“ยายาอายุสี่ขวบแล้วเจ้าค่ะ”
ในขณะเดียวกัน เด็กชายอายุราวๆ เก้าขวบพลันเดินออกมาจากห้องถัดไปพร้อมกับถือหนังสือในมือ
เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ย เขาจึงโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
“ฟางเต๋อซวนคารวะอาจารย์หญิงขอรับ”
มารยาทงามของเขาทำให้มั่วเชียนเสวี่ยนึกประหลาดใจ
อายุยังน้อยแท้ๆ แต่เขากลับไม่มีท่าทีร้อนใจ ทั้งคำพูดและการกระทำยังสุภาพอ่อนโยน
หากอบรมสั่งสอนให้ดี เด็กน้อยผู้นี้ต้องมีอนาคตที่ดีอย่างแน่นอน
“หลังจากที่ซวนจื่อได้เข้าโรงเรียน เขาก็ไม่เคยห่างจากหนังสือเลยสักวัน อย่าไปถือสาเลยนะ” อาซ้อฟางมองบุตรชายของนางด้วยความพึงพอใจ ดวงตาของนางฉายแววภาคภูมิใจไร้การตำหนิ
“ซ้ออย่าพูดเช่นนั้นเลย ข้ามองว่าหลังจากนี้ซวนจื่อจะต้องมีอนาคตที่สดใสเป็นแน่หากได้รับการอบรมเลี้ยงดูเป็นอย่างดีจากซ้อ”
คำพูดของมั่วเชียนเสวี่ยทำให้จิตใจของอาซ้อฟางพลันเบิกบาน
ทว่า ยามนี้สีหน้าของซวนจื่อกลับมีท่าทีลำบากใจ
“ซวนจื่อเป็นอะไรไปหรือ มีอะไรที่ข้าพอจะช่วยได้ไหม”
มั่วเชียนเสวี่ยคลุกคลีในแวดวงธุรกิจมาก่อน ทั้งได้รับตำแหน่งเป็นเถ้าแก่ตั้งแต่อายุยังน้อย ฉะนั้น ความสามารถในการสังเกตสีหน้าของคนจึงถือเป็นงานถนัดนัก
ซวนจื่อเปิดหนังสืออย่างเหนียมอายพลางเอ่ยตอบ “คัมภีร์สามอักษรที่ท่านอาจารย์หนิงเคยสอนนั้นข้าจดจำได้ทั้งหมดแล้วขอรับ เดิมทีกำลังเตรียมขึ้นบทเรียงความพันอักขระแต่ยังไม่ทันจะได้เริ่ม ท่านอาจารย์ก็เกิดล้มป่วยลงเสียก่อน ข้าจึงต้องศึกษาอยู่ที่บ้านด้วยตนเอง ทว่ามีตัวอักษรมากมายที่ไม่เคยรู้จัก อาจารย์หญิงพอจะ…”
อาซ้อฟางเกรงว่าจะเป็นการสร้างความลำบากใจให้แก่มั่วเชียนเสวี่ย จึงตำหนิบุตรชาย “ซวนจื่อ อย่าเสียมารยาท!”
ในยุคสมัยนี้ บุรุษที่รู้ตัวหนังสือนั้นมีน้อยนัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสตรี
มั่วเชียนเสวี่ยโบกมือพร้อมกับยิ้มให้อาซ้อฟางอย่างไม่ถือสา “อย่าได้เป็นกังวล แม้ข้าจะไม่ได้เก่งอะไรมากนักแต่ยังพอรู้ตัวอักษรอยู่บ้าง”
แม้นางจะเกิดมาในชนบท แต่บิดานั้นเป็นอาจารย์ประจำหมู่บ้าน ในวัยเด็กท่านเคยสอนให้ฝึกเขียนพู่กันเองกับมือทุกวัน สิ่งที่ฝึกฝนก็เป็นจำพวกคัมภีร์สามอักษร เรียงความพันอักขระและคัมภีร์หลุนอวี่อะไรเทือกนั้นเช่นเดียวกัน
“โลกที่เราอยู่ในยามนี้ เดิมทีเวิ้งว้างเหลืองอึมครึม จักรวาลกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด บนนั้นดวงอาทิตย์กับดวงจันทร์ผลัดกันผลุบผลัดกันโผล่พร้อมกับดวงดาราดาษดื่นรายล้อม” มั่วเชียนเสวี่ยอ่านประโยคที่เขาชี้พลางอธิบายแต่ละจุดที่สำคัญให้แก่เด็กชายตัวน้อยฟัง
“ตัวอักษรเหล่านี้ออกเสียงเช่นนี้และความหมายของท่อนนี้คือ ท้องฟ้าเป็นสีดำ พื้นโลกเป็นสีเหลือง จักรวาลก่อตัวขึ้นในสภาวะของความสับสนวุ่นวาย…”
