เดิมที หนิงเซ่าชิงคิดว่ามั่วเชียนเสวี่ยวาดภาพพวกนั้น เพื่อเอาใจนิสัยประหลาดของท่านผู้เฒ่าถง เขาได้ยินมานานแล้วว่าท่านผู้เฒ่าถงชื่นชอบภาพวาด ชอบของหายากและของพิสดาร คิดไม่ถึงว่าคนที่เดินมาส่งจะเป็นบุรุษหนุ่ม
อธิบายได้เพียงอย่างเดียวก็คือ หลายวันที่ผ่านมานี้ ภาพวาดที่นางอดหลับอดนอนลืมกินข้าววาดออกมา กลับเพื่อ บุรุษหนุ่มคนนี้?
อิ่งซาไม่รู้ว่าคุณชายถงป่วยเป็นโรคอะไร ทว่าเขารู้ดี ดังนั้นวันนี้จึงปรามอิ่งซาไม่ให้เขาสืบต่อ เครือข่ายสายสืบของตระกูลหนิง ครอบคลุมไปทั่ว โดยทั่วไปมีเพียงไม่อยากรู้ ไม่มีเรื่องใดสืบไม่ได้
อาอู่! เขามัวแต่ทำอะไร มีบุรุษหนุ่มเดินมาส่งฮูหยินของตน แต่เขากลับไม่รายงาน เขาอยากตายหรือ
สตรีคนนี้ใช้ได้ที่ไหนกัน! เขาตามใจนางมากเกินไปแล้ว ให้นางทำตามอำเภอใจมากไปแล้ว ถึงได้…
ความเย็นยะเยือกบนตัวหนิงเซ่าชิง ทำให้อิ่งซาที่เพิ่งกลับมาจากสลัดองครักษ์ตระกูลถงถอยหลังสามก้าวอย่างรู้ตัว มองตามสายตาของนายท่าน เข้าใจทันที อดไม่ได้ที่จะพูดในใจ อาอู่ เจ้าภาวนาพระโพธิสัตว์ให้มากเถอะ!
อาอู่เห็นถงจื่อจิ้งเดินออกมาส่งฮูหยิน รู้สึกปวดร้าวไปทั้งใจ
เมื่อก่อนล้วนเป็นพ่อบ้านคอยส่งฮูหยินออกมา แต่วันนี้กลับเปลี่ยนเป็นคุณชายท่านนี้ แล้วเขาจะรายงานเจ้านายได้อย่างไร
……
หลังจากมั่วเชียนเสวี่ยกลับไปไม่นาน ซูชีหยิบพัดที่วาดรูปตัวละครหัวโตน่ารักออกมา มองดูรูปวาดที่มีความอ้อร้อเด่นชัด เก็บซ่อนเอาไว้ แล้วกล่าวลา
เขาไม่มีเหตุผลจะอยู่ต่อ ยิ่งไม่มีความกล้าที่จะอยู่ต่อ
รอยยิ้มนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถต้านทานได้
ทุกอย่างที่เขาทำนั้นล้วนเป็นการเสแสร้งแสดงออกมา ทว่า สิ่งที่เขาแสร้งทำนั้นเพื่อให้มั่วเชียนเสวี่ยดู เขาไม่อาจหลอกตัวเองได้
เขาจมดิ่งลงไปแล้ว ขืนอยู่ต่อไป เกรงว่าจะไม่อาจถอนตัวได้
หลังจากทานอาหารค่ำเสร็จ
พ่อบ้านมารายงานว่าวันนี้หลังจากคุณชายกินอาหารค่ำเสร็จ หยิบพู่กันขึ้นมา ทั้งแต่งแต้ม ทั้งวาดรูปลงบนภาพวาดที่หนิงเหนียงจื่อทิ้งเอาไว้
ทำให้ท่านผู้เฒ่าถงขุ่นเคืองอย่างมาก
นั่นคือรูปวาดอะไร พวกหัวโตที่ไม่เลื่องชื่อ คล้ายสัตว์และไม่คล้ายสัตว์? ควรคู่ให้บุตรชายของเขาวาด?
