เมื่อเห็นว่าคุณชายเจ็ดไม่มีท่าทีใดๆ เถ้าแก่หลี่จึงได้กล่าวขึ้นว่า “คุณชายขอรับ คุณชายและแม่นางผู้นั้นเพียงตกลงกันทางวาจา คืนนี้จะให้ข้าน้อยส่งคนไปลงนามเรื่องนี้ให้เป็นลายลักษณ์อักษรดีหรือไม่ขอรับ”
ซูชีส่ายหน้าแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “ไม่จำเป็น! เรื่องนี้เจ้าทำเป็นไม่เคยรับรู้แล้วกัน ไปจัดการเรื่องของตนเองให้เรียบร้อย ไม่ต้องมาสนใจเรื่องนี้อีก” ในสายตาของสตรีผู้นั้นไม่ได้มีเพียงแค่เงินเท่านั้น
อีกอย่าง ต่อให้ตอนนี้นางไม่ขาย อย่างไรเสียในปีหน้าก็ต้องขาย เขาไม่อยากทำให้นางต้องลำบากใจ เมื่อนึกถึงมืออันขาวผ่องบอบบางของนางคู่นั้น บ่งบอกได้ว่านางใช้ชีวิตยากเข็ญเพียงใด นางจะจัดการมันเช่นไร เขาก็ไม่ถือโทษนางหรอก
“ให้ทำเป็นไม่รู้เรื่องงั้นหรือขอรับ” เถ้าแก่หลี่และอาลู่เอ่ยถามพร้อมกัน เรื่องที่ถูกเอาเปรียบและขัดขวางด้านผลประโยชน์เงินทองเช่นนี้ เหตุใดเจ้านายจึงทำเป็นไม่สนใจ นี่มัน…นี่มันไร้เหตุผลสิ้นดี
ซูชีหาได้สนใจที่พวกเขาเอ่ยถามอย่างไร้มารยาทเช่นนั้น เขาหันไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาแล้วโบกมือสั่งว่า “ไปได้แล้ว!”
คุณชายเจ็ดถูกผีสิงอีกแล้วหรือ! อาลู่กระทืบเท้าปึงปังก่อนเดินออกไป
โอกาสดีๆ เช่นนี้สูญเสียไปแล้ว! เถ้าแก่ส่ายหน้าแล้วเดินออกไปทางประตูพร้อมกับเขา เดิมทีเขาคิดว่าครั้งนี้จะสามารถเขาชนะอิ๋งเค่อเซวียนฝั่งตรงข้ามได้เสียอีก เขาอึดอัดใจมานานแล้ว
เมื่อปิดประตูลง อาลู่ก็ได้ยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูแล้วคิดด้วยความอึดอัดใจว่า โธ่คุณชาย โรคใดกำเริบขึ้นอีกเล่า สตรีผู้นั้นมีอะไรดีนัก จึงทำให้ท่านเป็นเช่นนี้ได้
เถ้าแก่หลี่ที่ยืนอยู่ตรงประตูก็ขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะถอนหายใจออกมาเสียงดัง ก่อนหน้านี้บ่าที่เคยตั้งตรงเวลาเดิน บัดนี้กลับกลายเป็นห่อเหี่ยว มองดูแล้วคงจะถึงเวลาที่เขาต้องบอกลาที่แห่งนี้แล้วกลับบ้านเกิดสักที
เมื่อได้ยินเสียงเถ้าแก่ถอนหายใจเดินจากไป และได้ยินเสียงลมหายใจของอาลู่กลับกลายมาเป็นปกติแล้ว ซูชีจึงได้วางหนังสือในมือลง สายตาก้มลงไปเล็กน้อย เขาใช้พัดเคาะลงไปที่โต๊ะอย่างไม่เป็นจังหวะ เห็นได้ว่าอารมณ์ของเขาก็ว้าวุ่นมากเช่นกัน
ถูกต้องแล้ว ความคิดและความรู้สึกของเขาขณะนี้ช่างยุ่งเหยิงไม่สงบเลย! เขาไม่อยากจะคิดถึงว่าสตรีผู้นั้นจะผิดคำสัญญาเพราะเงิน ที่จริงแล้วเขาไม่กล้าคิดด้วยซ้ำ…
ไม่ว่านางจะตัดสินใจอย่างไร เขาก็จะไม่ถือโทษนางเด็ดขาด
แต่ว่า เขาคงจะผิดหวัง
เขากลัวว่านางจะเป็นคนเช่นนั้น เขากลัวความรู้สึกผิดหวังเสียยิ่งกว่า
…
ท้องฟ้าในฤดูหนาวมืดเร็วกว่าฤดูอื่น หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยกินอาหารเรียบร้อยแล้วก็ทำการเก็บกวาด เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นท้องฟ้าก็มืดสนิทพอดี
อาศัยแสงไฟสลัว มั่วเชียนเสวี่ยเดินตามแสงนั้นเข้าไปในห้อง
หนิงเซ่าชิงกำลังเอนกายอยู่บนเก้าอี้ไม้ตัวใหม่ ผมของเขาดำขลับ ริมฝีปากแดงระเรื่อเป็นธรรมชาติ สีหน้าดูอิ่มเอมคล้ายกำลังคิดเรื่องใดอยู่
นางผงะลงทันใด ปกติเวลานี้เขาควรจะพักผ่อนอยู่บนเตียงมิใช่หรือ
นี่เขา เขากำลัง…รอนางอยู่?