ซวนจื่อตั้งใจเรียนอย่างตื่นตาตื่นใจ ด้านอาซ้อฟางก็ตกใจอ้าปากค้าง
หญิงสาวผู้นี้ ในความคิดของนางหากรู้จักสักสองสามตัวอักษรก็นับว่าเยี่ยมยอด เหตุใดจึงสามารถอธิบายได้ฉะฉานถึงเพียงนี้
แววตาของนาง นอกจากความอบอุ่นแล้วยังเปี่ยมล้นไปด้วยความน่านับถือ
บทเรียนดำเนินต่อเนื่องไปสักพัก ขณะที่มั่วเชียนเสวี่ยอธิบายประโยคมากมาย ในด้านซวนจื่อก็ตั้งใจฟังและจดบันทึกตามตลอด
อาซ้อฟางที่มองอยู่ข้างๆ ก็พลันปลาบปลื้มใจ จนแทบอยากประเคนสิ่งของมีราคาทั้งหมดในบ้านให้มั่วเชียนเสวี่ยไปเสียเลย แม้จะฟังไม่ออกแต่ดูจากสีหน้าอันเบิกบานของบุตรชายตัวน้อยก็พลันรู้ได้ทันทีว่าสิ่งที่นางได้อธิบายมานั้นย่อมไม่ผิดพลาด หากได้มั่วเชียนเสวี่ยคอยให้คำชี้แนะในยามว่างเช่นนี้บ่อยๆ ก็จะคงดี
อธิบายอีกสองสามประโยค มั่วเชียนเสวี่ยก็หยุดลง
เพียงเท่านี้ก็คงทำให้เด็กชายสามารถใคร่ครวญไปได้อีกหลายวัน หากอธิบายมากเกินไปในคราเดียว คงจะหลงลืมจนไร้ประโยชน์
ซวนจื่อปิดหนังสือลงอย่างรู้มารยาท ใบหน้าเล็กเงยขึ้นพร้อมกับดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใส จากนั้นจึงกล่าวคำขอบคุณอย่างนอบน้อมแล้วเดินออกไป
สิ่งที่อาจารย์หญิงได้สอนสั่งเมื่อสักครู่ ข้าคงต้องทบทวนอีกครั้งจนขึ้นใจจึงจะเกิดผล
หลังซวนจื่อจากไป มั่วเชียนเสวี่ยคุยเล่นกับอาซ้อฟางเล็กน้อยจึงเริ่มเข้าประเด็นหลัก
“แปลงผักเล็กๆ ที่ลานด้านหลังนั่น หากปล่อยทิ้งให้รกร้างคงน่าเสียดาย ที่ข้ามาในวันนี้ก็เพื่อจะขอยืมเมล็ดพันธุ์จากซ้อ กะว่าจะปลูกผักกาดขาวไว้กินในช่วงนี้ อีกทั้งหากอากาศเย็นลงอีกสักหน่อยก็ยังสามารถเก็บบางส่วนเอาไว้เพื่อประทังชีวิตในช่วงฤดูหนาวได้ด้วย”
“ที่นี่ยังมีเหลืออยู่ รอประเดี๋ยว ข้าจะไปเอามาให้เจ้า” อาซ้อฟางหลังจากได้ยินคำร้องขอของมั่วเชียนเสวี่ยก็พลันลุกขึ้นในทันที
ในใจคิดไตร่ตรองว่าจะมอบสิ่งใดเป็นการตอบแทนคำขอบคุณให้แก่มั่วเชียนเสวี่ย ดูเหมือนว่าวิชาความรู้ของมั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้ด้อยไปกว่าท่านอาจารย์หนิงเลย วันข้างหน้าบุตรชายคงต้องรบกวนนางไม่มากก็น้อย
ประจวบเหมาะที่ยังพอมีเมล็ดพันธุ์ผักกาดขาวอยู่บ้าง
“น้องต้องรีบเสียหน่อย ใกล้เข้าฤดูหนาวแล้วหากช้ากว่านี้คงไม่ทันการ”
มั่วเชียนเสวี่ยหยิบพลั่วออกมา ลอบมองวัชพืชที่ขึ้นรกร้างอย่างเหนื่อยใจ
หากเป็นในภพปัจจุบันแม้นางจะไม่ได้ร่ำรวยและมีเกียรติมากนัก แต่ก็มีบ้าน ทรัพย์สินและรถที่พอแสดงความเป็นชนชั้นนายทุนได้บ้าง แต่ตอนนี้กลับต้องมาถือพลั่วสวมวิญญาณเป็นสาวชาวไร่เสียอย่างนั้น
นางยกพลั่วขึ้นเพื่อจัดการลานรกร้างด้านหลังบ้าน หนิงเซ่าชิงที่ได้ยินการเคลื่อนไหวนั้นได้แต่ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยหน่าย
