ฉีเฟยอวิ๋นแสดงคำขอบคุณเสร็จแล้วก็ออกมากับหนานกงเย่ก่อน พอออกมาแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็ไปหาท่านแม่ทัพฉี อวิ๋นกั๋วกงผู้อาวุโสได้เดินมาตรงหน้าของแม่ทัพฉีก่อนแล้ว และได้พูดคุยกันกับแม่ทัพฉี
เดิมฉีเฟยอวิ๋นอยากจะพูดกับท่านแม่ทัพฉีเรื่องกลับไปที่จวนท่านอ๋องเย่กับเธอ แต่ยังไม่รอให้ได้เอ่ยปากอวิ๋นหลินฉวนก็โผล่มา นางอยากจะถามเกี่ยวกับเรื่องที่ชายแดน
ตอนนี้ฉีเฟยอวิ๋นเห็นอวิ๋นหลัวฉวนก็รู้สึกปวดหัวแล้ว และยังต้องอธิบายเรื่องที่ชายแดนกับนางอีก
เธอเลยถือโอกาสลากหนานกงเย่ไปถวายความเคารพแก่พระพันปีซะเลย
มาถึงพระตำหนักเฉาเฟิ่งฉีเฟยอวิ๋นจึงนำจดหมายของมู่เหมียนส่งมอบให้แก่พระพันปี พระพันปีเปิดออกมาตรวจสอบเพื่อความแน่ใจสักครู่ หลังจากมั่นใจแล้วว่าเป็นลายลักษณ์อักษรของมู่เหมียน พอดูเสร็จได้ทิ้งลงในกระถางไฟ ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไม่ดีเลยก้มศีรษะลง
หลุบตาขึ้นได้เห็นพระพันปีกล่าวกับหนานกงเย่ว่า“เจ้ารู้เรื่องนี้หรือ?”
“ลูกจะไปรู้ได้อย่างไร?”หนานกงเย่กล่าวอย่างไม่อะไร สีหน้าไร้การแสดงออก
“เจ้าออกไป ข้าเห็นเจ้าแล้วโมโห ”พระพันปีโบกสะบัดมือ หนานกงเย่ชำเลืองมองฉีเฟยอวิ๋น จากนั้นจึงเดินออกไปด้านนอก
ฉีเฟยอวิ๋นค่อนข้างร้อนรน มองไปที่จดหมายที่ถูกไฟเผามอดไหม้ เธอรู้สึกจิตใจไม่สงบเอาเสียเลย
พระพันปีรักทะนุถนอมมู่เหมียนขนาดนั้น มู่เหมียนรู้สึกว่าตนเองจะได้รับพระคุณความรัก อยากได้อะไรล้วนได้หมด แต่ตอนนี้ดูแล้วไม่ใช่อย่างนั้น
ใต้ความรักทะนุถนอมนั้น คือเป็นรากฐานแห่งอำนาจขององค์จักรพรรดิสินะ
พระพันปีมองไห่กงกงด้วยความไม่สบอารมณ์จากนั้นกล่าวว่า “ยังไม่รีบไปดูท่านอ๋องเย่อีก ด้านนอกร้อนแผดเผา เจ้าไม่หาอะไรบังให้เขาหน่อยหรือ?”
