หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting – บทที่ 1348 ผิดแผน

บทที่ 1348 ผิดแผน
เมื่อได้ยินคำกล่าวของเฉิงหลิงจื่อ เสินหลูเต้าก็หรี่ตา มองไปทางหนวดนับร้อยเส้นที่ลอยลู่อยู่กลางอากาศ รวมทั้งหวังเป่าเล่อและศพเหี่ยวแห้งจำนวนมากที่อยู่ด้านบนของเขา จากนั้นก็มองเฉิงหลิงจื่อ แล้วร้องคำรามก้องอยู่ในใจ
เขามองออกว่าเฉิงหลิงจื่อไม่ได้กล่าวจากใจจริง และมองออกว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการยืมมือตนเองต่อต้านเฟิงตี๋ แต่เขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก เดิมทีนี่ก็เป็นจุดประสงค์เดียวกับเขา
ส่วนเรื่องกลอุบายลับพวกนั้น พลังตรงหน้าระหว่างกันและกัน ไม่มีนัยสำคัญใดให้กล่าวถึง และถึงแม้จะไม่ได้มีภูมิหลังของเฉิงหลิงจื่อก็ตาม เวลานี้เกรงว่าก็ได้ถูกตนกำราบไว้นานแล้ว
อีกอย่างในคำพูดของเฉิงหลิงจื่อ ยังแฝงความหมายบางอย่างที่ช่วยเหลือปิงหลิงจื่อเอาไว้ เสินหลูเต้าก็สังเกตเห็นในเรื่องนี้ ในใจก่อเกิดความสงสัย แต่ความสงสัยก็อยู่ในความคิดของเขาได้ไม่นานนัก มันหายไปในไม่ช้า เขาเข้าใจว่านี่เป็นไปไม่ได้ แม้มันจะเร็วเกินไป และไม่ได้เห็นการต่อสู้ระหว่าเฉิงหลิงจื่อและปิงหลิงจื่อกลางอากาศเมืองปรารถนารสด้วยตาตนเอง แต่ด้านหนึ่งเขารู้ว่าบิดาของเฉิงหลิงจื่อเป็นปฏิปักษ์ต่อปิงหลิงจื่อ ทั้งสองฝ่ายมีข้อขัดแย้งกัน
อีกด้านหนึ่ง เขาก็อยู่ในงานเลี้ยงล่าสัตว์นี้ เมื่อถามข่าวคราวของปิงหลิงจื่อจากสาวกเนื้ออื่นๆ ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอกปากทางเข้าวังวน ดังนั้นไม่ว่าจะลงมือในด้านไหน เขาก็ไม่คิดว่าจะมีความเป็นไปได้ที่เฉิงหลิงจื่อและปิงหลิงจื่อจะร่วมมือกัน
เรื่องในตอนนี้ หนวดนับร้อยเส้นที่กลางอากาศ ในความคิดของเสินหลูเต้านั้น เขาคิดว่ามีความเป็นไปได้มากว่าเฟิงตี๋ร่วมมือกับเฉิงหลิงจื่อเพื่อช่วยกันปราบปิงหลิงจื่อ และหลังจากที่ปิงหลิงจื่อถูกปราบแล้ว ระหว่างเฉิงหลิงจื่อและเฟิงตี๋อาจเกิดความขัดแย้งขึ้นมาใหม่ นำไปสู่ความแค้นเคืองในใจของเฉิงหลิงจื่อ จึงปรารถนาจะยืมมือตนทำลายเฟิงตี๋
หลังจากความคิดต่างๆ ล่องลอยอยู่ในจิตใจของเสินหลูเต้า ร่างของเขาก็พุ่งออกตรงไปที่ท้องนภาทันที พริบตาเดียวร่างก็มาถึงหนวดสีดำที่ขยับอยู่
เฉิงหลิงจื่อมองร่างเสินหลูเต้าที่อยู่ไกลๆ ยิ้มเย้ยหยันอยู่ในใจ พึมพำด้วยเสียงโง่เง่า
“การโกหกขั้นสุดยอด คือจริงเป็นลวง ลวงเป็นจริงในเวลาเดียวกัน ตั้งใจทิ้งข้อบกพร่องเอาไว้ ทำให้อีกฝ่ายครุ่นคิดเชื่อมโยงอยู่ในใจตนเอง แล้วจึงนำทั้งหมดประกอบสำเร็จด้วยตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่ข้าหลอกเขาเพียงผู้เดียว แต่เป็นข้าและเขาร่วมกันโกหกตัวเขาเอง”
เฉิงหลิงจื่อภูมิใจอยู่ในใจ รู้สึกได้ว่าใต้หล้ามีเพียงไม่กี่คนที่จะสามารถเทียบเคียงกับเขาได้
ทว่าภายนอก กลับไม่เผยความคิดในใจออกมาแม้แต่น้อย แต่จ้องไปที่ซากศพของเฟิงตี๋ สายตาราวกับจะพยายามระงับพิษแค้นอย่างสุดความสามารถ นี่ทำให้เสินหลูเต้าที่อยู่กลางอากาศกวาดสายตามองเห็น หลังจากลอบสังเกตได้แล้ว ก็ยิ่งมั่นใจในการสันนิษฐานของตนยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงละสายตาจากดวงจิตเทพบนร่างเฉิงหลิงจื่อ จดจ้องไปที่ซากศพของเฟิงตี๋อย่างเงียบงัน
แม้ร่างอีกฝ่ายจะไร้ซึ่งกลิ่นอาย ไม่ต่างไปจากซากศพ แต่ด้วยความอคติ แม้เฉิงหลิงจื่อจะยังสนใจทางด้านหวังเป่าเล่ออยู่ในเวลานี้ แต่จุดสำคัญสุดท้ายก็ถูกเฉิงหลิงจื่อชี้นำผิดทางมุ่งความสนใจไปที่ร่างเฟิงตี๋ ดังนั้นหลังจากดวงจิตเทพกำลังกวาดผ่าน เสินหลูเต้าก็ยกมือขวาขึ้นสะบัดอย่างแรง ตอนนั้นเองคลื่นความผันผวนก็ระเบิดขึ้นทันที
ความผันผวนนี้กระจัดกระจายไปรอบด้านก่อน จากนั้นเสินหลูเต้าก็กำหมัดขวาไว้ทันที ความผันผวนที่กระจายออกไปพลันม้วนกลับ สุดท้ายรวมตัวเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเป็นมวลไอก้อนกลมๆ สีดำ
มวลไอดำทมิฬนี้กระจายกลุ่มควันจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา มันมีเสียงคำรามอยู่ในนั้นด้วย ราวกับมีปัญญาวิญญาณที่ถูกเสินหลูเต้าโยนเข้าไป ตรงเข้าปะทะกับหนวดเส้นดำนับร้อยนั้นอย่างรวดเร็ว ขณะกำลังพุ่งออกไป ไอหมอกสีดำก็เริ่มขยาย ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นมดดำขนาดมหึมาตัวหนึ่ง พร้อมด้วยความดุร้ายและโหดเหี้ยม ตรงเข้าไปใกล้เส้นหนวดสีดำ
หากเปลี่ยนเป็นหวังเป่าเล่อไม่ได้เผชิญกับนิ้วแห่งเทพดาวตกนี้มาก่อน ทันทีที่มดดำตัวนี้เข้ามาในอาณาบริเวณของหนวดเส้นสีดำ จะต้องถูกหนวดพวกนี้กำราบรัดพันอย่างแน่นอน แต่เวลานี้พลังแห่งการดูดกลืนทั้งหมดของนิ้วมือเทพดาวตก ล้วนวางอยู่ด้านหวังเป่าเล่อ สมดุลกับคุณสมบัติของเขาพอดี
ดังนั้นการมาของมดดำ จึงไม่ได้ดึงความสนใจของหนวดเส้นสีดำเลย มองไประหว่างหนวดที่ขวักไขว่ กำลังขยับเข้าใกล้เฟิงตี๋ เหตุการณ์นี้ทำให้เฉิงหลิงจื่อที่อยู่ด้านล่างมองตาไม่กะพริบ ขณะเดียวกันก็ทำให้เสินหลูเต้ายิ่งมั่นใจในการตัดสินใจของตน
ผลสุดท้ายวิญญาณเทพของเขาก็ละกายเนื้อ ใช้ทุกวิธีไม่ให้ผู้ใดรู้ หลอมรวมเข้าไปภายในนิ้วมือเทพดาวตก… “วิธีนี้ หากข้าสามารถควบคุมได้ล่ะก็…” ในสายตาเสินหลูเต้ามีความโลภแวบผ่าน ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เข้าควบคุมมดดำในชั่วอึดใจเดียว และกระแทกไปบนร่างเฟิงตี๋
เสียงหนึ่งดังก้อง ด้วยการปะทะของทั้งสองฝ่ายรวมทั้งการระเบิดตัวเองของมดดำ การบุกจู่โจมเกิดขึ้นทันที
การฝึกตนของเสินหลูเต้า เดิมทีก็ไม่ธรรมดา ตอนนี้ห่างจากการเลื่อนขึ้นเป็นเจ้าสวาปามเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นเคล็ดวิชาลับที่กำลังจะเผยออกมาในตอนนี้ พลังย่อมน่าอัศจรรย์ ด้วยการระเบิดตัวเอง ความผันผวนที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ล้อมรอบทั่วร่างแรกที่เขาปะทะคือเฟิงตี๋ เพราะเดิมทีอีกฝ่ายก็เป็นซากศพ ปราณในตำนานภายในร่างและเลือดเนื้อทั้งหมดล้วนถูกดูดไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงเปลือกนอกที่ว่างเปล่า หากนิ้วมือเทพดาวตกไม่ถึงระดับสมดุลกับหวังเป่าเล่อ มันยังสามารถใช้จิตสำนึกไปควบคุมได้ ทำให้ซากศพมีพลังที่ระดับหนึ่ง ทว่าตอนนี้ไม่มีเวลาแยกร่างอีกแล้ว ศพของเฟิงตี๋พังทลายลงทันที ถูกฉีกแยกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นเถ้าถ่านลอยละล่องทั่วอาณาเขตสามพันลี้ ทำให้ภายในอาณาเขตนี้เต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง
พร้อมกับการพังทลาย ยังมีเส้นหนวดสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน ท่าทีของหนวดเหล่านี้ ล้วนไร้ซึ่งผู้ควบคุม ขณะซากศพอื่นๆ พังทลาย มันก็พังทลายไปด้วยไม่น้อย
เสินหลูเต้ารีบหลับตา เสียงตึกตักดังอยู่ภายในใจ เขาคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นเช่นนี้ ไม่คิดว่าเฟิงตี๋จะเปราะบางเช่นนี้ กระทั่งนิ้วเทพดาวตกก็เป็นเช่นเดียวกัน
เรื่องมหัศจรรย์นี้ต้องมีเงื่อนงำ แม้ก่อนหน้านั้นเขาจะถูกเฉิงหลิงจื่อสั่นคลอนไปบ้าง แต่ตอนนี้ฟื้นตื่นขึ้นอย่างฉับพลันแล้ว ความรู้สึกไม่พึงปรารถนาปะทุขึ้นในใจของเขาทันที
เสินหลูเต้าหน้าเปลี่ยนสี ร่างกายถอยกลับกะทันหัน ทว่า…ตอนที่ร่างกายถอยกลับนั่นเอง หวังเป่าเล่อที่หลับตาแขวนอยู่ใต้หนวดดำไม่ไหวติง ทันใดนั้น…ก็ลืมตาขึ้นแล้วมองไปทางเสินหลูเต้า
เสินหลูเต้าแหงนหน้าเช่นกัน ทันทีที่สบเข้ากับสายตาของหวังเป่าเล่อ จิตใจของเขาคำรามร้องก้อง ท่าทีเปลี่ยนไปอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน…เพราะเขาเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัวหวังเป่าเล่อที่ไม่ได้ถูกตนทำลาย หนวดดำนับสิบเส้นที่เหลือ เวลานี้ไม่ได้นิ่งเฉยเช่นก่อนหน้า แต่เคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงล้อมรอบหวังเป่าเล่อ ราวกับเขาเป็นแกนหลัก
และสิ่งที่ทำให้เขาตระหนกที่สุด คือนิ้วมือที่ที่ผลุบๆ โผล่ๆ นิ้วนั้น เวลานี้กระจายพลังออกมาชัดเจนขึ้น ทว่า…พลังพวกนั้นกลับพุ่งเป้ามาที่ตนเอง
“เจ้า…ไม่ใช่เฟิงตี๋ที่เป็นผู้ควบคุมซากศพเทพดาวตกนี่ เป็นเจ้า!”
“เฉิงหลิงจื่อ เจ้าช่างกล้านัก!”
เสินหลูเต้าร้องคำรามเสียงต่ำ ร่างถอยกลับอย่างรวดเร็ว แต่หนวดเส้นสีดำเหล่านั้นที่มาจากรอบตัวหวังเป่าเล่อ ดูเหมือนแต่ละเส้นจะบ้าคลั่งไม่น้อย มันปะทะเข้ามาทันที ขยับยืดขยายตัวออกไม่หยุด พุ่งไปทางเสินหลูเต้า
ด้านล่าง เฉิงหลิงจื่อเผยศีรษะออกมา มองเหตุการณ์นี้อย่างตื่นเต้น และสังเกตได้ถึงการฟื้นตื่นของหวังเป่าเล่อ เขาตื่นเต้นน้ำตาจะไหล ตะโกนร้องออกมา
“ขอแสดงความยินดี ท่านผู้มีพระคุณออกจากการเก็บตัวแล้ว ได้ควบคุมซากเทพดาวตก กวาดล้างงานเลี้ยงล่าสัตว์!”
…………………….
ทั้งสองฝ่ายดูราวกับสองวังวน หนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก ต่างคิดอยากจะกลืนกินอีกฝ่าย
ทว่า…ในด้านพลังแล้ว หวังเป่าเล่อไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนิ้วมือนี้ และเขาก็เป็นเพียงร่างแยก
ดังนั้นตามธรรมดาแล้ว ขณะที่มือสัมผัสกับหนวดเส้นสีดำนี้ พลังชีวิตของหวังเป่าเล่อทั้งหมดล้วนเป็นเช่นเดียวกับเฟิงตี๋ ที่ถูกหนวดรัดพันดูดซับจนหมดจด
วังวนของหวังเป่าเล่อคืออันที่เล็กกว่า เมื่อเทียบกับนิ้วมือ
ถึงอย่างไรคุณสมบัติร่างต้นของเขาก็สูงเกินไป แม้จะไม่เทียมเท่ากับเจ้าของนิ้วมือนี้ แต่ก็อยู่ในระดับชั้นเดียวกัน ดังนั้นเพียงนิ้วมือเดียว ไม่อาจสั่นไหวหวังเป่าเล่อได้ ยากที่จะทำลายก็ไม่อาจดูดกลืนเขาได้
ดังนั้น นี่จึงก่อให้เกิดความสมดุลที่ละเอียดอ่อน
การป้องกันคุณสมบัติทำให้นิ้วมือไม่อาจดูดกลืนหวังเป่าเล่อได้ แต่พลังดึงดูดกลับยังคงอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งหวังเป่าเล่อไม่ยินยอมละทิ้งเช่นกัน และก็เพราะการป้องกันคุณสมบัติ ทำให้ร่างของเขาไม่เสียหายท่ามกลางการดูดกระชากนี้ ขณะเดียวกัน…ก็สามารถยืมการช่วยเหลือการเชื่อมต่อในเวลานี้ได้อย่างช้าๆ ค่อยๆ ดูดซับกลิ่นอายที่กระจายออกมาจากอีกฝ่ายทีละเล็กละน้อย
เพียงแต่ว่าค่าตอบแทนคือ ร่างของเขาตอนนี้ไม่อาจขยับได้
และนิ้วมือของเทพดาวตกก็ขยับไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อมองไป จึงปรากฏเหตุการณ์ประหลาดที่น่าทึ่งเช่นนี้บนท้องฟ้า…
ภายในเมฆหมอก นิ้วหนึ่งผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ข้างใต้เมฆนั้น หนวดนับร้อยไม่ขยับเขยื้อน ศพแห้งที่ถูกรัดพันบนตัวก็เป็นเช่นนี้ และทางด้านนอก หวังเป่าเล่อคว้าหนวดเส้นหนึ่งไว้ในมือ ร่างแขวนลอยอยู่กลางอากาศไม่ขยับเช่นกัน
มีเพียงเมฆหมอกที่เคลื่อนตัวไปเอง พาพวกเขาลอยไปไกลแสนไกลอย่างช้าๆ…
ยังมีก็แต่เด็กหนุ่มเฉิงหลิงจื่อ เวลานี้กำลังมองเหตุการณ์ทั้งหมดปากอ้าตาค้าง จิตใจเต็มไปด้วยความงงงัน มองเมฆหมอกขณะเคลื่อนตัวนิ้วมือห่างออกไป มองหวังเป่าเล่อที่เริ่มคว้าหนวดไว้ไม่ปล่อยมือ จิตใจของเขาก็ได้แต่เพียงตกตะลึง
“ท่านผู้กล้า!”
ด้วยตั้งใจที่จะจากไป แต่เขาก็ยังสับสน ดังนั้นจึงได้แต่เพียงจำใจตามหนวดเส้นสีดำที่ฟากฟ้าอันแสนไกล โดยคิดว่าบางทีในไม่ช้า ปิงหลิงจื่อที่อยู่ด้านบนก็จะปล่อยมือเอง
ก็เป็นเช่นนี้ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ในไม่นานก็ผ่านไปสามวัน
ในเวลาสามวันนี้ เทศกาลล่าสังหารของโลกชั้นที่หนึ่งยังคงดำเนินต่อไป การดับสูญของเฟิงตี๋ รวมทั้งการไม่ขยับกายของหวังเป่าเล่อ ยังมีการถูกปลดของเฉิงหลิงจื่อ ดังนั้นในงานเลี้ยงล่าสัตว์นี้ เสินหลูเต้าจึงเป็นผู้ล่าเพียงหนึ่งเดียว
โชคของเขาไม่เลว ดูดกลืนไปตลอดทาง ไม่ได้พบเรื่องใดที่มีพลังต่อตนเอง ตรงข้ามกับสาวกเนื้อที่พานพบไม่น้อย แต่ละคนที่เขาพบก็ไม่อาจหนีรอดไปได้ สุดท้ายก็ถูกเขาบังคับกลืนกินกฎเกณฑ์ปรารถนารส กลายเป็นเถ้าปลิวว่อนไป
เมื่อเป็นเช่นนี้ กฎเกณฑ์ปรารถนารสภายในร่างของเขาก็ยิ่งหนาแน่นขึ้น ขณะเดียวกันก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น สิ่งอื่นๆ ที่เขาได้รับก็ไม่น้อยเช่นกัน อย่างเช่น
แม้จะเรียกไม่ได้ว่าเป็นอาหารชั้นเลิศ แต่ก็ไม่เลวเลยทีเดียว หากสามารถนำกลับไปที่เมืองปรารถนารส กลายเป็นเสบียงให้ตนเลื่อนขึ้นสู่เจ้าแห่งสวาปาม ก็เป็นทางเลือกที่ดี
“ต่อไปก็ต้องเสาะหาสาวกเนื้อไม่กี่คนนั่นที่ใกล้เคียงกับข้า ดูดกลืนผู้เดียว ข้าก็สามารถเลื่อนขึ้นเป็นเจ้าแห่งสวาปาม!” เวลานี้เสินหลูเต้ายืนอยู่ระหว่างฟ้าดิน มองโลกด้วยสายตาเย็นชา ในโลกชั้นที่หนึ่ง ทุกวันนี้ยังมีสาวกเนื้ออยู่กว่าสิบคนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่ส่วนใหญ่หลบซ่อนตัว คิดจะเสาะหาทีละคน ช่างเป็นเรื่องที่เสียเวลาอย่างยิ่ง
และถึงแม้จะดูดกลืนพวกมันหมดแล้ว เกรงว่ายังยากที่ตนเองจะทะลวงผ่านได้อย่างราบรื่น คิดจะทะลวงผ่าน เขาต้องการกฎเกณฑ์ปรารถนารสมาทำการเปลี่ยนคุณสมบัติ และการเปลี่ยนคุณสมบัตินี้…ไม่มีสิ่งใดเหมาะสมไปกว่าการกลืนกินกฎเกณฑ์ของผู้ที่ใกล้เคียงกับตนเองเพื่อไปดำเนินการแล้ว
“ประหลาดนัก เหตุใดจึงไม่พบร่องรอยของเฟิงตี๋และปิงหลิงจื่อ…” เสินหลูเต้าขมวดคิ้ว เป้าหมายของเขาก็คือสองคนนี้ ส่วนเฉิงหลิงจื่อ เขาไม่ได้วางแผนไปพบ ถึงอย่างไรบิดาของอีกฝ่ายก็เป็นเจ้าแห่งสวาปาม แม้เขาเชื่อว่าหลังจากตนเองได้เป็นเจ้าแห่งสวาปามแล้ว ก็จะมีสถานะเท่าเทียมกับอีกฝ่าย แต่ไม่ไปจองเวรกันจะดีกว่า
ดังนั้นขณะที่ครุ่นคิด เสินหลูเต้าจึงเริ่มเสาะแสวงหาในโลกชั้นที่หนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ผ่านไปสองวัน เสินหลูเต้าที่กำลังเสาะหา ค่อยๆ หมดความอดทน เกิดความสงสัยขึ้นในใจมากมาย ช่วงเวลากลางวันของวันนี้ เขากำลังแสวงหาเป้าหมายอยู่ ทันใดนั้นร่างของเขาก็ชะงักอยู่กลางอากาศ แหงนหน้าขึ้นมองไปทางฟากฟ้าอันไกลโพ้นทันที
ในไอหมอกบนท้องฟ้าที่เขามองอยู่ เวลานี้คลื่นความพลิกผันและพลังส่งมา ไม่นาน เขาก็เห็นเส้นหนวดสีดำนับร้อย ปรากฏอยู่สุดสายตาของตน
หนวดเส้นสีดำนั้นห้อยลงมาจากไอหมอก แล้วค่อยๆ เคลื่อนตัวมาทางตนไม่เร็วนัก แต่เมื่อพลังกระจายออกไป ก็เกิดความผันผวนขึ้นในใจของเสินหลู่เต้า
“เทพดาวตก!”
สายตาของเสินหลูเต้าเผยความโลภออกมาวูบหนึ่ง เขาย่อมรู้ดีว่า นี่เป็นอาหารขั้นสุดยอด แต่สติปัญญาก็ระงับความละโมบของตนไว้ ร่างกายสั่นไหวกำลังจะจากไป แต่ทันใดนั้นเอง ตอนที่สายตากวาดไปยังหนวดสีดำที่กำลังใกล้เข้ามา ร่างที่อยู่บนตัวมันก็ดึงดูดความสนใจเขาในทันที
เมื่อมองอย่างถี่ถ้วน ดวงตาของเสินหลูเต้าก็ส่งประกายออกมาในทันที
เขาเห็นใต้หนวดเส้นหนึ่ง มีมือหนึ่งจับหนวดไว้ หวังเป่าเล่อ…ห้อยอยู่ตรงนั้น
“เป็นเขา!” เสินหลูเต้าเผยท่าทีสงสัย เขาไม่เข้าใจเลยว่า เหตุใดร่างกายอีกฝ่ายยังคงเหมือนเดิม ไม่ปรากฏร่องรอยถูกดูดซับ โดยเฉพาะมีศพแห้งเหี่ยวอื่นบนหนวดดำเหล่านั้น ลักษณะของหวังเป่าเล่อในเวลานี้โดดเด่นอย่างยิ่ง
สิ่งนี้ทำให้ความคิดมากมายผุดขึ้นในใจของเสินหลูเต้า จากนั้นดวงจิตเทพก็มองกวาดผ่านศพอื่นๆ ตรวจตราแยกแยะ และในไม่ช้าสายตาของเขาก็มองไปที่ร่างเฟิงตี๋ ดวงตาส่งประกายประหลาด
“ที่แท้เฟิงตี๋ก็ตายที่นี่”
ทั้งหมดนี้ทำให้เสินหลูเต้าไม่อาจไม่ระวัง แต่ก็ไม่ยินยอมที่จะละทิ้ง โดยเฉพาะการตายของเฟิงตี๋ เช่นนั้นผู้ที่เขาสามารถใช้ทะลวงผ่านได้ในตอนนี้ ก็เหลือเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้น
ขณะครุ่นคิด เสินหลูเต้ามองกลุ่มหนวดสีดำที่ยิ่งใกล้เข้ามา พลันก้มหน้ามองไปทางพื้นโลกอันไกลโพ้น พริบตาเดียวร่างก็มาปรากฏตรงหน้าเฉิงหลิงจื่อที่เดินมาตามหนวดสีดำแล้ว
การปรากฎตัวของเขา ทำให้สีหน้าเฉิงหลิงจื่อเปลี่ยนไป อดกวาดตามองไปยังหวังเป่าเล่อที่อยู่กลางอากาศไม่ได้
“เฉิงหลิงจื่อ เจ้าอ่อนแอถึงเพียงนี้เชียวหรือ” เสินหลูเต้ากวาดตามองเด็กหนุ่ม กล่าวเบาๆ แท้จริงแล้วเขาไม่ต้องการยั่วโมโหเจ้าแห่งสวาปามอื่น ตอนนี้เฉิงหลิงจื่ออ่อนแอเช่นนี้ ไม่มีคุณค่าพอให้กล่าวถึงแม้แต่น้อย ดังนั้นในใจจึงไม่ได้มีความคิดจะกลืนกินเขาเลยสักนิดเดียว
“ข้าจะไม่แตะต้องเจ้า แต่เจ้าต้องบอกข้า ด้านบนนี่…เป็นมาอย่างไร” เสินหลูเต้าชี้ไปที่หนวดสีดำด้านบน
เฉิงหลิงจื่อลังเลครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียแหบพร่า
“เฟิงตี๋เผชิญหน้ากับปิงหลิงจื่อ สองคนต่อสู้กัน แต่ฝ่ายแรกนั้นเหนือกว่า ไม่คาดคิดว่าควบคุมนิ้วเทพดาวตกได้เช่นไร บีบบังคับให้ปิงหลิงจื่อได้แต่รักษาร่างไว้ เวลานี้ระหว่างพวกเขา น่าจะถึงเวลาสำคัญ แต่ข้าติดตามมาตลอด มองออกว่าปิงหลิงจื่อต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน เฟิงตี๋มีความสามารถสูงนัก ย่อมต้องชนะ อีกทั้งเขายังควบคุมนิ้วเทพดาวตกได้ ควรจะกวาดล้างโลกชั้นที่หนึ่งได้ทั้งหมด” เฉิงหลิงจื่อกล่าวออกมาอย่างขมขื่น
คำพูดของเขา ทำให้เสินหลูเต้าถึงกับหรี่ตา เขาละสายตาจากหวังเป่าเล่อ มองไปบนร่างเฟิงตี๋ที่กลายเป็นศพแห้ง ค่อยๆ เกิดความสงสัย
“เฟิงตี๋ควบคุมนิ้วมือของเทพดาวตกหรือ ทว่าท่าทางของเขา ดูไปแล้วไร้กลิ่นอายอย่างสิ้นเชิง…”
“ข้าจะรู้ได้เช่นไร เขาได้รับการแต่งตั้งจากเจ้าแห่งปรารถนา ย่อมมีวิธีการของเขา น่าชังนัก คราวนี้เจ้าแห่งปรารถนาลำเอียงเกินไปแล้ว” เฉิงหลิงจื่อกัดฟัน กล่าวอย่างเคียดแค้น
…………………………………….

แม้ระดับดาวพระเคราะห์จะไม่ถือเป็นผู้มากอำนาจในจักรพิภพตระกูลไม่รู้สิ้น แต่ก็ไม่ได้มีพลังอ่อนด้อย เมื่ออยู่ภายในตระกูลไม่รู้สิ้นพวกเขาก็สามารถนำกองทัพได้ เพราะอย่างไรเสีย การจะบรรลุไประดับดาวพระเคราะห์ได้ ผู้ฝึกตนจะต้องหลอมตนเองเข้ากับดาวเคราะห์ก่อน หากจะกล่าวว่าผู้ฝึกตนเหล่านั้นคือดาวเคราะห์ก็ไม่ผิด

การล่มสลายของดาวเคราะห์เป็นสิ่งที่น่าพรั่นพรึงอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องพูดถึงการระเบิดพลีชีพของดาวเคราะห์เลย พลังที่ปล่อยออกมาเพียงพอที่จะทลายฟ้าดิน นอกจากนี้ยังทำให้ดาวเคราะห์ที่หวังเป่าเล่อและผู้มาจุติคนอื่นๆ อยู่ทลายลงด้วย ส่วนเหล่าผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นนั้น…ล้วนตายกันหมด

ยกเว้นพวกที่อยู่ในค่ายทหารซึ่งถูกผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายเคลื่อนย้ายไปจากการทำลายพรแห่งเต๋าสวรรค์ ส่วนที่เหลือ…ล้วนตายสิ้น!

ส่วนพวกผู้มาจุติเช่นหวังเป่าเล่อนั้นไม่ได้อยู่ในขอบเขตนี้ แม้พลังของปรมาจารย์แห่งไฟที่จับตาดูภาพที่เกิดขึ้นอยู่จะลึกล้ำสุดหยั่งถึง แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้เหล่าผู้มาจุติตายหลังจากได้เห็นเหตุการณ์นี้ เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังของระเบิดพลีชีพ ปรมาจารย์แห่งไฟที่กำลังกินผลไม้เพลิงและเฝ้าดูศึกที่สถานการณ์พลิกไปมาด้วยความเพลิดเพลินก็เปิดใช้การเคลื่อนย้ายที่อยู่ในหน้ากาก

เพียงแต่การเคลื่อนย้ายนั้นไม่สามารถบังคับใช้ได้ ต้องให้เหล่าผู้มาจุติเปิดใช้งานด้วยตนเอง ดังนั้นในตอนนั้นเอง เหล่าผู้มาจุติทุกคนจึงได้ยินเสียงดังขึ้นจากหน้ากากซึ่งสะท้อนไปถึงดวงวิญญาณ

“พูดว่า ‘หวนคืน’ แล้วพวกเจ้าจะกลับมาที่นี่!”

ประโยคดังกล่าวดังก้องไปถึงวิญญาณของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มถูกพลังคุ้มกันของจักรพรรดิของดาวเคราะห์แห่งนี้ดึงออกไปจากหินหลอมละลาย เขาถอยหนีไปได้เร็วกว่าตอนที่มาถึงและไปปรากฏตัวเหนือพื้นดินอีกครั้งในทันที ในหูยังคงได้ยินเสียงของชายชราที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นก้องอยู่

“ระเบิดพลีชีพดาวเคราะห์หรือ” สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไป สิ่งที่คิดจะทำเป็นอย่างแรกคือเคลื่อนย้ายหนีไป แต่ก็นึกลังเลใจ จึงพยายามต้านสัญญาณอันตรายภายในที่ร้องเตือนให้รีบหนี จากนั้นก็หันไปมองดินแดนเบื้องหน้า

ตอนแรกชายหนุ่มเห็นฝุ่นผงหนาเหมือนหมอกปรากฏขึ้นก่อน หลังจากนั้นแรงสั่นสะเทือนอ่อนๆ ก็ปะทุขึ้นจากใต้ดินลึกลงไป ก่อนจะกระจายไปทั่วดาวเคราะห์อย่างรวดเร็ว

ราวกับว่าคลื่นพลังไร้เทียมทานได้ระเบิดขึ้นใต้พิภพและกระจายออกมาด้านนอก หวังเป่าเล่อยังไม่ทันจะได้เลื่อนสายตากลับ ผืนดินก็ทลายลงพร้อมเสียงสนั่นฟ้าดินที่ดังขึ้น มหาสมุทรบนดาวเคราะห์ยกตัวสูงขึ้นทันที

เปลือกของดาวเคราะห์สั่นไหวรุนแรง เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นจากทั่วทุกทิศ หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงจุดจบของโลกนี้ แต่เขาก็กัดฟันแน่น เลือกที่จะไม่เคลื่อนย้ายหนี ชายหนุ่มเอี้ยวตัวหายวับไปกลางอากาศ ขณะที่ผืนดินค่อยๆ ทลายลง

นอกจากตรงจุดที่ชายหนุ่มอยู่จะทลายลงแล้ว พื้นที่รอบๆ ก็พังลงเช่นกัน เสียงปริแตกดังขึ้นไปหยุด รอยร้าวปรากฏขึ้นบนพื้นที่ไร้ขอบเขต และขยายใหญ่เชื่อมกันทั่วพื้นที่บนดาวเคราะห์

เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดไม่จำยอมดังขึ้นพร้อมเสียงแหวกอากาศจากการหลบหนีที่ดังขึ้นทั่วทุกมุมของดาวเคราะห์ เหล่าผู้มาจุติที่ยังมีชีวิตอยู่ ยกเว้นหวังเป่าเล่อ รวมถึงเจ้ากระทิงโล้นจอมอวดดีล้วนหน้าซีดเผือด พวกเขารีบท่องคำว่า ‘หวนคืน’ ในใจ พวกผู้ฝึกตนจากกองทัพตระกูลไม่รู้สิ้นที่ออกตามล่าหมายสังหารหวังเป่าเล่อไม่สามารถหลบหนีได้ ทำได้เพียงรอคอยด้วยความสิ้นหวังขณะเห็นฟ้าดินล่มสลายลงต่อหน้า!

พริบตาต่อมา ผืนดินก็พังทลาย เปลือกโลกยกตัวสูง น้ำทะเลถาโถมจากทั่วทุกทิศ อุณหภูมิสูงจัดระเบิดขึ้นจากใต้ดินและกระจายออกไปไม่หยุดหย่อนจนกลายเป็นหมอกหนา ตรงใจกลางดาวเคราะห์มีส่วนนูนขนาดใหญ่ยักษ์ปูดขึ้นมา มันตรงกับบริเวณยอดแท่นสังเวยพอดี

ส่วนที่นูนออกมามีสีดำสนิท ภายในมีแสงสายฟ้ามากมาย หากดูให้ดีจะเห็นว่าท่ามกลางแสงอัสนีเหล่านั้น มีดาวเคราะห์สีรุ้งที่กำลังปริแตกอยู่ภายในส่วนนูนสีดำสนิท

แรงสั่นสะเทือนกระจายไปทั่วไม่หยุดยั้ง สั่นคลอนไปถึงสวรรค์ เมื่อมองจากที่ไกลๆ ส่วนที่นูนขึ้นเป็นเหมือนดวงแสงขนาดยักษ์ มันขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กระจายออกไปทั่วบริเวณ แปรเปลี่ยนทุกสิ่งที่เคลื่อนผ่าน…ให้เป็นความว่างเปล่า!

ภาพทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อสั่นกลัว โชคดีที่การคุ้มกันจากจักรพรรดิประจำดาวเคราะห์ช่วยปกป้องชายหนุ่มไว้ได้แม้จะต้องเผชิญคลื่นทำลายล้างเหล่านี้ ทำให้ดูเหมือนว่าชายหนุ่มลอยอยู่บนอากาศเฉยๆ โดยไม่ได้รับผลกระทบสักเท่าไหร่ แต่ร่างก็ปลิวไหวไปมาเช่นกันเมื่อต้องเผชิญกับแรงลมและพลังที่พัดผ่าน

ข้าจะกลับไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้ ข้าต้องได้เห็นผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นคนนั้นสิ้นลมกับตาตัวเอง! หวังเป่าเล่อหายใจถี่ด้วยความกังวล เขาไม่อยากทิ้งภัยคุกคามเอาไว้โดยไม่รู้ตัว แม้ชายหนุ่มจะเดินทางมาที่นี่โดยสวมหน้ากากเอาไว้ และไม่กลัวว่าจะถูกจำได้ แต่นิสัยระแวดระวังประจำตัวก็บอกให้เขาทำเช่นนั้น

หวังเป่าเล่อนึกภาพออกว่าถ้าผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นคนนั้นรอดมาได้ คนที่ชายผู้นั้นจะนึกเกลียดชังที่สุดย่อมไม่ใช่ชายชราที่เขาหลอมเอาดาวเคราะห์ แต่เป็นตนเอง

เมื่อคิดได้เช่นนั้น แม้ดวงใจจะสั่นไหว ชายหนุ่มก็ยังบังคับให้ตนเองมองไปยังดาวเคราะห์ ส่วนที่นูนขึ้นขยายวงกว้างกินพื้นที่บนดาวเคราะห์ไปกว่าร้อยละสามสิบ แต่ก็ไม่ได้ขยายต่อไปจากนั้น ดาวเคราะห์ไม่สามารถทานทนได้ไหวอีกต่อไป มันจึงเริ่ม…ทำลายตัวเอง!

แรงสั่นสะเทือนดังสนั่นขึ้นจากทุกที่ขณะที่ดาวเคราะห์ล่มสลาย ราวกับว่าเป็นเครื่องถ้วยชามที่แตกร้าวไปทั่ว ดาวเคราะห์ไม่ได้แหลกละเอียดโดยสมบูรณ์ แต่แตกพังไปเพียงครึ่ง ระหว่างที่ดาวเคราะห์กำลังแหลกสลายและผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นตายไปเกือบหมด เสียงกรีดร้องก็ดังก้องขึ้นพร้อมชายสามหัวหกแขนที่พุ่งออกมาจากส่วนนูน!

เขายังไม่ตาย! หวังเป่าเล่อที่กำลังทานทนพลังพายุหรี่ตาลงเมื่อเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า ชายหนุ่มหมายจะฆ่าอีกฝ่าย แต่บริเวณรอบๆ ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นเต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง เขาจึงไม่สามารถเข้าไปใกล้ได้

ขณะที่หวังเป่าเล่อถอนหายใจอย่างเสียดายและเตรียมตัวจากไปพร้อมความสิ้นหวัง สายตาของเขาก็พลันเลื่อนกลับไปที่เดิม

ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นเสื้อผ้าฉีกขาด ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลนับไม่ถ้วน มีเส้นสายสีรุ้งพันอยู่เต็มร่างราวกับว่าจะตัดกายเขาให้ขาดสะบั้นกระนั้น สิ่งนี้ทำให้ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นต้องกรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดหลังจากพุ่งออกมา แขนข้างหนึ่งถูกสะบั้น

หลังจากนั้น แขนข้างที่สอง สาม และสี่ แม้แต่ขาทั้งสองข้างก็โดนตัด ร่างของเขาถูกฟันขาดออกเป็นเจ็ดแปดส่วน

ยังไม่จบแค่นั้น ศีรษะของเขาก็มีสภาพไม่ต่างกัน ศีรษะแรกร่วงลงมา ตามด้วยศีรษะที่สองซึ่งแหลกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อเห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกตื่นเต้น แต่…เส้นสายสีรุ้งที่สร้างขึ้นจากพลังทำลายล้างที่เกิดจากการระเบิดพลีชีพตนเองของจักรพรรดิประจำดาวเคราะห์แห่งนี้ก็อ่อนกำลังลงหลังจากนั้น ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นที่เหลือเพียงศีรษะเดียวพุ่งขึ้นฟ้าอย่างทุลักทุเล

หวังเป่าเล่อจ้องไปยังศีรษะนั้น อีกฝ่ายอยู่ห่างออกไปไกลมากและพลังทำลายล้างของดาวเคราะห์เบื้องหน้าก็แข็งแกร่งเกินไป ขณะเดียวกัน พลังป้องกันรอบกายชายหนุ่มก็เริ่มอ่อนกำลังลง เขารู้สึกว่าการคุ้มกันน่าจะทนอยู่ได้อีกไม่นาน ถึงจะอยากไล่ตามไปแค่ไหนก็ไม่สามารถทำได้

แต่หวังเป่าเลิกก็ไม่ยอมกลับออกไปทั้งอย่างนั้น

“ข้าจะทำให้เขาตื่นกลัวจนตายแม้จะไล่ตามไปไม่ได้ก็เถอะ!” ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบ เขาขยับตัวขณะพูดพึมพำ ร้องคำรามออกมาเหมือนอยากไล่ตามไป ศีรษะที่พุ่งทะยานออกมาจากส่วนที่นูนขึ้นจ้องกลับมายังหวังเป่าเล่อด้วยความเกลียดชัง จากนั้นก็กรีดร้องอย่างบ้าคลั่งและกัดฟันแน่น เสียงระเบิดดังขึ้นเมื่อชายตรงหน้าระเบิดหัวที่เหลืออยู่ไปครึ่งซีก!

จากนั้นก็ใช้พลังจากการระเบิดปลดปล่อยกลยุทธ์ปริศนาหายวับไปในทันใด

เขากลัวจริงๆ หรือ เห็นดังนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกสุขใจ คลายความกังวลใจลงไปบางส่วน แม้ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นจะยังมีชีวิตรอด แต่ก็ดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะกลับมามีระดับพลังเท่าเดิม

ชายหนุ่มสูดหายใจลึก แตะหน้ากาก หันมองผืนดินที่กำลังล่มสลายและส่วนนูนที่ขยายออกไปเรื่อยๆ พร้อมถอนใจเบาๆ

“หวนคืน!”

ทันใดที่เอ่ย หน้ากากก็เปล่งแสง จังหวะนั้นเอง…แสงสีรุ้งจางๆ ก็ลอยออกมาจากส่วนที่นูนขึ้น นำของสองชิ้นมาให้หวังเป่าเล่อ

หนึ่งในนั้นคือแก่นศิลาที่เปล่งแสงสีรุ้งขนาดเท่าเล็บมือ อีกชิ้น…คือฝ่ามือครึ่งซีก เป็นฝ่ามือข้างขวาของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นที่หลบหนีออกไปได้ ฝ่ามือนี้เหลือนิ้วมืออยู่เพียงสามนิ้ว ที่นิ้วชี้…สวมแหวนคลังเวทอยู่!

แหวนคลังเวทวงนี้เป็นของพิเศษ แม้จะผ่านการระเบิดทำลายตัวเองมา…ก็ยังไม่เสียหายใดๆ!

ของทั้งสองชิ้นซึ่งห้อมล้อมไปด้วยแสงสีรุ้งมาปรากฏตรงหน้าหวังเป่าเล่อที่กำลังจะเคลื่อนย้ายกลับออกไป หลังจากที่ชายหนุ่มหยิบของทั้งสองชิ้นไว้ การเคลื่อนย้ายก็เริ่มต้นขึ้น!

ร่างของหวังเป่าเล่อหายวับไปในทันใด!

ใบหน้าของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความกังวลและเกรงกลัวผสมกับความตื้นตันเมื่อได้ยินที่ร่างเงาเพลิงบนฟ้าพูด เป็นสีหน้าที่ผสมปนเปไปด้วยอารมณ์มากมาย คนธรรมดาทั่วไปอาจทำเช่นนี้ไม่ได้ แต่หวังเป่าเล่อนั้นศึกษาอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมาตั้งแต่เด็ก เขาฝึกฝนสีหน้าเช่นนี้มาตั้งแต่ตอนนั้นจนเชี่ยวชาญ

แต่จริงๆ แล้วในใจของชายหนุ่มกลับกำลังบ่นอุบกับตัวเองว่าชายชราช่างไม่น่าไว้วางใจเสียจริง ถ้าอยากได้ศิษย์ก็รับเอาเลยจะเป็นไรไป ทำไมต้องให้มาเป็นเพียงศิษย์ในนามด้วย

เขาแค่อยากได้ชื่อเสียงเพราะเป็นอาจารย์ของข้าโดยที่ไม่ต้องเสียผลประโยชน์อะไรไป คิดว่าข้าโง่อย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อตัดสินใจแล้วว่าจะปฏิเสธปรมาจารย์แห่งไฟ ถึงอาจารย์ของเขาจะไม่มีชีวิตอยู่แล้ว แต่ชื่อเสียงของท่านก็ยังคงอยู่ นอกจากนี้เขายังมีศิษย์พี่ที่ไม่ค่อยจะวางใจอะไรได้เพราะไม่ค่อยจะอยู่ช่วยอยู่อีกคน สมองชายหนุ่มแล่นไม่หยุดขณะคิดหาวิธีบอกปฏิเสธให้ดูไม่เป็นการเสียมารยาท

ชายหนุ่มยังคงตีสีหน้าเช่นเดิมไม่เปลี่ยนขณะคิดหาหนทาง ปรมาจารย์แห่งไฟเหมือนจะไม่ได้สังเกตว่ามีอะไรผิดแปลกไป จริงๆ แล้วเขากลับรู้สึกยอมรับเสียด้วยซ้ำ เด็กหนุ่มตรงหน้าอาจจะเป็นตัวปัญหา แต่ก็ดูเป็นคนมีเหตุผล รู้จักที่ของตนเอง

“ศิษย์พี่ผู้ยิ่งใหญ่…” หวังเป่าเล่อไม่ได้ใช้เวลาคิดนาน ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาก็เงยหน้าขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ ชายหนุ่มไม่สนใจความเจ็บปวดตรงดวงตาและพยายามบีบน้ำตาออกมา จากนั้นก็มองไปบนฟ้าก่อนจะก้มหัวให้

“นี่เป็นเรื่องใหญ่ ข้าต้อง…”

“ปรึกษาเฉินชิงก่อนอย่างนั้นหรือ” ปรมาจารย์แห่งไฟพูดขัดหวังเป่าเล่อด้วยใบหน้าที่เหมือนจะแต้มด้วยรอยยิ้ม

ชายหนุ่มขนลุกซู่เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงขณะจ้องปรมาจารย์แห่งไฟ เหมือนจะทั้งรู้สึกแปลกใจและทำอะไรไม่ถูก

“เจ้าคิดจะขอเวลาตัดสินใจ จะบอกว่ามีเวลาเหลืออีกเยอะในการตัดสินใจ เจ้าน่าจะคิดไปด้วยว่าข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ในนามเพราะไม่อยากให้อภิสิทธิ์ศิษย์ที่แท้จริงกับเจ้า” ปรมาจารย์แห่งไฟพูดออกมาอย่างสบายๆ ในตาเจือไปด้วยแววหยอกเย้า

เหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผากหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มอ้าปากจะพูดอะไรออกไปแต่ก็โดนขัดด้วยการโบกมือของผู้อาวุโส

“ตามใจเจ้า เจ้าต้องใช้เวลาคิดทบทวนให้ดี ถ้าเจอเฉินชิงก็ลองปรึกษาดูว่าถ้าปรมาจารย์แห่งไฟผู้นี้จะรับเจ้าเป็นศิษย์ เขาจะเห็นชอบ หรือเขาจะยินยอมหรือเปล่า”

หวังเป่าเล่อกะพริบตา เริ่มพึมพำกับตนเองอีกครั้งว่าทั้งสองประโยคก็มีหมายความอย่างเดียวกัน ชายหนุ่มรู้ว่าปรมาจารย์แห่งไฟมองตนออก เคล็ดวิชาสารัตถะที่ตนมีเป็นของศิษย์พี่ ผู้ฝึกตนกล้าแกร่งที่รู้จักเฉินชิงจะต้องมองหวังเป่าเล่อออกอยู่แล้ว

เขาอาจจะรู้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นใคร แต่หวังเป่าเล่อจะยอมรับความจริงนี้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง ชายหนุ่มยังตีหน้างุนงงและแกล้งทำเป็นไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่ปรมาจารย์แห่งไฟพูด เขาอ้าปากแต่ก็อึกอักไม่ยอมพูด ทำเหมือนว่าเกรงกลัวไม่กล้าถามอะไรมากมาย ในที่สุดชายหนุ่มก็หลบสายตาลงและกล่าวอย่างนอบน้อม

“ขอบคุณศิษย์พี่ ข้าจะรีบให้คำตอบท่านโดยเร็วที่สุด ยังมีอีกเรื่อง…ศิษย์น้องผู้นอบน้อมไม่รู้ว่าจะติดต่อท่านได้อย่างไรหากตัดสินใจได้แล้ว ท่านคิดว่าอย่างไร…ถ้าจะทิ้งหน้ากากไว้กับข้าเพื่อที่ข้าจะได้ติดต่อท่านได้ง่ายๆ” หวังเป่าเล่อพูดด้วยสีหน้าจริงจังพร้อมกุมหมัดโค้งคำนับให้กับปรมาจารย์แห่งไฟอีกครั้ง

“ข้าไม่ติดขัดอะไร เจ้าใช้คำสาปในหน้ากากไปแล้ว สิ่งนั้นก็ไม่ได้มีประโยชน์อื่นใดอีก” ปรมาจารย์แห่งไฟหัวเราะ แววตาฉายแววดูลุ่มลึก เหมือนว่าเขาจะมองหวังเป่าเล่อได้ทะลุปรุโปร่ง

หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกเขินอายอะไรที่ถูกมองออก เขายังแสร้งทำซื่อและพูดต่อ

“เช่นนั้น ทำไมท่านไม่ผนึกคำสาปเพิ่มเล่า ศิษย์น้องผู้นอบน้อมจะได้ประกาศชื่อเสียงของท่านให้ลือเลื่องไปทั่วด้วยหน้ากากของท่าน”

“เลิกคิดเรื่องหน้ากากได้แล้ว ข้าไม่ทำให้เจ้าหรอก” ปรมาจารย์แห่งไฟตอบเสียงเรียบเมื่อได้ยินคำขอของหวังเป่าเล่อ

ขี้เหนียวจริง หวังเป่าเล่อบ่นด้วยความแปลกใจเล็กน้อย เขาครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจึงตัดสินใจลองใหม่อีกครั้ง ยังคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

“ศิษย์พี่ผู้ยิ่งใหญ่คงตั้งใจจะสอนวิธีผนึกคำสาปใส่หน้ากากให้ข้า เพื่อเป็นการฉลองการพบกันของเรา ด้วยเหตุนี้ท่านจึงไม่คิดให้หน้ากากข้า เช่นนั้นโปรดรับคำขอบคุณจากข้าด้วย ศิษย์พี่ผู้ยิ่งใหญ่!” หวังเป่าเล่อพูดเสียงดังพร้อมโค้งให้ปรมาจารย์แห่งไฟอีกครั้ง

“เจ้าช่างหน้าไม่อายเหมือนเฉินชิงไม่มีผิด” ปรมาจารย์แห่งไฟว่าอย่างเหนื่อยอ่อน แต่หลังจากคิดเรื่องนี้ดูก็รู้สึกว่าน่าจะใจกว้างได้สักหน่อย ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจจะให้อะไรไป แต่พอได้ยินหวังเป่าเล่อพูดเช่นนั้นก็เปลี่ยนใจ หลังจะครุ่นคิดสักพัก เขาก็ยกมือขวาโบกผ่านอากาศ เรียกวัตถุคล้ายลูกประคำออกมาจากเศษซากปรักหักพังรอบๆ วัตถุเหล่านั้นพุ่งผ่านอากาศมารวมกันบนฝ่ามือปรมาจารย์แห่งไฟ ก่อนจะแปรสภาพเป็นแผ่นหยกสีเทา

ปรมาจารย์แห่งไฟเป่าลมลงบนแผ่นหยกเบาๆ และเปลี่ยนมันเป็นสีดำในทันใด จากนั้นก็โยนแผ่นหยกขึ้นฟ้า ส่งลอยไปหาหวังเป่าเล่อให้อีกฝ่ายเก็บเอา

“ข้าลงคำสาปไว้ในแผ่นหยก เจ้าใช้มันได้แค่ครั้งเดียว เจ้าสามารถใช้แผ่นหยกติดต่อข้าได้ แต่ก็เพียงครั้งเดียวเช่นกัน ถ้าโชคชะตาลิขิตให้เราเป็นศิษย์อาจารย์กัน เราก็คงจะได้พบกันอีก แต่ตอนนี้ เจ้ากลับไปได้แล้ว” หลังจากพูดจบ ปรมาจารย์แห่งไฟก็มองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาลุ่มลึก เขาอยากรับชายหนุ่มเป็นศิษย์อย่างจริงแท้

อาจรับมาเป็นศิษย์ในนามก็จริง แต่…ปรมาจารย์แห่งไฟก็ไม่ได้รับศิษย์มานานมากแล้ว

ความคิดเช่นนั้นทำให้เขาผุดนึกถึงความทรงจำอันน่าเศร้า ปรมาจารย์แห่งไฟโบกมือก่อนจะหันหลังเดินหายลับไป แผ่นหลังของเขาเป็นเพียงแผ่นหลังของชายแก่ผู้โดดเดี่ยว ร่างของหวังเป่าเล่อเริ่มเลือนราง เบื้องหน้าของชายหนุ่มคือร่างอันโดดเดี่ยวของปรมาจารย์แห่งไฟที่กำลังไกลห่างออกไป เขาอ้าปากอยากจะพูดบางสิ่ง แต่ท้ายที่สุดก็เลือกที่จะเงียบ หวังเป่าเล่อหายวับไปจากดินแดนซากปรักหักพัง ทิ้งหน้ากากหมูไว้เบื้องหลัง หน้ากากกลายเป็นแสงพุ่งตรงไปยังปรมาจารย์แห่งไฟและไปหยุดอยู่บนฝ่ามือของเขา แทนที่จะเข้าไปรวมกับหน้ากากชิ้นอื่นๆ ในร่างชายชรา

“ถ้าใช่ก็คงมาเอง แต่ถ้าไม่…ก็ต้องปล่อยไป” เสียงพึมพำของปรมาจารย์แห่งไฟก้องไปในอากาศ

ครู่ต่อมา ก็มีแสงจ้าปรากฏขึ้นในห้องของหวังเป่าเล่อที่อยู่ในโรงเตี๊ยมในตลาด ชายหนุ่มขยายสัมผัสสวรรค์ตรวจสิ่งรอบตัวทันทีที่ปรากฏตัวในห้อง พอมั่นใจแล้วว่าตนกลับมายังตลาดได้อย่างปลอดภัยก็ถอนหายใจออกมา ภาพเหตุการณ์อันตรายมากมายที่เขาเอาชีวิตรอดกลับมาได้ระหว่างปฏิบัติภารกิจปรากฏขึ้นในหัว จบลงด้วย…ภาพแผ่นหลังอันโดดเดี่ยวของปรมาจารย์แห่งไฟ

“เขาคงมีเรื่องราวบางอย่าง” หวังเป่าเล่อพูด สูดหายใจและสงบความคิดในหัว จากนั้นก็เริ่มสำรวจความเสียหาย อย่างแรกเลยคือเกราะจักรพรรดิ…เสียหายไปร้อยละเก้าสิบ ต่อมาคือเรือบินรบเวท…เสียหายไปเกือบร้อยละเก้าสิบเช่นกัน ส่วนประกอบหลักสำคัญแทบจะใช้การไม่ได้

วัตถุเวทอื่นๆ ก็เสียหาย และชายหนุ่มก็ใช้ข้าวของบางส่วนไปหมดเกลี้ยง เขาไม่มีทางลืมเรือบินรบนับไม่ถ้วนที่ใช้ระเบิดทำลายตัวเองไปในการต่อสู้ ภารกิจครั้งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อต้องงัดข้าวของที่เก็บสะสมไว้มากมายออกมา

แต่ที่ได้รับคืนมาก็ถือว่ามากเช่นกัน ทั้งได้เลื่อนขั้นการฝึกตน กระเป๋าคลังเก็บก็เต็มไปด้วยวัตถุดิบใหม่ๆ จากคลังอาวุธของตระกูลไม่รู้สิ้น จำนวนโอสถ วัตถุเวท และวัตถุดิบต่างๆ ที่อัดอยู่ด้านในอาจทำให้ใครหลายคนต้องมองด้วยความอิจฉา

ข้าวของจากคลังอาวุธทำให้ชายหนุ่มได้ทุนคืนจากข้าวของที่สูญเสียไปและความเสียหายที่ได้รับจากการปฏิบัติภารกิจ อีกทั้งเขายังได้ผลึกสีชาดมาอีก 13,000 ก้อน ของที่เขาจะซื้อจากเซี่ยไห่หยางนั้นต้องใช้ผลึกสีชาดเพียงสามร้อยก้อน ตอนนี้ชายหนุ่มมีกำลังซื้อมหาศาลเพราะมีผลึกสีชาดอยู่ถึง 13,000 ก้อน

เขาได้แก่นในสีรุ้งมาด้วยเช่นกัน ถึงตอนนี้จะยังไม่รู้ว่าใช้ทำอะไร แต่ก็มั่นใจว่าแก่นในสีรุ้งต้องมีความเกี่ยวข้องกับดาวเคราะห์สีรุ้งอย่างแน่นอน ต้องเป็นของที่มีคุณค่ามากเลยทีเดียว

นอกจากนี้….เขายังได้มือของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นมาครึ่งซีก ซึ่งน่าจะใช้เป็นวัตถุดิบในการหลอมได้ ส่วนแหวนคลังเวทที่สวมอยู่บนนิ้วก็น่าจะนำมาใช้งานได้ รวมถึงข้าวของข้างในด้วย

แหวนคลังเวทของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์… หวังเป่าเล่อตื่นเต้น หลังจากตรวจดูของอื่นๆ ที่ได้มาเสร็จ เขาก็ดึงแหวนออกมาจากมือครึ่งซีกและขยายสัมผัสสวรรค์ไปตรวจสอบ ชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วในทันใด ผนึกของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ยังคงทำงานอยู่ ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถคลายผนึกออกได้

“ช่างเถอะ ข้าก็แค่รอบรรลุไปขั้นจิตวิญญาณอมตะ ตอนนั้นคงจะค่อยๆ คลายผนึกออกได้!” หวังเป่าเล่อว่าอย่างไม่พอใจ แต่เขาไม่มีทางเลือกอื่น ให้ไปขอความช่วยเหลือจากคนอื่นก็ไม่กล้า เพราะจะเป็นการเปิดเผยว่าตนเองเป็นผู้มาจุติ

หวังเป่าเล่อตรวจดูข้าวของต่างๆ ไปพร้อมกับศึกษาตัวแหวน ไกลออกไปในห้วงอวกาศ ท่ามกลางหมู่ดาวเคราะห์สีฟ้า…มีดินแดนแห่งหนึ่งที่ปกครองโดยกองทัพลำดับสิบเก้าของตระกูลไม่รู้สิ้น

มีดาวเคราะห์นับไม่ถ้วนอยู่บริเวณห้วงอวกาศนี้ ในหมู่ดาวเคราะห์เหล่านั้นมีดวงหนึ่งที่มีตำหนักโบราณตั้งอยู่ แสงจ้าจากการเคลื่อนย้ายฉายวาบออกมาจากตำหนัก ศีรษะครึ่งซีกลอยผ่านประตูเคลื่อนย้าย กระเด็นกระดอนไปตามพื้น กลิ้งไปหยุดอยู่มุมหนึ่งพร้อมส่งเสียงกรีดร้อง

ศีรษะนั้นเป็นของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่เฉียดตายจากการสู้กับหวังเป่าเล่อ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดและโกรธแค้น โกรธเพราะก่อนศึกครั้งนี้เขาไม่เคยได้รับบาดเจ็บขนาดนี้มากก่อน โกรธเพราะ…สูญเสียแหวนคลังเวทของตนไป!

เขาซ่อนสมบัติบางอย่างไว้ไม่ให้ใครรู้ในแหวนคลังเวทวงนั้น มันไม่ใช่อาวุธทรงพลัง แต่คงไม่เกินจริงนัก…ถ้าจะเรียกมันว่าตั๋วทองคำสำหรับการฝึกตนในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น!

เขาไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตน สมบัติชิ้นนี้ช่วยให้คนธรรมดาอย่างเขาบรรลุไประดับดาวพระเคราะห์ได้ และสมบัติชิ้นนี้ก็อาจช่วยให้เขาบรรลุไปยังระดับดารานิรันดร์หรืออาจจะเหนือขึ้นไปกว่านั้นได้อีก ถ้ามีใครรู้เรื่องนี้เข้า คงจะเกิดสงครามระหว่างตระกูลและกลุ่มต่างๆ เพื่อแย่งชิงสมบัติชิ้นนี้ไปแน่ และด้วยความสามารถระดับกลางๆ อย่างเขา ก็คงต้องสูญเสียตั๋วทองคำนี้ไปตลอดกาลอย่างแน่นอน!

เจ้าหัวหมูเฮงซวย ข้าสาบานว่าจะตามหาตัวเจ้าให้เจอไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ไหน!

……………………………………

ข้านอนอยู่ที่ใด?
รอบด้านทำไมเป็นความมืดผืนหนึ่ง…
ข้ารู้สึกราวกับว่าได้ยินเสียงคนพูดจา แต่ก็ได้ยินไม่ชัดนักว่าอีกฝ่ายกล่าวพูดอะไร
ข้าเหนื่อยเล็กน้อย ช่างมัน ไม่ฟังแล้ว ข้ารู้สึกว่าตนเองเองควรจะหายไป แต่ก่อนหน้าที่จะหายไป ขอตรึกตรองเกี่ยวกับชีวิตนี้สักรอบ
ในชีวิตนี้ของข้า…แท้จริงแล้วน่าสนใจอย่างยิ่ง
ข้าไม่รู้มาตลอดว่าข้าเป็นใคร
ดังนั้น ข้าก็ย่อมไม่รู้ว่าข้าชื่อว่าอะไร
บางที ข้าก็ไม่มีชื่อสินะ
แปลกชะมัด ทำไมจึงมีผู้ที่ไม่มีชื่ออยู่ด้วย ตามที่ข้ารู้ เกรงว่าทุกผู้คนบนโลกใบนี้ก็ล้วนแต่มีชื่อของตนเอง
แต่ว่าข้านั้นกลับไม่มี
ข้าเองก็คิดไม่ออกว่าเหตุใดเป็นเช่นนี้ แต่มีเพียงความทรงจำอันพร่าเลือนเล็กน้อยเท่านั้น คล้ายกับว่า…ก่อนหน้านี้เนิ่นนานนั้นมีอยู่วันหนึ่ง ข้ามอบชื่อของตัวเองให้ผู้อื่นไปแล้ว
ด้วยความยินยอมพร้อมใจด้วย
รู้สึกว่าตนเองนั้นโง่เง่าสิ้นดี ทำไมถึงได้ยินยอมส่งมอบชื่อของตนให้ผู้อื่นเล่า…
ไม่รู้สินะ บางทีอาจจะมีเหตุผล
เฮ้อ… ความคิดคล้ายกับสับสนเล็กน้อย ให้ข้าค่อยๆ เรียงร้อยหน่อย… ความจริงแล้วเรื่องพวกนี้ ล้วนแต่ลอยวนอยู่ในระบบความคิดของข้า ราวกับว่ามันสำคัญมากแต่ข้ากลับคิดไม่ออก หรือต่อให้คิดออกก็หาหนทางไม่ได้
สิ่งที่ข้าพอจะคิดออกคือวัยเยาว์ของข้า
วัยเยาว์ที่ว่า ข้านั้นหมายถึงช่วงเวลายี่สิบปีแรกของชีวิตมนุษย์ บนโลกที่แสนจะธรรมดา ข้าก็เหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ข้าเข้าเรียนในสถานศึกษา ผ่านการเล่น ได้มีประสบการณ์เล่นเกมอย่างพวกเด็กๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า
ส่วนผู้คนรอบด้าน คล้ายจะเอาแต่บอกกับข้าว่า ให้ตั้งใจเรียน ต้องอย่างนี้ ต้องแบบนั้น…ข้าก็เริ่มปวดหัวขึ้นมาบ้าง จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้ามองฝนที่ตกลงมาจากฟากฟ้า ทันใดนั้นก็สงสัยว่าทำไมจึงมีฝนเล่า ฝนนั้นหมายถึงสิ่งใด
ปัญหานี้ อาจารย์ได้ตอบให้แก่ข้า หรือว่าบางทีตั้งแต่วันนั้น ข้าก็เริ่มสงสัยใคร่รู้ในเรื่องราวทั้งหมดของโลกใบนี้ ข้าชอบถามว่าเพราะอะไร ชอบได้รับคำตอบ เช่นนี้จึงจะทำให้ข้าพอใจ
และเพื่อความพอใจนี้ ข้าก็เริ่มตั้งใจเรียนจริงจัง ตั้งใจอ่านหนังสือ ราวกับว่ามีความปรารถนากำลังผลักดันข้า ให้ข้าไปคว้าทุกสิ่งที่ยังไม่รู้
ทุกๆ ความรู้ที่ข้าได้รับมาใหม่ ก็ค่อยๆ ปลดปัญหาที่ว่าเพราะอะไร ข้าล้วนแต่เบิกบานใจอย่างมาก สนุกสนานอย่างมาก ข้ารู้สึกว่าข้านั้นไม่ใคร่จะเหมือนคนอื่นอยู่พอควรทีเดียว
หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะธรรมดามากเกินไป ดังนั้นแล้วข้าจึงหลงใหลในสิ่งที่แตกต่างจากผู้อื่น ดังนั้นแล้วจึงยิ่งเพียรกับการเรียนรู้ เพื่อไปคว้าความรู้ทั้งหมดมาให้แก่ตนเอง
ชีวิตมนุษย์เช่นนี้ ดำเนินไปจนกระทั่งยี่สิบปี ข้าในยามนั้น ต้องการแสดงออกสักหน่อย ไม่ว่าจะเป็นต่อหน้าเพื่อน ต่อหน้าอาจารย์ หรือต่อหน้าเพศตรงข้าม
ข้าคล้ายกับว่าอยากแสดงว่าตัวตนแตกต่างจากผู้อื่น กระทั่งว่าลึกไปแล้วในใจ ข้ารู้สึกว่าตนนั้นแตกต่าง
ที่สุดแล้ว…ข้าไม่ได้หน้าตาโดดเด่นเหนือธรรมดา ไม่ได้มาจากตระกูลร่ำรวย เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตที่แสนจะธรรมดาเท่านั้น แต่สิ่งนี้ไม่กระทบต่อนกตัวน้อยที่ครองหัวใจของข้า
เจ้านกน้อยตัวนี้ มีปีกโผสู่ท้องฟ้ากว้าง มันมีอิสรเสรี เป็นความวาดหวังของข้า และเป็นสิ่งที่ให้ข้ารู้สึกว่ามีปีกอันไม่เหมือนกับเหล่าผู้คนทั้งหลาย
เมื่อสืบสาวราวเรื่อง ข้าในยามนั้นราวกับมีสองตัวตน ความคิดที่จะโผทะยาน และโลกธรรมดาในความเป็นจริง ทำให้ตัวข้าในยามนั้นชอบที่จะจมอยู่ในภวังค์
และก็เป็นในช่วงเวลานั้นเอง ที่ข้าพบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง นางคือนักเรียนจากห้องข้างๆ และเป็นการแอบรักครั้งแรกในชีวิตของข้า
การแอบรักนั้นเป็นความสุข การแอบชอบใครสักคนก็เป็นความทุกข์เช่นกัน
แต่ใจข้ายินยอมกระทำ
เพราะว่า นี่ทำให้ข้ายิ่งชอบแสดงตัวตนกว่าเก่า บางเวลานั้น…ยังคงจำช่วงเวลานี้ได้ คล้ายกับว่าการแสดงตัวตนของข้าก็คือความสามารถของข้าในชาตินี้ ข้านั้นวาดหวังกระทั่งตนเองจะกลายเป็นนักรบ วาดหวังว่าตนเองจะกลายเป็นบุตรรักแห่งโลกใบนี้ ปรารถนาว่าตนเองจะอยู่ท่ามกลางสายตาผู้คน จนกระทั่งดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้
ดังนั้นแล้ว ทุกครั้งที่ข้าได้เอ่ยคำ ข้าก็จะใช้ความสามารถทุ่มเท อย่างลุ่มหลง จนกระทั่งการแอบรักนี้สิ้นสุดลง
มันล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง อีกฝ่ายสุดท้ายก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าแอบรักนาง
ในวันสุดท้ายที่จบการศึกษา ข้ารู้สึกแย่อย่างยิ่ง แต่ก็รวบรวมความกล้าเอาไว้ ทว่าสุดท้ายแล้ว…ข้าได้แต่ก้มหัวลงเงียบๆ บางทีนี่ก็อาจเป็นคำสาป จนกระในการเรียนของสถานศึกษาที่สูงกว่าเดิมนั้น ข้าก็ยังคงแอบรักอยู่
และเวลานี้เอง ข้าก็เริ่มชอบการดูชะตาขึ้นมา ทุกครั้งที่ข้าไม่เบิกบานใจ ข้าก็จะหาอาจารย์ดูดวงท่านหนึ่ง นั่งอยู่เบื้องหน้าเขาแล้วส่งเงินให้เล็กน้อย
ที่นี่มีเทคนิคเล็กน้อยอยู่อย่างหนึ่ง คือจะมอบเงินให้ก่อนไม่ได้ หลังจากนั้นท่านจะได้คำชมมากมาย และคำสรรเสริญนับไม่ถ้วน
คำพูดประเภทที่ว่าดวงของเจ้ามันดีนักหนานับไม่ถ้วนนี้ จะทำให้ข้าเบิกบานใจนัก จนกระทั่งสุดท้ายนั้นข้าก็ได้มอบเงินเล็กน้อยให้แก่อาจารย์ท่านนี้ไป
ชีวิตแบบนี้ดำเนินไปได้หลายปี จนกระทั่งเรียนจบ ข้าก็ได้รับจดหมายรักแรกในชีวิต ข้ายินดีนักแต่ข้าไม่ได้ชอบผู้หญิงคนนั้น
จนกระทั่งหลังจากเรียนจบ ข้ามีการงานเป็นของตัวเอง ข้ากระตือรือร้นที่จะแสดงตัวตน เกรงว่าเวลานั้นคงเป็นแรงทะเยอทะยานขั้นสูงสุด ดังนั้นข้าจึงตั้งใจทำงาน ขยันหมั่นเพียรแสดงออก ขยันเพื่อให้ได้รับการยอมรับ
ช่วงชีวิตในยามนั้นเมื่อมาย้อนคิดแล้วช่างมีความหมายนัก เพราะว่าระหว่างที่ข้าพยายามมีตัวตน ข้าก็พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง พวกเราตกหลุมรักกัน
ความรักนั้น เป็นกาแฟขมๆ ถ้วยหนึ่ง
แม้จะรสขมแต่ก็หอมหวาน หลังจากดื่มลงไปแล้ว…ก็ราวกับว่าสัมผัสได้ถึงความขมส่วนหนึ่งและหวานอีกส่วน
รักแรกของข้า จบสิ้นแล้ว
ในเวลานั้น ข้าก็เรียนรู้เรื่องบุหรี่ของโลกใบนี้
และเริ่มรู้สึกว่าเหล้าของโลกนั้นน่าสนใจ หลังจากนั้น บุหรี่และเหล้าก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของข้า
ข้าก็ยังคงพยายามมีตัวตนอยู่เช่นเดิม เพียงแต่ว่าแรงขับภายในใจนั้น เกรงว่าหลังผ่านขวบปีนานเข้านานเข้าก็กลายเป็นจืดชืดขึ้นมามากมาย และในเวลานี้เอง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เพศตรงข้ามข้างกายข้านั้นเริ่มมีมากขึ้น
ความรักที่สอง ความรักครั้งที่สาม ความรักครั้งที่สี่ กาแฟขมๆ แต่ละแก้วนั้นคล้ายกับกองอยู่รวมกัน
ให้ข้าค่อยๆ ดื่มไปทีละแก้ว จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ข้าได้พบกับสตรีผู้หนึ่ง รูปร่างสูง เวลานางยิ้มจะมีดวงตาโค้งราวพระจันทร์ ทำให้ข้ารู้สึกสบายใจ
ข้าคิดว่า เกรงว่านี่คงจะเป็นการดื่มกาแฟแก้วสุดท้ายในชีวิตของข้าแล้ว
พวกเรารักกัน และแต่งงานกัน
ข้าในยามนั้น เหมือนกะพริบตาก็ได้เห็นตัวเองยามแก่ชราแล้ว ข้าสบายใจ ปลอดโปร่งและรู้สึกสวยงาม…
จนกระทั่งหลายปีให้หลัง อยู่มาวันหนึ่ง กระจกได้แตกออก การแต่งงานในยามนั้นมาถึงที่สิ้นสุด
สิ่งที่ยากจะแยกว่าใครผิดใครถูก ยากจะแยกว่าใครทำร้ายใคร
ความทุกข์ทน การต่อสู้ ขบฟัน การเปลี่ยนแปลง…ได้กลายเป็นจังหวะดนตรีหลักในชีวิตของข้ายามนั้น นกน้อยในหัวใจตอนนี้กลับโผทะยานสูงขึ้นจนกระทั่งปะทะเข้ากับดวงอาทิตย์ ได้รับแสงแดด
บางทีโชคชะตาอาจชอบเล่นตลกกับชีวิตของคน ชีวิตภายหลังจากนั้น โลกของข้ากลับมีคนต่างเพศเพิ่มขึ้นอีกมาก พวกนางบ้างก็สูงชะลูด บ้างก็มีราศี บ้างก็อ่อนหวาน บ้างก็ชอบควบคุม…ล้วนงดงามทุกคน ล้วนเป็นคนงามชั้นเลิศ การมาของพวกนาง มาแล้วก็จากไป เกิดขึ้นตั้งอยู่ในเวลาเดียวกันทำให้ข้าเกิดความมึนงงอยู่บ้าง
เพราะว่าสุดท้ายแล้ว…สิ่งที่ข้าถือไว้ในมือก็คือกาแฟขมๆ แต่ละก้าว ราวกับบุหรี่ ราวกับเหล้า
บุหรี่ ทำร้ายปอด
เหล้า ทำร้ายตับ
สตรีเพศ…ทำร้ายหัวใจ
แต่ว่าข้าก็ยังชอบบุหรี่ ยังชอบเหล้า และยังอาวรณ์ความรัก…
จนกระทั่ง ถึงยามที่ข้าอายุสี่สิบ ข้าพลันพบว่าข้าชอบพูดคุยกับบรรดามิตรสหายากกว่าพวกสตรีต่างเพศพวกนั้น พูดเรื่องที่ผ่านไปและอนาคต
ดื่มๆ เหล้าไป ก็ชอบลากแขนมิตรสหายมาอวดโอ้ใส่กัน หัวเราะเบิกบานด้วยกัน ล้อกันและกัน หวนรำลึกถึงวัยเยาว์
บางที นี่ก็คงเป็นการเปลี่ยนแปลงประเภทหนึ่ง ทำให้มิตรสหายของข้ายิ่งมากขึ้น ข้าได้ยินเรื่องราวของพวกเขา พวกเขาเองก็ได้ยินเรื่องราวของข้า พวกเราสนทนาและสื่อสารถึงกัน
บางทีก็อาจจะมีกำแพงบ้าง บางทีก็อาจมีความลับที่เก็บไว้บ้าง แต่นี่ก็ไม่สำคัญ สุขสำราญเท่านั้นสำคัญที่สุด
ในเวลานั้น ทุกคนที่ข้ารู้จักล้วนเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง ทุกคนมีเรื่องราวของตัวเอง ทุกคนนั้น…ล้วนแต่เดียวดายจากในกระดูก
และเมื่อรู้เยอะเข้าก็ราวกับว่าตัวข้าเองไม่ได้รู้สึกเดียวดายขนาดนั้นแล้ว
มิตรสหายของข้ามีทั้งชายและหญิง มีทั้งแก่และเด็ก ไม่ว่าจะเป็นจากชนชั้นวรรณะใดล้วนแต่มีอยู่ เพราะนี่ไม่สำคัญ รอยยิ้มอันจริงใจนั้นมีพลังทำลายได้ทุกสิ่ง
โดยช้าๆ มิตรสหายจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ชอบที่จะสนทนากับข้า
โดยช้าๆ รอยยิ้มของข้าก็สดใสเจิดจ้า
โดยช้าๆ คล้ายกับว่าข้าหาวิธีที่ทำให้ตัวเองมีความสุขได้แล้ว
การสื่อสาร ในชีวิตของข้าในช่วงเวลานั้น เหนือยิ่งกว่าความปรารถนารู้ เหนือยิ่งกว่าการแสดงตัวตน เหนือยิ่งกว่าความรัก และได้กลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตข้า
นี่ก็คือการแบ่งปันแบบหนึ่ง หรือบางทีอาจจะเป็นเพราะในใจเก็บกดจนถึงระดับหนึ่ง ราวกับน้ำที่ทะลักออกมา ไม่เพียงเป็นสิ่งที่ข้าต้องการ คนจำนวนมาก…ก็ล้วนต้องการ
และท่ามกลางการแบ่งปันและสื่อสารนี้ ข้าข้ามผ่านปีแล้วปีเล่า ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไร ข้าไม่ชอบการสื่อสารอีกแล้ว ข้าเริ่มแสวงหาความสุขสงบ ความสงบเช่นนี้รวมถึงทางวิญญาณ และรวมถึงทางวัตถุ
ข้าคิดว่า นั่นคือช่วงเวลาที่เส้นผมบนหัวของข้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีขาวนั่นแหละ
ข้าไม่ตั้งกฎเกณฑ์ว่าจะไปทำอะไร ไม่ตั้งกฎเกณฑ์ว่าจะไปคิดอะไร ทุกสิ่งที่ทำให้ข้ารู้สึกสบายข้าจะคิดเรื่องนั้นและจะไปทำให้สำเร็จ ข้าเริ่มชอบมองท้องฟ้า เริ่มชอบมองก้อนเมฆ เริ่มชอบมองพระอาทิตย์ขึ้น แต่ข้าไม่ชอบมองพระอาทิตย์ตก
ทว่าท้องฟ้าในยามกลางคืน ข้าเองก็ชอบ
ข้าชอบนั่งอยู่บนเก้าอี้โยก ดื่มด่ำกับเครื่องดื่มหนึ่งแก้ว จากนั้นหยิบหนังสือสักเล่มขึ้นมา อ่านไปมองท้องฟ้าไป อิ่มเอมกับช่วงเวลาและสัมผัสทุกสิ่ง
ข้าไม่นอนดึก แต่เริ่มตื่นเช้าขึ้น
ข้าไม่หลงใหลในสรรพสิ่งอีกไม่ว่าเรื่องอะไร เพราะว่าส่วนมากข้าได้รับคำตอบแล้ว
ข้าไม่คิดไปแสดงตัวตนอีก เพราะว่าข้ามองทุกสิ่งออกมากเกินไปแล้ว
ข้าไม่ได้สื่อสารไม่พักแบบนั้นอีก เพราะหากทำเช่นนั้นก็จะทำให้ผู้อื่นรำคาญ
ข้ากลับไม่ได้ไปนึกคิดถึงเพศตรงข้ามอีกแล้ว เพราะว่าเมื่อมองพวกนาง ข้าได้แต่ยิ้ม ในสายตาหวนระลึกความทรงจำเหล่านั้น เพียงแค่เงาร่างในความทรงจำตน ข้าเองก็นึกได้แบบรางเลือนแล้ว
สิ่งที่ข้าปรารถนานั้น ก็คือให้ตัวเองได้มีชีวิตอยู่สุขสบายสักหน่อย ในใจนิ่งขึ้นเล็กน้อย คล้ายกับว่าทุกสิ่งในโลกใบนี้ พลันเปลี่ยนเป็นงดงามในสายตาของข้า
ชีวิตแบบนี้ ได้ดำเนินไปเนิ่นนาน… จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่ง ข้าได้ลูบใบหน้าของตนเอง สัมผัสได้ถึงรอยยับย่นมากมาย ข้ามองมือทั้งสองของตัวเอง มองเห็นรอยย่นและผิวกระด้าง
ดวงตาของข้าก็เริ่มพร่ามัวขึ้นมา มองรอบด้านทั้งหมดด้วยความรางเลือน ทว่าตัวข้าที่จับจ้องกระจกนั้นยังคงพยายามที่จะหยัดกายขึ้น ท่ามกลางรอยยิ้มนั้น ข้ายังคงรู้สึกอิ่มเอม
ทว่า…นอกกระจกนี้ ข้าทราบดี ข้าหวาดกลัวแล้ว ข้าเปลี่ยนเป็นคนขลาดเขลาและระมัดระวังยิ่งขึ้น
ข้ารู้ว่าข้ากำลังกลัวสิ่งใด เพราะว่าบางครั้งหลังสะดุ้งตื่นยามค่ำคืน ข้าคล้ายกับว่าปราณแห่งความตายนั้นหลอมรวมเป็นเงาร่าง และคอยจับจ้องข้าจากนอกหน้าต่างอยู่เงียบๆ
คล้ายกับว่า พวกมันกำลังเรียกขานข้า เฝ้ารอข้า
ข้ายังไม่อยากไปกับพวกมัน
ยิ่งไปกว่านั้นในบรรดาพวกมันยังมีมิตรสหายเก่าที่ข้าเคยคบด้วย
ข้าไม่คิดอยากเห็นพวกเขา ข้ากลัวมาก
ข้าไม่อยากตาย ข้าอยากมีชีวิต อยู่ตลอดไป…ท่ามกลางแรงขับของความปรารถนา ทำให้บางครั้งข้ารู้สึกหายใจไม่เต็มท้อง
ข้าในเวลานั้นเพิ่มความสนใจยังมิตรสหายเก่าแก่ที่ยังอยู่ของข้า ไปคอยเตือนให้พวกเขาระวังร่างกายและคอยดูแลสุขภาพของพวกเขา เพราะว่า…ข้าไม่อยากเห็นพวกเขาจากไป
นี่ทำให้ข้ายิ่งหายใจไม่เต็มท้องหนักกว่าเก่า กลัวว่าความตายของตนเองจะมาถึง
มนุษย์ ทำไมต้องตายด้วยนะ
บางครั้งข้าก็คิดถึงปัญหานี้ขึ้นมา และคิดว่าสุดท้ายแล้วข้ากลัวอะไรนะ กลัวความตายจริงๆ หรือ…
คำตอบย่อมแน่นอนสิ
แต่ว่าหลังคำตอบอันแน่นอนนี้ ข้ายังมีอีกคำตอบหนึ่ง
ข้ากลัวความเดียวดาย
เมื่อข้าไปแล้ว ข้าย่อมโดดเดี่ยว
พวกเขาไปแล้ว ข้าก็จะโดดเดี่ยว
ความกลัวต่อความตายเช่นนี้ และกลัวต่อความโดดเดี่ยวเช่นนี้ได้กลายเป็นพลังหนึ่ง เติมเต็มความหวังของข้า คอยพยุงให้ข้าอยู่ต่อไป เพียงแต่ว่า…ร่างกายของข้าเหมือนผ้าแหว่งขาดวิ่น หลังพลังชนิดนี้พรั่งพรูแล้วก็เห็นได้ว่ารูแหว่งเว้าพวกนี้เหมือนจะชำรุดเร็วกว่าเก่าจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ข้าอยากให้พวกมันคงสภาพอยู่ได้ แต่ข้าทำไม่ได้
บางที แรงที่จะลุกขึ้นจากเตียงของข้า มันก็ไม่มีอีกแล้ว ข้าสัมผัสได้ว่ากลิ่นอายของความตายกระจายไปเต็มร่างของข้า ความหวังของข้า ทุกสิ่งของข้า ล้วนหายไป
ในเวลานั้น ข้าพลันเข้าใจถึงหลักเหตุผลหนึ่ง
ความกลัว ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย
ในวันนั้น ข้าจำได้ คล้ายกับว่าข้ามีแรงกำลังอีกแล้ว ดังนั้นข้าจึงพยายามรั้งตัวลุกขึ้นนั่ง จัดแต่งตัวเองให้พร้อมสรรพ เดินไปยังสวนแล้วก็เก้าอี้ของข้าตัวนั้น สุดท้ายแล้วข้านั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วมองดูแสงตะวันลับฟ้า
ลมฤดูใบไม้ผลิพัดมาเย็นยะเยือก ทำให้เหล่าใบไม้ในจวนสั่นเล็กน้อย
บนกิ่งไม้นั้น ในฤดูนี้เหลือเพียงก้อนใบเหลือง หลังจากพัดม้วนแล้วก็ร่วงลงมาอย่างประคองไม่อยู่
ข้ามองพระอาทิตย์ตก มองดูใบไม้ที่เหลืออยู่ใบเดียวบนต้น พลันรู้สึกว่าทุกอย่างช่างงดงามเหลือเกิน และโดยช้าๆ ข้าก็ยิ้มออกมา
รอยยิ้มนี้…ข้ามองเห็นตะวันลับฟ้า ข้ามองเห็นในพริบตานั้นท่ามกลางแสงสีเหลืองหม่น ใบไม้ใบเดียวบนต้นนั้นพลันร่วงลงมา
ลอยละลิ่วโยกเอน…ราวกับเก้าอี้โยกนี้ของข้า
จนกระทั่ง มันลอยมาอยู่เบื้องหน้าข้า ขวางอยู่หน้ากรอบสายตาของข้า ปิดบังแสงทั้งมวล ปิดบังทัศนียภาพทั้งหมดในสายตาของข้า
แต่ว่าสติของข้ากลับไม่ได้หายไป
รอบด้านของข้าเป็นสีดำสนิท ข้าไม่รู้ว่าข้าอยู่ที่ใด หรือว่ายังอยู่บนเก้าอี้…
และเพราะว่าจิตสำนึกของข้ายังดำรงอยู่ ดังนั้น…จึงมีข้าผู้นี้ที่ระลึกถึงความทรงจำของตนตอนเป็นมนุษย์
ข้าคิดว่า ชีวิตของข้านี้ หากว่าให้คนอื่นมากล่าวก็ไม่นับว่ามีสีสัน แต่สำหรับข้า นี่คือชีวิตเดียวของข้า
และเป็นเพราะในยามนี้เอง ข้าก็คล้ายกับจะได้ยินเสียงเรียก ได้ยินเสียง…
คล้ายกับว่า มีคนกำลังขานนามของข้า ให้ข้าตื่นขึ้น…
แต่ว่าข้าฟังไม่ชัดเจน จึงได้แต่อาศัยความรู้สึกไปกะประมาณ ส่วนเสียงนี้รู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง ข้าคล้ายกับว่าในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ข้าเคยได้ยินมาก่อน
“เขากำลังพูดสิ่งใด…”
“พูดดังกว่านี้หน่อย ข้าไม่ได้ยิน” ข้ามองความมืด จากนั้นพยายามเอ่ยปาก บางทีอาจจะเป็นเพราะความพยายามของข้าจึงได้ผลขึ้นมา โดยช้าๆ ในยามที่สติสัมปชัญญะของข้าพร่าเลือน น้ำเสียงนั้นกลับแจ่มชัดขึ้น
“ข้าหวัง…ให้เจ้าได้มีอิสรเสรี ตลอดกาลทุกชาติภพ”
ความคิดของข้าพลันสั่นสะเทือนครั้งใหญ่!
“ข้าหวัง…ให้เจ้าได้สุขสำราญใจ ตลอดกาลทุกชาติภพ”
ความนึกคิดของข้าพลันบังเกิดคลื่นยักษ์!!
“ข้าหวัง…ให้เจ้าไม่ลืมหัวใจดั้งเดิมของตน ตลอดกาลทุกชาติภพ”
จิตวิญญาณของข้าพลิกม้วนโห่คำราม!!!
“ข้าหวัง…ให้เจ้ามีสุขสวัสดี ตลอดกาลทุกชาติภพ”
ดวงจิตเทพของข้าพลันสั่นสะเทือนวงแหวนดารา!!!!
“สุดท้ายนั้น นามหวังเป่าเล่อนี้ ข้าคืนให้แก่เจ้า” น้ำเสียงอันคุ้นเคย ลอดเข้ามาในหูของข้า…สะเทือนก้องอยู่ในร่างซึ่งลอยอยู่ในกลางดารา และดวงตาทั้งคู่ของข้า…ก็พลันตื่นขึ้น!!!
“ข้าชื่อ…หวังเป่าเล่อ!”
บทสุดท้าย
วงแหวนดาราพิภพ
ท่ามกลางความเวิ้งว้าง หวังเป่าเล่อลุกขึ้นจากการหลับใหลเงียบๆ ดวงตาของเขาแฝงแววสับสนเต็มเปี่ยม เขามองไปยังที่ห่างไกล เนิ่นนาน…จนกระทั่งเขายกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วของตน
ครึ่งครู่ให้หลัง หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจบางเบา ราวกับว่ารู้ตั้งแต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาใช้มือขวาคว้าไปยังทิศทางห่างไกล ไข่มุกเม็ดหนึ่ง พร้อมกาสุราหนึ่งพลันปรากฏขึ้นต่อหน้า
เมื่อมองไข่มุกเม็ดนี้ หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน เขายกมือขึ้นก่อนจะจับมันไว้เบาๆ
ขนาดของไข่มุกคือใจกลางของฝ่ามือเขา นี่คือทุกสิ่งของเขาและเป็นโลกของเขา
สุดท้ายแล้วเขาใช้มือขวาหิ้วกาสุรายกขึ้นดื่มอย่างแรงไปอึกหนึ่ง…ส่ายหัวเพราะรสชาติขมปร่า ก่อนจะเดินไปยังทะเลดาราเบื้องหน้าเงียบๆ
เงาร่างของเขา โดดเดี่ยว เย็นชา เดินห่างไกลออกไป ไกลแสนไกล
“เส้นทางอันโดดเดี่ยวสายนี้ ข้ายังคง…เดินต่อไปเถอะ”
สุดท้ายแล้วก็เป็นภาพมายาที่สิ้นสลายฉากหนึ่ง
บุญคุณของผู้ใด ด่านเคราะห์ของผู้ใด…
จบบริบูรณ์

ไม่พบกัน…เนิ่นนาน

หวังเป่าเล่อนับเวลาไม่ค่อยถูกเสียแล้ว ระยะเวลาที่เขากลายเป็นรูปสลักนั้นเนิ่นนานจนเกินไป ไม่รู้กี่หมื่นปีมาแล้ว แต่ละดวงจิตเทพของแต่ละยุคสมัยนั้นล้วนทยอยพาเผ่าพันธุ์จากไป ส่วนมหาจักรวาลเองนั้นก็ผ่านการดับสลายและเกิดใหม่มาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว

เกรงว่า…สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนก็คือ เขายังคงอยู่ ร่างต้น…ก็ยังคงอยู่

กระทั่งอาจจะกล่าวได้ว่า หวังเป่าเล่อสามารถออกจากวงแหวนพิภพนี้ได้ตั้งนานแล้ว และไปยังสรวงสวรรค์ แต่ว่าสถานที่แห่งนี้…ร่างต้นคือสิ่งผูกพันสุดท้ายสิ่งเดียวของเขา

ในยามนี้หวังเป่าเล่อยืนอยู่กลางท้องฟ้า มองดูดินแดนรูปหน้าคน มองใบหน้าที่คุ้นเคย ประตูใหญ่เปิดออกในความทรงจำของเขาช้าๆ ภาพแต่เก่าก่อนค่อยๆ ไหลเข้ามาในครรลองสายตาของเขา…ราวสายน้ำ

ครึ่งครู่ให้หลัง หวังเป่าเล่อถอนหายใจบางเบา หยิบเอากาสุราในมือแล้วดื่มเข้าไปอึกใหญ่ ดวงตานั้นทอประกายแปลกประหลาด

แท้จริงแล้ว เขาคิดได้แต่แรกแล้วว่าจะทำเช่นไรให้ร่างต้นได้สติ แม้ว่าความปรารถนาไม่อาจถูกทำลาย แต่…ก็สามารถเข้าแทนที่ได้

ส่วนวิธีการของหวังเป่าเล่อนั้น เขาค่อยๆ คิดได้หลังจากเฝ้ามองสรรพชีวิตมานับหมื่นๆ ปี

 บนโลกนี้ เหล่าสรรพชีวิตล้วนมีความปรารถนา…แต่ความปรารถนานั้น มิได้มีเพียงแค่เสียง รส ภาพ กลิ่น สัมผัสและจิต 

 บนโลกใบนี้ ยังมีอย่างอื่นนอกจากปรารถนาทั้งหก…มีอยู่โดยตลอด  หวังเป่าเล่อพึมพำ เขามองสรรพชีวิตมาหลายปี มองเห็นเหล่าผู้คนในเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วน ความปรารถนาที่จะสืบทอด ความปรารถนาที่จะเรียนรู้ เขาได้รู้ถึงความปรารถนาต่อเรื่องที่ยังไขไม่ได้

ความปรารถนาพวกนี้ หวังเป่าเล่อขนานนามมันว่า…ปรารถนารู้

ปรารถนารู้ทุกสิ่งที่ยังไม่รู้ ความปรารถนาที่ผลักดันให้เข้าใจทุกสิ่ง

นอกจากนี้แล้ว เขาก็ยิ่งอยากเห็นร่างของสรรพชีวิตในบรรดาเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วน ท่ามกลางความเบ่งบานของแต่ละชีวิต ความปรารถนาจากก้นบึ้งหัวใจที่อยากจะโดดเด่น ความปรารถนาที่จะแตกต่าง ในที่นี้บ้างก็อยากเป็นวีรบุรุษ บ้างก็ปรารถนานำพาเผ่าพันธุ์ให้ยิ่งใหญ่บ้าคลั่ง ไม่ว่าเป็นอย่างไร ความปรารถนาพวกนี้คล้ายกับว่าจะติดตามพวกเขาทั้งชีวิต…

หลังหวังเป่าเล่อมองดูเนิ่นนาน เขาก็เรียกความปรารถนานี้ว่า…ปรารถนาตัวตน

มีตัวตนก็เพื่อตนเอง เพื่อให้เผ่าพันธุ์ปรากฏอยู่ ให้ตัวตนในชีวิตนี้มีคุณค่า

หลังสองปรารถนานี้แล้ว ยังมีอีกความปรารถนาหนึ่ง รุนแรงเช่นเดียวกัน กระทั่งว่าระดับความรุนแรงนั้นอาจจะแตกต่างกันไปตามแต่ละเผ่าพันธุ์ แตกต่างตามเหตุแห่งมรรคาเต๋าและดวงจิตเทพแต่ละคนของสรรพชีวิตแต่ละราย

นั่นก็คือ…ปรารถนาอารมณ์

ท่ามกลางการสังเกตของหวังเป่าเล่อนี้ เขาพบว่าความปรารถนานี้พิเศษอย่างยิ่ง มันอาจจะเป็นน้ำผึ้งหรือยาพิษก็ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม…มันล้วนทำให้สรรรพชีวิตนั้นแสวงหาความทุ่มเท บ้างก็กลายเป็นยาพิษทำร้ายจิตใจ แต่ว่าส่วนลึกของดวงวิญญาณนั้นยังคงรอคอย และอาวรณ์ถวิลหา

 บางที อาจจะเพราะพวกเราทุกชีวิตล้วนแต่เดียวดาย ทว่ากลับไม่ต้องการอยู่อย่างโดดเดี่ยว  หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา ในสมองนั้นปรากฏภาพตัวเองเฝ้ามองสรรพชีวิต สัมผัสได้ถึงความปรารถนาชนิดที่สี่

ความปรารถนาชนิดที่สี่นี้ บ้างก็คล้ายกับปรารถนาตัวตน แต่กลับไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่แล้วมันแฝงอยู่ในการแสดงทางวาจา การแสดงออก แฝงอยู่ในความสามารถของทุกสรรพชีวิต ตัวของหวังเป่าเล่อเองมีอยู่ ทุกสรรพชีวิตเองก็มีอยู่

หวังเป่าเล่อเรียกสิ่งนี้ว่า..ปรารถนาสื่อสาร

ไม่ว่าจะเป็นการพูดคุยกับคนอื่นๆ หรือว่าพูดคุยกับตนเอง ล้วนแต่เป็นความปรารถนาที่จะสื่อสารทั้งสิ้น ก็เหมือนกับที่หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนเองในยามนี้ กำลังจมอยู่กับความปรารถนาที่จะสื่อสาร

 แล้วยังมีอีกปรารถนาหนึ่ง…  ระหว่างที่หวังเป่าเล่อกล่าว เขาก็พบว่าหลายปีมานี้ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ใด หรือว่าอารยธรรมใด ในช่วงเวลาห้วงหนึ่งอันแตกต่างกัน จะเกิดสภาวะประหลาดอันเรียกว่า…ความสงบขึ้นมา

ราวกับความปรารถนาที่เหล่าสรรพชีวิตทั้งหมดแสวงหานี้ ปรารถนาสุขสงบล้วนแฝงอยู่ในนั้นเสมอมา ไม่ว่าตัวตนจะแข็งแกร่งเท่าไร อยู่ในเผ่าพันธุ์เกรียงไกรเพียงใด ล้วนแต่ต้องแย่งชิงหรือว่ายอมสยบในสิ่งต่างๆ…

ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ สุดท้ายแล้วก็เพื่อให้ตนเองสบายกายสบายใจ สรรพสัตว์ทุกสิ่งเป็นเช่นนี้ ไม่มีหนีพ้น

ต่อให้ไม่ได้เป็นเช่นนี้ แต่ก็เป็นแค่เพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น หลังจากเวลาเคลื่อนผ่าน ทุกอย่างก็ล้วนต้องกลับมาอยู่ในห้วงปรารถนานี้

ดังนั้นแล้ว หวังเป่าเล่อจึงเรียกว่าความปรารถนานี้ว่า…ปรารถนาสุขสงบ

สำหรับความปรารถนาสุดท้าย หวังเป่าเล่อค้นพบมันจากบรรดาผู้อยู่ใกล้ความตายของสรรพสัตว์ในเผ่าพันธุ์ทั้งหลาย สิ่งนี้ยิ่งเด่นชัดนั้นในยามที่อยู่บนร่างของผู้อยู่บนเส้นแบ่งเป็นตาย เนื่องเพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะไม่มีความเสียใจ หรืออยากไล่ตามสิ่งใดก่อนตาย แล้วยินยอมหลับตาจากไป

และไม่ใช่เพราะทุกคนมีสิทธิในการเลือกความตายของตนเองได้ ดังนั้นแล้ว…ชีวิตส่วนมากในเผ่าพันธุ์ทั้งหลายนั้น ในยามนี้ ในร่างของพวกเขาก็จะมีความปรารถนาอันแรงกล้าบังเกิดขึ้น

ความปรารถนา…ที่จะมีชีวิตต่อไป

ความปรารถนาเช่นนี้ ยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด หลายครั้งนั้นที่พบเห็นทำให้หัวใจของหวังเป่าเล่อบังเกิดระลอกคลื่น

สุดท้ายแล้ว เขาเรียกสิ่งนี้ว่า…ปรารถนาชีวิต

ความปรารถนาทั้งหกประการก็คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อได้สังเกตพบในเวลาหลายล้านปีนี้ สรุปมาได้เป็นความปรารถนาพื้นฐานของชีวิต และเป็นสิ่งที่เขาคิดว่านี่เป็นกุญแจปลุกให้ร่างต้นตื่นขึ้น

ในเมื่อความปรารถนานั้นไม่อาจดับมอด เช่นนั้นก็ย่อมถูกชักนำและแทนที่ได้…ราวกับใช้อีกวิธีการในการแสดงมันออกมา

และหกปรารถนาที่เกิดมาภายหลัง ย่อมต้องการสติสัมปชัญญะ ดังนั้นแล้ว…เมื่อแทนที่สำเร็จ หวังเป่าเล่อเชื่อว่า ร่างต้นย่อมได้ทุกสิ่งกลับคืนมา

 แต่ทุกสิ่งตรงนี้ ต้องให้ตัวของร่างต้นชักนำเอาเอง ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำก็คือ ให้จิตนึกคิดของร่างต้นตื่นจากการหลับใหลก่อน…  หวังเป่าเล่อมองดินแดนรูปใบหน้าคน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็สืบเท้าไปเบื้องหน้า

หลังจากเข้าใกล้ ดวงดาวที่ถูกดินแดนนี้ชักนำเข้ามานั้นพลันระเบิดแสงอันแรงกล้า แล้วยิ่งมีไอหมอกดำขนาดยักษ์แผ่เข้ามาจากใจกลางดินแดน มันแผ่ซ่านไปทั่วแปดทิศ

แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ หยุดยั้งหวังเป่าเล่อไม่ได้สักนิด

หลังจากที่เขาเข้าใกล้ เหล่าดวงดาวที่ทอแสงเหล่านั้นราวกับว่าไม่สามารถทนแรงต้านทานได้ ล้วนแต่แตกสลายเป็นสี่ห้าส่วน กลายเป็นเศษชิ้นส่วนกระจายออกไปทั่ว

ส่วนหมอกดำที่แทนที่ความปรารถนาก็เป็นเช่นนี้ มันไม่สามารถก่อเกิดมลทินอะไรให้หวังเป่าเล่อได้สักนิด หวังเป่าเล่อในยามนี้อยู่ในสถานะที่หมอกพวกนี้ทำอะไรไม่ได้แล้ว

แต่เขาเองก็ไม่อาจจะลบล้างปราณดำที่แปลงจากความปรารถนานี้ได้ ยกเว้นแต่ว่าเขาจะลบล้างสรรพชีวิตในวงแหวนดาราพิภพไปด้วย และทำให้ความปรารถนานั้นไม่มีต้นตอ มิเช่นนั้น หมอกดำก็จะคงอยู่ตลอดไป

ดังนั้นแล้ว ท่ามกลางสภาวะที่ไม่อาจหยุดยั้งได้ของหมอกดำเหล่านี้ หวังเป่าเล่อก็เดินไปถึงดินแดนแห่งนั้น เดินอยู่บนตำแหน่งหัวคิ้วของใบหน้ารูปคน เขายืนอยู่ตรงนั้นพลางยกมือขวา จากนั้นจิตแห่งเซียนขุมหนึ่งก็ระเบิดออก กวาดล้างทั่วทั้งดินแดน

เมื่อจิตแห่งเซียนนี้กวาดผ่านไป ชีวิตที่มีความปรารถนาทั้งหลายบนดินแดนนี้ก็พลันแผดเสียงโหยหวน แต่ละคนนั้นราวกับถูกระเหิดไปในพริบตา กระจายหายไป กระทั่งเหล่าซากปรักหักพังในที่แห่งนี้ก็ถูกลบล้างไปในพริบตา

เมื่อมองดูแล้ว พืนที่แห่งนี้สะอาดขึ้นไม่น้อย กระทั่งเหล่าหมอกควันสีดำกลับพัดม้วนเข้าหากันเองไม่กระจายไปด้านนอกอีก เมื่อมองจากระยะไกลจะเห็นดินแดนรูปใบหน้าคนนี้แจ่มชัดขึ้นมาแล้ว

 ร่างต้น…ตื่นขึ้นมา!  หวังเป่าเล่อเอ่ยปากเสียงเบา เมื่อเขาเอ่ยปาก ในพริบตานั้นดวงดาราในความว่างเปล่าแห่งนี้ก็ได้กลายสภาพเป็นกฎจำนวนนับไม่ถ้วน กระแทกเข้าสู่ภายในของดินแดน ก่อเกิดเสียงดังลั่น สะท้านไปแปดทิศ

กระแสเสียงแห่งกฎอันน่าครั่นคร้ามที่อยู่ในประโยค กล่าวกันโดยทั่วไปแล้ว อาศัยจากพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อในยามนี้ มากเพียงพอจะปลุกทุกสิ่งที่อยู่ในวงแหวนดาราพิภพได้

แต่สิ่งเดียว….ที่ยังไม่มีร่องรอยการตื่นขึ้นมาเลยนั้นก็คือร่างต้นของเขา มีเพียงผืนแผ่นดินสะเทือนครั้งใหญ่จนก่อเกิดรอยแยกปรากฏเท่านั้น!

 ผลลัพธ์ ก็ยังไม่อาจปลุกเจ้าได้หรือ…  หวังเป่าเล่อพึมพำ

ความปรารถนาในที่นี้ลึกล้ำมากเกินไป มันหนักหนา แถมต้นกำเนิดยังมาจากสรรพชีวิตทั้งแดนวงแหวนดาราพิภพ ต่อให้หวังเป่าเล่อตรงนี้มีกำลังพอสยบทุกสรรพชีวิตได้ แต่…ร่างต้นของเขาก็มีพลังอันแข็งกล้าถึงที่สุดอยู่

ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นผลจากการหลอมรวมกับมหาเทพแล้ว นี่คือสภาวะของชีวิตที่เกือบจะบริบูรณ์

ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เขาไม่มีทางถูกปลุกขึ้นมาได้อีก

 ช่างเถอะ ช่างเถอะ…  หวังเป่าเล่อแหงนหน้า เขามองไปยังที่ห่างไกล ทิศทางที่มองไปย่อมเป็นตำแหน่งของมหาจักรวาล คลับคล้ายคลับคลา เหมือนเขาจะมองเห็นเงาร่างคุ้นเคยรูปหนึ่ง

ในนั้นมีบิดามารดาของหวังเป่าเล่อ ท่านอาจารย์ เจ้าเยี่ยเหมิง โจวเสี่ยวหยา แล้วยังมีสหายของเขาและลมปราณนับไม่ถ้วน…

 มหาเทพ ทำให้ร่างต้นสมปรารถนา 

 ร่างต้น ทำให้ข้าสมปรารถนา 

 ในยามนี้ข้าได้กลายเป็นร่างแยกอิสระนานแล้ว ไม่ได้เกี่ยวพันสิ่งใดกับร่างต้นอีก เช่นนั้นวิธีเดียวที่จะให้เขาตื่นได้ก็คือ…ใช้ชีวิตของข้า แลกชีวิตของเขา ให้ข้าหายไปจนสิ้นเพื่อแลกกับการปลุกเขา! 

หวังเป่าเล่อยิ้ม จากนั้นก็ยกมือขวาคว้าไปยังความว่างเปล่า สุรากาหนึ่งปรากฏ เขาดื่มลงไปในคราเดียวอย่างที่ไม่เคยดื่มเช่นนี้มาก่อน

เหล้าในกาคำนี้ หมดไปเกือบครึ่งส่วน

หลังจากโบกมือแล้ว เขาก็โยนกาทิ้งไป จากนั้นก็ลอยตัวไปยังท้องฟ้าเหนือดินแดนแห่งนั้น หลังจากที่ใช้มือขวาคว้าจับอีกครั้ง ไข่มุกวิญญาณหนึ่งเม็ดก็ปรากฏ หลังพินิจอย่างถี่ถ้วนแล้วแล้ว หวังเป่าเล่อก็โยนมันทิ้ง ให้มันลอยขึ้นไปกลางอากาศอีกครั้ง เขาสูดลมหายใจแล้วหัวเราะออกมา

หัวเราะมากเข้ามากเข้า ร่างกายของเขาก็เริ่มต้นแผดเผา จิตเซียนทะยานขึ้น ร่างเนื้อ วิญญาณเทพ ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาล้วนมอดไหม้ในพริบตานั้นเอง

หลังจากการเผาไหม้นี้ ดวงดาราทั้งผืนก็สั่นสะเทือน อาณาเขตดารานั้นเกิดเสียงดังลั่น ทั้งอาณาเขตเต๋าเองก็ระเบิดสิ้น ส่วนวงแหวนดาราพิภพสั่นสะท้าน

สรรพชีวิตหมื่นสิ่ง เผ่าพันธุ์ทั้งหลาย กระแสจิตทั้งหลายในพริบตานั้นล้วนแต่สั่นสะท้านจากก้นบึ้งของหัวใจ สายตามากมายนับไม่ถ้วนค้นหาสาเหตุของการสั่นสะเทือนนี้

 ความเดียวดาย ช่างไร้ความหมายนัก 

 กลับเป็นเจ้าร่างต้นที่ฉลาด หลับใหลมาจนบัดนี้ ไม่ต้องไปสัมผัสกับความรู้สึกที่ทุกคนได้จากไปแล้ว แต่ตนเองกลับยังลนลานสับสน… 

 สำหรับข้าแล้ว นับว่าได้ยืนหยัดมาแล้ว ได้สัมผัสมาแล้ว ได้แบ่งปันมาแล้ว และเคยได้ใช้ชีวิตมา สิ่งเหล่านี้…เพียงพอแล้ว 

 เพียงพอแล้ว! 

 เช่นนั้นวันนี้ ข้าก็…จะช่วยให้เจ้าสมปรารถนา! 

 เจ้าตื่นเองไม่ได้ ไม่อาจเปลี่ยนถ่ายความปรารถนาทั้งหกได้ ไม่เป็นไร…ข้าจะช่วยเจ้า 

 แผดเผาเต๋าของข้า แผดเผาวิญญาณของข้า แผ่พลังดวงจิตเทพของข้า…เช่นนี้ มอบปรารถนาทั้งหกให้แก่ร่างต้น ให้เกิดสติและการรับรู้ของเจ้า ยามนี้…เจ้าควรตื่นได้แล้ว! 

หวังเป่าเล่อหัวเราะเสียงดัง ส่วนร่างกายก็พลันมอดไหม้ในยามนั้น เขาโบกมือขึ้นแรงครั้งหนึ่ง จากนั้นร่างหนึ่งในหกส่วนก็พลันกระจายตัวกลายเป็นแสงสีขาวสายหนึ่งทันที

 นี่คือ…ปรารถนารู้!  ระหว่างที่กล่าว หวังเป่าเล่อก็โบกมือ แสงที่แสดงถึงความปรารถนารู้ไม่รู้สิ้นพลันระเบิดออกมา แสงโชติช่วงสุดประมาณ จากนั้นก็พุ่งตรงเข้าสู่หว่างคิ้วขอดินแดนรูปหน้าคน

ดินแดนนั้นเกิดเสียงดังสะเทือน ใบหน้าคนสั่นไหว!

นี่ยังไม่จบ หวังเป่าเล่อโบกมืออีก จากนั้นร่างหนึ่งในหกส่วนก็กระจายอีกครั้ง กลายเป็นลำแสงสีฟ้า ลำแสงนี้ราวกับแฝงด้วยความฝัน ราวกับแฝงด้วยความปรารถนาที่จะแสดงออก ในพริบตานั้นเองก็พุ่งเข้าสู่ใบหน้านั้นเช่นเดิม

 นี่คือปรารถนาตัวตน! 

ดินแดนสั่นสะเทือนอีกครั้ง รุนแรงยิ่งกว่าเก่า

หลังจากนั้น แสงเส้นที่สามก็ปรากฏ มันคือแสงสีแดงฉาน นั่นคือปรารถนาอารมณ์ ราวกับลูกไฟที่มอบความอบอุ่นให้มนุษย์อย่างไรอย่างนั้น และอาจจะทำให้คนมอดไหม้เป็นธุลีได้ แต่บางทีนี่ก็คือเสน่ห์ของมัน เหมือนแมงเม่าจำนวนนับไม่ถ้วนยินยอมพุ่งเข้าหากองไฟ!

 นี่คือปรารถนาอารมณ์! 

น้ำเสียงหวังเป่าเล่อแหบแห้ง ลมปราณกระจายตัวไปมากแล้ว แต่ดวงตายึดมั่นของเขานั้นยังคงเจิดจ้า ระหว่างที่โบกมือ ลำแสงที่สี่ก็ปรากฏขึ้น

ลำแสงนี้ แฝงไปด้วยความปรารถนาสื่อสาร พุ่งเข้าหาใบหน้านั้น!

 นี่คือปรารถนาสื่อสาร! 

ดินแดนรูปใบหน้าในยามนี้เกิดเสียงดังขึ้นไม่หยุด จนเริ่มแตกหัก ส่วนไอหมอกดำภายในนับไม่ถ้วนได้กลายสภาพเป็นรูปใบหน้ากำลังร้องโหยหวน

 นี่คือปรารถนาสุขสงบ! 

หวังเป่าเล่อยิ้มขึ้นอีกครั้ง เขาใช้สองมือโบกขึ้น ลำแสงที่ห้ารวมตัวกันฝังพุ่งเข้าไปในนั้นทันที ระหว่างที่หวังเป่าเล่อเอ่ยอยู่นั่นเอง…ร่างของเขาก็เริ่มเลือนรางจนเหลือเพียงหนึ่งในหกส่วนสุดท้ายแล้ว!

 ส่วนสุดท้ายนั้นคือ…ปรารถนาชีวิต!  ร่างของหวังเป่าเล่อพลันแตกหักออกมาเกิดเสียงดังลั่น ทุกสิ่งทุกอย่างในพริบตานั้นได้กลายเป็นลำแสงที่หก นำพาความยึดมั่นและการไล่ตาม นำความปรารถนาพุ่งเข้าไปยัง…ดินแดนรูปใบหน้าแห่งนั้น!

ในพริบตา ทั้งวงแหวนดาราพิภพก็สั่นไหวรุนแรง สรรพชีวิตสะท้านขวัญ ส่วนหวังเป่าเล่อเองก็หายไปโดยสมบูรณ์ บนดินแดนแห่ง ก้องกังวานด้วยประโยคหนึ่งซึ่งสะท้อนอยู่ท่ามกลางสายแห่งชีวิตสุดท้ายของเขา

 หวังเป่าเล่อ นามนี้ ข้าคืนให้แก่เจ้า! 

หลังจากเสียงนี้ดังสะท้อน ทั้งดินแดนก็พลันเสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งวงแหวนดาราพิภพ เสียงกระแทกอันรุนแรงนี้ทำให้ดินแดนแห่งนั้นทั้งหมดแหลกละเอียดกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย และกระจายกลายเป็นฝุ่นไปในพริบตา…

กระทั่งหลังจากเสื่อมสลายดำเนินไปจนจบ และพื้นที่แห่งนั้น…หายสิ้นไป

ส่วนสิ่งที่ลอยอยู่ท่ามกลางท้องฟ้า มีเพียงร่างกายหนึ่ง…ที่ถูกฝังอยู่ในดินแดนนั้นไม่รู้นานกี่ปีกี่ชาติ!

ร่างกายนี้สวมชุดคลุมยาว เส้นผมโบกสะบัด เขาหลับตา สีหน้าซีดขาว และไม่ขยับกายเลยสักนิด…เมื่อพินิจอย่างถี่ถ้วน นี่ก็คือ…ร่างต้นของหวังเป่าเล่อ!

ขนตาของเขากะพริบไหวเล็กน้อย ราวกับกำลังสั่น เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ลืมตาทั้งสองขึ้นมาคล้ายกับกำลังตกอยู่ในห้วงฝันร้าย…

……………………………………………………………..

 

วงแหวนดาราพิภพ หากสามารถยืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุดแล้วมองออกไปนั้น จะมองเห็นได้ว่าลักษณะของมันนั้นเหมือนล้อรถ เพียงแต่ว่ามีขนาดใหญ่อย่างมาก เกรงว่ายากจะอธิบายเป็นคำพูดได้
ทั้งวงแหวนดาราพิภพนี้ มีขนาดใหญ่เกินไปจริงๆ
ด้านในบรรจุด้วยอาณาเขตเต๋านับไม่ถ้วน ทุกอาณาเขตเต๋านั้นล้วนมีเขตดารานับไม่ถ้วน และทุกๆ ชั้นของเขตดารานั้นก็ยังมีมหาจักรวาลอันนับไม่ถ้วนอีก…
กล่าวได้ว่า ยากนักที่จะมีตัวตนใดสามารถทำให้วงแหวนพิภพแห่งนี้กระทำการถึงจุดนี้ได้…นอกเสียแต่ว่าเป็นผู้ที่ฝึกตนจนระดับสุดยอดของพิภพแล้ว ก็คือหมายถึงระดับเก้าที่ว่ากัน!
แต่ผู้ที่สามารถฝึกปรือได้ถึงชั้นนี้ ต่อให้นับเอาอารยธรรมทุกเผ่าพันธ์ในวงแหวนดาราพิภพนี้มานับรวมกันดู ก็ยากอย่างยิ่งที่จะมีปรากฏ
ต่อให้รวมกับกาลเวลาที่ไหลผ่าน เกรงว่าก็ยังมีจำนวนเท่าขนหงส์หางกิเลน นี่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมเป็นเอกลักษณ์ และต้องมีชะตาบ่มเพาะอันยิ่งใหญ่ และโชคชะตาถึงจะได้ด้วย
ดังนั้น เมื่อเอ่ยอย่างอ้อมค้อมแล้ว ในวงแหวนดาราพิภพนี้ ทุกๆ ยุคสมัยจึงก่อเกิดเรื่องราวและการเข่นฆ่านับไม่ถ้วน ต่างแย่งชิงและพากันส่งเสริมซึ่งกันและกัน
ทุกสิ่งนั้น ก็เพื่อไปให้ถึงจุดสูงสุดของแดนพิภพ ทุกสิ่งล้วนแต่เพื่อยกระดับก้าวสู้เขตแดนสรวงสวรรค์!
เขตแดนสรวงสวรรค์ นามนี้ สำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งหมดนั้นอาจนับเป็นเรื่องไม่คุ้นเคย มีเพียงผู้ที่ฝึกปรือได้ระดับสูงขนาดหนึ่งแล้วเท่านั้น ถึงค่อยสัมผัสได้ลางๆ…ว่านอกวงแหวนพิภพนั้น ยังมีอีกวงแหวนดาราหนึ่ง
นามว่า…สรวงสวรรค์
ในส่วนรายละเอียดว่าภายในวงแหวนดาราสรวงสวรรค์นี้มีขนาดใหญ่เท่าใด และสรวงสวรรค์ที่ว่ามีการแบ่งสรรเช่นไร ก็แทบจะไม่มีใครรู้เลย ส่วนผู้ที่ล่วงรู้นั้นก็ได้ทะยานขึ้นสวรรค์ไปแล้ว ทำลายอุปสรรคแห่งดาราเข้าสู่พิภพสรวงสวรรค์
แต่ว่า สำหรับเรื่องพวกนี้ หวังเป่าเล่อไม่สนใจ เขาตอนนี้เดินอยู่ในอาณาเขตดาราแต่ละชั้นๆ ในวงแหวนดาราพิภพ มือยังคงถือกาเหล้า ในกาเหล้ากอปรขึ้นมาจากไข่มุกเม็ดหนึ่ง ในนั้นมีเหล้าข้าวมากมาย ทุกคำที่ดื่มลงไปรสชาติแตกต่าง
เมื่อเดินผ่านทางหนึ่งสาย หวังเป่าเล่อก็จะดื่มครั้งหนึ่ง ในใจผ่อนคลายเมามาย กระทั่งว่าบางเวลายังร้องเพลงหลายเพลง เสียงเพลงนั้นดังไปทั่วทั้งอาณาเขตดวงดาว หลังจากเหล่าอารยธรรมเผ่าพันธุ์มากมายในมหาจักรวาลซึ่งอยู่ในอาณาเขตดารานั้นได้ยินเข้าแล้วก็พากันจิตใจสั่นไหว ราวกับได้ยินมหามรรคาเต๋า
“แสนสุขอุรา!” ระหว่างที่หัวเราะ หวังเป่าเล่อก็ส่งเสียงเรอออกมา เมื่อกลิ่นเรอเหล้ากระจายไปก็ครอบคลุมไปทั่วทั้งอาณาเขตดาราชั้นนั้น ทำให้มหาจักรวาลจำนวนมหาศาลที่อยู่ในอาณาเขตดารานั้น และเหล่าอารยธรรมเผ่าพันธุ์มากมายต่างเมามายไปตามๆ กัน มึนเมาหนึ่งครั้งเป็นหมื่นปี
ในหมื่นปีนี้ ตัวตนทั้งหมดในอาณาเขตดารา จะไม่ตายแต่ก็ไม่ตื่น ทุกสิ่งราวกับหยุดชะงัก ทว่าก็ไม่ใช่การชะงักงันเสียทีเดียว พวกเขาเมามายจนหลับใหลไปมากกว่า
กระทั่งเจตนารมณ์เต๋าสวรรค์ยังเป็นเช่นเดียวกัน
แต่พวกเขาปลอดภัยไร้กังวล เพราะว่าไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถข้ามเข้าไปได้ ขอเพียงเข้าไปข้างในก็หลับใหลเพราะความมึนเมาเช่นกัน
หวังเป่าเล่อใช้ดวงตามึนเมานั้นกวาดมองครั้งหนึ่ง หลังจากหัวเราะแล้วก็ไม่ได้สนใจอีก เขายังคงก้าวเท้าข้ามอาณาเขตดารานับไม่ถ้วน ยังคงแสวงหาต่อ แม้ว่าตลอดทางที่ผ่านมาเขายังหาเบาะแสอะไรไม่พบ แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้กังวล
ขอเพียงยังมีสุรา เขาก็รู้สึกว่าการเดินทางสายนี้นับว่าไม่เลว
ก็เป็นเช่นนี้ เวลาก็ได้ผ่านไป หวังเป่าเล่อเดินๆ หยุดๆ เบิกบานอย่างมาก บางครั้งเขาก็เข้าไปภายในอารยธรรมบางแห่ง มองดูพัฒนาการของเผ่าพันธุ์นั้น บางครั้งก็ช่วยผลักดันให้เผ่าพันธุ์พัฒนา ทำให้บางครั้งเผ่าพันธุ์เหล่านั้นเติบใหญ่มหาศาล
ทั้งหมดนี้ ก็เหมือนราวกับการเล่นเกม ทำให้การเดินทางนี้ของหวังเป่าเล่อก้าวเร็วขึ้นเรื่อยๆ
แน่นอนว่าในระหว่างทาง หวังเป่าเล่อก็พบพวกที่หูหนวกตาบอดบ้าง แม้ว่าพลังปราณของเขามากพอจะสั่นสะท้านทั้งแปดทิศได้ และทำให้เหล่าอาณาเขตดารานับไม่ถ้วนต้องผวา หลังจากเข้าใจแล้วต้องตัวสั่นเทา แต่สุดท้ายแล้วก็ยังมีพวกที่จิตใจทะเยอทะยานวิปริต หรือไม่ก็พวกที่ยโสโอหัง มีใจคิดร้ายต่อหวังเป่าเล่อ
เหล่าตัวตนพวกนี้ ล้วนแต่ตายภายใต้ฝ่ามือเดียวของหวังเป่าเล่อไม่เหลือแม้กระทั่งซาก
แต่ว่าก็มีจำนวนไม่มากนัก ที่มีพลังแข็งแกร่งสูงสุด สำหรับคนพวกนี้หวังเป่าเล่อจะใช้สองฝ่ามือ
มีเพียงครั้งเดียวที่ตบไปสามครั้งแล้วยังไม่ตาย สิ่งมีชีวิตนี้เหมือนต้นกระบองเพชรสีเขียวที่มีแต่หนามประหลาดอันมีชีวิตทั้งร่าง กระบองเพชรต้นนี้มีขนาดเพียงฝ่ามือเท่านั้น ดูแล้วไม่น่าสนใจสักนิด แต่ภายในกลับเต็มไปด้วยความดุร้ายและกระหายเลือดยากบจะบรรยาย ตอนที่มันพบหวังเป่าเล่อ ก็ใช้ความเร็วอันน่าตื่นตะลึงพุ่งเข้าชนมหาจักรวาลแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในสภาวะฟองอากาศแรกเริ่ม
หลังจากชนเข้าไปแล้ว มหาจักรวาลที่เหมือนฟองอากาศนั้นก็เริ่มพังทลายลงมา ส่วนสารบำรุงทั้งหลายข้างในก็ถูกเจ้ากระบองเพชรต้นนี้ดูดกลืนเข้าไป หลังจากนั้นต้นกระบองเพชรก็ลอยอยู่บนพื้นผิว ท่าทางอิ่มเอม
หวังเป่าเล่อมองแล้วก็ตกใจ จึงมองดูอีกนานสักหน่อย
คล้ายกับว่ามันรู้สึกว่าตนเองกำลังถูกจับจ้อง เจ้ากระบองเพชรไม่พอใจอย่างมาก มันอาศัยความเร็วอันเหลือเชื่อพุ่งเข้าชนหวังเป่าเล่อ
สุดท้ายก็ถูกฝ่ามือหนึ่งของหวังเป่าเล่อตบลงไป ตัดหนามจำนวนมากของมันทิ้ง หลังจากที่มันกรีดร้องโหยหวนแล้วยังคงพุ่งเข้ามาอีกอย่างไม่ยอมแพ้ หวังเป่าเล่อตบลงไปอย่างแปลกใจอีกครั้ง ทำให้หนามบนร่างของมันหายไปจนสิ้นซาก กระทั่งตัวมันเริ่มปริออก ดูเหมือนว่าเจ้ากระบองเพชรต้นนี้จะโง่อยู่บ้าง มันยังคงกรีดร้องแล้วพุ่งเข้ามา หลังจากที่หวังเป่าเล่อตบไปครั้งที่สาม มันก็ถูกตบลอยออกไปไกลแสนไกล อาจจะเป็นเพราะข้างในบรรจุพลังงานขนาดใหญ่มากเอาไว้ ทำให้เวลานี้ร่างทะลุความว่างเปล่า หายไปจนสิ้น
“เหมือนข้าใช้แรงมากไปหน่อย…ตีมันจนหลุดกำแพงของวงแหวนพิภพไปซะแล้ว” หวังเป่าเล่อเหลือบมองแล้วก็ไม่ได้สนใจอีก เขายังคงท่องเที่ยวต่อ
กระทั่งผ่านไปไม่รู้นานเท่าไร มีอยู่วันหนึ่ง หวังเป่าเล่อในขณะที่ดื่มเหล้าอยู่นั้นก็ได้มาถึงเป้าหมายแรกของเขาแล้ว และนี่ก็คืออาณาเขตดาราของดินแดนปรารถนาที่บันทึกไว้ผืนนั้น เกือบจะในพริบตาที่มาถึง มือของหวังเป่าเล่อที่ถือกาสุราอยู่ก็พลันชะงัก สีหน้าของเขาดูจริงจังขึ้นมาก่อนจะสัมผัสดูเงียบๆ รอบหนึ่ง
“หรือว่าผ่านไปเป็นล้านปีแล้ว ปราณแห่งปรารถนาในที่นี้ ยังคงเหลืออยู่…”
หวังเป่าเล่อใช้มือขวาคว้าไปยังความว่างเปล่า ทันใดนั้นเองทั้งเขตอาณาจักรดารานั้นพลันบิดเบี้ยว หมอกสีดำสายหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นก็ลอยอยู่เบื้องหน้าของเขา
หลังสัมผัสได้ถึงพลังปราณอันคุ้นเคยที่แผ่ออกมาแล้ว หวังเป่าเล่อก็พึมพำเสียงเบา
“ร่างต้น ตอนนี้เจ้าจะเป็นอย่างไรบ้างแล้วนะ กลายเป็นดินแดนปรารถนาไปแล้วหรือ”
“นั่นมันอัปลักษณ์มากเลยไม่ใช่รึ?” หวังเป่าเล่อยิ้มซื่อ แต่ในดวงตานั้นล้ำลึกอย่างยิ่ง เขาบีบหมอกสีดำ จากนั้นลองสัมผัสมันครั้งหนึ่ง เมื่อกำหนดเส้นทางแล้วก็ก้าวเดินจากไป ก้าวย่างนี้ เหยียบข้ามอาณาเขตดาราไม่รู้เท่าไร เหยียบข้ามอาณาเขตเต๋านับหมื่นแห่ง ยามที่ปรากฏกาย…ก็คือเขตดาราที่เปลี่ยนเป็นรกร้างแห่งนั้น ที่นี่ไร้ดวงดารา มีเพียงแค่ดินแดนผุเน่าอันไพศาล ซึ่งค่อยเคลื่อนตัวมาช้าๆ…
ดินแดนแห่งนี้เต็มไปด้วยไอหมอกดำ เต็มไปด้วยปราณแห่งปรารถนา บนพื้นของดินแดน สามารถมองเห็นซากปรักหักพังแห่งประเทศและอารยธรรมได้ อีกทั้งด้านนอกทั้งสี่ทิศจะมองเห็นดวงดาวพิลึกพิลั่นมากมายที่ถูกลากเข้ามาหามัน!
เมื่อพินิจอย่างถี่ถ้วนจะสามารถเห็นได้ว่า ดินแดนนี้มีรูปลักษณ์คล้ายใบหน้าคน สีหน้าบิดเบี้ยว เป็นใบหน้าที่แสดงความทุกข์สาหัส
เมื่อมองเห็นดินแดนรูปลักษณ์หน้าคนนี้ ดวงตาหวังเป่าเล่อก็ฉายแววสับสน เขาเอ่ยเสียงเบา
“ร่างต้น…”
………………………………………………

 จิตแห่งเทพเจ้าจากไปแล้ว และนี่คือดวงจิตเทพองค์สุดท้ายในมหาจักรวาล พวกเขาพาเหล่าเผ่าพันธุ์ออกจากที่นี่ไป…แต่ก่อนจะจากไปนั้น เขาบอกกับพวกเราว่า ให้พวกเราเคารพกราบไหว้รูปสลักเร้นลับนั้น 

 รูปสลักนี้ มีตัวตนมาเนิ่นนานแสนนาน ก่อนหน้าที่ดวงจิตเทพจะจากไปก็แวะไปหาครั้งหนึ่ง…มองเห็น…ดวงจิตเทพคำนับให้แก่รูปสลักนี้ เป็นการบอกลา 

ข่าวนี้ ราวกับก่อคลื่นลมมหาศาลขึ้นในใจของผู้เยี่ยมยุทธ์ท่านนี้ ในมหาจักรวาลปัจจุบัน เขาผู้เป็นหนึ่งในผู้เยี่ยมยุทธ์ชราทั้งห้าซึ่งอยู่มาเนิ่นนานและแข็งแกร่งที่สุด ได้ทราบข้อมูลที่ผู้อื่นไม่ล่วงรู้

อย่างเช่นว่า ในมหาจักรวาลนี้ ก่อนหน้านี้หลายหมื่นปีอันนับไม่ถ้วน มีวิญญาณเทพสิงสถิตอยู่ พลังแห่งวิญญาณเทพสามารถทำลายทั้งมหาจักรวาลได้อย่างง่ายดาย ในความแข็งแกร่งระดับนี้ ทำให้เขาเคารพนับถือและในเวลาเดียวกันก็ไม่เชื่อ แต่หลังจากพลังฝึกปรือทะยานขึ้น จนกระทั่งบัดนี้ เขาก็เชื่อว่าดวงจิตเทพที่ว่านั้นบางทีอาจจะมีอยู่จริง

เพราะว่าเขาซึ่งอยู่ในระดับบนสุดของระดับที่สี่นั้นเข้าใจดี ดวงจิตเทพทั้งหลายก็คือผู้เยี่ยมยุทธ์ที่…ฝึกปรือจนอยู่ในระดับที่เขาไม่อาจคาดเดาได้

ส่วนผู้เยี่ยมยุทธ์เช่นนี้ ก่อนหน้าที่จะจากไปถึงกับบอกลากับรูปสลัก…เพียงแค่คิดก็รู้แล้วว่า ที่มาของรูปสลักนี้ยิ่งใหญ่เพียงใด!

ผู้อาวุโสรายนั้นนำข่าวนี้บอกกับผู้อาวุโสที่อยู่ร่วมยุคสมัยกับเขาทั้งหลายท่านนั้น ผู้อาวุโสหลายท่านนับว่าเป็นตัวตนที่แข็งแกร่งที่สุดของมหาจักรวาลในยามนี้ แต่ละคนล้วนกลับไปสืบเสาะข่าว ดังนั้นแล้วในเวลาเดียวกับที่ผู้อาวุโสบอกกล่าวแก่พวกเขา พวกเขาเองก็พบข่าวอันน่าตื่นตะลึง และบอกแก่ผู้อาวุโสท่านนั้น หลังจากแบ่งปันกันเองแล้ว ในใจของพวกเขาก็คล้ายจะปรากฏคำตอบอันเลือนราง

 ในมหาจักรวาลแห่งนี้ ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีดวงจิตเทพเพียงแค่หนึ่ง! 

 และดวงจิตเทพทุกองค์ก่อนจะจากไปนั้น ก็ได้มาบอกลารูปสลักนี้… 

 รูปสลักนี้…ในบันทึกกล่าวว่าเป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง…หรือที่บางคนเรียกขานว่า เป็นเซียน… 

ยิ่งขุดค้นลงไป ผู้เยี่ยมยุทธ์หลายท่านก็ยิ่งตื่นตะลึง สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะขุดค้นเรื่องราวต่อ แต่กลับรออย่างหวาดผวา…รอมหันตภัยที่บางทีอาจใกล้มาถึง

การรอคอยประเภทนี้ รอจนผ่านไปอีกหนึ่งปี ก็ไม่ได้ปรากฏผลอะไรออกมา แต่พวกเขาก็ยังไม่เบาใจ เพียงแต่ว่าเทียบกับพวกเขาแล้ว เหล่าอารยธรรมเผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนในมหาจักรวาลนี้ไม่ได้รู้เรื่องนี้ด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงดำเนินชีวิตได้ปกติดียิ่ง

ในยามนี้เอง หวังเป่าเล่อที่ทำให้เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์หลายท่านต้องสั่นสะท้านก็ได้มาถึงใจกลางของจักรวาล ในสถานที่ที่เคยว่างเปล่านั้น ที่นี่…ยามนี้ได้กลายเป็นดวงดาวที่มีอารยธรรมยึดครองเต็มผืนแล้ว

การมาของเขา ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถสังเกตเห็นได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อจึงเข้าไปเดินไปอยู่บนดาวผืนนั้นแล้วมองมหาผืนดิน

ในความทรงจำของเขา ที่นี่คือสถานที่ที่ทะเลทรายอันกว้างใหญ่นั้นเคยมีอยู่

 ร่างต้น…  หวังเป่าเล่อนั่งอยู่บนยอดเขาของดาวดวงนี้ สายลมบนเขาพัดโบก ดวงตาของเขามีความอ้างว้างอันเข้มข้น

 จากไปหมดแล้ว…  หวังเป่าเล่อพึมพำ ทุกคนล้วนจากไปแล้ว

ดินแดนนี้สำหรับเขาแล้ว ไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ความจริงแล้ว…เขาก็ควรจะจากไป

แต่ว่าในเวลาหลายหมื่นปีที่ผ่านมา เขามองดูสรรพชีวิต แต่…ยิ่งเขามองดูชีวิตคนมากมายเท่าไร มองดูขวบปีอันหมุนผ่านไม่รู้เท่าไรเหล่านั้น เขาก็ไม่อาจลืมความทรงจำของร่างต้นในทะเลทรายที่ผนึกตัวเขาไว้แล้วจากไปได้

และไม่อาจจะลืม รอยยิ้มของร่างต้นยามมอบชื่อให้แก่ตนเอง

คล้ายกับว่า นี่ก็คือความยึดติดของเขา

 บางที ข้าเองที่ไม่ยินยอมจากไป ไม่ยินยอมจะตื่น และรอข่าวของร่างต้นอยู่ที่นี่.. 

 บางที ข้ามองสรรพชีวิตมานานไม่รู้กี่ปี ก็เพราะอยากจะให้ภาพเหล่านั้นทั้งหมดลบความสับสนในใจของข้า… 

 ยามนี้ข่าวของร่างต้นปรากฏออกมาแล้ว ยามนี้ข้ามองเห็นขวบปีนับไม่ถ้วนแต่ก็ยังลืมไม่ลง.. 

 เช่นนั้น ข้าควรทำอะไรสักอย่าง  หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา ค่อยๆ ยิ้ม รอยยิ้มนี้ดูผ่อนคลาย ปล่อยกายปล่อยใจ ราวกับว่ามีบางสิ่งถูกตัดสินใจแน่วแน่แล้ว เขารู้สึกว่าบนร่างของตัวเองนี้พลันผ่อนคลายขึ้นมา

 มนุษย์ ล้วนแต่โลภ 

 แต่ว่า ในยามที่ชีวิตไม่มีทางไปต่อได้ ก็ยอมทำให้ผู้อื่นสมปรารถนา อย่างเช่นมหาเทพ…หลังพบว่าตนเองพ่ายแพ้และสิ้นหวังแล้ว ก็ยินดีสละร่างตนและฝากความหวังไว้กับร่างต้นของข้าตอนนั้น 

 ส่วนร่างต้น…สามัญสำนึกเหนือล้ำกว่ามหาเทพ ในตอนที่เขาพบว่าความปรารถนาไม่อาจถูกทำลาย ตอนนั้นเขาสามารถเลือกสูบกลืนสรรพชีวิตเพื่อมาหล่อเลี้ยงร่างต้นและคงสติได้ แต่คนผู้นี้ ช่างรักหน้าตาตัวเองนัก ไม่ยินยอมให้ผู้อื่นมองเห็นตำหนิของตน ดังนั้นแล้ว เขาจึงเลือกสังเวยตนเอง แล้วทำให้ร่างแยกอย่างข้าสมปรารถนา  หวังเป่าเล่อยิ้มแล้วยกมือขึ้น น้ำเย็นหล่อวิญญาณขวดหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเขา หลังจากดื่มไปอึกหนึ่งก็เลิกคิ้ว

 ไม่อร่อยเลย ข้าชอบเหล้าข้าวมากกว่า  พูดแล้วเขาก็โยนน้ำเย็นหล่อวิญญาณทิ้ง คว้ามือไปยังความว่างเปล่า กาเหล้าข้าวปรากฏขึ้น เขาแหงนหน้าดื่มไปครั้งหนึ่ง สีหน้าค่อยดูสุขใจ

 สำหรับข้าตรงนี้ เห็นได้ชัดว่าเหนือล้ำกว่ามหาเทพและร่างต้น การบรรลุของเขานั้นสูงส่งยิ่งกว่าพวกเขามาก มหาเทพไม่ได้เลือก โอกาสเลือกของร่างต้นนั้นเหลือไม่มาก ส่วนข้า…มีทางเลือกมากมายนับไม่ถ้วน! 

 ข้าสามารถเลือกลืมร่างต้น แล้วกลายเป็นหวังเป่าเล่อที่แท้จริง ความจริงแล้วข้าก็คือหวังเป่าเล่อ! 

 ข้าเองสามารถมีอิสรเสรี กลายเป็นเซียน! 

 ข้ายิ่งสามารถติดตามหวังอีอีจากไป ติดตามคนเหล่านั้นไปยังสรวงสวรรค์… 

 ข้าสามารถเลือกไม่จากไป และท่องเที่ยวอย่างมีความสุขในวงแหวนพิภพได้ 

 แต่ข้า…กลับเลือกเส้นทางสายนี้อย่างเด็ดขาด จำต้องเลือกเช่นนี้…ทำเรื่องเช่นนี้  หวังเป่าเล่อฉีกยิ้ม เขายิ้มนานเข้าๆ รอยยิ้มยิ่งกว้าง หลังดื่มเหล้าข้าวในมือแล้วก็โยนทิ้งไป คว้าอากาศว่างเปล่าอีกครึ่ง หนึ่งขวด ดื่มครั้งเดียวหมด

 ไอ้โง่ ข้านี่มันโง่จริงๆ!  หวังเป่าเล่อหนีบขวดเหล้า แย้มยิ้มกว้างเหมือนเก่า

 มหาเทพ เป็นผู้โง่เขลาคนหนึ่ง ร่างต้นก็โง่เขลานัก ข้าก็เช่นเดียวกัน! 

 มหาเทพ เจ้าทำให้ร่างต้นสมหวังได้! 

 ร่างต้น เจ้าทำให้ข้าสมหวังได้! 

 เช่นนั้นข้า…ทำให้เจ้าสมหวังบ้างเช่นกันจะเป็นไร! 

 มีชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยว ข้าเหนื่อยแล้ว ไม่ยินยอมแล้ว ร่างต้น เจ้าจงมีชีวิตอย่างโดดเดี่ยวแทนข้าเถอะนะ  หวังเป่าเล่อเอ่ยแล้วก็ลุกขึ้น ดวงตาของเขาทอแสงแรงกล้า เขามองไปยังท้องฟ้าผืนดินเบื้องหน้า ก่อนจะก้าวออกไป!

ย่างก้าวนี้ก่อเกิดเสียงอันดังในมหาจักรวาล เงาร่างของเขาปรากฏขึ้นที่ขอบของมหาจักรวาลนี้ ราวกับว่าหากก้าวอีกเพียงก้าวเดียวจะเดินออกไป

แต่หวังเป่าเล่อกลับหยุดฝีเท้าเอาไว้ แล้วเอ่ยขึ้น

 ข้าว่า ข้ากำลังจะไปแล้ว และกลายเป็นเจตจำนงของมหาจักรวาลนี้ เจ้าจะไม่มาส่งข้างั้นหรือ! อย่างน้อย การสืบทอดแห่งเซียนก็ควรถือว่าข้าเป็นคนมอบให้เจ้านะ มาๆๆ ข้าชอบเหล้าข้าว เจ้าจงส่งมอบเหล้าข้าวทั้งหมดจากทุกเผ่าพันธุ์ในมหาจักรวาลนี้ให้ข้าเถอะนะ 

พริบตานั้นเอง เหล้าข้าวทุกขวดในอารยธรรมทั้งหมด ในเผ่าพันธุ์ทั้งหมดและในมหาจักรวาลนี้ล้วนหายไปในพริบตา หลังมารวมกันก็กลายเป็นเม็ดไข่มุกหนึ่ง ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ

และในพื้นที่ห่างไกล เงาร่างของผู้เยาว์คนหนึ่งก็เดินออกมา มองหวังเป่าเล่ออย่างขลาดเขลา คำนับจากที่ห่างไกล

หวังเป่าเล่อรับไข่มุกเม็ดนั้น ระหว่างที่แหงนหน้าหัวเราะคำโต เขาก็ก้าวเท้าออกจาก…มหาจักรวาลนี้!

