยู่ที่ซ่างหลินโจว 1 คืน งานเลี้ยงภาคค่ำก็ได้เชิญหลิวจือโจวและฟู่เสี่ยวกวนไปเข้าร่วมด้วยขอรับ”
“ค่ำนั้นฟู่เสี่ยวกวนได้ประพันธ์กลอนตุ้ยเหลียนหนึ่งบทให้แก่เสียนชินอ๋อง วันรุ่งขึ้นหลิวจือโจวก็ได้ไปเยี่ยมจวนฟู่ด้วยตนเอง ทั้งยังมอบเอกสารอนุมัติเหมืองแร่ให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนหนึ่งฉบับ ต่อจากนั้นทั้งสองก็มิได้มีการไปมาหาสู่กันอีก หลังจากนั้นเก้าวันก่อนหน้า ฝ่าบาทได้มอบราชโองการให้ฟู่ต้ากวน ส่วนเนื้อความนั้นนายท่านคงทราบดี เป็นราชโองการให้ฟู่ต้ากวนแต่งอนุ เรื่องนี้ฝ่าบาทให้หลิวจือโจวเป็นผู้ตรวจการ ในช่วงนี้หลิวจือโจวจึงไปจวนฟู่อยู่บ่อยครั้ง จึงมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน ส่วนจวนเสนาบดีกรมคลังไกลและสูงส่งเกินไป ข้าน้อยมิสามารถหาข้อมูลมาได้”
หยู๋เหลียนคิ้วขมวดและเงียบอยู่ชั่วครู่ และเอ่ยถาม “ฉีชื่ออนุคนนั้นของฟู่ต้ากวน จะคลอดแล้วใช่หรือไม่?”
“จากที่ได้ความมาคือภายในสองเดือนนี้ขอรับ”
“ไปเตรียมของขวัญ… นำปะการังโลหิต ไม่ ปะการังโลหิตนั้นเก็บไว้รอยามฟู่ต้ากวนแต่งอนุ เตรียมกำไลหยกขาวนั่นแทน ทันทีที่ฉีชื่อคลอดหรือฟู่ต้ากวนตบแต่งอนุเข้า ให้รีบบอกข้า ข้าจักไปแสดงความยินดีด้วยตนเอง”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้วขอรับ ! ”
……
…..
วันรุ่งขึ้น ท้องฟ้าค่อนข้างมืดครึ้มบนท้องฟ้ามีเมฆดำหนาทึบอยู่ทั่วทั้งใต้หล้า ฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างกังวลใจ อย่าให้ฝนตกลงมาแต่เช้าเลย
และเหมือนเทพเจ้าจะแสดงความเมตตา ฝนนั้นมิได้ตกลงมาจริง ๆ
โรงอาหารของเพิงพักชั่วคราวมีควันลอยออกมา มีสตรีหลายสิบคนที่วุ่นวายตั้งแต่เช้าจรดเย็น ทำหมั่นโถวมากมายและต้มโจ๊กน้ำซุปเข้มข้นหม้อแล้วหม้อเล่า
เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนตั้งใจจะทำข้าวสวยและเนื้อสัตว์เป็นอาหารให้พวกเขาเล็กน้อย แต่ซูม่อกลับขวางเขาเอาไว้ พร้อมกับกล่าวว่าหากทำเยี่ยงนั้น เหล่าผู้ประสบภัยจะทานเข้าไปมากเกิน จนร่างกายของพวกเขารับมิไหว และจะเป็นการทำร้ายพวกเขาแทน
ยามที่ท้องฟ้าค่อย ๆ ดับลง กองทัพผู้ประสบภัยอันใหญ่โตก็ได้มาถึงซีซาน
ภายใต้การสั่งการของอี้หยู่ และภายใต้การจัดการของจางเช่อและทหารยาม 300 นาย เหล่าผู้ประสบภัยก็เข้าเพิงพักชั่วคราวอย่างเป็นระเบียบ และนั่งลงอย่างสงบ
พวกเขามองเพิงพักชั่วคราวที่ใหม่เอี่ยม ถึงแม้จะมิได้ดีเท่าบ้านในอดีต แต่ก็สามารถกันลมกันฝนได้ หน้าหนาวนี้ ก็ถือว่าเพียงพอจะเอาตัวรอดได้แล้ว
หลังจากที่ทุกคนจัดหาที่พักเรียบร้อย ท้องฟ้าด้านนอกมืดมิดเมฆหนาดำพร้อมจะสาดสายฝนลงมาได้ทุกเมื่อ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินทางมาถึงที่นี่แล้ว
เขามาเพียงเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยเพียงเท่านั้น แต่จางเช่อกลับกล่าวกับผู้ประสบภัยเหล่านั้นว่า นี่คือคุณชายที่ช่วยชีวิตพวกเจ้า
ดังนั้นจึงมีเสียงโห่ร้องและคุกเข่าลงกันถ้วนหน้า และมีเสียงดังขึ้นมาว่าพระโพธิสัตว์ไม่ขาดสาย จนทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประหม่าอย่างยิ่ง
“หยุด ๆ หยุด ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่บนที่สูง และตะโกนเสียงดังลั่น “พวกเจ้าจงลุกขึ้น ! ”
มิมีผู้ใดยืนขึ้น น่าทึ่งยิ่ง ฟู่เสี่ยวกวนมิคาดคิดว่าการเคารพบูชาจากก้นบึ้งของหัวใจนั้นจะทรงพลังถึงเพียงนี้
“ตอนนี้ข้าขอสั่งให้เจ้าทุกคนลุกขึ้นมา ! ”
ผู้คนที่อยู่ด้านล่างลุกขึ้นยืน ต่างหันมองพระโพธิสัตว์ที่อยู่ใต้โคมไฟ มองเห็นไม่ค่อยชัด แต่ท่าทางยังดูเยาว์วัย
ในยามนี้ฝนได้ตกลงมา ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน และกล่าวกับพวกเขาเสียงดังอีกคราว่า “ที่นี่ ต่อจากนี้คือบ้านของพวกเจ้า ! ในตอนนี้ ข้าขอสั่งพวกเจ้าให้ทานข้าว ! ”
ตอนที่ 80 เหตุการณ์ในท้องพระโรง
“เรื่องของรายละเอียดนั้นข้ามิรู้เท่าใดนัก เพียงแต่ได้ยินท่านแม่พูดอยู่บ่อย ๆ ว่าชาวฮวงได้จัดเตรียมทหารและม้าจำนวนนับแสนอยู่ที่นอกด่านเยี่ยนซาน คาดว่าบัดนี้คงมาถึงเมืองหลวงแล้ว”
“เสด็จพ่อต้องส่งกองทัพออกรบเป็นแน่ ท่านอัครเสนาบดีเยี่ยนเป่ยซีและเสนาบดีเยี่ยนซือเต้าก็สนับสนุนให้ทำการรบเช่นกัน เพียงแต่…บางเสียงก็เสนอให้เกิดการแต่งงาน เหตุผลคือชาวฮวงและแคว้นอี๋ร่วมมือกันแล้ว หากสงครามทางเหนือของเราราบรื่น การคุ้มกันชายแดนฝั่งตะวันออกที่ติดกับแคว้นอี๋คงไม่เกิดปัญหา แต่ถ้าหากแพ้สงครามทางเหนือละก็ ชาวฮวงจะฝ่าด่านเยี่ยนซานมาได้ มิรู้ว่าทหารจำนวนสามแสนที่คุ้มครองทางเหนือจะสามารถปกป้องไว้ได้หรือไม่ มิฉะนั้นก็จำเป็นที่จะต้องระดมพลจากฝั่งตะวันออกมาเสริมกำลังให้กับทางเหนือ หากเป็นเยี่ยงนั้น ถ้าแคว้นอี๋ฉวยโอกาสกรีฑาทัพบุกเข้ามาล่ะ แบบนี้มิดีแน่”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้น เขาไม่เข้าใจเสียจริงว่าในสามแสนคนนั้นมีทหารม้าเท่าไร แต่ฝ่ายพวกเราก็สามารถไหว้วานขอความช่วยเหลือเมืองสงเฉิงแห่งซินโจวให้ออกรบ คาดว่าคงจะได้รับชัยชนะเป็นแน่
ยิ่งกว่านั้นบัดนี้ท่านแม่ทัพใหญ่ทางเหนือคาดว่าคงส่งทหารจำนวนมากไปคุ้มครองด่านเยี่ยนซานแล้ว
ในเมื่อได้ชื่อว่าด่านคุ้มกัน แน่นอนว่าคงต้องรักษาไว้ให้แข็งแกร่ง ไม่รู้ว่าทหารม้าจะมีบทบาทในการโจมตีมากน้อยเพียงใด ตราบใดที่ไม่เป็นฝ่ายเริ่มโจมตีก่อน เพียงแค่ปิดตายด่านเยี่ยนซาน ก็สามารถป้องกันชาวฮวงที่อยู่ด้านนอกได้แล้ว
มองดูแล้วด้านการเงินของชาวฮวงก็ไม่สามารถเทียบได้กับราชวงศ์หยู สงครามจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย ดังนั้นโอกาสที่ชาวฮวงจะชนะจึงมีไม่มากนัก
ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจความหมายที่หยูเวิ่นหวินกล่าวว่าถ้าหากต้องการลอบสังหารก็ควรเป็นองค์หญิงสาม
หากองค์หญิงที่สามสิ้นพระชนม์ลง การแต่งงานนั้นก็มิสามารถเป็นไปได้ เช่นนั้นสงครามนี้ก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงมิได้จำเป็นต้องทำ
แต่สิ่งนี้ก็อธิบายค่อนข้างยากนัก เนื่องจากองค์ฮ่องเต้เองก็มีพระประสงค์ที่จะทำสงครามอยู่แล้ว
นอกเสียจากพระองค์มิประสงค์จะทำสงคราม และมิยินยอมให้องค์หญิงสามแต่งงาน หากอยู่ภายใต้เงื่อนไขทั้งสองข้อนี้ การลอบสังหารองค์หญิงสามจึงจะมีความเป็นไปได้
“เรื่องนี้ข้าลองคิดทบทวนดูแล้วน่าจะไม่ได้มีจุดมุ่งหมายมายังหยูเวิ่นหวิน ประการแรกมันไม่มีความจำเป็น ประกายที่สองหากต้องการลอบสังหารหยูเวิ่นหวินคงไม่ส่งคนพวกนี้มา ข้าคิดว่า……อาจจะเป็นผู้ประสบภัย ? พวกเขามีทักษะการต่อสู้ และตอนนี้พวกเขาก็ได้รับความยากลำบาก ส่วนที่เรือนซีซานนั้นมีเงินและอาหารมากมาย พวกเขาอาจเพียงต้องการเข้ามาลักลอบขโมยแต่บังเอิญพบกับท่านทั้งสองเข้า ?”
คนอื่นก็คิดว่ามีเหตุผล ดังนั้นเรื่องนี้จึงจบลงเพียงเท่านี้ ส่วนฟู่เสี่ยวกวนจะสืบหาต่อไปหรือไม่ก็แล้วแต่เขา
หลังจากรับประทานทังหยวนเรียบร้อยแล้ว ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้นมาต้อนรับเช้าวันใหม่ เสียงไก่ขันดังขึ้นแข่งกับเสียงนกที่กำลังบินออกจากรัง
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงออกกำลังกายตามปกติ อีกทั้งบัดนี้ยังได้ชักชวนให้ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินร่วมออกกำลังกายกับเขาด้วย
“ร่างกายนั้นต้องการการออกกำลังกาย เช่นนี้จึงจะมีภูมิคุ้มกันที่ดี วิธีที่ง่ายที่สุดนั่นก็คือการวิ่ง ไม่จำเป็นต้องวิ่งเร็ว วิ่งช้า ๆ เป็นพอ แต่ต้องขยับร่างกายเสียบ้าง”
ทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย เป็นชุดขาสั้นที่ฟู่เสี่ยวกวนออกแบบมา ค่อนข้างแปลกตา สตรีทั้งสองนางทำให้ฟู่เสี่ยวกวนมองเห็นอีกมุมหนึ่งของพวกนาง
แน่นอนว่าเขามิได้ออกไปวิ่งนอกเรือน แต่วิ่งอยู่ในเรือนไปมา หนึ่งรอบประมาณหกเจ็ดร้อยเมตรเห็นจะได้
แรกเริ่มทั้งสองนางวิ่งได้เพียงสองสามรอบ หลังจากนั้นก็วิ่งได้เพิ่มอีกสองรอบ ร่างกายของหยูเวิ่นหวินแข็งแรงกว่าต่งชูหลานมากนัก ต่งชูหลานวิ่งเสร็จก็เหนื่อยเสียจนยืนแทบไม่ไหว แต่หยูเวิ่นหวินกลับยังกระโดดโลดเต้นได้
เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนกำลังทำอยู่นี้ สตรียอดฝีมือผู้นั้นไม่ได้เข้าไปห้าม นางยืนถือดาบไว้ในมือแล้วมองลงมาจากชั้นสอง ไม่ทราบว่าในใจกำลังคิดการใดอยู่
ฟู่เสี่ยวกวนต่อยเพียงสองหมัดก็สามารถปลิดชีพชาวลวี่หลินนั้นได้ สิ่งนี้เขาไม่คาดคิดมาก่อน ในยามคับขันนั้นเขาคล้ายกับใช้แรงทั้งหมดส่งไปยังหมัด และมุ่งเป้าหมายไปยังส่วนที่อ่อนแอที่สุดในร่างกาย จากเดิมเพียงแค่ต้องการให้ฝ่ายตรงข้ามบาดเจ็บจนไม่สามารถต่อสู้ได้ ใครจะทราบเล่าว่าอีกฝ่ายจะตาย สิ่งนี้ทำให้เขามั่นใจในคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางมากขึ้น ดังนั้นหลังจากที่เขาออกกำลังกายเสร็จก็จะไปนั่งสมาธิเพื่อฝึกสมาธิ
สตรีผู้นั้นเดินมายังข้างกายซูม่อแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “สำนักเต๋า ? ”
“ใช่ ป่ากระบี่ ? ”
“ถูกต้องแล้ว”
“ประลองสักเล็กน้อยหรือไม่ ? ”
ซูม่อส่ายหัว “ข้ามิสามารถเอาชนะเจ้าได้”
“เจ้ามีนามว่าเยี่ยงไร ? ”
“ซูม่อ”
สตรีนางนั้นคล้ายกับกำลังรอซูม่อถามกลับว่านางชื่ออะไร แต่ซูม่อกลับนิ่งเงียบ
“หงจวง”
ซูม่อจึงหันหลังกลับมามองนางแล้วขมวดคิ้ว ถามกลับว่า “หงจวงแห่งป่ากระบี่ ? ”
“ใช่ ! ”
หงจวงเอ่ยอย่างภาคภูมิใจและเดินกลับไป ซูม่อมองตามหลังนางไปอยู่ครู่หนึ่ง
……
……
รัชสมัยเซวียนลี่เดือนเก้าวันที่หนึ่ง การประชุมใหญ่ราชวงศ์ ณ พระราชวังจินหลิงเมืองหลวง
ขุนนางฝ่ายพลเรือนและขุนนางฝ่ายทหารหลายร้อยคนยืนอย่างเคร่งขรึม ณ ท้องพระโรงเฉิงเทียน ขันทีเจี่ยกงกงได้นำทางเชิญองค์ฮ่องเต้หยูยิ่น เข้าไปยังท้องพระโรง และประทับ ณ ที่บัลลังก์มังกร
ใบหน้าของเขาเคร่งขรึม สง่างาม น่าเกรงขามยิ่งนัก
“ในวันนี้ข้าจะจัดการเพียงเรื่องเดียว !”
ไม่รอให้เจี่ยกงกงกล่าวนำ องค์ฮ่องเต้ทรงเอ่ยขึ้นด้วยตนเอง
“ทูลฝ่าบาท ทูตแคว้นฮวงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีเฝ้าหน้าประตูผู้หนึ่งประกาศดังจากด้านนอก “องค์ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าได้ ! ”
ทูตที่แคว้นฮวงส่งมาเจรจาในครานี้ก็คือท่าป๋าชิว พระปิตุลาคนที่สามของท่าป๋าเฟิง มีตำแหน่งเทียบได้กับชินอ๋องในราชวงศ์หยู เขาผู้นี้เมื่อครั้นเยาว์วัยเคยเดินทางมาขอฝึกฝนวิชาในเมืองหลวง เมื่อกลับไปยังแคว้นฮวงนั้นเขาได้พยายามศึกษาเกี่ยวกับราชวงศ์หยู เขามีความเข้าใจในวัฒนธรรมและประเพณีของราชวงศ์หยูเป็นอย่างดี และคอยสนับสนุนท่าป๋าเฟิงอยู่เบื้องหลังตลอดมา
การแต่งงานครั้งนี้เป็นแผนการณ์ที่เขาคิดขึ้น ส่วนความหมายที่แท้จริงนั้นมีเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจ
บัดนี้ เขาเดินทางมาด้วยตนเอง ในใจเขาหาได้มีความกลัวไม่
เขาย่างก้าวเข้ามายังท้องพระโรง ในใจคิดว่าสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสง่างามเช่นนี้ บัดนี้ได้อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาแล้ว
สำหรับชาวฮวงนั้น ราชวงศ์หยูช่างสูงส่งยิ่งนัก ที่แห่งนี้มีผืนดินอุมดมสมบูรณ์ มีสถานที่อาศัยสวยงาม มีวัฒนธรรมอันดีงาม อีกทั้งยังมีสตรีผู้งดงาม
รัชสมัยฉินเหอปีที่สิบสาม ชาวฮวงบุกรุกเข้ามาทางทิศใต้ ผลก็คือแพ้อย่างราบคาบ
นับจากวันนั้นจวบจนวันนี้ ชาวฮวงอดทนอดกลั้นมา 47 ปี แคว้นฮวงเปลี่ยนผู้นำปกครองมาถึงสองสมัย บัดนี้ชาวฮวงมีท่าป๋าเฟิงเป็นผู้นำ ทุ่งหญ้าสงบสุขในทุกทิศทาง และมีความแข็งแกร่งของชาติเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านกองทัพ !
ท่าป๋าชิวเชื่อมั่นว่าหากทั้งสองแคว้นก่อสงครามกัน ราชวงศ์หยูจะต้องพ่ายแพ้ให้แก่ชาวฮวงเป็นแน่
อย่ามองแต่ภายนอกว่ามีความสำราญรุ่งเรือง แต่แท้จริงแล้วกลับมีปัญหาวุ่นวาย นี่คือภาพที่แท้จริงของราชวงศ์หยู ท่าป๋าชิวเก็บรวบรวมข้อมูลเหล่านี้มาเป็นเวลากว่าหลายปีแล้วนำมาวิเคราะห์ ไม่ผิดเพี้ยนเป็นแน่
“ข้าน้อย ท่าป๋าชิว ขอถวายบังคมฝ่าบาท !” ท่าป๋าชิวเอ่ยด้วยความนอบน้อม
“ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท !”
“เจ้ามิต้องขอบใจเราหรอก เงยหน้ามาให้ข้าได้ยลโฉมเจ้ายามมีชีวิตเสียหน่อย”
ท่าป๋าชิวตื่นตระหนกในใจเล็กน้อย จากนั้นจึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น
“ก็มิได้มีสิ่งใดพิเศษกว่าผู้อื่น ข้าได้สั่งให้ลงโทษท่าป๋าเฟิงแล้ว แต่คาดมิถึงเลยว่าเขาจะมิยอมถอดใจ องค์หญิงสามเป็นบุตรสาวของข้า ท่าป๋าเฟิงคิดว่ามันเป็นผู้ใดกัน ! ”
หยูยิ่นลุกขึ้นยืน แล้วเอ่ยตะคอกด้วยความโมโหว่า “ข้าไม่มีกะจิตกะใจจะพูดกับเขา สงครามนี้ถ้าหากว่าพวกเจ้าต้องการข้าก็จักตอบสนองเป็นแน่ ข้าเองก็อยากเห็นเสียจริงว่าหัวของท่าป๋าเฟิงจะแข็งเพียงใด !”
ท่าป๋าชิวไม่ได้มีทีท่าตื่นตระหนก สีหน้าเขานิ่งเรียบเนื่องจากกำลังรอใครบางคนเดินทางมา
“ให้ข้าเข้าไป ! ” นอกท้องพระโรงมีเสียงดังเข้ามา เป็นเสียงของสตรี หยูยิ่นและบรรดาขุนนางหันไปทางเดียวกัน ท่าป๋าชิวเผยรอยยิ้มออกมา
ผู้นั้นคือองค์หญิงสาม หยูชิงหลาน !
ตอนที่ 79 ข้ามีศัตรูได้เยี่ยงไร
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานก็ได้ตื่นขึ้นมาในเวลานี้
หลังจากนั้นก็เห็นแขนขาและหัวของศพที่ถูกตัดทิ้งกลิ้งไปทั่วพื้นที่ หัวใจบีบรัด ก่อนจะวิ่งแหวกทางไปยังมุมกำแพงและอาเจียนออกมาทั้งหมด
พวกนางไหนเลยจะเคยได้เห็นฉากเยี่ยงนี้ !
อย่าได้ว่าแต่ฆ่าคนเลย แม้แต่การฆ่าไก่ พวกนางก็มิเคยได้เห็นมาก่อน
ฟู่เสี่ยวกวนทำราวกับมิมีอะไรเกิดขึ้น เขาเดินไปดูหวางเอ้อและหวางเฉียง ทั้งสองต่างหวาดกลัว แต่โชคยังดีที่มิได้รับบาดเจ็บ
หลังจากนั้นเขาก็แสดงความซาบซึ้งใจกับซูม่อและยอดฝีมือสาวผู้นั้น แต่ทั้งสองคนมิได้สนใจเขา และเดินจากไปในทันที พวกเขาทั้งสองคนสังหารคนพวกนั้นราวกับสังหารหมาสังหารแมว
ฟู่เสี่ยวกวนยักไหล่ นี่คือท่าทางของยอดฝีมือ หลังจากที่เรื่องราวจบลง ก็ยังปิดบังชื่อเสียงและบุญคุณ
ภายในเรือนถูกเก็บกวาดอย่างรวดเร็ว จิตใจของเหล่าชาวนาหวาดกลัวอย่างแท้จริง ชีวิตทั้งชีวิตชาวนาอย่างพวกเขา มิเคยสังหารผู้ใดและมิเคยพบเห็นการสังหารผู้คนมาก่อน !
ภายในเวลาสั้น ๆ ภายในเรือนของคุณชายก็มีคนตายถึง 22 คน มารดามันเถอะ เรือนแห่งนี้ของคุณชายคือพยัคฆ์ซ่อนมังกรหมอบชัด ๆ !
ในมุมมองของชาวนาเหล่านี้ ผู้ร้ายพวกนี้สมควรตายอย่างยิ่ง หากพวกเขามิตาย คุณชายก็คงสิ้น หากมิมีคุณชาย นายท่านย่อมเดือดดาลเป็นแน่ พวกเขายังอยู่ที่เรือนซีซาน หากยังปกป้องมิได้แม้แต่คุณชาย นายท่านย่อมขับไล่พวกเขาออกไปเป็นแน่
ครุ่นคิดแล้วก็นึกกลัว โจรสมควรตายเหล่านี้ รนหาที่ตายอย่างแท้จริง ! ดังนั้นจึงถึงขั้นมีคนนำมีดไปแทงอีกคราสองครา
……
…..
ชีหยวนหมิงได้เห็นแสงไฟในเรือนซีซานสว่างขึ้นมาจากไกลๆ ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
การสังหารมิใช่ว่าต้องกระทำการในคืนเดือนมืดลมลอยสูงรึ ?
เหตุใดจึงต้องจุดตะเกียงกัน
ภาพเหมือนของฟู่เสี่ยวกวนเขาได้มอบให้คนพวกนั้นดูนานแล้ว และภายในเรือนนั้นนอกจากฟู่เสี่ยวกวนและสาวรับใช้ของเขาแล้วยังมีคนนอกอยู่อีกเยี่ยงนั้นรึ ช่างเถอะ สังหารหนึ่งก็คือการสังหาร สังหารไปสองก็คือการสังหาร พวกเขาสังหารคนที่อยู่ข้างในนั้นทั้งหมดก็ถือเป็นเรื่องดีมิใช่รึ?
แต่พวกเจ้าจุดตะเกียงขึ้นมาเพื่อการใดกัน ?
หรือว่าหลังจากที่พวกเจ้าสังหารคนได้ก็จะวางเพลิงต่อกัน ?
ชีหยวนหมิงหัวเราะขึ้นมา ทำได้ดียิ่ง ! เยี่ยงนี้ก็เยี่ยมยิ่งนัก เผาร้านสุราของเขาให้ราบ เหยาเซียงของข้าก็จะได้โด่งดังขึ้นมาอีกครา
เขาหยิบเทียนฉุนออกมาหนึ่งขวด แกะห่านย่างออกหนึ่งห่อ และนั่งอยู่ที่พื้นโดยทานห่านย่างและดื่มเทียนฉุนไปด้วย รู้สึกได้ถึงก้อนหินที่กดทับใจนั้นได้แหลกสลายเป็นผุยผงทันพลัน
เขารู้สึกว่าตนเองนั้นผ่อนคลายขึ้นมาก หมอกที่ปกคลุมเขามาเนิ่นนานหลายวันได้จางหายไปจนสิ้น นึกถึงวันพรุ่งนี้ที่แจ่มใส แสงอาทิตย์สาดส่อง
และเขาก็ยังรู้สึกว่าแรงบันดาลใจของตนนั้นเริ่มมีมากมาย
ฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้น บุตรชายตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในหลิงเจียง ชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วทุกหนแห่ง แล้วมันเยี่ยงไรเล่า ?
คนตายไปแล้ว ทุกอย่างก็ว่างเปล่า เงินจำนวนนับมิถ้วนเหล่านั้นมิได้เกี่ยวข้องกับเขา บทกวีและความฝันในหอแดงเหล่านั้นคงถูกขับขานอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง แต่เขาก็มิอาจได้สัมผัสถึงความรุ่งโรจน์และคำชมเหล่านั้นได้อีกต่อไป
ดังนั้นคนผู้นี้ ชีวิตนั้นจึงสำคัญที่สุด
ในยามนี้ ความอัปยศที่เขาถูกครอบครัวขับไล่ออกมาก็เหมือนจะเจือจางลงไป มิมีอันใดสำคัญอีกต่อไป เขากัดขาห่านและฉีกเนื้อคำโต เคี้ยวและหัวเราะไปในคราเดียวกัน
ใต้หล้านี้ไร้เซียงเฉวียนและเทียนฉุนแล้ว ความลับของเหยาเซียงก็อยู่ในมือข้า คนโง่จวนชีเหล่านั้น ในไม่ช้าก็เร็วข้าจักทำให้พวกเขาต้องเปลี่ยนความคิด และจะคว้าตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของข้ากลับมาให้ได้โดยเร็ว !
เขาหยิบขวดขึ้นมาดื่มสุราหนึ่งอึก ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบดังขึ้นในป่า เขาเงยหน้าขึ้นมอง ก็พบเห็นโจรทั้งสองคนประคองกันเดินตรงมาทางเขา
เขาสับสนเล็กน้อย ขยี้ตาเบา ๆ ทันใดนั้นโจรผู้หนึ่งก็ยกมีดขึ้นมา และคำรามลั่น “ข้าจักฆ่าเจ้า เจ้าคนโกหก ! ”
ชีหยวนหมิงรีบลุกขึ้นมาจากพื้นอย่างร้อนรน หันหลังและออกตัววิ่ง เมื่อออกห่างมาได้ไกล จึงได้เอ่ยถามขึ้นมาอย่างหวาดกลัว “นี่มันเป็นเรื่องอันใดกันแน่ ? ”
โจรผู้นั้นถือมีดพร้อมไล่ตามมา “เจ้ายังกล้าถามอีกรึว่าคือเรื่องอันใด ? ข้าต่างหากที่อยากจะถามเจ้าว่ามันคือเรื่องอันใดกัน เหตุใดในนั้นจึงมียอดฝีมือระดับสูงอยู่ถึง 2 คน พี่น้องของข้าล้วนอยู่ที่นั่นตลอดกาล เจ้าจงหยุดอยู่ตรงนั้นให้ข้าเดี๋ยวนี้ ! ”
ครานี้ชีหยวนหมิงวิ่งได้รวดเร็วยิ่ง เขามิแม้แต่จะหันกลับไปมอง
เสียงตะโกนดังไล่หลังขึ้นมาว่า “เจ้าคนแซ่ชี ข้าจะสังหารตระกูลเจ้าทั้งโคตร ! ”
ชีหยวนหมิงวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต นี่มิใช่จุดจบที่เขาคาดคิดไว้ เรื่องนี้ทำให้ในหัวของเขายุ่งเหยิงไปหมด
เหตุใดจึงเป็นเยี่ยงนี้ ?
เหตุใดจึงเป็นเยี่ยงนี้ได้กัน ?
เขาป้องกันได้เยี่ยงไรกัน ?
หรือว่านี่จะเป็นกับดักที่เขาวางเอาไว้ ?
เป็นไปมิได้ !
เป็นไปมิได้ !
ฟู่เสี่ยวกวน เจ้ามันปีศาจ!
……
…..
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังพ่นน้ำหอมอยู่ในลาน
กลิ่นโลหิตยังคงมิจางหายไป เขาย่อมมิใส่ใจอยู่แล้ว แต่หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานทั้งสองคนนั้นกลับไม่สามารถแบกรับได้แล้ว
เขามิได้รู้สึกว่าทั้งสองคนเสแสร้งอันใด เพราะทั้งสองนั้นบอบบางแต่เดิมอยู่แล้ว
หนึ่งคือธิดาขององค์ฮ่องเต้รัชสมัยปัจจุบัน หนึ่งคือบุตรีของเสนาบดีกรมคลัง หากพวกนางมิบอบบาง สตรีใต้หล้านี้คงจักสามารถยึดท้องฟ้าไปได้เสียครึ่งแล้ว
สายลมยามค่ำคืนพัดพากลิ่นหอมของดอกกุ้ยฮวา ชะล้างพื้นดินไปนับสิบครั้ง คาดว่าจะมีเพียงเฉพาะตรงมุมเท่านั้นที่ยังมีคราบโลหิตหลงเหลืออยู่
ฟู่เสี่ยวกวนให้คนนำศพของผู้ร้ายเหล่านั้นไปยังหลินเจียงจวนโจว เรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ ย่อมต้องแจ้งต่อทางการ ส่วนทางการจะจัดการเยี่ยงไรนั้น นั่นมิใช่เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนจะต้องใส่ใจ
ตอนนี้เป็นยามหยิน สตรีทั้งสองยังมิมีอาการง่วงงุน ทั้งสามคนนั่งอยู่ที่ลาน ชุนซิ่วไปยังห้องครัวเพื่อต้มไข่ลวกและทังหยวน
ซูม่อได้ไปอาบน้ำมาแล้ว ในยามนี้ก็ยืนอยู่ที่ด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวน มีสตรีทั้งสองอยู่ด้วย เขาจึงมิได้นั่งลงร่วมกับฟู่เสี่ยวกวน
“เจ้ามีศัตรูหรือไม่ ? ” ซูม่อเอ่ยถาม
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดโดยถี่ถ้วน หลายเดือนมานี้ หากมีศัตรูอย่างแท้จริง เกรงว่าจะมีเพียงจางเพ่ยเอ๋อร์ที่ต้องการจะฆ่าเขา แต่จางเพ่ยเอ๋อร์ได้ตายไปแล้ว หรือว่าจวนจางต้องการแก้แค้นกัน ?
มิใช่ว่าจะไม่มีความเป็นไปได้ เพียงแต่มันมีความเป็นไปได้ที่เล็กน้อยยิ่ง
จวนจางคือพ่อค้าผ้าแนวหน้าของหลินเจียง จะเต็มใจตั้งตนเป็นศัตรูกับจวนฟู่เพื่อบุตรีเยี่ยงนั้นรึ ?
เยี่ยงไรก็ตามการตายของจางเพ่ยเอ๋อร์ก็หาใช่การควบคุมของเขาไม่ กล่าวเยี่ยงไรก็เป็นเพราะสมรู้ร่วมคิดกับชีชื่อ เรื่องราวจึงถูกเปิดเผย นางจึงตัดสินใจโดดลงแม่น้ำไปเพื่อชื่อเสียง
ดังนั้นหลังจากที่ได้ครุ่นคิดไปมา เขาก็ส่ายหน้า
ยามนั้นยอดฝีมือสาวก็เดินเข้ามา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “ท่านกำลังจะหมายความว่ามีคนปองร้ายองค์หญิงเก้าเยี่ยงนั้นรึ ? ”
หากเป็นเยี่ยงนั้นจริง เรื่องราวคงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
นี่มิใช่การสังหารเพื่อมุ่งร้าย แต่เป็นการต่อสู้ภายในวัง
ดังนั้นหยูเวิ่นหวินจึงปฏิเสธถ้อยคำนี้ไปก่อน “สังหารข้ามีประโยชน์เยี่ยงไร ? หากต้องการสังหารจริงต้องสังหารเสด็จพี่สามสิจึงจะถูก”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักนิ่ง แล้วเอ่ยถาม “หมายความเยี่ยงไร ?”
“ข้ามิมีศัตรู พวกเขาสังหารข้าไปก็ไร้ความหมาย แต่กับเสด็จพี่สามมิเหมือนกัน ทางเหนือต้องการสมรสเพื่อเชื่อมสัมพันธ์ เจาะจงมาว่าต้องเป็นเสด็จพี่สาม เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทางราชสำนักถกเถียงกันมาอย่างเนิ่นนาน มีคนคิดว่าการเชื่อมสัมพันธ์กับต้าหยูเป็นเรื่องน่าอาย ควรใช้กำลังต่อต้านประเทศฮวง แต่ก็มีขุนนางจำนวนมิน้อยที่คิดถึงในส่วนที่ต้าหยูมิได้ทำการรบมานับสิบกว่าปี ในวันนี้ก็มิรู้ว่ากองทหารจะต่อกรกับกองทหารม้าเหล็กชาวฮวงได้หรือไม่ มิสู้สมรสกันไป แล้วปรองดองทั้งสองประเทศไว้อย่างสันติ เยี่ยงนั้นมิดีกว่าหรือ”
เรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็เคยได้ยินมาจากอาจารย์ฉิน แน่นอนว่าเขาชื่นชอบสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง กองทหารม้าเหล็กชาวฮวงแท้จริงแล้วเก่งกาจถึงเพียงไหนก็ต้องลงสนามแล้วจึงจะได้รู้ พลทหารของราชวงศ์หยูจะสู้รบได้หรือไม่นั้น ก็ต้องลงสนามแล้วถึงจะได้รู้
เขาเองก็เข้าใจว่าความรุ่งเรืองและสันติภาพคือสิ่งจำเป็นสำหรับการล้างบาปของสงคราม แต่เขาก็เข้าใจว่าคนที่กลัวสงครามก็มีมิน้อยเช่นกัน
เรื่องนี้ห่างไกลจากเขานัก เขาจึงมิได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ วันนี้ได้ยินหยูเวิ่นหวินพูดขึ้นมา จึงได้เอ่ยถาม “เยี่ยงนั้นราชสำนักในตอนนี้กำลังวางแผนอันใด ? ”
ตอนที่ 78 โจมตียามค่ำคืน
ฉากเงียบสงบยามค่ำคืน แมลงฤดูร้อนส่งเสียงเรียก แมลงฤดูใบไม้ร่วงส่งเสียงร้อง ดังเซ็งแซ่ไปทั่วทั้งซีซาน
ซูม่อถือน้ำเต้าสุราไว้ในมือและมองออกไปยังที่มืดมิด หวนนึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาเหล่านั้น
เมื่อครั้นที่ไป๋ยู่เหลียนเดินทางมาหาเขาและเอ่ยว่าพบเจอชายหนุ่มผู้น่าสนใจผู้หนึ่ง เขาผู้นั้นมีความคิดแตกต่างไปจากผู้อื่น หลังจากรับรู้ฐานะตัวตนของชายผู้นั้น เดิมทีซูม่อไม่เชื่อเขาเท่าไรนัก
ในโลกนี้จะมีบุตรชายเจ้าของที่ดินคนใดคอยเป็นห่วงเป็นใยและคิดช่วยเหลือผู้ยากจนกัน ?
พวกเขามีแต่ขูดรีดบรรดาผู้เช่าที่ดินเพาะปลูก อีกทั้งยังยินยอมเสียเงินจำนวนมากเพื่อซื้อความสุขให้ตนเอง แต่กลับมิยอมให้แม้แต่อีแปะเดียวตกมาถึงผู้ยากจน สิ่งเหล่านี้มิใช่เพราะซูม่อมีอคติต่อเจ้าของที่ดิน แต่โลกนี้เป็นเยี่ยงนี้จริง ๆ
แม้ไป๋ยู่เหลียนจะเอ่ยนานาสารพัดก็ไม่สามารถทำให้ซูม่อเปลี่ยนความคิดไปได้แม้แต่น้อย
ดังนั้นทั้งสองจึงได้ทะเลาะวิวาทกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ และให้คำมั่นว่าหากไป๋ยู่เหลียนชนะ ซูม่อจะต้องเดินทางไปคุ้มครองชายหนุ่มผู้นั้น อีกทั้งต้องถ่ายทอดวิชากำลังภายในให้เขาด้วย แต่หากไป๋ยู่เหลียนพ่ายแพ้ก็จะต้องหายไปจากรอบกายชายหนุ่มผู้นั้น โดยไม่กลับไปอีก
และสุดท้ายเขาก็เป็นผู้แพ้
จึงได้เดินทางมาที่แห่งนี้และพบเจอกับฟู่เสี่ยวกวน
จากวันนั้นจวบจนบัดนี้เป็นเวลา 2 เดือนแล้ว เขาค่อย ๆ เปลี่ยนจากความประหลาดใจเป็นความชื่นชม
ชายหนุ่มผู้นี้แตกต่างจากผู้อื่นจริง ๆ !
บัดนี้เขาจึงได้เข้าใจว่าเหตุใดไป๋ยู่เหลียนจึงได้ต่อสู้แบบไม่คิดชีวิตกับเขา อีกทั้งเพิ่งเข้าใจถึงวัตถุประสงค์ในการเดินทางไปตะวันตกด้วยเหตุผลใด
ไป๋ยู่เหลียนเดิมพันด้วยชีวิต !
เดิมพันนี้ยิ่งใหญ่นัก ไป๋ยู่เหลียนมีแววตาแหลมคมยิ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนี้หากเขาช่วยอีกแรงจะเป็นไรไป ?
ซูม่อตัดสินใจแน่วแน่ เขาเปิดน้ำเต้าสุราออกแล้วดื่มเข้าไป สายตามองไปยังกำแพงด้านนอกจวน
ชีหยวนหมิงนำพาคนชุดดำประมาณ 20 คนมายังเรือนซีซาน พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในภูเขาเนื่องจากได้รับข้อมูลมาว่าทหารยามของเรือนซีซาน 300 คนได้เดินทางจากไปเมื่อช่วงบ่าย ดังนั้นพวกเขาจึงรอเวลากระทั่งดึกดื่นก่อนจะลงมือ
จางเพ่ยเอ๋อกระโดดน้ำปลิดชีพตน ร้านสุราของชีหยวนหมิงต้องปิดตัว อีกทั้งบรรดาอาจารย์กลั่นสุราก็ถูกเรือนซีซานซื้อตัวมา ทั้งหมดนี้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังก็คือฟู่เสี่ยวกวน !
สูตรกลั่นสุราปลอมใบนั้นมิได้ทำให้ตระกูลชีของเขาสิ้นเนื้อประดาตัว หากแต่ทำให้ตระกูลเขาต้องอับอาย
การป่าวประกาศต่าง ๆ นานา เอ่ยถึงสุราเลิศรสจนล้นฟ้า แต่พอถึงวันที่สิบห้าเดือนแปดกลับเงียบไร้วี่แวว ชาวหลินเจียงได้ด่าทอพวกเขาเป็นเวลากว่าครึ่งเดือน
เช่นนี้ใครจะไปทนอยู่เฉย ๆ ได้กัน ?
จางเพ่ยเอ๋อที่เป็นตัวบงการเรื่องนี้กลับตัดสินใจกระโดดน้ำปลิดชีพตนไปอย่างง่ายดาย ทิ้งไว้เพียงตระกูลชีที่ต้องแบกรับความผิดนี้แต่เพียงผู้เดียว
หัวหน้าตระกูลชีจะนิ่งดูดายได้หรือ ? สุดท้ายแล้วเขาได้กำจัดหลานชายคนโต ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งออกจากตระกูลไป
นับจากวินาทีนั้น ในสมองของชีหยวนหมิงก็เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น
หากเขาสามารถเอาชนะฟู่เสี่ยวกวนด้วยสุราได้ก็คงเป็นเรื่องดี แต่เขาไม่มีสูตรปรุงสุราใหม่ ดังนั้นเขาจึงได้คิดแผนการแก้แค้นใหม่ นั่นก็คือฆ่าฟู่เสี่ยวกวนเสีย !
เขานั่งวางแผนการมานับสิบวัน และใช้เงินซื้อตัวชาวลวี่หลินมา 20 คน จากเดิมคาดว่าเมื่อฟู่เสี่ยวกวนเดินทางพวกเขาก็จะลงมือ แต่ยังมิมีโอกาสที่เหมาะสม เนื่องจากเขาไม่มีหูตาในจวนฟู่ และเมื่อฟู่เสี่ยวกวนเดินทางกลับหลินเจียงก็แทบไม่ได้ออกจากจวนเลย
ที่เรือนซีซาน ณ หมู่บ้านเซี่ยชุนก็ยิ่งแล้วใหญ่ เนื่องจากที่นั้นมีผู้คุ้มกันหลายร้อยคน
แต่ในที่สุดวันที่เขารอคอยก็มาถึง ฟู่เสี่ยวกวนคงเสียสติไปแล้ว เขารับช่วยเหลือผู้ประสบภัย !
และส่งผู้คุ้มกันทั้งหมดเดินทางออกไปรับพวกเขา !
เพราะฉะนั้นในค่ำคืนนี้ที่เรือนซีซานจึงเงียบสงบไร้ผู้คุ้มกัน
ส่วนบรรดาชาวบ้านรักษายามนั้นจะไปสู้ชาวลวี่หลินได้อย่างไร เมื่อฟู่เสี่ยวกวนได้ยินเสียงการต่อสู้ คาดว่าก็คงหนีไม่ทันเสียแล้ว
ส่วนตัวฟู่เสี่ยวกวน พูดกันตามตรงชีหยวนหมิงไม่เคยแม้แต่จะคำนึงถึง
บุตรชายเศรษฐีที่ดินคนหนึ่ง มีชีวิตการกินอยู่แสนสุขสบาย จะเอ่ยว่าแขนของเขาบอบบางราวกับลูกนกก็ว่าได้
จากการคาดเดานี้ฟู่เสี่ยวกวนคงไม่รอดแน่นอน
ชีหยวนหมิงนั้นมิได้เข้าไป เนื่องจากตัวเขาเองก็บอบบางเช่นกัน เขายังคงยืนอยู่ที่ภูเขา รอชาวลวี่หลินเหล่านั้นตัดหัวฟู่เสี่ยวกวนกลับมา
“เจ้าก็มีวันนี้สินะ ! ” ดวงตาของชีหยวนหมิงแดงก่ำ
……
……
ซูม่อมองเห็นมีผู้บุกรุกลอยตัวเข้ามาจากกำแพงภายนอก เขาขมวดคิ้วและเก็บสุราไว้ที่เอว ในใจนึกไปว่าสุดท้ายก็มีเรื่องให้ทำเสียที
เขาย่างก้าวออกไป เหมือนนกฮูกยามค่ำคืน ดาบนั้นกวัดแกว่งไปทางผู้มาเยือน
นับว่าเป็นโชคร้ายของเขาผู้นั้น เขาได้ยินชีหยวนหมิงกล่าวว่าในเรือนมิเหลือผู้ใดที่มีวิชาอยู่เลยแม้แต่ผู้เดียว ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ป้องกันตัว ดาบนั้นบินมาอย่างรวดเร็วและปักเข้าที่กลางอก
เมื่อชักดาบออก เลือดสด ๆ ก็ทะลักพุ่งออกมา เขาจึงได้กรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและตกจากกำแพงลงไปตายแน่นิ่ง
เมื่อผู้อื่นได้ยินเสียงนั้นจึงได้สังเกตว่ามีใครบางคนยืนอยู่ที่กำแพง
เขาคือยอดฝีมือ !
มีคนสั่งการออกไปว่า ให้ห้าคนที่เหลือมาช่วยเขารุมโจมตีมัน จะต้องตัดหัวมันมาให้สุนัขกิน !
ดังนั้นพวกเขาหกคนจึงมุ่งตรงไปยังซูม่อทันที และอีกสิบกว่าคนก็เข้าไปยังเรือนภายใน
ชาวบ้านกว่าร้อยคนที่อยู่ด้านนอกเรือนล้วนเหนื่อยล้ามาทั้งวัน บัดนี้พวกเขาได้นอนหลับลึก อีกทั้งระยะทางก็ห่างกันมากจึงไม่ได้ยินเสียงการต่อสู้เหล่านี้
ซูม่อขมวดคิ้วขึ้น ภายในเรือนมีคนที่เก่งกาจกว่าเขาอยู่หลายเท่า เช่นนั้นควรกำจัดหกคนนี้เสียก่อนค่อยตามเข้าไป
สตรีผู้มีฝีมือผู้นั้นบัดนี้ยืนอยู่ที่ระเบียงของชั้นสอง เมื่อเห็นผู้บุกรุกเข้ามาก็กระโดดลงไปโดยมิได้ยั้งคิด มือนางรีบคว้าดาบตวัดออกไป จากนั้นก็ปรากฏศีรษะของผู้ใดสักคนในกลุ่มของชาวลวี่หลินร่วงหล่นลงมา
ผู้ที่ตามเข้ามาเห็นดังนั้นก็พากันแตกตื่น ให้ตายสิ ใครกันบอกว่าไม่มีผู้มีฝีมือหลงเหลืออยู่แล้ว ?
เหตุการณ์ดำเนินมาถึงตรงนี้พวกเขาจะทำอย่างไรได้ จึงมีคนเอ่ยขึ้นว่า “ฆ่ามัน ! ”
เสียงกระทบกันของเหล็กอีกทั้งเสียงร้องโหยหวน ทำให้ค่ำคืนอันเงียบสงบถูกขัดจังหวะลง ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วแล้วเดินออกมา
หวางเอ้อ หวางเฉียงก็แอบเปิดประตูออกมาดู ในมือของพวกเขาถือมีดทำครัวและขวานผ่าฟืน
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานเองก็ตื่นขึ้นมาเช่นกัน จากเดิมที่หลับสนิทบัดนี้พวกนางได้ตาสว่าง
บรรดาผู้มาเยือนคนหนึ่งมองไปยังชั้นสองแล้วตะโกนว่า “พวกเจ้าจงรั้งเอาไว้ ข้าจะไปตัดหัวมันมา ! ”
จากนั้นเขาก็กำดาบไว้ในมือแน่น “มอบชีวิตเจ้ามาซะ ! ”
เขายกดาบขึ้นจากนั้นก็กระโดดขึ้นไปยังระเบียงชั้นสองและฟันดาบลง
“กรี๊ด……!” เสียงร้องของต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวิน
ดาบนั้นกำลังจะฟันลงมาเหนือศีรษะฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนเอี้ยวตัวหลบและปล่อยหมัดออกไปอย่างจัง
“พลั่ก ! ”
“อ๊าก ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนกระโดดลงไปจากชั้นสอง จากนั้นกำหมัดแน่น
“ไปตายซะ ! ”
ผู้บุกรุกคนนั้นนอนตายตาไม่หลับ หมัดหนึ่งซัดเข้าที่กลางตัว อีกหมัดหนึ่งต่อยเข้าที่ลำคอ ตอนที่เขาตายไปตัวของเขายังคดงอเหมือนกับกุ้งที่ถูกต้ม
ซูม่อจัดการกับหกคนด้านนอกเรียบร้อยแล้วก็ลอยตัวเข้ามาด้านใน ทั้งสองคนช่วยกันจัดการในไม่กี่นาทีผู้บุกรุกจำนวน 24 คนถูกพวกเขาปลิดชีพไปเสีย 20 คน
อีกหนึ่งคนถูกฟู่เสี่ยวกวนต่อยจนตาย และอีกหนึ่งคนถูกหวางเฉียงกับหวางเอ้อใช้มีดแทงจนตาย
อีกสองคนนั้นหนีไปได้ ทิ้งไว้เพียงแขนสองข้าง
เสียงการต่อสู้ที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ อี้หยู่ได้ยินเข้าจึงนำกำลังคนนับร้อยกรูเข้ามา แต่สิ่งที่พวกเขาเห็นคือซากศพกลาดเกลื่อน
“คุณชาย ! ”
“ข้าไม่เป็นอะไร ในเมื่อพวกเจ้าตื่นขึ้นมาแล้ว คงต้องรบกวนช่วยจัดการเก็บกวาดเสียหน่อย”
ตอนที่ 77 ยามอาทิตย์อัสดง
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานต่างก็เขียนจดหมายคนละ 1 ฉบับที่เรือนซีซาน
หยูเวิ่นหวินเขียนจดหมายถึงพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเสด็จแม่ของนาง กล่าวถึงเรื่องของผู้ประสบภัยที่ได้พบเจอ ความเสียใจและความโกรธที่ได้พบเห็น น้ำตาไหลรินยามที่นึกถึง เป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ย่อมมิมีใครนึกคาด และยังกล่าวถึงการกระทำทั้งหมดของฟู่เสี่ยวกวนที่ทำเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย หลังจากนั้นก็ขอร้องให้เสด็จแม่ทูลเสด็จพ่อว่า แค่อำเภอเหยาก็ถูกฉ้อโกงในส่วนของเสบียงบรรเทาทุกข์อย่างร้ายแรง แล้วพื้นที่ประสบภัยพิบัติทั่วทุกพื้นที่จะเหลือทนถึงเพียงใด
ต่งชูหลานเขียนจดหมายถึงเสนาบดีต่งบิดาของนาง และได้กล่าวถึงเรื่องผู้ประสบภัยของอำเภอเหยาเช่นกัน เพียงแค่มิได้กล่าวถึงเรื่องของฟู่เสี่ยวกวน โดยหวังว่าบิดาจะสามารถให้ขุนนางกรมคลังสอบสวนความเป็นไปของเสบียงบรรเทาทุกข์ ความโลภของพื้นที่แห่งนี้ร้ายแรงจนคุกคามชีวิตของผู้คน ทุกอย่างที่ราชสำนักทำเพื่อผู้ประสบภัยกลับเข้ากระเป๋าพวกมอดเหล่านั้น ที่แห่งนี้มีผู้ประสบภัยถึง 30,000 คน แต่จำนวนผู้ประสบภัยสองฝั่งแม่น้ำหวงเหอนั้นมีหลายแสนคน หากพวกเขาหิวโหย จะต้องเกิดเรื่องใหญ่เป็นแน่ !
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ยุ่งเกี่ยวอันใด เมื่อเรื่องนี้ถูกส่งขึ้นไปยังชั้นฟ้า ราชสำนักย่อมทำการสอบสวน ถึงแม้เขาจะทราบว่าเยี่ยงไรแล้วเรื่องนี้ก็จะไร้ผลลัพธ์ แต่อาจพบผู้ทุจริตและล่วงละเมิดกฎหมาย และสามารถเขย่าขวัญพวกคดโกงได้ ก็เป็นบุญกุศลล้นพ้นแล้ว
ยามเย็นของวันที่สอง ฟู่ต้ากวนได้จ้างหมอกว่าร้อยคนและยาสมุนไพรกว่าสิบคันรถมายังเรือนซีซาน ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ให้เวลาพวกเขาพักผ่อน ส่งทหารยามของเรือนซีซานออกไป 300 นาย ออกไปพร้อมกับหมอและยาสมุนไพร เพื่อออกเดินทางไปยังอำเภอเหยาในยามค่ำคืนอย่างเร่งรีบ
หน้าที่หลักของทหารยาม 300 นายก็เพื่อรักษาความเรียบร้อยในหมู่ผู้ประสบภัย ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่รักษาในอำเภอเหยาหรือระหว่างเดินทางกลับหมู่บ้านเซี่ยชุน ฟู่เสี่ยวกวนจะมิยอมให้เกิดความโกลาหลขึ้นมาอย่างเด็ดขาด
และหมอเหล่านี้ได้ตรงไปยังอำเภอเหยา ประการแรกเพื่อรักษาโรคให้แก่เหล่าผู้ประสบภัย ประการที่สองเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในยามกลับมา
ชีวิตที่ยากลำบากเยี่ยงนี้ โดยเฉพาะสตรี เด็กเล็ก และคนชราที่อ่อนแอ ฟู่เสี่ยวกวนกังวลอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะอยู่รอดได้หรือไม่
ผู้เสียชีวิตคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงมิได้ แต่หากลดจำนวนความตายได้ ย่อมดีอย่างยิ่ง
“คุณชายขอรับ เรือนซีซานคือสถานที่ที่สำคัญที่สุดของเมืองนะขอรับ” ใจของอี้หยู่นั้นมีความกังวลอย่างเต็มเปี่ยม ทหารยาม 300 นายถูกส่งออกไป เรือนซีซานก็ว่างเปล่า
“ข้าทราบ หยู๋เหลียนกล่าวแล้วว่าจะส่งทหารไปรักษาความสงบที่นั่น ถึงแม้ว่าเขาจะส่งคนไปแล้วจริง ๆ แต่อำเภอเล็ก ๆ แห่งหนึ่งจะมีทหารยามสักเท่าใดกัน เหล่าผู้ประสบภัยต้องหิวโหยจนร้อนรน คนที่หิวโหยจนร้อนรนจะเสียสติสัมปชัญญะ ท้ายที่สุดการมีชีวิตอยู่ก็เป็นเจตจำนงสูงสุดของมนุษย์ จางเช่อช่วยบรรเทาภัยพิบัติ ข้ามีข้อเรียกร้องสำหรับเสบียง ถึงแม้ข้าจะบอกกับจางเช่อให้จัดจุดบรรเทาทุกข์ไว้อย่างน้อย 50 แห่ง แต่ข้ายังคงคาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดอุบัติเหตุที่น่าแตกตื่นขึ้น ไม่ว่าใครก็อยากทานอาหารให้เต็มอิ่มทั้งนั้น เพราะเกรงว่ายิ่งยามค่ำนั้นจะมิมีอันใดให้ทาน เหล่าผู้เยาว์ที่ยังมีแรงเหล่านั้นจะดาหน้าเข้าไปยังเบื้องหน้า แต่เหล่าผู้อ่อนแอนั้น หากพวกเขามิสามารถแย่งได้ก็มิมีข้าวทาน และจะถูกเหยียบย่ำจนตาย”
ใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของฟู่เสี่ยวกวนแปรเปลี่ยนเป็นเติบโตอย่างยิ่ง สายตาของเขาเคร่งขรึม น้ำเสียงของเขาก็หนักแน่นยิ่งนัก ระหว่างหัวคิ้วขมวดเข้าหากันแน่นมิเปลี่ยนแปลงราวกับมีภูเขาที่หนักอึ้ง ไม่มีท่าทางเหมือนชายหนุ่มวัยสิบหกปีเลยแม้แต่น้อย
หยูเวิ่นหวินจ้องมองใบหน้าที่ราวกับผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาอย่างยิ่งของฟู่เสี่ยวกวนด้วยอาการเหม่อลอย ในใจครุ่นคิดว่านี่คือความเมตตาต่อใต้หล้าหรือ
ต่งชูหลานเคยเห็นท่าทางเยี่ยงนี้ของฟู่เสี่ยวกวนมาแล้ว เพียงแค่เมื่อได้มาเห็นอีกคราในวันนี้ ก็ยิ่งคิดว่าเขานั้นเป็นคนหนุ่มที่ได้เติบใหญ่แล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจท่าทางของตนเองในยามนี้ ความรู้สึกของเขานั้นหนักอึ้งยิ่ง
“ในวันนี้ที่ใต้หล้ายังมีความสันติสุข ทั้งยังมิได้ยินเรื่องผู้ร้ายอันใด ดังนั้นข้าจึงใช้ความคิดอยู่เนิ่นนาน ถึงได้ตัดสินใจส่งทหารยาม 300 นายนั้นออกไป จำนวนผู้ตายลดลงได้ก็เป็นเรื่องดียิ่งแล้ว”
ที่นี่มีซูม่อและยอดฝีมือสาวผู้นั้นที่หยูเวิ่นหวินพามา ทั้งยังมีชาวบ้านหมู่บ้านหวังเจียชุนอีกนับร้อย ฟู่เสี่ยวกวนมิคิดว่าจะมีผู้ร้ายที่ใดจะกล้าเข้ามาในเรือนซีซาน
อี้หยู่มิทราบว่าที่แห่งนี้มียอดฝีมือระดับสูง 2 คน เขาจึงยังกังวลอยู่มิหาย แต่เมื่อคุณชายวางแผนไว้เยี่ยงนี้แล้ว และทหารยาม 300 นายก็ได้ออกไปแล้ว เยี่ยงนั้นคงได้แต่ภาวนามิให้เกิดความวุ่นวายอันใดก็เพียงพอแล้ว
อี้หยู่จากไป ฟู่เสี่ยวกวนและทั้งสามคนได้นั่งลงที่ลาน
แสงอาทิตย์ยามอัสดง สาดหมึกทาบแสงสีแดง
ทั้งสามคนยังคงพูดคุยถึงเรื่องผู้ประสบภัย ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวถึงแผนการที่เตรียมการต่อไปให้พวกนางฟัง
ในเวลานี้ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวด้วยท่าทีผ่อนคลาย ดังนั้นบรรยากาศในยามนี้จึงผ่อนคลายขึ้นมาเช่นกัน
“ผู้คนเหล่านี้จะมีงานทำ ข้าจะจ่ายเงินค่าจ้างพวกเขา รวมถึงค่ากินค่าอยู่ รอจนฤดูใบไม้ผลิ เมื่อฤดูใบไม้ผลิปีหน้ามาเยือน หากพวกเขาอยากจะกลับไปก็กลับไป หากไม่อยากกลับก็จะประหยัดเงินได้มากโข หากพวกเขายินยอมที่จะปักหลักอยู่ที่นี่ และสร้างบ้านของตนเอง ก็สามารถรื้อพื้นที่รกร้างได้ ผู้มีแรงเหลือเฟือก็สามารถทำงานในโรงงานต่าง ๆ ของข้าได้ การเลี้ยงดูครอบครัวย่อมมิมีปัญหา จนถึงขั้นจะมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น แน่นอนว่าต้องเป็นทางเลือกที่พวกเขาเลือกด้วยตนเอง”
“หากในภายภาคหน้ายังมีผู้ประสบภัยมาอีกเล่า” ต่งชูหลานเอ่ยถาม นั่นคือปัญหาที่นางกังวลใจมากที่สุด ผู้ประสบภัยมักจะไหลไปยังสถานที่ที่รุ่งเรืองเสมอ หลินเจียงก็เป็นเมืองที่มั่งคั่งในเจียงเป่ย และเหตุการณ์ที่เรือนซีซานรองรับผู้ประสบภัยย่อมแพร่กระจายออกไป ฟู่เสี่ยวกวนในฐานะมนุษย์ เขาย่อมจะมิเอาเปรียบผู้ประสบภัยเหล่านั้นเป็นแน่ ฉะนั้นในยามนี้จึงได้กลายเป็นสวนดอกท้อของหลินเจียงไปเสียแล้ว ในสายตาของผู้ประสบภัย นี่คือสถานที่ที่จะสามารถปักหลักชีวิตได้
“หากเป็นเยี่ยงนั้น ข้าก็จะเปลี่ยนหมู่บ้านเซี่ยชุนแห่งนี้ให้กลายเป็นเมืองที่รุ่งเรืองที่สุด” ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวขำ ๆ
ต่งชูหลานเหลือบสายตามองเขา “เจ้าจักมิคำนวณถึงเสบียงที่เหลือของตระกูลเจ้าหน่อยหรือ ว่าจะมีให้พวกเขาทานไปได้อีกนานเท่าใด ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมา “สบายใจเถิด รอข้าตบแต่งพวกเจ้าเข้าเรือนยุ้งฉางนี้ก็จะเต็มจนมิมีที่เก็บเสียด้วยซ้ำ ! ”
สตรีทั้งสองหน้าแดงทันพลัน “ใครจะสมรสกับเจ้ากัน ? ”
เสียงของต่งชูหลานแผ่วเบาราวกับแมลง ส่วนเสียงของหยูเวิ่นหวินค่อนข้างดังแต่กลับมีความเขินอายแฝงอยู่
ผู้หนึ่งราวกับสายลมกลางสายฝน ผู้หนึ่งราวกับแสงแดดยามหน้าหนาว
ดียิ่ง !
สมรรถภาพก็ต้องดียิ่ง !
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะร่า ท้ายที่สุดสองสาวก็มิอาจสู้ จึงก้มหน้าหลบด้วยความเขิน
บุรุษผู้นี้หน้าหนายิ่ง !
แต่ในใจของสตรีทั้งสองกลับปลื้มปิติ
ยามนั้นเองหวางเอ้อและหวางเฉียงก็เดินเข้ามา หวางเอ้อได้ยินเสียงหัวเราะของฟู่เสี่ยวกวนมาแต่ไกล เขาเงยหน้ามองไป สีหน้าของหวางเฉียงตื่นเต้นพร้อมตั้งท่าจะปรี่เข้าไป หวางเอ้อจึงคว้าเขาเอาไว้ “ประเดี๋ยวค่อยเข้าไป”
หวางเฉียงงุนงง ทั้งสองจึงกลับไปยังหน้าประตูวงจันทร์อีกครา
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป หวางเฉียงก็ยื่นหัวมองเข้าไปด้านใน ทั้งสามคนกำลังดื่มชาและพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน น่าจะมิมีสถานการณ์ลำบากใจอย่างที่บิดาได้กล่าวเอาไว้แล้ว
เขาโอบอุ้มกล่องและเดินกลับเข้าไปอีกครา จนมาถึงเบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวน
“คุณชายขอรับ นี่คือฟู่อีต้าย ท่านลองชม”
ฟู่เสี่ยวกวนรับมาและเปิดกล่องออก ในนั้นมีเมล็ดพันธุ์ที่อวบอิ่ม
“สิ่งนี้ข้าจะดูแลรักษาเอาไว้ก่อน ปีหน้ายามลงต้นกล้าเจ้าต้องมาหาข้าเพื่อนำมันไป จำไว้ว่า อย่าให้เกินช่วงเพาะต้นกล้า”
“ข้าน้อยจักจำไว้ขอรับ ! ” หวางเฉียงกลับหลังเดินออกไป ต่งชูหลานเอ่ยถามอย่างสงสัย “นี่คือเมล็ดพันธุ์ที่เจ้ากล่าวถึงหรือ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า คีบเมล็ดขึ้นมาราวกับของล้ำค่า และกล่าวว่า “เมล็ดพันธุ์นี้แตกต่าง ปีหน้าค่อยเพาะอีกหนึ่งชุด ปีถัดไปก็จะสามารถเพาะในที่ขนาดเล็กได้ และก็จะได้รู้ว่าผลผลิตนั้นเป็นเท่าใด อย่างน้อยย่อมเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ส่วนที่ว่าจะเพิ่มขึ้นได้อีกหรือไม่ข้าก็มิมั่นใจ สิ่งนี้ต้องพัฒนาและปรับปรุงจากรุ่นสู่รุ่น”
“ผลผลิตของข้าวจะเพิ่มเป็นเท่าตัวได้รึ ? ” หยูเวิ่นหวินเบิกตากว้าง
“ดังนั้นข้าถึงกล้ารับประกันว่ายามที่พวกเจ้าแต่งเข้าตระกูลฟู่มาแล้ว ยุ้งฉางนั้นยังคงเต็มเช่นดังเดิม”
“ฟู่เสี่ยวกวน…!”
ช่วงเวลานั้นช่างงดงาม
ตอนที่ 76 เตรียมการล่วงหน้า
ฟู่เสี่ยวกวนและหยู๋เหลียนปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นเวลานาน
ท้ายสุดหยู๋เหลียนจึงตอบตกลงรับคำร้องขอของฟู่เสี่ยวกวน หลังจากฟู่เสี่ยวกวนเดินทางจากไป อาจารย์ทังจึงได้เดินออกมาจากประตูด้านหลัง
“ท่านคิดว่าอย่างไร ? ” หยู๋เหลียนเอ่ยถามขึ้น
“เขาซื้อที่ดินผืนใหญ่รอบนอกเรือนซีซานไว้ คราก่อนท่านขุนนางหลิวได้เขียนจดหมายมาด้วยตนเองให้เขาทำการเคลื่อนย้ายกากแร่ที่ภูเขาไต้ชานได้ อีกทั้งได้ยินมาว่าเขากำลังสร้างบางสิ่งที่เรียกว่าปูน ข้าคิดว่าเขาต้องการกำลังคนเป็นจำนวนมาก”
หยู๋เหลียนขมวดคิ้วขึ้น “แต่นั่นเป็นคนจำนวนสามหมื่นเชียว ! ”
“สิ่งนี้…ข้าเองก็มิเข้าใจเช่นกัน แต่ถ้าหากเขาทำเช่นนี้ แล้วอาหารบรรเทาสาธารณภัยในอำเภอเหยาจะจัดการเยี่ยงไร ? ”
หยู๋เหลียนถอนหายใจยาว “เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับท่านหลิว ข้าเคยได้ยินมาว่าเขาและบุตรสาวของท่านเสนาบดีต่งมีความสัมพันธ์ที่ดีงามเช่นกัน ทำนองเพลงแห่งสายน้ำที่ได้รับการจารึกลงบนหินเชียนเปยสือของเขานั้น แม่นางต่งเป็นผู้นำไปส่งให้ด้วยตนเอง ในเมื่อเราไม่แน่ชัดถึงความสัมพันธ์ของทั้งสอง ก็ควรถอยออกมาก้าวหนึ่ง หากเบื้องหลังเขามีท่านขุนนางหลิวและเสนาบดีต่งคอยสนับสนุนละก็ ข้าเองก็มิสามารถสู้ได้”
อาจารย์ทังนิ่งเงียบไปชั่วครู่แล้วโค้งตัวลงคำนับ “ท่านฉลาดหลักแหลมยิ่ง ! ”
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนเดินทางกลับมายังเรือนซีซาน โดยมีจางเช่อคอยดูแลอยู่ที่อำเภอเหยา
บรรดาผู้เดือดร้อนเป็นไปตามที่หยู๋เหลียนได้กล่าวไว้จริง ๆ เด็กเล็ก คนชราและผู้เจ็บป่วยมีมากกว่าครึ่ง ส่วนที่เหลือก็หิวโหยเสียจนไร้เรี่ยวแรง สถานการณ์เช่นนี้พวกเขาไม่สามารถมีเรี่ยวแรงเดินทางไกลถึง 300 ลี้ได้เป็นแน่ การที่ฟู่เสี่ยวกวนให้จางเช่ออยู่อำเภอเหยานี้ต่อไป ก็เพื่อให้เขาเก็บภาษีจากผู้เช่าที่ดินเท่าที่จะเก็บได้ เพื่อนำอาหารไปแจกจ่ายแก่ผู้เดือดร้อนเหล่านั้น
อีกทั้งให้จางเช่อเชิญหมอประจำอำเภอเหยาไปรักษาอาการเจ็บป่วยแก่พวกเขาด้วย
หากทุกอย่างดำเนินไปด้วยความราบรื่น ผู้คนเหล่านี้จะฟื้นฟูร่างกายภายในห้าวัน บรรดาผู้เจ็บป่วยน้อยลง เมื่อถึงเวลานั้นจึงค่อยให้พวกเขาเดินทาง สามารถลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นต่าง ๆ ระหว่างการเดินทางได้มาก
เมื่อกลับมาถึงเรือนซีซาน ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ลงมือเตรียมแผนงานล่วงหน้า เขาเรียกอี้หยู่เข้าพบและรวบรวมกำลังคนสร้างเพิงไม้อาศัยอย่างง่ายที่แม่น้ำไป๋สุ่ย สามหมื่นคนเชียวนะ ! จะให้เขาสร้างบ้านทีละหลังคงเป็นไปไม่ได้
“คุณชายขอรับ เรื่องนี้จะไม่เกินกำลังไปเสียหน่อยหรือขอรับ ? ” อี้หยู่เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ข้ารู้ตัวดีว่าทำการใดอยู่ เรื่องนี้ข้าจะเขียนจดหมายไปบอกกับท่านพ่อด้วยตนเอง ข้ายังต้องการให้ท่านช่วยหาหมอมารักษาโรคสักกลุ่มหนึ่งด้วย”
“เพิงไม้สำหรับคนจำนวนสามหมื่นคนที่ต้องทำให้แล้วเสร็จภายในห้าหกวัน เกรงว่าจำนวนคนคงจะไม่พอนะขอรับ”
“จงสั่งการให้ทางโรงปูนวางงานในมือลงเสียก่อน อีกทั้งการเก็บเกี่ยวก็เรียบร้อยแล้ว จงไปรวบรวมกำลังคนมาให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
“ขอรับ”
ฟู่เสี่ยวกวนเอามือกอดอกเดินไปมาอยู่ริมแม่น้ำ เขากำลังคิดว่ามีสิ่งใดที่ขาดตกบกพร่องไปหรือไม่ การเดินทางของคนจำนวนมากในระยะทางกว่าสามร้อยลี้ ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวัน เรื่องของอาหารการกินนั้นสามารถแก้ไขด้วยอาหารแห้ง แต่ไม่สามารถหาที่พักขนาดใหญ่เช่นนั้นได้ คงต้องให้นอนกลางป่า
อีกเรื่องหนึ่งที่เขาเป็นกังวลใจมากที่สุดนั่นคือโรคภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคติดต่อ หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องแล้วนำมาแพร่เชื้อ ณ ซีซาน เกรงว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น
“ซิ่วเอ๋อร์ ฝนหมึก”
เรื่องหมอรักษาโรคนั้นจำเป็นต้องดำเนินการให้เร็วที่สุด เขานั่งลงและหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนจดหมายถึงฟู่ต้ากวน เนื้อหาในจดหมายบรรยายถึงทุกสิ่งที่เขากำลังจะกระทำต่อไป อีกทั้งผลดีและผลเสีย เขาเขียนออกมาโดยละเอียด ท้ายสุด เพื่อความปลอดภัยของบุตรชาย ขอให้ท่านพ่อส่งหมอรักษาโรคจำนวนหลายสิบคนมายังซีซาน อีกทั้งนำสมุนไพรต่าง ๆ ติดมาด้วย
จดหมายนี้ถูกส่งจากเรือนซีซานไปถึงหลินเจียงอย่างรวดเร็ว ในเวลาเย็น ฟู่ต้ากวนก็ได้รับจดหมายฉบับนั้น เขามิได้ไตร่ตรองสิ่งใดก็ให้หวงเหว่ยไปยังร้านหมอจำนวนมาก ให้ค่าตอบแทนราคางามเชิญหมอได้ถึง 300 คน อีกทั้งจัดซื้อสมุนไพรรักษาโรคถึง 10 คันรถ สั่งการให้พวกเขาออกเดินทางไปยังหมู่บ้านเซี่ยชุนในวันรุ่งขึ้น
……
นับจากวันที่ตัดสินใจจะเป็นแม่ของฟู่เสี่ยวกวน นางก็วิ่งเต้นไหว้วานบิดาของนางชวูชั่งหลายให้ช่วยเหลือเรื่องต่าง ๆ ชวูชั่งหลายมิเข้าใจอย่างยิ่งว่าเหตุใดบุตรสาวที่ทั้งสาวทั้งสวย จึงตัดสินใจแต่งงานกับชายกลางคนเช่นนี้ ?
อย่างไรก็ตาม ชวูหลิงหลงมีทัศนคติที่แน่วแน่ยิ่ง ชวูชั่งหลายจึงได้เข้าพบฟู่ต้ากวนและร่วมดื่มสุรากันทั้งวัน เมื่อพิจารณาฟู่ต้ากวนดี ๆ แล้ว ก็พบว่าชายอ้วนผู้นี้มิได้น่าเกลียดอย่างที่คิด
หลังดื่มสุรา ชวูชั่งหลายและฟู่ต้ากวนก็ร่วมสนทนากันต่อสักพักใหญ่ ในวันที่สองฟู่ต้ากวนก็จัดส่งแม่สื่อมาสู่ขอ เรื่องนี้ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและรวดเร็ว
บัดนี้ชวูหลิงหลงอยู่ที่จวนฟู่ แม้นางจะยังมิได้แต่งเข้ามาอย่างเป็นทางการ แต่การที่นางเดินทางมาบ่อย ๆ ก็มิได้มีผลเสียอันใด
แต่สิ่งนี้สร้างความรำคาญให้แก่ฉีชื่อยิ่ง หากแต่ฟู่ต้ากวนมีพระราชโองการประทานอนุภรรยาให้แก่ฟู่ต้ากวน ดังนั้นนางจึงไม่สามารถทำสิ่งใดได้
“บุตรชายของท่านต้องการทำสิ่งใดกัน ? ” ชวูหลิงหลงชงชาโสมเก๋ากี้ให้แก่ฟู่ต้ากวนแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เขากำลังจะทำการใหญ่บางอย่าง การใหญ่มากจริง ๆ ! เจ้าเคยได้ยินเรื่องผู้เดือดร้อนที่รวมตัวกันอยู่ในอำเภอเหยาหรือไม่ ? จำนวนกว่าสามหมื่นคน น่าสงสารพวกเขายิ่ง บุตรชายข้าต้องการช่วยเหลือพวกเขา”
ชวูหลิงหลงเบ้ปาก ช่วยเหลือผู้เดือดร้อน ? สิ่งนี้ประเทศควรเข้ามาจัดการมิใช่หรือ ? ฟู่เสี่ยวกวนแม้จะเป็นบุตรชายเศรษฐีที่ดิน แต่จำนวนปากท้องกว่าสามหมื่นคนเชียว วัน ๆ หนึ่งต้องมีอาหารรองรับเท่าไหร่กัน ? เขาเสียสติไปแล้วหรือไร ?
“ดังนั้น……ท่านเห็นด้วยหรือไม่ ? ”
“ทุกสิ่งทุกอย่างที่บุตรชายข้าได้ตัดสินใจ ในฐานะผู้เป็นพ่อสมควรจะสนับสนุนเขาโดยมิมีข้อแม้ หลิงหลง จวนเจ้ามีผ้าที่ไม่ใช้แล้วหรือไม่ ? หากเป็นไปได้นำออกมาตัดเย็บให้พวกเขาสวมใส่ก็คงดี ฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว ข้าเกรงว่าบุตรชายข้าจะละเลยเรื่องนี้ไปเสีย เมื่อถึงเวลาคงลำบากน่าดู”
ชายผู้นี้ ! ข้ายังมิได้แต่งงานกับเจ้า เจ้าก็คิดจะใช้ผลประโยชน์จากข้าเสียแล้ว คิดการใดอยู่กัน ?
แต่ชวูหลิงหลงครุ่นคิดชั่วครู่ ฟู่ต้ากวนต้องหาภรรยาจำนวน 5 คนตามคำสั่ง ตนนั้นเป็นคนที่หนึ่ง ฟู่ต้ากวนเองก็ส่งแม่สื่อออกไปจำนวนมาก คาดว่าไม่นานคงจะหาได้ครบห้าคน เมื่อถึงยามนั้นคงจะเกิดความอิจฉาริษยาขึ้นมากมายเป็นแน่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจวนฟู่ไม่มีนายหญิง การต่อสู้นี้คงดุเดือดยิ่ง
หากนางจัดการเรื่องนี้ได้สำเร็จ ไม่ว่าฟู่ต้ากวนหรือฟู่เสี่ยวกวนก็ต้องชื่นชมนางเป็นอย่างยิ่ง น้ำหนักนางในใจของพวกเขาก็คงมีมากถึงสามส่วน
ดังนั้นนางจึงยิ้มออกมา แล้วแสร้งทำเป็นเขินอายตามมารยาหญิง ฟู่ต้ากวนจากเดิมมองไม่เห็นความหวังก็กลับมีชีวิตชีวาขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
“ข้าจะเอ่ยขอท่านพ่อเมื่อกลับไปยังจวน โบราณว่าคนทำบุญมักได้ดี ข้าคิดว่าท่านพ่อคงจะเห็นดีเห็นงามด้วย เรื่องเครื่องนุ่งห่มในฤดูหนาวนั้นให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิด ท่านมิต้องกังวลไป”
ฟู่ต้ากวนยินดียิ่งนัก เขายื่นมือไปจับมือของชวูหลิงหลงไว้ นางตกใจแต่มิได้ชักมือกลับมา ฟู่ต้ากวนลูบมืออันอ่อนนุ่มของนางแล้วเอ่ยอย่างเรียบง่ายว่า “ข้าอยากสู่ขอเจ้าในเร็ววัน”
เรื่องราวที่จวนฟู่เชิญบรรดาหมอจำนวนมากอีกทั้งจัดซื้อสมุนไพรนั้นแพร่หลายไปทั่ว จากนั้นจึงได้ทราบว่าเป็นความคิดของฟู่เสี่ยวกวน เขาต้องการรับเลี้ยงผู้เดือดร้อนจำนวน 30,000 คน !
มีทั้งผู้ที่สรรเสริญเยินยอ มีทั้งผู้เห็นต่าง พวกเขาคิดว่าเป็นเพียงการเอาหน้า
ชีหยวนหมิงเองก็ได้ยินเรื่องราวนี้ในช่วงเช้า จากนั้นเขาจึงออกจากจวนนำขบวนไปยังวัดเฉิงหวง ไม่นานต่อมาชายชุดดำกลุ่มหนึ่งก็ได้เดินออกมาจากภายในวัด พวกเขาขึ้นรถม้าและมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเซี่ยชุน
จือโจวหลิวจือต้งเมืองหลินเจียงเมื่อรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนมีแผนการช่วยเหลือผู้เดือดร้อนเหล่านั้น เขาก็ขมวดคิ้วหน้าบึ้งตึง เขายืนอยู่ที่สวนด้านหลังเป็นเวลานาน
ตอนที่ 75 ผู้ประสบภัย
ช่วงฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้สีทองจำนวนมากต่างทยอยสลัดใบลงสู่พื้นดิน ฤดูกาลของการเก็บเกี่ยวก็ย่อมมาถึง
สำหรับเกษตรกรที่เลี้ยงชีพอยู่ในทุ่งนา นี่คือช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดของปี
แต่สำหรับเหล่าผู้ประสบภัยที่อยู่ด้านนอกอำเภอเหยา พวกเขามิมีแม้แต่เศษเสี้ยวของความสุข บนใบหน้าของพวกเขามีเพียงความโศกเศร้า ว่างเปล่า ดูเหมือนว่าชีวิตไร้ความหมายและสิ้นหวัง
ประตูเมืองถูกปิดแล้ว พวกเขาพักอยู่ในเพิงเก็บของเน่า ๆ ด้านนอกเมือง สิ่งที่อธิษฐานอยู่ทุกวันก็คือโจ๊กบรรเทาทุกข์จากราชสำนักสักสองครา แม้แต่โจ๊กก็ใสจนเห็นก้นถ้วย มีเพียงเมล็ดข้าวและข้าวฟ่างไม่กี่เม็ดเท่านั้น แต่ในสายตาของพวกเขามันคืออาหารประทังชีวิตที่อร่อยที่สุด
ฟู่เสี่ยวกวนได้เดินทางมาถึงอำเภอเหยาแล้ว พวกเขาขึ้นไปยังบนกำแพงเมืองก่อน สิ่งที่ได้เห็นนั้นคือสถานการณ์ในตอนนี้
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานตกใจอย่างยิ่ง เกือบทุกปีของราชวงศ์หยูมักจะเกิดภาวะขาดแคลน ทุกปี ราชสำนักก็จะมาบรรเทาทุกข์ พวกนางคิดมาเสมอว่าสถานที่ที่เหล่าผู้ประสบภัยพำนักอาจไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร แต่อย่างน้อยก็ได้รับประกันด้านอาหารการกิน
พวกนางมิเคยคิดเลยว่าชีวิตของผู้ประสบภัยนั้นจะเป็นเยี่ยงนี้ กระท่อมที่โคลงเคลง เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ทั้งยังซุปใสที่ทานหมดภายในคำเดียว
มีเด็กคนหนึ่งร้องลั่นด้วยความหิว หลังจากที่ร้องจนเหนื่อยก็หลับไป มิสามารถกล่าวได้เลยว่าหลับไปครานี้แล้วจะยังตื่นขึ้นมาอีกหรือไม่
ชายชราผู้หนึ่งนำโจ๊กที่หาได้ยากของตนมอบให้กับลูก ๆ ของเขา หวังว่าบุตรชายและบุตรีของตนเองจะมีชีวิตอยู่ต่อไป
มีบางคนกำลังดื่มน้ำอยู่ในแม่น้ำ ความหิวนั้นทรมานอย่างแท้จริง ทำได้เพียงกลืนกินรากหญ้าเปลือกไม้และดื่มน้ำตามลงไป
หยูเวิ่นหวินขบกรามแน่นจนเกือบจะแตกหัก “เจ้าสุนัขหลวง ! ข้าจะจัดการพวกเขา ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนคว้านางเอาไว้ ส่ายหน้า และกล่าวว่า “อย่าได้ผลีผลาม พวกเรายังมิเข้าใจสถานการณ์ของที่นี่ บางเรื่อง… อาจจะยุ่งยากเสียยิ่งกว่าที่เจ้าจินตนาการเอาไว้”
“แต่ทุกปีราชสำนักจะจัดเสบียงสำหรับบรรเทาทุกข์เป็นจำนวนมาก มิเชื่อเจ้าถามชูหลาน ชูหลานเองก็ทราบ”
ต่งชูหลานพยักหน้า วัตถุดิบสำหรับบรรเทาทุกข์นั้นจะต้องผ่านการจัดสรรจากทางกรมคลัง บิดามักจะจัดการเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง นางเลยรับรู้มาเล็กน้อย
ตามข้อบังคับการบรรเทาทุกข์ของกรมคลัง ทุกวันผู้ประสบภัยจะต้องได้รับธัญพืช 4 เหลียง และข้าวสาร 1 เหลียง ไม่ว่าจะเยี่ยงไร เรื่องปากท้องก็มิควรจะเหมือนกับในตอนนี้ ในวัตถุดิบของโจ๊กนั้นเกรงว่าจะมีราคาไม่ถึง 5 อีแปะด้วยซ้ำ เยี่ยงนั้นเสบียงเล่า?
“เรื่องนี้พวกเรากลับไปยังซีซานแล้วค่อยคุยกัน ในตอนนี้พวกเราต้องไปหาหยู๋เซี่ยนหลิง สำหรับปัญหาที่เกิดนั้น มันมิเหมาะสมที่จะให้พวกเจ้าเข้าร่วมด้วย ให้จวนโจวส่งมาคนมาตรวจสอบ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้กล่าวว่าแม้จะถูกตรวจสอบแล้ว แต่ท้ายที่สุดก็มิมีอันใดเกิดขึ้น
หยูเวิ่นหวินสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ใบหน้านั้นยังคงปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง นางรับฟังความคิดเห็นของฟู่เสี่ยวกวน เพราะต้องการตรวจสอบเรื่องนี้ โดยมิใช้ฐานะขององค์หญิงของนาง
ทั้งกลุ่มเดินลงจากบนกำแพง ขึ้นรถม้า และตรงไปยังที่ทำการอำเภอ
ฟู่เสี่ยวกวนส่งป้ายชื่อของตนเองไป ผู้เฝ้าประตูก็พาพวกเขาไปยังข้างหลังเรือน
หยู๋เหลียนคาดมิถึงว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมาเยี่ยมเยียน ตระกูลฟู่นั้นมีที่ดินใหญ่ที่สุดของหลินเจียง ส่วนของทุ่งนาเกินครึ่งของอำเภอเหยาก็เป็นของตระกูลฟู่ ดูแล้วเหมือนจะมาเรียกเก็บภาษี ฟู่ต้ากวนไม่มาแต่ให้บุตรชายมาจะหมายความเยี่ยงไร ?
ตามที่อาจารย์ทังกล่าว เกรงว่าที่ฟู่เสี่ยวกวนมาจะไม่ใช่เรื่องของภาษี แต่มิว่าจะครุ่นคิดอย่างไรก็คิดไม่ตกอยู่ดีว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น ท้ายที่สุดก็ทำได้เพียงออกไปพบหน้าเสียก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง
ฟู่เสี่ยวกวนให้คนขนย้ายซีชานเทียนฉุน 2 ลังเดินไปยังด้านหลังจวน หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานอยู่บนรถม้า
ตัวตนของสตรีทั้งสองพิเศษเกินไป มิเหมาะที่จะปรากฏตัวในที่แบบนี้
“ได้ยินชื่อเสียงหยู๋เซี่ยนหลิงมาเนิ่นนาน ข้านั้นชื่นชมมาเนิ่นนานแล้ว แต่เพราะมีเรื่องติดพันจนถึงวันนี้จึงเพิ่งได้มา หวังว่าหยู๋เซี่ยนหลิงจะให้อภัย” ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนแต้มรอยยิ้ม และกำกำปั้นคำนับหยู๋เซี่ยนหลิง
“ฮ่าฮ่า ข้ามิเคยคาดคิดเลยว่าเสียนจื๋อจะมาในวันนี้ เมื่อปีที่แล้วข้าไปทำธุระที่หลินเจียง ได้รับการต้อนรับจากตระกูลฟู่ ได้ยินหัวหน้าตระกูลฟู่เอ่ยถึงเจ้า แต่ในตอนนี้เสียนจื๋อมีชื่อเสียงขจรไกลไปทั่วใต้หล้า พ่อพยัคฆ์มิมีลูกเป็นสุนัข วีรชนผู้เยาว์วัย”
“ท่านก็กล่าวชมกันเกินไป ข้ามาจากหมู่บ้านเซี่ยชุน มิได้นำของขวัญอันใดมา สองลังนี้คือซีชานเทียนฉุนแต่เป็นข้าที่ลงมือกลั่นด้วยตนเอง หวังว่าหยู๋เซี่ยนหลิงจะน้อมรับ”
“คงดูมิดีนัก เสียนจื๋อเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่มีชื่อเสียงขจรไกล กวีนิพนธ์ก็ได้เผยแพร่ไปทั่วใต้หล้า เจ้าสามารถมาเยี่ยมเยียนชายชราได้ทุกเมื่อ ให้ข้าสัมผัสกับผู้มีพรสวรรค์ทางด้านวรรณกรรมอันดับหนึ่งแห่งหลินเจียง นี่นับว่าเป็นการให้เกียรติแก่ข้าแล้ว สุรานี้ ข้าคงรับไว้มิได้”
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็มองไปรอบ ๆ และเอ่ยถามเสียงแผ่ว “หยู๋เซี่ยนหลิง ข้าใคร่สงสัยว่าหลายวันมานี้ผู้ประสบภัยที่อยู่ด้านนอกเหล่านั้นต้องทำให้ท่านต้องปวดหัวเป็นแน่ ข้านั้นกังวลใจอย่างยิ่ง หากผู้ประสบภัยเหล่านั้นไปขโมยเสบียงอาหารของตระกูลข้าเยี่ยงนั้นคงมิงามนัก โชคดีที่อยู่ภายใต้การปกครองของท่าน ผู้ประสบภัยเหล่านั้นจึงมิก่อความโกลาหลขึ้นมา ดังนั้นสุรานี้ท่านต้องรับเอาไว้ นี่คือความซาบซึ้งจากใจของข้า”
“อ่า ฮ่าฮ่า ผู้ประสบภัยเหล่านั้นถือว่าซื่อสัตย์ ทุกวันข้าจะส่งคนไปมอบโจ๊กให้กับพวกเขาและก็ได้ส่งหน่วยตรวจตราไปลาดตระเวน โชคดีที่มิเกิดปัญหาอันใด”
หยู๋เหลียนรินชาให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวว่า “เสียนจื๋อยังมิทราบปัญหาของด้านนอกอำเภอเหยา จนถึงวันนี้ ด้านนอกนั้นมีผู้ประสบภัยถึง 33,670 คน จากสถานการณ์ในตอนนี้คาดว่าในอนาคตก็จะมีเพิ่มขึ้น และอำเภอเหยาก็รองรับคนได้ไม่เกินหนึ่งแสน หากเกิดความโกลาหลขึ้น ข้าเองก็ลำบากเช่นกัน”
“แต่หากพวกเขามิไป เยี่ยงนั้นก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาได้”
หยู๋เหลียนลูบเครา และถอนหายใจ “มิสามารถขับไล่ผู้ประสบภัยได้ หลายวันมานี้ข้ากำลังครุ่นคิด หากยังเพิ่มจำนวนขึ้น อำเภอเหยาคงรับมิไหว คงทำได้แค่ขอความช่วยเหลือจากจวนโจว”
“เสียนจื๋อคิดได้แล้วหนทางหนึ่ง หยู๋เซี่ยนหลิงท่านดูสิว่าจะเป็นไปได้หรือมิได้”
ในความคิดของหยู๋เหลียน คาดว่าตระกูลฟู่น่าจะแจกจ่ายโจ๊กเพื่อบรรเทาทุกข์แล้ว
ตระกูลฟู่ย่อมกังวลความโกลาหลที่จะเกิดขึ้นจากเหล่าผู้ประสบภัย เพราะผู้ที่แบกรับความรุนแรงก็คือผู้เช่าที่นาของตระกูลฟู่ ในตอนนี้ถึงแม้ข้าวจะได้เข้ายุ้งฉางไปแล้ว แต่ข้าวเหล่านั้นยังมิได้ส่งไปให้จวนฟู่ และยังมิได้ส่งให้แก่ทางการ
หากเกิดความโกลาหลขึ้นในยามนี้ เหล่าผู้ประสบภัยจะเข้าปล้นชิงเหล่าผู้เช่าที่นา ถึงแม้จวนโจวจะส่งทหารมาปราบปราม แต่ความเสียหายของจวนฟู่จะต้องหนักหนาเป็นแน่
เยี่ยงนั้น สู้เอาเสบียงมาแจกจ่ายเหล่าผู้ประสบภัยเสียเล็กน้อย เพียงเพื่อให้พวกเขามีอาหารก็จะมิก่อเรื่องแล้ว และตระกูลฟู่ก็จะสามารถนำเสบียงเหล่านั้นออกมาบรรเทาทุกข์ได้ สำหรับอำเภอเหยา ถือเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว
แต่ประโยคต่อจากนั้นของฟู่เสี่ยวกวนกลับทำให้หยู๋เหลียนตื่นตระหนก !
“หากข้ารับผู้ประสบภัยเหล่านั้นมา หยู๋เซี่ยนหลิงคิดว่าอย่างไรบ้าง?”
“อะไรนะ” หยู๋เหลียนผงะตกใจตื่น
“เจ้าต้องการรับผู้ประสบภัยเหล่านั้นรึ เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้ประสบภัยมีจำนวนนับหมื่น ถึงแม้เสบียงของตระกูลเจ้าจะมีมาก แต่ที่นาของตระกูลเจ้าได้ถูกแบ่งไปนานแล้ว เจ้าจะเลี้ยงดูพวกเขาได้เยี่ยงไร เจ้ารู้หรือไม่ว่าต้องสร้างเพิงที่พักให้พวกเขามากมายเพียงไหน ในเหล่าผู้ประสบภัย คนชราที่มีโรคอ่อนแอและคนพิการคิดเป็น 2 ส่วน ร่างกายของพวกเขาเหนื่อยล้าและอ่อนแอจากการเดินทาง หลายคนต้องล้มเจ็บกับอาการป่วย เจ้ารู้หรือไม่ว่าต้องใช้เงินจำนวนเท่าใดการรักษาพวกเขาให้หายดี”
หยู๋เหลียนยังคงพูดต่อไป นั่นคือสิ่งที่ออกมาจากใจของเขา เรื่องนี้ต่อให้เป็นทางราชสำนักก็ต้องคิดหนักเช่นกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจ้าของที่ดินเลย !
ฟู่เสี่ยวกวนฟังเขากล่าวอย่างเงียบ ๆ และเอ่ยยิ้ม ๆ ว่า “ที่หยู๋เซี่ยนหลิงกล่าวมา ล้วนเป็นความจริง เพียงแค่ข้านั้นหวังอย่างยิ่งว่าจะแก้ไขอันตรายของอำเภอเหยาได้ เพื่อมิให้พวกเขาเหล่านั้นทำร้ายผู้อื่น ส่วนเรื่องการสร้างที่พักพิงให้กับพวกเขา ข้านั้นมีหนทางอยู่เล็กน้อย ท่านมิต้องกังวลใจ ขึ้นอยู่กับท่านแล้วว่าจะอนุญาตหรือไม่”
ตอนที่ 74 ช่างงดงามยิ่ง
เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนพาสตรีทั้งสองนางมาด้วย ทำให้หวางเอ้อมิได้ออกจากบ้านอีกหลังจากกลับมาที่เรือนซีซาน
พวกเขาไม่รู้ว่าทั้งสองนางนั้นเป็นใคร แต่มองจากการแต่งตัวแล้วก็รู้ดีว่าเป็นคุณหนูผู้มั่งคั่ง หวางเอ้อได้ทักทายพวกนางแล้ว แต่ก็กังวลว่าจะทำอะไรผิดพลาดไปและอาจทำให้คุณชายของเขาลำบากใจ
รุ่งเช้าวันต่อมา ฟู่เสี่ยวกวนฝึกฝนชุดหมัดมวยอยู่ในเรือน เมื่อเห็นหวางเอ้อและหวางเฉียงออกมาจากบ้าน เขาก็รีบวิ่งตามออกไป
เมื่อคืนเขาครุ่นคิดตลอดคืนว่าเรื่องของน้ำหอมนั้นควรให้ผู้ใดรับผิดชอบ ?
สิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ความสามารถเฉพาะทางใด ๆ มีเพียงส่วนของแอลกอฮอล์ที่วุ่นวาย แต่หากมีสายลับเกิดขึ้นอีกละก็ มันก็สามารถเลียนแบบได้อย่างง่ายดายนัก
คิดไปคิดมาเขาจึงตัดสินใจมอบหมายหน้าที่ให้จางเสี่ยวเหมย คู่หมั้นของหวางเฉียงเป็นผู้ดูแล อีกทั้งยังเชื่อใจได้อีกด้วย สตรีนางนั้นฟู่เสี่ยวกวนเคยพบเจออยู่หลายครั้ง นางเป็นผู้มีสติรอบคอบ ทำการใดล้วนคล่องแคล่ว เหมาะสมกับการจัดการเรื่องน้ำหอมนี้
“หวางเฉียง ช้าก่อน”
“คุณชาย ! ”
“อีกประเดี๋ยวเจ้าและคู่หมั้นของเจ้ามาหาข้าหน่อย ข้ามีเรื่องจะมอบหมายให้นางรับผิดชอบ”
หวางเฉียงตกตะลึงแล้วเอ่ยว่า “นางจะทำได้อย่างไร ? นางไม่รู้หนังสือเสียด้วยซ้ำ มิได้ขอรับ หากนางทำไม่สำเร็จจะเสียเวลาคุณชายเปล่า ๆ ”
ฟู่เสี่ยวกวนตบบ่าหวางเฉียง หัวเราะว่า “ดูเจ้าสิ อย่าดูถูกสตรีเชียว เอาตามนี้ละ เจ้าจงพานางมาพบข้าเป็นพอ”
หวางเอ้อนำมือตบเข้าที่หัวของหวางเฉียงเบา ๆ “คุณชายเห็นและเชื่อมั่นในความสามารถของบ้านเรา จงทำตามที่คุณชายสั่ง อีกอย่างนำเมล็ดพันธุ์ฟู่อีต้ายไปตากอีกหนึ่งแดด จากนั้นก็นำมาให้คุณชาย ได้ยินหรือไม่ ? ”
“ขอรับ ๆ ๆ ข้าจะทำตามที่ท่านเอ่ยทุกประการ”
……
……
เช้าตรู่ที่หนาวเหน็บเช่นนี้แน่นอนว่าสตรีทั้งสองนางมิยอมลุกขึ้นจากที่นอน อีกอย่างเมื่อพวกนางเดินทางมายังเรือนซีซานแล้วรู้สึกว่านอนดึกกว่าเดิมมากนัก พวกนางยังไม่อยากตื่นขึ้นมาแต่เช้าตรู่
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบรายงานที่จางจือเช่อสรุปมาให้ในช่วงนี้ออกมาอ่าน โดยรวมนับว่าไม่มีสิ่งใดควรกังวล เพียงแต่สถานที่ก่อสร้างแห่งใหม่นั้นดำเนินไปค่อนข้างล่าช้า
เรื่องนี้ไม่ค่อยสะดวกนักเนื่องจากบัดนี้เป็นฤดูเก็บเกี่ยว คนงานที่อยู่ในซีซานล้วนเป็นผู้เช่านา หน้าที่หลักของพวกเขาคือปลูกข้าว
บัดนี้แม้แต่ขนส่งซีซานก็หยุดลงกว่าครึ่งแล้ว หากมิใช่เพราะโรงปูนมีความจำเป็น คาดว่าขนส่งซีซานคงพักการชั่วคราว
“ได้ยินคนงานจากขนส่งซีซานกล่าวว่า อำเภอเหยามีประชากรเดือดร้อนมากมาย ได้ยินมาว่าหยู๋เหลียนสั่งปิดประตูเมือง ในแต่ละวันจะมีการส่งข้าวส่งน้ำ เกรงว่าผู้ประสบภัยที่มาจากแม่น้ำหวงเหอทั้งสองฝั่งจะมีจำนวนมาก ผู้ประสบภัยเหล่านี้เปรียบดั่งตั๊กแตน หากพวกเขาเลี่ยงอำเภอเหยามาถึงที่นี่ ก็ค่อนข้างลำบากทีเดียว”
เหตุการณ์น้ำท่วม ณ แม่น้ำหวงเหอนั้นฟู่เสี่ยวกวนได้ยินบิดาเอ่ยถึงบ้าง คาดไม่ถึงว่าผู้ประสบภัยจะเดินทางมาถึงที่นี่
แต่ชั่วครู่แววตาเขาก็เป็นประกาย “หากเป็นเช่นนี้หมายความว่าหยู๋เซี่ยนหลิง[1] ไม่ประสงค์จะช่วยเหลือผู้เดือดร้อนเหล่านี้ใช่หรือไม่ ? ”
“จะช่วยเหลือได้อย่างไร ? หากช่วยเหลือพวกเขาไว้ แล้วผู้เดือดร้อนคนอื่น ๆ ได้ยินเข้าคงรีบพากันเดินทางมาพึ่งพิง อำเภอเหยาพื้นที่มีไม่มากอีกทั้งมีอาหารเพียงเล็กน้อย จะเพียงพอต่อพวกเขาได้อย่างไรกัน ? ผู้เดือดร้อนเหล่านั้นหากโมโหหิวขึ้นมาอาจจะทำการที่คาดไม่ถึงได้ หยู๋เซี่ยนหลิงจะรับแรงกดดันนี้อย่างไร ? ”
“หากพวกเรารับช่วยเหลือเล่า ? ”
จางเช่อตกใจและรีบโบกไม้โบกมือว่า “คุณชาย มิได้เด็ดขาดขอรับ พื้นที่เพาะปลูกของจวนฟู่แบ่งเรียบร้อยแล้ว การที่ชาวนาทั้งหลายปลูกข้าวอย่างอุ่นใจได้นั้นเนื่องจากนายท่านมิเคยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผืนนาที่แบ่งไว้เรียบร้อย อีกทั้งเรามิอาจคาดเดาได้ว่ามีผู้เดือดร้อนมากมายเพียงใด เขาจะพักที่ไหน ? จะกินอะไร ? ที่นี่นอกเหนือจากเรือนซีซานแล้วไม่มีทหารสำรองใด ๆ หากพวกเขาเกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมา คุณชายจะทำเยี่ยงไร ดีไม่ดีบรรดาชาวบ้านอาจถูกพวกเขาข่มเหงได้ขอรับ”
จางเช่อกลืนน้ำลายแล้วนั่งตัวตรงเอ่ยต่อไปว่า “ท่านยังเยาว์ มิเคยเห็นความน่ากลัวของผู้ประสบภัยเหล่านี้ เพื่อปากท้องพวกเขาสามารถฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น”
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งไปชั่วครู่ เขายังไม่ยอมวางมือจากผู้เดือดร้อนเหล่านี้
สิ่งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความเมตตาใด ๆ เขาเพียงต้องการคน เขาต้องการคนจำนวนมาก !
“ข้าเข้าใจแล้ว เรื่องนี้ข้าจะพิจารณาอย่างถี่ถ้วน”
จางเช่อขอตัวกลับ ฟู่เสี่ยวกวนเดินเล่นอยู่ที่ริมธารนึกถึงเรื่องราวผู้เดือดร้อนเหล่านั้น
อำเภอเหยาปิดประตูเมืองก็จริงแต่ก็ยังส่งข้าวส่งน้ำ นั่นหมายความว่าบัดนี้ผู้เดือดร้อนยังมีไม่มากนัก มิเช่นนั้นหยู๋เซี่ยนหลิงคงขอความช่วยเหลือมายังหลินเจียงจวนโจวแล้ว
จวนโจวนั้นมีทหารเพื่อรักษาความปลอดภัยในหลินเจียง คาดว่าหลิวจือโจว[2]คงจะส่งทหารออกไปบ้าง มิใช่เพื่อข่มขู่แต่อย่างน้อยก็ป้องกันไว้บ้างจะได้มิเสียหายอันใด
ตอนนี้ผู้เดือดร้อนไม่มากนัก หากควบคุมได้จะไม่เกิดเรื่องราวอื่น ๆ ตามมาทีหลัง
เช่นนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเหลือหยู๋เซี่ยนหลิง แต่ยังสามารถจัดการกับผู้เดือดร้อนได้อย่างเป็นระเบียบ
เรื่องนี้ต้องจัดการโดยเร็ว ในวันนี้ต้องจัดการเรื่องน้ำหอมให้แล้วเสร็จ สอนวิธีการทำให้แก่แม่นางจางเสี่ยวเหมย วันรุ่งขึ้นเขาจะเดินทางไปยังอำเภอเหยา
หวางเฉียงพาจางเสี่ยวเหมยเข้ามาพบฟู่เสี่ยวกวน ณ เวลานั้นต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินได้ล้างหน้าแปรงฟันนั่งอยู่ในเรือนเรียบร้อยแล้ว
จางเสี่ยวเหมยตื่นเต้นกังวลยิ่ง นางรู้ดีว่าสิ่งใด ๆ ที่ฟู่เสี่ยวกวนคิดกระทำต้องเป็นการใหญ่ ตลอดเวลาที่เดินทางมา หวางเฉียงกำชับนางเสมอ ดังนั้นจึงทำให้นางเกิดแรงกดดันไม่น้อย
เพียงไม่นานต่อมา อาจารย์หลิวก็เดินถือแอลกอฮอล์ออกมา สิ่งนี้เพิ่งทดลองทำเมื่อคืน ในวันนี้เขาก็ได้ทำด้วยตนเองอีก 1 ขวด
จางเช่อเองก็เดินถือตะกร้าเข้ามาเช่นกัน สิ่งนั้นคือดอกมะลิและกุ้ยฮวาที่เพิ่งเด็ดมาเมื่อเช้าในซีซาน
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือมายังจางเสี่ยวเหมยแล้วยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าอย่าได้กลัวไปเลย ข้าจะสอนให้แก่เจ้าเอง เมื่อเจ้าเรียนรู้สำเร็จแล้ว จงไปคัดเลือกสตรีมาจำนวนหนึ่ง และสอนสิ่งเหล่านี้ต่อพวกนางก็เพียงพอ”
“คุณชาย……”
“เจ้าจงดูให้ดี ข้าจะสอนเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”
“สิ่งนี้เรียกว่า เครื่องกลั่น อาจารย์หลิว รบกวนท่านนำเตามาให้ข้าหน่อย จากนั้นนำขวดน้ำกลั่นมา 1 ขวด เป็นขวดที่ใช้แบ่งแยกน้ำยามกลั่นสุรา”
“คุณชายโปรดรอสักครู่”
ไม่นานนัก อาจารย์หลิวก็เดินเข้ามายังเรือนพร้อมกับคนงานคนหนึ่ง คุณชายจะทำสิ่งอัศจรรย์ใดอีกหรือ ?
“ตอนนี้ให้นำดอกมะลิวางลงไปยังเครื่องกลั่นนี้ จากนั้นก็จุดไฟที่เตาเพื่อเพิ่มความร้อน จนกระทั่งภายในนี้เกิดหยดน้ำออกมา สิ่งนี้เรียกว่าน้ำมันหอมระเหย”
พวกเขาอดใจรอนานกว่าครึ่งชั่วโมง ภายในเครื่องกลั่นนั้นจึงปรากฏน้ำมันหอมระเหยออกมา
“สิ่งนี้เรียกว่าแก้วตวง เจ้าจงดูว่าบนนี้มีขีดบอกจำนวนอยู่ พวกเราใช้น้ำกลั่นจำนวน 6 ขีดเทใส่ลงไปในเครื่องกลั่น จากนั้นก็นำแอลกอฮอล์จำนวน 1 ขีดใส่ลงไป จะได้กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุน แล้วนำมันใส่ลงไปในภาชนะ ขั้นตอนสุดท้ายคือนำน้ำมันหอมระเหยจำนวน 3 ขีดใส่ลงไปในภาชนะนี้ด้วย”
เมื่อเปิดเครื่องกลั่นออก กลิ่นมะลิอันแรงกล้าก็ลอยออกมาปะทะหน้า พวกเขาทั้งหลายแววตาเป็นประกาย
“จากนั้นก็ถึงขั้นตอนการปรุง จงใช้แท่งกระจกนี้คนในภาชนะ จงจำไว้ว่าการคนให้เข้ากันนี้อย่างน้อยต้องใช้เวลา 2 ชั่วยาม ในขั้นตอนนี้ข้าจะข้ามไป”
“สุดท้ายคือการนำไปบรรจุ……จงนำไปเก็บไว้ในโรงเก็บสุรา หลังจากนี้สองเดือนจึงจะนำออกมาขาย”
“เจ้าเข้าใจแล้วหรือไม่ ? ”
จางเสี่ยวเหมยพยักหน้า จากนั้นก็ส่ายหัว
ฟู่เสี่ยวกวนใช้ความอดทนสอนวิธีกลั่นน้ำหอมให้นางอีกครั้งโดยใช้ดอกกุ้ยฮวา ครั้งนี้จางเสี่ยวเหมยจำได้ขึ้นใจ
“เอาละ สิ่งนี้ข้ามอบให้เจ้ารับผิดชอบดูแล หากต้องการสิ่งใดจงไปบอกผู้ดูแลจางได้เลย”
ผู้ดูแลจางรับคำสั่ง จากนั้นก็พาพวกเขาเดินทางจากไป ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินอดมิได้ที่จะหยิบน้ำหอมนั้นมาสูดดม
เนื่องจากมีการคนจนเข้ากันดีแล้ว กลิ่นน้ำหอมจึงไม่ฉุนเกินไป แต่กลับหอมติดจมูก
“สิ่งนี้นำมาพรมที่ร่างกายใช่หรือไม่ ? ”
“ถูกต้อง พวกเจ้าลองดู”
“สิ่งนี้มองดูแล้ววุ่นวายนัก เหตุใดจึงต้องเก็บไว้นานถึง 2 เดือนกัน แล้วขายในราคาเท่าใด ? ”
“ขวดเหล่านั้นข้าสั่งทำขึ้นมาพิเศษ ขายขวดละ 1 ตำลึง ! ”
ขวดละ 1 ตำลึง ? ไม่แพงเท่าไรนัก
สตรีผู้มั่งคั่งทั้งสองนางแก้ไขราคาขายที่ฟู่เสี่ยวกวนตั้งไว้ เมื่อน้ำหอมนี้วางขาย ก็ถูกพวกนางปรับราคาสูงถึงขวดละ 10 ตำลึง อีกทั้งยังไม่พอต่อความต้องการ !
ตอนที่ 73 น้ำหอม
เป็นวันที่สองที่ฟู่เสี่ยวกวนมาถึงซีซาน อี้หยู่ได้พาหยู๋จงถานมายังเรือนซีซานด้วยรถม้า 5 คัน
ฟู่เสี่ยวกวนได้ตรวจสอบเครื่องแก้วหลาย ๆ แบบที่ได้นำลงมาจากรถม้าส่วนหนึ่งอย่างถี่ถ้วน พลางพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หลังจากนั้นก็เลือกมา 2 ชิ้นและให้อาจารย์หลิวร้านสุรานำไปอบบนเตาเผา หากสามารถผ่านการทดสอบด้วยอุณหภูมิสูง นั่นแสดงว่าเครื่องแก้วนั้นได้พัฒนาไปสู่ระดับใหม่แล้ว
ถึงแม้ว่าจะผ่านการทดสอบด้วยอุณหภูมิสูงในห้องปฏิบัติของหยู๋จงถานมาแล้วนับร้อยกว่าครั้ง แต่เขาก็ยังคงกังวลใจ อย่างไรการทดสอบครั้งนี้ก็ใช้ต้นทุนไปมหาศาลเลยทีเดียว
ฟู่เสี่ยวกวนและหยู๋จงถานกำลังดื่มชาและพูดคุยกัน หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานก็มองอุปกรณ์เหล่านี้จนมิอาจละสายตาไปได้
สิ่งของเหล่านี้เอามาทำการใดพวกนางและหยู๋จงถานต่างก็มิทราบเช่นเดียวกัน
“เถ้าแก่หยู๋ นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งชุดเท่านั้น ต่อจากนี้หากไม่มีปัญหาต่อการทนรับอุณหภูมิสูง ก็ทำการผลิตให้ข้า 10 ชุดโดยเร็วที่สุด นอกจากนี้ข้ายังต้องการขวดเยี่ยงนี้อีกด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนใช้ถ่านวาดขวดเล็ก ๆ สามแบบขึ้นมาบนกระดาษ มีกลมมีเหลี่ยมและมียาว และมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป “สิ่งนี้มิจำเป็นต้องทนต่ออุณหภูมิสูง แต่ตัวขวดนั้นต้องหนาขึ้นอีกเล็กน้อย ฐานขวดต้องหนายิ่งกว่า มีตัวอักษรซีซานนูนออกมาใต้ฐานขวด แบบละ 3,000 ชิ้น”
หยู๋จงถานจ้องมองรูปภาพเหล่านั้น ก็กล่าวยิ้ม ๆ “สิ่งนี้ง่ายดายยิ่งกว่า…” เขาเหลือบสายตามองไปยังหญิงสาวสองคนที่กำลังชื่นชมงานประดิษฐ์เหล่านั้น มิรู้ว่าพวกนางเกี่ยวข้องอันใดกับฟู่เสี่ยวกวน แต่เขาทราบดีว่าคุณชายตระกูลฟู่ยังมิมีเรื่องหมั้นหมาย คิดว่าน่าจะเป็นญาติสนิทของตระกูลฟู่เสียมากกว่า จึงกล่าวยิ้ม ๆ “คุณชายฟู่ ท่านคงเห็นแล้วว่าพวกเรานั้นทำงานร่วมกันมาเป็นเวลานาน ข้าคิดมาตลอดว่าอยากเชิญท่านทานอาหารด้วยกันสักมื้อ แต่ท่านมักจะมิได้อยู่ในหลินเจียง สองวันนี้ได้มีบทเพลงที่กำลังโด่งดังในหลินเจียงอยู่หนึ่งเพลงชื่อว่าทำนองเพลงสายน้ำ ว่ากันว่าผู้ที่ร้องไพเราะที่สุดนั้นคือฝานตั่วเอ๋อร์ คุณชายฟู่กลับไปถึงหลินเจียงเมื่อใด ข้าอยากจะพาท่านไปลองฟังที่หออี้หงสักครา ท่านคิดว่าเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“มิได้ ! ”
ผู้ที่กล่าวขึ้นมานั้นคือหยูเวิ่นหวิน นางสวมผ้าคลุมไว้ ดวงตาคู่นั้นผละจากขวดและหันมาจ้องหยู๋จงถานแทน คำพูดนี้เอ่ยขึ้นมาอย่างเด็ดขาด หยู๋จงถานชะงักและหัวเราะขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ภายในหัวก็ตัดสินในทันที “เยี่ยงนั้น ก็ลืมไปเสียเถิด หากได้กลับไปยังหลินเจียง ข้าขอเชิญทุกท่านมาทานอาหารด้วยกัน ดีหรือไม่ ? ”
หยูเวิ่นหวินดีใจ คนผู้นี้เป็นพ่อค้าอย่างแท้จริง ความคิดเปลี่ยนไปอย่างว่องไวมาก
“เยี่ยงนี้ย่อมได้”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มอย่างขมขื่น เด็กสาวผู้นี้ต้องการดูแลเขาอย่างเป็นทางการแล้ว แต่เยี่ยงไรเขาก็มิได้สนใจหอนางโลมอยู่แล้ว จึงกล่าวอย่างมีความสุขว่า “เจ้าและข้าร่วมการค้ากันมานาน มิจำเป็นต้องทำเยี่ยงนี้ เถ้าแก่หยู๋ใช้ความคิดกับการทำอุปกรณ์เหล่านี้มากมายเพียงใด ข้าเองก็รับรู้ เพียงราคาของท่านสมเหตุสมผล ข้าก็มิมีทางไปหาเจ้าอื่น ท่านเพียงช่วยข้าทำงานก็พอ”
จนกระทั่งถึงยามเย็น อาจารย์หลิวก็หยิบอุปกรณ์นั้นเดินเข้ามา “คุณชายขอรับ มิมีปัญหา”
ฟู่เสี่ยวกวนรับมาและมองสำรวจด้วยตนเองอีกครา พยักหน้า และกล่าวว่า “ลงลายมือชื่อในสัญญาไว้จะดีกว่า แบ่งเงินเป็นสองส่วน ประเดี๋ยวไปหาพ่อบ้านจางเพื่อรับมัน นี่ก็ดึกมากแล้ว เถ้าแก่หยู๋พักที่พักของข้าดีกว่า แล้วค่อยกลับหลินเจียงพรุ่งนี้เถิด”
“เยี่ยงนั้น คงต้องขอบคุณคุณชายฟู่อย่างยิ่ง”
หยู๋จงถานไปหาพ่อบ้านจางเช่อ ทันใดนั้นหยูเวิ่นหวินจึงลุกขึ้นมาด้วยความอึดอัด
เมื่อครู่ที่ได้กล่าวคำว่ามิได้ออกไปทำให้นางรู้สึกเสียใจ เยี่ยงไรในยามนี้ทั้งสองคนก็มิได้มีความสัมพันธ์อันใดต่อกัน แต่เหตุที่นางกล่าวสองคำนั้นออกไปก็เพราะพี่รองของนาง พระราชบุตรเขยคนรองเอาแต่หมกตัวอยู่ที่หอนางโลมเป็นเวลานานและมิกลับบ้าน นั่นทำให้พี่รองของนางอยู่ในบ้านที่ว่างเปล่าและไร้ครอบครัว ดังนั้นนางจึงมิชอบหอนางโลมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหากผู้ชายของตนไปที่หอนางโลม
“เรื่องนั้น… หากเจ้าอยากไป ก็ไปเถิด”
“มิมีอะไรให้น่าไป และข้าเองก็มิมีเวลา”
“ของเหล่านี้เจ้าจะนำมาทำอะไรหรือ ? ” ต่งชูหลานเอ่ยถาม
“นำมาสกัดแอลกอฮอล์ เป็นแอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้นสูงชนิดหนึ่ง ต้องได้ประมาณ 70 ดีกรี ของสิ่งนี้มิได้นำมาใช้ดื่ม ข้านำมาใช้ทำน้ำหอม พรุ่งนี้จะไปเด็ดดอกไม้สดมาสักเล็กน้อย น้ำหอมก็จะได้เกิดขึ้นแล้ว”
“น้ำหอมหรือ ? คืออันใดกัน ? ” หยูเวิ่นหวินเอ่ยถาม
“เป็นน้ำที่หอมมากชนิดหนึ่ง สามารถนำมาฉีดน้อย ๆ บนเสื้อผ้า แล้วก็จะสามารถส่งกลิ่นหอมได้เป็นเวลานาน ชนิดของกลิ่นนั้นจะขึ้นอยู่กับดอกไม้แต่ละชนิดที่นำมาใช้ เช่น ดอกกุหลาบ, มะลิ, กานพลูและอื่น ๆ ”
สิ่งนี้กระตุ้นความสนใจของหญิงสาวทั้งสองขึ้นมาได้ทันที พูดคุยปรึกษากันอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายหยูเวิ่นหวินก็เลือกกลิ่นหอมดอกกุหลาบ และต่งชูหลานก็เลือกกลิ่นหอมดอกมะลิ
แต่ปัญหาในตอนนี้คือหน้านี้ดอกกุหลาบได้เหี่ยวเฉาไปแล้ว ดอกมะลิอาจจะยังหาเจอได้ ดังนั้นหยูเวิ่นหวินจึงเลือกดอกกุ้ยฮวาในตอนท้ายแทน
ดอกไม้เหล่านั้นที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ให้ชาวบ้านปลูกอย่างน้อยที่สุดก็ต้องรออีกหนึ่งเดือนดอกไม้จึงจะบาน เดิมทีเขาคิดว่าจะทำในช่วงที่ดอกกุ้ยฮวาบานมากที่สุด
ฟู่เสี่ยวกวนได้เรียกอาจารย์หลิวมาอธิบายอีกครา โดยครั้งนี้ใช้เวลาไปไม่น้อยเลย
เขาแนะนำชื่อของอุปกรณ์แต่ละอย่างให้แก่อาจารย์หลิวโดยละเอียด เช่น บีกเกอร์, หลอดทดลองหรือลูกกลม ๆ ขนาดใหญ่นี้เรียกว่าขวดกลั่น เขาไร้หนทางที่จะทำหอกลั่นออกมาได้ ดังนั้นจึงไม่มีทางบรรลุเป้าหมายในการเพิ่มผลผลิตทางอุตสาหกรรมได้
จากนั้นก็อธิบายให้อาจารย์หลิวฟังอย่างละเอียดว่ากระบวนการทำแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ กับการกลั่นสุรานั้นไม่ได้แตกต่างกันมาก นั่นก็คือความเชี่ยวชาญทางกาลเวลา อาจารย์หลิวจดบันทึกไว้ แล้วจึงไปร้านสุราเพื่อเรียกคนให้มาขนย้ายอุปกรณ์พวกนี้ไป เขาต้องทำการทดลองตามวิธีของคุณชาย
ฟู่เสี่ยวกวนได้เรียกจางเช่อเข้ามาอีกครา ให้เขาพาคนขึ้นเขาไปเด็ดดอกมะลิและดอกกุ้ยฮวามา
“ลองทดลองออกมา 1 ชุด รอจนห้องปฏิบัติการสร้างเสร็จ เมื่อด้านกรรมวิธีมั่นคง ของสิ่งนี้จึงจะออกขายสู่ตลาดได้”
เนื่องด้วยยังมิมีตัวอย่าง หญิงสาวทั้งสองจึงยังมิทราบว่าของสิ่งนี้มีรูปลักษณ์เยี่ยงไร แต่หากจะนำขายออกสู่ท้องตลาด จะต้องหาที่ตั้งร้านเสียก่อน
“เงินที่ได้จากการขายความฝันในหอแดง ข้าใช้เงิน 30,000 ตำลึงในการซื้อจวนขนาดใหญ่ในเมืองหลวง เรื่องนี้…มิได้ปรึกษากับเจ้า” ต่งชูหลานรู้สึกอับอายเล็กน้อย ใบหน้าได้รูปจึงแดงระเรื่อ
หยูเวิ่นหวินทราบมาว่าต่งชูหลานได้ซื้อจวนที่อยู่ติดทะเลสาบซวนอู่ นางรับทราบว่าหนังสือเล่มนี้มีต่งชูหลานเป็นผู้รับผิดชอบการขาย เพียงแต่มิคาดคิดว่าเงินส่วนนี้จะไปตกอยู่ในมือของต่งชูหลาน และนางก็ใช้จ่ายออกไปได้โดยมิถามความเห็นของฟู่เสี่ยวกวน
“เยี่ยงนั้นก็ดียิ่ง อย่างไรก็ต้องไปเมืองหลวงในไม่ช้า นอกจากนี้ข้าเคยกล่าวไว้แล้วว่าเรื่องเงินทองมิต้องปรึกษากับข้า”
“ตอนนี้มีเงินเพิ่มมาอีกหนึ่งหมื่นสองพันกว่าตำลึงแล้ว กลับเมืองหลวงครานี้ ข้าและหยูเวิ่นหวินจะไปดูว่ามีร้านค้าที่เหมาะสมสักสองแห่งหรือไม่ เรื่องการค้าขายเยี่ยงไรก็ต้องทำด้วยตนเอง นอกจากนี้เงินที่หาได้นี้ก็เพื่อใช้สร้างกิจการของตระกูล”
เรื่องการค้าขายหยูเวิ่นหวินเข้าใจตนเองอย่างยิ่งว่ามิอาจตามต่งชูหลานได้ทัน แต่นางก็มีข้อดีเช่นกัน เฉกเช่น “ตรอกชิงหลวนมีร้านค้าที่มีพื้นที่ติดกันอยู่ห้าส่วนดีเยี่ยมยิ่ง พวกเราไปซื้อยามที่กลับไปเถิด หากไม่พอข้ายังมีท้องพระคลังส่วนตัวอยู่เล็กน้อย”
ต่งชูหลานหันมองหยูเวิ่นหวิน ตรอกชิงหลวนเป็นถนนที่แพงที่สุดในจินหลิง ร้านค้าในพื้นที่นั้นเกือบทั้งหมดจะอยู่ในการดูแลของขุนนางระดับสูง เป็นไปได้ยากที่จะมีการขาย
หยูเวิ่นหวินยิ้มด้วยความประหม่าเล็กน้อย “นั่นคือ…ทรัพย์สมบัติของเสด็จพี่ของข้า”
เยี่ยงนี้ก็ได้อย่างนั้นหรือ ? ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ หยูเวิ่นหวินเงยคอขึ้นมา “ข้าจะให้เขาขายให้ข้า พวกเจ้าคอยดูได้เลย ! ”
ตอนที่ 72 สนทนายามค่ำคืน
อาหารหลักของมื้อค่ำนี้ก็คือปลาที่พวกเด็ก ๆ ลูกของชาวนามอบให้กับเขานั่นเอง
เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนมีสตรีสองนางร่วมรับประทานอาหารด้วย ทำให้ซูม่อมิได้ร่วมโต๊ะอาหาร อีกทั้งยอดฝีมือที่หยูเวิ่นหวินพามาก็มิได้ร่วมโต๊ะเช่นกัน
ดังนั้นโต๊ะหินกลางเรือนจึงมีเพียงพวกเขาแค่สามคน
“ยำปลาตะเพียนนี้ข้าทำด้วยตนเอง พวกเจ้าลองชิมรสชาติดู”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยพร้อมกับใช้ตะเกียบคีบเนื้อปลาให้แก่สตรีทั้งสอง แล้วเอ่ยต่อว่า “จงระวังเวลารับประทาน เนื่องจากปลานี้มีก้างค่อนข้างเยอะ”
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานหาได้เคยลิ้มลองอาหารเช่นนี้มาก่อน พวกนางรู้สึกประหลาดใจยิ่งจึงได้ลองชิมดู เอ๋…รสชาติดีทีเดียว !
ห้องเครื่องในวังหลวงจะมีความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน จึงไม่นำวัตถุดิบเช่นปลาตะเพียนที่จับได้ง่ายดายในแม่น้ำมาทำเป็นอาหาร ส่วนโรงครัวจวนเสนาบดีแม้ไม่ได้เข้มงวดเหมือนวังหลวง แต่ต่งชูหลานก็พิถีพิถันเรื่องการกินมากนัก นางมิเคยแตะต้องปลาตะเพียนมาก่อนอย่างแน่นอน
สตรีทั้งสองนางชื่นชอบรสชาติปลานี้จากใจจริง พวกนางดื่มสุราเทียนฉุนและตามด้วยกับแกล้มปลาตะเพียนนี้จนหมดในพริบตา
หยูเวิ่นหวินรู้สึกว่าปริมาณอาหารที่รับประทานเข้าไปของนางมากขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย อาจมีเหตุผลมาจากรสชาติของอาหารเหล่านี้ดีเกินคาด เขาทำอาหารเป็นด้วยหรือนี่ !
ชายชาตรีไม่ยุ่งเกี่ยวกับห้องครัว สิ่งนี้ถูกบันทึกไว้ในหนังสือ แต่เขาผู้นี้มิได้นำมาใส่ใจนัก แต่เช่นนี้ก็ดีทีเดียว
การไม่ใส่ใจในเรื่องอาหารการกินบนโลกมนุษย์ ผู้นั้นมิใช่มนุษย์ แต่เป็นเทพเจ้าซึ่งมีไว้เพียงชื่นชม มีแต่มนุษย์ธรรมดาเท่านั้นจึงจะสามารถเอื้อมมือคว้ามาได้
“เอ่อ ข้ามีเรื่องจะถามเจ้า คำพูดเหล่านั้นที่เจ้าเอ่ยเมื่อตอนเย็นที่ท้องนา……เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ? ” หยูเวิ่นหวินเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“เรื่องของการตีข้าวงั้นหรือ ? แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง ปีหน้าเราจะเพิ่มจำนวนให้มากขึ้น คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าเลยเชียว”
“ตระกูลเจ้าแม้จะเป็นเจ้าของที่ดิน แต่ข้ามิเคยเห็นเจ้าของที่ดินคนใดมีความรู้ด้านการเพาะปลูก เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้เยี่ยงไรกัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมา แล้วเอ่ยว่า “พวกเจ้ามิรู้อะไรเสียแล้ว แท้จริงแล้วข้ามีความถนัดด้านการปลูกข้าวยิ่งนัก”
“เจ้าโกหก ! ” ต่งชูหลานมองค้อนเขา
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับชื่นชอบยิ่งนัก แววตาที่เต็มไปด้วยชีวิตชีวาคู่นั้น นอกจากฟู่เสี่ยวกวนแล้วจะมีใครเข้าใจได้อีกเล่า ?
“สำหรับเจ้าแล้ว……ระหว่างเจ้ากับชาวนา ไม่มีการแบ่งแยกใด ๆ จริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ” หยูเวิ่นหวินเอ่ยถามอีกครั้ง
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งไปชั่วครู่ การตอบคำถามในครั้งนี้จำเป็นต้องหนักแน่น
“ก่อนอื่นพวกเจ้าควรเข้าใจถึงเหตุผลหนึ่ง การที่พวกเราได้นั่งอยู่ที่นี่และมีข้าวกิน การที่พวกเรามีเสื้อผ้าสวยงามสวมใส่ การที่พวกเรามีสุราเลิศรสดื่ม ทั้งหมดทั้งปวงนี้ล้วนมาจากความยากลำบากของพวกเขา”
“พวกเจ้าลองไตร่ตรองดู หากชาวนามิทำนา หากคนงานมิทอผ้าหรือกลั่นสุรา เช่นนั้นพวกเราจะกินอะไรหรือสวมใส่สิ่งใดกัน ? ”
“เมิ่งจื่อกล่าวว่า ไพร่ฟ้าค่าสูงหนัก บ้านเมืองรองลงมา ราชาไร้น้ำหนักใด หมายถึงประชาชนนั้นสำคัญยิ่ง พวกเขาเป็นพื้นฐานของประเทศ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขากระทำเป็นสิ่งเล็กน้อยที่พวกเจ้าอาจจะมองข้าม แต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่นัก”
“หนังสือซ่างซูได้บันทึกไว้ว่า ประชากรเป็นรากฐานของประเทศ ประชาชนมั่นคงประเทศจึงมั่นคง แล้วประเทศจะอยู่อย่างสงบสุข ดังนั้นพวกเขาสมควรได้รับการยกย่องยิ่ง ข้าและพวกเขานั้นมิได้มีสิ่งใดต้องแบ่งแยก ในสายตาของข้า พวกเขาสูงส่งกว่าข้าหลวงในวังเสียด้วยซ้ำ”
คำพูดนี้อาจจะเกินจริงไปเสียหน่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์หญิงเก้าที่ประทับอยู่ที่นี่ด้วย ดังนั้นต่งชูหลานจึงเอ่ยว่า “ข้าเข้าใจความหมายของท่านดี ที่ว่ากันว่าเป็นที่พึ่งของพวกเรา ก็คงหมายถึงคนกลุ่มนี้”
มิรู้ว่าเนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนได้ดื่มสุราเข้าไปจำนวนไม่น้อยหรืออย่างไร เขาเริ่มสนุกสนานและเอ่ยต่อไปว่า “มิใช่เพียงเท่านี้ พวกเจ้าลองคิดดูเถิดว่าบรรดาข้าหลวงจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน พวกเขาสวมใส่เสื้อผ้าชั้นดี กินดื่มสุราเลิศรส พำนักในเรือนใหญ่ หากลองพิจารณาดูแล้วพวกเขาได้ทำการใดที่ควรค่าต่อการยกย่องกัน ? ”
“พวกเขามิได้ผลิตข้าว มิได้ทอผ้า มิได้ผลิตสิ่งใด ๆ แม้แต่ชิ้นเดียว นั่นหมายความว่าสิ่งของทุกอย่างบนโลกนี้แม้กระทั่งอิฐเพียงก้อนเดียว ก็มิได้เกี่ยวข้องกับพวกเขาแม้แต่น้อย แต่พวกเขากลับมีเงินทองมากมาย กลับมีที่อาศัยใหญ่โต ดื่มสุราชั้นเลิศ อีกทั้งยังมักไปหอนางโลมเป็นประจำ”
หยูเวิ่นหวินขมวดคิ้ว คิดอยู่นานแล้วเอ่ยว่า “หากวังหลวงไม่มีข้าหลวงเหล่านี้ จะวุ่นวายเพียงใด ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว พวกข้าหลวงได้ร่ำเรียนหนังสือ พวกเขามีความรู้เกี่ยวกับการปกครอง ดังนั้นประเทศจึงได้เก็บภาษีจากประชาชนไปให้พวกเขา พวกเขาคือสิ่งที่ทุกประเทศจะขาดไปมิได้ อีกทั้งทหารก็เช่นกัน ประเทศต้องการการปกป้องคุ้มครองจากพวกเขา เพื่อให้พวกเราได้อยู่อย่างสงบสุข เป็นสิ่งที่ประเทศใดจะขาดไปมิได้จริง ๆ หากแต่การเลี้ยงดูคนมากมายเช่นนี้ จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย ภาษีเหล่านั้นมาจากที่ใดกัน ? สุดท้ายแล้วเงินสนับสนุนเหล่านี้ก็มาจากชาวนา คนงานอีกทั้งพ่อค้าที่ดินอย่างข้า และพ่อค้าคนอื่น ๆ นั่นเอง”
“ในเมื่อผู้คนกลุ่มนี้มีความจำเป็นยิ่ง แต่ประเทศกลับมิให้ความใส่ใจได้อย่างไร ? บรรดาผู้ร่ำเรียนหนังสือดูถูกชาวนา เปรียบเทียบพวกเขาดั่งดินโคลนที่ติดตามรากหญ้า บรรดาข้าหลวงเหยียดหยามพ่อค้าเนื่องจากเนื้อตัวมีกลิ่นเหม็นคลุ้ง พวกเขาเคยคิดหรือไม่ว่า เงินที่พวกเขาได้รับเป็นค่าตอบแทน ล้วนมาจากภาษีของพ่อค้าทั้งหลาย ดังนั้นหากประเทศใดให้ความสำคัญต่อการค้าและชาวนา อีกทั้งยกย่องพวกเขา ประเทศนั้นจะเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว”
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานเข้าใจในเหตุผลนี้หลังจากรับฟัง
การที่สถานะของพ่อค้าได้รับการยกย่อง นั่นหมายความว่าเศรษฐกิจจะรุ่งเรือง การที่เศรษฐกิจรุ่งเรืองหมายถึงการเก็บภาษีได้มากยิ่งขึ้น หากมีเงินคลังมากประเทศนั้นจึงจะมีกำลังเพียงพอในการพัฒนาด้านต่าง ๆ เช่นการทหาร การศึกษาและนวัตกรรมเป็นต้น
“ข้าเพียงแต่เอ่ยไปเท่านั้น พวกเจ้าอย่าได้นำไปใส่ใจเลย เรื่องเหล่านี้ข้ามิกล้าเอ่ยต่อหน้าผู้อื่น พวกเจ้าจงเก็บเป็นความลับ”
ต่งชูหลานมองไปยังหยูเวิ่นหวิน หยูเวิ่นหวินยิ้มออกมา “สิ่งที่เจ้าเอ่ยมานั้นมีเหตุผลยิ่ง แต่มิอาจพูดออกไปได้ บัดนี้เป็นยุคของผู้ร่ำเรียนหนังสือ ความคิดที่ว่าใด ๆ ในโลกนี้มิอาจเปรียบเทียบได้กับการร่ำเรียนได้ถูกปลูกฝังเสียจนจำขึ้นใจ หากจะปรับเปลี่ยนความคิดใหม่ อาจจะต้องเป็นศัตรูกับผู้ร่ำเรียนทั้งโลก คาดว่าคงไม่ดีนัก”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยออกไปว่าคำพูดนี้ถูกต้องแล้ว เพียงแต่บรรดาผู้ร่ำเรียนเข้าใจกันผิดไป
คำที่เอ่ยว่าการเรียนหนังสือเป็นสิ่งสูงสุดนั้น หมายถึงการที่พวกเขาร่ำเรียนแล้วนำวิชามาพัฒนาประเทศ พัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชน คิดค้นสิ่งใหม่ ๆ ขึ้นมา อีกทั้งประดิษฐ์อาวุธต่าง ๆ นานา เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเป็นต้น
แต่ในยุคสมัยนี้ผู้ร่ำเรียนหนังสือยึดถืออุดมการณ์เดียวกัน นั่นคือเป็นขุนนาง !
มีเพียงการรับขุนนางเท่านั้นจึงจะได้รับการยกย่อง จึงจะแสดงถึงคุณค่าของตนออกมาได้ สิ่งนี้เป็นแนวคิดที่ไม่ถูกต้องนัก
แต่เป็นไปตามที่หยูเวิ่นหวินได้เอ่ยเมื่อครู่ สิ่งนี้มิใช่สิ่งที่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลงได้
ต่งชูหลานมิอยากสนทนาในหัวข้อนี้อีกต่อไป จึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ผลงานตุ้ยเหลียนของเจ้านั้น หยูเวิ่นหวินและเยี่ยนซีเหวินพนันกัน หยูเวิ่นหวินเขียนกลอนบทบน แต่เยี่ยนซีเหวินไม่สามารถต่อบทล่างได้ ตุ้ยเหลียนนั้นได้นำไปแขวนไว้ ณ หลานถิงจี๋ มีค่าชมไม่น้อยเลยทีเดียว”
มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนนำมือลูบจมูกแล้วเอ่ยว่า “เงินพวกนั้น พวกเจ้าอยากได้หรือไม่ ? ”
“แน่นอน ! หรือเจ้าจะมีกลอนบทล่างอื่นงั้นหรือ ? ”
“หึ ๆ ! ” ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ “พวกเจ้าจงฟังให้ดี ! ”
“ยิ่นเยวี่ยจิ่งและเงาจันทร์ เงาจันทร์ในยิ่นเยวี่ยจิ่ง เยวี่ยจิ่งนิรันดร์ เงาจันทน์นิรันดร์”
“หอกวนหวิน ชมเมฆา ชมเมฆาบนหอกวนหวิน เมฆารอบทิศ ชื่นชมรอบทิศ”
“……”
ตอนที่ 71 วันธรรมดาของฟู่เสี่ยวกวน
เมื่อดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ พลังความร้อนแรงของอากาศที่ร้อนจัดก็เริ่มลดลง ท้องฟ้าถูกแทนที่ด้วยสีส้มอ่อน ๆ แต่งแต้มไปด้วยเหล่าวิหคที่โผบินไปมาทั่วท้องฟ้า
กลุ่มคนทั้งหกเดินออกจากเรือนซีซาน และกำลังมุ่งหน้าไปยังทุ่งนาในชนบท
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานรู้สึกว่าทั้งหมดนั้นช่างสดชื่น รวงข้าวสีทองที่ยังมิได้เก็บเกี่ยวพลิ้วไหวไปตามสายลม กลิ่นหอมของข้าวลอยมาตามทาง ช่างเป็นกลิ่นที่ดียิ่งนัก นี่คือสิ่งที่พวกนางมิเคยได้สัมผัสมาก่อน จึงรู้สึกว่าการเดินทางครานี้คุ้มค่ายิ่งนัก
ในทุ่งนามีชาวนาหลายคนกำลังลงแรงกันอยู่ แม้แต่เด็กเล็กมากมายก็อยู่ในทุ่งนาเช่นกัน
เหล่าชาวนาผู้ใหญ่กำลังยุ่งอยู่กับการเก็บเกี่ยว เหล่าเด็กน้อยก็กำลังยุ่งอยู่กับการจับปลาในทุ่งนา ในยามนี้ปลานั้นอวบอ้วนยิ่ง รสชาติคงสดและนุ่มยิ่งนัก
“คุณชายมาแล้ว ! ”
“คุณชายมาเยี่ยมพวกเราแล้ว ! ”
“คุณชายขอรับ คุณชาย ! ”
ชาวชาวนาต่างยืดตัวขึ้น โบกมือเป็นการทักทายกับฟู่เสี่ยวกวน เด็กน้อยเหล่านั้นก็ตะโกนเรียกอย่างบ้าคลั่ง หลังจากนั้นก็จับปลามาคนละตัวและอุ้มขึ้นมาบนคันนา และรีบปรี่มาทางฟู่เสี่ยวกวน
ยอดฝีมือสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังหยูเวิ่นหวินทันใดนั้นก็มายืนอยู่ด้านหน้าของหยูเวิ่นหวิน ขณะที่มือนั้นถึงขั้นจับด้ามกระบี่เอาไว้แล้ว หยูเวิ่นหวินรีบขัดขวางและเอ่ยเรียบ ๆ ขึ้นมา “มิเป็นไร”
ยอดฝีมือสาวเหลือบมองซูม่อที่อยู่รั้งท้าย ซูม่อนิ่งสงบอย่างถึงที่สุด
“องค์หญิง…”
“ข้ากล่าวหลายคราแล้ว ว่าอย่าเรียกข้าเยี่ยงนั้น”
“หากมีมือสังหาร…”
“เจ้ามองพวกเขา พวกเขาเหมือนมือสังหารรึ ? ข้าขอสั่งให้เจ้ายืนอยู่ด้านหลัง และห้ามกระทำอันใดทั้งนั้น ถ้าหากว่าข้ามิได้สั่ง ! ”
เด็กน้อยที่วิ่งนำหน้าสุดมาถึงเบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวน เขาใช้ฟางห่อปลาสองตัวที่หนักประมาณครึ่งชั่งเอาไว้ “คุณชาย ข้ามอบให้ขอรับ ซุปปลานั้นอร่อยยิ่ง ท่านต้องดื่มเยอะ ๆ นะขอรับ”
จากนั้นก็ได้มีเด็กอีกคนหนึ่งวิ่งมา “คุณชายขอรับ คุณชาย ข้าขอมอบปลานี้ให้แก่ท่าน ! ” เด็กน้อยนำปลาที่หนักสองถึงสามชั่งที่เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่ามอบให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน
“ดี ดี ข้ารับไว้ทั้งหมด ขอบใจพวกเจ้า”
“คุณชายขอรับ พวกข้าก็ขอบคุณท่าน ! ”
เด็กหลายคนกำลังวิ่งตรงมา กลัวว่าหากช้าไปคุณชายจะเดินจากไปและมิได้ทานปลาที่ตนเองจับมา
โดยเร็ว ซูม่อและชุนซิ่วก็มองไปทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยความขุ่นเคือง สองมือของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยปลาจำนวนมาก
หวางเอ้อเช็ดเหงื่อพลางเดินตรงมา เหลือบมองเล็กน้อย ก่อนจะหันกลับตะโกนไปทางทุ่งนา “หวางเฉียง นำปลาของคุณชายส่งกลับไปก่อน”
“ขอรับ ! ”
ในมือของหวางเอ้อยังคงถือจอกชา เขาเหลือบมองเด็กสาวด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวนที่สวมผ้าปิดหน้า ทราบว่าน่าจะเป็นคนของคุณชาย
เขากล่าวกับฟู่เสี่ยวกวนยิ้ม ๆ “คุณชายดูสิขอรับ เก็บได้ประมาณครึ่งหนึ่งแล้ว ผ่านไปอีกสองวันก็น่าจะเก็บจนหมดแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้ามองฟ้า และกล่าวขำ ๆ “อากาศวันพรุ่งนี้ไม่เลว ต้องเร่งรีบตากแห้งและเก็บเข้ายุ้งฉาง ลูกคนที่สองของเจ้ายังอยู่ที่โรงปูน แรงงานที่บ้านพอหรือไม่ ? ”
“พอขอรับ ข้าและหวางเฉียงเก็บเกี่ยว หวางเฉียงหาบกลับบ้าน ลูกสะใภ้ข้ารับผิดชอบนำไปตากแดด ของบ้านข้าน่าจะเก็บเกี่ยวจนหมดในวันพรุ่งนี้ เก็บเกี่ยวเสร็จแล้วก็จะไปช่วยบ้านญาติต่อ”
“ข้ากลัวว่าลูกสะใภ้เจ้าจะหมดแรงเสียก่อน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
เสียงหัวเราะของชาวนาชราดังลั่นทุ่ง หวางเอ้อเดินตามฟู่เสี่ยวกวนไปตามคันนา พูดคุยถึงเรื่องการเพาะปลูก และพูดคุยถึงเรื่องจินตนาการในอนาคต
จนกระทั่งถึงทุ่งนาที่หนึ่ง ทั้งสองคนต่างหยุดลง ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปยังถังผสมที่อยู่ในทุ่งนา “เยี่ยงนั้นจะเหนื่อยและได้ประสิทธิภาพต่ำ”
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานที่เดินตามหลังฟู่เสี่ยวกวนมาตลอด ได้ยินคำพูดที่เขาคุยกันทั้งสิ้น ทั้งสองหันมาสบสายตา และรู้สึกว่าคนผู้นั้นแปลกประหลาดยิ่งขึ้น
สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนและหวางเอ้อพูดคุยกันนั้นพวกนางแทบจะมิเข้าใจ แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับเข้าใจ ! เขาเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง ราวกับเป็นมืออาชีพ ซึ่งนั่นทำให้พวกนางรู้สึกไม่เข้าใจยิ่งนัก
หวางเอ้อในยามนี้มองไปทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยความงุนงง แล้วกล่าวว่า “การสีข้าวใช้วิธีนี้มาอย่างเนิ่นนานแล้ว ยังจะมีวิธีแก้ไขให้ดียิ่งขึ้นอีกหรือขอรับ”
ลักษณะการนวดข้าวในปัจจุบันนี้ จะนำตัดรวงข้าวมาส่วนหนึ่งก่อน หลังจากนั้นก็จะใช้คนหยิบรวงข้าวขึ้นมาและทุบอย่างแรงในถังเพื่อให้ข้าวตกลงมา รอจนข้าวในถังมีมากแล้ว จึงนำไปตากแดดที่ลานตาก
“เรื่องนี้ข้ามิเคยใคร่ครวญมาก่อน พวกเราสามารถสร้างเครื่องนวดข้าวขึ้นมาได้ เช่นนี้”
ฟู่เสี่ยวกวนคุกเข่าข้างทุ่งนา หยิบหินกรวดบนพื้นขึ้นมาวาดรูป
“ของสิ่งนี้มิยุ่งยาก เป็นถังทรงกลม ตอกตะปูเหล็กไว้ด้านบน ตรงกลางเป็นเพลา ส่วนตรงนี้ทำคันโยก ทำสิ่งนี้ให้ยึดไว้ภายในถัง หนึ่งคนเขย่าคันโยก ถังนี้ก็จะหมุนตัว ส่วนอีกคนนั้นค่อยส่งรวงข้าวลงไป จะเกิดการเสียดสีกับตะปูที่อยู่ในถัง และข้าวก็จะหลุดลงมา มิต้องคำนึงเรื่องการใช้สองคน ประสิทธิภาพจะเร็วขึ้นอย่างมาก และช่วยผ่อนแรงได้”
หวางเอ้อเองก็คุกเข่าตาม จ้องมองอยู่ครู่หนึ่งใบหน้าคิ้วขมวด และพยักหน้า “วิธีของคุณชายยอดเยี่ยมยิ่งนัก”
“หากพวกเจ้าว่างแล้วก็ลองไปทำดู มิจำเป็นต้องเป็นตะปูเหล็ก จุดหลักคือการเพิ่มแรงเสียดทาน”
“พาข้าไปดูที่หมู่บ้านหวางเจียชุน” ฟู่เสี่ยวกวนเช็ดโคลนบนมือออกแล้วลุกขึ้นยืน
“ขอรับ”
กลุ่มคนยังคงเดินหน้าต่อไป หลังจากที่ข้ามสะพานแล้ว ก็จะเห็นบ้านที่ยังสร้างมิเสร็จที่อยู่ด้านข้างทุ่งนา
“ปูนซีเมนต์นั้นใช้งานได้ดียิ่ง ทั้งยังแข็งแรงมาก การสร้างบ้านจึงเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น” หวางเอ้อกล่าว
“อือ ข้าเพิ่งจะได้ใคร่ครวญเมื่อครู่ เพื่อจะได้สะดวกแก่การตากแดดทางการเกษตร รอจนปูนซีเมนต์ซีซานผ่านพ้นช่วงเร่งรีบ ให้ทุกครัวเรือนใช้ปูนซีเมนต์ทำให้พื้นที่ตากแดดนั้นราบเรียบ เยี่ยงนั้นจะได้มิต้องใช้เสื่อตากแดดแล้ว”
“นั่น… ปูนซีเมนต์เหล่านี้เป็นของล้ำค่า นำมาใช้เป็นลานตากแดดจะยิ่งสิ้นเปลืองเกินไปไหมขอรับ ?”
“ของสิ่งนี้มิได้ล้ำค่า ภายภาคหน้ากำลังการผลิตจะยิ่งสูงขึ้น จนแม้แต่สันเขานี้ก็สามารถทาให้เป็นถนนปูนซีเมนต์ได้แต่คงต้องใช้เวลาเสียหน่อย มันจะดียิ่งขึ้นเป็นแน่”
ใบหน้าดำคล้ำของชายชรามีรอยยิ้มผุดขึ้นมา เขาเชื่อมั่นในตัวคุณชายอย่างหาที่สุดมิได้ ในตอนนี้ถึงแม้เรือนเหล่านั้นจะยังมิได้สร้างขึ้น แต่ส่วนฐานได้สร้างไว้เสร็จแล้ว นั่นคือซื่อเหอเยวี่ยน ทั้งยังใช้อิฐกระเบื้องและปูนซีเมนต์ในการสร้าง
แม้แต่เรื่องการแต่งงานของบุตรชายหวางเฉียง เขาจะสร้างบ้านใหม่ก็เป็นเพียงบ้านกำแพงดินที่มิเกินสามห้อง ไหนเลยจะเหมือนกับในตอนนี้ นี่ราวกับก้าวขึ้นฟ้าด้วยขาเพียงหนึ่งก้าว
ชาวบ้านต่างพอใจกันอย่างยิ่ง จึงรักใคร่และเทิดทูนคุณชายอย่างที่มิอาจบรรยายได้
“ข้ามีความคิดหนึ่งอยากให้เจ้าลองฟัง ลองดูสิว่าจะพอทำให้เป็นจริงได้ไหม”
“คุณชายเชิญกล่าว”
“รอจนข้าวเก็บเข้ายุ้งฉาง เจ้าเป็นหัวหน้ากลุ่มก่อตั้งกลุ่มก่อสร้างขึ้นมา เป็นกลุ่มที่เชี่ยวชาญทางด้านการสร้างบ้าน โดยสรุปจากประสบการณ์การสร้างบ้านในหมู่บ้านหวางเจียชุนของเจ้า ในภายภาคหน้าจะอาศัยทีมของเจ้ามาเสริมประสบการณ์เหล่านี้ เพื่อสร้างบ้านในหมู่บ้านให้มากยิ่งขึ้น แน่นอนว่าการสร้างบ้านในภายหลังนั้นจำต้องเก็บค่าใช้จ่าย ข้าจะให้พ่อบ้านจางนำต้นทุนของปูนซีเมนต์ อิฐ และกระเบื้องมาให้เจ้า เจ้ากำหนดราคาแรงงาน และเจ้าก็ประเมินต้นทุนด้วยตนเอง แล้วนำมาเสนอให้ข้าเห็นด้วยก็พอ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“เป็นเรื่องที่ดียิ่ง หมดหน้าเกษตรแล้วชาวบ้านย่อมเต็มใจทำเพื่อที่จะมีรายได้เพิ่ม”
“ประเดี๋ยวผ่านไปอีกไม่กี่วันข้าจะเรียกทุกคนมาประชุม จะพูดเรื่องนี้ในยามที่ถึงเวลาประชุม เจ้าต้องเตรียมพร้อมไว้ด้วย”
กลุ่มของฟู่เสี่ยวกวนกลับมาถึงเรือนซีซานก็เป็นยามพลบค่ำแล้ว
ครานี้ได้เดินเยอะไม่น้อย แต่หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานกลับมิรู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใด
ในใจของพวกนางตอนนี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจ รู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนยอดเยี่ยมจริง ๆ อย่างอธิบายไม่ถูก
และในยามนี้ ฟู่เสี่ยวกวนกลับเข้าห้องครัวไป กล่าวว่าปลาที่เนื้ออวบเยี่ยงนี้ มิสามารถปล่อยให้แม่ครัวทำให้เสียของได้
ตอนที่ 70 ข้ายุ่งมากจริง ๆ
การปรากฏตัวของต่งชูหลานทำให้ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจยิ่งนัก
เขามีความสุขมากเนื่องจากนางเป็นสตรีนางแรกที่เขาชื่นชอบหลังจากมายังโลกนี้ จากเดิมเขาตั้งใจว่าปลายปีเมื่อจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ณ ซีซานเรียบร้อยแล้ว จะเดินทางไปยังเมืองหลวงเพื่อพบนาง แต่ไม่คาดคิดว่านางจะเดินทางมาด้วยตนเอง
เมื่อทั้งสามสนทนากันชั่วครู่ ความรู้สึกแปลกหน้ายามพบกันเมื่อครู่ หวนย้อนกลับไปคล้ายตอนที่พูดคุยในจดหมาย
เหมือนเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันมานาน พูดคุยอย่างสนุกสนานและเป็นกันเอง
หยูเวิ่นหวินเป็นกันเองมากกว่าต่งชูหลาน ในใจของนางรู้ดีถึงความสำคัญที่ฟู่เสี่ยวกวนมีให้แก่ต่งชูหลาน นางรู้ถึงวิธีจัดการเรื่องนี้ได้มากกว่า อีกทั้งนางมิเคยยกเรื่องที่นางเป็นองค์หญิงมาอ้าง
ด้วยเหตุนี้ จึงสามารถพูดคุยกันได้อย่างเท่าเทียม มีเพียงวิธีนี้จึงจะสามารถอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าได้
บรรยากาศดำเนินไปอย่างอบอุ่น มีเสียงหัวเราะออกมามิขาดสาย ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าเขาเกือบมีความสุขที่สุดในชีวิต แน่นอนว่าวันที่เขามีความสุขที่สุดในชีวิตคงเป็นคืนเข้าหอ
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินก็อำลาฟู่เสี่ยวกวนเพื่อกลับเข้าที่พักตน
ฟู่เสี่ยวกวนเรียกจางเช่อเข้ามา พวกเขาทั้งสองพูดคุยกันอยู่นาน
โรงปูนที่ด้านหลังภูเขาซีซานนั้นผลิตได้จำนวนมากอย่างต่อเนื่อง กังหันน้ำเพิ่มเป็น 3 เครื่อง โม่เหล็กที่จัดทำ ณ เขตเหยาก็ดำเนินการประกอบเรียบร้อยแล้ว ใช้งานได้ดีกว่าโม่หินหลายเท่านัก เพียงแต่ต้องใช้แรงวัวหลายตัวในการลาก มิเช่นนั้นจะหมุนช้า
ทางด้านช่างอิฐถังหลินนั้นเกิดความผิดพลาดขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากพายุฝนทำให้อิฐและกระเบื้องที่ยังไม่ก่อนั้นเสียหายจำนวนมาก ถังหลินรับสมัครผู้ทำอิฐเพิ่มเป็นจำนวนมากเพื่อแก้ปัญหา บัดนี้จำนวนอิฐเป็นไปตามความต้องการสำหรับการก่อสร้างที่หมู่บ้านหวางเจียชุนและซีซานเรียบร้อยแล้ว
การก่อสร้างซีซานและหมู่บ้านหวางเจียชุนเพิ่งหยุดลงเมื่อวาน เนื่องจากข้าวสุกเต็มรวง ต้องรีบจัดการเก็บเกี่ยวให้เร็วที่สุด คาดว่าต้องใช้เวลาสามถึงห้าวัน
เมล็ดพันธุ์ที่คุณชายเคยมอบให้นั้นเกิดดอกออกผลงดงาม นอกเหนือจากหมู่บ้านหวางเจียชุนแล้ว ที่อื่นคาดว่าใกล้ผลิบานเต็มที เนื่องจากหมู่บ้านหวางเจียชุนลงปลูกช้ากว่าที่ใด จึงทำให้ออกดอกช้ากว่าเป็นธรรมดา
สิ่งก่อสร้างแห่งแรก ณ ซีซานเสร็จสิ้นแล้ว แม้แต่พื้นก็ใช้ปูนในการทำตามที่คุณชายสั่งไว้ทุกประการ บัดนี้พวกเขาเพิ่งรู้ถึงความน่าอัศจรรย์ของปูนว่าใช้งานได้ดียิ่ง
เรื่องของปริมาณในการกลั่นสุรานั้นยังมิสามารถหาวิธีเพิ่มขึ้นได้ คงทำได้เพียงรอโรงกลั่นสุราแห่งใหม่สร้างเสร็จ ส่วนบรรดาอาจารย์กลั่นสุราทั้งหลายได้ทดลองหาวิธีมากมาย ทำให้ปริมาณแอลกอฮอล์มั่นคงขึ้นกว่าเดิม แต่ยังคงมิเข้าใจถึงเหล้าที่เก็บไว้ในโกดังใต้ภูเขาซีซาน
นอกเหนือจากนั้นเฝิ๋งหล่าวซื่อส่งคนมารายงานว่า พบแหล่งแร่เหล็กที่ภูเขาเฟิ่งหลิน เขาและช่างหินช่างเหล็กได้คาดเดาว่าเป็นแหล่งแร่ที่มีขนาดใหญ่ เพียงแต่ภูเขาเฟิ่งหลินเป็นภูเขาที่มีหลายลูก แหล่งแร่เหล็กนี้ถูกค้นพบยังกลางภูเขาต้วนหุนซานซึ่งยากต่อการขุด แต่พวกเขายังไม่ได้กลับออกมา กลับกล่าวว่าจะลองหาวิธีการดู
นอกจากนี้เฝิ๋งหล่าวซื่อกล่าวว่าหากคุณชายต้องการขุดแร่ที่นี่ ควรรับสมัครคนจากสำนักหลอม พวกเขามีความสามารถด้านการถลุงเหล็ก หากสามารถสร้างโรงหลอมเหล็กได้ที่ภูเขาต้วนหุนซานก็จะประหยัดแรงงานไปได้มาก เนื่องจากการขนส่งแร่ธาตุออกมาจากภูเขานั้นลำบากกว่าเรื่องหลังภูเขาซีซานหลายร้อยเท่านัก
ฟู่เสี่ยวกวนตั้งใจฟังอย่างละเอียด เขาใช้แท่งถ่านจดลงบนกระดาษบ้างเป็นบางครา เมื่อจางเช่อกล่าวเรื่องทั้งหมดจบสิ้นแล้ว เขาก็ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่นาน
เนื่องจากเรื่องของโรงเหล็กนี้ มองจากโครงสร้างที่เขาวาดขึ้นมา ก็เข้าใจถึงความยากลำบากในการขุดเหมืองนี้ว่าเป็นเพราะเหตุใด
ประการแรกคือการคมนาคม ภูเขานี้ไม่มีถนนเชื่อมต่อไปยังภูเขาอื่น จำเป็นต้องตัดถนนสายใหม่
ประการที่สอง จากเดิมเขาต้องการนำแร่ขนส่งออกมาจัดการข้างนอก แต่บัดนี้มองแล้วความคิดของเฝิ๋งหล่าวซื่อเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพียงแต่ไม่รู้ว่าพื้นที่แห่งนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ? เหมาะสมกับการสร้างโรงงานหรือไม่ ? หากเหมาะสมนั้นเขาเองก็เห็นด้วยกับการสร้างโรงถลุงเหล็กในภูเขา
สิ่งที่สามก็คือกำลังคน เขาต้องการกำลังคนจำนวนมาก แต่กำลังคนในหลินเจียงถูกกำหนดให้ไปเก็บเกี่ยวผลผลิตในท้องนาหมดแล้ว หากให้พวกเขาละทิ้งผืนนาที่บรรพบุรุษสืบต่อกันมาช้านานนี้ คาดว่าคงมิอาจรับได้
สิ่งนี้เนื่องมาจากเทคโนโลยีทั้งหลายยังไม่เกิดขึ้น บรรดาเกษตรกรยังใช้มือทั้งสองข้างของเขาในการทำนา ซึ่งแม้แต่วัวที่ใช้ไถนายังมิใช่ว่าทุกครัวเรือนจะมี ส่งผลให้ผลผลิตน้อยและยังต้องใช้แรงงานมาก
ครุ่นคิดอยู่นาน จึงตัดสินใจรอให้เฝิ๋งหล่าวซื่อกลับมาค่อยปรึกษาหารือกับเขา แต่เรื่องการรับสมัครแรงงานนั้นสามารถเริ่มลงมือได้เลย
“ผู้ดูแลจาง เมื่องานเก็บเกี่ยวแล้วเสร็จ ท่านจงเรียกประชุมหัวหน้าหมู่บ้านทั้งหมด ณ ซีซาน”
“ขอรับ”
เมื่อจางเช่อออกไปจากเรือนแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนยังคงมองดูแผนที่ภูเขาเฟิ่งหลินซานนั้น ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินก็เดินเข้ามา
ชุนซิ่วต้มชาให้พวกเขาและมองดูสาวงามทั้งสอง ในใจคิดว่าคุณชายช่างมีความสามารถนัก สาวงามทั้งสองนางเดินทางมายังหลินเจียงเพื่อเขา ไม่รู้ว่าท่านใดจะกลายเป็นนายหญิงแห่งจวนฟู่
“เจ้ามิได้พักผ่อนหรือ ? ” หยูเวิ่นหวินบิดขี้เกียจแล้วเอ่ยถาม
สายตาฟู่เสี่ยวกวนจับจ้องไปยังเรือนร่างของหยูเวิ่นหวิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่นางบิดขี้เกียจ เรือนร่างของนางน่ามองกว่าต่งชูหลานมากนัก
หยูเวิ่นหวินรับรู้ได้ถึงสายตาอันร้อนแรงนั่น นางหน้าแดงระเรื่อ ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะหึ ๆ แล้วเอ่ยว่า “เดิมทีรู้สึกเมื่อยล้าเต็มทน แต่มีพวกเจ้าอยู่ที่นี่ ข้าจึงกลับมากระปรี้กระเปร่าอีกครั้ง”
ต่งชูหลานมองค้อนเขา เจ้าผู้นี้นับวันยิ่งเอาใหญ่แล้ว
นางหยิบกระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมาดู แล้วเอ่ยถามว่า “นี่เจ้าต้องการทำสิ่งใด ?”
“ที่แห่งนี้มีแหล่งแร่เหล็ก ข้ากำลังคิดหาวิธีขุดมันขึ้นมา”
หยูเวิ่นหวินชะงักและมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน “ขุดแร่ ? เจ้าได้รับหนังสืออนุญาตแล้วงั้นหรือ ? ”
“หนังสือได้รับแล้ว ณ ตอนนี้ปัญหาคือข้าต้องการคนจำนวนมาก อีกทั้งยังต้องคิดหาวิธีดึงคนจากสำนักหลอมมาอีกด้วย”
“อ้อ……”
“เหมืองเหล็กนี้เจ้าคิดจะขุดมาเพื่อทำอันใด ? ดูจากแผนที่นี้ช่างซับซ้อนยิ่งนัก หากต้องการตัดถนนเข้าไปยังภูเขาคาดว่าเป็นงานหนักมากทีเดียว อีกทั้งการขุดแร่ในภูเขานี้ ต้องใช้เวลาเตรียมตัวล่วงหน้านานโข คำนวณดูแล้วคงได้กำไรไม่มากนัก”
ต่งชูหลานวิเคราะห์ออกมาอย่างรวดเร็ว ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะแล้วกล่าวว่า “การขุดเหมืองเป็นเพียงสิ่งเริ่มต้นเท่านั้น แน่นอนว่าไม่ได้กำไร แต่หากนำเหล็กเหล่านี้มาหลอมเป็นอาวุธและเครื่องใช้ต่าง ๆ ก็จะเพิ่มมูลค่ามหาศาล”
“ถ้าเป็นเช่นนี้เจ้าจะต้องใช้คนมากมายเพียงใดกัน คนเหล่านี้ล้วนอยู่ในอำนาจของประเทศ ชาวบ้านธรรมดาทั่วไปทำได้เพียงมีดค้อนธรรมดาเท่านั้น แต่สิ่งนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมนัก นอกเสียจากเจ้าจะสร้างอาวุธชุดเกราะที่ดียิ่งกว่าสำนักหลอมเสียเอง…เจ้าอย่าบอกข้าว่าคิดจะทำสิ่งนี้ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนคิดเช่นนั้นจริง ๆ
เขาไม่เพียงแต่จะสร้างอาวุธและชุดเกราะ อีกทั้งต้องการสร้างเกราะแก่ม้า เขาจำได้อย่างแม่นยำว่าการที่เกิดสงครามนั้นมันน่ากลัวเพียงไร !
