คิ้วสวยขององค์หญิงฉังผิงขมวดมุ่น มองเห็นว่าคนที่เข้ามาเป็นหมิงฉินสาวใช้ข้างกายหนานกงมั่วยิ่งตกใจ รีบเอ่ยถาม “เกิดอันใดขึ้นกับอู๋สยาหรือ”
หมิงฉินเอ่ย “องค์หญิง จวิ้นจู่…จวิ้นจู่เป็นลมเพคะ”
องค์หญิงฉังผิงลุกขึ้นยืนทันที “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ อยู่ดีๆ ไยจึง…” พระชายเยี่ยนอ๋องรีบเอ่ย “น้องห้า ไปดูก่อนเถิด เชิญหมอหรือยัง”
หมิงฉินรีบพยักหน้า เอ่ย “ส่งคนไปตามหมอแล้วเพคะ”
องค์หญิงฉังผิงครุ่นคิด เอ่ย “ส่งคนออกนอกเมือง ไปเชิญคุณชายเสียนเกอมาด้วย” ไม่ใช่ว่าองค์หญิงฉังผิงกลัวหนานกงมั่วจะป่วยหนักแต่อย่างไร เพียงแต่นางรู้ถึงความสัมพันธ์ของลูกสะใภ้และอาจารย์ อาจารย์อา และคุณชายเสียนเกอดี ยามนี้เรียกได้ว่าหนานกงมั่วไม่มีใครแล้ว อู๋สยาป่วยอย่างไรก็ต้องบอกกับคุณชายเสียนเกอบ้างจึงจะถูก อีกอย่างวิชาการแพทย์ของอู๋สยานั้นไม่ได้แย่ ทว่ากลับเป็นลมไปได้องค์หญิงฉังผิงรู้สึกกังวลขึ้นมา มีคุณชายเสียนเกออยู่นางจึงวางใจได้บ้าง
หมิงฉินพยักหน้า รีบหมุนตัวออกไป
“น้องห้า พวกเราไปดูกันเถิด” พระชายาเยี่ยนอ๋องเอ่ย
องค์หญิงฉังผิงพยักหน้า ทั้งสองเดินตามหลังกันตรงไปยังเรือนหน้า
ห้องหนังสือเรือนหน้ามีคนรุมล้อมมากมาย หนานกงมั่วนอนนิ่งอย่างอ่อนแรงอยู่บนเก้าอี้ยาวในห้องหนังสือ ใบหน้าสวยซีดเซียวทว่าใบหน้าดูอ่อนแออย่างไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ซิงเฉิงจวิ้นจู่คงจะมีเพียงเวลาเช่นนี้ที่ทำให้คนรู้สึกถึงความอ่อนแอ เพียงดวงตาคู่นั้นเปิดขึ้น ผู้คนบนโลกคงหวาดกลัวจนมองข้ามใบหน้างดงามของนางไป
เซียวเชียนชื่อยืนอยู่ด้านข้าง มองสำรวจอย่างร้อนใจ
“ท่านหมอ พี่สะใภ้เป็นอะไรกันแน่” หากพี่สะใภ้เป็นอะไรไป…เซียวเชียนชื่อคิดว่าตนคงต้องหาพื้นที่ฝังตนเองได้แล้ว เขาจินตนาการไม่ออกเลยจริงๆ ว่าตนเองจะเผชิญหน้ากับเสด็จพ่อและอธิบายต่อพี่ชายอย่างไร
ท่านหมออายุเกินครึ่งร้อยตรวจชีพจร พร้อมกับลูบเครา เซียวเชียนชื่อร้อนใจจนอยากผลักเขาออกแล้วตรวจชีพจรเองเสียเลย
“อู๋สยาเป็นอย่างไรบ้าง” ด้านนอกมีเสียงพระชายาเยี่ยนอ๋องดังขึ้น ทุกคนรีบหันกลับไป “ถวายพระพรเสด็จแม่ เสด็จอา”
“ถวายพระพรพระชายา ต้าจั่งกงจู่”
องค์หญิงฉังผิงเดินเข้าไปในห้องหนังสือ รีบเดินไปหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ยาว เอ่ยถาม “ท่านหมอ อู๋สยาเป็นอันใดกันแน่”