……………………………

 

เผ่าพันธุ์ทั้งหลายในแดนดาราแห่งนี้ทราบว่า บนดินแดนนั้นน่ากลัวว่าจะมีเทพมารบรรพกาลที่ดุร้ายหลับใหลอยู่องค์หนึ่ง
ตามบันทึกเรื่องเล่าแต่โบราณ ดินแดนที่ลอยไปมานั้น ต่อให้มองจากระยะไกลมากเพียงแค่แวบเดียว ก็จะพาให้สภาวะจิตปั่นป่วน ในพริบตานั้นจะได้เห็นสิ่งที่ปรารถนาที่สุดในชีวิต
แต่ละสรรพชีวิตล้วนมองเห็นสิ่งนี้แตกต่างกัน แต่สิ่งเดียวที่ไม่มีข้อยกเว้นก็คือภายในใจจะเกิดความคลุ้มคลั่ง ทำให้ผู้คนอดไม่ได้ที่จะเหยียบลงบนผืนดินแห่งนี้ และค้นหาสิ่งที่ใจปรารถนา
เรื่องนี้ แม้จะผ่านไปกว่าล้านปีแล้ว แต่สำหรับอารยธรรมในแดนดารานั้นถือเป็นเรื่องที่สร้างอิทธิพลอย่างลึกซึ้ง ถึงกับถูกบันทึกเอาไว้ กลายเป็นตำนานเล่าขานสืบมา และแม้ว่าจะผ่านไปนานสักเท่าไร ก็มีคนจากอารยธรรมต่างๆ เป็นจำนวนมากล่วงรู้เข้า
แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เกินความคาดหมายมากไปหน่อย หลังจากเวลาผ่านไปนานกว่านั้น เรื่องราวก็กลายเป็นเทพนิยาย
เหล่าผู้ฝึกตนที่เล่าขานเรื่องนี้ก็เอ่ยขึ้นมาในร้านเหล้าสาธารณะในดินแดนหนึ่งเท่านั้น เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าปากต่อปากที่ใช้สนองความเพลิดเพลิน และก็มีผู้ฝึกตนจากมหาจักรวาลได้ยินเข้าให้ก็เท่านั้น
เพียงแต่ว่า…สำหรับมหาจักรวาลที่หวังเป่าเล่ออยู่ หลังจากที่เหล่าตระกูลต่างๆ ออกไปเสาะหา ก็จะมีข่าวมากมายส่งกลับมาแทบทุกวัน บ้างก็อาศัยวิชาสื่อสารกระแสจิต บ้างก็เก็บซ่อนเรื่องราวเอาไว้ในสมองมนุษย์
แต่ไม่ว่าจะเป็นด้วยวิธีใด หรือว่าถูกมหาชนล่วงรู้แล้วก็ดี หรือถูกคนควบคุมไว้แล้วก็ช่าง ข่าวนี้ในบางครั้งสำหรับตัวหวังเป่าเล่อแล้ว…ตัวเขาเองก็พอจะได้ยินมันมาบ้างเช่นกัน
กล่าวง่ายๆ ก็คือ ความลับอันเป็นสรรพชีวิตที่ก่อกำเนิดในมหาจักรวาลนี้ แม้จะคิดว่าเป็นความลับที่ตนได้ล่วงรู้ หากแต่แท้จริงแล้ว ในช่วงเวลาเหล่านั้น…รูปสลักหวังเป่าเล่อก็ได้รับรู้ทุกข่าวสารผ่านตัวพวกเขาเช่นกัน
ในเวลาหลายแสนปีที่ผ่านมา รูปสลักได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาล กระทั่งว่า…ในยามนี้รูปสลักมีอำนาจควบคุมอยู่เหนือเจตจำนงแห่งมหาจักรวาลนี้แล้วโดยที่ไม่มีใครรู้เลย
การมีตัวตนอยู่เช่นนี้ ทำให้กระแสจิตของเขาหลอมรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสรรพชีวิต
ดังนั้น ในยามที่ข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป คนใดคนหนึ่งในมหาจักรวาลล่วงรู้เข้า รูปสลักหวังเป่าเล่อก็รับรู้มันเช่นกัน ดังนั้น…มันจึงเริ่มสั่นเทา
ในขวบปีนับไม่ถ้วน รูปสลักเริ่มสั่นไหวเป็นครั้งแรก
หลังจากการสั่นสะเทือน ในพริบตาทั้งมหาจักรวาลก็สั่นสะท้านตาม ท่ามกลางการเขย่าไหวนี้เอง เหล่าดวงดารานับไม่ถ้วนสะเทือนเลื่อนลั่น เผ่าพันธุ์นับไม่ถ้วนแตกตื่น สรรพชีวิตนับไม่ถ้วนกรีดร้องตกใจ
กระทั่งว่าเหล่าดวงดารานิรันดร์ทั้งหลายยังหม่นแสงในพริบตา ราวกับว่ามีแสงที่สรรพชีวิตมองไม่เห็นแสงหนึ่ง พลันเจิดจ้าขึ้นมาพาให้ดวงดาราหม่นทึม
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!”
“พระเจ้า ข้ารู้สึกเหมือนท้องฟ้าข้างบนกำลังสั่นไหวเลย!!”
“ไม่เพียงแค่ท้องฟ้า ทั้งหมู่ดวงดาราและทั้งมหาจักรวาลนี้เช่นกัน!” เงาร่างของผู้แข็งแกร่งแต่ละสายในมหาจักรวาล พากันบินออกมาจากแต่ละอารยธรรม พวกมันมองไปโดยรอบ ท่าทางตื่นตะลึง
แล้วก็ยังมีเงาร่างสามถึงห้าร่าง ท่าทางชราโบราณ ลมปราณแข็งแกร่งสะท้านฟ้าปรากฏตัวออกมาจากร่องรอยอารยธรรมโบราณหรือในเผ่าพันธุ์ต่างๆ พวกเขาบินโฉบไปแปดทิศ กายสั่นเทิ้มเช่นเดียวกัน
เพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณขุมหนึ่ง พลังปราณขุมนี้ราวกับว่าอยู่ในดวงจิตเทพของพวกเขา ราวกับแฝงอยู่ในเส้นเลือดของสรรพชีวิต ราวกับว่าอยู่ในทุกธุลีและซอกมุมของมหาจักรวาลนี้
และในยามที่สรรพชีวิตและหมื่นสรรพสิ่งในมหาจักรวาลนี้กำลังสั่นสะท้านแตกตื่น ในดาวเคราะห์ที่ไม่มีใครแยแส ยอดเขาที่ผู้คนต่างเพิกเฉย รูปสลักที่ยืนตระหง่านอยู่ ณ ตรงนั้น เวลานี้กลับสั่นไหวอย่างรุนแรง
ฝุ่นจำนวนนับไม่ถ้วนร่วงลงมาจากข้างบน สุดท้ายแล้วทั้งมหาจักรวาล ผู้เยี่ยมยุทธ์อันแกร่งกล้าจำนวนนับไม่ถ้วนก็ได้แต่แตกตื่นตกตะลึง หลังจากกวาดมองทั้งมหาจักรวาลแล้วก็ค้นพบดาวดวงนี้ หลังจากที่พวกเขามาถึง และมองเห็นรูปสลักนี้สั่นเทาแล้ว ต่างก็คล้ายมีคลื่นยักษ์ซัดโหมขึ้นในใจ
“รูปสลักนี้…ในความทรงจำของข้า อยู่ตั้งแต่ตอนที่ข้าเกิดแล้วนะ!”
ผู้เยี่ยมยุทธ์หลายคนสีหน้าซีดขาว ในใจแตกตื่น ตัวของรูปสลักสั่นเทาแรงขึ้นทุกที จนกระทั่งสุดท้ายแล้ว…ดวงตาของรูปสลักก็พลันเบิกกว้าง…ทั้งสองดวง
ในพริบตาที่มันเบิกตาทั้งสองนั่นเอง ฟ้าดินหยุดหมุน ดวงดาราไม่เขยื้อน ท้องฟ้าเงียบสงัด สรรพชีวิตไม่ขยับ สรรพสิ่งหยุดนิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกชิ้นทุกร่าง ล้วนหยุดชะงักเงียบงัน
มีเพียงประกายตาภายในดวงตาทั้งสองนั้นที่เจิดจ้ามากขึ้น หลังจากนั้นปูนบนตัวของรูปสลักก็ค่อยๆ สลายไป หวังเป่าเล่อที่สวมชุดดำทั้งร่างยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าของเขาดูแปลกประหลาด เขายืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน หลับตาคล้ายกับกำลังใคร่ครวญบางสิ่ง
ครึ่งครู่ให้หลัง ในยามที่เขาลืมตานั้นเอง มหาจักรวาลที่หยุดชะงัก ไม่มีใครสามารถได้ยินเสียงพึมพำของเขา
“ดินแดนแห่งหนึ่ง…”
“หนึ่งล้านปีก่อน…”
“หลังผ่านทุกสิ่งไป ก็สูญเสียสติสัมปชัญญะของชีวิต กลายเป็นมารปรารถนา…”
“ดินแดนนี้ เต็มไปด้วยความปรารถนา…” หวังเป่าเล่อพึมพำ แสงในดวงตายิ่งเจิดจ้าขึ้นทุกขณะ เขามั่นใจว่า ดินแดนผืนนี้ เป็นไปได้อย่างมากว่าจะกำเนิดมาจากร่างต้น
ต่อให้ไม่ใช่ร่างต้น ก็แน่ใจได้อย่างหนึ่งว่าจะต้องมีความเกี่ยวข้องกันลึกซึ้งแน่นอน
แต่ไม่ว่าอย่างไร ในหลายขวบปีอันนับไม่ถ้วนนี่คือข่าวแรกที่เขาได้ยิน อีกอย่าง…ร่างต้นซึ่งถูกตัวตนของร่างต้นเองและบิดาของหวังอีอีร่วมมือกันล้างสติสัมปชัญญะจนถึงความปรารถนาครอบงำนี้ก็ถูกขับไล่ไปไกลแสนไกล และต้องล่องลอยอยู่ในหมู่ดาราตลอดกาล…
หวังเป่าเล่อเงียบลง เขาก้มหน้ามองฝ่ามือขวาของตนเอง ในกลางฝ่ามือของเขานั้น มีไข่มุกอยู่เม็ดหนึ่ง ไข่มุกเม็ดนี้ทอแสงประกายสีฟ้าขยับไหว งดงาม จับใจ
นี่ก็คือเม็ดไข่มุกวิญญาณ
ภายในนั้นบรรจุทุกผู้คนคุ้นเคยที่เคยอยู่ในสหพันธรัฐ รวมถึงคนรู้จักของคนรู้จัก…นี่คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อเก็บรวมรวบพวกเขาทุกคนเอาไว้ก่อนที่พวกเขาจะสลายไป ไม่ว่าต่างคนต่างกลับชาติไปเกิด เป็นวิญญาณแล้วก็ดี หรือมาถึงทางตันแล้วก็ตาม เพื่อปกป้องพวกเขา
ไม่ขาดไปแม้แต่คนเดียว
ในนั้นมีบิดามารดาของเขา น้องสาว อาจารย์ โจวเสี่ยวหยา เจ้าเยี่ยเหมิง แล้วยังมีพวกหลิวต้าวปินต่างๆ …ทุกคน ยังคงอยู่
เม็ดไข่มุกนี้ถูกหวังเป่าเล่อถนอมไว้ในฝ่ามือ ถือเอาไว้ไม่รู้กี่หมื่นปี จนกระทั่งตื่นขึ้นในวันนี้ เขาจึงแบมือเผยมันออกมา
หลังจ้องมองเม็ดไข่มุกนี้ หวังเป่าเล่อก็เก็บมันเข้าไปอีกครั้งเข้าสู่ภายในกาย เขาแหงนหน้าขึ้น มองดูเหล่าเผ่าพันธุ์อารยธรรมภายในมหาจักรวาล แล้วก็ยกเท้าขึ้นเงียบๆ เดินจากไป
หลังจากเขาจากไปแล้ว มหาจักรวาลก็หวนคืน ทุกอย่างกลับมาเคลื่อนไหว หลังจากนั้นก็คือความตื่นตะลึงและเสียงฮือฮา ผู้คนจำนวนมากหวาดเกรงและนับถือ
โดยเฉพาะเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ไม่กี่คนเหล่านั้น พวกเขามองเห็นว่ารูปสลัก…ไม่อยู่แล้ว
พวกเขาต่างเข้าใจดี ตัวตนที่มาจากบรรพกาลไม่ว่าเป็นใคร ยามนี้ได้ตื่นขึ้นแล้ว ดังนั้นในความหวั่นเกรงและหวาดผวา พวกเขาต่างบอกกล่าวกันอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเรื่องนี้ก็ถูกเก็บเป็นความลับในมหาจักรวาลนี้
ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็ระงับตนเอง ไม่เสาะหาที่มา ไม่สืบถาม ไม่ครุ่นคิด
เพราะว่าพวกเขาเดาออกว่า ผู้แข็งแกร่งจากบรรพกาลท่านนี้ ในเมื่อเลือกจะกลายเป็นรูปสลักอยู่หลายแสนปี เช่นนั้นก็คงไม่ชอบให้มารบกวน อีกทั้งพวกเขาไร้พลังที่จะต่อต้าน สิ่งเดียวที่ทำได้ ก็คือให้ทุกสิ่งในมหาจักรวาลดำเนินไปตามปกติ…
ในเวลาเดียวกัน ทุกท่านต่างจากไปด้วยหัวใจหนักอึ้ง หลังจากกลับเข้าสู่เผ่าพันธุ์ตนเองแล้ว ก็เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพลิกอ่านบันทึกโบราณบรรพกาลอย่างบ้าคลั่ง คิดอยากจะหาข่าวที่มาของรูปสลักนั้น…
จนกระทั่งหลายวันให้หลัง สุดท้ายแล้ว…ผู้อาวุโสท่านหนึ่ง พบบันทึกเก่าแก่จากแผ่นหยกขาดวิ่นโบราณ หาพบข้อความส่วนหนึ่งซึ่งหลังจากเขาอ่านแล้ว…ก็นับว่าเป็นข่าวที่น่าตื่นตะลึงอย่างที่สุด!
…………………………………………………………

หวังเป่าเล่อไปจากโลกแห่งศิลา

กลับเข้าสู่มหาจักรวาลและดินแดนเซียน

ราวกับเขาแก้ปมที่อยู่ในใจได้แล้ว หลังจากที่กลับมา หวังเป่าเล่อก็เลือกยอดเขาแห่งหนึ่งแล้วนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้นเงียบๆ เริ่มต้นฝึกตน แต่ไม่นานนัก เขาก็รู้สึกอ่อนล้ากับการฝึกตนขึ้นมา

ผู้ที่จับเจตนาแห่งเซียนได้เช่นเขานั้นมีหลายระดับ นับว่าเป็นเซียนแล้ว เหตุเพราะไม่ได้ต่อสู้กับคนมาเนิ่นนาน เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีพลังฝึกปรือระดับเท่าใด

แต่นี่ไม่สำคัญ

ที่สำคัญก็คือเขาพบว่า เมื่อเทียบกับการฝึกตน เขาชมชอบการดูสรรพชีวิตมากกว่า ดังนั้นเขาจึงเลือกภูเขาลูกนี้ซึ่งมีความสูงเพียงพอ และกระแสจิตของเขาก็กว้างมากพอ เพื่อที่จะได้มองเห็นทุกสิ่ง

เขามองดูดินแดนเซียนในรูปแบบนี้…ไปอีก 300 ปี

สามปีให้หลัง การขยายตัวของดินแดนเซียน ก็มาถึงจุดระเบิด ในตอนแรกที่ผืนแผ่นดินล่องลอยอยู่นั้น เวลานี้มันเริ่มหยุดชะงัก ภายหลังจากการหยุดชะงัก เหล่าดวงดาราจำนวนมหาศาลรอบด้านก็ถูกชักจูงมาโดยมีดินแดนแห่งเซียนอยู่ตรงกลาง กลายเป็นดาราจักรผืนใหม่ และในเวลานี้เอง โลกแห่งศิลาก็ถูกหวังเป่าเล่อดึงออกมาให้หลอมรวมเข้ากับด้านนอกของดินแดนเซียน และกลายเป็นโลกเล็กๆ ที่อยู่ในอาณาเขตผืนฟ้าแต่ก็มีจุดเชื่อมต่อกับดินแดนแห่งเซียนด้วย

ท่ามกลางการพิทักษ์ของเขา การหลอมรวมของโลกแห่งศิลานั้นเป็นไปโดยราบรื่น ในเวลาเดียวกันทั้งสองฝ่ายก็มีการแลกเปลี่ยนและติดต่อกัน การพัฒนาของโลกแห่งศิลาก็ยิ่งมาสู่จุดสูงสุด

เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาก็ได้เคลื่อนผ่านไปอีกครั้ง ส่วนหวังเป่าเล่อก็ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่นโดยไม่ขยับเขยื้อน…เป็นเวลากว่า 1,000 ปี ร่างกายของเขาได้กลายเป็นรูปสลักไปช้าๆ

พันปีมานี้ หวังอีอีมาเป็นร้อยครั้ง ศิษย์พี่เองก็มาเป็นร้อยครั้ง ส่วนบิดาของหวังอีอี มาเพียงครั้งเดียว

บิดาของหวังอีอี ผู้ซึ่งปรากฏตัวมาเพียงครั้งเดียวในรอบพันปีผู้นี้ยืนอยู่ข้างกายรูปสลักของหวังเป่าเล่อ เขาไม่ได้เอ่ยสักประโยคแต่กลับมองดูสรรพชีวิตเป็นเพื่อนเขาหนึ่งปี หลังจากนั้นจึงถอนหายใจแล้วจากไป

ส่วนเวลานั้นก็ค่อยๆ เคลื่อนคล้อย หนึ่งพันปีรอบที่สอง สามพันปี จนกระทั่งหมื่นปีครบครั้งแรก…ก็มาถึง

ศิษย์พี่มาอยู่บ่อยครั้งมาก ระยะห่างประมาณสิบปีหนึ่งครั้ง เขาจะนั่งอยู่ข้างรูปสลัก ดื่มสุราไปพูดไป พลังฝึกปรือของเขานั้นอยู่ในระดับสะท้านขวัญแล้ว และเดินข้ามสะพานสู่สวรรค์หลายแห่งแล้ว

ส่วนหวังอีอีเองก็เป็นเช่นเดียวกัน นางก็จะมาหนึ่งครั้งในทุกๆ สิบปี ทุกครั้งก็จ้องมองรูปสลักนั้นของหวังเป่าเล่อ ดวงตาฉายแววสับสนและความรู้สึกเหนื่อยล้าก็ยิ่งมากขึ้นทุกที

ส่วนหวังเป่าเล่อยังคงไม่ขยับเหมือนเก่า เขากลายเป็นรูปสลักที่มองการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน มองภูผาธารากำเนิด มองสรรพชีวิตแต่ละรุ่นตกตาย มองสรรพชีวิตแต่ละรุ่นถือกำเนิด มองดูเผ่าอานารยชนทั้งหลายในดินแดนเซียนแห่งนี้

การต่อสู้แต่ละครั้ง การสูญสิ้นดับสลาย การถือกำเนิดใหม่นับไม่ถ้วนก่อเกิด

จนกระทั่งหนึ่งหมื่นปีครั้งที่สอง หนึ่งหมื่นปีครั้งที่สาม…และเมื่อครบแสนปี โลกที่เคยอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อนี้ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่โดยไม่ทันได้รู้ตัว

จักรวาล ยังคงเหมือนเดิม

ส่วนโลกแห่งศิลาและดินแดนเซียนนั้น ยามนี้ได้หลอมรวมกันโดยสมบูรณ์ไม่อาจแบ่งแยกแล้ว

ทางด้านหวังอีอี ในยามที่หนึ่งหมื่นปีครบเจ็ดครั้ง นางมาเป็นครั้งสุดท้าย ครั้งนั้นนางมองรูปสลักของหวังเป่าเล่อ ในดวงตาฉายแววเหนื่อยล้าสุดแสนจะบรรยายได้ ก่อนจะจากไป นางเอ่ยเสียงเบา

 ท่านพ่อบอกข้าทุกสิ่งแล้ว หลังจากนี้ข้า…ไม่อาจมาที่นี่ได้อีก ไม่ใช่เพราะเรื่องของเจ้าเป็นเหตุ แต่ท่านพ่อข้าจะส่งข้าไปยังสถานที่หนึ่ง ท่านบอกว่า…เจ้ารู้จักที่นั่น นามว่าวงแหวนดาราสวรรค์ 

 ข้าจะรอต่อไปนะ…  หวังอีอีพึมพำ แล้วจากไป

หลังจากที่นางจากไปแล้ว ในยามที่หมื่นปีครบครั้งที่เก้า ศิษย์พี่ก็มาบอกลา

ในวันนี้ ศิษย์พี่ดื่มสุราไปมากมาย สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจเสียงเบา

 เป่าเล่อ ทำไมเจ้าถึงมองไม่ออกนะ…  ระหว่างที่ส่ายหน้า ศิษย์พี่ก็จากไปแล้ว

เช่นเดียวกับหวังอีอี เขาไม่กลับมาอีก

จนกระทั่งปีที่หนึ่งแสน บิดาของหวังอีอี ในยามนี้ได้มาเยี่ยมเป็นครั้งที่สอง เขายืนอยู่ข้างรูปสลักของหวังเป่าเล่อ แล้วเอ่ยปากเสียงเบา

 สหายเต๋า ข้ายกระดับแล้วขึ้นสู่ชั้นสรวงสวรรค์ อีอีและศิษย์พี่ของเจ้าแล้วก็ยังมีคนมากมายจะติดตามข้าจากไป หากว่าเจ้าตัดสินใจจะไปกับข้า ก็ตื่นขึ้นมาเถอะ 

หวังเป่าเล่อยังคงเป็นรูปสลัก ไม่ยอมขยับแบบนั้น

บิดาของหวังอีอีรออยู่หนึ่งปี สุดท้ายก็จากไป เขาไปจากดินแดนเซียน ไปจากมหาจักรวาล ไปจากดวงดาราผืนนี้ ไปจากวงแหวนดาราแห่งโลกพิภพ

ประชาชนถึงแปดส่วนในดินแดนเซียนติดตามไปกับเขาด้วย อารยธรรมกว่าเจ็ดส่วนในมหาจักรวาลก็ติดตามเขาไปเช่นกัน ทั้งจักรวาลราวกับว่างเปล่าลงไปไม่น้อย

แต่ว่าคนที่เหลือ ก็ยังต้องอยู่กันต่อไป ยังคงพัฒนาต่อไป หลังจากเวลาได้เคลื่อนผ่าน ชีวิตใหม่ถือกำเนิดขึ้น อารยธรรมใหม่ก่อเกิด ส่วนในดินแดนเซียนแห่งนี้ด้วยเหตุที่ว่าเคยยิ่งใหญ่อย่างมากมาก่อน ก็ยังคงรักษาสถานภาพเดิมไว้ได้ ผืนแผ่นดินในจักรวาลค่อยๆ …แข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น

เพียงแต่ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ในสถานที่แห่งนี้ เกือบจะทั้งหมดล้วนมีสายเลือดของสหพันธรัฐ จนแยกไม่ออกแล้วว่าใครเป็นสหพันธรัฐหรือเชื้อสายจากดินแดนเซียน

จนกระทั่งเรื่องการนับเวลานั้นได้กลายเป็นเรื่องยุ่งยากไปในที่สุด มีอยู่วันหนึ่ง เบื้องหน้ารูปสลักของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏการมาของคนผู้หนึ่ง

คนผู้นี้ปราณปีศาจเทียมฟ้า มากเพียงพอสั่นสะเทือนทั้งมหาจักรวาล เขายืนอยู่หน้ารูปสลักนิ่งงันมองอยู่เนิ่นนานก่อนจะคำนับลึกซึ้งครั้งหนึ่ง

 น้ำใจนั้น…มิต้องคืนข้าแล้ว 

หลังจากนั้น คนผู้นี้ก็ออกจากมหาจักรวาลไป ออกไปจากวงแหวนดาราพิภพแห่งนี้

ผ่านไปอีกเนิ่นนาน ก็มีเงาร่างที่สองซึ่งพอจะสั่นสะเทือนจักรวาลนี้ปรากฏ การมาของเขาราวกับจะก่อคลื่นบางอย่างในตัวของรูปสลักได้ ราวกับว่าเขามีสายเลือดซึ่งเชื่อมต่อกับรูปสลักนี้

 ความคิดของข้าที่มีต่อหลัวนั้นซับซ้อนยิ่งนัก ส่วนเจ้าก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาจากโลกแห่งศิลาในฝ่ามือ…ดังนั้นแล้วก็นับว่าข้าได้ช่วยเหลือเจ้าบางส่วน…เมื่อเป็นเช่นนี้…หากว่ามีวันหนึ่งเจ้าเองก็ไปยังวงแหวนดาราสวรรค์ รบกวนดูแลสักหน่อยจะได้ไหม?  เงาร่างนี้ยิ้มๆ หลังจากนั้นก็ทำท่าสุขุม เขาโค้งคำนับให้แก่รูปสลักนี้อย่างลึกซึ้งแล้วหมุนกายจากไป

หลังจากนั้นอีกหลายปี ก็ได้มีอีกเงาร่างหนึ่งปรากฏ ปราณมารยิ่งใหญ่ราวกับจะทำให้ทั้งจักรวาลเป็นสีแดง และหลอมให้มหาจักรวาลนี้กลายเป็นพระจันทร์โลหิตดวงหนึ่ง ท่ามกลางแสงแห่งพระจันทร์โลหิตนี้ เงาร่างนี้ยืนอยู่ข้างกายรูปสลักนั้น มองสรรพชีวิตเป็นเพื่อนเขาเนิ่นนาน

สุดท้ายแล้ว เขาก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดสักประโยค หลังจากคำนับแล้วก็จากไปจากดินแดนเซียนแห่งนี้

หลังจากที่เงาร่างนี้จากไปแล้ว ดินแดนเซียนแห่งนี้ก็คล้ายกับจะเงียบลงไปน้อย เพราะว่าแต่ละอารยธรรมก็ล้วนทยอยติดตามเงาร่างทั้งสามจากไป ความเงียบในมหาจักรวาลมาจากความไพศาลว่างเปล่าของมันเอง

แต่ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ ในยามที่โรยรา ก็ย่อมมียามที่เบ่งบาน

ส่วนกาลเวลานั้น…ก็คือส่วนทำนุบำรุงที่ดีที่สุด

และไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในมหาจักรวาลแห่งนี้ ชีวิตและอารยธรรมก็ได้เบ่งบานขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งนี้นี้ท่ามกลางการแย่งชิงวุ่นวายของแต่ละเผ่าพันธุ์ มันก็ดับสูญไปอีกครั้งและอีกครั้ง แสดงความเป็นไปได้นานัปการ

ดินแดนเซียนเองก็พังทลาย กลายเป็นดวงดารานับหมื่นๆ ดวง กระจายไปทั่วทั้งมหาจักรวาล ส่วนรูปสลักของหวังเป่าเล่อ ยามนี้อยู่บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง

ในเวลาเดียวกัน หลังจากที่อารยธรรมก่อกำเนิด หลังจากที่เผ่าพันธุ์พัฒนา วิธีการมากมายทำให้เผ่าพันธุ์ต่างๆ นั้นสามารถไปจากมหาจักวาลนี้ได้แล้ว ต่างก็ออกไปเสาะหาพื้นที่ที่มากกว่าเก่า

เมื่อเป็นเช่นนี้ ข่าวคราวจากด้านนอกของมหาจักรวาล สืบเนื่องจากมีอารยธรรมจำนวนมากเสาะหามากเข้าๆ ก็ได้ติดต่อกับเขตดาราภายนอก และโดยช้าๆ ข้อมูลข่าวสารจำนวนนับไม่ถ้วนก็เป็นที่รับรู้ของสรรพชีวิตในมหาจักรวาลนี้ ข่าวหนึ่งในบรรดานั้น ก็ทำให้รูปสลักที่ไม่ขยับมาเนิ่นนานหลายปี พริบตานั้นกลับสั่นสะท้านเบาๆ

ข่าวนั้นก็คือ…ในอาณาเขตดาราที่ห่างจากมหาจักรวาลไกลแสนไกลแห่งหนึ่งนั้น เผ่าพันธุ์อันมีอารยธรรมหนึ่งในนั้นได้แบ่งปันข่าวสารจากด้านนอกออกมาเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้หนึ่งล้านปี มีดินแดนเร้นลับหนึ่งบังเกิดขึ้นมาข้างดาราจักรของพวกเขา ผู้ที่ย่างกรายผ่านหรือสรรพชีวิตที่เข้าใจ จิตปรารถนาของพวกเขาจะพุ่งพล่านจนกระทั่งกลายเป็นมารที่ไร้จิตสำนึก

 

จนกระทั่งบิดามารดาที่กลับชาติมาเกิดหายไปจากสายตา หวังเป่าเล่อจึงส่ายหน้าแล้วจากไปจริงๆ
“คล้ายกับว่า…ข้าลืมไปแล้วว่ามีน้องสาวอีกคน…” หวังเป่าเล่อตีหน้าผากตนเอง หลังจากกวาดกระแสจิตมองหาก็พบว่าในส่วนห่างไกลของเมืองแห่งนี้ ในตระกูลบัณฑิตแห่งหนึ่ง ยังมีเด็กหญิงอายุประมาณสามขวบอยู่
เมื่อมองเห็นดวงตาไร้เดียงสาของเด็กน้อย นัยน์ตาหวังเป่าเล่อก็ฉายแสงอ่อนโยน เขายกมือขวาขึ้นก่อนที่ลำแสงหนึ่งจะผ่านเข้าไป
“ข้าจะไม่รบกวนทางท่านพ่อท่านแม่แล้ว แต่ในเมื่อเจ้าเป็นน้องสาวของข้า ข้าจะมอบพลังบ่มเพาะเหนือสามัญให้เจ้า ให้อนาคตเจ้าจดจำภพชาติในอดีตได้ คอยดูแลท่านพ่อและท่านแม่…”
“ชาตินี้ของเจ้า…ฝึกฝนให้ดีเถิด”
หวังเป่าเล่อมองนางอย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่ง ชั่วอึดใจให้หลังจึงถอนสายตากลับและหายตัวไปจากที่แห่งนั้น
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง…เขาก็อยู่นอกนครศักดิ์สิทธิ์แล้ว บนเกาะกลางทะเลสาบของสำนักเต๋าแห่งนครศักดิ์สิทธิ์ เกาะกลางทะเลสาบแห่งนี้นับว่าเป็นหัวใจของสำนักเต๋านครศักดิ์สิทธิ์ สถานะสูงส่ง จนกระทั่งว่ามองไปทั้งสหพันธรัฐนี้ ที่นี่คงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแล้ว
ส่วนตรงบริเวณใจกลางของตัวเกาะนั้น มีพื้นที่มหาศาล ทว่ากลับมีบ้านหลังหนึ่งตั้งอยู่ บ้านนี้ดูไปเรียบง่ายอย่างยิ่ง รายล้อมไปด้วยรั้ว ดูไปแล้วให้อารมณ์แบบชนบทเต็มเปี่ยม
สตรีวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องนั้น กำลังฝึกตน…แต่ในพริบตานั้นนางกลับจับสัมผัสได้ถึงอะไรในความมืด นางเบิกตาขึ้นมาช้าๆ แล้วมองไปยังนอกห้องของตน ในยามนี้เมื่อพบเงาร่างที่ส่งยิ้มมาให้ พริบตาที่มองเห็นร่างนั้น นางก็เผยยิ้มออกมา
“พบกันอีกแล้ว?”
ในปีนั้น ในที่แห่งนี้ ยามดอกท้อเบ่งบาน…ตอนที่หวังเป่าเล่อลาจากโจวเสี่ยวหยา ก่อนหน้านั้นโจวเสี่ยวหยากล่าวกับเขาไว้คำหนึ่งคำนั้นก็คือ “ไว้พบกันใหม่”
เพราะ “ไว้พบกันอีก” จึงจะสามารถเจอกันได้อีกครั้ง
“ได้พบกันในครั้งนี้แล้ว เสี่ยวหยา” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากเสียงเบา สตรีวัยกลางคนผู้นี้ก็คือ…โจวเสี่ยวหยา
เมื่อมาถึงที่นี่ หวังเป่าเล่อไม่ได้จากไป แต่กลับฝึกตนอยู่ในอีกห้องหนึ่งด้านข้างบ้านหลังนี้ เขาอยู่อาศัยที่นี่ แต่ว่าระหว่างเขากับโจวเสี่ยวหยานั้นก็เหมือนดังสหาย เป็นแขกที่เคารพซึ่งกันและกัน
ทุกวันเขาอยู่เคียงข้างโจเสี่ยวหยา ทั้งสองมองพระอาทิตย์ขึ้นและตก มองเมฆและลม มองท้องฟ้าผืนดิน มองการเปลี่ยนแปลงของสรรพชีวิตและการพัฒนาของสหพันธรัฐ
ความรู้สึกอ้างว้างนี้ลดน้อยลงไปมากจากการอยู่เคียงข้างเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าโจวเสี่ยวยิ้มมากขึ้น เพียงแต่ว่าบนร่างของนาง กาลเวลาก็ไหลผ่านไปเช่นกัน
หลังจากผ่านไป 60 ปี เวลาที่ทั้งสองอยู่เคียงข้างกันเช่นนี้ก็ได้ผ่านพ้นไป โจวเสี่ยวหยาไม่ได้มีลักษณะเหมือนหญิงกลางคนอีกแล้ว แต่ผมสีขาวขึ้นเต็มศีรษะของนาง
นางปฏิเสธความช่วยเหลือที่หวังเป่าเล่อมอบให้ คุณสมบัติในการฝึกตนของนางธรรมดา แม้จะเชี่ยวชาญด้านเต๋าแห่งการรักษาแต่ก็มีขีดจำกัด นางไม่ยินยอมอาศัยวิธีนี้ในการยืดอายุ คล้ายกับว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้สำคัญกับนาง
แต่นางไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอกลับชาติมาเกิดใหม่ของหวังเป่าเล่อ
เพียงแต่ก่อนที่นางจะหลับตาลง นางนั่งอยู่บนเก้าอี้โยกมองหวังเป่าเล่อ มองด้วยความลึกซึ้งในแววตามีความปวดร้าว
“เป่าเล่อ ขอบคุณที่เจ้าอยู่เคียงข้าง หลายปีมานี้ข้าเบิกบานใจมาก แต่ข้าสัมผัสได้ว่าเจ้าคล้ายไม่มีความสุข…”
“ข้าไม่เคยถามเจ้ามาก่อนเพราะข้ารู้ว่าเจ้าก็คงจะไม่บอกข้าหรอก…แต่ในตอนนี้ ข้าจะไปแล้ว เจ้าจะบอกข้าได้หรือไม่?”
หวังเป่าเล่อมองโจวเสี่ยวหยา หลังจากนิ่งเงียบเนิ่นนานก็เอ่ยปากเสียงเบา
“หากว่าข้าบอกว่า ข้ามิใช่หวังเป่าเล่อในความทรงจำของเจ้า แต่ข้าเป็นเพียงร่างแยกของเขา หวังเป่าเล่อตัวจริงนั้น…ได้หายไปแล้ว เจ้าเชื่อหรือไม่?”
“ข้าเชื่อ” โจวเสี่ยวหยาเงียบไปหลายอึดใจ ก่อนจะเอ่ยปากเสียงเบา
“หลายปีมานี้ ข้าสัมผัสได้ว่า เจ้าเป็นเขา แต่ก็มิใช่เขา ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ยังต้องขอบคุณการอยู่เคียงข้างของเจ้าอยู่ดี”
“เป็นข้าที่ต้องขอบคุณเจ้าจึงจะถูก…” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า
“เจ้าไม่เข้าใจ” โจวเสี่ยวหยายิ้มบาง ก่อนจะมองหวังเป่าเล่ออย่างลึกซึ้ง
“เจ้าคิดค้นหาความทรงจำของเขา เจ้าต้องการชดใช้ความรู้สึกผิดของเขาทั้งหมด สิ่งนี้เป็นเรื่องที่เจ้าทำได้ทั้งสิ้น ดังนั้นข้าต้องขอบคุณที่…เจ้ามา” โจวเสี่ยวหยาเอ่ยปากช้าๆ
หวังเป่าเล่อลังเลครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไป
โจวเสี่ยวหยายกมือขึ้น แล้วลูบเส้นผมของหวังเป่าเล่อเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยความอบอุ่น
“หลายปีมานี้ เจ้าและข้ารักษาระยะห่าง แต่…ในสายตาของข้า เจ้าก็ยังเป็นเจ้า เจ้าคือหวังเป่าเล่อ”
“ดังนั้นแล้ว ข้าหวังว่าเจ้าในภายหน้าจะมีความสุขมากๆ รับปากข้าสิ…” น้ำเสียงของโจวเสี่ยวหยาอ่อนแรงลงทุกที จนกระทั่งสุดท้าย มือของนางก็สิ้นไร้เรี่ยวแรง มันลูบผ่านข้างแก้มของหวังเป่าเล่อแล้วเหลือไว้เพียงความชื้นเล็กน้อย
โจวเสี่ยวหยา ไปเกิดใหม่แล้ว
นางไม่ได้พกพาอารมณ์เสียใจไปด้วย จบสิ้นสิ่งที่ผ่านมาในชาตินี้ สิ่งที่รอนางอยู่คือการเริ่มต้นใหม่ในชาติถัดไป หรือบางทีในหลายปีต่อจากนั้น นางซึ่งฝึกฝนได้ในระดับหนึ่งก็อาจจะย้อนคืนความจำของชาติก่อนได้
หลังจากส่งโจวเสี่ยวหยาจากไปอย่างเงียบๆ หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจเบาๆ เขาทำสุสานให้นางบนเกาะในทะเลสาบของสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะวางดอกไม้ไว้หน้าหลุมศพแล้วเอ่ยเสียงเบา
“ยังต้องขอบคุณการอยู่เคียงข้างของเจ้า…”
หวังเป่าเล่อจากไปแล้ว ใน 60 ปีที่ผ่านมานี้ เขาไปพบคนเก่าแก่หลายคน และส่งคนมากมายไปเช่นกัน แต่ผู้เดียวที่เขายังไม่ไปพบ และเหลือไว้เป็นคนสุดท้าย
นั่นก็คือ….เจ้าเยี่ยเหมิง
บนยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว เกล็ดหิมะลอยว่อน สตรีผู้เย็นชาราวหิมะผู้หนึ่งอาศัยอยู่ นามของนางระบือไกลทั้งสหพันธรัฐ ทั้งระบบสุริยะ กระทั่งทั้งโลกแห่งศิลานี้
เพราะว่าตัวตนของนางพิเศษอย่างยิ่งในสหพันธรัฐ เพราะว่านางคือสหายเต๋าของผู้ปกครอง เพราะว่านางคือแรงหนุนให้สหพันธรัฐรุ่งโรจน์ และเพราะ…เล่าลือกันว่า นางคือคู่เต๋าบำเพ็ญของท่านผู้ปกครองโลกแห่งศิลา
นามของนางก็คือ เจ้าเยี่ยเหมิง
มารดาของนางเคยเป็นเจ้าอาณานิคมดาวอังคาร และภายหลังได้กลายเป็นอดีตผู้นำสหพันธรัฐ ในระหว่างรับตำแหน่งเห็นได้ชัดว่าสหพันธรัฐเติบโตยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง
บิดาของนางคือ ผู้บุกเบิกรากฐานการพัฒนาวิชาวิญญาณของสหพันธรัฐ และเป็นผู้ผลักดันสร้างคุณูปการครั้งใหญ่
ในวันนี้ นางคือผู้ที่ได้รับความเคารพจากผู้คนและความสนใจนับไม่ถ้วนจากทั้งสหพันธรัฐ ทั้งระบบสุริยะ และถือเป็นหนึ่งในเสาหลักของโลกแห่งศิลา แต่ว่า…นางกลับชอบความสันโดษ จะพบเห็นนางยืนอยู่บนยอดหิมะหลายครั้ง ทอดมองไปยังที่ห่างไกล
จนกระทั่งวันนี้ หวังเป่าเล่อมายังยอดเขาหิมะ มองเห็นเงาร่างที่ยืนอยู่ตรงนั้น
“เจ้ามิใช่เขา”
นี่คือประโยคแรกที่เจ้าเยี่ยเหมิงกล่าวขึ้นหลังมองเห็นหวังเป่าเล่อ
“แต่ข้าอยากรู้เรื่องราวหลังจากที่เขาจากไปแล้ว…ขอเจ้า โปรดเล่าให้ข้าฟังด้วย” เจ้าเยี่ยเหมิงมองหวังเป่าเล่อก่อนจะเอ่ยปากเสียงเบา
หวังเป่าเล่อมองสตรีที่เหมือนกับก้อนน้ำแข็งเย็นเบื้องหน้าแล้วพยักหน้า เขานั่งอยู่บนภูเขาหิมะมองเกล็ดหิมะโปรยปรายซ่านกระจายไปทั่ว ทุกๆ เกล็ดนั้นก็เหมือนกับความทรงจำในแต่ละฉากแต่ละตอน
“เรื่องราวค่อนข้างยาวนาน…”
“หลายปีมานี้ข้าจัดระเบียบความทรงจำอยู่บ่อยครั้ง สุดท้ายข้ารู้สึกว่า นี่คือเรื่องราวของการไถ่ถอนและเสียสละตัวเองเรื่องหนึ่ง ที่ไถ่ถอนนั้นคือตนเอง ที่สังเวยไปนั้นคือตนเอง ทั้งหมดก็เพื่อกลายเป็นตนเองอีกผู้หนึ่ง…”
หลายวันให้หลัง หวังเป่าเล่อก็ออกจากภูเขาหิมะไป เขาไม่ได้หันหน้าไปมองและไม่ได้กลับมาอีก
บนภูเขาหิมะนั้น เงาร่างของหญิงสาวยิ่งโดดเดี่ยวขึ้นกว่าเก่า นางยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ และไม่รู้ว่ารอคอยสิ่งใด มีเพียงประโยคพึมพำประโยคหนึ่งสะท้อนไปท่ามกลางเกล็ดหิมะ หลอมรวมเข้ากับตัวเกล็ด ลอยเข้าสู่โลก
“เพราะเหตุใด ข้าต้องพบกับเจ้าในช่วงขวบปีอันดีงามสุดในชีวิตด้วย…”
……………

หวังเป่าเล่อไม่เอ่ยวาจา เขาได้แต่มองศิษย์พี่เบื้องหน้าตนอย่างตกตะลึง แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไร ดื่มน้ำเย็นหล่อวิญญาณต่อทีละอึกๆ ทว่าสุดท้ายแล้วมือของเขากลับสั่นเทา

 เป่าเล่อ เจ้าจำวันที่พวกเราพบกันวันแรกได้หรือไม่? 

 จำได้… 

 เจ้าเด็กคนนี้ ตอนนั้นเจ้าดูขลาดกลัวเป็นที่สุด ข้าผู้เป็นศิษย์พี่เห็นแล้วตลกเหลือเกิน จึงวางแผนส่งอสูรเพลิงสองตัวให้ไปพุ่งชนต่อหน้าเจ้าเสีย 

หวังเป่าเล่อยิ้ม ในสมองของเขาพลันปรากฏภาพความทรงจำช่วงนั้นออกมา นัยน์ตาฉายประกายย้อนระลึกถึงอดีต

ราตรีปกคลุม พระจันทร์ทอแสง กระทั่งมันค่อยๆ เคลื่อนคล้อยจากไป…หนึ่งคืนผ่านพ้น

ในค่ำคืนนี้ หวังเป่าเล่อและศิษย์พี่เฉินชิงจื่อสนทนากันเนิ่นนาน พวกเขาพูดถึงทุกสิ่งที่เกิดในโลกแห่งศิลา ทีละเรื่อง ทีละเรื่อง ทำให้นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความทรงจำ

กระทั่งท้องฟ้าเริ่มส่องสว่าง เฉินชิงจื่อก็วางไหสุราว่างเปล่าลง แล้วถอนหายใจ

 เป่าเล่อ เจ้าคิดถึงอาจารย์หรือไม่… 

 คิด…  หวังเป่าเล่อพึมพำ

 ข้าเองก็ด้วย พวกเรากลับโลกแห่งศิลาสักครั้งเถอะนะ ไปดูที่ที่อาจารย์หายไปตรงนั้น ไปดูท่านอาจารย์… 

หวังเป่าเล่อมองศิษย์พี่ จากนั้นก็พยักหน้า ในพริบตาถัดมา…ทั้งสองคนที่อยู่ในร้านเหล้าก็หายตัวไปแล้ว จากนั้นจึงปรากฏตัวยัง…โลกแห่งศิลา

พวกเขาอยู่ภายในมหาสุสานของสำนักแห่งความมืด ตรงจุดที่อาจารย์หายตัวไป

ในที่แห่งนี้ คนทั้งสองมองทุกสิ่งที่คุ้นเคยอย่างเงียบงัน ความทรงจำของภาพตรงนี้ปรากฏขึ้นในสมองของหวังเป่าเล่อไม่หยุด จนกระทั่งครู่ถัดมา ศิษย์พี่เฉินชิงจื่อก็ค่อยๆ เอ่ยปากช้าๆ

 ที่นี่แล้วสำหรับเจ้าและข้าล้วนเห็นแตกต่างกัน ข้าคงไม่กล้าเอ่ยอะไรมากที่นี่ 

 เป่าเล่อ ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจ้า แต่เจ้าก็ยังเป็นศิษย์น้องของข้า…  เฉินชิงจื่อมองหวังเป่าเล่อลึกซึ้งครั้งหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างตั้งใจออกมาทีละคำ

หวังเป่าเล่อไม่ได้เอ่ยสิ่งใด หลังนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็สูดหายใจเข้าลึก แล้วคำนับไปยังศิษย์พี่ของตน

 ศิษย์พี่ ข้าอยากไปพบสหายเก่าสักหน่อย… 

 ไปเถอะ ค่อยๆ ไปดู ค่อยๆ จดจำ  เฉินชิงจื่อฉีกยิ้ม เขามองหวังเป่าเล่อเบื้องหน้าตนที่บัดนี้หันกายจากไปยังที่ห่างไกลช้าๆ ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน

 เจ้าคือศิษย์น้องของข้า ไม่สิ…เจ้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเขาเท่านั้น แต่เจ้า…ก็ยังเป็นศิษย์น้องของข้า 

หวังเป่าเล่อที่จากสถานที่นี้ไปนั้นกำลังเดินอยู่ท่ามกลางหมู่ดารา ร่างกายชะงักเล็กน้อย เขาได้ยินสิ่งที่เฉินชิงจื่อ พึมพำแล้ว

เนิ่นนาน หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจ เขามองโลกแห่งศิลาด้านหน้า แล้วกระโจนเข้าไปก้าวหนึ่ง

ในพริบตาที่ออกมานั้น เขาก็อยู่ภายในระบบสุริยะแล้ว ในสหพันธรัฐ ในดาวโลก…ในเมืองเล็กๆ นามว่าวิหคเพลิง

ในเมืองเล็กๆ นี้ก็ยังเหมือนในความทรงจำของเขาอยู่ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนคือ มันดูสมบูรณ์พร้อมกว่าเก่ามาก สิ่งก่อสร้างทั้งหลายก็ดูดีกว่าแต่ก่อนไม่น้อย

แต่ว่าสิ่งก่อสร้างเก่าๆ เหล่านั้น ยังคงได้รับการบำรุงรักษาที่ดีคล้ายกลับว่ามีเหตุผลพิเศษบางอย่าง

ราวกับว่า…ที่นี่เป็นสถานศึกษาแห่งหนึ่ง

ตอนนี้เป็นเวลาเข้าเรียน ประตูของสถานศึกษามีนักเรียนเดินเข้าออกจำนวนมาก ในนั้นยังมีเด็กอายุเจ็ดแปดขวบอยู่ และมีวัยรุ่นอายุสิบสี่สิบห้าด้วย

ในสถานศึกษาแห่งนี้ เป็นที่เรียนรวมของเด็กตั้งแต่แปดขวบจนถึงสิบหกขวบ และเป็นโรงเรียนเดิมของหวังเป่าเล่อ

เขายืนอยู่หน้าประตูโรงเรียน คลับคล้ายคลับคลาจะเห็นเด็กอ้วนอายุแปดเก้าปีผู้หนึ่งกำลังเดินร้องไห้ขี้มูกโป่งออกมา ด้านหลังของเขายังมีเด็กหญิงตัวน้อยไล่กวดเขามาอย่างดุร้ายด้วย

มองดูแล้วหวังเป่าเล่อก็ระบายยิ้ม ระหว่างที่ส่ายหน้า เขาก็ก้าวเท้าที่สองอีกครั้ง คราวนี้ปรากฏอยู่เบื้องหน้าบ้านหลังหนึ่งในเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ราวกับว่ามันว่างเปล่ามายาวนานแต่กลับถูกบำรุงรักษาอย่างดี ภายในห้องนั้นไม่มีแม้แต่ฝุ่น อีกอย่างห้องนอนในสถานที่แห่งนี้ก็ยังมีการตกแต่งเช่นเดิมเหมือนในอดีต

ภายในนั้นยังมีของเล่นทั้งหมด แล้วก็ยังมีพวกภาพวาดตรงกำแพง…ที่เห็นชัดที่สุด…ก็คือประโยคสองแถวที่เขียนในเวลาอันแตกต่างกันบนกำแพงนั้น คล้ายกับว่าถูกคนเขียนใส่ด้วยความตั้งใจมุ่งมั่น

ข้าจะกลายเป็นประธานสหพันธรัฐ!

ข้าจะลดน้ำหนัก!

เมื่อมองเห็นสองประโยคนี้ หวังเป่าเล่อก็ฉีกยิ้ม ในสมองปรากฏภาพที่ถูกตู้หมินรังแกในปีนั้น จนตนเองสาบานว่าจะเป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งใหญ่โตให้ได้ และต้องการเป็นประธานสหพันธรัฐ กลางดึกคืนนั้นจึงเขียนประโยคนี้ลงบนกำแพง

แล้วยังมีหลังจากที่ตัวเองเติบโตได้สักหน่อยแล้ว ท่านพ่อของเขาก็พาไปยังโถงบรรพบุรุษของตระกูลหวัง ท่ามกลางแสงไฟสลัวนั้น เงาร่างของท่านพ่อเองมืดไปครึ่งหนึ่ง ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากบอกกับหวังเป่าเล่ออย่างมืดมน ถึงคำสาปแห่งตระกูลหวัง บรรพบุรุษคนใดที่น้ำหนักเกิน 200 กิโล ล้วนแต่อายุสั้นทั้งสิ้น…

คืนนั้น หวังเป่าเล่อที่หนัก 198 กิโลก็นอนอยู่บนเตียงตัวสั่นสะท้าน ก่อเกิดฝันร้ายฉากหนึ่ง ในฉากนั้นเหล่าท่านปู่ทั้งหลายต่างมาเล่นกับเขา…จนกระทั่งเขาตกใจตื่น ก็เลยรีบไปเขียนบนกำแพงว่า  ข้าจะลดน้ำหนัก 

 ไม่รู้ว่าแม่ของเขาทางนั้น เป็นเช่นใดบ้างแล้ว…  อาจจะเพราะความอบอุ่นในภาพจำเหล่านี้ทำให้อารมณ์ในใจหวังเป่าเล่อมีมากขึ้น ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้ม หลังจากมองสองประโยคนี้อย่างลึกซึ้งแล้วก็หันกายจากไป

จากนั้นเขาก็ไปปรากฏตัวยังอีกเมืองหนึ่งบนโลกมนุษย์ ในเมืองนี้…คือเมืองหลวงของสหพันธรัฐ พื้นที่ใหญ่กว้าง ดูยิ่งใหญ่สูงส่ง ประชากรที่อยู่ในนั้นมีมากกว่า 100 ล้านคน

เมืองใหญ่เช่นนี้ ผู้คนไปๆ มาๆ เอิกเกริกวุ่นวาย โดยเฉพาะเมื่อมีการบุกเบิกทางวิญญาณแล้วทำให้เทคโนโลยีควบรวมกับพลังฝึกปรือ เมื่อมองไปยังป่าและสิ่งปลูกสร้างในเมือง ต่างเห็นรถบินได้ลอยไปลอยมาไม่หยุด

แล้วยังมีคนเดินเท้า แม้แต่ละคนจะมีท่าทีรีบร้อน แต่ก็เห็นประกายความกระฉับกระเฉงในดวงตา ทั้งเมืองนั้นดุจดังแสงตะวันยามเช้า ทำให้คนรู้สึกอบอุ่นและงดงาม

โดยเฉพาะเหล่าผู้เยาว์ในเมืองก็ยิ่งเป็นเช่นนี้…แต่ก็มีพวกที่ไม่เอาการเอางานอยู่บ้าง อย่างเช่นเวลานี้ มีพาหนะบินได้รูปลักษณ์หรูหราคันหนึ่งกำลังห้อตะบึงมาทางนี้ราวกับกำลังหนีเอาชีวิต

ด้านหลังของมันนั้นยังมีรถบินได้สีดำอีกประมาณเจ็ดแปดคน ส่งเสียงดังไล่กวดมา จนสุดท้ายแล้ว รถบินได้หรูหราคันนั้นก็ถูกไล่จับ ชะงักอยู่ตรงหัวมุมถนน

ผู้ที่เดินออกมาจากรถคันนั้นเดิมคงเป็นวัยรุ่นอารมณ์ร้อนคนหนึ่ง แต่ในยามนี้ใบหน้าของเขากลับหมดอาลัยตายอยาก เขามองไปยังภายในรถบินได้คันที่หยุด หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสีดำเดินออกมา

หญิงสาวผู้นี้หน้าตางดงาม แต่สีหน้าเย็นชานัก นางเดินเข้ามาหาผู้เยาว์คนนั้น ผู้เยาว์ดูท่าทางหวาดกลัวสุดขีด เขารีบตะโกนเสียงดัง

 เจ้าฟังข้าอธิบายก่อน ข้าไม่รู้จักนางจริงๆ เมื่อวานตอนเย็น… 

ไม่ทันที่เขาจะเอ่ยจบ หญิงสาวก็ตบเข้าไปที่บ้องหูของชายหนุ่ม ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง และใบหน้าปราศจากอารมณ์

 กลับบ้านไปกับข้าแล้วหลังจากนี้ค่อยอธิบายให้ข้าฟัง หากว่าแก้ตัวได้ไม่ดีล่ะก็ ข้าจะส่งเจ้าไปโรงพยาบาลเสีย เตรียมหมอไว้เรียบร้อยแล้วด้วย  ชายหนุ่มโอดครวญ แล้วถามขึ้นด้วยความเจ็บปวด

 ไปโรงพยาบาลทำไม? แล้วเตรียมหมอเอาไว้นี่มันยังไง? หมายความว่าอะไร… 

 ก็จะได้ตัดสมองวุ่นวายของแกออกมาไงล่ะ!  หญิงสาวเอ่ยเสียงเย็นชา

ชายหนุ่มตกตะลึง หลังจากนั้นก็ส่งเสียงโหยหวนดังขึ้น ทว่าไม่กล้าขัดขืน ได้แต่ยืนน้ำตาไหล ดวงตาฉายแววเลื่อนลอย

 เพราะอะไร เพราะอะไรถึงได้จัดแจงคู่หมั้นแบบนี้มาให้ข้าในช่วงขวบปีที่งดงามที่สุดของข้าด้วย…นี่ไม่ถูกนะ ข้ารู้สึกว่ามันมีอะไรไม่ถูกสักอย่าง ไม่ควรเป็นเช่นนี้สิ… 

หลังจากที่คู่ชายหญิงนั้นเดินจากไปแล้ว บนท้องฟ้า หวังเป่าเล่อที่เห็นฉากนี้เข้า ก็กุมท้องหัวเราะออกมา อย่างเบิกบานใจ นั่นคือบิดามารดาของเขาที่กลับชาติมาเกิด

เขายังจำได้ว่าก่อนที่ท่านพ่อจะจากไปก็ได้บอกกับเขาว่า ให้ตัวเขาจัดเตรียมเรื่องในโลกถัดไปให้ดีๆ หน่อย..พูดแล้วเหมือนจะขยิบตาให้เขาทำนองว่า แกเข้าใจฉันสินะ

ส่วนทางด้านท่านแม่ของเขานั้น กลับกล่าวออกมาอย่างเย็นชาว่าต้องการเจอหน้าเร็วสักหน่อย จะได้อยู่ด้วยกันทั้งชีวิต

และเหมือนว่าท่านพ่อของเขาในตอนนี้ คิดอยากจะพูดอะไรแต่ไม่กล้า…

 ช่วยไม่ได้นะท่านพ่อ สถานะของท่านแม่น่ะสูงสุดในบ้านอยู่แล้ว…ขอให้พวกท่านมีความสุข  มองดูบิดารและมารดาของตนที่กลับชาติมาเกิดแล้ว หวังเป่าเล่อก็ผุดยิ้ม ทว่าความรู้สึกเดียวดายนั้นกลับทะยานขึ้นในใจโดยไม่รู้ตัว

………………………………………………

 

ตอนแรกวางแผนว่าบทที่แล้ว คือบทสุดท้ายของนิยายเล่มนี้ของผมเฟยเซียน และเป็นมหาบทสรุปของหนังสือเล่มนี้
แต่หลังจากวางแผนเนื้อหาพวกนี้ให้เป็นส่วนเสริมต่อขยายแล้ว ก็ได้คิดอยู่สักพัก เลยตัดสินใจเอามารวมเข้ากับเนื้อหาหนัก ทุกท่านเชิญรับชมตามอัธยาศัย 😊
……………….
ในชีวิตนี้ของหวังเป่าเล่อเคยคุกเข่าให้อยู่ไม่กี่คนเท่านั้น นอกจากบิดามารดาของตน และผู้มีพระคุณรวมถึงอาจารย์ตนเองแล้ว…
ยามนี้ เขาคุกเข่าลงไปยังทิศที่ชายชุดดำนั้นจากไป น้ำตาอาบหน้า โขกศีรษะคำนับอย่างเงียบเชียบ
เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองจึงน้ำตาไหล เห็นได้ชัดว่า เขาปรารถนาอิสระ เห็นได้ชัดว่า…เขาเฝ้ารอคอยเสรีภาพอยู่ จนกระทั่งอาจกล่าวได้ว่าตั้งแต่วันที่เขาถูกตัดแยกออกมาวันนั้น เขาก็ได้แต่เฝ้ารอวันที่ตนเองจะเป็นอิสระอย่างสมบูรณ์ทุกเมื่อเชื่อวัน
กระทั่งหลังการเดินทางผ่านเมืองเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาแล้ว เขาก็ได้กลับไปสู่ประตูโลกเบื้องบน ไปยังทะเลทรายกว้างใหญ่บนโลกาชั้นที่สองของมิติต้นกำเนิด สถานที่ที่ร่างต้นของเขากักตนอยู่
ในตอนแรก ความตั้งใจแท้จริงที่จะเดินไปเบื้องหน้าร่างต้นนั้น ครั้งแรก…ก็เพื่อวางแผนแลกเปลี่ยนกับร่างต้น
ในตอนแรก เขายินดีและเต็มใจไปโลกเบื้องบนแทนร่างหลัก พร้อมผจญอันตรายครั้งใหญ่ถึงแก่ชีวิต ต่อให้จะเก้าตายรอดหนึ่งก็จะช่วงชิงอนาคตมาให้ร่างหลักให้ได้ เขาสามารถละทิ้งได้ทุกสิ่ง หวังเพียงว่า เมื่อตนเองทำสำเร็จแล้ว ทางร่างต้นตรงนี้จะตัดเหตุผลต้นกรรมกับตัวเขา แล้วจากนั้น…เขาก็คือตัวเอง
และมีสิทธิในการควบคุม…ความตายได้
ความตาย เป็นสิทธิอันยิ่งใหญ่ชนิดหนึ่ง มีเพียงคุมมันได้ด้วยตนเองจึงนับว่ามีอิสระ
สำหรับเรื่องนี้ร่างต้นมิได้เห็นชอบแต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ แต่กลับใช้พลังแปรเป็นผนึกเต๋าสี่สาย บีบคั้นกักขังเขาเอาไว้ ท่ามกลางความไม่เข้าใจของหวังเป่าเล่อ
หลังจากนั้น ก็ดึงเอากฎแห่งหกปรารถนาออกจากร่างของเขา หลังจากทิ้งเขาไว้ในที่กักตนแล้ว ตัวของร่างต้นก็ออกจากทะเลทรายไป…
หวังเป่าเล่องุนงง ไม่เข้าใจ แต่ภายใต้การผนึกนี้ ความคิดของเขาเปลี่ยนเป็นเชื่องช้าลง และสุดท้ายก็หลับลึก นานจนกระทั่งเขาได้ยินคนร้องเรียกชื่อของตนเอง และเมื่อลืมตาขึ้นมา เขาก็มองเห็นร่างต้นของตนเองอยู่ในพื้นที่ห่างไกลในโลกาชั้นแรก
เมื่อได้ยินเสียงของร่างต้น สัมผัสได้ว่าผนึกนั้นถูกปลดแล้ว ปราณโลหิตจำนวนมหาศาลพร้อมทั้งพลังปราณเข้าหล่อหลอม นอกจากนี้เขายังสัมผัสได้ถึงการบำรุงดวงจิตเทพของตน ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน จนกระทั่ง…เขาได้ยินประโยคนั้น
“หวังเป่าเล่อ นามนี้ มอบแก่เจ้าแล้ว…”
ประโยคนี้ ราวกับตราประทับสลักลึกลงไป
นามนี้ เป็นสัญลักษณ์ของบุคคลหนึ่ง กระทั่งว่าในหมู่บางเผ่าตระกูล ก็ถือได้เหมือนดวงวิญญาณแท้ มีมาแต่กำเนิด ตายแล้วไม่สิ้นสูญ…แต่ในพริบตานั้น นามหวังเป่าเล่อนี้ถูกร่างต้นตัดแยก แล้วมอบให้แก่เขาทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่
ในพริบตาที่ได้นามนี้มานั้น หวังเป่าเล่อ…ถึงค่อยได้รับอิสรเสรี…อย่างแท้จริง
ตัวของเขาในยามนี้ ไม่ว่าจะเป็นความเกี่ยวพันกับตัวของชายชุดดำหรือมหาเทพเองก็ตาม ล้วนไม่มีเหตุต้นผลกรรมใดๆ เกี่ยวข้อง ทุกเรื่องอันเลวร้ายได้ถูกชายชุดดำรับเอาไปแล้ว ส่วนทุกเรื่องที่ดีงาม ก็เป็นตัวเขาที่รับเอาไว้
เรื่องราวเช่นนี้…ในยามแรก หวังเป่าเล่อควรจะดีใจ เพราะว่านี่มิใช่สิ่งที่เขาปรารถนาหรอกหรือ…
แต่กลับกลายเป็นว่า เขาในยามนี้ ในใจปรากฏความเจ็บปวดขึ้นมาอย่างไม่รู้สิ้นสุด
ความเจ็บปวดชนิดนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อที่คุกเข่าอยู่บนภูเขาหินตรงนั้นตัวสั่นสะท้าน จนกระทั่งว่า…ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไร มีเสียงถอนหายใจดังมาจากข้างหลังของเขา เงาร่างหนึ่ง ปรากฏอยู่ข้างกาย ฝ่ามืออันอบอุ่นนั้นค่อยๆ วางบนไหล่ของเขา
“เป่าเล่อ เขาเป็นคนที่ควรค่าแก่ความเคารพ”
“เจ้าอย่าทรยศต่อทางเลือกของเขาล่ะ”
หลังจากหวังเป่าเล่อหันหน้าไปก็พบว่าผู้ที่เอ่ยด้วยน้ำเสียงอันอบอุ่น แต่แฝงไปด้วยความเจ็บปวดนั้นคือบิดาของหวังอีอีที่ยืนอยู่ข้างกายตน
“ผู้อาวุโส…”
“ไปเถอะ ตามข้าไปยังดินแดนเซียน อีอีกำลังรอเจ้าอยู่ ศิษย์พี่ของเจ้าเองก็รอเจ้า…” บิดาของหวังอีอี ส่ายหน้ามองไปยังท้องฟ้าห่างไกลก่อนจะก้าวเท้าจากไป
หวังเป่าเล่อที่อยู่บนภูเขาหิน นิ่งเงียบเนิ่นนาน เขามองไปยังทิศที่ชายชุดดำหายลับ หลังจากถอนหายใจก็ติดตามย่างก้าวของบิดาหวังอีอี ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างออกไปไกล
เวลาไหลผ่าน
ท่ามกลางเวลาอันยาวนาน ซึ่งไหลผ่านเบื้องหน้าของหวังเป่าเล่อไปนั้น โดยไม่รู้ตัวเขาก็ตามบิดาของหวังอีอีกลับมาดินแดนเซียน ในพริบตาที่เหยียบเข้าดินแดนแห่งเซียนนี้ เขาก็พบกับหวังอีอี…ที่รอคอยเขามาตลอด
เพียงแต่ว่า…เบื้องหน้าแววตาอบอุ่นและแตกตื่นยินดีของนาง หวังเป่าเล่อกลับก้มศีรษะ คล้ายอยากหลีกหนีเล็กน้อย โดยเฉพาะมีคนบอกเขาไว้ก่อนอยู่แล้ว เวลาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกสิ่งและเยียวยาทุกอย่าง
แต่ว่า…สำหรับหวังเป่าเล่อ ราวกับจุดนี้ไม่ได้มีอยู่ เพราะว่าตัวเขาที่กลับมาดินแดนเซียนแห่งนี้ได้ใช้เวลาไปถึง 30 ปีโดยไม่รู้ตัว
และในเวลา 30 ปีนี้ พลังฝึกปรือของเขาซึ่งแยกส่วนออกจากชายชุดดำนั้น เนื่องจากได้รับสืบทอดเจตนารมณ์แห่งเซียน สืบทอดปราณโลหิตและจิตวิญญาณเทพชั้นสมบูรณ์ พลังของเขาได้ยกระดับไปถึงชั้นที่ไม่อาจคาดเดาได้แล้ว
ทั้งดินแดนเซียนนี้ นอกจากบิดาของหวังอีอี ไม่มีใครรู้ว่าระดับของหวังเป่าเล่อในปัจจุบันอยู่ที่เท่าใด อีกทั้งเรื่องราวระหว่างตัวเขาและร่างต้นนั้นก็ได้กลายเป็นความลับตั้งแต่ต้นจนจบ ผู้ที่รู้เรื่องนี้ทั้งมหาจักรวาลเกรงว่าจะมีน้อยยิ่งกว่าขนหงส์เขากิเลน
และทุกท่านที่ทราบเรื่องนี้ ก็เลือกที่จะเก็บเงียบ
ดังนั้นแล้ว หวังอีอีผู้ที่ไม่เข้าใจว่าเหตุใดหวังเป่าเล่อที่กลับมาภายหลัง 30 ปีนี้กลับเว้นระยะห่างจากตนเองก็ได้แต่คิดไม่ตก สุดท้ายแล้วนางจึงเลือกที่จะรออย่างไม่รีบร้อน
เพราะว่าอดีตและอนาคตของเขา ก็อยู่กับนางที่นี่
วันแล้ววันเล่า หวังอีอีที่เฝ้ารอคอยคำตอบอยู่ห่างๆ กลับมองออกว่า…หวังเป่าเล่อมีเรื่องในใจ เป็นเรื่องอันหนักอึ้ง คล้ายกับว่าเขานั้น…ไม่มีความสุข
นางไม่รู้ว่าจะปลอบเขาเช่นไร จึงได้แต่มองดูอย่างเงียบๆ
หวังเป่าเล่อย่อมไม่สุขใจแท้จริง หลังจากที่เวลาไหลผ่านไป ในครั้งแรกเขาคิดว่าตนจะคิดได้และยอมรับได้ ทว่าในที่สุด เมื่อสิบกว่าปีผ่านไปแล้ว เขาก็ยังทำไม่ได้
“หรือว่า เป็นเพราะเวลายังคงสั้นไปจริงๆ…” หวังเป่าเล่อพึมพำ เขาเดินอยู่บนดินแดนเซียน ไปยังเมืองที่ศิษย์พี่อยู่ แล้วเดินเข้าไปยัง…ร้านเหล้าเล็กๆ แห่งหนึ่ง
เขาชอบที่นี่ เพราะว่าที่นี่มีศิษย์พี่ สำหรับน้ำใจของศิษย์พี่แล้ว หวังเป่าเล่อสลักมันเอาไว้ในวิญญาณ
เขาชอบเมืองแห่งนี้ เพราะว่าที่นี่มีร้านเหล้าเล็กๆ ในร้านเหล้านอกจากเหล้าข้าวแล้วก็ยังมีน้ำโซดาเย็นชื่นฉ่ำ เถ้าแก่เรียกน้ำโซดานี้ว่าน้ำเย็นหล่อวิญญาณ
หวังเป่าเล่อรู้ว่านี่มิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการจัดการเบื้องหลังของศิษย์พี่ รสชาติของน้ำเย็นหล่อวิญญาณนี้ก็เหมือนในสหพันธรัฐไม่ผิด
ในร้านเหล้าแห่งนี้ หวังเป่าเล่อไม่ดื่มเหล้าข้าวอีก แต่กลับดื่มน้ำเย็นหล่อวิญญาณ…เห็นได้ชัดว่านี่มิใช่เหล้าแต่ทุกครั้งที่เขาดื่มจะต้องเมา
และคราวนี้ก็เช่นกัน
หวังเป่าเล่อนั่งอยู่ข้างโต๊ะที่มองเห็นวิวถนน เขามองไปด้านนอกพลางค่อยๆ จิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณทีละอึก ดวงตาเริ่มฉายแววเมามาย
กระทั่งดวงอาทิตย์คล้อยต่ำ เข้าสู่ช่วงเย็นย่ำ ผู้เยาว์รายหนึ่งก็เดินเข้ามาแล้วนั่งลงตรงข้ามหวังเป่าเล่อ
“เป่าเล่อ หลายปีมานี้ ข้าถามเจ้าอยู่สามครั้ง ทำไมเจ้ากลับมาแล้วปวดใจเช่นนี้ เจ้าไม่เคยตอบข้าเลย” ผู้เยาว์หยิบเหล้าขวดหนึ่งออกมาจิบอึกหนึ่ง ก่อนจะวางลงบนโต๊ะ และมองหวังเป่าเล่อ
ผู้เยาว์รายนี้ก็คือศิษย์พี่ของเขา เฉินชิงจื่อ
20 ปีก่อน เขาฟื้นฟูความทรงจำได้ทั้งหมดแล้ว
หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ครึ่งเค่อให้หลังถึงค่อยมองเฉินชิงจื่ออย่างสับสน เนิ่นนานก็เอ่ยปากขึ้นมา
“หากข้ากล่าวว่า ข้ามิใช่ศิษย์น้องของท่าน ข้ามิใช่หวังเป่าเล่อตัวจริง ท่าน…”
“เจ้าเป็น!” เฉินชิงจื่อเอ่ยปากอย่างจริงจัง
“ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเจ้าบ้าง แต่ว่าในใจของข้า วิญญาณของข้า ความรู้สึกของข้า ทุกสิ่งที่ข้าสัมผัสได้บอกกับข้าว่าเจ้าก็คือศิษย์น้องของข้าอย่างไม่ต้องสงสัย!”
………………………………….
“ชีวิตมนุษย์นี่นา…” ภายในตำหนัก ชายชุดดำที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หัวเราะพลางพึมพำ
“หวังอีอีนำอดีตและปัจจุบันของข้าไปแล้ว ส่วนหวังเป่าเล่อก็เอาปัจจุบันของข้าไป กระทั่งชื่อข้ายังมอบให้เขาแล้ว…น่าสนใจ น่าสนใจ”
“กลับกันแล้ว เรื่องพวกนี้ข้ายินยอมและเป็นข้าริเริ่มเอง…”
“ตั้งแต่เมื่อไรที่ข้ามีจิตใจที่เสียสละและยินยอมสังเวยเช่นนี้…ยังจำเมื่อสมัยเด็กได้ เพื่อน้ำตาลก้อนเดียว ข้าถึงกับตั้งชื่อพิเรนทร์ให้กับหัวหน้าชั้น…”
“สุดท้ายนี้…ยัย ตู้หมิน ยังกลายเป็นคู่เต๋าบำเพ็ญของหลินเทียนหาว ข้าว่านางชอบข้าชัดๆ”
“แล้วยังโจวเสี่ยวหยา เจ้าเยี่ยเหมิง ยังมีโลกแห่งศิลาแล้วยังจะหวังอีอี…ยังมีหลี่หว่านเอ๋อร์นั่นอีก น่าเสียดาย…น่าเสียดาย…”
“ในชีวิตนี้ของข้า ทำไมถึงจำได้ขึ้นมาถึงความทุกข์โศกเหล่านั้นเล่า” ชายชุดดำนั่งอยู่ตรงนั้นพลางยิ้มก่อนจะยกมือขวาขึ้นพลิก น้ำเย็นหล่อวิญญาณขวดหนึ่งปรากฏขึ้น เขาเหลือบมองครั้งหนึ่งแล้วส่ายหน้าพลางพลิกมืออีกครั้ง สุราข้าวขวดหนึ่งปรากฏขึ้นมา จากนั้นเขาจึงยกมันชิดริมฝีปากก่อนจะกระดกลงไปคำโต
“ข้าถือกำเนิดในศักราชใหม่แห่งสหพันธรัฐภายหลังที่กระบี่สำริดมาถึง ในเวลาที่ข้าถือกำเนิด…อสูรดุร้ายในสหพันธรัฐนั้นดูเหมือนสงบนิ่ง แต่ในความจริงอันตรายก่อเกิดขึ้นทั่วทิศแล้ว!”
“หลังข้าถือกำเนิด สหพันธรัฐเจริญรุ่งเรืองโดยตลอด ข้าสยบหมื่นตระกูล ตระกูลไม่รู้สิ้นล่มสลายเพราะข้า ระบบสุริยะแผ่ขยายไพศาล และโลกแห่งศิลาได้แปรมาอยู่กลางฝ่ามือของข้า ข้าเคยเหยียบผ่านสะพานข้ามสวรรค์ มีมรรคาเต๋าของข้าอยู่ในดินแดนเซียน!
มหาเทพก็คือข้า สิ่งมีชีวิตแรกที่ถือกำเนิดในมหาจักรวาลนี้ก็คือข้า คำว่า “เซียน” นี้เกรงว่าข้าจะเป็นคนมอบให้มหาจักรวาลนี้เอง…เมื่อคิดไปเช่นนี้ เหมือนข้าได้มอบอะไรมากเกินไปจริงๆ” ชายชุดดำพูดกับตนเองแล้วจากนั้นก็ดื่มต่ออึกใหญ่
“มารดามันเถอะ ข้ายังไม่ทันได้เป็นประธานสหพันธรัฐเลยนะ!” ชายชุดดำพลันชะงัก จากนั้นเขาใช้ฝ่ามือโยนขวดอันว่างเปล่าไปไว้บนชั้นวาง
“รู้สึกยอมไม่ได้อยู่บ้าง” เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ มือขวาพลันพลิกอีกครั้ง คราวนี้ในมือมีสมุดเล่มหนึ่ง
สมุดนี้นามว่า อัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูง
ชายชุดดำมองมัน จากนั้นก็ใช้มือซ้ายลูบชื่อนั้นเบาๆ…คำว่าเจ้าพนักงานระดับสูงหายไป แต่สิ่งที่แทนที่กลับเป็นคำว่า “เป่าเล่อ” สองคำ
หลังจากนั้นก็รู้สึกว่ายังไม่เหมาะสม ดังนั้นจึงเปิดไปหน้าสุดท้าย เขาโบกมือครั้งหนึ่ง พลันเขียนข้อความหนึ่งบรรทัด
ในปีศักราชที่ 3800 ผู้นำของสหพันธรัฐที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ราชันแห่งระบบสุริยะ เจ้าแห่งโลกในศิลา ผู้ปกครองของมหาจักรวาล ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้ ถือกำเนิด
เมื่อเขียนถึงตรงนี้ ชายชุดดำก็ยิ้มอย่างเบิกบานใจ แต่ตรงมุมหางตาของเขากลับปรากฏหยาดน้ำวาววาม…กระทั่งครึ่งครู่ให้หลัง เขาก็หัวเราะเสียงดัง พลิกร่างกลับลุกขึ้น
“ระยะเวลาตื่นไม่มากแล้ว ยังมีอีกสองเรื่องต้องไปทำให้เสร็จ” ชายชุดดำโบกมือ จากนั้นก็หยิบอัตชีวประวัติเป่าเล่อโยนไปในความว่างเปล่า ก่อเกิดคลื่นสะเทือนในมหาจักรวาล หลังจากนั้นดวงตาของเขาก็หม่นแสง
เขาเข้าใจดีถึงวิธีการทำลายจิตแห่งปรารถนา ก็คือให้ตนไปช่วงชิงชีวิตอีกฝ่ายเสีย เมื่อตนเองสำเร็จแล้ว จิตแห่งปรารถนาก็จะสิ้นสูญไป ส่วนร่างที่เกิดแต่ปรารถนานี้ ความปรารถนาในกายก็จะวุ่นวายไร้ระเบียบ ดังนั้นในเวลาที่ช่วงชิงสำเร็จก็หมายถึงตนเองละทิ้งทุกสิ่ง และกลายเป็นเพียงภาชนะของความปรารถนาเท่านั้น
หากว่าเขาคิดอยากประคองสติไว้ต่อ ก็มิใช่จะไม่ได้ เพียงแต่ค่าตอบแทน…เขาต้องสูบกลืนชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนตลอดไป และอาศัยพลังชีวิตอันเข้มข้นนี้มาประคองลมหายใจรวยรินต่อได้ ก็เหมือนมหาเทพนั่นแหละ
ทว่าหากเป็นเช่นนี้ สำหรับทั้งมหาจักรวาลแล้วนั้น นับเป็นคราวเคราะห์ครั้งหนึ่ง เขาไม่คิดทำเช่นนี้และไม่อยากกลายเป็นเช่นนี้ อีกทั้งไม่อยากให้ผู้อื่นพบเห็นตนแบบนี้ด้วย
“ในเมื่อมาเงียบๆ ก็ควรไปเงียบๆ…” ชายชุดดำถอนหายใจยาว ในดวงตาของเขานั้นประกายสีดำแล่นผ่านแทบจะครอบคลุมเก้าส่วนในดวงตาทั้งสองของเขา เขาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนครู่หนึ่ง หลังจากนั้นยกเท้าขึ้น…ก้าวเท้าหนึ่งไปด้านหน้า!
สิ่งที่ปรากฏขึ้นถัดมา ก็คือเงาร่างของเขาอยู่ท่ามกลางหมู่ดาราในจักรวาลต้นกำเนิดแล้ว เกือบจะในพริบตาที่เขาปรากฏตัว ทั้งมหาจักรวาลก็ส่งเสียงร้องดังลั่น ราวกับว่ามีกระแสจิตมาถึง และราวกับยอดศัตรูปรากฏร่าง!
กระทั่งย่างก้าวของเขาก็ปรากฏรอยแตกร้าว ราวกับว่ามหาจักรวาลนี้ไม่อาจทนรับได้
ยิ่งไปกว่านั้นมีกระแสจิตอันแข็งกล้าแต่ละสายวิ่งมารวมตัวกันจากแต่ละทิศ รวมกันอยู่ที่นี่
“เจ้าคือหมาป่าตาขาวงั้นรึ?” ชายชุดดำกวาดตามองกระแสจิตของมหาจักรวาลที่มายังที่แห่งนี้ เอ่ยอย่างไม่พอใจ
พริบตาถัดมา กระแสจิตของมหาจักรวาลในสถานที่นี้พลันลบความเป็นศัตรู คล้ายกับว่ามีเสียงถอนหายใจบางเบาสะท้อนก้องไปในจักรวาล
ชายชุดดำจึงค่อยพอใจ หลังจากก้มหน้ามองจักรวาลต้นกำเนิดใต้ฝ่าเท้าแล้วเขาก็ส่ายหน้า
“เรื่องแรกก็คือลบที่นี่ทิ้งไป จักรวาลต้นกำเนิด…ไม่จำเป็นต้องมีอยู่แล้ว” ระหว่างที่เอ่ย ชายชุดดำไม่ได้ยกมือสักนิด เพียงแค่ว่าในดวงตาของเขานั้นทำให้จักรวาลต้นกำเนิดที่เหมือนวังวนพังทลายลงทันที มิติด้านในจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นสิ้นสลาย ทว่าในส่วนของสิ่งมีชีวิตในจักรวาลนั้น ชายชุดดำไม่ได้ไปทำลาย เขาแค่เคลื่อนย้ายพวกเขาออกไป
ในส่วนของผู้แข็งแกร่งนับแต่บรรพกาลมาเหล่านั้น หลังจากกลับมหาจักรวาลแล้วจะพบว่าเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ชายชุดดำไม่สนใจ โดยเฉพาะในตอนนี้…ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว มองไปทั้งมหาจักรวาล ตอนนี้มีผู้ที่สามารถจัดการผู้เยี่ยมยุทธ์จากบรรพกาลเหล่านี้ได้แล้ว
ในชั่วพริบตาหนึ่ง จักรวาลต้นกำเนิด…ก็หายวับ
สถานที่ที่มันเคยมีอยู่นั้น ได้กลายเป็นรูโหว่ขนาดยักษ์ จากนั้นทุกสิ่งก็สมานเข้ากันอย่างรวดเร็ว กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าไร้สรรพสิ่งใดๆ อยู่ เกรงว่าในอีกพันปีต่อมา ที่นี่ก็อาจจะมีดาวเคราะห์ถือกำเนิดและมีอารยธรรมก็ได้
“ต่อไปนี้ ก็เป็นเรื่องที่สองแล้ว…” ชายชุดดำพึมพำ เขาแหงนหน้า เส้นสายสีดำในดวงตานั้น บัดนี้คลุมพื้นที่ถึง 99 ส่วน เหลือเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น เขามองไปรอบทิศ หลังจากนั้นก็จ้องประสานกลับไปทางกระแสจิตอันแข็งกล้าที่มารวมตัวกัน จ้องกลับไปทีละสาย
ในพริบตาถัดมา เสียงจากลำคอที่เหมือนได้รับบาดเจ็บก็ดังมาจากทั่วทิศทีละเสียง ราวกับว่าการถลึงตามองของเขาก่อผลกระทบกับคนพวกนี้ทุกคน
“นี่ถือเป็นการคืนให้พวกเจ้าที่มาแก้แค้นข้าในปีนั้น ข้าไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นเหมือนกับพวกเจ้า ตัดเหตุผลต้นกรรมแล้ว พวกเจ้าอยู่ดี ข้าก็อยู่ดี!”
กล่าวพวกนี้จบแล้ว ชายชุดดำก็แหงนหน้า ก่อนจะเอ่ยปากเสียงดัง
“ผู้อาวุโสหวัง!”
“ข้าอยากใช้พลังของตัวข้าเอง เนรเทศตัวเองออกไปตลอดกาล เหลือเพียงขั้นตอนเดียว ข้าหวังว่า…จะได้รับความช่วยเหลือจากผู้อาวุโส เกรงว่าน่าจะพอแล้ว”
“ผู้อาวุโส โปรดร่วมมือกับข้า…เนรเทศข้า…ออกไปเถอะ!”
มีเสียงถอนหายใจเบาๆ ดังลอดอากาศว่างเปล่ามา เงาร่างบิดาของหวังอีอีพลันปรากฏ เขาเดินออกมา ยืนอยู่ตรงนั้นจ้องมองชายชุดดำ
ชายชุดดำเองก็มองบิดาของหวังอีอีก่อนจะฉีกยิ้ม
“ที่แท้ ผู้อาวุโสก็อยู่บนจุดสูงสุดของแดนพิภพแล้วจริงๆ ขาดอีกเพียงนิดเดียว…ก็สามารถย่างเข้าสู่แดนสวรรค์ได้ แต่กลับไม่อาจชะล้างเหตุผลต้นกรรม เมื่อท่านแปดเปื้อนธุลีไปแล้ว ย่อมไร้ซึ่งสวรรค์”
“มิได้เป็นเช่นนี้ เรื่องสวรรค์นั้นไร้อุปสรรคและความหวัง แต่วิญญาณของมหาเทพมิได้มาจากแดนพิภพ แตกต่างจากท่าน เมื่อเมื่อแปดเปื้อน…ในระบบดาราแห่งพิภพจะมีด่านเคราะห์สวรรค์กำเนิด นี่คือสัญญาระหว่างแดนพิภพและสวรรค์ ท่านควรจะทราบ”
ชายชุดดำนิ่งเงียบ ครึ่งครู่จึงยิ้ม
“ขอให้ผู้อาวุโสโปรดส่งเสริมด้วย!” ระหว่างที่กล่าว เขาก็หันไปคำนับให้แก่บิดาของหวังอีอีลึกซึ้งครั้งหนึ่ง
บิดาของหวังอีอีนิ่งเงียบไปเนิ่นนาน ก่อนจะหันมองชายชุดดำ แล้วโค้งกลับไปเช่นกัน และในเวลาเดียวกัน รอบด้านของเขาก็พลันปรากฏเงาร่างมายาหลายสาย เงาร่างเหล่านี้แต่ละท่านล้วนตัวตนสั่นสะเทือนฟ้าดิน ลมปราณเขย่าฟ้า ชายชุดดำเมื่อมองไป ก็คุ้นเคยกับเหตุผลต้นกรรมเหล่านี้ยิ่ง
ส่วนพวกเขาหลังจากปรากฏตัวก็พากันมองอีกฝ่าย ก่อนจะ…โค้งคำนับลึกซึ้งให้ครั้งหนึ่ง
เพื่อแสดงความขอบคุณ!
และในพริบตาถัดมา บิดาของหวังอีอีก็ยกมือขวาขึ้นทันที โบกมันหนึ่งครั้ง ขณะเดียวกันกับที่ชายชุดดำเองก็ยิ้มอยู่ เขายกมือขึ้น แล้วตบลงบนศีรษะของตนอย่างแรง
ชั่วพริบตานั้น ร่างกายของเขาพลันแหลกกลายเป็นความว่างเปล่า ภายใต้แรงระดับขีดจำกัดระดับพิภพสองสายนี้…ก็ถูกเนรเทศ…ไปไกลลิบ!
ระยะห่างนั้นยิ่งไกลจากมหาจักรวาลนี้ มากขึ้นเรื่อยๆ ห่างไปไกลแสนไกล…
ท่ามกลางการเนรเทศอันไม่รู้สิ้นนี้ นัยน์ตาทั้งสองของชายชุดดำก็ได้กลายเป็นสีดำโดยสมบูรณ์…
“ข้าเป็นเซียนมิได้…แต่เจ้าเป็นได้” นี่คือประโยคสุดท้ายของเขา หลังจากเสียงนี้หายลับไปแล้ว ชายชุดดำก็สิ้นสติไปจนหมด ท่ามกลางทะเลดาราอันยิ่งใหญ่เขาได้กลายเป็นหมอกควันแห่งความปรารถนา ลอยละล่องไปตลอดกาล
….
และทุกคนที่เห็นฉากนี้อยู่ต่างก็พากันก้มหน้าเงียบงัน แล้วโค้งคำนับอีกครั้ง
ท่ามกลางจักรวาลอันไกลโพ้น ณ ดาวเคราะห์ที่แสนธรรมดาดวงหนึ่ง ร่างแยกของหวังเป่าเล่อก่อนหน้ายังคงยืนอยู่ตรงนั้น น้ำตาไหลอาบออกจากดวงตาของเขา ร่างกายสั่นเทิ้ม เขาคุกเข่าก่อนจะโขกศีรษะลงไป
…………………………………………
ในมหาจักรวาล มิติเต๋าต้นกำเนิดที่กลายเป็นโลกาสามชั้น ภายในรูปปั้นของโลกาชั้นแรก ด่านปรารถนากำลังทยอยแตกออกทีละชั้น
สุดท้ายก็เหลือเพียงห้องโถงซึ่งยังอยู่ในรูปปั้น
เหนือบันไดในห้องโถงมีเก้าอี้ขนาดใหญ่ตั้งอยู่ ที่แห่งนั้นว่างเปล่า แผนที่ดวงดาวด้านบนเกิดรอยร้าวขยายไปทั่วจนบอกพิกัดอะไรไม่ได้อีก
ล่างบันได พื้นที่ที่เคยว่างเปล่าบัดนี้มีภาพมายาแม่น้ำแห่งกาลเวลาผุดขึ้น ตอนนั้นเองร่างหนึ่งก็เดินออกมาช้าๆ
กระทั่งก้าวออกมาจากแม่น้ำแห่งกาลเวลาอย่างสมบูรณ์แล้ว แม่น้ำก็หายวับ ร่างนั้นเผยโฉมออกมาอย่างชัดเจน นั่นก็คือ…หวังเป่าเล่อ
เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ ตอนนี้ผลึกแก้วสีฟ้าตรงหว่างคิ้วอ่อนแสงลงแล้ว ปราณโลหิตและดวงวิญญาณเทพของมหาเทพข้างในล้วนหลอมรวมเข้ากับร่างกายหวังเป่าเล่อแล้ว เกิดเสียงดังคลิก ก่อนที่ผลึกแก้วสีฟ้าจะแตกละเอียดและร่วงลงพื้นจนเกิดเสียงกระทบดังฟังชัด
เสียงนี้ดังก้องอยู่ในห้องโถงที่เงียบสงบ
“ท้ายที่สุดความเมตตาของมหาจักรวาลที่มีต่อข้าก็เป็นเพราะมันเป็นแหล่งกำเนิดเซียน สุดท้ายข้าถึงได้วิชาสืบทอดเซียนมา…”
“หรือว่า…เพราะข้ามอบวิชาสืบทอดเซียนให้มันในตอนที่มหาจักรวาลเพิ่งจะก่อตัว…”
“ความขัดแย้งกันของเวลาและสถานที่…” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าและไม่คิดเรื่องนี้อีก หันไปมองความว่างเปล่าในที่ไกลๆ เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ระดับการฝึกตนของเขาอยู่ในระดับใด รู้เพียงอย่างเดียวคือ…ดูเหมือนว่าเขาจะสามารถสร้างทุกสิ่งขึ้นมาได้ใหม่ตามต้องการ
ยกเว้นสร้างตัวเอง
สายตาของเขามองทะลุทุกสิ่งกีดขวางออกไป เขามองทะเลทรายในโลกาชั้นที่สอง เนิ่นนาน ก่อนที่รอยยิ้มจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า
จากนั้นก็ส่ายหน้าอีกครั้งแล้วหันกลับมาเดินไปยังบันไดที่มหาเทพเคยอยู่ทีละก้าว จนกระทั่งถึงขั้นไปด้านบนสุด เดินไปยังด้านหน้าที่นั่งแล้วมองเก้าอี้ตรงหน้า หวังเป่าเล่อเอ่ย
“เจ้าว่ามหาเทพในตอนนั้นใช้อารมณ์แบบไหนถึงปิดผนึกสถานที่แห่งนี้แล้วนั่งเงียบๆ อยู่ที่นี่คนเดียว…มาเนิ่นนาน”
ไร้เสียงตอบ
“ไม่พูดล่ะ สตินึกคิดของเจ้ากำลังจะหายไป หากตอนนี้ยังไม่คุยกับข้า บางทีเจ้าอาจจะไม่มีโอกาสได้พูดอีกแล้ว” หวังเป่าเล่อกล่าวเบาๆ
“เจ้าก็เหมือนกันนั่นแหละ!” เสียงหวีดแหลมดังขึ้นในใจหวังเป่าเล่อ เสียงนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ความบ้าคลั่ง และมีปราณหมอกดำจำนวนมากแผ่ออกมาจากร่างหวังเป่าเล่ออย่างต่อเนื่อง
นั่นก็คือ…ปรารถนา!
นางไม่ได้ถูกทำลาย กลับกันนางมาอยู่ในร่างหวังเป่าเล่อ อยู่ในจิตใต้สำนึกของเขา กลายเป็นหนึ่งเดียวกับเขา เหมือนที่ทำกับมหาเทพ
“จิตใต้สำนึกของเจ้าก็กำลังจะสลายไป สุดท้ายเจ้าก็พ่ายแพ้เหมือนมหาเทพ!!” น้ำเสียงปรารถนาบ้าคลั่ง นางกรีดร้องอยู่ในจิตใต้สำนึกหวังเป่าเล่อ
“ไม่เหมือน” หวังเป่าเล่อนั่งลงบนเก้าอี้แล้วเอ่ยอย่างตั้งใจ
“ตั้งแต่ต้นจนจบมหาเทพคิดจะสยบเจ้า แต่ข้าไม่ ข้ารู้ว่าเจ้าทำลายไม่ได้ แต่ข้าทำลายจิตใต้สำนึกของเจ้าได้…ทำให้เจ้ากลายเป็นความปรารถนาที่บริสุทธิ์ สำหรับข้าแล้วก็เท่ากับได้ฆ่าเจ้าแล้ว”
“เจ้าบ้า ข้าพูดไปหมดแล้ว หลังจากถูกข้าควบคุม เราก็จะกลับไปยังดาราสวรรค์ ข้าจะให้โอกาสเจ้าเกิดใหม่ แต่เจ้าจะเสียสละตัวเองให้จมดิ่งไปตลอดกาลเพื่อทำลายจิตใต้สำนึกของข้า ทำให้ข้ากลายเป็นปรารถนาบริสุทธิ์เนี่ยนะ!!”
“เจ้าเป็นบ้าอะไร…ทำไม!”
“ข้าก็ไม่ได้อยากทำ แต่คืนพินาศทำลายเจ้าไม่ได้ เต๋าห้าธาตุก็ทำลายเจ้าไม่ได้ เต๋าแห่งความเป็นความตายก็ทำไม่ได้ เหตุต้นผลกรรมระหว่างเจ้ากับข้า คนนอกก็ไม่อยากเข้ามายุ่ง ดังนั้น…ข้าจึงทำได้แค่ใช้เต๋าอิสระเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่งของข้าเพื่อช่วงชิงย้อนกลับจากเจ้า!”
“วิธีช่วงชิงแบบนี้เจ้าเป็นคนสอนข้าเองนะ” หวังเป่าเล่อยิ้มอย่างไร้กังวล ดวงตาทั้งสองเริ่มปรากฏเส้นสีดำมากขึ้นเรื่อยๆ…
“เจ้า…” จิตใต้สำนึกของปรารถนาเริ่มสลาย พลังปราณอ่อนแอลง แม้แต่จะพูดคุยก็ยังทำไม่ได้
“อีกอย่าง…” หวังเป่าเล่อไม่สนใจปรารถนา เขามองไปยังโลกาชั้นที่สอง ใบหน้าดูสับสน แต่ในไม่ช้าความสับสนก็หายไปกลายเป็นความคาดหวัง
“มหาเทพเสียสละตัวเองเพื่อเติมเต็มให้ข้าที่เป็นทั้งส่วนหนึ่งและร่างแยกสมบูรณ์ เช่นนั้น…ทำไมข้าจะเติมเต็มให้…ร่างแยกที่มีจิตใต้สำนึกเป็นอิสระ…ไม่ได้!”
“ข้าทำได้” หวังเป่าเล่อพึมพำ
“จุดประสงค์เดิมของข้าคือตัดเหตุต้นผลกรรมกับมหาเทพ ตัดความเกี่ยวข้องทุกอย่าง ทำให้เหตุต้นผลกรรมหายไปแล้วทำให้ข้าได้เป็นอิสระอย่างแท้จริง…กลายเป็นเซียนอิสระ!”
“นี่คือเต๋าของข้านี่นา…ในเมื่อข้าทำไม่ได้ เช่นนั้น…เจ้าก็คงทำได้”
“หวังเป่าเล่อ…” หวังเป่าเล่อเอ่ยขึ้น ดวงตาที่มองไปทางโลกาชั้นที่สองสว่างเจิดจ้า
ในทะเลทรายของโลกาชั้นที่สอง ลึกลงไปใต้ดิน ร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นพลันลืมตา ทั่วทั้งร่างของเขามีผนึกสี่เต๋าปรากฏอยู่
ผนึกสี่เต๋านี้ทำให้เขาไม่สามารถขยับได้ ไม่สามารถออกไปได้ ทำได้เพียงอยู่ที่นี่ ขณะเดียวกันพลังปราณของเขาก็ถูกซ่อนไว้เช่นกัน
บัดนี้เมื่อลืมตาขึ้นแล้ว นัยน์ตาของเขาเผยความสับสน เงยหน้าขึ้นราวกับมองเห็นร่างต้นแบบของตนในที่ไกลๆ
“ตั้งแต่เจ้าถูกแยกออกมา เจ้าก็ต้องการอิสระ…” หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เอ่ยเบาๆ เส้นสีดำในดวงตาเพิ่มขึ้น
“มหาเทพให้หยดเลือดเจ้า ทำให้กายเนื้อของเจ้าเป็นอิสระ”
“ข้าให้วิญญาณเจ้า ทำให้ดวงวิญญาณเทพของเจ้าเป็นอิสระ”
“เช่นนั้นนับจากนี้ไป เจ้า…ก็คือเจ้า!” เสียงหวังเป่าเล่อดั่งอสนีบาต ดังก้องอยู่ในจิตใจร่างแยกที่อยู่ลึกลงไปในทะเลทรายของโลกาชั้นที่สอง
ทำให้ร่างแยกตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง
“ข้าหวัง…ให้เจ้าจะมีอิสรเสรี ตลอดกาลทุกชาติภพ”
เมื่อเอ่ยออกไป ผนึกเต๋าที่หนึ่งของร่างแยกก็แตกสลายในทันที ปราณโลหิตจำนวนมากและพลังแห่งระดับการฝึกตนพลันไหลเข้าไปในกายของร่างแยก
“ข้าหวัง…ให้เจ้าสุขสำราญใจ ตลอดกาลทุกชาติภพ”
ผนึกเต๋าที่สองพังทลาย ระดับการฝึกตนก็ยิ่งหลั่งไหลเข้าไปในพริบตา
“ข้าหวัง…ให้เจ้าไม่ลืมหัวใจดั้งเดิมของตน ตลอดกาลทุกชาติภพ”
ผนึกเต๋าที่สามพังทลาย!!
“ข้าหวัง…ให้เจ้ามีสุขสวัสดิ์ ตลอดกาลทุกชาติภพ”
ผนึกเต๋าที่สี่พังทลาย!!!
ระดับการฝึกตนอันไร้ที่สิ้นสุดหลอมรวมอย่างบ้าคลั่ง ประกอบด้วยเต๋าของหวังเป่าเล่อและทุกสิ่งทุกอย่างของเขา
ฝั่งร่างแยกในตอนนี้ดวงตาแดงฉาน เขารู้แล้วว่าฝั่งร่างต้นแบบกำลังเกิดอะไรขึ้น
“สุดท้ายข้าก็จะให้ของขวัญเจ้าเช่นกัน!” หวังเป่าเล่อที่นั่งพิงเก้าอี้เสื้อผ้ากลายเป็นสีดำ เส้นสีดำในดวงตากินพื้นที่ไปมากกว่าครึ่ง แต่สีหน้ายังคงสงบนิ่ง มีเพียงเสียงเบาๆ เท่านั้นที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
“หวังเป่าเล่อ นามนี้ข้า…ยกให้เจ้า”
ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ ทั่วทั้งมหาจักรวาลพลันเกิดเสียงคำรามกู่ก้อง ร่างแยกในส่วนลึกของทะเลทรายเงยหน้าขึ้นและกำลังจะเอ่ยบางอย่าง แต่ในพริบตาต่อมาร่างต้นแบบที่เขามองเห็น การเชื่อมต่อสุดท้ายระหว่างกัน…ก็ขาดลง และยังมีพลังมหาศาลพันธนาการเขาไว้และส่งเขาออกไปจาก…มิติเต๋าต้นกำเนิด!
มีเพียงประโยคเดียวที่ดังขึ้นในใจทันทีที่เขาตัดการเชื่อมต่อ
“ใช่…สุราข้าวอร่อยกว่าน้ำเย็นหล่อวิญญาณจริงๆ”
…………

มหาเทพที่ปรารถนาแปลงกายมาส่งเสียงกรีดร้องราวกับจะต้านทานอย่างสุดกำลัง แต่ครั้งนี้…ปรารถนาไม่อาจทำได้สำเร็จ เพราะจุดเวลานี้คือจุดเวลาที่หวังเป่าเล่อตัดสินใจเลือกหลังจากรู้ว่าอีกฝ่ายสามารถส่งอิทธิพลต่อจันทร์คล้อยของเขา

ในจันทร์คล้อยที่ได้รับผลกระทบนั้นหากคิดจะเอาชนะ นอกจากความแข็งแกร่งของตัวเองแล้ว ยังต้องอาศัย…พลังของเหตุการณ์ดั้งเดิมด้วย มีเพียงวิธีนี้ถึงจะสยบได้

และในจุดเวลานี้พลังของตะปูไม้ดำก็แข็งแกร่งพอที่จะทำลายล้างทุกสิ่ง หวังเป่าเล่อกับมันมีต้นกำเนิดเดียวกัน ดังนั้นในจุดเวลานี้…ปรารถนาที่อยู่ในร่างมหาเทพไม่มีทางต้านทานได้

พริบตาต่อมาพลังต่อต้านทั้งหมดของปรารถนาก็ถูกทำลายลง ตะปูไม้สีดำชนกับหว่างคิ้วมหาเทพและแทงเข้าไปทันที

ปรารถนาที่อยู่ร่างมหาเทพส่งเสียงร้องโหยหวน เลือดไหลจากหว่างคิ้วเข้าไปในดวงตา ทำให้ดวงตาที่มืดสนิทราวกับเป็นสีม่วงไปแล้วกำลังจ้องมองไปเบื้องหน้า

เบื้องหน้าของนาง ร่างมายาหวังเป่าเล่อบนตะปูไม้ดำนัยน์ตาเต็มไปด้วยจิตสังหารอย่างแรงกล้า เขากำลังจะตอกตะปูเข้าไปให้มิดเล่ม ทว่าตอนนั้นเอง ด้วยพลังชีวิตที่หลั่งไหลมาจากผู้ใต้บังคับบัญชารอบด้าน ปรารถนาก็ส่งเสียงหัวเราะชั่วร้าย

 ครั้งนี้เจ้าชนะแล้ว แต่ข้าก็ไม่ได้แพ้! 

กล่าวจบ พลังปราณมืดจำนวนมหาศาลก็พวยพุ่งออกมาจากรอยแตกตรงหว่างคิ้ว และพยายามจะรุกล้ำเข้าไปในตะปูไม้ดำ รุกล้ำเข้าไปในดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อ

การรุกล้ำนี้เข้าไปเร็วมาก หากหวังเป่าเล่อจะตอกตะปูไม้ดำให้มิด เขาจะไม่มีโอกาสหยุดยั้งการรุกล้ำครั้งนี้

หวังเป่าเล่อมองลึกเข้าไปในตาปรารถนา อีกฝ่ายพูดถูก ครั้งนี้เขาชนะแล้ว แต่นางก็ไม่ได้แพ้ เพราะตะปูไม้ดำไม่ได้ตอกเข้าไปจนมิด ดังนั้นจึงไม่กระทบกับอีกฝ่ายถึงตาย

หวังเป่าเล่อดวงตาวาววับ ก่อนจะละจากการตอกตะปูและตัดขาดการรุกล้ำของอีกฝ่าย ฉับพลันโลกก็พร่าเบลอ

เห็นได้ชัดว่าวิชาเวทจันทร์คล้อยครั้งที่สามของหวังเป่าเล่อ…เริ่มแล้ว!

จุดเวลาที่หวังเป่าเล่อเลือกในครั้งนี้…คือจุดเริ่มต้นของทุกสรรพสิ่ง!!

ในจุดเวลานี้ยังไม่มีมิติเต๋าต้นกำเนิด แม้แต่ดวงดาว อารยธรรม ผู้คนก็ยังไม่มี

ทั้งมหาจักรวาลเป็นเพียงฟองอากาศล่องลอยไปอย่างไร้จุดหมาย…

จนกระทั่งโลงศพสีดำโลงหนึ่งพร้อมกับศพที่ไม่เคยเน่าเปื่อยตลอดกาลเวลาเนิ่นนานที่ผ่านมาได้เข้ามาใกล้ฟองอากาศนี้ บางทีอาจเป็นโชคชะตานำทางหรืออาจเป็นเรื่องบังเอิญ โลงศพสีดำนั้นจึงกระแทกเข้ากับฟองอากาศ

ฟองอากาศนี้ขนาดใหญ่มาก การกระแทกของโลงศพทำให้มันเกิดความผันผวนอย่างรุนแรง หากเปลี่ยนเป็นฟองอากาศอื่นอาจจะแตกไปแล้ว แต่ฟองอากาศนี้แค่เกิดช่องว่าง…

ในไม่ช้า ช่องว่างนั้นก็กลับมาปิดสนิท

ภายในฟองอากาศ โลงศพนั้นชะลอความเร็วลงไปมากเนื่องจากการกระแทก มันล่องลอยอยู่ในฟองอากาศอย่างเอื่อยเฉื่อน…แต่แล้วจู่ๆ ศพในโลงก็แผ่ปราณหมอกสีดำทั่วร่าง ปราณหมอกพลิกตลบราวกับต้องการทำให้ร่างนี้ลืมตา

แต่เห็นได้ชัดว่า…จุดเวลาที่หวังเป่าเล่อเลือก ไม่สามารถทำให้ศพลืมตาได้ ต่อให้ปรารถนาจะพยายามแผ่อิทธิพล แต่นางก็มีอิทธิพลกับมหาเทพ ไม่มีอิทธิพลกับศพนี้!

 บัดซบๆๆ!!  เสียงกรีดร้องดังออกมาจากไอหมอกดำ ปราณหมอกไหลมารวมกันกลายเป็นใบหน้าคนซึ่งก็คือใบหน้าของปรารถนา นางจ้องไปด้านบน…

นั่นคือฝาโลงและบนฝาโลงในตอนนี้ก็ปรากฏใบหน้าหนึ่งขึ้นมา หวังเป่าเล่อ!

 ต่อให้ย้อนกลับมาตอนนี้ เจ้าจะทำอะไรข้าได้…  ใบหน้าปรารถนาคำรามใส่หวังเป่าเล่อ แต่หวังเป่าเล่อไม่สนใจแม้แต่น้อย เขาเอ่ยว่า

 มหาจักรวาลผืนนี้พิเศษมาก… 

 คิดถึงเรื่องนี้ดูเดี๋ยวเจ้าก็รู้ 

 เจ้าจะพูดอะไร!  ปรารถนามองหวังเป่าเล่อที่สงบนิ่ง ทันใดก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดี

 การจัดการเจ้าไม่ได้อยู่ที่ว่าเจ้าแข็งแกร่งเพียงใด อันที่จริง…การเอาชนะเจ้าเป็นเรื่องง่ายมาก…ไม่ใช่แค่ข้าที่ทำได้ มหาเทพก็ทำได้ 

 ข้อได้เปรียบของเจ้า…อยู่ที่ความเป็นนิรันดร์ ไม่มีวันตาย 

 ในฐานะคนที่ฆ่าข้าทางอ้อม ข้าก็ต้องยอมรับว่าวิธีการใช้ความปรารถนาเข้าแทรกซึมเช่นนี้ช่างลึกลับซับซ้อนจริงๆ และยังแก้ไขไม่ได้นอกเสียจากว่าผู้คนทั้งโลกจะไม่มีความปรารถนาอีกต่อไปหรือผู้คนในดินแดนที่เจ้าเรียกว่าวงแหวนดาราพิภพจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่มีความปรารถนา หากมีแม้เพียงนิดเดียว เจ้าก็จะไม่สิ้นสูญ 

 ข้าว่า…นี่ก็คือเหตุผลที่ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ในมหาจักรวาลไม่โจมตีเจ้าด้วย 

 ในแง่หนึ่งพวกเขาก็ไม่อยากแปดเปื้อนจนเกิดเหตุต้นผลกรรมต่อกัน บางทีอาจเป็นอย่างที่เจ้าพูด เจ้ากับข้าในชาติก่อนหรือจะเรียกว่าแก่นแท้ของพวกเราล้วนมาจากวงแหวนดาราสวรรค์…ดังนั้นเรื่องของพวกเราจึงต้องให้พวกเราจัดการกันเอง 

 อีกแง่หนึ่ง…คงเป็นเพราะตัวเจ้านั้นคนนอกไม่สามารถทำลายได้ เพราะเจ้าคือปรารถนาของมหาเทพ อีกนัยหนึ่งก็เรียกได้ว่าเป็นปรารถนาของข้า…และแก่นแท้ของเจ้าก็คือปรารถนาของทุกสรรพสิ่ง…  หวังเป่าเล่อพึมพำขณะก้มมองใบหน้าปรารถนา ดวงตาล้ำลึกเผยแววสับสน

 เจ้าจะพูดอะไรกันแน่!  ปรารถนาเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราด

 ข้าก็ไม่รู้ว่าข้าจะพูดอะไร…บางทีที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้ก็เพื่อบอกตัวเอง  หวังเป่าเล่อถอนหายใจเบาๆ

 สิ่งที่มหาเทพทำได้ ทำไมข้าจะทำไม่ได้  หวังเป่าเล่อพึมพำในใจ ความสับสนในดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นแน่วแน่ ก่อนจะมองปรารถนา

 ที่ข้าจะบอกก็คือ… 

 เจ้าไม่ใช่นิรันดร์ ความพิเศษของมหาจักรวาลผืนนี้อยู่ที่…วิชาสืบทอดเซียน ดังนั้นข้าจึงอยากเชิญให้เจ้าดู…เต๋าอิสระของข้า!  หวังเป่าเล่อพูดจบ เจตจำนงเซียนอันแข็งแกร่งก็ระเบิดขึ้นในจิตใต้สำนึกของเขาทันที เมื่อมันปะทุขึ้น ฟองอากาศมหาจักรวาลพลันก้องกังวานส่งความรู้สึกปรารถนาออกมา แล้วเริ่มหดตัว

เจตจำนงเซียนของหวังเป่าเล่อกลายเป็นลำแสงที่มาพร้อมพลังอันยิ่งใหญ่ ความใฝ่ฝันในอิสระและความทุ่มเทกับชีวิตของเขา คำสาบานแห่งการปกป้องดั่งการล้างบาป เข้าปกคลุมศพและใบหน้าปรารถนาบนศพไว้!

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากในโลงศพ แต่ลำแสงของโลงศพกลับสว่างขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนไปทั้งฟองอากาศมหาจักรวาล…ใบหน้าปรารถนาในโลงศพค่อยๆ หายไป

กระทั่งผ่านไปเนิ่นนานเมื่อแสงในโลงศพค่อยๆ จางลงแล้ว ความปรารถนาของฟองอากาศมหาจักรวาลก็ไต่ระดับถึงขีดสุด มันเริ่มหดตัวลงอย่างบ้าคลั่ง พริบตานั้นจากขนาดกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดก็กลับกลายเป็นขนาดเล็กเท่าโลงศพ เป็นเหมือนปากยักษ์กลืนกินโลงศพเข้าไป

ขณะกลืนกิน ศพในโลงก็เริ่มละลาย ค่อยๆ…หลอมรวมเข้ากับโลงศพทีละน้อย ใบหน้าหวังเป่าเล่อที่อยู่บนฝาโลงค่อยๆ ปิดตาลง กระทั่งก่อนจะปิดสนิท เขาก็พึมพำเสียงเบา

 จันทร์คล้อย หวนคืน… 

 

“ไม่ใช่มหาเทพแล้ว” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว เคล็ดวิชาจันทร์คล้อยของเขาได้รับผลกระทบจากโลกแห่งปรารถนาทำให้แม้จะย้อนเวลากลับมาสมัยโบราณ แต่ก็เหมือนไม่ได้ย้อน
อย่างเช่นภาพที่เห็นอยู่ตอนนี้ การก่อกบฏของผู้ใต้บังคับบัญชามหาเทพนั้นแม้จะเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์อันยาวนานมาแล้ว แต่…มหาเทพตอนนั้นยังไม่ได้รับผลกระทบจากปรารถนาอย่างสมบูรณ์จึงสามารถจัดการเรื่องโลกาสามชั้นต่อจากนี้ได้
ทว่า…มหาเทพตรงหน้าเขากลับดวงตามืดมิดและรอยยิ้มที่มุมปากก็ทำให้หวังเป่าเล่อยืนยันได้ว่าอีกฝ่าย…คือปรารถนา
ยังไม่ทันที่หวังเป่าเล่อจะคิดอะไรได้มาก ปรารถนาที่แปลงกายเป็นมหาเทพพลันยกมือขึ้นชี้มาทางหวังเป่าเล่อ ทันใดนั้นหมอกดำก็ระเบิดออกมาจากร่างแผ่ขยายไปทั่วราวกับจะแทรกซึมไปทั้งมิติเต๋าต้นกำเนิด
ผู้เยี่ยมยุทธ์ 100 กว่าคนในกระแสน้ำวนตกอยู่ในอันตราย
เห็นเช่นนั้น ดวงตาหวังเป่าเล่อพลันส่องประกายเย็นวาบทันที เขารู้ดีว่าหลังจากจันทร์คล้อยของตนได้รับผลกระทบ สถานการณ์ของเขาจะเสียการควบคุม มหาเทพที่ปรารถนาแปลงกายมาแข็งแกร่งยิ่งกว่าที่ตนได้เห็นในห้องโถงเสียอีก
ดังนั้นเมื่อผู้เยี่ยมยุทธ์นับร้อยได้รับผลกระทบด้วย ตนก็ไร้ความหวังที่จะเอาชนะปรารถนาตรงหน้าในจุดเวลานี้ได้เลย
พริบตาต่อมาเมื่อหมอกดำแผ่ขยายไปทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อจึงแยกร่างออกไปนับร้อยตรงเข้าหลอมรวมกับผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคนในกระแสน้ำวนทันที ทันใดนั้นผู้เยี่ยมยุทธ์นับร้อยก็ตาเป็นประกายวาววับ
แต่ละคนดูคล่องแคล่วว่องไวขึ้น แม้จะกระจัดกระจาย แต่ก็ดูเป็นหนึ่งเดียวกัน ผสมผสานกันอยู่ในหมอกดำ ครู่หนึ่งก็เกิดเสียงคำรามสนั่นฟ้า
นี่คือการต่อสู้ครั้งสำคัญ ฝ่ายหนึ่งคือมหาเทพที่ปรารถนาแปลงกายมา และครอบครองพลังของมหาเทพ อีกฝ่ายหนึ่งคือผู้เยี่ยมยุทธ์นับร้อยที่มีดวงจิตของหวังเป่าเล่อผสานเข้าไปช่วยเสริมพลังให้พวกเขา
เมื่อทั้งสองฝ่ายปะทะกันเรียกได้ว่าดุเดือดมาก
ปราณหมอกสีดำพลิกตลบอย่างต่อเนื่อง มหาเทพที่แปลงกายมาจากปรารถนาค่อยๆ ลุกขึ้นยืนก่อนจะก้าวเข้าสู่สนามรบ และกดมือขวาลง ทันใดนั้นผู้เยี่ยมยุทธ์หัวจระเข้ที่ก่อกบฏคนหนึ่งก็ตัวสั่นเทิ้ม ร่างกายและจิตวิญญาณพลันแตกสลาย
ในพริบตาก่อนที่เขาจะตาย จิตใต้สำนึกของหวังเป่าเล่อในร่างก็สลายไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมาปรากฏในร่างของผู้เยี่ยมยุทธ์อีกคนหนึ่งอย่างเงียบเชียบ
ไม่จบแค่นั้น ดูเหมือนสำหรับมหาเทพ ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ก่อกบฏแต่ละคนช่างเปราะบางยิ่งนัก เมื่ออ้าปากสูดลม ผู้เยี่ยมยุทธ์สามคนที่อยู่ข้างหน้าเขาก็ร่างกายแห้งเหี่ยวอย่างควบคุมไม่ได้ จิตวิญญาณ ลมปราณ และร่างกายของพวกเขาถูกมหาเทพที่ปรารถนาแปลงกายมาสูบกินเข้าปากไปจนหมด
“วิ่งเร็วจังนะ” หลังจากเคี้ยวกินเสร็จแล้ว มหาเทพที่ปรารถนาแปลงกายมาก็หัวเราะเบาๆ ผู้เยี่ยมยุทธ์สามคนที่ถูกมันกินเข้าไปก็ยังไม่มีดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่อโยกย้ายมันออกไปได้ทันในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน
แต่การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อ แม้ผู้เยี่ยมยุทธ์จะฝ่าทะลุหมอกมาปรากฏรอบตัวมหาเทพมากขึ้นเรื่อยๆ และแสดงพลังเทพของตัวเอง แต่พลังเทพพวกนั้นเมื่อกระทบร่างมหาเทพก็เหมือนกับวัวโคลนลงทะเล ไม่มีผลใดๆ เลยสักนิด
ภาพนี้ทำให้จิตใต้สำนึกของหวังเป่าเล่อที่กระจัดกระจายต่างสั่นไหว
โดยเฉพาะในเวลาต่อมา ขณะที่เสียงหัวเราะมหาเทพดังก้อง เขาก็ยกมือขึ้นคว้าออกไป ทันใดนั้นจักรวาลรอบตัวพลันบิดเบี้ยวและเกิดความผันผวนอย่างรุนแรง ทั้งมิติเต๋าต้นกำเนิดก็กลายเป็นฝ่ามือยักษ์บีบเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคน!
“เต๋าแห่งความตาย!” ในช่วงวิกฤต จิตใต้สำนึกทั้งหมดของหวังเป่าเล่อต่างแสดงเต๋าที่หกของเต๋าแปดปรมัตถ์ทันออกมา
เต๋าแห่งความตายปรากฏขึ้นหลังจากฝ่ามือยักษ์บีบเข้ามา ฉับพลันผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายในฝ่ามือต่างรูปร่างบิดเบี้ยว แต่ครู่ต่อมาก็กลายเป็นวิญญาณกลับมาปรากฏตัวขึ้นใหม่และต่อสู้อีกครั้ง
ถึงกระนั้นหวังเป่าเล่อก็ยังตระหนักได้อย่างชัดเจนว่าในจุดเวลานี้ยากที่ตนจะเอาชนะได้ ดังนั้นเมื่อท่าทางเย้ยหยันจากมหาเทพรุนแรงขึ้น จิตใต้สำนึกของหวังเป่าเล่อในร่างผู้เยี่ยมยุทธ์จึงระเบิดออกในเวลาเดียวกัน
พริบตาต่อมาผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคนทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และกลายเป็นวิญญาณก็ทำผนึกมุทราอย่างรวดเร็ว ก่อนจะชี้ไปข้างหน้าแล้วเอ่ยเสียงต่ำ ไอรีนโนเวล
“จันทร์คล้อย!”
ในเมื่อจุดเวลานี้ทำไม่ได้ เช่นนั้นก็เปลี่ยนเวลาเสียก็สิ้นเรื่อง ร่างของผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายพลันระเบิดออกในพริบตาที่หวังเป่าเล่อควบคุมจิตใต้สำนึก สายน้ำแห่งกาลเวลาปรากฏขึ้นอีกครั้งก่อนจะหมุนย้อนวันเวลา ทุกอย่างในโลกนี้พลันพร่าเบลอจนกระทั่งมืดสนิท…
และเมื่อทุกอย่างกลืนคืนมา ยังคงเป็นมิติเต๋าต้นกำเนิด ยังคงเป็นกระแสน้ำวนเช่นเดิม ในกระแสน้ำวนยังคงเป็นร่างมหาเทพ เพียงแต่…ผู้เยี่ยมยุทธ์นับร้อยต่างนั่งรายล้อม ไม่มีการก่อกบฏใดๆ
บนหว่างคิ้วของมหาเทพก็ไม่มีตะปูไม้ดำนั่นด้วย!!
มีเพียงที่ปลายจักรวาลเหนือศีรษะพวกเขา บัดนี้ภูเขาหลงซานส่องแสงคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้าและความผันผวนอันน่าอัศจรรย์ก็กำลังก่อตัวขึ้นอย่างบ้าคลั่งราวกับว่ามันสามารถระเบิดได้ตลอดเวลา!
มหาเทพที่นั่งทำสมาธิอยู่ใจกลางมิติเต๋าต้นกำเนิดพลันลืมตาขึ้น นัยน์ตาเขายังคงดำสนิท เห็นได้ชัดว่าอยู่ภายใต้อิทธิพลจากปรารถนา จุดเวลาที่ย้อนกลับมานี้ มหาเทพยังคงเป็นปรารถนาที่แปลงกายมา
เพียงแต่…ทิศทางที่เขามองไม่ใช่ข้างหน้า แต่เงยหน้ามองไปยังสุดขอบจักรวาล สีหน้าไม่มีการเย้ยหยันเหมือนเมื่อครู่ แต่ดูเคร่งขรึมไม่น้อย
“เลือกจุดเวลานี้สินะ…”
จุดเวลานี้ก็คือ…ตอนที่มหาเทพชักนำหายนะไม้สีดำ!
ที่ปลายสุดจักรวาลกำลังเกิดการก่อตัวอย่างบ้าคลั่ง พลังปราณของหวังเป่าเล่อก็กำลังแทรกซึมอยู่ภายใน
ครั้งนี้สิ่งที่เขาแปลงกาย…ก็คือร่างต้นแบบของตน นั่นคือตะปูไม้ดำ…หรือก็คือ…หายนะไม้!
พริบตาต่อมาสุดขอบจักรวาลก็ดูเหมือนกับมีพายุคลั่งแผ่ออกมา เสียงดังกึกก้องราวกับดวงจิตของจักรวาลกำลังแค่นลมหายใจ เมื่อสายฟ้าอันไร้ที่สิ้นสุดกระจายออกไป ไม้สีดำขนาดใหญ่ก็แผ่ขยายออกมาจากปลายจักรวาล
ทันทีที่ปรากฏตัวก็แผ่แรงกดดันที่ไม่อาจบรรยายได้ปกคลุมไปทั่วจักรวาล กำหนดเป้าหมายไปยังมหาเทพที่ปรารถนาแปลงกายมาในมิติเต๋าต้นกำเนิด ดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อกระตุก ทันใดนั้น…ไม้สีดำก็ตกใส่…ปรารถนา!
มันเร็วมากจนข้ามจักรวาลมาได้ในชั่วพริบตา ไม้ดำนั้นเล็กลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็กลายเป็นตะปูไม้ดำ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของมหาเทพที่ปรารถนาแปลงกาย ท่ามกลางการปะทุของไอหมอกดำอันไร้ที่สิ้นสุด ตะปูไม้ดำเล่มนี้มาพร้อมดวงจิตเทพและเจตจำนงของหวังเป่าเล่อทะลุหมอก ทะลุทุกสิ่งกีดขวาง และตกลงบนหว่างคิ้วของมหาเทพ
มันตอกลงไป…
อย่างรุนแรง!!
………

สำหรับมหาเทพ แผนที่ดวงดาวนั้นสำคัญพอๆ กับชีวิตเขา นั่นเป็นพิกัดที่เขาจะได้กลับบ้าน เป็นเพียงเบาะแสเดียวที่จะทำให้เขากลับไปได้ เพราะถึงอย่างไร…ต่อให้เขาจะมีความทรงจำสมบูรณ์จริงๆ แต่หลังจากตายก็ถูกใส่ไว้ในโลง เวลาเนิ่นนานที่ผ่านไปก็ไม่รู้ว่าล่องลอยไปกี่จักรวาลแล้ว

ดังนั้นต่อให้จะฟื้นความทรงจำได้ก็ยังยากที่จะหาทางกลับบ้านอย่างถูกต้องท่ามกลางจักรวาลมากมายเหล่านี้ เพราะจักรวาลนั้นกว้างใหญ่ไพศาล

ดังนั้นนี่จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งสำหรับเขา

แต่สำหรับหวังเป่าเล่อ สิ่งเหล่านี้…ไม่มีค่าอะไร จะอดีตหรือชาติก่อน เขาไม่สน สิ่งที่เขาเลือกนั้นต่างจากมหาเทพ

ดังนั้นแผนที่ดวงดาวที่ปรารถนาแสดงเพื่ออยากจะสั่นคลอนจิตใจหวังเป่าเล่อจึงเป็นเรื่องไร้สาระและกระจอกมาก

แต่เมื่อลองนึกถึงสารัตถะของปรารถนาที่ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับสตินึกคิด หวังเป่าเล่อก็เข้าใจได้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงทำเช่นนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรสำหรับเขา…ก็ไร้ผล

ดังนั้นในพริบตาต่อมาตะปูไม้ดำที่อัดแน่นไปด้วยพลังทำลายล้างทุกสิ่งจึงทะลวงเข้าไปในแผนที่ดวงดาว เสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ภาพนั้นหมุนคว้างกะทันหัน ดวงดาวแต่ละดวงในภาพพังทลายราวกับกำลังถูกฉีกเป็นชิ้นๆ และถูกทำลายย่อยยับเป็นบริเวณกว้าง…

หลังจากแตกสลาย พลังปราณสีดำจำนวนมากก็แผ่ออกมาก่อนจะไปรวมตัวกันไกลๆ สิ่งที่ก่อตัวขึ้นไม่ใช่ปรารถนาอารมณ์ แต่เป็นร่างของปรารถนา!

นางยืนอยู่ตรงนั้น สวมชุดคลุมยาวสีดำ ใบหน้าไร้ร่องรอยแต่กลับซีดเซียวแม้แต่น้อย ความผันผวนบนร่างยังคงแข็งแกร่ง ราวกับการสู้กับหวังเป่าเล่อเมื่อครู่ไม่สามารถทำอะไรนางได้เลย

แต่ดวงตาที่มืดมิดของนางกลับซ่อนความโกรธเกรี้ยวอย่างแรงกล้าเอาไว้ นางจ้องหน้าหวังเป่าเล่อ จ้องมองแผนที่ดวงดาวที่แตกสลายไป

ในตอนนั้นเอง…ผลึกแก้วสีฟ้าในหว่างคิ้วหวังเป่าเล่อที่กำลังหลอมรวมกลับมีคลื่นผันผวนหลงเหลืออยู่ ความผันผวนนั้นปราศจากสตินึกคิด ไม่เกี่ยวข้องกับการช่วงชิง แต่ถึงอย่างไรมันก็มาจากทุกสิ่งของมหาเทพ ทิ้งร่องรอยอารมณ์ของมหาเทพไว้

  ตัดใจไม่ลงหรือ…   หวังเป่าเล่อถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะกวักมือขวา ทันใดนั้นในแผนที่ดวงดาวที่พังทลายก็มีเศษชิ้นส่วนหนึ่งพุ่งมาหาหวังเป่าเล่อ เขาคว้ามันไว้ในมือ ไอรีนโนเวล

เมื่อถึงตอนนี้อารมณ์ในผลึกแก้วสีฟ้าก็หายไปในที่สุด

เมื่อมันหายไปแล้วการหลอมรวมระหว่างเขากับผลึกแก้วสีฟ้าก็เร็วขึ้นอีกเล็กน้อย

  เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจมาก   ปรารถนาที่ยืนอยู่บนท้องฟ้ามองหวังเป่าเล่อ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ

  เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นแค่เศษวิญญาณ แต่สุดท้ายกลับเดินมาถึงจุดนี้ได้…และการปรากฏตัวของข้าก็ดูเหมือนจะช่วยให้เจ้าหลีกหนีการหลอมรวมของมหาเทพได้สำเร็จ  

  กระทั่งในตอนสุดท้าย…มหาเทพก็เป็นฝ่ายเลือกที่จะหลอมรวมเข้ากับเจ้า…ทำให้ข้าเกิดความเชื่อมโยงบางอย่าง ดวงจิตของมหาจักรวาลกำลังปกป้องเจ้า!   กล่าวจบดวงตาปรารถนาก็ยิ่งดำสนิท

หวังเป่าเล่อไม่เอ่ยอะไร เงยหน้ามองปรารถนาอย่างสงบนิ่ง

  แต่ทั้งหมดนี่ไม่มีประโยชน์หรอก…จักรวาลที่ข้าอยู่ไม่ใช่สิ่งที่สถานที่แห่งนี้จะเทียบชั้นได้เลยสักนิด ระหว่างทั้งสองก็เหมือนหิ่งห้อยกับพระจันทร์สว่างไสว…   สายตาปรารถนาไร้การดูแคลนราวกับกำลังบอกเล่าข้อเท็จจริง

  เพราะว่า…จักรวาลที่เจ้าอยู่เป็นเพียงวงแหวนดาราพิภพ ต่อให้ฝึกตนจนถึงระดับสูงสุดหรือถึงขั้นที่เก้าอย่างที่พวกเจ้าพูดกันก็เป็นเพียงยอดของพิภพเท่านั้น  

  วงแหวนดาราพิภพมีจักรพิภพเต๋ามากมาย แต่ละจักรพิภพมีอาณาเขตดวงดาวนับไม่ถ้วนและในแต่ละดวงดาวก็มีมหาจักรวาลอีกนับไม่ถ้วน…  

  แต่ข้า…มาจากวงแหวนดาราสวรรค์!  

  วงแหวนดาราสวรรค์แข็งแกร่งจนเจ้าจินตนาการไม่ออกเชียวล่ะ  

  เดิมทีเจ้ายังมีโอกาสมาอยู่ใต้การควบคุมของข้าและกลับไปยังดาราสวรรค์ บางทีข้าอาจจะเก็บจิตใต้สำนึกของเจ้าไว้ ให้โอกาสเจ้าเกิดใหม่ในวงแหวนดาราสวรรค์ แต่ตอนนี้…เจ้าหมดโอกาสแล้ว   ปรารถนาส่ายหน้า ความมืดมิดในดวงตาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ก่อนจะยกมือขวาขึ้นชี้ไปที่หว่างคิ้วตนเอง

ในตอนนั้นพลันเกิดระลอกคลื่นหลากสีผุดขึ้นเป็นชั้นๆ กระจายออกมาจากหว่างคิ้วของปรารถนา

ระลอกคลื่นนั้นมีทั้งหมดหกชั้นราวกับมันเป็นตัวแทนพลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาทั้งหก เมื่อแผ่ออกมาร่างของปรารถนาก็ค่อยๆ สลายไปในระลอกคลื่น ขณะเดียวกัน…โลกใบนี้ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

ซากปรักหักพังบนพื้น ภูเขาและโขดหินไกลๆ รวมทั้งฟ้าดินราวกับมีจิตวิญญาณ เกิดสตินึกคิดขึ้นมาในพริบตา และสตินึกคิดนั้นล้วนเปลี่ยนเป็นศัตรูต่อหวังเป่าเล่อ

  นี่คือโลกแห่งปรารถนาของข้า เจ้า…จะจมดิ่งอยู่ที่นี่   ซากปรักหักพังบนพื้น ฟ้าดินอันห่างไกล ภูเขาโขดหินรอบๆ ต่างส่งเสียงออกมารวมตัวกันก่อตัวเป็นกฎเกณฑ์พิเศษชนิดหนึ่ง

กฎเกณฑ์นี้คล้ายมีอยู่เฉพาะสำหรับหวังเป่าเล่อเท่านั้น หน้าที่ของมัน…คือทำให้หวังเป่าเล่อจมดิ่ง

ในไม่ช้าภาพตรงหน้าหวังเป่าเล่อก็พร่าเลือนราวกับทั้งโลกค่อยๆ พร่าเบลอ และกลายเป็นกระแสน้ำวนกลืนกินทุกสิ่งข้างใน

ดวงตาหวังเป่าเล่อส่องประกายเย็นเยียบ เขาสัมผัสได้ถึงพันธนาการที่มองไม่เห็นบนตัวและสังเกตเห็นว่าเต๋าของตนถูกรบกวนจากพลังบางอย่าง แม้แต่ความเร็วของการหลอมรวมผลึกแก้วสีฟ้าบนหว่างคิ้วก็ยังได้รับผลกระทบไปด้วย

  น่าสนใจนี่   หวังเป่าเล่อกระซิบ นัยน์ตาเผยแสงประหลาด ก่อนจะยกมือสะบัดเบาๆ

ดั่งมีแม่น้ำสายยาวที่มองไม่เห็นปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา เมื่อเขาโบกสะบัด สายน้ำก็เริ่มไหลย้อนกลับทำให้แม่น้ำพลันพลิกตลบกลับมาอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่ออีกครั้ง

มันก็คือ…จันทร์คล้อย!

ในเมื่อเวลานี้เจ้าทำให้ข้าจมดิ่ง ข้าก็จะเปลี่ยนจุดเวลาบ่อนทำลายเจ้า!

แม่น้ำแห่งกาลเวลาพลันปะทุ พลังแห่งจันทร์คล้อยกำลังหมุนเวียน กาลเวลาในโลกพร่าเบลอเริ่มไหลย้อนกลับ จนกระทั่ง…โลกทั้งใบมืดสนิท!

ตบะบำเพ็ญระดับหวังเป่าเล่อและผลึกแก้วสีฟ้าของมหาเทพที่หลอมรวม ทำให้เคล็ดวิชาเวทจันทร์คล้อยของหวังเป่าเล่อแตะสู่ระดับสูงสุด

ตอนนี้การย้อนเวลาครั้งแรกของเขาได้ย้อนกลับมาในตอนที่…เหล่าผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามหาเทพเริ่มก่อกบฏ!

โลกอันมืดมิดพลันสว่างไสว เสียงกรีดร้องไม่ยินยอมดังกระจายไปทั้งแปดทิศ

เมื่อมองไปรอบโลกใบนี้ มันไม่ใช่ด่านปรารถนาอีกต่อไปแล้ว แต่กกลับลายเป็นกระแสน้ำวนขนาดมหึมาที่ซึ่งใจกลางของกระแสน้ำวนมีร่างคล้ายเทพเจ้านั่งขัดสมาธิอยู่

ขณะนี้รอบร่างนั้นมีผู้เยี่ยมยุทธ์นับร้อยที่พลังปราณทรงพลังยิ่งใหญ่ เป็นดั่งคมมีดพุ่งไปยังร่างที่อยู่ใจกลางกระแสน้ำวน

พริบตานั้นร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็ลืมตาขึ้น นัยน์ตามืดสนิท เขาไม่สนใจผู้คนที่พุ่งมาสังหารเหล่านั้น แต่กลับเงยหน้ามองไปไกล…

ตรงจักรวาลที่เขามองไปพลันปรากฏร่างของหวังเป่าเล่อ

……

 

ทันทีที่เอ่ย บนร่างหวังเป่าเล่อพลันปรากฏพลังปราณต้นกำเนิดธาตุดินอันเข้มข้น เมื่อมันปรากฏขึ้น แปดทิศรอบกายหวังเป่าเล่อก็เกิดเงามายาของแผ่นดินกว้างไพศาล
กระทั่งมองไปแล้วขอบเขตของแผ่นดินนี้ก็ยังกว้างใหญ่เกินจะพรรณนา เพราะว่า…มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
ไกลออกไปดูเหมือนเงามายาของแผ่นดินจะขยายออกไปอีกจนน่าทึ่ง ราวกับว่ายังมีพลังอีกมากส่งมาจากโลกภายนอก ราวกับว่าหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ตรงนี้กำลังยืนอยู่บนมหาจักรวาล
เมื่อแขนของเขายกขึ้นสะบัดไปยังรูปสลักคุกใต้ดิน ตอนนั้นเองพลันเกิดเสียงแผ่นดินคำราม ก่อนจะถาโถมเข้าฝังรูปสลักบนท้องฟ้าทันที!
พลังแห่งดินฝังกลบทุกสิ่ง!
พริบตาต่อมาเมื่อถูกฝังกลบ รูปสลักก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป รอยปริแตกลามไปทั่ว ก่อนจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ท่ามกลางเสียงท้องฟ้าคำราม
แต่การประลองครั้งนี้ยังไม่จบลงแค่นั้น เมื่อรูปสลักระเบิดออก เสียงของปรารถนาก็ดังก้อง
“ทุกสรรพสิ่ง!”
พริบตาต่อมาเศษรูปสลักที่แตกกระจายไปพลันพลิกม้วนกลับมารวมกันอีกครั้งและยังคงฉายภาพในนั้น เพียงแต่…ในภาพไม่ใช่คุกใต้ดินแล้ว แต่เป็น…
แผนที่ทุกสรรพสิ่ง!
ที่เรียกว่าแผนที่ทุกสรรพสิ่งเพราะในรูปสลักนี้สามารถเห็นอารยธรรมน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนได้ ดวงดาวนับไม่ถ้วน สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน…ทุกสรรพสิ่งอัดแน่นกันอยู่ในรูปสลักนี้
หากมองแวบแรกจะมองไม่ออก ต้องขยายรูปสลักอีกไม่รู้เท่าไรถึงจะมองเห็นทุกสรรพสิ่งในนั้น มันกำลังสยบหวังเป่าเล่อด้วยพลังอันแข็งแกร่ง ต่อให้เป็นหวังเป่าเล่อก็ยังหวั่นใจเล็กน้อยอย่างช่วยไม่ได้
ต้นกำเนิดธาตุดินของเขา แม้จะเข้าปะทะกับแผนที่ทุกสรรพสิ่งอย่างไม่ลังเลและพยายามฝังกลบมัน แต่เห็นได้ชัดว่า…ยังด้อยกว่า ต่อมาแม้แผนที่ทุกสรรพสิ่งจะสั่นไหวและเกิดรอยปริแตก แต่สุดท้ายเต๋าธาตุดินก็ยังเป็นฝ่ายถูกทำให้สลายไป
“เต๋าธาตุไฟ!”
เต๋าแปดปรมัตถ์ไม่ได้มีแค่ทองกับดิน
หวังเป่าเล่อหรี่ตา มือขวาทำผนึกมุทราแล้วสะบัดอีกครั้ง ทันใดนั้นรอบตัวเขา โลกของเขา และจักรวาลของเขาพลันเกิดเปลวไฟลุกโชน ทุกสรรพสิ่งกลายเป็นดินแดนแห่งเปลวเพลิง
เปลวเพลิงนี้ทะยานขึ้นฟ้าพุ่งตรงไปยังแผนที่ทุกสรรพสิ่งและเผาทำลายด้วยเต๋าธาตุไฟ!
เวลาต่อมาแผนที่ทุกสรรพสิ่งอันทรงพลังก็ถูกเผาไหม้ ค่อยๆ กลายเป็นขี้เถ้า ท่าทางของมารหกปรารถนาเผยแววตาชั่วร้าย ไม่ยินยอมกับการจนตรอกเช่นนี้ มันพากันร้องคำราม แผนที่ทุกสรรพสิ่งที่กำลังเผาไหม้พลันกลายเป็นสิ่งอื่น!
ทุกสรรพสิ่งในนั้นหายไปแล้ว แทนที่ด้วย…เทพเจ้า!
เทพเจ้าเหล่านี้บ้างเคยมีอยู่จริง บ้างก็เป็นจินตนาการของอารยธรรมต่างๆ อย่างไรก็ดี ทุกคนล้วนมีพลังแข็งแกร่งและยังปรากฏขึ้นจำนวนมาก ทำให้พลังแห่งรูปสลักได้รับกำลังเสริมทันที
แม้เต๋าธาตุไฟจะแผดเผาได้ แต่ภาพเทพเจ้าก็ยังยากลำบากอยู่บ้าง ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ฝ่ายแรกค่อยๆ ปรากฏสัญญาณการมอดดับ ส่วนภาพเทพเจ้านั้นแม้จะถูกเผาแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่ามีภูมิคุ้มกันต้านทานเต๋าธาตุไฟในระดับหนึ่ง
“เช่นนั้น…ก็เปลี่ยนเป็นเต๋าธาตุน้ำ!” ในพริบตานั้นหวังเป่าเล่อดวงตาวาววับ ไอน้ำไร้ที่สิ้นสุดพลันปรากฏขึ้นรอบตัวราวกับจะจมทุกอย่าง มันแทรกซึมไปทั้งแปดทิศ ก่อนหยดน้ำหยดหนึ่งจะปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อ
มันดูเหมือนหยดน้ำ แต่ว่าหากมันตกลงมา จะสามารถกลายเป็นทะเลแห่งความพิโรธฝังกลบอารยธรรมได้
จากนั้น…หยดที่สอง หยดที่สาม หยดที่สี่…ก็ตามมา ในเวลาสั้นๆ รอบตัวหวังเป่าเล่อก็มีหยดน้ำมากถึงหนึ่งล้าน มากจนถึงสิบล้าน จนกระทั่งนับไม่ได้ และเมื่อเขาสะบัดมือ หยดน้ำก็พุ่งเข้าใส่ภาพเทพเจ้า!
สิ่งใดที่ไฟทำลายไม่ได้ น้ำย่อมสามารถ!
ไม่ว่าจะเป็นหยดน้ำทะลวงหินหรือกัดกร่อนก็นุ่มนวลถึงขีดสุด เมื่อหยดน้ำตกลงมา ภาพเทพเจ้าพลันสั่นสะท้าน สิ่งที่ปรากฏบนรูปสลักไม่ใช่รอยปริแตก แต่เป็นรอยกัดกร่อน!
ราวกับจะทำลายพลังของรูปสลักจากรากฐาน
เมื่อเห็นเช่นนั้น นัยน์ตาของมารหกปรารถนาต่างพากันโกรธแค้น พวกมันจ้องมองหวังเป่าเล่อท่าทางไม่พอใจว่าทำไมอีกฝ่ายจึงกำจัดได้ยากนัก และไม่พอใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงไม่ยอมให้ตนควบคุม
สำหรับความปรารถนา สตินึกคิดไม่มีอยู่จริง
ท่าทางของมารหกปรารถนานั้นแค้นเคือง มันส่งเสียงกรีดร้อง ภาพเทพเจ้าที่สึกกร่อนจนเละเทะก็เปลี่ยนไปอีกครั้งด้วยปราณหมอกดำที่แทรกซึมเข้าไป
เทพเจ้าในรูปหายไปแล้ว และแทนที่ด้วย…ภาพที่ประกอบด้วยเส้นตัดผ่านกันมากมาย มองแวบแรกเหมือนกับวงปี แต่เมื่อพินิจอย่างถี่ถ้วนก็ไม่ได้คล้ายกันขนาดนั้น เพราะเส้นของมันไม่ใช่วงกลม แต่ยุ่งเหยิงไร้กฎเกณฑ์
มันคล้ายกับ…เส้นลายมือ!
หวังเป่าเล่อดวงตาหดแคบ เขาสัมผัสได้ว่าพลังปราณในรูปสลักนี้ต่างจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง รูปสลักที่เหมือนกับเส้นลายมือที่กำลังตกลงมาพร้อมเสียงคำรามทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนมันเป็นฝ่ามือจริงๆ
เต๋าธาตุน้ำไม่สามารถหยุดมันได้ เมื่อเห็นว่ากำลังจะถูกเจาะทะลวง ดวงตาหวังเป่าเล่อก็เผยประกายกล้าก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“เต๋าธาตุไม้!”
เต๋าธาตุไม้คือเต๋าที่แข็งแกร่งที่สุดในเต๋าแปดปรมัตถ์ของหวังเป่าเล่อและยังเป็นเต๋าแห่งสารัตถะของเขาด้วย เพราะเขา…ก็คือสิ่งที่แปลงมาจากเต๋าธาตุไม้ของมหาจักรวาลผืนนี้
เมื่อหวังเป่าเล่อสะบัดมือ ตะปูไม้สีดำเล่มหนึ่ง…พลันปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ อัดแน่นไปด้วยพลังแห่งกาลเวลาที่ไหลผ่านมาเนิ่นนานและยังมีปราณหายนะสายหนึ่งปะทุออกมาจากมันด้วย
เมื่อหวังเป่าเล่อสะบัดมือ ตะปูไม้สีดำก็ส่องลำแสงเจิดจรัสถึงขีดสุดออกมาราวกับอัสรสวรรค์สีดำ พุ่งเข้าใส่ภาพเส้นลายมือพร้อมเสียงคำรามและเสียงหวีดหวิวอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวทั้งสองฝ่ายก็ปะทะกัน
ประหนึ่งไม้ยักษ์โจมตีและยังสามารถเห็นเป็นภาพมายาของโลงศพสีดำพุ่งโจมตีฝ่ามือนั้นด้วย ฝ่ามือที่แผ่พลังปราณอันน่าอัศจรรย์ไม่อาจต้านทานได้ มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ทันที แม้แต่ร่างมารหกปรารถนาด้านหลังก็ยังขาดการผสานระหว่างกันและกระเด็นไปคนละทิศอย่างแรง
พวกมันมีสีหน้าบ้าคลั่ง เมื่อเห็นว่าตะปูไม้สีดำทะลวงเส้นลายมือและกำลังจะพุ่งเข้าใส่ ทันใดนั้นเอง…ปรารถนาอารมณ์ก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมา ปรารถนาทั้งห้ารอบข้างพุ่งเข้าหาปรารถนาอารมณ์อย่างไม่ลังเล แล้วผสานกันอีกครั้ง
ร่างมารปรารถนาอารมณ์ทะยานขึ้นจากความสูงแสนห้าจั้งกลับไปเป็นสามแสนจั้งอีกครั้ง จากนั้นมันก็คำรามใส่หวังเป่าเล่อ ร่างของมันเลือนรางก่อนจะกลายเป็นรูปสลักด้วยตัวเอง
นั่นคือ…แผนที่จักรวาล!
ซึ่งเหมือนกับแผนที่ดวงดาวที่อยู่เหนือที่นั่งมหาเทพไม่มีผิดเพี้ยน
“นี่ก็คือแผนที่ดวงดาวของบ้านเกิดมหาเทพ ข้าเป็นคนคัดลอกมันออกมา เกี่ยวโยงถึงเหตุต้นผลกรรม หากเจ้าทำลายมัน บ้านเกิดเจ้าก็จะโดนไปด้วย ขณะเดียวกัน…เจ้าก็จะสูญเสียหนทางกลับ ข้าจะดูสิว่าเจ้าจะใจร้ายขนาดนั้นไหม!”
“กระจอก!” หวังเป่าเล่อไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย ตอบกลับไปทันที พลังแห่งตะปูไม้ดำก็ระเบิดขึ้นอีกครั้งและพุ่งไปยัง…แผนที่ดวงดาว!
ตลอดทางก็คล้ายกับต้นไผ่ที่หัก ทำลายย่อยยับอย่างง่ายดาย!
…………………………………………….
เคล็ดเวทศรัทธา ชื่อนี้หวังเป่าเล่อเคยได้ยินมาจากคำอธิบายคืนพินาศของบิดาหวังอีอี
ตอนนี้เขาไม่แปลกใจที่ถูกปรารถนาชักนำแล้ว ถึงอย่างไรที่มาของปรารถนาก็ลึกลับมาก นางดูเหมือนมีตัวตน แต่แม้จะดูเป็นอย่างนั้น ในแง่หนึ่งนางก็คือสิ่งที่ถือกำเนิดจากจิตใต้สำนึกของมหาเทพ
ซึมซับเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่เกิดจากมหาเทพมานานหลายปี กอปรกับตบะบำเพ็ญในจักรวาลที่มหาเทพเคยอยู่ในชาติก่อนรวมเข้าด้วยกัน ใช้มหาเทพเป็นเตาหลอม กลืนกิน เข้าแทนที่ และกระเทาะเปลือกออก!
หวังเป่าเล่อไม่เคยพบเจอสิ่งมีชีวิตแบบนี้มาก่อน แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการรับรู้ของเขา เขาเข้าใจกระจ่างถึง…ความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย
ความแข็งแกร่งนี้แสดงออกมาสองด้าน ด้านหนึ่งคือแปลกประหลาดและเปลี่ยนแปลงได้อีก และด้านหนึ่งนั้นก็คือดูเหมือนจะกำจัดให้หมดสิ้นอย่างแท้จริงได้ยาก
“แต่…ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เลย!” หวังเป่าเล่อดวงตาวาววับ เคล็ดเวทคืนพินาศพุ่งทะยาน ลำแสงหมื่นจั้งที่มาจากดวงอาทิตย์แรกแผ่กระจายไปทุกทิศทางทำให้ค่ำคืนสลายและทำให้ใบหน้าทั้งหกของปรารถนากรีดร้องเสียงแหลม
แต่ท่ามกลางค่ำคืนที่กำลังจะสลายไป ปรารถนาที่กลายเป็นใบหน้าทั้งหกก็พลันระเบิดแสงสลัวในดวงตา
“มารหกปรารถนา!”
ใบหน้าทั้งหกอ้าปากพร้อมกัน ทันใดนั้นก็มีหนึ่งใบหน้าเงยขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง!
นั่นคือใบหน้าของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง เมื่อมันเงยหน้าสูบกิน ทั่วทั้งโลกพลันสั่นสะเทือน ปั่นป่วนไปทั้งมิติเต๋าต้นกำเนิด ปั่นป่วนออกไปนอกมิติและปั่นป่วนไปทั้งมหาจักรวาล
เสียงทั้งหมดในมหาจักรวาลราวกับเข้ามาเกี่ยวพันในชั่วพริบตา ทุกเสียงไหลมารวมตัวกันจากทุกทิศทางด้วยวิธีการบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้
เมื่อเสียงทั้งหลายของมหาจักรวาลมารวมตัว ใบหน้าของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงก็ขยายใหญ่ขึ้นทันที ก่อนจะแปลงกายเป็นยักษ์ใหญ่สูงแสนจั้งในพริบตาต่อมา ยืนตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดินพร้อมส่งเสียงคำรามไปทั้งแปดทิศ
แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวที่เล็ดลอดออกมาจากร่างกายสะท้านไปทั้งฟ้าดิน
ยังไม่สิ้นสุดเพียงแค่นั้น ขณะนี้ใบหน้าที่สองก็เงยหน้าขึ้นเช่นกัน สายตามันบ้าคลั่ง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้ารุนแรง
ใบหน้านี้เป็นตัวแทนของกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ มันปั่นป่วนไปทั่วมหาจักรวาล ภาพทั้งหมดราวกับถูกคัดลอกและก่อตัวขึ้นในร่างกายมันราวกับปริศนา คล้ายกับได้จารึกมหาจักรวาลไว้ในร่างกายของมันแล้ว ทำให้ตัวมันระเบิดตู้มกลายเป็นยักษ์สูงแสนจั้งเช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีใบหน้าของปรารถนากลิ่น ใบหน้าปรารถนารสและใบหน้าปรารถนาสัมผัสที่แผดเสียงคำราม ก่อนจะสูดอารมณ์และความปรารถนาของทุกสรรพสิ่งในมหาจักรวาลทำให้ตัวเองสูงถึงแสนจั้ง แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างกายเพียงพอที่จะเขย่าจักรวาลได้
และสุดท้าย…คือปรารถนาอารมณ์!
ในฐานะที่พิเศษที่สุดในหกปรารถนาและเป็นความปรารถนาที่ทรงพลังที่สุด การกลืนกินของปรารถนาอารมณ์นั้นมาจากกิเลสตัณหาของทุกสรรพสิ่ง ด้วยเหตุนี้การสั่นสะเทือนของท้องฟ้าจึงรุนแรงถึงขีดสุด ยักษ์ที่แปลงกายมาจากใบหน้าปรารถนาอารมณ์สูงเกินห้าตนที่เหลือ มันสูงราวสามแสนจั้ง!
ความสูงระดับนี้หากเปลี่ยนเป็นโลกทั่วไปคงยากต่อการรองรับเป็นแน่ แต่โลกใบนี้คือโลกที่มิติเต๋าต้นกำเนิดแปลงขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังผสมผสานด่านปรารถนาทั้งหกเอาไว้ จึงไม่อาจใช้กฎเกณฑ์ทั่วไปมาตัดสินได้
เมื่อมองไปจะเห็นว่ายักษ์ทั้งหกตนนี้ทำให้ลมและเมฆพลิกตลบ พวกมันรีบพุ่งไปยังดวงอาทิตย์แรกที่แปลงมาจากหวังเป่าเล่อท่ามกลางโลกที่ร้องคำราม
ก่อนจะกลายเป็นฝ่ามือยักษ์หกมือปกคลุมทั่วนภา เข้าประชิดตัวและปะทะกัน!
หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตอนนี้ศัตรูที่เขาเผชิญหน้าไม่ใช่ปรารถนา แต่เป็นความปรารถนาของทั้งมหาจักรวาล!
แม้คืนพินาศจะแข็งแกร่ง แต่เวลานี้นี้ก็ยังด้อยกว่า แต่ต้องยอมรับว่าเคล็ดเวทศรัทธาก็คือเคล็ดเวทศรัทธา ต่อให้ไม่อาจเทียบร่างมารปรารถนาหกตนนี้ได้ อานุภาพของมันก็ยังไม่ธรรมดา
พริบตาต่อมาหลังจากทั้งสองปะทะกันพลันเกิดเสียงสะท้านฟ้าสะเทือนดิน โลกของด่านปรารถนาชั้นที่หนึ่งพังทลาย เมื่อโลกด่านหกปรารถนาเปิดออกหนึ่งชั้น คืนพินาศก็สลายไปในที่สุด
ทว่า…มารหกปรารถนาโบราณก็ได้รับผลกระทบไม่น้อยเช่นกัน ร่างยักษ์ห้าตนที่สูงแสนจั้งแตกออกเป็นเสี่ยงๆ แม้จะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ใช่หนึ่งแสนจั้งแล้ว แต่เหลือแค่ครึ่งเดียว!
ปรารถนาอารมณ์ก็เช่นกัน!
“หวังเป่าเล่อ!” ร่างมารหกปรารถนาที่แปลงมาจากปรารถนาทุกตนหันไปมองหวังเป่าเล่อ ดวงตาเผยอารมณ์แปรปรวน พุ่งใส่หวังเป่าเล่อพร้อมเสียงกรีดร้อง
หวังเป่าเล่อหรี่ตา ผลึกแก้วสีฟ้าตรงหว่างคิ้วดูดซับเร็วขึ้น เขาไม่ได้เกิดจิตใจแปรปรวนจากการที่คืนพินาศแตกสลายแต่อย่างใด สีหน้ายังคงเรียบเฉย เมื่อมารหกปรารถนาพุ่งมา หวังเป่าเล่อก็ยกมือขึ้นชี้ไปข้างหน้า
“เต๋าแปดปรมัตถ์!”
แม้คืนพินาศจะแข็งแกร่ง แต่ก็เป็นเต๋าของคนอื่น
สำหรับหวังเป่าเล่อ มีเพียงเต๋าแปดปรมัตถ์ที่เป็นมหาเต๋าของเขาอย่างแท้จริง เมื่อเขาชี้นิ้วออกไปฟ้าดินพลันคำรามกึกก้อง กฎพื้นฐานของการกำเนิดจักรวาลพลันจุติ
นั่นก็คือ…กฎแห่งเต๋าธาตุทอง!
ทันทีที่กฎนี้เกิดขึ้น พลังปราณเฉียบคมมากมายพลันปรากฏขึ้นที่ด้านหลังเขาทันที แต่ละพลังปราณนั้นราวกับสามารถแยกฟ้าแยกแผ่นดินได้ เต็มไปด้วยการสังหาร เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เต็มไปด้วยความแน่วแน่!
ในที่สุดมันก็กลายเป็นแสงสีทองและตรงไปที่…มารหกปรารถนา!
ทันทีที่เห็นแสงสีทองสว่างวาบ มารหกปรารถนาก็หน้าเปลี่ยนสี แต่แล้วต่อมาพวกมันก็เคลื่อนที่เข้าหากัน แต่ละตนทำผนึกมุทรา ปราณหมอกหกสีพลันแผ่ขยายออกมาจากร่าง ก่อนจะผสานกันกลายเป็นภาพภาพหนึ่ง
ภาพนั้นคล้ายรูปสลัก แต่สมบูรณ์กว่า สมจริงกว่าและซับซ้อนกว่า!
สิ่งที่ภาพแสดงให้เห็นคือภาพคุกใต้ดิน ในนั้นมีภูเขาดาบ ทะเลเพลิง วิญญาณแค้น เสียงคำราม และเสียงคร่ำครวญ แผ่ขยายไปทั่วแปดทิศ
ราวกับนรกโลกันตร์
“สะกด!” เมื่อมารหกปรารถนาอ้าปากกว้าง รูปสลักนั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร้ขอบเขต ในที่สุดก็กลายเป็นโลกแห่งความจริงห่อหุ้มหวังเป่าเล่อไว้และปะทะกับแสงสีทองของเขา
แสงสีทองสาดส่องเข้าไปในรูปราวกับหยดน้ำตกลงกระทะที่น้ำมันเดือดพล่าน มันระเบิดทันทีกลายเป็นจุดแสงสีทองนับไม่ถ้วน ผ่านไปทางใดภูเขาดาบก็ถล่ม ทะเลเพลิงพังทลาย วิญญาณแค้นกรีดเสียงร้อง เสียงคำราม และเสียงคร่ำครวญหยุดชะงัก
กระทั่งตัวรูปสลักเองก็ยังเกิดสัญญาณว่ากำลังจะแตกสลายแล้ว แต่ว่า…จุดแสงจากเต๋าธาตุทองกลับอ่อนแสงลงอย่างรวดเร็วจากพลังของมารหกปรารถนา ภาพรูปสลักนี้ใกล้แตกดับ แต่สุดท้ายจุดแสงสีทองที่พุ่งเข้าไปในรูปก็ละลายหายไป รูปสลัก…ยังคงอยู่
และยังคงมุ่งหน้ามาสยบหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว สีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“เต๋าธาตุดิน!”
มหาเทพ พินาศ!
ในฐานะสิ่งมีชีวิตแรกที่ถือกำเนิดขึ้นในมหาจักรวาล การสลายตัวของเขากลายเป็นความโศกเศร้าทะลวงรูปปั้นออกไปทั่วมิติเต๋าต้นกำเนิด
ทำให้เจ้าปรารถนาและเจ็ดอารมณ์ที่กำลังสำรวจโลกาชั้นที่หนึ่งใจสั่นสะท้าน ความโศกเศร้าที่อธิบายไม่ได้ผุดขึ้นในจิตใจพวกเขา
ความโศกเศร้านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับความเกลียดชังระหว่างพวกเขากับมหาเทพ
ไม่ใช่แค่พวกเขาเท่านั้น แต่ทุกชีวิตในโลกาชั้นที่สองและลึกลงไปหลุมฝังศพโลกชั้นที่สามก็เช่นกัน กระทั่งความโศกเศร้ายังแผ่ขยายออกไปนอกมิติเต๋าต้นกำเนิด แผ่ขยายไปในดวงดาวนับล้านทั่วทั้งมหาจักรวาลในพริบตา
ทุกผู้คนไม่ว่าจะระดับการฝึกตนใด ขอเพียงถือกำเนิดในมหาจักรวาลผืนนี้ หัวใจพวกเขาพลันเศร้าหมองในพริบตา
เพราะว่า…นี่ไม่ใช่ความโศกเศร้าของสิ่งมีชีวิต นี่คือ…ความโศกเศร้าของมหาจักรวาล
แม้ว่า…ความสัมพันธ์ระหว่างมหาเทพกับมหาจักรวาลจะซับซ้อนมาก แต่ความโศกเศร้าก็ยังคงแผ่ขยายไม่จางหายไป ขณะเดียวกันในโลกาชั้นที่หนึ่ง ผลึกแก้วสีฟ้าก็ลอยเข้าใกล้หวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็วและกระทบลงที่กลางหว่างคิ้ว
เริ่ม…หลอมรวม!
เนื่องจากทุกสิ่งที่มหาเทพครอบครองนั้นยิ่งใหญ่เกินไป ต่อให้หวังเป่าเล่อจะมีต้นกำเนิดเดียวกับมหาเทพ แต่การหลอมรวมนี้ก็ไม่อาจทำได้เร็วนัก จำเป็นต้องใช้เวลาสักหน่อย…
แต่ในตอนนี้ ‘เวลา’ ดูจะเป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อขาดแคลนมากที่สุด
เพราะว่า…ในพริบตาที่มหาเทพแตกสลาย ปรารถนาที่ถูกพันธนาการก็หลุดพ้น นางกลายเป็นใบหน้าทั้งหกซึ่งทุกใบหน้าล้วนดุร้ายหาใดเปรียบ ปราณหมอกที่ใช้สะกดมหาเทพก็ไหลกลับมาจากที่นั่งด้านบนสุดของบันได รวมตัวกันเป็นหมอกขนาดมหึมาพุ่งไปทางหวังเป่าเล่อ
“ถึงแม้มหาเทพจะดับสูญ แต่เจ้ายังอยู่ ควบคุมเจ้า…ก็เหมือนกัน!”
ใบหน้าทั้งหกประสานเสียง มันหลอมรวมเข้าด้วยกัน ไม่แยกหญิงชายแก่เฒ่าหรือเยาว์วัย ภาพนี้ดูแปลกประหลาดยิ่งนัก แต่ก็แข็งแกร่งมากเช่นกัน ทำให้ผลึกแก้วสีฟ้าที่หว่างคิ้วหวังเป่าเล่อดูเหมือนจะได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็ว
ในช่วงเวลาวิกฤตนี้เอง ปราณหมอกมหึมาพลันกลายเป็นปากหนาพุ่งเข้ากลืนกินหวังเป่าเล่อด้วยพลังอันน่าทึ่งราวกับสามารถเขย่าขวัญทุกสิ่งได้ โดยเฉพาะใบหน้าทั้งหกในปราณหมอกคือตัวแทนของปรารถนาทั้งหกกำลังเผยพลังอันไร้ขีดจำกัดออกมา
ความเร็วของมันน่าตกใจมาก มันเข้ามาใกล้ทุกที…ในชั่วพริบตาก็มาอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อแล้ว ขณะที่กำลังจะกลืนกินหวังเป่าเล่อ ทว่าตอนนั้นเอง…สองตาหวังเป่าเล่อที่ปิดอยู่ก็พลันลืมขึ้น ลำแสงเย็นเยียบปรากฏในดวงตาพร้อมกับสองมือที่ยกขึ้นมา
“สู่สวรรค์!” ประโยคเรียบง่ายดังขึ้นมาจากปากหวังเป่าเล่อ ทันใดนั้นตบะบำเพ็ญอันน่าอัศจรรย์สุดแสนจะพรรณนาพลันระเบิดออกมาจากร่างของเขา!
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
เกิดเสียงสั่นสะเทือนทั่วห้องโถง สั่นสะเทือนรูปปั้น สั่นสะเทือนโลกภายนอก ขณะเดียวกันสะพานหินขนาดมหึมาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งกาลเวลาก็ปรากฏอยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อแล้ว
นั่นคือ…สะพานสู่สวรรค์!
พลังอันน่าอัศจรรย์ที่มันแผ่ออกมาทำให้ห้องโถงที่ไม่มีมหาเทพคอยสะกดพังทลายลงในพริบตา รูปปั้นที่พวกเขาอยู่ข้างในแตกเป็นเสี่ยงๆ หวังเป่าเล่อและปรารถนามาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง…ในโลกของด่านทั้งหกที่อยู่ข้างนอก
พลังปราณของหวังเป่าเล่อยังคงปะทุ จากความอ่อนแอก่อนหน้านี้ตรงไปยังขั้นที่ห้า และตามด้วยขั้นที่หก! !
เขายืนตระหง่านอยู่ระหว่างฟ้าดิน อานุภาพสะกดนิรันดร์!
ส่วนปรารถนานั้นตอนนี้ปราณหมอกกลิ้งตลบอย่างรุนแรง ใบหน้าทั้งหกข้างในต่างแสดงอารมณ์ไม่อยากเชื่อ ก่อนจะพากันส่งเสียงหวีดแหลม
“เจ้าไม่ใช่ร่างแยก!!”
“ข้าไม่ใช่ร่างแยกอย่างแน่นอน!” หวังเป่าเล่อที่ยืนบนท้องฟ้ามองปรารถนาก่อนจะเอ่ยช้าๆ
เขาไม่ได้โกหก เขาไม่ใช่ร่างแยกแน่นอน เพราะแท้จริงแล้ว…ก่อนจะเปิดประตูสู่อาณาจักรบน ร่างแยกหวังเป่าเล่อได้ไปที่ทะเลทรายที่ร่างต้นแบบถือสันโดษอยู่ครั้งหนึ่ง
ที่นั่น ร่างแยกและร่างต้นแบบพบกัน พวกเขาสนทนากันถึงสามวัน…
และยามที่จากมา…ผู้ที่ออกไปไม่ใช่ร่างแยก กลับเป็นร่างต้นแบบ
เมื่อออกมา ตลอดทางตั้งแต่เปิดประตูสู่อาณาจักรบน เดินผ่านปรารถนาหกด่าน พบเจอมหาเทพและต่อสู้กับปรารถนา หวังเป่าเล่อไม่แสดงพลังของร่างต้นแบบออกมาแม้แต่นิดเดียว สิ่งที่เขาใช้ล้วนเป็นกฎเกณฑ์ปรารถนาของร่างแยก
จุดประสงค์ก็เพื่อป้องกันเรื่องที่ยากต่อการย้อนกลับทั้งหลาย
อย่างเช่นตอนนี้!
แสงในดวงตาหวังเป่าเล่อเจิดจ้า ตบะบำเพ็ญระเบิดพล่าน ผลึกแท่งสีฟ้าตรงหว่างคิ้วก็ยิ่งดูดซับและหลอมรวมเร็วขึ้น พลังปราณพุ่งทะยานขึ้นตลอดเวลา
ส่วนเจ้าแห่งปรารถนาทั้งปวงในตอนนี้กำลังส่งเสียงคำรามต่ำ หวังเป่าเล่อไม่ใช่ร่างแยก เรื่องนี้เหนือความคาดหมายของนางจริงๆ สิ่งนี้เกี่ยวโยงถึงการที่นางจะไม่เข้าใจหวังเป่าเล่อเหมือนก่อน แต่สีหน้าปรารถนาก็ยิ่งชั่วร้ายขึ้น
“ไม่ใช่ร่างแยกแล้วยังไง คิดดูดีๆ เจ้าก็เป็นดวงจิตของเจ้าคนสมควรตายนั่นเหมือนกัน สุดท้าย…ก็เป็นแค่ร่างแยก!”
“ตอนนั้นร่างต้นแบบของเจ้ายังถูกสังหารได้ วันนี้…ก็เช่นกัน!” ปรารถนาส่งเสียงกรีดร้องบาดหู ก่อนจะวาบร่าง หมอกรอบตัวยิ่งหนาขึ้นจนปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า ทำให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำสนิท ปากยักษ์พุ่งเข้ากลืนกินหวังเป่าเล่ออย่างบ้าคลั่ง
ดูเหมือนกับ…ฟ้ากำลังกลืนดิน!
หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองท้องฟ้าสีดำสนิท มองพื้นดินอันมืดมิดเนื่องจากแสงสว่างหายไป มองความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุดรอบด้าน ก่อนจะยกมือขึ้นมาช้าๆ แล้วเอ่ยเบาๆ ท่ามกลางเสียงคำรามของสะพานสู่สวรรค์ด้านหลัง
“คืนพินาศ!”
พลังแห่งคืนพินาศพลันระเบิดขึ้น!
คืนพินาศของหวังเป่าเล่อคือการผสมผสานระหว่างวิชาดวงเนตรปีศาจและเคล็ดวิชาสังหาร รวมถึงจิตสังหารตลอดทั้งชีวิตของเขารวมเข้าด้วยกัน ต่อมาเมื่อได้รับการเติมเต็มจากการเหยียบสะพานสู่สวรรค์ ตบะบำเพ็ญของหวังเป่าเล่อก็เพิ่มขึ้นถึงขีดสุด
และเพราะตอนนี้โลกกลายเป็นมืดสนิทไปแล้วจึงไม่จำเป็นต้องรอให้ราตรีกาลมาเยือนอีก ทุกอย่าง…สำแดงฤทธิ์ได้ในพริบตา!
ในโลกอันมืดมิดพลันปรากฏลำแสงหนึ่งโดยมีหวังเป่าเล่อเป็นศูนย์กลาง
หากเปรียบโลกเป็นมหาสมุทร นี่ก็คือแสงแรกแห่งมหาสมุทร!
หากเปรียบโลกเป็นฟ้าดิน นี่ก็คือแสงอรุณแรกแห่งฟ้าดิน!
หากไม่เปรียบเทียบ นี่ก็คือ…แสงแรกแห่งทุกสรรพสิ่งในจักรวาล!
แสงสว่างวาบ ความมืดปริแตก ฟ้าดินคำราม โลกปั่นป่วน ความมืดทั้งหมดเดือดดาลภายใต้ลำแสงนี้ จากนั้น…ลำแสงที่สอง ลำแสงที่สาม ลำแสงที่สี่ก็ปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
มันอัดแน่นด้วยพลังอันไร้ขีดจำกัดและความมุ่งมั่นที่ไม่เคยหันหลังกลับระเบิดเป็นลำแสงนับไม่ถ้วนในค่ำคืนอันมืดมิดนี้ ท่ามกลางม่านหมอกดำไพศาล หวังเป่าเล่อ…กลายเป็นอาทิตย์ดวงแรก!
ความมืดมิดในโลกพลันบิดเบี้ยว เมื่อแสงสว่างมาเยือน มันก็จำต้องยอมถอยไป!
ไอหมอกดำบนท้องนภาเป็นสิ่งแรกที่ได้สัมผัสแสงนั้น มันสลายตัวในพริบตาดุจเกล็ดหิมะยามสัมผัสน้ำเดือด ใบหน้าทั้งหกในม่านหมอกเผยตัวออกมาส่งเสียงกรีดร้องคล้ายถูกแสงอาทิตย์แผดเผา แต่กลับเผยความชั่วร้ายอันบ้าคลั่งมากยิ่งขึ้น
“เคล็ดเวทศรัทธาบริสุทธิ์?!”
…………

เจ้าปรารถนาที่เข้าประชิดตัวหลังจากออกมาจากบริเวณเก้าอี้ก็กลายเป็นลำแสงต่างๆ หกสี ลำแสงหกสีนี้เป็นตัวแทนความปรารถนาทั้งหก พวกมันผสานเข้าด้วยกันแต่กลับไม่ได้หลอมรวมกันและกัน

ทว่า กลับกลายเป็นใบหน้าหกใบที่มาพร้อมกับความโลภตรงเข้ากัดกินหวังเป่าเล่อ

 มันจบแล้ว!  เสียงทั้งหกดังประสาน เต็มไปด้วยความชั่วร้าย

หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นทันที แสงเย็นเยียบในดวงตากำลังจะปะทุ…ทันใดนั้นเองจู่ๆ ก็เกิดเรื่องประหลาดขึ้น!

