เธอย้อนนึกถึงคำตอบของกู้เซียงตอนจะออกจากบ้าน หลังถูกถามว่าตื่นเต้นหรือไม่
“ถ้าเฉินเว่ยเต๋อพยายามใช้เหตุผลหว่านล้อม เราก็ต้องทำนักเลงใส่ ถ้าเขาทำนักเลงใส่ เราก็ต้องตอบแบบผู้ดี ถ้าเขาพูดแบบผู้ดี เราก็ต้องเอากฎหมายเข้าแลก ถ้าเขาแลกด้วยกฎหมาย เราก็ต้องเอาเหตุผลเข้าสู้!”
กู้เซียงก้มมองสัญญาที่เฉินเว่ยเต๋อเซ็นพร้อมประทับตราบริษัทด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น
“ฉันขอเตือนไว้อย่างนะคะบอส” เธอโน้มไปข้างหน้าแล้วยันสองมือลงบนโต๊ะ “กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ!”
ชาติที่แล้วก่อนแต่งงานกับเหลียงจี้ เธอถูกหัวเซินลดบทบาทมาโดยตลอด แม้จะรู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม แต่ใจก็ยังนึกขอบคุณที่ช่วยทำให้มีวันนี้ หลายปีต่อมาหุ้นส่วนในบริษัทหัวเซินเปิดโปงกันเอง ไม่นานเรื่องราวก็บานปลายจนกลายเป็นข่าวใหญ่โต
หากจะหยิบยกเรื่องนี้มาขู่เฉินเว่ยเต๋อบ้าง ก็คงไม่เสียหายอะไร
กฎคือสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายต้องให้ความเคารพ ในเมื่อหัวเซินทำผิดกฎ แล้วมีสิทธิ์อะไรมาบังคับให้เธอเดินตามเกม
ฝันไปเถอะ!
วันนี้เป็นวันย้ายบ้าน
เหวินจิ้ง เจี่ยงลี่ลี่ และกู้หนานมาช่วยเธอขนของ แต่ไม่มีของให้ช่วยขนสักเท่าไหร่ นอกจากเครื่องสำอาง เสื้อผ้า และของแต่งห้องเล็กๆ น้อยๆ
หนึ่งปีที่ผ่านมา เธอยุ่งกับการถ่ายหนังและละครจนไม่ได้ทำกิจกรรมเพื่อความบันเทิงใดๆ พอเห็นว่าห้องถูกแต่งอย่างเรียบง่าย ทุกคนก็พากันชื่นชม
เจี่ยงลี่ลี่ชอบกู้หนานมาก เขาคือเด็กหนุ่มใบหน้าหล่อเหลา ที่แม้จะดูเย็นชาแต่ก็น่าค้นหาอยู่ดี
“พ่อหนุ่ม อยากเข้าวงการบันเทิงไหม” เจี่ยงลี่ลี่ถาม
“ไม่ครับ” กู้หนานปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
เจี่ยงลี่ลี่หันไปกระทุ้งกู้เซียง “เกลี้ยกล่อมเขาสิ หน้าตาดีขนาดนี้ ปล่อยไว้เสียดายแย่”
“ช่างเขาเถอะค่ะ” กู้เซียงไม่กล้ารับปาก “ฉันยังอยากมีชีวิตอยู่อีกหลายปี”
ที่อะพาร์ตเมนต์หลังใหม่มีคนอยู่ไม่มากนัก
“ทำไมถึงเงียบขนาดนี้ ให้ฉันมาอยู่เป็นเพื่อนไหม?” กู้หนานถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่ต้องหรอก มหาวิทยาลัยของนายอยู่ไกลมาก ฉันขี้เกียจไปส่ง” กู้เซียงตอบ
กู้หนานยังอยากจะพูดต่อ แต่ลิฟต์หยุดที่ชั้นสิบเอ็ดพอดี
หลังเดินออกจากลิฟต์ได้ไม่เท่าไหร่ ใครบางคนก็ตะโกนเรียกกู้เซียง
“ถางรุ่ย?” เจี่ยงลี่ลี่ทำหน้าประหลาดใจ
ถางรุ่ยสวมชุดอยู่บ้าน ในมือถืออาหารที่เพิ่งสั่งมา “มาเยี่ยมเคลาส์กันเหรอ?”