เขารีบหยิบภาพวาดที่มีชื่อเสียงซึ่งตนเก็บเอาไว้มานานออกมา บอกกับพ่อบ้านด้วยความร้อนใจ “เร็วเข้า นำภาพวาดเหล่านี้ไปให้คุณชาย ให้เขาวาดตาม แล้วทิ้งภาพวาดเหลวไหลของหนิงเหนียงจื่อซะ…”
พ่อบ้านถังไม่รับภาพวาดเหล่านั้น คุกเขาลงกับพื้น แล้วอ้อนวอน “นายท่าน ท่านไว้ชีวิตคุณชายเถอะขอรับ คุณชายชอบสิ่งใด ท่านให้คุณชายทำสิ่งนั้นเถอะขอรับ”
ท่านผู้เฒ่าถงได้ฟังแล้วหยุดชะงัก! มือที่ถือภาพวาดไว้ ปล่อยทันที
น้ำตารินไหล!
คือเขา? คนที่ไม่ไว้ชีวิตบุตรชาย?
ช่างเถอะๆๆ ปล่อยเขาไป ขอเพียงเขาสามารถใช้ชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดาก็พอแล้ว
จิตใจมนุษย์ช่างโลภนัก ตอนแรก เขาเพียงหวังให้บุตรชายสามารถนั่งเงียบๆ ตรงนั้นได้ ไม่หัวเราะโง่ๆ ไม่ฉีกผ้าและโยนถ้วยในทุกวันก็พอแล้ว
รอให้เขาอาการดีขึ้น เขากลับอยากให้บุตรชาย มีความสามารถในศาสตร์ทั้งหก[1] กลายเป็นคนที่ผู้อื่นกล่าวชมว่ามีความสามารถในชั่วข้ามคืน เขาต้องการเอาชนะมาตลอดทั้งชีวิต แต่กลับพบว่า “ชัยชนะ” ที่ต้องการนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ตนต้องการจริงๆ
หากไม่ใช่เพราะต้องการรักษาหน้าตาเกียรติยศ ตอนนั้นในตระกูลก็คงไม่มีอนุภรรยามากมายเช่นนั้น หากไม่ใช่เพราะต้องการเอาชนะ จิ้งเอ๋อร์ก็คงไม่เป็นเฉกเช่นทุกวันนี้
ภาพวาดตกลงบนพื้น พ่อบ้านถงรีบเก็บขึ้นมา นี่คือผลงานของผู้มีชื่อเสียงที่นายท่านหวงแหนมากที่สุด
ทว่าท่านผู้เฒ่าถงกลับหมุนตัวหันหลังโดยไม่รู้สึกตัว หันหลัง เดินห่อไหล่จากไป
ในชั่วครู่หนึ่งถงเหล่าคล้ายแก่ชรามากขึ้นสิบกว่าปี
เขาจะเก่งกาจเพียงใด ชีวิตนี้ก็ผ่านไปแล้ว รอเขาตาย ก็ต้องยกตระกูลถงให้จิ้งเอ๋อร์ เมื่อเทียบกับถึงเวลาที่ต้องเผชิญกับความแหลกสลาย ไม่สู้ให้เขาฝึกฝนตนเองตอนนี้
ตอนนี้ท่านผู้เฒ่าถงเริ่มคิดถึงคำพูดที่มั่วเชียนเสวี่ยฝากพ่อบ้านมาบอกตน
มนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ท่วมหัว ทว่าต้องมีความอดทน
มนุษย์ไม่จำเป็นต้องมีรูปโฉมงดงาม ทว่าต้องมีพละกำลังเพียงพอ
มนุษย์ไม่จำเป็นต้องเป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียง ทว่าต้องซื่อตรงและมีคุณธรรม
ให้เชิญอาจารย์มา แต่อย่าเอาแต่อ่านตำราอยู่ในห้องทั้งวัน จำให้ดีต้องทำงานและพักผ่อนอย่างสมดุลกัน
ตอนแรกที่ท่านผู้เฒ่าถงได้ยินพ่อบ้านถงบอกสิ่งที่นางกำชับรู้สึกไม่เห็นด้วยอย่างมาก คิดว่ารอให้ถงจื่อจิ้งหายดี ก็จะเชิญอาจารย์ที่มีความรู้ที่สุดมาสอนหนังสือให้เขา
ไม่ต้องมีความรู้ทว่ามหัว ไม่ต้องมีรูปโฉมงดงาม ไม่ต้องเป็นนักปราชญ์ที่มีชื่อเสียง ทั้งหมดล้วนเป็นความคิดของสตรี!
