“คุณหนูเหยา!” เฟิงเซ่าเชินมีสายตาเฉียบคม เขามองเห็นอย่างชัดเจนว่าสตรีที่เว่ยจางอุ้มออกมาคือสตรีที่สวมกระโปรงผ้าต่วนสีขาว เขากระวนกระวายใจขึ้นมาในทันที “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับคุณหนูเหยา มาเร็ว ท่านพี่ช่วยหลีกทางเร็วเข้า”
ตอนที่เฟิงเซ่าเชินดึงตัวเฟิงเซ่าอิ่งออกมาจากประตู เว่ยจางได้อุ้มเหยาเยี่ยนอวี่ที่สลบอยู่แล้ว ตอนที่เดินเข้าประตูมา เขาปรายตามองเฟิงเซ่าอิ่ง จากนั้นขมวดคิ้ว พร้อมกับก้มศีรษะลงเล็กน้อย “ฮูหยินซื่อจื่อ โปรดอภัย” ขณะที่กล่าว เขาก็เดินฝ่าเข้ามาด้านในทันที
“คุณหนูเหยาเป็นอะไรไปหรือ!” เฟิงเซ่าเชินพลันเดินตามเข้ามา
“ไม่เป็นอันใด ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงกล่าวว่า เหตุเพราะนางใช้พลังมากจนเกินไป จึงทำให้เป็นลมหมดสติ” เว่ยจางตอบ จากนั้นก็วางร่างของเหยาเยี่ยนอวี่ลงบนตั่งไม้เตี้ยอันสะอาด พร้อมทั้งยื่นมือไปหยิบผ้าห่มลายพฤกษามาห่มให้เหยาเยี่ยนอวี่
ผู้ที่วิ่งตามมาจากด้านหลังคือเฝิงหมัวมัว เฝิงหมัวมัวอายุมากแล้ว สายตาของนางจึงพร่ามัว ด้วยเหตุนี้เหยาเยี่ยนอวี่จึงไม่ได้ให้นางมาคอยช่วยเหลือ เฝิงหมัวมัวถูกสั่งให้รออยู่ด้านนอก ทว่าชุ่ยเวยผู้ที่คอยเป็นผู้ช่วยของเหยาเยี่ยนอวี่ เวลานี้นางเหนื่อยล้าจนล้มลงอย่างไร้เรี่ยวแรงเสียแล้ว เหลือก็แต่ไม่ได้เป็นลมหมดสติเช่นเดียวกับเหยาเยี่ยนอวี่ก็เท่านั้น
หลังจากเหยาเยี่ยนอวี่เชื่อมต่อเส้นเอ็นให้กับหันซังเกอเสร็จ นางก็ใช้มีดผ่าตัดทำการแล่เนื้อที่มีร่องรอยของฟันหมีสีนิลกัดออกไป จากนั้นนางก็ใช้เส้นไหมอีกชนิดหนึ่งเย็บแผลให้สมานกัน แล้วใช้ยารักษาบาดแผลที่นางปรุงขึ้นมาด้วยตนเองทาทับ พร้อมทั้งใช้ผ้าขาวบางสะอาดที่เคยผ่านการต้มด้วยน้ำร้อนพันบาดแผล หลังจากนั้นเหยาเยี่ยนอวี่ผ่อนลมหายใจยาว แล้วจึงกำชับหันซังเย่ว์ “ภายในเจ็ดวันนี้ห้ามให้บาดแผลโดนน้ำ อย่าให้ซื่อจื่อสะท้านหนาว สามวันหลังจากนี้เริ่มขยับเขยื้อนเบาๆ ได้บ้าง เพื่อป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นยึดติดกัน เมื่อครบเจ็ดวันแผลที่ตกสะเก็ดจะลอกออก หลังจากผ่านไปสิบวันให้หมอหลวงมาช่วยทำการฟื้นฟู…ฟื้นฟูสมรรถภาพ เข้าใจหรือไม่”
หันซังเย่ว์รีบพยักหน้า “อื้ม ข้าเข้าใจแล้ว เพียงแต่ว่าหลังจากสิบวัน…มันจะเร็วเกินไปหรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่ส่ายหน้าด้วยความอ่อนแรง เวลานี้เรี่ยวแรงทั้งหมดของนางหมดสิ้นแล้ว แม้พูดเพียงแค่หนึ่งประโยคก็รู้สึกเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก
หันซังเย่ว์มองไปยังดวงหน้าที่ซีดขาวของนาง เมื่อเห็นเช่นนี้เขาจึงไม่พูดสิ่งใดอีกต่อไป ทางด้านเหยาเยี่ยนอวี่จับที่ตั่งนอนค่อยๆ พยุงกายลุกขึ้น ไม่ง่ายเลยกว่านางจะเหยียดกายลุกขึ้นมาได้ในที่สุด ทว่าตอนที่นางกลับหลังหันนั้นทุกอย่างตรงหน้ากลับมืดมิด ร่างกายของนางอ่อนแรงจนเหมือนเส้นก๋วยเตี๋ยวล้มลงไป
โชคดีที่ก่อนหน้านี้เว่ยจางนำมีดผ่าตัดมาให้นาง จากนั้นเขาก็ยืนอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหน ตอนที่นางไร้เรี่ยวแรงจนล้มลง เขาเอื้อมมือไปรับร่างของนางเอาไว้ ไม่เช่นนั้นหากนางล้มลงไปเช่นนี้ ศีรษะของนางต้องชนเข้ากับโต๊ะสำหรับวางของที่อยู่ด้านหน้าตั่งไม้อย่างแน่นอน เกรงว่าศีรษะของนางต้องปูดบวมในท้ายที่สุด
ทันทีที่เหยาเยี่ยนอวี่เป็นลมหมดสติไป ทุกคนล้วนพากันชุลมุนขึ้นมา ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงรีบเดินขึ้นหน้าแล้วตรวจชีพจรให้นาง พร้อมทั้งยื่นมือไปถอดหน้ากากผ้าที่เหยาเยี่ยนอวี่ปิดบังดวงหน้าไว้ เวลานี้ทุกคนจึงเห็นดวงหน้าที่ซีดขาวและชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“ท่านพระอาจารย์ นางจะเป็นไรหรือไม่” เว่ยจางขมวดคิ้วถามขึ้น
“อมิตาพุทธ!” ท่านพระอาจารย์ใหญ่คงเซียงกล่าวจบ จากนั้นถอนหายใจแล้วพูดขึ้น “การฝังเข็มด้วยวิธีแบบการรมยาไท่อี่ต้องใช้พละกำลังอย่างมาก นางถึงได้หมดสติ แม่นางผู้นี้เป็นเพียงสตรีอ่อนแอ การที่นางสามารถยืนหยัดมาถึงเวลานี้ถือว่าไม่ง่ายเลย ส่งนางไปยังเรือนข้างก่อนเถอะ”
ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นดังภาพที่สองพี่น้องตระกูลเฟิงเห็นเมื่อครู่ที่หน้าประตู
หลังจากที่ยุ่งชุลมุนไปทั้งคืน บาดแผลของหันซังเกอเป็นเช่นนี้ถือเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว เวลาใกล้จะถึงเอ้อร์เกิง[1] ยามนี้ไม่อาจกลับเข้าเมืองแล้ว ด้วยเหตุนี้องค์ชายทั้งหลายและเหล่าซื่อจื่อต่างก็แยกย้ายกันไป พวกเขากลับไปพักผ่อนในเรือนรับรองภายในวัดพร้อมทั้งกินอาหารมังสวิรัติ แล้วเตรียมเข้านอน
หลังจากเฟิงเซ่าอิ่งดูอาการหันซังเกอ นางก็ได้กลับมายังเรือนข้างที่อยู่ทางทิศตะวันออก เพื่อดูแลเหยาเยี่ยนอวี่ ทว่าเวลานี้เหยาเยี่ยนอวี่นอนหลับสนิท นางเองก็ไม่ได้ต้องการการดูแลอะไรมากมาย เฟิงเซ่าอิ่งจึงคุยกับเฝิงหมัวมัวด้วยความสุภาพ เพื่อแสดงความซาบซึ้งในน้ำใจ
หลังจากที่ชุลมุนวุ่นวายด้วยกันแล้วนั้น ทุกคนต่างก็แยกย้ายไปพักผ่อน
ทว่าเว่ยจางกลับไม่รู้สึกง่วงนอนเลยแม้แต่น้อย เขาค่อยๆ เดินไปยังเรือนหน้า
พระสงฆ์ในวัดทำวัตรค่ำเสร็จเรียบร้อย และต่างก็แยกย้ายกันเข้านอน ด้านในอุโบสถใหญ่มีเพียงเณรน้อยสามรูปอยู่เวรเท่านั้น เวลานี้เณรน้อยทั้งสามได้นอนสัปหงกอยู่ตรงตะเกียงดอกบัว
ค่ำคืนนี้ไม่มีดวงจันทร์ ทว่าบนท้องฟ้ากลับเต็มไปด้วยดวงดาว เว่ยจางยืนอยู่ตรงใต้ต้นไม้เก่าแก่แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มืดมิดราวกับน้ำหมึก เขาสูดลมหายใจออกช้าๆ จากนั้นสูดอากาศสดชื่นเข้าไปในทรวงอก