“ฉันย้ายบ้านค่ะ” กู้เซียงตอบ “อย่าบอกนะว่า…”
“จริงดิ?” ถางรุ่ยทำตาโต “ผมกับเคลาส์ก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน” พูดจบก็หันไปชี้ห้องหมายเลขหนึ่งหนึ่งศูนย์สอง ที่อยู่ข้างห้องหนึ่งหนึ่งศูนย์หนึ่งของเธอพอดี
“บังเอิญจังเลย…” เจี่ยงลี่ลี่หันมองกู้เซียง “เธอคงไม่คิดจะย้ายมาสวีตกับจ่านหยางหรอกนะ?”
เหวินจิ้งเองก็เป็นกังวล เธอรู้ว่าเรื่องของกู้เซียงกับจ่านหยางไม่เป็นความจริง แต่หากพักอยู่ในอะพาร์ตเมนต์เดียวกันแบบนี้ อาจถูกนักข่าวพาดหัวไปในทางเสียหายได้
“คุณคือจ่านหยางใช่ไหม?” กู้หนานขมวดคิ้วมองถางรุ่ย “อยู่ที่เดียวกับพี่สาวผมด้วย?”
“ผมเหรอ?” ถางรุ่ยมองไปรอบๆ พอแน่ใจว่ากู้หนานหมายถึงตัวเองก็รีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ใช่ละ ผมชื่อถางรุ่ยต่างหากล่ะ” พูดจบก็หยิบกุญแจออกมาไขประตูห้อง “เคลาส์น้องแฟนมาน่ะ!”
กู้หนานก้มมองกู้เซียงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงรังเกียจ “รีบๆ เลิกซะนะ!”
เธอก็อยากเลิกเร็วๆ เหมือนกัน เวลาเลิกงานกลับบ้านเหนื่อยๆ จะได้ไม่มีใครเห็นสภาพแสนโทรม
อะพาร์ตเมนต์ของถางรุ่ยใหญ่มาก ดูยังไงก็เป็นบ้านของหนุ่มโสด มีการจัดวางที่สะอาดสะอ้าน
“ผมอยู่ห้องหนึ่งหนึ่งศูนย์สาม นานๆ จะมาพักสักที ต้องว่างหรือสะดวกเท่านั้น”
“แบบไหนที่เรียกว่าสะดวกคะ?” เจี่ยงลี่ลี่ถาม
“แบบที่มีคนมาทำความสะอาด ปัดกวาดเช็ดถู แล้วก็ซักเสื้อผ้าให้น่ะครับ” ถางรุ่ยตอบแบบไม่อ้อมค้อม
ขณะกำลังสนทนากัน จ่านหยางในสภาพเปียกปอนก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา
ที่จริงชุดอาบน้ำของเขาค่อนข้างมิดชิด แต่ภาพของน้ำที่ค่อยๆ ไหลจากคอลงสู่หน้าอกก็ทำสาวๆ ในห้องแทบคลั่ง
จ่านหยางเป็นคนสมถะ นอกจากเสื้อผ้าจะเรียบง่ายแล้ว ยังตกแต่งห้องได้เรียบง่ายและสบายตาด้วย
เขาไม่คิดว่าจะมีคนกลุ่มหนึ่งอยู่ในห้อง จึงรีบกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ให้ตายเถอะเซียงเซียง แฟนเธอเซ็กซี่มากกก แบบนี้ใครจะทนไหว”
“ไม่รักนวลสงวนตัวซะเลย!” กู้หนานสบถอย่างไม่รู้ตัว
ทุกสายตาจับจ้องไปที่เขา คำพูดเมื่อครู่คล้ายหญิงวัยทองที่กำลังบ่นเด็กสาวมาก
“น้องชายเธอนี่สุดๆ ไปเลย” เจี่ยงลี่ลี่ยกนิ้วโป้งให้กู้เซียง
หลังรู้ว่ากู้เซียงจะมาเป็นเพื่อนบ้าน เขาก็ไม่ได้มีสีหน้าตื่นเต้นอะไร
“ให้ฉันย้ายมาอยู่เป็นเพื่อนดีกว่า” กู้หนานพูดแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ค่าเช่าห้องแพงมากนะ” ถางรุ่ยเตือน “อีกอย่าง… ที่นี่ไม่ให้นักศึกษาเช่า”
“รู้ได้ไง?” กู้หนานทำตาขวาง
“อะพาร์ตเมนต์นี้เป็นสมบัติส่วนตัวของผม ตอนแรกว่าจะไม่ปล่อยเช่า สุดท้ายเสียดายของ พี่เขยนายก็เป็นเจ้าของที่นี่ครึ่งหนึ่งนะ” ถางรุ่ยพูดกับกู้หนานอย่างเป็นกันเอง
“พี่เขย?” กู้หนานขมวดคิ้วอย่างไม่สบอารมณ์ “ทำไมเขาถึงเป็นเจ้าของที่นี่ แล้วพวกคุณเป็นอะไรกัน?”