หมอยกมือขึ้นประสาน เอ่ย “ทูลองค์หญิง จวิ้นจู่ไม่มีอันใดน่าเป็นห่วงพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มีอันใดน่าเป็นห่วงแล้วจะเป็นลมไปได้เยี่ยงไร อู๋สยาฝึกวรยุทธ์ วิชาการแพทย์ของตนก็ไม่เลวนี่นา” องค์หญิงฉังผิงเอ่ยอย่างไม่เชื่อนัก หมอเอ่ยตอบ “คงเป็นเพราะจวิ้นจู่เหนื่อยเกินไปพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงฉังผิงก้มลงมองคนที่นอนอยู่บนเตียง กัดฟันเอ่ย “ต้องโทษพี่สาม อู๋สยาเป็นสตรี เรื่องเหล่านี้โยนให้อู๋สยาและเชียนชื่อจะรับไหวได้เยี่ยงไร ดูสิ ยังไม่ทันไรก็ผอมถึงเพียงนี้แล้ว จวินเอ๋อร์กลับมาข้าจะบอกกับเขาอย่างไร”
พระชายาเยี่ยนอ๋องรีบจับองค์หญิงฉังผิงเอาไว้พร้อมเอ่ยปลอบ “น้องห้า อย่าพึ่งใจร้อน ท่านหมอบอกแล้วมิใช่หรือ อู๋สยาไม่เป็นไร พักผ่อนระยะเวลาหนึ่งเดี๋ยวก็ดีขึ้น”
เซียวเชียนชื่อยิ้มขมขื่น “เสด็จแม่ เกรงว่าพี่สะใภ้…คงไม่มีเวลาพักผ่อนพ่ะย่ะค่ะ” พอถึงฤดูหนาว จวนเยี่ยนอ๋องมีธุระมากมาย ก่อนหน้านี้เซียวเชียนชื่อมักคิดว่าเพราะเสด็จพ่อไม่เชื่อใจตนเองหรือถึงไม่ยกหน้าที่ดูแลธุระต่างๆ ให้กับเขา ตอนนี้จึงเข้าใจ เขามีความสามารถไม่มากพอ หากไม่มีพี่สะใภ้อยู่ ช่วงนี้คงยุ่งไปจนหัวหมุน
พระชายาเยี่ยนอ๋องปรายตามองบุตรชายของตน เอ่ยอย่างไม่พอใจ “นั่นเป็นเรื่องของบุรุษเช่นพวกเจ้า พี่สะใภ้เจ้าเหนื่อยเพียงนี้เจ้ายังกล้าบอกว่าไม่ว่าง ไปคุยกับเสด็จพ่อของเจ้าเสียสิ”
เซียวเชียนชื่อลูบปลายจมูก หากเขากล้าคุยกับเสด็จพ่อ พวกเขาคงไม่ต้องยุ่งอย่างเช่นทุกวันนี้หรอก
องค์หญิงฉังผิงส่งเสียงหยัน “ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้ รออู๋สยาตื่นแล้วข้าจะพานางกลับเรือนชิงมั่ว”
“เสด็จอา…” เซียวเชียนชื่อแทบร้องไห้
“อะแฮ่ม” หมอที่ถูกละเลยกระแอมไอขึ้นมาดึงสายตาของทุกคน เอ่ย “นอกจากนี้…ยินดีกับองค์หญิง จวิ้นจู่ตั้งครรภ์ได้เกือบสามเดือนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ห้องหนังสือเงียบสนิท พระชายาเยี่ยนอ๋องได้สติเร็วกว่าใคร “เจ้าบอกว่า…อู๋สยาตั้งครรภ์อย่างนั้นหรือ”
หมอพยักหน้า เอ่ย “หากกระหม่อมตรวจดูไม่ผิด คงเป็นเช่นนั้นพ่ะย่ะค่ะ”
“…” สรุปว่าหมอผู้นี้เชื่อถือได้หรือไม่
องค์หญิงฉังผิงนิ่งอึ้ง เนิ่นนานกว่าจะได้สติกลับมา เอ่ย “อู๋สยา…อู๋สยาตั้งครรภ์อย่างนั้นหรือ”
ทุคนมองหมอด้วยความโกรธ เรื่องแบบนี้ควรบอกก่อนมิใช่หรือ
หมอชราลูบเคราของตนเอง เขานึกว่าคนเหล่านี้อยากรู้ว่าจวิ้นจู่ไม่เป็นไรมากกว่านี่นา อีกทั้ง…จวิ้นจู่ฝึกวรยุทธ์ ชีพจรแตกต่างไปจากสตรีทั่วไป เขาต้องตรวจให้ละเอียด
“เยี่ยมไปเลย…” องค์หญิงฉังผิงดีใจเป็นที่สุด มองหนานงมั่วที่นอนอ่อนแออยู่บนเก้าอี้ตัวยาวด้วยความห่วงใย “จริงๆ เลย…มีลูกแล้วยัง…ท่านหมอ อู๋สยาไม่เป็นไรจริงหรือ”
หมอโบกมือเอ่ย “จวิ้นจู่ร่างกายแข็งแรง แม้แต่การแพ้ท้องก็น้อยกว่าคนทั่วไป ดังนั้นจึงทำให้ไม่รู้ได้ เพียงแต่ อย่างไรก็ต้องดูแลให้ดี ไม่อาจทำงานหนักจนเกินไป”
“ได้ พวกเราจะจำเอาไว้” องค์หญิงฉังผิงเอ่ยตอบ ต่อให้อู๋สยาอยากทำงานนางก็ไม่มีทางยอมแน่ นี่เป็นหลานคนแรกของนางนะ
พระชายาเยี่ยนอ๋องเองก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รีบไปแจ้งข่าวให้ท่านอ๋อง”
“เพคะ พระชายา” จวิ้นจู่ตั้งครรภ์แล้วแน่นอนว่าเป็นเรื่องน่ายินดี บ่าวรับใช้เองก็หน้าชื่นตาบานรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว พระชายาเยี่ยนอ๋องมองเซียวเชียนชื่อ เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่เชื่อ ว่าท่านอ๋องยังจะกล้าให้หลานสะใภ้ที่กำลังตั้งครรภ์ว่าราชการแทนพระองค์”
เดิมพระชายาเยี่ยนอ๋องก็โกรธที่เยี่ยนอ๋องไม่สนการปกครองเอาแต่อยู่กับกงเสี่ยวเตี๋ยที่เรือนเตี๋ย เพียงแต่นานไปจึงชินแล้ว ไม่ว่ากงเสี่ยวเตี๋ยผู้นั้นจะเป็นที่โปรดปรานเพียงใดอย่างไรนางก็เป็นพระชายา บุตรชายของนางเป็นซื่อจื่อ นางและเยี่ยนอ๋องก็ไม่ได้มีความรู้สึกต้องรักกันตราบนานเท่านานแล้ว ชายารองหรืออนุเองก็ไม่ใช่กงอวี้เฉินมาถึงได้มี ต่อให้หึงหวงก็ต้องมีขีดจำกัด แม้เยี่ยนอ๋องจะโปรดปรานกงเสี่ยวเตี๋ย ทว่าไม่ใช้งานสองพี่ชายของกงเสี่ยวเตี๋ยอีก ทว่ามอบหมายงานบ้านงานเมืองให้แก่เซียวเชียนชื่อและหนานกงมั่ว สตรีเรือนหลังเพียงคนเดียว สามารถกระพือคลื่นใหญ่อันใดได้หรือ
เมื่อก่อนพระชายาไม่เข้าใจ แต่เมื่อเข้าใจแล้วพระชายาเยี่ยนอ๋องก็นิ่งสงบลง
หนานกงมั่วตื่นขึ้นมา บิดขี้เกียจก่อนจะลืมตาขึ้นมา การนอนหลับครั้งนี้ช่างสบายเหลือเกิน หลายวันมานี้ยุ่งจนมืดฟ้ามัวดิน ไม่รู้ทำไมถึงได้หลับไป
เมื่อลืมตาขึ้นมาก็สบเข้ากับดวงตาคู่นั้นที่คล้ายจะยิ้มทว่าไม่ยิ้มของคุณชายเสียนเกอ
“ศิษย์พี่ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้เยี่ยงไรหรือเจ้าคะ”
คุณชายเสียนเกอส่งเสียงหยัน ยกมือขึ้นเคาะไปที่ศีรษะของนาง หนานกงมั่วเบี่ยงศีรษะหลบและจับข้อมือของคุณชายเสียนเกอเอาไว้ เขาจึงเคาะไม่ถึง คุณชายเสียนเกอยิ้มจนตาหยี เอ่ย “ตอนนี้ข้ารู้แล้ว ตอนที่อาจารย์ลุงเห็นเจ้า คงรู้สึกเหมือนตอนที่อาจารย์เห็นข้ากระมัง รอแทบไม่ไหวที่จะรับเจ้าเป็นศิษย์”