จ่านหยางปรายตามองถางรุ่ย “ช่างเถอะ”
“เอาเถอะ” ถางรุ่ยตีหน้าเศร้า “ฉันอุตส่าห์เป็นไม้กันหมาให้ตลอด ป๋ายมั่วเป็นคนที่เท่าไหร่แล้ว พวกเธอตั้งใจเข้าหานายทั้งนั้น”
ป๋ายมั่วคือดาราหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการหมาดๆ ฐานะทางบ้านดีอยู่แล้ว แค่อยากชิมลางในวงการบันเทิงเท่านั้น
เธอหน้าตาสะสวย ทรวดทรงองค์เอวได้รูป เป็นนักเรียนดีเด่นทั้งที่อายุแค่สิบหกปี
ดาราน้องใหม่เกิดถูกใจดารารุ่นพี่ น่าเสียดายที่จ่านหยางกลัวแฟนเหลือเกิน
ผู้หญิงที่เพียบพร้อมขนาดนี้ แต่กลับถูกผู้ชายสองคนรังเกียจ ถ้าคุณหนูคนสวยรู้เข้า คงร้องไห้จนเป็นลมคาห้องน้ำแน่นอน
“กลับมาเรื่องนี้ก่อน” ถางรุ่ยลังเลเล็กน้อย “นายยังไม่พูดกับกู้เซียงอีกเหรอ?”
“ยัง”
“ทำไมล่ะ? ต้องรีบชัดเจนแล้วนะ นิสัยอย่างกู้เซียงต่อให้โรแมนติกแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ ใช้ความจริงใจเข้าแลกเป็นพอ”
ในสายตาของถางรุ่ย กู้เซียงคือผู้หญิงนิสัยแมนๆ กล้าหาญ เด็ดขาด ไม่มีอารมณ์รักเหมือนอย่างผู้หญิงคนอื่นๆ แถมยังอ่อยไม่เป็นด้วย
“ฉันไม่กล้า” จ่านหยางยอมรับ
“เฮ้อ ฉันละยอมใจจริงๆ” ถางรุ่ยเหนื่อยหน่ายกับประโยคนี้ของเพื่อน “ว่าไงก็ว่าตามกัน ฉันสนับสนุนนายอยู่แล้ว แต่ถ้าสำเร็จต้องช่วยฉันจีบเจี่ยงลี่ลี่ด้วยล่ะ”
“ดูๆ กันไปก่อนเถอะ” จ่านหยางบอกปัดทางอ้อม
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็ถึงช่วงปีใหม่
เหล่าคนทำงาน นักเรียนนักศึกษา และบรรดาแฟนคลับ ต่างตั้งตารอให้ถึงวันที่ภาพยนตร์เรื่องน้องใหม่ภาคสองเข้าฉาย
ซึ่งวันแรกที่ฉายก็เต็มทุกโรงอย่างที่คาดการณ์ไว้จริงๆ
แฟนคลับคู่จิ้นกู้เซียงจ่านหยางแห่กันมาดูจนล้นโรง ยังมีบรรดาแฟนคลับของนักแสดงสมทบอีก
กู้หนานพาตู้หยู่ กู้ฉางชุน และจ่านฉางเฟิงไปดูหนังที่โรงภาพยนตร์ พวกเขากลายเป็นจุดสนใจเพราะมีคนรุ่นพ่อรุ่นแม่อยู่ในนั้นด้วย
การที่คนหนุ่มสาวชอบภาพยนตร์เรื่องนี้อาจเป็นเรื่องปกติ แต่การที่สามีภรรยาอายุเลยวัยเกษียณไปแล้วยังชอบดูหนังรักคลาสสิก แถมยังพาลูกชายกับลูกสะใภ้มาดูด้วย เป็นภาพที่น่ารักเหลือเกิน
ภาพยนตร์เรื่องน้องใหม่ภาคสอง เล่าเรื่องราวความรักต่อจากภาคแรก โดยเน้นไปที่ภารกิจใหม่ของอาจวนและเหวินเส้าเหย่ ระหว่างทำภารกิจเกิดเรื่องขำขันมากมาย สุดท้ายก็จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง
ตอนกู้เซียงกับจ่านหยางถ่ายภาพยนตร์ด้วยกันครั้งแรก ทั้งสองเพิ่งเคยร่วมงานในฐานะคู่พระนาง มีหลายจุดที่ต้องปรับจูนให้เข้ากัน แต่สำหรับภาคสอง พวกเขาแสดงในฐานะของคู่รัก ความเป็นธรรมชาติถูกนำมาใส่ในภาพยนตร์ ทุกอย่างจึงสมจริงและสมบูรณ์แบบมากขึ้น
ในโรงภาพยนตร์มีเสียงหัวเราะดังขึ้นเป็นระยะ ซึ่งกู้เซียงกับจ่านหยางก็แอบมานั่งดูหนังของตัวเองเหมือนครั้งก่อนด้วย
แม้การดูภาพยนตร์ที่ตัวเองแสดงจะให้ความรู้สึกเขินอาย โดยเฉพาะฉากรัก แต่ก็แฝงไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายเกินบรรยาย
หากเป็นอย่างที่เจี่ยงลี่ลี่บอก คือให้ลูกของพวกเขาดูหนังเรื่องนี้ ก็จะรู้ทันทีว่าพ่อกับแม่รักกันยังไง มีหวังได้เขียนตำราจีบหญิงของตระกูลจ่านออกมาร้อยแปดพันเก้า
เมื่อถึงฉากที่อาจวนกับเหวินเส้าเหย่ห่างกัน แล้วได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ตอนอาจวนลุกขึ้นไปอาบน้ำ เหวินเส้าเหย่ก็อาศัยโอกาสนี้เปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะหยิบแหวนออกมาจากกระเป๋า แล้วฝึกพูดหน้ากระจก
“ผม โอไห่เหวิน ขอสาบานว่าจะทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อทำให้อาจวนเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุดในโลก”
โรงภาพยนตร์เริ่มมีเสียงร้องไห้ด้วยความซาบซึ้ง ปกติซูเปอร์สตาร์จ่านจะไม่แสดงหนังรัก แต่เมื่อได้แสดงจริงๆ กลับทำให้ผู้ชมมีอารมณ์ร่วมอย่างน่าเหลือเชื่อ
ตู้หยู่บีบแขนกู้หนานจนเจ็บ “พี่เขยหล่อจังเลย หล่อจนฉันทนดูไม่ได้แล้ว!”
กู้หนานดึงแขนออกแล้วตอบด้วยสีหน้าราบเรียบ “มันคือการแสดง!”
เหวินเส้าเหย่คือตัวละครที่อ่อนโยนและจริงใจ ประกอบกับใบหน้าหล่อเหลาที่ไม่มีใครเทียบได้มาตลอดหลายปี ทำให้เขาตราตรึงอยู่ในใจผู้ชมไม่รู้คลาย
เมื่ออาจวนออกจากห้องน้ำแล้วเห็นภาพนั้นเข้า เธอก็ยิ้มทั้งน้ำตา
“พูดอีกครั้งสิคะ”
เหวินเส้าเหย่หยิบแหวนออกจากกระเป๋าด้วยท่าทางซื่อๆ แล้วถามอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แต่งงานกับผมนะ”
เจี่ยงลี่ลี่เริ่มปาดน้ำตา จนถางรุ่ยที่นั่งอยู่ข้างๆ ทำหน้างง
“แค่นี้ก็ร้องแล้วเหรอ?”
“นายจะไปรู้อะไร!” เจี่ยงลี่ลี่ตอกกลับ “พวกที่คิดว่าความรักเป็นเหมือนสเปิร์ม ไม่มีวันเข้าใจความรักที่บริสุทธิ์แบบนี้หรอก!”