ลมเหนือพัดหวือๆ ภายในหุบเขา ในอากาศแต้มไปด้วยกลิ่นของหิมะ ช่างเหน็บหนาวยิ่งนัก เปรียบดั่งลมหนาวในพื้นที่แห้งแล้งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ยามที่พัดผ่านมากระทบที่ผิวหน้าทำให้รู้สึกเจ็บแสบ ทว่าในทางเดียวกันกลับเป็นความรู้สึกที่คุ้นเคยยิ่งนัก
เว่ยจางหลับตาลงช้าๆ ในค่ำคืนที่มืดมิด ตรงหน้าเขาคือดวงหน้าที่ซีดขาว
ผมดำขลับที่แนบชิดกับดวงหน้าเพราะหยาดเหงื่อ นางคล้ายกับคนที่ถูกพาตัวออกมาจากในน้ำ ดวงหน้ากลมมนอ่อนแรงคล้ายกลีบดอกบัวที่ถูกลมฝนพัดผ่าน ทำให้ลอยล่องอยู่เหนือผิวน้ำ เบาหวิวจนแทบไร้น้ำหนัก คล้ายว่าหากมีลมพัดมาเพียงอีกระลอก นางก็จะถูกพัดปลิวไปด้วย
ความรู้สึกนั้นทำให้เว่ยจางกระวนกระวายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน แม้กระทั่งยามที่เขาตกอยู่ในอันตราย ถูกข้าศึกรุมล้อมทั้งแปดทิศเขาก็ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้
ความรู้สึกที่ดวงใจหวาดหวั่น ตกใจ ทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันและเขารู้สึกหายใจลำบาก คล้ายว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นช่างไม่แน่นอน ทำให้เขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นและไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไร
ตั้งแต่เขาเกิดมาไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เว่ยจางยกมือขวาขึ้นจับหน้าอกฝั่งซ้ายของตน ที่ตรงนั้นของเขากำลังเต้นแรงและเป็นจังหวะที่เต้นด้วยความถี่สูง
นี่เป็นความรู้สึกที่เขาคุ้นชินหลังจากที่เขาเข้าไปในค่ายทหารเมื่อตอนอายุสิบสี่ ในยามที่ทุกอย่างไม่อาจคาดการณ์ได้ ยามที่ทุกอย่างไม่อาจควบคุม เขาจะจับหน้าอกเอาไว้ แล้วสัมผัสได้ถึงหัวใจที่เต้นแรง ทำให้เขาค่อยๆ สงบนิ่งลง
ทว่าครั้งนี้ เขาใช้วิธีเดิมซึ่งใช้มานานนับเจ็ดแปดปี แต่มันกลับไม่ได้ผล เพียงแค่นึกถึงดวงหน้างดงามอิดโรยดั่งกลีบดอกบัวนั้น ก็ทำให้เขาไม่อาจนิ่งนอนใจได้
เขายอมรับว่ารู้สึกสนใจในตัวนางตั้งแต่แรกพบ
ทั้งสองฟากฝั่งของถนนคับคั่งไปด้วยผู้คนที่มาต้อนรับเหล่าทหารกล้า ท่ามกลางผู้คนนับหมื่นคน ใบหน้าที่บริสุทธิ์ของนาง ดวงตาใสสะอาด สีหน้าตื่นตกใจที่เรียบง่ายไร้เดียงสาเพราะต่างหูระย้าของนางตกลงไป ดั่งหยกงดงามที่อยู่ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย แม้จะไม่ได้เห็นนางอย่างชัดเจน ทว่านางกลับยังคงบริสุทธิ์ไร้ซึ่งมลทิน แม่ทัพเว่ยเซ่าที่ไม่เคยสนใจสตรีผู้ใดมาก่อน กลับจดจำนางได้อย่างง่ายดาย
หรือนี่จะคือพรหมลิขิตที่สวรรค์บันดาล?