ไห่กงกงโค้งเอวลง และกล่าวว่า “กระหม่อมจะไปตอนนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”
ตอนที่ไห่กงกงจะเดินออกไปได้ชำเลืองมองฉีเฟยอวิ๋นเล็กน้อย จากนั้นก็ถอยออกไป
ไห่กงกงออกไปพระพันปีเลยยื่นมือมาหาฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นรีบเข้าประคองพระพันปีลุกขึ้น
“เป็นเยี่ยงนี้แล้วก็เคลื่อนไหวให้น้อยหน่อย เรื่องครั้งนี้ฝ่าบาทมิได้ตำหนิกล่าวโทษ เจ้าคิดว่าไม่มีคนกล้าที่จะกราบทูลรายงานต่อว่าแล้วหรืออย่างไร?ไม่ใช่ว่าเห็นเพราะเจ้าตั้งครรภ์หรอกหรือ? คนด้านล่างล้วนกำลังมองอยู่ รอว่าฝ่าบาทประนามลงโทษเจ้าว่าอย่างไร ฝ่าบาทหลีกเลี่ยงความผิดของเจ้า เอาเรื่องการตรวจคดีภายในจวนของเจ้าถอดถอนออก เห็นบอกว่ารอเจ้าคลอดแล้วค่อยหยิบยกเรื่องนี้มาคุย นั่นเป็นเรื่องของอนาคต ผู้ใดก็รับประกันไม่ได้”
“เสด็จแม่กล่าวถูกต้องเพคะ หม่อมฉันเสียใจภายหลังนานแล้ว ตอนที่ไปไม่ได้คิดสิ่งใดมากมาย เพียงแค่ติดต่อท่านพ่อไม่ได้แล้ว เมื่อก่อนท่านอ๋องใช้นกพิราบส่งสารติดต่อท่านพ่อตลอด แต่ทันใดนั้นท่านพ่อได้ขาดการติดต่อ อีกทั้งหม่อมฉันฝันว่าท่านพ่อถูกสังหารตกลงหลังม้าด้วยเพคะ หม่อมฉันเลยขาดสติยั้งคิด”
“ดีที่เจ้ายังมีความคิดนี้ แต่ในเมื่อเข้ามาในราชวงศ์แล้ว ก็ห้ามไม่สามารถมีเรื่องรักๆใคร่ๆระหว่างชายหญิงได้ ท่านแม่ทัพฉีเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ ตลอดชีวิตอยู่กับการรบ เมืองต้าเหลียงไม่มีวันลืมเขาได้หรอก
แต่เรื่องราวครั้งนี้เจ้าต้องรับผิดชอบ หากข้าไม่เห็นแก่เด็กในท้องที่เป็นเหล่าหลานๆของข้า ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าแน่!”
“หม่อมฉันขอบพระทัยเสด็จแม่ที่เมตตาเพคะ”ฉีเฟยอวิ๋นรีบกล่าวขอบคุณ
พระพันปีมองไปทางประตู กล่าวขึ้นว่า“มู่เหมียนกลับมาต้องเป็นพระชายารองของอ๋องเย่ เรื่องนี้ข้าพิจารณาไว้มิใช่วันสองวัน
แม้เรื่องราวครั้งนี้ไม่มีเจ้าเป็นส่วนเกี่ยวข้อง แต่ก็ไม่สามารถสลัดออกไปได้
แต่…..ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่อ๋องเย่ ก็ไม่มีทางที่จะเป็นเฉินอวิ๋นเจี๋ยไปได้”
“ความหมายของเสด็จแม่คือ?”ฉีเฟยอวิ๋นนึกได้แล้ว
“มู่เหมียนแต่งได้กับคนสามคน”พระพันปีกล่าว
ฉีเฟยอวิ๋นกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ลมหายใจแผ่วเบา
ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด เกรงว่าจะไม่เหมาะสม
“เสด็จแม่หากยังต้องหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้ ทำได้เพียงฟังดูโชคชะตาชีวิตเสียแล้วเพคะ หม่อมฉันตัดสินไม่ได้ หนึ่งคือหม่อมฉันไม่ยินยอมให้ท่านอ๋องมีพระชายารอง สองท่านอ๋องก็ไม่มีทางทำ”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดอย่างชัดเจน ก็คือยอมตายดีกว่ายอมจำนน ตอนนี้เธอท้องโตยิ่งมันมีหลายชีวิต ดูสิว่าพระพันปีจะทำอย่างไรกับเธอ
พระพันปีกล่าวอย่างคนไม่รีบร้อนว่า“ตอนนี้เจ้าส่งสารทางนกพิราบไปหามู่เหมียน บอกสุขภาพไม่ดี ต้องการให้นางกลับมาโดยเร็วที่สุด ข้ามีความตั้งใจแผนการของข้า”
ฉีเฟยอวิ๋นท้องโตแล้วรู้สึกลำบากใจ อยากจะกล่าวพูดอะไรพระพันปีก็เอามือออกกล่าวว่า“อาไห่…..”
