อีกด้านในจินหลิง ในจวนของตระกูลจู ห้องที่เงียบสงบมีเพียงเปลวเทียนพริ้วไหว ทำให้ห้องทั้งห้องตกต้องอยู่ในความเงียบ จูชูอวี้นั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ข้างเตียง ดวงตาเย็นยะเยือกมองไปยังชายที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง เอ่ยเสียงเข้ม “เจ้ามาทำไม” ชายหนุ่มก้มลง หัวเราะเบาๆ น้ำเสียงเพิ่มเสน่ห์เย้ายวนมากขึ้นในยามราตรี “ทำไม เสี่ยวอวี้เอ๋อร์ไม่ต้อนรับข้าหรือ”
จูชูอวี้ยืดตัวขึ้น ยิ้มเย็น “ต้อนรับหรือ เจ้าตกลงจะช่วยข้า ตอนนี้เล่า อีกหนึ่งเดือนคุณหนูใหญ่หนานกงก็จะแต่งงานกับเว่ยซื่อจื่อแล้ว และตอนนี้นางยังถูกแต่งตั้งให้เป็นถึงจวิ้นจู่ นี่หรือที่เจ้าช่วย ไม่มีความสามารถก็ไม่ต้องมาพูด จะได้ไม่เป็นที่ขบขัน”
ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมา หน้ากากอันน่าสะพรึงกลัวปรากฏเลือนรางภายใต้แสงเทียน ดวงตาภายใต้หน้ากากจมลึก ชายผู้นั้นไม่โกรธทว่ากลับหัวเราะออกมา “อวี้เอ๋อร์รีบร้อนหรือ เว่ยจวินมั่วผู้นั้น…สำคัญจริงๆ หรือ หรือว่า ข้าสู้เว่ยจวินมั่วไม่ได้เลยหรือ”
จูชูอวี้ยังคงนิ่ง เอ่ยเสียงเรียบ “นั่นมันแน่แท้อยู่แล้ว หรือว่าเจ้าก็เป็นว่าที่จวิ้นอ๋องกันล่ะ เจ้ามีมารดาเป็นองค์หญิง และมีลุงทั้งสองเป็นอ๋องด้วยหรือไม่”
ชายหนุ่ม…กงอวี้เฉินส่งเสียงหยัน ชั่วพริบตาพลันมาอยู่ตรงหน้าจูชูอวี้ ยกมือขึ้นบีบปลายคางสวยของจูชูอวี้แน่น เอ่ยเสียงเย็น “อย่าทำให้ข้าต้องโมโห”
มือที่ถูกซ่อนอยู่ภายใต้แขนเสื้อกำหมัดแน่น ดวงตามีความหงุดหงิดพาดผ่าน ยอดฝีมือที่นางเตรียมเอาไว้รับมือโดยเฉพาะ ไม่รับรู้ถึงการมาของชายผู้นี้เสียด้วยซ้ำ ไร้ประโยชน์สิ้นดี
กงอวี้เฉินมองหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ ยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าสวยเบาๆ เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “รีบไปไยเล่า ข้ารู้ว่าเจ้าอยากแต่งงานกับเว่ยจวินมั่ว…แม้จะไม่รู้ว่าเว่ยจวินมั่วมีสิ่งใดดึงดูดคนได้ดีนัก แต่ในเมื่อเป็นความต้องการของอวี้เอ๋อร์ ข้าย่อมทำให้เจ้าสมหวังได้เป็นแน่ เพียงแต่…ข้าอยากจะเตือนเจ้า เว่ยจวินมั่วเจ้าเด็กคนนั้น…ระวังจะโดนเล่นจนไม่เหลือแม้แต่เถ้ากระดูก”
จูชูอวี้ยกมือขึ้นปัดมือของเขาออก ยิ้มเย็น “อย่ามาพูดให้น่าฟังนักเลย เพราะเจ้าเองก็อยากได้หนานกงมั่วมิใช่หรือ เว่ยซื่อจื่อจะดีหรือไม่ข้าไม่สน ข้ารู้เพียงว่าตระกูลจูต้องผูกสัมพันธ์กับจวนจิ้งเจียงจวิ้นอ๋อง”
“น่าเสียดาย…หากเจ้าเป็นบุรุษ…” กงอวี้เฉินถอนหายใจ ความทะเยอทะยานเช่นนี้ หากนางเป็นบุรุษก็คงเป็นผู้ช่วยที่ดีได้ เพียงแต่น่าเสียดาย…นางเป็นสตรี กงอวี้เฉินมิได้คิดดูถูกสตรี แต่ไม่จำเป็นต้องสงสัยเลย เขาย่อมดูถูกสตรีส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ หนึ่งในนั้นก็รวมไปถึงหญิงสาวฉลาดหลักแหลมผู้มีความทะเยอทะยานตรงหน้าผู้นี้ด้วย