มหาเทพที่หลับใหลอยู่บนเก้าอี้เงยหน้า ส่วนลึกของดวงตาเผยเปลวเพลิงสีคราม ฉับพลันเปลวเพลิงนั้นก็แผ่ขยายไปทั่วทั้งดวงตา ท่าทางของมหาเทพในตอนนี้ดูแตกต่างไปจากเดิม

ทันทีที่เงยหน้าขึ้น เขาก็ยกมือขวาขึ้นไปทางหวังเป่าเล่อ จับเจ้าแห่งความปรารถนาที่กลายเป็นไอหมอกดำไว้

ปรารถนาที่กลายเป็นหมอกดำส่งเสียงกรีดร้อง ร่างกายถูกควบคุมจากมือที่มองไม่เห็น และหยุดลงอย่างฉับพลันตรงหน้าหวังเป่าเล่อ

ด้านหวังเป่าเล่อก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกะพริบตา แสงเย็นเยียบในดวงตาที่กำลังจะปะทุถูกเก็บกลับไปอีกครั้ง

 มหาเทพ รนหาที่ตาย!  ปรารถนาส่งเสียงหวีดแหลมแล้วหันกลับมาทันที เมื่อปราณหมอกปะทุ ใบหน้าทั้งหกก็ส่งเสียงคำรามไปทางมหาเทพ

ท่าทางยิ่งดิ้นรนมากขึ้น อยากจะหลุดพ้นจากการพันธนาการของมหาเทพ

การดิ้นรนของนางทำให้เปลวเพลิงสีครามในดวงตามหาเทพอ่อนแสงลงอย่างรวดเร็ว มือขวาที่ยกขึ้นมาก็แห้งเหี่ยว

ทว่าสีหน้าของมหาเทพยังคงเรียบเฉย เขายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ ชุดคลุมยาวสีม่วงกระพือเล็กน้อย เส้นผมยาวปลิวไสว ไฟสีครามในดวงตานั้นแม้จะอ่อนแสงลงอย่างต่อเนื่อง แต่การแผดเผาของมันก็ทำให้ปราณหมอกรอบตัวเขาได้รับผลกระทบในระดับหนึ่งและถูกขับออกไปบางส่วน

เมื่อหมอกถูกขับออกไปก็ดูเหมือนว่าอาการของมหาเทพจะดีขึ้น ดวงตาของเขาหรี่ลงจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างล้ำลึก ก่อนจะเอ่ยขึ้น

 ข้าพันธนาการนางไว้ได้ชั่วคราวเท่านั้น และต่อให้นางถูกพันธนาการ เราก็ไม่สามารถฆ่านางได้ในตอนนี้ เพราะว่าปรารถนา…ดำรงอยู่เป็นนิรันดร์ 

 เพราะฉะนั้นในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ คุยเป็นเพื่อนข้าหน่อยเถอะ  มหาเทพมองหวังเป่าเล่ออย่างจริงจัง รอคอยคำตอบจากเขา

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ มองไปทางปรารถนาที่กำลังดิ้นรน แล้วหันกลับมามองมหาเทพ ไม่นานก็พยักหน้าให้

เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อพยักหน้า มหาเทพก็ยิ้มออก เขายิ้มอย่างมีความสุขแล้วนึกถึงความทรงจำบางอย่าง

 โลกภายนอกสวยงามมากไหม 

 ก็ไม่เลว  หวังเป่าเล่อกล่าวช้าๆ

 ไม่เลวหรือ…  มหาเทพพึมพำ เปลวเพลิงสีครามในดวงตาอ่อนแสงลงไปอีกเมื่อปรารถนาดิ้นรนและกรีดร้อง

 มีคนอยู่เคียงข้าง มีคนคอยเป็นห่วงนี่เป็นความรู้สึกเช่นไรหรือ  มหาเทพถามขึ้นอีกด้วยแววตาใคร่รู้

 มันเป็นความรู้สึกที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่และต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป  หวังเป่าเล่อครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยตอบ

มหาเทพเงียบไปราวกับว่าเขาได้ลิ้มรสมันมาเป็นเวลานานแล้ว แล้วก็เอ่ยขึ้นเบาๆ อีกครั้ง

 หลายปีมานี้ เจ้า…มีความสุขไหม 

หวังเป่าเล่อไม่ตอบ

ทั้งห้องโถงเงียบลงในทันตา มีเพียงเสียงกรีดร้องของปรารถนาที่ยังดังก้อง

มหาเทพกำลังรอคอยคำตอบของหวังเป่าเล่อ แท้จริงแล้วเขาตื่นอยู่นานแล้ว ตอนที่หวังเป่าเล่อต่อสู้กับเจ้าปรารถนาในช่วงแรก จุดแสงที่ระเบิดขึ้นนั้นคือพลังปลุกเขาให้ตื่น

ด้วยพลังนั้นมหาเทพจึงตื่นขึ้น แต่เขาก็อ่อนแอเกินไป อ่อนแอมากจนกระทั่งแม้จะตื่นแล้วก็ยังต้องใช้เวลาเพื่อที่จะแสดงพลังเทพครั้งสุดท้าย ดังนั้น…เขาจึงแสร้งว่าตนนั้นหลับอยู่ภายใต้การสะกดของปรารถนา

ขณะเดียวกันเขาก็กำลังครุ่นคิดและลังเลที่จะตัดสินใจ

จนกระทั่งเมื่อเจ้าปรารถนากำลังจะกัดกินหวังเป่าเล่อ ความลังเลของเขาก็หมดไป การตัดสินใจชัดเจนขึ้น ดังนั้น…เขาจึงเลือกที่จะลงมือพันธนาการเจ้าปรารถนา จากนั้นก็ถามคำถามสามข้อนี้

คำถามสามข้อนี้สำคัญต่อการตัดสินใจของเขา

 มีทั้งสุขและทุกข์ แต่เมื่อคิดดูแล้ว ข้ายังรอคอยอนาคต  หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอย่างจริงจัง ก่อนจะตอบไป

 รอคอยอนาคตหรือ…  มหาเทพพึมพำ เปลวเพลิงสีครามในดวงตายิ่งอ่อนแสงลงไปอีก แต่กลับมีจิตวิญญาณบางอย่างที่ดูจะเปล่งประกายอยู่ในนั้น

 เส้นทางของข้า ข้าเดินไปจนสุดทางไม่ได้…เช่นนั้น…บางทีเส้นทางของเจ้าอาจทำได้ 

 สุดท้าย…ระหว่างเรา จะต้องมีใครสักคนที่ได้ไปตามทางของตัวเอง  ในเสียงกระซิบนั้นจู่ๆ มหาเทพก็ส่งเสียงหัวเราะ เสียงหัวเราะของเขาดังขึ้นเรื่อยๆ ยามที่มันดังก้องไปทั่วห้องโถง จิตวิญญาณในดวงตาเขาก็สว่างราวแสงอาทิตย์เจิดจ้า ไอรีนโนเวล

 ปรารถนา!  มหาเทพเปล่งเสียงแผ่วเบา มือซ้ายจับพนักเก้าอี้ไว้มั่น พยายามยืนขึ้นอย่างยากลำบากประหนึ่งว่าแม้จะอยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต เขาก็ยังคงสง่างาม ต่อให้ต้องตายไปก็จะยืนหยัดเผชิญหน้ากับทุกสิ่ง

 แม้เจ้าจะไม่ใช่สาเหตุโดยตรงที่ทำให้ข้าดับสิ้นในชาติก่อน แต่ในความทรงจำที่ฟื้นคืนมาบางส่วนนั้น เจ้าก็เป็นสาเหตุทางอ้อม 

 ชาติก่อนข้าเป็นใคร ตอนนี้อาจไม่สำคัญแล้ว แต่ตอนนี้…ข้าคือมหาเทพ คือสิ่งมีชีวิตแรกที่ถือกำเนิดขึ้นในมหาจักรวาล! 

 คือสิ่งมีชีวิตที่อารยธรรมน้อยใหญ่ยกย่องให้เป็นเทพเจ้า! 

 ข้าพ่ายแพ้ได้ แต่ข้าจะแพ้ให้กับตัวเองเท่านั้น!  มหาเทพลุกขึ้นจากที่นั่งอย่างยากลำบาก เขายกมือซ้ายขึ้นชี้หวังเป่าเล่อขณะที่จิตวิญญาณในดวงตาลุกโชติช่วง

 หวังเป่าเล่อ อีกส่วนหนึ่งของร่างกายข้า…เส้นทางหลังจากนี้…ช่วยเดินไป…แทนข้าที สัมผัสกับความสุขแทนข้า แสวงหา…ความหวัง!  เอ่ยถึงตรงนี้มหาเทพก็หัวเราะดังขึ้นฟ้า เปลวเพลิงสีครามในดวงตาพลันระเบิดขึ้นในตอนนั้นเอง ปกคลุมใบหน้า ปกคลุมลำคอ ปกคลุมร่างกายส่วนบน จนกระทั่งปกคลุมไปทั่วกาย

ร่างของมหาเทพถูกแผดเผาอยู่ในเปลวเพลิงนั้น ท่ามกลางการเผาไหม้นี้ ดวงวิญญาณ กายเนื้อ ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาล้วนมาบรรจบกัน ณ จุดใดจุดหนึ่ง

มันก่อตัวเป็นผลึกแก้วสีฟ้าพราวระยับ ควบแน่นลอยตรงมาหา…หวังเป่าเล่อ!

นั่นคือทุกอย่างของชีวิตมหาเทพ!

มหาเทพเป็นอย่างที่ตัวเขาพูด เขาแพ้ได้ แต่จะแพ้ให้กับตัวเองเท่านั้น เพราะในโลกนี้เขาไม่เคยคิดว่าจะมีใครที่มีคุณสมบัติมาทำให้ตนพ่ายแพ้!

ดังนั้นในเมื่อต้องพ่ายแพ้ เขาก็แค่…เติมเต็มหวังเป่าเล่อที่เป็นอีกส่วนหนึ่งของร่างกายเขาแทน!

เสียสละตัวเองเพื่อเติมเต็มอีกฝ่าย ให้หวังเป่าเล่อสิ้นสุดชีวิตที่เหมือนกับตราประทับของตนเอง!

 เจ้าอยากแสวงหาอนาคตก็ไปแสวงหาซะ! 

 เจ้าอยากปกป้องคนของเจ้าก็ไปปกป้องพวกเขาซะ! 

 เจ้าอยากจะตัดขาดจากอดีตแล้วเดินไปในเส้นทางของตนเอง เช่นนั้น…ก็ตัดทิ้งซะ นับแต่นี้ไปเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับอดีต เจ้าไม่เกี่ยวข้องกับมหาเทพ เจ้า…ก็คือเจ้า!  มหาเทพหัวเราะเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น เสียงหัวเราะนั้นดังก้องไปทั้งมิติเต๋าต้นกำเนิด ขณะที่ผลึกแก้วสีฟ้าลอยออกไป ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ สลายไปในกองเพลิง กลายเป็นเถ้าถ่านปลิวกระจาย…

สิ้นสลาย!

นับจากนี้…

ไม่มีข้าอีกต่อไป

……

 

“น่าสนใจนี่ สมกับเป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ” เมื่อเห็นการโจมตีของหวังเป่าเล่อ จุดแสงที่ระเบิดนั่นก็ทำให้มหาเทพที่ถูกตนสะกดไว้เกิดสัญญาณฟื้นคืนชีพ ดวงตาปรารถนาพลันหดแคบลง
แต่นางไม่ได้สนใจมากนัก มหาเทพถูกนางควบคุมมานานหลายปี เรียกได้ว่านางมั่นใจในการควบคุมของตัวเองมาก ต่อให้ฟื้นขึ้นมาก็ไม่ทำให้เกิดการพลิกชะตาขึ้นมาได้หรอก
แต่ด้วยความรอบคอบ ปรารถนาจึงยกมือกดไปทางมหาเทพในหมอกดำด้านล่างเล็กน้อย
การกดนั้นทำให้มหาเทพตัวสั่นเทาอย่างรุนแรง เปลือกตาที่ขยับเล็กน้อยก็ค่อยๆ นิ่งไป สัญญาณการคืนชีพก็ถูกสะกดกลับไปเช่นกัน
ความผันผวนหายไป พร้อมการถูกสะกดอีกครั้ง ร่างของมหาเทพที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ดูเหมือนจะสูญเสียแรงจูงใจทั้งหมดไปและจมดิ่งสู่การหลับใหลอีกครั้ง
ขณะเดียวกันปราณหมอกดำรอบตัวเขาก็ทยอยกลายเป็นใบหน้าของปรารถนาที่แสดงอารมณ์ต่างกันไป ก่อนจะแทรกซึมเข้าไปในร่างกายมหาเทพ ไหลเวียนเข้าออกร่างกายเขาไม่หยุดราวกับว่า…จะเปลี่ยนร่างมหาเทพเป็นรัง
กระทั่งในสายตาหวังเป่าเล่อ มหาเทพในตอนนี้ก็เหมือนจะเหลือเพียงร่างกาย ภายในนั้นว่างเปล่า เพราะถูกพลังปราณของปรารถนาครอบครองไว้หมดแล้ว
“ตอนนี้เคล็ดวิชาของเจ้าไร้ผลแล้ว…ในเมื่อเจ้าไม่เต็มใจตอบแทนข้า ข้าก็ทำได้แค่ไปรับของขวัญของเจ้าด้วยตัวเอง” ปรารถนาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม นางหรี่ตาลง ความดำมืดในดวงตาเผยแสงสลัวจางมองไปทางหวังเป่าเล่อ ก่อนจะอ้าปากกว้างแล้วสูดหายใจเข้า
หวังเป่าเล่อสีหน้ามืดมน เขาเหลือบมองมหาเทพที่หลับสนิทอีกครั้ง แล้วถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว สองมือทำผนึกมุทรา ทันใดนั้นพลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงก็แผ่กระจายออกมาทำให้ร่างกายเขาเลือนราง เวลาเดียวกันนั้นโลกรอบด้านก็กลายเป็นโลกแห่งเสียง ตัวหวังเป่าเล่อที่ผสานเข้ากับโลกแห่งเสียงก็เผยตัวออกมา เขารีบถอยจากที่เดิมอย่างรวดเร็ว
“ต่อหน้าข้ายังกล้าใช้กฎเกณฑ์ปรารถนาอีกหรือ” ปรารถนาหัวเราะเบาๆ นางคือต้นกำเนิดของความปรารถนา เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาก็คือเต๋าของนาง และตอนนี้หวังเป่าเล่อที่อยู่ตรงหน้า กำลังแสดงเต๋าของนางออกมาอีก เรื่องนี้ทำให้ปรารถนาจิตใจเบิกบานมาก
แต่นางก็รู้ดีว่าหวังเป่าเล่อนั้น นอกจากกฎเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาก็ไม่มีอะไรแล้ว ถึงอย่างไร…ก็เป็นแค่ร่างแยกร่างหนึ่ง
“ข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่าอะไร…ที่เรียกว่ากฎเกณฑ์ปรารถนาที่แท้จริง” ปรารถนาหัวเราะ แล้วยกมือขวาชี้ไปข้างหน้า ทันใดนั้นความว่างเปล่าตรงหน้านางก็ราวกับผิวน้ำที่มีก้อนหินตกลงไปแล้วเกิดระลอกคลื่น
ในระลอกคลื่นนี้ โลกแห่งเสียงที่มาจากกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของหวังเป่าเล่อก็หายวับไปทันทีราวกับถูกถอดออกไป ทำให้หวังเป่าเล่อที่ซ่อนตัวอยู่ถูกบีบบังคับให้ออกไปไกล
“ปรารถนาเสียง!” ปรารถนาเอ่ยเบาๆ
เพียงแค่คำเดียวเท่านั้น ในพริบตาที่เสียงดังขึ้นก็ดูเหมือนกับได้รวบรวมเสียงมากมายนับไม่ถ้วนเอาไว้ มันเหมือนกับเสียงทั้งหมดในมหาจักรวาล ทั้งที่ได้ยินและไม่ได้ยินพลันระเบิดออกมาในคำเดียว
หวังเป่าเล่อหน้าตาบิดเบี้ยว อักขระเสียงที่ซ้อนทับกันในร่างกายพลันระเบิดออก ก่อตัวเป็นคลื่นเสียงป้องกันด้านหน้าไว้ แต่ว่า…ก็ยังห่างชั้นกับกฎเกณฑ์ของปรารถนาราวกับหุบเหว พริบตาต่อมาเมื่อปรารถนาเสียงของทั้งสองปะทะกัน อักขระเสียงของหวังเป่าเล่อก็พังทลายลงเป็นครั้งแรก
เมื่อมันพังทลาย หวังเป่าเล่อพลันหน้าซีดเผือด เขากำลังจะถอยหนี แต่ปรารถนากลับดวงตาวาววับ แล้วเอ่ยเบาๆ
“ถอด!”
ทันทีที่คำนี้ดังออกมา หวังเป่าเล่อก็ตื่นตระหนก เขาควบคุมกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงในร่างไม่ได้อีกต่อไป มันทะลุร่างกายเขาออกมากลายเป็นตราประทับพุ่งตรงไปยังเจ้าปรารถนาแล้วหลอมรวมเข้าไป จากนั้นเจ้าปรารถนาก็มองหวังเป่าเล่อ ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“ปรารถนาทัศน์!”
กฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์เข้าปกคลุม ดวงตาหวังเป่าเล่อแดงฉานในทันที ตรงหน้าเขาปรากฏภาพมากมาย ภาพเหล่านั้นอัดแน่นครอบคลุมทุกสิ่งที่เขามองเห็น และแต่ละภาพก็ดูเหมือนโลกใบหนึ่งที่จะครอบเขาไว้ข้างใน ไอรีนโนเวล
เส้นเลือดในดวงตาปูดโปนขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ทว่าหวังเป่าเล่อก็ยังไม่ปริปาก ขณะถอยหนีออกมา สองมือก็ทำผนึกมุทราแล้วสะบัดอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ก็ทำงาน
ทว่าทันทีที่ใช้กฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ เสียงปรารถนาก็ดังก้องขึ้นอีกครั้ง
“ถอด!”
ไม่นาน ใบหน้าหวังเป่าเล่อก็ฉายความเจ็บปวดเล็กน้อยให้เห็น เลือดไหลออกจากมุมปาก กฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ในร่างกายแยกออกจากร่างเขาไป และหลอมรวมกับเจ้าปรารถนาอีกครั้ง
“ถึงข้าจะสู้คนไม่เก่งแล้วยังไงล่ะ แต่พลังที่ข้าให้เจ้า ข้าก็ย่อมเอากลับคืนมาได้เช่นกัน” เจ้าปรารถนายกมือชี้หวังเป่าเล่อด้วยรอยยิ้ม
“ปรารถนารส ถอด!”
“ปรารถนากลิ่น ถอด!”
“ปรารถนาสัมผัส ถอด!”
“ปรารถนาอารมณ์ ถอด!!”
สี่ประโยคนี้คล้ายคำสาปที่ไม่อาจปิดกั้นได้ พริบตาที่ออกมาจากปากเจ้าปรารถนา หวังเป่าเล่อก็ตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง กฎเกณฑ์ปรารถนารสแตกสลายในตอนนั้น
เมื่อมันแตกสลาย เศษกฎเกณฑ์ปรารถนารสก็ออกมาจากร่างกายหวังเป่าเล่อและพุ่งไปหาเจ้าปรารถนาราวกับได้พบเจ้าของที่แท้จริง
ตามด้วยปรารถนากลิ่น มันแตกสลายอยู่ในร่างกายเขาเช่นกัน ก่อนจะออกมาก่อตัวขึ้นนอกร่าง ความเจ็บปวดจากการถอดกฎเกณฑ์และความรู้สึกฉีกขาดทำให้หวังเป่าเล่อเหงื่อซึมไปทั่วหน้าผาก ตอนนี้ร่างกายกำลังอดทนอดกลั้นอย่างมาก
จนกระทั่งปรารถนาสัมผัสจากไปก็ดูเหมือนว่าความอดทนได้มาถึงถึงขีดสุดแล้ว เพราะความเจ็บปวดที่เกิดจากปรารถนาสัมผัสนั้นตรงไปตรงมาที่สุด แต่ทั้งหมดนี้…ก็ไม่มีอะไรเทียบได้กับความสูญเสียครั้งใหญ่ของหวังเป่าเล่อที่ถูกถอดกฎเกณฑ์ปรารถนาทั้งหมดออกไป
ราวกับว่าแหล่งพลังงานที่คอยค้ำจุนชีวิตได้ละทิ้งหัวใจของเขาไปแล้ว นั่นทำให้หวังเป่าเล่อกระอักเลือดออกมาคำโต ร่างกายพลันอ่อนแอลงอย่างหาใดเปรียบ
ฐานการฝึกฝนของเขาเสื่อมถอยจากจุดสูงสุดของหกปรารถนา ดูเหมือนสิ่งที่เหลืออยู่ตอนนี้จะมีเพียง…ร่างกายที่หล่อหลอมด้วยโลหิตของมหาเทพ
“ไม่เหลืออะไรแล้วสินะ”
“แบบนี้ก็ดี ข้าชอบเจ้าที่บริสุทธิ์แบบนี้”
“รู้ไหมว่าทำไมข้าถึงอยากให้เจ้าไปเมืองปรารถนาทัศน์ เพราะขอแค่เจ้าหลอมรวมเข้ากับเลือดมหาเทพ ข้าก็จะสามารถ…ใช้มันเป็นสื่อ…ให้กลืนกินเจ้าได้อย่างราบรื่นยังไงล่ะ”
เจ้าแห่งความปรารถนาทั้งปวงหัวเราะ ความดำมืดในดวงตาเผยให้เห็นความชั่วร้ายและความโลภไม่มีที่สิ้นสุด ขณะที่เอ่ยร่างของนางก็พุ่งออกไป กลายเป็นไอหมอกดำ…ออกจากบริเวณนั้นแล้วพุ่งตรงมามาประชิดตัวหวังเป่าเล่อที่ถอยห่างออกไปอย่างไม่รู้ตัว
ราวกับมันต้องการจะห่อหุ้มเขา!
ในตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อที่ท่าทางอ่อนแอก่อนหน้านี้ดวงตาก็พลันส่องประกายเย็นเยียบ
เขากำลังรอช่วงเวลานี้!
……………………………

 ข้าคิดว่าข้าเคยเจอปรารถนาที่เจ้าเอ่ยถึง…  หวังเป่าเล่อกล่าวเบาๆ

 เจ้าเคยเจอแล้วอย่างแน่นอน  มหาเทพที่ถูกไอหมอกดำปกคลุมน้ำเสียงเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับมีเสียงของหญิงสาวแทรกอยู่ในนั้นด้วย นั่นทำให้เกิดความรู้สึกแปลกประหลาด

โดยเฉพาะคำสุดท้าย เสียงของมหาเทพยังหายไป แทนที่ด้วยเสียงของสตรี!

ทว่า เสียงนั้นก็ไม่ได้แปลกหูสำหรับหวังเป่าเล่อ นั่นคือเสียงที่เขาได้ยินในด่านปรารถนาทั้งหก ขณะเดียวกันก็เป็นเสียงของคนที่อยู่ข้างๆ เขาตลอดในการจมดิ่งสู่ห้วงปรารถนาอารมณ์

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งสับสน เขามองมหาเทพที่ตัวสั่นเทาอยู่ในหมอก มองปราณหมอกสีดำที่อยู่รอบกายมหาเทพที่ดูเหมือนจะตื่นจากการหลับใหลและระเบิดกระจายไปทั่วรวมถึงแผนที่ดวงดาวประหลาดเหนือศีรษะเขาก็ค่อยๆ เคลื่อนไหว…

ในที่สุดร่างของมหาเทพก็ไม่สั่นเทาอีกต่อไป เขาดูเหมือนหลับสนิท ปราณหมอกนอกร่างกายพลันพลิกตลบและรวมตัวกันเหนือศีรษะมหาเทพ ท่ามกลางเสียงหัวเราะดังกึกก้อง มันก่อร่างเป็น…หญิงสาวผู้หนึ่ง!

นางสวมชุดคลุมยาวสีดำ มือถือร่มสีดำ ปลายร่มนั้นยกขึ้นอท่ามกลางเสียงหัวเราะเผยให้เห็น…ใบหน้าที่หวังเป่าเล่อทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า

ที่บอกว่าคุ้นเคยเพราะเขาเคยเจอ…ที่บอกว่าแปลกหน้าเพราะท่าทางของอีกฝ่ายทำให้หวังเป่าเล่อถอนหายใจเบาๆ แต่ก็รู้สึกอยู่มากทีเดียว

 ข้าควรเรียกเจ้าว่าปรารถนาหรือ…เจ้าแห่งสุข  หวังเป่าเล่อกล่าวเสียงทุ้มต่ำ

ใบหน้าของหญิงสาวเบื้องหน้าก็คือ…เจ้าแห่งสุข!

การเผยตัวตนต่อหน้าเขานั้นหากเป็นตอนที่เพิ่งก้าวเข้าสู่โลกาชั้นที่หนึ่ง หวังเป่าเล่อต้องตกใจแน่ แต่เมื่อผ่านด่านปรารถนาทั้งหกมาจนถึงตอนนี้ได้ เขาก็ตระหนักได้ถึงปัญหาของอีกฝ่ายแล้ว

ในความทรงจำของมหาเทพ หวังเป่าเล่อเห็นผู้เยี่ยมยุทธ์ผู้มีนามว่าหลิงเยว่ที่กลายเป็นเจ้าแห่งสุข เพียงแต่มันต่างจากที่เขารู้มา

เมื่อเห็นร่างที่ประกอบขึ้นจากหมอกดำตรงหน้า หวังเป่าเล่อก็คิดถึงเสียงหัวเราะอันคุ้นเคยในปรารถนาเสียง กลิ่นกายที่คุ้นเคยในปรารถนากลิ่น แล้วยังอากัปกิริยาต่างๆ ของอีกฝ่ายในปรารถนาอารมณ์ ทั้งหมดล้วนอธิบายตัวตนของนางได้แล้ว

นอกจากนี้นางยังเป็นคนบอกวิธีเปิดประตูสู่อาณาจักรบนกับเขาด้วย

นางเป็นคนบอกเขาว่าการหลอมรวมเจ็ดอารมณ์จะกลายเป็นปรารถนาอารมณ์ได้

และนาง…เป็นคนมอบตราเจ็ดอารมณ์ให้หวังเป่าเล่อ เรียกได้ว่าปรารถนาอารมณ์นี้ถูกขับเคลื่อนโดยเจ้าแห่งสุขจริงๆ จุดประสงค์ของนางชัดเจนโดยไม่ต้องเอ่ยอะไรเลย

หลังจากมหาเทพแยกโลกาชั้นที่หนึ่งกับสองออกจากกัน เพราะมีต้นกำเนิดมากขึ้น ปรารถนาจึงถูกมหาเทพแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งอยู่ในโลกาชั้นที่หนึ่ง อีกส่วนหนึ่งอยู่ในโลกาชั้นที่สอง

ดังนั้นหากอยากจะควบคุมมหาเทพได้อย่างแท้จริง ปรารถนาก็ต้องรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่นางไม่สามารถรวบรวมปรารถนาอารมณ์ได้จึงไม่สามารถเปิดประตูสู่อาณาจักรบนได้ และในตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็ปรากฏตัวขึ้น

 ขอบคุณเจ้าที่พาข้ามาที่นี่ มิเช่นนั้นข้าก็ไม่รู้ว่าต้องรอไปอีกนานแค่ไหนถึงจะรวบรวมพลังแห่งปรารถนาในโลกาชั้นที่สองและทำลายผนึกได้  ร่างของหญิงสาวที่เกิดจากการรวมตัวของหมอกดำเหนือศีรษะมหาเทพกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นการตอบแทน เจ้าอยากจะเรียกข้าว่าอะไรก็ได้ทั้งนั้น สุขก็ดี ปรารถนาก็ดี มันไม่สำคัญหรอก  เอ่ยถึงตรงนี้นางก็มองลึกเข้าไปในตาหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ มากนัก เพียงแค่มองปรารถนาอย่างเย็นชา

 ทำไมถึงเย็นชานักล่ะ…อันที่จริงเจ้าต้องขอบคุณข้าสิถึงจะถูก เพราะถ้าไม่มีข้าคอยช่วย เจ้าคงได้เจอกับเหตุการณ์ที่มหาเทพผู้แข็งแกร่งดั่งเทพเจ้าเดินทางไปยังโลกของเจ้าและบังคับหลอมรวมกับเจ้าไปนานแล้ว  ปรารถนายังคงมองหวังเป่าเล่อยิ้มๆ แล้วเอ่ยเบาๆ

สิ่งที่นางพูดเป็นความจริง

แม้แต่หวังเป่าเล่อก็ยังต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายพูดถูก หากไม่ใช่เพราะมหาเทพเกิดปัญหา หวังเป่าเล่อคงได้เผชิญหน้ากับการบังคับหลอมรวมของมหาเทพผู้แข็งแกร่งไปนานแล้ว

ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเงียบ

 ไม่พูดล่ะ นั่นก็แปลว่าเห็นด้วยสินะ…มหาเทพน้อย ตามหลักการแล้วเจ้าก็ต้องตอบแทนข้าถูกไหม  ปรารถนาฉีกยิ้ม ตอนที่เอ่ยประโยคนี้ นางอดเลียริมฝีปากไม่ได้ ดวงตายิ่งดำมืด

 ส่งดวงวิญญาณเทพของเจ้ามาเป็นการตอบแทน ตกลงไหม 

 ข้าจะหลอมรวมดวงวิญญาณเทพของเจ้าและใช้เจ้าสร้างอิทธิพลต่อร่างต้นแบบของเจ้า…อย่างที่ข้าบอกไปก่อนหน้านี้ หากเจ้าต้องการอิสระ…ความจริงแล้วมันง่ายมาก 

 หลังจากข้าได้หลอมรวมกับร่างต้นแบบของเจ้าแล้ว กอปรกับมหาเทพที่ข้าควบคุมอยู่ นี่ก็จะเป็นความสมบูรณ์ที่แท้จริง ส่วนเจ้า…ในฐานะร่างแยกของเศษวิญญาณก็ไม่ได้สำคัญอะไร 

 เจ้าสามารถเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองได้ ส่วนข้า…ก็จะพามหาเทพที่สมบูรณ์แล้วออกไปจากมหาจักรวาลผืนนี้  น้ำเสียงของปรารถนาไพเราะและมีพลังโน้มน้าวมาก ทุกคำที่พูดออกมาราวกับมีพลังสั่นคลอนจิตใจผู้อื่น ทำให้หวังเป่าเล่อเกิดหวั่นไหวอยู่ในใจเช่นกัน

 เป็นอย่างไรบ้าง  ปรารถนาสัมผัสได้ถึงความหวั่นไหวของหวังเป่าเล่อในพริบตา แสงดำมืดในดวงตาก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง

 เจ้าพูดขนาดนี้แต่ก็ยังไม่ลงมือ เพราะเจ้าไม่มั่นใจ หรือว่า…เจ้ายังควบคุมมหาเทพได้ไม่สมบูรณ์แบบกันล่ะ  จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็เอ่ยขึ้น

สีหน้าปรารถนาไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย นางยกมือขวาขึ้นมา ในพริบตานั้นเอง ร่างของหวังเป่าเล่อก็หายไปจากตรงนั้นแล้ว เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่กลางอากาศเหนือขั้นบันไดตรงหน้าปรารถนาแล้ว

สีหน้าปรารถนาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่หวังเป่าเล่อกลับสีหน้าเย็นชาอย่างยิ่ง มือขวากำแน่นก่อนจะชกออกไป

หมัดนี้ระเบิดพลังสะท้านฟ้าสะเทือนดินก่อตัวเป็นพายุคลั่งทำให้ปรารถนาถอยหนีไปอย่างลืมตัว นางสะบัดมือควบคุมมหาเทพด้านล่างทำให้มหาเทพยกมือขวาสะบัดไปข้างหน้า

ทันใดนั้นพลังปราณที่บ้าคลั่งกว่าพลันระเบิดออกมาก่อตัวเป็นฝ่ามือยักษ์บีบหวังเป่าเล่อ แต่แล้วพริบตาต่อมาหวังเป่าเล่อที่ถูกบีบกลับกลายเป็นภาพติดตา ตัวเขาจริงๆ ไปปรากฏตัวอยู่อีกด้านของปรารถนาแล้ว

 ดูเหมือนเจ้าจะสู้กับคนไม่เก่งนะ…  หวังเป่าเล่อสายตาเย็นเยียบ ก่อนจะยกมือขวาขึ้น กลางฝ่ามือพลันปรากฏแหล่งกำเนิดแสง

แหล่งกำเนิดแสงนั้นเป็นสีขาวแผ่ลำแสงกว้างใหญ่ นั่นคือ…จุดแสงสีขาว…ที่มหาเทพมอบให้เขาดูความทรงจำ

ทันทีที่ปรากฏ หวังเป่าเล่อก็ต่อยมันอย่างแรง จุดแสงนั้นพลันระเบิดกลายเป็นจุดแสงนับไม่ถ้วนกระจายไปทั่วบริเวณทันที

ทุกที่ที่มันกระจายไปทำให้หมอกดำถูกกัดกิน ปรารถนาหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง ที่สำคัญที่สุด…คือในพริบตาที่จุดแสงระเบิด มหาเทพที่ถูกนางควบคุมไว้และหลับใหลอยู่ในหมอกก็เริ่มขยับเปลือกตาเล็กน้อย!

ร่างต้นแบบกับร่างแยกนั้นบางครั้งแม้จะไม่ได้สื่อสารกัน แต่ก็มีความเข้าใจเชื่อมถึงกันโดยปริยาย…ความรู้สึกนี้สลักไว้ในจิตวิญญาณ

เช่นเดียวกับจุดแสงที่ดูเหมือนเป็นแค่สิ่งเก็บความทรงจำ…

 

ความทรงจำส่วนนี้คือส่วนที่หายไป!
แผนการของมหาเทพสำเร็จไปแล้วหนึ่งส่วน เขาชักนำให้หายนะไม้สีดำมาได้สำเร็จและยังคามันไว้ตรงหว่างคิ้ว ขณะเดียวกันก็แบ่งดวงจิตเทพออกเป็นหนึ่งแสนดวงทยอยกลืนกินตะปูไม้ดำทั้งหนึ่งแสนเล่ม
แต่สุดท้ายหลังจากทำสำเร็จไป 99,999 ดวงจิตเทพ ด้วยความพิเศษของมหาจักรวาลและการหลอมรวมของเซียน ทำให้หวังเป่าเล่อที่นี่พ่ายแพ้
เศษวิญญาณที่กลายเป็นหวังเป่าเล่อเป็นอิสระโดยสมบูรณ์ ฝ่ายมหาเทพไม่สามารถนำเขามาหลอมรวมได้…หากให้เวลามหาเทพสักหน่อย บางทีเขาอาจจะคิดหาวิธีได้
หรือหากสภาพร่างกายเขาเป็นปกติ เขาก็สามารถออกจากการกักตนและเดินทางไปทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามแผนด้วยตัวเองได้
แต่…สิ่งไม่คาดฝัน ไม่ได้มีแค่หวังเป่าเล่อ เพราะได้เกิดเหตุไม่คาดฝัน…กับร่างกายของมหาเทพด้วย
เหตุไม่คาดฝันนั้นก็คือปัญหาใหญ่ที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเขาซึ่งมหาเทพเรียกมันว่า ‘ปรารถนา’
ความจริงของหกปรารถนา
แท้จริงแล้วแม้ความทรงจำของมหาเทพจะยังไม่ฟื้นกลับมาทั้งหมด แต่การหวนคืนมาของดวงจิตเทพแต่ละดวงก็ทำให้เกิดภาพเลือนราง ไม่ปะติดปะต่อกันผุดขึ้นในหัวเขา
แม้ภาพเหล่านั้นจะไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถแสดงผลอะไรได้ และยากที่เขาจะรวมพวกมันเข้าด้วยกัน ทว่าสุดท้ายก็ยังมีภาพพร่าเลือนบางส่วนที่เขาสามารถบังคับมาต่อกันได้
ดังนั้น…ในความทรงจำของมหาเทพ วันหนึ่งเขาก็นึกถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา
คนผู้นั้นเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง นามว่าปรารถนา เขารู้สึกได้ว่าการตายของตนในชาติก่อนอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับนาง
ขณะเดียวกัน มหาเทพก็ได้คาดเดาบางอย่างเอาไว้ ดูเหมือนว่าหลังจากตนดับสิ้นแล้ว หญิงสาวผู้ยี้ได้กระทำการบางอย่างกับศพของเขา
นางต้องการควบคุม
สิ่งที่นางทำนั้น เมื่อเวลาผัยผ่านไปยามที่ร่างกายของมหาเทพเป็นปกติ มันยังไม่ได้ปรากฏขึ้น จนกระทั่งเขาได้ดึงดูดหายนะไม้สีดำเข้ามา ร่างกายอ่อนแอไร้พละกำลัง เมื่อนั้นพลังของปรารถนาถึงได้เผยออกมาราวกับงูพิษพี่รอคอยเวลาอย่างเงียบเชียบ
จนกระทั่งฝั่งหวังเป่าเล่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน นั่นทำให้การหลอมรวมของมหาเทพยืดเยื้อและไม่อาจสมบูรณ์ได้ กอปรกับหลัวที่มาท้าสู้เป็นครั้งที่สอง ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้มหาเทพยิ่งบาดเจ็บหนัก และปรารถนาที่หลบซ่อนอยู่ก็แทรกซึมไปอย่างเงียบเชียบราวกับกำลังสะสมพลังให้มากพอ เพื่อระเบิดในฉับพลัน!
การระเบิดของปรารถนากลายเป็นพลังแห่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา เข้าพันธนาการดวงวิญญาณเทพและกายเนื้อของมหาเทพ กัดกร่อนเขา ทรมานเขา และค่อยๆ ควบคุมเขา
ขณะเดียวกันมันก็ส่งผลกระทบต่อผู้ใต้บังคับบัญชาในมิติเต๋าต้นกำเนิดด้วย ทำให้เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ระเบิดความปรารถนาและเริ่มก่อกบฏ
นี่คือสาเหตุที่มิติเต๋าต้นกำเนิดมีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา
จากนั้นก็ถูกมหาเทพที่ได้รับอิทธิพลจากปรารถนาสยบ ขณะที่มหาเทพต่อสู้กันระหว่างสติปัญญากับความปรารถนาในร่างกาย เหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาก็ถูกทรมานและทำลายล้าง แม้แต่ผู้ที่ยอมจำนนก็ยังต้องสาป สาเหตุทั้งหมดก็เพราะมหาเทพอยากปลดปล่อยความปรารถนาของตน!
หากเขาไม่ปลดปล่อย เขาก็จะพินาศอย่างสมบูรณ์
ดังนั้นจึงเกิดหลุมฝังศพในโลกาชั้นที่สามขึ้น ที่นั่นฝังร่างทุกคนที่เขาสังหาร ขณะเดียวกันเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ก็ถูกเขาเปลี่ยนให้เป็นแหล่งพลังงาน เพราะว่า…เขาต้องการพลังชีวิตมากขึ้นเพื่อต่อต้านปรารถนา
ส่วนโลกาชั้นที่สองนั้น มหาเทพจัดไว้เป็น…ที่ทิ้งขยะจากการต่อสู้กับปรารถนา!
สถานที่นั้นคือกองขยะแห่งอารมณ์
เขามอบความปรารถนาให้ผู้คนที่ยอมจำนนต่อตนเองต่างกันไป ทำให้ผู้คนในโลกาชั้นที่สองต้องฝึกฝนปรารถนา เพื่อ…ให้พวกเขามาช่วยตน!
เทียบเท่ากับการสร้างต้นกำเนิดอื่นเพื่อให้ส่งความปรารถนาของตนลงไปอย่างต่อเนื่องและทำให้เขามีโอกาสฟื้นตัว
แท้จริงแล้วมหาเทพตั้งใจแยกโลกาชั้นแรกและสองออกจากกัน เขาต้องการปิดผนึกโลกาชั้นที่สองเพื่อให้ความปรารถนาในนั้นหมุนเวียนไปเองโดยไม่ล่วงเข้าไปในโลกาชั้นที่หนึ่ง
และเขาก็กักตนอยู่ในโลกาชั้นที่หนึ่ง ซึ่งจะปลอดภัยกว่ามาก
ขณะเดียวกันผนึกของโลกาชั้นที่สองนั้นก็เป็นผนึกด้านเดียว หรือกล่าวได้ว่าความปรารถนาในนั้นไม่สามารถทะลุเข้าไปในโลกาชั้นที่หนึ่งได้ แต่ความปรารถนาในโลกาชั้นที่หนึ่งสามารถส่งไปยังโลกาชั้นที่สองได้
ดังนั้นในปีต่อๆ มา มหาเทพจะส่งความปรารถนาที่เขาไม่สามารถสยบได้และยังเพิ่มขึ้นตลอดเวลาลงไปยังโลกาชั้นที่สอง วิธีการระบายเช่นนี้ทำให้ความกดดันในร่างกายบรรเทาลง
ขณะเดียวกันก็รอคอยโอกาสอย่างเงียบเชียบ เขาไม่ได้ยอมแพ้ ยังคิดว่าสักวันจะสามารถสยบปรารถนาได้ ทำให้ตัวเองไม่ถูกควบคุม เขายังรอคอยว่าสักวันตนจะได้หลอมรวมกับเศษวิญญาณส่วนสุดท้ายแล้วทำให้ตัวเองสมบูรณ์
เขาจึงไม่เต็มใจ แต่ความไม่เต็มใจนี้กลับสอดคล้องกับปรารถนาอารมณ์ ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ปรารถนาอารมณ์แข็งแกร่ง มหาเทพจึงถอดถอนปรารถนาอารมณ์ในโลกาชั้นที่สองและเปลี่ยนมันเป็นเจ็ดอารมณ์แทน
ทว่า ผลลัพธ์ดูเหมือนจะไม่ค่อยดีนัก
ด้วยเหตุนี้แม้จะเตรียมวิธีระบายความปรารถนาไว้แล้ว แต่เพราะความอ่อนแอที่สะสมมาเป็นเวลานานก็ทำให้ความปรารถนาของมหาเทพเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน ไม่ว่าจะระบายอย่างไรก็ไม่อาจควบคุมความเร็วในการเติบโตของมันได้
เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการหลับใหล เวลาที่จะได้ฟื้นคืนอย่างแท้จริงเหลือไม่มาก
นั่นทำให้มหาเทพตระหนักได้ว่า…ตนแพ้แล้ว
เพราะเขาในสภาพนี้ เว้นแต่หวังเป่าเล่อจะเป็นฝ่ายเลือกสละทุกสิ่งและหลอมรวมเองเท่านั้นถึงจะทำได้ มิเช่นนั้นหากเกิดอุปสรรคแม้เพียงเล็กน้อย เขาก็ไม่สามารถหลอมรวมมันได้
ยิ่งกว่านั้น…จากการคาดเดาของมหาเทพ ต่อให้ตนใช้เคล็ดวิชากลืนกินเศษวิญญาณส่วนสุดท้ายได้สำเร็จ แต่ตนที่ถูกปรารถนาควบคุมอยู่ก็ยากจะสยบปรารถนาได้
นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเอ่ยกับหวังเป่าเล่อมากมายขนาดนี้ นั่นเป็นเหตุผลว่าเขาให้หวังเป่าเล่อดูความทรงจำส่วนนี้และนั่นเป็นสาเหตุที่เขากล่าวว่า…เจ้ามาสายเกินไป ข้าแพ้แล้ว
เขาพ่ายแพ้ต่อโชคชะตาและพ่ายแพ้ต่อเวลา
ทันทีที่ประตูสู่โลกาชั้นแรกถูกเปิดออกและกฎเกณฑ์ปรารถนาในโลกาชั้นที่สองไหลเข้ามา มหาเทพก็หมดสิ้นความหวังโดยสิ้นเชิง
และนี่ก็คือสาเหตุที่ผู้พิทักษ์เสวียนเฉิน เอ่ยถามคำถามเดิมถึงสามครั้ง
“เจ้า คิดดีแล้วหรือ”
เจ้าในที่นี้หมายถึงหวังเป่าเล่อและมหาเทพ
แม้ผู้ที่ตอบจะเป็นหวังเป่าเล่อ แต่สำหรับเสวียนเฉินแล้ว ทั้งคู่คือคนเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงไม่ขัดขวางและยินยอมให้หวังเป่าเล่อเปิดประตูเข้ามา
หวังเป่าเล่อสีหน้าสับสน ค่อยๆ ละมือจากจุดแสงแห่งความทรงจำ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไอหมอกดำทั่วร่างที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนมองเห็นมหาเทพที่ปกคลุมอยู่ข้างในได้อย่างเลือนราง
………………

ในดวงตาอันมืดมิดไม่มีสีขาวเลยแม้แต่น้อย ราวกับรูม่านตาละลายกลืนกินทุกสิ่งรอบด้านไปหมดสิ้นแล้ว ทำให้ตาทั้งดวงกลายเป็น…สีดำสนิท

ราวกับสีของความปรารถนาไม่มีผิดเพี้ยน

ไม่เพียงแค่นั้น ในพริบตาที่มหาเทพลืมตา บนร่างเขาพลันเกิดปราณหมอกสีดำลอยขึ้นล้อมรอบตัว ขณะเดียวกันมันก็แผ่ขยายออกมาอย่างต่อเนื่อง มองจากที่ไกลๆ ก็เหมือนกับว่ามหาเทพได้กลายเป็นต้นกำเนิดสีดำ สายหมอกดำแผ่ขยายออกมาราวกับหนวดน่าสยดสยอง

ฉากนี้ทำให้หวังเป่าเล่อดวงตาหดแคบทันที เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนและพลังปราณของความปรารถนาอันแรงกล้าบนตัวมหาเทพ พลังปราณนั้นแข็งแกร่งกว่าเจ้าปรารถนาทุกคนที่เขาเคยเจอ แม้จะหลอมรวมเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาสมบูรณ์แล้ว ความปรารถนาที่เกิดจากตัวเขาก็ยังห่างชั้นกันมาก

ราวกับว่า…ที่นี่ต่างหากที่เป็นต้นกำเนิดความปรารถนา!

การค้นพบครั้งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อใจสั่นไหว เขาคาดเดาได้ลางๆ แล้ว แต่ยังไม่ทันที่ข้อสันนิษฐานในใจจะชัดเจน มหาเทพที่ลืมตาขึ้นมาก็ก้มมองหวังเป่าเล่อจากบนเก้าอี้ที่ปลายบันได

ทันทีที่มองมา จิตใจหวังเป่าเล่อพลันร้องคำรามราวกับมีพลังที่มาพร้อมอำนาจสูงสุดพุ่งตรงเข้ามาเพื่อหวังจะครอบครองร่างกายและกลืนกินทุกสิ่ง

โชคดีที่หวังเป่าเล่อก็ไม่ธรรมดา ดวงตาเขาวาววับ ยืนนิ่งไม่ไหวติงราวกับปะการังในมหาสมุทร

ผ่านไปเนิ่นนาน มหาเทพบนปลายบันไดก็ถอนสายตากลับไปแล้วถอนหายใจเบาๆ

เสียงถอนหายใจนี้ผันผวนอย่างยิ่งราวกับอัดแน่นไปด้วยกาลเวลาที่ล่วงเลยไป มันดังก้องไปทั่วห้องโถงเป็นเวลานานจนหวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเสียงนั้นดังมาจากกาลก่อนเนิ่นนานมาแล้ว เมื่อดังเข้าหูก็ราวกับทำให้ชีวิตของเขาเกิดการเน่าเปื่อย

 ข้า…แพ้แล้ว เจ้า…มาช้าไปแล้ว 

เสียงผันผวนดังก้องขึ้นหลังจากเสียงถอนหายใจก่อตัวเป็นระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นกระจายไปรอบๆ มันแผ่เข้ามาในจิตใจของหวังเป่าเล่อทำให้เขาหายใจถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย

 คุ้มค่าหรือ!  หวังเป่าเล่อเปิดปากทันควัน เสียงดังราวกับพายุปะทะกับระลอกคลื่นนั้นจนเกิดเสียงก้องคำราม

 ข้าติดตามเจ้ามาตลอด…เจ้ามีการแสวงหาของเจ้า เพื่ออิสรภาพของเจ้า…ส่วนข้าก็มีการแสวงหาของข้า เพื่อที่จะสมบูรณ์ เพื่อภารกิจของชาติก่อน  มหาเทพพึมพำ แม้เสียงจะเบาหวิว แต่ในห้องโถงแห่งนี้กลับมีพลังทะลุทะลวงบางอย่าง

 เจ้าก็เหมือนกับข้า ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของชาติที่แล้ว แต่เจ้าแสวงหาตัวเอง ข้าแสวงหาสารัตถะ ดังนั้น…เจ้าจะถามข้าว่าคุ้มค่าไหมน่ะหรือ  มหาเทพเอ่ยถึงตรงนี้ก็ค่อยๆ นั่งตัวตรง ร่างกายส่วนบนเอนไปข้างหน้าเล็กน้อย จ้องมองหวังเป่าเล่อจากด้านบน

 ข้าก็อยากจะถามเจ้าเหมือนกัน ละทิ้งอดีต คุ้มค่าหรือ 

 หลอมรวมกับข้าสิ แล้วพวกเราก็จะแสวงหาชาติก่อนไปด้วยกัน นั่นผิดด้วยหรือ  น้ำเสียงของมหาเทพเต็มไปด้วยความภาคภูมิและเจือไว้ด้วยความกรุ่นโกรธเล็กน้อย ท่าทางนั้นราวกับว่าเขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใด…หวังเป่าเล่อที่เป็นเศษวิญญาณถึงไม่เลิกต่อต้านแล้วกลับมาให้เร็วกว่านี้

หากเป็นเช่นนั้น บางที…ทุกอย่างคงไม่สายเกินไป

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ เขาในตอนนี้ได้ซึมซับภาพความทรงจำของมหาเทพแล้ว รวมกับเบาะแสที่เขาเจอมาตลอดชีวิตนี้จึงได้เข้าใจที่มาของตนอย่างแท้จริง

เขาคือเศษวิญญาณของศพในโลงนั่น มหาเทพก็เช่นกัน พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่จิตใต้สำนึกที่เป็นอิสระทำให้ทั้งสองคนที่เป็นหนึ่งเดียวกันนี้เดินออกไปในเส้นทางที่ต่างกัน

 สิ่งที่เจ้ากำลังแสวงหาคืออดีต 

 สิ่งที่ข้ากำลังแสวงหาคือปัจจุบัน  หวังเป่าเล่อส่ายหน้า มองมหาเทพก่อนจะเอ่ยช้าๆ

 ดังนั้นเจ้าไม่ผิด และข้า…ก็ไม่ผิด แต่หากมองจากสิ่งที่ต้องเสียไป ข้าไม่เห็นด้วยกับวิธีการของเจ้าเพราะมันไม่คุ้มค่าเลย 

มหาเทพนิ่งเงียบ ยามที่มองหวังเป่าเล่อ ในดวงตาดำสนิทคู่นั้นพลันเกิดความสับสน ตั้งแต่เขามีสตินึกคิด เขาก็ไม่เคยคิดว่าจะมีสิ่งมีชีวิตใดในมหาจักรวาลผืนนี้ที่สามารถสนทนากับเขาได้อย่างเท่าเทียม

แม้แต่นกแก้วก็เช่นกัน

ส่วนผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านั้นก็เป็นแค่ผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงอะไร มีเพียง…คนตรงหน้านี้เท่านั้น เพียงผู้เดียวที่มีสิทธิ์

ดังนั้นในความเงียบงัน มหาเทพจึงถอนใจอีกครั้ง

 จะอดีตหรือปัจจุบันล้วนไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว… 

 เดิมที…หากทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น ตอนนี้ร่างกายพวกเราคงสมบูรณ์ และน่าจะออกจากมหาจักรวาลกลับไปยังที่ที่เป็นของเราได้  มหาเทพพึมพำ นัยน์ตาฉายแววสับสนและเสียใจ

 น่าเสียดาย น่าเสียดาย…ข้าเคยคิดว่ามหาจักรวาลผืนนี้พิเศษพอแล้ว แต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะพิเศษถึงขนาดเป็นแหล่งกำเนิดเซียน… 

 ข้าแพ้อย่างไม่เป็นธรรม…แต่ข้าก็อยากรู้จริงๆ ว่าข้าเป็นใคร…และยิ่งอยากรู้ว่าใครเป็นคนสังหารข้า…และสิ่งที่อยากทำที่สุดคือกลับไปยังบ้านเกิดของข้า 

 เรื่องพวกนี้เจ้าไม่เข้าใจหรอก…เพราะตอนที่เจ้าเกิด ข้างกายเจ้า รอบตัวเจ้าคือโลกที่สมบูรณ์แล้ว เจ้ามีคนอยู่เคียงข้าง เจ้าไม่โดดเดี่ยว 

 แต่ข้าไม่ใช่ ข้าเดินอย่างโดดเดี่ยวมาเนิ่นนานเหลือเกิน… 

 บางทีหากสิ่งแรกที่ถือกำเนิดขึ้นตอนนั้นเป็นเจ้า…เจ้าก็คงจะคิดเหมือนข้า 

 แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะ…ปรารถนาได้ตื่นขึ้นแล้ว 

หวังเป่าเล่อใจสั่นสะท้าน ในคำพูดของมหาเทพมีประโยคหนึ่งที่เขาเห็นด้วย บางทีหากเขาเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่ถือกำเนิดขึ้นมาจริงๆ ก็คงจะเลือกเส้นทางคล้ายกัน…

ในความเงียบงัน เมื่อหวังเป่าเล่อฟังประโยคสุดท้ายของมหาเทพดวงตาก็วาววับ เขานึกถึงความทรงจำของมหาเทพที่ขาดหายไปอีกหนึ่งส่วนได้แล้ว ความทรงจำนั้นคือปัญหาที่เกิดขึ้นกับร่างกายมหาเทพที่ไม่มีใครรู้

เพราะปัญหานั้นถึงได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงมิติเต๋าต้นกำเนิดและเกิดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา

 จากนั้นล่ะ?  หวังเป่าเล่อพูดอย่างใจเย็น เขาอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับมหาเทพกันแน่ แม้จะพอคาดเดาได้แล้ว แต่เขาจำเป็นต้องยืนยันเสียก่อน

มหาเทพส่ายหน้า ก่อนจะยกมือขวาขึ้นช้าๆ เขายกมันอย่างยากลำบาก หวังเป่าเล่อเห็นปราณหมอกมากมายพันรัดมือขวามหาเทพเอาไว้ ทำให้ดูเหมือนเขาต้องออกแรงมหาศาลจึงจะทำได้

แสงอ่อนๆ มาบรรจบกันที่ปลายนิ้วของมหาเทพ แสงนั้นไม่ได้สว่างมากเหมือนกับก่อตัวได้ยากลำบากท่ามกลางหมอกดำที่แผ่ขยาย ในที่สุดก็กลายเป็นจุดแสงลอยมาทางหวังเป่าเล่อ

จนกระทั่งปรากฏอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ

พลังปราณจากต้นกำเนิดเดียวกันบนตัวมันทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ชัดเจนมาก สัญชาตญาณบอกเขาว่าในจุดแสงนี้ไม่มีอันตราย ข้างในเป็นเพียงความทรงจำที่เก็บไว้

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ยกมือขึ้นสัมผัสจุดแสงนั้นเบาๆ ทันใดนั้นจิตใจพลันสั่นสะท้าน ความทรงจำ…ปรากฏขึ้นเหมือนกับภาพวาด

………………………

 

Click to Hide Advanced Floating Content

Kingdom66

Brazil999
เมื่อเข้ามาภายในรูปปั้น ท่ามกลางความมืดมิดอันคุ้ยเคย หวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงลมหายใจ
ดูเหมือนว่าบุคคลหนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกของความมืดนี้กำลังหายใจช้าๆ สัมผัสรู้สึกอย่างเนิบช้า จากนั้นก็ปันความสนใจมาทางเขาทีละน้อย
หวังเป่าเล่อมองไปทางเสียงลมหายใจนั้นเงียบๆ
ตรงนั้นดูเหมือนอยู่ไกลมาก แต่ก็ดูเหมือนอยู่ใกล้มากเช่นกัน
ความผันผวนอันคุ้นเคย ปราณกังวานแห่งสายโลหิตทำให้ตัวตนของอีกฝ่ายไม่ใช่ความลับอีกต่อไป
ความมืดที่ขวางกั้นพวกเขาราวกับเป็นพลังงานบางอย่างที่ปิดผนึกไว้ แม้หวังเป่าเล่อจะมองทะลุไปได้ แต่ก็คล้ายกับว่าไม่สามารถทำได้อยู่ดี
เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบงัน เฝ้ามอง…ภาพความทรงจำส่วนที่หกของมหาเทพที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในความมืด
ในภาพ จักรพิภพเต๋าไพศาลหนึ่งแสนแห่งที่ัมาจากดวงจิตเทพหนึ่งแสนดวงของมหาเทพ ตอนนี้เหลืออยู่เพียงหนึ่งแห่งเท่านั้น ที่เหลือล้วนสำเร็จไปหมดแล้ว และเมื่อสำเร็จ…ก็หวนคืนเป็นผลไม้บนต้นไม้ยักษ์ หลังจากถูกมหาเทพดูดกลืน อาการบาดเจ็บของเขาก็ดูเหมือนจะดีขึ้น
แม้จะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่ก็ทำให้มหาเทพเข้าใจว่าแผนการของตนถูกต้อง ดังนั้นเขาจึงเริ่มรอคอยอย่างอดทน รอคอย…การมาถึงของเศษวิญญาณส่วนสุดท้าย
แต่ว่า…เศษวิญญาณส่วนสุดท้ายนั้นกลับไม่เคยปรากฏขึ้นเลย นั่นทำให้มหาเทพเริ่มหมดความอดทน เขาเริ่มร้อนใจ เพราะในกาลเวลาอันเนิ่นนาน ร่างกายที่ใช้เร่งปฏิกิริยาของหายนะไม้สีดำก็เริ่มก่อเกิดปัญหาบางอย่าง
ปัญหาคืออะไรในความทรงจำไม่ได้เผยให้เห็น และหวังเป่าเล่อก็ไม่มีโอกาสได้รับรู้ ราวกับว่าความทรงจำส่วนนี้ถูกลบออกไปอย่างจงใจ
อย่างไรก็ดี ปัญหานั้นก็เป็นผลทำให้มหาเทพอ่อนแอลงเรื่อยๆ และในตอนนั้นเองก็เกิดกลุ่มกบฏขึ้น
ภายในมิติเต๋าต้นกำเนิด อดีตผู้เยี่ยมยุทธ์ของมหาเทพเริ่มต่อต้าน สำหรับพวกเขาแล้วนี่อาจเป็นโอกาสเดียวที่สามารถหลุดพ้นจากการควบคุมของมหาเทพได้
แต่พวกเขาก็ประเมินมหาเทพต่ำเกินไป…
แม้จะได้รับบาดเจ็บจากหายนะไม้สีดำและแม้ร่างกายจะเกิดปัญหา แต่ความแข็งแกร่งของมหาเทพก็ยังสยบการก่อกบฏครั้งนี้ได้
อีกทั้งการปราบกบฏครั้งนี้ มหาเทพที่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายก็ดูจะต่างไปจากในความทรงจำพวกเขาเล็กน้อย ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยปราณหมอกสีดำ วิธีการปราบกบฏก็โหดร้ายอย่างยิ่ง
ในภาพ หวังเป่าเล่อเห็นผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนมากถูกมหาเทพปราบลงไปในที่ฝังศพและสร้างวงแหวนปราณ ทำให้พวกเขาต้องอุทิศพลังชีวิตไปตลอดกาล
เป็นเสมือนแหล่งพลังงาน…
ทุกครั้งที่ถูกดึงพลังชีวิตไป สีหน้าเจ็บปวดจะกลืนกินพื้นที่ในภาพไปเกือบทั้งหมด…ขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อก็ได้เห็นกระบวนการสยบเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาเช่นกัน
เขาเห็นคำสาปของเจ้าปรารถนารสหลังจากยอมจำนน เสียงเดือดปุดๆ ในหม้อขนาดใหญ่ดูน่าสะพรึงกลัว
เขายังได้เห็นความระทมทุกข์ของเจ้าปรารถนาเสียงที่ยอมก้มหัวเพื่อลูกศิษย์ของตน คำสาปบนร่างทำให้นางแผดเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวด
และยังมีร่างกายของเจ้าปรารถนาทัศน์…
ทุกอย่างปรากฏสู่สายตาหวังเป่าเล่อ มหาเทพในภาพเต็มไปด้วยความโหดร้ายและความบ้าคลั่ง ปราณหมอกสีดำนั่นทำให้หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ
กระทั่งตอนท้ายที่สุดหลังจากกบฏถูกปราบจนสิ้นซาก มหาเทพก็ใช้เรี่ยวแรงสุดท้ายเปลี่ยนมิติเต๋าต้นกำเนิดให้กลายเป็นโลกสามชั้น
โลกาชั้นที่สามก็คือหลุมฝังศพ ข้างในนั้นนอกจากผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ถูกลงโทษให้กลายเป็นแหล่งพลังงานแล้วยังมีผู้แข็งแกร่งระดับรองลงมาที่ยังคงหลับใหล
คนเหล่านั้นล้วนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์อีกที
ส่วนโลกาชั้นที่สอง เหล่าผู้คนที่ยอมก้มหัวให้มหาเทพจนถูกทำให้กลายเป็นกฎแห่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาถูกจัดให้อยู่ชั้นนี้และกลายเป็นเจ้าปรารถนา
จากนั้นเขาก็ทำการรักษาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้นไว้อย่างดีและกลายเป็นโลกาชั้นที่หนึ่ง อีกทั้งยังปิดตายระหว่างโลกาชั้นที่หนึ่งและสอง
เปรียบดั่งผนึกและการตัดขาด ทำให้ผู้ฝึกตนและเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในโลกาชั้นที่สองไม่สามารถเหยียบเข้าไปในโลกาชั้นแรกได้ตลอดชีวิต เวลาเดียวกันเสวียนเฉินในฐานะผู้แข็งแกร่งรองจากมหาเทพก็ถูกสยบและกลายเป็นผู้พิทักษ์
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จสิ้น มหาเทพจึงเลือกกักตนอยู่ในโลกาชั้นที่หนึ่ง
นับแต่นั้นเมื่อเวลาไหลผ่านไป ตำนานเทพเจ้าที่หลับใหลก็แพร่กระจายไปในโลกาชั้นที่สอง…
ภาพเคลื่อนไหวมาถึงตรงนี้ก็หยุดลง
เมื่อดูทุกอย่างหมดแล้ว หวังเป่าเล่อก็เข้าใจความทรงจำของมหาเทพในชาตินี้เกือบทั้งหมด ความทรงจำหลังจากนี้เขาพอจะเดาได้แล้ว
ในหลุมฝังศพของโลกาชั้นที่สาม เมื่อเวลาผันผ่าน แม้เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ที่กลายเป็นแหล่งพลังงานจะไม่มีวันตาย แต่สุดท้ายการดูดพลังชีวิตที่มากเกินขีดจำกัดก็ทำให้ไม่อาจอยู่รอดได้ ด้วยเหตุนี้จึงเกิด…การแห้งเหี่ยว
เรื่องนี้เห็นได้ชัดว่าต้องเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับมหาเทพแน่ เขาจำเป็นต้องใช้พลังชีวิตจำนวนมากเพื่อรักษา ส่งผลให้แหล่งพลังงานเหล่านั้นไม่มีเวลาฟื้นตัวและค่อยๆ ตายไป
ที่เหลืออยู่ตอนนี้มีไม่ถึงหนึ่งในสิบ
“บางทีมันอาจเกี่ยวข้องกับข้า…” หวังเป่าเล่อคิดในใจ
ดูท่าว่าเหตุไม่คาดฝันทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่มหาเทพคาดไม่ถึงเช่นกัน บางทีตามแผนเดิมของเขา ยังไม่ทันที่ผู้ใต้บังคับบัญชาจะก่อกบฏ เขาก็น่าจะเก็บดวงจิตเทพทั้งหมดกลับมาได้สำเร็จแล้ว หรือต่อให้เกิดการก่อกบฏแล้วเขาก็น่าจะทำให้ตัวเองสมบูรณ์ไปนานแล้ว และไม่ต้องรอจนพวกเขาตายไปทีละคน
แต่เห็นได้ชัดว่าเหตุไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นได้นำไปสู่ความจริงที่ว่าตอนนี้มหาเทพก็ยังคงไม่สมบูรณ์
ในความเงียบงัน หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงลมหายใจอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ระงับความสับสนในหัวใจและโบกมือไปยังภาพความทรงจำตรงหน้าเบาๆ
ภาพความทรงจำพลันแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกลายเป็นเศษชิ้นส่วนแวววาวมากมายราวกับผีเสื้อกระจายไปทั่วความมืดมิด แสงสว่างพลันเกิดขึ้น
ด้วยแสงสว่างนี้ หวังเป่าเล่อจึงเห็นว่ามีบันไดขนาดมหึมาอยู่ไกลๆ และที่ด้านบนสุดของบันไดถูกปกคลุมด้วยจักรวาลผืนหนึ่ง
แผนที่ดวงดาวไม่คุ้นเคย ไม่ได้อยู่ในมหาจักรวาล
ด้านล่างของแผนที่ดวงดาว ตรงปลายบันไดมีที่นั่งขนาดใหญ่ และบนนั้น…ก็มีร่างหนึ่งนั่งอยู่
มือข้างหนึ่งเท้าคางและวางอยู่บนเก้าอี้ราวกับกำลังหลับสนิท…มีเพียงเสียงหายใจดังก้องไปทั่วห้องโถงอันเงียบสงบแห่งนี้เท่านั้น
เมื่อเศษชิ้นส่วนกระจายไปทั่วพื้นที่ดั่งผีเสื้อ ที่นี่พลันสว่างไสวขึ้น ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็เห็นว่าร่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สวมชุดคลุมยาวสีม่วง เส้นผมหงอกขาว แม้จะกำลังหลับตา แต่รูปร่างหน้าตาก็เหมือนกับตนอย่างกับแกะ ทำให้…ความสับสนในใจหวังเป่าเล่อแผ่ขยายไปทั่วร่าง
มหาเทพกับเขาคือร่างเดียวกัน พวกเขาคือ…สิ่งมีชีวิตใหม่ที่เกิดจากการหลอมรวมกายเนื้อของผู้เยี่ยมยุทธ์คนหนึ่งที่ตายไปแล้วกับไม้สีดำอันแปลกประหลาด
หวังเป่าเล่อจ้องมอง
ผ่านไปนานก็ถอนหายใจเบาๆ แต่กลับดังก้องไปทั่วห้องโถง เสียงนี้ทำให้ร่างที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ดวงตาคู่นั้น…สีดำสนิท!
……………………………………………

หวังเป่าเล่อไม่อาจอธิบายได้ว่าตรงจุดไหนที่ผิดเพี้ยนไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขามีความคิดเช่นนี้ จนกระทั่งอีกไม่กี่ปีต่อมา หวังเป่าเล่อที่ดูมีความสุขในสายตาทุกคนก็นิ่งงันไปเล็กน้อยเมื่อเหม่อมองสายฝนด้านนอก

  ดูเหมือนว่าจะมีบางอย่างไม่ถูกต้อง…   เขาพึมพำ สตรีที่เดินตามหลังเขามาคือหวังอีอีภรรยาของเขา

หวังอีอีสวมกอดหวังเป่าเล่อจากด้านหลังเบาๆ แนบศีรษะซบแผ่นหลังนั้นแล้วเอ่ยถาม

  เป่าเล่อ เจ้าเป็นอะไรไป  

หวังเป่าเล่อหันกลับมามองหวังอีอี จมูกได้กลิ่นกายอันคุ้นเคยบนเรือนร่างของนาง สัมผัสได้ถึงมือของอีกฝ่ายกับมือของตนสอดประสานกัน มองใบหน้าอันคุ้นเคย ก่อนจะส่ายหน้า

  ไม่มีอะไร แค่รู้สึกเหมือนข้าจะลืมอะไรไปบางอย่าง…  

  ไม่ต้องคิดแล้ว เจ้าไม่ได้ลืมอะไรทั้งนั้นแหละ   หวังอีอีหัวเราะ เสียงหัวเราะนั้นช่างคุ้นหูเหลือเกิน หวังเป่าเล่อพยักหน้าตอบรับ

ด้วยเหตุนี้เวลาจึงไหลผ่านไปอีกครั้ง กระทั่งวันหนึ่งซึ่งยังคงเป็นวันที่ฝนตกหนัก หวังเป่าเล่อที่กำลังหลับใหลพลันสะดุ้งตื่น เขาลืมตามองภรรยาที่นอนอยู่ข้างกาย ฟังเสียงฝนด้านนอก ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปเงียบๆ ยืนอยู่ใต้ชายคามองดูสายฝนอย่างเงียบงัน

  มีบางอย่างไม่ถูกต้อง ราวกับว่า…ข้าได้ยินเสียงร้องไห้ สายฝนนี้เป็นดั่งน้ำตา  

หวังเป่าเล่อรู้สึกหดหู่เล็กน้อย เอื้อมมือออกไปคว้าบางอย่างโดยสัญชาตญาณราวกับจะหยิบมันขึ้นดื่ม แต่กลับคว้าได้เพียงอากาศ ในกระเป๋าคลังเก็บไม่มีน้ำเย็นหล่อวิญญาณอีกแล้ว

ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ดื่มน้ำเย็นหล่อวิญญาณมานานมากแล้ว

หวังเป่าเล่อมองมือว่างเปล่า นิ่งเงียบ

จนกระทั่งผ่านไปเนิ่นนาน เขาเหลือบมองสายฝนด้านนอกอีกครั้ง เดินออกไปอย่างเงียบเชียบ เขาเดินไปตามถนนในเมืองที่ตนอาศัยอยู่

สถานที่ที่เขาอาศัยอยู่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนเซียน ที่นี่กว้างใหญ่มาก ดังนั้นแม้ฝนจะโปรยปรายลงมา แต่คนเดินถนนก็ยังมีมากมาย อีกทั้งร้านค้าต่างๆ ก็ยังเปิดให้บริการ

ขณะเดินไปตามถนนเส้นนี้ หวังเป่าเล่อก็เห็นร้านอาหารแห่งหนึ่ง เขามองผ่านมันไปแล้ว ทว่าครู่ต่อมาก็ต้องชะงักฝีเท้าแล้วหันไปจ้องมองร้านอาหารนั้นอีกครั้ง ไม่นาน…ฝีเท้าก็พาเขาให้มาถึงหน้าร้านแห่งนี้

  เถ้าแก่ มีสุราข้าวบ้างไหม   หวังเป่าเล่อถามเสียงเบา

  มี   เถ้าแก่ร้านตอบด้วยรอยยิ้ม ไม่นานก็หยิบไหสุราออกมายื่นให้หวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อถือไหสุราไว้ก่อนจะกระดกเข้าไปอึกใหญ่ เมื่อของเหลงนั้นไหลลงคอ ดวงตาเขาก็ค่อยๆ หรี่ลง วางมันลงแล้วพึมพำเบาๆ

  ดีกว่าน้ำเย็นหล่อวิญญาณจริงๆ…  

  และข้าก็คิดออกสักทีว่าตรงไหนที่ผิดปกติ…  

  ข้าลืมมันไปได้ยังไงกันนะ…ข้าเลิกไล่ตามอิสระได้ยังไง…  

  อีกอย่าง…รูปร่างหน้าตาหวังอีอีก็ไม่ใช่อย่างที่ข้าเคยเห็นในฝัน   หวังเป่าเล่อถอนใจเบาๆ หันไปมองสายฝนยามค่ำคืน เขาเห็นร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งถือร่มกระดาษน้ำมันอยู่ใต้แสงสลัวไม่ไกล

นางนั้นสวมเสื้อผ้าของหวังอีอี ส่งกลิ่นกายคุ้นเคย เสียงหัวเราะคุ้นหู ทว่าเมื่อร่มกระดาษน้ำมันนั้นยกขึ้นและเผยให้เห็นใบหน้า…กลับเป็นใบหน้าที่แปลกตา

ทั้งสองจ้องตากันท่ามกลางสายฝน

กระทั่งภาพตรงหน้าหวังเป่าเล่อเกิดปริออก ค่อยๆ แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาถึงเห็นว่าตอนนั้นเองดวงตาของอีกฝ่ายกลายเป็นสีดำสนิท

พริบตาเดียวทุกอย่างก็หายวับ

หวังเป่าเล่อกะพริบตา เขายังคงยืนอยู่ในด่านสุดท้ายที่เคยอยู่บนท้องฟ้าของโลกาชั้นแรก และเพิ่งจะวางเท้าก้าวแรกลง

ทุกอย่างดูเหมือนจะเกิดขึ้นและขณะออกเดินก้าวแรกนี้ มันก็ทำให้หวังเป่าเล่อยืนเงียบอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน

  เป็นเพราะเจ้าปรารถนาอารมณ์สินะ   หวังเป่าเล่อส่ายหน้า ออกเดินต่อไปเบื้องหน้าอีกครั้ง ทว่าหลังจากก้าวที่สอง ร่างกายเขาก็ต้องกระตุก สองตาหลับลง เนิ่นนานกว่าจะลืมตาตื่น ในนั้นฉายแววสับสน

ในก้าวที่สอง เขาเริ่มจมดิ่งอีกครั้ง

การจมดิ่งครั้งนี้ต่างไปจากครั้งแรก ครั้งนี้แม้เขาจะเอาชนะมหาเทพได้แล้ว แต่กลับไม่ได้เลือกแต่งงานกับหวังอีอี แต่เลือกไล่ตามอิสระจนกลายเป็นเซียนอิสระ

ท่องไปทั่วยุทธภพโดยไร้ห่วง

แต่สุดท้ายเขาก็ยังได้สติ จิตใต้สำนึกรับรู้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องจึงออกมาจากปรารถนาอารมณ์ครั้งนี้ได้

เงียบไปนานหวังเป่าเล่อก็สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินก้าวที่สาม ก้าวที่สี่ ก้าวที่ห้า ก้าวที่หก…

ทุกย่างก้าวนั้นยากเย็นแสนเข็ญ ทุกย่างก้าวทำเขาจมดิ่ง ทุกย่างก้าวเขาคิดว่าตนได้เดินผ่านทุกสิ่งมาจริงๆ

ในก้าวที่สามเมื่อเขาได้เจอมหาเทพหลังจากเข้าไปในรูปปั้นแล้ว เขาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และถูกมหาเทพหลอมรวม จิตใต้สำนึกตกอยู่ในความมืดมิด ไม่สามารถตื่นกลับมาและดูเหมือนจะจมดิ่งไปตลอดกาล

พริบตานั้นดูเหมือนเขาจะได้ยินเสียงเรียกที่ทำให้เขาตื่นขึ้น

ในก้าวที่สี่เขาก็ยังคงพ่ายแพ้ แต่กลับอยู่ร่วมกับมหาเทพ เขาเห็นมหาเทพออกจากมหาจักรวาลไปไล่ตามวิถีของชาติก่อน เข้าไปยังจักรวาลแปลกตาแห่งหนึ่ง มีเพื่อนแปลกหน้าจำนวนหนึ่ง แต่ดูเหมือนสุดท้ายมหาเทพก็ไม่ได้ไล่ตามร่องรอยชาติก่อนของตน

แม้เขาจะฟื้นความทรงจำกลับมาแล้ว แต่ดูเหมือนจะมีอุปสรรคบางอย่างที่ก้าวข้ามไปไม่ได้จึงยากที่จะทำตามแผนเดิม แต่หวังเป่าเล่อกลับย้อนนึกอย่างละเอียดถี่ถ้วน และพบว่าความทรงจำที่กลับคืนมาของมหาเทพยังคงเลือนรางสำหรับเขา

เขาจึงตื่นขึ้น

ในก้าวที่ห้า เขาทำสำเร็จอีกครั้ง หลังจากเอาชนะมหาเทพ เขาไม่ได้กลับไปยังดินแดนเซียน แต่กลับไปโลกศิลา และเลือกที่จะอยู่อย่างสันโดษ สงบสุขและเรียบง่ายในสหพันธรัฐ

ตื่นขึ้นมาได้อย่างไรหวังเป่าเล่อก็จำไม่ได้ จำได้แค่ว่าในช่วงสุดท้ายของชีวิต จู่ๆ เขาก็เกิดความไม่ยินยอม ซึ่งความไม่ยินยอมนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งทำให้ทุกอย่างแตกสลาย

ส่วนก้าวที่หก เขากลายเป็นมหาเทพคนใหม่ ออกจากมหาจักรวาลผืนนี้ไปเพื่อต่อสู้กับเหล่าดวงดาว…

กระทั่งเขาอ่อนล้าถึงขีดสุดและเกิดความสงสัยกับเรื่องนี้ ตอนนั้นเองเขาก็ตื่นขึ้น

ขณะนี้หวังเป่าเล่อยืนอยู่ในด่านปรารถนาอารมณ์อย่างอ่อนล้า เขาครุ่นคิดเงียบๆ เป็นเวลาเนิ่นนาน ก่อนจะออกเดินก้าวที่เจ็ด

ก้าวนี้ดูเหมือนจะต่างจากก้าวอื่นเล็กน้อย เขาเห็นร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าหว่างคิ้วของรูปปั้น และกำลังจ้องมองตนเองอยู่

ร่างนั้นก็คือเสวียนเฉิน

  ข้าจะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย เจ้า…คิดดีแล้วจริงๆ หรือ อยากเข้าไปที่นี่จริงหรือ  

หวังเป่าเล่อเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าตอบ

  ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ข้าก็รับได้ทั้งสิ้น  

เสวียนเฉินมองลึกเข้าไปในดวงตาหวังเป่าเล่อ ไม่กล่าวอะไร ก่อนที่ร่างกายจะค่อยๆ สลายไป

จนกระทั่งร่างของเขาหายไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็มายืนอยู่หน้าหว่างคิ้วของรูปปั้นในที่สุด

อีกแค่ก้าวเดียวก็จะเข้าไปในรูปปั้นและเห็นความทรงจำส่วนที่หกของมหาเทพ และยังได้เห็น…มหาเทพที่แท้จริง

ทว่า…ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้หวังเป่าเล่อลังเล เขายืนครุ่นคิดอยู่ตรงนั้นอย่างรอบคอบเพื่อตัดสินว่าปรารถนาอารมณ์มีอยู่จริงหรือไม่

ครู่หนึ่งดวงตาหวังเป่าเล่อก็เปล่งประกาย จากประสบการณ์นับครั้งไม่ถ้วนทำให้เขาได้ข้อสรุปมากพอแล้ว ครั้งนี้…ไม่ใช่การล่มสลายของปรารถนาอารมณ์

  คำตอบจะเผยออกมาในไม่ช้า   สีหน้าหวังเป่าเล่อปราศจากอารมณ์ใดๆ ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปยัง…หว่างคิ้วของรูปปั้นมหาเทพ!

…………………………………………..

 

ภาพความทรงจำนี้เชื่อมต่อจากความทรงจำส่วนที่สี่
ใช้ตัวเองเป็นกระดานหมากรุกชักนำหายนะสวรรค์ของมหาจักรวาล หลังจากไม้ยักษ์สีดำกลายเป็นตะปูร่วงลงสู่มิติเต๋าต้นกำเนิดแล้ว…ผู้เยี่ยมยุทธ์ใต้บังคับบัญชามหาเทพต่างส่งพลังชีวิตตัวเองมาทำให้มหาเทพรอดจากการโจมตีรุนแรงที่สุดของสารัตถะเต๋าธาตุไม้
จากนั้นก็คือกระบวนการหลอมรวมเข้ากับสารัตถะเต๋าธาตุไม้ตามแผน
แผนการของเขาแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือการคาตะปูไว้ที่หว่างคิ้ว ทำให้มันไม่หนีไปและทำให้มันไม่สามารถทำร้ายร่างกายเขาได้เพื่อจะได้เกิดความสมดุล
ในความสมดุลนี้มหาเทพจึงเริ่มแผนการส่วนที่สอง
ส่วนนี้หวังเป่าเล่อพอจะเข้าใจอยู่บ้าง การดูภาพในตอนนี้ก็เพื่อยืนยันสิ่งที่เขาเข้าใจเท่านั้น
ในสัมผัสเชื่อมต่อของมหาเทพ เศษวิญญาณอีกส่วนหนึ่งก็คือตะปูไม้ดำ ดังนั้นหากเขาหลอมรวมมันได้สำเร็จ ร่างกายก็จะสมบูรณ์และจำทุกอย่างในชาติก่อนได้
แต่เนื่องจากความพิเศษของมหาจักรวาลผืนนี้ เขาจึงไม่สามารถทำได้ในครั้งเดียว แต่ต้องแบ่งและหลอมรวมทีละน้อย ดังนั้นจึงใช้เคล็ดวิชาหนึ่งแสนดวงจิตเทพแบ่งตะปูไม้ดำออกเป็นหนึ่งแสนเล่มราวกับหว่านเมล็ดพันธุ์ เพื่อให้ก่อเกิดเป็นจักรพิภพเต๋าไพศาลทั้งหนึ่งแสนแห่ง
ในจักรพิภพเต๋าไพศาลทั้งหนึ่งแสนแห่ง เมื่อกาลเวลาไหลผ่าน หนึ่งแสนมหาเทพและหนึ่งแสนหวังเป่าเล่อก็จะถือกำเนิดขึ้นทีละคน อย่างแรกคือดวงจิตเทพของมหาเทพ อย่างหลังคือเศษวิญญาณตะปูไม้ดำ และทุกจักรพิภพเต๋าล้วนมีชะตากรรมเดียวกันคือการต่อสู้กันระหว่างมหาเทพและหวังเป่าเล่อ
และด้วยการจัดการของมหาเทพทำให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในจักรพิภพเต๋าไพศาลหนึ่งแสนแห่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างดี ดังนั้นหวังเป่าเล่อทุกคนในจักรพิภพเต๋าไพศาลหนึ่งแสนแห่งจึงไม่มีทางต่อต้านได้สำเร็จ
นี่คือแผนการทั้งหมดของมหาเทพ
เมื่อเห็นทุกอย่างแล้ว แม้หวังเป่าเล่อจะพอรู้เรื่องราวมาก่อน แต่เขาก็ยังมีสีหน้าสับสนไม่น้อย เขาเห็นตัวเองในทุกจักรพิภพเต๋าไพศาลถูกสยบลงทีละคน สุดท้ายจักรพิภพเต๋าก็กลายเป็นผลไม้และหายไปในจักรวาลแล้วปรากฏตัวอยู่ข้างกายมหาเทพ…เป็นวิญญาณจักรพรรดิ
จนกระทั่งจักรพิภพเต๋าไพศาลทั้ง 99,999 แห่งเป็นเช่นนี้ทั้งหมด ในที่สุด…ก็มีจักรพิภพเต๋าหนึ่งเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น
หวังเป่าเล่อก็คือเรื่องไม่คาดฝันนั้น
เขาคือหนึ่งในเศษซากวิญญาณที่กลายเป็นตะปูไม้ดำ แม้ว่าในเชิงปริมาณ สัดส่วนที่เขาครอบครองอยู่นั้นจะเล็กน้อยมาก แต่ถึงจะเล็กน้อยเพียงใดก็ยังเป็นหนึ่งส่วนที่เหลือหลังจาก 99 ส่วน
ไม่มีส่วนนี้ก็ไม่ครบ 100
ดังนั้นการดำรงอยู่ของเขาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อมหาเทพ
แต่ในตอนนี้เองภาพความทรงจำของมหาเทพก็สลายไปอีกครั้ง แต่ท่าทางหวังเป่าเล่อยังคงสับสน เขารู้ว่าการสันนิษฐานของตนอาจจะถูกต้องขึ้นมาจริงๆ
ความพิเศษของมหาจักรวาลนี้ก็คือ สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งกำเนิดเซียน
และสาเหตุที่เขาพิเศษก็เป็นเพราะวิชาสืบทอดเซียน
ถ้าไม่มีตัวแปรเหล่านี้เกรงว่ามหาเทพในปัจจุบันคงจะทำตามแผนสำเร็จ จนร่างกายสมบูรณ์และระลึกชาติได้ไปนานแล้ว
“ยังเหลืออีกหนึ่งด่าน” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก แล้วมองดูโลกาชั้นแรก
โลกนี้ต่างจากที่เขาเคยเห็นก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ซากปรักหักพังบนพื้นดินหายไป แทนที่ด้วยอาคารทุกหนทุกแห่ง ตัวอาคารเหล่านี้…เหมือนกับสหพันธรัฐไม่มีผิด
แม้แต่ในแวบแรกเขายังคิดว่าได้กลับมาที่สหพันธรัฐแล้ว
นอกจากนี้ยังมีฝูงชนมากมายส่งเสียงจอแจ และในโลกนี้ยังมีเมืองอื่นๆ อีกนับหมื่น…
เรียกได้ว่านี่คือโลกใบใหญ่อันอุดมสมบูรณ์
ไกลออกไปสิ่งที่ถูกเมืองนับหมื่นล้อมรอบอยู่ก็คือรูปปั้นแกะสลักของมหาเทพ รูปปั้นนี้ยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นดูสะดุดตาอย่างยิ่ง
เมื่อกวาดสายตามองไปรอบด้านแล้ว หวังเป่าเล่อก็หันไปมองรูปปั้น เขาสัมผัสได้อย่างรุนแรงว่าตนกับมหาเทพในตอนนี้…อยู่ใกล้กันมาก
“ก้าวเข้ารูปปั้นนี้ไป ข้าก็น่าจะได้พบกับเขา…มหาเทพ” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะเลิกสนใจเมืองด้านล่าง เขารู้ดีว่าด่านนี้คือด่านของปรารถนาอารมณ์
และปรารถนาอารมณ์…ก็เป็นปรารถนาที่แข็งแกร่งที่สุดและพิเศษที่สุด โดยเฉพาะที่นี่จะปรากฏปรารถนาอีกห้าอย่างขึ้นด้วย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้มีความเสี่ยงที่จะจมดิ่งมากขึ้น
ในความเงียบงัน หวังเป่าเล่อครุ่นคิดเนิ่นนาน ในที่สุดดวงตาก็เปล่งประกายและก้าวไปข้างหน้า เมื่อวางเท้าลงก็เกิดระลอกคลื่นเป็นชั้นๆ
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย หันมองรอบด้าน หลังจากออกเดินก้าวแรกแล้ว ที่นี่กลับดูเหมือนไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย ซึ่งมันต่างจากห้าปรารถนาก่อนหน้านี้
หลังจากพยายามใคร่ครวญ หวังเป่าเล่อก็ออกเดินก้าวที่สอง ก้าวที่สาม ก้าวที่สี่ ก้าวที่ห้า…
จนกระทั่งก้าวที่หกก็ราวกับว่าโลกใบนี้ไม่มีความปรารถนาอีกแล้ว ทุกอย่างยังคงเป็นปกติ นั่นทำให้หวังเป่าเล่อดวงตาวาววับ มองตรงไปทางรูปปั้นเบื้องหน้า ส่วนลึกของจิตใจคาดหวังอย่างแรงกล้าว่าจะได้พบมหาเทพ ก่อนจะเดินก้าวที่เจ็ดและจากนั้นก็ก้าวเข้าไป…ในหว่างคิ้วของรูปปั้น!
หลังจากเข้าไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่เห็นภาพวาดความทรงจำส่วนที่หกอีก แต่กลับเจอเข้ากับมหาเทพ!
อีกฝ่ายดูเหมือนจะแปลกใจแต่ก็ดูรอคอยกับการมาของเขา จากนั้นการต่อสู้ที่สั่นสะเทือนไปทั้งโลกและปั่นป่วนไปถึงโลกาชั้นที่สอง โลกาชั้นที่สามสามและทั้งมิติเต๋าต้นกำเนิดก็เริ่มขึ้นทันที
มันสนั่นฟ้าสะเทือนดิน มิติเต๋าต้นกำเนิดพังทลาย ฝ่ายมหาเทพที่บาดเจ็บจากหายนะสวรรค์ในตอนนั้น กอปรกับความไม่สมบูรณ์และความเน่าเปื่อยของร่างกายจึงพ่ายแพ้ไปในที่สุด
หวังเป่าเล่อได้รับชัยชนะ เมื่อสยบมหาเทพได้ก็ตัดเหตุต้นผลกรรมกับเขา ก่อนจะเลิกไล่ตามความทรงจำในชาติก่อนและเลือกความสงบสุขในชาตินี้
เหล่าเจ้าแห่งอารมณ์ทั้งหมด หลังจากไม่มีคำสาปมหาเทพแล้วก็เป็นอิสระจากกัน เหล่าเจ้าปรารถนาก็เช่นกัน พวกเขาบางคนเลือกติดตามหวังเป่าเล่อ บางคนเลือกจากไป
เช่นเดียวกับเหล่าผู้ฝึกตนที่เหลืออยู่ในโลกาชั้นที่สาม
เมื่อมิติหลุมเต๋าต้นกำเนิดหายไปและไม่มีมหาเทพอีกแล้ว ทั้งมหาจักรวาลก็กลับคืนสู่สภาพปกติ
ส่วนหวังเป่าเล่อก็กลับมายังดินแดนเซียน ได้พบกับแม่นางน้อยที่กำลังรอคอยเขาอยู่ ได้พบกับศิษย์พี่ของตน ชีวิตสงบสุข
จนกระทั่งไม่กี่ปีต่อมาเมื่อศิษย์พี่ฟื้นความทรงจำในชาติก่อนสำเร็จ เขาก็เข้าร่วมงานแต่งงานระหว่างหวังเป่าเล่อกับหวังอีอีด้วยรอยยิ้ม วันนั้นข้างนอกมีฝนตกหนัก ในห้องทำพิธี เจ้าเยี่ยเหมิงปรากฏตัวขึ้นที่นั่น นางนั่งดื่มสุราจำนวนมากอยู่เงียบๆ
หวังเป่าเล่อจับมือแม่นางน้อยอย่างสุขใจ เขาสังเกตเห็นเจ้าเยี่ยเหมิงที่นั่งอยู่มุมห้องแล้ว แต่กลับแค่ถอนหายใจออกมา ไม่สนใจนางอีกราวกับว่าโลกของเขาและหัวใจนั้นมีเพียงแม่นางน้อยคนเดียว
จับมือกันไว้ อยู่เคียงข้างจนแก่เฒ่า
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ในงานแต่งงานที่แสนคึกคักนี้ ต่อหน้าความเขินอายของแม่นางน้อย ท่ามกลางสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิของตน หวังเป่าเล่อถึงรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่า…มีบางอย่างผิดปกติ
“ผิดปกติที่ตรงไหนกันนะ”
……………..
เซียนคือเต๋าพิเศษชนิดหนึ่งและยังเป็นเหตุผลที่หวังเป่าเล่อไม่ถูกแทรกซึม จนทำให้มหาเทพเกิดตัวแปรไม่คาดฝันที่ใหญ่ที่สุดขึ้น!
เรียกได้ว่าหากไม่มีเต๋าชนิดพิเศษอย่างเซียนในมหาจักรวาล บางทีหวังเป่าเล่อก็อาจไม่ใช่หวังเป่าเล่อ เขาอาจเป็นเหมือนดวงจิตเทพอีก 99,999 ดวงที่มหาเทพแบ่งออกมา สุดท้ายก็หวนกลับไปเป็นวิญญาณจักรพรรดิ และมหาเทพก็จะสมบูรณ์ได้ด้วยเหตุนี้
ทว่ากลับมีเซียนปรากฏขึ้น
มันส่งอิทธิพลต่อหวังเป่าเล่อจนเปลี่ยนแปลงกระบวนการเดิม หากมองย้อนไปตอนที่กู่และหลัวฉวยโอกาสมหาเทพดึงดูดหายนะไม้สีดำมาและกักตนจนหนีออกมาจากมิติเต๋าต้นกำเนิดได้ราวกับมีแรงผลักดันอยู่เบื้องหลัง
มิเช่นนั้นแล้ว…เหตุใดหลังจากหลัวและกู่หนีออกจากมิติเต๋าต้นกำเนิดได้ถึงเจอกับวิชาสืบทอดเซียน…และเพราะการพบเจอครั้งนั้นจึงทำให้กู่และหลัวเกิดสงครามแย่งชิงกัน
เป็นผลให้เกิดการซ่อนตัวของกู่ ผนึกจากฝ่ามือข้างขวาของหลัว รวมถึง…การกลับมายังมิติเต๋าต้นกำเนิดอีกครั้งของหลัวและพยายามท้าสู้กับมหาเทพที่บาดเจ็บจากหายนะไม้อีกครั้ง และพ่ายแพ้ไป
ต้นเหตุของทุกสิ่งดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับวิชาสืบทอดเซียน
และนี่คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อกำลังคิดอยู่ตอนนี้ โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นยุคแรกของมหาจักรวาลจากในภาพความทรงจำของมหาเทพ ดูเหมือนมันจะมีอะไรพิเศษเพราะมันสามารถบังคับให้โลงศพหลอมรวมและกลายเป็นสารัตถะเต๋าธาตุไม้ของตัวมันเองได้
แล้วยังแทรกแซงแผนการฟื้นคืนชีพของมหาเทพทำให้มหาเทพจำต้องอยู่ที่นี่จนกว่าเรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้น
“เป็นไปได้ไหมว่า…เหตุผลที่มหาจักรวาลผืนนี้พิเศษตั้งแต่ยุคแรกนั้นเป็นเพราะ…นี่คือจักรวาลที่สามารถถือกำเนิดเซียนได้!” หวังเป่าเล่อใจกระตุกวูบ ความคิดนี้โลดแล่นอยู่ในหัว
เพราะหากอธิบายแบบนี้ เรื่องทุกอย่างก็ดูจะลงล็อคไปหมด
ความพิเศษของจักรวาลผืนนี้ มาจากความจริงที่ว่ามันคือแหล่งกำเนิดเซียน
เต๋าพิเศษอย่างเซียนได้ถูกกำหนดให้ถือกำเนิดขึ้นที่นี่ ดังนั้น…แผนการอันแข็งแกร่งในสถานที่แห่งนี้ของมหาเทพจึงล้มเหลว
เมื่อครุ่นคิดต่อไป…จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็คิดขึ้นได้อีกว่า มันเป็นไปได้ไหม…ที่หายนะสวรรค์ที่มหาเทพจงใจชักนำมาไม่ใช่แค่หายนะไม้ในที่แจ้งเท่านั้น…
ยังมีหายนะเซียนในที่มืดด้วย!!
หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ เขาไม่ได้รีบร้อนเพราะสัมผัสได้ว่าความจริง…กำลังจะเผยออกมาในไม่ช้า คำตอบของทุกอย่างนั้นใช้เวลาอีกไม่นานเขาก็จะเข้าใจมันกระจ่างแล้ว
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงเงยหน้ามองโลกาชั้นแรกที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกครั้งอย่างสงบ
ตลอดทางที่ผ่านมาโลกแต่ละชั้นเหมือนกับตุ๊กตาแม่ลูกดก หวังเป่าเล่อไม่แปลกใจอีกแล้ว สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของเขามีเพียงซากปรักหักพังที่เปลี่ยนไปของโลกชั้นนี้
เนื่องจากกาลเวลาต่างกัน โลกที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าในตอนนี้จึงดูเหมือนเพิ่งจะกลายเป็นซากปรักหักพัง และยังมองเห็นควันดำลอยขึ้นมาอยู่ไกลๆ
นอกจากนี้สัญญาณชีวิตก็ดูเหมือนจะชัดเจนกว่าในตอนแรก หากหวังเป่าเล่อสังเกตดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็คงจะหาสิ่งมีชีวิตอื่นของที่นี่เจอแน่
และสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็สามารถอยู่รอดได้ในช่องว่างเวลาอันน้อยนิดเท่านั้น
แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญสำหรับหวังเป่าเล่อ ตอนนี้เขารวบรวมสมาธิ ฐานการฝึกฝนในร่างกายไหลเวียนขณะเดินไปยังรูปปั้นอันคุ้นเคย
เขาระมัดระวังมาก เพราะปรารถนาในสี่ด่านที่ผ่านมารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้หวังเป่าเล่อเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าหากพลาดไปเพียงนิดเดียวเขาอาจจะจมดิ่งอยู่ที่นี่จริงๆ
อีกอย่าง…เขามีลางสังหรณ์ว่าปรารถนาที่ต้องเผชิญในครั้งนี้น่าจะเป็นปรารถนาสัมผัส
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะอาศัยวิธีการยืมความเจ็บปวดของปรารถนาสัมผัสมาจัดการปรารถนาอื่นได้อย่างก่อนหน้านี้
ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อก้าวเท้าออกไปก้าวแรก หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงสายลมแห่งฤดูใบไม้ผลิที่พัดมาจนผิวหนังของเขาเย็นเยียบ
ความหนาวนี้ยังแทรกซึมเข้าไปในหัวใจของเขาอย่างรวดเร็วจนไม่อาจบรรยายได้ หวังเป่าเล่อตาวาววับ กฎเกณฑ์ปรารถนาสัมผัสในร่างสำแดงฤทธิ์
“แค่ก้าวแรก กฎเกณฑ์ปรารถนาสัมผัสก็เทียบเท่าเจ้าปรารถนาสัมผัสในตอนนั้นแล้ว…” หวังเป่าเล่อสีหน้ามืดมน เขาครุ่นคิดก่อนจะก้าวต่อไปเป็นก้าวที่สอง
เมื่อวางเท้าลงในสายลมก็ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างเพิ่มเข้ามา มันตกกระทบกับร่างหวังเป่าเล่อ ดูเหมือนมือเล็กๆ กำลังลูบไล้ร่างกายของเขาเบาๆ นั่นทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นทันที หลังจากเงียบไปชั่วครู่ก็แค่นเสียงเย็นชาแล้วก้าวต่อไป
ในก้าวที่สามเขาได้ยินเสียงหัวเราะของผู้หญิง ในก้าวที่สี่ก็ได้กลิ่นกายเพิ่มเข้ามา ในก้าวที่ห้าก็เกิดความหิวกระหายอย่างรุนแรง
ทุกอย่างมารวมตัวกันในก้าวที่หก หญิงสาวถือร่มผู้นั้นพลันปรากฏตัวอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อ นางยกนิ้วลูบไล้เขาผ่านลำคอเบาๆ
การรวมตัวของห้าปรารถนาก่อเกิดความผันผวนมหาศาลที่เหนือกว่าด่านที่ผ่านมา ทำให้ในก้าวที่หกนี้จิตใจหวังเป่าเล่อปั่นป่วนอย่างรุนแรง ลมหายใจถี่กระชั้น ดวงตาแดงก่ำ ดวงวิญญาณเทพจมดิ่ง
แต่หัวใจของเขายังคงสงบนิ่ง
เพราะว่า…ทันทีที่ก้าวเข้ามาในด่านนี้ได้ หวังเป่าเล่อก็คิดวิธีรับมือไว้แล้ว
หลักการเดิมคือสยบปรารถนาด้วยปรารถนา อย่างเช่นในขณะนี้กฎเกณฑ์ปรารถนาอารมณ์ในร่างหวังเป่าเล่อพลันปะทุขึ้น ปรารถนานี้คือโลภในชื่อเสียง โลภในเสียงและรูปลักษณ์ โลภในความรัก
เรียกได้ว่าปรารถนาที่หกนี้คือปรารถนาที่สำคัญที่สุดและเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุดของทุกชีวิต เพราะมันเป็นมายาเลื่อนลอย แบ่งแยกไม่ได้ ความโลภแปลงมาจากมันนั้นยิ่งมีอานุภาพมากจนถึงขีดสุด
มันกำลังปะทุขึ้นอยู่ในร่างกายหวังเป่าเล่อ สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวราวกับเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้า
ท่ามกลางความปรารถนาอันแรงกล้านี้ ปรารถนาสัมผัสก็ดูเหมือนจะไม่มีค่าอะไรเลย เหมือนกับมีคนประเภทหนึ่งอยู่บนโลกซึ่งคนเหล่านี้มักมีความทะเยอทะยานสูงส่ง เวลาแสวงหาสิ่งใด พวกเขาก็สามารถระงับความปรารถนาอื่นๆ ได้เพื่อความทะเยอทะยาน
หวังเป่าเล่อก็กำลังใช้วิธีนี้
ทันใดนั้นร่างของผู้หญิงก็หายไป กลิ่นกายก็หายไป ความหิวกระหายก็หายไป เสียงหัวเราะก็หายไป แม้แต่สัมผัสจากปลายนิ้วก็หายไป หลังจากควบคุมได้ทั้งหมดแล้วหวังเป่าเล่อก็ออกเดินเป็นก้าวที่เจ็ด
เมื่อวางเท้าลง ความปรารถนารอบด้านก็กำลังจะหวนกลับมาและดูเหมือนจะมาในลักษณะที่รุนแรงขึ้นด้วย แต่…ท่ามกลางอิทธิพลของกฎเกณฑ์ปรารถนาสัมผัส หวังเป่าเล่อยิ่งดวงตาแดงก่ำ เค้นเสียงคำรามต่ำออกมา
“ไสหัวไป!”
คำพูดของเขาดูเหมือนจะเป็นไปตามกฎเกณฑ์ทั่วไป พริบตาเดียวก็ทำให้ความปรารถนารอบตัวแตกสลายในทันที มีเพียงปรารถนาอารมณ์ของเขาเท่านั้นที่แรงกล้ามาก ดูจากที่ไกลๆ มันดูเหมือนเปลวเพลิงที่สามารถแผดเผาทุกสิ่งได้
หลังจากก้าวที่เจ็ด หวังเป่าเล่อท่ามกลางเปลวเพลิงก็ก้าวเข้าสู่กลางหว่างคิ้วของรูปปั้น
พริบตานั้นความปรารถนาทั้งหมดสูญสลาย ภาพความทรงจำส่วนที่ห้าของมหาเทพพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อ!
นี่ก็คือกฎเกณฑ์ปรารถนารส
หลังจากหวังเป่าเล่อเข้ามาในมิติเต๋าต้นกำเนิดก็ได้ชำนาญกฎแรกในหกปรารถนาอย่างลึกซึ้ง เรียกได้ว่าเขาเข้าใจมันมากที่สุดในบรรดากฎเกณฑ์ปรารถนาทั้งหกด้วยซ้ำ
ถึงอย่างไรทั้งปรารถนาเสียง ปรารถนาทัศน์รวมถึงปรารถนาอารมณ์นั้นหวังเป่าเล่อใช้เวลาและจิตวิญญาณอยู่กับพวกมันน้อยมาก
มีเพียงกฎเกณฑ์ปรารถนารสที่เขาสื่อสารกับมันมาตั้งแต่แรกเริ่มและค่อยๆ สั่งสมไปช้าๆ จนกระทั่งก้าวเข้าสู่ระดับเจ้าสวาปามจึงเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง
เขาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งว่าต้นกำเนิดของกฎเกณฑ์ปรารถนารสแท้จริงแล้วก็คือความอยากอาหาร และพลังปราณที่เกิดจากความหิวกระหายเช่นนี้ก็คือสารอาหารที่ดีที่สุดสำหรับการฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนารส
อย่างเช่นเทศกาลสวาปามของเมืองปรารถนารสก็คืองานเลี้ยงที่เจ้าปรารถนาและเจ้าสวาปามจะได้สูบพลังปราณแห่งความหิวกระหายจากผู้ฝึกตนทั่วทั้งเมือง
เนื่องจากพอจะเข้าใจ หวังเป่าเล่อในตอนนี้ที่ถึงแม้จะหายใจถี่กระชั้น แต่ดวงตายังคงแน่วแน่ แท้จริงแล้วด้วยระดับการฝึกตนและการบรรลุของเขาในตอนนี้ กฎเกณฑ์ปรารถนารสบริสุทธิ์ไม่สามารถทำให้เขาเป็นอย่างตอนนี้ได้แน่นอน
แท้จริงแล้วสิ่งที่ทำให้กฎเกณฑ์ปรารถนารสแข็งแกร่ง…ก็คือการซ้อนทับของความปรารถนา
ด่านนี้ดูเหมือนจะเป็นกฎเกณฑ์ปรารถนารส แต่ไม่ว่าสิ่งที่ตามองเห็น กลิ่นหอมที่ลอยฟุ้งหรือเสียงอาหารที่กำลังปรุง ความปรารถนาเหล่านี้ เมื่อหลอมรวมเข้าด้วยกันก็ทำให้กฎเกณฑ์ปรารถนารสไปถึงระดับที่น่าเหลือเชื่อ
แม้หวังเป่าเล่อจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของความปรารถนาก็ยังได้รับผลกระทบอยู่
และผลกระทบนั้น…หลังจากหวังเป่าเล่อผ่านมาหลายด่าน เขาก็ได้คำตอบแล้ว
“การต่อสู้ของความปรารถนาและสติปัญญา!” หวังเป่าเล่อพึมพำ แม้หลังจากหกปรารถนาจะสมบูรณ์แล้วและกลายเป็นความปรารถนา แต่ความปรารถนาก็ไม่ใช่ทั้งหมดของเขา ในแง่หนึ่งอาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นผู้ควบคุมปรารถนาของตนเอง
แต่เส้นทางของด่านนี้คือการทำให้ปรารถนาของหวังเป่าเล่อระเบิดออก ยับยั้งสติสัมปชัญญะเหมือนกบฏ ทำให้หวังเป่าเล่อถูกความปรารถนาดึงดูดและสูญสิ้นสติปัญญา
นี่คือสิ่งที่เขาไม่มีทางยินยอม
ในความเข้าใจของหวังเป่าเล่อ ความปรารถนา…เปรียบเสมือนสัตว์ร้าย ส่วนสติปัญญาก็คือกรงที่กักขังสัตว์ร้ายไว้ข้างใน ตัวคุมขังของกรงก็ทำมาจากสติปัญญาเช่นกัน
หากเปิดแม่กุญแจที่กักขังเอาไว้นี้ออก เขาก็จะสูญเสียตัวเอง
อย่างเช่นในตอนนี้ เมื่อกฎเกณฑ์ปรารถนารสระเบิดออก กุญแจคุมขังของกรงขังความปรารถนาในร่างกายเขาก็เริ่มสั่นคลอน แต่เขาก็ไม่ใช่คนธรรมดา ไม่ว่าจะประสบการณ์ในสหพันธรัฐหรือแต่ละฉากของโลกศิลา การที่หวังเป่าเล่อมาถึงจุดนี้ได้แม้จะมีโชคช่วยอยู่บ้าง แต่ความอุตสาหะของเขาก็เป็นหนึ่งในเสาหลักเหมือนกัน!
ใจร้ายกับคนอื่น กับตัวเอง…กลับใจร้ายยิ่งกว่า
นี่คือนิสัยของเขา ดังนั้นเวลานี้ดวงตาเขาวาววับ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นทำเหมือนก่อนหน้า คราบเลือดที่หว่างคิ้วค่อยๆ ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
แต่ที่ต่างกันคือคราบเลือดนี้ลึกมากจนดูเหมือนจะสลักไว้บนกะโหลก เสียงถูที่ดังลอยมาก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้คนตกใจเมื่อได้ยิน
ความเจ็บปวดผสมกับพลังเสริมจากปรารถนาสัมผัสพลันเข้าสยบความปรารถนาทุกอย่างไว้ในพริบตา ดวงตาหวังเป่าเล่อเปล่งประกายขณะก้าวไปข้างหน้าต่อ
อาหารทั้งหมดไร้ความน่าสนใจไปทันที ไม่ว่าจะประณีตแค่ไหน กลิ่นหอมยั่วยวนเพียงใด และไม่ว่าเสียงที่ได้ยินจะชวนน้ำลายสอเท่าไรก็ตาม ทุกอย่างล้วนไร้ผลในความเจ็บปวดของปรารถนาสัมผัส
สีหน้าหวังเป่าเล่อสงบลงเรื่อยๆ เขาเดินเป็นก้าวที่สี่ ก้าวที่ห้า ก้าวที่หก ในพริบตาที่ก้าวเป็นก้าวที่เจ็ด หวังเป่าเล่อก็เตรียมพร้อม ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ตอนนั้นเองเขาก็เห็นร่างหนึ่ง
ร่างนั้นคือหญิงสาวถือร่มที่ปรากฏตัวในด่านก่อนหน้านี้
ปรารถนารสที่รุนแรงขึ้นเป็นเท่าทวีคูณพลันระเบิดออกในตอนนั้นเอง แรงระเบิดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อดวงตาแดงก่ำเล็กน้อย ความรู้สึกอยากจะกลืนกินหญิงสาวตรงหน้าก่อตัวขึ้น
“ตอนนี้เป็นแค่ด่านที่สี่…ก็ทำให้ข้าแทบจะควบคุมไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นด่านที่ห้าปรารถนาสัมผัสรวมถึงด่านที่หกปรารถนาอารมณ์…” หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะควบคุมความบ้าคลั่งในร่างกายได้ เขาเมินเฉยนาง แล้วออกเดินต่อ ก้าวเข้าไปในรูปปั้นของโลกนี้
เมื่อก้าวเข้ามาได้ ประสาทสัมผัสทั้งหมดก่อนหน้าก็หายวับไปทันที สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าคือสิ่งที่เขารอคอย…ภาพจากความทรงจำของมหาเทพ
ในภาพ ดูเหมือนจะเชื่อมต่อกับสิ่งที่เขาเห็นในด่านปรารถนาทัศน์
เมื่อคิดถึงวิธีการ มหาเทพผู้จงใจนำพาหายนะมาได้เตรียมการทุกอย่างไว้ให้เขาเผชิญหน้าเรียบร้อยแล้ว
ในภาพ ทั่วทั้งจักรวาลกำลังร้องคำรามและเกิดกระแสน้ำวนขนาดมหึมาเหนือมิติเต๋าต้นกำเนิด พลังปราณจากในกระแสน้ำวนทำให้ทั่วทั้งมหาจักรวาลสั่นสะเทือน
ในไม่ช้าไม้สีดำขนาดมหึมาก็ค่อยๆ โผล่พ้นออกมาจากกระแสน้ำวน มันมาพร้อมร่องรอยแห่งกาลเวลาไม่รู้จบและตกลงในมิติเต๋าต้นกำเนิด
ขณะตกลงมา ไม้สีดำก็ค่อยๆ หดเล็ก และเมื่อมันทะลวงเข้ามาในมิติเต๋าต้นกำเนิดอย่างสมบูรณ์ก็กลายเป็นตะปูไม้ดำที่อัดแน่นไปด้วยพลังคณานับ แสงแห่งการทำลายล้างและพลังปราณที่สั่นคลอนจักรวาลพุ่งตรงไปยัง…ร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาในส่วนลึกของมิติเต๋าต้นกำเนิด!
ร่างนั้นผมยาว สวมชุดคลุมสีม่วง นัยน์ตาล้ำลึก รูปร่างหน้าตา…เหมือนกันหวังเป่าเล่อ
เพียงแต่อารมณ์ของเขาเคร่งขรึมกว่า สายตาเย็นชาราวกับไม่แยแสต่อทุกสิ่ง มีเพียงยามที่มองตะปูไม้ดำที่กำลังมาถึงเท่านั้น ทำให้สายตาของเขาเกิดอารมณ์ผันผวน
นั่นคือความปรารถนาอันแรงกล้า และยังเป็นความคาดหวังอยู่ลึกๆ!
เห็นได้ชัดว่าเขารอคอยช่วงเวลานี้มานานเหลือเกิน และเพื่อที่จะได้พบกันเร็วขึ้น มหาเทพจึงหยัดกายลุกก่อนจะร้องคำรามไปยังท้องนภา
ในชั่วพริบตาแสงสีดำพลันสว่างวาบ ตะปูไม้ดำกรีดร้องและมาปรากฏตัวตรงหน้ามหาเทพ เมื่อมันสัมผัสหว่างคิ้วของเขาก็ทะลวงผิวหนังและกะโหลกศีรษะราวกับจะทะลุเข้าไป
แต่ตบะบำเพ็ญจากมหาเทพก็พุ่งทะยานขึ้นฟ้าเช่นเดียวกัน ทำให้ตะปูไม้ดำนี้ไม่อาจเข้าไปได้สมบูรณ์ แต่เจาะเข้าไปได้เพียงเจ็ดส่วนก็ยังคาอยู่กลางหว่างคิ้วมหาเทพแบบนั้น
แม้จะแค่เจ็ดส่วน แต่การกระแทกและพลังปราณของมันก็ยังทำให้มหาเทพกระอักเลือด ร่างกายถูกระเบิดลงสู่พื้นดิน ทั่วทั้งมิติเต๋าต้นกำเนิดสั่นสะเทือนราวกับกำลังจะพังทลาย
ร่างกายของมหาเทพในส่วนลึกของพื้นดินนั้นเกิดรอยปริแตกขยายไปทั้งร่างราวกับจะฉีกเขาออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่มหาเทพก็เตรียมพร้อมมาอย่างดี ชั่วพริบตาที่กำลังจะพ่ายแพ้ก็มีพลังปราณไหลมารวมตัวกันจากทั้งแปดทิศ นั่นคือพลังชีวิตที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหมดส่งมาให้เขา
ทำให้ร่างกายของมหาเทพฟื้นตัวอย่างรวดเร็วและค่อยๆ เข้าสู่สภาวะสมดุล!
“จากนั้นก็หลอมรวม!”
“หลังจากหลอมรวมเสร็จ ข้า…ก็จะฟื้นความทรงจำทั้งหมด จำได้ว่าข้าเป็นใคร จำได้ว่าภารกิจของข้าคืออะไร…” มหาเทพนั่งขัดสมาธิพึมพำอยู่ที่พื้นดิน ก่อนจะหลับตาลง
ภาพความทรงจำหยุดลงตรงนี้ ก่อนจะแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและหายไปจากสายตาหวังเป่าเล่อ
เมื่อเห็นเศษชิ้นส่วนเหล่านั้น ความคิดหวังเป่าเล่อก็ผสมปนเปกันไปหมด จู่ๆ เขาก็อยากรู้ว่าหากเขาผ่านด่านหกปรารถนาและได้เจอมหาเทพจริงๆ อีกฝ่ายจะพูดอะไร
เพราะเห็นได้ชัดว่าสุดท้ายแผนการของมหาเทพกลับเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น
“ความพิเศษของมหาจักรวาลผืนนี้…” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด จู่ๆ เขาก็นึกถึง…วิชาสืบทอดเซียน
…………………………………………

หวังเป่าเล่อส่ายหน้า ก่อนจะมองภาพจากความทรงจำมหาเทพตรงหน้าอีกครั้ง สีหน้ายังคงซับซ้อน

ในภาพ แสงแรกแห่งชีวิตที่ถือกำเนิดขึ้นในมหาจักรวาล เขาฝึกตนอยู่ในนั้นเพียงลำพังมานานแสนนาน โชคดีที่การปรากฏตัวของนกแก้วทำให้ทั้งสองชีวิตได้เป็นสหายที่ดีต่อกัน

ในปีต่อๆ มาเมื่อมหาเทพฝึกตนมาถึงระดับหนึ่ง กฎเกณฑ์ของจักรวาลผืนนี้ก็สมบูรณ์ จนก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตรูปแบบอื่นๆ ขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แรกเริ่มมหาเทพมองดูสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นด้วยความสงสัย แต่ไม่ได้ไปรบกวนหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากเกินไป แต่การปรากฏตัวเป็นครั้งคราวของเขาก็ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตเหล่านั้น

รูปสลักของเขาค่อยๆ ถูกร่างไว้ในอารยธรรมยุคแรกที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นสร้างขึ้น เขา…ค่อยๆ ถูกขนานนามว่าเทพเจ้า

จนกระทั่งกลุ่มสิ่งมีชีวิตเริ่มปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ อารยธรรมก่อกำเนิดมากขึ้นเรื่อยๆ ตำนานเทพเจ้าก็ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น…ขณะเดียวกัน ด้วยการชี้แนะจากมหาเทพเป็นครั้งคราว วิธีฝึกตนก็ค่อยๆ เป็นดั่งเมล็ดพันธุ์แพร่กระจายไปในอารยธรรมต่างๆ เหล่านั้น

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่กลุ่มอารยธรรมในมหาจักรวาลผืนนี้เริ่มฝึกตน

เวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า สำหรับมหาเทพที่เฝ้าดูสิ่งมีชีวิตในจักรวาลนี้ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ได้เห็นผู้ฝึกตนปรากฏขึ้นทีละคนก็ทำให้เขามีความสุขมาก

นั่นทำให้เขารู้สึกว่าตนไม่ได้โดดเดี่ยวอีกแล้ว

วันหนึ่งในอารยธรรมหนึ่งก็ได้ถือกำเนิดผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งขึ้น เขาเดินออกจากอารยธรรมของตนและก้าวเข้าสู่จักรวาลซึ่งนั่นดูเหมือนจะเป็นการเริ่มวัฏจักรบางอย่าง ในปีต่อๆ มาผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าก็ถือกำเนิดขึ้นในอารยธรรมต่างๆ

ด้วยเหตุนี้จึงปรากฏผู้ที่พยายามท้าทายเทพเจ้าขึ้นเป็นคนแรก

เชื้อสายของเขาไม่ได้มาจากมหาเทพ แต่มาจากนกแก้วที่หาได้ยากอย่างยิ่งในโลกนี้

นามของเขาก็คือเสวียนเฉิน

การท้าทายของเสวียนเฉินล้มเหลว แต่เขาเลือกที่จะติดตามมหาเทพและกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา

ในปีต่อๆ มาบรรดาผู้ที่บรรลุถึงจุดสูงสุดของตัวเองและท้าทายเทพเจ้าก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละคน แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครทำสำเร็จ แต่กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของมหาเทพไปทีละราย

หากแบ่งเวลาของมหาจักรวาลแห่งนี้ออกเป็นสามช่วงคือช่วงต้น ช่วงกลาง ช่วงปลาย ในมหาจักรวาลช่วงต้น มหาเทพเป็นการดำรงอยู่ราวกับเทพเจ้าอย่างแท้จริง

เขาได้เดินไปบนเส้นทางของตัวเองจนถึงจุดสูงสุดแล้ว

ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้ง 108 คน แต่ละคนล้วนสามารถสยบปฐพีได้หนึ่งยุค ทุกคนล้วนมีตำนานเป็นของตนเอง รวมถึงหลัวผู้ไร้เทียมทานในยุคปลายและกู่ผู้อับโชค

หากกาลเวลาดำเนินไปเช่นนี้ มีมหาเทพในฐานะเทพเจ้าคอยควบคุม ยุคกลางและยุคปลายของมหาจักรวาลก็คงจะยังอยู่ในกำมือเขา

แต่ในตอนนั้นเองความทรงจำของมหาเทพก็ฟื้นขึ้นอีกเล็กน้อย

แม้ว่าการฟื้นความทรงจำครั้งนี้จะไม่ได้ทำให้เขาจำได้ว่าตนเองเป็นใคร จำได้ว่าภารกิจของตนคืออะไรหรือจำตัวตนของตัวเองได้ แต่มันก็ทำให้เขานึกภาพการถูกฝังในโลงศพตอนที่เสียชีวิตขึ้นมาได้

หรือกล่าวให้กระจ่างคือความทรงจำที่ฟื้นคืนมานี้ เกิดจากการรับรู้ของโลงศพที่มีต่อโลกภายนอก

ในตอนนั้นเองมหาเทพจึงตระหนักได้ว่าสาเหตุที่ไม่สามารถเรียกคืนความทรงจำกลับมาได้เป็นเพราะ…เขายังไม่สมบูรณ์

ในโลงศพที่หลอมรวมเข้ากับศพยังมีเศษวิญญาณอีกครึ่งหนึ่งของเขาอยู่

ในชีวิตก่อนของมหาเทพ หลังจากตายแล้วร่างกายและวิญญาณที่แตกกระจายถูกปิดผนึกไว้ในโลงศพตามพิธีกรรมโบราณที่เขาจำรายละเอียดไม่ได้ แต่จำได้ลางๆ ว่าสักวันเขาจะฟื้นคืนชีพ

แต่ที่น่าเสียดายคือพิธีกรรมโบราณนี้ยังไม่เสร็จสิ้น แต่โลงศพที่บรรจุร่างของเขากลับได้พบมหาจักรวาลที่พิเศษแห่งนี้ก่อน

มหาจักรวาลแห่งนี้พิเศษอย่างแท้จริง

โลงศพไม้สีดำล่องลอยอยู่ในจักรวาลเนิ่นนาน พบเจอมหาจักรวาลมากมาย แต่ไม่มีที่ไหนที่หลอมรวมเข้ากับมันได้เลย มีเพียงมหาจักรวาลผืนนี้…ที่ต่างออกไป มันหลอมรวมเข้ากับโลงศพได้อย่างน่าอัศจรรย์ทำให้มันกลายเป็นสารัตถะเต๋าธาตุไม้ เหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้นำไปสู่การฟื้นคืนชีพของมหาเทพ แต่ยังไม่สมบูรณ์

หากอยากจะสมบูรณ์แบบ…เขาต้องดึงเศษวิญญาณอีกส่วนหนึ่งที่อยู่ในโลงศพไม้สีดำกลับมาและหลอมเข้ากับร่างกายตนจึงจะสมบูรณ์อย่างแท้จริง ทำให้พิธีกรรมที่คาดไม่ถึงนี้กลับคืนสู่วิถีเดิม

ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างหวังเป่าเล่อกับมหาเทพจึงไม่ใช่ร่างแยกอย่างที่เขาเคยคิด กล่าวให้ชัดเจนคือเขาก็เหมือนกับมหาเทพ เป็นสิ่งมีชีวิตที่เกิดจากการแบ่งแยกต้นกำเนิด

แต่เนื่องจากกฎเกณฑ์ของมหาจักรวาลผืนนี้ทั้งสมบูรณ์และครบถ้วน อีกทั้งยังมีความพิเศษของตัวมันเอง หากมหาเทพถูกผูกมัดไว้ที่นี่ก็จะไม่สามารถช่วงชิงมาได้ เว้นแต่ว่าเขาจะรอจนกว่ามหาจักรวาลผืนนี้ดำเนินไปถึงยุคปลายและดับแสงลงจึงจะสามารถนำเศษวิญญาณกลับมาและทำให้ตัวเองสมบูรณ์ได้อย่างแท้จริง

แต่…มหาเทพรอนานขนาดนั้นไม่ได้แล้ว

ดังนั้นเขาจึงคิดวิธีหนึ่งขึ้นมา

เขาต้องหลอกล่อมหาจักรวาลผืนนี้ให้มันรู้สึกถึงอันตราย แล้วจากนั้นก็จะเกิดหายนะแห่งการทำลายล้าง หายนะที่รุนแรงที่สุดของมหาจักรวาลผืนนี้ก็คือ…กฎเกณฑ์แรกที่ถือกำเนิดขึ้น

สารัตถะเต๋าธาตุไม้

ภาพความทรงจำจบลงที่ตรงนี้ หวังเป่าเล่อถอนสายตากลับมาและยืนนิ่งเงียบอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน

จากคำกล่าวของคนนอก มหาเทพผู้จองหองพยายามแทนที่เจตจำนงแห่งมหาจักรวาลผืนนี้จึงต้องทนรับหายนะเต๋าห้าธาตุ ทว่าตอนนี้หวังเป่าเล่อรู้แล้ว…

ไม่ใช่มหาเทพจองหอง ทุกอย่างคือสิ่งที่เขาทำโดยเจตนา สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่แทนที่มหาจักรวาล สิ่งเดียวที่เขาต้องการมาตลอดก็คือ…สารัตถะเต๋าธาตุไม้

ย้อนกลับไปในตอนนั้น มหาจักรวาลได้ช่วงชิงโลงศพไม้สีดำไปและบังคับให้มันกลายเป็นสารัตถะเต๋าธาตุไม้ของจักรวาลตน จากนั้น…มหาเทพจึงพยายามนำมันออกมาและช่วงชิงกลับ

นี่ ก็คือความจริง

หวังเป่าเล่อยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ

เขาค้นพบว่ายิ่งรู้มากก็ยิ่งสับสน เมื่อเงยหน้าขึ้นเขาก็เห็นโลกาชั้นแรกที่คุ้นเคยปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว

สายตาของเขาค่อยๆ ล้ำลึกขึ้น

 ยังมีอีกสามด่าน…อีกสามความทรงจำ  หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก แล้ววาบร่างไปข้างหน้า เขาต้องการผ่านทั้งสามด่านโดยเร็วที่สุดเพื่ออ่านความทรงจำของมหาเทพอีกสามส่วนต่อจากนี้

ในพริบตาที่หวังเป่าเล่อก้าวเข้าไป ทุกสรรพสิ่งในโลกก็กลายเป็นอาหาร อาหารแต่ละชนิดต่างแผ่พลังปราณที่ทำให้ผู้คนหิวกระหาย

นั่นก็คือกฎเกณฑ์ปรารถนารส

หากมีเพียงแค่นี้ การแสดงพลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนารสก็ดูจะยังพิลึกไม่พอ หากแต่ว่าที่ประหลาดจริงๆ นั้นก็คือ จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็รู้สึกราวกับว่า…ทุกส่วนในร่างกายของตนได้กลายเป็นอาหารอันโอชะไปเสียแล้ว

เขาต้องยับยั้งชั่งใจอย่างมากเพื่อระงับกฎเกณฑ์ปรารถนารสที่บ้าคลั่งอยู่ในร่างกาย

เพราะว่า…หากระงับมันไม่ได้ ด้วยอิทธิพลของกฎเกณฑ์ปรารถนารสตอนนี้ เขาคงไม่สามารถควบคุมมันให้ไม่กลืนกินร่างตัวเองจนเกลี้ยงแน่

………………………………………

 

เช่นเดียวกับโลกาชั้นที่หนึ่งแบบเดิมทุกประการ ท้องนภาปกคลุมด้วยสีเทาหม่น ผืนดินยังเป็นสีดำ เพียงแต่…ซากปรักหักพังดูเหมือนจะไม่ได้ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานนัก
ดูเหมือนว่าในโลกใบนี้ยังมีพลังชีวิตบางอย่างดำรงอยู่ แต่หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่รับรู้
เขาในตอนนี้สีหน้าสับสน ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน
ความทรงจำของมหาเทพ เขาได้เห็นไปสองฉากแล้ว ตั้งแต่ศพถูกวางใส่โลง ล่องลอยไปในจักรวาลจนกระทั่งเข้ามาในมหาจักรวาลกลายเป็นเต๋าธาตุไม้และก่อเกิดเป็นสิ่งมีชีวิต
และสิ่งมีชีวิตนี้ก็เกิดสตินึกคิดและมีความทรงจำบางส่วนเกิดขึ้นขณะฝึกตน
แต่กลับกัน…เขาจำไม่ได้ว่าตนคือใคร จำไม่ได้ว่ามาจากไหน จำไม่ได้ว่าภารกิจที่ต้องการทำให้สำเร็จคืออะไร
หวังเป่าเล่อไม่เคยสัมผัสกับความเจ็บปวดเช่นนี้ แต่เมื่อมองเศษวิญญาณที่กลับกลายเป็นชีวิตในภาพนั้น หัวใจเขาก็ยุ่งเหยิงขั้นสุด
“นี่ก็คือร่างต้นแบบของข้าใช่ไหม…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ครุ่นคิดเงียบๆ อยู่เนิ่นนาน ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ และเพิกเฉยต่อสภาพของโลกใบนี้พุ่งตรงไปยังจุดที่รูปปั้นตั้งอยู่ทันที
เขาไม่สนการเดินเข้าใกล้ทั้งเจ็ดก้าวอีกแล้ว ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือความทรงจำของมหาเทพ
นั่นคือความจริงทั้งหมดและเป็นข้อมูลที่เขาต้องการมากที่สุดตั้งแต่ไล่ตามมันมาจนถึงตอนนี้
แต่เครื่องกีดขวางของปรารถนาก็ไม่ได้รอช้า แทบจะในทันทีที่หวังเป่าเล่อพุ่งทะยาน ตรงหน้าก็ปรากฏฉากที่ทั้งดูลวงตาและสมจริงขึ้น
เขาเห็นเรือบินลำหนึ่ง นั่นคือเรือบินที่เขาเคยใช้เดินทางไปยังสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ในส่วนลึกของความทรงจำ
เขาเห็นใบหน้าที่คุ้นเคย บิดา มารดา เจ้าเยี่ยเหมิง โจวเสี่ยวหยา อาจารย์…เห็นกระทั่งสหพันธรัฐ เห็นทุกคน เห็นทุกอย่าง
นี่คือ…การสำแดงฤทธิ์อย่างหนึ่งของกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์
มันไม่ได้แสดงความงดงามสมบูรณ์แบบ แต่ก่อตัวจากความทรงจำของตนเองราวกับได้ย้อนกลับไป ดังนั้นในการผสมผสานระหว่างลวงตาและสมจริงนี้ หวังเป่าเล่อจึงถูกบังคับให้เดินเป็นเจ็ดช่วง
ช่วงแรกเขาเห็นบ้านตัวเองในสหพันธรัฐ หวังเป่าเล่อเดินผ่านบิดากับมารดาที่ทำสายตาอาลัยอาวรณ์ไปอย่างเงียบเชียบ
ช่วงที่สองเขาเห็นเจ้าเยี่ยเหมิงที่สวมชุดประจำบ้านกำลังยิ้มแย้ม และโบกมือให้หวังเป่าเล่อราวกับต้องการเอ่ยบางอย่าง แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้หยุดและเดินไกลออกไป
ช่วงที่สามเขาเห็นอาจารย์ อาจารย์นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น กระอักเลือดออกมาราวกับคำสาปปะทุและต้องการการรักษา…หวังเป่าเล่อตัวสั่นเล็กน้อย ทว่ายังคงนิ่งเงียบและเดินผ่านหน้าอาจารย์ที่ค่อยๆ หมดลมหายใจไป
ดวงตาของเขาแดงก่ำ และเมื่อก้าวสู่ช่วงที่สี่ เขาก็เห็นแม่นางน้อย
แม่นางน้อยกำลังมองเขาเช่นกัน สบประสานสายตากันอยู่อย่างนั้น หวังเป่าเล่อหลับตาลงก่อนจะเดินผ่านไปและก้าวสู่ช่วงที่ห้า
ช่วงที่ห้าดูยาวไกลมาก ที่นี่หวังเป่าเล่อเห็นตัวเองนับไม่ถ้วนในโลกที่ต่างกันไป แต่มีจุดจบเหมือนกัน นั่นคือหนึ่งแสนดวงจิตเทพของมหาเทพ…
ดูเหมือนว่าผ่านไปหนึ่งแสนชีวิต ฝีเท้าหวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ ช้าลงราวกับเหลือพลังน้อยเต็มที แต่เขาก็ยังก้าวไปสู่ช่วงที่หก
ที่นี่…ประหลาดมาก
มันมืดมิด ราวกับจักรวาลว่างเปล่าไร้ดวงดาว
ในจักรวาลผืนนี้มีต้นไม้ยักษ์สูงตระหง่านกำลังแผ่พลังปราณน่าอัศจรรย์ราวกับจะสั่นสะเทือนไปทั้งจักรวาลได้ ต้นไม้ต้นนี้เต็มไปด้วยผล ผลแต่ละลูกก็ผันผวนอย่างน่าประหลาด ถ้ามองดีๆ ก็ดูเหมือนดวงดาวหลายดวง
เพียงแต่ผลไม้เหล่านั้นก็คล้ายกับเป็นโรค เต็มไปด้วยจุดสีดำเหมือนดวงตา ทั้งประหลาดและยังมีพลังปราณมืดแผ่ออกมาด้วย
ขณะเดียวกันต้นไม้ยักษ์ที่น่าอัศจรรย์นี้ก็ดูเหมือนกำลังเหี่ยวเฉา…
แต่เมื่อหวังเป่าเล่อมองไปก็เห็นว่าบนต้นไม้มีคนยืนอยู่
คนผู้นี้หันหลังให้ หวังเป่าเล่อจึงมองไม่เห็นใบหน้า ดูเหมือนเขากำลังพูดอะไรบางอย่างกับต้นไม้ยักษ์ แต่หวังเป่าเล่ออยู่ไกลเกินไปจึงไม่ได้ยิน
หากแต่เขากลับมีความรู้สึกว่า ถ้าตนคิดก็สามารถเข้าไปใกล้กว่านี้ได้ และในชั่วพริบตา ไม่เพียงแต่จะได้เห็นหน้าคนผู้นี้ แต่ยังได้ยินสิ่งที่เขาพูดด้วย
ทว่าหวังเป่าเล่อก็ต้องอดกลั้นเอาไว้ เขาสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยจากแผ่นหลังนั้น…และสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยจากต้นไม้ยักษ์
“หนึ่งคือมหาเทพตอนที่ยังไม่ตาย หนึ่งคือโลงศพของมหาเทพ…” หวังเป่าเล่อหลับตากัดฟัน ก่อนจะไปจากที่นี่ จนกระทั่งก้าวเข้าสู่ช่วงที่เจ็ด หัวใจเขาก็ยังมีคลื่นโหมกระหน่ำ
เพราะเขาเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อยแล้ว หกช่วงที่ผ่านมาเขาสามารถอดทนไม่หยุดเดินได้ แต่หากเป็นมหาเทพจริง…ดูท่าว่าคงไม่เป็นเช่นนี้แน่ แต่เพราะเพื่อการไล่ตามทุกอย่างจึงยังคงเลือกที่จะหยุด
“ปรารถนาทัศน์…” หวังเป่าเล่อพึมพำและกำลังจะก้าวออกจากช่วงที่เจ็ด ตอนนั้นเองเขาก็ต้องหน้าเปลี่ยนสี
ตอนนั้นเอง เขาเห็นหญิงสาวคนหนึ่ง หญิงสาวแปลกหน้า
ในช่วงที่เจ็ดนี้อยู่บนถนนในยามพลบค่ำ ใต้แสงไฟสลัวไกลๆ มีหญิงสาวคนหนึ่งยืนถือร่มอยู่ รูปร่างหน้าตาไม่คุ้นเคย และหวังเป่าเล่อมั่นใจว่าตนไม่เคยพบนางมาก่อน
แต่กลับกันก็มีความคุ้นเคยที่อธิบายไม่ถูกอยู่ด้วย เขาเดินผ่านไปช้าๆ เพราะหากคิดจะออกจากช่วงที่เจ็ดนี้ จุดที่ผู้หญิงคนนั้นยืนอยู่คือทางเดียวที่ไปได้
เมื่อเขาเข้าไปใกล้ กลิ่นกายอันคุ้นเคยที่แม้แต่ฝนก็ไม่อาจปกปิดได้รุกรานเข้าไปในจมูกหวังเป่าเล่อทำให้เขาตื่นตระหนก
“เป็นนาง…” กลิ่นกายนั้นเหมือนกับในปรารถนากลิ่นเมื่อครู่นี้ไม่มีผิด
หวังเป่าเล่อเดินไปอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งเขาเดินมาถึงด้านข้างของหญิงสาวคนนั้น ในพริบตาที่จะเดินผ่านไป จู่ๆ นางก็หันมายิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้งให้หวังเป่าเล่อ
รอยยิ้มนั้นงดงามมาก เสียงหัวเราะคุ้นหู แต่นั่นไม่ได้ทำให้หวังเป่าเล่อตกใจ ต้นเหตุที่แท้จริงคือดวงตาของนางนั้น…เป็นสีดำสนิท
เหมือนกับสีของปรารถนา…
หวังเป่าเล่อจิตใจปั่นป่วน แต่ก็ไม่ได้หยุดฝีเท้า เขาก้าวออกจากช่วงที่เจ็ดได้สำเร็จและหายวับไปจากพื้น มาปรากฏตัวอีกครั้ง…ตรงหน้ารูปปั้น ความสับสนและมึนงงถูกเขาสะกดกลั้นไว้ ก่อนจะก้าวเข้าไป
เมื่อเข้าไปในรูปปั้น ความทรงจำของมหาเทพที่เขาใฝ่ฝัน…ก็ปรากฏขึ้นอีกรอบ
แต่ข้อมูลในความทรงจำของมหาเทพครั้งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อจิตใจปั่นป่วนถึงขีดสุดทันทีที่เห็น!
“นี่มัน…ไม่เหมือนกับที่ข้าคิดไว้เลย!!”
“แต่ก็ดูจะเหมือนกันอยู่นะ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ที่แท้นี่ก็คือจุดประสงค์ของมหาเทพ!!”
“ที่แท้ข้า…ก็ไม่อาจเรียกว่าเป็นร่างแยกของมหาเทพได้…” หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนานด้วยสีหน้าซับซ้อน
ไม่นาน เขาก็ถอนหายใจออกมา
“มหาเทพ วิธีของเจ้านั้นแม้ข้าจะเข้าใจ แต่ว่า…มันคุ้มค่าแล้วหรือที่จะไล่ตามอดีตด้วยราคามหาศาลเช่นนี้”
“ข้าไม่เห็นด้วย”
……………………………

เมื่อภาพมาถึงตรงนี้ มันก็ค่อยๆ หยุดนิ่ง ก่อนจะกลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยและหายไปต่อหน้าต่อตาหวังเป่าเล่อ

เมื่อภาพหายไป สิ่งที่ดึงดูดสายตาหวังเป่าเล่อก็คือภาพเดิมที่คุ้นเคย

ยังคงเป็นโลกาชั้นที่หนึ่ง ยังคงเป็นซากปรักหักพังและรูปปั้นค้ำจุนฟ้าดินอยู่ไกลๆ มันแทบจะไม่ต่างจากสองครั้งแรกที่เขาเคยเห็นเลย

ยกเว้นร่องรอยแห่งกาลเวลาที่ไม่เหมือนกัน…

โลกชั้นแรกที่ปรากฏตรงหน้าเขาครั้งแล้วครั้งเล่าให้ความรู้สึกไม่สมจริงราวกับ… เขาไม่เคยก้าวเข้าไปในรูปปั้นมาก่อน ทุกอย่างดูเหมือนเป็นวัฏจักร

แต่…ภาพที่เห็นก่อนหน้านี้กลับสมจริงมาก จนหวังเป่าเล่อยืนนิ่งเงียบไปนาน

 ความทรงจำของมหาเทพ… 

 ในเมื่อปรารถนาเสียงปรากฏขึ้นแล้ว เช่นนั้นปรารถนาอื่นๆ ก็จะตามมา…และทุกครั้งที่เดินเข้าไปก็จะปรากฏภาพความทรงจำ 

หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้น ส่วนลึกในดวงตามีแสงสลัววาบผ่าน เขาก้าวเท้าไปข้างหน้าและวางลง กลิ่นไอจางๆ ก็ดูเหมือนจะลอยมาจากความว่างเปล่าแทรกซึมเข้าไปในจมูกหวังเป่าเล่อ

 ปรารถนากลิ่น?  หวังเป่าเล่อหรี่ตา แม้จะได้ครอบครองกฎเกณฑ์ปรารถนากลิ่นและกลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นกำเนิดแล้ว แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ชะล่าใจ เพราะขนาดปรารถนาเสียงเมื่อครู่ เขาก็มีกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงแต่ก็ยังเผชิญหน้ากับช่วงเวลาวิกฤต

หวังเป่าเล่อจึงก้าวต่ออย่างระมัดระวัง

ในชั่วพริบตากลิ่นหอมจางๆ นั่นก็เข้นข้นขึ้นทันที และดูเหมือนว่าจะผสมปนเปไปกับกลิ่นอื่นๆ ด้วย เมื่อกระทบใบหน้า ความรู้สึกมึนเมาก็แผ่ไปทั่วร่างอย่างไม่อาจควบคุมได้

หวังเป่าเล่อสีหน้าเรียบเฉย แต่กฎเกณฑ์ปรารถนากลิ่นในร่างกายเริ่มไหลเวียนอย่างรวดเร็ว ก้าวที่สาม ก้าวที่สี่ ก้าวที่ห้า… เมื่อเขาวางเท้าลง กลิ่นก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในก้าวที่ห้า ดูเหมือนกลิ่นหอมและความงามจะพุ่งถึงจุดสูงสุดและกลับกลายเป็นกลิ่นเหม็นและความชั่วร้ายในพริบตา แต่ก็ยังมีความหวานเยิ้มอยู่ในนั้น

กลับกัน ความหอมหวานนี้เป็นดังการกระตุ้น เพียงแค่ได้กลิ่นผู้คนก็อดไม่ได้ที่จะอยากอาเจียนราวกับต้องการเอาอวัยวะภายในออกมา

แม้แต่กฎเกณฑ์ปรารถนากลิ่นก็ดูเหมือนจะสยบความรู้สึกเช่นนี้ได้ยากอย่างยิ่ง

สีหน้าหวังเป่าเล่อมืดมน ยามที่เดินต่อเป็นก้าวที่หก ลำคอของเขาพลันเดือดพล่าน เลือดเนื้อทุกตารางในร่างกายคล้ายกับมีสตินึกคิดเป็นอิสระ ถูกกลิ่นนี้ล่อลวงและต้องการจะแยกออกมา

โชคดีที่จิตใจหวังเป่าเล่อหนักแน่น ระดับการฝึกตนไม่ธรรมดา เขาพยายามสยบมันจนถึงระดับสมดุลอย่างยากลำบาก และในตอนนั้นเองเขาก็ได้กลิ่นพิเศษบางอย่างจากในกลิ่นนับไม่ถ้วนนี้

ดูเหมือนจะเป็นไอกลิ่นหอมของร่างกายราวกับว่าใครบางคนกำลังเร้นกายล่องหนอยู่ตรงหน้าเขา ร่างนั้นเดินเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมบนร่างกายของคนผู้นั้นอบอวลอยู่ข้างกายตน

หากมีเพียงแค่นี้หวังเป่าเล่อก็คงก้าวต่อไปได้ ทว่าในพริบตาที่เขากำลังจะวางก้าวที่เจ็ดลง จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะ

 เสียง?  หวังเป่าเล่อหรี่ตาทันที นี่ไม่ค่อยสอดคล้องกับสิ่งที่เขาสันนิษฐานไว้ นี่ไม่ใช่ปรารถนากลิ่นที่บริสุทธิ์ แต่ผสมผสานกับปรารถนาเสียงก่อนหน้านี้ด้วย

เสียงหัวเราะนั้นกับเสียงพึมพำของหญิงสาวที่หวังเป่าเล่อได้ยินตอนสุดท้ายในโลกแห่งเสียง…เป็นคนเดียวกัน!

