อาอู่ไม่ได้ตอบอะไรออกมา เขาเพียงแค่ส่งเสียง หึๆ ในลำคอแล้วมองไปทางนางด้วยสายตาเยือกเย็น ด้วยแววตาดุจดั่งมีดดาบอันลึกล้ำ ทำให้ประโยคที่นางกำลังจะกล่าวต่อไปนั้นติดอยู่ที่ลำคอ จึงทำได้เพียงกลืนมันลงไป
มั่วเชียนเสวี่ยเห็นนางเป็นเช่นนั้นจึงได้แต่ส่ายหน้า
อาซ้อจางช่างโง่เง่าเสียจริง บัดนี้ยังเอาแต่ปกป้องชายผู้นอกใจนางอยู่อีก หากจะจับตัวใครมามัด คนแรกคงจะต้องเป็นสามีของนางและต่อมาคือฟางเถาเอ๋อร์ต่างหาก
หญิงชั่วชายโฉดคู่นี้!
อาซ้อจางเห็นว่าไม่มีใครสนใจนาง จึงได้หันไปตะโกนด่าทอฟางเถาเอ๋อร์อีกว่า “นางแพศยา ตัวบรรลัย นางหน้าด้าน! เป็นเพราะเจ้าจึงทำให้เป็นเช่นนี้ คณิกาเช่นเจ้าไม่ควรจะมีชีวิตต่อไปเสียด้วยซ้ำ นางคนสกปรกโสมม เหตุใดจึงไม่ไปตายเสีย…หากเจ้ามีความต้องการล่ะก็ เหตุใดจึงไม่ไประบายกับสามีของตนเองเล่า มาอ่อยสามีข้าทำไม…”
ปากของนางด่าทอออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ระหว่างนั้นดูเหมือนฟางเถาเอ๋อร์ก็อยากจะโต้แย้ง แต่น้ำเสียงของนางดังสู้อาซ้อจางไม่ได้ อีกทั้งประสบการณ์ด้านการทะเลาะเบาะแว้งก็สู้อาซ้อจางไม่ได้
การด่าทอนับว่าเป็นทักษะอย่างหนึ่ง! ประโยคของอาซ้อจางเมื่อสักครู่ อาจทำให้ฟ้าดินยังต้องอับอาย อาจทำให้ปลาในน้ำต้องขาดหายใจ เนื่องจากประโยคเหล่านั้น คนธรรมดาทั่วไปคงไม่อาจรับได้
ใช้เวลาเพียงไม่นาน ฟางเถาเอ๋อร์ก็พ่ายแพ้อย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
มั่วเชียนเสวี่ยฟังสิ่งที่ออกมาจากปากของอาซ้อจางที่ไม่รู้จบจักสิ้นแล้ว นางก็อดนึกถึงภาพยนตร์เรื่องหนึ่งที่เคยดูในชาติก่อนไม่ได้ เป็นเรื่องที่นักแสดงด่าเสียจนโต๊ะเก้าอี้ปริออก ปลาในน้ำพากันว่ายหนีไปสี่ทิศสี่ทาง
ฟางเถาเอ๋อร์ก็เหลือเกินจริงเชียว จะแอบมีความสัมพันธ์กับผู้ใดก็ไม่เลือกสักหน่อย กลับไปแอบมีความสัมพันธ์กับสามีของอาซ้อจางผู้ดุเดือด นางรนหาที่ตายเองไม่มีผู้ใดช่วยได้
ครานี้ เมื่อจับผู้ร้ายได้คาหนังคาเขาและสอบสวน ไปๆ มาๆ ก็พอจะรู้เรื่องรู้ราวขึ้นมาบ้าง
เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้ มั่วเชียนเสวี่ยเองที่ขี่อยู่บนหลังเสือก็ยากจะลง ต่อให้นางไม่อยากสนใจคงไม่ได้แล้ว แต่คนกลุ่มนี้ไม่เพียงแต่ภายในไร้ศีลธรรม ร่างกายภายนอกยังเต็มไปด้วยหิมะ มั่วเชียนเสวี่ยไม่อยากจะทำให้รถม้าที่หนิงเซ่าชิงเพิ่งจะมอบให้นางต้องเลอะเทอะ
ดังนั้นนางจึงได้ส่งสายตาไปที่อาอู่ จากนั้นตัวนางก็เดินขึ้นรถไป
อาอู่จึงจับทั้งสองคนมัดเอาไว้ ผูกด้วยเชือกแล้วลากไปที่ม้าก่อนจะใช้แส้หวดม้า
เมื่อม้าถูกบังคับ มันจึงได้ลากสองคนนั้นไป ทำให้ทั้งสองจำเป็นต้องวิ่งตามหลังมันด้วยความรวดเร็ว “นี่! พวกเจ้าจะมัดข้าเช่นนี้ไม่ได้นะ…หยุดเดี๋ยวนี้…” จางเกินเป่าที่เมื่อครู่เพิ่งจะถูกอาอู่บิดตัวโยนขึ้นไปกลางอากาศ เขารู้สึกตกใจกับการกระทำของอาอู่เสียจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง เนิ่นนานทีเดียวที่ไม่อาจเอ่ยคำใดออกมาได้ บัดนี้ได้สติกลับคืนมาแล้วจึงวิ่งไปพลางตะโกนร้อง
“หนิงเหนียงจื่อ…รีบหยุดเร็วเถิด…พวกเจ้ามายุ่งเรื่องของชาวบ้านเช่นนี้ทำไม นี่คือเรื่องภายในครอบครัวของข้าหลี่ไคสือ ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะฆ่านางแพศยาและชายชู้นั่น” หลี่ไคสือเองก็ได้สติกลับคืนมาจากอาการมึนงง หลายวันมานี้เขาได้แต่เก็บความรู้สึกคับแค้นใจเอาไว้ แน่นอนว่าประโยคที่ออกมาจากปากจึงไม่มีคำใดที่ไพเราะ
อาซ้อจางหุบปากลง บัดนี้นางก็เป็นกังวลขึ้นมาเช่นกันและรีบวิ่งตามไปด้านหลังรถม้า
“หนิงเหนียงจื่อ พวกเจ้าทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบปล่อยตัวสามีข้าอีก”
ทำอะไรอยู่น่ะหรือ แน่นอนว่าข้าจะนำสองคนนี้มอบให้แก่หัวหน้าหมู่บ้าน แล้วส่งคดีสกปรกนี้ไปให้หัวหน้าหมู่บ้านกับเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลสอบสวนตัดสินน่ะสิ
การที่ได้เห็นหลี่ไคสือโชคร้ายเช่นนี้ อีกทั้งเห็นฟางเถาเอ๋อร์ต้องได้รับความทรมาน มั่วเชียนเสวี่ยจึงรู้สึกยินดีมีความสุขยิ่งนัก ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าบัดนี้นางรู้สึกตื่นเต้นบ้างเล็กน้อย
สมน้ำหน้าเจ้าหลี่ไคสือจริง! ส่วนฟางเถาเอ๋อร์นั้นช่วยไม่ได้ นางรนหาที่ตายเอง!