“กระหม่อมอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
ไห่กงกงรีบเดินจากด้านนอกเข้ามาแล้วคุกเข่าลง
“พระชายาเย่และมู่เหมียนจวิ้นจู่มีความสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องรักใครกลมเกลียว นางใกล้จะคลอดแล้ว ต้องการให้มู่เหมียนมาอยู่ด้วย เจ้าไปอยู่กับพระชายาเย่ตอนที่เขียนจดหมายด้วยแล้วส่งไปที่ชายแดนด้วยตนเอง อย่าให้ล่าช้าวันที่จะคลอดล่ะ”
“กระหม่อมน้อมรับพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ”ไห่กงกงลุกขึ้นมองไปทางฉีเฟยอวิ๋น ส่วนพระพันปีหมุนตัวไปที่แท่น
ฉีเฟยอวิ๋นก้มศีรษะลงกล่าว่า “หม่อมฉันทูลลาเพคะ”
ฉีเฟยอวิ๋นหมุนตัวเดินออกไป และมีไห่กงกงเดินตามด้วย ฉีเฟยอวิ๋นชำเลืองมองหนานกงเย่ที่รออยู่ด้านนอก เห็นเขามองเมฆที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าอย่างเพลิดเพลิน เธอเดินไปก้มศีรษะลงกล่าวว่า“ท่านอ๋อง หม่อมฉันกลับมาแล้วเพคะ”
หนานกงเย่ชะงักงัน หมุนตัวมองไปทางฉีเฟยอวิ๋น ทั้งสองฝ่ายต่างสบตากัน หนานกงเย่ขมวดคิ้วกล่าวถามว่า “เป็นอะไรหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า “ไม่มีอะไรเพคะ กลับกันเถิด”
ฉีเฟยอวิ๋นยื่นมือให้หนานกงเย่ เธอยิ่งรู้สึกว่าพระราชวังนี้น่าเบื่อหน่ายเป็นอย่างมาก ทุกคนล้วนเสแสร้งจอมปลอม
มู่เหมียนเป็นหลานสาวที่พระพันปีชื่นชอบรักใคร่ที่สุด แต่ยังต้องกลายเป็นเหยื่อสังเวย
ไห่กงกงเดินตามออกมาจากพระราชวัง ตอนที่เดินทางไร้ผู้คนแล้วไห่กงกงถึงได้บอกเล่าสถานการณ์ให้หนานกงเย่ทราบ
หนานกงเย่กอบกุมมืออุ่นของฉีเฟยอวิ๋น และไม่ได้กล่าวอะไรออกมา
ฉีเฟยอวิ๋นนั่งอยู่ในรถม้าไม่ได้พูดอะไรเลย
รถม้ามาถึงจวนอ๋องเย่ ฉีเฟยอวิ๋นลงแล้วไปเรือนด้านหลัง เดิมที่อยากจะเฉลิมฉลองสักหน่อย เวลานี้ทั้งหมดต้องรวบรัดแล้ว
อาอวี่รออยู่ที่หน้าประตูนานแล้ว หลังจากนั้นได้เดินตามเข้ามาและคุกเข่าลง
หนานกงเย่บอกเขาให้ไปคุกเข่าตรงที่ไร้คน พ่อบ้านเริ่มรู้สึกตัวว่าต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่
“ท่านอ๋อง…..”
พ่อบ้านเพิ่งจะเข้ามา ก็ได้ถูกหนานกงเย่ยกมือรั้งไว้ จากนั้นกล่าวว่า “ออกไปทั้งหมดเลย”
พ่อบ้านจำใจต้องเดินออกไป ฉีเฟยอวิ๋นนั่งลง ไห่กงกงรีบเดินมา กล่าวว่า“ท่านอ๋องเย่ พระชายาเย่ เรื่องนี้ไม่มีช่องว่างให้เดินหน้าหรือถอยกลับแล้ว ไม่สามารถที่จะใช้สมองกับเรื่องนี้ ตอนที่พวกเราออกมาจากพระราชวังเกรงว่าจะมีคนเร่งรีบไปที่ชายแดนแล้ว ระหว่างการเดินทางนี้ก็มีคนจ้องมองด้วย
มีความผิดพลาดเกิดขึ้นเล็กน้อย เฉินอวิ๋นเจี๋ยที่อยู่ทางชายแดน หัวขาดเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!”
