เว่ยจวินมั่วขมวดคิ้ว เดินออกไปพร้อมเอ่ยถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้น ชวีเหลียนซิง หากอู๋สยาตื่นแล้วบอกนางว่าข้าไปจวนเยี่ยนอ๋อง ไม่นานจะกลับมา”
“เจ้าค่ะ คุณชาย”
เว่ยจวินมั่วกลับไม่ได้กลับมาเร็วนัก รอจนหนานกงมั่วและองค์หญิงฉังผิงทานข้าวเย็นเสร็จแล้วกำลังนั่งพูดคุยกันอยู่ในห้องโถงรับแขกเว่ยจวินมั่วก็เดินเข้ามาพอดี องค์หญิงฉังผิงเห็นว่าบุตรชายเดินเข้ามา จึงรีบเอ่ยถาม “ไยจึงกลับมาค่ำเพียงนี้ หิมะตกหนักเพียงนี้…แม่กับอู๋สยากำลังเป็นห่วงอยู่เลย”
เว่ยจวินมั่วกล่าวขอโทษองค์หญิงฉังผิงก่อนจะนั่งลง องค์หญิงฉังผิงรีบสั่งให้สาวใช้ไปเตรียมน้ำขิงเพื่อขจัดความหนาว วันนี้หิมะตกทั้งวัน ตอนนี้ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ด้านนอกนั้นหนาวมาก
หนานกงมั่วเอ่ยถาม “เกิดเรื่องใหญ่อันใดหรือ”
เว่ยจวินมั่วเงียบอยู่ชั่วครู่ เอ่ยจริงจัง “เสด็จลุงเว่ยสิ้นแล้ว”
“ว่าอันใดนะ” ได้ยินเช่นนั้น องค์หญิงฉังผิงพลันตกใจจนหน้าซีด เว่ยอ๋องคือโอรสองค์ที่สิบของอดีตฮ่องเต้ มารดาผู้ให้กำเนิดคือสนมหยาง แม้องค์หญิงฉังผิงจะไม่สนิทชิดเชื้อกับน้องสิบผู้นี้นัก แต่ก็อดตกใจไม่ได้ ในความทรงจำขององค์หญิงฉังผิง เว่ยอ๋องร่างกายแข็งแรงชื่นชอบการต่อสู้เกลียดตำรา เสด็จพ่อจึงไม่โปรดปรานนัก ที่สำคัญก็คือ ปีนี้เว่ยอ๋องอายุเพียงสามสิบกว่าเท่านั้น
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “ฝ่าบาทเรียกตัวหลู่อ๋อง จ้าวอ๋อง อู๋อ๋องเหล่านี้เข้าจินหลิง กลายเป็นสามัญชนและถูกกักขังเอาไว้ อีกทั้งยังควบคุมตัวเว่ยอ๋องด้วยข้อหาลักลอบหล่อเงินเป็นการส่วนตัวเข้ามาในเมืองหลวง เว่ยอ๋องจึงเผาทั้งจวนเว่ยอ๋องให้ตายไปด้วยกัน”
สีหน้าองค์หญิงฉังผิงซีดขาว “เผาตนเอง…ทุกคนต่างก็…”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้า “พระชายาเว่ยอ๋องและบุตรชายทั้งสี่บุตรีทั้งสาม ตายทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”
“ไยจึงเป็นเช่นนี้ได้ น้องสิบเขา…น้องสิบเข้มแข็งและซื่อตรง ตอนเสด็จพ่อยังอยู่เขาเคยลบหลู่เสด็จพ่อ ไม่คิดว่า…” ไม่คิดว่า เว่ยอ๋องจะไม่ตายอยู่ในมือของอดีตฮ่องเต้ที่ฆ่าคนราวกับผักกับปลา สุดท้ายกลับมาตายอยู่ในมือหลานชายผู้จิตใจอ่อนไหว เพียงแต่ การกระทำครั้งนี้ของเว่ยอ๋องเองก็โหดร้ายเกินไป ทำให้คนใจหายอย่างอดไม่ได้