ภายในเรือนรับรองด้านในวัด ซูอวี้ผิงและซูอวี้เสียงนอนอยู่บนตั่งไม้ พวกเขาเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน อีกทั้งยังอกสั่นขวัญแขวนจนถึงดึกดื่นเช่นนี้ การได้พูดคุยเรื่องที่เกี่ยวพันกันระหว่างน่าหวาดหวั่นและน่าประหลาดใจ ทำให้ทั้งสองพี่น้องไม่รู้สึกง่วงนอนแม้เพียงน้อย
“น้องสาม น้องสาวของฮูหยินเจ้าช่างซุกซ่อนความสามารถได้เก่งจริง! อาการป่วยของฮูหยินเจ้าคาดว่าน่าจะเป็นนางที่เป็นผู้รักษากระมัง” ค่ำคืนนี้ ภายในใจของซูอวี้ผิงรู้สึกสะเทือนใจยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้ เรื่องที่เหยาเฟิ่งเกอป่วยหนักเจียนตายก็ไม่ใช่ความลับอะไรอยู่แล้ว หลังจากที่เหยาเยี่ยนอวี่มาถึงเพียงเดือนเศษ เหยาเฟิ่งเกอก็กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง อีกทั้งเวลานี้นางยังตั้งครรภ์ หากเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นให้เห็นกับตา จะตีให้ตายอย่างไรซูซื่อจื่อก็ไม่มีวันเชื่อ ดังนั้นแม้แต่เขายังคิดว่าเป็นเพราะสวรรค์ไม่ต้องการเอาชีวิตของนาง จึงทำให้นางกลับมามีชีวิตอีกครา ทว่าเวลานี้เมื่อหวนคิดกลับไป นี่ไม่ใช่ลิขิตสวรรค์แต่อย่างใด แต่เป็นเพราะนางมีน้องสาวที่มีความสามารถด้านการแพทย์อย่างไร้เทียมทาน
แน่นอนว่าซูอวี้เสียงรู้สึกสะเทือนใจมากกว่าพี่ใหญ่ของเขา ซูอวี้เสียงถอนหายใจยาว ดวงตาทั้งสองจ้องมองไปบนหลังคาเรือน จากนั้นกล่าวเย้ยหยันตนเอง “เรื่องนี้…ข้าไม่เคยรู้มาก่อนจริงๆ นี่มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใดกัน เหตุใดข้าจึงไม่เคยได้รับรู้ใดๆ เลย จำได้เพียงว่าตอนที่นางอยู่ในจวน นางมักจะคอยหลบหน้าข้า ยามที่เจอข้าก็ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมอง ทำให้ข้าคิดว่านางเป็นสตรีที่ไม่อาจนำมาเชิดชูได้…คิดไม่ถึงจริงๆ!”
[1] เอ้อร์เกิง เวลา 21.00น. – 23.00น.