เป็นจริงดังนั้น เมื่อหนิงเซ่าชิงเห็นนางเดินเข้ามาก็ยกยิ้ม แล้วหยิบกระดาษน้ำมันออกมาแผ่นหนึ่ง
“นี่คือโฉนดที่ดินและบ้าน เจ้าเก็บไว้ให้ดี”
“อืม…” มั่วเชียนเสวี่ยตอบรับเบาๆ จากนั้นยิ้มขึ้นเอื้อมมือไปหยิบกระดาษน้ำมันใบนั้นมา
บัดนี้ที่นี่มีโฉนดแล้ว นางไม่ต้องกลัวว่าจะมีผู้ใดมาสร้างความวุ่นวายอีกต่อไป หากจะกล่าวว่าไม่ดีใจนั้นคงจะโกหก แต่หากจะว่าดีใจหรือไม่ ก็ดูเหมือนไม่เท่าไรนัก
นางเปิดออกดูอย่างช้าๆ วินาทีนั้นก็พบกับความประหลาดใจ
ชื่อสามคำที่นางเห็นปรากฏขึ้นในชื่อของผู้ครอบครองคือ ‘มั่วเชียนเสวี่ย’!
มั่วเชียนเสวี่ยดูไม่เชื่อสายตาของตนเองนัก นางยกมือขึ้นขยี้ตา
เมื่อมองไปอีกครั้งก็พบว่าตรงชื่อเจ้าของโฉนดที่ดินและบ้านหลังนี้ในหมู่บ้านหวังจยา เขียนเอาไว้ตัวโตว่ามั่วเชียนเสวี่ยจริงๆ
เมื่อนางเปิดดูแผ่นต่อไปอีก ก็พบว่าโฉนดที่ดินในท่าเรือจังเทียนโยวนั้นและใบอื่นๆ ล้วนเป็นชื่อของมั่วเชียนเสวี่ยทั้งสิ้น
นางตกตะลึง! งุนงง! อ้าปากค้างอย่างหุบไม่ลง
ท่าทางอันน่ารักของมั่วเชียนเสวี่ยเช่นนี้ทำให้หนิงเซ่าชิงมีความสุขไม่น้อย เขาเผยอริมฝีปากขึ้นแล้วใช้จิ้มไปที่หน้าผากของนาง “มีสิ่งใดผิดปกติงั้นหรือ”
“ไม่…ไม่มี…” มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำตานองหน้า
ในที่สุด ตัวนางที่ข้ามภพมายังอีกโลกหนึ่งก็มีบ้านมีที่ดินเป็นของตนเองสักที นางไม่ใช่คนที่ไร้ที่มาที่ไปอีกแล้ว นางไม่ใช่คนไร้ที่พึ่งพิงอีกแล้ว ต่อจากนี้จะไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวว่าจะนำนางไปขายเป็นทาสอีกต่อไป
น้ำตาที่ไหลรินนั้นไม่ใช่ว่าเพราะนางมีบ้านมีที่ดิน แต่เป็นเพราะมีใครบางคนเห็นค่าและคอยปกป้องนางต่างหาก
นางวางโฉนดที่ดินลงแล้วพยายามซ่อนความรู้สึกนั้นเอาไว้ กล่าวอย่างงุนงงว่า “ไม่สิ! ไม่ถูก ไม่ถูกอย่างยิ่ง เหตุใดทั้งสองแห่งนี้จึงเขียนว่าข้าคือเจ้าของ”
น้ำตาของนางไหลลงมาอาบแก้ม หนิงเซ่าชิงเอื้อมมือออกไปเช็ดน้ำตาให้นางอย่างเป็นธรรมชาติ “ที่ผ่านมาลำบากเจ้าทีเดียวนะ!”
เมื่อเช็ดน้ำตานางแล้ว หนิงเซ่าชิงก็กล่าวออกมาด้วยความรักทะนุถนอมว่า “เด็กโง่ ทั้งบ้านนี้และร้านอาหารตรงท่าเรือ เจ้าเป็นผู้พยายามหามาเอง เป็นของเจ้าจึงจะเหมาะสม!”
