เว่ยจวินมั่วมองคนที่ม้วนตัวเองอยู่ในผ้าห่มราวกับรังไหมแล้วจึงพ่นลมหายใจออกมา “ออกมา ไม่รู้สึกหายใจไม่ออกหรืออย่างไร”
ขุนนางที่กบฏต่อราชสำนักคนแรกถูกกำจัดแล้วย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดี ศีรษะของหลินเซี่ยถูกแขวนไว้บนหอสูงริมฝั่งแม่น้ำ ถ้าฝั่งตรงข้ามสายตาดีหน่อยก็คงมองเห็นว่าศีรษะของหลินเซี่ยได้ไม่ยาก ส่วนทางกองกำลังของราชสำนักย่อมมีขวัญกำลังใจเพิ่มพูนขึ้นมาโดยธรรมชาติ หนานกงไหวจึงถือโอกาสนี้เคลื่อนทัพบุกเข้าโจมตี
หนานกงมั่วที่มีฝังและเวยติดตามมาด้วยกำลังยืนอยู่บนเนินเขาห่างออกไปไม่ไกลจากสนามรบมากนัก แม้จะยอมให้นางอยู่กับกองทัพต่อ แต่หนานกงไหวย่อมไม่มีทางปล่อยบุตรีเข้าสู่สนามรบเป็นแน่ ตั้งแต่หนานกงมั่วกลับมาก็มีฝังและเวยคอยติดตามไปด้วยทุกย่างก้าว เพราะเกรงว่าคุณหนูใหญ่ผู้นี้จะสะบัดพวกเขาทิ้งไปอีกครั้ง หากเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็คงทำได้เพียงละอายอยู่ในใจและสังหารตัวเองทิ้งไปเสีย
แต่เมื่อนึกถึงวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ของหนานกงมั่ว ฝังก็ทำได้เพียงถอนหายใจ
มองสนามรบที่กำลังยุ่งเหยิงชุลมุน หนานกงมั่วเหลือบตามองฝังที่กำลังยืนมองตนเองอยู่ เอ่ยถามออกมาอย่างอดไม่ได้ “มีสิ่งใดแปลกไปงั้นหรือ”
ฝังส่ายหน้า “ไม่มีขอรับ ข้าเพียงรู้สึก…นับถือคุณหนูมาก”
หนานกงมั่วยิ้มจนตาหยี “เจ้าวางใจได้ ข้ารับรองว่าต่อไปจะพยายามไม่ทำเรื่องเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้น…เรื่องนี้เดี๋ยวเจ้าก็จะเข้าใจ ความจริงไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงข้ามากนัก” ฝังยิ้มขมขื่น “ข้าไม่เป็นห่วงก็พอแล้วหรือขอรับ” ที่สำคัญก็คือ คุณชายจะเป็นห่วงน่ะสิ
เดิมทีคิดว่าคุณชายจะเย็นชาไปตลอดชั่วชีวิต ไม่คิดว่าเมื่อมีคนที่สนใจแล้วความจริงก็เหมือนกับชายหนุ่มทั่วไป แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ด้อยไปกว่าตนเองเลย ทว่ากลับรู้สึกกังวลอย่างห้ามมิได้ ตลอดระยะเวลาที่อยู่ในกองทัพ ฝังสัมผัสได้ถึงคลื่นความรู้สึกของคุณชาย แม้มองภายนอกจะยังคงดูเฉยชาไร้ความรู้สึก ทว่ากลับมีความกดดันแผ่ออกมา ทำให้คนที่ต้องเผชิญหน้ากับเขายอมเดินอ้อมเพื่อหลีกหนีไป
หนานกงมั่วเองก็นึกถึงใครบางคนผู้นั้น นางมิได้รู้สึกอึดอัดต่อความใส่ใจของเขาเลย กลับกันมันทำให้นางรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ บนโลกใบนี้นอกจากอาจารย์ อาจารย์อา และศิษย์พี่แล้ว ยังไม่เคยมีใครเป็นห่วงความปลอดภัยของนางถึงเพียงนี้ เพียงแต่…จะไม่วางใจนางไปตลอดเช่นนี้เห็นคงจะมิได้ นางย่อมไม่ต้องการเดินไปทางไหนก็มีสองคนนี้เดินตามไปเป็นพรวน
หลังจากคำนวณอยู่ในใจ หนานกงมั่วก็ดึงสายตากลับมายังสนามรบ ไม่พูดไม่ได้เลยว่าการศึกครั้งนี้กองทัพของราชสำนักไม่ได้มีข้อได้เปรียบมากมายอันใด ทหารของจังติ้งฟังล้วนเป็นคนพื้นที่หูก่วง ส่วนใหญ่เติบโตมากับแม่น้ำจึงเชี่ยวชาญการรบทางน้ำ ทว่าทหารของราชสำนักนั้นมาจากที่อื่น แม้ส่วนหนึ่งจะเป็นกองทัพเรือทว่าย่อมไม่มีความคุ้นชินเท่ากับคนที่เกิดและเติบโตอยู่ที่นี่ เมื่อทหารทั้งสองฝั่งเผชิญหน้า การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด กระทั่งถึงเที่ยงวันทั้งสองฝั่งถึงได้ถอนทัพกลับไปที่ค่าย
การสู้รบครั้งนี้ สิ่งที่เหลืออยู่มิใช่เพียงแค่หายนะเท่านั้น ทว่ายังมีผู้บาดเจ็บอีกนับไม่ถ้วน หากเป็นนายทหารชั้นสูงยังนับว่าดีกว่าสักหน่อย หากเป็นทหารชนชั้นธรรมดาได้รับบาดเจ็บสาหัส อนาคตคงต้องลำบากเป็นแน่ สำหรับนายทหารที่พิการ ราชสำนักจะชดเชยให้คนละสามตำลึง หรือที่เรียกว่าเงินชดเชยครอบครัวนั่นเอง ส่วนนายทหารที่เสียชีวิตในสนามรบ จะได้รับจำนวนสามสิบตำลึง นี่ยังนับว่าอยู่ในยุคที่ยุติธรรม เจ้านายไม่เอาเปรียบลูกน้อง หากอยู่ในยุคลำบากยากเข็ญ อย่าถามถึงค่าชดเชยเลย ขอเพียงมีชีวิตรอดก็นับว่าดีแค่ไหนแล้ว และนายทหารที่ได้รับบาดเจ็บ หลังจากผ่านสงครามไปแล้วย่อมมีแต่ความยากลำบากทุกข์ยาก ดังนั้นประชาชนจึงมีประโยคหนึ่ง เหล็กดีไม่ตีเข็ม บุรุษดีไม่เป็นทหาร
การสู้รบจบลง คนที่ยุ่งที่สุดคงจะเป็นหมอประจำกองทัพ แต่ในยุคสมัยนี้หมอประจำกองทัพขาดแคลนอย่างรุนแรง การศึกครั้งนี้หนานกงไหวนำทัพทหารกว่าสองแสนนาย ทว่าหมอที่ติดตามมามีอยู่เพียงสิบห้าคนเพียงเท่านั้น ลูกศิษย์ก็มีเพียงสามสิบกว่าคน หากนายพลได้รับบาทเจ็บ แน่นอนว่าต้องรักษาผู้นำก่อน เช่นนี้จึงทำให้แพทย์ที่รักษานายทหารชั้นธรรมดามีจำนวนลดลงไปอีก วันนี้เป็นเพียงศึกเล็กๆ ทว่ากลับมีผู้ได้รับบาดเจ็บกว่าเจ็ดร้อยถึงแปดร้อยคน บรรดาหมอที่ติดตามกองทัพมาต่างพากันวิ่งวุ่น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงยามเกิดศึกใหญ่เลยว่าจะเป็นอย่างไร
หนานกงมั่วเป็นนักฆ่า แต่นางมิใช่คนใจไม้ไส้ระกำ เมื่อมองดูทหารเหล่านั้นเอนกายนอนลงกับพื้นร้องคร่ำครวญเลือดท่วมกาย ใบหน้าของหนานกงมั่วยิ่งทะมึนมากขึ้น
“คุณหนู พวกเรากลับกันก่อนเถิดขอรับ” ฝังเอ่ยเสียงเบา ความจริงเขาก็ไม่เคยเห็นภาพเหล่านี้มาก่อน ว่ากันว่าคนในยุทธภพมีวิธีทรมานคนหลากหลายวิธีนับไม่ถ้วน แต่นั่นก็เพียงคนสองคนเท่านั้น นั่นคือศัตรูของพวกเขา ทว่ายามที่มองออกไปกลับเต็มไปด้วยผู้คนบาดเจ็บมากมาย เมื่อคิดว่าพวกเขาเป็นเพื่อนของเจ้า ความรู้สึกเช่นนั้นย่อมมิใช่สิ่งสวยงามเลยจริงๆ ฝังได้แต่รู้สึกยินดีอยู่ในใจที่ผู้คนเหล่านั้นมิใช่เพื่อนของเขา พวกเขามิใช่พี่น้องในวังจื่อเซียว ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าไม่น่ามองของหนานกงมั่ว ฝังก็คิดว่านางคงรู้สึกไม่ดีอยู่ในใจจึงเอ่ยบอก
หนานกงมั่วส่ายหน้า กดเสียงต่ำ “เจ้าไปบอกซื่อจื่อที ข้าต้องการสี่สิบคนเพื่อมาช่วยงานข้า”
ฝังเลิกคิ้วสงสัย เวยที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับหมุนตัวมุ่งตรงไปยังกระโจมใหญ่ของหนานกงไหว
เวยกลับมาอย่างรวดเร็ว ด้านหลังมีนายทหารสี่สิบนายตามมาด้วย นายทหารเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่มิได้เข้าร่วมทำศึกในวันนี้ ดังนั้นร่างกายจึงสะอาดสะอ้าน พวกเขาทั้งหมดเป็นทหารภายใต้การควบคุมของเว่ยจวินมั่ว เดิมกำลังพักอยู่ในกระโจมของตน พลันถูกเรียกตัวออกมากะทันหันจึงมองไปยังหนานกงมั่วด้วยความงุนงง หนานกงมั่วเหลือบมองพวกเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉยเล็กน้อย ชี้ไปยังนายทหารบาดเจ็บที่อยู่ห่างไปไม่ไกล เอ่ยถาม “มองเห็นคนเหล่านั้นหรือยัง วันนี้คนที่บาดเจ็บอาจจะเป็นพวกเขา พรุ่งนี้บางทีอาจจะเป็นพวกเจ้าด้วย”
ทุกคนพลันรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ทุกคนที่อยู่ในสนามรบก็นับว่าเอาชีวิตมาเสี่ยงมากแล้ว ความจริงเพียงเท่านี้ก็รู้สึกขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อยแล้ว ยามนี้ยังมาได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหนานกงมั่วอีก ความโกรธพลันลุกโชนขึ้นมาในดวงตา หนานกงมั่วไม่สนใจความโกรธของพวกเขา กดเสียงต่ำ “ตอนนี้ไปช่วยพวกเขา หากหวังว่าอนาคตอยากให้มีใครมาช่วยพวกเจ้า”
ทุกคนมีท่าทีไม่ใส่ใจ การบาดเจ็บในสนามรบนับว่าตายไปแล้วเจ็ดส่วน ต่อให้พากลับมาโอกาสมีชีวิตรอดเพียงสามส่วนก็นับว่าดีแล้ว ไม่เพียงอาการสาหัส บางครั้งอาการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถพรากเอาชีวิตพวกเขาไปได้เช่นกัน
“เจ้าเป็นใครกัน ไยพวกข้าต้องเชื่อฟังเด็กเช่นเจ้าด้วย” มีคนบ่นขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ฝังใบหน้าทะมึนขึ้น ก้าวเดินขึ้นมาด้านหน้าหนึ่งก้าว หนานกงมั่วยกมือห้ามเขาเอาไว้ กระบี่สีเงินถูกชักออกมาจากฝัก ปลายแหลมของกระบี่ชี้ไปยังชายหนุ่มผู้เอ่ยคำนั้นออกมา เอ่ยถามเสียงเบา “ข้าจะถามอีกครั้ง จะไปหรือไม่”
ชายหนุ่มกำลังจะต่อต้าน ทว่ากลับมองสบดวงตาของนางโดยไม่ทันตั้งตัว รู้สึกสั่นสะท้านอยู่ในใจอย่างห้ามไม่ได้ ไม่รู้ทำไมคำพูดที่กำลังจะเอ่ยออกมากลับถูกกลืนกลับไป ชายหนุ่มด้านข้างกอดอกด้วยท่าทีเกียจคร้าน เอ่ยว่า “ไปก็ไปสิ ทุกคนอย่างมากก็แค่ลำบากสักหน่อย ใครใช้ให้นางเป็นบุตรีของท่านแม่ทัพใหญ่กันเล่า” ฐานะของหนานกงมั่วนั้นปิดไม่มิด หนานกงไหวเองก็ไม่คิดปิดบัง ยามนี้พึ่งก่อตั้งประเทศได้ไม่นาน กฎเกณฑ์หลายอย่างมิได้เคร่งครัดนัก ดังเช่นกฎข้อห้ามสตรีเข้าร่วมกองทัพ เดิมทีเพราะหนานกงไหวเคร่งครัด ไม่ชอบให้กองทัพมีสตรีจึงไม่มีสตรีติดตามมาด้วย เมื่อครั้งก่อตั้งประเทศ ฮองเฮาที่จากไปแล้ว องค์หญิงฉังผิง ฮูหยินของจวิ้นอ๋องหลายคน ล้วนแล้วแต่เคยอยู่ในสนามรบกันทั้งนั้น