จ่านฉางเฟิงบ่นกับกู้ฉางชุนที่นั่งอยู่ข้างๆ
“แสดงดีขนาดนี้ ทำไมไม่คิดถึงเรื่องงานแต่งของตัวเองบ้าง ผมละร้อนใจจริงๆ”
พวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องชีวิตคู่เท่าไหร่ แต่ทั้งสองบ้านมักจะพูดถึงการเตรียมงานแต่งอยู่บ่อยครั้ง ทั้งเรื่องการเชิญแขก ทั้งรายละเอียดในงาน
ทุกครั้งที่ถูกถามเรื่องแต่งงาน กู้เซียงกับจ่านหยางจะตอบตรงกันว่า “ขอทำงานก่อน” และ “ยังไม่พร้อมจะคิดเรื่องนี้”
“ผมเห็นด้วยกับพี่เขย” กู้หนานสนับสนุน และถึงขั้นไปพูดกับพี่สาวตรงๆ
“ถ้าพี่แต่งงาน พวกผู้ใหญ่ก็จะมาเร่งฉันต่อ ยังไงก็ช่วยยื้อไว้ก่อนนะ อย่าให้ความคิดเห็นของคนอื่น มาทำลายความตั้งใจของตัวเอง”
ภาพยนตร์มีความยาวประมาณสองชั่วโมง
คู่รักเปิ่นเป๋อแสดงออกถึงอารมณ์รักในหลากหลายมุม ทำให้ผู้ชมเกิดอารมณ์ร่วมตามไปด้วย ส่วนคนโสดก็แทบตายสนิทอยู่ในโรง
จุดจบของภาพยนตร์เรื่องนี้คือ อาจวนกับเหวินเส้าเหย่สามารถเอาชนะบอสใหญ่ และสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์แบบได้ในที่สุด
ปกติภาพยนตร์ที่นำเสนอแค่เรื่องราวความรักและความสนุกสนานเฮฮามักไม่ถูกใจผู้ชม เนื่องจากคนดูจะวิพากษ์วิจารณ์และหาจุดบกพร่องมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะคาดหวังในตัวไอดอลค่อนข้างมาก
แต่น้องใหม่ภาคสองสามารถดึงอารมณ์ของคนดูได้ตลอดทั้งเรื่อง สร้างความประหลาดใจให้กับนักวิจารณ์ภาพยนตร์อย่างมาก เมื่อย้อนทบทวนจะเห็นว่าหนังเล่าเรื่องแบบสบายๆ มีจุดหักมุมแต่ยังสามารถดำเนินเรื่องได้อย่างราบรื่น
และแม้ภาพยนตร์จะถ่ายทอดเรื่องราวของความรัก แต่สิ่งที่คนดูได้รับไม่ใช่เพียงความโรแมนติกระหว่างเหวินเส้าเหย่กับอาจวน แต่ช่วยให้คนดูได้ย้อนรำลึกถึงความทรงจำของตัวเองด้วย
สามปีก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากมาย
กู้เซียงกับจ่านหยางนั่งอยู่แถวสุดท้ายของโรงหนัง เมื่อภาพยนตร์จบลง เธอรีบกระชับหมวกให้เข้าที่ แล้วเตรียมจะลุกขึ้น
“เดี๋ยวก่อน!” จ่านหยางคว้ามือเธอเอาไว้
“มีอะไรเหรอ?” กู้เซียงถาม
“อีกสักพักค่อยลุก” เขาตอบ
มีคนเดินออกไปแล้วบางส่วน แต่ก็มีอีกส่วนที่รอดูเซอร์ไพรส์ตอนท้าย
กู้เซียงมองจ่านหยางด้วยความสงสัย—ตอนถ่ายไม่มีเซอร์ไพรส์ตอนท้ายนี่?
ผ่านไปหนึ่งนาที เพลงประกอบภาพยนตร์ก็กลายเป็นภาพของจ่านหยางในชุดลำลอง
เนื่องจากเหวินเส้าเหย่เป็นหัวหน้ามาเฟีย จึงชอบวางมาดเท่และสวมชุดสูทเป็นส่วนใหญ่
ทว่าเขากลับแต่งตัวด้วยชุดลำลอง ซึ่งไม่ได้อยู่ในบทแน่นอน
จ่านหยางกระแอมเล็กน้อยแล้วลูบศีรษะด้วยความเขิน “กู้เซียงอยู่หรือเปล่า?”
