ตอนที่ 431 ความคิดแหวกแนวข้ามกาลเวลา (3)
คุณชายเสียนเกอปรายตามองนางอย่างไม่พอใจ เอ่ย “ศิษย์พี่ไม่รู้มาก่อนเลย…ว่าเจ้าแต่งเรื่องเก่งเพียงนี้ นั่นอันใดนะ หมอกไข้ใจ กลับไปเอาให้ข้าดูบ้างว่ามันเป็นเยี่ยงไร”
หนานกงมั่วยิ้มแห้ง หมอกไข้ใจอะไรแน่นอนว่ามันไม่มีอยู่แล้ว อย่าว่าแต่ไม่มียาที่ให้ผลแปลกประหลาดเช่นนั้นเลย ต่อให้มีหนานกงมั่วจะเอามันติดตัวออกมาได้เยี่ยงไร เพียงแต่ยิ่งนางเอ่ยอย่างละเอียด เซียวฉุนยิ่งไม่กล้าไม่เชื่อ อาศัยหลักการที่หญิงสาวเอ่ยมานี้ ต่อให้โกหกใครก็ยากที่จะโกหกเรื่องประสิทธิภาพของยาออกมาได้แหวกแนวเช่นนี้ ดังนั้น ครั้งนี้หนานกงมั่วจึงอาศัยแนวคิดแหวกแนวข้ามกาลเวลาเอาชนะคนพวกนี้
“คุณชายเสียนเกอหรือ” เซียวฉุนย่นคิ้ว “มีเจ้าเพียงคนเดียวหรือ เว่ยจวินมั่วไม่อยู่หรือ” เซียวฉุนอารมณ์ไม่ดี คาดไม่ถึงว่าคนที่ตนเองส่งไปจัดการเว่ยจวินมั่วและคุณชายเสียนเกอจะขัดขวางพวกเขาเอาไว้ไม่ได้ และยังทำให้พวกเขารีบกลับมาในเวลานี้ ช่างไร้ประโยชน์เสียจริง
“ผิงชวนจวิ้นอ๋องกำลังหาข้าอยู่หรือ” เสียงเยือกเย็นของเว่ยจวินมั่วดังขึ้นด้านหลังเซียวฉุน เซียวฉุนขนลุกซู่รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วสรรพางค์กาย รีบหันกลับไป “สังหารเขา”
เงาหนึ่งพุ่งเข้ามาหาเซียวฉุนราวกับสายฟ้า องครักษ์ของเซียวฉุนไม่ทันได้ยกดาบขึ้นมาก็ถูกถีบไกลออกไปคนละฝั่ง เว่ยจวินมั่วยกมือเดียวขึ้นบีบคอของเซียวฉุน พาเขามาอยู่ตรงหน้าของหนานกงมั่ว สถานการณ์เปลี่ยนแปลงฉับพลันทำให้ทุกคนรับมือไม่ทัน เซียวเชียนเยี่ยนิ่งอึ้ง สายตามองไปยังเว่ยจวินมั่วที่โผล่มากะทันหันด้วยความสับสน
“จวินมั่ว เจ้าอย่าวู่วาม เขาเป็นน้องของเสด็จปู่” มองเซียวฉุนที่กำลังจะตายเพราะโดนเว่ยจวินมั่วบีบคอ เซียวเชียนเยี่ยรีบเอ่ย
ใบหน้าของเว่ยจวินมั่วเย็นยะเยือกไม่มีความอบอุ่นอ่อนโยนแม้แต่น้อย มองเซียวฉุนที่กำลังดิ้นรนแทบจะเป็นลมอยู่ในมือตนเองจึงค่อยๆ คลายมือ เซียวฉุนหายใจอย่างยากลำบาก พร้อมจ้องเขม็งไปยังเว่ยจวินมั่ว หัวเราะพลางเอ่ย “ข้า…ข้าไม่เชื่อ ว่าเจ้ากล้า…กล้าสังหารข้า”
ดวงตาสีม่วงฉายแววสังหาร มือสวยราวกับหยกแตะที่แขนของเขาเบาๆ ใบหน้าเย็นชาเมื่อครู่จึงมีความอ่อนโยนมากขึ้น
หนานกงมั่วยื่นมือไปตบเบาๆ ลงที่แขนของเว่ยจวินมั่ว หันไปยิ้มบางๆ ให้เซียวฉุน “ท่านอ๋อง แน่นอนพวกข้าไม่จำเป็นต้องสังหารพระองค์ เพียงส่งพระองค์ให้ฝ่าบาทจัดการ ไม่แน่ว่าอาจจะให้รางวัลแก่จวินมั่วก็เป็นได้ ท่านว่าใช่หรือไม่”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวฉุนค่อยๆ เลือนหาย เอ่ยเสียงเย็น “วันนี้ข้าเดินหมากผิด พวกเจ้าคิดจะเอาอย่างไร”
หนานกงมั่วเอ่ย “ท่านอ๋องมีคนมากมายเพียงนี้ หากปล่อยท่านอ๋องไปเช่นนี้ พวกเราจะอยู่ที่เมืองเล็กๆ แห่งนี้ก็คงยากลำบาก ท่านอ๋องคิดว่าควรทำเช่นไรเล่า”