“………”ฉีเฟยอวิ๋นมองไป จะไม่เข้าใจความหมายที่ไหนกันล่ะ ตลอดการเดินทางหนานกงเย่ไม่พูดไม่จาคงเกรงว่าหน้าต่างมีหูประตูมีตานั่นเอง
“ท่านอ๋อง มู่เหมียนชื่นชอบเฉินอวิ๋นเจี๋ย ต้องการให้ข้านำจดหมายมอบแก่เสด็จแม่ นางคิดว่าเสด็จแม่จะต้องตกลงให้นางแต่งงาน”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่คิดว่าเรื่องนี้จะจัดการยากอย่างนี้
หนานกงเย่ส่ายศีรษะ ลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าต่างเผชิญกับฉีเฟยอวิ๋น
ไห่กงกงกล่าวว่า“ท่านอ๋อง กระหม่อมมีเรื่องที่ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“พูดมา”หนานกงเย่กล่าวอย่างราบเรียบ
ไห่กงกงกล่าวว่า“เรื่องของฮองเฮาท่านอ๋องรู้มาบ้างใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“รู้”หนานกงเย่ราวกับว่าตำหนิไห่กงกง เรื่องของเขา เขาก็รู้แจ้งแจ่มชัด
ไห่กงกงกล่าวว่า “ในเมื่อรู้ เหตุใดท่านอ๋องถึงได้ให้มู่เหมียนจวิ้นจู่อยู่ที่ชายแดนเล่า?และเหตุใดถึงได้มอบงานสำคัญแก่เฉินอวิ๋นเจี๋ยด้วย?”
ไห่กงกงกล่าวจบได้ยกชุดขึ้นแล้วคุกเข่าลง คำพูดเช่นนี้เขาไม่สามารถพูดได้ การแทรกแซงงานของบ้านเมืองถือเป็นเรื่องที่ผิดร้ายแรง
หนานกงเย่หมุนตัวกล่าวว่า“เป็นข้าที่คิดไม่รอบคอบ ลุกขึ้นเถิด”
ไห่กงกงลุกขึ้น หนานกงเย่มองฉีเฟยอวิ๋นแล้วกล่าวว่า “ข้าก็ไร้หนทาง ถึงว่ามีแต่ไม่สามารถใช้งานได้ สิ่งที่ไห่กงกงกล่าวข้าคิดอย่างรอบคอบมันน่ากลัวอย่างยิ่ง มีความผิดพลาดเล็กน้อย จะทำให้เฉินอวิ๋นเจี๋ยคอขาดได้!”
องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 431 วิจารณ์จวินโม่ซ่างอย่างรุนแรง
“เรื่องที่เมืองถาถ่านประสบกับปัญหาในตอนนี้ คือบทเรียนหนึ่งของพวกเจ้า และเป็นสถานการณ์ตาต่อตา ฟันต่อฟัน กองทัพทั้งสองฝ่ายทำสงคราม แต่จะไม่ทำร้ายราชทูต ข้าคิดว่ากฎเกณฑ์นี้พวกเจ้าย่อมรู้ดี ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็เป็นถึงพระชายาเย่ของเมืองต้าเหลียงด้วย
ประการที่หนึ่งพวกเจ้าไม่ควรจับตัวข้า ประการที่สองพวกเจ้าไม่ควรสร้างความอัปยศอดสูให้ข้า ประการที่สามไม่มีความเคารพซึ่งกันและกัน
แม้ว่าข้าจะเป็นพระชายาของเมืองศัตรู แต่การมาที่เมืองอู๋โยวของพวกเจ้า ไม่ว่าจะด้วยเหตุใด เมืองต้าเหลียงไม่ใช่เมืองที่สิ้นฤทธิ์ไร้การปกครอง แต่เป็นแขกคนสำคัญของเมืองอู๋โยว
ข้าตามพวกเจ้ามาที่นี่ได้ เป็นเพราะข้ามาด้วยความจริงใจ แต่พวกเจ้ากลับเสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นคนดี สร้างความอัปยศอดสูให้แก่เมืองต้าเหลียงของข้า เรื่องนี้หากไม่มีการอธิบายที่ชัดเจน อย่างว่าแต่เมืองถาถ่านเลย เมืองต้าเหลียงก็สามารถปราบปรามเมืองอู๋โยวของเจ้าให้พังพินาศได้ในชั่วพริบตาเดียว”
ใบหน้าของจวินโม่ซ่างซีดเผือดลงทันใด จากนั้นก็มองไปทางหญิงสาวอัปลักษณ์ตรงหน้าด้วยความสงสัย ในใจก็รู้สึกหวั่นไหวอยู่เล็กน้อย
ถังหลงจึงได้สูดลมหายใจเย็นเข้าปอด เขาเข้าใจได้ในทันที เหตุใดหนานกงเย่ถึงชอบสตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้
หากบอกว่าฉีจือซานเป็นแม่ทัพคนแรกของอันกั๋ว บุตรสาวที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เกรงว่าก็คงเป็นพระชายาคนแรกที่ยากจะรับมือที่สุดของเมืองต้าเหลียง
และสิ่งที่กลัวที่สุดคือ ไม่รู้ว่าพระชายาเช่นนี้ จะมีอีกสักกี่คนในเมืองต้าเหลียง
เมืองอู๋โยวเริ่มมีความกังวลเสียแล้ว!