คนที่เขาเตรียมจะเชิญมาเลื่องชื่อด้านความเข้มงวด ดังคำกล่าวที่ว่าอาจารย์เข้มงวดศิษย์ประสบความสำเร็จ เขาจะให้จิ้งเอ๋อร์ของเขามากความสามารถ เขาจะกลับเมืองหลวง ลืมตาอ้าปากอีกครั้ง…
แต่ว่า ตอนนี้เขาไม่คิดแบบนั้นแล้ว เขาเริ่มเลือกอาจารย์ด้วยความตั้งใจ
บางที ‘ความคิดสตรี’ ของหนิงเหนียงจื่อ ก็ไม่ได้ผิด!
……
มั่วเชียนเสวี่ยเพิ่งเดินเข้ามาในเรือน คำสั่งเยือกเย็นดังมาจากด้านใน “อาซาน ไปทำลายเกวียนทิ้งเสีย!”
สิ้นเสียง โครมมม ทำเอามั่วเชียนเสวี่ยตกใจ นางหันกลับไปมองเกวียนที่พาตนกลับมาเมื่อครู่กลายเป็นเศษซาก
“หนิงเซ่าชิง ท่านเกิดบ้าอะไรขึ้นมา” มั่วเชียนเสวี่ยยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ตอนเช้าออกไปก็ยังดีๆ ไม่รู้ว่าหนิงเซ่าชิงเป็นอะไร จึงพูดด้วยความขุ่นเคือง “แน่จริงก็สั่งฆ่าวัวตัวนั้นด้วยเลยสิ…”
“คำพูดของฮูหยิน ตรงใจข้าเหลือเกิน อาซาน ฆ่าวัวตัวนั้นทิ้งด้วย” มั่วเชียนเสวี่ยยังไม่ทันพูดจบ เสียงเยือกเย็นของหนิงเซ่าชิงก็ดังขึ้น
ไม่ต้องให้อาซานลงมือ อาอู่ที่ยืนอยู่ใกล้วัวฟาดมือลงไป วัวตัวนั้นยังไม่ทันได้ร้องโอดครวญ ก็ล้มลงแล้ว
คราวนี้มั่วเชียนเสวี่ยตกตะลึง เกิดบ้าอะไรขึ้นมากันแน่
นางโกรธเคืองยิ่งนัก น้ำเสียงสั่นเทา “ท่าน…ท่าน…วัวตัวนี้ห้ามฆ่าโดยไม่ได้รับอนุญาต ท่าน…ท่านทำผิดกฎหมาย…” เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน มั่วเชียนเสวี่ยพูดจาเหลวไหลเล็กน้อย
อาอู่คุกเข่าลงแล้วรายงาน “ฮูหยิน หลายวันที่ผ่านมานี้ ออกเดินทางทุกวันจึงตายเองขอรับ หากไม่เชื่อ ฮูหยินให้คนมาตรวจได้” เขาย่อมรู้ดีว่าเหตุใดเจ้านายถึงโมโห
สิ่งที่อาอู่ทำในตอนนี้ คือกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรให้ตนหลุดพ้น
สำหรับฮูหยิน เจ้านายไม่มีวันทำอะไรฮูหยินแน่นอน
มั่วเชียนเสวี่ยฟังคำตอบของอาอู่ โมโหเลือดขึ้นหน้า เสียงของนางไม่สั่นเครือแล้ว “ได้ๆๆ พวกเจ้าร่วมมือกันรังแกข้า ใช่หรือไม่! ”
ไม่ถามให้แน่ชัด กลับมาก็ใช้อำนาจข่มนางต่อหน้าทุกคน ทำให้นางเสียหน้า
เขาทำเช่นนี้หมายความว่าอะไรกันแน่
เมื่อหลายวันก่อนยังหวานชื่น บอกว่าชีวิตนี้จะไม่มีวันเลิกราไม่มีวันทอดทิ้ง วันนี้กลับชักสีหน้าใส่นาง นี่มันอะไรกัน
[1] ศาสตร์ทั้งหก คือความความสามารถที่มหาบุรุษควรมี ได้แก่วิชามารยาทพิธี วิชาคีตดนตรี วิชายิงธนู วิชาขับรถม้าและวิชาอักขระวิธี