ส่วนเรื่องปืนนั้น คงต้องรออีกสักพัก
“ข้า……ช่วยเจ้าจัดหาช่างดีหรือไม่ ? ” หยูเวิ่นหวินเอ่ยออกมาด้วยความระมัดระวัง
“ทำได้อย่างนั้นหรือ ? ”
“ข้าจะลองดู”
ตอนที่ 69 สตรีงามผู้ร่วมทางทั้งสอง
ขณะนี้ก็เป็นเวลาดึกดื่นแล้ว แต่ฟู่ต้ากวนก็ยังนอนมิหลับ
ราชโองการของฝ่าบาทในวันนี้สร้างความยุ่งเหยิงให้กับลำดับความสำคัญของเขา ชาตินี้ความคิดในเดิมทีของเขามีเพียงแค่ให้ฟู่เสี่ยวกวนได้เติบโตมาอย่างปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว หากสร้างชื่อเสียงได้ก็คงดีที่สุด หากมิสามารถเยี่ยงนั้นก็สืบทอดกิจการที่ใหญ่โตของตระกูลต่อไป หากเขาสามารถเรียนรู้ทักษะความสามารถบางอย่างมาเพื่อดูแลครอบครัวได้ ก็ถือว่าดีอย่างมาก หากมิสามารถแก้ไขได้อย่างแท้จริง กิจการของตระกูลนั้นมีมากพอที่จะให้เขาล้างผลาญ และฟู่ต้ากวนก็จะมอบกำลังและจิตใจไว้ที่หลานแทน บุตรชายผู้นี้มิได้เรื่องเยี่ยงนั้นก็ต้องข้ามรุ่นไปอบรมสั่งสอนก็ยังทัน
ในตอนนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็รู้ความแล้ว ทั้งยังมีความสามารถทางด้านวรรณกรรม ช่วยกู้หน้าให้แก่เขาเสียยิ่งใหญ่ และยังจัดการเรื่องราวได้อย่างมั่นคง การมอบตระกูลฟู่ไว้ในมือของเขาคงเป็นเรื่องที่จะประสบความสำเร็จเป็นแน่
ส่วนเรื่องของฉีซื่อและบุตรที่กำลังจะเกิด เขาได้หาหนทางอื่นไว้แล้ว โดยจะให้ฉีซื่อและลูกได้ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและมั่งคั่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการทะเลาะวิวาท
แต่ในยามนี้ฝ่าบาทกลับต้องการให้เขารับอนุ 5 นาง ทั้งยังต้องมีบุตรอีก 5 คน มิใช่ว่าตระกูลฟู่จะเลี้ยงดูมิได้ แต่หากเป็นไปเยี่ยงนี้คงจะเลี่ยงการเกิดเรื่องน้ำเน่าเหล่านั้นมิได้ นอกจากนี้เขายังเคยให้สัญญากับหยุนชิงแล้วว่าจะมิมีบุตรอีก
แต่ก็มิสามารถฝ่าฝืนพระราชโองการนี้ได้ เฮ้อ… ยากยิ่งนัก
ยามที่ฟู่เสี่ยวกวนกลับมาก็พบว่าไฟในห้องของบิดายังคงติดอยู่ ครุ่นคิดเล็กน้อยและเดินเข้าไป
“ท่านพ่อ ท่านมิจำเป็นต้องกังวลใจกับเรื่องนี้ ท่านแค่ทำตามพระราชโองการไปก็พอ” ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลง ฟู่ต้ากวนก็ถอนหายใจออกมา
“วันรุ่งขึ้นข้าต้องออกไปหมู่บ้านเซี่ยชุนแต่เช้าตรู่ มีเรื่องในหลินเจียง 2 เรื่องที่อยากไหว้วานให้ท่านพ่อช่วยจัดการ”
“อืม เจ้ากล่าวมาเถิด”
“ประการแรกทางด้านชีชื่อ ร้านสุราชีชื่อได้ปิดตัวลงแล้ว ข้าต้องการช่างกลั่นสุราเหล่านั้น เรื่องนี้ต้องลำบากท่านพ่อให้นำตัวพวกเขามาด้วย”
เรื่องของร้านสุราชีชื่อนั้นได้ตกตะกอนไปแล้วในวันนี้ และมิมีชื่อเสียงตามท้องตลาดอีก ในคราแรกฟู่ต้ากวนกังวลใจอย่างยิ่งยามที่ได้เห็นโฆษณาของชีชื่อ เพียงแต่ในยามนั้นฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่หมู่บ้านเซี่ยชุน เขาจึงมิได้ไปไถ่ถาม
ผลสุดท้ายเดือนแปดวันที่สิบห้าชีชื่อและคนทั้งหลินเจียงก็ได้มีเรื่องตลกครั้งใหญ่ในวันนั้น สุราที่ลอยเสียดฟ้ามิได้วางขาย และจนถึงวันนี้ก็ยังมิได้ออกสู่ตลาด เขามิรู้เหตุผลอื่นใด หากครุ่นคิดก็คิดว่าน่าจะเป็นความโชคร้ายของชีชื่อ
ร้านสุราซีซานของตระกูลตนนั้นกำลังขยายตัว บุตรชายต้องการนายช่าง นั่นเป็นเรื่องที่ปกติ
“ข้าจะส่งคนไปติดต่อในวันพรุ่งนี้”
“นอกจากนี้ในวันรุ่งขึ้นส่งคนไปยังร้านขายกระจกหยู่จี้ที่ซีฝาง ข้าได้สั่งทำเครื่องแก้วกับหยู๋จงถานจำนวนมาก หากเรียบร้อยแล้วให้ส่งไปยังเรือนซีซาน ข้ารีบใช้ ยามที่ขนส่งโปรดระมัดระวังอย่างยิ่ง ของสิ่งนี้แตกได้ง่ายนัก”
“ข้ารู้แล้ว… ลูกข้า ข้ายังมิเข้าใจ ฝ่าบาทรู้จักตระกูลฟู่ของเราได้เยี่ยงไร ต่อให้ตอนนี้เจ้าจะมีชื่อเสียง แต่จะสามารถโด่งดังไปจนถึงเบื้องบนเลยหรือ ถึงต่อให้ฝ่าบาทจะรู้จักเจ้า เยี่ยงนั้นก็ควรมอบราชโองการให้เจ้าตบแต่งอนุเข้าต่างหากถึงจะถูก เหตุใดจึงเป็นข้ากัน ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “นั่นก็เห็นได้ชัดแล้วว่าท่านพ่อเป็นผู้อาวุโสที่แข็งแรง ในราชโองการนั้นก็ได้กล่าวแล้วมิใช่หรือ คนตระกูลฟู่นั้นยังขาดสีสันภายในจวน จึงต้องให้ท่านพ่อแตกยอดกิ่งก้านสาขา เรื่องนี้ท่านปล่อยวางแล้วเลือกไปเถิด เลือกที่เยาว์วัยและสวยเสียหน่อย สุขภาพจะได้ดี หลังจากที่เลือกเรียบร้อยแล้วก็จัดพิธีรับอนุ เยี่ยงไรแล้วก็เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท หากมีข่าวดีในตอนที่ข้ายังมิกลับมาก็บอกข้าเสียหน่อย เยี่ยงไรข้าก็ต้องรู้จักแม่สามแม่สี่จนถึงแม่หกด้วยบ้าง”
“เฮ้อ…”
สองมือฟู่ต้ากวนตบเข่า แล้วถอนหายใจออกมายาว ๆ
……
…..
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้พาคนกลุ่มใหญ่ขึ้นรถม้าและออกเดินทางไป
นางไร้ทางเลือก องค์หญิงเก้าหยูเวิ่นหวินต้องการไปเรือนซีซาน นางทำได้เพียงนำสาวใช้ในครัวไปด้วยทั้งหมด ตัวเขาจะทานอะไรก็ได้ แต่เยี่ยงไรองค์หญิงเก้าก็เป็นถึงดอกฟ้าผู้สูงศักดิ์ การใช้ชีวิตคงต้องพิถีพิถันเสียหน่อย
เมื่อมาถึงประตูทางใต้รอไปจนหมดหนึ่งก้านธูป รถม้าสองคันก็ได้มาถึง ฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวินได้หารือกันแล้ว ว่าจะเดินทางไปทางทิศใต้ยามที่แดดยามเช้าคล้อยลง
เดิมทีฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าการเดินทางขององค์หญิงจะต้องเป็นขบวนที่ยิ่งใหญ่ อย่างน้อยก็ควรจะพาทหารยามไปด้วยสักสิบกว่าคน มิคาดคิดว่าพระองค์จะเป็นคนง่าย ๆ ถึงเพียงนี้ เมื่อครู่ที่ได้หารือกัน เขาได้บอกกล่าวกับหยูเวิ่นหวินอย่างนิ่มนวลแล้วว่า เมื่อถึงหมู่บ้านเซี่ยชุนแล้ว เกรงว่าจะมิอาจเรียกพระองค์ว่าองค์หญิงเก้าได้ หยูเวิ่นหวินกลับชื่นชอบ รู้สึกว่าเยี่ยงนี้จะดียิ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงพิธีรีตองที่ยุ่งยาก
“รถคันนั้นที่อยู่ทางด้านหลังของพระองค์มียอดฝีมือระดับสูงอยู่” ซูม่อกล่าว
“ระดับสูงเพียงไหน ? ”
“สูงกว่าข้า”
ฟู่เสี่ยวกวนเหลือบมองซูม่อ เขามิรู้ว่าซูม่อระดับสูงถึงเพียงไหน เนื่องจากซูม่อเป็นลูกศิษย์ภายในสำนักเต๋า เยี่ยงนั้นเขาจะต้องมีระดับสูงเป็นแน่ แต่ในตอนนี้ซูม่อถึงกับกล่าวว่าคนที่หยูเวิ่นหวินพามาด้วยนั้นมีระดับสูงกว่าเขา คิด ๆ แล้วก็เป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็เป็นองค์หญิงของประเทศ ราชวงศ์ย่อมมิขาดยอดฝีมือระดับสูงอยู่แล้ว
“เยี่ยงนั้นก็ดี ข้ามิอยากให้เกิดเรื่องกับพระองค์ยามที่อยู่หมู่บ้านเซี่ยชุน”
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งสมาธิฝึกลมปราณไปตลอดทาง ขบวนรถมิได้ชะลอความเร็วลงเพียงเพราะมีองค์หญิงอยู่ด้วย จนเวลาใกล้เที่ยง ขบวนรถก็ได้มาถึงเรือนซีซาน
ครานี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ลงจากรถลงไปเดินในทุ่งนา แต่กลับตรงเข้าไปในเรือนทันที
กลุ่มคนดังกล่าวได้ลงจากรถม้าที่ด้านนอกเรือน จางเช่อก็รีบเข้ามาต้อนรับ ฟู่เสี่ยวกวนกำชับกับเขาอีกไม่กี่ประโยค จางเช่อก็เข้าไปจัดการในเรือน
ในยามนี้ชาวนาที่ออกไปเก็บเกี่ยวก็ได้กลับมาแล้ว ด้านนอกเรือนนั้นคึกคักยิ่ง พวกเขาสังเกตเห็นขบวนรถที่มานี้ ก็รับทราบทันทีว่าคุณชายได้มาเยือนอีกครา ทุกคนจึงมีความสุขอย่างมาก
หยูเวิ่นหวินลงจากรถแล้ว ต่งชูหลานครุ่นคิดและลงตามเช่นกัน
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้สนใจถึงต่งชูหลาน เพราะหวางเอ้อและหวางเฉียงกำลังพูดคุยกับฟู่เสี่ยวกวนอยู่
“คุณชาย ข้าวเหล่านี้โตเต็มที่แล้ว ป้ายจึ 10 ต้นนั้นได้เก็บเกี่ยวเรียบร้อยแล้วขอรับ ในวันนี้ตากแดดอีกสักเล็กน้อยก็สามารถเก็บได้แล้วขอรับ”
“พายุฝนที่ผ่านมาได้สร้างผลกระทบต่อการเก็บข้าวหรือไม่ ?”
“ผลกระทบมิได้ใหญ่โตขอรับ คาดว่าการเก็บเกี่ยวน่าจะสูงกว่าปีที่ผ่าน ๆ มาเป็นเท่าตัว”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด “การสร้างบ้านที่หมู่บ้านหวางเจียชุนไปถึงไหนแล้ว ? ”
“ระยะนี้วุ่นวายอยู่กับการทำนาจึงล่าช้าลง รอข้าวเหล่านี้ถูกเก็บเข้ายุ้งฉาง ในภายหลังจะสามารถสร้างได้เร็วยิ่งขึ้นขอรับ”
“ข้าทราบแล้ว พวกเจ้าไปทานข้าวพักผ่อนก่อนเถิด”
หวางเอ้อบิดาและบุตรชายเดินจากไป ฟู่เสี่ยวกวนจึงหันหลังกลับ แต่กลับพบหยูเวิ่นหวินที่อยู่ข้างหลัง และต่งชูหลานก็อยู่ข้างหลังเช่นกัน
เขาสะดุ้งตกใจ แต่ก็กลั้นสีหน้าที่ดีใจเอาไว้ไม่ไหว “เจ้ามาเมื่อใดกัน ? ”
ต่งชูหลานกลอกตาใส่เขา ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะน้อย ๆ และลูบจมูกไปมา และพาทั้งสองคนเข้าไปในเรือนด้านใน
ครอบครัวของหวางเอ้อยังคงอาศัยอยู่ภายในเรือน ฟู่เสี่ยวกวนจัดให้หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานพักอยู่ห้องข้าง ๆ ของตนเองที่ชั้นสอง ชุนซิ่วพาสาวใช้จำนวนมากที่มากับองค์หญิงเก้าไปยังห้องทางปีกตะวันตกบนชั้นสอง ปักหลักลงที่ข้างห้องของซูม่อ
หลังจากนั้นชุนซิ่วก็พาพวกเขาไปยังห้องครัวที่กำลังยุ่งวุ่นวาย ฟู่เสี่ยวกวนกับต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินทั้งสามคนนั่งลงใต้ร่มเงาของต้นไม้ภายในเรือน
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ได้พบกับยอดฝีมือที่ซูม่อได้กล่าวไว้แล้ว เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ดูแล้วอายุเพียง 20 ปี ท่าทางมิได้โดดเด่น สีหน้าเย็นชานั้นมองไปรอบ ๆ ด้วยท่าทีระมัดระวัง หลังจากนั้นก็ขึ้นไปยังห้องของตนที่อยู่ชั้นสอง
“ชูหลาน เจ้ามาถึงเมื่อใดกัน ? ”
ต่งชูหลานดึงผ้าปิดหน้าลง และจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน “ทำไม เจ้ากลัวข้ามาหาเจ้าหรือ ? ”
“กล่าวอันใดกัน หากเจ้ามิมา ข้าก็คงต้องได้เข้าเมืองหลวงไปชิงตัวเป็นแน่”
ใบหน้าต่งชูหลานแดงทันพลัน สีหน้าขัดเขิน
“เยี่ยงนั้นก็ชิงตัวข้าไปด้วยก็แล้วกัน ! ” หยูเวิ่นหวินกล่าวด้วยสีหน้ามิพอใจ
Click to Hide Advanced Floating Content

Kingdom66

Brazil999
ตอนที่ 68 ข้าตัดสินใจแน่วแน่
ณ ซ่างหลินโจว หอวั่งเจียงโหลว
ฟู่เสี่ยวกวนเดินมายังระเบียงแล้วชายตามองออกไปยังแม่น้ำฉางเจียงอันมืดสงบ ในใจเขากลับเกิดคลื่นขึ้นมา
งานเลี้ยงในค่ำคืนนี้มีทั้งอาหารและสุราเลิศรส แต่มีผู้คนเดินทางมาร่วมงานน้อยเหลือเกิน
มีแค่ท่านชินอ๋อง ซื่อจื่อหยูหงอี้ อีกทั้งองค์หญิงเก้าหยูเวิ่นหวินและฟู่เสี่ยวกวน เพียงแค่ 4 คนเท่านั้น
หยูเวิ่นหวินเอ่ยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ ชายหนุ่มอายุน้อยเพียงนี้สามารถประพันธ์กวีจารึกลงบนหินเชียนเปยสือได้ ช่างน่าชื่นชมยิ่งนัก
หลังจากท่านชินอ๋องและหยูหงอี้ได้ยินเรื่องราวนี้ ก็มองฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนไปทันที หินเชียนเปยสือแห่งหลานถิงจี๋เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของเหล่านักปราชญ์ ฟู่เสี่ยวกวนได้ใช้กวีทำนองเพลงแห่งสายน้ำนี้เป็นเครื่องมือในการสลักชื่อไว้บนหินเชียนเปยสือบรรทัดที่หนึ่ง กล่าวได้ว่าเขาคว้ารางวัลสูงสุดแห่งไข่มุกแพรวพราวในโลกวรรณกรรมไว้เรียบร้อย แน่นอนว่าสิ่งนี้การันตีถึงความสามารถของเขา
สิ่งนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้คาดคิด หากแต่เป็นแม่นางต่งชูหลานที่ดันเขาขึ้นสู่ยอดสูง
แน่นอนว่าเขามิได้กังวลแม้แต่น้อยว่าจะร่วงลงมา เนื่องจากในหัวของเขามีกวีอีกมากมาย
หยูเวิ่นหวินเอ่ยถึงอาจารย์หูแห่งซ่างหงจาวซิ่ว ณ แม่น้ำฉินหวายที่ได้แต่งทำนองเพลงขึ้นมา จากนั้นเซวี๋ยเฟยเฟยเป็นผู้ขับร้องคนแรก จากนั้นก็ได้ยินแพร่หลายในเมืองหลวง คาดว่าไม่กี่วันคงมาถึงหลินเจียงและอาจจะกระจายไปทั่วประเทศก็เป็นได้
ดังนั้น หยูเวิ่นหวินจึงเอ่ยถามด้วยท่าทีจริงจังว่า “บัดนี้ท่านเป็นผู้มีชื่อเสียงร่ำลือไปไกล คิดจะลองเข้าสอบคัดเลือกหรือไม่ ?” แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนไม่มีความคิดเยี่ยงนั้น เขายังคงยืนหยัดในอุดมการณ์เดิมนั่นคือเป็นเพียงพ่อค้าที่ดินธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสำราญใจ อีกทั้งเขารู้แก่ใจว่าการต้องร่างบัญญัติเหล่านั้นเขามิอาจทำได้ นั่นเกินกว่าความสามารถของเขา
สิ่งนี้ทำให้หยูเวิ่นหวินชอบใจยิ่งนัก นางร่วมดื่มกับฟู่เสี่ยวกวนอีกสองแก้ว
เมื่องานเลี้ยงสิ้นสุดลง ท่านชินอ๋องได้วางแผนพาหยูหงอี้ออกไป ดังนั้นในหอแห่งนี้จึงเหลือเพียงฟู่เสี่ยวกวนและหยูเวิ่นหวิน 2 คน
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็หวังให้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากเขามีเรื่องต้องปรับความเข้าใจกับหยูเวิ่นหวินเกี่ยวกับความคิดของเขาให้ตรงกัน
หยูเวิ่นหวินเดินเข้าไปด้านในเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่จำเป็นเลยแม้แต่น้อย จึงทำให้ภายในใจก่อคลื่นขึ้นมา
บรรยากาศงดงามเป็นใจเช่นนี้ หรือเขาจะอธิบาย ณ ตรงนี้ ?
หยูเวิ่นหวินดูเป็นผู้ใหญ่กว่าต่งชูหลานเล็กน้อย เกิดมาในตระกูลกษัตริย์ซึ่งเพียบพร้อมทุกสิ่งอย่าง สำหรับบุรุษทั่วไป นางเปรียบเสมือนภูเขาสูงที่ไม่อาจคว้าได้ แต่นิสัยของผู้ชายทุกคนล้วนเป็นเช่นเดียวกัน !
หยูเวิ่นหวินเดินออกมา ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองนาง
พบว่านางสวมใส่ชุดสีขาว แสงไฟสาดส่องลงมา ทำให้เห็นเสื้อตัวเล็กข้างในสีแดง เสื้อนั้นฟู่เสี่ยวกวนออกแบบให้ต่งชูหลานด้วยตนเอง คาดไม่ถึงว่านางก็สวมใส่มันด้วย หากแต่ช่างสวยงามนัก
หยูเวิ่นหวินเห็นสายตาของเขาที่จับจ้องก็เกิดหน้าแดงขึ้นมา นางกัดริมฝีปากตัวเองเล็กน้อยและมองค้อนเขา แต่การกระทำนี้คล้ายกับกำลังสร้างบรรยากาศมากกว่าโกรธเคือง
บัดนี้ในหัวฟู่เสี่ยวกวนมีความคิดหนึ่งลอยขึ้นมาว่าความรู้สึกนั้นไม่จำเป็นเท่าไรนัก และรู้สึกว่าตนมีจิตใจไม่แน่วแน่เสียจริง
“เสื้อนี้……ต่งชูหลานเป็นผู้สอนข้าเย็บ พวกเราทั้งสองไปยังร้านตัดเสื้อแล้วตัดเย็บสิ่งนี้ออกมา เนื่องจากสตรีในวังหลวงกล่าวว่าสวมใส่สบาย เราทั้งสองจึงตั้งใจว่าจะทำขาย”
หยูเวิ่นหวินมองออกไปยังสายธาร สายลมพัดผมเธอเบาๆ โบกสะบัดพัดมายังใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน ทั้งคัน ทั้งหอม ช่างน่าดึงดูดเสียจริง
“เอ่อ ข้าว่าการค้านี้สมควรยิ่ง ค้นหานางแบบที่รูปร่างได้สัดส่วน แล้วเลือกสถานที่ที่เหมาะสม จากนั้นเชิญบรรดาสตรีทั้งหลายเข้ามาเชยชม ให้นางแบบสวมใส่เสื้อนั้นแล้วเดินไปมาเป็นตัวอย่าง จะทำให้น่าสนใจมากยิ่งขึ้น”
หยูเวิ่นหวินหันไปถามว่า “นางแบบ ? คือสิ่งใดกัน ? ”
“อ้อ นางแบบนั้นคือผู้ที่เป็นแบบอย่างในการสวมใส่ เป็นสตรีที่ใช้สำหรับการโฆษณา”
หยูเวิ่นหวินจินตนาการตามคำพูดของเขา “ความคิดนี้ไม่เลวทีเดียว ข้าจะลองดู”
“อีกทั้งจำเป็นต้องตั้งชื่อที่จำง่าย นี่เรียกว่ายี่ห้อ เพราะสิ่งของเหล่านี้สามารถทำตามกันได้ง่าย จำเป็นจะต้องรักษาคุณภาพของสินค้า จำไว้ว่าจะต้องมีคุณภาพดีที่สุดเท่านั้น ฝีมือการเย็บก็เช่นกันต้องละเอียดประณีตจึงจะขายได้ราคาดี นี่เป็นคุณสมบัติของสินค้าที่มียี่ห้อ”
“เจ้าช่างรู้เรื่องราวมากมายยิ่งนัก”
คำพูดนี้ออกมาจากใจของหยูเวิ่นหวิน เขาผู้นี้กลั่นสุราเลิศรส อีกทั้งได้ยินจากต่งชูหลานกล่าวว่าเขากำลังทำการใดบางอย่างที่หมู่บ้านเซี่ยชุน ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดจะทำการใด
“ข้าคิดว่าข้ามีเรื่องจำเป็นต้องพูดกับเจ้า” หลังจากอ้อมค้อมอยู่นาน ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เอ่ยออกมา
“ข้ารู้ว่าเจ้าชอบต่งชูหลาน”
อืม ฟู่เสี่ยวกวนมิต้องอธิบายให้มากความสินะ
“พระราชโองการฉบับนั้นเป็นพระประสงค์ของเสด็จแม่”
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอบพระทัยพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย แท้จริงข้าก็หวังว่าอยากให้ในจวนครึกครื้นขึ้นกว่าเดิมสักหน่อย”
“ข้าเกรงว่าเจ้าจะโมโห จึงได้ติดตามมาด้วย”
“ข้าเข้าใจในน้ำใจของเจ้าดี แท้จริงแล้วข้าก็มิได้รังเกียจ เพียงแต่……ตำแหน่งพระราชบุตรเขยนั้นข้ามิอาจรับไว้ได้จริง ๆ มิเช่นนั้นจะให้ข้ามองหน้าต่งชูหลานได้อย่างไร ?”
หยูเวิ่นหวินหันหลังให้เขาแล้วมองไปยังสายธารอีกครั้ง
นางนิ่งเงียบไปเป็นเวลานาน “ต่งชูหลานคือสหายคนสนิทของข้า ข้ายินดีที่จะร่วมแบ่งปันกับนาง เพียงแต่การเดินทางมาของข้าในครั้งนี้ หนึ่งเกรงว่าเจ้าจะโกรธเนื่องจากพระราชโองการ สองเพื่อติดตามเจ้าไปยังหมู่บ้านเซี่ยชุน พำนักที่นั่นสักสองสามวัน จากนั้น……”
หยูเวิ่นหวินเงยหน้าขึ้น นางถอนหายใจเบา ๆ “ข้าต้องการหาวิธีทำอย่างไรให้เรื่องนี้จบลงด้วยดี”
นางมองมายังฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยว่า “ก่อนข้าจะเดินทางมานี้ ได้พูดคุยกับชูหลานทั้งคืน นิสัยของนาง ข้ารู้ดีกว่าผู้ใด สุดท้ายแล้วนางยินยอมเห็นด้วย ข้าเองก็ซึ้งใจยิ่งนัก”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกเขินอาย เขานำมือลูบจมูก “แท้จริงแล้วมีบุรุษดี ๆ จำนวนมาก เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเยี่ยงนี้”
หยูเวิ่นหวินยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เดิมทีข้าเคยคิดเช่นนั้น แต่คำพูดของเสด็จแม่ทำให้ข้าเปลี่ยนไป เสด็จแม่ตรัสว่าความสุขนั้นเราต้องคว้ามันมาด้วยมือของตนเอง และข้าคิดว่าเจ้าจะทำให้ข้ามีความสุขได้”
สิ่งนี้ช่างน่าขัดใจนัก ยุคสมัยนี้ผู้คนเปิดใจกว้างกว่าเดิมก็จริงอยู่ หากแต่สตรีเช่นต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินเช่นนี้ก็มีไม่มาก
สตรีทั่วไปต้องเชื่อฟังคำสั่งของบิดามารดาเท่านั้น หากสามีที่บิดามารดาจัดหาให้มิใช่คนดี ก็ต้องช้ำใจไปตลอดชีวิต
“หมู่บ้านเซี่ยชุนนั้นเจ้ามิจำเป็นต้องเดินทางไป ที่นั่นลำบากยิ่ง ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรไป”
“ไม่ ข้าจักไป ข้าต้องการเห็นด้วยตาตนเองว่าชีวิตประจำวันของเจ้าเป็นเยี่ยงใด”
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดชั่วครู่จึงเอ่ยว่า “เช้าตรู่วันรุ่งขึ้นออกเดินทาง ข้าจะรอเจ้าที่ประตูทิศใต้”
“อืม” หยูเวิ่นหวินตอบรับ จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินทางออกจากหอวั่งเจียงโหลวไป
“ชูหลาน เขาตกลงแล้ว” หยูเวิ่นหวินชอบใจยิ่งนัก ต่งชูหลานกลับเบ้ปาก
“ผู้ชาย……เจ้าชู้เหมือนกันทุกคน ! ”
“พวกเรามิใช่สหายที่ดีต่อกันงั้นหรือ ? ”
“เช่นนี้เขาจะมิได้ใจใหญ่หรือ ? ”
หยูเวิ่นหวินหัวเราะ “เจ้าคิดว่าเป็นเช่นนั้นหรือ”
ต่งชูหลานหันหลังกลับมาเอ่ยถามว่า “เจ้าตัดสินใจแน่วแน่แล้วงั้นหรือ ? ”
“มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นจึงจะจัดการได้ ด้านเสด็จแม่คงมิใช่ปัญหาใหญ่ ข้าคาดว่าสามารถเอ่ยให้นางเข้าใจได้ ส่วนด้านเสด็จพ่อนั้น ข้าเองยังมิรู้จะทำเยี่ยงไร”
“ข้าเองก็เช่นกัน ยังไม่รู้วิธีเอ่ยเช่นไรให้ท่านพ่อท่านแม่เข้าใจ ช่างปวดหัวยิ่งนัก เจ้าว่าหากเขาไปสอบคัดเลือกคงดีไม่น้อยใช่หรือไม่ !”
“หรือว่า……ข้าควรหาวิธีมอบตำแหน่งขุนนางแก่เขากัน ?”
“วิธีนี้ข้าว่าไม่เลว”
ตอนที่ 67 รับอนุสนองราชโองการ
“ราชโองการฟ้าจากองค์ฮ่องเต้ มีรับสั่งว่า ฟู่ต้ากวนแห่งหลินเจียง มีทุ่งนาที่อุดมสมบูรณ์กว่าหมื่นไร่ แต่มีบุตรเพียง 1 คน นั่นย่อมมิเป็นสุข ข้าตระหนักได้ว่า ฟู่ต้ากวนต้องเพิ่มจำนวนบุตรเพื่อใต้หล้า บุตรเพียงคนเดียวนั้นยากที่จะแบ่งปันความกลัดกลุ้ม ดังนั้น ฟู่ต้ากวนจึงต้องรับอนุ 5 นาง ขยายกิ่งก้านสาขาเพื่อให้คลอดบุตรให้ทันเวลา จนถึงเซวียนลี่ที่ 9 เดือนแปดวันที่สิบห้า อย่างน้อยต้องให้กำเนิดบุตร 5 คน หลิวจือต้งจือโจวแห่งหลินเจียงจะเป็นผู้ตรวจสอบ”
“รัชสมัยเซวียนลี่ที่ 8 เดือนแปดวันที่สิบหก”
“ข้าน้อยน้อมรับ ! ”
ฟู่ต้ากวนคุกเข่าลงกับพื้น ภายในใจตื่นตระหนกจนยากเกินจะบรรยาย
นี่… นี่มันหมายความว่าเยี่ยงไร?
ฝ่าบาทคุมฟ้าคุมดินแล้วยังต้องคุมการคลอดบุตรด้วยรึ ?
แต่ข้ามีบุตรคนเดียวก็เพียงพอแล้ว และฉีซื่อก็กำลังจะคลอด หากรับอนุเพิ่มอีก 5 นาง ทั้งยังต้องคลอดบุตร 5 คนภายในหนึ่งปี… นี่มันเหมือนกับฆ่ากันทางอ้อมชัด ๆ!
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ยกยิ้มขึ้นมา นี่ต้องเป็นความต้องการของแม่นางหยูเวิ่นหวินผู้นั้นเป็นแน่ เจ้ามิได้กล่าวถึงเรื่องกตัญญูหรอกหรือ ? งั้นรอจนกระทั่งบิดาของเจ้ามีน้องชายและน้องสาวให้แก่เจ้า เจ้าก็คงมิมีข้ออ้างอีกแล้ว
กลยุทธ์ถอนฟืนใต้กระทะ ยอดเยี่ยมนัก !
“ฟู่ต้ากวน รับราชโองการ” สีหน้าเคร่งเครียดของจางกงกงเริ่มจางลงไป และกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
จางกงกงก็มิเข้าใจว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงได้พระราชทานราชโองการนี้เพื่อให้ฟู่ต้ากวนรับอนุและมีบุตร คิดว่าฟู่ต้ากวนผู้นี้ย่อมกำลังทำสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่ ฝ่าบาทจึงเร่งรัดเขาเยี่ยงนี้
ฟู่ต้ากวนรับราชโองการมา ในใจยังคงสับสนงุนงง และเอ่ยถามเสียงเบา “กงกง นี่… ท่านเองก็เห็นว่าข้าน้อยอายุมากแล้ว ฝ่าบาท…”
“หัวหน้าตระกูลฟู่อย่าได้กล่าวตัดรอนเยี่ยงนั้น ตามสายตาของพวกข้า อาวุธที่หวงแหนของหัวหน้าตระกูลฟู่ยังมิแก่ เรื่องเล็กน้อยนี้ อย่าได้กล่าวให้ฝ่าบาทต้องกังวลพระทัยเพราะเจ้าอีกเลย”
“อ่า… คือ”
“ในช่วงเวลานี้เบื้องบนค่อนข้างเร่งรีบ พวกข้าคงมิขอทำให้หัวหน้าตระกูลฟู่ต้องเสียเวลาแล้ว ข้าขอลา”
ฟู่ต้ากวนนำเงินถุงใหญ่ที่เตรียมไว้ดีแล้วยัดเข้าไป “กงกงดื่มชาแล้วค่อยไปดีหรือไม่ ?”
“มิจำเป็น มิจำเป็น”
“เดินทางมาอย่างเมื่อยล้า กงกงโปรดรับไว้เถิด”
“นั่น… ด้วยความเคารพมิเท่าทำตามคำสั่ง”
จางกงกงก็ได้พาคนกลุ่มใหญ่เดินทางอีกครา เกี้ยวขนาดใหญ่ทั้งแปดคันก็ได้เดินออกไป จวนฟู่กลับมาเงียบสงบในที่สุด ทันใดนั้นฉีซื่อก็ร้องคร่ำครวญขึ้นมาทันพลัน
ฟู่เสี่ยวกวนเหลือบมองฉีซื่อ และกล่าวกับฟู่ต้ากวนอย่างมีความสุข “ท่านพ่อ ท่านดูสิ ข้ากล่าวกับท่านแล้วว่าให้ตบแต่งอนุเข้าเรือนมามาก ๆ มีเวลาเพียงหนึ่งปี ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ท่านต้องรีบไปจัดการในทันที มิฉะนั้นเมื่อถึงเวลาคงถูกต้องลงโทษฐานหลอกลวงองค์ฮ่องเต้ และพวกเราคงถูกตัดศีรษะกันเป็นแน่”
ฉีซื่อที่ได้ยินเช่นนั้น เสียงร้องไห้ก็หยุดลงในทันที ถึงได้เข้าใจขึ้นมาว่านี่คือพระราชโองการ มิสามารถปฏิเสธได้ ถึงแม้จะหมดหนทาง แต่นางก็ยังมิอยากตาย
“นายท่าน เสี่ยวกวนกล่าวได้ถูก เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องจัดการอย่างเร่งด่วน”
ดังนั้นยามพลบค่ำในวันนี้ เรื่องที่ฟู่ต้ากวนรับอนุสนองราชโองการ ก็ได้ขยายไปทั่วหลินเจียง
“เจ้าว่าแท้จริงแล้วฟู่ต้ากวนทำเรื่องน่าตื่นตาตื่นใจอันใด ถึงทำให้องค์ฮ่องเต้เคลื่อนไหวได้?”
“ข้าเองก็รู้สึกแปลก ๆ ฟู่ต้ากวนก็หาใช่วีรชน ที่ฝ่าบาทจะต้องมอบพระราชโองการให้เขารับอนุเพิ่มไม่”
“หรือว่าจะเป็นเพราะฟู่เสี่ยวกวนบุตรชายของเขากัน ?”
“จะเป็นไปได้เยี่ยงไรกัน ในตอนนี้ฟู่ต้ากวนก็มีเพียงฟู่เสี่ยวกวนเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว ต่อแต่นี้กิจการที่ใหญ่โตของตระกูลฟู่ก็จะเป็นของฟู่เสี่ยวกวนทั้งสิ้น หากจวนฟู่มีบุตรชายเพิ่มอีกหลายสิบคน มิรู้เลยว่าทรัพย์สินของตระกูลในภายภาคหน้าจะวุ่นวายถึงเพียงใด”
“…..”
มีการคาดเดาทุกหนทาง แต่สุดท้ายก็มิมีผู้ใดรู้ถึงเหตุผล ได้แต่กล่าวว่าสวรรค์นั้นยากที่จะคาดเดา มิรู้ว่าฟู่ต้ากวนไปทำเรื่องอันใดเข้า จึงได้รับพระราชโองการรับอนุมา
สวนดอกไม้ด้านหลังจวนชวู
ชวูหลิงหลงกำลังให้อาหารปลาในบ่อ ทันใดนั้นก็มีสาวรับใช้หนึ่งนางวิ่งเข้ามาอย่างเร่งรีบ “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนู บ่าวได้ยินเรื่องน่าสนใจมาเจ้าค่ะ”
ชวูหลิงหลงโยนอาหารที่เหลืออยู่ในมือลงไปในบ่อ ปัดมือและหันหลังกลับมาเอ่ยถาม “ยังมีเรื่องอันใดที่น่าสนใจอีกหรือ?”
“ฟู่ต้ากวนแห่งจวนฟู่ ในวันนี้มีกงกงจากเมืองหลวงมาประกาศราชโองการให้แก่ตระกูลฟู่ ราชโองการมีใจความว่าฟู่ต้ากวนต้องรับอนุ 5 นาง และยังต้องคลอดบุตร 5 คนภายในปีนี้อีกด้วยเจ้าค่ะ”
“เจ้าว่าเยี่ยงไรนะ ?” ชวูหลิงหลงตกใจ ฟู่ต้ากวนรับอนุสนองราชโองการหรือ นี่… มันเรื่องพิเศษอันใดกัน ?
“จริงนะเจ้าคะ บ่าวได้ยินมาเมื่อครู่ตอนที่นำชาไปส่งให้นายท่าน หัวหน้าตระกูลหลายท่านต่างอยู่บนจวน พวกเขาต่างก็มิอยากจะเชื่อเจ้าค่ะ”
ดวงตาของชวูหลิงหลงกลอกไปมา นางเดามิได้ว่าองค์ฮ่องเต้กำลังหมายสิ่งใด แต่ทันใดนั้นนางก็หัวเราะขึ้นมา
“หัวหน้าตระกูลฟู่ในวันนี้ก็อายุอานามได้สามสิบหก สามสิบเจ็ดปีแล้ว เป็นช่วงอายุที่เต็มไปด้วยกำลัง… เสี่ยวเตี๋ยเออร์ เจ้าว่าหากข้าจะสมรสกับเขา…”
“อ่า คุณหนูมิได้ มิใช่ว่าคุณหนูปักใจรักฟู่เสี่ยวกวนบุตรชายของเขาหรือเจ้าคะ ? สมรสกับบิดาของเขา… หากทำเรื่องนอกลู่นอกทาง คงจะ คงจะได้จมอยู่ในคอกหมูนะเจ้าคะ ! ”
“นางเด็กคนนี้นี่กล่าวอันใดออกมา ข้าเข้าอบรมสตรีมาอย่างตั้งใจใฝ่รู้นะ ความหมายของข้าคือ ทั้งชีวิตนี้คงเป็นการยากนักที่จะได้สมรสกับฟู่เสี่ยวกวน มีสายตามากมายคอยจับจ้องเขา แต่หากสมรสกับฟู่ต้ากวน เขาก็จะเรียกข้าว่าแม่ นี่ไม่น่าสนใจหรือไร ? ”
ชวูหลิงหลงกล่าวโดยที่ใบหน้าขึ้นริ้วสีแดง แต่ดวงตาคู่นั้นกลับเป็นประกาย
“คุณหนูเจ้าคะ เอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นกันได้เยี่ยงไร ฟู่ต้ากวนอ่อนกว่านายท่านแค่ไม่กี่ปีเองนะเจ้าคะ นี่อะไรกัน เมื่อต้องกล่าวถึงรูปลักษณ์ของคุณหนู ยังกังวลว่าจะมิได้สมรสกับคนดี ๆ หรือเจ้าคะ ? ”
ชวูหลิงหลงเพียงหัวเราะน้อย ๆ และมิพูดอันใดอีก นางหยิบธัญพืชมาหนึ่งกำมือและป้อนปลาที่อยู่ในบ่อ
แน่นอนว่านี่เป็นความคิดที่ผุดขึ้นมาอย่างกะทันหัน แต่ในยามนี้ที่นางได้ครุ่นคิดถึงฟู่ต้ากวนอย่างถี่ถ้วน นอกจากอายุที่มากแล้ว คนผู้นี้ก็มิมีข้อเสียอันใด
ในวันธรรมดาก็จะได้ยินบิดากล่าวถึงฟู่ต้ากวนผู้นี้บ้างเป็นครั้งคราว นอกจากเรื่องของกิจการหรือมิตรสหายเชื้อเชิญไปงานต่าง ๆ แล้ว เขาก็ไปสถานที่เริงรมย์เหล่านั้นน้อยครั้งนัก
เขาให้ความสำคัญกับครอบครัวยิ่ง ตั้งแต่ที่คู่ชีวิตสวี่หยุนชิงจากไป เขาก็ดูแลฟู่เสี่ยวกวนจนเติบใหญ่มาด้วยตัวคนเดียว จนกระทั่งเมื่อสองปีที่แล้วก็เพิ่งจะได้รับฉีชื่อเข้ามาเป็นอนุ และฟู่ต้ากวนกล่าวไว้ว่าเพียงเพราะอายุมากขึ้น จึงอยากจะมีเพื่อนร่วมทางวัยชราไปเท่านั้น
คนผู้นี้ยังมีหัวการค้า ถึงแม้ในตระกูลจะมีที่ดินไว้ในครอบครองแล้ว แต่ปริมาณข้าวกองสูงเทียมฟ้าที่เก็บได้ในทุกปีอย่างไรก็ต้องขายออกไป เขามีความสัมพันธ์อันดีกับสามตระกูลพ่อค้าข้าว เรื่องพ่อค้าหลวงในคราที่แล้ว ว่ากันว่าเป็นเขาที่เจรจาจนประสบความสำเร็จ
บุรุษแบบนี้เข้าใจสตรียิ่ง เป็นผู้ใหญ่และมั่นคง ทั้งยังร่ำรวยเป็นอันดับต้น ๆ ของหลินเจียง ความจริง บุรุษผู้นี้ก็ถือว่าเป็นสมบัติที่ล้ำค่า
ตระกูลของตนนั้นค้าผ้า ตระกูลเขาเป็นเจ้าของที่ดิน ถึงแม้จะมิสามารถส่งเสริมทางธุรกิจกันได้ แต่ก็มิมีความสัมพันธ์ที่มิดีต่อกัน
และฉีซื่อผู้นั้นก็มาจากครอบครัวเล็ก ๆ ถึงแม้ว่านางจะเป็นผู้มาก่อน แต่นางก็มิสามารถทำอันใดข้าได้
หลังจากได้ผ่านการไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว ทันใดนั้นชวูหลิงหลงก็ค้นพบหนทางที่เป็นไปได้ ปัญหาในตอนนี้คือ จะเกลี้ยกล่อมบิดาของนางเยี่ยงไร
“หรือบางที… ไปพบเจอฟู่ต้ากวนสักครา เขามีราชโองการอยู่ ถึงแม้ในราชโองการนั้นจะมิได้กำหนดว่าต้องสมรสกับผู้ใด แต่หากนำมาใช้ เกรงว่าบิดาจะต้องยอมแพ้เป็นแน่”
ฮ่าฮ่า !
นางหัวเราะขึ้นมาอีกครา ฟู่เสี่ยวกวน ในเมื่อข้ามิได้เป็นภรรยาของเจ้า ข้าก็จะเป็นมารดาของเจ้า !
ตอนที่ 66 พระราชโองการของฮ่องเต้
ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ
ฟู่เสี่ยวกวนนำเรื่องหยูเวิ่นหวินลบออกไปจากความคิดชั่วครู่ จากนั้นก็หยิบกระดาษขึ้นมาเขียนจดหมายฉบับหนึ่งแก่ต่งชูหลาน ตั้งใจจะส่งจดหมายพร้อมกับหนังสือความฝันในหอแดงและสุราเทียนฉุนให้นางในเช้าวันรุ่งขึ้น
หนังสือความฝันในหอแดงเขียนถึงบทที่ 62 แล้ว ฟู่เสี่ยวกวนตั้งใจจะเขียนให้แล้วเสร็จภายในปลายปีนี้ เนื้อหาเปลี่ยนไปจากต้นฉบับเดิมค่อนข้างมากเสียทีเดียว เนื่องจากว่าเขาไม่อาจจะจำเนื้อหาเดิมได้ แต่สิ่งนี้มิได้ส่งผลต่อความนิยมแม้แต่น้อย ฟู่เสี่ยวกวนปรับปรุงเนื้อหาให้เข้ากับยุคสมัยนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาสตรีทั้งหลาย
ค่ำคืนผ่านไปด้วยความเงียบสงบ ไม่มีแม้แต่ความฝันจนกระทั่งเสียงไก่โห่ แสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้าสาดส่องเข้ามายังใบหน้าของเขา
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังรับประทานอาหารเช้า ฟู่ต้ากวนเดินตรงเข้ามาหาเขา
“เห้อ ! จางจือเซ่อช่างน่าสงสารเสียจริง” ฟู่ต้ากวนนั่งลงแล้วถอนหายใจออกมา
“จางจือเซ่อ หัวหน้าตระกูลจาง ? เหตุใดท่านพ่อจึงเอ่ยว่าเขาน่าสงสารกัน ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นถาม
“เรื่องนี้พ่อเองก็เพิ่งได้ยินมาเมื่อคืน จางเพ่ยเอ๋อ บุตรสาวคนเล็กของเขาหายตัวไป”
เมื่อได้ยินดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็ตกตะลึง “หายตัวไปอย่างนั้นรึ ? ”
“ถูกต้องแล้ว ได้ยินมาว่าหายตัวไปในคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ บัดนี้นับได้ 7 วันแล้ว ตระกูลจางออกตามหาตัวบุตรสาวไม่หยุดหย่อน กระทั่งเมื่อคืนมีผู้พบรองเท้าที่นางใส่ก่อนหายตัวไปข้างหนึ่งอยู่ที่แม่น้ำ คาดว่าคงกระโดดน้ำเสียแล้ว น่าเสียดาย น่าเสียดายจริง ๆ ! ” ฟู่ต้ากวนส่ายหัวแล้วรู้สึกสงสารจางเพ่ยเอ๋อ “อายุยังเยาว์เช่นนี้กลับตัดสินใจจบชีวิตเสียแล้ว คาดว่าคงเป็นเรื่องความรักแน่นอน ไม่รู้ว่าคุณชายบ้านใดกันที่ทำให้นางต้องมาเป็นเยี่ยงนี้ นางเป็นผู้หญิงที่ฉลาดหลักแหลมมากความสามารถ แต่กลับคิดไม่ตกเยี่ยงนี้ น่าเสียดายแท้ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนถือไข่ไก่อยู่ในมือ เขาวางกลับคืนที่เดิมเนื่องจากเขารู้สึกว่ากินไม่ลงแล้ว ภายในใจรู้สึกหดหู่เป็นอย่างมาก
เขาคาดไม่ถึงเลยว่าจางเพ่ยเอ๋อจะคิดสั้นเช่นนี้ หากจะสืบหาสาเหตุที่แท้จริงนั้นคาดว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องของเขาแน่นอน อาจเอ่ยได้ว่าเขาเป็นสาเหตุของเรื่องทั้งหมดก็ว่าได้
หากการพบกันครั้งที่แล้ว ณ สำนักศึกษาหลินเจียง เขาเอ่ยอย่างอ้อมค้อมเสียหน่อย คงมิเกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้นใช่หรือไม่ ?
หากกล่าวกับนางว่าให้ทำความรู้จักกันมากกว่านี้แล้วค่อยพัฒนาความสัมพันธ์ คาดว่านางคงไม่เจ็บปวดเช่นนี้
คำพูดของเขาเพียงคำเดียวทำให้นางทนไม่ได้ถึงเพียงนี้ ถึงกับกระโดดน้ำตาย เรื่องนี้ในใจเขารู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย
“น่าเสียดายจริง ๆ ”
ฟู่เสี่ยวกวนวางตะเกียบลง ซูม่อมองดูเขาแล้วก้มหน้ากินข้าวต่อไป
“ลูกพ่อ เจ้ามีนางในดวงใจแล้วใช่หรือไม่ ? ได้ยินมาว่าที่งานเทศกาลไหว้พระจันทร์มีสตรีมากมายชื่นชอบเจ้า เห็นได้ชัดว่าลูกพ่อนั้นมีเสน่ห์ยิ่งนัก เจ้าควรหาคู่ครองสักคนได้แล้วนะ”
ฟู่ต้ากวนค่อนข้างร้อนใจ บุตรชายของเขาอายุได้ 16 ปีแล้ว เป็นวัยที่เหมาะสมสำหรับมีคู่ครอง หากเขาแต่งงานกับสตรีอันเป็นที่รักและมีบุตรชายหญิงเต็มบ้าน ฟู่ต้ากวนจึงจะไม่รู้สึกผิดต่อหยุนชิงและบรรพบุรุษตระกูลฟู่
“ท่านพ่อ เรื่องเช่นนี้รีบร้อนใจไปมิได้”
ฟู่ต้ากวนถอนหายใจยาวออกมา บุตรชายเขายังไม่รีบ กลับเป็นตัวเขาที่รีบเสียอย่างนั้น ช่างเถิด ให้บุตรชายของเขาเป็นผู้จัดการเอง ในเมื่อนั่นก็เป็นชีวิตของเขา ให้เขาตัดสินใจเองย่อมดีที่สุด
“ในปีนี้ที่เจียงหนานและเจียงเป่ยมีผลผลิตที่ดี แต่ได้ยินมาว่าหวงเหอและหนานเป่ยถูกภัยธรรมชาติรุกราน ฝนตกหนักติดต่อกันเป็นเวลาเดือนกว่าทำให้เกิดน้ำท่วมในหลายพื้นที่ หนิงโจวหยินโจวและเมืองรอบ ๆ มีผู้เสียชีวิตกว่าแสนคน พื้นที่ไร่นาถูกทำลายนับไม่ถ้วน เห้อ……ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าใดที่สูญเสียกับเหตุการณ์ในครั้งนี้”
“ทางราชสำนักจะช่วยพวกเขาบรรเทาทุกข์หรือไม่ ? ”
“แน่นอนว่าคงมีแน่ แต่สิ่งของที่ส่งไปช่วยเหลือนั้นคงไปถึงมือผู้เดือดร้อนไม่มากนัก”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้ว เขาเข้าใจในความหมายนั้นดี ไม่ว่ายุคสมัยใดล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่เว้นแม้แต่ราชวงศ์หยู
เรื่องใหญ่โตเพียงนี้มิใช่เรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนจะจัดการได้ เขาจึงไม่นำเรื่องนี้มาใส่ใจ แต่กลับพูดกับฟู่ต้ากวนต่อว่า ” ท่านพ่อ ในวันนี้จงอย่าได้เดินทางไปไหนเลย เนื่องจากจะมีพระราชโองการของฮ่องเต้มายังจวน ข้าเองไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้ เชิญท่านพ่อช่วยจัดการให้ดีเสียหน่อย”
ฟู่ต้ากวนเบิกตากว้าง พระราชโองการของฮ่องเต้งั้นหรือ ? แต่ไหนแต่ไรมาตระกูลฟู่ก็มิเคยเห็นสิ่งนี้เช่นกัน !
นี่เป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจยิ่งนัก !
“จริงหรือ ?”
“ข้าคาดว่าเป็นเช่นนั้น”
ฟู่ต้ากวนลุกขึ้นยืน เขาตื่นเต้นยิ่งนัก พระราชโองการนี้แน่นอนว่าคงมอบให้แก่บุตรชายของเขา หรือองค์ฮ่องเต้จะเห็นคุณงามความดีและต้องการมอบตำแหน่งให้แก่บุตรชายเขา ?
ต้องเป็นเช่นนี้ไม่ผิดแน่ !
“ข้าจะไปเตรียมตัวเสียหน่อย เจ้าเองก็เช่นกัน ควรจะไปเตรียมตัวได้แล้ว”
ฟู่ต้ากวนจากไปอย่างรีบร้อน ฟู่เสี่ยวกวนเบ้ปาก หากพระราชโองการนี้เป็นคำสั่งให้เขารับตำแหน่งพระราชบุตรเขย คาดว่าท่านพ่อคงจะดีใจยิ่ง หากแต่ตัวเขามิได้เป็นเช่นนั้นเลย เขามิได้ไม่ชอบพอหยูเวิ่นหวิน อีกทั้งตัวเขายังมิชอบการคลุมถุงชนเยี่ยงนี้อีกด้วย
การพูดคุยหยอกล้อกันนั้นเขามิได้ปฏิเสธแม้แต่น้อย หากแต่บังคับให้ร่วมเตียงด้วยกันนั้น เกรงว่าอาจจะเกิดปัญหาขึ้นมาในภายหลังได้
การมีภรรยาหลายคนนั้นเป็นเรื่องธรรมดามาแต่สมัยโบราณ ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิใช่เทวดามาจากไหน เพียงแต่เขายึดมั่นในอุดมการณ์แห่งความรัก ดังนั้นเมื่อหยูเวิ่นหวินมาถึง เขาตั้งใจจะเอ่ยเรื่องนี้กับนางอย่างจริงจังเสีย เพื่อเป็นการตัดไฟแต่ต้นลม
ส่วนเรื่องของจางเพ่ยเอ๋อนั้น หากนางโตกว่านี้สัก 2 ปี เขาคงใช้วิธีจัดการที่ต่างกันออกไป
……
……
ฟู่ต้ากวนนั่งไม่ติด แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับนิ่งสงบ เขานั่งสมาธิเพื่อฝึกคัมภีร์ฉุนหยางซินจิง
เขายังไม่รู้สึกถึงจุดตันเถียน หลังจากเขานั่งสมาธิเรียบร้อยแล้วร่างกายมักแผ่ความร้อนออกมา ซูม่อเอ่ยว่าสิ่งนี้คือผลจากการฝึกฝน แม้ยังสัมผัสไม่ได้ถึงลมปราณ แต่ก็มีพลังจากภายในเข้าไปหมุนเวียนอยู่ในร่างกายทำให้เกิดความร้อน แต่เนื่องจากมีปริมาณน้อยนิดทำให้ไม่สามารถเกิดเป็นลมหมุน ณ จุดตันเถียนได้ ตามสถานการณ์ปัจจุบัน ฟู่เสี่ยวกวนน่าจะฝึกสำเร็จภายในเวลา 3 ปี จึงจะสามารถใช้กำลังภายในได้ หรือกล่าวได้ว่าอีก 3 ปีเขาก็จะสามารถใช้วิชาตัวเบาได้นั่นเอง
เรื่องนี้นับว่าเป็นสิ่งดี เขาใช้เวลาเพียง 3 ปีเท่านั้นก็สามารถฝึกได้
ทันใดนั้น ชุนซิ่ววิ่งเข้ามาเหงื่อไหลท่วมตัวแล้วเอ่ยว่า
“คุณชายเจ้าคะ พระราชโองการมาถึงแล้ว นายท่านเชิญให้คุณชายไปที่หน้าจวนเจ้าค่ะ”
ฟู่ต้ากวนพาฟู่เสี่ยวกวนและฉีชื่อเดินไปยังหน้าประตูใหญ่ สายตามองดูขบวนทหารที่กำลังเดินตรงเข้ามา
ภายในขบวนนำหน้าด้วยกงกงคนหนึ่ง จากนั้นก็เป็นองค์รักษ์ ต่อจากนั้นเป็นเกี้ยวใหญ่ ด้านหลังมีบ่าวรับใช้ติดตามมามากมาย
ประตูจวนในตรอกซีชุ่ยถูกเปิดออก ผู้คนมากมายยื่นหน้าออกมามองดู พวกเขาล้วนประหลาดใจว่าพระราชโองการนี้จะไปหยุดที่จวนใด และไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้าย
กระทั่งขบวนหยุดลงที่หน้าจวนฟู่ ฟู่ต้ากวนและอีก 2 คนคุกเข่าลงที่หน้าประตูจวน พวกเขาทั้งหลายจึงได้รู้ว่าพระราชโองการนี้นำมาให้ตระกูลฟู่
พ่อค้าที่ดินคนนี้เก่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?
จากนั้นฟู่ต้ากวนได้เชิญขบวนเข้าไปยังด้านในจวน ชาวบ้านต่างพากันเข้ามามุงดู เนื่องจากเหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้หาดูได้ง่ายในหลินเจียง
กงกงผู้รับหน้าที่ส่งต่อพระราชโองการมองมายังฟู่ต้ากวน จากนั้นก็มองไปยังฟู่เสี่ยวกวนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ฟู่ต้ากวนจึงรู้สึกว่าสบายใจขึ้นเล็กน้อย
เกี้ยวใหญ่นั้นยังคงจอดอยู่ที่หน้าจวน ผู้ที่อยู่ภายในยังมิได้ก้าวลงมาและมิมีผู้ใดรู้ว่าข้างในนั้นเป็นใคร
จางกงกงยืนอยู่ด้านหน้า นำมือหยิบพระราชโองการ เปิดออกและกล่าวว่า “ฟู่ต้ากวนแห่งหลินเจียง จงรับพระราชโองการ ! ”
ฟู่ต้ากวนสะกิดฟู่เสี่ยวกวนแล้วเอ่ยด้วยเสียงอันเบาว่า “จงรีบไปรับพระราชโองการ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกงุนงงนัก กงกงท่านนั้นเอ่ยชื่อฟู่ต้ากวนมิใช่หรือ
“ของท่าน”
“ของข้า ? ”
“ท่านมิได้ยินงั้นหรือ ? ”
ตอนที่ 65 นางมาอีกแล้ว
จันทราในฤดูใบไม้ร่วงไร้ขอบเขตส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้าสีดำยามรัตติกาล สายลมแห่งแม่น้ำเย็นยะเยือกพัดผ่านร่างของหญิงสาว
จางเพ่ยเอ๋อร์ยืนอยู่ริมแม่น้ำ ชุดสีขาวปลิวพลิ้วไหว เส้นผมสีดำลอยไปตามแรงลม คราบน้ำตาบนใบหน้ายังคงมิได้เช็ดไป นัยน์ตาของนางแดงก่ำหลังจากผ่านการร้องไห้ออกมา
นางเงยหน้ามองดวงจันทร์ นึกถึงเทพธิดาที่พระราชวังกวงฮ่านผู้นั้น ดวงจันทร์ในยามนี้ส่องสว่างยิ่ง แต่นั่นเพื่ออูกังอย่างนั้นหรือ?
เทพธิดาผู้นั้นอยากจะยืนหยัดเคียงข้างอูกัง ผู้คนมากมายในเมืองหลินเจียงอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา อีกทั้งยังมีคู่รักมากมายที่กำลังกล่าวความในใจภายใต้แสงจันทร์
วังพระจันทร์หนาวเหน็บ แต่ผู้คนต่างคึกคัก
ความรุ่งโรจน์นั้นเป็นของพวกเขา แต่ข้ามิมีสิ่งใดเลย
นางไม่อาจยินยอมสมรสกับชีหยวนหมิงได้ และไม่อาจทนรับชื่อเสียงที่เสื่อมเสีย ซึ่งเป็นผลที่ตามมาจากการที่ตระกูลชีจะออกมาประกาศให้ใต้หล้าได้รับรู้เรื่องนี้
นางกลัวกระบี่ของฟู่เสี่ยวกวน แต่ท้ายที่สุดนางก็มิเคยเอ่ยชื่อฉีซื่อออกไป
เยี่ยงไรนางก็เป็นเพียงเด็กสาวที่อายุได้เพียง 15 ปี นางมิสามารถแบกรับปัญหาที่ตกมาใส่ร่างอย่างกะทันหันได้ ดังนั้น ในค่ำคืนนี้นางจึงแต่งหน้าไว้สวยอย่างมาก และมายังริมแม่น้ำนี้แต่เพียงผู้เดียว
เมื่อมองย้อนกลับไป แสงไฟที่ร่ายรำไปตลอดสายน้ำด้วยแรงลม นางยิ้มอย่างเศร้าสร้อย และสุดท้ายนางก็กระโดดลงไปในแม่น้ำแยงซี
ฟู่เสี่ยวกวน โลกหน้า… ไว้เจอกันใหม่ !
……
…..
มิว่าจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในหลานถิงจี๋ที่เมืองหลวงในเทศกาลไหว้พระจันทร์ หรือเรื่องการสิ้นใจของจางเพ่ยเอ๋อร์แห่งจวนจาง ฟู่เสี่ยวกวนก็มิรู้ทั้งสิ้น
หลายวันมานี้เขาได้กลับมาใช้ชีวิตเหมือนปลาอีกเช่นเคย
ตื่นเช้าในทุกวัน รำมวยออกวิ่ง และเพิ่มฝึกกระบี่ขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง
เขามิมีกระบี่ จึงใช้เพียงกระบี่ของซูม่อ เยี่ยงนั้นจึงทำให้ซูม่อบ่นเล็กน้อยและคิดว่าเขาควรมีกระบี่เป็นของตนเองได้แล้ว
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับทำเพียงหัวเราะ หลังจากนั้นก็ยังคงเป็นดังเดิม
ทานอาหาร นั่งสมาธิ และเขียนความฝันในหอแดง บางคราก็ไปพูดคุยกับฟู่ต้ากวน และทานข้าวกับฟู่ต้ากวนและฉีซื่อ
ยามที่ทานข้าวด้วยกันสีหน้าของฉีซื่อจะมิเป็นธรรมชาติยิ่ง เรื่องที่เกิดขึ้นกับร้านสุราชีชื่อได้แพร่กระจายไปทั่วหลินเจียงแต่เนิ่น ๆ แล้ว นางย่อมทราบดี จนถึงขั้นสะดุ้งตื่นในยามดึก นึกไปถึงว่าเรื่องนั้นถูกเปิดเผยออกมา หากฟู่ต้ากวนรู้เข้า เรื่องที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คงเป็นเขียนจดหมายหย่าแล้วไล่นางออกจากจวน
ผ่านช่วงเวลาตื่นตระหนกไปหลายวัน ภายในจวนก็กลับมาเป็นปกติ ถึงขั้นยามที่ทานข้าวด้วยกันฟู่เสี่ยวกวนยังกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้มว่าแม่รองต้องบำรุงเยอะ ๆ และออกกำลังกายด้วย ดูเหมือนว่า จางเพ่ยเอ๋อร์จะมิได้กล่าวเรื่องนั้นออกไป นางจึงสบายใจได้ในที่สุด
ฟู่เสี่ยวกวนออกไปข้างนอกเป็นครั้งคราว มิได้ไปเดินเล่น แต่ไปที่ร้านขายกระจกของหยู๋จงถานที่ซีฝาง หลังจากพูดคุยกันสองคนและนายช่างอีกสองสามท่าน ภายในเวลาไม่กี่วันนี้เครื่องแก้วเหล่านั้นน่าจะทำออกมาได้แล้ว
เขาได้ไปสำนักศึกษาหลินเจียง รับทราบว่าอาจารย์ฉินได้ไปเมืองหลวงแล้ว ในใจก็ตระหนักขึ้นมาว่ามิรู้เมื่อใดที่สงครามทางเหนือจะปะทุขึ้น
คุณชายจวนเสียนชินอ๋องมาจวนฟู่สองครา มิมีเรื่องอันใดพิเศษ กล่าวตามคำพูดของหยูหงอี้ ก็คือข้าอยากดูว่าเจ้านั้นแตกต่างที่ตรงไหนกัน
ทั้งสองพูดคุยและดื่มชา ในตอนท้ายยามที่หยูหงอี้จะออกไปก็มักจะส่ายหน้าเสมอ “ข้ามิเข้าใจว่าเหตุใดองค์หญิงเก้าถึงได้ชอบเจ้ากัน!”
นั่นทำให้ฟู่เสี่ยวกวนมาตระหนักได้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างยุ่งยาก เขายังอยากจะปรึกษาหยูหงอี้อีกเล็กน้อย เข้าใจว่าพระราชบุตรเขยนี้ไม่น่าสนุกเสียนิดเดียว ดังนั้นเขาจึงกล่าวติดตลกกับคุณชายว่าจะฝากส่งสาสน์ไปให้กับองค์หญิงเก้าได้หรือไม่ กล่าวว่าข้าเป็นเพียงชนชั้นรากหญ้า พระองค์ช่วยมองหม่อมฉันเป็นเศษมูล แล้วปล่อยกันไปได้หรือไม่
“หยาบคาย ! ”
หยูหงอี้มิได้เขียนจดหมายถึงหยูเวิ่นหวิน และในวันนี้ หยูหงอี้ก็กลับมาอีก เขามองฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาที่แปลกไปเล็กน้อย
รัชสมัยเซวียนลี่ที่ 8 เดือนแปดวันที่ 21 ยามเย็น
ผ่านพ้นเทศกาลไหว้พระจันทร์ไปได้ 8 วัน
“เสด็จพ่อบอกให้ข้ามาเชิญเจ้าไปงานเลี้ยงที่หอวั่งเจียงโหลวในคืนพรุ่งนี้”
มือที่กำลังรินน้ำชาของฟู่เสี่ยวกวนหยุดค้างกลางอากาศ และประหลาดใจเล็กน้อย “วันคล้ายวันประสูติเสียนชินอ๋องหรือ ?”
หยูหงอี้ส่ายหน้า ฟู่เสี่ยวกวนจึงกล่าวขึ้นมาอีกครา “ที่จวนมีงานฉลองอันใดเยี่ยงนั้นหรือ? เจ้าต้องบอกข้าสิ คงจะไปมือเปล่ามิได้หรอก”
“องค์หญิงเก้า… ประพาสมาอีกแล้ว ! ”
บัดซบ มือที่กำลังจับกาน้ำชาของฟู่เสี่ยวกวนสั่นทันพลัน ตื่นตกใจอย่างแท้จริง นี่ต้องการจะทำอันใดกัน มิเช่นนั้นพรุ่งนี้ต้องรีบหนีไปเสีย ไปเรือนซีซานดีไหม
“เจ้าอย่าได้คิดหลบหนี ยังมีกงกงในวังเป็นผู้ที่ติดตามฝ่าบาทมาด้วย”
“มิใช่ พระองค์จะพากงกงมาทำอันใดกัน?” ฟู่เสี่ยวกวนวางกาน้ำชาลงโดยพลัน
“กงกงย่อมมาเพื่อประกาศราชโองการ ได้ยินมาว่ามีรางวัลมากมายสำหรับเจ้า”
จบสิ้นแล้ว องค์หญิงเก้าผู้นี้ต้องการบังคับขู่เข็ญกันหรือ? แต่ข้ายังมิทันได้เตรียมพร้อมดีเลย จะทำเยี่ยงไรดี ?
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืนและเดินวนไปวนมา “แตงที่ฝืนเด็ดมักไม่หวาน องค์หญิงกระทำเยี่ยงนี้ ข้ารู้สึกว่าไม่เหมาะสม”
หยูหงอี้หัวเราะขึ้นมา “หรือว่าเจ้ายังคิดจะต่อต้านราชโองการเยี่ยงนั้นหรือ ?”
“องค์ฮ่องเต้เป็นบุคคลที่มีเหตุมีผล เมื่อมีงานใหญ่ข้ามักจะไปที่เมืองหลวงเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อถกปัญหา”
“เจ้า…” หยูหงอี้ชี้ไปที่ฟู่เสี่ยวกวนแล้วส่ายหน้า และเอ่ยถามขึ้นมาว่า “เจ้าบอกข้ามาว่าองค์หญิงเก้ามีรูปลักษณ์เยี่ยงไร ?”
ฟู่เสี่ยวกวนนึกย้อนไปยังคราที่แล้วที่ได้พบกันที่หอวั่งเจียงโหลว หยูเวิ่นหวินผู้นั้นงดงามอย่างแท้จริง ความงามของนางและต่งชูหลานมิเหมือนกัน ความงามของต่งชูหลานนั้นนุ่มนวลและมีเสน่ห์ ราวกับสุราที่เก็บเอาไว้ในห้องใต้ดิน
แต่ความงามของหยูเวิ่นหวินร้อนแรงราวกับความอบอุ่น ราวกับเตาไฟในช่วงฤดูหนาว
หากสามารถโอบกอดเตาไฟและดื่มสุราไปด้วยได้ นั่นคงเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมยิ่ง
แต่ประการแรก หยูเวิ่นหวินเป็นองค์หญิง ประการที่สองยังมีเรื่องการสื่อสาร ระหว่างเขาและหยูเวิ่นหวินยังขาดการสื่อสารและความเข้าใจอีกมาก ทั้งยังมิมีขั้นพื้นฐานของความรู้สึก
แต่สถานการณ์ในยามนี้ก็คือ เตาไฟนี้กำลังจะละลายเขาโดยตรง แล้วจะทำเยี่ยงไรกับสุราเลิศรสกัน?
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนมิมีคำตอบ หยูหงอี้จึงเอ่ยถามอีกครา “เจ้ารู้สึกว่าองค์หญิงเก้ามีตรงไหนที่ไม่เหมาะสมกับเจ้ารึ ? ”
“เป็นข้าที่มิเหมาะสมกับนาง!”
“เรื่องนี้ข้าคงช่วยเหลือเจ้ามิได้ ความเข้าใจส่วนบุคคลที่ข้ามีต่อองค์หญิงเก้า เพื่อเจ้าแล้ว นางจึงมาหลินเจียงเป็นครั้งที่สามแล้ว การตัดสินใจของนางน่ากลัวว่าหากนางตัดสินใจไปแล้ว นั่นยิ่งยากที่จะแก้ไขแล้ว หากเจ้ายังมิอยากโดนเฉือน ในความคิดข้า… ตามนางไปจะดีกว่า”
ละทิ้งความรู้สึก มีเพียงแค่ความต้องการ ในฐานะที่ฟู่เสี่ยวกวนมีความคิดแบบสมัยใหม่ ย่อมมิกีดกันเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว ที่เขาเป็นเดือดเป็นร้อนคือฐานะราชบุตรเขย อีกทั้งเขายังมีความรู้สึกให้กับต่งชูหลานอย่างมาก แต่หากได้เป็นพระราชบุตรเขยจริง ก็มิมีอีกแล้วต่งชูหลาน นั่นเป็นเรื่องที่เขามิอาจจะยอมรับได้
“ยังมีองค์หญิงพระองค์ใดที่อภิเษกสมรสกับบุคคลที่ฐานะต่ำกว่าบ้าง ? ”
“เจ้าคิดอันใดกัน ? เจ้าจะอาศัยสิ่งใดกัน ? เจ้ามิใช่องค์ชายที่หล่อเหลา และยิ่งมิใช่องค์รัชทายาทหรือเชื้อสายราชวงศ์ของรัฐอื่น องค์หญิงจะอภิเษกสมรสกับผู้ที่ฐานะต่ำกว่าเยี่ยงไร?”
เยี่ยงนั้นก็หมดหนทางแล้ว หรือไม่ข้าจะหนีไปทั้งอย่างนี้… นี่มันมิสมจริงอย่างเห็นได้ชัด แต่วันนั้นข้าได้กล่าวถึงปัญหาของทางตระกูลข้าไปอย่างชัดเจนแล้ว หรือว่าพระสนมซั่งจะไม่ตระหนักถึงเรื่องความกตัญญูกัน?
เหมือนว่าจะมีปัญหา อย่างไรก็ตามราชวงศ์หยูให้ความสำคัญกับความกตัญญู นี่เป็นรากฐานของมารยาทและศีลธรรม ต่อให้เป็นฝ่าบาทก็มิอาจล่วงเกินหรือแย่งชิงผู้กตัญญูกตเวทีได้
เยี่ยงนั้นแล้วปัญหามันอยู่ที่ใดกัน ?
หรือว่า… พวกนางรู้แล้วว่าฉีซื่อกำลังจะคลอด ?
มีเพียงสิ่งนี้ที่พอจะเป็นไปได้ !
กำจัดทารกในท้องของฉีซื่อ? เกิดความคิดนี้ขึ้นมาในหัวของฟู่เสี่ยวกวน แต่ก็ปฏิเสธไปอย่างว่องไว อย่างไรเสียนี่ก็คือเลือดเชื้อของบิดา ตัวเขายังมิเลือดเย็นถึงเพียงนั้น
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็พบว่ายามที่เผชิญหน้ากับองค์ฮ่องเต้ ตัวเองนั้นไร้พลังจะขัดขืนเพียงใด
นั่นทำให้เขาไม่สบายใจอย่างมาก และยิ่งมุ่งมั่นที่จะสร้างปราสาทที่ยากจะพิชิตได้ในหมู่บ้านเซี่ยชุนสักหนึ่งหลัง และจะต้องสร้างปืนไฟและปืนใหญ่ออกมาให้จงได้
จ้องมองฟู่เสี่ยวกวนที่เอาแต่เดินไปเดินมาอย่างเงียบ ๆ ในใจของหยูหงอี้มีสิ่งที่ยังแก้ไม่ได้อีกมากมาย รอจนกระทั่งฉีซื่อคลอด จวนฟู่ก็จะมีอนาคต ด้วยนิสัยของเด็กคนนี้ เขาเหมาะสมที่จะเป็นพระราชบุตรเขยตรงไหนกัน ? แล้วเหตุใดเขาถึงต้องมาพัวพันถึงเพียงนี้ ?
หยูหงอี้ส่ายหน้า “ข้ามาลา โปรดจำด้วยว่าคืนพรุ่งนี้เจ้าต้องมาเข้าร่วมงาน ! ”
ตอนที่ 64 เกิด ณ หลินเจียง มีชื่อเสียง ณ เว่ยยาง
ในคืนวันไหว้พระจันทร์ วันที่สิบห้าเดือนแปด ณ หลานถิง ทะเลสาบเว่ยยาง เมืองหลวง ปรากฏกวีสุดแสนงดงามบทหนึ่งขึ้น และถูกจารึกลงบนหินเชียนเปยสือบรรทัดที่หนึ่ง เรื่องราวนี้แพร่กระจายไปในเมืองหลวงอย่างรวดเร็ว
กวีที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นสุดยอดแห่งกวีในเทศกาลไหว้พระจันทร์และสลักลงบนหินเชียนเปยสือนี้ ไม่ได้มีมานานหลายสิบปีแล้ว แต่ในวันนี้กลับปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งนี้คือเรื่องราวยุควรรณกรรมที่ไม่อาจลืมเลือนได้
คล้ายกับหินก้อนใหญ่ตกลงมายังกลางทะเลสาบ ทำให้เมืองหลวงเกิดคลื่นลูกใหญ่มหึมา
หลังปรากฏกวีบนนี้ขึ้นเพียงครึ่งโมงยาม เซวี๋ยเฟยเฟยนางโลมผู้เลื่องชื่อ ณ เรือหงซิ่วจาวแห่งแม่น้ำฉินหวายก็ได้นำไปขับร้องเป็นคนแรก
ได้ยินมาว่าทำนองเพลงสายน้ำนี้ อาจารย์หูฉินหูได้ทำการปรับแต่งดนตรีเสียใหม่ อาจารย์หูนั้นรักในสุรา มิได้แต่งทำนองเพลงใหม่มาหลายสิบปีแล้ว แต่เมื่อเขาได้ฟังกวีบทนี้ก็มีท่าทีที่เปลี่ยนไป บทเพลงที่ขับร้องกันมานับร้อยปี บัดนี้ถูกนำมาปรับแต่งให้ไพเราะจับใจ แม้จะไม่เหมือนเช่นเคยแต่พวกเขาก็จำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมนัก แขกบนเรือหงซิ่วจาวเมื่อได้ฟังบทเพลงไพเราะเพียงนี้ต่างเอ่ยเป็นเสียงเดียวกันว่าอาจารย์หูนั้นไม่ได้แก่ไปตามอายุเสียเลย
เยี่ยนเสี่ยวโหลวบุตรสาวในภรรยาคนที่สามของเยี่ยนซือเต้าเสนาบดีสมัยปัจจุบันก็อยู่ที่นี่ด้วย นางและฉินรั่วเสวียหลานของฉินปิ่งจงเดินทางมาด้วยกัน เนื่องจากฉินปิ่งจงกล่าวว่าที่หลานถิงจี๋นั้นไม่มีสิ่งใดน่าสนใจ ถึงให้พวกนางฟังเพลงอยู่ที่นี่
เยี่ยนเสี่ยวโหลวนั้นเดิมทีประสงค์จะไปหลานถิงจี๋ แต่พี่ชายของนาง เยี่ยนซีเหวินมิให้นางเดินทางไป หาใช่เพราะพี่น้องทั้งสองความสัมพันธ์ไม่ดี แต่เป็นเพราะเยี่ยนซีเหวินเอ่ยว่าหลานถิงจี๋เป็นสถานที่ของผู้มีความรู้ความสามารถ นางเป็นเพียงสตรีธรรมดาไม่เหมาะสมที่จะเดินทางไป เยี่ยนเสี่ยวโหลวอายุเพียง 14 ปี นางไม่มีอำนาจใดมากพอจึงทำได้เพียงติดตามพี่ชายมายังหงซิ่วจาวแห่งนี้
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์ในปีนี้ หลานถิงจี๋จะปรากฏบทกวีบนหินเชียนเปยสือ อีกทั้งยังถูกสลักในบรรทัดที่หนึ่ง !
คาดว่าบัดนั้น ณ หลานถิงจี๋ผู้คนคงล้วนตื่นตาตื่นใจ อีกทั้งผู้ประพันธ์กวีบทนั้นคาดว่าคงเป็นดุจดาวจรัสแสง
เยี่ยนเสี่ยวโหลวผิดหวังเล็กน้อย หากนางได้เห็นภาพนั้นด้วยตนเองคงดีไม่น้อย
เมื่อทำนองเพลงแห่งสายน้ำถูกบรรเลงขึ้น ณ เรือหงซิ่วจาว เมื่อเซวี๋ยเฟยเฟยขับร้องมันออกมา เยี่ยนเสี่ยวโหลวก็รับรู้ได้ทันทีว่าบทเพลงนี้คือผลงานชิ้นเอกแห่งยุคสมัย !
ใครกันที่เป็นผู้ประพันธ์ ?
พี่ชายของนางงั้นหรือ ?
เมืองหลวงนี้มีผู้มากความสามารถมากมายจนมิอาจคาดเดาได้
กระทั่งบทสุดท้ายที่ว่าเพียงหวังผู้คนอายุยืนยาว แม้ห่างกันพันลี้ร่วมกันชมจันทร์งามจบลง บรรยากาศเงียบไปหลายวินาที กระทั่งสวีหวินกุยที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่าง ก็เอ่ยถามว่า “ขอบังอาจถามแม่นาง กวีบทนี้ผู้ใดคือผู้ประพันธ์กัน ? ”
เซวี๋ยเฟยเฟยมิได้ตอบออกมา อาจารย์หูฉินหูก้าวเดินออกมา
ใบหน้าของนางเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แม้อายุถึงสามสิบหกปีแล้วแต่ยังคงความงดงามไว้ดังเดิม อีกทั้งยังสง่ากว่าเดิมเสียด้วย
นางหลงใหลในเสียงเพลงมา 30 ปีเต็ม มีความชำนาญในเครื่องดนตรีทุกประเภท บทเพลงทั้งหลายในแคว้นนี้มิมีใครเทียบได้ ดังนั้นจึงได้รับการยกย่องให้เป็นอาจารย์
นางมิได้แต่งทำนองเพลงมานานหลายปี แต่บทกวีในวันนี้ทำให้นางกลับมาแต่ทำนองเพลงอีกครั้งหนึ่ง
บัดนี้นางยืนอยู่บนเวทีมองไปยังผู้คนทั้งหลาย “กวีบทนี้เกิด ณ หลินเจียง มีชื่อเสียง ณ เว่ยยาง ได้รับการยอมรับและจารึกลงบนหินเชียนเปยสือให้พวกเราได้ชื่นชม”
เกิด ณ หลินเจียง ?
มีชื่อเสียง ณ เว่ยยาง ?
หากเป็นเยี่ยงนี้หมายความว่ากวีบทนี้ถูกประพันธ์ขึ้นที่เมืองหลินเจียงงั้นหรือ ?
สวีหวินกุยขมวดคิ้วขึ้น เขามิชอบที่แห่งนั้นเอาเสียเลยจริง ๆ
ฉินรั่วเสวียดวงตาเบิกกว้าง นางดึงชายเสื้อของฉินเฉิงเย่แล้วเอ่ยว่า “เป็นเขาใช่หรือไม่ ? ”
เขาคือผู้ใด ? เยี่ยนเสี่ยวโหลวประหลาดใจยิ่งนัก นางมองมายังฉินเฉิงเย่
“จะเป็นไปได้อย่างไร เขาผู้นั้นอยู่ที่หมู่บ้านเซี่ยชุน ไม่รู้ว่ากลับมาแล้วหรือไม่”
อาจารย์หูที่ยืนอยู่บนเวทีนิ่งเงียบไปชั่วครู่ แล้วเอ่ยว่า “ผู้ประพันธ์กวีบทนี้ อาจารย์ฉินได้เรียกเขาว่าเป็นมิตรสหาย เขาผู้นั้นปรุงสุราเทียนฉุน อีกทั้งสุราเทียนเซียงที่ใช้ดื่มด่ำบนเรือข้า เขาผู้นี้ยังเป็นผู้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่าความฝันในหอแดง ! ”
ฉินรั่วเสวียอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง นางมองไปยังฉินเฉิงเย่ ซึ่งบัดนี้เขาก็ตกตะลึงเช่นกัน ในใจเขาคิดว่าเจ้านั่นมีความสามารถถึงเพียงนี้เชียวหรือ ?
เยี่ยนเสี่ยวโหลวเข้าใจแล้วว่าเขาคือผู้ใด ในใจนางยินดียิ่งนัก
สวีหวินกุยขมวดคิ้วแล้วค่อย ๆ คลายความรู้สึกนั้นออกไป จากนั้นก็ยกถ้วยเหล้าขึ้นดื่มตามลำพัง
“อีกทั้งในวันนี้ เขาได้ประพันธ์กวีบทหนึ่งมอบให้แก่แม่นางต่งชูหลาน ซึ่งแม่นางต่งชูหลานได้เป็นผู้นำกวีบทนี้มอบสู่หอหลานถิง และได้รับความชื่นชมจากนักปราชญ์ทั้งห้า พวกท่านมีความเห็นเดียวกันว่าควรสลักไว้ในหินเชียนเปยสือบรรทัดที่หนึ่ง กวีบทนี้งดงามที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาผู้นี้……เป็นผู้มากความสามารถเหนือผู้ใด”
“ลำดับต่อไปขอเชิญแม่นางเซวี๋ยเฟยเฟยขับร้องบรรเลงเพลงคิ้วแข็งโค้ง”
เมื่ออาจารย์หูกลับลงมา ทำนองเพลงก็เริ่มบรรเลงขึ้น ผู้คนต่างพากันมองหน้าด้วยความประหลาดใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวีหวินกุย เขารู้สึกว่าเป็นเพียงความฝัน ช่างไม่น่าเชื่อเสียจริง
น้องสาวของเขา หยุนชิง ได้จากไปเป็นเวลา 10 ปีแล้ว บัดนี้บุตรชายของนางได้เติบใหญ่ แม้จะดำเนินชีวิตอยู่ในหลินเจียง หากแต่มีชื่อเสียงโด่งดังมายังเมืองหลวง
เขาจะเป็นอย่างไรบ้างกัน ?
จะสง่างามเหมือนหยุนชิงหรือไม่ ?
หากเมื่อครานั้นบิดาของตนไม่ตัดสินใจเด็ดขาดเช่นนั้น หยุนชิงอาจไม่จากไปทั้งอายุน้อยเพียงนี้ใช่หรือไม่ ?
สายน้ำไม่มีวันไหลกลับ
เมื่อหันหลังกลับ กลายเป็นเพียงความฝันในหอแดง
……
……
อาจารย์หูนั่งอยู่ที่ท้ายเรือซึ่งบัดนี้ไร้ซึ่งผู้คน
ท้ายเรือมีของฝากมากมาย เทียนหอมถูกจุดขึ้นอีกทั้งเตาอั้งโล่นั้นก็มีแสงไฟสว่างจ้าขึ้นมา
นางจุดไฟเผากระดาษเงินกระดาษทองลงไป แสงไฟลุกโชนส่องกระทบมายังใบหน้า
“ลูกชายของเจ้าเติบใหญ่แล้ว”
“เพียงเวลาไม่กี่เดือน เขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเนื่องจากเจ้าคอยปกป้องเขา สิ่งนี้ข้ารู้ดี”
“เขามีชื่อเสียงและความสามารถมากมาย ทั้งประพันธ์กวีและเขียนหนังสือ ล้วนได้รับความนิยมไปแพร่หลาย เดิมทีข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดฟู่ต้ากวนจึงมีบุตรชายที่มากความสามารถเช่นนั้น แต่เมื่อครุ่นคิดดูอีกทีจึงเข้าใจว่าคงเป็นเพราะเจ้า”
“เวลา 10 ปีผ่านไปไวเหลือเกิน นึกถึงกวีที่เจ้าประพันธ์ให้ข้าล้วนไพเราะเสนาะหู หลังจากที่เจ้าจากไป ข้าเองก็มิอยากประพันธ์เพลงขึ้นมาอีก กระทั่งค่ำคืนนี้ บุตรชายของเจ้านั้นประพันธ์กวีที่งดงามยิ่ง ข้าพอใจนักและนำมาเผาให้แก่เจ้าด้วย หวังว่าเจ้าเองจะถูกใจเช่นกัน”
“ประตูที่วัดฟูจื่อนั้นใกล้พังทลายลงแล้ว แต่ต้นพุทราด้านในนั้นยังคงสูงสง่า ลูกพุทรายังหวานหอม อีกไม่นานก็คงสุกแล้ว แต่ข้าเพียงผู้เดียวคงมิกล้าปีนขึ้นไป ทำได้เพียงแค่มอง ช่างน่าเสียดายยิ่ง”
“ข้าได้ยินมาว่าบุตรชายของเจ้านั้นชอบพอแม่นางต่งชูหลาน เจ้าจงดูเถิด เขาไม่ต่างไปจากบิดาแม้แต่น้อย บุตรชายเจ้าหากเดินทางไปสอบคัดเลือกเป็นขุนนางคงมิใช่เรื่องยาก แต่เขากลับเป็นเหมือนบิดา ชื่อของพวกเขามีความหมายว่าข้าราชการ หากแต่ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กันเลย กลายเป็นความรักระหว่างตระกูลพ่อค้าและตระกูลขุนนางอีกครั้งหนึ่ง หากเจ้ารับรู้จงช่วยให้เขาตัดใจเสีย หรือไม่……ก็จงไปเข้าฝันต่อแม่นางต่ง ข้าคาดว่านางคงตัดสินใจเยี่ยงเจ้า จงให้นางหนีตามกันไปเถิด”
“เอาละ วันนี้ข้าคุยกับเจ้าเพียงเท่านี้ วันนี้ข้าดีใจมากไปเสียหน่อย อาจพูดพร่ำมากมาย เจ้าจงอย่าโมโหดังที่ผ่านมา”
อาจารย์หูนำกระดาษเผาเสียจนหมด จากนั้นปัดฝุ่นผงในมือ เขาหยิบขวดสุราเปิดออกยกดื่ม นี่คือยอดสุราซีซานเทียนฉุน
นางนั่งอยู่ที่ท้ายเรือบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง สายตาสอดส่องทอดยาวไปยังดวงจันทร์ แววตาเปลี่ยนไปเป็นเศร้าหมองแล้วเอ่ยด้วยเสียงต่ำทุ้มว่า “หยุนชิง เจ้าหารู้ไม่ว่าข้ารักเจ้าเพียงใด ! ”
“หลังจากที่เจ้าจากไปพร้อมกับฟู่ต้ากวน ข้าเองก็หมดเรี่ยวแรง และไม่รู้ว่าควรจะทำเยี่ยงไร อีกทั้งไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าจึงยอมแต่งงานกับเขา ? ข้า……ไม่ดีตรงไหนงั้นหรือ ? ”
ตอนที่ 63 ลำดับที่หนึ่งหินเชียนเปยสือ
งานกวีสำนักศึกษาป้านชาน ณ หลินเจียงได้ปิดม่านลงแล้ว
งานกวีครานี้ได้กลายเป็นเรื่องตลก และค่อนข้างน่าสนใจยิ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนวิ่งหนีตายเพราะหญิงสาวกลุ่มหนึ่ง แต่เดิมเขาคิดจะทิ้งกวีหนึ่งบทไว้บนศิลาสายลม แต่เขาคิดมิถึงว่าสตรีในยุคนี้จะบ้าคลั่งได้ถึงเพียงนี้
พวกนางกำลังแย่งชิงกันอย่างจริงจัง !
ฟู่เสี่ยวกวนมิสงสัยเลยว่าหากวิ่งได้ช้าจนถูกหญิงสาวกลุ่มนั้นล้อมรอบไว้ ในค่ำคืนนี้เขาอาจจะเกิดเรื่องราวที่สวยงามขึ้น แน่นอนว่าเป็นเพราะเขาโดนบังคับ
นั่นทำให้เขารู้สึกเสียใจหลังจากที่วิ่งลงเขามา ซูม่อมิรู้ว่าในหัวของฟู่เสี่ยวกวนกำลังคิดอะไรอยู่ แค่รู้สึกว่าคนผู้นี้… ชั่วช้าอย่างแท้จริง !
นี่คือการไล่ตามดาราของยุคสมัยนี้ สำหรับหญิงสาวเหล่านั้นแล้ว บทกวีทั้งสองของฟู่เสี่ยวกวนกับหนังสือเล่มนั้น ได้เดินเข้าไปในหัวใจของพวกนาง พวกนางชื่นชมฟู่เสี่ยวกวนมานานแล้ว แต่เพราะฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่หมู่บ้านเซี่ยชุนเป็นเวลานานและมิมีผู้ใดพบเห็นเขา
จนกระทั่งคืนเทศกาลไหว้พระจันทร์ ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้ปรากฏตัวขึ้น ณ สำนักศึกษาป้านชาน ยิ่งกระตุ้นความลุ่มหลงที่อยู่ก้นบึ้งในหัวใจของพวกนาง เป็นดังที่ชวูหลิงหลงได้กล่าวไว้ บุรุษผู้นั้นเป็นที่ช่วงชิง หญิงสาวผู้อื่นจะยังสนใจพวกเขาอยู่อีกหรือ ?
รูปลักษณ์หล่อเหลา เพียบพร้อมไปด้วยตำราและบทกวี อีกทั้งยังร่ำรวยเป็นอันดับต้น ๆ ของหลินเจียงและยังมิมีพันธะหมั้นหมาย หากอยู่ในชาติที่แล้ว ก็มิแตกต่างไปจากฐานะขององค์ชาย เป็นเรื่องเข้าใจง่ายที่หญิงสาวจะมีความกระตือรือร้นช่วงชิงเขามาเป็นสามี
หากคว้ามาได้แล้วเล่า ?
สำหรับความรู้สึก หญิงสาวแทบทุกคนในโลกใบนี้มีความเข้าใจเรื่องความรู้สึกไม่ต่างจากจางเพ่ยเอ๋อร์เลยเลยแม้แต่น้อย สมรส ร่วมเตียง คลอดบุตร ก็มีความรู้สึกแล้ว
เพียงแค่การเรียงลำดับนั้นต่างกัน
หญิงสาวเหล่านั้นได้ไล่ตามฟู่เสี่ยวกวน และรู้สึกว่างานกวีนี้มิมีสิ่งใดน่าสนใจ ดังนั้นจึงได้แยกย้ายไปแล้ว
จึงเหลือเพียงบุรุษกลุ่มหนึ่งไว้ที่สำนักศึกษาป้านชาน งานกวีไม่เพียงแต่ต้องมีสุรา แต่ยังต้องมีสาวงามอีกด้วย บุรุษกลุ่มหนึ่งจึงประชันกลอนกันท่ามกลางแสงจันทรา ภาพในยามนี้จึงดูแปลกไปเล็กน้อย
จึงได้กลายเป็นการดื่มสุราและพูดคุยกัน
งานกวีในครานี้ เพราะฟู่เสี่ยวกวนเพียงผู้เดียว จึงได้ว่างเปล่าเยี่ยงนี้
จนทำให้เหล่าบัณฑิตที่เตรียมตัวมาอย่างเนิ่นนานเดือดเป็นไฟ แต่มิมีหนทางที่จะทำอันใดได้
เจ้าดูฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้น เพียงแค่โผล่หัวมา หญิงสาวมากมายก็ปรี่ไปหาอย่างไร้ยางอาย เหตุใดพวกนางจึงไม่คว้าข้ากัน?
นี่คือความอิจฉา หลังจากนั้นก็มีคนรู้สึกนับถือ รู้สึกว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นมีความสามารถ แน่นอนว่าย่อมมีคนอิจฉา แต่ก็ทำได้เพียงเก็บเอาไว้ในใจเท่านั้น
……
…..
งานกวีเทศกาลไหว้พระจันทร์หลานถิงจี๋เมืองหลวงได้ติดประกาศ
การติดประกาศมิใช่การติดประกาศอื่นใด
รัชสมัยไท่เหอปีที่ 32 หลานถิงจี๋ได้สร้างสรรค์ผลงานชิ้นเอกหลายชิ้น ฝ่าบาทที่ได้เห็นเยี่ยงนั้นจึงพึงพอใจยิ่ง ตรัสว่าหลานถิงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับนักวรรณกรรม แหล่งรวมบทกวี หากสามารถทิ้งนามไว้ที่นี่ได้ ความรุ่งโรจน์ก็เทียบเท่ากับผู้ที่มีรายชื่อในการสอบหน้าพระที่นั่ง ต่อจากนั้นหากมีการจัดงานกวีขึ้นอีกที่หลานถิง รูปแบบของประกาศจะนำไปติดไว้นอกทะเลสาบเว่ยยางได้ ต้องใช้พื้นสีเหลืองและมีตัวอักษรสีแดง เพื่อประกาศให้ใต้หล้าได้รับรู้
เยี่ยงนั้น การติดประกาศของงานกวีหลานถิงจึงถือเป็นมติ
ต่งชูหลานและหยูเวิ่นหวินยืนอยู่ที่ประกาศลำดับแรก มิมีชื่อของฟู่เสี่ยวกวนอย่างแท้จริง นี่มิสมเหตุสมผลเลย !
“ข้าจะไปถาม” หยูเวิ่นหวินมิเชื่อ บทกวีที่วิเศษเยี่ยงนั้น เหตุใดจะมิติดอันดับต้น ๆ กัน
หรือว่าเหล่านักปราชญ์ผู้ตรวจสอบเหล่านั้นมีตาหามีแววไม่กัน?
“หม่อมฉันไปด้วยเพคะ”
“ไป ! ”
เพื่อชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวน ในยามนี้พวกนางทั้งสองต่างก็มีความคิดเห็นตรงกันอย่างน่าประหลาด
พวกนางเดินเข้าไปยังชั้นหนึ่ง ทหารยามที่ประจำอยู่ตรงนั้นก็ขวางทางพวกนางไว้ “ทะเลสาบเว่ยยางเป็นสถานที่ต้องห้าม ห้ามคนนอกเข้า”
“ข้าคือองค์หญิงเก้า ! ”
ทหารยามชะงักไป ก่อนจะหัวเราะขึ้นมา “แม่นางกลับไปเถิด กล่าวตามตรง ว่าทุกปีนั้นจะมีคนแอบอ้างเป็นคนในราชวงศ์อยู่มากมาย หากเปลี่ยนตัวตนอื่นอาจจะดีกว่านี้ แม่นางจงเชื่อฟัง และออกไป เหล่านักปราชญ์เบื้องบนยังมิลงมา อย่าได้ไปรบกวนพวกท่าน”
หยูเวิ่นหวินผงะ “ข้าคือองค์หญิงเก้าตัวจริง ! ”
“เยี่ยม ๆ พระองค์คือองค์หญิงเก้า เป็นพระมหากรุณาธิคุณของกระหม่อมยิ่ง หากเป็นราชวงศ์ก่อน เจ้าที่ปลอมตัวเป็นองค์หญิงคงได้ถูกบั่นคอเป็นแน่ พอได้แล้ว อย่ามาก่อความวุ่นวาย พวกข้ารู้แจ้งความคิดของพวกเจ้า ก็คงไม่พ้นจะเข้าไปคำนับเหล่าท่านนักปราชญ์ เพื่อขอจดหมายแนะนำล่ะสิ เจ้าดู ข้าที่มิได้ร่ำเรียนมายังรู้เลย”
หยูเวิ่นหวินกระทืบสองเท้าอย่างร้อนรน นี่มันซิ่วไฉพบทหาร[1]ชัด ๆ แต่เจ้าก็มิสามารถกล่าวว่าผู้อื่นผิด ๆ ได้
นางโกรธจนกระทืบเท้า ขบกรามแน่นและชี้ไปยังทหารยามผู้นั้น “ดี ดีมาก ข้าจะจำเจ้าเอาไว้”
ทหารยามผู้นั้นหน้าระรื่นและกล่าวขำ ๆ “ทุกปีข้าจะถูกพวกที่สวมรอยเป็นเชื้อพระวงศ์จำได้อยู่แล้ว ข้าจะบอกเจ้า ข้ามีนามว่าซุยมิ่ง เยี่ยงนี้เจ้าคงจะจำได้มากยิ่งขึ้น”
ทันใดนั้นก็มีคนลงมาจากชั้นสาม
ทั้งยังถือม้วนหนังสือมา
“นี่คือ ? ”
“โชคสวรรค์ฟ้าบันดาล พวกเจ้าช่างโชคดีเสียจริง ที่จะได้ร่วมเป็นสักขีพยานจารึกอักษรลงบนหินเชียนเปยสือด้วยสายตาตนเอง ! ”
ทั้งสองคนเดินไปถือม้วนหนังสือทั้งสองออกมา หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานหันมามองหน้ากัน จารึกอักษรหินเชียนเปยสือ ? หรือนั่นคือบทความที่เกี่ยวกับบทกวีนิรันดร์
หรือว่าจะ…?
ทั้งสองจับมือกันวิ่งออกมา ด้านนอกนั้นได้มีทหารยามคอยรักษาความสงบ และกันให้เหล่าบัณฑิตออกห่างไปเล็กน้อย
อาจารย์ชั้นหนึ่งและเจ้าหน้าที่กั๋วจื่อเจี้ยนที่ชั้นสองต่างก็เดินออกมา และยืนเรียงแถวเบื้องหน้ารายการลำดับที่หนึ่งของทะเลสาบเว่ยยาง
“จะทำอันใดกัน?” อันลิ่วเย่เอ่ยถาม
บทกวีเทศกาลไหว้พระจันทร์ยากถึงเพียงไหน นี่คือสิ่งที่ทุกคนรับรู้กันถ้วนหน้า หรือว่าค่ำคืนนี้จะยังมีการทดสอบสัมภาษณ์กวีหินเชียนเปยสือกัน?
หลังจากผ่านไปได้ครึ่งก้านธูป นักปราชญ์ทั้งห้าท่านบนชั้นสามก็ได้มาถึง ณ ที่นี้
ผู้อำนวยการกั๋วจื่อเจี้ยนกวนเหวินซิ่วเดินมาถึงเวที ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ และเต็มไปด้วยจิตวิญญาณ
“วันนี้เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ใช้ช่วงเวลาเทศกาลนี้ที่หลานถิงจี๋ไปกับพวกท่าน และได้เกิดบทกวีที่สวยงามขึ้นอย่างมากมายในช่วงเวลานี้ ทุกท่านก็คงจะได้เห็นกันแล้ว แต่ในตอนนี้ ทุกท่านและข้ากำลังจะเป็นพยานให้กับการกำเนิดของผลงานชิ้นเอกกัน!”
จิตใจเยี่ยนซีเหวินสั่นสะท้านและรู้สึกแย่ขึ้นเรื่อย ๆ
หยูเวิ่นหวินกุมมือของต่งชูหลานเอาไว้แน่น โดยที่ต่งชูหลานเองก็มิรู้ตัว นางมองไปทางผู้อำนวยการกวนเหวินซิ่ว ด้วยสีหน้าตื่นเต้นอย่างถึงที่สุด
จารึกชื่อหินเชียนเปยสือ ช่างเป็นพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ ! นี่เป็นชื่อเสียงที่ดีเสียนี่กระไร !
“หลังจากได้ปรึกษาหารือกับนักปราชญ์ทั้งสี่ท่านเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ผลงานชิ้นเอกจะถูกเผยแพร่ในยามนี้ นี่เป็นนิมิตหมายยุครุ่งเรืองของวรรณกรรมในราชวงศ์หยูที่ยิ่งใหญ่ของข้า เป็นแบบอย่างให้แก่นักประพันธ์อย่างเรา ๆ โปรดอย่าได้บั่นทอนและดูถูกตนเอง จงรับชมและให้กำลังใจตนเอง ! ”
“ติดประกาศ !”
สิ้นเสียงของผู้อำนวยการกวนเหวินซิ่ว ทั้งสองคนที่ยืนอยู่บนที่สูงนั้นก็ได้ติดประกาศนี้
ประกาศแสนยิ่งใหญ่นี้มีเพียงบทกวีและนามของบุคคลผู้หนึ่ง
เยี่ยนซีเหวินรู้สึกเพียงว่าสมองอื้ออึ้งจนการมองเห็นเริ่มพร่ามัว สีหน้าของฟางเหวินซิงซีดลงทันพลัน และเหงื่อเย็นอาบท่วมร่างจนเสื้อผ้าเปียกโชก คนอื่น ๆ ที่เหลือนั้นมิอยากจะเชื่อ จนกระทั่งต้องกลั้นหายใจและอ้าปากค้าง
หยูเวิ่นหวินปิดปากเล็ก ต่งชูหลานกำหมัดเล็กไว้แน่น
ทำนองเพลงสายน้ำ จันทร์สกาวเช่นนี้มีเมื่อใด
จันทร์สกาวเช่นนี้มีเมื่อใด ถือถ้วยสุราถามฟ้าคราม…
……
…..
…..เพียงหวังผู้คนอายุยืนยาว แม้ห่างกันพันลี้ ร่วมกันชมจันทร์งาม!
หลายคนต่างร้องคลอเสียงต่ำ หลายคนเงยหน้ามองจันทรา หลายคนหลับตาและครุ่นคิด หลังจากนั้นก็เศร้าสลดกันถ้วนหน้า มีเพียงเสียงถอนหายใจยาวเหยียด
ถามใต้หล้า… ยังมีผู้ใดที่จะสามารถสร้างผลงานชิ้นเอกเยี่ยงนี้ได้อีกหรือไม่ !
เขามีนามว่าฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนผู้ประพันธ์ความฝันในหอแดง
เขาคือคนของหลินเจียง บิดาเป็นเศรษฐีที่ดินใหญ่ในหลินเจียง เขาจึงเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินไปโดยไปปริยาย
เขาเป็นเพียงซิ่วไฉเท่านั้น เขายังได้เขียนประพันธ์กวีไว้สองบท
……
…….
ผู้อำนวยการกวนเหวินซิ่วลูบเครายาวสีขาวก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครา
“หลังจากการลงคะแนน ทำนองเพลงสายน้ำบทนี้ ความหมายสูงส่ง การตัดสินใจอย่างยาวนาน ท่วงทำนองที่มิมีผู้ใดเปรียบได้ เป็นผลงานชิ้นเอกแห่งยุค! ดังนั้น คำนี้จะถูกจารึกไว้เป็นลำดับแรกในครบรอบหกสิบปีหินเชียนเปยสือ”
ฝูงชนกู่ร้อง
เทศกาลไหว้พระจันทร์จบลงแล้ว !
[1] ซิ่วไฉพบทหาร หมายถึง มีเหตุผลแต่พูดไม่ออก
ตอนที่ 62 ต่อจากเทศกาลไว้พระจันทร์
ที่ชั้นสองผู้ดูแลกั๋วจื่อเจี้ยนทั้งแปดคนกำลังมองดูผลงานของฟู่เสี่ยวกวน
“หากกวีบทนี้ถูกเผยแพร่ออกไป คาดว่าคงได้เป็นบทกวีที่ได้รับความนิยมอย่างยิ่ง”
“เพียงหวังผู้คนอายุยืนยาว แม้ห่างกันพันลี้ ร่วมกันชมจันทร์งาม……ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้ ช่างเป็นผู้มีพรสวรรค์ยิ่งนัก ! ”
“ต้องมีจิตใจปลอดโปร่งจึงจะสามารถแต่งกวีที่งดงามได้เพียงนี้ หนังสือความฝันในหอแดงนั่น ข้าเองคงต้องกลับไปอ่านบ้างเสียแล้ว”
“นำส่งขึ้นไปเถิด”
“ข้าขอคัดลอก 1 ฉบับ”
“ข้าเช่นกัน”
……
……
หลายปีที่ผ่านมา งานกวีหลานถิงในเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้ จะมีการคัดเลือกกวีอันดับที่หนึ่ง 3 บท อันดับที่สอง 10 บท อันดับที่สาม 30 บทและอันดับที่สี่ 100 บท และนำมาจัดแสดงบนกำแพงหลานถิงในยามเที่ยงคืน
บัดนี้ห่างจากเวลาจัดแสดงประมาณ 1 ชั่วยาม
เยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ นั่งรอฟังผลการคัดเลือกอยู่ในศาลามู่ถิง ในบรรดาพวกเขาทั้งหกคน ได้รับข้อมูลว่ามีผลงานของ 3 คนถูกส่งขึ้นไปยังชั้นสาม
นั่นหมายความว่าผลงานพวกเขาได้เข้ารอบสุดท้ายนั่นเอง
ทั้งสามคนนั้นได้แก่เยี่ยนซีเหวิน ฟางเหวินซิงและอันลิ่วเย่
“ไม่รู้ว่าผลงานของฟู่เสี่ยวกวนนั้นจะถูกส่งขึ้นไปยังชั้นสามหรือไม่” อันลิ่วเย่มีท่าทีตื่นเต้นไม่น้อย เขาเองเคยอ่านหนังสือความฝันในหอแดง และรู้ดีว่าฟู่เสี่ยวกวนมีความสามารถ ผู้นี้คือคนที่น้องสาวเขาให้ความเคารพนับถือยิ่ง
“จะประเมิณค่าต่ำมิได้ ต่งชูหลานนี้ข้ารู้จักนางดี หากไม่มีความมั่นใจล่ะก็ นางไม่ตัดสินใจกระทำการเช่นนี้เด็ดขาด” เยี่ยนซีเหวินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงมั่นคง
“ข้ามิอยากจะเชื่อเสียจริงว่าหลินเจียงซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ เช่นนั้น จะมีผู้มากความสามารถเกิดขึ้นมาได้ ผลงานของพวกเราทั้งสามคนได้ถูกส่งไปยังชั้นสาม ข้าคิดว่าผลงานของท่านพี่เยี่ยนสามารถได้รับคะแนนอันดับหนึ่งได้ หากเขามีความสามารถจริงก็คงได้แค่อันดับหนึ่งเช่นกัน ไม่มีใครแพ้หรือชนะ แต่หากพวกเราได้รับผลคะแนนอันดับหนึ่งเช่นกัน นับว่าเราเป็นผู้ชนะ”
เยี่ยนซีเหวินพยักหน้า ในหัวของเขาคิดออกมาว่าหากกวีของฟู่เสี่ยวกวนได้ขึ้นสลักหิน……แต่คงมิอาจเป็นไปได้ เขารีบสลัดความคิดนี้ออกไปทันที
หยูเวิ่นหวินและต่งชูหลานพร้อมกับบ่าวรับใช้ของทั้งสองคนขึ้นเรือไป เมื่อทั้งสองขึ้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ก็ดื่มกันอย่างอิ่มหนำสำราญ
เรือล่องอยู่กลางทะเลสาบ ปรากฏดวงจันทร์อันส่องสว่างขึ้นกลางน้ำ งดงามยิ่งนัก สายลมบางเบาโบกพัดมา ผมยาวสลวยของทั้งสองพลิ้วไสวไปมา พัดพาสายน้ำให้เป็นคลื่นทำให้ดวงจันทร์ในน้ำนั้นสั่นไหว
บรรยากาศแสนอึดอัดเช่นนี้ จากเดิมทั้งสองเป็นสหายที่ใกล้ชิดแต่เนื่องจากในใจมีชายคนเดียวกัน หากเป็นสตรีทั่วไปคงไม่ยากที่จะจัดการเรื่องนี้ แต่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นถึงองค์หญิงเก้า ทำให้ไม่ง่ายที่จะแก้ไขนัก
ต่งชูหลานเอ่ยปากถามนางก่อนว่า “องค์หญิงเพคะ กลอนตุ้ยเหลียนบทล่าง เขาต่อโคลงอย่างไรหรือเพคะ ? ”
“เจ้าเรียกข้าเช่นนี้ช่างดูห่างเหินนัก”
ต่งชูหลานมองไปยังเงาของดวงจันทร์กลางน้ำ นางยิ้มแย้มแล้วเอ่ยว่า “จากเดิมข้าคิดว่าท่านแม่คือปัญหาที่จัดการยากที่สุด”
หยูเวิ่นหวินนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ “เขาเอ่ยกับเจ้างั้นหรือ ? ”
“เขาส่งมาพร้อมกับกวีบทนั้น”
หยูเวิ่นหวินนิ่งเงียบไปอีกครา นางหยิบขนมใส่ปากเคี้ยวอย่างช้า ๆ ผ่านไปนานทีเดียวจึงได้เริ่มเอ่ยว่า “มองดูแล้ว ข้าว่าเขาชอบเจ้า”
“ถ้าเช่นนั้นองค์หญิง ท่านจะมิช่วยข้าหน่อยหรือ ? ”
ต่งชูหลานเอ่ยถามหยูเวิ่นหวิน แววตามีความก้าวร้าวซ่อนเร้นอยู่
“ชูหลาน พวกเราเป็นสหายกันใช่หรือไม่ ? ”
“พวกเราเติบโตมาด้วยกัน ศึกษาสิ่งต่าง ๆ มาด้วยกัน” ต่งชูหลานมองไปยังผิวน้ำอีกครา คล้ายกับย้อนเวลาไปยามวัยเยาว์ “ข้าเองมักเข้าวังไปเล่นกับท่าน ท่านเองก็มักออกมานอกวังเพื่อเล่นกับข้า ในยามนั้นเราทั้งสองไม่เคยมีเรื่องใดที่ต้องทะเลาะเบาะแว้งแก่งแย่งชิงดี เป็นมิตรภาพที่บริสุทธิ์เสียจริง ไม่ว่ามีเรื่องราวอันใดในใจก็สามารถเอ่ยออกมาให้ฟังได้ทั้งสิ้น ข้าคิดถึงช่วงเวลานั้นเหลือเกิน”
“ข้าก็เช่นกัน เรื่องนี้ตัวข้าเองก็ครุ่นคิดอยู่แสนนาน คราก่อนที่ข้าเดินทางกลับมาจากหลินเจียง เพียงชื่นชมในความสามารถของเขาเท่านั้น ชูหลาน เจ้าช่างมีสายตาแหลมคมเสียจริง ข้ามิได้มีเจตนาแย่งชิงกับเจ้า แม้ก่อนหน้านี้ข้าเคยเอ่ยว่าจะแย่งเขามาจากเจ้าก็ตาม นั่นเป็นเพียงคำหยอกเล่นเท่านั้น แต่การเดินทางไปในครั้งนี้เมื่อครั้นที่เขาเขียนกวีตุ้ยเหลียนนั่น ชูหลาน ข้ามิได้หลอกเจ้า ข้าเองก็ชอบเขาเช่นกันโดยมิอาจบอกถึงเหตุผลได้ อาจเพราะความสามารถของเขาหรืออาจจะเพราะมุมมองของเขาก็เป็นได้”
บรรยากาศกลับมาหนักอึ้งอีกครั้ง ผ่านไปแสนนานหยูเวิ่นหวินจึงเอ่ยว่า “กลอนตุ้ยเหลียนนั้นมีอยู่ว่า วันที่เมฆหลากสี ท่ามกลางหมู่เมฆหลากสี บนท้องฟ้าหลากสีมีเมฆหลากสี ท้องฟ้าพันปี เมฆพันปี”
ต่งชูหลานนำมือกอดเข่าแล้วเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้า ในใจคิดว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถเขียนกลอนตุ้ยเหลียนที่งดงามเช่นนี้ได้
“ชูหลาน ข้าเองมิอยากมีชีวิตเหมือนพี่รองและพี่สี่ ฟู่เสี่ยวกวนแม้จะมีความรู้เต็มอกแต่เขามิได้แม้แต่คิดทำการเกินตัวใด ๆ เขาเพียงอยากเป็นพ่อค้าที่ดินธรรมดา ๆ เท่านั้น ส่วนตำแหน่งพระสวามีเดิมทีก็มีไว้สำหรับคนธรรมดา เนื่องจากไม่สามารถเข้ารับราชการได้ ข้าชอบเขา อีกทั้งเขาเองต้องการเป็นเพียงคนธรรมดา เจ้า……วางมือได้หรือไม่ ? ”
ต่งชูหลานมองมาทางหยูเวิ่นหวินด้วยแววตานิ่งสงบ
“เจ้าเคยถามเขาหรือไม่ว่าเขามีใจให้เจ้าไหม ? ”
หยูเวิ่นหวินตกตะลึงไปขณะหนึ่ง นั่นสิ ! ไม่ว่าตัวนางหรือเสด็จแม่ก็มิเคยคำนึงถึงข้อนี้มาก่อน
ถ้าเช่นนั้น ฟู่เสี่ยวกวนชอบพอในตัวนางหรือไม่ ?
หากเขาชอบพอนาง เหตุใดจึงได้นำเรื่องราวที่หลินโจวบอกแก่ต่งชูหลาน ?
หากเขามิได้ชอบพอนาง แต่กลับใช้อำนาจบังคับเขามาเป็นพระสวามี แล้วจะแตกต่างจากพี่รองและพี่สี่ได้อย่างไร ?
หยูเวิ่นหวินสับสนยิ่งนัก ผ่านไปนานแสนนาน นางได้เอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ถ้าเช่นนั้น……เขาชอบเจ้างั้นหรือ ? ”
ต่งชูหลานยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วพยักหน้า
“เสี่ยวฉี นำพู่กันและกระดาษมา”
ต่งชูหลานเขียนกวีเพลงแห่งสายน้ำลงไปแล้วส่งให้หยูเวิ่นหวิน “กวีบทนี้เขาเขียนให้แก่ข้า และจะได้สลักบนป้ายหินนั่น เจ้าจงดูเถิด”
“จันทร์สกาวเช่นนี้มีเมื่อใด ? ถือถ้วยสุราถามฟ้าคราม……”
“……”
“……เพียงหวังผู้คนอายุยืนยาว แม้ห่างกันพันลี้ ร่วมกันชมจันทร์งาม”
หยูเวิ่นหวินหลับตาลงแล้วถอนหายใจออกมายาว ๆ
หยูเวิ่นหวินมิได้ท้อถอย นางต้องการพุ่งชนอุปสรรคนี้ ! นี่คือสิ่งที่ต่งชูหลานไม่คาดคิดมาก่อน
……
……
ณ หอหลานถิงชั้นสาม
แสงจันทร์จากนอกหน้าต่างส่องมา เวลานี้ทุกสิ่งเงียบสงบ
ฉินปิ่งจงยืนนำมือลูบเครายาวของเขาอย่างช้า ๆ จินตนาการว่าสหายของเขาผู้นี้เกรงว่าจะเป็นเพียงผู้เดียวที่สามารถเขียนกวีเพลงแห่งสายน้ำขึ้นมาได้
อีก 5 คนที่เหลือไม่มีข้อขัดแย้งใด ๆ กวีบทนี้เป็นบทที่งดงามที่สุดในเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่เคยมีมา อีกทั้งชางกวนเหวินซิ่วก็เอ่ยออกมาด้วยตนเองแล้วว่า หากเผยแพร่ไปคงได้รับความนิยมอย่างล้มหลาม
ถึงขั้นที่ว่าในเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้เกรงว่าจะไม่มีกวีบทใดเทียบเท่าบทนี้ได้ตลอดกาล
“ข้าขอเสนอแนะให้นำกวีบทนี้สลักลงบนป้ายหินบรรทัดที่หก”
“ข้าขอเสนอแนะให้นำกวีบทนี้สลักลงบนป้ายหินบรรทัดที่สาม
“เป็นไปหรือที่กวีบทนี้สามารถเทียบกับบทกวีของนักปราชญ์ในอดีตได้ ? ”
“ท่านหลี่กง กฎเกณฑ์ของป้ายหินเชียนเปยสือ ดูเพียงเนื้อความ มิได้ดูฐานะตัวตน”
“ท่านฉินกงมีความคิดเห็นว่าอย่างไร ? ” ชางกวนเหวินซิ่วเอ่ยถาม
“ข้าเองมีความรู้จักกับฟู่เสี่ยวกวนเป็นการส่วนตัว ไม่ขอออกความคิดเห็นใด”
“หากเป็นเช่นนี้ข้าขอเสนอความคิดเห็นว่า นำกวีบทนี้สลักลงบนป้านเชียนเปยสือบรรทัดที่หนึ่ง ! ”
ทุกคนตกตะลึงนิ่งเงียบไปชั่วขณะ
“ทุกท่านจงพิจารณากวีบทนี้อย่างละเอียด ในเวลา 1 ก้านธูป ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด”
……
……
เวลาเที่ยงคืน วันที่สิบห้าเดือนแปด ณ แผ่นป้ายประกาศหอหลานถิง
อันดับหนึ่งมีจำนวน 3 คนได้แก่ เยี่ยนซีเหวิน ฟางเหวินซิงและซืออีหมิง!
กลับไม่มีชื่อของฟู่เสี่ยวกวน
เยี่ยนซีเหวินถูกใจยิ่งนัก หันมายิ้มให้กับต่งชูหลานที่เพิ่งกลับมาถึงว่า “เขาแพ้แล้ว”
“นับจากนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิอาจก้าวเข้ามาเหยียบเมืองหลวงได้แม้แต่ก้าวเดียว ขอแม่นางต่งบอกต่อเขาด้วย”
“หลินเจียงจะบังอาจมาเปรียบเทียบกับเมืองหลวงได้อย่างไร!”
“ข้ากล่าวแล้วใช่หรือไม่ว่าเขาเป็นเพียงผู้ฝึกหัด ! ”
“……”
ตอนที่ 61 งานกวีเทศกาลไหว้พระจันทร์
เมื่อตอนที่โจวเทียนโย่วกำลังวิพากษ์วิจารณ์ถึงฟู่เสี่ยวกวนอยู่นั้น
ทันใดนั้นก็มีเสียงของหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้นมาจากด้านนอกศาลาไม้ “เจ้าคงว่างสินะ? คำพูดที่คนผู้นี้กล้ากล่าวออกมา พวกเจ้ากล้าเชื่อด้วยเยี่ยงนั้นรึ นี่คือการทำลายความบริสุทธิ์และทำลายชื่อเสียงของตัวบุคคล!”
ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้น และได้พบกับหญิงสาวที่ในยามนี้มีสีหน้าเย็นชาจรดปลายคิ้ว นางคือองค์หญิงเก้าหยูเวิ่นหวิน
โจวเทียนโย่วใจกระตุก เยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ ต่างก็ยืนขึ้น และโค้งคำนับให้แก่หยูเวิ่นหวิน
หยูเวิ่นหวินสะบัดเสียงเหอะก่อนจะเดินเข้ามา นั่งลงข้างกันกับต่งชูหลาน ใบหน้าเย็นชาก็พลันละลาย และยิ้มขึ้นมาทันที
“พระองค์เสด็จกลับมาตั้งแต่เมื่อใดเพคะ ? ” ต่งชูหลานเอ่ยถาม
“วันที่สิบสอง แต่เดิมน่าจะกลับมาถึงปลายเดือนเจ็ดต้นเดือนแปด แต่คิดมิถึงว่าฝนจะตกหนักไปตลอดสายแม่น้ำแยงซี น้ำในแม่น้ำเพิ่มสูงขึ้นจนมิสามารถเดินเรือได้ จึงทำให้ล่าช้าไป”
หลังจากที่หยูเวิ่นหวินอธิบายกับต่งชูหลานแล้วก็หันมองทุกคน “ครานี้ข้าได้ติดตามเสด็จแม่ประพาสไปยังเมืองเกิด และได้พำนักชั่วคราวที่หลินเจียง คืนนั้นเสด็จแม่ได้เชิญผู้มีชื่อเสียงแห่งหลินเจียงมาร่วมงาน ที่หลินเจียงซ่างหลินโจว และได้เชิญฟู่เสี่ยวกวนมายังอาคารเล็กที่จวนเสียนชินอ๋อง ณ ซ่างหลินโจว เสด็จแม่ได้ให้โจทย์เขาแต่งกลอนตุ้ยเหลียนหนึ่งบทให้แก่อาคารใหม่ นี่ง่ายดายสินะ ให้ข้าทดสอบพวกเจ้าสิ”
ต่งชูหลานมองหยูเวิ่นหวินด้วยความประหลาดใจ ฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวถึงเรื่องที่ซ่างหลินโจวไว้ในจดหมายแล้ว แต่มิได้พูดถึงกลอนตุ้ยเหลียนเลยแม้แต่น้อย คิดว่าเขาต้องรู้สึกว่าเรื่องนี้มิสำคัญอันใด มาฟังว่าหยูเวิ่นหวินจะกล่าวถึงเยี่ยงไร
“เพียงฟู่เสี่ยวกวนจับพู่กันก็ประพันธ์กลอนตุ้ยเหลียนออกมาได้ มิมีผู้ใดกล้าลบล้างได้แม้แต่อักษรเดียว ข้าจะแสดงโคลงแรกให้เห็น และพวกเจ้าก็ต่อโคลงต่อไป”
“ฝ่าบาทโปรดแสดงโคลงแรกพ่ะย่ะค่ะ” เยี่ยนซีเหวินคำนับและกล่าว
กลอนตุ้ยเหลียนเมื่อเทียบกับบทกวีแล้วง่ายดายกว่านัก เยี่ยนซีเหวินมิรู้สึกว่าเรื่องนี้จะยากถึงเพียงนั้น เมื่อได้ฟังความหมายขององค์หญิงเก้า ที่ชื่นชมฟู่เสี่ยวกวนอย่างถึงที่สุด เยี่ยงนั้นข้าจะต่อโคลงที่ดียิ่งกว่าให้ เพื่อจะได้หักหน้าฟู่เสี่ยวกวน
“ฟังให้ดี โคลงแรกมีอยู่ว่า มองดูเจียงโหลว มองดูแม่น้ำเจียง มองดูแม่น้ำเจียงไหลไปอยู่บนเจียงโหลว เจียงโหลวนิรันดร์ แม่น้ำเจียงนิรันดร์ เป็นคู่ครองกันนับพันปี และใช่ ให้เวลาพวกเจ้า 1 ก้านธูป ฟู่เสี่ยวกวนใช้เวลาคิดเพียง 7 ย่างก้าวในการต่อโคลงเท่านั้น หากพวกเจ้าสามารถต่อโคลงได้ภายในเวลา 1 ก้านธูป ข้าจะยอมรับว่าฟู่เสี่ยวกวนไร้ความสามารถ หากพวกเจ้าต่อไม่ได้ เจ้าที่กล่าวถึงผู้อื่นลับหลังเสีย ๆ หาย ๆ ต้องขอโทษฟู่เสี่ยวกวน”
หยูเวิ่นหวินชี้ไปทางโจวเทียนโย่ว โจวเทียนโย่วกลัวจนตัวสั่น เป็นเยี่ยงนี้ ข้ามิสามารถต่อโคลงนี้ได้ !
ต่งชูหลานเหลือบมองหยูเวิ่นหวินโดยตั้งใจและมิตั้งใจ นางทราบว่าหยูเวิ่นหวินอยากจะแต่งตั้งให้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นราชบุตรเขย แน่นอนว่านั่นย่อมมิมีทางเกิดขึ้นเป็นแน่ หากฟู่เสี่ยวกวนได้เป็นพระราชบุตรเขย เขาก็มิสามารถจะตบแต่งได้แม้แต่อนุ แล้วตนเองจะต้องทำเยี่ยงไร?
โชคดีนักที่ฟู่เสี่ยวกวนชอบพอข้า เพียงแต่คู่ต่อสู้นี้ จะต้องต่อกรเยี่ยงไร ?
เยี่ยนซีเหวินเองก็ตกตะลึงเช่นกัน
เขาที่ได้ยินโคลงนี้ก็ตกตะลึง โคลงแรกมีทั้งหมด 21 ตัวอักษร เขียนรวมอาคารและแม่น้ำเข้าด้วยกัน คิดตามได้ว่าอาคารเล็กนั้นมีนามว่าหอวั่งเจียงโหลว ยืนบนอาคารนั้นสามารถมองเห็นสายน้ำไหลของแม่น้ำได้
และเจียงโหลวนิรันดร์ แม่น้ำเจียงนิรันดร์ เป็นคู่ครองกันนับพันปีนั้นก็หมายความว่าอาคารนี้จะคงอยู่ตลอดไป เหมือนกับสายน้ำที่ไหลในแม่น้ำแยงซี
นิ่งสงบและเคลื่อนไหว มีทั้งฉากและอารมณ์ ทั้งยังมีการใช้คำซ้ำ ชายผู้นั้นสามารถประพันธ์กลอนตุ้ยเหลียนได้ภายใน 7 ย่างก้าว เขาประพันธ์โคลงแรกขึ้นมาได้เยี่ยงไรกัน?
ภายในศาลาไม้ยามนี้ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเข็มตก นอกจากหยูเวิ่นหวิน คนอื่น ๆ ก็ยังคงครุ่นคิดด้วยคิ้วที่ขมวดนิ่ว
แต่สิ่งที่จางเหวินฮั่นกำลังนึกถึงกลับเป็นชายผู้นั้น ชาติชั่ว หากรู้แต่เนิ่น ๆ จะมิกล่าวถึงคนผู้นี้
เวลา 1 ก้านธูปจึงผ่านไปทั้งเยี่ยงนี้ มิมีผู้ใดสามารถต่อออกมาได้
“ยามนี้ เจ้าต้องขอโทษฟู่เสี่ยวกวนต่อหน้าพวกข้าทุกคน !”
โจวเทียนโย่วก้มหน้าและยืนขึ้น ใบหน้าแดงก่ำ ละอายแก่ใจอย่างยิ่ง
“ข้า โจวเทียนโย่ว ได้กล่าวให้ร้ายฟู่เสี่ยวกวนลับหลัง ซึ่ง… มิให้ความเคารพอย่างยิ่ง คุณชายฟู่มีพรสวรรค์ยิ่ง โจวเทียนโย่วละอายใจยิ่งนัก!”
“เจ้ากล่าวได้จริงใจนัก เรื่องนี้ข้าจะปล่อยผ่านเจ้าไป คราวหลังก็จดจำไว้ให้ดี”
หยูเวิ่นหวินพึงพอใจอย่างยิ่ง เยี่ยนซีเหวินเอ่ยถามขึ้นมา “ขอบังอาจทูลฝ่าบาท เขาประพันธ์โคลงต่อไว้เยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ?”
“พวกเจ้าต้องคิดเอาเอง ! ”
“ชูหลาน พวกเราไปกันเถอะ”
“ไปที่ใดเพคะ?”
“ไปดูบทกวีของเหล่าผู้มีพรสวรรค์เหล่านั้นอย่างไรเล่า”
เยี่ยนซีเหวินได้ยินเยี่ยงนั้น จึงเอ่ยขึ้นมา “บทกวีของข้าในยามนี้ได้ขึ้นไปยังชั้นที่สองแล้ว คิดว่าน่าจะสามารถขึ้นไปยังชั้นสามได้พ่ะย่ะค่ะ”
“บทกวีของพวกเจ้า ช่างมันเถิด ข้ามิทำร้ายพวกเจ้าแล้ว เป็นเพราะฟู่เสี่ยวกวนมิได้อยู่ที่นี่ มิฉะนั้นจะมีที่ให้พวกเจ้าได้เยี่ยงไร!”
คำพูดนี้ทำร้ายคนยิ่ง โดยเฉพะกับนักประพันธ์
เป็นองค์หญิงเก้าจึงได้กล้ากล่าวอะไรเช่นนี้ออกมาตรง ๆ หากเป็นผู้อื่น น่ากลัวว่าจะถูกคนเหล่านั้นทุบตีจนตาย
แต่ไหนแต่ไรมาพวกนักกวีก็ชอบดูถูกดูแคลนกันเอง ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้กลับถูกองค์หญิงเก้ายกขึ้น ใครจะกล้ายอมได้กัน ?
“หากฟู่เสี่ยวกวนกล้ามาเมืองหลวง ข้าก็อยากจะพบเขาสักครา!” ผู้ที่กล่าวขึ้นมานั้นคือฟางเหวินซิงผู้มีพรสวรรค์อีกหนึ่งคน
“หากเขาชนะล่ะ ? ” ทันใดนั้นต่งชูหลานก็โพล่งขึ้นมา
“หากเขาชนะ ข้าจะดูทิศทางไปตามหัวม้าของนายพลอย่างเขา หากเขาแพ้ เขาก็อย่าได้ก้าวมาในเมืองหลวงแม้แต่ครึ่งก้าว” กล่าวประโยคนี้เสียงดังลั่น ฟางเหวินซิงยืนด้วยความภาคภูมิใจ
“จริงหรือ ? ” ทันใดนั้นต่งชูหลานก็หัวเราะขึ้นมา จนหยูเวิ่นหวินเกิดความงงงวย
“จริงแท้ ! ” แม้แต่เยี่ยนซีเหวินก็ยืนขึ้นเช่นกัน
“ข้ามีกวีบทหนึ่งที่เขาเพิ่งส่งมา หากคำพูดของพวกเจ้าเชื่อถือได้ ข้าจะส่งกวีบทนี้ของเขาขึ้นไป หากพวกเจ้ากลับใจในตอนนี้ ข้าจะเก็บมันไว้”
“ได้ ข้า เยี่ยนซีเหวิน ให้คำสาบาน หากบทกวีที่ประพันธ์อยู่ระดับสูงกว่าข้า ต่อแต่นี้ไปข้าจะให้เขาเป็นหัวหน้านำทิศทางของข้า หากบทกวีของเขาอยู่ต่ำกว่าข้า เขาห้ามก้าวเข้าเมืองหลวงมาแม้แต่ครึ่งก้าว ! ”
หยูเวิ่นหวินใจกระตุก เจ้าพวกโง่ ! ย่อมแพ้อยู่แล้วสิ นางกัดริมฝีปากล่างและจ้องเยี่ยนซีเหวินเขม็ง
แต่เดิมนางวางแผนจะไปจวนเยี่ยนในวันพรุ่งนี้ ให้เยี่ยนซีเหวินทำงานหนักขึ้นเพื่อจะได้รับต่งชูหลานไป เยี่ยงนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็จะเป็นของนาง แต่กลับโง่เยี่ยงนี้ ตกลงไปในหลุมพรางของต่งชูหลานทั้งเยี่ยงนี้ ทั้งยังเริ่มเสนอฝังตนเองลงไปในหลุม ทำเอาข้าโกรธจนจวนจะกระอักเลือด !
นางมิเคยอ่านบทกวีที่มีอยู่ในมือของต่งชูหลาน แต่นางก็เชื่อมั่นอย่างแน่วแน่ ว่ากวีบทนั้นต้องทำให้โลกตกตะลึงเป็นแน่
ถึงจะไม่มีกวีบทนั้น หากแต่ก็เชื่อสุดใจเพราะนั่นคือสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนทำ !
“ดี ข้าเองก็ขอสาบานว่าบทกวีนี้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ประพันธ์ด้วยตนเอง หากเป็นเท็จ ขอให้ฟ้าผ่า ! ”
นี่คือคำสาบานที่ร้ายแรง เป็นสิ่งที่ถอนมิได้ หยูเวิ่นหวินเงยหน้ามองดวงจันทร์ จันทราเต็มดวง แสงจันทร์ราวกับสายน้ำสาดส่องมายังใบหน้าของนาง
ต่งชูหลานเดินไปยังโต๊ะอักษร หยิบพู่กันขึ้นมาและเขียนทำนองเพลงสายน้ำลงไป หลังจากนั้นก็ส่งเข้าไป
เหล่าอาจารย์ชั้นหนึ่งอ่านบทกวีซ้ำไปซ้ำมาอย่างไร้ความรู้สึก ในยามนี้ที่ดวงจันทร์ได้ลอยอยู่เหนือหัวแล้ว งานกวีใกล้จะจบลงแล้ว มีกวีเป็นร้อยบทที่สามารถส่งขึ้นไปยังชั้นสองได้ แต่ต้องรับทราบกันก่อนว่าในยามนี้ ณ หลานถิง มีบัณฑิตมารวมตัวกันหลายหมื่นคน
จนกระทั่งมีลายมือที่สวยงามได้ตกอยู่ในสายตาของอาจารย์ท่านหนึ่ง หลังจากที่เขาได้อ่านบทกวีนั้น ก็ผงะตกใจ และลุกขึ้นยืนขึ้นมาทันพลัน
“บทกวีนิรันดร์ บทกวีนิรันดร์ !”
เหล่าอาจารย์ที่เห็นท่าทีตื่นเต้นของเขา ก็เข้ามารุมล้อม หลังจากนั้นไม่นานทุกคนก็ตกอยู่ในความโกลาหล
“เร็ว ๆ รีบส่งขึ้นไปเร็ว”
บทกวีนั้นได้ขึ้นไปยังชั้นสอง อาจารย์ที่อยู่ชั้นหนึ่งในยามนี้มิสามารถสงบได้ พวกเขามิได้ขึ้นไปชั้นบนเพื่อตามดูบทกวีที่ส่งขึ้นไปอีก แต่รวมตัวกันอยู่ด้านในเพื่อคุยกัน
“ต่งชูหลานลงนามแทนฟู่เสี่ยวกวน เยี่ยงนั้นกวีนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นผู้ประพันธ์”
“ฟู่เสี่ยวกวนรึ ? ชื่อนี้ช่างคุ้นยิ่ง ! ”
“หรือว่าจะเป็นฟู่เสี่ยวกวน ผู้ประพันธ์ความฝันในหอแดงผู้นั้น?”
“ย่อมใช่เขาเป็นแน่”
“พวกเจ้าว่า บทกวีนี้จะสามารถเขียนบนหินเชียนเปยสือได้หรือไม่ ? ”
ตอนที่ 60 งานเทศกาลไหว้พระจันทร์
รถม้าของต่งชูหลานมาถึงหลานถิงเมื่องานดำเนินไปกว่าครึ่งแล้ว
แน่นอนว่านางมิได้มาช้าเนื่องจากการแต่งหน้าทำผม หากแต่มัวคิดถึงฟู่เสี่ยวกวน คิดถึงเรื่องกวีหลินเจียงเซียน และกวีจิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน อีกทั้งกวีเพลงแห่งสายน้ำ
ภาพความทรงจำต่าง ๆ ปรากฏอยู่ในหัวของนาง ทำให้นางได้รู้ว่าระยะเวลาที่รู้จักกับฟู่เสี่ยวกวนนั้นไม่นานเท่าไร แต่หัวใจของนางนั้นได้มอบให้แก่เขาจนหมดสิ้นแล้ว
งานกวีหลานถิงนี้ไม่มีความหมายใดๆต่อนางแม้แต่น้อย กวีต่าง ๆ ที่บรรดานักกวีประพันธ์ขึ้นมานั้น ก่อนหน้านี้นางได้ตั้งตารอคอยยิ่ง แต่บัดนี้นางกลับมองว่าเป็นเพียงสิ่งที่เพิ่มสีสันเท่านั้น
จะมีผู้ใดแต่งกวีที่งดงามดังเช่นเพลงแห่งสายน้ำนี้ได้อีกหรือ ? ทั่วใต้หล้านี้หาได้มีอีกไม่
จะยังมีผู้ใดเข้าใจถึงความมีทุกข์ มีสุข มีพบ มีพรากของคนเรา จะมีผู้ใดเข้าใจถึงจันทร์ที่มีมืด มีสว่าง มีเต็ม มีเสี้ยว เป็นเช่นนี้มาแต่โบราณ ซึ่งมิอาจสมบูรณ์พร้อมอีกเยี่ยงนั้นหรือ ?
ยังมีผู้ใดคาดหวังเพียงผู้คนอายุยืนยาวและรอร่วมกันชมจันทร์งามแม้ห่างกันพันลี้อีกหรือ ?
คงมิมีผู้ใดเข้าใจได้ ถึงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ หากแต่ไม่เคยพบกับเรื่องราวเหล่านี้ก็ไม่สามารถเข้าใจและแต่งกวีที่กินใจเช่นนี้ได้แน่นอน
เขา……จึงจะเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง !
ส่วนผู้อื่นคงยากที่จะเอาชนะยิ่ง แม้แต่เยี่ยนซีเหวินก็ตาม !
ต่งชูหลานดีใจยิ่งนัก นางรู้สึกว่าในค่ำคืนนี้ดวงจันทร์ช่างกลมส่องสว่างนวลสวยเหลือเกิน
……
……
แน่นอนว่าหลานถิงจี๋มิใช่ตลาด มันตั้งอยู่ ณ สำนักศึกษาจี้เซี่ย ทางด้านตะวันตกแห่งทะเลสาบเว่ยยาง
แน่นอนว่ามิใช่เพียงเรือธรรมดา แต่เป็นเรือนขนาดใหญ่บนทะเลสาบเว่ยยาง
มีศาลา มีภูเขาหิน และธารน้ำ อีกทั้งสะพานเล็ก ๆ หลายแห่งที่เชื่อมต่อระหว่างศาลา
สถานที่แห่งนี้เปรียบเสมือนไข่มุกที่ส่องแสงแวววาวบนทะเลสาบเว่ยยางแห่งนี้ เป็นสถานที่ที่สวยงามที่สุดแห่งเมืองจินหลิงและยังเป็นสถานที่ที่รวบรวมวรรณกรรมและนักกวีเข้าด้วยกัน
ในหอหลานถิงสามชั้นนั้นมีหนังสือจำนวนนับไม่ถ้วน ด้านนอกหอนั้นมีหินที่ถูกแกะสลักด้วยบทกวีอันแสนงดงามของนักกวีในอดีต
รายชื่อที่สามารถสลักไว้ยังหินนี้ ล้วนเป็นนักกวีที่เลื่องชื่อลือนาม ซึ่งนักกวีทุกคนล้วนใฝ่ฝันสิ่งนี้
ในค่ำคืนแห่งเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้ จี๋หลานซื่อช่างคึกคักยิ่งนัก
จางเหวินฮั่นอยู่ที่นี่ด้วยในขณะนี้ แต่เขามิได้ไปยังหอหลานถิงเพื่อเขียนบทกวี หากแต่กำลังยืนอยู่ที่ท่าเรือและสอดส่องสายตามองไปยังทะเลสาบ คล้ายกับกำลังรอคอยการมาถึงของเรือลำใดลำหนึ่ง
เขากำลังรอแม่นางต่งชูหลานนั่นเอง
แต่มิได้ยืนรอนางเพื่อตนเอง เขารออยู่ที่นี่เพื่อเยี่ยนซีเหวิน
เมื่อเขาได้รับรู้ว่าเยี่ยนซีเหวินรู้สึกชอบพอแม่นางต่งชูหลาน เขาก็ถอดใจในทันที เขามีเหตุผลใดที่ต้องต่อสู้กับเยี่ยนซีเหวินกัน ?
เมื่อเดินทางมายังเมืองหลวง เขาจึงได้รู้ว่าหลินเจียงนั้นเล็กเพียงใด เขาเพิ่งเข้าใจว่าแท้จริงแล้วตำแหน่งผู้มีพรสวรรค์ทั้งสี่แห่งเมืองหลินเจียงนั้นไม่ได้ยิ่งใหญ่อันใดเลย เขาได้รู้จักกับเยี่ยนซีเหวิน เนื่องจากเป็นตระกูลเยี่ยนที่มีชื่อเสียงยิ่งในเมืองหลวง อีกทั้งเรื่องราวตำนานตระกูลเยี่ยนสามรุ่นสืบต่อมานั่นด้วย
งานชิวเหวยกำลังจะจัดขึ้นในเดือนเก้านี้ จางเหวินฮั่นเชื่อมั่นว่าตนนั้นจะได้ขึ้นตำแหน่งป้ายทอง เยี่ยนซีเหวินเองก็เชื่อเช่นนั้นเนื่องจากจางเหวินฮั่นเป็นผู้มีความสามารถ หากแต่หลังจบงานแล้วจะทำได้สำเร็จหรือไม่ คงต้องการผู้สนับสนุน หากตระกูลเยี่ยนเพียงเอ่ยวาจา อนาคตของเขาก็มองเห็นทางสว่าง
ดังนั้นการที่คอยเอาใจเยี่ยนซีเหวิน สำหรับจางเหวินฮั่นแล้ว เขามองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเสียจริง
เรือของต่งชูหลานและเสี่ยวฉีเข้าเทียบท่าจอดบริเวณหลานถิงจี๋ จางเหวินฮั่นเข้าไปต้อนรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แล้วกล่าวว่า “ได้รับคำไหว้วานจากคุณชายเยี่ยน ข้า จางเหวินฮั่น จึงเดินทางมาเพื่อรอคุณหนู ขณะนี้งานได้เริ่มขึ้นและกำลังครึกครื้น นักกวีต่าง ๆ ล้วนอยู่ด้านใน เชิญแม่นางเถิด”
“ขอบพระคุณคุณชายมากเช่นกัน เชิญเจ้าค่ะ”
เมื่อครั้นอยู่ในเมืองหลินเจียง จางเหวินฮั่นได้ดูแลนางเสียส่วนมาก ยามเดินทางกลับมายังจินหลิงก็เดินทางพร้อมกับจางเหวินฮั่นเช่นเดียวกัน หากแต่ถึงเมืองจินหลิงแล้ว จางเหวินฮั่นมิได้เดินทางมาเยี่ยมเยียนนางที่จวนแม้แต่ครั้งเดียว ถึงต่งชูหลานจะมิได้ต้องการพบหน้าเขา แต่นางก็มิควรแสดงออกมาทางสีหน้าในยามนี้ นางแสดงท่าทีให้เกียรติและพูดคุยกับเขาถึงเรื่องราวต่าง ๆ ในจินหลิงตลอดทาง
กระทั่งมาถึงหอหลานถิง ในที่แห่งนี้มีหนังสือมากมาย ทุกโต๊ะจะมีสาวงามคอยจัดเตรียมหมึก พู่กันและกระดาษอยู่ด้านข้าง
บรรดาผู้มีความสามารถมากมายเขียนกวีลงไป อีกทั้งผู้มีความสามารถจำนวนไม่น้อยกำลังเงยหน้าขึ้นมองดวงจันทร์ เพื่อให้ได้ความคิดความรู้สึกสำหรับแต่งกวีอันงดงาม เพื่อให้ชื่อเสียงของตนแพร่หลายไปทั่ว หากรายชื่อของพวกเขาได้สลักลงบนหินนั้น คาดว่าบรรพบุรุษและลูกหลานคงภูมิใจยิ่ง
หลายปีก่อนนี้งานกวีหลานถิงมักใช้หัวข้อเกี่ยวข้องกับดวงจันทร์ในการแต่งกวี หลายปีมานี้ ผู้คนมากมายนำดวงจันทร์มาแต่งกวีแย่เสียจนไม่เป็นท่า
จางเหวินฮั่นพาต่งชูหลานมายังศาลาไม้ด้านนอกแห่งหนึ่ง เยี่ยนซีเหวินอีกทั้งผู้เล่าเรียนอันมีชื่อเสียงสองสามคนก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย
เยี่ยนซีเหวินและคนอื่น ๆ เมื่อพบต่งชูหลานจึงได้ลุกขึ้นยืนให้ความเคารพ ต่งชูหลานส่งยิ้มกลับตามมารยาท
เมื่อทุกคนนั่งลงเรียบร้อยแล้ว ต่งชูหลานได้เอ่ยขึ้นว่า “ข้ามีธุระนิดหน่อยจึงทำให้เดินทางมาถึงช้า ไม่ทราบว่าพวกท่านได้ส่งกวีเข้าประกวดแล้วหรือไม่ ? ”
เรื่องการส่งเข้าประกวดนั้นคือนักกวีทุกท่านนำผลงานที่เขียนเสร็จเรียบร้อย ส่งไปยังหอหลานถิงที่ชั้นหนึ่ง พวกเขาจะทำการคัดเลือก จากนั้นก็ส่งไปยังที่ชั้นสองให้ผู้ดูแลกั๋วจื่อเจี้ยน บรรดากั๋วจื่อเจี้ยนคัดเลือกกวีที่มีความงดงาม จากนั้นก็ส่งขึ้นไปยังชั้นสาม ซึ่งมีปราชญ์ราชบัณฑิตกั๋วจื่อเจี้ยน[1] จิ่วทั้งสิ้น 5 คนเป็นผู้คัดเลือก ซึ่งฉินปิ่งจงเป็นหนึ่งในห้าคนนี้ด้วย
ผลงานกวีที่ถูกส่งขึ้นไปยังชั้นสามนั้นล้วนเป็นผลงานชั้นเลิศ อีกทั้งกวีที่ได้รับการคัดเลือกจากทั้งห้าคนนี้ จะได้ถูกสลักรายชื่อไว้ในป้ายหินเชียนเปยสือ
ที่หินเชียนเปยสือนี้แต่ละปีจะมีกวีหนึ่งถึงสองบทสลักไว้ แต่หัวข้อเกี่ยวกับดวงจันทร์นั้น ไม่มีกวีปรากฏเป็นเวลานานหลายปีแล้ว
เยี่ยนซีเหวินนั่งด้วยท่าทางสง่างาม เขาเอ่ยกับต่งชูหลานว่า “พวกข้าทั้งหกคนได้ส่งผลงานไปเรียบร้อยแล้ว บัดนี้มีผลงาน 5 บทถูกส่งขึ้นไปยังชั้นสอง”
จางเหวินฮั่นเอ่ยออกมาว่า “น่าเสียดายจริงที่ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เดินทางมาเมืองหลวง หากเขาอยู่ที่นี่ คาดว่ากวีของเขาคงได้ถูกส่งขึ้นไปยังชั้นสามเป็นแน่”
“ฟู่เสี่ยวกวน ผู้แต่งหนังสือความฝันในหอแดงงั้นหรือ ? ”
“ถูกต้องแล้ว พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นมีชื่อเสียงเพียงใดในเมืองหลินเจียง เขาเคยประพันธ์กวีอยู่ 2 บท ในเมืองจินหลิงนี้ยังได้นำมาร้องกันอย่างแพร่หลาย พวกท่านเองก็คงเคยได้ยินมาบ้าง บัดนี้ชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนเป็นที่รู้จักกันดีในเมืองจินหลิง สตรีจำนวนไม่น้อยยกย่องเขาว่าเป็นผู้มีความสามารถที่สุด ! ”
เยี่ยนซีเหวินเลิกคิ้วขึ้น “คำพูดของสตรีเชื่อได้งั้นหรือ ? ข้าเองก็เคยได้อ่านหนังสือเล่มนั้นแล้ว แต่ข้าไม่เห็นว่ามันจะน่าสนใจเท่าใดนัก อีกทั้งเขียนเรื่องราวของหญิงชายได้น่าอับอายยิ่ง เรียกว่าไม่อาจทนมองได้เลยทีเดียว หนังสือเล่มนี้ถึงแม้จะได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ชาวบ้านทั่วไป หากแต่ไม่สามารถได้รับการยกย่องเชิดชูอย่างเป็นทางการแน่นอน”
“คุณชายเยี่ยนกล่าวถูกต้องแล้ว พวกข้าเองร่ำเรียนมารยาทและหลักการปฏิบัติของขงจื่อและเมิ่งจื่อ หนังสือที่ฟู่เสี่ยวกวนแต่งนั้นมิใช่หนังสือทางการที่ได้รับการยกย่อง อ้างใช้เรื่องราวสกปรกของจวนเจี๋ยที่หยิบยกมาเขียนนั้นดึงดูดผู้คน อันตรายยิ่ง”
โจวเทียนโย่ว หนึ่งในบรรดาผู้มีความสามารถเอ่ยขึ้น คนอื่น ๆ จึงได้พยักหน้าเห็นด้วยหลังจากครุ่นคิดชั่วครู่
ต่งชูหลานขมวดคิ้วขึ้น นางมิได้เอ่ยคำใดออกมา
เมื่อโจวเทียนโย่วได้รับการยอมรับในความคิดเห็นของตนจากผู้อื่นก็ได้ใจและเอ่ยต่อไปว่า “คุณชายจางคงทราบเรื่องนี้ดี ข้าเองเคยได้ยินมาจากบุตรชายของท่านลุงว่า ฟู่เสี่ยวกวนก่อนหน้านี้มีนิสัยแย่ทีเดียว เพียงแต่หลังจากแม่นางต่งชูหลานเดินทางไปยังเมืองหลินเจียง จึงได้เปลี่ยนแปลงไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ แต่พวกเขากลับรู้สึกประหลาดใจ เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนเป็นเพียงซิ่วไฉเท่านั้น เหตุใดก่อนหน้านี้มิเคยได้ยินบทกวีของเขาแม้แต่ครึ่งประโยคเดียว แต่จู่ ๆ เขากลับเขียนกวีอีกทั้งหนังสือ ? ข้าเกรงว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน พวกท่านมีความเห็นว่าอย่างไร ?”
ตอนที่ 59 หาสามีใต้แสงจันทร์
ดวงจันทร์เต็มดวงแรกขึ้น สายลมฤดูใบไม้ร่วงพัดพาความเย็นสบายมา
ฟู่เสี่ยวกวนออกเดินทางมาพร้อมกับซูม่อและชุนซิ่ว เพื่อไปยังสำนักศึกษาป้านชาน
สำนักศึกษาป้านชานตั้งอยู่ทางตะวันตกของหลินเจียง มันไม่ได้ตั้งอยู่ภายในเมืองหลินเจียง แต่ตั้งอยู่ที่ภูเขาชิงหยวนที่ห่างออกจากตัวเมืองไป 5 ลี้
เวลายืนอยู่บนภูเขาชิงหยวนสามารถมองเห็นเมืองหลินเจียงได้ทั่วทั้งเมือง อีกด้านหนึ่งจะมองเห็นระลอกคลื่นแม่น้ำแยงซี สำนักศึกษาป้านชานตั้งอยู่สันภูเขาของอีกด้านหนึ่ง ต้นไม้ให้ร่มเงา ทิวทัศน์สวยงาม สงบและน่ารื่นรมย์
ในยามนี้มีผู้คนมากมายเดินทางออกจากตัวเมือง ตลอดทางไปยังภูเขาชิงหยวนเต็มไปด้วยรถม้า ไม่ว่าจะเป็นบัณฑิต หรือว่าสตรีที่มีความสามารถ หรือตระกูลพ่อค้ารายใหญ่
ต่อให้มิใช่งานกวีป้านชาน ในเทศกาลไหว้พระจันทร์ก็ต้องขึ้นมาภูเขาชิงหยวนเพื่อชมดวงจันทร์ เดิมทีก็ถือว่าเป็นเรื่องที่สง่างามของเหล่านักประพันธ์ในหลินเจียงอยู่แล้ว
หยูหยุ๋นชิงยืนอยู่ที่รั้วริมหน้าผาทางด้านนอกของสำนักศึกษาป้านชาน และจ้องมองแม่น้ำที่พร่ามัวในยามค่ำคืนอย่างเงียบ ๆ ด้วยจิตใจที่มิค่อยสงบนิ่ง
เขาเป็นบัณฑิตจากสำนักศึกษาป้านชาน เบื้องหลังของสำนักศึกษาป้านชานคือพ่อค้าธัญพืชจางจี้ หลายวันก่อนหน้านี้จางเพ่ยเอ๋อร์ได้มาหาและให้เขาประพันธ์กวีเทศกาลไหว้พระจันทร์ให้หนึ่งบท นั่นมิถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อันใด แต่เดิมก็ต้องประพันธ์กวีเทศกาลไหว้พระจันทร์อยู่แล้ว แต่จางเพ่ยเอ๋อร์ได้ให้โจทย์สำหรับกวีนี้ไว้ ว่าต้องใส่กู่ซีและหนิงลู่สองคำนี้ลงไปด้วย แน่นอนว่ามิได้ยากเกินฝีมือของหยูหยุ๋นชิงหนึ่งในสี่ผู้มีพรสวรรค์ของหลินเจียง แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตอนกลางวันนั้นทำให้เขาลังเลเล็กน้อย
ร้านสุราชีชื่อแห่งนั้นไม่ได้เปิด!
หรือกล่าวได้ว่าสุราสองชนิดนั้นที่ชีชื่อป่าวประกาศอย่างครึกโครมนั้น มิมีอยู่บนโลกใบนี้ !
เยี่ยงนั้นยังจำเป็นจะต้องมีบทนั้นอยู่อีกหรือไม่ แล้วยังจะต้องประพันธ์ขึ้นมาในงานกวีนี้หรือไม่ จางเพ่ยเอ๋อร์ในฐานะคุณหนูของจวนจางซึ่งเป็นเจ้าภาพของงานกวีในครานี้จะต้องมาเป็นแน่ และควรจะมาถึงแต่โดยเร็วแล้ว
แต่จางเพ่ยเอ๋อร์จนถึงยามนี้ก็ยังมิมา แต่ต่อให้มิใช่จางเพ่ยเอ๋อร์ คนของจวนจางจนถึงยามนี้ก็ยังมิมาเช่นกัน
จวนจาง ! หรือว่าจะเกิดเรื่องอันใดกัน ?
นี่มิใช่สิ่งที่หยูหยุ๋นชิงกังวลใจ เขาเป็นเพียงบัณฑิตผู้หนึ่ง และมิมีความสัมพันธ์อื่นใดกับจวนจาง แต่ตอนนี้ยังมีเวลาอีก 2 ชั่วยามก่อนที่งานกวีจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ดูเหมือนว่าจะต้องเตรียมกวีไว้หนึ่งบทเสียแล้ว เวลาค่อนข้างคับขัน ปีนี้ก็มิมีหวังเรื่องผู้นำกวีแล้ว
เขารู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย ปีหน้าก็ต้องเข้าร่วมการทดสอบพิธีจบการศึกษาแล้ว เขานึกอยากจะขีดเขียนบางอย่างลงบนศิลาสายลมของสำนักศึกษาป้านชาน
หลิวจิ่งหางและถังซูหยู่เดินมาทางนี้พร้อมสุรา 1 ขวดและแก้ว 3 ใบ ทั้งสามร่ำสุราพลางจ้องมองสายน้ำในแม่น้ำแยงซี
“พวกเจ้าว่า ครานี้ฟู่เสี่ยวกวนจะมาหรือไม่ ?” หลิวจิ่งหางเอ่ยถาม
ถังซูหยู่กล่าวยิ้ม ๆ “ในเวลานี้ข้ามิหวังให้เขามาแล้ว”
“เหตุใดเล่า ? ”
ถังซูหยู่ถอนหายใจยืดยาวอย่างอดไม่ไหว “อย่างไรพวกเจ้าทั้งสองก็คงเคยอ่านความฝันในหอแดงมาแล้ว ชายผู้นั้นน่าหลงไหลยิ่ง ข้าถามตัวเองหลายครั้งหลายครา แต่หนังสือเล่มนั้นข้ามิสามารถเขียนได้”
ในยามนี้หยูหยุ๋นชิงได้ปัดเรื่องวุ่นวายที่จางเพ่ยเอ๋อร์นำพามาให้ออกไป หัวเราะเจื่อน ๆ แล้วกล่าวว่า “มันเป็นเพียงแค่บทกวีในหนังสือนั้นเท่านั้น ใต้หล้านี้จะมีสักกี่คนกันที่ทำได้ ในยามนี้ เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง โชคดีที่เขามิมีความตั้งใจจะศึกษาตำรา มิฉะนั้นการทดสอบในปีหน้า หากต้องเจอกับเขา ข้าคิดว่าต้องโชคร้ายเป็นแน่แท้”
ทั้งสามคนหัวเราะลั่น ไม่ว่าในใจจะมีความขัดแย้งถึงเพียงไหน แต่ตั้งแต่ที่ความฝันในหอแดงได้มาถึงหลินเจียง บัณฑิตในหลินเจียงต่างเงียบปากกันถ้วนหน้า
ของสิ่งนี้มิมีทางลอกเลียนแบบได้หรอก !
หากเป็นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค ประพันธ์หนังสือเล่มนี้ออกมา ย่อมได้ขึ้นเป็นสมบัติล้ำค่า เพื่อส่งเสริมชื่อเสียงของตนให้ดังไปทั่วใต้หล้า เป็นไปมิได้ที่จะให้เด็กหนุ่มผู้หนึ่งรับชื่อเสียงนี้ไป
ดังนั้นทั้งสามคนตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ยามที่ได้กลับมาพบเจอกันอีกคราจะหลีกเลี่ยงชื่อนั้นไปทั้งโดยตั้งใจและมิตั้งใจ
“ได้ยินว่าช่วงนี้เขาอยู่ที่หมู่บ้านเซี่ยชุนตลอด… พวกเจ้าลองบอกสิว่า เขาที่มีพรสวรรค์ถึงเพียงนั้น แล้วเหตุใดจึงมิเข้าร่วมการทดสอบเพื่อสร้างชื่อเสียงกัน” นี่คือเรื่องที่ไม่ว่าหลิวจิ่งหางจะคิดเยี่ยงไรก็คิดไม่ตก
ลำบากมานานกว่าสิบปี มิใช่เพื่อเข้าร่วมทดสอบเพื่อสร้างชื่อเสียงเพื่อเพิ่มความรุ่งโรจน์หรอกรึ ?
แต่ชายผู้นั้นกลับแปลกประหลาดยิ่ง ได้ยินว่าเขากำลังทำโคลนอยู่ที่ซีซาน ซื้อกากแร่ ทั้งยังเรียกคนไปสร้างกังหันน้ำขนาดใหญ่ เขาต้องการทำสิ่งใดกันแน่ ?
“การกระทำของคนผู้นั้นแม้แต่ข้าเองก็ยากที่จะเข้าใจ หากต้องการกล่าวถึงเหตุผลอย่างเลี่ยงมิได้ ก็คงเป็นความทะเยอทะยานของตน เขาเป็นเยี่ยงนี้ก็นับว่าดีอย่างมาก ชื่อเสียงก็มีแล้ว ทั้งยังสามารถควบคุมผู้คนได้อีกด้วย ตระกูลฟู่ร่ำรวยเป็นแถวหน้าของหลินเจียง เขามีเงินใช้มิขาดสาย ดังนั้นเขาจึงไล่ตามสิ่งที่ตนเองชอบโดยมิต้องคำนึงถึงสิ่งใด นี่จึงเป็นสิ่งที่เรียกว่าอุดมคติที่บรรลุผล”
“คงอธิบายได้เพียงเท่านี้”
……
…..
ฟู่เสี่ยวกวน ชุนซิ่วและซูม่อ ได้มาถึงสำนักศึกษาป้านชานแล้ว มองไปรอบ ๆ ก็เห็นว่าสันเขานี้ใหญ่ยิ่งนัก เพราะแสงไฟจากโคมที่จุดตามสองข้างทางนั้นกระจายออกไปไกลจนสุดลูกหูลูกตา
แสงไฟ ณ ตรงกลางนั้นรวมกันหนาแน่นจนสว่างที่สุด คิดว่านั่นคืออาคารหลักของสำนักศึกษาป้านชาน
นึกถึงความประทับใจที่อยู่ในหัว ฟู่เสี่ยวกวนจึงพาทั้งสองไปยังลานกว้างของสำนักศึกษา
“นั่นใช่ฟู่เสี่ยวกวนหรือไม่ ?” มีเสียงของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นจากที่ไกล ๆ
“มองเห็นไม่ชัด มิใช่ว่าเขาอยู่ที่เรือนซีซานหรอกหรือ ?”
“ฮ่าฮ่า เจ้ามิรู้หรือ เขากลับมาเมื่อวาน”
“เห็นสีหน้าของเจ้า กลัวว่าเจ้าจะแย่งดอกท้อของข้าเสียแล้ว”
“เขายังมิได้หมั้นหมายนี่ พวกเจ้าอย่าได้มาแย่งข้านะ ! ”
ผู้ที่กล่าวนั้นคือเหยาเสี่ยวม่าน คุณหนูจากตระกูลเหยาจี้ เหยาจี้คือพ่อค้าธัญพืชแห่งหลินเจียงและมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลฟู่ แน่นอนว่าเหยาเสี่ยวม่านได้ไหว้วานให้บิดาแสดงเจตจำนงของตนเองแล้ว แต่หัวหน้าตระกูลฟู่กล่าวว่าเรื่องนี้เขามิอาจรับผิดชอบได้ ทั้งหมดนั้นต้องรอให้บุตรชายของเขาตัดสินใจ
นางเองก็มั่นใจแล้วว่าจนถึงวันนี้ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังมิได้ชอบพอกับใคร นี่คือสิ่งที่ฟู่ต้ากวนเอ่ยกับบิดาของนาง ย่อมมิใช่เรื่องเท็จเป็นแน่
“เสี่ยวม่าน เจ้าจะเอาแต่ใจไปแล้ว บุรุษผู้นั้นเป็นที่ช่วงชิง ข้าและหญิงสาวผู้อื่นจะไม่สามารถหาสามีใต้แสงจันทร์ได้รึ? นี่เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ถึงแม้ข้าอาจจะมิเข้าตาคุณชายฟู่ แต่มิว่าเยี่ยงไรก็สามารถลองดูได้ หากข้าแพ้ ก็จะอวยพรให้พวกเจ้าพบเจอกับความสุข หากข้าชนะแล้ว… พวกเจ้าก็ห้ามกระทำอะไรลับหลังเป็นอันขาด”
ชวูหลิงหลงยิ้มหวานละมุนและมองเหยาเสี่ยวม่าน เรื่องของหัวใจทำให้สามารถผิดใจกันได้
ทั้งหมดต่างเป็นสตรีที่ยังมิได้ออกเรือน เมื่อพบเจอคนที่ดีเยี่ยงนี้ จะให้ความร่วมมือแต่โดยดีได้เยี่ยงไร ?