แม้ไม่ได้สนิทสนมกับเว่ยอ๋องมากนัก แต่องค์หญิงฉังผิงก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาตกเพราะน้องสิบผู้นี้
“เสด็จลุงของเจ้าเรียกตัวเจ้าไป เพียงเพราะเรื่องนี้หรือ” รับผ้าเช็ดหน้าที่หนานกงมั่วยื่นมาให้มาซับน้ำตา องค์หญิงฉังผิงจึงสงบลงมาบ้าง จึงเอ่ยถาม
เว่ยจวินมั่วพยักหน้า
หนานกงมั่วเองก็สูดหายใจเข้าลึก เอ่ยเสียงเบา “เกรงว่าจวนเยี่ยนอ๋องคงไม่สงบแล้ว”
เว่ยจวินมั่วพยักหน้า เอ่ย “ฝ่าบาทเชิญเสด็จลุงเข้าเฝ้า ราชโองการมาถึงแล้ว”
“ไม่ได้ พี่สามจะไปไม่ได้” พี่สามกับพี่หกไม่เหมือนกัน เพียงเข้าไปยังจินหลิง เกรงว่าจุดจบที่ดีที่สุดคงเป็นเหมือนเหล่าหลู่อ๋องที่ถูกกักตัวเอาไว้ในจินหลิง อีกทั้ง…องค์หญิงฉังผิงเอ่ยเสียงเข้ม “พี่สามจะไปจินหลิงไม่ได้เด็ดขาด เซี่ยวเชียนเยี่ย...เซียวเชียนเยี่ยไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่”
หนานกงมั่วประคององค์หญิงฉังผิง เอ่ยปลอบเสียงเบา “เสด็จแม่ไม่ต้องกังวลเพคะ เสด็จลุงรู้ดีเพคะ”
เว่ยจวินมั่วเอ่ย “เสด็จลุงใช้ข้ออ้างป่วยหนักไม่อาจเดินทางไกลได้ ปฏิเสธขุนนางที่มาถ่ายทอดราชโองการไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่ ใช้การได้หรือ” องค์หญิงฉังผิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เว่ยจวินมั่วส่ายศีรษะ เอ่ย “ไม่มีประโยชน์พ่ะย่ะค่ะ สามารถเลื่อนเวลาออกไปได้เล็กน้อย ยามนี้เขตแดนโยวโจวเพิ่งได้รับชัยชนะ เซียวเชียนเยี่ยไม่กล้าแตกหักกับเสด็จลุงในเวลานี้อย่างแน่นอน” ต่อให้ต้องแตกหัก เซียวเชียนเยี่ยก็ต้องการเวลามาวางแผน องค์หญิงฉังผิงจึงค่อยๆ พ่นลมหายใจออกมา “เช่นนั้นก็ดี จวินเอ๋อร์ อย่าให้เสด็จลุงของเจ้าไปจินหลิงเด็ดขาด”
“เสด็จแม่ไม่ต้องกังวล กระหม่อมจัดการได้พ่ะย่ะค่ะ”
“เช่นนั้นก็ดี” องค์หญิงฉังผิงมองหนานกงมั่วที่นั่งอยู่ด้านข้างตนเอง จากนั้นมองหน้าท้องกลมนูน ถอนหายใจ เอ่ย “อยากอยู่อย่างสงบ ไยจึงยากเพียงนี้” หนานกงมั่วกุมมือนางเอาไว้ ยิ้มบางๆ “เสด็จแม่วางใจ จะไม่มีเรื่องอันใดอย่างแน่นอนเพคะ”
“ขอให้เป็นเช่นนั้นเถิด”
การเผาตนเองของเว่ยอ๋องเห็นชัดว่ากระตุ้นเหล่าผู้ปกครองเมืองได้เป็นอย่างดี เหล่าผู้ปกครองเมืองที่ถูกกักขังอยู่ในจินหลิงและฉีอ๋องที่ถูกย้ายไปอยู่เขตทุรกันดารไม่ว่า ที่เหลือล้วนเป็นเหล่าอ๋องที่กุมอำนาจอยู่ในมือ อย่างเช่น เยี่ยนอ๋องแห่งโยวโจว หนิงอ๋องแห่งสีโจว คังอ๋องแห่งเหมียนโจว ล้วนแล้วแต่มีกำลังทหารอยู่ในมือ คนเหล่านี้รวมทั้งเยี่ยนอ๋องที่บอกว่านอนป่วยอยู่บนเตียงต่างพากันถวายฎีการ้องการกระทำของเซียวเชียนเยี่ยที่บีบบังคับให้เสด็จลุงของตนเองต้องตายทั้งครอบครัวโดยไม่มีความเกรงใจ เรื่องนี้ทำให้เกิดความโกลาหลทั้งในและนอกราชสำนักจินหลิง จงหยวนอาณาจักรแห่งสวรรค์ที่ถูกเรียกว่าสังคมแห่งจารีตและจริยธรรม แม้ว่าเว่ยอ๋องจะเป็นราษฎร เซียวเชียนเยี่ยจะเป็นกษัตริย์ กษัตริย์ต้องการให้ราษฎรตาย ราษฎรไม่ตายไม่ได้ แต่เอ่ยตามหลักคุณธรรมแล้ว การบีบให้อาแท้ๆ ของตนเองต้องตายมิใช่เรื่องที่น่ายกย่องนัก และเซียวเชียนเยี่ยนั้นมิใช่อดีตฮ่องเต้ที่สังหารคนไปกว่าครึ่งราชสำนักอย่างโจ่งแจ้งแต่กลับไม่มีใครกล้าต่อว่าต่อขาน
ดังนั้น เซียวเชียนเยี่ยโกรธแค้นเว่ยอ๋องที่ตายไปเป็นอย่างยิ่ง ตายก็ตายไปเถิด ยังสร้างความวุ่นวายใหญ่หลวงให้เขาอีก เสียงคัดค้านจากทั้งนอกและในราชสำนัก แผนการเดิมที่จะไล่ล่าผู้ปกครองเมืองที่เหลือจำต้องชะงักเอาไว้ก่อน เช่นนี้ เซียวเชียนเยี่ยยิ่งไม่พอใจ จึงประทานพระสมัญญานาม ‘เป้ย[1]’ คำเดียวให้เขาโดยไม่ลังเล
กลุ่มที่สนับสนุนเซียวเชียนเยี่ยไม่ว่าอันใด อย่างไรในสายตาพวกเขาเว่ยอ๋องขัดต่อรับสั่งของฮ่องเต้เดิมก็สมควรตายอยู่แล้ว แต่ในสายตาของปัญญาชนบางกลุ่มมองว่าฮ่องเต้ไร้ซึ่งความเมตตา อย่างไรก็เป็นเสด็จอาของตนเอง ความผิดของเว่ยอ๋องก็ไม่ได้หนักหนาจนไม่อาจให้อภัย โบราณว่าผู้ล่วงลับยิ่งใหญ่ที่สุด ต่อให้ไม่อาจตั้งสมัญญานามที่ไพเราะได้ อย่างน้อยก็ไม่ควรพอประเมินค่าได้ ท่านชิงเถิงผู้มีชื่อเสียงด้านวรรณกรรมในเจียงหนานเองก็เขียนบทประพันธ์แสดงออกว่าไม่เห็นด้วยกับฮ่องเต้ ส่วนเหล่าผู้ปกครองเมืองยิ่งไม่หยุดไม่หย่อน ฎีกาฉบับแล้วฉบับเล่าถูกส่งเข้ามายังจินหลิง คนที่อารมณ์ร้อนหน่อยก็ก่นด่าเซียวเชียนเยี่ยจนเละเทะ เซียวเชียนเยี่ยที่โกรธหนักทำได้เพียงขังตัวเองไว้ในห้องทรงอักษรทำลายข้าวของ
จวนตระกูลฉิน ณ จินหลิง
ในห้องหนังสือ นายท่านตระกูลฉินกำลังนั่งมองนายท่านตระกูลเซี่ยอย่างเซี่ยโหวที่มาเป็นแขกอยู่ตรงหน้าด้วยท่าทางสงบนิ่ง “เซี่ยโหวมาเยือนกะทันหัน ไม่รู้ว่ามีเรื่องแนะนำอันใด” การเป็นตระกูลขุนนางสิบตระกูลใหญ่ของจินหลิง ผู้นำตระกูลฉินกลับเป็นคนเดียวที่ไม่คุ้นเคยกับเซี่ยโหว ตระกูลเซี่ยไม่เข้าร่วมการแย่งชิงอันใดในราชสำนัก เดิมทีสองตระกูลก็ไม่มีเรื่องต้องไปมาหาสู่กัน หนึ่งคือมีแนวคิดไม่ตรงกัน อีกด้านคือการเป็นตระกูลใหญ่ที่สุดของจินหลิงทั้งสองตระกูล ตระกูลเซี่ยและตระกูลฉินไม่ควรสนิทชิดเชื้อกันจนเกินไป มิเช่นนั้นคนที่ผู้ในวังผู้นั้นคงไม่เผชิญหน้ากับเหล่าอาของตนเอง แต่หันกลับมาจัดการกับพวกเขาแทน
ฉินจื่อซวี่ยืนอยู่ข้างบิดา ดวงตามีแววฉงน เซี่ยโหวมายังตระกูลฉินด้วยตนเองหาได้ยากที่จะเห็นได้สักครั้ง เหลือเชื่อเสียยิ่งกว่าคนในวังหลวงผู้นั้นมาปรากฏตัวที่ตระกูลฉินเสียอีก
เซี่ยโหววางถ้วยชาลงยิ้มบาง เอ่ย “ได้ข่าวว่า คุณชายใหญ่ตระกูลฉินเตรียมตัวออกเดินทางไกลหรือ”
สีหน้าสองพ่อลูกตระกูลฉินพลันแปรเปลี่ยน สายตาของนายท่านตระกูลฉินมองไปยังเซี่ยโหวเฉียบคมมากขึ้น ข่าวฉินจื่อซวี่เตรียมตัวเดินทางออกนอกจินหลิงนอกจากคนในครอบครัวแล้ว แม้แต่บ่าวไพร่ในเรือนก็ไม่อาจรู้ได้ เซี่ยโหวรู้ได้เยี่ยงไร
เซี่ยโหวส่ายศีรษะด้วยรอยยิ้ม เอ่ย “พี่ฉินไม่ต้องกังวล ตระกูลเซี่ยไม่ทำเรื่องสกปรกอย่างการวางสายลับไว้ในจวนตระกูลฉินอย่างแน่นอน”
นายท่านตระกูลฉินผ่อนคลายลง ยิ้มเจื่อนอยู่ในใจ ตระกูลเซี่ยวางสายลับไว้ในตระกูลฉินหรือไม่เขาไม่รู้ จับไม่ได้ก็คิดเสียว่าไม่มี แต่ว่าหากตระกูลฉินกลับลอบวางสายลับไว้ในตระกูลเซี่ย วาจานี้เอ่ยออกมาราวกับเซี่ยโหวกำลังด่าเขาอยู่ แต่เขาจำต้องยอมรับอยู่เงียบๆ เรื่องการวางสายลับเป็นเรื่องที่ตระกูลขุนนางแต่ละตระกูลต่างก็ทำ แต่ไม่ได้หมายความว่าคิดร้ายต่ออีกฝ่าย เพียงแต่ต้องการข่าวให้เท่าทันในแบบที่พวกเขาสมควรทำก็เท่านั้น
[1]เป้ย (悖) หมายถึง ผิดทำนองคลองธรรม