หนานกงมั่วหันกลับไป เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ที่ใดเล่า ซั่นจยาจวิ้นจู่ล้อเล่นแล้ว เดิมทีก็ไม่มีเรื่องอันใดอยู่แล้ว” เอ่ยจบก็หันกลับไปเอ่ยกับสาวใช้ที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าประตู “ยังไม่ยกน้ำชาให้จวิ้นจู่อีก”
“เจ้าค่ะ จวิ้นจู่”
“ซั่นจยาจวิ้นจู่เชิญเถิด” หนานกงมั่วยิ้มบาง
จูชูอวี้เองก็ไม่เกรงใจ เดินไปนั่งด้านข้างมองไปยังฝาแฝดที่นอนอยู่ในเปล ถอนหายใจเบาๆ เอ่ยขึ้น “จวิ้นจู่ช่างโชคดี”
หนานกงมั่วก้มลงไปสัมผัสใบหน้าเล็กของบุตรสาวเบาๆ เอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “จวิ้นจู่และเชียนเหว่ยเองก็รักใคร่กลมเกลียว คิดว่าอีกไม่นานคงเป็นพวกเราที่ต้องยินดีกับจวิ้นจู่”
จูชูอวี้ถอนหายใจออกมาอย่างจนใจ “พี่สะใภ้มีท่าทีเกรงใจต่อข้าอยู่ตลอด ยังใส่ใจเรื่องในครานั้นอยู่หรือ เมื่อครานั้นข้ายังเด็กมิรู้ความ ต้องขออภัยพี่สะใภ้ด้วย”
หนานกงมั่วชะงัก หันกลับมามองจูชูอวี้ “ที่ใดกันเล่า เพียงความเคยชินเท่านั้น”
จูชูอวี้กะพริบตาปริบ เอ่ย “เช่นนี้ ต่อไปพี่สะใภ้ไม่เรียกข้าว่าซั่นจยาจวิ้นจู่ได้หรือไม่”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว จูชูอวี้เอ่ย “พี่สะใภ้ต่างก็เรียกพี่สะใภ้ใหญ่และน้องสะใภ้ว่าน้องสะใภ้ได้ หรือในสายตาของพี่สะใภ้ ท่านพี่รองมิใช่น้องชายหรือ ข้าไม่ใช่น้องสะใภ้หรือ”
หนานกงมั่วไม่ได้ใส่ใจนัก เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น้องสะใภ้ล้อเล่นแล้ว ก่อนหน้านี้คงละเลยเกินไป เจ้าเองก็รู้ว่าข้าไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้” จูชูอวี้ยิ้ม เอ่ย “ที่ไหนเล่า ข้าเพียงคิดว่าเรียกเช่นนี้แล้วสนิทสนมมากกว่า เป็นครอบครัวเดียวกันเรียกจวิ้นจู่ไปมาให้ความรู้สึกเหินห่าง”
หนานกงมั่วพยักหน้า ลุกขึ้นมานั่งลงบนเก้าอี้ข้างเปล มือข้างหนึ่งแกว่งไกวเปลเบาๆ พร้อมหันไปมองจูชูอวี้ เอ่ย “น้องสะใภ้มาวันนี้ คงไม่ได้มีเพียงเรื่องการเรียกขานหรอกกระมัง”
จูชูอวี้พยักหน้า “มิอาจปิดบังพี่สะใภ้ มีเรื่องจริงๆ เจ้าค่ะ หลายวันก่อน…เรื่องราชโองการของฝ่าบาทในวันพิธีสรงสามพี่สะใภ้คงได้ยินมาบ้างแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หนานกงมั่วพยักหน้าเบาๆ ไม่เอ่ยตอบสิ่งใด จูชูอวี้ถอนหายใจ เอ่ย “ยามนี้พี่สะใภ้กำลังนั่งเดือน คุณชายเว่ยและองค์หญิงฉังผิงเองก็ไม่ยอมให้ใครเอาเรื่องนี้มารบกวนพี่สะใภ้ เกรงว่าพี่สะใภ้คงไม่รู้ สองวันก่อนเสด็จพ่อเขียนฎีกาถวายฝ่าบาท”
หนานกงมั่วเลิกคิ้ว “เช่นนั้นแล้วอย่างไร”