“เคลาส์ ช่วยอธิบายแทนหน่อยได้ไหม?” ถางรุ่ยโยนปัญหาอย่างรวดเร็ว
“เรียนอยู่คณะสถาปัตย์เหรอ?” จ่านหยางถาม
“ใช่” กู้หนานตอบอย่างภาคภูมิใจ
ในฐานะนักเรียนดีเด่น เขาได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย F แห่งเมือง G ด้วยคะแนนเอ็นทรานซ์อันดับหนึ่งของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
“ฉันก็เรียนสถาปัตย์เหมือนกัน” จ่านหยางส่งยิ้มอ่อนโยนให้กู้หนาน “ฉันเพิ่งได้แปลนก่อสร้างมาแผ่นหนึ่ง ถ้าสนใจก็ตามมา”
กู้หนานลังเลเล็กน้อย ก่อนจะตามจ่านหยางเข้าไปในห้องนอน
“จ่านหยางเรียนสถาปัตย์เหรอ?” เหวินจิ้งกระซิบถามถางรุ่ย
“ใช่ ที่มหาวิทยาลัยในแคนาดา” เขาตอบหลังดื่มน้ำไปอึกหนึ่ง “คะแนนของเขาดีมาก ถ้าได้เป็นสถาปนิกคงรุ่งน่าดู” พูดจบถางรุ่ยก็หันมองกู้เซียง “น้องชายของคุณน่าจะเก่งไม่เบา”
กู้เซียงพยักหน้า “อย่างน้อยก็เก่งเรื่องคะแนน”
“งั้นก็เข้าทางเลย” ถางรุ่ยหัวเราะในลำคอ “เคลาส์ถนัดเรื่องทฤษฎีเป็นที่สุด”
“ไม่เห็นต้องข่มกันขนาดนี้เลย” เจี่ยงลี่ลี่แซว
“งั้นพูดเรื่องคุณกันดีกว่า” ถางรุ่ยเปลี่ยนประเด็น “ได้ข่าวว่าเพิ่งยกเลิกสัญญา?”
“เซียงเซียง เธอยกเลิกสัญญาแล้วเหรอ?” เจี่ยงลี่ลี่ทำหน้าตกใจ
“หมดสัญญาพอดี ก็เลยไม่ได้ต่อ” กู้เซียงตอบแบบไม่อ้อมค้อม
“งั้นก็ไม่มีสังกัดแล้วสิ อยากทำงานกับฉันไหม?” เจี่ยงลี่ลี่ทำเสียงตื่นเต้น “ตอนนี้กระแสของเธอดีมาก คงมีคนอยากเซ็นสัญญาด้วยเยอะแยะเลย”
“อะแฮ่ม!” ถางรุ่ยกระแอมเบาๆ “คุณเจี่ยง ตัดหน้าผมดื้อๆ แบบนี้เลยเหรอ?”
