บทที่ 2 ดาร์ก เดม่อนเพียงต้องการใช้ชีวิตอย่างสงบสุข
ดาร์กเดินลงจากเวทีท่ามกลางเสียงโห่ร้องต้อนรับของนักเรียนบ้านขุนนาง
แม้ว่ารอยยิ้มจะแข็งทื่อเล็กน้อย แต่เขาก็ยกมือขึ้นโบกให้กับคนเชียร์
ในฐานะขุนนางสายเลือดบริสุทธิ์ผู้สูงศักดิ์ เขาจำต้องรักษามารยาทของสมบัติผู้ดียิ่งกว่าที่ควรจะเป็น และต้องไม่ตื่นตระหนกจนเกินไป
ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะมีความสงสัยเกี่ยวกับ ‘เลือดบริสุทธิ์’ ของตัวเองมากก็เถอะ!
มันต้องเป็นเลือดบริสุทธิ์แบบไหนกันถึงจะสามารถสืบทอดสายเลือดของจอมมารได้?
ดาร์กหันหน้ามองไปทางเวทีที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า ขณะนั่งอยู่ในที่ของบ้านขุนนาง
ก่อนหน้านี้เขายังยิ้มแย้มแจ่มใส ทว่ามาตอนนี้สีหน้านั้นแทบจะคงเอาไว้ไม่ได้แล้ว!
[เลือดของจอมมารได้เข้าสู่กระบวนการปลุกสายเลือดแล้ว!]
เรื่องนี้ทำให้เขาตกใจมากกว่าเสียงแจ้งเตือนของระบบเสียอีก!
“สาเหตุที่ทำให้สายเลือดของจอมมารเข้าสู่กระบวนการปลุกให้ตื่นขึ้นก่อนถึงเวลาคืออะไรกัน? มันควรจะถูกกระตุ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุในช่วงท้ายของเกมเลยไม่ใช่หรือ?”
“ทำไมมันถึงถูกกระตุ้นขึ้นมาตอนนี้เล่า?”
“หรือจะเป็นเพราะว่าฉันฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้แล้ว?”
“ไม่สิ ตอนนี้ฉันไม่มีเวลามาคิดถึงต้นตอของปัญหานี้แล้ว”
“ถ้าไม่อยากถูกปืนใหญ่ของอาจารย์ใหญ่อาร์เต้ที่อยู่บนเวที ฉันต้องหาทางออกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้…”
“โชคดีที่ระบบแจ้งเตือนว่าสายเลือดจอมมารเพิ่งเข้าสู่กระบวนการปลุกขึ้นมา และยังไม่ฟื้นคืนเต็มที่ เพราะงั้นฉันจึงยังมีโอกาสอยู่!”
ดวงตาของดาร์กสั่นไหว จากนั้นเขาจึงลองเรียกใช้ระบบในความคิดของตัวเอง
[สวัสดีโฮสต์! ระบบช่วยเหลือจอมมารสุดใจอยู่นี่แล้ว!]
มารดามันเถอะ ระบบช่วยเหลือจอมมารอะไรกัน!
ดาร์กกัดฟันกรอด
ระบบโง่ ๆ ที่ช่วยให้เขากลายเป็นจอมมารมีอยู่จริง ๆ ด้วยสินะ!
ทว่าสงครามระหว่างมนุษย์กับปีศาจยุติลงไปนานกว่าสิบปีแล้ว อีกทั้งศึกนั้นยังจบลงด้วยการที่กองทัพปีศาจถูกทำลายและจอมมารก็ถูกผนึกไว้อย่างสมบูรณ์
จึงเป็นผลให้ยุคสมัยของมนุษยชาติได้เปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคของเซนต์แมเรียนโดยไร้ซึ่งการมีอยู่ของปีศาจอีกต่อไป!