“เจ้าว่ามา มีแผนการอันใด” จูชูอวี้เอ่ยถาม
กงอวี้เฉินยิ้ม “แน่นอนว่าจะต้องทำให้พวกเขาแต่งงานกันไม่สำเร็จ ส่วนเว่ยจวินมั่วจะแต่งกับเจ้าหรือไม่นั่นไม่ใช่กงการอันใดของข้า อย่างไรเสีย…เจ้าคงไม่คาดหวังให้ข้าส่งเขาจนถึงเตียงเจ้าหรอกใช่หรือไม่”
จูชูอวี้ใบหน้าเรียบนิ่ง จ้องกงอวี้เฉินเขม็ง กัดฟันเอ่ย “ขอบคุณที่เจ้าเป็นห่วงแล้วกัน”
“อีกสองวัน งานเลี้ยงคล้ายวันประสูติของพระชายารัชทายาทถือว่าเป็นโอกาสสำคัญ” กงอวี้เฉินเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน “ต้องทำเช่นไร คงต้องดูความสามารถของอวี้เอ๋อร์แล้ว”
“อย่ามาเรียกข้าว่าอวี้เอ๋อร์” จูชูอวี้มองใบหน้าเขาด้วยความรังเกียจ นางไม่ต้องการร่วมมือกับคนตรงหน้าเลยสักนิด แต่ว่า…คนผู้นี้ลึกลับซับซ้อนจนนางเองก็มิอาจทำสิ่งใดได้ นี่ทำให้นางรู้สึกไม่ดี รู้สึกราวกับว่ากำลังมีบางอย่างเริ่มควบคุมไม่ได้ และสิ่งที่นางเกลียดที่สุดคือสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ ต้องมีสักวันที่…
“อย่าคิดร้ายเลย ยาหยี” เสียงของกงอวี้เฉินเย็นเนิบนาบ “เดี๋ยวข้าจะไม่ทันระวัง และคิดกำจัดเจ้าเอาได้ หากเจ้าไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร ข้าจะเตือนเจ้าสักหน่อย…หนานกงมั่วเป็นบุตรีอันเป็นที่รักยิ่งของหนานกงไหว สินเจ้าสาวของนางสามารถซื้อเมืองจินหลิงได้ไปกว่าครึ่งเมือง พี่ชายสองคนของนางล้วนเป็นพี่ชายร่วมสายเลือดบิดามารดาเดียวกัน โลกใบนี้…คนที่ต้องการแต่งกับหนานกงมั่วมีมากมาย น่าเสียดายถูกเว่ยจวินมั่วช่วงชิงไปเสียแล้ว”
“รวมถึงเจ้าด้วยหรือไม่” แม้เข้าใจความหมายของกงอวี้เฉิน จูชูอวี้ยังอดไม่ได้ที่จะเสียดสีเขาสักประโยค “น่าเสียดาย หนานกงไหวไม่มีทางยกบุตรีให้แต่งกับจอมยุทธ์ผู้ไร้หัวนอนปลายเท้าอย่างแน่นอน”
เพียะ! ฝ่ามือสะบัดเข้าที่ใบหน้าของจูชูอวี้โดยไร้ความปรานี เสียงดังชัดเจนท่านกลางความเงียบยามค่ำคืน จูชูอวี้ทรุดลงบนพื้นตามแรงตบ เงยหน้าขึ้นมามองกงอวี้เฉินที่กำลังจ้องมองตนเองอยู่ ดวงตาคมภายใต้หน้ากากมองไม่ออกถึงความรู้สึกใดๆ “ข้าเคยบอกแล้ว อย่าทำให้ข้าต้องโกรธ” จูชูอวี้ยกมือกุมใบหน้าไม่เอ่ยตอบอันใด กงอวี้เฉินยิ้มหยัน ยกมือตบลงบนใบหน้าของนางเบาๆ “เชื่อฟังคำของข้า แล้วเจ้าจะได้ในสิ่งที่ต้องการ”
มองร่างของกงอวี้เฉินที่หายลับไปกับความมืดนอกหน้าต่าง ดวงตาของจูชูอวี้แสดงความเกลียดชังออกมา “ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่ เด็กๆ”
ไม่นานสาวใช้ทั้งสองจึงเดินนำองครักษ์สองคนเข้ามา มองเห็นสภาพของจูชูอวี้พลันตกตะลึงขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ สาวใช้รีบเข้าไปประคอง เอ่ยถาม “คุณหนู ท่าน…”