เขาไม่อาจยอมรับได้ แม้นางจะหยาบคาย สามหาว รูปร่างผอมบาง ทั้งยังคอยแย่งผ้าห่มจากเขาในทุกๆ คืน…
ถึงกระนั้น เขากลับกลัวที่จะเสียนางไป
ยิ่งอ่อนโยนและทำดีกับเขามากเท่าใด ยิ่งไม่อาจทำใจเชื่อถือได้
จู่ๆ เขาเกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา การที่ได้มีภรรยาที่จริงใจเช่นนี้ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร
แม้เป็นเพียงลานเล็กๆ แต่มั่วเชียนเสวี่ยกลับใช้เวลาทั้งวันเพื่อวุ่นอยู่กับมัน
“วัชพืชเอย กล้าไม้ป่าเอย ข้าจะไถและโกยพวกเจ้าทิ้งเสียให้หมด…”
นางบ่นพึมพำพลางรื้อถอนอย่างขะมักเขม้น จวบจนพระอาทิตย์ใกล้จะลับภูเขา ในที่สุดก็สามารถปรับพื้นดินพร้อมกับหว่านเมล็ดพืชลงไปจนสำเร็จ
เวลาอาหารเย็น อาซ้อฟางนำทางฟางต้าถังสามีของตนแบกฟืนจำนวนหนึ่งตามมาที่ประตูบ้าน ไม่รีรอให้มั่วเชียนเสวี่ยได้ชี้แนะ เมื่อเห็นฟางต้าถังแบกฟืนไปที่ห้องครัว นางจึงนึกจะเข้าไปช่วยจัดเรียงแต่กลับถูกอาซ้อฟางขวางไว้
อาซ้อฟางนำชามในมือยัดใส่มือมั่วเชียนเสวี่ย ในนั้นมีหมั่นโถวสีขาวอวบอ้วนดูน่ากินอยู่สองชิ้น
“วันนี้พวกเด็กๆ ต่างร้องอยากกินหมั่นโถว ข้ากะปริมาณไม่ถูกจึงนึ่งออกมาจำนวนมาก มาสิ ลองชิมฝีมือข้าดูหน่อย”
กะไม่ถูกอะไรกัน ตั้งใจทำเป็นพิเศษสินะ
เนื่องจากมั่วเชียนเสวี่ยเคยแย้มไว้ว่าตนเองเพิ่งทำอาหาร อาซ้อฟางจึงกลัวนางจะเกรงใจ
ร่างเล็กรับชามดินเผาพลางเอ่ยคำขอบคุณ หลังจากทำงานมาทั้งวันเห็นทีท้องก็ชักจะเริ่มหิวเสียแล้ว
คนบ้านใกล้เรือนเคียงไปมาหาสู่กัน ไว้พรุ่งนี้นางจะต้องอบขนมเปี๊ยะไปฝากให้เด็กทั้งสองได้ลองลิ้มรสฝีมือของนางดูบ้างหน่อยแล้ว
พริบตาเดียว ฟืนกองสูงราวๆ กว่าหนึ่งอิงฉื่อ[1] ได้ถูกฟางต้าถังผู้นี้จัดเรียงออกมาอย่างเป็นระเบียบ
ฟืนแห้งใช้หุงต้มได้ดี ในไม่ช้าก็เตรียมข้าวต้มผักบำรุงสุขภาพที่ทำด้วยตนเองจนเสร็จ พร้อมกับเครื่องเคียงอย่างหัวไชเท้าดองและหมั่นโถวสีขาวก้อนใหญ่สองก้อนดูน่ากิน
หนิงเซ่าชิงชอบเป็นอย่างมาก ชิมเพียงคำเดียวก็เผยสีหน้าพึงพอใจออกมา
หลังจากเหนื่อยมาทั้งวัน เมื่อหัวถึงหมอนมั่วเชียนเสวี่ยก็ผล็อยหลับไปอีกหนึ่งคืน เสียงหายใจสม่ำเสมอท่ามกลางความมืดมิด นัยน์ตาคู่หนึ่งพลันส่องประกาย หนิงเซ่าชิงยกยิ้มพลางเอียงกายโอบกอดร่างนุ่มนวลข้างกายอย่างแผ่วเบาก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทรา
วันรุ่งขึ้น สภาพอากาศช่างเป็นใจ หยาดฝนพรั่งพราย พื้นดินชุ่มฉ่ำ อากาศก็สดชื่น
มั่วเชียนเสวี่ยฮัมเพลงอย่างอารมณ์ดี สองมือพลางหยิบจับจัดของภายในบ้าน แม้กระทั่งโอ่งที่แตกแล้วยังถูกเนรมิตให้เป็นกระถางเพื่อใส่ต้นไม้ใบเขียววางประดับตกแต่ง ทันใดนั้นบ้านก็กลับกลายเป็นบ้านขึ้นมาแล้วจริงๆ
[1]อิงฉื่อ คือ ฟุต มาตราวัดของอังกฤษโดย 1 ฟุต เท่ากับ 12 นิ้ว
ซ้อฟางน่ารักจัง