เหยาเสี่ยวม่านเหลือบมองชวูหลิงหลง ปากเล็กก็เบะออก “พี่สาวหลิงหลงรังแกข้า มิใช่ว่าหลิวจิ่งหางผู้นั้นยื่นไมตรีจิตให้ท่านมิใช่หรือ? เหตุใดต้องสอดเท้ามาด้วยกัน”
ในตอนที่ชวูหลิงหลงกำลังจะเอ่ย หญิงสาวด้านข้างก็ยกมือชี้นิ้วขึ้นมา “ว้าย พวกเจ้าดูนั่นสิ นั่นคือฟู่เสี่ยวกวนจริง ๆ ”
หญิงสาวทุกคนต่างหันมองตาม สายตาของเหยาเสี่ยวม่านมองตรงไปยังร่างของฟู่เสี่ยวกวนที่ก้าวเดินอย่างสง่างาม
ฟู่เสี่ยวกวนก้าวย่างตามแสงจันทร์ แบกรับสายลมแห่งฤดูใบไม้ร่วง ใบหน้าของเขาถูกแสงจันทร์สาดส่องเป็นประกาย ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้นไปอีก ในสายตาของหญิงสาวกลุ่มนี้ ราวกับเทพเซียนท่ามกลางฝุ่นละออง ราวกับดวงดาวที่ส่องประกายสดใส
มีเด็กสาวผู้หนึ่งกู่ร้องออกมาท่ามกลางฝูงชน ทันใดนั้นก็เงียบสงบลง หลังจากนั้นก็ปะทุขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ฝูงชนต่างกรูไปทางฟู่เสี่ยวกวน พร้อมกับกรีดร้องและกู่ร้อง ต่างก็เป็นหญิงสาวมากมายที่กำลังบ้าคลั่ง
การสงวนตัวนั้น ตอนนี้พวกนางได้ละทิ้งไปแล้ว
ความอ่อนโยนหามีไม่
การอบรมของสตรี พวกนางได้ลืมไปเนิ่นนานแล้ว ตั้งแต่ได้พบเจอกับฟู่เสี่ยวกวน
ในสายตาของพวกนาง แทบจะมิเคยเจอหน้าฟู่เสี่ยวกวนมาก่อน ราวกับดารา ราวกับเนื้อคู่ ราวกับสุภาพบุรุษที่อยู่ในความปรารถนาทั้งวันทั้งคืน
ฟู่เสี่ยวกวนชะงักงัน นี่คือสถานการณ์อันใดกัน
“วิ่งเร็ว ! ” ซูม่อตะโกนเสียงดัง ฟู่เสี่ยวกวนจึงดึงมือของชุนซิ่ว หันหลังกลับและวิ่งออกไปทันที
ทันใดนั้นผู้คนเกือบครึ่งในลานสำนักศึกษาป้านชานที่ยิ่งใหญ่ก็ได้หายไป และแปรเปลี่ยนเป็นเงียบสงบอย่างหาที่เปรียบมิได้
ที่เหลืออยู่นั้นแทบจะเป็นบุรุษทั้งสิ้น พวกเขาหันมองหน้ากัน หัวเราะเจื่อน และดื่มสุราเพียงลำพังโดยมิเอ่ยอันใดออกมา
ตอนที่ 58 ความเด็ดขาดที่อ่อนโยน
ภาพที่ปรากฏ ณ ลานหลังบ้านในจวนนั้นทำให้ซูม่อตกใจเป็นอย่างยิ่ง แม้ซูม่อเองจะเคยเห็นฟู่เสี่ยวกวนจงใจขู่ขวัญฝ่ายตรงข้ามเช่นนี้ที่เรือนซีซาน แต่ไม่คาดคิดว่าวันนี้เขาจะกล้าหยิบกระบี่ด้วยความตั้งใจที่จะฆ่าคนจริง ๆ
ทุกกระบวนท่าราบรื่นไม่มีหยุดชะงักหรือลังเลแต่ประการใด
ซูม่อเข้าใจดีว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ตัดสินใจฟันดาบนั้นลงไป เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนมิประสงค์ให้หลี่เอ้อหนิวเอ่ยชื่อฉีชื่อออกมา หากเป็นเช่นนั้นเรื่องราวต่าง ๆ อาจไม่ง่ายอย่างที่วางแผนการไว้ จึงรีบชิงลงมือก่อนที่ชื่อนั้นจะถูกเอ่ยออกมา
ส่วนเรื่องการทำให้หญิงสาวตกใจนั้น เขามิได้ตั้งใจให้เกิดขึ้น เพียงแต่เป็นผลพลอยได้ที่ไม่เลวเสียทีเดียว
หากแต่ชุนซิ่วมิได้รู้เรื่องราวเหล่านี้ด้วย นางคงรู้สึกอกสั่นขวัญหายยิ่งนัก ฟู่เสี่ยวกวนปลอบใจนางอยู่นานเลยทีเดียว
“ซิ่วเอ๋อร์ เจ้าจงมองดู ข้าเป็นผู้มีนิสัยโหดเหี้ยมอย่างนั้นหรือ ? ”
“ซิ่วเอ๋อร์เอ๋ย เขาผู้นั้นมิใช่คนดี เขาขโมยสูตรการปรุงเหล้าและขั้นตอนกลั่นสุราจากข้าเพื่อนำไปขายให้กับผู้อื่น”
“หะ ! จริง จริงหรือเจ้าคะ ?”
“แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง เจ้ามิเห็นประกาศของชีชื่ออย่างงั้นหรือ ? ”
“ถ้าเช่นนั้น ชีชื่อก็ได้ผลประโยชน์จากเขาอย่างนั้นหรือเจ้าคะ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนนำมือไปลูบหัวชุนซิ่วแล้วเอยว่า “คุณชายของเจ้าฉลาดปราดเปรื่องเพียงนี้ จะให้เขาทำการเช่นนั้นได้อย่างไร บัดนี้ชีชื่อเละเสียไม่เป็นท่า ไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้แล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนให้ผู้ดูแลจวนคนหนึ่งเข้ามาเก็บกวาดสถานที่ให้เรียบร้อย ส่วนเรื่องแขนข้างนั้น เขายิ้มแล้วโยนไปให้สุนัขกิน
……
……
ตรอกฉือปาหลี่ยังคงมีผู้คนพลุกพล่านมากมาย เนื่องจากวันนี้คือวันที่สิบห้าเดือนแปด คือวันที่ร้านสุราชีชื่อประกาศขายสุราชนิดใหม่ อีกทั้งยังกล่าวว่ารสดีเทียบกับสุราเซียงเฉวียนและเทียนฉุน แต่ราคาถูกกว่ามากนัก
แน่นอนว่าบรรดาปัญญาชนอีกทั้งร้านค้าใหญ่หลายรายต่างให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ยิ่งนัก พวกเขาพากันคิดว่าเมื่อสุราของชีชื่อวางขาย และถ้าร้านสุราหยู๋ฝูจี้ยังไม่ปรับราคาลง คงต้องพบกับจุดจบในไม่ช้า
ฉ้ายซีหลงจู๊ของร้านหยู๋ฝูจี้กังวลใจอย่างยิ่ง หากแต่บัดนี้คุณชายอยู่ที่เรือนซีซาน เขาไม่อาจนำเรื่องนี้ไปปรึกษาได้ ในเช้าวันนี้เขาเดินทางมาแต่เช้าตรู่ ก็พบผู้คนจำนวนมหาศาลยืนรอต่อแถว ทำให้ในใจรู้สึกไม่สบายใจเท่าใดนัก
หยู๋ฝูจี้เปิดร้านเช่นกัน แต่กลับไม่มีผู้ใดเข้ามาแม้แต่คนเดียว
บรรดาลูกค้าล้วนไปรวมตัวกันที่หน้าร้านสุราชีชื่อ ซึ่งบัดนี้ยังไม่มีแม้แต่วี่แววจะเปิดร้านเสียที
วันนี้คือเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ สุราเป็นสิ่งที่ขาดมิได้
หากในวันนี้ร้านสุราชีชื่อเปิดจำหน่ายสุรา คาดว่าคงขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแน่นอน
เวลาผ่านไปหลายยาม แต่ประตูนั้นก็ยังคงปิดสนิทไม่มีท่าทีว่าจะเปิดออกแม้แต่น้อย
บางคนไม่สามารถอดทนรอได้ต่อไป จึงไปซื้อสุราจากร้านหยู๋ฝูจี้ แต่ผู้คนส่วนมากยังคงยืนรอต่อแถว เนื่องจากพวกเขาได้ยินมาว่าราคาของชีชื่อนั้นถูกกว่าหยู๋ฝูจี้มากนัก
ผ่านไปอีกกว่าหนึ่งโมงยาม ประตูบานนั้นยังคงไม่เปิดออก
บรรดาผู้คนที่ยืนรอเริ่มส่งเสียงดังโวยวาย
“ให้ตายเถอะ ชีชื่อหลอกลวงพวกเรางั้นหรือ ?”
“เป็นไปมิได้น่า! พวกเขาทุ่มเทป่าวประกาศมากกว่าสิบวันสิบคืนเชียวนะ”
“เช่นนั้นในเวลานี้เหตุใดถึงยังไม่เปิดร้านล่ะ นี่หมายความว่าอย่างไรกัน ?”
“หรือไม่……พวกเราไปซื้อที่หยู๋ฝูจี้กัน ?”
“พวกเจ้ารอต่อไปเถิด ข้ารอไม่ไหวแล้ว!”
“ข้าเห็นมากับตาว่าชีชื่อซื้อธัญพืชจำนวนมหาศาล หรือว่าสุราจะมีปัญหากัน ? ”
“หากเป็นเช่นนั้นก็ควรบอกตามตรงมิใช่หรือ เหตุใดจึงปิดประตูเงียบแล้วให้พวกเรายืนรอเช่นคนบ้าเยี่ยงนี่”
“……”
คนจำนวนไม่น้อยไปซื้อที่หยู๋ฝูจี้ เวลาต่อมาไม่นานสุราของร้านหยู๋ฝูจี้ก็ขายจนหมดสิ้น
ฉ้ายหลงจู๊นำเก้าอี้ออกมาตัวหนึ่งแล้วนั่งลงที่หน้าร้าน เขาไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่
จวบจนกระทั่งเวลาบ่าย บรรดาผู้คนที่ยืนรอจนไม่สามารถทนไหว พากันทุบประตูร้านสุราชีชื่อจนพัง พวกเขาพบว่าข้างในนั้นนอกจากสุราเหยาเซียงแล้วก็ไม่มีสิ่งอื่นใดเลย
“คนโกหกหลอกลวง ! ”
“ทุบร้านนี้ทิ้งเสีย ! ”
“ข้าทนไม่ไหวจริง ๆ ! ”
“ข้าก็เช่นกัน ! ”
สถานการณ์ยากที่จะควบคุมได้ ร้านสุราชีชื่อถูกทุบเสียจนเละเทะ
เมื่อพวกเขาจะเดินทางไปซื้อสุราที่หยู๋ฝูจี้ ปรากฏว่าฉ้ายซีได้แขวนป้ายไว้หน้าร้านว่า “สุราหมด โปรดมาใหม่ในวันพรุ่งนี้ ! ”
ทำให้ชาวบ้านโกรธยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากพวกเขาถูกชีชื่อหลอกลวงจึงทำให้ไม่ทันซื้อสุราเซียงเฉวียนและเทียนฉุน จะให้พวกเขาทำอย่างไร ?
ดังนั้น ผู้คนมากมายในตรอกฉือปาหลี่จึงแยกย้ายกันไปพร้อมกับคำพูดที่ว่า “ร้านสุราชีชื่อหลอกลวงผู้ซื้อ ! ”
ในชั่วพริบตา เรื่องชีชื่อนี้กลับเป็นหัวข้อสนทนาในเมืองหลินเจียง
และในขณะนี้ชีวิ่นหง หัวหน้าตระกูลชีพร้อมลูกชายและญาติทั้งหลายต่างก็นั่งอยู่ที่ห้องโถงของจวนจาง
……
……
แสงอาทิตย์คล้ายหมึกแดง วาดลงบนท้องฟ้าซึมเป็นสีแดงตรงแนวขอบฟ้า ช่างงดงามยิ่ง
เมื่อต่งชูหลานแต่งหน้าหวีผมเรียบร้อย ก็นั่งเหม่อลอยออกไปนอกหน้าต่าง มือทั้งสองประสานกัน คางเกยด้านบน สายตามองไปยังนกสองตัวที่กำลังบินกลับรัง
เวลานี้……เจ้าทำอันใดอยู่กัน ?
ต่งชูหลานตื่นเต้นขึ้นมาทันใด นางรับจดหมายนั้นไปและมองดูตัวหนังสือหน้าจดหมาย เป็นลายมืออันคุ้นเคยที่ไม่น่ามองนั่นจริง ๆ หากแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่น
นางรีบเปิดจดหมายออก ดูเนื้อความด้านใน
“ก่อนอื่นข้าขออภัยที่เขียนจดหมายฉบับนี้มาช้า”
“ปูนนั้นใกล้สำเร็จแล้ว ข้าคาดเดาว่าคงไม่มีปัญหาใหญ่ใด แม้พบเจออุปสรรคก็คาดว่าจะจัดการได้โดยง่าย”
“พายุในหลินเจียงครั้งนี้ส่งผลให้ชาวบ้านได้รับความเสียหายอย่างมาก หมู่บ้านหวังเจียชุนถูกน้ำท่วม ผู้คนสูญเสียชีวิตไป 23 คน ส่วนผู้ที่เหลืออยู่ข้าให้พักอาศัยที่เรือนซีซาน เมื่อผลิตปูนสำเร็จแล้วข้าจะสร้างบ้านเรือนให้แก่พวกเขา แบบที่สวยงามและคงทน”
“ข้ามีข่าวดีจะบอกเจ้า เกษตรกรผู้หนึ่งนามว่าหวางเอ้อและลูกชายของเขาค้นหาป้ายจึเจอถึง 10 ต้น พวกเขาช่างมีความอดทนเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งยังทนตากลมตากฝนเพื่อรักษาป้ายจึทั้งหมดนี้กระทั่งเติบโตเป็นเมล็ดพันธุ์รุ่นที่หนึ่ง ข้าตั้งชื่อแก่พวกมันว่าฟู่อีต้าย เมล็ดพันธุ์เหล่านี้จะเห็นผลในปีที่สาม หากต้องการผลิตในปริมาณที่มากขึ้นต้องใช้เวลาถึง 5 ปี เมื่อถึงเวลานั้นราคาธัญพืชจะต่ำลงอย่างแน่นอน”
“ข้าคาดเดาว่าเมื่อเจ้าได้รับจดหมายฉบับนี้ คงใกล้ถึงวันไหว้พระจันทร์เข้ามาแล้ว ดังนั้นจึงแต่งกวีบทหนึ่งแก่เจ้า หวังว่าเจ้าจะชอบ”
แน่นอนว่าต่งชูหลานนั้นชื่นชอบยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นกวีหรือเนื้อความจดหมายที่ดูเหมือนไม่มีสาระใด ๆ นี้ นางล้วนชื่นชอบนัก บัดนี้คล้ายกับทั้งสองกำลังนั่งชมอาทิตย์ตกดินและพูดคุยกัน
นางอ่านเนื้อความต่อไปด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ทำนองเพลงสายน้ำ
จันทร์สกาวเช่นนี้มีเมื่อใด ? ถือถ้วยสุราถามฟ้าคราม
ไม่ทราบว่าในวังสวรรค์คืนนี้เป็นปีใด
ข้าคิดจะเหินลมกลับไป แต่เกรงว่าวังงามดุจหยก สูงหนาวเสียจนทนมิได้
ไหนเลยจะเหมือนอยู่บนโลกมนุษย์
……
……
คนเรามีทุกข์ มีสุข มีพบ มีพราก จันทร์มีมืด มีสว่าง มีเต็ม มีเสี้ยว เป็นเช่นนี้มาแต่โบราณ มิอาจสมบูรณ์พร้อม
เพียงหวังผู้คนอายุยืนยาว แม้ห่างกันพันลี้ ร่วมกันชมจันทร์งาม
ต่งชูหลานร้องไห้ออกมา ทำให้เสี่ยวฉีตกใจยิ่ง และรีบเอ่ยว่า “คุณหนู เขาทำร้ายท่านหรือ ? ”
ต่งชูหลานกลั้นน้ำตาแล้วส่ายหน้า นางเงยขึ้นมองเสี่ยวฉีแล้วเอยว่า “เสี่ยวฉี บัดนี้ข้ามั่นใจว่าข้าชอบเขาเข้าเสียแล้วจริง ๆ ”
เขาเขียนเกี่ยวกับเรื่องอันใดกัน ?
เสี่ยวฉีกลืนน้ำลายแล้วกล่าวไปว่า “คุณหนูเจ้าคะ……งานกวีหลานถิง พวกเราควรออกเดินทางได้แล้ว”
“อย่าได้รีบร้อนไป ข้าขออ่านจดหมายฉบับนี้อีกเสียหน่อย”
ต่งชูหลานอ่านเนื้อความจดหมายอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ในสมองของนางนึกถึงเขาผู้นั้นขึ้นมา
เขากำลังทำปูนเพื่อช่วยสร้างบ้านให้แก่ชาวบ้าน เขาพยายามแก้ไขปัญหาผู้เดือดร้อนจากอุทกภัย จัดการปัญหาเกี่ยวกับธัญพืช เขาทุ่มเทแรงกายแรงใจเช่นนี้ โดยไม่คำนึงถึงความสนุกสนานที่ชายหนุ่มวัยเดียวกันควรได้รับ
เมื่อตอนเขาเขียนจดหมายฉบับนี้คาดว่าคงเป็นเวลาดึกพอควร สามารถมองเห็นดวงจันทร์ส่องสว่างบนฟากฟ้า และเขียนจดหมายฉบับนี้แก่นางได้
เพียงหวังผู้คนอายุยืนยาว แม้ห่างกันพันลี้ ร่วมกันชมจันทร์งาม!
ข้าจะรอเจ้าเดินทางมายังเมืองหลวง หากไม่ได้ตามที่หวัง ข้าจะหนีตามเจ้าไป !
ตอนที่ 57 แท้จริงแล้วข้ามิใช่คนดี
ฟู่เสี่ยวกวนกลับมาถึงหลินเจียงเมื่อวาน
บิดาและบุตรชายดื่มสุราและพูดคุยกันอย่างยาวนาน ฟู่ต้ากวนเล่าถึงการประกาศที่ชีชื่อทำขึ้นมาด้วยความกังวลใจอย่างยิ่ง กำลังคิดว่ามีคนทรยศอยู่ในร้านสุราของตนหรือไม่ มิอย่างนั้นชีชื่อจะกล้ากล่าวอย่างจองหองได้เยี่ยงไรว่าสามารถต่อยเซียงเฉวียนและเตะเทียนฉุนไปได้ ?
แล้วยิ่งได้เห็นการกระทำของชีชื่อ ที่ซื้อธัญพืชไปแล้ว 300,000 ชั่ง และได้ยินมาว่าซื้อไข่ไก่มาเป็นจำนวนมาก จนทำให้ไข่ไก่ในหลินเจียงขาดแคลนไปชั่วขณะ หรือว่าจะพบเคล็ดลับใหม่กัน?
หากเขาทำสุรานั้นออกมาจริง ๆ หยู๋ฝูจี้ควรหาหนทางรับมือเยี่ยงไรดี ?
ฟู่ต้ากวนกังวลอย่างยิ่ง เพราะหยู๋ฝูจี้คือสิ่งที่หยุนชิงสร้างขึ้นมา และในวันนี้ก็ได้ถูกส่งมาถึงบุตรชาย นี่คือสัญลักษณ์ของความรุ่งโรจน์ จะต้องมิพังทลายลงเด็ดขาด
ฟู่เสี่ยวกวนกลับปลอบใจเขาเนิ่นนาน กล่าวว่าต่อให้ชีชื่อทำสุราตัวใหม่ออกมาได้จริง ๆ สุราของตระกูลเรามิใช่ว่ากำลังจะขาดตลาดหลังจากเข้าสู่วังหลวงอย่างนั้นรึ ? มิเป็นไร บางทีคำพูดอาจหาญที่เขากล่าวออกมานั้น ก็อาจจะทำออกมามิได้ คิดไม่ออกเลยว่าจะกลายเป็นเรื่องตลกขนาดไหนของหลินเจียง
ฟู่ต้ากวนมิคิดว่ามันน่าขบขัน คนทำการค้าขาย หากยังมิมั่นใจ ใครเล่าจะกล้าทำให้คนทั้งเมืองได้รู้กัน แต่อย่างไรก็ตามเรื่องที่สุราของตระกูลตนนั้นได้เข้าสู่วังหลวงแล้วก็เป็นความจริงและราคาก็มิได้ถูกกดลง โดยเฉพาะยอดสุราซีซานที่ราคาแพงเสียดฟ้า เมื่อมาคิดในยามนี้ ฟู่ต้ากวนก็โล่งใจลงเล็กน้อย
หลังจากนั้นก็กล่าวชมเชยถึงสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ทำในหมู่บ้านเซี่ยชุน แต่ก็ตำหนิที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินเท้าเปล่าลงทุ่งนา
สำหรับเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนจะสร้างบ้านให้แก่คนในหมู่บ้าน ฟู่ต้ากวนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เพราะฟู่เสี่ยวกวนได้ทำลงไปเยี่ยงนั้นแล้ว จึงมิได้พูดอันใด เพียงแต่กล่าวว่าครั้งหน้าอย่าได้ทำเยี่ยงนี้ เพราะตระกูลของเราเป็นเจ้าของที่ดิน มิใช่คนใจบุญ
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ใส่ใจ สุดท้ายฟู่ต้ากวนก็กล่าวถึงงานกวีเทศกาลไหว้พระจันทร์ของสำนักศึกษาป้านชาน นี่คือเทียบเชิญที่ขุุนนางระดับสูงจือโจวหลิวจือต้งให้แก่เขา ค่ำพรุ่งนี้ต้องไปที่นั่น ท้ายที่สุดก็ต้องไว้หน้าขุนนางระดับสูงจือโจวเสียบ้าง
ฟู่เสี่ยวกวนรับปากแล้ว เขาเองก็อยากไปดูว่าคนหนุ่มสาวสมัยนี้สนุกกับเทศกาลไหว้พระจันทร์อย่างไร
หลังจากที่บิดาและบุตรชายแยกย้าย ฟู่เสี่ยวกวนก็กลับห้องไปพักผ่อน
เมื่อสิบวันก่อนเขาได้เขียนจดหมายถึงต่งชูหลาน เมื่อคำนวณเวลาแล้วก็น่าจะได้รับในวันไหว้พระจันทร์พอดิบพอดี หวังว่านางจะชอบ
คืนพรุ่งนี้บรรดาบัณฑิตเหล่านั้นย่อมต้องการให้เขาเขียนบทกวีอีกเป็นแน่ ประจวบเหมาะกับที่เขาก็มีความคิดดี ๆ ผุดขึ้นมา
……
…..
แม้ฤดูใบไม้ร่วงจะซบเซา แต่ใบของต้นอู๋ถงกลับเป็นสีเหลือง
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นจากเตียงเขาก็ออกกำลังกายหนึ่งรอบ หลังจากที่อาบน้ำแล้วก็ทานอาหารกับซูม่อและชุนซิ่วกันอยู่สามคนภายในจวนฟู่
นี่คือความต้องการที่รุนแรงของฟู่เสี่ยวกวน ชุนซิ่วค่อย ๆ คุ้นชินแล้ว ส่วนซูม่อก็มิได้สนใจ
ฟู่เสี่ยวกวนมองซูม่อ และทันใดนั้นก็เอ่ยถามขึ้นมา “วิธีที่เจ้าทานข้าว… เพราะคุ้นชินหรือจงใจกัน หรือว่าฝึกวิทยายุทธ์อันใดหรือไม่”
ซูม่อชะงัก เขาเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน คาดไม่ถึงเลยว่าชายผู้นี้จะเอ่ยถามอย่างถี่ถ้วน!
“ยามเยาว์ที่บ้านนั้นยากจนยิ่ง ปีนั้นที่อายุได้ 5 ปีก็เกิดภัยพิบัติ ตั๊กแตนระบาด ความแห้งแล้ง น้ำท่วมหลังจากนั้นก็โรคระบาด มิมีสิ่งใดเหลืออยู่ มารดาก็มิมี ข้าเตร็ดเตร่อยู่ตามท้องถนน ขโมยหมั่นโถวหนึ่งก้อน ก็มิมีผู้ใดพบเห็น”
ซูม่อกล่าวเสียงเรียบ แต่ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจถึงความทนทุกข์ที่อยู่เบื้องหลังความสงบนี้
“คุณชายตระกูลเศรษฐีที่ดินเยี่ยงท่านคงยากที่จะจินตนาการได้ว่าหมั่นโถวนั้นเลิศรสแค่ไหนสำหรับข้า ข้าจะกัดคำเล็ก เคี้ยวไปจนนับครบ 33 ครั้งแล้วค่อยกลืน เพราะหากเคี้ยวมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการอาเจียน 33 ครั้งกำลังพอดี จึงเป็นเยี่ยงนี้”
“ต่อจากนั้นเจ้าก็ไปยังสำนักเต๋าหรือ?”
“เร่ร่อนอยู่เนิ่นนาน ทะเลาะ แย่งชิงอาหาร จนถึงขั้น… ฆ่าคน จนกระทั่งอายุได้ 10 ปี ก็ได้พบอาจารย์ของข้า และได้เข้าสำนักเต๋าไป”
“โอ้ ! นั่นน่าเวทนายิ่ง แต่การเคี้ยว 33 ครั้งจะทำให้ปวดกระพุ้งแก้มได้ ข้าเคยลองแล้ว”
ชุนซิ่วไม่ได้ส่งเสียงอันใด เพียงฟังอย่างประหลาดใจ รู้สึกว่าชายหนุ่มซูม่อผู้นี้ก็มิได้มีชีวิตที่ง่ายดายนัก
การพูดคุยระหว่างทั้งสองคนยาวขึ้นอีกเล็กน้อย แต่มื้อเช้าที่น่าอภิรมย์นี้กลับถูกเสียงหนึ่งขัดขวาง
“ฟู่เสี่ยวกวน เจ้าออกมาหาข้าเดี๋ยวนี้ ! ”
นี่คือเสียงของจางเพ่ยเอ๋อร์
ฟู่เสี่ยวกวนเช็ดปาก และหัวเราะอย่างมีเลศนัย
ซูม่อรู้สึกว่าคนผู้นี้ชั่วช้าทีเดียว
สุรานั่นคงจะเกิดปัญหาขึ้นมาแล้ว จางเพ่ยเอ๋อร์จึงได้ระบายอารมณ์ถึงหน้าประตู
“ให้นางเข้ามา”
ชุนซิ่วเดินออกไป ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด และกล่าวกับซูม่อ “ประเดี๋ยวเข้าไปพาตัวหลี่เอ้อหนิวมา”
“ท่านจะหงายไพ่แล้วรึ ? จะจัดการเยี่ยงไรกับเรือนข้าง ๆ ?”
“ยังมิต้องไปสนใจทางนั้น นางใกล้จะคลอดแล้ว ให้นางได้คลอดบุตรอย่างปลอดภัยเถิด”
“ทราบ”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกไป คำนับให้กับจางเพ่ยเอ๋อร์ที่ปรี่เข้ามาด้วยความเดือดดาล และกล่าวยิ้ม “เชิญแม่นางจางนั่งเถิด”
จางเพ่ยเอ๋อร์นั่งลงบนเก้าอี้ ดวงตาคู่นั้นจดจ้องมาที่ฟู่เสี่ยวกวนเขม็ง ราวกับบนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนมีดอกไม้ที่สวยยิ่งอยู่
ฟู่เสี่ยวกวนชงชา และกล่าวว่า “แท้จริงแล้วข้านั้นมิใช่คนดีอย่างที่เจ้าได้จินตนาการเอาไว้ ชื่อเสียงที่ฉาวโฉ่ในอดีต ในตอนนี้เพียงแค่ถูกข้าซ่อนเอาไว้เท่านั้น สันดานเดิมยังคงแย่อย่างยิ่ง”
“เจ้ารู้ทั้งหมดอย่างนั้นหรือ ? ”
“ชีหยวนหมิงมิได้สร้างความเดือดร้อนแก่เจ้ารึ ? ”
“เจ้าจงใจให้สูตรปลอมแก่ข้า ทำให้ข้าเสียหน้า ทำให้ข้าพ่ายแพ้อย่างราบคาบ นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการจะเห็นสินะ ?”
ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจ “ทั้งหมดนี่เป็นการดำเนินการของชีหยวนหมิง แม่นางเป็นเพียงผู้ที่อยู่เบื้องหลังเท่านั้น ถึงแม้ตอนนี้สุราของเขาจะยังมิได้กลั่นออกมา ก็เป็นชื่อเสียงของตระกูลชีที่เสียหาย เหตุใดเจ้าต้องเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วย?”
จางเพ่ยเอ๋อร์ร้องเหอะ “ใช่สิ เป็นชื่อเสียงของชีชื่อที่เสียหาย แต่ถ้าข้ามิต้องการให้พวกเขาเปิดโปง ข้าก็ต้องสมรสกับชีหยวนหมิง นี่คงเป็นผลลัพธ์ที่เจ้าต้องการจะเห็นสินะ?”
การสื่อสารกับสตรีตัวน้อยผู้นี้ช่างน่าปวดหัวอย่างยิ่ง ฟู่เสี่ยวกวนคิ้วขมวด และกล่าวอย่างอดทนอดกลั้น “ประการแรก เป็นเจ้าที่หมายปองสูตรของข้า ข้าเพียงวางหมากไปตามใจชอบเท่านั้น เรื่องนี้ข้ามิผิด ประการที่สอง เจ้าจะทำสิ่งใดหรือเจ้าจะสมรสกับผู้ใด นั่นเป็นเรื่องของเจ้า มิเกี่ยวข้องกับเงินของข้าแม้แต่นิด เข้าใจหรือไม่ หรือมิเข้าใจอันใด ? ”
จางเพ่ยเอ๋อร์กัดริมฝีปากแน่น น้ำตาก็ไหลรินลงมาอีกครา
“เจ้ามัน… คนชั่ว ! เจ้ามันคนชั่ว ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนหมดความอดทนอย่างยิ่ง พอเป็นแบบนี้ก็เปลี่ยนเขาเป็นคนชั่วเยี่ยงนั้นรึ ?
สุดท้ายก็มีเพียงแค่สตรีและคนถ่อยที่เลี้ยงไว้มิได้ !
“อย่ามัวแต่ร้อง จะให้เจ้าได้ดูใครสักคนก่อน”
ซูม่อพาหลี่เอ้อหนิวเข้ามา ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปยังหลี่เอ้อหนิว และเอ่ยถาม “แม่นางจาง เจ้ารู้จักคนผู้นี้หรือไม่?”
จางเพ่ยเอ๋อร์ย่อมมิรู้จัก จึงส่ายหน้าในทันที
“ดี พาตัวไป”
“คุณชาย คุณชายขอรับ ข้าถูกปรักปรำ!” หลี่เอ้อหนิวตะโกนลั่น
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน “โอ้ เจ้ากล่าวว่าเจ้าถูกปรักปรำเยี่ยงนั้นรึ ?”
หลี่เอ้อหนิวราวกับได้กำฟางชีวิตเส้นสุดท้ายเอาไว้ “ข้าน้อยถูกปรักปรำ ข้าน้อยถูกปรักปรำ เป็นเพราะข้าน้อย…”
คิ้วของฟู่เสี่ยวกวนขมวดนิ่ว ขบกรามแน่น คว้ามือของหลี่เอ้อหนิวขึ้นมา และกดลงบนโต๊ะน้ำชา ดึงกระบี่ที่อยู่ด้านหลังของซูม่อออกมา และฟันลงไปอย่างมิลังเล
“อ๊าก…”
เลือดกระเซ็น สาดไปทั่วโต๊ะ และกระเซ็นไปโดนใบหน้าของจางเพ่ยเอ๋อร์
“กรี๊ด…” จางเพ่ยเอ๋อร์กรีดร้องลั่น ชักเท้าหนีทันพลัน และล้มลงไปกันพื้นเสียงดังตุบ
ฟู่เสี่ยวกวนเช็ดดาบที่เปื้อนเลือดไปบนเสื้อผ้าของหลี่เอ้อหนิวอย่างมิรู้สึกรู้สา สอดกระบี่เก็บเข้าฝักที่ด้านหลังของซูม่อ จ้องมองสายตาที่หวาดกลัวของหลี่เอ้อหนิว และเอ่ยยิ้ม ๆ “จำไว้ เจ้ามิได้ถูกปรักปรำ”
หลี่เอ้อหนิวยกมือซ้ายของตนขึ้นมา ข้อมือซ้ายที่ขาดวิ่น เลือดที่ร้อนผะผ่าวไหลอาบ
“อ๊าก… อ๊าก…!!!”
“เอาเขาออกไป พันแผลไว้เล็กน้อยด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินไปทางจางเพ่ยเอ๋อร์ จางเพ่ยเอ๋อร์กลัวจนคลานไปข้างหน้าอย่างสุดชีวิต
“มิต้องกลัว ลุกขึ้นมา เจ้าจงดู ข้าบอกเจ้าแล้วว่าแท้จริงแล้วข้าหาใช่คนดีไม่ เจ้าได้เห็นในตอนนี้ก็คงรับรู้แล้ว ลุกขึ้นมา!”
น้ำหนักของสามคำสุดท้ายนั้นเข้มยิ่ง จางเพ่ยเอ๋อร์หวาดกลัวจนลุกขึ้นมาในคราเดียว
“ต่อจากนี้ อย่าได้ใช้ความคิดวางแผนการเหล่านี้มารบกวนข้า ข้ากำลังยุ่งอย่างมาก ข้าจะบอกกับเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย หากเจ้ากล้ามารังควานข้าอีก… ข้าจะฆ่าเจ้า!”
“ไปล้างหน้าทางนั้นเสีย สตรีที่มีใบหน้าอาบเลือด จะทำให้ผู้อื่นตื่นกลัวได้ เอาล่ะ อย่าได้กลัว นอกจากนี้ แม่รองของข้าก็ถูกเจ้าหลอก เรื่องนี้มิเกี่ยวข้องกับนาง ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจในความหมายของข้า”
ตอนที่ 56 สิ่งนี้เรียกว่าสุรา ?
โรงกลั่นสุราชีชื่อ
ก่อนหน้านี้ชีหยวนหมิงมิชอบกลิ่นในโรงกลั่นสุรานี้เป็นอย่างยิ่ง แต่บัดนี้เขากลับรู้สึกว่าช่างหอมหวานยิ่งนัก
อาจารย์ผู้ชำนาญสิบกว่าคนกำลังกลั่นสุรา คนงานกว่าร้อยคนกำลังวุ่นวาย อย่างไรเสียสุราที่ต้องใช้ธัญพืชกว่าสามหมื่นชั่งนั้นไม่ได้น้อยเลยทีเดียว บรรดาคนงานในโรงกลั่นสุรามิเคยได้พบสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
มีผู้กลั่นสุราบางท่านเอ่ยถาม แต่ชีหยวนหมิงก็ไม่ได้อธิบายใด ๆ เนื่องจากสิ่งนี้เป็นความลับ จะเอ่ยออกไปได้อย่างไร ?
มีอาจารย์บางท่านกล่าวว่าการกระทำเช่นนี้อาจจะส่งผลให้สุราเกิดรสเปรี้ยว อีกทั้งกล่าวว่าการใส่ไข่ลงไปสุรานั้นเป็นเรื่องไร้สาระยิ่ง แต่ชีหยวนหมิงกลับยิ้มอย่างภาคภูมิใจ
โรงกลั่นสุราเป็นของเขา ธัญพืชใช้เงินเขาซื้อ ไข่ไก่ก็เป็นเงินเขาซื้อ แม้กระทั่งค่าตอบแทนของบรรดาอาจารย์ก็เช่นกัน เหตุนี้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น เขาจะเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว เพียงแต่ ! พวกเขาจักต้องทำตามที่ตนสั่งทุกประการ มิเช่นนั้นหากเกิดปัญหาใดขึ้น พวกเขาจะต้องรับผิดชอบ !
ด้วยเหตุนี้เอง วิธีการกลั่นสุราอย่างแปลกประหลาดนี้จึงได้ดำเนินการต่อไป
บรรดาอาจารย์กลั่นสุราทั้งหลายล้วนมิเข้าใจ หรือว่าคุณชายของพวกเขาจะมีสูตรลับกัน ?
ถ้าเช่นนั้นคงต้องลองกลั่นออกมา คุณชายของพวกเขามิใช่ผู้ไม่มีความรู้ เขาใช้เงินทองมากมายสำหรับการจัดหาวัตถุดิบ อีกทั้งมิได้ลองกลั่นสุราตัวอย่างก็ดำเนินงานเลยเช่นนี้ คาดว่าเขาคงมีความมั่นใจมาก
อีกทั้งป่าวประกาศในเมืองหลินเจียงนั้น คุณชายของพวกเขาเป็นผู้เขียนขึ้นด้วยตนเอง ทั้งยังนำสุราเลื่องชื่ออย่างเซียงเฉวียนและเซียงฉุนมาเปรียบกับสุราใหม่ สิ่งนี้ส่งผลต่อชีชื่อ ดังนั้นคุณชายคงมิกล้านำเรื่องนี้มาล้อเล่น อีกทั้งนี่เป็นครั้งแรกที่คุณชายเดินทางมาคุมงาน ณ โรงกลั่นสุราด้วยตนเอง
อาจารย์ผู้มีชื่อเสียง 2 ท่านยังคงมีความสงสัยอยู่ในใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนผสมและเวลาในการต้มที่เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 2 เท่า ! ธัญพืชเหล่านั้นจะถูกนึ่งเสียจนเละ ! ซึ่งแน่นอนว่าสุราที่ได้จากการกระทำเช่นนี้จะมีรสชาติเปรี้ยว !
พวกเขายืนยันความคิดของตน จึงส่งผลให้ถูกชีหยวนหมิงไล่ออกอย่างไม่ลังเล
“นี่คือการปรับปรุงแนวคิดใหม่ บรรดาแนวปฏิบัติเดิมควรได้รับการปรับเปลี่ยน พวกเจ้าจงทำหน้าที่ของตนให้ดี เพียงแค่สุรานี้วางจำหน่าย ข้าจะไม่เอาเปรียบพวกเจ้าแน่นอน!”
แท้จริงแล้วสิ่งนี้คือวิธีการกลั่นแบบใหม่ บรรดาอาจารย์และคนงานทั้งหลายที่ได้ฟังก็รู้สึกโล่งใจยิ่ง
วันที่สิบสี่เดือนแปด เวลาเที่ยงตรง
จางเพ่ยเอ๋อได้รับข่าวเกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวนเรื่องที่เขากลับมายังจวนฟู่
นางกำลังแต่งหน้าอย่างสบายอารมณ์ ด้วยสีหน้ามีความสุข
สุราของชีหยวนหมิงคาดว่าคงใกล้จะสำเร็จแล้ว
ในวันรุ่งขึ้นจะได้วางขายอย่างเป็นทางการ
ในที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็กลับมาเสียที เขาเป็นถึงตัวละครหลักในเนื้อเรื่องนี้ หากขาดเขาไปคงไม่สนุกเท่าไรนัก
“เดินทางไปจวนฟู่ เข้าเยี่ยมฉีชื่อเสียหน่อย”
……
……
สุราของชีหยวนหมิงนั้นสำเร็จแล้วไม่ผิดเพี้ยน
เพียงแต่……
ชีหยวนหมิงได้กลิ่นเหม็นโชยมาทางจมูก เป็นกลิ่นเหม็นเปรี้ยว เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ ? เขาตกใจยิ่งนัก จึงรีบไปเปิดดูอีกหม้อหนึ่ง สูตรผสมเดียวกัน รสชาติเดียวกัน
“ใครบอกกับข้าได้บ้างว่าเกิดอันใดขึ้น ? ”
ชีหยวนหมิงโมโหเสียจนตาแดงก่ำ
กลิ่นที่ได้รับจากสุรานี้มิใช่กลิ่นหอมของสุรา แต่กลับเป็นกลิ่นเหม็นเปรี้ยวที่สุดแสนจะทนได้
“เจ้า เจ้าจงบอกแก่ข้ามา เจ้าใส่ไข่เกินขนาดใช่หรือไม่ ? ” ชีหยวนหมิงกระชากคอเสื้อของคนงานผู้หนึ่งแล้วบังคับถามเขา
“มิ มิได้……คุณชายขอรับ ธัญพืช 100 ชั่งต่อไข่ไก่ 100 ฟอง ข้าจำได้มิมีผิดเพี้ยน”
ชีหยวนหมิงหันไปตะคอกกับอีกคนหนึ่งว่า “เชื้อหมัก ถูกต้องแล้ว เชื้อหมัก! ใส่เชื้อหมักในปริมาณที่ผิดไปใช่หรือไม่ ? หรือเชื้อหมักจะเกิดปัญหา ? ไปนำมาให้ข้าดูเดี๋ยวนี้ ! ”
คนงานจำนวนกว่าร้อยคนในโรงกลั่นสุรายืนด้วยความงงงวย มองไปยังชีหยวนหมิงด้วยความไม่สบายใจนัก
“พวกเจ้าดู ! ข้าว่าแล้วเชียวปัญหาต้องอยู่ที่เชื้อหมัก สิ่งนี้ไม่เหมือนเชื้อหมักแต่อย่างใด พวกเจ้าอยากให้ข้าตายงั้นหรือ ! ”
อาจารย์ผู้นั้นยืนตะลึงชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “คุณ คุณชายขอรับ……นี่คือเชื้อหมักของพวกท่านเอง ข้าน้อยเพิ่งเดินทางมาถึงเมื่อวันก่อน”
“เจ้าเป็นสายลับ ! เจ้าเป็นสายลับอย่างแน่นอน ! ฟู่เสี่ยวกวนส่งเจ้ามาใช่หรือไม่ ? ” ชีหยวนหมิงชี้มาทางคนผู้นั้นด้วยมือที่สั่นเทา
“ข้าน้อยถูกใส่ความ ข้าน้อยหาได้รู้จักฟู่เสี่ยวกวนไม่” อาจารย์กลั่นสุราผู้นั้นช่างโชคร้ายเสียจริง “ข้าเป็นคนกลั่นสุราของลู่จี้ ท่านเป็นคนซื้อตัวข้ามาเอง มิได้เกี่ยวกับข้าเลยแม้แต่น้อย ? ”
ชีหยวนหมิงเดินไปมาหลายรอบในโรงกลั่นสุรานี้ เขาเตะเสียจนหม้อต้มสุราล้มคว่ำ จากนั้นก็ใช้มือต่อยสุราอีกหม้อหนึ่ง “ต้องมีขั้นตอนใดที่ผิดพลาดเป็นแน่ ! ”
ผู้ที่รับผิดชอบกลั่นสุรานี้ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยถามว่า “คุณชายขอรับ ไม่ทราบว่าสูตรนี้ท่านได้แต่ใดมา ? ”
“จางเพ่ยเอ๋อนำมาให้ข้า ต้องไม่มีผิดเพี้ยนเป็นแน่ ! ”
“เหตุใดท่านจึงได้เชื่อมั่นเพียงนี้ ? ”
“จางเพ่ยเอ๋อซื้อสูตรมาจากอาจารย์กลั่นสุราท่านหนึ่งของฟู่เสี่ยวกวน สูตรนี้เขาลงมือเขียนด้วยตนเอง เจ้าจงบอกข้ามาว่าจะมีสิ่งใดผิดพลาดได้กัน ? ”
นี่คือสูตรของสุราเซียงเฉวียนและเทียนฉุนงั้นหรือ ?
บรรดาอาจารย์ขมวดคิ้ว หากวิธีการกลั่นไม่มีผิดพลาด ถ้าเช่นนั้นคงเป็นกระบวนการกลั่นที่เกิดปัญหา
“หรือพวกเราควร……ทดลองอีกทีหนึ่ง ? ”
หัวหน้าผู้กลั่นสุราแววตาเป็นประกาย สูตรลับสุราของร้านหยู๋ฝูจี้ ! อยู่ข้างหน้าเช่นนี้ เขาจะต้องทำมันให้สำเร็จ
“ใช่แล้ว ! ใช่ ! จงลองดูอีกสักครั้งหนึ่ง มีธัญพืชและไข่ไก่เพียงพอ หากไม่เพียงพอข้าจะไปซื้อหามาเพิ่มเติม จงเทของเดิมทิ้งให้หมดแล้วล้างให้สะอาด หากใครยังกล้าขัดขืนคำสั่ง ข้าไม่ไว้ชีวิตแน่ ! “
ชีหยวนหมิงตะโกนออกไป แต่ภายในใจกลับเอ่ยกับตัวเองว่า ยังมีเวลา จงอย่ารีบร้อน ในครั้งนี้ต้องไม่มีอุปสรรคใด ๆ !
……
……
ในขณะที่ชีหยวนหมิงกำลังกังวล ขณะเดียวกัน ณ จวนฟู่ จางเพ่ยเอ๋อและฉีชื่อกำลังพูดคุยกันอย่างถูกคอ
“ความปรารถนานี้จะเป็นจริงอีกไม่นาน”
“เช่นนั้นหรือ ? หากเจ้าเอ่ยเช่นนี้หมายถึงสุราทั้งสองชนิดใกล้จะสำเร็จแล้วอย่างนั้นหรือ ? ”
จางเพ่ยเอ๋อยิ้มแล้วพยักหน้า “ในวันรุ่งขึ้นเป็นวันไหว้พระจันทร์ และเป็นวันวางขายสุราทั้งสองนั้น คาดว่าต่อจากนี้หยู๋ฝูจี้คงต้องปิดกิจการเสียแล้ว”
ฉีชื่อพยุงร่างกายของนางลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง “หากเป็นเยี่ยงนี้เขาจะไม่มีกิจการใดในเมืองหลินเจียง แต่ในเรือนซีซานนั้นได้ยินมาว่ากำลังทำการบางอย่างอยู่ สิ่งนั้นเรียกว่าปูน ข้าเองก็หารู้ไม่ว่าคืออันใด ไม่ทราบว่าแม่นางสนใจหรือไม่”
“แน่นอน หากท่านช่วยเหลือข้าได้ เพ่ยเอ๋อจะมิลืมบุญคุณอย่างแน่นอน”
ยามอาทิตย์ตกดิน จางเพ่ยเอ๋อเดินทางออกจากเรือนฟู่ไป เนื่องจากสุราของชีหยวนหมิงคงใกล้ออกจากเตาแล้ว
ชีหยวนหมิงกลั่นสุราครั้งที่สอง ผลที่แท้จริงก็ปรากฏ
ทุกขั้นตอนและอัตราส่วน เขาได้เห็นกับตาตัวเอง
บัดนี้ เขานำมือปิดจมูกแล้วดื่มสุรานั้น เนื่องจากกลิ่นไม่พึงประสงค์อันรุนแรงนั่น
เขาดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง แล้วรีบบ้วนออกมา “สิ่งนี้เรียกว่าสุรางั้นหรือ ? จางเพ่ยเอ๋อ ข้าจะฆ่าเจ้าคนโกหก ! ”
ตอนที่ 55 ข้าดื่มจนเมามายท่ามกลางแสงจันทร์
ดวงจันทร์เต็มดวงลอยขึ้นสูงเหนือศีรษะ สว่างกระจ่างราวเงินยวง
ต่งชูหลานเงยหน้ามองดวงจันทร์ แสงจันทร์สาดรับใบหน้าที่ดูสวยหวานไม่มีที่ติ จนทำให้ใบหน้านั้นกระจ่างใสยิ่งกว่าดวงจันทร์
หลังจากครั้งที่แล้วที่ได้รับจดหมายจากฟู่เสี่ยวกวน ก็เป็นเวลา 20 วันแล้วที่เขามิได้ส่งจดหมายมาหาตนเองอีก
จดหมายฉบับสุดท้ายที่เขาส่งมานั้นกล่าวว่าช่วงนี้ยุ่งมาก เรื่องยุ่งของเขาสำเร็จถึงไหนแล้ว ?
ข้ามผ่านไปอีกวันก็จะเป็นเทศกาลไหว้พระจันทร์ เขาต้องกลับมาที่หลินเจียงสิ เขาจะได้รับจดหมายก่อนเทศกาลไหว้พระจันทร์หรือไม่นะ ?
ในช่วงเวลาที่มองมิเห็นและมิรู้สึกตัว ต่งชูหลานเริ่มคิดถึงผู้ที่อยู่ห่างไกลผู้นั้น เฝ้ารอจดหมายจากเขา อยากจะเห็นตัวอักษรที่น่าเกลียดที่ใต้หล้ายากจะหาใครเขียนได้เยี่ยงนี้ ในตอนนี้นางก็รู้สึกว่าแม้แต่ตัวอักขระพวกนั้น ก็น่าสนใจเช่นเดียวกับฟู่เสี่ยวกวน!
นางเข้าใจแล้วว่าตนเองนั้นชอบฟู่เสี่ยวกวน ฉับพลันใบหน้าก็แดงระเรื่อ นี่นางคิดแบบนี้ได้อย่างไร ?
เรื่องที่พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยและองค์หญิงเก้าไปหลินเจียง นางก็ได้รับรู้จากจดหมายฉบับสุดท้ายของฟู่เสี่ยวกวน นางมิได้รู้สึกอันใด กลับปลื้มปริ่มอย่างยิ่ง เพราะฟู่เสี่ยวกวนบอกกล่าวกับนางอย่างตรงไปตรงมา และนี่คือความเชื่อใจ
ถึงแม้เรื่องบุรุษมีสามภรรยาสี่อนุจะเป็นเรื่องปกติของสมัยนี้ แต่จะมีสตรีที่ไหนกันที่จะยินยอมแบ่งปันสามีของตนเองให้กับสตรีอื่น
ใบหน้าของต่งชูหลานแดงก่ำ นางก้มหน้าหลบ กัดริมฝีปากเบา ๆ ยังมิทันได้เริ่มเลย นี่ข้ากำลังคิดอะไรอยู่กัน ?
หลังจากนั้นนางก็นึกถึงรูปแบบชุดชั้นในที่ฟู่เสี่ยวกวนส่งมาให้กับนาง ในหัวของคนผู้นั้นมิรู้ว่ามันคือสิ่งใด เขารู้จักแม้แต่ของใช้สตรีด้วยซ้ำ แต่อย่างไร เสื้อตัวเล็กนี้ย่อมใส่สบายยามที่อยู่ข้างใน นางก้มหน้ามองหน้าอกทั้งสองลูก รู้สึกว่าเริ่มคับแน่น เหมือนว่าจะมีขนาดใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย นางจึงมีความสุขยิ่งขึ้น และยืดอกอย่างภาคภูมิใจ
พรุ่งนี้คงต้องทำอีกสักสองสามชิ้น ให้ใหญ่กว่านี้เสียหน่อย เพราะตอนนี้รู้สึกอึดอัดเกินไป
ยอดสุราซีซานได้เข้าไปในวังหลวงแล้ว แม้แต่เซียงเฉวียนและเทียนฉุนเองก็จัดอยู่ในรายการจัดซื้อของวังหลวง ราคาของยอดสุราซีซานคือ 1 ตำลึงกับ 600 อีแปะ ราคาของเซียงเฉวียนและเทียนฉุนเป็นไปตามราคาท้องตลาด เป็นต่งชูหลานที่เข้าไปเจรจาด้วยตนเอง องค์หญิงใหญ่ถูกนางรบเร้าจนต้องตกลงในราคานี้อย่างหมดความอดทน
น่าเสียดายที่การผลิตของสุราทั้งสามนี้ต่ำอย่างมาก โดยเฉพาะยอดสุราซีซาน แต่ละเดือนสามารถส่งมอบให้วังหลวงได้แค่ไม่เกิน 20 ชั่งเพียงเท่านั้น
ต่อมาองค์หญิงใหญ่ก็เรียกนางเข้าเฝ้า หลังจากที่ได้ต่อว่านางไป ก็ตรัสขึ้นมาว่ายอดสุราซีซานมิเพียงพอ เพราะฝ่าบาทชื่นชอบดื่มสุรา หลังจากที่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ได้ดื่มยอดสุราซีซานที่ฝ่าบาทประทานให้ ต่างก็โวยวายอยากได้สุรานี้ ฝ่าบาทก็ทรงประทานให้ เมื่อสุราถูกจ่ายเป็นรางวัลไป ฝ่าบาทก็มิมีเหลือให้ดื่มแล้ว ดังนั้นองค์หญิงใหญ่จึงมีพระประสงค์ให้เพิ่มจำนวนของยอดสุราซีซานเป็นอย่างน้อย 100 ชั่งต่อเดือน
ฟู่เสี่ยวกวนตอบกลับมาว่าในปัจจุบันนี้ยังคงทำไม่ได้ ทำได้เพียงเพิ่มการผลิตไปอย่างช้า ๆ น่าจะคลี่คลายได้ในปีหน้า นั่นทำให้องค์หญิงใหญ่เดือดดาลยิ่ง แต่ก็ไร้หนทาง ถึงได้รู้สึกขึ้นมาว่าสุราราคา 1 ตำลึง 600 อีแปะนี้ มิได้หาได้ง่ายเลย
ความฝันในหอแดงในวันนี้มีถึง 45 ตอน ราคาในภายหลังนางได้ปรับเปลี่ยนยอมรับความคิดเห็นของฟู่เสี่ยวกวน เพราะแม้แต่บุตรีของตระกูลขุนนางใหญ่ก็ยังต้องมาหานาง
แพงเกินไปแล้วจริง ๆ ดูเหมือนว่าแม้จะใช้สินสมรสแล้วก็ยังมิได้อ่านจนจบ !
บัณฑิตที่มากด้วยจินตนาการเหล่านั้นต่างก็โล่งอกไปด้วยเช่นกัน พวกเขาเองก็ชอบอ่าน ยามที่ออกไปพูดคุยดื่มชาดื่มสุราหากพูดคุยเรื่องความฝันในหอแดงไม่ได้ ก็จะถูกผู้อื่นดูถูกเอาได้
ปัจจุบันบัญชีของต่งชูหลานมีทั้งหมดสามหมื่นแปดพันกว่าตำลึง นั่นทำให้นางที่ว่างงานยิ่งมีความสุข
เงินเหล่านี้ต้องใช้ออกไป นางได้เล็งจวนที่อยู่ด้านข้างกับทะเลสาบซวนอู่เอาไว้ หรูหราโอ่อ่า ศาลาริมน้ำ ไหนจะลานหน้าบ้านและเรือนหลังอีกสิบ ยังไม่รวมสวนดอกไม้ที่มีอยู่หลายแห่ง
นี่คือจวนชินอ๋องของราชวงศ์ก่อน เมื่อเทียบกับจวนเสนาบดีแล้วใหญ่กว่าเป็นสิบเท่า เจ้าของคนสุดท้ายเมื่อสามปีก่อนคือราชครูไท่เหอ หยูไท่เหอก่ออาชญากรรมมา 6 ปีจึงถูกเนรเทศออกไปหลายพันลี้ เรือนนี้จึงได้ร้างมานานเกือบสามปีแล้ว
เมื่อวานหลังจากที่เข้าไปรบเร้าองค์หญิงใหญ่ในวังอยู่เนิ่นนาน องค์หญิงใหญ่จึงได้ยินยอมรายงานไปทางวังหลวง ดูสิว่าจะขายให้นางในราคา 30,000 ตำลึงได้หรือไม่
“นี่มัน…สินสมรสหรือ ?”
“ใช่ที่ไหนกัน ซื้อให้ผู้อื่น”
“ฟู่เสี่ยวกวนรึ ?”
“อื้อ ! ”
องค์หญิงใหญ่ลูบมือของต่งชูหลานเบา ๆ “ข้าได้ยินมาว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นมาจากตระกูลพ่อค้า… บิดามารดาของเจ้ามิยินยอมเป็นแน่”
“นี่คือเรื่องของหม่อมฉัน หากพวกท่านเห็นด้วยย่อมดีที่สุด แต่หากมิเห็นด้วย…” ต่งชูหลานในเวลานั้นหนักแน่นอย่างไร้ที่เปรียบ
“หากมิเห็นด้วยแล้วเจ้าคิดจะทำการใด ?”
“หม่อมฉันจักหนีตามเพคะ !”
องค์หญิงใหญ่เชิดใบหน้านุ่มของต่งชูหลานขึ้นเล็กน้อย “เด็กสาวตัวน้อย แต่ใจกลับไม่เล็กเสียเลย เจ้ารู้หรือไม่ว่ามารดาของฟู่เสี่ยวกวนคือผู้ใด”
ต่งชูหลานมิรู้อย่างแท้จริง นางเงยหน้าสบตาองค์หญิงใหญ่อย่างงุนงง
“สวี่หยุนชิง บุตรีของสวี่เช่ากวง บัณฑิตฮ่านหลินและอดีตหัวหน้ากั๋วจื่อเจี้ยน”
“เป็นนางอย่างนั้นรึ ! ” ปากเล็กของต่งชูหลานอ้ากว้าง รู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่ง
ในตอนนั้นจวนสวี่พยายามปิดเรื่องนี้อย่างแทบเป็นแทบตาย แต่ใต้หล้านี้หามีกำแพงที่ลมผ่านไม่ได้ เรื่องที่สวี่หยุนชิงและฟู่ต้ากวนหนีตามกัน ถึงแม้จะมิได้แพร่ไปในจินหลิง แต่คนเบื้องบนมากมายในจินหลิงก็ค่อย ๆ รับรู้ เพียงแค่มันคือเรื่องภายในครอบครัวของจวนสวี่ และเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีของจวนสวี่ จึงมิมีผู้ใดนำไปพูดต่อ
ต่งชูหลานทราบ เพราะบิดาเคยเอ่ยถึง กล่าวว่าหยุนชิงในตอนนั้นยอดเยี่ยมอย่างหาที่เปรียบมิได้ มีชายหนุ่มมากมายในจินหลิงมาติดพัน แต่แล้วก็เลือกที่จะสมรสกับฟู่ต้ากวนเศรษฐีที่ดินของเมืองหลินเจียงผู้นั้น เป็นเรื่องที่ยากจะจินตนาการได้ !
ด้วยเหตุนั้นมารดาจึงค่อนข้างหึงหวง จึงได้กล่าวขึ้นมาหนึ่งประโยค ท่านยังมิยอมแพ้รึ ?
บิดาเพียงหัวเราะ ข้าเพียงชื่นชมในความกล้าของนาง น่าเสียดายที่จากไปอย่างรวดเร็ว คาดว่าน่าจะเป็นโรคหัวใจและโรคซึมเศร้า
“สวี่หยุนชิงและฟู่ต้ากวนหนีตามกัน เกือบจะทำให้สวี่เช่ากวงเดือดดาลจนกระอักเลือดตาย สวี่เช่ากวง ปัญญาชนหัวคร่ำครึ เมื่อเกิดเรื่องน่าอายเยี่ยงนี้ในตระกูล เขาเป็นคนที่มีหน้ามีตา นั่นทำให้เสียใจอยู่เนิ่นนาน กล่าวกันว่าสวี่หยุนชิงได้กลับไปที่จินหลิงก่อนจะสิ้นใจ แต่กลับมิมีผู้ใดเปิดประตูต้อนรับนาง จนนางเสียชีวิตไปก็ยังมิได้รับการให้อภัย และขอมิยอมรับบุตรีผู้นี้ไปตลอดกาล”
องค์หญิงใหญ่ลูบมือของต่งชูหลานอีกครา “ดังนั้นเรื่องหนีตามกันดูแล้วค่อนข้างอาจหาญ แล้วเรื่องราวที่ตามมาเล่า เจ้าจะมิคิดถึงบิดามารดาที่เลี้ยงดูเจ้ามาเลยรึ? บิดามารดาจะมิเป็นห่วงเจ้าเยี่ยงนั้นรึ ? ชูหลานเอ๋ย หากมีวันนั้นขึ้นมาจริง ๆ เจ้าจงเข้ามาในวังหลวง ข้า…จะรับผิดชอบเจ้าเอง”
ต่งชูหลานดื่มสุราใต้แสงจันทร์ ความรู้สึกตอนนี้ของนางค่อนข้างโศกเศร้า
นางไม่กล้าคิดมากกับเรื่องนี้นัก คิดมากไปก็เจ็บปวด
แต่ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องเผชิญหน้ากับเรื่องนี้อยู่ดี ในวันนี้มารดาเองก็กำลังนั่งอ่านหนังสือของฟู่เสี่ยวกวนและชื่นชอบอย่างยิ่ง จนถึงขั้นกล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นมิได้ด้อยเลย ประพันธ์หนังสือที่ดีออกมาได้ด้วยระดับซิ่วไฉ นี่คือคนที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง
แม้แต่มารดาก็รู้ถึงสถานะตัวตนของฟู่เสี่ยวกวน แต่เรื่องนี้อย่างไรก็มิได้อยู่ในหัวของบุตรีอย่างตน สิ่งที่นางมองทั้งหมดคือฟู่เสี่ยวกวนในด้านผู้มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม และมิมีทางใส่ใจกับตัวตนของฟู่เสี่ยวกวน
เสี่ยวฉีมองคุณหนูของตนที่ดื่มเหล้าใต้แสงจันทร์ด้วยตัวคนเดียวก็ค่อนข้างจะเป็นกังวล
นางทราบคนที่อยู่ในใจของคุณหนู แต่จนถึงวันนี้นางก็ยังคงคิดว่าเยี่ยนซีเหวินต่างหากที่เป็นผู้ที่เหมาะสมกับคุณหนู
แต่นั่นเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณหนู ตนเองก็ทำได้เพียงเลียบ ๆ เคียง ๆ อยู่ข้าง ๆ คุณหนูได้ปักใจกับฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นแล้ว
ตอนที่ 54 ฟู่อีต้าย
การทดลองผลิตปูนที่เมืองซีซานประสบความสำเร็จโดยไม่มีติดขัด โรงกลั่นสุราชีชื่อที่เมืองหลินเจียงก็เริ่มดำเนินการหมักสุราในวันนี้เช่นกัน
ข่าวแพร่หลายที่ได้รับความนิยมสูงสุดแห่งเมืองหลินเจียงในเวลานี้คือสุราชีชื่อ ขบวนตีกลองเคาะฆ้องอีกทั้งผู้ถือป้ายผ้าประกาศขนาดใหญ่
สุราที่ชีชื่อกลั่นออกมาชนิดใหม่นั้นจะวางขายครั้งแรกวันที่สิบห้าเดือนแปด !
กลิ่นสุราหอมหวน เทียบชั้นเทียนฉุน โปรดคอยติดตาม !
สุราดีราคาประหยัด ชีชื่อ ตัวเลือกที่ดีที่สุด !
สุรากู่ซี 32 ดีกรี สุราหนิงลู่ 40 ดีกรี สูตรเดิม รสชาติเดิม รอดื่มร่วมกันในวันไหว้พระจันทร์ !
……
……
ประกาศต่าง ๆ นานาเต็มท้องถนน อีกทั้งโคมไฟที่แขวนห้อยระย้าในถนนสายนี้ถูกเปลี่ยนเป็นชีชื่อ
ชีหยวนหมิงใช้เงินจำนวนไม่น้อยในการโฆษณาสุราที่กำลังจะวางจำหน่าย แม้ว่าหยู๋ฝูจี้ยังคงขายดิบขายดี แต่ชีชื่อกลับกลายเป็นจุดสนใจที่ทุกคนจับตามองในเมืองหลินเจียงเสียแล้ว
“เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ในที่สุดข้าก็เข้าใจเสียทีว่าเหตุใดฟู่เสี่ยวกวนจึงได้ทำการประกาศเช่นนี้ เหตุเพราะต้องการให้ผู้คนจดจำสินค้าของตนไว้ให้ขึ้นใจ ให้ทุกคนนึกถึงหยู๋ฝูจี้เมื่อยามดื่มสุรา” จางเพ่ยเอ๋อนั่งมองดูขบวนป่าวประกาศบนท้องถนนแล้วเอ่ยต่อว่า “เหลือเวลาอีกเพียง 2 วันเท่านั้น หวังว่าสุราของท่านจะไม่เกิดปัญหาใดขึ้น”
“แม่นางจางโปรดวางใจได้ ข้าจัดซื้อธัญพืชกว่าสามแสนชั่งอีกทั้งไข่ไก่นับไม่ถ้วน สั่งทำบรรจุภัณฑ์แบบใหม่อีกทั้งเชิญอาจารย์ผู้มีความรู้มาเพิ่มอีกสิบกว่าคน เพื่อสุรานี้โดยเฉพาะ”
ชีหยวนหมิงกล่าวจบก็ถอนหายใจ “ทุกสิ่งช่างเปลี่ยนแปลงไปเร็วเหลือเกิน จากเดิมเมื่อหยู๋ฝูจี้วางขายครั้งแรก ข้าประสงค์จะทำความร่วมมือกับฟู่เสี่ยวกวน แต่ถูกเขาปฏิเสธ บัดนี้หากสุราทั้งสองชนิดของข้าวางขาย คาดว่าเขาก็ประสงค์เข้าพบข้าเช่นกัน เจ้าว่าข้าควรให้เขาเข้าพบหรือไม่ ? ”
“เหตุใดจึงไม่ต้องการพบ ? เมื่อเขามาเจ้าจงบอกข้าด้วย ข้าเองก็อยากเห็นสีหน้าผิดหวังของเขาเช่นกัน”
จางเพ่ยเอ๋อมองร้านหยู๋ฝูจี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย แล้วเผยยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
ฟู่เสี่ยวกวน หยู๋ฝูจี้ของเจ้านั้นใกล้ปิดตัวลงแล้ว หรือว่า……ข้าจะซื้อร้านของเจ้าดีหรือไม่ ?
ได้ยินมาว่าเขาผู้นี้กำลังทำการบางอย่างอันแปลกใหม่อยู่ที่ซีซาน เจ้าจงกระตือรือร้นไปเถิด รอดูวันที่ข้าจะทำให้เจ้าล้มไม่เป็นท่า รับรองว่าเจ้าจะต้องสิ้นหวังอย่างแน่นอน ข้าต้องการเห็นมันยิ่งนัก
นางยิ่งคิดยิ่งมีความสุขนัก ไม่กี่วันก่อนได้จัดการกับหนังสือขออนุญาตเรียบร้อยแล้ว นางตั้งตารอวันที่สิบห้าเดือนแปดที่กำลังจะมาถึงยิ่งนัก นางเชื่อว่าเทศกาลไหว้พระจันทร์อันยิ่งใหญ่นี้บรรดาลูกค้ารายใหญ่อีกทั้งนักปราชญ์ คงดื่มสุรากู่ซีและหนิงลู่เพื่อเฉลิมฉลองอย่างแน่นอน
และในวันฉลองอันยิ่งใหญ่เช่นนี้ ร้านหยู๋ฝูจี้กลับว่างเปล่าไร้ลูกค้า คาดว่าฟู่เสี่ยวกวนคงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ เหอะ ๆ เช่นนี้สิจึงจะน่าสนุก
ชีหยวนหมิงมองเห็นจางเพ่อเอ๋อยิ้มเช่นนั้นก็ตกใจ สตรีนางนี้รูปงามยิ่งอีกทั้งมีความสามารถด้านการค้าเป็นเลิศ หากได้นางไปเป็นภรรยา ตระกูลชีชื่อคงสูงส่งขึ้นไม่น้อย
รอให้สุราใหม่วางขายแล้วค่อยถามความในใจนาง
“เทศกาลไหว้พระจันทร์ครั้งนี้จัดขึ้น ณ สำนักศึกษาป้านชาน ข้าเองได้ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว หยูหยุ๋นชิงจะใช้ชื่อสุราทั้งสองชนิดนี้เขียนเป็นกวีออกมาในงานกวี หากใช้ชื่อเสียงของหยูหยุ๋นชิง คาดว่ากวีนั้นคงได้รับความนิยมไม่น้อย จากนั้นให้ฝานตั่วเอ๋อร์ร้องบรรเลงในที่นั้นเป็นคนแรก เช่นนี้ไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ในเมืองหลินเจียงคงจำชื่อสุราทั้งสองได้อย่างขึ้นใจ”
“แม่นางช่างละเอียดอ่อนและความคิดเป็นเลิศยิ่ง”
“มิเป็นไร พวกเราร่วมมือกันแล้วมิใช่หรือ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ควรให้ความจริงใจต่อกันอย่างเต็มที่ ข้ามีธุระต้องจัดการต่อ เจ้าจงจับตาดูโรงกลั่นสุราให้ดี จะให้มีสิ่งใดผิดพลาดไม่ได้เป็นอันขาด จงใช้การดูแลควบคุมอย่างเคร่งครัด”
“ข้าเข้าใจแล้ว เพื่อสุราใหม่นี้ทั้งครอบครัวข้าทุ่มแรงทุ่มทรัพย์ไปมิใช่น้อย ต้องประสบความสำเร็จเท่านั้น ล้มเหลวมิได้ ! ”
……
……
รวงข้าวสีทองปกคลุมไปทั่วทั้งผืนนา
ฟู่เสี่ยวกวนและหวางเฉียงอีกทั้งคนอื่นอีกสองสามคนกำลังเดินอยู่บนคูนาในยามอาทิตย์ตกดิน มีชาวนาจำนวนมากในทุ่งนา ใบหน้าของพวกเขาปรากฏรอยยิ้มอันเนื่องมาจากผลผลิตที่ได้รับ
ผืนนานี้ชาวบ้านแห่งหมู่บ้านหวังเจียชุนเป็นผู้ทำการเพาะปลูก และบัดนี้พวกเขายังอาศัยอยู่ ณ เรือนซีซาน
คุณชายกล่าวว่าหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว เขาจะสร้างบ้านเรือนใหม่ในหมู่บ้านหวังเจียชุน แน่นอนว่าคุณชายไม่เคยหลอกลวงผู้ใด เนื่องจากบริเวณซากเรือนหักพังนั้นมีอิฐและไม้จำนวนมากกองรออยู่แล้ว
บ้านเรือนที่กำลังจะสร้างใหม่ คุณชายเป็นผู้ออกแบบโครงสร้างด้วยตนเอง เป็นโครงสร้างบ้านซื่อเหอเยวี่ยน มีการจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ตั้งอยู่ห่างจากภูเขาต้ายซาน อีกทั้งอยู่ใกล้กับแม่น้ำไป๋สุ่ย
คุณชายกล่าวว่าหากต่อไปเกิดภัยธรรมชาติขึ้น แม้ภูเขาต้ายซานจะเกิดอุทกภัยก็พัดมาไม่ถึงที่แห่งนี้ เมื่อยามว่างแล้วก็ให้เสริมมั่นคงแก่เขื่อนเสียหน่อย จะไม่เกิดปัญหาใด ๆ ตามมาอีก
ความสามารถของคุณชายนั้นแพร่กระจายไปทั่ว บัดนี้พวกเขารู้ว่าทรายข้น ๆ ที่คุณชายทำขึ้นมาที่ซีซานนั้นเรียกว่าปูนซีเมนต์ พวกเขามองดูสิ่งนั้นแต่ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่เฟิ๋งซีกล่าวว่าสิ่งนี้น่าอัศจรรย์นัก ยามสร้างบ้านด้วยอิฐเรียบร้อยแล้วทาสิ่งนี้ทับลงไปอีกหนึ่งชั้นก็มั่นคงดุจหินผา !
พวกเขาส่งสายตามองมายังฟู่เสี่ยวกวนด้วยความตื่นเต้น คุณชายเช่นนี้จะหาที่ใดได้อีกบนโลก ?
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ที่คันนากับหวางเอ้อ
“หลังการเก็บเกี่ยวเสร็จสิ้นลงก็คงไม่มีเรื่องใดแล้ว จงไปรวบรวมชาวบ้านและสร้างบ้านเรือนเสียใหม่เถิด เจ้าจงคาดการณ์ดูว่าจากคนที่รวบรวมได้สามารถสร้างบ้านกี่หลังในเวลาพร้อมกัน อีกหนึ่งอย่างหลังจากสร้างบ้านเรียบร้อยแล้วให้พวกเขาไปช่วยงานก่อสร้าง ณ เรือนซีซาน ข้ามีค่าตอบแทนให้ช่างใหญ่คนละ 50 อีแปะต่อวัน ลูกมือวันละ 20 อีแปะ ไม่มากไม่น้อยกว่านี้ โรงผสมปูนนั้นข้าเองก็เพิ่มค่าตอบแทนแล้วเช่นกัน สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่พวกเจ้าควรได้รับ”
ชาวนาชราผู้ซื่อสัตย์พยักหน้าเบา ๆ
“ผลผลิตที่ได้จากป้ายจึทั้งสิบต้นนั้นเจ้าจงแยกเก็บต่างหาก นำไปตากแห้งแล้วเก็บรักษาไว้ เทศกาลไหว้พระจันทร์นี้ข้าเองมีความจำเป็นต้องเดินทางกลับไปหลินเจียง เมื่อข้ากลับมาจงนำมันมาให้ข้า”
“คุณชายวางใจเถิด ข้าน้อยรับรองว่าจะไม่ให้หล่นหายแม้แต่เมล็ดเดียว”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าแล้วเอ่ยต่อหวังเอ้อว่า “นี่คือเมล็ดพันธุ์ใหม่ ในปีหน้าฤดูเพาะปลูกเจ้าจงจัดการแปลงเพาะแยกออกมาต่างหาก ปลูกเฉพาะเมล็ดพันธุ์นี้เท่านั้น เรื่องนี้ข้าขอมอบให้เจ้าสองคนพ่อลูกจัดการ”
หวางเฉียงเอ่ยถามด้วยประหลาดใจว่า “คุณชายขอรับ เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ในปีหน้าจะให้ผลผลิตเป็นสองเท่าใช่หรือไม่?”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วกล่าวว่า “เจ้าคาดหวังมากเกินไปแล้ว ไม่ง่ายดายเช่นนั้นหรอก ในปีหน้าพวกเรายังต้องค้นหาป้ายจึต่อไป เมล็ดพันธุ์ใหม่เหล่านี้จะผสมเกสรซึ่งกันและกัน เมื่อเก็บผลผลิตในปีหน้าอีกครั้งแล้วนำไปปลูกใหม่ อีกปีหนึ่งจึงจะเห็นผลว่าสำเร็จหรือไม่”
“อ้อ” หวางเฉียงนำมือตบลงที่หน้าอกตนเองเบาๆแล้วกล่าวว่า “ข้าจะเป็นผู้ปกป้องผืนนาแห่งนี้เอง ข้าจะปลูกบ้านบริเวณนี้”
“เสี่ยวเหมยของเจ้าคงจะเกลียดข้าไม่น้อย”
“นางมิใช่คนเช่นนั้น หากนางรู้ว่ามีเรื่องที่สามารถทำให้คุณชายได้นางจะดีใจมาก”
หวางเฉียงชะงักลงเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวเหมยกล่าวว่าที่พวกเราได้มีทุกวันนี้ ก็เพราะบุญคุณของคุณชาย หลังจากแต่งงานแล้วพวกข้าจะมีลูกเต็มบ้าน เมื่อพวกเขาเติบใหญ่ในภายภาคหน้าจะได้ช่วยดูแลผืนนาแก่ของคุณชายสืบต่อไปจากรุ่นสู่รุ่น”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้น “ต่อจากนี้ข้าจะสร้างสถานศึกษา ลูกหลานของพวกเจ้าจะต้องไปเรียนหนังสือ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน เขามิได้ใส่ใจสองพ่อลูกที่ตะลึงอยู่ที่นั้น กลับกล่าวว่า “เมล็ดพันธุ์ใหม่เหล่านี้จะต้องมีชื่อเรียก”
คุณชายครุ่นคิดชั่วครู่ สมองของเขามักคิดการใด ๆ รวดเร็วนัก ทำให้สองพ่อลูกที่อยู่ในอาการมึนงงเมื่อครู่ตื่นขึ้นจากภวังค์
“เช่นนั้นตั้งชื่อเป็นนามของท่านเถิด”
ตอนที่ 53 การกำเนิดปูนซีเมนต์
เวลาผ่านพ้นราวปลายนิ้วสัมผัส เพียงพริบตาก็ได้มาถึงรัชสมัยเซวียนลี่ที่ 8 เดือนแปด วันที่ห้า
ฟู่เสี่ยวกวนได้เข้ามาอาศัยอยู่บนเขา ด้านหลังของเขาซีซานเป็นเวลา 3 วัน
การเตรียมการสร้างปูนซีเมนต์เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และในวันนี้ ก็จะเริ่มขั้นตอนของการผลิตแล้ว
น้ำตกยังคงไหลลงมาจากยอดเขา เสียงฟ้าร้องคำราม กังหันน้ำขนาดใหญ่ทั้งสามอยู่ด้านใต้ของน้ำตก ส่งผลให้เครื่องโม่หินหมุนเป็นรอบไปอย่างช้า ๆ
“ใส่ส่วนผสมลงไป ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนคำรามลั่น เพื่อสร้างความกระตือรือร้นให้แก่คนงาน
“ใส่ส่วนผสมลงไป ! ”
เสียงเริ่มดังขึ้นมาทีละคน คนงานจำนวนมากใส่หินปูนและหินตากแห้งที่เตรียมพร้อมไว้เรียบร้อยแล้วลงไปในร่องบดทั้งสอง จากนั้นก็มีเสียงดังกรอบแกรบตามมา หินปูนเหล่านั้นถูกบดละเอียดโดยเครื่องโม่หิน
และใส่กากแร่ลงไปอีกร่องบดหนึ่ง ด้วยเนื้อผิวของกากแร่ที่ค่อนข้างแข็ง ดูแล้วต้องใช้แรงอย่างมาก หากเปลี่ยนเป็นถลุงเหล็ก คิดแล้วว่าน่าจะใช้แทนได้
เขาทำได้แค่เพียงใช้วิธีที่ง่ายดายที่สุดมาเป็นวิธีการจัดการในเบื้องต้นเท่านั้น แน่นอนว่า เขาไม่รู้วิธีการประมวลผลในขั้นสูง
หากเพิ่มกังหันน้ำและเครื่องโม่อีกเล็กน้อย การก่อสร้างเรือนซีซานน่าจะพอเป็นไปได้ สำหรับการสร้างถนน…เขาอยากจะสร้างถนนตั้งแต่ซีซานจนไปถึงหลินเจียงให้เป็นถนนปูนซีเมนต์ แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะยังไม่ง่ายนัก
เขาได้สอนกระบวนการและอัตราส่วนทั้งหมดของปูนซีเมนต์ให้แก่เฟิ๋งซี และในวันนี้ขั้นตอนทุบให้แหลกก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ก็ไม่มีเรื่องที่เขาต้องจัดการมากแล้ว
เขายืนมองฉากกังหันลมและเครื่องโม่แรงน้ำ รวมไปถึงโรงเก็บของและเตาเผาขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปนั้น ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มออกมาน้อย ๆ
ทันทีที่เขาผลิดปูนซีเมนต์สำเร็จ ก็สามารถเริ่มสร้างโรงงานซีซานได้ในทันที เริ่มแรกสร้างโรงงานสบู่หอมกับสบู่ไขมันขึ้นมาก่อน นี่เป็นสิ่งที่ง่ายที่สุด หลังจากนั้นก็สร้างโรงงานน้ำหอม เพราะดอกไม้เหล่านั้นยังคงไม่บาน และเป็นเพราะเครื่องแก้วของหยู๋จงถานก็ยังไม่เสร็จดี
คนงานกำลังทำงานกันอย่างขะมักเขม้น ผงที่ได้รับการบดเรียบร้อยแล้วถูกเทลงไปในหลุมใหญ่ภายใต้การสั่งการของเฟิ๋งซี หลังจากนั้นก็เทน้ำลงไป คนกลุ่มใหญ่ก็ใช้ไม้ในมือกวนไปมา
“หยุด ! ”
“ข้าบอกให้หยุดเทน้ำ แต่พวกเจ้าจงกวนต่อไป”
เฟิ๋งซีประหม่าอย่างยิ่ง นี่คือครั้งแรกของเขาที่รับงานใหญ่หลวงเฉกเช่นนี้ นี่คือความเชื่อมั่นของคุณชาย ห้ามทำพลาดเด็ดขาด
เขาหยิบยกไม้พายขึ้นมา แล้วใช้มือบีบโคลนที่อยู่บนนั้น พร้อมทั้งตะโกนบอกคนข้าง ๆ “ต้าต้าน ไปเอาไม้พายสองสามอันมาวางบนนี้ กวนได้ไม่เสมอกันแล้ว เร็วเข้า ! ”
ไม้พายสองสามอันถูกวางไว้บนปากหลุม “ขึ้นไป ขึ้นไป 20 คน เทน้ำ หากข้าบอกให้หยุดก็ต้องหยุดในทันที ! ”
“เหล่าหลี่โถว ตั้งเตาเผา ไฟไม่ต้องแรงเกินไป ! ”
“ขอรับ ! ”
ทันใดนั้นเตาเผาก็ลุกโชนขึ้นมา ควันหนาราวกับเมฆหมอกกำลังตกลงมาปกคลุม
ผ่านไปได้ 1 ชั่วยาม เฟิ๋งซีถึงได้คิดว่าน้ำปูนซีเมนต์ที่อยู่ในหลุมนั้นน่าจะได้แล้ว
“ขึ้นเตา ! ”
“เหล่าหลี่โถว เจ้าอย่าโหมไฟมากจนเกินไป ประเดี๋ยวข้าจะเรียกเจ้า”
“ขอรับ ! ”
โคลนชุดแรกที่อยู่ในหลุมได้ถูกเทลงไปในเตาเผาแล้ว จากนั้นเวลาก็ได้ผ่านไปแล้วอีกหนึ่งชั่วยาม เฟิ๋งซีตะโกนลั่น “เหล่าหลี่โถว เติมไฟอย่างเต็มที่อย่าได้หยุด!”
……
…..
ฟู่เสี่ยวกวนยืนมองอยู่ห่างออกไป เขาเองก็มิรู้ว่าจะสำเร็จหรือไม่ เพราะเขามิทราบว่าเจ้าสิ่งนี้ต้องใช้เวลาเผานานเท่าใด เขาเพียงแค่พูดกับเฟิ๋งซีไว้ว่ามันต้องเผาให้เหลวเป็นน้ำก่อนแล้วค่อยนำไปทำให้เย็นตัว และเฟิ๋งซีก็ได้ไปหาเหล่าหลี่โถว เหล่าหลี่โถวกล่าวว่าต้องใช้เวลาเผาประมาณ 5 ชั่วยาม
เยี่ยงนั้นก็เผาดีกว่า เผามันอีกครา ตราบใดที่ไปในทิศทางที่ถูกต้อง เยี่ยงนั้นอย่าได้กลัวพลาดพลั้ง นั่นคือสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนพูดกับเฟิ๋งซี อีกอย่างเฟิ๋งซีก็ไม่อยากพลาดพลั้ง
ดังนั้นพอตกค่ำ ทุกคนจึงไปทานมื้อค่ำ และกลับไปทำงานต่ออย่างขยันขันแข็ง
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เปิดเตาเล็ก สามวันที่ผ่านมาเป็นเยี่ยงนี้ เขารู้สึกประทับใจให้กับหลายร้อยคนที่อยู่ที่นี่เป็นอย่างยิ่ง
“คุณชายผู้สูงส่งได้มาเฝ้ารออยู่ที่นี่ อย่าได้อู้งานเชียว ! ”
“พวกเจ้าตั้งใจทำงานกัน คุณชายกำลังเฝ้ามอง เขาไม่มีทางปฏิบัติกับพวกเจ้าไม่ดีเป็นแน่ !”
“……”
ความจริง ฟู่เสี่ยวกวนไม่คุ้นชินกับอาหารเหล่านี้ แต่ก็ไม่สามารถทนให้ท้องหิวได้ ทำได้เพียงนึกย้อนไปยังปีนั้นที่ออกไปปฏิบัติหน้าที่ เปลือกของผักป่าก็เคยกินมาแล้ว ดังนั้นอาหารที่อยู่ตรงหน้าจึงกลายเป็นอร่อยขึ้นมาทันที
เป็นเพราะหลายวันที่ผ่านมานั้นผ่านไปได้สบายเกินไป
คิดได้ว่าการเผานั้นใช้เวลาอย่างยาวนาน แต่การเย็นตัวนั้นก็ใช้เวลานานยิ่งกว่า ฟู่เสี่ยวกวนกลับมายังภายในห้องของตนเอง นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างพิเศษ เขาไม่คุ้นเคยกับการนอนเบียดกับผู้คนเป็นจำนวนมากในเตียงเดียวกัน
นั่งสมาธิเพื่อฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางอยู่ชั่วครู่ เขาจึงหลับลงในสภาพแวดล้อมที่เสียงดังเยี่ยงนี้ได้
ทันทีที่รู้สึกตัวตื่น เขาก็ลุกขึ้นมาขยับร่างกายเล็กน้อย จึงได้เห็นเฟิ๋งซีปรี่เข้ามาราวกับบิน ด้วยดวงตาแดงก่ำ
น้ำเสียงของเฟิ๋งซีนั้นดูตื่นเต้นอย่างมาก “คุณชายขอรับ ท่านดูนี่เถิด ปูนซีเมนต์ได้มีรูปลักษณ์เยี่ยงนี้หรือไม่”
ฟู่เสี่ยวกวนรีบรับมันมาดู ปูนซีเมนต์ได้แข็งตัวแล้ว เขาเองก็มิรู้ว่าสิ่งนี้แท้จริงแล้วใช่ปูนซีเมนต์หรือไม่ แต่อย่างน้อยสีของมันก็ดูเหมือนอยู่
“นำเจ้าสิ่งนี้มาบดเป็นผง”
เฟิ๋งซีได้นำไม้มาบดปูนซีเมนต์ในถังนี้ให้เป็นผง “ไป ไปยังริมแม่น้ำ”
ฟู่เสี่ยวกวนนำกระบวยขึ้นมาเทน้ำอย่างระมัดระวัง กวนให้เข้ากัน หลังจากนั้นก็เรียกให้เฟิ๋งซีนำอิฐที่เหลืออยู่บนเตาเผาลงมาสองก้อน เขาทาปูนซีเมนต์นี้ลงไปบนอิฐ หลังจากนั้นก็วางซ้อนกัน
“รอสักประเดี๋ยวให้แห้งก่อน หากสองก้อนนี้ยังคงติดกัน ก็แปลว่าประสบความสำเร็จแล้ว ยิ่งแข็งยิ่งดี วางไว้ก่อนอย่าเพิ่งขยับ”
เฟิ๋งซีปกป้องก้อนอิฐสองก้อนนี้ราวกับเป็นก้อนทองคำก็ไม่ปาน เฝ้ามาได้ 1 ชั่วยามแล้ว
“มีการเปลี่ยนแปลงขอรับ”
“หยิบขึ้นมาดูสิ”
“ถ้าเยี่ยงนั้น เชิญคุณชายได้ไหมขอรับ?”
“อย่ากล่าวเรื่องไร้สาระ รีบทำเร็ว ๆ เข้า”
เฟิ๋งซียื่นมือออกไปด้วยความประหม่า ลอบกล่าวภายในใจว่า ขอพระเจ้าประทานพร มันต้องติดสิ!
เขาหยิบก่อนด้านบนนั้นขึ้นมา หลังจากนั้น… ก้อนด้านล่างก็มิได้ร่วงหล่นแต่อย่างใด
“สำเร็จแล้วอย่างนั้นรึ ? ”
“เจ้าลองสะบัดดูสิ”
เฟิ๋งซีสะบัดไปมาเบา ๆ ก็ยังมิมีการขยับ เขาเพิ่มแรงลงไปอีกเล็กน้อย ก็ยังไม่ได้ผล หลังจากนั้นเขาจึงใช้แรงทั้งหมด อิฐสองก้อนนั้นจึงแยกจากกันในที่สุด “นี่…”
“ยอดเยี่ยม ทำไปเยี่ยงนี้ แน่นอน ยามที่ลงมือจงจำไว้ว่าเจ้าต้องจดขั้นตอนการทำงานตลอดกระบวนการ และการใส่อัตราส่วนต่าง ๆ เจ้าสามารถนำปูนซีเมนต์ในปริมาณที่เล็กน้อยมาทดลองได้ เจ้ามิต้องทำตามคำพูดของข้าทั้งหมดโดยไม่คิดที่จะปรับเปลี่ยน หากเจ้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าคิดมันดีกว่าก็ปรับเปลี่ยนได้ ต้องเรียนรู้ที่จะคิดค้น รวมไปถึงเครื่องมือเหล่านี้ ต้องคิดค้นขึ้นมาใหม่ทั้งหมด จำได้หรือไม่”
“จำได้ขอรับคุณชาย ! ”
“ปูนซีเมนต์ที่เผาเรียบร้อยจนแห้งแล้วก็ให้บดเป็นผง เมื่อบรรจุเรียบร้อยแล้วให้นำไปส่งที่ซีซาน เท่านี้ ก็เรียบร้อยแล้ว ! ”
“ขอรับ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนและซูม่อเดินลงเขาไป และมีเสียงกู่ร้องของเฟิ๋งซีตามหลังมา “พี่น้องทั้งหลาย สำเร็จแล้ว พวกเราทำสำเร็จแล้ว!…”
“ใช้ความพยายามอย่างมากเพียงเพื่อให้ก้อนอิฐติดกันเท่านั้นรึ?” ซูม่อเอ่ยขึ้นมาด้วยความไม่เข้าใจ
“ใช่สิ มิได้ง่ายดายเลย”
“แป้งข้าวใช้มิได้หรือ?”
“แป้งข้าวใช้ได้เพียงของที่มีขนาดเล็ก ข้าต้องการใช้กับของที่มีขนาดใหญ่มาก ใหญ่จนถึงขนาดที่เจ้าไม่มีทางจินตนาการได้”
ซูม่อครุ่นคิด คำพูดนี้ถือว่าสมเหตุสมผล
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็เอ่ยถามขึ้นมา “เจ้าว่า หากข้าใช้สิ่งนี้เพื่อสร้างกำแพงเมือง โดยใช้หินฟ้าเป็นฐาน ใช้ปูนซีเมนต์นี้เพื่อยึดติดและทาปูนซีเมนต์เข้าไปอีกชั้นหนึ่ง เจ้าว่าจะถูกทุบจนแตกได้หรือไม่”
ซูม่อชะงักนิ่ง “ข้ามิทราบ แต่อย่างไรการโจมตีเมืองก็มิใช่การทลายทำแพงเมือง”
“อือ ข้าเพียงถามไปเยี่ยงนั้นแล”
ตอนที่ 52 ความทุกข์ใจของหญิงสาว
ในที่สุดพายุฝนก็สงบลง ดวงอาทิตย์ที่ร้อนระอุลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ส่องแสงสีทองไปทั่วใต้หล้า
ผู้บาดเจ็บเล็กน้อยของหมู่บ้านหวังเจียชุนพากันกลับไป หนึ่งเพื่อจะทำความสะอาดคราบดินโคลน สองเพื่อช่วยค้นหาผู้ที่ถูกดินถล่ม
อากาศร้อนเช่นนี้หากไม่รีบค้นหาผู้เสียชีวิตและจัดการให้เรียบร้อย เกรงว่าอาจจะส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์อีกทั้งยังเกิดโรคภัยได้ง่ายขึ้น
ความจริงที่ว่าคุณชายจะปรับปรุงบ้านเรือนแก่พวกเขานั้นได้แพร่กระจายไปในหมู่คนเหล่านี้ ความสุขดังกล่าวได้ทำให้ความโศกเศร้าของภัยพิบัติลดลงบ้าง นี่คือความกรุณาที่ไม่อาจมีคำพูดใด ๆ แทนออกมาได้สำหรับพวกเขา แม้ว่าชาวบ้านมิได้เอ่ยขอบคุณเป็นคำพูด แต่ในก้นบึ้งของหัวใจพวกเขาจดจำความดีของคุณชายไว้อย่างดี
“คุณชายคือพระโพธิสัตว์กวนอิมที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา ครอบครัวของเรานั้นจะปลูกไร่นาที่ดีให้กับคุณชายไปชั่วลูกชั่วหลาน”
“เมื่อบ้านใหม่ปลูกได้สำเร็จแล้ว ข้าจะสร้างศาลให้แก่คุณชาย อวยพรให้คุณชายมีชีวิตที่ยืนยาว”
“ ชีวิตของข้านั้นยกให้คุณชาย ต่อไปคุณชายให้ข้าทำอะไรข้าก็จะทำตามที่เขาต้องการ”
“……”
ชาวบ้านเหล่านี้ชื่นชมฟู่เสี่ยวกวนมากเพียงไร เขาไม่อาจรับรู้ เนื่องจากตอนนี้เขากำลังวุ่นอยู่กับการจัดการปัญหาด้านการขนส่ง
“เฟิ๋งหล่าวซื่อ เจ้าจงนำกลุ่มช่างหินที่มีประสบการณ์ไปยังภูเขาเฟิ่งหลิน ข้าได้รับข่าวว่าที่นั่นมีแหล่งทำเหมืองแร่ขนาดใหญ่อยู่ จงนำผู้ที่มีความสามารถด้านการวาดรูปไปด้วย ข้าต้องการเห็นภาพพื้นที่ของที่นั่น”
“เรื่องของการขุดหินปูนเทานั้น ข้ามอบหมายให้ลูกชายเจ้าเฟิ๋งซีรับผิดชอบมาระยะหนึ่งแล้ว คาดว่าเขาคงสามารถทำได้ดี”
“อีกอย่างหนึ่งข้าต้องการชายหนุ่มร่างกายกำยำอย่างน้อย 100 คน ต้องมีความรู้ด้านรถ……ผู้ดูแลจางจงส่งคนไปซื้อวัวและม้า ซื้อวัวจำนวนมากกว่าหน่อย ภัยพิบัติที่หมู่บ้านหวังเจียชุนในครั้งนี้ พวกเขาสูญเสียวัวสำหรับทำนาไปไม่น้อย นำไปชดเชยให้แก่เขา อีกส่วนหนึ่งใช้สำหรับทำรถม้าขนส่ง เรื่องนี้พวกเจ้าจงไปจัดการให้เร็วที่สุด ข้าให้เวลา 10 วัน ทั้งคน รถ ม้าและวัวจะต้องจัดเตรียมให้พร้อม”
“ข้ากล่าวจบแล้ว พวกเจ้ามีข้อสงสัยอันใดหรือไม่ ? ”
เฟิ๋งหล่าวซื่อครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “ช่างหินเปิดหน้าหินได้ไม่มีปัญหา ข้าสามารถไปยังเขตเหยาเพื่อคัดสรรช่างตีเหล็กสักสองสามคนได้หรือไม่ ? ให้พวกเขาได้สังเกตสีของแร่ เช่นนี้คงจะสบายใจกว่า”
“ความคิดนี้ไม่เลวเลยทีเดียว หลังจากได้แร่มาแล้วเราต้องทำการถลุงแร่ พวกเขาเป็นผู้ชำนาญอีกทั้งรู้จักพวกพ้องอีกมากมาย ต่อไปพวกเราต้องการผู้มีความสามารถเช่นพวกเขานี้” ฟู่เสี่ยวกวนเห็นด้วยกับความคิดเห็นของเฟิ๋งหล่าวซื่อ
จางเช่อกล่าวว่า “คุณชายขอรับ ในหมู่บ้านเซี่ยชุนมีตลาดวัวและม้าจำนวนไม่มาก เกรงว่าอาจหาได้ไม่เพียงพอตามความต้องการในเวลาอันสั้น พวกเราสามารถเดินทางไปซื้อที่เมืองหลินเจียงได้หรือไม่ ? ”
“ย่อมได้ สามารถจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยที่หลินเจียง แต่จงจำไว้ว่าต้องใช้คนของเราเท่านั้น จงไปประกาศหากำลังพลจากหมู่บ้านต่าง ๆ ให้พวกเขามีรายได้เพิ่มขึ้น……รถม้าที่ทำขึ้นใหม่ทั้งสองข้างจงสลักคำว่าขนส่งซีซาน สิ่งนี้สำคัญยิ่ง”
สิ่งนี้หมายความว่าอะไรกัน ?
ป้ายชื่องั้นหรือ ?
คาดว่าคงไม่ผิด คุณชายต้องการทำการค้าด้านขนส่งงั้นหรือ ?
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยต่อว่า “หลังจากคนและรถม้าจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว จงไปยังเขตเหยาด้วยตนเอง ก่อนเดินทางไปจงมาพบข้าเสียก่อน ข้าจักบอกว่าควรทำอย่างไรต่อไป”
ร้านขนส่งแห่งแรกในราชวงศ์หยูก็กำเนิดขึ้น หลังจากนี้พวกเขาจะได้เดินทางไปยังทุกมุมของโลก
ฟู่เสี่ยวกวนจัดการเรื่องราวต่าง ๆ แล้วเสร็จจึงได้นั่งลงที่เก้าอี้ เขาทอดสายตามองไปยังท้องฟ้าอันแสนกว้างไกล ในใจคิดว่านี่เรากำลังทำผิดอยู่หรือเปล่า !
เรื่องราวเหล่านี้ค่อนข้างซับซ้อนและเขาดำเนินการแต่เพียงผู้เดียว เนื่องจากไม่มีผู้อื่นเข้าใจความคิดของเขาได้ ทำให้หนังสือความฝันในหอแดงของเขาต้องหยุดชะงักไปเสียหลายวัน คาดว่าจดหมายจากแม่นางต่งชูหลานคงตำหนิเขาเรื่องหนังสืออีกเช่นเคย
อีกทั้งคัมภีร์ฉุนหยางซินจิง สองสามวันมานี้เขาทำได้เพียงนั่งสมาธิก่อนนอนเท่านั้น บัดนี้ยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลยแม้แต่น้อย อันที่จริงจะเอ่ยเช่นนี้ก็ไม่ถูกต้องนัก เขารู้สึกได้ว่าจิตวิญญาณของเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่สิ่งที่เขาต้องการนั้นยังไม่สำเร็จ กล่าวคือเขายังไม่สามารถลอยตัวไปไหนมาไหนตามต้องการได้ เช่นไป๋ยู่เหลียนและซูม่อ
น่าเสียดายยิ่งนัก!
เมื่อนึกถึงไป๋ยู่เหลียน เขาเองก็ไม่อาจรู้ได้ว่าชายผู้นี้อยู่ที่ใดในโลก จวบจนบัดนี้เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งเดือนแล้ว เหตุใดจึงยังไม่กลับมา
รออีกสักสองสามวันให้ถนนแห้งเสียก่อน จึงจะนำเครื่องโม่หินและกังหันน้ำขนาดใหญ่ส่งขึ้นไปยังภูเขาได้ ไม่รู้ว่าประสิทธิภาพของเครื่องบดหินปูนเป็นอย่างไรบ้าง หรือจะวานช่างตีเหล็กจากเขตเหยาทำโม่หินสักสองอันดี ?
ใช่แล้ว สิ่งนี้น่าจะเหมาะสมยิ่ง ขนาดไม่ใหญ่เกินไป ขนส่งไปยังภูเขาแล้วค่อยประกอบ……รอจางเช่อเดินทางไปยังเขตเหยาค่อยให้เขาเดินทางไปสอบถาม
ปัญหาเรื่องกำลังไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะแก้ไข ใบพัดที่อยู่ข้างถ้ำนั้นไม่ใหญ่พอ การขับเคลื่อนกังหันน้ำอาจไม่มีปัญหา แต่คาดว่ากังหันน้ำจะไม่มีพลังเพียงพอที่จะขับเคลื่อนลูกหินให้กลิ้งได้ คงต้องเพิ่มใบพัดขนาดเล็กอีกสองเท่า
ผลลัพธ์ที่ได้ตามมาคาดว่าคงมากเกินจินตนาการ
ฟู่เสี่ยวกวนเก็บเรื่องปวดหัวเหล่านี้ไว้ในใจ เขานึกอยากพูดคุยกับหวางเฉียงขึ้นมา ดังนั้นจึงเดินไปทางเรือนตะวันตกปรากฏว่าไม่พบผู้ใดเลยแม้แต่คนเดียว คาดว่าคงอยู่ที่ท้องนา
เขาส่องสายตาไปยังชั้นสอง มองเห็นซูม่อยืนอยู่ที่นั่น
“ได้โปรดให้ข้าหยิบยืมกระบี่ของท่านอีกครั้งเถิด”
ซูม่อโยนกระบี่มาให้ฟู่เสี่ยวกวน เขารับมันเอาไว้ กระบี่นั้นเจียระไนเป็นมันวาว
สิบสามกระบี่ฉวนเจิน !
ฟู่เสี่ยวกวนรำกระบี่ ซูม่อมองดูเขาจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แน่นอนว่าเขาทนดูไม่ได้ หากดูต่อไปคาดว่าคงต้องโมโหเป็นแน่ !
ฟู่เสี่ยวกวนมีเรื่องต้องทำมากมายนัก เขาไม่เหมาะสมที่จะฝึกการต่อสู้ นี่คือบทสรุปที่ซูม่อมีให้ฟู่เสี่ยวกวน หลังจากที่เขาได้เฝ้ามองมาหลายวัน
หากฟู่เสี่ยวกวนมีความประสงค์ที่จะฝึกซ้อม ก็ให้เขาฝึกซ้อมไปเถิด
เรื่องสายลับในโรงกลั่นสุรานั้นฟู่เสี่ยวกวนมิได้จัดการทันทีหลังจากมาถึง แต่กลับเดินทางไปยังโรงกลั่นสุราและเอ่ยคำทักทายอย่างเป็นมิตรกับอาจารย์หลิว
คน ๆ นี้ ช่างเก็บสีหน้าเก่งเสียจริง
……
……
แต่จางเพ่ยเอ๋อมิเป็นเช่นนั้น นางไม่สามารถเก็บความรู้สึกได้ จึงปัดกวาดทำลายข้าวของในห้องหนังสือเสียจนกระจัดกระจาย
ชิงเหมยบ่าวรับใช้ของนางทำได้เพียงก้มหน้ามองพื้นอยู่ข้างกำแพง แม้แต่หายใจแรง ๆ ก็ยังมิกล้า
คุณหนูเป็นอะไรไปงั้นหรือ ?
แต่ไหนแต่ไรมาชิงเหมยหาได้เคยเห็นคุณหนูเป็นเช่นนี้ไม่ นางอยู่รับใช้จางเพ่ยเอ๋อมาเป็นเวลา 8 ปีแล้ว แปดปีมานี้คุณหนูเป็นคนที่เรียบร้อยและอบอุ่นเสมอ แต่นับจากคุณหนูได้พบเจอกับฟู่เสี่ยวกวนนางก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
หนังสือความรักในหอแดงตีพิมพ์ใหม่นางก็รีบสั่งให้คนไปซื้อ จากนั้นเมื่อนางอ่านจบหนึ่งแผ่นก็จะฉีกทิ้งและเผาไฟทุกหน้า
เมื่อหลายวันที่ผ่านมานางกับคุณหนูเดินทางไปพบลูกพี่ลูกน้องที่จวนจือโจว ลูกพี่ลูกน้องผู้นั้นเอ่ยว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องการหนังสือขออนุญาตทำเหมือง คุณหนูจึงได้เอ่ยกับลูกพี่ลูกน้องถึงเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนทำให้นางอับอายขายหน้า จึงทำให้หนังสือขออนุญาตนั้นถูกยกเลิก คุณหนูอารมณ์ดีอยู่หลายวัน หากแต่ข่าวคราวล่าสุดที่ได้ยินมานั้น ฟู่เสี่ยวกวนมิเพียงได้หนังสืออนุญาตทำเหมือง อีกทั้งยังมิต้องเสียเงินอีกด้วย หลิวจือโจวเป็นผู้นำส่งหนังสือนี้ด้วยตนเอง !
คุณหนูโมโหยิ่งนัก
เพียงแต่ชิงเหมยรู้สึกว่าคุณหนูของนางนั้นถูกมนต์ดำครอบงำหรือไม่ ?
ก่อนหน้านี้คุณหนูเป็นผู้ชื่นชอบในการเรียนอีกทั้งรูปร่างหน้าตาก็งดงาม หากต้องการชายผู้มีความสามารถ มิใช่ว่าเป็นเรื่องง่ายดายหรอกหรือ ? เหตุใดจึงต้องนำฟู่เสี่ยวกวนมาใส่ใจเพื่อให้ตนเองเจ็บแค้นกัน ?
“ที่จริง……ข้านั้นชอบฟู่เสี่ยวกวนมานานแล้ว นั่นเป็นเรื่องตอนที่ข้าอายุ 11 ปี”
จางเพ่ยเอ๋อเหนื่อยกับการขว้างปาของ จึงได้นั่งลงและเอ่ยออกมา
“ที่จริงข้าเคยพบกับฟู่เสี่ยวกวน ในฤดูใบไม้ผลิเมื่อตอนที่ข้าอายุแค่ 11 ปี ณ สำนักศึกษาป้านชาน บริเวณใกล้กับโขดหิน ข้าเห็นเขาเป็นครั้งแรก เขามีชื่อเสียงไม่ดีนัก แต่หน้าตาดูดี……ชนิดว่าหล่อแต่เจ้าเล่ห์ หากแต่ข้ากลับชอบเขายิ่งนัก”
“ข้ามองเขาจากไกล ๆ มองดูเขากลั่นแกล้งพวกเด็กผู้หญิง ข้ากลับรู้สึกว่าคนผู้นี้น่าสนใจนัก เมื่อมองเห็นเขาโต้เถียงกับผู้อื่นกลับคิดว่านี่เป็นความรู้สึกที่แท้จริงของเขา”
“ทุกคราที่พี่ชายเอ่ยถึงเขาในเรื่องไม่ดีงาม ข้ามิเคยนำมันมาใส่ใจ ข้าเพียงแค่คิดว่าหากข้ารู้สึกดีกับเขา เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว”
“ข้ารอวันที่ตนเองเติบใหญ่ เพื่อที่จะได้แต่งงานกับเขา”
“บัดนี้ข้าเติบใหญ่แล้ว แต่เขากลับเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปเป็นคนดีมีความรู้ แน่นอนว่าข้ายิ่งชอบเขา ข้าแค่เกรงว่าจะมีสตรีนางใดชิงแต่งงานกับเขาเสียก่อน จึงได้ส่งคนไปเจรจาแต่กลับถูกเขาปฏิเสธ ข้าเดินทางไปหาเขาด้วยตนเอง เจรจาต่าง ๆ นานา ขาดเพียงถอดเสื้อผ้าอาภรณ์เท่านั้น แต่เขาก็ยังปฏิเสธข้า”
“ข้ารู้สึกในวินาทีนั้น……”จางเพ่ยเอ๋อชายตามองไปนอกหน้าต่าง “คล้ายกับท้องฟ้าจะถล่มลงมา”
ตอนที่ 51 น้ำป่า
ฝนยังคงกระหน่ำตกอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีท่าทีว่าจะหยุด
ฟู่เสี่ยวกวนได้มาถึงเรือนซีชานเป็นวันที่สามแล้ว ฝนก็ยังคงเทกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง
ราวกับสวรรค์ถูกเจาะเป็นรู และมีน้ำไหลลงมาอย่างบ้าคลั่ง แทบจะมิมีโอกาสหยุดพัก
ในวันรุ่งขึ้นฟู่เสี่ยวกวนได้ไปที่ทุ่งนาอีกครา หนนี้เขาพาคนไปมากมาย เพื่อสร้างเพิงให้กับป้ายจึเหล่านั้น เพื่อที่จะทำให้หวางเอ้อและคนอื่น ๆ ปลีกตัวออกมาได้
แต่หวางเอ้อและคนอื่น ๆ ก็มิยอมผ่อนปรน คอยเฝ้ากันทั้งวันทั้งคืนเพราะกลัวว่าทุ่งนาเหล่านั้นจะถูกพายุฝนพัดไปหรือไม่ และเพิงเหล่านั้นจะถล่มลงมาหรือไม่
ในวันนี้ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ที่ชั้นสองและกำลังเขียนเกี่ยวกับการจัดตั้งกองคาราวานซีชาน เพราะต้องไปเขตเหยาเพื่อขนกากแร่ จำต้องใช้รถม้าและเกวียนเป็นจำนวนมาก คิดมาคิดไป เขาก็รู้สึกว่าต้องจัดตั้งกองคาราวานของตนเองขึ้นมา
ในขณะนั้นเอง ชุนซิ่วก็วิ่งเข้ามาด้วยท่าทีลนลาน
“คุณชายเจ้าคะ แย่แล้ว ! หมู่บ้านหวังเจียชุน หมู่บ้านหวังเจียชุนถูกน้ำท่วมเจ้าค่ะ!”
“อะไรนะ ! ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนผุดลุกขึ้น และปรี่ลงจากจวนไปในทันที
หมู่บ้านหวังเจียชุนตั้งอยู่ที่ภูเขาไต้ชานและอยู่ข้าง ๆ แม่น้ำไป๋สุ่ย มีทั้งหมด 28 ครัวเรือนมีชาวบ้านอาศัยอยู่ทั้งหมด 170 คน ชุนซิ่วกล่าวว่าหมู่บ้านหวังเจียชุนถูกน้ำเข้าท่วมแล้ว… แต่ก็ยังหวังว่าทุกคนจะปลอดภัย
ฟู่เสี่ยวกวนเรียกหาทหารยามและคนงานทั้งหมดทันที คนหลายร้อยคนวิ่งตรงไปทางหมู่บ้านหวังเจียชุน
ระดับในแม่น้ำไป๋สุ่ยขึ้นสูง แทบจะเลยสะพานหินขึ้นไป ทันทีที่ข้ามสะพานหินมาได้ก็ได้ยินเสียงตะโกนแว่วดังท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกลงมาอย่างบ้าคลั่ง
มันคือน้ำป่า
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนพาทุกคนข้ามผ่านแม่น้ำไป๋สุ่ย ก็พบกับโศกนาฏกรรมที่เกิดจากภัยพิบัติในครานี้
“ช่วยคน ไปเร็ว ทั้งหมดเข้าไปช่วยชาวบ้านให้ข้า ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนคำรามลั่นท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำ ซูม่อปรี่เข้าไปเป็นคนแรก และฟู่เสี่ยวกวนก็ตามหลังไปติด ๆ
ภูเขาไต้ชานมิได้สูง พืชพันธุ์บนภูเขาก็หาได้ยากยิ่ง หินและดินบนภูเขาก็ไม่แน่นพอ ท่ามกลางฝนที่ตกกระหน่ำลงมาหลายวัน บนยอดเขาจึงมีน้ำสะสมเป็นจำนวนมากจนกลายเป็นทะเลสาบ หลังจากนั้นก็พังทลายลงมาจากภูเขา ไหลเทลงมาตลอดทาง หมู่บ้านหวังเจียชุนแทบจะถูกกวาดจนราบเรียบ
บ้านลูกสะใภ้ของหวางเฉียงที่อยู่ทางตะวันตกของหมู่บ้านมิได้รับผลกระทบจากน้ำป่าไหลหลาก ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้จักนามของสตรีผู้นั้นจึงตะโกนเรียกชื่อหวางเฉียงดังลั่นท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ
ใจฟู่เสี่ยวกวนราวกับถูกมีดกรีด คนหลายร้อยคนเริ่มลงมือตามหาผู้คนในหมู่บ้านที่ถูกโคลนทับถม
หวางเอ้อที่ออกลาดตระเวนอยู่ในทุ่งนาก็ได้ยินว่าน้ำป่าไหลหลากจึงวิ่งกลับมาเช่นกัน เหม่อมองไปทางภูเขาโคลนสีเหลือง ชายร่างกำยำมิได้หลั่งน้ำตา เพียงแต่เขาใช้มือขุดในตำแหน่งบ้านของตนเองอย่างเอาเป็นเอาตาย หลังจากนั้นเขาก็ขุดออกมาได้หนึ่งคน นั่นคือแม่ยายของเขา สตรีที่มีความสามารถจัดการงานบ้านได้เป็นอย่างดี
“ช่วย… ช่วย… ช่วยลูกข้า!”
หญิงสาวยังมิตาย ฟู่เสี่ยวกวนรีบปรี่เข้าไปและตะโกนเสียงดัง “อุ้มนางออกไป ล้างโคลนในปากออกให้สะอาด เร็วเข้า!”
หลายร้อยคนต่างก็ใช้มือกวาดโคลนและย้ายหินออกเยี่ยงนี้ มีคนได้รับความช่วยเหลือและถูกส่งออกไป หวางเฉียงเองก็ถูกขุดออกมาด้วย และในตอนนี้ลมหายใจของเขาก็รวยรินแล้ว
“หวางเฉียง ข้าคือคุณชาย ข้าขอสั่งให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อ ได้ยินหรือไม่ ! ”
ฝนที่ยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่องได้ชำระล้างโคลนบนใบหน้าของเขา เขาลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก และฉีกยิ้มขึ้นมา “ข้า ได้ยินแล้ว… ข้ายังต้อง… ปกป้อง.. ป้ายจึเหล่านั้น… ป้ายจึเล่า”
“ดี เจ้าคือลูกสะใภ้ของหวางเฉียงใช่ไหม? เจ้าไปกับเขา ดูแลเขาให้ดี ห้ามให้ผิดพลาดเลยแม้แต่น้อย!”
เหตุเพราะคนของเรือนซีชานมาถึงกันอย่างรวดเร็ว คนมากมายในหมู่บ้านหวังเจียชุนจึงได้รับความช่วยเหลือในทันที การค้นหายังคงดำเนินไปจนถึงช่วงค่ำ หลังจากการตรวจสอบคราสุดท้าย 170 คน เสียชีวิตไป 15 คน และสูญหาย 8 คน
ทุกคนถูกเคลื่อนย้ายไปยังเรือนซีชาน ภายใต้คำสั่งของฟู่เสี่ยวกวน ห้องที่ยังว่างอยู่ภายนอกตัวเรือนทุกห้องถูกทำความสะอาด และใช้เป็นที่พักพิงแก่ผู้ประสบภัย
มอบเรื่องไว้ให้จางเช่อ ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวกับจางเช่ออย่างเคร่งเครียดว่า เชิญหมอทั้งหมดในหมู่บ้านเซี่ยชุนมาให้ข้า ต่อแต่นี้ไปนี่จะเป็นบ้านของพวกเขา จนกว่าหมู่บ้านหวังเจียชุนจะถูกสร้างขึ้นใหม่ อย่าลืมดูแลเรื่องอาหารการกินของพวกเขาด้วย หากขาดแคลนเสื้อผ้าให้ส่งคนไปซื้อที่หลินเจียง หลังจากที่ทำงานสำเร็จแล้ว ก็บรรเทาความรู้สึกของผู้ที่สูญเสียบ้านเหล่านั้น หากมีเด็กกำพร้า ให้ลงนามไว้ และรับเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรมซีชาน
จางเช่อย่อมมิกล้าคัดค้าน เขาจึงทำไปตามความเหมาะสม
เพียงแค่เขานั้นมิเข้าใจว่าเหตุใดคุณชายต้องปฏิบัติต่อผู้ประสบภัยเหล่านั้นเยี่ยงนี้ ในหลายปีที่ผ่านมา เกิดเรื่องแบบนี้นับครั้งมิถ้วน นายท่านมิเคยจัดการเฉกเช่นคุณชายมาก่อน
นายท่านจะมอบเสบียงส่วนหนึ่งให้แก่ผู้ประสบภัยหลังภัยพิบัตินี้ นี่คือของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในสายตาของผู้ประสบภัยเหล่านั้น นี่ก็เป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากผู้เป็นนายแล้ว
ไหนเลยจะออกมาเคลื่อนไหวช่วยเหลือคนหลายร้อยคนเยี่ยงคุณชาย ทั้งยังให้ผู้ประสบภัยมากมายเข้ามาพักที่เรือนซีชาน ในอดีตหากบ้านพังแล้วพวกเขาจะสร้างเพิงขึ้นมา รอจนกระทั่งภัยพิบัติผ่านพ้นไป พวกเขาจะทำงานหนักยิ่งขึ้น หลังจากนั้นก็เก็บเงินอีกเล็กน้อย แล้วสร้างบ้านขึ้นมาใหม่ เป็นเยี่ยงนี้มาตลอด เหมือนว่าตั้งแต่นี้ไปจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเสียแล้ว
ครอบครัวของหวางเอ้อได้พักอยู่ที่ชั้นหนึ่งของเรือนปีกตะวันตก ฟู่เสี่ยวกวนได้ทราบนามลูกสะใภ้ของหวางเฉียงแล้ว นั่นคือจางเสี่ยวเหมย
จางเสี่ยวเหมยเองก็ถูกฟู่เสี่ยวกวนสั่งให้พักอยู่ที่นี่ ให้นางอยู่ดูแลหวางเฉียงได้อย่างสบายใจ และหลี่ซื่อ ภรรยาของหวางเฉียง แม่สามีในอนาคตของจางเสี่ยวเหมย
เป็นสตรีที่รูปร่างค่อนข้างท้วม แต่จิตใจนั้นละเอียดอ่อนยิ่ง
ชุนซิ่วพานางไปยังห้องครัว กล่าวว่าหากจะทำอันใดให้บอกกับพ่อครัวก็พอแล้ว หากมิคุ้นชิน จะทำเองก็ย่อมได้ ทั้งยังจงใจกล่าวอีกว่า นี่คือคำสั่งของคุณชาย ห้ามมิให้หวางเฉียงเจ็บป่วยโดยเด็ดขาด
จางเสี่ยวเหมยมิกล้าใช้ห้องครัวของคุณชาย หลังจากที่ออกมาก็กล่าวกับซิ่วเอ๋อร์เสียงแผ่ว “คุณหนูเจ้าคะ มิอย่างนั้น…ให้คนที่บ้านส่งมาจะดีกว่า”
ชุนซิ่วหัวเราะขึ้นมา “ข้ามิใช่คุณหนูหรอก ข้าเป็นสาวใช้ของคุณชาย เจ้าเรียกข้าว่าพี่ซิ่วเอ๋อร์ก็พอ นอกจากนี้ ข้ามิกล้าขัดคำสั่งลับหลังคุณชาย คุณชายตระกูลเรามิเหมือนกับผู้อื่น ต่อแต่นี้ไปเจ้าจะรับรู้เอง ดังนั้นตามสบายเถิด อย่าได้ระมัดระวังถึงเพียงนั้น หากมีใครกล้ารังแกเจ้า เจ้าจงบอกข้า ข้าจะถลกหนังมันออกเอง”
“นั่น…”
“เอาล่ะ ๆ ข้าเองก็ต้องตุ๋นไก่ให้คุณชาย เจ้าดูสิว่าคนของเจ้าจะทานสิ่งใด ห้องครัวใหญ่ถึงเพียงนี้ พวกเรามาทำด้วยกันเถอะ”
ฟู่เสี่ยวกวนและหวางเอ้อนั่งคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขก
“อยู่ที่นี่ให้สบายใจก่อนเถิด รอจนกระทั่งฝนหยุดสักสองสามวันแล้วค่อยออกไปทำความสะอาดโคลน นอกจากนี้… เรื่องสร้างบ้านใหม่คงต้องรอไปอีกเล็กน้อย”
หวางเอ้อครุ่นคิดและพยักหน้า การสร้างบ้านใหม่มิใช่เรื่องง่าย ทั้งหมดถูกทำลายลงไปในพริบตาเดียว เสบียงและเครื่องเรือนต่างก็มิมีเหลือแล้ว หากจะสร้างบ้านขึ้นมาใหม่ อย่างน้อยก็ต้องรอหนึ่งปี และยังต้องมีเงินออมอยู่ในมือของตนเองอีกสักเล็กน้อย
รอจนกระทั่งฝนหยุดและหลังจากชำระล้างโคลนออกไปแล้ว คงต้องตั้งเพิงขึ้นมาเพื่อพักอาศัยไปก่อน สวรรค์ช่างน่าชังนัก!
“ข้าคิดเยี่ยงนี้ กำแพงดินเก่าของพวกเจ้าคงใช้การไม่ได้แล้ว แบกไม่อยู่ นอกจากนี้ทำเลยังไม่ดี อยู่ใกล้ภูเขาไต้ชานเกินไป รอจนกระทั่งข้าทำซีเมนต์จากภูเขาซีชานสำเร็จแล้ว อิฐและกระเบื้องของช่างอิฐถังน่าจะอบออกมาแล้วไม่น้อย เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะสร้างบ้านให้พวกเจ้าในคราเดียว บ้านอิฐกระเบื้อง สดใสและสวยงาม อีกทั้งยังสะดวกสบาย”
หวางเอ้ออ้าปากค้าง “อ่า คุณชายขอรับ พวกข้ามิมีเงินมากถึงเพียงนั้น”
“ต่อจากนี้ไป คนงานที่ทำงานให้แก่จวนฟู่ของข้าทั้งหมด จะได้อาศัยอยู่ในบ้านอิฐและกระเบื้อง”
ตอนที่ 50 ปกป้อง
สองคนพ่อลูกคุยสารทุกข์สุกดิบกันมากมาย อาทิเช่นเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ดำเนินการ ณ เรือนซีซาน หรือเช่นเรื่องที่ฟู่ต้ากวนเจรจาหารือกับพ่อค้าข้าวทั้งหลายเป็นต้น
สุดท้ายฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยปากขอดูหนังสือสัญญาที่ฟู่ต้ากวนทำขึ้นระหว่างคนในโรงกลั่นสุรา ฟู่ต้ากวนหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่าหาได้มีสัญญาใด ๆ ไม่ เพียงแต่ทำให้พวกเขากลายเป็นทาสรับใช้ในจวนเพียงเท่านั้น เพราะหากเป็นทาสรับใช้จึงจะใช้งานได้อย่างสบายใจ
ฟู่เสี่ยวกวนมองดูพ่อของเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วหัวเราะขึ้นมา ฟู่ต้ากวนงุนงง ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยว่า “ขิงนั้นยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด”
“เรื่องราวในหลินเจียงนั้นดำเนินไปได้ด้วยดี วันพรุ่งนี้ข้าจะเดินทางกลับไปยังเรือนซีซาน”
“เหตุใดจึงกลับไปเร็วเยี่ยงนี้?” ฟู่ต้ากวนคล้ายกับไม่อยากให้ไปนัก ลูกชายเพิ่งจะเดินทางกลับมายังมิได้แม้แต่ร่วมรับประทานอาหาร
“มีเรื่องมากมายรอข้าไปดำเนินงาน คนที่มีความสามารถและไว้ใจได้นั้นน้อยเหลือเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาญาติสนิท……ท่านพ่อ ตอนนี้ท่านเองก็ยังไม่แก่ หาภรรยาเพิ่มอีกสักสองสามคนเถิด”
“ไร้สาระ ! ”
……
……
เช้าตรู่ในวันต่อมา ท้องฟ้ามืดครึ้มมีเมฆน้อยลอยต่ำ นกนางแอ่นบินว่อน อากาศร้อนอบอ้าวคาดว่าจะมีฝนตกหนัก
พวกเขาทั้งสามคนออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ก่อนพายุฝนจะกระหน่ำลงมา จึงรีบมุ่งหน้าไปยังเรือนซีซาน
“เหตุใดจึงต้องรีบร้อนเช่นนี้ ? ” ซูม่อเอ่ยถามขึ้น
“ข้าเกรงว่าป้ายจึที่หาได้แสนยากลำบากนั้นจะถูกพายุฝนลูกนี้กระหน่ำจนเสียหาย”
“สิ่งนั้น……สำคัญยิ่งอย่างนั้นหรือ?”
เมื่อครั้นที่หวางเอ้อค้นพบป้ายจึ ซูม่อและชุนซิ่วก็อยู่ที่นั่นด้วย พวกเขาจำได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนดึงขากางเกงขึ้นแล้วรีบวิ่งลงไปในนาทันที
“แท้จริงแล้วเป็นเพราะหายาก ไม่รู้ว่าสองสามวันมานี้พวกเขาหาเจออีกหรือไม่ หากมีเพียงต้นเดียวและทำให้มันตายไป คงต้องรอให้ถึงปีหน้าจึงจะมีโอกาสอีกครั้ง”
ซูม่อมิได้เอ่ยถามอันใดต่อ เขาสะบัดแซ่เสียงดัง “ย่ะ ! ! ! ” รถม้าออกตัวไป
เมฆหนาขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะเป็นยามกลางวัน แต่แสงอาทิตย์กลับยิ่งน้อยลงไปทุกที ฟู่เสี่ยวกวนมองออกไปยังท้องฟ้าสีเทาดำแล้วขมวดคิ้วด้วยความกังวลใจ
เมื่อรถม้าขับเคลื่อนผ่านหุบเขานั้นและเมื่อเข้าใกล้หยางเจียผิง ฝนเม็ดใหญ่ราวกับถั่วก็เทลงมาห่าใหญ่
ซูม่อสวมหมวกและเสื้อคลุม เขาหันมาถามฟู่เสี่ยวกวนอีกครั้งหนึ่งว่า “จะหยุดหรือเดินหน้าต่อไป ? ”
“เดินหน้าไป ! ”
ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมา รถม้าที่โดดเดี่ยวนี้ฝ่าลมฝนและเคลื่อนตัวผ่านสายฝนอันหนาแน่นไปอย่างรวดเร็ว
ท้องฟ้ามืดลงเรื่อย ๆ สายฟ้าคล้ายมังกรฉีกพาดผ่านท้องฟ้า จากนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องดังก้องอยู่เหนือศีรษะพวกเขา
ชุนซิ่วรู้สึกประหม่ามากมือของนางดึงอยู่ที่เสื้อ ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้นมองและถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้ารู้ไหมว่าเหตุใดคนเราจึงมองเห็นสายฟ้าผ่าก่อน แล้วจึงได้ยินเสียงฟ้าร้องตามมาเสมอ ? ”
ชุนซิ่วรู้สึกว่าคำถามนี้น่าประหลาดเสียจริง แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นเยี่ยงนี้มิใช่หรือ ? จะมีเหตุผลอันใดกัน ?
นางส่ายหน้า ฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยต่อไปว่า “มีอยู่ 2 ประการ ประการที่หนึ่งนั้นกล่าวกันว่าเดิมทีสายฟ้าและเสียงฟ้าร้องนั้นเกิดขึ้นพร้อมกัน หากแต่สายฟ้าถูกส่งผ่านลงมาเร็วกว่าเสียงฟ้าร้อง ดังนั้นคนเราจึงมองเห็นแสงฟ้าแลบก่อนได้ยินเสียงฟ้าผ่า อย่างที่สองเนื่องจากคนเรามีตาอยู่ด้านหน้าส่วนหูอยู่ด้านหลัง ดังนั้นตาจึงมองเห็นก่อนตามมาด้วยหูที่ได้ยินเสียง เจ้าคิดว่าอย่างใดถูกต้อง ? ”
ชุนซิ่วครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเอ่ยตอบว่า“เนื่องจากตาอยู่ด้านหน้าหูอยู่ด้านหลังใช่หรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมาแล้วกล่าวว่า “ฉลาดยิ่งนัก ! ”
ชุนซิ่วเขินอาย คุณชายเอ่ยชมนางเสียที
เนื่องจากเป็นเพียงหัวข้อคั่นในการสนทนา ฟู่เสี่ยวกวนจึงมิได้ตั้งใจจะอธิบายสิ่งที่น่าเบื่อ อย่างเช่นการแพร่กระจายของแสงและเสียงนี้
เขาส่งสายตามองออกไปยังนอกหน้าต่าง เขามองเห็นรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาด้วยความเร็วสูงในระยะประชิด……
ซูม่อดึงสายบังเหียนไว้ในมือของเขา ม้ายกขาขึ้นจากความเจ็บปวด เขาลุกขึ้นยืน แต่ตัวกลับเซไปด้านหน้า เห็นได้ชัดเจนว่ากำลังจะล้มลงสู่พื้น ฟู่เสี่ยวกวนดึงชุนซิ่วไว้ และเห็นซูม่อรีบทะยานไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วและบังคับม้าเอาไว้ ไม่ให้วิ่งไปข้างหน้าหรือเลี้ยวไปทางขวา รถม้าถูกเหวี่ยงออกไปจนเสียศูนย์ ซูม่อวางมือจากม้าแล้วรีบกลับมาถีบรถม้าให้ตรง รถม้าทั้งสองคันวิ่งสวนกันได้อย่างหวุดหวิด
ซูม่อรีบขึ้นบังคับม้า เขามิได้นั่งบนที่สารถี แต่ขึ้นขี่อานม้าโดยตรงและเร่งม้าให้วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น ชุนซิ่วตกใจเสียจนหน้าซีด ฟู่เสี่ยวกวนเองก็เหงื่อออกเช่นกัน
แต่ซูม่อกลับทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นแม้แต่น้อย
ปากเสียจริงหนอข้า ฟู่เสี่ยวกวนคิดในใจ
หลังจากนั้นการเดินทางก็มิได้พบกับอุปสรรคใด ๆ อีก แต่ฝนยังคงตกลงมาไม่ขาดสาย
รถม้าเดินหน้ามาถึงหมู่บ้านเซี่ยชุน ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ตรงไปยังเรือนซีซาน หากแต่หยิบหมวกและเสื้อคลุมขึ้นมาสวมใส่แล้วลงจากรถม้า
เขาเดินไปยังท้องนาตรงที่พบเจอป้ายจึ ซูม่อและชุนซิ่วรีบเดินตามหลังไป
เมื่อเดินเข้าไปใกล้ฟู่เสี่ยวกวนก็เห็นคนหนึ่งนั่งยอง ๆ อยู่ในทุ่งนาสวมหมวกและถือร่มไว้ในมือ
ฟู่เสี่ยวกวนรีบถอดรองเท้าออกแล้ววิ่งไปยังนา คนผู้นั้นหันหลังมามอง ทันใดนั้นเขาก็ตกตะลึงกับสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า คุณชาย !
ฝนตกกระหน่ำเช่นนี้ คุณชายกลับเดินทางมายังที่นี่ !
เขาคือหวางเฉียง ลูกชายของหวางเอ้อ เขาได้รับคำสั่งจากผู้เป็นพ่อให้ดูแลป้ายจึนี้อย่างดี ในวันที่ฝนตกพายุกระหน่ำเช่นนี้ เขาเดินทางมาก็เพื่อกางร่มให้แก่ป้ายจึต้นนี้
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งยอง ๆ ลงข้างหวางเฉียง หวังเฉียงเองได้แต่ยิ้มออกมา เขาก็เช่นกัน ชุนซิ่วเห็นภาพนั้นก็รู้สึกตื้นตันเสียจนน้ำตาไหลลงมารวมกับสายฝน
“คุณชายขอรับ ป้ายจึแข็งแรงดีไม่มีปัญหาใด ๆ ”
“อืม ข้าบอกเจ้านะว่าป้ายจึนี้ต่อไปจะออกรวงเพิ่มมากมายมหาศาล บัดนี้พื้นที่เพาะปลูก 1 หมู่ให้ผลผลิตมากสุด 200 ชั่ง แต่หากมีป้ายจึนี้ อาจจะให้ผลผลิตมากถึง 500 หรือ 1,000 ชั่งทีเดียว”
“จริงหรือขอรับ ? ” หวางเฉียงมีท่าทีไม่เชื่อนัก
“จงจำไว้เถิดว่า ข้านั้นมิเคยหลอกลวงผู้ใด ดังนั้นเจ้าจงดูแลรักษาป้ายจึนี้ให้ดี พวกเราจึงจะมีความหวัง”
“ข้าน้อยเชื่อในคุณชายขอรับ คุณชายคือผู้ที่ร่ำเรียนตำรามา พ่อข้ากล่าวว่าคุณชายสั่งการอันใดก็ให้ทำตามทุกประการ”
“ฟังคำพูดของพ่อเจ้าไม่ผิดแน่ อ้อ แล้วพ่อเจ้าเล่า ? ”
“พวกเขาอยู่ที่นั่น เนื่องจากฝนตกหนักจึงมองไม่เห็น อีกทั้งยังมีแม่ข้า ภรรยาที่กำลังจะแต่งงาน ว่าที่พ่อตาแม่ยาย……อยู่กันครบหน้า พวกเราหาป้ายจึนี้ได้ถึง 10 ต้น และให้ปุ๋ยตามคำสั่งของคุณชาย คุณชายเคยกำชับว่าต่อให้ทั้งนานี้ตายหมด ก็จะให้ป้ายจึตายมิได้ ดังนั้นพวกเราจึงช่วยกันรักษามันไว้”
ฟู่เสี่ยวกวนมองออกไป ฝนตกหนักเสียจนมองไม่เห็นพวกเขาจริง ๆ เขาถอนหายใจยาว 10 ต้น ช่างน่าอัศจรรย์เสียจริง !
“คุณชายท่านวางใจเถิดขอรับ ป้ายจึแต่ละต้นมีคนดูแลประจำอยู่ ฝนตกแรงเช่นนี้ท่านรีบกลับไปเสียเถิด ร่างกายอันมีค่าของท่านหากเจ็บป่วยคงแย่เป็นแน่ ข้าเองก็คงถูกพ่อทุบตีอีกด้วย”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยอันใดออกมาอีก เขาตบบ่าหวางเฉียงจากนั้นก็เดินขึ้นไปยังคันนา ปัดเศษที่ติดมากับรองเท้าแล้วก้าวขึ้นรถ ตรงไปยังเรือนซีซาน
เขาคาดไม่ถึงว่าเกษตรกรพวกนี้จะจดจำคำสั่งของเขาและนำไปปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดถึงเพียงนี้
หวางเฉียงกล่าวว่าพวกเขาค้นพบเกสรตัวผู้ที่ไม่อาจผสมพันธุ์ได้ถึง 10 ต้น เพียงจินตนาการถึงหวางเฉียงที่อดทนหาป้ายจึท่ามกลางแดดแผดเผาและเม็ดเหงื่อไหลย้อยไปตามร่างกาย แค่นี้ก็รู้สึกตื้นตันใจเสียมากล้น
และเพื่อปกป้องป้ายจึเหล่านี้ พวกเขาทั้งครอบครัวตากลมตากฝนกางร่มให้กับพวกมัน !
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกประทับใจมาก และตัดสินใจทำบางอย่างเพื่อตอบแทนพวกเขา
ตอนที่ 49 ตกหลุม
ณ ห้องหนังสือจวนชี
จางเพ่ยเอ๋อร์จ้องเอกสารในมืออย่างตั้งใจ และลอบชื่นชมฟู่เสี่ยวกวนอยู่ในใจเป็นอย่างมาก
“คุณชายชีเป็นผู้เชี่ยวชาญ สิ่งนี้จะเป็นของปลอมได้หรือไม่ ? ”
ชีหยวนหมิงครุ่นคิดและกล่าวว่า “ในทางหลักการน่าจะเป็นไปได้ อัตราส่วนการผสมของสุรานี้มากกว่าเหยาชุนของตระกูลข้าเป็นเท่าตัว ระยะเวลาในการหมักก็นานยิ่งกว่าเหยาชุนเป็นเท่าตัว ระยะเวลายามที่ต้มเดือดก็ต้องนานขึ้นเป็น 3 เท่า ข้าคิดว่า บางทีนี่อาจจะเป็นเหตุผลที่สุราของเขาเข้มข้นยิ่งขึ้น”
“ข้ามิเข้าใจการกลั่นสุรา เจ้าว่า… ที่ตรงนี้เขียนไว้ว่าข้าว 100 ชั่งอีกทั้งยังต้องผสมไข่ไก่ 100 ฟอง มีความสำคัญเยี่ยงไร ? ”
“ข้าเองก็มิทราบ บางทีอาจจะเป็นเคล็ดลับบางอย่างก็เป็นได้”
“แต่ที่ตรงนี้กล่าวอีกว่า การกลั่นสุราหนึ่งครั้งจำต้องใช้ข้าว 30,000 ชั่งขึ้นไป… เยอะยิ่งนัก เหตุใดจึงไม่ผลิตจำนวนน้อย ๆ?”
“นั่นน่าจะเกี่ยวข้องกับการหมัก ธัญพืชจำนวนมากจะทำให้การหมักนั้นดียิ่งขึ้น”
“มิน่าเล่าถึงต้องใช้ถังขนาดใหญ่ถึง 3,000 บ่อ”
จางเพ่ยเอ๋อร์วางเอกสารลง จากนั้นก็กล่าวพร้อมกับรอยยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นอยู่ที่คุณชายชีแล้ว ข้าและเจ้ามาแบ่งส่วนกัน… มิทราบว่าคุณชายชีคิดไว้เยี่ยงไร”
“เรื่องของสูตรลับนั้นแม่นางเป็นผู้หามาได้ ข้าจะเป็นคนหาของที่เหลือเอง สามส่วนต่อเจ็ดส่วน เจ้าสามส่วน ข้าเจ็ดส่วน เห็นเป็นเยี่ยงไรบ้าง ?”
“เยี่ยงนั้นคุณชายชีวางแผนจะขายสุรานี้เยี่ยงไร ?”
“เหมือนกับหยู๋ฝูจี้ของเขา ! ”
จางเพ่ยเอ๋อร์ส่ายศีรษะ “ข้ารู้สึกว่ามิเหมาะสม ขวดสุราของหยู๋ฝูจี้ได้ตราตรึงในใจผู้คนแล้ว และทางนั้นยังมีอักขระของอาจารย์ฉิน แต่พวกเราไม่มี”
“เยี่ยงนั้นแม่นางจางมีวิธีอันใด ? ”
“แบ่งขาย เซียงเฉวียนขายในราคา 30 อีแปะ เทียนฉุนขายในราคา 100 อีแปะ แต่ต้องป่าวประกาศโจมตีทางฝั่งของเขาด้วย สุราแบบเดียวกันกับเขา แต่ขายราคาถูกกว่าเขา ดังนั้นต้องโจมตีเขาโดยตรง หลังจากนั้นลูกค้าทั้งหมดก็จะเป็นของพวกเรา เมื่อถึงเวลานั้น คุณชายชีอยากจะขายเยี่ยงไร ก็ขายเยี่ยงนั้น”
ชีหยวนหมิงครุ่นคิด จางเพ่ยเอ๋อร์เด็กสาวผู้นี้มองการณ์ไกลยิ่งนัก เขาจึงพยักหน้า แล้วเอ่ยถาม “คุณหนูเห็นด้วยกับเรื่องส่วนนี้แบ่งหรือไม่ ? ”
“เยี่ยงนี้เถิด ข้ามิได้ใส่ใจเรื่องจะแบ่งเงินได้เท่าไหร่อยู่แล้ว”
……
…..
ฟู่เสี่ยวกวนกลับมาถึงจวนฟู่ แต่ไม่คาดคิดว่าจะพบกับผู้คนไม่กี่คนที่อยู่เรือนหลัง
ฟู่ต้ากวนกำลังรินน้ำชาด้วยสีหน้าเบิกบาน ฝ่ายตรงข้ามคือหลิวจือต้ง จือโจวของหลินเจียงและหลิ่วซานเย่เจ้าหน้าที่ของเขา ฟู่เสี่ยวกวนคาดไม่ถึงว่าเขาจะมายังเรือนนี้
เมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนเข้ามา หลิวจือต้งก็ทักทายเขาด้วยรอยยิ้ม “เสียนจื๋อ ให้ลุงรอเสียนานเลย”
ฟู่เสี่ยวกวนใจกระตุก หลิวจือต้งวันนี้กับเมื่อวานราวกับเป็นคนละคน แต่ในพริบตาเขาก็เข้าใจความลึกลับนั้นได้ทันที ทันใดนั้นเขาก็ฉีกยิ้มกว้างราวกับดอกไม้บาน และกล่าวขำ ๆ “ท่านลุง ข้ามิทันคาดคิดว่าท่านจะมาในวันนี้ ข้าออกไปพบท่านพี่ฉินที่สำนักศึกษาหลินเจียงแต่เช้าตรู่ จนละเลยท่านลุงไป โปรดอภัยให้ข้าด้วย”
อ่า เด็กคนนี้และอาจารย์ฉินเรียกกันเป็นพี่น้อง เสียนจื๋อที่ตนเองเรียกนั้นท่าจะมิดีนัก หากเรื่องไปถึงหูอาจารย์ฉิน มิใช่ว่าตนเองจะสูงกว่าอาจารย์ฉินรึ
เขาโบกมือไปมาอย่างสบาย ๆ และกล่าวอีกว่า “อาจารย์ฉินเป็นนักปราชญ์แห่งยุค ที่เจ้าไปพบเขาย่อมเป็นเรื่องที่ใหญ่โตเป็นแน่ เมื่อครู่ข้าได้เอาเปรียบเจ้าไป เนื่องจากอาจารย์ฉินและเจ้าได้กลายเป็นสหายต่างวัยกัน ข้าเองก็อยากให้แสงได้สาดส่องบนใบหน้า จึงอยากเป็นสหายต่างวัยของเจ้าเช่นกันดีหรือไม่ ? ”
“นี่… ”
“ฟู่เสียนตี้ พวกเราตัดสินใจกันเยี่ยงนี้แล้ว หากเจ้าเรียกข้าว่าพี่ชาย พี่ชายจะมอบสิ่งนี้ให้แก่เจ้า”
หลิวจือต้งยื่นเอกสารฉบับนั้นไปให้ ซึ่งด้านบนนั้นได้รับการประทับตราสีแดงแล้ว
สิ่งนี้ต้องนำมาให้ฟู่เสี่ยวกวนอยู่แล้ว แต่เขากลับพูดแบบนี้ออกมา ประการแรกเพื่อแก้ไขผลกระทบที่จะตามมาหลังจากที่เรียกอีกฝ่ายว่าเสียนจื๋อ ประการที่สองจะแสดงให้เห็นถึงความสนิทสนมยิ่งขึ้น
สองมือของฟู่เสี่ยวกวนกำหมัดแน่น “พี่ชาย ท่านได้มอบสิ่งที่น่าตื่นตะลึงที่สุดในใต้หล้าให้แก่ข้า”
ฟู่ต้ากวนและหลิ่วซานเย่ที่ยืนมองอยู่อีกด้านต่างก็อ้าปากค้าง นี่คือการขับร้องอันใดกัน ?
เพียงชั่วข้ามคืน เหตุใดท่าทีของขุนนางระดับสูงจือโจวจึงได้กลับตาลปัตรพลิกฟ้าคว่ำดินถึงเพียงนี้
เมื่อประเดี๋ยวก่อนขุนนางระดับสูงจือโจวก็เรียกว่าเสียนจื๋อ แต่พริบตาเดียวก็เปลี่ยนคำอีกแล้ว ทั้งยังเรียกฟู่เสี่ยวกวนว่าเสียนตี้… เปลี่ยนบทบาทได้เร็วเกินไปแล้ว ฟู่ต้ากวนและหลิ่วซานเย่ไม่อาจละสายตาไปได้เลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่พวกเขาคิดก็คือฟู่เสี่ยวกวนทำได้อย่างไร ? หรือบางทีเขาเดินไปยังหนทางที่มิถูกมิควรและสามารถบังคับขุนนางระดับสูงจือโจวให้เปลี่ยนความตั้งใจได้
พวกเขารู้ว่าเมื่อวานมีผู้สูงศักดิ์มาเยือนซ่างหลินโจว แต่มิรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นมีความสำคัญยิ่งในสายตาของผู้สูงศักดิ์ผู้นั้น
แต่หลิวจือต้งเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหลังเลิกงานที่พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเรียกให้ฟู่เสี่ยวกวนอยู่แต่เพียงผู้เดียว นั่นทำให้เขาเข้าใจแล้วว่าควรจะทำเยี่ยงไรต่อไป
“ข้ารู้มาว่าที่หลินเจียงมีแหล่งแร่เหล็กอยู่ อยู่ในภูเขาเฟิ่งหลิน เดิมทีทางราชสำนักได้ส่งผู้เชี่ยวชาญภูเขามาดูแล้ว ทรัพยากรสะสมมีมากแต่มิสามารถขุดออกมาได้ง่าย หากเสียนตี้สนใจ ก็สามารถพาคนไปดูได้”
ช่วยส่งพระ ก็ส่งให้ถึงเมืองทางตะวันตก[1] ถือว่าหลิวจือต้งทำเรื่องนี้ให้งดงามยิ่งขึ้นแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนยินดี และกล่าวทั้งรอยยิ้ม “เยี่ยงนั้นข้าคงมิเกรงใจแล้ว ประเดี๋ยวจะส่งคนไปสำรวจ กำไรที่ได้จากการขุดแร่นี้ ขอมอบให้พี่ชาย 3 ส่วน”
“มิมีทางเป็นไปได้ การขุดแร่นั้นมิได้ง่ายดาย ข้ารู้ว่ามันมีค่าใช้จ่ายที่ใหญ่หลวง ทางราชสำนักเก็บไปแล้ว 3 ส่วน ตัดส่วนที่เป็นค่าใช้จ่ายไป เจ้าจะเหลือเพียงเท่าไหร่กัน”
นั่นคือความในใจของหลิวจือต้ง การทำเหมืองนั้นต้องขุดภูเขาและซ่อมแซมถนนเพื่อกำจัดปัญหาที่มีอีกมากมาย ต้นทุนที่ต้องเก็บไว้สำรองจ่ายนั้นสูงมาก และหากขายเหมืองเพียงอย่างเดียว กำไรมิได้หนาถึงเพียงนั้น หากแร่ที่ได้มานั้นมิได้คุณภาพ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะต้องให้เงินชดเชย ดังนั้นทางราชสำนักจึงมีตัวชี้วัดให้แก่เหมืองของชาวบ้านไว้แล้ว แต่มิมีผู้ใดเต็มใจที่จะทำ
สิ่งนี้มิเหมือนกับเกลือ ที่จะสร้างรายได้ทันทีที่ได้รับ
ฟู่เสี่ยวกวนคิดกลับกันว่าในตอนนี้ได้มาโดยราคาต่ำแล้ว จึงอยากจะเพิ่มอีกสักเล็กน้อย
เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วเอ่ยถามว่า “มิทราบว่าหลังจากที่สำนักหลินเจียงหลอมเหล็กเสร็จแล้ว กากแร่เหล่านั้นจะจัดการเยี่ยงไรต่อ”
เรื่องนี้หลิวจือต้งเองก็มิเข้าใจ จึงหันไปมองหลิ่วซานเย่ หลิ่วซานเย่จึงตอบกลับว่า “กากแร่นั้นไร้ประโยชน์ ทั้งหมดนั้นจะกองอยู่ภายใต้ภูเขาเหยา”
“ภูเขาเหยาอย่างนั้นหรือ…?”
“หรือก็คือในเขตเหยา ห่างจากหมู่บ้านเซี่ยชุนไปหลายร้อยลี้”
“โอ้” ฟู่เสี่ยวกวนรู้แล้ว ทุ่งนา ณ เขตเหยาผืนนั้นก็เป็นของตระกูลฟู่เช่นกัน และ ณ เขตเหยาตรงนั้นกลับมีสำนักหลอมของราชสำนักแล้ว แร่เหล็กเหล่านั้นล้วนมาจากภูเขาเหยา
“กากแร่เหล่านั้นมิทราบว่าจะมอบให้ข้าได้หรือไม่ หรือว่าขายในราคาที่ถูกก็ได้”
หลิวจือต้งประหลาดใจเล็กน้อย ของสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ถูกทิ้ง ฟู่เสี่ยวกวนจะเอาไปทำสิ่งใดกัน?
“นั่นเป็นสิ่งของไร้ค่า หากเจ้าต้องการ เจ้าก็ต้องไปขนด้วยตัวเอง… มิทราบว่าเสียนตี้จะนำสิ่งนี้ไปทำอันใดกัน?”
“ข้าค้นพบว่ากากแร่นี้ค่อนข้างแข็งแรง ต้องการขนกลับไปที่หมู่บ้านเซี่ยชุนเพื่อปูถนน ค่าขนส่งเพียงเล็กน้อยมิใช่หรือ ? เมื่อใคร่ครวญดูแล้วถือว่าคุ้มยิ่ง”
แน่นอนเขามิได้กล่าวว่าสิ่งนี้เป็นส่วนผสมหนึ่งของการทำปูนซีเมนต์ แต่เดิมคิดว่าจะทำปูนซีเมนต์ด้วยกากแร่หลังจากขุดเหมืองด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้ในเมื่อมีแบบสำเร็จรูปอยู่แล้ว เช่นนั้นปูนซีเมนต์ก็อาจจะถือกำเนิดได้เร็วกว่ากำหนด
“ข้าจะเขียนจดหมายให้แก่เจ้า เจ้าจงไปหานายอำเภอหยูเหลียนที่เขตเหยา”
……
…..
หลิวจือต้งพาหลิ่วซานเย่จากไปแล้ว ฟู่ต้ากวนจึงได้ถามขึ้นมาว่าเหตุใดหลิวจือต้งจึงเปลี่ยนความตั้งใจไป ฟู่เสี่ยวกวนจึงเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟังโดยสังเขป แน่นอนว่ามิได้กล่าวถึงเรื่องที่พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยตั้งใจจะให้เขาเป็นราชบุตรเขย ฟู่ต้ากวนถึงได้เข้าใจขึ้นมา
บุตรชายของตน ได้สร้างเส้นสายกับจวนชินอ๋องแล้ว อีกทั้งยังเตะตาผู้สูงศักดิ์ผู้นั้น เรียกได้ว่าเขาได้โผบินขึ้นไปแล้ว
ไม่ได้การ พรุ่งนี้ต้องไปจุดธูปหอมที่หน้าสุสานของหยุนชิงอีกแล้ว
[1] ช่วยส่งพระ ก็ส่งให้ถึงเมืองทางตะวันตก หมายความว่า ในเมื่อจะช่วยใครแล้ว ก็ควรช่วยจนถึงที่สุด
ตอนที่ 48 จัดฉากบงการ
ณ ห้องหนังสือของจางเพ่ยเอ๋อ ธูปไม้จันทน์หอมเล่มหนึ่งกำลังติดไฟ
ควันบาง ๆ ลอยไปตามแรงลมในยามค่ำคืน
นางนั่งอยู่บนเก้าอี้และมองดูควันธูปที่น่าพิสมัยนี้ ในใจจินตนาการไปถึงหนังสืออนุญาตการทำเหมืองนั้น ไม่รู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะคิดเยี่ยงไรหากเขารู้ว่านั่นคือผลงานของนางเอง
เขาจะมาขอความช่วยเหลือจากนางหรือไม่ ?
หากเป็นเยี่ยงนั้น นางควรตอบตกลงกับเขาหรือไม่ ?
เขาเป็นถึงลูกชายเจ้าของที่ดินรายใหญ่อยู่อย่างสุขสบายดี ๆ มิชอบ กลับไปทำอะไรที่เหมืองนั้น ? หรือ……เขามีแผนการอันใดงั้นหรือ ?
คนผู้นี้มักกระทำการใด ๆ ที่ยากจะเข้าใจนัก แต่นางจะไม่สนใจอีกต่อไป บัดนี้นางปิดทางทำเหมืองของเขาแล้ว ต่อไปนางจะปิดโรงกลั่นสุรานั่น !
ใบหน้าของจางเพ่ยเอ๋อปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา อืม……เรื่องนี้ช่างน่าสนใจยิ่งนัก
จากนั้นนางก็ทอดสายออกไปยังนอกประตู ก่อนจะพบกับชายชุดดำที่ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู เขาเดินเข้ามาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันเบาว่า “คุณหนูขอรับ สิ่งของที่คุณหนูต้องการ ข้าน้อยนำมันกลับมาให้แล้ว เชิญคุณหนูลองตรวจดู”
ชายชุดดำนั้นยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้แก่จางเพ่ยเอ๋อ นางรับไปอ่าน แล้วเผามันเพื่อทำลายหลักฐานพลางกล่าวว่า “ในวันพรุ่งจะมีผู้เดินทางมาจากหมู่บ้านเซี่ยชุน จงไปรับเขาทางประตูทิศใต้แล้วส่งเขาให้กับคุณชายใหญ่ชีหยวนหมิงแห่งจวนชี”
“รับทราบขอรับ”
“ไปได้”
ชายชุดกลับออกไป จางเพ่ยเอ๋อนั่งมองธูปนั้นอยู่สักพักใหญ่ จากนั้นก็เดินออกมาจากห้องหนังสือและกลับไปยังห้องนอน
ซูม่อเองก็ออกมาจากจวนจางอย่างเงียบ ๆ หลังกลับมาถึงจวนฟู่ เขาก็เข้าไปในห้องหนังสือของฟู่เสี่ยวกวน
“แม้ข้าจะไม่เข้าใจว่าพวกเขากำลังทำเรื่องอันใดอยู่ แต่จากการคาดเดาแล้วคงมิใช่เรื่องดีนัก” ซูม่อรายงานทุกสิ่งทุกอย่างที่เห็นเมื่อครู่แก่ฟู่เสี่ยวกวน เขาขมวดคิ้วแล้วครุ่นคิดว่ากำลังจะเกิดเหตุใดขึ้นกันแน่
ตระกูลชีทำการค้าสุรา หากจะมีคนเดินทางมาจากหมู่บ้านเซี่ยชุนก็คงจะเป็นคนจากโรงงานสุราของเขาเอง แต่เรื่องนี้ทางซีเยวี่ยนกลับรายงานไปยังจางเพ่ยเอ๋อ เหตุการณ์นี้คาดว่าชีซื่อคงเป็นหนึ่งในผู้บงการอยู่เบื้องหลังเป็นแน่
พวกเขาซื้อตัวผู้ปรุงสุราคนหนึ่งจากเรือนซีซาน นั่นหมายความว่าอาจจะต้องการขโมยสูตรลับของเซียงเฉวียนและเทียนฉุน ไม่ผิดแน่
“เรื่องนี้เจ้าจงเก็บไว้เป็นความลับให้รู้เพียงข้าและเจ้าเป็นพอ ในวันพรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางกันแต่เช้าเพื่อไปพบเขาผู้นี้”
“ซิ่วเอ๋อร์ เจ้าจงคอยอยู่ที่จวนนี่ หากมีผู้ใดมาถามถึงข้าก็จงตอบไปว่าข้าเดินทางไปยังสำนักศึกษาหลินเจียง”
……
……
ถนนบริเวณหุบเขาที่ใช้ในการเดินทางจากหมู่บ้านเซี่ยชุนมายังเมืองหลินเจียงนั้นถูกใครบางคนกั้นด่านตรวจไว้
ซูม่อในชุดสีดำยืนอยู่ตรงกลางถนนอย่างสง่า “ทางการมีคำสั่งตรวจสอบโจรป่า โปรดหยุดและให้ความร่วมมือในการตรวจสอบยานพาหนะทั้งหมด! ”
แน่นอนว่าสิ่งนี้ฟู่เสียวกวนเป็นผู้วางแผน ซูม่อปวดหัวยิ่งนัก เหตุใดจึงอ้างเอาชื่อของทางการมากระทำการเช่นนี้เล่า เขาจึงจำเป็นต้องแต่งกายด้วยชุดสีดำเช่นนี้
แน่นอนว่าในมือเขาไม่มีหมายของทางการ จากเดิมซูม่อยังกังวลว่าจะมีผู้คัดค้านการตรวจสอบนี้หรือไม่ แต่เขาคาดมิถึงว่ารถม้าจะหยุดและให้ความร่วมมือ พร้อมทั้งปล่อยให้เขาตรวจค้นได้
ที่แท้ก็สามารถแอบอ้างอำนาจกระทำการเช่นนี้ก็ได้ด้วยหรือ !
ฟู่เสี่ยวกวนสวมชุดสีขาวนั่งโบกพัดอยู่บนเก้าอี้ เขาคอยมองดูผู้คนที่ลงมาจากรถม้านั่น หากเป็นคนของเรือนซีซานแล้ว เขาจำได้ทุกคนอย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าหรือลูกน้อง มีชื่อหรือไม่มีชื่อ เขาเชื่อว่าเพียงได้มองหน้าก็สามารถจำแนกได้เป็นแน่
จากนั้นเขาก็พบเห็นคนผู้หนึ่งที่ลงมาจากรถม้า คน ๆ นี้เขารู้จัก
นั่นคือคนงานธรรมดาคนหนึ่งในโรงกลั่นสุรา นามว่าลิ่วจื่อ มีหน้าที่เพียงแค่แบกสุราเท่านั้น
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มขึ้น เขาเดินตรงไปยังลิ่วจื่อ ในมือลิ่วจื่อยังหอบถุงผ้าใบเล็กยืนรอการตรวจสอบอย่างใจสั่น ทันใดนั้นเขาได้เหลือบไปเห็นคุณชายของเขาขึ้นมา
สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เขามองเห็นคุณชายโบกมือมาทางเขาเป็นความหมายให้เดินเข้าไปหา
เขากลืนน้ำลายและเดินเข้าไปอย่างช้า ๆ
“ข้าจำได้ว่าเจ้ามีนามว่าลิ่วจื่อ”
ลิ่วจื่อพยักหน้า
“ข้าจำได้ดีว่ามารดาของเจ้านั้นมีอายุมากแล้ว และเจ้าเองก็เป็นลูกที่กตัญญู”
“ข้าครุ่นคิดอยู่นาน แต่ยังตัดสินใจไม่ได้สักที เจ้าลองช่วยข้าคิดดูหน่อยสิว่าความคิดนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
ขาของลิ่วจื่อเริ่มสั่นสะท้าน เขากอดถุงผ้านั้นแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม
“ข้าเคยคิดว่าจะเปลี่ยนสถานะเจ้าให้เป็นผู้รับใช้ของจวนฟู่ สิ่งนี้ช่างง่ายดายนัก ข้าไม่จำเป็นต้องได้รับการยินยอมจากเจ้า หรือจากกฎหมายของราชวงศ์หยู การที่เจ้านายจะลงโทษบ่าวรับใช้จนถึงแก่ชีวิตก็ไม่จำเป็นต้องได้รับโทษเช่นกัน หลังจากเจ้าตายไปแล้ว แม่ของเจ้าจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เพียงแต่ไม่มีคนส่งนางยามจากไปเท่านั้น”
ลิ่วจื่อสีหน้าซีดเผือดในทันที เขาอ้าปากแต่กลับไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา
ฟู่เสี่ยวกวนค่อย ๆ เก็บรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ลิ่วจื่อสัมผัสได้ถึงสายลมอันเย็นยะเยือก ที่แทรกซึมเข้ามาในหัวใจของเขา มันทำให้เขาสั่นสะท้านเสียจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น
“เจ้าคิดว่าเป็นเช่นไร ? ”
คำพูดเพียงไม่กี่คำนี้ทำให้ลิ่วจื่อคุกเข่าลงที่พื้นทันที
“ข้าน้อยสมควรตาย ข้าน้อยถูกจูโหยวเกลี้ยกล่อม ขอร้องคุณชายปล่อยข้าไปเถิด ข้าน้อยขอคุกเข่าและก้มหัวให้แก่ท่าน ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ให้เขาก้มหัวคารวะ แต่กลับพยุงเขาขึ้นมา
ด่านตรวจนั้นถูกเปิดออก ซูม่อยืนอยู่ข้างคนขับรถม้า
“จงบอกข้ามาว่าใครคือผู้บงการ ! ”
“อาจารย์หลี่ เขา……เขาสั่งให้ข้านำจดหมายฉบับหนึ่งมาส่งยังเมืองหลินเจียง เอ่ยว่าเมื่อมาถึงหลินเจียงจะมีคนมารับ”
ลิ่วจื่อเปิดถุงผ้าออกด้วยมืออันสั่นเทา และมอบจดหมายฉบับนั้นให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน
“อ้อ……เขาให้ค่าตอบแทนเจ้าเท่าใดกัน?”