หนานกงเย่กุมมือของฉีเฟยอวิ๋นพร้อมกับลูบอย่างแผ่วเบา มืออวบอ้วนข้างนั้นประดุจมือหยกขาวอันงดงามที่ทำให้เขาหลงใหลจนไม่อาจวางมือได้ ทั้งยังมีสิริโฉมงดงามจนน่าพึงใจ
จิตใจที่โอบอ้อมอารีไม่ต้องเอื้อนเอ่ยก็ชัดเจนอยู่แล้ว
สายตาที่นิ่งสงบของฉีเฟยอวิ๋นได้ตกมาอยู่บนใบหน้าของจวินโม่ซ่าง : “องค์รัชทายาทอู๋โยว เมืองอู๋โยวของท่านและเมืองต้าเหลียงของข้าเป็นเพื่อนบ้านกัน พื้นที่ของเมืองก็มีขนาดพอกัน แต่อาณาเขตของทั้งสองเมืองกลับมีความแตกต่างกันอย่างมาก
พื้นที่เมืองต้าเหลียงเป็นที่ราบเรียบ วัฒนธรรมและสังคมกลายเป็นประเพณีขั้นพื้นฐานที่ทุกคนพึงมี อีกทั้งเมืองของข้าก็เจริญรุ่งเรืองมาก เราใช้วัฒนธรรมปกครองบ้านเมือง มีทหารปกปักรักษานำพาความสงบสุขมาให้บ้านเมือง
เมืองของข้าเป็นเมืองที่ได้รับการพัฒนา การค้าขาย มีเส้นทางเดินจากตะวันออกไปตะวันตก ขั้นตอนการบุกเบิกก็ไกลกว่าของพวกเจ้า
แล้วเมืองของข้าก็ยังมี กิจการผ้าไหม ศาสตร์แห่งการชงชา การขนส่งเกลือ ฝ่าบาทของเราก็มีความกตัญญูกตเวที มีการศึกษา…..
ทุกสิ่งทุกอย่าง เมืองของเจ้าล้วนไม่มีทั้งสิ้น
ความมั่งคั่งของพวกเจ้าก็เทียบเทียมเราไม่ได้
ต่อให้สู้กันจริง ๆ พวกเจ้าจะเอาสิ่งใดมาสู้ล่ะ?
ชายแดนของเราล้อมรอบไปด้วยเพื่อนบ้านที่คอยสนับสนุน มีจำนวนมากเหมือนกับเมืองของพวกเจ้า แต่หากพวกเจ้าได้เห็นอาณาเขตเมืองต้าเหลียงของเรา จะพบว่าเราได้ยึดครองเพื่อนบ้านมากมายเหล่านั้นไปแล้ว พวกเจ้า….ไม่เคยกลัวเลยเช่นนั้นหรือ?
วันนี้เจ้ามายั่วยุถึงชายแดน เราเคยส่งทหารม้าไปรอบ ๆ ชายแดนหรือไม่?
ก็ไม่!