“ไม่กลัวว่าคนอื่นจะหัวเราะเยาะหรอกหรือ” มั่วเชียนเสวี่ยรู้แล้วว่าเหตุใดสีหน้าของท่านหัวหน้าหมู่บ้านจึงไม่น่ามองเช่นนั้น หน้าตาและศักดิ์ศรีของชายในสมัยโบราณสำคัญยิ่ง หากว่าเขาอาศัยในเรือนของภรรยาละก็ คาดว่าคงจะถูกติฉินนินทา เขาไม่กลัวผู้อื่นดูถูกเอาหรือ
“ผู้ใดกล้า!” หนิงเซ่าชิงโพล่งออกมาทันที
“เอาละๆ ไม่มีใครกล้าหรอก…”
“เจ้าเห็นสามีของตนเป็นคนเยี่ยงไร?”
สามี? เหอะ! มั่วเชียนเสวี่ยเห็นท่าทางของเขาที่ดูร้อนรนเช่นนั้น จึงคิดว่าเขาโกรธตนที่ดูถูกเขา นางจึงยิ้มออกมาอย่างเขินอายว่า “ขอบคุณเซียนเซิงนะเจ้าคะ!”
เมื่อหนิงเซ่าชิงได้ยินนางกล่าวขอบคุณ อีกทั้งยังเรียกเขาว่าเซียนเซิง ก็อึดอัดใจขึ้นไปกว่าเดิม
สตรีนางนี้ช่างน่าโมโหเสียจริง เขาบอกใบ้อย่างชัดเจนถึงเพียงนั้นแล้ว นางยังไม่เข้าใจหรือไร เขาหุบยิ้มลงแล้วจ้องไปยังนางด้วยท่าทางจริงจัง แต่เนิ่นนานทีเดียวก็ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา
กระทั่งที่สุด มั่วเชียนเสวี่ยคิดว่าเขามีเรื่องสำคัญใดจะกำชับหรือบอกนาง แต่จู่ๆ หนิงเซ่าชิงก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ลมอันอ่อนโยนพัดโชยผ่าน
“ต่อจากนี้เรียกข้าว่าเซ่าชิงดีหรือไม่”
ประโยคนี้ทำให้มั่วเชียนเสวี่ยทำตัวไม่ถูก นางหันไปทางด้านข้างแล้วพยักหน้าตอบว่า “อืม…”
โธ่ นางคิดว่ามีเรื่องใหญ่โตเสียอีก ที่ไหนได้ นางอยากจะเรียกชื่อเขามาตั้งนานแล้ว ที่ผ่านมาได้แต่เรียกว่าเซียนเซิงตลอด ทำให้นางรู้สึกราวว่าตนเป็นนักเรียนของเขาอย่างไรอย่างนั้น
ว่าแต่ ต่อจากนี้เวลาเขาสนทนากับนาง ขออย่าได้อ่อนโยนเช่นนี้เลยได้หรือไม่ ขออย่าได้เข้ามาใกล้เช่นนี้ด้วย อีกอย่าง เพียงแค่ต้องการให้นางเรียกชื่อ ทำไมจึงต้องทำเป็นเขินอายเพียงนี้ด้วย
“เจ้าลองเรียกดูสิ” หนิงเซ่าชิงเห็นว่านางเอนกายหนี จึงรู้สึกไม่พอใจนัก
“เซ่าชิง”
“อืม”
มั่วเชียนเสวี่ยเรียกเขาอย่างไม่เต็มใจเท่าไรนัก แต่หนิงเซ่าชิงกลับดูพออกพอใจ
“ยังมีอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญมากอยากจะบอกกับเจ้า…”
“ข้าฟังอยู่”
“วันนี้ข้าไปยังโรงสุราแห่งหนึ่งมา เถ้าแก่ของโรงสุราเป็นสหายเก่าข้า ข้าได้สนทนากับเขาอยู่เนิ่นนาน รอให้เจ้าเปิดร้าน สุราในร้านเขาจะเป็นผู้จัดหามาให้ โดยเขาจะนำของมาให้ก่อน เมื่อถึงปลายเดือนจึงจะเก็บเงิน หากว่าเจ้าขายไม่ได้ เขายังสามารถเอาของคืนกลับไปได้…”
“มีเรื่องดีเช่นนี้ด้วยหรือ”
เมื่อสองวันก่อน นางยังคิดไม่ตกว่าสุราหากจะซื้อเป็นไหก็แพงเหลือเกิน! เงินทุนนางมีจำกัด หากว่าซื้อมาแล้วไม่มีแขกเข้าร้านก็คงได้แต่เก็บเอาไว้เช่นนั้น หากว่าแบ่งรินเป็นจอก ก็จะดูไม่งาม ดูไม่มีราคา ซึ่งเรื่องนี้ทำให้นางปวดหัวยิ่งนัก
“เซ่าชิง เจ้าทำได้อย่างไรกัน เก่งที่สุดเลย” เมื่อจัดการปัญหานี้ได้ มั่วเชียนเสวี่ยจึงดีอกดีใจมากเสียจนพุ่งเข้าไปหอมแก้มขาวผ่องนั่น