“1 1,000 อีแปะ” ”
ตุ๊บ ! ลิ่วจื่อคุกเข่าลงไปอีกครั้งและร้องไห้โฮออกมาด้วยเสียงอันดังว่า “คุณชาย แม่ของข้าป่วยหนัก ข้าไม่มีทางเลือกจริง ๆ…… ”
ฟู่เสี่ยวกวนเปิดจดหมายฉบับนั้นออกดู พบว่าเป็นขั้นตอนการผลิตเทียนฉุนและเซียงเฉวียน
ละเอียดมาก ! สิ่งนี้พัฒนาดีกว่าครั้งเมื่อฟู่เสี่ยวกวนวางแผนงานเอาไว้ไม่น้อยทีเดียว
“ลุกขึ้นเถิด”
“ข้าน้อยมิกล้า”
“ข้าสั่งให้เจ้าลุกขึ้น ! ”
ลิ่วจื่อลุกขึ้นอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังผู้ขับรถม้า เขารีบโบกไม้โบกมือ “ข้าไม่รู้ไม่เห็นอันใดด้วยทั้งนั้น ข้าเป็นเพียงคนขับรถที่หมู่บ้านเซี่ยชุนเท่านั้น ข้าเพียงแต่รับงานส่งคนไปยังเมืองหลินเจียงเพียงเท่านั้น”
ฟู่เสี่ยวกวนมองดูลิ่วจื่อ ลิ่วจื่อร้องไห้พลางพยักหน้าตอบรับ
“ขึ้นรถไปกับข้า”
“คุณชาย ได้โปรดอย่าฆ่าข้าเลย ! ”
“คุณชายไม่ฆ่าเจ้าหรอก แต่ต้องรอดูการกระทำต่อไปของเจ้า ไปเถอะ”
รถม้าทั้งสองคันเดินทางมาถึงหมู่บ้านใกล้ ๆ ฟู่เสี่ยวกวนให้การทักทายต่อหัวหน้าหมู่บ้านอย่างเป็นมิตร เขาขอใช้พู่กันและน้ำหมึกอีกทั้งกระดาษ จากนั้นนั่งลงบนโต๊ะแล้วเขียนสิ่งใดบางอย่าง เมื่อครุ่นคิดชั่วครู่จึงได้เอ่ยกับซูม่อว่า “เจ้าจงช่วยข้าคัดลอกอีกหนึ่งฉบับเถิด ตัวหนังสือข้าไม่น่ามองเท่าไรนัก”
จากนั้นรถม้าทั้งสองคันจึงได้ออกเดินทางต่อ และหยุดลงอีกครั้งที่บริเวณแม่น้ำ ฟู่เสี่ยวกวนเดินลงมาจากรถม้าคันที่ลิ่วจื่อนั่งอยู่ จากนั้นเดินขึ้นไปยังรถม้าของซูม่อแล้วเดินทางจากไป
รถม้าของลิ่วจื่อเริ่มมุ่งหน้าเดินทางต่อไปยังเมืองหลินเจียง
“มิเดินทางไปเรือนซีซานเพื่อจัดการพวกหนอนบ่อนไส้งั้นหรือ ? ” ซูม่อเอ่ยถามขึ้น
“ไม่รีบ ข้าจำได้ว่าท่านพ่อเคยได้ลงนามบางอย่างกับพวกเขาเพื่อเป็นการปกปิดความลับ ข้าควรกลับไปตรวจดูให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วค่อยจัดการให้หลี่เอ้อหนิวเปลี่ยนสถานะเป็นทาสแห่งจวนฟู่”
สิ่งที่เขากำลังกระทำไม่ต่างจากการฆ่าคนเสียเลย ช่างน่ากลัวยิ่งนัก
“แล้ว……ชีซื่อท่านจะจัดการเช่นไร ? ”
“นางใกล้ให้กำเนิดบุตรแล้ว จะทำให้นางตกใจกลัวมิได้ เรื่องนี้พักไว้ก่อน ให้นางได้จับตาดูละครต่อไป หากนางเข้าใจคงเป็นเรื่องดี ถ้าไม่เข้าใจแล้วละก็……คงต้องขออภัยด้วย”
ตอนที่ 47 ในใต้หล้าความกตัญญูเป็นคุณธรรมประการแรก
ฟู่เสี่ยวกวนก็มิคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เยี่ยงนี้ขึ้น
เขาย่อมเข้าใจความหมายในคำพูดของซั่งกุ้ยเฟย แต่เขามิเข้าใจว่าตนเองที่ต่ำต้อยเยี่ยงนี้ อยู่เพื่อกินและรอวันตาย เหตุอันใดพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยถึงยังคงเลือกเขากัน
แต่เขาก็ต้องตอบ เลี่ยงที่จะตอบนั้นย่อมมิได้
“แม่นางหยูงดงามปานเทพธิดา ศึกษาตำรามาอย่างเต็มเปี่ยม ย่อมเป็นสตรีที่หาได้ยากบนโลกใบนี้ ข้าน้อย ฟู่เสี่ยวกวน มิบังอาจเงยหน้ามองพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้ามิบังอาจเงยหน้า แต่เจ้าก็สบตา” ซั่งกุ้ยเฟยเอ่ยเสียงแผ่วขึ้นมาหนึ่งประโยค ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “นั่นก็เพราะแม่นางหยูเวิ่นหวินเป็นบุคคลที่เข้าถึงได้ง่าย มิได้มีแรงกดดันต่อผู้อื่นพ่ะย่ะค่ะ”
“ดังนั้นเจ้าจึงคิดว่าบุตรีของข้าดีมากอย่างนั้นรึ?”
คำพูดของซั่งกุ้ยเฟยยิ่งหนักขึ้นเป็นสองเท่า ในยามนี้หากฟู่เสี่ยวกวนตอบกลับว่าดีอย่างยิ่ง เยี่ยงนั้นโดยพื้นฐานเรื่องนี้ก็ได้การตัดสินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เสียนชินอ๋องและหยูหงอี้ต่างก็หันไปมองทางฟู่เสี่ยวกวน แม้แต่หยูเวิ่นหวิน ในยามนี้ก็มองอย่างคาดหวังเช่นกัน
ตำแหน่งราชบุตรเขยผู้สูงส่ง เพียงแค่พยักหน้าลงในตอนนี้เท่านั้น ก็จะได้มันมาครอบครอง
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน คำนับไปทางพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยอย่างสุภาพ และเอ่ยอย่างช้า ๆ “ขอบพระทัยพระสนมเอกและแม่นางหยูพ่ะย่ะค่ะที่ทรงเมตตา แต่เกรงว่าจะมีบางเรื่องของข้าที่พระองค์ยังคงมิทราบพ่ะย่ะค่ะ”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยคิ้วขมวด “กล่าวมา”
“ข้าน้อยฟู่เสี่ยวกวนสูญเสียมารดาไปเมื่ออายุ 6 ปี ได้บิดาเลี้ยงดูมาจนเติบใหญ่ ถึงแม้ในวันนี้บิดาของข้าจะยังไม่เลยวัยเลขสี่ แต่ความรักที่มีต่อกระหม่อมนั้นไม่เคยลดลงไปเลย บิดาเมตตาบุตรต้องกตัญญู ‘หนังสือแห่งพิธีกรรม’ ได้บัญญัติเอาไว้ว่า บุตรที่กตัญญูกตเวที จิตใจจะมีความสุข และมิฝ่าฝืนต่อปณิธาน บิดาของข้ามิได้มีความทะเยอทะยาน ทั้งชีวิตนี้ต้องการเพียงให้บุตรชายและหลานของเขาเต็มไปด้วยความสุข หากข้าจากบ้านไป ในใจคงมิมีความสุข ทั้งยังขัดต่อปณิธาน”
“ ‘หนังสือแห่งพิธีกรรม บูชาคุณธรรม’ บัญญัติไว้ว่า คุณธรรมมี 3 ประการ เป็นบุตรต้องกตัญญู มิทำให้เสียเกียรติ และเลี้ยงดูบุพการี บิดาอายุมากขึ้นในทุก ๆ วัน จวนฟู่มีข้าเป็นบุตรชายแต่เพียงผู้เดียว บิดาต้องการให้ข้าเลี้ยงดูเขาในยามบั้นปลายของชีวิต หากข้ามิสามารถกระทำตามความกตัญญูประการที่สามได้… แล้วการศึกษาตำรานักปราชญ์จะมีประโยชน์อันใดกัน ข้าจะเผชิญหน้ากับบิดาได้เยี่ยงไร จะเผชิญหน้ากับผู้เฒ่าในหลินเจียงได้เยี่ยงไร และข้าจะเผชิญหน้ากับมารดาผู้ล่วงลับไปได้เยี่ยงไร”
“ข้าน้อย ฟู่เสี่ยวกวน ได้ศึกษาตำรานักปราชญ์ รู้แจ้งด้วยคำสั่งสอนของนักปราชญ์ อีกทั้งยังเข้าใจความหมายของความกตัญญูเป็นอย่างดี คำกล่าวของนักปราชญ์มิอาจจะละเมิดได้ หากไถ่ถามตนเองถึงเรื่องความกตัญญู ก็มิสามารถหันหลังให้ได้”
“กระหม่อมขอทูลเกล้าฯ ถวายพระสนม มิใช่ว่ากระหม่อมมิยินยอม แต่กระหม่อมมิสามารถทำได้ พระสนมโปรดประทานอภัย แม่นางหยูเวิ่นหวินโปรดประทานอภัยให้กระหม่อมด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวออกมามิมีหยุด ถึงแม้จะดูสงบนิ่ง แต่ก็ปวดร้าวอย่างยิ่ง ความหมายของมันนั้นชัดเจนอยู่แล้ว แม้แต่ซั่งกุ้ยเฟยก็หมดหนทางที่จะกล่าวเรื่องของบุตรีของตนขึ้นมาอีก
ในฐานะราชบุตรเขย ย่อมต้องไปเมืองหลวงและพักอยู่ที่จวนขององค์หญิงเป็นระยะเวลานาน
ตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ ไม่มีราชบุตรเขยแม้แต่คนเดียวที่สามารถพาบิดามารดามาอยู่ด้วยได้
ราชวงศ์หยูให้ความเคารพต่อวิถีขงจื้อ และกตัญญูรู้คุณเป็นคุณธรรมประการแรก จวนฟู่มีฟู่เสี่ยวกวนเป็นบุตรชายเพียงคนเดียว หากยังคงบังคับไล่ต้อน ก็จะเป็นการทำลายสวรรค์
เยี่ยงนั้น ซั่งกุ้ยเฟยจึงทำได้เพียงถอนหายใจ
“เจ้าไปเถอะ เรื่องนี้ให้จบลงที่ตรงนี้”
“ขอบพระทัยพระสนมพ่ะย่ะค่ะ!”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยลา แต่ก็เห็นน้ำตาของหยูเวิ่นหวินไหลรินอาบลงมาทั้งสองแก้ม
……
…..
“น่าเสียดาย ชายหนุ่มผู้นี้… เข้ากันได้ดียิ่งกับลูกสาวของข้า ตระกูลฟู่ มีบุตรชายเพียงคนเดียวรึ ? ”
เสียนชินอ๋องครุ่นคิดและเอ่ยเสียงแผ่ว “ฟู่ต้ากวนได้ตบแต่งภรรยาใหม่แล้ว ได้ยินว่านางตั้งครรภ์แล้ว กล่าวว่าจะคลอดในเดือนเก้านี้”
ดวงตาของซั่งกุ้ยเฟยเป็นประกาย แต่คิ้วกลับขมวดนิ่ว “หากเป็นบุตรี ก็คงมิมีหวังเช่นเดิม”
เสียนชินอ๋องหันมองซ้ายขวา และกล่าวเสริมอีกว่า “ฟู่ต้ากวนผู้นั้นในวันนี้ยังไม่เลยวัยเลขสี่พ่ะย่ะค่ะ หากพระสนมประสงค์จะทำเรื่องที่ดีงามนี้รวมเข้าด้วยกัน หลังจากที่เดินทางกลับไปยังวังหลวงในครานี้ โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ฝ่าบาทมอบราชโองการให้แก่ฟู่ต้ากวน ให้เขาตบแต่งอีกสักสามถึงห้าคน… เขาจะต้องมีบุตรชายเพิ่มอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
คิ้วที่ขมวดของซั่งกุ้ยเฟยก็คลายออก และมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมา “ชินอ๋องกล่าวได้สมเหตุสมผล ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้มีรูปลักษณ์ พรสวรรค์ และความคิดล้วนเหนือชั้น ประจวบเหมาะกับที่ไม่อยากเป็นขุนนาง ทั้งยังต้องใจกันกับหยูเวิ่นหวิน เรื่องนี้องค์จักรพรรดิย่อมเห็นด้วยเป็นแน่ ข้าจะจัดการเยี่ยงนี้”
ตั้งแต่ต้นจนจบ หยูเวิ่นหวินมิได้มีคัดค้านอันใด นางตัดสินใจแล้วว่าหลังจากที่กลับไปถึงเมืองหลวง จะพูดคุยกับต่งชูหลานดี ๆ อีกครา
หนึ่งเดือนให้หลัง ฟู่ต้ากวนก็ได้รับพระราชโองการครั้งแรกในชีวิต เขาสับสนขึ้นมาทันพลัน ด้วยเหตุนี้ฟู่เสี่ยวกวนจึงมีแม่รองเพิ่มขึ้นอีกสองสามคน
การรับอนุภรรยาของฟู่ต้ากวนกลายเป็นเรื่องราวที่น่าสรรเสริญในหลินเจียงไปในทันพลัน นอกจากบิดาและบุตรจวนเสียนชินอ๋องทั้งสองคนแล้ว ก็มิมีผู้ใดรู้ถึงสาเหตุนี้อีก
คนอื่นเพียงแค่คิดว่าฟู่เสี่ยวกวนได้รับการชื่นชมจากฝ่าบาทเพราะหนังสือความฝันในหอแดงเล่มนี้ และพระราชโองการนี้ก็ยิ่งทำให้ตระกูลฟู่มั่งคั่งและร่ำรวยยิ่งขึ้นไปอีก
……
…..
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนกลับมาถึงเรือนก็ดึกดื่นแล้ว ยามที่ก้าวเข้าไปทางประตูวงเดือนของเรือนหลังก็พบว่าโคมไฟยังคงติดอยู่ และฟู่ต้ากวนก็นั่งอยู่ที่นั่นในยามนี้
บิดาและบุตรนั่งลงตรงข้ามกัน “ได้ยินว่าพระสนมเอกเรียกตัวไปพบรึ?”
“อืม องค์หญิงเก้าเองก็ประทับอยู่ที่นั่น”
“มิได้เกิดปัญหาใดขึ้นใช่รึไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า และกล่าวขำ ๆ “จะเกิดปัญหาได้เยี่ยงไร พูดคุยเรื่องหนังสือความฝันในหอแดง และให้ประพันธ์บทกวีเท่านั้น”
ฟู่ต้ากวนลุกขึ้นยืน “เยี่ยงนั้นก็ดีแล้ว รีบเข้าไปนอนเสียเถิด”
“ท่านเองก็รีบพักผ่อนเช่นกัน”
ฟู่ต้ากวนเดินไปแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนมองตามแผ่นหลังที่เริ่มห่างออกไป รู้สึกว่าการตัดสินใจกระทำการเหล่านั้นที่หอวั่งเจียงโหลวเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
สำหรับหยูเวิ่นหวิน เขายอมรับความสวยของนาง แต่ไม่ได้มีความคิดอื่นใดอยู่จริง ๆ
มิใช่เพราะเป็นสุภาพบุรุษที่มีจิตใจแน่วแน่แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะไม่ได้มีความรู้สึกลึกซึ้งเป็นพื้นฐาน
นอกเหนือจากที่รู้จักกันเพียงผิวเผินแล้ว เขาก็ไม่ได้มีจิตใจที่ตรงกับหยูเวิ่นหวิน มิเหมือนกับต่งชูหลาน เขาทั้งสองแลกเปลี่ยนจดหมายกันมาหลายครั้ง และมีการแลกเปลี่ยนทางความคิดกันมาหลายครา ไม่ว่าจะคำพูดหรือการกระทำ ทั้งสองฝ่ายต่างตรงไปตรงมา และไว้วางใจกันอย่างยิ่ง จึงได้เกิดความห่วงใยและความคำนึงถึงกันตลอดช่วงเดือนที่ผ่านมา
ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงขึ้นชั้นสองไป และเขียนจดหมายให้กับต่งชูหลาน
เนื้อหาในจดหมายครานี้บรรยายถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในซ่างหลินโจว รวมไปถึงคำถามในภายหลังของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย และคำตอบของเขา เขามิได้ปิดบังแต่อย่างใด เพียงแค่คิดว่าต่งชูหลานควรจะได้รับรู้เรื่องนี้ จะได้หาโอกาสไปให้กำลังใจหยูเวิ่นหวิน เพราะในตอนท้ายหยูเวิ่นหวินก็ร้องไห้ไปแล้ว
เดิมทีก็คิดว่าจะถามต่งชูหลานด้วยว่าสามารถจัดการเรื่องเอกสารอนุมัติการขุดเหมืองให้ได้หรือไม่ ใคร่ครวญไปมา ก็ตัดสินใจว่าพรุ่งนี้จะลองไปหาอาจารย์ฉินดูเสียก่อน พลังของผู้อาวุโสท่านนี้ยิ่งใหญ่นัก เพราะแม้แต่พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย ก็ยังให้ความเคารพเขา
จากนั้นก็เขียนถึงปัญหาการกำหนดราคาของความฝันในหอแดง กล่าวว่าหากเขียนอย่างต่อเนื่องได้ถึงหนึ่งร้อยบท กลัวว่าหญิงสาวหลาย ๆ คนจะต้องใช้สินสมรสจนหมด จะโหดร้ายเกินไปหรือไม่
ซูม่อเองก็ยังมิได้หลับ เขายืนมองอยู่ที่ตึกตรงข้าม ลอบคิดว่าตั้งแต่ที่กลับมาจากซ่างหลินโจวชายผู้นี้ดูเหมือนจะได้รับความพ่ายแพ้มา แต่เขาในยามนี้กลับนั่งลงที่เบื้องหน้าหน้าต่างและกำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่ จึงไม่ได้เข้าไปรบกวน ในตอนที่กำลังจะหันหลังกลับห้อง ทันใดนั้นเขากลับมองขึ้นไปบนฟ้า หลังจากนั้นก็เคลื่อนไหวร่าง และขึ้นไปยังบนหลังคา
เขาพบเห็นคนชุดดำร่างหนึ่งร่อนลงที่เรือนตะวันตก นั่นคือเรือนที่ชีชื่ออาศัยอยู่ ซูม่อครุ่นคิดและบินตามออกไป ราวกับนกในยามค่ำคืน และร่อนลงที่หลังคาหลังหนึ่ง
ทันใดนั้นไฟในเรือนก็สว่างขึ้น ประตูบานใหญ่ของเรือนเปิดออกเล็กน้อย ศีรษะของสาวใช้ผู้หนึ่งยื่นออกมาทางช่องประตู หันมองรอบ ๆ ก่อนจะเดินออกมา
สาวใช้ส่งของสิ่งหนึ่งให้กับคนชุดดำ คนชุดดำนั้นได้ออกไปจากเรือนตะวันตก สาวใช้หันหลังกลับเข้าไปในเรือน และปิดประตูทันที
ซูม่อเองก็บินตามไป แต่กลับพบเห็นว่าคนชุดดำร่อนลงไปในจวนที่ออกห่างไปไม่ไกล นั่นคือจวนจาง !
ตอนที่ 46 เป็นคู่ครองกันนับพันปี
ฟู่เสี่ยวกวนรู้ดีว่าการที่พระสนมเอกต้องการพบตนนั้น คงไม่พ้นต้องแต่งกวีให้อย่างแน่นอน แต่คาดมิถึงว่าจะเป็นการเขียนกลอนตุ้ยเหลียน
สมองของเขากำลังแล่นพลุ่งพล่าน เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นแล้วมองออกไปยังที่แสนไกล
ซั่งกุ้ยเฟยมองดูชายหนุ่มผู้นี้แล้วหัวเราะอยู่ในใจ เจ้ากล้าทำตาเล็กตาน้อยใส่ลูกสาวข้าต่อหน้าต่อตาข้า คิดจริงหรือว่าข้าจะไม่จัดการเจ้า?
เพียงแต่หากเขาผู้นี้สามารถแต่งกลอนตุ้ยเหลียนที่ดีได้ ก็ควรได้รับคำชมอย่างยิ่ง จะทำให้เขาตื่นตระหนกไปมิได้
หยูเวิ่นหวินไม่คิดว่าสิ่งนี้จะเกินความสามารถของเขา แต่นางรู้ดีว่าฟู่เสี่ยวกวนในบางครานั้นสมองของเขาอาจจะคิดอะไรไม่ออก หากครั้งนี้เขาไม่สามารถเขียนกลอนตุ้ยเหลียนที่ดีออกมาได้ อยากรู้เสียจริงว่าเขาจะทำเยี่ยงไรต่อไป?
ฉินปิ่งจงมิได้เป็นกังวลแม้แต่น้อย เนื่องจากเขามั่นใจว่าฟู่เสี่ยวกวนจะสามารถเขียนกลอนตุ้ยเหลียนได้อย่างแน่นอน เนื่องจากสหายของเขาผู้นี้มีความสามารถยิ่ง อีกทั้งยังเป็นจ้าวแห่งกวีและหนังสือ
ส่วนคนอื่น ๆ นั้นมีความคิดแตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลิวจือต้ง
หากว่าฟู่เสี่ยวกวนสามารถเขียนออกมาได้ เขาก็จะได้รับความชื่นชมจากพระสนมเอก อีกทั้งองค์ฮ่องเต้จะได้เห็นความสามารถของเขาด้วย หากมีพระสนมเอกเพียงช่วยผลักดันเขาอีกนิดหน่อยละก็……คงจะมีพลังไม่น้อยทีเดียว
หลิวจือต้งครุ่นคิดอย่างละเอียดรอบคอบ ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจว่าหากฟู่เสี่ยวกวนได้รับคำชมจากพระสนมเอก เอกสารนั้นวันรุ่งขึ้นเขาจะนำมันไปยังจวนฟู่ด้วยตนเอง
ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกไปด้านนอกประตู มือทั้งสองข้างเขาสัมผัสไปที่ขอบประตู ใบหน้าหันไปทางพระอาทิตย์ มองดูแม่น้ำที่ไหลเอื่อย ๆ จากนั้นใบหน้าเขาก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมาทันพลัน
เขาหันหลังเดินกลับมา แล้วทำความคารวะซั่งกุ้ยเฟยก่อนเอ่ยว่า “กระหม่อมเขียนหนังสือไม่สวยนัก……”
“มิใช่ปัญหา”
“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ จงนำกระดาษ หมึกและพู่กันมาให้ข้า!” เขาทำความเคารพพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเสร็จแล้ว จึงหันไปบอกกับบ่าวรับใช้
ฟู่เสี่ยวกวนยกแขนเสื้อขึ้น แล้วเดินตรงไปยังโต๊ะด้วยความมั่นใจ หยูเวิ่นหวินประหลาดใจมาก — เขาคิดออกแล้วงั้นหรือ?”
บ่าวรับใช้จัดเตรียมของตามคำสั่ง ฟู่เสี่ยวกวนหันกลับมายังหยูเวิ่นหวินแล้วเอ่ยว่า “ข้าขอเชิญแม่นางมาช่วยข้าได้หรือไม่”
“ทำอันใดหรือ?”
“ฝนหมึก!”
หยูเวิ่นหวินรีบเดินไปอย่างมีความสุข แต่บรรดาคนอื่น ๆ กลับประหลาดใจ เจ้าผู้นี้บังอาจใช้องค์หญิงเก้าฝนหมึกเยี่ยงนั้นรึ!
ชินอ๋องสีหน้าเปลี่ยนสีไปทันทีและกำลังจะลุกขึ้น แต่กลับถูกซั่งกุ้ยเฟยโบกมือห้ามปรามเอาไว้
นี่คือเรื่องอันใดกัน?
ใต้หล้านี้มีใครสักกี่คนที่กล้าใช้องค์หญิงเก้าฝนหมึก?
เจ้าผู้นี้ช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาเสียจริง!
นอกเหนือจากฉินปิ่งจงแล้ว คนอื่น ๆ ล้วนเป็นกังวลใจ เนื่องจากที่เมืองหลินเจียงนี้หากฟู่เสี่ยวกวนทำให้ซั่งกุ้ยเฟยมิพอพระทัยขึ้นมา ทุกคนที่นี่ล้วนต้องรับโทษตามกันไปด้วย
แต่พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยช่างมีท่าทีใจเย็นนัก แน่นอนว่าภายในจิตใจของนางมิได้เป็นเช่นนั้น
นางเองก็คิดว่าชายหนุ่มผู้นี้ไม่มีมารยาทเสียเท่าไหร่ แต่เมื่อนึกถึงว่าหากต่อไปทั้งสองคนเข้ากันได้ดีเยี่ยงนี้ บุตรสาวตนคงมีความสุขไม่น้อย
ฟู่เสี่ยวกวนสาดหมึกลงไปเล็กน้อย
บัดนี้พระอาทิตย์กำลังจะลาลับขอบฟ้า
สายลมจากแม่น้ำพัดผมสีดำขลับและเสื้อผ้าของเขาพลิ้วไสว
ช่างสง่างามยิ่งนัก
ช่างเหมาะสมกันดีเสียจริง!
เมื่อพู่กันแตะสู่กระดาษ ตัวอักษรยังคงไม่น่ามองดังเดิม แต่เพียงไม่นานก็แล้วเสร็จ
มองดูเจียงโหลว มองดูแม่น้ำเจียง มองดูแม่น้ำเจียงไหลไปอยู่บนเจียงโหลว เจียงโหลวนิรันดร์ แม่น้ำเจียงนิรันดร์ เป็นคู่ครองกันนับพันปี
“อ่ะ!……”
หยูเวิ่นหวินตกใจเสียจนอดมิได้ที่จะนำมือมาปิดปากของนางไว้ ดวงตาของนางเปี่ยมไปด้วยความตกใจ
เสียงของนางเมื่อครู่ดึงดูดความสนใจของผู้คนในที่แห่งนั้น บางคนอดมิได้จึงเดินหน้าไปดูว่าเกิดเหตุการณ์ใดขึ้น
คาดมิถึงว่าเมื่อเขาผู้นั้นเดินมาถึงและได้อ่านกลอนตุ้ยเหลียนบทด้านบนแล้ว ใบหน้าเขาก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงเช่นกัน
“บทล่างเล่า รีบเขียนบทล่างต่อเถิด เร็วเข้า ! ”
ท่านชินอ๋องเอง ณ บัดนี้ก็มิอาจนั่งเฉยอยู่ได้ เขาตื่นเต้นเสียจนลืมเรื่องความโกรธเมื่อครู่ไปเสียสนิท
ผู้คนต่างพากันมองข้ามตัวอักษรที่ไม่น่ามองนั่น เป็นเพราะความหมายของบทกลอนที่ฟู่เสี่ยวกวนเขียนนั้นลึกซึ้งมากเหลือเกิน
มีผู้นำกลอนตุ้ยเหลียนบทบนไปเสนอต่อหน้าพระพักตร์ซั่งกุ้ยเฟย พระนางทรงขมวดคิ้วเนื่องจากตัวอักษรยุ่งเหยิงกลุ่มนี้ แต่หลังจากทรงได้อ่านเนื้อหาแล้วสีพระพักตร์ก็เปลี่ยนไปเป็นชื่นชมในทันที
“เยี่ยม ! ข้ารอชมบทล่างของเจ้า เขียนต่อเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนจุ่มน้ำหมึกเพิ่มเติม เขาเงยหน้ามองไปยังแสงแดดทอสีแดงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน แล้วก้มหน้าลงเขียนอีกครั้งหนึ่ง
วันที่เมฆหลากสี ท่ามกลางหมู่เมฆหลากสี บนท้องฟ้าหลากสีมีเมฆหลากสี ท้องฟ้าหมื่นปี เมฆหมื่นปี
ฟู่……
เขาถอนหายใจยาวๆและวางพู่กันลง เอ่ยยิ้มกับหยูเวิ่นหวินว่า “เป็นเยี่ยงไร?”
“งดงามยิ่งนัก ! ”
จากนั้นทุกสิ่งมิได้เปลี่ยนไป มีเพียงอาทิตย์ที่ลาลับขอบฟ้าไปเสียแล้ว สีดำแห่งรัตติกาลจึงเข้ามาแทนที่
……
……
ค่ำคืนนี้เงียบสงัดลงเรื่อย ๆ งานเลี้ยงยามราตรีของซ่างหลินโจวจึงได้จบลง
หอวั่งเจียงโหลวยังคงมีไฟส่องสว่าง
ที่หอแห่งนี้ได้ถูกขนานนามว่าหอวั่งเจียงโหลวไปเสียแล้ว และกลอนตุ้ยเหลียนได้ถูกติดประดับไว้ที่หน้าประตูเรียบร้อย
แน่นอนว่าเป็นพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยที่ทรงเขียนด้วยตนเอง ส่วนฉบับที่ฟู่เสี่ยวกวนเขียนนั้น หยูเวิ่นหวินได้เก็บรักษาเอาไว้
มีกลิ่นหอมของชาอ่อน ๆ ลอยมาจากบนชั้นสอง มีคนนั่งอยู่รอบโต๊ะชาจำนวน 5 คน โดยมีซั่งกุ้ยเฟยเป็นผู้นำ นางเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์เป็นชุดลำลองเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหมายถึงบัดนี้สามารถทำตัวสบาย ๆ คล้ายกับอยู่บ้านได้
ผู้ที่นั่งอยู่ข้างซ้ายของซั่งกุ้ยเฟยคือชินอ๋อง ด้านขวานั้นคือหยูเวิ่นหวิน จากนั้นคือหยูหงอี้และตามด้วยฟู่เสี่ยวกวนซึ่งถูกเรียกตัวให้อยู่ต่อ
ฟู่เสี่ยวกวนหาได้เข้าใจไม่ถึงวัตถุประสงค์ในการให้เขาอยู่ต่อ แต่บัดนี้เขารู้ดีเกี่ยวกับฐานะตัวตนที่แท้จริงของหยูเวิ่นหวินแล้ว และคาดมิถึงว่าองค์หญิงเก้าที่ต่งชูหลานเขียนเตือนมาในจดหมายนั้น จะเคยเดินทางมายังจวนฟู่ด้วยตนเองอีกด้วย
หาก ณ ตอนนั้นท่านพ่อรู้เรื่องเข้า คาดว่าคงทำการต้อนรับใหญ่โตเสียเกินจริงเป็นแน่แท้
เขามิได้ผิดหวังหรือตกใจเกี่ยวกับตัวตนของหยูเวิ่นหวิน ในสายตาของเขานั้นนางยังคงเป็นสตรีผู้ที่เคยพบเจอในอดีต
“เสี่ยวกวน เจ้าอยากเป็นขุนนางหรือไม่ ? ” พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเอ่ยถามขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ฟู่เสี่ยวกวนรีบส่ายหน้าแล้วเอ่ยตอบกลับไปว่า “หม่อมฉันเพียงแค่อยากเป็นพ่อค้าที่ดินผู้สำราญใจเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าคงรู้ดีว่าคำพูดของข้าเพียงคำเดียว ก็สามารถทำให้เจ้ากลายเป็นซิ่วไฉได้ แม้กระทั่งทำให้เจ้ากลายเป็นขุนนางขั้นที่ 5 ก็ไม่มีปัญหา เจ้าจงไปคิดดูให้ดี”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยใช้คำพูดที่เรียบง่ายและเป็นกันเองมากขึ้นกว่าเดิม
“เอ่ยไปพระสนมอาจจะมิเชื่อ แต่ตัวกระหม่อมนั้นสมองอาจจะช้าไปเสียหน่อยในบางเวลา แม่นางหยูเวิ่นหวินรู้เรื่องนี้ดี ด้วยเหตุนี้กระหม่อมจึงค่อนข้างพึงพอใจกับชีวิตในตอนนี้ แค่มีที่อยู่อาศัยข้าวปลาอาหารครบครันโดยมิต้องกังวลใจ นับว่าเป็นบุญของกระหม่อมแล้ว สิ่งอื่นใดกระหม่อมมิเคยคิดจะแสวงหา หรือแม้แต่จะจินตนาการ”
ในประโยคเมื่อครู่เขาใช้คำเรียกว่าแม่นางหยูเวิ่นหวิน มิใช่องค์หญิงเก้า ทำให้ท่านชินอ๋องรู้สึกไม่พอใจเท่าไรนัก สายตาของเขามองไปยังฟู่เสี่ยวกวนอย่างเขม็ง ต้องการให้ฟู่เสี่ยวกวนรับรู้ฐานะของตน แม้พระสนมเอกจะทรงพูดจาเป็นกันเอง แต่เขาก็ไม่ควรพูดเช่นนั้น
ซั่งกุ้ยเฟยมิได้หยิบมาใส่ใจ แต่กลับรู้สึกพอใจยิ่งนัก
นางต้องการให้บุตรสาวและราชบุตรเขยในอนาคตมีสถานะที่เท่าเทียมกัน มิใช่ชีวิตหลังแต่งงานก็ยังยกย่องเทิดทูนบุตรสาวนางเป็นองค์หญิงผู้สูงส่ง เช่นนั้นคงรู้สึกห่างเหินกันเกินไป ! นางต้องการให้ใช้ชีวิตร่วมกันด้วยความเท่าเทียมเช่นนี้
ไม่มีใครรับรู้ถึงความประสงค์ของซั่งกุ้ยเฟย เมื่อครู่นี้ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวว่าเขาเพียงต้องการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายมีความสุข สิ่งนี้ช่างเหมาะสมกับตำแหน่งพระสวามีของลูกสาวตนยิ่งนัก อีกทั้งเมื่อครู่หากฟู่เสี่ยวกวนตอบว่าต้องการเป็นขุนนาง……หัวข้อสนทนาคงจะจบลงเสียเท่านั้น
ส่วนเรื่องสมองที่อาจช้าไปบ้างบางครานั้น ภายในวังหลวงมีหมอหลวงผู้เลื่องชื่ออยู่มากมาย คงสามารถรักษาเขาให้หายได้สักวัน จึงมิใช่เรื่องใหญ่อันใด
ดังนั้นพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยจึงได้ตรัสถามว่า “เจ้าคิดว่าบุตรสาวของข้านั้น เป็นอย่างไรบ้าง ? ”
ท่านชินอ๋องตกใจเสียจนตาค้าง หยูอี้หงเองก็ตกใจเช่นกันเมื่อเขาย้อนคิดกลับไปเมื่อครั้นที่องค์หญิงเก้าเดินทางมายังหลินเจียง หรือทรงต้องการเดินทางมาดูคนผู้นี้กัน?
หยูเวิ่นหวินอายเสียจนแก้มทั้งสองข้างแดงระเรื่อ นางก้มหน้ามองพื้นมือดึงชายกระโปรงของซั่งกุ้ยเฟยด้วยความเขินอาย “เสด็จแม่……”
หยูเวิ่นหวินเองมิได้คาดคิดมาก่อนว่าเหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้ นางเข้าใจว่าการที่เสด็จแม่ทรงมีรับสั่งให้ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ต่อนั้นเป็นเพราะชื่นชมในความสามารถของเขา คาดมิถึงว่านางจะมีความคิดเช่นนี้ จะทำอย่างไรต่อไปดีเล่า ?
ตอนที่ 45 แท้จริงแล้วเป็นเจ้า
หยูเวิ่นหวินนั่งอยู่เบื้องหน้าหน้าต่าง โดยปล่อยให้สายลมพัดผ่านใบหน้าของนางไป
เมื่อนึกถึงการเดินทางไปหลินเจียงครั้งที่แล้ว ความตั้งใจของการเดินทางคือออกมาเที่ยวเล่น และมาดูชายหนุ่มฟู่เสี่ยวกวนคนนั้นของต่งชูหลาน
นางได้ฟังเรื่องของฟู่เสี่ยวกวนมามากมาย
แต่เดิมเป็นคุณชายเสเพลแห่งเมืองหลินเจียง และไปล่วงเกินต่งชูหลานเข้าจึงถูกองครักษ์ที่คุ้มกันต่งชูหลานตีเข้าให้ จนถึงขั้นมีอาการป่วยทางสมอง แต่เพราะตอนนั้นสวรรค์จึงได้เปิดพรสวรรค์ของเขาออกมา จนเขานั้นเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เพื่อทดสอบพรสวรรค์ของเขา ตนจึงได้จัดงานชุมนุมบทกวีซ่างหลินโจวขึ้นมา แต่ทว่าคนผู้นี้กลับไม่มา แต่ส่งสาวใช้มาเพื่อส่งบทกวีให้แทน
กล่าวมิได้เช่นกันว่าเป็นการดูหมิ่นหรือไม่ แต่ในยามนั้นใจของนางเองก็มิได้ชอบเลยแม้แต่น้อย ถึงแม้จะไม่ได้แสดงตัวตนองค์หญิงออกไป แต่นางกลับให้จวนชินอ๋องออกหน้าแทนนางไปแล้ว
แต่เยี่ยงไรการปรากฏของบทกวีนั้นก็ได้กวาดความไม่ชอบใจของนางออกไปจนหมดสิ้น ช่างเป็นบทกวีที่น่าทึ่งยิ่งนัก!
จากนั้น นางจึงคิดว่าคนที่น่าทึ่งแบบนั้นจะมีหน้าตาเป็นเยี่ยงใด ?
วันรุ่งขึ้นนางจึงได้ไปจวนฟู่ด้วยตนเอง หลังจากนั้นจึงได้พบกับคนผู้นั้น
ใบหน้าสดใส ค่อนข้างรูปงาม ความรู้สึกแรกยามที่นางได้พบเขาก็คือสะอาดสะอ้าน นิ่งขรึม และอยู่ด้วยแล้วสบายใจ
เขานั่งอยู่ใต้เงาของร่มไม้ ต้มชาอย่างผ่อนคลาย เชิญพวกเขานั่งลงตามสบาย และพูดคุยอย่างเป็นมิตร แม้จะมิเคยรู้จักกันมาก่อน แต่ทั้งหมดนั้นก็ทำให้นางผ่อนคลาย มิมีท่าทีอวดดีเหมือนกับชายหนุ่มและหญิงสาวในเมืองหลวงแม้แต่น้อย และมิมีเครื่องพันธนาการทางประเพณี สามารถทำได้ตามอำเภอใจ ช่างสงบสุขยิ่งนัก
เมื่อมาคิดดูในวันนี้ นั่นก็คงเป็นความเท่าเทียมกัน
ก็เสมือนกับที่เขาได้พบกับนายช่างผู้นั้น ในสายตาของเขา ตนเองหรือซื่อจื่อก็มิได้ต่างจากนายช่างผู้นั้น มิได้มีฐานะสูงต่ำรวยหรือจน และมิมีความแตกต่างทางชนชั้นแต่อย่างใด
นี่เป็นบุคคลที่พิเศษยิ่ง หยูเวิ่นหวินไม่สามารถนิยามเกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวนได้ แต่รู้สึกว่าคนผู้นี้มิเหมือนกับบุคคลอื่น ๆ ที่นางเคยพบมา
เขาสามารถกลั่นสุราที่เทียบเท่ากับเทียนเซียงออกมาได้ นั่นไม่ได้มีความหมายอันใด แต่ทว่าเขาได้ประพันธ์หนังสือที่ทำให้เมืองหลวงสั่นสะเทือนออกมาได้…ดังนั้นในตอนนี้ หยูเวิ่นหวินถึงได้รู้ว่าการเดินทางมาพบเขาที่หลินเจียงในครานั้น สิ่งที่ตนได้เห็นนั้นเป็นเพียงเศษเสี้ยวของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
มิน่าแปลกใจที่ต่งชูหลานมักจะกล่าวว่าคนผู้นี้น่าสนใจถึงเพียงไหน ความเข้าใจที่หยูเวิ่นหวินมีต่อบทกวีที่น่าสนใจนี้คือ มีเรื่องเหนือความคาดหมายอยู่เสมอ มีเรื่องน่าประหลาดใจอยู่ทั่วทุกหนแห่ง มีความคิดแปลกใหม่อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน โดยส่วนมากจะเป็นเยี่ยงนั้น คนผู้นั้นเป็นเยี่ยงนั้นอย่างแท้จริง
แล้วเยี่ยงนั้น ตัวเองได้ชอบเขาหรือไม่?
หยูเวิ่นหวินก็จนหนทางที่จะตอบได้
หากตนเองชอบเขาขึ้นมาจริง ๆ แค่ขอร้องให้เสด็จพ่อชี้นิ้วสั่งนั้นง่ายดายยิ่ง แต่ชูหลานนั้น นางจะเกลียดข้าไปทั้งชีวิต !
เสียงถอนหายใจดังขึ้น เยี่ยงไรคนที่รู้จักฟู่เสี่ยวกวนดีที่สุดก็คือต่งชูหลาน ปล่อยไปเสียดีกว่า
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยเมียงมองสีหน้าของบุตรี คิ้วพลันขมวดนิ่ว ราวกับทุกอย่างมิเป็นไปตามที่ตนเองได้คิดเอาไว้
นางคิดว่าครั้งที่แล้วที่บุตรีได้เดินทางมาหลินเจียงได้สนใจในตัวฟู่เสี่ยวกวนเข้าเสียแล้ว ถึงแม้ตระกูลฟู่จะเป็นตระกูลพ่อค้า แต่สำหรับราชวงศ์ มิได้สนใจว่าเป็นตระกูลอะไรอยู่แล้ว
ต่อให้เจ้ามีที่ดินขนาดใหญ่เยี่ยงไร แต่ก็ยังเป็นผู้เช่าของราชสำนัก ต่อให้เจ้ามีเงินมากมาย ก็สู้ท้องพระคลังของวังหลวงมิได้อยู่ดี
ดังนั้นสถานะจึงมิใช่ปัญหาแต่อย่างใด
และชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนก็ได้กระฉ่อนไปถึงเมืองหลวง แม้แต่กวนเหวินซิ่วผู้อำนวยการสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยนก็ยังชื่นชมคนผู้นี้เป็นอย่างมาก
ประการแรกคือคำพูดของเขาได้เข้าไปอยู่ในคำสอนของสำนักศึกษา ประการที่สองหนังสือความฝันในหอแดงที่เขาเป็นผู้ประพันธ์
ชายหนุ่มที่มิมีชื่อเสียง แต่กลับมีพรสวรรค์ ช่างเหมาะสมกับบุตรีของนาง ดังนั้นนางจึงไม่คัดค้านที่จะพักชั่วคราวในหลินเจียง อีกอย่างนางก็อยากยลใบหน้าค่าตาของฟู่เสี่ยวกวน
แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าของบุตรีในยามนี้ ราวกับมีบางอย่างที่กำลังหลบซ่อนอยู่ หรือว่าชายหนุ่มนั้นจะมิต้องตาต้องใจบุตรีของนางกัน
ต่งชูหลาน หยูเวิ่นหวิน และเยี่ยนเสี่ยวโหลว สามสาวงามของเมืองหลวง หากมองข้ามตัวตนขององค์หญิงเก้าไป ซั่งกุ้ยเฟยก็มั่นใจในรูปลักษณ์และความรู้ความสามารถของบุตรีนางอย่างเต็มเปี่ยม เยี่ยงนั้นปัญหาเกิดจากที่ตรงไหนกันn?
รอถึงหลินเจียง แล้วค่อยกล่าวกันอีกครา
……
…..
เรือสำเภาได้มาถึงซ่างหลินโจวในยามเย็น และเทียบเรือที่ท่าเรือส่วนตัวของจวนชินอ๋อง
เสียนชินอ๋องพาครอบครัวและอาจารย์ฉินรวมไปถึงจือโจวหลิวจือต้งและคนอื่น ๆ มารอต้อนรับแต่เนิ่น ๆ แล้ว
ทุกคนคารวะ เสียนชินอ๋องนำทาง พาซั่งกุ้ยเฟยและองค์หญิงเก้าประพาสไปยังเรือนใหม่ที่อยู่ริมแม่น้ำ
“เมื่อต้นปีได้ยินว่าพระสนมวางแผนประพาสต่างเมืองด้วยตนเอง จึงได้สร้างเรือนประทับใหม่นี้เพื่อพระสนม มิทราบว่าพระสนมทรงพอใจหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยฉีกยิ้ม และกล่าวกับเสียนชินอ๋องว่า “เหตุใดเจ้าถึงเกรงอกเกรงใจข้าถึงเพียงนั้น ?ยังจำเมื่อปีนั้นที่ข้ามาหลินเจียงได้ไหม งานชุมนุมบทกวีครานั้นก็จัดขึ้นที่ซ่างหลินโจวของเจ้าเช่นกัน ต่างก็เป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าได้ทำตัวห่างเหินเสียเลย”
“เพลานั้นพระสนมยังเป็นสตรีผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งของฉีโจว แต่ในยามนี้พระสนมคือพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย กระหม่อมมิกล้าล่วงเกินพ่ะย่ะค่ะ”
ซั่งกุ้ยเฟยมิได้สาวความยาวเรื่องนี้อีก เพียงรู้สึกว่าผ่านไปไม่กี่ปี สิ่งของต่าง ๆ ยังเหมือนเดิม แต่ผู้คนนั้นต่างก็แปรเปลี่ยนไป
นางและอาจารย์ฉินต่างคำนับกันเพื่อเป็นการแสดงความเคารพ และเอ่ยถาม “ได้ยินมาว่าอาจารย์ฉินได้สหายเยาว์วัยมาผู้หนึ่ง มีนามว่ากระไรรึ?”
“ทูลพระสนม เขามีนามว่าฟู่เสี่ยวกวนพ่ะย่ะค่ะ”
“โอ้ ใช่ฟู่เสี่ยวกวนผู้ประพันธ์ความฝันในหอแดงหรือไม่ ? สายตาของอาจารย์ฉินช่างแหลมคมยิ่ง คนผู้นั้นมีพรสวรรค์ยิ่งนัก แม้แต่ข้าเองก็ชื่นชมเป็นอย่างมาก มิทราบว่าจะเชิญเขามาที่นี่ได้หรือไม่ ข้าชักอยากจะพบเจอเขาเสียแล้ว”
หลิวจือต้งใจกระตุก นามของคุณชายตระกูลฟู่ผู้นั้นดังไปถึงเบื้องบนแล้วรึ?
ฉินปิ่งจงตอบกลับ “เป็นโชคดีของสหายเยาว์วัยของกระหม่อมยิ่ง เขามิทราบว่าพระสนมได้ประพาสมายังหลินเจียง และได้กลับมาจากหมู่บ้านเซี่ยชุนอย่างพอดิบพอดี เป็นวาสนายิ่งที่เขาจะได้พบพานพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากนั้นฉินปิ่งจงจึงเรียกจู้ยวี่ ให้นำเทียบเชิญของเขาไปจวนฟู่เพื่อเชิญฟู่เสี่ยวกวน
ยามที่ฟู่เสี่ยวกวนมาถึงซ่างหลินโจว ในเรือนนั้นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะของความสุข
เขาจัดชุดอยู่ชั่วครู่ แล้วจึงขึ้นไปยังชั้นสอง
ดังนั้นทุกสายตาจึงจับจ้องมายังร่างของฟู่เสี่ยวกวนเป็นจุดเดียว
ฟู่เสี่ยวกวนก้าวไปข้างหน้า และยืนนิ่งอยู่ตรงกลาง แสดงความเคารพต่อหน้าซั่งกุ้ยเฟยที่สวมมงกุฎหงส์และสวมชุดหงส์สีเหลืองอร่ามอย่างนอบน้อม และเอ่ยขึ้นมาว่า “กระหม่อมฟู่เสี่ยวกวน ถวายบังคมพระสนมพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเงยหน้าขึ้นมาเสีย”
“อืม ไม่เลว นั่งลงที่ตรงนั้นเถอะ”
ฟู่เสี่ยวกวนถอยไปยังเก้าอี้ตัวสุดท้ายแล้วนั่งลง และเพิ่งได้พบว่าหญิงสาวคนนั้นนั่งอยู่ข้างกายพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย
หญิงสาวผู้นั้นเองก็มองเขา เพียงแค่สายตาสบกัน ฟู่เสี่ยวกวนจึงยกยิ้มขึ้นมา
เขามองไปทางหญิงสาวผู้นั้นตาปริบ ๆ และหญิงสาวผู้นั้นก็มองมาทางเขาด้วยตาปริบ ๆ เช่นกัน ฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกว่าน่าสนใจทีเดียว คิดว่าหญิงสาวผู้นี้น่าจะมีสถานะที่สูงส่ง แต่มิรู้ว่าเป็นคุณหนูของตระกูลใด
หยูเวิ่นหวินเองก็รู้สึกว่าคนผู้นั้นกำลังให้ความสนใจ ถึงได้หันมามองทางนางตาปริบ ๆ
การกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้มิอาจรอดพ้นสายตาของซั่งกุ้ยเฟย ทว่านางยังคงพูดคุยกับทุกคนเช่นเดิม แต่ในใจกลับคิดว่าบุตรีของนางจะต้องรู้จักกับเจ้าเด็กคนนั้นเป็นแน่ และเขายังกล้าเย้าแหย่บุตรีนางภายใต้สายตาของนาง
ทันใดนั้นก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในศีรษะของพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟย นางจึงตัดสินใจที่จะสั่งสอนชายหนุ่มผู้นี้เสียหน่อย ดังนั้นจึงหันมองฟู่เสี่ยวกวน และเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าประพันธ์ความฝันในหอแดงได้ยอดเยี่ยมนัก มีพรสวรรค์ยิ่ง เรือนนี้เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ ข้าเพิ่งสังเกตเห็นว่าขาดกลอนตุ้ยเหลียนไป เจ้าจะประพันธ์ขึ้นมาให้ข้าสักบทได้หรือไม่?”
แต่เดิมฟู่เสี่ยวกวนกำลังครุ่นคิดว่าจะต้องทำเยี่ยงไรจึงจะเรียกหญิงสาวผู้นั้นออกไปคุยได้ แต่บรรยากาศของวงสนทนานั้นเป็นทางการเกินไป ดูเหมือนจะสบาย ๆ แต่มิอาจปล่อยปละคำพูดและการกระทำได้เลย เขามิค่อยคุ้นชินต่อสถานการณ์เยี่ยงนี้ คาดไม่ถึงเลยว่าพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยผู้นี้จะมิทราบเลยว่ามันจะเป็นการตัดหนทางของเขา ถึงกับต้องการให้เขาประพันธ์บทกลอนตุ้ยเหลียนขึ้นมาเยี่ยงนี้!
คำถามที่ได้ออกมาจากพระโอษฐ์ของซั่งกุ้ยเฟย หยูเวิ่นหวินเม้มปากยิ้ม ๆ หวังว่าเขาจะมีแรงบันดาลใจขึ้นมาในตอนนี้
คนอื่น ๆ ต่างก็หันมามองฟู่เสี่ยวกวน คิดว่าการเขียนบทกลอนตุ้ยเหลียนขึ้นมาอย่างกะทันหันเยี่ยงนี้ มิใช่เรื่องที่จะเขียนได้ง่าย จึงเฝ้ามองว่าเขานั้นจะตอบสนองกับเหตุการณ์ตอนนี้เยี่ยงไร
ตอนที่ 44 วันนี้ช่างร้อนรนใจนัก
แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ไปขอร้องจางเพ่ยเอ๋อ
เขาไปยังซีฝางเพื่อไปหาหยู๋จงถาน และได้วาดรูปวัสดุแปลกประหลาดมากมาย ทำให้หยู๋จงถานถึงกับตะลึงด้วยความแปลกใจ
“สิ่งนี้จำเป็นต้องทนต่อความร้อนสูง ข้าไม่รู้ว่าเจ้าจะมีวิธีการทำหรือไม่ แต่ข้าจะบอกวิธีให้ว่า สิ่งของในร้านเครื่องลายครามของเจ้านั้น หากสามารถเพิ่มวัสดุนี้เข้าไป ก็สามารถทนต่อความร้อนได้ดียิ่ง และเจ้าต้องไปทดลองด้วยตนเอง”
“จงดูเถิด สิ่งของเหล่านี้ล้วนต้องทนต่อความร้อนสูง อย่างน้อยต้องสามารถทนต่อการเผาไฟได้ไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วยามครึ่ง โดยไม่ระเบิดหรือแตก”
“……นี่……ไม่ง่ายเลยทีเดียว อีกทั้งเราไม่มีแบบพิมพ์เช่นนี้ สิ่งเหล่านี้มีขนาดค่อนข้างใหญ่ และรูปร่างแปลกประหลาดยิ่งนัก ข้าไม่แน่ใจนักว่าความยืดหยุ่นของกระจกจะสามารถทำได้หรือไม่”
“ไม่มีแบบพิมพ์ก็จงไปทำเสีย มีสิ่งใดต้องกังวลกัน?ข้าต้องการสิ่งนี้ และเจ้าต้องไปหาวิธีทำมันออกมา”
หยู๋จงถานนำมือลูบหัวของตน สีหน้าของเขาดูไม่ดีเท่าไรนัก เขาครุ่นคิดอยู่นานทีเดียวจากนั้นจึงพยักหน้าและตอบตกลง “ข้าจะพยายาม”
“ต้องมันทำให้สำเร็จ!”
มีผู้ใดบังคับกันเช่นนี้บ้าง?
หากแต่ใบหน้าของคุณชายฟู่บัดนี้ช่างมุ่งมั่นยิ่ง หยู๋จงถานจะกล้าขัดคำสั่งของฟู่เสี่ยวกวนได้อย่างไร เขาเป็นถึงผู้ให้การสนับสนุนหลักของหยู๋จี้เชียวนะ
“แน่นอน!ข้าจะหาวิธีทำเจ้าสิ่งนี้ออกมามอบให้แก่คุณชายให้จงได้!”
ฟู่เสี่ยวกวนตบบ่าหยู๋จงถานและเอ่ยว่า “หากเจ้าสามารถทำมันออกมาได้สำเร็จ ต่อไปเพียงนอนสบาย ๆ ก็ได้รับเงินมหาศาล”
“จริงหรือ?”สายตาหยู๋จงถานเป็นประกาย
“ข้า ฟู่เสี่ยวกวน มิเคยหลอกลวงผู้ใด ต่อไปจงอย่าได้เอ่ยคำถามอันโง่เขลาเช่นนี้ออกมาอีก”
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวก่อน ข้าจะรีบไปยังโรงงานผลิตด้วยตนเอง โครงร่างพวกนี้ข้าคงต้องนำไปด้วย”
“จงรีบไปเถิด หากข้าไม่ได้อยู่ในหลินเจียง เจ้าจงจัดส่งไปที่เรือนซีซานหมู่บ้านเซี่ยชุนด้วยตนเอง”
“ตามนั้นก็ย่อมได้!”
สิ่งเหล่านี้ใช้ในการสกัดแอลกอฮอล์ ซึ่งแอลกอฮอล์เป็นสารที่สามารถใช้งานได้หลากหลาย แต่เดิมฟู่เสี่ยวกวนจะนำมาทำเป็นน้ำหอม แต่เมื่อได้ยินจากฉินปิ่งจงว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นในไม่ช้า เขาจึงต้องการแอลกอฮอล์ในปริมาณมากขึ้น แต่ดูเหมือนว่าโรงกลั่นสุราในซีซานนั้นยังไม่ใหญ่พอ ครั้นลองคิดดูแล้วการผลิตแอลกอฮอล์ปริมาณมากในระยะเวลาอันสั้นนั้น คงไม่สามารถเป็นไปได้ เนื่องจากเขาขาดแคลนอุปกรณ์ในการผลิต สุดท้ายแล้วคงทำได้เพียงผลิตในปริมาณที่สามารถทำได้ในโรงกลั่นขนาดจำกัดของเขา คงทำได้เพียงผลิตไว้ใช้ในยามคับขันเท่านั้น
หลังเดินทางออกมาจากหยูจี้ เขาก็ได้ไปยังร้านเครื่องลายครามเจียงจี้
แม้สุราซีซานนั้นจะมีปริมาณในการผลิตเพียงเล็กน้อย แต่บรรจุภัณฑ์นั้นทั้งงดงามและสวยหรู สำหรับสุรา 50 ดีกรี นับว่าเป็นยอดสุราสำหรับสมัยนี้เลยทีเดียว
“คิดวิธีแก้ปัญหาที่ปิดขวดด้านในได้หรือไม่ ข้าต้องการให้ภายในจุกปิดมีลูกแก้ว เมื่อฝาจุกถูกเปิดออก ลูกแก้วนั้นจะร่วงลงมา”
เจียงชั่งโหลวมองดูจุกปิดในมือของฟู่เสี่ยวกวนอย่างประหลาดใจ เขาครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานจึงเอ่ยว่า “ข้าต้องปรึกษากับช่างเสียก่อน ลองดูว่าพวกเขามีวิธีไหม เพียงแต่เหตุใดท่านจึงต้องทำเช่นนี้?”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะแล้วกล่าวว่า “เป็นเพียงลูกเล่นเท่านั้น ไม่มีเหตุผลอื่นใดนอกจากนี้ แต่เรื่องนี้เจ้าจงนำไปคิดไตร่ตรองให้ดี ข้าคาดหวังว่าขวดในครั้งต่อ ๆ ไปจะเป็นเช่นนี้”
……
……
เรือลำใหญ่แล่นไปอย่างราบรื่นในแม่น้ำที่กว้างขวาง
บนหน้าต่างชั้นสาม ข้างหน้าต่างม่านไม้ไผ่หอมมีสตรีนางหนึ่งยืนอยู่ ใบหน้าอันสวยงามของนางปรากฏขึ้นที่หน้าต่าง สายลมพัดผมสีดำขลับของนางปลิวไสวไปกับสายลม ส่งให้ใบหน้าขาวผ่องนั่นน่ามองยิ่งขึ้นไปอีก
ริมฝีปากแดงระเรื่อเรียวบางกำลังขยับขึ้นคล้ายกับจะเอ่ยคำชื่นชมใดออกมา
“เสด็จแม่เพคะ ที่นี่คือเมืองหลินเจียง”
ซั่งกุ้ยเฟยละสายตาจากหนังสือความฝันในหอแดงที่อยู่ในมือลง สายตามองไปทางต้นเสียงแล้วเอ่ยว่า “แม่ย่อมรู้ดี ก่อนหน้าที่แม่จะเดินทางเข้าวัง ก็เคยเดินทางมายังเมืองหลินเจียงเช่นกัน……ไม่รู้ว่าบัดนี้ ก้อนหินใหญ่ที่สำนักศึกษาป้านชานถูกลมพัดจนล้มลงมาแล้วหรือยัง และไม่รู้ว่าบัดนี้ปลาคาร์ฟที่แม่เคยให้อาหารมันที่สระบัวในสำนักศึกษาหลินเจียงยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
องค์หญิงเก้าหยูเวิ่นหวินเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจว่า “เสด็จแม่เคยเดินทางมาศึกษาที่เมืองหลินเจียงอย่างนั้นหรือ?”
“มิใช่เช่นนั้น ครั้งนั้นเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างฉีโจวและหลินเจียง ในเวลานั้นแม่เจ้าเป็นถึงสตรีผู้มีความสามารถแห่งเมืองฉีโจวเชียว มิได้เหมือนเจ้าที่ทำตัวกระโดกกระเดกดุจผู้ชาย ต่อไปคาดว่าจะหาราชบุตรเขยยากนัก”
“เสด็จแม่…..” หยูเวิ่นหวินจับมือซั่งกุ้ยเฟยมาส่ายไปมา “ข้าเองก็เป็นสตรีผู้มีความสามารถมากมายเช่นกัน เหตุผลก็รู้ ๆ กันอยู่ เพราะข้ามีรูปโฉมที่งดงาม อีกทั้งยังมีความรู้ทางด้านวรรณกรรม ตำแหน่งราชบุตรเขยจะหายากได้อย่างไร”
ซั่งกุ้ยเฟยลูบไปยังมือของหยูเวิ่นหวิน แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “พระสวามีนั้นหาได้ไม่ยาก หากแต่หัวใจทั้งสองดวงจะตรงกันนั้นเป็นเรื่องยากยิ่ง เจ้าจงดูองค์หญิงรองและองค์หญิงสี่เถิด แม่ไม่อยากเห็นเจ้าเป็นเยี่ยงนั้น พระสวามีของเจ้า แม่ต้องการให้เจ้าค้นหาด้วยตนเอง”
หยูเวิ่นหวินคิดในใจว่าตนจะไม่เป็นเช่นพี่สาวทั้งสองอย่างแน่นอน หากแต่การที่จิตใจสองดวงจะตรงกันนั้น ปัจจุบันนางก็อายุได้ 16 ปีแล้ว แต่ยังไม่เคยเจอบุคคลเช่นนี้เลยสักครั้ง
ในเมืองจินหลิงมีบุรุษผู้มากความสามารถอยู่ไม่น้อย หยูเวิ่นหวินเองก็รู้จักพวกเขาจำนวนมาก และบรรดาเขาเหล่านั้นต่างก็ชื่นชอบนางไม่น้อย เพียงแต่จำเป็นต้องเจียมตนเพราะฐานะของนาง
ตำแหน่งราชบุตรเขยฟังดูแล้วช่างสูงส่งนัก แต่บรรดาบุรุษที่มากความสามารถล้วนตีตนออกห่างจากนาง
เนื่องจากราชบุตรเขยไม่สามารถเข้ารับราชการได้!
ดังนั้นหยูเวิ่นหวินที่อยู่ในฐานะองค์หญิง จึงไม่มีผู้ใดกล้าพิชิตหัวใจนางอย่างแท้จริง
หากเหตุการณ์เช่นนี้ดำเนินไปเรื่อย ๆ โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง สุดท้ายองค์ฮ่องเต้ก็คงมีราชโองการลงมา ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม เขาผู้นั้นจะต้องเป็นพระสวามีของนาง
องค์หญิงรองและองค์หญิงสี่ก็เป็นเช่นนั้น พระสวามีของพวกนางมิได้เต็มใจนักจึงได้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งขึ้นบ่อยครั้ง ได้ยินมาว่าองค์หญิงสี่กับพระสวามีนั้นเป็นเพียงในนาม หลังแต่งงานมาได้ 2 ปียังไม่มีทีท่าจะตั้งครรภ์แม้แต่น้อย
องค์หญิงรองนั้นได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง แต่ได้ยินมาว่าพระสวามีของนางแทบจะไม่ได้กลับบ้านเสียเลย
หลาย ๆ คราหยูเวิ่นหวินรู้สึกอิจฉาต่งชูหลาน เนื่องจากนางมีผู้มาชื่นชอบจำนวนมาก อีกทั้งบัดนี้นางยังมีบุคคลที่ชอบพออยู่ด้วย
ต่งชูหลานช่วงนี้นางอารมณ์ดียิ่งนัก บ่อยครั้งก็ยิ้มคนเดียวอยู่เสมอ แต่มักจะอ้างว่าเป็นเพราะหนังสือได้รับความนิยมสูง จึงทำให้นางมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่แท้จริงแล้วเป็นเช่นใด หยูเวิ่นหวินย่อมรู้ดีทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้นางจึงนึกถึงฟู่เสี่ยวกวน
เขาผู้นั้นช่างโชคดีนัก มองดูแล้วตำแหน่งของเขาในใจของต่งชูหลาน สูงกว่าเยี่ยนซีเหวินเป็นล้นพ้น
เพียงแต่……เขาผู้นั้นช่างเป็นคู่ครองที่หาได้ยากนัก หากตนมิได้มีฐานะเป็นองค์หญิงแล้ว อาจจะลองแย่งชิงกับต่งชูหลานดูก็ได้ หรืออาจจะ……ร่วมใช้สามีคนเดียวกัน?
หลังเกิดความคิดนี้ขึ้นในใจ นางเองก็ตกใจยิ่งนักที่ตนคิดไปไกลได้ถึงเพียงนี้ สีหน้าขาวนวลของนางแดงระเรื่อ เมื่อซั่งกุ้ยเฟยเห็นดังนั้นจึงได้เอ่ยถามว่า “เจ้ายืนกรานจะพักค้างแรมที่หลินเจียงนี้ เหตุเพราะรู้สึกชอบพอผู้ใดที่นี่หรือไม่?”
“เสด็จแม่เพคะ มิใช่เยี่ยงนั้น!”
หยูเวิ่นหวินมีสีหน้าเขินอาย ภายในใจของซั่งกุ้ยเฟยมีคำตอบขึ้นมาอย่างชัดเจน
“ไหนลองบอกกับแม่มาซิว่าเป็นคุณชายคนใด?หรือให้แม่ทายดู?แม่ทายว่าบุรุษที่ลูกสาวของแม่ชื่นชอบนั้นคือฟู่เสี่ยวกวนใช่หรือไม่?”
หยูเวิ่นหวินมีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมากมาก “ไม่ใช่เยี่ยงนั้นนะเพคะเสด็จแม่ ลูกจะชื่นชอบเขาได้อย่างไร เขาผู้นั้น เขาผู้นั้น……”
ซั่งกุ้ยเฟยหยิบหนังสือความฝันในหอแดงขึ้นมา กล่าวด้วยน้ำเสียงอันเบาว่า “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อนไป รอให้เดินทางถึงหลินเจียงเรียบร้อยแล้ว ให้ท่านชินอ๋องออกหนังสือเชิญฟู่เสี่ยวกวนมาให้แม่ดูหน้าเสียหน่อย”
ตอนที่ 43 เกินความคาดหมาย
ตั้งแต่ออกมาจากสำนักศึกษาหลินเจียง ฟู่เสี่ยวกวนก็ตรงไปที่จวนโจวแห่งหลินเจียง บิดาจะรอเขาอยู่ที่นั่น เพื่อไปทำความเคารพขุนนางระดับสูงจือโจวด้วยกัน และขอใบอนุมัติการขุดแร่เหล็ก
ขณะที่นั่งอยู่ในรถม้า ฟู่เสี่ยวกวนย้อนนึกถึงคำพูดเมื่อครู่ของฉินปิ่งจง เขาไม่ต้องการเห็นสงคราม ทุกคนต่างต้องการมีชีวิตอยู่ในประเทศที่สงบสุข มิต้องการรับความทรมานจากไฟสงคราม และความเจ็บปวดของการพลัดถิ่น
แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา สงครามไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปตามเจตนารมณ์ของใครเพียงคนหนึ่ง และการวางแผนล่วงหน้าก็มักจะไม่มีข้อผิดพลาด ถึงแม้ชาวฮวงจะมิได้มาโจมตีที่เจียงเป่ย แต่ที่น่ากลัวก็คือผู้ลี้ภัยและโจรป่า พวกประเภทจับปลาในน้ำขุ่นนั้น เป็นเรื่องปกติในสังคมที่กฎหมายยังไม่สมบูรณ์
ดังนั้นเขาจึงหวังว่าตัวเองจะมีอำนาจที่มากพอ และสามารถทำการค้นคว้าปืนไฟจนสำเร็จได้เร็ววัน
ในยุคนี้ได้มีดินปืนแล้ว และได้มีประทัดแล้วเช่นกัน ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้ว่าอาวุธปืนนั้นจะพัฒนาไปได้ถึงขั้นไหน แต่จากความรู้ของเขาที่มีต่อการหลอมเหล็กและดินปืน เบื้องต้นน่าจะยังอยู่ในขั้นของจุดเริ่มต้นของปืนไฟ เป็นปืนที่เติมและยิงเป็นครั้งต่อครั้ง
ไม่ได้ต่างไปจากราชวงศ์ซ่งเท่าใดนัก หากเป็นปืนไฟชนิดนี้ ความสำคัญของมันในสงครามจะไม่ได้มากมายเท่าไหร่ ระยะการยิงสั้น ความแม่นยำต่ำ เติมได้ช้า ต้นทุนการสร้างสูง กล่าวโดยรวมแล้วข้อดีมีไม่มาก การฟาดฟันยังสู้หน้าไม้ไม่ได้
ถ้าหากว่ากล่องดำนั่นตามมาด้วยก็คงจะดีไม่น้อย ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจอย่างเศร้าสร้อย
ส่วนที่ฉินปิ่งจงกล่าวถึงพระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยและองค์หญิงเก้า หากพวกนางต้องการจะพบเขาจริง ๆ เยี่ยงนั้น เขาก็คงหลบไม่พ้น เมื่อถึงเวลานั้นแล้วค่อยกล่าวอีกครา คงไม่พ้นเรื่องบทกวีเป็นแน่
สำหรับความนิยมของความฝันในหอแดง เขามิได้รู้สึกเหนือความคาดหมาย หากหนังสือเล่มนี้มิได้รับความสนใจ นั่นต่างหากที่เกินความคาดหมาย และเขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจกับชื่อเสียงที่ได้มาจากหนังสือเล่มนี้ แต่ราคาของหนังสือนั้นทำให้เขารู้สึกชื่นชมต่งชูหลานยิ่งนัก
นี่คือการกำหนดราคาตามบท หนึ่งบทคือ 500 อีแปะ และทุกครั้งที่มีการเพิ่มบท นางจะพิมพ์บทก่อนหน้านี้มาด้วย ซึ่งนั่นทำให้ผู้คนตกหลุมกันอย่างมาก ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนอ่านไปแล้วสิบกว่าบท และได้ใช้เงินไปแล้ว 5 ตำลึง แต่เมื่อมีตอนใหม่เพิ่มขึ้นมา กลับต้องใช้เงินถึง 5 ตำลึงกับอีก 500 อีแปะ ถึงจะซื้อมาได้… หากรอจนกระทั่งหนังสือเล่มนี้ได้รับการแต่งเติมจนเสร็จ จะได้รับเงินมาเท่าใดกัน? ฟู่เสี่ยวกวนยากที่จะประมาณได้
ดูเหมือนว่าภายภาคหน้าที่เขียนจดหมายถึงต่งชูหลานคงต้องห้ามปรามนางบ้าง คาดว่าทั้งเล่มที่มีถึง 100 บท คงจะทำให้ผู้คนล้มละลายได้!
ในระหว่างที่กำลังใช้ความคิดอย่างวุ่นวายอยู่ในหัว รถม้าก็มาหยุดอยู่ที่หน้าประตูจวนโจว ฟู่เสี่ยวกวนลงจากรถม้า ก็พบว่าฟู่ต้ากวนได้มารอเขาอยู่แล้ว
“ลูกชาย ท่านนี้คือหลิ่วซานเย่ คำนับซานเย่”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินมายืนข้างกายร่างท้วมของฟู่ต้ากวน ด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มบาง ๆ และกล่าวด้วยความเคารพ “ข้าน้อยขอคารวะท่านซานเย่ขอรับ!”
“อย่าได้ห่างเหินกันเลย คุณชายฟู่ในวันนี้เป็นถึงผู้มีพรสวรรค์ชั้นแนวหน้าของหลินเจียง มิต้องพูดถึงบทกวีจิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน เพียงแค่ความฝันในหอแดง ก็ทำให้ชื่อเสียงของคุณชายฟู่กระฉ่อนไปทั่วหล้าแล้ว ตามข้ามา เข้าทางด้านหลังจวนไปคารวะขุนนางระดับสูงจือโจวกัน”
ทางที่พวกเขาเดินเข้าไปคือประตูด้านข้าง
เมื่อเดินผ่านสวนดอกไม้ ผ่านระเบียงทางเดินที่ลาดยาว ข้ามผ่านประตูวงเดือน ก็ได้มาถึงด้านหลังของจวน
ที่นี่เงียบสงบ การตกแต่งนั้นเรียบง่าย แสงแดดถูกปกคลุมด้วยร่มเงา ช่วยขจัดความร้อนไปได้เล็กน้อย
หลิวจือต้งอายุอานามประมาณ 50 ปี ร่างกายผ่ายผอมใบหน้าหย่อนคล้อย เปลือกตาคล้อยลงมาเล็กน้อย ในขณะนี้กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ร่มไม้ สองตานั้นราวกับปิดอยู่ก็ไม่ปาน
เมื่อทั้งสามมาหยุดยืนอยู่เบื้องหน้าของเขา เขาก็เงยศีรษะขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาคู่นั้นเปิดออก สิ่งที่เผยขึ้นมาในสายตาเป็นอันดับแรกคือใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน ทันใดนั้นแววตาก็เฉียบคมขึ้นแต่มิได้คุกคาม ยิ่งทำให้เขาดูน่าเกรงขามและกดดัน
ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนยังคงมีรอยยิ้ม เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวและคารวะอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยฟู่เสี่ยวกวน ขอคารวะขุนนางระดับสูงจือโจว”
“อืม…” หลิวจือต้งวางหนังสือในมือลง ยังคงจับจ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวน และเอ่ยถามว่า “ความฝันในหอแดงเขียนได้มากน้อยเท่าใดแล้ว?”
ฟู่เสี่ยวกวนชะงัก ก่อนจะเอ่ยตอบ “นั่นเป็นเพียงงานในยามว่างเท่านั้น และในช่วงนี้ข้าน้อยค่อนข้างยุ่ง จึงเขียนเพิ่มได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพิ่งจะถึงบทที่ 28 ขอรับ”
“หนังสือเล่มนี้ใช้ได้เลย เจ้าถือเป็นบัณฑิตที่มีพรสวรรค์ที่ช่วยเป็นหน้าเป็นตาให้แก่หลินเจียงเป็นอย่างมาก แต่ข้าอยากจะกล่าวสักเล็กน้อย เนื้อหาที่เขียนเกี่ยวข้องกับชายหนุ่มและหญิงสาวมากมายข้างใน เขียนให้น้อยลงเถิด บทกวีเหล่านั้นยอดเยี่ยมยิ่ง สมควรได้รับการยกย่อง แน่นอนว่าหนังสือเล่มนี้เจ้าเป็นผู้ประพันธ์ ที่ข้ากล่าวเยี่ยงนี้ก็เพราะกลัวว่าเจ้าจะทรมานกับคำพูดของผู้คน”
ฟู่เสี่ยวกวนโค้งคำนับอย่างนอบน้อมอีกครา แล้วกล่าวว่า “สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นเป็นจริงยิ่ง หลังจากนี้ข้าน้อยจะระวังให้มากกว่านี้ขอรับ”
“เติบโตพอที่จะถ่ายทอดวิชาได้แล้วอย่างแท้จริง” หลิวจือต้งยกชาขึ้นมาจิบ และกล่าวอีกว่า “เอกสารที่เจ้าต้องการขอขุดเหมืองข้าได้อ่านแล้ว ในยามนี้ข้ามิอาจลงตราประทับให้ได้ ตัวข้าคิดว่า ด้วยพรสวรรค์ของเจ้า หนทางของนักประพันธ์น่าจะเป็นหนทางที่เจ้าควรจะก้าวเดินเสียมากกว่า ประการที่หนึ่งเรื่องของเหมืองแร่นั้นมีทางการเป็นผู้ควบคุมอยู่แล้ว… ประการที่สอง …เส้นทางที่เจ้าจะตะลุยไปนี้จะมิเป็นการพลาดหนทางที่ถูกต้องไปรึ?”
ประโยคนี้หลิวจือต้งกล่าวในฐานะจือโจว นี่คือคำพูดในแบบทางการ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือการกล่าวในแบบธุรกิจ
ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินเยี่ยงนั้น หัวใจพลันกระตุก แต่สีหน้านั้นกลับมิได้เปลี่ยนไป เขายังคงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สิ่งที่ท่านกล่าวมานั้นเป็นจริงยิ่ง ข้าน้อยคิดไว้เยี่ยงนี้ การประพันธ์หนังสือนั้นก็มิอาจปล่อยวางได้ แต่ข้าน้อยก็อยากทำกิจการอื่นด้วยเช่นกัน แต่เดิมเคยใคร่ครวญเรื่องการค้าเกลือ และได้เคยไปไถ่ถามเรื่องนี้แล้ว แต่เกลือในหลินเจียงได้มีการวางผู้ค้ามาแต่เนิ่นนานแล้ว กิจการนี้จึงหมดหนทางจะทำได้ เมื่อมาลองครุ่นคิดดูแล้ว เหมืองแร่ของหลินเจียงนั้นยังคงมีส่วนแบ่งอยู่บ้าง ดังนั้นข้าน้อยจึงวาดหวังจะเดินไปในเส้นทางนี้ จึงต้องขอให้ท่านผ่อนผันให้แก่ข้าน้อยด้วย”
หลิวจือต้งเอนกายพิงเก้าอี้ และหยิบสมุดบัญชีขึ้นมา มิได้มองทั้งสามคนอีก และกล่าวเสียงเรียบ “เอกสารชุดนั้นวางไว้ที่ข้าก่อน ข้าจะใคร่ครวญอีกครา พวกเจ้ากลับไปรอเถอะ”
“นั่น…” ฟู่ต้ากวนร้อนรนเล็กน้อย ฟู่เสี่ยวกวนจึงดึงมือของฟู่ต้ากวนเบา ๆ แล้วกล่าวว่า “เยี่ยงนั้น คงต้องรบกวนท่านแล้วขอรับ”
สองพ่อลูกถอยออกไป หลิ่วซานเย่ก็เดินตามมาในภายหลัง
ฟู่ต้ากวนเอ่ยถาม “หรือว่าเงินมิพอกัน?”
หลิ่วซานเย่หัวเราะเสียงขมขื่น “นั่นมิใช่ปัญหาเรื่องเงินหรอก”
“เยี่ยงนั้นแล้วทำไม?”
หลิ่วซานเย่มองไปทางฟู่เสี่ยวกวน แล้วกล่าวว่า “ลูกพี่ลูกน้องของจางจือเช่อ คืออนุของขุนนางระดับสูงจือโจว ถึงแม้จะเป็นเพียงอนุ แต่ขุนนางระดับสูงหลิวก็เคารพคุณนายที่สามมากที่สุด และโปรดปราณมากที่สุดเช่นกัน เมื่อคืนวานจางจือเช่อและจางเพ่ยเอ๋อร์ได้มาพบคุณนายที่สาม วันนี้ขุนนางระดับสูงหลิวจึงได้เปลี่ยนความตั้งใจไป… เจ้าเคยสร้างความขุ่นเคืองใจให้จางเพ่ยเอ๋อร์ใช่หรือไม่?”
นี่มันเรื่องอันใดกัน !
ฟู่เสี่ยวกวนลูบหน้าผากไปมาแล้วมิพูดอันใด แต่หลิ่วซานเย่ก็มองออก เขากล่าวเสริมอีกว่า “ขุนนางระดับสูงหลิวกล่าวว่าให้วางเอกสารชุดนี้ไว้ที่เขาก่อน นั่นก็คือการคว้าไว้เพียงกำมือเดียว ความหมายนั้นก็ชัดเจนยิ่ง ต่อจากนั้นจะสำเร็จหรือไม่ข้าเองก็ช่วยเจ้ามิได้ อยู่ที่เจ้าแล้วเสี่ยวกวน ว่าจะจัดการเรื่องนี้เยี่ยงไร”
……
…..
“เจ้าจะจัดการเยี่ยงไร?” ด้านหลังของจวนฟู่ ฟู่ต้ากวนเอ่ยถาม
“ข้ามิคิดว่าแม่นางผู้นั้นจะใช้วิธีสกปรก พอไว้เท่านี้ ข้าจะคิดหาวิธีอื่น”
“จางเพ่ยเอ๋อร์ เจ้าคิดยังไงกับนาง?”
“ ไม่มีความรู้สึก ! ”
“ผู้เยาว์เยี่ยงเจ้า ขึ้นเตียงปิดไฟแล้วนอนกลิ้งเกลือกอยู่บนเตียงเสียครู่ เดี๋ยวก็รู้สึกขึ้นมาเอง เฮ้อ…”
ตอนที่ 42 อำนาจใหญ่เรื่องเล็ก
ฉินปิ่งจงนั่งอยู่ในสวนดอกบัว ในมือถือหนังสือเล่มหนึ่งเอาไว้ เขาอ่านมันอย่างเพลิดเพลินนัก
หลานสาวของเขา ฉินรั่วเสวีย นั่งอยู่ด้านข้าง คอยปรนนิบัติรับใช้ด้วยการต้มชาให้แก่เขา นางสวมใส่ชุดสีเขียวอ่อน กระโปรงปักลายดอกบัวสีชมพู ผมยาวถูกปล่อยเป็นธรรมชาติอย่างสลวย ใบหน้าของนางถูกแสงแดดส่องกระทบ เผยให้เห็นผิวขาวเนียนดุจรากบัว
ขนตายาวโค้งงอนประดับดวงตากลมโตกำลังจ้องมองท่านปู่ด้วยความไม่พอใจเท่าใดนัก ปากน้อย ๆ เรียวบางค่อย ๆ มุ่ยขึ้น
นางเพิ่งได้รับหนังสือเล่มนี้จากต่งชูหลานซึ่งยังไม่ได้แม้แต่ชายตามอง กลับถูกท่านปู่ยึดเอาไปเสียแล้ว อีกทั้งยังเป็นตอนใหม่ล่าสุดเสียด้วย
นางอ่านบทที่แปด “เปิดเผยหลิงจินอิงเพียงเล็กน้อย เป่าชายและไต้ยวี่กลับยอมเสียหน้าตน” เอ่ยถึงเจี๋ยเป่าหยูที่แอบไปดูเซวียเป่าชาย แต่กลับบังเอิญพบกับหลินไต้ยวี่เข้า เจี๋ยเป่าหยูถูกหลินไต้ยวี่เยาะเย้ยถากถางแต่กลับมิได้โกรธเคือง เจี๋ยเป่าหยูเองก็คงไม่ใช่คนดีเท่าไรนัก เหตุใดเขาถึงหลายใจได้เพียงนี้? ต่อจากนั้นนางเองก็มิทราบว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไรต่อไป ฟู่เสี่ยวกวนนั้นก็มิใช่คนดีเช่นกัน เหตุใดเขาไม่เขียนให้จบเสียครั้งเดียว?จงใจแกล้งกันให้อยากติดตามเนื้อหาบทต่อไป แต่กลับเว้นระยะห่างเสียเนิ่นนานเช่นนี้!
ในขณะที่ฉินรั่วเสวียกำลังตำหนิติเตียนเขาอยู่ในใจนั้น ผู้เฝ้าประตูก็ได้เข้ามารายงานว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องการเข้าพบท่านอาจารย์ฉิน
เอ๋ เขามางั้นหรือ!
ครั้งก่อนที่พบเจอกัน หนังสือเล่มนี้ยังมิได้เขียนและวางจำหน่าย หรืออาจเป็นได้ว่าในเมืองหลวงนั้นวางขายแล้วแต่นางอยู่ในระหว่างการเดินทางกลับมา ครั้นมาถึงหลินเจียงได้เพียงไม่กี่วัน ก็ได้รับหนังสือจากต่งชูหลาน หากนางรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้เขียน ก็คงจะเอ่ยขอต้นฉบับมาอ่านก่อนแล้ว
บัดนี้ก็ยังไม่สายเกินไป
ฟู่เสี่ยวกวนเดินตรงเข้ามา มือทั้งสองข้างของเขากำขึ้นประสานกันเพื่อทำการเคารพฉินปิ่งจงและเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งเดินทางกลับมายังหลินเจียงเมื่อวานนี้และจะออกเดินทางกลับไปยังหมู่บ้านเซี่ยชุนในวันรุ่งขึ้น พี่ชายท่านดูสิ ข้าเองเคยเอ่ยว่าต้องการเป็นเพียงพ่อค้าที่ดินธรรมดาที่แสนสำราญใจเท่านั้น แต่บัดนี้กลับมีเรื่องมากมายที่ต้องทำ ช่วยไม่ได้เสียจริง!”
ฉินปิ่งจงวางหนังสือในมือลง ยิ้มและกล่าวว่า “สิ่งนี้ดียิ่งนัก หาได้เหมือนข้าไม่ แต่ละวันช่างผ่านไปอย่างเงียบเหงาและไร้ความหมายเสียจริง รั่วเสวีย ต้มชา เจ้าน้องชายเชิญนั่งเถิด”
ฉินรั่วเสวียชำเลืองตาไปมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยแววตาเป็นประกาย ผู้นี้คือคนที่เขียนหนังสือความฝันในหอแดงงั้นหรือ นางลุกขึ้นยืนและรีบวิ่งไปทางห้องหนังสือ ฉินปิ่งจงมีท่าทีตกใจ ฟู่เสี่ยวกวนเองก็เช่นกัน
เพียงชั่วครู่ฉินรั่วเสวียก็วิ่งกลับมา ในมือนางถือพู่กันและน้ำหมึกวางลงต่อหน้าฟู่เสี่ยวกวน เอ่ยด้วยท่าทีเขินอายว่า “ท่านสามารถลงนามของท่านให้แก่ข้าลงบนหนังสือเล่มนี้ได้หรือไม่?”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนมองเห็นหนังสือที่เขียนหน้าปกชื่อเรื่องว่าความฝันในหอแดง เขาก็หัวเราะออกมา คาดไม่ถึงว่าในสมัยนี้ก็มีสตรีเยี่ยงนี้อยู่เช่นกัน
จากนั้นเขาก็เปิดหนังสือไปหนึ่งหน้า ก็พบกับตัวอักษรสามตัวใหญ่สะดุดตา เขาตกตะลึงเล็กน้อย เขาไม่แน่ใจเท่าไรนักว่าต่งชูหลานต้องการสิ่งใด
“ลายมือข้า เกรงว่าจะทำให้เจ้าตกใจเอาได้” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยตามความจริง
“อย่างไรคงไม่ถึงแก่ชีวิต ข้าหาได้กลัวไม่ ท่านลงนามตรงนี้เถิด” ฉินรั่วเสวียชี้ไปยังด้านหลังของหนังสือในหน้าที่สาม
“เช่นนั้นข้าจะเขียนแล้วนะ อย่าได้เสียใจในภายหลังเชียว”
“อืม!”ฉินรั่วเสวียยิ้มอย่างดีใจยิ่ง นี่คือหนังสือที่มีนามของผู้เขียนลงไว้ด้วยตนเองเป็นเล่มแรก หากนำไปอวดคาดว่าคงมีผู้คนไม่น้อยอิจฉานาง
เขามีรูปร่างหน้าตาที่สง่างาม อีกทั้งยังแต่งหนังสือได้น่าสนใจนัก แน่นอนว่าตัวหนังสือก็คง……
จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าของฉินรั่วเสวียก็เริ่มจางหายไป ในใจนางนึกหดหู่ยิ่งนัก หนังสือดี ๆ แท้ ๆ แต่กลับถูกทำลายเสียจนไม่น่ามอง
……
……
“คาดว่าอีกไม่นานข้าจะต้องเดินทางไปยังเมืองหลวง”
“ข้าเองก็อยากเดินทางไปพักผ่อนเช่นกัน หนึ่งนั้นดีต่อร่างกาย สองนั้นได้เห็นทิวทัศน์ที่แตกต่างไป นี่เป็นสิ่งที่ดีต่อจิตใจ”
ฉินปิ่งจงเอ่ยอย่างลำบากใจว่า “เจ้าคงยังไม่รู้ว่ากำลังเกิดเรื่องไม่ค่อยดีนัก”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วมองหน้าเขา แล้วเอ่ยถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
“หลังรัชสมัยฉินเหอปีที่ 13 ท่านแม่ทัพเผิงถูแห่งเจิ้นซีได้เอาชนะชาวฮวงจวบจนปัจจุบัน ก็เป็นเวลา 47 ปีเห็นจะได้ ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงครองราชย์ถึง 50 ปี โดยมีเยี่ยหวินชวนเป็นผู้ชำนาญการฝ่ายบุ๋น และแม่ทัพเผิงเป็นผู้ชำนาญฝ่ายบู๊ กองกำลังของราชวงศ์หยูจึงไม่มีผู้ใดสู้ได้ แต่ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันนี้ ขึ้นครองราชย์เพียง 8 ปีเท่านั้น ชาวฮวงได้ยุติการส่งส่วยมา 2 ปีแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่นานหัวหน้าชาวฮวงนามว่าท่าป๋าเฟิงได้ทูลขอองค์ฮ่องเต้ว่า องค์หญิงสามนั้นเป็นผู้มากความสามารถยิ่ง เพื่อให้ชาวฮวงได้หันกลับมาใฝ่รู้หนังสือ จึงขอให้องค์ฮ่องเต้จัดงานอภิเษกระหว่างองค์หญิงสามกับท่าป๋าเฟิง โดยอ้างว่าเป็นการแต่งงานเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี”
“จิตใจเลวทรามต่ำช้า!”
“แน่นอนว่าองค์ฮ่องเต้นั้นทรงไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง”
“ถูกต้องแล้ว องค์ฮ่องเต้ทรงโกรธเคืองท่าป๋าเฟิงมาก ได้ยินมาว่าชาวฮวงกำลังรวบรวมม้าอีกทั้งกำลังคน สงครามนี้เกรงว่าจักเกิดขึ้นในเร็ววัน”
ฟู่เสี่ยวกวนมีความสนใจเรื่องสงครามยิ่งนัก สิ่งนี้คือเรื่องที่เขาถนัด แต่เขาไม่รู้เกี่ยวกับกำลังทหารและประสิทธิภาพในการสู้รบของประเทศหยูเลยแม้แต่น้อย จึงได้เอ่ยถามไปว่า “คิดจะทำสงครามกับประเทศหยูที่มีกำลังทหารแข็งแกร่งเพียงนี้ ชาวฮวงเป็นแค่ชนกลุ่มหนึ่งจะสามารถทำอะไรพวกเราได้ เราไม่จำเป็นต้องกังวลใจใด ๆ ท่านไปเมืองหลวงเพื่อเหตุใด?”
“เราจะดูถูกชาวฮวงมิได้เด็ดขาด พวกเขาเติบโตมาบนหลังม้า มีความสามารถยิ่งนัก ข้าไม่ได้เพิ่มความทะเยอทะยานให้แก่ผู้อื่นจนทำลายศักดิ์ศรีของตน[1] หากแต่ประเทศหยูไม่ได้ทำสงครามมา 47 ปีแล้ว แต่ชาวฮวงทำสงครามมิได้หยุดหย่อน สี่สิบเจ็ดปีมานี้พวกเขาสู้รบจนสามารถควบคุมทุ่งหญ้าได้อย่างกว้างขวาง อีกทั้งทำลายชนเผ่าแมนจูที่ยิ่งใหญ่แห่งทุ่งหญ้า จากที่ข้ามองแล้วความสามารถของพวกเขามากขึ้นจากเดิมนัก แต่ประเทศหยูของพวกเรากลับไม่มีอะไรดีขึ้นเลยแม้แต่น้อย”
“สิ่งนี้อาจมิใช่สิ่งสำคัญที่สุด เนื่องจากพวกเรามีภูเขาเยี่ยนซาน ด้านหลังยังมีเมืองซินโจวแห่งเป่ยตี้ ที่ภูเขาเยี่ยนซานนั้นมีกองกำลังทหารประจำการอยู่ 30,000 นาย ข้าเองมิได้กังวลว่าชาวฮวงจะสามารถฝ่าด่านเยี่ยนซานได้ แต่ข้านั้นกังวลใจเรื่องประเทศอี๋”
“ประเทศอี๋มีแนวโน้มทำสงครามอย่างนั้นหรือ?”
“ประเทศอี๋ร่วมมือกับประเทศฮวงแล้ว”
“ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”ฟู่เสี่ยวกวนเลิกคิ้วขึ้น
“เมื่อเดือนเจ็ดวันที่หนึ่ง!” ฉิงปิ่งจงลุกขึ้นยืน สายตาเขามองออกไปยังที่แสนไกลแล้วเอ่ยว่า “การที่ข้าเดินทางไปยังเมืองหลวงนั้นมิใช่เพื่อช่วยเหลือประเทศ แต่ข้าไปเยี่ยมเยียนเยี่ยนเป่ยซี”
“เขาคือผู้ใดกัน?”
“เจ้าไม่รู้อย่างนั้นหรือ?” ฉินปิ่งจงหันหลังกลับมาถามฟู่เสี่ยวกวนด้วยสีหน้าประหลาดใจ ฟู่เสี่ยวกวนไม่รู้จะทำสีหน้าเช่นไร
“บ้านตระกูลเยี่ยนแห่งเมืองจินหลิง สืบทอดกันมาสามรุ่นแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ข้าเอ่ยถึงเยี่ี่ยนหวินชวน อัครมหาเสนาบดีที่คอยสนับสนุนฮ่องเต้องค์ก่อน บุตรชายของเขาก็คือเยี่ยนเป่ยซีอัครมหาเสนาบดีคนปัจจุบัน ส่วนบุตรชายของเยี่ยนเป่ยซีมีนามว่าเยี่ยนซือเต้าก็เป็นเสมียนของเสนาบดี ซึ่งอัครมหาเสนาบดีคนต่อไปคงไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเขา นี่คือตระกูลเยี่ยนแห่งราชวงศ์หยูที่เลื่องลือ อ้อ ข้าขอเตือนเจ้าว่าเยี่ยนซีเหวินหลานชายคนโตของเยี่ยนซือเต้าผู้เป็นจอหงวน เขาชื่นชอบแม่นางต่งชูหลานยิ่งนัก”
ให้ตายเถอะ คู่ต่อสู้ของข้าช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก!
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ติดใจกับปัญหานี้ แต่เขากลับเอ่ยถามไปว่า “จากการคาดการณ์ของท่าน สงครามจะเกิดขึ้นเมื่อใด?”
ฉินปิ่งจงส่ายหัว “อาจจะเร็ว ๆ นี้ หรืออาจจะสามปีห้าปีหลังจากนี้ ในมือข้าไม่มีข้อมูลเหล่านี้อยู่เลย ทำให้ไม่สามารถคาดการณ์ได้ ข้ารู้เพียงแต่ว่าต้องการแผนการล่วงหน้าเท่านั้น”
“อีกอย่าง พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยกำลังเดินทางกลับฉีโจว ขบวนเรือจะเดินทางผ่านหลินเจียงในวันพรุ่งนี้และหยุดพักผ่อนที่นี่ในระยะสั้น ข้าคาดว่าในวันพรุ่งนี้เจ้าคงไม่สามารถเดินทางไปที่ใดได้”
“เพราะเหตุใด?”
“เพราะหนังสือความรักในหอแดงของเจ้าได้รับความนิยม และอีกอย่างหนึ่ง พระสนมเอกซั่งกุ้ยเฟยคือพระมารดาขององค์หญิงเก้านั่นเอง”
[1] เพิ่มความทะเยอทะยานให้แก่ผู้อื่นจนทำลายศักดิ์ศรีของตน หมายถึง ยกย่องศัตรูและบั่นทอนกำลังใจฝ่ายตัวเอง
ตอนที่ 41 ชั่วพริบตาที่เดินผ่านไป
ความฝันในหอแดงได้แพร่ขยายไปทั่วเมืองหลินเจียง ร้านหนังสือหยุนจีรับผิดชอบการขายหนังสือเล่มนี้แต่เพียงผู้เดียว สถานการณ์ที่สินค้ามีไม่เพียงพอต่อความต้องการจะซื้อนั้น จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข
และการแพร่ขยายของความฝันในหอแดง ก็ทำให้ชื่อเสียงของฟู่เสี่ยวกวนดังกระฉ่อนขึ้นมาอีกครา
ตั้งแต่สำนักศึกษาจนไปถึงหอนางโลม ตั้งแต่ขุนนางไปจนถึงคนท้องถิ่นในตลาด ทุกคนต่างประหลาดใจกับเขาอีกครา ต่างคิดเช่นเดียวกันว่าเป็นเทพเหวินฉวี่ซิงที่จุติลงมาอยู่ในร่างของเขา
บัณฑิตในสำนักศึกษาและคุณหนูตระกูลใหญ่พวกเขาเหล่านี้ได้อ่านความฝันในหอแดงที่เขาประพันธ์แล้ว แต่ส่วนนางโลมและคนท้องถิ่นต่างชื่นชอบบทกวีในหนังสือเล่มนั้น โดยเฉพาะคิ้วแข็งโค้งบทนั้น ยิ่งทำให้ดูเป็นธรรมชาติยิ่งขึ้น
คิ้วแข็งโค้งที่อยู่ในหนังสือนั้น ถูกขับร้องครั้งแรกโดยเซวี๋ยเฟยเฟยนางโลมแห่งหอหงซิ่งจาว บนน่านแม่น้ำฉินหวาย ณ จินหลิง ไฟปะทุขึ้นที่จินหลิง และลามไปจนถึงหลินเจียง เมื่อได้มีการร้องจากฝานตั่วเอ๋อร์นางโลมแห่งหออี้หง ณ หลินเจียง ดังนั้นที่หลินเจียงก็พลุ่งพล่านขึ้นมาเช่นกัน
สำหรับความฝันในหอแดง มีคนยกย่องว่าคนผู้นี้เต็มไปด้วยความสามารถทางด้านบทกวี และก็มีบางคนที่ดูถูกคำอธิบายลามกที่มีอย่างมากมายในหนังสือเล่มนี้ บอกว่าเห็นแต่เพียงความคิดสกปรกที่อยู่ภายในจิตใจ มีทั้งสรรเสริญและวิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็ไม่อาจหยุดการบูชาเขาอย่างคลั่งไคล้ของเหล่าเด็กสาวที่เต็มไปด้วยความฝัน
แต่ไม่ว่าจะจินหลิงหรือหลินเจียงรวมไปถึงยักษ์ใหญ่ทางด้านวรรณกรรมในเมืองหรือมณฑลอื่น ๆ หลังจากที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ไปแล้ว ก็ไม่มีใครออกมากล่าวอันใด เนื่องด้วยการตีความของหนังสือเล่มนี้ซับซ้อนเกินไป บทกวีในหนังสือก็ยอดเยี่ยมมาก แต่หากพูดถึงเนื้อหาด้านใน พวกเขาต่างเห็นพ้องต้องกันว่า หลังจากที่อ่านจนจบจะมารวมตัวกันที่ฉินหวายเพื่อแลกเปลี่ยน
แต่สำหรับจางเพ่ยเอ๋อร์แล้ว ทั้งหมดนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับนาง
เกี้ยวคันเล็กออกมาจากจวนจาง เดินทางผ่านถนนซีชุ่ย เลี้ยวไปอีกหลายถนนหลายตรอก ก็ได้มาถึงตรอกฉือปาหลี่ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากมาย
เกี้ยวเล็กถูกจอดอยู่หน้าทางเข้าร้านสุราชีชื่อ จางเพ่ยเอ๋อร์เลิกผ้าม่านในเกี้ยวและแอบมอง ด้านนอกของหยู๋ฝูจี้ครื้นเครงอย่างยิ่ง แต่ทางชีชื่อนั้นกลับเงียบสนิท
นางสวมผ้าคลุมหน้า ย่างเท้าลงบนพื้น และเดินเข้าไปในร้านสุราชีชื่อ หากเพียงแค่ครึ่งชั่วยามเพียงเท่านั้นนางจึงเดินออกมา ขึ้นเกี้ยว และกล่าวเสียงเรียบว่า “ไปจวนฟู่”
ชีหยวนหมิงยืนอยู่ที่หน้าประตูและมองเกี้ยวเล็กจากไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ และหันมามองหยู๋ฝูจี้ที่อยู่ฝั่งตรงกันข้าม แล้วกลับเข้าไปในร้าน
เกี้ยวนั้นหยุดที่หน้าประตูจวนฟู่ จางเพ่ยเอ๋อร์เดินลงมาจากเกี้ยวด้วยสีหน้ายินดี ในมือนางยังถือตะกร้าอีกใบไว้ด้วย และกล่าวกับทหารยามว่า “ข้าคือจางเพ่ยเอ๋อร์แห่งจวนจาง มาเพื่อเยี่ยมนายหญิงของพวกเจ้า โปรดแจ้งให้ทราบด้วย”
เพียงไม่นาน ก็มีสาวรับใช้นางหนึ่งเดินออกมา ถอนสายบัวคำนับจางเพ่ยเอ๋อร์ และพานางเข้าไป
เรือนของจวนฟู่คือที่ที่ฉีชื่ออาศัยอยู่ ในยามนี้ฉีชื่อกำลังลูบท้องและเดินเล่นอยู่ที่ลานภายในจวน
ทั้งสองคนนั้นมิเคยพบกันมาก่อน แต่นางรู้ดีว่าที่จางเพ่ยเอ๋อร์มาหานาง ย่อมมีจุดประสงค์เพื่อมาหาฟู่เสี่ยวกวน!
ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับเจ้าคนไม่เอาไหนนั่น หรือว่าถูกตะบองตีเข้าจนกลายเป็นผู้มีพรสวรรค์ไปแล้วจริง ๆ?
ทุกวันยามที่ทานข้าว ฟู่ต้ากวนจะคุยโวเรื่องไอ้เด็กนั่น กล่าวว่าเขานั้นได้ประพันธ์หนังสือและเป็นตำราล้ำค่าของจินหลิง กล่าวว่าหนังสือของเขาได้แพร่ขยายมาจนถึงหลินเจียงแล้ว และยังกล่าวอีกว่าเป็นตำราล้ำค่าของหลินเจียง จนถึงขั้นที่ฟู่ต้ากวนยังซื้อกลับมาถึง 10 เล่มด้วยกัน เขากล่าวว่าต้องการให้คนทั้งจวนได้อ่านกันถ้วนหน้า
บ้าไปแล้ว!
ฉีชื่อรู้สึกว่าตนเองนั้นก็ใกล้จะบ้าแล้วเช่นกัน
นามนั้นดังก้องอยู่ในหูของนางดังหวี่เหมือนเสียงแมลงวัน… ตีไม่ตาย พัดก็ไม่ไป จนทำให้นางอารมณ์เสียและทุกข์เกินคำบรรยาย
สมควรตาย ! ฉีชื่อเกลียดจนต้องถอยออกมาห่างๆ หาสถานที่ที่เงียบสงบ เพื่อคลอดบุตรอย่างสบายใจ
แต่หญิงสาวที่มากมายเหล่านั้นก็เหมือนกับขนมน้ำตาลที่เหนียวหนึบหนับ จางเพ่ยเอ๋อร์มิใช่คนแรกที่มาหานาง ก่อนหน้าที่จางเพ่ยเอ๋อร์จะมานั้น อย่างน้อยก็มีหญิงสาวกว่ายี่สิบคนที่ขอพบนางเป็นการส่วนตัวแล้ว
สงวนตัวหรือ ?
คำสอนหญิงหรือ ?
เห็นมาหมดไส้หมดพุงแล้ว !
เป็นตาย ฉีชื่อก็มิเต็มใจที่จะพบกับหญิงสาวเหล่านั้น มิใช่เพราะดูถูกพวกนาง แต่จุดประสงค์ที่พวกนางมาก็เพื่อฟู่เสี่ยวกวนทั้งนั้น นางมิใช่สะพานอันใดที่จะพาหญิงสาวพวกนั้นข้ามไปถึง
แต่นางก็จำใจต้องพบเจอ เพราะฟู่ต้ากวนได้กล่าวไว้ว่า ต้องจดชื่อหญิงสาวทุกคนที่เจอเอาไว้ เพื่อให้บุตรชายเลือกในยามกลับมา!
เลือกนางบำเรออย่างนั้นรึ ?
ฉีชื่อสูดลมหายใจลึก ๆ ก่อนจะถอนหายใจยาว ๆ ก็ได้เห็นจางเพ่ยเอ๋อร์เดินเข้ามาพร้อมกับตะกร้า
ทั้งสองคนทรุดตัวนั่ง ฉีชื่อกำชับให้สาวรับใช้ยกเครื่องดื่มเย็น ๆ มาให้นาง จางเพ่ยเอ๋อร์ดึงผ้าคลุมใบหน้าลง และเปิดตะกร้าด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มน้อย ๆ
ภายในนั้นมีเสื้อผ้าของเด็กทารกที่ตัดไว้อย่างประณีต นั่นทำให้ฉีชื่อเงยหน้ามองจางเพ่ยเอ๋อร์ให้เต็มสองตา
“ได้ยินว่าท่านอาใกล้จะคลอดแล้ว เพ่ยเอ๋อร์ทราบดีว่าจวนฟู่เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในหลินเจียง ในจวนย่อมไม่ขาดแคลนสิ่งใด ใคร่ครวญอยู่นาน จึงได้ลงมือตัดเสื้อผ้าเหล่านี้ขึ้นมาเอง อยากจะให้น้องชายได้ใช้ยามเกิด มิทราบว่าท่านอาจะพอใจหรือไม่”
ฉีชื่อรับเสื้อเด็กทารกขึ้นมามองอย่างพินิจ หลังจากนั้นก็วางลง กุมมือของจางเพ่ยเอ๋อร์ไว้พร้อมรอยยิ้ม “แม่นางกังวลเกินไปแล้ว ข้าชอบยิ่งนัก”
“ท่านอาชอบก็ดีแล้วเจ้าค่ะ เพ่ยเอ๋อร์ก็ยังกังวลใจยิ่ง”
หญิงสาวผู้นี้รู้ความนัก หากนางสามารถสมรสกับฟู่เสี่ยวกวนได้ นางก็ไม่ต้องกังวลว่านางจะทำเรื่องไม่ดี
“เสี่ยวกวนไปหมู่บ้านเซี่ยชุน กล่าวกับแม่นางอย่างมิปิดบัง ช่วงหลายวันมานี้มีหญิงสาวหลายนางมาหาถึงจวนฟู่ยี่สิบถึงสามสิบคนได้ ข้าต่างก็เห็นมาหมดแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดที่งดงามและมารยาทงามเท่ากับแม่นางอีกแล้ว คิดว่าเสี่ยวกวนก็คงจะชอบแม่นางทันทีที่ได้เจอเช่นกัน หากเสี่ยวกวนกลับมา ข้าจะคุยกับเขาให้ เพื่อให้บิดาของเขาไปสู่ขอ เจ้าคิดอย่างไร?”
แต่จางเพ่ยเอ๋อร์กลับส่ายหน้า และกล่าวว่า “วันนี้ข้ามาเยี่ยมท่านอา ไม่ได้มาเพื่อหาคุณชายฟู่แต่อย่างใด”
“เยี่ยงนั้นแม่นาง… ?”
ฉีชื่อประหลาดใจเล็กน้อย จางเพ่ยเอ๋อร์กล่าวว่า “ข้ามาเพื่อเยี่ยมท่านอาเจ้าค่ะ”
ฉีชื่อคิ้วขมวด “ข้าสบายดี แม่นางมาหาข้าเพื่อการใดกัน?”
“ที่ฟู่เสี่ยวกวนมีชื่อเสียงดั่งเช่นในวันนี้ ท่านอาคงไม่ปฏิเสธอันใด เช่นนั้นข้าจะขอเอ่ยถามท่านอาหนึ่งประโยค เขาได้เห็นท่านอาอยู่ในสายตาบ้างหรือไม่ ? ”
ประโยคเพียงเบาบางของจางเพ่ยเอ๋อร์ กลับเหมือนค้อนหนัก ๆ ที่ทุบลงมากลางอกของฉีชื่อ
สองตาของนางกะพริบ ในตอนที่กำลังจะเอ่ย จางเพ่ยเอ๋อร์ก็จ้องตานางเขม็ง และกล่าวขึ้นมาอีกว่า “ยังมิต้องกล่าวออกมา แต่เดิมท่านไม่รู้ว่าความสัมพันธ์ของฟู่ต้ากวนกับสวี่หยุนชิงนั้นลึกซึ้งขนาดไหน รู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดท่านถึงอยู่ห้องรองมาตลอด เพราะแต่เดิมฟู่ต้ากวนไม่มีความคิดจะวางตำแหน่งของท่านให้ถูกต้องเสียด้วยซ้ำ และฟู่เสี่ยวกวนก็เป็นลูกของพวกเขา ภายภาคหน้ากิจการที่ใหญ่โตของตระกูล ก็จะเป็นของฟู่เสี่ยวกวน ท่านและลูกที่กำลังจะคลอดของท่าน จะมีชีวิตอยู่ภายใต้ลมหายใจของฟู่เสี่ยวกวนตลอดไป”
“ก็เหมือนกับสุนัข ! ”
“เขาเป็นศัตรูร่วมกันของพวกเรา หากท่านต้องการให้ลูกชายของท่านเป็นผู้ดูแลจวนฟู่ในภายภาคหน้า เยี่ยงนั้นต้องตั้งใจฟังที่ข้ากล่าว”
ในใจของฉีชื่อไม่พอใจอย่างยิ่ง แต่เพราะประโยคนั้นจึงต้องอดกลั้นมันเอาไว้ และเอ่ยด้วยท่าทีมิใส่ใจ “โอ้ เมื่อแม่นางจางกล่าวมาเยี่ยงนั้นแล้ว เยี่ยงนั้นก็เล่าให้ฟังเสียหน่อยสิ”
……
…..
ครึ่งชั่วยามให้หลัง จางเพ่ยเอ๋อร์ก็ถอนสายบัวคำนับฉีชื่ออย่างนอบน้อม “ท่านอารักษาสุขภาพด้วยเจ้าค่ะ” หลังจากนั้นก็หันหลัง เชิดหน้าเดินออกไปจากจวนฟู่
เมื่อบรรลุจุดประสงค์ของนางแล้ว ในใจของนางก็เต็มไปด้วยความลำพองใจ
นางขึ้นเกี้ยว ในยามที่เกี้ยวถูกยกขึ้น กลับพบเห็นรถม้าคันหนึ่งแล่นเข้ามา และหยุดที่หน้าประตูจวนฟู่
ขณะที่เกี้ยวเคลื่อนตัวไปข้างหน้า นางเลิกมุมผ้าม่านขึ้นมา ก็พบว่าเป็นฟู่เสี่ยวกวนที่ลงมาจากรถม้า
นางปล่อยผ้าม่านลง มุมปากยกยิ้มขึ้น และกล่าวอย่างเย็นชา “กลับจวน!”
ตอนที่ 40 จดหมายสองฉบับ
สายลมยามเย็นโชยมาอ่อน ๆ มีแสงไฟสลัว
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ในมือถือจดหมายอยู่สองฉบับ
ฉบับหนึ่งเป็นของฟู่ต้ากวน อีกฉบับหนึ่งเป็นของต่งชูหลาน เขาเปิดผนึกจดหมายของต่งชูหลานออก
คุณหนูต่งชูหลานช่างเขียนตัวอักษรได้งดงามยิ่งนัก ทุกคราที่มองเห็นตัวหนังสือเรียงรายเป็นระเบียบบนกระดาษนั้น ฟู่เสี่ยวกวนก็รู้สึกอิจฉายิ่งนัก เขาจึงตั้งใจว่าจะฝึกฝนคัดลายมือแต่แล้วจิตใจก็รู้สึกเหนื่อยล้าขึ้นมาทันที
“เสี่ยวกวน สบายดีหรือไม่ !
ช่วงนี้ที่เมืองจินหลิงมีพายุฝน ดอกไม้ในสวนที่จวนข้าถูกฝนกระหน่ำเสียจนร่วงโรย มองดูแล้วช่างหดหู่ใจยิ่งนัก ข้าจึงได้จัดการรื้อถอนทิ้งไปเสีย
ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนยิ้มขึ้นมา แม่นางผู้นี้นับวันยิ่งน่าสนใจนัก
“สุรานั้นดื่มเสียจนหมดแล้ว ไม่รู้ว่าเมื่อใดท่านจะส่งมาใหม่ แน่นอนว่าข้าคงไม่ได้จ่ายเงิน แต่หนังสือความฝันในหอแดงของท่านนั้นได้รับความนิยมมากยิ่ง บัดนี้ขายได้เงินจำนวน 3,700 ตำลึงแล้ว จากเดิมข้าคิดว่าจะนำเงินในส่วนของท่านส่งไปให้ที่จวนฟู่ แต่คิดดูอีกทีหนึ่งก็เกรงว่าจะเกิดสิ่งไม่คาดคิดขึ้นระหว่างทาง หากเป็นเช่นนั้นคงไม่ดีแน่ ดังนั้นข้าจึงบอกกับท่านไว้ในที่นี้ว่า เงินในส่วนของท่านนั้นได้เก็บรักษาไว้ในจวนของข้า เมื่อใดที่ท่านเดินทางมาจินหลิง ข้าจักส่งคืนให้แก่ท่าน”
“ข้าเองก็มีความประสงค์อยากจะเดินทางไปยังเรือนซีซานยิ่งนัก หากแต่มิอาจหาเหตุผลอันสมควรได้ ท่านพ่อไม่อนุญาตให้ข้าเดินทางไปที่ใดตามใจชอบ จึงไม่สามารถทำตามความต้องการได้”
“หนังสือนั้นไม่ได้ตีพิมพ์ตอนใหม่มาสักระยะหนึ่งแล้ว ร้านหนังสือมักส่งคนมากดดันกับข้าเสมอ แต่สิ่งที่สร้างความกดดันให้แก่ข้ามากกว่านั้นคือภายในวังหลวงเองก็รีบเร่งอยากอ่านตอนต่อไป ไม่ทราบว่าท่านจะช่วยแต่งหนังสือต่อให้เสร็จในเร็ววันได้หรือไม่ ? สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเงินเป็นทอง แม้ก่อนหน้าจะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แต่หากท่านหยุดไปเวลานานเช่นนี้ เกรงว่าบรรดาสตรีที่คลั่งไคล้ท่านทั้งหลายจะอดมิได้ และเดินทางไปพบท่านที่เมืองหลินเจียงด้วยตัวของพวกนางเอง”
“ช่วงนี้ชีวิตข้าไม่มีเรื่องราวอันใดเท่าไรนัก จึงคิดว่าจะตัดเสื้อให้ท่านสักตัวหนึ่ง ข้าเดินทางไปยังตลาดผ้าและประมาณถึงขนาดตัวท่านและได้ตัดเย็บออกมาเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่……ข้าเย็บด้านหน้าและหลังสลับกัน ข้ามิได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนั้น จึงให้เสี่ยวฉีไปซื้อผ้าเพื่อตัดเย็บใหม่ เมื่อข้าตัดเย็บเสร็จแล้วข้าจะส่งไปให้พร้อมกับจดหมายฉบับต่อไป”
“ช่วงนี้ท่านกำลังทำการใดอยู่ ? ข้ามีความอยากรู้ยิ่งนัก อ้อ จริงสิ จางเหวินฮั่นเดินทางมาหาข้าหลายครา ทั้งยังเชิญข้าไปร่วมงานกวี แต่ถูกข้านั้นปฏิเสธไปเสียทุกครา เขาผู้นั้นช่างน่ารำคาญยิ่งนัก ไม่ต่างจากแมลงวันแม้แต่น้อย”
“จดหมายฉบับนี้ข้าขอจบเพียงเท่านี้ก่อน ข้าสบายดีทุกประการและหวังว่าท่านจะเป็นเช่นนั้นด้วย!”
เรียบง่าย
ฟู่เสี่ยวกวนชื่นชอบยิ่งนัก
ทั้งสองเขียนจดหมายถึงกันเป็นเวลานาน แม้จะมิได้พบหน้า แต่ก็เกิดความสนิทสนมมากยิ่งขึ้น การใช้ภาษานั้นก็เรียบง่ายขึ้นไปตามกาลเวลา
สายใยความรู้สึกดี ๆ ที่ทั้งสองเก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจนั้น ไม่มีใครเอ่ยมันออกมา คล้ายกับต้องการให้สิ่งนี้หยั่งรากลึกลงสู่พื้นดินเพื่อเจริญเติบโต ส่วนเรื่องเมล็ดนี้จะสามารถงอกเงยหรือกระทั่งเติบโตจนออกดอกหรือไม่นั้น ทั้งสองไม่ได้หยิบมาครุ่นคิดอย่างจริงจัง แต่ในค่ำคืนหนึ่งที่ดวงดาวส่องประกายทั่วท้องนภา เขามองไปยังดวงดาวนั้นและคล้ายกับกำลังตั้งตารอคอยอะไรบางอย่าง
เขาครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นจึงหยิบกระดาษขึ้นมาเขียนจดหมาย
“ชูหลาน สบายดีหรือไม่ ! ”
ช่วงนี้ข้าเองก็ยุ่งอยู่ไม่น้อย การก่อสร้างที่ซีซานกำลังดำเนินไปตามแผนที่วางไว้อย่างราบรื่นมีขั้นมีตอน”
“ดอกไม้เหล่านั้นเจ้าทำการรื้อถอนทิ้งเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ที่นี่ข้าได้ปลูกดอกไม้เอาไว้มากมายหลายชนิด อีกสองสามเดือนคาดว่าจะผลิบาน เมื่อถึงเวลานั้นหมู่บ้านเซี่ยชุนคงกลายเป็นทะเลดอกไม้ไปเสียแล้ว”
“เรื่องข้าวที่ข้าเคยบอกกับเจ้าก่อนหน้านี้ บัดนี้มีความหวังขึ้นมาส่วนหนึ่งแล้ว แต่อย่างน้อยต้องใช้เวลาสักสองสามปีเพื่อทำการทดลอง”
“หนังสือความฝันในหอแดงนั้นข้าเขียนเพียง 2 ตอน จะส่งให้แก่เจ้าก่อน ข้าจะพยายามหาเวลาว่างเขียนต่อให้ ส่วนเรื่องเงินนั้นเจ้าจงเก็บไว้ หากเจ้ามองเห็นโอกาสลงทุนสิ่งใดก็จงใช้เงินนี้ อย่างไรเสียการเก็บเงินเอาไว้เฉย ๆ ก็ไม่เกิดผลใดขึ้นมา”
“ข้าคล้ายกับสูงขึ้นบ้างนิดหน่อย ไม่รู้ว่าชุดที่เจ้าตัดให้นั้นจะใส่ได้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม ข้าก็ชอบมันมาก”
“อีกทั้งข้ายังออกแบบชุดให้เจ้าหนึ่งชุด หากเจ้าตัดเย็บได้สำเร็จ คาดว่าหลังจากเจ้าได้สวมใส่แล้วคงจะรู้สึกสบายเป็นอย่างมาก”
“หากมีโอกาสอยากให้เจ้าเดินทางมาหลินเจียง ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวเล่นให้สำราญใจ”
“เกือบลืมไปเสียแล้ว สุรานั้นข้าจะส่งไปให้อย่างแน่นอน เจ้าจงดื่มอย่างพอประมาณ วันนี้พอแค่นี้ก่อน”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบกระดาษขึ้นมา จากนั้นใช้ปากกาถ่านวาดรูป “เสื้อชั้นใน” อีกทั้งกำชับว่าควรใช้วัสดุอะไรและวัดอย่างไร เขายิ้มขึ้น จินตนาการว่าหากสาวน้อยผู้นั้นได้เห็นสิ่งนี้ นางจะรู้สึกเขินอายหรือไม่
แต่ฟู่เสี่ยวกวนคาดเดาว่าต่งชูหลานจะต้องทำสิ่งนี้ออกมาสำเร็จ เนื่องจากนางสามารถเปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ ๆ ได้อย่างดียิ่ง
อีกทั้งนี่เป็นโอกาสทางการค้าที่ดี และมีตลาดที่ใหญ่ยิ่งนัก แต่ฟู่เสี่ยวกวนไม่มีเวลามากพอสำหรับจัดการเรื่องนี้ ต้องรอดูว่าต่งชูหลานจะสามารถคว้าโอกาสนี้ได้สำเร็จหรือไม่
จากนั้นเขาจึงได้เปิดจดหมายของฟู่ต้ากวนขึ้นมา
“ลูกชายข้า หนังสือขออนุญาตขุดเหมืองที่เจ้าต้องการนั้น พ่อกำลังดำเนินการให้เจ้าอยู่ พ่อได้ให้หลิ่วซานเย่ช่วยจัดการให้ และบัดนี้หนังสืออยู่ในมือของเขาแล้ว คาดว่าคงสำเร็จในไม่ช้า แต่อย่างไรก็ตามทางการกำหนดให้จ่ายค่าภาษี 3 ส่วน เจ้าจงคำนวณไว้ให้ดี”
“เจ้าจำเป็นต้องเดินทางกลับมาที่หลินเจียงเพื่อลงนามหนังสือด้วยตนเอง อีกทั้งบัดนี้มีสตรีจากตระกูลใหญ่โตจำนวนไม่น้อยชื่นชมเจ้า จนข้าเองก็ไม่รู้จะทำเช่นไรแล้ว พ่อไม่รู้ว่าเจ้ามีนางในดวงใจแล้วหรือไม่ จึงไม่กล้าตัดสินใจแทนเจ้า ช่างลำบากใจยิ่งนัก”
“ก่อนหน้านี้ข้าได้พบเจอกับจางจือเซ่อ สีหน้าเขาดูไม่ดีเท่าไรนัก เจ้าทำอันใดกับบุตรสาวของเขาหรือไม่ ? จางเพ่ยเอ๋อนั้นพ่อเคยพบอยู่สองสามครา ไม่เลวเลยทีเดียว หากเจ้าได้ครอบครองนางแล้วจงไปสู่ขอนางมา อย่าทำให้ชื่อเสียงของนางต้องเสื่อมเสีย”
“เมื่อเห็นการใช้จ่ายเงินเช่นนี้ พ่อเองก็ชื่นใจยิ่งนัก จงอย่ากังวลเรื่องเงินทอง ใช้จ่ายตามที่เจ้าต้องการเถิด เช่นนั้นพ่อจึงจะรู้สึกว่าการทำงานได้เงินมานั้นมีค่ายิ่งนัก”
ต่อด้วยเนื้อหาต่าง ๆ มากมายในจวน ฟู่เสี่ยวกวนนำมือลูบจมูก เขาไม่คาดคิดว่าจะกลายเป็นจุดสนใจไปเสียได้
ทั้ง ๆ ที่เขามิได้ประพันธ์กวีขึ้นแล้ว อีกทั้งยังใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย เหตุใดจึงยังเป็นเช่นนี้ ?
เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ทุกอย่างในซีซานกำลังดำเนินไปอย่างเป็นระเบียบขั้นตอนตามแผนงาน ระยะเวลาอันสั้นนี้คงไม่มีสิ่งใดให้กังวล วันพรุ่งนี้เขาจะเดินทางกลับหลินเจียง นี่เป็นโอกาสดีที่จะให้ร้านกระจกหยู๋ฝูจี้ทำขวดทดลอง บัดนี้ศูนย์ทดลองยังไม่ได้ดำเนินการไปถึงไหน ต้นอ่อนเพิ่งจะงอกราก ฟู่เสี่ยวกวนก็ตัดสินใจทำเครื่องสกัดแอลกอฮอล์ออกมาล่วงหน้าเสียก่อน
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนไม่รู้ว่าหนังสือความฝันในหอแดงไม่เพียงแต่ได้รับความนิยมในเมืองจินหลิงเท่านั้น แต่บัดนี้ได้แพร่หลายมายังเมืองหลินเจียงด้วย
จางเพ่ยเอ๋อเองก็มีอยู่เล่มหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นตอนล่าสุด
นางนั่งอยู่ข้างหน้าต่างอ่านหนังสือเล่มนั้น เมื่ออ่านจบหน้าหนึ่งก็ฉีกทิ้ง ฉีกเสียจนไม่เหลือชิ้นดี
หนังสือเล่มนี้ในหน้าแรกได้เขียนชื่อผู้แต่งเอาไว้ตัวใหญ่มองชัดเจนว่าเป็นฟู่เสี่ยวกวน นี่เป็นสิ่งที่ต่งชูหลานตั้งใจทำ นางต้องการสร้างชื่อเสียงให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน เพื่อในภายภาคหน้านางอาจใช้โอกาสนี้จัดการกับปัญหาที่จะเกิดขึ้นได้
บัดนี้ผู้คนภายในวังหลวงล้วนได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ทุกคนต่างรู้จักฟู่เสี่ยวกวน ผู้มีความสามารถแห่งเมืองหลินเจียง คาดว่าชื่อของเขาคงลอยไปถึงพระพระเนตรพระกรรณขององค์ฮ่องเต้แล้ว และนี่คือสิ่งที่ต่งชูหลานต้องการ แม้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมิได้มาจากตระกูลข้าราชการ แต่กลับมีชื่อเสียงล้นฟ้า บิดาและพี่ชายของนางอาจจะรับพิจารณาบ้างเล็กน้อย
จางเพ่ยเอ๋อรู้สึกว่าชื่อนี้ยิ่งเห็นยิ่งเจ็บใจนัก
หนังสือนี้เขียนได้ดียิ่งก็จริง ผู้นี้เป็นผู้มีความสามารถก็จริง แต่ทว่าเขา……ปฏิเสธข้า !
ได้ยินมาว่ามีสตรีจำนวนไม่น้อยต้องการได้เขาเป็นคู่ครอง จางเพ่อเอ๋อยิ้มเยาะ เกรงว่าพวกนางคงจะต้องผิดหวังเสียแล้ว เนื่องจากนางรู้ดีว่าจุดจบจะเป็นเยี่ยงไร
หรือว่าเขาชื่นชอบแม่นางต่งชูหลานอย่างงั้นหรือ ?
พวกเขาทั้งสองคนไม่มีวันได้สมปรารถนา บุตรสาวอันเป็นที่รักยิ่งแห่งจวนต่งจะออกเรือนกับคุณชายตระกูลพ่อค้าได้อย่างไร?
หากข้าไม่ได้เขามาครอบครอง ผู้ใดก็อย่าหวังว่าจะได้ไป!
นางจุดไฟเผาเศษกระดาษนั้น แสงไฟส่องกระทบมายังใบหน้าของนาง เปลวไฟค่อย ๆ เผาไหม้จนเหลือแค่เพียงเถ้าสีดำ
อายุนางเพียง 14 ปีเท่านั้น อีกหลายวันถึงจะเป็นสาวอายุครบ 15 ปี แต่นางได้ตัดสินใจทำการบางอย่างที่กล้าหาญเสียแล้ว
ตอนที่ 39 ต้นพืชตัวผู้ที่เป็นหมัน
รัชสมัยเซวียนลี่ ปีที่ 8 เดือนเจ็ด วันที่ยี่สิบ นี่เป็นวันสำคัญที่ได้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ความก้าวหน้าของซีชาน
ท้องฟ้าสว่างโร่ ฟู่เสี่ยวกวนกำลังออกกำลังกายยามเช้าอยู่ในเรือนซีซาน หวางเฉียงก็วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
“คุณชายขอรับ คุณชาย บิดาของข้าเจอสิ่งที่ท่านพูดแล้ว… ป้ายจึ!”
“จริงรึ?”
ฟู่เสี่ยวกวนหยุดออกกำลังกายยามเช้า ในใจปลื้มปีติขึ้นมาทันที
“ข้าคาดว่าน่าจะใช่ขอรับ คุณชายต้องการไปดูหรือไม่”
“ไป!”
“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวเจ้าค่ะ คุณชาย ท่านยังไม่ได้ทานอาหารเช้าเลยนะเจ้าคะ” ชุนซิ่วร้องตะโกนตามหลังมา
“ข้าไม่ทานแล้ว”
ชุนซิ่วกระทืบเท้า และวิ่งตามออกไป
ซูม่อคิ้วขมวด และวิ่งตามออกไปเช่นกัน
อี้หยู่ที่ยังมิทราบอันใด เมื่อเห็นคุณชายวิ่งตามหวางเฉียงออกไปราวกับบิน ก็คิดว่าคงเกิดเรื่องใหญ่โตอะไรเป็นแน่ จึงวิ่งตามออกไปเช่นกัน
การวิ่งครั้งนี้ระยะทางค่อนข้างไกล ชุนซิ่วและอี้หยู่เหนื่อยจนหายใจหอบ เหงื่อไหลโชกไปทั่วหน้าและลำตัว ทำได้แค่พยายามตามให้ทัน หวางเฉียงและฟู่เสี่ยวกวนรวมทั้งซูม่อย่อมมิมีปัญหา พวกเขาวิ่งจนมาถึงนาผืนนั้น
หวางเอ้อกำลังนั่งคุกเข่าอยู่ในทุ่งนา เขาทำท่าราวกับว่ากำลังปกป้องทารกที่โดดเด่นอยู่ก็ไม่ปาน เขาไม่กล้าขยับเลยแม้แต่นิด
ฟู่เสี่ยวกวนถอดรองเท้ากับถุงเท้าออก ดึงชายกางเกงขึ้น และลงไปในทุ่งนาทั้งอย่างนั้น
ซูม่อประหลาดใจอีกครา ส่วนชุนซิ่วและอี้หยู่ที่ตามมาข้างหลังตกใจเป็นอย่างยิ่ง
“คุณชาย ไม่ได้!”
ฟู่เสี่ยวกวนไม่สนใจ ยามนี้เมล็ดข้าวได้ปิดทุ่งนาไปแล้ว เขาเดินไปตามแถวที่มีช่องว่างที่ห่างกันเล็กน้อย จนมาถึงเบื้องหน้าของหวางเอ้อ
“คุณชายดูต้นนี้ขอรับ”
ถึงแม้หวางเอ้อจะแปลกใจที่คุณชายลงทุ่งนา แต่เขาก็เข้าใจ เพราะการจะพิสูจน์สิ่งนี้จำเป็นจะต้องลงทุ่งนามา มิสามารถดึงมันขึ้นมา และส่งให้ไปบนฝั่งได้
ฟู่เสี่ยวกวนคุกเข่าลงไป และพินิจพิจารณาอย่างระมัดระวัง
ต้นนี้มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ต้นข้าวปกติตัวผู้และตัวเมียจะอยู่ต้นเดียวกัน ดอกสองชนิดของต้นนั้นจะบานออกในเวลาเดียวกัน แต่ต้นนี้มิใช่ มันออกดอกเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
ฟู่เสี่ยวกวนมั่นใจแล้วว่านี่คือต้นพืชตัวผู้ที่เป็นหมันที่ตนเองตามหา เขาดีใจเป็นอย่างยิ่ง และกล่าวกับหวางเอ้อ และหวางเฉียงว่า “ต้นนี้แหละที่ข้าตามหา เจ้าจงทำเครื่องหมายเอาไว้ หรือไม่ก็ดึงต้นข้าวที่อยู่ในระยะสองฉื่อนี้ออกไปทั้งหมด”
“และจากนี้มีสองเรื่องที่พวกเจ้าต้องจดจำเอาไว้”
“คุณชายโปรดออกคำสั่งเถิดขอรับ”
“อย่างแรก ต้องดูแลมันให้ดี โดยเฉพาะในช่วงสภาพอากาศที่รุนแรงเยี่ยงนี้ ต้นข้าวทั้งหมดในทุ่งนานี้ตายได้ หากแต่ว่ามีเพียงต้นนี้เท่านั้นที่ห้ามตาย ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามให้เกิดข้อผิดพลาดเด็ดขาด”
“อย่างที่สอง มันไม่สามารถผสมเกสรให้สำเร็จได้ด้วยตนเอง จำต้องใช้คนผสมเกสรเทียมให้ เป็นเยี่ยงนี้…”
ฟู่เสี่ยวกวนดึงต้นข้าวที่อยู่ด้านข้างขึ้นมา สลัดเกสรตัวผู้บนต้น ลงไปบนต้นข้าวที่บานออกแล้วอย่างระมัดระวัง
“งานนี้จะต้องรอบคอบ ดอกของมันมีไม่มาก แต่ต้องมั่นใจว่าผสมเกสรได้ครบทุกดอก”
หวางเอ้อและหวางเฉียงพยักหน้าอย่างหนักแน่น ถึงแม้พวกเขาจะเข้าใจว่ากำลังทำอันใดอยู่ แต่เมื่อเห็นคุณชายกล่าวอย่างเคร่งเครียดถึงเพียงนั้น ก็ลอบมั่นใจได้แล้วว่าสิ่งนี้จะต้องล้ำค่าเป็นแน่
“หมั่นผสมเกสรให้มันทุกวัน จนกว่าดอกไม้เหล่านี้จะเหี่ยวเฉา ใส่ปุ๋ยให้เพียงอย่างเดียว ไม่ต้องมากมายนัก แค่มากกว่ายามปกติเพียงสองขีดก็พอ นอกจากนี้หนึ่งต้นมันไม่เพียงพอ ให้หาอีก พยายามหาให้ได้อีกหลายๆ ต้น ดูแลจัดการตามวิธีของข้า แล้วพวกเจ้าจะประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่!”
“ขอรับ ข้าจะทำเครื่องหมายเอาไว้ หวางเฉียง เจ้าจะต้องปกป้องสิ่งนี้ให้ข้า ลมพัดมาเจ้าก็ต้องคอยประคอง ฝนตกมาเจ้าก็ต้องคอยดูแล หากเกิดปัญหาเพียงนิด ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
……
…..
ฟู่เสี่ยวกวนเดินขึ้นมาบนคันนา ทั่วขานั้นเต็มไปด้วยโคลน
“คุณชายเจ้าคะ ท่านทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?” ชุนซิ่วกระทืบเท้า “รีบมาล้างเลยเจ้าค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงข้างแอ่งน้ำ ล้างเท้าและเช็ดให้แห้งอยู่บนหิน จ้องมองหวางเฉียงที่ยังนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้นอย่างซื่อสัตย์ ก็หัวเราะขึ้นมา
“ข้ามิได้บอบบางถึงเพียงนั้น แต่ว่าเริ่มขี้เกียจแล้ว กลับกันเถอะ”
ชายกางเกงของฟู่เสี่ยวกวนยังคงถูกม้วนขึ้น ถึงแม้เขาจะสวมรองเท้า แต่มันกลับดูตลกเล็กน้อย แต่ซูม่อกลับได้เปลี่ยนแปลงความคิดที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวนอีกครา
เขาลงไปในทุ่งนาอย่างไม่ลังเล และใช้เวลาอยู่กับชาวนาผู้นั้นครึ่งวัน ถึงแม้ซูม่อจะไม่รู้ว่าเขานั้นกำลังทำอันใด แต่กลับรู้สึกว่าเป็นการแสดงออกที่ยอดเยี่ยมยิ่ง ท้ายที่สุดแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนก็ยังเป็นคุณชายของตระกูลเจ้าของที่ดินผืนใหญ่ ในใต้หล้านี้จะมีคุณชายสักกี่คนกันที่กล้าลงทุ่งนา?
ถึงแม้ราชวงศ์หยูจะเน้นเรื่องการเกษตร แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผลผลิตทางการเกษตร หาใช่ชาวนาที่ลงไปเพาะปลูกในทุ่งนาไม่
สิ่งที่คุณชายเหล่านั้นให้ความสนใจมิใช่เหล่าชาวนา แต่เป็นความหรูหรา ร้องเพลงเคล้าสุรา ซื้อนางโลมเพื่อความสำราญและอื่นๆอีกมากมาย
ภายใต้สภาพแวดล้อมในตอนนี้ ยิ่งเผยให้เห็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกับคุณชายท่านอื่นของฟู่เสี่ยวกวนมากยิ่งขึ้น
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้มีความคิดเยี่ยงนั้น หลังจากที่กลับเรือนไปอาบน้ำ และทานอาหารมื้อเช้าเสร็จแล้วนั้น ก็กลับมานอนอ่านหนังสือบนเก้าอี้ตากแดด
สิ่งที่อ่านคือคัมภีร์ทะยานบันไดเมฆา มันคือวิชาตัวเบาในตำนาน
ยังคงเป็นคัมภีร์ที่บางอย่างยิ่ง ใจความสำคัญที่พูดถึงก็คือการเรียกใช้พลังภายใน ร่างกายต้องเคลื่อนไหวเยี่ยงไร จึงจะเหมาะสมกับพลังภายในและอื่นๆ
ฟู่เสี่ยวกวนใกล้จะอ่านจบแล้ว หลังจากนั้นเขาเพียงแค่จดจำเอาไว้ จำลองวิธีฝึกตามตำราขึ้นในสมองอีกหลายๆครั้ง และหลังจากนั้นเขาจึงเริ่มนั่งสมาธิเพื่อฝึกฝนกำลังภายใน
หากไม่มีกำลังภายใน วิชาตัวเบาก็ไม่อาจบินขึ้นมาได้
ก็เหมือนกับไม่มีน้ำมัน เครื่องบินก็ไม่อาจบินขึ้นมาได้ ทุกอย่างย่อมมีทั้งเหตุและผล
หลังจากที่ผ่านช่วงยามเข้าไปหนึ่งชั่วยาม ขับเคลื่อนกำลังภายในมาแล้วเก้าวัน ถึงแม้จุดตันเถียนของเขาจะยังไม่มีกระแสพลัง ซูม่อเดินเข้ามา และกล่าวว่า “วิชาการออกหมัดและการเตะของท่านสามารถขู่ผู้คนได้ แต่หากเจอกับระดับสูง ก็ไม่มีประโยชน์อันใด”
“ข้าไม่มีทางเลือกนี่ กำลังภายในนี้มีทางลัดหรือไม่?”
“ไม่มี” ซูม่อทำลายความคิดของฟู่เสี่ยวกวนอย่างมิลังเล “แต่ข้าจะสอนกระบวนท่ากระบี่ให้แก่ท่าน”
แต่มีสิ่งนี้
“กระบวนท่ากระบี่นี้มีนามว่าสิบสามกระบี่ฉวนเจิน กระบวนท่ากระบี่ที่ยอดเยี่ยมของสำนักเต๋า ท่านจงจดจำไว้ว่า ห้ามนำไปเผยแพร่เด็ดขาด”
“เจ้ากำลังเผยแพร่ให้ข้าไม่ใช่รึ?”
“ข้ากลัวว่าท่านจะถูกฆ่าตาย!”
“ข้าไม่มีศัตรูเสียหน่อย”
“ฮ่าฮ่า”
……
…..
“พื้นฐานของการฝึกกระบี่นั้น หนึ่งตา สองมือ สามร่างกาย และสี่เท้า”
“…..”
“วิถีแห่งกระบี่นั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับสมาธิ หากมีสมาธิมากพอก็จะสำเร็จ”
“หลอมจิตใจให้เป็นลมหายใจ หลอมลมหายใจให้เป็นสมาธิ สมาธิคือหนทางตรัสรู้ สมาธิและกระบี่เป็นหนึ่งเดียว ก็จะเป็นเพียงหนทางสั้นๆ …”
ซูม่อกล่าวพลางร่ายกระบี่ไปด้วย เพื่อให้ฟู่เสี่ยวกวนได้เข้าใจยิ่งขึ้น ท่วงท่าร่ายกระบี่ของเขาเชื่องช้า ไม่ได้ใช้พลังภายในหรือวิชาตัวเบาเลย
ฟู่เสี่ยวกวนดูอย่างตั้งใจ เขาจดจำจุดหลักของกระบวนท่าที่ซูม่อกำลังร่ายกระบี่ โดยที่สายตายังคงจับจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของกระบี่โดยไม่ละสายตาไปไหน ยิ่งรู้สึกว่าวิทยายุทธ์นั้นลึกลับมากอย่างแท้จริง
ซูม่อใช้เวลาหนึ่งชั่วยามของยามเช้า ในการอธิบายใจความสำคัญของสิบสามกระบี่ฉวนเจินให้แก่เขา หลังจากนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็พบความจริงที่น่าอายว่าตนเองนั้นไม่มีกระบี่
“นักกระบี่ย่อมมีกระบี่เป็นของตนเอง รู้จักเพียงกระบี่ของตนเองเท่านั้น จึงจะเปรียบเสมือนเป็นแขนใช้ได้โดยไร้สิ่งกีดขวาง”
ซูม่อโยนกระบี่ของตนเองให้กับฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนกวัดแกว่งกระบี่อย่างตื่นเต้น
กระบวนท่าถูกต้องตามลำดับ ตวัดร่ายในม้วนเดียว… ซูม่อหลับตาลง ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าตนเองนั้นได้ตัดสินใจผิดพลาดไปเสียแล้ว กระบี่เล่มนี้เหมือนกับอักขระของเขาไม่มีผิดเพี้ยน มีเพียงคำว่า อัปลักษณ์ เท่านั้นที่จะใช้บรรยายได้
แต่ฟู่เสี่ยวกวนไม่รู้สึกรู้สา เขาตื่นเต้นอย่างมาก ในปากยังคงส่งเสียงฮึมฮัมทำนองออกมา กระโดดโลดเต้นไปมา และตัดใบไม้ให้ตกพื้น
ตอนที่ 38 ซีซานอันแสนยุ่ง
และในหลายๆวันต่อมา ชาวบ้านเสี้ยชุนก็ยุ่งราวกับผึ้งงาน
ฟู่เสี่ยวกวนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เขาเดินทางไปยังหลังภูเขาซีซาน หลังจากสำรวจพื้นที่บริเวณนั้นเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้เตรียมการบางอย่างขึ้นมา
เขาให้สร้างเพิงไม้เรียบง่ายขนาดใหญ่บริเวณพื้นที่โล่งสำหรับจัดเก็บหินปูนเทา สร้างที่พักอาศัยชั่วคราวบริเวณกลางภูเขา จัดการหาเวรยามสักสิบกว่าคนผลัดเปลี่ยนเฝ้าดู และให้จัดการปรับหน้าดินบริเวณริมแม่น้ำ ที่นี้ต่อไปจะใช้สำหรับสร้างโรงงานซีเมนต์
ทางเข้าสู่ภูเขานั้นเป็นเส้นทางเล็กแคบคดเคี้ยว ซึ่งทางเช่นนี้ไม่สามารถนำโม่หินขึ้นมาได้อย่างแน่นอน ดังนั้นจึงต้องสั่งการให้คนปรับปรุงถนนเสียหน่อย
เรื่องราวที่ฟู่เสี่ยวกวนทำ ณ ภูเขาซีซานนั้นได้แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้านเสี้ยชุน คล้ายกับก้อนหินขนาดใหญ่ตกลงไปสู่ทะเลสาบอันเงียบสงบ ทำให้เกิดระลอกคลื่นขนาดใหญ่เป็นเวลานาน
“ได้ยินมาว่าที่ซีซานรับจ้างเก็บถ่านหินได้ค่าตอบแทนวันละ 20 อีแปะ”
“ที่นั่นยังต้องการคนซ่อมแซมถนนและจะสร้างเรือนพักอาศัยชั่วคราวอีกด้วย วันละ 15 อีแปะ”
“ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ ช่างอิฐถังกำลังต้องการผู้ก่ออิฐเตาเผา วันละ 20 อีแปะเช่นกัน”
“โจวเจิ้งเองก็ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้สร้างกังหันลม คุณชายให้ค่าตอบแทนวันละ 25 อีแปะ ไม่เลวทีเดียว ”
“สิ่งนั้นต้องใช้ความรู้เฉพาะทาง เจ้ากับข้าจะทำได้หรือ?”
“เฮ้อ……ข้ามองดูแล้วเงินช่างหาได้ยากเข็ญยิ่งนัก คงทำได้แค่ให้ภรรยาของข้าและลูกสาวไปปลูกดอกไม้เท่านั้น”
“ข้าตั้งใจว่าจะจัดการงานที่ทำอยู่ในตอนนี้ให้เรียบร้อย วันพรุ่งนี้ข้าจะเดินทางไปที่ภูเขาซีซาน เพราะข้าสามารถซ่อมถนนหรือสร้างเรือนพักอาศัยได้”
“เจ้าอย่าลืมเรียกข้าล่ะ พวกเราจะเดินทางไปด้วยกัน”
“……”
นับวันยิ่งมีผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันที่ภูเขาซีซาน แม้ว่าเครื่องไม้เครื่องมือจะเรียบง่ายไปสักเล็กน้อย แต่ผู้คนทั้งหลายช่างขยันขันแข็งมิได้เกียจคร้าน จึงทำให้งานดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว ฟู่เสี่ยวกวนคาดว่าอย่างมากสุดคงใช้เวลาไม่เกินหนึ่งเดือนก็สามารถสร้างโรงปูนได้สำเร็จ
สิ่งก่อสร้างนี้เขาไม่สามารถสร้างออกมาได้อย่างประณีต เนื่องจากขาดแคลนเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ทันสมัยอย่างในชีวิตก่อน ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการคือสามารถทำมันออกมาให้ใช้ได้เป็นพอ ส่วนผลลัพธ์ที่ได้ แน่นอนว่ามาตรฐานไม่อาจเปรียบเทียบกับชีวิตที่แล้วได้ ขั้นตอนในการสร้างมีผิดมีถูก ขอเพียงแค่ลงมือทำและปรับปรุงข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นให้ดีกว่าแต่ก่อน ก็คงจะดีขึ้นเรื่อย ๆ
จงอย่าเพิกเฉยต่อภูมิปัญญาของพวกเขาเชียว แม้นจะอ่านหนังสือไม่ออก แต่พวกเขาก็มีประสบการณ์มากมายที่ได้รับจากการใช้ชีวิต
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เป็นผู้รู้ในทุกเรื่อง สิ่งเหล่านี้ไม่ตรงตามตำราที่เขาร่ำเรียนมา แม้แต่การสังหารที่เขาฝึกฝนมาอย่างดีนั้น บัดนี้ก็คล้ายกับลืมไปเสียหมดแล้ว
ดังนั้นวิธีที่ฟู่เสี่ยวกวนใช้ปฏิบัติคือการร่างโครงสร้าง จากนั้นก็ให้พวกเขาไปทดลองทำกันเอาเอง ส่วนตัวเขาก็พยายามรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น หากมีความคิดที่ดีเป็นประโยชน์ก็จะได้รับรางวัล อย่างไรเสียเงินทองที่เรือนก็มีมากจนนับไม่ถ้วน หยิบมาใช้จ่ายในส่วนนี้บ้างบางส่วนก็ไม่มีผลกระทบอันใด เขาช่างใจกว้างยิ่งนัก
ฟู่ต้ากวนมองเห็นเงินในบ้านไหลสู่เรือนซีซานราวกับสายน้ำ ในใจเขากลับมิได้เกิดความขุ่นเคืองแต่อย่างใด อีกทั้งยังดีใจเสียอีก เพราะเหตุใดกันเล่า?คงเป็นเพราะเงินเหล่านี้ยังไม่มากเท่ากับปีก่อน ๆ ที่ฟู่เสี่ยวกวนนำไปใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย
ก่อนหน้านี้เขาใช้เงินทองราวกับโยนลงแม่น้ำและจมหายลงไปในพริบตา แต่บัดนี้เงินทองที่ใช้จ่ายออกไปกลับกลายเป็นสิ่งของที่จับต้องได้
นอกจากนี้เขายังได้รับรายงานจากเรือนซีซานเช่นเดียวกัน แม้จะไม่เข้าใจว่าบุตรชายกำลังทำการอันใดอยู่ แต่เขารู้สึกได้อย่างน่าอัศจรรย์ว่าบุตรชายของเขากำลังทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่นัก
ก่อนหน้านี้ฉีซื่อเคยเอ่ยปากบ่นเล็กน้อย แต่กลับถูกฟู่ต้ากวนต่อว่าเสียจนไม่กล้าปริปากเอ่ยอันใดออกมาอีก ท้องของนางโตขึ้นทุกวัน สิ่งที่นางควรทำในตอนนี้คือพักผ่อนให้มาก รอวันที่ลูกน้อยออกมาลืมตาดูโลกว่าจะเป็นหญิงหรือชาย
เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้กว่าครึ่งเดือน
ดินเหนียวจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว อยู่ที่บริเวณทะเลสาบหมู่บ้านจิ้งหู
เป็นหญิงสาวนามว่าตู้เสี่ยวเจวียนค้นพบสถานที่นี้ นับว่าเป็นโชคดีของนางไม่น้อย
แม่นางตู้พาน้องชายไปจับปลาที่ทะเลสาบ น้องชายจอมซนเล่นน้ำโดยไม่ระวังจึงทำให้ลื่นไถล ตู้เสี่ยวเจวียนเห็นดังนั้นจึงรีบคว้ามือของน้องชายขึ้นมา ก่อนจะพบว่ามือของเขาเต็มไปด้วยโคลนที่เป็นดินเหนียวสีแดง
ตู้เสี่ยวเจวียนให้น้องชายนั่งผึ่งแดดอยู่ชั่วครู่ ดินนั้นจึงค่อย ๆ แห้งลง เมื่อนางนำมาจับดูก็พบว่ามีลักษณะเหนียวนุ่ม นางจึงนึกถึงคำที่เล่าสู่กันมาจากซีซาน ไม่ทราบว่าสิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่คุณชายตามหา หรือสามารถทำประโยชน์แก่คุณชายได้หรือไม่ อย่างไรเสียเจ้าสิ่งนี้ก็มีสีแดงและเหนียวตรงตามลักษณะที่ได้ยินมา ดังนั้นนางจึงแบกน้องชายมายังเรือนซีซาน เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเห็นเข้าก็มั่นใจว่าสิ่งนี้ก็คือดินเหนียวที่เขาต้องการ
สำหรับเงินรางวัลที่ตู้เสี่ยวเจวียนได้รับนั้นคือเงินจำนวน 50 ตำลึง เงินจำนวนมากมายเพียงนี้ทำให้ตู้เสี่ยวเจวียนตาลายเสียจนแทบเป็นลม ท้ายสุดจึงต้องให้ผู้เป็นบิดาของนางเดินทางมารับ
บิดาของตู้เสี่ยวเจวียนมีอาชีพตกปลา เขามีพื้นที่เพาะปลูกอีก 10 หมู่ สมาชิกในบ้านยังมีมารดาที่แก่ชราและภรรยาที่ป่วยรักษาไม่หายมาหลายปี ครอบครัวเขาอยู่กันอย่างลำเค็ญ นอกเหนือจากตู้ซิ่งแล้วก็ไม่มีผู้ใดสามารถทำงานได้
ก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้เดินทางมายังซีซานและรับเมล็ดพันธุ์กลับไปเป็นจำนวนมาก เนื่องจากภรรยาของเขาไม่สามารถทำงานใช้แรงได้ รอจนดอกไม้เหล่านี้โตขึ้นและได้ผลผลิตที่ดี ก็สามารถนำไปขายที่ซีซานแลกเป็นเงินได้
คาดไม่ถึงว่าที่ใต้ทะเลสาบจิ้งหูนั้นจะมีดินเหนียวอยู่ หรืออาจจะมีคนรู้ว่ามี แต่กลับไม่รู้ว่าสิ่งนี้คือสิ่งที่คุณชายต้องการ
นี่คือโชคชะตา ชีวิตของตระกูลตู้ได้เปลี่ยนไปเนื่องจากโชคชะตานี้
พวกเขาไม่เพียงแต่ได้รับเงินรางวัล 50 ตำลึง อีกทั้งฟู่เสี่ยวกวนได้มอบหมายหน้าที่ขุดดินเหนียวนี้แก่ตู้ซิ่งด้วย
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะใช้วิธีการใดในการขุดมันขึ้นมา แม้ว่าจะดูดน้ำในทะเลสาบนั้นจนแห้งก็ย่อมได้ เพียงแต่เจ้าต้องนำดินเหนียวที่อยู่ข้างใต้นั้นออกมาให้ได้แล้วส่งไปยังเรือนซีซาน ต้องการกำลังคนเท่าใด รถม้าเท่าใดหรือเงินเท่าใด เจ้าจงไปบอกกับผู้ดูแลจาง ส่วนเรื่องพื้นที่เพาะปลูก 10 หมู่ของเจ้านั้น จงไปจ้างวานผู้อื่นมาเก็บเกี่ยว ค่าใช้จ่ายนั้นข้าจะเป็นผู้รับผิดชอบให้เอง จงตั้งมั่นในการนำดินเหนียวนี้ขึ้นมาให้ได้”
นี่คือวิธีที่ฟู่เสี่ยวกวนใช้ในการดำเนินงาน ไม่อ้อมค้อมและเด็ดขาด แต่กลับได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งอย่างน่าอัศจรรย์
มีช่องทางการทำมาหากินอีกทั้งยังหาได้ง่ายดายนัก ใครเล่าจะไม่อยากทำ
ตู้ซิ่งไม่ได้ทำให้น้ำในทะเลสาบนั้นแห้งเหือด เขาใช้วิธีการสร้างเขื่อนล้อม เรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนให้เขาเป็นคนจัดการ หลังจากฟู่เสี่ยวกวนได้รับรู้ถึงวิธีการของเขาก็ไม่ได้ซักถามอันใดมากมาย เพียงแต่รู้สึกชื่นชมในภูมิปัญญาเสียมากกว่า
……
……
ค่ำคืนดำเนินมากว่าครึ่ง อากาศยังคงเยือกเย็น ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะเขียนหนังสือบนชั้นสองของเรือน ครุ่นคิดเรื่องต่าง ๆ นานา
ในมือของเขาถือถ่านอยู่ในมือแท่งหนึ่ง เป็นปากกาที่ทำจากแท่งถ่าน เขาเหลามันอยู่นานทีเดียว เนื่องจากเขาต้องการร่างโครงร่างสิ่งก่อสร้างต่าง ๆ แต่พู่กันไม่สามารถตอบสนองความต้องการของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงใช้แท่งถ่านแทนปากกา
ข้างตู้หนังสือมีกระดาษที่ร่างโครงไว้เรียบร้อยแล้ว มีทั้งวิธีการสร้างสบู่ น้ำหอม สุรา อีกทั้งวิธีการทำกระดาษและโครงสร้างตึกสามชั้นอีกด้วย
บัดนี้เขาต้องการวาดศูนย์การวิจัยและพัฒนาอาวุธปืน นี่คือเป้าหมายสูงสุดของเขาในปัจจุบัน อีกทั้งหัวข้อใจกลางของการวิจัยนี้เน้นไปที่อาวุธปืนเสียส่วนมาก
แต่ทว่าเขาต้องการอุปกรณ์ที่ใช้ในการวิจัยนั่นก็คือวัสดุเคมี อีกทั้งเครื่องมือที่มีความแม่นยำต่าง ๆ สิ่งเหล่านี้สร้างความลำบากใจแก่เขายิ่งนัก เนื่องจากเขายังคิดไม่ออกว่าควรจะเริ่มจากจุดใด
ซูม่อเองก็นั่งอยู่ในห้องหนังสือเช่นกัน เขากำลังมองดูบรรดาโครงร่างเหล่านั้น แม้รูปภาพจะถูกวาดออกมาอย่างไม่น่ามองนัก แต่ก็มีอัตราส่วนที่ได้มาตรฐานยิ่งนัก นั่นหมายความว่าแม้ช่างก่อสร้างจะอ่านหนังสือไม่ออก แต่ก็สามารถมองดูภาพนี้และสร้างสิ่งก่อสร้างขึ้นมาตามแบบฉบับได้นั่นเอง
ซูม่อมองไปยังด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวนที่นั่งอยู่ ภายในใจของเขาคิดว่าเหตุใดชายผู้นี้ช่างรอบรู้ และทำทุกอย่างได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้กัน?
เขาหยิบหนังสือออกมาจากเสื้อแล้วโยนไปที่ฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นเขาจึงหันหลังจากไป
คัมภีร์ทะยานบันไดเมฆา!
ตอนที่ 37 งานประชุมครั้งแรกที่ซีชาน
ศักราชเซวียนลี่ที่8 เดือนเจ็ด วันที่ห้า อากาศแจ่มใส
ลานภายในเรือนซีชานมีคนนั่งอยู่ 30 คน
หนึ่งในนั้นมีอี้หยู่พ่อบ้านที่ดูแลเรื่องต่าง ๆ ของจวนฟู่ที่มาจากหลินเจียง และจางเช่อพ่อบ้านของเรือนซีชานอีกด้วย หลังจากนั้นก็มีอาจารย์หลิวผู้รับผิดชอบการกลั่นสุรา เฟิ๋งหล่าวซื่อผู้รับผิดชอบขุดหินปูนเทา รวมไปถึงหวางเอ้อและหวางเฉียงผู้รับผิดชอบการค้นหาป้ายจึ และคนอื่น ๆ อีกหลายสิบคน
เวทีเรียบง่ายถูกสร้างขึ้นใต้เงาของต้นไม้ใหญ่ภายในจวน ฟู่เสี่ยวกวนในยามนี้ยืนอยู่บนเวที สองข้างของเขาถูกขนาบด้วยอี้หยู่และจางเช่อที่นั่งอยู่ เบื้องหน้าของทั้งสองนั้นมีโต๊ะหนังสือตัวเล็กคนละตัว บนโต๊ะมีพู่กัน แท่นหมึก กระดาษและหินสำหรับฝนหมึก
บรรยากาศหนักอึ้งเล็กน้อย เพราะผู้ที่นั่งอยู่เบื้องล่างนั้นต่างก็เป็นนายช่างและเกษตรกร พวกเขามิเคยเจอสถานการณ์เยี่ยงนี้มาก่อน มิรู้ว่าที่คุณชายออกมาประกาศเยี่ยงนี้ต้องการจะทำสิ่งใดกันแน่
ฟู่เสี่ยวกวนที่อยู่บนเวทีก้าวออกมาด้านหน้าสองก้าว และกล่าวว่า “ในวันนี้ที่ข้าเชิญทุกท่านมา ก็เพราะครั้งนี้เป็นการประชุมครั้งแรกที่มีความสำคัญของเรือนซีชานของพวกเรา ทุกท่านต้องตั้งใจฟังอย่างจริงจัง พ่อบ้านอี้และพ่อบ้านจางต้องจดบันทึกจุดสำคัญที่ข้าได้กล่าวเอาไว้ทั้งหมด เพื่อที่จะได้ส่งให้กับทุกคนในภายหลัง หากพวกเขามิรู้จักตัวอักษร พวกเขาทั้งสองจะรับผิดชอบอธิบายให้พวกเจ้าฟัง จวบจนกระทั่งพวกเจ้านั้นจะเข้าใจอย่างชัดเจน”
ประชุมอย่างนั้นหรือ ?
เหมือนกับการเกณฑ์ทหารของทางราชสำนักหรือไม่?
มิต้องกล่าวถึงบุคคลที่อยู่เบื้องล่าง แม้แต่อี้หยู่และจางเช่อ ก็มิเคยมีประสบการณ์เยี่ยงนี้เช่นกัน ดังนั้นทุกคนจึงรู้สึกถึงความสดใหม่เป็นอย่างมาก ทั้งยังกดดันอย่างยิ่ง เพราะท่าทางยามเอ่ยกล่าวของคุณชายฟู่นั้นดูเคร่งเครียดอย่างยิ่ง จึงพาลทำให้บรรยากาศดูเคร่งเครียดตามไปด้วย
เบื้องล่างเวทีสงบนิ่งอย่างยิ่ง ทุกคนต่างตั้งใจฟังกันอย่างจริงจัง
ซูม่อยืนอยู่ที่ชั้นสองภายในจวน เขาเองก็ตั้งใจฟังเช่นกัน มิรู้ว่าฟู่เสี่ยวกวนจะออกลูกไม้เยี่ยงใดมาอีก
“พื้นที่ขนาดใหญ่ด้านนอกเรือนนั้น ทุกคนต่างก็เห็นกันถ้วนหน้า ในตอนนี้พื้นที่ตรงนั้นเป็นพื้นที่ราบเรียบ มิมีสิ่งใดอยู่ด้านบนนั้น แต่ต่อจากนี้ พวกเจ้าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ส่วนนั้นที่จะพลิกฟ้าคว่ำดินอย่างแน่แท้”
“ข้าจะสร้างอาคารค้นคว้าหนึ่งหลัง ณ ที่ตรงนั้น และจะมีผู้เชี่ยวชาญรวมไปถึงผู้มีพรสวรรค์อีกมากมายมาค้นคว้าสิ่งที่ล้ำยุคที่สุด ณ ที่นั้น ข้ายังจะสร้างโรงงานขนาดใหญ่อีกหลายหลัง ณ ที่แห่งนั้น สิ่งที่สวยงามจะถูกผลิตขึ้นภายใต้อาคารเหล่านั้น”
“ข้าต้องการแจ้งกับทุกท่านหนึ่งเรื่อง จวนฟู่ได้ถูกรับเลือกให้เป็นพ่อค้าหลวง สิ่งของที่พวกเราตระกูลฟู่ผลิตออกมาทั้งหมด จะต้องส่งมอบให้องค์จักรพรรดิและขุนนางระดับสูง ในยามนี้ ข้าขอยกย่องอาจารย์หลิวผู้กลั่นสุรา การสั่งซื้อยอดสุราซีซานจากทางวังหลวงมาถึงแล้ว พวกเจ้านั้นมีส่วนร่วมทำให้ข้าประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ประเดี๋ยวข้าจะมอบเงิน 300 อีแปะให้กับคนงานในร้านสุราทุกท่าน อาจารย์หลิว 3,000 อีแปะ อาจารย์ท่านอื่นได้คนละ 1,500 อีแปะ”
ตูม…
ทันใดนั้นฝูงชนก็ระเบิดในทันที
มิมีผู้ใดเข้าใจสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนพูด แต่เรื่องของเงินนั้นพวกเขาเข้าใจดีเป็นอย่างยิ่ง
ทุกคนต่างหันมองอาจารย์หลิว อาจารย์หลิวเองก็มิได้ล่วงรู้มาก่อน ในยามนี้เขาจึงดูตกตะลึงเป็นอย่างมาก คุณชายจะให้รางวัลแก่ข้าอย่างนั้นหรือ?
แต่สุรานี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการคิดค้นของคุณชาย?
นั่นเป็นไปไม่ได้!
อาจารย์หลิวลุกขึ้นยืน กลุ่มคนเงียบสงบทันพลัน ฟู่เสี่ยวกวนมองเขาด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ
“ข้าน้อยมีความละอายแก่ใจ สุรานี้คุณชายเป็นผู้คิดค้น ข้าน้อยมิกล้าแย่งชิงคุณงามความดีนี้หรอกขอรับ”
“ไม่ ! สุรานี้มีข้าเป็นผู้เสนอนั้นมิผิด แต่ผู้ดำเนินงานนั้นคือเจ้า แต่วิธีการปรับปรุงอีกมากมายในภายหลังนั้นก็เป็นความคิดของพวกเจ้า คุณงามความดีนี้ ข้ามิอาจมองข้ามได้ แน่นอนว่าย่อมได้รับรางวัล แต่ข้าก็ขอทิ้งคำพูดไว้ตรงนี้ด้วยว่า หากทำผิดก็จะได้รับโทษ หากมีผู้ใดกล้าเผยความลับซีชานของข้าออกไป…”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนได้หายไป ทันใดนั้นจิตสังหารก็ระเบิดออก แม้แต่ซูม่อก็ขมวดคิ้วในทันพลัน
คนที่อยู่ ณ ที่นี้ต่างตกตะลึง อากาศในเดือนเจ็ด แต่กลับรู้สึกหนาวสั่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“ข้าจะสังหารคนที่ได้แพร่งพรายความลับออกไป!”
จิตสังหารถูกเก็บไป รอยยิ้มบนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวนกลับขึ้นมาอีกครา ราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิ เพียงเมื่อครู่นั้น ราวกับความฝัน
เขานั้นเคยสังหารคนอย่างแท้จริง ซูม่อตัดสินไว้เยี่ยงนั้น
“เชิญอาจารย์หลิวนั่ง นอกจากนี้ผู้ที่สมควรได้รับรางวัลก็คือเฟิ๋งหล่าวซื่อ เขาช่วยข้าหาหินปูนเทาจนเจอ ในยามนี้ก็ได้กำลังทำการขุดหาอยู่ในถ้ำ เรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าจึงจะมอบรางวัลให้แก่เฟิ๋งหล่าวซื่อเป็นเงิน 5,000 อีแปะ พ่อบ้านทั้งสองจงจดเรื่องนี้ลงไปด้วย พอถึงเวลาสลายตัวก็นำเงินมาแจกจ่ายเสีย”
ฝูงชนแตกตื่นอีกครา ทำงานให้กับคุณชาย กลับกลายเป็นเยี่ยงนี้นี่เอง !
5,000 อีแปะ ก็เท่ากับ 5 ตำลึงเงิน
สายตาของทุกคนที่มองไปทางฟู่เสี่ยวกวนแปรเปลี่ยนเป็นความกระตือรือร้น ยามนี้ ฟู่เสี่ยวกวนในสายตาของพวกเขามีประกายของเงินสะท้อนออกมา!