 เช่นนั้นกลิ่นนี้ก็มาจากนางงั้นหรือ  หวังเป่าเล่อหรี่ตา ก่อนจะฝืนวางก้าวที่เจ็ดลงไป ฉับพลันเสียงหัวเราะก็ยิ่งชัดเจนขึ้น กลิ่นก็ยิ่งรุนแรงแทรกซึมไปรอบๆ ตัวเขากลายเป็นพลังจมดิ่งราวกับจะดึงเขาเข้าไปสู่ขุมนรก

แม้กระทั่งในประสาทรับรู้ หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกราวกับว่าร่างกายของตนกำลังจมดิ่งลงเรื่อยๆ พลังชีวิตของเขาดูเหมือนจะหรี่แสงลง

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเสียงหัวเราะกับกลิ่นตัวนี้ให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับหวังเป่าเล่อมาก แต่ขณะเดียวกันเขาก็จำไม่ได้ว่าความคุ้นเคยนี้มาจากไหน

แต่นั่นไม่สำคัญ ขณะหวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ดวงตาพลันฉายแววเคร่งขรึม ก่อนจะยกมือขวาลูบที่หว่างคิ้วตนเบาๆ เล็บมือจิกผิวหนังขาดจนเกิดความเจ็บปวดรุนแรง

ความเจ็บปวดนี้เพิ่มเป็นเท่าทวีคูณหลังจากได้พลังเสริมจากกฎเกณฑ์ปรารถนาสัมผัสราวกับกระแสน้ำในความว่างเปล่าได้ชะล้างกฎเกณฑ์ปรารถนากลิ่นบนร่างกายหวังเป่าเล่อออกไป

เมื่อทั้งร่างเบาขึ้น หวังเป่าเล่อก็ยกเท้าก้าวเข้าไปในรูปปั้นตรงหน้า พริบตาต่อมากฎเกณฑ์ปรารถนาก็หายวับ ภาพความทรงจำที่เคยเห็นพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่ออีกครั้ง

จิตใจเขาปั่นป่วน รีบดูมันโดยไม่กะพริบตา

ภาพแรกคือภาพมหาจักรวาลเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นคือจุดเริ่มต้นแห่งเอกภพ ปราศจากดวงดาว ปราศจากชีวิต มีเพียงความว่างเปล่า

จนกระทั่งสารัตถะแรกได้ถือกำเนิดขึ้น ณ ที่แห่งนี้ หรือก็คือหลังจากสารัตถะเต๋าธาตุไม้ถือกำเนิด…เพราะมันนั่นเอง ทำให้มหาจักรวาลเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อเป็นทอดๆ

อย่างเชื่องช้า ค่อยๆ ปรากฏดวงดาว ปรากฏสสาร ปรากฏรากฐานสารัตถะอื่นๆ

ในที่สุดเมื่อดาวดวงแรกก่อตัวขึ้นในมหาจักรวาล มหาจักรวาลผืนนี้…ก็ถือกำเนิดสิ่งมีชีวิตแรก!

สิ่งมีชีวิตแรกนี้ก็คือเศษวิญญาณสายหนึ่ง

กล่าวให้ชัดเจนคือเขาอาจไม่ได้ถือกำเนิดในมหาจักรวาลผืนนี้ แต่ดำรงอยู่ในโลงศพสีดำโลงนั้นอยู่แล้ว เมื่อโลงศพกลายเป็นสารัตถะเต๋าธาตุไม้ เขาจึงถูกแยกออกมากลายเป็นเศษวิญญาณ

เขาที่ปราศจากความทรงจำและจิตนึกคิดท่องไปในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ด้วยสัญชาตญาณ

ภาพแรกจบลงที่ตรงนี้ จิตใจหวังเป่าเล่อยิ่งสั่นคลอนอย่างรุนแรง เขากำลังมองเศษวิญญาณนั่น เขาเห็นตัวตนของมันแล้ว…นั่นก็คือมหาเทพ สิ่งมีชีวิตแรกที่ปรากฏในมหาจักรวาล

ด้วยความสับสน หวังเป่าเล่อจึงหันไปดูภาพที่สอง ในภาพนั้นก็ยังคงเป็นเศษวิญญาณ เขาข้ามผ่านกาลเวลามานับไม่ถ้วน เมื่อดวงดาวในมหาจักรวาลมากขึ้น สารัตถะและกฎเกณฑ์ต่างก็พากันปรากฏขึ้น วันหนึ่งดูเหมือนว่าเขาจะมีสตินึกคิดขึ้นมา เขานิ่งเงียบไปนานและไม่ได้เดินเตร่อย่างไร้จุดหมายอีกต่อไป

แต่เลือกที่จะฝึกตน

ระยะแรกของการฝึกตน ไม่มีเคล็ดวิชาใดๆ เพียงแค่อาศัยสัญชาตญาณกำหนดลมหายใจและตระหนักรู้ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนอยู่ระดับใดแล้ว ตอนนั้นเองมหาจักรวาลก็ค่อยๆ ก่อกำเนิดสิ่งมีชีวิตที่สองขึ้น

นั่นคือนกแก้วตัวหนึ่ง

บางทีหากไม่มีการมาของโลงศพไม้สีดำ นกแก้วตัวนี้…อาจเป็นสิ่งมีชีวิตแรกที่ถือกำเนิดในมหาจักรวาล

ระหว่างพวกเขาไม่มีการแย่งชิงกันและอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขมานานแสนนาน จนกระทั่งเมื่อต่างคุ้นเคยกันและกันเป็นอย่างดี การฝึกตนของเศษวิญญาณนั้นก็ดูเหมือนจะมาถึงคอขวด

ดูเหมือนจะเป็นเพราะการฝึกตนขั้นสูง เศษวิญญาณจึงได้ฟื้นความทรงจำกลับมาบางส่วน

ในตอนท้ายของภาพ เศษวิญญาณกำลังกุมศีรษะส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวด…

 ข้าเป็นใคร ข้ามาจากไหน…ที่นี่ไม่ใช่บ้านเกิดของข้า เหตุใดใจข้าถึงบอกว่ามีคนกำลังรอข้าอยู่ มีสิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับข้ายิ่งกว่าชีวิตกำลังรอให้ข้าทำให้สำเร็จ… 

 ข้าจำไม่ได้ ข้าจำไม่ได้… 

 ทำไม…ทำไมถึงนึกไม่ออก… 

…………………………………

 

เวลานี้ทุกคนในโลกาชั้นที่สองต่างก่อเกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในใจ
ในการรับรู้ของทุกคน อาณาจักรบน…คือสถานที่ประทับของเหล่าทวยเทพ
และตอนนี้ประตูบานใหญ่ที่เชื่อมไปสู่อาณาจักรบนนั้นกำลังถูกผลักออกช้าๆ และเมื่อมันเปิดออก ลมจากพลังปราณที่ผุพังพลันพัดลอยออกมาจากช่องประตูพัดเข้ามาในโลกาชั้นที่สองทันที
ลมนี้แรงมากราวกับเป็นเพราะว่าโลกทั้งสองแยกออกจากกัน สสารทุกอย่างในโลกาชั้นแรกจึงถูกปิดผนึกไว้ และตอนนี้เมื่อเปิดออกเนื่องจากความแตกต่างระหว่างสองโลก…จึงพาให้เกิดกระแสลมแลกเปลี่ยนกันอย่างรวดเร็ว!
ลมที่พัดมาจากโลกชั้นแรกทำให้เส้นผมของหวังเป่าเล่อตั้งขึ้น ขณะเดียวกันกฎเกณฑ์จากโลกาชั้นที่สอง…ก็ไหลผ่านประตูเข้าสู่โลกาชั้นแรกไปอย่างเงียบเชียบ
นี่เป็นเพียงแค่การเปิดช่องว่างเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในไม่ช้าด้วยพลังทั้งหมดของหวังเป่าเล่อ ช่องว่างก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งประตูถูกผลักออกจนหมด โลกาชั้นที่สองพลันเกิดเสียงคำราม พื้นดินสั่นสะเทือน ภูเขาสั่นสะท้าน และยังมีสายตาที่มองมาจากโลกชั้นที่สามด้วย
สิ่งที่ตกใจยิ่งกว่านั้นคือเสียงหายใจถี่กระชั้นซึ่งเป็นเสียงหายใจของสิ่งมีชีวิตในโลกาชั้นที่สอง
จากนั้นก็มีร่างทยอยพุ่งขึ้นฟ้า เจ้าแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ดแล้วยังมีเจ้าปรารถนาเสียง เจ้าปรารถนารส เจ้าปรารถนากลิ่นและเจ้าปรารถนาสัมผัส ทั้งหมด 11 ร่างทะยานขึ้นฟ้า
ยังมีอีกสามร่างที่พุ่งทะยานออกมาจากเมืองโบราณ ร่างกายของพวกเขาแผ่พลังปราณแห่งกาลเวลาออกมา แต่ความผันผวนของระดับการฝึกตนแทบจะเทียบเท่าเจ้าปรารถนาได้เลยทีเดียว พวกเขาพุ่งทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าเช่นเดียวกัน
ก่อนที่พวกเขาจะมาถึง หวังเป่าเล่อผู้ผลักบานประตูเป็นคนแรกที่ก้าวเข้าไปยังโลกชั้นที่หนึ่ง สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขาคือกองซากปรักหักพังและฝุ่นไร้ที่สิ้นสุด…
ท้องนภาเป็นสีเทา พื้นดินเป็นสีดำ
อาคารนับไม่ถ้วนพังทลาย โครงกระดูกกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง โลกทั้งใบเงียบสงัด ขณะเดียวกันก็ยังเต็มไปด้วยกลิ่นแห่งความตายและความรกร้างมีเพียงรูปปั้นแกะสลักขนาดมหึมาที่ตั้งตระหง่านอยู่ใจกลางโลกาชั้นแรกเท่านั้นราวกับเป็นตัวแทนของความรุ่งโรจน์ในอดีต
รูปปั้นนั้นใหญ่มากคล้ายเป็นสิ่งค้ำจุนฟ้าดิน สวมเกราะ มองไปยังที่ไกลแสนไกล แต่…ใบหน้าของรูปปั้นกลับว่างเปล่า
เมื่อเห็นทุกอย่างหวังเป่าเล่อก็นิ่งเงียบ ในไม่ช้าด้านหลังเขาก็เกิดเสียงชนกัน เจ็ดอารมณ์และเจ้าปรารถนาทั้งสี่และยังมีผู้ฝึกตนสามคนที่ออกจากเมืองโบราณต่างทยอยกันมาถึง หลังจากเข้ามายังโลกาชั้นที่หนึ่ง ทุกคนพลันเงียบเสียงเมื่อสายตามองเห็นซากปรักหักพังรอบด้าน
“ที่แท้…ที่นี่ก็พังทลายไปนานแล้ว”
“โลกชั้นที่หนึ่ง…ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในตอนนั้น…”
สีหน้าทุกคนแตกต่างกันออกไป เจ้าปรารถนาเสียงถึงกับเดินลงไปในซากปรักหักพังด้านล่าง กวาดสายตามองความเคว้งคว้างรอบด้านนั้น ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย
เพียงแต่พวกเขาที่กำลังจมดิ่งอยู่กับอารมณ์ของตนไม่ได้สังเกตเห็นว่าเมื่อประตูเปิดแง้มมากขึ้น หรือเมื่อพวกเขามาถึง กฎเกณฑ์แห่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาก็ยิ่งหลั่งไหลเข้ามาอย่างเงียบเชียบ และแทรกซึมไปทั่วทั้งแปดทิศแล้ว
มีเพียงหวังเป่าเล่อที่สังเกตเห็นฉากนี้ หลังจากกวาดตามองแล้วเขาก็ไม่ได้สนใจใครและเหาะไปทางรูปปั้น
เขาสัมผัสได้ว่าในโลกใบนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดหลงเหลืออยู่อีกแล้ว ยกเว้น…ด้านในของรูปปั้น
ในที่แห่งนั้นเขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของปราณกังวานที่ตัวเองคุ้นเคยเป็นอย่างดี ราวกับมันเป็นตัวเขาอีกคนหนึ่ง
แม้ทุกคนจะเห็นว่าหวังเป่าเล่อจากไปแล้ว แต่ส่วนใหญ่ก็ยังจมอยู่กับห้วงอารมณ์ของตนเอง บ้างกระจายตัวออกไปราวกับจะหาร่องรอยความทรงจำของตน
มีเพียง…เจ้าแห่งสุขที่ทอดสายตามองไปทางทิศที่หวังเป่าเล่อนั้นมุ่งไป ดวงตาล้ำลึกปกปิดความคิดของตนเอาไว้ แม้คนอื่นจะสังเกตเห็นแต่ก็ไม่สามารถเดาได้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
แต่…ดูเหมือนว่ากฎเกณฑ์แห่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาจะวนเวียนอยู่รอบตัวนางมากขึ้น
ไกลออกไป จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็หันกลับมากวาดตามองข้างหลัง จากนั้นก็หันกลับไปด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์เช่นเดิม ก่อนจะพุ่งตรงไปยังรูปปั้นนั้น
ในไม่ช้าเขาก็มาถึงด้านหน้ารูปปั้นแกะสลักที่เป็นเสมือนสิ่งค้ำจุนฟ้าดินไว้ ไม่รู้ว่ารูปปั้นนี้ตั้งอยู่ที่นี่มาเนิ่นนานเท่าไรแล้ว แต่เจตจำนงแห่งกาลเวลาของมันกลับชัดเจนมาก และมีแรงกดดันแผ่ขยายออกมาราวกับสามารถสยบทุกสิ่งได้
แต่สำหรับหวังเป่าเล่อ ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้พลังสยบนี้ไม่ได้มีผลกับเขามากนัก
เขายืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ สัมผัสถึงทุกสิ่งอย่างระมัดระวัง ในที่สุดก็เดินไปยังหว่างคิ้วของรูปปั้น เขาสัมผัสได้ว่าตรงนี้…คือทางเข้า
รูปปั้นนี้ก็คือ…สถานที่ถือสันโดษของมหาเทพ
“ในที่สุดก็จะได้เจอกันแล้ว” หวังเป่าเล่อพึมพำก่อนจะก้าวไปยังหว่างคิ้วของรูปปั้นหนึ่งก้าว
ร่างของเขาผสานเข้ากับหว่างคิ้วของรูปปั้นและหายวับไปโดยไร้สิ่งกีดขวาง และเมื่อดวงตาเปลี่ยนจากมืดเป็นสว่าง หวังเป่าเล่อก็รู้สึกเหมือนได้ทะลวงปราการเข้ามาชั้นหนึ่งแล้ว
การทะลวงปราการนี้ไร้อันตรายใดๆ เพราะเขาสัมผัสได้ถึงคลื่นผันผวนสายหนึ่งไหลกวาดไปทั่วทั้งตัวราวกับกำลังยืนยันตัวตนของเขา คลื่นนี้คล้ายกับต้องการยืนยันบางอย่าง จากนั้นมันจึงสลายไป
“เจ้าก็กำลังรอข้าอยู่ใช่ไหม” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา มองไปรอบด้าน สิ่งที่ดึงดูดสายตาของเขาคือโลกใบหนึ่ง
โลกใบนี้…เหมือนกับโลกชั้นแรกข้างนอกทุกประการ!
นั่นทำให้หวังเป่าเล่อหรี่ตา ก่อนจะกวาดมองไปทั่วทั้งแปดทิศ เขาเห็นซากปรักหักพัง เห็นเศษฝุ่นและเห็น…รูปปั้นอันคุ้นตาตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ
แต่ใบหน้าของรูปปั้นนั้นดูเหมือนจะมีโครงร่างละเอียดขึ้น และแม้ว่าซากปรักหักพังบนพื้นดินจะดูเหมือนกับโลกชั้นแรกก่อนหน้านี้ แต่แท้จริงแล้ว…หากสังเกตดีๆ จะเห็นความต่างเล็กน้อย
ราวกับวงโคจรเวลาก้าวหน้ากว่า
“ชั้นแล้วชั้นเล่าหรือ…” หวังเป่าเล่อถอนสายตากลับมา ก่อนจะเดินไปยังรูปปั้น ทว่าทันทีที่ก้าวเท้าแรก เขาก็ได้ยินเสียง
เสียงนี้เลือนรางมาก ฟังไม่ชัดเลย แต่ทันทีที่ดังขึ้นกลับกระตุ้นกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของหวังเป่าเล่อทำให้กฎตื่นตัว
หวังเป่าเล่อตาวาววับ ก่อนจะเดินเป็นก้าวที่สอง
เมื่อวางเท้าลง เสียงนั้นก็ยิ่งมากขึ้นราวกับผู้คนมากมายกำลังกระซิบกระซาบกัน นั่นทำให้คนฟังรู้สึกไม่สงบตามสัญชาตญาณ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อที่ครอบครองกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงและกลายเป็นต้นกำเนิดแล้วนั้นสามารถเพิกเฉยต่อมันได้
ดังนั้นเขาจึงเดินออกไปสามก้าว สี่ก้าว ห้าก้าว…
จนกระทั่งเมื่อเดินถึงก้าวที่หก สีหน้าหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะเสียงที่เขาได้ยินไม่ใช่แค่เสียงกระซิบกระซาบอีกแล้ว แต่เป็นเสียงของธรรมชาติ มีทั้งเสียงสิงสาราสัตว์ และเมื่อมันผสมเข้าด้วยกัน พลังที่ก่อตัวขึ้นจึงเพียงพอจะทำลายร่างกายและจิตวิญญาณของมนุษย์คนหนึ่งได้
แม้แต่หวังเป่าเล่อก็ยังต้องปรับตัวอยู่ครู่หนึ่งถึงจะอาศัยพลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเพื่อสยบเสียงเหล่านั้น จากนั้นไม่นานก็ออกเดินก้าวที่เจ็ด
เมื่อเดินก้าวที่เจ็ด เขาก็มาอยู่หน้าหว่างคิ้วของรูปปั้นแล้ว ทว่าตอนนี้สีหน้าหวังเป่าเล่อกลับเปลี่ยนไปครั้งใหญ่
เพราะ…เสียงครั้งนี้ต่างออกไป
เขาไม่อาจสยบได้ เสียงทั้งหมดดูเหมือนจะผสานเข้าด้วยกันและหวนคืนสู่เสียงกระซิบของคนผู้หนึ่งดังเดิม อีกฝ่ายดูเหมือนจะพูดอยู่ตลอดเวลา แต่หวังเป่าเล่อก็ยังฟังไม่ออก แต่…พลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงทำให้เขาสัมผัสได้ว่าผู้ที่พูดอยู่นั้น…เป็นหญิงสาวนางหนึ่ง!
ราวกับว่าเสียงของนางสามารถบรรจุสิ่งมีชีวิตได้ทั้งหมด และตอนนี้เสียงของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดผสานเข้าด้วยกันจึงเผยออกมาอีกครั้ง
ขณะเดียวกันเสียงนี้ก็ดูเหมือนอัดแน่นไปด้วยพลังไม่รู้จบ เมื่อได้ยินอย่างต่อเนื่องก็ทำให้ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทาราวกับเลือดเนื้อทั่วร่างไม่อาจทนรับได้และกำลังจะพังทลาย
และการสยบของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงก็กำลังจะไร้ผล…
ในช่วงเวลาสำคัญนี้เอง ดวงตาหวังเป่าเล่อวาววับ ปราณโลหิตในร่างพลันปะทุขึ้น ในที่สุดก็สยบเสียงของหญิงสาวผู้นี้ไว้ได้ครู่หนึ่ง
เขาอาศัยเวลาชั่วครู่นี้วาบร่างไปข้างหน้าและก้าวเข้าไปในหว่างคิ้วของรูปปั้นโดยไร้สิ่งกีดขวางเช่นเคย
เมื่อผสานเข้าไป เสียงทั้งหมดก็หายไปทันที ท่ามกลางความเงียบสงบอีกครั้งนั้น สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าหวังเป่าเล่อคือภาพเคลื่อนไหวชุดหนึ่ง…
ดูเหมือนว่าทุกอย่างก่อนหน้านี้เป็นเพียงการทดสอบ หากผ่านเข้ามาได้ก็จะได้รับรางวัล
ภาพเหล่านี้ก็คือรางวัล ทันทีที่เห็นภาพวาด จิตใจหวังเป่าเล่อก็เกิดคลื่นลูกใหญ่ถาโถม!!
เพราะในภาพพวกนั้นมีบางภาพที่เขาเคยเจอ!
ภาพแรกคือภาพจักรวาลที่ไม่คุ้นเคย
กลางจักรวาลดูเหมือนจะกำลังจัดพิธีฝังศพอยู่ มีร่างที่น่าอัศจรรย์กระจายอยู่ทุกหนทุกแห่งของจักรวาล แต่ละคนล้วนแข็งแกร่งอย่างน่าทึ่ง และตอนนี้พวกเขากำลังก้มหัวให้กับสถานที่ฝังศพ
ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เขามั่นใจว่า…จักรวาลนั้นไม่ใช่มหาจักรวาลผืนนี้อย่างแน่นอน
“เป็นจักรวาลอื่นนอกมหาจักรวาล…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ก่อนจะดูภาพที่สอง
ในภาพตรงใจกลางจักรวาลมีศพถูกฝังอยู่ใน…โลงศพไม้สีดำ
ทันทีที่เห็นศพนั่น หวังเป่าเล่อก็ตัวสั่นเทิ้ม พริบตาแรกที่เห็นโลงศพสีดำ จิตวิญญาณของเขาก็ปั่นป่วนอย่างรุนแรง
เพราะอย่างแรกนั้นเหมือนกับตนไม่มีผิด
และอย่างหลังก็คือโลงศพไม้สีดำของตน
ผ่านไปเนิ่นนาน หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะดูภาพที่สาม
ในภาพ โลงศพไม้สีดำถูกส่งเข้าไปยังจักรวาลแห่งหนึ่ง นั่นดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมของจักรวาลผืนนั้น ผู้เยี่ยมยุทธ์มากมายเฝ้าดูโลงศพล่องลอยไปในส่วนลึกของจักรวาล…กาลเวลาไหลผ่าน โลงศพสีดำนี้ก็ลอยข้ามจากจักรวาลหนึ่งไปยังอีกจักรวาลหนึ่ง และในที่สุด…
มันก็เข้ามาใกล้มหาจักรวาลที่หวังเป่าเล่อคุ้นเคย
ปราการของมหาจักรวาลถูกโลงศพกระแทกจนเกิดช่องว่าง มันลอยเข้ามาอย่างราบรื่น…
ชัดเจนว่ามหาจักรวาลในภาพนั้นคือช่วงเวลาหลายล้านปีก่อน มหาจักรวาลในตอนนั้น…ราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดถือกำเนิด แม้แต่ดวงดาวก็ยังไม่ก่อตัวคล้ายเป็นเพียงฟองอากาศ
ในมหาจักรวาลที่เหมือนกับฟองอากาศนี้ อาจเนื่องมาจากกาลเวลาหรือเหตุผลบางอย่าง ในที่สุดศพในโลงก็เน่าเปื่อยลงช้าๆ เลือดเนื้อกับโลงศพหลอมรวมเข้าด้วยกัน
โลงศพคล้ายจะสูญเสียพลังในการล่องลอยของมัน มันจึงหยุดอยู่ในมหาจักรวาลที่เหมือนกับฟองอากาศแห่งนี้ กระทั่งไม่กี่ปีต่อมาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของมหาจักรวาลไปแล้ว มันหลอมรวมเข้าด้วยกันและหายไป
ทว่า ชั่วเวลาก่อนที่มันจะหายไปนั่นเอง ในมหาจักรวาลที่สภาพคล้ายกับฟองอากาศแห่งนี้ก็มีสารัตถะหนึ่งที่กำเนิดขึ้น
นั่นคือ…สารัตถะเต๋าธาตุไม้
…………………………………………………
“ต้นกำเนิดแห่งปรารถนา…” หวังเป่าเล่อพึมพำขณะยืนอยู่ในหอคอยเจ้าปรารถนาของเมืองปรารถนาสัมผัส เจ้าปรารถนาสัมผัสข้างกายมองหวังเป่าเล่ออย่างสั่นกลัว ด้วยระยะใกล้เช่นนี้ทำให้นางสัมผัสได้ถึงความผันผวนในร่างกายหวังเป่าเล่ออย่างชัดเจน
ความผันผวนนี้ให้ความรู้สึกรุนแรงราวกับว่าเมื่อมันแผ่ออกมาแล้วจะทำให้ตนสูญสิ้นสติปัญญาและจมดิ่งสู่ห้วงปรารถนาตลอดไป
“แล้ว…เหตุใดมหาเทพถึงเปลี่ยนที่นี่เป็นโลกแห่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาหรือพูดให้ชัดเจนคือเหตุใดมหาเทพถึงนำความปรารถนาของตนมาไว้ที่นี่” หวังเป่าเล่อเงียบ เขาเงยหน้าขึ้นเป็นเวลานาน ดวงตาสีเข้มมองไปยังท้องฟ้า
ไม่รู้เหตุใดจู่ๆ เขาก็นึกถึงคำถามที่จักรพรรดิเสวียนเฉินถามเขาถึงสองครั้งขึ้นมา
“เจ้า คิดดีแล้วหรือ”
แม้หวังเป่าเล่อในตอนนั้นจะใช้การกระทำเป็นการตอบ แต่เมื่อไตร่ตรองเขาไม่ได้กล่าวอะไร ไม่ได้เอ่ยคำตอบออกไปด้วยซ้ำ
หวังเป่าเล่อครุ่นคิด เขาก้มหน้าลงพร้อมยกมือขวาขึ้น พริบตาต่อมาหมอกสีดำก็มารวมตัวกันตรงกลางฝ่ามือกลายเป็นลูกบอลสีดำ ข้างในนั้นราวกับอัดแน่นไปด้วยสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่แผ่ความปรารถนาไม่รู้จบออกมา ขณะเดียวกันก็ราวกับกำลังดิ้นรนอยากหลุดพ้นจากฝ่ามือหวังเป่าเล่อ
เจ้าปรารถนาสัมผัสด้านข้างก็ยิ่งตัวสั่นเข้าไปอีก
หวังเป่าเล่อมองอยู่นานก่อนจะเก็บมันเข้าร่างกาย จากนั้นก็ก้าวเท้าไปข้างหน้า พริบตาต่อมาเขาก็ออกไปจากเมืองปรารถนาสัมผัสแล้ว
จนกระทั่งร่างของเขาหายไปจากเมือง เจ้าปรารถนาสัมผัสถึงได้ถอนหายใจโล่งอก แต่ความตื่นตระหนกและความหวาดกลัวในดวงตายังคงอยู่
“พลังปราณในกายของเขาน่าสะพรึงกลัวจริงๆ…แล้วยังมีหมอกสีดำนั่น…” เจ้าปรารถนาสัมผัสพึมพำราวกับหวนนึกถึงความทรงจำบางอย่างที่ทำให้นางตัวสั่น
ในเวลาเดียวกันหวังเป่าเล่อที่ออกมาจากเมืองปรารถนาสัมผัสก็สัมผัสได้ว่าสภาพของตนในปัจจุบันมาถึงจุดสูงสุดของโลกใบนี้แล้ว ด้วยร่างกายนี้หากเผชิญหน้ากับจักรพรรดิเสวียนเฉินอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็มั่นใจว่าจะสยบเขาและเปิดประตูได้
อาจกล่าวได้ว่าเป้าหมายในการมามิติเต๋าต้นกำเนิดครั้งนี้ใกล้จะสำเร็จแล้ว อีกไม่นานเขาก็จะได้พบมหาเทพที่กำลังถือสันโดษ จากนั้นก็คือการตัดเหตุต้นผลกรรมและทำให้ตัวเองเป็นอิสระ
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาตอนนี้ถึงได้เกิดความลังเลใจอยู่ตลอด
ขณะใคร่ครวญถึงสาเหตุของความลังเลนั้น หวังเป่าเล่อก็เดินไปในโลกชั้นที่สองอย่างไร้จุดหมาย ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดเขาก็มาถึงทะเลทราย
“ไม่นึกว่าจะมาถึงนี่” หวังเป่าเล่อมึนงง เขาเงยหน้ามองไปรอบด้าน แววตาฉายความสับสน
ที่นี่คือสถานที่ที่ร่างต้นแบบของเขาอยู่ เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณจากร่างใต้ผืนทราย ดูท่า…ร่างต้นแบบก็รับรู้ถึงการมาของเขาด้วยเช่นกัน
เขากับร่างต้นแบบ หนึ่งคนอยู่บนผืนทราย หนึ่งคนอยู่ใต้ผืนทราย หนึ่งคนก้มหน้า หนึ่งคนเงยหน้าราวกับดวงตาของพวกเขากำลังสบประสาน
ร่างต้นแบบและร่างแยกต่างนิ่งเงียบ
ไม่นานจู่ๆ หวังเป่าเล่อบนผืนทรายก็ยิ้มออกมา ก่อนจะวาบร่างเข้าไปในผืนทราย และ…มาปรากฏตัวยังสถานที่ถือสันโดษของร่างต้นแบบ
นี่คือครั้งแรกที่ร่างแยกหวังเป่าเล่อมาปรากฏตัวต่อหน้าร่างต้นแบบอย่างแท้จริงหลังจากไป
เวลาไหลผ่าน…
ไม่นานก็ผ่านไปสามวัน
นอกจากตัวหวังเป่าเล่อแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าในสามวันนี้ร่างแยกกับร่างต้นแบบคุยอะไรกัน
หลังจากสามวันร่างของหวังเป่าเล่อก็มาปรากฏตัวนอกทะเลทราย เขายืนก้มหน้ามองด้านล่างอยู่ตรงนั้นด้วยดวงตาซับซ้อน ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาแน่วแน่และมุ่งตรงสู่ท้องฟ้า!
ส่วนที่ใต้ผืนทรายนั้น ร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็ถอนหายใจเบาๆ การถอนหายใจนี้อัดแน่นไปด้วยความซับซ้อน คร่ำครวญ…และความสับสนที่ไม่อาจอธิบายได้
โลกาชั้นที่สองเปลี่ยนฟ้าแล้ว
เมื่อหวังเป่าเล่อก้าวสู่ท้องฟ้ามาปรากฏตัวตรงหน้าประตูอีกครั้ง เหล่าเจ็ดอารมณ์และทุกปรารถนาก็หันมามองทันที
นอกจากนี้ยังมีผู้แข็งแกร่งสมัยโบราณที่ไม่ได้เข้าร่วมกับเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่ยังมีชีวิตอยู่ในเมืองโบราณต่างก็พากันลืมตามองไปยังท้องเช่นกัน
หวังเป่าเล่อก้าวเข้าหาประตูยักษ์ทีละก้าว ท่ามกลางความสนใจของทุกคน ครู่ต่อมา…จักรพรรดิเสวียนเฉินที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าประตูก็ค่อยๆ เปิดเปลือกตามองหวังเป่าเล่ออย่างเย็นชา
ใบหน้าต้องสาปบนหน้าของเขายังคงอยู่ แต่เหลือแค่ใบหน้าเดียว อีกทั้งยังจางลงไปมากแล้ว
“หยุด!” จักรพรรดิเสวียนเฉินจ้องหน้าหวังเป่าเล่อที่เดินมา สีหน้าเย็นชาค่อยๆ เปลี่ยนไป ในที่สุดก็ปรากฏความเคร่งขรึมขึ้นเป็นครั้งแรก ก่อนจะเอ่ยปากช้าๆ
หวังเป่าเล่อส่ายหน้าแล้วเดินเข้าใกล้จุดที่จักรพรรดิเสวียนเฉินอยู่มากขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากเข้าไปใกล้จนห่างกันไม่ถึงสิบจั้ง จักรพรรดิเสวียนเฉินก็สะบัดมือชี้หวังเป่าเล่อ
ทันใดนั้นรอบข้างหวังเป่าเล่อพลันบิดเบี้ยว พลังอันยิ่งใหญ่ปรากฏ ก่อนจะกลายเป็นเงามายาของนกแก้วตัวหนึ่งบินรอบตัวเขาราวกับจะห่อหุ้มเขาไว้ข้างใน
สีหน้าหวังเป่าเล่อเรียบเฉยเพียงแค่สะบัดมือ ปราณหมอกสีดำพลันแผ่ขยายออกมาจากกลางฝ่ามือและแหวกว่ายไปรอบตัวเขาทันที เมื่อนกแก้วมายาสัมผัสมันก็กลายเป็นสีดำสนิท ดวงตาที่ไร้แววอารมณ์ใดเริ่มฉายความรู้สึก
เพียงแต่…ที่มาของการมีชีวิตนี้คือความปรารถนา!
หลังจากกรีดร้องเสียงแหลม นกแก้วมายาตัวนี้ก็หันหน้าพุ่งไปทางจักรพรรดิเสวียนเฉินทันที
จักรพรรดิเสวียนเฉินยิ่งสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น สองมือทำผนึกมุทรา ก่อนจะชี้ไปข้างหน้า นกแก้วที่พุ่งเข้าหาเขาพลันมอดไหม้เป็นเถ้าธุลี
แต่พลังเทพของจักรพรรดิเสวียนเฉินไม่อาจกำจัดหมอกสีดำได้ มันพุ่งเข้ามาเขาราวกับกระหายอยาก
แววตาของเสวียนเฉินเริ่มประหลาดใจ เขามองหมอกสีดำที่กำลังพุ่งมาอย่างเงียบเชียบ ด้วยสีหน้าซับซ้อน ไม่หลบ แต่กลับหลับตาลง
พริบตาต่อมาปราณมืดก็เข้ามาใกล้และกำลังจะแตะลงบนหว่างคิ้วจักรพรรดิเสวียนเฉิน ทว่าสุดท้ายแล้วกลับหยุดลงตรงหน้าเขา ห่างจากหว่างคิ้วเพียงสามชุ่นเท่านั้น
ดูเหมือนมันจะไม่ยินยอม ปราณมืดกำลังดิ้นรน แต่กลับถูกพลังอันแข็งแกร่งควบคุมอยู่ทำให้มันไม่สามารถแผ่ขยายต่อไปได้
สิ่งที่ควบคุมมันไม่ใช่จักรพรรดิเสวียนเฉิน แต่เป็นหวังเป่าเล่อ
สีหน้าหวังเป่าเล่อปราศจากอารมณ์ เดินมาหยุดตรงหน้าจักรพรรดิเสวียนเฉิน จักรพรรดิเสวียนเฉิยสังเกตเห็นบางอย่าง ดวงตาพลันเบิกกว้างจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างล้ำลึก
หวังเป่าเล่อก็กำลังมองเขาเช่นกัน ผ่านไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นแผ่วเบา
“ผู้อาวุโสเสวียนเฉิน ข้าคิดดีแล้ว”
เสวียนเฉินได้ยินดังนั้นจึงหยัดกายลุกขึ้นเงียบๆ ไม่เอ่ยอะไร ก่อนจะหมุนตัวจากไปไกล…
ราวกับว่าอีกฝ่าย กำลังรอคอยประโยคนี้อยู่เช่นกัน
หวังเป่าเล่อมองแผ่นหลังของเสวียนเฉินอยู่เนิ่นนาน…ก่อนจะถอนสายตากลับมามองประตูสู่อาณาจักรด้านบนที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางอากาศ เดินไปถึงหน้าประตูด้วยสีหน้าแน่วแน่ แล้วยกมือกดที่บานประตูเบาๆ
หวังเป่าเล่อไม่ได้รีบร้อนผลักมันออกไป แต่หันกลับมามองโลกใบนี้ กวาดสายตาไปทั่วทั้งแปดทิศ เขาเห็นใบหน้าคุ้นเคยมากมาย ก่อนจะเหลือบมองไปทางทะเลทรายเป็นอย่างสุดท้ายแล้วหลับตาลง
เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเขาก็วาววับ มือขวายื่นไปข้างหน้าและผลักอย่างแรง!
ประตูสู่อาณาจักรบน…เปิดออก!
นี่คือวิธีการใช้กฎเกณฑ์ปรารถนารูปแบบหนึ่ง แม้เจ้าปรารถนาคนอื่นๆ จะเชี่ยวชาญ แต่ก็สามารถครอบครองได้เพียงกฎเกณฑ์เดียว มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้น…ที่สามารถใช้ได้ถึงสามกฎเกณฑ์ โดยเฉพาะกฎเกณฑ์ปรารถนาอารมณ์ที่เปรียบเสมือนแก่นหลัก พลังของมันยิ่งใหญ่มากจนแม้แต่จักรพรรดิเสวียนเฉินก็ยังได้รับผลกระทบ ร่างกายสั่นเทาและไม่สามารถไล่โจมตีหวังเป่าเล่อได้เป็นครั้งแรก
เขาทำได้แค่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าประตูบานใหญ่ และหลับตาลงเพื่อรักษาบาดแผล ส่วนประตูบานนั้นแม้จะยังตั้งตระหง่านอยู่ที่เดิม แต่ผู้ที่มีคุณสมบัติพอจะเปิดมันได้มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้น
หากคิดจะเปิดประตูนี้ก็ต้องเผชิญหน้ากับการขัดขวางจากจักรพรรดิเสวียนเฉิน กอปรกับตอนนี้เห็นได้ชัดว่าหวังเป่าเล่อได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นในช่วงเวลาหนึ่งก็ดูเหมือนสถานการณ์จะเข้าสู่ช่วงหยุดนิ่ง
ส่วนเจ็ดอารมณ์และเจ้าปรารถนาคนอื่นๆ ก็ยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจักรพรรดิเสวียนเฉิน แม้ตอนนี้จักรพรรดิเสวียนเฉินจะถูกคำสาป แต่พวกเขาก็ยังไม่กล้าทำอะไร
ด้วยเหตุนี้โลาชั้นที่สองก็ดูเหมือนจะเงียบงันไปถนัดตา ร่างของหวังเป่าเล่อวาบผ่านอยู่ไกลท้องฟ้าออกไป ใบหน้าเขาซีดขาว กระอักเลือดไม่หยุด ทั่วทั้งร่างมีรอยปริแตก ราวกับว่าหากไม่ระวังร่างกายคงจะแหลกสลายไปแล้ว
แม้รอยปริแตกเหล่านั้นจะกำลังรักษาตัวอย่างสุดความสามารถ แต่ด้านหนึ่งก็ทำได้ช้า ด้านหนึ่งก็รบกวน ทำให้หวังเป่าเล่อเหมือนเป็นมนุษย์โลหิตก็ไม่ปาน พลังปราณอ่อนแอลงมาก
“เจ้าจักรพรรดิเสวียนเฉินนั่น…” หวังเป่าเล่อยืนหรี่ตาพึมพำอยู่ตรงนั้น
“เจ้านั่นก็คงไม่เท่าไรหรอก คำสาปสามปรารถนาของข้า…ใช่ว่าจะสะกดได้ง่ายๆ” หวังเป่าเล่อสำรวจสภาพร่างกายของตนขณะนี้ การรักษาก็เรื่องหนึ่ง อีกเรื่องหนึ่งคือเขารู้ถึงช่องว่างระหว่างตนกับจักรพรรดิเสวียนเฉินแล้ว ช่องว่างนี้…ไม่ได้กว้างใหญ่มาก แต่หากจะใช้แค่พลังของตนตอนนี้ย่อมไม่มีทางสยบอีกฝ่ายได้แน่
หากสยบเสวียนเฉินไม่ได้ก็ยากจะเปิดประตูสู่อาณาจักรด้านบน
“ข้าต้องการกฎเกณฑ์ปรารถนามากกว่านี้!” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ก่อนจะตวัดสายตามองไปทางเมืองปรารถนากลิ่น ในกฎเกณฑ์ปรารถนาทั้งหก เขาครอบครองไปแล้วสี่ ยังเหลือกฎเกณฑ์ปรารถนากลิ่นและสัมผัสที่ยังไม่มี
เดิมทีหวังเป่าเล่อคิดว่าไม่จำเป็นแล้ว แต่ตอนนี้ดูท่าว่าเขายังต้องการมันมากเสียด้วย
หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก ทนความเจ็บปวดจากร่างกายที่ฉีกขาดก้าวไปข้างหน้า เดินเข้าสู่โลกแห่งเสียง ด้วยเสียงของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงจึงใช้เป็นเคล็ดวิชาส่งตัวได้ ในพริบตาเดียวก็ข้ามผ่านระยะทางอันไร้ที่สิ้นสุดและมาปรากฏตัวที่…เมืองปรารถนากลิ่น!
แทบจะในพริบตาที่หวังเป่าเล่อก้าวออกมาจากความว่างเปล่า ภายในเมืองปรารถนากลิ่นพลันระเบิดพลังปราณสายหนึ่งขึ้นไปรวมตัวกันบนท้องฟ้าและกลายเป็นชายร่างสูงใหญ่
ชายผู้นี้สวมชุดคลุมสีดำ ทั่วทั้งร่างประกอบขึ้นจากปราณหมอกยืนตระหง่านอยู่กลางอากาศในเมืองปรารถนากลิ่น และใช้สายตาซับซ้อนมองหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อยืนอยู่นอกเมืองและกำลังมองเจ้าปรารถนากลิ่นผู้นั้นอยู่เช่นกัน
ผ่านไปครู่ใหญ่เจ้าปรารถนากลิ่นก็เลือกก้มหน้าลง เขาเห็นกับตาว่าอีกฝ่ายเรียกประตูสู่อาณาจักรด้านบนออกมา เห็นกับตาว่าอีกฝ่ายต่อสู้กับผู้พิทักษ์ ทั้งหมดนี้ก็ทำให้เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะสู้กับหวังเป่าเล่อแล้ว
ถึงแม้…ตอนนี้หวังเป่าเล่อจะอ่อนแอมาก แต่ลึกๆ ในใจเจ้าปรารถนากลิ่นก็ไม่อยากโจมตี ดังนั้นหลังจากเงียบไปเขาจึงก้มหัวคำนับหวังเป่าเล่อ ก่อนจะโบกมือ เส้นใยแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนากลิ่นพลันแผ่จากร่างกายเขาไปหาหวังเป่าเล่อ
เส้นใยแต่ละเส้นล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ปรารถนากลิ่น นี่คือการที่เจ้าปรารถนากลิ่นตัดต้นกำเนิดของตนเพื่อทำให้หวังเป่าเล่อสมบูรณ์
เมื่อเส้นใยไหลเข้าร่าง รอยปริแตกบนตัวหวังเป่าเล่อก็รักษาได้เร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่กฎเกณฑ์ปรารถนากลิ่นมอบให้เขาคือการเปลี่ยนพลังปราณชนิดหนึ่ง และการเปลี่ยนแปลงนี้ดูเหมือนจะกระตุ้นกฎเกณฑ์ปรารถนาอื่นๆ ในร่างกายเขาทำให้ตอนนี้กฎทั้งหมดเกิดความผันผวน
จากนั้นไม่นานเจ้าปรารถนากลิ่นที่ตัดต้นกำเนิดของตนออกไปครึ่งหนึ่งก็อ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนทางหวังเป่าเล่อนั้นรักษารอยแตกบนร่างได้เกือบหมดแล้ว พลังปราณก็เริ่มคงที่มากขึ้น
“ขอบคุณมาก” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงล้ำลึกพร้อมโค้งคำนับ
“ไม่ต้องขอบคุณ” เจ้าปรารถนากลิ่นส่ายหน้า เขามองลึกเข้าไปในดวงตาหวังเป่าเล่อ ก่อนที่ร่างที่ก่อตัวจากปราณหมอกจะค่อยๆ สลายไป
หลังจากจ้องมองเจ้าปรารถนากลิ่นอยู่นาน หวังเป่าเล่อก็กะพริบร่างวาบหาย คราวนี้มาปรากฏตัวที่…เมืองปรารถนาสุดท้าย
เมืองปรารถนาสัมผัส!
ปรารถนาสัมผัสคือปรารถนาที่ใช้สัมผัสรับรู้เป็นหลัก
หากได้ครอบครองมันแล้ว หกปรารถนาของหวังเป่าเล่อก็จะสมบูรณ์ เพียงแต่…ทางเลือกของเจ้าปรารถนาสัมผัสนั้นต่างจากเจ้าปรารถนากลิ่น นางไม่ยินยอมมอบกฎของตนให้หวังเป่าเล่อ ดังนั้น…เมื่อหวังเป่าเล่อปรากฏตัว เขาจึงสัมผัสได้ถึงสายลมฤดูใบไม้ผลิพัดมาปะทะร่าง
เมื่อสายลมนี้ปะทะร่างก็เกิดความรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก แต่แล้วความรู้สึกนี้ก็เปลี่ยนไป พริบตาต่อมาพลันเกิดระลอกคลื่นแทรกซึมจากร่างกายเข้าสู่จิตวิญญาณอย่างเงียบเชียบ
“ไม่จำเป็นหรอก” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า หากเป็นตอนที่เขาปรากฏตัวในโลกาชั้นที่สองเป็นครั้งแรก การเผชิญหน้ากับเจ้าปรารถนาเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถต้านทานได้เลย
แต่เขาในตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว แม้จะสู้รบกับผู้พิทักษ์จนได้รับบาดเจ็บ แต่การจะสยบเจ้าปรารถนาก็ไม่ใช่เรื่องยาก ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าเขาครอบครองไปแล้วห้าปรารถนา ดังนั้นเมื่อเขาสะบัดมือ สายลมฤดูใบไม้ผลินั่นก็ถูกจับอยู่กลางฝ่ามือเขาทันที
ก่อนจะบีบแรงๆ
เกิดเสียงระเบิดอากาศดังสนั่น พริบตาต่อมาเจ้าปรารถนาสัมผัสที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในหอคอยหลักในเมืองปรารถนาสัมผัสพลันเบิกตากว้าง หน้าเปลี่ยนสี กำลังจะหยัดกายลุก ทว่าดวงตากลับหดแคบ ร่างกายขยับไม่ได้
เพราะว่าร่างของหวังเป่าเล่อได้มาปรากฏตัวตรงหน้านาง และมือขวาก็วางอยู่บนศีรษะนางแล้ว
“ข้าจะเอาพลังต้นกำเนิดของกฎแค่เจ็ดส่วน” ขณะที่หวังเป่าเล่อเอ่ยเบาๆ พลังสูบมหาศาลพลันพุ่งออกมาจากฝ่ามือ ร่างเจ้าปรารถนาสัมผัสสั่นเทิ้ม พลังแห่งกฎเกณฑ์ของนางถูกหวังเป่าเล่อดูดไปอย่างรวดเร็วราวกับเขื่อนกั้นน้ำระเบิด
กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาไม่นานเลยนั่นคือเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น เมื่อเจ้าปรารถนาสัมผัสอ่อนแรงลง สีหน้าหวังเป่าเล่อก็กลายเป็นสีแดง รอยปริแตกบนร่างก็หายไปจนหมด ขณะที่อาการบาดเจ็บฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ กฎเกณฑ์ปรารถนาสัมผัสก็ก่อตัวขึ้นในร่างกายเขาทันที หกปรารถนา…ร้องคำราม!
ในโลกาชั้นที่สองนี้ไม่เคยมีผู้ใดสามารถครอบครองกฎแห่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาได้มาก่อน!
แต่ตอนนี้คนผู้นั้นได้ปรากฏขึ้นแล้ว
ฟ้าดินผันเปลี่ยนฉับพลัน ทันใดนั้นนิมิตก็บังเกิด กฎเกณฑ์ทั้งหมดในโลกาชั้นที่สองต่างสั่นสะท้าน ผู้ฝึกตนทั้งหมดกายสั่นเทิ้ม แม้กระทั่งต้นไม้ใบหญ้า เหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายก็เช่นกัน… แต่สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในตอนนี้ต่างรับรู้ได้อย่างหนึ่ง
วิญญาณจักรพรรดิ…ปรากฏแล้ว
วิญญาณจักรพรรดิของโลกาชั้นที่สอง!
หวังเป่าเล่อหลับตาลงเงียบๆ สัมผัสถึงการหลอมรวมของพลังแห่งหกปรารถนาในร่างกาย มันหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์และในที่สุดกลายเป็นปราณหมอกสีดำหมุนวนอยู่รอบกายเขา
สีดำนี้คือต้นกำเนิดของความปรารถนาทั้งหมด

นี่ก็คือจักรพรรดิเสวียนเฉิน!

พ่อของอู๋น้อย เจ้าผู้ปกครองอาณาจักรพิภพทมิฬ ในบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์ 108 คนในอดีต ความแข็งแกร่งในการต่อสู้ก็เพียงพอที่จะติดอันดับหนึ่งในสาม!

ตราประจำอาณาจักรคือนกแก้ว ว่ากันว่านกแก้วนี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดากับมหาเทพ บางทีอาจเป็นเพราะเหตุนี้…จักรพรรดิเสวียนเฉินถึงไม่ถูกผนึก แต่กลายเป็นผู้พิทักษ์แทน

เขาในตอนนี้สวมชุดดำทั้งกาย ผมหงอกขาว ใบหน้ายับย่น นัยน์ตาล้ำลึก…แต่หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าลึกลงไปในดวงตาเขาดูเหมือนไม่มีปัญญาวิญญาณอะไรเลย

ยามนี้จักรพรรดิเสวียนเฉินยืนอยู่เหนือประตูบานใหญ่ ก้มมองหวังเป่าเล่ออย่างเย็นชา

หวังเป่าเล่อเงยหน้าและจ้องจักรพรรดิเสวียนเฉินผู้นี้กลับ

เกิดความเงียบขึ้นรอบตัว แม้แต่ในโลกชั้นที่สองก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปในพริบตา เจ็ดอารมณ์ก็ดี ปรารถนาก็ช่าง ต่างจ้องมองทุกอย่างจากที่ไกลๆ จิตใจปั่นป่วนราวกับมีพายุ

แทบจะในทันทีที่ประตูบานใหญ่นั่นปรากฏ ความทรงจำที่ดูเหมือนจะถูกปิดผนึกไว้พลันปรากฏขึ้นในจิตใต้สำนึกของพวกเขา ความทรงจำนี้ตรึงอยู่ในสายเลือดและตอนนี้ก็ได้ผุดขึ้นมาทำให้ทุกคนรู้ทันทีว่า…นั่นคือประตูสู่อาณาจักรด้านบน

หากผลักบานประตูนี้ได้ก็จะเชื่อมโลกาชั้นที่หนึ่งกับสองเข้าด้วยกัน และผู้ฝึกตนจากโลกาชั้นที่สองก็จะเหยียบเข้าไปในอาณาจักรบนได้ ที่แห่งนั้น…ตามตำนานก็คือสถานที่ที่เหล่าทวยเทพหลับใหล

ท่ามกลางสายตาทุกคน จักรพรรดิเสวียนเฉินที่ยืนอยู่เหนือประตูพลันส่งเสียงดังก้องปานอสนีบาตอีกครั้ง เกิดเสียงดังสะเทือนอยู่ในหูหวังเป่าเล่อ

 เจ้า คิดดีแล้วหรือ 

ยังเป็นประโยคเดิม จักรพรรดิเสวียนเฉินกล่าวคำเดิมเป็นครั้งที่สอง สายตาเขาเฉียบคมอย่างยิ่ง มองหวังเป่าเล่อราวกับกำลังรอคอยคำตอบ

หวังเป่าเล่อเงียบไป ประโยคนี้คนอื่นอาจไม่เข้าใจ แต่สำหรับเขานั้นค่อนข้างสับสนเล็กน้อย

ดังนั้นหลังจากหายใจถี่กระชั้นไม่กี่อึดใจ แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ได้เอ่ยอะไรก็ตาม แต่ก็ได้ใช้การกระทำบอกจักรพรรดิเสวียนเฉินว่าเขา…คิดดีแล้ว

เขาพุ่งตัวเข้าใส่จักรพรรดิเสวียนเฉินทันที แทบจะในพริบตาเดียวก็มาอยู่ตรงหน้าจักรพรรดิเสวียนเฉินแล้ว ก่อนจะยกมือขวาขึ้นมา กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงพลันปรากฏปกคลุมไปทั่วแปดทิศ ส่งผลให้พื้นที่หมื่นลี้ตรงนี้กลายเป็นราตรีกาลห่อหุ้มจักรพรรดิเสวียนเฉินไว้ด้านใน

ฉากนี้ประหลาดมาก เห็นได้ชัดว่าพื้นที่นอกหมื่นลี้นั้นยังเป็นกลางวัน แต่ในรัศมีหมื่นลี้จากจุดที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่กลับมืดสนิท อีกทั้งยังมีเสียงคำรามนับไม่ถ้วนดังก้องในราตรีแห่งนี้ด้วย

มีเพียงประตูสู่อาณาจักรบนเท่านั้นที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบและดำรงอยู่ในราตรีต่อไป แต่ร่างของหวังเป่าเล่อและจักรพรรดิเสวียนเฉินในราตรีนั้นไม่มีใครมองเห็น

เพราะพวกเขาได้ก้าวเข้าสู่…โลกแห่งเสียงแล้ว

ในโลกแห่งเสียงทุกสิ่งรอบตัวถูกขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด ร่างของหวังเป่าเล่อและจักรพรรดิเสวียนเฉินตัดสลับและสัมผัสกันอย่างต่อเนื่อง ส่งเสียงคำรามดังติดกันเป็นชุด

ยังมีสัตว์ประหลาดอีกมากมายที่พุ่งมาจากทั้งแปดทิศพร้อมจิตสังหารมารวมตัวกันเพื่อร่วมมือกับหวังเป่าเล่อโจมตีจักรพรรดิเสวียนเฉิน แต่เห็นได้ชัดว่า…ความแข็งแกร่งของจักรพรรดิเสวียนเฉินไม่ใช่สิ่งที่สัตว์ประหลาดในโลกแห่งเสียงจะสั่นคลอนได้ และไม่ใช่แค่กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเพียงอย่างเดียวที่จะสยบได้

ดังนั้นไม่นานยามที่เสียงคำรามราวกับแยกฟ้าดินดังขึ้น ราตรีในระยะหมื่นลี้ก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ทันที เวลาเดียวกันกับที่มันพังทลาย ร่างของหวังเป่าเล่อก็พุ่งออกมาจากข้างใน ตามด้วยจักรพรรดิเสวียนเฉินที่ไล่ตามเขามา

แต่สีหน้าหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเพราะโลกแห่งเสียงถูกทำลายแต่อย่างใด เขารู้อยู่แล้วว่าจะใช้โลกแห่งเสียงมาสยบนั้นไม่ค่อยสมเหตุสมผลนัก ดังนั้นโลกแห่งเสียง…เป็นแค่วิธีลองใจ

แน่นอนว่ายังมีจุดประสงค์อื่นแฝงอยู่

ขณะที่ราตรีรอบกายกำลังพังทลาย หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ถอยหลังไปพร้อมยกมือขวาขึ้นสะบัดอย่างแรง ทันใดนั้นกฎเกณฑ์ปรารถนารสพลันปะทุขึ้น ดวงตาของเขาแผ่แสงสลัว ร่างกายพองตัวอย่างดุเดือดจนสูงถึง 3,000 กว่าจั้งราวกับยักษ์

เมื่อกฎเกณฑ์ปรารถนารสปะทุขึ้น ฝันร้ายแห่งปรารถนาพลันปรากฏตัวเป็นจำนวนนับหมื่นเบียดเสียดกันพร้อมกรีดร้องกลายเป็นปากขนาดมหึมากลืนกินไปทางจักรพรรดิเสวียนเฉิน

ส่วนหวังเป่าเล่อก็อ้าปากกว้างกลืนกินร่างที่เผชิญหน้ากับจักรพรรดิเสวียนเฉินอีกที!

ขณะเดียวกันเศษชิ้นส่วนราตรีของโลกแห่งเสียงก็ไม่ใช่สีดำอีกต่อไปแล้ว กลับมีแสงประหลาดเปล่งออกมาราวกับกำลังส่องประกาย…นั่นทำให้พื้นที่หมื่นลี้ตรงนี้ทั้งเหนียวและหนาขึ้นมากจากกฎเกณฑ์ปรารถนาทั้งสองชนิด

ทางจักรพรรดิเสวียนเฉินก็เริ่มได้รับผลกระทบบ้างแล้ว ตอนนี้เขายกมือใหญ่ขึ้นมาพร้อมแค่นเสียงเย็นชา ก่อนจะคว้าไปด้านบน ทันใดนั้นสถานการณ์บนท้องนภาก็ผันเปลี่ยน กรงเล็บยักษ์สีดำขนาดเท่าเมืองเมืองหนึ่งพลันยื่นออกมาจากชั้นเมฆคว้ามาทางพื้นที่หมื่นลี้ตรงนี้

ทรงพลังมาก!

ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ฝันร้ายแห่งปรารถนาที่กลายเป็นปากยักษ์เหล่านั้นก็ราวกับเจอศัตรูตามธรรมชาติ พวกมันส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนแล้วพังทลายทันที ส่วนร่างเจ้าสวาปามของหวังเป่าเล่อก็ได้รับผลกระทบและเริ่มผุพัง

แต่นั่นไม่ได้ส่งผลต่อจิตวิญญาณการต่อสู้ที่ลุกโชนอยู่ในดวงตาหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย เขาหรี่ตาลงเค้นเสียงคำรามต่ำ ก่อนจะทำผนึกมุทรา ทันใดนั้นรอบตัวก็ปรากฏมือยักษ์ลวงตาขึ้น!

ฝ่ามือนี้มีเพียงสามนิ้ว!

เป็นไพ่ตายของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ ใช้ปราณโลหิตมหาเทพเป็นฝ่ามือ ใช้ปรารถนาอารมณ์เป็นนิ้วโป้ง ปรารถนาเสียงเป็นนิ้วชี้ ปรารถนารสเป็นนิ้วกลางพุ่งสยบกรงเล็บยักษ์จากท้องฟ้า

ขณะเดียวกันเศษชิ้นส่วนโลกแห่งเสียงและความผันผวนของกฎเกณฑ์ปรารถนารสก็ดูเหมือนจะเตรียมตัวพร้อมนานแล้ว มันระเบิดติดๆ กัน กลายเป็นหนึ่งเดียวกับฝ่ามือมายาของหวังเป่าเล่อ

ดังนั้นหากมองจากที่ไกลๆ เศษชิ้นส่วนโลกแห่งเสียงกับพลังของกฎเกณฑ์ปรารถนารสก็ดูเหมือนกับกลายเป็นเลือดเนื้อชั้นนอกของฝ่ามือนี้ ทำให้มันยิ่งสง่างามและสมจริงขึ้นไปอีก

 โลกแห่งปรารถนา!!  เจ้าแห่งเจ็ดอารมณ์และเจ้าปรารถนาที่มองการต่อสู้นี้อยู่พลันเอ่ยเสียงดัง

พวกเขาพูดถูก หลังจากควบคุมปรารถนาอารมณ์และกฎเกณฑ์ปรารถนาอื่นๆ แล้ว หวังเป่าเล่อก็พอเข้าใจได้ว่าจะระเบิดพลังแห่งปรารถนาขั้นสูงสุดออกมาได้อย่างไร

นั่นก็คือโลกแห่งปรารถนา

พื้นที่ที่ปรารถนามากมายหลอมรวมกันก่อตัวขึ้นสามารถทำให้เขาระเบิดพลังที่น่าอัศจรรย์ได้ อย่างเช่นตอนนี้…ฝ่ามือสามนิ้วคำรามกู่ก้องปะทะเข้ากับกรงเล็บยักษ์จากท้องฟ้านั่นโดยตรง

ฟ้าดินกรีดร้องคำราม สั่นสะเทือนไปทั้งแปดทิศ ทั่วทั้งโลกาชั้นที่สองราวกับเกิดพายุลูกใหญ่โดยมีจุดที่หวังเป่าเล่อกับจักรพรรดิเสวียนเฉินปะทะกันเป็นศูนย์กลางและแผ่ขยายออกไป

ต้นไม้ใบหญ้านับไม่ถ้วนหลุดขึ้นจากพื้นดิน ภูเขานับไม่ถ้วนแตกสลายกลายเป็นที่ราบ มหาสมุทรก็ดี แม่น้ำก็ช่าง ต่างพลิกตลบปั่นป่วนไปทั่ว ส่งผลให้หลายพื้นที่เกิดฝนตกหนัก

ขณะเดียวกันเจ้าแห่งเจ็ดอารมณ์และเจ้าปรารถนาต่างก็กำลังสนใจจุดจบของการต่อสู้ครั้งนี้ แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็ต้องหน้าเปลี่ยนสี เพราะว่า…ในพื้นที่ที่หวังเป่าเล่อกับจักรพรรดิเสวียนเฉินปะทะกันนั้น ร่างของคนผู้แรกก็กระอักเลือดและกำลังถอยหนีอย่างรวดเร็ว…

ส่วนคนผู้หลังยังคงยืนอยู่เหนือประตูและมองหวังเป่าเล่อที่กำลังถอยไปอย่างสงบนิ่ง ขณะกำลังจะโจมตีนั้นเอง คิ้วของเขาก็ขมวดมุ่นทันที เพราะบนใบหน้าพลันปรากฏใบหน้าขึ้นมาสามใบหน้า!

ใบหน้าทั้งสามนี้เหมือนกับหน้ากากโปร่งแสงติดอยู่บนหน้าจักรพรรดิเสวียนเฉิน หน้าตาของมันเหมือนหวังเป่าเล่อแต่อารมณ์ที่แสดงออกกลับต่างกัน

ผู้หนึ่งกระหายรส ผู้หนึ่งกระหายเสียง ผู้หนึ่งกระหายอารมณ์

เปรียบเสมือนคำสาป!

………

 

กระแสน้ำวนปรากฏบนท้องฟ้าท่ามกลางเสียงคำรามและแผ่ขยายไปทั่วราวกับกำลังพัดพาหมอกไปทำลายผนึก ประตูสีขาวขนาดมหึมาเหมือนถูกดึงออกมาจากความว่างเปล่าและเผยโฉมอยู่บนท้องนภา
ประตูนี้แผ่พลังปราณโบราณออกมาราวกับดำรงอยู่มาชั่วกัปชั่วกัลป์ เพียงแค่เหลือบมองก็คล้ายจะสัมผัสได้ถึงกาลเวลาที่พ้นผ่านไป
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคราบเลือดมากมายราวกับเคยเกิดการบูชายัญครั้งใหญ่ขึ้น
นี่คือ…ประตูสู่อาณาจักรด้านบน!
ในตอนนี้มันได้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง พลังกดดันแผ่ขยายออกไปมากยิ่งขึ้นส่งผลให้ผืนดินของโลกาชั้นที่สองคล้ายจะทนรับไม่ไหวและทรุดลงสามฉื่อ!
ยังมีเหล่าเมืองปรารถนาทั้งหลายที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ด้วยราวกับกำลังจะพังทลาย ทุกสรรพสิ่งต่างทรุดลงคล้ายมีของหนักๆ ตกลงใส่บ่า ร่างกายส่งเสียงกรอบแกรบราวกับมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นในฉับพลัน
พลังทรงอำนาจเช่นนี้ทำให้พลังแห่งความยิ่งใหญ่แผ่ออกมาจากประตูบานยักษ์ ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นต่างสัมผัสสวรรค์สั่นคลอน
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าการปรากฏตัวของประตูนี้สร้างความตื่นตระหนกให้อาณาจักรบนอย่างชัดเจน ในไม่ช้าก็มีร่างสวมชุดคลุมสีขาวสวมหน้ากากปรากฏตัวรอบๆ ประตู รวมทั้งหมดเก้าคน พลังปราณของแต่ละคนแม้จะไม่อาจเทียบเท่ามหาเทพ แต่ก็ทำให้ผู้คนตกตะลึงได้
เพราะพวกเขาคือวิญญาณจักรพรรดิ ผู้พิทักษ์ของมหาเทพ
ทันทีที่ปรากฏกาย แต่ละคนก็แผ่ดวงจิตเทพของตนออกมาและกำหนดเป้าหมายไว้ที่ในวังใต้ดินของเมืองปรารถนาทัศน์ ทันทีที่พวกเขากวาดดวงจิตเทพมา หวังเป่าเล่อก็ลืมตาตื่นขึ้นทันที
ทันทีที่ดวงตาของเขาลืมขึ้นก็เกิดเสียงปริแตกดังสะท้อนระหว่างฟ้าดิน จากนั้นร่างชุดขาวทั้งเก้าต่างพากันส่งเสียงกรีดร้อง ดวงตาแต่ละคนแตกเป็นเสี่ยงๆ
ราวกับว่าหวังเป่าเล่อในตอนนี้ได้ครอบครองคุณสมบัติที่ไม่สามารถจ้องมองตรงๆ ได้
ซึ่งแท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น ก่อนหน้านี้กฎแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ดยังไม่หลอมรวมกัน แต่กลายเป็นต้นกำเนิดปรารถนาทัศน์แล้วนั้น รวมกับกฎแห่งอารมณ์ทั้งสี่และกฎเกณฑ์ปรารถนารสในร่างกาย และยังมีกายเนื้ออิสระที่ผสานกับเลือดมหาเทพก็นับว่าเป็นอันดับหนึ่งในเจ้าปรารถนาแล้ว
สยบเจ้าแห่งโกรธได้อย่างง่ายดาย นับประสาอะไรกับตอนนี้…หลอมรวมเจ็ดอารมณ์ให้กลายเป็นปรารถนาอารมณ์ และตัวเขาก็คือเจ้าปรารถนาอารมณ์ นั่นทำให้พลังต่อสู้ของหวังเป่าเล่ออยู่ในระดับทำลายล้างโลกได้เลยทีเดียว
เพราะว่า…ปรารถนาอารมณ์เดิมทีก็คือปรารถนาแรก ระดับความแข็งแกร่งของมันยามถูกแบ่งเป็นเจ็ดส่วนยังสามารถกลายเป็นกฎเจ็ดอารมณ์ได้ นั่นก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของมันแล้ว
กรณีนี้หวังเป่าเล่อก็ยังไม่แน่ใจนักว่าตัวเขานั้น…อยู่ระดับใดกันแน่ เขาจึงอยากจะทดลองดูสักหน่อย
ดังนั้นหลังจากลืมตาขึ้น พริบตาที่วิญญาณจักรพรรดิทั้งเก้าพังทลาย หวังเป่าเล่อในวังใต้ดินจึงก้าวเดินไปข้างหน้า ร่างของเขาไม่ได้หายวับ ทว่าสิ่งที่เปลี่ยนไปคือบริเวณโดยรอบ…ราวกับดวงดาวกำลังเคลื่อนย้าย ตัวเขาอยู่ที่เดิม ทว่าสถานที่กลับเปลี่ยนไปกลายเป็นท้องฟ้า กลายเป็นประตูยักษ์ของอาณาจักรด้านบน
ฉากนี้ทำให้เจ้าปรารถนาและเจ็ดอารมณ์ที่ให้ความสนใจต่างใจกระตุกวูบ ทุกผู้คนล้วนหายใจไม่ออก พวกเขารู้ดีว่ามันหมายถึงอะไร
“ควบคุมโลกและกฎเกณฑ์ได้อย่างสมบูรณ์!” เจ้าแห่งโกรธพึมพำขณะมองร่างหวังเป่าเล่อ ดวงตารู้สึกแสบร้อนเหลือคณานับ ในใจเต็มไปด้วยความยำเกรง
ยังมีเจ้าปรารถนาเสียงที่ออกมาจากการถือสันโดษ นางเองก็คิดเช่นเดียวกัน ในตอนนั้นที่กำลังสับสน ก็เลี่ยงไม่ได้เลยว่าในใจได้ก่อเกิดความคาดหวังขึ้นแล้ว
ผู้ที่เกิดความคาดหวังยังมีเจ้าปรารถนารสอีกคน เขาเบิกตากว้าง แม้ดวงตาจะแสบร้อน แต่ก็ยังพยายามเพ่งมอง เขาอยากรู้ว่าตนจะชนะการเดิมพันก่อนหน้านี้หรือไม่
ท่ามกลางความสนใจของทุกคน หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่หน้าบานประตูสู่อาณาจักรบนก็ไม่ได้สนใจวิญญาณจักรพรรดิรอบตัวแต่อย่างใด แต่กลับจ้องมองประตูตรงหน้าพร้อมถอนหายใจเล็กน้อย เขารู้ดีว่าเมื่อเปิดประตูนี้ก็จะเข้าไปยังโลกาชั้นแรกได้
ที่นั่นคือสถานที่ถือสันโดษของมหาเทพ
และเป็นภารกิจสุดท้ายของเขาในฐานะร่างแยก
“ไม่รู้ว่าทางที่ข้าเลือกจะถูกหรือผิด” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า ตอนนั้นเองวิญญาณจักรพรรดิทั้งเก้าก็พุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อและกลายร่างเป็นไอหมอกดำคล้ายเชือกพันธนาการในทันที
“แตก!” หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่ได้สะบัดมือใดๆ ด้วยซ้ำ เพียงแค่เอ่ยออกมาเบาๆ คำเดียว
เพียงคำเดียวดั่งบัญชาสวรรค์ พริบตาที่มันเสียงนั้นดังก้องกังวาน เชือกดำจากวิญญาณจักรพรรดิทั้งเก้าก็ปริออกและแตกสลายไปทันที
ต้องทราบก่อนว่าวิญญาณจักรพรรดิทั้งเก้านี้ แม้แต่ละคนจะไม่ได้มีระดับการฝึกตนเทียบเท่าเจ้าปรารถนา แต่เมื่อพวกเขาร่วมมือกัน แม้แต่เจ้าปรารถนาก็ไม่สามารถทำลายล้างได้ในครั้งเดียวเหมือนหวังเป่าเล่อ
ดังนั้นฉากเมื่อครู่จึงทำให้เจ้าแห่งเจ็ดอารมณ์และเจ้าปรารถนาทั้งหลายต่างส่งเสียงคำรามอยู่ในใจ
อย่างไรก็ตาม…ลักษณะพิเศษของวิญญาณจักรพรรดิก็คือไม่ดับสิ้น พริบตาต่อมาก็ปรากฏร่าง 18 ร่างพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่ออีกครั้งเหมือนกับที่เคยสู้กับหวังเป่าเล่อร่างต้นแบบ ในไม่ช้า 18 ร่างที่พังทลายก็ปรากฏขึ้นมาเป็น 36 ร่าง
เมื่อ 36 พังทลายก็ปรากฏเป็น 72 ร่าง ตามด้วย 144 ร่างและจากนั้นก็เปลี่ยนเป็น 288 ร่าง…
ถึงตอนนี้แววตาเบื่อหน่ายในตาหวังเป่าเล่อก็ยิ่งเข้มข้นขึ้น เขามองวิญญาณจักรพรรดิรอบกาย แม้พวกเขาจะสวมหน้ากากทั้งหมด แต่เขาก็รู้ว่าใบหน้าใต้หน้ากากนั้นเหมือนกับตนทุกประการ
ดังนั้นหลังจากถอนหายใจเบาๆ เลือดมหาเทพในร่างกายหวังเป่าเล่อก็พลันปะทุขึ้นก่อตัวเป็นหมอกโลหิตลอยอยู่ด้านนอก
ในการจัดการวิญญาณจักรพรรดิ หากเป็นคนอื่นอาจต้องสยบและสังหาร แต่สำหรับหวังเป่าเล่อที่หลอมรวมเลือดมหาเทพแล้วนั้นไม่จำเป็น เพราะ…บนพื้นฐานของต้นกำเนิดนั้นเขากับวิญญาณจักรพรรดิเหล่านี้มีต้นกำเนิดที่คล้ายคลึงกันมาก นั่นทำให้เขาสามารถต่อต้านพลังเทพจากวิญญาณจักรพรรดิได้ทั้งหมด
แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น เมื่อปราณโลหิตแผ่กระจาย พลังเทพจากวิญญาณจักรพรรดินับร้อยรอบกายก็ดูเหมือนจะพุ่งใส่หวังเป่าเล่อ แต่เขากลับไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย ราวกับว่าวิญญาณจักรพรรดิพวกนั้นเป็นแค่เงา ไม่อาจทำอะไรเขาได้
ดังนั้นหลังจากพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าแล้วไม่เป็นผล และเมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อกำลังเดินไปยังประตูทีละก้าว เหล่าวิญญาณจักรพรรดิก็เริ่มร้อนใจ แยกร่างเองทำให้จำนวนเพิ่มขึ้นจนเกินหนึ่งพันร่าง จากนั้นก็เกินหนึ่งหมื่นร่าง และสุดท้าย…บนท้องฟ้ารอบด้านหวังเป่าเล่อก็ปกคลุมไปด้วยวิญญาณจักรพรรดิชุดขาว การโจมตีของพวกเขาได้มาถึงระดับทำลายล้างโลกแล้ว
อาจกล่าวได้ว่าในโลกาชั้นที่สองไม่มีใครต้านทานได้อีก แต่ยังคงเป็นหวังเป่าเล่อ…ที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ เช่นเคย แม้แต่ร่างกายก็ยังไม่อาจกลายเป็นสิ่งกีดขวางได้ราวกับไม่มีอยู่จริง วิญญาณจักรพรรดิพวกนั้นถูกหวังเป่าเล่อที่แผ่ปราณโลหิตพุ่งทะลุไปอย่างไม่สนใจ
จนกระทั่งเขาเดินไปถึงตรงหน้าประตูสู่อาณาจักรบน หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง แววตาหวังเป่าเล่อก็ฉายความมุ่งมั่น ก่อนจะยกมือขึ้นกำลังจะสัมผัสประตู
ทว่าในตอนนั้นเอง น้ำเสียงผันผวนหนึ่งก็ดังขึ้น
“เจ้าคิดดีแล้วหรือ”
เสียงนั้นดังขึ้น พร้อมกันนั้นก็มีร่างหนึ่งปรากฏตัวเหนือบานประตู เขายืนมองหวังเป่าเล่ออยู่ตรงนั้น
หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองคนตรงหน้า
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาพบหน้ากันอย่างเป็นทางการ
“จักรพรรดิเสวียนเฉิน” หวังเป่าเล่อเอ่ยพูดแผ่วเบา

เจ็ดอารมณ์หลอมรวม นั่นก็คือปรารถนาที่หก!

ปรารถนาอารมณ์เป็นสิ่งพิเศษอย่างยิ่ง มันคือพลังงานแห่งความกระหายอยากซึ่งแฝงอยู่ในทุกผู้คน กระทั่งในระดับหนึ่งจะสามารถเห็นร่องรอยปรารถนาอารมณ์ในปรารถนาทั้งห้าได้ด้วย

ดังนั้นมันจึงลึกลับที่สุดและสามารถแบ่งออกเป็นเจ็ดอารมณ์ได้

ปรารถนาอารมณ์มีความคิดมีการเรียนรู้ และความคิดนี้…ตีความได้เป็นความโลภ โลภในชื่อเสียงก็เป็นปรารถนาอารมณ์ โลภในราคะก็เป็นปรารถนาอารมณ์ โลภในรักก็ยิ่งเป็นปรารถนาอารมณ์

กล่าวให้กระจ่างคือพลังงานปรารถนาอารมณ์นี้สามารถสนับสนุนคนคนหนึ่งได้จนถึงที่สุด และเกือบทุกคนมีมันอยู่ แม้กระทั่งหวังเป่าเล่อ…เขาปรารถนาที่จะมีความสุขและหวังว่าจะเป็นอมตะ

ร่างกายนี้…เห็นได้ชัดว่าก็เป็นปรารถนาอารมณ์อย่างหนึ่ง เพียงแต่ในสภาวะปกติความปรารถนานี้สามารถระงับและควบคุมได้ แต่ในมิติเต๋าต้นกำเนิดนั้นทุกสิ่งเปลี่ยนไป หกปรารถนากลายเป็นกฎเกณฑ์!

ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกตนที่ฝึกฝนกฎแห่งความกระหาย ร่างกายก็ย่อมกลายเป็นความกระหายได้

ฟังดูลึกลับแต่เป็นเช่นนั้นจริงๆ ปรารถนาอารมณ์นั้นต่างจากอีกห้าปรารถนาอย่างสิ้นเชิง มันคลุมเครือและเป็นอุดมคติกว่า

หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่ในศาลา ค่อยๆ รู้แจ้งท่ามกลางการหลอมรวมตราประทับเจ็ดอารมณ์ในร่างกาย ในการรู้แจ้งนี้ประสาทการรับรู้ทั้งหมดของเขาถูกเก็บไป หมกมุ่นอยู่กับการฝึกฝนอย่างเต็มที่

แน่นอนว่าหากมีอันตราย ด้วยระดับการฝึกตนของเขาในตอนนี้ก็ยังสามารถตรวจจับได้ทันที

เวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทุกอย่างในเมืองปรารถนาทัศน์ก็ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ สำหรับผู้ฝึกตนเกือบทั้งหมดในเมือง พวกเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจ้าปรารถนาทัศน์นั้นเปลี่ยนคนแล้ว

ส่วนคนที่รู้เรื่องต่างไม่กล้าเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะว่า…แม้เจ้าปรารถนาทัศน์จะเปลี่ยนคนแล้ว แต่กฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ไม่ได้เปลี่ยนตาม ร่างกายเจ้าปรารถนาทัศน์คนใหม่…ยังคงเป็นต้นกำเนิดกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์อย่างแท้จริง

ส่วนเจ้าทั้งสี่แห่งเจ็ดอารมณ์ก็ไม่ได้รั้งอยู่ในเมืองปรารถนาทัศน์นานนัก ไม่นานก็แยกย้าย พวกเขายังมีเรื่องที่ต้องจัดการ หนึ่งในนั้นคนแรกที่จากไปก็คือเจ้าแห่งโกรธ

การพ่ายแพ้อยู่ในกำมือหวังเป่าเล่อทำให้เขาอับอาย มันเป็นการพ่ายแพ้อย่างราบคาบ ไร้แรงต่อต้านใดๆ ทั้งสิ้น พริบตาเดียวก็สยบอยู่ใต้เท้า ทำให้เขาเสียความมั่นใจ

หลังจากเจ้าแห่งโกรธจากไป คนอื่นๆ ก็ทยอยกันจากไปตามๆ กัน คนสุดท้ายที่จากไปคือเจ้าแห่งสุข ก่อนจะไปนางหันไปมองยังสถานที่ที่ถือสันโดษของหวังเป่าเล่ออีกครั้ง แววตาเปี่ยมด้วยความหวังก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น

เพราะว่า…นางสัมผัสได้แล้ว ณ ใจกลางเมืองปรารถนาทัศน์ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีพลังปราณแห่งกฎเกณฑ์ที่คุ้นเคยหวนคืนมา

 เมื่อปรารถนาอารมณ์เกิดขึ้น ประตูสู่อาณาจักรด้านบนก็จะเปิด… 

 มหาเทพ…ที่ท่านแยกโลกาชั้นแรกและชั้นสองออกจากกัน นั่นไร้ประโยชน์แล้ว… 

 อีกไม่นานเราจะได้เจอกัน  จู่ๆ เจ้าแห่งสุขก็ผุดยิ้ม รอยยิ้มนั้นแปลกประหลาดไม่อาจพรรณนาได้ ส่วนลึกในดวงตาของนางมีแสงสีดำวาบผ่าน

เพียงแต่…เจ้าแห่งสุขที่หมุนกายเดินจากมาและหายวับไปไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่า…เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้ามีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นและกำลังเฝ้าดูทุกการกระทำของนางโดยที่นางไม่ได้สังเกตเห็น

รวมถึง…แสงสีดำในดวงตาของนางด้วย

ร่างนี้สวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว ศีรษะปกปิดอยู่ในชุดคลุมสีดำนั้นเช่นกัน เขายืนอยู่กลางอากาศอย่างเงียบเชียบ เนิ่นนานกว่าจะถอนสายตาออกจากจุดที่เจ้าแห่งสุขหายวับไปแล้วหันไปทางเมืองปรารถนาทัศน์

 ใช้เวลาไม่นานร่างแยกของข้าก็เติบใหญ่ถึงระดับนี้แล้ว…หากตอนนี้เขาไม่ได้เก็บประสาทรับรู้ไว้และข้าไม่ได้แสดงท่าทีเป็นศัตรูกับเขา เกรงว่าคงจะถูกเขาจับได้ในพริบตาที่มาถึงแล้ว  ร่างบนท้องฟ้าพึมพำ ตอนนั้นเองลมก็พัดเสื้อคลุมที่คลุมศีรษะออกไป เผยให้เห็นใบหน้าข้างในนั้น

นั่นก็คือ…หวังเป่าเล่อร่างต้นแบบ!

เขากำลังมองเมืองปรารถนาทัศน์อย่างเงียบเชียบ ไม่รู้ว่าคิดอะไร ดวงตาเขาค่อยๆ ซับซ้อนขึ้น ไม่นานก็ถอนหายใจราวกับมีบางเรื่องที่ตัดสินใจยาก สุดท้ายก็ส่ายหน้าราวกับยังไม่ได้คำตอบ แล้วหันกายจากไป

ร่างต้นแบบจากไปแล้ว ทางฝั่งร่างแยกก็ไม่ได้สังเกตเห็นเลยจริงๆ ขณะนี้หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในวังใต้ดินกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของการหลอมรวมตราประทับเจ็ดอารมณ์ในร่างกาย

เสร็จไปแล้วหกส่วน!

ถึงตอนนี้การหลอมรวมไม่สามารถย้อนกลับได้แล้ว เขาสัมผัสได้ว่าตราประทับทั้งเจ็ดกำลังแตกออกจากกัน เมื่อพวกมันแตกออกก็รวมเข้าด้วยกันอีกครั้งและกำลังสร้างกฎใหม่

สิบวันผ่านไป ยี่สิบวันผ่านไป สามสิบวันผ่านไป…

การหลอมรวมตราประทับเจ็ดอารมณ์เพิ่มจากหกส่วนเป็นเก้าส่วนแล้ว!

ถึงกระนั้นกฎเกณฑ์ปรารถนาอารมณ์ก็ยังไม่ถือกำเนิด มีเพียงพลังปราณแผ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากพลังปราณนี้รวมตัวกันได้ระดับหนึ่งแล้วกลับเกิดอิทธิพลต่อโลกาชั้นที่สองแห่งนี้

สิ่งแรกที่ได้รับผลกระทบก็คือเจ้าแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ด พวกเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังงานแห่งกฎของตนกำลังอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ เช่นเดียวกับผู้ฝึกตนของกฎทั้งเจ็ด

ราวกับว่ากฎแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ดกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อเทียบกับศิษย์ผู้ฝึกตนกฎทั้งเจ็ดแล้ว เห็นได้ชัดว่าเจ้าแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ดรู้ถึงสาเหตุจึงไม่ตื่นตระหนก แต่กลับรอคอยอย่างเงียบๆ

เพราะว่า…เวลาเดียวกันกับที่กฎเจ็ดอารมณ์บนร่างพวกเขาเหี่ยวแห้ง พลังแห่งกฎดั้งเดิมของพวกเขาที่เคยถูกสะกดไว้ก็ฟื้นขึ้น

นอกจากนี้โลกาชั้นที่สองก็ได้รับผลกระทบไปด้วย ท้องฟ้าเริ่มมืดลง สายฟ้าแลบปรากฏไปทั่วทุกหนทุกแห่งส่งเสียงคำรามไปทั่วแปดทิศ

ผืนดินสั่นสะเทือนในหลายๆ แห่ง โดยเฉพาะเมืองปรารถนาทั้งห้า ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ต่างเกิดความรู้สึกสั่นสะท้านอย่างไม่อาจอธิบายได้ ราวกับสัญชาตญาณกำลังบอกพวกเขาว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น

ในหมู่พวกเขา เจ้าแห่งปรารถนาทั้งสี่สัมผัสได้ชัดเจนที่สุด

แม้แต่เจ้าปรารถนาเสียงที่ได้รับบาดเจ็บและถือสันโดษอยู่ในภูเขาไฟก็ยังลืมตา ลึกเข้าไปในดวงตานั้นเผยแววไม่อยากเชื่อ ก่อนจะหันไปมองทางเมืองปรารถนาทัศน์ ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้น

ยังมีเจ้าปรารถนารสที่อยู่ในภาวะสลบไสลก็ยังตื่นขึ้นมาแล้วมองไปทางเมืองปรารถนาทัศน์เพราะการกระตุ้นของพลังปราณนี้

ยังมีเจ้าปรารถนากลิ่นและเจ้าปรารถนาสัมผัสที่แม้จะไม่เคยพบหวังเป่าเล่อ แต่พวกเขาก็ยังสั่นสะท้านด้วยพลังปราณนี้ทันที

การหลอมรวมดำเนินต่อไป โลกกำลังเปลี่ยนแปลง

แม้แต่ในโลกาชั้นที่สาม ขณะนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ลึกลงไปใต้ผืนดินภายในถ้ำหินปูน ร่างแห้งเหี่ยวที่ถูกพันธนาการแต่ละร่างเริ่มปรากฏสัญญาณของการตื่นขึ้น…

จนกระทั่งวันที่ 39…ในพริบตาที่ตราประทับเจ็ดอารมณ์ในร่างกายหวังเป่าเล่อหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์นั้น กฎเกณฑ์ที่ไม่เคยปรากฏบนโลกใบนี้ก็ได้…ถือกำเนิด!

เวลานี้ฟ้าดินพลันเปลี่ยนสี เมฆลมพลิกตลบ!

เจ้าแห่งอารมณ์ทั้งเจ็ดสั่นสะท้าน เจ้าปรารถนาอีกสี่คนตกตะลึง

สรรพสัตว์ทั้งหลายครวญคราง โลกสั่นสะเทือน!

กฎเกณฑ์ที่ถือกำเนิดขึ้นนี้มีนามว่าปรารถนาอารมณ์!

ทันทีที่ถือกำเนิดเพราะว่าหวังเป่าเล่อเป็นคนแรกที่ครอบครองมันจึงเรียกได้ว่าเป็นผู้ครอบครองเพียงหนึ่งเดียวและกลายเป็นต้นกำเนิดทันที ได้เลื่อนขึ้นเป็น…เจ้าปรารถนาอารมณ์!

พลังปราณอันแข็งแกร่งและทรงพลังพลันปะทุจากร่างขึ้นฟ้าก่อตัวเป็นพายุ ม้วนตลบดังเสาอากาศพุ่งสู่ท้องฟ้า!

………

 

Brazil999
ขณะที่หวังเป่าเล่อกับเจ้าแห่งสุขกำลังสนทนากันอยู่ในวังใต้ดิน…
กลางทะเลทรายห่างไกลจากเมืองปรารถนาทัศน์ ร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ร่างนี้ชัดเจนมากไม่พร่าเลือนแม้แต่น้อย จึงเห็นทุกอย่างได้แจ่มกระจ่าง
หากหวังเป่าเล่ออยู่ที่นี่เขาจะต้องจำได้ในแวบแรกอย่างแน่นอน ร่างนี้…ก็คือร่างแยกสุดท้ายของเจ้าปรารถนาทัศน์
ร่างแยกนี้ก็ไม่รู้ว่าทำไมตนถึงหนีออกมาจากการปิดผนึกเมืองปรารถนาทัศน์ได้ มันแค่ลองทำตามความคิดในหัวดู ผลปรากฏว่าผนึกที่ปกคลุมไปทั่วเมืองปรารถนาทัศน์นั้นไร้ผลกับตนอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นมันจึงไม่รีรออีกต่อไป เลือกที่จะหนีไปทันที ส่วนเรื่องเวลา…แท้จริงแล้วเป็นแค่วันที่สองหลังจากเจ้าปรารถนาทัศน์ระเบิดตนเท่านั้น
มันจึงไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองปรารถนาทัศน์หลังจากนั้นเลยแม้แต่น้อย
ในหัวมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น นั่นก็คือแก้แค้น!
ร่างแยกคิดจะอาศัยสถานะศิษย์มหาเทพของตนกลับไปยังอาณาจักรด้านบน ตามหาอาจารย์และให้อาจารย์เป็นผู้นำปราบกบฏเพื่อเขา
ร่างแยกยังคิดจะส่งข่าวด้วยเช่นกัน แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใดข่าวของมันกลับคล้ายจะถูกรบกวน ตลอดทางนี้ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถส่งได้
แต่ไม่เป็นไร ใจของร่างแยกมุ่นมั่นอย่างยิ่ง ในเมื่อส่งข่าวไม่ได้ มันก็จะไปด้วยตัวเอง สำหรับคนนอกการจะไปอาณาจักรด้านบนนั้นยากมาก แต่ร่างแยกคิดว่าด้วยสถานะของตนคงไม่น่ายาก
ต้องบอกก่อนว่า…ร่างแยกทั้งสี่ของเจ้าปรารถนาทัศน์ได้นิสัยต่างกัน และร่างนี้…ก็ดูเหมือนจะได้นิสัยที่ถูกยั่วยุอย่างโง่เขลามา
เพราะว่า…ตามแผนเดิมมันควรจะเหาะไปสุดขอบฟ้าแล้ว แต่หลังจากเหาะไปสักพักก็สัมผัสไม่ถึงการมีอยู่ของอาณาจักรด้านบน ร่างแยกที่กำลังเดินเตร่ไปมาอย่างสับสนอยู่หนึ่งวัน จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณหนึ่งที่ทำให้มันตื่นเต้น
พลังปราณนี้ มันคิดว่าไม่มีทางที่ตนจะระบุพลาด นั่นคือ…พลังปราณของอาจารย์มหาเทพ
“อาจารย์ตื่นแล้ว?” ร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์ทั้งตกใจและตื่นเต้น ยิ่งกว่านั้นคือดีใจมากจึงเปลี่ยนทิศทางมุ่งไปยังจุดที่พลังปราณนั้นอยู่โดยไม่ทันรู้ตัว
ด้วยเหตุนี้หลังจากมุ่งหน้าอย่างบ้าคลั่งอยู่นาน ในที่สุดวันนี้…มันก็มาถึงทะเลทราย
มันไม่คุ้นเคยกับทะเลทรายผืนนี้มากนัก แต่สำหรับหวังเป่าเล่อ ที่นี่…คือที่ที่เขาคุ้นเคยอย่างยิ่ง เพราะลึกลงไปใต้ทะเลทรายผืนนี้ก็คือจุดที่ร่างต้นแบบอยู่
“เป็นที่นี่ อาจารย์อยู่ที่นี่” หลังจากร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์มาถึง มันก็ยิ่งตื่นเต้นกว่าเดิม ดวงตาเผยแววยินดีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เจ้าเจ็ดอารมณ์สมควรตาย เจ้าคนนอกสมควรตาย พวกเจ้าตายแน่ เมื่ออาจารย์ออกมา พวกเจ้าต้องตายแน่!” คิดได้ดังนี้ร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์ก็หัวเราะเสียงดัง เพิ่มความเร็วจนกระทั่งก้าวเข้าสู่ทะเลทรายและมุดลงข้างใต้ตามพลังปราณที่ตนสัมผัสได้ และพุ่งตรงมายัง…สถานที่ที่หวังเป่าเล่อร่างต้นแบบอยู่ด้วยความตื่นเต้น
ไม่นานมันก็พุ่งผ่านปราการแต่ละชั้นลงไปถึงส่วนลึก และเข้าไปในสถานที่ถือสันโดษของหวังเป่าเล่อ
“อาจารย์ ศิษย์มาพบท่านขอรับ!”
“อาจารย์…”
“อา…” ร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์ที่กำลังตื่นเต้นชะงักคำพูดที่จะเอ่ยต่อไปในทันที ก่อนจะจ้องมองร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าอย่างว่างเปล่า ร่างพลันค่อยๆ สั่นเทิ้ม ดวงตาฉายแววไม่อยากจะเชื่อ
ตรงหน้าเขา หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นมองร่างเล็กกระจ้อยร้อยตรงหน้าด้วยความแปลกใจ
บริเวณรอบด้านเงียบลงไปถนัดตาชั่วครู่ มีเพียงเขาสองคนจ้องสบตากัน ทว่าพริบตาถัดมาร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์ก็ส่งเสียงกรีดร้อง ถอยหนีไปอย่างรวดเร็วและคิดจะหนีไปจากที่นี่
ชัดเจนว่ามันมาหาอาจารย์ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเจอ…ร่างที่ช่วงชิงร่างต้นแบบของมันไป…
แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางที่มันจะหนีพ้น ในพริบตา…ร่างที่ถอยร่นไปอย่างรวดเร็วก็ถูกกำลังมหาศาลตรึงไว้แล้วลากกลับไปทันที หลังจากถูกหวังเป่าเล่อร่างต้นแบบจับก็สลายตัวเป็นปราณโลหิตไหลเข้าสู่ร่างกายร่างต้นแบบ
หวังเป่าเล่อร่างต้นแบบตกตะลึง หลังจากผ่านไปนานเมื่อเขาดูดซับและย่อยทุกอย่างของร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์จนหมด หวังเป่าเล่อร่างต้นแบบก็ลืมตาขึ้นช้าๆ ลึกเข้าไปในดวงตามีแววซับซ้อนและสับสน
“ที่แท้…ก็เป็นเช่นนี้หรือ…”
เวลาเดียวกันภายในเมืองปรารถนาทัศน์ หวังเป่าเล่อที่กำลังคุยกับเจ้าแห่งสุขก็ชะงักไปทันที สุราข้าวที่กำลังจะดื่มค้างอยู่กลางอากาศ ก่อนจะหันไปมองโลกอันไกลโพ้นแล้วหรี่ตาลง
เขาสัมผัสได้ว่าทางร่างต้นแบบดูเหมือนจะมีบางอย่างเปลี่ยนไป ขณะเดียวกันกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ของเขาก็ปั่นป่วนเล็กน้อย แต่หลังจากร่างกายสมบูรณ์แล้ว กฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ก็เหมือนกับวงแหวนปิด ไม่ได้รับอิทธิพลจากภายนอก“แปลกจริงๆ…” ดวงตาหวังเป่าเล่อฉายแววงุนงง ในหัวเกิดความคิดตลกๆ อย่างอดไม่ได้
“หรือว่าร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์ร่างนั้นจะเจอเข้ากับร่างต้นแบบของข้า” สีหน้าหวังเป่าเล่อแปลกไปเล็กน้อย เจ้าแห่งสุขที่อยู่ข้างๆ เห็นเข้า ลึกเข้าไปในดวงตามีแสงจางๆ ส่องประกาย ก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“เป็นอะไรหรือ”
“เปล่า ปรารถนาอารมณ์ที่เจ้าพูดถึงจำเป็นต้องมีกฎเจ็ดอารมณ์ ตอนนี้ข้ายังขาดอีกสามอารมณ์” หวังเป่าเล่อมองเจ้าแห่งสุข
“ข้ามี” เจ้าแห่งสุขจ้องหวังเป่าเล่อแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
เจ็ดอารมณ์ สุข โกรธ ระทม ครุ่นคิด โศก หวาดกลัว ตกใจ
หวังเป่าเล่อได้ไปแล้วสี่อารมณ์คือสุข โศก โกรธ ระทม ซึ่งในความเป็นจริงเจ้าแห่งระทมก็คือเจ้าแห่งแค้น
ดังนั้นอีกสามอารมณ์ที่ยังขาดอยู่คือกฎแห่งครุ่นคิด กฎแห่งหวาดกลัว และกฎแห่งตกใจ
ครู่ต่อมาเจ้าแห่งสุขก็ยกมือโบก ขวดสีขาวขนาดเล็กสามขวดพลันปรากฏเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ
ทั้งสามขวดถูกปิดผนึกไว้ แต่ด้วยสัมผัสรับรู้ของหวังเป่าเล่อ เมื่อเขาสำรวจอย่างละเอียด เขาก็สัมผัสได้ถึงเมล็ดพันธุ์เต๋าสามเมล็ดข้างในแต่ละขวด
เมล็ดพันธุ์เต๋าทั้งสามคือตัวแทนกฎแห่งอารมณ์ที่เขายังขาดอยู่
การเตรียมพร้อมรอบด้านเช่นนี้ทำให้สายตาที่หวังเป่าเล่อมองเจ้าแห่งสุขล้ำลึกขึ้น
เจ้าแห่งสุขไม่ได้อธิบาย หลังจากนำทั้งสามขวดออกมา นางก็ลุกขึ้นคำนับหวังเป่าเล่อ แล้วหมุนตัวออกจากวังไป ทำให้ที่นี่เหลือแค่หวังเป่าเล่อคนเดียว
หวังเป่าเล่อไม่ได้มองขวดทั้งสาม แต่เอนกายดื่มสุราข้าวเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ครู่หนึ่งจู่ๆ เขาก็หัวเราะ
“ร่างต้นแบบไม่ชอบดื่มสุรา ชอบแต่น้ำเย็นหล่อวิญญาณ เขาไม่รู้หรอก…ว่าแท้จริงแล้วสุราน่ะอร่อยกว่า”
กล่าวจบหวังเป่าเล่อก็สะบัดมือ ทันใดนั้นขวดบรรจุเมล็ดพันธุ์เต๋าทั้งสามก็พุ่งเข้ามา หวังเป่าเล่อคว้ามันเอาไว้!
“เพราะฉะนั้นลองสักหน่อยจะเป็นไรไป!”
พริบตาต่อมาขวดทั้งสามก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เมล็ดพันธุ์เต๋าข้างในส่องแสงเจิดจ้าพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อและหลอมรวมเข้าสู่ร่างกาย และด้วยปราณโลหิตของมหาเทพก็ได้กำจัดเจตจำนงที่หลงเหลืออยู่ในอารมณ์เหล่านี้ทันที กลายเป็นเมล็ดพันธุ์เต๋าแห่งกฎอันบริสุทธิ์
ความบริสุทธิ์เช่นนี้คือการตัดขาดความเชื่อมโยงกับต้นกำเนิดของมันอย่างสิ้นเชิงจึงบริสุทธิ์อย่างยิ่ง มันหลอมรวมกลายเป็นตราประทับสามตราอยู่ในร่างกายเขา!
ตราประทับของสี่อารมณ์ก่อนหน้าดูเหมือนจะสะท้อนกันและกัน ขณะที่แสงส่องสว่างขึ้นเรื่อยๆ พลังปราณของหวังเป่าเล่อพลันระเบิดออก!
ตราประทับทั้งเจ็ดตราเริ่มเข้าใกล้กันช้าๆ ราวกับกำลังจะหลอมรวมเข้าด้วยกัน
เวลาเดียวกันเจ้าแห่งสุขที่ออกจากวังไปแล้วก็หันหน้ากลับมามอง นางสูดหายใจเข้าลึก สายตาเปี่ยมไปด้วยความหวัง

หวังเป่าเล่อหรี่ตา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ได้คำตอบ

สิ่งที่เขาเห็นในวังใต้ดินคือร่างแยกสองร่างแน่นอน ร่างหนึ่งถูกเขาฆ่าเองกับมือ อีกฝ่ายอัดแน่นไปด้วยปราณโลหิตหนึ่งส่วน

แต่อีกร่างนั้นแบ่งออกเป็นอีกหลายร่างแทงเข้าไปในหมอกจึงถูกเขาดูดกลืนทีละร่าง หากคำนวณอย่างละเอียดแล้วมันไม่ใช่ 100 ร่าง แต่เป็น 99 ร่าง

เห็นได้ชัดว่าร่างแยกร่างที่สองนี้มีความเจ้าเล่ห์ เขาส่งร่างแยกมา 99 ร่าง หากสำเร็จเขาก็จะถือว่ามีส่วนช่วยครั้งใหญ่ แต่หากไม่สำเร็จก็มีความเป็นไปได้ว่าจะหวนกลับมาเพราะยังซ่อนไว้อีกหนึ่ง

แม้กลยุทธ์จั๊กจั่นลอกคราบเช่นนี้จะชาญฉลาด แต่ก็เห็นได้ชัดว่าร่างแยกที่ยังเหลืออยู่นั้นโชคไม่ดีถูกเจ้าแห่งโกรธจับตัวไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ และผนึกมันเข้าไปในร่างด้วยเหตุผลบางอย่างเพื่อซ่อนร่องรอยการมีอยู่ของมัน

หากไม่ใช่เพราะหวังเป่าเล่อที่ดูดซับเลือดมหาเทพมีสัมผัสเชื่อมต่อคงยากจะพบเบาะแสเรื่องนี้

 นี่ไม่ใช่ร่างแยกที่สมบูรณ์ ข้าแค่อยากเอามันไปศึกษาและมันก็ไม่ได้มีประโยชน์กับเจ้ามากนัก หากข้าเดาไม่ผิด เจ้ายังมีร่างแยกที่สมบูรณ์อีกสองร่างที่ยังหาไม่เจอนี่…  เจ้าแห่งโกรธอธิบายเสียงอู้อี้ เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อสีหน้าเปลี่ยนไป

หากหวังเป่าเล่อไม่ได้ครอบครองพลังแข็งแกร่งอย่างตอนนี้ เขาย่อมไม่อธิบายหรอก แต่ตอนนี้…ต่างออกไปแล้ว

 ขาดอีกแค่หนึ่ง  หวังเป่าเล่อเอ่ยเบาๆ ขณะที่พวกเจ้าแห่งสุขพากันทำหน้าประหลาดใจ หวังเป่าเล่อก็หันศีรษะมองเหล่าคนที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นทุกอย่างแต่กลับแสร้งทำเป็นไม่เห็นศิษย์ทั้งเจ็ดคน

ตอนนี้ศิษย์ทั้งเจ็ดกายสั่นเทิ้ม ต่อให้โง่แค่ไหนพวกเขาก็เดาความจริงของเรื่องราวทั้งหมดได้ อาจารย์ของพวกเขาถูกช่วงชิงร่างไปแล้ว เหลือเพียงร่างแยกสองร่างที่หลบหนีอยู่ข้างนอก

แต่นั่นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือ…ผู้ที่ช่วงชิงร่างอาจารย์ไปผู้นี้ได้กลายเป็นต้นกำเนิดกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์อย่างแน่นอนแล้ว ในระดับหนึ่ง…เขาก็ได้กลายเป็นเจ้าปรารถนาทัศน์คนใหม่

ดังนั้นแม้พวกเขาจะสับสน แต่ก็ไม่กล้าอิดออดจึงทำได้เพียงก้มหน้าคุกเข่าอยู่ตรงนั้น

 เห็นแก่มิตรภาพแต่เก่าก่อนที่ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าจะไว้หน้าเจ้า ออกมาด้วยตัวเองเถอะ  หวังเป่าเล่อมองศิษย์ทั้งเจ็ดคนก่อนจะเอ่ยช้าๆ

ศิษย์ทั้งเจ็ดยิ่งตัวสั่นและมองหน้ากันอย่างงุนงง แต่หลังจากรอคอยอีกไม่กี่อึดใจ หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจออกมา ก่อนจะยกมือขวากระชากศิษย์หญิงที่หน้าตาหมดจดผู้นั้นออกมาจากกลุ่มอย่างแรง

 อาจารย์ ข้า… 

ยังกล่าวไม่ทันจบ มือใหญ่ของหวังเป่าเล่อก็บีบจนเกิดเสียงดังปัง ศิษย์หญิงสั่นไปทั้งกาย ปราณโลหิตไหลออกจากรูทวารทั้งเจ็ดกลายเป็น…ร่างเดิมของเจ้าปรารถนาทัศน์คนก่อน

เขาจ้องหวังเป่าเล่ออย่างโกรธจัด รู้ว่าตนคงหนีไม่พ้นแล้ว แววตานั้นสิ้นหวัง แต่ก็ไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของหวังเป่าเล่อ จากท่าทางที่อีกฝ่ายแสดงออกมา หวังเป่าเล่อก็มองออกว่าร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์ไม่ได้แบ่งปันความทรงจำของกันและกัน

ส่วนศิษย์หญิงผู้นั้น หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนฆ่าไม่เลือก เขาสะบัดมือกลับ เพียงอึดใจเดียวร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์ผู้สิ้นหวังก็กลายเป็นปราณโลหิตไหลเข้าสู่ร่างกายของหวังเป่าเล่อ

ถึงตอนนี้หวังเป่าเล่อก็ครอบครองร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์ไปแล้วเก้าส่วน อีกหนึ่งส่วนที่เหลือไม่สำคัญแล้ว โดยเฉพาะหลังจากดูดซับแก่นเลือดของมหาเทพเข้าไป ไม่ว่าจะหาร่างแยกสุดท้ายเจอหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ

เขาแค่สงสัยว่าร่างแยกสุดท้ายหนีออกจากเมืองปรารถนาทัศน์ไปได้อย่างไร เพราะสัมผัสเชื่อมต่อไม่ถึง เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายอยู่ไกลจากเมืองปรารถนาทัศน์มากแล้ว

แต่นั่นก็ไม่สำคัญหรอก ต่อให้ถูกคนอื่นเอาไปก็ไม่สามารถคุกคามเขาได้ เพราะ…เขาไม่เหมือนกับอดีตเจ้าปรารถนาทัศน์ เจ้าปรารถนาทัศน์คนก่อนได้ครอบครองเพียงร่างกายเท่านั้น

แต่หวังเป่าเล่อกลับหลอมรวมมันเข้าไปในร่างของตนกลายเป็นปราณโลหิต รวมกันอย่างสมบูรณ์แล้ว

เรียกได้ว่าหลังจากดูดซับเลือดหยดนั้นภายในวังใต้ดิน หวังเป่าเล่อ…ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ความสัมพันธ์ระหว่างกายเนื้อและร่างต้นแบบก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกันโดยตรงเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว

ในแง่หนึ่ง เขาในตอนนี้นับว่ามีอิสระอย่างสมบูรณ์

นอกจากนี้ยังครอบครองกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ที่เกือบสมบูรณ์กับกฎเกณฑ์อื่นๆ อีกมากมาย เวลานี้เขาคือเจ้าปรารถนาอย่างสมเกียรติและยังแข็งแกร่งกว่าเจ้าปรารถนาคนอื่นๆ ด้วยซ้ำ

ในความเงียบหวังเป่าเล่อไม่สนใจทุกคนรอบกาย แต่มองไปยังเจ้าแห่งสุข ก่อนจะเอ่ยช้าๆ

 เราควรคุยกัน 

 ได้  เจ้าแห่งสุขสูดหายใจเข้าลึกๆ นางพยักหน้าเล็กน้อย ครู่ต่อมาร่างของทั้งคู่ก็หายวับ เมื่อปรากฏตัว…ก็มาอยู่ที่สระโลหิตของเจ้าปรารถนาทัศน์

หวังเป่าเล่อสะบัดมือ สภาพแวดล้อมของที่นี่ก็เปลี่ยนไปกลายเป็นศาลา ข้างในมีที่ตั้งกาน้ำชาสามขา หวังเป่าเล่อนั่งด้านข้างพิงกับเสา ในมือปรากฏสุราข้าวหนึ่งขวด เขากระดกมันเข้าปากอึกใหญ่ แล้วมองเจ้าแห่งสุขที่นั่งอยู่ตรงข้าม

จากมุมนี้ใบหน้าเจ้าแห่งสุขงดงามเหนือคำบรรยาย ความสง่างามที่ไม่มีใครเทียบได้ยิ่งเด่นชัด โดยเฉพาะท่านั่งของนางนั้นสง่างามมาก ยิ่งแสดงให้เห็นความงามของส่วนเว้าส่วนโค้งของสตรี

เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาหวังเป่าเล่อ เจ้าแห่งสุขจึงหันมามอง

หลังจากสบตากัน เขาก็เอ่ยขึ้นทันที

 ก่อนจะกลายเป็นเจ้าแห่งสุข เจ้าเป็นใคร 

 หนึ่งใน 108 ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ใต้คำสั่งของมหาเทพ หลิงเยว่  แววตาของเจ้าแห่งสุขเผยให้เห็นความทรงจำแล้วเอ่ยเบาๆ

 เจ้ารู้ตัวตนข้า?  หวังเป่าเล่อถามอีกครั้งหลังจากเงียบไป

 รู้และไม่รู้ แต่ที่ข้ามั่นใจคือเจ้าเป็นคนนอก เป็นคนที่อาณาจักรด้านบนกำลังตามหาตัว ดังนั้นข้าจึงอยากร่วมมือกับเจ้า เพราะข้า…อยากหลุดพ้น  เจ้าแห่งสุขตอบอย่างตรงไปตรงมา

 หลุดพ้นอย่างไร 

 กำราบอาณาจักรเบื้องบนให้สิ้นซาก ทำลายวิญญาณจักรพรรดิ สยบผู้พิทักษ์ ทำลายมหาเทพ! 

 ยาก!  หวังเป่าเล่อดื่มสุราข้าวแล้วส่ายหน้า

 เจ้ารู้ไหมว่าเหตุใดเจ็ดอารมณ์ถึงสมบูรณ์ แต่หกปรารถนากลับยังขาดปรารถนาอารมณ์อยู่  เจ้าแห่งสุขมองหวังเป่าเล่อแล้วเอ่ยทีละคำ

 เพราะสิ่งแรกที่ปรากฏบนโลกใบนี้ก็คือปรารถนาอารมณ์ซึ่งสุดท้ายมันถูกแบ่งเป็นเจ็ดส่วน แต่ละส่วนกลายเป็นอารมณ์ นั่นก็คือ…เจ็ดอารมณ์ 

 ในทางกลับกันหากใครสามารถฝึกฝนกฎทั้งเจ็ดอารมณ์ได้ถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะสามารถสร้างกฎเกณฑ์ปรารถนาอารมณ์ได้ เพียงแต่ก่อนหน้านี้ไม่มีใครทำได้เพราะทุกชีวิตในโลกใบนี้ล้วนต้องคำสาป แต่เจ้าไม่! 

 และทันทีที่ปรารถนาอารมณ์ปรากฏขึ้น ประตูสู่อาณาจักรด้านบนก็จะถูกเขย่าและเปิดออก! 

 เมื่อประตูเปิดพวกข้าจะพุ่งเข้าสังหาร จะอยู่ก็ดี จะตายก็ช่าง สุดท้ายมันก็คือการหลุดพ้น 

หวังเป่าเล่อหรี่ตาและเงียบไปเนิ่นนาน

เจ้าแห่งสุขไม่ได้เอ่ยอะไรอีก นางกำลังรอให้หวังเป่าเล่อครุ่นคิด

จากนั้นไม่นาน จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็หัวเราะออกมา เขามองเจ้าแห่งสุขอย่างสับสน เจ้าแห่งสุขก็มองเขาอย่างสับสน

บางครั้งเห็นได้ชัดว่าตัวเองรู้ อีกฝ่ายก็รู้ แต่บางอย่างก็ไม่อาจพูดออกมาได้

อย่างเช่นเขารู้ว่าอีกฝ่ายคาดเดาความจริงที่เขาไม่เต็มใจจะยอมรับได้แล้ว

อย่างเช่นนางรู้ว่าคนตรงหน้า แม้จะเป็นเพียงร่างแยก แต่กลับเป็นร่างแยก…ที่อยากเป็นอิสระ อีกทั้งยังเป็นอิสระแล้วด้วย แต่ก็ยังคงปรารถนาที่จะเป็นอิสระตลอดไป

 บนหัวเจ้าไม่ใช่ภูเขาลูกใหญ่ เหตุใด…ถึงไม่เดิมพันดูล่ะ  เจ้าแห่งสุขเอ่ยเสียงแผ่ว

 ร่างแยกอิสระของมหาเทพ ร่างแยกอิสระของร่างแยกอิสระ…  หวังเป่าเล่อยิ้มในใจ แต่ดวงตากลับมึนงง

 ข้าเป็นใครกันแน่… 

………

 

การถอนใจนั้นอัดแน่นไปด้วยความสับสน

ความจริงของโลกใบนี้แม้หวังเป่าเล่อจะไม่อยากคิดถึงมัน แต่มันกลับปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาครั้งแล้วครั้งเล่าจนเขาแทบจะหลีกหนีไม่พ้นแล้ว

 ร่างต้นแบบยังไม่รู้เรื่องทั้งหมด…  หวังเป่าเล่อเดินออกไปจากบ่อน้ำโบราณเงียบๆ แล้วไปปรากฏตัวอยู่บนท้องฟ้าด้านนอก เขาไม่สนใจต่อสีหน้าไม่อยากจะเชื่อและนิ่งงันของเหล่าเจ็ดอารมณ์ และไม่สนใจเหล่าศิษย์สายตรงของเจ้าปรารถนาทัศน์ที่มาที่นี่เพราะเห็นความผิดปกติ

เขายืนอยู่กลางอากาศมองไปทาง…ทิศที่ร่างต้นแบบอยู่

จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็นึกอิจฉาร่างต้นแบบ

 บางทีไม่รู้อะไรเลยก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งกระมัง 

ท่ามกลางความสับสนและอารมณ์ในก้นบึ้งจิตใจ เหล่าเจ้าแห่งเจ็ดอารมณ์ต่างหวาดระแวง มีเพียงเจ้าแห่งสุขที่มองหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาล้ำลึก

 เจ้าคือ…  เจ้าแห่งโกรธเอ่ยขึ้นเป็นผู้แรก น้ำเสียงดังก้องปานฟ้าร้อง

 เจ้าปรารถนาทัศน์  หวังเป่าเล่อกล่าวเสียงเบา ฉับพลันแม้เหล่าศิษย์สายตรงของเจ้าปรารถนาทัศน์ที่รีบมาจะประหลาดใจ แต่ก็ยังคงคุกเข่าคำนับหวังเป่าเล่อ

ศิษย์เหล่านี้ส่วนใหญ่ระดับการฝึกตนไม่ธรรมดา ล้วนฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ไปถึงระดับหนึ่งแล้ว เทียบได้กับเจ้าสวาปามหรือเหล่ามหาศิษย์ของเมืองปรารถนาเสียง มีทั้งหมดเจ็ดคน หญิงสี่ชายสาม

ทั้งรูปร่างและหน้าแต่ละคนสมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะศิษย์หญิงคนหนึ่งในนั้นที่หน้าตาโดดเด่นออกมาจากคนรอบข้าง หวังเป่าเล่อก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายสามารถเรียกได้ว่าเป็นสตรีที่สวยที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา

เพียงแต่ความสวยงามเช่นนี้มักให้ความรู้สึกไม่จริง

ศิษย์ผู้นี้ก็คือคนที่มีแววตากังวลมากที่สุดราวกับเป็นห่วงหวังเป่าเล่อมาก

หลังจากกวาดตามองเหล่าศิษย์แล้ว หวังเป่าเล่อจึงหันไปมองเจ้าแห่งโกรธ

สายตาของหวังเป่าเล่อนั้น แม้แต่เจ้าแห่งโกรธผู้แข็งแกร่งก็ยังใจกระตุก แท้จริงแล้วในสายตาที่ดูสงบนิ่งของหวังเป่าเล่อมีพลังบีบคั้นที่อธิบายไม่ได้ มันเป็นพลังที่ทำให้ในหัวเขานึกถึงความทรงจำอันเจ็บปวดเมื่อหลายปีก่อน

 เจ้าแห่งโกรธ เอาของที่ไม่ใช่ของเจ้าออกมาสิ  หวังเป่าเล่อมองเจ้าแห่งโกรธแล้วเอ่ยช้าๆ

ทันทีที่หวังเป่าเล่อกล่าวออกไป เจ้าแห่งสุข เจ้าแห่งโศก และเจ้าแห่งแค้นต่างหยุดชะงัก พวกนางหันไปมองเจ้าแห่งโกรธ ส่วนเจ้าแห่งโกรธก็ตกตะลึง จากนั้นเพลิงพิโรธก็ปรากฏในแววตา สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความขุ่นเคือง เขาข่มกลั้นความรู้สึกไม่สบายใจกัดฟันจ้องหวังเป่าเล่อเขม็ง

 เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร 

 ข้าบอกว่า…  หวังเป่าเล่อเดินไปหาเจ้าแห่งโกรธด้วยสีหน้าเรียบเฉย

 เอาของที่ไม่ใช่ของเจ้า… 

 ออกมา  เมื่อเอ่ยจบหวังเป่าเล่อก็มาหยุดตรงหน้าเจ้าแห่งโกรธพอดี ปราณโลหิตทั่วร่างกลายเป็นแสงสีแดงฉานราวกับมันสามารถปกคลุมท้องฟ้าทั้งแปดทิศได้

พลังบีบคั้นที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาทำให้พวกเจ้าแห่งสุขสั่นไหว นอกจากเจ้าแห่งสุขแล้ว อีกสองเจ้าไม่มีทางจินตนาการได้ว่าเหตุใดหวังเป่าเล่อที่จัดการวิกฤตในบ่อน้ำโบราณถึงได้มีพลังปราณที่น่าเหลือเชื่อเช่นในตอนนี้

โดยเฉพาะพลังปราณนี้…ล้วนทำให้พวกเขาใจสั่น เพราะมันคือ…พลังปราณของมหาเทพ

 เจ้า!  สีหน้าเจ้าแห่งโกรธเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ความขุ่นมัวไม่ได้ลดลง กลับกันมันยิ่งรุนแรงขึ้นอีก เขาถอยหลังไปพร้อมคำรามเสียงต่ำ

 ไม่ ข้าจะเอาไปเอง  หวังเป่าเล่อยังคงสีหน้าเรียบเฉยตั้งแต่ต้นจนจบ มือขวายกขึ้นสะบัด ทันใดนั้นปราณโลหิตก็ระเบิดก่อตัวเป็นพายุกวาดไปทั่วทุกสารทิศ หากมองจากที่ไกลๆ มันดูเหมือนฝ่ามือยักษ์สีโลหิตข้างหนึ่ง

ฝ่ามือยักษ์สีโลหิตนี้อัดแน่นไปด้วยพลังปราณโลหิตของหวังเป่าเล่อ แต่นิ้วทั้งห้านั้นไม่ใช่ นิ้วโป้งมาจากกฎเกณฑ์ปรารถนารส นิ้วชี้มาจากกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง นิ้วกลางมาจากกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์

กฎเกณฑ์ทั้งสามนี้ สำหรับปรารถนาทัศน์หวังเป่าเล่อเป็นต้นกำเนิดเพียงหนึ่งเดียวแล้ว ส่วนปรารถนาเสียงเป็นต้นกำเนิดครึ่งหนึ่ง และปรารถนารสแม้จะไม่ใช่ต้นกำเนิดหลัก แต่ก็เกือบจะถึงขีดสุดแล้ว

ดังนั้นนิ้วจากกฎเกณฑ์ทั้งสามจึงมีอานุภาพรุนแรงมาก ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงอีกสองนิ้วที่เหลือซึ่งอัดแน่นไปด้วยกฎเกณฑ์แห่งเจ็ดอารมณ์ทั้งสี่ เช่นนั้นพลังของฝ่ามือนี้…จึงเหนือกว่าเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาทุกตน!

เมื่อเห็นฝ่ามือสีโลหิตมาถึง เจ้าแห่งโกรธก็หายใจถี่รัว เขาคำรามดังลั่นก่อนจะทำผนึกมุทราแผ่กฎแห่งโกรธออกมาก่อร่างเป็นมังกรพิโรธคำรามต่อต้านหวังเป่าเล่อ

แต่ก็เหมือนตั๊กแตนห้ามรถ เปราะบางเกินไป!

ยังไม่ทันที่เหล่าเจ้าแห่งสุขจะขัดขวาง เวลาต่อมาฝ่ามือยักษ์สีโลหิตจากกฎเกณฑ์ของหวังเป่าเล่อก็ปะทะกับมังกรพิโรธด้วยพลังอำนาจทำลายล้างที่สยบทุกสิ่ง ฉับพลันมังกรพิโรธส่งเสียงคำรามลั่น มันจะปริแตกและพังทลายลงราวกับว่าต่อหน้าฝ่ามือโลหิตนี้มันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะป้องกัน

หลังจากทำลายมังกรพิโรธได้แล้ว ฝ่ามือโลหิตก็ไม่ได้หยุดชะงักแม้แต่น้อย พลังทำลายล้างพุ่งตรงไปเบื้องหน้าเจ้าแห่งโกรธที่หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ และจับตัวเขาไว้!

กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจ เจ้าแห่งโกรธผู้ยิ่งใหญ่เปราะบางราวกับมนุษย์ธรรมดา ถูกหวังเป่าเล่อสยบอย่างง่ายดาย!

หลังจากเจ้าแห่งโกรธถูกหวังเป่าเล่อจับตัวไว้ พวกเจ้าแห่งสุขถึงเพิ่งได้สติ แต่ละคนลนลานกล่าว

 เมตตาด้วย! 

 เจ้าปรารถนาทัศน์ ต้องมีอะไรเข้าใจผิดแน่ 

เจ้าแห่งสุขวาบร่างมาปรากฏตัวตรงหน้าหวังเป่าเล่อ นางสูดหายใจเข้าลึก สีหน้าสับสน ก่อนจะโค้งคำนับหวังเป่าเล่อ

 ให้โอกาสเขาอีกครั้งได้หรือไม่ 

หวังเป่าเล่อสีหน้าเรียบเฉยไม่สนใจเจ้าแห่งโศกและเจ้าแห่งแค้น แต่มองไปทางเจ้าแห่งสุข จากนั้นครู่หนึ่งก็เอ่ยเบาๆ

 ได้ 

เอ่ยจบก็สะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นฝ่ามือยักษ์สีโลหิตที่จับตัวเจ้าแห่งโกรธอยู่ก็ค่อยๆ คลายออก ทำให้เจ้าแห่งโกรธรีบถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายสั่นเทิ้ม มองหวังเป่าเล่อด้วยความหวาดกลัว พริบตานั้นเขาสัมผัสได้ถึงความตายจริงๆ

โดยทั่วไปแล้วเจ็ดอารมณ์หกปรารถนานั้นไม่สามารถทำลายได้ แต่พลังปราณของมหาเทพที่อัดแน่นอยู่ในฝ่ามือโลหิตนั้น…สามารถทำลายได้ทุกสรรพสิ่ง

 เจ้าแห่งโกรธ เจ้ายังไม่เอาของออกมาอีก!  เจ้าแห่งสุขถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะหันไปถลึงตามองเจ้าแห่งโกรธ

เจ้าแห่งโกรธท่าทางขมขื่น เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือกดลงบนหว่างคิ้วของตน พริบตานั้นเงามายาที่ถูกปิดผนึกไว้หลายชั้นก็แผ่ออกมาจากหว่างคิ้วและถูกหวังเป่าเล่อคว้าไป

ผนึกบนร่างแตกเป็นชั้นๆ เผยให้เห็นรูปร่างเดิมของเงามายาข้างใน นั่นก็คือ…ร่างของเจ้าปรารถนาทัศน์คนก่อน

เรื่องที่รู้ว่าเจ้าแห่งโกรธซ่อนร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์ไว้เป็นเพราะหลังจากหวังเป่าเล่อดูดซับเลือดมหาเทพแล้ว ร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์เหล่านั้นก็ไม่มีความลับอะไรกับสัมผัสเชื่อมต่อของหวังเป่าเล่ออีก

ดังนั้นเขาจึงสัมผัสได้ว่าในร่างเจ้าแห่งโกรธมีอยู่อีกหนึ่งร่าง

หลังจากคว้าไว้ได้แล้ว หวังเป่าเล่อก็บีบเบาๆ ร่างแยกในมือแตกสลายในทันที กลายเป็นปราณโลหิตหลอมรวมเข้าไปภายในกายหวังเป่าเล่อ แต่ในไม่ช้าเขาก็ต้องเลิกคิ้ว

 หืม? 

เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ก่อนหน้านี้เมื่อดูดซับเลือดมหาเทพและสำรวจไปรอบๆ ก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณของร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์สองร่างด้านนอก กอปรกับดูดซับและทำลายไปในบ่อน้ำโบราณอีกสองร่าง

ดังนั้นเขาจึงคิดว่าร่างแยกสี่ร่างก็สมบูรณ์แล้ว

แต่ในเวลานี้หลังจากดูดซับร่างแยก หวังเป่าเล่อกลับสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ ปริมาณปราณโลหิตในร่างนี้น้อยเกินไป…ไม่เหมือนกับร่างแยกที่บรรจุปราณโลหิตหนึ่งส่วน แต่เหมือนกับ…หนึ่งในร่างแยกของร่างแยกเกือบร้อยร่างที่ถูกเขาทำลายไปแล้ว!

 

ขวดโหลใบนี้ดูแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ แต่กลับมีพลังปราณพิเศษแผ่ออกมาอย่างต่อเนื่อง

แทบจะในทันทีที่หวังเป่าเล่อมาถึง บริเวณรอบตัวเขาก็มีพลังปราณแห่งเจ็ดอารมณ์เกิดขึ้น ก่อนจะกลายเป็นร่างพวกเจ้าแห่งสุข ทุกคนมองร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์เป็นตาเดียว

เพราะเรื่องของกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ พวกเขาไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่หวังเป่าเล่อจึงมองสภาพของเขาไม่ออก และได้รู้เรื่องที่หวังเป่าเล่อประสบมาก่อนหน้านี้จากปากของหวังเป่าเล่อในภายหลัง

หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าวิธีการของอีกฝ่ายเพียงอย่างเดียวไม่สามารถขับไล่ดวงวิญญาณเทพของตนได้ หากเป็นเขา เขาจะต้องมีแผนสำรองไว้แน่ เพราะทันทีร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์หาตนเจอก็ย่อมหมายถึงการเผชิญหน้ากับการสังหารด้วย

ซึ่งหวังเป่าเล่อก็คาดไม่ผิดจริงๆ หลังจากสามวันแรกร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์ก็พบว่าการต่อต้านของหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งขึ้น เขาก็เริ่มเตรียมแผนสำรองไว้แล้ว วังใต้ดินในตอนนี้ถูกเขาเปลี่ยนให้กลายเป็นสถานที่แห่งการสังหาร

เพราะฉะนั้นแววตาของเขาจึงไม่เผยความตื่นตระหนกใดๆ แต่เป็นความโกรธเกรี้ยวแทน

และหลังจากพวกเจ้าแห่งสุขมาถึงก็ได้เห็นทุกอย่างในวังใต้ดินอย่างชัดเจน โดยเฉพาะหลังจากเห็นขวดโหลเลือดใบนั้น พวกเขาก็หน้าเปลี่ยนสีในฉับพลัน เจ้าแห่งสุขเอ่ยอย่างร้อนรน

 นั่นมัน..พลังปราณ… 

 นั่นคือเลือดของมหาเทพ!! 

 เป็นไปไม่ได้ เลือดของมหาเทพได้กลายเป็นร่างกายของกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ไปแล้ว ทำไมถึงยังเหลืออีกหนึ่งหยดกัน!! 

เจ้าแห่งเจ็ดอารมณ์หน้าเปลี่ยนสีไปพร้อมกับถอยหลัง แต่ก็สายไปเสียแล้ว ร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง

 เดาว่าพวกเจ้าจะต้องมา ในเมื่อมาแล้วจะรีบไปไหนล่ะ มาให้ข้าระเบิดซะ!! 

ขณะที่กล่าว ขวดโหลเลือดที่วางอยู่ก็สั่นไหวและเกิดรอยร้าวปริแตกไปทั่ว พลังปราณมหาศาลพลันแผ่ออกมาจากข้างใน พลังปราณนี้อัดแน่นไปด้วยการบีบบังคับ ความน่าสะพรึงกลัว พลังอำนาจที่กวาดไปทั่วทุกสิ่ง และเจตจำนงอันน่าสะพรึง ส่งผลให้เหล่าเจ็ดอารมณ์ในที่แห่งนี้แต่ละคนต่างมีสีหน้าตื่นตระหนกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับถูกกระตุ้นความทรงจำอันแสนเจ็บปวด

หวังเป่าเล่อก็หน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน แต่ในส่วนลึกของดวงตากลับมีแสงประหลาดวาบผ่าน

พริบตาต่อมารอยร้าวบนขวดโหลก็ถึงขีดจำกัดและแตกเป็นเสี่ยงๆ พลังอำนาจข้างในพลันระเบิดออกก่อตัวเป็นหมอกสีโลหิตพลิกตลบไปรอบๆ อย่างบ้าคลั่งและกลืนกินทุกสิ่ง!

เจ้าแห่งเจ็ดอารมณ์ต่างถอยร่นไปราวกับไม่กล้าสัมผัสโดนหมอกสีโลหิตนั้นแม้แต่น้อย มีเพียงเจ้าปรารถนาทัศน์เท่านั้นที่กำลังหัวเราะดังลั่น สีหน้าร่าเริง ดวงตาบ้าคลั่ง

 ตาย ตายให้หมด!! 

ในชั่วพริบตาหมอกโลหิตก็กวาดไปทั่วทุกสิ่งและยังทำให้ร่างของหวังเป่าเล่อจมดิ่งอยู่ข้างใน ส่วนเจ้าแห่งเจ็ดอารมณ์ทั้งสี่คนหนีรอดมาได้ทันเวลา แม้จะสัมผัสโดนหมอกโลหิตเล็กน้อย แต่ก็ยังหลบหนีออกมาได้ ด้านนอกบ่อน้ำโบราณสีหน้าแต่ละคนซีดขาว ต่างพยายามขจัดอิทธิพลของหมอกโลหิตในร่างกายออกไปอย่างสุดกำลัง มีเพียงเจ้าแห่งสุขที่มองไปทางบ่อน้ำอย่างร้อนใจ

 อย่ามองเลย ครั้งนี้เราแพ้แล้ว 

 ใครจะคิดว่าเจ้าบ้านั่นจะมีเลือดมหาเทพ! 

 ดูจากตอนนี้ เขาคงจะกลั่นออกมาจากร่างกายนั้นเมื่อหลายปีก่อนให้กลายเป็นเคล็ดวิชาลับของตน…หากเขาเอาติดตัวไปด้วยตอนที่ถูกช่วงชิง ถึงตอนนั้น พวกเราคงสูญเสียครั้งใหญ่ 

เจ้าแห่งโกรธเอ่ยด้วยความห่อเหี่ยว

 บางที…อาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้  จู่ๆ เจ้าแห่งสุขก็เอ่ยขึ้น

เจ้าแห่งโกรธเลิกคิ้ว ไม่ได้เอ่ยอะไร แต่สีหน้ากลับไม่เห็นด้วย

ขณะเดียวกันภายในบ่อน้ำโบราณ ณ วังใต้ดินแห่งนั้น หมอกโลหิตลอยปกคลุมทั่วแปดทิศ มีเพียงเสียงหัวเราะของร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์ที่ยังดังก้อง เวลาเดียวกัน…ขณะที่หมอกกำลังคืบคลานก็มีเงาร่างมายาทยอยกันลอยออกมาจากช่องว่างในกำแพงทุกทิศทาง

เงาร่างเหล่านี้…ล้วนมีรูปร่างหน้าตาเหมือนเจ้าปรารถนาทัศน์ แต่พลังปราณอ่อนแอกว่า นี่คือ…ร่างแยกที่สองจากของเจ้าปรารถนาทัศน์!

ร่างแยกที่สองนี้เจ้าเล่ห์มาก วิธีซ่อนกายของมันคือแยกร่างตัวเองออกไปอีกร้อยร่าง และแยกกันซ่อนตัว ครั้งนี้เป็นเพราะสัมผัสได้ถึงแผนการของอีกร่างแยกหนึ่ง จึงเป็นฝ่ายเข้ามาร่วมมือและทำให้การลงมือครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์

ขณะนี้ร่างแยกที่แยกตัวออกมาอีกเหล่านี้เปรียบเสมือนมีดคมพุ่งเข้าไปยังจุดที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่ในสายหมอก แม้เจ้าปรารถนาทัศน์จะเชื่อว่าไม่มีใครสามารถอยู่รอดในหมอกโลหิตของมหาเทพได้ยกเว้นตัวเขาเอง แต่เขาก็ยังเตรียมการรับมือ

ใบมีดคมจากร่างแยกของร่างแยกล้วนแทงเข้าไปยังจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่ เกิดเสียงฉึบฉับ ดูเหมือนกลิ่นคาวเลือดในที่แห่งนี้จะลอยคลุ้งเข้มข้นขึ้น

 ไม่ว่าเจ้าจะวางแผนอย่างไรก็ไม่ใช่ของเจ้า สุดท้ายก็ไม่ใช่ของเจ้า!  ร่างแยกอันแน่วแน่ของเจ้าปรารถนาทัศน์ที่อยู่ด้านข้างส่งเสียงหัวเราะพร้อมแววตาคาดหวัง เขากำลังรอให้หวังเป่าเล่อถูกกำจัด หมอกโลหิตในที่แห่งนี้จะรวมตัวกันก่อร่างเป็นกายเนื้อใหม่รอให้พวกเขาหลอมรวมเข้าไป

ทันทีที่หลอมรวมเขาก็จะเสร็จสิ้นการย้อนคืนร่าง และกลายเป็นเจ้าปรารถนาทัศน์อีกครั้ง ถึงตอนนั้นเขาก็จะไม่สนใจพวกเจ็ดอารมณ์ด้านนอกแล้ว

เพราะจะไม่มีอิทธิพลของหวังเป่าเล่ออีกและเขายังหลอมรวมเข้าไปได้ อีกอย่างยังอยู่ในเมืองปรารถนาทัศน์ของตนเองเอง ด้วยเหตุนี้เจ้าปรารถนาทัศน์จึงมั่นใจว่าจะจัดการพวกเจ็ดอารมณ์ได้แน่

ต่อให้ไม่ได้ผล เขาก็ยังสามารถทำลายการปิดผนึกของเจ้าแห่งโกรธและเรียกหาวิญญาณจักรพรรดิได้อยู่ดี

และในไม่ช้าภาพตรงหน้าก็สอดคล้องกับการคาดเดาของร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์ หมอกเลือดที่แผ่ขยายไปทั่วบริเวณจู่ๆ ก็พลิกตลบ ก่อนจะพุ่งมารวมตัวกันในทันที

ทว่าในพริบตาที่ร่างแยกอันแน่วแน่ของเจ้าปรารถนาทัศน์กำลังเฝ้ารอคอยนั่นเอง…จู่ๆ มันก็ต้องหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ เพราะว่า…ตอนนี้ร่างหนึ่งกำลังเดินออกมาท่ามกลางหมอกโลหิตที่หดตัวลง!

เมื่อเดินออกมาร่างแยกที่กลายเป็นใบมีดเแทงเข้าไปก็ทยอยกลายเป็นปราณโลหิตและถูกเขาดูดซับ!

ร่างกายของกฎที่ไม่ได้ถูกครอบงำด้วยจิตใต้สำนึกย่อมไม่มีทางเคลื่อนไหวได้เอง และไม่มีทางกลืนกินใบมีดจากร่างแยกเหล่านั้นได้ การจะทำได้ย่อมหมายความว่า…ร่างกายนี้ยังมีคนควบคุมอยู่!