ตระกูลฉีมีจำนวนทหารนับแสนและมีกองกำลังทหารที่สามารถบุกประชิดพรมแดนได้ เพียงแต่ติดปัญหาในเรื่องเวลา
นี่แค่ส่วนหนึ่งจากกองกำลังทหารตระกูลฉีเท่านั้น อีกส่วนหนุนอยู่ด้านหลังกำลังเดินทางมา
ชายแดนเมืองต้าเหลียงมีทหารอีกหลายล้านคน นี่เป็นเพียงแค่การประเมินเบื้องต้นเท่านั้น ท่านแม่ทัพฉีก็ยังมีทหารในกองกำลังของตนอีกกว่าหลายแสนคน ตัวเลขนี้น่าตกตะลึงยิ่งนัก!
เมืองของข้าไม่เคยรุกล้ำเมืองของเขา นี่คือวิธีการปกป้องบ้านเมืองของฝ่าบาท
เขามีจิตใจเมตตาและใจกว้าง แต่กลับไม่เคยคิดสังหารหมู่
หากไม่มีคนมารุกรานข้า ข้าก็ไม่รุกรานเขาเช่นกัน หากมีคนรุกรานข้า ข้าจำเป็นต้องตัดรากถอนโคน!
เมืองหลวงของต้าเหลียง มีอัครเสนาบดีราชครูจวินเป็นผู้มีวัฒนธรรม มีฉีกั๋วกงและท่านพ่อของข้าเป็นผู้เก่งกาจในด้านสงคราม……
ที่เหลือท่านอ๋องและจวิ้นอ๋อง องค์หญิงและจวิ้นจู่ วัฒนธรรมประเพณีบริหารดูแลใต้หล้า ทหารที่เก่งกาจจะนำพาความสงบสุขมาสู่บ้านเมือง
เจ้าลองถามดูสิ คนที่ไม่เก่งและห้าวหาญในด้านสงครามผู้นั้น ถามดูสิ …. ว่าเมืองอู๋โยวของเจ้ามีถังหลงกี่คน มีซานเต๋อกี่คน และมีองค์รัชทายาทอู๋โยวกี่คน?”
จวินโม่ซ่างถอยหลังไปหนึ่งก้าว สายตาเหม่อลอย นิ่งสงบเหมือนคนตายก็มิปาน
ฉีเฟยอวิ๋นเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว : “เจ้าได้ยินการใส่ร้าย จึงเลือกทำสงครามที่ชายแดน รุกรานอาณาเขตของต้าเหลียง ลักพาตัวพระชายาเช่นข้า….เรื่องนี้คงจะแก้ไขอย่างเหมาะสมไม่ได้หรอก เมืองต้าเหลียงต้องได้เหยียบย้ำทำลายแม่น้ำและภูเขาของเจ้าให้ราบเป็นหน้ากลอง ทำลายล้างเผาเมืองให้มอดไหม้!”
มือของหนานกงเย่หยุดนิ่งไปชั่วขณะ จากนั้นก็มองไปทางใบหน้าที่เย่อหยิ่งและก้าวร้าวของฉีเฟยอวิ๋นโดยไม่ได้ตั้งใจ ดวงตาของเขาล้ำลึกยากหยั่งถึง มือของเขาได้กระชับแน่น
จวินโม่ซ่างไม่ได้เอ่ยปากกล่าวต่อ สีหน้าซีดเผือดลงเรื่อย ๆ
ฉีเฟยอวิ๋นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า : “ในสามวันนี้ซึ่งเหลือไม่เกินสองวันแล้ว พวกเจ้ามีเวลาอีกแค่หนึ่งวัน หากไม่เปิดประตูเมืองปล่อยพวกเราออกไป เมืองถาถ่านจะต้องตกทุกข์ได้ยากเหมือนตกนรกทั้งเป็นเป็นเวลาสามปี”
“ท่านอ๋องเย่ ทำเช่นนี้….” ถังหลงเป็นกังวล
จวินโม่ซ่างกล่าวด้วยความโกรธเคือง : “ไม่มีวันยอมจำนน”
หนานกงเย่ยิ้ม : “ไม่ยอมจำนนก็รอความตายไปละกัน องค์จักรพรรดิเมืองอู๋โยวของพวกเจ้ามีโอรสถึงสี่พระองค์ เจ้าไม่ใช่โอรสในพระมเหสี แถมเจ้ายังมีพี่ชายและน้องชาย หากเจ้าเป็นอะไรไป พวกเขาคงจะดีใจไม่น้อย”
“ขี้โกงจริง ๆ เลยนะ” จวินโม่ซ่างหัวเราะหึ ๆ จากนั้นก็เดินไปด้านข้างและนั่งลง : “เมืองถาถ่านของข้ามีราษฎร์กว่าหลายแสนคน มีทหารอีกกว่าสองแสนคน แม้ว่าพวกเจ้าจะเข่นฆ่า ก็ยังต้องใช้เวลาที่นมนาน ก็ขึ้นอยู่ที่เจ้าแล้วละว่าจะลงมือฆ่าเมื่อใด”
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา คำที่ไร้ความปรานีที่สุดเท่าที่ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินมาก็คือคำนี้แหละ!