“ต่อมาข้ามีหน้าที่ให้พวกท่านรับผิดชอบอีกหลายประการ ประการแรก ข้าต้องการตามหาดินเหนียวประเภทหนึ่ง สิ่งนี้จะมีสีแดงไม่ก็สีน้ำตาล ส่วนมากจะอยู่ริมแม่น้ำ แน่นอนว่าอาจจะอยู่ที่อื่นด้วยก็เป็นได้”
“ประการที่สอง ข้าต้องการอิฐกระเบื้องเป็นจำนวนมาก ข้าจำได้ว่าอาจารย์ถังที่อยู่ที่นี่เป็นช่างอิฐ เรื่องนี้มอบให้เป็นหน้าที่ของท่าน”
“ประการที่สาม บ้านของพวกเจ้ามีสตรี ให้ปลูกดอกไม้ภายในเรือนของตนเองหรือที่ไหล่เขา ข้าต้องการดอกไม้จำนวนมาก รอจนกระทั่งถึงช่วงที่ดอกไม้บานก็ให้เด็ดแล้วนำมาส่งที่เรือนของข้า ดอกไม้สด 1 ชั่งข้าให้ราคา 100 อีแปะ”
เบื้องล่างแตกตื่นขึ้นอีกครา นี่คุ้มค่ากว่าการปลูกธัญพืชมากโข ไม่ต้องใช้ทุ่งนา เพียงแค่ใช้เวลาว่างและรอสักประเดี๋ยวก็ได้รับเงินแล้ว ทุกคนต่างเต็มใจปลูกกันเป็นแน่
“ประเดี๋ยวผู้ที่เต็มใจจะปลูก ให้ไปรับเมล็ดพันธุ์ที่พ่อบ้านจาง หลังจากที่กลับไปแล้วก็บอกกับชาวบ้านเสียหน่อย ข้าหวังว่าหมู่บ้านเสี้ยชุนของพวกเราจะเต็มไปด้วยดอกไม้”
“ประการที่สี่ ข้าต้องการสร้างกังหันน้ำขนาดใหญ่ อย่างน้อยก็ต้องใหญ่กว่าในตอนนี้ห้าเท่า เรื่องนี้มอบหมายให้โจวเจิ้ง เจ้าเป็นช่างไม้ที่มีฝีมือเป็นอย่างมาก”
“ประการที่ห้า เฟิ๋งหล่าวซื่อ ข้าจะมอบหมายหน้าที่ให้เจ้าอีกหนึ่งอย่าง ข้าต้องการแร่เหล็ก ข้าต้องการให้เจ้าช่วยหาหินแร่เหล็กมาให้ข้าให้มากที่สุด”
“ประการที่หก…”
“…..”
มิมีผู้ใดรู้ว่าความต้องการที่ยาวเหยียดของฟู่เสี่ยวกวนนั้นมีไว้เพื่อการใด
แต่ทุกคนต่างรู้ว่าเพียงทำตามคำพูดของคุณชายฟู่ หากทำจนสำเร็จแล้ว ก็จะได้รับเงิน อีกทั้งยังเป็นเงินก้อนใหญ่เสียด้วย
ดังนั้นทุกคนจึงตามอี้หยู่และจางเช่อออกไปนอกเรือน พวกเขารับผิดชอบหน้าที่อธิบายให้กับพวกกำลังพล นี่ไม่ใช่งานที่ง่ายนัก เกษตรกรขาเปื้อนโคลนเหล่านี้แทบจะไม่เคยศึกษาตำรากันทั้งสิ้น มีหลายสิ่งที่พวกเขาฟังมิเข้าใจ ดังนั้นทั้งสองจึงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน เกือบจะเป็นการเปิดประชุมเพื่ออธิบายครั้งที่สอง
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็เศร้าใจเช่นกันที่ไม่ได้เตรียมการที่ดี ในยามนี้เขาจึงพักผ่อนในที่ที่เงียบสงบที่สุด คิดใคร่ครวญกลับไปอย่างรอบคอบ ยังมีจุดที่ตกหล่นอีกมากมาย ค่อยเสริมเอาในภายหลังแล้วกัน
เขาเอนนอนอยู่บนเก้าอี้อาบแดดและดื่มซุปหยางเหมยเย็น ๆ หลังจากนั้นซูม่อก็เดินเข้ามา
“ท่านต้องการทำสิ่งใดกันแน่?”
“ให้พวกเขาได้มีชีวิตที่ดีขึ้นอีกสักเล็กน้อย”
“แน่นอน หากมีคนรู้จักอักษรเพิ่มขึ้นมาอีกนิดเดียวก็ยังดี”
นี่เป็นครั้งแรกที่ซูม่อเริ่มพูดคุยกับฟู่เสี่ยวกวนก่อน เขาเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “ที่ท่านหาดินประสิวและกำมะถันกลั่นก็เพื่อให้ชีวิตของพวกเขามีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเช่นกันอย่างนั้นหรือ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง ก่อนจะกล่าวยิ้ม ๆ “สิ่งนี้มีประโยชน์อย่างใหญ่หลวง เช่นถ้าต้องการเปิดภูเขา ก็ต้องใช้แรงงานคนมาขุด ซึ่งจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากยิ่งนัก หากมีวัตถุระเบิดเรื่องจะง่ายขึ้นอีกเป็นกอง”
ซูม่อคิ้วขมวด “แล้วแร่เหล็กเล่า? เหมืองเหล็กเป็นสิ่งที่ราชสำนักเป็นผู้ควบคุม ท่านกล้าทำอย่างนั้นรึ?”
ฟู่เสี่ยวกวนยังมิได้ตระหนักถึงปัญหานี้อย่างแท้จริง ความจริงคือเขามิรู้ว่าสิ่งใดมีการควบคุมอยู่ แต่เขาจำเป็นต้องใช้แร่เหล็กจริง ๆ จะทำเยี่ยงไรดี?
“แล้วต้องทำเยี่ยงไรจึงจะขุดได้?”
“ท่านต้องมีเอกสารอนุมัติจากทางราชสำนัก”
ครุ่นคิด แล้วเขาจึงกล่าวกับชุนซิ่ว “ซิ่วเอ๋อร์ ฝนหมึก”
ฟู่เสี่ยวกวนเขียนจดหมายถึงบิดาของเขา ฟู่ต้ากวน หนึ่งฉบับ และส่งมอบเรื่องเอกสารอนุมัติให้แก่ฟู่ต้ากวน
หากฟู่ต้ากวนจัดการมิได้ เขาคงต้องลองไปหาต่งชูหลาน ทางที่ดีที่สุดเรื่องนี้จำต้องจบที่หลินเจียงให้จงได้
ตอนที่ 36 หนุ่มน้อยกลางคันนา
ท้องฟ้าสีครามไม่มีแม้แต่ก้อนเมฆสีขาวเลยสักก้อน
แม้เวลาบ่ายคล้อยที่ดวงอาทิตย์เอนเอียงไปยังทิศตะวันตกแล้ว แต่ความร้อนที่แผ่กระจายไปทั่วนั้นหาได้ลดลงไม่
“เจ้าควรกางร่มเสียหน่อย มิเช่นนั้นอาจถูกแดดแผดเผาเสียจนผิวไหม้เอาได้”
“คุณชายเองยังไม่กางร่ม ข้าน้อยเป็นเพียงบ่าวจักบังอาจได้อย่างไร?”
“ข้ากับเจ้านั้นแตกต่างกัน ข้าเป็นชายหากผิวคล้ำบ้างสักเล็กน้อย ยิ่งเพิ่มความน่าสนใจและมีความเป็นชายเพิ่มมากขึ้น หากแต่เจ้า ถ้าถูกแดดเผาเสียดำคล้ำ ต่อไปจะหาคู่ครองได้อย่างไร?”
ชุนซิ่วจากเดิมที่ถูกแดดเผาเสียจนหน้าแดง บัดนี้หน้าของนางได้แดงระเรื่อขึ้นอีก “ข้ามิอยากออกเรือน ข้าต้องการปรนนิบัติรับใช้คุณชายและฮูหยินตลอดชีวิต”
“เจ้าอย่าทำเป็นเอ่ยส่งเดชไป หากเจ้ารู้สึกชอบพอใครจงบอกข้ามา ไม่ว่าจักเป็นผู้ใด ข้าจะเป็นผู้ดำเนินการให้เจ้าเอง”
……
……
ซูม่อแอบฟังด้วยความสนใจ บัดนี้เขารู้แล้วว่าชายหนุ่มผู้นี้แตกต่างจากผู้คนทั่วไป
หากเขารู้แต่แรกว่าจะเป็นเยี่ยงนี้ เขาคงไม่ต่อสู้กับไป๋ยู่เหลียนให้เสียเวลา
เมื่อได้กลับมายังท้องทุ่งนาอีกครั้ง ฟู่เสี่ยวกวนช่างมีความสุขยิ่งนัก คล้ายกับได้ย้อนกลับมาใช้ชีวิตวัยเด็กที่หมู่บ้านเล็ก ๆ ในชาติก่อน กลับไปยังยุคสมัยที่สามารถปล่อยให้วัว หมูและเป็ดไก่ออกหากินได้ตามธรรมชาติ
เขาดีใจเสียจนอดไม่ได้ที่จะฮัมเพลงออกมา
เดินอยู่บนถนนในชนบท
มีวัวแก่เป็นเพื่อนร่วมทางของข้า
ท้องฟ้าสีครามเมฆสีขาวผ่องสว่างอยู่กลางทรวง
ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า สีสันสดใสราวสายรุ้ง
……
……
ซูม่อและชุนซิ่วไม่เข้าใจในทำนองที่เขาเอ่ยร้องออกมา แต่……เนื้อหาช่างไพเราะยิ่งนัก ชุนซิ่วที่เดินนำหน้าคุณชายภายในใจนางยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ซูม่อมองดูชายหนุ่มที่เดินอยู่ด้านหน้าแล้วจึงปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าเขาขึ้นเป็นครั้งแรก
ข้างคันนามีชาวนาบางคนถือถังปุ๋ยคอกอยู่ในมือ บางคนกำลังตรวจดูต้นกล้าของพวกเขา บางคนกำลังรดน้ำปุ๋ยคอกในแปลงที่ตนดูแลอยู่
ใกล้จะออกดอกแล้ว ช่วงเวลานี้ต้นข้าวต้องการปุ๋ยบำรุงมากยิ่งนัก
บัดนี้หวางเอ้อและหวางเฉียงบุตรชายของเขาอยู่ในทุ่งนาด้วย พวกเขาเงยหน้าขึ้นมา และพบว่าผู้ที่อยู่กลางคันนานั้นคือนายน้อยของพวกเขานั่นเอง
“คุณชายมาได้อย่างไรกัน?รีบขึ้นไปเสียเถิด”
หวางเอ้อและหวางเฉียงเร่งรีบขึ้นมาจากท้องนาเสียจนไม่ได้ดูว่าร่างกายยังคงเต็มไปด้วยดินโคลน
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเห็นพวกเขาจึงได้โบกมือทักทาย
หวางเฉียงดีใจยิ่งนัก เขานั้นมักกล่าวกับบิดาของตนว่าคุณชายผู้นี้ไม่เหมือนกับคนทั่วไป บัดนี้เขายิ่งเพิ่มความมั่นใจกับความคิดของเขายิ่งนัก
ดังนั้นเขาจึงถอดหมวกฟางออกแล้วโบกมันไว้ในมือและตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “คุณชายน้อย คุณชายน้อยมาเยี่ยมพวกเราด้วยละ”
บรรดาชาวนาเหล่านั้นจึงได้ยืดหลังขึ้นตรง และมองมายังชายหนุ่มที่เดินอยู่บนคันนา
คุณชาย?
เขาเป็นผู้สูงส่งยิ่งนัก!
เหตุใดจึงมายังที่สกปรกและเต็มไปด้วยดินโคลนเพื่อมาดูพวกเรากัน!
“เป็นคุณชายจริง ๆ เมื่อครู่ข้าเองเพิ่งได้พบเจอเขา เขานั้นช่างไม่เหมือนผู้ใดเสียจริง” จ้าวอีซานหนึ่งในเกษตรที่เคยเดินทางไปเรือนซีซานเอ่ยขึ้น
ทุกคนล้วนประหลาดใจยิ่งนัก ไม่รู้ว่าคุณชายผู้สูงส่งตากแดดมายังที่แห่งนี้เพื่อเหตุอันใด
หวางเอ้อรีบล้างไม้ล้างมือ เขายืนถือกาน้ำชาแล้วลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่ฟู่เสี่ยวกวนได้เดินมาถึงตัวเขาเสียก่อน
“ไม่มีอะไรมาก ข้าแค่แวะมาดูเท่านั้น ที่จริง……” ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยออกไปว่าแท้จริงแล้วตัวเขาเองก็อยากมาดูแลต้นพืชเหล่านี้ด้วยตนเอง เขาเพียงเอ่ยออกไปว่า “ดูจากการเจริญเติบโตแล้วไม่เลวทีเดียว แต่ต้นกล้าคล้ายกับแน่นชิดไปเล็กน้อย”
หวางเอ้อไม่เข้าใจเท่าไรนักว่าต้นกล้าคือสิ่งใด แต่ความหมายโดยรวมนั้นเขาเข้าใจมันดี
“หากระยะห่างมากกว่านี้ แต่ละต้นจะให้ผลผลิตที่น้อยลง แต่หากนับจากผลผลิตทั้งหมดอาจลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นขอรับ”
“อืม ตอนนี้ใช้หลักการเพาะปลูกจากประสบการณ์ของพวกเจ้าไปก่อน”
คำว่าตอนนี้ของเขานั้น หวางเอ้อมิได้ใส่ใจ เขาชี้ไปยังท้องนาแล้วกล่าวว่า “ผลผลิตในปีนี้ดียิ่งนัก คาดว่าหนึ่งหมู่จักได้ผลผลิตมากกว่าปีที่แล้วถึงหนึ่งส่วน”
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงที่ขอบคันนา ชุนซิ่วตกใจเสียยกใหญ่ ซูม่อเองก็เช่นกัน ส่วนหวางเอ้อและหวางเฉียงนั้นยิ่งมิต้องเอ่ยถึง
“พวกเจ้าทำการเพาะปลูกไปกี่หมู่แล้ว?”
หวางเอ้อและหวางเฉียงนั่งลงตามฟู่เสี่ยวกวน แล้วตอบว่า “ทั้งบ้านข้าปลูกแล้ว 32 หมู่ มีผู้ช่วยเพาะปลูกทั้งสิ้น 4 คน ภรรยาข้านั้นมีความสามารถยิ่งนัก อีกทั้งลูกชายคนที่สองเมื่อไม่นานมานี้ช่างไม้เฝิงได้รับคำสั่งจากคุณชายให้คัดหาคนงานจำนวนหนึ่งไปทำงานยังภูเขา ข้าเองลองคิดดูว่าทางนี้ไม่ได้ยุ่งสักเท่าไหร่ จึงให้ลูกชายคนที่สองออกไปทำงาน ได้รับค่าจ้างวันละ 20 อีแปะ ช่างคุ้มค่ายิ่งนัก ทั้งหมดนี้เป็นเพราะคุณชายท่านมีความกรุณา”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มขึ้นแล้วเอ่ยถามว่า “นาเหล่านี้ผลผลิตแต่ละปีเป็นเยี่ยงไร?แต่ละปีเหลือผลผลิตให้พวกเจ้าเท่าไหร่?”
หวางเอ้อครุ่นคิดชั่วครู่ เขากำลังจะวางแก้วลง แต่กลับถูกฟู่เสี่ยวกวนรับไปดื่ม สีหน้าของเขามิได้มีสิ่งใดแปลกไป
หวางเอ้อตกตะลึง เขาคำนวณอยู่ในใจแล้วเอ่ยว่า “ในปีนี้ข้าวสาลีมีผลผลิตดีทีเดียว 1 หมู่ได้ผลผลิตประมาณ 140 ชั่ง ส่วนธัญพืชนั้นในปีกลายหนึ่งหมู่มีผลผลิตประมาณ 220 ชั่ง ในปีนี้คาดว่าจะได้ถึง 260 หรือ 280 ชั่งทีเดียว”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบแก้วขึ้นมาแล้วดื่มอีกคำหนึ่ง เขากำลังคำนวณอยู่ในใจ
บิดาของเขาบอกว่าจะได้ส่วนแบ่งในอัตรา 2 ส่วน หวางเอ้อมีข้าวสาลี 1,400 ชั่ง สองส่วนนั้นก็เท่ากับ 280 ชั่ง
หากนับตามผลผลิตในปีกลาย หวางเอ้อได้ผลผลิตธัญพืช 7,000 ชั่ง สองส่วนก็เท่ากับ 1,400 ชั่ง หากเป็นเช่นนี้ก็นับว่าเพียงพอต่อการกิน
“ขายไปเท่าไร?”
“ข้าวสาลีนั้นโดยมากเก็บเอาไว้ ส่วนธัญพืชขายไปกว่าครึ่ง เนื่องจากต้องมีเงินเก็บไว้ใช้ในยามคับขันจำนวนหนึ่ง ลูกชายทั้งสองถึงวัยต้องมีภรรยา อีกทั้งบ้านของข้านั้นต้องปรับปรุงเพิ่มเติม ข้าจักต้องสร้างบ้านให้ลูกชายคนโตเสียก่อน เนื่องจากเขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะสู่ขอลูกสาวบ้านตระกูลจางที่ชุนตงโถว ปลายปีนี้จะจัดพิธีแต่งงานขึ้น จากนั้นค่อยเริ่มเก็บเงินเสียใหม่ ลูกชายคนเล็กก็อายุได้ 16 ปีแล้ว อีก 2 ปีก็ควรมีครอบครัวเช่นกัน”
“เช่นนั้นพวกท่านมีอาหารพอกินกันหรือไม่?”
“ภรรยาข้านั้นจัดการดูแลได้ดียิ่งนัก นางใช้พื้นที่เล็กน้อยข้างเรือน เมื่อถึงฤดูกาลก็จะทำการเพาะปลูกข้าวฟ่าง ฟักทอง หัวไชเท้าและผักอื่น ๆ อีกทั้งเลี้ยงหมูสองตัวกับเป็ดไก่ พวกข้ามีชีวิตการกินอยู่ดีกว่าแต่ก่อนมากเสียจริง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะบุญบารมีของคุณชายโดยแท้ ที่ทำให้พวกข้าได้ลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้”
ซูม่อมองดูอาทิตย์ตกดินและเงาของชายหนุ่มผู้นั้น หากเปรียบผืนนาแห่งนี้เป็นผืนผ้า คงเป็นภาพวาดที่งดงามเสียจริง ภาพของชายหนุ่มที่มิได้นิ่งเฉย แต่มีความกระตือรือร้น หลอมรวมไปกับรูปภาพนี้โดยไม่ถือตัวระหว่างตนกับชาวนา
จากนั้นทั้งสองได้พูดคุยถึงเรื่องราวต่าง ๆ อีกมากมาย ฟู่เสี่ยวกวนรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจยิ่ง เมื่อครั้นแยกจากกัน ฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยว่า ยามที่หวางเฉียงแต่งภรรยาให้ส่งข่าวไปยังเขาด้วย หากตัวเขามิได้อยู่ที่เรือนซีซานก็จงให้ผู้ดูแลจางส่งจดหมายไปถึงเขา
หวางเฉียงนั้นดีใจยิ่งนัก เพียงแต่หวางเอ้อรู้สึกว่าคุณชายผู้สูงส่งมิควรเดินทางมาร่วมงานเลี้ยงต่ำต้อยร่วมกับพวกเขา
คุณชายคือผู้จัดการเรื่องใหญ่โต เรื่องเล็กน้อยในครอบครัวเช่นนี้ เขามิควรนำมันมาใส่ใจ
เมื่อลุกขึ้นจึงใช้มือปัดดินโคลนที่ติดตามเสื้อผ้า จากนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงเอ่ยลาสองพ่อลูก อีกทั้งโบกมืออำลาชาวนาคนอื่น ๆ แล้วเดินไปยังเรือน
ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เงาของเขานั้นทอดยาวขึ้นเรื่อย ๆ
ระหว่างเดินทางกลับนั้นฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยคำใดออกมาเลยแม้แต่น้อย เมื่อถึงเรือนซีซานเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้หวายมองดูท้องฟ้าสีครามนั่น และยังมิได้เอ่ยคำใดออกมา
ชุนซิ่วเห็นดังนั้นจึงรู้สึกเป็นกังวล นางถือน้ำชาเดินเข้ามาเอ่ยถามว่า “คุณชายมีเรื่องไม่สบายใจอันใดหรือเจ้าคะ?”
ฟู่เสี่ยวกวนรับน้ำชามายกขึ้นดื่ม ส่ายหัวแล้วกล่าวว่า “แท้จริงแล้วข้ายังสามารถทำเพื่อพวกเขาได้มากกว่านี้เสียอีก……”
ซูม่อมองดูฟู่เสี่ยวกวน ได้ยินฟู่เสี่ยวกวนพูดขึ้นอีกครั้งว่า “หากต้องการให้พวกเขามีผลผลิตที่มากขึ้นนั้น ก่อนอื่นต้องปลดปล่อยพวกเขาออกจากผืนนานั่น จากนั้นจักเป็นไปตามแผนงานที่วางไว้ในภายหลัง จากเดิมข้าเพียงต้องการทำเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น เห้อ……!”
เขาถอนหายใจยาว
ตอนที่ 35 เกษตรกร
เดือนเจ็ดสายลมร้อนระอุ แม้แต่สายลมที่พัดผ่านใบหน้า ก็มีสายความร้อนตามมาด้วย
ฟู่เสี่ยวกวนออกเดินทางจากหลินเจียงไปยังเรือนซีซาน ณ หมู่บ้านเสี้ยชุนอีกครั้ง
ตลอดทางการเดินทาง ข้าวสาลีในทุ่งนาได้รับการเก็บเกี่ยวไปนานแล้ว ต้นกล้าสีเขียวในทุ่งนากำลังเติบโตได้เป็นอย่างดี
ถือเป็นปีที่มีอากาศดี ถ้าหากในช่วงที่รวงข้าวออกดอกสภาพอากาศไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากเท่าใดนัก ปีนี้น่าจะเป็นปีที่อุดมสมบูรณ์อีกปี
ครั้งนี้ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้หยุดพักภายในหมู่บ้านเหล่านั้น ขบวนรถมุ่งหน้าตรงไปยังหมู่บ้านเสี้ยชุน
นั่งอยู่บนรถม้าช่างน่าเบื่อยิ่งนัก ฟู่เสี่ยวกวนนั่งสมาธิอีกครา เขาไม่มีทางละทิ้งเรื่องกำลังภายในอย่างเด็ดขาด ซูม่อกล่าวว่าเขาเข้าสำนักเมื่อตอนอายุ 10 ปี จนกระทั่งอายุ 13 ปี ใช้เวลา 3 ปีในการฝึกวิทยายุทธ์ จุดตันเถียนถึงจะเกิดพลังขึ้น ท่านที่เพิ่งจะฝึกได้แค่ไม่กี่เดือน คิดอันใดอยู่กัน
คิดอันใดกัน…
เดิมทียามที่ฟู่เสี่ยวกวนนั่งสมาธิก็จะสงบลงได้ในทันที แต่ในวันนี้กลับรู้สึกว่าตัวเขานั้นค่อนข้างหงุดหงิด
นี่ไม่ใช่เพราะอากาศที่ร้อนมากเกินไป แต่เป็นเพราะเรื่องที่พบกับจางเพ่ยเอ๋อร์เมื่อวานนี้ เพียงหลับตาในหัวก็มีภาพใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของแม่นางจางเพ่ยเอ๋อร์โผล่ขึ้นมา นั่นทำให้ฟู่เสี่ยวกวนสับสนอย่างหนัก หรือว่าแม่นางผู้นั้นจะเป็นปีศาจที่สวรรค์ส่งลงมากัน?
สำหรับจางเพ่ยเอ๋อร์ เขาไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นฝ่ายผิด นี่คือการขัดแย้งทางความคิดที่เกิดจากโลกทั้งสอง ไร้ซึ่งประกายไฟแต่อย่างใด เพียงระเบิดไปในทันที จางเพ่ยเอ๋อร์คิดว่าความรู้สึกจะถูกบ่มเพาะหลังจากสมรส แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับคิดว่าควรจะได้รับการบ่มเพาะความรู้สึกแล้วจึงจะสมรสกัน
เรื่องนี้หมดหนทางที่จะพิสูจน์ได้ จะสาธิตให้ดูได้เยี่ยงไร? คนส่วนมากในโลกนี้ต่างก็สมรสกันก่อนทั้งนั้น เมื่อผ่านไปหลายปีหลังจากแต่งงานกันไปแล้วเรื่องของความรู้สึก ราวกับว่ามิสำคัญไปเสีย
ดังนั้นเมื่อวิเคราะห์อย่างดีที่สุดแล้ว ก็ยังคิดว่าการบ่มเพาะความรู้สึกก่อนการสมรสนั้นจะน่าเชื่อถือได้มากกว่า ฟู่เสี่ยวกวนมิยินยอมให้ชีวิตคู่ของตนเองจมลงไปกับจารีตแบบดั้งเดิมเด็ดขาด ดังนั้นหากให้เขาเผชิญหน้ากับจางเพ่ยเอ๋อร์อีกครา ทางที่เขาเลือกก็ยังคงมิเปลี่ยนไป
ฟู่เสี่ยวกวนคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาตลอดทาง เมื่อเปิดปมในใจนี้ออก ก็พลันโล่งอกขึ้นมาไม่น้อย
นั่นเป็นเพียงเด็กสาวที่หลงทาง ที่ยามแรกเริ่มของความรักกลับมาตกหลุมรักคนที่ไม่ควรชอบ
ใช่ เป็นเยี่ยงนี้ล่ะ
……
……
ขบวนรถมาถึงเรือนซีซานในยามเที่ยงวัน
จางเช่อพาฟู่เสี่ยวกวน ชุนซิ่วและซูม่อเข้าไปในเรือน สะพานเล็กที่มีสายน้ำที่ไหลผ่านนั้นใสเสียจนเห็นตัวปลาแหวกว่ายไปมา ทันใดนั้นเมื่อเขาเข้ามาภายในจวนก็รู้สึกเย็นขึ้นทันตา
ฟู่เสี่ยวกวนไปอาบน้ำ หลังจากที่ทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เขาก็นั่งมองแสงแดดที่ร้อนแรงผ่านบานหน้าต่าง เขาสั่งให้จางเช่อไปเชิญเกษตรกรผู้อาวุโสสามถึงห้าคนมายามบ่าย และเมื่อเขาอาบน้ำเสร็จแล้วจึงขึ้นไปนอนหลับที่ห้องของตนเองบนชั้นสอง
บางทีอาจเพราะความเหนื่อยล้าจากการนั่งรถ ครั้งนี้เขาถึงได้หลับสนิท ยามที่ตื่นขึ้นมาอีกคราก็กลายเป็นยามเย็นเสียแล้ว ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มมีแสงสีส้มระเรื่อของดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้าแทรกแซงไปทั่วแนวเขา
เขานั่งดื่มชาอยู่ในศาลาภายในสวนได้ชั่วครู่ จางเช่อก็ได้พาเกษตรกรทั้งห้าเดินเข้ามา
หวางเอ้อทำการเพาะปลูกมาทั้งชีวิต นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเรือนที่กว้างขวางและงดงามเยี่ยงนี้ และเป็นครั้งแรกที่ถูกหัวหน้าตระกูลเรียกพบเยี่ยงนี้ เขารู้สึกกังวลใจอย่างยิ่ง นึกถึงการทำเกษตรแบบเร่งรัดของตนเองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ก็พบว่ามิได้ทำเรื่องมิดีอันใดเลย หรือเป็นเพราะว่าเขาชราแล้ว หัวหน้าตระกูลจึงจะมายึดทุ่งนาคืนกัน?
แต่บุตรและหลานของตนยังสามารถทำการเพาะปลูกต่อจากเขาได้ ทั้งยังเพาะปลูกได้เป็นอย่างดี
พ่อบ้านจางกล่าวว่าคุณชายเชื้อเชิญให้เข้าพบ เขานึกถึงตอนที่เขาลงต้นกล้า พ่อบ้านจางแยกทุ่งนาออกเป็น 10 หมู่ และกล่าวว่าเป็นความต้องการของคุณชาย สองหมู่ในนั้นเป็นของตระกูลเขา คุณชายต้องการทำอันใดกัน?
เขาพาบุตรชายและเกษตรกรอีก 3 คนมาตรงเบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวน จึงได้เห็นว่าคุณชายยังคงเยาว์วัย ใจของเขาจึงกระตุกขึ้นอีกครา
ปากมิมีขนทำงานได้ไม่รวดเร็ว กลัวเพียงว่าจะมิใช่เรื่องดี
แต่เมื่อมาถึงแล้วกลับทำให้เขาต้องตกตะลึง
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน เดินเข้าไปทักทายพวกเขาด้วยท่าทีอ่อนน้อม และเชิญพวกเขานั่งลงดื่มชา
ดื่มชาอย่างนั้นรึ?
หวางเอ้อเองก็ชื่นชอบดื่มชา หากแต่เขาดื่มชาของตนเองที่ขึ้นไปเก็บบนเขา ชาของคุณชายนั้นย่อมดีเยี่ยม แต่คนแบบพวกเขาอย่าได้ทำถ้วยชาที่งดงามเหล่านั้นต้องแปดเปื้อน
ดังนั้นเขาจึงโค้งคำนับและกล่าวว่า “ขอบพระคุณคุณชายขอรับ คุณชายมีคำสั่งใดรีบกล่าวมาได้เลย ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่”
ทั้งสี่คนนอกเหนือจากนั้นก็ตื่นตระหนกเช่นกัน เมื่อได้เห็นฉากดังกล่าว
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับคว้ามือของหวางเอ้อไว้ ลากเขามายังโต๊ะหิน แล้วกดเขานั่งลงบนเก้าอี้
“ข้ามิได้มีพิธีรีตองมากมายเพียงนั้น ภายภาคหน้าพวกเจ้าก็จะรู้ มากันทั้งหมดเลย พวกเจ้าไม่เข้ามาแล้ว ข้าจะอธิบายอย่างชัดเจนได้เยี่ยงไร?”
ถึงแม้จางเช่อจะรู้ว่าคุณชายเปลี่ยนไป แต่การเปลี่ยนแปลงนี้ก็ยังทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไปอีกด้วย
ซูม่อที่นั่งเล่นน้ำอยู่ริมลำธาร ก็หันมามองฟู่เสี่ยวกวนเต็มสองตาเช่นกัน ความเย็นชาในดวงตานั้นได้ลดลงมาหลายส่วนแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนนำชามารินจนเต็ม และส่งไปให้กับหวางเอ้อ “อากาศนั้นร้อนเกินไป ดื่มชาเพื่อคลายร้อนเสียหน่อย มิต้องเกร็งกันถึงเพียงนั้น ข้ามิได้กินคนเสียหน่อย”
เกษตรกรทั้งห้าคนต่างก็ยิ้มออกมาซื่อ ๆ หวางเอ้อครุ่นคิด ยกชาขึ้นดื่ม อีก 4 คนที่เหลือเองก็ลังเลแต่ก็ยกขึ้นดื่มเช่นกัน
“นี่แหละถูกต้อง ภายภาคหน้ายังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องพึ่งพาพวกเจ้า หลังจากนี้ก็สามารถเข้าออกเรือนนี้ได้ทุกเมื่อ หากอยู่กันอย่างปลีกแยก ก็มิสามารถทำเรื่องนั้นให้ดีได้”
เจ้าเด็กคนนี้กำลังซื้อใจคน ซูม่อคิดเยี่ยงนั้น
แต่ฟู่เสี่ยวกวนหาได้กำลังซื้อใจคนไม่ เขาชอบเกษตรกรเหล่านี้ด้วยใจจริง จนถึงขั้นรู้สึกเป็นกันเองอย่างมาก เพราะโลกก่อนหน้านั้นเขาก็เป็นเพียงคนชนบท ทั้งยังทานข้าวจากร้อยครัวเรือนภายในหมู่บ้านจนเติบใหญ่
เขาชื่นชอบความเรียบง่ายของเกษตรกรเหล่านี้ และมิเคยรู้สึกว่าพวกเขานั้นด้อยกว่าตน ถึงแม้พวกเขาจะทำการเกษตร แต่ในสายตาของฟู่เสี่ยวกวน นั่นเป็นเพียงการแบ่งงานทางสังคมที่มิเหมือนกัน มิใช่คนชั้นต่ำแต่อย่างใด
“เป็นเยี่ยงนี้…” ฟู่เสี่ยวกวนรินชาพลางเล่าไปด้วย “ข้าต้องการหาข้าวเยี่ยงนี้ในทุ่งนา ยามที่ออกดอก มีข้าวจำนวนน้อยนักที่ไม่สามารถออกดอกได้ หรือเรียกได้ว่ามิสามารถผลิตละอองเกสรได้ตามปกติ ข้ามิรู้ว่าพวกเจ้าเคยสังเกตถึงเรื่องนี้บ้างหรือไม่…”
“ที่คุณชายกล่าวมา… ใช่ป้ายจึหรือไม่ขอรับ? (ไม่ใช่หญ้าปล้องละมาน)”
ผู้ที่กล่าวคือหวางเอ้อบุตรชายของหวางเฉียง
“มา ๆ เจ้าอธิบายลักษณะของป้ายจึหน่อยว่าเป็นเยี่ยงไร?”
“มัน…” หวางเฉียงเหลือบมองหวางเอ้อบิดาของเขา กลัวว่าตนเองจะพูดผิดหรือมิใช่สิ่งที่คุณชายกล่าวมา “มิเป็นไร เจ้าว่ามา กล้าที่จะกล่าว ภายภาคหน้าพวกเจ้าจงจำไว้ อยู่กับข้า อยากจะกล่าวอันใดก็กล่าวเยี่ยงนั้น แม้จะบอกว่าแม่หมูบ้านใครออกลูกมา 17 ตัวก็ยังได้”
ทั้งห้าคนต่างยิ้มขึ้นมาอย่างซื่อ ๆ บรรยากาศก็มิได้หนักอึ้งอีกแล้ว
“ก็คือต้นกล้าชนิดหนึ่ง มีบางดอกที่บานออก และมีบางดอกนั้นไม่บานออก ท้ายที่สุดก็จะมิออกรวงข้าว”
“ก็คือสิ่งนี้แหละ ! ” ฟู่เสี่ยวกวนตบเข่าฉาด “เจ้ามีนามว่าอะไร?”
“หวางเฉียง เขาเป็นบิดาข้า”
“เรื่องนี้มอบให้เจ้าและบิดาของเจ้า เพียงแค่หาของสิ่งนั้นให้เจอ โครงการในอนาคตข้าจะให้เจ้ารับผิดชอบ”
หวางเฉียงอ้าปากกว้าง ในใจของหวางเอ้อพลันดีใจอย่างยิ่ง อีกสามคนเองก็มองและหัวเราะไปกับหวางเฉียงด้วย ช่างเป็นภาพบรรยากาศที่อบอุ่นยิ่งนัก
“หลังจากที่พวกเจ้าหาสิ่งนั้นจนพบแล้วอย่าได้ดึงมันออกมา และทำเครื่องหมายเตือนเอาไว้ หลังจากนั้นข้าจะบอกพวกเจ้าว่าจะต้องจัดการเยี่ยงไร พยายามค้นหาสิ่งนี้ให้ได้มากที่สุด มิจำเป็นต้องจำกัดอยู่ในทุ่งนา 10 หมู่นี้ ในเขตหนึ่งร้อยลี้นี้เป็นทุ่งของตระกูลข้าทั้งสิ้น พวกเจ้ามีสิทธิ์ที่จะเข้าไปหา ข้าเป็นคนกล่าวเอง แต่ข้าจำต้องตักเตือนอย่างหนึ่ง การหาสิ่งนี้มีความยากลำบาก โชคไม่ดีก็อาจจะหามิพบเลยแม้แต่ชนิดเดียว แต่มิเป็นไร อย่าได้ท้อถอยเป็นพอ”
เกษตรกรทั้งห้าคนออกจากเรือนไป ฟู่เสี่ยวกวนเดินวนไปวนมาใต้ร่มไม้ ชุนซิ่วมิเข้าใจการกระทำของคุณชายเลยแม้แต่นิด ซูม่อและจางเช่อต่างก็เป็นเช่นกัน
“ไปเถอะ พวกเราไปดูที่ทุ่งนากัน”
ตอนที่ 34 เกลียดเพราะรัก
แท้จริงแล้วก่อนหน้านี้จางเพ่ยเอ๋อร์เคยพบกับฟู่เสี่ยวกวนแล้ว อีกทั้งยังได้ยินเรื่องราวต่าง ๆของเขาอีกไม่น้อย
ท่านพี่ของนาง จางเหวินฮั่น เมื่อตอนที่ยังมิได้เดินทางออกจากเมืองหลินเจียง เขาเคยกล่าวถึงฟู่เสี่ยวกวนอยู่บ้างบางครา เขามักสั่งสอนนางว่า “น้องรัก เจ้าจงหลบหนีให้ไกลจากเขา เขานั้นเป็นคุณชายหลายใจ เปรียบเสมือนสุนัขบ้าที่รังแกสตรีผู้อ่อนแอกว่านับไม่ถ้วน”
ต่อมาไม่นาน ต่งชูหลานบุตรสาวของเสนาบดีกรมคลังได้เดินทางมายังหลินเจียง พี่ชายของตนนั้นชื่นชอบนางเป็นที่สุด เขาเอ่ยว่า “ความงดงามของแม่นางต่งชูหลานนั้นช่างเปรียบเสมือนดอกกล้วยไม้ที่เบ่งบานภายใต้แสงดาว หากการที่ข้าเดินทางไปในครั้งนี้มีความสำเร็จได้เป็นจอหงวน อีกทั้งได้รับความรักจากแม่นางต่งชูหลาน ชีวิตนี้พี่คงจะไม่มีอันใดให้ต้องเสียใจอีกแล้ว”
ทุกคราที่เอ่ยถึงแม่นางต่งชูหลาน ก็มักเอ่ยถึงฟู่เสี่ยวกวนด้วย เนื่องจากเขาบังอาจกระทำการรุ่มร่ามต่อหน้าต่งชูหลาน จึงได้ถูกองค์รักษ์จับไปโยนทิ้ง อีกทั้งยังสั่งสอนเสียจนแทบไม่รอดชีวิต หากใช้คำพูดของท่านพี่แล้วก็คือดอกฟ้ากับหมาวัด เขาไม่รู้จักประมาณตนเอง
นางได้ตั้งใจฟังทุกครั้ง และบนใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
แต่ในก่อนหน้าที่ท่านพี่จะเดินทางไปยังเมืองหลวง นางก็พบว่าเขามักทำสีหน้าเป็นกังวล เมื่อสืบสาวราวเรื่องจึงได้ทราบว่าคน ๆ นั้นได้เปลี่ยนนิสัยไปอย่างกับคนละคน อีกทั้งยังสามารถประพันธ์บทกวีที่งดงามยิ่งถึงสองบทด้วยกัน
กวีสองบทนั้นนางได้ฟังแล้ว ไพเราะงดงามจริงดังคำร่ำลือ หากแต่ท่านพี่ของนางก็ยังกล่าวว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นมิได้แต่งด้วยตนเอง สิ่งนี้สมเหตุสมผลและจางเพ่ยเอ๋อร์เองก็เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น
เพียงแต่หลังจากท่านพี่เดินทางไปยังเมืองหลวง นางก็ได้ยินเรื่องราวของฟู่เสี่ยวกวนและรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป
สุรานั้นได้ยินมาว่ามีรสเลิศ แต่นางไม่ดื่มสุรา บิดาของนางนั้นหลังจากได้ลิ้มรสสุราของฟู่เสี่ยวกวน ก็มิอาจเปลี่ยนไปดื่มสุราอื่นได้อีกเลย
ต่อมามีบรรดาปัญญาชนเชิญชวนเขาแต่กลับถูกปฏิเสธ ชาวบ้านเริ่มมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเขาแตกต่างกันออกไป แต่มีสิ่งหนึ่งที่จางเพ่ยเอ๋อร์สังเกตได้นั่นคือชายผู้นี้มิเคยสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ใด อีกทั้งมิเคยเดินทางไปหอนางโลม นิสัยใจคอเปลี่ยนแปลงไปเป็นเปี่ยมไปด้วยความมั่นคง กระทั่งอาจารย์ฉินก็ยอมรับในตัวเขาและคบหาเขาเป็นสหาย
ดังนั้นจึงทำให้ความสงสัยของจางเพ่ยเอ๋อร์เริ่มเกิดขึ้น และไม่สามารถหยุดมันลงได้
กระทั่งเดือนหกวันที่หนึ่ง ณ งานกวีแห่งเมืองหลินโจวที่ผ่านมา แม้นางจะมิได้เดินทางไปร่วมงาน แต่ประโยคที่เอ่ยว่าจิตใจต่างสื่อสารไปถึงกันนั้นได้เป็นที่นิยมขึ้นในวันต่อมา
และนี่คือผลงานของเขาเช่นกัน!
ความคิดเห็นที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวนของผู้คนในเมืองหลินเจียงเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ฟู่เสี่ยวกวนกลายเป็นหนึ่งในสี่ผู้มีพรสวรรค์แห่งเมืองหลินเจียง!
จางเพ่ยเอ๋อร์มองดูบทกวีที่ขึ้นชื่อของฟู่เสี่ยวกวนทั้งสองนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางเริ่มมองภาพลักษณ์ของฟู่เสี่ยวกวนขึ้นใหม่อีกครั้ง เขาคือชายหนุ่มรูปงามที่มีความสามารถด้านวรรณกรรม
มิเช่นนั้น จะสามารถประพันธ์บทกวีที่งดงามเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร?
เขามิได้คัดลอกจากผู้อื่น แต่ใช้ความสามารถของตนในการประพันธ์กวีเหล่านี้ขึ้นมาด้วยตนเอง!
ชายหนุ่มโสดที่มากทั้งทรัพย์สินเงินทองและความสามารถ เป็นผู้ที่คุณหนูทั้งหลายต่างใฝ่ปรารถนา จางเพ่ยเอ๋อร์เองก็มิได้แตกต่างจากผู้อื่น นางได้ตัดสินใจแล้วว่านางจะใช้โอกาสที่ผู้อื่นยังมิทันได้มองเห็นถึงความสามารถอันแท้จริงหรือความสำคัญของฟู่เสี่ยวกวนนั้น คว้าเขามาให้ได้เสียก่อน!
ด้วยชาติตระกูลและรูปร่างหน้าตาของนางอีกทั้งความสามารถในทุก ๆ ด้าน นางเชื่อมั่นเหลือเกินว่าจะสามารถเอาชนะใจของฟู่เสี่ยวกวนได้
สายตาของนางมองคนไม่ผิดไปแน่ หากแต่นางมองข้ามสิ่งหนึ่งไปนั่นคือ ฟู่เสี่ยวกวนคนนี้มิใช่ฟู่เสี่ยวกวนคนก่อน
การที่ฟู่เสี่ยวกวนปฏิเสธนาง ทำให้นางเจ็บปวดใจยิ่งนัก แต่สิ่งนี้มิรู้ว่าควรจะเรียกว่าเสียใจหรือไม่พอใจต่อการพ่ายแพ้ หรือมีความต้องการจะครอบครองกันแน่ ซึ่งในบัดนี้ยากที่จะอธิบายยิ่งนัก แม้แต่ตัวของนางเองก็มิอาจจะทราบได้
นางจะต้องเปลี่ยนแผน ในเมื่อการใช้แม่สื่อไม่ประสบผล และฟู่เสี่ยวกวนนั้นไม่เคยพบเจอกับนาง ดังนั้นนางจึงตั้งใจเดินหน้าออกมาด้วยตนเอง
นางเดินทางมาด้วยรถม้า
ภายนอกช่างสงบนิ่ง แต่ภายในจิตใจร้อนรนยิ่งนัก
……
……
“ขอคุณชายฟู่หยุดลงสักครู่เถิด” ชิงเหมยเดินหน้าเข้าไปขวางทางไว้
“แม่นางคือ……?”
“คุณหนูของข้าต้องการพบท่าน ขอเชิญคุณชายเดินทางไปกับข้าน้อยทางนี้เจ้าค่ะ”
“คุณหนูของเจ้าคือใครกัน?”
“เมื่อท่านขึ้นไปแล้ว ท่านจักได้รู้ด้วยตนเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้ว เขาก้าวเดินไปยังรถม้าที่จอดอยู่ด้านข้าง
เมื่อเปิดประตูและผ้าม่านออก เขาก็พบกับสตรีที่มีใบหน้าอันงดงามอ่อนช้อย
เขาขึ้นไปยังรถม้า และนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจางเพ่ยเอ๋อร์
แท้จริงแล้วการกระทำเยี่ยงนี้ไม่ดีเป็นอย่างยิ่ง หากมีผู้คนพบเห็นเข้า อาจจะนำชื่อเสียงของหญิงสาวไปเล่าลือต่าง ๆ นานา เพียงแต่ฟู่เสี่ยวกวนไม่ทราบถึงข้อนี้ อีกทั้งเป็นการเชิญจากฝ่ายตรงข้าม
“ข้าคือจางเพ่ยเอ๋อร์”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงเล็กน้อย นี่มันเรื่องอะไรกันอีกเล่า?
เขานำมือลูบไปที่จมูก แล้วหัวเราะออกมาอย่างเขินอาย
“อีกเพียงหนึ่งเดือนข้าจะบรรลุนิติภาวะ เช่นนั้นข้าจักมิใช่ผู้เยาว์อีกต่อไป”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าตอบรับเนื่องจากเขาไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร
“ข้านั้นมิใช่ผู้เยาว์ ไม่ว่าจะเป็นด้านใด ๆ ”
“มิใช่……”
“ความสามารถของคุณชายนั้นข้าชื่นชมอย่างยิ่ง อีกทั้งตัวท่านเองก็ยังมิได้แต่งงาน ก่อนหน้านี้ที่ท่านปฏิเสธข้า ทำให้ข้ากังวลใจไม่น้อย ในวันนี้ท่านได้พบเจอข้า ไม่ทราบว่าพอใจหรือไม่?”
นี่มัน!
สตรีในโลกแห่งนี้มีความกล้าถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบไปชั่วครู่คล้ายกับไม่สามารถควบคุมตนเองได้
แม้แม่นางจางเพ่ยเอ๋อร์จะมีรูปงามสู้แม่นางต่งชูหลานไม่ได้ แต่ก็นับว่าเป็นสตรีที่สวยงามยิ่งนัก
อีกทั้งคำพูดที่นางเอ่ยว่าตนนั้นไม่ใช่เด็กน้อยในทุก ๆ ด้านคือเรื่องจริง ขณะที่นางเอ่ยออกมาดูภูมิใจยิ่งนัก
หรือผู้คนในโลกนี้โตเร็วกว่าวัยอันควร? อีกทั้งยังมีความคิดที่แตกต่างกัน?
ฟู่เสี่ยวกวนสูดลมหายใจเข้าสู่ปอด เขายกมือทั้งสองขึ้นเป็นสัญลักษณ์ว่ายอมแพ้
เขากล่าวว่า “แม่นาง เป็นเช่นนี้ ข้าเองก็มีความเห็นว่า เราทั้งสองคนมีอายุเพียงเท่านี้นับว่าน้อยเหลือเกิน อายุน้อยบ่งบอกถึงประสบการณ์ที่ไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงอาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นอย่างเช่น อาจจะตัดสินใจอย่างเร่งรีบและถูกรูปลักษณ์ภายนอกดึงดูดให้หลงผิดได้”
ฟู่เสี่ยวกวนเริ่มพูดช้าลง แล้วมองไปยังจางเพ่ยเอ๋อร์
“การแต่งงานคือเรื่องใหญ่ที่สุดของชีวิต เราทั้งสองมิเคยได้พบหน้ากัน ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงการรู้จัก ซึ่งหมายความว่าเราทั้งสองยังไม่ได้รู้จักนิสัยใจคอซึ่งกันและกันดี เรื่องของการแต่งงานนั้นในความเห็นของข้าควรใช้ความรู้สึก ส่วนเรื่องของความรู้สึกนั้นต้องใช้เวลาของทั้งสองร่วมกันบ่มเพาะขึ้นมา”
“ตัวข้านั้นไม่เคยคิดว่าการที่กลับเรือนมาแล้วมีข้าวปลาอาหารหุงหารอต้อนรับอีกทั้งน้ำชาอุ่นๆ กับน้ำสำหรับอาบในอุณหภูมิที่เหมาะสมเช่นนี้คือการแต่งงาน แม้ข้าจะมิได้เอ่ยออกมาโดยตรงแต่คาดว่าแม่นางคงเข้าใจดี การแต่งงานที่ข้าเข้าใจนั้นคือการที่คนสองคนมีความสุขเมื่อได้อยู่ร่วมกัน ทำเรื่องราวต่าง ๆ ร่วมกันเช่นการเดินทางท่องเที่ยว การทำอาหาร สิ่งนี้เรียกว่า มีใจเดียวกัน”
“ชีวิตของเรานั้นยังอีกยาวไกล ต่อจากนี้ไปเจ้ายังมีโอกาสได้พบเจอกับชายหนุ่มมากหน้าหลายตาที่เปี่ยมไปด้วยความสามารถ แม่นาง……”
จางเพ่ยเอ๋อร์กัดริมฝีปากนางไว้ น้ำตาไหลหยดลงมาเป็นทาง
หลักการเหล่านี้นางฟังไม่เข้าใจ มารดาของนางนั้นมิเคยอบรมสั่งสอนเรื่องเหล่านี้ แต่นางเข้าใจถึงความหมายของฟู่เสี่ยวกวน
“ท่านไม่ชอบข้า!”
“เอ่อ……”
“ท่านไม่ชอบข้าเท่านั้นเอง!แม่ของข้าก็แต่งงานกับท่านพ่อเช่นนี้ เหตุใดจึงต้องมีเหตุผลมากมายด้วยเล่า บัดนี้พวกเขาทั้งสองอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ผู้คนมากมายล้วนเป็นเช่นนี้ เหตุใดท่านจึงไม่เหมือนผู้อื่น?”
“ข้าทำเพราะเห็นแก่เจ้า!”
“ข้าไม่ต้องการให้ท่านทำกับข้าเช่นนี้แล้วเอ่ยว่าทำเพื่อข้า หากท่านจะทำเพื่อข้าก็ควรรับข้าเป็นภรรยาเสีย!”
“……”
“ท่านจงไปเสีย!ข้าไม่อยากเห็นหน้าท่าน ฟู่เสี่ยวกวน ข้าเกลียดเจ้า!”
จางเพ่ยเอ๋อร์น้ำตานองอาบสองแก้ม ฟู่เสี่ยวกวนถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
ตอนที่ 33 จางเพ่ยเอ๋อร์
“หากข้าไม่เห็นด้วยเล่า?”
นั่นคงจะน่าลำบากใจยิ่งนัก
ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูกไปมาก่อนจะกล่าวยิ้ม ๆ “คือเช่นนี้ ตัวข้ารู้สึกว่านางยังเยาว์วัยเกินไป จิตใจและความคิดของนางก็ยังคงเป็นผู้เยาว์ การสมรสกันคือเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิต โดยเฉพาะสตรี ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน บุรุษกลัวเดินผิดเส้นทาง สตรีกลัวการสมรสกับบุรุษผิดคน หากพลาดไปแล้ว นั่นจะเป็นเรื่องที่น่าเสียใจไปตลอดชีวิต”
“เยี่ยงนั้นไปเจอหน้ากันก่อนไม่ดีกว่ารึ?” ฟู่ต้ากวนกล่าว
“ใช่เจ้าค่ะ คุณหนูตระกูลจางนั้นช่างสวยสดงดงามดุจดอกท้อแย้มบานในฤดูใบไม้ผลิ หากคุณชายฟู่ได้พบหน้า ต้องชื่นชอบเป็นแน่” เฉียนเฉิ่นรีบกล่าว
“ข้ายังมีธุระ ต้องไปสำนักศึกษาหลินเจียง รบกวนเจ้านำเรื่องนี้ไปบอกกับคุณหนูตระกูลจางเสียหน่อย ว่าต้องขออภัยด้วย นาง… ยังเยาว์วัยเกินไป”
“นางจะอายุครบ 15 ปีในเดือนแปดนี้แล้ว นางมิใช่ผู้เยาว์แล้ว”
“ไม่ ข้ารู้สึกว่านางยังเยาว์วัยเกินไป พวกท่านคุยกันเถิด ข้ามีเรื่องต้องไปจัดการจริง ๆ ข้าขอตัวก่อน”
ฟู่เสี่ยวกวนหาได้นำเรื่องนี้มาใส่ใจไม่ ถึงแม้เขาจะสนใจเรื่องการจับคู่ แต่กับผู้เยาว์ที่เพิ่งจะอายุได้ 15 ปีบริบูรณ์นั้น เขารู้สึกว่าตนเองมิสามารถแต่งงานกับเด็กหญิงที่อายุเพียง 15 ห้าปีเท่านั้นได้
รวมไปถึงต่งชูหลาน เพียงแค่แม่นางต่งชูหลานเท่านั้นที่สามารถทำได้หลายอย่าง ใบหน้ารูปไข่ที่งามล่มบ้านล่มเมือง ทำให้ผู้คนเพิกเฉยความเยาว์ที่ยังคงดำรงอยู่ของนาง นั่นทำให้ฟู่เสี่ยวกวนมองข้ามเรื่องอายุของต่งชูหลานไปในบางครา ในยามที่เขียนจดหมายก็ถึงขั้นเขียนอะไรที่เป็นการเย้าแหย่ไปบ้าง
แน่นอนเขามิรู้ว่าทุกครั้งที่ต่งชูหลานได้อ่านจดหมายของเขาจะหน้าแดงจนลามไปถึงใบหูด้วยความเขินอายเป็นเวลานาน แต่ก็ชื่นชอบยิ่งนัก นางถึงกับตั้งตาคอยจดหมายของเขา
บุรุษมิเลว… สตรีมิรัก สำนวนโบราณมิได้หลอกลวงข้าแต่อย่างใด!
ด้วยความสัตย์จริงจากใจ ฟู่เสี่ยวกวนชอบพอต่งชูหลาน แต่เมื่อนึกถึงอายุของต่งชูหลานแล้ว นั่นเป็นอุปสรรคที่ไม่สามารถข้ามผ่านไปได้ ในส่วนของชนชั้นที่แตกต่างกัน เขาเองก็กังวลเช่นกัน จนถึงขั้นเคยครุ่นคิดว่าต้องใช้เวลาสามถึงห้าปีในการศึกษาเพื่อเข้าสอบหรือไม่
สุดท้ายเขาก็ละทิ้งหนทางนั้นไปเสีย ทุกคนต่างยังเด็กนัก บางทีรอให้เวลาผ่านไปอีกหลายปีค่อยมาดูกันอีกครา หากยังมีใจส่งถึงกัน ถึงครานั้นตัวเขาก็จะมิลังเล
ความรักระยะทางไกลนั้นไม่แน่นอน หากต่งชูหลานมีคนที่ชอบพออยู่แล้ว ฟู่เสี่ยวกวนอาจจะเสียใจ แต่เขาก็ยังคงยินดีกับนาง
นี่คือช่องว่างทางความคิด เขาครุ่นคิดถึงปัญหาระหว่างชายหญิงในโลกก่อนหน้าอย่างต่อเนื่อง เขารู้เป็นอย่างดีว่าความรู้สึกแบบนี้จำเป็นต้องมีพื้นฐาน จำเป็นต้องได้รับการดูแลปกป้อง และมิใช่แบบในโลกนี้ หมั้นหมายกันโดยที่ยังมิได้เจอหน้า หลังจากค่ำคืนที่ได้ร่วมหอกัน ถึงได้พบว่าตนเองแต่งได้สามีหรือภรรยาแบบไหนมา หลังจากนั้นจึงรู้ว่าชีวิตจะเจอกับความสุขหรือทนทุกข์
ถึงแม้อายุขัยของมารดาจะสั้น แต่นางก็สมรสกับบิดาของเขาด้วยความรัก
มารดามิได้รับการให้อภัยจากจวนสวี่ นั่นก็เพราะความขัดแย้งทางความคิด ขยายตัวจนถึงขั้นที่ไม่อาจลงรอยกันได้ นี่คือโศกนาฏกรรมของโลกใบนี้
……
……
จวนจางตั้งอยู่ที่ตรอกซีชุ่ย ห่างจากจวนฟู่ไปไม่เกินห้าจวนของตระกูลใหญ่
หากเป็นยุคหลัง ฟู่เสี่ยวกวนและจางเพ่ยเอ๋อร์ถือว่าเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่[1] แต่ในยุคนี้ ทั้งสองคนกลับพบเจอกันน้อยมาก บางทีอาจจะได้เจอกันในตอนที่ยังเยาว์วัย จางเพ่ยเอ๋อร์จดจำรูปลักษณ์ของฟู่เสี่ยวกวนได้อย่างชัดเจน แต่ในศีรษะของฟู่เสี่ยวกวนกลับไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับจางเพ่ยเอ๋อร์อยู่เลยแม้แต่น้อย
ในฐานะคุณหนูเล็กของจวนจาง โลกที่นางอาศัยอยู่ไม่ได้ใหญ่โตนัก
มีอาจารย์มาสอนตำราถึงจวน เครื่องดนตรี หมากล้อม และการเขียนอักษรต่างก็มีอาจารย์ที่เกี่ยวข้องมาสอนสั่ง สิ่งที่นางได้รับการสั่งสอนมาจึงเป็นเยี่ยงนี้ คุณหนูจากตระกูลใหญ่ส่วนมากต่างก็เป็นเยี่ยงนี้กันทั้งนั้น ดังนั้นในคราแรกที่ต่งชูหลานมายังหลินเจียง ฟู่ต้ากวนจึงประหลาดใจนัก
จางเพ่ยเอ๋อร์ในยามนี้หน้าแดงก่ำ เดินวนไปมาในห้องของตนเอง ก้มหน้าเมียงมอง และเอ่ยถาม “ข้ายังเล็กรึ? ตรงนี้ของข้าเล็กที่ไหนกัน? ชิงเหมย เจ้าเข้ามาเทียบสิ ข้าเล็กกว่าเจ้าเยี่ยงนั้นรึ? เหอะ…”
สาวใช้ชิงเหมยเองก็รู้สึกประหลาดใจยิ่ง สองสิ่งนั้นของคุณหนูไม่ได้เล็กเลย แต่คุณชายตระกูลฟู่กล่าวได้เยี่ยงไรว่าของคุณหนูเล็กเกินไป ยังไม่แม้แต่จะได้พบหน้าแล้วเขารู้ได้เยี่ยงไร? หรือว่ามีคนต้องการทำลายชื่อเสียงของคุณหนูกัน?
จางเพ่ยเอ๋อร์มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย และถอนหายใจยืดยาว “ที่เขากล่าวคืออายุ… เขากล่าวว่าข้ายังเยาว์วัยเกินไป จิตใจและความคิดยังไม่ได้โตนัก… และต้องทำเยี่ยงไรจึงจะเติบใหญ่ได้เล่า ?หากให้โตกว่านี้ก็เหมือนผลบนต้นไม้ ที่สุกจวนจะร่วงแล้วใช่หรือไม่เล่า”
สำหรับเรื่องอายุที่ยังเยาว์วัยเกินไปที่ฟู่เสี่ยวกวนได้กล่าวนั้น เป็นสิ่งที่จางเพ่ยเอ๋อร์ไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะหญิงสาววัยปักปิ่นก็อายุ 15 ปีกันทั้งนั้น และแต่งออกเป็นภรรยากันแล้ว หากผ่านไปจนถึงอายุ 20 ปีแล้วยังมิได้สมรส ในสายตาของผู้อื่น นี่คือสตรีอายุมากที่หลงเหลืออยู่ ก็เหมือนกับผลไม้ที่อยู่บนต้นไม้ด้านนอกหน้าต่างนั่น สุกจนร่วงหล่นลงมาโดยที่ไม่มีใครเก็บขึ้นมากิน
“ไม่ได้การ ข้าจักต้องไปพบเขาสักครั้ง ชิงเหมย เตรียมรถ”
ชิงเหมยงุนงง คุณหนูที่นิ่งเฉยมาโดยตลอด เหตุใดถึงได้ยั้งอารมณ์ไม่อยู่กับเรื่องเยี่ยงนี้กัน?
“ไปไหนเจ้าคะ?”
“สำนักศึกษาหลินเจียง!”
……
……
“การไปหมู่บ้านเสี้ยชุนครั้งนี้ข้าคาดว่าจะต้องอยู่เป็นเวลานาน ทางนั้นยังมีเรื่องอีกมากมายที่ข้าต้องลงมือจัดการเอง ในมือของข้านั้นมิได้มีกำลังพลที่ชำนาญการเยอะถึงเพียงนั้น มันต้องยุ่งยากเป็นอย่างมาก ดังนั้นเมื่อไปถึงหลินเจียงแล้วข้าจำเป็นต้องฝึกฝนบางคน แต่มิได้ครอบคลุมทั้งหมด หากใครมีความสามารถในด้านไหนข้าก็จักมอบหมายให้ทำในด้านนั้น ข้าจะได้หลุดพ้นออกมาแล้วให้พวกกำลังพลที่ได้รับการฝึกฝนแล้วจัดการกันเอง”
สวนดอกบัวสำนักศึกษาหลินเจียง ฟู่เสี่ยวกวนกำลังดื่มชาและพูดคุยกับฉินปิ่งจง
“ต้องการกำลังพลในด้านใดกัน?”
“การก่อสร้าง การจัดการการผลิต การเงิน การเกษตร การถลุงเหล็ก ทั้งยังต้องมีนักสำรวจ ภาพรวมประมาณนี้”
ฉินปิ่งจงครุ่นคิด “ข้ากล่าวว่านักเรียนของข้ามีมิน้อย แต่ต่างก็เป็นผู้เคี่ยวกรำในตำรา ข้ามิได้ติดต่อกับคนจำพวกเหล่านั้น ข้าจะคอยเฝ้าดูให้เจ้า หากมีคนชำนาญด้านเหล่านั้น ข้าจะแนะนำให้แก่เจ้า”
หลานชายฉินเฉิงเย่และหลานสาวฉินรั่วเสวียของฉินปิ่งจงที่หยุดเรียนก็ได้มาที่หลินเจียง ในยามนี้ ทั้งสองก็นั่งอยู่ข้างกายฉินปิ่งจง ฟู่เสี่ยวกวนรู้จักสองพี่น้องนี้ เพราะฟู่เสี่ยวกวนเคยมาที่นี่หนึ่งครั้งในอดีต
ฉินเฉิงเย่อายุสิบห้า ส่วนฉินรั่วเสวียอายุเพียงสิบสาม ทั้งคู่ต่างเป็นบัณฑิตในสำนักศึกษาจี้เซี่ยที่เมืองหลวง
ฉินรั่วเสวียนั่งเงียบ ในใจรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย คนผู้นี้อายุยังไม่เลยสิบหก แต่กลับพูดคุยได้อย่างสบายๆ ยามอยู่ต่อหน้าท่านปู่ ท่านปู่กล่าวว่าเป็นสหายต่างวัยของท่าน มีร่องน้ำบนอกมีจักรวาลในท้อง เป็นผู้ไร้ที่เปรียบได้
แต่สิ่งที่เขากล่าวมานั้นราวกับเรื่องประหลาด ราวกับมิเกี่ยวข้องใด ๆ กับคำสอนของนักปราชญ์ที่กล่าวว่ารักษาสันติสุข มิเหมือนกับเหล่าเพื่อนร่วมชั้นในสำนัก กล่าวออกมาง่าย ๆ แต่เหมือนมีหลักสำคัญยิ่งใหญ่ของนักปราชญ์ ที่จะทำให้ประเทศใต้หล้านี้สงบสุข
ฉินเฉิงเย่กลับฟังอย่างตั้งใจ เขามิชอบศึกษาตำรา แต่สนใจและตั้งตาคอยการสร้างบ้านด้วยซีเมนต์ ถลุงเหล็กเพื่อขจัดสิ่งเจือปน และสิ่งอื่น ๆ ที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวมานั้นอย่างยิ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนพูดคุยกับฉินปิ่งจงอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเอ่ยลา ซูม่อยังคงอยู่ด้านหลังของเขา นี่คือหน้าที่ที่ไป๋ยู่เหลียนมอบหมายให้กับเขา
จนถึงวันนี้ทั้งสองยังคุยกันเพียงแค่สองประโยคเป็นครั้งคราว ส่วนมากจะเป็นฟู่เสี่ยวกวนเป็นฝ่ายเอ่ยถาม ซูม่อตอบ แน่นอนว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับกำลังภายใน
ไม่อาจรับรู้ถึงปราณ มีเพียงพละกำลังของร่างเท่านั้นที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนสูงของร่างกายเหมือนจะเพิ่มขึ้นทีละหนึ่งส่วน แน่นอนว่าไร้พลังตัวเบา หากกล่าวตามคำพูดของซูม่อก็จะได้ว่า ท่านอยากขึ้นไปบนฟ้าเพียงก้าวเดียวรึ ?
เยี่ยงนั้นก็ทำได้แค่ค่อยเป็นค่อยไป
เมื่อออกมาจากสำนักศึกษาหลินเจียง ก็เห็นรถม้าคันหนึ่งจอดเทียบกับรถม้าของตระกูลตนเอง ข้างรถม้านั้นมีเด็กสาวหนึ่งคนยืนอยู่ แดดค่อนข้างร้อนแรง เด็กสาวคนนั้นถือร่มกระดาษน้ำมันไว้ในมือและสะบัดผ้าเช็ดหน้าเบา ๆ
[1] เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ หมายถึง คนรักยามเด็ก
ตอนที่ 32 บุตรสาวบ้านตระกูลจางวัยแรกแย้ม
วันเวลาเปรียบเสมือนบ่อน้ำพุท่ามกลางภูผา ผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยมิมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป
ฟู่เสี่ยวกวนตอบกลับจดหมายของต่งชูหลาน ด้วยเนื้อหาว่าเขาจักเดินทางไปยังจินหลิงอย่างแน่นอน แต่มิใช่ตอนนี้เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาอันสมควร
ต่งชูหลานเองก็ได้เขียนจดหมายตอบกลับฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน กล่าวว่าหนังสือความฝันในหอแดงนั้นเขียนได้ยอดเยี่ยมนัก คาดหวังว่าจะได้อ่านตอนต่อ ๆ ไปในอีกไม่ช้านี้ อีกทั้งภายในวัง องค์หญิงเก้ายังเร่งให้เขาส่งเนื้อหาหนังสือตอนต่อ ๆ ไปมาอีกด้วย
ต่งชูหลานเสนอความคิดเห็นว่าเขาควรจัดทำหนังสือ หากพวกเขาทั้งสองร่วมมือกัน โดยฟู่เสี่ยวกวนเขียน ต่งชูหลานจำหน่าย คาดว่าหนังสือเล่มนี้คงได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะจากบรรดากุลสตรีทั้งหลาย
ฟู่เสี่ยวกวนเห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้และยื่นข้อชี้แนะว่าควรแบ่งกำไรเป็นครึ่งต่อครึ่ง แต่กลับถูกต่งชูหลานปฏิเสธ นางขอแก้ไขเป็นสามต่อเจ็ดส่วน แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนควรได้รับผลกำไรเจ็ดส่วน นางนั้นได้รับสามส่วนเท่านั้นก็เพียงพอ เพราะหนังสือเล่มนี้ฟู่เสี่ยวเป็นผู้แต่งมันขึ้นมาด้วยตนเอง ส่วนนางเพียงเป็นธุระช่วยจัดการให้เล็กน้อยเท่านั้น
จวบจนกระทั่งบัดนี้ ต่งชูหลานมิเคยได้บอกแก่ฟู่เสี่ยวกวนว่าองค์หญิงเก้าเคยเสด็จไปยังจวนฟู่ด้วยพระองค์เอง อีกทั้งยังนั่งคุยกับเขาเป็นเวลานาน
ฟู่เสียวกวนเองก็ลืมเรื่องที่องค์หญิงเก้าเคยเสด็จมายังหลินเจียงเสียสนิท ในแต่ละวันเขาวุ่นวายอยู่กับการฝึกซ้อมหมัด วิ่งและฝึกฝนร่างกาย อีกทั้งเขียนหนังสือความฝันในหอแดง แต่ละวันผ่านไปอย่างไม่ได้หยุดพักผ่อน กระทั่งเดือนเจ็ด
มีจดหมายจากเรือนซีซาน กล่าวว่าข้าวในนากำลังจะผลิดอกออกรวง หินปูนเทาในถ้ำหลังภูเขานั้นสามารถทำการเก็บได้เยอะแล้ว ที่ดินที่ซื้อใหม่นั้นจัดการตามคำสั่งเรียบร้อย รอแต่เพียงคุณชายออกคำสั่งขั้นตอนต่อไปเพียงเท่านั้น
ณ จวนตระกูลฟู่แห่งเมืองหลินเจียง ฟู่เสี่ยวกวนกำลังเขียนจดหมายฉบับสุดท้ายแก่ต่งชูหลาน เนื้อหาในจดหมายกล่าวว่าเขากำลังจะเดินทางไปยังเรือนซีซานและอยู่ที่นั่นสักพักหนึ่ง หากมีความต้องการส่งจดหมายถึงเขาให้ส่งไปยังเรือนซีซาน ท้ายสุดของจดหมายคือเนื้อหาหนังสือความฝันในหอแดงตอนล่าสุด 2 ตอน
เนื่องจากการเดินทางไปเรือนซีซานครั้งนี้เขาต้องใช้เวลาอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง จึงมีสิ่งของจำนวนมากที่ต้องจัดเตรียม แต่สิ่งเหล่านี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เป็นกังวล เนื่องจากชุนซิ่วจะช่วยจัดเตรียมของมากมายเหล่านั้นให้แก่เขา บัดนี้ฟู่เสียวกวนนั่งอยู่ที่ศาลาเหลียงถิง นึกถึงเรื่องของการผสมพันธุ์ข้าว
ในชีวิตที่แล้วแม้จะเกิดมาในชนบท รู้จักการลงต้นกล้าและเก็บเกี่ยวเป็นอย่างดี แต่สำหรับเรื่องการเพาะพันธุ์ที่ต้องใช้ความรู้ความสามารถนี้ เขาเองเคยแต่พบเห็นในหนังสือพิมพ์เมื่อตอนเติบใหญ่เท่านั้น
เขาไม่รู้รายละเอียดเกี่ยวกับสิ่งนี้แม้แต่น้อย จำได้แค่เพียงชื่อที่เรียกว่าการผสมพันธุ์ข้าวสามสาย อันดับแรกต้องค้นหาสายพันธุ์ที่ไม่สามารถออกดอกได้ สิ่งนี้คือสิ่งที่สำคัญและยุ่งยากที่สุด
สำหรับขั้นตอนต่อไปนั้น ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร แต่หากหาพบแล้วก็สามารถทดลองผสมเกสรได้ สิ่งนี้มิใช่เรื่องที่ทำสำเร็จได้ภายในหนึ่งวัน เขาวางแผนเดินทางไปยังหมู่บ้านเสี้ยชุน เพื่อค้นหาผู้ชำนาญการด้านการเกษตร คาดว่าพวกเขาคงมีความรู้มากกว่าตนเสียด้วย
เมื่อคิดได้ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็สบายใจและกำลังเตรียมตัวเดินทางไปกล่าวลาท่านอาจารย์ฉิน แต่เขากลับมองเห็นฟู่ต้ากวนเดินเข้ามาด้วยใบหน้าอันเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ด้านหลังของบิดาปรากฏสตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินตามมา นางสวมใส่เสื้อผ้าสีสันสดใส น่ามอง
“ลูกชายข้า พ่อมีเรื่องจักปรึกษาหารือกับเจ้าสักหน่อย มานี่ นั่งลงก่อนเถอะ”
ฟู่ต้ากวนชี้นิ้วไปทางสตรีวัยกลางคนผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “ท่านนี้คือแม่สื่อเฉียน เชิญนั่งลงเถิด ข้าขอแนะนำนี่คือลูกชายข้าฟู่เสี่ยวกวน เขาอาจไม่ค่อยมีข้อดีเท่าใดนัก”
ฟู่เสี่ยวกวนมีสีหน้างงงวย เขาเอ่ยถามไปว่า “มีเรื่องอันใดกันหรือท่านพ่อ?”
“แฮ่ม ๆ เรื่องมีอยู่ว่าตัวเจ้านั้นก็อายุไม่น้อยแล้ว ในฐานะพ่อของเจ้าต้องการจัดหาคู่สมรสที่มีความเหมาะสมให้แก่เจ้า จึงได้ไหว้วานแม่สื่อเฉียนมา เชิญท่านเอ่ยเถิด”
สตรีวัยกลางคนผู้นั้นมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน นางสะบัดผ้าเช็ดหน้าไหมแพรสีแดง ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “คุณชายฟู่ช่างเป็นบุรุษที่เพียบพร้อมเสียจริง เป็นปัญญาชน นายท่านมีบุตรชายเช่นนี้นับว่าเป็นวาสนายิ่งนัก”
นางนิ่งไปชั่วครู่แล้วเอ่ยต่อว่า “ตระกูลฟู่เป็นผู้มีความมั่งคั่ง อีกทั้งชื่อเสียงของคุณชายฟู่ก็โด่งดังไปทั่วเมืองหลินโจว หญิงสาวทั่วไปนั้นข้าคงมิกล้าแนะนำแก่ท่าน หากแต่ เมื่อไม่นานมานี้ข้าได้มีโอกาสพบกับคุณหนูในตระกูลใหญ่นางหนึ่ง อายุได้ 14 ปี แม้ฟังดูอายุยังน้อย แต่นางนั้นเติบโตเต็มวัย อีกทั้งฐานะทางตระกูลก็เหมาะสมกับตระกูลฟู่อย่างยิ่ง คุณหนูรู้หนังสือ เป็นผู้มีเหตุมีผล อ่อนโยนสมเป็นกุลสตรี หากได้เป็นคู่ครองกับคุณชายฟู่นั้นคงเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
พ่อของเขากำลังคิดการใดกันแน่?ฟู่เสี่ยวกวนคิดอยู่ในใจ
ตนนั้นมีอายุ 16 ปี ส่วนฝ่ายตรงข้ามนั้นอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น หากนำไปเปรียบเทียบกับชีวิตที่แล้วพวกเขายังเรียนมัธยมไม่จบเสียด้วยซ้ำ! จะมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองได้อย่างไร?
เขาตกตะลึงไปชั่วครู่ แล้วยิ้มให้แก่แม่สื่อเฉียน
รอยยิ้มนี้ในสายตาของฟู่ต้ากวน เขาเข้าใจว่าบุตรชายนั้นยินดีกับเรื่องที่ได้ฟัง มองแล้วเรื่องนี้คงจัดการได้ไม่ยากนัก
ส่วนแม่สื่อเฉียนเองก็คิดดังนั้น ใบหน้านางจึงปรากฏรอยยิ้มระรื่นขึ้นราวกับดอกไม้ นางตบเบา ๆ ที่มือของฟู่เสี่ยวกวน พูดด้วยน้ำเสียงอันเบาว่า “คุณชายฟู่ สตรีนางนั้นเป็นถึงบุตรสาวของจางจี้ พ่อค้าข้าวที่ได้รับเลือกเป็นพ่อค้าหลวงผู้นั้น นางเป็นบุตรสาวโดยชอบธรรม เปรียบดั่งอัญมณีล้ำค่าของบ้านตระกูลจางเชียว”
นางชักมือกลับและหันหลังไปมองฟู่ต้ากวนแล้วเอ่ยว่า “สมกันราวกับกิ่งทองใบหยก ท่านเห็นด้วยหรือไม่? ตระกูลของท่านคือเศรษฐีผู้มั่งคั่งอันดับหนึ่งแห่งหลินเจียง พี่ชายของนางเป็นหนึ่งในผู้มีพรสวรรค์แห่งหลินเจียงนั่นก็คือจางเหวินฮั่น เขาเพิ่งเดินทางไปยังเมืองหลวงเพื่อสอบคัดเลือก หากได้รับเลือกเป็นจอหงวน แล้วคุณหนูเติบโตในตระกูลเช่นนี้แต่งงานกับตระกูลฟู่ คาดว่าภายภาคหน้าคงช่วยท่านจัดการเรื่องต่าง ๆ ในบ้านได้เป็นอย่างดี”
“นางมีนามว่าอะไร?” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย
“จางเพ่ยเอ๋อร์ แม้คุณหนูยังไม่เติบโตเต็มวัย แต่ก็มีผู้มาสู่ขอเป็นจำนวนมาก คุณชายฟู่ควรจะรีบจัดการให้เรียบร้อย มิเช่นนั้นอาจถูกผู้อื่นชิงตัดหน้าไปเสียก่อนก็เป็นได้”
“เจ้าได้ถามนางแล้วหรือ ว่านางสมัครใจที่จะแต่งงาน?”
“นางสมัครใจอย่างแน่นอน……” แม่สื่อเฉียนเอ่ยออกมาอย่างมิทันได้คิด จากนั้นนางยิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าคาดว่านางสมัครใจอย่างแน่นอน คุณชายฟู่นั้นเปลี่ยนไปจากเดิมยิ่งนัก อีกทั้งยังเป็นผู้มีพรสวรรค์แห่งหลินเจียง ประกอบกับสุราที่ท่านคิดค้นทั้งสองชนิดนั้น มีสตรีผู้ไหนเล่ามิอยากเป็นคู่ครองของท่าน”
แท้จริงแล้วเรื่องนี้ เป็นจางเพ่ยเอ๋อร์เองที่รู้สึกชอบพอฟู่เสี่ยวกวน ควรกล่าวว่าบัดนี้คุณหนูในตระกูลใหญ่มากมายชอบพอฟู่เสี่ยวกวนเป็นจำนวนมาก
กวีประโยคที่ว่าร่างไร้สองปีกหงส์ที่งดงาม จิตใจต่างสื่อสารไปถึงกันนั้น ทำให้บรรดาสตรีทั้งหลายพากันมอบหัวใจให้
หากเป็นฟู่เสี่ยวกวนเมื่อก่อนนั้น แน่ชัดว่าพวกนางล้วนจักหลบหนียามพบเจอ แต่บัดนี้ล้วนทำให้พวกนางเหลียวหลังมอง ทั้งความสามารถด้านวรรณกรรมและไม่ประพฤติตนให้ผู้ใดไม่พอใจ อีกทั้งยังมิได้ออกจากจวนฟู่เป็นเวลานาน คนภายนอกจวนรับรู้ได้ บุรุษที่เพียบพร้อมถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าพวกนางคงต้องแย่งกัน
หากฟู่เสี่ยวกวนออกไปข้างนอก คงได้มีโอกาสพบเจอบ้าง แต่เขากลับอยู่แต่ในจวน จึงทำให้บรรดาสตรีน้อยใหญ่ผิดหวังไม่น้อย
จางเพ่ยเอ๋อร์เองก็เช่นกัน นางเอ่ยเรื่องนี้แก่บิดา จางจือเซ่อครุ่นคิดอยู่ชั่วคืน แต่มิได้ปฏิเสธแต่อย่างใด
ตระกูลจางและตระกูลฟู่ทำการค้าไม่เหมือนกัน จึงไม่เกิดความขัดแย้งกันอีกทั้งสองตระกูลต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันเสมอมา จางจือเซ่อและฟู่ต้ากวนนั้นบางโอกาสก็ได้ร่วมรับประทานอาหารและดื่มสุราร่วมกัน
ส่วนฟู่เสี่ยวกวนนั้นบัดนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นผู้มีความสามารถเพียบพร้อม แม้ตระกูลฟู่จะมีฉีซื่อที่กำลังตั้งครรภ์ แต่ผู้สืบทอดตระกูลจะเป็นใครไปมิได้นอกจากฟู่เสี่ยวกวน หากบุตรสาวได้แต่งงานเข้าสู่ตระกูลฟู่ ช่างเป็นเรื่องดียิ่งนัก
ดังนั้นจางจือเซ่อจึงได้วางแผนการให้แม่สื่อเฉียนดำเนินการเรื่องนี้ ฟู่ต้ากวนเองก็ได้พบแม่สื่อเฉียนเข้าโดยบังเอิญ
ฟู่เสี่ยวกวนยืดตัวตรง ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “หากข้าไม่เห็นด้วยเล่า?”
ตอนที่ 31 ชีวประวัติห่านฟ้า
ฝนตกโปรยปราย ฟ้าร้องดังสนั่นไปทั่วทุกทิศ
ในยามนี้ สีของท้องฟ้ากลับเปลี่ยนเป็นความมืดมิดในยามราตรี
ไฟในห้องของต่งชูหลานยังคงสว่างไสว นางนั่งอยู่ตรงหน้าต่าง ในมือถือจดหมายหนึ่งฉบับและหนังสือต้นฉบับอีกหนึ่งชุด
ใบหน้าของนางแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ทัดเส้นผมที่ปรกลงมาไว้ที่หลังใบหู และแกะจดหมายออกด้วยความประหม่า
เป็นเขาที่เขียนด้วยตนเอง เพราะลายมือนั้นเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครในใต้หล้า
“แม่นางต่ง
เป็นอย่างไรบ้าง !
ข้ามิรู้ว่านานเท่าใดเจ้าจึงจะได้รับจดหมายฉบับนี้ เมื่อนึกถึงระยะห่างของหลินเจียงไปจนถึงเมืองหลวงที่ค่อนข้างยาวไกลนั้น ข้าก็กังวลว่าสุราเหล่านั้นจะถูกกระแทกจนแตกไประหว่างทางเสียก่อน
วันที่หนึ่งเดือนหก เป็นวันเวลาเดียวกับที่ข้าเขียนจดหมายนี้ถึงเจ้า ตรอกฉือปาหลี่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เพียงเพื่อจะมาซื้อสุราเซียงเฉวียนและเทียนฉุนเท่านั้น
ข้าไม่ได้ไปเห็นฉากนั้นด้วยตาของตนเอง เพราะข้ามิได้ไป แต่มิใช่เพราะงานยุ่งแต่อย่างใด ข้ารู้เพราะไม่ว่าอย่างไรสุราทั้งสองชนิดนี้ก็ต้องขายดีอย่างแน่นอน”
คนผู้นี้หน้าหนาเสียจริง ต่งชูหลานลอบคิดในใจพลางกัดริมฝีปากเบา ๆ
“โชคดีที่ข้านั้นเคยกล่าวเอาไว้ว่าจะมอบสุรานี้ให้เจ้านำกลับไปที่เมืองหลวงด้วย มิฉะนั้น คาดว่าเจ้าจะต้องรอไปจนถึงชุดต่อไป นี่คือปัญหาของความซื่อสัตย์ เพราะข้าได้รับปากกับเจ้าไปแล้ว ก็ต้องทำให้จงได้”
ถือว่าเจ้ายังมีจิตสำนึก
“เจ้าบอกว่าตัวอักษรของข้ายังต้องฝึกฝนอีกมาก ข้ามาครุ่นคิดดู ก็รู้สึกว่าที่เจ้าพูดนั้นถูกต้อง ดังนั้นจึงได้เขียนอะไรบางอย่างขึ้นมา เจ้าลองอ่านสิ่งที่เรียกว่านิยายนี้ดู เป็นข้าที่แต่งขึ้นมาอย่างแน่นอน แต่ข้ารู้สึกว่าเนื้อเรื่องนี้ก็ถือว่าใช้ได้ สำเร็จไปได้ 6 บท จึงได้ส่งมาให้เจ้าอ่าน มิใช่ต้องการให้เจ้าแสดงความคิดเห็นอันใด เพียงฝึกฝนอักขระเท่านั้น ข้ารู้สึกว่าตัวอักษรพวกนี้ดูดีขึ้นมาเล็กน้อยเลยอยากให้เจ้าได้ดู”
คนผู้นี้แต่งหนังสือได้อย่างนั้นหรือ ?
“บิดาของข้ามาแล้ว คงต้องเขียนถึงเพียงเท่านี้ กลัวว่าเขามาเห็นเข้า จะเกิดความเข้าใจผิดว่าข้าและเจ้านั้นกำลังศึกษาดูใจกันอยู่”
“ฟู่เสี่ยวกวน วันที่หนึ่งเดือนหก”
ต่งชูหลานหน้าแดงทันพลัน คนผู้นี้ พูดจาเยี่ยงนี้ได้ที่ไหนกัน หากมิใช่ว่ารู้จักเขา เกรงจะคิดว่าชายผู้นี้เป็นคนต่ำทราม
นางเก็บจดหมายที่น่าอายนั่นลงไป สงบสติอารมณ์ แล้วจึงเปิดห่อของต้นฉบับนั้นออก ด้านบนนั้นมีกระดาษว่างอยู่ 1 ใบโดด ๆ เขียนไว้ตัวโต ๆ ว่า นี่คือต้นฉบับ โปรดส่งคืนหลังอ่านเสร็จ!
ทันใดนั้นนางก็หัวเราะขึ้นมา คนผู้นี้น่าขบขันเสียจริง ๆ ใครจะเผาส่งคืนให้เจ้ากัน
มาดูกันว่าคนผู้นี้เขียนบทความอันใดกัน
ความฝันในหอแดง
บทที่หนึ่ง เจินซื่ออิ่นช่างฝันผู้มีจิตสัมผัส จย่าอี่ว์ซุนบุตรีขุนนางเดินทางไปในที่ลำบาก
“ในสมัยโบราณกาล ฟ้าถล่มดินทลาย ความโกลาหลได้เริ่มต้นขึ้น… เจ้าแม่หนี่วาใช้ก้อนหินหลากสี 36,500 ก้อนเพื่อซ่อมแซมท้องฟ้า ก้อนเดียวที่เหลืออยู่ก็ไร้ประโยชน์ จึงถูกทอดทิ้งไว้ที่ไหล่เขาชิงเกิ๋ง…”
เรื่องราวเริ่มต้นเยี่ยงนี้ เมื่อได้เริ่มอ่านก็ไร้หนทางที่จะวางลง จิตใจของต่งชูหลานจมดิ่งลงไปอย่างรวดเร็ว และไร้หนทางที่จะถอนตัวออกมาได้
นางอ่านจบในคราเดียว นางเงยหน้าขึ้นมามองออกไปนอกหน้าต่าง สายฟ้าฟาดผ่านท้องฟ้า จนเป็นภาพที่สวยงาม
นางรู้สึกอยากดื่มสุรา ดังนั้นจึงลุกขึ้นไปเปิดกล่องออก ขวดสีแดงที่มีลายดอกกล้วยไม้สีทองประดับ สวยงามอย่างยิ่ง บนขวดนั้นได้มีตัวอักษรจารึกไว้ สุราหาได้ยากยิ่งในใต้หล้า ซีซานเทียนฉุน ด้านล่างมีตัวอักษรเล็ก ๆ ว่า 40 ดีกรี
นางนึกขึ้นได้ว่าคืนนั้นที่คนผู้นั้นไปยังสำนักศึกษาหลินเจียงก็เพื่อขอให้ท่านปู่ฉินประดิษฐ์อักษรให้ ซึ่งก็คือตัวอักษรเหล่านี้
เพียงเปิดจุกนั้นออก กลิ่นหอมของสุราก็ลอยมาแตะจมูก
นางถือขวดสุราไปนั่งลงที่หน้าโต๊ะหนังสือ ดื่มสุราพลางอ่านหนังสือไปด้วย โดยไม่ได้สนใจถึงองค์หญิงเก้าหยูเวิ่นหวินที่เสี่ยวฉีพาเข้ามา อีกทั้งองค์หญิงเก้ายังยืนอยู่ด้านหลังของนาง
……
……
ดวงจันทร์และดวงดาราในหลินเจียงหาได้ยากยิ่ง โคมไฟถูกแขวนไปกับต้นไทร ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงใต้ต้นไม้ ในมือถือจดหมาย 1 ฉบับ
นี่คือจดหมายจากต่งชูหลาน บนกระดาษนั้นมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ติดปลายจมูก
“คุณชายฟู่
เป็นอย่างไรบ้าง !
เพียงกะพริบตาหลินเจียงก็ผ่านไปได้หลายวันแล้ว มิรู้ว่าคุณชายฟู่มีผลงานชิ้นเอกออกมาอีกหรือไม่
ข้าได้ส่งยอดสุราซีซานไปยังวังหลวงแล้ว วังหลวงต่างพอใจกับสุรานี้นัก องค์หญิงใหญ่กำชับให้ข้ามาถามเจ้าว่าสุราราคาเท่าใด ความหมายของทางวังหลวงก็คือหากราคาใช้ได้ไม่แพงเกินไป สุรานี้จะขึ้นเป็นเครื่องราชบรรณาการ เยี่ยงนั้นสุราของคุณชายก็จะมิต้องขายที่ข้างนอกแล้ว
เรื่องการค้นคว้านั้นข้ามิเข้าใจ แต่สบู่และน้ำหอมที่เจ้าเอ่ยมานั้นมันน่าสนใจสำหรับข้ายิ่งนัก ข้านึกถึงสินค้าต่าง ๆ ที่เจ้าทำออกมา ก็มักจะนำมาขายเสมอ มิรู้ว่าคุณชายฟู่มีความคิดจะเข้ามาที่จินหลิงหรือไม่ อย่างไรตลาดเมืองหลวงย่อมใหญ่กว่าที่หลินเจียงเป็นเท่าตัว
หากคุณชายยินยอมจะเข้ามาในเมืองหลวง ข้าสามารถช่วยธุระเล็กน้อยของเจ้าได้ แน่นอน ว่านี่คือเรื่องที่คุณชายจะเป็นผู้ตัดสินใจ ข้าเพียงแค่แนะนำเพียงเท่านั้น”
“ได้ยินมาว่าองค์หญิงเก้าทรงประพาสไปยังหลินเจียง ข้ารู้สึกกังวลใจเล็กน้อย หลังจากที่ข้ากลับจินหลิงและได้พูดคุยเรื่องของเจ้า ข้าคาดไม่ถึงว่าพระองค์จะสนพระทัยเจ้า เจ้าจงกล่าวโทษข้า หากพระองค์ทำเรื่องให้เจ้าลำบากใจ และหวังว่าเจ้าจะให้อภัยข้า”
“บทกวีที่เจ้าแต่งให้ข้า ข้าชอบอย่างยิ่ง และไม่เคยให้ผู้ใดได้อ่าน”
“วันนี้ข้าแข่งหมากล้อมกับท่านพี่ ข้าเสียสมาธิไปทั้งหมด ข้าได้รับรู้แล้วที่เจ้ากล่าวกับท่านปู่ฉินว่าจะเข้าสำนักศึกษา นั่นดียิ่ง ข้าชอบยิ่งนักที่ได้ยินเยี่ยงนั้น”
“ท่านพี่ใหญ่ของข้ามาอีกแล้ว จึงเขียนได้เพียงเท่านี้ กลัวว่าหากเขาเข้ามาแล้วเห็นเข้า จะยิ่งเข้าใจผิดไปกันใหญ่”
“ชูหลาน วันที่หนึ่งเดือนหก”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ เนื้อความในจดหมายส่วนแรกนั้นปกติดี แต่ส่วนท้ายกลับสะเปะสะปะ
ข้าย่อมต้องไปจินหลิงเป็นแน่แท้ แต่มิใช่ในตอนนี้ จุดสำคัญในตอนนี้อยู่ที่หลินเจียง หรือกล่าวให้ชัดก็คือหมู่บ้านเสี้ยชุน
สำหรับเรื่องที่องค์หญิงเก้าเสด็จประพาสที่หลินเจียง เขามิได้สนใจ อย่างไรแล้วนั่นก็คือองค์หญิง ส่วนเขานั้นคือชนชั้นรากหญ้า ที่ห่างไกลกันยิ่ง
หากฝ่าบาทใส่ใจเขาขึ้นมา… หากฝ่าบาทเรียกเข้าเฝ้า ก็จำต้องไป เมื่อถึงเวลาค่อยว่ากันใหม่อีกครา
หลังจากที่ได้รับจดหมายเรียบร้อยแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนก็นั่งขัดสมาธิ และฝึกฝนลมปราณต่อ
……
……
“นี่คือหนังสือที่เขาแต่งใช่หรือไม่?” หยูเวิ่นหวินกำลังบีบขวดสุราไว้ จึงคิดไปว่าในกล่องนั้นคงเป็นเทียนฉุนเช่นกัน
ต่งชูหลานจ้องมองหยูเวิ่นหวิน ลอบคิดในใจว่าฝนตกใหญ่ถึงเพียงนี้ ท่านมาทำอันใดกัน?
ทั้งสองต่างเติบโตมาพร้อมกันตั้งแต่ยังเด็ก ค่อนข้างเป็นกันเองยามอยู่ด้วยกัน หยูเวิ่นหวินเองก็จ้องต่งชูหลานกลับอย่างมิเกรงใจ พร้อมทั้งกล่าวอีกว่า “เจ้าคิดว่าเจ้ามิพูดแล้วข้าจะมิรู้รึว่าเป็นลายมือของเขา ตัวอักษรสุดแย่ของเขา บนโลกนี้คงไม่มีใครอื่นที่จะสามารถลอกเลียนแบบ”
ต่งชูหลานกลับประหลาดใจเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม “ท่านเคยเห็นลายมือของเขาหรือเพคะ?”
หยูเวิ่นหวินหยิบกระดาษหนึ่งแผ่นออกมาจากแขนเสื้อ และส่งให้แก่ต่งชูหลาน
“เจ้าอ่านเองเถิด”
นั่นคือบทกวีที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้แต่ง
ค่ำคืนที่เมามาย
ดวงดาวและสายลมในยามค่ำ หอวาดภาพชายตะวันตกไปยังป่าตะวันออก
ร่างไร้สองปีกหงส์ที่งดงาม จิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน
……
……
หัวใจของต่งชูหลานสั่นระรัว ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกชื่นชม
“เขา… ช่างแต่งได้ดียิ่ง!”
“ดูอาการเมารักของเจ้าสิ” หยูเวิ่นหวินเปิดขวดสุราแล้วยกขึ้นมาจิบ พลางถอนหายใจ และมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง “ร่างไร้สองปีกหงส์ที่งดงาม จิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน เขากล่าวว่าเขียนสิ่งนี้เพื่อเจ้า”
“อ่า… จริงรึเพคะ?”
“เจ้าคิดว่าข้าจะหลอกเจ้าหรืออย่างไร ตัวเขานั้นมิได้ไปด้วยตนเอง เป็นสาวใช้ของเขาที่นำบทกวีไปให้ วันรุ่งขึ้นข้าจึงเดินทางไปพบเขา แต่เขากลับพูดคุยกับข้าเหมือนกับคนทั่วไป สนิทสนมราวกับเคยพบเจอกันมาก่อน เขาไม่แม้แต่จะเอ่ยถามถึงนามของข้าด้วยซ้ำ เขาเองก็ยังมิรู้ว่าข้าคือผู้ใด”
“องค์หญิงคิดว่า เขาเป็นเช่นไรเพคะ?”
“ฮ่าฮ่า มิอยากให้ข้ากล่าวล้อเล่น และอยากฟังความจริงเยี่ยงนั้นรึ?”
“เพคะ”
“หากข้าแย่งเขามาจากเจ้า เจ้าจะโกรธข้าหรือไม่?”
“ดูท่านขู่เข้าสิ แต่… ข้ารู้สึกว่าเรื่องของพวกท่านสองคนคงมีปัญหาไม่น้อยเลย!”
ตอนที่ 30 พิธีรำลึก
ชีวิตหลังจากนั้นแสนสงบและราบรื่น
หัวข้อสนทนาเกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวนแห่งเมืองหลินเจียงนั้นก็ลดลงเรื่อย ๆ ผู้คนล้วนเปลี่ยนทัศนะมุมมองไปจากเดิม ยิ่งเหตุผลนั้นคือคุณชายฟู่ถูกทุบตีบริเวณศีรษะจนได้รับบาดเจ็บและส่งผลกระทบตามมา
หากว่าโชคร้ายอาจจะทำให้กลายเป็นคนโง่งม แต่หากโชคดีจะเป็นการเปิดประตูแห่งความสามารถ ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนสามารถแต่งกวีที่ไพเราะดึงดูดผู้คนได้เยี่ยงนี้
บทกวีที่ฟู่เสี่ยวกวนให้บ่าวรับใช้นำไปมอบเมื่อครั้งงานกวีที่ซ่างหลินโจวได้รับการยกย่องและแพร่กระจายไปทั่วใต้หล้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงบรรทัดที่กล่าวว่า ร่างไร้สองปีกหงส์ที่งดงาม จิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน เป็นกลอนที่สตรีทั้งหลายล้วนหลงใหล ใฝ่ฝันปรารถนายิ่งนัก
ขณะเดียวกันบทกวีที่ชาวบ้านนิยมนำมาขับร้องยังมี “ความสุขที่เงียบสงบ ค่ำคืน ณ ซ่างหลิน” บทนั้น ซึ่งประพันธ์โดยถังซูยวี่ หนึ่งในสี่ของผู้มีพรสวรรค์ ขับร้องครั้งแรกโดยแม่นางไป๋ชิวแห่งหอฉวินฟาง
ส่วนหยู๋ฝูจี้ตรอกฉือปาหลี่นั้น ในทุกวันยังมีผู้คนมากมายต่อแถวแต่เช้าตรู่ และจบการค้าขายลงในเวลา 1 ชั่วยาม แน่ชัดว่าผู้ที่รอต่อแถวแต่มิได้สุรากลับไปนั้นย่อมไม่พอใจ ฉ้ายหลงจู๊ต้องอธิบายแก่พวกเขาอย่างชัดเจนว่าสุรานี้แต่ละวันผลิตได้เพียงเท่านี้ คุณชายของพวกเขากำลังเร่งแก้ไขปัญหาและค้นคว้าหาวิธีใหม่อยู่ คาดว่าเมื่อค้นหาวิธีได้ ทุกคนจะซื้อหาได้อย่างเพียงพอ
ผู้คนไม่น้อยที่ได้ลิ้มลองรสชาติสุราเซียงเฉวียนและเทียนฉุนแล้วนั้น เมื่อดื่มสุราชนิดอื่นก็ไร้ซึ่งรสชาติ อีกทั้งบรรดาเหล่าปัญญาชนเมื่อสังสรรค์กัน พวกเขามักจะนำสุราชั้นยอดออกมาเพื่อดื่ม เว้นแต่สุราทั้งสองชนิดนี้ที่ไม่สามารถหาได้ ส่งผลให้สุราทั้งสองชนิดนี้มีการโก่งราคาสูงขึ้นในตลาดทั่วไป
บางคนที่สามารถซื้อสุราทั้งสองชนิดนี้ไปได้ก็นำไปสร้างกำไรได้ไม่น้อยทีเดียว
อย่างเช่น สุราเซียงเฉวียน 1 ตำลึงราคา 50 อีแปะ ถูกขายต่อไปในราคา 100 อีแปะ อีกทั้งสุราเทียนฉุนที่มีรสเลิศและราคาสูงอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งสุราชนิดนี้สามารถนำไปเปรียบเทียบกับสุราเทียนเซียงได้ 1 ตำลึงราคา 300 อีแปะนำไปขายต่อได้ในราคา 1 ตำลึง 600 อีแปะ อีกทั้งยังมิสามารถหาซื้อได้ในตลาดทั่วไป
เช่นนั้นพ่อค้ารายใหญ่จำนวนมากที่ประสงค์จะดื่มสุรานี้ จะส่งบ่าวรับใช้ไปต่อแถวรอที่หน้าประตูหยู๋ฝูจี้ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง
ร้านจำหน่ายสุราชีชื่อที่อยู่ตรงข้ามกันนั้นเริ่มแสดงท่าทีไม่พอใจ แต่ชีชื่อเข้าใจดีว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งใหม่ที่นิยมเพียงชั่วคราว หากจำนวนผลิตของหยู๋ฝูจี้มีเพิ่มมากยิ่งขึ้น เขาก็คงจะมิได้เดือดร้อนเช่นนี้
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ใส่ใจในเรื่องนี้แม้แต่น้อย หลายวันมานี้นอกจากการเดินทางไปพบปะท่านอาจารย์ฉิน ณ สำนักศึกษาหลินเจียงในครั้งนั้นแล้ว เขาหาได้ออกจากจวนอีกไม่
กาลเวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ
พริบตาเดียวทุกอย่างได้ดำเนินมาถึงเดือนหกวันที่สิบ
ในวันนี้คือวันที่เขาจะจัดพิธีระลึกถึงการจากไปของมารดาฟู่เสี่ยวกวน ซึ่งฟู่ต้ากวนได้เชิญซินแสที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งเมืองหลินโจว มาเป็นผู้กำหนดวันในการจัดพิธี
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงตื่นแต่เช้าตรู่ดังเดิม หลังจากฝึกฝนร่างกาย อาบน้ำชำระร่างกายและรับประทานมื้อเช้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ได้นั่งอยู่อย่างสงบภายในศาลาเหลียงถิง
เรื่องราวเกี่ยวกับมารดานั้น ภายในความทรงจำของเขาไม่ค่อยชัดเจนเท่าใดนัก เพียงแค่สามารถนำเรื่องราวมาปะติดปะต่อกันเท่านั้น จากเมื่อครั้นมารดาสิ้นชีพลง บัดนี้นับได้สิบปีแล้ว
เมื่อยามรุ่งสาง ฟู่เสี่ยวกวนพาชุนซิ่วเดินออกไปนอกจวน ด้านหลังยังมีซูม่อติดตามไป จวบจนบัดนี้ทั้งสองยังคงมิได้เอ่ยคำใด ๆ ต่อกัน
ภายนอกจวนปรากฏรถม้าจอดรออยู่ 5 คัน อีกทั้งยามรักษาความปลอดภัย 20 นาย
ฟู่ต้ากวนอยู่ที่นั่น แต่ฉีซื่อกลับทำเหมือนมองไม่เห็นเขา
เกี่ยวกับเรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้นำมาใส่ใจ เนื่องจากฉีซื่อเป็นสตรีมีครรภ์ หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นคงไม่ดีนัก
เมื่อสองคนพ่อลูกขึ้นรถเรียบร้อย ผู้ดูแลหวงก็ได้นำขบวนและกำลังพลเดินทางไปยังทิศเหนือ
ภูเขาลูกนี้ไม่มีชื่อและมิได้สูงตระหง่าน แต่ต้นไม้บนภูเขายังคงเติบโตแผ่กิ่งก้านให้ความร่มรื่นได้เป็นอย่างดี สุสานของสวี่หยุนชิงอยู่ในภูเขาแห่งนี้
ที่แห่งนี้ช่างเงียบสงบเสียจริง
ต้นไม้บริเวณรอบถูกโค่นออกจนโล่งเตียน ไม่มีแม้กระทั่งต้นหญ้าสักต้นหนึ่ง บนพื้นถูกปูด้วยหินซึ่งผ่านการขัดเงาเสียจนมันวาว
หลุมศพนั้นถูกทำขึ้นด้วยหินอ่อนสีขาวแสนโอ่อ่า ด้านหน้าเป็นแท่นสำหรับเซ่นไหว้สิ่งของซึ่งทำมาจากหินอ่อนสีขาวเช่นกัน
บรรดาผู้รับใช้ได้นำสิ่งของเซ่นไหว้บูชายกมาวางไว้บนแท่นหินอ่อนด้านหน้าอย่างเป็นระเบียบ
ปรมาจารย์ด้านฮวงจุ้ยที่เชิญมาได้พานักบวชลัทธิเต๋าหลายสิบคนนั่งลงยังหน้าแท่นบูชา เมื่อเสียงระฆังดังขึ้น ปรมาจารย์ฮวงจุ้ยที่ถือแส้ไว้ในมือก็โบกมือไปมา จากนั้นเขาก็เริ่มทำการสวดมนต์
ฟู่เสี่ยวกวนหาได้ฟังออกไม่ อีกทั้งยังไม่เข้าใจ สายตาของเขาจ้องไปยังป้ายหน้าหลุมฝังศพ บนนั้นปรากฏตัวอักษรมากมาย
“สวี่หยุนชิง ภรรยา ฟู่ต้ากวน สามี ฟู่เสี่ยวกวน บุตร”
“ข้าพบเจอภรรยาผู้นี้ครั้งแรกที่ฉินหวาย ต้นไทรเพิ่งผลิใบ สายฝนโปรยปราย หยุนชิงสวมใส่ชุดสีม่วงเดินเข้ามาพร้อมร่มคันหนึ่งในมือนาง เส้นผมโบกปลิวไปตามแรงลม กระโปรงพลิ้วไสวคล้ายกำลังเต้นรำ”
“ต่อมาเราทั้งสองก็ได้พบกันอีกครั้งที่หลานถิง ดอกไม้ฤดูร้อนผลิบาน แสงแดดทอเจิดจ้า หยุนชิงสวมใส่ชุดขาว ในมือถือพัดปักลายประณีตยืนอยู่ที่หัวเรือเพียงลำพัง สายตานางแลมา ช่างเจิดจ้ายิ่งนัก”
“……เพียงพบเจอนางได้ 2 ครั้ง จิตใจเราทั้งสองก็ตรงกัน มุ่งมั่นตั้งอนาคตร่วมกัน บิดาของข้าเป็นผู้เดินทางไปสู่ขอ หากแต่ตระกูลสวี่มิยินยอม ข้าจึงได้แต่รอคอยอยู่ด้านนอกจวนสวี่ กระทั่งฝนเทลงมาห่าใหญ่……”
“……รัชสมัยไท่เหอปีที่ 43 ฤดูหนาว หิมะตกหนักอีกทั้งมีลมพายุ ในคืนนั้นหยุนชิงปีนข้ามกำแพงออกมา ข้าและหยุนชิงเดินเคียงคู่กัน หยุนชิงหันหลังกลับไปแลดูจวนสวี่อีกครั้ง พบว่าเล็กลงไปทุกที น้ำตานางไหลอาบหน้า”
“รัชสมัยไท่เหอ ปีที่ 44 ฤดูใบไม้ผลิ ดอกรักของข้าและหยุนชิงได้บานสะพรั่ง เราสองให้กำเนิดบุตรชายในฤดูหนาว หยุนชิงตั้งชื่อเขาว่าฟู่เสี่ยวกวน นางกล่าวว่าตัวข้านั้นมิเคยได้รับตำแหน่งใดในข้าราชการ บุตรของข้าหากได้ตำแหน่งแม้น้อยนิดตามชื่อของเขา ก็จะมีความสุขเสียจนล้นพ้น”
“……หยุนชิงได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับข้า แต่ฟ้าหามีตาไม่!รัชสมัยไท่เหอ ปีที่ 49 หยุนชิงป่วยหนัก ข้าและภรรยาเดินทางกลับไปยังเมืองจินหลิง เพียงเพราะภรรยาข้าปรารถนาจะเห็นประตูจวนสวี่อีกครั้งหนึ่งเท่านั้น”
“เราสองสามีภรรยาพร้อมทั้งบุตรชายคุกเข่าอยู่หน้าจวนสวี่เป็นเวลานาน แต่หาได้รับการอภัยจากจวนสวี่ไม่ ภรรยาข้า……จากไปในรัชสมัยไท่เหอ ปีที่ 50 ฤดูใบไม้ผลิ อายุได้ 25 ปี”
“หยุนชิงที่รัก โปรดจงรอข้าเถิด สักวันข้าจะมาพบเจ้า ณ ที่นี้ ปกป้องเจ้าทุกชาติไป”
“ฟู่ต้ากวน คารวะ”
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งไปนาน เขาคาดไม่ถึงว่าบิดาและมารดาของเขานั้นผ่านเรื่องเลวร้ายมาด้วยกันถึงเพียงนี้ อีกทั้งคาดไม่ถึงว่าในความทรงจำของเขานั้นไม่มีข้อมูลเหล่านี้อยู่แม้แต่น้อย
สิ่งนี้หมายความว่า ฟู่เสี่ยวกวนคนเดิมนั้นมิเคยเดินทางมาคารวะหลุมศพมารดา หรืออาจจะเคยมา แต่มิได้ใส่ใจแม้แต่ป้ายหน้าหลุมศพ ช่างอกตัญญูไร้คำจะเปรียบเปรย!
เขามองไปยังบิดาที่นั่งจุดเทียนเผากระดาษอยู่หน้าแท่น อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกได้ว่าชายอ้วนผู้นี้ช่างมีความยิ่งใหญ่นัก ยิ่งใหญ่ที่สามารถรักและปกป้องสตรีนางหนึ่งในยุคสมัยนี้ได้ถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังรู้สึกชื่นชมนับถือสตรีผู้ที่เขา มิเคยมีโอกาสได้พบหน้าผู้นั้นอีกด้วย นางสามารถหนีออกจากบ้านมาในคืนที่พายุหิมะกระหน่ำ เพียงเพื่อชายผู้นี้ นางต้องมีความกล้าหาญสักเพียงใด!
เขามิอาจทราบได้ว่าตระกูลสวี่เป็นอย่างไร แต่จากป้ายหน้าหลุมศพนี้ เขารับรู้ได้ว่ามารดานั้นเป็นสตรีที่มีความสามารถหรืออาจจะเป็นบุตรีในตระกูลข้าราชการ แต่ตระกูลฟู่นั้นเป็นพ่อค้าที่ดิน จึงได้ถูกตระกูลสวี่ปฏิเสธการแต่งงานในครานั้น
เขามิได้โกรธเคืองด้วยเหตุผลนี้ แต่สิ่งที่ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนโกรธคือมารดาของเขาป่วยหนักแต่กลับไปที่จวนสวี่พร้อมกับครอบครัวเพื่อคุกเข่าขออภัยอยู่หน้าจวน แต่กลับมิได้รับการอภัย สิ่งนี้ฟู่เสี่ยวกวนเห็นว่าเป็นการกระทำที่โหดร้าย เลือดเย็น ช่างไร้น้ำใจเสียจริง
สิ่งนั้นคงเป็นความปรารถนาเดียวในชีวิตอันแสนสั้นของมารดา
เขาสูดหายใจเข้าลึก มือของเขากำหมัดแน่นโดยมิรู้สึกตัว
หลังจากฟู่เสี่ยวกวนมายังโลกนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าควรจะทำอะไรสักอย่าง อย่างแท้จริง มิใช่เพื่อตัวเขา แต่เพื่อสตรีผู้เข้มแข็งและน่ายกย่องที่นอนอยู่ในหลุมศพนี้
เขาเดินหน้าขึ้นมา รับธูปจากมือของปรมาจารย์ฮวงจุ้ยแล้วนำไปปักลงหน้าหลุม คุกเข่าทำความคารวะ จากนั้นก็นั่งลงเผากระดาษเงินกระดาษทองเช่นเดียวกับฟู่ต้ากวน
เปลวไฟลุกขึ้นร้อนแรง
ฟู่ต้ากวนเอ่ยขึ้นว่า “ลูกชายข้า เจ้าจงดูเถิด มารดาเจ้ารับรู้ถึงการกลับตัวกลับใจของเจ้าแล้ว นางต้องดีใจมากเป็นแน่”
ตอนที่ 29 ไม่มีเวลาว่าง
“พรุ่งนี้ข้าก็จะเดินทางออกจากหลินเจียงแล้ว คุณชายฟู่จะยินยอมแต่งกวีให้ข้าสักบทได้หรือไม่?”
หยูเวิ่นหวินมิได้มองฟู่เสี่ยวกวน นางเพียงยกถ้วยชาขึ้นมาอีกครา เปิดฝาปิดออก และละเลียดชิมที่ริมฝีปาก
นางเองก็กระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก มิรู้ว่าเหตุใดตัวนางถึงได้กล่าวออกไปเยี่ยงนั้น
นางวาดหวังเพียงเล็กน้อยว่าฟู่เสี่ยวกวนจะยินยอมแต่งกวีให้นางสักบท แต่ลึก ๆ ในใจของนางก็กังวลว่าฟู่เสี่ยวกวนจะปฏิเสธ เพราะฟู่เสี่ยวกวนมิมีเหตุผลใดที่จะแต่งกวีให้แก่นาง
นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เจอหน้ากัน จนถึงตอนนี้ฟู่เสี่ยวกวนยังมิรู้ด้วยซ้ำว่านางเป็นใคร เขาจะรับมือเยี่ยงไรกัน?
หยูหงอี้เองก็เหลือบมองหยูเวิ่นหวินด้วยความประหลาดใจ รับรู้ได้ว่าองค์หญิงเก้าทำตัวผิดแปลกไป แต่เขาเองก็พูดมิได้เช่นกันว่าผิดแปลกไปตรงไหน
สำหรับเขา หากองค์หญิงต้องการกวีหนึ่งบท ฟู่เสี่ยวกวนย่อมต้องแต่งให้เป็นแน่
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับมิได้แต่งให้อย่างที่เขาคิด
ฟู่เสี่ยวกวนรินชาลงในจอกอย่างช้า ๆ แล้วกล่าวยิ้ม ๆ “แท้จริงแล้วพวกท่านมิรู้ว่าข้านั้นเป็นคนแบบไหน”
“ข้านั้น เป็นบุคคลที่ชั่วร้ายของเมืองหลินเจียงมาโดยตลอด แน่นอน ว่ามิกล้าทำเรื่องเลวร้ายใหญ่โตหรอก แต่เรื่องชั่วร้ายเล็ก ๆ น้อย ๆ กลับมีมาไม่ขาดสาย จนกระทั่งได้พบกับแม่นางต่ง”
หยูเวิ่นหวินวางถ้วยชาลง ฟู่เสี่ยวกวนจึงกล่าวอีกว่า “ยามนั้นข้าสร้างความขุ่นเคืองให้แก่แม่นางต่ง หลังจากนั้นก็ถูกองค์รักษ์ของนางทำร้าย จนได้รับบาดเจ็บที่ด้านหลังศีรษะ ท่านหมอกล่าวว่าโชคดีที่สามารถช่วยชีวิตกลับมาได้ ข้าถูกปลุกด้วยไม้กระบองนั่น ทำให้ข้ารู้สึกว่าในอดีตนั้นข้าได้ทำตัวไร้สาระเกินไป จนเสียเวลาไปนานหลายปี ดังนั้นข้าจึงได้มาเปลี่ยนแปลงตนเองในตอนนี้ เพียงแค่คนเหล่านั้นยังยอมรับได้ไม่เต็มที่เพียงเท่านั้นเอง”
“สำหรับเรื่องแต่งบทกวี กล่าวอย่างตรงไปตรงมา ข้านั้นมิเคยอ่านแม้แต่ตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้า เหตุผลที่ข้าสามารถแต่งบทกวีได้ในตอนนี้ ก็ต้องขอบคุณไม้กระบองนั้นเป็นอย่างมาก สมองของข้ามีปัญหา ท่านหมอได้สรุปไว้เยี่ยงนั้น อีกทั้งท่านหมอยังกล่าวอีกว่ายังมีโอกาสที่ข้าอาจจะกลายเป็นคนโง่งม โชคดีที่จนถึงวันนี้ข้าก็ยังเป็นปกติดี แต่ขณะเดียวกันในหัวของข้าก็มักจะเกิดแสงสว่างแล่นผ่านเข้ามาเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ดังนั้นจึงได้มีบทกวีเหล่านั้นขึ้นมา”
“แต่สิ่งนี้อยู่นอกเหนือการควบคุมของข้า เช่นตอนนี้ ข้านั้นอยากจะแต่งบทกวีให้กับแม่นางยิ่ง แต่แสงสว่างในหัวของข้ากลับไม่ส่องสว่างขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย”
สีหน้าของฟู่เสี่ยวกวนเต็มไปด้วยความเสียใจ และถอนหายใจเสียยืดยาว “แม่นาง มิใช่ว่าข้าไม่ยินยอม แต่ข้ามิสามารถแต่งกวีให้แม่นางได้ในตอนนี้ แม่นางโปรดให้อภัยข้าด้วย”
หยูเวิ่นหวินอ้าปากกว้างด้วยความประหลาดใจ ที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกทำร้ายนั้นนางก็รู้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีอาการป่วยตามมาในภายหลัง
หากอาการป่วยที่ตามมานั้นไปทางซ้ายเขาจะกลายเป็นคนโง่งม แต่หากไปทางขวาเขาก็จะสามารถแต่งกวีได้อย่างคล่องแคล่ว นี่มันค่อนข้างไร้สาระ แต่หยูเวิ่นหวินก็ต้องเชื่อ
นี่ก็เป็นการอธิบายได้แล้วว่าเหตุใดเขาถึงไม่ยินยอมไปร่วมงานชุมนุมบทกวี และยังอธิบายเรื่องที่เขาไม่ได้ศึกษาแต่กลับแต่งกวีที่ไพเราะจนน่าตกใจได้
ในใจของหยูเวิ่นหวินยังคงรู้สึกเสียใจ และคิดว่าชูหลานนั้นช่างโชคดี ยามที่จากลาเป็นจังหวะบังเอิญที่พบกับฟู่เสี่ยวกวนในยามที่หัวของเขากำลังส่องสว่าง
ณ ยามนั้น อี้หยู่ก็ได้เดินเข้ามาอีกครา
เขากระซิบกล่าวข้างกายฟู่เสี่ยวกวน “คุณชายขอรับ ข้าพาคนที่ต้องการมาแล้วขอรับ”
“ดี เรียกเขาเข้ามา”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวขอโทษขอโพยกับหยูเวิ่นหวินและหยูหงอี้ “พวกท่านนั่งรอชั่วครู่ ข้ามีธุระจำเป็นที่จะต้องจัดการ”
บุคคลที่อี้หยู่พาเข้ามาก็คือเฟิ๋งหล่าวซื่อและบุตรชายทั้งสองของเขา
เฟิ๋งหล่าวซื่อสวมกางเกงและเสื้อคลุมตัวสั้น สวมรองเท้าแตะฟางหนึ่งคู่ ชายวัยกลางคนอายุราว ๆ 40 ปีมีผิวคล้ำและมีร่างกายกำยำ เขาพาบุตรชายทั้งสองของเขามาคำนับฟู่เสี่ยวกวนด้วยความเคารพและเอ่ยขึ้นมาว่า “ข้ามีนามว่าเฟิ๋งหล่าวซื่อ มิทราบว่าคุณชายต้องการสั่งสิ่งใดขอรับ”
“มาเถิด เชิญนั่ง”
เฟิ๋งหล่าวซื่อกลั้นหายใจ และเมียงมอง “ข้ามิกล้า คุณชายรับสั่งมาได้เลยขอรับ”
“มิเป็นไร สองท่านนี้คือสหายของข้า เจ้านั่งพักดื่มชาเถิด”
เฟิ๋งหล่าวซื่อนั่งลงไม่เต็มก้นตรงข้ามฟู่เสี่ยวกวนด้วยท่าทีละล้าละลัง หยูหงอี้นึกคิดว่านี่มันเรื่องอันใดกัน?
สายเลือดเชื้อพระวงศ์ ผู้สูงส่งและมีเกียรติ ไหนเลยจะเคยนั่งร่วมกันกับคนชั้นล่างเยี่ยงนี้!
ในตอนที่เขากำลังจะลุกขึ้นยืน หยูเวิ่นหวินกลับแอบรั้งเขาเอาไว้
หยูเวิ่นหวินเองก็มิคุ้นชิน ชนชั้นบรรดาศักดิ์ในโลกนี้เข้มงวดเป็นอย่างมาก กับนางที่ยศถาเป็นถึงองค์หญิงชั้นสูงยิ่งแล้วใหญ่
แต่นางก็ยังอยากจะเห็นว่าฟู่เสี่ยวกวนต้องการทำอันใด
เห็นได้ชัดว่าฟู่เสี่ยวกวนหาได้สนใจเรื่องชนชั้นไม่ เขาเชิญเฟิ๋งหล่าวซื่อนั่งร่วมโต๊ะตามอำเภอใจ ทั้งยังรินน้ำชาให้กับเฟิ๋งหล่าวซื่ออย่างสบาย ๆ อีกทั้งยังส่งให้เองกับมือ
“เรื่องเป็นเยี่ยงนี้ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเป็นช่างหินมานานหลายปี มีประสบการณ์มากมาย และรอบรู้เรื่องภูเขาและหินเป็นอย่างมาก”
“ข้าต้องการให้เจ้าช่วยข้าหาก้อนหินประเภทหนึ่ง ก้อนหินชนิดนี้มีสีขาวออกเทา ระดับความแข็งไม่มากนัก”
“แหล่งกำเนิดของหินชนิดนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในป่าหินหรือไม่ก็ในถ้ำ ข้อมูลคร่าว ๆ ก็มีเพียงเท่านี้ เจ้าลองดูสิว่าจะช่วยข้าหาได้หรือไม่”
เฟิ๋งหล่าวซื่อฉีกยิ้มกว้าง แล้วกล่าวว่า “คุณชายขอรับ สิ่งนี้ไร้ประโยชน์นัก มันเปราะเกินไป จนไม่สามารถตัดออกมาเป็นรูปเป็นร่างได้ ด้านหลังของเขาซีซานที่หมู่บ้านเสี้ยชุนก็มี ที่นั่นน่าจะเป็นที่ที่คุณชายพูดถึงอยู่… ภายในถ้ำมีน้ำเจิ่งนองอยู่เต็มไปหมด ต้องพายเรือเข้าไปขอรับ”
ฟู่เสี่ยวกวนยินดียิ่ง นึกไม่ถึงว่าเรื่องจะคลี่คลายได้ง่ายดายถึงเพียงนี้
“เยี่ยมไปเลย เรื่องนี้ข้าจะให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ ต่อจากนี้เจ้าต้องการคนเพิ่มอีกเท่าใด ให้เจ้าเป็นผู้เรียกมารวมตัว นอกจากนี้ยังต้องการเรือลำเล็กอีกเท่าใด ประเดี๋ยวข้าจะเขียนจดหมาย เจ้าจงนำไปให้พ่อบ้านจาง ข้าต้องการให้เขาร่วมมือกับเจ้าอย่างเต็มกำลัง หาก้อนหินนั้นออกมาให้ข้าให้ได้มากที่สุด หาพื้นกว้างใกล้ ๆ เพื่อวางมันไว้ อืม แค่นี้แหละที่ข้าต้องการ”
สีหน้าของเฟิ๋งหล่าวซื่อเต็มไปด้วยความมึนงง “นั่น คุณชายขอรับ หินนั้นไร้ประโยชน์”
“ข้าว่ามีประโยชน์”
“ขอรับ ข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้”
“มิต้องรีบร้อนไป ลำบากมาตลอดทาง นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว พ่อบ้านอี้ พาพวกเขาทั้งสามไปทานข้าวเสีย เตรียมสุราและอาหารอย่างดีไว้ให้พวกเขาด้วย”
เฟิ๋งหล่าวซื่อมิเคยได้รับการต้อนรับเยี่ยงนี้มาก่อน ชายร่างกำยำมิได้พูดอันใด ลุกขึ้นยืนคำนับ และพาบุตรชายทั้งสองเดินออกไปพร้อมกับอี้หยู่
“เมื่อวานข้าได้วางเรื่องนี้ไปแล้ว พวกเขาอยู่ในหมู่บ้านเสี้ยชุน จึงเชิญพวกเขามา ทำให้ท่านทั้งสองต้องรอเสียแล้ว”
หยูเวิ่นหวินหาได้ใส่ใจกับเรื่องนี้ไม่ แต่กลับเอ่ยถามขึ้นมา “คุณชายฟู่ต้องการทำสิ่งใดหรือ?”
“ทำซีเมนต์สักเล็กน้อย ลองดูเสียหน่อย หากทำได้… ภายภาคหน้าการสร้างบ้านเรือนและซ่อมถนนก็จะง่ายยิ่งขึ้น”
“ซีเมนต์รึ?”
“คุณชายฟู่เรียนมาจากที่ใดกัน?”
“เมื่อวันก่อนฝนตก ข้ายืนมองฝนอยู่บนอาคารเรือน ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างในหัว แล้วก็นึกคิดสิ่งนี้ขึ้นมา” ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะขึ้นมา และชี้ไปที่ศีรษะของตนเอง แล้วกล่าวอีกว่า “ข้าเองก็มิรู้ว่าเพราะเหตุใด บางคราก็มีอะไรแปลก ๆ โผล่ขึ้นมาในหัวของข้า ดังนั้นข้าจึงต้องขอบคุณแม่นางต่ง”
ปากของหยูเวิ่นหวินเผยอออกเล็กน้อย ความคิดทางปรัชญามิอาจตรวจสอบสิ่งนี้ได้ ทำได้เพียงสรุปว่าเพราะอุบัติเหตุจึงเกิดโชคดีเพียงเท่านั้น
“หากวันใดที่ในหัวของคุณชายส่องสว่างขึ้นมาอีกครา โปรดจดจำว่าท่านจะแต่งกวีให้ข้าหนึ่งบท”
“แน่นอน”
“เยี่ยงนั้นพวกข้าขอตัวลาไปก่อน ภายภาคหน้าหากคุณชายได้ไปเมืองหลวง ได้โปรดบอกกับชูหลาน นางสามารถพาท่านไปพบกับข้าได้”
“แน่นอน”
ฟู่เสี่ยวกวนส่งทั้งสองคนออกจากจวนฟู่ พอขึ้นรถม้าได้ หยูหงอี้ก็เริ่มเอ่ยปาก
“ฝ่าบาท พระองค์เป็นถึงองค์หญิงเก้า จะไปคลุกคลีกับพ่อค้าเยี่ยงนี้มากจนเกินไปได้เยี่ยงไร”
หยูเวิ่นหวินยิ้มและไม่ได้ตอบกลับหยูหงอี้ไป เพียงแค่นึกถึงคำพูดที่ได้คุยกับชูหลานก่อนหน้านั้น
“เยี่ยนซีเหวินเป็นถึงจอหงวน ตระกูลเยี่ยนเก่าแก่ถึงสามชั่วอายุ เหตุใดเจ้าถึงจดจำชายหนุ่มจากหลินเจียงผู้นี้ได้ดีนัก?”
“เยี่ยนซีเหวิน… มิน่าสนใจ!”
“ฟู่เสี่ยวกวนน่าสนใจเยี่ยงนั้นรึ?”
“เจ้ามิรู้หรอก เขาน่าสนใจยิ่งนัก”
ตอนที่ 28 หยูเวิ่นหวิน
หลังจากพักรักษาตัวอยู่เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือน ร่างกายของฟู่เสี่ยวกวนก็เริ่มดีขึ้นเล็กน้อย
แม้เมื่อคืนเขาจะมิไม่ได้พักผ่อนอย่างเพียงพอ แต่ทว่าเขาก็ยังคงฝึกฝนชุดหมัดอยู่ที่ลานบ้าน อีกทั้งยังฝึกฝนทักษะมวยไทย ตบท้ายด้วยการวิ่งรอบลานบ้าน
ซูม่อนั้นตื่นมาแต่เช้าตรู่ เขายืนมองฟู่เสี่ยวกวนฝึกฝนชุดหมัด จากนั้นจึงมองดูฟู่เสี่ยวกวนวิ่งรอบลาน ทันใดนั้นเขาก็มีความประหลาดใจต่อชายหนุ่มผู้นี้
เมื่อคืนที่ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้นอนนั้น ตัวเขารู้ดียิ่ง กระทั่งรู้ว่าเหตุที่เขามิได้พักผ่อนนั้น ก็มาจากการอ่านคัมภีร์ฉุนหยางซินจิง สำหรับคุณชายในตระกูลพ่อค้าถือว่าเป็นผู้มีความขยันขันแข็งอย่างยิ่ง และน้อยคนนักจักเป็นเช่นนี้ อีกทั้งคน ๆ นี้ยังสามารถแต่งบทกวีได้ไพเราะยิ่งนัก
เพียงแต่หมัดที่เขาฝึกฝนนั้น ท่าทางการออกหมัดดูคล้ายกับเป็นระเบียบหนักแน่น แต่สำหรับซูม่อแล้วนี้เป็นเพียงหมัดแสนธรรมดาที่เรียนเชิญอาจารย์มาแสดงให้ดู แล้วตนนั้นก็ทำตามนิดหน่อยเท่านั้นเอง
ฟู่เสี่ยวกวนวิ่งไปในใจพลางนึกถึงเส้นลมปราณของร่างกายทีละจุดในคัมภีร์ฉุนหยางซินจิง จากนั้นก็ฝึกหายใจเข้าออกเป็นลำดับ เขาพยายามให้เส้นลมปราณเหล่านั้นทำงานขึ้นมา
หลังจากเขาวิ่งไปได้ 10 รอบก็พบเรื่องราวที่น่าอัศจรรย์ ในเช้าวันนี้เขาไม่รู้สึกเมื่อยล้าเช่นเมื่อวาน นี่เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
พูดกันตามเหตุผล การที่เขามิได้นอนหลับพักผ่อนในคืนที่ผ่านมา ในวันนี้หากเขาสามารถวิ่งได้สัก 10 รอบก็นับว่าไม่เลวแล้ว หรือนี่คือผลของการฝึกลมปราณอย่างนั้นหรือ?
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกดีใจยิ่งนัก เขามิได้หยุดพักแต่กลับวิ่งได้ถึง 30 รอบ เขาถึงจะรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้า
หลังอาบน้ำชำระร่างกายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ร่วมรับประทานอาหารเช้ากับซูม่อ จากนั้นจึงนั่งสมาธิใต้ต้นไทร ทั้งสองมิได้เอ่ยคำใดออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ
พวกเขานั่งสมาธิเป็นเวลานานหลายชั่วยามจนกระทั่งดวงอาทิตย์ขึ้นสู่ยอดไผ่ ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ตามบันทึกในหนังสือนั้น เขามิได้รู้สึกถึงการไหลเวียนของลมปราณตรงบริเวณตันเถียน แต่เขามิได้เกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายหรือรำคาญแต่อย่างใด เนื่องจากสิ่งเหล่านี้เป็นหัวใจที่แท้จริงของสำนักเต๋า ซึ่งจะฝึกฝนสำเร็จง่าย ๆ ได้อย่างไร
ชุนซิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้หินมองมายังฟู่เสี่ยวกวน ในใจนางนึกเพียงว่าหนังสือความฝันในหอแดงนั้นเมื่อใดจึงจะเขียนเสร็จ หรือจะล้มเลิกเพียงเท่านั้นแล้วหรือ ?
คุณชายกำลังทำอันใดอยู่กันแน่ ?
จะฝึกฝนเป็นเซียนหรืออย่างไร ?
ขณะที่ชุนซิ่วกำลังครุ่นคิดไปต่าง ๆ นานานั้น อี้หยู่ก็เดินเข้ามาด้วยความรีบร้อน ชุนซิ่วรีบเดินหน้าไปต้อนรับ
ในสวนหลังบ้านที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่นี้ ชุนซิ่วกลายเป็นผู้ดูแลส่วนตัวของฟู่เสี่ยวกวนไปเสียแล้ว
“คนจากเรือนชินอ๋องเดินทางมา กล่าวว่าต้องการเข้าพบคุณชาย”
ชุนซิ่วขมวดคิ้วด้วยความสงสัย ในใจนางคิดว่าคำพูดที่แฝงความโกรธเคืองไม่พอใจของนางเมื่อคืนนั้น ทำให้ใครในจวนชินอ๋องมิพอใจหรือไม่ ?
ถ้าเช่นนั้นจักทำให้คุณชายต้องเดือนร้อนหรือไม่!
“คุณชายกำลังทำธุระ นำทางข้าไปดูเถอะ”
อี้หยู่ชายตาไปพบฟู่เสี่ยวกวนกำลังนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไทร ก็ไม่เข้าใจนักว่าคุณชายของเขาทำสิ่งใดอยู่
เขาจึงเดินนำชุนซิ่วมายังด้านนอกลานกว้าง เรือนรับแขกมีเงาของสองคนนั่งอยู่ นั่นก็คือหยูเวิ่นหวินและหยูหงอี้ที่พบกันในงานเลี้ยงฉลองเมื่อคืนนั่นเอง “ข้าน้อยคารวะท่านทั้งสองเพคะ”
ชุนซิ่วทำความเคารพต่อหน้าทั้งสอง จากนั้นหยูเวิ่นหวินจึงได้เอ่ยถามว่า “คุณชายของเจ้าเล่า ? ”
“เรียนท่านทั้งสอง หากท่านมิพอใจในการกระทำอันเสียมารยาทของข้าน้อยเมื่อคืนนี้ ขอโปรดลงโทษที่ข้าน้อยด้วยเถิด คุณชายของข้าน้อยไม่ได้เป็นผู้สั่งการใด ๆ ท่านมิได้เกี่ยวข้องด้วย”
หยูเวิ่นหวินหัวเราะและเอ่ยว่า “ข้ามิได้เดินทางมาเพื่อจะกล่าวโทษเจ้าแต่ประการใด เพียงแค่ต้องการเข้าพบคุณชายเจ้าเท่านั้น”
ชุนซิ่วตกตะลึง นางมองไปยังรอยยิ้มอันอ่อนหวานของหยูเวิ่นหวิน ช่างจริงใจยิ่งนัก มิได้รู้สึกถึงการหลอกลวงเลยแม้แต่น้อย จึงตอบกลับไปว่า “ขอให้ท่านทั้งสองรอสักครู่ ข้าน้อยจะไปรายงานแก่คุณชายให้เจ้าค่ะ”
ชุนซิ่วรีบเดินออกไป หยูหงอี้ทำท่าทีรำคาญเล็กน้อย เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมาดมแล้ววางลงไปโดยมิได้ดื่ม ภายในใจคิดว่าเรือนเก่า ๆ นี้ช่างมีกฎระเบียบมากมายเสียจริง เขาเป็นถึงทายาทของชินอ๋องแต่กลับต้องมานั่งรอเยี่ยงนี้
เขาช่างไม่เข้าใจเสียจริงว่าเหตุใดองค์หญิงเก้าจึงได้เร่งรีบมายังจวนฟู่แต่เช้าตรู่
ในความคิดของเขานั้นเพียงแค่ให้คนมาเชิญ ฟู่เสี่ยวกวนก็ควรจะรีบเดินทางเข้ามาพบด้วยความยินดี?
ผ่านไปชั่วครู่ ชุนซิ่วรีบเดินออกมาแล้วกล่าวว่า “เรียนเชิญท่านทั้งสองเจ้าค่ะ”
หยูหงเหวินตกตะลึงยิ่งขึ้น ข้าเป็นถึงทายาทของชินอ๋องเชียวนะ!
พวกเจ้าเหตุใดจึงหักหน้าข้าได้ถึงเพียงนี้ อย่างน้อยข้าก็เป็นถึงทายาทของชินอ๋อง!
อีกทั้งผู้ที่อยู่ข้างกายข้าในเวลานี้คือองค์หญิงเก้าที่องค์ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานมากที่สุด !
ตามธรรมเนียมปฏิบัตินั้น หากองค์หญิงทรงเสด็จมา ตระกูลฟู่ทุกคนควรจะมาคุกเข่าให้การต้อนรับเสียด้วยซ้ำ แต่เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ ?
เจ้าฟู่เสี่ยวกวนนั่นมิได้เดินทางมาต้อนรับด้วยตนเอง อีกทั้งยังส่งเพียงบ่าวรับใช้มาคนหนึ่ง หรือว่าคิดว่าเสืออย่างข้าไม่คำรามก็เห็นว่าเป็นแมวป่วยงั้นรึ ?
หยูหงเหวินโมโหจนถลึงตาขึ้นมา เขารีบลุกขึ้นจนทำให้ชุนซิ่วตกใจกลัว
หยูหงเหวินยังมิได้กระทำสิ่งต่อไป หากพูดให้ถูกต้องคือเขายังไม่ได้กระทำอันใดลงไป เนื่องจากเขานั้นถูกหยูเวิ่นหวินส่งสายตาห้ามปรามเป็นการตักเตือน นางจ้องมายังหยูหงเหวินตาเขม็ง
เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด กลั้นไว้ชั่วครู่จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา
ทั้งสองคนเดินตามชุนซิ่วไปทางสวนด้านหลัง หยูเวิ่นหวินเอ่ยด้วยเสียงอันเบาอีกครั้งว่า “ข้าบอกเจ้าแล้วว่าอย่าได้ตามมา แต่เจ้าก็หาได้ฟังข้าไม่ หากเข้าไปแล้วจงอย่าได้เอ่ยถ้อยคำใด ๆ ออกมา เข้าใจหรือไม่!”
ทายาทของชินอ๋อง บัดนี้ช่างถูกห้ามปรามอย่างไม่ปรานี ช่างไร้ศักดิ์ศรียิ่งนัก
ฟู่เสี่ยวกวนต้มชาแล้วมองมายังทั้งสองด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส จากนั้นก็เชิญทั้งสองเข้าสู่ที่นั่ง
“เรื่องเมื่อคืนนั้นข้าเองต้องขออภัยเป็นอย่างยิ่งที่มิอาจเดินทางไปร่วมงานได้ด้วยตนเอง เดิมทีตั้งใจอย่างยิ่งว่าจะเดินทางไปยังจวนชินอ๋องเพื่อขอโทษ คาดไม่ถึงว่าท่านทั้งสองจะเดินทางมาก่อน ข้าเองรู้สึกเกรงใจอย่างมาก มาเถิด เชิญดื่มชา”
นี่เป็นครั้งแรกที่หยูเวิ่นหวินพบเจอกับฟู่เสี่ยวกวน
เขาช่างรูปงามเสียจริง!
ด้วยท่าทางใจกว้างและคำพูดที่จริงใจ แม้เขารู้ดีว่าคือคนที่มาจากจวนชินอ๋องก็มิได้ตื่นตระหนกจนเสียการควบคุมตนเองไป เป็นจริงดังต่งชูหลานกล่าว เขามีอายุเพียง 16 ปี แต่มีความนิ่งสงบรู้จักการพูดจาเกินกว่าอายุของเขา
“คุณชายทราบหรือไม่ว่าพวกข้าทั้งสองคนนั้นคือผู้ใด?” หยูเวิ่นหวินจงใจเอ่ยถามขึ้น
นี่เขากำลังถูกกล่าวโทษอยู่ใช่หรือไม่?ในใจฟู่เสี่ยวกวนมีความคิดนี้ขึ้นมา แต่เขายังคงยิ้มแย้มสดชื่นคล้ายสายลมในฤดูใบไม้ผลิ
เขาตอบว่า “เราทั้งหลายล้วนร่อนเร่พเนจรอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน เคยพานพบก็อาจไม่รู้จัก การได้รู้จักคือพรหมลิขิตจากเบื้องบน ไม่ถามถึงสิ่งใด ไม่ถามถึงเหตุผล ทุกอย่างล้วนเป็นเช่นนี้ แม่นางมีความคิดเห็นว่าอย่างไร?”
ดังนั้น นางจึงยิ้มออกมากล่าวว่า “สิ่งที่คุณชายฟู่กล่าวกล่าวมานั้นล้วนเป็นความจริง เพียงแค่คำพูดของคุณชายคำนี้ เรื่องเมื่อคืนก็ขอให้จบลงเพียงเท่านี้”
หยูหงเหวินมองดูฟู่เสี่ยวกวน ประโยคเมื่อสักครู่ฟังดูแล้วช่างเข้าท่า หากแต่ตนและองค์หญิงเก้ามิใช่ผู้ร่อนเร่พเนจร!
“ท่านทั้งสองเดินทางมายังที่นี่ ไม่ทราบว่ามีเรื่องอันใดอย่างนั้นหรือ?”
“เมื่อวานข้าได้ยินมาว่าคุณชายฟู่ยังมีความสามารถในการแต่งหนังสือ คาดว่าหนังสือนั้นคงน่าดึงดูดผู้อ่านมิใช่น้อย มิทราบว่า……จะให้ข้าได้อ่านเสียหน่อยได้หรือไม่?”
ฟู่เสี่ยวกวนหันหลังไปมองชุนซิ่ว นางก้มหน้ามองพื้นและแลบลิ้น
“แม่นางเดินทางมาไม่ถูกจังหวะเสียเท่าไหร่ หนังสือนั้นถูกสหายคนหนึ่งยืมไปเสียแล้ว โปรดรอให้สหายข้าส่งหนังสือคืนกลับมา แล้วข้าจะรีบจัดแจงส่งไปให้แม่นาง”
หยูเวิ่นหวินถามด้วยความผิดหวังเล็กน้อยว่า “ให้ผู้ใดยืมไปกัน?”
“บุตรสาวเสนาบดีกระทรวงครัวเรือนในเมืองหลวง แม่นางต่งชูหลาน”
หยูเวิ่นหวินยกถ้วยน้ำชาขึ้นมา เปิดฝาออก ไอร้อนจากน้ำชาลอยปะทะใบหน้าอันงดงามของนาง
ผ่านไปชั่วครู่ นางวางถ้วยน้ำชาลงแล้วเอ่ยว่า “ข้าได้ยินมาว่าท่านแต่งบทกวีมอบให้แก่ต่งชูหลานอย่างงั้นหรือ?”
ฟู่เสี่ยวกวนหันไปมองชุนซิ่ว ชุนซิ่วส่ายหน้า
“ก่อนหน้าที่แม่นางต่งจะเดินทางจากเมืองหลินเจียงไปนั้น ข้าได้พบแม่นางเข้าโดยบังเอิญ จึงได้แต่งกวีบทหนึ่งขึ้น เพื่อมอบให้แก่แม่นาง นี่……หาใช่เรื่องใหญ่ไม่”
“ในวันพรุ่งนี้ ข้าเองก็จักเดินทางไปจากเมืองหลินโจวเช่นกัน ไม่ทราบว่าท่านจะแต่งบทกวีให้แก่ข้าสักบทหนึ่งได้หรือไม่?”
ตอนที่ 27 ค่ำคืนนี้มิเคยได้หลับ
หยูเวิ่นหวินมิรู้ว่างานชุมนุมกวีนั้นจบลงได้เยี่ยงไร เพราะนางนำบทกวีที่ฟู่เสี่ยวกวนประพันธ์ขึ้นมานั้น ขึ้นมายังชั้นห้าเพื่อให้อาจารย์ฉินได้พิจารณา
“กระหม่อมกล่าวแล้ว สหายเยาว์วัยของกระหม่อมนั้นยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง”
อาจารย์ฉินอ่านกวีบทนั้น ลูบเครายาว และกล่าวยิ้ม ๆ “คนที่สามารถกล่าวออกมาได้ว่าเพื่อปณิธานแห่งฟ้าดินได้ยืนหยัด เพื่อชะตามวลประชาที่มั่นคง เพื่อสืบทอดความรู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อสันติสุขในทุกสมัย ความสามารถนั้นจะปลอมได้เยี่ยงไร”
“เขา เขากล่าวประโยคนั้นออกมาอย่างนั้นรึ?” หยูเวิ่นหวินตื่นตระหนกอย่างมาก นี่น่าตกใจยิ่งกว่าคราแรกที่ได้เห็นบทกวีค่ำคืนที่เมามายเสียอีก
องค์หญิงเก้าทรงศึกษาอยู่ภายในกั๋วจื่อเจี้ยนจิ่วชางกวนเหวินซิ่ว ศาสตร์แขนงต่าง ๆ ย่อมศึกษาจนแตกฉาน นางย่อมเข้าใจธรรมะที่แฝงเอาไว้ในประโยคนี้เป็นอย่างดี
เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะอายุ 16 ปี จะมีความรู้ระดับสูงถึงเพียงนั้นได้เยี่ยงไรกัน
“แน่นอน ครานั้นเขากล่าวออกมาต่อหน้าชายชราเยี่ยงกระหม่อม กล่าวไปแล้วก็ละอายยิ่ง ค่ำนั้นยังมีชูหลานอยู่ด้วย กระหม่อมถามเขาว่าศึกษาตำราเพื่อเหตุใดกัน ความตั้งใจเดิมของกระหม่อมคือเพื่ออบรมสั่งสอนเขา เพื่อให้เขามีจิตใจสงบมากพอที่จะเล่าเรียน และมิหมกมุ่นกับวิถีเล็กน้อยเหล่านั้น”
อาจารย์ฉินหัวเราะตนเอง “ไหนเลยจะรู้ว่าหลังจากที่เขาสูดลมหายใจได้ไม่นานก็กล่าวประโยคนี้ออกมา จนชายชราเยี่ยงกระหม่อมละอายใจนัก กระหม่อมได้เรียบเรียงตำราและนำส่งให้แก่ขุนนางระดับสูงแล้ว คิดไว้ว่าประโยคนี้จะสามารถเข้าสำนักศึกษาได้ เพื่อให้บัณฑิตใต้หล้าได้เรียนรู้”
“น่าเสียดายนัก สหายน้อยของกระหม่อมมิได้สนใจวิถีของขุนนาง กล่าวว่าอยากจะศึกษาสิ่งต่าง ๆ ทั้งยังกล่าวอีกว่า… มีลู่ทางอีกมากมายในใต้หล้า ย่อมมีคนเดินไปในเส้นทางที่แตกต่างกัน กระหม่อมได้ลองครุ่นคิดดูแล้ว ที่เขากล่าวมาทั้งหมดนั้นก็มีเหตุผล ดังนั้น การที่เขามิมาร่วมงานกวีนี้ ตัวกระหม่อมก็หาได้รู้สึกประหลาดใจอันใด เพราะหนทางนั้นช่างต่างกัน”
“แต่บทกวีที่เขาส่งมา ก็เป็นสิ่งจรรโลงโลกวรรณกรรม”
อาจารย์หลี่ไร้คำพูด เขาเคยเป็นผู้สอนฟู่เสี่ยวกวนมาก่อน อดทนไปได้ยังไม่ถึงเดือน ก็จำต้องเป็นฝ่ายเอ่ยลา เพียงเพราะไม้ผุมิสามารถแกะสลักได้
เรื่องข่าวลือนั้นเขาก็ได้ยินมาเช่นกัน แต่เอนเอียงไปในทิศทางที่ฟู่เสี่ยวกวนคัดลอกบทกวีสองบทนั้นเสียมากกว่า แต่ในยามที่อาจารย์ฉินเอ่ยด้วยตนเอง เขามิอยากจะเชื่อและยากที่จะเชื่อได้ยิ่งนัก
“ท่านปู่ฉิน กล่าวถึงเพียงนี้… ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้มีพรสวรรค์เยี่ยงนั้นรึ?” หยูเวิ่นหวินเอ่ยถามอีกครา
“มีพรสวรรค์ยิ่ง! ท่านจะได้ทอดพระเนตรเห็นด้วยตัวของท่านเองในภายภาคหน้า”
“ระหว่างเขาและชูหลาน… มีความสัมพันธ์กันจริงเยี่ยงนั้นรึ?”
ฉินปิ่งจงครุ่นคิดและกล่าวขำ ๆ “นี่คือเรื่องส่วนตัวของคนหนุ่มสาว ชายชราเยี่ยงกระหม่อมจะไปเข้าใจได้เยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ แต่สหายน้อยของกระหม่อมคงจะสนใจชูหลานอยู่เล็กน้อย”
“เพราะกวีบทนี้รึ?”
“มิใช่บทนี้พ่ะย่ะค่ะ แต่เป็นหนึ่งวันก่อนที่ชูหลานจะออกจากหลินเจียงไป ฟู่เสี่ยวกวนได้ประพันธ์กวีอำลาให้แก่ชูหลานหนึ่งบท ความหมายนั้น… ชูหลานน่าจะเข้าใจดี”
หยูเวิ่นหวินดวงตาเป็นประกาย แล้วเอ่ยถามอย่างสงสัย “เป็นกวีที่มีใจความเยี่ยงไรกัน?”
“หากได้ร่ายร้องออกมา หลินเจียงต้องสั่นสะเทือนอีกคราเป็นแน่ กวีบทนั้นมีไว้สำหรับชูหลาน เพราะกระหม่อมอยู่ในเหตุการณ์นั้น กระหม่อมจึงได้เห็น แต่ถ้าหากไม่มีคำอนุญาตจากชูหลาน กระหม่อมเองก็มิกล้ากล่าวออกมา หวังว่าองค์หญิงจะทรงเข้าพระทัย”
หยูเวิ่นหวินอ้าปากหวอ แล้วเอ่ยถามอีกครั้งอย่างยิ้ม ๆ “เยี่ยงนั้นแล้ว จากที่ท่านปู่ฉินได้เห็นมา ชูหลานสนใจคุณชายตระกูลฟู่นั้นบ้างหรือไม่?”
“เรื่องนี้ไม่น่ากล่าวเท่าใดนัก อย่างไรเสียสหายน้อยของกระหม่อมก็เป็นเพียงตระกูลพ่อค้า แต่ชูหลานนั้นเป็นถึงบุตรีของเสนาบดีกรมคลัง ต่งคังผิงเป็นเยี่ยงไรกระหม่อมรู้ดี เขามองฐานะทางสังคมเป็นปัจจัยหลัก ยิ่งไปกว่านั้นในเมืองหลวงก็ยังมีเยี่ยนซีเหวินอยู่ด้วย”
……
…..
สุดท้ายผู้คนต่างก็แยกย้าย ซ่างหลินโจวก็กลับมาสงบอีกครา
หยูเวิ่นหวินกำลังรับลมอยู่นอกเรือนพักผ่อน มองดวงจันทร์ดวงดารา ดวงตาทอประกาย ผ่านไปเนิ่นนาน จึงได้ตัดสินใจ
“พรุ่งนี้ข้าจะไปจวนฟู่”
“เจ้ากล่าวอันใดออกมากัน?” หยูหงอี้อุทาน
“เบาเสียง! พรุ่งนี้เช้า ข้าจะไปจวนฟู่”
“ไปทำอันใดอย่างนั้นหรือ?”
“…สุราเทียนฉุนของเขาเลิศรสยิ่ง ข้าจะไปหาเขาเพื่อซื้อสุรา”
คืนนั้น หยูเวิ่นหวินเขียนจดหมายให้แก่ต่งชูหลาน เนื้อความในจดหมายเขียนถึงคนผู้นั้นและกวีบทนั้น แน่นอนว่าเป็นนางที่เก็บต้นฉบับของกวีนั้นไว้ ทุกครั้งที่อ่านก็ต้องหัวเราะออกมาอยู่ร่ำไป
เพราะอักษรเหล่านั้น… อัปลักษณ์เกินไปแล้ว
นางนั่งอยู่ริมลำธาร ริมลำธารแห่งนี้นั้นไร้ผู้คน ลมพัดแรงเล็กน้อย พัดจนเสื้อผ้าของนางยับย่น พัดจนผมของนางปลิวไสวพันกันจนยุ่งเหยิง
นางกอดเข่าเอาไว้ด้วยสองมือ ราวกับหนาวเล็กน้อย หากมีคนมาพบเข้า ย่อมรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวเป็นสิ่งแรกแน่
ไฟของเรือหาปลาบนน่านน้ำได้ดับลงไปแล้ว มืดมิดจนมองมิเห็นสิ่งใด
ในศีรษะของนางยังคงสับสน ราวกับมีปมหลายพันอยู่ในศีรษะ สลัดไม่ออก ตัดไปก็ยุ่งเหยิง
ครุ่นคิดถึงผู้คนและเรื่องราวมากมาย แต่สุดท้ายก็มาหยุดที่ตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้น
จนถึงวันนี้ นางก็ยังมิเคยเจอฟู่เสี่ยวกวน แต่มิรู้ว่าเหตุใด ในหัวของนางกลับได้วาดรูปลักษณ์ของฟู่เสี่ยวกวนออกมาแล้ว
นางเกิดในตระกูลราชวงศ์ มิมีผู้ใดเข้าใจความโดดเดี่ยวของนาง แม้แต่สหายสนิทอย่างต่งชูหลาน ก็มิรู้ความลับที่อยู่ในก้นบึ้งหัวใจนี้ของนาง
ที่นี่มิใช่จวนในเมือง และนางในวัย 17 ปี ก็ยังคงมีความฝัน
……
……
เมืองหลวงจินหลิง ตรอกหวู่อี้ จวนต่ง
ต่งชูหลานพิงอาคารและมองออกไปไกล ๆ ไฟในตรอกหวู่อี้ยังคงส่องสว่าง และจะสว่างไปจนถึงรุ่งสาง แต่สีของค่ำคืนได้ชะล้างความรุ่งเรืองของถนนสายนี้ไปจนหมดสิ้น ในยามนี้ได้แปรเปลี่ยนเป็นหนาวเหน็บ และเงียบงันทำให้รู้สึกเงียบสงบและช่างว่างเปล่ายิ่งนัก
ข้อศอกของนางค้ำอยู่ที่ราวจับ คางวางอยู่กลางฝ่ามือ สายตาของนางมิได้จดจ่ออยู่ที่ใด เด็กสาวที่อายุเพียง 15 ปี กลับเกิดความโศกเศร้าขึ้นในใจ
แต่เดิมนางเป็นคนที่เยือกเย็นและฉลาด เพียงแต่มีบางเรื่องที่เข้ามาอยู่ในหัวของนาง ทำให้นางต้องคิดหนัก ด้วยฉะนี้จึงทำให้นางกลายเป็นคนที่คิดช้าไปชั่วขณะ หรือกล่าวได้ว่านางไม่อยากจะคิดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว
แต่นางก็อดที่จะคิดเกี่ยวกับมันมิได้
ในวันนี้ที่เบี้ยหลุดออกไปนอกกระดาน นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าตนเองกำลังคิดถึงเขา
เป็นครั้งแรกที่ความรู้สึกเยี่ยงนี้ปรากฏขึ้นมา แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับชายหนุ่มมากความสามารถในเมืองหลวงมามากมาย แต่นางก็มิเคยยั้งสติมิอยู่ถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นเยี่ยนซีเหวิน ก็ไม่มีทางที่จะทำให้นางเป็นหนักได้ถึงเพียงนี้เป็นแน่
ระยะเวลาสั้น ๆ ยี่สิบวันในหลินเจียง และเผชิญหน้ากับเขาอย่างจริงจังเพียงไม่กี่คราเท่านั้น ก็จะถูกเขาพิชิตไปทั้งอย่างนี้น่ะรึ?
เหตุผลก็บอกกับนางว่าสำหรับพวกเขานั้นมิมีทางเป็นไปได้ เพราะสถานะที่แตกต่างกัน และเพราะบิดามารดาที่มองสถานะเป็นหลักสำคัญ แม้ว่าเขาจะร่ำรวยที่สุดในประเทศ แต่เขาก็เป็นเพียงพ่อค้า ในสายตาของมารดาเขาเป็นเพียงชนชั้นล่างสุดในสังคมอยู่ดี
แต่ในใจนั้นก็ยังบอกกับนางว่า นางชอบเขา และมิมีเหตุผลอันใดต้องนำมาขัดแย้ง
หากต้องกล่าวหนึ่งเหตุผลอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก็คงเป็นเพราะกวีบทนั้นที่เขาได้ประพันธ์ออกมา
นางหยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาจากแขนเสื้อ ท่ามกลางแสงไฟสลัว ๆ ของทางเดินนี้
หลินเจียงเซียน ถึงสหายชูหลาน
แยกจากกันจะฝากฝังความรู้สึกได้เยี่ยงไร?
ขมิ้นน้อยคิดคำนึงนกนางแอ่น
ในวันนี้คำนึงถึงความสับสนในเวลานั้น ความคิดที่หลงทาง ล่วงรู้ก็ข้างแรมและดอกไม้โรย
ไม่เคยรู้ว่าหนทางไปเจียงหนานเป็นเยี่ยงไร แต่กลับมาถึงหวู่อี้อย่างชัดเจน
เร่งรีบจะเอ่ยกล่าวก็พรากจาก ความฝันอันหอมหวานได้หายไป ด้วยเสียงไก่ที่หน้าต่าง
……
…..
ไฟเรือนเล็กชั้นสองของจวนฟู่ยังคงสว่างอยู่
ฟู่เสี่ยวกวนฟังเรื่องราวจากชุนซิ่วจนจบแล้ว ก็ชมเชยสาวน้อยผู้นี้เป็นอย่างมาก กล่าวว่าภายภาคหน้าหากมีใครมาใส่ร้ายคุณชายของเจ้าอีก เจ้าก็สาดโทสะนี้แทนคุณชายผู้นี้เสีย!
จากนั้นเขาก็อ่านหนังสือต่อ หลังจากนั้นชุนซิ่วก็พบว่าต้นฉบับเหล่านั้นได้หายไปแล้ว จึงได้เอ่ยถาม “ต้นฉบับที่ข้ารวบรวมไว้ล่ะเจ้าคะ?”
“ส่งให้ชูหลานแล้ว หากนางอ่านมันจบ นางจะส่งกลับมาเอง”
“เจ้าค่ะ… คุณชายเขียนต่อเถิดเจ้าค่ะ ข้าเองก็อยากอ่านด้วยเช่นกัน”
“ได้ หากข้าว่างเมื่อไหร่ข้าจะเขียน”
“เจ้าค่ะ”
“พอแล้ว เจ้าไปพักผ่อนเถอะ ข้าจะอ่านคัมภีร์เล่มนี้อีกสักครั้ง”
เป็นเวลาค่ำมากแล้ว ชุนซิ่วครุ่นคิด ไปยังห้องครัวเพื่อทอดไข่แล้วเดินกลับเข้ามา “คุณชาย ข้าขอตัวไปนอนก่อนนะเจ้าค่ะ”
“ไปเถอะ”
ฟู่เสี่ยวกวนทานไข่ทอดพลางอ่านหนังสือไป จนกระทั่งจดจำคัมภีร์ฉุนหยางซินจิงทั้งหมดได้ขึ้นใจ
เงยหน้าขึ้นมา นอกหน้าต่างก็สว่างขึ้นด้วยแสงของดวงอาทิตย์และมีเสียงไก่ขันดังแทรกขึ้นมาเป็นระยะ
ตอนที่ 26 ค่ำคืนที่ไม่อาจข่มตา
บ่าวผู้นั้นนำชุนซิ่วมาเข้าพบองค์หญิงเก้า นางกระซิบที่ข้างหู องค์หญิงเก้าเองก็ตกตะลึงเช่นกัน นางมองมาทางชุนซิ่วและเอ่ยถามว่า “เจ้าคือบ่าวรับใช้ของฟู่เสี่ยวกวนอย่างนั้นหรือ ? ”
ชุนซิ่วกำชายเสื้อไว้แน่น เม้มปากและพยักหน้า
“คุณชายของเจ้า เหตุใดจึงไม่เดินทางมาด้วยตัวเอง?”
“คุณชายกล่าวว่า ขออภัยด้วย เขามีธุระสำคัญมากที่ต้องไปจัดการ……เขากล่าวว่า ให้ข้าน้อยเดินทางมากล่าวขออภัยแทนคุณชาย หากมีโอกาสในครั้งหน้า คุณชายจะมาขออภัยโทษด้วยตนเอง”
“เพียงเท่านี้หรอกหรือ?”
“มิใช่……” ชุนซิ่วหยิบม้วนกระดาษออกมา แล้วยื่นให้แก่หยูเวิ่นหวิน แล้วเอ่ยว่า “แม้คุณชายจะไม่สามารถเดินทางมาด้วยตนเอง แต่ท่านฝากบทกวีนี้มากับข้าน้อย หวังว่าทุก ๆ ท่านคงจะถูกใจ”
บัดนี้ห้องโออ่ากว้างขวางนั้นเงียบลงไร้ซึ่งเสียงใด ๆ
ผู้คนมากมายรู้ข่าวว่าจวนชินอ๋องส่งจดหมายเชิญไปยังตระกูลฟู่ พวกเขาจึงได้เดินทางมา เพื่อดูหน้าของฟู่เสี่ยวกวน เนื่องจากพวกเขาได้ยินเรื่องราวต่าง ๆ นานาของฟู่เสี่ยวกวนซึ่งกระจายไปทั่วเมืองหลินเจียงมาไม่น้อย
มีคนกล่าวว่าเขามีพรสวรรค์ทางด้านวรรณกรรม เพียงหยิบพู่กันก็สามารถแต่งกวีได้
และมีคนกล่าวว่าเขานั้นคัดลอกกวีมาจากบุคคลอื่น
แต่ในสายตาของผู้อื่นนั้น เมื่อก่อนนี้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นคุณชายที่ไม่ทำการทำงาน ไม่ศึกษาหาความรู้ แต่บัดนี้เขากลับแต่งบทกวีที่งดงามเช่นนี้ได้ อีกทั้งกวีบทนี้ยังแพร่หลายไปในชุมชน การเปลี่ยนเเปลงเช่นนี้ช่างรวดเร็วเหลือเกิน ในโอกาสนี้พวกเขาจะได้เห็นกับตาตนเองเสียทีว่าความจริงนั้นเป็นเช่นไร
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนนั้นจะไม่เดินทางมาในวันนี้
แสดงว่าฟู่เสี่ยวกวนได้เชิญผู้มีความสามารถมา และคัดลอกบทกวีทั้งสองของเขาด้วยตัวอักษรบรรจง
ในขณะที่ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น เขากลับส่งบ่าวรับใช้ให้นำกวีอีกหนึ่งบทมามอบให้กับหยูเวิ่นหวินในงานเลี้ยง……เขาต้องการสิ่งใดกัน?
กวีบทนี้จะเป็นเช่นไรกัน?
สายตาทุกคู่จับจ้องมายังหยูเวิ่นหวิน หลิวจิ่งหางเองก็เช่นกัน
หยูเวิ่นหวินรับกระดาษไปแล้วขมวดคิ้ว เช่นเดียวกับบรรดาผู้ที่เพิ่งพบเจอฟู่เสี่ยวกวนในครั้งแรก ตัวอักษรนี้……ช่างไม่น่ามองเสียจริง!
แต่ต่อจากนั้น นางก็มีสีหน้าสบายใจขึ้น
ริมฝีปากสีแดงของนางนั้นเริ่มขยับเพื่ออ่านบทกลอน
“ค่ำคืนที่เมามาย
ดวงดาวและสายลมในยามค่ำ หอวาดภาพชายตะวันตกไปยังป่าตะวันออก
ร่างไร้สองปีกหงส์ที่งดงาม จิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน
เกี่ยวส่งสุราอุ่นดั่งหน้าร้อนไปยังที่นั่งแยกห่าง พลิกคว่ำเทียนไขเปลวไฟแดงแล้วแยกจาก
ถอนใจเมื่อได้ยินเสียงกลองยามเลิกรา เฆี่ยนม้ามาหลานถายแล้วเปลี่ยนทิศไปตามลม”
ทุกคนล้วนเงียบสงัด
หยูเวิ่นหวินค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นช้า ๆ หลับตาลงพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แต่ยังคงมิเอ่ยสิ่งใด
ผู้คนที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้ยินบทกวีที่หยูเวิ่นหวินอ่านขึ้น พวกเขาต่างพากันเงียบ เนื่องจากพวกเขาไม่รู้ว่าจะพูดสิ่งใดออกมา เพราะบทกวีนี้งดงามสูงส่งยิ่งนัก จนพวกเขาไม่สามารถสัมผัสถึงมันได้
ภายในใจท่องเพียงแค่ว่า……ร่างไร้สองปีกหงส์ที่งดงาม จิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน……
ผู้คนที่อยู่ห่างออกไปเช่นหลิวจิ่งหาง พวกเขามิได้ยินกวีที่หยูเวิ่นหวินอ่านออกมา แต่พวกเขาสัมผัสได้ถึงบางอย่างที่อธิบายไม่ได้จากความเงียบนี้
เสมือนหินก้อนใหญ่ทับลงกลางทรวงอก ที่แม้แต่การหายใจก็เป็นไปได้อย่างลำบาก
หยูเวิ่นหวินลืมตาขึ้น นางมองมายังชุนซิ่ว เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่ต่ำว่า “ร่างไร้สองปีกหงส์ที่งดงาม จิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน……คุณชายของเจ้าแต่งกวีบทนี้เพื่อผู้ใดกัน?”