จูชูอวี้เอ่ย “ปัญหาอยู่ที่เนื้อหาของฎีกาเจ้าค่ะ เสด็จพ่อเขียนต่อว่าฝ่าบาทต่อเรื่องลดอำนาจของผู้ปกครองเมืองต่างๆ บอกว่าอดีตฮ่องเต้เพิ่งจะสิ้นพระชนม์ได้ไม่นาน ฝ่าบาทก็บีบบังคับเสด็จอาจนต้องตาย ผิดหลักคุณธรรมอย่างร้ายแรง” บอกว่าเป็นฎีกา มิสู้บอกว่าเป็นจดหมายด่าเซียวเชียนเยี่ยจะดีกว่า อย่าว่าแต่ตอนนี้เซียวเชียนเยี่ยเป็นฮ่องเต้ เกรงว่าตอนที่เขาเป็นหวงจั่งซุนก็คงไม่เคยถูกใครด่าเช่นนี้มาก่อน
หนานกงมั่วย่นคิ้ว “น้องสะใภ้รู้เนื้อหาในฎีกาได้เยี่ยงไร”
จูชูอวี้ยิ้มเจื่อน เอ่ย “เสด็จพ่อมิได้คิดปิดบัง ตอนนี้เกรงว่าผู้คนทั่วทั้งเมืองโยวโจวคงรู้กันหมดแล้วเจ้าค่ะ อีกสองวัน คนทั่วทั้งจินหลิงเองก็คงจะรู้กันหมด”
หนานกงมั่วชะงักไปชั่วครู่หลุบตาลงพลางเอ่ย “ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็มิใช่เรื่องที่พวกเจ้าจะตัดสินเองได้ เวลานี้น้องสะใภ้มาคุยเรื่องนี้กับข้าจะมีประโยชน์อันใด”
จูชูอวี้มองนาง เอ่ยเสียงเบา “เดิมที่ข้าคิดว่า…พี่สะใภ้และข้าต่างก็มาจากจินหลิงเหมือนกัน แม้สถานการณ์จะแตกต่าง…ดังนั้นข้าจึงอยากเอ่ยถามว่าพี่สะใภ้มีแผนเช่นไร” มุมปากของหนานกงมั่วยกยิ้ม “วาจานี้ น้องสะใภ้ควรไปถามพระชายาซื่อจื่อและเหยียนเอ๋อร์จึงจะถูก” สถานการณ์ของนางและจูชูอวี้ไม่เหมือนกัน คนหนึ่งถูกไล่ล่าหนีมา อีกคนถูกแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่เพื่อพระราชทานมา จะเอามาเปรียบเทียบกันได้เยี่ยงไร
ได้ยินเช่นนั้น จูชูอวี้กลับหัวเราะเสียงเบา ไม่ได้ปกปิดถึงท่าทีไม่ใส่ใจ “พี่สะใภ้ใหญ่ก็ช่างเถิด น้องสะใภ้สามเพียงใช้ชีวิตของตนเองไปวันๆ ไม่คิดสิ่งใด ยามนี้ในเมืองโยวโจว ข้าคงมีเพียงพี่สะใภ้ที่พอคุยได้”
หนานกงมั่วส่ายศีรษะพลางเอ่ย “เกรงว่าข้าเองก็คงช่วยอันใดมิได้ ข้ากลับคิดว่าน้องสะใภ้มีแผนการอันใด ควรเอ่ยกับเชียนเหว่ยจึงจะถูก”
“ท่านพี่หรือเจ้าคะ” จูชูอวี้สีหน้ากลัดกลุ้ม “คนจวนเยี่ยนอ๋อง…ใครกันจะเชื่อข้า”
หนานกงมั่วเงียบไม่เอ่ยวาจา ไม่รู้ทำไมจูชูอวี้จึงคิดว่าคนจวนเยี่ยนอ๋องไม่เชื่อนาง แล้วตนจะเชื่อนางเล่า
หนานกงมั่วถอนหายใจ เอ่ย “น้องสะใภ้ มีเรื่องอันใดเจ้าเอ่ยมาตรงๆ เถิด หากช่วยได้ข้าก็จะช่วย หากช่วยไม่ได้ข้าก็จนปัญญา”
จูชูอวี้ลังเลอยู่ชั่วครู่ เอ่ย “ความจริง…ข้าเพียงอยากให้พี่สะใภ้ช่วยเอ่ยต่อหน้าเสด็จพ่อเพียงไม่กี่ประโยคเท่านั้น ที่เหลือข้าจะจัดการเองเจ้าค่ะ”
หนานกงมั่วมองนางอย่างไม่เข้าใจ “เอ่ยปากหรือ เปรียบกับข้า…น้องสะใภ้ควรไปเอ่ยกับเสด็จป้าหรือบอกกับเสด็จลุงตรงๆ ไม่ดีกว่าหรือ เสด็จลุงเองก็ใช่ว่าจะไม่ฟังใคร หากสิ่งที่เจ้าเอ่ยนั้นมีประโยชน์ต่อจวนเยี่ยนอ๋อง ไม่มีทางที่เสด็จลุงจะไม่สนใจ” รอยยิ้มของจูชูอวี้แฝงไปด้วยความขมขื่น สายตาที่มองไปยังหนานกงมั่วเองก็มีแววซับซ้อน “พี่สะใภ้ ท่านคงไม่คิดว่าเสด็จพ่อเชื่อใจท่าน แล้วจะเชื่อใจสตรีอื่นเหมือนที่เชื่อใจท่านอย่างนั้นหรอกใช่หรือไม่ ความจริง…เสด็จพ่อก็เหมือนกับบุรุษทั่วไปบนโลกใบนี้ ไม่เห็นสตรีอยู่ในสายตา เรื่องใหญ่เหล่านี้อย่าว่าแต่ข้าเลย แม้แต่เสด็จแม่ก็คงไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยว ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่แรกเสด็จพ่อเองก็สงสัยข้า เรื่องเล็กใหญ่ในจวนไม่เคยให้ข้ายื่นมือเข้าไปยุ่ง” ถูกคนกีดกันจูชูอวี้ไม่มีทางไม่รู้ ในสะใภ้ทั้งสามของจวนเยี่ยนอ๋องจูชูอวี้รู้ดีว่าความสามารถของตนนั้นมีมากกว่าเฉินซื่อและซุนเหยียนเอ๋อร์ แต่ต่อให้ยุ่งเพียงใด พระชายาเยี่ยนอ๋องยอมที่จะใช้งานซุนเหยียนเอ๋อร์กระทั่งมาขอความช่วยเหลือจากหนานกงมั่วไม่ยอมให้นางยื่นมือเข้าไปยุ่ง นางรู้ว่าตนเองไม่เป็นที่ต้อนรับจึงทำได้เพียงยอมรับอยู่เงียบๆ จัดการเรื่องของตนเองไป ต้องมีสักวันที่นางจะได้ใจเยี่ยนอ๋องและพระชายาเยี่ยนอ๋อง น่าเสียดายเวลาไม่เคยคอยใคร เห็นว่าอำนาจในเมืองโยวโจวกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ จูชูอวี้รู้ว่าหากตอนนี้ตนเองไม่ทำอันใด หลังจากนี้ก็คงต้องอยู่เรือนหลังไปเงียบๆ ตลอดชีวิตแล้ว
หนานกงมั่วไม่ได้ใส่ใจต่อความคับแค้นใจของจูชูอวี้ ต่อให้นางไม่นับว่ารู้จักเยี่ยนอ๋องแต่ก็พอรู้อยู่บ้าง แน่นอนว่ามิใช่คนที่จะดูถูกสตรีอย่างเช่นจูชูอวี้ว่า หรือเอ่ยได้ว่าอย่างน้อยก็แตกต่างจากบุรุษบนโลกใบนี้อยู่บ้าง แม้พระชายาเยี่ยนอ๋องน้อยครั้งจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องการปกครอง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเยี่ยนอ๋องจะมองข้ามข้อคิดเห็นของพระชายาเยี่ยนอ๋อง เพียงแต่พระชายาเยี่ยนอ๋องเป็นคนเข้าใจโลกดีเท่านั้น ไม่หนักหนาจริงๆ นางไม่มีทางยื่นมือเข้าไปยุ่งเรื่องการปกครอง อดีตฮ่องเต้เลือกพระชายาให้โอรสของตนเมื่อครั้งนั้น ทรงใส่ใจเลือกแล้ว ต่อให้เป็นพระชายาองค์ใหม่ก็ตาม ส่วนจูชูอวี้ หนานกงมั่วคงเอ่ยได้เพียงว่าแม้แต่ตนยังดูออกว่านางมีจุดประสงค์อื่น เช่นนั้นเยี่ยนอ๋องจะดูไม่ออกได้อย่างไร
บางทีในสายตาของจูชูอวี้ ท่าทีไม่มีพิษมีภัยอีกทั้งมีประโยชน์ต่อจวนเยี่ยนอ๋องของนางคงไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอันใด แต่เรื่องอันใดเยี่ยนอ๋องจะยอมให้ลูกสะใภ้ที่มีจุดประสงค์อื่นเข้ามาชี้นำเรื่องในจวนเยี่ยนอ๋อง ต่อให้ลูกสะใภ้ผู้นี้จะมีความสามารถมากเพียงใด นางก็มิใช่พระชายาซื่อจื่อจวนเยี่ยนอ๋อง หากจูชูอวี้มีจุดยืนอยู่สูงกว่าเฉินซื่อและซุนเหยียนเอ๋อร์ เช่นนั้นแล้วเฉินซื่อที่เป็นพระชายาซื่อจื่อจะจัดการกับตัวเองอย่างไร จะให้เซียวเชียนชื่อที่เป็นซื่อจื่อและเซียวเชียนจย่งที่เป็นเชื้อสายหลักเช่นกันคิดอย่างไร เวลาเนิ่นนานไปเซียวเชียนเหว่ยจะมีความคิดอย่างไร