จางเกินเป่าและหลี่ไคสือถูกลากอยู่ด้านหลัง พวกเขาเปล่งเสียงออกมาไม่หยุด อาจเป็นเพราะเมื่อครู่ได้รับบทเรียนที่ในป่าอย่างขมขื่น บัดนี้พวกเขาวิ่งตามอยู่ด้านหลังจึงได้แต่เอ่ยร้องขอชีวิต ไม่กล้าที่จะสบถออกมา
“จงรีบมาแก้มัดข้าเร็ว” เมื่อจางเกินเป่าเห็นท่าทางอันเยือกเย็นของอาอู่ ส่วนมั่วเชียนเสวี่ยก็นั่งอยู่ในรถม้าโดยไม่แม้แต่จะชะโงกหัวออกมามอง เขาจึงหันกลับไปขอร้องอาซ้อจาง แต่อาซ้อจางสวมกระโปรงจึงทำให้วิ่งได้ไม่เร็วนัก นางวิ่งตามอยู่ด้านหลัง ไม่ว่าวิ่งอย่างไรก็วิ่งไม่ทันสักที
ด้วยเหตุนี้เอง ที่ถนนเส้นเล็กบนภูเขาจึงปรากฏฉากอันน่าแปลกขึ้น
รถม้าคันหนึ่งวิ่งอยู่ด้านหน้า โดยมีชายสองคนวิ่งตามหลังไป และด้านหลังของชายหนุ่มทั้งสองก็มีสตรีนางหนึ่งวิ่งตามอยู่พลางตะโกนเอ่ยร้องตลอดทาง
ฟางเถาเอ๋อร์ไม่ได้วิ่งติดตามมาด้วย ดูเหมือนจะถูกอาซ้อจางด่าทอเสียจนสติหลุดลอย นางจึงเดินตามมาด้านหลังอย่างช้าๆ แล้วหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
โชคดีที่บัดนี้อยู่ห่างจากหมู่บ้านหวังจยามิไกลแล้ว เดินทางเป็นเวลาอีกประมาณหนึ่งก้านธูป ฉากอันแปลกประหลาดนี้ก็ได้เข้าไปสู่หมู่บ้าน
การกระทำเหล่านี้ดึงดูดสายตาจากคนในหมู่บ้านมากมาย
หลังจากที่มั่วเชียนเสวี่ยไหว้วานให้คนแซ่หวังคนหนึ่งซึ่งพบกันระหว่างทางไปเชิญหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว อาอู่ก็ได้มุ่งหน้าต่อ พาพวกเขาเหล่านี้ไปที่หอบรรพชน
เพียงไม่นานต่อมา หัวหน้าหมู่บ้านและผู้อาวุโสของตระกูลหลายคนก็เดินทางมาถึง
เมื่อหลี่ปาพบว่าบุตรชายของตนถูกมัดไว้อยู่ในหอบรรพชน จึงได้ก้าวขึ้นไปแก้มัดเชือกให้แก่บุตรชายของตน คาดไม่ถึงว่าเมื่อหลี่ไคสือถูกแก้มัดก็ได้ต่อยหน้าจางเกินเป่าเข้าไปฉาดหนึ่งอย่างแรง
“หลี่ไคสือ! อยู่ในหอบรรพชนเจ้ายังกล้าทำเช่นนี้” หัวหน้าหมู่บ้านตะโกนออกมา คนที่อยู่ด้านข้างจึงได้รีบเข้ามาดึงตัวหลี่ไคสือออกไปแล้วกดเขาไว้ที่พื้น
หัวหน้าหมู่บ้านหันมาเอ่ยถามมั่วเชียนเสวี่ยด้วยน้ำเสียงเกรงอกเกรงใจว่า “หนิงเหนียงจื่อทำเช่นนี้ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลอันใด”
มั่วเชียนเสวี่ยยังไม่ทันจะอ้าปากตอบ อาซ้อจางก็ร้องไห้ขึ้นว่า
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้าน ได้โปรดมอบความยุติธรรมแก่ข้าด้วย”
หัวหน้าหมู่บ้านยังไม่ทันจะตอบอะไรนาง อาซ้อจางก่อได้เริ่มสาธยายว่า
“ฟางเถาเอ๋อร์มายั่วยวนจางเกินเป่าสามีข้า ทั้งสองกำลังทำเรื่องอันน่าอับอายระหว่างหญิงชายอยู่บนรถม้า และถูกข้าจับได้คาหนังคาเขา…ส่วนเจ้าหลี่ไคสือคนหน้าด้านนั่น ไม่เพียงแต่จะไม่ครุ่นคิดและกลับไปสั่งสอนนางแพศยานี้ ตรงกันข้ามกลับหันมาคิดจะฆ่าจางเกินเป่าสามีข้า”