ชุนซิ่วมองไปรอบ ๆ จิตใจของนางค่อย ๆ สงบลง กวีของคุณชายบทนี้ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
นางยืดคอขึ้นแล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจว่า “เมื่อครั้นคุณชายเขียนกวีนี้ ข้าน้อยเองก็ได้เอ่ยถามเช่นกันว่าคุณชายมีใจสื่อสารไปถึงผู้ใด?”
“คุณชายของเจ้าได้ตอบว่าอย่างไร?”
“คุณชายฟู่ตอบว่า แน่นอนว่าคือคุณหนูต่งชูหลาน”
“อ้อ……”
หยูเวิ่นหวินเดินถือกระดาษแผ่นนี้ขึ้นสู่เวทีส่วนกลาง สายตาของนางมองไปยังผู้คนทั้งหลาย ชูกระดาษที่อยู่ในมือขึ้นแล้วเอ่ยว่า “นี่คือกวีที่ฟู่เสี่ยวกวนแต่งขึ้น แต่เนื่องจากเขานั้นมีธุระสำคัญจึงทำให้เดินทางมาร่วมงานในครานี้ไม่ได้ จึงส่งบ่าวรับใช้มามอบกระดาษนี้ให้แก่ข้า กวีบทนี้ข้าจักอ่านให้พวกท่านทุกคนได้รับฟัง”
หลิวจิ่งหางพวกเขาทั้งสามคนเดินหน้าขึ้นมาเล็กน้อย ผู้คนจำนวนไม่น้อยล้อมรอบเวที แม้แต่ฝานตั่วเอ๋อร์และไป๋ชิวก็เช่นกัน
ไม่มีใครคิดว่ากวีที่ฟู่เสี่ยวกวนแต่งขึ้นเพียงสองบทนั้นจะส่งผลต่อหลินเจียงถึงเพียงนี้
แม้แต่สตรีที่อยู่ในหอนางโลมเช่นฝานตั่วเอ๋อร์เองก็มีความคาดหวังต่อกวีของฟู่เสี่ยวกวนเช่นกัน
มิใช่เพราะรูปลักษณ์ภายนอกหรือสิ่งอื่นใด เพียงเพราะเพื่อการขับร้องและการบรรเลง
หากสามารถขับร้องกวีของฟู่เสี่ยวกวนได้เป็นคนแรก ก็บ่งบอกถึงความสามารถและจุดยืน ณ ที่นี้
ท่ามกลางสายตาอันเร่าร้อนของทุกคน หยูเวิ่นหวินได้อ้าปากขึ้นอีกครั้งเพื่ออ่านมันออกมา
“ดวงดาวและสายลมในยามค่ำ หอวาดภาพชายตะวันตกไปยังป่าตะวันออก
ร่างไร้สองปีกหงส์ที่งดงาม จิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน……”
……
……
ถังซูยวี่ดื่มเหล้าในมือเสียจนหมดถ้วย เขารินเหล้าใหม่และดื่มอีกจนหมดถ้วย
หลิวจิ่งหางไม่ได้มีท่าทางใด ๆ ร่างกายเขาแข็งทื่อประดุจต้นไม้
หยูหยุ๋นชิงกล่าวเยาะเย้ยว่า “จิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน……ต่อไป เขาผู้นี้คงเป็นผู้มีความสามารถแห่งหลินเจียง”
ขณะที่หยูเวิ่นหวินกำลังจะก้าวลงจากเวทีนั้น มีเสียงหนึ่งดังขึ้นว่า “ข้าน้อยยังไม่เชื่ออยู่ดีว่า กวีบทนี้แต่งขึ้นโดยฟู่เสี่ยวกวน!”
นางสอดส่องสายตาไปยังต้นเสียง พบว่าเป็นชายหนุ่มอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปี ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“พวกท่านทั้งหลายล้วนเป็นชาวหลินเจียง ข้าน้อยไม่เชื่อว่าพวกท่านไม่รู้จักนิสัยของฟู่เสี่ยวกวน!พี่ชายของข้าก่อนหน้านี้ได้อยู่กับฟู่เสี่ยวกวน เขาผู้นี้มิได้มีความสามารถด้านการประพันธ์ใด ๆ ทั้งสิ้น แม้แต่ตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าก็ยังไม่เคยได้อ่าน ข้าน้อยมิขอเอ่ยถึงนิสัยของท่านผู้นี้ เพียงหยิบยกเรื่องกวีมาหนึ่งเรื่องเพียงเท่านั้น พวกท่านทั้งหลายเชื่อว่าคนที่ไม่เคยแต่งกวีมาก่อน กลับสามารถแต่งกวีที่มีชื่อเสียงได้มากมายเพียงนี้หรือไม่ บนโลกนี้มีคนเช่นนี้อยู่จริงหรือ?เกรงว่าแม้แต่บทละครยังมิกล้าเขียนบทให้มีตัวละครเช่นนี้อยู่จริง!”
ฝูงชนเริ่มกระซิบกระซาบ และการพูดคุยก็ค่อย ๆ ดังขึ้น แต่เหตุผลที่มีน้ำหนักมากที่สุดนั้นคือ หากฟู่เสี่ยวกวนมีความสามารถแท้จริง เหตุใดทุกครั้งจึงปฏิเสธการเข้าร่วมการรับเชิญไปงาน รวมทั้งงานกวีแห่งซ่างหลินก็เช่นกัน!
สิ่งนี้คือคำถามที่อยู่ในใจของหยูเวิ่นหวินเช่นกัน
งานกวีนั้นเป็นที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในราชวงศ์หยู ราชวงศ์หยูใช้กำลังทหารในการก่อตั้ง และใช้วรรณกรรมในการปกครอง ระยะเวลาสองร้อยปีที่ผ่านมา วรรณกรรมได้เกิดความรุ่งเรืองอย่างยิ่ง แม้แต่ในวัดวาอาราม ก็มีนักกวีมากกว่าทหารเสียด้วยซ้ำ
สำหรับผู้ที่ร่ำเรียนตำราแล้ว การเข้าร่วมงานกวีเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากสำหรับพวกเขา สามารถทำให้พวกเขาได้มีชื่อเสียงหรือได้รู้จักผู้คนมากหน้าหลายตาขึ้น สามารถคบค้าสมาคมกับผู้รู้หนังสือด้วยกันเองเป็นต้น ไม่มีเหตุผลใด ๆ ที่พวกเขาจะปฏิเสธงานเช่นนี้ แต่เหตุใดฟู่เสี่ยวกวนจึงไม่เดินทางมา?
บรรดาฝูงชนกระตือรือร้นขึ้นเรื่อย ๆ ส่งเสียงดังขึ้นตามลำดับ คำพูดต่าง ๆ นั้นยิ่งฟังยิ่งไม่ไพเราะ หยูเวิ่นหวินตัดสินใจจะหยุดสถานการณ์นี้ แต่กลับพบว่าบ่าวรับใช้ของฟู่เสี่ยวกวนนั้นได้เดินหน้าขึ้นมาก่อนแล้ว
ชุนซิ่วโกรธมาก!
คุณชายของข้าคือคนที่พวกเจ้าจะมาใส่ร้ายได้งั้นหรือ!
มือทั้งสองข้างของนางเท้าอยู่ที่สะเอว แล้วตะโกนด้วยเสียงอันดังว่า “หุบปากเดี๋ยวนี้นะ!”
คาดไม่ถึงว่าผู้คนในที่นี้หยุดพูดลงจริง ๆ
ชุนซิ่วชี้นิ้วไปทางฝูงชนแล้วกล่าวว่า
“พวกเจ้า……ล้วนเป็นขยะ!”
“ข้าจะเอ่ยให้เอาบุญ คุณชายของข้านั้นมิเพียงแต่จะมีความสามารถทางด้านกวี แต่เขายังแต่งหนังสือได้อีกด้วย ขยะอย่างพวกเจ้าจะมาเปรียบเทียบกันได้อย่างไร!”
พูดจบ นางก็ลงจากเวทีไปด้วยความโมโห นางเดินตรงไปยังประตูใหญ่ เปิดประตูออกด้วยความไม่พอใจแล้วเดินจากไป ประตูถูกปิดลงเสียงดัง ภายในใจร้อนรน แล้วรีบก้าวเดินจากไป
ตอนที่ 25 ค่ำคืนที่ซ่างหลินโจว
ซ่างหลินโจวอยู่ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำออกไปร้อยเมตร ในยามนี้ได้มีเรือสำเภาเทียบฝั่งอยู่หลายลำ
บนเกาะแห่งนี้มีสถาปัตยกรรมที่คล้ายคลึงสวนเจียงหนาน ศาลาพักผ่อน ศาลาทางเดิน ล้อมรอบไปด้วยภูเขาจำลอง และมีสะพานข้ามแม่น้ำทุกหนแห่ง
เรียบง่าย หรูหรา และวิจิตรงดงามยิ่งนัก
ไฟบนเกาะได้สว่างขึ้นแล้ว มองไปรอบ ๆ ทั่วสารทิศจากหอชมดาวตรงใจกลางที่สูงที่สุด ราวกับมีดวงดาวฝังอยู่ ณ ที่นี้จริง ๆ
ณ บนชั้นห้าของหอชมดาว เสียนชินอ๋องหยูอันฝูกำลังดื่มน้ำชาและพูดคุยกับอาจารย์ฉิน อาจารย์หลี่ และยังมีอาจารย์เถียนอีกด้วย
นี่คือที่ที่สูงที่สุดของหอชมดาว พื้นที่ขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับผู้คนได้หลายพันคน กลับมีเพียงคนอยู่ไม่กี่คน ซึ่งทำให้ดูรกร้างไปเล็กน้อย แต่เสียนชินอ๋องกลับกล่าวว่า เรื่องครื้นเครงนั้นปล่อยให้พวกผู้เยาว์ ถ้าหากพวกเราไปเข้าร่วม พวกเขาคงยับยั้งชั่งใจ หากมีบทกวีดี ๆ พวกเขาจะประพันธ์มันขึ้นมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
อาจารย์ฉินและพวกเขาทั้งสามคนหาได้ใส่ใจไม่ และจมดิ่งไปกับความสงบ
แต่ที่ชั้นสี่ของหอชมดาวในยามนี้ กลับครึกครื้นเป็นอย่างมาก
หยูหงอี้ซื่อจื่อในฐานะหนึ่งในเจ้าภาพงานซ่างหลินโจว ก็กำลังต้อนรับแขกเหรื่อ
หยูหงอี้และหยูเวิ่นหวินนั้นนั่งอยู่ด้านบน เบื้องล่างมีโต๊ะอีกหลายร้อยตัว แต่พื้นที่ตรงกลางนั้นกลับเป็นเวทีเต้นรำขนาดใหญ่
ชั่วยามนี้จานชามบนโต๊ะได้ถูกนำออกไป มีเป็นผัก ผลไม้ และเครื่องดื่มขึ้นมาแทนที่ ทุกคนต่างนั่งรวมกันสามถึงห้าคนต่อหนึ่งกลุ่ม ดื่มชาและพูดคุย สนุกสนานกันถึงที่สุด และมีคนอีกมากมายที่มองออกไป ณ ที่ห่างไกล แต่ในศีรษะนั้นกลับกำลังครุ่นคิดถึงบทกวีที่ยังไม่เข้ารูปเข้าร่างนัก
และปัจจัยหลักของงานเลี้ยงในค่ำคืนนี้ก็คือ งานชุมนุมกวีซ่างหลิน
หากครั้งนี้ประพันธ์บทกวีออกมาได้ดีก็จะยิ่งมีชื่อเสียง หากสามารถเข้าพระเนตรเสียนชินอ๋องได้ มิแน่ว่าอาจจะได้รับรางวัลอีกมากมายก็เป็นได้
หยูเวิ่นหวินมองไปทางหยูหงอี้ ใบหน้าของหยูหงอี้มีเพียงรอยยิ้มขมขื่น
“ข้าได้ส่งเทียบเชิญไปให้บิดาของเขา บิดาเขาย่อมส่งมันให้กับเขาเป็นแน่”
“หากมิได้ให้เล่า?”
“เป็นไปมิได้ เจ้าอาจไม่รู้ว่าความปรารถนาสูงสุดทั้งชีวิตของฟู่ต้ากวนคือสิ่งใด เขาปรารถนาให้บุตรชายของตน มีชื่อเสียงทางด้านวรรณกรรมบ้าง ในวันนี้บุตรชายของเขาเริ่มเผยแววทางด้านวรรณกรรมแล้ว เขาย่อมปรารถนาให้บุตรชายของเขามีชื่อเสียงเป็นแน่ ที่นี่คือสถานที่ที่มีชื่อเสียง ฟู่ต้ากวนจะพลาดโอกาสเยี่ยงนี้ไปได้หรือ?”
หยูเวิ่นหวินคิ้วขมวด “หากพูดเยี่ยงนั้น… หรือว่าคนผู้นั้นไม่เต็มใจที่จะมา ? ”
“บางทีข่าวลือนั่นอาจจะเป็นจริงก็ได้ ฟู่เสี่ยวกวน… อาจจะดีแต่เปลือก บทกวีเหล่านั้นเป็นผู้อื่นที่ประพันธ์ขึ้น เขาเลยไม่กล้ามาเข้าร่วม”
คิ้วของหยูเวิ่นหวินขมวดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ “ชูหลานมิมีทางหลอกข้า ชูหลานเป็นคนที่ฉลาดถึงเพียงนั้น มิมีทางถูกเจ้าเด็กนั่นหลอกได้เสียหรอก”
“แต่ไม่ว่าเยี่ยงไร เขาก็มิมา เยี่ยงนั้นงานชุมนุมบทกวีนี้ยังจะดำเนินต่อไปหรือไม่?”
หยูเวิ่นหวินขบกรามแน่น สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และสะบัดแขนเสื้อ “ดำเนินต่อไป!”
หยูหงอี้ลุกขึ้นยืนอย่างไม่เต็มใจ เดินไปยังเวทีที่อยู่ใจกลางห้องโถง และยืดอกอย่างภาคภูมิ “ทุกท่าน ข้าขอประกาศ ณ ยามนี้ งานกวีซ่างหลิน ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว!”
เสียงปรบมือดังกึกก้อง เต็มไปด้วยบรรยากาศของความตื่นเต้น หยูหงอี้เดินไปทางหยูเวิ่นหวินด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อย ๆ
หลังจากนั้นพิธีกรก็ขึ้นไปยังบนเวที
“มีสุราและผลไม้อยู่ที่โต๊ะ ทุกท่านสามารถนำไปรับประทานได้ วันนี้พวกข้ายังได้เชิญแม่นางฝานตั่วเอ๋อร์จากหออี้หง และแม่นางไป๋ชิวจากหอฉวินฟางมามอบความสำราญให้แก่ทุกท่าน ถัดจากนี้ขอเชิญแม่นางฝานตั่วเอ๋อร์บรรเลงดนตรีที่กำลังโด่งดังที่หลินเจียงในช่วงนี้ มองเจียงหนาน!”
ฝานตั่วเอ๋อร์ปรากฏตัวขึ้นในชุดเต็มยศ มือหยกลูบไล้ฉิน เสียงโหมโรงดังขึ้น ทันใดนั้นทั้งงานก็เงียบเสียงลง
ยามที่นางเริ่มเอื้อนเอ่ย ประหนึ่งเสียงของธรรมชาติ บทเพลงนี้ทุกคนต่างได้ยินกันจนคุ้นหู จึงได้นำมาร้องอีกครา
มีท่านหนึ่งได้ฟังกวีบทนี้จนมัวเมา ทันใดนั้นก็คิดอะไรบางอย่างได้ และปรี่ไปยังโต๊ะหนังสือทันที
เขาตวัดปลายพู่กัน และเกิดเป็นกวีหนึ่งบท
เมื่อตั้งใจอ่านอย่างถี่ถ้วนอีกครา เหมือนว่าจะมิได้ด้อยไปกว่ามองเจียงหนานบทนั้น เพราะที่เขาเขียนนั้นก็คือมองเจียงหนานเช่นกัน มีชื่อเต็มว่า มองเจียงหนาน บันทึกที่ซ่างหลิน ผู้ประพันธ์หลี่ชุ่นเฟิง
มีสาวใช้รับกระดาษมา และส่งไปยังเบื้องหน้าของหยูเวิ่นหวิน
หยูเวิ่นหวินเมียงมอง แต่ไม่ได้พูดอันใด
หลังจากนั้นอีกหลายท่านก็เริ่มขยับเคลื่อนย้าย พวกเขาต่างทยอยกันไปที่โต๊ะหนังสือเพื่อลงพู่กัน ฝากผลงานของตนเองที่คิดว่าน่าพึงพอใจเหล่านั้นไปกับสาวใช้ เพื่อส่งให้ถึงหยูเวิ่นหวิน
ผู้มีพรสวรรค์ทั้งสามแห่งหลินเจียงในยามนี้ก็ได้ยืนพิงอาคารและเฝ้ามองมา
ทันใดนั้นหลิวจิ่งหางก็หัวเราะขึ้นมา แล้วกล่าวว่า “ในยามนี้ข้าชื่นชมเขายิ่งนัก ไม่ไว้หน้าแม้แต่จวนชินอ๋อง… คราแรกที่ข้าได้ไปเชิญชวนเขาถึงจวนฟู่ เพียงแต่เขาปฏิเสธ ข้ายังเดือดดาลไปถึง 2 วัน”
“เยี่ยงนี้นอกจากเทศกาลไหว้พระจันทร์เดือนแปดที่หนึ่งปีจะมีเพียง 2 ครั้ง แต่เขากลับไม่มา นั่นก็เห็นได้ชัดแล้วว่า ฟู่เสี่ยวกวนไม่กล้ามาอย่างแท้จริง” ถังซูยวี่รู้สึกว่าตัวเองมองคนผู้นั้นออกแล้ว จึงไม่อยากจะเอ่ยถึงอีก และเอ่ยถามขึ้นมาว่า “จิ่งหาง เจ้ามีผลงานที่ยอดเยี่ยมแล้วหรือยัง?”
“ข้ายังต้องเตรียมการอีกเสียหน่อย”
“พี่หยุ๋นชิงล่ะ?”
หยูหยุ๋นชิงมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดารา แล้วครุ่นคิด “ยังไม่สมบูรณ์นัก”
“เจ้าทั้งสองจะถ่อมตนกันไปแล้ว เยี่ยงนั้นข้าจะมิเกรงใจแล้ว”
“เชิญพี่ถัง”
ถังซูยวี่เดินไปทางโต๊ะหนังสือ สงบนิ่งไปหลายอึดใจ ก่อนจะยกพู่กันและจรดลง
“ความสุขที่เงียบสงบ ค่ำคืน ณ ซ่างหลิน”
“สายลมแผ่วไม่ยอมหยุด กลับแยกต้นไม้กลางบุปผา
หลงในเงาสีเงินที่ตื้นเขิน สะพานนางแอ่นจันทร์แรมทางดารา
เรือประมงแล่นในแม่น้ำอย่างเชื่องช้า วังหลวงชั้นเซียนเลือนลับตา
แตกสลายร่วงกราวเสียงแผ่วเบา แต่ฟ้าโปร่งและเมฆจืดจางไป”
เขายื่นกวีบทนั้นให้แก่สาวรับใช้ แล้วจึงกลับมายังระเบียง หลิวจิ่งหางเอ่ยถาม “เสร็จแล้วรึ ? ”
ถังซูยวี่เพียงยิ้ม แล้วพยักหน้า
“เยี่ยงนั้นข้าก็จะไปด้วย”
“อือ”
หยูหยุ๋นชิงครุ่นคิด และเดินไปทางโต๊ะหนังสือเช่นกัน
ถังซูยวี่หันหลังพิงอยู่กับระเบียง จึงได้เห็นว่าบนเวทียามนี้ได้เปลี่ยนคนไปเสียแล้ว
ผู้นั้นคือแม่นางไป๋ชิวจากหอฉวินฟาง
ในยามนี้นางกำลังร่ายร้องกวีอีกหนึ่งบทที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ประพันธ์: บทกวีทิศใต้·ชื่มชมท่องเที่ยว
ถังซูยวี่จ้องมองด้วยความสนใจ นึกถึงสถานการณ์ครึกครื้นที่ตรอกฉือปาหลี่ในวันนี้ ทันใดนั้นก็รู้สึกอยากจะดื่มอีกสักสองแก้ว
เขาก้าวไปทางเวที แล้วหยิบสุราขึ้นมาหนึ่งขวด ซึ่งเป็นเซียงเฉวียนของหยู๋ฝูจี้
เขารินหนึ่งแก้ว ถือไปยังบริเวณระเบียง ยืนพิงดื่มไปเพียงหนึ่งอึก ในยามที่ไป๋ชิวกำลังร้องบทเพลงบทกวีทิศใต้ หลิวจิ่งหางและหยูหยุ๋นชิงก็ได้เดินมา
“เสร็จแล้วรึ ? ”
ทั้งสองคนต่างพยักหน้า
“ความจริงข้าหวังเป็นอย่างมากว่าฟู่เสี่ยวกวนจะเป็นผู้มีความสามารถ พวกเจ้าลองฟังท่วงทำนองของสองบทนี้สิ อยู่ในระดับสูงอย่างยิ่ง น่าเสียดายนัก”
“ท้ายที่สุดเขากลับไม่กล้ามา… นี่ก็เป็นครั้งที่สามแล้ว ดังนั้น ข้าคิดว่าเขาหลักแหลมยิ่งนัก”
“ข้ายอมรับว่าเขาหลักแหลมเป็นอย่างมาก มิอย่างนั้นสุราราคาสูงเสียดฟ้านี้คงมิมีผู้คนมาแย่งชิงกันถึงเพียงนี้”
หยูหยุ๋นชิงหัวเราะ “ข้าเองก็ไปคว้ามาได้ 2 ขวด ยังมิกล้าลิ้มรส วันหน้าหากมีเวลาว่าง น้องชายทั้งสองมารวมตัวด้วยกันเถิด”
“เยี่ยงนั้นย่อมยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง!” หลิวจิ่งหางและทั้งสองต่างกล่าวยิ้ม ๆ
“ทางนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น?” ถังซูยวี่ชี้ไปทางด้านหน้าประตูของชั้นที่สี่
หยูหยุ๋นชิงและหลิวจิ่งหางต่างหันไปมองตาม…
ชุนซิ่วกังวลเป็นอย่างมาก
นางตามหลังทหารยามมาหนึ่งนาย ก้าวเท้าขึ้นมาทีละก้าว
ทหารยามผู้นั้นกระซิบที่ข้างหูของสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าประตู สาวใช้ผู้นั้นราวกับประหลาดใจเล็กน้อย แล้วเอ่ยนามหนึ่งขึ้นมา “ฟู่เสี่ยวกวนรึ ? ”
เสียงของสาวใช้ผู้นั้นค่อนข้างดัง ยามนั้นประจวบเหมาะกับที่ไป๋ชิวบนเวทีร้องเพลงจบ ดังนั้นจึงมีผู้คนบางส่วนที่ได้ยินไปโดยปริยาย
“ฟู่เสี่ยวกวนรึ เขามาแล้วรึ?”
เสียงกระจายออกไป จนพวกหลิวจิ่งหางทั้งสามคนเองก็ได้ยิน
“เขาล่ะ?”
“ไม่เห็น”
“แล้วเยี่ยงนั้นเสียงดังอันใดกันขึ้นมา?”
ตอนที่24 จิตใจตรงกัน
เขาถือคัมภีร์ฉุนหยางซินจิงไว้ในมือ ฟู่เสี่ยวกวนลืมแม้กระทั่งเรื่องการเขียนหนังสือความฝันในหอแดงเสียสนิท
สิ่งนี้มิใช่ความงมงาย แต่เป็นความอยากรู้อยากเห็นเสียมากกว่า
เนื่องจากกำลังภายในและพลังตัวเบานั้นเป็นสิ่งที่ฉากในละครจีนเมื่อชีวิตที่แล้วขาดไม่ได้ บรรดาผู้มีความสามารถเหล่านั้นช่างน่าอิจฉาเสียจริง เซียนที่ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า ดาบอันทรงพลัง หมัดที่ต่อยออกไปรัศมีร้อยเมตร……นี่คือศิลปะการต่อสู้ นี่คือความฝันสำหรับผู้คนมากมาย และฟู่เสี่ยวกวนเองก็เช่นกัน
ในชีวิตที่แล้วเรื่องต่าง ๆ ที่แม้แต่กฎของนิวตันยังต้องการศึกษาค้นหาเหตุผลในทางวิทยาศาสตร์อย่างมากมาย แต่ในชีวิตนี้กลับมีอยู่จริง และตอนนี้ก็มีคัมภีร์ศิลปะการต่อสู้อยู่ตรงหน้าเขา ไม่ต้องกระโดดลงเหว ไม่ต้องเดินทางไปพบคุณปู่หนวดขาว สิ่งนี้อยู่ในมือของเขาแล้ว นี่คือความเป็นจริง ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดก็ต้องหลีกทางให้เรื่องนี้ก่อนทั้งสิ้น
เสียงจักจั่นในป่าค่อย ๆ จางหาย ดวงอาทิตย์สีแดงดวงโตกำลังจะลับลงสู่ขอบฟ้า ค่อย ๆเลือนหายลงในภูเขา
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอ่านหนังสือเล่มนี้โดยไม่ไปไหน
คนโบราณมีความเห็นว่าการอ่านหนังสือนับร้อยรอบจะทำให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ ฟู่เสี่ยวกวนบัดนี้กำลังอ่านมันให้ครบร้อยรอบและพยายามจดจำไว้ในใจ
ซูม่อยังคงไม่เอ่ยคำใด เพียงแต่มองมาทางเขาบางเป็นครั้งบางครา แต่มิใช่เพราะความใฝ่เรียนของฟู่เสี่ยวกวน หากเป็นเพราะกวีที่ฟู่เสี่ยวกวนแต่งขึ้นมาต่างหากเล่า
เรื่องของศิลปะการต่อสู้นั้น พรสวรรค์เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ส่วนความขยันเป็นเรื่องที่จะตามมาหลังจากเริ่มฝึกฝน
เช่นเดียวกับการแต่งกวี พรสวรรค์เป็นเรื่องหลัก ส่วนความขยันเพียงเสริมให้ตัวอักษรงดงามขึ้นเพียงเท่านั้น
ชายหนุ่มผู้นี้มีพรสวรรค์ในด้านการประพันธ์ เพราะกวีที่เขาแต่งขึ้นนั้นไพเราะยิ่งนัก สำหรับตัวอักษรนั้น……หาดูได้ยากเสียจริง
ซูม่อมิได้มีความประสงค์จะชี้แนะสิ่งใด ๆ แก่ฟู่เสี่ยวกวน ก็เพราะว่าไป๋ยู่เหลียนเพียงกำชับให้ปกป้องคุ้มครองฟู่เสี่ยวกวน ให้วิธีการฝึกฝนกำลังภายในแก่เขา แต่มิได้กำชับให้สั่งสอน เช่นนั้นการเรียนรู้ได้มากน้อยคงต้องขึ้นอยู่กับตัวฟู่เสี่ยวกวนเอง
เมื่อนึกถึงไป๋ยู่เหลียน เขาก็โกรธเสียจนต้องกัดฟันกรอด ๆ!
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วบ้างบางครั้ง บางคราเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า บางคราหลับตาลงเพื่อครุ่นคิด บางคราปิดตำราแล้วเดินวนไปรอบ ๆ
เป็นไปเช่นนี้จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืดลง แสงสว่างจากโคมไฟเริ่มเปล่งประกายเพื่อส่องสว่างในยามราตรี
……
……
ซิ่วเอ๋อร์รอฟู่เสี่ยวกวนรับประทานอาหารเย็นจนเรียบร้อย แล้วจึงจะออกเดินทาง
ผู้ดูแลขับรถม้าพานางมาส่งยังหลินโจว
ซ่างหลินโจวอยู่นอกเมืองหลินโจว ไกลออกไปเล็กน้อย เป็นเกาะแห่งหนึ่งของเมืองฉางเจียง ที่แห่งนี้คือสถานที่สำหรับชินอ๋อง ซิ่วเอ๋อร์นั้นรู้ดีแต่นางหาได้เคยมาไม่
ในใจนางไม่สงบสุขเลยแม้แต่น้อย อย่าพูดถึงชินอ๋องเลย เพียงจือโจวแห่งเมืองหลินเจียง นางก็ไม่เคยพบ
หลังออกจากประตูตะวันตกของเมืองหลินโจว รถม้าก็เดินไปตามแนวตลิ่งเรื่อย ๆ ไม่นานต่อมาก็พบว่าไกลออกไปนั้นมีแสงไฟสว่างไสวอยู่ที่ปลายทาง
บัดนี้ งานเลี้ยงในซ่างหลินโจวได้เริ่มขึ้นแล้ว
……
……
ณ เมืองหลวงจินหลิง ตรอกหวู่อี้ จวนตระกูลต่ง
เมื่อรู้ข่าวว่าองค์หญิงเก้าเดินทางจากเมืองหลวงไปยังหลินเจียงนั้น สองสามวันมานี้ต่งชูหลานมีแต่ความร้อนรนในใจ
เนื่องจากบ่าวรับใช้ขององค์หญิงเก้ากล่าวว่า นางจะเดินทางไปยังเมืองหลินเจียงเพื่อดูชายหนุ่มที่ชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนเสียหน่อย
เขามีสิ่งใดน่าดูกัน?
หมากของต่งชูหลานตัวหนึ่งเดินไปในทางที่ไม่ถูกต้อง ต่งซิวจิ่นพี่ชายคนโตเงยหน้าขึ้น นั่งตัวตรง
“น้องสาวข้า หลังกลับจากเมืองหลินเจียงเจ้าก็ดื่มสุราอย่างมาก แต่ละวันนั้นดูท่าทีมีเรื่องกังวลใจ ข้าเองไม่เคยเดินหมากชนะเจ้ามาแต่ไหนแต่ไร แต่สองวันมานี้……เจ้าวางหมากไม่เป็นระเบียบและไม่เคยชนะข้าแม้แต่ตาเดียว เกิดเหตุใดขึ้นกันแน่?”
ต่งชูหลานร้อนรนใจเล็กน้อย นางรีบส่ายหัวแล้วเอ่ยด้วยเสียงต่ำว่า “ไม่มีอะไร เพียงแต่อาจเหม่อลอยบ้างบางคราก็เพียงเท่านั้น”
ต่งซิวจิ่นโยนหมากลงไปในที่เก็บ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “สองวันก่อนกั๋วจื่อเจียนได้รับจดหมายจากอาจารย์ฉิน หลังจากอ่านเนื้อความแล้วก็มีความตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง กระทั่งหยิบสุราเทียนเซียงที่เก็บสะสมไว้นานหลายปีออกมา เชิญพวกเราทั้งสามคนดื่มร่วมกัน”
ต่งชูหลานตกตะลึง นางคาดเดาได้ว่าเนื้อหาที่อาจารย์ฉินเขียนนั้นคืออะไร
ต่งซิวจิ่นเอ่ยต่อว่า “ท่านเสนาบดีนำจดหมายนั้นให้พวกข้าดู……ข้ามิอาจโต้แย้งได้ว่าฟู่เสี่ยวกวนชายหนุ่มผู้นั้นช่างมีพรสวรรค์เสียจริง!”
ต่งซิวจิ่นเอื้อมมือไปเปิดม่านหน้าต่าง แล้วแหงนมองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
“เพื่อปณิธานแห่งฟ้าดินได้ยืนหยัด เพื่อชะตามวลประชาที่มั่นคง เพื่อสืบทอดความรู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อสันติสุขในทุกสมัย……สิ่งเหล่านี้คือบรรดาผู้ศึกษาตำราทั้งหลายเช่นพวกข้าตามหามาตลอดชีวิต”
ต่งซิวจิ่นค่อย ๆ หันกลับมามองที่ต่งชูหลาน แล้วเอ่ยถามว่า “น้องข้า แต่เขาผู้นี้ทำให้จิตใจเจ้าไม่สงบอยู่หรือเปล่า?”
ต่งชูหลานก้มหน้าลงรีบส่ายหัวปฏิเสธ ต่งซิวจิ่นหัวเราะ “ท่านเสนบดีกล่าวว่า จากคำพูดและนิสัยของเขาผู้นี้ควรจะได้รับการฝึกฝน และเป็นผู้เผยแพร่แก่บรรดาผู้ร่ำเรียนว่าเหตุใดจึงต้องอ่านหนังสือ ให้โลกนี้ได้รับรู้ว่าผู้ใดคือผู้ที่มีปณิธานยิ่งใหญ่เช่นนี้ ดังนั้นชื่อของฟู่เสี่ยวกวนจะได้รับการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ แม้ภายในจดหมาย ท่านอาจารย์ฉินจะเอ่ยถึงเรื่องราวของฟู่เสี่ยวกวนเพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่สามารถปิดบังได้ว่าเขายกย่องความสามารถของบุคคลผู้นี้”
“น้องสาวข้า เจ้าเดินทางไปหลินโจวเมื่อคราวก่อนคงได้พบเจอเขาอย่างแน่แท้ เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่ว่าเขาผู้นี้เป็นคนอย่างไร?”
ต่งชูหลานหัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ แก้มสองข้างของนางนั้นแดงระเรื่อ
“เขา……ข้าเองก็ไม่อาจทราบได้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร”
ต่งซิวจิ่นตะลึงเล็กน้อย ต่งชูหลานเงยหน้าขึ้น แววตาแฝงไปด้วยความสับสน
“เขา……แม้แต่ตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าก็ยังอ่านไม่จบ เป็นเพียงซิ่วไฉ ได้ยินมาว่าแต่ก่อนมักจะก่อเรื่องให้ผู้อื่นเดือดร้อน แต่หลังจากที่ข้าได้พูดคุยกับเขาแล้ว ข้ากลับไม่คิดว่าเป็นเยี่ยงนั้น เขาหนักแน่น ราวกับได้รับการชำระล้างจนบริสุทธิ์อย่างไรอย่างนั้น……ข้าเองไม่รู้จะอธิบายให้ท่านพี่เข้าใจได้อย่างไร เพียงแต่……เพียงแต่รู้ว่าเขาไม่เหมือนชายหนุ่มทั่วไป”
“แต่เขานั้นมีความสามารถด้านกวี เรื่องนี้อาจารย์ฉินรู้เป็นอย่างดี คำพูดนี้ท่านเองก็เป็นคนเอ่ยออกมาด้วยตนเอง แต่ฟู่เสี่ยวกวนไม่ประสงค์เดินทางไปสอบคัดเลือกเคอจี่ กลับมัวใส่ใจทำบางอย่างที่แปลกประหลาดเสียอย่างนั้น”
ต่งซิวจิ่นขมวดคิ้ว “ทำบางอย่างที่แปลกประหลาดอย่างนั้นหรือ?
“ถูกต้องแล้ว เขาคิดค้นสุราชนิดหนึ่งที่มีรสดีกว่าสุราเทียนเซียงมากนัก ข้าเองได้นำไปถวายแก่องค์หญิงใหญ่แล้ว คาดว่าอีกไม่กี่วันคงได้ทำการจัดซื้อเป็นแน่”
หากเป็นเช่นนี้ คาดว่าชายหนุ่มผู้นั้นคงรักในสิ่งที่มิใช่การศึกษา ต่งซิวจิ่นรู้สึกเสียดายในความสามารถ จากที่เขามองดู หากสามารถเอ่ยประโยคนั้นออกมาได้ บุคคลเช่นนี้คงได้เป็นปรมาจารย์อย่างแน่แท้ ประกอบกับได้รับการชี้แนะจากอาจารย์ฉิน อนาคตของเขาคงอีกยาวไกลนัก
แต่เขาเป็นเพียงซิ่วไฉ เช่นนั้นคำพูดที่เขาเอ่ยมาอาจจะเป็นเพียงเรื่องบังเอิญ
ครอบครัวนักวิชาการเช่นพวกเขา บิดาเป็นเสนาบดีกรมคลัง แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับเป็นพ่อค้าที่ดิน น้องสาวเขา……เกรงว่าครั้งนี้คงต้องผิดหวังเสียแล้ว
“วันพรุ่งนี้งานเสวนาหลานถิงจัดขึ้นโดยเยี่ยนซีเหวินแห่งตระกูลเยี่ยน เจ้าควรเดินทางไปร่วม”
นางนั่งอยู่ที่หน้าต่างเพียงลำพัง นิ่งเงียบมีเพียงเสียงลมหายใจ นางหยิบพู่กันขึ้นมา ตัดสินใจเขียนจดหมายถึงฟู่เสี่ยวกวน
นางเข้าใจดีถึงความหมายในสิ่งที่พี่ใหญ่กล่าวเมื่อครู่ เขาหมายถึงระหว่างนางและฟู่เสี่ยวกวนนั้นเป็นไปไม่ได้ แม้จะได้รับการยกย่องและบันทึกรายชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากฟู่เสี่ยวกวนเป็นพ่อค้า แต่มิใช่นักปราชญ์
นางมิได้เขียนชักจูงเขาให้ร่ำเรียน เพียงแต่เขียนเรื่องราวถามไถ่ทั่วไป อีกทั้งเรื่องที่องค์หญิงเก้าเดินทางไปยังเมืองหลินโจวอาจจะทำให้เขาลำบากใจ เป็นต้น
เวลานี้ ณ เมืองหลินเจียง ฟู่เสี่ยวกวนเองก็นั่งอยู่ข้างหน้าต่าง ตัดสินใจเขียนจดหมายแก่ต่งชูหลานเช่นกัน
เนื่องจากเขาจะให้คนนำสุราทั้งสองลังนั้นส่งไปให้แก่ต่งชูหลาน
เขาก็มิได้เขียนเป็นกวีอันงดงาม แต่เขียนไปตามเนื้อความที่ต้องการจะสื่อสารและหลังจากเขียนเนื้อความจดหมายเรียบร้อยแล้ว เขาก็ได้แนบความฝันในหอแดงทั้งห้าบทลงไปในจดหมายอีกด้วย
“สิ่งนี้คือต้นฉบับ อ่านแล้วโปรดส่งกลับด้วยเถิด!”
ตอนที่ 23 นำกลอนไปส่ง
“คุณชายเจ้าคะ สุรา สุราเจ้าค่ะ สุราขายหมดแล้วเจ้าค่ะ!”
สายตาของฟู่เสี่ยวกวนยังคงอยู่บนคัมภีร์ฉุนหยางซินจิง ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบขึ้นมา “ซิ่วเอ๋อร์… ข้าหิวแล้ว”
“โอ้ ข้าจะไปทำให้เดี๋ยวนี้… ท่านผู้นี้คือผู้ใดกันเจ้าคะ?”
“ไม่ต้องสนใจเขาหรอก ต่อจากนี้เจ้าจงทำสำรับอาหารเพิ่มมาอีกสำหรับ และไปจัดเตรียมห้องที่อยู่ชั้นสองให้เรียบร้อยด้วย”
“เจ้าค่ะ”
ชุนซิ่วเดินไปยังห้องครัว ในใจก็คิดว่าคุณชายช่างเป็นผู้ที่มีความสามารถมากเสียจริง
สินค้าตัวใหม่แห่งหยู๋ฝูจี้ของตระกูลตนออกสู่ตลาด คุณชายก็หาได้สั่นคลอนไม่ ตรอกฉือปาหลี่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน ก็เพื่อมาซื้อสุราของตระกูลตน กิจการเป็นไปได้ด้วยดีถึงเยี่ยงนี้ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงยินดีเป็นอย่างมาก แต่คุณชายยังคงไม่สั่นคลอนหรือปลื้มปริ่มแต่อย่างใด เวลาสั้น ๆ เพียงครึ่งวัน สุราร้อยชั่งที่มีอยู่ในหยู๋ฝูจี้ได้หมดไปแล้ว ทั้งยังเป็นสุราที่ราคาสูงจนผู้ใดฟังก็ต้องตกใจ นี่ทำเงินไปได้เท่าไหร่กัน? แต่คุณชายกลับทำเหมือนมิมีสิ่งใดเกิดขึ้นเสียอย่างนั้น
ทั้งหมดนี้ราวกับอยู่ในการควบคุมของคุณชาย ถึงแม้คุณชายจะมิได้ไป แต่เขากลับรู้ผลลัพธ์มาตั้งแต่แรกแล้ว
แต่เดิมยังกังวลใจอยู่ว่าคุณชายคงจะกลัวเสียหน้า ภายภาคหน้าคงมิกล้าคิดเยี่ยงนี้อีกแล้ว
เพียงไม่นาน คนเฝ้าประตูก็พาคนหนึ่งเข้ามา ฟู่เสี่ยวกวนไม่รู้จัก และหาได้สนใจอะไรไม่ คนผู้นั้นวางเทียบเชิญ 1 ใบ กล่าวว่าคุณชายชีหยวนหมิงแห่งร้านสุราชีชื่อต้องการนัดเขาไปทานข้าว หากมิใช่เพราะหนังสือเล่มนี้ ฟู่เสี่ยวกวนก็คงจะไป ทำการค้า การรู้จักคนไว้มากหน้าหลายตามิใช่เรื่องแย่อันใด อย่างไรเขาก็รู้ว่าร้านสุราชีชื่ออยู่ตรงข้ามกันกับหยู๋ฝูจี้ และความต้องการของฝ่ายตรงข้ามเขาก็พอจะคาดเดาได้บ้าง
ร่วมการค้าคงเป็นไปไม่ได้ แต่ร้านฝ่ายตรงข้ามก็ไม่เลวเลยทีเดียว เขาตั้งใจจะซื้อสุราของร้านชีชื่อมาชิม แต่ตัวเขายังไม่มีเวลาในตอนนี้
“ข้าเข้าใจความปรารถนาดีของคุณชายชีแล้ว แต่ข้านั้นยังมิมีเวลาจริง ๆ เจ้ากลับไปแล้วบอกกับเขาว่า หากเสร็จสิ้นธุระในช่วงนี้ไปแล้วข้าจะไปหาเขาด้วยตนเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือเพื่อให้คนเฝ้าประตูพาคนผู้นั้นออกไป หลังจากนั้นไม่นานฟู่ต้ากวนก็ได้พากลุ่มคนเดินเข้ามาอย่างเร่งรีบ
“ไฮ่…”
ฟู่เสี่ยวกวนกอดหนังสือเอาไว้ในอ้อมอก มิรอให้ฟู่ต้ากวนได้เอ่ยอันใด ก็ชิงกล่าวขึ้นมาก่อน “ท่านพ่อ ข้ารู้หมดแล้ว ตอนนี้ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ข้าจะต้องทำ ข้ากำลังยุ่งมาก จำเป็นต้องให้ท่านนำคนไปจัดการล่วงหน้าก่อน”
“บุตรชาย เจ้าจงกล่าวมา!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของฟู่ต้ากวนราวกับดอกไม้บาน แต่มิใช่เพราะหยู๋ฝูจี้ทำเงินได้มากมาย แต่เป็นเพราะบุตรชายเพิ่มเกียรติให้แก่เขา
ยามที่ตรอกฉือปาหลี่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน หลังจากที่มีข่าวว่าทุกคนมาเพื่อซื้อสุราที่หยู๋ฝูจี้เพียงขวดเดียวถูกแพร่ออกไป ผู้คนที่มีหน้ามีตาของเมืองหลินเจียงต่างก็พากันมาลิ้มรสสุราที่หยู๋ฝูจี้กันถ้วนหน้า ในนั้นยังรวมไปถึงพ่อค้าผ้ารายใหญ่ทั้งสี่และพ่อค้าข้าวรายใหญ่ทั้งสามอีกด้วย
แน่นอนว่า คนเหล่านี้ย่อมมีฐานะทางสังคม พวกเขาไม่ได้เข้าไปรุมล้อมเพื่อต่อแถวซื้อสุรา แต่กลับไปโรงน้ำชาที่อยู่ตรงข้ามกับหยู๋ฝูจี้ พวกเขาเลือกที่นั่งชั้นสองเพื่อที่จะสามารถมองเห็นทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นที่หน้าประตูของหยู๋ฝูจี้ได้อย่างชัดเจน
ฟู่ต้ากวนที่ได้ยินข่าวเยี่ยงนั้นก็รีบวิ่งขึ้นไปยังโรงน้ำชา จุดประสงค์ของเขามิใช่เพื่อดื่มชา แต่จุดประสงค์นั้นคือมาเพื่อฟังว่าคนเหล่านั้นสรรเสริญบุตรชายของเขาว่าเยี่ยงไรบ้างเพียงเท่านั้น
“คุณชายฟู่ผู้มีพรสวรรค์ที่ฟ้าประทาน!”
“ผู้นำตระกูลฟู่สั่งสอนบุตรได้เยี่ยมมากจริง!”
“หลินเจียงมิเคยเกิดปรากฏการณ์อันบ้าคลั่งเยี่ยงนี้มาก่อน” !
“มาเถิด ๆ ทุกท่านมาลิ้มรสสุรากัน ข้าคว้ามาได้ 1 ขวด…”
“เป็นสุราชั้นเยี่ยม โดยเฉพาะเทียนฉุน 42 ดีกรี สามารถเทียบเคียงกับเทียนเซียงได้อย่างแท้จริง!”
“พ่อพยัคฆ์มิมีลูกเป็นสุนัข คุณชายฟู่เป็นผู้มีพรสวรรค์ลำดับที่สี่ของหลินเจียง ฝีมือการค้าการขายเยี่ยงนี้ เหนือกว่าข้าและพวกเจ้ายิ่งนัก!”
“…..”
ฟู่ต้ากวนยังมิได้ดื่มสุราแต่รู้สึกมึนเมาเล็กน้อย ใบหน้าที่สดใสนั้นกำหมัดแน่น โดยกล่าวไปว่าเป็นเพียงการลงมือเล็ก ๆ น้อย ๆ จะไปสามารถเข้าตาผู้คนได้เยี่ยงไรกันเล่า
กล่าวได้ว่า ฟู่ต้ากวนอยู่หลินเจียงมานานหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกโล่งอก และได้เชิดหน้าชูตาเสียที!
“ประการแรก ส่งคนไปยังเรือนซีซาน เพื่อก่อสร้างโรงกลั่นสุราแห่งใหม่ จัดหานายช่างสุราและลูกมือให้เพียงพอ”
“ประการที่สอง สุราที่ทางร้านสุราผลิตได้ในทุกวันนี้ ต้องเก็บไว้ 3 ส่วน ใส่ถังสุราและปิดผนึกไว้และเก็บไว้ในห้องใต้ดินให้มิดชิด และห้ามมิให้ผู้ใดเคลื่อนย้ายโดยเด็ดขาด!”
“ประการที่สาม… เรียกฉ้ายหลงจู๊แห่งหยู๋ฝูจี้และเรียกหยู๋จี้แห่งร้านขายกระจก เจียงจี้แห่งร้านเครื่องลายครามเพื่อพูดคุยเจรจาเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับภายภาคหน้า ราคาของอุปกรณ์เหล่านี้ในภายภาคหน้า จะต้องลดลง 2 ส่วน”
“ช่วงนี้ให้เป็นเยี่ยงนี้ไปก่อน… ท่านพ่อ ท่านอย่าได้ร่วมผสมโรงเลย คอยอยู่ดูแลแม่รองเถิด”
ฟู่ต้ากวนพาคนกลุ่มนั้นเดินออกไปอีกครั้งอย่างมีความสุข ในที่สุดในเรือนก็เงียบสงบ ชุนซิ่วถืออาหาร 2 อย่าง กับน้ำแกงอีก 1 ถ้วยเดินออกมาเพื่อตั้งโต๊ะให้กับคุณชายของนาง
“เวลาค่อนข้างเร่งรัด คนครัวเพิ่งจะได้กลับมาในยามนี้ บ่าวจึงลงมือทำให้ท่านได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตกค่ำแล้วจะเรียกพวกเขาให้ทำอาหารอร่อย ๆ ให้ท่านทานอีกครานะเจ้าคะ”
ตกค่ำ… ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็นึกขึ้นมาได้ว่าค่ำนี้ต้องไปเข้าร่วมงานพบปะที่หลินโจวจวนเสียนชินอ๋อง
คิ้วของเขาขมวดนิ่ว นี่คือเทียบเชิญที่บิดาของเขานำมาให้ จะให้พูดว่ามิไปก็เหมือนว่าจะไม่ดีเสียเท่าไหร่
แต่คัมภีร์ฉุนหยางซินจิงในอ้อมกอดนี้ยังมิทันได้หายร้อนเลย ข้างในนั้นยังมีหลายสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ… ยิ่งเป็นเยี่ยงนี้ การไปสถานที่แบบนั้นย่อมเป็นการเสียเวลาเป็นแน่!
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิด และเอ่ยปากขึ้นมาว่า “ซิ่วเอ๋อร์ เจ้าจงไปหยิบพู่กัน แท่นหมึก กระดาษ หินหมึก มาให้ข้า”
“เจ้าค่ะ!”
ฟู่เสี่ยวกวนคิดมาอย่างดีแล้ว กลับกันเขาก็ไม่รู้จักกับเสียนชินอ๋องและคนในจวนของเสียนชินอ๋อง บุคคลที่สูงส่งอย่างชินอ๋องย่อมไม่รู้จักเขาเป็นแน่ ดังนั้นตัวเขาจะไปหรือไม่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย
เพื่อมิให้บิดาของเขาต้องเสียหน้า ทั้งยังต้องแสดงออกถึงความเคารพ ดังนั้น เขาจึงตัดสินใจประพันธ์กลอนขึ้นมา แล้ววานให้ซิ่วเอ๋อร์นำไปส่งในช่วงค่ำ และส่งมอบให้กับคนของหลินโจว เพื่อกล่าวขอประทานอภัยอย่างเห็นได้ชัด และแสดงออกถึงเจตนาของตนเองไปอย่างชัดเจน
เมื่อซิ่วเอ๋อร์ฝนหมึกเสร็จแล้ว ก็ครุ่นคิดขึ้นมาว่าคุณชายกำลังเขียนสิ่งใดกัน?
เขียนสิ่งใดกัน ?
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็กำลังหนักใจเป็นอย่างมาก
เขาถือพู่กันพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าออกหลายครั้งอย่างครุ่นคิด เขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าครั้งนี้จะเขียนกวีหนึ่งบท
ค่ำคืนที่เมามาย
ดวงดาวและสายลมในยามค่ำ หอวาดภาพชายตะวันตกไปยังป่าตะวันออก
เกี่ยวส่งสุราอุ่นดั่งหน้าร้อนไปยังที่นั่งแยกห่าง พลิกคว่ำเทียนไขเปลวไฟแดงแล้วแยกย้าย
ถอนใจเมื่อได้ยินเสียงกลองยามเลิกรา เฆี่ยนม้ามาหลานถายแล้วเปลี่ยนทิศไปตามลม
ซูม่อแต่เดิมที่กำลังหลับตาพักผ่อน ทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้นมา สายตากวาดไปรอบ ๆ อย่างไร้จุดหมาย และตกกระทบบนกระดาษ และเหยียดริมฝีปากออก เพราะนั่นคือตัวอักษรที่อัปลักษณ์ที่สุดที่เขาเคยเจอมา
แต่ในช่วงเวลาที่สายตาของเขากำลังจะผละออกไป ก็เป็นอันต้องเบี่ยงเบนกลับมา
เพราะบทกวีนี้! !
เขานั่งตัวตรง และเอนไปข้างหน้าเพียงเล็กน้อย หลังจากที่ได้อ่านบทกวีนี้จนจบแล้ว สายตาก็ตกอยู่ที่ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน
ใจของชุนซิ่วปลื้มปีติ ความคิดของคุณชายกลับมาแจ่มชัดขึ้นอีกครา!
บทกวีนี้ยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะประโยคที่ว่าร่างไร้สองปีกหงส์ที่งดงาม จิตใจต่างสื่อสารไปถึงกัน แต่คุณชายมีจิตใจสื่อถึงกันกับผู้ใดกันเล่า
ชุนซิ่วประหลาดใจยิ่งนัก และเมื่อรวมเข้ากับช่วงหลายวันนี้ที่ได้อยู่ร่วมกับคุณชาย จึงรับรู้ว่าคุณชายนั้นเป็นคนที่ทำทุกอย่างตามอำเภอใจ ดังนั้นนางจึงเอ่ยถามขึ้นมาหนึ่งประโยค
“คุณชายเจ้าคะ ท่านตั้งใจจะสื่อถึงกับใครหรือเจ้าคะ?”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ วางพู่กันลง คิดไปคิดมาแล้วข้าควรจะสื่อถึงใครกันเล่า?
ฝานตั่วเอ๋อร์รึ?
ย่อมไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่แท้
เยี่ยงนั้นก็มีเพียง… “แม่นางต่งชูหลานแห่งตระกูลต่ง!”
ชุนซิ่วปลื้มปีติขึ้นมาทันพลัน แม่นางตระกูลต่งงดงามยิ่ง มีความรู้มีมารยาท อีกทั้งยังเก่งกาจด้านการค้าการขาย เมื่อคู่กับคุณชายก็เหมาะสมกันดั่งกิ่งทองกับใบหยก ช่างใจตรงกันเสียจริง
“สิ่งนี้ ตกค่ำเจ้าช่วยข้านำมันไปส่งที่หลินโจว ที่นั่นมีงานพบปะ แต่ข้าไม่มีเวลาแม้แต่จะไป หากเจ้าไปถึงแล้วให้สังเกตว่าผู้ใดคือหัวหน้าตระกูล กล่าวกับเขาว่าข้าขอประทานอภัย ภายภาคหน้าหากมีโอกาสข้าจะขอน้อมรับโทษอีกครา”
ตอนที่ 22 คำภีร์ฉุนหยางซินจิง
ท้องฟ้าสว่างสดใส แดดส่องลานกว้างทอแสงสว่างสีทอง
ฟู่เสี่ยวกวนเขียนความฝันในหอแดงตอนที่หกเรียบร้อยแล้ว เขาเดินมายังลานกว้างและหรี่ตาลงเล็กน้อย เนื่องจากแสงแดดที่เจิดจ้า
ลานกว้างเช่นนี้ เหตุใดจึงเงียบสงบไร้เสียงใด ๆ ทำให้เขาเกิดความประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งจึงเดินออกมาด้านนอกจวน แต่ก็ยังไร้ซึ่งเสียงใด ๆ
ทุกคนไปไหนกันหมด?
หากในเวลานี้มีขโมยเข้ามา เกรงว่าทรัพย์สินคงถูกยกไปหมดสิ้น
เมื่อเขาเดินมาถึงปากทางข้ามผ่านธรณีประตู พบว่ามียามอยู่ 2 คน
“คนอื่น ๆ เล่า?”
“เรียนคุณชาย คนอื่น ๆ เดินทางไปที่หยู๋ฝูจี้หมดแล้วขอรับ”
“……ไปที่นั้นหมดทุกคนเลยหรือ?”
“ใช่ขอรับ นายท่านกล่าวว่าคนที่หยู๋ฝูจี้นั้นมีไม่เพียงพอ นอกจากนายหญิงและบ่าวของนางแล้วนั้น ทุกคนล้วนไปช่วยงานที่หยู๋ฝูจี้กันหมดขอรับ”
ฟู่เสี่ยวกวนแหงนหน้ามองท้องฟ้า เอามือไพล่หลังแล้วเดินไปที่สวนหลังบ้าน
“โชคดีที่ข้านำเหล้าสำหรับมอบให้ต่งชูหลานกลับมาแล้ว มิเช่นนั้นคงถูกพวกเขาแย่งซื้อไปเสียหมด!”
เขานั่งอยู่ในลานกว้างใหญ่เช่นนี้แต่เพียงลำพัง เขาต้มชาและรินชา ดื่มชาด้วยตนเอง เขารู้สึกว่าช่างมีความสุขเสียจริง
เขามายังที่แห่งนี้ได้หนึ่งเดือนพอดี ภาพรวมสำหรับฟู่เสี่ยวกวนนับว่าถูกใจเขามากเสียทีเดียว
แม้จะขาดการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์ ทำให้หลาย ๆ เรื่องเกิดความไม่สะดวก แต่ชีวิตก็ดำเนินไปอย่างเรียบง่ายและสงบ ไม่ได้มีความกดดันทางจิตใจเลยแม้แต่น้อย เขาค่อย ๆ เคยชินกับการเข้านอนแต่หัวค่ำและตื่นขึ้นมาอีกคราในเวลาเช้าตรู่
เรื่องราวที่ในอดีตยังทำไม่สำเร็จนั้นก็มีเวลาในการทำเพิ่มมากขึ้น ความรักที่ในชาติที่แล้วไม่เคยได้มี ในชาตินี้เขาหวังว่าจะได้รู้จักมันสักครา
ฟู่เสี่ยวกวนนอนบนเก้าอี้เอนกายอย่างสบายใจ ทันใดนั้นเขาก็มองเห็นร่างหนึ่งบินร่อนลงมาจากฟ้า และตามด้วยอีกร่างหนึ่งบินลงมา เขาลุกขึ้นนั่งแล้วยิ้มไปที่ผู้นั้น
ไป๋ยู่เหลียน
เขายังคงสวมใส่ชุดสีดำแขวนดาบไว้ที่ด้านหลัง เพียงแต่เสื้อผ้านั้นขาดวิ่น อีกทั้งบนใบหน้าอันหล่อเหลามีรอยแผลเป็นเพิ่มมาให้เห็นเป็นจุดด่างพร้อย
“นี่คือคุณชายของข้า”
“นี่คือนักบวชเต๋า……ซูม่อ” ไป๋ยู่เหลียนกล่าวแนะนำนักบวชให้แก่เขา
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นและมองไปที่นักบวชเต๋าเพียงแวบหนึ่ง จากนั้นก็จ้องไปยังรอยแผลเป็นบนใบหน้าของไป๋ยู่เหลียน ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยถามว่า “เกิดอันใดขึ้นกัน?”
“เรื่องเล็กน้อย”
“คน ๆ นี้……มีความเป็นมาอย่างไร?”
“ต่อจากนี้ เขาคือผู้ที่จะมาสอนท่านในเรื่องของกำลังภายในและวิชาตัวเบา”
“เขาเป็นใครกัน?”
“ซูม่อ……ศิษย์ก้นกุฏิของหัวหน้าสำนักเต๋า หากมีเขาผู้นี้อยู่ข้างกายท่าน ข้าก็หมดกังวล”
ฟู่เสี่ยวกวนมีสีหน้าประหลาดใจ “เจ้าจะไปไหนอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าเองยังต้องออกเดินทางไปอีกที่หนึ่ง ในครั้งนี้ใช้เวลาค่อนข้างนาน ดังนั้นข้าจึงได้ไปขอให้ซูม่อมาดูแลท่านแทนข้า”
“จะไปเมื่อใดกัน?”
“ตอนนี้”
“……”
หากว่าบนโลกนี้มีผู้ที่อยู่ว่าง ๆ อย่างเช่นฟู่เสี่ยวกวนอยู่ นั่นก็ย่อมมีผู้ที่ยุ่งอย่างไป๋ยู่เหลียนเฉกเช่นกัน
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยถามว่าเขาจะเดินทางไปที่ใด เขาเอ่ยเพียงว่า “เจ้าจงไปที่เรือนซีซานเถิด นำเหล้าไปให้พอควร อย่าให้ร่างกายได้รับบาดเจ็บ พวกเรายังมีเรื่องต้องทำอีกมากมาย จำไว้ว่าต้องเหลือชีวิตกลับมา”
“ข้าไม่ตายเป็นแน่ ข้าไปครานี้นานสุดใช้เวลาครึ่งปีและเร็วสุด 3 เดือน……เจ้านี่มีกำลังภายในที่แข็งแกร่ง เขาเองก็รักในสุราเช่นเดียวกับข้า แต่เขาติดหนี้ชีวิตข้าไว้ ดังนั้นคุณชายจงทำตามชอบเถิด”
เมื่อกล่าวจบไป๋ยู่เหลียนก็จากไปราวกับสายลม
ฟู่เสี่ยวกวนยื่นมือออกมา “เชิญนั่ง”
ทั้งสองนั่งตรงข้ามกันโดยมิได้เอ่ยคำใดออกมา
“……ซูม่อ หากเจ้าสู้กับไป๋ยู่เหลียน ใครจะเป็นผู้ชนะ?”
“ข้าอยากล้างหน้า มีน้ำหรือไม่?”
ฟู่เสี่ยวกวนตะลึงไปชั่วครู่ เขาชี้ไปยังห้องอาบน้ำด้านหลัง “เจ้าจะอาบน้ำด้วยก็ได้ เพียงแต่ในเวลานี้ไม่มีน้ำร้อน”
ซูม่อจ้องมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินตรงไปยังห้องอาบน้ำ
ไป๋ยู่เหลียนหนอไป๋ยู่เหลียน เจ้ามีเรื่องรีบร้อนอันใดกัน? คนที่ชื่อซูม่อนี้ดูแล้วไม่น่าเป็นการเป็นงานเอาเสียเลย!
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป ซูม่อก็เดินออกมา ผมของเขาเปียกปอน เขาอาบน้ำจริง ๆ ฟู่เสี่ยวกวนพิจารณาไปยังร่างนั้น เขาประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเจ้านี่รูปงามกว่าไป๋ยู่เหลียนเสียอีก
“เล่ามาให้ข้าฟังว่าเจ้าติดหนี้ชีวิตไป๋ยู่เหลียนได้อย่างไร?” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ย
“ข้าหิวแล้ว มีอะไรกินหรือไม่?”
ไม่เดินตามหมากที่วางไว้นี่นา
ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปทางห้องครัว “ที่นั่นมีทุกสิ่ง ล้วนเป็นของดิบ เวลานี้ไม่มีใครอยู่ ไปทำเอาเองเถิด”
ผ่านไปครึ่งชั่วโมง ซูม่อก็เดินออกมาพร้อมกับข้าวชามโต
เขานั่งลงตรงหน้าฟู่เสียวกวนโดยไม่สนใจ ก่อนจะเริ่มลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย
“นี่ ข้าเองก็ยังไม่ได้กินข้าว”
“อยากกินก็ไปทำเอาเอง ข้าทำมาเพียงเท่านี้”
อืม ฟู่เสี่ยวกวนตัดสินใจรอชุนซิ่วกลับมาก่อน แล้วค่อยกิน
พ่อของเขานี่ก็ไม่สนใจอย่างอื่นเลย แม้แต่พ่อครัวก็เรียกไปใช้งานจนหมดสิ้น!
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองซูม่อ ทำให้เขาทำตัวไม่ถูก เขากินอย่างช้า ๆ และตั้งใจ เคี้ยวข้าวทุกเม็ดจนละเอียด ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังหน้าผากที่ขยับตามแรงเคี้ยว จึงได้พบเรื่องราวอันน่าประหลาดใจมากยิ่งนัก
ข้าวทุกคำ ซูม่อจะเคี้ยวทั้งสิ้น 33 ครั้ง ไม่ขาดไม่เกิน
เขาขมวดคิ้วและทำสีหน้าจริงจัง
สิ่งนี้บ่งบอกถึงความมีระเบียบวินัยและเห็นคุณค่าของอาหารเป็นอย่างยิ่ง และคำสุดท้ายนั้นซูม่อนำเมล็ดข้าวที่หลงเหลืออยู่ในจานใส่ปากและเคี้ยวอยู่ถึง 33 ครั้งจึงกลืนลงไป
คนประเภทนี้เขาเคยพบเจอมาก่อนในชาติที่แล้ว มักเป็นผู้ที่มีความสามารถขั้นสูง
เขาผู้นั้นก่อนลงมือปฏิบัติภารกิจจะต้องลับมีดสั้นจำนวน 180 ครั้ง เช็ดปืนจำนวน 54 ครั้ง ไม่ขาดไม่เกิน
คนประเภทนี้หากผูกมิตรเป็นเพื่อน จะเป็นมิตรที่ให้ความวางใจได้เป็นอย่างดี แต่หากเป็นศัตรูก็ต้องมีความระมัดระวังอย่างมากเช่นกัน
เหตุว่าหากเขาต้องการจะฆ่าใคร ก็ต้องได้ชีวิตมาอย่างแน่นอนไม่มีข้อยกเว้น!
สิ่งที่ไม่ราบรื่นคือ ผู้มีความสามารถนั้นในชีวิตที่แล้วเป็นศัตรูกับเขา
และเพราะคนผู้นั้นจึงทำให้เขาได้มายังโลกนี้
ซูม่อเงยหน้ามองดูฟู่เสี่ยวกวน แล้วเดินถือถ้วยตะเกียบกลับเข้าไปยังห้องครัว หลังจากทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกมา
เขาหยิบหนังสือออกมาจากกระเป๋าเสื้อ วางไว้ตรงหน้าฟู่เสี่ยวกวน
《คำภีร์ฉุนหยางซินจิง》!
“ข้าไม่ชอบพูดมากความ ดังนั้นจงอย่าถาม”
“ข้าต้องการห้อง 1 ห้อง ที่สามารถนอนหลับได้ก็เป็นพอ”
“มีกินก็เป็นพอ หากมีเหล้าด้วยยิ่งดี”
“คัมภีร์ที่อยู่ตรงหน้า เจ้าเรียนรู้ได้มากเท่าใดก็คือเท่านั้น”
“ข้าพูดจบแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบหนังสือไปเอนกายอ่านบนเก้าอี้หวาย และไม่สนใจซูม่ออีก
เขาเปิดหนังสือเล่มบางนี้ หน้าที่หนึ่งถึงหกล้วนเป็นจุดกำเนิดของเส้นลมปราณของมนุษย์ สิ่งเหล่านี้เขารู้อยู่ก่อนแล้ว ชาติก่อนเขาเคยศึกษาในช่วงฝึกฝน
จากนั้นคือท่าของการทำสมาธิและเส้นทางของลมปราณที่วิ่งอยู่ในร่างกาย
“นั่งหลับตาด้วยจิตที่นิ่ง ทำสมาธิให้มั่นคง”
“กัดฟันทั้งสามสิบหก มือทั้งสองข้างกุมไว้และวางที่หน้าตัก”
“เสียงกลองทั้งซ้ายขวา ได้ยินในยี่สิบสี่องศา”
“……”
“หมั่นฝึกฝนไม่หยุด จักปราศจากโรคภัย”
ฟู่เสี่ยวกวนใช้เวลา 2 เค่อในการอ่านหนังสือเล่มนี้
เขาปิดหนังสือลง หลับตา มิใช่เริ่มต้นการฝึกฝน แต่เขากำลังนึกถึงเส้นลมปราณ
ผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป เขาลืมตาขึ้น หยิบหนังสือขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขาตั้งใจอ่านอยู่นานสองนาน จนกระทั่งชุนซิ่ววิ่งเข้ามา
ตอนที่ 21 เดือนหกวันที่หนึ่ง
รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่แปด เดือนหกวันที่หนึ่ง ฟ้าโปร่ง
วันนี้คือวันที่หยู๋ฝูจี้จะวางจำหน่ายเซียงเฉวียนและเทียนฉุน สุราทั้งสองชนิดนี้ออกสู่ตลาด แต่เดิมชุนซิ่วคิดว่าคุณชายจะต้องไปที่ร้าน นางถึงขั้นเตรียมรถม้าไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่แล้วคุณชายกลับไม่ไป
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังดูบัญชีรายชื่อ ที่ให้พ่อบ้านจางเช่อของเรือนซีซานรวบรวมรายชื่อนายช่างไว้เมื่อหลายวันก่อน
มีทั้งช่างหินช่างไม้ช่างสีช่างสานช่างตัดผมมีแม้กระทั่งคนฆ่าหมูและอื่น ๆ อีกมากมายนัก
ฟู่เสี่ยวกวนอ่านอย่างถี่ถ้วน คิ้วขมวดบ้างเป็นบางครั้ง หลุดยิ้มบ้างเป็นบางครา ผ่านไปครึ่งชั่วยามถึงได้วางรายชื่อเหล่านั้นลง แล้วลุกขึ้นเดินไปเดินมาอยู่ในเรือนราวกับว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ และนั่งลงอีกครั้ง เขาถือพู่กันขึ้นมาและวงลงไปที่ช่องหนึ่ง
เฟิ๋งหล่าวซื่อ อายุ 46 ปี อาชีพช่างหิน เพราะภัยแล้งทางตอนเหนือจึงได้ย้ายมาที่หมู่บ้านเสี้ยชุนในรัชสมัยเซวียนลี่ปีที่ 1 ครอบครัวมีภรรยาชื่อยวี๋ชื่อ มีบุตรชาย 2 คน คนโตนามเฟิ๋งตง เชี่ยวชาญทางด้านแกะสลัก ส่วนคนน้องนามเฟิ๋งซี แข็งแกร่ง แต่ไม่ได้เชี่ยวชาญในด้านใด เฟิ๋งหล่าวซื่อสามารถแยกแยะคุณภาพของหินได้ เข้าใจพื้นที่ของภูเขาและวัสดุหินที่อยู่ในรัศมีสิบลี้ของหมู่บ้านเสี้ยชุน และนี่คือข้อมูลทั้งหมดของเฟิ๋งหล่าวซื่อ
“ซิ่วเอ๋อร์ พู่กัน แท่นหมึก กระดาษ ข้ากำลังรอเจ้าอยู่”
“เจ้าค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนลงพู่กันเพื่อเขียนจดหมายให้กับจางเช่อหนึ่งฉบับ เพื่อให้จางเช่อพาเฟิ๋งหล่าวซื่อมาพบที่จวนฟู่
“ส่งสิ่งนี้ออกไป”
“เจ้าค่ะ… คุณชาย วันนี้คือวันที่หนึ่งเดือนหก” ชุนซิ่วรับจดหมายนั้นมาแต่ยังไม่ไปไหน
“ข้าทราบ แล้วมีอันใด?”
“หยู๋ฝูจี้เปิดขายสุราเซียงเฉวียนและเทียนฉุนวันแรก ท่านจะไม่ไปหรือเจ้าคะ” ชุนซิ่วร้อนรนเล็กน้อย
“โอ้ ไม่มีอันใดให้น่าไป พวกหวงหลงจู๊สามารถจัดการกันเองได้”
ชุนซิ่วเม้มริมฝีปากไว้ไม่กล้าพูดอันใดและหันหลังออกไป ในใจกำลังครุ่นคิดว่าคุณชายมีความมั่นใจอยู่เต็มอกหรือว่ากำลังกังวลว่าที่แห่งนั้นจะกลายเป็นที่หนาวเหน็บเกินไปกัน?
จวนฟู่กำลังถูกจับตามองจากผู้คนจำนวนมาก คุณชายทำการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในครานี้ หากในวันนี้หยู๋ฝูจี้ ณ ที่แห่งนั้นขายสุราไม่ได้แม้แต่ขวดเดียวแล้วล่ะก็… คุณชายจะโดนโจมตีหรือไม่?
คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ชุนซิ่วจึงตัดสินใจแอบออกไปสังเกตการณ์ที่หยู๋ฝูจี้ด้วยตนเอง
ฟู่เสี่ยวกวนกลับมาที่ห้องอักษรและเตรียมแต่งความฝันในหอแดงของเขาต่อ เพิ่งจะแต่งได้ถึงบทที่ 5 เพียงเท่านั้นเอง
ว่าแต่ชุนซิ่วไปใหนแล้วเล่า ?
เหตุใดนางยังมิกลับมาอีก ?
นางช่างเป็นผู้ที่เชื่อถือมิได้เสียเลย !
ฟู่เสี่ยวกวนจึงทำได้เพียงฝนหมึกด้วยตนเอง หลังจากนั้นก็นั่งลงแล้วจับพู่กัน จากนั้นก็เขียนลงบนกระดาษว่า
“บทที่ 6 เจี๋ยเป่าหยูลิ้มลองรสรักครั้งแรก ท่านยายหลิวจากจวนหรงกั่ว”
“…ยามที่สีเหรินเข้ามามัดกางเกงให้กับเขา เพียงยื่นมือไปแตะที่ต้นขา ก็สัมผัสได้เพียงความเย็นเยือกและเหนียวเหนอะ จึงตื่นตกใจจนต้องรีบถอนมือกลับ…”
บทนี้ฟู่เสี่ยวกวนแต่งไปได้อย่างรวดเร็ว เนื้อเรื่องที่เหมือนกับภาพยนตร์เหล่านั้นแล่นผ่านเข้ามาในศีรษะของเขา พู่กันยังคงโลดแล่นอยู่บนกระดาษ โดยไม่มีหยุดชะงัก
จากนั้น… ก็มีเสียงหนึ่งดังเข้ามาจากทางหน้าต่าง
“คุณชายเจ้าคะ! คุณชาย!”
ชุนซิ่วพุ่งตัวมาราวกับสายลม และได้ขัดความคิดที่กำลังไหลลื่นของฟู่เสี่ยวกวนไปในทันที
แม่นางคนนี้…
ฟู่เสี่ยวกวนวางพู่กันลงและหาได้ตำหนิชุนซิ่วไม่
“คุณชายเจ้าคะ…”
ชุนซิ่ววิ่งเข้ามา ใช้มือหนึ่งตบหน้าอก อกที่สั่นเทาสงบลงอย่างช้า ๆ นางสูดลมหายใจลึก ๆ พร้อมกับกลืนน้ำลายลงคอไป ก่อนจะกล่าวขึ้นมาว่า “คุณชายเจ้าคะ ตรอกฉือปาหลี่… คลาคล่ำไปด้วยผู้คนแล้วเจ้าค่ะ”
หยู๋ฝูจี้ตั้งอยู่ที่ตรอกฉือปาหลี่
ฟู่เสี่ยวกวนมองชุนซิ่วด้วยความขบขัน สาวน้อยคนนี้ เวลาปกติหาได้สนใจสิ่งใดไม่ คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทางแตกตื่นเช่นนี้
“นี่มิใช่เรื่องปกติหรอกหรือ”
“คุณชายทราบหรือเจ้าคะ?”
“ย่อมทราบ”
“ข้าฝ่าผู้คนเข้าไปดูแล้ว หวงหลงจู๊ให้ข้ามาถามท่านว่า สามารถเพิ่มปริมาณจำกัดให้สูงขึ้นอีกได้หรือไม่ มีลูกค้าบางรายเดือดดาลเป็นอย่างมาก กล่าวว่าเซียงเฉวียนได้เพียงครึ่งชั่ง เทียนฉุนได้เพียงสามเหลียง น้อยเกินไปแล้ว ฉะนั้นเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าได้หรือไม่เจ้าคะ”
“ย่อมไม่ได้ เจ้าจงจำไว้หนา ขายได้เพียงตามที่กำหนดไว้เท่านั้น นอกจากนี้ก็ส่งคนไปดูไว้ เพื่อป้องกันมิให้มีคนมาซื้อเป็นครั้งที่สอง ส่งคนไปบอกหวงหลงจู๊ เมื่อถึงเวลาให้ปิดทันที”
“เจ้าค่ะ”
ชุนซิ่ววิ่งออกไปอีกครา ฟู่เสี่ยวกวนกลับมารวบรวมอารมณ์อีกครั้ง และเริ่มเขียนความฝันในหอแดงของเขาต่อ
……
…..
รถม้าหนึ่งคันและทหารอีกหลายสิบนายจอดอยู่ที่ปากทางตรอกฉือปาหลี่
หยูหงอี้แหวกผ้าม่าน หยูเวิ่นหวินมองไปรอบ ๆ และสูดลมหายใจเข้าออกช้า ๆ
“นี่คือ… รวมตัวกันสร้างความเดือดร้อนเยี่ยงนั้นรึ?”
หญิงสาวในชุดสีเขียวเหงื่อไหลอาบกาย วิ่งมาจนถึงตัวรถม้า และเอ่ยกล่าวเสียงเบา “กราบทูลองค์หญิงเก้า… หมดหนทางฝ่าไปข้างหน้า คนเยอะมากเกินไปเพคะ”
“คนพวกนี้กระทำการอันใดกัน?”
“สุราของหยู๋ฝูจี้ วางขายในวันนี้ ผู้คนเหล่านี้ต่างก็มาเพื่อซื้อสุราเพคะ”
หยูเวิ่นหวินอ้าปากเหวอ บ้าไปแล้ว! นางกล่าวกับสาวใช้ว่า “ติงเซียง คิดหาวิธีไปซื้อมาให้ได้ 2 ไห”
ติงเซียงกลับส่ายหน้า แล้วตอบกลับว่า “กราบทูลองค์หญิงเก้า สุราของหยู๋ฝูจี้นี้… ทุกวันจำกัดการขายที่ 1 ขวดเท่านั้น สุราเซียงเฉวียนได้เพียงครึ่งชั่ง และสามารถซื้อสุราเทียนฉุนที่สามารถเทียบเคียงเทียนเซียงได้เพียงแค่สามเหลียงเท่านั้นเพคะ”
ยังขายได้ขนาดนี้เลยรึ?
หยูหงอี้เดือดดาลในทันที ข้า อ๋องน้อย ลงมาซื้อสุรา จะมิไว้หน้าข้าเยี่ยงนี้มิได้ !
หยูหงอี้เปิดประตูรถม้าเพื่อจะลงไป แต่หยูเวิ่นหวินกลับคว้าแขนของนางเอาไว้ “กลับมาเถิด!”
“ติงเซียง ให้ทหารยามเหล่านี้ไปซื้อสุรามา ซื้อได้แล้วก็ตรงกลับไปยังจวนชินอ๋อง พวกข้าจะไปสำนักศึกษาหลินเจียง”
“ไปสำนักศึกษาหลินเจียงเพื่อทำอันใดกัน?”
“ไปคารวะอาจารย์ฉินเสียก่อน”
……
…..
หยู๋ฝูจี้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านสุราชีชื่อ ในใจของคุณชายชีหยวนหมิงเวลานี้ราวกับมีม้านับหมื่นตัวกำลังวิ่งพล่าน
ธรณีประตูฝั่งตรงข้ามถูกเหยียบย่ำจนจะหักแล้ว แต่ร้านของตนเล่ากลับเงียบเหงาเสียจริง?
ในยามที่กำลังหดหู่ ก็ได้มีคนเดินเข้ามาในร้านของเขา ทันใดนั้นเขาก็ยิ้มออก และลุกขึ้นยืนไปต้อนรับด้วยตนเอง
“ลูกค้ามาสั่งสุราตัวไหนขอรับ? เหยาชุนของร้านข้า…”
บัณฑิตท่านหนึ่งเอ่ยขัดคำพูดของเขา ใบหน้าของบัณฑิตดูเขินอายและเอ่ยขึ้นมาด้วยความละอายใจอย่างยิ่งว่า “ต้องขออภัยด้วย ผู้คนเยอะเกินไปจนพวกข้าถูกดันออกมา พวกข้าขอยืนอยู่เพียงครู่ เมื่อต่อแถวได้แล้วจึงจะจากไป ไม่รบกวนท่านแน่!”
“…..”
ชีหยวนหมิงขบกรามแน่น สูดหายใจเข้าลึก ๆ และพ่นหายใจออกอย่างช้า ๆ แล้วจึงเห็นหลงจู๊ของร้านตนเดินเข้ามา
“คุณชาย คว้ามาได้สองขวด ท่านลองดูสิ”
“นี่คือสุราเซียงเฉวียน” ชีหยวนหมิงรับขวดสีฟ้านั้นมาไว้ในมือและพินิจโดยละเอียด
ตัวขวดนั้นทำไว้อย่างสวยงาม บนขวดได้เขียนเอาไว้ว่าซีชานเซียงเฉวียน ส่วนด้านล่างยังมีเขียนไว้อีกว่า 32 ดีกรี
“คำว่า 32 ดีกรีนี้ เป็นมาตรฐานสุราของหยู๋ฝูจี้ หรือที่พวกเราเรียกกันว่าความเข้มข้นขอรับ”
ชีหยวนหมิงขมวดคิ้ว และเอ่ยถาม “สุราของเขาทั้งหมดต่างก็ขายด้วยการบรรจุเยี่ยงนี้หรือ?”
พ่อบ้านพยักหน้า แล้วกล่าวว่า “ฝ่ายตรงข้ามกล่าวว่า ในภายภาคหน้าพวกเขาจะขายเพียงสุราที่บรรจุลงในขวดเพียงเท่านั้น”
“สุรานี้ 1 ขวดราคาเท่าไหร่?”
“เซียงเฉวียนขวดนี้บรรจุสุราไว้ครึ่งชั่ง ราคา 250 อีแปะ ส่วนเทียนฉุนขวดนี้บรรจุสุราไว้ 3 เหลียง และแถมแก้วใสมาหนึ่งใบ ราคา 900 อีแปะ!”
“เจ้าว่ากระไรนะ?”
ชีหยวนหมิงถึงกับผงะ เยี่ยงนี้มันเรียกขายสุราที่ไหนกัน นี่มันปล้นเงินกันชัด ๆ!
สุรา 3 เหลียงราคา 900 อีแปะ นั่นย่อมไม่ได้ สุราเหยาชุนของร้านข้าสามเหลียงขายราคาเท่าไหร่กัน? 45 อีแปะเพียงเท่านั้น!
ซื้อสุรานั้นสักขวดเท่ากับซื้อสุราของข้าหนึ่งถังใหญ่เชียวนะ!
“คุณชาย ในตอนนี้ราคามิใช่ปัญหา ตรงกันข้าม…ปัญหาคือสินค้ามีไม่เพียงพอที่จะขายขอรับ”
ชีหยวนหมิงสงบใจและเปิดสุราเซียงเฉวียนออก ทันใดนั้นกลิ่นสุราที่เข้มข้นก็คละคลุ้งไปกับกลิ่นสุราในร้านของเขา
เขาหยิบแก้วใสขึ้นมา แล้วเทสุราหนึ่งแก้ว มองอย่างละเอียดถี่ถ้วน และดื่มไปเพียงหนึ่งอึก…
หลังจากนั้นก็เปิดสุราเทียนฉุนและเทหนึ่งแก้ว ก่อนจะดื่มไปอีกหนึ่งอึก…
“นัดพบหลงจู๊หยู๋ฝูจี้ให้ข้า ไม่สิ นัดพบคุณชายฟู่แห่งตระกูลฟู่ วันพรุ่งนี้ตอนเที่ยง ข้าจะเชิญเขาไปเจอที่หอหลินเจียง”
ตอนที่ 20 กวนใจเสียจริง
ณ หออี้หง ห้องเซียนยิน
ด้านนอกหยาดฝนตกลงมากระทบเป็นเสียงดนตรี ด้านในมีมือเรียวบางคู่หนึ่งลูบไล้ไปที่ซู่ฉิน บทกวีที่ร้องบรรเลงอยู่นั้นคือมองดูเจียงหนานที่ฟู่เสี่ยวกวนแต่งขึ้นนั่นเอง
บทกวีจบลง เสียงเพลงยังคงดังก้องอยู่ภายใน
“เยี่ยม! แม่นางตั่วเอ๋อร์มีทักษะการบรรเลงและเสียงร้องที่มิอาจหาใครมาเทียบได้ ในวันนี้เมื่อได้ยินกับหูของตัวเอง ช่างไม่ธรรมดาเสียจริง ๆ!”
ในห้องนั้นนอกจากฝานตั่วเอ๋อร์แล้ว ก็ยังมีอีกสองคน ผู้ที่เอ่ยคำชมนั้นคือชายหนุ่มในชุดสวยงามที่นั่งอยู่ด้านขวา
เขาสวมใส่ชุดผ้าไหม ดวงตาคมเข้มภายใต้คิ้วหนาเป็นระเบียบนั้น คล้ายกับมีแรงดึงดูดบางอย่าง
เขามีนามว่าหยูหงอี้ หยูนั้นคือแซ่ของราชวงศ์ เขาผู้นี้คือบุตรชายคนโตของชินหวางหยูอันฝู อายุเพียง 18 ปี
ผู้ที่อยู่ด้านซ้ายเขานั้นคือคุณชายที่มีใบหน้าหล่อเหลาอ่อนโยนแต่ทรงพลัง เมื่อฝานตั่วเอ๋อร์บรรเลงจบ นางก็วางเครื่องดนตรีในมือลงแล้วรินเหล้าให้แก่คุณชายทั้งสอง สิ่งนี้มิใช่เหล้าของหออี้หง แต่เป็นเหล้าเทียนเซียงที่หยูหงอี้นำติดตัวมาด้วย
“กวีนี้……ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ประพันธ์งั้นหรือ?” คุณชายผู้อ่อนโยนเอ่ยถามขึ้น
“ถูกต้องแล้ว ไม่กี่วันก่อนหน้านี้มีผู้มีความสามารถทั้งสี่เดินทางมาที่นี่เพื่อเลี้ยงอำลา จางเหวินฮั่นได้ทิ้งกวีบทนี้ไว้ให้แก่ข้า พวกเขากล่าวว่านี่คือผลงานของคุณชายตระกูลฟู่”
คุณชายท่านนั้นมิได้หยิบถ้วยเหล้า แต่กลับหยิบถ้วยชาขึ้นจิบ
“กวีบทนี้ช่างงดงามเสียจริง แน่นอนว่าแม่นางก็บรรเลงได้อย่างไพเราะเช่นกัน” กล่าวจบก็หันไปทางหยูหงอี้แล้วยังถามว่า “เทียบเชิญนั้นเจ้าได้ส่งไปให้คุณชายตระกูลฟู่แล้วหรือยัง?”
“ส่งไปเรียบร้อยแล้ว….แต่เขาจะเดินทางมาหรือไม่นั้น ข้าก็มิอาจทราบได้”
“เหตุใดกัน?” คุณชายท่านนั้นถามขึ้นด้วยความสงสัย
“……เจ้าคงไม่รู้ว่า คุณชายท่านนี้ปฏิเสธคำเชิญจากสำนักศึกษาป้านชาน ทั้งยังปฏิเสธการเชิญชวนจากสามผู้มีความสามารถ……ผู้คนล้วนพากันคิดว่าเขาไม่มีความสามารถอย่างที่กล่าวอ้าง เมื่อก่อนชายผู้นี้ไม่เคยร่ำเรียนตำราอย่างจริงจัง ทั้งยังทำเรื่องเสเพลไว้มากมาย จนตัวข้าเองก็ยังอยากต่อยเขาสักหมัด เรื่องราวหลังจากนั้น ก็เหมือนกับที่แม่นางต่งบอกกับเจ้า เพียงแต่บัดนี้ผู้คนในหลินเจียงล้วนเข้าใจว่ากวีทั้งสองบท เขาได้ไหว้วานให้ผู้อื่นประพันธ์ให้แล้วตัวเองค่อยคัดลอกมาอีกที”
หยูหงอี้กางแขนออกพร้อมกับขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่รู้ว่าผู้อื่นจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าเชื่อ บนโลกใบนี้จะมีปาฏิหาริย์ได้จริงหรือ เจ้านั่นแม้แต่ตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าก็ยังอ่านไม่จบ จะสามารถแต่งบทกวีที่งดงามถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ทั้งยังบังอาจจะขึ้นเป็นสี่ผู้มีความสามารถแห่งหลินเจียงอีก ช่างน่าขันยิ่งนัก”
มุมปากของคุณชายเผยอขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นฟันสีขาวราวกับหยก
“ไปเถิด ข้าเชื่อในคำกล่าวของชูหลาน”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้น หยูหงอี้ดื่มเหล้าในถ้วยจนหมดและลุกยืนตามมา ฝานตั่วเอ๋อร์ทำท่าจะเดินไปส่งทั้งสอง ทันใดนั้นคุณชายผู้อ่อนโยนได้หันหลังกลับมากล่าวกับฝานตั่วเอ๋อร์ว่า “แม่นางตั่วเอ๋อร์ ท่านเชื่อหรือไม่?”
ฝานตั่วเอ๋อร์ตะลึง นางยิ้มแล้วตอบว่า “ตั่วเอ๋อร์เพียงต้องการบทกวีที่งดงามเพียงเท่านั้น มิได้ประสงค์ทราบว่าจริงหรือเท็จ”
เขาพยักหน้ากล่าวว่า “กลางคืนของวันที่หนึ่งเดือนหก มีงานเลี้ยงที่ซ่างหลินโจว แม่นางตั่วเอ๋อร์มิทราบว่าพอจะมีเวลาว่างมาขับร้องบทกวีทั้งสองบทนี้ในงานหรือไม่?”
ซ่างหลินโจวเป็นเกาะบนเมืองนี้ เป็นสถานที่ส่วนบุคคลของท่านชินอ๋อง หากมิใช่บุคคลสำคัญที่เชิญโดยเรือนชินอ๋อง คนธรรมดาทั่วไปมิอาจจะเข้าไปได้ ดังนั้นฝานตั่วเอ๋อร์จึงตอบรับโดยมิได้ลังเล
เมื่อทั้งสองเดินออกจากหออี้หง ก็มีผู้รับใช้ยืนกางร่มและเชิญขึ้นรถม้า
หยูหงอี้จึงได้ถอนหายใจ ส่ายหัวแล้วเอ่ยถามว่า “องค์หญิงเก้าขอรับ เหตุใดท่านจึงเดินทางมายังหลินเจียงเพียงเพื่อเหตุผลนี้?”
คุณชายผู้อ่อนโยนผู้นั้นบัดนี้จึงได้เผยโฉมที่แท้จริงออกมา นางยิ้มและเอ่ยว่า “อย่าเอ่ยว่าองค์หญิงเก้าเด็ดขาด เรียกข้าว่าน้องเก้าก็พอ ที่นี่คือหลินเจียง—— เจ้าคงไม่รู้ว่าเวลาที่ต่งชูหลานเอ่ยถึงคุณชายผู้นั้น ดวงตานางช่างเป็นประกายยิ่งนัก”
“ท่านหมายความว่าแม่นางชูหลานรู้สึกดีต่อเจ้านั่นอย่างนั้นหรือ?”
“เป็นเช่นนั้นล่ะ?นางเดินทางไปจัดการธุระที่บ้านมารดาเรียบร้อยแล้วก็รีบเดินทางมาหาข้า เพื่อเล่าเรื่องราวของคุณชายผู้นั้นให้ข้าฟัง ข้าบอกเจ้าไปแล้วเจ้าต้องปิดปากให้เงียบเชียว ข้ามองจากสายตาก็พอจะรู้ว่านางประทับใจคุณชายผู้นี้เข้าเสียแล้ว เพียงแต่นางอาจจะยังไม่รู้ตัวเท่านั้น”
หยูหงอี้ยกมือมาลูบหน้าผาก นี่มันเรื่องอันใดกัน!
“เยี่ยนซีเหวินเล่า? ต่อให้เจ้านั่นสามารถแต่งกวี 2 บทนั้นด้วยตนเอง แต่จะสู้กับเยี่ยนซีเหวินได้อย่างไร?องค์หญิงเก้าของข้า ได้โปรดช่วยกลับไปตักเตือนแม่นางชูหลานเถิด ชายผู้นั้นมิใช่คนดีแต่อย่างใด ตัวข้าอยู่ที่หลินเจียงมาตลอด ย่อมรู้จักเจ้านั่นดีกว่าแม่นางชูหลาน……ตอนนี้นางคงถูกมนต์สะกดเป็นแน่แท้”
“เหตุเพราะข้าไม่เชื่อจึงได้เดินทางมาดูด้วยตาของตนเอง ว่าเขานั้นจะเก่งจริงอย่างที่ชูหลานกล่าวหรือไม่”
“นางกล่าวว่าอย่างไร?”
“นางกล่าวว่า……ฟู่เสี่ยวกวนนี้ไม่เหมือนผู้อื่น เป็นคนที่น่าสนใจมากทีเดียว
“เพียงเช่นนี้?”
“จริงสิ เจ้ามองดูโคมแดงที่แขวนตลอดริมแม่น้ำนี้ ยวี๋ฝูจี้ เซียงเฉวียน เทียนฉุน เจ้าลองนึกย้อนดูสองวันมานี้สิ มีขบวนตีกลองเคาะฆ้องถือป้ายผ้าเดินไปตามท้องถนน เขาช่างแตกต่างไปจากผู้อื่นจริง ๆ ”
หยูหงอี้รู้สึกโมโหขึ้นมาในทันที
“สิ่งเหล่านี้ก็แค่ดึงดูดความสนใจจากสายตาของชาวบ้านเพียงเท่านั้น ท่านคิดว่ามีประโยชน์อันใด? อย่างมากก็ทำให้ยวี๋ฝูจี้ขายเหล้าได้มากกว่าเดิมแล้วอย่างไรต่อ? เขาเป็นเพียงซิ่วไฉ อีกทั้งยังได้ยินมาว่าบิดาของเขาใช้เงินซื้อตำแหน่งนี้มา ท่านจงไปคิดไตร่ตรองดูเถิดว่า วิสัยทัศน์ของเขาเปรียบกับเยี่ยนซีเหวินได้หรือไม่? ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงพ่อค้า แม้เขาจะมีเงินทองจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็เป็นได้เพียงพ่อค้าเท่านั้น!”
องค์หญิงเก้าขมวดคิ้วมองมาที่เขา ในสมองเธอครุ่นคิดชั่วครู่ สิ่งที่หงอี้พูดเมื่อครู่……ดูคล้ายจะเป็นความจริง
“อย่าได้ใส่ใจเลย อย่างไรเสียข้าเองก็อยากมาเห็นด้วยตาของตนเอง……”
……
หลินเจียงนั้นฝนตก ในขณะที่จินหลิงพระจันทร์ส่องสว่าง
ไฟในจวนต่ง ณ ตรอกหวู่อี้นั้นค่อย ๆ ดับลงทีละดวง มีเพียงดวงไฟในห้องเล็กที่ห่างออกไปเท่านั้นที่ยังคงสว่างอยู่
นี้คือห้องของต่งชูหลาน นางนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะหนังสือ สายตามองไปนอกหน้าต่าง
บนโต๊ะนั้นมีกระดาษวางอยู่ บนนั้นคือตัวอักษรที่มองแล้วไม่สบายตานัก
สิ่งนี้คือกวีที่ฟู่เสี่ยวกวนแต่งให้แก่นาง นางมิเคยให้ผู้อื่นเห็น แม้แต่เพื่อนสนิทอย่างองค์หญิงเก้าหยูเวิ่นหวิน นางก็ไม่ได้ให้ดู
นางเดินทางกลับจากหลินเจียงเป็นเวลากว่าครึ่งเดือนแล้ว ไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองนั้นจิตใจมักไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หยูเวิ่นเหวินกล่าวว่า……นางมีคนที่ชอบแล้วใช่หรือไม่?
ใช่หรือมิใช่?
ต่งชูหลานเองก็มิอาจรู้ได้
หากมิใช่ แล้วเหตุใดจึงมักนึกถึงเขาอยู่เสมอ?
หากใช่……แต่เวลาที่รู้จักกันก็เพียงไม่กี่วัน นางเข้าใจเขาดีแล้วอย่างนั้นหรือ?
มารดาของนางถูกชะตากับเยี่ยนซีเหวินเป็นอย่างยิ่ง
สำหรับเยี่ยนซีเหวินนั้น นางไม่ได้มีความรู้สึกใด ๆ ต่อเขา ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นบุรุษที่เพียบพร้อมทุกอย่าง แต่นางก็รู้สึกว่าเขาไม่น่าสนใจเอาเสียเลย มีความฝักใฝ่ในหนังสือมากและทะเยอทะยาน ในสายตาของมารดานางนั้น นี่คือบุคคลที่มีความรู้ รักในหนังสือมีอนาคตที่สดใส แต่นางหาได้ชอบไม่
นางมีความสับสนเป็นอย่างยิ่ง สายตาก็วนมาบรรจบที่กระดาษนั้นอีกครั้งหนึ่ง
แยกจากกันจะฝากฝังความรู้สึกได้เยี่ยงไร?
ขมิ้นน้อยคิดคำนึงนกนางแอ่น……
ช่างกวนใจเสียจริง!
นางหยิบกระดาษขึ้นมาแผ่นหนึ่ง หยิบพู่กันและเขียนอักษรหนึ่งบรรทัดว่า
เพื่อปณิธานแห่งฟ้าดินได้ยืนหยัด เพื่อชะตามวลประชาที่มั่นคง เพื่อสืบทอดความรู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อสันติสุขในทุกสมัย
“หากเจ้าทำได้……ก็คงดีไม่น้อย”
ตอนที่ 19 คัดลอกหนังสือยามว่าง
ฝนตกปรอย ๆ กระทบหน้าต่างประปราย
บนชั้นสองของเรือนเล็กที่จวนหลังตระกูลฟู่ ชุนซิ่วกำลังฝนหมึก แต่ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้จับพู่กันแต่อย่างใด
เรื่องที่เกี่ยวกับหยู๋ฝูจี้ในช่วงหลายวันมานี้ การเตรียมการทุกอย่างเขาได้จัดการเอาไว้ทั้งหมดแล้ว ทุกอย่างดำเนินไปตามแผนที่เขาวางไว้ การป่าวประกาศเหล่านั้นย่อมส่งผลกระทบที่ใหญ่หลวง อย่างไรเสีย ในยุคนี้ก็ยังมิมีใครทำการป่าวประกาศเยี่ยงเขาเป็นแน่
สิ่งแปลกใหม่ย่อมดึงดูดสายตาของผู้คน ตอนนี้คนส่วนใหญ่ในเมืองหลินเจียงมีสองหัวข้อไว้พูดคุยกัน
หนึ่งก็คือเหล้าที่หยู๋ฝูจี้กล่าวว่าสามารถเทียบเคียงได้กับเทียนเซียง เป็นสุราที่อาจารย์ฉินนักปราชญ์แห่งยุคเป็นผู้รับรองอีกด้วย
ส่วนหัวข้อที่สองกลับเป็นฟู่เสี่ยวกวนแห่งจวนฟู่คนนี้
บทกวีทั้งสองโคลงที่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้ประพันธ์เมื่อต้นเดือนห้าวันที่ห้า ได้ถูกขับร้องโดยฝานตั่วเอ๋อร์แห่งหออี้หง และยังได้รับการเติมเชื้อเพลิงให้โหมกระพือจากสามผู้มีพรสวรรค์แห่งหลินเจียงอีกด้วย บทกวีทั้งสองโคลงจึงได้ส่องประกายเยี่ยงนี้ กลายเป็นประเด็นให้เหล่าคุณหนูตระกูลใหญ่ไว้พูดคุยกันในห้องส่วนตัวทุกวัน และได้กลายเป็นบทกวีเปรียบเทียบที่บัณฑิตในหลินเจียงจำนวนไม่น้อยมักจะนำมาท่องจำ และฟู่เสี่ยวกวนก็ได้นามผู้มีพรสวรรค์ลำดับที่สี่แห่งเจียงหนาน เขาจึงได้โด่งดังขึ้นในหลินเจียงด้วยประการฉะนี้แล
ฟู่เสี่ยวกวน!
เนื้อร้ายแห่งเมืองหลินเจียง คุณชายที่ไร้การศึกษา คาดไม่ถึงเลยว่าจะสามารถประพันธ์บทกวีที่น่าทึ่งเยี่ยงนั้นได้!
คาดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นผู้มีพรสวรรค์ลำดับที่สี่ของหลินเจียง!
และแน่นอนว่าความคิดของผู้คนในหลินเจียง นั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
ผู้คนต่างก็พูดคุยถึงเรื่องนี้ พวกเขาต่างก็คิดว่านั่นช่างเป็นเรื่องที่น่าตลกเสียยิ่งกระไร คาดว่าจวนฟู่คงต้องการล้างเนื้อล้างตัวที่สกปรกของฟู่เสี่ยวกวน บางทีคงจะเชิญอาจารย์ท่านใดสักท่านมาประพันธ์บทกวีสองบทนี้ เพื่อสร้างชื่อเสียงให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่
หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินเยี่ยงนั้นก็หัวเราะขึ้นมา แต่ก็หาได้สนใจไม่
ส่วนใหญ่ผู้คนจะคาดหวังให้ผู้อื่นได้ดี แต่ก็มีเงื่อนไขอย่างหนึ่งคือ ไม่สามารถได้ดีไปกว่าตนเองได้
หากได้ดีกว่าตนเอง เบื้องหลังย่อมมีการสมคบคิดบางอย่าง เยี่ยงนั้นจะกลายเป็นศัตรูกัน และเพิ่มปราการป้องกันให้สูงขึ้น และจะทำให้รู้สึกว่าความดีของผู้อื่นนั้นเป็นของปลอมเป็นแน่แท้
ดังนั้น นามผู้มีพรสวรรค์ของฟู่เสี่ยวกวนนั้น ย่อมเป็นชื่อเสียงที่ไม่ตรงกับความจริงเอาเสียเลย
ณ เวลานี้ ความคิดดังกล่าวได้ฝังแน่นในจิตใจของบัณฑิตในหลินเจียง
สำนักศึกษาป้านชานตัดสินใจจัดงานชุมนุมบทกวีครั้งแรกขึ้น และได้เชิญผู้มีพรสวรรค์คนที่สี่แห่งหลินเจียงให้เข้าร่วมด้วย แต่ทว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้ไป
หลิวจิ่งหางจึงได้เชิญผู้มีพรสวรรค์อีก 2 คนและบัณฑิตที่มีชื่อเสียงอีกหลายคนในหลินเจียงมารวมตัวกันที่หออี้หง หลิวจิ่งหางได้มาถึงจวนฟู่เพื่อเชิญฟู่เสี่ยวกวนให้เข้าร่วมด้วยตนเอง แต่เขาหาได้ไปไม่
เหตุใดเขาจึงไม่ไปอย่างนั้นหรือ ?
ย่อมไม่กล้าเป็นแน่ !
ด้วยเยี่ยงนี้เอง จึงตอกย้ำถึงเรื่องอกไร้รอยหมึกของฟู่เสี่ยวกวน และข้อเท็จจริงที่ว่าคัดลอกบทกวีของผู้อื่นมา
คนไร้ยางอายเยี่ยงนี้ จู่ ๆ ก็กล่าวว่าสุราเทียนฉุนของหยู๋ฝูจี้สามารถเทียบเคียงกับเทียนเซียงได้ ทั้งยังกล่าวว่าอาจารย์ฉินเป็นผู้ลงนามด้วยตนเอง มิรู้ว่าใช้กลอุบายอันใดไปหลอกลวงอาจารย์ฉินมา เมื่อถึงเวลานั้นย่อมต้องไปลิ้มรสเทียนฉุนในงานชุมนุมบทกวีที่สำนักศึกษาหลินเจียง เยี่ยงไรก็ต้องฉีกหน้ากากเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของเสี่ยวกวนออกมาให้จงได้!
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองสายฝนด้านนอกหน้าต่าง ใบหน้าบอบบางปรากฏรอยยิ้มขึ้น
พี่ชาย… นั่นมันก็ต้องเป็นการคัดลอกอยู่แล้ว!
“คุณชายเจ้าคะ หากเป็นเยี่ยงนี้ต่อไป ชื่อเสียงของท่านจะเสื่อมเสียได้” ชุนซิ่วกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง
ในยุคนี้ชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง หากชื่อเสียงเสียหายไปแล้ว ภายภาคหน้าก็ยากที่จะก้าวหน้าต่อไปได้
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับไม่มีการตอบสนองกับเรื่องนี้ “ซิ่วเอ๋อร์ อย่าได้ร้อนรนไปเลย ให้กระสุนได้โผบินเสียบ้าง”
“กระสุนอย่างนั้นหรือเจ้าคะ”
“เอ่อ ลูกศร… ไม่พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ข้าให้เจ้าวานคนไปที่เรือนซีซานเพื่อนำส่งจดหมายให้อาจารย์หลิว ได้ส่งไปให้ข้าแล้วใช่หรือไม่ ?”
“คาดว่าอาจารย์หลิวคงจะได้รับแล้วเจ้าค่ะ… คุณชายเรื่องนี้สำคัญอย่างยิ่งหรือเจ้าคะ?”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า จุ่มพู่กันกับแท่นหมึก และเขียนอักขระลงบนกระดาษ
ความฝันในหอแดง
การเขียนพู่กันนี้จำต้องได้รับการฝึกฝนอย่างดี แล้วจะใช้สิ่งใดฝึกฝนเยี่ยงนั้นรึ ? เป็นไปมิได้ที่จะคัดลอกตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้า นั่นเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยากเกินไป และยังมีหลายจุดที่ยังไม่เข้าใจนัก
ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะเขียนความฝันในหอแดงขึ้นมาใหม่
เรื่องแบบนี้พวกที่ทะลุมิติมาต่างก็ทำกันทั้งนั้น ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่ดีเป็นอย่างมาก ฟู่เสี่ยวกวนย่อมอยากลองดู
แต่เขาไม่สามารถประพันธ์มันได้อย่างเรียบง่ายเหมือนผู้อื่น เพราะเขาเพียงแค่เคยดูความฝันในหอแดงมาผ่าน ๆ หลังจากที่เสร็จสิ้นภารกิจทุกคราก็ไม่ได้มีเวลาว่างถึงเพียงนั้น
ดังนั้นเขาจึงจำเรื่องราวของมันได้เพียงคร่าว ๆ เท่านั้น ถึงขั้นลืมตัวละครมากมายในนั้นไปเสียด้วย แต่นั่นไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการเขียนวรรณกรรมของเขา เขียนขึ้นมาใหม่เสียก็สิ้นเรื่อง
“บทที่หนึ่ง: เจินซื่ออิ่นช่างฝันผู้มีจิตสัมผัส จย่าอี่ว์ซุนบุตรีขุนนางเดินทางที่ลำบาก”
“ในสมัยโบราณ ฟ้าถล่มดินทลาย ความโกลาหลได้เริ่มต้นขึ้น… เจ้าแม่หนี่วาใช้ก้อนหินหลากสี 36,500 ชิ้นเพื่อซ่อมแซมท้องฟ้า ชิ้นเดียวที่เหลืออยู่ก็ไร้ประโยชน์ จึงถูกทอดทิ้งไว้ที่ไหล่เขาชิงเกิ๋ง…”
ชุนซิ่วเฝ้ามองอย่างเงียบๆ ท่าทางยามที่คุณชายกำลังเขียนนั้นดูดีอย่างแท้จริง แต่ตัวหนังสือของคุณชายยังคงน่าเกลียดเหมือนเดิม
ความฝันในหอแดง… คือสิ่งใดกัน ?
เป็นไปได้ไหมว่าคุณชายกำลังเขียนหนังสือ ?
ตัวหนังสือน่าเกลียดเหล่านั้นถูกเขียนลงบนกระดาษ ฟู่เสี่ยวกวนหยุดพู่กันเพื่อคิดบ้างเป็นครั้งคราว หลังจากนั้นก็เขียนย่อหน้าต่อไป บางครั้งคิ้วก็ขมวด เดินไปรอบ ๆ ห้อง ด้วยสีหน้าที่จริงจังนัก หลังจากนั้นก็กลับมาเขียนต่ออีกสองสามย่อหน้า
เป็นไปเยี่ยงนั้นต่อไปเรื่อย ๆ ฝนตกหนัก ท้องฟ้ามืดครึ้ม และหมึกก็หมดลงแล้ว
ชุนซิ่วจุดตะเกียง ฝนหมึกอีกครา หลังจากนั้นก็เมียงมองแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวน แล้วออกไปอย่างเงียบ ๆ ตรงไปที่ห้องครัวเพื่อกำชับให้แม่ครัวใหม่ทำอาหารรสชาติดีที่สุดให้กับคุณชาย
ฟู่เสี่ยวกวนยังคงเขียนต่อไปเรื่อย ๆ ใช้เวลาไป 3 ชั่วยามพอดิบพอดี แต่เขาเพิ่งจะเขียนบทที่สองจบ :สวรรค์ได้ทอดทิ้งน้องสาวหลิน
งานนี้… มิได้ง่ายดายถึงเพียงนั้น
โชคดีที่คุณชายเศรษฐีที่ดินอย่างเขาไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าอาหาร เขาใช้เวลามากขึ้นกับเขียนและแก้ไขอย่างเชื่องช้า โดยที่ไม่สามารถคาดคะเนได้ว่าเขียนออกมาได้มากเท่าไหร่
ฟู่เสี่ยวกวนวางพู่กันลง จึงได้พบว่าไฟบนกำแพงนั้นได้สว่างขึ้นมาเสียแล้ว
เขาขยับข้อมือที่แข็งแกร่งเล็กน้อย เมียงมองกระดาษที่มีเส้น และกระดาษที่มีตัวอักษรราวกับลูกอ๊อดอยู่ ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกพึงพอใจเสียอย่างยิ่ง ไม่ว่าเยี่ยงไร เขาก็ได้เขียนตัวอักษรไว้เป็นจำนวนไม่น้อยเลย ถึงแม้จะน่าเกลียดก็ตาม
เดินไปตามระเบียงทางเดิน สายฝนตกลงมาราวกับม่าน ท้องฟ้าและพื้นดินได้รับการชำระล้างใหม่
มีใครบางคนเดินเข้ามาแต่ไกล แต่นั่นก็เป็นบิดาของเขา ฟู่ต้ากวน นั่นเอง
บิดาและบุตรชายนั่งลงในห้องอาหารเล็กที่ลานเล็ก “บ่ายวันนี้ ข้าไปนั่งเจรจากับหัวหน้าตระกูลค้าข้าวรายใหญ่แห่งหลินเจียงทั้งสามมา พวกเขาพูดถึงพรสวรรค์ทางวรรณกรรมของบุตรชายข้าอีกครา แต่มิได้ดูชื่นชมหรืออิจฉาเหมือนเมื่อหลายวันก่อนหน้า แต่ในสายตาของข้า ใบหน้าของแต่ละคนดูสับสนเล็กน้อย… ปากผู้คนแวววาวราวกับทอง พร้อมทำลายคุณความดีที่อยู่ในใจ”
ฟู่เสี่ยวกวนใช้ตะเกียบคีบอาหาร และกล่าวขำ ๆ “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ต้องคิดเล็กคิดน้อยด้วยเยี่ยงนั้นรึ”
“นี่มิใช่เรื่องเล็ก ๆ ”
“ท่านพ่อ แม่รองสบายดีหรือไม่?”
“สบายดี… แต่ตอนนี้พวกเรากำลังคุยเรื่องของเจ้ากันอยู่”
“ท่านต้องให้แม่รองเคลื่อนไหวมากขึ้น รักษาอารมณ์ให้มีความสุขเข้าไว้ แม้แต่…ท่านจะพาแม่รองไปพักที่เรือนซีซานไม่กี่วันก็ย่อมได้”
ฟู่ต้ากวนมองหน้าฟู่เสี่ยวกวน จนฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
“เอาเถอะ ก็เป็นเพียงการประพันธ์บทกวีมิใช่รึ เรื่องไม่เป็นเรื่องนี่… ช่างน่ารำคาญเสียจริง!”
ฟู่ต้ากวนหัวเราะขึ้นมา และกล่าวอย่างร่าเริง “ข้ารู้อยู่แล้วว่าบุตรชายของข้านั้นมีพรสวรรค์อย่างแท้จริง คืนแรกของต้นเดือนหก สวนหลินโจว ณ จวนชินอ๋อง นี่คือการเทียบเชิญ เจ้าจงเก็บไว้ให้ดี”
ตอนที่ 18 โฆษณาแปลกใหม่
ในคืนนี้ ทั้งสามคนได้ดื่มเหล้าเทียนเซียงไปจนหมดไห เมื่อนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ฉินปิ่งจงและฟู่เสี่ยวกวนได้ดื่มเหล้าร่วมสาบานเป็นพี่น้องกันแล้ว ต่งชูหลานก็ได้รู้จักฟู่เสี่ยวกวนเพิ่มมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดความสงสัย
อาศัยฤทธิ์จากเหล้า ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนแสดงความรู้ออกมาต่อหน้าพวกเขา สำหรับคนอื่นนั้นนี่คือเรื่องธรรมดา แต่สำหรับฟู่เสี่ยวกวนนั้น หาได้ธรรมดาไม่!
นี่……เขาเป็นคนอย่างไรกันแน่?
คำพูดของท่านปู่ฉินประโยคนั้น เป็นการชี้แนวทางแก่ผู้ต้องการร่ำเรียน สิ่งนี้คือสิ่งที่ผู้แสวงหาความรู้แสวงหามาทั้งชีวิต แต่เขากลับไม่สนใจ และเพียงต้องการเป็นพ่อค้าที่ดินผู้มีอิสระสำราญใจเท่านั้น
หลังฟู่เสี่ยวกวนเดินทางกลับ อาจารย์ฉินและต่งชูหลานก็ดื่มชากันต่อจนกระทั่งเวลาดึก หัวข้อเจรจานั้นล้วนเกี่ยวข้องกับฟู่เสี่ยวกวน
“เขามีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับทำเช่นนี้……บุคคลทั่วไปไม่สามารถทำได้ ด้วยความสามารถของฟู่เสี่ยวกวนนั้น ถ้าเขาเต็มใจที่จะร่ำเรียน การมีรายชื่อบนแท่นสีทองของวังหลวงนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา”
“แต่เขากลับละทิ้งโอกาสที่ผู้คนมากมายล้วนแสวงหานั้น” สิ่งนี้เองก็ทำให้ต่งชูหลานคิดไม่ตก
“ตามที่เขากล่าว ถนนหลายพันหมื่นสาย เขาเลือกเดินทางที่คนส่วนน้อยจะก้าวเดิน สิ่งนี้คือภูมิปัญญาอันยิ่งใหญ่ของเขา ชูหลาน เจ้าลองนึกดูว่าหากเขาเลือกทางเดินเช่นเดียวกับบรรดาบัณฑิตทั้งหลาย และเข้าร่วมการสอบคัดเลือก แม้สุดท้ายจะได้รับคัดเลือกเป็นจอหงวน ก็มิได้มีสิ่งที่แปลกหรือพิเศษใด ๆ ใช่หรือไม่?”
เป็นไปตามที่ท่านอาจารย์กล่าว ชายผู้นี้มีความสามารถในการแต่งบทกวี ด้านการร่ำเรียนนั้นไม่มีใครเทียบเทียมได้ หากเขาได้รับคัดเลือกเป็นจอหงวน……ก็ดูเป็นเรื่องที่เหมาะที่ควร
“แต่เขากลับเลือกทางเดินนี้ สิ่งที่เขากล่าวมานั้นข้าเองก็ไม่เข้าใจ กระทั่งบางสิ่งก็คิดเห็นขัดแย้ง เช่นการกล่าวว่าโลกกลม เช่นแสงสามารถหักเหทิศทางได้ เช่น……สามารถผสมพันธุ์ข้าวได้ และผลผลิตที่ได้จะมีเมล็ดข้าวมากกว่าถึง 2 เท่า หากคำพูดนี้ออกจากปากผู้อื่น ข้าคงได้ตำหนิติเตียน หากแต่เมื่อเป็นเขาพูดออกมา ข้าจึงได้เชื่อ”
ต่งชูหลานยิ้ม “อาจจะเป็นเพียงคำพูด”
“ข้าไม่คิดเช่นนั้น หากสิ่งที่เขาเอ่ยและไม่ได้เอ่ยนั้นเป็นเรื่องจริงขึ้นมา จะเกิดคุณค่ามากจนไม่สามารถบรรยายได้ พวกเราอาจมองได้อีกมุมหนึ่ง เขากำลังตั้งใจทำเพื่อฟ้าดิน เพื่อสร้างชีวิตให้แก่ผู้คน เพื่อประโยชน์ของนักปราชญ์ในการเรียนรู้ต่อไป และเพื่อเปิดเส้นทางสันติภาพสำหรับทุกคนก็ได้จริงหรือไม่ ? ข้ายังไม่คิดว่าเพียงเท่านี้ หากเขาประสบความสำเร็จอาจจะสามารถเป็นแนวทางในการศึกษาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน……ความยิ่งใหญ่นี้ เปรียบได้กับพระเจ้าเลยทีเดียว!”
ต่งชูหลานตกตะลึง พระเจ้า……คำชมนี้ต่งชูหลานเองก็นึกไม่ถึง มันช่างเกินไปเสียจริง
“ดังนั้น สหายน้อยของข้าคนนี้ ช่างไม่ธรรมดาเสียจริง!”
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนที่ได้รับคำชมว่าเป็นผู้ไม่ธรรมดานั้น ในคืนนี้เขาช่างหลับสนิท
ในเวลาเช้าตรู่ ฟู่เสี่ยวกวนตื่นขึ้นมาด้วยอาการมึนเวียนศีรษะ เนื่องจากการดื่มเหล้าเกินขนาดในเมื่อคืน
นอกหน้าต่างมีเสียงฝนพรำ สายลมเย็นยามเช้าพัดพาน้ำค้างเข้ามาทางหน้าต่างและกระทบกับใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน ชุ่มชื่น สดใส ทำให้เขาตื่นตัวขึ้นเล็กน้อย
ชุนซิ่วนำน้ำล้างหน้าเข้ามา เขาทำความสะอาดใบหน้าและวิ่งออกกำลังกายรอบเรือนหลานฟาง
เขาไม่ได้ละทิ้งการออกกำลังกายเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่านั่นย่อมเห็นผลอย่างชัดเจน กระดูกและร่างกายนี้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แต่ในสายตาของไป๋ยู่เหลียนนั้นเขายังคงเป็นผู้อ่อนแอ
ไป๋ยู่เหลียนเองในขณะนี้ก็ยืนอยู่ท่ามกลางสายฝน
เขาสวมใส่ชุดสีดำ แขวนดาบยาวที่ห่อด้วยผ้าสีดำไว้ด้านหลัง ผมสีดำขลับพลิ้วไสวท่ามกลางลมฝน มือหนึ่งถือไหเหล้าและยกดื่มขึ้นบางครั้ง ดูไปช่างคล้ายกับวีรบุรุษเสียจริง
“ข้าจะออกไปข้างนอกเสียหน่อย อาจจะกลับมาในอีกสิบวัน ช่วงที่ข้าไม่อยู่นั้น เจ้าจงระมัดระวังตัวเองให้ดี”
ฟู่เสี่ยวกวนประหลาดใจจนหยุดฝีเท้าลง แล้วเอ่ยถามว่า “ไปทำอะไรกัน?”
“ไปหานักบวชเต๋าท่านหนึ่ง”
“……ไปเถิด”
ไป๋ยู่เหลียนกระโดดตัวขึ้นสูง ผ้าสีดำโบกสะบัด และเขาก็ได้หายไปในท่ามกลางสายฝน
โอ้นี่มัน!
ฟู่เสี่ยวกวนอารมณ์ไม่ดีนัก เขาจึงออกวิ่งต่อ
หลังออกกำลังกายเรียบร้อยแล้วจึงได้อาบน้ำและกินอาหารเช้า ฟู่เสี่ยวกวนได้ลืมภาพที่ไป๋ยู่เหลียนบินหายไปเสียสนิท
“ซิ่วเอ๋อร์ จงไปเชิญผู้ดูแลอี้และผู้ดูแลหวงมา ข้ามีเรื่องจะพูดคุยด้วย”
“เจ้าค่ะ” ซิ่วเอ๋อร์หันหลังจากไป ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ที่ศาลาเหลียงถิง มองดูเม็ดฝนที่ตกลงมาจากชายคาศาลา เขาคาดว่าบัดนี้ต่งชูหลานคงได้เดินทางไปจากหลินเจียงแล้ว
สตรีนางนี้……ฟู่เสี่ยวกวนยอมรับเลยว่าบิดาของเขาช่างมองคนเป็นเสียจริง เพราะถ้าหากจะแต่งภรรยา ก็ควรเลือกภรรยาเช่นต่งชูหลานจริง ๆ
หลังจากได้พบปะหลายต่อหลายครั้ง ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนรู้จักนางดีมากขึ้น
บางครั้งสติปัญญาของนางก็เหมือนดอกบัวที่กำลังตูม และบางครั้งก็เหมือนกล้วยไม้ที่บานสะพรั่งในหุบเขา
นางเป็นเพียงเด็กสาวแรกแย้ม แต่กริยาและแนวคิดของนางนั้นทำให้ฟู่เสี่ยวกวนประทับใจอย่างยิ่ง
ในขณะนั้น ประตูตะวันออกของเมืองหลินเจียง รถม้าขบวนหนึ่งหยุดลงท่ามกลางสายฝน สตรีนางหนึ่งสวมชุดสีขาวปิดหน้าด้วยผ้าบางสีขาวยืนอยู่ท่ามกลางสายฝนเช่นกัน นางโบกมืออำลาบรรดาผู้คนที่เดินทางมาส่งนาง
สายตาของนางสอดส่องไปในท่ามกลางฝูงชน แต่สุดท้ายก็ไม่เห็นเขาผู้นั้น
แม้ใบหน้านางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่แท้จริงแล้วช่างคล้ายสายฝนนี้ที่เงียบเหงายิ่งนัก
ในมือของนางถือกล่องสีดำใบหนึ่ง นางหันหลังกลับขึ้นไปบนรถม้าคันใหญ่ที่สุดในขบวน นำกล่องใบใหญ่หนักอึ้งนั้นวางลงข้างตัวเอื้อมมือไปปิดม่านหน้าต่าง ขบวนรถออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังเจียงเป่ยท่ามกลางสายฝน
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนกำลังเขียนหนังสืออยู่ที่โต๊ะหิน
หวงเวยและอี้หยู่นั่งอยู่ข้างๆ ชุนซิ่วยืนอยู่ด้านหลังฟู่เสี่ยวกวน
บนกระดาษแผ่นนั้นเขียนบางสิ่งที่แปลกประหลาดไว้ เช่น ยวี๋ฝูจี้กำหนดมาตรฐานของเหล้าขาวขึ้นใหม่ หรือ จินหลิงมีเทียนเซียง หลินเจียงมีเทียนฉุน เหล้าเทียนฉุนชั้นดีควรค่าแก่การครอบครอง เซียงเฉวียน เทียนฉุน ชื่อที่ปรมาจารย์ฉินตั้งให้ หากประสงค์ร้องกวีสักร้อยบท เชิญท่านดื่มเทียนฉุน……
“สิ่งเหล่านี้เรียกว่าโฆษณา”
ฟู่เสี่ยวกวนได้เขียนต่ออีกมากมาย แล้วเอ่ยว่า “สิ่งที่ข้าต้องการให้พวกเจ้าทำก็คือ นำข้อความเหล่านี้ทุกข้อ ไปให้ผู้เขียนหนังสือเขียนลงบนแผ่นผ้าสีแดง ขนาด 2 จ้าง (6.6เมตร) กว้าง 1 หมี่ (1เมตร) ปลายทั้งสองด้านผูกกับก้านไผ่ จัดหาผู้คนให้มาถือไว้ แล้วเดินไปตามถนนของหลินเจียง จำไว้ว่าต้องตีฆ้องตีระฆังและเอ่ยร้อง ประโยคที่ว่าวันที่หนึ่งเดือนหกเปิดขายสินค้าใหม่ของยวี๋ฝูจี้ และต้องเขียนไว้บรรทัดแรกและบรรทัดสุดท้าย”
“นอกนั้นจงไปจัดทำโคมไฟมาจำนวนหนึ่ง บนโคมไฟนั้นจงเขียนลวดลายคำว่ายวี๋ฝูจี้และเซียงเฉวียนเทียนฉุน นำไปประดับตามริมแม่น้ำ แต่ละดวงห่างกัน 10 หมี่ ข้าต้องการให้ถนนสายเลียบแม่น้ำนั้นมีโคมไฟนี้พลิ้วไหวตลอดสาย”
“อ้อ อีกอย่างหนึ่ง จงไปสั่งทำกล่องเช่นนี้มาอีก 1,000 กล่อง ภายในบุด้วยผ้าฝ้าย วางทับด้วยผ้าสีแดงนี้”
“จงไปยังร้านกระจกหาหยู๋จี้และร้านเครื่องลายครามเจียงจี้ นำตัวอักษรเหล่านี้ไปให้พวกเขา ด้านล่างแก้วจงสั่งให้หยู๋จี้ลงลวดลายคำว่าเทียนฉุนสองคำนี้ ส่วนขวดของเจียงจี้นั้น ตัวขวดและใต้ขวดให้ลงลวดลายนี้ด้วยเช่นกัน อีกอย่างหนึ่งจงกำชับว่าสินค้าที่ข้าสั่งให้ผลิตนั้นเรื่องคุณภาพและเวลาห้ามมีความผิดพลาดใด ๆ จงให้เจียงจี้นำสินค้าไปส่งที่ยวี๋ฝูจี้ จัดการหาคนนำเหล้าบรรจุใส่ลงในขวด จงระวัง ขวดสีแดงนั้นใช้สำหรับใส่เทียนฉุน ใส่ปริมาณขวดละ 3 ตำลึงเท่านั้น ส่วนขวดสีฟ้าบรรจุเซียงเฉวียน อย่าจำสับสนกัน เข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
ช่างละเอียดเสียจริง
หลังกำชับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หวงเวยและอี้หยู่จึงได้จากไปพร้อมกับหน้าที่ที่ฟู่เสี่ยวกวนมอบหมายให้
“คุณชาย……เปลี่ยนไปจริง ๆ ” หวงเวยเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้ม
“หลังกลับจากเดินทางไปยังเสี้ยชุน ข้าก็พบว่าคุณชายเปลี่ยนไป” อี้หยู่หัวเราะขึ้น
“เช่นนี้เป็นการดี ส่วนฮูหยินรอง……”
อี้หยู่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้ามืดครึ้มท่ามกลางสายฝน ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ด้านฮูหยินรอง นั้น ทุกสิ่งราบรื่นดี”
ตอนที่ 17 ทำเกินไปแล้ว
ลิ้มรสเทียนฉุน ท่ามกลางลมโกรกและเมฆเบาบาง
ฉินปิ่งจงหลับตา รสชาติของสุราแผ่ซ่านไปทั่วปาก หลังจากสูดลมหายใจอยู่หลายครา เขาก็ลืมตาขึ้น
“สุรานี้ มิใช่เทียนเซียง ! ”
ในที่สุดใจของฟู่เสี่ยวกวนก็ผ่อนคลาย เขามิเคยลิ้มลองเทียนเซียงมาก่อน เพียงแต่เคยได้ยินได้ฟังมาก็เท่านั้น แต่สุรานั้นไม่สามารถพึ่งพาแค่การฟัง ถึงแม้เขาจะมีความมั่นใจในสุราของตน แต่ก็เพิ่งจะรู้สึกโล่งอกได้ก็ในเวลานี้
ต่งชูหลานเองก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองจะกังวลกับเรื่องนี้ไปเพื่ออะไร ใบหน้าเรียวก็แดงระเรื่อ
“เทียนเซียงราคาเท่าไหร่ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถาม
“1 ตำลึง 100 อีแปะ แล้วสุราของเจ้าเล่าราคาเท่าไหร่ ? ”
“1 ตำลึง 300 อีแปะ ! ” ฟู่เสี่ยวกวนยื่นสามนิ้วออกไป ฉินปิ่งจงสะดุ้ง ต่งชูหลานเองก็ประหลาดใจ
“เจ้า… ขายได้ด้วยรึ?” ฉินปิ่งจงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ย่อมได้ สุราเทียนเซียงมีตลาดแต่ไร้มูลค่า เทียนฉุนของข้าความจริงแล้วก็มีไม่มาก นอกจากนี้ก็ยังมีเหตุผลที่ข้ามาหาท่านในครานี้ สุรานี้ยังขาดการเติมแต่งขั้นตอนสุดท้าย จำเป็นต้องเป็นท่าน”
ต่งชูหลานรินชาและส่งไปให้ ฉินปิ่งจงหัวเราะร่วน “เจ้าต้องการให้ข้าช่วยเผยแพร่ให้รับรู้ไปทั่วรึ?”
“การเผยแพร่มิใช่สิ่งที่สำคัญ ข้าเพียงแต่ต้องการอักขระไม่กี่ตัวจากท่านเท่านั้น”
“อักขระอันใด ? ”
“ซีชานเทียนฉุน ซีชานเซียงเฉวียนและสุราหาได้ยากยิ่งในใต้หล้า…เพียงไม่กี่คำนี้”
“ไม่มีสิ่งอื่นแล้วรึ? ความจริงแล้วข้าสามารถช่วยเจ้าเผยแพร่ได้”
“มิมีสิ่งอื่นแล้ว ท่านย่อมสามารถช่วยข้าเผยแพร่ได้อย่างแน่นอน แต่ที่สำคัญที่สุดคืออักขระจากท่าน”
ฉินปิ่งจงลูบเคราที่ยาวเบา ๆ และพยักหน้า เสี่ยวฉีไปห้องอักษร เพื่อนำพู่กันและแท่นหมึกมา
“ตราขนาดเล็ก อือ… ใหญ่ขนาดนี้ก็พอ” ฟู่เสี่ยวกวนร่างลงบนกระดาษ อักขระนั้นเล็กมาก แต่สำหรับฉินปิ่งจงนักปราชญ์แห่งยุคแล้ว นี่มิใช่เรื่องใหญ่อันใด
โดยเร็ว อักขระเหล่านี้ก็ได้อยู่บนกระดาษ ฟู่เสี่ยวกวนถือกระดาษเอาไว้ในมือ และเป่าลมอย่างระมัดระวัง เห็นได้ชัดว่าเป็นการกระทำที่ทะนุถนอมที่สุด
“อักขระเล็ก ๆ พวกนี้ เจ้าคิดจะนำไปทำอันใด?” ฉินปิ่งจงเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ข้าต้องการนำอักขระพวกนี้ประทับที่ขวดและแก้วสุรา… อาจารย์ฉิน ต่อจากนี้อักขระของท่าน จะเป็นหนึ่งเดียวกับสุราของข้า”
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าเด็กนี้วางแผนได้ดี”
สุราของฟู่เสี่ยวกวน เมื่อรวมเข้ากับอักขระที่รับรองจากฉินปิ่งจง นักปราชญ์แห่งยุค ดวงตาของต่งชูหลานก็เป็นประกายขึ้นมา เมื่อได้รวมไว้เช่นนี้และได้รับการเผยแพร่อีกเพียงเล็กน้อย เป็นไปได้ว่าสุราของเขาจะขายได้ 1 ตำลึง 300 อีแปะเป็นแน่
ถามปัญญาชนทั่วโลกว่ากังวลกันมากถึงเพียงไหน หากมิได้ดื่มสุรา 2 ตำลึงบนหอนางโลม… ภายภาคหน้าหากปัญญาชนแห่งหลินเจียงมารวมตัวกัน ก็จะได้เห็นว่านอกจากสุราของเขาแล้ว ก็จะมิมีสิ่งใดได้ขึ้นโต๊ะอีก
มิน่าแปลกใจที่จะกล้าขายในราคา 1 ตำลึง 300 อีแปะ สิ่งนี้ทำให้ปัญญาชนที่ไม่รู้ ตกหลุมตายไปเสียไม่น้อย
“นี่จะเป็นการเอาเปรียบท่านอาจารย์ฉินเป็นแน่ เยี่ยงนั้นทุกเดือนต่อจากนี้ หยู๋ฝูจี้จะมอบเซียงเฉวียน 3 ชั่ง เทียนฉุน 2 ชั่งให้ท่านอาจารย์ฉิน โดยที่ท่านไม่ต้องจ่ายเงิน… อาจารย์ฉิน ท่านอย่าได้ปฏิเสธเลย นี่คือความตั้งใจของข้า”
“ข้ามิได้ขัดสนเรื่องเงิน”
“ปัญหามิใช่เรื่องเงินทอง สุภาพบุรุษรักโชคลาภที่ได้มาด้วยวิธีที่เหมาะสม อาจารย์ฉิน ท่านได้ช่วยข้าสะสางธุระอันใหญ่หลวง ท่านไม่ได้ขาดแคลนเสบียง ในตอนนี้ที่ข้าหามาได้ก็มีแต่สุรา แต่เยี่ยงไรต่อจากนี้ข้าจะส่งไปให้ท่าน ส่วนท่านจะจัดการเยี่ยงไร นั่นก็เป็นเรื่องของอาจารย์ฉินแล้ว”
ฉินปิ่งจงส่ายศีรษะยิ้ม ๆ เช่นนั้นก็ยอมรับไปเสีย
เด็กคนนี้เข้าใจโลกอย่างถ่องแท้ การคิดอ่านในหัวก็ยอดเยี่ยม เหตุใดในอดีตถึงได้เป็นเยี่ยงนั้นกันนะ?
ฉินปิ่งจงไม่สามารถมองฟู่เสี่ยวกวนตรงหน้า ซ้อนทับกับฟู่เสี่ยวกวนที่เคยได้ยินมาในอดีต หากต้องการหาเหตุผล เยี่ยงนั้นก็คงได้แต่ยึดตามที่ต่งชูหลานได้กล่าวไว้เมื่อวันก่อน วันหนึ่งที่บรรลุ จึงจะเปลี่ยนแปลง
เยี่ยงนั้นแล้ว การนำเขาเข้าสู่หนทางที่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องที่ถูก
ดังนั้นฉินปิ่งจงจึงเอ่ยอย่างช้า ๆ “เสี่ยวกวน เจ้าคิดว่าเหตุใดคนในใต้หล้าถึงได้เคารพการศึกษา ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนที่กำลังจะดื่มชา ก็แทบจะสำลักออกมาทันทีที่ได้ยินเยี่ยงนั้น
“นั่น…”
หากให้ตอบตามความคิดของฟู่เสี่ยวกวน เขาจะตอบว่าศึกษาตำราเพื่อไปเป็นขุนนาง เมื่อเป็นขุนนางก็จะหาเงินได้อย่างสะดวก เพียงแต่ตอนนี้มีทรัพย์สมบัติมากโขแล้ว จึงมิต้องไปเป็นขุนนาง หากไม่ได้เป็นขุนนางก็มิต้องศึกษาตำรา
แต่เขามิได้พูดออกไปเยี่ยงนั้น เพราะผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเขาคือนักปราชญ์แห่งยุค ผู้นำของเหล่าปัญญาชน หากกล่าวออกไปเช่นนั้น เกรงว่าจะถูกฉินปิ่งจงใช้กระบองฟาดออกไป
ดังนั้นเขาจึงคิดประโยคหนึ่งขึ้นมาได้ จึงเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า
“ผู้น้อยคิดว่า… เพื่อปณิธาณแห่งฟ้าดินได้ยืนหยัด เพื่อชะตามวลประชาที่มั่นคง เพื่อสืบทอดความรู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อสันติสุขในทุกสมัย”
ตูม… !
แน่นอนว่านี่มิใช่การระเบิด แต่ประโยคนี้ของฟู่เสี่ยวกวนที่ฉินปิ่งจงและต่งชูหลานได้ยินกับหู เป็นการระเบิดที่น่าทึ่งอย่างมิต้องสงสัย!
ราชวงศ์หยูมีลัทธิขงจื้อ หรือที่เรียกอีกชื่อว่าสำนักนักปรัชญาขงจื้อ แต่ประโยคนี้กลับยังไม่ได้เกิดในราชวงศ์หยู
ในโลกก่อนที่ผ่านมา ปณิธานอันสูงส่งนี้ยืนยงอยู่ในประวัติศาสตร์มาอย่างช้านาน กลายเป็นจุดมุ่งหมายร่วมกันของปัญญาชนนับไม่ถ้วน และได้ถูกกล่าวว่า การศึกษาในตำราไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม
แต่ในราชวงศ์หยู ถึงแม้จะมีนักปรัชญาหลายคนพยายามที่จะศึกษาลัทธิขงจื้อ และเสนอความคิดเห็นกันอย่างหลากหลายว่าเหตุใดจึงต้องศึกษาตำรา แต่ไม่มีประโยคใดที่น่าตกใจเฉกเช่นฟู่เสี่ยวกวนในเวลานี้
ณ เวลานี้ราวกับว่าเวลาได้หยุดลง
นิ้วเรียวของฉินปิ่งจงบีบเครายาว ปากอ้าออกเล็กน้อย สองตามองฟู่เสี่ยวกวน แต่กลับไม่ได้เพ่งที่ร่างของฟู่เสี่ยวกวน
จอกที่ต่งชูหลานหยิบยกขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปากพลันแข็งทื่อ ปากเล็กเผยออกเล็กน้อย แต่มิได้ดื่ม มีเพียงไอร้อนที่สั่นไหวราวกับสายหมอก ท่ามกลางแสงไฟสลัวสีนวล ใบหน้าของนางพร่ามัว แต่ดวงตาคู่นั้นกลับทอประกายราวกับดวงดารา
ฟู่เสี่ยวกวนกังวลอย่างถึงที่สุด สำหรับตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้าของศาสตร์การค้นคว้านั้น เขายังไม่เคยอ่านอย่างตั้งใจ ตั้งแต่มาถึงที่โลกนี้เขายังไม่ได้ตั้งใจอ่านตำราเหล่านั้นอย่างจริงจังเลยแม้แต่น้อย แต่เดิมเขาคิดว่าคำพูดนี้ได้ถูกเผยแพร่ในโลกนี้ไปแล้ว แต่จากที่ได้เห็นในวันนี้…ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น
ฉินปิ่งจงไร้รอยยิ้ม เขากลืนน้ำลายลงคอ และในที่สุดก็ดึงสายตากลับมา เขาลุกขึ้น สองมือไพล่หลัง และก้าวเท้าไปยังลานอย่างเชื่องช้า ปากก็ยังคงท่องประโยคนั้นต่อไป
“เพื่อปณิธานแห่งฟ้าดินได้ยืนหยัด เพื่อชะตามวลประชาที่มั่นคง เพื่อสืบทอดความรู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อสันติสุขในทุกสมัย”
“……”
ต่งชูหลานเองก็ได้สติขึ้นมา นางวางจอกชาลง สายตาจ้องมองไปทางฟู่เสี่ยวกวน ด้วยสายตาที่อ่อนโยน
ทันใดนั้นฉินปิ่งจงก็ถอนหายใจเสียยืดยาว “ข้าเฝ้าหาเหตุผลของการศึกษาตำรามาโดยตลอด มักจะสับสนอยู่เสมอ ข้าเฝ้ารอนักปราชญ์ค้นคว้าว่าเหตุใดต้องศึกษาตำรา ก่อนหน้านี้ข้าคิดว่าศึกษาตำราก็เพื่อให้รู้แจ้งในหลักการ เพื่อรับใช้ประเทศชาติด้วยสิ่งที่ศึกษามาตลอดทั้งชีวิต เพื่อเป็นมรดกทางวัฒนธรรม…”
“แต่คืนนี้ ที่ข้าได้ฟังคำพูดนี้จากสหายน้อย ถึงได้เข้าใจ… หลายปีที่ข้าศึกษาตำรามานั้น ช่างสูญเปล่า ตำราที่นักปราชญ์ใต้หล้าทุกคนได้ศึกษานั้น ก็สูญเปล่าเช่นกัน”
“เพื่อปณิธานแห่งฟ้าดินได้ยืนหยัด เพื่อชะตามวลประชาที่มั่นคง เพื่อสืบทอดความรู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อสันติสุขในทุกสมัย… นี่คือปณิธานอันสูงส่งที่นักปราชญ์ควรจะมีเสียมากกว่า!”
“คำพูดเหล่านี้ของสหายน้อย หากได้เผยแพร่ในสำนักขงจื้อจะเป็นการชี้แนวทางให้แก่ข้าและนักปราชญ์ทั้งหลาย สหายน้อย โปรดรับการคำนับจากข้า ตัวแทนนักปราชญ์ในใต้หล้า!”
ฉินปิ่งจงกล่าวไว้เยี่ยงนั้น และคำนับฟู่เสี่ยวกวนด้วยความเคารพทั้งอย่างนั้น
ฟู่เสี่ยวกวนไม่สามารถรับไว้ได้และไม่กล้ารับเอาไว้อย่างแน่นอน เขาดีดตัวลุกขึ้นและหลีกหนี ประคองอาจารย์ฉินเอาไว้ด้วยใบหน้าขมขื่น
“อาจารย์ฉิน ท่านกำลังทำลายข้า ข้าเป็นผู้อ่อนอาวุโส เพียงแค่เอ่ยวาจาไร้สาระตามใจปากเพียงเท่านั้น ท่านอย่าได้นำมาใส่ใจเลย”
ฉินปิ่งจงยืดตัวตรงด้วยสีหน้าสง่างามและเกรงขาม “จะเป็นเรื่องไร้สาระไปได้เยี่ยงไร นี่คือหนทางการศึกษาตำราและเป็นการส่งเสริมผู้ที่เข้าสำนักขงจื้อในใต้หล้า สำหรับข้าและผู้ศึกษาตำราคนอื่น ๆ แล้ว นั่นเป็นหัวใจเป็นชีวิต เป็นประกายความปรารถนาอันยิ่งใหญ่!”
“การศึกษาไร้ผู้อาวุโสหรือผู้เยาว์ ผู้บรรลุเป็นผู้มาก่อน ต่อแต่นี้ไป ข้าจะเรียกเจ้าว่าสหายน้อย หากเจ้าให้เกียรติข้าฉินปิ่งจงผู้นี้ เยี่ยงนั้นจงเรียกข้าว่าพี่ชาย… ว่าอย่างไร?”
ฟู่เสี่ยวกวนหน้าเจื่อน สีหน้าดูลำบากใจ “นี่… มันไม่เหมาะสม”
ฉินปิ่งจงตบบ่าของฟู่เสี่ยวกวน แล้วกล่าวยิ้มๆ “น้องชาย ถือเสียว่าพี่ชายเอาเปรียบเจ้าก็แล้วกัน” กล่าวจบเขาก็สูดลมหายใจเข้าไปลึก ๆ แล้วกล่าวอีกว่า “คำพูดของน้องชายที่ได้ฟังในค่ำนี้ ได้ทำให้พี่ชายเข้าใจความคิดที่ติดอยู่ในหัวมาตลอดหลายปี…”
เขาหันศีรษะไปทางด้านหลัง และตะโกน “จู้หยู๋ บอกคนครัวให้ทำเครื่องเคียงมาเล็กน้อย และนำไหเทียนเซียงที่อยู่ในห้องอักษรมา”
มีผู้รับคำจากที่ห่างไกล ฟู่เสี่ยวกวนมองตามไป แต่ก็มิเห็นแม้แต่เงา
“ฮ่าฮ่า นั่นเป็นองค์รักษ์ที่บุตรชายของข้าส่งมาไว้ข้างกายข้าเอง ค่ำคืนที่น่าสนุกสนานนี้ หากพวกเราไม่เมาก็ไม่กลับ!”
……
…..
เครื่องเคียงสองสามอย่างและสุราถูกนำขึ้นมา ต่งชูหลานเปิดไหแล้วรินสุรา นั่นก็คือเทียนเซียง
“สุรานี้พี่ชายข้าอดใจที่จะดื่มไม่ไหวมาโดยตลอด แต่ภายภาคหน้าเมื่อได้มีเทียนฉุนของเจ้า ข้าก็มิจำเป็นต้องซ่อนอีกต่อไป มาๆ มาดื่มด้วยกัน หนึ่งเพื่อการเดินทางของชูหลาน สองเพื่อสหายคนรู้ใจของข้า หมดจอก”
ต่งชูหลานยิ้มและมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน ยกจอกสุราในมือขึ้นและดื่มไปจนหมด
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ทำตัวสูงส่ง ยังคงสงบและเยือกเย็น
เมื่อสุราทั้งสามจอกต่างลงท้อง ฉินปิ่งจงก็เริ่มเปิดปาก เขาเอ่ยขึ้นมาว่า “น้องชาย อย่างไรเส้นทางการค้าการขายนั้นก็เป็นเส้นทางเล็ก ๆ ตระกูลฟู่ของเจ้าก็มิได้ขาดแคลนทรัพย์สิน ข้าคิดว่าเจ้าควรไปสอบเป็นบัณฑิต”
สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนกลัวที่สุดคือสิ่งนี้ เขารีบโบกมือและกล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่ชาย ท่านยังมิเข้าใจตัวข้า… ข้าคนนี้ แต่เดิมนั้นเป็นตัวหายนะแห่งหลินเจียง ท่านอย่าได้มองข้าเยี่ยงนี้ ข้ารู้ว่าในอดีตนั้นข้าเสเพลขนาดไหน หลังจากได้พบกับแม่นางต่ง ครานั้น ก็เป็นการทำให้ตัวข้าได้สติขึ้นมา แต่ตัวข้านั้นมีน้ำหนักถึงเพียงไหนข้าย่อมรู้ดี อาจมีบางคราที่มีแรงบันดาลใจจนแต่งบทกวีขึ้นมาได้บ้าง แต่การสอบบัณฑิตนั้นข้าทำไม่ได้จริง ๆ”
ต่งชูหลานเอ่ยถาม “เหตุใดต้องดูถูกตัวเองจนถึงเพียงนี้?”
“นี่มิใช่การดูถูกตนเองเกินไป เยี่ยงนั้นพวกท่านลองเอ่ยมา แต่เดิมข้าไม่เคยได้อ่านตำราทั้งสี่และคัมภีร์ทั้งห้า นอกจากนี้ลายมือของข้า พวกเจ้าต่างก็เคยเห็นกันทั่วหน้า ด้วยลายมือนี้ ผู้ตรวจสอบจะปัดข้าตกทันที ดังนั้นผู้สูงส่งต้องรู้จักประมาณตนเอง ข้าอาจไปทางการค้าขายได้ แต่การสอบเคอจี่นั้น ข้าไม่สามารถสอบผ่านไปได้แน่”
ฉินปิ่งจงและต่งชูหลานสบตากัน ทั้งสองคนต่างเงียบไปอึดใจ แต่ก็เข้าใจในสิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนกล่าว
“ลู่ทางในใต้หล้ามีอยู่มากมาย มิใช่มีเพียงเส้นทางปัญญาชน เจตนาของพวกเจ้าเป็นเยี่ยงไรข้ารับรู้ แต่ผู้ศึกษาตำราในใต้หล้านี้มีอยู่มากมาย มิใช่ข้าแต่เพียงผู้เดียว ข้าคิดแต่เพียงการเป็นเจ้าของที่ดินที่มีความสุข มิมีเครื่องดนตรีที่หนวกหู มิมีหนังสือราชการใดที่ผ่านแรงงาน เพียงต้องการความสงบและความมั่งคั่งเพียงเท่านั้น”
นี่คือความคิดจากใจจริงของฟู่เสี่ยวกวน ในอีกไม่กี่ปีให้หลัง หากฉินปิ่งจงตายจากไป แล้วทิ้งประโยคนี้เอาไว้ ท้ายที่สุดแล้วเป็นสถานการณ์ที่สร้างวีรบุรุษ หรือเป็นวีรบุรุษที่สร้างสถานการณ์?
มิมีผู้ใดสามารถตอบได้
ตอนที่ 16 เหล้าองุ่นรสเลิศกับแก้วเรืองแสง
ดวงไฟค่อย ๆ สว่างขึ้นอย่างช้า ๆ จุดประกายความสดใสให้แก่เมืองใหญ่แห่งนี้
สำหรับผู้ร่ำรวยในสมัยนี้นั้น นี่เป็นเพียงการเปิดฉากชีวิตยามค่ำคืนที่กำลังจะเริ่มขึ้นได้อย่างสวยงาม
หน้าประตูหออี้หง โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่สองอันที่แขวนอยู่บนเสาไม้ไผ่สูงด้านหน้าก็สว่างขึ้นเช่นกัน สายลมโบกพัดมาอ่อน ๆ คล้ายกับกำลังกวักมือเรียกใครสักคน
ห้องเซียนยินที่ชั้นสองของหออี้หง เป็นห้องสำหรับฝานตั่วเอ๋อร์เพียงผู้เดียว
ผ้าม่านถูกเปิดออกครึ่งหนึ่ง นักแสดงกำลังเต้นรำในชุดสีแดงด้วยความรื่นเริง กลิ่นชาหอมตลบอบอวล
ดวงจันทร์แห่งเจียงหนาน ทอแสงนวลมาที่ซีโหลว
……ดอกตันกุยไม่เคยร่วงโรย ฉางเอ๋อร์จากไปอย่างโดดเดี่ยว
ท้องฟ้าช่างเงียบเหงา……”
ฝานตั่วเอ๋อร์ร้องสองประโยคแรกของบทกวีออกมา คิ้วนางขมวดขึ้น ผ่านไปชั่วครู่จึงได้เงยหน้าขึ้น “ตั่วเอ๋อร์ช่วงนี้ช่างโชคดีเสียจริง ก่อนหน้านี้ได้ฟังบทกวี สงบสุข·ตวงโหงวหลินเจียงจากท่านจาง ในวันนี้ได้ฟังกวี ชมเจียงหนานและบทเพลงแห่งเจียงหนานที่งดงาม ต้องขอบคุณคุณชายทุกท่านมาก ที่ทำให้ตั่วเอ๋อร์มีความสุขถึงเพียงนี้……เพียงแต่กวีสองบทนี้ คุณชายท่านใดเป็นผู้แต่งกัน?”
ในใจฝานตั่วเอ๋อร์รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง บทกวีที่งดงามสำคัญยิ่งสำหรับนาง เนื่องด้วยนางเป็นนางโลมที่ขึ้นชื่อในหออี้หงและมีเสียงร้องอันไพเราะ แต่นางก็ต้องการบทกวีที่งดงามคู่กัน
กวีสองบทนี้ไพเราะกว่าบทสงบสุข·ตวงโหงวหลินเจียงที่จางเหวินฮั่นแต่งมากเสียจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทชมเจียงหนานนั้นนางถูกใจยิ่งนัก นางเชื่อว่าหากนำกวีสองบทนี้ไปร้อง ต้องได้ราคาค่าตัวเพิ่มขึ้นเป็นแน่
และบุคคลที่นั่งอยู่ในที่นี้ก็คือผู้มีพรสวรรค์ทั้งสี่แห่งเมืองหลินเจียง
จางเหวินฮั่น หลิวจิ่งหาง ถังซูหยู่และหยูหยุ๋นชิง
หลิวจิ่งหางยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่ไม่เต็มใจนัก เอ่ยว่า “แม่นางตั่วเอ๋อร์ กวีสองบทนี้มิใช่พวกข้าแต่งหรอก”
ฝานตั่วเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นมองหลิวจิ่งหาง ในดวงตาแสดงความประหลาดใจ แล้วเอ่ยถามว่า “ในหลินเจียงนี้……ยังมีผู้ใดสามารถแต่งกวีสองบทนี้ได้อีกหรือ?”
“แม่นางรู้จักดี” จางเหวินฮั่นกางพัดออกแล้วลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปที่หน้าต่าง ภายนอกหน้าต่างนั้นแม่น้ำหลินเจียงกำลังไหลอย่างช้า ๆ
“เขาผู้นั้นคือฟู่เสี่ยวกวน” จางเหวินฮั่นเอ่ยออกมา “เพล้ง” เสียงถ้วยที่อยู่ในมือของฝานตั่วเอ๋อร์ตกสู่พื้นแล้วแตกกระจาย
“ฟู่เสี่ยวกวน?” ฝานตั่วเอ๋อร์มีสีหน้าประหลาดใจ “คุณชายจางล้อข้าเล่นเป็นแน่ ฟู่เสี่ยวกวนแต่งกวีงั้นหรือ? หึหึ……”
ฝานตั่วเอ๋อร์หัวเราะอย่างเยือกเย็น นางก้มหน้าต้มชาต่อ “หากเอ่ยว่าคุณชายฟู่ใจกว้างนั้น ตั่วเอ๋อร์คงเชื่ออย่างสนิทใจ แต่บอกว่าเขาแต่งกวี ตั่วเอ๋อร์ไม่แม้แต่จะจินตนาการ”
เกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวนนั้น ฝานตั๋วเอ๋อร์รู้ดีกว่าผู้ใด บุคคลนี้เป็นลูกค้าชั้นดีของหออี้หงนี้ เขายอมจ่ายกว่าพันตำลึงเพื่อให้ฝานตั่วเอ๋อร์ยิ้มออกมา อีกอย่างเขานั้นเที่ยวป่าวประกาศไปทั่วว่าจะสู่ขอนางเป็นภรรยา!
นางบอกไม่ได้ว่าเกลียดเขาเพียงใด และแน่นอนว่านางไม่ชอบ
สำหรับฝานตั่วเอ๋อร์นั้น อนาคตของนางเองยังไม่ชัดเจน แต่นางตั้งใจว่าจะไถ่ตนในอนาคตแล้วแต่งงานกับคนใดคนหนึ่งในสี่คนนี้ เขาจะแต่งกวีให้นางในยามอาทิตย์ตก ส่วนนางก็รินเหล้าและบรรเลงร้องเพลงแก่เขา นี่เป็นภาพที่นางอยากเห็น
ฟู่เสี่ยวกวน……ชายผู้นั้นไม่ได้เดินทางมาที่นี่เป็นเวลาสองเดือนแล้ว ก่อนหน้านี้ที่เขาได้ก่อเรื่องกับต่งชูหลานไว้ ฝานตั่วเอ๋อร์เองก็รับรู้เช่นกัน เพียงคิดว่าเขารักษาตัวอยู่ที่บ้าน จึงไม่ได้ใส่ใจนัก
แต่ในวันนี้นางได้ยินจากผู้มีพรสวรรค์ทั้งสี่ว่าบทกวีสองบทนี้ ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้แต่ง……นี่มันไร้สาระสิ้นดี
จางเหวินฮั่นปิดพัดลงแล้วเดินกลับมา “แม่นางตั่วเอ๋อร์คงไม่เชื่อ แต่พวกข้านั้นไม่มีความจำเป็นต้องหลอกแม่นาง กวีสองบทนี้ฟู่เสี่ยวกวนเป็นผู้แต่งโดยแท้จริง ครั้งนี้ข้าต้องเดินทางไปเมืองหลวง แต่นักกวีของเจียงหลินทั้งสี่จะขาดข้าไปและเหลือเพียง 3 คน ให้เป็นเช่นนี้มิได้ ดังนั้นต่อจากนี้ผู้มีพรสวรรค์ทั้งสี่แห่งเจียงหลิน จะมีฟู่เสี่ยวกวนรวมอยู่ด้วย”
“เขา……แต่งกวีนี้เองจริงอย่างนั้นหรือ?” ฝานตั่วเอ๋อร์เงยหน้าขึ้นถามอีกครั้ง
จางเหวินฮั่นพยักหน้า แล้วพูดอย่างยิ้ม ๆ ว่า “แม่นางตั๋วเอ๋อร้องเพลงให้พวกเราฟังสักบทสองบทเป็นไร?”
“ขอเชิญคุณชายทั้งสี่ ชุ่ยฮวา รินเหล้า!”
……
……
ประตูจวนตระกูลฟู่เปิดออก รถม้าคันหนึ่งถูกขับออกมา
ไป๋ยู่เหลียนมือหนึ่งกำแส้ขี่ม้าเอาไว้ อีกมือหนึ่งถือไหเหล้า เขายกเหล้าดื่มขึ้นเป็นระยะ ๆ แต่แส้นั้นมิเคยที่จะหล่นจากมือ
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ในรถม้า ในมือถือขวดอันประณีตไว้ ด้านข้างยังมีกล่องเล็กสวยงามอีกใบหนึ่ง ภายในกล่องนั้นคือแก้วที่ทำมาจากกระจกแก้ว ฟู่เสี่ยวกวนตั้งชื่อว่าแก้วคริสทัล
เขาเดินทางไปยังสำนักศึกษาหลินเจียง เพื่อมอบเหล้านี้ และขอให้อาจารย์ฉินช่วยเขียนตัวอักษรสักตัวสองตัว
ผ้าม่านในรถม้าถูกเปิดออก บนถนนค่อย ๆ เกิดเสียงครึกครื้นแว่วมา มีเสียงขับร้อง เสียงหัวเราะ เสียงโหวกเหวกโวยวาย……ฟู่เสี่ยวกวนนั่งมองอยู่นิ่ง ๆ ใบหน้าเริ่มปรากฏรอยยิ้ม
เขาชอบภาพเหล่านี้มาก นี่เป็นความรู้สึกที่ชาติที่แล้วไม่สามารถสัมผัสได้
เขาวางแผนว่าหากนำเหล้าไปส่งมอบเรียบร้อยแล้ว ตอนกลางคืนเขาจะออกมาเดินเล่นในตลาดนี้ สั่งกับแกล้มสักสองสามอย่างแกล้มกับเบียร์สักหน่อย……กับเหล้าอีกสักสองตำลึง ช่างน่ามีความสุขนัก
รถม้าค่อย ๆ ห่างออกมา เสียงเหล่านั้นค่อย ๆ จางหายไป กระทั่งมาถึงเจียงเปียน
สายลมพัดมากำลังดี ในสายลมนั้นมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ โชยมา ด้านหน้าเป็นหอที่ประดับด้วยแสงไฟสว่างไสว ได้ยินเสียงของไม้ไผ่ลอยมาเข้าหู
เสียงขาด ๆ หาย ๆ เป็นระยะ ๆ เหมือนอยู่ในสวรรค์และไม่นานสถานที่ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้า
หออี้หง!
ฟู่เสี่ยวกวนมองดูแผ่นป้ายนั้นแล้วยิ้มขึ้นมา รถม้าขับเลยผ่านไป
แม่นางที่มีนามว่าฝานตั่วเอ๋อร์ ขณะนี้คงกำลังขับร้องบรรเลงเพลงอย่างสนุกสนาน
แม่นางคนนี้ ฟู่เสี่ยวกวนคนก่อนเคยทุ่มเทถึง 20,000 ตำลึง แต่สุดท้ายก็มิได้แม้แต่จะสัมผัสมือ นี่มันอะไรกัน!ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มขำตนเองแล้วส่ายหัว
ความสวยงามสว่างไสวนั้นค่อย ๆ เลือนหายไปข้างหลังรถม้า ฟู่เสี่ยวกวนดึงสติตนเองกลับมา และมองไปทางแสงสลัวที่อยู่ห่างออกไป
สำนักศึกษาหลินเจียงอยู่ในสถานที่ที่มีไฟสลัวแห่งนั้น ท่ามกลางต้นสนสีเขียว ในความมืดและเงียบสงบ
เรือนเล็กหลังหนึ่งข้างบึงบัว เก้าอี้สองตัวซึ่งมีอาจารย์ฉินและต่งชูหลานนั่งอยู่ตรงกันข้ามกัน นอกจากเสียงเปิดหนังสือที่ดังขึ้นเป็นครั้งคราแล้ว ก็เหลือแต่เพียงเสียงร้องของกบในบึงบัวและเสียงกระซิบจากแมลงในฤดูร้อน
ต่งชูหลานดูคล้ายเริ่มเหนื่อยล้า นางนำมือลูบหน้าผากแล้วเอ่ยถามอาจารย์ฉินว่า “การเดินทางไปเมืองหลวงครั้งนี้ ท่านอาจารย์ฉินมีคำพูดใดต้องการฝากถึงท่านลุงฉินหรือไม่?”
อาจารย์ฉินส่ายหัว “อ้อ หลานชายของฉินเฉิงเย่……จงไปบอกเขาว่าให้หยุดการเรียนที่นั่น แล้วพาน้องสาวเดินทางมาที่เจียงหลิน เจ้าคนนี้ไม่เอาการเอางาน คงต้องให้ข้าสั่งสอนด้วยตนเอง”
“เห้อ……”อาจารย์ฉินถอนหายใจ เขาวางหนังสือลงแล้วเอ่ยว่า “ข้าเองจะไม่รู้ได้อย่างไร เพียงแต่ข้านั้นสูญเสียหลานชายไปแล้วคนหนึ่ง ไม่อยากต้องเสียไปอีกคนหนึ่ง อาจเป็นการเห็นแก่ตัว แต่ตระกูลฉินนั้นมีเพียงไม่กี่คน เมื่อเห็นว่าทางเหนือไม่ค่อยสงบ ข้าเองก็ไม่อยากให้เกิดการสูญเสีย คนผมขาวส่งคนผมดำ……เป็นการสูญเสียที่สุดจะบรรยาย”
ต่งชูหลานพยักหน้า นางพูดอย่างราบเรียบว่า “เรื่องนี้ข้าจะช่วยพูดกับพี่ชายเฉิงเย่เอง เขาเป็นคนฉลาด ต้องเข้าใจถึงความปรารถนาดีของท่านเป็นแน่”
อาจารย์ฉินมองไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวอันโดดเดี่ยว สักครู่ใหญ่จึงได้ดึงสติกลับคืนมา เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “ในหอเจียงหลินวันนี้ เจ้าทำให้ฟู่เสี่ยวกวนมีชื่อเสียงขึ้นมาได้”
ต่งชูหลานยิ้ม “บุคคลนี้ความคิดอ่านต่างจากคนทั่วไป ข้าเองก็ใคร่เห็นนักว่าหากเขาเป็นหนึ่งในนักกวี จะเกิดการเปลี่ยนแปลงใดหรือไม่”
ในขณะนั้นเสี่ยวฉีเดินเข้ามา ก้มหน้าเอ่ยว่า “คารวะท่านอาจารย์ฉิน คุณหนูต่ง คุณชายฟู่เสี่ยวกวนขอเข้าพบเจ้าค่ะ”
อาจารย์ฉินและต่งชูหลานมองหน้ากัน อาจารย์ฉินหัวเราะขึ้น ส่วนต่งชูหลานนั้นไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดในใจจึงกระเพื่อมคล้ายระลอกคลื่น นางมีความกังวลเล็กน้อย
“เชิญเขาเข้ามาได้” อาจารย์ฉินโบกมือ “ยอดสุราซีซานดีกว่าเหล้าเทียนเซียง ข้าเองก็อยากจะรู้เสียจริงว่าเทียนฉุนและเซียงเฉวียนที่ว่านั้นดีจริงหรือไม่”
……
……
ฟู่เสี่ยวกวนเดินตามเสี่ยวฉีเข้ามาด้านใน
มือซ้ายถือขวด มือขวาถือกล่อง
“คารวะยามค่ำ อาจารย์ฉิน คุณหนูต่ง……” ฟู่เสี่ยวกวนนำสองสิ่งนั้นวางลงบนโต๊ะ แล้วเอ่ยว่า “สถานที่แห่งนี้ดีเสียจริง นั่งฟังเสียงจากธรรมชาติ ก้มหน้าชมดอกบัว แหงนหน้าชมดวงดาว ไม่เพียงแต่รู้สึกถึงวรรณกรรม แต่ยังคล้ายอยู่บนสวรรค์อีกด้วย”
“เจ้านี่ มองไม่ออกว่าปากหวานช่างพูดนัก นั่งๆๆๆ”
อาจารย์ฉินเรียกให้ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลง ต่งชูหลานเองก็ยิ้มให้ฟู่เสี่ยวกวน แต่มิได้เอ่ยอันใดออกมา นางหยิบกาไปต้มชา
“อาจารย์ฉิน เชิญท่านดูของสิ่งนี้ที่ข้านำมา”
ฟู่เสี่ยวกวนยื่นขวดที่มีสีแดงสลักลายสีทองงดงามในมือให้แก่อาจารย์ฉิน ฉินปิ่งจงยื่นมือไปรับมาดู ของสิ่งนี้ช่างประณีตเสียจริง แตกต่างจากของทั่วไปมากนัก คนผู้นี้นำสิ่งใดมากัน……เขาแกว่งขวดในมือ ภายในมีเสียงของน้ำกลิ้งไปมา
“เหล้างั้นหรือ?”