ในยุคของเซนต์แมเรียนที่ปีศาจถูกกวาดล้างอย่างสมบูรณ์และจอมมารได้เข้าสู่ภาวะจำศีลนิรันดร์ แล้วจะมีพวกนอกรีตเหลือรอดไปได้อย่างไร?
ไม่เห็นหรือว่าจอมมารในต้นฉบับหลังจากถูกผนึกไว้แล้วยังโดนลากมาแขวนคอและทุบตีอย่างโหดเหี้ยมอีก?
ที่เลวร้ายไปกว่านั้น คือร่างถูกแยกเป็นเจ็ดส่วน และก็ถูกเฆี่ยนตีจนแหลกเหลวไปทั้งอย่างนั้น!
ต่อให้จอมมารคนนี้จะอยู่เหนือจอมมารคนก่อน แต่หากไร้ซึ่งกองทัพแล้วเขาจะไปทำอะไรได้?
หากเป็นแบบนั้น การเปิดเผยตัวตนของเขาออกไปก็ไม่ต่างกับการฆ่าตัวตายน่ะสิ?
แล้วเขาก็ไม่ได้ดีเท่าจอมมารคนก่อนด้วย เพราะจอมมารคนนั้นมีถึงเจ็ดชีวิต!
“บอกหน่อยได้ไหมว่าสายเลือดของจอมมารมันถูกปลุกให้ตื่นขึ้นได้อย่างไร?”
[ราคะ, ตะกละ, โลภะ, เกียจคร้าน, โทสะ, ริษยา และอัตตา นี่คือบาปเจ็ดประการที่จำเป็นสำหรับการปลุกจอมมาร!]
[เมื่อหนึ่งในเจ็ดตัวชี้วัดเหล่านี้สูงเกินกว่าเกณฑ์ สายเลือดจอมมารของโฮสต์จะค่อย ๆ ตื่นขึ้น และกลายร่างเป็นจอมมารผู้ยิ่งใหญ่อย่างไม่อาจย้อนกลับได้!]
[ความคืบหน้าในการปลุกพลังปัจจุบันอยู่ที่ 0%]
[กรุณาทำเป้าหมายให้สำเร็จโดยเร็วที่สุด!]
“ถ้าอย่างนั้นแสดงตัวชี้วัดให้ฉันดูหน่อยสิ”
[รับทราบ]
หลังจากนั้นไม่นาน
ตัวชี้วัดทั้งเจ็ดก็ปรากฏขึ้นมาในสายตาของดาร์ก
[อัตตา 92 หน่วย]
[ริษยา 39 หน่วย]
[โทสะ 93 หน่วย]
[เกียจคร้าน 71 หน่วย]
[โลภะ 72 หน่วย]
[ตะกละ 52 หน่วย]
[ราคะ 72 หน่วย]
ดาร์กกวาดสายตามองดูก่อนที่แววตาจะเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
ตัวชี้วัดทั้งหมดเจ็ดค่า นอกจากความริษยากับความตะกละซึ่งต่ำกว่าเล็กน้อย ตัวชี้วัดอื่น ๆ มีมากกว่า เจ็ดสิบหน่วย!
ในบรรดาตัวชี้วัดทั้งหมด โทสะมีถึง 93 หน่วย!
“ปรากฏว่าฉันเป็นคนขี้เกียจ เย่อหยิ่ง ตะกละ โลภมาก ตัณหาเยอะ แล้วก็ขี้โมโหมากที่สุดงั้นเหรอ?”
“นี่มันไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์เลย! ค่าสูงสุดของตัวชี้วัดนี่ต้องเท่ากับหนึ่งพันหน่วยแน่ ๆ!”
[คำเตือนด้วยความห่วงใยจากระบบช่วยเหลือจอมมาร ภายใต้สถานการณ์ปกติแล้วค่าสูงสุดของมหาบาปคือ 120 หน่วย]
[โฮสต์ต้องพยายามอย่างสุดความสามารถเท่านั้นจึงจะสามารถทำให้ค่าอัตตาและโทสะพุ่งสูงทะลุหลอดได้ เพื่อปลุกเลือดของจอมมารให้ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์และนำเกียรติศักดิ์ความรุ่งโรจน์ของปีศาจกลับคืนมา!]