 นี่…นี่…  ขณะที่หน้าเปลี่ยนสี ร่างในหมอกโลหิตก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาเดินออกมา หมอกรอบด้านก็พุ่งไปรวมตัวกันที่ร่างนั้นอย่างบ้าคลั่ง มันสอดแทรกเข้าไปตามรูทวารทั้งเจ็ดและรูขุมขนทุกอณูทั่วร่าง

จนกระทั่งเมื่อหมอกสายสุดท้ายหลอมรวมเข้าด้วยกัน ร่างนั้นก็เดินมาถึงตรงหน้าร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์แล้ว ทั่วทั้งร่างเป็นสีแดงฉาน แม้แต่เส้นผมก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด ดวงตาแผ่แสงแดงกล้า พลังปราณอัดแน่นไปด้วยอำนาจสูงสุดปกคลุมไปทั่วทุกสารทิศ

นั่นก็คือหวังเป่าเล่อ

เขามองเจ้าปรารถนาทัศน์ที่กำลังตกตะลึงถึงขีดสุดด้วยใบหน้าเรียบเฉย

 เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้าเป็นใครกันแน่ ทำไมเจ้าถึงดูดซับเลือดของอาจารย์ข้าได้!!  เจ้าปรารถนาทัศน์ตัวสั่นเทิ้ม สายตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นมาต่อหน้าเจ้าปรารถนาทัศน์ที่จิตตกตะลึงจนไม่อาจหลบหนีได้ ก่อนวางมือกดลงบนศีรษะอีกฝ่าย

สัมผัสนั้นแผ่วเบา แต่เจ้าปรารถนาทัศน์กลับตัวสั่นเทิ้ม ร่างกายพลันพังทลาย และก่อนที่ร่างกายและวิญญาณจะถูกทำลายอย่างสมบูรณ์นั้นเอง…

จู่ๆ เขาก็ชะงักงัน จ้องมองหวังเป่าเล่อดวงตาว่างเปล่า ในพริบตาก็ดูเหมือนว่าเจ้าปรารถนาทัศน์ได้เห็นอะไรบางอย่างจึงเอ่ยพึมพำขึ้นมา

 เจ้าคือ…อาจารย์…  มีเพียงสี่คำนี้เท่านั้น แล้วร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์ก็สลายกลายเป็นปราณโลหิตอันเข้มข้น ก่อนจะไหลเข้าสู่ร่างกายหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อไม่เอ่ยอะไรเลย เขายืนอยู่ตรงนั้นเนิ่นนาน แล้วถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนหมุนตัวจากไป

……………………………

 

ผ่านไปเนิ่นนานสีหน้าหวังเป่าเล่อถึงกลับมาเป็นปกติ ดวงจิตเทพยังคงไม่สามารถกำหนดเป้าอีกฝ่ายได้ แต่เขาสัมผัสได้ว่าหากเกิดเรื่องแบบนี้หลายๆ ครั้ง ตนก็จะตามหาเบาะแสได้อย่างแน่นอน
“เกิดการต่อต้าน แสดงว่าการหลอมรวมของข้ายังไม่สมบูรณ์…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ก่อนจะใช้เคล็ดวิชาครองร่างกลับคืนอีกครั้งเพื่อเริ่มหลอมรวมร่างกายใหม่
เป็นเช่นนี้จนหนึ่งวันผ่านไป
เวลาเดียวกันจู่ๆ หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น สีหน้าพลันซีดขาว พลังต่อต้านแบบเดิมระเบิดขึ้นอีกครั้ง ครานี้แม้เขาจะสะกดวิญญาณเทพไว้แน่นหนาแล้ว แต่ก็ยังถูกขับออกไปสามส่วน อีกทั้งระยะเวลายังเพิ่มขึ้น ไม่ใช่แค่หนึ่งชั่วยามแต่เพิ่มเป็นหนึ่งเท่าตัวหรือสองชั่วยามนั่นเอง
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ณ เวลานี้คงจะรับไม่ไหวและคงถูกขับออกจากร่างกายไปแล้ว แต่หวังเป่าเล่อนั้นมีความโดดเด่น ครั้งนี้เขาก็ยังคงยืนหยัดจนถึงสองชั่วยาม
หลังจากพลังต่อต้านหายไป หวังเป่าเล่อกายสั่นเทาเกือบล้มลง สีหน้ายิ่งขาวซีด ความโกรธในดวงตาก็ปะทุขึ้นอย่างไม่อาจปกปิด เขาแผ่ดวงจิตเทพออกค้นหาอีกครั้ง
แต่…ก็ยังคงไม่พบอะไร
“เว้นแต่ว่าข้าจะค้นหาตำแหน่งของอีกฝ่ายได้ตอนที่ถูกต่อต้าน…ดูจากสถานการณ์เมื่อวานและวันนี้แล้ว พรุ่งนี้เวลาเดิมก็คงเกิดขึ้นอีก” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก เขาไม่มีเวลาออกไปไหน ตอนนี้ทั้งร่างกายและจิตใจจมดิ่งอยู่กับการหลอมรวมอย่างเต็มที่
เขามีลางสังหรณ์ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ระยะเวลาของพลังต่อต้านอาจยาวนานถึง 20 ชั่วยาม หากเวลานั้นมาถึงตนคงทนรับไม่ไหวและถูกขับไล่ออกจากร่างกายนี้ กลายเป็นดวงวิญญาณเทพแน่นอน
แบบนี้ไม่เพียงสูญเสียทุกสิ่งที่ช่วงชิงมา เขาจะสูญเสียสิ่งที่เขาครอบครองอยู่ก่อนแล้วด้วย
นั่นเป็นเรื่องที่หวังเป่าเล่อรับไม่ได้เด็ดขาด
นอกจากนี้ทุกครั้งที่ร่างกายเกิดการต่อต้าน เดิมทีเขาคิดว่าการหลอมรวมอย่างสมบูรณ์จะนำไปสู่จุดที่เข้ากันไม่ได้ที่ซ่อนเร้นอยู่ แต่ทุกครั้งที่นำจุดที่เข้ากันไม่ได้นี้มาหลอมรวมกัน เขากลับควบคุมร่างกายนี้ได้ดีขึ้น
“ก็ดีเหมือนกัน!” ขณะหวังเป่าเล่อหลับตา ตบะในร่างพลันไหลเวียนอย่างเต็มที่จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งวัน เวลาเดิมของวันที่สาม ในชั่วพริบตาก่อนที่มันจะมาถึง หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น ดวงตาแน่วแน่ เตรียมพร้อมอย่างดี
พริบตาต่อมาพลังต่อต้านก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้หวังเป่าเล่อสะกดไปพลางควบคุมจิตใต้สำนึกอย่างยากลำบากเพื่อจะออกค้นหา แต่กลับไม่สามารถทำได้
ขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจดีว่าเรื่องนี้ไม่สามารถมอบหมายให้เป็นหน้าที่พวกเจ้าแห่งสุขเช่นกัน มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถสัมผัสเชื่อมต่อได้ แต่สภาพในตอนนี้ของตนไม่อาจวอกแวกได้เลย ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงระงับความหงุดหงิดใจไว้และพยายามสะกดการต่อต้านอย่างเต็มที่
ครั้งนี้พลังต่อต้านกินเวลาไปถึงสามชั่วยาม นั่นทำให้หวังเป่าเล่อโล่งใจ สิ่งที่เขากังวลที่สุดคือเวลาที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว หากเพิ่มแค่หนึ่งชั่วยามก็จะให้เวลาเขาได้พักบ้าง
หลังจากสามชั่วยามผ่านไปแล้ว หวังเป่าเล่อพลันเหนื่อยล้าเพลียแรงไปทั้งร่าง แต่เขากลับกัดฟันเริ่มหลอมรวมใหม่อีกครั้ง เป็นเช่นนี้จนวันที่สี่ วันที่ห้า วันที่หก วันที่เจ็ด…
เวลาของพลังต่อต้านเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสามชั่วยามกลายเป็นสี่ชั่วยาม ตามด้วยห้าชั่วยาม หกชั่วยาม จนกระทั่งวันที่เจ็ด มันก็นานถึงเจ็ดชั่วยาม
นั่นหมายความว่าเวลาที่หวังเป่าเล่อใช้รักษาตัวและหลอมรวมร่างกายก็น้อยลงเรื่อยๆ เช่นกัน อย่างเช่นในวันที่เจ็ด หลังจากเจ็ดชั่วยามผ่านไป เขาเหลือเวลาห้าชั่วยามในการรักษาตัวเท่านั้น และก็ต้องเผชิญกับพลังต่อต้านของวันที่แปดแล้ว
แต่ผลที่ได้รับ…ก็มหาศาล เพราะในเจ็ดวันนี้การหลอมรวมร่างกายของหวังเป่าเล่อได้มาถึงระดับที่น่าเหลือเชื่อ มากกว่าความสมบูรณ์แบบที่ตนมีในวันที่หนึ่งมาก
ขณะเดียวกันในเจ็ดวันนี้ระหว่างสู้กับพลังต่อต้านนั้น เขาก็ได้พยายามลองแผ่ดวงจิตเทพออกไปครั้งแล้วครั้งเล่าและสามารถแผ่มันออกไปได้เล็กน้อยแล้ว อีกทั้งตอนที่แผ่ออกไป หวังเป่าเล่อยังสัมผัสได้ถึงตำแหน่งบางอย่างในเมืองปรารถนาทัศน์ที่เป็นต้นกำเนิดพลังต่อต้านนี้
น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถกำหนดเป้าหมายของตำแหน่งนั้นได้ เพียงแค่สัมผัสได้เท่านั้นว่าอีกฝ่ายอยู่ในเมืองปรารถนาทัศน์
“อีกสองวัน…ข้าจะต้องหาเจอแน่!” หวังเป่าเล่อกัดฟัน เส้นเลือดในดวงตาแผ่ขยาย สำหรับเขาแล้วช่วงเวลานี้ช่างทุกข์ทรมาน จิตสังหารภายในใจกำลังจะควบคุมไม่อยู่แล้ว
ขณะนี้เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ รับรู้ว่าไม่อาจเสียเวลาได้จึงรีบหลอมรวมทันที เป็นเช่นนี้จนวันที่แปดมาถึง เมื่อพลังต่อต้านแปดชั่วยามระเบิดขึ้น ดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อก็เกือบจะถูกขับออกจากร่างอยู่หลายครั้ง
แต่หลังจากเขายืนหยัดอย่างยากลำบากจนครบแปดชั่วยาม พริบตาที่พลังต่อต้านหายไป หวังเป่าเล่อก็ต้องตกใจ เขาสัมผัสได้ถึงปราณกังวานแผ่วเบาสายหนึ่งอยู่ในร่างกาย
ราวกับว่าหลังจากขับไล่เขามานานและหลายครั้งขนาดนี้แล้ว ร่างกายนี้ก็ค่อยๆ ขจัดสสารบางอย่างออกไปและเผยให้เห็นสารัตถะแท้จริงของร่างนี้ มันเกิดการสะท้อนระหว่าง…สารัตถะและหวังเป่าเล่อ
ความรู้สึกที่มีต้นกำเนิดเดียวกันดูเหมือนจะเป็นการเพรียกหาอย่างหนึ่ง
ราวกับว่าร่างกายนี้ปรารถนาที่จะหลอมรวมเข้ากับหวังเป่าเล่ออย่างสมบูรณ์ เพียงแต่มีสิ่งกีดขวางอยู่ตรงกลาง และสิ่งกีดขวางนี้ก็คือ…เจ้าปรารถนาทัศน์
ถึงอย่างไรเจ้าปรารถนาทัศน์ก็ครอบครองร่างนี้มาเนิ่นนาน แม้จะถูกหวังเป่าเล่อช่วงชิงปราณโลหิตไปได้ แต่รอยประทับของเขาก็ยังคงอยู่ในปราณโลหิต
นั่นหมายถึงรอยประทับเหล่านี้ได้ก่อตัวเป็นสิ่งกีดขวาง
และรอยประทับเหล่านี้ก็กลายเป็นพลังต่อต้านในช่วงเวลานี้เช่นกัน แต่ว่า…เมื่อการต่อต้านผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า หวังเป่าเล่อก็หลอมรวมได้สมบูรณ์แบบขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า จนในที่สุด…ปราณกังวานก็เผยออกมา
“เวลาที่พลังต่อต้านครั้งต่อไปปรากฏคือเวลาที่ข้าจะหาเจ้าพบ” หวังเป่าเล่อดวงตาเย็นเยียบ ก่อนจะหลับตาปรับแต่งส่วนต่างๆ ในร่างกายที่ไม่เข้ากัน
ครั้งนี้แม้เวลาจะเนิ่นนาน แต่ก็เป็นครั้งที่ส่วนที่ไม่เข้ากันนั้นเกิดขึ้นน้อยที่สุด
เพียงหนึ่งชั่วยามหวังเป่าเล่อก็ปรับแต่งเสร็จ ปราณกังวานและเสียงเพรียกหาจากในร่างกายก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
“การต่อต้านอ่อนแรงลงแล้ว…”
หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ครู่หนึ่งก็หยิบแผ่นหยกออกมาส่งเสียงไปหาพวกเจ้าแห่งสุข แล้วหลับตารอคอยเงียบๆ
เป็นเช่นนี้จนมาถึง…วันที่เก้า
พลังต่อต้านปรากฏในร่างกายหวังเป่าเล่อแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นอย่างที่เขาคาดเดาไว้ มันอ่อนลงไปมากราวกับว่าการควบคุมร่างกายของหวังเป่าเล่อเพียงพอที่จะควบคุมพลังต่อต้านได้แล้ว ดวงตาของเขาลืมขึ้น ก่อนที่ดวงจิตเทพจะแผ่ออกมาอย่างรุนแรง มันเชื่อมต่อกันอย่างราบรื่นและกำหนดตำแหน่งหนึ่งในเมืองปรารถนาทัศน์
“เจอตัวแล้ว!” จิตสังหารที่ข่มกลั้นมาเก้าวันพลันปะทุขึ้นมาในพริบตา หวังเป่าเล่อผุดลุกขึ้นก่อนจะทำลายความว่างเปล่าและหายตัวไปทันที เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง…เขาก็อยู่เหนือบ่อน้ำโบราณแล้ว
“อยู่ที่นี่เอง!” เส้นเลือดแผ่ขยายเต็มดวงตาหวังเป่าเล่อ ร่างพุ่งตรงไปยังบ่อน้ำ พริบตาเดียว…ก็มาปรากฏตัวในวังใต้ดินใต้บ่อน้ำโบราณแล้ว!
ยามที่ปรากฏตัวเขาก็เห็นร่างแยกของเจ้าปรารถนาทัศน์กำลังจ้องมองมาอย่างโกรธจัดอยู่ไกลๆ รวมถึงขวดโหลเลือดที่วางอยู่ในสระโลหิตเบื้องหน้า!

แม้ร่างแยกทั้งสี่ของเจ้าปรารถนาทัศน์จะเกลียดหวังเป่าเล่อเข้ากระดูกดำ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เป็นอย่างที่หวังเป่าเล่อคาดไว้ พวกเขาไม่กล้าเผยตัวตน

ถึงจะไม่ใช่พวกเจ้าแห่งเจ็ดอารมณ์ แค่หวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็มากพอที่จะกลืนกินพวกเขาได้แล้ว ขณะเดียวกันผนึกจากเมืองปรารถนาทัศน์ก็ทำให้พวกเขาเข้าใจ แม้ตอนนี้จะระเบิดตนก็ทำได้แค่ทำให้คำสาปปิดกั้นเมืองหายไปเท่านั้น แต่การจะหนีออกจากเมืองยังคงเป็นเรื่องยาก

ยังมีอีกประเด็น…นั่นคือร่างแยกทั้งสี่นี้แม้จะมาจากการระเบิดตนของเจ้าปรารถนาทัศน์และเป็นส่วนหนึ่งของจิตใต้สำนึกของเขา แต่ระหว่างพวกเขาเอง…กลับไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกัน

นัยหนึ่งอาจกล่าวได้ว่านี่คือเจ้าปรารถนาทัศน์ในระดับอ่อนแอที่นิสัยต่างกันไปสี่คน และพวกเขายังมีความทรงจำร่วมกันต่างไปอีกด้วย

ในหมู่พวกเขามีร่างแยกหนึ่งเป็นตัวแทนนิสัยดื้อรั้นของเจ้าปรารถนาทัศน์และยังเป็นร่างแยกที่มีความทรงจำมากที่สุด ร่างแยกนี้ซ่อนกายหรี่ตามองหวังเป่าเล่ออยู่กลางอากาศในมุมหนึ่ง

มันมั่นใจว่าภายในช่วงเวลานี้อีกฝ่ายไม่มีทางหาตนเจอจากสัมผัสเชื่อมต่อได้ และช่วงเวลานี้คือกุญแจสำคัญที่มันจะฟื้นคืนชีพและช่วงชิงปราณโลหิตกลับมา

 ไม่รู้ว่าร่างแยกที่เหลือเป็นอย่างไรบ้าง แต่ก็คงพึ่งพาไม่ได้นักหรอก ภารกิจของพวกมันคือเบี่ยงเบนความสนใจจากพวกคนสมควรตายเหล่านั้น 

 ประเด็นสำคัญคือต้องดูว่าข้าจะทำเช่นไร…โชคดีที่ตอนนั้นเพื่อป้องกันวิกฤตชีวิตจึงได้เตรียมการไว้บางส่วน  ร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์หรี่ตากะพริบร่างออกไปจากจุดที่ยืนอยู่ เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่ที่ใต้บ่อน้ำในเมืองปรารถนาทัศน์แล้ว

บ่อน้ำนี้ธรรมดามาก ไร้ความผันผวนหรือเบาะแสใดๆ และไม่มีใครรู้เลยว่าลึกลงไปข้างในมีความลับบางอย่างซ่อนเอาไว้…

ที่แห่งนั้นมีขวดโหลปิดสนิทใบหนึ่ง

เวลานี้ร่างแยกของเจ้าปรารถนาทัศน์ปรากฏกายอยู่ข้างขวดโหล กำลังจ้องมองขวดโหลตรงหน้าซึ่งถูกปิดผนึกและฝังอยู่ที่นี่มานานหลายปี ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ

ขวดโหลใบนี้คือแผนตั้งรับของเจ้าปรารถนาทัศน์ หลายปีก่อนเมื่อมหาเทพกักตน เจ้าปรารถนาทัศน์สังเกตเห็นว่าร่างกายของตนค่อยๆ สูญเสียพลังชีวิตและจำเป็นต้องหลอมรวมกับพลังชีวิตใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง จึงได้คิดคำนวณแล้วว่าเป็นเช่นนี้ต่อไปตนจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ หลังจากนั้นกายเนื้อและวิญญาณเทพอาจเกิดสัญญาณความไม่ลงรอยกัน บางทีวันหนึ่งเขาอาจจะถูกใครมาช่วงชิงร่างกายของกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ไปได้

ร่างกายนี้รองรับกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ ใครที่ได้ครอบครองก็จะกลายเป็นเจ้าปรารถนาทัศน์ในทันที

เขากังวลมากว่าหากเกิดเรื่องเช่นนี้ ตนจะไร้แรงเผชิญหน้า ตอนนั้นจึงคิดไว้แล้วว่าหากเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ จะตอบโต้เช่นไร

ดังนั้นเขาจึงผลาญปราณโลหิตจากร่างกายเดิมเอาไว้ ทำให้พลังชีวิตต่ำลงยิ่งกว่าเก่าและต้องการพลังชีวิตมาเติมเต็มมากขึ้น จากนั้นจึงกลั่น…เลือดสดออกมาหนึ่งหยด

แท้จริงแล้วในแง่ของความบริสุทธิ์ เลือดหยดนี้ใกล้เคียงกับเลือดของมหาเทพมาก

เพราะว่ามันมีต้นกำเนิดเดียวกันกับร่างกาย อีกทั้งยังบริสุทธิ์อย่างน่ามหัศจรรย์ ดังนั้นตัวมันเองจึงเปรียบเสมือนจุดเปิดปิดที่สามารถควบคุมทุกอย่างของร่างกายนั้นได้

นี่ก็คือแผนรับมือที่เขาเก็บไว้เพื่อตัวเองและเป็นเหตุผลที่เขาเลือกเดิมพันทุกสิ่งระเบิดตนหลบหนีมา เจ้าปรารถนาทัศน์กังวลว่าการเก็บของสิ่งนี้ไว้ข้างตัวคงไม่ปลอดภัยจึงเลือกสถานที่แห่งนี้ในการเก็บซ่อนสิ่งสำคัญ และเป็นดังคาดไม่มีใครจินตนาการได้ว่าใต้บ่อน้ำเก่าแก่แจะมีของล้ำค่าซุกซ่อนอยู่

ยิ่งกว่านั้นในฐานะเจ้าปรารถนาทัศน์ เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าในวันปกติจะมีใครมาสนใจสถานที่แห่งนี้

เจ้าปรารถนาทัศน์หรี่ตาก่อนจะหยิบขวดโหลและหายวับไปทันที

พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามวันแล้ว

ในช่วงสามวันที่ผ่านมาผู้ฝึกตนทั่วทั้งเมืองต่างค้นหาสิ่งผิดปกติอย่างบ้าคลั่ง พวกเจ้าแห่งสุขก็แผ่จิตใต้สำนึกออกไปตรวจสอบดู แต่กลับไม่พบเบาะแสแม้แต่น้อยคล้ายกับว่าร่างแยกทั้งสี่หายไปอย่างลึกลับ

ส่วนหวังเป่าเล่อในช่วงสามวันนี้ก็ดูดซับกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์และปราณโลหิตจากร่างกายที่ดูดกลืนมาจนหมด ในด้านระดับความแข็งแกร่งนั้น เขาในตอนนี้ไม่ด้อยกว่าเจ้าปรารถนาและเจ็ดอารมณ์แล้ว

โดยเฉพาะสิ่งที่หวังเป่าเล่อครอบครองนั้นมีหลากหลายมาก กฎเกณฑ์แห่งเจ็ดอารมณ์ เขาฝึกไปแล้วสี่ แม้จะยังไม่ได้ระดับสูง แต่ก็มากพอที่จะหลอมรวมกันเพื่อสำแดงพลังได้

ส่วนในหกปรารถนา หากไม่นับเจ้าปรารถนาแล้ว กฎเกณฑ์ปรารถนารสของเขาก็เป็นอันดับหนึ่ง ส่วนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงแม้จะครอบครองเพียงสามส่วน แต่ก็ทรงพลังมากเพราะมาจากต้นกำเนิด

และยังมีกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ที่เขาครอบครองไปแล้วหกส่วน ตัวเขาจึงกลายเป็นเจ้าปรารถนาทัศน์

เช่นนี้พลังต่อสู้ที่กฎเกณฑ์เหล่านี้หลอมรวมกันแสดงออกมาจึงทำให้หวังเป่าเล่อมั่นใจยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี…แม้จะเป็นเช่นนี้ ทว่าสามวันที่ผ่านมา แม้เขาจะแผ่ดวงจิตเทพออกไปมากน้อยเพียงไรก็ยังไม่รู้สึกถึงร่างแยกทั้งสี่แม้แต่น้อย

นอกจากนี้เมื่อหลอมรวมปราณโลหิตหกส่วนกับกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์แล้ว หวังเป่าเล่อก็ยิ่งกระหายอีกสี่ส่วนมากขึ้น เขาสัมผัสได้ว่าหากกลืนกินได้ทั้งหมด กายเนื้อของตนจะต้องไปถึงระดับสมบูรณ์แบบแน่

 ไม่ต้องถึงสี่ส่วนหรอก อีกแค่สองสามส่วน…ก็พอแล้ว  หวังเป่าเล่อพึมพำ เมื่อสิ้นสุดการฝึกฝนของวันนี้ เขานั่งอยู่ในสระโลหิต แผ่ดวงจิตเทพเตรียมจะค้นหาอีกครั้ง

ทว่าตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็หน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน จู่ๆ หูของเขาก็เกิดเสียงหวีดแหลมดังก้อง เสียงนี้รุนแรงมากเสียจนร่างกายส่งเสียงคำรามทันที แรงผลักมหาศาลระเบิดออกมาจากปราณโลหิตหกส่วนในร่างกายของเขาและกำลังขับไล่ดวงวิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อ

มันทำให้หวังเป่าเล่อที่ไม่ทันตั้งตัวนั้น ดวงวิญญาณเทพพลันปั่นป่วนและถูกสะบัดออกจากร่างกายเล็กน้อย

หากมีผู้ฝึกตนอยู่ที่นี่และใช้ดวงตาวิญญาณมองมาจะต้องเห็นว่าบนร่างกำยำที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นปรากฏภาพดวงวิญญาณเทพกำลังจะออกจากร่างเป็นแน่

หวังเป่าเล่อจิตใจสั่นไหว การต่อต้านทางกายภาพเช่นนี้กะทันหันและเร็วมากทำให้เขาถูกสะกดไว้สุดกำลังราวกับร่างกายถูกควบคุม พยายามขับไล่ดวงวิญญาณเทพของเขาอย่างบ้าคลั่ง และดูเหมือนว่าถ้ายังไม่ออกไปมันก็จะไม่มีทางหยุด

โชคดีที่กระบวนการทั้งหมดกินเวลาเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น ในหนึ่งชั่วยามนี้เอง หวังเป่าเล่อได้ระเบิดพลังจนหมดแล้ว ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดขาว เหงื่อออกท่วมตัว เขาหายใจถี่รัวเงยหน้าขึ้น ก่อนจะกวาดดวงจิตเทพไปทั่วทุกสารทิศ ทว่ากลับไม่พบอะไรในเมืองปรารถนาทัศน์เลย

นั่นทำให้สีหน้าของหวังเป่าเล่อกลายเป็นดำทะมึน

 เจ้าปรารถนาทัศน์ นี่คือแผนรับมือของเจ้าหรือ  หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเข้ม ดวงตาฉายแววดุร้าย

เวลาเดียวกันภายในบ่อน้ำโบราณในเมืองปรารถนาทัศน์ ร่างแยกของเจ้าปรารถนาทัศน์สีหน้าเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว แม้เขาจะอยู่ก้นบ่อ แต่มันได้เปลี่ยนรูปร่างเป็นวังใต้ดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง

ตำแหน่งของสระโลหิตมีขวดโหลเลือดวางเอาไว้

 ควบคุมไม่ได้…ข้าไม่เชื่อหรอกว่าในเวลาสั้นๆ เจ้าจะควบคุมร่างกายนี้และเอาชนะเลือดแก่นแท้ของข้าได้!  ดวงตาของร่างแยกเจ้าปรารถนาทัศน์เย็นยะเยือก

 น่าเสียดายที่ใช้งานได้แค่วันละครั้งเท่านั้น แต่ไม่เป็นไร ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะทนไปได้อีกนานแค่ไหน! 

……………………..

 

ร่างกายเจ้าปรารถนาทัศน์ถูกหวังเป่าเล่อดูดกลืนไปแล้วหกส่วน อีกสี่ส่วนจากการระเบิดตนได้กลายเป็นลำแสงโลหิตสี่สายกระจายตัวหนีไปด้วยความไวแสง
เพราะใช้ความผันผวนจากพลังระเบิดตน เจ้าปรารถนาทัศน์จึงหลบหนีไปได้เร็วมาก แต่หวังเป่าเล่อและเจ้าทั้งสามแห่งเจ็ดอารมณ์ก็ตอบสนองไวมากเช่นกัน พวกเขาแยกกันไล่ตามแสงโลหิตไปคนละทางทันที
ทว่า ครู่ต่อมาเมื่อทุกคนกลับมารวมตัวกัน แต่ละคนต่างมีสีหน้ามืดมน
“สมกับเป็นเจ้าปรารถนาทัศน์ แม้จะระเบิดตนเหลือเพียงสี่ส่วนก็ยังสามารถหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยได้ แต่เขาไม่มีทางหนีพ้นหรอก เจ้าแห่งโกรธได้ปิดผนึกเมืองไว้แล้ว เขาจะต้องอยู่ในเมืองปรารถนาทัศน์แน่” เจ้าแห่งสุขเอ่ยเบาๆ พลางมองอีกสามคนที่เหลือ
เจ้าแห่งโศกและเจ้าแห่งแค้นต่างส่ายหน้า ส่วนหวังเป่าเล่อกำลังหรี่ตา การไล่ล่าเมื่อครู่เขาวางแผนว่าจะใช้สัมผัสเชื่อมต่อเพื่อกำหนดเป้าหมาย แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าปรารถนาทัศน์มีบทเรียนแล้ว ไม่รู้ว่าใช้วิธีใดถึงทำให้เขาไม่สามารถกำหนดเป้าหมายได้
โดยเฉพาะตอนนี้เขาต้องการเวลาในการย่อยกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ของตนจึงไม่ได้ฝืนไล่ตามต่อ แต่มองไปทางพวกของเจ้าแห่งสุขแทน
“เจ้าแห่งสุข ข้าต้องการคำอธิบาย” หวังเป่าเล่อกล่าวช้าๆ
“ด้วยสติปัญญาของเจ้าคงไม่จำเป็นต้องให้ข้าอธิบายอะไรมากแล้วกระมัง เจ้าปรารถนาทัศน์กับข้าร่วมมือกัน เขาช่วยพวกข้าขัดขวางสาส์นที่เจ้าปรารถนาเสียงจะส่งให้อาณาจักรด้านบน ส่วนข้าก็ช่วยเขาชักนำเจ้า…มายังเมืองปรารถนาทัศน์แห่งนี้ อันที่จริงข้าก็ไม่ได้ทรยศและนำพาเจ้ามาที่นี่จริงๆ”
“ชักนำ?” หวังเป่าเล่อสีหน้าเรียบนิ่งและเอ่ยช้าๆ
“ใช่แล้ว ชักนำ เพราะเจ้าปรารถนาทัศน์นั้นพิเศษมาก เขาในสภาวะที่สมบูรณ์ไม่สามารถออกจากเมืองปรารถนาทัศน์ได้” เจ้าแห่งสุขตอบอย่างใจเย็น
“เพราะร่างกายนั้น?” หวังเป่าเล่อถามกลับทันที
“กฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์นั้นพิเศษ เพราะกฎเกณฑ์นี้ไม่ได้ถูกควบคุมโดยผู้ฝึกตนคนใดคนหนึ่ง มัน…มีเพียงร่างกายของคนผู้นั้นเท่านั้น หรือก็คือใครก็ตามที่ครอบครองร่างกายนั้นได้ก็จะเป็นผู้ควบคุมกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์และเปลี่ยนเป็นเจ้าปรารถนาทัศน์”
“ส่วนเจ้าปรารถนาทัศน์ผู้นี้ข้าก็บอกประวัติเขาให้เจ้าฟังได้ เดิมเขาเป็นศิษย์ของมหาเทพในโลกอาณาจักรด้านบน แต่ครั้งนั้นได้ตายในสงครามเหลือเพียงเศษซากวิญญาณ มหาเทพจึงใช้เลือดของตนหนึ่งหยดสร้างร่างกายหนึ่งขึ้นมา”
“อย่างไรก็ดี สารัตถะกลับไม่เหมือนกัน มหาเทพจึงถอดกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์และหลอมมันเข้ากับร่างกายนี้ ส่งผลให้ศิษย์ผู้นี้ครอบครองมันได้อย่างราบรื่น เพียงแต่เมื่อมหาเทพกักตน ร่างกายจึงค่อยๆ เน่าเฟะ”
“มันขาดการกระตุ้นและจำเป็นต้องหลอมรวมกับพลังชีวิตอย่างต่อเนื่องถึงจะรักษาเพลิงชีวีของตน และสภาพร่างกายต่อไปได้ แต่ช่วงนี้ก็ได้มาถึงขีดสุดแล้ว”
“แต่การปรากฏตัวของเจ้าทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป แม้ข้าจะไม่ทราบสาเหตุ แต่ก็พอเดาออก หากเขากลืนกินเจ้ามันจะช่วยร่างกายนี้ได้มหาศาลและยืดเวลาออกไปได้อีกนาน”
“ข้าคิดว่านี่เป็นเหตุผลที่เขายอมร่วมมือกับข้า เขาไม่สามารถออกไปได้จึงจำเป็นต้องใช้คนนอกชักนำเจ้ามา ส่วนเหตุผลที่ข้าช่วยเจ้าก็เพราะ…เป้าหมายของเราน่าจะเหมือนกัน” คราวนี้เจ้าแห่งสุขไม่ได้ปิดบังและบอกทุกอย่างที่ตนรู้ให้หวังเป่าเล่อฟังจนหมด
หวังเป่าเล่อได้ยินเช่นนั้นก็เงียบไปเนิ่นนาน สิ่งที่เจ้าปรารถนาทัศน์ไม่ได้บอก ตอนนี้ก็ได้ยินจากปากเจ้าแห่งสุขแล้ว เมื่อรวมกับความเข้าใจและข้อสันนิษฐานของเขาเอง เขาก็พอนึกโครงสร้างที่ครอบคลุมมากขึ้นได้
ส่วนเหตุผลที่เจ้าแห่งสุขบอกว่าช่วยเขานั้น หวังเป่าเล่อยังไม่เชื่อสนิทใจ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายยังมีเหตุผลบางอย่างที่คนอื่นไม่รู้อยู่อีก แต่นั่นไม่สำคัญ ที่สำคัญคือ…หวังเป่าเล่อหรี่ตาสัมผัสร่างกายของตนเอง เขาสัมผัสได้ว่ามันต่างจากก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน
เขาในก่อนหน้านี้ดูจะเป็นอิสระและมีเพียงสติปัญญาเท่านั้น แต่หากวิเคราะห์อย่างลึกซึ้งกายเนื้อก็ยังมีความเชื่อมโยงกับร่างต้นแบบอยู่ดี แต่ตอนนี้…ความเชื่อมโยงดังกล่าวเบาบางลงไปมากแล้ว
ในแง่หนึ่งเขาตอนนี้ก็นับว่าเป็นอิสระในระดับหนึ่ง
ความรู้สึกคุ้นเคยกับร่างกายทำให้ดวงตาหวังเป่าเล่อเผยแสงล้ำลึก และยังมีกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์…กฎนี้ต่างจากกฎเกณฑ์ปรารถนารสและกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงอย่างสิ้นเชิง
กฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์เป็นตัวแทนความสวยงามของทุกสิ่งที่ตามองเห็นและยังแสดงว่าร่างกายเขาสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อันที่จริงเขาในตอนนี้ก็นับเป็นต้นกำเนิดของกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์แล้ว เขาสามารถสัมผัสได้ถึงศิษย์ทุกคนที่ฝึกฝนกฎนี้ในเมืองปรารถนาทัศน์ได้ และเพียงพลิกฝ่ามือก็สามารถทำให้ความสวยงามกลายเป็นความอัปลักษณ์ได้หรือเปลี่ยนแปลงเป็นตรงข้ามได้
การใช้เคล็ดวิชาพลังเทพก็เช่นกัน
“ร่างกายที่ไม่เจ็บปวด…” หวังเป่าเล่อพึมพำ นี่คือลักษณะเด่นที่เห็นได้ชัดเจนมากของกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ ในแง่หนึ่งของกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์…ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นภาพมายา
ภาพมายาลวงให้เชื่อทุกสิ่งที่ตาเห็น หากทำสำเร็จก็จะเปลี่ยนของปลอมนี้ให้เป็นของจริง!
และก็เพราะความพิเศษนี้ทำให้เขาสามารถซ่อนตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ถูกเจ้าแห่งต้นกำเนิดกฎเกณฑ์คนอื่นล่วงรู้ตำแหน่ง
“น่าสนใจ” หวังเป่าเล่อตาวาววับ พริบตาต่อมาร่างกายของเขาก็เปลี่ยนไปกลายเป็นร่างสูงใหญ่ของเจ้าปรารถนาทัศน์ที่เคยเห็นเมื่อครู่แล้ว
เขายืนอยู่ตรงนั้นทั่วทั้งร่างเปล่งแสงอักขระโบราณ พลังปราณของเจ้าปรารถนาทัศน์พลันระเบิดออก ทำให้พวกเจ้าแห่งสุขหรี่ตา สีหน้ายามมองหวังเป่าเล่อล้วนแตกต่างกันออกไป
หากไม่ใช่เพราะพวกนางเห็นการเปลี่ยนแปลงของหวังเป่าเล่อเองกับตาแล้วล่ะก็…คงแยกไม่ออกเป็นแน่ แท้จริงหวังเป่าเล่อที่ครอบครองกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์และร่างกายหกส่วนนั้น หากจะบอกว่าเขาคือเจ้าปรารถนาทัศน์ก็ไม่มีปัญหาอะไร
เมื่อสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงหวังเป่าเล่อก็พออกพอใจมาก ขณะเดียวกันก็ยิ่งตั้งตารอปราณโลหิตทั้งสี่สายของเจ้าปรารถนาทัศน์ด้วย
การคาดเดาของเขาเหมือนกับเจ้าแห่งสุข เขาไม่คิดว่าอีกสี่ส่วนจากการระเบิดตนของเจ้าปรารถนาทัศน์จะหนีออกไปจากเมืองได้ จึงน่าจะซ่อนตัวอยู่ในเมืองแห่งนี้
อีกอย่าง อีกฝ่ายคงไม่กล้าเผยโฉมหน้า ไม่กล้าเผยตัวตน ดังนั้น…ตอนนี้ตนก็เปรียบเสมือพิราบครองรัง ฉวยโอกาสเป็นเจ้าปรารถนาทัศน์…
“ศิษย์ทุกคนในเมืองปรารถนาทัศน์ฟังคำสั่ง!” หลังจากตัดสินใจแล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่สนใจพวกเจ้าแห่งสุขและทะยานร่างขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะส่งกระแสดวงจิตเทพปั่นป่วนไปทั่วทั้งเมือง
พริบตาถัดมาผู้ฝึกตนในเมืองปรารถนาทัศน์ที่สั่นกลัวเพราะเสียงคำรามจากวังใต้ดินก่อนหน้านี้และศิษย์สายตรงของเจ้าปรารถนาทัศน์ที่มาถึงแต่ไม่กล้าเข้าใกล้ต่างหัวใจสั่นสะท้าน หลังจากเห็นหวังเป่าเล่อกลางอากาศ ร่างที่คุ้นเคย ความผันผวนของกฎเกณฑ์ที่คุ้นเคยทำให้พวกเขาต่างโล่งใจและทยอยคุกเข่าลง
“คารวะเจ้าปรารถนาทัศน์!”
เมื่อมองไปรอบด้าน ผู้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ทั่วทั้งเมืองมากกว่าหนึ่งแสนคนต่างกำลังคุกเข่า หวังเป่าเล่อที่พวกเขากำลังทำความเคารพก็ระเบิดกระแสพลังคล้ายกำลังครอบงำ ก้มหน้ากวาดมองไปทั่วทุกสารทิศ
“ผู้ฝึกตนทุกท่านฟังคำสั่ง มีกลุ่มกบฏสี่คนช่วงชิงปราณโลหิตจากสระโลหิตไปซ่อนกายอยู่ในเมือง จากนี้ไปพวกเจ้าจะถูกสอบสวนและตรวจค้นอย่างเข้มงวด สิ่งผิดปกติใดๆ จะถูกหยุดยั้งทั้งหมด”
“หากพบตัวสี่คนนั้นแล้ว ข้าจะนำกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ของเขามาให้รู้แจ้งสักครั้ง!” หวังเป่าเล่อกล่าวจบ ผู้ฝึกตนทั่วทั้งเมืองต่างก็ตอบรับ สายตาเผยความตื่นเต้นและคาดหวัง
เวลาเดียวกันทั้งสี่ทิศของเมือง ร่างแยกทั้งสี่ของเจ้าปรารถนาทัศน์กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมองหวังเป่าเล่อที่อยู่ไกลๆ ด้วยสายตาเคียดแค้น

 ดูเหมือนท่านจะรู้จักข้าดีนัก…  หวังเป่าเล่อที่ถูกบีบคั้นอยู่ในสระโลหิต มองเจ้าปรารถนาทัศน์ด้วยสีหน้ามืดมน

 ข้ารู้จักเจ้าดีกว่าที่เจ้าคิดไว้เสียอีก  เจ้าปรารถนาทัศน์นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในสระโลหิต ขณะที่สองมือผนึกมุทรา ก็กระจายเคล็ดเวทผนึกออก แล้วหลอมรวมในสระโลหิต ทำให้น้ำในสระนี้ค่อยๆ เดือดพล่าน

 กล่าวให้กระจ่างก็คือ ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจ้าเหยียบเข้าสู่โลกแห่งนี้ ข้าก็ตรวจพบกลิ่นอายของเจ้าทันที…  เจ้าปรารถนาทัศน์มองหวังเป่าเล่อด้วยความละโมบ เวลานี้อารมณ์เขาดีมาก เพราะการจัดการในคราวนี้ เขารู้สึกได้ว่าไม่มีทางผิดพลาดเด็ดขาด จึงไม่รังเกียจที่จะสนทนากับหวังเป่าเล่อสักเล็กน้อย

 เจ้าไม่รู้หรอกว่า ข้าต้องทุ่มเทเพียงใด เพื่อที่จะให้เจ้ามาถึงที่นี่ ข้ายอมร่วมมือกับเจ้าแห่งสุข เปิดทางช่วยเหลือ ทั้งหมดนี้…ล้วนเป็นเพราะเจ้า 

หวังเป่าเล่อดูไปแล้วสีหน้าเป็นปกติ แต่กลับเกิดคลื่นโหมกระหน่ำในใจเพราะคำกล่าวนี้ เขามองเจ้าปรารถนาทัศน์ตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน แล้วกล่าวออกมา

 เป็นเพราะร่างกายนี้ของท่านหรือ 

เจ้าปรารถนาทัศน์หรี่ตา เหลือบมองหวังเป่างเล่ออย่างมีความหมาย

 สังเกตเห็นได้เร็วเช่นนี้เลยเชียวหรือ ดูไปแล้วที่แท้ก็เป็นผู้ที่คู่ควรกัน 

 ท่านและร่างกายของท่าน ดูเหมือน…จะไม่ค่อยประสานกันนัก  ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อยังไม่ได้สังเกตเห็นในจุดนี้ ทว่าเมื่อพินิจเจ้าปรารถนาทัศน์ที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด สุดท้ายก็พอจะสังเกตได้ วิญญาณเทพของอีกฝ่ายดูเหมือนว่ายังไม่ได้หลอมรวมเข้ากับกายเนื้ออย่างสมบูรณ์

ก็เหมือนผู้ที่ใส่เสื้อผ้าที่ใหญ่กว่าหนึ่งขนาด

 น่าสนุกแล้วสิ  เจ้าปรารถนาทัศน์หัวเราะขึ้นมา

 ในเมื่อเจ้ามองออกแล้ว เช่นนั้นก็ให้เจ้าเข้าใจให้ถ่องแท้ไปเลยแล้วกัน ไม่ใช่ข้าที่มีกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ แต่เป็นร่างนี้ต่างหาก 

 ดังนั้นท่านจึงต้องการเลือดเนื้อมารักษาสภาพไว้หรอกหรือ  หวังเป่าเล่อรีบกล่าว

 ไม่ผิด ร่างนี้กับวิญญาณเทพของข้าไม่ประสาน ไม่อาจเป็นหนึ่งเดียวกันได้ จึงก่อวัฏจักรขึ้นไม่ได้ เกิดพฤติกรรมขึ้นไม่ได้ ดังนั้นข้าจึงเสื่อมถอยได้ ต้องหลอมรวมพลังชีวิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาสภาพไว้ 

 และเจ้า ตามที่ข้าได้สัมผัส แม้ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่กลับคู่ควรยิ่งนัก กลืนกินเจ้าแล้ว ข้ารู้สึกว่ามีความเป็นไปได้ที่จะแก้ไขปัญหาพลังชีวิตที่ร่างนี้ต้องการในคราวเดียว 

 เช่นนั้นที่มาของร่างนี้เป็นเช่นไร  หวังเป่าเล่อกล่าวอีกครั้ง

 อยากรู้หรือ  เจ้าปรารถนาทัศน์แสยะยิ้ม ดวงตาเป็นประกายลึกล้ำ

 น่าเสียดาย ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ข้ารู้ว่าเจ้าจงใจให้ข้าจับได้ มีปัญหามากมาย แต่ข้าก็ต้องการถ่วงเวลาไว้เช่นกัน ตอนนี้…เวลาเพียงพอแล้ว  เจ้าปรารถนาทัศน์กล่าวจบ ก็หัวเราะขึ้นมา สระโลหิตที่เขาอยู่เดือดพล่านและพลิกม้วนขึ้นในทันที พลังเลือดปะทุแผ่ออกไปทั่ว ในเวลาเดียวกันพลังดูดที่น่าอัศจรรย์ก็แผ่กระจายออกมาจากร่างนั้น

พลังดูดนี้กักหวังเป่าเล่อไว้อย่างสมบูรณ์แบบ ทำให้ขณะที่หวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน ถึงขั้นปราณโลหิตกระจายออกมาตามรูขุมขน รวมทั้งทวารทั้งเจ็ดทั่วร่างกาย ร่างกายเขาราวกับถูกเจ้าปรารถนาทัศน์ดูดรับไว้ทั้งหมด

ในช่วงเวลาวิกฤต หวังเป่าเล่อก็กล่าวออกมา

 มีผู้บอกข้า คิดจะจับปลาตัวใหญ่ ต้องมีเหยื่อโอชะที่เพียงพอ 

 แต่ไม่รู้ว่า ปลาใหญ่ตัวนั้นจะเป็นท่านหรือเป็นข้า 

 เจ็ดอารมณ์ทุกท่าน พวกท่านสามารถหาข้าพบได้ เช่นนั้นคิดสิว่าหากข้าถูกกัด ผู้อื่นก็สามารถตามหาพวกท่านพบโดยผ่านทางข้า นี่เป็นเพียงร่างอวตารร่างหนึ่งของข้า ข้าแพ้ได้ แต่พวกท่าน…แน่ใจหรือว่าแพ้ได้ 

 ดังนั้น ตอนนี้ยังจะไม่ออกมาอีกหรือ! 

ทันทีที่คำพูดของหวังเป่าเล่อส่งออกไป นัยน์ตาของเจ้าปรารถนาทัศน์ก็หรี่ลง ขณะที่โบกมือวังใต้ดินก็เปิดข้อห้ามออกทั้งหมด แต่ก็ยังไม่อาจหยุดรั้งแสงสีขาวสายหนึ่งเอาไว้ มันร่วงหล่นจากฟากฟ้า ทะลุผ่านแผ่นดินและข้อห้ามทั้งหมด หล่นลงบนร่างหวังเป่าเล่อ ฉับพลันก็สลายออก โดยมีกฎแห่งเจ็ดอารมณ์ภายในร่างหวังเป่าเล่อเป็นพิกัด พลังงานมหาศาลทั้งสามจุติลงมาโดยตรง

พลังงานทั้งสามนี้ ก็คือเจ้าทั้งสามจากเจ็ดอารมณ์ สุข โศก แค้น

และในขณะนี้ ที่นอกเมืองปรารถนาทัศน์ พลังของเจ้าแห่งโกรธก็ก่อเกิดเช่นเดียวกัน แต่เขากลับไม่ได้รีบเหยียบเข้าวังใต้ดินในทันที ขณะที่โบกมือ ความผันผวนของกฎเกณฑ์แห่งโกรธก็ก่อเป็นผนึกกดทับ ห่อหุ้มเมืองปรารถนาทัศน์ไปทั้งเมือง

เหตุการณ์นี้รวดเร็วเกินไป แม้แต่ด้านเจ้าปรารถนาทัศน์ ก็มีท่าทีเปลี่ยนไปตื่นตระหนก ร่างล่าถอยจากสระโลหิตทันที แต่หวังเป่าเล่อกลับเบิกตาขึ้น วิชาครองร่างย้อนคืนก็กลับตาลปัตรและกระจายออกอีกครั้ง

ทันใดนั้น ภายในร่างของเขาก็ส่งพลังดูดที่น่าตระหนกยิ่งกว่าพลังดูดของเจ้าปรารถนาทัศน์ออกมา พลังนี้ปะทะกันในทันที ทำให้ทั้งสองฝ่ายคล้ายกับถูกพันธนาการเอาไว้ ไม่อาจล่าถอยจากกันได้

หากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่น พลังดูดของร่างเจ้าปรารถนาทัศน์สามารถบีบคั้นหวังเป่าเล่อได้โดยกำลัง แต่ตอนนี้…ด้วยการมาของเจ้าแห่งสุขและคนอื่นๆ พลังงานของพวกเขาก็กลายเป็นพันธนาการสายแล้วสายเล่า ตรึงเจ้าปรารถนาทัศน์และกำราบเขาไว้ได้ในทันที

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เท่ากับสามเจ้าจากเจ็ดอารมณ์ร่วมมือกับหวังเป่าเล่อ ทำให้เขามีคุณสมบัติที่จะกลืนกินเจ้าปรารถนาทัศน์ได้แล้ว

เจ้าปรารถนาทัศน์เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ก็คำรามออกมาอย่างไม่อาจเชื่อได้

 เป็นไปไม่ได้ ข้าได้ผนึกกั้นไว้แล้วทั้งหมด ผู้ใดก็ไม่อาจกักกั้นมิให้คนผู้นี้จุติที่นี่ได้ พวกเจ้า…พวกเจ้า… 

 หากเปลี่ยนผู้อื่นเป็นพิกัด ย่อมไม่อาจเป็นไปได้อย่างแน่นอน แต่เขา…ต่างออกไป  เจ้าแห่งสุขเอ่ยออกมาเบาๆ มองไปอย่างลึกซึ้ง เวลานี้ท่าทีของนางเป็นปกติ และยังคงถ่ายเทวิชาครองร่างกลับคืนไม่หยุดในสระโลหิต หวังเป่าเล่อทำให้สระโลหิตเดือดพล่านเช่นนั้นต่อไป เขามองไปทางเจ้าปรารถนาทัศน์ที่ใบหน้าฉายแววสับสนและแฝงไปด้วยความแค้น จากนั้นจึงโค้งตัวเล็กน้อยคำนับ

 เจ้าปรารถนาทัศน์ ล่วงเกินท่านแล้ว แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อการหลุดพ้นของพวกข้า…  เจ้าแห่งสุขเอ่ยขึ้นเบาๆ ขณะที่โบกมือกฎเกณฑ์แห่งสุขก็ปะทุ ร่วมกับเจ้าแห่งโกรธและเจ้าแห่งแค้นที่อยู่อีกด้าน อารมณ์ทั้งสามตรงเข้าครอบคลุมเจ้าปรารถนาทัศน์ สีหน้าท่าทางของเขาเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความคิดวุ่นวายและจิตใจปั่นป่วน

ทางด้านหวังเป่าเล่อใจจดใจจ่อ ภายใต้สถานการณ์ผลัดกันรุกและรับนี้ พลังดูดกลืนของเขากลับเพิ่มความแข็งแกร่งขึ้น ในฐานะเป็นสื่อกลางในสระโหลิต เลือดเนื้อของร่างเจ้าปรารถนาทัศน์ กลายเป็นขั้นปราณโลหิตตรงไปครอบคลุมหวังเป่าเล่อตามทวารทั้งเจ็ดและรูขุมขนทั่วร่าง จากนั้นจึงหลอมรวมกันไม่หยุด

ความอิสระจากทุกสิ่งอย่างไม่เคยมีมาก่อน เวลานี้หวังเป่าเล่อจิตใจเบิกบาน เขารับรู้ได้ถึงร่างของตน วิญญาณเทพของตน ทั้งหมดของตน ล้วนเติบโตอย่างรวดเร็ว กล่าวให้กระจ่างก็คือ…เขารู้สึกว่าตนกำลังเปลี่ยนแปลง…คล้ายกับร่างจริงมากขึ้นเรื่อยๆ

ก่อนหน้านั้น แก่นแท้ของเขายังคงเป็นร่างแยก แม้จะมีสติสัมปชัญญะเป็นเอกเทศ แต่ร่างกายมาจากร่างแท้ และตอนนี้…ด้วยการหลอมรวมของขั้นปราณโลหิต หวังเป่าเล่อก็รู้สึกได้ถึงพลังชีวิตทั้งหมดกำลังเป็นของตนเองอย่างชัดเจน

สามส่วน สี่ส่วน…

กายเนื้อของเจ้าปรารถนาทัศน์เริ่มเหี่ยวเฉา อีกฝ่ายอยากจะขัดขืนและกรีดร้อง แต่กลับเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ ร่างกายของเขากลายเป็นหนังหุ้มกระดูกไปแล้ว ขั้นปราณโลหิตหกส่วนล้วนถูกหวังเป่าเล่อดูดกลืนไป แม้แต่กฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ก็หลั่งไหลเข้าสู่ตัวหวังเป่าเล่อเป็นจำนวนมหาศาล ดูเหมือนทั้งหมดไม่อาจย้อนกลับได้

ในเวลานี้ นัยน์ตาของเจ้าปรารถนาทัศน์เผยความบ้าคลั่ง ส่งเสียงคำรามก้อง ทันใดนั้นข้อห้ามทั้งหมดรอบๆ วังใต้ดินแห่งนี้ก็ฉายแสงเจิดจ้า ในพริบตาต่อมาข้อห้ามทั้งหมดพลันระเบิดออก ทั่วทั้งวังใต้ดินสั่นสะเทือนและทรุดพังลงทันที

การล่มสลายนี้ยิ่งใหญ่เกินไป ทำให้ทั้งเมืองปรารถนาทัศน์คล้ายเกิดแผ่นดินไหว และจุดศูนย์กลางที่ระเบิดตัวเอง ในวังใต้ดินแห่งนั้น ก็ยิ่งทำให้ลมพายุกระจายตัวออกไปด้วย เป็นผลให้การบีบคั้นของเจ็ดอารมณ์และการดูดซับของหวังเป่าเล่อต้องหยุดก็ชะงักไปครู่หนึ่ง

โอกาสนี้ได้มาถึงขีดสุดแล้ว เจ้าปรารถนาทัศน์หมดสิ้นหนทาง ดวงตาบ้าคลั่งขึ้นกว่าเดิม ในพริบตา ร่างกายของเขาก็เลือกที่จะ…ระเบิดตนเองเช่นกัน

เสียงก้องสะเทือนฟ้าดินเกิดขึ้นอีกครั้ง เจ้าปรารถนาทัศน์ถูกหวังเป่าเล่อกลืนกินร่างหนังหุ้มกระดูกไปแล้วหกส่วน ขณะที่กำลังระเบิดตนเองได้แบ่งออกเป็นสี่ส่วน กระโจนออกจากสระโลหิต แล้วหลบหนีไปทันที

 

คนภายนอกไม่อาจตรวจพบความผันผวนจากร่างอันแข็งแกร่งในสระโลหิตได้ หรืออาจกล่าวได้ว่า โดยพื้นฐานก็ไม่มีผู้ใดในโลกาชั้นที่สองตรวจพบความผันผวนชนิดนี้ได้
เพราะมันพิสดารเกินไป…
แต่หวังเป่าเล่อ หลังจากเดินเข้าไปในเมืองปรารถนาทัศน์ เขาพลันชะงักฝีเท้า ท่าทีเต็มไปด้วยความสงสัย หันหน้ามองไปทางใจกลางของเมือง
เขารับรู้ได้ถึงความผันผวนอันน่าประหลาด
“ร่างต้นหรือ” หวังเป่าเล่อลังเล หลังจากสัมผัสอย่างถี่ถ้วน เขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติ
แต่ความผันผวนนี้กับร่างต้นแบบของเขาคล้ายคลึงกันมาก สำหรับหวังเป่าเล่อ เขามั่นใจมากว่าร่างแท้ไม่อาจอยู่ในเมืองปรารถนาทัศน์ได้ และการติดต่อระหว่างร่างต้นแบบยังคงอยู่ เขาต้องรู้ได้ว่าร่างแท้อยู่ที่นี่
แม้ในใจเขาจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้ แต่ระดับความเหมือนในตอนนี้ ยังคงทำให้หวังเป่าเล่อลังเล ดวงตาหรี่ลงอย่างช่วยไม่ได้
ดีที่ความผันผวนนี้อยู่ได้ไม่นาน ก็จางหายไปอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาเงียบไปแล้วจึงละสายตา แต่การปรากฏของสิ่งนี้ ทำให้เขายิ่งเพิ่มความสนใจต่อเมืองปรารถนาทัศน์
“ที่นี่…มีความลับแฝงอยู่…” ดวงตาหวังเป่าเล่อทอประกายอยู่ลึกๆ ก้าวเท้าเดินต่อไปตามถนน แม้ทุกสิ่งในเมืองนี้จะไม่ค่อยเข้ากัน แต่ยังดีที่ไม่ได้มีแต่คนไร้ที่ติ ยังมีผู้ฝึกตนมากมายที่มาจากเมืองอื่นไปๆ มาๆ ระหว่างสถานที่นี้
เวลานี้ท้องฟ้าใกล้มืดแล้ว หวังเป่าเล่อที่เพิ่งมาถึง ก็หาโรงเตี๊ยมได้ในไม่ช้า หลังจากเข้าที่พัก เขาก็นั่งสมาธิอยู่ภายในห้อง ยังคงรู้ซึ้งถึงความผันผวนที่สัมผัสก่อนหน้านั้น
“เมื่อไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ยังมีเรื่องไม่ชอบมาพากลอยู่…”
“เป็นไปได้ไหมว่า…ร่างต้นแบบอยู่ที่นี่จริงๆ” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว รู้สึกวุ่นวายใจ ดังนั้นจึงวิเคราะห์อย่างถี่ถ้วน สุดท้ายดวงตาของเขาก็สงบลง
“เป็นไปไม่ได้!”
“ในเมื่อตัดทางเลือกนี้ออกไปแล้ว ความผันผวนที่ดึงสัมผัสเชื่อมต่อของข้า…ที่แท้คือสิ่งใดกัน” หวังเป่าเล่อหรี่ตา เดินไปข้างหน้าต่าง แล้วมองไปทางที่ที่เกิดความผันผวนก่อนหน้านั้น
“ตำแหน่งใจกลางตามผังเมืองปรารถนารสและเมืองปรารถนาเสียง ตรงตำแหน่งนั้น…ต่างเป็นที่พำนักของเจ้าแห่งปรารถนาของแต่ละเมือง หรือจะเป็นเจ้าปรารถนาทัศน์”
“หากเป็นเขาจริง เหตุใดเขาจึงทำให้ข้ามีสัมผัสเชื่อมต่อที่แรงกล้าเช่นนี้” หวังเป่าเล่อมองไปไกลจนพลบค่ำ ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว เขาจึงตั้งใจที่จะไปตรวจสอบอีกครั้งในระหว่างวัน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ขณะที่กำลังจะละสายตา ในตอนนั้นเอง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ด้วยเพราะ…ความผันผวนที่คุ้นเคยนั้น ได้ปรากฎขึ้นอีกครั้งแล้ว
และการปรากฏครั้งนี้ แรงกล้ากว่าก่อนหน้านั้นมาก ทำให้ความรู้สึกของหวังเป่าเล่อเหมือนภูเขาไฟที่กำลังจะปะทุในคืนมืดมิด ขณะที่กำลังแผดเผา เวลานี้ความผันผวนนี้กำลังพุ่งมาทางเขาอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาหวังเป่าเล่อหรี่ลง
เหตุการณ์นี้ ทำให้หวังเป่าเล่อหน้าเปลี่ยนสี ร่างถอยกลับและหายไปจากตรงนั้นทันที และปรากฏตัวห่างไปพันจั้ง ทันทีที่เขาปรากฏกาย โรงเตี๊ยมที่เขาอยู่ก็ทรุดตัวลงในพริบตา กลายเป็นเถ้าลอยกระจายไปทั่วทิศทาง
ในขี้เถ้าที่ลอยฟุ้งและความโกลาหลรอบๆ นี้ เงาร่างแข็งแกร่งสายหนึ่ง พลันส่องประกายแสงสีแดงไปทั่วร่าง พุ่งออกจากโรงแรมอย่างฉับพลัน ตรงเข้ามายังหวังเป่าเล่อ
ดวงตาหวังเป่าเล่อหดลงอย่างรุนแรง ความรู้สึกที่คุ้นเคยชนิดที่มาจากร่างต้นแบบนั้น ซ้อนทับกับเงาคนแปลกหน้าที่เห็นอยู่ตรงหน้า ทำให้เขาเกิดภาพหลอน ราวกับร่างต้นแบบได้เปลี่ยนรูปลักษณ์
“คนต่างถิ่น ข้ารอเจ้ามานานแล้ว!” ขณะที่จิตใจของหวังเป่าเล่อผันผวน ร่างแข็งแกร่งนั้นก็ส่งเสียงคำรามอย่างดุร้าย คว้าไปทางหวังเป่าเล่อ
พลังเทียมฟ้าที่มาจากภายในร่างแข็งแกร่งนี้ เปรียบเสมือนเตาหลอมทรงอานุภาพ ทำให้หวังเป่าเล่อรับรู้ถึงภยันตรายแรงกล้า ฝ่ายตรงข้ามช่างแตกต่างจากเจ้าปรารถนาอื่นที่เขาเคยพบ
ไม่เพียงแต่ความแตกต่างของกฎเกณฑ์ ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ…กายเนื้อ
กายเนื้อจากอีกฝ่ายทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกถูกบีบคั้น ทั้งร่างของเขาสั่นสะท้าน แต่ในขณะเดียวกับที่สั่นสะท้านอยู่นี้ ความปรารถนาอันแรงกล้าก็ยิ่งเพิ่มขึ้นภายในร่างของเขา
ความปรารถนาที่ใคร่จะได้กายเนื้อร่างนี้
เพียงแต่ความบีบคั้นนั้นรุนแรงเกินไป ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นเดียวกันกับการควบคุมมุ่งเฉพาะ แม้ว่าระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อจะสูงมาก อีกทั้งยังเป็นกึ่งเจ้าปรารถนาเสียง แต่เมื่อเผชิญกับร่างที่แข็งแกร่งตรงหน้า เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้
ภายใต้การบีบคั้น เขาสูญเสียพลังต่อต้านทั้งหมดไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นจึงมีสามทางให้เลือก ทางแรก คือการใช้พลังกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงหลบหนีจากที่นี่ไปในทันที
เขาเชื่อว่า เวลานี้ด้วยพลังบีบคั้นของอีกฝ่าย ตนยังสามารถหลบหนีไปได้ แต่หากไม่ไปตอนนี้ เกรงว่าคงไม่ทันการ
ทางที่สอง ก็คืองัดวิธีทุกชนิดในการล่าถอยที่ตนได้เตรียมไว้ก่อนหน้าออกมา แต่เมื่อคิดถึงความผันผวนที่คุ้นเคยนี้ หลังจากรับรู้ถึงความปรารถนาที่อยู่ภายใน ดวงตาหวังเป่าเล่อก็แดงก่ำ เขาไม่ชอบพนันขันต่อ แต่ครั้งนี้…เขาจะลองเดิมพันดูสักครั้ง เลือกหนทางที่สาม!
ขณะที่หวังเป่าเล่อเกือบจะเลือกได้แล้ว มือยักษ์ของเจ้าปรารถนาทัศน์ ก็คว้าเข้ามาอย่างฉับพลัน พลังแห่งกายเนี้อร่วมกับกฎเกณฑ์ ก่อเป็นตาข่ายแผ่อยู่เต็มท้องฟ้า กำลังจะครอบร่างหวังเป่าเล่อเอาไว้
ช่วงเวลาวิกฤต หวังเป่าเล่อคำรามต่ำ กฎเกณฑ์ปรารถนารสและกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงภายในร่าง ระเบิดขึ้นพร้อมกัน พยายามต้านทานมันออกไป ขณะคำรามก้องกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ของเจ้าปรารถนาทัศน์ ก็เห็นชัดว่ากำลังสั่นสะท้าน ราวกับถูกลบล้างไปกว่าครึ่ง แต่พลานุภาพของเขาไม่ได้ลดลงไปแม้แต่น้อย พลังแห่งกายเนื้อที่มาจากร่างนั้น ตรงไปที่หวังเป่าเล่อ เวลานี้เกิดการระเบิดอย่างต่อเนื่อง พลังและระดับความเร็วรวดเร็วฉับไว ตรงมาเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ และคว้าคอเขาไว้
หวังเป่าเล่อดวงตาล้ำลึก สายตาของคนนอกไม่อาจตรวจพบได้ จึงเพิกเฉยที่จะต่อต้าน ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามจับตนไว้ได้ เวลาถัดมาเขาก็กระตุกไปทั้งร่าง ร่างกายคำรามร้อง สูญเสียพลังต่อต้านไปทั้งหมด
“อ่อนแอเกินไปแล้ว!” เจ้าปรารถนาทัศน์แสยะยิ้ม คว้าหวังเป่าเล่อไว้ได้ในพริบตา พุ่งตรงไปที่วังใต้ดิน ความเร็วนั้นราวกับดาวตกสายหนึ่ง ขณะกรีดร้องก็เหยียบเข้าไปในวังใต้ดินที่ตั้งของสระโลหิตที่เขาถือสันโดษ
เมื่อเข้าไปข้างใน หวังเป่าเล่อก็ถูกสระโลหิตนั้นทำให้สั่นไหวอยู่ลึกๆ เขารับรู้ได้ว่าภายในสระโลหิตนี้ มีความผันผวนที่ตนคุ้นเคยหลงเหลืออยู่ ยังไม่ทันมองได้ชัดเจน พลังมหาศาลขุมหนึ่งก็ส่งออกมา ร่างกายของเขาถูกเจ้าปรารถนาทัศน์โยนลงในสระโลหิต ในขณะเดียวกันพลังการบีบคั้นก็ตามมาด้วย
“เจตนาให้ข้าจับได้ ไม่ใช่ว่าต้องการเห็นสระโลหิตนี้หรอกหรือ ข้าจะให้เจ้าดูให้เต็มตา”
หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว ร่างภายในสระโลหิต สีหน้ามืดมน หลังจากกวาดตามองดูเลือดที่อยู่รอบๆ ก็สัมผัสได้ถึงความปรารถนาที่ส่งออกมาจากภายในร่างของตน จากนั้นก็ถูกเขาบังคับบีบคั้น ไม่ให้แสดงออกมาแม้แต่น้อย ทว่าสีหน้ากลับยิ่งเพิ่มความมืดมน สุดท้ายก็มองไปทางเจ้าปรารถนาทัศน์
“ท่านรู้นานแล้วหรือว่าข้าจะมาเมืองปรารถนาทัศน์”
เจ้าปรารถนาทัศน์หัวเราะร่า ขณะที่โบกมือ พลังแห่งการปิดกั้นก็ถูกส่งออกไปรอบทิศ หลังจากผนึกที่นี่ไว้แล้วทั้งหมด ชั่วพริบตาร่างกายของเขาก็เหยียบเข้าสู่สระโลหิตเช่นกัน สายตาเผยให้เห็นถึงความโลภและความคาดหวังที่ปิดไม่มิด
แน่นอน นี่เป็นข้อตกลงของข้าและเจ้าแห่งสุข ข้าช่วยนางขัดขวางการส่งสาส์นของเจ้าปรารถนาเสียง นางช่วยข้าส่งเจ้ามาที่นี่!”
…………………

ต่อไปหากในเมืองปรารถนาเสียงเกิดเรื่องใด หวังเป่าเล่อก็ไม่สนใจ เวลานี้เขายืมพลังกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงมาใช้ ความเร็วถึงขั้นสูงสุดจนน่าตระหนก ทางทฤษฎีกล่าวได้ว่า ตอนที่เปลี่ยนเป็นใช้ร่างกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงนั้น ที่ใดมีเสียง เขาก็สามารถโยกย้ายได้ทั้งหมด

ในเรื่องนี้ แม้แต่เจ้าปรารถนาเสียงก็ไม่อาจทำได้ เจ้าปรารถนาเสียงต้องคำสาป จึงรับภาระหุ่นเชิดของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้เป็นเช่นนั้น กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเป็นเพียงเครื่องมือของเขาเท่านั้น

แม้ทฤษฎีจะเป็นเช่นนี้ แต่ในทางปฏิบัติ หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจรั้งอยู่ในสภาพนี้ต่อไปได้นานนัก เวลานี้ขณะหลบหนีเขาจึงทำเช่นนี้ได้ เขาหลบหลีกออกจากเมืองปรารถนาเสียงได้ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ และเดินอยู่ในพงไพรแห่งปฐพีของโลกาชั้นที่สอง

ท้องฟ้าสว่างไสวแล้ว หวังเป่าเล่อหันกลับมองไปจากที่ไกลๆ ด้วยดวงตาเป็นประกาย การเดินทางไปเมืองปรารถนาเสียงของเขาในครั้งนี้ กล่าวได้ว่ามีผลน่าทึ่ง

 แต่ก็ยังถูกพวกเจ้าแห่งสุขหลอกเอาได้  หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว คำรามเสียงเย็น

เรื่องหลอกลวงนี้ หลังจากที่ได้ดูดรับกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของร่างอวตารเจ้าปรารถนาเสียงแล้ว หวังเป่าเล่อจึงได้เข้าใจ

หากลองพิจารณาดูแล้ว ไม่แปลกหากแหล่งกำเนิดจะตามหาผู้ฝึกตนที่ซึมซับกฎเกณฑ์ของตนเจอ ดังนั้นกล่าวได้ว่าเจ้าแห่งสุขพบเขาได้ในตอนแรก ก็เป็นเพราะกฎเกณฑ์แห่งสุขที่อยู่ภายในร่างเขา

ในทำนองเดียวกัน กฎที่มอบให้สามเจ้าสำนักจากอารมณ์ แม้พวกเขาจะลบดวงจิตไปทั้งหมดแล้ว แต่หลังจากหวังเป่าเล่อดูดซับแล้ว ก็จะถูกพวกเขาสัมผัสเชื่อมต่อได้เช่นกัน

นี่ไม่ใช่การจัดการควบคุม แต่เป็นกฎเกณฑ์ตายตัวในการดึงดูดตัวตนของกฎเวท

ดังนั้น แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะได้รับผลประโยชน์มหาศาลในครั้งนี้ แต่ก็หลงเหลือเงื่อนงำไว้มากมาย ทำให้ในระดับหนึ่ง เขาไม่อาจซ่อนเร้นร่างได้เหมือนที่เป็นมา

อาจเป็นเพราะแต่ก่อนเขามีเพียงกฎเกณฑ์ปรารถนารสและกฎเกณฑ์แห่งสุข กฎเกณฑ์แรกไม่ได้ทำร้ายเขา และกฎเกณฑ์หลังก็ถูกแยกออกผนึก แต่ตอนนี้…สี่เจ้าจากเจ็ดอารมณ์และเจ้าปรารถนาเสียง ล้วนสามารถควบคุมตำแหน่งของตนเองได้

 เช่นนั้นต่อไป…  หวังเป่าเล่อหรี่ตา ในหัวกำลังจะวางแผนการก้าวต่อไปของตน แต่ฉับพลันนั้นเอง ใบหน้าก็เปลี่ยนสี รีบหันมองไปทางด้านหลัง

เวลานี้ที่ด้านหลังของเขา ขณะที่ความว่างเปล่าพลันบิดเบี้ยว ปรากฏประกายแสงสีแดงวาบขึ้นอย่างฉับพลัน แล้วยังมีเสียงหัวเราะดังก้องไปทั่ว

 เจ้าแห่งสุข!  นัยน์ตาหวังเป่าเล่อส่องประกายเย็นวาบ มองไปทางที่ที่ปรากฏแสงสีแดงนั้น เขาเห็นเพียงแสงสีแดงรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็กลายเป็นเงาร่างที่เลือนรางสายหนึ่ง

หลังจากสังเกตได้ว่านี่เป็นเพียงร่องรอยพลังงาน ท่าทีของหวังเป่าเล่อก็คลายลง แต่สายตายังคงเย็นเหยียบ

 อย่ากังวลไป ข้ารู้ว่าเจ้าไม่แปลกใจที่ข้าหาเจ้าพบ เจ้าตระหนักถึงกฎแห่งสุข ตอนนี้เป็นกึ่งเจ้าปรารถนาเสียง เจ้าน่าจะรับรู้ได้ถึงผู้ที่ปฏิบัติกฎเกณฑ์ระดับข้า สามารถรับรู้ตำแหน่งของแหล่งกำเนิดพวกเราได้ 

หวังเป่าเล่อมีสีหน้ายากบรรยาย แต่ก็ไม่กล่าวว่าอีกฝ่ายต่อต้านตนในเรื่องนี้ อย่างมากก็เพียงไม่ได้บอกกล่าวเท่านั้น แต่ก็เป็นปัญหาสำหรับเขาไม่น้อย

 ท่านมาที่นี่ ไม่ใช่เพราะต้องการแสดงให้ข้าเห็นว่าท่านสามารถรู้ตำแหน่งของข้าหรอกหรือ  ดวงตาหวังเป่าเล่อส่งประกายอันตราย เขาก็ไม่ใช่ไม่มีไพ่ตาย หากเป็นเรื่องใหญ่ ค่อยไปหาร่างต้น

เมื่อคิดถึงพลังสามารถของร่างเดิม ก็ยังสามารถคลี่คลายปัญหานี้ได้ไม่มากก็น้อย เพียงแต่หากไม่จำเป็นจริงๆ เขาก็ไม่ต้องการไปที่ร่างต้น

โดยเฉพาะในตอนนี้ภายในร่างของตนสะสมกฏเวทไว้มากมายเช่นนี้ หากร่างต้นเห็นเข้า ตามที่เขาเข้าใจต่อร่างต้นนั้น มีความเป็นเป็นได้อย่างยิ่งว่าร่างต้นจะมีความคิดที่อยากจะหลอมรวมไว้ล่วงหน้าแล้ว

 ไม่ใช่อย่างแน่นอน  ร่างแยกของเจ้าแห่งสุขหัวเราะพลางกล่าว

 ในฐานะพันธมิตร ข้ากำลังไตร่ตรองให้เจ้าอย่างจริงจัง หากต้องการปิดกั้นตำแหน่งของตน อันที่จริงก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้… 

 ข้าแนะนำให้เจ้าไปที่เมืองแห่งปรารถนาทัศน์ 

 ขอเพียงเจ้าเชี่ยวชาญในกฎเกณฑ์ปรารถนาทัศน์ เช่นนั้นการเปลี่ยนแปลงร่างตน ก็ง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ นี่เป็นวิธีเดียวที่จะไม่ให้ถูกจับตำแหน่งได้  พูดจบ เจ้าแห่งสุขก็ยิ้มน้อยๆ ไม่ได้กล่าวต่อไปอีก แล้วร่างกายก็สลายไปอย่างช้าๆ

เพียงแต่ก่อนที่จะสลายไปทั้งหมด นางพลันเหลือบมองไปที่หวังเป่าเล่อที่กำลังครุ่นคิด กล่าวประโยคที่กินความหมายลึกซึ้ง

 หากต้องการตกปลาใหญ่ ก็ต้องมีเหยื่ออันโอชะอย่างพอเพียง… 

ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายเมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ ประสานสายตามองเจ้าแห่งสุขที่ค่อยๆ สลายไปอย่างเย็นชา หลังจากที่รอบด้านคืนสู่สภาพปกติ ดวงตาของเขาก็เผยประกายลึกลับ

 เมืองปรารถนาทัศน์หรอกรึ… 

 ช่างน่าสนใจ…  หวังเป่าเล่อท่าทางกำลังครุ่นคิด เขานึกถึงเจ้าปรารถนาเสียงที่หลังจากล่วงรู้ตัวตนแท้จริงของเขาแล้ว เหตุใดจึงไม่ได้รีบประกาศออกไปในทันที แต่กลับสานต่อเวทแห่งรัตติกาลให้กลางคืนของโลกแห่งเสียงยาวนานออกไป เพื่อดึงดูดความสนใจของอาณาจักรบนให้เห็นถึงความผิดปกตินี้

คำตอบนั้นง่ายดายมาก ไม่ใช่ว่านางไม่ส่งสาส์นไปบอกกล่าว แต่เป็นไปได้ว่าถูกใครบางคนขัดขวางการส่งสาส์นนั้น

หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจในวิธีการขัดขวางนี้ แต่ก็พอเดาออกว่าอีกฝ่ายต้องใจกว้างมากเป็นแน่ อาจเป็นสามอารมณ์อื่นจากเจ็ดอารมณ์ทั้งหมด หรืออาจจะเป็นเทพวัตถุประหลาดบางอย่าง ในเวลาเดียวกันยังมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่รู้จักบางคนช่วยเป็นธุระให้

หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่เมื่อรวมกับการมาของเจ้าแห่งสุข พร้อมกับกล่าวคำพูดเหล่านั้น เขาก็เกิดความคิดบางอย่าง

หลังจากไตร่ตรองแล้ว หวังเป่าเล่อก็ยิ้มพึมพำออกมาเบาๆ

 ข้าแพ้ไม่ได้ พวกเจ้ายิ่งแพ้ไม่ได้ แต่เรื่องนี้มีบางจุดที่น่าสนใจ คือพวกเจ้าไม่รู้ว่าข้าก็แพ้ไม่ได้… 

 เช่นนั้น ก็น่าสนุกแล้ว  ในดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแววประหลาด และหลังจากครุ่นคิดอีกครั้ง ชั่วแวบเดียวก็ตรงไปที่เมืองปรารถนาทัศน์

เดิมทีด้วยความเร็วของหวังเป่าเล่อ อย่างมากสามวันเขาก็สามารถมาถึงเมืองปรารถนาทัศน์ได้แล้ว แต่เขากลับใช้เวลาไปถึงเจ็ดวัน สี่วันที่เกินมานั้น เป็นเวลาที่ใช้ในการเตรียมตัวเดินทางครั้งนี้

นี่ก็เป็นวิธีทางเลือกของเขาเช่นกัน หากปรากฏความผิดพลาดในการตัดสินใจที่ตนไม่อาจแก้ไขด้วยตนเอง เขาก็ต้องเตรียมตัวให้แน่ใจว่าจะมีโอกาสย้อนทั้งหมดกลับได้

เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากนั้นเจ็ดวัน เงาร่างหวังเป่าเล่อก็ปรากฏอยู่ที่นอกเมืองปรารถนาทัศน์ มองไปไกลๆ เมืองนี้ทำให้เขามีความรู้สึกถึงสัดส่วนอันน่าทึ่ง

ทั้งเมือง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างหรือวัสดุ ล้วนให้ความรู้สึกสมบูรณ์แบบ แม้แต่คนที่เดินในนั้น แต่ละคน…เมื่อมองแล้วก็ราวกับจะรวบรวมความที่สวยงามไว้ทั้งหมด

ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ รูปร่าง หรือจะเป็นคุณลักษณะ มองจากไกลๆ ที่นี่ราวกับเป็นโลกในเทพนิยาย…

 คำว่าทัศน์ เกี่ยวกับดวงตา…  หวังเป่าเล่อทำท่าครุ่นคิด แล้วก้าวเดินเข้าสู่เมืองปรารถนาทัศน์ และขณะที่เขาเหยียบย่างเข้าสู่เมืองนี้ ก็มีความผันผวนเล็กน้อยสะท้อนอยู่ที่บริเวณใจกลางของเมืองปรารถนาทัศน์

สถานที่ที่ความผันผวนก่อขึ้นนั้น เป็นวังใต้ดินตระหง่านแห่งหนึ่ง

ในวังใต้ดินแห่งนี้ มีสระโลหิต ภายในนั้นมีร่างแข็งแกร่งสวมเสื้อเกราะนั่งขัดสมาธิอยู่ เวลานี้ ร่างที่แข็งแกร่งกำลังเงยหน้าขึ้น ลืมตาทั้งคู่ เผยให้เห็นม่านตาสีแดงที่อยู่ข้างใน

 มาแล้ว ในที่สุดก็มาแล้ว… 

 ข้ารอวันนี้มานานแสนนาน… 

 ลางสังหรณ์ของข้าไม่มีทางพลาด หลังจากกลืนกินเขาแล้ว…คำสาปของข้าต้องสลายไปแน่!  นัยน์ตาของร่างแข็งแกร่งนี้ เผยความโลภอย่างแรงกล้า ค่อยๆ หยัดกายขึ้นจากสระโลหิต

แสงสีแดงวาบผ่าน ก่อเกิดประกายไปทั่วร่าง ราวกับไม่มีการบดบังของสระโลหิตอยู่ ลำแสงสีแดงนี้ยิ่งโชติช่วง ก่อเกิดเกิดความผันผวนแปลกประหลาด

……………………………

 

ไม่นานร่องรอยสุดท้ายของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงภายในร่างเต๋าแห่งจังหวะดนตรีก็ถูกหวังเป่าเล่อกลืนกิน ร่างอวตารเจ้าปรารถนาเสียงตรงหน้ากายสั่นเทิ้มทันที จากนั้นจึงกลายเป็นไอลอยไป
ร่างอวตารเต๋าแห่งจังหวะดนตรีของเจ้าปรารถนาเสียงมลายไปชั่วนิรันดร์ ขณะเดียวกันกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง ก็ถูกฉีกขาดไปมากกว่าสามส่วนตลอดกาล นางไม่อาจควบคุมมันได้อีกต่อไป
และที่สำคัญที่สุดก็คือ…อำนาจที่กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงมอบให้แก่เจ้าปรารถนาเสียงนั้น ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปป ไม่ได้เป็นของเจ้าปรารถนาเสียงแต่ผู้เดียวอีกแล้ว แต่แบ่งปันมันร่วมกับ…หวังเป่าเล่อ
กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของหวังเป่าเล่อเกือบจะสมบูรณ์
ในระดับหนึ่งก็อาจกล่าวได้ว่า เขาเป็นเจ้าปรารถนาเสียงแล้วครึ่งหนึ่ง
“ไม่!!” ร่างอวตารทั้งสองของเจ้าปรารถนาเสียงที่ด้านนอกแผดเสียงคำราม ต่างก็ได้รับแรงสะท้อนกลับกระอักเลือดสดๆ ออกมา และในขณะเดียวกันที่ด้านนอกปากภูเขาไฟเต๋าแห่งจังหวะดนตรี ในดวงตาของยิ่นสี่ฉายแววเศร้าโศก มหาศิษย์เต๋าคนอื่นๆ ที่ถูกเขาขัดขวาง ต่างก็ไม่พยายามลงมืออีก ท่ามกลางอารมณ์ที่ขมขื่นนั้น ยังมีมีความงงงันอยู่บ้าง
จากนั้น…ก็มีเสียงจากปากภูเขาไฟเต๋าแห่งจังหวะดนตรี ดังก้องไปทั้งโลกปรารถนาเสียง
“ผนึกแห่งสุข ปลดปล่อย”
เกือบจะในทันทีที่คำกล่าวของหวังเป่าเล่อเปล่งออกมา คนนอกก็ไม่อาจเข้าไปย่างกรายได้ และไม่อาจมองเห็นภายในโลกแห่งเสียงอีก ตอนนั้นเองปรากฏเกี้ยวแดงหกหลังขึ้นหกจุด เวลานี้เกี้ยวเหล่านั้นก็สั่นสะท้านขึ้นพร้อมกัน
สีแดงโลหิตของมันจางลงอย่างรวดเร็ว ความเน่าเสียแผ่กระจายไปบนตัวมัน พริบตาเดียว เกี้ยวทั้งหกก็ไม่เป็นสีเลือดอีกต่อไป จากนั้นจึงกลายเป็นเถ้าปลิวไปทีละน้อย
ในไม่ช้า มือซ้ายก็หลุดพ้น ตามด้วยมือขวา สองขา และร่างกาย…กระทั่งเกี้ยวที่ศีรษะของเจ้าแห่งสุขอยู่ หลังจากสลายไปกับสายลมแล้ว ดวงตาของเจ้าแห่งสุขก็ลืมขึ้น
ทันทีที่ลืมตาขึ้น ร่างที่ถูกกระจายไปของนาง ก็ส่งเสียงร้องมาจากทุกทิศทาง ตรงเข้าไปใกล้ ประกอบรวมเข้าด้วยกัน ก่อตัวเป็นร่างขึ้นมา
งามสง่าหาใดเปรียบได้!
เสื้อคลุมยาวสีแดงทั้งร่าง รูปลักษณ์งดงาม ทำให้เวลานี้เจ้าแห่งสุข คล้ายจะโดดเด่นเพียงหนึ่งเดียวในโลกผืนนี้
“ยังไม่สมบูรณ์” เจ้าแห่งสุขที่ยืนอยู่ตรงนั้น สูดหายใจเข้าลึก ยกมือซ้ายของตนขึ้นดู
มือซ้ายของนางเห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นนิ้วมือทั้งห้าที่สมบูรณ์แบบ แต่ทันทีที่กล่าวออกมา มือซ้ายของนางก็ยกขึ้น แล้วชี้ไปยังความว่างเปล่า ทันใดนั้นเอง…
ด้านนอกโลกแห่งเสียง และนอกปากภูเขาไฟเต๋าแห่งจังหวะดนตรี ร่างยิ่นสี่ที่ยืนขวางทางกลุ่มมหาศิษย์แห่งเต๋าก็ตัวสั่นสะท้าน เมื่อเงยหน้าขึ้น นิ้วหนึ่ง…ก็บินออกจากหว่างคิ้วของเขา และหายไปในทันที
ยิ่นสี่คล้ายกับหมดเรี่ยวแรง ตามนิ้วที่หายไป ทว่าแววตากลับเป็นเช่นเดิม ยังคงยืนหยัดอยู่อย่างดื้อรั้น เพื่อทำภารกิจของตนให้เสร็จสิ้น
เดิมทีเขา นามของเขาไม่ใช่ยิ่นสี่
เขาจำได้หลายปีก่อน ตอนที่ตนยังไม่ได้ปลุกความทรงจำในอดีต มีวันหนึ่งที่เจ้าปรารถนาเสียงเรียกเขาเข้าพบ แล้วผนึกนิ้วหนึ่งไว้ในร่างของเขา จากนั้นก็ได้มอบสมญานามเต๋าแก่เขา
ยิ่นสี่
เขาไม่อาจลืมมันได้ไปชั่วชีวิต เมื่อนิ้วได้หลอมรวมเข้าสู่หว่างคิ้วของตนนั้น เสียงพึมพำของเจ้าปรารถนาเสียงก็ดังก้องอยู่ในสมองของเขาด้วย
“มีเพียงยืมพลังของเจ้าแห่งสุขเท่านั้น ข้าจึงจะสามารถมีช่วงเวลาการฟื้นตื่นได้ ต่อไปข้าจะยังคงจมอยู่ในภวังค์ ไม่อาจจำการสั่งเสียนี้กับเจ้าได้ เจ้า…เป็นศิษย์ผู้เดียวของข้า อดีตชาติก็เป็น ชาตินี้ก็เป็น…”
“เจ้าต้องจำไว้ว่า หากมีวันหนึ่ง เจ้าฟื้นตื่นแล้วและถูกผลกระทบ เช่นนั้นก็จงทำตามใจของเจ้า จะผนึกข้าไว้ก็ดี กำราบไว้ก็ดี หรือทำลายก็ดี…อาจารย์..ต้องการหลุดพ้น”
“อาจารย์…” ภาพในความทรงจำลอยอยู่ในจิตใจของยิ่นสี่ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่ร่างของเขายังคงสั่นเทา เสียงก็เป็นเช่นเดียวกัน มีเพียงดวงตาทั้งคู่ ที่ยังคงแน่วแน่
ส่วนนิ้วนั้น หลังจากที่หายไป พลังประหลาดวูบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในบริเวณนี้ ผู้ฝึกตนเจ็ดอารมณ์ทั้งหมด ล้วนล่าถอยทันทีและกลับไปที่ประตูแสง แต่ผู้ฝึกตนของสามสำนักแต่ละคนร่างกายสั่นเทา ไม่อาจควบคุมรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าได้
ขณะเดียวกันความยินดีก็ปรากฏไปทั้งสนามรบ สามเจ้าจากเจ็ดอารมณ์ ก็ล่าถอยอย่างรวดเร็ว ทำให้สองร่างอวตารของเจ้าปรารถนาเสียง มาสมทบกันด้วยสีหน้ายากบรรยาย มองไปทางความว่างเปล่าที่ไกลออกไป
หวังเป่าเล่อก็เป็นเช่นนี้ ร่างของเขาได้สลายไปภายในปากภูเขาไฟเต๋าแห่งจังหวะดนตรีแล้ว และเมื่อปรากฏตัวขึ้น…เขาก็ลอยอยู่กลางอากาศ ขณะที่มองทั้งหมดนี้ ก็สังเกตเห็นว่าสายตาร่างอวตารทั้งสองของเจ้าปรารถนาเสียงกำลังจ้องมองอยู่ ความเกลียดชังจากนัยน์ตานั้น ได้เคลื่อนย้ายทั้งหมดมาที่ร่างของตน
จากนั้น…ในความว่างเปล่าที่เขาเห็นทั้งหมด เงาร่างสีแดงสายหนึ่ง ก็ค่อยๆ เผยเค้าร่างออกมา เด่นชัดขึ้นทีละน้อย และท้ายที่สุดก็กลายเป็นร่างงามสง่าหาใดเทียบเทียม
“เจ้าแห่งสุข!” ร่างอวตารทั้งสองของเจ้าปรารถนาเสียง กล่าวขึ้นพร้อมกัน ท่าทีเต็มไปด้วยความโกรธ
แต่กลับกันท่าทีของเจ้าแห่งสุข นางถูกผนึกแยกส่วนมาหลายปีเช่นนี้ เวลานี้หลังจากผ่านพ้นความยากลำบากกลับไม่ได้มีความขุ่นเคืองต่อเจ้าปรารถนาเสียงแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม…ดวงตากลับสับสนอยู่บ้าง
“เจ้าลืมไปว่า ปีนั้น…เจ้าเชิญข้ามาช่วยเจ้า…”
ทันทีที่กล่าวออกมา หวังเป่าเล่อเมื่อได้ยินก็หรี่ตาลง สำหรับเจ้าปรารถนาเสียงนั้นนั้น กลับเกิดรอยยิ้มเศร้าสร้อย
“เหลวไหล!” กล่าวพลาง ร่างอวตารทั้งสองของเจ้าปรารถนาเสียงก็หลอมรวมเข้าด้วยกันในทันที พลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงอันทรงพลัง ปะทุขึ้นเทียมฟ้า
เดิมทีท้องนภา ณ เวลานี้ ราตรีกาลกำลังจะผ่านพ้นไป ทว่า ด้วยการหลอมรวมของร่างอวตารงเจ้าปรารถนาเสียง ม่านหมอกแห่งความมืดก็ครอบคลุมไปทั่วสารทิศ ทำให้ค่ำคืนยังคงดำเนินต่อไปได้
และขณะดำเนินต่อไปนี้เอง ดวงจิตสายหนึ่งที่มาจากโลกบน ราวกับว่ารับรู้ได้ มันแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณอย่างเงียบเชียบ
นี่คือวิธีการช่วยตนเองครั้งสุดท้ายของเจ้าปรารถนาเสียง นางต้องนำทุกอย่างที่นี่ประกาศออกไป มิใช่เพื่อจะจับเป็นหวังเป่าเล่อ แต่เพื่อตัวนางเอง
นางรู้ดีว่า ด้วยสภาพของตนเองในตอนนี้ การเผชิญกับเจ็ดอารมณ์ทั้งสี่รวมทั้งคนนอกที่ช่วงชิงอำนาจของนางนั้น นางไม่ใช่คู่ต่อสู้อีกแล้ว หากไม่ช่วยตนเอง เช่นนั้นมีความเป็นไปได้ว่านางอาจสิ้นสูญที่นี่ได้
หากเปลี่ยนเป็นก่อนหน้า นางคงไม่หวาดหวั่น เพราะนางจะไม่มีวันสิ้นสูญ อย่างมากก็เพียงถูกผนึกเท่านั้น แต่ตอนนี้…การปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อนั้นต่างออกไป นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เป็นเจ้าปรารถนาเสียงมา เป็นครั้งแรก…ที่นางสัมผัสถึงวิกฤตของความเป็นความตาย
ดังนั้น นางต้องป่าวประกาศสาส์นนี้ออกไป แม้สาส์นนี้อาจถูกขัดขวาง แต่ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในโลกาชั้นสองไม่มีทางปกปิดได้แน่
ขอเพียงค่ำคืนของเมืองปรารถนาเสียงไม่หายไปตามสถานการณ์ปกติ แต่ดำเนินต่อไป เช่นนั้น…ก็จะดึงดูดความสนใจของอาณาจักรด้านบนได้แน่นอน
ความสนใจนี้ก็จะนับเป็นการช่วยเหลือตนเองของนาง
กล่าวได้ว่า สิ่งนี้ได้ผลอย่างยิ่ง สามเจ้าจากเจ็ดอารมณ์ต่างหน้าเปลี่ยนสี มีเพียงเจ้าแห่งสุขที่สีหน้ายังคงเป็นปกติ เพียงเหลือบมองเจ้าปรารถนาเสียงอย่างลึกซึ้ง แล้วถอนหายใจเบาๆ หันกายแล้วพุ่งตรงไปที่ประตูแสงในทันที
สามเจ้าจากเจ็ดอารมณ์ก็เหาะออกไปเช่นกัน ยังมีผู้หนึ่งที่กระโดดขึ้นปากภูเขาไฟในยามนี้ นั่นคือยิ่นสี่ เขามองไปที่อาจารย์ด้วยแววตาสับสน จากนั้นก็ตามเจ้าแห่งสุข แล้วเหาะไปทางประตูแสง
ด้านหวังเป่าเล่อ หลังจากกะพริบตาปริบๆ กลับไม่ได้ตามออกไปด้วย ร่างกายของเขาเลือนราง ตอนนี้เขาเป็นกึ่งเจ้าปรารถนาเสียงแล้ว หากคิดจะหนีออกจากที่นี่ นั่นไม่ใช่เรื่องยาก
อีกอย่างเจ้าแห่งสุขก็ไม่ได้เรียกหาหวังเป่าเล่อ ราวกับนางมองไม่เห็น นางหลอมรวมเข้าไปภายในประตูแสงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับผู้ฝึกตนเจ็ดอารมณ์อื่นๆ ในขณะที่ดวงจิตที่มาจากอาณาจักรด้านบนยิ่งแข็งกล้าขึ้นเรื่อยๆ เจ้าแห่งสุขก็ย่างเข้าสู่ภายในประตูแล้วอันตรธานหายไป
ท้ายที่สุดประตูแสงก็กลายเป็นลำแสงสายหนึ่ง ที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ในกระบวนการทั้งหมดนี้ เจ้าปรารถนาเสียงยืนอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้ายากจะบรรยาย ไม่ได้ขัดขวางเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งเห็นลำแสงไกลออกไปแล้ว นางก็กวาดมองไปทั่วสารทิศอีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าหวังเป่าเล่อจากไปแล้ว จึงได้กระอักเลือดออกมาเต็มปาก ร่างกายไม่อาจยืนหยัดหลอมรวมอยู่ได้ แล้วกระจายออกเป็นร่างอวตารทั้งสองร่างใหม่ แต่ละร่างนั้นเหี่ยวแห้งพุ่งตรงไปที่ภูเขาไฟสำนักเหิงฉินและสำนักเหอเสียน เพื่อกักตนรักษาอาการบาดเจ็บ
ระดับความรุนแรงของการบาดเจ็บในครั้งนี้ ไม่เคยเกิดขึ้นกับนางมาก่อน

ลึกเข้าไปในปล่องภูเขาไฟของสำนักเหอเสียนและสำนักเหิงฉิน ขณะนี้คนทั้งสองผู้เป็นร่างอวตารของเจ้าปรารถนาเสียง ใบหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน พวกเขารับรู้ได้ในทันทีว่าสาส์นที่ตนถ่ายทอดไปยังวิญญาณจักรพรรดิอาณาจักรด้านบนถูกพลังบางอย่างบดขยี้

มองไปทั่วทั้งโลกาชั้นที่สอง ผู้ที่ทำได้เช่นนี้ มีเพียงสองท่านเท่านั้น ตอนนี้เจ้าปรารถนาเสียงคงไม่มีเวลาไปไตร่ตรองว่าผู้ใดกำลังรบกวนตนเองอยู่ ร่างอวตารทั้งสองจึงเปลี่ยนสีหน้าอีกครั้ง แล้วหยัดกายขึ้น

แต่แล้วตอนนั้นเอง กลิ่นอายบางอย่างสามชนิดก็ลอยเข้ามา ทันใดนั้นดูเหมือนว่าค่ำคืนอันมืดมิดของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงจะถูกแยกออก โดยไม่คาดคิด กลิ่นอายทั้งสามนี้…นำเอาความโกรธเทียมฟ้า แฝงด้วยความโศกสลดถึงขีดสุด และความแค้นอย่างไร้สิ้นสุด

มันคือสามเจ้าสำนักของเจ็ดอารมณ์

เกือบจะทันทีที่ร่างอวตารใหญ่ทั้งสองพุ่งออกไป สามเจ้าสำนักเจ็ดอารมณ์ก็เข้ามาขัดขวางทันที

ในเวลาเดียวกัน ภายในปล่องภูเขาไฟของเต๋าแห่งจังหวะดนตรี การยึดร่างย้อนกลับของหวังเป่าเล่อก็ดำเนินมาถึงช่วงเวลาสำคัญแล้ว ตอนนี้ร่างเต๋าแห่งจังหวะดนตรีที่เป็นร่างอวตารของเจ้าปรารถนาเสียงกำลังร้องคำราม เพื่อเพรียกหาร่างอวตารอีกสองร่างของตน แท้จริงแล้วนี่นับเป็นเคล็ดวิชาลับของนาง

แต่พริบตาถัดมา เมื่อสัมผัสสวรรค์สัมผัสได้ ใบหน้าของนางก็ต้องเปลี่ยนทีทันที ด้านหวังเป่าเล่อกลับส่งเสียงหัวเราะออกมา

 เจ้าปรารถนาเสียง คราวนี้เจ้าหมดแรงกลับสวรรค์แล้ว 

เมื่อใบหน้าร่างอวตารของเจ้าปรารถนาเสียงเปลี่ยนไปอีกครั้ง ภายในเมืองปรารถนาเสียงก็เกิดเสียงดังก้องท่ามกลางราตรีกาลอันมืดมิด เสียงนั้นระเบิดออกมาอย่างรุนแรง เหตุพลิกผันอย่างที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันนี้ ทำให้ผู้ฝึกตนสามสำนักด้านนอกต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป

โดยไม่รอให้พวกเขาตอบโต้ พริบตาต่อมา ลำแสงมหึมาสายหนึ่ง ก็ทะลุผ่านความว่างเปล่าและเจาะทะลวงคืนมืดมิด เงาผู้ฝึกตนที่มาจากเจ็ดอารมณ์สายหนึ่งพลันพุ่งออกมา

ศึกล่าสังหาร…ก็บังเกิดขึ้น

ปล่องภูเขาไฟสามสำนักกลายเป็นสนามรบ โกลาหลอย่างที่สุดไปพักหนึ่ง ภายในสำนักเหอเสียนและสำนักเหิงฉิน ยิ่งต่อสู้กันดุเดือดขึ้น เห็นได้ว่าร่างอวตารทั้งสองของเจ้าปรารถนาเสียงกำลังเหาะออกจากภูเขาไฟ เพื่อต่อสู้กับเจ็ดอารมณ์

ในหมู่พวกเขาเจ้าแห่งโกรธมีพลังต่อสู้ที่แกร่งที่สุดอย่างเห็นได้ชัด มันประมือกับร่างอวตารสำนักเหิงฉินอยู่ผู้เดียว ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ใช่สนามรบของตนนี้ ยังต่อสู้ได้อย่างเท่าเทียม

อีกด้านหนึ่ง เจ้าแห่งโศกและเจ้าแห่งแค้นก็ร่วมมือกันเข้าควบคุมร่างอวตารสำนักเหอเสียน สถานการณ์การต่อสู้ก็ดุเดือดเช่นกัน

แต่ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ของพวกเขา หรือว่าการประมือระหว่างผู้ฝึกตนสามสำนักกับผู้ฝึกตนเจ็ดอารมณ์ ต่างก็ไม่ใช่จุดสำคัญของแผนการนี้…จุดสำคัญของแผนการนี้อยู่ที่หวังเป่าเล่อ

เพราะว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่กลืนกินร่างอวตารเต๋าแห่งจังหวะดนตรี จึงจะทำให้กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงถูกฉีกขาด ไม่สมบูรณ์อีกต่อไป และมีเพียงวิธีนี้ ที่จะช่วยให้…เจ้าแห่งสุขที่ถูกกดขี่ในโลกแห่งเสียงหลุดพ้น

เพื่อช่วยมอบโอกาสให้เจ้าแห่งสุขที่รอคอยมานาน

เรื่องนี้ หวังเป่าเล่อเข้าใจกระจ่าง เจ้าปรารถนาเสียงก็เข้าใจกระจ่าง สามเจ้าแห่งเจ็ดอารมณ์ก็เข้าใจกระจ่างเช่นกัน ดังนั้นการลงมือของพวกเขา ต่างก็ใช้การยืดเยื้อเป็นหลัก ทำให้ร่างอวตารทั้งสองของเจ้าปรารถนาเสียง ไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือร่างอวตารเต๋าแห่งจังหวะดนตรีได้อย่างราบรื่น

ร่างอวตารทั้งสองของเจ้าแห่งปรารถนาเสียง เวลานี้มีความกังวลเป็นอย่างยิ่ง ขณะคำรามก็ได้ระเบิดพลังไปเต็มที่ แต่ยังคงไม่อาจกอบกู้สถานการณ์นี้ได้ แม้เจ้าปรารถนาเสียงจะรับรู้ได้ว่า ร่างอวตารเต๋าแห่งจังหวะดนตรีของตน เวลานี้เหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว แต่เพราะการขัดขวางเจ้าทั้งสามจากเจ็ดอารมณ์ ยังคงทำให้พวกเขายากที่จะดำเนินการต่อไปได้

แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น ภายในภูเขาไฟเต๋าแห่งจังหวะดนตรี เวลานี้ร่างอวตารเต๋าแห่งจังหวะดนตรีส่งเสียงโหยหวน แต่กลับไม่อาจขัดขืนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของตนที่กำลังไหลเข้าสู่ภายในร่างของหวังเป่าเล่ออย่างบ้าคลั่งได้เลย

หวังเป่าเล่อเผยแววประหลาดใจในดวงตา เขารอคอยวันนี้มาเนิ่นนานแล้ว ได้ระเบิดพลังออกไปอย่างสุดกำลัง ไม่เพียงกฎเกณฑ์เจ็ดอารมณ์สาดกระจาย แต่ยังเต็มไปด้วยคุณสมบัติของร่างต้น แล้วก็ยังมีกฎเกณ์ปรารถนารส ทั้งหมดล้วนหมุนวนอยู่เต็มกำลัง

ทั้งหมดนี้ก็ทำให้ร่างอวตารเต๋าแห่งจังหวะดนตรีเจ้าแห่งปรารถนาเสียงคล้ายจะหมดหวังอย่างที่สุดแล้ว จิตสำนึกของนางกำลังสลายไปอย่างรวดเร็ว กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงก็ถูกหวังเป่าเล่อแทรกซึมหลอมรวมอย่างต่อเนื่อง

ชั่วพริบตา การหลอมรวมนี้ก็ถึงระดับสามส่วน และกำลังเข้าใกล้ส่วนที่สี่ในไม่ช้า และตามด้วยส่วนที่ห้า…

เมื่อเห็นว่าทุกอย่างคล้ายจะหมดหนทางย้อนคืนได้ ในช่วงวิกฤตชีวิตนี้เองร่างอวตารทั้งสองของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงที่ประมืออยู่กับสามเจ้าจากเจ็ดอารมณ์ นัยน์ตาก็เผยความบ้าคลั่งและวิตกกังวล ก่อนจะะคำรามออกมาในเวลาเดียวกัน

 เต๋าสามสำนัก บุกเข้าไปภายในภูเขาไฟเต๋าแห่งจังหวะดนตรี สังหารผู้ต่อต้าน! 

ทันทีที่ร่างอวตารทั้งสองกล่าวออกไป มหาเต๋าทั้งหกจากสามสำนักที่ต่างก็กำลังเข่นฆ่าอยู่กับผู้ฝึกตนเจ็ดอารมณ์ภายในภูเขาไฟ ล้วนเปลี่ยนท่าที ระเบิดพลังฝึกตนออก หลังจากหลุดออกจากการต่อสู้มาได้ ก็ตรงไปที่ภูเขาไฟเต๋าแห่งจังหวะดนตรี

ผู้ที่มีความเร็วสูงสุดคือเยว่หลิงจื่อ สีหน้านางซีดขาว ดวงตาฉายแววกังวล เวลานี้แปลงกายเป็นสายรุ้งสายหนึ่ง พุ่งไปที่เต๋าแห่งจังหวะดนตรี ผู้ที่ติดตามมาด้านหลังนางคือสือหลิงจื่อ ปีศาจแดง และเกราะขาว แม้ทั้งสามจะมีสีหน้าที่ยากบรรยาย แต่ก็มีใจที่อยากช่วยเหลืออย่างแน่นอน หากแต่ก็เห็นได้ชัดว่าภายในใจยังมีความสับสนและขัดแย้ง

ในเรื่องนี้จากความเร็วของพวกเขาก็พอจะมองออก

เพียงแต่…แม้เยว่หลิงจื่อจะเร็ว แต่ยังมีผู้หนึ่งยังเร็วกว่านาง คนผู้นี้คือจงเหิงจื่อ เดิมทีเขาเป็นศิษย์เต๋าของเต๋าแห่งจังหวะดนตรี เวลานี้เห็นได้ว่ากำลังร้องคำรามพุ่งเข้าสู่ภายในภูเขาไฟ

แต่แล้วตอนนั้นเอง…เงาสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ขวางทางเขาไว้ ท่ามกลางเสียงร้องคำราม จงเหิงจื่อกระอักเลือด ถอยร่างกลับออกมา

 ยิ่นสี่!  สีหน้าจงเหิงจื่อในขณะนั้นยากที่จะบรรยายอย่างที่สุด จ้องนิ่งไปที่ยิ่นสี่

และในขณะเดียวกัน เยว่หลิงจื่อก็มาถึงอย่างรวดเร็ว หลังจากเห็นเหตุการณ์นี้ นางก็ตะลึง ขณะกำลังพุ่งออกจากภายในปากภูเขาไฟ ก็ถูกยิ่นสี่ฉุดรั้งไว้เช่นกัน

 ศิษย์พี่เหตุใดท่าน…  นัยน์ตาเยว่หลิงจื่อแฝงความสะเทือนใจและไม่อยากจะเชื่อ

ไม่เพียงแต่นางที่เป็นเช่นนี้ ปีศาจแดง เกราะขาว และสือหลิงจื่อก็มาถึงในไม่ช้า หลังจากได้รับรู้ถึงเหตุการณ์นี้แล้ว จิตใจของคนทั้งสามต่างก็เกิดคลื่นยักษ์สูงเทียมฟ้า

 ไม่มีเหตุผล พวกเจ้า…ไม่ควรเหยียบเข้ามาที่นี่  ยิ่นสี่กวาดตามองผ่านทุกคน เอ่ยขึ้นช้าๆ

 แต่นั่นเป็นอาจารย์ของพวกเรานะ!  ภายในดวงตาของเยว่หลิงจื่อเต็มไปด้วยเส้นเลือด เผยความเจ็บปวด

 ศิษย์ที่ถูกสิงร่างที่ยังอยู่รอด เป็นเช่นเดียวกับการคงอยู่ของเลือดเนื้อที่ถูกกลืนกิน ไม่ได้เป็นอาจารย์ของพวกเรานานแล้ว  ยิ่นสี่กล่าวช้าๆ

 แต่นั่นเป็นเพราะปกป้องพวกเรา อาจารย์จึงจำต้องก้มหน้า ต้องคำสาปตั้งแต่นั้น!  จงเหิงจื่อคำรามก้อง แววตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดหนาแน่น ราวกับกำลังบ้าคลั่ง

ยิ่นสี่นิ่งเงียบ ความทรงจำส่วนลึกในดวงตา กล่าวออกมาเบาๆ

 ก็เพราะเหตุนี้ ดังนั้น…ข้าจึงเลือกที่จะร่วมมือกับเจ้าแห่งสุข ให้อาจารย์ได้…หลุดพ้น นางแก่แล้ว หลายปีมานี้…ต้องลำบากยิ่งนัก 

กล่าวพลาง ขณะยิ่นสี่โบกมือ เขาก็ระเบิดพลังขวางทุกคนไว้

ในเวลาเดียวกัน ภายในปากภูเขาไฟ การยึดร่างของหวังเป่าเล่อก็มาถึงเวลาสำคัญแล้ว การต่อต้านของร่างอวตารเต๋าแห่งจังหวะดนตรีอ่อนกำลังลงเรื่อยๆ ขณะเดียวกันกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงภายในร่างของเขา ก็หลอมรวมกับหวังเป่าเล่อไม่หยุด

ห้าส่วน หกส่วน เจ็ดส่วน…

แปดส่วน…

เก้าส่วน…

ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้ม กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของเขาเดิมทีก็ไม่ธรรมดา เวลานี้เมื่อได้รับการหลอมรวมจากแหล่งกำเนิด มันยังคงปะทุต่อไปและเพิ่มขึ้นไม่หยุด โลกแห่งเสียงในการสัมผัสของเขา ราวกับทะลุปรุโปร่งกว่าก่อน และเสียงทั้งหมดอยู่ในการรับรู้ของเขาแล้ว ราวกับมันมีพลังแห่งกฎจักรวาลดำรงอยู่

เขายังรับรู้ได้ถึงผู้ฝึกตนของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงที่อยู่ด้านนอก เขามีความรู้สึกชนิดหนึ่ง มันคล้ายกับว่าเพียงแค่หวังเป่าเล่อคิด ก็จะสามารถปลดออกได้ในทันที

การรับรู้เช่นนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่มีในกฎเกณฑ์ปรารถนารส

กฎเกณฑ์ปรารถนารส เขาเป็นเพียงหนึ่งในสำนักสาขา แต่กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงในตอนนี้ เขากำลังแย่งชิงแหล่งกำเนิด และหากสำเร็จ เขาก็จะเป็นเช่นเดียวกับแหล่งกำเนิด เป็นอีกหนึ่งแหล่งกำเนิด

ในพริบตาต่อมา มันก็เพิ่มขึ้นเป็นสิบส่วน!

……………………

 

นี่มาจากวิชาครองร่างกลับคืนชั้นสูงของเจ้าแห่งสุข หวังเป่าเล่อศึกษามาหลายครั้งหลายคราจนพูดได้ว่าตั้งแต่ส่วนเล็กย่อยตลอดจนทุกส่วน เขาล้วนศึกษาพิจารณาอย่างละเอียดยิบทั้งหมดแล้ว
ไม่ว่าอย่างไรหวังเป่าเล่อก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วๆ ไป ร่างเดิมเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์เจ็ดอารมณ์ขั้นที่ห้าแม้แต่น้อย แม้ร่างอวตารจะห่างชั้นกับร่างเดิมอยู่มาก แต่ประสบการณ์และการวิเคราะห์กลับเหมือนกันไม่มีผิด
ดังนั้น หวังเป่าเล่อจึงมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะพิเคราะห์พิจารณาวิชาครองร่างกลับคืนชั้นสูงนี้ได้และยังถึงขั้นที่เขาสามารถปรับให้เข้ากับตัวเอง ขจัดความยุ่งเหยิงบางอย่างทิ้งแล้วเหลือไว้แต่พลังรุนแรงอันสุดยอด ทำให้เมื่อใช้วิชานี้ขึ้นมาจึงน่าสะพรึงยิ่งขึ้น
อีกทั้งหลักการเดิมของมัน บางส่วนก็มีจุดที่คล้ายกับเมล็ดหลุมดำแห่งการดูดกลืนในร่างของหวังเป่าเล่อในตอนนั้น ทว่าไม่ใช่การเปลี่ยนตัวเองเป็นดั่งหลุมดำในเสี้ยวเวลา แต่เป็นเสมือนกาฝากด้วยการยืมมืออีกฝ่ายทำให้สำเร็จ หรือก็พูดได้ว่า ในพริบตาที่เต๋าแห่งจังหวะดนตรียึดร่างมาได้ หวังเป่าเล่อก็ปล้นชิงทุกสิ่งมา
แต่นี่ไม่ตรงกับความชอบของหวังเป่าเล่อเลย และเขาก็ไม่ชื่นชอบแบบนี้ ดังนั้นด้วยการปรับแก้ของเขา วิชาครองร่างกลับคืนจึงยิ่งโจ่งแจ้งกว่าเก่า นั่นก็คือ…กลืนกิน!
ผนึกเข้ากับกฎเกณฑ์ปรารถนารสกลายเป็นกลืนกิน
การกลืนกินนี้ระเบิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน เวลานี้มันกลายเป็นแรงดูดขนาดใหญ่ กระชากร่างเต๋าแห่งจังหวะดนตรีของเจ้าปรารถนาเสียงที่คิดจะออกจากร่างหวังเป่าเล่อกลับมา
“เจ้ากล้า!” เสียงแหลมสูงแฝงความโกรธเกรี้ยวสะท้อนขึ้นในจิตสำนึกของหวังเป่าเล่อ เป็นเสียงของร่างเต๋าแห่งจังหวะดนตรีของเจ้าปรารถนาเสียง และในขณะที่เสียงดังขึ้นก็มีพลังขับไล่รุนแรงขุมหนึ่งพุ่งพรวดขึ้นในร่างหวังเป่าเล่อ
แรงขับไล่นี้มาจาก…เมล็ดพันธุ์เต๋าอักขระเสียงในร่างของหวังเป่าเล่อ!
เมล็ดพันธุ์เต๋านี้เทียบเท่ากับกุญแจและคุณสมบัติ อันแรกจะทำให้เขาและร่างอวตารเจ้าปรารถนาเสียงมีต้นกำเนิดคล้ายคลึงกัน อันหลังจะทำให้ร่างกายของเขาเปิดกว้างต้อนรับการมาของร่างเต๋าแห่งจังหวะดนตรีของเจ้าปรารถนาเสียง
มีสิ่งที่เป็นเหมือนม้าโทรจันเช่นนี้ เวลานี้ถูกกระตุ้นจากร่างเต๋าแห่งจังหวะดนตรีของเจ้าปรารถนาเสียง แรงขับไล่ที่ปะทุขึ้นมา…ได้โอบล้อมดวงจิตของหวังเป่าเล่อไว้ทุกด้าน
การต่อต้านของร่างอวตารเจ้าปรารถเสียงแผ่กระจายขึ้นอย่างสมบูรณ์ในเวลานั้น
เมื่อเห็นดวงจิตของหวังเป่าเล่อกำลังจะสั่นไหวจากการปะทุขึ้นอย่างเฉียบพลันของเมล็ดพันธุ์เต๋าอักขระเสียง ทว่าในตอนนี้…เมล็ดพันธุ์เต๋าอักขระเสียงที่ปล่อยพลังขับไล่กระจายออกมาไม่หยุด และสะกดหวังเป่าเล่อพร้อมกับร่างเต๋าแห่งจังหวะดนตรีของเจ้าปรารถนาเสียงก็พลันสั่นไหวรุนแรง
บนอักขระเสียงที่สมบูรณ์มีส่วนเล็กๆ ส่วนหนึ่งหายไปในพริบตา ก่อนเกิดเป็นช่องโหว่ที่คล้ายรอยฟันอันหนึ่งขึ้น และการปรากฏขึ้นของช่วงโหว่นี้…ก็ทำให้เมล็ดพันธุ์เต๋านี้สั่นไหวยิ่งกว่าเดิม พริบตาถัดมา…เสียงบึ้มครั้งเดียวก็แตกละเอียดทันที
ขณะที่มันแตกสลาย กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงที่อยู่ภายในก็ลอยแล่นหลอมรวมเข้าสู่เลือดเนื้อของหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว
ภาพฉากนี้ทำให้เกิดคลื่นลูกยักษ์ขึ้นในจิตสำนึกของร่างเจ้าปรารถนาเสียงในทันที
“นี่…”
“ข้าบอกแล้ว เจ้า…เป็นของข้า” สิ่งที่ตอบเขาคือดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อ อีกทั้งพลังที่ปะทุขึ้นอย่างกะทันหันนั้นราวกับได้กลายเป็นคลื่นลูกยักษ์ที่จะดูดม้วนกลืนกินดวงจิตร่างของเจ้าปรารถนาเสียงจนสิ้นซาก
“โง่เขลา!” ร่างเจ้าปรารถนาเสียงแค่นเสียงเย็น พริบตาถัดมา กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงอันไร้ขอบเขต ก็ได้กลายเป็นเสียงแห่งมวลมหาธรรมชาตินับไม่ถ้วนจู่โจมเข้าใส่หวังเป่าเล่อ ก่อนพุ่งชนเข้ากับวิชาครองร่างกลับคืนของหวังเป่าเล่อ
เสียงดังสนั่นออกมาจากร่างของเขา จิตสำนึกของพวกเขาใช้ร่างกายของหวังเป่าเล่อเป็นสนามรบ ในเวลานี้กำลังเข่นฆ่ากันไม่หยุด ทว่าเห็นได้ชัด…ว่าเจ้าปรารถนาเสียงได้กุมพลังต้นกำเนิดกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงไว้สามส่วน เวลานี้ใส่เต็มพลัง ดังนั้นในช่วงเวลาสั้นๆ หวังเป่าเล่อกลับไม่สามารถที่จะกลืนกินเขาได้อย่างราบรื่น
“ไม่เป็นไร” ดวงจิตเทพหวังเป่าเล่อเอ่ย เวลาถัดมา ภาพเหตุการณ์ที่ทำให้สติของร่างเจ้าปรารถนาเสียงสั่นไหวอย่างรุนแรงก็ปรากฏขึ้น
นั่นคือกฎเกณ์ของเจ้าแห่งโกรธ เจ้าแห่งโศก รวมทั้งเจ้าแห่งแค้น และเจ้าแห่งสุข ในเวลานี้พุ่งทะยานออกมาจากร่างของหวังเป่าเล่อ!
กฎเกณฑ์สี่อารมณ์จากทั้งเจ็ดนี้ราวกับกลายเป็นมีดแหลมคมทิ่มแทงเขาไปในจิตสำนึกของร่างเจ้าปรารถนาเสียงในพริบตา ฉีกทึ้งทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความบ้าระห่ำ ทำให้ร่างนั้นกรีดร้องโหยหวนออกมา
“เป็นพวกเจ้า!!”
เมื่อร่างอวตารเต๋าแห่งจังหวะดนตรีของเจ้าแปรารถนาเสียงรู้สึกถึงวิกฤตที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขณะที่กรีดร้องและดิ้นรนอยู่ในเวลานี้ ก็คิดที่จะใช้แรงจากกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของตัวเองในการขัดขวางเพื่อออกจากร่างหวังเป่าเล่อ
ขอเพียงออกไปได้ ทุกอย่างก็ยังมีจุดพลิกผลัน
ทว่าในเวลานี้ ภายในร่างหวังเป่าเล่อ หลังจากกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง กฎเกณฑ์สี่อารมณ์ของเจ้าแห่งสุข เจ้าแห่งโกรธ เจ้าแห่งแค้น และเจ้าแห่งโศก มันก็ปรากฏกฎเกณฑ์เต๋าที่หกขึ้น นั่นก็คือ…กฎเกณฑ์ปรารถนารส
ทันทีที่กฎเกณฑ์นี้ออกมาก็ทำให้แรงกลืนกินยิ่งรุนแรงมากขึ้น จิตสำนึกของร่างอวตารเจ้าปรารถนาเสียงไม่สามารถหลุดออกไปได้เลย และกำลังจะถูกหวังเป่าเล่อกลืนกินจนสิ้นแล้ว
“ผสานโลก!”
ในเวลาต่อมา จิตสำนึกของร่างอวตารเต๋าแห่งจังหวะดนตรีของเจ้าปรารถนาเสียงก็หลอมรวมเข้าสู่กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง ก่อนแสดงให้เห็นว่า…มันสั่นไหวรุนแรงกว่าของยิ่นสี่ก่อนหน้าอย่างมาก หลอมรวมเข้าสู่โลกแห่งเสียง!
นี่คือเคล็ดวิชาลับของนางและก็เป็นวิธีที่นางคิดจะใช้พลิกสถานการณ์กลับในเวลานี้ด้วย ขอเพียงนางสามารถหลอมรวมเข้าไปในโลกแห่งเสียงได้…ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถทำร้ายนางได้อีก ถึงอย่างไรในโลกแห่งเสียง…นอกจากตัวนางแล้วก็ไม่มีผู้ใดสามารถเหยียบย่างเข้าไปได้
แต่ในขณะที่จิตสำนึกของร่างเต๋าแห่งจังหวะดนตรีของเจ้าปรารถนาเสียงกระจายออกไปและหลอมรวมเข้าสู่โลกแห่งเสียง ทางด้านหวังเป่าเล่อ อักขระเสียงที่ซ้อนทับกันอยู่ในร่างก็พลันปะทุขึ้นพร้อมกับหลอมรวมเข้าสู่โลกแห่งเสียงไปพร้อมกับนางทันที
“เป็นไปไม่ได้!!” ร่างของเจ้าปรารถนาเสียงไม่อยากเชื่อ จิตสำนึกของนางในเวลานี้สั่นไหวอย่างรุนแรง แม้ก่อนหน้านี้นางจะเคยจับตาดูหวังเป่าเล่อ และก็รู้ว่าในร่างของเขามีอักขระเสียงพิเศษอยู่ แต่การหลอมรวมเข้ากับโลกแห่งเสียงนั้นเป็นคนละเรื่องกัน จากการวิเคราะห์ อย่างมาก…หวังเป่าเล่อก็เป็นเหมือนกับยิ่นสี่ มีแค่คุณสมบัติเข้าร่วมก็เท่านั้น
แต่ตอนนี้ ความจริงไม่ใช่แบบนั้นแล้ว
“มีคนช่วยเจ้าปกปิด!! ไม่ ไม่ใช่ปกปิด เป็นระดับของเจ้า…ที่แท้เป็นเจ้า เจ้ายังกล้ามาเมืองปรารถนาเสียงให้ข้าเห็น!”ร่างของเจ้าปรารถนาเสียง เวลานี้จิตสำนึกสั่นไหวอย่างรุนแรง นางเดาถึงสถานะของหวังเป่าเล่อได้แล้ว
พริบตาถัดมา เงาร่างสองร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในส่วนลึกของภูเขาไฟสำนักเหอเสียนและสำนักเหิงฉินพลันลืมตาขึ้นพร้อมกัน เงาร่างทั้งสองนี้สมบูรณ์แบบไร้ตำหนิ ดูทรงพลังน่าเกรงขาม เมื่อลืมตาขึ้นก็ฉายแววดุร้าย ต่างยกมือขวาขึ้นพร้อมกับบีบแผ่นหยกในมือจนแหลกละเอียดเพื่อแจ้งแก่…วิญญาณจักรพรรดิอาณาจักรด้านบน!!
ทว่าในเวลานี้…ยังอยู่ไกลจากเมืองปรารถนาเสียงมากเหลือเกิน แม้จะยังนโลกาชั้นที่สองเหมือนกัน แต่ก็อยู่ในเขตพื้นที่อีกด้านหนึ่ง ที่ตรงนั้นยังมีคูเมืองอันกว้างใหญ่อีกแห่ง
เมืองนี้มีชื่อว่าเมืองปรารถนาทัศน์
ในเวลานี้ ในพระราชวังใต้ดินอันตระหง่าน ณ ศูนย์กลางของเมืองปรารถนาทัศน์มีสระโลหิตอยู่บ่อหนึ่ง
ภายในสระ มีเงาร่างสูงใหญ่สวมชุดเกราะผมยาวนั่งขัดสมาธิแต่มองไม่เห็นหน้าตาผู้หนึ่ง ชั่วเวลาที่ร่างอวตารทั้งสองของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงบีบแผ่นหยกจนแหลกเพื่อเรียกวิญญาณจักรพรรดิอาณาจักรด้านบน เงาร่างนี้…ก็ยกมือขวาขึ้นฟ้าและคว้ากำทันที!
ภายใต้เงื้อมมือนี้ พลันเกิดแสงสว่างขึ้นสองดวงส่องเป็นทางลงมาก่อนถูกตัดสาส์นจากการบดขยี้ด้วยฝ่ามือ!
เขาค่อยๆ เปิดเปลือกตาขึ้น เผยดวงตาแดงก่ำที่แฝงด้วยความละโมบในเบื้องลึก จ้องมองไปทางเมืองแห่งปรารถนาพลางพึมพำ
“เจ้าแห่งสุข ข้าออกแรงแล้ว บรรลุข้อตกลงแล้ว ต่อจากนี้…ถึงคราวที่เจ้าจะทำตามสัญญาแล้ว ข้า…รอไม่ไหวแล้ว!”
……………………………………….

ทันทีที่ลงมือก็เป็นเคล็ดวิชาลับที่แข็งแกร่งมาก!

ชัดเจนว่ายิ่นสี่ยอมรับความสามารถของหวังเป่าเล่อเรียบร้อยแล้ว เขาเข้าใจดีว่าการเผชิญหน้ากับหวังเป่าเล่อ และการจะชิงที่หนึ่งนั้นไม่จำเป็นต้องลองหยั่งเชิงกันอีกแล้ว หากจะลงมือ…ก็ต้องจู่โจมอย่างแข็งแกร่งที่สุด

และกุญแจเปิดโลกแห่งเสียงของเขาดอกนี้ก็คือเต๋าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา เวลานี้มันกำลังปะทุขึ้น ตัวเขาหลอมรวมเข้าสู่กุญแจดอกนี้ ดูคล้ายดวงแสงดวงหนึ่ง แต่ความจริง…เงาร่างของเขาไม่อยู่แล้ว เพราะมันอยู่ในระหว่างความเป็นจริงกับโลกแห่งเสียง

สภาพเช่นนี้ ทำให้เขามีคุณสมบัติพอที่จะอยู่ในตำแหน่งสุดยอดได้ยามเผชิญกับผู้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเกือบทั้งหมด ท่ามกลางเสียงดังสนั่นในเวลานี้ ฟองอากาศก็ส่งสัญญาณพังทลาย ถึงขั้นที่ผู้ฝึกตนทั้งสามสำนักบนภูเขาไฟด้านนอกต่างเกิดเสียงกระหึ่มขึ้นในสัมผัสสวรรค์ ราวกับกฎของตนถูกสั่นคลอน

พริบตาต่อมา นิ้วมือที่ยิ่นสี่กลายเป็นแสงผสานรวมเข้าไปก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าหวังเป่าเล่อก่อนกดลงไป

หวังเป่าเล่อนัยน์ตาฉายแววประหลาด ช่วงเวลาที่มายังเมืองเมืองปรารถนาเสียง เขาเห็นผู้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงมามากมาย แต่ก็ไม่พูดไม่ได้ว่า ยิ่นสี่ตรงหน้านี้คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด

 และก็…คำที่เขาเพิ่งพูดออกมาเมื่อครู่  หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง มือขวายกขึ้นกันนิ้วที่เข้ามาตรงหน้าเบาๆ

อักขระเสียงที่ทับซ้อนกันกว่าแสนตัวในร่างระเบิดขึ้นมาในเวลานี้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

คลื่นพลังขุมหนึ่งระเบิดอย่างสะเทือนฟ้าสะเทือนดินในพริบตา แผ่กระจายไปทั่วบริเวณก่อนกลายเป็นพายุขุมหนึ่งอย่างฉับไว ฉีกทลายฟองอากาศ ฉีกเวทีประลองและสถานที่ทดสอบพลังฝึกปรือ และยังฉีกทึ้ง…นิ้วมือที่ผสานรวมกับยิ่นสี่เป็นกุญแจ

นิ้วมือนั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ไม่สามารถขัดขวางได้แม้แต่น้อย ระหว่างที่พังครืนลง ยิ่นสี่ที่หลอมรวมอยู่ภายในระหว่างความจริงกับโลกแห่งเสียง ร่างของเขาก็ถูกดีดออกมา ขณะที่กระอักเลือดอย่างรุนแรงนัยน์ตาก็ฉายแววประหลาด คล้ายกำลังรอคอย ท่าทางนั้นขมขื่นและดูซับซ้อนอย่างยิ่ง

แววตานี้คงอยู่ไม่นาน ร่างของเขาก็ถูกพายุจากอักขระเสียงที่ซ้อนทับกันกลืนหายไปในทันที

โชคดีที่หวังเป่าเล่อไม่ได้มีใจอยากฆ่า ดังนั้นเวลาถัดมา ร่างของยิ่นสี่ก็ถูกพายุผลักออกมาลอยตกไปไกลราวกับว่าวที่สายป่านขาด

การประลองรอบนี้…จบลงแล้ว!

ผู้ฝึกตนทั้งสามสำนักไม่ทันได้ส่งเสียงฮือฮา สถานที่ทดสอบพลังฝึกปรือที่หวังเป่าเล่ออยู่ ในรอยแตกที่ใกล้จะถล่มลง พลันมีแสงเปล่งเจิดจ้า แสงนี้รวมตัวจากทุกสารทิศพุ่งไปยังหวังเป่าเล่อและแผ่คลุมเขาในพริบตาถัดมาอย่างกะทันหัน

ฉับพลันนั้น เงาร่างของหวังเป่าเล่อก็หายวับไปจากสายตาของผู้ฝึกตนทั้งสามสำนักและก็หายไปจากสายตายิ่นสี่ที่ในเวลานี้ยังคงกระอักเลือดอยู่ด้วยเช่นกัน

 เขาข้ามไปแล้ว…  แววตายิ่นสี่ยิ่งซับซ้อนขึ้น

ในเวลาเดียวกัน เสียงก้องกังวานน่าเกรงขามก็สะท้อนขึ้นในสามสำนัก

 การทดสอบพลังฝึกปรือสิ้นสุดลงแล้ว หวังเล่อ นับจากนี้เลื่อนขึ้นสู่ศิษย์สายตรง! 

หวังเล่อก็คือนามแฝงของหวังเป่าเล่อในเมืองปรารถนาเสียง

ทันทีที่เสียงนี้ดังขึ้น ทั้งสามสำนักก็เกิดความโกลาหลอย่างรวดเร็ว เสียงสนทนาถกเถียงดังไปทั่วฟ้า แม้พวกเขาจะเฝ้าดูอยู่ตลอด และก็เตรียมใจไว้แล้วว่าหวังเป่าเล่อจะชนะ แต่…สุดท้ายก็ยังตกใจกับความจริงนี้อย่างสุดขีด

ต้องรู้ว่า ก่อนหน้านั้นหวังเป่าเล่อไม่เป็นที่รู้จักมาก่อน เป็นม้ามืดที่โดดออกมาจากผู้คน อีกทั้งยังเอาชนะศิษย์เต๋า สุดท้ายใช้พลังอันน่าสะพรึงสะกดยิ่นสี่ได้

เรื่องแบบนี้มันน่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว

และสำหรับผู้ที่พ่ายแพ้ให้แก่หวังเป่าเล่อไปก่อนหน้านั้น ขณะที่รู้สึกเหลือเชื่อ มากกว่านั้นคือกลับรู้สึกตื่นเต้นกว่า โดยเฉพาะผู้ฝึกตนที่แพ้ให้แก่หวังเป่าเล่อเป็นรายแรกผู้นั้น ตอนนี้ดูดีใจมากกว่าตัวหวังเป่าเล่อเองเสียด้วยซ้ำ เขารู้สึกว่าตัวเองโชคดี แพ้ให้ศิษย์สายตรงก็ยังพอพูดได้ว่าตัวเองยอดเยี่ยมอยู่ไม่เบา

ในขณะที่ศิษย์ทั้งสามสำนักกำลังถกเถียงกันอยู่ เหล่าศิษย์เต๋าสามสำนักกลับนิ่งเงียบ เงยหน้ามองไปทางภูเขาไฟเต๋าแห่งจังหวะดนตรีอย่างซับซ้อนราวกับสายตาของพวกเขาสามารถมองทะลุภูเขาไฟเห็นภายในได้

แม้ว่า…พวกเขาจะมองไม่เห็น ทว่าก็สามารถจินตนาการได้ว่าเวลานี้ภายในภูเขาไฟลูกนั้นกำลังเกิดอะไร

 น่าเสียดาย 

 ต้นทุนธรรมชาติกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของหวังเล่อผู้นี้พบได้น้อยมาก! 

 ร่างอวตารเต๋าแห่งจังหวะดนตรีของอาจารย์จะได้ฟื้นฟูแล้ว 

มีเพียงยิ่นสี่ ขณะที่มองไปทางภูเขาไฟเต๋าแห่งจังหวะดนตรี นัยน์ตากลับซับซ้อน แฝงความดิ้นรนและ…การรอคอย

ในเวลาเดียวกัน ขณะที่สายตาของศิษย์เต๋าทั้งสามสำนักบรรจบกันอยู่ที่ภูเขาไฟ ภายในส่วนลึกของภูเขาไฟเต๋าแห่งจังหวะดนตรี ชั่วขณะที่แสงสว่างเรืองรอง เงาร่างของหวังเป่าเล่อก็ถูกส่งมายังที่แห่งนี้

แสงไฟสีแดงแผดเผา อุณหภูมิสูงจนน่าทึ่ง

เมื่อแสงสว่างเคลื่อนนำหายไปและเงาร่างของหวังเป่าเล่อปรากฏขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว สายตาของเขาก็เบนไปยังเงาร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนโขดหินสีม่วงตรงเบื้องหน้าทันที

เงาร่างนั้นสวมชุดคลุมสีดำยาวตลอดร่าง สีหน้าซีดขาวฉายความอ่อนแอ ผิวที่เผยให้เห็นดูเหี่ยวแห้งอย่างชัดเจน ผมยาวรุงรังเคลียไหล่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายความตาย เหมือนกับเทียนไขที่มอดไหม้จนใกล้หมด เหลือเพียงแสงสว่างสุดท้ายของชีวิต

ในเวลานี้ เงาร่างนี้ลืมตาขึ้น ดวงตาแทบจะมองไม่เห็นนัยน์ตาดำ มีเพียงสีขาวที่ส่อถึงความตายมองไปยังหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อก็มองไปที่ร่างอวตารของเจ้าปรารถนาเสียงตรงหน้า สีหน้าฉายความตื่นเต้นและวิตกกังวล ก่อนโค้งกายคำนับให้แก่เงาร่างเบื้องหน้า

 ศิษย์คารวะเจ้าปรารถนา… 

 เข้ามาใกล้ๆ หน่อย  เสียงแหบแห้งดังมาจากร่างแห้งเหี่ยว ราวกับแฝงด้วยพลังพิเศษขุมหนึ่งที่ส่งผลต่อสัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อ เสียงนี้ทำให้เขาสีหน้างงงวยและยังส่งผลต่อกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงในร่างของเขาทำให้ร่างกายเดินไปทางเงาร่างนั้นโดยไม่รู้ตัว

เข้าใกล้ทีละก้าวๆ จนกระทั่งเมื่อยืนอยู่ตรงหน้าร่างนั้นเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังได้กลิ่นเหม็นเน่าลอยออกมาจากร่างของอีกฝ่าย ร่างกายของเขาจึงเผยอาการขัดขืน สีหน้างงงันก็ปรากฏแววต่อต้าน

 ร่างที่เยาว์วัย…  ในดวงตาของเงาร่างนั้นฉายประกาย ทันใดนั้นเมล็ดพันธุ์เต๋าในร่างหวังเป่าเล่อก็ราวกับอยู่เหนือการควบคุม มันปะทุขึ้นในพริบตาก่อนเข้าควบคุมร่างกายของเขา ขณะที่สะกดอาการขัดขืนและดิ้นรนเอาไว้ ร่างอวตารเต๋าแห่งจังหวะดนตรีของเจ้าแห่งปรารถนาที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นนัยน์ตาก็ฉายแววรอคอย มือขวาลีบเหี่ยวยกขึ้นช้าๆ พร้อมเสียงหอบหายใจ กดลงที่หว่างคิ้วของหวังเป่าเล่อ

 เจ้า…เป็นของข้าแล้ว  ขณะที่เสียงแหบแห้งสะท้อนขึ้น ร่างอวตารเต๋าแห่งจังหวะดนตรีของเจ้าปรารถนาเสียง ก็ทำให้กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงในร่างพลันหมุนเคลื่อนผนวกกับจิตอันแน่วแน่ของตน มันเคลื่อนมาตามแขนก่อนพุ่งเข้าสู่ร่างของหวังเป่าเล่อและหลอมรวมเข้าไปในทันที

ทว่าพริบตาที่จิตและทุกอย่างหลอมรวมเข้าในหว่างคิ้วของหวังเป่าเล่อ สีหน้ามึนงงของเขาพลันเลือนหายไป แล้วแทนที่ด้วยรอยยิ้มที่แฝงความนัยและแววตาเย็นเยียบในพริบตา

 ผิดแล้ว เจ้าต่างหาก…ที่เป็นของข้า  หวังเป่าเล่อเอ่ยพูดแผ่วเบา

ร่างอวตารเต๋าแห่งจังหวะดนตรีของเจ้าปรารถนาเสียง ตอนนั้นเองจิตใจก็เกิดกระแสคลื่นบางอย่าง คิดจะดึงกลับมาแต่ก็สายไปเสียแล้ว

วิชาครองร่างสะท้อนคืน ที่เจ้าแห่งสุขถ่ายทอดให้แก่หวังเป่าเล่อพลันปะทุขึ้นภายในร่างของเขา ก่อนมันจะกระชากจิตใจของร่างเจ้าปรารถนาเสียงที่กำลังจะหนีไปให้ดึงกลับมา

 

ด้วยการยอมแพ้ของสือหลิงจื่อ ร่างของเขาหายวับไปจากเวทีในพริบตา หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงมองออกไปด้านนอก สายตาคล้ายตกอยู่ที่การประลองของเยว่หลิงจื่อกับยิ่นสี่
ทว่าความจริงแล้ว ในใจของเขากำลังวิเคราะห์คำนวณข้อดีข้อเสียที่ตนเข้าร่วมการทดสอบพลังฝึกปรือครั้งนี้อย่างรวดเร็ว และเมื่อตัดสินใจการเลือกของตนได้อีกครั้ง เบื้องลึกในดวงตาก็ฉายแววแน่วแน่
“จะสือหลิงจื่อหรือเกราะขาวก็ช่าง ชัดเจนแล้วว่าไม่อยากได้ที่หนึ่ง หากครั้งนี้ไม่มีข้า เกรงว่าพวกเขาก็คงใช้วิธีทำนองเดียวกันนี้ทำให้ตัวเองแพ้อยู่ดี”
“แต่ว่าเมื่อเทียบกับพวกเขาหลายคนนี้ เยว่หลิงจื่อกับยิ่นสี่…สองคนนี้เหมือนมุ่งจะเอาที่หนึ่งให้ได้” หวังเป่าเล่อยืนอยู่บนเวที มองผ่านฟองอากาศที่ตนอยู่ไปยังที่ประลองของยิ่นสี่กับเยว่หลิงจื่อ
แม้จะไม่ได้ยิน แต่จากกระแสคลื่นที่เห็นจากการประมือกัน แม้ทั้งสองคนจะไม่ได้ใส่พลังอย่างเต็มที่ แต่ความพัวพันที่เห็นกลับยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
คล้ายกับเป็นการประลองอีกสนามระหว่างพวกเขา ขณะที่ถ่ายทอดเสียง เห็นได้ชัดว่าก็ลงมือไปด้วย สนทนากันไปด้วย
และเนื้อหาที่พูดคุยกัน ถึงหวังเป่าเล่อจะไม่ได้ยิน แต่ก็พอเดาส่วนใหญ่ได้ จะต้องเป็นการเกลี้ยกล่อมไม่ให้อีกฝ่ายชิงที่หนึ่งกับตนแน่นอน
“เป็นไปไม่ได้ที่สองคนนี้จะไม่รู้ผลของการเป็นที่หนึ่ง แต่…ก็ยังเป็นแบบนี้” นัยน์ตาหวังเป่าเล่อฉายแววซับซ้อนเล็กน้อย จ้องมองอย่างเงียบเชียบ
ขณะที่สีหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นเรื่อยๆ ผู้ฝึกตนทั้งสามสำนักด้านนอกก็เริ่มมีสีหน้าประหลาด แต่กลับไม่ได้ถกเถียงกัน การชิงยอมแพ้ของสือหลิงจื่อก่อนหน้านี้ทำให้พวกเขารู้สึกถึงความผิดปกติอยู่บ้าง
แต่ว่านั่นไม่สำคัญ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีทางคิดออกว่าความจริงคืออะไรอยู่ดี ดังนั้นส่วนใหญ่จึงคิดว่านี่เป็นแค่พฤติกรรมส่วนตัวของสือหลิงจื่อเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ไม่นานสายตาของทุกคนก็ไปรวมกันที่ยิ่นสี่กับเยว่หลิงจื่อ
การต่อสู้ของทั้งสองคนนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เงาของบทเพลงแผ่กระจายไปทั่วสี่ทิศ แม้จะไม่ได้ยินเสียง ทว่าความเร็วที่มีก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งกระแสคลื่นที่ส่งผลต่อฟองอากาศจากการปะทะกันของบทเพลงในทุกๆ ครั้งก็พอที่จะพิสูจน์การประลองของทั้งสองได้แล้วว่ามีแนวโน้มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น ยิ่นสี่ในเวลานี้จ้องเยว่หลิงจื่อไม่วางตา เมื่อมือโบกสะบัดก็เกิดเสียงแห่งมวลมหาธรรมชาติระเบิดขึ้น และในสัมผัสสวรรค์ของเขา ตอนนี้ก็มีดวงจิตเทพลอยออกมา
“วิญญาณจันทรา เหตุใดเจ้าต้องชิงคุณสมบัตินี้กับข้าด้วย!”
“ศิษย์พี่ ตามการหมุนรอบ ครั้งนี้…เดิมทีก็ควรเป็นข้าที่เป็นร่างของอาจารย์” เยว่หลิงจื่อเม้มริมฝีปาก แววตาแน่วแน่
ยิ่นสี่นิ่งงัน แต่พริบตาถัดมาก็ปรากฏประกายตาดุดันขึ้นทันที ขณะที่มือขวายกขึ้น กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงในร่างของเขาก็ระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง เพียงพริบตาก็ยกระดับจนผู้คนตกตะลึง ถึงขั้นสะเทือนไปยังภูเขาไฟสามสำนักด้านนอกจนหูทุกคนคล้ายจะสูญเสียการได้ยิน
พริบตาถัดมา อักขระเสียงนับไม่ถ้วนก็กระจายออกมาจากร่างยิ่นสี่ก่อนรวมตัวกันที่เบื้องหน้ากลายเป็นนิ้วขนาดยักษ์นิ้วหนึ่ง นิ้วนี้คล้ายจริงคล้ายลวงตา เหมือนไม่ได้อยู่บนโลกนี้ แต่ก็ราวกับมีบางส่วนที่หลอมรวมกับโลกแห่งเสียงที่ประหลาดลึกลับ แฝงไว้ด้วยพลังสะกดที่ไม่สามารถอธิบายได้ขุมหนึ่ง ระเบิดดังไปทางเยว่หลิงจื่อ
ระดับความรวดเร็วและความรุนแรงของมัน ทำให้เยว่หลิงจื่อหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างมาก แม้นางจะไม่ธรรมดา แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามีความห่างชั้นกับยิ่นสี่อยู่ โดยเฉพาะ…เมื่อเวลานี้ยิ่นสี่ใช้เคล็ดวิชาลับที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงมากอย่างมหาศาล ดังนั้นนัยน์ตาเยว่หลิงจื่อจึงฉายความทุกข์โศกและความอัดอั้นไม่เต็มใจ…
ทว่าร่างกายของนางไม่สามารถหลบหลีกได้แล้ว ในพริบตาก็ถูกนิ้วนั้นพุ่งเข้ามาตรงหน้า กระแทกนางให้ถอยหลังจนชนเข้ากับผนังฟองอากาศ
เสียงดังสนั่น ฟองอากาศพังทลาย เยว่หลิงจื่อกระอักเลือด ก่อนร่างจะถูกขับออกไป
ศิษย์สามสำนักด้านนอกเบิกตาโตขึ้นในพริบตา เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นในหัวไปตามๆ กัน แต่ปากกลับเงียบเป็นเป่าสาก!
หวังเป่าเล่อก็ม่านตาหดลงเช่นกัน ขณะที่จ้องมองยิ่นสี่ เขาก็มองไปยังนิ้วนั้นที่คล้ายจริงคล้ายลวงตาที่ไม่ได้สลายหายไปตรงหน้ายิ่นสี่
นิ้วนี้เปล่งแสงจ้า แต่เมื่อพินิจอย่างถี่ถ้วนแล้วก็ยังคงเห็นว่ามันก่อตัวขึ้นจากอักขระเสียงทั้งหมดได้ และอักขระเสียงแต่ละตัวในนั้นก็ไม่ใช่อักขระเสียงจากบทเพลง แต่เป็นเสียงจากสรรพสิ่ง
เสียงจากสรรพสิ่งนับไม่ถ้วนก่อตัวเป็นนิ้วนี้ ไม่สำคัญอีกต่อไปว่าเดิมทีมันคือเสียงอะไร เพราะสิ่งสำคัญคือ…ตอนนี้มันได้กลายเป็นกุญแจดอกหนึ่งแล้ว
กุญแจดอกหนึ่งที่สามารถเปิดโลกแห่งเสียงได้ กุญแจที่ปลดปล่อยพลังบางส่วนของโลกแห่งเสียง!
ด้วยกุญแจดอกนี้และสถานะของมัน กล่าวได้ว่าโดยพื้นฐานแล้ว ในกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง ถือว่าอยู่ในตำแหน่งสุดยอด นอกจากเจ้าปรารถนาเสียง ปกติแล้วก็ไม่มีผู้ใดแกร่งกว่าเขาอีก!
นอกเสียจาก…จะมีคนที่เป็นเหมือนหวังเป่าเล่อที่สามารถเข้ามาในโลกแห่งเสียงได้ตลอดเวลาไร้สิ่งกีดขวาง
เขาไม่จำเป็นต้องใช้กุญแจแบบนี้ เพราะตัวเขาได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งเสียงไปแล้ว
หรือกล่าวให้ถูกก็คือ เส้นทางที่อีกฝ่ายกับเขาเดิน แท้จริงนั้นต่างกัน แตกต่างกันที่อีกฝ่ายเป็นสรรพสิ่งรวมเป็นหนึ่ง ส่วนหวังเป่าเล่อกลับเป็นอักขระเสียงตัวเดียวซ้อนทับกันจนถึงขั้นสุด
ไม่มีอะไรต่างกันมากนัก ปลายทางล้วนเหมือนกัน เพียงแต่หวังเป่าเล่อเดินจนสุดเส้นทางนี้ ยิ่นสี่กลับเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น
“หากคนผู้นี้มีเวลามากพอ เขา…ก็อาจจะเป็นเหมือนข้าก็ได้” นัยน์ตาหวังเป่าเล่อฉายแววประหลาด ขณะที่กำลังมองยิ่นสี่ ยิ่นสี่ที่ทำลายฟองอากาศของตัวเองในตอนนี้ก็หันมองไปทางหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
สายตาของทั้งสองสบประสานกันทันที
ในช่วงเวลาต่อมา ร่างกายของยิ่นสี่พลันเคลื่อนไหวกลายเป็นภาพติดตาพุ่งไปยังเวทีประลองในฟองอากาศที่หวังเป่าเล่ออยู่ ขณะที่เข้าใกล้ก็พุ่งชนฟองสบู่ก่อนปรากฏตัวขึ้นบนเวที!
เนื่องจากฟองอากาศถูกฉีกออก เวลานี้คล้ายกับมีพลังจากภายนอกไหลรวมเข้ามา พริบตานั้นก็ประสานเข้ากันใหม่อีกครั้ง พร้อมแสงเปล่งประกายและคล้ายจะมั่นคงแน่นหนาขึ้น
สามสำนักด้านนอก ศิษย์ทุกคนเวลานี้หายใจรัวเร็ว จดจ้องทั้งสองคนที่ยืนอยู่บนเวทีประลองในฟองอากาศที่มีหนึ่งเดียวในตอนนี้อย่างไม่ละสายตา!
นี่คือ…นัดตัดสิน
ผู้ชนะจะได้เป็นศิษย์สายตรงลำดับที่สี่ของเจ้าปรารถนาเสียง ต้องรู้ก่อนว่าก่อนหน้านี้เจ้าปรารถนาเสียงรับศิษย์แค่สามคนเท่านั้น แม้ตอนนี้ทั้งสามจะกลายเป็นตำนาน เพื่อที่จะรับรู้มหาเต๋าของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงจึงเลือกกักตน ไม่มีใครเคยพบเห็นอีก แต่เรื่องราวของพวกเขาก็ยังถูกเล่าขานต่อไป
หลายคนเชื่อว่า สักวันศิษย์สายตรงทั้งสามจะต้องออกจากการกักตนแน่นอน
และท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย เวทีประลองในฟองอากาศ ยิ่นสี่ที่มองไปที่หวังเป่าเล่อพลันส่งดวงจิตเทพออกมา
“เจ้ามาช้าไปแล้ว”
ตอนนั้นเองที่เสียงดวงจิตเทพลอยเข้าสู่สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่ออดตะลึงงันไม่ได้ ไม่ทันให้เขาตอบโต้ เมื่อยิ่นสี่กล่าวจบก็ไม่เอ่ยอะไรอีก จากนั้นก็ไหวร่างราวกับได้กลายเป็นลำแสงผสานรวมเข้ากับนิ้วตรงหน้า มุ่งมาทางหวังเป่าเล่อพร้อมเสียงหวีดหวิว
ท่าทางนั้นน่าสะพรึงราวกับจะทำลายทุกสิ่งให้ย่อยยับ!
……………………………………….