“ถูกต้องแล้ว ภายในขวดนี้บรรจุเทียนฉุนไว้ เชิญท่านอาจารย์ฉินลิ้มรส”
เมื่อเอ่ยจบฟู่เสี่ยวกวนก็เปิดกล่องขึ้น ภายในกล่องมีผ้าแดงรองไว้ บนผ้าสีแดงนั้นมีสิ่งของรูปร่างแปลกประหลาดนอนอยู่
“สิ่งนี้คือแก้วเหล้า ข้าน้อยทำขึ้นเพื่อดื่มเหล้านี้โดยเฉพาะ”
ฉินปิ่งจงรับแก้วนั้นมาไว้ในมือแล้วพิจารณา ของสิ่งนี้ไม่เลว ทำจากกระจกแก้ว……ราคาของมันน่าจะสูงนัก
“บรรจุเหล้าด้วยขวดนี้ และดื่มด้วยแก้วนี้ อาจารย์ฉินท่านคิดว่าอย่างไร?”
“ขวดนี้แม้มิใช่ของชั้นสูงแต่ช่างงดงามประณีตนัก แก้วนี้……คนธรรมดาทั่วไปคงไม่สามารถหาซื้อได้”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้ม และมองไปทางด้านหลังของต่งชูหลานแล้วพูดกับเสี่ยวฉีว่า “ขอให้แม่นางช่วยข้าล้างแก้วนี้เสียหน่อยเถิด ขอบใจมาก”
เขาหันกลับมาอีกครั้ง มองดูอาจารย์ฉินแล้วกล่าวว่า “อาจารย์ฉิน ท่านสามารถดื่มเทียนเซียงได้ แต่ไม่สามารถซื้อแก้วนี้ได้อย่างงั้นหรือ?”
อาจารย์ฉินคิดชั่วครู่ เทียนเซียงนั้นราคาสูง มิได้ดื่มบ่อยนัก คนที่สามารถซื้อเทียนเซียงดื่มได้ คงไม่ใส่ใจกับราคาแก้วนี้
“ในวันนี้ที่ข้าเดินทางมา ก็อยากจะให้ท่านอาจารย์ฉินลองลิ้มรสเทียนฉุนนี้ ว่าจะสามารถเทียบกับเทียนเซียงได้หรือไม่”
เสี่ยวฉียื่นแก้วให้ ฟู่เสี่ยวกวนเปิดขวดเหล้า รินลงสู่แก้ว กลิ่นหอมอันเข้มข้นลอยผ่านสายลม
“อาจารย์ฉินเชิญลอง”
ฉินปิ่งจงรับแก้วมาส่องดูกับไฟ แก้วใสมองเห็นเหล้าภายในกระเพื่อม เพียงแค่มองดูก็รับรู้ได้ว่าเหล้านี้ไม่ธรรมดา
เขานำมาดมกลิ่น แล้วลองชิม วิเคราะห์รสชาติอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ดื่มทีเดียวจนหมดแก้ว
ต่งชูหลานเองเมื่อเห็นเช่นนั้นก็รู้สึกตื่นเต้น เทียนฉุนนั้นนางยังมิเคยได้ลิ้มลอง และไม่อาจทราบถึงรสชาติว่าเป็นอย่างที่ฟู่เสี่ยวกวนได้เอ่ยมาหรือไม่ สามารถเทียบกับเทียนเซียงได้จริงอย่างนั้นหรือ
ตอนที่ 15 จากมัธยัสถ์สู่ความหรูหรา
“นี่… นี่คือฝีมือของฟู่เสี่ยวกวนหรือ” จางเหวินฮั่นลุกขึ้นยืนทันพลัน แต่พัดในมือนั้นกลับไม่สั่นไหวอีก
หลิวจิ่งหางได้ท่องบทกวีทั้งสองโคลงนั้นจบแล้ว และเงียบไปเสียอึดใจ
“คุณชายจางมิเชื่อรึ” ต่งชูหลานยิ้มอย่างไม่แยแส และกล่าวอีกว่า “ช่วงค่ำของวันที่ห้าต้นเดือนห้า ฟู่เสี่ยวกวนแต่งขึ้น ณ หมู่บ้านเสี้ยชุนเรือนซีซาน… ข้าจำได้ว่าคุณชายจางยังได้แต่งชิงผิงเล่อขึ้นมาในคืนที่ห้าของต้นเดือนห้าเช่นเดียวกัน และได้รับคำชื่นชมจากผู้คนอย่างล้นหลาม อีกทั้งยังเป็นบทกวีอันดับหนึ่งในเทศกาลตวนอู่ พรสวรรค์ทางวรรณกรรมของคุณชายจางเป็นเยี่ยงไรตัวข้าย่อมรู้ดี เยี่ยงนั้นคุณชายจางมีความคิดเห็นเยี่ยงไรเกี่ยวกับบทกวีทิศใต้ของฟู่เสี่ยวกวน?”
รอยยิ้มค่อย ๆ หดหายไปจากใบหน้าของจางเหวินฮั่น พัดในมือสั่นเทาเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “ข้าจะกล้ามิเชื่อคำพูดของคุณหนูต่งได้เยี่ยงไร เพียงแค่… ในอดีตคุณชายฟู่นั้นค่อนข้างเหลวไหล และมิเคยแต่งบทกวีมาก่อน ข้าเพียงรู้สึกว่ามันน่าประหลาดใจยิ่งนัก บทกวีทิศใต้ของฟู่เสี่ยวกวนนั้น ที่ข้าต้องถอนหายใจ ก็เพราะมิกล้าจะวิจารณ์ จากที่ได้มองในตอนนี้ ฟู่เสี่ยวกวนเปลี่ยนแปลงไปมากนัก เป็นข้าเองที่เอาแต่ปิดหูปิดตา”
หลิวจิ่งหางย่อมไม่พึงพอใจ ในตอนที่เขากำลังจะกล่าว กลับพบว่าจางเหวินฮั่นโบกมือให้กับเขา “ผู้มีพรสวรรค์แห่งหลินเจียง ฟู่เสี่ยวกวนคู่ควรกับตำแหน่งนั้น เพียงแค่บทกวีสองบทนี้ ก็ทำให้ข้าเลื่อมใสอย่างยิ่ง เพียงแต่น่าเสียดายที่ในวันพรุ่งนี้ข้าจักต้องออกเดินทางไปเมืองหลวงแล้ว พลาดโอกาสที่จะขอคำชี้แนะจากคุณชายฟู่ไปเสียแล้ว… ศิษย์น้องจิ่งหาง ต่อจากนี้ก็เข้าหาคุณชายฟู่ หากได้รับผลงานชิ้นเอกของคุณชายฟู่ ก็อย่าได้ลืมแบ่งปันให้กับศิษย์พี่ และชื่นชมไปด้วยกัน”
หลิวจิ่งหางเงียบไปอึดใจ และตอบกลับว่า “ย่อมเป็นเยี่ยงนั้น”
นอกจากทั้งสองคนที่นั่งอยู่ ส่วนใหญ่นั้นจะเป็นพ่อค้า ถึงแม้จะได้อ่านบทกวีมาผ่าน ๆ แต่ก็มิได้เชี่ยวชาญ จากที่ได้ฟังจางเหวินฮั่นกล่าวมา นั่นย่อมหมายความว่าบทกวีของฟู่เสี่ยวกวนนั้นเหนือกว่าจางเหวินฮั่นอยู่หนึ่งขั้น
แต่ละคนต่างมองหน้ากันไปมา แต่กลับเป็นเถ้าแก่หยางอีชาน พ่อค้าข้าวหยางจี้ที่หัวเราะขึ้นมา “หัวหน้าตระกูลฟู่มักจะไปมาหาสู่กับข้า เรื่องที่น่าปวดหัวที่สุดทุกครั้งที่คุยกันก็มิพ้นเรื่องของฟู่เสี่ยวกวน แต่ในวันนี้ดูเหมือนว่าบุตรชายของตระกูลฟู่จะมีความก้าวหน้าแล้ว นั่นเป็นเรื่องที่ดีนัก สี่ผู้มีพรสวรรค์แห่งหลินเจียง คุณชายจางเดินทางไปเมืองหลวงเพื่อไปสอบเป็นจอหงวนที่จินหลวนเตี้ยน จากนั้นก็โผบินไปอยู่ในราชสำนัก ดังนั้นหลินเจียงจึงเหลือเพียงสามผู้มีพรสวรรค์ แต่ในวันนี้คุณชายตระกูลฟู่ก็ได้แสดงพรสวรรค์ทางด้านวรรณกรรม มาเติมเต็มอย่างได้จังหวะ แสดงให้เห็นว่าหลินเจียงได้เป็นสถานที่ที่ให้กำเนิดยุคทองของวรรณกรรมอย่างแท้จริง”
“ที่อาวุโสหยางกล่าวมาก็มีเหตุผล หากมิใช่คุณหนูต่งนำบทกวีทั้งสองออกมาในวันนี้ ข้าเองก็คงมิทราบเลย มาเถิดดื่มเพื่อขอให้เพิ่มพูนผู้มีพรสวรรค์ให้แก่หลินเจียงอีกสักคน ! ”
ผู้ที่กล่าวก็คือฟ้านขุย หัวหน้าตระกูลค้าข้าวฟ้านจี้ ฟ้านขุยชนจอก ทุกคนต่างก็ชื่นชมและดื่มด้วยกัน
จางเหวินฮั่นรู้สึกว่าสุราจอกนี้ดื่มได้ยากยิ่งกว่าพิษ แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม ดื่มจนสุราไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
“บทกวีสองโคลงนี้เป็นผลงานที่มีชื่อเสียงของคุณชายฟู่ คู่ควรที่จะเผยแพร่ไปทั่วหล้า หลังจากที่ข้าจากไป จิ่งหางจงนำบทกวีสองโคลงนี้ไปให้แม่นางฝานตั่วเอ๋อร์ที่หออี้หงได้หรือไม่ การขับร้องของนางถือได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งของหลินเจียง หากถูกขับร้องโดยนาง จะไม่เป็นการดูถูกพรสวรรค์ของคุณชายฟู่เป็นแน่” จางเหวินฮั่นพูดกับหลิวจิ่งหางราวกับสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิ
ในใจของหลิวจิ่งหางเกิดความสงสัย แต่ก็ยังคงพยักหน้ารับ
ด้วยเหตุนี้ บทกวีสองโคลงนี้จึงขจรไปไกล ชื่อเสียงผู้มีพรสวรรค์ของฟู่เสี่ยวกวน จึงกระฉ่อนด้วยประการฉะนี้
และแน่นอน ฟู่เสี่ยวกวนในเวลานี้หาได้รู้ไม่ว่า ณ หอหลินเจียง ต่งชูหลานได้แก้ไขชื่อเสียงให้แก่เขา ด้วยการโยนบทกวีสองโคลงของเขาออกไป
……
…..
เรือนหลังใหญ่ ต้นไทรเก่าแก่ และเก้าอี้ตัวใหม่
ฟู่เสี่ยวกวนเอนกายอยู่บนเก้าอี้ ชุนซิ่วคอยเขย่าพัดอยู่ข้างเขา ในมือของเขาถือหนังสือเล่มเล็ก ๆ หนึ่งเล่ม ยังคงเป็นบันทึกผลผลิตทุ่งนาของตระกูล จนถึงวันนี้เขาก็ยังอ่านไม่จบ
“ซิ่วเอ๋อร์ น้ำ”
ชุนซิ่วยื่นน้ำชาอุ่น ๆ ไปถึงมือของเขา
“ซิ่วเอ๋อร์ ร้อน”
ชุนซิ่วไปหยิบน้ำแข็งและแตงโม นางทำแตงโมใส่น้ำแข็งมาให้หนึ่งชาม
“ซิ่วเอ๋อร์…”
“เจ้าค่ะ”
“ต่อจากนี้ ทำสิ่งนี้มาสามถ้วย เจ้า ข้า และเขา——ถึงเขาจะผีเข้าผีออก แต่ทุกคนก็ต้องทานด้วยกัน จึงจะมีรสชาติดี”
“คุณชาย…”
“คุณชายกล่าว เจ้าต้องฟัง”
“เจ้าค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกว่าคำพูดนั้นมีเหตุผลอย่างมาก จากมัธยัสถ์สู่ความหรูหรา
เขารู้สึกว่าตัวเองนั้นใช้ชีวิตอย่างหรูหราสุด ๆ แต่ชีวิตเยี่ยงนี้ก็สบายใจเป็นอย่างมาก
ภายในระยะเวลาสั้น ๆ เขาได้เปลี่ยนแปลงนิสัยเฉื่อยชาของโลกก่อนหน้านี้ไปแล้ว และได้เปลี่ยนนิสัยของตนเองไปอย่างช้า ๆ เมื่อเริ่มผสานเข้าสู่โลกนี้ ก็พยายามแสดงบทบาทที่คุณชายใหญ่ของตระกูลเศรษฐีที่ดินควรจะเป็น
แน่นอนว่าเรื่องแต่งตัวล้างหน้าแปรงฟันอาบน้ำเหล่านั้น เขายังคงจัดการมันด้วยตนเอง เพียงแค่ชีวิตนั้นดูอู้ฟู่ขึ้นเรื่อย ๆ
จากความเข้าใจที่ได้มาจากหนังสือเล่มเล็กเหล่านั้น เขาก็เข้าใจยิ่งขึ้นว่าอะไรคือสิ่งที่เรียกว่าตระกูลมั่งคั่ง
สิ่งที่เรียกว่าเงิน… สามารถทำให้ชีวิตของตนเองในแต่ละวันนั้นสบายยิ่งขึ้น แน่นอนว่าต้องมีค่าใช้จ่ายออกไป
ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้งหากยังคงตระหนี่เหมือนกร็องเด้ต์[1] คงไร้ความหมายอย่างยิ่ง
“ซิ่วเอ๋อร์… หากมีเวลา… ก็ไปหาสาวใช้มาสักเจ็ดแปดคน เอาที่สามารถทำอาหารได้ เจ้าก็คอยดูแลพวกนางไว้ให้ดี มีลูกน้องสักหน่อย เจ้าจะได้สบายยิ่งขึ้น”
“นั่น…”
“ยังมีอีก ข้าคุณชายผู้นี้จะยังมีธุรกิจอีกมากมายในภายภาคหน้า ข้าต้องการหาหญิงสาวที่งดงามและมีความสามารถหลากหลายเสียหน่อย… ไม่ต้องรีบ เจ้าค่อย ๆ สรรหาไป หากฝ่ายตรงข้ามยินยอม เจ้าก็จงพามาให้ข้าดู”
“คุณชาย…”
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือ “เรื่องปกติ อย่าได้คิดไร้สาระ”
“บ่าวมิได้คิดไร้สาระเลยเจ้าคะ แต่สาวงามที่มีความสามารถหลากหลาย… หากมิใช่บุตรีของตระกูลขุนนาง เยี่ยงนั้น คาดว่าจะหาได้จากหอนางโลมเพียงเท่านั้นเจ้าค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง “อ่า… เยี่ยงนี้หรอกรึ ข้ารู้แล้ว”
……
…..
หยู๋จงถานจากร้านขายกระจกและเจียงชั่งโหลวจากร้านเครื่องลายครามเจียงชื่อที่ซีฝาง ต่างก็ถือกล่องมาคนละใบ เดินเข้ามาในสวนหลังบ้าน ภายใต้การนำทางของพ่อบ้านใหญ่หวง
หวงเวยเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก
ช่วงนี้เขาได้ยินข่าวคราวของคุณชายมาอย่างหนาหู ส่วนมากเป็นข่าวที่มาจากเรือนซีซาน อย่างเช่นคุณชายได้ผลิตสุราชั้นดีขึ้นมามีนามว่ายอดสุราซีซาน หรือไม่ก็คุณชายได้ซื้อที่รกร้างผืนใหญ่ข้างเรือนแล้ว หรืออย่างเช่นคุณชายกำลังรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนายช่างด้านต่าง ๆ
เขาย่อมเข้าใจเป็นอย่างดีว่าคุณชายตระกูลฟู่นั้นมีพฤติกรรมน่าระอาขนาดไหน ความกำเริบของเขาเมื่อหลายวันก่อน เกือบจะคร่าชีวิตน้อย ๆ ของเขาไปแล้ว แต่จากที่เห็นในวันนี้ ราวกับว่าคุณชายได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างแท้จริง
ทั้งสองคนนี้เป็นคนที่คุณชายเชื้อเชิญมา เขามิทราบว่าต้องการทำอะไร ดังนั้นจึงพาคนทั้งสองเข้ามา และเขาก็ไม่ได้จากไป
“นั่งเถิด ซิ่วเอ๋อร์ รินชา”
หยู๋จงถานส่งกล่องไปให้ แล้วกล่าวว่า “ตามความต้องการของคุณชายฟู่ นายช่างของข้าหลายคน ต่างก็พยายามใช้ความคิดกันอย่างมาก ท่านลองดูว่าถูกใจหรือไม่”
ฟู่เสี่ยวกวนเปิดกล่องออก หยิบแก้วทรงสูงออกมา ลูบคลำจากบนลงล่างอย่างพินิจ และนำขึ้นส่องกับแสงแดดเพื่อดูประกาย แล้วเอ่ยถาม “สามารถทำให้ใสกว่านี้ได้หรือไม่”
หยู๋จงถานส่ายหน้า “ขั้นตอนการฟอกสีสามารถทำได้เพียงเท่านี้”
ของสิ่งนี้ออกสีเหลืองเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าเป็นอุปกรณ์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว
“ยังคงมีช่องว่างให้ต้องปรับปรุงอีกมาก ให้นายช่างทำการศึกษาเข้าเสีย สำหรับตอนนี้ก็ให้เป็นเยี่ยงนี้ไป ข้าต้องการ 1,000 ชิ้น ต้องใช้เวลานานเท่าใดจึงจะนำมาส่งได้”
“การจัดทำค่อนข้างยุ่งยาก ข้าคาดไว้ว่าเร็วที่สุดคือสิบวัน”
“เสนอราคามา”
ในใจของหยู๋จงถานได้เตรียมพร้อมเอาไว้แต่เนิ่น ๆ แล้ว เนื่องจากเป็นการเสนอราคา ฝ่ายตรงข้ามย่อมต่อราคาเป็นแน่ เยี่ยงนั้นย่อมเสนอราคาให้สูงไว้ก่อน
“1 ชิ้น 100 อีแปะ”
“100 อีแปะรึ?” ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้ว หยู๋จงถานใจกระตุก แต่กลับพบว่าฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยกับชุนซิ่วเยี่ยงนี้ “ซิ่วเอ๋อร์ นำพู่กันและน้ำหมึกมา”
“หยู๋หลงจู๊ นี่คือการทำธุรกิจครั้งแรก ข้าจะไม่ต่อรองกับเจ้า 100 อีแปะต่อ 1 ชิ้นตามนั้น ข้าให้เวลาเจ้าสิบวัน แต่เจ้าจงจำไว้ สินค้าจะต้องเป็นเยี่ยงแก้วนี้ หากคุณภาพต่ำกว่าแก้วนี้ ข้าไม่ต้องการ นอกจากนี้ ใต้แก้วนั้นข้าต้องการประทับตัวอักษรเทียนฉุนด้วย พวกเรามาเซ็นสัญญาซื้อขายสินค้าชุดนี้กันก่อนเถิด ข้าจะจ่ายมัดจำให้เจ้า 2 ส่วน อีกสักประเดี๋ยวข้าจะให้กระดาษใบเล็กแก่เจ้า หลังจากนั้นจงนำไปเบิกที่ห้องคลัง”
หยู๋จงถานดีใจเป็นอย่างยิ่ง และรีบกล่าวอย่างรวดเร็ว “คุณชายฟู่วางใจเถิด ข้าจะรักษาคุณภาพของสินค้าไว้ ต่อจากนี้หากต้องการสิ่งใด เพียงแค่คุณชายฟู่สั่งมา ข้าจะหาทุกวิถีทางเพื่อทำออกมาให้ได้”
หวงเวยไม่คาดคิดว่าคุณชายจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดไปเสียแล้ว
สิ่งนี้ดูแล้วเหมือนจะเป็นแก้วสุรา ของเล็ก ๆ ชิ้นนี้ หนึ่งชิ้นมีค่าถึง 100 อีแปะเชียวหรือ สินค้าฟอกสีถึงแม้จะมีราคาสูง แต่สินค้านี้มีขนาดเล็กยิ่งนัก คุณชายยังอยากจะได้อีก 1,000 ชิ้นหรือ? ต้องการทำอันใดกันแน่?
แน่นอน เมื่อคุณชายตัดสินใจเยี่ยงนั้นแล้ว ในฐานะหัวหน้าพ่อบ้านตระกูลฟู่ ย่อมไม่สามารถพูดอะไรได้มากไปกว่านี้
ฟู่เสี่ยวกวนได้ทำสัญญากับหยู๋จงถาน เขียนใส่กระดาษเล็กหนึ่งใบแล้วส่งให้กับหยู๋จงถาน แก้วสุรานี้ทิ้งไว้ที่เขา หยู๋จงถานจากไปด้วยความยินดี
เมื่อได้เห็นขวดลายครามที่เจียงชั่งโหลวนำมา ก็พึงพอใจยิ่ง สนนราคา 15 อีแปะต่อหนึ่งชิ้น เขาไม่ได้ต่อราคาเช่นกัน แต่ยื่นความต้องการให้บนขวดนั้นประทับอักขระ
“ที่ตัวขวดตรงนี้ ให้ลงซีชานเทียนฉุน ส่วนตรงนี้ให้ลงไว้ว่าสุราหาได้ยากยิ่งในใต้หล้า 42 ดีกรี หลังจากนั้นด้านล่างขวดนั้นให้ลงอักขระว่าซีชาน แบบนี้ข้าต้องการ 500 ชิ้น”
“อีกอย่าง ตามรูปลักษณ์แบบนี้ ข้าต้องการให้ทำขวดสีฟ้าและตกแต่งด้วยดอกบ๊วยสีแดง ลงอักขระว่าซีชานเซียงเฉวียน 42 ดีกรี ด้านล่างขวดให้ลงคำว่าซีชานเช่นเดียวกัน แบบนี้ข้าต้องการ 1,000 ชิ้น”
“ขวดเทียนฉุนต้องมีขนาดเล็ก บรรจุได้ 3 ตำลึงต่อขวดก็พอ ส่วนขวดเซียงเฉวียนต้องใหญ่กว่า สามารถบรรจุได้ 5 ตำลึงต่อขวดก็พอ หากแต่ราคาเท่าเดิม ท่านคิดว่าอย่างไร?”
เจียงชั่งโหลวพยักหน้า “คุณชายฟู่สบายใจได้ ข้าจะรีบกลับไปดำเนินการ”
“ดี พวกเราเองก็เซ็นสัญญาหนึ่งฉบับ ใช้เวลาเท่าใดจึงจะส่งของได้?”
“1,500 ขวด ใช้เวลาประมาณ 7 วัน”
“ข้าให้เวลาเจ้า 10 วัน จะต้องทำให้ดี! โดยเฉพาะการเคลือบและการประทับอักขระ… ประเดี๋ยวก่อน เรื่องอักขระ ข้าจะให้แบบอักขระเจ้าในภายหลัง”
คว้าทั้งสัญญาทั้งเงินมัดจำ หลังจากนั้นเจียงชั่งโหลวก็จากไปอย่างมีความสุขเช่นเดียวกัน
เพียงเวลาไม่นาน สองข้อตกลงซื้อขายชุดใหญ่ของคุณชายตระกูลฟู่ก็ได้กระจายไปทั่ว หลังจากนั้นเถ้าแก่ร้านเครื่องลายครามเหยาจี้ก็โกรธจัด และไล่หลี่หลงจู๊ที่อยู่กับเขามานานนับสิบปีออก
แน่นอนว่าฟู่เสี่ยวกวนมิทราบเรื่องนี้ ในเวลานี้เขากำลังเดินอย่างเชื่องช้าที่ลานจวน
เพียงชั่วครู่ เขาก็หยุดฝีเท้าลง และกล่าวว่า “เสี่ยวไป๋ เจ้าช่วยวิ่งธุระให้ข้าสักรอบหนึ่งสิ”
“อย่าเรียกข้าว่าเสี่ยวไป๋ ! ไปที่ใด ? ” ไป๋ยู่เหลียนกระโดดลงมาจากต้นไม้ จนทำให้พ่อบ้านหวงตื่นตกใจ
“นำขวดใบนี้ ไปบรรจุสุราเทียนฉุนที่หยู๋ฝูจี้ บรรจุมา 7 ส่วน แล้วนำกลับมาให้ข้า”
“นอกจากนั้นซิ่วเอ๋อร์ ช่วยไปหาผ้าไหมสีแดงเข้มให้ข้าหนึ่งผืน ใหญ่กว่าฝ่ามือของข้าก็พอ”
หวงเวยเฝ้าดู จนกระทั่งในจวนเรือนเหลือเพียงแค่ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เอ่ยถาม “การลงมือครานี้คุณชายมีความหมายว่าเยี่ยงไรหรือขอรับ?”
“อือ ขายสุรา”
“อุปกรณ์นี้แพงยิ่งกว่าสุราเสียอีก!”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “ลุงหวง อย่าได้กลัวไปว่าสิ่งนี้มีราคาสูง เจ้าสบายใจเถิด ข้าย่อมรู้ดีแก่ใจ”
ตอนที่ 14 ฟู่เสี่ยวกวนผู้มีพรสวรรค์
ชวูชั่งหลายออกไปเป็นเวลานานยังมิกลับมา ผู้คนที่อยู่ในห้องนั้นพากันสงสัย เมื่อถามเสี่ยวเอ้อที่เข้ามารินชาจึงได้รู้ว่าต่งชูหลานและอาจารย์ฉินอยู่ด้านนอก
“เจ้าบอกว่า ฟู่เสี่ยวกวนแต่งกวีสดให้คุณหนูต่ง อีกทั้งยังได้รับคำชมจากอาจารย์ฉินงั้นหรือ?”
ผู้ที่ถามขึ้นคือ จางเหวินฮั่นลูกชายคนที่สองของจางเหลียง
ในมือเขาถือพัด สวมใส่ชุดขาว บัดนี้ลุกยืนขึ้นและขมวดคิ้วด้วยความสงสัย
ผู้มีพรสวรรค์แห่งเมืองหลินเจียงทั้งสี่คน มีจางเหวินฮั่นเป็นผู้นำ ศักราชเซวียนลี่ที่เจ็ดได้รับคัดเลือกเข้าสอบเป็นจวี่เหริน ปีนี้ในเดือนเก้าเขาจะเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อไปสอบ การเดินทางมาครั้งนี้หนึ่งเพื่อส่งต่งชูหลาน สองนั้นเพื่อที่จะเดินทางไปเมืองหลวงพร้อมกับนาง
“คุณชาย คุณชายฟู่นั้นได้รับคำชมจากอาจารย์ฉินจริง ท่านอาจารย์พูดชมถึงสามครั้งติดกัน ข้าน้อยคิดทบทวนดูก็คงจะดีจริง ๆ อีกอย่าง……อาจารย์ฉินนัดคุณชายฟู่ว่าหากมีเวลาว่างให้ไปหาที่สำนักศึกษาหลินเจียง ข้าน้อยมิได้พูดปด ท่านหัวหน้าตระกูลชวูก็อยู่ที่นั่นด้วย”
จางเหวินฮั่นกางพัดออกเบา ๆ พลางขมวดคิ้วและโบกพัดไปมาเบา ๆ “เจ้าไปได้แล้ว”
เขามิได้ร้อนใจออกไป แต่กลับนั่งลง ทำให้บรรดาผู้ที่นั่งอยู่ด้วยล้วนประหลาดใจ คุณชายฟู่แห่งเมืองหลินเจียงนั้นเขารู้จัก แต่ทั้งสองไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน
อีกคนหนึ่งเป็นลูกเศรษฐี อีกคนหนึ่งคือผู้มีพรสวรรค์ พวกเขาเสมือนบุคคลที่อยู่คนละโลก คนละทางกัน
ฟู่เสี่ยวกวนคือผู้ที่จะสืบทอดตระกูลเป็นพ่อค้าที่ดินรายใหญ่ ส่วนเขาจะเข้าไปรับราชการในวัง
เมื่อเดือนก่อนที่ฟู่เสี่ยวกวนได้ก่อเรื่องไว้นั้นโด่งดังไปทั่วหลินเจียง เขาเองก็รู้ดี เมื่อได้ยินเรื่องราวนี้เขายังยิ้มและพูดว่า “พวกคางคกขึ้นวอ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ! ”
จากนั้นเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนถูกองค์รักษ์ของต่งชูหลานทำร้าย เขาเองก็มิได้ประหลาดใจ เนื่องจากเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนทำนั้น ต่อให้ถูกทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต เขาเองก็มิได้ประหลาดใจ
แต่ตอนนี้ในใจเขาเกิดความข้องใจขึ้นมา
ต่งชูหลานปฏิบัติต่อฟู่เสี่ยวกวนเช่นนั้น แล้วเหตุใดพวกเขายังนั่งด้วยกันได้ อีกทั้งฟู่เสี่ยวกวนยังแต่งกวีให้แก่ต่งชูหลานด้วย
นี่จึงจะเป็นต้นตอของปัญหา
ระยะเวลาที่ต่งชูหลานอยู่ในเมืองหลินเจียงนี้ ตัวเขาเองได้พยายามอย่างมากในการอยู่เป็นเพื่อนนาง สำหรับนิสัยของนางนั้น เขาพอรู้อยู่บ้าง
นอกจากพรสวรรค์ที่น่าทึ่งของต่งชูหลานแล้วนั้น นางก็เป็นสตรีธรรมดาทั่วไปไม่ต่างจากสตรีนางอื่น มีความรู้ความสามารถ และเป็นที่หมายปองของบรรดาบุรุษผู้มีความรู้
ส่วนฟู่เสี่ยวกวนนั้นนอกจากเงิน ก็มิได้มีอะไรดี
แต่วันนี้เขากลับแต่งกวีขึ้นมา!
อีกทั้งกวีบทนี้ยังได้รับคำชมจากอาจารย์ฉิน ซึ่งหมายความว่าเป็นกวีที่ดียิ่งนัก แต่คนที่เรียนไม่เก่งเช่นฟู่เสี่ยวกวน จะสามารถแต่งกวีเช่นนี้ได้เชียวหรือ?
แน่นอนว่าไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแผนการของฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่
เขาคงรู้ว่าต่งชูหลานจะมาที่หอหลินเจียงเพื่อจัดงานเลี้ยง และรู้ว่านางกำลังจะออกเดินทางไปจากหลินเจียง จึงได้จัดเตรียมบทกวีไว้ให้นาง ชัดเจนว่าเขามิได้แต่งเอง
เขาใช้วิธีการเช่นนี้ต่อต่งชูหลาน ดังนั้นหมายความว่าเขามิได้ถอดใจไปจากต่งชูหลาน ชายผู้นี้……เจ้าเล่ห์เสียจริง!
เขายิ่งจะต้องเปิดโปงความจริงนี้ให้ได้ ทำให้ฟู่เสี่ยวกวนอับอายขายหน้า ทำให้ต่งชูหลานมองเห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา และไม่มีโอกาสแก้ตัวอีกต่อไป
เป็นพ่อค้าที่ดินอยู่ดี ๆไม่ชอบ อยากแกล้งเป็นคนมีความรู้!
จางเหวินฮั่นรวบรวมเหตุผล และคิดแผนการที่จะจัดการได้สำเร็จ เขากระซิบกับหลิวจิ่งหาง หนึ่งในผู้มีพรสวรรค์
……
……
“เป็นเช่นนี้ ท่านแม่ได้ก่อตั้งยวี๋ฝูจี้ หลังจากที่นางได้จากไป ธุรกิจของยวี๋ฝูจี้ก็แย่ลงเรื่อย ๆ นี่คือสิ่งที่ข้าเองไม่ต้องการที่จะเห็น ดังนั้นจึงได้คิดค้นเหล้าขึ้นมา”
ฟู่เสี่ยวกวนไม่ปล่อยโอกาสในการโฆษณาเหล้าของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทราบถึงฐานะของอาจารย์ฉิน
“เหล้าตลาดทั่วไปนั้นไม่ได้มาตรฐาน หรือพูดได้ว่าชาวบ้านรู้แค่ว่าเหล้านั้นมีกลิ่นหอม แต่ดีขนาดไหนไม่มีใครกำหนด ข้าจึงตั้งข้อกำหนดของเหล้าขึ้นมา เพื่อใช้จำแนกระดับ”
“โดยทั่วไปแล้วจะเรียกว่าปริมาณความเข้มข้น แต่พวกเราจะเรียกมันว่าดีกรี ก็คือ เช่นเหล้าที่ยวี๋ฝูจี้เคยขายและเหล้าที่ร้านรวงในเมืองขายนั้น มี 15 ดีกกรี ส่วนเหล้าเซียงเฉวียนนั้น 32 ดีกรี แต่เหล้าเทียนฉุนมีปริมาณถึง 42 ดีกรี ส่วนเหล้าที่คุณหนูต่งดื่มที่เรือนซีซานนั้น 48 ดีกรี”
“แน่นอนว่าเหล้าที่มีคุณภาพดีย่อมมีผลผลิตที่น้อยกว่า และใช้วัตถุดิบในการผลิตที่มากกว่า เช่น เหล้าเซียงเฉวียนนั้น 1 ตำลึงมีต้นทุน 40 อีแปะ ส่วนเหล้าเทียนฉุนนั้นมีต้นทุนสูงกว่าถึงเท่าตัว” ไป๋ยู่เหลียนเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวนแวบหนึ่ง
“แพงเช่นนี้เชียวหรือ?” อาจารย์ฉินขมวดคิ้วถาม
“หึหึ แม้จะมีราคาแพง แต่ข้ามั่นใจว่าใครที่ได้ดื่มเหล้าของข้าเข้าไปแล้ว จะไม่อยากดื่มเหล้าอื่นอีกเลย แต่แน่นอนว่าเหล้าของหยู๋ฝูจี้นั้นมีกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันไป เช่น เถ้าแก่ชวูหรืออาจารย์ฉิน อีกอย่างกำลังการผลิตของพวกเรานั้นก็ต่ำมาก ทางเราจะทำการตัดสินใจในภายหลัง แต่เหล้าเซียงฉุนนั้นกำหนดให้ซื้อได้วันละ 5 ตำลึงต่อหนึ่งคน ส่วนเหล้าเทียนฉุนนั้นกำหนดวันละ 3 ตำลึง”
ต่งชูหลานเมื่อฟังจบจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “มีเหตุผลที่มิให้ผู้ซื้อ ซื้อในปริมาณมากไหม?”
“เหล้านั้นอาจมีรสดี แต่ไม่ควรดื่มมากเกินไป อีกอย่างปริมาณในการผลิตในแต่ละวันไม่มากนัก หากเถ้าแก่ชวีซื้อไปหมดแล้ว อาจารย์ฉินจะทำอย่างไร?”
อาจารย์ฉินหัวเราะขึ้น ชวีซั่งหลายไม่เห็นด้วย เขาเอ่ยว่า “หากเหล้าเทียนฉุนของเจ้านั้นมีรสดี ข้าจะซื้อมาลองชิมดูแน่ แต่หากผิดหวังละก็ ปากข้านี้คงไม่ไว้หน้าผู้ใด”
“เถ้าแก่ชวีวางใจได้ หากสู้เหล้าเซียงเทียนไม่ได้ ท่านเชิญมาทุบร้านข้าได้เลย”
คำพูดนี้ช่างหนักแน่นนัก ทำให้เถ้าแก่ชวีตกตะลึง……หรือว่าเขาจะรู้สูตรลับของเทียนเซียงงั้นหรือ?
ทันใดนั้นชวูชั่งหลายก็นึกขึ้นมาได้ว่าในห้องเทียนจื่อหมายเลขหนึ่งนั้นยังมีบุคคลอื่นรออยู่ จึงโค้งคำนับแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูต่ง อาจารย์ฉิน พวกข้าได้จัดเตรียมงานเลี้ยงให้แก่ท่านทั้งสอง บัดนี้เป็นเวลาอันสมควรแล้ว ท่านทั้งสองจะ……”
ต่งชูหลานลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวกับฟู่เสี่ยวกวนว่า “อย่าลืมให้คนนำเหล้านั่นมาให้ข้าด้วย”
“แน่นอน! ในเมื่อท่านทั้งสองมีนัด ตัวข้าเองก็คงต้องไปก่อน ก่อนที่เหล้าหยู๋ฝูจี้จะส่งไปขายสู่ตลาดนั้น ข้าจะส่งไปให้ท่านอาจารย์ฉินลิ้มรสเช่นกัน”
“ตกลงตามนี้”
อาจารย์ฉินและต่งชูหลานเดินตามชวูชั่งหลายเข้าไป ต่งชูหลานมิได้เอ่ยชวนฟู่เสี่ยวกวนให้เข้าไปด้วย ไม่ทราบว่าด้วยความตั้งใจ……หรือลืมกันแน่
ไป๋ยู่เหลียนหัวเราะขึ้น “ข้าคงประเมินเจ้าต่ำเกินไป ช่างมีความสามารถในการพูดนัก”
“ข้ามิได้พูดปด ……น่าเสียได้ที่รู้จักสถานะของอาจารย์ฉินช้าไปเสียหน่อย แต่ไม่เป็นไร เขาเชิญข้าไปที่สำนักศึกษาหลินเจียงมิใช่หรือ รอให้ขวดผลิตเสร็จเรียบร้อย ข้าจะนำเหล้าไปเยี่ยมเขา……ตัวเขามีชื่อเสียงด้านวรรณกรรมมากมาย และคนในวงการวรรณกรรมนี้ หากต้องการแต่งกวีดี ๆ ก็ย่อมขาดเหล้าย้อมใจไม่ได้ บัณฑิตนั้นมีเงิน แม้จะไม่มีเงินก็สามารถหยิบยืมผู้อื่นมาซื้อจนได้”
“เพราะเหตุใดกัน?” ชุนซิ่วถามขึ้น
“เพราะบัณฑิตเป็นผู้รักหน้าตา เขาต้องรักษาหน้าตัวเอง”
เสี่ยวเอ้อนำอาหารมาวาง ทั้งสามคนกินดื่มและเจรจากันอย่างสนุกสนาน สายลมอุ่น ๆ โบกพัดมา ช่างน่ายินดีเสียจริง
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ทั้งสามคนก็กินดื่มกันเรียบร้อยและเตรียมตัวเดินทางกลับ แต่คาดไม่ถึงว่าประตูห้องเทียนจื่อหมายเลขหนึ่งจะถูกเปิดออก ชวูชั่งหลายเดินออกมาจากประตู
“คุณชายฟู่ ช้าก่อน คือเรื่องเป็นเช่นนี้ เรื่องพ่อค้าหลวงนั้นได้กำหนดเรียบร้อยแล้ว ส่วนคุณหนูต่งจะออกเดินทางกลับเมืองหลวงในวันพรุ่งนี้ ดังนั้น ท่านจางท่านหลิ่วท่านหวงอีกทั้งตัวข้า และเจ้าของร้านค้าข้าวรายใหญ่ทั้งสาม จะเดินทางไปส่งคุณหนูต่งด้วย”
“เมื่อครู่พวกเราได้เอ่ยถึงความสามารถด้านกวีของท่าน และกวีนั้นช่างงดงามนัก เพียงแต่กวีนี้ท่านแต่งให้คุณหนูต่ง คุณหนูมิประสงค์ให้นำมาชื่นชม ความหมายของพวกข้าคือ……ขอเชิญคุณชายฟู่เข้าไปด้านใน หนึ่งเพื่อทำการเลี้ยงส่งให้แก่คุณหนูต่ง สองนั้น……ช่วยเพิ่มสีสันให้แก่พวกเรา เป็นเยี่ยงไร?”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้ม แล้วตอบว่า “ข้าคงไม่เข้าไปแล้ว……รบกวนท่านเถ้าแก่ชวีเข้าไปบอกแทนข้าว่า คำชวนของท่านทั้งหลายนั้นข้าซาบซึ้งในน้ำใจนัก และอวยพรให้คุณหนูต่งเดินทางปลอดภัย ตัวข้ามีธุระอื่นต้องไปจัดการ คงต้องขอตัวก่อน เมื่อเหล้าใหม่ของยวี่ฝูจี้วางขายแล้ว ข้าจะเรียนเชิญพวกท่านมาร่วมสนุกกัน”
เขาเดินออกไป ชวูชั่งหลายสะบัดแขนเสื้อ สีหน้าไม่พอใจนักแล้วหันหลังกลับไปยังห้อง จางเหวินฮั่นรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่เขาก็คาดเดาไว้แล้วว่าอาจจะเป็นเช่นนี้
หากฟู่เสี่ยวกวนนั้นฉลาด เขาคงไม่เข้ามาเนื่องจากบทกวีนั้นเขาได้มอบให้ต่งชูหลานเรียบร้อยแล้ว เขาได้ทำตามแผนจนสำเร็จ และไม่มีความจำเป็นใดที่จะเข้ามาให้ผู้อื่นเยาะเย้ย
จางจือเช่อตบบ่าชวูชั่งหลาย แล้วยิ้มว่า “เหตุใดจึงต้องอารมณ์เสียด้วยเรื่องเล็กน้อยเพียงนี้ ฟู่ต้ากวนคือผู้มีชื่อเสียง พวกท่านทั้งหลายในที่นี้คงเห็นตรงกัน ส่วนบุตรชายของเขานั้นก็มีชื่อเสียงในเมืองหลินเจียงเช่นกัน……เราไม่ควรเอ่ยถึงผู้อื่นลับหลัง พวกเรามาดื่มกันให้สนุก อย่าให้เสียบรรยากาศ”
หลังจากการดื่มด่ำอย่างสนุกสนาน หลิวจิ่งหางบุตรชายของหลิวยุ่นเฉิงก็เอ่ยด้วยความเมาว่า “ฟู่เสี่ยวกวนคนนี้ ผู้มีความสามารถเช่นนั้น พวกเราไม่ควรไปคบค้าพูดคุยด้วย แต่เรื่องที่เขากระทำนั้นข้าก็ได้ยินมามาก แต่ไม่เคยได้ยินว่าเขาแต่งกวีได้ พวกท่านคิดดูเถิด ว่าคุณชายที่ชื่นชอบหอนางโลม และมีตำแหน่งซิ่วไฉ อีกทั้งได้ยินว่าใช้เงินซื้อมา อยู่ดี ๆ จะแต่งกวีขึ้นมาได้อย่างไร อีกทั้งยังได้รับคำชื่นชม เป็นไปไม่ได้เลย!”
“ถ้าเช่นนั้นท่านหมายถึง……..”
“ข้าน้อยหมายถึง บทกวีที่เขามอบให้คุณหนูต่งนั้น……เขาอาจจะไหว้วานผู้อื่นประพันธ์ให้ เขาใช้วิธีนี้กับคุณหนูต่ง ช่างน่าลงโทษนัก……!”
คำพูดนี้หนักแน่น จางเหวินฮั่นโบกพัดของเขายิ้มอยู่ในใจ
อาจารย์ฉินและต่งชูหลานขมวดคิ้ว เมื่อได้ยินหลิวจิ่งหางเอ่ยว่า “พวกท่านลองครุ่นคิดดูเถิด หากเขามีความสามารถจริง ๆ คงจะเข้ามาแต่งกวีให้พวกเราสักบท หนึ่งเพื่อปกป้องชื่อเสียงตน สองเพื่อให้พวกเราชื่นชม ช่างเป็นโอกาสดีนัก แต่เขากลับไม่เข้ามาด้วยเหตุใด? เนื่องจากในใจเขารู้ดี นอกจากคัดลอกกวีผู้อื่นแล้ว เขาคงทำอะไรไม่เป็น!”
ผู้อื่นเริ่มเห็นด้วยกับความเห็นของเขา
ต่งชูหลานครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จึงได้หยิบกระดาษสองแผ่นออกมา
นางเอ่ยอย่างเรียบ ๆ ว่า “หากฟู่เสี่ยวกวนเป็นอย่างที่ท่านเอ่ย เชิญพวกท่านทั้งหลายชมสิ่งนี้”
นางส่งไปให้หลิวจิ่งหาง แล้วเอ่ยว่า “กวีสองบทนี้ ฟู่เสียวกวนแต่งขึ้นในวันตวนอู่ พวกท่านทั้งหลายลองดูว่าเป็นเช่นไร”
จางเหวินฮั่นขมวดคิ้ว หลิวจิ่งหางรับกระดาษไป
“บทกวีทิศใต้·ดวงจันทร์แห่งเจียงหนาน
ดวงจันทร์แห่งเจียงหนาน ทอแสงนวลมาที่ซีโหลว
เมื่อเมฆจางหาย
เผยให้เห็นเสี้ยวหยกที่แดนไกล
จากกลมเป็นเสี้ยวมิได้เปลี่ยนแปลง
……
ตอนที่ 13 หลินเจียงเซียน ถึงสหายชูหลาน
เที่ยงวัน แดดแสบร้อนเล็กน้อย ณ หอหลินเจียง
ฟู่เสี่ยวกวนมองป้ายอักษรสีทองที่หอหลินเจียง ทันใดนั้นก็รู้สึกขึ้นมาว่าหากในตอนแรกไม่มาเกิดเรื่องขึ้นที่นี่ น่ากลัวว่าตนเองในโลกก่อน คงจะตายในสนามรบจริง ๆ
บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตา เขาหัวเราะขึ้นมา จนไป๋ยู่เหลียนและชุนซิ่วที่มองอยู่ประหลาดใจ
“ปลานึ่งซอสเปรี้ยวหวานและกุ้งผัดใบชาของที่นี่ไม่เลว ไปลองกันเถอะ”
เมื่อเดินเข้ามาในห้องโถง หลงจู๊ก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับ “โอ้ แขกผู้มีเกียรติ เชิญคุณชายฟู่ด้านใน… คุณชายฟู่ ห้องเทียนจื่อหมายเลขหนึ่งของท่านมีแขก มิทราบว่าจะจัดให้ท่านอยู่ที่ห้องเทียนจื่อหมายเลขสองได้หรือไม่?”
ห้องเทียนจื่อหมายเลขหนึ่งของหอหลินเจียงนั้นมีไว้เพื่อคุณชายแห่งจวนฟู่โดยเฉพาะ เพียงแค่หลังจากที่เกิดเหตุการณ์ครั้งที่แล้วคุณชายฟู่ก็ไม่ได้มาที่นี่อีก คาดว่าน่าจะได้รับบทเรียนแล้ว และน่าจะถูกนายท่านฟู่ขังไว้ที่บ้าน แต่ไม่คาดคิดว่าจะมาในวันนี้ ประจวบเหมาะกับที่พ่อค้ารายใหญ่ของเมืองหลินเจียงที่เชิญต่งชูหลานบุตรีของเสนาบดีกรมคลังสมัยนี้มา… นั้นทำให้หลงจู๊กังวลใจอย่างมาก เขากลัวว่าอีกฝ่ายจะทำเรื่องไร้เหตุผลอะไรขึ้นมาอีก
หากบุรุษผู้นี้ต้องการห้องเทียนจื่อหมายเลขหนึ่ง และไปทำร้ายชาวบ้านเข้า เกรงว่าร้านของตนนั้นจะได้รับผลกระทบไปด้วย
“มิเป็นไร พวกข้าสามคน อยู่ด้านนอกก็ได้ หาที่นั่งข้างหน้าต่างก็เป็นพอแล้ว”
น้ำเสียงของฟู่เสี่ยวกวนดูนุ่มนวล โดยที่ใบหน้านั้นไร้ซึ่งความขุ่นเคือง หลงจู๊เหลือบมองอีกครา แล้วกล่าวอย่างระมัดระวัง “ด้วยฐานะคุณชายฟู่ คงไม่เหมาะที่จะนั่งด้านนอก หากคุณชายฟู่ยินยอมที่จะใช้ห้องเทียนจื่อหมายเลขสอง ก็ถือว่าให้หน้าแก่กู้โหมวเทียนแล้ว”
ห้องเทียนจื่อหมายเลขหนึ่งของหอหลินเจียงนั้นใหญ่มาก ตกแต่งอย่างเรียบง่ายและสง่างาม มีโต๊ะ 8 ตัว ทั้งยังมีเวทีสำหรับการร้องรำและเล่นดนตรีอีกด้วย ห้องเทียนจื่อหมายเลขสองจะด้อยกว่า สำหรับฟู่เสี่ยวกวนในเวลานี้ เขาไม่ต้องการห้องใหญ่แบบนั้น ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า “กู้หลงจู๊มิต้องทำเช่นนี้หรอก ข้าสามคนจะนั่งข้างนอก นำน้ำชาหลงจิ่งมาให้พวกข้าหนึ่งกา นอกจากนั้น… ข้าสั่งปลานึ่งซอสเปรี้ยวหวาน ที่เหลือเจ้าช่วยจัดการต่อด้วย เอาแบบนี้ล่ะ เจ้าไปทำธุระต่อเถิด”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวจบก็เดินขึ้นไปบนชั้นสอง กู้หลงจู๊จ้องมองแผ่นหลังนั้นอยู่นาน หลังจากนั้นก็ส่ายหน้า และบ่นออกมาเสียงเบา “คงไม่ใช่ว่ามีความคิดที่ไม่ดีอันใดหรอกกระมัง”
หลังจากนั้นเขาจึงตะโกนเรียกเสี่ยวเอ้อเสียงดัง “คุณชายฟู่ชั้นสอง นำหลงจิ่งชั้นเยี่ยมหนึ่งกาขึ้นไปเดี๋ยวนี้!”
หลายวันมานี้ชุนซิ่วก็ค่อย ๆ คุ้นชินกับนิสัยของคุณชายบ้างแล้ว จึงไม่ได้สนใจอะไร แต่ไป๋ยู่เหลียนกลับใช้สายตาจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน
ทั้งสามคนนั่งริมหน้าต่าง ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยยิ้มๆ “ในคราแรก ก็คือที่นั่งนี้ ที่ได้พบกับต่งชูหลาน จนเกิดเรื่องเรื่องนั้นขึ้น”
ไป๋ยู่เหลียนขมวดคิ้วเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม “นี่คือสถานที่แห่งความทรงจำ อยากจะหาโอกาสแก้แค้นรึ?”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า “หาโอกาสแก้แค้นอันใด ข้ารนหาที่เอง แท้จริงแล้วข้ารู้สึกขอบคุณนางเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่คนผู้นั้น…กล่าวไปพวกเจ้าก็มิเข้าใจหรอก”
เสียงถอนหายใจดังขึ้น สายตามองออกไปนอกหน้าต่าง “ชีวิตราวกับฝัน… หนึ่งจอกหวนคืนดวงจันทร์บนลำธาร ณ วันนี้เวลานี้ อยากจะดื่มสักสองจอก”
ต่งชูหลานมาตามเวลานัดหมาย และมีอาจารย์ฉินแห่งสำนักศึกษาหลินเจียงติดตามนางมาด้วย
ทันทีที่เดินขึ้นมายังชั้นสอง สายตาก็พบเห็นฟู่เสี่ยวกวนที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างทันที
ในขณะที่เขาจ้องมองออกไปที่นอกหน้าต่าง และเอ่ยประโยคนั้นออกมา “ชีวิตราวกับฝัน หนึ่งจอกหวนคืนดวงจันทร์บนลำธาร”
“ข้าเลี้ยงเจ้าสองจอก!”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนหันกลับมามอง ก็เห็นต่งชูหลานที่มีผ้าคลุมปิดหน้ามองเขาด้วยท่าทีขบขัน
“บังเอิญเสียจริง ? ” ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นยืน “มาเถอะ มานั่งด้วยกัน เชิญท่านนั่งเถิด”
อาจารย์ฉินไม่เอ่ยอะไร เขานั่งลงเงียบ ๆ และมองแต่เพียงฟู่เสี่ยวกวน
“ชีวิตก็เหมือนฝัน… คุณชายฟู่กำลังคร่ำครวญเรื่องใดกัน?”
“เวลาหนึ่งเดือนผ่านไปเพียงพริบตา เวลานั้นข้ายังไม่รู้ความนัก จึงได้ก่อความขัดเคืองให้แม่นางที่นี่ ในวันนี้ข้าขอลงโทษตัวเองด้วยสุรา”
ต่งชูหลานตาเป็นประกาย “มียอดสุราซีซานรึ?”
“ไม่มีสิ่งนั้นจริง ๆ แต่ครั้งนี้ได้นำสุราสองชนิดกลับมาแทน ชนิดนี้เรียกเซียงเฉวียน อีกชนิดเรียกเทียนฉุน ด้อยกว่ายอดสุราซีซานเล็กน้อย แต่เทียนฉุนก็เทียบเคียงกับเทียนเซียงได้เช่นกัน”
“นำมาลองลิ้มรสสิ”
“ไม่ได้พกมา หลายวันมานี้ที่หยู๋ฝูจี้จำกัดจำนวนการขาย เมื่อถึงเวลา… โอ้ ข้าได้ยินมาว่าแม่นางจะกลับเมืองหลวงในอีกสองวัน เมื่อถึงเวลาข้าจะวานคนนำไปให้เจ้าเล็กน้อย”
อาจารย์ฉินได้ยินเยี่ยงนั้นก็ยากที่จะเชื่อได้ สามารถเทียบเคียงกับสุราเทียนเซียงได้รึ ? จะเป็นไปได้เยี่ยงไร ?
เขาจ้องมองต่งชูหลานด้วยความมึนงง ต่งชูหลานกล่าวยิ้ม ๆ “ข้าเชื่อ เพราะยามที่ข้าได้ไปเรือนซีซานนั้น ได้ลองลิ้มรสสุราที่ดีกว่าเทียนเซียงมาแล้ว… ข้าได้นำกลับมา 2 ไห แต่กำลังครุ่นคิดว่าจะนำไปมอบให้องค์หญิงใหญ่ที่เมืองหลวง เพื่อปูทางในวังหลวงให้กับสุราของเจ้า กลับไปแล้วข้าจะให้ท่านปู่ฉินได้ลิ้มรสสักเล็กน้อยดีหรือไม่?”
อาจารย์ฉินมีความสุข “เด็กคนนี้นี่…” เขาไม่ได้ต่อความยาว แต่กลับหันไปมองฟู่เสี่ยวกวน แล้วเอ่ยถาม “เมื่อครู่เจ้ากล่าวว่าชีวิตราวกับฝัน หนึ่งจอกหวนคืนดวงจันทร์บนลำธาร นั่นคือประโยคในบทกวีหรือไม่ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนมิรู้จักอาจารย์ฉิน แต่ถึงแม้ชายชราผู้นี้จะแต่งตัวเรียบง่าย แต่ท่าทางการขยับไม้ขยับมือนั้นราวกับท่วงท่าของปรมาจารย์ ยิ่งรวมกับที่เขาหัวเราะและเรียกต่งชูหลานราวกับเป็นหลานสาว ตัวตนย่อมสูงส่ง คิดอย่างไรก็น่าจะเป็นผู้อาวุโสของต่งชูหลาน
ดังนั้นฟู่เสี่ยวกวนจึงคำนับอาจารย์ฉินอย่างระมัดระวัง แล้วรับกาน้ำชามาจากเสี่ยวเอ้อ ก่อนจะกล่าวขณะรินชาว่า “ความรู้สึกเพียงครั้งคราว ข้าได้พบกับแม่นางต่งครั้งแรกที่นี่ เพราะความบุ่มบ่ามในครานั้น ทำให้แม่นางต่งเกิดขุ่นเคือง แต่เพราะตื่นขึ้นมา จึงรู้สึกว่าชีวิตคนนั้นราวกับความฝัน”
“ดังนั้นเจ้าถึงต้องขอบคุณข้า”
ต่งชูหลานและฟู่เสี่ยวกวนค่อนข้างคุ้นเคยกันดี จึงพูดคุยอย่างเป็นกันเอง
“แน่นอน เจ้าดูสิ ข้ามีสุราชั้นดีแต่ก็เชิญให้เจ้ามาชิมก่อน”
“ในวันนี้เจ้ามิมีสุรา แต่ข้าจักต้องออกเดินทางกลับเมืองหลวงพรุ่งนี้แล้ว เยี่ยงนั้นเจ้าก็แต่งบทกวีให้แก่ข้าในตอนนี้ได้ไม่ ? ”
“นี่มัน… เจ้าได้มอบปัญหาที่ยากมาให้แก่ข้าแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวโดยที่ครุ่นคิดไปด้วย ก่อนจะกล่าวกับเสี่ยวเอ้อ “ช่วยไปนำหมึกกับพู่กันมาให้ข้าที”
แต่เดิมอาจารย์ฉินคิดว่าเขาจะยอมล่าถอย เพราะต่งชูหลานเพียงแค่หยอกเล่นเท่านั้น การแต่งบทกวีมิใช่เรื่องง่ายดายราวกับหยิบมือ แต่ต้องมีการจัดระเบียบหลายครา และโคลงที่ดีต้องมีการขัดเกลาหลายครั้ง ดังนั้นต่งชูหลานจึงได้ให้อาจารย์ฉินอ่านบทกวีสองโคลงนั้น ต่งชูหลานกล่าวว่าเขานั้นลงมือเพียงครั้งเดียว อาจารย์ฉินกลับไม่เชื่อ
การแต่งบทกวีอย่างทันทีนั้นเกิดขึ้นได้บ่อยนัก แต่โดยปกติแล้วคำศัพท์เหล่านั้นจำต้องศึกษาโดยละเอียด
โจทย์คือการจากลาของต่งชูหลานในวันพรุ่งนี้ นี่คือบทกวีอำลา ดูสิว่าชายหนุ่มผู้นี้จะเขียนออกมาเยี่ยงไร
ยังคงเป็นชุนซิ่วที่ฝนหมึก ฟู่เสี่ยวกวนจับพู่กันไว้อย่างครุ่นคิด
ประตูห้องเทียนจื่อหมายเลขหนึ่งเปิดออก ชวูชั่งหลายหัวหน้าตระกูลชวูจี้เดินออกมา แต่เดิมเขาเตรียมจะเดินลงไปทักทายต่งชูหลานและอาจารย์ฉิน แต่ไม่คิดว่าทั้งสองคนจะนั่งอยู่ที่ด้านนอกในเวลานี้
เขาเดินเข้ามา และกำลังจะทักทาย แต่อาจารย์ฉินกลับโบกมือให้เขา
เขาเดินเข้าไปด้วยความสงสัย ก็พบเห็นฟู่เสี่ยวกวนที่ถือพู่กันด้วยอาการครุ่นคิด
อกไร้รอยหมึก[1] แต่กลับกล้าแสดงมันต่อหน้าอาจารย์ฉิน !
ต่งชูหลานไม่ได้หันหน้าไป นางกำลังตื่นเต้น สายตาจดจ้องไปที่กระดาษ และไม่ผละไปไหน
หลินเจียงเซียน ถึงสหายชูหลาน
ประโยคนี้ สื่อได้ว่าบทกวีนี้เขียนให้แก่ต่งชูหลาน
แต่ตัวอักษร…ช่างน่าเกลียดจริง ๆ
อาจารย์ฉินคิ้วขมวดนิ่ว ต่งชูหลานรู้ว่าเขาเขียนอักษรได้น่าเกลียดเป็นอย่างมาก แต่เขาแต่งบทกวีนี้เพื่อนาง นั่นทำให้นางขัดเขินเล็กน้อย
ฟู่เสี่ยวกวนลงพู่กัน
“แยกจากกันจะฝากฝังความรู้สึกได้เยี่ยงไร?
ขมิ้นน้อยคิดคำนึงนกนางแอ่น”
ดวงตาของอาจารย์ฉินเป็นประกาย ใบหน้าของต่งชูหลานเห่อแดง โชคยังดีที่มีผ้าคลุมหน้า… ชายผู้นี้กำลังเขียนอันใดกัน ต้องเถรตรงเพียงนี้รึ ?
นึกถึงวันนั้นที่เขาพูดประโยคนั้นอย่างเถรตรง สาวน้อย ข้าอยากแต่งงานกับเจ้า นางยิ่งอับอายขึ้นมา
“ในวันนี้คำนึงถึงความสับสนในเวลานั้น ความคิดที่หลงทาง กว่าจะล่วงรู้ก็ข้างแรมและดอกไม้โรย”
อาจารย์ฉินปรบมือ หัวใจเต้นระรัว แล้วเอ่ยคำว่าเยี่ยมในใจอยู่หลายครา
ต่งชูหลานหวาดหวั่น อยากจะขัดให้ฟู่เสี่ยวกวนหยุดเขียน แต่ในใจก็ยังคงคาดหวัง
“ไม่เคยรู้ว่าหนทางไปเจียงหนานเป็นเยี่ยงไร แต่กลับมาถึง… หวู่อี้อย่างชัดเจน”
เมื่อมาถึงตรงนี้ฟู่เสี่ยวกวนชะงักไปเล็กน้อย เพราะประโยคเดิมนั้นคือไปถึงเหลียงซีอย่างชัดเจน แต่ต่งชูหลานกลับไม่ได้ไปเหลียงซี แต่จะกลับเมืองหลวงจินหลิง จึงใช้คำว่าหวู่อี้จากตรอกหวู่อี้แทน
ต่อจากนี้พู่กันก็ไม่ได้หยุดลง
“เร่งรีบจะเอ่ยกล่าวก็พรากจาก ความฝันอันหอมหวานได้จางหายไป ด้วยเสียงไก่ขันที่หน้าต่าง”
เก็บพู่กัน
จ้องมองต่งชูหลาน ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ยอดเยี่ยม ! สำนวนดีมาก ! ”
อาจารย์ฉินชื่นชมเสียยกใหญ่ เขาหยิบกระดาษขึ้นมา และท่องอย่างระมัดระวัง
หลินเจียงเซียน ถึงสหายชูหลาน
แยกจากกันจะฝากฝังความรู้สึกได้เยี่ยงไร?
ขมิ้นน้อยคิดคำนึงนกนางแอ่น
ในวันนี้คำนึงถึงความสับสนในเวลานั้น ความคิดที่หลงทาง ล่วงรู้ก็ข้างแรมและดอกไม้โรย
ไม่เคยรู้ว่าหนทางไปเจียงหนานเป็นเยี่ยงไร แต่กลับมาถึงหวู่อี้อย่างชัดเจน
เร่งรีบจะเอ่ยกล่าวก็พรากจาก ความฝันอันหอมหวานได้จางหายไป ด้วยเสียงไก่ขันที่หน้าต่าง
อาจารย์ฉินท่องพลางนับทำจังหวะ หลังจากนั้นก็หัวเราะเสียงดัง “ความฝันอันหอมหวานได้จางหายไป ด้วยเสียงไก่ขันที่หน้าต่าง ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม”
ชวูชั่งหลายสับสนเล็กน้อย
อาจารย์ฉินคือผู้ใดกัน?
คือนักปราชญ์ที่โด่งดังที่สุดในราชวงศ์หยู!
แล้วฟู่เสี่ยวกวนเป็นคนเยี่ยงไรกัน?
วายร้ายอันดับหนึ่งในเมืองหลินเจียง คุณชายเสเพลแห่งหายนะ
แต่เขากลับได้รับคำชมที่สูงส่งจากอาจารย์ฉิน… บางอย่างบนโลกนี้ก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
“ชูหลาน เจ้าอ่านสิ”
อาจารย์ฉินมัวเมาในบทกวีนี้ “แยกจากกันจะฝากฝังความรู้สึกได้เยี่ยงไร? ขมิ้นน้อยคิดคำนึงนกนางแอ่น สองประโยคนี้… ข้าไม่ขอออกความคิดเห็น” ต่งชูหลานเงยหน้า กลอกตาใส่ฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะเงียบ ๆ และถูจมูกไปมา
“ในวันนี้คำนึงถึงความสับสนในเวลานั้น นี่คือความเข้าใจผิดกันในครั้งแรกเจอของพวกเจ้า ความคิดที่หลงทาง ล่วงรู้ก็ข้างแรมและดอกไม้โรย… สองประโยคนี้ พวกเจ้าคงรับรู้ได้ด้วยตนเอง”
ต่งชูหลานก้มหน้า สองมือลูบกระโปรงไปมา
“ไม่เคยรู้ว่าหนทางไปเจียงหนานเป็นเยี่ยงไร แต่กลับมาถึงหวู่อี้อย่างชัดเจน ความหมายของชายผู้นี้คือเขาไม่รู้ทางไปตรอกหวู่อี้ แต่กลับฝันถึงตรอกหวู่อี้ เร่งรีบจะเอ่ยกล่าวก็พรากจาก… พรากจากกัน อธิบายได้ถึง การแยกจาก การจากลา ความฝันอันหอมหวานได้จางหายไป ด้วยเสียงไก่ขันที่หน้าต่าง ฝันถึงตรอกหวู่อี้ ในขณะที่จะอธิบาย ความฝันก็ได้จากไป เสียงไก่ขันดังขึ้นมาจากนอกหน้าต่าง ฟ้าได้สว่างแล้ว แท้จริงแล้วเป็นแค่ความฝัน”
“บทกวีนี้ด้วยสถานการณ์ด้วยอารมณ์ ควรจะเป็น… มิตรภาพของสหาย นี่คือบทกวีอำลาแรกที่ข้าได้เห็นในช่วงไม่กี่ปีมานี้ นี่ต้องดื่มให้เต็มที่ นำสุรามา!”
เสี่ยวเอ้อนำสุรามา อาจารย์ฉินส่งกระดาษนั้นให้แก่ต่งชูหลาน “เขาเขียนให้เจ้า มีเพียงหนึ่งเดียวในโลก!”
ต่งชูหลานรับมา และรีบเก็บเข้าไปในแขนเสื้อ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา และยิ่งไม่กล้าอ่านให้ละเอียด
“สหายวัยเยาว์ตัวน้อยช่างหลักแหลม ข้าขอคารวะเจ้าหนึ่งจอก!”
ฟู่เสี่ยวกวนรีบลุกขึ้นยืน “ข้าน้อยมิกล้า ท่านชมกันเกินไปแล้ว”
“ข้าแซ่ฉิน อยู่ที่สำนักศึกษาหลินเจียง ภายภาคหน้าหากมีเวลาว่าง ก็อยากจะเชิญสหายวัยเยาว์ไปหาชายชราผู้นี้ที่สำนักศึกษาบ้าง”
“อาจารย์ฉินกล่าวหนักแน่นถึงเพียงนี้ ต่อจากนี้ข้าจะไปที่สำนักศึกษาอย่างแน่นอน จะเชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ฉิน”
[1] อกไร้รอยหมึก หมายถึง คนที่ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมามาก
ตอนที่ 12 ชื่นชมผลงาน
ณ สำนักศึกษาหลินเจียง
ต่งชูหลานและชายชราผมขาวนั่งเล่นหมากรุกอยู่ข้างสระบัว
ชายชราวางหมากตัวสีดำลงไป แล้วถามขึ้นว่า “เรื่องพ่อค้าหลวง……กำหนดเรียบร้อยแล้วหรือ?”
ต่งชูหลานยิ้ม “ท่านปู่ฉินท่านมิได้ช่วยข้า แล้วท่านรู้ได้อย่างไร?”
“หึหึ หมากวันนี้เจ้าวางอย่างง่าย ๆ แต่มีระเบียบ เห็นได้ว่าไม่มีเรื่องอื่นใดที่ต้องให้คิด”
“เพียงเท่านี้ท่านก็สามารถมองออก?”
“เดินหมากรู้นิสัย มองอักษรเข้าใจผู้เขียน นี่คือเหตุผลขั้นพื้นฐาน มิใช่ความสามารถที่ยิ่งใหญ่อะไร”
ต่งชูหลานเมื่อนึกถึงกวีสองบทขึ้นมาได้ ก็รู้สึกว่าคำพูดเมื่อครู่นั้นไม่เป็นความจริงเท่าไรนัก จึงได้ส่ายหัว
อาจารย์ฉินหัวเราะ “เจ้าไม่เชื่องั้นหรือ?”
“เรื่องเป็นเช่นนี้ เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าได้เดินทางไปที่หมู่บ้านเสี้ยชุนและพบเจอคนคนหนึ่งเข้า ฟู่เสี่ยวกวน ท่านคงเคยได้ยินชื่อเขามาบ้าง นั่นก็คือบุตรชายของฟู่ต้ากวน”
“อ้อ คุณชายผู้นั้นหรือ ข้าย่อมเคยได้ยินอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ฟู่ต้ากวนก็มีความต้องการที่จะเชิญข้าไปสอนหนังสือแก่บุตรชายของเขา ค่าตอบแทนคือ 1,000 ตำลึงต่อหนึ่งเดือน…… หึหึ เขาช่างใจกว้างยิ่งนัก แต่ตอนนั้นชื่อเสียงฉาวโฉ่ของบุตรชายเขาก็ได้แพร่กระจายไปทั่วหลินเจียง ข้าเองย่อมไม่ไปแน่นอน อีกทั้งก่อนหน้านี้ที่บุตรชายของเขาทำให้เจ้าไม่พอใจ เขาก็ให้คนนำภาพในสมัยก่อนก่อตั้งราชวงศ์มาให้ เพื่อให้ข้าช่วยตรวจสอบให้”
อาจารย์ฉินพูดขึ้นอีกว่า “ภาพนั้นเป็นของแท้ เขาต้องการมอบให้ข้า และเอ่ยว่า……เขาเป็นเพียงคนธรรมดา มองไม่เห็นคุณค่า หากเก็บไว้ที่เรือนก็เป็นเพียงสิ่งไร้ค่า แน่นอนว่าข้ามิได้รับไว้……เจ้าเจอบุตรชายของเขาอีกครั้ง ชายคนนั้นคงไม่ได้ก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกใช่ไหม?”
ต่งชูหลานส่ายหน้า นางนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในเรือนซีซาน ก่อนจะวางหมากพลางเอ่ยว่า “ข้าว่า พวกท่านเข้าใจอะไรเขาผิดไปหรือไม่?”
“จะเป็นไปได้อย่างไร เมื่อครั้งที่หอหลินเจียง เจ้าเองเคยเห็นมากับตา”
“แต่ว่า……” ต่งชูหลานกัดฟัน “ข้าพบเขาที่เรือนซีซาน คำพูดและการกระทำนั้นช่างแตกต่างจากเดิมมาก เหมือนมิใช่คนเดียวกัน แต่รูปร่างหน้านั้นไม่ผิดแน่นอน อีกอย่าง……อาจารย์ฉินรอสักครู่”
ต่งชูหลานลุกขึ้นแล้วเดินไปยังห้องหนึ่ง จากนั้นนางก็เดินออกมาในมือมีกระดาษอยู่สองแผ่น
นางนำกระดาษสองแผ่นนี้วางลงบนกระดานหมาก “อาจารย์ฉิน จากคำเล่าขานและการที่ข้าเองได้ตรวจสอบ คน ๆ นี้……ไม่มีความสามารถด้านกวีเช่นเดียวกับที่ท่านเอ่ยเมื่อครู่ หากแต่ท่านลองดูบทกวีสองบทนี้สิ”
อาจารย์ฉินตะลึงเล็กน้อย เขานำกระดาษขึ้นมาดูและขมวดคิ้ว ก่อนจะเงยหน้าขึ้น “สิ่งนี้เขาเป็นผู้แต่งเยี่ยงนั้นหรือ?”
“ถูกต้อง เพียงแต่ตัวอักษรของเขานั้นไม่น่ามองยิ่งนัก ข้าจึงคัดลอกมาหนึ่งฉบับ”
“ภูเขาเขียวหนาราวคิ้วของหญิงสาว คลื่นน้ำสีเขียวใสเหมือน……ดวงตาของคนเมา”
“……ใครร้องกวีเพลงสายน้ำ ก้องกังวานทั่วขุนเขา ถูกรายล้อมด้วยเมฆยามวิกาล”
“นี่……เขาแต่งจริง ๆ หรือ ?”
“ข้าแน่ใจ บ่าวของเขาเล่าว่า คืนเทศกาลตวนอู่นั้น เขานั่งอยู่ที่หน้าต่าง แล้วเขียนกวีบทนี้ออกมา”
“บ่าวคนนั้นยังกล่าวอีกว่า กวีบทที่สองนี้ เขาแทบไม่ได้ใช้เวลาครุ่นคิดเลยด้วยซ้ำ”
อาจารย์ฉินขมวดคิ้วจนแทบจะชนกัน แล้วหยิบแผ่นที่สองขึ้นมา
“ดวงจันทร์แห่งเจียงหนาน ทอแสงนวลมาที่ซีโหลว”
“……ฉางเอ๋อร์จากไปอย่างโดดเดี่ยว ท้องฟ้าช่างเงียบเหงา”
ต่งชูหลานนำมือมาจับที่คาง แล้วหวนคิดก่อนจะเอ่ยว่า “กวีนี้ในตอนนั้นประโยคแรกขึ้นต้นด้วย ดวงจันทร์แห่งเจียงเป่ย แต่หากเป็นหลักการแต่งแล้ว ควรจักเขียนเป็นเจียงหนาน ด้วยเหตุนี้จึงได้แก้ไขมาเป็นดวงจันทร์แห่งเจียงหนาน”
อาจารย์ฉินมิได้ตอบสิ่งใด เขานิ่งเงียบและพิจารณากวีสองบทนี้ จากนั้นจึงวางลง
“หากเขาแต่งกวีนี้จริง……ก่อนหน้านี้คงแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องกระมัง!”
“จงดูตรงนี้ บรรดาผู้คนมักชื่นชอบไปยังสือซานโหลวไม่อิจฉาบทเพลงกู่หยางโจวอีกต่อไป สือซานโหลวนั้นเดิมทีคือสถานที่แห่งหนึ่งใกล้ซีหูในสมัยก่อนราชวงศ์ แต่ถูกทำลายด้วยไฟจนพินาศ มีบันทึกไว้ใน《เมิ่งเหลียงลู่ 》ซึ่งก็คือเมืองฝานโจวในปัจจุบันนี้ มันตั้งอยู่ในอาณาเขตของหยางโจว เมื่อราชวงศ์หยูก่อตั้งขึ้น จึงแยกหยางโจวและหางโจวออกจากกัน 《เมิ่งเหลียงลู่ 》คือหนังสือที่ไม่ได้แพร่หลายสู่ชุมชน มีเพียงไม่กี่คนที่เคยอ่าน”
“สือซานโหลวหมายถึงชั้นสิบสามงั้นหรือ?” ต่งชูหลานถามขึ้น
“มิใช่ สือซานโหลวหมายถึงสิ่งก่อสร้าง 13 แห่งของต้าฟอโถวหลังภูเขาหิน”
ต่งชูหลานจ้องตาเขม็ง แล้วเอ่ยว่า “เขา……หลอกข้า!”
อาจารย์ฉินหัวเราะ “เขาหลอกสิ่งใดกัน?”
“เขาบอกว่า……เขาชอบเลขสิบสาม……เป็นจำนวนจินตภาพ และเขายังอธิบายว่าเป็นการมองจากที่สูงก็ได้เช่นกัน”
“ฮ่าๆๆๆๆ การอธิบายเช่นนี้ช่างน่าสนใจนัก ทักษะการแต่งนั้นดีนัก เขาใช้วิธีพรรณนาถึงความรู้สึกที่สื่อออกมาเป็นความสวยงามของท้องฟ้าภูเขา แฝงไปด้วยความสุขในการดื่ม บทส่งท้ายเป็นการใช้เพลงเป็นหลัก เขียนถึงความสุขของผู้ท่องเที่ยวแอบแฝงไว้ด้วยจิตใจที่เมามาย และร่างกายที่เร่ร่อน”
“ใครร้องกวีเพลงสายน้ำ เจ้าดูซี การใช้กวีแห่งสายน้ำมาไว้ในกวี แท้จริงแล้วไม่สามารถทำได้ แต่เมื่อนำมาวางไว้ในที่นี้ก็สามารถทำให้ผู้คนจินตนาการตามไปด้วยได้ นี่เป็น……ผลงานที่มีคุณภาพระดับอาจารย์ทีเดียว เจ้าลองดูผลงานที่บรรดาอาจารย์แต่งไว้ในวันตวนอู่สิ หากนำมาเปรียบเทียบกันแล้ว ก็รู้ทันทีว่าใครแพ้ใครชนะ”
จากการอธิบายของอาจารย์ฉิน ต่งชูหลานจึงเข้าใจบทกวีนี้มากกว่าเดิม และยิ่งรู้สึกว่าชายผู้นั้น……ดูลึกลับขึ้นเรื่อย ๆ
“ท่านปู่ฉิน ท่านว่า……จะมีผู้เข้าใจความหมายที่แท้จริงหรือไม่?”
“มีอยู่คนหนึ่ง อัครมหาเสนาบดีเยี่ยนหยุนชวนผู้โด่งดังของราชวงศ์หยู เขาสนับสนุนจักรพรรดิอยู่นานถึง 20 ปี เป็นผู้ประสบความสำเร็จในประวัติศาสตร์ เยี่ยนหยุนชวนนั้นเกิดในครอบครัวพ่อค้า เขาอาศัยอยู่ในหอนางโลมโดยมิได้เรียนหนังสือ จนกระทั่งอายุได้ 23 ปีจึงบรรลุ เก็บตัวอยู่ในห้องอ่านหนังสืออยู่ 3 ปี ไท่เหอปีที่หกเป็นจงจวี่ ไท่เหอปีที่เจ็ดได้เป็นจอหงวน ไท่เหอปีที่แปดได้เป็นผู้พิพากษาแห่งหลูเซี่ยน ปีต่อมาการประเมิณงานของเขาก็ดีเยี่ยมทุกอย่าง และได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองหลูโจว และเข้าเมืองหลวงในอีกสามปีต่อมา หลังจากล้มลุกคลุกคลานในราชสำนักเป็นเวลา 3 ปี ในที่สุดก็ได้รับเลือกเป็นอัครมหาเสนาบดี”
“เยี่ยนหยุนชวน คือบุคคลในตำนาน บุตรชายของเขาเยี่ยนเป่ยซี ก็ได้รับใช้จักรพรรดิถึงสองสมัย และได้เป็นอัครมหาเสนาบดีเมื่ออายุ 60 ปี ส่วนบุตรชายของเยี่ยนเป่ยซี เยี่ยนซือเต้านั้น เจ้าก็คงรู้ว่าเขาเป็นทูตขององคมนตรี ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาก็จะได้รับเลือกเป็นอัครมหาเสนาบดีเช่นกัน……สืบทอดตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีถึงสามสมัย ช่างน่าชื่นชมยิ่งนัก!”
ตระกูลเยี่ยนในเมืองหลวง เป็นข้าราชการกลุ่มแรกของราชวงศ์หยู
อาจารย์ฉินกล่าวขึ้นมาอีกว่า “ข้าคล้ายเคยได้ยินว่าบุตรชายคนเล็กของเยี่ยนซือเต้า เยี่ยนซีเหวิน มีความรู้สึกที่ดีต่อเจ้า……”
ต่งชูหลานหน้าแดง และเอ่ยขึ้นว่า “เคยส่งคนมาที่จวนเพื่อเจรจา……แต่ตอนนี้ข้าไม่ทราบ”
“เด็กหนุ่มผู้นั้นข้าเคยพบ เขาเป็นคนไม่เลวเลย ศักราชเซวียนลี่ที่เจ็ดได้เป็นจอหงวน มีความสามารถด้านวรรณกรรม จัดการปัญหาได้ดีค่อนข้างเหมือนท่านปู่ของเขา “
“แต่ว่า……ไม่น่าสนใจ” ต่งชูหลานตัดบทแล้วเอ่ยว่า “ท่านปู่ฉินท่านว่า ฟู่เสี่ยวกวนผู้นี้จะบรรลุขึ้นมาหรือไม่?”
“เพียงดูจากกวีสองบทนี้ เห็นได้ว่าเขาแตกต่างไปจากเมื่อก่อน หากตั้งใจเรียนหนังสือ อาจจะเป็นส่วนหนึ่งในวังหลวงได้”
ครอบครัวของพ่อค้าแม้จะร่ำรวยจนล้นฟ้า แต่จะสู้บ้านตระกูลเยี่ยนที่มีสง่าราศีมาสามรุ่นได้หรือไม่?
โลกนี้เป็นสถานที่ของผู้รู้หนังสือ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้เมื่อนำมาเทียบกันแล้ว การเรียนหนังสือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เขาเองก็ควรจะเรียนหนังสือ
“ข้าจะนัดให้เขามาพบท่านปู่ได้หรือไม่?”
“เจ้าคงมิได้……”
ต่งชูหลานหน้าแดง “มิใช่อย่างที่ท่านปู่คิด ข้าเพียงแต่เห็นว่าเขามีความสามารถ ควรจะได้เรียนหนังสือ ขอให้ท่านปู่ฉินช่วยชี้แนะเขาสักประโยค”
“ย่อมได้ ข้าเองก็อยากจะเห็นนัก ว่าหน้าตาของผู้ที่ประพันธ์บทกวีเพลงสายน้ำเป็นเช่นไร”
……
ขณะที่ต่งชูหลานเจรจาอยู่กับอาจารย์ฉินเกี่ยวกับฟู่เสี่ยวกวนอยู่นั้น ฟู่เสี่ยวกวนเองก็กำลังทำในสิ่งที่มิได้เกี่ยวข้องกับการอ่านหนังสือเลยแม้แต่น้อย
“เถ้าแก่หยู สินค้าในร้านของท่านนั้นข้าดูครบแล้ว แต่มิมีชิ้นใดที่ถูกใจข้าเลย ข้าอยากได้ที่เป็นแก้ว……”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยแล้วก้มตัวลงไปที่พื้น หยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาแล้วลงมือวาด
“แก้วเล็ก ๆ แบบนี้ ด้านบนเป็นตัวถ้วย ด้านล่างเป็นขา ด้านล่างขาก็เป็นแผ่นรอง——นี่คือแก้วไวน์เมื่อชีวิตที่แล้ว ปากแก้วเป็นวงกลม ตัวแก้วต้องใสจนสามารถมองเห็นได้ ไว้ใช้ใส่เหล้า”
เถ้าแก่หยูนั่งยอง ๆ ตามเขา พลางฝืนยิ้มแล้วเอ่ยว่า “คุณชายฟู่ สิ่งนี้……เกรงว่าจะไม่สามารถทำได้”
“เจ้าจงไปคิดหาวิธีมา…..ส่วนเรื่องราคานั้นเสนอมาได้ แต่ข้าต้องการจำนวนมาก”
“ต้องการเท่าใด?”
“เอาสัก 1,000 ชิ้นก่อน”
เถ้าแก่หยู่เงยหน้าขึ้น เขาจ้องไปที่ฟู่เสี่ยวกวน “จริงหรือ?”
“แน่นอน หากลงนามตกลงซื้อขายและจ่ายค่ามัดจำแล้ว เจ้าจะเปลี่ยนราคาไม่ได้ เนื่องจากข้ายังต้องการผลิตเพิ่มเรื่อย ๆ ”
ทั้งสองยืนขึ้น เถ้าแก่หยูผายมือออกมาหมายความว่าต้อนรับ “เชิญเข้าไปดื่มชาก่อน ข้าจะเรียกผู้ชำนาญมาดูว่าสามารถทำได้หรือไม่”
“ดื่มชาคงต้องเอาไว้วันหลัง เจ้าจงไปลองไตร่ตรองถึงวิธีการผลิต ข้าจะไปดูร้านเครื่องลายครามฝั่งตรงข้ามแล้วกลับมาใหม่”
“ตกลง ทางข้าจะพยายามคิดหาวิธี”
เมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนจากไป เถ้าแก่หยูก็นำมือมาถูกัน แก้วกระจก 1,000 ชิ้น นี่คือเงินจำนวนไม่น้อย หากสามารถทำได้ก็จะได้กำไรงาม เพียงแต่……บุตรชายตระกูลฟู่ผู้นี้เชื่อถือได้หรือไม่?
ที่เขาได้พบเห็นในวันนี้ การทำงานรวดเร็วเด็ดขาด สีหน้าตั้งใจไม่เหมือนหยอกเล่น ช่างแตกต่างจากคำเล่าลือกันเสียจริง แต่เขาไม่มีเวลามาคิดเรื่องเหล่านี้ เขาจะต้องผลิตแก้วนี้ออกมาให้จงได้ อย่างไรเสียก็มีใบสัญญาซื้อขาย หากเขาไม่จ่ายเงินก็ไปเรียกเก็บกับบิดาของเขาก็ได้
ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้าไปในเครื่องลายครามเหยาจี้ เขากวาดสายตามองสิ่งของในร้านแล้วเอ่ยกับคนขายว่า “ข้าคือฟู่เสี่ยวกวน เดินทางมาที่ร้านเนื่องจากมีธุระจะเจรจากับเจ้าของร้าน”
หลงจู๊หลี่ชะงัก ฟู่เสี่ยวกวน ชื่อนี้เขาเคยได้ยินมาก่อน มีธุระอันใดกับเจ้านายของเขากัน?
“คุณชายฟู่ ท่าน……เจรจากับข้าก่อนได้หรือไม่?”
“เรื่องนี้เจ้าไม่สามารถตัดสินใจได้ ข้าต้องการขวด 10,000 ขวด หากท่านสามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเองก็จงนั่งลงเจรจา”
หลงจู๊หลี่อ้าปากค้าง คิดว่าตนฟังผิดไป “ท่านต้องการเท่าไร?”
“อย่างน้อย 10,000 ชิ้น”
หลงจู๊หลี่หันหลัง พลางโบกมือแล้วกล่าวว่า “คุณชายฟู่ ข้าไม่สนุกด้วยกับเรื่องตลกของท่าน ท่านจงไปหาร้านอื่นเถิด”
“เจ้าแน่ใจ?”
“แน่นอน”
ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกจากร้านไปยังร้านเครื่องลายครามเจียงชื่อ ข้าง ๆ
“ขวดนี้ตัวขวดจะเป็นทรงกลม” ฟู่เสี่ยวกวนและเจ้าแก่เจียงจี้นั่งยอง ๆ ที่พื้น “บริเวณส่วนโค้งตรงนี้ต้องเรียบเนียน เคลือบด้วยสีแดง ด้านบนเป็นลวดลายดอกกล้วยไม้สีทอง ฝาปิดเป็นเช่นนี้ จำไว้ว่าหลังจากปิดลงไปจะต้องไม่มีอากาศลงไปได้ ด้านล่างนี้มีตัวอักษร ใต้ขวดก็มีตัวอักษร ทำได้หรือไม่?”
เจียงจี้ครุ่นคิด “สิ่งนี้มองดูแล้วสวยงามนัก เรื่องความยาก……ในส่วนของดอกกล้วยไม้สีทองค่อนข้างซับซ้อน เพราะต้องจัดการถึง 2 ครั้ง คุณชายฟู่ ท่านต้องการสิ่งนี้ 10,000 ชิ้นจริงหรือไม่?”
“แน่นอน เจ้าผลิตสินค้าตัวอย่างออกมา เราจะทำสัญญาซื้อขายและจ่ายค่ามัดจำ หลังจากจ่ายค่ามัดจำแล้ว จะไม่สามารถปรับเปลี่ยนราคาได้ อีกทั้งยังมีความต้องการสิ่งของชิ้นอื่นด้วย เพียงแต่ต้องผลิตสิ่งนี้ออกมาก่อน แล้วเราจะเจรจากันอีกทีในภายหลัง”
ตอนที่ 11 กำหนดมาตรฐาน
ซวนลี่รัชสมัยที่แปดเดือนห้าวันที่สิบแปด หลังจากที่ฟู่ต้ากวนได้พาฟู่เสี่ยวกวนไปเยี่ยมชมอาณาเขตที่ดินของตระกูลแล้ว ก็กลับไปยังหลินเจียง
การเดินทางครั้งนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับที่ดินของตระกูลตนเองอย่างคร่าว ๆ ในโลกนี้ ตัวเขาได้สร้างผลงานชิ้นแรกในนามของตนเองขึ้นมา นั่นก็คือยอดสุราซีซาน ทั้งยังเก็บพี่ชาย ไป๋ยู่เหลียน มาได้ นอกจากนี้ก็ได้วางแผนอนาคตเบื้องต้นสำหรับเรือนซีซานไว้แล้ว ต้นแบบของการพัฒนาและการวิจัยนั้นได้เกิดเค้าโครงขึ้นมาในหัวของเขาอย่างช้า ๆ
ต่อจากนี้ก็เป็นการทำความเข้าใจเกี่ยวกับโลกนี้ แน่นอน อย่างแรกต้องเข้าใจหลินเจียงเสียก่อน จนถึงวันนี้เขายังไม่เคยออกไปเดินเล่นที่หลินเจียง
ในอดีตการเดินเล่นเยี่ยงนี้คือสิ่งที่เขาไม่ชอบ แต่ตอนนี้เขากลับมีความสุขอย่างยิ่ง เพราะเป็นเวลาผ่อนคลายอย่างแท้จริง
ดังนั้นในเช้าวันถัดมา เมื่อออกกำลังกายไปจนถึงทานอาหารเช้าเสร็จ เขาก็พาไป๋ยู่เหลียนและชุนซิ่วออกมาโดยรถม้า ไป๋ยู่เหลียนรับหน้าที่เป็นคนขับรถของเขาไปแล้ว
“ซิ่วเอ๋อร์ ข้าต้องการทำขวดแก้ว เจ้าพอจะรู้จักแหล่งบ้างหรือไม่ ? ”
“ขวดแก้วหรือเจ้าคะ บ่าวมิเคยได้ยินมาก่อน แต่แก้วนั้นมีอยู่เจ้าค่ะ”
“โอ้ แก้วก็พอแล้ว”
“ที่ซีฝางนั้นมีอยู่ จะไปดูตอนนี้เลยไหมเจ้าคะ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนค้นหาความทรงจำอยู่ชั่วครู่ ซีฝางนั้นเป็นตลาดนัด แต่ที่ตั้งของมันค่อนข้างไกล “ไปหยู๋ฝูจี้ก่อน”
“ที่ซีฝางมีเครื่องปั้นดินเผาหรือไม่?”
“มีเจ้าค่ะ”
“อือ ยอดเยี่ยม”
ชุนซิ่วไม่รู้ว่าคุณชายต้องการของเหล่านี้ไปเพื่อการใด แก้วนั้นราคาแพงมาก ที่จวนฟู่ก็มีชุดแก้วสุรา 1 ชุด ไว้ใช้สำหรับรับรองแขกพิเศษ
ส่วนเครื่องปั้นดินเผานั้นราคาถูก ทุกครัวเรือนต่างก็ต้องใช้
ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ถามอีก เขามองออกไปข้างนอกรถม้า
บ้านแต่ละหลังเรียงกันเป็นแถวคล้ายเกล็ดปลา มีลานที่เรียบง่ายและสง่างาม ถนนถูกปูด้วยพื้นหิน และมีศาลาที่สวยงามโผล่มาเป็นครั้งคราว
หน้าต่างชั้นสองของบ้านบางหลังถูกเปิดออก มีเด็กสาวยื่นหน้ามองลงมา โดยที่ไม้ไผ่ค้ำหน้าต่างไม่ร่วงลงมา
ร้านค้าข้างทางทยอยเปิดประตู ป้ายและธงต่าง ๆ ของร้านค้าพลิ้วไหวไปตามสายลมในยามเช้า พ่อค้าแผงข้างทาง พ่อค้ารถเข็นล้อเดียวหรือพ่อค้าหาบเร่ต่างก็ตะโกนไปตลอดทาง
เมืองหลินเจียงตื่นขึ้นมาในยามเช้าแล้ว
มองข้างทางไปเยี่ยงนั้น ครึ่งชั่วยามให้หลัง รถม้าก็ได้มาถึงหน้าประตูหยู๋ฝูจี้
ถนนสายนี้เรียกว่า ตรอกฉือปาหลี่ ยังมิถือว่าเป็นถนนที่เจริญที่สุดในหลินเจียง แต่ที่ตั้งทำเลไม่เลวนัก ถ้าพูดตามคำพูดของโลกก่อนหน้านี้ ที่นี่คือท่าเรือระดับที่สอง
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปรอบด้าน แม้จะเคยเห็นจากความทรงจำ แต่เมื่อได้มองด้วยตาของตนเอง กลับสมจริงยิ่งกว่า
ประตูใหญ่ของหยู๋ฝูจี้ได้เปิดออก เพียงแค่ไม่มีลูกค้า อย่างไรเสียที่นี่ก็คือร้ายขายสุรา คนมาดื่มสุราในช่วงเช้าตรู่เยี่ยงนี้คงมีไม่มากนัก
ฉ้ายซี หลงจู๊เก่าแก่ของหยู๋ฝูจี้กำลังมองสมุดบัญชีพลางคิ้วขมวด หลังจากนั้นก็ถอนหายใจและส่ายหน้า
หลายปีมานี้ยอดขายของหยู๋ฝูจี้แย่ลงเรื่อย ๆ เดือนเมษานี้ยิ่งย่ำแย่จนดูไม่ได้ ยอดขายตลอดทั้งเดือนคือ 120 ชั่ง เป็นเงินทั้งหมด 600 อีแปะ ได้กำไร 120 อีแปะ… ถึงแม้ที่แห่งนี้จะเป็นที่ของฮูหยิน แต่เมื่อตัดค่าเช่าที่ออกไป ก็ยังต้องหักค่าใช้จ่ายส่วนอื่นอยู่ดี สุดท้ายผลลัพธ์ก็ยังคงขาดทุน
เขาปิดสมุดบัญชี แล้วใคร่ครวญคิดหาวิธี ถึงแม้เขาจะไม่ได้สนใจกิจการนี้ แต่ร้านนี้ฮูหยินก็เก็บไว้ให้คุณชาย ดังนั้นผลลัพธ์เยี่ยงนี้ จึงทำให้เขารู้สึกละอายใจยิ่งนัก
สุราของหยู๋ฝูจี้มีเพียงชนิดเดียว และสุราที่เรือนซีชานผลิตได้นั้นก็ธรรมดาที่สุด ไม่มีแม้แต่นาม
ไม่มีความหลากหลายทั้งยังธรรมดา เดิมทีก็แทบไม่มีแรงแข่งขันอันใด หากไม่ใช่ลูกค้าที่มาประจำ น่ากลัวว่ากิจการคงล่มไปแล้ว
ในอดีตร้านสุราชีชื่อที่อยู่ฝั่งตรงข้ามนั้นกิจการไม่ค่อยดี แต่ตั้งแต่ที่ชีหยวนหมิงคุณชายของชีชื่อตั้งนามของสุราว่าเหยาชุน กิจการร้านสุราของชีชื่อก็รุ่งโรจน์ขึ้นมา
เขาเคยซื้อสุราเหยาชุน รสชาติของมันย่ำแย่กว่าสุราเทียนเซียงของเมืองหลวงมาก แต่ก็ดีกว่าสุราของตระกูลเขาเป็นอย่างมาก จนถึงตอนนี้เขาก็ยังมิอาจหาที่มาของสุรานี้ได้ จนเริ่มหมดหนทาง
เขาถอนหายใจยาว ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นก็เห็นคุณชายเดินเข้ามาพร้อมกับผู้ติดตามอีก 2 คน
สิ่งนี้ทำให้เขาประหลาดใจ จนถึงกับต้องขยี้ตา ไม่ผิดจริง ๆ ด้วย เป็นคุณชายจริง ๆ
ฉ้ายซีรีบออกไปต้อนรับ เมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนคำนับเขาอย่างเคารพ ฉ้ายซีก็ตื่นตกใจ และรีบคำนับให้ “คุณชาย นี่มันเกินกว่าที่บ่าวจะรับไว้ได้ ! “
ฉ้ายซีคือบ่าวรับใช้ของสวี่หยุนชิง ตอนที่สวี่หยุนชิงสมรสกับฟู่ต้ากวน เขาเองก็ติดตามมา และกลายเป็นบ่าวรับใช้ของตระกูลฟู่ แน่นอนว่าย่อมเป็นบ่าวรับใช้ของคุณชาย
“ผู้อาวุโสฉ้ายคู่ควรรับการคำนับนี้ไว้อย่างยิ่ง ตั้งแต่ที่มารดาจากไป หยู๋ฝูจี้ก็ได้ผู้อาวุโสฉ้ายคอยดูแล แม้จะไม่มีชื่อเสียงแต่ก็ยังต้องทำงานหนัก ฉะนั้นอย่าตกใจไปกับการคำนับของข้า”
ฉ้ายซีกลับตื่นตระหนก “ชายชราผู้นี้ไร้ความสามารถ ไม่เคยทำกิจการของฮูหยินให้ได้ดี คุณชายโปรดลงทัณฑ์ ! ”
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือ “นี่มิใช่ปัญหาของเจ้า นี่เป็นปัญหาของข้า”
ขณะพูด ฟู่เสี่ยวกวนก็มองไปรอบ ๆ ร้านนี้มีขนาดใหญ่มาก แต่การตกแต่งกลับเรียบง่ายยิ่งนัก
ตรงกลางมีโต๊ะแปดเซียน 3 ตัว ผนังทั้งสามด้านก็แขวนไหสุราไว้เรียงราย ที่โต๊ะต้อนรับก็มีเพียงลูกคิดและจอกสุราหลายใบ… นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น
ฟู่เสี่ยวกวนถูจมูก และยิ้มเจื่อน นั่นไม่ใช่ปัญหาของฉ้ายซีอย่างแท้จริง
“ฉ้ายหลงจู๊ เรียกคนสองคนมาเอาสุราที่อยู่ในรถม้าข้าลงมาเถิด”
ในรถม้านั้นมีสุรา 2 ไห หนัก 180 ชั่ง ไหหนึ่งในนั้นเป็นสุราที่บ่มจากข้าวสาลีและข้าวฟ่าง มีดีกรีประมาณ 30 ดีกรี
ส่วนอีกไหนั้นเป็นสุราทั่วไปที่เพิ่มข้าวลงไปบ่มด้วย มีดีกรีประมาณ 40 ดีกรี
เมื่อเทียบกับสุราที่เคยดื่มที่เรือนซีซาน เหล้าพวกนี้ดีกรีต่ำกว่าเล็กน้อย แต่อัตราการผลิตสูงกว่าเป็น 2 เท่า
และต้นทุนก็อยู่ที่ประมาณ 1 ตำลึง 7 อีแปะ
สุรา 2 ไหวางลงบนโต๊ะ ฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงตามอำเภอใจ และกล่าวกับฉ้ายซีว่า “ฉ้ายหลงจู๊ลองลิ้มรส”
ฉ้ายซีหยิบกระบวยสุรา แล้วเปิดฝาไหของหนึ่งในนั้น กลิ่นหอม ๆ ของสุราก็โชยออกมา เขาชะงักไปอึดใจ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ดวงตาเป็นประกาย “สุราดี ! ”
เขาตักอย่างระมัดระวัง และเทลงในจอกเล็กน้อย ก่อนจะนำขึ้นมาถึงปลายจมูกเพื่อรับกลิ่น จิบไปหนึ่งคำ รับรสอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหันศีรษะไปกล่าวกับเสี่ยวเอ้อที่อยู่ด้านหลัง “ไปนำสุราเหยาชุนมา”
จากนั้นเขาก็เปิดไหอีกใบออก กลิ่นสุราที่เข้มข้นทำให้เขาต้องตกตะลึง นี่มัน… รสชาติของเทียนเซียง !
ตอนไปทำธุระให้ฮูหยินที่เมืองหลวงในปีนั้น เขาได้มีโอกาสดื่มสุราเทียนเซียง และไม่ใช่แค่ครั้งเดียว
เขามองคุณชายด้วยความสงสัย หรือว่าอาจารย์หูจะบอกสูตรลับของเทียนเซียงให้แก่คุณชายผู้นี้กัน ?
เขาหยิบสุราขึ้นมาชิมอีกครา… ไม่ต่างจากเทียนเซียงสักนิด!
“เทียนเซียงรึ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนส่ายหน้า
“สุรานี้มาได้เยี่ยงไร ? ”
“เมื่อหลายวันก่อนข้าติดตามบิดาไปยังเรือนซีซาน ไปดูโรงกลั่นสุรา และได้ทำสิ่งนี้ออกมาอย่างง่ายดาย”
ฟู่เสี่ยวกวนมีท่าทีสบาย ๆ แต่ฉ้ายซีกลับยากที่จะเชื่อได้ลง
หากไม่พูดถึงเรื่องไร้สาระที่คุณชายเคยทำลงไป ตัวเขาเองคลุกคลีอยู่กับสิ่งนี้มานับสิบปี ย่อมรู้ประวัติศาสตร์การพัฒนาของมัน หากคุณชายมีสูตรลับของสุราเทียนเซียง นั่นไม่น่าแปลกใจอันใด แต่หากเป็นคุณชายที่คิดค้นขึ้นมา… นั่นเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว
ในตลาดสุรา เทียนเซียงเป็นอันดับที่หนึ่ง แต่ผลผลิตของเทียนเซียงนั้นต่ำอย่างมาก แม้แต่ในเมืองหลวง ก็มีขุนนางระดับสูงน้อยคนนักที่จะได้ลิ้มรส ยิ่งไม่ต้องพูดถึงด้านนอกเมืองหลวงเลย มันไม่มีขายเลยแม้แต่น้อย
มันไม่ได้ถูกวัดด้วยเงินอีกต่อไป แต่ใช้เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกสถานะ
หากคุณชายเป็นผู้คิดค้นสูตรลับนี้ขึ้นมาได้อย่างแท้จริง จะกลายเป็นการทำลายตำนานของเทียนเซียงลง ทั้งยังสามารถทำให้ชาวบ้านสามัญชนนั้นเข้าถึงได้… นี่เป็นตลาดที่ใหญ่ !
เสี่ยวเอ้อหยิบสุราเหยาชุนมา ฉ้ายซีตั้งจอกสุราไว้ 3 อัน
หนึ่งจอกเทเหยาชุน หนึ่งจอกเทสุรา 30 ดีกรี และอีกหนึ่งจอกเทสุรา 40 ดีกรีลงไป
“สุรานี้เป็นของชีชื่อที่อยู่ฝั่งตรงข้าม นามว่าเหยาชุน ขายในราคา 1 ตำลึง 15 อีแปะ คุณชายลองชิมขอรับ”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบจอกนั้นขึ้นมาดมและวางลง ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “สุรานี้สูงถึง 20 ดีกรี”
“….20 ดีกรีหมายความว่าเยี่ยงไรขอรับ ? ”
“คือความเข้มข้นของสุรา พวกเราต้องกำหนดมาตรฐานขึ้นมา ต่อจากนี้สุราของตระกูลพวกเราจะมีแค่ตัวเลขดีกรีกำหนด เช่น ไหนี้ 32 ดีกรี ส่วนไหนี้ 42 ดีกรี”
“นี่มัน… จะตรวจสอบได้เยี่ยงไร ? ”
“ดื่มสิ ยึดตามรสสัมผัส ใช้ไห 42 ดีกรีนี้เป็นตัวตั้งต้น สุราที่แรงกว่าจะมีระดับสูงขึ้นเรื่อย ๆ ”
ดวงตาของไป๋ยู่เหลียนเป็นประกาย วิธีนี้ใช้ได้ เยี่ยงนั้นสุราที่ดื่มที่เรือนซีซาน ก็ควรจะต้องเป็น 50 ดีกรีแล้ว
ฉ้ายซีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมา แต่เขาคงคาดไม่ถึงว่าการกำหนดมาตรฐานนี้ขึ้นมา จะเกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อสุราประเภทต่าง ๆ ในภายภาคหน้า
ในยามนี้เขากำลังลิ้มลองสุรา เริ่มตั้งแต่เหยาชุน ดื่มไปทั้งสิ้น 3 จอก และพยักหน้า
สุรา 30 ดีกรีได้แซงหน้าเหยาชุนไปมากโข ยิ่งไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับไหที่เทียบเท่ากับเทียนเซียงนั่นเลย
บางทีอาจจะเป็นเพราะสุรานี้ เขาถึงได้ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ใบหน้าที่หย่อนคล้อยแดงระเรื่อขึ้นมา “คุณชายมีสุรา 2 ชนิดนี้ หยู๋ฝูจี้ต้องโด่งดังไปทั่วทั้งใต้หล้าเป็นแน่ ! ”
เขามิได้กล่าวว่าโด่งดังในหลินเจียง เพราะถ้าหากผลิตสุรา 42 ดีกรีขึ้นไป จะต้องโด่งดังไปทั่วทั้งใต้หล้า
“ขอเอ่ยถามคุณชาย ปริมาณการผลิตของสุราสองชนิดนี้เป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
“โรงกลั่นสุราหลังใหม่อยู่ในระหว่างก่อสร้าง แต่ถึงจะสร้างเสร็จดีแล้ว ผลผลิตสุรานั้นก็ยังไม่สูง ข้าคาดการณ์ไว้ว่าหนึ่งวัน… เจ้า 42 ดีกรีนี้ น่าจะได้เพียง 30 ชั่ง ส่วน 32 ดีกรีจะได้มากกว่าเล็กน้อย คาดว่าอยู่ที่ 70 – 80 ชั่ง”
ผลผลิตต่ำมาก ฉ้ายซีผิดหวังเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงเอ่ยถาม “คุณชายกำหนดราคาของสุราทั้งสองไว้เท่าใดกัน?”
“ชนิดนี้” ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปยังไหที่ 32 ดีกรี “นามว่าซีชานเซียงเฉวียน ส่วนชนิดนี้มีนามว่าซีชานเทียนฉุน สุราเซียงเฉวียนราคา 1 ตำลึง 50 อีแปะ ส่วนราคาของเทียนฉุนนั้น… 1 ตำลึง 300 อีแปะ”
ไป๋ยู่เหลียนตกตะลึง และจ้องมองฟู่เสี่ยวกวน เจ้าช่างคว้าเงินได้ยอดเยี่ยมนัก !
เขารู้ว่าสุราทั้งสองชนิดนี้ ต้นทุนของเซียงเฉวียนไม่ถึง 7 อีแปะ ส่วนต้นทุนของเทียนฉุนก็ไม่เกิน 9 อีแปะ กำไรเพิ่มขึ้นเป็นกี่เท่ากัน !
ฉ้ายซีเองก็ตื่นตะลึงเช่น นี่มัน… “มิใช่ว่าแพงเกินไปรึ ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวยิ้ม ๆ “เจ้าบอกสิว่า สุราเซียงเฉวียนนี้ มีในตลาดแล้วหรือยัง ? ”
ฉ้ายซีส่ายหน้า สิ่งนี้ยังมิมีจริง ๆ
“เจ้ากล่าวว่าเทียนฉุนสามารถเทียบเคียงกับเทียนเซียงได้ แล้วเทียนเซียงนั้นสามารถหาซื้อในตลาดได้หรือไม่ ? ”
ฉ้ายซีส่ายหน้าอีกครา
“ดังนั้น พวกเราที่ทำธุรกิจนี้แต่เพียงผู้เดียว อยากขายเท่าใดก็ขายเท่านั้น นอกจากนี้ ยามที่ขายยังต้องจำกัดจำนวนอีกด้วย เรื่องนี้ข้าจำต้องบอกเจ้าให้ทราบล่วงหน้า ทุกคน ทุกวัน อย่างมากที่สุดเซียงเฉวียนขายได้ 5 ตำลึง ส่วนเทียนฉุนอย่างมากที่สุดสามารถขายได้เพียง 3 ตำลึงเท่านั้น นี่คือสิ่งที่สำคัญเป็นอย่างมาก เจ้าจงจำเอาไว้ให้มั่น”
ยังมีเหตุผลอันใดที่เปิดร้านแล้วจะมิทำธุรกิจ ?
ฉ้ายซีไม่เข้าใจ ไป๋ยู่เหลียนและชุนซิ่วก็ไม่เข้าใจเช่นกัน แต่ฟู่เสี่ยวกวนก็ไม่ได้อธิบาย เขาเอ่ยย้ำเพียงครั้งเดียวว่า ให้ทำตามที่เขาบอกก็เพียงพอแล้ว
“สำหรับเวลาจัดจำหน่าย รอกระทั่งข้าแจ้งเจ้าให้ทราบ หลังจากนั้นจึงปล่อยข่าวออกไปได้ แต่ห้ามไม่ให้ผู้ใดลองลิ้มรสทั้งนั้น”
ตอนที่ 10 พ่อค้าหลวง
เสียงจักจั่นเรไรค่อย ๆ เบาลง ลมร้อนก็คลายหายไป
ฟู่ต้ากวนตื่นขึ้นในตอนเย็น แม้ว่าร่างกายของเขาจะทรงตัวไม่ดีนัก แต่สมองของเขายังคงปลอดโปร่ง
เขาเดินลงมาจากเรือน เมื่อเห็นต่งชูหลานอยู่ไกล ๆ ก็ยกมือขึ้นมาประสานแล้วกล่าวว่า “ข้าดื่มมากจนเกินไป ขอคุณหนูโปรดให้อภัยด้วย”
ต่งชูหลานยิ้มบาง ๆ แล้วตอบกลับว่า “ท่านหัวหน้าตระกูลฟู่ทำให้ข้าน้อยต้องลำบากใจเสียแล้ว การที่ข้าน้อยเดินทางมาพักที่นี่โดยมิได้แจ้งล่วงหน้าต่างหาก จึงเป็นเรื่องที่ต้องขออภัย”
เมื่อทั้งสามคนนั่งรวมตัวกัน ฟู่เสี่ยวกวนจึงตัดสินใจนำอาหารเย็นมารับประทานที่ศาลา เขารู้สึกว่าที่แห่งนี้มีลมเย็นพัดผ่าน อีกทั้งการได้ฟังเสียงสายน้ำไหลช่างดีนัก แต่หากเปรียบกับห้องอาหาร ที่นี่อาจจะเป็นกันเองมากเกินไปเสียหน่อย
แต่เรื่องนี้ต่งชูหลานก็มิได้ติดใจ นางไม่คิดว่าฟู่เสี่ยวกวนไม่รู้จักมารยาท แต่กลับคิดว่าบรรยากาศเช่นนี้เหมาะสมนักแก่การเจรจาเรื่องพ่อค้าหลวง
พวกเขามิได้ดื่มเหล้ากันอีก ฟู่ต้ากวนไม่หิวเท่าไรนัก ส่วนต่งชูหลานก็ทานอาหารไม่เยอะ แต่ฟู่เสี่ยวกวนไม่เกรงใจ เขารับประทานอาหารอย่างเอร็ดอร่อย ร่างกายในวัยนี้ต้องการอาหารปริมาณมาก จึงจะเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ ดังนั้นอาหารบนโต๊ะเกินกว่าครึ่งถูกเขาจัดการจนไม่เหลือเปล่า
เมื่อเก็บโต๊ะเรียบร้อย ฟู่เสี่ยวกวนก็ทำหน้าที่ต้มชา ส่วนฟู่ต้ากวนก็ออกไปเดินเล่นข้างนอก และไม่ได้กลับเข้ามาเป็นเวลานาน
“เป็นดังที่ข้าคิดไว้ นี่คือข้อความที่พ่อค้าข้าวรายใหญ่ทั้งสามส่งให้ท่านหัวหน้าตระกูลฟู่……ขออภัยที่ข้าน้อยจะเอ่ยไปอย่างตรง ๆ ท่านหัวหน้าตระกูลฟู่ ท่านคงทราบถึงผลประโยชน์ของพ่อค้าหลวงดี เกี่ยวกับเรื่องนี้ท่านมีความคิดเห็นว่าอย่างไร”
ต่งชูหลานในตอนนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเมื่อตอนบ่าย
นางไม่ได้ใส่ผ้าคลุมหน้า แม้จะปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้า แต่คำพูดนั้นแสดงถึงความหนักแน่น
“คุณหนูฉลาดยิ่งนัก” ฟู่ต้ากวนเองก็มิได้อ้อมค้อม เขายกถ้วยชาขึ้นดื่มแล้วเอ่ยว่า “เดิมทีพวกเขาประสงค์จะส่งตัวแทนไป นั่นก็คือหยางจี้ โดยให้หยางจี้ลงนามกับคุณหนู ทั้งสามร้านร่วมมือกันทำการค้าในครั้งนี้ ท่านคิดเห็นว่าอย่างไร?”
“ทางข้าไม่ติดขัดสิ่งใด เพียงแต่เรื่องของราคา……”
ฟู่ต้ากวนถอนหายใจยาว และฝืนยิ้มว่า “เรื่องของราคานั้น……พวกเขาเห็นตรงกันที่จะให้ข้าเป็นผู้กำหนด”
“ถ้าเช่นนั้นท่านให้ราคาเท่าไร?”
“เรื่องนี้ทำให้ข้าต้องคิดมากอยู่พอควร หากข้าเป็นคนกำหนดราคา ก็ต้องให้ราคาที่ต่ำกว่าแน่นอน ธุรกิจนี้ไม่คุ้มค่าจริง ๆ”
ต่งชูหลานเม้มริมฝีปาก การกระทำของฟู่ต้ากวนนี้เรียกว่าทำดีแต่ไม่มีผลตอบแทน ดังนั้นนางจึงเอ่ยว่า “ข้าเองก็เข้าใจท่านดี……ช่วงบ่ายข้าได้พูดคุยกับคุณชายฟู่อยู่บ้าง ท่านว่าเช่นนี้เป็นอย่างไร? หากการค้านี้เจรจาสำเร็จ หลังจากที่ข้าเดินทางกลับไปรายงานให้องค์หญิงรับทราบแล้ว ข้าจะช่วยเปิดทางให้กับท่าน …… อย่างเช่น ยอดสุราซีซาน และสินค้าชนิดใหม่ของคุณชายหลังจากนี้ ข้าจะช่วยนำเข้าไปขายในวังให้”
แท้จริงแล้วพ่อค้าหลวงนั้นเป็นเพียงแค่นาม อย่างเช่น พ่อค้าข้าว ในแต่ละปีคลังหลวงจะประกาศรับซื้อข้าวเป็นจำนวนมาก เพื่อนำมาเก็บกักตุนไว้ใช้ในยามคับขัน หรือแจกจ่ายให้แก่ทหารแนวหน้า
แต่ราคาที่รับซื้อนั้นค่อนข้างต่ำ เรียกได้กว่าต่ำกว่าราคาตลาดถึง 1 ส่วน
แต่พ่อค้าหลวงก็มีสิทธิพิเศษ หากสามารถนำสินค้าดี ๆ มาเสนอได้ เหล่าเชื้อพระวงศ์ก็ยินดีจะจ่ายให้ในราคางาม อีกทั้งยังมีตราการค้าขายมอบให้ สำหรับร้านค้านั้น นี่เปรียบเสมือนเครื่องหมายที่สูงส่งยิ่งนัก
ดังนั้นเมื่อฟู่ต้ากวนได้ยินต่งชูหลานเอ่ยขึ้นมา เขาก็เริ่มเกิดความคิดในใจ
“แม่นาง……ข้ามีเพียงไร่นาที่หลินเจียงเท่านั้น นอกจากข้าวแล้วข้าก็ไม่มีสิ่งอื่นใด ส่วนยอดสุราซีซานที่ลูกชายข้าหมักขึ้นมานั้น ข้าขอเอ่ยตามตรงว่า มีปริมาณเหล้าไม่มากนัก และทำได้ยาก ดังนั้นแม้ต้องการจะส่งให้วัง ก็อาจจะผลิตไม่ทันความต้องการ แต่หากเหล้านี้สามารถนำเข้าไปในวังหลวงได้ บ้านตระกูลฟู่ของข้าก็รู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก……คุณหนูเชิญเอ่ยมาตามตรงเถอะ ราคาข้าวที่วังหลวงกำหนดนั้นคือเท่าใด?”
ต่งชูหลานชูนิ้วออกมาสามนิ้ว “ต่ำกว่าราคาตลาด 3 ส่วน!”
ฟู่ต้ากวนกำลังจะเอ่ย แต่ต่งชูหลานก็พูดต่อว่า “ช้าก่อน ขอท่านจงฟังข้า”
“ราคาข้าวของเจียงเป่ยนั้นสูงกว่าเจียงหนาน 1 ส่วน สูงกว่าจงหยวน 2 ส่วน ผืนดินของเจียงหนานอุดมสมบูรณ์กว่าจึงทำให้มีราคาต่ำกว่าเจียงเป่ย ข้าวของจงหยวนไม่สามารถนำมาเทียบกับเจียงหนานเจียงเป่ยได้ข้าเข้าใจดี วังหลวงคงประสงค์ซื้อข้าวสาลีจากจงหยวนมากกว่า”
“ส่วนเจียงเป่ยจากฉีโจวจนถึงมี่โจว ราคาข้าวสูงขึ้น 1 ส่วน ดังนั้นที่ข้าเอ่ยว่าต่ำลง 3 ส่วน ก็สมเหตุสมผล”
ฟู่เสี่ยวกวนไม่เข้าใจในเรื่องนี้เท่าไรนัก แต่เขายอมรับว่าสตรีนางนี้เก่งเสียจริง
จากสถานการณ์ การเดินทางมาเจียงหลินของนางในครั้งนี้ได้เตรียมตัวมาอย่างดี และต้องการดูว่าเขาจะทำอย่างไร
ฟู่ต้ากวนผงกหัว “แม่นางพูดถูกต้องแล้ว เพียงแต่ คุณหนูต่งอาจมีสองเรื่องที่ไม่เข้าใจ”
“หนึ่งคือ ปริมาณผลผลิตของเจียงหลินน้อยกว่าหยูโจว”
“สองคือ ค่าเช่าพื้นที่เพาะปลูกในเจียงหลินสูงกว่าหยูโจว”
“เหตุผลมีหลายประการ เจียงหลินนั้นมีเนินเขามากมาย ผืนนาน้อย ยากต่อการเพาะปลูก แต่จำนวนประชากรที่อาศัยในเจียงหลินนั้นมาก……ตามสถิติแล้ว มีถึง 674,852 คน ส่วนที่มี่โจวนั้นพื้นที่กว้างขวางแต่ประชากรเพียง 580,000 คน ในหลินเจียงพื้นที่ 1 หมู่ มีประชากร 6 คน, ส่วนมี่โจวพื้นที่ 1 หมู่ มีประชากรเพียง 3 คน”
“ดังนั้นราคาข้าวที่หลินเจียงจึงสูงกว่า แท้จริงคุณหนูไม่ทราบว่า ผลผลิตที่หลินเจียงนั้นไม่พอต่อการขาย เราต้องเดินทางไปซื้อที่หยูโจว”
“หากหยูโจวขายข้าวแก่วังหลวง เมืองหลินเจียงจะเกิดภาวะขาดแคลนอาหาร และจำเป็นต้องออกเดินทางไปซื้อในเมืองอื่น ซึ่งจะทำให้ราคาข้าวแพงมากขึ้นไปอีก หลินเจียง……จะมีข้าวเพียงพอหรือไม่ ?”
ต่งชูหลานขมวดคิ้ว เรื่องเหล่านี้นางไม่รู้มาก่อน หากสิ่งที่ฟู่ต้ากวนกล่าวมานั้นเป็นความจริง ราคาที่นางบอกไปเมื่อครู่ก็ต่ำเกินไปจริง ๆ
นางยังคงมิเอ่ยคำใด ฟู่ต้ากวนรีบชิงโอกาสนี้เอ่ยว่า “แน่นอนว่าการได้ทำเพื่อเชื้อพระวงศ์ นับว่าเป็นเกียรติแก่หลินเจียงยิ่งนัก เพียงแต่สามารถให้ราคาเดียวกับเจียงหนานได้หรือไม่ ต่ำกว่าราคาตลาด 1 ส่วน!”
ต่งชูหลานยิ้มเผยให้เห็นฟันขาวผ่องเรียงตัวกันอย่างสวยงาม “ข้าเชื่อว่าสิ่งที่ท่านเอ่ยล้วนเป็นความจริง เพียงแต่ท่านอาจจะลืมอะไรบางอย่างไป”
“หลินเจียงอยู่ระหว่างเจียงหนานและเจียงเป่ย จากโบราณมาก็มีผู้อาศัยอยู่จำนวนมาก และการค้าในหลินเจียงนั้นก้าวหน้ามากกว่า อีกทั้งทำให้หลินเจียงมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ราคาข้าวของหลินเจียงสูง แต่กำลังซื้อก็มากกว่า ดังนั้นจากเหตุผลของท่านและข้ารวมกัน สองส่วนครึ่ง!”
“หนึ่งส่วนครึ่ง!”
“สองส่วน!”
“ตกลง!”
ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึง ฟู่ต้ากวนทุบอกตัวเองแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูช่างฉลาดหลักแหลมนัก ราคาที่ข้าตั้งนั้นเกรงว่าบรรดาพ่อค้าคงจะจับข้าถ่วงน้ำก็เป็นได้ อีกอย่างหนึ่ง เรื่องที่นำเหล้าเข้าไปขายในวังหลวงก็ต้องรบกวนคุณหนูด้วย”
ต่งชูหลานยิ้มแล้วมองดูการแสดงของฟู่ต้ากวน ในใจคิดว่า เจ้าจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์นี่ ต่อให้นางไม่อ่อนข้อให้ เขาก็ต้องตอบตกลงเช่นกัน”
“ท่านหัวหน้าตระกูลฟู่วางใจเถิด เหล้านี้มีเพียงหนึ่งเดียวบนโลก วังหลวงจะต้องยินดีรับซื้อเป็นแน่”
“เช่นนั้น การเจรจาจบลงแล้ว ข้าขอดื่มให้สักถ้วย” ฟู่ต้ากวนหันหลังไปสั่ง “ชุนซิ่ว จงไปสั่งให้พ่อครัวทำกับแกล้มรสเลิศมาเสียหน่อย ยกเหล้ามาด้วย!”
ดวงจันทร์ลอยเด่น เสียงกบร้องดังมาเป็นระยะ ๆ
ฟู่ต้ากวนเมาอีกครั้ง ส่วนต่งชูหลานยังไม่มีอาการใด ๆ ฟู่เสี่ยวกวนดื่มไปอีกหนึ่งถ้วย เขายังคงว่าเหล้านี้รสไม่ดี แสบคอเกินไป
ฟู่เสี่ยวกวนพยุงฟู่ต้ากวนไปยังห้องนอนอีกครั้ง ชุนซิ่วนำทางต่งชูหลานและเสี่ยวฉีไปยังห้องซีเซียง เมื่อในสวนไม่เหลือใคร แสงไฟก็หรี่ลง
……
เช้าวันต่อมา
ต่งชูหลานและขบวนก็อำลาสองพ่อลูกเพื่อเดินทางกลับหลินเจียง และนำกวีสองบทกับเหล้าสองไหไปด้วย
มองดูขบวนรถม้าจากไป ฟู่ต้ากวนก็ถอนหายใจยาวๆ “ลูกชายข้า หากจะแต่งงานควรหาสตรีเช่นแม่นางต่งชูหลาน”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้ม เขาไม่ได้พูดต่อในเรื่องนี้ แต่กลับถามขึ้นว่า “เหตุใดเราจึงไม่สามารถเป็นพ่อค้าหลวงเองได้ !”
“เหตุว่าพวกเราเป็นเจ้าของที่ ไม่มีรถม้าหรือกำลังพล สำหรับเราแล้วนั้นหากเป็นพ่อค้าหลวงขายเพียงแต่ข้าว ก็คงไม่มีประโยชน์อันใดเลย”
“แล้วเหตุใดพ่อค้าข้าวรายใหญ่ทั้งสามจึงต้องแย่งกัน ?”
“เนื่องจากพวกเขามีวิธีการหาซื้อข้าว ต่งชูหลานพูดไม่ผิด เจียงหนานมีราคาข้าวสูงกว่าเจียงเป่ย 1 ส่วน หากรู้จักวิธี พวกเขาจะจัดหาข้าวได้ราคาต่ำกว่าหนึ่งส่วนครึ่งถึงสองส่วน ในฐานะร้านค้าข้าว พวกเขามีเรือมีรถสำหรับขนส่งและกำลังพล ประหยัดค่าใช้จ่ายตรงนี้ไปมาก โดยรวมแล้วราคาที่สูญเสียไปอาจแค่ 1 ส่วน แต่การที่ได้เป็นพ่อค้าหลวงมีประโยชน์มากกว่านี้ อีกทั้งยังไม่ส่งผลกระทบต่อกำไรในหลินเจียง พวกเขาจึงต้องแข่งขันกัน”
ฟู่เสี่ยวกวนเข้าใจหลักการนี้ เนื่องจากบ้านตนนั้นเป็นเจ้าของที่ เป็นผู้ผลิตผล แต่ทั้งสามนั้นเป็นเหมือนตัวกลาง พวกเขามีหน้าที่ขายสินค้า มีช่องทางการหาสินค้ามากกว่า อีกทั้งมีการขนส่งของตัวเอง ดังนั้นการค้าของพวกเขาจึงได้เปรียบกว่า
“ตัวเลขที่ท่านเอ่ยนั้นจริงหรือไม่ ?”
“แน่นอน ! สตรีนางนั้นจะพูดส่งเดชต่อหน้านางไม่ได้ เจ้าดูท่าทางของนางก็รู้ได้ว่านางไม่รู้ตัวเลขนี้มาก่อน แต่จากการตอบกลับของนาง เมืองหลินเจียงมีผืนดินอุดมสมบูรณ์ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ! และเนื่องจากมีสภาพแวดล้อมดีจึงมีคนมาอาศัยอยู่มาก ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น……ดังนั้นเหตุที่ราคาสูงมิใช่เพราะพื้นที่เพาะปลูกน้อย คำพูดของข้ามิอาจทำให้นางสับสนได้ แต่กลับถูกเล่นงานเสียเอง!”
ฟู่ต้ากวนตบบ่าฟู่เสียวกวน “ลูกชายข้า หากจะแต่งงานควรหาสตรีเช่นแม่นางต่งชูหลานนี้! อัจฉริยะ!อัจฉริยะจริง ๆ!”
“อ้อ ผู้ดูแลจางบอกกับข้าเรื่องเจ้าจะซื้อที่แล้ว ข้าเองก็เห็นด้วย อีกอย่างข้าบอกกับเขาว่า ต่อไปนี้หากเจ้าต้องการอันใดก็ให้ทำตามคำสั่งของเจ้าโดยมิต้องรายงานข้า เพียงแต่……เจ้ากำลังจะทำการใดกัน?”
“ทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ใช่การใหญ่ใด แต่สามารถหาเงินได้”
ฟู่ต้ากวนมีสีหน้ากังวล เขาหยุดฝีเท้าลง ครุ่นคิดแล้วเอ่ยว่า “พวกเราไม่ขาดแคลนเงิน”
“ข้ารู้ดี แต่ก็อยากทำสิ่งใดในยามว่างบ้าง”
“เรียนหนังสือเป็นอย่างไร ? อาจติดจวี่เหริน และได้เข้าวังเป็นขุนนาง ?”
“ท่านพ่อ เรื่องนี้ข้าไร้ความสามารถ”
ฟู่ต้ากวนพยักหน้า “ตามใจเจ้า ทำเรื่องที่เจ้าชอบเถิด”
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ฟู่ต้ากวนเองก็แอบผิดหวังเล็กน้อย
จากเดิมที่คิดว่าลูกชายคงจะคิดได้แล้ว จึงได้ประพันธ์กวีสองบทนั้นขึ้นมา หากเขาประสงค์จะเรียนหนังสือ คาดว่าการสอบติดจวี่เหรินก็มิใช่เรื่องยาก
บรรดาครอบครัวผู้สูงศักดิ์ พวกเขาจะถูกกำหนดให้เป็นนักวิชาการจากรุ่นสู่รุ่น กลิ่นอายผู้ทรงภูมิความรู้นั้น ย่อมดีกว่ากลิ่นสาปเงินตราของเหล่าพ่อค้า
ผู้คนต่างชอบเงินทอง แต่กลับยกย่องวรรณกรรม
หากมีความสามารถด้านวรรณกรรม เงินทองของพวกเขาก็ถูกยกระดับขึ้นด้วยเช่นกัน
ตอนที่ 9 แผนการ
แค่ประโยคเดียวก็เข้าใจ ทำให้ต่งชูหลานหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนอีกครา
นางเคยไปหงซิ่งจาว สุราเทียนเซียงนางก็เคยดื่ม แต่เมื่อเทียบกับยอดสุราซีซานแล้ว สุราเทียนเซียงด้อยกว่าในทันที
ในฐานะบุตรีของเสนาบดีกรมคลัง นางได้รับอิทธิพลจากการเลี้ยงดูอย่างตั้งใจจากบิดา นางจึงเข้าใจโอกาสทางธุรกิจเหนือกว่าคนทั่วไป ดังนั้นองค์หญิงใหญ่ที่ได้เฝ้ามองการเติบโตของนางมา จึงได้มอบเรื่องพ่อค้าหลวงในหลินเจียงให้นางจัดการ
สุรานี้ หากได้เข้าวังหลวง ย่อมดีที่สุดในใต้หล้า!
เมื่อชุนซิ่วรินสุราจนเต็มจอกให้แก่ต่งชูหลาน นางจึงรู้สึกละอายเล็กน้อย ขณะกล่าวกับฟู่ต้ากวนว่า “หัวหน้าตระกูลฟู่… ที่ชูหลานมาในครั้งนี้ก็เพราะมีเรื่องจะเจรจากับหัวหน้าตระกูลฟู่ อย่าให้ความเมามายมาทำให้ทุกอย่างผิดพลาดเลย เพียงจอกนี้จอกเดียวก็พอแล้ว”
ฟู่ต้ากวนกล่าวยิ้ม ๆ “คุณหนูเดินทางมาเหนื่อย ๆ เรื่องพวกนี้มิต้องรีบร้อน เรือนของข้าแม้จะเรียบง่ายแต่ก็สะอาดสะอ้าน” เขาหันหน้าไปกล่าวกับชุนซิ่ว “ไปจัดการห้องให้เรียบร้อยเสีย คุณหนูต่งจะได้พักกลางวัน”
ฟู่ต้ากวนย่อมต้องการให้ต่งชูหลานเมา เพราะหลังจากที่เขารู้ว่าต่งชูหลานมาที่นี่ ก็ได้ส่งม้าเร็วไปที่เมืองหลินเจียง เขาต้องการส่งข่าวนี้ไปถึงพ่อค้าข้าวรายใหญ่ทั้งสาม
ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ต้องนิ่งไว้ก่อน
หากต่งชูหลานเมาแล้ว การเจรจาก็จะเลื่อนออกไปเป็นตอนค่ำ ทางหลินเจียงก็คงจะตอบกลับมา เมื่อถึงเวลานั้นตัวเขาค่อยจัดการอีกครายามสบโอกาส เรื่องนี้มันไม่ง่ายที่จะเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้อง
ดังนั้นเขาจึงพยายามชักชวนให้ดื่มสุราอย่างเต็มที่
หลังจากนั้น ดวงตาของต่งชูหลานยิ่งฉ่ำวาว แต่ฟู่ต้ากวนกลับเมาแล้ว
“ข้า…ดื่มไม่เก่ง”
ต่งชูหลานรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย
“มิเป็นไร คุณหนูเชิญดื่มชาที่ศาลา ข้าจะไปจัดการกับบิดาของข้าก่อน”
ต่งชูหลานเดินออกไป เสี่ยวฉีก็รีบติดตามเข้ามา และเอ่ยเสียงแผ่วเบา “คุณหนูเจ้าคะ… หมดแล้วเจ้าค่ะ”
“อือ” เสียงของต่งชูหลานราวกับเสียงยุง “อร่อยเกินไป จนควบคุมไม่ได้เลย”
“แล้วธุระล่ะเจ้าคะ”
“มิรีบ”
……
…..
สายลมพัดลอดระหว่างเส้นผม ต่งชูหลานยืนอยู่ข้างลำธารเพียงลำพัง
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนจัดการกับบิดาของตนเรียบร้อยแล้วจึงเดินกลับเดินมา และเห็นว่าต่งชูหลานยืนอยู่เพียงลำพัง
ภายใต้ฤทธิ์สุราสามส่วน ใบหน้าของต่งชูหลานราวกับดอกท้อหยกที่เบ่งบาน ทรวดทรงองเอวที่เตะตา ปอยผมที่ปลิวไสวไปตามสายลม ราวกับเทพธิดาที่บินขึ้นฟ้า
เขาข่มใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะก้าวไปข้างหน้า แล้วเอ่ยถาม “ห้องทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยแล้ว คุณหนูต่งต้องการพักผ่อนหรือไม่ ? ”
“มิจำเป็น… เรือนนี้ช่างงดงามยิ่งนัก”
“บิดากล่าวว่า นี่คือสิ่งที่มารดาสร้างขึ้น”
ทั้งสองเดินไปตามยังลำธารอย่างเรื่อยเปื่อย ก่อนจะนั่งลงตรงที่ร่มไม้
ต่งชูหลานนั่งลงที่เก้าอี้ไม้ ฟู่เสี่ยวกวนนั่งบนก้อนหินริมลำธาร
“…เมื่อหลายวันก่อน ที่องค์รักษ์ของข้าทำร้ายเจ้า ตอนนี้เป็นเยี่ยงไรบ้าง”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้ม “ท่านหมอกล่าวว่าอาจจะมีผลข้างเคียงในภายหลัง อาจจะกลายเป็นคนโง่ไปก็ได้ ดังนั้นข้าเองก็มิรู้ว่าวันใดที่ข้าจะกลายเป็นคนโง่ไป”
“เรื่องนั้น… ข้าขอโทษเจ้าค่ะ”
ต่งชูหลานรู้สึกละอายใจอย่างมาก ในเวลานั้นหลังจากที่ได้ตรวจสอบฟู่เสี่ยวกวนโดยละเอียดแล้ว ข้อมูลที่นางได้รับก็คือชายผู้นี้คือคนชั่วร้ายที่สุดในเมืองหลินเจียง แต่ทางการกลับเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ไม่ยอมรับทำคดี
นางเข้าใจในเรื่องนี้ดี อย่างไรเสียจวนฟู่ก็ร่ำรวยที่สุดในหลินเจียง การใช้เงินซื้อความสัมพันธ์กับทางการนั้นเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นนางจึงเรียกให้องค์รักษ์ไปจัดการ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะทำให้เขาถึงแก่ความตาย ในตอนนี้แม้จะยื้อชีวิตกลับมาได้ แต่ก็ยังคงมีอาการข้างเคียงตามมาในภายหลังอยู่ดี
“มิได้เป็นอุปสรรคใหญ่อันใดนัก เจ้ามิต้องนำมาใส่ใจ… อย่างไรเสีย ข้าก็ยังต้องขอบคุณเจ้า”
“ขอบคุณข้าหรือ ? ” ต่งชูหลานเอียงศีรษะหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนด้วยความงงงวย
ฟู่เสี่ยวกวนเพียงยิ้ม แต่ไม่ได้ตอบกลับ เขาหยิบก้อนหินขึ้นมาแล้วโยนลงไปในลำธาร พลางเอ่ยถามว่า “การเดินทางมาที่หลินเจียงในครั้งนี้ ราบรื่นดีหรือไม่?”
“โดยพื้นฐานแล้วมิมีสิ่งใดผิดปกติ เพียงแค่ข้ายังคิดน้อยเกินไป ทั้งยังเสียเวลาไปอีกเล็กน้อย”
เด็กสาวตัวเล็ก ๆ มาจัดการธุรกิจที่ใหญ่ขนาดนี้ถึงหลินเจียงตามลำพัง นับว่าไม่ง่ายนัก ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ใส่ใจในเรื่องนี้ จึงปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป และไม่ได้เอ่ยถามออกมา
จักจั่นส่งเสียงร้องอยู่ในป่า ฝูงปลาเวียนว่ายอยู่ในน้ำ ฟู่เสี่ยวกวนนิ่งเงียบ แต่จู่ ๆ ต่งชูหลานก็เอ่ยขึ้นมา
“ตัวอักษรของเจ้า…ต้องหมั่นฝึกฝนอย่าให้ขาด”
“อื้อ”
“ทุกวันผลิตยอดสุราซีซานได้เท่าไหร่?”
“เพิ่งทำออกมาเมื่อคืนวาน ยังไม่ได้มีการจดสถิติ แต่คงไม่ได้มีจำนวนมาก อย่างน้อยในตอนนี้ ก็ยังมิมีวิธีที่จะเพิ่มผลผลิตได้”
“สุรานี้…สามารถจำหน่ายให้กับเชื้อพระวงศ์ได้”
ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าเหลือบมองต่งชูหลาน
“หากจวนฟู่ของเจ้าได้สถานะพ่อค้าหลวง สุรานี้ย่อมขายได้ราคาดีมาก” ต่งชูหลานกล่าวเสริมขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค
“เรื่องนี้… หากข้าเป็นคนตัดสินใจ มิจำเป็นที่เจ้าจะต้องถ่อมาหาข้า ข้าย่อมหาหนทางแย่งชิงมันเอง แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือ บิดาข้าเหมือนจะไม่เต็มใจเท่าใด เพราะยุ่งยากมาก อีกทั้งอาจจะทำให้พ่อค้าขายข้าวทั้งสามแห่งในหลินเจียงเกิดความขุ่นเคือง เราทำงานร่วมกันมานับสิบปี มิมีเหตุอันใดที่จะต้องฉีกหน้ากัน บิดาเองก็หาได้สนใจผลประโยชน์อันน้อยนิดนี้ เขาแค่ไม่อยากสร้างศัตรู เรื่องนี้คงต้องขออภัยด้วยที่ข้าช่วยเจ้าไม่ได้”
“ถ้าอย่างนั้น… แล้วเหตุใดเจ้าถึงยินยอมกัน?”
ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะ “พ่อค้าหลวงมิมีอันใดมากไปกว่าการขายของให้แก่เชื้อพระวงศ์ บิดาข้ามีเพียงแค่ข้าว ถึงแม้สิ่งนั้นจะเป็นของดี แต่ในสายตาของคนทั่วหล้า ตระกูลฟู่ของข้าก็ไม่นับว่าเป็นอันใด แต่ข้ามีของดีอีกมากมาย เช่น สุรา สบู่ น้ำหอม หรือกล้องส่องทางไกลและอื่น ๆ ข้าคิดว่า ของเหล่านี้ต่างหากที่เป็นสิ่งที่เชื้อพระวงศ์ จำเป็นต้องมี”
ดวงตาต่งชูหลานเป็นประกาย “ขอข้าดู”
ฟู่เสี่ยวกวนแบมือทั้งสองข้างออก “สุรา เจ้าก็รู้แล้ว ส่วนของอย่างอื่น ตอนนี้ยังมิมี หากทำออกมาได้ในภายหลัง ข้าจะวานคนนำไปให้เจ้าได้ใช้”
วาดฝัน !
ต่งชูหลานมิเคยได้ยินของอย่างสบู่ น้ำหอม กล้องส่องทางไกลอะไรเหล่านี้มาก่อน ช่างแปลกใหม่นัก แต่ก็ไม่ได้คาดหวังมากมาย
มีสิ่งใดบ้างที่เชื้อพระวงศ์ไม่มี ?
คิด ๆ ดูแล้วก็คงเหมือนกับการปรับปรุงของบางสิ่งให้ดียิ่งขึ้น เหมือนกับสุรานี้
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เขาเรียกให้ชุนซิ่วมาหา แล้วกล่าวว่า “ไปเชิญพ่อบ้านจางมา ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเขา”
เพียงไม่นานชุนซิ่วและพ่อบ้านจางก็เข้ามา ฟู่เสี่ยวกวนย่อตัวลงไปที่พื้น ใช้มือเกลี่ยพื้นทรายให้เรียบ และใช้กิ่งไม้วาดภาพบนทราย
“นี่คือเรือน นี่คือรอบนอกของเรือน…” กิ่งไม้ลากเป็นเส้นตรงที่ยาวมากหลังจากนั้นก็วนรอบเป็นวง “ซื้อมันเสีย”
“ดูนี่ ร้านสุราอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม หลังจากที่ซื้อรอบนอกมาแล้วก็ย้ายร้านสุราไปเสีย จากนั้น…ก็ขยายร้านเป็นสามเท่า ส่วนที่ดินปัจจุบันของร้านสุราก็รื้อถอนและสร้างใหม่ สร้างเป็นยุ้งฉาง แบ่งยุ้งฉางเดิมออกเป็นครึ่งหนึ่ง การนำข้าวมารวมกันอยู่ที่เดียว จะมีอันตรายซ่อนเร้นอยู่”
“นอกจากนี้ รอบนอกเรือนอยู่ใกล้น้ำ ข้าต้องการนาที่ดีที่สุด 10 หมู่ พยายามปลูกต้นกล้าไปเรื่อย ๆ ในยามที่ต้นกล้าเริ่มแตกยอด หากข้ามิได้อยู่ที่เรือน ก็รีบส่งคนมาแจ้งข้าให้ทราบโดยเร็ว”
“นี่คือสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ หลังจากที่ซื้อที่ดินมาแล้วก็ปรับระดับพื้นเสียก่อน ส่วนที่เหลือข้าจะจัดการเอง”
ฟู่เสี่ยวกวนโยนกิ่งไม้ทิ้ง และนั่งลงบนก้อนหิน แล้วมองจางเช่อ “เข้าใจหรือไม่ ? ”
“เข้าใจแล้วขอรับ… คุณชาย นี่คือ?”
“เมื่อวานข้าออกไปเดินเล่นมาหนึ่งรอบ ที่ดินผืนนี้ไม่เลว สามารถสร้างเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม… หมายถึงโรงงานได้”
“นอกจากนี้ นับรายชื่อช่างฝีมือในหมู่บ้านเสี้ยชุนมา ไม่ว่าจะเป็นช่างฝีมือทางใดก็ตาม หากข้าออกจากเรือนไปแล้ว ก็นำไปส่งที่จวนหลินเจียง”
“ขอรับ มิทราบว่าต้องรายงานนายท่านหรือไม่?”
ฟู่เสี่ยวกวนตบทรายในมือ “รอท่านพ่อข้าตื่น เจ้าก็เข้าไปหาท่าน”
นี่มิใช่ความคิดชั่ววูบของฟู่เสี่ยวกวน เมื่อวานหลังจากที่ได้เห็นที่ดินผืนนั้น เขาก็เกิดความคิดนี้ขึ้นมา
สร้างที่นี่เป็นสถานที่วิจัยขึ้นมา การผลิตสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถพึ่งพาแค่ทักษะเบื้องต้นได้ จำเป็นต้องมีการพัฒนาต่อยอดขึ้นไปเรื่อย ๆ
อันที่จริงแล้วก็เพื่อความสะดวกสบายของตนเองเท่านั้น เขาต้องการสบู่เพื่ออาบน้ำ ต้องการแปรงสีฟันที่ดีเพื่อทำความสะอาดในช่องปาก และต้องการทิชชูยามเข้าห้องน้ำ… ไม้แก้งก้นที่เอาไว้เช็ดก้นนั้น ยากที่จะรับได้
แน่นอนว่าหลังจากนั้นเขาก็ใช้กระดาษเรื่อยมา แม้ว่าชุนซิ่วจะทำสีหน้าเจ็บปวดก็ตาม
เมื่อจางเช่อจากไป ต่งชูหลานจึงดึงสายตากลับมามองที่ฟู่เสี่ยวกวน นางเริ่มไม่เข้าใจชายหนุ่มผู้นี้มากขึ้นเรื่อย ๆ
“เจ้าตัดสินใจทั้งที่ไม่มีสิ่งใดเลยอย่างนั้นรึ ? ”
ต่งชูหลานคิดว่า ไม่ว่าจะกระทำการใดควรมีการวางแผนก่อนที่จะลงมือ แต่ฟู่เสี่ยวกวนทั้งซื้อที่ดินทั้งหานายช่างทั้งวางแผน… จะสะเพร่าเกินไปหรือไม่ ?
ต่อให้เป็นเศรษฐีที่ดินก็มิควรทำเยี่ยงนี้ หากทำมิได้ขึ้นมา เงินพวกนี้จะมิใช่เป็นการละลายทรัพย์ไปทั้งอย่างนั้นรึ ?
“มิใช่ว่าไม่มีสิ่งใดเลย สองวันมานี้ข้าได้กลับมานั่งขบคิดแล้ว วัตถุดิบก็มีแล้ว วิธีการก็มิใช่ปัญหาใหญ่ เมื่อตระเตรียมเบื้องต้นไว้ดีแล้ว ทุกอย่างก็เกือบจะสุกงอมแล้ว”
“เจ้าจะเอาที่นา 10 หมู่ไปทำอันใดกัน”
“นี่คือสิ่งที่ได้ทำการทดสอบแล้ว แต่ใจข้าก็ยังมิมั่นใจ จำต้องใช้เวลาตรวจสอบสัก2-3ปี หากสำเร็จ… คาดว่าผลผลิตของที่นา 1 หมู่จะได้มากถึง 2 เท่า”
เพิ่มเป็น 2 เท่ารึ?
ต่งชูหลานตกตะลึง พื้นที่ในเจียงเป่ย หากปีไหนดี โดยปกติผลผลิตต่อ 1 หมู่จะได้อยู่ที่ 2 ถัง หรือก็คือ 200 ชั่ง หากเป็น 2 เท่า…
ต่งชูหลานไม่ค่อยอยากจะเชื่อนัก เนื่องจากหลายพันปีที่ผ่านมา ผลผลิตข้าวนั้นยากมากที่จะเพิ่มพูนให้มากกว่า 2 ถังใน 1 หมู่ หากฟู่เสี่ยวกวนสามารถใช้เวลาสั้น ๆ เพียงไม่กี่ปีเพิ่มพูนข้าวได้เป็น 2 เท่า สิ่งนี้จะต้องเป็นคุณูปการที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน !
ประชาชนจะอิ่มท้อง ทหารแนวหน้าจะได้รับการคุ้มครอง ยุ้งฉางของประเทศจะได้รับการเติมเต็ม.. นี่คือเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อใต้หล้า !
“เรื่องนี้ มั่นใจกี่ส่วน” ต่งชูหลานเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง
“ไม่กล้าเอ่ยว่ากี่ส่วน การทดสอบเป็นไปอย่างไม่แน่นอนนัก แต่หากได้ทำลงไปแล้ว และไม่เกิดข้อผิดพลาด เยี่ยงไรก็ต้องสำเร็จ”
“หากวันหนึ่งประสบความสำเร็จแล้ว คุณชายฟู่โปรดแจ้งให้ข้าทราบด้วย”
“แน่นอนอยู่แล้ว”
น้ำเสียงผ่อนคลายที่กล่าวออกมานี้ ทำให้ต่งชูหลานต้องหันไปมองฟู่เสี่ยวกวนอีกครา
นี่คือความหนักแน่น ต่งชูหลานเคยพบเจอคุณชายในเมืองหลวงมามากมาย แต่จะหาคนที่หนักแน่นในวัยนี้นั้นแทบจะนับนิ้วได้
ชายหนุ่มที่มุทะลุ ไม่ฝักใฝ่ในการศึกษาทั้งยังดื้อด้าน แต่สิ่งเหล่านี้กลับไม่ปรากฏขึ้นกับชายหนุ่มตรงหน้าเลยสักนิด เมื่อเทียบกับเรื่องเมื่อสองเดือนก่อนที่ผ่านมา ต่งชูหลานราวกับเกิดภาพลวงตา นี่ราวกับเป็นคนละคน
แต่สำหรับตัวฟู่เสี่ยวกวน เขากลับไม่ได้คิดอะไรมากมายถึงเพียงนั้น เพียงแค่อยากเก็บเกี่ยวสิ่งนี้ให้ได้มากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มยุ้งฉางให้ตระกูลของตนเองอีกสองสามแห่ง
ส่วนการช่วยเหลือชีวิตประชาชนใต้หล้า เขายังมิได้มีอุดมคติที่สูงส่งเยี่ยงนั้น
เขาเพียงแค่อยากมีชีวิตที่ดีขึ้น ทำความเข้าใจกับโลกใบนี้ หลังจากนั้นก็ท่องไปทั่วสารทิศ… เพียงแค่นี้เท่านั้นเอง
“คุณชายฟู่จะกลับหลินเจียงเมื่อใด?”
“ อีกประมาณ 10 วัน เรื่องสถานที่ก็เป็นรูปเป็นร่างแล้ว แต่ในส่วนของรายละเอียดค่อนข้างจะยุ่งยาก จำเป็นจะต้องใช้เวลาพอสมควร ข้าคาดการณ์ไว้ว่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปี ถึงจะผลิตสบู่ก้อน น้ำหอมและสิ่งอื่น ๆ ออกมาได้”
ต่งชูหลานเงียบไปอึดใจ แล้วเอ่ยถามขึ้นมาว่า “คุณชายฟู่ ท่านมีตำแหน่งอะไร ? ”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มเจื่อน ถูจมูกไปมา “ซิ่วไฉ”
ตอนที่ 8 พบกันครั้งแรก
ต่งชูหลานเดินทางมาโดยไม่ได้หยุดพัก พวกนางมาถึงเรือนซีซานในเวลากลางวัน
เมื่อฟู่ต้ากวนได้ฟังคำรายงานจากทหารยามก็นิ่งไปชั่วครู่ เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วจึงลุกเดินออกไป
สตรีนางนี้ ช่างเก่งกาจนัก !
ด้วยสถานะของต่งชูหลาน หากนางส่งคนมา ฟู่ต้ากวนก็จำเป็นต้องเดินทางกลับไปที่หลินเจียงเพื่อพบหน้า
หากแต่นางมิได้ทำเช่นนั้น นางเลือกเดินทางมาที่นี่ด้วยตนเอง
ความตั้งใจของนางนั้น ฟู่ต้ากวนย่อมเข้าใจดี เพียงแต่ว่าเขาไม่ต้องการไปร่วมงานนั่น จึงได้ใช้เทศกาลตวนอู่นี้เดินทางออกมาจากหลินเจียง เดิมทีตั้งใจจะพำนักอยู่ที่นี่เสีย 10 วันจึงเดินทางกลับ เมื่อถึงตอนนั้นธุระในเมืองหลินเจียงก็คงจะจัดการเรียบร้อยแล้ว และไม่มีเรื่องใดที่เขาต้องจัดการ
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งนิ่งไม่ขยับ เพียงแต่เมื่อได้ยินชื่อต่งชูหลานขึ้นมานั้น ในสมองของเขาก็ปรากฏภาพสตรีนางหนึ่งซึ่งงดงามไร้ที่ติขึ้นมา
ชาติที่แล้ว เขาเคยพบเจอผู้หญิงหน้าตาสวยงามมามากมาย แต่สตรีที่งดงามเพียบพร้อมเช่นนี้ เขาเองก็เพิ่งเคยได้เห็นเป็นครั้งแรกในทั้งสองชีวิต
เพียงแต่สตรีรูปงามนั้นมีพิษ ฟู่เสี่ยวกวนเพียงแค่ตะลึงในความงดงาม แต่มิได้คิดเป็นอื่นใด
เขาลุกขึ้นรินน้ำเพื่อล้างชา ฟู่เสี่ยวกวนชงชาร้อนกาใหม่
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นนายน้อยในที่นี้ จึงไม่มีความจำเป็นต้องปลีกตัวออกไป เช่นนั้นก็ต้มชาสักกา เป็นการต้อนรับจากเจ้าของบ้านก็แล้วกัน
สายตามองไปที่ประตูวงเดือน ฟู่ต้ากวนโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อนำทาง ต่งชูหลานยืนอยู่ด้านหลัง นางสวมชุดสีขาวและใบหน้าคลุมด้วยผ้าสีขาว
“เชิญ!”ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วผายมือออกมา แต่มิได้ลุกขึ้น
สายตาของต่งชูหลานมองไปที่ใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน ช่างเป็นใบหน้าที่สะอาด เป็นธรรมชาติ เขาดูมีน้ำใจและไม่มีอาการวิตกหวาดกลัวใด ๆ
ตามมาด้วยชุนซิ่ว ในมือนางยังถือหนังสืออยู่ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วส่งให้ฟู่ต้ากวน
“ซิ่วเอ๋อร์ จงไปจัดเตรียมอาหารต้อนรับคุณหนูต่ง”
ฟู่เสี่ยวกวนออกคำสั่ง แต่ในมือไม่ได้หยุดนิ่ง
ไฟบนโต๊ะกำลังลุกโชน น้ำในกาพลันเดือนพล่าน ไอน้ำลอยละล่องขึ้นมา
เขาเปิดฝากาแล้วใส่ใบชาลงไป ล้างชาและต้ม จากนั้นก็รินลงในถ้วย ยื่นส่งไปให้ฟู่ต้ากวนและต่งชูหลานตามลำดับ อีกหนึ่งแก้วรินมาวางไว้หน้าตน ก่อนจะมองไปที่บิดา
เหตุใดจึงไม่เอ่ยอันใดออกมาบ้างเล่า ช่างอึดอัดเสียจริง
ต่งชูหลานเองก็มิได้เอ่ยคำใด สองสามวันมานี้นางพยายามรวบรวมรายงานจากการสืบความ……แต่ดูเหมือนว่ารายงานพวกนั้นจะผิดพลาดไป
แต่นิสัยมุทะลุของชายผู้นี้ นางเองก็เคยพบมากับตัว ข้อนี้ไม่ผิดแน่นอน แต่บัดนี้อีกฝ่ายกลับนิ่งสงบ อุบายเช่นนี้ จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด
ฟู่ต้ากวนหัวเราะขึ้น “น่ายินดีนักที่บุตรสาวของท่านเสนาบดีเดินทางมายังที่นี่ด้วยตนเอง เชิญดื่มชาเถิด……อันที่จริงหากแม่นางต้องการจะพบข้า เพียงแค่ส่งคนมา แม้ข้าจะติดธุระใดอยู่ก็คงรีบกลับไปที่หลินเจียงเพื่อเข้าพบ แม่นางเดินทางมาเช่นนี้ ข้าเองเกรงใจยิ่งนัก”
ต่งชูหลานปลดผ้าปิดหน้าออกเพื่อชิมชา นางวางแก้วลงแล้วเอ่ยว่า “ตระกูลฟู่เป็นผู้มั่งคั่งแห่งเมืองหลินเจียง ข้าน้อยจะกล้าเพียงส่งคนมาบอกเชิญได้อย่างไรกัน เพียงแต่ข้าน้อยเดินทางมาโดยท่านมิได้เชิญ ยังต้องขออภัยท่านด้วย”
ทั้งสองต่างพูดให้เกียรติกันไปมา โดยไม่มีเนื้อความ ฟู่เสี่ยวกวนได้ยินดังนั้นก็ยิ้ม แต่ในมือไม่ได้หยุดลง เขารินชาอย่างขยันขันแข็ง
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้เอ่ยคำใดออกมา ต่งชูหลานมองไปที่เขาบ้างบางครา แน่นอนว่านางเพียงแค่ต้องการแก้ข้อสงสัยของตัวเอง แต่ความสงสัยเก่ายังมิได้คลี่คลาย ก็เกิดความสงสัยใหม่ขึ้นมาแทน
สายตาของนางเหลือบไปมองกระดาษที่ฟู่ต้ากวนวางไว้บนโต๊ะหินโดยบังเอิญ นางจึงยิ้มและขมวดคิ้วสงสัย สีหน้าของนางช่างอ่อนโยน
ตัวอักษรนี้……ช่างไม่งดงามเสียจริง แต่กลับถูกนำมาใส่กรอบอย่างสวยงาม น่าแปลกใจมาก
ฟู่ต้ากวนเห็นต่งชูหลานมองมาที่กระดาษสองแผ่นนั้น จึงเอ่ยว่า “ลูกชายข้าแต่งขึ้นเมื่อคืน คุณหนูมีความรู้เกินกว่าผู้ใด ให้เกียรติชี้แนะหน่อยได้หรือไม่?”
ต่งชูหลานหยิบกระดาษสองแผ่นนั้นขึ้นมา
จากเดิมเพียงหยิบมาดูตามมารยาท หากจำเป็น นางคงต้องฝืนเอ่ยชมสักสองสามคำ
เพียงแต่ว่า……
สีหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ฟู่ต้ากวนเห็นท่าไม่ดี ก็กังวลใจเล็กน้อย
เขาเองไม่มีความสามารถด้านกวี เพียงแต่เคยอ่านเท่านั้น ไม่รู้ว่ากวีทั้งสองนี้เป็นอย่างไร
“ภูเขาเขียวหนาราวคิ้วของหญิงสาว คลื่นน้ำสีเขียวใสเหมือน……ดวงตาของคนเมา”
“บรรดาผู้คนมักชื่นชอบไปยัง……สือซานโหลว?”
ต่งชูหลานเผลออ่านออกมาโดยไม่รู้ตัว คิ้วเรียวสวยยิ่งขมวดมุ่น
“……ใครร้องกวีเพลงสายน้ำ ก้องกังวานทั่วขุนเขา ถูกรายล้อมด้วยเมฆยามวิกาล”
“ก้องกังวานทั่วขุนเขา ถูกรายล้อมด้วยเมฆยามวิกาล…… ช่างงดงามนัก”
นางมิได้เงยหน้าขึ้น หากแต่อ่านย้ำอีกครั้ง และหยุดคิดบ้างเป็นบางครา ใบหน้าปรากฏความประหลาดใจ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น
นางเงยหน้าขึ้นมองฟู่เสี่ยวกวนแวบหนึ่ง
ฟู่เสี่ยวกวนทำตัวไม่ถูก เขายกมือขึ้นมาลูบจมูกตัวเอง
นางก้มหน้าลงอีกครั้ง แล้วหยิบกระดาษแผ่นที่สองขึ้นมาดู
“ดวงจันทร์แห่งเจียงเป่ย ทอแสงนวลมาที่ซีโหลว”
“เมื่อเมฆจางหาย เผยให้เห็นเสี้ยวหยกที่แดนไกล จากกลมเป็นเสี้ยว……มิได้เปลี่ยนแปลง”
“ดวงดาวส่องสว่าง ส่องแสงประกายจนถึงฤดูใบไม้ร่วง ดอกตันกุยไม่เคยร่วงโรย ฉางเอ๋อร์จากไปอย่างโดดเดี่ยว ท้องฟ้าช่างเงียบเหงา”
“ท้องฟ้าช่างเงียบเหงา……”
เวลาราวกับหยุดลงณ.ตรงนี้ ต่งชูหลานอ่านกวีทั้งสองบทซ้ำกันไปมาหลายจบ เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งจึงมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน แล้วเอ่ยถามว่า “ขออภัยที่ข้าต้องเอ่ยถาม กวีทั้งสองบทนี้ คุณชายเป็นผู้แต่งขึ้นเองหรอกหรือ?”
“เหตุใดคำขึ้นต้นถึงไม่มีกลอนคำ?”
“มองดูเจียงเป่ย…….ดวงจันทร์แห่งเจียงเป่ย”
“นี่คือบทความเกี่ยวกับเจียงหนาน”
“ถูกต้องแล้ว”ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “เจียงหนานเจียงเป่ยล้วนเหมาะสม เพียงแต่ข้าเขียนถึงเจียงเป่ย มิได้คำนึงอะไรมากมาย”
“บทกวีจะแต่งส่งเดชได้อย่างไร?” ต่งชูหลานลืมความต้องการที่แท้จริงในการเดินทางมาครั้งนี้เสียสนิท และลืมไปว่าชายผู้อยู่ตรงหน้านี้ เมื่อสองเดือนก่อนมีนิสัยเช่นไร นางได้เอ่ยขึ้นมาอย่างจริงจัง
ฟู่เสี่ยวกวนฝืนยิ้ม เขานำมือมาลูบจมูก “ถ้าเช่นนั้นเรียกว่า มองเจียงหนาน ดวงจันทร์แห่งเจียงหนาน……ประโยคแรกแก้ไขเป็น พระจันทร์แห่งเจียงหนาน ทอแสงนวลมาที่ซีโหลว”
“เอาตามนี้ ยอดเยี่ยมมาก!”
“บทกวีนี้น่าเสียดายที่ข้าเพิ่งได้อ่าน หากนำไปเผยแพร่ที่งานชุมนุมเหล่านักกวีเมื่อคืน ชื่อเสียงของคุณชายฟู่คงจะ……เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในหลินเจียงแล้ว”
“เมื่อคืนมีความรู้สึกอยากแต่งกวี หากคุณหนูชื่นชอบ ข้าเองก็ยินดียิ่งนัก เชิญดื่มชา”
ฟู่ต้ากวนตกตะลึง เขาเข้าใจอยู่อย่างหนึ่งว่าบทกวีทั้งสองของบุตรชายนั้นมีเนื้อความที่ดี เขาจึงดีใจเป็นอย่างยิ่ง และหันไปพูดกับผู้ดูแลจางว่า “เรื่องที่น่ายินดีเช่นนี้รอช้าอยู่ไย จงรีบไปหยิบยอดสุราซีซานมาให้แขกลิ้มรสเร็วเข้า”
ต่งชูหลานไม่เข้าใจว่าสิ่งใดคือยอดสุราซีซาน นางยังคงจดจ่ออยู่กับกวีทั้งสองบทนี้ เหตุเพราะช่างประพันธ์ได้งดงามเสียจริง
“คุณชายอธิบายได้หรือไม่ว่า สือซานโหลวคืออะไร?”