บรรยากาศในโรงภาพยนตร์เงียบสงัด
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมตอนพิเศษถึงมีการเอ่ยชื่อกู้เซียงด้วย?” ผู้ชมเริ่มมองหน้ากันไปมา
กู้เซียงเงยหน้าขึ้น แล้วค่อยๆ หันมองจ่านหยางที่นั่งอยู่ด้านข้าง
จ่านหยางยังคงโอบไหล่เธอด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ผมจ่านหยางขอสาบานว่า…”
จู่ๆ จ่านหยางในจอก็คุกเข่าลงแล้วหยิบกล่องแหวนออกมา
ในนั้นมีเพชรเม็ดงามที่ส่องประกายแวววาวจนผู้ชมในโรงอ้าปากค้าง
“ผมจะใช้ทั้งชีวิตทำให้กู้เซียงเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลก” เขาคลี่ยิ้มบาง “แต่งงานกับผมนะ”
ทั้งโรงหนังนิ่งเงียบไปสามวินาที ก่อนที่ทุกคนจะพากันปรบมือสนั่น
“อวดความหวานกันอีกแล้ว ตายๆๆ คนโสดตายสนิท!”
“พาฉันไปตัดขาที เป็นเบาหวานจะตายอยู่แล้ว!”
บรรยากาศในโรงภาพยนตร์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย
หญิงสาวหลายคนซึ้งจนน้ำตาไหล ผู้ชายที่มาด้วยเริ่มรู้สึกอึดอัดเพราะกลัวว่าแฟนจะอินกับเรื่องนี้ ยังมีสาวโสดบางกลุ่มที่โยนแก้วชานมไข่มุกทิ้งด้วยความหมั่นไส้
เจี่ยงลี่ลี่อุทานด้วยความตกใจ “เขายอมเฉือนเนื้อตัวเองขนาดนี้เลยเหรอ?”
“คนที่เฉือนเนื้อตัวเองควรเป็นผมมากกว่า” ถางรุ่ยหลุดพูดประโยคนี้ออกมา “อุตส่าห์ทิ้งตอนเซอร์ไพรส์ไว้ให้ กลับเอาไปปู้ยี่ปู้ยำ พวกนักวิจารณ์หนังต้องหาว่าผมไม่ใช่มืออาชีพแน่นอน หมดกันชื่อเสียงที่สั่งสมมานาน…”
สองคนที่นั่งอยู่แถวสุดท้ายหันมองหน้ากัน
“จงใจหรือเปล่าเนี่ย?” กู้เซียงถาม
“ผมสาบานต่อหน้าคนทั้งประเทศแล้ว” จ่านหยางตอบ
หมายความว่าหากวันไหนที่เขาเกิดนอกใจหรือทำเรื่องไม่ดี ก็จะถูกประณามหยามเหยียดและกลายเป็นปมในชีวิตที่ไม่อาจลบเลือนได้
การจะสาบานนั้นง่าย แต่การสาบานต่อหน้าคนทั้งประเทศเท่ากับตอกย้ำการตัดสินใจที่แน่วแน่และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ภาพสุดท้ายก่อนที่เพลงจะขึ้นคือภาพของจ่านหยางที่คุกเข่าขอกู้เซียงแต่งงาน ซึ่งฉายคู่กับภาพที่เหวินเส้าเหย่คุกเข่าขออาจวนแต่งงาน
หากความรักต้องการความดื้อดึง
เมื่อวันนั้นมาถึง แค่วิ่งให้สุดแรง
สวมชุดแต่งงาน วิ่งอย่างไม่กลัวสิ่งใดต้าน
ชีวิตที่เหลือ ขอฝากคุณด้วย
“มั่นใจแล้วใช่ไหม?” กู้เซียงถาม
“ลองดูเดี๋ยวก็รู้เอง” จ่านหยางหยิบแหวนออกมาจากกระเป๋าเสื้อ
เป็นแหวนแบบเดียวกับที่ปรากฏในจอเมื่อครู่
เขาดึงมือกู้เซียงแล้วบรรจงสวมแหวนเข้าที่นิ้วนางข้างซ้าย
“ถ้างั้นก็ลองดู” เธอตอบ