เว่ยจวินมั่วโยนเซียวฉุนออกไป เซียวฉุนยังไม่ทันได้ลุกขึ้นมาก็ถูกฝังและหลิ่วที่อยู่ด้านข้างชักดาบออกมาจี้ลำคอเขาเอาไว้ เว่ยจวินมั่วก้มหน้าลงมามองหนานกงมั่ว เอ่ยเสียงเบา “ไม่ต้องไปต่อรองกับเขา กองกำลังของจ้าวเฟยมาถึงแล้ว”
“เอ๋” หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “ท่านให้เขานำกำลังทหารมาหรือ”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้าเบาๆ ในเมื่อรู้แล้วว่าเรื่องบนเขาลั่วหยางไม่ใช่ฝีมือของเซียวเชียนเยี่ยเพียงลำพัง ในเมื่อมีความสงสัยต่อเซียวฉุน ก่อนขึ้นเขาเว่ยจวินมั่วจึงได้ส่งข่าวให้กองทัพที่อยู่ใกล้ที่สุดเคลื่อนพลมาสนับสนุนแล้ว ระหว่างที่ทั้งสองกำลังพูดคุย ด้านนอกพลันมีเสียงแหลมดังขึ้น จากนั้นมองเห็นประกายสีแดงพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า กลายเป็นดอกไม้งดงาม นั่นเป็นสัญญาณที่กองทัพใช้อยู่บ่อยครั้ง
ได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเซียวเชียนเยี่ยและเซียวฉุนพลันแปรเปลี่ยน ยามนี้ทหารของราชสำนักมาถึงแล้วพวกเขาไม่มีโอกาสจะชนะแล้ว แม้ว่าพวกเขาคนหนึ่งจะเป็นหวงจั่งซุน อีกคนคือน้องชายแท้ๆ ของฝ่าบาท แต่กองกำลังราชสำนักจะฟังคำสั่งของเว่ยจวินมั่วผู้ที่ถือป้ายทองอาญาสิทธิ์และกระบี่อาญาสิทธิ์เท่านั้น
เซียวฉุนเอ่ยเสียงเย็น “ไม่คิดว่าข้าจะพ่ายแพ้ให้กับเด็กสองคน ช่างเถิด เรื่องนี้ให้มันจบลงตรงนี้ พวกเจ้าปล่อยข้า ข้าจะสั่งถอนกำลัง”
คุณชายเสียนเกอลอยลงมาจากหลังคา มองไปยังเซียวฉุน เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เงื่อนไขของท่านอ๋องดูจะไม่ยุติธรรมเลยหรือไม่ ตอนนี้ดูเหมือนพวกเราจะเป็นฝ่ายได้เปรียบมิใช่หรือ”
“ศิษย์พี่ ท่านบาดเจ็บหรือ” เข้ามาใกล้แล้วจึงเห็นได้ชัด ชุดสีขาวของคุณชายเสียนเกอเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด คุณชายเสียนเกอโบกมือ “บาดแผลเล็กน้อย ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณผิงชวนจวิ้นอ๋อง” เซียวฉุนส่งเสียงเย็น “ชีวิตของข้าอยู่ในกำมือของพวกเจ้านั้นไม่ผิด แต่ว่า…พวกเจ้ากล้าสังหารข้าตอนนี้หรือไม่ เพียงข้าตาย ทหารด้านนอกจะยิงธนูเข้ามาปักกลางใจพวกเจ้าแน่ ต่อให้กองทัพของราชสำนักมาก็คงไม่ทันแล้ว นอกจากนี้ อย่างไรข้าก็ยังเป็นจวิ้นอ๋อง เว่ยจวินมั่ว สังหารข้าแล้วราคาที่เจ้าต้องจ่ายเจ้าจะรับผิดชอบไหวหรือ”
เซียวเชียนเยี่ยก้าวเดินขึ้นมาด้านหน้า เอ่ยเสียงเข้ม “จวินมั่ว เสด็จปู่ผิงชวนจวิ้นอ๋องกล่าวไม่ผิดเลย พวกเราต่างถอยกันคนละก้าวเป็นอย่างไร” เซียวเชียนเยี่ยเข้าใจ ยามนี้ตนเองนอกจากเลือกอยู่ข้างเซียวฉุนแล้วคงไม่มีทางอื่นอีก หากเกิดอันใดขึ้นกับเซียวฉุน ตนเองยิ่งจะอ่อนแอ อย่างน้อยพวกเขาก็ยังมีผลประโยชน์ร่วมกัน
เว่ยจวินมั่วหลุบตาลงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ยกเท้าขึ้นถีบเซียวฉุนไปหนึ่งครั้ง เซียวฉุนกลิ้งหมุนไปกว่าหลายตลบก่อนองครักษ์จะเข้ามาประคอง กระอักเลือดออกมาทันใด กัดฟันเอ่ย “เจ้าเด็กนี่ โหดร้ายนัก”
เว่ยจวินมั่วมองเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย “หากเจ้าคิดว่าข้าจะไม่กล้าฆ่าเจ้า จะลองดูอีกสักครั้งก็ได้ ความจริงข้าเองก็อยากรู้ หลานนอกเช่นข้ากับน้องชายเช่นเจ้า ฝ่าบาทจะเชื่อใครมากกว่า”
เซียวฉุนไม่สนใจเลือดที่กลบปาก เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยเจ้าจึงไม่ลงมือ”
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ตอนนี้ไม่ว่าง พวกเจ้าไสหัวไปเถิด”
“เจ้า!” ถูกเว่ยจวินมั่วเมินเฉยเช่นนี้ เซียวฉุนเกือบจะกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง เว่ยจวินมั่วไม่มองเซียวฉุนอีก ทว่าเงยหน้าหันกลับไปมองเซียวเชียนเยี่ย เอ่ย “เจ้า ทำตัวให้ดี”
เซียวเชียนเยี่ยหน้าซีด กัดฟันไม่เอ่ยอันใด
เซียวฉุนพาคนออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันจ้าวเฟยก็พาทหารเข้ามาในเมืองเล็กๆ เมืองลั่วสยาที่ไม่สะดุดตาเพียงชั่วข้ามคืนก็มีทหารนับหมื่นเข้ามา สองฝั่งยึดครองทิศตะวันออกทิศตะวันตกของเมือง ก่อให้เกิดความรู้สึกถึงการเผชิญหน้าอย่างแปลกประหลาด กลับมาถึงห้องโถงใหญ่ หนานกงมั่วจึงถอนหายใจ เอ่ยถาม “จวินมั่ว ศิษย์พี่ พวกท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
คุณชายเสียนเกอเองก็ถอนหายใจออกมา ใบหน้าหล่อเหลาเผยความเหนื่อยล้าออกมา แตกต่างจากคุณชายรักอิสระเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง “ข้าไม่เป็นไร แต่เว่ยซื่อจื่อ…”
พรวด! คุณชายเสียนเกอพึ่งเอ่ยจบ เว่ยจวินมั่วที่ยืนอยู่ด้านข้างพลันกระอักเลือดออกมา ล้มหงายหลังลงไป
“จวินมั่ว!”
“คุณชาย!”
ทุกคนตื่นตกใจ รีบเข้าไปพยุงเว่ยจวินมั่วให้นั่งลงด้านข้าง หนานกงมั่วรีบจับข้อมือของเขาขึ้นมาตรวจชีพจรอย่างร้อนรน พร้อมเอ่ยถาม “บาดเจ็บตรงไหน”
เว่ยจวินมั่วใบหน้าซีดขาว ส่ายหน้าเบาๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง “ไม่เป็นไร…ไม่ได้บาดเจ็บหนักอันใด เพียงรู้สึกเหนื่อยเท่านั้น…” คุณชายเสียนเกอใบหน้าบึ้งตึงก้าวขึ้นมา เอ่ย “ไม่บาดเจ็บหนักอันใดกัน ปิดบังอาการป่วยของตนเอง เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วงั้นหรือ เขาบาดเจ็บภายใน” สีหน้าคุณชายเสียนเกอไม่น่ามองนัก เว่ยจวินมั่วคงไม่บาดเจ็บหากมิใช่เพราะเขา ถ้าเว่ยจวินมั่วเป็นอันใดไปจริงๆ คุณชายเสียนเกอคิดว่ามิสู้ให้ตนเองตายเสียจะดีกว่าหากต้องไม่กล้ามาสู้หน้าศิษย์น้อง