ฟู่เสี่ยวกวนบ่นอยู่ในใจ หาเรื่องเข้าตัวแล้วสิ
เขาลูบจมูกแล้งแล้วเอ่ยว่า “ตัวข้าชอบเลขสิบสาม……มันเป็นจำนวนจินตภาพ ท่านสามารถเข้าใจอีกความหมายหนึ่งได้ว่า มันหมายถึงจุดที่สูงกว่าผู้อื่น”
ต่งชูหลานขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด
ชั้นสิบสาม……ช่างสูงเสียจริง จินตนาการว่าตนยืนอยู่ชั้นสิบสามแล้วทอดสายตามองออกไป และมองเห็นวิวทิวทัศน์อันงดงามนับไม่ถ้วนที่ปรากฏในสายตา สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความคิดที่กว้างขวางของกวีและผลงาน
ลองคิดดูว่า หากแก้ไขเป็นบรรดาผู้คนมักชื่นชอบไปยังชั้นสาม ก็จะให้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน
ชั้นสิบสาม ช่างยอดเยี่ยมนัก!
แท้จริงแล้ว ชั้นสิบสามนั้นเป็นสถานที่แห่งหนึ่งในเมืองหางโจวสมัยราชวงศ์ซ่ง แต่ฟู่เสี่ยวกวนเองก็ไม่แน่ใจว่ามีสถานที่เช่นนี้อยู่ในโลกบัดนี้แล้วหรือไม่ จึง……แต่งเรื่องขึ้นมา ต่งชูหลานจินตนาการและยกระดับภาพนั้นขึ้นมา ความคิดที่นางมีต่อฟู่เสี่ยวกวนจึงเปลี่ยนไปทันที
ต่งชูหลานคิดว่า นักกวีล้วนแสดงความคิดของตนออกมาในบทกวี ฟู่เสี่ยวกวนเองก็เช่นกัน
เทศกาลตวนอู่เมื่อวานนี้ ฟู่เสี่ยวกวนอยู่ในเรือนและประพันธ์กวีสองบทนี้ขึ้นมา บทกวีทิศใต้ชื่นชมท่องเที่ยว เขาพรรณนาการดื่มสุราออกมาได้อย่างสวยงาม ทำให้ผู้อ่านเข้าใจถึงจิตวิญญาณของผู้ประพันธ์อย่างแท้จริง และผู้ประพันธ์นั้นได้พรรณนาถึงการขึ้นไปยังชั้นสิบสามเพื่อชื่นชมโลกอันกว้างใหญ่นี้ ช่างเป็นความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่นัก
ส่วนบทกวีชมเจียงหนานนั้น นักกวีสื่อความรู้สึกของเขาผ่านดวงจันทร์ ประโยคนั้นช่างแยบยล เมื่อได้ลิ้มรสก็ยากที่จะลืมเลือน ช่างชวนให้จดจำ!
“ดอกตันกุยไม่เคยร่วงโรย ฉางเอ๋อร์จากไปอย่างโดดเดี่ยว ท้องฟ้าช่างเงียบเหงา……”
“คุณชาย……ช่างมีฝีมือเสียจริง!”
ต่งชูหลานลุกขึ้นแล้วคำนับฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนน้อมรับพร้อมกับลุกขึ้น ประสานมือ “นี่……ข้ามิอาจ!”
“ข้าน้อยมีเรื่องอยากร้องขอ ไม่ทราบว่าคุณชายจะยินยอมหรือไม่?”
“เชิญคุณหนูเอ่ยเถิด”
“กวีทั้งสองบทนี้ ข้าน้อยชื่นชอบยิ่งนัก ขอให้ข้าน้อยคัดลอกได้หรือไม่?”
“แน่นอน มิใช่ปัญหา”
“อีกอย่าง……ตัวหนังสือนี้?”
“ข้าเป็นผู้เขียนเอง”
“อ้อ ตัวหนังสือนี้ช่าง……มีอิสระเสียจริง”
……
……
เรื่องที่หอหลินเจียงเมื่อสองเดือนก่อน ที่ฟู่เสี่ยวกวนเข้ามาขวางหน้าต่งชูหลานแล้วเอ่ยว่า “แม่นาง ข้าจะสู่ขอเจ้าเป็นภรรยา!” และเรื่องที่ฟู่เสียวกวนถูกองค์รักษ์ของต่งชูหลานโยนลงไปในลำธาร ทั้งสองไม่ได้เอ่ยถึงโดยปริยาย
แน่นอนว่า สถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องเอ่ยถึง อีกอย่าง ต่งชูหลานเองก็ไม่อยากหยิบยกขึ้นมาพูด
เพราะว่านางไม่สามารถนำชายที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เมื่อสองเดือนก่อนกับปัจจุบันมาเปรียบเทียบกันได้ ในวันนั้นฟู่เสี่ยวกวนดื่มเหล้าเข้าไปไม่น้อย และนางเองก็มั่นใจในรูปลักษณ์ของตนเป็นอย่างยิ่ง
ในตอนนั้น ฟู่เสี่ยวกวนเห็นความงดงามของตนจึงอาศัยฤทธิ์เหล้าเอ่ยคำพูดเช่นนั้นออกมา ซึ่งทำให้นางโกรธมาก แต่บัดนี้……นี่คงเป็นนิสัยที่แท้จริงของชายหนุ่มผู้นี้
เพียงแต่ข่าวลือเกี่ยวกับท่านผู้นี้ที่เมืองหลินเจียง เป็นเพียงข่าวลืออย่างนั้นหรือ?
กวีสองบทนี้แม้จะทำให้ต่งชูหลานเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อฟู่เสี่ยวกวน แต่ก็มิได้มีอื่นใดแอบแฝง
อีกอย่าง นางถึงวัยออกเรือน มีผู้คนมากมายมายังเรือนเสนาบดีเพื่อสู่ขอนาง……
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่นางไม่ต้องการจะเห็น จึงได้เดินทางมายังหลินเจียง โดยอ้างคำสั่งจากองค์หญิงแห่งราชวงศ์หยู เดินทางมายังหลินเจียงเพื่อคัดเลือกพ่อค้าหลวง
บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารนานาชนิด
เมื่อทั้งสามนั่งลง ชุนซิ่วก็จัดการรินเหล้า
“เหล้านี้ลูกชายข้าคิดค้นขึ้นมา ตั้งชื่อว่ายอดสุราซีซาน เชิญคุณหนูลิ้มรส”
กลิ่นหอมนั้นช่างเข้มข้น ต่งชูหลานดมแล้วยิ้มออกมา
คุณหนูต่งแห่งเรือนเสนาบดีนั้นเป็นที่รู้กันดีว่ามีนิสัยรักการอ่านกวี แต่นอกเหนือจากคนในเรือนเสนาบดีไม่กี่คนแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าต่งชูหลานชอบดื่ม อีกทั้ง……ไม่ใช่คนคออ่อน
“ขอบคุณท่านหัวหน้าตระกูลฟู่ ชูหลานไม่มีความรู้ด้านเหล้าเท่าไรนัก หากแต่เหล้านี้มีกลิ่นหอมต่างไปจากเหล้าในตลาด หอมเข้มข้นมากนัก ชูหลานจะลองลิ้มรสดู”
แต่แล้ว ฟู่เสี่ยวกวนก็เข้าใจว่าอะไรคือการลองลิ้มรส
ต่งชูหลานปลดผ้าคลุมหน้าออก แม้ฟู่เสี่ยวกวนจะรู้ดีว่าใบหน้าของนางนั้นงดงามเพียงไร แต่ก็ไม่วายถูกความงามนั้นสะกดจิต เมื่อมองเห็นต่งชูหลานยกถ้วยเหล้าขึ้นมาจิบ แล้วดื่มอีกครั้งจนหมดถ้วย
“อ่า….ต้องขออภัย ชูหลานลืมตัว แต่ว่าเหล้านี้มีรสเยี่ยมเสียจริง สิ่งนี้……คือคุณชายฟู่เป็นคนคิดขึ้นหรือ? คุณชายฟู่หมักเหล้าเป็นด้วยหรือ?”
“พอมีความรู้ด้านนี้บ้างเล็กน้อย……”
ตอนที่ 7 ที่บ้านมีเสบียงเหลือ
กลุ่มทหารอารักขาและรถม้าหนึ่งคันออกเดินทางจากเมืองหลินเจียงในตอนย่ำรุ่ง และมุ่งหน้าไปสู่หมู่บ้านเสี้ยชุน
ภายในรถม้านั้นมีเจ้านายและบ่าวรับใช้อยู่กัน 2 คน แน่นอนว่าเจ้านายก็คือต่งชูหลาน และบ่าวรับใช้เพียงหนึ่งเดียวที่นางให้ติดสอยห้อยตามมาด้วยก็คือเสี่ยวฉี
เสี่ยวฉีใช้มีดเล่มเล็กหั่นแอปเปิลแล้วส่งไปให้ต่งชูหลาน ก่อนจะเอ่ยถาม “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวมิค่อยเข้าใจ งานชุมนุมเหล่านักกวีแห่งหลินเจียงเมื่อวาน พ่อค้าผ้าทั้งสี่และพ่อค้าข้าวทั้งสามต่างก็มาโดยมิได้รับเชิญ… เป็นการเปิดเผยว่าจะยอมถอยอย่างเห็นได้ชัด ตามที่บ่าวมอง หากเมื่อวานคุณหนูให้กระดาษอวยพรแก่ชวูจี้ พันธมิตรพ่อค้าผ้าจะสลายตัวไปในที่สุด ราคาเยี่ยงนี้… คงคิดกันว่าจะคุยได้ตามที่ต้องการ”
ต่งชูหลานเล็มแอปเปิล แล้วกล่าวยิ้ม ๆ “เสี่ยวฉีของข้าก้าวหน้าได้รวดเร็วเสียจริง แต่ว่า… เจ้าลองใคร่ครวญอีกครา หากเมื่อคืนวานข้าให้กระดาษอวยพรแก่ชวูจี้ ในสายตาของเหล่าจิ้งจอกเฒ่าจะคิดว่าข้ากำลังกระวนกระวายใช่หรือไม่ นอกจากนั้น เจ้าอย่าได้ลืมว่าชวูซู่เหมยบุตรีคนรองของชวูชั่งหลายของบ้านชวูจี้ก็เป็นสะใภ้ของตระกูลจาง และบุตรชายคนโตของตระกูลจางก็ได้สมรสกับบุตรฮูหยินใหญ่ของหลิวจี้ บุตรชายอนุของตระกูลหวงก็ได้สมรสกับบุตรีคนโตของพ่อค้าข้าวหยางจี้… ภายในนี้ล้วนเป็นตาข่าย ผลประโยชน์ของพ่อค้าเหล่านี้ผูกมัดกันไว้ด้วยการเกี่ยวดอง เจ้าคิดว่ามันจะแตกหักได้อย่างง่ายดายหรือ ? ”
ต่งชูหลานส่ายหน้าและเอ่ยอย่างเกียจคร้านเล็กน้อย “สองเดือนกว่าที่ผ่านมานี้ สิ่งที่พวกเขากระทำ เป็นเพียงสิ่งที่ต้องการให้ข้ารับรู้ถึง”
เสี่ยวฉีขมวดคิ้วนิ่ว และเอ่ยถาม “จะกล่าวว่า ที่ยอมล่าถอยให้ ความจริงแล้วพวกเขาได้มีการเจรจากันแล้วหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่ไปเสียทั้งหมด ในนั้นยังคงมีสิ่งที่พวกเขากังวลใจ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องการเพียงพ่อค้าผ้าและข้าวเพียงเจ้าเดียวเท่านั้น ขนมเปี๊ยะก้อนใหญ่เพียงนี้ หากใครได้ทานก็จะเป็นผู้ชนะ เมื่อมีผลประโยชน์มากพอ การเกี่ยวดองกัน ก็มิใช่สิ่งที่หนักแน่นเพียงพอ”
“เยี่ยงนั้นการที่พวกเราเดินทางไปที่หมู่บ้านเสี้ยชุนเพื่อพบตระกูลฟู่… มันมีความหมายใดเจ้าคะ”
“ประการแรกคือเพื่อปรามพวกเขา ประการที่สอง ข้ากำลังจะบอกพ่อค้าข้าวรายใหญ่ทั้งสามว่า หากพวกเขาไม่เคลื่อนไหว ข้าก็จะทำการถอนฟืนใต้กระทะเสีย”
“หากตระกูลฟู่มิรับ จะเป็นเยี่ยงไรเจ้าคะ”
“ย่อมรับ ตระกูลฟู่มีที่นานับหมื่นในหลินเจียง ผลผลิตของพวกเขานั้นครอบครองสัดส่วนในหลินเจียงถึง 2 ส่วน หากตระกูลฟู่เป็นพ่อค้าหลวง แค่ผลผลิตข้าวขั้นต้นของพวกเขาก็เพียงพอที่จะให้บิดาส่งไปทางใต้ได้แล้ว บางทีผลกำไรของพวกเขาอาจจะลดลงมาเล็กน้อย แต่ชื่อเสียงพ่อค้าหลวงนั้นสำคัญยิ่งกว่า ข้ามิเชื่อว่าฟู่ต้ากวนจะเป็นเพียงเจ้าของที่ดินมากมายในหลินเจียง แล้วจะไม่ดำเนินกิจการอื่นไปด้วย”
ต่งชูหลานไม่ได้กล่าวว่าได้รับจดหมายลายมือของบิดา นางค่อนข้างไม่เข้าใจว่าเจ้าของที่ดินขนาดใหญ่ในหลินเจียงมารู้จักกับบิดาของนางได้เยี่ยงไร
แน่นอนนี่เป็นเพียงแค่ความอยากรู้เท่านั้น สิ่งที่สำคัญก็คือนางต้องแสดงท่าทีออกไปให้ชัดเจน ให้พ่อค้าข้าวรายใหญ่ทั้งสามแห่งในเมืองหลินเจียงเกิดความระแวง
ต่อให้ตระกูลฟู่ไม่รับ แต่ตราบใดที่ผลลัพธ์ในการเดินทางไปยังตระกูลฟู่นั้นยังคลุมเครือ ก็เพียงพอที่จะทำให้พ่อค้าข้าวทั้งสามวุ่นวายได้แล้ว
และถ้าอยากให้ตระกูลฟู่แสดงท่าทีออกมาก็ยิ่งง่ายดายนัก บุตรชายผู้โง่เขลาของเขาเคยล่วงเกินนางไว้
บุตรชายเพียงคนเดียวของฟู่ต้ากวน ตราบใดที่จับบุตรชายของเขาไว้ได้ ฟู่ต้ากวนก็ทำได้แค่เชื่อฟังคำสั่งเท่านั้น
ดังนั้นการเดินทางในครั้งนี้ นับตั้งแต่ที่นางเดินทางออกจากหลินเจียง นางก็ได้ชัยชนะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
……
…..
หมู่บ้านเสี้ยชุน เรือนซีซาน
“นายท่าน นายท่าน”
ชุนซิ่วหยิบกระดาษสองแผ่นและปรี่เข้าไปหาฟู่ต้ากวน
“มีเรื่องอันใดกัน เหตุใดต้องลุกลี้ลุกลนถึงเพียงนั้น ? ”
“คุณชาย คุณชายเจ้าค่ะ คุณชายเป็นเหวินฉวี่ซิงลงมาจุติ ! ”
ฟู่ต้ากวนชะงักฝีเท้าพลางตะลึงงัน เหวินฉวี่ซิง… เหมือนว่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกับบุตรชายของตนเลย
“นายท่านอ่านเจ้าค่ะ เมื่อคืนวานคุณชายแต่งกลอนไว้สองบท”
ใจของฟู่ต้ากวนเริ่มบีบรัด “ให้ข้าดู… ตัวอักษรนี้… กลอนสองบทนี้ บุตรชายของข้าเป็นคนแต่งขึ้นมาจริง ๆ งั้นรึ?”
“เจ้าค่ะ” ชุนซิ่วพยักหน้าอย่างหนักแน่น แล้วกล่าวอีกว่า “เมื่อคืนวานบ่าวฝนหมึกให้คุณชาย คุณชายใช้เวลาสั้น ๆ ในการครุ่นคิด แล้วจึงแต่งกลอนขึ้นมาหนึ่งบท นามว่าบทกวีทิศใต้ ในเวลานั้น บ่าวเอง… ก็ไม่อยากจะเชื่อเสียเท่าไหร่ ดังนั้นคุณชายจึงแต่งบทที่สองขึ้นมาทันพลัน เพียงแค่ไม่มีชื่อกลอน”
ฟู่ต้ากวนบีบกระดาษในมือพร้อมกับพลิกอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า สองมือสั่นเทาเล็กน้อย ใบหน้าแดงระเรื่อ เหมือนกับว่าในดวงตานั้นจะมีประกายของน้ำตา
“บุตรชายข้า… บุตรชายของข้า นี่มัน นี่มัน… ได้เปิดเผยพรสวรรค์ออกมาแล้ว ! ”
ในใจของชุนซิ่วเองก็ยินดีเป็นอย่างมาก “เจ้าค่ะ” นางพยักหน้าอย่างหนักแน่นอีกครา
ในยุคนี้ บทกวีมีบทบาทมาก และสถานะของปัญญาชนก็สูงส่งอย่างมาก หากตระกูลใดให้กำเนิดบุตรชายที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ จะเป็นเรื่องที่น่ายินดี
ตระกูลฟู่เป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในหลินเจียง พวกเขาทำการค้ามาแล้วสามรุ่น มีทรัพย์สมบัติเหลือกินเหลือใช้ แต่กลับมีกลิ่นอายปัญญาชนไม่มากนัก
ไร้กลิ่นอายปัญญาชนก็ถือว่าเป็นตระกูลที่ไร้ภูมิหลัง ในสายตาของคนทั่วไป พ่อค้าคือผู้ที่แสวงหาผลกำไร ตัวตนของพ่อค้านั้นต่ำต้อยนัก แม้ว่าจะร่ำรวยก็ตาม แต่ในสายตาของผู้อื่น ก็เป็นเพียงแค่ทองแดงที่ด้อยกว่าผู้อื่น
เพื่อให้ฟู่เสี่ยวกวนได้เผยกลิ่นอายปัญญาชน ฟู่ต้ากวนจึงทำงานให้หนักขึ้น แต่ท้ายที่สุดก็ต้องปล่อยวาง เพราะความจริงนั้นปรากฏให้เห็นแล้วว่าฟู่เสี่ยวกวนมิได้ฝักใฝ่ในการศึกษาเลย
ฟู่ต้ากวนมิได้กล่าวอันใด แต่ในใจนั้นเสียใจอย่างถึงที่สุด
ไหนเลยจะคาดคิดว่าในยามเช้าตรู่เช่นนี้ ชุนซิ่วจะนำเรื่องประหลาดใจที่ยิ่งใหญ่เยี่ยงนี้มาให้เขา นี่มัน…. ฟ้ามีตาอย่างแท้จริง
“ฟ้ามีตาแล้ว! บุตรของข้า บุตรของข้า มีอนาคตแล้ว!”
“ไปที่หมู่บ้านเสี้ยชุนแล้วนำกระดาษทั้งสองนี้ไปใส่กรอบ ต้องเป็นช่างที่ฝีมือดีที่สุด นี่คือหลักฐานทางวรรณกรรมของบุตรชายข้า อย่าได้ประมาท”
“เจ้าคะ”
ชุนซิ่วรับสั่งและวิ่งออกไปด้วยความยินดี ฟู่ต้ากวนเดินไปเดินมาอยู่ที่ระเบียงทางเดิน จิตใจที่พลุ่งพล่านนั้นมิอาจสงบลงได้
กลับจวนไปครั้งนี้ เห็นทีจะต้องทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษซะแล้ว !
บุตรชายของข้าเล่า ข้าจักต้องไปถามไถ่
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนออกกำลังยามเช้าเสร็จแล้ว ก็นั่งลงบนก้อนหินข้าง ๆ สนามฝึกวิทยายุทธ์ ชมไป๋ยู่เหลียนร่ายรำดาบ
สายลมอันเย็นเยือกจากคมดาบนั้น นำพาพลังอันน่าสะพรึง และทำให้ทุกคนที่เห็นต่างก็พากันเลื่อมใส
ครึ่งชั่วยามผ่านไป ในที่สุดไป๋ยู่เหลียนก็เก็บดาบ และนั่งลงข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน
“ข้าสามารถฝึกสิ่งนี้ได้หรือไม่” ฟู่เสี่ยวกวนพินิจพิจารณาดาบในมือ มันค่อนข้างหนัก คาดว่าน่าจะหนักประมาณ 30 ชั่ง
ไป๋ยู่เหลียนส่ายหน้า เขาหยิบน้ำเต้าสุราจากเอวขึ้นมาดื่ม ภายในนั้นบรรจุด้วยยอดสุราซีซาน
“ประการแรก การฝึกวิทยายุทธ์มิใช่กระทำได้ภายในหนึ่งวัน โดยเฉพาะกำลังภายใน อายุเจ้าก็เติบใหญ่แล้ว โครงสร้างของเจ้าเป็นรูปลักษณ์แบบพื้นฐาน มิได้มีโครงสร้างที่ยืดหยุ่น”
“ประการต่อมา” ไป๋ยู่เหลียนเหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน “ร่างกายของเจ้าอ่อนแอเกินไป แม้จะแกว่งดาบได้ แต่ก็ดูไม่มีพลัง ดาบนั่นจำเป็นต้องใช้ความดุดันที่ไร้ซึ่งความเกรงกลัวใด ๆ ละทิ้งโลหิต ปราณ จิต ข้า เขาและใครไป นอกจากนี้แขนขาของเจ้าก็ดูบอบบางมาก…” ไป๋ยู่เหลียนส่ายหน้าอีกครา “ไม่มีทาง”
“สุดท้าย เจ้าเป็นคุณชายตระกูลเศรษฐีที่ดินที่มั่งคั่งและสุขสบายมาทั้งชีวิต จะฝึกฝนวิทยายุทธ์ไปเพื่อการใด ? งานนี้ลำเค็ญยิ่งนัก เป็นไปไม่ได้ที่จะสำเร็จในวันเดียว”
ฟู่เสี่ยวกวนหยิบดาบและยืนขึ้น เขาสะบัดดาบไปมา เดินไปข้างหน้าไม่กี่ก้าวกวัดแกว่งดาบไปได้ไม่เท่าไหร่ก็กลับมา
ร่างนี้อ่อนแอเกินไป ออกดาบไปได้ไม่กี่กระบวนท่าก็รับรู้ได้ว่าร่างนี้สิ้นแรงแล้ว
วางดาบและนั่งลง เขาเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ข้ามิได้ต้องการเป็นผู้มีฝีมือที่สูงส่งอันใด เพียงแค่ต้องการฝึกกำลังภายในเท่านั้น… และสามารถลอยไปในอากาศได้ชั่วครู่ ก็เพียงพอแล้ว”
ไป๋ยู่เหลียนเงียบไปอึดใจ “กำลังภายในของข้าเหมาะกับวิถีดาบ แต่ถ้าหากเจ้ายังดึงดันที่จะไปต่อ ร่างกายของเจ้าจะรับไม่ไหว”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าด้วยความผิดหวังเล็กน้อย ไป๋ยู่เหลียนครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ 4 พรรคใหญ่แห่งเจียงหู มีภูเขาดาบของข้า ป่ากระบี่ สำนักเต๋าและนิกายฝู ในบรรดาพรรคเหล่านี้ มีที่ที่เหมาะสมกับเจ้าก็คือสำนักเต๋าและนิกายฝู เนื่องจากพื้นฐานกำลังภายในของพวกเขาคือเส้นทางที่นุ่มนวล บริสุทธิ์ และหนักแน่น ส่วนหลักของเตาชานและเจี้ยนหลิน ส่วนใหญ่เป็นการฆ่าฟันและฝึกฝนกำลังภายในให้แข็งแกร่ง หากได้ฝึกตั้งแต่ยังเล็กย่อมได้อย่างแน่นอน… เจ้าฝึกไปในตอนนี้ มีแต่จะเสียใจ”
“ยังมิต้องรีบร้อน ร่างนี้ยังอ่อนแอนัก ข้าต้องใช้เวลารักษาอีกสักพัก เสี่ยวไป๋…”
“อย่าได้เรียกข้าว่าเสี่ยวไป๋”
“โอ้ ยอดเยี่ยม เสี่ยวไป๋ ข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน เมื่อกลับไปถึงหลินเจียง องครักษ์ทั้งหมดในจวนจะถูกส่งต่อให้เจ้า เจ้าสามารถฝึกฝนพวกเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย แน่นอนไม่หมายความว่าให้ฝึกพวกเขาจนกลายเป็นยอดฝีมือแบบชาวลวี่หลิน เพียงแค่ได้สัก 1 ใน 10 ส่วนของเจ้าก็เพียงพอแล้ว คิดว่าไง ? ”
ไป๋ยู่เหลียนมองใบหน้าที่หล่อเหลาของฟู่เสี่ยวกวน ก่อนจะผูกน้ำเต้าสุราไว้ที่เอวและลุกขึ้นยืน
“เจ้ามีใบหน้าที่งดงามกว่าข้าก็จริง แต่อย่าเพ้อฝันไปหน่อยเลย”
กล่าวจบเขาก็หันหลังเดินจากไป ฟู่เสี่ยวกวนลูบจมูก และหัวเราะอย่างเงียบ ๆ
คนผู้นี้เป็นยอดฝีมือ แน่นอนว่ายอดฝีมือย่อมมีฐานะที่ทรงเกียรติ เปรียบเสมือนคลังมหาสมบัติ หากไม่ขุดนำของออกมาฟู่เสี่ยวกวนคงไม่สบายใจ แต่เรื่องนี้ไม่สามารถรีบร้อนได้ ต้มกบในน้ำอุ่น[1] ดูสิว่าข้าจะต้มเจ้าจนตายได้รึไม่!
ฟู่เสี่ยวกวนลุกขึ้นและยืนปัดก้น จากนั้นก็กลับไปอย่างสบาย ๆ
ฟู่ต้ากวนนั่งอยู่ในศาลา และชงชาอย่างดีขึ้นมาหนึ่งกา เมื่อเห็นฟู่เสี่ยวกวนเดินมา ก็รีบโบกมือเรียกอย่างว่องไว
“ลูกชาย พ่อตัดสินใจที่จะจบการเดินทางในครั้งนี้ให้เร็วขึ้นเล็กน้อย”
“เพราะเหตุใดกัน ? ”
“บุตรของข้ามีพรสวรรค์ทางวรรณกรรมที่ยอดเยี่ยม พ่อตัดสินใจจะกลับหลินเจียงให้เร็วขึ้น และจัดการชุมนุมเหล่านักกวีเพื่อบุตรของข้า เพื่อให้บุตรของข้ามีชื่อเสียงยิ่งขึ้น เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร ? ”
มือที่ถือถ้วยชาของฟู่เสี่ยวกวนชะงักค้าง นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้น ?
“ท่านอย่าได้ทำ!”
“บุตรของข้าช่างถ่อมตน บทกวีสองบทที่เจ้าได้แต่งให้พ่อได้เห็นนั้น ราวกับเหวินฉวี่ซิงลงมาจุติ นี่คือนิมิตหมายของตระกูลฟู่เรา…บุตรชายของข้ามีพรสวรรค์ถึงเพียงนี้ ย่อมไม่สามารถปิดบังเอาไว้ได้”
ฟู่ต้ากวนรินน้ำชา สีหน้าพึงพอใจ ทั้งยังกล่าวอีกว่า “ราชวงศ์หยูกำหนดโลกด้วยกำลัง มองวรรณกรรมเป็นความเจริญรุ่งเรือง จนถึงวันนี้เป็นเวลาสองร้อยกว่าปี วรรณกรรมถูกสืบทอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ เปรียบเสมือนผู้มีชื่อเสียงที่กำลังเฟื่องฟู ความสามารถของบุตรชายข้ากำลังเริ่มปรากฏ แน่นอนว่านี่ต้อง…”
ฟู่เสี่ยวกวนโบกสองมือ รีบขวางคำพูดของฟู่ต้ากวนเอาไว้
“ท่านพ่อ บุตรชายของท่านเป็นเยี่ยงไร ท่านยังมิเข้าใจหรือ ตัวข้า… ไร้พรสวรรค์ทางวรรณกรรม กลอนสองบทนั้นเพียงแค่แล่นผ่านเข้ามาในหัวเท่านั้น ศีรษะข้าได้รับบาดเจ็บ บางคราก็กระจ่างแจ้ง แต่บ่อยครั้งที่ไม่ได้เป็นเยี่ยงนั้น หากท่านกล่าวว่าท่านต้องการจัดงานชุมนุมเหล่านักกวีขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ แล้วถ้าเวลานั้นข้ามิสามารถนึกออกได้ จะลงจากเวทีได้เยี่ยงไรกัน มีแต่จะทำให้ผู้คนหัวเราะเยาะได้ อีกทั้งยังทำให้ตระกูลฟู่ต้องเสียหน้าไปด้วยใช่หรือไม่?”
รอยยิ้มบนใบหน้าฟู่ต้ากวนค่อย ๆ เลือนหายไป ใช่ ศีรษะบุตรชายข้าได้รับบาดเจ็บ บทกวีสองบทนั้นเป็นเพียงการเผยพรสวรรค์ออกมาเพียงเล็กน้อย… เป็นข้าที่ดีใจจนอดไม่ไหว
“บุตรชายข้ามีเหตุผล ตักเตือนพ่อในยามที่กำลังบุ่มบ่าม… แต่บุตรของข้าก็หาได้รีบร้อนไม่ บทกวีนั้นเป็นเรื่องของธรรมชาติมาตั้งแต่สมัยโบราณกาล ได้แต่อาศัยโอกาสเพียงเท่านั้น หากคิดขึ้นมาได้ก็จดลงในกระดาษ ต่อจากนี้หากมีงานชุมนุมเหล่านักกวีก็ให้เข้าร่วม ปล่อยให้มือไหลไปตามอารมณ์ เป็นวิธีการที่รอบคอบยิ่งนัก”
บิดาและบุตรชายต่างดื่มน้ำชาด้วยกันชั่วครู่ ฟู่ต้ากวนก็ได้พาฟู่เสี่ยวกวนไปยังอาคารตะวันตกของเรือน นั่นก็คืออาคารที่มีความสูงถึงสามชั้น ในนั้นนอกจากเสบียงอาหารแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
“ทั้งหมดนี้ เป็นของเจ้า ! ”
ฟู่ต้ากวนภูมิใจเป็นอย่างมาก ฟู่เสี่ยวกวนมองยุ้งฉางขนาดใหญ่ที่อยู่ในอาคารหลังโต แล้วกลืนน้ำลายในทันที
บ้านมีเสบียงเหลือจิตใจจะไม่ว้าวุ่น นับประสาอันใดกับเสบียงที่เยอะถึงเพียงนี้
เพียงแต่การนำเสบียงมากองรวมไว้ในที่เดียวกันเยี่ยงนี้ ค่อนข้างอันตรายไม่น้อย!
ชั่วพริบตาก็เที่ยงตรงแล้ว ชุนซิ่วประคองบทกวีที่ไปใส่กรอบมาไว้แน่น ขณะนั่งรถม้าเดินทางไปที่เรือน แต่รถม้านั้นกลับหยุดอยู่ที่ปากทางเข้าประตูเรือน
นางเลิกผ้าม่านเหลือบมอง ก็พบว่าทางด้านหน้านั้นมีรถม้าอยู่หนึ่งคัน ทั้งยังมีองครักษ์อีกมากกว่าสิบนาย
“คือผู้ใดกัน”
[1] ต้มกบในน้ำอุ่น เป็นสำนวนจีนที่มีความหมายว่า ใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ซึ่งถึงวันหนึ่งก็จะรู้ตัวว่าสายไปเสียแล้ว
ตอนที่ 6 เขียนบทกวี
เมืองหลินเจียง ณ สำนักศึกษาหลินเจียง
ต่งชูหลานสวมชุดสีขาวนั่งอยู่ริมสระบัว ในมือถือม้วนหนังสือ คิ้วของนางขมวดขึ้นด้วยความสงสัย
ใบบัวในสระทอดยาว ดอกบัวตูมเฝ้ารอการเบ่งบาน
“คุณหนูเจ้าคะ เจ้าของบ้านตระกูลฟู่ออกจากหลินเจียงไปยามเช้าตรู่ และมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านเสี้ยชุน กล่าวว่า……จะไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านเนื่องในโอกาศเทศกาลตวนอู่”
ต่งชูหลานเปิดหนังสือไปหน้าหนึ่งแล้วพูดด้วยเสียงอันเบาว่า “จิ้งจอกชราเจ้าเล่ห์นี่……บุตรชายเขาละ?”
“เรียนคุณหนู บุตรชายเขาก็ออกเดินทางไปด้วยกัน”
ต่งชูหลานสูดลมหายใจเข้า นางยังคงอยู่ในอาการสงบ
“คืนนี้มีงานชุมนุมเหล่านักกวีแห่งหลินเจียง……เดิมทีข้ามีความตั้งใจจะเข้าพบท่านหัวหน้าตระกูลฟู่เพื่อขอโทษเรื่องที่เกิดกับบุตรชายของเขา……และใช้โอกาศนี้เจรจาหารือเกี่ยวกับการค้าข้าว แต่พวกเขากลับออกเดินทางไปเสียก่อน เจ้าว่า เขาจงใจหรือไม่ได้จงใจกันแน่……?”
เสี่ยวฉี บ่าวที่รับใช้ข้างกายตกตะลึงไปชั่วครู่ “ข้าน้อย ไม่ทราบเจ้าค่ะ”
“ข้าแค่ถามไปอย่างนั้น ……งานชุมนุมเหล่านักกวีแห่งหลินเจียง บรรดาผู้มีความสามารถในเมืองหลินเจียงคงไม่พลาดโอกาศแน่ โดยเฉพาะสำนักศึกษาป้านชานต้องให้เกียรติพวกเขาให้มาก จงไปบอกเหล่าศิษย์ว่า อาจารย์หลี่ อาจารย์เถียน และอาจารย์ท่านอื่น ๆ แห่งหลินเจียง จะเดินทางมาร่วมงานนี้ด้วย ส่วนพ่อค้าผ้ารายใหญ่ 4 รายและพ่อค้าข้าวรายใหญ่ 3 รายนั้น……เอาไว้ก่อน”
เสี่ยวฉีโค้งรับคำสั่งแล้วจากไป ต่งชูหลานวางหนังสือลงแล้วยิ้ม
“สั่งการลงไป พรุ่งนี้ข้าจะเดินทางออกจากเมือง”
“คุณหนูจะเดินทางไปไหนเจ้าคะ?”
“หมู่บ้านเสี้ยชุน!”
……
……
สายลมยามค่ำคืนพัดโคมไฟสั่นไหว แสงสลัวส่องกระจายไปทั่วเรือนชาน
ฟู่เสี่ยวกวนนั่งอยู่ตรงข้ามไป๋ยู่เหลียน บนโต๊ะหินมีกับแกล้มสี่ชนิดวางอยู่
“เหล้าล่ะ?”
“รอสักครู่”
ไป๋ยู่เหลียนพิจารณาชายหนุ่มตรงหน้า ใบหน้าของหนุ่มน้อยวัย 16 ปีเต็มไปด้วยความมั่นคงสงบนิ่งราวกับภูผา แววตาลึกล้ำดั่งสายน้ำ
เมื่อเช้าเขามองเห็นความตึงเครียดบนใบหน้าของชายหนุ่มคนนี้ตอนที่เห็นดาบพุ่งเข้ามา แต่คาดไม่ถึงเลยว่าชายหนุ่มคนนี้จะไม่รีบหลบไปด้วยความตื่นตระหนก
หากดาบนั่นฟันลงมา คงทำให้เขาตัวขาดครึ่งอย่างแน่นอน
ตั้งแต่ที่เขาหมุนตัวกลางอากาศ เขาก็รู้แล้วว่านั่นคือคุณชายน้อย จึงได้ฟันดาบไปอีกทาง เขาไม่ได้มีวัตถุประสงค์อื่นหากเพียงแต่ต้องการขู่ให้กลัวเท่านั้น
แต่ชายหนุ่มคนนี้หาได้กลัวไม่ และด้วยเหตุการณ์นั้น ทำให้คุณชายน้อยอยากได้เขามารับใช้
ถ้าหากคุณชายผู้นี้สามารถหมักเหล้าได้ ติดตามเขาไปจะเป็นไร อย่างน้อยชายหนุ่มผู้นี้ก็มีความกล้าหาญที่คนธรรมดาทั่วไปไม่มี
ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้ชายตามองไป๋ยู่เหลียน และไม่ได้เอ่ยคำใดต่อเขา แต่ก้มหน้าอ่านหนังสือเหล่านั้นแทน
เมื่อชุนซิ่วยกอาหารอีกสองสำรับออกมา ก็มีเสียงฝีเท้าชุลมุนดังมาจากหน้าประตูเรือนด้านใน
“เหล้ามาแล้ว”
ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยออกมาอย่างไม่ใส่ใจ เขายังคงก้มหน้าต่อไป
สายตาของไป๋ยู่เหลียนมองเลยผ่านไป เขาเห็นนายท่าน จางเช่อ อี้หยู่และอาจารย์หลิววิ่งมาพร้อมกัน
“สำเร็จแล้ว สำเร็จแล้ว!”
นายท่านฟู่ตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้น
“คุณชายขอรับคุณชาย วิธีนี้ได้ผลเป็นไปได้จริง ๆ!”
ฟู่เสี่ยวกวนปิดหนังสือแล้วเก็บไว้ในเสื้อ ก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ทุกคนลำบากมามากแล้ว เช่นนั้น……ลองชิมด้วยกันหรือไม่?”
อาจารย์หลิวรีบตอบกลับว่า “เหล้านี้ข้าและผู้ดูแลได้ลิ้มรสแล้ว คุณชายลองลิ้มรสดูว่าคล้ายกับที่คาดไว้หรือไม่?”
ฟู่ต้ากวนนั่งลงแล้วหันไปพูดกับชุนซิ่วว่า “ยกเหล้ามา!”
ชุนซิ่วเดินถือเหยือกเหล้ามาแล้วจัดการรินเหล้า กลิ่นนั้นหอมฟุ้ง จนไป๋ยู่เหลียนเริ่มขยับตัว ดวงตาของเขาเป็นประกาย
เขายกถ้วยเหล้าขึ้น สูดดมกลิ่นเข้าไป “เหล้าดี!”
เขายกแก้วขึ้นดื่มหมดในจิบเดียว รสอันร้อนแรงของเหล้านั้นแรงกล้าคล้ายแดดแผดเผา ราวกับจะระเบิดในทรวงอก
เขากลั้นหายใจครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา มือทั้งสองตบลงที่โต๊ะแล้วเอ่ยอีกครั้งว่า “เหล้าดี!”
“สำเร็จงั้นหรือ?”ฟู่เสียวกวนยิ้มถาม
“สำเร็จแล้ว!” ไป๋ยู่เหลียนตอบโดยไม่ลังเล ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะชอบใจ “ชุนซิ่ว รินเหล้าให้พี่ใหญ่ไป๋ ข้ารอดื่มพร้อมเขา!”
รสเหล้าร้อนแรง แต่ไม่กลมกล่อม สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับเหล้าอ่อนอย่างไป๋ยู่เหลียนและฟู่ต้ากวนแล้ว เหล้านี้นับเป็นเหล้าชั้นเลิศ เทียบกับเหล้าที่ปรุงแต่งกลิ่นของหงซิ่ว เหล้านี้ดีกว่าหลายเท่านัก แต่สำหรับฟู่เสี่ยวกวนนั้น เขาว่าสิ่งนี้ยังไม่ดีพอ……
“เหล้านี้ใช้ส่วนผสมมากน้อยเพียงใด ? ” ฟู่ต้ากวนถามอาจารย์หลิว
“ผสมเพียงน้อยนิด……ข้าน้อยจำได้ว่า ข้าว 1 ชั่งหมักเหล้าได้ประมาณ 2 ตำลึง”
ฟู่ต้ากวนขมวดคิ้ว แล้วพูดพึมพำว่า “เหล้านี้หมักโดยข้าวสาร ข้าวสาร 1 ถังน้ำหนักประมาณ 120 ชั่ง ราคาตลาด 1,000 อีแปะ ข้าว 1 ชั่งประมาณแปดเก้าอีแปะ นำมาหมักเหล้าได้ 2 ตำลึง……เหล้า 2 ตำลึงมีต้นทุน 18 อีแปะ?”
เขาเงยหน้าถามจางเช่อ “เหล้าของหยู๋ฝูจี้……ตำลึงละกี่อีแปะ?”
“นายท่าน เหล้าของหยู๋ฝูจี้ตำลึงละ 5 อีแปะ” เขาหยุดชั่วครู่แล้วพูดว่า “เหล้านี้ไม่เหมือนของหยู๋ฝูจี้ เหล้านี้หมักจากข้าวสารหรือข้าวสาลี ยังไม่ได้กลั่น…… ข้าว 1 ชั่งหมักเหล้าได้ 4 ตำลึง”
ฟู่ต้ากวนครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “ถ้าเป็นเยี่ยงนั้น เหล้านี้ราคาตลาดขายประมาณ 15 อีแปะจึงจะได้กำไร”
ฟู่เสี่ยวกวนโบกมือ และกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “ราคาเหล้านั้น ข้าจะเป็นผู้กำหนดเอง”
“ตามนั้น” ฟู่ต้ากวนมิได้คัดค้าน อย่างไรเสียเหล้านี้ลูกชายของเขาก็เป็นผู้คิดขึ้นมา เหล้าของหยู๋ฝูจี้นั้นเขาจะขายเท่าไรก็ขายไป แค่มีความสุขก็เพียงพอ
เพียงแต่หลายวันต่อมา ที่หน้าร้านหยู๋ฝูจี้มีคนจำนวนมากเข้าแถวเพื่อแย่งซื้อมัน เมื่อฟู่ต้ากวนได้ยินราคาที่แท้จริงก็อดตกใจไม่ได้!
เงินนั้นหาง่ายเช่นนี้เชียวหรือ?
“เหล้านี้มีชื่อว่าอะไร?” ไป๋ยู่เหลียนเอ่ยถาม
“เรียกว่า……ยอดสุราซีซาน”
“ยอดเยี่ยม!”
“อาจารย์หลิว จากนี้จงใช้วิธีนี้ในการกลั่นเหล้า จนกว่าจะค้นคว้าได้อะไรเพิ่มเติมก็ค่อยปรับปรุงอีกที อีกอย่าง……ผู้ดูแลจาง จงไปหาสถานที่ที่ร่มรื่นใต้ภูเขาซีซาน รวมกำลังคนขุดห้องใต้ดิน ข้าต้องการขนาดใหญ่และลึก”
ทั้งสองตอบรับแล้วขอตัวจากไป ฟู่ต้ากวนและไป๋ยู่เหลียนมิได้ทักถามถึงประโยชน์ของหลุมที่จะขุดขึ้น เพียงแค่คิดว่าคุณชายคงต้องการเก็บรักษาน้ำแข็งจากหน้าหนาว ไว้ใช้ดับร้อนในหน้าร้อน
เหล้าในเหยือกมีปริมาณไม่มากนัก เมื่อดวงจันทร์ลอยสู่ยอดหลิว เหล้าก็หมดลง หลัก ๆ ก็เป็นไป๋ยู่เหลียนที่ดื่ม
เขามีอาการมึนเมาเล็กน้อย ภายในนึกขำว่าเขาดื่มไปเพียงครึ่งชั่ง แต่เทียบเท่ากับการดื่ม 3 ชั่ง เป็นเหล้าชั้นเยี่ยมเสียจริง
“คุณชาย ขอบพระคุณท่านมาก ข้าขอตัว”
ไป๋ยู่เหลียนลุกขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนโบกมืออำลา แล้วมองตามเงาที่หายไปจากประตูวงจันทร์
ภายในเรือนเหลือเพียงสองพ่อลูกและชุนซิ่ว
ชุนซิ่วเข้ามารับใช้ในเรือนตั้งแต่เยาว์วัย ฟู่ต้ากวนเองก็ไม่ได้เห็นว่านางเป็นคนอื่น
“ลูกชายข้า……” ฟู่ต้ากวนสีหน้าแดงเรื่อ เขาโบกพัดไปมาแล้วรินน้ำชา “หากแม่เจ้ายังอยู่ นางคงดีใจมากเป็นแน่”
ค่ำคืนนี้ ฟู่ต้ากวนได้เล่าถึงเรื่องราวมากมาย อาจจะเป็นเพราะเหล้าที่ดื่มเข้าไป หรืออาจเป็นเพราะคำพูดเหล่านี้อัดอั้นไว้ในใจมาเป็นเวลานานแสนนาน
เขาเอ่ยถึงเรื่องที่ฟู่เสี่ยวกวนสร้างไว้ก่อนหน้านี้ เอ่ยถึงพ่อค้ารายใหญ่แห่งหลินเจียงที่ทำดีต่อหน้า แต่กลับหัวเราะเยาะเขาลับหลัง เอ่ยถึงลูกชายบ้านอื่นที่ได้รับเลือกเป็นจวี่เหริน และกำลังเตรียมตัวเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อสอบคัดเลือก และเอ่ยถึงลูกชายบ้านอื่นที่มีความสามารถด้านวรรณกรรมมากมาย
เมื่อนำลูกชายของตนไปเปรียบเทียบกับลูกชายบ้านอื่น นี่อาจเป็นความเจ็บปวดของผู้เป็นพ่อ แต่ฟู่เสี่ยวกวนหาได้สนใจไม่ อีกทั้งฟู่ต้ากวนยังเอ่ยชื่นชมลูกชายของตนที่กลับตัวกลับใจได้
“โบราณว่า บุตรชายที่กลับตัวกลับใจนั้นมีค่าเสียยิ่งกว่าเงินทอง ลูกชายข้า……อย่าให้เวลาที่มีค่านี้……เสียไปโดยเปล่าประโยชน์”
ฟู่ต้ากวนพูดแล้วหลับไป ใบหน้าแดงก่ำของเขานั้นดูเหมือนจะยิ้มอย่างมีความสุข นี่คือความปลาบปลื้มใจของเขา
ฟู่เสี่ยวกวนเองได้แต่รับฟังโดยไม่ได้เอ่ยคำใด ภายในใจเขายอมรับบิดาคนนี้มากขึ้นไม่น้อย และเข้าใจถึงตนเองในก่อนหน้านี้มากขึ้น
……
……
เมื่อจัดแจงที่นอนแก่บิดาเรียบร้อย ฟู่เสี่ยวกวนนั่งนิ่งอยู่ในห้อง ครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเอ่ยว่า “ซิ่วเอ๋อร์ ฝนหมึก”
ชุนซิ่วมิได้คัดค้านคำเรียกของเขา กลับกันนางพอใจอย่างยิ่ง นางเดินไปหยิบแท่นฝนหมึก ในใจนางครุ่นคิดขึ้นมาว่า ……กี่ปีแล้วนะที่คุณชายไม่ได้แตะพู่กัน
ฟู่เสี่ยวกวนนั้นมิได้อยากเขียนอะไรลงไป เขาเพียงแค่ต้องการฝึกคัดตัวหนังสือเท่านั้น
ชาติที่แล้วเคยเรียนในระดับชั้นประถม แล้วไม่ได้ฝึกฝนอีก ในวันนี้เมื่อได้จับอีกครั้งจึงรู้สึกไม่คุ้นเคยเอาเสียเลย
เมื่อพู่กันอยู่เหนือกระดาษ น้ำหมึกหยดหนึ่งหยดลงไป เกิดเป็นวงดำขึ้นแล้วแผ่กระจายไปรอบทิศ กระดาษนี้ใช้ไม่ได้เสียแล้ว
“กระดาษนี้…….แย่เกินไป”
“คุณชาย กระดาษนี้เป็นของโม่เซียงจาย ไม่มีกระดาษอื่นที่ดีกว่านี้แล้วเจ้าค่ะ”
“อืม……ข้าเข้าใจแล้ว”
เขาเปลี่ยนกระดาษแผ่นใหม่ ครั้งนี้เขาเริ่มลากพู่กันเป็นตัวอักษร
บทกวีทิศใต้·ชื่มชมท่องเที่ยว
ภูเขาเขียวหนาราวคิ้วของหญิงสาว คลื่นน้ำสีเขียวใสเหมือนดวงตาของคนเมา
บรรดาผู้คนมักชื่นชอบไปยังสือซานโหลว
ไม่อิจฉาบทเพลงกู่หยางโจวอีกต่อไป
ข้าวปลาอาหารครบครัน ยอดสุรารินลงสู่ถ้วย
ใครร้องกวีเพลงสายน้ำ ก้องกังวานทั่วขุนเขา ถูกรายล้อมด้วยเมฆยามวิกาล
เมื่อเขียนจบ ฟู่เสี่ยวกวนก็ขมวดคิ้ว พู่กันนี้……ช่างควบคุมยากเสียจริง ตัวอักษรพวกนี้……ช่างดูไม่ดีเอาเสียเลย!
ชุนซิ่วชะโงกหน้ามอง สายตาจับจ้องไปที่กระดาษ…… ตัวอักษรเหล่านี้ ช่างอ่านยากเสียจริง
เอ๋ แต่บทกวีที่คุณชายเขียนนั้น ไม่เลว
ชุนซิ่วรู้หนังสือ แต่ไม่มีความรู้ด้านบทกวีนัก ราชวงศ์หยูกำลังเฟื่องฟู สำหรับชุนซิ่วที่อายุเพียงสิบหกสิบเจ็ดนั้น นางย่อมมีความสนใจในสิ่งที่หญิงงามสนใจ และเคยได้ยินบทกวีที่เผยแพร่โดยนักกวีในหลินเจียงมาไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สี่กวีแห่งเมืองหลินเจียง งานชุมนุมเหล่านักกวีในทุกครั้งจะมีบทกวีที่แสนไพเราะ เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย
แต่บทกวีที่คุณชายเขียนนี้……เกินกว่าความรู้ของชุนซิ่ว
“กวีบทนี้…..ใครเป็นผู้ประพันธ์กัน?”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนอ่านหนังสือวิเคราะห์บทกวีสามราชวงศ์จบ ก็ไปยังห้องหนังสือตระกูลฟู่ และตรวจดูเพื่อความมั่นใจว่าในบัดนี้ยังไม่มีบุคคลผู้ประพันธ์กำเนิดขึ้น จึงพูดว่า “บทกวีนี้ข้าแต่งขึ้นเอง!”
ชุนซิ่วตกตะลึง “คุณชาย……”
“ทำไมรึ”
“ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ”
“ไม่เชื่องั้นหรือ? จงไปหยิบกระดาษมาใหม่ ข้าจะประพันธ์ให้เจ้าดูอีกหนึ่งบท”
ชุนซิ่วเตรียมกระดาษ นางมองด้วยสายตารอคอย ฟู่เสียวกวนหยิบพู่กันแล้วเริ่มบรรจงเขียนจนกระทั่งเสร็จ
ตัวอักษรยังคงไม่น่ามองเช่นเคย แต่เนื้อความทำให้ชุนซิ่วชื่นชม
ดวงจันทร์แห่งเจียงเป่ย ทอแสงนวลมาที่ซีโหลว
เมื่อเมฆจางหาย เผยให้เห็นเสี้ยวหยกที่แดนไกล
จากกลมเป็นเสี้ยวมิได้เปลี่ยนแปลง
ดวงดาวส่องสว่าง ส่องแสงประกายจนถึงฤดูใบไม้ร่วง
ดอกตันกุยไม่เคยร่วงโรย ฉางเอ๋อร์จากไปอย่างโดดเดี่ยว
ท้องฟ้าช่างเงียบเหงา
“เป็นอย่างไร?”
หัวใจของชุนซิ่วแทบเต้นออกมานอกทรวง “เยี่ยมมาก!”
“แน่นอนว่าต้องยอดเยี่ยม” ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้ววางพู่กันลง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังอีกห้องหนึ่ง “ก่อนหน้านี้ข้าไร้สาระมากงั้นหรือ?”
ชุนซิ่วพยักหน้า แต่เมื่อรู้สึกตัวก็รีบส่ายหัว
คุณชายช่างมีความสามารถเสียจริง เพียงจับพู่กันก็เขียนเป็นกวีได้ แต่ก่อน……แต่ก่อนคุณชายคงเป็นเสือซ่อนเล็บ !
ใช่แล้ว ต้องเป็นเยี่ยงนี้แน่ มิฉะนั้นกล่าวออกไปจะมีใครเชื่อ?
ชุนซิ่วไม่อาจเข้าใจได้ว่ากวีทั้งสองบทนี้อยู่ในระดับใด แต่นางคาดว่าคงสูงมาก หากนำกวีสองบทนี้เผยแพร่ออกไป คาดว่าคุณชายคงได้ตำแหน่งเป็นหนึ่งในนักกวีแห่งเมืองหลินเจียง
ฟู่เสี่ยวกวนลูบหัวชุนซิ่ว เขายืนอยู่ริมหน้าต่าง สายตามองออกไปยังดวงดาวที่ทอดยาว แล้วพูดว่า “ตัวข้านั้นแต่ก่อนช่างไร้สาระยิ่งนัก แต่ต่อจากนี้จะไม่เป็นเยี่ยงนั้นอีก”
“ดึกมากแล้ว กลับห้องของตน……แล้วพักผ่อนเถอะ”
ตอนที่ 5 ไปกับข้าเถอะ
วันรุ่งขึ้น ฟู่เสี่ยวกวนยังคงตื่นเช้าดังเดิม
เขาออกกำลังอยู่ชั่วครู่ และออกท่าหมัดมวยภายในจวนอยู่ 2 รอบ หลังจากนั้นก็ออกไปนอกจวน และเริ่มออกตัววิ่งรอบนอกบริเวณจวนที่มีพื้นที่กว้างขวาง
มีองครักษ์พบเห็นเขา และรู้สถานะของชายหนุ่ม จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ด้วยเหตุนี้สายตาที่มองมาทางฟู่เสี่ยวกวนจึงค่อนข้างมาก แต่เขากลับไม่รู้สึกตัว วิ่งไปตามทางของตัวเอง ปล่อยให้ผู้อื่นมองไป
ดังนั้นเขาจึงวิ่งไปถึงด้านหลังจวน จึงได้เห็นสนามฝึกซ้อมวิทยายุทธ์
สนามฝึกเปิดโล่ง มีดาบ หอก กระบี่และง้าววางเรียงรายอยู่ทั้งสองด้าน แต่สายตาของฟู่เสี่ยวกวนกลับตกอยู่ที่ร่างของบุรุษที่ยืนอยู่ใจกลางสนาม เขาจึงหยุดเท้าอยู่ที่ตรงนั้น
บุรุษผู้นั้นดูอายุยี่สิบกว่า ๆ สวมใส่ชุดดำทั้งร่าง อีกทั้งในมือยังถือดาบยาวอยู่อีก 1 ด้าม
เขาก้าวถอยหลังยกแขนและไหล่ขึ้นเพื่อออกดาบ ทันใดนั้นบุรุษผู้นั้นก็เคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับกระต่าย ราวกับว่าดาบในมือนั้นมีชีวิต แสงสีเงินส่องประกายวาบ และท้องฟ้าก็แตกเป็นเสี่ยง ๆ
ฟู่เสี่ยวกวนมองอย่างตั้งใจ ดูเหมือนว่าบุรุษผู้นั้นจะรับรู้ถึงสายตาที่จ้องมองมาที่ตน ปลายเท้าของเขาสะกิดกับพื้นเล็กน้อย ก่อนที่ร่างจะทะยานขึ้นมาและพลิกตัวกลางอากาศ ดาบนั่นเคลื่อนไหวไปพร้อมกับร่างกายของเขา ก่อนจะฟาดดาบลงมา
ในระยะ100 เมตร บุรุษผู้นั้นมาถึงตัวของฟู่เสี่ยวกวน ดาบเองก็มาถึงเช่นกัน
เมื่อดาบมาถึงเหนือศีรษะ ลมดาบพัดผมของฟู่เสี่ยวกวนกระจาย
หัวใจของฟู่เสี่ยวกวนร่วงหล่นทันพลัน แต่เขาไม่ได้ขยับไปไหน
บุรุษผู้นั้นร่อนลงบนพื้น หนึ่งมือไพล่ไปทางด้านหลัง หนึ่งมือกำดาบ ดาบเล่มนั้นอยู่ห่างจากศีรษะของฟู่เสี่ยวกวนเพียงหนึ่งฉื่อ
“เหตุใดจึงไม่หลบ ? ”
“ไร้จิตสังหาร มิจำเป็นต้องหลบ”
บุรุษผู้นั้นคล้ายกับคิดไม่ถึงว่าจะตอบแบบนี้ หัวคิ้วของเขากระตุกเล็กน้อย ก่อนจะเก็บดาบ มือขวาที่ไพล่อยู่ด้านหลังขยับมาด้านหน้า ในมือนั้นถือกาเหล้า
บุรุษผู้นั้นเงยหน้ากระดกสุรา และโบกมือ “ใจกล้าไม่เลว แต่ความรู้ยังไม่มากพอ มือสังหารระดับสูงไร้จิตสังหาร เจ้าไปเสียเถอะ”
ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้จากไป และเอ่ยขึ้นมาว่า “ไป๋ยู่เหลียนรึ ? ”
ชายคนนั้นเอียงหน้า เหลือบมองฟู่เสี่ยวกวน ก่อนจะพยักหน้า
“ขอข้าลิ้มรสสุรา”
ไป๋ยู่เหลียนส่งกาสุราไปให้ ฟู่เสี่ยวกวนรับมาและยกดื่มไปหนึ่งคำ คิ้วขมวดนิ่ว แล้วเอ่ยถาม “รสชาติอ่อนขนาดนี้เลยรึ”
ไป๋ยู่เหลียนตะลึงไปอึดใจ “สุราใต้หล้าต่างก็มีรสชาติเช่นนี้ทั้งสิ้น แน่นอนว่าสุราของหงซิ่งจาวอาจจะเข้มข้นกว่าเล็กน้อย นอกจากนั้นก็มีสุราของตระกูลเจ้าที่ไม่เลวทีเดียว”
ฟู่เสี่ยวกวนคืนกาเหล้าให้ไป๋ยู่เหลียน จากที่สังเกตแล้ว โลกนี้ยังไม่มีสุราที่ดีกรีสูง
“ต่อจากนี้ไป เจ้าจงติดตามข้า”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวจบก็หันหลังกลับ และออกตัววิ่งเบา ๆ
ไป๋ยู่เหลียนหัวเราะ “ข้ามิใช่บ่าวรับใช้ของจวนฟู่”
ฟู่เสี่ยวกวนไม่หยุดฝีเท้า เขากล่าวว่า “สุรานี้ไร้รสชาติ มากับข้า ข้ามีสุราที่เข้มข้น”
“จริงรึ”
“จริง”
นี่คือการพบหน้ากันครั้งแรกระหว่างฟู่เสี่ยวกวนและไป๋ยู่เหลียน เรียบง่ายและตรงไปตรงมา
ฟู่เสี่ยวกวนชื่นชอบวิทยายุทธ์ของไป๋ยู่เหลียน ไป๋ยู่เหลียนก็เชื่อว่าฟู่เสี่ยวกวนมีสุราที่เข้มข้น
……
…..
วันนี้ฟู่ต้ากวนไม่ได้พาฟู่เสี่ยวกวนออกไปข้างนอก แต่พาไปยังโรงกลั่นที่อยู่ทางตอนใต้ของเรือนซีซาน
โรงกลั่นไม่ได้ใหญ่โต แต่โถงตากแห้งไม่ได้เล็กเลย
นี่คือมาตรฐานของโรงกลั่นในยุคนี้ มีเตาอิฐตั้งริมกำแพง 5 เตา มีหม้อไม้ใหญ่วางอยู่บนเตาอิฐ อีกด้านหนึ่งมีโถดินเผาวางเอาไว้ ภายในโถดินเผาเต็มไปด้วยธัญพืชกึ่งสุก
ถึงแม้จะเช้าตรู่ แต่โรงกลั่นเหล้าก็ได้เปิดทำงานแล้ว ไฟในเตาลุกช่วง เหนือหม้อไม้มีควันสีขาวพวยพุ่ง คนงานเล็ก ๆ หลายสิบคนกำลังยุ่งอยู่ ณ ที่นี้ และนายช่างทั้งห้ากำลังปรับส่าเหล้าของตนเอง
ฟู่เสี่ยวกวนใช้เวลา 1 ชั่วยามในการดูกระบวนการ ก่อนจะหันหลังเดินออกไป
“ใครเป็นคนรับผิดชอบโรงกลั่นเหล้า ? ”
“อาจารย์หลิวขอรับ” พ่อบ้านจางเช่อตอบกลับ
“กลับไปในจวน แล้วตามอาจารย์หลิวมาพบข้า”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวตามอำเภอใจ แต่ในสายตาของฟู่ต้ากวนแล้ว คำพูดของบุตรชายทำให้เขาพึงพอใจอย่างมาก
สงบเยือกเย็น แต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายของผู้ที่อยู่เหนือกว่า
แต่สิ่งที่จางเช่อได้ยินนั้น กลับเป็นคำสั่งที่โต้แย้งหรือปฏิเสธมิได้
จางเช่อคือพ่อบ้านเก่าแก่ของเรือนซีซาน ทุกปีจะไปจวนหลักที่หลินเจียงสองถึงสามครั้ง แน่นอนว่าเขาคุ้นชินกับฟู่เสี่ยวกวน แต่ในเวลานี้เขากลับรู้สึกไม่คุ้นเคยขึ้นมาเสียอย่างนั้น
มองแผ่นหลังของฟู่เสี่ยวกวนที่จากไป ทันใดนั้นเขาถึงได้นึกขึ้นมาได้ว่าตนเองยังไม่ได้ถามถึงความตั้งใจของเจ้าบ้าน
จากการที่ได้เห็นในครานี้ เสียงลือที่ว่าหลังจากที่คุณชายถูกทำร้ายแล้วจะกลายเป็นคนโง่… เห็นทีจะเป็นเรื่องเท็จอย่างแน่นอน
คุณชายต้องการพบอาจารย์หลิว เขาต้องการจะทำอันใดกัน
เป็นไปได้ไหมที่เขาจะบ่มสุราได้
จางเช่อยิ้มเงียบ ๆ ก่อนจะส่ายศีรษะ
บิดาและบุตรชายนั่งลงในศาลาด้านในจวน เมื่อชุนซิ่วส่งน้ำชาให้แล้ว ก็ยืนอยู่ด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวนอย่างเงียบ ๆ
ฟู่ต้ากวนยกถ้วยชาขึ้นมาเป่าและกล่าวขำ ๆ “เรื่องการบ่มสุรา ส่งให้ลูกน้องทำก็พอแล้ว นั่นมิใช่กิจการหลักของตระกูลเรา ส่งมอบให้พวกเขาทำเสีย เจ้าเรียนรู้ไปก็มิมีประโยชน์”
“มิใช่ วิธีการบ่มสุรานั้นสามารถปรับปรุงได้ หาได้ยุ่งยากไม่” ฟู่เสี่ยวกวนหันไปกล่าวกับชุนซิ่ว “ช่วยไปนำกระดาษและพู่กันมาให้ข้าหน่อย”
เขากล่าวต่อไปว่า “ด้วยวิธีการในตอนนี้จะทำให้ดีกรีของสุราออกมาต่ำ ไม่อร่อย”
“ดีกรี… คือสิ่งใด ? ”
“อ้อ ก็คือรสชาติอ่อนและจางของเหล้า ข้าอยากลองว่าจะทำให้เข้มข้นและหอมได้ยิ่งกว่านี้หรือไม่”
“เจ้าเรียนสิ่งนี้มาจากที่ไหน ? ” ฟู่ต้ากวนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
“ไม่ได้ศึกษา เพียงมองโรงกลั่นเหล้า ทันใดนั้นในหัวก็นึกบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือไม่ เพียงแค่อยากลองดูเท่านั้น”
ชุนซิ่วฝนหมึก ฟู่เสี่ยวกวนจับพู่กัน ตอนนี้เองเขาถึงได้พบว่าพู่กันนั้นเป็นสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยเลย
ดังนั้นเขาจึงวางพู่กันลง เดินออกจากศาลามาหักกิ่งไม้ และย่อตัวลงนั่งที่พื้นและเริ่มวาดรูป
จางเช่อพาอาจารย์หลิวเดินเข้ามา ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้เงยหน้า และเอ่ยว่า “มา มาดูด้วยกัน”
ดังนั้นวันนี้จึงมีฉากเยี่ยงนี้เกิดขึ้นมา อาจารย์หลิวย่อตัวลงข้าง ๆ ฟู่เสี่ยวกวน จางเช่อย่อตัวลงข้าง ๆ อาจารย์หลิว ฟู่ต้ากวนก็เริ่มนั่งไม่ติด เขาจึงเดินเข้ามา ย่อตัวลงนั่งที่ด้านขวาของฟู่เสี่ยวกวน ชุนซิ่วรู้สึกประหลาดใจนัก แต่ก็อายเกินกว่าจะย่อตัวลงตาม จึงยืนอยู่ทางด้านหลังของฟู่เสี่ยวกวน และยืดคอยาวมองไปที่พื้น
ราวกับกลุ่มเด็กที่กำลังมองมดบนดินย้ายบ้าน
ฟู่เสี่ยวกวนใช้กิ่งไม้วาดภาพไปบนพื้นพร้อมอธิบายไปด้วย
“ข้าคิดเยี่ยงนี้ ของสิ่งนี้เรียกว่าหม้อสวรรค์ แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นล่างของหม้อนั้นใส่หัวสุรา… หรือก็คือสุราที่ทำการบ่มออกมาได้ในตอนนี้ ส่วนด้านบนนั้นใส่น้ำเย็น และส่วนด้านบนสุดนั้นเป็นท่อ”
“รูปร่างประมาณนี้ ไฟในเตาควรลุกโชน เพิ่มความร้อนให้หัวสุรา เมื่อหัวสุราเดือด จะกลั่นก๊าซที่มีแอลกอฮอล์และถูกควบแน่นด้วยน้ำเย็น และไหลไปตามท่อนี้ นี่คือวิธีการกลั่นสุราที่ง่ายที่สุด”
“ดีกรี… หมายถึงระดับความเข้มข้นของเหล้าจะยิ่งสูงกว่าตอนนี้ มันยังมีวิธีที่ดียิ่งกว่านี้อยู่อีกมากมาย แต่นี่คือวิธีการที่ง่ายที่สุด พวกเจ้าลองทำดูก่อน”
ฟู่เสี่ยวกวนโยนกิ่งไม้ในมือทิ้ง เขาใคร่ครวญก่อนจะเสริมประโยค “น้ำเย็นภายในหม้อสวรรค์นี้ห้ามหยุดเปลี่ยนเป็นอันขาด ทางที่ดีที่สุดคือหาวิธีทำท่อน้ำเข้าและท่อถ่ายน้ำออก แบบนี้จะช่วยประหยัดแรง”
“อาจารย์หลิว ท่านมีความคิดเยี่ยงไรบ้าง”
อาจารย์หลิวนวดขมับ “ท่อนี้ ทำได้เยี่ยงไร”
“ใช้ไม้ไผ่ ทุบให้เปิดออก นำปล้องไม้ไผ่ออกมาและประกบปิดอีกครั้ง”
อาจารย์หลิวพยักหน้า “วิธีการของคุณชายดูง่ายดาย แต่กลับทะยานข้ามฟ้า[1]… ข้าจะลองดู”
“เป็นไปได้หรือ” จางเช่อเอ่ยถาม
“สมเหตุสมผล เป็นไปได้แน่” อาจารย์หลิวตอบกลับ
“ง่ายดายเพียงนี้เลยรึ ? ” ฟู่ต้ากวนเอ่ยถาม
“นี่ไม่ได้ง่ายดายเลยนายท่าน วิธีการบ่มสุรานั้นสืบทอดมานานนับพันปีจนถึงวันนี้ หากง่ายดายเพียงนั้นจริง เหตุใดพันปีที่ผ่านมาจึงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงกัน ? แต่อย่างไร ข้าน้อยจะขอลองดูก่อน เมื่อทดลองแล้วจะแจ้งให้ทราบในภายหลัง”
“รอประเดี๋ยว”ฟู่เสี่ยวกวนเรียกอาจารย์หลิวที่กำลังจะหันหลังเดินจากไป “ไม่สามารถเผยแพร่วิธีนี้ออกไป โปรดจำไว้”
“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว”
จางเช่อประหลาดใจอย่างยิ่ง แล้วก็เดินไปยังโรงกลั่นเหล้ากับอาจารย์หลิว
ความจริงเรื่องนี้หากมีนายช่างสุราแห่งใดสนใจขึ้นมา เยี่ยงไรก็ต้องแพร่กระจายออกไปในไม่ช้า แต่ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้กังวลใจ เพราะวิธีการนี้ง่ายดายเกินไป หากสัดส่วนเหล้าไม่สูง สุราเองก็ไม่เข้มข้นพอ
เขาจำวิธีบ่มสุราของบ้านเกิดในโลกก่อนได้แล้ว อื้อ ต้องทำห้องเก็บสุราขนาดใหญ่ด้วย ตลอดการเดินทางนี้ยังมิเห็นข้าวโพดข้าวฟ่างซึ่งเป็นสิ่งที่ควรมี เมื่อทำอู่เหลียงเย่ไม่ได้ เยี่ยงนั้นก็ทำซื่อเหลียงเย่แทน
วางเรื่องนี้ลงแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้หันมากล่าวกับฟู่ต้ากวน “ท่านพ่อ ข้าได้พบไป๋ยู่เหลียนแล้ว ข้าต้องการคนผู้นั้น”
“ลูกชาย เขามิใช่บ่าวในเรือนของตระกูลเรา ตัวพ่อเคยเทียบเชิญเขาไปที่หลินเจียง แต่เขามิไป หากเขาอยู่ที่หลินเจียง เจ้าจะทนลำบากเช่นนั้นได้รึ”
“เขารับปากข้าแล้ว”
ฟู่ต้ากวนถือถ้วยชา แล้วมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวน ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวยิ้ม ๆ “เขาชื่นชอบสุรา ข้าบอกเขาว่าข้าสามารถผลิตสุราที่แรงยิ่งกว่าได้ เขาจึงรับปากมากับข้า”
“หากเป็นเช่นนั้น รูปวาดเล่นบนพื้นของเจ้า… จะเป็นจริงได้หรือ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “อาจจะลวก ๆ ไปบ้าง แต่ทำออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง”
“เยี่ยงนั้นพ่อต้องทำสนธิสัญญา หากสุรานี้มีความเข้มข้นเทียบเท่าสุราเทียนเซียงได้จริง มูลค่าของมันจะสูงมาก เหล่านายช่างจะต้องลงนามในสนธิสัญญาฉบับหนึ่ง จึงจะเก็บเป็นความลับได้”
ฟู่ต้ากวนกล่าวจบก็เดินออกไปด้วยอารามรีบร้อน ฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้สนใจนัก
ที่ทำสิ่งนี้นอกจากเพื่อไป๋ยู่เหลียนแล้ว ก็เป็นการทำเพื่อหยู๋ฝูจี้เช่นกัน
ไป๋ยู่เหลียนค่อนข้างยึดมั่นในคุณธรรม เมื่อจับกุมความชอบของเขาไว้ได้ จากนี้ไปก็ค่อยตะล่อมเขาทีหลัง เขาต้องเรียนรู้ทักษะนั้นให้ได้ แน่นอนว่าทักษะดาบของไป๋ยู่เหลียนนั้นก็ดึงดูดสายตาของเขาเช่นกัน
ในเมื่อมีวิชาตัวเบา เยี่ยงนั้นย่อมมีกำลังภายในเป็นแน่
เพียงแค่ไม่รู้ว่ากำลังภายในนั้นจะร้ายกาจขนาดไหน จะสามารถต้านทานปืนได้หรือไม่
เมื่อนึกถึงปืน เขาก็นึกไปถึงกล่องดำนั้น
น่าเสียดายไม่น้อย ตัวเขาทะลุมาเพียงจิตวิญญาณ คาดว่ากล่องดำนั่นน่าจะไม่ได้ข้ามมาด้วยกัน
เมื่อถึงช่วงเวลากลางวัน ดวงอาทิตย์ร้อนแรงยิ่งขึ้น เสียงจักจั่นที่น่ารำคาญกรีดร้องอยู่ในป่า แต่จิตใจของฟู่เสี่ยวกวนหาได้ถูกรบกวนไม่ เขานั่งอยู่ในศาลาและกำลังอ่านหนังสือเล่มเล็ก
นั่นไม่ใช่เพียงหนึ่งเล่ม แต่เป็นหนึ่งกล่อง
บิดากล่าวไว้ว่า ตระกูลได้ครอบครองทุ่งนาที่อุดมสมบูรณ์ แต่ดูเหมือนจะยังมีมากกว่านั้น บิดายังกล่าวอีกว่า โฉนดที่ดินทั้งหมดถูกแยกเก็บไว้สองที่
อยู่ที่จวนหลินเจียงหนึ่งแห่ง และอยู่ที่เรือนซีซานอีกหนึ่งแห่ง
กิจการของตระกูล… ช่างใหญ่โตเสียจริง!
เมื่อมองจากตอนนี้ การป้องกันที่อยู่ในการดูแลของไป๋ยู่เหลียนนั้นไม่เลวเลยทีเดียว แต่ว่าจวนฟู่ที่หลินเจียงกลับด้อยกว่า
ก่อนที่โลกจะวุ่นวาย ทุกอย่างจะดูเหมือนตะกร้าใบใหญ่ที่ไม่มีอะไร แต่ถ้าหากโลกมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาเล่า? ถึงแม้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่การกันไว้ดีกว่าแก้ก็เป็นเนื้อแท้ของฟู่เสี่ยวกวน
เขาต้องการไป๋ยู่เหลียน ไม่เพียงเพื่อฝึกวรยุทธ์เท่านั้น แต่ยังต้องการไป๋ยู่เหลียนเพื่อสร้างกองกำลังติดอาวุธของจวนฟู่
หลังจากนี้เขาจะต้องทำความเข้าใจเรื่องไฟและยาว่าจะพัฒนาต่อไปเยี่ยงไร หากทำปืนคาบศิลาออกมาได้ แม้ว่าคุณภาพของมันจะแย่ แต่ก็เป็นอาวุธสังหารที่ยิ่งใหญ่
ฟู่เสี่ยวกวนวางหนังสือลง และนวดที่ขมับ
เหนื่อยยิ่งนัก!
[1] ทะยานข้ามฟ้า หมายถึง ความคิดที่ไร้ขอบเขต
ตอนที่ 4 เรือนซีซาน
ฟู่เสี่ยวกวนผงะไปชั่วครู่ เขาถือหนังสือไว้ในมือแต่มิได้เปิดออก ก่อนจะเอ่ยว่า “หากคุณหนู….แม่นางผู้นั้นมาหาท่าน จะจัดการเยี่ยงไรกัน ?”
ฟู่ต้ากวนยิ้มจาง ๆ “ดังนั้นข้าจึงออกมาซ่อนตัวอย่างไรเล่า เรื่องตบหน้าคนแบบนี้ คนอื่นอาจชื่นชอบ แต่พ่อของเจ้ามิใช่คนเยี่ยงนั้น”
เขายืดร่างกายให้ตรง คิ้วของเขาขมวดขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากเกิดความสงสัย “ยุ้งฉางสำคัญของชาติอยู่ที่เจียงหนาน เจียงหนานมีดินที่อุดมสมบูรณ์ และภูมิอากาศที่เหมาะสม นับตั้งแต่มีการก่อตั้งราชวงศ์หยู พื้นที่บริเวณนั้นก็สามารถทำการปลูกข้าวในไร่หมุนเวียนได้สำเร็จ สามารถเก็บเกี่ยวได้ปีละ 2 หน แม้ว่าผลผลิตจะไม่มากเท่าเจียงเป่ย แต่ผลผลิตโดยรวมมากกว่าหกเจ็ดส่วน”
“ที่ท่านผู้นั้นเดินทางมาที่หลินเจียงในครั้งนี้ ก็เพราะต้องการรับพ่อค้าธัญพืชหลินเจียงไปเป็นพ่อค้าหลวง…… เกรงว่าเรื่องนี้ อาจจะเกี่ยวข้องกับสงครามทางเหนือ”
ฟู่เสี่ยวกวนเพิ่งเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก อีกทั้งในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมก็ไม่มีข้อมูลนี้อยู่ เขาเอ่ยถามว่า “ทางเหนือมีสงครามงั้นหรือ?”
“ยังไม่เริ่มหรอก เมื่อก่อนบรรดาชาวฮวงทางเหนือที่อาศัยบนหลังม้า เร่รอนอยู่ในทุ่งหญ้าหลายพันลี้ แต่ทว่าหลังจากก่อตั้งราชวงศ์หยูได้ 3 ปี พวกมันก็ได้ปักหลักอยู่ที่ทางเหนือของด่านเยี่ยนซาน จวบจนปัจจุบันนับสิบปี จากคำบอกเล่าของพวกพ่อค้าคาราวาน ฝั่งนั้นได้ก่อตัวเป็นเมืองขึ้น ชาวฮวงขนานนามเมืองนั้นว่าซ่างตู เป็นเมืองหลวงของประเทศฮวง”
“ทางเหนือของด่านเยี่ยนซานเคยเป็นที่รวมตัวของชาวฮั่น แต่เดิมเป็นสถานที่ที่ชาวฮั่นและชาวฮวงใช้เป็นพื้นที่ในการค้าขายร่วมกัน แต่การตั้งถิ่นฐานของชาวฮวง ทำให้สถานที่ค้าขายแห่งนี้ถูกทำลายไป ชาวฮวงมีนิสัยโหดร้าย ไม่รู้จักการทำไร่นา รักในการปล้นจี้ ไท่เหอปีที่สิบสาม ชาวฮวงเคยลงใต้มาทำลายด่านเยี่ยนซาน พวกเขาปล้นสะดมและฆ่าทหารจนมาถึงเมืองซินโจวซึ่งเป็นเมืองเอกของทางเหนือ และพ่ายแพ้ให้แก่กองทหารสามหมื่นนายที่นำโดยผู้บัญชาการกองทัพ”
“หลังจากผู้บัญชาการกองทัพเผิงจัดการกับชาวฮวงจนสิ้นซากแล้ว ก็ได้เดินหน้าไปทางเหนือเพื่อออกทำลายล้างชาวฮวงเป็นเวลา 3 ปี กระทั่งผู้นำของชาวฮวงยอมเขียนจดหมายยอมแพ้ และยกย่องราชวงศ์หยู พร้อมให้สัญญาว่าจะไม่ย่างกรายข้ามเขตแดน ด้วยเหตุนี้ผู้บัญชาการกองทัพเผิงจึงได้เรียกกองทัพกลับใต้ จากเหตุการณ์ครานั้น ชาวฮวงก็ทำตามสัญญา สองราชวงศ์จึงอยู่กันอย่างสงบสุขมานับสิบปี”
“แต่บัดนี้……มีคำพูดต่อกันมาว่าชาวฮวงเริ่มมีการเคลื่อนไหว อีกทั้งหยุดส่งส่วยเป็นเวลา 2 ปีแล้ว เกรงว่าจะเกิดสงครามขึ้นอีกครั้งหนึ่ง”
ฟู่ต้ากวนลูบเคราของเขาแล้วเอ่ยว่า “เรื่องนี้มิได้เกี่ยวข้องกับพวกเรา ชาวฮวงเปรียบเสมือนไก่ดินเผาสุนัขกระเบื้อง[1] ทหารของเรามีมากมาย สามารถทำให้ชาวฮวงพังพินาศได้โดยง่าย เพียงแต่การก่อสงครามจะสิ้นเปลืองอาหารไม่น้อย หลายปีมานี้ราชวงศ์หยูแม้จะมีข้อพิพาทกับราชวงศ์อู่ทางใต้ ประเทศอี๋ทางตะวันออก และประเทศฝานทางตะวันตก แต่ก็หาได้มีการรบราครั้งใหญ่ไม่ เงินในคลังยังมีล้นเหลือ การเดินทางมาเยือนครั้งนี้ เป็นเพียงการป้องกันเท่านั้น หากสำเร็จก็นับเป็นความสามารถของนาง หากไม่สำเร็จ ใครกันจะเอาผิดกับเด็กสาวคนหนึ่ง”
คำกล่าวนี้สมเหตุสมผล
ฟู่เสี่ยวกวนยังไม่รู้จักโลกในตอนนี้เท่าไรนัก จึงมิได้เอ่ยความคิดใดออกมา เขาก้มหน้าเปิดหนังสือที่ถืออยู่ในมือ
นี่คือบันทึกที่ดินทั้งหมดของเศรษฐีที่ดิน และรายชื่อผู้เช่าพื้นที่ทั้งหมด
ตัวหนังสืออีกและตัวเลขเรียงรายนับไม่ถ้วน ฟู่เสี่ยวกวนมองแล้วตาลายแต่ก็อ่านต่อไป อย่างไรเสีย……บรรดาพื้นที่พวกนี้อีกทั้งประชากรที่อาศัยในที่ดิน ก็เป็นของเขาทั้งหมด!”
ขบวนรถเดินทางออกจากเมืองหลินเจียง ย่ำไปบนถนนที่ไม่กว้างและขรุขระ ฟู่เสี่ยวกวนเงยหน้าขึ้น สายตามองไปยังนอกหน้าต่าง เห็นชาวนากำลังวุ่นอยู่กับการปลูกข้าว แล้วมองไปในพื้นที่สูงขึ้นห่างออกไปอีกเล็กน้อย รวงข้าวสาลีได้เปลี่ยนเป็นสีเหลือง ลมพัดเป็นคลื่นพลิ้วไหว ช่างเป็นภาพที่งดงามเสียจริง
……
……
ขบวนรถหยุดลงทุกครั้งที่ผ่านหมู่บ้าน ฟู่ต้ากวนและฟู่เสี่ยวกวนจะลงไปพบปะพูดคุยกับชาวบ้านเรื่องการเก็บเกี่ยวและมอบของขวัญแก่พวกเขา เช่น บ๊ะจ่าง เนื้อหมูและลูกกวาดเป็นต้น
ฟู่เสี่ยวกวนติดตามบิดาของเขามา ตลอดการเดินทางเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มโดยไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เมื่อบิดาแนะนำตัวเองแก่หัวหน้าหมู่บ้าน เขาจะลุกขึ้นและทักทายด้วยความเคารพ
เหตุนี้ทำให้บรรดาผู้คนรวมไปถึงผู้ดูแลที่ติดตามมาทั้งสองคน เช่นอี้หยู่และจูตัวต่างพากันตกตะลึง บรรดาหัวหน้าหมู่บ้านที่เคยได้ยินเรื่องราวของนายน้อยมาบ้าง เมื่อได้พบเห็นด้วยตนเอง จึงได้เข้าใจว่าที่ผ่านมาเป็นเพียงคำเล่าลือเท่านั้น
นายใหญ่นั้นเป็นคนดีมาก ส่วนนายน้อยมองไปแล้วก็ไม่เลว สำหรับบรรดาหัวหน้าหมู่บ้านนั้นนับว่าดีทีเดียว
เนื่องจากบรรดาชาวบ้านทั้งหลายเหล่านี้ต้องพึ่งพาอาศัยบ้านตระกูลฟู่ เมื่อเห็นเช่นนี้ คงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ขึ้นในเวลาไม่ช้านี้แน่นอน
พวกเขาเดินหน้าต่อไปกระทั่งถึงเวลากลางวัน ขบวนรถหยุดพักลงกลางหุบเขา
ผู้ดูแลจัดการหุงหาอาหาร ส่วนฟู่เสี่ยวกวนนั้นเดินไปยังลำธารเพื่อล้างหน้า
เมื่อลมจากหุบเขาพัดผ่าน ได้พัดพาความเย็นมาด้วย ความร้อนในร่างกายก็ถูกพัดไปกับสายลม
ผู้รับใช้นำเก้าอี้ไม้ 2 ตัวลงมาจากหลังม้า สองพ่อลูกลงนั่งพร้อมกันแล้วดื่มน้ำ
“เหตุใดไม่กินข้าวในหมู่บ้าน?”
“อย่างไรเสียก็มีความแตกต่างกันทางฐานะ อีกอย่าง ของกินเหล่านั้น……ไม่อร่อยเท่าไรนัก”
ในสมองฟู่เสี่ยวกวนปรากฏภาพบรรดาชาวบ้านขึ้นมา
มีเด็กเนื้อตัวมอมแมมซ่อนตัวอยู่ที่มุมหนึ่งของกระท่อม เพื่อแอบดูพวกเขา ในขณะที่ชายชราที่เดินแทบจะไม่ไหวนั่งจับเจ่าอยู่ใต้กำแพงดินและอาบแดด
นอกจากเสียงสุนัขที่เห่ายามพวกเขาเดินทางไปถึงแล้ว เวลาอื่นล้วนเงียบสงบ ในหมู่บ้านนอกจากเด็กและคนชราแล้ว ไม่ปรากฏผู้อื่น เนื่องจากหนุ่มสาวได้ออกไปทำงานที่ทุ่งนา
พวกเขาดำรงชีวิตเช่นนี้ตลอดมา ไม่มีเรื่องใดสำคัญกว่าการเพาะปลูก ส่วนเรื่องเทศกาลตวนหวู่นั้น……หากยังไม่สามารถอิ่มท้องได้ จะใส่ใจเทศกาลตวนหวู่นี้ไปทำไม
“พวกเขาช่างลำบากเสียจริง”
ฟู่ต้ากวนมองดูฟู่เสี่ยวกวนด้วยความแคลงใจ
“ผลผลิตที่ได้จากการเก็บเกี่ยว ชาวบ้านได้ 2 ส่วน จ่ายภาษีทางกลาง 3 ส่วน ตระกูลฟู่ได้ 5 ส่วน……เหตุใดจึงว่าพวกเขาลำบาก?ตระกูลฟู่แบ่งให้ผู้เพาะปลูกมากกว่าตระกูลอื่นครึ่งส่วนแล้ว หากพวกเขาตั้งใจเพราะปลูกและเก็บเกี่ยว ก็ไม่มีปัญหาเรื่องข้าวปลาอาหาร”
ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ต่อปากต่อคำกับฟู่ต้ากวนในเรื่องนี้ เขาเป็นเพียงคนนอก และไม่เข้าใจว่า 2 ส่วนที่กล่าวนั้นมากน้อยเพียงใด
“ข้าเพียงแค่เอ่ยไปตามความรู้สึกเท่านั้น มิได้จริงจัง”
“ความเห็นใจผู้อื่นนั้นมีได้ แต่ควรมีขอบเขต ลูกชายข้า พวกเราคือเจ้าของที่ดินและที่ดินเหล่านั้นเราใช้ทรัพย์สินเงินทองหาซื้อมา ไม่ต่างจากการทำการค้าแต่อย่างใด เมื่อลงทุนก็ควรได้ผลกำไร พวกเรามิใช่นักบวชผู้ใจบุญ แต่หากเกิดเหตุการณ์ทางธรรมชาติขึ้น พวกเราเองก็ได้แบ่งปันสิ่งของเหล่านี้เพื่อช่วยเหลือผู้คน ปีนี้มองแล้วคงไม่เลว พวกเขามีผลผลิตสามถึงห้าถัง พวกเราเองก็มีผลผลิตเพิ่มสามถึงห้าถังเช่นกัน”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า
เขาลุกขึ้นเพื่อยืดเส้นยืดสาย และหยุดลงในทันใด เขามองไปยังไหล่เขาที่ไกลออกไป
ที่นั่นมีต้นไม้กระจัดกระจาย และเห็นเงาของคนสองคนวิ่งไล่ และได้ยินเสียงกระทบกันของเหล็ก
เนื่องจากอยู่ห่างออกไป จึงทำให้ได้ยินไม่ชัดเจนนัก
ผู้ดูแลได้ยินเสียงนั้นเช่นกัน เขาหยิบดาบขึ้นแล้วยืนคุ้มครองอยู่ข้างสองพ่อลูก
ฟู่เสี่ยวกวนอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นร่างทั้งสองวิ่งด้วยความรวดเร็ว อีกทั้งดาบที่กระทบกับแสงแดด ส่องแสงจ้ามาเป็นระยะ ทำให้เขาแทบหยุดหายใจ
“นั่นคือ?”
จางเถี่ยหลู หัวหน้าผู้ดูแลเริ่มกังวลขึ้นมา เขาจ้องมองไปยังสองคนที่ต่อสู้กันอยู่ และตอบว่า “นั่นคือชาวลวี่หลิน คุณชายน้อยโปรดวางใจ ทางเรามีจำนวนคนมาก สามารถคุ้มครองความปลอดภัยแก่นายท่านทั้งสองได้”
ทั้งสองคนที่บนไหล่เขาไม่ได้ให้ความสนใจกับขบวนกลางหุบเขานี้ คนที่อยู่ข้างหน้าดูเหมือนจะถูกฟัน จึงหยิบดาบวิ่งหนี ส่วนคนด้านหลังนั้นคาดว่าเป็นสตรี เหตุเพราะนางสวมชุดสีเขียว ฟู่เสี่ยวกวนแลเห็นนางหยิบมีดวิ่งตามหายเข้าไปในเขา
จางเถี่ยหลูถึงได้วางใจ ยกมือขึ้นประสานกันแล้วเอ่ยต่อฟู่เสี่ยวกวนว่า “พวกเขาไปแล้ว คงเกิดจากเรื่องความคับแค้นใจ”
แต่สิ่งที่ฟู่เสี่ยวกวนนึกถึงก็คือกังฟู วิชาตัวเบานั่นช่างดูเหมือนลอยได้จริง ๆ!
แม้ในชาติที่แล้วเขาเองก็เป็นผู้มีความสามารถ แต่วิชาตัวเบานั้นเป็นเพียงตำนานที่เล่าขานกันมาเท่านั้น
แต่จากที่เห็นเมื่อครู่ บนโลกนี้มีวิชาตัวเบาอยู่จริง
น่าสนใจ
นี่เป็นเพียงสิ่งที่เหนือความคาดหมายระหว่างการเดินทาง ฟู่ต้ากวนมีความรู้เกี่ยวกับพวกลวี่หลินไม่มากนัก หากหยิบคำพูดของฟู่ต้ากวนมาพูด ก็คงจะ……พวกเราและพวกเขามิใช่คนเดินทางสายเดียวกัน นอกเสียจากโลกนี้เปลี่ยนไป ไม่เช่นนั้นคงไม่มีสิ่งใดข้องเกี่ยวกันได้ และจะดีที่สุดถ้าไม่ได้ข้องเกี่ยวกัน
แต่สำหรับฟู่เสี่ยวกวนนั้นเขากลับจำได้ขึ้นใจ มิใช่อื่นใด เพียงแค่อยากศึกษาวิชาตัวเบาเท่านั้น เขาอยากจะสัมผัสความรู้สึกเวลาลอยอยู่ในอากาศ
หลังมื้อกลางวัน พวกเขาได้เดินทางต่อไป
ตลอดการเดินทางเขาดูหนังสือมากมาย เมื่อถึงหมู่บ้านก็หยุดทักทายชาวบ้านและมอบสินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ แก่พวกเขา เพื่อแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยที่เจ้าของที่ดินมีต่อผู้เช่าที่
กระทั่งเวลาเย็นขบวนรถเดินทางมาถึงหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุด หมู่บ้านเสี้ยชุน
“ทั้งหมู่บ้านนี้เป็นของพวกเรา ! ”
ฟู่ต้ากวนพูดอย่างภูมิใจ
พวกเขามิได้หยุดพักที่หมู่บ้าน แต่เดินทางไปยังทางใต้ ที่นั่นเป็นแหล่งอุตสากรรมแห่งหนึ่ง ซึ่งมีแม่น้ำอยู่ด้านหน้าและภูเขาอยู่ด้านหลัง
“ที่แห่งนี้แม่เจ้าเป็นคนสร้างขึ้นมา นางว่าที่นี่ทิวทัศน์ดีมาก แต่สาเหตุที่แท้จริงก็คือหมู่บ้านเสี้ยชุนคือยุ้งฉางที่ใหญ่ที่สุดของบ้านเรา และมีโรงหมักเหล้าอีกด้วย”
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนมองออกไปรู้สึกว่าที่แห่งนี้ช่างกว้างขวาง อีกทั้งยังอยู่ใกล้แม่น้ำ เมื่อเข้ามาใกล้จึงได้รู้สึกว่าที่แห่งนี้ช่างโอ่อ่า
กำแพงสูงสีแดงเข้ม มีหอสังเกตการณ์ระหว่างกำแพง อีกทั้งผู้คนเดินลาดตระเวน
“อุตสาหกรรมแห่งนี้ แม่เจ้าตั้งชื่อว่าเรือนซีซาน ยุ้งฉางและโรงหมักเหล้าก็อยู่ภายใน มีผู้รักษาการณ์ 300 นาย ทั้งสามร้อยนายนี้ล้วนเป็นทหารที่ปลดประจำการ มีผู้นำชื่อว่าไป๋ยู่เหลียน เคยประจำการอยู่ที่ฝั่งตะวันออก และเกษียณในปีที่ห้าของศักราชเซวียนลี่”
“เป็นสตรี?”
ฟู่ต้ากวนส่ายหน้า “บุรุษ”
“ว่ากันว่า … …ไป๋ยู่เหลียนมีศิลปะการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เรียนรู้มาจากเขาเตาซาน——เขาหนานเตาทางเหนือป่ากระบี่ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะพูดเช่นนั้น ข้าเองเคยถามไปแล้ว แต่ไป๋ยู่เหลียนมิเคยบอก เขามีนิสัยแปลกประหลาด แต่ความภักดีของเขาไม่ต้องสงสัย”
ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกสนใจในตัวไป๋ยู่เหลียนขึ้นมา เหตุผลแรกคือชื่อ เหตุผลที่สองคือกังฟู
เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาจากทางประตูใหญ่ของเรือนซีซาน ก็มีผู้ดูแลออกมาให้การต้อนรับ และนำทางฟู่ต้ากวนกับฟู่เสี่ยวกวนเข้าไปด้านใน
ลานด้านนอกและลานด้านในโล่ง มีคนเดินลาดตระเวนตามคำสั่งนับสิบ ๆ คนเห็นจะได้ พวกเขาปฏิบัติงานกันอย่างขันแข็งแม้เจ้าของบ้านไม่อยู่
ด้านในเปรียบเสมือนโลกอีกโลกหนึ่ง มีศาลา สะพานข้ามแม่น้ำและสายธาร กลิ่นหอมของดอกไม้กระจายไปทั่วสารทิศ
ที่แห่งนี้ คือที่ที่เจ้าของเรือนซีซานอาศัยอยู่
ฟู่เสี่ยวกวนไม่เห็นไป๋ยู่เหลียน
ผู้ดูแลกล่าวว่า เขาคงอยู่ที่โรงหมักเหล้า
หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยก็เป็นเวลาพักผ่อน
ฟู่เสี่ยวกวนยืนอยู่ชั้นสองเขาพิงระเบียงและหันหน้าออกไป สายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน เขามองไปที่ลานกว้างใหญ่นี้ แล้วนึกในใจว่าหากเป็นในชาติก่อน … จะมีมูลค่าเท่าไหร่กัน?
เขายิ้ม
เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นดวงจันทร์ท่ามกลางท้องฟ้าโปร่ง ถูกรายล้อมไปด้วยดวงดาวนับไม่ถ้วน
เมื่อก้มหน้าลง ก็เห็นโคมไฟดวงหนึ่งสว่างขึ้นที่ปลายหลังคา
ปรากฏบุคคลหนึ่งนั่งอยู่ปลายหลังคา ในมือถือขวดเหล้าและมองดูดวงจันทร์
มองไปมองมาคล้ายกับ……หมาป่าผู้โดดเดี่ยว
[1] ไก่ดินเผาสุนัขกระเบื้อง เป็นสำนวนจีนที่มีความหมายว่ามีดีแค่ชื่อ แต่ไร้ประโยชน์
ตอนที่ 3 ตระกูลข้ามีทุ่งนา… นับไม่ถ้วน
จวนฟู่ตั้งอยู่ที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของตรอกซีชุ่ยในเมืองหลินเจียง
จวนที่นี่ใหญ่โตแทบจะทุกหลัง ผู้ที่อยู่ที่นี่ต่างได้ชื่อว่าเป็นคหบดีแห่งเมืองหลินเจียง
มิได้เจริญรุ่งเรื่อง แต่ร่ำรวยและยังมีพื้นที่เกษตรกรรมอุดมสมบูรณ์มากนัก
ฟู่ต้ากวนนำฟู่เสี่ยวกวนขึ้นรถม้า โดยมีชุนซิ่วเป็นผู้ติดตามไปด้วย พ่อบ้านอี้หยู่ได้เตรียมทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับการเดินทางในครานี้ไว้เพียบพร้อมแล้ว รถม้าทั้งหมด 10 คันอีกทั้งองครักษ์ 50 คน กำลังเดินเท้าเข้าสู่ปากทางตรอกซีชุ่ย มันช่างน่าตื่นตาตื่นใจเสียยิ่งนัก
ฟู่ต้ากวนและฟู่เสี่ยวกวนนั่งลงตรงข้ามกัน ใบหน้าท้วมของเขาเผยสีหน้าเศร้าใจเล็กน้อย
“เป็นมารดาของเจ้าที่ให้ข้าแต่งงานอีกคราหลังจากที่นางจากไป นางกล่าวว่ายามที่ข้าแก่ไปจะได้มีเพื่อน… เพียงแต่นางกล่าวไว้ว่าจะดีที่สุดหากไม่มีบุตรอีก นางกังวลว่าหากข้าแต่งงานใหม่ ให้กำเนิดบุตรชาย แล้วจะไม่รักเจ้าอีก หรือหากเจ้าสาวคนใหม่มีบุตรแล้วจะรังแกเจ้าได้”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มรับบาง ๆ ฟู่ต้ากวนจึงรีบเอ่ยขึ้นมา “แม่รองของเจ้านั้นตั้งครรภ์แล้ว นั่นเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายไปบ้าง แต่ในภายภาคหน้าตระกูลฟู่ย่อมส่งมอบให้เจ้าอย่างแน่นอน เจ้าอย่าได้กังวลเลย”
“…ท่านพ่อ ท่านคิดมากเกินไปแล้ว”
“อันใดรึ”
“ข้าต้องการจะกล่าวว่า จวนใหญ่ถึงเพียงนั้น อีกทั้งความสามารถของท่านยังดีเยี่ยม รูปลักษณ์รูปร่างของท่านเองก็มิได้ด้อยเลยแม้แต่น้อย ความจริงข้าคิดว่าท่านยังมีน้องชายและน้องสาวให้ข้าได้อีกสองสามคนเสียด้วยซ้ำ”
ตามที่กล่าวไว้ในนิยาย ที่บ้านใหญ่ บ้านรองและบ้านที่สามจะต่อสู้กันเพื่อทรัพย์สินจนถึงแก่ชีวิต ฟู่เสี่ยวกวนเชื่อว่ายังคงมีอยู่ตามนิยาย แต่เขาก็ปรารถนาที่จะทำให้ตระกูลเจริญรุ่งเรือง ในส่วนของการต่อสู้นั้น… การต่อสู้จะทำให้ผู้คนก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพียงแค่ควบคุมไว้ได้ก็ดี มิใช่เรื่องมิดีอันใด
สิ่งที่เขาต้องทำก็คือศึกษาให้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ตระกูลฟู่มีบุคคลที่มีพรสวรรค์มากพอจะใช้งานได้ แต่ไม่เหมือนกับในเวลานี้ การไปเยี่ยมเยียนชาวบ้านในวันหยุดเป็นเรื่องที่ผู้เป็นนายยังต้องไปด้วยตนเองอีกหรือ
ฟู่ต้ากวนหันร่างมาและจ้องบุตรชายเขม็ง “เจ้าคิดเยี่ยงนั้นจริงรึ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า ฟู่ต้ากวนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ และเอ่ยว่า “แต่ว่า… ในอดีตยามที่เจ้ารับรู้ว่าแม่รองของเจ้าตั้งครรภ์ เจ้าแทบจะรื้อจวนได้ เจ้ากลับโวยวายขับไล่ฉีชื่อออกจากบ้าน”
อ่า ฟู่เสี่ยวกวนตบหน้าผาก “เรื่องในอดีต บางเรื่องข้าเองก็จำไม่ได้แล้ว แต่ในตอนนี้ข้าคิดเยี่ยงนั้นจริง ๆ ”
ฟู่ต้ากวนนั่งตัวตรง ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะหันออกไปมองนอกหน้าต่างรถ และเอ่ยเสียงแผ่วเบา “หยุนชิงที่อยู่บนฟ้า บุตรชายของข้า… เขารู้ความแล้ว”
หยุนชิงย่อมเป็นมารดาของฟู่เสี่ยวกวน เป็นความทรงจำอันเลือนรางที่ยังคงอยู่ของฟู่เสี่ยวกวน
ฟู่เสี่ยวกวนก้มหน้าและกล่าวว่า “หากการเดินทางครั้งนี้จบลง ข้าอยากไปกราบท่านแม่”
“ย่อมได้ ย่อมได้ มารดาของเจ้าจักต้องยินดีเป็นแน่”
บิดาและบุตรชายยังคงพูดคุยกันอย่างต่อเนื่อง ฟู่ต้ากวนมั่นอกมั่นใจแล้วว่าบุตรชายนั้นไม่ได้กลายเป็นคนโง่ แต่เปลี่ยนแปรเป็นคนที่รู้ความ เปลี่ยนแปรเป็นมีสติและฉลาด และเปลี่ยนแปรเป็นน่าเชื่อถือ
การเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วเยี่ยงนี้ ทำให้ฟู่ต้ากวนคิดว่ากำลังอยู่ในความฝัน และไม่สามารถปรับตัวได้ในทันที
ฟู่เสี่ยวกวนเองก็มิได้มีท่าทีที่เป็นธรรมชาติเกินไป
เป็นคราแรกที่เขาได้คุยกับผู้อื่นมากมายขนาดนี้ นั่นย่อมทำให้เขารู้สึกอ่อนล้าเล็กน้อย
ความอ่อนล้านั้นเกิดจากตัวตนของเขาที่เปลี่ยนแปลงไป ในอดีตเขามักจะครุ่นคิดกับการคำนวณและการกระทำบางอย่าง สิ่งที่เขาทำในตอนนี้คือการสื่อสารรวมไปถึงการเจรจาทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาเชี่ยวชาญ แต่เมื่อมาเกิดในตระกูลเศรษฐีที่ดิน ต่อจากนี้จะต้องควบคุมกิจการที่ใหญ่โต แน่นอนว่าเขานั้นต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง
ด้วยความคุ้นชินของชีวิตนับสิบปีของชีวิตก่อน มันค่อนข้างยากสำหรับเขาที่จะเปลี่ยนแปลงในทันที
ในตอนนี้เหมือนว่าจะเป็นการเริ่มต้นที่ไม่เลวนัก การสนทนากับบิดาที่ยังไม่คุ้นชินนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น เพียงแต่ว่าวิธีการพูดคุยนั้นยังคงไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไหร่นัก รวมไปถึงบางคำที่เขาเผลอโพล่งออกมา ฟู่ต้ากวนมักจะถามเสมอ ว่านี่หมายความว่าเยี่ยงไร
“ตระกูลของเราดำเนินกิจการด้านใดบ้าง”
“ส่วนสำคัญคือที่ดิน ทุ่งนาที่มีอยู่มากมาย นอกจากนั้น… มีกิจการเล็ก ๆ ที่หลินเจียง แต่ไม่ใช่การค้าธัญพืช เป็นโรงเตี๊ยมยวี่ฝูจี้ที่มารดาของเจ้าเคยทำ ตอนนี้ก็ยังคงดำเนินกิจการอยู่ เพียงแค่ไม่ได้ขยายขอบเขตออกไป”
“ยวี่ฝูจี้หรือ มิใช่สวี่ฝูจี้รึ”
“ถึงแม้มารดาของเจ้าจะแซ่สวี่ แต่นามที่มอบให้นั้นคือยวี่ฝูจี้ มารดาของเจ้ากล่าวว่า มีร่มเงาอยู่ในบ้าน มอบความสุขให้แก่คนรุ่นหลัง แน่นอนว่าเป็นมารดาของเจ้าที่คิดมาก ความจริงแล้วมันถูกส่งต่อให้แก่เจ้า นางกลัวว่าหลังจากที่นางจากไปแล้วเจ้าจะถูกแม่รองรังแก นั่นคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่นางก็ยังคงจะทำเยี่ยงนั้น”
ใบหน้ามารดาของฟู่เสี่ยวกวนค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นมา มารดาทุกคนบนโลก ต่างใช้แรงใจในการผ่านความยากลำบาก เขาซาบซึ้งเป็นอย่างมาก แต่หมดหนทางจะตอบแทน เช่นนั้นมาดูแลยวี่ฝูจี้แห่งนี้เสียดีกว่า เพื่อเติมเต็มความปรารถนาของมารดา
“ท่านพ่อไปพบยวี่ฝูจี้ที่ใด ทำอาชีพอะไรกัน”
ฟู่เสี่ยวกวนยิ้มแล้วส่ายศีรษะ “ในร้านค้าเล็ก ๆ ขาย… น้ำตาล”
“โอ้ ยวี่ฝูจี้ของเราขายสุรา ในหมู่บ้านนั้นมีร้านขายสุรา นายช่างในนั้นต่างเป็นบุคคลที่มารดาเจ้าสรรหามา การเดินทางครั้งนี้ก็ต้องไปที่หมู่บ้านเช่นกัน เมื่อถึงเวลานั้นจะพาเจ้าไปดู”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า เงียบไปอึดใจก่อนจะเอ่ยถามว่า “เรื่องนั้น ยังมีเรื่องยุ่งยากอันใดหรือไม่”
“มิได้มีเรื่องยุ่งยากอันใด ท่านผู้นั้นยังอยู่ในหลินเจียง การเดินทางครั้งนี้จะเป็นการพูดคุยเรื่องธุรกิจตระกูลการค้ารายใหญ่ในหลินเจียงหลายเจ้า เช่น จางจี้ ชวูจี้ เป็นต้น… ส่วนใหญ่จะเป็นพ่อค้าผ้าและพ่อค้าธัญพืช ผ้าไหมของหลินเจียงนั้นยอดเยี่ยม ผลผลิตทางธัญพืชของหลินเจียงก็ค่อนข้างสูง เพียงแค่พ่อยังไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้เหตุอันใดจึงให้สตรีมาทำแต่เพียงผู้เดียว”
“นางเป็นใคร มีภูมิหลังเช่นใดหรือ?”
“บุตรีคนรองของเสนาบดีกรมคลัง ต่งชูหลาน หลายวันมานี้พ่อได้ฟังความจากตระกูลเหล่านั้นมาว่า ขุนนางผู้นั้นค่อนข้างเจ้าอุบาย แต่กลับไม่ได้ใช้ตัวตนมาข่มขู่ผู้ใด เพียงแค่ในการกระทำและคำพูดนั้นกลับเปิดเผยตัวตนของเสนาบดีกรมคลังอย่างตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ นับตั้งแต่ก่อตั้งราชวงศ์หยูมาได้ 200 ปี เสนาบดีกรมคลังส่วนใหญ่จะเลือกเจียงหนานเป็นที่ตั้ง แต่ครานี้กลับเลือกเจียงเป่ย… เรื่องจริงเรื่องหลอกนั้นก็ยังคลุมเครือ แต่ทุกคนต่างเห็นพ้องกันว่าเป็นเรื่องจริง ดังนั้นหลายวันมานี้ท่านจึงยุ่งเป็นอย่างมาก จึงคิดว่านางคงลืมเรื่องของเจ้าไปแล้ว”
แต่ฟู่ต้ากวนไม่ได้บอกว่าเขานั้นได้ทำเรื่องอันใดเพื่อบุตรชายของเขาบ้าง
ภายในเรือหงซิ่งจาวที่ประดับหรูหราบนน่านแม่น้ำฉินหวายของเมืองหลวงจินหลิง อาจารย์หูฉินหูได้อ่านจดหมายของฟู่ต้ากวนแล้ว เงียบไปอึดใจ ก่อนจะถอนหายใจออกมา หลังจากนั้นจึงส่งจดหมายฉบับนั้นไปยังจวนกรมคลังเสนาบดี และได้ส่งสุราเปียวเซียงที่บ่มมานานนับสิบปีอันล้ำค่าไปด้วย
หลังจากนั้นเสนาบดีต่งก็ได้อ่านจดหมายฉบับนั้น ดื่มสุราไปหนึ่งจอก และส่งจดหมายนั้นให้บุตรีต่งชูหลาน
เนื้อความบนจดหมายนั้นได้เขียนเอาไว้หนึ่งบรรทัด หากมิได้รับบาดเจ็บอันใด จึงได้ถูกเปิดออกเยี่ยงนี้
หลินเจียงอยู่ห่างไกลจากจินหลิง หากใช้เส้นทางทางน้ำจะมาถึงในห้าวัน แต่จดหมายฉบับนี้ใช้เส้นทางทางบก จึงมาถึงอย่างล่าช้า คนของต่งชูหลานได้ลงมือไปแล้ว ยามที่ต่งชูหลานได้อ่านจดหมายฉบับนั้นก็คิ้วขมวดอยู่ชั่วครู่ และได้ส่งคนไปสืบข่าวที่จวนฟู่ จึงได้รู้ว่าคุณชายบุ่มบ่ามนามฟู่เสี่ยวกวนคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ แต่หาได้ใส่ใจอีกต่อไป
และเมื่อนำมารวมกับฟู่ต้ากวนที่เป็นการค้าอย่างเป็นทางการของหลินเจียง ดังนั้นเรื่องจึงจบลงเยี่ยงนี้
“คนผู้นั้นไม่ได้ง่ายดายเลย ด้วยวัยที่ผ่านการปักปิ่นแล้ว แต่กลับสามารถควบคุมเหตุการณ์สำคัญเหล่านี้ได้ ทั้งยังเดินท่ามกลางพ่อค้าเก่าแก่ได้อย่างสบายใจ… สิ่งนี้คือความมั่งคั่งของตระกูลที่ร่ำรวย เราตระกูลฟู่ มีภารกิจอันหนักหน่วงอยู่”
“นางมีจวนเสนาบดีคอยหนุนหลัง ทั้งยังมีเสนาบดีผู้นั้น…”
“ไม่” ฟู่ต้ากวนโบกมือ “ถึงแม้พ่อค้าเก่าแก่เหล่านั้นจะกลัวคนของทางการ แต่เมื่อมีผลประโยชน์อยู่เบื้องหน้า บางสิ่งหากไม่ผิดต่อข้อบังคับ ทางการเองก็ลงมือกับพวกเขาไม่ได้ ส่วนเสนาบดีกรมคลัง… นั่นเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความสนใจอย่างแท้จริง เดิมทีพ่อค้าผ้าและธัญพืชรายใหญ่หลาย ๆ เจ้า เคยได้ต่อรองเรื่องของราคาแล้ว ต่างเดินหน้าและล่าถอยไปด้วยกันเพื่อการเอื้ออำนวยซึ่งกันและกัน แต่จากที่มองในตอนนี้ กลับค่อยถูกขุนนางผู้นั้นแย่งส่วนแบ่งในตลาดไปแล้ว เพราะข้าได้ยินมาว่าราคาของผ้าถูกลดลงจากเดิมครึ่งหนึ่ง และราคาธัญพืชเองก็ถูกลดลงไป 1 ส่วน”
ในโลกก่อนหน้านี้ฟู่เสี่ยวกวนไม่เคยทำธุรกิจมาก่อน ได้ฟังเรื่องเหล่านี้ก็ค่อนข้างสนใจ เขาจึงเอ่ยถาม “นี่คือการรวมกลุ่มเพื่อคานอำนาจอีกกลุ่มหนึ่งอย่างนั้นหรือ”
“ความหมายก็ประมาณนั้น ส่วนสำคัญยังคงลอบใคร่ครวญอยู่ในใจ เพียงได้ผลประโยชน์มามาก ก็ไม่มีพันธสัญญาที่แข็งแกร่งอันใดทั้งนั้น นี่คือธรรมชาติของมนุษย์ โจ๊กหม้อเดียวกัน มีบางคนอยากตักใส่ชาม มีบางคนอยากตักใส่อ่าง และมีบางคนที่อยากยกไปทั้งหม้อ เจ้าลองดูสิ นี่คือการเอาเปรียบคนขายโจ๊กอย่างไรเล่า”
ฟู่เสี่ยวกวนเงียบไปอึดใจ เหตุผลง่าย ๆ เยี่ยงนี้เขาเข้าใจได้ เพียงแค่ยังไม่เคยใช้ความคิดเยี่ยงนี้ในการครุ่นคิดถึงปัญหาทางการค้า เยี่ยงนั้นก็เป็นปัญหาของตนเอง และได้กลับมายังที่ใจความสำคัญของการเปลี่ยนใจ
“สองเดือนผ่านมาแล้ว แต่นางยังไม่ได้จากไป กล่าวกันว่ายังไม่เป็นไปตามที่นางปรารถนา แต่หลายวันที่ผ่านมานี้นางไม่ได้พูดคุยกับพ่อค้า แต่กลับไปพบบัณฑิตในหลินเจียง ทั้งยังจัดชุมนุมบทกวี จัดขึ้นเมื่อไม่กี่วันก่อนที่สำนักศึกษาหลินเจียง บัณฑิตที่มีพรสวรรค์ของหลินเจียงต่างไปกันเกินครึ่ง กลายเป็นที่รู้จักในนามการชุมนุมครั้งใหญ่ของหลินเจียง เพียงแต่ถือเป็นการหักหน้าสำนักศึกษาป้านชานไปเสีย”
มองใบหน้าที่ยังสับสนของฟู่เสี่ยวกวน ฟู่ต้ากวนก็หัวเราะขึ้นมา “ล้ำลึกสิ… การลงมือนี้ล้ำลึกมากอย่างแท้จริง”
“หมายความว่าเยี่ยงไร”
“สี่พ่อค้าผ้ารายใหญ่แห่งหลินเจียง มีจางจี้ ชวูจี้ หลิวจี้ทั้งยังมีตระกูลหวง จางจี้นั้นใหญ่ที่สุด เป็นอันดับหนึ่งในการค้าผ้าของหลินเจียง ทั้งยังเป็นผู้ริเริ่มการเจรจาในครั้งนี้ด้วย แต่เบื้องหลังของสำนักศึกษาหลินเจียงก็คือหลิวจี้ และผู้ที่อยู่เบื้องหลังสำนักศึกษาป้านชานก็คือจางจี้”
ทันใดนั้นฟู่เสี่ยวกวนก็นึกขึ้นมาได้ “นี่คือการดันหลิวจี้เพื่อเหยียบจางจี้ การปล่อยรถม้าอย่างนั้นหรือ”
“ใช่ ดั่งบทเพลงที่ไร้เสียง ดั่งฟ้าร้องที่ไร้ฝน นี่คือการรุกฆาตกองทัพของจางจี้ ต้องรอดูว่าจางจือเซ่อจะตอบโต้เยี่ยงไร… ตามที่พ่อลอบสังเกต พันธสัญญาการค้าผ้าทั้งหมดของจางจือเซ่อถึงคราวพังทลายแล้ว ถึงเวลาลงสนามตามลำดับ หากเป็นเยี่ยงนั้น ราคาผ้าจะลดลงมาถึง 3 ส่วน”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าอย่างครุ่นคิด และเอ่ยถามขึ้นมาอีกครา “แล้วการค้าธัญพืชเล่า”
“สามพ่อค้าใหญ่แห่งหลินเจียง หยางจี้ ฟ้านจี้ และเหยาจี้ จากการมองในยามนี้ ขุนนางท่านนั้นไม่ได้ติดต่อกับพ่อค้าธัญพืชมากนัก ส่วนใหญ่ยังคงวางอยู่ที่พ่อค้าผ้าเป็นส่วนมาก หากการค้าผ้าสะดุด การค้าธัญพืชก็จะสะดุดตาม นี่ค่อนข้างจะเกินจริงไปบ้าง ท้ายที่สุดกำลังทรัพย์ของเสนาบดีกรมคลังก็ใหญ่ ทั้งทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่งยังต้องส่งเข้าท้องพระคลัง กำไรย่อมมีเป็นแน่ แต่อำนาจในการกำหนดราคาอยู่ในการควบคุมของขุนนาง”
“เชือดไก่ให้ลิงดู”
“ความหมายก็ประมาณนั้น”
“เหตุใดพวกเราจึงไม่ขายธัญพืชด้วยตนเอง”
ฟู่ต้ากวนยกยิ้ม ใบหน้านั้นดูภาคภูมิใจอย่างถึงที่สุด
“หลินเจียงที่ใหญ่โต ธัญพืช 10 ส่วน ตระกูลฟู่ของเราผูกขาดไปแล้ว 2 ส่วน อีก 8 ส่วนก็แจกจ่ายให้อีกพันครัวเรือนในหลินเจียง… ตระกูลเราไม่ใช่พ่อค้าธัญพืช เมื่อมีธัญพืชย่อมมีพ่อค้าเป็นธรรมดา และด้วยราคาของธัญพืชในหลินเจียง ถึงแม้ข้าจะไม่ใช่ผู้กำหนดราคา แต่มันก็จะมีอิทธิพลในตัวมันเอง”
แต่ฟู่เสี่ยวกวนกลับขมวดคิ้วนิ่ว แล้วเอ่ยถาม “ตระกูลของเรามีทุ่งนาเท่าใดกัน”
ฟู่ต้ากวนหันหลังกลับเปิดปากกล่อง และหยิบหนังสือเล่มเล็กออกมาจากข้างใน ส่งให้กับฟู่เสี่ยวกวน และกล่าวว่า “จากการเดินทางในสิบกว่าวันนี้ ทุ่งนาที่ผ่านและเห็นทั้งหมด ล้วนเป็นของตระกูลเรา”
ฟู่เสี่ยวกวนตกใจอย่างมาก หยิบหนังสือเล่มเล็กนั้นมาแต่ยังไม่ทันได้เปิด ก็เอ่ยถามว่า “ถ้าหากคุณหนู… แม่นางผู้นั้นมาหาท่าน จะจัดการเยี่ยงไรกัน”
ตอนที่ 2 อาจจะแปลก แต่จริง
ในวันที่ห้าเดือนห้า ตามปฏิทินจันทรคติ เทศกาลตวงโหงว แดดอ่อนยามเช้าทอแสงส่อง ท้องฟ้าสดใสตัดกับเมฆขาว
ฟู่เสี่ยวกวนตื่นขึ้น แล้วมายังสวนในบ้าน
เขาเดินมาหยุดที่ใต้ต้นไทรเก่าแก่ขนาดใหญ่ต้นหนึ่ง ค่อย ๆ หายใจเข้าออกช้า ๆ ประมาณ 10 ครั้งเห็นจะได้ จากนั้นก้าวขาออก ย่อตัวลงแล้วออกหมัด……
นี่เป็นชุดหมัดทหาร ทุกท่าทางตรงตามมาตรฐานไม่มีข้อผิดเพี้ยนแม้แต่น้อย เพียงแต่ร่างกายนี้ช่างอ่อนแอเสียเหลือเกิน จึงทำให้ออกหมัดได้ไม่รวดเร็วนัก อีกทั้งไม่มีพลังอันน่าเกรงขาม มองดูช่างเหมือนการปาหี่ที่ไร้ประโยชน์ตามตลาดไม่มีผิดเพี้ยน
ฟู่เสี่ยวกวนขยับร่างกายอย่างช้า ๆ เพื่อเป็นการสำรวจความแข็งแรงของร่างกายนี้
ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็น มันช่างแย่เสียจริง….. หากแต่ดีที่เขามีอายุเพียง 16 ปีเท่านั้น แม้ว่ามันจะยังสายไปบ้างแต่เขาก็เชื่อมั่นว่าใช้เวลาฝึกฝนสัก 2 ปีอาจได้สักครึ่งหนึ่งของตัวเขาเมื่อชีวิตก่อนนี้
ชุนซิ่วตกตะลึงเมื่อเห็นภาพที่อยู่ข้างหน้า
ตลอดมาคุณชายของนางจะตื่นนอนก็ต่อเมื่อถึงเวลาอาหาร แต่สองวันมานี้คุณชายของนางตื่นแต่ฟ้าสาง แล้วยังฝึกมวยที่ใต้ต้นไทรเก่าแก่ ทั้งยังวิ่งออกกำลังกายรอบ ๆ สวนอย่างไม่เคยทำมาก่อน
ว่าไปแล้ว เมื่อวานซืนคุณชายตื่นขึ้นมาวิ่งได้ 8 รอบ เมื่อวานนี้วิ่งได้ 10 รอบ เช้านี้เขาคงวิ่งได้มากกว่าเดิมเป็นแน่
สองวันมานี้คุณชายพูดจาน้อยลง เขาเพียงแต่เอ่ยถามว่าเมื่อครั้งช่วยเขาไว้เมื่อสามวันก่อนเห็นกล่องดำบ้างหรือไม่เพียงเท่านั้น
ชุนซิ่วไม่รู้เรื่องนี้ จึงได้ไปถามนายท่านซึ่งก็ไม่ได้ความเช่นกัน นางจึงได้ส่งคนออกค้นหาแต่ไม่พบ คุณชายครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก
หลังจากเกิดเรื่องขึ้นในครานั้นคุณชายของนางเปลี่ยนไปเป็นคนละคนจนน่าใจหาย นอกเหนือจากเรื่องอาหารการกินแล้ว อย่างอื่นไม่มีอะไรเหมือนเดิมแม้แต่นิดเดียว
อย่างเช่น คุณชายมิเคยสั่งให้นางจัดแจงแต่งกายให้เขา ทว่าเมื่อก่อนเขาคงสั่งให้นางจัดแจงเสียทุกอย่าง
คุณชายอาบน้ำทุกวันแล้วยังมิบังคับให้นางนวดบ่าให้อย่างที่เคยทำ
คุณชายนอนเสียดึกดื่นทุกวันเนื่องจากเขาเปิดไฟอ่านหนังสือวิเคราะห์บทกวีสามราชวงศ์แล้วหัวเราะขึ้นมาในบางครั้งครา บางทีเขาก็พูดบางสิ่งที่นางไม่เข้าใจนัก
เช่น “ประวัติศาสตร์……หรือนี่อาจจะเป็นเวลาคู่ขนานสินะ”
หรือ “ดู ๆ ไปแล้วเราคงได้ใช้ชีวิตอยู่ที่โลกใบนี้อย่างมีความสุข”
ชุนซิ่วนั่งปักลายผ้าอยู่ข้าง ๆ ฟังเสียงคุณชายเปิดหนังสือ นางรู้สึกจากใจจริงว่าช่างมีความสงบสุขอย่างที่มิเคยมีมาก่อน หากแต่ว่าเมื่อนางได้ยินคุณชายพูดกับตัวเองก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาบ้าง ศีรษะของเขาถูกทุบเข้าด้วยของแข็ง นั่นย่อมเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดผลข้างเคียงขึ้นกับเขา ข่าวลือนี้มิได้แพร่สะพัดไป แต่นางก็พอได้ยินเข้าหูมาบ้าง
นางได้ยินข่าวลือนี้มาจากปากของผู้ดูแลสวนซึ่งเขาบอกว่าได้ยินมาจากหลงจู๊อีกทีหนึ่ง
ทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจนัก แม้ว่าคุณชายจะแปลกไปจากเดิมบ้าง แต่นางชอบที่เขาเป็นแบบนี้เสียมากกว่า เรื่องนี้นางไม่กล้าพูดออกไปแน่นอน แต่สำหรับนางแล้วในใจยังคงคอยปกป้องคุณชายของตนตลอดเวลา
ตอนนี้คุณชายไม่ออกไปดื่มสุราเมามาย ไม่รังแกสตรีตามท้องถนนยามเมาไม่ได้สติ อีกทั้งไม่ออกจากบ้านเป็นเวลาหลายวัน แต่กลับนั่งอ่านหนังสือ
การอ่านหนังสือเป็นเรื่องที่สูงส่ง อย่างน้อยในใจของชุนซิ่วคิดว่านี่คือเรื่องที่คุณชายควรทำเป็นอย่างยิ่ง
ขอเทพเจ้าคุ้มครอง ให้การที่คุณชายถูกทำร้ายครั้งนี้เป็นเสมือนการปลุกเขาให้ตื่นขึ้น ต่อจากนี้ในเรือนฟู่จะดียิ่งขึ้น ในฐานะสาวใช้อย่างน้อยคงมีชีวิตที่ดี
ฟู่เสี่ยวกวนฝึกหมัดทหารได้ 2 รอบ เมื่อได้ออกกำลัง ร่างกายจึงอบอุ่นขึ้น เขาเริ่มวิ่งไปรอบสวนอย่างช้า ๆ หนึ่งรอบประมาณ 400 เมตร สิบรอบได้ 4 กิโลเมตร เมื่อรู้สึกถึงความเหนื่อยล้า คงถึงจุดที่ร่างกายนี้เกินจะรับไหว
ที่แห่งนี้เป็นของฟู่เสี่ยวกวน นอกจากซุนซิ่วแล้วจากเดิมยังมีคนสวนอีกนับสิบคน บรรดาพรรคพวกที่เคยมีนิสัยเกเรชอบกลั่นแกล้งผู้อื่นนั้น บัดนี้ได้ถูกส่งออกไปอยู่นอกเรือนเสียหมดแล้ว
เขามิชอบฝูงชนมิชอบสถานที่ที่วุ่นวาย บรรดาคนสวนเหล่านั้นมิกล้าเอ่ยอะไรต่อหน้าเขาแม้แต่น้อย นิสัยนี้ของเขาติดมาตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเกิดเรื่อง เมื่อได้รับคำสั่งให้วางแผนลอบสังหาร เขาก็ออกปฏิบัติภารกิจเพียงลำพัง ทำให้เขาเคยชินเป็นนิสัย ทว่ามิสามารถปรับเปลี่ยนมันได้ในเวลาอันสั้น
เขาคิดว่าจากนี้คงต้องปรับเปลี่ยนเสียหน่อย เพราะอย่างไรเสียโลกของเขาก็เปลี่ยนไปแล้ว
ฟู่เสี่ยวกวนวิ่งไปพลางคิดไป เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นกลับพบว่าฟู่ต้ากวนกำลังเดินข้ามผ่านธรณีประตูเข้ามา
เขาได้ยกมือขึ้นเพื่อทักทายฟู่ต้ากวน แต่มิได้ทำให้เขาหยุดฝีเท้าลงสักนิด
ฟู่ต้ากวนตกตะลึงแทบหยุดหายใจ ชุนซิ่วเงยหน้าขึ้นมองเขาที่ชี้ไปทางฟู่เสี่ยวกวน เอ่ยถามว่า “ลูกชายข้า……”
ชุนซิ่วโค้งเคารพตอบกลับว่า ว่า “นายท่าน คุณชายเป็นเฉกเช่นนี้มาสามวันแล้ว……นายท่านมิอยู่ ข้าน้อยจึงยังมิได้ไปรายงานเจ้าค่ะ”
ชุนซิ่วพูดต่อว่า “คุณชายบอกว่าร่างกายนี้อ่อนแอเหลือเกิน จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝน ตอนนี้คุณชายกำลังฝึกฝนร่างกายอยู่เจ้าค่ะ”
ฟู่ต้ากวนมองไปยังฟู่เสี่ยวกวน ใบหน้าอันบ่งบอกถึงความเป็นอยู่ที่ดีของเขาเผยรอยยิ้มออกมา
เขานำมือลูบเครา นิ่งไปชั่วครู่แล้วถามว่า “คุณชายมีอะไรผิดปกติอีกหรือไม่?”
“คุณชาย……ดูหนังสือจนดึกดื่นเจ้าค่ะ”
ฟู่ต้ากวนตกตะลึงยิ่งขึ้น รีบเอ่ยถามขึ้นว่า “หนังสืออะไร?”
“มีคัมภีร์หลุ่นอวี่ คำภีร์จงยงและคัมภีร์ซือจิงเจ้าค่ะ”
ฟู่ต้ากวนขมวดคิ้ว “สามคืนอ่านครบสามเล่มเลยงั้นหรือ?”
“นายท่าน มิใช่สามคืน แต่เป็น……สองชั่วยาม อีกอย่างคุณชายมิได้อ่าน……เจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นคืออะไร?”
“เพียงเปิดดู……คุณชายเปิดหนังสือเหล่านั้นเพียงแค่ผ่านตาและหยุดดูบ้างบางเวลา หนังสือที่คุณชายดูมากที่สุดคือหนังสือวิเคราะห์บทกวีสามราชวงศ์ ข้าน้อยเห็นคุณชายท่านอ่านหนังสือเล่มนี้มาสองคืนแล้วเจ้าค่ะ”
ฟู่ต้ากวนครุ่นคิดแล้วกำชับด้วยเสียงอันเบาว่า “ร่างกายคุณชายยังอ่อนเพลีย คอยเตือนให้เขาพักผ่อนมาก ๆ……ส่วนเรื่องหนังสือนั้น เพียงมีความสนใจอ่านก็เพียงพอแล้ว มิต้องทุ่มเทมากนัก เดี๋ยวจะเสียสุขภาพ”
“เจ้าค่ะ”
ชุนซิ่วไม่ได้ตอบไปว่า นางเคยพูดกับคุณชายแล้ว แต่เขาหาได้ฟังนางแม้แต่น้อย
คุณชายเคยบอกว่า ยังไม่ตีหนึ่งเลย จะให้นอนหลับได้อย่างไร
แต่นางฟังไม่เข้าใจนัก ภายหลังได้เข้าใจว่าเป็นยามหนึ่ง
“สองวันนี้คุณชายมีความอยากอาหารบ้างหรือไม่ ? ”
“คุณชายทานอาหารได้มากกว่าแต่ก่อนอย่างน่าใจหาย มื้อเช้ามีโจ๊กหนึ่งถ้วยกับไข่ต้มและไข่ดาวพร้อมเครื่องเคียงสามอย่างอีกทั้งหมั่นโถวสองลูก มื้อกลางวันข้าวหนึ่งถ้วยกับผักสองอย่างและเนื้อสามอย่างอีกทั้งซุปหนึ่งหม้อ ส่วนมื้อเย็นนั้นเช่นเดียวกับมื้อกลางวัน เพียงแต่อาหารเปลี่ยนไปเท่านั้น……คุณชายสั่งว่าเมื่อนายท่านกลับมา ให้ขอนายท่านสร้างห้องครัวในเรือนนี้ คงสะดวกขึ้นกว่าเดิมเจ้าค่ะ”
ฟู่ต้ากวนพยักหน้าแล้วมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนอีกครั้งหนึ่ง แววตาของเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาเกี่ยวกับการเปลี่ยนไปของลูกชาย
เดิมทีลูกชายของเขามีนิสัยอย่างไรเขานั้นเข้าใจอย่างถ่องแท้ สองวันมานี้เขาวิ่งเต้นจัดการเกี่ยวกับเรื่องราวก่อนหน้าที่ลูกชายสร้างไว้ ดูแล้วบรรดาผู้มั่งคั่งเหล่านั้นจะไม่ติดใจเอาความแล้ว ทำให้เขาสบายใจขึ้นไม่น้อย เพียงแต่การที่ลูกชายของเขาลุกขึ้นฝึกฝนร่างกายกระทั่งอ่านหนังสือ เรื่องนี้ทำให้จิตใจฟู่ต้ากวนสั่นไหวไม่น้อย
นี่คือเรื่องน่ายินดีหรือไม่?
หรือการถูกทุบศีรษะในครานั้นจะช่วยเปิดทางสว่างแก่ลูกชายเขา?
ภาวนาให้เป็นเช่นนั้นเถิด อย่างน้อยบัดนี้ลูกชายของเขามิได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่ลง ก็ดีเหลือเกินแล้ว ส่วนเรื่องอื่นนั้น……คงปล่อยให้เป็นไปตามชะตากรรมของเขาเถิด
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ฟู่ต้ากวนหันไปกล่าวกับชุนซิ่วว่า “อาหารเช้าน่าจะจัดเตรียมเรียบร้อยเมื่อเขาวิ่งเสร็จ จงบอกให้คุณชายไปร่วมโต๊ะกับข้า” พูดจบก็มองไปรอบ ๆ แล้วพูดต่อว่า “ในเมื่อลูกชายข้าต้องการสร้างห้องครัว เจ้าจงไปหาผู้ดูแลแล้วบอกเรื่องนี้กับเขา เขากลับมาแล้วตั้งแต่เมื่อวาน”
ชุนซิ่วตอบรับ ฟู่ต้ากวนมองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วเดินจากไป
เมื่อวิ่งครบสิบรอบ ฟู่เสี่ยวกวนรับผ้าขนหนูจากชุนซิ่วไปเช็ดเหงื่อแล้วรับน้ำอุ่นไปดื่ม หลังดื่มน้ำเสร็จเขาเดินไปรอบ ๆ สวน จากนั้นเดินไปทางห้องอาบน้ำ
ชุนซิ่วเตรียมน้ำอุ่นและเสื้อผ้าไว้เรียบร้อย นางบอกกับเขาว่า “นายท่านเชิญคุณชายไปร่วมรับประทานอาหารที่เรือนนายท่านเจ้าค่ะ”
ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าแล้วเดินเข้าห้องอาบน้ำไป เขาปิดประตูลงแล้วย่างกายเข้าแช่น้ำในถังไม้ ความรู้สึกนี้ดีทีเดียว
เมื่อชาติที่แล้วบรรดาพรรคพวกเคยถามเขาว่า “ถ้าออกจากหน่วยทหารแล้วเขาจะทำอะไรต่อไป?”
คำตอบของเขาคือ “ไปยังที่มีภูเขา ทุ่งหญ้าและแม่น้ำ มีท้องนาอีกทั้งบ่อปลา ยามว่างจากทำนาจะได้ตกปลา เป็นแบบนี้ตลอดไป”
เป็นไปตามนั้นจริง ๆ!
เขาหัวเราะขึ้น
ชีวิตของเขาฆ่าคนมาไม่รู้กี่ชีวิต เขาเหนื่อยกายและเหนื่อยใจ
ในวันนี้ความปรารถนาของเขาเป็นจริงแล้ว เขารู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก แม้ว่าเขายังไม่ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ แต่อย่างน้อยหลายวันมานี้เขาได้นอนหลับเต็มตาโดยไม่ฝันถึงสิ่งใด
ที่นี่มีพ่อที่รักและเป็นห่วงเขา มีคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์จริงใจ และมีแม่ที่เขาเองไม่เคยเจอ แน่นอนว่าการที่เป็นผู้มั่งคั่งในเมืองหลินเจียงนั้น เขาคงมีพื้นที่เพาะปลูกมากมาย
มันช่างดีเสียจริง
ส่วนฝานตั่วเอ๋อร์ที่หออี้หงนั้น เขาไม่ได้หยิบมาใส่ใจ
แต่ในความทรงจำนั้นปรากฏภาพสตรีนางหนึ่งในชุดสีขาวที่สง่างามและชัดเจน อืม นางงดงามเสียจริง เพียงแค่นั้น
ในใจของฟู่เสี่ยวกวนมิได้รู้สึกใด ๆ เมื่อนึกถึงนาง
……
……
เรือนของตระกูลฟู่นั้นช่างใหญ่โตเหลือเกิน
ห้องอาหารนั้นก็ใหญ่โตเฉกเช่นกัน
ฟู่ต้ากวนผู้เป็นพ่อของเขานั่งอยู่ด้านบนสุด โดยมีฉีซื่อฮูหยินรองนั่งอยู่ด้านซ้าย ส่วนฟู่เสี่ยวกวนเข้าไปนั่งตรงข้ามกับฟู่ต้ากวน
ระยะห่างที่เขามีให้ต่อฟู่ต้ากวนนั้น หาใช่เพราะความน่าเกรงขามในตัวพ่อของเขา แต่สืบเนื่องจากเขายังรู้สึกมิคุ้นชินกับพ่อคนนี้มากนัก เขาจึงได้เลือกรักษาระยะห่างโดยที่เขาเองก็มิได้รู้ตัว
ทำให้ฉีซื่อขมวดคิ้วขึ้นอย่างสงสัย ส่วนฟู่ต้ากวนมิได้นำมาใส่ใจแม้แต่น้อย
เมื่ออาหารถูกจัดเตรียมขึ้นโต๊ะจนครบแล้วนั้น ครอบครัวทั้งสามคน……ฟู่เสี่ยวกวนฉุกคิดอย่างไม่แน่ใจว่านี่สามารถเรียกว่าทั้งสามคนได้หรือไม่ ฟู่ต้ากวนมองเขาอย่างเอ็นดูแล้วได้เอ่ยกับเขาว่า “กินข้าว”
ฟู่เสี่ยวกวนมิเกรงใจ เขายกถ้วยขึ้นมาแล้วลงมือกินข้าว ทำให้ฉีซื่อขมวดคิ้วอีกคราเนื่องจากกิริยาการกินของฟู่เสี่ยวกวนนั้นไม่เป็นที่น่าชมสักเท่าไหร่นัก
ฟู่เสี่ยวกวนเคยชินกับการกินอย่างเร่งรีบ จึงมิได้สนใจฉีซื่อแม้แต่น้อย แต่ถึงแม้เขาจะเห็นก็มิได้ทำให้เขาเปลี่ยนแปลงหรือหยุดการกระทำใด ๆ ลงไป
เขาเพียงกินข้าวของเขา ผู้ใดอยากพูดอะไรก็พูดไป
“วันนี้เป็นเทศกาลตวงโหงว ข้าจะไปเดิน ๆ ดูหมู่บ้านเกษตรกรรมเสียหน่อย ลูกชายข้า เจ้าสนใจไปด้วยกันหรือไม่?”
หากเป็นแต่ก่อน ฟู่เสี่ยวกวนคงปฏิเสธอย่างแน่นอน ดินโคลนพวกนั้นมีอะไรน่าชมกัน?”
หากมีเวลาสู้ไปนั่งฟังเพลงที่หออี้หงไม่ดีกว่าหรือ
ฉีซื่อนึกว่าคุณชายที่ไม่เอาไหนคนนี้จะเป็นอย่างเช่นปีก่อน ๆ นางคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำตอบอีกอย่าง
“ดีขอรับ ข้าเองก็อยากไปดู”
ฉีซื่อตกตะลึง ฟู่ต้ากวนหัวเราะขึ้น
“ลูกชายข้า สิ่งต่าง ๆ นี้ต่อไปก็จะกลายเป็นของเจ้าทั้งหมด……”
“แค่ก ๆ!” ฉีซื่อกระแอมขึ้นแล้วลุกยืนพูดด้วยเสียงเรียบ ๆ ว่า “ข้ากินอิ่มแล้ว นายท่านรีบไปรีบกลับ ข้านัดหมายกับหมอหลี่เอาไว้ ให้จัดปรุงยาบำรุงครรภ์แก่ข้า”
ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้มองไปที่ฉีซื่อ นางนั้นทั้งสง่างาม หรูหรา มีบุคลิกดี บริเวณท้องนั้นมีส่วนนูนใหญ่ขึ้นมาเล็กน้อย ถ้าหากคาดการณ์จากสายตานั้นคาดว่าอายุครรภ์คงได้ห้าหกเดือน
ฉีซื่อจ้องไปที่สายตาของฟู่เสี่ยวกวนแล้วยิ้ม “เสี่ยวกวน เจ้าอยากได้น้องชายหรือน้องสาวงั้นหรือ?”
ฟู่เสี่ยวกวนตอบกลับอย่างมีความสุข “น้องชายหรือน้องสาวข้าก็ชอบ”
คำพูดจากใจจริง เมื่อชีวิตที่แล้วพ่อแม่ของเขาจากไปนานแล้ว เขาเติบโตมาจากบ้านเด็กกำพร้า เขาเองหวังมาตลอดว่าอยากมีน้องชายหรือน้องสาว แม้จะไม่ใช่แม่เดียวกัน แต่เขาจะดูแลพวกน้อง ๆ ให้ดี
ฉีซื่อหันหลังไป พร้อมกับสีหน้าที่เคร่งขรึม
“เจ้าเด็กนี่……เปลี่ยนนิสัยไปแล้วจริง ๆ งั้นหรือ?
ตอนที่ 1 บุตรโง่เขลาของเศรษฐีที่ดิน
ซวนลี่รัชสมัยที่แปด ต้นเดือนห้า แสงฤดูใบไม้ผลิจางหาย ดอกไม้หน้าร้อนที่สวยสด
แสงแดดยามเช้าถูกต้นไทรเก่าแก่ภายในจวนที่มีใบไม้อย่างหนาแน่นตัดเป็นชิ้น สั่นไหวอย่างแผ่วเบาตกกระทบลงไปบนพื้น และมีเศษส่วนที่ลอดผ่านหน้าต่างมาตกกระทบบนใบหน้าของฟู่เสี่ยวกวน
เป็นใบหน้าขาวบอบบางที่ดูอ่อนวัย เพียงแค่สายตาคู่นั้นที่มองออกไปยังดอกไม้ป่าที่บานสะพรั่งอยู่นอกหน้าต่าง สายตาระหว่างหัวคิ้วนั้นดูคมชัดขึ้น เมื่อเห็นพวงดอกไม้ป่าโน้มลงมา
นี่คือชีวิตใหม่… ฟู่เสี่ยวกวนฟื้นมาได้สองวันแล้ว เขารื้อฟื้นความทรงจำทั้งหมดของเจ้าของร่างนี้แล้ว แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่ามันไร้สาระอย่างถึงที่สุด แต่ที่มีชีวิตอยู่ในตอนนี้ก็ได้บอกกับเขา ว่าทั้งหมดนี้คือเรื่องจริง
“ก็ดี…”
“ทุกอย่างได้ผ่านไปแล้ว ถือเสียว่า… พ้นทุกข์แล้ว”
เขายิ้มน้อย ๆ ริมฝีปากยกโค้ง ดวงตาคมราวกับดาบถูกซ่อนเร้น และสงบราวกับสายน้ำ ความล้ำลึกนั้น บุตรโง่เขลาอายุ 16 ปีของเศรษฐีที่ดินไหนเลยเล่าจะมีสายตาซ่อนเร้นเยี่ยงนั้น
นี่คือสิ่งที่ชุนซิ่วเองก็รู้สึกว่าแปลก
ชุนซิ่วรู้สึกได้ว่าตั้งแต่คุณชายฟื้นขึ้นมาก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นใครอีกคน ในยามที่คุณชายลืมตาตื่นขึ้นมา ชุนซิ่วก็ถูกสายตานั้นบังคับให้ถอยเท้าไป 3 ก้าว หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวจนแทบจะหลุดออกมาจากอก
ในขณะนั้น นางรู้สึกเหมือนตกอยู่ในห้องใต้ดินน้ำแข็ง
ในขณะนั้น นางเกือบจะหยุดหายใจ
สายตาที่คมราวกับมีดนั้นถูกส่งมาทางนาง กรีดคอของนาง หลังจากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
นางอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ ยามกลับไปมองฟู่เสี่ยวกวนที่นอนอยู่บนเตียงอีกครา ก็พบว่าดวงตาคมนั้นได้ปิดลงแล้ว ราวกับ… เหมือนเมื่อครู่ไม่มีอันใดเกิดขึ้น หรือเป็นเพราะนางเองที่กังวลเกี่ยวกับคุณชายมากเกินไป
ชุนซิ่วเดินถืออ่างน้ำเข้ามาจากระเบียงทางเดิน สองวันมานี้คุณชายฟื้นตัวไม่น้อย ดวงตาคู่นั้นไม่ได้มองมาทางนางอย่างฟาดฟันอีกต่อไป เพียงแค่หลังจากที่ผ่านเรื่องราวนั้นมา เหมือนว่าคุณชายจะเติบใหญ่ขึ้นมาเสียมาก จนทำให้นางรู้สึกไม่คุ้นชินเล็กน้อย
นั่นมิใช่เรื่องที่นางสนใจ เพียงคุณชายปลอดภัย… ทุกอย่างก็ยังคงดี
……
……
อ่างน้ำถูกวางไว้บนชั้นวาง ฟู่เสี่ยวกวนเดินเข้ามา ยื่นมือหยิบผ้าขนหนูจากชั้นวาง
ชุนซิ่วชะงักค้างไปอึดใจ ปากเล็กขยับเล็กน้อย “คุณชายเจ้าคะ…บ่าว…”
“ข้าทำเอง ขอบคุณ”
ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวตามอำเภอใจ จากนั้นเขานำผ้าขนหนูจุ่มลงในอ่าง ก็เห็นปากเล็กของชุนซิ่วอ้ากว้างขึ้นเรื่อย ๆ
เขายิ้ม ก่อนจะบิดผ้าขนหนูและเช็ดใบหน้า
มือเล็กของชุนซิ่วคู่นั้นกำชุดกระโปรงเอาไว้แน่น นางเอ่ยถามด้วยความกังวล “คุณชายเจ้าคะ บ่าวทำได้ไม่ดีหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่ปัญหาของเจ้า เป็นปัญหาของข้า… ข้ายังไม่คุ้นชินเท่าใดนัก”
ชุนซิ่วยังไม่เข้าใจ การกระทำที่สบาย ๆ ของคุณชายทำให้นางไม่คุ้นชินอย่างมาก โดยเฉพาะคำว่าขอบคุณ ซึ่งทำให้นางเครียดขึ้นไปอีก
หลังจากที่รับใช้คุณชายมานานนับสิบปี ชีวิตประจำวันของคุณชายเป็นหน้าที่ของนางทั้งสิ้น หากทำผิดพลาดบ้างถึงแม้จะไม่ถูกทุบตี แต่อาการชักสีหน้านั้นก็มีให้เห็นไม่น้อย แต่ในวันนี้คุณชายกลับเอ่ยปากขอบคุณออกมา เกิดอะไรขึ้นกับเขากัน
ในฐานะที่คุณชายนั้นเป็นบุตรเพียงคนเดียวของเศรษฐีที่ดินตระกูลชั้นนำแห่งเมืองหลินเจียง นามฟู่เสี่ยวกวนนั้นกังวานก้องไกล
ย่อมไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ทางด้านวรรณกรรมหรือด้านวรยุทธ์ แต่เป็นเพราะคุณชายฟู่โปรยเงินอย่างใจป้ำ ทั้งยังมีชื่อเสียงว่าเป็นคุณชายที่กำเริบไม่รู้จักกาลเทศะ
เมาหัวราน้ำตั้งแต่อายุ 12 ปี เข้าหอนางโลมตั้งแต่อายุ 13 ปี อายุ 14 ปีประกาศศักดาจะตบแต่งกับฝานตั่วเอ๋อร์นางโลมแห่งหออี้หง อายุ 16 ปีหรือก็คือเมื่อสองเดือนก่อนหน้า เขาพาพรรคพวกมารวมตัวกันที่หอหลินเจียง แต่ไม่ได้คาดคิดถึงว่าจะมีภัยพิบัติเข้ามาถึงตัว
ยามที่ฟู่เสี่ยวกวนเดินอยู่ในเมืองหลินเจียงก็ได้พบกับบุตรีเสนาบดีกรมคลังต่งชูหลานจากเมืองหลวงที่ผู้คนต่างพูดถึง เป็นเรื่องแน่นอนว่ายามนั้นฟู่เสี่ยวกวนไม่รู้ว่านางนั้นคือต่งชูหลาน
นางสวมชุดสีขาว คลุมด้วยผ้าคลุมหน้า นั่งเงียบ ๆ อยู่ที่ริมหน้าต่างของหอหลินเจียง เบื้องหน้ามีกาน้ำชาต้มเดือด และมีถ้วยชา 2 ใบวางอยู่ ราวกับกำลังรอใครอยู่
ฟู่เสี่ยวกวนที่ดื่มจนเมามาย และรีบร้อนจะไปห้องสุขา ดังนั้นเขาจึงลุกขึ้นออกมาจากห้องส่วนตัว เพียงหันศีรษะไป ก็ได้พบกับต่งชูหลาน
ต้องโทษสายลมราวฤดูใบไม้ผลิที่พัดผ่านมาทางหน้าต่าง
ยามนั้นฟู่เสี่ยวกวนไม่ได้สนใจอันใด ในยามที่เขากำลังผละสายตามาจากร่างของต่งชูหลาน ทันใดนั้นสายลมก็พัดผ่านมา และพัดผ้าคลุมของต่งชูหลานให้เปิดออก
สายตาของฟู่เสี่ยวกวนหยุดอยู่ที่ใบหน้าของต่งซูหลาน ทันใดนั้นเขาลืมอาการปวดเบาไปทันที
ณ เวลานั้นหัวใจของเขาเต้นแรงขึ้น ช่วงเวลานั้นเขาถึงขั้นหลงลืมฝานตั่วเอ๋อร์แห่งหออี้หง เวลานั้น… เขาเดินเข้าไปหา
“แม่นาง ข้าจะตบแต่งเจ้าเป็นภรรยาของข้า”
ต่งชูหลานตื่นตระหนก นางพบเจอคุณชายมามากหน้าหลายตา แต่เป็นครั้งแรกที่พบเจอผู้ที่เถรตรงเยี่ยงนี้
แน่นอนว่านางมิได้หันไปมองฟู่เสี่ยวกวน นางรินชามา 1 ถ้วย เป่าแล้วจิบมันเบา ๆ หลังจากนั้นจึงลุกขึ้น ในยามที่จะกำลังจะออกไป ฟู่เสี่ยวกวนกลับขวางนางเอาไว้อย่างไม่รักชีวิต จนถึงขั้นยื่นมือออกไป หมายจะจับแขนของนางเอาไว้
“ปึง…”
“อ๊าก…”
“ตูม…”
เสียงดังสามครา
ต่งชูหลานมิได้มองออกไปข้างนอกหน้าต่าง นางเพียงเอ่ยกับองครักษ์ข้างกายเสียงเรียบว่า “ตรวจสอบเสีย หากมีเรื่องเลวร้ายก็ส่งมอบคนให้กับทางการจัดการ หากไม่มีเรื่องเลวร้ายอันใด… เยี่ยงนั้นเม็งหลาง เจ้าก็สั่งสอนเขาเพียงเล็กน้อย อย่าให้ถึงชีวิต หมดอารมณ์… ไว้นัดหมายอาจารย์ฉินอีกครั้ง และเปลี่ยนไปที่สำนักศึกษาหลินเจียง”
……
…..
ฟู่เสี่ยวกวนอันธพาลหลินเจียง ถูกคนโยนลงมาจากชั้นสองของหอหลินเจียง ทันทีที่พ่อค้าฟู่บิดาของฟู่เสี่ยวกวนได้ทราบเรื่องก็รู้ว่าบุตรเพียงคนเดียวของเขาได้เตะแผ่นเหล็กเข้าให้แล้ว
ในฐานะบุคคลที่มีฐานะที่สุดของหลินเจียง พ่อค้าฟู่ย่อมเป็นคนกว้างขวาง แต่ครั้งนี้ หลิวจือต้งนายอำเภอกลับไม่ได้มาพบเขา ต่อจากนั้นเขาจึงได้รับรู้ฐานะของฝ่ายตรงข้ามผ่านหลิ่วซานเย่ผู้ช่วยของหลิวจือต้ง
เขาจึงเตรียมการสามประการขึ้นมาทันพลัน
ประการแรก เขาเขียนจดหมายแล้วมอบให้กับพ่อบ้านใหญ่หวงเวย ให้เขาเร่งรีบไปยังเมืองหลวงจินหลิง น่านน้ำแม่น้ำฉินหวายแห่งจินหลิงมีเรือหรูหราที่นามว่าหงซิ่วจาว
ประการต่อมา เขานำภาพวาดสะสมที่ล้ำค่าออกมาจากห้องอักษร ให้อาจารย์เฉินอาจารย์ของตระกูลฟู่นำไปที่สำนักศึกษาหลินเจียง เพื่อให้อาจารย์ฉินตรวจสอบความถูกต้อง
หลังจากนั้นเขาจึงวานให้ฮูหยินรองนำเครื่องประดับล้ำค่าที่นำมาจากเมืองหลวงไปเยี่ยมเยียนฮูหยินของนายอำเภอ
หลังจากที่เตรียมการทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็ไปหาฮูหยินใหญ่แต่เพียงผู้เดียว หรือก็คือสุสานของมารดาฟู่เสี่ยวกวน เมื่อจุดธูปแล้ว ก็นั่งอยู่ตรงนั้นจนฟ้ามืด
ในช่วงเวลาที่กังวลใจ พ่อค้าฟู่ได้ข้ามผ่านช่วงเวลาสองเดือนที่ทรมานที่สุดในชีวิตไป
ภายในระยะเวลาสองเดือน ฟู่เสี่ยวกวนถูกคุมขัง จนกระทั่งถึงคืนวันที่สิบ
ค่ำคืนนั้นท้องฟ้ามืดมิดและลมพัดแรง พ่อค้าฟู่เกิดรู้สึกหวาดผวาขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ
ในยามที่ฝนตกลงมาอย่างหนัก เขาไม่สามารถนั่งนิ่งได้อีกต่อไป เขานำองครักษ์หลายคนไปยังเรือนของฟู่เสี่ยวกวน
ต้นไทรยังคงอยู่ดังเก่า ไฟในห้องมีสีเหลืองนวล ชุนซิ่วและองครักษ์อีก 10 คนนอนอยู่ที่พื้น แต่บุตรชายของเขากลับหายไปแล้ว
ทุกคนในจวนฟู่ต่างถูกส่งออกไป พ่อค้าฟู่นั่งอยู่บนธรณีประตู และเอ่ยกำชับขึ้นมาอย่างง่ายดาย “หากมีชีวิตต้องเห็นคน แม้ตาย… ก็ต้องเห็นศพ”
จวนฟู่ที่ยิ่งใหญ่ในเวลานี้เหลือเพียงแค่เขาเพียงคนเดียว
“สุดท้ายข้าก็ทำร้ายเขา…”
……
…..
หลังจากผ่านยามเที่ยงคืนของคืนนั้น ข้ารับใช้ของจวนฟู่ก็พบฟู่เสี่ยวกวนที่ลำธารด้านหลังของภูเขา
หลังจากที่ท่านหมอเซี่ยตรวจอาการของฟู่เสี่ยวกวนโดยถี่ถ้วน ก็ถอนหายใจออกมา และกล่าวกับพ่อค้าฟู่ว่า “คงมีแต่… ปาฏิหาริย์ มิฉะนั้น… ก็รอจัดงานศพเถอะ”
ใบหน้าที่อวบอูมของพ่อค้าฟู่แดงก่ำขึ้นมาทันพลัน เขาคว้าคอเสื้อของท่านหมอเซี่ยไว้ และยกเขาขึ้นอย่างรุนแรง และเอ่ยถามอย่างดุดัน “ลูกชายของข้า แท้จริงแล้วเขาตายแล้วหรือไม่”
“ไม่ ไม่ ไม่…”
พ่อค้าฟู่ปล่อยมือ และเดินปรี่ไปที่เตียงและคำรามลั่น “ นำหมอเมืองหลินเจียงมาทั้งหมด พาพวกเขามาหาข้าทั้งหมด ”
ไม่มีใครรู้ ฟู่เสี่ยวกวนคนเดิมนั้นได้ตายไปแล้ว ฟู่เสี่ยวกวนที่อยู่ในตอนนี้ จึงกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยงไร ก็ได้มีชีวิตขึ้นมาแล้ว
ลมหายใจที่ติดขัดอยู่ในลำคอพ่อค้าฟู่จึงได้หายใจได้คล่องในที่สุด
เขาไปที่สุสานของฮูหยินใหญ่อีกครั้ง จุดธูป และนั่งอยู่ทั้งคืน
“เจ้าบอกว่า หากชีวิตนี้ข้าไม่ได้ขึ้นเป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ลูกชายเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยก็เพียงพอแล้ว”
“ แต่เขา… กลับไม่ฝักใฝ่หาความรู้เลย ”
“ลูกชายไปเข้าเรียน เขาก็นอนหลับ ข้าให้เขาอ่านตำรา เขาก็ปวดหัว… เพื่อเขา ข้าจึงเปิดสำนักศึกษาจวนฟู่ เชิญชวนบุคคลมีชื่อเสียงจากทั้งเมืองหลินเจียง ถึงกระทั่งเชิญชวนอาจารย์ฉินแห่งสำนักศึกษาหลินเจียงมาด้วย แน่นอนว่าอาจารย์ฉินไม่ได้ตอบรับ แต่ก็ได้เชิญชวนอาจารย์หลี่มาแล้ว ”
“แต่ก็ไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีอาจารย์ท่านใดอยู่ได้เกิน 10 วัน สุดท้ายต่างก็ยอมแพ้กันไป”
“สอบชิงตำแหน่งบัณฑิต ข้าให้เขาไปเข้าร่วมมาแล้ว ได้รับผู้มีพรสวรรค์… ใช้เงินไปทั้งหมด 5,000 เหรียญ… เงินมิใช่เรื่องใหญ่อันใด ถือว่าเป็นชื่อเสียง”
“ข้าไม่ได้วางแผนให้เขาเข้าไปเป็นขุนนางที่หน่วยงานใด ข้าเพียงอยากให้เขามีความรู้ มีตัวตนเป็นผู้มีความสามารถ และมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเหล่าบัณฑิต เพื่อลบล้างความอัปยศของเขานี้… เพียงเพื่อจะได้ดูแลธุรกิจครอบครัวที่ยิ่งใหญ่นี้ต่อไปได้”
“เป็นเวลาหลายปี ข้าเสาะหาทรัพย์สินเพื่อเขา เพื่อให้เขาได้ร่ำรวยไปทั้งชีวิต ถึงแม้เจ้าลูกคนนี้จะทำเรื่องชั่วร้ายเล็ก ๆ น้อย ๆ มาไม่น้อย แต่อย่างไรก็ไม่กล้ากระทำผิดร้ายแรง ข้าเองก็โล่งใจ แต่ไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องเยี่ยงนี้”
“หลังจากที่ผ่านเรื่องนี้ไปแล้ว ข้าหวังว่าเขาจะเข้าใจบางอย่างขึ้นมาบ้าง”
……
…..
ฟู่เสี่ยวกวนได้พบกับบิดาของเขาแล้ว
หลังจากที่ล้างหน้าล้างตา ชุนซิ่วก็ยกอาหารเช้าเข้ามา พ่อค้าฟู่ตามหลังมาติด ๆ เพราะชุนซิ่วกล่าวว่าคุณชายลุกลงจากเตียงได้แล้ว มอง ๆ ไปแล้วมีสีหน้า…ไม่เลว
ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองพ่อค้าฟู่ นัยน์ตามีแววสับสนเล็กน้อย
พ่อค้าฟู่มองฟู่เสี่ยวกวน นัยน์ตานั้นเต็มไปด้วยความรักใคร่
“ลูกชาย นั่นเจ้าจะลุกขึ้นมาทำอันใด รีบกลับไปนอนที่เตียงเถิด ชุนซิ่วจะป้อนเจ้า”
ฟู่เสี่ยวกวนยังไม่ทันได้พูดอะไร พ่อค้าฟู่ก็เอ่ยขึ้นมาอีกว่า “ท่านหมอจางกล่าวว่า อาการบาดเจ็บที่ศีรษะของเจ้า ต้องได้รับการพักผ่อน… อือ ส่วนอื่น ๆ นั้นไม่ได้มีปัญหาที่ใหญ่อะไร หลายวันที่ผ่านมา พ่อมานั่งคิด เจ้ามีใจให้แก่ฝานตั่วเอ๋อร์ เช่นนั้นพ่อจะไถ่ตัวนาง แต่นางจะเป็นได้แค่อนุเท่านั้น ก่อนที่จะเจ้าจะตกแต่งภรรยา ก็ให้นางมาคอยปรนนิบัติเจ้า เป็นเยี่ยงไร”
พ่อค้าฟู่ไม่ได้บอกเล่าคำพูดที่ท่านหมอจางกล่าวกับเขาอย่างระมัดระวัง ท้ายทอยถูกกระแทกเข้าอย่างรุนแรง ต่อแต่นี้ไป เป็นไปได้ว่าที่จะมีอาการตกค้างที่ตามมา หรือก็คือ…อาจจะกลายเป็นคนโง่
ในตอนนี้ดูแล้วเหมือนจะไม่มีอาการตกค้าง นั่นเองก็เป็นสาเหตุที่พ่อค้าฟู่ต้องรีบมาดู
ฟู่เสี่ยวกวนผงะไปชั่วครู่ แล้วจึงหัวเราะขึ้นมา
“…เรื่องนั้นมิใช่เรื่องเร่งรีบอันใด ข้าเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนัก เพียงแค่อ่อนแอลงเพียงเล็กน้อย” เขามองชุนซิ่วที่ยกชามโจ๊กเข้ามาและกล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อน ๆ “ตระกูลของเรา มิได้ขาดแคลนเงินทองใช่ไหม”
พ่อค้าฟู่ชะงักไป “ไม่ได้ขาดแคลน”
“เยี่ยงนั้นขออาหารที่มันดีกว่านี้ได้หรือไม่” ฟู่เสี่ยวกวนชี้ไปที่โจ๊ก
“ท่านหมอจางกล่าวไว้ว่า หากไม่ได้รับการบำรุง ก็ทานอาหารอ่อนจะดีกว่า จากที่ท่านหมอกล่าวไว้ก็ถูก”
ชุนซิ่วถึงได้รู้ว่าก่อนหน้านี้คงเป็นนางที่ตาฝาดไปเอง แท้จริงแล้วคุณชายนั่นไม่ได้เปลี่ยนไปเลย
นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

นายน้อยเจ้าสำราญ (逍遥小地主)

None

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท