“ถ้าท่านทำได้” เว่ยจวินมั่วเอ่ย
คุณชายเสียนเกอส่งเสียงหึเบาๆ จากนั้นเบี่ยงหน้าหนีไป ให้เขาวางยาเว่ยจวินมั่วนั่นย่อมมิใช่ปัญหา แต่เว่ยจวินมั่วอาจฆ่าเขาตายก่อนที่เขาจะทันได้วางยาก็ได้ ยาพิษที่ตายในทันทีนั้นมีไม่มาก และยังไม่ใช่จะวางยาได้ง่ายๆ ส่วนใหญ่แล้วต้องกินเข้าไป หากเขาทำให้เว่ยจวินมั่วกินได้ เช่นนั้นเขาก็คงสู้กับเว่ยจวินมั่วได้โดยไม่จำเป็นต้องวางยาแล้ว
หนานกงมั่วหันกลับมามองทั้งสองคน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ความจริง ข้าไปเองก็ได้นะ” หรือว่าพวกเขาลืมแล้วว่านางกับเสียนเกอเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกัน
เสียนเกอจ้องนางเขม็ง ส่งเสียงหยัน “เจ้าอยู่นิ่งๆ เสีย” เพียงแค่ก้าวเท้าเดิน คุณชายเสียนเกอในอาภรณ์สีขาวราวกับกำลังล่องลอยออกไป ช่างดูมีความเป็นเซียนมากทีเดียว
“คุณชายเสียนเกอสมแล้วที่เป็นชายรูปงามอันดับหนึ่งในยุทธภพ…เพียงแต่จิตใจ…เอ่อ…” นิสัยแย่ไปเสียหน่อย ฝังอดถอนหายใจไม่ได้
หนานกงมั่วมองเขาเล็กน้อย เอ่ยเตือน “ศิษย์พี่คิดว่าตนเองนั้นเป็นสุภาพบุรุษผู้งามสง่า เป็นหมอที่คอยช่วยเหลือประชาชน มีจิตใจงดงามเข้าใจถึงจรรยาบรรณแพทย์ แต่อย่าได้ไปวิจารณ์นิสัยเขาต่อหน้าเขาเชียว”
นั่นคือการวิจารณ์หรือ นั่นคือความจริงต่างหากเล่า มิใช่เพราะพวกท่านมัวแต่เอาอกเอาใจเขา จนเขาเข้าใจผิดคิดว่าตนเองนั้นเป็นคนดีหรือไง
“หญ้าบนหลุมศพของคนล่าสุดที่บอกว่าศิษย์พี่ใจคอโหดเหี้ยมตอนนี้โตสูงกว่าคนแล้ว” หนานกงมั่วเอ่ยบอกเสียงเรียบ
ฝังหดลำคอ ยิ้มออกมา “วิชาแพทย์ของคุณชายเสียนเกอเก่งกาจดุจดั่งเทพเซียน ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วหล้า แน่นอนว่าดีเป็นที่สุดแล้วขอรับ”
ดังนั้น เจ้าจึงต้องชื่นชมเขาหรือ เป็นการกระทำที่ดีเช่นนั้นหรือ
“เวย เจ้าคิดเช่นไร” ฝังมองไปที่เวยอย่างคาดหวัง
เวยหันกลับมามองเขาเงียบๆ “ข้าไม่ได้โง่” เขาเพียงไม่ชอบพูด แต่มิใช่คนโง่เขลา
ดังนั้น เมื่อชีวิตต้องเผชิญกับภัยอันตราย คนที่มั่นคงและซื่อตรงยังต้องจำยอมละทิ้งหลักการบางอย่าง
ในมหาวิหาร กงอวี้เฉินนั่งอยู่ในมหาวิหารเงียบๆ ไม่รู้กำลังคิดสิ่งใดอยู่ เมื่อเขาไม่เอ่ยวาจา คนอื่นๆ ในวิหารเองก็ไม่กล้า ทำเพียงเคลื่อนย้ายศพออกไปจากมหาวิหารที่เจิ่งนองไปด้วยเลือด ด้านหลังกงอวี้เฉินมีพระพุทธรูปองค์หนึ่งที่ดูมีเมตตากำลังมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าเงียบๆ
“เจ้าสำนัก มีคนสารภาพแล้วขอรับ” ลูกศิษย์หอธาราวิ่งเข้ามารายงาน
ได้ยินดังนั้น กงอวี้เฉินจึงเงยหน้าขึ้น จินผิงอี้ที่นั่งอยู่อีกฝั่งดวงตาวาวขึ้นทันใด
แม้เจ้าอาวาสจะยอมตาย แต่มิใช่ทุกคนจะยอมทนต่อการบีบบังคับอันแสนโหดร้าย ลูกศิษย์คนหนึ่งของเจ้าอาวาสทนไม่ไหวจึงยอมบอกทุกสิ่งทุกอย่าง “ตามที่ลูกศิษย์คนนั้นบอก หลายปีมานี้จังติ้งฟังมาที่วัดเป็นระยะ ทิ้งห่างไปเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ทุกครั้งที่มาล้วนมานั่งฟังเจ้าอาวาสบรรยายธรรมอยู่ในมหาวิหาร เวลานั้น…ลูกศิษย์ทุกคนในวัดห้ามเข้ามาใกล้ อีกทั้ง หลังจากที่จังติ้งฟังก่อกบฏ หลายครั้งที่เจ้าอาวาสต้อนรับแขกปริศนาที่มายังมหาวิหารกลางดึก และย่อมเป็นเช่นเดียวกันคือเวลานั้นจะไม่มีลูกศิษย์คอยติดตาม”
กงอวี้เฉินคิดตาม เนิ่นนานจึงเอ่ย “ดังนั้น…สมบัติจึงอยู่ในมหาวิหารงั้นหรือ”
ทุกคนมองสำรวจมหาวิหาร มองหาสิ่งที่น่าจะเป็นกลไกได้ ทว่าค้นหาแทบพลิกมหาวิหารแล้วยังไม่พบแม้แต่ร่องรอย กงอวี้เฉินหันกลับมามองพระพุทธรูปที่อยู่ด้านหลังเนิ่นนาน พลันเอ่ยขึ้น “ถอยออกไป”
ทุกคนก้าวถอยห่างออกไป เห็นกงอวี้เฉินลุกขึ้น เดินเข้าไปใกล้องค์พระพุทธรูปพลางยกมือขึ้นไปสัมผัสสองสามครั้ง ท่าทางเช่นนี้ทำให้ทุกคนตกใจไม่น้อย ในยุคสมัยนี้ไม่ว่าใครต่างก็ให้ความเคารพต่อองค์พระพุทธรูป ดังนั้นจึงไม่มีใครเข้ามาใกล้พระพุทธรูปทองคำองค์นี้
ขณะที่ทุกคนไม่เข้าใจอยู่นั้นเอง จินผิงอี้กลับเข้าใจแจ่มแจ้งกระจ่างชัด ฝ่ามือนั้นของกงอวี้เฉินคล้ายจะไม่มีอะไร ทว่ากลับพยายามผลักองค์พระพุทธรูปไปทุกทิศทาง พระพุทธรูปองค์นั้นแม้ไม่ได้ทำจากทองคำบริสุทธิ์ ทว่าก็เป็นรูปปั้นทองสำริด สูงกว่าความสูงของผู้ใหญ่มากกว่าครึ่ง น้ำหนักไม่ต้องบอกก็รู้ได้ หากมิใช่เพราะกงอวี้เฉินมีพละกำลังแข็งแกร่ง เกรงว่าบุรุษทั่วไปเพียงแค่ผลักก็ใช่ว่าจะผลักออกได้
ภายใต้แรงผลักของกงอวี้เฉิน พระพุทธรูปค่อยๆ เคลื่อนออกจากตำแหน่งเดิมเผยให้เห็นฐานพระประธานด้านล่าง กงอวี้เฉินยกเท้าขึ้นเหยียบสองครั้ง มุมปากขยับเป็นรอยยิ้มกว้าง ด้านล่างนั้นมีช่องว่างอยู่
“เปิดออก”
ลูกศิษย์ของเจ้าสำนักทั้งสองเดินขึ้นไป ไม่นานก็ขยับแผ่นหินออกไปได้ เผยให้เห็นถ้ำมืดด้านล่าง
“เข้าไปดู”
“ขอรับ” ลูกศิษย์สองคนกระโดดลงไป ไม่นานด้านในก็มีเสียงตื่นเต้นดีใจดังขึ้น สมบัติอยู่ในนี้จริงด้วย เพราะต้องขนสมบัติพวกนี้ออกไปบ่อยครั้ง จึงไม่มีการสร้างค่ายกลเอาไว้แต่อย่างใด
“ในเมื่อหาเจอแล้ว…จังติ้งฟังก็ไม่มีประโยชน์แล้ว” กงอวี้เฉินสะบัดมือเช็ดฝุ่นที่ไม่มีอยู่จริงบนเสื้อผ้าของเขาด้วยท่วงท่าสง่างาม ออกคำสั่ง “ให้คนลงมือเถิด เจ้าสำนักจิน ท่านเองก็สามารถไปรับช่วงต่อในสิ่งที่ท่านต้องการได้แล้ว” จินผิงอี้มองเขาพลางเอ่ย “เจ้าสำนักมั่นใจได้เช่นไรว่าหากข้ารับช่วงอำนาจในหูก่วงต่อแล้วราชสำนักจะไม่สนใจ”
กงอวี้เฉินยิ้ม “ท่านวางใจ ยามนี้ราชสำนักไม่มีเวลาว่างมาจัดการท่านหรอก ไม่เพียงราชสำนัก แม้แต่ยุทธภพก็ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับท่าน การร่วมมือครั้งนี้ เจ้าสำนักจินมิได้เสียเปรียบมิใช่หรือ ดังนั้น…ค่ายทหารด้านล่าง คงต้องรบกวนเจ้าสำนักจินช่วยจัดการแล้ว”
จินผิงอี้ขมวดคิ้ว เอ่ยถาม “ทหารหลายหมื่นในจิ่นโจว จัดการได้ง่ายเพียงนั้นเลยหรือ”
กงอวี้เฉินเอ่ย “อีกไม่นานก็ไม่มีแล้ว เจ้าสำนักจินไปเถิด”
แม้จินผิงอี้จะมีความโลภต่อสมบัติของกษัตริย์ฮั่นอยู่บ้าง แต่เขายังมีสติปัญญาดีอยู่ เดิมเขาก็ไม่ขาดเงิน ยิ่งไปกว่านั้นเขารู้ดีว่ามิอาจสู้กงอวี้เฉินได้ จึงพยักหน้าตอบรับอย่างง่ายดาย จินผิงอี้เอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าต้องขอตัวลาแล้ว ยินดีกับเจ้าสำนักที่หาสมบัติจนเจอ”
ขณะจินผิงอี้หมุนตัวกำลังจะเดินออกไป ทว่าลูกศิษย์ของสำนักกลเจ็ดดาวสองคนที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูพลันล้มลง จินผิงอี้ที่สงสัยมาตลอดอยู่แล้วว่ากงอวี้เฉินอยากฆ่าปิดปากตน รีบหันหลังกลับมามองกงอวี้เฉินอย่างระแวดระวัง กลับได้เห็นสายตาของกงอวี้เฉินทะมึนขึ้นมา ดวงตาคมจ้องเขม็งไปยังประตู
มหาวิหารเงียบลง ได้ยินเสียงกงอวี้เฉินเอ่ยขึ้น “คุณชายจื่อเซียวมาแล้ว ไยต้องหลบๆซ่อนๆ ด้วยเล่า”
ด้านนอกกลับไร้ความเคลื่อนไหวดูนิ่งสงบ จินผิงอี้มองออกไปด้านนอกด้วยท่าทีประหลาดใจ เนิ่นนานพลันเห็นคุณชายในอาภรณ์สีขาวดุจหิมะปรากฏตัวขึ้น เดินเข้ามาด้วยท่วงท่าสง่างาม ดวงตาของจินผิงอี้หรี่ลงเล็กน้อย นี่คือคุณชายจื่อเซียวหรือ แม้ในยุทธภพจะมีคนที่เคยเจอคุณชายจื่อเซียวน้อยมาก แต่ข่าวลือว่าเพลงดาบของคุณชายจื่อเซียวนั้นไม่ธรรมดา จินผิงอี้จ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อ ดูแล้ว…วรยุทธ์ไม่น่าสูงไปกว่าเขา
กงอวี้เฉินเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณชายเสียนเกอมาถึงที่นี่ เพื่ออันใดหรือ”
เสียนเกอช้อนสายตาขึ้น จ้องมองทั้งสองเรียบนิ่ง ชี้ไปที่พระพุทธรูปด้านหลัง “มาวัดแน่นอนย่อมต้องมาไหว้พระสิ ทั้งสองท่านนี้คือ…”
“ที่แท้เป็นคุณชายเสียนเกอ” จินผิงอี้รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างเล็กน้อย เอ่ยถาม “คุณชายเสียนเกอท่องไปทั่วยุทธภพ ไยจึงอยากเข้ามาเล่นน้ำโคลนกันเล่า” เสียนเกอเบื่อหน่าย เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “ขาดเงิน”