ตอนที่ 165 ทูตสวรรค์แห่งตำหนักเซียน แล้วเจ้าจะเอาอย่างไร!
ตู้มมมม!
จู่ ๆ ในวันนี้ พลังปราณฟ้าดินอันยิ่งใหญ่ก็เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ราวกับคลื่นจากทะเลที่โหมกระหน่ำและกวาดไปทั่วทั้งแคว้นเซียน!
“เกิดเหตุอันใดขึ้น?”
ด้วยการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ ทำให้หนิงฝานผู้ที่กำลังฝึกฝนยุทธ์อยู่พลันรู้สึกตัวขึ้น!
ผู้ได้จะล่วงรู้ว่า เขาได้คำนวณวันที่พลังปราณทั้งหมดของแคว้นรกร้างจะสามารถฟื้นฟูกลับมาได้เอาไว้แล้ว และวันนั้นที่ห่างจากวันนี้ นับจากร้อยปีมาก็เหลือเพียงแค่สองปีสุดท้ายเท่านั้น!
“หรือว่าพลังจิตวิญญาณของแคว้นรกร้างจะฟื้นฟูได้เต็มที่เร็วมากกว่ากำหนด หากเป็นเช่นนั้นจริง ปัญหาใหญ่ก็จะเกิดขึ้น!”
สีหน้าของหนิงฝานหนักอึ้ง!
แม้ว่าตอนนี้เขาจะมาถึงกึ่งเซียนก้าวที่ห้าแล้ว แต่การฝึกฝนเช่นนี้ ยังคงไม่เพียงพอที่จะเรียกได้ว่า ตัวตนไร้เทียมทานในแคว้นเซียน!
หากเวลานี้ กองกำลังแห่งแคว้นเซียนหันความสนใจไปยังแคว้นรกร้าง เช่นนั้นราชวงศ์เทพขนนกก็คงได้พบกับหายนะเป็นแน่!
เพื่อให้ชัดเจนว่าแหล่งที่มาของการเปลี่ยนแปลงนี้ใช่ของแคว้นรกร้างหรือไม่ หนิงฝานออกคำสั่งให้คนของสำนักเซียนกระบี่ไปตรวจสอบทันที!
ในไม่ช้า เหล่าผู้อาวุโสก็ส่งข่าวกลับมา!
“ท่านเจ้าสำนัก การเปลี่ยนแปลงนี้มาจากภายในของแคว้นเซียน ลือกันว่ามีผู้ฝึกยุทธ์เผลอเปิดแดนลับโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ส่งผลกระทบไปทั่ว!”
หลังจากรู้ข่าวนี้ หนิงฝานก็แอบถอนหายใจออกมา!
ขอเพียงแค่มิใช่การสั่นสะเทือนจากการที่แคว้นรกร้างฟื้นฟูพลังพลังจิตวิญญาณฟ้าดินก็เพียงพอแล้ว เช่นนั้นเขายังคงมีเวลาเตรียมการอยู่บ้าง!
แน่นอนว่า เวลาก็ค่อย ๆ ไล่ตามมาแล้ว!
คิดได้เช่นนั้น หนิงฝานก็กลับไปฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง
ส่วนในเรื่องของสิ่งที่เรียกว่าแดนลับนั้น เขาก็มิได้สนใจอะไร
แต่ผ่านไปได้ไม่นาน
ทันใดนั้นก็มีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยือนถึงสำนักเซียนกระบี่
อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มรูปงามในชุดคลุมแบบจีน ใบหน้างดงามราวกับหยก สายตาดูเย็นชา และสิ่งที่สะดุดตาของผู้คนมากที่สุดก็คือ รูปภาพตำหนักเมฆหมอกที่ถูกปักเอาไว้บนเสื้อคลุมตรงหน้าอกนั้น
“ผู้ใดกัน?” เมื่อเห็นผู้มาเยือน ศิษย์ที่คอยพิทักษ์ประตูภูเขาสำนักเซียนกระบี่ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา พร้อมกับขวางทางเอาไว้ด้วยท่าทางที่ดูภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง!
ยามนี้ ชื่อเสียงของหนิงฝานโด่งดังไปทั่วทั้งแคว้นเซียน และสำนักเซียนกระบี่ก็ยังเป็นผู้นำของทั้งแปดสำนัก แน่นอนว่าศิษย์ผู้พิทักษ์ภูเขาอยู่นี้ก็รู้สึกถึงความเหนือกว่า
“อวดดีเสียจริง!”
“ข้าคือทูตสวรรค์แห่งตำหนักเซียน พวกเจ้าเป็นเพียงคนธรรมดา ๆ กลับกล้ามาขวางทางข้ารึ!”
อย่างไรก็ตาม ชายหนุ่มในชุดคลุมกลับเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา ทั่วทั้งร่างระเบิดพลังปราณสูงสุดของเทพสูงสุด และกวาดไปยังศิษย์ผู้พิทักษ์ภูเขาโดยตรง!
“หา!”
“ทูตสวรรค์แห่งตำหนักเซียน!”
เหล่าศิษย์ผู้พิทักษ์ภูเขาร้องออกมาด้วยความตกใจ ความเย่อหยิ่งในดวงตาหายไปในทันที และตอนนี้กลับกลายเป็นความหวาดกลัวแทน!
กองกำลังชั้นหนึ่งแห่งแคว้นเซียนที่เรียกว่า หนึ่งตำหนัก สามขุนเขา ห้าพรรค แปดสำนัก!
หนึ่งตำหนักนั้นคือ ตำหนักที่ชายหนุ่มในชุดคลุมพูดขึ้น ก็คือตำหนักเซียนนั่นเอง!
เหตุผลที่ตำหนักเซียนถูกเรียกว่า ‘หนึ่งตำหนัก’ นั้นก็เพราะมันอยู่ในแนวหน้าของสามขุนเขา ห้าพรรค แปดสำนัก และเพราะว่าตำหนักเซียนเป็นกองกำลังชั้นหนึ่งที่แข็งแกร่งมากที่สุดในแคว้นเซียน ครั้งหนึ่งเพียงแค่เดินออกมาก็มีแต่ขอบเขตเซียนธุลีสีชาด!
“ผู้ใดกันที่กล้ามาบุกรุกประตูภูเขาแห่งสำนักเซียนของข้า!” ในเวลานี้ ชายหนุ่มในชุดคลุมได้ปล่อยพลังปราณเทพสูงสุดออกมา ดึงดูดให้ผู้อาวุโสแห่งสำนักเซียนกระบี่ทั้งสองคนออกมา
และทันทีที่พวกเขาเห็นรูปภาพตำหนักที่ปักอยู่กลางอกของชายหนุ่มผู้นั้น ก็ต่างพากันตื่นตกใจ ‘ตำหนักเซียน!’
“ฮ่า ๆ ยังดีที่คนชราอย่างพวกเจ้าสองคนยังพอรู้ความอยู่บ้าง!”
เมื่อเห็นท่าทางตื่นตกใจของผู้อาวุโสทั้งสองคนนี้ ชายหนุ่มในชุดคลุมก็ดูพอใจและพยักหน้า
สำหรับผู้คนของตำหนักเซียน แน่นอนว่าผู้อาวุโสทั้งสองย่อมไม่กล้าดูแคลน พวกเขารีบยกกำปั้นประสานขึ้นพร้อมถามในทันที “ไม่ทราบว่าตำหนักเซียนมาเยือนถึงสำนักเซียนกระบี่ มีเหตุอันใดหรือ?”
ชายหนุ่มในชุดคลุมยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “ข้า ฮวาเทียนหยาง ทูตสวรรค์จากตำหนักเซียน วันนี้มาที่นี่เพราะหนิงฝาน เจ้าสำนักคนใหม่แห่งสำนักเซียนกระบี่ ไปเรียกเขาออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”
ได้ยินเช่นนั้น ผู้อาวุโสทั้งสองคนก็ขมวดคิ้วขึ้นทันที
ตำหนักเซียนเป็นกองกำลังชั้นหนึ่งที่แข็งแกร่งมากที่สุดในแคว้นเซียนก็จริง แต่คนผู้นี้เป็นเพียงทูตระดับเทพสูงสุดเท่านั้น พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ มาที่นี่เพื่อทำธุระให้กับตำหนักเซียน ด้วยท่าทางที่หยิ่งยโสเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมทำให้คนทั้งสองไม่พอใจ
หนึ่งในนั้นมีผู้อาวุโสที่อารมณ์ร้อนมากอยู่ท่านหนึ่ง เลยอดไม่ได้ที่จะตวาดกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้า! ท่านหนิงฝานเป็นเจ้าสำนักเซียนกระบี่ของพวกข้า และเป็นถึงกึ่งเซียนผู้แข็งแกร่ง เหตุใดเจ้าถึงไร้มารยาทเพียงนี้!”
“บังอาจ!”
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน ถึงได้กล้าพูดว่าข้าไร้มารยาท ตบปากบัดเดี๋ยวนี้!”
แต่แล้วเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ฮวาเทียนหยางพลันขมวดคิ้วมุ่น และตบผู้อาวุโสที่พูดทันที!
เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว ผู้อาวุโสพลันตระหนกยิ่ง และรีบกระตุ้นพลังระดับเทพสูงสุดของตนเองขึ้นมาเพื่อต่อต้าน แต่พลังการตบนั้นราวกับว่าเป็นพลังแห่งเทพเซียนที่บดขยี้และทำลายพลังทั่วทั้งร่างกายของเขา หลังจากนั้นก็ทุบตีผู้อาวุโสจนลอยออกไป
“เจ้า!”
ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งบันดาลโทสะทันที โดยไม่รอให้เขาได้พูดอะไร ฮวาเทียนหยางก็ตบเขาอีกครั้ง
“เจ้ามีปัญหาอันใด?”
เพียะ!
ผู้อาวุโสผู้นี้พ่ายแพ้จนต้องเหาะออกไป
หลังจากที่ทั้งสองคนทะยานหนีไป ฮวาเทียนหยางก็ปัดมืออย่างขยะแขยง ราวกับว่าผู้อาวุโสทั้งสองที่หนีไปนั้นเป็นเหมือนแมลงวันสองตัว
จากนั้นเขาเริ่มฟื้นฟูตันเถียนและพูดขึ้นว่า “หนิงฝาน เจ้าสำนักเซียนกระบี่ ออกมาคำนับ…”
เพียะ!
ทว่าในเวลานี้เอง ฮวาเทียนหยางยังไม่ทันพูดจบ แรงตบราวกับสายฟ้าฟาดก็ซัดเข้าใส่หน้าของเขาในทันที ด้วยพลังอันมหาศาลนี้ ทำให้ทั้งตัวของเขาล่าถอยออกไป ระหว่างนั้นทั้งฟันและเลือดที่ผสมกันก็กระเด็นออกมาด้วย
หวด!
พลันร่างในชุดคลุมธรรมดา ๆ ปรากฏตัวขึ้น เป็นหนิงฝานที่มาถึงแล้ว ทว่าสายตาของเขาเย็นเยียบยิ่ง
“อ๊าก!”
“บังอาจ!”
“เจ้าเป็นผู้ใดกัน ถึงได้กล้าลงมือกับข้า!”
ฮวาเทียนหยางกุมหน้าของตัวเองแล้วลุกขึ้น ทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว
ตำหนักเซียนเป็นถึงกองกำลังชั้นหนึ่งแห่งแคว้นเซียน เป็นที่น่าเกรงขามไปทั่วทั้งแคว้นเซียน และเขาเองก็เป็นถึงทูตสวรรค์แห่งตำหนักเซียน ไม่ว่าจะไปที่แห่งหนใด ผู้คนต่างพากันเคารพยำเกรง ต่อให้เป็นกึ่งเซียนผู้แข็งแกร่งก็ต้องยอมอ่อนน้อมต่อเขา!
ทว่าตอนนี้ กลับมีคนกล้าตบเขา!
ซ้ำยังตบเขาจนปลิว เท่ากับว่ากำลังตบหน้าตำหนักเซียนด้วย!
“หึ! กล้ามาทำพฤติกรรมต่ำช้าเช่นนี้ในสำนักของข้า หากไม่ให้ตบเจ้าแล้วจะให้ตบผู้ใด!”
หนิงฝานพูดขึ้น พร้อมกับตบหน้าฮวาเทียนหยางอีกครั้ง!
เพียะ!
เห็นเช่นนั้นแล้ว ทั่วทั้งร่างกายของฮวาเทียนหยางก็ปะทุออกด้วยพลังเทพสูงสุด แต่ก็ยังคงไม่สามารถรับมือกับแรงตบนั้นได้ ทำให้ร่างของเขากระเด็นออกไป และอาเจียนออกมาเป็นเลือดอีกครั้ง
“บังอาจ!”
“เจ้ามิรู้หรือว่า ตัวข้าคือทูตสวรรค์แห่งตำหนักเซียน!” ฮวาเทียนหยางตะโกนออกมาอย่างมีโทสะ!
“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นใคร! กล้ามาทำตัวต่ำช้าในสำนักเซียนกระบี่ของข้า เจ้าสำนักอย่างข้าก็จะทุบตีเจ้าให้ตาย!”
สิ้นเสียงนั้น หนิงฝานก็ตรึงฮวาเทียนหยางให้ลอยอยู่กลางอากาศ และเริ่มตบอีกฝ่ายเรื่อย ๆ อย่างไม่คิดยั้งมือ!
เพียะ! เพียะ! เพียะ!
ภายนอกประตูภูเขาก็บังเกิดเสียงตบดังเพียะอย่างไม่มีที่สิ้นสุดดังขึ้น ผสมกับเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของฮวาเทียนหยาง
“อ๊าก! ข้าคือคนของตำหนักเซียน…”
“ทูตสวรรค์ ข้าคือทูตสวรรค์…”
“อ๊ะ! อย่า! อย่าตี ข้าได้รับคำสั่งจากท่านเจ้าตำหนักเซียนว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องการหารือ…”
“พวกข้าพบว่า… แดนลับ… เชิญให้… เปิดออก…”
“ข้าฮึกฮึกฮึก… ฮึกฮึกฮึก…”
เสียงของฮวาเทียนหยางค่อย ๆ เล็กลง และค่อย ๆ อ่อนแรงลง
“ท่านเจ้าสำนัก หยุดตีเถิด หากยังคงตีต่อไป เขาคงจะตายตกเป็นแน่!”
ท้ายที่สุดก็มีผู้อาวุโสสองคนก้าวขึ้นมาเพื่อหยุดหนิงฝาน
หนิงฝานจึงได้ปล่อยฮวาเทียนหยางไป!
ยามนี้ ฮวาเทียนหยางหมดสติไปแล้ว ตาของเขาบวมและเต็มไปด้วยรอยฝ่ามือ ใบหน้าหล่อเหล่าของเขาปูดบวมจนดูไม่ได้ เลือดออกจากจมูกและปาก ฟันหายไปมากกว่าครึ่ง ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง นับว่าดูน่าอนาถโดยแท้!
“โยนมันออกไป!”
ด้วยคำสั่งของหนิงฝาน เหล่าศิษย์พิทักษ์ภูเขาก็นำตัวของฮวาเทียนหยางที่หมดสติโยนลงไปจากภูเขา
หนิงฝานที่กำลังหันหลังกลับและจากไป อยู่ดี ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่า “จริงสิ เมื่อครู่นี้เขาบอกว่ามาหาข้าด้วยเรื่องอันใดกันรึ?”
ฝูงชนต่างพากันส่ายหน้า
“ช่างเถอะ!”
เห็นเช่นนั้น หนิงฝานก็ทำราวกับว่าไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นและจากไปในทันที