“…เกินเป่าของข้า ถูกใส่ร้ายนะเจ้าคะ เพราะนางหญิงโสโครกหน้าด้านผู้นั้นมายั่วยวนเกินเป่าของข้า… เกินเป่าสามีข้ากำลังถูกใส่ร้าย”
การกล่าวอย่างไร้สาระของนางนี้ กลับเล่าถึงความเป็นจริงเหล่านั้นออกมาได้อย่างชัดเจน
เนื่องจากในวันนี้มีการเปิดหอบรรพชนเพื่อสอบสวนปากคำ เวลาผ่านไปเพียงชั่วครู่ ด้านในหอบรรพชนจึงเต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
อาซ้อบางคนได้ยินอาซ้อฟางกล่าวออกมาว่าสามีของตนกำลังถูกใส่ความ จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นแล้วกล่าวว่า “เกินเป่าของเจ้าไม่ได้ถูกใส่ความหรอก เมื่อครั้งก่อนอาซ้ออวิ๋นก็เล่าว่าเขาทำเรื่องน่าอายอย่างว่ากับสตรีนางอื่นบนรถม้า”
“นั่นสิ ได้ยินมาว่าอยู่ในป่าเขาเสียด้วย พวกเขาทำสงครามกันบนรถม้ากันอย่างงั้นหรือ…ได้ยินว่ารถม้าสั่นคลอนเสียจนพังไปหลายครั้งเชียว…”
“ได้ยินมาว่าในวันนั้น อวิ๋นเหนียงจื่อกับเสี่ยวเหลยเห็นพร้อมกันทั้งสองคน คงไม่ผิดแน่”
“คาดไม่ถึงว่าจะถูกเปิดโปงรวดเร็วเช่นนี้ ถูกเจ้าแม่จอมหึงหวงจับได้คาหนังคาเขา…”
“วันนั้นอวิ๋นเหนียงจื่อยังรู้สึกเสียดายที่มองไม่ชัดว่าฝ่ายหญิงหน้าตาเป็นเช่นไร แต่ก้นขาวผ่องของเกินเป่าปรากฏขึ้นตรงหน้า สองตาของนางเห็นจนเป็นตากุ้งยิง”
“ฟางเถาเอ๋อร์ก็ช่างเหลือเกิน ในวันนั้นนางแอบมีความสัมพันธ์กับหลี่ไคสือที่บ้านอาจารย์หนิง บัดนี้ แต่งงานกันได้ยังไม่ถึงหนึ่งเดือนก็แอบมีความสัมพันธ์กับผู้อื่น ช่างเป็นสตรีที่หน้าด้านหน้าทนเหลือเกิน!” เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ยังมีผู้ใดไม่เข้าใจอีกเล่า
แน่นอนว่าฟางอู่เคยได้ยินเรื่องราวเหล่านี้มาแล้วก่อนหน้า เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าสตรีผู้นั้นที่ไม่มีใครมองเห็นชัดเจนจะเป็นบุตรสาวของเขาเอง บัดนี้สีหน้าของเขาจึงมืดมนลง
ใบหน้าของหลี่ปาก็ย่ำแย่เช่นกัน
เรื่องราวของบุตรชายกำลังจะถูกเปิดโปง สวนสะใภ้ก็เป็นผู้ที่ถูกจับว่าเป็นชู้กับสามีคนอื่นคาหนังคาเขา
“ทุกคนเงียบเสียงลง” หัวหน้าหมู่บ้านตะโกนออกมา จากนั้นชี้ไปทางอาซ้อจางกล่าวว่า “จงเล่าให้ข้าฟังตั้งแต่แรกเริ่ม อย่ามัวแต่สะอึกสะอื้น เล่าออกมาดีๆ”
จางเกินเป่ารู้ถึงนิสัยของอาซ้อจางดี ตัวเขาที่ค่อนข้างตรงไปตรงมาจึงได้รีบร้อนขึ้น หันไปตะคอกกับอาซ้อจางว่า “เจ้าหนังหน้าเหี่ยวย่น ยังไม่รีบกลับบ้านอีกหรือ หากเจ้ากล้ากล่าววาจาไร้สาระอีก คอยดูเถิดเมื่อข้ากลับไปแล้วจะหย่ากับเจ้า”