“อย่างนั้นเหรอ?อย่างนั้นผมคงบุ่มบ่ามเอง”
“ขออภัย” ได้ยินที่ลิฉุนบอก ฉินเทียนหัวเราะแล้วก็ปล่อยมือ
ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดหวัง
ข้างนอกลือกันว่า ลิเหลียงเป็นแค่คุณชายทีอ่อนโยน แต่ฉินเทียนไม่เชื่อ
คุณชายที่อ่อนโยน ทำไมถึงวางหมากได้เช่นนี้ อีกอย่าง เขารู้สึกถึงพลังล้ำลึกที่ไม่สามารถคะเนได้จากร่างกายของลิเหลียง
ดังนั้นจึงอดทดสอบเสียหน่อยไม่ได้
แต่ว่า กลับไม่ได้ผลลัพธ์ที่เขาต้องการ ดูผิวเผินแล้วลิเหลียงเหมือนไม่มีแรงแม้แต่จะมัดไก่ด้วยมือจริง ๆ
หรือว่า ตัวเองจะมองผิด?
หรืออีกฝ่ายซ่อนไว้ได้อย่างล้ำลึก?
ลิเหลียงยิ้มจาง ๆ เอ่ยว่า: “คุณฉินเป็นยอดฝีมือสมคำร่ำลือจริง ๆ”
“ถึงผมจะไม่รู้เรื่องการฝึกวรยุทธ แต่คุณฉินไม่ต้องรีบร้อน ไม่นาน คุณต้องได้เห็นยอดฝีมืออีกมากมายแน่”
ฉินเทียนจึงหัวเราะขึ้น
“ผมรอวันนี้มานานแล้ว”
“หวังว่าพอถึงเวลานั้นคุณชายลิจะไม่ทำให้ผมผิดหวัง”
ทั้งสองคนพูดคุยกันอย่างสันติ ดูแล้วเหมือนเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบกันนาน
แต่ว่า ได้รู้สถานะของอีกฝ่ายต่อกันแล้ว ระหว่างพูดคุย มีเพียงคนที่รู้เรื่องภายในเท่านั้นที่รู้ว่าคลื่นใต้น้ำปั่นป่วนแค่ไหน
เถียหนิงซวงกำด้ามกระบี่ไว้แน่นตั้งแต่แรก คิดจะชักกระบี่ออกมาอยู่หลายครั้ง
ทว่า เธอถูกออร่าของถงเหรินสยบเอาไว้ เธอรู้ว่า ตัวเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของถงเหริน
อีกทั้ง ลิฉุนไม่รู้อะไรเลย ดูท่าทางฉินเทียนกับลิเหลียง ก็เตรียมปิดบังเธอไว้
ดังนั้น เถียหนิงซวงก็ได้แต่กล้ำกลืนอดทนต่อไป แต่ก็มีความอยากรู้ถาโถมอยู่ในใจ
คนที่อยู่ตรงหน้า เป็นถึงตัวเอกที่จะร่วมรับมือกับฉินเทียนในการประชุมแกนนำรวมพลังเจ็ดเมืองทางใต้!
“พวกคุณรู้จักกันเหรอ?”
“พวกคุณกำลังพูดอะไรกัน?ทำไมฉันไม่เข้าใจเลย” ลิฉุนอดสงสัยไม่ได้
“ไม่มีอะไร”
“พี่สาว รีบขึ้นรถเถอะ พวกเรากลับบ้านกัน”
“พี่ไม่กลับมานานขนาดนี้ แม้ว่าท่านพ่อจะไม่ว่า แต่ผมดูออกว่าเขาคิดถึงพี่มาก”
การเผชิญกับคำเชื้อเชิญของลิเหลียง ทำให้จิตใจของลิฉุนสั่นไหวไปชั่วขณะ รอยยิ้มบนใบหน้ากลับค่อย ๆ หายไป
“เขาเกลียดพี่ขนาดนั้น จะคิดถึงพี่ได้ยังไง
“น้องชาย ที่พี่กลับมาครั้งนี้มีธุระต้องทำ เสร็จธุระแล้วก็จะไปทันที”
“นายอย่าไปบอกเขา……”
พูดเสร็จ ก็ทำหน้าขรึมขึ้นรถฉินเทียนไป
ลิเหลียงดูเหมือนไม่แปลกใจต่อปฏิกิริยาของลิฉุน
เขามองฉินเทียนแล้วแสยะยิ้มเอ่ยว่า: “คนแซ่ฉิน ดีกับพี่สาวฉันด้วยนะ”
“ถ้านายกล้าทำร้ายเธอแม้แต่นิดเดียว ฉันสาบานว่าจะทำให้นายต้องเสียใจที่มาเกิดในโลกนี้”
ฉินเทียนแสยะยิ้มเอ่ยว่า: “นายชอบเจี่ยงเถียนเถียนจริงเหรอ?”
สีหน้าลิเหลียงขรึมลง เอ่ยด้วยเสียงเย็นชาว่า: “หมายความว่าอะไร?”
ฉินเทียนขี้เกียจพูดเยอะ แสยะยิ้มแล้วเอ่ยว่า: “ไว้พรุ่งนี้เจอกันก็แล้วกัน”
“ออกรถ”
“ค่ะ!”
เถียหนิงซวงสตาร์ทรถอย่างรวดเร็ว ทะยานจนท้ายปัด พุ่งไปทางด้านนอก
“คุณชาย ขอโทษด้วย”
“ผมไม่สามารถยับยั้งให้คุณหนูใหญ่กลับมาได้สำเร็จ” สีหน้าถงเหรินหวาดกลัว
เห็นลิเหลียงไม่พูดจา เขาก็อดถามอย่างระมัดระวังไม่ได้ว่า: “คุณหนูใหญ่อยู่กับฉินเทียนคงไม่เกิดเรื่องกระมัง?”
“ผมหมายความว่า ฉินเทียนคงไม่ใช้สถานะของคุณหนูใหญ่มาข่มขู่พวกเราหรอกนะ?”
อารมณ์ลิเหลียงเปลี่ยนไป อึมครึมเหมือนเมฆดำปกคลุมทั่วท้องฟ้า
นานสักพักเขาจึงกัดฟันเอ่ยเสียงคล้อยต่ำว่า: “พวกเราลำบากวางแผนกันนานขนาดนี้ พรุ่งนี้เป็นวันที่ต้องเก็บเกี่ยว”
“ฉันจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำลายแผนการ!”
“ข่าวการกลับมาของลิฉุน อย่าให้ลิเว่ยจงรู้”
“รับทราบ”
……
ระหว่างทาง เห็นลิฉุนทำหน้าขรึมไม่พูดจา อารมณ์ที่มีความสุขก่อนหน้าไม่เหลือในฉับพลัน ฉินเทียนก็รู้จักกาละที่จะไม่ถาม
ตอนนี้ เขาเหมือนจะเข้าใจเรื่องบางเรื่อง
ลิฉุนไปอยู่ไกลต่างประเทศเพราะทะเลาะกับวงศ์ตระกูล ตอนนี้เหมือนว่าความสัมพันธ์ของเธอที่เป็นพี่สาวกับลิเหลียงที่เป็นน้องชายถือว่ายังดี
คนที่ทำให้เธอแสลงใจน่าจะเป็นพ่อของเธอ ลิเว่ยจง
ฉินเทียนอดประหลาดใจกับลิเว่ยจงคนนี้ไม่ได้
จากที่ก่อนหน้าเขาได้ข่าวมา ลิเว่ยจงเป็นคนมีความสามารถ!
อายุน้อยแค่นี้ ก็สร้างทรัพย์สินให้ตระกูลได้ถึงห้าแสนล้าน ทรงอิทธิพลใน 7 เมืองทางใต้ ไม่มีใครเทียบได้
แต่ว่า ไม่กี่ปีก่อน ลิเว่ยจงที่กำลังอยู่ในจุดสูงสุด อยู่ ๆ ก็ประกาศว่าเนื่องจากปัญหาสุขภาพ จึงถอนตัวไปอยู่เบื้องหลัง
เรื่องทุกอย่างในตระกูลมอบให้บุตรชายลิเหลียงจัดการ
นับจากนั้นเป็นต้นมา ลิเว่ยจงก็หายไปจากสายตาสาธารณชน ข่าวที่แพร่สู่ภายนอกคือ เขากำลังรักษาตัวอยู่เงียบ ๆ
ส่วนจะป่วยเป็นอะไร อาการเป็นยังไง โลกภายนอกไม่อาจรู้ได้
สองสามปีมานี้ที่ลิเว่ยจงถอนตัวหลบอย่างเงียบ ๆ ลิเหลียงก็มีชื่อเสียงขึ้น ในนามบุตรชายคนที่หนึ่ง กลายเป็นผู้อยู่เหนือ 7 หัวเมืองทางใต้
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเอ่ยถึงตระกูลลิ ผู้คนจึงไม่ค่อยนึกถึงลิเว่ยจง
คนแรกที่จะนึกถึง ก็คือลิเหลียง
เรียกได้ว่า ลิเหลียงได้กลายเป็นตัวแทนตระกูลลิในระดับหนึ่งอย่างสิ้นเชิงแล้ว
สิ่งที่ทำให้ฉินเทียนคิดไม่ตกคือ ระหว่างพ่อกับลูกสาว จะมีปัญหาขัดแย้งอะไรกัน? ถึงขั้นทำให้ลิฉุนไปอยู่ต่างประเทศหลายปีไม่กลับ
ว่าตามหลักแล้ว ลูกสาวเป็นเสมือนเสื้อนวมที่ให้ความอบอุ่นของพ่อไม่ใช่เหรอ?