“พยายามอย่างสุดความสามารถอะไรกันเล่า!”
“ใจเย็น ๆ ใจเย็น ๆ ก่อนตัวฉัน! จะโกรธไม่ได้ จะโกรธไม่ได้แล้ว!”
แค่เปลือกตากระตุกข้างเดียว ค่าโทสะก็เพิ่มขึ้น หนึ่งหน่วยเต็ม ๆ!
ดาร์กรีบผ่อนลมหายใจและคิดว่า “โอ้ มังกรศักดิ์สิทธิ์ โอ้ มารดาแห่งผืนโลกที่เคารพรัก โอ้ พระพุทธเจ้า โปรดช่วยให้ฉันจิตใจสงบด้วย!”
[โทสะ +1]
“แม่งเอ๊ย!”
…
ไม่กี่นาทีต่อมา
ดาร์กก็พบว่าตัวชี้วัดทั้งเจ็ดนี้ไม่คงที่ และตัวชี้วัดที่มีแนวโน้มผันผวนมากที่สุดคือตัวชี้วัด [โทสะ]
หลังจากที่เขาพยายามสงบสติอารมณ์อย่างถึงที่สุดแล้ว ตัวชี้วัด [โทสะ] ก็ค่อย ๆ ลดลงเหลือ 93 หน่วย
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากมากที่จะลดตัวชี้วัดความบาปที่สำคัญอย่างอัตตาและริษยาซึ่งเป็นรากเหง้าโดยธรรมชาติของมนุษย์
มันมีสุภาษิตอยู่ว่า “เปลี่ยนประเทศเปลี่ยนง่าย แต่เปลี่ยนนิสัยเปลี่ยนยาก”
แม้ว่าเขาจะฟื้นความทรงจำในอดีตได้ แต่ก็ทำให้อัตตาค่อย ๆ เปลี่ยนจาก 92 เป็น 91 อย่างช้า ๆ
สุดท้ายความทรงจำของชีวิตนี้ก็ไม่เคยถูกลืมเลือนไป
อย่างไร เขาก็เป็นเด็กชายผู้สูงศักดิ์และชั่วร้ายมาตลอดสิบกว่าปี!
ความหยิ่งผยองที่หยั่งรากลึกเช่นนั้นจึงยากจะขจัดให้หมดไปในเวลาสั้น ๆ
แม้ว่าเขาจะเข้าใจแจ่มแจ้ง แต่ก็ยังต้องฝึกลับคมตัวเองเป็นเวลานานเพื่อย้อนค่ากลับไปทีละเล็กทีละน้อย
ตัวชี้วัดทั้งเจ็ดจะต้องลดลงต่ำกว่าเส้นมาตรฐาน
มิฉะนั้น ตราบใดที่เขาประมาท อารมณ์ที่เกี่ยวข้องก็มีแนวโน้มที่จะทะลุค่าเกณฑ์สูงสุดได้!
อารมณ์ที่รุนแรงมีแนวโน้มที่จะทำให้ค่าเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
และเมื่อถึงตอนนั้นก็คงจะทำให้การลดระดับกลับไปสู่มาตรฐานเดิมเป็นไปได้ยากขึ้น
…
มีเพียงการฝึกฝนตนและอดทนอดกลั้นเท่านั้น จึงจะหลีกเลี่ยงอัตตา โทสะ ตะกละ โลภะ ราคะ ริษยา และเกียจคร้าน ที่จะทำให้เกิดการกระตุ้นสายเลือดของจอมมารแห่งบาปทั้งเจ็ดได้
ในที่สุดดาร์กก็เริ่มกระจ่างแจ้ง!
‘เริ่มตั้งแต่วันนี้ ฉัน ดาร์ก เดม่อนจะเป็นคนใหม่!’