ในขณะที่โลกภายนอกกำลังฮึกเหิม ไม่มีใครสังเกตเห็นว่าหลังจากเกราะขาวพ่ายแพ้ให้แก่หวังเป่าเล่อและถูกส่งออกจากสถานที่ทดสอบพลังฝึกปรือกลับไปยังสำนักเหิงฉินแล้ว ในเวลานี้ได้เดินเข้าไปในถ้ำพำนักของปีศาจแดง

ปีศาจแดงกำลังนั่งขัดสมาธิ ใบหน้างามฉายความสงบ สีหน้าเช่นนี้ตรงข้ามกับที่ผู้คนภายนอกคิดโดยสิ้นเชิง แม้ตรงหน้าจะมีภาพเวทีทดสอบพลังฝึกปรือฉายอยู่ ทว่าดูเหมือนเขาจะไม่ได้ใส่ใจเท่าไรนัก จนกระทั่งเกราะขาวเดินมาถึงข้างกาย ปีศาจแดงถึงหันไปมอง

ทางด้านเกราะขาวก็มีสีหน้าเรียบนิ่งเช่นกัน เทียบกับความบ้าคลั่งขณะที่ประลองกับหวังเป่าเล่อก่อนหน้าราวกับเป็นคนละคน เขาในเวลานี้ไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ ราวกับไม่สนใจเรื่องความพ่ายแพ้เลย

มีเพียงความอ่อนโยนในเบื้องลึกของนัยน์ตายามประสานสายตากับปีศาจแดงเท่านั้นที่เผยออกมาอย่างไม่ปิดบัง

 เจ้าจงใจหรือ?  ปีศาจแดงเอ่ยขึ้นเบาๆ

 เดิมทีข้ายังกังวลเกี่ยวกับเจ้า กังวลว่าพวกยิ่นสี่จะไม่ยอมแล้วผลักเจ้าออกไป…เลยวางแผนไว้ว่าข้าจะทำให้เจ้าเป็นคนตกรอบไปเอง  เกราะขาวยิ้มบางๆ นั่งลงข้างๆ ปีศาจแดงและลูบศีรษะเขาเบาๆ

 ดังนั้นข้าจึงรู้สึกขอบคุณผู้มาใหม่นี้เป็นอย่างมาก และในเมื่อเจ้าก็ปลอดภัยแล้ว ข้าก็ไม่สนใจจะเลื่อนระดับ แค่อยากจะ…อยู่กับเจ้า  เกราะขาวพูดอย่างอ่อนโยน

 พอเห็นเจ้าสละสิทธิ์จะสู้กับคนผู้นี้ ก็เข้าใจที่เจ้าจะเลือกแล้ว เพียงแต่…ทางอาจารย์…  ปีศาจแดงยิ้มน้อยๆ ซบไหล่เกราะขาวพลางเอ่ยเบาๆ

 นางไม่ใช่อาจารย์อีกแล้ว เป็นเจ้าแห่งปรารถนาเสียง  เกราะขาวเงียบงัน ครู่ใหญ่ถึงตอบกลับอย่างซับซ้อน เงยหน้ามองภาพเวทีทดสอบพลังฝึกปรือ ดูการคัดเลือกสี่อันดับที่ฉายอยู่ข้างใน

 สือหลิงจื่อ ดูเหมือนวู่วามโง่เขลา แต่รอบนี้…เขาน่าจะเลือกเหมือนเจ้า  ปีศาจแดงเงยหน้ามองการคัดเลือกสี่อันดับที่ฉายอยู่ก่อนเอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า

 หลายปีมานี้ ในฐานะผู้เป็นศิษย์เต๋าเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เข้าใจความจริง หากเขาไม่เต็มใจ นอกเสียจากว่าทุกๆ คนล้วนไม่เต็มใจ ไม่เช่นนั้นด้วยนิสัยของเจ้าแห่งปรารถนา ก็จะไม่บีบบังคับข้า 

ในการสนทนาระหว่างเกราะขาวกับปีศาจแดง ขณะนี้ในการประลองของสี่อันดับ ฟองอากาศของหวังเป่าเล่อกับสือ หลิงจื่อก็ผสานเข้าด้วยกันโดยสมบูรณ์แล้ว พริบตาเดียวระหว่างหวังเป่าเล่อกับสือหลิงจื่อก็ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นอีก

เขาจ้องไปที่หวังเป่าเล่อ เส้นเลือดผุดขึ้นในดวงตาทันที แฝงไว้ด้วยความคับข้องใจและโกรธแค้น ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อหวังเป่าเล่อมองสือหลิงจื่อ มักรู้สึกว่าสีหน้าของอีกฝ่ายดูเหมือนจงใจอยู่บ้าง

 น่าสนใจ เกราะขาวก็เป็นแบบนี้ สือหลิงจื่อก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน…  หวังเป่าเล่อหรี่ตาครุ่นคิด หากเรื่องราวทั้งหมดนี้แบ่งเป็นสองข้อที่ต่างกัน เช่นนั้นคำตอบก็เหมือนกับการกระทำและเป้าหมายที่สวนทางกัน

อย่างแรก หากศิษย์เต๋าเหล่านี้ไม่รู้ว่าหลังจากได้เป็นที่หนึ่งแล้วไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เช่นนั้นจะเกราะขาวก็ดีหรือสือ หลิงจื่อก็ช่าง ชัดเจนว่าความแค้นที่พวกเขามีต่อตนนั้นมากกว่าอะไรทั้งสิ้น ดังนั้นจึงยอมกระทั่งสละสิทธิ์เพื่อประลองกับตน

แต่เห็นได้ชัดว่า…ความโกรธแค้นระหว่างพวกเขายังไม่ถึงขั้นนั้น ยังห่างจากการต้องสละสิทธิ์เพื่อประมือกันอีกมาก แต่พวกเขากลับจะทำแบบนี้เสียให้ได้

เช่นนั้น ก็มีความเป็นไปได้แค่อีกข้อเดียวเท่านั้น

นั่นก็คือ…ศิษย์เต๋าเหล่านี้รู้ว่าเมื่อขึ้นเป็นที่หนึ่งแล้วจะเกิดอะไรขึ้น และพวกเขาก็ไม่เต็มใจ และแม้จะมีใจตรงกันแต่ก็ยังระแวดระวัง กลัวว่าตนเองจะถูกดันให้เป็นที่หนึ่ง

ดังนั้น การปรากฏตัวของเขาจึงเป็นข้ออ้างให้แก่เกราะขาว ให้เขาใช้ความโกรธและการแก้แค้นมาสละสิทธิ์อย่างฉลาดหลักแหลม ส่วนสือหลิงจื่อ…เป็นไปได้สูงมากว่าคิดแบบนี้เช่นกัน

 และที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือการจับคู่ต่อสู้ให้เขา ดูเหมือนว่าจะมีเจตนาบางอย่างของเจ้าปรารถนาเสียงอยู่ในนั้น…  

 เจ้าปรารถนาเสียงที่น่าสงสาร ศิษย์ที่น่าสงสาร  หวังเป่าเล่อทอดถอนใจเบาๆ ทว่าความสงสารเล็กๆ นี้ไม่สามารถทำให้เขาล้มเลิกแผนการของตนลงได้ จุดยืนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทำให้มีวิธีการต่างกันออกไป

ตอนนี้เมื่อระงับความคิดต่างๆ ลงแล้ว หวังเป่าเล่อก็เงยหน้ามองไปยังสือหลิงจื่อที่โกรธจนผมตั้ง และเห็นได้ชัดว่าหลังจากเขาผ่านการตกตะกอนเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็แสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น มองไปที่หวังเป่าเล่อก่อนแผดเสียงลั่นพร้อมพุ่งเข้าไป

 เป็นเจ้า ข้าตามหาเจ้ามานานแล้ว! 

ความเร็วของสือหลิงจื่อไม่ได้เร็วมากนัก ดูเหมือนโกรธถึงที่สุด ถึงขั้นผนึกมุทราทั้งสองมือ รอบกายเต็มไปด้วยอักขระเสียงจำนวนนับไม่ถ้วน กลายเป็นบทเพลง และก่อตัวขึ้นเป็นภาพอาวุธที่แต่ละอันดูร้ายกาจเป็นอย่างมาก

แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขารู้สึกไปเองหรือไม่ ในสายตาสือหลิงจื่อเวลานี้ เหมือนกับเขาจะเห็นอีกประโยคหนึ่ง

 รีบลงมือเร็วเข้า รีบลงมือกับข้า เร็วเข้าๆๆ… 

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกไม่สบายใจ เขารู้สึกเหมือนตัวเองถูกหลอกใช้ ด้วยเหตุนี้จึงเลิกคิ้วขึ้น เตรียมลองหยั่งเชิงว่าเป็นเหมือนที่ตนวิเคราะห์ไว้หรือไม่ ดังนั้นจึงเปลี่ยนท่าทีของตนเองเสีย วางท่าทางเหมือนลังเลไม่กล้าลงมือ ถอยหลังไปด้วยความรวดเร็ว ก่อนเอ่ยตามออกมาว่า

 ศิษย์เต๋าไม่จำเป็นต้องสละสิทธิ์ ขอเจ้าปรารถนาเสียงโปรดเป็นพยาน ข้าเลือกยอม… 

ทันทีที่คำพูดของหวังเป่าเล่อลอยออกมา ยังพูดไม่ทันจบ ดวงตาสือหลิงจื่อตรงหน้าก็เบิกกว้างขึ้นในทันทีคล้ายร้อนรนแล้ว กลัวว่าหวังเป่าเล่อจะพูดจบ ดังนั้นตนจึงส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมาเสียก่อน ราวกับชนเข้ากับสิ่งขวางกั้นที่มองไม่เห็น กระอักเลือดคำโต อักขระเสียงรอบๆ กายพลันพังครืนทั้งหมด บทเพลงที่ก่อตัวเป็นอาวุธเหล่านั้นก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ตามไปด้วยเช่นกัน

สำหรับตัวสือหลิงจื่อ เวลานี้หมุนตลบร่วงไกลออกไป

ฉากนี้ทำให้ผู้ฝึกตนสามสำนักด้านนอกเกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง

 นี่มันอักขระเสียงอะไรวะเนี่ย! 

 เจ้านั่นร้ายกาจขนาดนี้เชียว!! 

 พวกเขายังไม่ทันโดนตัวเลย แล้วนี่มันเพิ่งจะเริ่มเองนะ 

เสียงฮือฮาด้านนอกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้รับรู้ ชั่วเวลานั้นเขารู้สึกหมดคำพูดเป็นอย่างมาก แค่ลองหยั่งเชิงนิดเดียวก็ยืนยันสิ่งที่วิเคราะห์ไปก่อนหน้าได้แล้ว ตอนนี้มองสือหลิงจื่อที่กำลังเล่นใหญ่ก็ยิ่งรู้สึกรำคาญ ยิ่งเมื่อเห็นสือหลิงจื่อที่เวลานี้กำลังตะเกียกตะกายลุกขึ้น อ้าปากคล้ายกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง…

ไม่ต้องรอเขาเปิดปาก หวังเป่าเล่อก็เดาได้ว่าต้องเป็นจำพวกคำพูดยอมแพ้แน่นอน ดังนั้นจึงแค่นเสียงไปอีกที เคลื่อนอักขระเสียงที่ซ้อนกันอยู่ภายในร่างก่อนแสดงออกมาบางส่วน

พริบตาต่อมา ตามด้วยเสียงพ่นลม ขณะที่สือหลิงจื่อสีหน้าซับซ้อน ก็เกิดคลื่นปะทุขึ้นรอบกายหวังเป่าเล่อ ร่องรอยพลังงานของอักขระเสียงขุมนี้ปรากฏขึ้นตรงหน้าสือหลิงจื่อ และระเบิดบึ้มทันที

สือหลิงจืออ้าปากค้างหุบไม่ทัน ขณะที่ร่างกายหมุนตลบและกระอักเลือดอย่างรุนแรงจากพลังงานที่ระเบิดออกมา เขาก็เริ่มฉุนเฉียวอย่างเห็นได้ชัด คล้ายอารมณ์ขึ้น ใกล้ควบคุมตัวเองไม่ได้แล้ว

แต่ในใจหวังเป่าเล่อกลับเอือมระอาอย่างมาก จึงกะพริบตาก่อนตะโกนขึ้น

 รอบนี้ ข้ายอม… 

เขาพูดยังไม่ทันจบ ทางด้านสือหลิงจื่อก็สั่นเทิ้ม ระงับอารมณ์ในใจและรีบตะโกนขึ้นอย่างรีบร้อน

 ข้าขอยอมแพ้!! 

ศิษย์เต๋าสามสำนักด้านนอก ต่อให้หัวสมองไม่หลักแหลมเท่าไร เวลานี้ก็พอจะมองเงื่อนงำออกบ้างเช่นเดียวกัน สีหน้าแต่ละคนเริ่มแปลกประหลาด

 

“ขาดอีกแค่ส่วนเดียวเท่านั้น ไม่รู้ว่าจะได้ผลเหมือนเดิมหรือเปล่า…” หวังเป่าเล่อมองไปรอบๆ ในเวลานี้ความขุ่นมัวในฟองอากาศกำลังสลายไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานก็กลับคืนสู่สภาพกึ่งโปร่งแสงดังเดิม
ดังนั้นเขาจึงคิดอยู่ครู่หนึ่ง บีบอัดท่วงทำนองอิสระของตนลงด้วยความจำใจ ก่อนปะเสริมลงในส่วนที่หายไปของอักขระเสียงบทเพลงนี้ราวกับปะผ้า
พริบตาต่อมาก็ผสานเข้าด้วยกัน มองไม่เห็นความแตกต่าง
“เท่านี้แล้วกัน ถึงยังไงก็ไม่ได้สำคัญมากเท่าไร” หวังเป่าเล่อตรวจดูอีกครั้งก็เลิกใส่ใจ ถึงอย่างไรผลที่ใหญ่ที่สุดของเจ้าสิ่งนี้ก็เหมือนกับหลักฐานชิ้นหนึ่งที่ทำให้ร่างอวตารของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงมีคุณสมบัติที่จะยึดครองตนเองได้อย่างเต็มที่ หรือพูดได้อีกอย่างว่านี่ก็คือม้าโทรจันในหลายปีก่อนของโลกสหพันธรัฐ ที่สามารถทำให้ประตูใหญ่ของร่างตนเปิดกว้างต่อเจ้าแห่งปรารถนาเสียง
ตอนนี้ มันกัดไปหนึ่งคำแล้ว และหากดูจากอีกมุม บางทีอาจจะเป็นเรื่องดีก็เป็นได้
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็เก็บสัมผัสสวรรค์กลับ ขณะมองไปยังฟองอากาศบริเวณรอบๆ ที่เขาอยู่ก็ค่อยๆ ชัดขึ้น และในเวลาเดียวกันนั้น ผู้ฝึกตนสามสำนักด้านนอก ภายใต้สายตาที่จับจ้องมา ในที่สุดก็รอจนถึงภายในของฟองอากาศแจ่มชัดจนหมดเสียที
เมื่อเห็นว่าเหลือเพียงหวังเป่าเล่อที่อยู่ด้านใน ทุกคนล้วนตกตะลึง และเกิดเสียงฮือฮาเกรียวกราวดังขึ้นตามมา
“ชนะแล้ว?!!”
“เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น ข้าเห็นแค่เกราะขาวหมุนตลบกระอักเลือด แล้วก็เลือนรางไปหมด มองไม่ชัดเลย”
“เกราะขาว…แพ้แล้ว!”
“นี่เป็นม้ามืดจริงๆ หรือว่า…หรือว่า เขามีคุณสมบัติที่จะชิงที่หนึ่ง?”
พลันเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์หนักกว่าก่อนหน้าหลายเท่าดังออกมาจากในภูเขาไฟสามสำนัก เรียกได้ว่า ศึกนี้…ทำให้หวังเป่าเล่อถูกทั้งสามสำนักจดจำได้ขึ้นใจแล้ว
และที่ตื่นเต้นที่สุดในหมู่พวกเขาก็คือ กลุ่มที่สนับสนุนหวังเป่าเล่อมากที่สุด ก็คือเหล่าผู้ฝึกตนที่ถูกหวังเป่าเล่อโจมตีจนพ่ายแพ้เหล่านั้น พวกเขาอยากจะเห็นหวังเป่าเล่อใช้อักขระเสียงที่ทำให้ผู้คนบ้าคลั่งแบบนั้นอย่างสุดๆ ไปตลอด
ท่ามกลางเสียงฮือฮาด้านนอก เมื่อการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อสิ้นสุดลงที่นี่ การต่อสู้ของฟองอากาศอีกสามฟองก็จบลงในเวลาไล่เลี่ยกัน ในบรรดาฟองอากาศทั้งสาม การต่อสู้ที่จบลงก่อนคือการต่อสู้ของยิ่นสี่กับจงเหิงจื่อ
ทั้งสองต่างเป็นศิษย์เต๋าแห่งจังหวะดนตรี แม้จะไม่คุ้นเคยกันมากนัก แต่พื้นฐานฝีมือล้วนมาจากแหล่งเดียวกัน แม้จงเหิงจื่อจะมีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่ง ทั้งยังหลงใหลในเสียงดนตรี ทว่าสุดท้ายแล้ว…ก็อยู่คนละระดับกับยิ่นสี่
ตั้งแต่ต้นจนจบ ทางยิ่นสี่ยังไม่ลงมือแสดงบทเพลงเลยด้วยซ้ำ และขณะที่สีหน้าท่าทางวาดลวดลายก็มีเสียงลอยล่องขึ้น ทำให้ทางด้านจงเหิงจื่อยิ่งลงมือมากเท่าไรก็ยิ่งขมขื่นมากขึ้นเท่านั้น
ยิ่งในครั้งสุดท้าย เมื่อยิ่นสี่ถอนหายใจ แล้วโบกมือขึ้นกลับ แสดงบทเพลงของจงเหิงจื่อที่แสดงไว้ก่อนหน้าขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด ความตระหนกในใจของอีกฝ่ายก็พุ่งถึงขีดสุด
“เป็นไปไม่ได้!!” จงเหิงจื่อสีหน้ารวดร้าว เขาคิดไม่ตกว่าแค่ในเวลาสั้นๆ ทำไมอีกฝ่ายถึงเรียนบทเพลงของตนไปได้ เขาไม่คิดว่าจะมีใครมีต้นทุนธรรมชาติแบบนี้ ตอนนี้เขาเลือกยอมแพ้ท่ามกลางความสงสัยไม่เข้าใจ
จากทั้งสี่อันดับ ต่อจากหวังเป่าเล่อ ผู้ฝึกตนที่ถูกเลือกเป็นคนที่สองในเวลานี้ได้ปรากฏขึ้นแล้ว ก็คือยิ่นสี่
คนผู้นั้นยืนอยู่ในฟองอากาศ ยิ่นสี่เงยหน้ามองหวังเป่าเล่อผ่านฟองอากาศ ในเวลานี้นัยน์ตาเป็นประกายวาววับกว่าตอนที่ต้องสู้กับจงเหิงจื่ออย่างมาก
ไม่นานหลังจากนั้น ทางด้านเยว่หลิงจื่อก็ได้ผลแพ้ชนะแล้วเช่นกัน แม้คู่ต่อสู้ของนางจะเป็นศิษย์เก่าที่ฝึกปรือมานานปี ซึ่งกะจะสร้างความตระหนกให้ผู้คนได้เห็น ทว่าท้ายที่สุดแล้วก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเยว่หลิงจื่อ เพราะเขายืนหยัดได้แค่เพียงสี่บทเพลงเท่านั้น
คู่ต่อสู้ที่นางกำหนดไว้สำหรับตนเองตั้งแต่ต้นมีเพียงผู้เดียว นั่นก็คือยิ่นสี่ ตอนนี้เมื่อการต่อสู้จบลง นัยน์ตาฉายแววต่อสู้ขณะมองไปทางยิ่นสี่จากในฟองอากาศ
เพียงแต่ขณะที่มองไป เมื่อนางพบว่าเป้าหมายของยิ่นสี่ไม่ใช่ตัวเองแต่เป็นหวังเป่าเล่อที่ไม่โด่งดัง เยว่หลิงจื่อก็มุ่นคิ้วน้อยๆ ก่อนทอดสายตามองตาม
ในขณะที่ทั้งสองมองมายังหวังเป่าเล่อและเขาก็มอบรอยยิ้มจริงใจกลับไป การต่อสู้ในภายในฟองอากาศที่สือหลิงจื่ออยู่นั้นก็จบลงในที่สุด
พลังของสือหลิงจื่อสู้เยว่หลิงจื่อไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ศิษย์เต๋าที่อ่อนแอที่สุด ยิ่งเมื่อเขามีความยึดติดอยู่ในใจ แรงพลังก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย ก่อนเอาชนะคู่ต่อสู้และเข้าสู่สี่อันดับจนสำเร็จ
และยิ่งหลังจากที่เลื่อนอันดับสำเร็จแล้ว เขาก็เป็นเหมือนกับยิ่นสี่และเยว่หลิงจื่อ รีบหันหน้าในทันที จ้องหวังเป่าเล่อไม่วางตา ขณะที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นัยน์ตาก็เผยไอสังหารรุนแรง
เขาตามหาอีกฝ่ายมาเป็นเวลานาน ถึงขั้นออกหมายจับอย่างไม่เสียดาย แต่ก็ไม่พบแม้แต่เบาะแสใดๆ เวลานี้ฟ้ามีตามอบโอกาสให้ตนเองแล้ว ในที่สุดก็เจออีกฝ่ายจนได้
แม้ว่าอีกฝ่ายจะดูแข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งเกราะขาวก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา แต่สำหรับสือหลิงจื่อ นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สิ่งที่สำคัญคือ…เขาได้เตรียมพร้อมมาอย่างดีแล้วสำหรับวันนี้
เขาเชื่อว่า ด้วยการเตรียมพร้อมของตนจะต้องทำลายเสียงพื้นๆ นั่นลงได้อย่างแน่นอน
ดังนั้น เวลานี้ขณะที่ถมึงตาจ้องมอง เบื้องลึกในใจของสือหลิงจื่อก็เต็มไปด้วยการรอคอย
และสายตาของเขา รวมทั้งการจับจ้องของศิษย์เต๋าทั้งสอง ทำให้ผู้ฝึกตนสามสำนักเบิกตาโตไปตามๆ กัน รู้สึกได้ถึงระลอกคลื่นที่ราวกับเปลวเพลิงคุโชนระหว่างพวกเขา
“ต่อไปเป็นการต่อสู้รอบรองชนะเลิศแล้ว ไม่รู้ว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสี่นี้จะถูกจับแบ่งอย่างไร…”
“จากท่าทางของสือหลิงจื่อ เห็นได้ชัดว่าอยากจะสู้กับม้ามืดสักตั้ง หรือว่าเขาจะแก้แค้นแทนเกราะขาวกับปีศาจแดง? น่าแปลก ความสัมพันธ์ของพวกเขาดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร”
“ไม่ถูก พวกเจ้าจำได้ไหมว่า ก่อนหน้านี้เหมือนสือหลิงจื่อจะเคยออกหมายนำจับหาคนคนหนึ่งราวกับคนบ้า…หรือว่า…”
สามสำนักวิพากษ์วิจารณ์กันมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเสียงของพวกเขาลอยออกมาจากปากภูเขาไฟของกันและกัน ในตอนนั้นเอง ฟองอากาศสี่อันที่พวกหวังเป่าเล่อแต่ละคนอยู่ ก็ลอยขึ้นสู่ฟ้าจากภาพโลกข้างใน ก่อน…ผสานเข้าด้วยกัน!
ผู้ที่ผสานรวมกับยิ่นสี่ไม่ใช่เยว่หลิงจื่อ แต่เป็นสือหลิงจื่อ!
ส่วนผู้ที่ผสานรวมกับหวังเป่าเล่อกลับกลายเป็นเยว่หลิงจื่อ
นั่นส่งผลให้หวังเป่าเล่อนัยน์ตาวาววับ ในเมื่อแปดอันดับก่อนหน้านั้น ลำแสงที่เขาเลือกไว้ก็คือเยว่หลิงจื่อ ถึงขนาดที่แสงของทั้งสองคนก็ใกล้ผสานเข้าด้วยกันจนเเกือบสมบูรณ์แล้ว
แม้จะโดนเกราะขาวเข้ามาแทรก แต่ในเวลานี้เห็นได้ชัดว่าเจ้าแห่งปรารถนาเสียงหวังว่าตนจะสามารถดำเนินเรื่องก่อนหน้าต่อไปได้ รอยยิ้มผุดขึ้นบนหน้าหวังเป่าเล่อ มองแล้วจะเห็นว่า…ฟองอากาศของเขากับเยว่หลิงจื่อที่มุ่นคิ้วเรียวก็ได้ผสานรวมเข้าด้วยกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทว่า ในเวลานี้เอง…สือหลิงจื่อก็ไม่เอาด้วยแล้ว
ดวงตาของเขาแดงก่ำ เขารู้อยู่เต็มอกถึงความห่างชั้นของตนเองกับยิ่นสี่ การต่อสู้ครั้งนี้ต้องแพ้แน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย หากเป็นตอนอื่นเขาไม่สนใจหรอก จะแพ้ก็แพ้ไป แต่ตอนนี้เขาไม่เต็มใจ ยิ่งไม่ยินยอมรอจนจบทดสอบพลังฝึกปรือแล้วค่อยไปแก้แค้น
เขาอยากจะระเบิดให้เต็มที่ ไปล้างแค้นให้ตัวเองเสียตั้งแต่ตอนนี้เลย
ดังนั้นเมื่อเห็นตัวอย่างจากเกราะขาวก่อนหน้า มันก็ได้กลายเป็นตัวเลือกของสือหลิงจื่อไปโดยปริยาย เมื่อเห็นว่าใกล้ผสานเข้ากันจนสมบูรณ์แล้ว สือหลิงจื่อก็ตะโกนออกมา
“เจ้าแห่งปรารถนาเสียง ข้าก็ยอมละทิ้งการชิงที่หนึ่งแลกกับโอกาสการต่อสู้อันไร้ยางอายนี้เหมือนกัน!”
เมื่อคำพูดลอยออกมา สามสำนักด้านนอกก็เกิดเสียงฮือฮาในทันที ตามด้วยเสียงเฮฮาที่ดังขึ้นมาตามๆ กัน
…………………………

แท้จริงแล้ว…สือหลิงจื่อนับเป็นหนึ่งในคู่ต่อสู้เก่าก่อนคนสุดท้ายของหวังเป่าเล่อที่จดจำหวังเป่าเล่อได้

ในการทดสอบก่อนหน้านี้ของเขา เหล่าผู้ฝึกตนจากสามสำนักที่เคยต่อสู้กับหวังเป่าเล่อมานั้น แต่ละคนล้วนรู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว ว่าตนเองนั้นได้พบกับท่วงทำนองเช่นใด

เพียงแต่ว่า…บางทีอาจจะเพราะถูกรังแกมากไปหรือว่ายากที่จะเอ่ยปากออกมาได้ หรือว่าบางที…ตนเองพ่ายแพ้ให้แก่ตัวโน้ตที่ค่อนข้างจะเกินไปหน่อย จึงอยากจะเห็นผู้อื่นถูกอัดเช่นเดียวกันบ้าง ความรู้สึกที่ว่าในเมื่อตายก็ต้องตายด้วยกันเช่นนี้ ทำให้จนบัดนี้ เหล่าผู้ฝึกตนที่เคยต่อสู้กับหวังเป่าเล่อ ได้แต่อัดอั้นอยู่ในใจ ขี้เกียจจะอธิบายความสงสัยนี้…

 สีหน้านี่แหละ! ที่แท้สือหลิงจื่อก็เป็นพวกเดียวกับเรานี่เอง! 

 ข้าก็เดาไว้ตั้งแต่แรกแบบนี้อยู่แล้ว ฮ่าๆ เห็นคนอื่นเป็นแบบนี้เหมือนกัน พลันสบายใจขึ้นมาทันที 

 เจ้าคนสมควรตาย ข้ารู้สึกว่าไม่เกลียดเขาแล้ว ข้าล่ะอยากจะดูว่าผู้อื่นกับข้าเหมือนกันหรือไม่!  ในสำนักทั้งสามนั้น เหล่าผู้ฝึกตนที่เคยสู้กับหวังเป่าเล่อมา แต่ละคนมีสีหน้าสุขใจ ความทุกข์ตรมในใจนั้นยามนี้เมื่อเห็นคนอื่นอัดอั้นด้วยก็ลดทอนลงไปบ้าง

อีกทั้งระดับที่ลดลงนี้ก็เหมือนจะเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่ได้ดู พูดง่ายๆ คือผู้ฝึกตนที่พ่ายแพ้ให้หวังเป่าเล่อแต่เนิ่นๆ บัดนี้ในใจชื่นมื่นอย่างมาก ส่วนผู้ที่พ่ายแพ้ให้หวังเป่าเล่อหลังๆ มานั้น จนบัดนี้ถึงในใจจะไม่สู้เหล่าผู้ผ่านมาก่อนเ แต่เมื่อมองเห็นผู้ฝึกตนคนอื่นได้เจอสิ่งที่เหมือนตนเองเข้า ในใจก็พลันเบิกบานขึ้นไม่น้อย กระทั่งว่าเฝ้ารอด้วยใจอันเข้มข้นขึ้นมา

คาดหวัง…ว่าผู้ฝึกตนเต๋าคนอื่น ก็จะพบความป่าเถื่อนเช่นนี้เหมือนกัน

 น่าเสียดายจริง ข้าอยากเห็นเยว่หลิงจื่อถูกอัดบ้าง… 

 ข้าเองก็อยากเห็น 

 เห็นด้วยอย่างมาก ถัดจากนี้ไปเยว่หลิงจื่อก็จะสู้กับเจ้าคนสมควรตายผู้นี้ 

หลังเบิกบานใจแล้ว ผู้ฝึกตนที่เคยต่อสู้กับหวังเป่าเล่อเหล่านี้ต่างทยอยกันคาดหวังเรื่องอื่นๆ และในเวลาเดียวกัน ภายในฟองอากาศที่หวังเป่าเล่อต่อสู้กับเกราะขาวนั้น ยามนี้มีเสียงดังก้องฟ้า ตัวโน้ตที่ซ้อนทับกันของหวังเป่าเล่อพลันระเบิดพลังหกส่วนที่ไม่เคยใช้มาก่อนออกมา ทำลายสายฉิน ทำลายฉินเหมันต์ จากนั้นกลายเป็นพลังปราณอันยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าดิน ระเบิดขึ้นเบื้องหน้าเกราะขาว ผู้ซึ่งบัดนี้สีหน้าแปรผันเผยให้เห็นความไม่อยากเชื่อและตื่นตกใจ รวมถึงแอบซ่อนความขมขื่นเอาไว้ด้วย

พรวด!

เกราะขาวไร้หนทางจะหลบ ดังนั้นจึงทำได้แค่ต่อต้านสุดกำลัง แต่ก็ยังไม่อาจต้านทานอะไรได้ ทั้งร่างกระอักเลือดออกมา กระทั่งว่ารูขุมขนทั่วตัวยังเต็มไปด้วยเลือดสด และทำให้เสื้อผ้าสีขาวของเขาเป็นสีเลือด ทั้งร่างนั้นคล้ายว่าวสิ้นไร้สายป่าน เขาล้มตัวกลิ้งกระแทกเข้ากับกำแพงภายในฟองอากาศ

นัยน์ตาหวังเป่าเล่อทอประกายเย็นเยียบ เขาทะยานร่างเข้าไปทันที มองออกว่าอีกฝ่ายหมายจะสังหารเขาก่อนหน้านี้ ดังนั้นจึงไม่คิดปล่อยผ่าน ระหว่างที่พุ่งตัวไป เขายกมือขวาขึ้นและกำลังจะคว้าไปทางเกราะขาวแรงๆ ครั้งหนึ่ง

แต่ว่าในตอนนี้เอง พลังอำนาจอันยิ่งใหญ่ขุมหนึ่งก็มาถึงในฟองอากาศประลองนี้ ก่อเกิดกำแพงกั้นขวางเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ ทำให้มือขวาของหวังเป่าเล่อปะทะเข้ากับกำแพงนี้เสียเอง

ในชั่วพริบตานั้น ฟองอากาศพลันสั่นสะเทือนและพร่าเลือนลงโดยเร็ว เหล่าผู้ฝึกตนทั้งสามสำนักต่างพากันตกตะลึง สิ่งที่พวกเขาเห็นนั้นก็คือภาพในฟองอากาศของเกราะขาวและหวังเป่าเล่อถูกปิดคลุมแล้ว เรื่องทั้งหมดภายในนั้นถูกปิดเอาไว้ มองไม่เห็นอีก

ภายในฟองอากาศ หลังจากที่มือขวาของหวังเป่าเล่อปะทะเข้ากับกำแพงแล้ว ร่างกายก็สะเทือน ทันใดนั้นมันล่าถอยรุนแรง จนกระทั่งถอยหลังไปหลายสิบจั้ง เขาก็กระอักเลือดออกมาทางมุมปาก ส่วนตัวโน้ตภายในร่างเหมือนไม่ยินยอม ยังคงระเบิดเพิ่มขึ้นสิบเท่า แต่ถูกหวังเป่าเล่อสะกดข่มเอาไว้ เขาแหงนหน้าขึ้นมองไปยังด้านข้างของร่างเกราะขาวด้านหลังกำแพง บัดนี้ปรากฏเงาร่างเลือนรางร่างหนึ่ง!

 เจ้าแห่งปรารถนาเสียง ศิษย์นี้ไม่ใคร่ยินยอม!  หวังเป่าเล่อใช้หัวแม่โป้งเช็ดเลือดตรงมุมปาก ก่อนที่สีหน้าของเขาจะเผยแววเคารพแต่แสดงออกถึงความไม่พร้อมใจ เอ่ยปากราวกับเด็กน้อยอารมณ์เสียอย่างไรอย่างนั้น

เงาร่างเลือนรางนี้แสดงความมีอำนาจออกมา เท่าที่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ในพริบตาก็รู้ได้ทันทีว่าคนผู้นี้…คือเจ้าแห่งปรารถนาเสียง!

แต่สุดท้ายแล้วเป็นร่างแยกใด หวังเป่าเล่อยังไม่ทราบ ยามนี้แม้เขาแสดงท่าทีไม่ยินยอมแต่ในใจกลับตื่นตระหนก เขามองเงาร่างอันเลือนรางนี้ค่อยๆ วางมือลงไปตรงหว่างคิ้วของเกราะขาว แล้วด้วยความรวดเร็ว เงาร่างของเกราะขาวก็ถูกเวทเคลื่อนย้ายออกไป หลังจากนั้น เงาร่างเลือนรางนี้ก็หันกายมาทะลุผ่านกำแพง จับจ้องหวังเป่าเล่อก่อนจะเอ่ยออกมาเรียบนิ่ง

 เจ้า ไม่ยินยอม? 

เป็นเพียงแค่สี่คำ แต่ในพริบตาที่หวังเป่าเล่อได้ยินนั้น ร่างของเขาพลันสั่นสะท้านรุนแรง ราวกับว่าความลับทุกอย่างนั้นภายใต้เสียงนี้ถูกบังคับให้เปิดเผย

และในคำพูดทั้งสี่คำนี้ ล้วนส่งผ่านซึ่งกระแสพลังสยบ ราวกับว่าหากหวังเป่าเล่อขัดขืนเมื่อใด เช่นนั้นในพริบตาถัดไปพลังอันรวดเร็วดุจสายฟ้าก็จะทำลายเขาให้ราบคาบ

หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าผู้ที่รู้จักกาลเทศะนั้นยอดเยี่ยมที่สุด ดังนั้นหลังจากเงียบเสียงแล้ว เขาก็ไม่เลือกที่จะแสดงจุดโดดเด่นของตัวเอง แต่กลับเอ่ยเสียงเบา

 ศิษย์…ยอมแล้วขอรับ 

ความยินยอมของเขาทำให้กระแสพลังสะกดข่มที่มาจากเงาร่างเลือนรางนี้ลดลงไปมาก แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนี้ ในเมืองปรารถนาเสียงนั้น เจ้าแห่งปรารถนาเสียงคือตัวตนสูงสุด ผู้ฝึกตนที่ถูกอบรมสั่งสอนมาย่อมไม่ทำสิ่งใดอันเป็นการต่อต้านเจ้าแห่งปรารถนาเสียง

ดังนั้นแล้ว หากว่าหวังเป่าเล่อเลือกแสดงความพิเศษ และคิดว่าสามารถใช้ความพิเศษของตนนี้เข้าตาเจ้าแห่งปรารถนาเสียงได้ เช่นนั้นสิ่งที่รอเขาอยู่คือการที่เจ้าแห่งปรารถนาเสียงจะจัดการเขา

กลับกัน ในยามนี้เขาเลือกที่จะก้มหัว ในสายตาของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงแล้ว นี่คือเรื่องปกติ

ดังนั้นหลังจากที่กระแสพลังนั้นหายไป และเงาร่างเลือนรางนี้เบนสายตาที่มองหวังเป่าเล่อออกไปแล้ว เงาร่างจึงค่อยๆ หายไป ส่วนในฟองอากาศนั้นก็เริ่มโปร่งแสงขึ้นอีกครั้ง ทว่าชั่วเวลาที่ร่างกำลังจะหายไปทั้งหมด ทันใดนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้น แผ่นหยกหนึ่งลอยมายังเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ ทะลุผ่านกำแพงตกสู่เบื้องหน้าของเขา

 นี่คือรางวัลให้เจ้า 

หลังจากที่เสียงนี้ดังออกมา เงาร่างของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงก็หายไป หวังเป่าเล่อคว้าแผ่นหยกนั้นในคราวเดียว เขาหอบหายใจกระชั้น ก่อนใช้สัมผัสกวาดผ่าน ในนี้มีตัวโน้ตเพียงตัวเดียว

ตัวโน้ตนี้เรืองรองสุดแสน ราวกับว่าด้านในคือตัวโน้ตที่บรรจุเสียงแห่งสรรพชีวิตนับหมื่น

 เมล็ดพันธุ์เต๋า! 

เกือบจะในพริบตานั้น หวังเป่าเล่อก็รู้ที่มาของตัวโน้ตนี้ทันที ตัวโน้ตนี้ ก็คือเมล็ดพันธุ์เต๋าของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง และคือรากฐานที่สำคัญดั่งชีวิตของเจ้าแห่งปรารถนาเสียง

 หากว่าเป็นไปตามที่เจ็ดอารมณ์พูด การทดสอบครั้งนี้ ข้าเพียงแค่อยู่ในลำดับที่สูงหน่อย เช่นนี้ก็มีโอกาสเป็นผู้ถูกชิงชีวิตได้ อีกอย่างหากข้าไม่มีเมล็ดพันธุ์เต๋า เขาก็ต้องมอบเมล็ดพันธุ์มาให้ข้า 

 ตอนนี้…เมล็ดพันธุ์เตรียมพร้อมแล้ว ต่อมาก็เพียงแค่ทุ่มเทกำลังทุกอย่างเพื่อชิงที่หนึ่ง!  หวังเป่าเล่อเงียบไปหลายอึดใจ จากนั้นก็หนีบแผ่นหยกขึ้น พริบตานั้นตัวโน้ตเมล็ดพันธุ์เต๋าภายในแผ่นหยกก็พลันหลอมเข้ากับร่างของหวังเป่าเล่อ ทำให้ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน และในเวลาเดียวกัน บทเพลงที่เขาประพันธ์ก็พลันขยายขึ้นหลายเท่ายิ่งกว่าสมบูรณ์แบบ

ในเวลาเดียวกัน ตัวโน้ตที่เขาประสาน ยามนี้เหมือนถูกกระตุ้นอย่างไรอย่างนั้น พวกมันสั่นสะท้าน และในพริบตาถัดมา…ก็ขยายเหยียดราวกับต้องการกลืนกินเมล็ดพันธุ์เต๋า

ตัวโน้ตที่แต่เดิมเรืองแสงอยู่ บัดนี้สั่นสะท้านราวกับเด็กหญิงตัวน้อยพบปีศาจร้ายกาจ ท่าทางไม่กล้าต่อต้าน

หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงอย่างยิ่ง เขารีบเข้าไปหยุดแต่เหมือนจะช้าไป แม้สุดท้ายแล้วพอจะหยุดไม่ให้ตัวโน้ตพวกนั้นขยายได้ แต่ว่าเมล็ดพันธุ์เต๋าแห่งเสียงยังคงถูกตัวโน้ตที่ขยายกินไปคำหนึ่ง เผยให้เห็นรอยแหว่งหนึ่งคำเล็กๆ

 ตัวโน้ตอะไรของข้านี่…  หวังเป่าเล่อปวดหัวอยู่บ้าง

 

เมื่อถูกจับได้ต่อหน้า…หวังเป่าเล่อก็รู้สึกขัดเขินอยู่บ้าง ตนจึงรีบส่งรอยยิ้มจริงใจให้แก่อีกฝ่าย
“สุดท้ายแล้ว ไม่สู้ทำตัวหน้าด้านแบบเก่าดีกว่า” หวังเป่าเล่อแอบถอนใจ เขามองดูเกราะขาวที่บัดนี้เดือดดาลถึงขีดสุด
หลังจากเจ้าแห่งปรารถนาเสียงเอ่ยจบ และสายตาของผู้แข็งแกร่งทั้งแปดต่างประสานกับคู่ของตนแล้ว ในยามนี้แสงจากหอคอยของหวังเป่าเล่อและเกราะขาวก็เพิ่มความเร็วขึ้น แล้วหลอมรวมเข้าด้วยกันจนก่อเกิดฟองอากาศขนาดยักษ์
ฟองอากาศนี้ครั้งแรกยังเป็นกึ่งโปร่งแสง ดังนั้นแล้วหวังเป่าเล่อจึงทันเห็นเยว่หลิงจื่อที่ควรต่อสู้กับตัวเองผู้นั้นถูกลากเข้าไปอยู่ในฟองอากาศฟองหนึ่งกับศิษย์อาวุโสคนหนึ่ง
นี่ทำให้ในใจของหวังเป่าเล่อค่อนข้างไม่พอใจขึ้นมา โดยเฉพาะ…เมื่อเขาเห็นว่าในเมืองปรารถนาเสียงนี้ เยว่ หลิงจื่อคือผู้ฝึกตนที่งดงามที่สุดที่เคยเห็น
ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าหรือรูปร่าง ระดับของนางคือชั้นเลิศ บทเพลงนางไพเราะเสนาะหู เคยคิดไว้ว่าหากได้สู้สักครั้ง ก็คงเหมือนฟังคอนเสิร์ต เป็นที่เจริญหูเจริญตาของผู้คน
เมื่อเทียบกันแล้ว เกราะขาวในฟองอากาศที่หวังเป่าเล่ออยู่ด้วยคนนี้ เห็นได้ชัดว่าเทียบไม่ได้
ด้านหวังเป่าเล่อเอาแต่เสียอกเสียใจ หากแต่ผู้ฝึกตนทั้งสามสำนักเมื่อเห็นฉากนี้เข้ากลับพากันตื่นเต้น ยิ่งเป็นเรื่องทำนองบุญคุณความแค้นประเภทนี้แล้ว ในมุมมองของผู้ชมย่อมน่าสนใจกว่าการทดสอบมาก
อีกอย่างการต่อสู้ในฟองอากาศที่เหลืออีกสามฟองนั้น ก็ดูน่าชมแน่นอนอยู่แล้ว ในบรรดานั้นคือการต่อสู้ระหว่างสือหลิงจื่อและเยว่หลิงจื่อ ทั้งสองต่างต้องประลองกับศิษย์อาวุโสที่ทะลุรอบเข้ามาเหมือนหวังเป่าเล่อ ในส่วนของยิ่นสี่นั้นบัดนี้ได้สู้กับจงเหิงจื่อจากสำนักเดียวกัน
แต่เห็นได้ชัดว่า เมื่อเทียบความน่าสนใจของการต่อสู้แล้ว ในสายตาของศิษย์สามสำนักที่เป็นผู้ชมนั้น น้อยกว่าค่อนข้างมาก
ดังนั้น ในพริบตานี้เอง ศิษย์เกือบจะทั้งหมดจากสามสำนัก ก็พากันมองไปยังฟองอากาศทั้งสี่ ทำให้ด้านหวังเป่าเล่อและเกราะขาวตรงนี้ นำมาพาซึ่งเสียงวิจารณ์ซึ่งสะพัดไปทั้งสามสำนัก
“นักพรตเกราะขาวเจอคู่แค้นแล้ว!”
“การต่อสู้นี้น่าสนใจเสียจริง มาดูกันว่าม้ามืดจะจัดการสองนักพรตยิ่งใหญ่ได้ในคราวเดียวหรือไม่ หรือว่าเกราะขาวจะแก้แค้นสำเร็จ แล้วสังหารม้ามืดนี้เสีย!”
“ข้ายังแปลกใจอยู่เลย บทเพลงของม้ามืดท่านนี้คือสิ่งใดกันแน่ เสียดายไม่อาจได้ยิน…”
ในเวลาเดียวกันกับที่ศิษย์จากทั้งสามสำนักทยอยให้ความสนใจ ในฟองอากาศที่หวังเป่าเล่ออยู่นั้น จิตสังหารในแววตาของเกราะขาวยิ่งดุดัน ทั้งร่างยังดูเย็นชาอย่างยิ่ง ราวกับน้ำแข็งที่ไม่สลายนับหมื่นปี ก่อนจะเข้าใกล้หวังเป่าเล่อในพริบตา
เมื่อมองจากด้านนอก ฟองอากาศที่ทั้งแปดผู้แข็งแกร่งอยู่นี้ไม่ได้ใหญ่มาก แต่จริงๆ แล้วในมิติแห่งฟองอากาศนี้ใหญ่กว่าสนามประลองก่อนหน้านี้เสียอีก ดังนั้นต่อให้ความเร็วของเกราะขาวจะมีมากก็ไม่อาจจะถึงระดับที่หวังเป่าเล่อตั้งตัวไม่ทัน
ดังนั้นแล้วหวังเป่าเล่อจึงยังพอได้ยิน รอบทิศที่เกราะขาวอยู่นั้น ยามนี้มีเสียงฉินโบราณลอยมาเป็นระลอกๆ เมื่อเสียงแห่งดนตรีฉินนี้ประสานกัน ในพริบตาไอสังหารก็พลันผลักดันรุนแรง กระทั่งว่ากระทบต่อพลังปราณในสนามประลองนี้ ทำให้ทั้งมิติพลันหนาวเย็นทันที และที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือยังมีเกล็ดหิมะร่วงลงมาจากฟ้าด้วย
ในส่วนของเกล็ดหิมะเหล่านั้น ทุกๆ แผ่นราวกับก่อขึ้นมาจากตัวโน้ตจำนวนหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ในสนามประลองแห่งนี้ก็พลันถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ซึ่งก็คือตัวโน้ตดนตรี!
เมื่อลงมือ เกราะขาวก็ใช้เคล็ดวิชาลับของตนโดยตรง
ด้านหนึ่งนั้นเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างเขาและปีศาจแดง ยิ่งทำให้เขาโมโหที่คู่บำเพ็ญของตนพ่ายแพ้ การที่ศักดิ์ศรีลูกผู้ชายถูกทำลาย เขายิ่งอยากสังหารหวังเป่าเล่อตรงนี้ให้ย่อยยับหมดจดเข้าไปอีก
โดยเฉพาะ…เมื่อเทียบกับการได้ที่หนึ่งแต่ทำให้ปีศาจแดงดีใจได้เล็กน้อย สำหรับเขาแล้ว นี่สำคัญกว่า
ส่วนอีกด้านหนึ่งผู้ที่กำจัดปีศาจแดงไปได้นี้ย่อมหมายความว่าคนเบื้องหน้าต้องมีฝีมือบางอย่าง ดังนั้นแล้วเกราะขาวจึงไม่ได้ดูเบาคู่ต่อสู้ เขาต้องการจัดการให้เร็วที่สุด และกวาดล้างทุกสิ่ง
ดังนั้นในชั่วพริบตา เกล็ดหิมะเต็มฟ้าก็พากันโจมตีวุ่นวายไปหมด ก่อร่างกลายเป็นตัวโน้ตจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายไปทั่วทั้งมิตินี้ ฉากนี้…แม้ศิษย์จากทั้งสามสำนักภายนอกทั่วไปแล้วจะไม่ได้ยิน แต่ก็ยังคงได้ยินอย่างชัดเจน
“แดนพิสุทธิ์หมื่นหิมะ!”
“นี่คือหนึ่งในมหาสามบทเพลงโบราณของสำนักเหิงฉิน ตำนานว่ามีอานุภาพสยบฟ้า!”
“เกราะขาวผู้นี้…ฝึกบทเพลงโบราณสำเร็จแล้ว!!”
เสียงฮือฮาพลันกระจายไปทั่วทุกทิศ กระทั่งผู้ฝึกตนที่เชียร์หวังเป่าเล่อบางคนเองก็ยังอดสั่นสะท้านไม่ได้ ทว่านอกจากนี้…ผู้ที่พ่ายแพ้หวังเป่าเล่อเป็นคนแรก ยามนี้ดวงตายังคงแน่วนิ่ง จนกระทั่งเวลานี้แล้วเขายังคงมั่นใจมากว่าหวังเป่าเล่อจะชนะ
ส่วนในโลกแห่งฟองอากาศนั้น ท่ามกลางบทเพลงแห่งหิมะบ้าคลั่ง หวังเป่าเล่อเองก็รู้สึกได้ถึงสิ่งที่แตกต่าง กล่าวได้ว่า เกราะขาวเบื้องหน้าตน เป็นผู้แข็งแกร่งอันดับหนึ่งที่เขาเคยพบในวิชาปรารถนาเสียง
เมื่อเทียบกับปีศาจแดง ยังแข็งแกร่งกว่าประมาณหนึ่ง
ไม่ว่าจะเป็นระดับใดๆ ล้วนเป็นระดับสูงของวิชากฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง
“เช่นนั้น…ข้าจะไม่ใช่ท่วงทำนองเพลงอิสระของข้าแล้วกัน” หวังเป่าเล่อเมื่อดูสถานการณ์ออกอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกว่าบทเพลงของตนเองนั้นไม่ได้เฉียบคมอะไรนัก อีกทั้งยังแฝงด้วยความรู้สึก จึงไม่เหมาะจะใช้ในลมพายุน้ำแข็งหนาวเหน็บนี้
เมื่อคิดได้ หวังเป่าเล่อจึงถอนหายใจเบาๆ แบบไม่ยินยอมพร้อมใจ เขาค่อยๆ ผสานตัวโน้ตซ้อนทับกันในกายให้ชนกันเบาๆ
“งั้นใช้พลังเสียงเพียงครึ่งหนึ่งก่อนแล้วกัน” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจ หลังจากที่ผสานตัวโน้ตแล้ว พริบตานั้นเองภายในร่างของเขาก็มีตัวโน้ตซ้อนทับกันนับแสนตัว แล้วสั่นสะเทือนพลัง
พรวด!
หลังจากเสียงนี้ดังขึ้น พลังเสียงที่ใช้แรงอัดอากาศโจมตีพลันกระจายออกจากรอบตัวหวังเป่าเล่ออย่างรุนแรง ไม่ว่าจะไปที่ใดหิมะเหล่านั้นพลันสลายทันที เมื่อมองจากระยะไกลนั้น หวังเป่าเล่อที่อยู่ภายในฟองอากาศนี้คล้ายกับอยู่ท่ามกลางพายุคลั่งซึ่งกวาดทำลายทั้งสี่ทิศ ทำให้หิมะที่หล่นมานี้สลายเป็นชิ้นๆ
การเปลี่ยนแปลงที่มาโดยฉับพลันนี้เอง ทำให้ผู้ฝึกตนจากสามสำนักที่อยู่ภายนอกล้วนตกตะลึงและในเวลาเดียวกัน เกราะขาวที่อยู่ภายในฟองอากาศเองก็สีหน้าแปรผันยกใหญ่ เขารู้สึกว่าตนเองถูกขุมพลังปราณหนึ่งพุ่งเข้ามา ราวกับถูกสิ่งใดปะทะเข้าให้…พริบตานั้น หลังจากที่หิมะสิ้นสลาย ร่างของเขาเองก็ถอยหลังล้มไปอย่างควบคุมตัวไม่ได้ กระอักเลือกออกมาครั้งหนึ่ง แต่เมื่อเขาแข็งแกร่งกว่าปีศาจแดงอยู่บ้าง ยามนี้เส้นเลือดฝอยในดวงตาจึงกลบแน่น เขาตะโกนเสียงดัง
“ฉินเหมันต์!”
สิ้นเสียงนี้ หิมะที่พังทลายรอบด้านก็กอปรรวมตัวกันใหม่ แล้วพัดม้วนเข้าด้วยความรวดเร็วไปยังเบื้องหน้าเกราะขาวกลายเป็นฉินโบราณขนาดยักษ์ โดยใช้หิมะเป็นตัวฉินและน้ำแข็งเป็นตัวเส้นเสียง เมื่อแผ่นคริสตัลใสกวาดผ่านก็ส่งพลังปราณอันน่าสะเทือนออกมา
เกราะขาวเส้นผมหลุดสยาย เขายกมือทั้งสองขึ้น บนมือประคองฉินเหมันต์ ดวงตาฉายแววสังหารก่อนจะดีดฉินอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นมิติในฟองอากาศก็พลันบิดเบี้ยว เสียงฉินกลายเป็นแท่งน้ำแข็งทีละแท่งๆ แล้วพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว
“เอ๋?” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว จากนั้นก็ผสานตัวโน้ตในกายอีกครั้ง ในคราวนี้เขาเพิ่มมันขึ้นอีกจำนวนหนึ่ง
หกส่วนประสานเป็นเสียงนี้ จากนั้นระเบิดออก
พรวด
ลำดับถัดมา แท่งน้ำแข็งนั้นพังราบ ตัวฉินเหมันต์หักท่อน ส่วนตัวของเกราะขาวเองก็กระอักเลือดอีกครั้ง สีหน้าของเขาบ้างครั้งดูทุกข์ทน ร่างกายเหมือนถูกบางอย่างชนเข้า กระเด็นลอยออกไป
ฉากนี้ทำให้บรรดาผู้ฝึกตนสามสำนักฮือฮาไม่หยุด อีกทั้งบางทีอาจเพราะลางสังหรณ์ หรือไม่ก็เพราะความบังเอิญ…โดยสรุปแล้ว สือหลิงจื่อที่กำลังต่อสู้กับศิษย์อาวุโสอยู่นั้นพลันหันหน้ามองไปยังฟองอากาศของหวังเป่าเล่อและเกราะขาว อีกฝ่ายทันเห็นสีหน้าทุกข์ทรมานและร่างที่กระเด็นไปของเกราะขาวพอดี
สีหน้าที่คุ้นเคย การล่าถอยที่คุ้นเคย นี่สอดคล้องกับภาพในความทรงจำของตนทันที…เขาจับจ้องหวังเป่าเล่อไม่กะพริบ ทั้งร่างพลันหอบหายใจกระชั้นขึ้นมา ดวงตาบังเกิดจิตสังหารแดงก่ำ
“เจ้า เจ้า เจ้า…เป็นเจ้าแน่นอน!!!”
……

ภายใต้การคาดเดามากมายภายนอกนี้ การต่อสู้ในสนามประลองยังคงดำเนินต่อไป แม้ว่าผู้เข้าร่วมประลองจะไม่น้อย แต่ทุกๆ ครั้งของการตัดสิน ต้องมีคนถูกคัดทิ้งไปกว่าครึ่ง ดังนั้นแล้วในไม่ช้า จำนวนของชิ้นส่วนพวกนี้จึงลดเหลือน้อยลง ส่วนจำนวนผู้ฝึกตนที่เข้าร่วมประลองจากที่มีจำนวนมากก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเหลือ…แปดคน!

ทั้งแปดคนนี้เป็นที่สนใจจากผู้ฝึกตนทั้งสามสำนักในพริบตาที่ได้รับคัดเลือกทันที

ไม่ว่าใครในบรรดาแปดคนนี้ ล้วนผ่านการต่อสู้มามากมาย และตั้งแต่แรกจนจบยังไม่พ่ายแพ้ ดังนั้นแล้วจึงได้ผู้แข็งแกร่งที่เห็นในตอนนี้ทั้งแปดท่านออกมา ตามกฎแห่งการทดสอบนั้น ขอเพียงแพ้ครั้งหนึ่งก็จะถูกเวทส่งตัวออกและหมดสิทธิในการเข้าทดสอบทันที

ดังนั้นแล้ว ผู้ที่สามารถเดินมาถึงจุดนี้ได้ ล้วนแต่เป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดของผู้ฝึกตนสามสำนัก!

และในบรรดาพวกเขานั้นก็มีห้ารายซึ่งสถานภาพไม่ได้เป็นที่ประหลาดใจแก่ผู้ฝึกตนจากสำนักทั้งสามเท่าไร ห้าคนนี้…ก็เป็นศิษย์จากสำนักทั้งสาม!

สือหลิงจื่อจากสำนักเหอเสียน เยว่หลิงจื่อจากสำนักเต๋าแห่งจังหวะดนตรี จงเหิงจื่อรวมถึงยิ่นสี่ และสุดท้ายแล้วก็คือเกราะขาวจากสำนักเหิงฉิน!

ในครั้งแรกสำนักเหิงฉินส่งศิษย์ทั้งสองรายเข้าร่วมการทดสอบนี้ ผู้หนึ่งก็คือปีศาจแดง อีกผู้หนึ่งคือเกราะขาว ทั้งคู่เป็นชายหนุ่มหล่อเหลางดงามเช่นกัน กระทั่งว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองนั้นไม่ได้เป็นความลับอะไร พวกเขาแม้มิใช่คู่เต๋าบำเพ็ญแต่ก็ความสัมพันธ์ดียิ่งกว่าคู่เต๋าบำเพ็ญเสียอีก

เพียงแต่ว่า..นักพรตปีศาจแดงทางด้านนั้นบังเอิญพบเข้ากับหวังเป่าเล่อจึงพ่ายแพ้ นี่ทำให้ศิษย์ทั้งหกซึ่งคาดว่ามีโอกาสเข้าสู่รอบแปดคนสุดท้ายได้ในตอนแรกนั้นไม่สัมฤทธิ์ผลแล้ว

หวังเป่าเล่อจึงเข้าแทนที่นักพรตปีศาจแดง กลายเป็นคนที่หกเข้าสู่ลำดับแปดผู้แข็งแกร่ง

นอกจากพวกเขาทั้งหกคนแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนอีกสองคน แม้ว่าจะไม่มีคะแนนเอาชนะนักพรตเต๋าเลย แต่พวกเขาก็อาศัยพละกำลังอันแกร่งกล้าไม่ด้อยกว่านักพรตเต๋า ชิงอันดับแปดคนสุดท้ายมา

แต่เปรียบเทียบกับชื่อเสียงที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักของหวังเป่าเล่อแล้ว ชื่อเสียงของสองคนนี้นับว่าไม่ด้อยทีเดียว เพียงแค่ว่ากักตัวฝึกฝนมาหลายปี ดังนั้นแล้วผู้ที่จำพวกเขาได้ก็คือเหล่าศิษย์มีอายุ

คนทั้งสองนี้ หนึ่งมาจากสำนักเหิงฉิน อีกหนึ่งมาจากสำนักเต๋าแห่งจังหวะดนตรี อีกทั้งยังเป็นผู้พ่ายแพ้ในการแย่งชิงตำแหน่งเต๋ามาก่อนด้วย บัดนี้ผ่านไปหลายปี พวกเขาอุตสาหะพยายาม ทนความลำบากฝึกฝนก็เพื่อจะได้กลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง…

หลังจากที่ทั้งแปดคนปรากฏตัว ท่ามกลางสายตาของสามสำนักภายนอก ชิ้นส่วนเล็กเบื้องหน้าพวกเขาพลันหลอมรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็นสนามประลองขนาดยักษ์

ในสนามประลองนี้ มีหอคอยสูงเสียดชั้นเมฆอยู่แปดหลัง หลังจากที่ส่องแสงสว่างแล้ว เงาร่างของพวกหวังเป่าเล่อทั้งแปดคนก็ถูกส่งไปยังหอคอยแตกต่างกัน

และเกือบจะในพริบตาที่ทั้งแปดมองเห็นอีกฝ่าย ต่างก็มีสีหน้าประหลาด หวังเป่าเล่อเองหรี่ตามอง เขามองเห็นเยว่หลิงจื่อที่โดดเด่นหาใดเปรียบ แล้วยังมองเห็นเยว่หลิงจื่อซึ่งกำลังจ้องศิษย์มีอายุที่บัดนี้กำลังลอยขึ้นมาเรื่อยๆ ของสำนักเต๋าแห่งจังหวะดนตรีคนนั้น

ดูท่าแล้ว…เหมือนว่าเขากำลังสงสัยว่าคนที่เจอกันเมื่อตอนต้นคงเป็นศิษย์อาวุโสผู้นี้

แล้วยังมีศิษย์จากสำนักเต๋าแห่งจังหวะดนตรีอีกสองคน ที่พิเศษอยู่คนหนึ่งนั้นคือผู้ฝึกตนอายุน้อยที่สวมชุดคลุมสีขาว ศีรษะไร้เส้นผม กระทั่งหัวคิ้วยังไม่มี คนผู้นี้เรียบนิ่งดุจน้ำ เขายืนอยู่ตรงนั้นหลอมรวมไปกับบรรยากาศรอบกาย เมื่อมองดูเขาแล้ว ทันใดนั้นในสมองก็จะได้ยินเสียงบทเพลงโบราณอมตะลอยขึ้นมา

ฉากนี้ ทำให้ดวงตาของหวังเป่าเล่อหดลีบ และในเวลาเดียวกัน คนอื่นๆ ก็ลอบสำรวจเช่นกัน โดยเฉพาะหวังเป่าเล่อนับเป็นคนแปลกหน้าตรงนี้ พวกเขายิ่งให้ความสนใจมากหน่อย

ยิ่งไปกว่านั้น…เท่าที่คนกลุ่มนี้ทราบก็คือพวกเขาไม่ได้พบปีศาจแดง การที่ปีศาจแดงไม่ปรากฏตัวย่อมหมายความว่า ในบรรดาพวกเขามีคนกำจัดปีศาจแดงได้

ผู้ที่ทำได้ถึงขนาดนี้ ไม่อาจประมาทได้สักนิด

และก็เพราะเหตุนี้เอง ผู้ที่สีหน้าเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงที่สุดในตอนนี้…ก็คือเกราะขาวของสำนักเหิงฉิน

เขาหันไปมองคนอื่นๆ อีกเจ็ดคนทันที เมื่อไม่พบเงาร่างของปีศาจแดงนั้น นัยน์ตาพลันทอประกายเย็นชาคมปลาบ มองข้ามหวังเป่าเล่อและศิษย์อาวุโสอีกสองรายหันไปทางยิ่นสี่และเยว่หลิงจื่อ

 เป็นใครในพวกเจ้า ที่ทำให้ปีศาจแดงตกรอบกัน? 

เท่าที่เกราะขาวทราบ แม้ว่าปีศาจแดงจะไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แต่ก็ไม่ใช่พวกที่จะตกรอบไปแน่นอน ส่วนโอกาสที่เขาทำตัวเองตกรอบนั้นย่อมมีไม่มาก การเอาชนะปีศาจแดงจุดนี้ย่อมยากอย่างมาก ดังนั้นแล้วในบรรดาเจ็ดคนรอบตัว เขารู้สึกว่า…ผู้ที่สามารถทำได้มากสุด เกรงว่าจะมีแค่ยิ่นสี่และเยว่หลิงจื่อ

 ข้าไม่ได้พบเขา  ยิ่นสี่สีหน้าเรียบนิ่งก่อนจะเอ่ยปาก

เมื่อเขาพูดออกมา เกราะขาวก็เชื่อทันที แม้เขาไม่เชื่อยิ่นสี่ แต่เขารู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้ไม่จำเป็นต้องปิดบัง ดังนั้นแล้วในพริบตานั้นเขาก็ทอดสายตามองไปยังตัวเยว่หลิงจื่อ ดวงตาพลันทอประกายเย็นเยียบรุนแรง

 ไม่เกี่ยวกับข้า  เยว่หลิงจื่อเอ่ยปากเย็นชา และไม่ได้สนใจท่าทางเป็นศัตรูของเกราะขาวเลย

เมื่อนางเอ่ยออกมาก็ทำให้เกราะขาวขมวดคิ้ว เขาเบนสายตาไปยังคนอื่นๆ รวมถึงตัวหวังเป่าเล่อและศิษย์อาวุโสสองคนตรงนั้น จิตสังหารในดวงตานั้นรุนแรงขึ้นช้าๆ

สองคนด้านหลังสีหน้าเรียบนิ่ง และไม่ได้เอ่ยสิ่งใด หวังเป่าเล่อคิดๆ แล้วก็หันมายิ้มกับเกราะขาวด้วยสายตาเป็นมิตร บางทีอาจเป็นเพราะรอยยิ้มนี้ค่อนข้างดูจริงใจ ดังนั้นแล้วสายตาของเกราะขาวจึงหันกลับไปมองศิษย์อาวุโสสองคนอีกครั้ง

และในยามนี้ ยังไม่ทันที่เกราะขาวจะได้ถาม สือหลิงจื่อจากสำนักเหอเสียนกลับอดถามก่อนไม่ได้ เขามองศิษย์อาวุโสจากสำนักเหิงฉินรายนั้น ก่อนจะกัดปากเอ่ยขึ้นมา

 เป็นเจ้าหรือไม่!! 

ประโยคนี้พูดไม่มีหางเสียง ฟังดูครั้งแรกยังคิดว่าเยว่หลิงจื่อช่วยเกราะขาวสอบถาม แต่มีเพียงหวังเป่าเล่อที่รู้…คำถามนี้แฝงความนัยลึกซึ้ง หลังจากคิดๆ แล้วสีหน้าของเขาก็ยิ่งรักษารอยยิ้มเป็นมิตร แล้วมองดูเรื่องวุ่นวายนี้

เพียงแค่ว่า…หอคอยทั้งแปดที่พวกเขาอยู่นี้ ไม่เหมือนบรรยากาศในสนามประลองอยู่บ้าง สถานที่แห่งนี้ได้จัดไว้โดยเฉพาะให้เป็นที่พบปะกันระหว่างแปดผู้แข็งแกร่ง ดังนั้นแล้วเสียงจากภายในจึงไม่ตกอยู่ในข้อจำกัดของกฎ และได้ยินไปถึงภายนอก….

ดังนั้นแล้ว…จิตสังหารจากแววตาของเกราะขาวที่จับจ้องพวกหวังเป่าเล่อและรอยยิ้มอันเป็นมิตรของหวังเป่าเล่อนั้น ทำให้เหล่าศิษย์จากสำนักทั้งสามแต่ละคนล้วนแสดงสีหน้าประหลาด

 เจ้าหมอนี่… 

 เขาถึงกับกล้าปิดบัง… 

 หน้าไม่อาย!! 

ท่ามกลางการถกเถียงภายนอก หวังเป่าเล่อย่อมไม่ได้ยิน ยามนี้เขาจึงยิ้มมองเรื่องสนุก ทันใดนั้นพลันรู้สึกถึงบางอย่าง จึงแหงนหน้ามองไปยังตำแหน่งที่สองทางขวามือ เขามองเห็นดวงตาคู่นั้นของยิ่นสี่

ดวงตาคู่นี้มีระลอกคลื่นแห่งความประหลาดใจแฝงอยู่ และมันกำลังจ้องหวังเป่าเล่อ

 คนผู้นี้…น่าสนใจ  หวังเป่าเล่อหรี่ตา หลังจากสบตากับยิ่นสี่อยู่หลายขณะก็ค่อยเบนสายตากลับมา แล้วจากนั้น…การประลองรอบรองชนะเลิศของการทดสอบครั้งนี้ จึงได้เริ่มต้นขึ้น

หอคอยที่ทั้งแปดคนอยู่ล้วนพากันแผดแสงรุนแรง ในระหว่างนั้นแสงที่แผ่ออกมาก็ค่อยๆ ประสานทับกันระหว่างสองเส้น เช่นหวังเป่าเล่อทางด้านนี้ แสงจากหอคอยของเขานั้น ก็เริ่มผสานเข้ากับแสงของเยว่หลิงจื่อ

เมื่อประสานกันก็หมายถึงการต่อสู้เริ่มต้นขึ้น พวกเขาแต่ละคนต้องเตรียมตัวให้ดี ลำดับถัดมานั้นคือการคัดเลือกสี่ผู้แข็งแกร่ง

แต่ว่ายามนี้…แสงจากหอคอยของเกราะขาวที่แต่เดิมนั้นกำลังจะผสานเข้ากับหอคอยของสือหลิงจื่อ เกราะขาวพลันแหงนหน้ามองไปยังท้องฟ้าพลางเอ่ยเสียงดัง

 เจ้าแห่งปรารถนาเสียง ข้ายินยอมละทิ้งลำดับหนึ่ง ขอแลกเป็นต่อสู้กับผู้ที่ทำให้ปีศาจแดงตกรอบ! 

 ขอเจ้าแห่งปรารถนาเสียงส่งเสริมด้วย! 

เมื่อเกราะขาวเอ่ยคำนี้ออกมา เหล่านักพรตจากทั้งสามสำนักก็เฝ้ารออย่างตื่นเต้น กระทั่งผู้แข็งแกร่งที่เหลือแปดคนนั้นต่างก็หันหน้าไปมองอย่างสนใจใคร่รู้ มีเพียงหวังเป่าเล่อเพียงผู้เดียวที่ถอนหายใจแล้วพึมพำประโยคหนึ่ง

 นี่มันขี้โกงชัดๆ… 

ด้วยความรวดเร็ว น้ำเสียงทุ้มต่ำราวกับฟ้าผู้มีอำนาจก็ได้ก้องไปทั่ว

 อนุญาต ! 

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น หวังเป่าเล่อก็มองแสงจากหอคอยตัวเองอย่างเบื่อหน่าย เขาเห็นมันถูกลากออกจากการผสานกับเยว่หลิงจื่อ ก่อนจะหันไปผสานกับทางเกราะขาวในพริบตาถัดมา

 ที่แท้แล้วเป็นเจ้า!!  เกราะขาวตวัดสายตามองหวังเป่าเล่อทันที จิตสังหารในดวงตานั้นเข้มข้น

………………………………………………………………….

 

“เสียงทลายมายาภาพ?” ภายในปากปล่องภูเขาไฟแห่งจังหวะดนตรี พลังปราณอ่อนแรงขุมนั้นและเงาร่างที่คล้ายจะหายไปได้ทุกเมื่อจับจ้องชิ้นส่วนแตกเบื้องหน้าเนิ่นนานก่อนจะเอ่ยปาก
และแววตานี้ พลันทอประกายแสงประหลาดในพริบตา
“ที่แท้แล้วก็มีคนสามารถรับรู้ถึงอักขระนั้นด้วย?” ครึ่งครู่ให้หลัง เงาร่างนั้นพลันยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังชิ้นส่วนจำนวนมากเบื้องหน้า ทันใดนั้นเองชิ้นส่วนของเขาก็พลันหม่นแสง และมีเพียงชิ้นเดียวที่ถูกขยายขนาดจนมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา
ในชิ้นส่วนนี้ เป็นทะเลทรายผืนหนึ่ง
ยามนี้บนผืนทะเลทรายบังเกิดลมพายุคลั่งหลอมประสานเข้ากับฟ้าดิน และในความบ้าคลั่งนี้ก็มีเงาร่างหนึ่งพลันโผล่ออกมาจากพายุคลั่งนี้
ผู้นี้ก็คือ…หวังเป่าเล่อ!
เส้นผมยาวปลิวไสว ชุดที่สวมอยู่บนร่างนั้นไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากก่อนหน้า กระทั่งว่ายังไม่ปรากฏรอยยับเลยสักนิด มีเพียงสิ่งเดียวคือสีหน้าประหลาดใจ ราวกับว่าการศึกก่อนหน้านี้ สำหรับเขาแล้วเป็นเรื่องประหลาดเร้นลับ
แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อนั้นเพียงใช้พลังอันยิ่งใหญ่ของตัวโน้ตดนตรีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ตามที่เขาเข้าใจ ยังคงต้องค่อยๆ ทดลองต่อไปในอนาคต ว่าโน้ตของตัวเองนั้นเป็นอย่างไร
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ครึ่งหนึ่งนั้น…ที่แท้แล้วตัวสนามประลองยังยากจะรับไหว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็แหงนหน้าขึ้นมองไปรอบๆ ทิศ
และเกือบจะในพริบตาที่หวังเป่าเล่อปรากฏกาย เหล่าผู้ฝึกตนที่คอยเฝ้าดูชิ้นส่วนนี้อยู่จากสามสำนักด้านนอกมาตลอดเหล่านั้น เมื่อพวกเขามองเห็นฉากนี้เข้าก็ร้องตะโกนตกใจอย่างลืมตัว
“คนที่ต่อสู้กับนักพรตปีศาจแดงออกมาแล้ว ออกมาแล้ว!”
หลังจากเสียงนี้ดังขึ้น เหล่าผู้ฝึกตนทั้งสามสำนักนั้นจากแต่ละแห่งล้วนหันมองไปยังมิติชิ้นส่วนที่หวังเป่าเล่ออยู่ แท้จริงแล้วศึกระหว่างเขาและนักพรตปีศาจแดงนั้นถึงกับทำสนามประลองพังไปแล้วจริงๆ จนทำให้ผู้ชมยากจะแบ่งแยกว่าสุดท้ายแล้วศึกนี้ใครเป็นผู้ชนะ
ดังนั้นแล้ว การปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อก็ดึงดูดสายตาของผู้ชมจำนวนมากในทันที อีกอย่าง…พวกเขาค้นหาในสนามประลองชิ้นส่วนอื่นแล้วก็ไม่พบเงาร่างของนักพรตปีศาจแดง ความนัยของเหตุการณ์นี้ทำให้ค่อยๆ มีเสียงฮือฮาดังขึ้นมา
“นักพรตปีศาจแดงของสำนักเหิงฉิน…กลับไม่ปรากฏตัว!”
“หรือว่า…ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ นักพรตแพ้เสียแล้ว?”
“หากว่านักพรตแพ้จริงๆ เช่นนั้นแล้วคนผู้นั้นก็ได้สร้างชื่อเสียงก้องฟ้าแล้ว!!!”
เมื่อเสียงถกเถียงนั้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายแล้วนักพรตปีศาจแดงไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นจริงๆ การคาดเดานี้ก็ยิ่งเป็นจริงมากขึ้น โดยเฉพาะ…นักพรตแห่งสำนักเหิงฉินบางคนมีสัมพันธ์อันดีกับนักพรตปีศาจแดง ยามนี้เมื่อสอบถามกันผ่านแผ่นหยก สุดท้ายแล้วหลังความเงียบงันสั้นๆ นักพรตปีศาจแดงก็ตอบมาจากอีกฝั่งของแผ่นหยก
“ข้าแพ้แล้ว”
แค่สามคำนี้แพร่หลายไปทั่วสำนักเหิงฉิน และอีกสองสำนักก็ได้ทราบเช่นเดียวกัน นี่ทำให้เสียงวิจารณ์และเสียงฮือฮานั้นดังขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง
ส่วนที่น่าตื่นเต้นที่สุดในที่นี้ก็คือเหล่าคนที่แพ้ให้แก่หวังเป่าเล่อพวกนั้น พวกเขาแต่ละคนล้วนรู้สึกประหลาดใจมาก โดยเฉพาะผู้ฝึกตนที่แพ้ให้แก่หวังเป่าเล่อคนแรก ในยามนี้เขาตื่นเต้นจนดวงตาแดงก่ำแล้ว ระหว่างที่จังหวะลมหายใจเร่งเร้า นัยน์ตาของเขาก็ยิ่งทอประกายเจิดจ้ารุนแรง
“นี่นับเป็นม้ามืดของจริง สามารถเอาชนะนักพรตได้ แม้ว่าสุดท้ายโอกาสจะได้ที่หนึ่งไม่มาก แต่ก็พอกล่าวได้ว่าเขามีคุณสมบัติแล้ว…โอกาสชิงสามอันดับแรกย่อมเป็นไปได้!”
ส่วนที่ตรงกันข้ามกับเสียงฮือฮาของผู้คนก็คือภายในสำนักเหิงฉินยามนี้ นักพรตปีศาจแดงยืนอยู่ในถ้ำพำนักของตนเอง ท่าทางเหม่อลอย สีหน้าซีดขาว พลังปราณอ่อนแอ ราวกับจะตอกย้ำความพ่ายแพ้ครั้งนี้ของเขาอยู่ตลอดเวลา
“ตัวโน้ตสุดท้ายนั้น…” เนิ่นนาน นักพรตปีศาจแดงพึมพำด้วยความเจ็บปวด เขาต้องยอมรับว่า สนามประลองคราวนี้ได้ช่วยตนเองไว้ หากว่าสุดท้ายสนามประลองรับพลังไว้ไม่ไหวก่อนที่ตัวโน้ตนั้นจะมาถึงตัวเขาและพังทลายไปเสียก่อน จนทำให้ตนเองและอีกฝ่ายถูกพลังเวทเคลื่อนย้ายบังคับให้แยกจากกัน เกรงว่า…เขาในยามนี้ คงได้วิญญาณสลายตายสิ้นแล้ว
นอกเหนือจากตัวโน้ตที่น่ากลัวยังมีอีกสิ่งที่ทำให้นักพรตปีศาจแดงยังคงรู้สึกหวาดผวาจากความทรงจำนี้อยู่ แต่เนื่องจากความมึนงง ไม่ว่าจะคิดอย่างไร เขาก็คิดไม่ออก สุดท้ายแล้วเป็นตัวโน้ตแบบใดกันถึงกับมีพลังระดับที่น่าหวาดหวั่นจนยากอธิบายเช่นนี้
กระทั่งเมื่อลองมาคิดดู นั่นไม่นับว่าเป็นตัวโน้ตแล้ว เพราะว่า…ขลุ่ยกระดูกของเขาเลานี้ก็ไม่สามารถต้านทานพลังได้ ถึงกับแตกเป็นเสี่ยงๆ
ระหว่างที่เขายืนมึนงงและหวาดผวาอยู่ตรงนี้ ด้านทะเลทรายที่หวังเป่าเล่ออยู่นั้น ในยามนี้เบื้องหน้าเส้นทางของเขา ห่างออกไปทางเส้นฟ้าดิน มีเงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ทันใดนั้นเงาร่างก็มองเห็นหวังเป่าเล่อและพายุคลั่งเชื่อมฟ้าดิน…ที่ปรากฏอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย
บุคคลผู้ที่ปรากฏกายนี้ ก็คือคู่ต่อสู้คราวนี้ของหวังเป่าเล่อ คนผู้นี้เอาแต่ประลองอยู่ตลอด ดังนั้นแล้วจึงไม่รู้คะแนนต่อสู้ของหวังเป่าเล่อ แต่ยามที่เห็นฟ้าดินเปลี่ยนแปลงเพราะการปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อแล้ว เขาก็รู้สึกตกตะลึงทันที
แม้ว่าหวังเป่าเล่อเบื้องหน้าเขาจะแปลกหน้า ทว่าผู้ฝึกตนผู้นี้ก็ขบคิดไม่หยุด ผู้ที่เพียงแค่ปรากฏตัวก็สามารถชักนำลมพายุรุนแรงนี้จนกระทั่งก่อเกิดคลื่นกระทบการมีอยู่ของสนามประลอง ตนเองจะไปทำอะไรได้งั้นหรือ…
ดังนั้น หลังปรากฏตัวออกมาแล้ว ผู้ฝึกตนผู้นี้หลังเหลือบมองพายุรุนแรงด้านหลังหวังเป่าเล่อจนศีรษะชาดิก เขาก็เลือกที่จะยอมแพ้ทันทีอย่างไม่ลังเล
ขณะต่อมา หลังจากที่ผู้ฝึกตนผู้นั้นหายตัวไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็เลิกคิ้ว เขายืนอยู่ที่เดิมรอให้บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนและพาเขาไปปรากฏยังสนามประลองถัดไป
ก็เป็นเช่นนี้ เวลาก็ค่อยๆ เคลื่อนผ่านไป การต่อสู้ของหวังเป่าเล่อต่อๆ มา ในสายตาของเขาแล้วธรรมดาอย่างยิ่ง ไม่ได้แตกต่างไปจากก่อนหน้ามาก สิ่งเดียวก็คือ…ฝีมือของคู่ต่อสู้ แข็งแกร่งขึ้นอยู่บ้าง
แต่ไม่ว่าจะเป็นคู่ต่อสู้เช่นไร ขอเพียงหวังเป่าเล่อโบกมือ แล้วใช้พลังตัวโน้ตภายในร่างเอาชนะ ใช้พลังในระดับที่ไม่พังสนามประลองสร้างคลื่นพลังตัวโน้ตกลืนกินคู่ต่อสู้ในพริบตา ก็เป็นอันยุติการต่อสู้
ทว่าการต่อสู้อันแสนจืดชืดที่เขารู้สึกนี้ เมื่อมองจากสายตาของผู้ฝึกตนสามสำนักด้านนอกกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ผู้ฝึกตนเกือบจะทั้งหมดในสามสำนักยามนี้ล้วนหันมาจับจ้องหวังเป่าเล่อที่นี่ กระทั่งว่าความสนใจในตัวยิ่นสี่และเยว่หลิงจื่อทางด้านนั้นยังมีระดับสู้ความสนใจในตัวหวังเป่าเล่อไม่ได้
โดยเฉพาะสองรายนั้นมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่แล้ว การที่ชนะก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนประหลาดใจมาก แต่ว่าหวังเป่าเล่อ…กลับเป็นม้ามืด
ยิ่งกับตัวโน้ตที่หวังเป่าเล่อโบกมือนั้น ไม่ได้เร้นลับอะไรมากมายเลย
เพราะข้อกำหนดของสนามประลอง บทเพลงนั้นไม่มีทางลอดออกไปด้านนอก ดังนั้นจนกระทั่งบัดนี้ ผู้ฝึกตนจากทั้งสามสำนักจึงไม่มีใครได้ทราบทำนองเพลงของเขาว่าที่แท้แล้วมีเสียงเช่นไร
พวกเขาทำได้เพียงเห็นว่าคู่ต่อสู้ทุกคนของหวังเป่าเล่อ ล้วนแต่มีสีหน้าประหลาดภายใต้คลื่นโน้ตนี้ก่อนจะเดือดดาลและหลังจากนั้นก็ตื่นตะลึง สุดท้ายจึงหายไป
และที่เร้นลับยิ่งกว่า ก็คือพวกผู้พ่ายแพ้เหล่านั้นหลังจากถูกส่งกลับมาแล้ว แต่ละคนต่างทำหน้าปั้นยาก ไม่มีใครเอ่ยปากพูดถึงเสียงตัวโน้ตของหวังเป่าเล่ออีก สำหรับพวกเขาแล้ว นี่คือคำต้องห้าม
แต่ว่าท่าทางทุกข์ใจและไร้หนทางของพวกเขา กลับกลายเป็นแรงผลักดันให้ฝูงชนคาดเดา…
“ที่แท้แล้วเป็นเสียงอะไร? ทำไมเก่งกาจนัก!”
“เสียงแห่งมวลมหาธรรมชาติแน่นอน ไม่ต้องคิดแล้ว ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ไม่อย่างนั้นจะมีอานุภาพตื่นตะลึงขนาดนั้นได้ยังไง”
“ข้าเองก็คิดว่าเป็นเสียงแห่งมวลมหาธรรมชาติแน่นอน แต่ว่าแพ้ก็แพ้ไปสิ ท่าทางคนพวกนั้นทำเหมือนกินขี้ก็ไม่ปาน เพราะอะไรกันเล่า?”
………………….
เกือบจะในพริบตาที่ความรู้สึกอันตรายนี้ปะทุ คลื่นพลังเสียงขุมหนึ่งก็กวาดขึ้นมาจากหลังร่างของปีศาจแดง กลายเป็นท่วงทำนองโจมตีเร่งเร้า ราวกับว่านี่คือการดิ้นรนบ้าคลั่งท่ามกลางความเป็นตาย เป็นความคลุ้มคลั่งที่ขึ้นมาจากดินแดนมรณะ
นี่ก็คือท่อนเสริมส่วนหนึ่งของบทเพลงแห่งอิสระ และเป็นเพลงที่หวังเป่าเล่อแต่งขึ้นทั้งแปลง และตรงท่อนจังหวะสำคัญสุดท้าย กระแสการฆ่าฟันเด่นชัดขึ้นมา ต่อให้ตัวของปีศาจแดงเป็นถึงผู้ฝึกเต๋าจากสำนักเหิงฉิน แต่การโจมตีส่งๆ ของเขาท่าหนึ่งนี้ ก็ไม่อาจสยบท่วงทำนองอันปลุกเร้าของหวังเป่าเล่อได้
พริบตาถัดมา บทเพลงที่ปีศาจแดงปัดส่งๆ ออกมานั้นก็เหมือนกับตาข่ายที่ถูกฉีกกระชาก ท่วงทำนองอันฮึกเหิมได้กลายร่างมายาเป็นดังหอกยาว จากนั้นก็เข้าโจมตีใส่ปีศาจแดงราวสายฟ้าฟาด
ทุกสิ่งพูดมาแล้วฟังดูเนิ่นนาน แต่ความจริงเกิดขึ้นในช่วงเวลาครู่เดียวเท่านั้น ก่อนหน้านี้ปีศาจแดงที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ยามนี้กลับต้องเป็นฝ่ายหรี่ตา และในพริบตาที่หอกยาวนี้แทงทะลุร่าง ร่างของเขาก็พลันพร่าเลือน จากนั้นกลายเป็นบทเพลงอันยิ่งใหญ่ กระจายไปทั่วแปดทิศ
บทเพลงนี้ นับว่ามิใช่แค่เพลงแล้ว แต่เป็นบทประพันธ์แห่งท่วงทำนองซึ่งรวมหลากเพลงไว้ด้วยกัน
และเมื่อบทประพันธ์นี้ดังขึ้น โลกแห่งการประลองทั้งผืนก็ได้กลายเป็นสีโลหิต นี่คือพลังหนึ่งของท่วงทำนองแห่งปีศาจแดง สิ่งนี้เรียกว่า…บูชายัญโลหิต
แสงสีแดงชาดท่วมฟ้า แสงแห่งโลหิตไร้ที่สิ้นสุด ก่อเกิดเป็นหมอกโลหิตก้อนหนึ่ง ขวางเส้นทางทุกสิ่งเอาไว้ ครอบคลุมทุกอย่าง ทำให้ชิ้นส่วนเล็กๆ ที่พวกเขาต่อสู้กันอยู่ตรงนี้ กลายเป็นที่จับจ้องของบรรดาศิษย์ทั้งสามสำนักมากกว่าเก่า และท่ามกลางการจับจ้องของพวกเขานั้น บทเพลงของหวังเป่าเล่อก็กลายเป็นหอกยาว พุ่งเข้าปะทะกับหมอกโลหิตนั้นพอดี
ในชั่วพริบตา หอกยาวพลันแตกสลายแล้วกลายเป็นตัวโน้ตนับไม่ถ้วนพลิกม้วน ปีศาจแดงปรากฏร่างออกจากหมอกโลหิตมา เขามองหวังเป่าเล่อเย็นชา ก่อนจะเอ่ยปากอย่างชั่วร้าย
“หาที่ตาย!”
ระหว่างที่กล่าวนั้น หมอกโลหิตจากบริเวณโดยรอบก็ระเบิดออกอีกครั้ง และตรงส่วนใจกลางของท่วงทำนองเพลงนั้นก็กลายเป็นดังวังวนขนาดยักษ์ กระทั่งทำให้ภายในโลกแห่งการประลองนี้บังเกิดการบิดเบี้ยวขึ้น และดูเหมือนอีกเพียงนิดหนึ่งนั้นจะถึงขีดจำกัดที่รับไหวแล้ว
และหลังจากในพริบตาที่วังวนนี้พลันบังเกิดเสียงนั้นเอง กระแสโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนแตกซ่านจนกลายเป็นมือมือหนึ่งยื่นมาคว้าจับหวังเป่าเล่อเอาไว้ ฉากนี้ทำให้ผู้คนตื่นตะลึงอย่างมาก แต่หากมองดูให้ละเอียดแล้ว สามารถมองเห็นฝ่ามือสีเลือดขนาดใหญ่อย่างยิ่ง หรือบางทีนี่ก็คือหมอกโลหิต หรือบางทีในวังวนนี้ แท้จริงแล้วเป็นพลังแห้งโน้ตเพลงจำนวนมหาศาลที่ก่อร่างขึ้น
โน้ตเพลงพวกนี้ ต่างแฝงไปด้วยพลังแห่งกฎ เป็นเหตุให้เปลี่ยนรูปได้หลายแบบและมีพลังมากขนาดนี้ ยิ่งในยามนี้ถูกปีศาจแดงใช้พลังออกมาถึงที่สุด สิ่งที่แสดงออกมาจึงเป็นพลังเฉพาะอันเด็ดขาดของนักพรตเต๋าผู้นี้
พลังสะกดทับอันรุนแรง โหมเข้ามาจากทั้งสี่ด้าน เมื่อมองไปยังหวังเป่าเล่อจะเห็นว่าใกล้จะถูกสีแดงนี้กลืนเข้าไปแล้ว และเกือบจะถูกฝ่ามือยักษ์สีแดงฉีกกระชาก หรือจะพูดว่าถูกบทประพันธ์นี้สยบเข้าให้แล้ว…เหล่าผู้ฝึกตนจากสามสำนักที่มองดูการต่อสู้ภายในชิ้นส่วนเล็กอยู่นั้น ต่างมองกันตาไม่กะพริบ ด้านหนึ่งนั้นเป็นเพราะการโจมตีกลับของหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ค่อนข้างเหนือความคาดหมายของพวกเขา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…สามารถทำให้ปีศาจแดงลงมือได้ และทำลายบทเพลงของเขา ผู้ที่สามารถใช้ท่าโจมตีพิฆาตได้แบบนี้ในสามสำนักนั้นมีไม่มาก และทุกคนที่ทำได้ถึงจุดนี้ ย่อมถูกขนานนามว่าเป็นบุคคลเหนือธรรมดาแล้ว
อีกทั้งหวังเป่าเล่อยังเป็นแค่คนไร้ชื่อเสียงเรียงนาม ทำให้ผู้คนทั้งมวลอดรู้สึกว่ายิ่งไม่ธรรมดาเข้าไปใหญ่ อีกส่วนด้านหนึ่งนั้น ก็คือเหล่าคนที่อยากอาศัยตรงนี้ดูว่านักพรตปีศาจแดงนั้น…ที่แท้แข็งแกร่งขนาดไหน
ท่ามกลางการต่อสู้หลายต่อหลายครั้งของอีกฝ่าย ทั้งหมดไม่ได้ดำเนินมาถึงระดับปัจจุบันเลย ปกติแล้วคู่ต่อสู้เมื่อเห็นปีศาจแดง หากไม่ขอยอมแพ้ในทันที ก็จะถูกการโบกมือก่อนหน้านี้ของปีศาจแดงกลืนกินไปในพริบตา
ดังนั้น ยามนี้จำนวนของผู้เฝ้าชมจึงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าก็ยังมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่คิดว่าหวังเป่าเล่อจะเอาชนะการลงมือของปีศาจแดงในครั้งนี้ได้ โดยเฉพาะความสามารถของทั้งสองฝ่ายนั้นช่างแตกต่างกันในความรู้สึกของผู้ชม
“ทว่าสหายเต๋าท่านนี้ หากรอดชีวิตจากการต่อสู้ครั้งนี้ได้ ก็นับว่าได้สร้างชื่อแล้ว”
“น่าเสียดายแปลกหน้าไปสักหน่อย ไม่รู้เลยว่าหมอนี่ชื่ออะไร”
“ไม่มีปัญหา พวกเราผู้ฝึกตนสามสำนักล้วนแต่ปลีกวิเวกเสียส่วนใหญ่ หากต้องการให้ทุกคนรู้จักล่ะก็ ต้องพยายามแหวกว่ายไปสู่จุดสูงสุด”
ในเวลาเดียวกันกับที่ศิษย์ทั้งสามสำนักกำลังถกเถียงกัน ผู้ฝึกตนที่พ่ายแพ้ให้แก่หวังเป่าเล่อทางนั้น ในยามนี้ได้แต่ปิดปากสูดลมหายใจ จับจ้องชิ้นส่วนเล็กนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย มองตามสายตาของพวกเขาจะเห็นได้ว่าการต่อสู้ในชิ้นส่วนเล็กยามนี้ดุเดือดเป็นที่สุด
โลหิตกระจายเต็มที่ มองเห็นหวังเป่าเล่อที่เกือบจะถูกมือเหล่านั้นคว้าเอาไว้ ในช่วงเวลาคับขัน หวังเป่าเล่อพลันดวงตาทอประกายแรงกล้า เขารู้สึกตนเองควรจะแข็งแกร่งมาก แต่ว่าแข็งแกร่งประมาณเท่าใดกันแน่นั้นเป็นปัญหา เพราะว่าเขาได้สัมผัสกับกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้ไม่นาน นอกเสียจากตอนแรกที่ได้ต่อสู้สั้นๆ กับสือหลิงจื่อแล้วก็ไม่ได้ประมือกับนักพรตเต๋าท่านอื่นๆ อีก ดังนั้นแล้วเขาก็ไม่รู้ตำแหน่งที่แน่ชัดของตัวเองเท่าไร ส่วนการต่อสู้ครั้งนี้ นักพรตเต๋าเบื้องหน้ามอบความรู้สึกว่าน่าจะยากแบ่งสูงต่ำกับสือหลิงจื่อได้ อีกทั้งยังมีลูกไม้เบื้องหลังมากมายอีก ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงอยากจะรู้จริงๆ ว่า ตนเองในยามนี้ สุดท้ายแล้วอยู่ระดับใด
นอกจากนั้นยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็คือ อีกฝ่ายทำลายบทเพลงแห่งอิสระของตนไปแล้ว นี่ทำให้หวังเป่าเล่อโมโหอยู่บ้าง ดังนั้นหลังจากดวงตาทอประกายแปลบปลาบ ในพริบตาที่จะถูกฝ่ามือยักษ์สีเลือดและวังวนพวกนั้นกลบทับไปนั่นเอง หวังเป่าเล่อขยับตรงพื้นเล็กน้อย พลังภายในร่างของตนพลันมีตัวโน้ตเพิ่มซ้อนทับขึ้นมา…นับแสนตัว
“งั้นลองสักครึ่งหนึ่งแล้วกัน” หวังเป่าเล่อหรี่ตา จากนั้นเขาก็ควบคุมให้กระแทกเข้าไปนิดหน่อย ในพริบตานั้นหลังจากที่ตัวโน้ตสั่นสะเทือน เสียงอันพิเศษแต่ละเสียงก็พลันดังขึ้นรอบตัวหวังเป่าเล่อกลายเป็นเหมือนวงแหวนวนรอบกายเขา
พรวด!
แค่เสียงเดียวเท่านั้น แต่ฝ่ามือขนาดยักษ์สีเลือดที่พุ่งเข้ามาหาหวังเป่าเล่อในพริบตากลับสั่นสะท้าน หลังจากนั้นก็ค่อยๆ แหลกสลายลงอย่างรุนแรง กลายเป็นหยาดโลหิตนับไม่ถ้วน แล้วสลายอีกครั้งกลายเป็นตัวโน้ต คล้ายกับว่ามันยังไม่หยุด มันแหลกสลายอีกครั้ง…
ไม่เพียงแค่นี้ วังวนแห่งหมอกสีโลหิตที่หวังจะครอบคลุมหวังเป่าเล่อเองก็เป็นเช่นเดียวกัน ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ก็ถูกอานุภาพแห่งเสียงเพลงนี้ทำลายทิ้งในพริบตาที่ปะทะกัน แตกสลายเป็นชิ้นส่วนเล็กน้อยก่อนจะแหลกสลายไป
รอบด้านกลับเป็นปกติ มีหวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงกลาง ส่วนขุมพลังอันบ้าคลั่งเหล่านี้ก็พัดผ่านทั้งสี่ทิศ จากนั้นก็กลับไปยังนักพรตเต๋าปีศาจแดงจนมิด ด้านนักพรตเต๋าปีศาจแดง ยามนี้หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ เขาเผยใบหน้าประหลาดใจ จากนั้นก็ยกขลุ่ยกระดูกในมือขึ้นคล้ายกำลังเป่า
ทว่า…แม้ขลุ่ยเลานี้จะพิเศษอย่างยิ่ง และบทเพลงที่ลอยออกมาก็พิเศษมากเช่นกัน แต่แล้วในพริบตาถัดมา มันก็ถูกพลังแห่งตัวโน้ตของหวังเป่าเล่อครอบคลุมเอาไว้จนหมดสิ้น
ในพริบตานั้นทั้งพื้นที่ชิ้นส่วนเล็ก ก็คล้ายถึงขีดจำกัดที่จะรับได้แล้ว มันเกิดเสียงดังครั้งหนึ่ง…ยังไม่ทันที่คนข้างนอกจะได้เห็นจนจบ เวทีประลองนี้กลับพังลงมาในพริบตา
หลังจากที่มันพังทลาย ผู้ฝึกตนจากสามสำนักล้วนตาเบิกค้าง
“นี่…”
“นี่มันเรื่องอะไรกัน!!!”
“เกิดอะไรขึ้น!!!”
ผู้ฝึกตนทั้งสามสำนักเหมือนสมองแทนระเบิด พวกเขาทันมองเห็นว่าในชิ้นส่วนเล็กนี้ ปีศาจแดงที่กำลังจะถูกกลบฝังกระอักเลือดออกมา จากนั้นสีหน้าจึงเผยแววไม่อยากจะเชื่อ
พวกเขาไม่ทันมองเห็นว่าขลุ่ยกระดูกเลานั้นในมือของปีศาจแดง บัดนี้หักเป็นสี่ห้าท่อน!
ยิ่งไปกว่านั้น ในพริบตา ภายในภูเขาไฟของเต๋าแห่งจังหวะดนตรี ร่างที่พังสลายทั้งร่าง ลมปราณอ่อนแอร่างนั้นพลันเบิกตาขึ้นทันที จากนั้นก็มองไปยังชิ้นส่วนที่แหลกสลายชิ้นนี้ซึ่งอยู่ท่ามกลางชิ้นส่วนมากมายเบื้องหน้าตน!
การประลองยังคงดำเนินต่อไป
เพราะจำนวนผู้เข้าร่วมมีมาก ดังนั้นการเปลี่ยนสนามประลองในทุกครั้งหลังการต่อสู้จึงเป็นระบบสุ่ม ในเวลาเดียวกันผู้ที่ชมอยู่นั้นก็สามารถเข้าใจกฎของการทดสอบนี้ได้ชัดเจน
ชิ้นส่วนที่ผู้เข้าร่วมแต่ละคนอยู่นี้ล้วนมีหมายเลขกำกับเอาไว้ หมายเลขพวกนี้แสดงให้เห็นจำนวนผู้ที่เอาชนะมาได้ และการประลองที่ดูเหมือนจะเกิดขึ้นต่อเนื่องนี้ แท้จริงแล้วก็ใช้ตัวเลขเหล่านี้แหละมาจัดอันดับที่แท้จริง
ผู้แพ้จะถูกคัดออก ในเวลาเดียวกันตัวเลขพวกนี้ก็จะถูกผู้ชนะชิงไป ยามนี้เมื่อจำนวนคนลดลง หลังจากที่ชิ้นส่วนเล็กๆ ค่อยๆ หายไปทีละชิ้น ผู้เข้าร่วมทดสอบที่เหลืออยู่นั้น ทุกคนล้วนถือครองตัวเลขหลักร้อยกว่าทั้งสิ้น
และที่ดึงดูดสายตาที่สุดในบรรดานั้นก็คือคนสองคน ได้แก่ยิ่นสี่แห่งเต๋าจังหวะดนตรี และเยว่หลิงจื่อของสำนักเหอเสียน
ทางยิ่นสี่นั้น ตัวเลขของเขาถึง 1,700 กว่าแล้ว ส่วนเย่วหลิงจื่อที่ไล่ตามมาติดๆ นั้น ก็มีตัวเลข 1,500 กว่าเช่นกัน ในส่วนของศิษย์สำนักทั้งสามอื่นๆ นั้น ต่างมีจำนวนได้พันกว่าเสียส่วนใหญ่
เช่นเดียวกันผู้ที่ทำตัวเลขได้หนึ่งพันนั้น ยังมีศิษย์อายุเยอะที่ชื่อเสียงไม่ค่อยโด่งดังอีกสองฝ่าย แปดคนนี้ เป็นที่รวมสายตาของเหล่าศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วน สำหรับหวังเป่าเล่อทางด้านนั้น แม้ว่าจะต่อสู้มาหลายลานประลอง แต่จนบัดนี้ที่ได้พบล้วนยังมิใช่ผู้แข็งแกร่ง ดังนั้นตัวเลขจึงจำกัดอยู่แค่ 300 เท่านั้น
ทว่า…เมื่อเปรียบเทียบกับมหาศิษย์แห่งเต๋าท่านอื่นๆ ตัวเลขของหวังเป่าเล่อแม้จะน้อย ทว่าผู้ที่พ่ายแพ้ให้แก่เขานั้น เมื่อกลับไปแล้วต่างมีสภาพเหมือนกับผู้ฝึกตนรายที่หนึ่ง ในขณะที่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันนั้น ก็หวังว่าจะมีผู้ฝึกตนคนอื่นๆ มาลงโทษหวังเป่าเล่อ หรือมิฉะนั้นก็ลงโทษหวังเป่าเล่อแทนตนเอง
ในส่วนของหวังเป่าเล่อทางนี้ เขาไม่รู้ว่าตนเองชนะไปเท่าไรแล้วจึงไม่ได้ใส่ใจ
“ขอเพียงข้าชนะไปตลอดทาง ย่อมต้องเข้ารอบชิงชนะเลิศ” หวังเป่าเล่อคิดในใจเช่นนี้ ขณะที่ผ่านการทดสอบไปเป็นชั้นๆ เมื่อพูดไปแล้วเขาแทบจะผ่านทุกชั้นไปอย่างรวดเร็วยิ่ง
เกรงว่าเพราะโชคไม่เลว หรือบางทีเพราะการแข่งขันนี้มีคนธรรมดาค่อนข้างมาก ดังนั้นแล้วการต่อสู้นับสิบครั้งต่อมา หวังเป่าเล่อจัดการได้ในทันที
ในเวลาเดียวกันเขาก็ค่อยๆ พบว่า ผู้ฝึกตนทั้งสามสำนักนั้นมีจุดเด่นก็คือล้วนโดดเด่นเรื่องการแอบซ่อนตัว คู่ต่อสู้ที่เขาพบทั้งหลายนั้น ทุกครั้งก็เกือบจะเป็นเช่นนี้ และนี่ทำให้ตัวเขาเองหลังจากมาถึงยังสนามประลองใหม่แล้วก็เลือกซ่อนตัวตามสัญชาตญาณเช่นกัน
อีกทั้งตัวเลขบนร่างของเขา เหล่าผู้เฝ้าชมซึ่งล้วนพ่ายแพ้ให้แก่เขาและรออยู่ข้างนอกนั้นบัดนี้มีจำนวนประมาณ 500 กว่าคนแล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับมหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นๆ ย่อมไม่เป็นที่สะดุดตาเท่าไร
เวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่านไปเช่นนี้ และโดยไม่รู้ตัว หวังเป่าเล่อเองก็ไม่รู้ว่าตัวเขานั้นผ่านมาแล้วกี่สนามย่อย อีกทั้งเขาเริ่มชินแล้วว่าทุกครั้งที่จะได้เข้าสนามใหม่นั้นจะไม่พบตัวศัตรู
จนกระทั่งในครั้งนี้ หลังจากที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นในสภาพแวดล้อมใหม่แล้ว ในพริบตาที่เขามองไปรอบทิศ ตอนนั้นเองเขาก็พลันต้องหรี่ตา!
“ในที่สุดก็มาสักที” น้ำเสียงชั่วร้ายดังมาอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ
ผู้นี้เป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาหมดจด สวมชุดคลุมสีแดงยาวราวกับโลหิตผู้หนึ่ง ภาพของคนผู้นี้ช่างตัดกันชัดเจนกับสภาพแวดล้อมเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ
สภาพแวดล้อมของที่นี่ เป็นซากปรักหักพังของอารยธรรมโบราณ รกร้าง ไร้ซึ่งชีวิต มืดเทา คล้ายกับว่านี่คือท่วงทำนองหลักของที่แห่งนี้ ดังนั้นแล้วจึงยิ่งขับเน้นเงาร่างโดดเด่นของชายชุดแดงนี้ขึ้นมา
เขามีเส้นผมยาว นั่งขัดสมาธิอยู่บนตอไม้ที่หักเหลือครึ่งท่อน เส้นผมสยายไปตามสายลม มือของเขานั้นถือขลุ่ยกระดูกสีขาวอยู่เลาหนึ่ง และในยามนี้ได้แหงนหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่อ
ในพริบตานั้น สายตาของเขาและหวังเป่าเล่อก็ได้ประสานกัน
ใบหน้างดงามล่มเมือง ราวกับว่าบุรุษตรงหน้าคล้ายจะเป็นสตรีสาวงดงามอ่อนหวานผู้หนึ่งมากกว่า อีกทั้งสีแดงสดที่แสนจะแสบตานี้ ก็เป็นความรู้สึกแรกที่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้หลังจากมองเห็นอีกฝ่ายถนัดตา
หลังจากนั้น หวังเป่าเล่อก็กวาดตามองดูคร่าวๆ ก่อนที่จะหยุดสายตาบนขลุ่ยกระดูกในมืออีกฝ่าย ก่อนจะเบนสายตาออก เพียงมองปราดเดียว ในใจของเขาก็พบคำตอบว่าเจ้าขลุ่ยนี้พิเศษอย่างยิ่ง
ขลุ่ยเลานี้….เป็นกระดูกเร้นลับที่อยู่ในโลกแห่งเสียง และเป็นวัตถุดิบเฉพาะสำหรับผู้ฝึกตนแห่งปรารถนาเสียงเพื่อใช้ทำอาวุธดนตรี
ต้องทราบก่อนว่าความเร้นลับของโลกแห่งเสียงนั้น ยากนักจะได้พบเห็น นี่ทำให้ขลุ่ยกระดูกเลานี้เดิมทีมีลักษณะที่ไม่อาจมองเห็นได้ และผู้ที่สร้างอาวุธดนตรีเช่นนี้ออกมา ทอดมองไปทั่งนครปรารถนาเสียงแห่งนี้แล้ว นับจากที่หวังเป่าเล่อได้เหยียบเข้าโลกแห่งเสียง ทราบว่ามีเพียง…เจ้าแห่งปรารถนาเสียงเท่านั้น
“มีอาวุธดนตรีที่สร้างโดยเจ้าแห่งปรารถนาเสียง…” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจ เขาพอคาดเดาสถานภาพของคนผู้นี้ได้แล้ว
“ท่านนักพรต” หวังเป่าเล่อค่อยๆ เอ่ยปาก
ชายหนุ่มชุดแดงนี้ ก็คือหนึ่งในนักพรตแห่งสำนักเหิงฉิน
ยามนี้สีหน้าเขาปกติ ก่อนจะสะบัดขลุ่ยในมือ ไม่ได้สังเกตเรื่องที่หวังเป่าเล่อมองเห็นขลุ่ยเลานี้ แต่เขากลับมองหวังเป่าเล่อเรียบนิ่งครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงปิดตาทั้งสองลง ค่อยๆ เอ่ยคำพูดออกมาช้าๆ
“ยอมแพ้ แล้วไปเสีย”
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ในชั่วเวลาพริบตาหนึ่งร่างของเขากลายสภาพเป็นมายา เสียงเพลงพลันดังสะท้อน พุ่งไปยังชายชุดแดงคนนั้นก่อนจะแสดงอานุภาพกระจายออกไป
และในเวลาเดียวกัน เนื่องเพราะชายชุดแดงนั้นเป็นที่สนใจอย่างมาก การต่อสู้ของเขาและอีกฝ่าย ยามนี้จึงมีผู้ฝึกตนจากสามสำนักมองดูไม่น้อย เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อได้พบกับนักพรตผู้นี้แล้วเริ่มลงมือก่อน ก็พากันส่ายหน้า
“คนผู้นี้แยกแยะหนักเบาไม่ออกเสียเลย”
“นักพรตปีศาจแดงแห่งสำนักเหิงฉิน ถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดของกฎแห่งปรารถนาเสียงแล้ว ข้าได้ยินว่าบทเพลงบรรพกาลแห่งโลหิตที่เขาแต่งขึ้นสามารถอัญเชิญวิญญาณลี้ลับมาได้ ฆ่าคนไร้ร่องรอยทีเดียว”
“ศึกครั้งนี้ ไม่น่าติดตามดูสักนิด”
ในขณะที่ผู้คนกำลังส่ายหน้าและวิจารณ์กันอยู่นั้น เหล่าผู้ฝึกตนที่พ่ายแพ้ให้กับหวังเป่าเล่อก่อนหน้า ยามนี้แต่ละคนหน้าตาตื่นเต้นยินดีขึ้นมา พวกเขาแม้ว่าจะแพ้ แต่ก็ไม่ได้ยอมรับว่าหวังเป่าเล่อจะแข็งแกร่งพอจะปะทะกับยอดฝีมือนักพรตได้ มีเพียงผู้เดียว…ผู้ฝึกตนคนที่พ่ายแพ้ให้แก่หวังเป่าเล่อผู้นั้น ในยามนี้เขาเบิกตามองกว้าง แล้วจับจ้องชิ้นส่วนประลองเล็กๆ นี้ ตาไม่กะพริบ เกือบจะหอบหายใจกระชั้นแล้ว
“จะเป็นม้ามืดจริงหรือไม่ ต้องดูศึกนี้แล้ว!”
“หากว่าแพ้ก็จะจบสิ้น แต่ว่า…หากหมอนี่ชนะเล่า เช่นนั้นงานทดสอบครั้งนี้ จะมีม้าทยานขึ้นฟ้าของจริง!”
ระหว่างที่ผู้ฝึกตนรายนั้นกำลังคาดหวังและจับจ้อง ในส่วนโลกรกร้างที่หวังเป่าเล่อและมารแดงอยู่นั้น ท่วงทำนองที่หวังเป่าเล่อใช้ในยามนี้แล่นมาอยู่ใกล้เบื้องหน้าของปีศาจแดงในพริบตา
“ที่แท้ไม่รู้จักประมาณกำลัง…” ดวงตาดุจหงส์ของนักพรตปีศาจแดงนั้นพลันเบิกกว้าง เผยให้เห็นประกายความเย็นชาและจิตสังหาร เขาขยับมือเล็กน้อย ในพริบตารอบด้านนั้นก็เกิดเสียงดังลั่น เสียงเหล่านี้มีเกินกว่าพันสำเนียง ยามนี้เมื่อประสานเข้าด้วยกันก็กลายเป็นคลื่นพลังสะท้านขวัญขุมหนึ่ง แผ่ออกไปอาละวาดรอบทิศอย่างไร้รูปลักษณ์ราวกับเป็นวังน้ำวนขนาดใหญ่ พุ่งเข้าครอบคลุมบทเพลิงที่หวังเป่าเล่อสร้างขึ้นนั้นในทันที!
“คงต้องให้เจ้าละทิ้งเส้นทางเต๋าแล้ว” เสียงของปีศาจแดงสะท้อนไปทั่ว เขาไม่เหลือบมองเวทแห่งเพลงที่ถูกคลุมไว้สักนิด ก่อนจะเหยียดกายแล้วจากไป
เท่าที่เขาคิดไว้นั้น แม้ว่าตนเองจะโจมตีส่งๆ ไปครั้งหนึ่ง แต่จากที่พลังปรารถนาเสียงของตนชี้นำ อีกฝ่ายนั้นไม่มีโอกาสรอดชีวิตเลย ทว่า…ในตอนที่เขาหันกายนั้นเอง พลังอันตรายเร้นลับแข็งกล้าก็พลันระเบิดขึ้นในใจของเขา
……………………………………………………
เกือบในจะเวลาเดียวกับที่ผู้ฝึกตนเต๋าแห่งจังหวะดนตรีรายนี้ร้องเสียงแหลมขึ้นมา งูสีดำที่แหวกผ่านอากาศว่างเปล่าเข้ามาก็พลันหยุดชะงักลงห่างจากตัวของผู้ฝึกตนเต๋าแห่งจังหวะดนตรีไม่ถึงหนึ่งจั้ง ระยะทางนี้ สำหรับผู้ฝึกตนแล้วไม่ต่างจากการที่อีกฝ่ายเข้ามาแนบหน้าสักเท่าไร
นี่ทำให้ผู้ฝึกตนเต๋าแห่งจังหวะดนตรีท่านนี้รู้สึกว่า ตนเองรอดจากเคราะห์ครั้งนี้มาได้อย่างหวุดหวิด หน้าผากนั้นมีเหงื่อผุดลงมาเป็นสาย กระทั่งแผ่นหลังยังรู้สึกเปียกชื้น ระหว่างที่สีหน้าของเขาซีดขาว ร่างก็ค่อยๆ พร่าเลือนและในพริบตาถัดมาก็หายไปจากสถานที่ประลองแห่งนี้
เมื่อเสนอขอยอมแพ้ ก็สามารถออกจากสนามได้ และนี่คือหนึ่งในกฎของสถานที่ทดสอบแห่งนี้
จริงๆ แล้วต่อให้เขาไม่ยอมแพ้ หวังเป่าเล่อเองก็จะไม่สังหารเขา เพราะเขาเป็นคนที่มีเหตุผล อีกฝ่ายไม่ได้จะช่วงชิงชีวิตเขาแต่แรก เช่นนั้นเขาย่อมไม่ทำเช่นเดียวกัน
เขาแค่เสียดายอย่างมากว่า การสัมผัสรู้ของตนต้องล้มเลิกเสียแล้ว
“คนผู้นี้ขี้ขลาดจนเกินไป ข้าวางแผนว่าจะพูดคุยกับเขาสักหน่อยว่าจะให้ความร่วมมือช่วยข้าฝึกได้หรือไม่ ไม่แน่ว่าอาจได้รับประโยชน์อะไรมาบ้าง…” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าเสียดาย จากนั้นก็มองทัศนียภาพเทือกเขารอบๆ ค่อยๆ รางเลือน และในพริบตาถัดมา ผืนดินก็เปลี่ยนกลายเป็นผืนทะเลกว้าง
เทือกเขาหายไป และสิ่งที่แทนที่เข้ามาคือเกาะเล็กเกาะน้อย แล้วยังพวกนกทะเลที่โบยบินบนฟ้า
สถานที่ต่อสู้ เปลี่ยนแล้ว
ไม่รอให้หวังเป่าเล่อสำรวจบริเวณโดยรอบ แทบจะทันทีกับที่เขาโผล่ออกมานั้น พวกนกทะเลบนฟ้าพลันก้มหน้าลง พวกมันแผดเสียงร้องแสบหู กรีดร้องมายังหวังเป่าเล่อทางนี้ทันที
ไม่เพียงแค่นี้ มหาสมุทรยามนี้พลันสั่นสะเทือน จากนั้นปลาทะเลยักษ์ตัวหนึ่งพลันกระโจนขึ้นจากผืนน้ำทะเลเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ แล้วอ้าปากพุ่งเข้ามาหมายกินเขาให้หมดในคำเดียว
มองๆ ไปแล้ว หัวของปลาทะเลตัวนี้ มีขนาดใหญ่กว่าหวังเป่าเล่อประมาณพันเท่าเห็นจะได้ ดังนั้นแล้วการอ้าปากกลืนของมันครั้งนี้ทำให้คนรู้สึกว่าน่าตื่นตะลึงอย่างมาก อีกทั้งพวกนกในท้องฟ้าเหนือมหาสมุทรมีจำนวนประมาณนับร้อยได้ แต่ละตัวนั้นเหมือนมีดอันเฉียบคม พวกมันล็อคตำแหน่งของหวังเป่าเล่อไว้จนยากจะหลบหนี
การประลองทดสอบรอบที่สอง จึงเริ่มต้นขึ้น
และในเวลาเดียวกัน บนปากภูเขาไฟของแต่ละสามสำนัก ก็เป็นที่รวมตัวของพวกผู้ฝึกตนซึ่งพ่ายแพ้การต่อสู้รอบแรกและไม่มีสิทธิเข้าร่วมประลองทั้งหมด พวกเขามองไปยังตำแหน่งของปากภูเขาไฟ เพราะว่าสถานที่นั้น ปรากฏหน้าจอฉากรูปรังผึ้งขนาดยักษ์ ภายในนั้นคือชิ้นส่วนตาข่ายแต่ละอัน กำลังแสดงภาพสถานที่ประลองไม่ซ้ำกัน
ภายในชิ้นส่วนพวกนี้ เห็นได้ชัดว่ายามนี้เหลือเพียงแค่ครึ่งหนึ่ง ส่วนที่เหลือเหล่านั้นถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นอัตโนมัติ ทำให้ศิษย์ทั้งสามสำนัก สามารถมองเห็นทุกอย่างชัดเจน
เพียงแต่ว่า ต่อให้ชิ้นส่วนพวกนี้จะเหลือเพียงครึ่งหนึ่งแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีจำนวนมากมายน่าตื่นตะลึง ดังนั้นแล้วหวังเป่าเล่อซึ่งอยู่ในบรรดาชิ้นส่วนเหล่านี้ จึงไม่ได้เป็นจุดสนใจเท่าไร โดยเฉพาะตอนนี้มีชิ้นส่วนอีกจำนวนมากให้ผู้ชมเลือกรับชม เช่นนั้นแล้วผู้คนย่อมเลือกรับชมชิ้นส่วนที่มีชื่อเสียงมากกว่า
ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนของเหล่าผู้อาวุโสเก่งกาจหรือพวกศิษย์จากสามสำนักที่มีคนนิยมดู เสียงวิจารณ์นั้นดังออกมาจากแต่ละสำนักทั้งสามอย่างต่อเนื่อง
“การทดสอบในครั้งนี้ ข้าแน่ใจเลยว่ารอบชิงชนะเลิศนั้นต้องเป็นเยว่หลิงจื่อและจงเหิงจื่อแน่!”
“ไม่ผิด พวกเจ้าดูเยว่หลิงจื่อทางนั้น กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของนางได้ระดับขึ้นสั่นสะเทือนมิติแล้ว อยู่ในระดับที่บิดเบือนการมองเห็นได้!”
“เกรงว่าพวกเจ้าจะลืมนักพรตเต๋ายิ่นสี่ผู้เร้นลับของเต๋าแห่งจังหวะดนตรีนั่นไปแล้ว ยิ่นสี่ผู้นั้นสิเป็นผู้น่ากลัวที่สุด พวกเจ้าเห็นการต่อสู้ของเขาไหม ทุกครั้งเขาแค่ก้าวเดินครั้งเดียวก็ชิงชัยชนะได้แล้ว”
“สือหลิงจื่อผู้นั้นก็ไม่ธรรมดา!”
ท่ามกลางการถกเถียงของสามสำนักนี้ ด้านข้างปากปล่องภูเขาไฟของเต๋าแห่งจังหวะดนตรี ปรากฏผู้ที่หวังเป่าเล่อเคยสู้ด้วยคนนั้น ตอนนี้เขายืนทำหน้าปั้นยากอยู่ที่นั่น เมื่อครู่หลังจากที่ถูกส่งออกมานั้นราวกับว่ามีสายตาไม่น้อยหันมาจับจ้อง ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอ่วน แต่เมื่อคิดว่าตนเองพบกับสัตว์ประหลาดตนนั้นเมื่อครู่ เขาก็อดผ่อนคลายลงไม่ได้
โดยเฉพาะ…หลังจากเขาพบว่ารอบด้านนั้นนอกจากตนเองแล้วไม่มีใครไปสนใจสัตว์ประหลาดตัวที่ตนพบเข้า ผู้ฝึกตนเต๋าแห่งจังหวะดนตรีรายนั้นก็พลันถอนหายใจเหยียดยาว สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมา
“นั่นคือม้ามืดชั้นเยี่ยมตัวหนึ่ง ทุกคนที่ได้พบกับเขา…ล้วนต้องตาย!!”
เมื่อในใจคิดว่าในเมื่อตนเองสู้ไม่ได้ เช่นนั้นคนอื่นก็ไม่มีทางทำได้แบบนี้ ผู้ฝึกตนเต๋าแห่งจังหวะดนตรีรายนั้นจึงเลือกดูภาพจากชิ้นส่วนที่แตกต่างจากผู้อื่น เขาไม่สนชิ้นส่วนอื่นแล้ว เอาแต่จับจ้องดูหวังเป่าเล่อทางนั้น จ้องจนตาไม่กะพริบทีเดียว
และในตอนที่เขามองเห็นหวังเป่าเล่อถูกปลายักษ์กลืนกิน และถูกนกทะเลแผดเสียงใส่ เขาก็ได้แต่ยกยิ้มเย็นเยาะเย้ย
“ไม่ว่านี่เป็นใครลงมือ ถัดมา ผู้นี้ก็จะรู้เองว่าอะไรคือความสิ้นหวัง!”
เกรงว่านี่อาจจะประจวบเหมาะกับคำพูดของเขาพอดี เกือบจะในเวลาเดียวกับที่ผู้ฝึกตนเต๋าแห่งจังหวะดนตรีนี้เอ่ยปาก ในชิ้นส่วนที่หวังเป่าเล่ออยู่นั้น ปลายักษ์ที่หวังจะฮุบในคำเดียวตัวนั้นยังไม่ทันที่มันจะกระโจนกลับลงทะเล พลันต้องร่างสะท้าน จากนั้นเสียงระเบิดดังลั่นก็ดังขึ้น เลือดปลาสดๆ สาดกระจายลอยออกมาเป็นชิ้นๆ ในพริบตานั้นสีแดงอาบย้อมไปทั่วครึ่งหนึ่งของพื้นที่ท้องฟ้าและทะเล ทำให้เหล่านกทะเลเหล่านั้นเองก็ค่อยๆ ร่วงหล่นร่างสลายไปตามๆ กัน
นี่ราวกับว่า มีพลังอันน่าสะเทือนขวัญระเบิดออกในพริบตา จนกระทั่งว่าภาพในชิ้นส่วนนั้นถึงกับสว่างวาบทันที เพียงแต่ว่าการกะพริบของภาพนี้เร็วเกินไป หากมิได้จ้องมองแบบตาไม่เคลื่อนไหวเลย ก็ยากจะสังเกตพบ
หลังจากการวาบผ่านของแสงนั้น หวังเป่าเล่อที่อยู่ในเศษชิ้นส่วน ยามนี้ก็เผยประกายเย็นเยียบในดวงตาออกมา เขายกมือขวาขึ้นคว้าไปยังทิศของมหาสมุทรเบื้องหน้า และภายใต้การคว้านี้เอง บทเพลงก็แผ่ขยาย นี่คือเพลงที่เขาร้อยเรียงขึ้นมาเองทั้งบท มันกระจายไปทั่วสี่ด้าน
ทุกทิศทางที่มันแผ่ขยาย มหาสมุทรนั้นก็พลันปรากฏคลื่น ก่อนจะแหวกทางออกเป็นสองส่วน เผยให้เห็นว่าในนั้นมีเงาร่างที่ตะลึงลานสิ้นสติอยู่ คนผู้นี้คือผู้ฝึกตนชายรายหนึ่ง สีหน้าของเขาขาวซีด ดวงตาฉายแววตะลึงและหวาดกลัว เขากระอักเลือดสดๆ ออกมาไม่หยุด
เขาสัมผัสได้ถึงการกลืนกินแบบที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน เป็นเพราะเขาเอาชนะการประลองแรกได้รวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงมารออยู่ที่การประลองที่สองนี้ได้หลายชั่วโมงแล้ว จึงมีเวลามากเพียงพอที่จะแปลงกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงให้กลายเป็นปลายักษ์และนกทะเล ในครั้งแรกคิดว่าการลอบทำร้ายและเตรียมตัวเช่นนั้นจะทำให้ตนมีโอกาสเอาชนะได้สูงมาก แต่เขาก็ไม่ทันได้คิดเลยว่า…
ก่อนหน้านี้เหมือนว่าทุกอย่างจะจบสิ้นแล้ว แต่ในพริบตาถัดมา ปลายักษ์กลับร่างสลาย นกทะเลหายตัว กลายเป็นพลังสะท้อนกลับอันน่าตกตะลึง ทำให้โน้ตดนตรีในตัวของตน ยามนี้พังสลายไปเกือบครึ่ง
ในตอนนี้เมื่อมองเห็นตัวเองยากจะหนีได้แล้ว ผู้ฝึกตนรายนี้จึงเอ่ยปากขึ้นทันที แต่คำพูดยังไม่ทันได้ลอดออกมา หวังเป่าเล่อที่ลอยตัวสีหน้าไม่แสดงอารมณ์อยู่นั้นพลันโบกมือครั้งหนึ่ง และในพริบตาถัดมา มหาสมุทรที่ถูกแหวกออกนั้นพลันพาพลังกระแสนับหมื่น พุ่งเข้าปะทะผู้ฝึกตนที่ถูกเผยร่างคนนั้นเข้าไปจังๆ
ในชั่วเวลานี้เอง ยังไม่ทันที่ผู้ฝึกตนรายนั้นจะได้เอ่ยสิ่งใด เขาก็ถูกกลบฝังอยู่ใต้ทะเลนี้ไปตลอดกาล
เพราะว่า…น้ำทะเลที่พัดม้วนเข้าไปนั้นแฝงไปด้วยท่วงทำนองของหวังเป่าเล่อ พลังอำนาจดุดันยิ่งใหญ่ เพียงพอบดขยี้ทุกสิ่ง
“ข้าเกลียดการลอบโจมตีที่สุด” หวังเป่าเล่อแค่นเสียง จากนั้นรอบด้านก็ค่อยๆ พร่าเลือน ผู้ฝึกตนเต๋าแห่งจังหวะดนตรีที่อยู่ในหุบเขาผู้นั้น ยามนี้สูดหายใจเข้าลึก ร่างกายสั่นสะท้านเล็กน้อย ความรู้สึกว่าได้มีชีวิตรอดมารุนแรงมากขึ้นกว่าเก่า
“ดีนะที่ข้าไม่ได้ลอบโจมตีเขาก่อนหน้านี้…” ผู้ฝึกตนแสนจะดีใจที่รอดมาได้ อีกทั้งยังตื่นเต้นขึ้นนิดหน่อย เขายิ่งมั่นใจกับสิ่งที่ตนคิดมากขึ้น
“นี่ก็คือม้ามืดท่านหนึ่งอย่างแน่นอน!!”
.
อีกฝ่ายมองไม่เห็นตนเอง จุดนี้มิใช่เพราะหวังเป่าเล่อพิเศษ แต่เป็นเพราะในยามที่เขาสัมผัสถึงดนตรีของอีกฝ่าย พลังบางอย่างในตัวของเขาก็พลันหลอมเข้ากับเต๋าดนตรีนั้นไปด้วยแล้ว
ก็เหมือนกับตัวเขาเอง กลายเป็นส่วนหนึ่งของเต๋าดนตรีของอีกฝ่าย เช่นนี้จึงทำให้ผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีรายนั้นต่อให้จะแผ่พลังจนสุดกำลังให้เต๋าดนตรีครอบคลุมทั้งแปดทิศ ก็ยังยากจะรู้สึกได้ว่าหวังเป่าเล่ออยู่ไม่ไกล
และในยามนี้เอง หลังจากที่หวังเป่าเล่อเอ่ยปาก ผู้ฝึกตนเต๋าดนตรีรายนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี ในใจตกตะลึง แต่ในเมื่อเขาศึกษาวิชานี้มาเป็นเวลาหลายปี ความรู้ในด้านทำนองดนตรีจึงไม่ธรรมดา ดังนั้นหลังจากผ่านไปหลายชั่วอึดใจ เขาก็พบปัญหาข้อนี้ จึงรีบถอยร่างอย่างรวดเร็ว แล้วดึงพลังแห่งท่วงทำนองดนตรีที่แผ่ออกไปแปดด้านกลับมาทันที
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้ตำแหน่งของหวังเป่าเล่อทางนั้นปรากฏชัดขึ้นเล็กน้อย หากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่น ผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีรายนี้คงยากที่จะจับสังเกตท่วงทำนองที่คล้ายคลึงกับตนเองนี้ได้ แต่ในยามนี้เขาทุ่มสมาธิทั้งหมด ก็ค่อยๆ จับความผิดปกตินี้ได้
“ที่แท้ก็อยู่ที่นี่!” ระหว่างที่กล่าวนั้น ผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีก็ปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย เขาถอยร่างพลางยกมือขวาขึ้น จากนั้นก็ชี้ไปยังทิศทางที่สัมผัสได้ว่าหวังเป่าเล่อซ่อนตัวอยู่ทันที
ทันใดนั้นเสียงซ่าซ่าแห่งท่วงทำนองก็ดังขึ้นสะท้านใจคนรอบทิศ กระทั่งว่าแมกไม้ในป่าพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง ก่อเกิดเสียงดังลั่นราวจะระเบิดพลังพุ่งมายังหวังเป่าเล่อทางนี้ สะกดทับลงมา
เมื่อพัดผ่านไปที่ใด รอบด้านก็พลันบิดเบี้ยว เสียงนี้นำจิตแห่งการทำลายมาด้วย ราวกับคิดจะบดขยี้หวังเป่าเล่อให้เป็นผุยผง
เมื่อมองเห็นระเบิดเสียงเข้ามาใกล้ หวังเป่าเล่อกลับไม่ได้หลบหลีก กระทั่งว่าดวงตาของเขาสว่างวาบครั้งหนึ่ง เขาพบว่าโน้ตดนตรีภายในร่างนั้นรวมตัวกันได้เร็วขึ้น และไปถึงจุดสูงสุดในยามนี้เอง
สามตัว ห้าตัว สิบตัว ยี่สิบตัว โน้ตแต่ละตัวค่อยๆ พากันหลอมประสาน จนแม้แต่ตัวของหวังเป่าเล่อเองยังต้องตะลึง
“นี่มันเรื่องอะไรกัน…” แม้จะตกตะลึง แต่ก็ยินดีเสียมากกว่า ดังนั้นแล้วแม้พลังแห่งดนตรีนี้จะโถมเข้ามา แต่หวังเป่าเล่อกลับยังนั่งนิ่งไม่ขยับ ยอมให้พลังปราณแห่งระเบิดเสียงนี้ ครอบคลุมตัวเองไว้ข้างใน
เมื่อมองจากระยะไกล กลุ่มท่วงทำนองอันอัดแน่นนี้คล้ายจะกลายร่าง แปลงเปลี่ยนเป็นรูปลักษณ์คล้ายกับไม้กองหนึ่ง ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นอยู่ท่ามกลางใบไม้ ถูกครอบคลุมเอาไว้จนรู้สึกย่ำแย่
เห็นเป็นเช่นนี้ก็จริง แต่แท้จริงแล้วในใจหวังเป่าเล่อกลับรู้สึกยินดีสุดขีด เกือบจะเรียกได้ว่าตื่นเต้น เกรงว่าตัวเองเผยพลังที่แท้จริงออกไปจนทำให้อีกฝ่ายตกใจและไม่มาเติมพลังการฝึกตนให้ตนเองอีก
ดังนั้นแล้วหวังเป่าเล่อจึงรีบแสดงสีหน้าเจ็บปวดขึ้นมา ราวกับว่าพยายามฝืนต้านระเบิดเสียงอยู่ ท่าทางใกล้จะพ่ายแพ้แล้ว
“ก็แค่นี้เอง” ผู้ฝึกตนรายนั้นเมื่อเห็นฉากนี้เข้า ก็ผ่อนคลายจิตใจลงก่อนจะแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่ง เขากักตนตัวเองเอาไว้ตั้งหลายปี ย่อมต้องแตกต่างกับสมัยก่อนแล้ว คู่ต่อสู้คนนี้แม้จะซ่อนตัวเร้นลับ แต่เมื่อตนเองลงมือผลสุดท้ายยังต้องพ่ายแพ้อยู่ดี
ความคิดถือดีขุมหนึ่งผุดขึ้นภายในใจของเขา ผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีรายนี้เหลือบตามองหวังเป่าเล่อที่สีหน้าทนทุกข์ทรมาณ ก่อนจะเอ่ยปากเรียบนิ่ง
“อย่างมากสิบลมหายใจ เจ้าจะต้องตายแน่นอน ตอนนี้หากร้องขอชีวิต บางทีข้าอาจจะละเว้นเจ้า”
คำพูดนี้ของเขาทำให้หวังเป่าเล่อซาบซึ้งอยู่บ้าง และในเวลาเดียวกันก็แอบรู้สึกผิด เพราะอีกฝ่ายดูไปแล้วเหมือนจะสู้ให้ถึงที่สุด แต่เจตนาที่ส่อออกมาทางคำพูด ไม่ได้คิดจะสังหารตน
“ช่างเถอะ ในเมื่อเขามีใจเมตตา เช่นนั้นข้าก็จะมอบผลดีให้แก่เขาพอแล้ว” หวังเป่าเล่อคิดถึงตรงนี้ ก็ค่อยๆ จมจ่อมอยู่กับการรับรู้ของตนเอง
ก็เป็นเช่นนี้ สิบลมหายใจถัดไป หลังจากที่หวังเป่าเล่อไม่ได้ดิ้นรนอีก ผู้ฝึกตนรายนั้น พลันค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้น เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ กล่าวกันตามตรงแล้ว คนเบื้องหน้าตนควรจะอดทนไม่ไหวถึงจะถูก
แต่อีกฝ่ายสามารถยืนหยัดมาได้ถึงตรงนี้ นี่ทำให้ดวงตาของผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีรายนี้สว่างขึ้นมาวาบหนึ่ง ก่อนหน้านี้เขาไม่ยินดีจะเพิ่มพลัง จริงๆ แล้วนั้นมิใช่เพราะไม่คิดจะสังหาร แต่เพราะไม่อยากสิ้นเปลืองพลังของตนเองมากกว่า
โดยเฉพาะความมุ่งหมายของเขาก็คือทะยานสู่สิบอันดับแรก แล้วชิงที่หนึ่ง
แต่มาตอนนี้ มองเห็นหวังเป่าเล่อในที่นี้ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ เขาที่กลัวว่าหากพิรี้พิไรสถานการณ์จะเปลี่ยน หลังจากแววตาทอประกายกล้า ก็แค่นเสียงออกมา “ในเมื่อเจ้ารนหาที่ ก็อย่าได้โทษข้า” กล่าวแล้ว ผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีก็ยกมือขวาขึ้น ฉับพลันมันคว้ามาทางหวังเป่าเล่อกลางอากาศ การคว้าครั้งนี้ พลันปรากฏเงาร่างแห่งเวทดนตรีรูปใบไม้ขึ้นรอบกายหวังเป่าเล่อ แล้วบิดรูปขึ้นมาล้อมหวังเป่าเล่อเอาไว้ข้างใน การลงมือนั้น ราวกับว่าต้องการจะบดขยี้อีกฝ่ายจนตาย
ผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีรายนั้นฉีกยิ้มพลางใช้แรง แต่ตอนนั้นเองเขาก็ต้องเบิกตากว้าง นัยน์ตาค่อยๆ หดลีบลง หลังผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็ฝืนกลืนน้ำลายลงเอื๊อก ลมหายใจกระชั้นก่อนที่สีหน้าจะเปลี่ยนจากไม่อยากเชื่อเป็นลนลาน
แท้จริงแล้ว มันยากมากที่เขาจะไม่แตกตื่น ก่อนหน้านี้เขายังจับสัมผัสได้ไม่ดีพอ แต่ตอนนี้เมื่อส่งกระแสจิตเข้าสู่ท่วงทำนองเสียง แล้วควบคุมเวทแห่งเสียงเพื่อให้ออกแรงบีบ ทำให้ตัวเขาเองสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า เงาร่างใบไม้ของเขาทั้งหลายนั้นราวกับกำลังห่อหุ้มเหล็กอยู่ และไม่เหลือแรงบีบอัดแม้เพียงนิด
กระทั่งตัวเขายังมีความรู้สึกบางอย่าง ว่าถึงใบไม้ของตัวเองจะแหลกสลายแล้ว เกรงว่าอีกฝ่ายก็ยังไม่เป็นอะไรอยู่ดี
แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น ใบไม้ที่ก่อเกิดจากกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเหล่านี้ ดูๆ ไปแล้วโหดเหี้ยม แต่สำหรับหวังเป่าเล่อไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย ทว่าเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาเองก็ไม่ได้ปิดบังต่อไป แต่กลับเงยหน้าขึ้นมองผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีที่สีหน้าซีดขาวด้วยความเบื่อหน่าย
การแหงนมองนี้ ราวกับทลายแรงฝืนยืนหยัดสุดท้ายในใจของเขาไปหมดสิ้น ผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีรายนั้นหอบหายใจเร่งเร้ารีบถอยร่างรวดเร็ว จากนั้นวิ่งหนีไปอย่างไม่หันหลังกลับ
ในใจของเขาเองสั่นสะท้าน เขารู้สึกได้แล้วว่า ตนคงได้พบกับผู้แข็งแกร่งซึ่งแอบซ่อนตัวอยู่ในสามสำนักเสียแล้ว…
“ข้าได้ยินมาว่าในสามสำนัก แต่ละที่ก็มีพวกที่แอบซ่อนพลังของตัวเองไว้ สมควรตายนัก…ทำไมข้าถึงได้เจอเข้าเล่า!” ระหว่างที่ในใจของเขากำลังบ้าคลั่ง ความเร็วของผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีรายนั้นก็ยิ่งเร็วขึ้น ส่วนหวังเป่าเล่อทางด้านนั้นกลับถอนหายใจออกมา
“ท่วงทำนองลดลงเยอะไปแล้ว…” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า เขาก็แค่อยากสัมผัสเสียงดนตรีอย่างสบายใจสักหน่อย ตอนนี้ระหว่างที่ถอนหายใจ เขาก็ขยับร่างเบาๆ ครั้งหนึ่ง ท่ามกลางเสียงแกรกกราก ท่วงทำนองของใบไม้รอบตัวเขาก็พลันทลาย
หวังเป่าเล่อแหงนหน้ามองไปยังทางที่ผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีวิ่งหนีไป เขาโบกมือส่งๆ ครั้งหนึ่ง ไม่ได้ระเบิดท่วงทำนองนับแสนที่ซ้อนทับกันในร่างออกมา แต่กลับขยับมันเล็กน้อย ทันใดนั้น เบื้องหน้าที่ว่างเปล่าพลันเกิดเสียงถล่มทลายดังขึ้น ราวกับว่าในโลกแห่งเวทีประลองนี้คล้ายจะประคองต่อไม่ไหว กลายเป็นเหมือนรอยแตกน่าตะลึงคล้ายงูสีดำ พุ่งไปยังผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีที่รีบวิ่งเร็วรี่ โอบล้อมพุ่งเข้าไป
ฉากนี้ ทำให้สีหน้าของผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีพลันเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง ในสายตาของเขาคล้ายว่าสถานที่ประลองนี้กำลังจะฉีกแยก และงูสีดำที่ทำลายทุกสิ่งเหล่านี้กำลังอยู่เบื้องหน้าตน
“ข้ายอมแพ้!!” เมื่อช่วงเวลาเป็นตายมาเยือน ผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีก็แผดเสียงร้องแหลม เกรงว่าหากตนช้ากว่านี้อีกนิดก็คงจะเหมือนกับมิติตรงนี้คือถูกฉีกทิ้งในพริบตา

เบื้องหน้าของเงาร่างที่คล้ายจะแหลกสลาย ยามนี้เปลวเพลิงสีดำพลันลุกโชติ ก่อนจะควบรวมออกมาเป็นชิ้นส่วนตาข่ายจำนวนนับไม่ถ้วน ผนึกพวกนี้ราวกับรังผึ้งก็ไม่ปาน มีจำนวนมากมายเบียดแน่นไปหมด

และทุกๆ ชิ้นส่วนตาข่ายราวกับว่าด้านในของมันมีพื้นที่ขนาดใหญ่…และที่ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเงาร่างนี้ ก็เป็นเพียงแค่ขนาดย่อส่วนของมันเท่านั้น แต่หากลองพินิจอย่างละเอียด ก็สามารถมองจากเงาร่างย่อส่วนพวกนี้ได้ จะเห็นว่าในชิ้นส่วนตาข่ายเล็กๆ หนึ่งชิ้น ทุกชิ้นนั้นมีผู้ฝึกตนของสามสำนักอยู่สองคน

การทดสอบครั้งนี้ คือการต่อสู้ในพื้นที่จำกัด!

ยามที่เงาร่างใกล้จะแหลกสลายกำลังจับจ้องภายในชิ้นส่วนตาข่ายนับไม่ถ้วนอยู่นี้เอง ในตอนนั้นภายในชิ้นส่วนตาข่ายชิ้นหนึ่ง พลันปรากฏร่างของหวังเป่าเล่อ

และในตอนที่โผล่ออกมานั้น หวังเป่าเล่อก็ปล่อยกระแสจิต เขามองไปรอบด้าน ก่อนที่นัยน์ตาจะทอประกายวาบ วิธีการทดสอบครั้งนี้ เขาไม่ทราบมาก่อนเลย ยามนี้ก็ยังไม่รู้อยู่ดี แต่หลังจากเห็นภาพทุกสิ่งรอบๆ แล้วทั้งหมด ในใจหวังเป่าเล่อก็ได้คำตอบ

 นี่คือเวทีประลองแบบไม่ยึดติดกับผืนดิน?  ในใจหวังเป่าเล่อคิด สถานที่ที่เขาอยู่นี้ เป็นเทือกเขาแห่งหนึ่ง มองไปแล้วยิ่งใหญ่มาก ทว่าในความจริงก็มีขนาดประมาณเมืองปรารถนาเสียง

สำหรับคนทั่วไป มันอาจจะไพศาลกว้างใหญ่ แต่สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว เขาอยากไปที่ไหนก็ย่อมไปได้ในทันที

เมื่อมองอาณาเขตแห่งนี้ นี่คงไม่ใช่การตะลุมบอนกัน ดังนั้นแล้วคงจะเป็นการประลองเดี่ยวเท่านั้น

 ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คงให้แลกเปลี่ยนฝีมือไปทีละรอบ สุดท้ายแล้วก็จะได้ที่หนึ่ง…  หวังเป่าเล่อสามารถจินตนาการได้ สถานที่ประลองแบบที่ตนอยู่คงจะมีจำนวนมากมาย และทุกๆ ที่ล้วนมีการประลอง

 เวทีประลองเยอะขนาดนี้ คงจับเอาทั้งคนเก่งไม่เก่งมาผสม ไม่รู้ว่าคู่ต่อสู้คนแรกของข้า จะเป็นผู้ใด…  หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขาพลันขยับร่างหายไปจากตรงนั้น แล้วกลายเป็นท่วงทำนองเพลงบทหนึ่ง จากนั้นเคลื่อนกายด้วยความรวดเร็วผ่านเทือกเขา

ยอดเขาของสถานที่แห่งนี้มีอยู่สี่แห่ง แต่ว่าระหว่างยอดเขาทั้งหลายมีป่าทึบอยู่ผืนหนึ่ง และในป่าทึบผืนนี้ มีเสียงแผดคำรามดังลอดมา ทำให้ใบไม้จำนวนมากสั่นไหว เกิดเสียงซู่ซ่าขึ้นทันที

และท่ามกลางเสียงซู่ซ่านี้เอง แท้จริงแล้วมันกำลังดังประสานกับท่วงทำนองเพลงอันยากจะแยกแยะและยากจะสังเกตพบได้บทหนึ่ง แม้มองแล้วป่านี้จะปกติ แต่แท้จริงนั้นการสั่นไหวของใบไม้ทั้งหมดล้วนสอดประสานไปกับเสียงหนักเบาแห่งดนตรีเพลิง

 โชคไม่เลวจริงๆ ศึกครั้งแรก ที่แท้ก็มอบสถานที่ที่เหมาะสมขนาดนี้ให้ข้า…  ท่ามกลางเสียงพัดหมุนซู่ซ่า มีเงาร่างซึ่งคนนอกมองไม่เห็น กำลังทะยานผ่านแมกไม้ไปสอดประสานกับช่วงเสียงทั้งหลาย

คนผู้นี้มาจากเต๋าแห่งจังหวะดนตรี เป็นผู้ฝึกตนอาวุโสกว่าอีกรุ่นหนึ่ง เขาไม่อ่อนด้อยและกักตัวฝึกตนมายาวนาน ย่อมแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แท้จริงแล้ว ผู้ฝึกตนเช่นเขามีประสบการณ์เข้าทดสอบมาหลายครั้งนัก

 ปิดตัวมาหลายปี ยามนี้เต๋าดนตรีของข้าพัฒนายิ่งใหญ่ นี่เป็นโอกาสรับศิษย์ของเจ้าปรารถนาเสียงอีกด้วย เรื่องราวทั้งหลายมองไปแล้วก็เหมือนเดิม แต่แท้จริง นี่คือสัญญาณของโอกาสในการบ่มเพาะโชคชะตาของข้าชัดๆ 

 ในครั้งนี้ ข้าจะต้องรุ่งโรจน์ และทำให้ทุกผู้คนตกตะลึง!  เสียงพึมพำนั้น สอดประสานเข้ากับเสียงซู่ๆ แฝงไปด้วยความกระตือรือร้น และในเวลาเดียวกัน เงาร่างที่คนมองไม่เห็นก็ยิ่งเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว

 ตอนนี้ ก็แค่รออีกฝ่ายมาถึง 

 เมื่อเขาเหยียบเข้าป่าแห่งนี้ ต้องพ่ายแพ้แน่นอน อีกอย่างเสียงแห่งดนตรีของข้า แทบไม่มีทางถูกพบในที่แห่งนี้ได้ 

หลังจากความเร็วเพิ่มขึ้น ใบไม้ทั้งหลายก็สั่นไหวหนักกว่าเก่า ส่วนลมนั้นเหมือนจะตีแรงขึ้น

เพียงแต่ว่า…ต่อให้ความเร็วของคนผู้นี้จะเพิ่มขึ้นแค่ไหน ลมของที่นี่ก็พัดกระหน่ำคลั่งกว่าเท่านั้น และเสียงซ่าๆ ก็ดูเหมือนว่ายิ่งนานเข้าก็ยิ่งสั่นสะท้านวิญญาณ

แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังไม่พบเงาร่างของผู้ประลองเลย

เพราะว่า…หวังเป่าเล่อในตอนนี้ ไม่ได้อยู่ในป่า บทเพลงท่วงทำนองจากร่างของเขา ยามนี้ล่องลอยอยู่บนเทือกเขาใกล้ๆ เป็นเวลาครู่ใหญ่แล้ว เงาร่างที่ซ่อนตัวอยู่ในท่วงทำนอง กำลังสำรวจป่าด้านล่างอย่างสนใจ

 ผู้คนมักกล่าวว่าการฝึกเต๋าแห่งเสียงนั้น ก็คือเสียงของหมื่นสรรพสิ่ง ตอนนี้กลับได้พบว่า ถึงกับมีคนสามารถฝึกเสียงใบไม้สั่นไหวออกมาได้ด้วย…  หวังเป่าเล่อสนใจเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่ได้ปรากฏตัวตั้งแต่แรก แต่ยืนรอฟังอยู่ตรงนี้ครึ่งได้เค่อแล้ว

ในส่วนเงาร่างของผู้ฝึกเต๋าแห่งเสียงรายนั้น แม้ว่าคนอื่นจะมองไม่เห็น แต่ตัวตนของหวังเป่าเล่อนี้ประหลาดเร้นลับอยู่แล้ว เกรงว่าอาจเพราะการกลายร่างอันประหลาดพิสดาร ทำให้ยามนี้เมื่อเขามองกลับไปจึงเห็นได้ชัดเจนถึงเงาร่างที่แหวกผ่านแมกไม้ขึ้นมา

ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้อีกฝ่ายจะหลอมรวมตัวเองไปกับท่วงทำนอง แต่ในสายตาของหวังเป่าเล่อ นี่กลับเห็นได้ชัดเจนยิ่ง

ราวหนึ่งก้านธูปให้หลัง หวังเป่าเล่อคล้ายจะฟังจนพอใจแล้ว เขากำลังจะก้าวไปหา ทว่าในตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็ต้องส่งเสียงประหลาดใจแวบหนึ่งออกมา เพราะสัมผัสได้ว่าอักขระที่อยู่ในกาย เวลานี้ได้เพิ่มขึ้นมาหลายสิบตัว

 นี่ก็เป็นไปได้หรือ?  หวังเป่าเล่อกะพริบตา แม้จะยังคงก้าวไปหา แต่ก็ไม่ได้เข้าใกล้มากเกินไปนัก เขาหยุดอยู่นอกชายป่า และแล้วภายในใจของเขาก็เกิดความยินดีทันที

เพราะว่า ระยะห่างขนาดนี้ เขาพบว่าอักขระภายในกายของตนกลับเพิ่มขึ้นเร็วกว่าเก่า และทะยานความเร็วขึ้นทุกที ราวกับว่าในทุกห้วงหายใจหนึ่ง จะเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง

จังหวะประมาณนี้ แทบจะไม่แตกต่างกับตอนที่เขาบรรลุปลาดนตรีครามเลย

ดังนั้นท่ามกลางความยินดี หวังเป่าเล่อไม่ได้ลงมือในทันที แต่กลับตั้งใจฟัง สัมผัสถึงอักขระ ในเวลานั้นหนึ่งชั่วยามก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว…

ผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีผู้นี้ เริ่มหมดความอดทนเต็มทีแล้ว โดยเฉพาะเมื่อเขารวบรวมเสียงจากภายในป่าอยู่ ยามนี้เขาแทบจะบ้าแล้ว เขาแค่นเสียงเหอะเย็นชาออกมาคำหนึ่ง

 ดูท่าแล้วจะซ่อนตัวไม่ยอมออกมา แต่…จะมีประโยชน์อะไร!  ผู้ฝึกตนเต๋าแห่งดนตรีเหยียดหยาม หากอีกฝ่ายออกมาแต่แรกแล้วกัน ทว่ากลับเปิดโอกาสให้เขาเตรียมตัวขนาดนี้ เช่นนั้นต่อให้หลบซ่อน เขาก็มั่นใจว่าจะหาอีกฝ่ายพบ

เมื่อคิดได้ ลมพายุแห่งท่วงทำนองดนตรีที่หมุนรวมกันอยู่ในป่าก็ทวีความบ้าคลั่งมากขึ้น ทันใดนั้นมันกระจายออกราวกับคลื่นยักษ์ไม่ปาน พัดจากใจกลางของป่าพุ่งขยายไปรอบด้านทั้งสี่ทิศอย่างช้าๆ ทว่ารุนแรง ในชั่วอึดใจถัดมา ก็ครอบคลุมทั้งสนามประลองนี้เอาไว้แล้ว

 ให้ข้าดูสักหน่อย ว่าเจ้าแอบอยู่ที่ใด!  ผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีรายนั้นฉีกยิ้มบ้าคลั่งพลางส่งกระแสจิตแห่งดนตรีครอบคลุมขยายไปทั่วทั้งสนามประลอง ทว่าในพริบตาถัดมา สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นสงสัย

เพราะว่า…ในขอบเขตท่วงทำนองของเขา กลับสัมผัสไม่ได้ถึงความผิดปกติเลย คู่ต่อสู้ของตนเอง เหมือนว่าไม่มีตัวตนอย่างไรอย่างนั้น

 นี่มัน…  ผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีรายนั้นอดสงสัยไม่ได้ หลังจากสำรวจดูอย่างละเอียดแล้ว ก็ยังไม่ได้รับผลอะไร นี่ทำให้ในใจเขาเกิดการคาดเดานานา

 หรือว่าซ่อนตัวอยู่ลึกมาก? หรือว่า…ข้าไม่มีคู่ต่อสู้ที่นี่?  เขาค้นหาไปทั่ว ค้นหาอย่างละเอียดเนิ่นนาน หากแต่ขณะที่คิดสงสัยเช่นนี้ ก็ยังไม่พบอะไร หลังจากไม่พบอันตรายอะไรแม้เพียงนิด ผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีท่านนี้ แม้จะรู้สึกว่าเหลือเชื่ออยู่บ้าง ก็ยังอดแสดงสีหน้าตื่นตะลึงออกมาไม่ได้

 หรือว่าข้าถูกส่งมาพื้นที่ว่างจริง? ดันไม่มีศัตรูอยู่ที่นี่?  เมื่อคิดเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้พัดโบกลมแห่งท่วงทำนองของตนเอง มันแผ่วเบาลงกว่าเดิมมาก เสียงซู่ซ่าของใบไม้ค่อยๆ เริ่มลดลง

นี่สำหรับเขาแล้วไม่นับว่าเป็นอะไร แต่สำหรับหวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ไม่ห่างออกไปซึ่งผู้ฝึกตนแห่งเต๋าดนตรีไม่ได้สังเกตเห็นสักนิดราวกับมองไม่เห็นนั้น การที่เสียงซู่ซ่าลดลงหมายถึงว่าสัมผัสลดต่ำลงไปด้วย

 เฮ้อ สหายเต๋าผู้นี้ อีกนิดเดียวข้าก็จะสมบูรณ์แล้ว เจ้าช่วยวิ่งอีกสักรอบได้ไหม?  หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้มีเหตุผล ดังนั้นแม้ในใจจะไม่พอใจเท่าไร แต่ก็แค่กระแอมไอครั้งหนึ่งออกมา พยายามปรับอารมณ์ให้ดีขึ้น

 ใคร!!! 