ฉีเฟยอวิ๋นมองไปทางจวินโม่ซ่าง : “เมืองอู๋โยวมีองค์รัชทายาทเช่นเจ้า ไม่ต้องกังวลถึงความพังพินาศของบ้านเมืองให้เปลืองสมอง เจ้าให้เราฆ่าราษฎร์และทหารของเจ้าอย่างช้า ๆ หากพวกเขาได้ยินคำพูดนี้ของเจ้าไม่รู้ว่าจะเสียใจกันบ้างหรือไม่”
ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากเห็นหน้าของคนที่จิตใจต่ำช้าเฉกเช่นจวินโม่ซ่างอีกแล้ว นางดึงมือของหนานกงเย่ไว้ : “เราไปกันเถอะ หม่อมฉันไม่อยากเห็นคนเช่นนี้อีกแล้ว เพื่อความเห็นแก่ตัวของเขากลับยอมทำร้ายคนนับแสนคน
ภายใต้สถานการณ์คับขัน มีทหารกำลังมาประชิดเมือง เขายังกล้ากล่าวเช่นนี้ออกมา ท่านอ๋อง หม่อมฉันได้แต่หวังว่าหากเขาได้นั่งอยู่บนบัลลังก์จักรพรรดิของเมืองอู๋โยว เช่นนั้นเราก็คงจะโจมตีเมืองอู๋โยวและยึดครองได้ตลอดเวลา”
จวินโม่ซ่างรู้สึกเหมือนมีคนใช้มีดแทงทะลุถึงหัวใจ นิ่งเฉยไปเป็นครึ่งค่อนวันจึงได้สติกลับมา สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ฉีเฟยอวิ๋นไม่ละไปไหน
หนานกงเย่มองไปทางจวินโม่ซ่างแวบหนึ่งและกล่าวว่า : “อีกหนึ่งวันหลังจากนี้หากท่านยังไม่ยอมจำนน ร่างจดหมายขอโทษเมืองของเรา ข้าจะเป็นคนนำทัพบุกมาทำลายล้างเมืองถาถ่านด้วยตัวข้าเอง”
หนานกงเย่หมุนตัวและประคองฉีเฟยอวิ๋นออกจากห้องโถงจวินโม่ซ่างไป ถังหลงรีบเดินไปตรงหน้าของจวินโม่ซ่าง : “องค์รัชทายาท เรื่องนี้ยังต้องได้รับการพิจารณานะพ่ะย่ะค่ะ”
“หุบปาก ข้ากำลังใช้ความคิด”
จวินโม่ซ่างถือได้ว่าเป็นคนที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเช่นกัน เขาลูบศีรษะเล็กน้อย : “เจ้าออกไปก่อน ข้าต้องใช้ความคิด”
ถังหลงจึงได้ออกไป จวินโม่ซ่างลุกขึ้นและฝืนเดินไปยังหน้าต่าง จากนั้นก็มองลงไปด้านล่าง
หนานกงเย่ประคองฉีเฟยอวิ๋นเดินออกไปแล้ว
เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินทางอยู่บนถนนของเมืองถาถ่านของเขา สีหน้าของจวินโม่ซ่างก็ยิ่งเคร่งขรึมลง
หากไม่ฆ่าคนเช่นนี้ คงจะสร้างปัญหาไม่รู้จบตามมา
ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามหนานกงเย่มาถึงที่พัก นางเดินเข้าไปด้านในด้วยความเหนื่อยล้า จากนั้นก็พักผ่อน ไม่ออกไปไหนอีก และไม่อยากเดินชมเมืองถาถ่านด้วย
หนานกงเย่เอ่ยถาม : “ไม่ไปเดินเล่นเสียหน่อยหรือ?”