แล้วยิ่งเป็นเสื้อนวมที่โดดเด่นอย่างลิฉุน
เป็นเรื่องปัญหาของครอบครัวจริง ๆ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ดูจากปฏิกิริยาของลิฉุน ฉินเทียนรู้ว่า นั่นต้องเป็นรอยแผลในใจที่ไม่อาจผสานได้ของเธอ
ในเรื่องนี้เขาเข้าใจดี
เขาก็แตกหักกับวงศ์ตระกูลเพราะเรื่องบางเรื่องเหมือนกัน จนไม่ได้พบกับพ่อหลายปีแล้วไม่ใช่เหรอ?
พอนึกถึงตรงนี้ เขาก็จงใจหาเรื่องคุยสบาย ๆ มาหยอกเย้าลิฉุนให้สบายใจ
ไม่นาน ลิฉุนก็เหมือนลืมเรื่องไม่มีความสุขเหล่านั้นแล้ว เปลี่ยนเป็นร่าเริงขึ้นมา ยังไงก็ตามแม้ไม่ได้กลับมาหลายปี พอเห็นทิวทัศน์ของบ้านเกิดก็ยังมีความรู้สึกผูกพันอยู่
เธอเสนอว่า ไปที่ทะเลสาบหรูอี้ดูหน่อย
ฉินเทียนให้เถียซวงหนิงเปลี่ยนเส้นทาง พอมาถึงทะเลสาบหรูอี้ ลิฉุนยืนอยู่ริมฝั่ง ลมเอื่อย ๆ พัดกระโปรงและเส้นผมของเธอ รูปร่างที่เพรียวบางราวกับหงส์ขาวที่โตเต็มวัย
“ตรงนั้นมีเรือนี่”
“เราไปนั่งเรือกันเถอะ” เธอด้วยความตื่นเต้นเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ
ฉินเทียนไม่อยากขัดอารมณ์ของเธอจึงเช่าเรือหนึ่งลำ
ลมเอื่อย ๆ พัดมา น้ำกระเพื่อมเป็นระลอก
เรือน้อยค่อย ๆ ล่องไปบนผิวทะเลสาบสีน้ำเงิน
ไปตามเวลาที่ไหลไป รอยยิ้มบนใบหน้าของลิฉุนค่อย ๆ หายไป ทะเลสาบสะท้อนใบหน้าที่หมดจดของเธอ นัยน์ตาคู่สวยดูว้าเหว่ ขัดแย้งกัน
ฉินเทียนยังเห็นความพะวงที่ตัดไม่ขาดจากส่วนลึกในดวงตาคู่สวยด้วย
เขาถอนใจแล้วเอ่ยด้วยเสียงคล้อยต่ำว่า: “ได้ข่าวว่าพ่อของคุณสุขภาพไม่ดี”
“ถ้าคุณเป็นห่วงเขา ก็กลับไปดูหน่อยเถอะ”
เห็นลิฉุนจะปฏิเสธ เขาจึงกุมมือเธอไว้เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า: “ไม่ต้องกลัว ถ้าคุณต้องการ ผมไปเป็นเพื่อนคุณได้”
เห็นสายตาที่อบอุ่นของฉินเทียน จิตใจของลิฉุนก็หวั่นไหวไปชั่วขณะ ไร้ซึ่งความไม่ปลอดภัยกับความลนลานแล้ว
เธอพยักหน้าเอ่ยว่า: “ฉันจะไปดูสักหน่อยแล้วก็กลับ”
นาทีนี้เอง อยู่ ๆ เธอเก็เหมือนอยากกลับบ้าน อยากเข้าสู่อ้อมกอดญาติ ๆ แต่ก็กังวลว่าญาติ ๆ จะไม่ชอบเด็กผู้หญิงอย่างเธอ
พอเรือน้อยถึงฝั่ง ฉินเทียนก็บอกกับเถียหนิงซวงให้สตาร์ทรถ ขับไปตระกูลลิ