อีกฝ่ายคล้ายกับว่าหนังศีรษะชาวาบในพริบตาน สีหน้าเขาเปลี่ยนไปครั้งใหญ่ พลันหันกายมองไปยังด้านหนึ่ง แต่กลับไม่พบสิ่งใด ทว่าเมื่อครู่เสียงกระแอมไอและคำพูดเหล่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างได้ก่อคลื่นยักษ์ซัดโหมในใจเขาแล้ว

………………………………………..

 

ข่าวที่แพร่กระจายไปยังศิษย์ของสำนักทั้งสาม ก็คือการทดสอบรอบแรก
การทดสอบรอบนี้ เป็นที่สนใจของทุกคนแทบจะทันที กระทั่งว่าเหล่าผู้ที่กักตัวฝึกตนอยู่เป็นเวลาหลายปี ยังอดรู้สึกหวั่นไหวตามไม่ได้ พวกเขาตัดสินใจออกจากการกักตน
เพราะว่า…นี่มิใช่การทดสอบธรรมดา แต่ว่า…คือการทดสอบรับศิษย์ของเจ้าแห่งปรารถนาเสียง
เจ้าแห่งปรารถนาเสียง จะคัดเลือกคนผู้เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ไว้เป็นศิษย์ผู้หนึ่ง เพื่อให้กลายเป็นศิษย์สืบทอด และอีกทั้งก่อนหน้านี้ หลายปีที่ผ่านมา เจ้าแห่งปรารถนาเสียงที่อยู่เหนือทุกคนทั้งหมดก็เคยจัดงานทดสอบรับศิษย์พวกนี้เพียงแค่สามครั้ง
และในบรรดาศิษย์สืบทอดทั้งสามนั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ตามและไม่ว่าในยุคสมัยใดล้วนเป็นที่สนใจของเมืองปรารถนาเสียง แม้สุดท้ายแล้วแต่ละคนจะบรรลุมหาเต๋าแห่งปรารถนาเสียง แล้วเลือกกักตนตลอดชีวิตไม่ปรากฏตัวอีกจนปัจจุบันนี้ก็ตาม ทว่าเรื่องราวของพวกเขาเหล่านั้น กลับสลักอยู่ในใจของเหล่าประชาชนปรารถนาเสียงทุกคน
อีกทั้งการกลายเป็นศิษย์ของเจ้าแห่งปรารถนาเสียง สิ่งนี้สำหรับผู้ฝึกตนไม่ว่าจะมาจากสามสำนักใดก็ตาม นับเป็นเกียรติยศสูงส่งหาใดเปรียบ ด้วยเหตุนี้เมื่อจุดประสงค์ของงานทดสอบนี้เผยแพร่ออกไป ทันใดนั้นบรรยากาศในมหาสามสำนักก็เร่าร้อนขึ้นมาทันที ผู้ใดที่คิดว่าตนเองมีคุณสมบัติไปช่วงชิง จิตใจก็ฮึกเหิมเต็มไปด้วยปณิธานจะต่อสู้
ในเวลาเดียวกัน การทดสอบรอบนี้ แม้ว่าจะเลือกเพียงผู้เดียวที่จะกลายเป็นศิษย์ของเจ้าแห่งปรารถนาเสียง แต่ว่ารางวัลของที่สองและที่สามนั้นล้วนน่าตื่นตะลึงเช่นกัน ส่วนของลำดับถัดๆ ไปก็เช่นกัน กล่าวได้ว่าขอเพียงได้สิบลำดับแรก ประโยชน์ที่จะได้รับก็ใหญ่หลวงนัก ยังได้รับประโยชน์มากกว่าการกักตนฝึกคนเดียวเป็นสิบเท่าทีเดียว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่าผู้ฝึกตนที่คิดว่าตนไม่มีสิทธิช่วงชิงอันดับหนึ่ง ก็ยังคงเต็มไปด้วยความคาดหวัง
แต่ในยามที่ข่าวนี้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งสามสำนักใหญ่ และเหล่าผู้ฝึกตนทั้งหลายกำลังบ้าคลั่งกันอยู่นั้น หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ในถ้ำพลันเบิกตาโพลง เขาก้มหน้าลงมองแผ่นหยกที่อยู่ในมือ ในสมองเต็มไปด้วยเนื้อหาของข่าวนั้น และครึ่งครู่ให้หลัง ดวงตาของเขาก็ทอประกายหม่นวูบหนึ่ง
หากเจ้าแห่งสุขไม่ได้บอกแก่เขา ในคราวนี้หวังเป่าเล่อต้องยอมรับจริงๆ แล้วว่า ตนคงไม่มีทางมองเค้าเรื่องงานทดสอบครั้งนี้ออกแน่ แต่ว่าตอนนี้ต่างออกไปแล้ว หลังจากมีคำบอกเล่าของเจ้าแห่งสุขก่อนหน้า หวังเป่าเล่อก็มีคุณสมบัติพอที่จะฉีกกระชากม่านหมอกแห่งความมึนงงได้ เขามองทะลุม่านหมอกปริศนานี้ ไปสู่ความโหดร้ายซึ่งซุกซ่อนอยู่
“การได้เป็นที่หนึ่ง ได้กลายเป็นศิษย์ของเจ้าแห่งปรารถนาเสียง แท้จริงแล้ว…ก็คือการกลืนกิน”
“ดูท่าแล้ว จากการที่เจ้าปรารถนาเสียงจัดการทดสอบมาเป็นเวลาสามครั้ง ก็คงจะเป็นแบบเดียวกัน ดังนั้นแล้วศิษย์สืบทอดก่อนหน้าทั้งสามราย ก็คงจะใช้เรื่องกักตัวไม่ปรากฏโฉมให้ใครเห็นมาเป็นข้ออ้างบังหน้า จริงๆ แล้ว…สามคนนี้ ได้กลายเป็นร่างแยกทั้งสามของเจ้าปรารถนาเสียงแล้ว พวกเขาก็คือเจ้าสำนักของสามสำนักใหญ่ในตอนนี้นี่เอง”
หวังเป่าเล่อส่ายหน้า หากแต่ความมุ่งมั่นในใจที่จะต่อสู้นั้นเริ่มเพิ่มขึ้น
เขาต้องการสิ่งที่ต่างไปจากผู้อื่น สิ่งที่เขาต้องการไม่เพียงแค่อันดับหนึ่งเท่านั้น แต่ยังมี…กฎแห่งปรารถนาเสียงทั้งสามขั้น!
สิ่งที่เขาต้องการนั้นก็คือ ในพริบตาที่เจ้าปรารถนาเสียงใช้กฎแห่งเต๋าเสียงช่วงชิงชีวิตของเขานั้น เขาก็จะกระทำการสวนกลับแล้วช่วงชิงทุกสิ่งของอีกฝ่ายมาแทน จากนั้นก็ใช้มันบำรุงร่างกายของตนครั้งใหญ่
“หากทำได้เมื่อไร…เช่นนั้นในด้านกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง แม้ข้าจะไม่อาจเทียบกับเจ้าปรารถนาเสียงได้ แต่ว่าต่อให้เจ้าปรารถนาเสียงลงมือกับข้าด้วยตนเอง ก็ไม่อาจทำอะไรข้าได้แม้แต่น้อย!”
“เพราะว่าความแตกต่างของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของพวกเรา…ไม่ได้ต่างมากขนาดนั้น!”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ แสงในดวงตาของหวังเป่าเล่อก็แผดเผาร้อนแรง เปลวเพลิงนี้มีนามว่า ความทะเยอทะยาน
และด้วยความทะเยอทะยานที่ลุกโชนขึ้นมา หวังเป่าเล่อก็หลับตาทั้งสอง จากนั้นสัมผัสท่วงทำนองภายในร่างของตน รอคอยเวลาให้ไหลผ่าน ตามที่ได้รับข้อมูลมา หลังจากนี้อีกครึ่งเดือน งานทดสอบจะเริ่มต้น
ในเวลาเดียวกัน เยว่หลิงจื่อผู้งามหมดจดที่อยู่ในสำนักเหอเสียน ในใจของนางพลันก่อเกิดคลื่นซัดโหม การทดสอบในครั้งนี้ นางไม่แน่ใจว่าตนจะเอาชนะทุกคนและกลายเป็นที่หนึ่งได้
“คู่ต่อสู้ของข้า นอกจากพวกที่กักตัวมาเป็นเวลาหลายปี นอกจากผู้อาวุโสที่มีระดับไม่รู้เท่าไรพวกนั้นแล้ว ที่สำคัญก็ที่สุดก็คือ…ยิ่นสี่ที่ฝึกเต๋าแห่งจังหวะดนตรีผู้นั้น!”
เต๋าแห่งจังหวะดนตรีมีผู้ฝึกเต๋าโดดเด่นสองคน ผู้หนึ่งคือจงเหิงจื่อ อีกผู้หนึ่งก็คือยิ่นสี่ รายแรกนั้นหลงใหลในเต๋าแห่งจังหวะดนตรี สถานภาพไม่สามัญ ชื่อเสียงระบือไกล ส่วนรายหลังนั้นเร้นลับอย่างยิ่ง เทียบแล้วติดดินกว่า ผู้อื่นรู้เพียงแต่นาม ยากจะมีคนได้พบโฉมหน้าจริงๆ ของเขา สำหรับเยว่หลิงจื่อแล้ว ศิษย์เต๋าของอีกสองสำนักที่เหลือ รวมถึงสือหลิงจื่อของสำนักตนเอง นางมั่นใจว่าจะเอาชนะได้ เหลือเพียงยิ่นสี่ผู้นี้ผู้เดียว…ดังนั้นแล้วในความเงียบสงัด เยว่หลิงจื่อจึงค่อยๆ หยิบแผ่นทำนองเพลงไม่สมบูรณ์ออกมาแผ่นนึ่ง ดวงตานางค่อนข้างลังเล
ในเวลาเดียวกัน สือหลิงจื่อเองก็กำลังเตรียมการเรื่องงานทดสอบ เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับเยว่หลิงจื่อที่ยึดมั่นกับการชิงที่หนึ่งแล้ว สิ่งที่ผลักดันแรงของสือหลิงจื่อนั้นกลับเป็นความรู้สึกที่เขาจะหาคู่แค้นพบในครั้งนี้เสียมากกว่า
จากความทรงจำของตน ศัตรูของเขาคนนี้ เขารู้สึกว่าเจ้าหมอนี่แข็งแกร่งมาก อาจมีสิทธิอยู่ในสิบลำดับแรก นอกเสียจากว่าครั้งนี้อีกฝ่ายเก็บพลังไว้ มิเช่นนั้นล่ะก็ ตนต้องหาตัวพบแน่
“หากข้าหาเจ้าเจอนะ ไอ้สารเลว ข้าจะต้องทำให้เจ้าเสียใจที่ดูถูกข้า!” สือหลิงจื่อคำรามเสียงเย็น แต่เขาเองก็เข้าใจดี ว่ามีโอกาสมากที่ตนจะหาอีกฝ่ายไม่เจอในครั้งนี้เช่นกัน
อีกทั้ง หากอีกฝ่ายอดทนไม่เข้าร่วมงานทดสอบเข้าจริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้นตนก็จะมีความสุขอย่างมากด้วย เพราะเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเตรียมการเข้าทดสอบ แต่เป็นเพราะมีตนอยู่จึงเข้าทดสอบไม่ได้แล้วก็ต้องหมดโอกาสไป จุดนี้แหละจะเป็นเหตุให้สือหลิงจื่อเบิกบานใจนัก และผู้ที่กำลังเตรียมตัวอยู่อีกนั้น ยังมีเหล่าศิษย์เต๋าของอีกสองสำนัก ผู้ฝึกตนรูปงามสองท่านของสำนักเหิงฉิน แล้วยังมีจงเหิงจื่อผู้หลงใหลในเต๋าดนตรี ต่างพากันใช้ทุกวิธีทางยกระดับตัวเองในเวลาที่เหลือ
นอกจากนี้แล้ว ผู้ฝึกตนอาวุโสกว่าอีกขั้นที่เพิ่งออกจากการกักตัวมาของทั้งสามสำนักก็เป็นเช่นเดียวกัน ต่างพากันคันไม้คันมือ ราวกับว่าในงานทดสอบนี้ สิ่งที่ปกติเก็บงำไว้เงียบๆ จะได้แสดงให้โลกตะลึงไปในคราเดียว
ก็เป็นเช่นนี้ เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปช้าๆ ครึ่งเดือนก็ผ่านไป
และในวันก่อนหน้าที่งานทดสอบจะเริ่มต้น ก็มีเสียงระฆังดังขึ้นครั้งหนึ่ง มันดังสะท้อนก้องไปทั้งสามสำนัก ในเวลาเดียวกัน ศิษย์ทุกคนของสำนักทั้งสามต่างหยิบป้ายประจำตัว ตอนนี้แสงสว่างสุกใสพลันทอประกายออกมา
แสงสว่างที่ทอประกายนี้มีเวทเคลื่อนย้ายแผ่อยู่เต็ม ศิษย์ทุกคนที่ต้องการเข้าร่วมทดสอบไม่จำเป็นต้องลงโทษ ขอเพียงส่งกระแสจิตลงในแผ่นหยก ก็จะโดนเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ทดสอบได้เลย
ส่วนรูปแบบการทดสอบในครั้งนี้ ก่อนหน้าที่ผู้เข้าทดสอบจะเข้าสนามยังไม่อาจทราบได้ อาศัยตามการทดสอบรับศิษย์ที่ผ่านมาสามครั้ง บ้างก็มีให้เข้าเขตลี้ลับ บ้างก็ให้ทดสอบเป็นขั้นๆ ส่วนการทดสอบครั้งนี้เป็นอย่างไร ก็ยังไม่มีใครทราบ
แต่ว่าสำหรับหวังเป่าเล่อ สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ เขาเหลือบมองแผ่นหยกของตนแวบหนึ่ง แล้วลองสัมผัสพลังแห่งเสียงภายในกายที่ซ้อนทับกันเกือบจะถึงแสนทำนองดู หลายวันที่ผ่านมานี้ ในที่สุดตนก็ประพันธ์เพลงโบราณออกมาได้เพลงหนึ่งโดยสมบูรณ์ นัยน์ตาเขาทอประกายวาบ จากนั้นก็ส่งกระแสจิตเข้าแผ่นหยก เงาร่างพลันหายไปในพริบตา
ในเวลานี้เอง ท่ามกลางภูเขาไฟสามลูกในยามราตรี ส่วนลึกของภูเขาไฟที่เป็นตัวแทนเต๋าแห่งจังหวะดนตรีนั้น ท่ามกลางเปลวเพลิงในความมืด ก็ปรากฏเงาร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่
ปราณของเงาร่างนี้อ่อนแรงนัก สีหน้าปวดร้าว ส่วนร่างก็เริ่มผุเน่าราวกับจะขาดวิ่น เหมือนว่าอยู่ในสภาพใกล้พังทลายเต็มที ที่ยังไม่หลุดออกเป็นสี่ห้าส่วนก็เพราะพยายามฝืนพยุงไว้สุดแรง
ในสภาวะหายใจรวยริน เงาร่างนี้พลันเบิกดวงตาทั้งสอง นัยน์ตาของเขาไร้นัยน์ตาดำ แต่กลับถูกความขมุกขมัวกดทับเอาไว้ ราวกับว่ากระทั่งการลืมตาขึ้นก็ทำให้เงาร่างเจ็บปวดทรมานสุดทน
แต่เงาร่างนี้ก็ยังคงพยายามลืมตาเพื่อมองไปด้านหน้า
………………………………………

ในคืนราตรี ภูเขาไฟของสำนักเหอเสียนเปล่งปลั่งพร่างพรายอย่างยิ่ง มันและภูเขาของอีกสองสำนักรวมกันก่อรูปร่างเป็นเหมือนกับประภาคาร ทำให้ศิษย์ของสามสำนักที่ออกไปข้างนอกในยามค่ำคืนแม้ว่าจะอยู่ห่างไกลมาก แต่ก็ยังมองเห็นได้

สำหรับศิษย์ทั่วไปแล้ว สัตว์ประหลาดทั้งหมดที่อยู่ในยามค่ำคืนจะสลายหายไปเมื่อเข้าใกล้กับประตูสำนัก ราวกับไม่มีสัตว์ประหลาดตัวไหนสามารถก้าวเข้ามาภายในขอบเขตภูเขาไฟของสามสำนักได้เลย

นี่แทบจะเป็นกฎข้อหนึ่งไปแล้ว จนถึงตอนนี้ ศิษย์ทั้งสามสำนักก็ยังไม่เคยเจอเรื่องที่ว่ามีสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดเข้ามาในประตูภูเขาเลยสักครั้ง ถึงขั้นที่ในบันทึกโบราณของสามสำนักก็ยังไม่มีบันทึกเรื่องแบบนี้เอาไว้

เหมือนกับว่าการดำรงอยู่ของสามสำนักคือเขตหวงห้ามสำหรับสัตว์ประหลาดในยามค่ำคืน

หวังเป่าเล่อก็รู้เรื่องนี้ดี ดังนั้นตอนนี้เมื่อเขาเข้ามาใกล้กับภูเขาไฟของสำนักเหอเสียน ก็ไม่ได้ก้าวเข้าไปในทันที แต่ยืนอยู่ตรงนั้น มองประตูภูเขาของสำนักเหอเสียน

 ไม่รู้ว่า…ในโลกแห่งเสียง สามสำนักจะมีลักษณะอย่างไร 

หวังเป่าเล่อลังเลเล็กน้อย เมื่อก่อนตอนที่เขากลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด เขาไม่เคยเข้ามาใกล้ภูเขาไฟของสามสำนักเลย แต่ตอนนี้เขาเกิดแรงกระตุ้นในใจ ดังนั้นขณะที่นิ่งคิดและสังเกตเห็นว่าไม่มีสัตว์ประหลาดอยู่รอบๆ ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็หายวับไปทันที

ดูเหมือนกับไม่มีอยู่ แต่ความจริงเขายังคงยืนอยู่ตรงนั้น เพียงแต่โลกใต้ฝ่าเท้าของเขาได้เปลี่ยนไป ไม่ใช่คืนมืดมิด แต่ได้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียงแล้ว

ชั่วขณะที่ก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียง ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็มองเห็น…ลักษณะที่แท้จริงของภูเขาไฟสำนักเหอเสียน

ลักษณะเช่นนี้ทำให้ร่างกายที่อยู่ในโลกแห่งเสียงของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้านทันที

นั่นมันภูเขาไฟที่ไหนกัน เห็นชัดๆ ว่ามันคือ…โลงศพยักษ์!

โลงศพหลังนี้เป็นสีดำสนิท แต่ฝาโลงก็ถูกเปิดออกครึ่งหนึ่ง ตอนนี้มันวางอยู่ตรงนั้นและเต็มไปด้วยความมืดมนอึม ครึม ขณะเดียวกันก็มาพร้อมกับพลังแห่งการกลืนกิน

เมื่อมองไกลๆ ภูเขาไฟของสำนักเหิงฉินและเต๋าแห่งดนตรีก็เช่นเดียวกัน ล้วนเป็นโลงศพหินดำทั้งสิ้น

และในโลงศพนี้ก็มีดวงแสงแน่นขนัดกว่าหนึ่งแสนดวง ดวงแสงเหล่านี้บางดวงสว่างไสวอย่างยิ่ง บางดวงหม่นแสงมาก และดวงแสงทุกดวงที่นี่ก็คือผู้ฝึกตนแต่ละคนนั่นเอง

ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อสั่นสะท้านอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันเขาก็มองเห็นว่า…ในส่วนลึกของโลกศพสำนักเหอเสียนและสำนักเหิงฉินนั้น กลับมีกลุ่มแสงมหึมาสองกลุ่มสถิตอยู่

มองดูดีๆ แล้วจะเห็นว่าความจริงดวงแสงในโลงศพแต่ละโลงพัวพันอยู่รอบกลุ่มแสงและเชื่อมต่อกับมันเป็นสายใยนับพันนับหมื่นสาย ราวกับกลุ่มแสงนี้คือแหล่งกำเนิดที่แท้จริง

ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็มองเห็นรางๆ ว่าภายในกลุ่มแสงสองกลุ่มนี้คล้ายมีเงาร่างคนนั่งขัดสมาธิอยู่

 เจ้าปรารถนาเสียง…  หวังเป่าเล่อตื่นตัวอย่างยิ่ง เขานึกถึงเรื่องที่เจ้าแห่งสุขพูดเกี่ยวกับความลับของเจ้าปรารถนาเสียง

เจ้าปรารถนาเสียงนั้นมีร่างเดิมไม่สมบูรณ์ ถูกแบ่งเป็นสามร่าง ก่อเกิดเป็นร่างแยกสามร่างที่กลายมาเป็นเจ้าสำนักของสามสำนัก เหมือนว่าจะสอดคล้องกับคำพูดของเจ้าแห่งสุข พอหวังเป่าเล่อมองไปยังโลงศพของเต๋าแห่งดนตรีที่อยู่ไกลๆ เขามองเห็นเพียงดวงแสงจำนวนมากที่อยู่ในนั้นเท่านั้น แต่กลับไม่เห็นกลุ่มแสง

แต่พอดูดีๆ แล้ว เขาก็ยังสัมผัสได้รางๆ ว่าใจกลางของดวงแสงเหล่านั้นยังมีกลุ่มแสงสถิตอยู่ เพียงแต่มันสลัวมากเกินไป ดังนั้นจึงสังเกตเห็นได้ยาก

แม้แต่เงาร่างที่อยู่ในนั้นก็สลัวเลือนรางอย่างยิ่ง ราวกับลมหายใจคล้ายอ่อนแอเหลือเกิน

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อสังเกตดูดีๆ แล้ว หวังเป่าเล่อก็มั่นใจว่า…เงาร่างที่นั่งขัดสมาธิผู้นี้ก็คือเจ้าปรารถนาเสียงที่วันนั้นปรากฏตัวขึ้นมาต่อสู้กับเจ้าปรารถนารสในเมืองปรารถนารสนั่นเอง

 เจ็ดอารมณ์ ไม่ได้โกหกข้า  หวังเป่าเล่อกำลังสังเกตการณ์อยู่ แต่จู่ๆ ในใจก็เกิดความรู้สึกอันตรายขึ้นมา เขาสังเกตเห็นว่าเงาร่างภายในแหล่งกำเนิดแสงมหึมาสองกลุ่มภายในโลงศพของสำนักเหอเสียนและสำนักเหิงฉินนั้น คล้ายจะเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย

ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตัวขึ้นมาทันที เขาถอนสายตากลับแล้วก็ถอยหลังไป ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อที่มีเพียงสองเต๋าและกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดก็สามารถสัมผัสได้ถึงดวงจิตเทพมหาศาล มันกลับแผ่ออกมาจากภายในสำนักเหิงฉินและสำนักเหอเสียน แต่คล้ายไม่ได้มุ่งเป้ามาที่หวังเป่าเล่อ ดังนั้นการแผ่กระจายนี้จึงกวาดมองไปทั่วทั้งพื้นที่แทน

ทั้งหมดนี้พูดแล้วยืดยาว แต่ความจริงล้วนเกิดขึ้นในชั่วพริบตา หวังเป่าเล่อที่กำลังถอยร่นอยู่ไม่อาจหลบเลี่ยงได้ทัน โชคดีที่เขาตอบสนองได้รวดเร็ว สีหน้าของเขาแข็งทื่อทันทีเมื่อถึงช่วงวิกฤต ร่างกายเปลี่ยนไป กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่อยู่ในโลกแห่งเสียงที่ไม่มีคุณสมบัติแตกต่างอะไรเป็นพิเศษ

ดวงจิตเทพกวาดผ่านตัวเขาไป จนกระทั่งผ่านไปพักหนึ่ง เห็นชัดว่าเจ้าของดวงจิตเทพไม่ได้สังเกตเห็นอะไรมาก แต่ไม่นานก็มีร่างเต๋าสองร่างบินออกมาจากภายในภูเขาไฟของทั้งสองสำนัก แต่ละร่างพุ่งออกมาจากประตูสำนัก ราวกับกำลังค้นหา

ส่วนทางด้านหวังเป่าเล่อ เนื่องจากเขาไม่ได้อยู่ไกลจากสำนักเหอเสียนนัก ดังนั้นเขาจึงมองเห็นร่างของเยว่หลิงจื่อและสือหลิงจื่อทันที คนแรกขมวดคิ้วงามแล้วบินไปอีกทางไกลๆ แต่สือหลิงจื่อกลับบินพุ่งมาทางที่หวังเป่าเล่ออยู่

เมื่อเห็นหน้าตาท่าทางกวนบาทาของอีกฝ่าย หวังเป่าเล่อก็แค่นเสียงอยู่ในใจ ลอบกล่าวว่า ‘ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนี้ข้าไม่สะดวกจะโจมตีล่ะก็ จะต้องทำให้เจ้าได้เจ็บตัวแน่นอน’

เขาควบคุมความคิดที่อยากจะลงไม้ลงมือ หวังเป่าเล่อไม่สนใจสือหลิงจื่อ แต่แสร้งทำท่าทางเหมือนถูกดึงดูด แล้วเดินตามเขาอย่างมึนงงอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งความรู้สึกใจสั่นที่มาจากภายในภูเขาไฟของสองสำนักหายไป หวังเป่าเล่อลังเลนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าวันนี้จะปล่อยสือหลิงจื่อไปสักครั้ง

ดังนั้นเขาจึงถอนตัวออกจากโลกแห่งเสียง กลับสู่ค่ำคืนมืดมิด ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานจึงกลับไปยังสำนักเหอเสียงอีกครั้งก่อนรุ่งสาง

หวังเป่าเล่อเดินเข้าไปในเขตภูเขาไฟอย่างตื่นตัวและระมัดระวัง หลังจากก้าวเข้าสู่ประตูสำนักแล้ว ความรู้สึกอันตรายแบบก่อนหน้านี้ก็ไม่ปรากฏขึ้นมาอีก หวังเป่าเล่อจึงถอนหายใจโล่งอก เขาคิดว่าเมื่อครู่ตนเองประมาทไปหน่อย

เจ้าปรารถนาเสียง ถึงอย่างไรก็เป็นร่างแปลงของกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียง แม้ว่าตนจะก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียงแล้วกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด แต่เทียบกับพวกเขาแล้วก็ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่อยู่ ดังนั้นเขาจึงสูดลมหายใจลึก รู้สึกว่าตัวเขาที่มีท่วงทำนองซ้อนทับกันถึงเจ็ดหมื่นกว่าท่อนยังอ่อนแอเกินไป

 ข้าต้องพยายามต่อไป!  หวังเป่าเล่อตั้งใจแน่วแน่ เมื่อเดินไปยังถ้ำที่พัก วงแหวนปราณที่ประตูสำนักด้านหลังก็ส่งเสียงหวึ่งๆ ออกมา ไม่นานร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาใกล้ทันที

ขณะที่เขาก้าวเข้ามา ทันใดนั้นก็มีเสียงดนตรีดังไปทั่วทุกทิศคล้ายกับปราณกระบี่ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เมื่อหันกลับไปมอง เขาก็เห็นใบหน้านิ่งขรึมของสือหลิงจื่อ ที่ตอนนี้กำลังพุ่งไปยังยอดเขา

เห็นได้ชัดว่าสือหลิงจื่อสังเกตเห็นสายตาของหวังเป่าเล่อแล้ว แต่ในความคิดของเขา จะหวังเป่าเล่อก็ดี หรือศิษย์คนอื่นๆ ก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นเช่นมดปลวก ดังนั้นจึงไม่แม้แต่จะเหลือบมอง และเลือกที่จะเมินเฉยแล้วเคลื่อนผ่านไปตรงๆ

คลื่นเสียงพุ่งสูง พัดม้วนอยู่บนร่างของหวังเป่าเล่อ ทำให้ในใจของเขายิ่งรู้สึกไม่ดีต่อสือหลิงจื่อมากขึ้น

 รอให้ข้าหาโอกาสได้ ข้าจะทำให้เจ้ารู้จักความเยี่ยมยอด!  หวังเป่าเล่อแค่นเสียงเย็นอยู่ในใจ ถอนสายตาที่มองไปยังสือหลิงจื่อแล้วกลับเข้าไปในถ้ำที่พัก นั่งขัดสมาธิ เริ่มตระหนักรู้ท่วงทำนอง ขณะเดียวกันก็รอคอยการทดสอบซึ่งกำลังจะถูกจัดขึ้นที่สามสำนักที่เจ็ดอารมณ์เอ่ยถึง

เป็นเช่นนี้ เวลาก็ค่อยๆ เคลื่อนผ่านไปแล้วเจ็ดวัน

ในช่วงเจ็ดวันนี้ หวังเป่าเล่อแทบจะไม่ได้ออกจากถ้ำที่พักเลย ท่วงทำนองของเขาก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยขณะที่อยู่ในการตระหนักรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หวังเป่าเล่อค้นพบว่าเมื่อผสานรวมกับกฎเกณฑ์ของสี่อารมณ์แล้ว การตระหนักรู้ของเขายิ่งเกินความจริงมากกว่าเดิม

อักขระซ้อนทับของเขาทะลวงจากเจ็ดหมื่น บรรลุถึงแปดหมื่นกว่าแล้ว

ขณะเดียวกัน การประกาศเรื่องการทดสอบก็แพร่เข้ามาในจิตใจของคนทุกคนผ่านแผ่นหยกของศิษย์แต่ละคนในวันที่แปดเช่นกัน

…………………………

 

“นี่…คุณสมบัติการฝึกตนของข้าดีขนาดนี้จริงหรือ” หวังเป่าเล่อผู้หยิ่งยโสมาตลอด ตอนนี้รู้สึกสงสัยกับตัวเองในลักษณะหายาก
เขาอดสงสัยไม่ได้จริงๆ เพราะในช่วงสั้นๆ นี้ จำนวนของทำนองในร่างของเขากลับเพิ่มขึ้นพรวดเดียวถึงเกือบหมื่นกว่าตัว ทำให้ท่วงทำนองที่ซ้อนทับของเขาในปัจจุบันใกล้จะบรรลุถึงสามหมื่นแล้ว
เรื่องแบบนี้ แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยคิดมาก่อน แต่เขาจำเป็นต้องตระหนักรู้อย่างไม่หยุดยั้งถึงจะได้รับมา ทว่าตอนนี้…แค่ยืนอยู่ตรงนั้น ฟังเสียงจอแจในเมือง ทำนองในร่างกายก็คล้ายจะกระโจนออกมาไม่หยุดเหมือนกับเมล็ดถั่วแล้ว
ภาพนี้แม้แต่ตัวเขาก็ยังตกตะลึงมาก
ความรู้สึกแบบนี้เหมือนกับตอนที่เขาอยู่บนโลกและยังไม่ได้สอบเข้าสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ยามที่เรียนอยู่ในบ้านเกิด เขาคิดอย่างมั่นใจว่าตราบใดที่เป็นเรื่องที่เขาอ่านมาแล้ว ก็จะต้องสอบได้ 100 คะแนนแน่นอน
แต่เมื่อการสอบมาถึง เขายังอ่านไม่ทัน แต่ชั่วขณะที่กระดาษข้อสอบวางอยู่ตรงหน้า คำตอบกลับผุดขึ้นมาในหัวของเขาเองเสียอย่างนั้น
เหมือนกับว่า เขาเป็นคนออกข้อสอบเอง…
หวังเป่าเล่อคิดมาถึงตรงนี้ ทันใดนั้นร่างกายก็สั่นสะท้าน ในดวงตาก็มีประกายแสงสาดวาบ ปากเอ่ยพึมพำ
“เหมือนกับว่าข้าเป็นคนออกข้อสอบหรือ” หวังเป่าเล่อนึกถึงงานเลี้ยงล่าสัตว์ ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เหมือนกับแหล่งพลังงานผู้นั้นที่เขาเจอในโลกาชั้นแรกมีความคับแค้นและความบ้าคลั่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าตอนที่อีกฝ่ายเห็นเขา
ขณะเดียวกัน เขาก็นึกถึงใบหน้าภายใต้หน้ากากของวิญญาณจักรพรรดิเหล่านั้น การคาดเดาที่เคยลอยเข้ามาในหัวและถูกเขาสยบเอาไว้ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
“เป็นไปไม่ได้!”
แทบจะทันทีที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา มันก็ถูกหวังเป่าเล่อฝืนตัดทิ้งทันที เขายืนอยู่บนถนน นิ่งอยู่นานถึงค่อยเดินกลับโรงเตี๊ยมไปอย่างเงียบงัน
ภายในห้องพักโรงเตี๊ยม เขาเปิดหน้าต่างออก ทำให้เสียงด้านนอกดังเข้ามาไม่หยุด แบบนี้จำนวนของท่วงทำนองภายในร่างของเขาก็จะเพิ่มขึ้นตลอดเวลา
กระทั่งจำนวนรวมมีถึงสี่หมื่นกว่าชิ้น ความถี่ของการเพิ่มพูนถึงลดลงอย่างช้าๆ กระทั่งย่างเข้ายามพลบค่ำ มันจึงหยุดลงโดยสมบูรณ์ และจำนวนรวมของการซ้อนทับทั้งหมด…ก็เพิ่มถึงห้าหมื่น
ท่วงทำนองห้าหมื่นชิ้นซ้อนทับเข้าด้วยกัน อานุภาพที่ก่อเกิดขึ้นมามีมากเท่าไหร่ หวังเป่าเล่อก็ยังไม่รู้แน่ชัด แต่เขาสัมผัสได้ว่า ตัวเขาในตอนนี้…ความแข็งแกร่งของพลังรบโดยรวมได้บรรลุถึงระดับที่น่าตะลึงอย่างยิ่งแล้ว
แม้ว่าจะยังสู้ร่างจริงไม่ได้ แต่…เขาในตอนนี้ ก็มั่นใจว่าด้วยการเพิ่มพูนและการตระหนักรู้ทางกฎเกณฑ์ของตน ไม่ว่าต้องเผชิญกับการโจมตีของเจ้าปรารถนาคนใด เขาก็มีพลังรักษาชีวิตรอดแน่นอน
“ถ้าหากฝึกบำเพ็ญอย่างนี้ต่อไป…แล้วมีวันหนึ่งที่ข้าเชี่ยวชาญกฎเกณฑ์แห่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ทั้งยังฝึกฝนจนถึงระดับสูงเหมือนๆ กัน เวลานั้น ข้าจะ…” หวังเป่าเล่อหลับตาลงในความเงียบงัน รอคอยราตรีกาล
ไม่นาน แสงสายันห์ก็ถูกรัตติกาลปกคลุม ชั่วขณะที่ทั้งเมืองปรารถนาเสียงมืดมิด หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น ร่างกายค่อยๆ เลือนรางแล้วกลายเป็นสัตว์ประหลาด ก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียง
เมื่อเขาก้าวเข้ามา สิ่งก่อสร้างรอบตัวก็กลายเป็นเส้นสาย ขณะที่ก้าวออกมาจากห้องพัก พวกสัตว์ประหลาดที่แหวกว่ายไปมานับไม่ถ้วนในคืนมืดมิดด้านนอกก็สั่นสะท้านกันหมด
สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างแปลกประหลาดเหล่านั้น หลังจากที่ตอนนี้พวกมันแทบจะทั้งหมดในขอบเขตนี้สัมผัสได้ถึงหวังเป่าเล่อ พวกมันกลับก้มหัวให้เขา ราวกับว่ากลิ่นอายของร่างหวังเป่าเล่อทำให้พวกมันทั้งหมดยอมจำนน
ภาพนี้ทำให้แววตาของหวังเป่าเล่อเปล่งประกาย เขาเดินออกไปข้างนอกด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ ขณะที่เดินอยู่ในโลกแห่งเสียง สัตว์ประหลาดทั้งหมดระหว่างทางก็มีท่าทีเช่นเดียวกัน เรื่องนี้พิสูจน์ได้ถึงความน่าสะพรึงของท่วงทำนองห้าหมื่นชิ้นที่ซ้อนทับกันในตัวของหวังเป่าเล่อได้เลย
ขณะที่หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ ตอนนี้ด้านหน้าของเขามีสัตว์ประหลาดร่างเต่าตัวหนึ่งอยู่ในความว่างเปล่าที่บิดเบี้ยว ขนาดของมันใหญ่เกือบพันจั้ง กำลังค่อยๆ เดินผ่านมา และร่างของมันก็หยุดชะงักราวกับสังเกตเห็นหวังเป่าเล่อ ก่อนคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าขยับ
เมื่อมองดูเจ้าสัตว์ประหลาดร่างเต่า สิ่งมีชีวิตประเภทนี้เป็นพวกที่หวังเป่าเล่อในอดีตเห็นแล้วจะต้องหลบเลี่ยง แต่ตอนนี้คล้ายกับว่ากลิ่นอายของเขาสามารถทำให้อีกฝ่ายเคารพได้
ท่ามกลางความเงียบงัน หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ในใจ สถานการณ์ก่อนหน้านี้ของเขา อย่างมากที่สุดก็แค่สามารถทำให้สัตว์ประหลาดเหล่านี้สนิทสนมกับตนได้เท่านั้น และควบคุมได้แค่ระดับหนึ่ง แต่ตอนนี้ เขาเหมือนจะควบคุมการเปิดปิดบางอย่างได้
ขณะที่ความคิดเคลื่อนไหว ร่างของสิ่งมีชีวิตร่างเต่ามหึมาเน่าเปื่อยและเต็มไปด้วยตุ่มหนองตรงหน้าก็พร่าเลือนในชั่วพริบตา คล้ายถูกลบหายไปอย่างไร้สุ้มเสียง…
และทั้งกระบวนการนี้ เจ้าสัตว์ประหลาดตัวนั้นก็ยังคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อน
ความคิดของหวังเป่าเล่อหมุนแล่นอีกครั้ง ทันใดนั้นสัตว์ประหลาดที่กำลังจะถูกลบหายไปก็เริ่มย้อนคืนกลับมาเหมือนเดิมแล้ว
หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ก้าวเดินไปพลางสะบัดมือ ทันใดนั้นสิ่งมีชีวิตร่างเต่าก็คล้ายได้รับคำสั่ง มันวิ่งทะยานหนีไปทันที
“ดูเหมือนว่าข้า…จะสามารถควบคุมที่นี่ได้” หวังเป่าเล่อลองดูอีกหลายครั้ง สุดท้ายหลังจากวิเคราะห์ดูแล้ว เขาก็ออกจากโลกแห่งเสียงมาปรากฏตัวในยามค่ำคืน แล้วเดินไปยังสำนัก
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ผสานเข้าไปในโลกแห่งเสียงและเดินอยู่ในยามค่ำคืน อีกทั้งภายในร่างก็ไม่ได้จุดประกายไฟท่วงทำนองขึ้นแม้แต่นิด แต่สัตว์ประหลาดที่อยู่ในโลกแห่งเสียงกลับไม่ได้พุ่งเข้ามาหาเหมือนเมื่อก่อน ทว่าหลบหนีไปไกลเหมือนตอนอยู่ในโลกแห่งเสียง
“น่าสนใจนี่” หวังเป่าเล่อแย้มยิ้ม เขาพุ่งทะยานไปข้างหน้า ค่อยๆ เข้าใกล้ภูเขาไฟของสำนักเหอเสียน
กล่าวได้ว่าพัฒนาการของหวังเป่าเล่อในมิติเต๋าต้นกำเนิดแห่งนี้ราบรื่นอย่างยิ่ง ร่างจริงของเขาเงียบงันอยู่ในส่วนลึกใต้พื้นพิภพ เก็บซ่อนกลิ่นอายทั้งหมด ส่วนร่างแยกเป็นอิสระอยู่ข้างนอก ฝึกฝนกฎเกณฑ์แห่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาทีละกฎเกณฑ์
จนถึงตอนนี้ มหาเทพยังไม่ฟื้นขึ้นมา ผู้พิทักษ์ก็ไม่ได้ตามหาหวังเป่าเล่อ ยิ่งกว่านั้นเขายังสร้างสัมพันธ์กับเจ้าแห่งอารมณ์มากมาย และบรรลุข้อตกลงกับเจ้าปรารถนารสอีก
กล่าวได้ว่าในแง่หนึ่ง หวังเป่าเล่อถือว่ายืนได้มั่นคงในมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด
ขณะเดียวกัน ในโลกแห่งศิลาภายในร่างจริง การฝึกตนของอดีตคนรักและเพื่อนฝูงต่างก็ยกระดับขึ้นตามๆ กันทั้งนั้น สำหรับพวกเขาแล้ว แม้หวังเป่าเล่อจะจากมา แต่ดวงจิตของเขาได้กลายเป็นเต๋าสวรรค์ของโลกแห่งศิลาไปแล้ว
เมื่อมีเต๋าสวรรค์สนับสนุน การฝึกตนของอาจารย์เขาก็ได้ทะลวงระดับแล้ว คนมากมายอย่างพวกเจ้าเยี่ยเหมิงและโจวเสี่ยวหยาก็เลื่อนระดับกันทั้งนั้น เพียงแต่…เมื่อเทียบกับอันตรายที่หวังเป่าเล่อได้เผชิญในปัจจุบันแล้ว พวกเขายังไม่อาจให้ความช่วยเหลือใดได้
ส่วนบนดินแดนแห่งเซียนก็มีสถานการณ์คล้ายกัน แม้ว่าบิดาของหวังอีอีจะยื่นมือมาได้ แต่กลับไม่มีเหตุผลให้ลงมือ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่จับตาดูเท่านั้น
ผู้ที่ให้ความสนใจเหมือนกันยังมีเทพเคารพสูงสุดคนอื่นๆ อีก
ส่วนทางด้านหวังอีอี นางเป็นหนึ่งในสองคนบนดินแดนแห่งเซียนที่เป็นห่วงกังวลต่อหวังเป่าเล่อมากที่สุด นางแทบจะมองไปยังสะพานสู่สวรรค์ทุกวัน คล้ายกับว่าสายตาของนางสามารถยืมกำลังจากสะพานเพื่อมองให้เห็นหวังเป่าเล่อที่อยู่ในส่วนลึกของทะเลดวงดาวพราวระยับได้ ในใจของนางมีภาพใบหน้าและบทสนทนาตอนที่หวังเป่าเล่อจากไปผุดขึ้นมา
“รับปากข้าว่าเจ้าจะกลับมา”
“ข้ารับปาก”
ยังมีอีกคน นั่นก็คือเฉินชิงจื่อ
ความทรงจำในอดีตชาติของเฉินชิงจื่อค่อยๆ ตื่นขึ้นมาแล้ว เขาที่กราบซือถูเป็นอาจารย์มักจะมองไปยังสะพานสู่สวรรค์ที่ปลายขอบฟ้าอยู่หลายครั้ง เขารู้ว่าหวังเป่าเล่อไปเสาะหาสถานที่ต้นกำเนิดของทุกสิ่งผ่านทางสะพานแห่งนี้ เขาอยากช่วยเหลือ แต่กลับไม่อาจทำได้
ดังนั้นจึงทำได้เพียงเอ่ยพึมพำ
“ศิษย์น้อง…”
“พวกเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไรนะ…”
…………

คำพูดของเจ้าแห่งโกรธทำให้หวังเป่าเล่อคิดถึงเตาขนาดใหญ่ใบนั้นที่มีร่างจริงของเจ้าปรารถนารสอยู่ เช่นเดียวกับเจ้าปรารถนาเสียง เห็นได้ชัดว่าล้วนทรมานอยู่ใต้คำสาปทุกชาติทุกภพ กระทั่งบัดนี้ก็ยังไม่อาจหนีพ้นได้แม้แต่นิด

และสาเหตุของทั้งหมดนี้ก็มาจากมหาเทพ

หวังเป่าเล่อเงียบไป แววตาฉายแววซับซ้อน เมื่อรวมกับความลับเหล่านั้นที่เขาค้นพบในโลกชั้นที่หนึ่ง คำตอบบางอย่างก็ปรากฏออกมาแล้ว

ครั้งหนึ่ง…แม่ทัพ 108 นายในมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิดเคยสู้รบอย่างดุเดือดและต่อต้านกับมหาเทพผู้สูงส่งองค์นั้น ผลลัพธ์คือมหาเทพได้รับชัยชนะ ในบรรดาแม่ทัพทั้ง 108 คน ส่วนใหญ่ถูกสยบเอาไว้ในโลกาชั้นแรก กลายเป็นตัวตนที่เหมือนกับตัวจ่ายพลัง จะต้องส่งสารอาหารไปให้กับมหาเทพทุกครั้ง กลายเป็นพลังต้นกำเนิดเพื่อรักษามหาเทพ

ส่วนอดีตแม่ทัพส่วนน้อยก็ต้องเลือกทรยศต่อมิตรภาพด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ เพื่อก้มหัวให้กับมหาเทพ แต่แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้กลายเป็นแหล่งอาหารแบบคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน แม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในโลกาชั้นที่สอง อีกทั้งในแง่หนึ่งก็ยังไม่มีข้อจำกัดมากขนาดนั้น แต่…

สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือคำสาปจากมหาเทพ

คำสาปนี้กลืนกินความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ราวกับฝังอยู่ในวิญญาณ ทุกวันทุกคืน ทุกชั่วทุกขณะ ล้วนกัดกินอยู่ตลอดเวลา ทำให้พวกเขาต้องทนรับความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายได้ไปเรื่อยๆ

บางทีอาจเป็นเช่นที่เจ้าแห่งโกรธกล่าวมา

‘เทพเจ้าชื่นชอบผู้ไม่ยอมจำนน แต่เขาชอบเห็นความเจ็บปวดนิรันดร์ของผู้ยอมจำนนมากกว่า…’ หวังเป่าเล่อค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองไปยังท้องฟ้า เขานึกถึงผู้พิทักษ์ในโลกาชั้นแรกผู้นั้น

แม้ว่าตั้งแต่ต้นจนจบ เขาล้วนไม่เคยได้พบกับผู้พิทักษ์คนนั้นอย่างแท้จริง แต่การโจมตีทางอ้อมหลายครั้งระหว่างพวกเขาก็ทำให้เขาคาดเดาบางอย่างอยู่ในใจได้ไม่มากก็น้อยแล้ว

ผ่านไปนาน หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจแผ่วเบา

จู่ๆ เขาก็ต้องการทำลายโลกใบนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องร่างจริงกับมหาเทพ แต่ยังมีความต้องการของเขาด้วย เขาคิดว่าโลกแบบนี้ไม่ควรมีอยู่

 พวกนี้ก็คือคำอธิบายหรือคำตอบที่พวกข้าให้เจ้าได้ เช่นนั้น…มอบคำตอบของเจ้า…ให้พวกเราสิ  เจ้าแห่งโกรธอยู่ในบ้าน จ้องมองหวังเป่าเล่อ เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ

เจ้าแห่งโศกและเจ้าแห่งแค้นที่อยู่ข้างๆ ก็เงยหน้ามองไปยังหวังเป่าเล่อเหมือนกัน

หวังเป่าเล่อเงียบไปนาน ทันใดนั้นก็ยกมือขวาขึ้นมา คว้าเข้าไปในบ้านไม้ ตอนนั้นเองเมล็ดเต๋ากฎเกณฑ์ทั้งสี่ซึ่งถูกลบดวงจิตและรอยตราที่อยู่ตรงหน้าเจ้าแห่งโกรธก็พุ่งมาหาเขา

ระหว่างนี้ เจ้าแห่งโกรธหรี่ตาลง แต่กลับไม่ได้หยุดยั้ง เจ้าแห่งโศกและเจ้าแห่งแค้นก็เช่นเดียวกัน ยังคงมองไปที่หวังเป่าเล่อ จนกระทั่งเมล็ดพันธุ์เต๋าทั้งสี่บินออกไปจากบ้านไม้ ก่อนจะถูกหวังเป่าเล่อคว้าเอาไว้ หวังเป่าเล่อตรวจดูอย่างละเอียดรอบหนึ่งแล้วเก็บมัน ก่อนค่อยๆ เอ่ยปาก

 ตกลง! 

ทันทีที่คำพูดของเขาถูกเปล่งออกมา เจ้าแห่งโกรธก็พยักหน้า เมื่อโบกมือ บ้านไม้ทั้งหลังก็เลือนราง พริบตาต่อมาก็คล้ายถูกลบหายไปอย่างนั้น สลายไปทีละนิดๆ จนกระทั่งผ่านไปหลายอึดใจ บ้านไม้หลังนี้และเจ้าทั้งสามจากเจ็ดอารมณ์ในนั้นก็หายไปในยามราตรีโดยสมบูรณ์

หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้น เงียบงันอยู่นาน ยามหันกายกลับก็แปลงร่างเป็นสัตว์ประหลาด หายไปจากที่เดิมเช่นกัน

ราตรีเงียบสงัด

เมื่อค่ำคืนจากไปอย่างช้าๆ และรุ่งอรุณย่างกรายเข้ามา อาทิตย์แรกโผล่พ้นปลายขอบฟ้าไกล สาดแสงไปทั่วพื้นพิภพ ขจัดความมืดมิด เงาร่างของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏขึ้นในห้องพักโรงเตี๊ยมที่เขาอาศัยอยู่

สาเหตุที่ปรากฏตัวได้แม่นยำขนาดนี้ก็เพราะหลังจากหวังเป่าเล่อแปลงกายเป็นสัตว์ประหลาด โลกที่เขาอยู่เป็นที่ที่คนอื่นไม่อาจย่างกรายเข้าไปได้ และในโลกแห่งนั้น เขาสามารถตามหาสถานที่เช่นโรงเตี๊ยมที่เขาพักอยู่ได้อย่างแม่นยำ

ตอนนี้เมื่อร่างของเขาปรากฏขึ้นมา หวังเป่าเล่อก็หรี่ตา เดินไปเปิดหน้าต่างออกแล้วมองออกไปบนถนนข้างนอกที่สว่างขึ้น ผ่านไปนานเขาถึงเปิดหน้าต่างลง แล้วกลับเข้ามาอีกครั้ง หลังจากนั่งขัดสมาธิ เขาก็สะบัดมือขวา ทันใดนั้นรอบกายก็มีพลังขวางกั้นปรากฏขึ้นมา ทำให้กลิ่นอายของที่นี่ไม่อาจแผ่ออกไปข้างนอก หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึกแล้วนำเมล็ดพันธุ์เต๋าแห่งสุขจากสี่เมล็ดเต๋าเจ็ดอารมณ์ที่เขาได้รับออกมา

ชั่วขณะที่เขานำมันออกมา กฎเกณฑ์แห่งเมล็ดพันธุ์เต๋าก็แผ่กลิ่นอายน่าตะลึง ทำให้ในใจของหวังเป่าเล่อเปี่ยมไปด้วยความปรีดาอย่างไม่อาจควบคุม แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนดูดซับ ทว่าตรวจดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง จนแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร เขาจึงแผ่พลังคุณสมบัติของร่างจริงในตัวออกไปสยบมัน

หลังจากตรวจสอบอยู่หลายครั้ง เมื่อเห็นว่าไม่มีความผิดปกติ หวังเป่าเล่อจึงบีบมันแรงๆ ทันใดนั้นเมล็ดพันธุ์เต๋าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์เมล็ดนี้ก็ผสานเข้าไปที่กลางฝ่ามือของหวังเป่าเล่อ หลังจากหลอมรวมกับร่างกายของเขา กลิ่นอายแห่งสุขก็พลันระเบิดอยู่ในร่างของหวังเป่าเล่อ

โชคดีที่ระดับกฎเกณฑ์ปรารถนารสและกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของเขาไม่ธรรมดา และคุณสมบัติของร่างจริงก็มีผลในการสยบ ที่สำคัญที่สุดคือภายในเมล็ดพันธุ์เต๋านี้ไม่มีรอยประทับของเจ้าแห่งสุขแม้แต่นิด ทั้งยังบริสุทธิ์ไร้ใดเปรียบ ทำให้การดูดซับของหวังเป่าเล่อไม่เจอกับอุปสรรคใดๆ

เมล็ดพันธุ์เต๋าที่ไร้รอยประทับเช่นนี้ เดิมตัวมันเองก็คือส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์แห่งสุขอยู่แล้ว ไม่ว่าใครที่ได้ไปล้วนสามารถดูดซับได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยไร้ซึ่งอันตราย

นับประสาอะไรกับที่ตัวหวังเป่าเล่อมีกลิ่นอายและตระหนักรู้กฎเกณฑ์แห่งสุขอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง ดังนั้นในด้านการผสานรวมก็ยิ่งไม่มีอุปสรรค ไม่นานขณะที่ดูดซับอยู่นั้น ทะเลตระหนักรู้ของเขาก็มี…รอยประทับพิเศษหนึ่งรอยปรากฏขึ้น

ลักษณะของรอยประทับนี้กลับเป็นใบหน้ายิ้ม และเมื่อมองดูดีๆ จะเห็นว่ารูปร่างของหน้ายิ้มนี้ก็คือหวังเป่าเล่อนั่นเอง

นี่ก็คือความแตกต่างของเจ็ดอารมณ์และหกปรารถนา รอยประทับของอย่างหลังแตกต่างกัน แต่อย่างแรกล้วนเป็นหน้าคน เพียงแต่สีหน้าแตกต่างกัน และอารมณ์ที่ตอบสนองก็ไม่เหมือนกันด้วย

เมื่อใบหน้ายิ้มก่อร่างขึ้น ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็ส่งเสียงดังก้องทันใด กฎเกณฑ์ปรารถนารสของเขากลับเหมือนจะทะลวงโซ่ตรวน ระเบิดออกมา ส่วนกฏเกณฑ์ปรารถนาเสียงก็เช่นเดียวกัน ราวกับว่าเจ็ดอารมณ์สามารถส่งเสริมเติมเต็มกับหกปรารถนาได้

แม้ว่าระดับการเพิ่มขึ้นของมันจะไม่มากนัก แต่หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ว่าการเพิ่มระดับเช่นนี้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ล้วนค่อยๆ เพิ่มสูงขึ้นทุกชั่วขณะ

มันทำให้ดวงตาของหวังเป่าเล่อเปล่งประกายเจิดจ้า หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่ง เขาก็นำเมล็ดพันธุ์เต๋าเจ็ดอารมณ์ชิ้นที่สองออกมา มันคือเมล็ดพันธุ์เต๋าแห่งโศก

เขาตรวจดูอย่างละเอียดอีกครั้งเช่นกัน กระทั่งแน่ใจว่าไม่มีปัญหา หวังเป่าเล่อก็ไม่ลังเล ผสานมันเข้าไปในร่างเหมือนอย่างเมล็ดเต๋าแห่งสุข

ในไม่ช้า ทั่วร่างของเขาก็สั่นสะท้าน ภายในทะเลตระหนักรู้ของเขามีรอยประทับคล้ายใบหน้าร่ำไห้ปรากฏขึ้น เมื่อการเพิ่มระดับตามมาจากการระเบิดส่วนเล็กๆ มันก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึก จากนั้นก็ดูดซับผสานเมล็ดพันธุ์เต๋าแห่งแค้นและเมล็ดพันธุ์เต๋าแห่งโกรธเข้าไปในร่างทั้งหมด เมื่อรอยประทับใบหน้าที่แตกต่างกันทั้งสี่เปล่งประกายอยู่ในทะเลตระหนักรู้ของเขา กฎเกณฑ์ปรารถนารสของหวังเป่าเล่อก็เพิ่มพูนขึ้นถึงสี่ครั้ง ราวกับได้ทะลวงขอบเขตบางอย่าง จนบรรลุถึงระดับที่น่าอัศจรรย์

แม้ว่าในระดับเช่นนี้ หวังเป่าเล่อจะไม่มีโอกาสแสดงร่างแห่งกฎเกณฑ์ของตนออกมา แต่เขาก็สัมผัสได้ว่า มันเหมือนกับว่า…อย่างน้อยก็สูงใหญ่กว่าหนึ่งพันจั้งแน่นอน!

ส่วนทางด้านกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าก็เพิ่มขึ้นมากเช่นกัน แต่ในด้านการแสดงออกกลับไม่มีอะไรเปลี่ยนไปนัก

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หลังคิดดูเขาก็ถอนการขวางกั้นทั้งสี่ด้านออก แล้วเดินออกไปจากห้องพักขณะครุ่นคิด แต่เมื่อเขาเดินออกจากห้องพักและได้ยินเสียงอึกทึกภายในโรงเตี๊ยมดังขึ้น หวังเป่าเล่อก็เบิกตาโพลงทันที

จากนั้นลมหายใจของเขาก็ถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย วาบร่างออกจากโรงเตี๊ยม เมื่อร่างของเขาปรากฏตัวอยู่บนถนนในเมืองปรารถนาเสียง ในชั่วขณะที่เสียงอื้ออึงพลุกพล่านมากมายรอบตัวประเดประดังเข้ามา ภายในร่างของหวังเป่าเล่อก็สะเทือนก้อง

ท่วงทำนองตัวแล้วตัวเล่าก่อตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในร่างของเขาด้วยความเร็วเหนือจริง

สิบ ร้อย พัน…

หวังเป่าเล่อที่กำลังตกตะลึงอยู่ตอนนี้ตระหนักได้แล้วว่า การเพิ่มพูนของกฏเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียงหลักๆ จะแสดงออกมาด้านความสามารถในการตระหนักรู้ หรือก็หมายความว่า มันปรากฏขึ้นมา…ที่คุณสมบัติของการฝึกตน!

 

สาเหตุที่บอกว่านี่คือความจริงใจก็เพราะในค่ำคืนนี้ เจ้าสามอารมณ์นั้นไม่กล้าทำอะไร หากลงมือจะต้องถูกเจ้าแห่งปรารถนาเสียงจับได้แน่ ดังนั้นการพบหน้าที่ดูเหมือนจะอันตรายนี้จึงไม่ใช่วิกฤตสำหรับหวังเป่าเล่อ
ความจริงแล้วต่อให้เขาไม่มีคุณสมบัติของร่างจริง ชั่วขณะที่ก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียง เขาก็ยังสามารถหลีกเลี่ยงอิทธิพลทางอารมณ์พวกนั้นได้เช่นกัน
หวังเป่าเล่อยืนอยู่นอกบ้าน ไม่ได้เลือกก้าวเข้าไป ตอนนี้เขามองออกแล้วว่าทั้งนอกและในบ้านไม้หลังนี้เหมือนกับโลกสองใบ เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งที่ทั้งสามท่านนี้สร้างออกมา แล้วบังคับให้ปรากฏขึ้นในยามราตรี ทั้งยังแฝงเร้นการปกปิดระดับสูงมากเอาไว้ ทำให้วิชาปรารถนาเสียงไม่อาจตรวจจับได้
แต่ทันทีที่ตนก้าวเข้าไปในบ้านไม้ ก็จะเท่ากับว่าก้าวเข้าสู่ภายในเขตแดนของทั้งสามแล้ว
“เป็นแค่ร่างแยกเท่านั้นนี่นา ตัวเป็นร่างแยก เจ้าเศร้าเสียใจมากใช่หรือไม่”
“น่าสนใจ ดังนั้นก็หมายความว่า เจ้าสวาปามต่อสู้กับเจ้าปรารถนาเสียงก็เพื่อเจ้าหรือ”
“ฮึ…”
เสียงของทั้งสามดังออกมาจากในบ้านแล้วเข้าสู่จิตใจของหวังเป่าเล่อ แต่ด้วยกลิ่นอายของคุณสมบัติร่างจริง อีกทั้งคนทั้งสามก็ยังควบคุมอารมณ์อยู่ ดังนั้นจึงไม่ก่อให้เกิดความปั่นป่วนทางอารมณ์แบบก่อนหน้านี้
“ฝีมือยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้…” หวังเป่าเล่อค่อยๆ เอ่ยพูด เขาแน่ใจในคำตอบของคำถามสามข้อของเจ้าแห่งสุขได้ส่วนหนึ่งแล้ว บางทีเจ้าแห่งสุขอาจมีเป้าหมายอื่น แต่หนึ่งในนั้นจะต้องเป็นการหลุดพ้นอย่างแน่นอน
ส่วนแผ่นหยกที่เจ้าแห่งสุขมอบให้แผ่นนั้น ในช่วงเจ็ดวันนี้หวังเป่าเล่อก็ได้ทำการศึกษาแล้ว เขาต้องยอมรับว่าเคล็ดวิชาในแผ่นหยกชิ้นนี้ยอดเยี่ยมมากจริงๆ มีความเป็นไปได้ที่จะสามารถสะท้อนการกลืนกินได้
เห็นได้ชัดว่าเจ้าแห่งสุขคาดเดาความกังวลของหวังเป่าเล่อได้ สามเจ้าจากเจ็ดอารมณ์ในที่นี้ก็ย่อมรู้ดี ดังนั้นหลังจากเจ้าแห่งโกรธมองดูหวังเป่าเล่อพักหนึ่งจึงเอ่ยออกมาอีกครั้ง
“เจ้ามีคำถามอะไร พวกข้าสามคนสามารถตอบได้”
สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึม มองคนทั้งสามคราหนึ่ง ในใจเข้าใจผู้ฝึกตนระดับนี้ดีมาก เดิมทีพวกเขาก็ดูหมิ่นการโกหกอยู่แล้ว โดยเฉพาะเมื่อเต๋าของทั้งสามยังขัดแย้งกับการโกหกด้วย
แต่ทุกอย่างนั้นไม่แน่นอน ดังนั้นหลังจากเงียบไป หวังเป่าเล่อก็เอ่ยขึ้นช้าๆ
“ด้วยความสามารถของทั้งสาม มาเยือนกะทันหันเพื่อช่วยเหลือเจ้าแห่งสุขในโอกาสนี้ ตามหลักเหตุผลแล้วก็มีโอกาสถึงแปดเก้าในสิบส่วน เหตุใดยังต้องการความช่วยเหลือจากข้าด้วยเล่า”
“ร่างเนื้อของเจ้าแห่งสุขอยู่ในยามค่ำคืน สำนึกรู้คิดอยู่ในโลกแห่งเสียง ถ้าหากเป็นอย่างแรก พวกข้ามีความมั่นใจอยู่สิบส่วนจริงๆ แต่อย่างหลัง…ร่างแปลงสองร่างของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงมีพลังหลักอยู่ในโลกแห่งเสียง พวกข้าจะถูกสยบให้อ่อนแอที่นั่น ความมั่นใจจึงมีเพียงห้าส่วน” เจ้าแห่งโกรธค่อยๆ เอ่ยพูด
“เดิมทีพวกข้าก็วางแผนจะฝืนทำเรื่องนี้แล้วล่ะ จะสำเร็จหรือไม่ แค่พยายามให้เต็มที่ก็พอ ตัวของเจ้าแห่งสุขเองก็คิดเช่นนี้ แต่การปรากฏตัวของเจ้าทำให้พวกข้ามองเห็นความหวังว่าจะสำเร็จอย่างแน่นอน”
“ดังนั้น พวกเราจำเป็นต้องให้เจ้าไปกลืนกินร่างแยกเต๋าแห่งดนตรีของเจ้าแห่งปรารถนาเสียง ไม่ใช่ให้เจ้าไปยื้อเวลาอย่างเดียวเท่านั้น เพราะอย่างหลังได้ผลไม่มากนัก แต่อย่างแรก…เมื่อเทียบกับการต่อสู้ของพวกข้า สิ่งที่เจ้าแห่งปรารถนาเสียงให้ความสนใจยิ่งกว่าการไม่ให้สำนึกรู้คิดของเจ้าแห่งสุขหลุดพ้น ย่อมเป็นการสูญเสียอำนาจของตนเอง”
“ดังนั้น หากเจ้าเข้าร่วมด้วย พวกข้าก็มั่นใจว่าต้องสำเร็จแน่นอน!” ประโยคสุดท้ายนั้นเจ้าแห่งโศกเป็นผู้เอ่ยออกมา
“จะรับประกันได้อย่างไรว่าข้าจะกลืนกินร่างแยกของเจ้าปรารถนาเสียงสำเร็จ” หวังเป่าเล่อถามอีกครั้ง
“อันดับแรกถ้าหากเจ้าปรารถนาเสียงกลืนกินเจ้าแล้วเขารักษาตัวได้สมบูรณ์ ต่อให้พวกข้าช่วยเหลือเจ้าแห่งสุขสำเร็จ ก็ต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่า นี่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับพวกข้าเลย และไม่ใช่สิ่งที่พวกข้าต้องการด้วย”
“ดังนั้น การรับประกันว่าเจ้าจะกลืนกินสำเร็จแล้วทำให้เจ้าปรารถนาเสียงอ่อนแอตลอดกาลนั้นจึงเป็นเรื่องที่พวกข้าต้องกระทำอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่เพื่อเจ้า แต่เพื่อตัวของพวกข้าเอง”
“เพราะอย่างนั้น เรื่องจึงเกิดการพลิกผัน ไม่ใช่เจ้าปรารถนาเสียงที่มาหยุดพวกข้าไม่ให้ช่วยเหลือเจ้าแห่งสุขก่อนแล้ว แต่เป็นพวกข้าที่หยุดยั้งร่างแปลงทั้งสองของนาง ไปขัดจังหวะการกลืนกินของนางแทน! ส่วนจะพิสูจน์ได้อย่างไร พวกข้าสามารถกล่าวคำสาบานด้วยเต๋าของตัวเองได้” เสียงของเจ้าแห่งโกรธดังก้องราวกับสายฟ้า เกิดเสียงสะท้อนขึ้นในบ้านไม้
หวังเป่าเล่อเงียบงัน หลังครุ่นคิดพักหนึ่งก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“จะรับประกันได้อย่างไรว่าเคล็ดวิชาย้อนกลับจะใช้งานได้”
“ยามที่ย้อนกลับ เจ้าไม่ได้ลงมือแค่คนเดียว แต่พวกข้าจะร่วมด้วย…” เจ้าแห่งโกรธพูดพลางก็ยกมือขวาขึ้นจับหน้าผากของตนทันที คล้ายจะดึงมันออกมา ก่อนโยนกลิ่นอายแห่งความโกรธเกรี้ยวมหาศาลที่แฝงเร้นอยู่ออกมารวมตัวกันเป็นเมล็ดพันธุ์เต๋าบนฝ่ามือ
ขณะเดียวกัน เจ้าแห่งโศกและเจ้าแห่งแค้นก็ทำเช่นเดียวกัน แต่ละคนดึงส่วนหนึ่งของพลังตนเองออกมาก่อตัวเป็นเมล็ดพันธุ์เต๋า ทั้งสามคนมาอยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อ ตัดการเชื่อมต่อระหว่างตัวเองกับเมล็ดพันธุ์เต๋า ทั้งยังลบรอยประทับของตัวเองบนเมล็ดพันธุ์เต๋าอีกต่างหาก
ทำให้เมล็ดพันธุ์เต๋าทั้งสามชิ้นกลายเป็นของบริสุทธิ์ไร้เจ้าของ ใครก็ตามที่ได้ไปล้วนสามารถใช้พลังแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสามเต๋านี้ได้
แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ชั่วขณะต่อมา เจ้าแห่งโกรธก็โบกมืออีกครั้ง กลับมีเมล็ดพันธุ์เต๋าเมล็ดหนึ่งบินออกมา มันแผ่กลิ่นอายแห่งสุขเข้มข้น
นั่นก็คือเมล็ดเต๋าแห่งสุข
“เมล็ดเต๋าทั้งสี่ชิ้นนี้มอบให้เจ้าไปผสาน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ยามที่เจ้าโคจรวิชากลืนกินย้อนกลับจะไม่ถูกก่อกวน การสยบยั้งจะทำให้ร่างแปลงเต๋าแห่งดนตรีบาดเจ็บหนัก ต้องสำเร็จแน่นอน!”
ดวงตาของหวังเป่าเล่อเปล่งประกายแสงแรงกล้าออกมาทันที เขาได้ศึกษาเคล็ดวิชาย้อนกลับนั่นแล้ว ดังนั้นจึงเข้าใจดีว่าถ้าหากกฎเกณฑ์ของเมล็ดพันธุ์เต๋าทั้งสี่ชิ้นนี้ผสานเข้ากับกฎเกณฑ์ปรารถนารสและกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของตน เมื่อกฎเกณฑ์หกเต๋าส่งเสริมกัน การต่อกรกับร่างแปลงของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงที่บาดเจ็บสาหัสผู้หนึ่งก็แทบจะไม่มีทางล้มเหลว
จะต้องสำเร็จแน่
เมื่อถึงจุดนี้ คำตอบและความจริงใจที่อีกฝ่ายมอบมาให้ก็เพียงพอแล้ว ตาชั่งในใจของหวังเป่าเล่อก็เริ่มเอนเอียง แต่เขายังไม่ได้ตัดสินใจในทันที ทว่าหลังจากนิ่งคิด เขาก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“คำถามสุดท้าย ในเมื่อเจ้าปรารถนาเสียงมีเตาหลอมหลายคน เหตุใดไม่ครองร่างล่วงหน้าเล่า ทำไมต้องรอให้มีอันดับหนึ่งในการทดสอบแล้วถึงค่อยครองร่าง ทำเช่นนี้มันจะไม่ฟุ่มเฟือยหรือ”
คำถามนี้เป็นจุดสำคัญมาก และเป็นจุดที่ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อไม่เข้าใจ
“นี่คือคำสาปที่ท่านเทพมอบให้กับเจ้าปรารถนาเสียง ให้นางต้องครอบงำร่างของศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของสามสำนักที่ตนสร้างมาอย่างต่อเนื่อง เป็นเช่นนี้ไปตลอดกาล เพื่อสร้างความอัปยศให้นางที่เคยเลือกก้มหัวให้กับเทพเจ้าเพื่อปกป้องศิษย์ของตัวเอง”
“เทพเจ้า…ชอบทำแบบนี้”
“ในสายตาของเทพเจ้า เขาจะชื่นชมผู้ที่ไม่ยอมจำนน แต่ชอบเห็นความเจ็บปวดนิรันดร์ของผู้ยอมจำนนมากกว่า ตัวอย่างเช่นเจ้าปรารถนาเสียง เพื่อที่จะปกป้องศิษย์ นางจึงเลือกทรยศต่อมิตรภาพแล้วก้มหัวให้กับเทพเจ้า แล้วเทพเจ้าก็คิดว่านางควรแบกรับความเจ็บปวดของความโศกเศร้าทุกครั้งที่ต้องกลืนกินวิญญาณและจิตใจมุ่งมั่นจากชีวิตของศิษย์ที่นางต้องต้องการปกป้อง เป็นช่วงเวลานับอสงไขย”
“ทำลายความดีงามของเจ้า ทำลายจิตสำนึกที่ดีของเจ้า…นี่ก็คือเทพเจ้า”
“ดังนั้น การปรากฏตัวของเจ้า เมื่อได้เป็นอันดับหนึ่ง เจ้าปรารถนาเสียงจะต้องเลือกกลืนกินเจ้าแน่นอน เพราะว่า…ศิษย์เต๋าคนอื่นๆ นั้น ชาติก่อนของแต่ละคนล้วนเคยเป็นศิษย์ที่นางคิดทุ่มชีวิตเพื่อปกป้อง และศิษย์เช่นนี้มีเหลืออยู่ไม่มาก ช่วงหลายปีที่ผ่านมาถูกนางกินไปมากมายนัก”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็สั่นสะท้าน
………………………………
พลังเคลื่อนย้ายถูกใช้งาน คืนมืดมิดสลายหายไป เจ้าแห่งสุขไม่ได้รอคำตอบจากหวังเป่าเล่อ แต่นางเชื่อว่าอีกฝ่ายจะรอแน่ เพราะวิกฤตครั้งนี้ไม่อาจหลบเลี่ยง เว้นแต่ว่าจะจากไปเสียตั้งแต่ตอนนี้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ หากไม่กระตือรือร้นจัดการ ผลลัพธ์ก็สามารถคาดเดาได้เลย
และตราบใดที่คลี่คลายปัญหาความจริงใจและความเชื่อใจระหว่างพวกเขาได้ ทุกอย่างที่ตามมาก็จะเป็นการได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย
ความจริงเป็นเช่นที่เจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์คาดเดาไว้จริงๆ กลับไปที่หวังเป่าเล่อในโรงเตี๊ยม หลังจากนั่งลงขัดสมาธิแล้วเขาก็ครุ่นคิด ก่อนหน้านี้เขาเหมือนจะปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา แต่ความจริงในใจไม่ใช่อย่างนั้น
เพียงแต่ว่าความเสี่ยงที่ต้องแบกรับนั้นใหญ่มากนัก ถ้าหากได้กำไรแค่นั้น เขารู้สึกว่าไม่ค่อยคุ้ม อีกอย่างที่สำคัญที่สุดก็คือความเชื่อใจ
เขาไม่เชื่อใจเจ้าแห่งสุข
แต่กับเรื่องนี้ เส้นทางที่อยู่ข้างหน้าเขามีจำกัดมาก มันทำให้เวลาคิดพิจารณาของหวังเป่าเล่อยืดยาวไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นที่เขาเคยคิดถึงการหนีจากไป
ถึงอย่างไร แม้ว่ากฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียงของเขาในปัจจุบันจะไม่ได้ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ แต่พลังแห่งท่วงทำนองหลักก็น่าตะลึงอย่างยิ่ง ต่อให้ออกไปจากที่นี่ก็สามารถไปฝึกต่อข้างนอกได้ ทั้งยังพอจะให้เวลาเขาได้ฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงจนบรรลุถึงระดับล้ำลึกได้บ้าง
แต่…โอกาสหนึ่งก้าวในการขึ้นสู่สวรรค์มาอยู่ตรงหน้าแล้ว ความเย้ายวนของการกลืนกินร่างแปลงหนึ่งร่างของเจ้าปรารถนาเสียงมีมากเกินไปจริงๆ
ดังนั้นหลังจากหวังเป่าเล่อครุ่นคิด เขาก็ตัดสินใจจะรออีกเจ็ดวันเพื่อไปดูความจริงใจที่เจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์พูดไว้ จากนั้นค่อยตัดสินใจขั้นสุดท้าย
“ถ้าจริงใจไม่พอ เช่นนั้นข้าก็จะไม่เดิมพันกับเรื่องนี้ และจะรีบออกจากเมืองปรารถนาเสียงโดยเร็ว” หวังเป่าเล่อลอบตัดสินใจ ไม่กังวลกับเรื่องนี้อีก แต่ใช้เวลาไปตระหนักรู้ท่วงทำนองแทน
ไม่นานเจ็ดวันก็ผ่านไป เมื่อถึงวันที่เจ้าแห่งสุขนัดกับหวังเป่าเล่อไว้ก่อนหน้านี้ ในยามพลบค่ำของวัน หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้นมาโดยเร็ว แววตาเปล่งประกายสดใส
สิ่งที่จะได้ในคืนนี้จะตัดสินว่าเขาจะอยู่หรือไป ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เขาชั่งน้ำหนักอยู่ในใจอีกครั้งเงียบๆ เมื่อแน่ใจว่าไม่ได้พลาดอะไรไปแล้ว ทันทีที่ยามค่ำคืนมาถึง เขาก็บีบแผ่นหยกที่ได้รับมาจนแตกเป็นอันดับแรก แล้วไปยังจวนที่ประตูสำนักเหอเสียน หลังจากหยิบของที่อยู่ในนั้นไปแล้ว เขาก็จากไป พุ่งทะยานอยู่ในค่ำคืนมืดมิด
กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครตามหลังมา หวังเป่าเล่อก็กำลังจะแปลงกายเป็นสัตว์ประหลาดเข้าสู่โลกแห่งเสียง แต่ในตอนนี้เอง ดวงตาของเขากลับหรี่ลงเล็กน้อย เขามองเห็นเกี้ยวแดงปรากฏขึ้นในค่ำคืนเบื้องหน้า
เกี้ยวหลังนี้คล้ายตรงมาหาหวังเป่าเล่อโดยเฉพาะ มองแวบแรกยังอยู่ไกลๆ พริบตาต่อมาก็มาถึงตรงหน้าหวังเป่าเล่อแล้ว ที่ม่านของเกี้ยวบุปมีมือของเจ้าแห่งสุข ซึ่งตอนนี้มันกำลังโบกมือให้กับหวังเป่าเล่อเบาๆ จากนั้นเกี้ยวสีเลือดหลังนี้ก็เดินทางต่อ
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ครุ่นคิดดู แล้วตัดสินใจตามไป
การติดตามครั้งนี้ใช้เวลาหนึ่งชั่วยาม คิ้วของหวังเป่าเล่อค่อยๆ ขมวดมุ่น แต่ขณะที่เขาเริ่มจะทนไม่ไหว ทันใดนั้น ในยามค่ำคืนเบื้องหน้าเกี้ยวกลับมีบ้านไม้หลังหนึ่งปรากฏขึ้นมา!
“บ้านไม้?!” ดวงตาของหวังเป่าเล่อหดเกร็ง นี่เป็นครั้งแรกในยามค่ำคืนที่เขามองเห็นสิ่งก่อสร้าง ต้องรู้ว่าถึงแม้เมืองปรารถนาเสียงจะขยายใหญ่ขึ้นเมื่อถึงตอนกลางคืน แต่ความจริงเมื่อมองมาจากภายนอก จะมองไม่เห็นสิ่งก่อสร้างเลย
มีเพียงการแปลงกายเป็นสัตว์ประหลาดเท่านั้นถึงจะมองเห็นลวดลายเส้นสายได้ ดังนั้นเมื่อไม่ได้แปลงกายเป็นสัตว์ประหลาด นี่จึงเป็นครั้งแรกของหวังเป่าเล่อที่มองเห็นบ้านไม้ในคืนมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดนี้
ส่วนเกี้ยวบุปผาก็มาหยุดลงอยู่ข้างบ้านไม้หลังนั้น มือขวาที่ม่านค่อยๆ ชี้ไปที่บ้านไม้ จากนั้นก็เดินทางต่อ แล้วค่อยๆ หายไปในความมืด ราวกับมันปรากฏตัวขึ้นเพื่อพาหวังเป่าเล่อมาที่นี่
หวังเป่าเล่อมองไปที่บ้านไม้ ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเดินเข้าไป จนมาถึงประตูของบ้านไม้ แววตาของเขาก็เปล่งประกาย ยกมือขึ้นเคาะเบาๆ
ทันใดนั้นเสียงเอี๊ยดอ๊าดก็ดังขึ้น ประตูบ้านไม้ถูกผลักออกมาจากข้างใน เผยให้เห็นภาพภายในบ้าน
ในบ้านมีโต๊ะอยู่หนึ่งตัว ข้างโต๊ะมีคนสองคนนั่งอยู่ ทั้งสองเป็นสตรี นอกจากนั้นยังมีชายคนหนึ่งกำลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้อง
สตรีสองคนนี้ คนหนึ่งสวมชุดกระโปรงยาวสีน้ำเงิน ใบหน้างดงามเรือนร่างอรชร ขณะเดียวกันในแววตาของนางกลับมีความโศกเศร้า แม้แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากทั่วร่างของนางก็เป็นเช่นเดียวกัน
ส่วนสตรีอีกคนก้มหน้าอยู่ มองไม่เห็นหน้าตา แต่มีความเยือกเย็นแรงกล้าเป็นพิเศษอยู่บนร่าง
ส่วนชายที่เดินไปเดินมาผู้นั้นมีรูปร่างสูงใหญ่มาก ราวกับว่าการให้เขามาอยู่ในบ้านไม้หลังนี้ช่างทำให้เขารู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ขณะเคลื่อนไหวก็สะกดกลั้นความโกรธเกรี้ยวไม่ได้ เท้าเหยียบลงพื้นทีไรก็ระเบิดอารมณ์ตามทุกครั้ง
ชั่วขณะที่มองเห็นคนสามคนนี้ ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็หดเกร็งอย่างรุนแรง กฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสภายในร่างอยู่ในสภาวะปลดผนึกทันที บทเพลงหลักที่มีทำนองเพลงสามหมื่นท่อนทับซ้อนกันก็เตรียมเริ่มบรรเลง
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะทันทีที่หวังเป่าเล่อมองเห็นคนทั้งสาม พวกเขาก็หันหน้ามามองหวังเป่าเล่อเช่นกัน
ชายร่างสูงใหญ่ที่เดินไปมาหยุดเคลื่อนที่ แต่ดวงตาแดงก่ำและแววตาที่มีเพลิงโทสะแผดเผาอยู่นั้นจ้องเขม็งมาที่หวังเป่าเล่อ ราวกับว่าชั่วขณะต่อมาเขาจะระเบิดอารมณ์จนสิ้น และเมื่อระเบิดออกมาแล้ว เพลิงโทสะย่อมโหมกระหน่ำเทียมฟ้าแน่นอน
อีกทั้งความรู้สึกเช่นนี้ก็คล้ายส่งอิทธิพลต่อหวังเป่าเล่อ ทำให้ในใจของหวังเป่าเล่อเกิดความโกรธเกรี้ยวไร้ที่สิ้นสุดขึ้นมาทันใด
และในชั่วขณะที่สตรีชุดกระโปรงยาวสีน้ำเงินหันหน้ามามองหวังเป่าเล่อ ก็ให้ความรู้สึกโจมตีแก่หวังเป่าเล่ออย่างรุนแรงเช่นเดียวกัน ความโศกเศร้าผุดขึ้นในใจของเขา ความเศร้าเช่นนี้เหมือนกับท้องทะเลที่จะกดเขาจมน้ำให้ได้
นอกจากนั้น ที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือสตรีผู้ที่เดิมยังก้มหน้าอยู่ผู้นั้น ตอนนี้เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมองมาที่หวังเป่าเล่อ ในใจของหวังเป่าเล่อก็สั่นสะเท้าน ความเคียดแค้นอาฆาตรุนแรงแพร่กระจายออกมาจากร่างของเขาอย่างควบคุมไม่ได้ ความคับแค้น การกล่าวโทษ ความพยาบาท อารมณ์ทั้งหลายคล้ายกับเส้นสายมากมายที่พันธนาการตัวเขาไว้
และการระเบิดของอารมณ์สามอย่างนี้ก็ทำให้หวังเป่าเล่อคล้ายกลายเป็นสามส่วน หอบหายใจเร็วรี่ราวกับถูกแบ่งแยก แต่โชคดีที่คุณสมบัติร่างจริงของเขาไม่ธรรมดาสามัญ ขณะที่เขากำลังจะทรุดตัวลง หวังเป่าเล่อก็แผ่พลังออกมาข้างนอกอย่างไม่ลังเล เข้าไปต้านกับทั้งสามคนตรงๆ โดยพลัน
ทันทีที่กลิ่นอายของคุณสมบัตินี้แผ่ออกมา สีหน้าของคนทั้งสามในบ้านก็ตกตะลึงเล็กน้อย แล้วค่อยๆ ควบคุมการปลดปล่อยอารมณ์ของตน นับว่ายอมรับตัวตนของหวังเป่าเล่อแล้ว
ส่วนทางหวังเป่าเล่อ เขายืนอยู่นอกบ้าน จ้องมองคนทั้งสาม ในใจเดาได้ถึงฐานะของพวกเขาแล้ว เพราะตัวตนที่สามารถทำให้กลิ่นอายคุณสมบัติของร่างจริงแผ่ออกมาแล้วยังต้านทานได้นั้น จะต้องเป็นจอมพลังระดับห้า
และระดับห้าที่มีอารมณ์รุนแรงเช่นนี้ ตัวตนของพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องคาดเดาแล้ว
ดังนั้น ตอนนี้หวังเป่าเล่อจึงค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าแห่งโกรธ เจ้าแห่งโศก และเจ้าแห่งแค้นจากเจ็ดอารมณ์!”
สามเจ้าจากเจ็ดอารมณ์รวมกันอยู่ที่นี่ เรื่องนี้ต่อให้เป็นหวังเป่าเล่อในอดีตก็คาดไม่ถึง แต่ตอนนี้ ในที่สุดเขาก็รู้ว่าความตั้งใจอยากจะหลุดพ้นที่อยู่ในคำพูดของเจ้าแห่งสุขก่อนหน้านี้มีที่มาจากที่ใด
ในยามที่ร่างแปลงเต๋าแห่งดนตรีของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงบาดเจ็บสาหัส ถ้าหากเจ้าแห่งเจ็ดอารมณ์ทั้งสามคนเข้ามาลงมือทันที เช่นนั้นต่อให้เจ้าแห่งปรารถนาเสียงจะมีวิชาลับหรือไพ่ตายอยู่ โอกาสที่เจ้าแห่งสุขจะได้รับความช่วยเหลือให้หลบหนีได้สำเร็จก็ยังมีมากอยู่ดี
นี่ก็คือความจริงใจของเจ้าแห่งสุข ไม่เสียใจที่จะเปิดเผยเรื่องเจ้าสามอารมณ์ให้หวังเป่าเล่อรู้ ถือเป็นการพิสูจน์ตัวเอง
………………………
เมื่อฟังถึงตรงนี้ ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็หดเกร็ง แม้ว่าจะสอดคล้องกับการคาดเดาของเขา แต่เขาก็ยังถูกความจริงเรื่องนี้สาดซัดจนเกิดคลื่นในใจอยู่ดี
ในเมื่อเป็นเตาหลอม ถ้าอย่างนั้นความจริงแล้วก็เป็นแค่ภาชนะเท่านั้น อีกทั้งภาชนะทุกตนล้วนถูกเลี้ยงดูให้เหมาะกับการรองรับเจ้าปรารถนาเสียงผู้นั้นมากที่สุด
นี่เท่ากับเป็นการเพาะเลี้ยงร่างกายจำนวนมาก ต่อให้ร่างแปลงจะบาดเจ็บสาหัสก็ไม่เป็นไร เปลี่ยนใหม่ก็ได้แล้ว
นอกจากนี้ จากการคาดเดาของหวังเป่าเล่อ แม้ว่าจำนวนของผู้ฝึกตนที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ในสามสำนักจะไม่ได้มากมาย แต่ไม่มีทางมีศิษย์เต๋าจะจำกัดอยู่แค่หกคนแน่นอน
“อย่างน้อยก็ต้องมีอยู่สิบกว่าคน” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ความคิดแรกของเขาคือไม่อาจปล่อยให้เจ้าปรารถนาเสียงรักษาตัวได้ เพราะทันทีที่ร่างแปลงของอีกฝ่ายครองร่างสำเร็จ พลังของร่างแปลงทั้งสามก็จะสัมผัสถึงตัวเขาได้ทันที
พอถึงตอนนั้นแล้ว เขาก็จะตกเป็นฝ่ายถูกกระทำโดยสมบูรณ์
ขณะเดียวกัน เขาก็คาดเดาจุดประสงค์ที่เจ้าแห่งสุขเอ่ยเรื่องพวกนี้กับตนได้ลางๆ ถึงอย่างไรเสีย…ในเมื่อมีศัตรูคนเดียวกัน เขากับเจ้าแห่งสุขก็นับว่าเป็นพวกเดียวกันแล้ว
หวังเป่าเล่อไม่อยากให้เจ้าแห่งปรารถนาเสียงฟื้นตัว และเห็นชัดว่าเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ก็ไม่ต้องการเช่นนั้นเหมือนกัน
ดังนั้นหลังจากนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึม ก่อนเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“เจ้าแห่งสุข ท่านมีแผนการอะไร”
บางทีอาจเป็นเพราะช่วงหนึ่งเดือนกว่าๆ ที่ได้สื่อสารกับหวังเป่าเล่อ จึงทำให้เจ้าแห่งสุขเข้าใจเขามากขึ้น และอาจเป็นเพราะห่างกันไปหลายวัน นิสัยของเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์จึงเปลี่ยนแปลงไป หรืออาจเป็นเพราะได้รับอิทธิพลจากเสียงทุ้มต่ำจริงจังของหวังเป่าเล่อ ครั้งนี้เสียงของเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์จึงเผยความเคร่งขรึมออกมา
“ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้ แล้วเป็นอันดับหนึ่ง”
“แล้วก็ถูกเจ้าแห่งปรารถนาเสียงครอบงำร่างน่ะหรือ” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเรียบ
“แน่นอนว่าไม่ใช่ ขอแค่เจ้าถูกเลือก ข้าก็สามารถช่วยเจ้าได้ ทันทีที่ร่างแปลงจากเต๋าแห่งดนตรีผู้นั้นของเจ้าปรารถนาเสียงกำลังจะครองร่างเจ้า การสะท้อนวิชากลับจะทำให้เจ้าหันกลับมาเป็นฝ่ายกลืนกินร่างแปลงเต๋าแห่งดนตรีผู้นั้นของเจ้าปรารถนาเสียงได้เอง” เจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์รีบชี้แจง
“พอเจ้าทำสำเร็จก็จะสามารถช่วงชิงพลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงสามส่วนของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงได้ จากนั้นจะกลายเป็นตัวตนที่เป็นรองเพียงเจ้าปรารถนาเสียงในด้านพลังปรารถนาเท่านั้น รวมกับที่เจ้าสามารถก้าวเข้าสู่โลกสัมผัสเสียงและกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดอีก พอถึงเวลานั้น…เจ้าแห่งปรารถนาเสียงก็ไม่อาจทำอะไรเจ้าได้แล้ว”
หวังเป่าเล่อหรี่ตา เนื้อหาในคำพูดของอีกฝ่ายทำให้เขาหวั่นไหวจริงๆ นี่เป็นทางลัดที่สามารถทำให้เขาได้รับพลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้รวดเร็วที่สุด อีกทั้งเมื่อถึงเวลานั้น กฎเกณฑ์ปรารถนารสของเขาก็จะพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด เมื่อพวกมันส่งเสริมกันและกัน ก็จะบรรลุถึงระดับที่น่าตะลึงทีเดียว
แต่ว่า…เบื้องหลังภาพที่สวยงามนี้กลับแอบซ่อนความไม่แน่นอนหลายอย่างเอาไว้ชัดๆ ดังนั้นหลังจากหวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไป เขาก็ค่อยๆ เอ่ยขึ้นมาว่า
“สามคำถาม”
“หนึ่ง ข้าไม่มีเมล็ดพันธุ์เต๋า ต่อให้กลายเป็นอันดับหนึ่ง จะให้ร่างแปลงเต๋าแห่งดนตรีของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงเลือกข้าย่อมเป็นเรื่องยากอยู่บ้าง แล้วท่านจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะเลือกข้า ไม่ใช่เลือกศิษย์เต๋าที่มีเมล็ดพันธุ์เต๋าคนอื่นๆ”
“สอง ความช่วยเหลือที่ท่านพูดว่าจะให้ข้าสามารถสะท้อนวิชากลืนกินกลับได้ ท่านจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าเป็นเรื่องจริง ไม่ใช่หลอกใช้ข้าเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของท่าน”
“สาม ข้าอยากรู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของท่านคืออะไร!”
เมื่อหวังเป่าเล่อพูดจบก็มองไปยังความว่างเปล่าไกลๆ ซึ่งกลายเป็นสีขาวและกำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ผ่านไปที่ใด ค่ำคืนมืดมิดก็จะสลายหายไป
“ขอให้เจ้าแห่งสุขพิจารณาให้รอบคอบเถิด ข้าแซ่หวังไม่เร่งให้ท่านตอบ แต่คำตอบของท่านจะเป็นตัวตัดสินใจว่าข้าจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือไม่” หวังเป่าเล่อยืนขึ้น พูดจบแล้วก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว เงาร่างหายไปจากโลกแห่งเสียงนี้
จนกระทั่งเขาจากไป ก็มีเสียงถอนหายใจเหนื่อยล้าดังออกมาจากโลกแห่งเสียง
เสียงถอนหายใจนั้นมาจากเจ้าแห่งสุข นางรู้ดีว่าการโน้มน้าวใจหวังเป่าเล่อเป็นเรื่องยากยิ่ง ดังนั้นก่อนหน้านี้นางจึงไม่ได้บอกทุกอย่างในทันที แต่ยืดเวลาไปกว่าหนึ่งเดือน ทั้งคิดจะกระตุ้นความสงสัยของหวังเป่าเล่อเพื่อให้เขาเป็นฝ่ายเริ่มเสาะหาเอาเอง
แต่วิธีการทั้งหมดนี้ ตอนนี้ผลลัพธ์ยังคงเป็นเหมือนเดิม โดยเฉพาะแปดวันก่อนที่อีกฝ่ายหายหน้าไปกะทันหัน นางยอมรับเลยว่า…นางตื่นตระหนกเล็กน้อย
นางไม่อยากให้โอกาสที่พันปียากจะหาพบผ่านไปอย่างนี้ ถึงอย่างไร…ถ้าหากหวังเป่าเล่อยอมร่วมมือ โอกาสที่เป้าหมายของนางจะสำเร็จผลก็แทบจะมีมากกว่าเก้าส่วนทีเดียว
แต่ถ้าหากหวังเป่าเล่อไม่ร่วมด้วย เช่นนั้นทุกอย่างก็มีโอกาสแค่ห้าสิบห้าสิบเท่านั้น
ดังนั้น คำพูดก่อนที่หวังเป่าเล่อจะจากไปจึงทำให้ฝ่ายเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ถอนหายใจ แล้วจมอยู่ในภวังค์ความคิดอันล้ำลึก นางกำลังชั่งน้ำหนักอยู่…
กลับไปที่หวังเป่าเล่อในโรงเตี๊ยม เขาก็กำลังชั่งน้ำหนักและคิดพิจารณาดูเช่นกัน
เรื่องนี้ใหญ่เกินไป หวังเป่าเล่อจะต้องคิดพิจารณาให้รอบคอบจึงจะสามารถตัดสินความจริงที่อีกฝ่ายจะให้คำตอบในครั้งถัดไปได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ไปที่โลกแห่งเสียงในคืนวันถัดมา แต่ครุ่นคิดอยู่หลายวัน หลังจากแน่ใจว่าตนได้พิจารณาอย่างเต็มที่ที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้แล้ว ในคืนวันที่ห้า เขาก็เลือกจะก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียง
แทบจะทันทีที่เขาแปลงกายเป็นสัตว์ประหลาดก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียง ดวงจิตเทพของเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ก็แพร่กระจาย เสียงของนางดังก้องอยู่ในใจของหวังเป่าเล่อ
“หนึ่ง ขอเพียงเจ้าได้อันดับหนึ่งมา เช่นนั้นเจ้าก็จะได้รับเม็ดยาแห่งกฎเกณฑ์เป็นรางวัลแน่นอน เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ดังนั้นข้าจึงมั่นใจอย่างยิ่ง แต่ถ้าหากไม่ได้รางวัล เจ้าก็จะไม่ประสบกับการครอบงำร่าง ข้อตกลงระหว่างข้ากับเจ้าก็สามารถยกเลิกได้”
“สอง เรื่องที่ว่าจะพิสูจน์อย่างไรนั้น ข้าต้องบอกวิชาคาถาแก่เจ้าเสียก่อน เจ้าไปศึกษาเอาเอง อาศัยสติปัญญาและประสบการณ์ของเจ้า คิดว่าคงไม่ยาก ขณะเดียวกันข้าก็รู้ว่าเพียงเท่านี้มันยังไม่จริงใจมากพอ ดังนั้นหลังผ่านไปเจ็ดวัน ข้าจะพาเจ้าไปยังที่แห่งหนึ่ง ที่นั่น…ข้าจะให้หลักฐานที่เจ้าต้องการ!”
“สาม…เป้าหมายของข้านั้นเรียบง่ายอย่างยิ่ง ข้าต้องการหลุดพ้น! เจ้าแห่งปรารถนาเสียงใช้ผนึกสยบข้าไว้หลายปี ข้าไม่เคยมีโอกาสได้หลุดพ้นเลย แต่ตอนนี้ร่างแปลงเต๋าแห่งดนตรีของนางอ่อนแอ นี่จึงเป็นโอกาสดีของข้า ถ้าหากเจ้าช่วยข้า ก็จะทำให้ปัญหานอกในของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงระเบิดออกมาทั้งหมด ยิ่งทำให้ข้าหลุดออกจากกรงขังได้สะดวกขึ้น”
“ทุกคำที่ข้าพูดกับเจ้าไม่มีคำโกหกแม้แต่คำเดียว อีกอย่าง…แม้ว่าข้าจะใช้ประโยชน์จากเจ้า แต่เจ้าก็ได้ประโยชน์ใหญ่หลวงเช่นกัน ดังนั้นจึงเรียกว่าหลอกใช้ไม่ได้ นี่คือข้อตกลงของพวกเรา” เจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์เอ่ยช้าๆ ในน้ำเสียงแฝงความจริงใจ จากนั้นก็รวบรวมดวงจิตเทพ กลายเป็นแผ่นหยกมายาชิ้นหนึ่งอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ แล้วลอยเข้ามาหาเขา
เมื่อมองดูแผ่นหยก หวังเป่าเล่อก็ขมวดคิ้ว เขาไม่ได้พอใจกับคำตอบที่อีกฝ่ายให้มาสักเท่าไร เรื่องนี้อาจกล่าวได้ว่าไม่มีความเสี่ยงต่อตัวของเจ้าแห่งสุขเลย แต่เขากลับเป็นคนเผชิญหน้ากับทั้งหมด
อันดับแรก หากสะท้อนวิชาครองร่างล้มเหลว ตนก็จะตาย
อย่างที่สอง ต่อให้สะท้อนการครองร่างสำเร็จ แต่ร่างแปลงอีกสองร่างของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงจะไม่มาหยุดยั้งหรือ เมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้นมาก็เท่ากับว่าตนดึงดูดอันตรายทั้งหมดน่ะสิ ส่วนทางฝั่งเจ้าแห่งสุขก็สามารถหลบหนีไปได้ง่ายๆ เลย
“จริงใจไม่พอ ข้าไม่ยอมรับ” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า ไม่ได้เอ่ยต่อ หันกายฉับพลันและกำลังจะจากไป
และขณะที่เขากำลังจะจากไปนั้น แผ่นหยกที่ลอยอยู่ในตำแหน่งที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ก็บินตามมาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน เสียงของเจ้าแห่งสุขก็ดังก้องอีกครั้ง
“เจ็ดวันให้หลัง ข้าจะมอบความจริงใจที่เพียงพอให้กับเจ้า พอถึงตอนนั้นเจ้าค่อยตัดสินใจอีกครั้งดีหรือไม่”
…………………

 การทดสอบที่ทำให้ศิษย์สามสำนักและมหาศิษย์ต้องบ้าคลั่ง  เจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์เอ่ยเสียงเรียบ

 โอ้  หวังเป่าเล่อไม่มีอะไรให้พูดนัก และไม่ได้เอ่ยถามเช่นกัน ส่วนเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์นั้น หลังรออยู่เนิ่นนานก็พบว่าหวังเป่าเล่อยังคงนั่งอยู่บนก้างปลาตัวนั้นเช่นเดิม ราวกับไม่มีความสงสัยใคร่รู้อะไรนัก จึงเหมือนจะทนไม่ไหวแล้ว

 เจ้าไม่สงสัยเรื่องเนื้อหากับจุดประสงค์ของการทดสอบหรือ 

 ไม่สงสัย  หวังเป่าเล่อก้มหน้าเคาะก้างปลา ฟังเสียงตุบๆ ที่ดังมาจากมัน สัมผัสรับรู้ท่วงทำนองเพลงที่เปล่งเสียงเพิ่มขึ้นมาจากในร่าง เมื่อนำมันซ้อนทับเข้าไปแล้ว เขาก็ตอบกลับสุ่มๆ หนึ่งประโยค

เจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์เงียบงัน จนกระทั่งผ่านไปพักหนึ่งก็เห็นหวังเป่าเล่อตบก้างปลา ให้ก้างปลาเคลื่อนที่เร็วขึ้น ราวกับกำลังจะตามหาแรงบันดาลใจในการตระหนักรู้เพิ่มขึ้นจากรอบๆ นางจึงอดถอนหายใจออกมาไม่ได้

 เจ้าอยากรู้ความลับของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงหรือไม่ 

 เจ้าอยากพูดก็พูด ไม่อยากพูดก็ไม่ต้องมาหลอกล่อข้า  หวังเป่าเล่อใช้ฝ่ามือจับตัวประหลาดรูปร่างคล้ายกับคางคกมาตัวหนึ่งแล้วบีบมัน ทำให้มันส่งเสียงร้อง ‘อ๊บ อ๊บ’ ออกมา พลางกล่าวอย่างไม่สนใจ

เห็นได้ชัดว่าเจ้าแห่งสุขก็มีศักดิ์ศรี เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ของหวังเป่าเล่อก็เงียบงัน ไม่พูดอะไรอีก ส่วนหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ถามเช่นกัน เป็นเช่นนี้เวลาก็ล่วงเลยผ่านไป เมื่อเห็นว่ายังมีเวลาอีกเกือบครึ่งชั่วยามค่ำคืนถึงจะผ่านพ้น ฝั่งเจ้าแห่งสุขก็เอ่ยออกมาคล้ายจนใจ

 เจ้าแห่งปรารถนาเสียง ไม่ใช่หนึ่งเดียว…อันที่จริง นางเกิดขึ้นมาจากสามร่างแยก เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าสามร่างแยกนั้นเป็นใครกันบ้าง 

ราวกับว่าวิธีการพูดของเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์มักจะชอบหลอกล่อคนอื่นให้เอ่ยถามเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่มาเจอกับหวังเป่าเล่อ และครั้งนี้แม้ว่าเจ้าแห่งสุขผู้เริ่มเข้าใจลักษณะการพูดจาของหวังเป่าเล่อแล้วจะเอ่ยแบบนี้ออกมา แต่นางกลับไม่รอให้หวังเป่าเล่อได้ตอบกลับ แต่เป็นผู้ก็เอ่ยต่อไปเอง

 เจ้าจะต้องอยากรู้แน่ พวกเขาก็คือ… 

 ไม่อยากรู้ก็ได้…  หวังเป่าเล่อตอบกลับหนึ่งประโยค แต่เห็นชัดว่าถูกเจ้าแห่งสุขเมินไปแล้ว

 พวกเขาก็คือ เจ้าสำนัก…ของทั้งสามสำนักในเมืองปรารถนาเสียง! 

เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา ในใจของหวังเป่าเล่อก็พลันสั่นไหว แต่เบื้องหน้ายังคงเป็นท่าทางไม่สนใจ ส่งเสียง  อ้อ  รับรู้ออกมา

เจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ไม่สนใจท่าทีของหวังเป่าเล่อ นางเอ่ยต่อไปด้วยตัวเอง

 เจ้าสำนักทั้งสามสำนักของเมืองปรารถนาเสียงนั้น พวกเขาก็คือร่างแปลงทั้งสามของเจ้าปรารถนาเสียง ส่วนเจ้าแห่งปรารถนาเสียงนั้นไม่มีร่างจริง เมื่อร่างแปลงสามร่างของนางผสานรวมเข้าด้วยกัน นั่นก็คือร่างจริง 

 แต่เป็นเพราะข้อห้ามและคำสาปในอดีต ร่างแปลงของนางจึงไม่อาจผสานรวมกันได้ตลอดกาล  เอ่ยถึงตรงนี้ เจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ก็นิ่งไป แต่คล้ายไม่อยากได้ยินเสียงของหวังเป่าเล่อ ดังนั้นนางจึงฝืนเปลี่ยนความเคยชินของตัวเอง เอ่ยต่อไปอย่างรวดเร็ว

 แต่ก็เป็นเพราะข้อห้ามและคำสาปเช่นเดียวกัน แม้ว่าร่างจริงของนางจะไม่อาจปรากฏออกมาได้ แต่ร่างแปลงก็เป็นตัวตนอมตะในแง่หนึ่ง เพราะร่างแปลงของนางก็มีความสามารถแบบเดียวกัน เรียกว่าการกลับชาติ เป็นประเภทเดียวกับการครองร่าง แต่ครอบงำยิ่งกว่าการครองร่าง 

 เช่นนั้น…  หวังเป่าเล่อครุ่นคิดพลางเอ่ยขึ้นโดยไม่รู้ตัว และหลังจากเอ่ยออกมาเขาก็รู้สึกเสียใจแล้ว ทว่าเขาจำต้องยอมรับ ข้อมูลที่อีกฝ่ายพูดออกมาทำให้เขาตกใจมากจริงๆ

และความเสียใจของเขาก็ถูกต้องแล้ว เพราะว่า…เมื่อเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ได้ยินคำพูดนั้นของหวังเป่าเล่อ นางก็ไม่พูดต่ออีก จนกระทั่งค่ำคืนผ่านพ้นและหวังเป่าเล่อจากไป นางก็ยังไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่นิด

ทำให้หวังเป่าเล่อที่หายตัวไปจากตรงนี้เพื่อกลับสู่โรงเตี๊ยมรู้สึกจนใจเล็กน้อย เขาคิดว่าเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ผู้นี้มีปัญหาแน่ๆ ยิ่งเจ้าไปสนใจนาง นางก็ยิ่งทำตัวเย็นชา

 ต่อกรกับคนแบบนี้ก็ต้องทำตัวเหมือนไม่สนใจ 

 และไม่อาจทำตัวกระตือรือร้นเพื่อให้นางมองเห็นข้ามากเกินไป…  หวังเป่าเล่อครุ่นคิดพิจารณาแล้วแค่นหัวเราะเสียงเย็นไปทีหนึ่ง ลอบคิดว่าเรื่องแบบนี้ ร่างจริงในสมัยเด็กยังทำได้ ตนยิ่งแข็งแกร่งกว่าร่างจริง กำเนิดออกมาก็ทำได้เลย

 คนบางคนก็ควรจะปล่อยให้ตากแห้งไว้อย่างนั้นแหละ  หวังเป่าเล่อไม่ได้คิดเรื่องนี้อีก แต่หยิบแผ่นทำนองเพลงออกมาแล้วตระหนักรู้ต่อ จนกระทั่งยามค่ำคืนมาเยือน ทว่าเขากลับไม่ได้ไปที่ประตูสำนัก และไม่ได้ออกจากโรงเตี๊ยม ยิ่งไม่ได้ผสานเข้าสู่โลกแห่งเสียงด้วย

นี่เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งเดือนกว่าที่หวังเป่าเล่อไม่ได้ก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียง

และไม่ว่าเรื่องใดก็ตาม เมื่อมีครั้งแรกแล้วก็ย่อมมีครั้งที่สอง ดังนั้น จนกระทั่งผ่านไปแล้ววันที่สอง วันที่สาม วันที่สี่…จนแปดวัน

ในช่วงแปดวันนี้ หวังเป่าเล่อไม่ก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียงแม้เพียงครึ่งก้าว ทั้งกายใจล้วนหมกมุ่นอยู่กับการตระหนักรู้ทำนองเพลง เพิ่มจำนวนท่วงทำนองของตน และสุดท้ายก็ทะลวงสองหมื่น บรรลุถึงระดับสามหมื่น

จนกระทั่งค่ำคืนวันที่แปดกำลังจะผ่านพ้น หวังเป่าเล่อจึงลืมตาขึ้นมา ก้าวเดินอย่างเกียจคร้านและกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาดผสานเข้าสู่โลกแห่งเสียง ชั่วขณะที่เขาก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียงนั้น เขาก็สัมผัสได้ทันทีว่ามีดวงจิตเทพเข้ามารวมตัวกันจากทั้งแปดทิศ มันแผ่กระจายอยู่รอบตัวของเขาอย่างร้อนรน

หลังจากรับรู้สิ่งเหล่านี้แล้ว จิตใจของหวังเป่าเล่อก็ตะโกนร้องขึ้นมา เรียกหาก้างปลาที่รักของเขา ไม่นานก้างปลาตัวนั้นก็ว่ายเข้ามาหาจากที่ไกลๆ อย่างรวดเร็วแล้วแล่นลงที่บั้นท้ายของหวังเป่าเล่อ ให้เขาได้นั่งลงอย่างสบายๆ

และแทบจะขณะเดียวกับที่หวังเป่าเล่อนั่งลงไปนั้น ดวงจิตเทพที่แพร่กระจายอยู่รอบด้านก็เกิดการผันผวนเล็กน้อย ผ่านไปพักหนึ่ง เสียงแผ่วเบาก็ดังก้อง

 ดังนั้น…หลังจากร่างแปลงสำนักเต๋าแห่งดนตรีของเจ้าปรารถนาเสียงต่อสู้กับเจ้าแห่งสวาปามแล้วบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งรักษาตนเองล้มเหลว ดังนั้น…ข้าจึงเดาว่ามีโอกาสอย่างมากที่จะเลือกการครองร่าง 

 และเป้าหมายของการครองร่างย่อมเป็นศิษย์ที่โดดเด่นที่สุดในสามสำนัก นี่ก็คือจุดประสงค์ของการทดสอบครั้งนี้ด้วย เพียงแต่ว่าศิษย์ของสามสำนักไม่มีใครรู้ความลับนี้เท่านั้น 

ครั้งนี้ เจ้าแห่งสุขได้เปลี่ยนแปลงรูปแบบคำพูดจากเมื่อก่อน นางให้คำตอบที่หวังเป่าเล่ออยากรู้ออกมารวดเดียว พูดออกไปทั้งหมด ถึงขนาดยังมีความรู้สึกเหมือนกับกลัวว่าพอพูดจบแล้วหวังเป่าเล่อจะจากไปทันทีอีกด้วย

 เป็นเช่นนั้นจริงๆ แม้จะเป็นเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ แต่ตราบใดที่ยังมีนิสัยแบบสตรีอยู่ วิธีการก็แทบจะเป็นเหมือนกันหมด  หวังเป่าเล่อกระแอมไอ หลังจากพึมพำอยู่ในใจแล้วก็ครุ่นคิดถึงคำพูดของอีกฝ่ายอย่างละเอียด

ไม่นานเขาก็คาดเดาออกมาได้ว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องจริงสักแปดเก้าในสิบส่วน เพราะเขานึกถึงตอนนั้น ร่างจริงได้พบกับนักแสดงหญิงชุดเขียวจากเมืองปราถรถนาเสียงผู้นั้น ภายในร่างของอีกฝ่ายกลับมีเมล็ดพันธุ์เต๋าฝังอยู่

และยังมีเยว่หลิงจื่อจากสำนักเหอเสียน ตอนนั้นหวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเมล็ดพันธุ์เต๋าเช่นกัน ถึงขนาดที่ตอนนี้มาหวนนึกถึง สือหลิงจื่อก็น่าจะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน

และของประเภทเมล็ดพันธุ์เต๋าก็ไม่ใช่ของสามัญ ปกติแล้วมันไม่มีทางอยู่ในตัวของคนหลายคนขนาดนี้ ดังนั้นถ้าหากมีอยู่จริงๆ เช่นนั้นก็มีปัญหาแล้ว

แต่ตอนนี้หวังเป่าเล่อมีคำตอบสำหรับปัญหานี้แล้ว

และคำพูดต่อมาของเจ้าแห่งสุขก็ได้พิสูจน์การคาดเดาของหวังเป่าเล่อ

 ศิษย์เต๋าของสามสำนักและหัวกะทิที่เป็นรองเป็นศิษย์เต๋านั้น ความจริงแล้วพวกเขา…ล้วนเป็นเตาหลอมที่เจ้าแห่งปรารถนาเสียงผู้นั้นเตรียมจะเลือกใช้ 

 

“ข้าเคยเห็น…” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจหนึ่งประโยค แอบบอกว่าตนนั้นได้เห็นแขนขาและลำตัวทั้งหมดของอีกฝ่ายแล้ว รวมถึงศีรษะด้วย
เพียงแต่การได้เห็นเช่นนี้ออกจะประหลาดพิสดารไปหน่อยเท่านั้น
“แล้วตอนนี้ที่จิตนึกคิดของเจ้ากำลังสื่อสารกับข้า เป็นเพราะอยากบอกอะไรข้าหรือ” หวังเป่าเล่อเลิกคิดแล้วค่อยๆ เอ่ยปาก จากการคาดเดาของเขา การปรากฏตัวของเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ผู้นี้ไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผล จะต้องมีเรื่องบางอย่างที่อยากพูดคุยกับเขาแน่
“ได้พบผู้ฝึกตนที่สามารถก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียงได้ในบางครั้ง เพราะความใคร่รู้ จึงส่งดวงจิตเทพมา ไม่ได้มีเรื่องใดพิเศษ” ผู้ที่ตอบกลับหวังเป่าเล่อก็คือเสียงแผ่วเบาเหมือนเคยของเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์
หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว แม้ว่ากฎเกณฑ์แรกที่เขาได้สัมผัสหลังจากมาถึงโลกชั้นที่สองแห่งนี้จะเป็นกฏเกณฑ์แห่งสุข แต่ถ้าหากอีกฝ่ายปิดบังคำพูด ความรู้สึกสนิทสนทที่ไม่ได้มากมายนักของเขาก็ยังไม่พอนำมาใช้เสริมความอดทนของเขาได้ ดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ หวังเป่าเล่อก็แย้มยิ้ม ร่างกายสั่นไหว เงาร่างที่อยู่ในโลกแห่งเสียงใบนี้กลับเลือนรางอย่างช้าๆ ราวกับกำลังจะออกไปจากที่นี่
“ในเมื่อเจ้าแห่งสุขมาเพียงเพราะความใคร่รู้ หากภายหน้ามีเวลา พวกเราค่อยมาพูดคุยกันเถอะ”
ขณะที่กล่าว เงาร่างของหวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ เลือนหายราวกับกำลังจะออกจากโลกใบนี้ ส่วนทางฝั่งเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์กลับเงียบงันไม่พูดอะไร กระทั่งเงาร่างของหวังเป่าเล่อหายไปอย่างสมบูรณ์ก็ยังไม่เอ่ยออกมาสักคำ
กลับไปที่หวังเป่าเล่อในคืนมืดมิด แววตาของเขาเผยความสงสัย
“หรือว่าแค่อยากรู้เท่านั้นจริงๆ” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด เก็บเรื่องนี้เอาไว้ในใจ และเวลาของค่ำคืนนี้ก็ค่อยๆ ผ่านไปตามช่วงเวลาที่สัตว์ประหลาดของหวังเป่าเล่อผสานเข้ากับโลกแห่งเสียง
ตอนนี้ ไม่นานหลังจากเขากลับมาสู่ค่ำคืน ขอบฟ้าไกลก็เป็นสีขาวแล้ว ไม่นานหลังจากนั้น ค่ำคืนมืดมิดก็ถูกฟ้าสางเข้าแทนที่ ส่วนเงาร่างของหวังเป่าเล่อก็หายตัวไป
เมื่อปรากฏขึ้น เขาก็อยู่ในเมืองปรารถนาเสียงแล้ว เขากลับไปยังที่พักด้วยสีหน้าสงบนิ่ง แม้ว่าคืนนี้เขาจะตามหาสือหลิงจื่อไม่เจอ แต่กลับได้กำไรที่น่าตะลึงยิ่งกว่า
อันดับแรก เขามั่นใจในทิศทางของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของตนแล้ว รู้ถึงความสามารถที่ตนมีทั้งหมดในตอนนี้ ก็ยิ่งรู้จักและเข้าใจพวกสัตว์ประหลาดในโลกแห่งเสียงเหล่านั้นอย่างลึกซึ้ง
ส่วนเจ้าแห่งสุข หวังเป่าเล่อมีลางสังหรณ์บางอย่างว่าการปรากฏตัวของอีกฝ่ายไม่ใช่แค่ความใคร่รู้ จะต้องมีเรื่องอื่นแฝงอยู่แน่ๆ
“นางไม่รีบ ข้าก็ย่อมไม่รีบ” หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก ด้านหนึ่งเขาให้พ่อบ้านเก็บรวบรวมทำนองบทเพลงที่เสียต่อไป ส่วนอีกด้านก็เปิดกระเป๋าคลังเก็บที่เก็บมาได้ออกทีละใบๆ แล้วควานหาของ
ขณะที่กระเป๋าคลังเก็บถูกเขาเปิดออกอย่างต่อเนื่อง สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็ตื่นตะลึงขึ้นเรื่อยๆ กระเป๋าคลังเก็บพวกนี้มาจากผู้ฝึกตนของสามสำนัก และในกระเป๋าคลังเก็บของผู้ฝึกตนแต่ละคนล้วนใส่ทรัพย์สินอยู่ไม่มากก็น้อย
ตัวอย่างเช่นหวังเป่าเล่อได้ทำนองเพลงมาสามแผ่น ทั้งยังเป็นทำนองเพลงสมบูรณ์ด้วย
ส่วนทำนองเพลงเสียก็มีมากมายเช่นกัน อีกทั้งส่วนใหญ่ล้วนเป็นต้นฉบับ ไม่ใช่ของคัดลอก นอกจากนั้น ของประเภทเทพวัตถุและโอสถบำรุงก็ยิ่งมีหลากหลาย เห็นแล้วหวังเป่าเล่อก็ตื่นเต้นมาก
เขาหยิบทำนองเพลงเหล่านั้นออกมาทันทีแล้วเริ่มตระหนักรู้บทเพลง
เช่นนี้เอง วันเวลาที่ดำเนินไป จนกระทั่งผ่านไปสิบวัน
ในช่วงสิบวันนี้ ทุกครั้งที่ยามค่ำคืนมาถึง หวังเป่าเล่อก็จะแปลงกายเป็นสัตว์ประหลาดและออกไปโลกข้างนอก ผู้ฝึกตนที่ถูกเขาพบเห็นล้วนยากจะหลีกหนีหายนะถูกชิงกระเป๋าคลังเก็บไปได้ ถึงขนาดที่มีบางคนเป็นลูกค้าเก่าของเขาแล้วด้วย…
ขณะที่เขาเก็บเกี่ยวมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ในกลุ่มศิษย์สามสำนักก็มีข่าวลือเกี่ยวกับหัวขโมยน่ากลัวยามค่ำคืนแพร่ไปทั่วเหมือนกับลมพายุ ถึงขั้นที่มีคนในเมืองปรารถนาเสียงมากมายเริ่มรู้เรื่องแล้ว และได้พูดคุยกันอย่างแพร่หลาย
“ได้ยินไหม ช่วงนี้มีคนบ้าไร้ยางอายคนหนึ่ง คนผู้นั้นเห็นชัดว่ามีพลังฝึกตนสูงส่งยิ่งยวด แต่กลับมุ่งเป้าลงมือกับกระเป๋าคลังเก็บเท่านั้น…”
“ทุกคนระวังหน่อยนะ หลายวันนี้ไม่ค่อยสงบ มีหัวขโมยอาละวาด”
“ได้ยินมาว่าผู้ฝึกตนกว่าครึ่งที่ออกไปข้างนอกของสามสำนักล้วนเคยพบเจอกับหัวขโมยผู้นั้น ในเมื่อโจรผู้นี้มีพลังฝึกตนระดับสูงอย่างนี้แล้ว เหตุใดถึงจดจ้องแต่กระเป๋าคลังเก็บล่ะ”
ในยามกลางวัน หวังเป่าเล่ออยู่ในโรงเตี๊ยมจะได้ยินบทสนทนาของผู้คน และในยามกลางคืน เขาก็ได้ยินคำพูดประเภทนี้ในสำนักของเขาเองด้วย
ทุกครั้งที่เจอเรื่องนี้เขาล้วนมีสีหน้าเป็นปกติ ราวกับผู้ที่อีกฝ่ายพูดถึงไม่ใช่ตน ถึงขนาดยามที่เจอกับเพื่อนข้างห้องพักของตนและอีกฝ่ายก็มาบอกเขาเรื่องนี้ หวังเป่าเล่อยังทำเป็นทอดถอนใจ บอกว่าตนก็เคยเจอมาแล้ว แลกมาซึ่งความเห็นอกเห็นใจได้หนึ่งอย่าง
บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องของหัวขโมย หรืออาจเป็นเพราะความดุเดือดจากการประกาศจับลดน้อยลง จำนวนของผู้ฝึกตนสามสำนักที่ออกไปข้างนอกยามค่ำคืนก็ค่อยๆ ลดน้อยลงมาก ศิษย์สามสำนักส่วนมากกลับไปสู่ชีวิตของการกักตนตระหนักรู้แบบแต่ก่อนแล้ว
สิ่งนี้ทำให้การปล้นชิงของหวังเป่าเล่อต้องหยุดชะงัก บางครั้งในหนึ่งคืน เขากลายเป็นสัตว์ประหลาดออกตามหาอยู่ตั้งนาน มากที่สุดก็เจอแค่สามถึงห้าคนเท่านั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เก็บเกี่ยวได้ก็ย่อมน้อยลงมาก แต่หวังเป่าเล่อก็พอใจอย่างยิ่งแล้ว เพราะช่วงนี้ในกระเป๋าคลังเก็บที่เขาปล้นชิงมาเป็นทำนองเพลงที่มีจำนวนมากถึงห้าสิบแผ่นทีเดียว
ทำนองที่เสียก็ยิ่งมีจำนวนน่าตกใจ และจำนวนทำนองเพลงที่ทำให้เขาตระหนักรู้ได้ก็มีเกินกว่า 15,000 ชิ้นจนถึงระดับ 20,000 กว่าชิ้น ที่สำคัญที่สุดคือยามที่แปลงกายเป็นสัตว์ประหลาดเข้าสู่โลกแห่งเสียงตอนกลางคืนทุกครั้ง เขาจะสามารถสัมผัสได้ลางๆ ว่าคล้ายมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องมาที่ตน
เจ้าของสายตาคู่นั้นไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับหวังเป่าเล่อ อีกฝ่ายก็ไม่ได้ปิดบัง นั่นก็คือเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ เพียงแต่เจ้าแห่งสุขผู้นี้ นอกจากในวันแรกก็ไม่เคยเข้ามาพูดคุยกับหวังเป่าเล่ออีกเลย
จนกระทั่งวันนี้ เมื่อหวังเป่าเล่อกลายร่างเป็นสัตว์ประหลาด เขาแหวกว่ายอยู่ในโลกแห่งเสียงเนิ่นนานก็ยังไม่เห็นดวงแสงของผู้ฝึกตนคนใด แต่จู่ๆ เสียงจากเจ้าแห่งสุขของเจ็ดอารมณ์ที่หายไปนานก็ดังก้องอยู่ในใจเขาอีกครั้ง
“ทางทิศตะวันออกของเจ้า ภายในขอบเขตความเร็วหนึ่งก้านธูปของเจ้า มีศิษย์จากเต๋าแห่งดนตรีอยู่ผู้หนึ่ง”
“หืม” หวังเป่าเล่อได้ยินแล้วก็กวาดมองรอบๆ ร่างกายวาบหายแล้วพุ่งไปทางทิศที่อีกฝ่ายชี้นำทันที หลังจากชั่วก้านธูป เขาก็เห็นดวงแสงสลัวๆ ดวงหนึ่งจริงๆ มันเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง ราวกับกลัวจะถูกพบเห็น
น่าเสียดาย เมื่อลมพัดผ่านและหวังเป่าเล่อขยับตัว ศิษย์จากเต๋าแห่งจังหวะดนตรีคนนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีทันใด เขาพลันลูบคลำที่หน้าอก คนทั้งคนอ้าปากค้าง กระเป๋าคลังเก็บที่เขาซ่อนเอาไว้ในอกเสื้อ…หายไปแล้ว
ความสุขจากการร่วมมือกันเป็นครั้งแรกเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างหวังเป่าเล่อกับเจ้าแห่งสุข ดังนั้นเจ้าแห่งสุขจึงเอ่ยพูดบ่อยยิ่งขึ้น แต่ทุกครั้งนางล้วนบอกเรื่องตำแหน่งของศิษย์จากสามสำนักให้กับหวังเป่าเล่อ
และหวังเป่าเล่อก็ไม่รีบร้อน เขาค่อยๆ เก็บเกี่ยวมาได้มากขึ้นตามการชี้นำของอีกฝ่าย แต่เห็นชัดว่าพฤติกรรมไร้มารยาทแบบนี้ยากจะกระทำได้นาน หลังจากผ่านไปอีกครึ่งเดือนก็ไม่มีศิษย์สามสำนักออกมายามค่ำคืนมากสักเท่าไรแล้ว
สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเสียใจเล็กน้อย ขณะเดียวกันเขาก็สงสัยมากว่าทำไมช่วงนี้เขาถึงไม่เคยเจอสือหลิงจื่อเลย แม้แต่ศิษย์จากสำนักอื่นๆ ก็ไม่ได้ปรากฏตัวออกมา ราวกับศิษย์เต๋าพวกนี้หายไปกันทีละคนๆ
ส่วนเจ้าแห่งสุขจากเจ็ดอารมณ์ผู้นั้นก็คล้ายเดาความสงสัยของหวังเป่าเล่อได้ จึงส่งเสียงออกมาอีกครั้ง
“ศิษย์เต๋าของสามสำนักและมหาศิษย์เหล่านั้นล้วนแต่กักตน เตรียมพร้อมสำหรับการดำเนินการในภายภาคหน้า…สำหรับพวกเขาแล้ว มันเป็นการทดสอบครั้งสำคัญ”
“การทดสอบหรือ” หวังเป่าเล่อนั่งอยู่บนก้างปลาตัวเดิมตัวนั้น เงยหน้ามองรอบๆ เอ่ยถามหนึ่งประโยค

ซ่งเสี่ยวผู้อาศัยอยู่ในเมืองปรารถนาเสียงมาตั้งแต่เด็ก เขาเกิดที่นั่น เติบโตที่นั่น และกราบเข้าสำนักเหิงฉินได้สำเร็จเพราะพรสวรรค์อันไม่ธรรมดาของตน

บางทีอาจเป็นเพราะเติบโตมาอย่างราบรื่น จึงหล่อหลอมให้เขามีนิสัยเย่อหยิ่ง แต่ถึงแม้การฝึกตนในสำนักเหิงฉินของเขาจะไม่ได้เชื่องช้า แต่คนที่ฝึกได้รวดเร็วกว่าเขากลับมีไม่น้อยเลย

ดังนั้นเขาที่รู้สึกกดดันจึงต้องเร่งฝึกฝนตนเอง แต่ต่อให้เขาพยายามอย่างหนักก็ยังมีช่องว่างอยู่ สิ่งสำคัญที่สุดในเรื่องนี้ก็คือไม่มีใครช่วยปรับปรุงท่วงทำนองของเขาให้สมบูรณ์แบบเลย

ดังนั้นเมื่อได้ยินเรื่องประกาศจับจากสำนักเหอเสียน เขาจึงตัดสินใจออกจากการกักตันไปลองเสี่ยงโชคข้างนอก ถ้าหากสามารถตามหาคนที่ถูกตามจับพบ สำหรับเขาแล้วมันก็คือโชควาสนายิ่งใหญ่ทีเดียว

แม้ว่าคนที่คิดเช่นนี้จะมีมากมาย แต่การเคลื่อนไหวของซ่งเสี่ยวก็คือความดื้อรั้นที่สุด เพราะช่วงนี้เขาจะออกไปตระเวนอยู่ข้างนอกยามค่ำมืดเกือบทุกคืน สังเกตดูผู้ฝึกตนทุกคนที่เขาได้พบอย่างใกล้ชิด

อย่างเช่นในตอนนี้ ฟ้าเพิ่งจะมืดแล้วเขาก็พุ่งออกจากที่พักของตน จุดทำนองเพลงของตนขึ้นมาในคืนมืดมิด ทำให้สัตว์ประหลาดในโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงไม่ลงมือโจมตีตัวเขา จากนั้นก็เร่งความเร็วเดินทาง

เขาที่ฝึกฝนถึงระดับท่วงทำนองสามารถเมินเฉยต่อสัตว์ประหลาดมากมายได้แล้ว ถึงอย่างไรทำนองเพลงของเขาก็มีมากพอ ความสว่างจากแสงสามารถรับประกันได้ว่าเขาจะไม่ถูกทำร้าย

 สัตว์ประหลาดพวกนี้น่ารำคาญจริงๆ ถึงพวกมันจะพุ่งเข้ามาไม่ได้ แต่ก็ตามติดอยู่รอบตัวข้าอย่างเห็นได้ชัด ช่างทำให้คนรังเกียจนัก  ซ่งเสี่ยวสีหน้าไร้อารมณ์และพึมพำอยู่ในใจ ความจริงแล้วตอนแรกเขาก็ใช่เวลาอยู่นานกว่าจะชินกับการสัมผัสรู้เช่นนี้

เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าตอนนี้ขณะที่เขากำลังพุ่งทะยานไป ท่ามกลางสัตว์ประหลาดที่อยู่รอบๆ กลับมีตัวตนพิเศษอยู่ตนหนึ่งกำลังสังเกตดูเขาอยู่ท่ามกลางสัตว์ประหลาดตัวอื่นๆ

ตัวตนผู้นี้ย่อมเป็นหวังเป่าเล่อ ตอนนี้เขากำลังนั่งอยู่บนสัตว์ประหลาดที่ทั้งตัวมีแค่ก้างปลา พินิจดูผู้ฝึกตนตรงหน้าผู้นี้อย่างใคร่รู้ ตอนนี้เขาแน่ใจอย่างยิ่งแล้วว่าอีกฝ่ายมองไม่เห็นตน

 ดูท่าว่าข้าจะฝึกจนตัวเองกลายเป็นสิ่งแปลกประหลาดแล้วจริงๆ สินะ  หวังเป่าเล่อกะพริบตา สะกดกลั้นความตื่นเต้นภายในใจแล้วตบก้างปลาที่อยู่ใต้ตัวเขา ปลาตัวนั้นขยับไหว มันกลับเชื่อฟังจิตเทพของหวังเป่าเล่ออย่างชาญฉลาด แล้วกระโจนพุ่งไปข้างหน้าตรงๆ วาบผ่านข้างตัวซ่งเสี่ยวไป

บางทีอาจเป็นเพราะลมที่พัดมาหรืออาจเป็นเพราะชายเสื้อผ้าของหวังเป่าเล่อ จึงทำให้ซ่งเสี่ยวชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด เขายกมือลูบคลำใบหน้าของตนโดยไม่รู้ตัว

 เหมือนกับว่า…มีอะไรมาโดนหน้าข้า ความรู้สึกนั้นมัน…คล้ายจะเป็นเสื้อผ้านะ  สีหน้าซ่งเสี่ยวดูไม่อยากเชื่อ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับเรื่องแบบนี้ ตอนนี้เขาคิดว่าการสัมผัสรู้ของตนอาจผิดพลาดไป ดังนั้นจึงปล่อยมือลง แต่พริบตาต่อมาเขาก็ก้มหน้าลงทันที สองตาหดเกร็ง เผยสีหน้าตกตะลึงเหมือนเจอผีออกมาอย่างตื่นตระหนก

 กระเป๋า…กระเป๋าคลังเก็บของข้า?!! 

 หายไปแล้ว! 

ทั้งตัวซ่งเสี่ยวเหมือนโดนสายฟ้าฟาด เขายืนทื่ออยู่ตรงนั้นพักใหญ่ จนกระทั่งผ่านไปนานก็พลันเงยหน้าขึ้น หน้าตาบิดเบี้ยว ความโกรธเกรี้ยวยิ่งแผดเผา

 เป็นพวกสัตว์ประหลาดไปไม่ได้ อย่างแรกคือพวกมันไม่กล้าเข้าใกล้ อย่างที่สองต่อให้เข้าใกล้ได้ก็ไม่เคยได้ยินว่ามันจะเอากระเป๋าคลังเก็บของคนอื่นไป จะต้องเป็นผู้ฝึกตนคนอื่นที่เมื่อครู่พุ่งเข้ามาเร็วมากแล้วฉกกระเป๋าคลังเก็บของข้าไป! 

 ใช่แล้ว ความรู้สึกแบบชายเสื้อผ้านั่นคือหลักฐาน!! 