เจี่ยงลี่ลี่กลอกตามองบน ก่อนจะหลีกทางให้อีกฝ่าย
“สนใจจะทำงานกับบริษัทของผมไหม” ถางรุ่ยเอ่ยปากชวนกู้เซียง “โอกาสที่คุณจะเติบโตมีอีกมาก ศิลปินในสังกัดของเราได้ขึ้นเป็นดาราแถวหน้าทุกคน ผมสัญญาว่าคุณจะได้แต่งานดีๆ”
เหวินจิ้งจ้องถางรุ่ยตาไม่กะพริบ เท่าที่รู้มีแต่คนอยากจะเซ็นสัญญากับบริษัทของเขา ถ้ากู้เซียงที่เป็นแค่ดาราหน้าใหม่ได้รับโอกาสนี้ ก็เท่ากับว่าเธอเป็นศิลปินอันดับต้นๆ ของประเทศไปครึ่งตัวแล้ว
“ที่ถามเพราะเห็นแก่ฉันหรือเห็นแก่จ่านหยางคะ?” กู้เซียงถามกลับด้วยรอยยิ้ม
ถางรุ่ยชะงักเล็กน้อย ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ผมคิดว่าถ้ารับคุณเข้ามาอยู่ในสังกัด จะเป็นผลดีต่อการเติบโตของทั้งคู่”
เขากำลังยอมรับว่าชวนกู้เซียงเข้าสังกัดเพราะเห็นแก่จ่านหยาง คุณสมบัติของกู้เซียงในตอนนี้ยังไม่ถึงจุดที่ถางรุ่ยจะเซ็นสัญญาด้วย แต่หากได้เซ็นสัญญาจริงๆ ค่าตัวของเธอจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ไม่เอาก็โง่มากแล้ว
“ถ้างั้นฉันขอไม่รับค่ะ” กู้เซียงตอบแบบไม่ลังเล
ทุกคนต่างอึ้งในคำตอบนี้
“ทำไมล่ะครับ?” ถางรุ่ยเอียงหน้าสงสัย
“ถ้าฉันเซ็นสัญญาตอนนี้ จะถูกเอาเรื่องที่คบกับจ่านหยางมาเป็นประเด็นดราม่า ซึ่งไม่เป็นผลดีกับใครเลย” เธอทำหน้าครุ่นคิด “การได้เซ็นสัญญากับคุณมีแต่ได้กับได้ ถ้าปฏิเสธคงโง่เต็มทน”
“แล้ว?” ถางรุ่ยเลิกคิ้วถาม
“ขอเวลาสองเดือน ฉันอยากไปแคสต์หนังเรื่องหนึ่งก่อน ถ้าผ่านการคัดเลือก ฉันจะมาเซ็นสัญญากับคุณ”
“ผมเข้าใจแล้ว การแคสต์งานครั้งนี้จะช่วยยืนยันความสามารถของคุณ ทุกคนจะได้รู้สึกว่าที่เราเซ็นสัญญากันไม่เกี่ยวกับเคลาส์ ว่าแต่จะไปแคสต์เรื่องอะไรล่ะ?”
“คมมีดอาชาค่ะ” กู้เซียงตอบ
ถางรุ่ยได้ยินก็หน้าเจื่อนทันที
คมมีดอาชาคือภาพยนตร์คลาสสิกเรื่องหนึ่ง แต่ไม่สามารถเปิดกองได้เพราะขาดนางเอก
ภาพยนตร์เล่าถึงเหตุการณ์ช่วงปฏิวัติประเทศ ราษฎรอดอยากปากแห้ง ลูกสาวของนายพลเฉานามว่า ‘เฉาหยุน’ เป็นสตรีที่มีใจรักบ้านเกิดมาก
เธอไม่ยอมให้ผู้เป็นพ่อช่วยหยวนซื่อข่ายเอาประเทศจีนไปกู้ยืมเงินจากต่างประเทศ เป็นสาเหตุให้คลังเกิดวิกฤตทางการเงิน แต่เขาก็ยังแอบเชื่อมสัมพันธ์กับกลุ่มปฏิวัติ
‘เซียงหง’ คือน้องสาวฝาแฝดของเฉาหยุน เธอใช้ชีวิตอย่างสามัญชนด้วยการเป็นนักร้อง
เธออาศัยจังหวะที่ทหารคนหนึ่งหลบหนี เข้าไปขโมยกล่องสมบัติของเขา สุดท้ายก็ถูกจับไปรวมกลุ่มกับเฉาหยุน เมื่อนักปฏิวัติฝาแฝดได้เจอกัน จึงเกิดเป็นความรักชาติที่กลายเป็นตำนาน
บทภาพยนตร์ของเรื่องนี้ถูกเขียนไว้นานแล้ว แต่ยังไม่ได้คนที่จะเล่นเป็นนางเอก จนกู้เซียงตายก็ยังหาไม่ได้ เพราะผู้กำกับตั้งคุณสมบัติของนางเอกไว้สูงมาก
เฉาหยุนนิสัยห้าวหาญอย่างวีรสตรี หยิ่งทระนง ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร ส่วนเซียงหงมีนิสัยอ่อนโยนและอารมณ์ศิลปิน แค่ต้องเล่นเป็นคนสมัยก่อนก็ว่ายากแล้ว แต่เธอต้องเล่นเป็นฝาแฝดที่บุคลิกแตกต่างกันอีก