“ไม่อยากเดิน คนที่นี่เกลียดเรายิ่งกว่าอะไรดี” ฉีเฟยอวิ๋นคำนวณได้ไม่ยาก ว่าคนของเมืองถาถ่านเกลียดชังนางมากน้อยเพียงใด
ไม่มีนาง เมืองถาถ่านก็ปลอดภัย เมื่อนางมา ที่นี่ก็ได้รับความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า
หนานกงเย่นั่งลง และดื่มชา
ฉีเฟยอวิ๋นนอนพักชั่วครู่ ตลอดจนถึงยามราตรี จวินโม่ซ่างก็ไม่ได้มาหาพวกเขาอีก ฉีเฟยอวิ๋นมองดูเวลา จึงได้ลุกขึ้นพลางกล่าวว่า : “ท่านอ๋อง ท่านมีแผนการใด อีกไม่กี่ชั่วยามก็จะถึงเวลานัดหมายแล้ว หรือจะเป็นดั่งที่ท่านกล่าว จะเคลื่อนทัพมาทำลายล้างเมืองถาถ่านละเจ้าคะ”
“ทุกครั้งที่ข้าเอ่ยข้าได้ชั่งใจไว้แล้ว หากเขาไม่ยอมจำนน เช่นนั้นก็ทำได้แค่วิธีการนั้น”
“แต่ชาวบ้านจำนวนมากเหล่านี้….” ฉีเฟยอวิ๋นเป็นหมอ เมื่อนึกถึงภาพที่ชาวบ้านตาดำ ๆ โดนเข่นฆ่าย่อมทนไม่ได้
แรกเริ่มนางเองก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายผู้ใด เพียงแต่นางโดนจับตัวมา จวินโม่ซ่างต้องการปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนาง นางโกรธจึงได้ลงไม้ลงมือทำร้ายเขา
“อวิ๋นอวิ๋น นี่คือสงครามระหว่างสองเมือง ข้าไม่ได้เล่นสนุก ข้าต้องปกป้องเมืองต้าเหลียง ไม่มีทางเลือกอื่น”
“เช่นนั้นหม่อมฉันคงต้องกลับไปก่อน หากเห็นคนล้มตายต่อหน้าหม่อมฉันคงไม่สบายใจ” ฉีเฟยอวิ๋นไม่อยากเห็นเลือดที่เจิ่งนองทั่วผืนดิน
“รอเจ้าแห่งอีกามาก่อน ข้าจะให้เขาพาเจ้ากลับไป”
“แล้วเหตุใดเจ้าแห่งอีกายังไม่มาอีกละเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นแปลกใจ นางไม่เห็นแม้แต่เงา เวลานี้เจ้าแห่งอีกาควรมาได้แล้ว
“คงต้องถามเจ้าแห่งอีกาแล้วละ เขาบินอยู่ในระยะทางห้าสิบลี้ของเมืองถาถ่าน ข้าได้ยินคนรายงาน”
“แล้วที่นั่นคือที่ใดเพคะ? ข้าอยากไปดูเสียหน่อย” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวออกไปโดยไม่คิดสิ่งใด หนานกงเย่มองดูเวลา เห็นว่าเวลายังพอมีเหลือ จึงได้พาฉีเฟยอวิ๋นลงมาและไปยังสถานที่ที่อยู่ในระยะห้าสิบลี้ของเมืองถาถ่าน
ทั้งสองคนนั่งรถม้าไป หนึ่งชั่วยามก็มาถึงยังสถานที่ที่เจ้าแห่งอีกาอยู่
บทที่ 428 ไม่ฆ่าก็ยังมีความหวัง
บทที่ 430 ไม่ให้ยาถอนพิษ