จูชูอวี้มององครักษ์ทั้งสอง เอ่ยถาม “พวกเจ้าเห็นใครหรือไม่”
องครักษ์ทั้งสองมองสบตากัน ส่ายหน้าเอ่ยตอบ “ข้าน้อยหลบอยู่ในมุมมืดตลอด ทว่าไม่เห็นใครเข้ามาเลยขอรับ”
ไร้ความสามารถ จูชูอวี้มีโทสะเกิดขึ้นในใจทว่าไม่นานก็สงบลง เอ่ย “ไม่เป็นไร ออกไปเถิด”
“ขอรับ ข้าน้อยขอตัวลา” องครักษ์ทั้งสองถอยออกไปด้วยท่าทางนอบน้อม สาวใช้ทั้งสองมองคุณหนูของตนด้วยความเป็นห่วง “คุณหนู…บ่าวทายาให้ดีหรือไม่เจ้าคะ”
จูชูอวี้พยักหน้าตอบรับเงียบๆ ยอมให้สาวใช้ทั้งสองทายาให้ตน เอ่ยเสียงเรียบ “มีคำสั่งลงไป ให้คนหายอดฝีมือมา จำเอาไว้ ข้าต้องการยอดฝีมือจริงๆ ไม่ใช่พวกไร้ประโยชน์พวกนั้น
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
ในจวนเย่ว์จวิ้นอ๋อง ความสุขในยามเช้า หยวนซื่อนั่งอยู่ในศาลาดอกไม้รอบรรดาอนุมาถวายพระพร แม้เซียวเชียนเยี่ยยังหนุ่ม ทว่าอนุภรรยาในจวนกลับมีไม่น้อย นอกจากหยวนซื่อที่เป็นภรรยาเอกแล้ว ยังมีชายารองหนึ่งคนและอนุอีกกว่าห้าหกคน หนานกงซูเข้ามาอยู่ในจวนได้สองวัน เป็นคนใหญ่คนโตที่ดูมีสีสันอีกทั้งยังมีหนานกงไหวเป็นบิดา แน่นอนว่าย่อมได้รับความโปรดปราน เซียวเชียนเยี่ยอยู่ที่เรือนซินติดต่อกันกว่าสามวันแล้ว แต่ชีวิตของหนานกงซูกลับมิได้ดีเท่าใดนัก ทุกวันตอนเช้าฟ้ายังไม่สางก็ต้องไปถวายพระพรพระชายา หากโชคดีหน่อยก็รอเพียงชั่วครู่ โชคร้ายหน่อยรอไปเป็นชั่วยามก็ยังไม่ได้เข้าถวายพระพร เพราะตอนนี้พระชายามีครรภ์ เวลาพักผ่อนจึงไม่แน่นอน
นอกจากนี้ ยังเป็นเพราะฐานาฃะของนาง บรรดาอนุทั้งจวนจึงตั้งตัวเป็นศัตรูและดูถูกนาง แม้ตอนนี้นางจะเป็นเชื้อสายรองที่มีหนานกงไหวเป็นโล่กำบัง ใครจะรู้ว่านางดันมาปีนข้ามหัวพวกตนไปอยู่แถวหน้า และวิธีที่คนพวกนั้นเอามาใช้เย้ยหยันนางคือชื่นชมหนานกงมั่ว ทุกครั้งที่ได้นั่งพูดคุยกันล้วนคุยถึงหนานกงมั่วเช่นนั้นเช่นนี้ ฟังจนใบหน้าของหนานกงซูเขียวคล้ำทว่าตอบโต้กลับไม่ได้ ดังนั้นทุกคนจึงสนุกสนานไม่หยุดไม่หย่อน
อีกด้าน ในเรื่องอาหารการกินเทียบกับจวนฉู่กั๋วกงไม่ได้เลยสักนิด แม้หนานกงซูมักบอกว่าหนานกงไหวลำเอียงเข้าข้างหนานกงมั่ว แต่ความเป็นจริงแล้วชีวิตในแต่ละวันของหนานกงซูก็คือการใช้เวลาอยู่กับบรรดาคุณหนูทั่วทั้งเมืองหลวง นั่นนับว่าสูงส่งแล้ว เดิมหญิงสาวในห้องหอต้องได้รับการสั่งสอน ออกเรือนไปแล้วยังต้องช่วยจวนประหยัด และการมาเป็นอนุนั้นยิ่งไม่สามารถเทียบได้กับเมื่อครั้งอยู่บ้าน อาหารในแต่ละวันถูกจัดตามกฎของอนุ หยวนซื่อไม่ใส่ใจว่านางจะกินไปเท่าใด และไม่คิดให้สิ่งใดเพิ่มเพราะเห็นแก่ฐานะของนาง ไหนเลยหนานกงซูจะยอมรับความลำบากเช่นนี้ได้ วันแรกต้องหิวไปทั้งวันเพราะอาหารไม่ถูกปาก สุดท้ายนั่งร้องไห้ไปครึ่งวันแต่ก็มิอาจทำอันใดได้อยู่ดี สามวันมานี้ นางจึงซูบผอมลงไม่น้อย ไหนเลยจะมีสีสันและความสุขแบบคู่ข้าวใหม่ปลามัน