[โฮสต์โปรดพยายามทำตัวเสื่อมทรามเข้าไว้จะได้กลายเป็นจอมมารในเร็ววัน!]
“ไปให้พ้น!”
[โทสะ +1]
…
เมื่อดาร์กรู้แจ้งอย่างสมบูรณ์ พิธีคัดสรรบนเวทีก็ดำเนินต่อไปแล้ว
จากนั้นไม่นาน นักเรียนใหม่ก็ได้รับเลือกให้ไปอยู่ในบ้านที่เหมาะสมกับพวกเขาที่สุดคนแล้วคนเล่า และบ้านขุนนางก็ต้อนรับนักเรียนใหม่เช่นกัน
ทว่าด้วยความสัมพันธ์ที่สลับซับซ้อนระหว่างขุนนาง จึงไม่มีใครกล้านั่งข้างบุตรชายของดัชเชสสาวสักคน
‘วัลคีรี อัลเวตต์ เซนต์ เดม่อน’ ได้ปูพรมกวาดล้างสนามรบอย่างเต็มกำลัง โดยมีความเกลียดชังเป็นแรงขับเคลื่อนและได้กำจัดปีศาจไปนับไม่ถ้วน ท้ายที่สุดเธอได้ช่วยวีรบุรุษในขณะนั้นผนึก ‘จอมมารอมตะ’ จนถูกขนานนามว่า ‘ดาบคู่แห่งอาณาจักร’ ร่วมกับวีรบุรุษและเป็นที่เคารพนับถือจากผู้คนทั่วโลก!
หลังจากที่วีรบุรุษเสียสละตัวเองเพื่อผนึกจอมมาร อัลเวตต์ก็กลายเป็นตัวแทนสูงสุดของกองทัพอาณาจักร!
มีเพียงอาจารย์ใหญ่ของสถาบันเซนต์แมเรียน พระสันตะปาปาศักดิ์สิทธิ์ และอาจารย์ใหญ่ของสถาบันโฮลี มิสเทอรีเท่านั้นที่สามารถประมือกับอัลเวตต์ได้
หากสายเลือดของจอมมารยังไม่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา ดาร์กก็อยู่ภายใต้การคุ้มครองของวัลคีรีได้ และไม่ว่าเขาจะเลวร้ายเพียงใด เขาก็สามารถเพลิดเพลินไปกับความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งในฐานะดยุกในอนาคตได้
“ไอ้เลือดจอมมารเวรเอ๊ย!”
[โทสะ +1]
…
“เลี่ยงอัตตาและโทสะ เลี่ยงอัตตาและโทสะ!”
ดาร์กหลับตาของเขาอย่างรวดเร็วและพยายามสงบความโกรธลง
[โทสะ -1]
“สวัสดี ฉันขอนั่งตรงนี้ได้ไหม?”
ดาร์กยังคงหลับตา
“งั้นฉันนั่งล่ะนะ!”
“เฮ้!”
“นายดูแปลก ๆ นะ เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ? ฉันมี [สวดส่งผู้วายชนม์] อยู่นะ จะให้นายยืมก็ได้!”
ในที่สุดดาร์กก็ลืมตาขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้ และกล่าวด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยไม่มีอารมณ์แปรปรวนว่า “[สวดส่งผู้วายชนม์] น่าจะเป็นการ์ดเมจิกในหมวดคำสาปใช่ไหม? เธอใช้มันช่วยให้หลับได้เหรอ?”
“หา? จริงเหรอ?” ไดแอนนา เกรท เบเยอร์ถามด้วยความประหลาดใจ
เธอที่กำลังอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจนั้นมีเสน่ห์มาก
ดาร์กขมวดคิ้ว เพราะจู่ ๆ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถระงับตัวชี้วัดได้อีกต่อไป
[ราคะ +1]
“บ้าเอ๊ย!”
[โทสะ +1]