โทสะของซ่งเสี่ยวแผดเผา แต่พริบตาต่อมาเขาก็หลั่งเหงื่อเย็นๆ เพราะตระหนักได้ว่า ในเมื่ออีกฝ่ายใช้ความเร็วเช่นนี้ฉกกระเป๋าคลังเก็บของตนไปโดยที่ตัวเขายังสัมผัสไม่ได้ เช่นนั้นแค่คิดก็รู้แล้วว่าถ้าหากเขาฟันคอตนขึ้นมา ตนก็คงไม่รู้ตัวเช่นกัน

ความคิดนี้ทำให้ซ่งเสี่ยวสั่นไปทั้งกาย ยามมองไปรอบๆ แววตาก็แฝงความหวาดกลัวเอาไว้ เขารู้สึกว่าข้างนอกอันตรายเกินไปแล้ว ตอนนี้จึงหันกายพุ่งทะยานไปยังสำนักโดยไม่ลังเลแม้แต่นิด เขาไม่คิดจะไปตามหาคนที่ถูกประกาศจับผู้นั้นแล้ว ตอนนี้เขาคิดแต่จะกลับไปกักตันอยู่ในสำนักต่อเร็วๆ เท่านั้น…

และในคืนวันนี้ ภาพแบบเดียวกันก็ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงที่เดียวในโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง ความจริงเมื่อหวังเป่าเล่อปรากฏตัวออกมาข้างนอก รวมถึงการที่เขาถูกประกาศจับ จึงชักนำให้ผู้ฝึกตนจากสามสำนักออกจากการกักตนจำนวนมาก ดังนั้นโอกาสที่จะได้เจอกันก็มีมากไปด้วย

นับประสาอะไรกับหวังเป่าเล่อที่กลายเป็นสัตว์ประหลาดแล้ว ในสายตาของเขา ผู้ฝึกตนคนไหนๆ ในสามสำนักล้วนเหมือนกับคบเพลิงในยามค่ำคืน เจิดจ้าแสบตาอย่างยิ่ง เขาที่อยู่ไกลๆ ก็ยังสัมผัสถึงได้ ถึงขนาดยังพบว่าหลายครั้งเขาไม่จำเป็นต้องมองเห็นก็คล้ายจะรับรู้ได้ผ่านสัมผัสเชื่อมต่อแล้ว

ดังนั้นหากเป็นคนที่มีเจตนาสังหาร หวังเป่าเล่อก็สามารถทำให้เลือดนองเป็นแม่น้ำได้ภายในหนึ่งคืน แต่เพราะไม่มีความแค้นระหว่างกัน ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่ได้ทำอย่างนั้น ทว่าในเมื่อคนพวกนี้มาตามหาเขาพร้อมเจตนาร้าย เขาก็จะฉกกระเป๋าคลังเก็บของพวกเขาไปโดยไม่ถือสาอะไร

สือหลิงจื่อต่างหากคือเป้าหมายหลักที่หวังเป่าเล่อจะตามหา คืนนี้เขาใช้เวลาไปกับการตามหาร่องรอยของอีกฝ่าย

ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อยังค้นพบเรื่องที่ชวนดีใจและประหลาด นั่นก็คือสัตว์ประหลาดในโลกแห่งนี้ส่วนใหญ่ล้วนไม่มีสติปัญญาอะไร รู้จักแต่แหวกว่ายอย่างงุนงงสับสนเท่านั้น พอเจอผู้ฝึกตนก็อยากจะเข้าไปกลืนกินตามสัญชาตญาณ

แต่…สัตว์ประหลาดเหล่านี้ไม่เพียงแต่ไม่โจมตีใส่หวังเป่าเล่อ ทว่ายังเคารพเชื่อฟังจิตเทพของเขาอย่างยิ่ง ท่าทางฉลาดน่าเอ็นดูมากนัก

สิ่งนี้ทำให้การค้นหาของหวังเป่าเล่อราบรื่นยิ่งขึ้น แต่อาจเป็นเพราะคืนนี้สือหลิงจื่อไม่ได้โผล่ออกมาข้างนอก ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงหาไม่เจอ แม้ว่าเขาจะตามหาเกี้ยวสีเลือดเจอแล้ว แต่ก็ยังหาสือหลิงจื่อไม่พบ

ส่วนเกี้ยวสีเลือดนั้น ลักษณะของมันในโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงนี้ กลับแตกต่างจากที่หวังเป่าเล่อเคยเห็นมาก่อน

นั่นมันเป็นเกี้ยวที่ไหนกัน นั่นมัน…กรงเหล็กโลหิตชัดๆ

มีรอยประทับมากมายอยู่บนแขนขาที่ถูกสยบในนั้น รอยประทับแต่รอยล้วนเปล่งประกาย และยามที่มันเปล่งประกายก็จะมีท่วงทำนองดังออกมาด้วย รอยประทับเหล่านี้สอดประสานเปล่งประกายเข้าด้วยกันกลายเป็นบทเพลง

เมื่อมองไปที่กรงขังสีโลหิต หวังเป่าเล่อก็เงียบงัน ผ่านไปนานก็ส่ายหน้า กำลังจะจากไปแล้ว แต่ขณะที่เขากำลังจะจากไปนั้น จู่ๆ ก็มีเสียงแผ่วเบาดังสะท้อนอยู่ข้างหูของเขา

 บนร่างของเจ้า มีกลิ่นอายของข้า… 

หวังเป่าเล่อชะงักฝีเท้าแล้วพลันหันกลับไปมองกรงขัง ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็เก็บสายตากลับมามองไปรอบๆ

เพราะประโยคเมื่อครู่นี้เหมือนจะดังมาจากข้างในกรงขังสีโลหิตกรงนี้ และเหมือนจะดังมาจากทิศทางอื่นๆ ด้วย เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้วก็คล้ายมีอยู่หกเสียงดังก้องสอดประสานกัน

 เจ้าแห่งสุขหรือ  หวังเป่าเล่อลังเลครู่หนึ่งแล้วพูดช้าๆ

 ข้าคือสุขจากเจ็ดอารมณ์ เจ้าพิเศษยิ่ง ในช่วงชีวิตของข้ากลับได้พบกับหนึ่งคนที่สามารถใช้ร่างจริงก้าวเข้าสู่โลกแห่งเสียงได้…  เสียงแผ่วเบาดังก้องอีกครั้ง

 เจ้าแห่งปรารถนาเสียงก็ทำไม่ได้หรือ  หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว

 เพราะความรักตัวกลัวตาย มันที่กลายเป็นพาหะของกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียงจึงไม่อาจใช้คำว่า ‘คน’ มาอธิบายตัวตนได้อีก 

 แล้วเจ้าล่ะ? ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ด้วยหรือ  หวังเป่าเล่อคิดดูแล้วเอ่ยถาม

 ข้าเพียงแต่มีความรู้สึกนึกคิดอยู่ที่นี่ ส่วนกายเนื้ออยู่ข้างนอก ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าก็เคยเห็นมาแล้วหรอกหรือ  เสียงแผ่วเบายังคงดังต่อไป

 

การตระหนักรู้กินเวลายี่สิบวันเต็มๆ เขาเสียท่วงทำนองไปเกือบ 50,000 ท่อน แลกมากับจำนวนท่วงทำนองที่ซ้อนทับในร่างกายของหวังเป่าเล่อ ซึ่งทะลวงไปจนถึงระดับ 15,000 ชิ้นแล้ว
การซ้อนทับของระดับเช่นนี้ถึงขั้นเปลี่ยนรูปลักษณ์ของบทเพลงไปเลย
เดิมทีบทเพลงนี้คล้ายล่องลอยอยู่ในตันเถียนภายในร่างของหวังเป่าเล่อ แต่ตอนนี้ รูปลักษณ์ของมันเปลี่ยนเป็นไอหมอกเลือนราง มองเผินๆ ถึงขั้นมองไม่เห็นลักษณะของท่วงทำนองด้วยซ้ำ
แต่ถึงอย่างไรนี่ก็คือการสร้างทำนองเพลงจริงๆ
และสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือท่วงทำนองที่ทับซ้อนกันนี้ได้หลุดพ้นจากตันเถียนของหวังเป่าเล่อมาปรากฏขึ้นในจิตใจของเขา ราวกับว่ามันไม่มีอยู่จริงแล้ว
ทว่าตราบใดที่ดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อขยับไหว ท่วงทำนองนี้ก็จะเกิดรูปร่างทันที แต่นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกคาดไม่ถึง สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเหลือเชื่อจริงๆ ก็คือหลังจากบทเพลงที่กลายเป็นไอหมอกผสานรวมกับจิตใจของเขาแล้ว ทำให้แม้ว่าจะเป็นตอนกลางวัน รอบตัวของหวังเป่าเล่อก็จะมีความบิดเบี้ยวบางอย่างที่คนนอกมองไม่เห็นเกิดขึ้น
ความบิดเบี้ยวนี้คล้ายเกิดขึ้นจากการบีบอัดของพื้นที่ต่างๆ ถึงขั้นที่หวังเป่าเล่อรับรู้ได้จากการศึกษาของตนว่าความบิดเบี้ยวแบบนี้เกิดขึ้นเพราะโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงคล้ายจะปะทะเข้ากับตัวเขาเอง
หรือก็หมายความว่าถ้าเขาคิด เขาสามารถเข้าสู่โลกของกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียงใบนั้นได้ในตอนกลางวันเลย
แต่เขายังคงยับยั้งความบุ่มบ่ามของตนไม่ให้ลองดูในทันที ทว่า…เขาได้ทำการทดลองอย่างหนึ่ง นั่นก็คือยามที่เขาแผ่พลังของเสียงที่ทับซ้อนกันออกมาในตอนกลางวันและทำให้ความบิดเบี้ยวรอบกายรุนแรงขึ้น เขาคล้ายยังคงอยู่ แต่ความจริง…ในสายตาของคนอื่น เขาได้หายไปแล้ว
จุดนี้หวังเป่าเล่อได้ทดลองกับพ่อบ้านไปแล้ว อีกฝ่ายไม่สังเกตเห็นแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อถึงขั้นทำตามจิตใจ ไปยังห้องพักอีกสองห้อง จากนั้นเขาก็ค้นพบอย่างตกตะลึงว่าผู้ฝึกตนภายในห้องพักสองห้องที่อยู่ติดกันนั้นกลับไม่สังเกตเห็นเลยแม้แต่นิด
ความหมายที่แฝงอยู่ในภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตกตะลึงเป็นที่สุด
เพราะว่า…หากเขาทำได้ถึงขั้นนี้ในยามค่ำคืนจริงๆ ก็เท่ากับว่าเขาแตกต่างจากผู้ฝึกกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียงคนอื่นๆ เขาไม่ได้เป็นแค่ผู้รับรู้ได้เท่านั้น แต่…สามารถเดินเข้าหาได้อย่างแท้จริง!
ต้องรู้ว่าช่วงก่อนหน้านี้ ยามหวังเป่าเล่อเดินอยู่ในค่ำคืน สิ่งที่เขารับรู้จากโลกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงล้วนเป็นการรับรู้และการได้ยินเท่านั้น แต่เขาจะมองไม่เห็น เหมือนมีม่านบังตาอยู่ตลอด ทำให้เขาทำได้แค่เดินอยู่รอบนอกเท่านั้น
ทว่าตอนนี้ หลังจากความอัศจรรย์ของท่วงทำนองซ้อนทับทำให้หวังเป่าเล่อรับรู้สิ่งเหล่านี้ หัวใจเขาก็เต้นระรัวขึ้นมาไม่น้อย เขาตระหนักได้อย่างล้ำลึกว่าหากยามค่ำคืนตนสามารถทำได้ขนาดนี้ เช่นนั้นในแง่หนึ่ง เขาก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนแล้ว
แต่เป็น…สิ่งแปลกประหลาด…ในโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง
“นี่มันท่วงทำนองอะไรกันแน่ ทำได้ถึงจุดนี้จริงๆ หรือ ทำให้ข้ากลายเป็นสัตว์ประหลาด…” หวังเป่าเล่อรู้สึกคาดไม่ถึง เพราะผู้ฝึกตนจากสามสำนักใหญ่ที่เขาเข้าใจนั้น แม้ว่าจะบรรลุถึงระดับหนึ่งแล้วก็สามารถสลายร่างจริงให้กลายเป็นตัวตนประเภทบทเพลงได้
แต่ตัวตนเช่นนี้กลับแตกต่างจากสัตว์ประหลาดของกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียงอย่างเห็นได้ชัด
ส่วนมากพวกแรกจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเสียง สามารถมองว่าเป็นความพยายามในการผสานเข้ากับกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียง แต่ว่ากันตามตรงแล้ว ล้วนเป็นพลังจากภายนอก เป็น ‘การปรับตัว’ เข้ากับกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง ค่อยๆ เข้าไปใกล้ หลอมรวมเข้าไปในนั้นอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงบรรลุถึงระดับที่ใช้งานได้
ส่วนพวกหลัง…กลับเป็นตัวตน ‘กลายเป็น’ กฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียงเอง!
หลังจากเข้าร่วมสำนักเหอเสียน เมื่อเริ่มเข้าใจ หวังเป่าเล่อก็รู้แล้วว่าสิ่งที่เรียกว่า ‘โลกที่สัมผัสได้ด้วยกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียง’ นั้น ความจริงแล้ว…เกิดขึ้นมาจากกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียงเอง นิกายของสามสำนักใหญ่นั้นฝังตัวอยู่ในกฎเกณฑ์ ส่วนสัตว์ประหลาดทั้งหมดในโลกแห่งนั้น สาเหตุที่สังหารแล้วจะมีโอกาสทำให้ผู้ฝึกตนตระหนักรู้ท่วงทำนองได้ก็เป็นเพราะตัวประหลาดเหล่านั้นทุกตัว ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียง
แบบแรกเป็นการผสานรวมด้วยพลังภายนอก แบบหลังคือเป็นตัวของมันเอง
ตอนนี้หวังเป่าเล่อตระหนักได้แล้ว ไม่รู้ว่าทำไมตนฝึกไปฝึกมากลับได้เดินอยู่บนเส้นทางที่ทำให้ฝึกฝนจนกลายเป็นกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเสียได้…แม้ว่าตอนนี้จะถือว่าเป็นแค่ชั้นต้น แต่ก็เห็นได้ชัดว่าทิศทางนี้อยู่เหนือว่าทุกๆ คน
และทันทีที่เขาทำสำเร็จในท้ายที่สุด…กฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียงก็จะเป็นตัวเขา ส่วนความเป็นความตายของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงก็ขึ้นอยู่กับความคิดของเขาแล้ว
การค้นพบนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นสะท้าน ดังนั้นจึงเงยหน้ามองไปด้านนอก รอให้ยามค่ำคืนมาเยือน เพื่อที่จะไปยืนยันการคาดเดาของตนเอง
ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่หวังเป่าเล่อจะรอคอยให้ยามค่ำคืนมาถึงเร็วๆ อย่างนี้มาก่อน เขาคิดว่าเวลากลางวันช่างผ่านไปช้าเหลือเกิน เขารอคอยอย่างใจจดใจจ่อ และเมื่อยามเย็นจากไป ในที่สุดค่ำคืนก็มาเยือนแผ่นดิน หลังจากแสงอาทิตย์จมดิ่งไปจนหมด หวังเป่าเล่อก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาไม่ได้โคจรพลังให้เคลื่อนไปยังแผ่นหยก แต่เปล่งท่วงทำนองในใจออกมาในชั่วขณะที่ค่ำคืนค่อยๆ แผ่กระจาย
เขาไม่ให้มันเปล่งเสียง แต่ก็ไม่ได้ยับยั้งแรงบิดเบี้ยวที่แผ่ซ่าน ดังนั้นชั่วพริบตาต่อมา ทั่วร่างของหวังเป่าเล่อก็สั่นสะท้าน ดวงตาเบิกโตขึ้นทันที คนทั้งคนยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น
เพราะว่าโลกเบื้องหน้าของเขาได้เปลี่ยนไปแล้ว
โลกทั้งใบอ่อนจาง รูปแบบของห้องไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่ในสายตาของหวังเป่าเล่อ วัสดุทั้งหมดกลับเป็นเส้นสาย
เส้นสายเหล่านี้มีช่องว่างระหว่างกันอยู่มากมาย และในช่องว่างเปล่านั้นก็คล้ายจะมีสิ่งกีดขวางอยู่หนึ่งชั้น ราวกับมีอุปสรรคบางอย่าง แต่กลับไม่ได้ส่งผลต่อสายตาเขา
เมื่อเงยหน้าขึ้น หวังเป่าเล่อก็มองเห็นด้านนอกจากโรงเตี๊ยมทันที ทั่วทั้งเมืองล้วนกลายเป็นเส้นสายแบบนี้ ทั้งยังขยายใหญ่นับไม่ถ้วน ราวกับขอบเขตของเมืองก็คือขีดสุด และเหนือลายเส้นของเมืองนี้ กลับมีตัวตนแปลกประหลาดมากมายคงอยู่
หวังเป่าเล่อมองเห็นเงาร่างที่มีร่างกายใหญ่หลายร้อยจั้ง ในมือถือหัวที่มีผมยาวสลวยของตัวเอง และเดินอยู่ไกลๆ บนพื้นที่ระหว่างฟ้าดิน
เขายังมองเห็นสิ่งมีชีวิตกลุ่มหนึ่งรูปร่างเหมือนตะขาบ แต่ด้านหลังกลับมีหน้าคนผุดขึ้นอยู่เต็มไปหมด มันคลานเป็นฝูงอยู่ด้านนอก แหวกว่ายอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่เหมือนกับวิญญาณอยู่มากมาย ต่างล่องลอยไปทั่วด้วยจำนวนที่มากมายยิ่งกว่า บางครั้งก็ลอยอยู่นอกสิ่งก่อสร้างบางแห่งและเคาะบนหน้าต่างราวกับจะบุกเข้าไป แต่กลับถูกขวางไว้
ตัวประหลาดมากมายทั่วทุกหนทุกแห่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ทำให้เขานิ่งไปพักหนึ่งแล้วสูดหายใจลึกอย่างตื่นเต้น
เพราะเขารู้ว่าการคาดเดาของตน…ถูกต้องแล้ว
“เช่นนั้นต่อจากนี้ก็คือการทดลองขั้นสุดท้าย” ขณะที่พึมพำ ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็ขยับไหว เขาผลักหน้าต่างออกแล้วบินออกไปตรงๆ เมื่อเขาบินออกมา ตัวตนเหมือนวิญญาณตัวหนึ่งที่นอกหน้าต่างก็ทำท่าจะบุกเข้ามาทางหน้าต่างโดยไม่สนใจหวังเป่าเล่อ แต่ถูกหวังเป่าเล่อใช้มือคว้าเอาไว้แล้วจับกระแทกตรงๆ เสียงดังตึง
เมื่อมันแตกสลายไปแล้ว ตัวประหลาดตัวอื่นๆ รอบๆ ก็ไม่สนใจเรื่องทั้งหมดนี้เลย
หวังเป่าเล่อเลียริมฝีปาก ดวงตาเป็นประกาย ตัวเขาพุ่งไปอีกครั้ง หลังจากบินมาอยู่กลางอากาศและมองไปรอบๆ ดวงตาของเขาก็พลันสว่างวาบ
เขามองเห็นว่าที่ไกลๆ กลับมีดวงแสงดวงหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง การมีอยู่ของดวงแสงดวงนี้เป็นสิ่งที่แสบตาอย่างยิ่งในโลกใบนี้ มันดึงดูดสัตว์ประหลาดรอบๆ ไม่น้อยเลย พวกมันต่างพากันยื้อแย่งเข้าไปใกล้
“ผู้ฝึกตนหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาแล้วเข้าไปใกล้ทันที ผ่านไปที่ใด ตัวประหลาดเหล่านั้นที่หลบไม่ทันก็จะถูกมันชนจนแตกสลายไปตรงๆ และขณะที่เข้าไปใกล้ ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็มองเห็นว่าข้างในดวงแสงนั้น…ก็คือผู้ฝึกตนคนหนึ่ง
เสื้อผ้าที่เขาสวมเป็นของสำนักเหิงฉิน
…………
คนที่รู้ว่าเป็นสือหลิงจื่อส่วนใหญ่ล้วนเป็นศิษย์ของอีกสองสำนักและผู้แข็งแกร่ง แต่ละคนต่างงุนงง ขณะเดียวกันในตึกสูงหลังหนึ่ง ณ เขตตะวันตกของเมืองปรารถนาเสียงก็มีร่างของสตรีผู้หนึ่งฉายขึ้น นางสง่างามอย่างยิ่ง สวมชุดคลุมสีม่วง สีหน้าเย็นชา แต่เครื่องหน้าพริ้มเพรางดงาม
สตรีผู้นี้ก็คือเยว่หลิงจื่อ หนึ่งในสองมหาเต๋าของสำนักเหอเสียน
ในด้านความสำเร็จเรื่องการฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของนางเหนือกว่าสือหลิงจื่อ เป็นผู้แข็งแกร่งที่เป็นรองเพียงเจ้าสำนักเท่านั้น
นางมองไปยังทิศของเสียงคำรามสือหลิงจื่อแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย ดวงตาสงสัยใคร่รู้
“เจ้านั่นเป็นบ้าอะไร”
เวลาเดียวกัน ในอีกทิศหนึ่งของเมืองปรารถนาเสียง ศิษย์อีกสองคนของสำนักเหิงฉินก็เงยหน้าหันไปมองยังทิศทางของเสียงคำรามด้วยเช่นกัน
ทั้งสองล้วนเป็นบุรุษ รูปร่างหน้าตาค่อนข้างโดดเด่น หากเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าสตรี เกรงว่าคงทำให้สตรีหลายคนละอายใจ อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็แน่นแฟ้นมากซึ่งต่างจากการแข่งขันระหว่างศิษย์สำนักอื่น
ถึงขนาดไปไหนมาไหนด้วยกันหลายต่อหลายครั้งให้ผู้คนเห็น ขณะนี้ทั้งสองนั่งอยู่ในตำหนักหรูหราแห่งหนึ่งในเมืองปรารถนาเสียง คนหนึ่งเล่นฉิน คนหนึ่งนั่งเท้าคางอยู่ข้างๆ สายตาจ้องมองคนเล่นและฟังอย่างตั้งใจ แต่เมื่อเสียงคำรามของสือหลิงจื่อดังมารบกวนเสียงฉินก็ทำให้ผู้ที่เล่นฉินอยู่ขมวดคิ้วทันที
ส่วนอีกคนหนึ่งหลังจากเห็นสหายขมวดคิ้ว สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป
“เจ้าจะไปไหน” ผู้ที่เล่นฉินเอ่ยถามเบาๆ
“ข้าจะไปทุบเขา”
เวลาเดียวกันยังมีอีกสถานที่หนึ่งในเมืองปรารถนาเสียง ผู้ฝึกตนวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีเทากำลังนั่งอยู่ในลานบ้าน ในมือถือไม้กำลังเคาะเครื่องเคลือบตรงหน้า
รอบกายเขามีเครื่องเคลือบที่ถูกทุบแตกกระจายอยู่เต็มไปหมด เศษกระเบื้องพวกนั้นเกลื่อนพื้น ขณะเดียวกันสายตาก็เหลือบมองเครื่องเคลือบที่ยังไม่แตกละเอียดซึ่งเหลืออยู่เพียงน้อยนิด แต่เขากลับไม่สนใจและยังคงเคาะเครื่องเคลือบแตกไปอีกหนึ่งชิ้นด้วยสีหน้ารู้แจ้ง ฟังเสียงเครื่องเคลือบที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกำลังสลักอักขระเสียงอยู่ในใจ
แต่เสียงคำรามของสือหลิงจื่อดูเหมือนจะสร้างผลกระทบให้เขาไม่น้อย ทำให้สีหน้าชายวัยกลางคนบูดบึ้ง
คนผู้นี้ก็คือหนึ่งในศิษย์ของเต๋าแห่งจังหวะดนตรีนามว่าจงเหิงจื่อ
เขาคือศิษย์ที่โด่งดังที่สุดของเต๋าแห่งจังหวะดนตรี ส่วนอีกคนหนึ่งเนื่องจากชอบถือสันโดษ สำนักเหิงฉินและสำนักเหอเสียนจึงไม่ค่อยรู้จัก แม้กระทั่งเต๋าแห่งจังหวะดนตรีก็ยังรู้จักศิษย์คนนี้น้อยมาก
ที่รู้คือศิษย์คนนี้นามว่ายิ่นสี่
และตอนนี้ผู้ฝึกตนสามสำนักใหญ่ของเมืองปรารถนาเสียงต่างถูกรบกวนด้วยเสียงของสือหลิงจื่อ หวังเป่าเล่อที่ถูกส่งกลับมาจึงได้ยินเสียงไปโดยปริยาย
จุดที่เขาถูกส่งกลับมาไม่ได้เฉพาะเจาะจง จะเป็นการสุ่มเกิด ดังนั้นจึงไม่ได้ใกล้กับสือหลิงจื่อมากนัก เขาจึงเปลี่ยนเสื้อผ้าและรูปร่างหน้าตากลับมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเดินไปตามถนนด้วยสีหน้าสงบนิ่งราวกับไม่สนใจเสียงคำรามของสือหลิงจื่อ แต่ในใจกลับแค่นเสียงเย็น
“เสียงผีอะไรกัน ครั้งหน้าข้าจะให้เจ้าได้รู้จักเสียงกระจอกอีกครั้ง!” หวังเป่าเล่ออารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ท่วงทำนองที่เขารังสรรค์อย่างยากลำบากถูกเหยียบย่ำ ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับลูกที่เลี้ยงมาถูกคนนอกรังเกียจ
แต่เขาก็ต้องยอมรับว่าในเรื่องระดับของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเขาด้อยกว่าสือหลิงจื่อผู้นั้นจริงๆ ระดับบทประพันธ์แห่งท่วงทำนองของอีกฝ่ายนับว่าเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงแล้ว
“ฟู่ 3,000 กว่าตัวยังไม่ตาย งั้นก็ 30,000 ตัวไปเลย!” หวังเป่าเล่อดวงตาเหี้ยมโหด ก่อนจะรีบกลับไปร้านอาหาร หลังจากมาถึงไม่นานเขาก็เรียกพ่อบ้านมาหาและมอบปลาดนตรีครามที่เก็บไว้ให้
ปลาดนตรีครามในกระเป๋าคลังเก็บไม่ได้มีชีวิตชีวาอะไร และตายไปแล้วบางส่วน แต่ก็ยังเหลืออีกหลายสิบตัว ส่วนพ่อบ้านหลังจากใช้เทพวัตถุพิเศษสัมผัสจำนวนปลาในกระเป๋าคลังเก็บก็ถึงกับตกใจ
“เยอะ…เยอะขนาดนี้เชียว!!”
หวังเป่าเล่อไม่สนใจสายตามึนงงของพ่อบ้านและเอ่ยเสียงต่ำด้วยอารมณ์ไม่สู้ดีนัก
“บอกเจ้านายของเจ้า ข้าต้องการบันทึกอักขระดนตรี ยิ่งมากยิ่งดี!”
พ่อบ้านใจเต้นรัว เขาย่อมเข้าใจราคาที่ต้องแลกกับปลาดนตรีครามมากมายขนาดนี้ ขณะเดียวกันก็ยิ่งเข้าใจดีว่าการได้ของเหล่านี้มา แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนตรงหน้าแล้ว
เพราะปลาดนตรีครามไม่ได้จับกันง่ายๆ
ดังนั้นหลังจากได้ยินคำขอจากหวังเป่าเล่อ เขาก็รีบพยักหน้า เมื่อออกไปแล้วก็รีบไปรายงานกับเจ้านายตนเอง ในไม่ช้าเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังร้านอาหารแห่งนี้ก็ใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวไปเก็บรวบรวมบันทึกอักขระดนตรีทั่วทั้งเมืองปรารถนาเสียงมาให้หวังเป่าเล่อ
ดังนั้นเมื่อกลางคืนกำลังจะมาเยือนอีกครั้ง บันทึกอักขระดนตรีที่ไม่สมบูรณ์ชุดแรกก็ถูกส่งมา หวังเป่าเล่อไม่ได้ไปที่ภูเขาไฟเป็นอันดับแรก แต่นั่งอ่านบันทึกอักขระดนตรีอยู่ในห้องและเริ่มรู้แจ้งอย่างบ้าคลั่ง
ความสามารถในด้านกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของเขาก็ได้เปิดเผยออกมาในตอนนี้เอง แม้จะไม่เท่าวาสนาของฝูงปลาดนตรีคราม แต่ขอเพียงมีบันทึกอักขระดนตรีมากพอ เขาก็รู้แจ้งได้มาก
แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับว่าจะมีบันทึกอักขระดนตรีที่เพียงพอ
เป็นเช่นนี้ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า พริบตาเดียวก็ผ่านไปครึ่งเดือน ในครึ่งเดือนนี้หวังเป่าเล่อแทบจะอยู่แต่ในร้านอาหาร ไม่ได้ไปสำนักเลย และด้วยการรู้แจ้งอย่างต่อเนื่อง อักขระเสียงของเขาก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยเฉพาะช่วงหลังเมื่อบันทึกอักขระดนตรีที่ไม่สมบูรณ์หลายพันแผ่นส่งมาทุกวัน อักขระเสียงฟู่ของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นในความเร็วที่น่าอัศจรรย์
ตอนนี้จำนวนเสียงที่ซ้อนทับกันไม่ใช่ 3,000 กว่าตัวแล้ว แต่มากถึง 8,000 ตัว ส่วนเสียงฉิน บางทีอาจเป็นเพราะความไม่สมบูรณ์ของบันทึกอักขระดนตรี หรือเพราะไม่ใช่เสียงมวลมหาธรรมชาติ มันจึงไม่สร้างขึ้นเลยแม้แต่ตัวเดียว
แม้หวังเป่าเล่อจะหดหู่ใจ แต่เมื่อคิดถึงการสังหารสือหลิงจื่อ ความดื้อรั้นกับบทเพลงของตนจึงถูกระงับเก็บไว้ในก้นบึ้งหัวใจและจดจ่อกับการซ้อนทับเสียงฟู่
เวลาเดียวกันในช่วงครึ่งเดือนนี้ ประกาศจับก็ถูกส่งออกมาจากสำนักเหอเสียนในนามสือหลิงจื่อ
ประกาศจับนี้เรียบง่ายมาก ข้างในมีเพียงภาพเหมือนซึ่งก็คือภาพหวังเป่าเล่อที่เปลี่ยนรูปร่างหน้าตานั่นเอง แม้แต่ฝีมือก็ละเอียดอย่างยิ่งทำให้อารมณ์ของเขาส่งออกมาจากภาพได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นอกจากนี้ยังมีข้อมูลบางส่วนที่บอกว่าคนผู้นี้ชำนาญเรื่องเสียงธรรมดาแต่ประหลาด หากมีใครพบเห็นและแจ้งแก่สือหลิงจื่อจะได้รับสิทธิ์ให้สือหลิงจื่อแต่งบทเพลงให้เองกับมือ
สิทธิ์นี้สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้ฝึกตนของสามสำนักในทันที การที่ศิษย์ในสามสำนักใหญ่ปรับแต่งบันทึกอักขระดนตรีให้เองกับมือย่อมเป็นวาสนาใหญ่สำหรับผู้ฝึกตนทั้งสามสำนัก
ดังนั้นในครึ่งเดือนนี้ทั้งสามสำนักจึงมีผู้ฝึกตนไม่น้อยที่เลิกถือสันโดษ และเข้าสู่ราตรีเพื่อค้นหาบุคคลที่สือหลิงจื่อหมายหัว โดยเฉพาะสำนักเหิงฉิน เมื่อหลายวันก่อนสือหลิงจื่อถึงกับมาเยือนเพื่อตามหาหวังเป่าเล่อ
แต่กลับถูกขัดขวางและเกิดความวุ่นวายไม่น้อย
แต่ถึงอย่างไรร่างแปลงของหวังเป่าเล่อก็ได้มีชื่อเสียงในสามสำนักใหญ่หรือแม้กระทั่งในหมู่คนธรรมดาของเมืองปรารถนาเสียงไปแล้ว
ในตอนที่ผู้คนกำลังตามหาตัวนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็เสร็จสิ้นการรู้แจ้งด้วยบันทึกอักขระดนตรีที่ไม่สมบูรณ์นี้
……………………………………………
เสียงฟู่นี้เดิมทีไม่ได้มีอานุภาพมากมายอะไร มากสุดก็ทำให้รู้สึกเหมือนก๊าซปะทุขึ้นเท่านั้น ทว่า…เมื่อมันถูกซ้อนทับกันจนแข็งแกร่งถึงขีดสุด
ทุกอย่างก็ต่างออกไป
ต้องทราบก่อนว่าก่อนหน้านี้อักขระเสียงฟู่ 60 กว่าตัวซ้อนทับกันก็มีพลังมากพอที่จะทำลายความว่างเปล่าได้แล้ว ตอนนี้…ซ้อนทับกัน 3,000 กว่าตัว อานุภาพของมันจะเป็นเช่นไร แม้แต่หวังเป่าเล่อเองก็ยังไม่แน่ใจ
เนื่องจากเขาเป็นคนมีฝัน ความสนใจของเขาจึงมุ่งไปที่ท่วงทำนองเสียงฉินโบราณเท่านั้น เพื่อที่จะรังสรรค์บทเพลงที่สมบูรณ์ของตนเอง รวมถึงรวบรวมให้กลายเป็นบทประพันธ์แห่งท่วงทำนองอันกว้างใหญ่
ดังนั้นเมื่อเขาหมกมุ่นอยู่กับความฝันนี้ เขาจึงไม่ได้สนใจเสียงฟู่ที่เหมือนกับเสียงผายลมมากนัก
สิ่งนี้ทำให้สือหลิงจื่อกลายเป็นผู้ฝึกตนที่ได้สัมผัสมันอย่างแท้จริง แม้ผู้ฝึกตนสำนักเหิงฉินก่อนหน้านี้จะแหลกสลายอยู่ในเสียงฟู่ แต่เสียงฟู่ในตอนนั้นยังห่างไกลจากตอนนี้มากนัก
ดังนั้น…ท่ามกลางราตรีอันบิดเบี้ยวจากฝีมือสือหลิงจื่อที่ทำให้มันยืดยาวออกไป หวังเป่าเล่อก็ขยับอักขระเสียงในร่างกาย และพริบตาต่อมา…
เสียงฟู่ก็ดังขึ้น
ดูเหมือนแค่หนึ่งเสียง แต่ในความเป็นจริงคือมากกว่า 3,000 เสียงซ้อนทับกัน แทบจะในพริบตาราตรีระหว่างหวังเป่าเล่อกับสือหลิงจื่อก็ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ กินพื้นที่ไปหลายร้อยจั้งและยังขยายออกไปเป็นบริเวณกว้าง ด้วยเหตุนี้ราตรีของบริเวณอื่นจึงสลายไป
ทว่า…ความตื่นตะลึงของฉากนี้ทำให้สือหลิงจื่อกลับดวงตาหดแคบ ยังไม่ทันจะได้ทำอะไรฟ้าดินก็ดูเหมือนกำลังจะพังทลาย เพลงดาบและมีดกวีของเขาเจอกับหายนะเป็นอันดับแรก ในพริบตา…เงาร่างดาบจากบทเพลงก็แตกเป็นเสี่ยงๆ
มีดกวีก็เช่นกัน ทันทีที่ได้รับอิทธิพลมันก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ส่วนคลื่นเสียงที่เกิดจากเสียงฟู่ก็ยังคงไม่สิ้นสุด มันพุ่งเข้าใส่สือหลิงจื่อทำให้เขาตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ไม่ใช่แค่ดวงตาหดแคบ แม้แต่หน้าก็เปลี่ยนสี ร่างกายพลันถอยหนีอย่างรวดเร็วและสลายตัวไปในบทเพลงทันที เขาคิดจะใช้ร่างมายาหลบหนีอักขระเสียงอันน่าสะพรึงกลัวนั่น
ทว่าในพริบตาที่เขาแปลงกายเป็นบทเพลงนั้นเอง คลื่นเสียงฟู่ก็พุ่งมา ทุกที่ที่มันผ่านไปล้วนทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี ลมเมฆพลิกตลบ สือหลิงจื่อที่ผสานเข้ากับบทเพลงนั้น ไม่นานบทเพลงของเขาก็พังทลาย ร่างกายราวกับถูกบีบบังคับให้ออกมาอีกครั้ง สีหน้าตื่นตระหนก กระอักเลือดเต็มปากอย่างควบคุมไม่ได้
เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองถูกมวลอากาศมหาศาลระเบิดใส่หน้าและร่างกายก็ถูกเหวี่ยงกระเด็นไปไกล
“นี่…นี่…” สือหลิงจื่อมึนงง สีหน้าไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่เคยเจอกับสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน แม้จะมีคนพยายามทำลายสภาพตอนเขาแปลงกายเป็นบทเพลง แต่ส่วนใหญ่ล้วนพึ่งพาพลังภายนอกหรือใช้เคล็ดวิชาเปลี่ยนสภาพหรือไม่ก็อาศัยบทเพลงที่สมบูรณ์กว่าในการสยบเขา
แต่…การถูกอักขระเสียงตัวเดียวซัดปลิวเช่นนี้ เขาเพิ่งเคยประสบเป็นครั้งแรกในชีวิต
หากแต่ความขุ่นเคืองของหวังเป่าเล่อยังไม่สิ้นสุด ท่ามกลางเสียงคำรามต่ำ หวังเป่าเล่อก็กวาดดวงจิตเทพสัมผัสอักขระเสียงของตนอีกครั้ง
พริบตาต่อมาเสียงฟู่ก็ดังขึ้นอีกรอบ
สือหลิงจื่อหน้าเปลี่ยนสีอย่างสิ้นเชิง เขารู้สึกได้ถึงวิกฤตความเป็นความตายอย่างรุนแรง ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขาทั้งไม่คุ้นเคยและไม่อยากจะเชื่อ สองมือผนึกมุทราอย่างรวดเร็ว ก่อนที่บทเพลงจะทยอยกันปะทุออกมา
เขาที่อยู่ในระดับบทประพันธ์แห่งท่วงทำนองใช้แค่สองบทเพลงโจมตีหวังเป่าเล่อไปเมื่อครู่ แท้จริงแล้วในบทประพันธ์แห่งท่วงทำนองของเขามีทั้งหมดสิบบทเพลง ซึ่งในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้เขาไม่ลังเลเลยที่จะปลดปล่อยออกมาจนหมดสิ้น
ทันใดนั้นบทเพลงอลังการก็ดังกระหึ่ม บทเพลงต่างๆ ก่อตัวเป็นอาวุธพุ่งเข้าใส่เสียงฟู่ของหวังเป่าเล่อ ทว่าในพริบตาที่ทั้งสองปะทะกัน บทเพลงเหล่านั้นก็พังทลาย
แต่ถึงอย่างไรสือหลิงจื่อก็นับเป็นระดับยอดฝีมือในด้านกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง บทประพันธ์แห่งท่วงทำนองพังพินาศ แต่ก็หักล้างอานุภาพอักขระเสียงของหวังเป่าเล่อไปได้ เพียงแต่…อักขระเสียงของหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ดังแค่ครั้งสองครั้ง
“มาอีกสิ!” หวังเป่าเล่อคำรามขณะอักขระเสียงดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม
ฟู่!
สือหลิงจื่อที่บทเพลงถูกทำลายไปหมดแล้วตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง เลือดกระอักออกมาอีกครั้ง ความรู้สึกถูกมวลอากาศระเบิดใส่หน้าทำให้ดวงตาของเขาแดงก่ำ
ความจริงคือ…แม้อักขระเสียงจะทรงพลัง แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับความอับอายขายหน้าของเขา ความอับอาย…ได้มาถึงระดับที่ไม่เคยเป็นมาก่อนแล้ว
ทุกอย่างยังไม่จบสิ้น ท่ามกลางราตรีที่ถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ และกำลังจะถูกเวลากลางวันเข้ามาแทนที่ แม้ทั้งนอกร่างกายสือหลิงจื่อและหวังเป่าเล่อต่างปรากฏมวลแห่งการเคลื่อนย้ายและกำลังจะถูกส่งตัวออกไป แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่ไว้หน้าและระเบิดพลังสุดตัว
“ข้าจะฆ่าเจ้า!” หวังเป่าเล่อคำราม จากนั้นเสียงฟู่ครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้า…จนกระทั่งครั้งที่แปดก็ระเบิดออกมาติดๆ กัน
ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่!
สือหลิงจื่อไร้หนทางหลบหนี เสียงฟู่ที่สี่ทำให้เขากระอักเลือด ดวงตาแดงก่ำ เขาพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อท่ามกลางเสียงกรีดร้องคำราม
ทว่าเขากลับได้รับการทักทายจากเสียงฟู่ที่ห้าและหกกลางอากาศแทน
ร่างของเขากระเด็นกลับไปทันที เสื้อผ้าขาดวิ่น ผมเผ้ายุ่งเหยิง เขาคลุ้มคลั่งและสำแดงบทเพลงเพื่อโจมตีอีกครั้ง แต่เสียงฟู่ที่เจ็ดและแปดก็ได้ทำลายทุกอย่างจนหมดสิ้น สือหลิงจื่อกระอักเลือดซ้ำๆ ร่างกายเหมือนเชือกที่ถูกตัดขาด กระเด็นกระดอนไปไกลหลายร้อยจั้ง
“อ้าอ้าอ้าอ้าอ้า!!” กว่าจะหยุดร่างกายที่กระเด็นไปได้ก็เลือดตาแทบกระเด็น ลมหายใจหอบถี่ สือหลิงจื่อคับแค้นใจถึงขีดสุด อวัยวะภายในปริแตก ลมปราณรวยริน แต่จิตสังหารและความขุ่นแค้นของเขากลับยิ่งรุนแรง
จนเขาเกือบจะสังเวยตัวเองระเบิดเคล็ดวิชาลับที่ตนเก็บซ่อนมาหลายปีเพื่อเตรียมจะช่วงชิงตำแหน่งเต๋าจื่ออันดับหนึ่งออกมา
แต่…ก็สายเกินไปแล้ว ขณะนี้ราตรีที่เขากับหวังเป่าเล่อยืนอยู่ได้ถูกแสงแดดยามเช้าปกคลุมจนทุกอย่างไม่อาจดำรงอยู่ได้ ร่างของเขาและหวังเป่าเล่อหายวับ
หลังจากนั้นก็มาปรากฏอยู่ทางเหนือของเมืองที่ห่างไกลจากร้านอาหารของหวังเป่าเล่อ ในลานบ้านนั้นหรูหรามาก มีเสียงคำรามด้วยความบ้าคลั่งและความหงุดหงิดถึงขีดสุด
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ข้าจะตามหาเจ้า ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!!”
เสียงนี้ดังมาจากลานบ้านปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองปรารถนาเสียง ส่งผลให้ผู้คนในเมืองได้ยินโดยทั่วกัน ผู้คนไม่น้อยถึงกับหน้าเปลี่ยนสี พากันมองไปยังทิศทางของเสียง บางคนจำเสียงนี้ได้และรู้จักตัวตนของสือหลิงจื่อจึงทำหน้าประหลาดใจ
“เกิดอะไรขึ้นกับสือหลิงจื่อกัน”
“คลุ้มคลั่งถึงเพียงนี้แล้วยังโกรธเกรี้ยว สือหลิงจื่อแบบนี้หาได้ยากอย่างยิ่ง…”
เกี้ยวสีเลือดหลังที่หกหยุดลงทันทีที่สือหลิงจื่อลืมตา ผู้ฝึกตนทั้งสี่ที่แบกเกี้ยวต่างเงยหน้าขึ้นพร้อมกัน ดวงตาไร้แววจ้องเขม็งใส่หวังเป่าเล่ออย่างงงงวย
หวังเป่าเล่อก็ไม่ขยับ ประสานสายตากับสือหลิงจื่อ ในใจเต็มไปด้วยความหวาดระแวง
เขารู้ดีว่ากฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของสือหลิงจื่ออยู่ในขั้นที่น่าตกใจ ทั้งสำนักเหอเสียนนอกจากเยว่หลิงจื่อและเจ้าสำนักผู้ลึกลับคนนั้นก็ไม่มีใครที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขาแล้ว
แม้แต่เยว่หลิงจื่อก็เกรงว่าจะแค่สูสีเท่านั้น
หากเทียบกับระบบของเมืองปรารถนารส สือหลิงจื่อคงจะอยู่ระดับเดียวกับเจ้าสวาปาม แม้หวังเป่าเล่อจะมีกฎเกณฑ์ปรารถนารสที่แข็งแกร่ง แต่เขาก็รู้ดีว่าหากสู้กันแล้วไม่สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้ในพริบตา ตัวตนของเขาก็จะถูกเปิดเผย
แม้เขาจะเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาและเสื้อผ้าแล้ว แต่การที่สามารถเข้าไปในราตรีแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้ก็ทำให้เขายุ่งยากเช่นกัน ถึงอย่างไรนี่ก็คือการต่อสู้กับผู้แข็งแกร่งในกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง ไม่ใช่ผู้ฝึกตนทั่วไป
และที่สำคัญที่สุดคือรุ่งอรุณกำลังมาถึง ด้วยเวลาที่เหลือ การที่หวังเป่าเล่อจะฆ่าอีกฝ่ายในพริบตาได้คงเป็นเรื่องยาก
การเผชิญหน้ากันครั้งนี้เกินความคาดหมายของหวังเป่าเล่อ เขาไม่ได้คิดสู้ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงเลือกที่จะถอยออกไปท่ามกลางสายตาบีบคั้นของสือหลิงจื่อ
หากหลีกเลี่ยงได้ เขาก็ยังไม่อยากสู้กับอีกฝ่ายตอนนี้
ทว่าในทันทีที่เขาก้าวถอยหลัง สือหลิงจื่อบนเกี้ยวสีเสือดก็เอ่ยปากขึ้น
“เลือดที่ใช้ระบายสีเกี้ยวไม่พอเสียแล้ว ในเมื่อเจ้าตามเกี้ยวมา เหตุใดจึงไม่มอบเลือดมาให้สักหน่อยล่ะ มันจะช่วยข้าได้เยอะเลย” สือหลิงจื่อจ้องมองหวังเป่าเล่อราวกับมองคนตาย
สำหรับเขาแล้ว ตัวตนของคนตรงหน้าจะเป็นใครไม่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนจากสำนักไหน เมื่อพบตนที่เป็นผู้ดูแลค่ายกลเกี้ยวสีเลือดแล้วจะหนีไปให้ไกลก็ได้ แต่หากตามมาไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ใด เขาย่อมมีสิทธิ์ตัดสินเป็นตาย
นี่คือกฎที่ถูกบัญญัติไว้ในสามสำนักใหญ่และเต๋าจื่อทั้งหมด
เกี้ยวสีเลือดมีเจ้าแห่งสุขถูกสะกดอยู่ข้างใน เรื่องนี้เขาย่อมรู้แน่นอน แท้จริงแล้วเต๋าจื่อทั้งหกของสามสำนักใหญ่ล้วนทราบเรื่องนี้ดี และทราบด้วยว่าเจ้าปรารถนาเสียงเป็นผู้สะกดด้วยตัวเอง ส่วนเรื่องการดูแลค่ายกลก็คือหน้าที่ของเต๋าจื่อทั้งหกของสามสำนักใหญ่ผลัดเปลี่ยนกันทำ
หากต้องการจะสะกดเจ้าแห่งสุขให้นาน พวกเขาก็จำเป็นต้องผลัดเปลี่ยนกันมาตรวจดูและปกป้อง การย้อมเลือดสดลงไปทำให้เกี้ยวทั้งหกหลังยังคงเป็นสีแดงสดอยู่เสมอ
และครั้งนี้ก็เป็นเวรของเขา เดิมทีเขาไม่ได้เต็มใจจะสละเลือดของตนอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อเจอกับคนที่แอบตามมาซึ่งดูเหมือนจะมีจุดประสงค์บางอย่าง อีกทั้งยังปกปิดตัวตนอีก สือหลิงจื่อจึงไม่มีทางปล่อยไปง่ายๆ
ดังนั้นทันทีที่เอ่ยออกไป สือหลิงจื่อก็สะบัดมือ จากนั้นบทเพลงหนึ่งก็ดังแว่วเข้ามา เพลงนี้เต็มไปด้วยจิตสังหาร พริบตาที่มันดังขึ้นก็ทำให้ราตรีรอบด้านบิดเบี้ยว ปั่นป่วนไปทั่วทุกสารทิศ ฟ้าดินดูเหมือนจะได้รับผลกระทบจนเกิดการเปลี่ยนแปลง
บทเพลงของสำนักเหอเสียนเป็นแบบมีเนื้อเพลง เพียงแต่ระดับสือหลิงจื่อ แค่คำพูดของเขาก็เทียบเท่าเนื้อเพลงแล้ว เสียงดังก้องของเขาผสานเข้ากับดนตรีได้อย่างลงตัวจนเกิดเสียงสะท้อนไปรอบบริเวณราวกับเป็นเสียงคลอไปกับบทเพลงและก่อตัวเป็นพายุพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ
ยามที่มันเข้ามาใกล้ข้างในพายุนั่นก็ดูเหมือนจะกลายเป็นอาวุธร้ายรูปร่างเหมือนดาบยาวและเสียงดนตรีก็เหมือนกับเสียงดาบในทันที สังหารไปพร้อมกับเสียงเพลงดาบอันรุนแรง
“บทเพลงนี้ชื่อว่าเพลงดาบ”
ในพริบตาที่ดาบยาวก่อตัวขึ้น สีหน้าหวังเป่าเล่อพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เทียบกับอีกฝ่าย ท่วงทำนองของผู้ฝึกตนสำนักเหิงฉินที่ถูกเขาฆ่าตายไปตอนนั้นก็เหมือนกับหิ่งห้อยไร้ค่าตัวหนึ่ง บทเพลงของสือหลิงจื่อตรงหน้าไม่ใช่แค่สมบูรณ์ แต่ยังสร้างเป็นรูปแบบของตัวเองแล้วด้วย
เมื่อพลังสังหารปะทุ ลมพายุก็ม้วนตลบไปยังหวังเป่าเล่อ ดาบแห่งบทเพลงที่ก่อตัวขึ้นในนั้นแทงเข้าที่หน้าอกหวังเป่าเล่อ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก หวังเป่าเล่อสั่นสะท้านและเซถอยหลัง เสื้อผ้าฉีกขาด กฎสวาปามในร่างกายเขาพลันแทรกซึมไปทั่วร่างกายและสลายไปอย่างรวดเร็วเพื่อต่อต้านดาบเล่มนี้ ขณะเดียวกันคุณสมบัติของร่างต้นแบบก็ช่วยต่อต้านอีกแรง
นั่นทำให้เขาไม่ได้รับบาดเจ็บมากนัก กลับกันยังใช้ประโยชน์จากการโจมตีนี้ถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว และท้องฟ้า…ก็เริ่มกลายเป็นสีขาวแล้ว
เมื่อเห็นว่ารุ่งอรุณกำลังมาถึง กฎเกณฑ์ปรารถนารสของหวังเป่าเล่อก็ปลดปล่อยและผนึกกลับเร็วเกินไป สือหลิงจื่อจึงไม่ทันสังเกตเห็น ทว่าเมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อกำลังถือดาบของตน เขาก็แค่นลมหายใจออกมา นัยน์ตาเผยแสงประหลาด
“น่าสนใจนี่” พูดจบก็สะบัดมืออีกครั้ง ทันใดนั้นเพลงดาบก็ดังก้อง บทเพลงที่สองออกมาพร้อมกันโดยไม่ขัดแย้งกันแม้แต่น้อย และบทเพลงที่สองนี้ก็น่าพิศวงยิ่งกว่าเดิม มันก่อตัวเป็นรูปร่างคล้ายมีดเล่มยาว
“เพลงที่สอง กวีมีด!”
หวังเป่าเล่อหรี่ตา ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าอะไรคือบทประพันธ์แห่งท่วงทำนองของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง!
บทประพันธ์แห่งท่วงทำนองของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงจะประกอบด้วยบทเพลงที่สมบูรณ์หลายๆ บทเพลง แม้บทเพลงเหล่านี้จะไม่เหมือนกัน แต่แฝงด้วยความหมายที่มีต้นกำเนิดเดียวกัน ดังนั้นหลังจากสร้างบทประพันธ์แห่งท่วงทำนองแล้ว การปรากฏตัวของแต่ละบทเพลงติดต่อกันก็จะทำให้อานุภาพไปถึงระดับสะท้านฟ้าสะเทือนดินได้เลยทีเดียว
“นี่ก็คือวิถีของข้า!” หวังเป่าเล่อดวงตาสว่างวาบ เขาเห็นว่าท้องฟ้าเริ่มสว่าง กลางคืนเริ่มจางหาย จึงตัดสินใจสร้างหมอกเพื่อซ่อนตัวจากอีกฝ่าย ขณะเดียวกันก็ตรวจสอบบทเพลงของตน
จากนั้นก็ถอยหลังไปพร้อมสะบัดมือ ปล่อยท่วงทำนองของตนที่ชื่อว่าอิสรภาพที่ประกอบด้วยเสียงฉินโบราณหลายสิบตัวออกมา
“สำนักเหิงฉิน?” แทบจะในพริบตาที่ท่วงทำนองโบราณดังขึ้น สือหลิงจื่อก็สังเกตเห็นได้ในทันที เหยียดมุมปากดูถูก ก่อนจะกะพริบร่างจากเกี้ยวแดงตรงไปยังหวังเป่าเล่อ ขณะนั้นบทเพลงแห่งกวีมีดก็ปะทุชนกับท่วงทำนองโบราณของหวังเป่าเล่ออย่างล่องหน
ท่ามกลางบทเพลงกวีมีด ท่วงทำนองโบราณของหวังเป่าเล่ออ่อนแอหาใดเปรียบ ในชั่วพริบตามันก็แตกสลายไป ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหน้าตาบิดเบี้ยว และคำพูดต่อมาของสือหลิงจื่อก็ยิ่งทำให้สีหน้าของเขาดำทะมึน
“เสียงกระจอกๆ ก็ยังกล้าแสดงออกมาอีกหรือ”
ขณะที่กล่าวสือหลิงจื่อก็ก้าวมาข้างหน้า โบกสะบัดเพลงดาบและกวีมีด บทเพลงสมบูรณ์ทั้งสองผสานเข้าด้วยกันก่อตัวเป็นพายุขนาดมหึมายิ่งกว่าเดิม ห่อหุ้มหวังเป่าเล่อราวกับดาบและมีดกำลังจะทำลายร่างกายและวิญญาณของเขาจนสิ้น
แม้ท้องฟ้าจะสว่าง แม้กลางคืนจะสลาย แต่ด้วยบทประพันธ์แห่งท่วงทำนองของสือหลิงจื่อก็ดูเหมือนว่าการสลายตัวของพื้นที่บริเวณนี้จะได้รับผลกระทบไปด้วย
คล้ายจะอยู่ในภาวะวิกฤตแล้ว แต่หวังเป่าเล่อกลับไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายแม้แต่น้อย กลับกันคำพูดและการดูถูกทำนองนั้น ทำให้เขารู้สึกเหมือนความฝันกำลังถูกเหยียบย่ำ ถึงอย่างไรทำนองอิสรภาพนี้ก็เป็นผลงานที่เขาภาคภูมิใจ ทว่าตอนนี้ตนกลับโดนเหยียบย่ำความภาคภูมิใจเหล่านั้น
“เสียงกระจอกรึ งั้นข้าจะให้เจ้าดูว่าอะไรที่เรียกว่าเสียงกระจอก!” หวังเป่าเล่อโกรธจัด ทันทีที่มือผนึกมุทรา อักขระเสียงที่ซ้อนทับกันกว่า 3,000 ตัวในร่างกาย…ก็ส่งเสียง
ฟู่!
………………………………………………
สำหรับหวังเป่าเล่อ หกปรารถนาของโลกาชั้นที่สองมีผู้ประสงค์ดีอย่างเจ้าปรารถนารส มีผู้ประสงค์ร้ายอย่างเจ้าปรารถนาเสียง แต่ไม่ว่าอย่างไร ศัตรูของทั้งหกปรารถนาก็คือเจ็ดอารมณ์
ดังนั้นจากการสรุปของเขา การติดต่อกับเจ็ดอารมณ์จะช่วยให้เขาเข้าใจโลกนี้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็จะทำให้เป้าหมายสูงสุดของเขาก้าวหน้าไปด้วย
“เจ็ดอารมณ์หกปรารถนา…” หวังเป่าเล่อพึมพำและยิ่งเร่งความเร็วไปยังเกี้ยวแดง เขาอยากรู้ว่าอีกฝ่ายจะไปที่ใดกันแน่ และอยากค้นหาดูสักหน่อยว่าสิ่งที่ถูกสะกดอยู่ข้างใน…เกี่ยวข้องกับเจ้าแห่งสุขหรือไม่!
เวลาไหลผ่านไปช้าๆ ในค่ำคืนนี้บางทีอาจเป็นเพราะความแปลกประหลาดของเกี้ยวสีเลือด ตลอดทางที่หวังเป่าเล่อตามไปจึงไม่เจอสิ่งมีชีวิตแปลกๆ จากโลกปรารถนาเสียงเลย ราวกับว่าพวกมันสัมผัสถึงเกี้ยวแดงนี้ได้จึงพากันไม่กล้าเข้ามาใกล้
ขณะเดียวกันความเร็วของเกี้ยวก็เพิ่มขึ้นจนน่าอัศจรรย์ เพียงพริบตาเดียวก็ห่างออกไปไกลโข หากไม่ใช่หวังเป่าเล่อที่ก็ไม่ธรรมดาเช่นกันคงตามไม่ทันไปแล้ว
แต่แม้ความเร็วของเขาจะน่าทึ่ง ระดับความยากในการไล่ตามก็ยังสูงมาก หวังเป่าเล่อก็ทำได้เพียงไม่ให้มันหายไปจากสายตาและตามไล่หลังมันไปไกลลิบ
กระทั่งผ่านไปค่อนคืน เกี้ยวสีเลือดนั่นก็ไม่ได้หยุดที่ไหนอีก ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่ามันเดินหน้าไปอย่างไร้จุดหมาย เพราะเขาสัมผัสได้ว่าเกี้ยวหลังนี้ผ่านบริเวณเดิมไปไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง
ราวกับกำลังวนเป็นวงกลม
นั่นทำให้หวังเป่าเล่อครุ่นคิดเกี่ยวกับการสันนิษฐานของตน ขณะที่เขาไล่ตามไปพลางครุ่นคิดนั้นเอง จู่ๆ ดวงตาหวังเป่าเล่อก็แข็งค้างทันที ในความมืดมิดตรงหน้าตอนนี้เกี้ยวสีเลือดได้ปรากฏแสงสีแดงเส้นหนึ่งขึ้น
ในไม่ช้าเมื่อแสงสีแดงนั่นเริ่มชัดเจน เกี้ยวหลังที่สองก็ปรากฏขึ้นตรงนั้น แต่ที่ต่างจากเกี้ยวที่มีมือซ้ายคือเกี้ยวหลังนี้ไม่มีแขนขายื่นออกมานอกม่านเลย
แต่ขณะที่หวังเป่าเล่อจ้องมองเกี้ยวอย่างใจจดใจจ่อ เขาก็สังเกตเห็นว่าข้างในเกี้ยวที่ม่านปลิวไปตามลมนั้นมีขาอยู่ข้างหนึ่ง!
มันคือขาของสตรีซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันควรจะน่ากลัวมาก แต่พริบตาที่เห็นมัน ในหัวหวังเป่าเล่อกลับมีความงามอันไร้ที่สิ้นสุดผุดขึ้นมาราวกับว่าขาข้างนั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์เย้ายวนจนทำให้ทุกคนที่มองเห็นอดเข้าไปใกล้ไม่ได้
โชคดีที่กฎเกณฑ์ปรารถนารสและกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง กอปรกับคุณสมบัติของร่างต้นแบบทำให้หวังเป่าเล่อได้สติอย่างรวดเร็ว ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย
เพราะการปรากฏของเกี้ยวหลังนี้ได้ยืนยันข้อสันนิษฐานของหวังเป่าเล่อแล้ว
เขากำลังจ้องมองเกี้ยวหลังที่สอง มองดูเงาพร่าเลือนของมันตัดผ่านเกี้ยวหลังแรกไปและยังคงไล่ตามเกี้ยวหลังแรกต่อไปอย่างเงียบเชียบ หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามหวังเป่าเล่อก็เห็นเกี้ยวหลังที่สาม
สีเลือดเหมือนกัน ศพผอมแห้งแบกเกี้ยวเหมือนกัน ทว่าที่ต่างกันคือ…ข้างในเกี้ยวมีขาอีกข้างหนึ่ง
ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อดวงตาหดแคบ เขายังคงไล่ตามไปจนกระทั่งเห็นเกี้ยวหลังที่สี่และหลังที่ห้า…ในหลังที่สี่คือมือขวา ส่วนหลังที่ห้าคือลำตัวที่สวมชุดคลุมยาวสีแดงเลือด
ไม่มีส่วนหัว
“ต้องมีส่วนหัวสิ ควรจะมีเกี้ยวหกหลังถึงจะถูก” หวังเป่าเล่อสีหน้าสับสน หลังจากสัมผัสเกี้ยวแดงเหล่านีติดต่อกัน พลังปราณแห่งสุขในร่างกายก็ยิ่งคึกคักขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อตัดข้อสันนิษฐานของตัวเองไปหลายข้อ เหลือเพียงคำตอบเดียว
“คนในเกี้ยวก็คือ…เจ้าแห่งสุข!”
“นางต่อสู้กับเจ้าปรารถนาเสียง เนื่องจากร่างกายนางเป็นของเจ็ดอารมณ์จึงมีคุณสมบัติไม่อาจทำลายได้…นางจึงถูกเจ้าปรารถนาเสียงแยกออกเป็นหกส่วน”
“แต่ละส่วนถูกวางไว้ในเกี้ยวสีเลือดเพราะตัวเกี้ยวคงจะเป็นของผนึกที่ทรงพลังอย่างยิ่ง ด้วยวิธีนี้เจ้าแห่งสุขจึงถูกสะกดไว้อย่างสมบูรณ์”
“เพราะอย่างนี้แขนขาของเขาจึงสามารถสยบกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้”
“เพราะอย่างนี้แขนขาของเขาจึงกระตุ้นพลังปราณแห่งสุขของข้าได้”
“นี่ก็คือคำตอบ” หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่ในใจ คำตอบนี้สอดคล้องกับทุกอย่าง จนถึงตอนนี้หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่ามันใกล้เคียงกับความเป็นจริงที่สุดแล้ว
เพราะเกี้ยวแดงปรากฏขึ้นแค่เวลากลางคืน และเวลากลางคืนก็เป็นเวลาของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง ดังนั้นจึงเท่ากับว่าเจ้าแห่งสุขถูกสะกดเป็นสองเท่า ถูกสะกดจากโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงและถูกสะกดจากเกี้ยวสีเลือดนี้ด้วย
ด้วยสถานการณ์เช่นนี้จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่อีกฝ่ายจะหลุดพ้น…
ส่วนคนนอกนั้น เนื่องจากไม่มีทางสัมผัสกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้จึงยากที่จะเข้ามา ต่อให้จะทำลายความว่างเปล่าบุกเข้ามาก็ยากที่จะต่อสู้กับผู้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของโลกปรารถนาเสียง
“หากสุขแห่งเจ็ดอารมณ์ถูกสะกดไว้ที่นี่ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ็ดอารมณ์คนอื่น…ไปอยู่ที่ไหน” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า ตอนนี้เหลือไม่ถึงครึ่งชั่วยามฟ้าก็จะสว่างแล้ว หวังเป่าเล่อยังคงไล่ตามต่อไปเพื่อดูว่าอีกฝ่ายจะหยุดอยู่ที่ไหนสักแห่งยามรุ่งสางมาถึง
อีกอย่าง เขาก็ยังไม่เห็นเกี้ยวหลังที่หกเลย
จากข้อสันนิษฐานของเขา เกี้ยวสีเลือดหลังที่หกที่ขังส่วนหัวไว้นั่นต่างหากที่เป็นจุดสำคัญที่แท้จริง
หวังเป่าเล่อตามไปเช่นนี้จนครึ่งชั่วยามสุดท้ายค่อยๆ ผ่านไป ยามที่ราตรีกำลังสลายไปและรุ่งสางเข้ามาแทนที่และทำลายทุกอย่าง ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็ได้เห็น…เกี้ยวสีเลือดหลังที่หก!
เกี้ยวสีเลือดหลังที่หกลอยมาจากความว่างเปล่า สิ่งที่แบกมันอยู่ไม่ใช่ศพ หากเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตแต่ดวงตาไร้แวว พวกเขาสวมชุดคลุมสีดำแบกเกี้ยวเดินมาเงียบๆ
ทุกย่างก้าว ร่างกายของมนุษย์ทั้งสี่จะแห้งเหี่ยวลงทีละน้อยราวกับชีวิตพวกเขากำลังถูกเกี้ยวดูดไปเป็นสารหล่อเลี้ยงพลังสะกด
สิ่งที่ต่างจากเกี้ยวหลังอื่นคือด้านบนเกี้ยวหลังที่หก…มีผู้ฝึกตนคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่!!
ผู้ฝึกตนผู้นี้สวมชุดคลุมสีขาวสลับดำที่หวังเป่าเล่อเคยเจอ!
สือหลิงจื่อ!
หนึ่งในสองปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักเหอเสียน ผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงระดับเดียวกับเยว่หลิงจื่อ!
เขาอยู่ในวัยกลางคน นั่งขัดสมาธิหลับตา แต่ข้อมือขวามีบาดแผลที่ดูไม่เหมือนถูกคนนอกทำร้าย มันเหมือนกับถูกตัวเองกรีดจนเลือดหยดติ๋งๆ ลงไปในเกี้ยวแดงหลังนั้น ทำให้เกี้ยว…ย้อมสีเข้มขึ้นและดูยั่วยวนใจขึ้น
ราวกับว่าเขากำลัง…ย้อมสีของมัน
พริบตาที่เห็นสือหลิงจื่อ หวังเป่าเล่อก็ดวงตาหดแคบ ภาพเมื่อไม่กี่เดือนก่อนผุดขึ้นในหัว
นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาพบอีกฝ่าย ข้างในภูเขาสือหลิงจื่อเต็มไปด้วยรอยแผล แต่พลังปราณกลับแข็งแกร่งอย่างยิ่ง คนผู้นี้มาพร้อมกับบทเพลงอันน่าทึ่ง เขากำลังเดินขึ้นไปยังยอดเขาทีละก้าว ศิษย์สำนักเหอเสียนทุกคนต่างก้มหัวคำนับให้
“สือหลิงจื่อ…” หวังเป่าเล่อชะงักกึก แต่สือหลิงจื่อที่นั่งหลับตาอยู่บนเกี้ยวหลังที่หกกลับค่อยๆ ลืมตามองหวังเป่าเล่ออย่างเย็นชา
รุ่งอรุณกำลังมาเยือน
“ไม่ใช่เกี้ยวหลังเดียวกัน?” หวังเป่าเล่อดวงตาวาววับจ้องมองเกี้ยวสีเลือดที่กำลังเข้ามาใกล้ เขามองเข้าไปข้างในม่าน มือซ้ายเหยียดออกมาจากม่านอย่างไร้ทิศทาง ในใจพลันครุ่นคิด
ขณะที่เขากำลังไตร่ตรองอยู่นั้นเอง เกี้ยวสีเลือดก็เข้ามาใกล้หวังเป่าเล่อคล้ายกำลังจะเคลื่อนผ่านไป
หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้น มองมันอย่างเย็นชา จากนั้นก็กะพริบร่างและเป็นฝ่ายหลีกทางให้ก่อน
สำหรับเขา ร่างที่อยู่ข้างในเกี้ยวสีเลือดนี้แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายปั่นป่วนจิตใจเขาไม่หยุด หวังเป่าเล่อรับรู้ได้ว่าเกี้ยวนี้อันตรายมาก
แม้ตัวเขาจะไม่ธรรมดา แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่อยากเข้าไปพัวพันกับอันตรายที่ไม่จำเป็นเช่นนี้ เขาจึงเลือกที่จะหลีกทาง แต่ว่าครั้งนี้…การหลีกทางให้กลับไร้ผล
แม้จะถอยไปหลายสิบจั้งแล้ว แต่เกี้ยวสีเลือดนั่นก็ดูเหมือนจะกำหนดเป้าหมายไว้ที่เขาเรียบร้อย มันเปลี่ยนทิศเข้ามาหาเขาเช่นเดิม
นั่นทำให้หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว เมื่อถอยออกไปอีกก็พบว่าไร้ประโยชน์ หลังจากรู้ว่าถูกกำหนดเป้าหมายชัดเจน เขาจึงยืนอยู่ที่เดิมไม่ถอยหนีอีกต่อไป ดวงตาฉายแววเย็นยะเยือกขึ้นเรื่อยๆ
เกี้ยวนั่นเหมือนกับเกี้ยวที่เขาเคยพบทุกประการ เมื่อหวังเป่าเล่อหยุดชะงัก มันก็พร่าเลือนและมาปรากฏตัวตรงหน้าหวังเป่าเล่อและไม่หยุดเคลื่อนที่ หากแต่พริบตาที่กำลังจะตัดผ่านหวังเป่าเล่อไปมันจึงหยุดลงทันที
คราวนี้มันหยุดอยู่ด้านขวาของหวังเป่าเล่อและยังเป็นตำแหน่งที่มือซ้ายข้างนั้นยื่นออกมาพอดี เมื่อมันหยุดลง มือซ้ายกับหวังเป่าเล่อก็ห่างกันราวหนึ่งช่วงตัวคน
ระยะห่างนี้ทำให้หวังเป่าเล่อได้กลิ่นคาวเลือดโชยมาเล็กน้อย ซึ่งจุดนี้ต่างจากเกี้ยวหลังแรกที่เขาเคยพบ
หากมองดูใกล้ๆ ยังเห็นเลือดไหลซึมไปตามรอยร้าวของไม้ตรงขอบเกี้ยว เมื่อมองเลยเกี้ยวไปจะเห็นว่าตลอดทางที่มันเคลื่อนเข้ามามีเลือดหยดลงพื้นเป็นระยะๆ กลายเป็นเส้นต่อเนื่อง
บางทีอาจจะเป็นเลือดของสิ่งที่อยู่ข้างในเกี้ยว หรือบางที…อาจเป็นเลือดของผู้ฝึกตนที่เห็นการดำรงอยู่ของมันจึงถูกกลืนกินมาตลอดทาง
เมื่อเกี้ยวหยุดชะงัก แสงเย็นวาบในดวงตาหวังเป่าเล่อก็รุนแรงขึ้น เขาถอยหลังไปอีกครั้งเพื่อรักษาระยะห่าง แต่บริเวณที่เขาอยู่ดูเหมือนจะบิดเบี้ยวและได้รับอิทธิพลบางอย่าง ไม่ว่าเขาจะถอยหนีอย่างไร ระยะห่างของเขากับเกี้ยวนั่นก็ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
“กวนประสาทข้าหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาก่อนจะเลิกถอยหลัง และแผ่จิตใต้สำนึกปกคลุมบริเวณนี้ เมื่อแน่ใจแล้วว่าที่นี่ไม่มีใครอีก เขาก็จ้องเขม็งไปยังเกี้ยวข้างตัว แสงอันตรายในดวงตายิ่งรุนแรงขึ้น
ขณะเดียวกันมือซ้ายที่ยื่นออกมาจากม่านก็ค่อยๆ หยุดแกว่งไกว และชี้ไปข้างหน้าแทน มันเข้าใกล้หว่างคิ้วของหวังเป่าเล่อช้าๆ ราวกับต้องการสัมผัส
ระหว่างนี้ดูเหมือนว่านิ้วมือนั่นจะแผ่พลังประหลาดออกมาเช่นกัน หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ทันทีว่าอักขระเสียงในร่างกายตนเหมือนถูกสะกดจนสูญเสียความคล่องแคล่วและอยากหลับใหล
เรื่องนี้ตอนที่เขาพบเกี้ยวหลังแรก พลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงในร่างกายเขายังอ่อนแอและไม่แข็งแกร่งเท่าตอนนี้ ในด้านความรู้สึกจึงไม่ได้ชัดเจน แต่ตอนนี้ความรู้สึกนี้ชัดเจนมากทีเดียว
ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีความสามารถในการยับยั้งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้
“หืม?” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด แต่นัยน์ตายังคงเย็นยะเยือก จู่ๆ ผนึกกฎเกณฑ์ปรารถนารสในร่างกายก็คลายออก มุมปากค่อยๆ ฉีกออกกว้างจนน่ากลัว
หากมองจากที่ไกลๆ จะเห็นว่าบนเล็บสีเลือดที่กำลังเข้ามาใกล้ก็แผ่แสงประหลาดออกมาเช่นกัน และปากหวังเป่าเล่อก็ฉีกกว้างขึ้น ในพริบตาที่ทั้งคู่เข้าใกล้กันมากที่สุด หวังเป่าเล่อก็อ้าปากกว้างจนถึงขนาดที่สามารถกลืนกินเกี้ยวเข้าไปได้ทั้งหลัง เขางับลงไปบนมือข้างนั้น
แทบจะในพริบตาที่เขากลืนมันลงไป เล็บสีแดงเลือดก็ปะทะกับร่างกายเขาอย่างเงียบเชียบ หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มรุนแรง สัมผัสได้ถึงคำสาปร้ายแรง นิ้วมือของอีกฝ่ายพุ่งเข้าไปในร่างกายเขาโดยไร้สิ่งกีดขวางและกำลังจะทำลายดวงวิญญาณเทพและทุกสิ่งจนหมดสิ้น
แต่พลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนารสนั้น หวังเป่าเล่อก็ฝึกฝนจนถึงระดับเจ้าสวาปามแล้วและยังฝึกฝนมันมานานขนาดนี้ แม้จะยังเทียบกับเจ้าปรารถนารสไม่ได้ แต่ก็เหนือกว่าเจ้าสวาปามทั้งหมดแล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขายังมีคุณสมบัติของร่างต้นแบบอยู่ด้วย แม้การสังหารเช่นนี้จะน่าทึ่ง แต่การจะสังหารหวังเป่าเล่อในพริบตานั้นเป็นไปไม่ได้เลย
ดังนั้นแม้คำสาปจะพุ่งเข้าไประเบิดในร่างกายหวังเป่าเล่อ แต่นั่นก็ทำให้หวังเป่าเล่อแค่เซถอยหลังพร้อมกระอักเลือดสีดำออกมาเต็มปากเท่านั้น
เลือดสีดำนั่นก็คือคำสาป
ขณะเซถอยหลัง หวังเป่าเล่อเงยหน้าจ้องมองเกี้ยวนั่นด้วยดวงตาที่เส้นเลือดปูดโปน
ตอนนี้เกี้ยวก็สั่นไหวเช่นกัน ไม้บางส่วนเกิดรอยปริแตกและทรุดลง หากมองดีๆ จะเห็นว่าส่วนที่ทรุดลงนั้นเชื่อมต่อกันเป็นรอยฟัน
ราวกับรับรู้ได้ถึงอันตรายจากหวังเป่าเล่อ นิ้วมือที่ยื่นออกมานอกม่านจึงค่อยๆ หดกลับไป เกี้ยวที่หยุดอยู่ตรงนั้นก็ถูกยกขึ้นแบกออกไปอีกครั้ง
หวังเป่าเล่อหรี่ตามองเกี้ยวที่กำลังไกลออกไป หลังจากเงียบไปไม่กี่อึดใจ เขาก็ตัดสินใจได้ ไม่ใช่วาบร่างหนี แต่พุ่งตามเกี้ยวนั้นไป
เพียงแต่ระหว่างการไล่ตามนี้รูปลักษณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าตัวเขาและแม้แต่ลมปราณก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเพื่อไม่ให้ถูกผู้ฝึกตนสามสำนักใหญ่เห็นเข้า
ส่วนเหตุผลที่เขาเลือกตามไปนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความประหลาดของเกี้ยวสีเลือด แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ…ตอนที่คำสาปร้ายแรงนั่นระเบิดในร่างหวังเป่าเล่อ เขาสัมผัสได้ว่ากฎแห่งสุขของตนเอง…กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาในพริบตา
“สามารถยับยั้งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้…”
“สามารถกระตุ้นพลังปราณของกฎแห่งสุขในร่างข้าได้”
“ไม่ใช่เกี้ยว แต่เป็นแขนขาที่ต่างกันข้างในนั้น”
“ทั้งหมดนี้รวมเข้าด้วยกัน คำตอบก็มีไม่กี่อย่าง…แต่ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไรมันต้องเกี่ยวข้องกับ…เจ้าแห่งสุขแน่!” หวังเป่าเล่อจำได้แม่นว่าตอนที่ร่างต้นแบบเพิ่งมาถึงโลกาชั้นสอง ผู้อาวุโสของเผ่าสุขได้เล่าเรื่องเจ้าแห่งสุขให้เขาฟัง
เนื่องจากเจ้าแห่งสุขมีอิทธิพลต่อการดำรงอยู่ของกฎปรารถนาเสียงจึงตกเป็นเป้าหมายของเจ้าปรารถนาเสียง ในหมู่พวกเขา พลังหลักที่ทำลายเผ่าแห่งสุขก็คือผู้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง
ส่วนเจ้าแห่งสุขของทั้งเจ็ดอารมณ์ผู้นั้นก็ถูกเจ้าปรารถนาเสียงสะกดไว้…ในเมืองปรารถนาเสียง!
ถูกสะกดไว้ที่ไหนหรือสะกดด้วยวิธีใด ไม่มีใครล่วงรู้ แต่ที่แน่ชัดคือเมื่อเจ้าแห่งสุขถูกสะกด กฎแห่งสุขในโลกใบนี้ก็ค่อยๆ เหี่ยวเฉาไป
……………………………………………
ยามที่หวังเป่าเล่อกำลังหมกมุ่นอยู่กับเสียงฉินอันเสนาะหูสามตัวของตน อักขระเสียงที่เกิดจากเสียงฟู่เกือบสองร้อยตัวซ้อนทับกันในร่างกายเขาก็ทำให้รอบๆ เกิดการบิดเบี้ยวเล็กน้อยเหมือนกับสนามพลังซึ่งเป็นเรื่องพิเศษมาก
หวังเป่าเล่อย่อมสังเกตเห็นมันเช่นกันจึงนำมันออกมาตรวจดู ก่อนจะเก็บเข้าไปอีกครั้ง ตอนนี้เขาสนใจเสียงฉินสามตัวนั้น สิ่งเดียวที่ทำให้เขาเสียใจคือเสียงฉินยังน้อยเกินไปไม่สามารถสร้างทำนองได้
“ไม่เป็นไร ด้วยคุณสมบัติการรู้แจ้งของข้า ไปที่ฝูงปลาดนตรีครามอีกไม่กี่ครั้งก็รวบรวมเสียงฉินได้แล้ว” เมื่อคิดว่าเส้นทางแห่งท่วงทำนองของตนโชติช่วงดั่งไฟแห่งความหวังแล้ว หวังเป่าเล่อก็เบิกบานใจและมั่นใจอย่างบอกไม่ถูก
ตั้งแต่ตอนที่ร่างต้นแบบสัมผัสกับสตรีชุดแดงในตอนนั้น หวังเป่าเล่อก็เข้าใจว่ากฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงก็คือบทเพลง แม้กระทั่งตอนที่ไปถึงสำนักเหอเสียน สิ่งที่เขาได้เรียนรู้ก็คือแบบนี้เช่นกัน
ทุกคนล้วนกำลังรังสรรค์บทเพลงของตน เพราะวาสนาและประสบการณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นบทเพลงก็จะไม่เหมือนกัน และเอกลักษณ์ในวิธีที่หลากหลายนี้เองที่เป็นปัจจัยดึงดูดหวังเป่าเล่อ
แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่ได้ตระหนักว่าเอกลักษณ์เช่นนี้เกี่ยวโยงกับความปรารถนาที่จะเป็นอิสระในฐานะร่างแยกของเขา
ในแง่หนึ่งร่างแยกของหวังเป่าเล่อต้องการพิสูจน์ว่าตนมีจิตใต้สำนึกเป็นอิสระ มีบุคลิกของตัวเองและแยกออกจากร่างต้นแบบอย่างสิ้นเชิง
นี่คือเหตุผลที่แท้จริงที่เขาสนใจบทเพลง
เพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าบทเพลงที่ตนรังสรรค์ขึ้นนั้นจะเป็นท่วงทำนองแบบไหน
เพราะเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้มอบปลาดนตรีครามให้พ่อบ้านในทันที การจับได้หลายตัวในช่วงเวลาหนึ่งวันเช่นนี้อาจทำให้ความแตกได้
นั่นไม่สอดคล้องกับแผนขั้นต่อไปของเขา หวังเป่าเล่อจึงรอคอยอย่างเงียบเชียบจนกระทั่งยามค่ำคืนมาถึงอีกครั้ง ร่างของเขาหายวับไปทันทีและพุ่งออกห่างจากเขาสำนักเหอเสียน
ตลอดทางเขาหลีกเลี่ยงการตรวจพบทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นได้ จนกระทั่งแน่ใจว่าไม่มีใครตามมาจึงเริ่มเหาะด้วยความเร็วสูงสุดไปยังจุดที่ฝูงปลาดนตรีครามอาศัยอยู่
ความเร็วในครั้งนี้น่าทึ่งมาก เขามาถึงในเวลาไม่นาน แต่ด้วยความรอบคอบ หลังจากมาถึงแล้วก็ไม่ได้หยุดทันที แต่เหาะไปในที่ไกลๆ ก่อนจะวาบร่างหายไปปรากฏตัวอยู่อีกทิศหนึ่งและค่อยๆ กลับมาด้วยความเร็วที่ตรวจพบได้ยากแทน
ความระแวดระวังเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าหวังเป่าเล่อให้ความสำคัญกับอาณาเขตฝูงปลาดนตรีครามมาก แม้กระทั่งระหว่างทางที่มาเขายังเพิกเฉยต่อสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่ตามมา จนกระทั่งหลังจากมาถึงอาณาเขตฝูงปลาดนตรีคราม เขาก็นั่งขัดสมาธิลงตรงที่เดิมกับเมื่อวาน เก็บซ่อนลมปราณและรอคอยอย่างเงียบเชียบ
ผ่านไปสักพักหวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกไม่มั่นคงจึงเริ่มขุดหลุม หลังจากนั่งอยู่ในนั้นก็นำดินมาฝังกลบเพื่อซ่อนตัวอย่างมิดชิด แล้วจึงรอคอยรุ่งสางอย่างใจจดใจจ่อ
คืนนี้ไม่มีอะไรผิดปกติ
ถึงอย่างไรราตรีนี้ก็กว้างใหญ่นัก อีกทั้งผู้ฝึกตนของทั้งสามสำนักล้วนปลีกวิเวก ต่อให้มีบางส่วนออกมาข้างนอกก็ยากที่จะพบกันในราตรีอันกว้างใหญ่ได้ ช่วงเวลานี้หวังเป่าเล่อเองก็เคยพบเพียงแค่ผู้ฝึกตนสำนักเหิงฉินคนเมื่อวานเท่านั้น
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงรอคอยอย่างราบรื่นจนถึงรุ่งสาง ความคึกคักของฝูงปลามาพร้อมกับเสียงบทเพลงแห่งมวลมหาธรรมชาติ หวังเป่าเล่อจากใต้ดินจึงรีบโผล่ขึ้นมานั่งสมาธิเริ่มต้นรู้แจ้งทันที
อักขระเสียงค่อยๆ ผุดขึ้นในใจเขา ท่ามกลางเสียงมวลมหาธรรมชาติอันไพเราะทำให้หวังเป่าเล่อมีความสุข โดยไม่รู้ตัวกฎแห่งสุขของเขาก็เริ่มเติบโตอย่างช้าๆ
เป็นเช่นนี้จนกระทั่งหนึ่งเดือนผ่านไป
ในหนึ่งเดือนนี้หวังเป่าเล่อมารู้แจ้งอยู่ที่นี่แทบทุกรุ่งสาง เขาเคยพยายามจะเคลื่อนย้ายฝูงปลาด้วย แต่ก็ไร้ประโยชน์ ในช่วงหนึ่งเดือนนี้มีคนเคยผ่านมาที่นี่ แม้จะสังเกตเห็นฝูงปลาดนตรีคราม แต่ก็ไม่ได้อยู่รอจนถึงรุ่งสางจึงไม่มีใครค้นพบความลับของสถานที่แห่งนี้
นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนสำนักเหิงฉินผ่านมาสองครั้ง หลังจากหวังเป่าเล่อครุ่นคิดก็ไม่ได้ลงมือ หากผู้ฝึกตนสำนักเหิงฉินตายไปคนหนึ่งก็ยังไม่เป็นไร แต่หากตายอีกสองสามคนจะเป็นการยากที่จะเก็บความลับของที่นี่ไว้
ดังนั้นหนึ่งเดือนมานี้แม้จะตื่นเต้นอยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดี และจำนวนเสียงโบราณของหวังเป่าเล่อก็เกือบถึง 40 ตัวแล้ว
ด้วยเสียงโบราณมากขนาดนี้ เขาจึงสามารถเรียบเรียงและสร้างทำนองที่เป็นของตัวเองได้แล้ว แท้จริงแล้วเขาทำอย่างนั้นด้วยความพยายามของเขาจนท่วงทำนองสำเร็จไปแล้ว
เมื่อเริ่มใช้งานท่วงทำนองนี้ ร่างของเขาจะสลายไปหลอมรวมกับเสียงฉิน และเสียงฉินอันเร่งเร้านี้ยังแฝงไปด้วยความปรารถนาในอิสรภาพและความยืนหยัดของหวังเป่าเล่อ
เขาถึงกับฝันไว้ว่าหลังจากท่วงทำนองนี้สมบูรณ์และกลายเป็นบทเพลงที่สมบูรณ์แบบแล้วก็จะปรับกฎปรารถนาเสียงของตนให้กลายเป็นบทประพันธ์แห่งท่วงทำนอง
“ข้าคิดชื่อไว้หมดแล้ว มันจะชื่อว่าอิสรภาพ!” หวังเป่าเล่อตั้งหน้าตั้งตารอวันนั้น ส่วนเสียงฟู่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้คิดคำนวณอะไรมาก โดยพื้นฐานแล้วมันเพิ่มขึ้นประมาณ 100 ตัวต่อวัน จนถึงตอนนี้ก็มีประมาณ 3,000 กว่าตัวแล้วซึ่งซ้อนทับกันทั้งหมด
ส่วนเรื่องอานุภาพนั้น เนื่องจากเขาจดจ่ออยู่กับเสียงฉิน อีกทั้งยังไม่มีใครให้เขาลงมือด้วยจึงยังไม่เคยลอง
ขณะเดียวกันหนึ่งเดือนที่ผ่านไป ฝูงปลาดนตรีครามที่นี่ก็ดูเหมือนจะถึงจุดสิ้นสุดของการรวมตัวและเริ่มล้มตาย
ราวกับว่าชีวิตของพวกมันมีเพื่อเล่นเสียงมวลมหาธรรมชาติเท่านั้น และเสียงมวลมหาธรรมชาติตลอดหนึ่งเดือนก็กินพลังของพวกมันไปหมดสิ้นแล้ว ในท้ายที่สุดการชนกันทุกครั้งล้วนหมายถึงความตาย
มันโหดร้าย ขณะเดียวกันเสียงก็เสนาะหูอย่างยิ่ง ทั้งไพเราะและโหดเหี้ยม
จนกระทั่งวันนี้ เมื่อหวังเป่าเล่อมายังอาณาเขตของฝูงปลาดนตรีครามกลางดึกอีกครั้ง เขาก็ไม่เห็นปลาเลยสักตัวเดียว เขารู้ว่าวาสนาในครั้งนี้ได้จบลงแล้ว
“โลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงช่างประหลาดนัก…” หวังเป่าเล่อสัมผัสสภาพแวดล้อมที่ว่างเปล่าด้วยอารมณ์ หลังจากค้นหาจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีปลาดนตรีคราม เขาจึงส่ายหน้าและทำท่าว่าจะจากไป ทว่าในตอนนั้นเอง หูก็ได้ยินเสียงดนตรีดังลอยมาเบาๆ
เสียงนั้นเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและเยือกเย็น อีกทั้งยังไม่พอใจราวกับสตรีโบราณต้องออกเรือนไปกับคนที่นางไม่ได้รัก บนเกี้ยวเจ้าสาวนั้นอารมณ์ในจิตใจได้กลายเป็นจังหวะดนตรีดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ
เมื่อเสียงดนตรีใกล้เข้ามา หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาทันที ยามที่หันไปมองเขาก็เห็นเกี้ยวสีแดงสดที่ตนเคยพบถูกร่างผอมแห้งสี่ร่างแบกเดินเข้ามาช้าๆ
เมื่อเข้ามาใกล้ หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เขาจำได้ว่าเกี้ยวที่ตนเคยพบในตอนนั้นมีมือขวายื่นออกมาจากม่าน แกว่งไปมาไร้ทิศทาง แต่เกี้ยวหลังนี้…กลับเป็นมือซ้าย!
นิ้วมือราวหยกขาวพิสุทธิ์เช่นเดียวกัน เล็บสีแดงสดเช่นเดียวกัน บรรยากาศอันน่าพิศวงเช่นเดียวกัน
มันค่อยๆ เคลื่อนมาถึงช้าๆ
“เสียงฉิน!” หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย เขาถืออักขระเสียงไว้ตรงหน้า ก่อนจะกวาดดวงจิตเทพผ่านอีกครั้ง หลังจากเสียงฉินอันเสนาะหูดังก้องไปทั่วจิตใจ เขาก็เกิดตื่นเต้นขึ้นมา
“นี่สิถึงจะเป็นกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง!” หวังเป่าเล่อคิดมาตลอดว่าเสียงฟู่ของตนเหมือนกับเสียงผายลมซึ่งน่าเกลียดมาก แม้อานุภาพตอนซ้อนทับกันจะดี แต่เมื่อเทียบกับผู้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงคนอื่นแล้ว ทั้งความสง่างาม ความเศร้าโศก หรือบทเพลงที่มีท่วงทำนองอื่นๆ มันก็ยังแสลงหูอยู่ดี
แต่เขาไม่มีทางอื่นเลย ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา อักขระเสียงทั้งหมดที่เขารู้แจ้งล้วนเป็นเสียงฟู่ เขาที่เดิมทีได้ล้มเลิกความคิดเรื่องแต่งบทเพลงของตนเองไปแล้วกำลังมองอักขระเสียงในมือ เปลวไฟในใจพลันลุกโชนขึ้นอีกครั้ง
“หรือว่าสำนักเหิงฉินคือสำนักที่เหมาะกับข้าที่สุด!” หวังเป่าเล่อรีบหลอมรวมอักขระเสียงในมือเข้ากับร่างกายทันที จากนั้นก็เปิดค้นกระเป๋าคลังเก็บของเด็กหนุ่ม ข้างในนั้นนอกจากของกระจุกกระจิกแล้วก็ยังมีบันทึกอักขระดนตรีสองแผ่นรวมถึงแผ่นหยกและตราผลึก
หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจตราผลึก ที่เขาสนใจคือแผ่นหยกต่างหาก หลังจากใส่ดวงจิตเทพเข้าไป หวังเป่าเล่อก็ยืนครุ่นคิดอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ดวงตาพลันเปล่งประกาย
“สำนักเหิงฉินนั้นทุกอย่างล้วนมีบทเพลงโบราณเป็นหลัก ให้ความสำคัญกับจิตใจที่เก่าแก่ เต๋ามีร่องรอยโบราณ จินตนาการว่าร่างกายตนคือเครื่องสาย…” เคล็ดวิชาไม่ยาก ถึงอย่างไรกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงก็ใช้การรู้แจ้งเป็นหลัก สามสำนักใหญ่ก็แค่มีทิศทางการฝึกฝนต่างกันเท่านั้น
ดังนั้นไม่นานหวังเป่าเล่อก็ชำนาญวิธีฝึกตนขั้นพื้นฐานของสำนักเหิงฉิน จากนั้นจึงหยิบบันทึกอักขระดนตรีสองแผ่นนั้นออกมาดูอย่างละเอียด บันทึกอักขระดนตรีนี้ก็คือบทเพลงแบบโบราณ ไม่มีเนื้อ มีแต่ทำนอง
นี่คือจุดเด่นของสำนักเหิงฉิน
และสิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้นยิ่งกว่าคือในบันทึกอักขระดนตรีสองแผ่นนี้ อักขระเสียงตัวแรกที่รู้แจ้งออกมาก็คือเสียงฉิน อีกทั้งยังต่างจากก่อนหน้านี้ด้วย แม้ต่อไปหวังเป่าเล่อจะตัดสินใจกลับมาเดินเส้นทางเดิม รู้แจ้งเสียงฟู่ออกมาห้าตัว แต่สิ่งนี้ก็ทำให้หวังเป่าเล่อพอใจมากแล้ว
หลังจากนำเสียงฟู่ที่รู้แจ้งออกมาใหม่ซ้อนทับกับของเดิมอย่างลวกๆ แล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้สนใจมันมากนัก แต่กลับขยับเสียงฉินสองตัวของตนแทน เสียงทำนองลื่นหูดังขึ้นจนหวังเป่าเล่อเผยรอยยิ้ม ก่อนจะเดินไปยังใจกลางพื้นที่ที่ปลาดนตรีครามอาศัยอยู่ หรือก็คือจุดที่เด็กหนุ่มคนนั้นเดินมา
เขาอยากจะดูสักหน่อยว่าที่นี่มีความลับอะไรกันแน่ถึงทำให้ผู้ฝึกตนสำนักเหิงฉินไม่ลังเลที่จะสังหารใครเลย ต้องทราบก่อนว่าทั้งสามสำนักอยู่ห่างกันมาก อีกทั้งยังมีต้นกำเนิดเดียวกัน ดังนั้นแม้จะเกิดความขัดแย้งกันในวันปกติทั่วไปก็น้อยมากที่จะเกิดการฆ่าแกง
อีกฝ่ายทำเช่นนี้ หวังเป่าเล่อไม่เชื่อว่าที่นี่จะไม่มีความลับอะไร แต่หลังจากเขาเดินไปถึงใจกลางพื้นที่กลับไม่พบเบาะแสหรืออะไรประหลาดเลยสักนิด หากจะให้พูดว่าต่างกันที่ตรงไหนก็มีแต่ที่นี่มีปลาดนตรีครามมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังว่ายเข้ามาใกล้ ไม่หนีไปไหน
เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อประหลาดใจมาก เขาค้นหาอย่างระมัดระวังอีกครั้งก็ยังไม่พบเงื่อนงำอะไร เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงนั่งลงตรงใจกลางพื้นที่และสังเกตอย่างเงียบเชียบ
เวลาไหลผ่านไปอีกครั้ง ไม่นานก็ใกล้จะรุ่งสางแล้ว หวังเป่าเล่อที่ไม่ได้อะไรเลยตลอดทั้งคืนเริ่มขมวดคิ้วมุ่นและกำลังจะลุกจากไป ทว่าในยามรุ่งสางที่ราตรีกาลกำลังจะสลายไปนั้นเอง จู่ๆ…เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง
เสียงนี้ทำให้ดวงตาของหวังเป่าเล่อหรี่แคบลงทันที
นั่นคือเสียงบทเพลง อันได้แก่ เสียงประสาน เสียงฉิน หากสัมผัสมันอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็ดูเหมือนจะเป็นเสียงแห่งสรรพสิ่ง นั่นทำให้หวังเป่าเล่อใจกระตุกวูบ เขายังสัมผัสได้ถึงปลาดนตรีครามจำนวนมหาศาลกำลังแหวกว่ายด้วยความเร็วสูงราวกับกำลังล้อมรอบพื้นที่นี้ไว้
และเสียงนี้ก็ค่อยๆ ทำให้หวังเป่าเล่อเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น!
นั่นก็คือปลาดนตรีครามเหล่านี้กำลังว่ายวนเป็นฝูงในช่วงเวลาสั้นๆ ของการสับเปลี่ยนระหว่างกลางคืนกับกลางวัน ด้วยการเปลี่ยนแปลงอันน่าประหลาดทำให้พวกมันชนกันเองจนเกิดเสียงดัง
เวลากลางคืนพวกมันจะไม่ชนกัน แต่ตอนนี้ด้วยอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงอันน่าประหลาดนี้ การชนกันของพวกมันจึงทำให้เกิดเป็นเสียงมวลมหาธรรมชาติ
เสียงนี้ทำให้หวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน การรู้แจ้งของเขาก็ยิ่งเฉียบขาดกว่าเดิม อักขระเสียงในร่างกายพลันถือกำเนิดขึ้นทีละตัว
ไม่ทันที่จะตรวจดูว่าอักขระเสียงที่รู้แจ้งออกมาคืออะไร หวังเป่าเล่อขณะนี้กำลังจมดิ่งลงไปในการรู้แจ้ง หากมีคนที่สามารถมองทะลุโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้ สิ่งที่เขามองเห็นอยู่ในตอนนี้จะต้องเป็นภาพที่สวยมากเป็นแน่
ในภาพนั้น หวังเป่าเล่อกำลังนั่งสมาธิ เส้นผมปลิวไสว ดูเหมือนมีน้ำทะเลสีน้ำเงินอยู่รอบตัว ในน้ำทะเลนั้นมีปลาดนตรีครามกำลังรวมกลุ่มเวียนว่ายรายล้อมอยู่รอบกาย ร่างกายสะท้อนแสงท้องฟ้าสีขาวที่ค่อยๆ สว่างขึ้น ส่งผลให้ทุกอย่างในน้ำทะเลสีน้ำเงินดูสวยงามมาก
แต่การรู้แจ้งเช่นนี้ไม่อาจคงอยู่ได้นาน รุ่งอรุณนั้นแสนสั้น เมื่อมันมาถึง กลางคืนถูกแทนที่ด้วยกลางวัน ร่างของหวังเป่าเล่อและฝูงปลารอบด้านก็หายไปพร้อมกัน
เมื่อหวังเป่าเล่อลืมตา เขาก็มาอยู่ทางทิศตะวันออกใกล้กับกำแพงเมืองปรารถนาเสียงแล้ว ในดวงตายังเหลือร่องรอยการรู้แจ้ง ใช้เวลานานทีเดียวกว่าเขาจะฟื้นคืนสติ ทันทีที่ได้สติและเห็นจำนวนอักขระเสียงที่ตนรู้แจ้งออกมา หวังเป่าเล่อก็ตกตะลึง
“109 ตัว!!” หวังเป่าเล่อสูดหายใจถี่รัว มองอักขระเสียงในร่างกายตนอย่างไม่อยากจะเชื่อ นอกจากเสียงฟู่ซ้อนทับกัน 71 ตัวแล้ว ยังมีเสียงตุ้บหนึ่งเสียงและเสียงฉินอีกสองเสียง
และรอบๆ อักขระเสียงเหล่านี้ก็ยังมีอักขระเสียงใหม่อีก 109 ตัวส่องประกายวิบวับ
ความเร็วเช่นนี้เหนือกว่าการรู้แจ้งตลอดครึ่งปีของหวังเป่าเล่อเสียอีก นั่นทำให้เขาตกตะลึง ขณะเดียวกันก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้ฝึกตนสำนักเหิงฉินถึงต้องการสังหารผู้อื่น หากเปลี่ยนเป็นหวังเป่าเล่อ เขาเองก็จะทำเช่นกัน
“คิดไม่ถึงว่าฝูงปลาดนตรีครามจะประหลาดแบบนี้…” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะลุกขึ้นตรงไปยังร้านอาหาร ระหว่างทางก็กวาดดวงจิตเทพผ่านอักขระเสียงเหล่านั้นเพื่อตรวจสอบเสียงของมัน
ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่…
เสียงที่คุ้นเคยทำให้ความตื่นเต้นของหวังเป่าเล่อลดน้อยลง สุดท้ายก็แทบจะชินชา จนกระทั่งเสียงฟู่ดังไปร้อยกว่าครั้ง จู่ๆ ก็มีเสียงฉินดังก้องอยู่ในใจเขา
เสียงอันไพเราะนี้ทำให้เขาที่เพิ่งเหยียบเข้ามาในร้านอาหารชะงักกึก ก่อนจะกลับถึงห้องด้วยความพึงใจ สัมผัสอักขระเสียงในร่างกายและครุ่นคิดเกี่ยวกับมัน
“108 เสียงฟู่ หนึ่งเสียงฉิน”
“แบบนี้ก็ยังดี อย่าโลภเกินไป” หวังเป่าเล่อไม่สนใจเสียงฟู่เหล่านั้นและนำพวกมันซ้อนทับกับเสียงก่อนหน้านี้ลวกๆ แต่บรรจงวางเสียงฉินอันล้ำค่าไว้ข้างๆ เสียงฉินอีกสองตัวอย่างระมัดระวัง เมื่อมองพวกมัน เขาก็รู้สึกว่าความหวังในการสร้างบทเพลงของตัวเองใกล้เข้ามาแล้ว
“ยังมีสถานที่ที่ฝูงปลาดนตรีครามอาศัยอยู่นั่นห้ามให้ผู้ใดค้นพบเด็ดขาด ใครกล้ามาแย่งชิง ข้าจะฆ่าทิ้งให้หมด!” ดวงตาหวังเป่าเล่อวาววับ หลังจากตัดสินใจแล้วก็เริ่มสงสัยว่าหากปลาดนตรีครามเหล่านั้นถูกพรากไปที่อื่นยังจะสามารถเกิดฉากนั้นได้หรือไม่
“เกรงว่าคงไม่ได้ ไม่เช่นนั้นผู้ฝึกตนสำนักเหิงฉินคนนั้นคงทำไปนานแล้ว”
……………………………………………
แทบจะในทันทีที่หวังเป่าเล่อหันไปมอง กลุ่มแสงขนาดมหึมานั่นก็พุ่งเข้ามาใกล้ เมื่อมาถึงพลังงานลุกโชติช่วงพลันแผ่ออกมาจากในกลุ่มแสงนั่น ทำให้ความมืดในราตรีหายไปไม่น้อย แม้จะไม่ถึงขั้นทำลายความว่างเปล่าให้ตามนุษย์หรือจิตใต้สำนึกมองเห็นโลกปรารถนาเสียงได้ แต่ก็ทรงพลังจนน่าตกใจ
แม้แต่ปลาดนตรีครามในมือหวังเป่าเล่อก็ยังกระตุกไปสองสามทีราวกับไม่สามารถทนต่อความร้อนแผดเผานี้ ยังไม่ทันที่หวังเป่าเล่อจะเก็บมันเข้ากระเป๋า ปลาดนตรีครามก็กระตุกตัวแรง ก่อนจะแห้งเหี่ยวลมปราณหายไป
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วโยนซากปลาในมือทิ้ง แล้วตวัดสายตามองร่างเลือนรางในลูกไฟอย่างเย็นชา
ร่างนั้นดูเหมือนจะเป็นบุรุษคนหนึ่ง เส้นผมยาวคล้ายกำลังแผดเผาอยู่ในลูกไฟ ทุกที่ที่เขาผ่านไปล้วนทำให้พื้นดินแตกระแหง สัตว์ประหลาดทุกตัวก็ดูเหมือนจะรีบหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวคนผู้นี้มาก
และด้วยแสงแห่งอักขระเสียงที่ทำให้ปลาดนตรีครามระเหยไปได้ ก็สามารถยืนยันความแข็งแกร่งของคนผู้นี้ได้แล้ว
ไม่เพียงแค่นั้น ขณะที่เขาเข้ามาใกล้ หวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงอักขระระเบิดประมาณหลายสิบตัว เรียงร้อยเข้าด้วยกันเป็นบทเพลงที่เต็มไปด้วยความเก่าแก่
“รูปแบบโบราณ…สำนักเหิงฉิน!” หวังเป่าเล่อเข้าสำนักเหอเสียนมาระยะหนึ่งแล้ว และเขาก็รู้จักอีกสองสำนักจากการพูดคุยกับเพื่อนบ้านอยู่บ้าง
เสียงที่ได้ยินอยู่ตอนนี้จึงทำให้เขาคาดเดาสำนักของอีกฝ่ายได้ประมาณหนึ่ง
ทำนองเดียวกัน ในไม่ช้าภูมิหลังของเขาก็ถูกผู้ฝึกตนสำนักเหิงฉินที่กำลังเข้ามาใกล้มองออก
“สำนักเหอเสียน?” ขณะที่กล่าว ร่างในลูกไฟนั่นก็เหมือนมีแสงเย็นวาบอยู่ในดวงตา ฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาเร็วขึ้นอีกเล็กน้อย อุณหภูมิสูงที่แผ่ออกมาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น แม้แต่เสียงที่ดังออกมาจากร่างกายเขาก็มีจังหวะเร็วขึ้น
“ยอดฝีมือแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง” หวังเป่าเล่อเปรียบเทียบอยู่ในใจ คนผู้นี้ด้อยกว่าสือหลิงจื่อที่ตนเคยเจอมาก แต่โดยรวมแล้วก็ยังแข็งแกร่งกว่าเพื่อนบ้านเฉินหลิงหลายเท่า เขามีทำนองเป็นของตัวเองท่อนหนึ่งแล้ว
อีกทั้งในทำนองนี้ยังแฝงด้วยคุณสมบัติพิเศษบางอย่าง ความรู้สึกร้อนแผดเผาคงจะมาจากสิ่งนี้
ส่วนคนผู้นี้ หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขาคิดว่าตนคือคนมีหลักการ หากคนอื่นไม่ยั่วยุเขา ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเป็นฝ่ายรังแกคนอื่นก่อน
ดังนั้นเขาจึงกระแอมครั้งหนึ่ง แล้วเลือกที่จะถอยหลังหลีกทางให้
“คิดหนีหรือ” แทบจะในพริบตาที่เขาก้าวถอย แสงไฟนั่นก็เข้ามาประชิดตัวทันทีและขวางทางที่หวังเป่าเล่อกำลังจะถอยไปไว้ ใบหน้ามายาปรากฏลอยเด่นอยู่นอกลูกไฟ ดูแล้วน่าจะเป็นเด็กหนุ่ม ตอนนี้เขากำลังจ้องเขม็งใส่หวังเป่าเล่อ
“นอกจากเจ้าแล้วสำนักเหอเสียนส่งใครมาอีกหรือไม่” น้ำเสียงเด็กหนุ่มผู้นี้ดุดันและยังแฝงเจตนาร้าย ทั้งยังมีท่าทีเหยียดหยาม เอ่ยออกมาก็แผ่ดวงจิตเทพของตนสำรวจบริเวณโดยรอบ เมื่อแน่ใจแล้วว่านอกจากคนตรงหน้าก็ไม่มีผู้ฝึกตนคนอื่นๆ อีก เขาจึงถอนหายใจโล่งอก
“หืม?” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว เมื่อเห็นความกังวลของอีกฝ่ายจึงหันไปมองยังทิศทางที่อีกฝ่ายมา ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าที่นี่มีฝูงปลาดนตรีครามมารวมตัวกันเยอะมาก ในใจจึงได้คำตอบบางอย่าง
เห็นได้ชัดว่าที่แห่งนี้คงจะมีสมบัติล้ำค่าหรือไม่ก็คนตรงหน้ากำลังคงวางแผนจะทำอะไรบางอย่างที่นี่ แต่คราวก่อนตนอยู่บริเวณรอบนอก อีกฝ่ายจึงไม่ปรากฏตัว หากแต่คราวนี้ตนเข้ามาลึกเกินไปจึงทำให้คนผู้นี้ต้องแสดงตน คิดได้แล้วหวังเป่าเล่อก็กะพริบตาแล้วเอ่ยขึ้น
“มีข้าคนเดียว ข้าก็อยากถามเจ้าเหมือนกัน สำนักเหิงฉินส่งใครมาอีกหรือไม่”
เด็กหนุ่มเมินเฉยต่อคำถามของหวังเป่าเล่อ ในความเห็นของเขาอีกฝ่ายเพิ่งจะฝึกฝนอักขระเสียง ผู้ฝึกตนเช่นนี้ไม่ต่างอะไรจากสัตว์เลื้อยคลานเลย แม้จะดูสงบนิ่งแต่เขาก็มั่นใจว่าจะสังหารได้ในพริบตา ที่เขาสนใจก็คือความลับของสถานที่แห่งนี้ถูกคนนอกค้นพบแล้วใช่หรือไม่ ตอนนี้ดวงจิตเทพกวาดไปทั่วแปดทิศ หลังจากยืนยันได้อีกครั้งว่ามีเพียงคนตรงหน้าจริงๆ จิตสังหารในดวงตาเขาก็พลันปะทุรุนแรงขึ้น
“เห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น นี่คือสาเหตุการตายของเจ้า” กล่าวจบเขาก็ยกมือขวาขึ้นสะบัดไปทางหวังเป่าเล่อ ทันใดนั้นแสงไฟรอบร่างเขาก็พุ่งทะยานไปกลืนกินหวังเป่าเล่อ เสียงโบราณเก่าแก่ดังก้องออกมาพร้อมพลังบดขยี้แผ่ขยายมายังหวังเป่าเล่อ
ทุกที่ที่มันผ่านไปล้วนทำให้พื้นดินแตกละเอียด ราตรีรอบด้านพลันบิดเบี้ยว ทันใดนั้นหวังเป่าเล่อก็ถูกล้อมไว้ข้างใน ส่วนเด็กหนุ่มคนนั้นสีหน้าเฉยเมยและกำลังจะวาบร่างจากไปราวกับไม่จำเป็นต้องอยู่ดูตอนจบก็รู้ผลแล้ว
“เจ้ายังไม่ได้ตอบข้าเลย ที่นี่ สำนักเหิงฉินมีแค่เจ้าคนเดียวใช่หรือไม่” ตอนที่เด็กหนุ่มกำลังจะจากไปนั้นเอง เสียงของหวังเป่าเล่อก็ดังขึ้นด้านหลัง เสียงนี้ทำให้เด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีและหันขวับไปมองจุดที่แสงไฟพุ่งทะยาน
ที่ตรงนั้นเปลวเพลิงกำลังลุกไหม้ เสียงโบราณดังก้องพร้องพลังบดขยี้ เพียงแต่…ร่างที่อยู่ข้างในกลับเดินออกมาช้าๆ จะเปลวเพลิงหรือเสียงโบราณก็ทำอะไรเขาไม่ได้แม้แต่น้อย
เพราะว่าตรงหน้าหวังเป่าเล่อมีอักขระเสียงอยู่หนึ่งตัวกำลังส่องแสงเจิดจ้า แม้จะไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา แต่การมีอยู่ของมันก็ดูเหมือนจะสามารถเขย่าขวัญทุกสิ่ง ทำให้แสงไฟและเสียงโบราณไม่สามารถเข้าใกล้ได้
ภาพนี้ทำให้เด็กหนุ่มดวงตาหดแคบลงทันควัน โดยไม่ลังเล ร่างของเขาพลันพร่าเลือนกลายเป็นท่วงทำนองโบราณทันที มันมาพร้อมกับพลังปราณที่ทำให้ผู้คนรู้สึกร้อนรุ่ม แฝงไปด้วยจิตสังหารแรงกล้า ก่อนจะพุ่งเข้าใส่อักขระเสียงของหวังเป่าเล่อ
ฟู่!
เมื่อปะทะกันอักขระเสียงของหวังเป่าเล่อจึงส่งเสียงออกมาในที่สุด พริบตาที่เสียงนั้นดังขึ้น ท่วงทำนองโบราณของเด็กหนุ่มก็พลันสั่นสะท้านรุนแรง ก่อนจะพังทลาย
เสียงกรีดร้องโหยหวนดังก้อง ท่วงทำนองที่แตกสลายพลันพลิกม้วนถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะรวมร่างกันกลายเป็นเด็กหนุ่มอีกครั้ง นัยน์ตาเขาฉายแววไม่อยากจะเชื่อ สีหน้าตกตะลึง
“นี่มันอักขระเสียงอะไรกัน!”
ร่างกายหวังเป่าเล่อรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อยจากการปะทะกับท่วงทำนองโบราณซึ่งมันทำให้เขาค่อนข้างหดหู่ใจ ไม่ใช่หดหู่ที่เจ็บปวด แต่…เขารู้สึกว่าท่วงทำนองของอีกฝ่ายนี่ล่ะที่เป็นกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง
“ทำไมอักขระเสียงของข้าถึงไม่เป็นแบบนี้บ้าง…” แค่คิดถึงอักขระเสียงของตน หวังเป่าเล่อก็เศร้าใจมาก ดังนั้นจึงกวาดดวงจิตเทพไปสัมผัสกับอักขระเสียงหลักของตนอีกครั้ง
ฟู่!
เสียงฟู่ดังออกมาเป็นครั้งที่สอง ฉับพลันรอบตัวก็เกิดคลื่นเสียง เด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสี ดวงตาแทบถลน ร่างกายถอยกรูดไปข้างหลังอย่างรีบร้อน แต่ก็ยังช้าเกินไป ชั่วแวบเดียวก็ถูกคลื่นเสียงพุ่งเข้าใส่ ร่างของเขาในคลื่นเสียงฟู่กลายเป็นเหมือนปลาตัวนั้นไม่มีผิด…พังทลาย
เลือดเนื้อแหลกสลาย ร่างกายและวิญญาณถูกทำลายหมดสิ้น
ทุกอย่างค่อยๆ สงบลง
หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้น ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ เขารู้สึกว่าบนเส้นทางแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงนี้ แค่เริ่มต้น ตนเองก็ไม่เหมือนคนอื่นแล้ว
ขณะส่ายหน้าหวังเป่าเล่อก็เดินไปถึงจุดที่ผู้ฝึกตนสำนักเหิงฉินคนนั้นแตกสลาย เขาก้มมองลงไปยังจุดนั้น ตอนนั้นเองที่หูพลันได้ยินเสียงเล็กๆ ลอดออกมา จึงยื่นมือคว้ามันไว้
นอกจากกระเป๋าคลังเก็บของเด็กหนุ่มคนนั้นแล้ว ก็ยังมีอักขระเสียงที่ลอยออกมาจากร่างที่แหลกสลายถูกหวังเป่าเล่อจับไว้ในมือ
เพียงแค่สัมผัสเบาๆ อักขระเสียงนั้นก็ส่งเสียงฉินดังยาว แม้จะแค่เสียงเดียวแต่กลับไพเราะมาก นั่นทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม
…………………………………
ที่ตกลงไม่ใช่เพราะเพื่อบันทึกอักขระดนตรีเพียงอย่างเดียว หวังเป่าเล่อคิดเสมอว่าตนเป็นคนมีหลักการซึ่งต่างจากร่างต้นแบบอย่างสิ้นเชิง
เขาคิดว่าร่างต้นแบบไร้ยางอายและไม่อาจนำมาเทียบกับตนได้เลย หลักการคือความหมายในการดำรงอยู่ของเขา เขาจึงให้ความสำคัญกับหลักการมาก
ด้วยความคิดเช่นนี้ เขาจึงคิดว่าตนมาอยู่เมืองปรารถนาเสียงนานขนาดนี้ นอกจากถ้ำที่พักของสำนักเหอเสียนก็อาศัยอยู่ที่ร้านนี้มาตลอด อีกทั้งเจ้าของร้านอาหารที่เขายังไม่เคยพบหน้าคนนั้นก็ให้อะไรเขามากมาย เรียกได้ว่าให้ความกรุณาเขามาตลอด
ไม่ว่าจะยกระดับห้องพักให้อย่างรวดเร็วหรือให้ข้อมูลต่างๆ รวมถึงบันทึกอักขระดนตรีนี่ด้วย แม้ทั้งหมดนี้จะเป็นวิธีการทำธุรกิจของอีกฝ่ายเพื่อผูกมิตรกับเขา แต่หวังเป่าเล่อคิดว่าในเมื่อตนสุขสบายแล้วจะช่วยเหลืออีกฝ่ายเป็นครั้งคราวบ้างก็ไม่เป็นไร
“หากเปลี่ยนเป็นร่างต้นแบบกลัวว่าคงจะปฏิเสธทันควันล่ะสิ ต่อให้เห็นด้วยก็ต้องคิดเล็กคิดน้อยไปหมด เหอะ! ข้าแซ่หวังรังเกียจพฤติกรรมของเขานัก” คิดได้ดังนั้นในใจหวังเป่าเล่อก็รู้สึกเหนือกว่าขึ้นมาทันทีจึงเชิดคางขึ้นอย่างภูมิใจ
พ่อบ้านที่อยู่ตรงหน้าเห็นอาการหวังเป่าเล่อก็สับสนไปเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงแสดงท่าทีแบบนั้น แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยถาม หลังจากเห็นว่าหวังเป่าเล่อตกลงแล้ว เขาก็ระงับความสงสัยเอาไว้ ใบหน้าเผยรอยยิ้มขอบคุณแล้วโค้งคำนับอย่างลึกซึ้ง
“ขอบพระคุณท่านผู้สูงส่ง!”
ขณะที่พูดก็หยิบเอากระเป๋าคลังเก็บสีแดงออกมา นี่คือกระเป๋าสำหรับเก็บเฉพาะของแปลกประหลาด ซึ่งหวังเป่าเล่อเองก็มี แต่เขากินของเหล่านั้นไปเกือบหมดแล้ว และยังไม่มีกะจิตกะใจจะไปจับพวกมันใหม่
หลังจากวางกระเป๋าคลังเก็บลงตรงหน้าหวังเป่าเล่อแล้ว พ่อบ้านก็ยืนต่ออีกครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อไม่มีอะไรจะถามจึงถอยออกไปอย่างนอบน้อม หลังออกจากห้องแล้วก็ปิดประตูเบาๆ อย่างระมัดระวัง รายละเอียดเหล่านี้ทำให้หวังเป่าเล่อพึงพอใจยิ่งขึ้น
“งั้นก็ช่วยพวกเขาจับปลาดนตรีครามสักหน่อยแล้วกัน” หวังเป่าเล่อหลับตานึกถึงจุดที่เขาเจอปลาดนตรีคราม หลังจากคิดคำนวณในใจเสร็จสรรพก็เฝ้าคอยรอเวลาฟ้ามืด
เวลาไหลผ่าน ไม่นานก็ผ่านไปอีกหนึ่งวัน เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เวลาพลบค่ำถูกความมืดกลืนกิน ท้องฟ้าด้านนอกมืดลงพร้อมกับความคึกคักของเมืองปรารถนาเสียงในเวลากลางวันที่กลายเป็นเงียบสงัด หวังเป่าเล่อที่กำลังนั่งทำสมาธิก็ลืมตาขึ้น ก่อนจะหยิบตราผลึกสำนักเหอเสียนออกมา ส่งดวงจิตเทพลงไป จากนั้นร่างของเขาก็เลือนรางและค่อยๆ หายไป
เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็มาอยู่ข้างภูเขาสำนักเหอเสียนแล้ว แต่เขาไม่ได้เข้าไปในสำนัก หากแต่หมุนตัววาบร่างไปในราตรี เปล่งแสงอักขระเสียงของตนราวกับถือคบเพลิง
หลังจากสำรวจมาหลายเดือน หวังเป่าเล่อก็คุ้นเคยกับอาณาเขตราตรีบริเวณนี้แล้ว ไม่ต้องระบุทิศก็อาศัยความทรงจำเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างแม่นยำ จุดที่เขากำลังไปตอนนี้ก็คือบริเวณที่เคยพบปลาดนตรีคราม
“ตรงนั้นยังห่างจากข้าอีกระยะหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน” หวังเป่าเล่อสัมผัสอักขระเสียงในร่างกายตนเพื่อให้มันเปล่งแสงพร้อมกับพุ่งไปอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าเขาก็ได้ยินเสียงอึกทึกซึ่งก็คือเสียงสิ่งมีชีวิตแปลกๆ ในโลกปรารถนาเสียงกำลังกรูเข้ามาใกล้เขา
หวังเป่าเล่อไม่ได้ตอบโต้อะไร เขาเข้าใจโลกปรารถนาเสียงแล้ว สำหรับคนนอกทันทีที่สัมผัสกับโลกใบนี้ก็เต็มไปด้วยอันตรายรอบทิศทาง
แต่สำหรับผู้ฝึกกฎปรารถนาเสียง เพียงแค่แสงอักขระเสียงของตนไม่ดับ อันตรายก็จะไม่เกิด แน่นอนว่า…หากเจอกับสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่มีพลังแข็งแกร่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่จนถึงตอนนี้สิ่งมีชีวิตประหลาดอันทรงพลังเหล่านั้นที่เขาพบเจอในป่าตลอดทางที่มาเมืองปรารถนาเสียง สิ่งมีชีวิตที่เขาไม่อยากเข้าไปยั่วโมโห ในราตรีของอาณาเขตเมืองปรารถนาเสียง หวังเป่าเล่อเพิ่งเคยเจอเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
นั่นก็คือเกี้ยวสีเลือด
แต่หลังจากนั้นหลายเดือน เขาก็ไม่เคยเจอกับเกี้ยวสีเลือดนั้นอีกเลย
หวังเป่าเล่อยังคงก้าวต่อไปโดยไม่สนใจสิ่งที่กำลังเข้ามาใกล้ กระทั่งสัมผัสได้ว่ารอบตัวค่อยๆ มีสิ่งมีชีวิตประหลาดเพิ่มมากขึ้น แม้แต่ด้านหลังคอก็ยังรู้สึกได้ถึงลมเย็นๆ พัดผ่านราวกับมีคนนอนพิงอยู่ เขาเบิกตากว้างมองสำรวจไปรอบด้าน เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งผิดปกติแล้วจึงดับแสงของอักขระเสียง
แทบจะในพริบตาที่แสงของอักขระเสียงดับลง สิ่งมีชีวิตพิสดารเหล่านั้นที่ติดตามอยู่รอบตัวเขาก็ไม่อาจระงับความโลภของตนได้อีกต่อไป พวกมันระเบิดตัวพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อทันที
แต่สิ่งที่รอพวกมันอยู่คือกฎสวาปามที่เผาผลาญอยู่ในร่างกายหลังจากเสียงหัวเราะอำมหิตของหวังเป่าเล่อดังขึ้น มุมปากของเขาก็ฉีกออกกว้างจนเกินจริง แล้วสูดหายใจเข้าแรงๆ หนึ่งครั้ง ทันใดนั้นสิ่งแปลกประหลาดรอบตัวก็ถูกกลืนกินจนหมดพร้อมเสียงกรีดร้องลั่น
ขณะที่กำลังเคี้ยว หวังเป่าเล่อก็จุดแสงจากอักขระเสียงขึ้นมาอีกครั้งและกะพริบร่างมุ่งหน้าต่อไป…
กฎสวาปามในร่างกายเขาเพิ่มขึ้นช้าๆ ผลทางอ้อมก็ทำให้ในร่างกายสร้างอักขระเสียงตัวใหม่และทำให้กฎปรารถนาเสียงเติบโตขึ้นด้วย
นี่เป็นเหมือนวัฏจักรทำให้หวังเป่าเล่อชอบที่นี่มากยิ่งกว่าเก่า เวลาไหลผ่านไป ไม่นานก็ผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม หวังเป่าเล่อที่กำลังควบไปข้างหน้าพลันหยุดฝีเท้ากะทันหัน ก่อนจะมองรอบตัวแล้วพยักหน้ากับตนเอง
“น่าจะอยู่ตรงนี้”
ตรงนี้คือจุดที่เขาเคยเจอปลาดนตรีคราม หลังจากมาถึงหวังเป่าเล่อก็เพิ่มแสงอักขระเสียงของตนให้สว่างที่สุด แสงนี้เปรียบเสมือนไฟฉายที่ดึงดูดแมลงเม่าทั้งหลายให้เข้ามา
ไม่ปล่อยให้หวังเป่าเล่อต้องรอนาน ใบหน้าของเขาขยับเล็กน้อย มือขวายกขึ้นคว้าไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกลื่นๆ แทรกซึมไปตามระหว่างนิ้ว มือขวาพลิกจับไปอีกครั้งก็จับเจ้าสิ่งลื่นมืออยู่หมัด ก่อนจะถือไว้ตรงหน้าแล้วอาศัยสัมผัสเชื่อมต่อจึงรู้ได้ว่าสิ่งที่ตนกำลังจับคือปลาตัวหนึ่ง
“น่าจะใช่” เนื่องจากมองไม่เห็น และหวังเป่าเล่อไม่อยากใช้เสียงฟู่เสนียดหูของตนอีก ดังนั้นเขาจึงไม่ได้สนใจมากนักก็โยนมันเข้าไปในกระเป๋าคลังเก็บแล้วเดินต่อไป ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็รู้สึกว่าใบหน้าของตนเกิดสัมผัสมันๆ ลื่นๆ แปลกประหลาด เมื่อลองจับดูก็เจออีกหนึ่งตัว หวังเป่าเล่อรีบโยนมันเข้ากระเป๋าคลังเก็บทันที
เขาเดินลึกเข้าไปเรื่อยๆ จับปลาดนตรีครามได้ประมาณหกตัวและกำลังคิดว่าจะจับต่ออีกสักหน่อยเผื่อเหลือเผื่อขาด แม้หวังเป่าเล่อจะรู้สึกเอะใจเล็กน้อยว่าที่นี่มีปลาเยอะมาก แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เร่งฝีเท้าเร็วขึ้นอีก แสงอักขระเสียงก็ยิ่งส่องสว่างขึ้น
ทว่าในตอนที่เดินลึกเข้าไปนั้นเอง ขณะที่เขาสัมผัสได้ถึงปลาตัวที่เจ็ดและยกมือขึ้นจับมัน จู่ๆ ไกลออกไปในความมืดมิดก็ปรากฏกลุ่มแสงอันแข็งแกร่งขึ้นกลุ่มหนึ่ง แสงนี้เหนือกว่าของหวังเป่าเล่อมาก ขณะเดียวกันก็ยังเข้ามาใกล้เขาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมีเสียงเย็นชาลอยนำออกมา
“นั่นใคร!”
“หืม?” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วมองกลุ่มแสงที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ในราตรีแห่งนี้เขาได้เจอผู้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเช่นเดียวกันเป็นคนแรก
…………………………………
ตอนนี้ดวงตาหวังเป่าเล่อเปล่งประกายแรงกล้าราวกับมีสายฟ้าฟาด จ้องมองมือขวาของตน สายตาเขาเห็นร่องรอยเลือดสีน้ำเงินกระจายอยู่รอบมือขวา
นอกจากนี้ในมือยังมีเศษชิ้นเนื้ออยู่ด้วย
เพียงแต่ทุกอย่างมีอยู่เพียงแวบเดียวก็หายไปหมด มือขวาของเขายังคงว่างเปล่า รอบตัวไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง มีเพียงความรู้สึกเท่านั้นที่ดูเหมือนจะมีลมพัดผ่าน
หวังเป่าเล่อก้มมองมือขวาตัวเอง หลังจากครุ่นคิดอยู่นานเขาก็หัวเราะออกมา
“น่าสนใจนี่ เสียงเหมือนกัน 66 ตัวซ้อนทับกันมีพลังได้ถึงระดับนี้ แม้กระทั่งในตอนนั้นปราการบางอย่างก็พังทลายลงทำให้ข้ามองเห็นโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง”
หวังเป่าเล่อไม่คิดว่าเสียงซ้อนทับกันของตนจะมีพลังถึงขั้นทำลายปราการได้เมื่ออิงจากระดับของเขา หลังจากครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยในใจก็ได้คำตอบ
เสียงแห่งการซ้อนทับนั้นหากมองในด้านอานุภาพแล้ว แม้จะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่มีทางแข็งแกร่งถึงขั้นทำลายปราการได้ สาเหตุที่เมื่อครู่นี้ทำได้เป็นเพราะเสียงแห่งการซ้อนทับมีคุณสมบัติบางอย่างในตัวมันเอง
ก็เหมือนกับพรสวรรค์ของมนุษย์ คุณสมบัติของเสียงแห่งการซ้อนทับคงจะเป็นการทำลายขอบเขต
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เส้นทางกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียงของข้าก็คงอยู่บนพื้นฐานนี้แล้ว…” หวังเป่าเล่อตัดสินบางอย่างอยู่ในใจ แม้เสียงนี้จะไม่เสนาะหูและต่างจากผู้ฝึกตนสำนักเหอเสียนคนอื่นอย่างสิ้นเชิง และจากการคาดเดาก็น่าจะต่างกับอีกสองสำนักด้วย
แต่ไม่เป็นไร แค่มีอานุภาพก็พอแล้ว
ถึงอย่างไรก็เป็นกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเหมือนกัน แม้วิธีแสดงออกจะแตกต่าง แต่ตราบใดที่สามารถฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้ และยังใช้งานมันได้มากพอจนเพิ่มพลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของตัวเองได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว
“ช่างมันแล้ว!” หวังเป่าเล่อคิดแบบนั้น เขาขยับเสียงที่ซ้อนทับกันในร่างกายโดยไม่รู้ตัวจนเกิดเสียงคุ้นเคย เดิมทีมันทำให้เขารู้สึกเสนียดหูอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ดูจะชอบมันขึ้นมาไม่น้อย
คิดได้ดังนี้ร่างหวังเป่าเล่อก็กะพริบวาบออกสำรวจในราตรีกาลต่อไป และรู้แจ้งอักขระเสียงใหม่อย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงซ้อนทับมันลงไปอีก
“ไม่รู้ว่าตอนที่เสียงนี้ถูกซ้อนทับหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่นตัวแล้วอานุภาพของมัน…จะไปถึงระดับไหน” ในใจหวังเป่าเล่อยังคาดหวัง เขาค้นพบมานานแล้วว่ากฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงนี้ดูเหมือนจะเข้ากันได้ดีกับตนมาก คนอื่นจะรู้แจ้งสักเสียงหนึ่งจำเป็นต้องใช้วาสนาและเวลา
แต่ตัวเขาดูจะทำอะไรนิดหน่อยก็รู้แจ้งออกมาแล้ว บางครั้งถึงกับสังหารสิ่งแปลกประหลาดแล้วในร่างกายก็สร้างอักขระเสียงขึ้นมาอีกหนึ่งตัว
เป็นเช่นนี้จนผ่านไปอีกหนึ่งเดือน
หากนับเวลา หวังเป่าเล่อก็อยู่ที่เมืองปรารถนาเสียงมาเกือบครึ่งปีแล้ว หวังเป่าเล่อจะอยู่ในสำนักเหอเสียนเป็นส่วนใหญ่รวมถึงเวลากลางวันด้วย
เขาทดสอบมานานแล้วว่าในยามรุ่งสางนั้น เพียงแค่ตนอยู่ในถ้ำที่พักก็จะไม่ถูกอิทธิพลพลังส่งออกไป แม้ด้านนอกจะไม่ใช่ตอนกลางคืน แต่สภาพแวดล้อมการฝึกฝนในถ้ำที่พักนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก
ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลากลับไปที่ร้านอาหารที่ตนพักอยู่ในเมืองปรารถนาเสียงมากนัก และติดต่อกับพ่อบ้านน้อยลง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพื่อนข้างห้องทั้งสอง
เรื่องนี้พ่อบ้านของร้านอาหารก็ไม่ได้แปลกใจอะไร นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ติดต่อกับศิษย์ของสามสำนักใหญ่ เขารู้ว่าคนเหล่านี้เก็บตัวมากและไม่ชอบให้ใครมารบกวน
แม้จะติดต่อกันน้อยลง แต่การรับใช้ของเขากลับไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย สิ่งของสำหรับฝึกฝนถูกส่งไปอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งบันทึกอักขระดนตรีก็ยังส่งไปพร้อมกับผู้ฝึกตนสองคนที่หวังเป่าเล่อไม่เคยพบหน้า
หวังเป่าเล่อพอใจมากกับการสนับสนุนทางการเงินจากพ่อบ้านและเจ้าของร้าน ดังนั้นไม่กี่วันต่อมาในเวลากลางวันเขาก็ออกจากถ้ำที่พักกลับมายังร้านอาหาร และไม่ปฏิเสธคำขอเข้าพบของพ่อบ้าน
ไม่นานพ่อบ้านของร้านอาหารก็เร่งรุดมาถึงด้านนอกห้องพักของหวังเป่าเล่อ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะจัดแจงเสื้อผ้าให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งสกปรกใดบนร่างกายแล้วจึงเคาะประตูด้วยความนอบน้อม
หวังเป่าเล่อนั่งอยู่ภายในห้อง ในมือถือเหยือกสุราและเอ่ยเบาๆ
“เข้ามา”
ประตูเปิดออก พ่อบ้านค้อมตัวเดินเข้ามาด้วยความเคารพและคำนับหวังเป่าเล่อเมื่อมาถึงตรงหน้า
“คำนับท่านผู้สูงส่ง”
สำหรับผู้ฝึกตนของสามสำนักใหญ่ ผู้คนในเมืองปรารถนาเสียงมักจะเรียกพวกเขาแบบนี้ แน่นอนว่ายังมีคนที่ถูกเรียกว่าเซียนผู้สูงส่งด้วย แม้ผู้คนในเมืองปรารถนาเสียงส่วนใหญ่จะเป็นผู้ฝึกตน แต่สถานะของศิษย์ในสามสำนักใหญ่ก็ยังเหนือกว่า
กล่าวจบพ่อบ้านก็หยิบกระเป๋าคลังเก็บออกมาจากอกเสื้อแล้ววางไว้บนโต๊ะ
หวังเป่าเล่อเหลือบมองพ่อบ้าน ก่อนจะยิ้มแล้วส่งดวงจิตเทพไปยังกระเป๋าคลังเก็บ ข้างในมีบันทึกอักขระดนตรีที่ไม่สมบูรณ์ นี่คือเรื่องที่คราวก่อนเขาให้อีกฝ่ายจัดการไปรวบรวมบันทึกอักขระดนตรีที่ไม่สมบูรณ์เหล่านี้มาให้
เพราะมันไม่สมบูรณ์ อีกทั้งยังเป็นของเลียนแบบจึงไม่ได้ราคาสูงมากนัก ถึงอย่างไรก็ไม่ได้มีความหมายอะไรกับสำหรับผู้ฝึกตนคนอื่น มากสุดก็แค่ตรวจดูแล้วก็ไป
หากไม่ใช่ของเลียนแบบก็ยังคงสามารถทำให้ผู้คนมีโอกาสรู้แจ้งอักขระเสียงได้ แต่ของเลียนแบบนี้…ไม่ใช่ว่ารู้แจ้งไม่ได้ แต่มันยากเกินไป
ทว่าสำหรับหวังเป่าเล่อไม่ใช่แบบนั้น เขาเคยแลกเปลี่ยนสิ่งของคล้ายๆ กันกับเพื่อนบ้านเฉินหลิงและรู้แจ้งออกมาเป็นอักขระเสียงจึงได้ให้พ่อบ้านรวบรวมบันทึกอักขระดนตรีแบบคัดลอกที่ไม่สมบูรณ์เหล่านี้มา
พ่อบ้านานรวบรวมมาให้หวังเป่าเล่อไม่น้อย ตอนนี้เมื่อเห็นรอยยิ้มบนหน้าหวังเป่าเล่อ เขาก็กะพริบตาแล้วเอ่ยเบาๆ
“ท่านผู้สูงส่งที่รวบรวมมาได้มากขนาดนี้ เป็นเพราะเจ้านายของข้าออกแรงช่วยไม่น้อย…”
“เรื่องข้ารับใช้เสียง ข้าจะคิดดูให้ละเอียดอีกที” หวังเป่าเล่อพยักหน้าแล้วกล่าวช้าๆ
“เรื่องข้ารับใช้เสียงก็ดีขอรับ…” พ่อบ้านลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ
“เจ้านายของเราอยากจะรบกวนท่านเรื่องหนึ่งขอรับ ในโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงมีปลาประหลาดชนิดหนึ่งเรียกว่าดนตรีคราม…สำหรับผู้ฝึกตนพึมพำอย่างพวกข้า เลือดของปลาชนิดนี้เป็นของบำรุงหล่อเลี้ยงชั้นยอด แต่มันมีจำนวนไม่มากนัก ดังนั้นไม่ทราบว่าวันหลังหากท่านผู้สูงส่งพบมันเข้าจะช่วยจับมันมาสักตัวได้หรือไม่ขอรับ…”
“ทางเจ้านายข้ายินดีจะหาบันทึกอักขระดนตรีมาให้มากกว่านี้เป็นค่าตอบแทนขอรับ”
“ดนตรีคราม?” หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ
“ใช่ขอรับ ปลาจำพวกนี้พิเศษมาก มันให้ความรู้สึกว่ามีตาอยู่ทั่วตัว” พ่อบ้านรีบกล่าว
“ราคาสูง?” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว
“ไม่ได้สูงมากขอรับ มันมีประโยชน์แค่กับนักพึมพำ เรื่องนี้ข้าไม่กล้าหลอกท่านแน่นอน เพียงแต่ปลาชนิดนี้มีจำนวนน้อยมาก อีกทั้งยังเร็วมากจึงจับยาก มันจึงเป็นสิ่งล้ำค่า” พ่อบ้านอธิบาย
หวังเป่าเล่อครุ่นคิด เขานึกถึงตอนทดลองเสียงแห่งการซ้อนทับของตัวเองเป็นครั้งแรก ปลาตัวนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นชนิดเดียวกัน ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดถึงตำแหน่งที่ตนเคยเจอปลาตัวนั้นแล้วจึงพยักหน้า
ภูเขายังเหมือนเดิม แต่ไม่ได้โล่งเช่นก่อน เห็นได้ชัดว่าหวังเป่าเล่อไม่ใช่คนเดียวที่กลับมายังภูเขาไฟในคืนนี้
รอบตัวเขาทยอยปรากฏร่างออกมาทีละร่าง บนภูเขาที่อยู่ไกลออกไปก็มองเห็นเงาร่างเลือนรางนับไม่ถ้วนกะพริบวาบผ่าน
แต่ถึงแม้จะมีคนมามากกว่าเมื่อวาน ทว่าผู้ฝึกตนของสำนักเหอเสียนส่วนใหญ่ล้วนปลีกวิเวก ไม่ค่อยพูดคุยกัน หลังจากปรากฏตัวแล้วก็จากไปทีละคนด้วยสีหน้าเฉยเมย
หวังเป่าเล่อก็มีสีหน้าแบบเดียวกัน เขาเดินไปยังถ้ำของตัวเองและศึกษากฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของตนต่อ
ขณะที่หวังเป่าเล่อฝึกตนและรู้แจ้ง เวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่าน พริบตาเดียวก็ผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว
ในหนึ่งเดือนนี้หวังเป่าเล่อไม่ได้อยู่แต่ในถ้ำตลอดเวลา เขายังเดินไปรอบภูเขา แม้ผู้ฝึกตนสำนักเหอเสียนจะเฉยเมย แต่ด้วยกฎแห่งสุขของหวังเป่าเล่อเขาจึงได้ไปมาหาสู่กับถ้ำข้างๆ อยู่บ้าง
เพื่อนบ้านคนนี้มีนามว่าเฉินหลิง
ในกระบวนการฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเขาอยู่ในระดับกลางถึงล่างของสำนัก
จากที่ได้พูดคุยกับเฉินหลิง ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็เข้าใจสำนักเหอเสียนในระดับที่เรียกว่าลึกซึ้งแล้ว เขารู้แล้วว่าในสำนักเหอเสียนมีบุตรสองคน
หนึ่งคือเยว่หลิงจื่อ อีกหนึ่งคือสือหลิงจื่อ
คนแรกนั้นหวังเป่าเล่อเคยชมการแสดงของเขาในเมืองปรารถนาเสียงมาแล้ว ส่วนคนหลังก็คือผู้ฝึกตนวัยกลางคนที่เลือดไหลเต็มกายที่เขาเคยเห็นหลังจากเข้าร่วมสำนัก
ทั้งสองคนคือบุตรแห่งสวรรค์ของสำนักเหอเสียน พวกเขาฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงจนถึงระดับบทประพันธ์แห่งท่วงทำนองซึ่งเป็นระดับที่สูงมาก และยังมีชื่อเสียงไปทั่วเมืองปรารถนาเสียงด้วย
เหนือพวกเขาขึ้นไปก็คือเจ้าสำนักเหอเสียน กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของเจ้าสำนักผู้นี้ถึงระดับเสียงมวลมหาธรรมชาติซึ่งเป็นระดับสุดยอดแล้ว เพียงแต่เขาถือสันโดษตลอดทั้งปีและไม่ค่อยปรากฏให้เห็น เรื่องทั่วไปในสำนักล้วนเป็นเยว่หลิงจื่อคอยจัดการ
ทั้งสำนักเหอเสียน สามคนนี้นับเป็นระดับสูง รองจากพวกเขาก็คือผู้อาวุโสชั้นสูงทั้งห้าซึ่งแต่ละคนล้วนมีบทเพลงที่สมบูรณ์แล้ว และทุกคนล้วนเป็นอำนาจส่วนหนึ่งของสำนักเหอเสียน
นักทำนองที่รองจากพวกเขาถือเป็นศิษย์สืบทอด มีจำนวนหลักร้อย ในขณะที่นักอักขระเสียงถือว่าเป็นเพียงศิษย์ระดับเริ่มต้นและมีจำนวนมากที่สุด มากกว่าเก้าในสิบส่วน
อย่างหวังเป่าเล่อกับเฉินหลิงต่างก็อยู่ระดับนี้ ส่วนนักพึมพำ…พบได้น้อยมากในสำนักเหอเสียน คนกลุ่มนี้มักจะเลื่อนขั้นเป็นนักอักขระเสียงอย่างรวดเร็วหรือไม่ก็ไร้คุณสมบัติพอจะเดินผ่านราตรีกาลมาเข้าร่วมสำนักได้
แม้การรู้โครงสร้างของสำนักจะไม่ค่อยช่วยอะไรกับการฝึกฝน แต่การเข้าใจระดับในสำนักก็ทำให้หวังเป่าเล่อกำหนดแนวทางได้ดีขึ้น
แต่ที่ทำให้เขารู้สึกหดหู่ใจคือการฝึกฝนตลอดหนึ่งเดือนนี้ แม้เขาจะรู้แจ้งอักขระเสียงมาอีก 14 ตัว รวมกับก่อนหน้านี้ก็เกือบ 30 ตัวแล้ว ทว่านอกจากเสียงตุ้บตัวแรกสุด ตัวอื่นล้วนเป็นเสียงฟู่ทั้งหมด
นั่นทำให้หวังเป่าเล่อจนปัญญาและสับสนไปพร้อมกัน เขารู้สึกว่าตนควรนับว่ามีคุณสมบัติระดับสูงในการรู้แจ้งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง มิเช่นนั้นก็ไม่น่าจะมีอักขระเสียงมากขนาดนี้ในเวลาสั้นๆ
แต่คุณสมบัตินี้ดูจะบิดเบี้ยวหน่อยๆ
“ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย!”
หวังเป่าเล่อสีหน้าน่าเกลียดน่ากลัว ดวงตาดื้อรั้น
“อยากจะได้อักขระเสียงมากกว่านี้ก็ต้องเข้าไปสู่โลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง” หลังจากครุ่นคิดเขาก็ไม่รอช้ารีบเดินออกจากถ้ำที่พักในตอนกลางคืน และเหาะออกจากอาณาเขตภูเขาไฟหายไปในความมืดทันที
โลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงคือความหวังสุดท้ายของหวังเป่าเล่อ เขากำลังตรึกตรองอยู่ว่าในโลกที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดนั่นจะต้องทำให้เขารู้แจ้งอักขระเสียงอื่นๆ ได้แน่
หวังเป่าเล่อพุ่งไปในความมืดด้วยความดื้อรั้นเช่นนี้เป็นเวลานาน จนกระทั่งออกห่างจากสำนักอย่างสิ้นเชิงและเห็นว่าไม่มีผู้ฝึกตนคนใดอยู่รอบตัวแล้วจึงใช้วิธีเดิมที่เคยทำ ดึงดูดสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดเหล่านั้นเข้ามาหาและกลืนกินในพริบตา
เมื่อกฎเกณฑ์ปรารถนารสถูกผนึกอีกครั้ง กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงก็ได้รับการหล่อเลี้ยงจนดูเหมือนว่าอักขระเสียงใหม่กำลังก่อตัวขึ้น
เป็นเช่นนี้อยู่หลายวัน การกลืนกินของหวังเป่าเล่อเป็นไปอย่างระมัดระวัง เมื่อพลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้น อักขระเสียงใหม่ๆ ก็ก่อตัวขึ้นในร่างกายเขาทีละตัว
แต่สีหน้าเขากลับยิ่งน่าเกลียดน่ากลัวขึ้นทุกวัน กระทั่งเวลาล่วงผ่านไปหนึ่งเดือนครึ่ง ขณะที่สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดหายไปจำนวนมาก หวังเป่าเล่อยืนอยู่บนที่ราบหนึ่ง เขากำลังใช้ดวงจิตเทพสัมผัสถึงอักขระเสียงตัวที่ 67 ที่ปรากฏในร่างกายอย่างมึนงง
ฟู่…
เมื่อเสียงคุ้นเคยดังก้องในหัว หวังเป่าเล่อก็หน้ากระตุกยิกๆ เขาเงียบไปนาน สายตาแน่วแน่
“มันต้องเกี่ยวข้องกับร่างต้นแบบแน่!”
“ในเมื่อไม่มีทางรู้แจ้งอักขระเสียงอื่น…อักขระเสียงตัวนี้ก็ใช่ว่าจะใช้ไม่ได้!” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นคว้าความว่างเปล่าข้างๆ ตัวเอง
ทันใดนั้นในมือก็เกิดความรู้สึกลื่นๆ เหมือนกับเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายปลา แม้จะมองไม่เห็น แต่มันถูกเขาจับอยู่ในมือจริงๆ
ไม่ว่าจะดิ้นอย่างไรก็ไม่อาจหลุดจากเงื้อมมือหวังเป่าเล่อได้ ส่วนหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้สนใจวัตถุในมือ ตอนนี้เขากำลังขยับอักขระเสียงตัวหนึ่งในร่างกาย ทำให้มันส่งเสียงออกมาก่อตัวเป็นพลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเข้าไปในตัวสิ่งแปลกประหลาดที่อยู่ในมือ
ขณะที่เสียงฟู่ดังก้อง สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดในมือหวังเป่าเล่อก็สั่นสะท้านคล้ายกับร่างแข็งเกร็งไปเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าก็กลับมาเป็นปกติ นั่นทำให้หวังเป่าเล่อหน้าตาบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิม
แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ลองใช้พลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงจากอักขระเสียงของตน แต่เขาก็ยังผิดหวังอยู่หน่อยๆ ช่วงเวลาที่เข้าร่วมสำนักเหอเสียนนี้ โดยเฉพาะการพูดคุยกับเฉินหลิงทำให้เขารู้ว่าผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญอักขระเสียงหลักมักจะใช้อักขระเสียงหนึ่งตัวส่งพลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงออกมาก็สามารถสังหารสิ่งแปลกประหลาดในมือได้แล้ว
แต่เขาล่ะ ส่งเสียงออกไปก็ทำได้แค่ให้อีกฝ่ายตัวแข็งทื่อเพียงครู่เดียวเท่านั้น
ท่ามกลางความเงียบหวังเป่าเล่อเลิกเพ้อฝันเรื่องอุดมคติของการรู้แจ้งอักขระเสียงประเภทต่างๆ แต่เมื่อแสงเย็นวาบผ่านดวงตา อักขระเสียง 60 กว่าตัวในร่างกายก็เริ่มซ้อนทับและบีบอัดกัน!
พลังของตัวเดียวไม่เพียงพอก็เพิ่มเข้าไปอีกหนึ่ง ถ้ายังไม่พอก็เพิ่มเข้าไปอีกสิบหรือร้อย…
หวังเป่าเล่อละทิ้งเส้นทางแห่งทำนองปกติไปหมดแล้ว เขาอยากจะดูว่าอักขระเสียงเพียงตัวเดียว หากซ้อนทับกันเป็นร้อยเป็นพันตัวจะสามารถสร้างพลังระเบิดที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าได้หรือไม่
คิดถึงตรงนี้ อักขระเสียงสองตัวในร่างกายหวังเป่าเล่อก็ซ้อนทับกันทันที ตามด้วยอีกสิบตัว ในไม่ช้าอักขระเสียงในร่างกายเขาก็เหลือเพียงสองตัวเท่านั้น
ตัวหนึ่งคือตุ้บ
ตัวหนึ่งคืออักขระเสียงผิดรูปที่เกิดจากเสียงแบบเดียวกัน 66 ตัวซ้อนทับกัน
“ไหนดูสิว่าตอนนี้พลังจะเป็นอย่างไร!” หวังเป่าเล่อหรี่ตาก้มหน้ามองสิ่งแปลกประหลาดที่ดิ้นไปมาอยู่ในมือ ก่อนจะนำเสียงที่เกิดจากอักขระเสียง 66 ตัวซ้อนทับกันสัมผัสมันเบาๆ
ฟู่!
ยังคงเป็นเสียงเดิม แต่ดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ พริบตาที่มันเล็ดลอดออกไป หวังเป่าเล่อก็เห็นชัดเจนว่าตรงจุดที่สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดในมือตนอยู่นั้น จากเดิมที่แค่สัมผัสได้แต่มองไม่เห็น บัดนี้กลับบิดเบี้ยวเล็กน้อยและดูเหมือนว่าเขาจะมองเห็นปลาน่าเกลียดสีดำมะเมื่อมทั้งตัวถูกจับอยู่ในมือจริงๆ
พริบตาถัดมาเจ้าปลาตัวนี้ก็เบิกตากว้าง และ…ระเบิดตัวทันที!
เสียงระเบิดนั่นก็คือเสียง…ฟู่!
เลือดเนื้อกระจาย
คนในโซ่ตรวนนั่นเดินไปช้าๆ ท่ามกลางการสั่นสะเทือนของถ้ำที่พักหลายแห่งและเงาร่างที่ทยอยปรากฏขึ้นทีละร่าง จนกระทั่งขึ้นไปถึงยอดเขาก็กระโดดลงไปข้างหลัง เสียงโศกเศร้าจากกฎก็ค่อยๆ จางหายไป
“พลังแห่งกฎของศิษย์พี่สือหลิงจื่อ…แข็งแกร่งกว่า” เสียงทุ้มต่ำดังมาจากข้างกายหวังเป่าเล่อ
มันมาจากถ้ำอีกแห่งที่อยู่ไม่ไกลจากถ้ำของเขา ผู้ฝึกตนวัยกลางคนผู้หนึ่งกำลังเดินออกมา ขณะถอนหายใจ นัยน์ตาเขาแฝงไปด้วยความซับซ้อนและปรารถนาแรงกล้า
ทั่วร่างของผู้ฝึกตนนี้รายล้อมไปด้วยหมอกบางๆ และดูเหมือนจะมาพร้อมกับเสียงกรุ๊งกริ๊งเบาๆ แต่ก็คมชัด และยังทำให้ผู้คนจิตใจผันผวนไปพร้อมกับเสียงนั้น
เห็นได้ชัดว่าเขาก็สังเกตเห็นหวังเป่าเล่อแล้วจึงถอนสายตากลับมาจากยอดเขา ก่อนจะหันมามองร่างหวังเป่าเล่อ คนผู้นั้นไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแค่พยักหน้าและหมุนตัวกลับไปยังถ้ำที่พักของตน
หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เดินต่อไป เป็นเช่นนี้จนหนึ่งคืนผ่านพ้น หวังเป่าเล่อก็ได้สำรวจพื้นที่ของสำนักเหอเสียนเกือบหมดแล้ว ในที่สุดเมื่อเขากลับมา ท้องฟ้าก็สว่างแล้ว
เมื่อราตรีกาลลาจาก ทั้งโลกก็เปลี่ยนไป ภูเขาไฟค่อยๆ เลือนราง ขณะเดียวกันเมืองอันไร้ที่สิ้นสุดที่ถูกดึงออกมายามค่ำคืนก็หดตัวเล็กลงอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตาหวังเป่าเล่อ
จนท้ายที่สุดเมื่อดวงอาทิตย์แรกของวันปรากฏบนขอบฟ้าอย่างเป็นทางการ เมืองปรารถนาเสียงก็เปลี่ยนไป ภูเขาไฟหายลับ สภาพแวดล้อมรอบตัวหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่หน้าถ้ำก็กลายเป็นถนนในเมือง
จุดที่อยู่คือย่านใจกลางเมืองปรารถนาเสียง
เมื่อเห็นอาคารรอบด้านปรากฏขึ้น หวังเป่าเล่อก็มึนงงเล็กน้อย วิธีการดำรงอยู่ของสามสำนักใหญ่และลักษณะพิเศษของพวกเขาทำให้เขาตื่นเต้นเล็กน้อย
หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็หยิบตราผลึกออกมาแล้วกวาดดวงจิตเทพผ่านเพื่อเปิดใช้งาน เขาสัมผัสได้ว่ามันเปิดแล้ว พลังส่งก็เริ่มแผ่ขยาย แต่ก็ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเป็นเวลานานราวกับกำหนดตำแหน่งที่จะส่งตัวไปไม่ได้
“ดูท่าตราผลึกนี่จะใช้ตอนกลางวันไม่ได้…”
“แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรหากข้าอยู่ในถ้ำตอนกลางวัน” หวังเป่าเล่อกระหายใคร่รู้และเดินตามถนนไปยังร้านอาหารที่เขาเคยพักมาก่อน
เขาเดินไปข้างหน้าพร้อมฟ้าที่สว่างขึ้น ความคึกคักในเมืองค่อยๆ ฟื้นคืน คนเดินถนนก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่หลังจากเห็นหวังเป่าเล่อนั้น แทบจะทุกคนต่างหน้าเปลี่ยนสีทันทีแล้วทยอยก้มหน้าก้มตาด้วยสีหน้าเคารพนอบน้อม
หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วก่อนจะก้มมองเสื้อผ้าของตนจึงได้คำตอบ
เมื่อเขากลับมาถึงร้านอาหาร เสื้อผ้าบนตัวของเขาก็ทำให้บริกรของร้านดวงตาหดแคบ และยิ่งเคารพมากกว่าก่อนหน้านี้ หลังจากกลับถึงห้องไม่นาน พ่อบ้านของร้านอาหารก็รีบมาทำความเคารพ
เมื่อเห็นชุดคลุมสีขาวดำบนร่างหวังเป่าเล่อ พ่อบ้านก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และดูกระตือรือร้นยิ่งกว่าเมื่อวาน ไม่ใช่แค่ลดค่าห้องให้หวังเป่าเล่อ เขายังถามหวังเป่าเล่อว่าจะเลือกพักอยู่ที่นี่นานๆ ได้ไหม และหลังจากได้รับความยินยอมจากหวังเป่าเล่อแล้ว จึงรีบพาหวังเป่าเล่อไปพักหนึ่งในสามห้องชั้นบนสุด
“อีกสองห้องนั้น ห้องหนึ่งคือของเจ้าสำนักเหอเสียน อีกห้องหนึ่งคือของเจ้าสำนักเหิงฉิน”
“แล้วก็…ของสิ่งนี้คือของที่เจ้านายของเราเตรียมไว้สำหรับผู้นำที่เลือกพักอยู่ที่นี่ในระยะยาวขอรับ”
“จากนี้หากจำเป็นท่านผู้นำเรียกข้าได้ตลอดเวลาขอรับ” หลังจากแนะนำอย่างกระตือรือร้นและนอบน้อมเสร็จสรรพแล้ว พ่อบ้านก็มอบกระเป๋าคลังเก็บอีกใบให้ก่อนจะจากไป
เมื่อเห็นห้องพักใหม่ หวังเป่าเล่อก็พออกพอใจมากกว่าเดิม ห้องนี้ใหญ่กว่าห้องเดิมมากและมีอุปกรณ์ครบครัน แม้แต่ห้องลับสำหรับใช้ฝึกตนก็มี
ส่วนในกระเป๋าคลังเก็บมีของอยู่สองชิ้น หนึ่งในนั้นคือแผ่นหยก
แผ่นหยกนี้มีประโยชน์ต่อการบริโภค มันสามารถใช้ซื้อสินค้าในเมืองปรารถนาเสียงได้โดยที่หวังเป่าเล่อไม่จำเป็นต้องจ่ายเองสักเหรียญ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ร้านอาหารจะเป็นคนรับผิดชอบ
แต่นั่นยังไม่เท่าไร สิ่งสำคัญที่สุดคือของอีกอย่าง มันคือบันทึกอักขระดนตรีแผ่นหนึ่ง!
ต้องทราบก่อนว่าบันทึกอักขระดนตรีเป็นของล้ำค่ามากในเมืองปรารถนาเสียง จึงแสดงให้เห็นว่าเจ้าของร้านอาหารแสดงความจริงใจมากพอเพื่อเอาชนะใจศิษย์สามสำนักใหญ่
ความจริงใจเช่นนี้หวังเป่าเล่อย่อมไม่เลือกไปพักที่อื่นอีก โดยเฉพาะสิ่งสำคัญของเขาในตอนนี้ไม่ใช่ที่พัก แต่เป็นสำนักเหอเสียน
“ต่อไปก็ต้องคิดเรื่องเส้นทางแห่งกฎปรารถนาเสียงหลังจากนี้…” หวังเป่าเล่อนั่งทำสมาธิอยู่ในห้องลับ ขณะครุ่นคิดก็สะบัดมือหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นอักขระเสียงเก้าตัวก็ปรากฏขึ้น
เมื่อมองอักขระเสียงทั้งเก้าตัวแล้ว หวังเป่าเล่อรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เขากวาดดวงจิตเทพใส่ ในใจพลันเกิดเสียงแปลกๆ ดังก้อง
ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่…ตุ้บ
“เสียงของคนอื่นไม่ว่าจะคมชัดหรือยาวนาน แค่ฟังอย่างเดียวก็เพราะมากแล้ว ทำไมของข้าถึงเป็นเช่นนี้” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วครุ่นคิดว่าเขาควรจะใช้อักขระเสียงหลักรังสรรค์บทเพลงของตัวเองอย่างไร
แต่เสียงนี้ก็น่าเกลียดเกินไปจนหวังเป่าเล่อต้องคิดหนัก แต่คิดอย่างไรก็ยังคิดไม่ออก
“หรือข้าควรเปลี่ยนอักขระเสียงหลัก” ขณะครุ่นคิด หวังเป่าเล่อก็หยิบบันทึกอักขระดนตรีที่พ่อบ้านมอบให้ออกมาแล้วกวาดดวงจิตเทพใส่ ทันใดนั้นก็มีเสียงดนตรีดังขึ้นในหัว
วิธีใช้บันทึกอักขระดนตรีก็คือแบบนี้ ผู้ฝึกตนที่มีพลังกฎปรารถนาเสียงแผ่ดวงจิตเทพก็จะได้ยินเสียงดนตรีจากบันทึกอักขระดนตรี บทบาทของมันด้านหนึ่งคือให้คำแนะนำและแนวทางการรังสรรค์บทเพลงแก่ผู้ฝึกตน ต่อให้จะมีความสามารถและมีอักขระเสียงหลายตัว มันก็สามารถเลียนแบบได้เหมือนกันทุกประการ
ในแง่หนึ่งมันก็เหมือนกับพลังเทพ
อีกบทบาทหนึ่งก็คือสามารถทำให้ผู้ฝึกตนรู้แจ้งจากอักขระเสียงของตนได้
และเพราะสองข้อนี้จึงทำให้บันทึกอักขระดนตรีมีค่ามาก
ส่วนหวังเป่าเล่อทันทีที่ได้ยินดนตรีจากบันทึกอักขระดนตรี เขาก็ต้องตกใจกับการรู้แจ้งของตน เพราะว่า…ในร่างกายพลันปรากฏอักขระเสียงตัวที่สิบขึ้น
ยังไม่จบแค่นั้น ในไม่ช้าตัวที่สิบเอ็ดก็ปรากฏตามมา หลังจากบันทึกอักขระดนตรีเล่นจบ หวังเป่าเล่อก็ต้องตกใจที่พบว่าอักขระเสียงของตนมีเพิ่มมาถึงห้าตัว
จากเก้าตัวเป็นสิบสี่ตัว
แต่หลังจากตกใจ สีหน้าเขาก็แปลกประหลาดขั้นสุดและถึงกับทำอะไรไม่ถูก เพราะว่า…อักขระเสียงทั้งห้านี้เป็นเสียงเดียวกัน
ฟู่
“เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้” ในหัวหวังเป่าเล่ออดผุดภาพหนึ่งขึ้นมาไม่ได้ ในภาพนั้นเขาฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้สำเร็จ และร่างกายกลายเป็นจังหวะดนตรีลอยผ่านไปทุกที่…
ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่ฟู่…
ภาพนั้นน่ากลัวเกินไป หวังเป่าเล่อรีบสลัดมันทิ้งทันทีและนั่งคิดหนักอยู่ตรงนั้น แต่กระทั่งฟ้าเริ่มมืด ดวงจันทร์เริ่มปรากฏ ความมืดค่อยๆ คืบคลานเข้ามา หวังเป่าเล่อก็ยังคิดอะไรไม่ออก
“ไม่เป็นไร ข้ารู้แจ้งอักขระเสียงมากขึ้นแล้ว ต้องมีอักขระเสียงอื่นปรากฏขึ้นอีกแน่ ถึงตอนนั้นค่อยรังสรรค์บทเพลงก็ยังไม่สาย”
“ขั้นตอนนี้สิ่งที่ข้าต้องทำคือสะสมอักขระเสียง!” หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองราตรีกาลด้านนอก ก่อนจะหยิบตราผลึกออกมาเปิดใช้งาน
เมื่อพลังส่งปรากฏขึ้น ครั้งนี้ง่ายดายมาก มันครอบคลุมร่างหวังเป่าเล่อไว้ และพริบตาต่อมา…เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ในภูเขาไฟของสำนักเหอเสียนแล้ว
……

ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น หวังเป่าเล่อก็หันไปมองด้านหลังอย่างเย็นชา ร่างลวงตาร่างหนึ่งค่อยๆ ควบแน่นเป็นรูปร่างอยู่ตรงปากถ้ำปรากฏขึ้นในสายตา

ร่างนี้คือสตรีผู้หนึ่ง สวมเสื้อผ้าหรูหรา ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แสงในดวงตาก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกตื่นตัวนัก ด้วยความสำเร็จในด้านการหลอมอาวุธของหวังเป่าเล่อ เขาจึงสรุปตัวตนของอีกฝ่ายได้ในแวบแรกที่เห็น

วิญญาณวุธ!

สตรีผู้นี้ไม่ใช่คนจริงๆ นางเป็นวิญญาณวุธของค่ายกลสำนักเหอเสียน เมื่อคำพูดนั้นดังขึ้น วิญญาณวุธนี้ก็สะบัดมือ กระเป๋าคลังเก็บใบหนึ่งลอยมาตกลงตรงหน้าหวังเป่าเล่อ

 นี่คือสิ่งที่ศิษย์ขั้นพื้นฐานของสำนักเหอเสียนควรมี ประทับตราลงบนตราประจำตัวจะช่วยให้เข้าออกที่นี่ได้ทุกเวลา  หลังจากเสียงสงบนิ่งนั้นเอ่ยจบ ร่างของวิญญาณวุธก็ค่อยๆ เลือนหายไป

ตั้งแต่ต้นจนจบหวังเป่าเล่อไม่ได้เอ่ยอะไรเลยสักคำ ตอนนี้เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อรู้สึกว่าสำนักเหอเสียนนี่ช่างแปลกประหลาดมาก การมาถึงของเขาไม่ถูกตรวจสอบเลยสักนิด

จากที่หวังเป่าเล่อรู้จักสำนักอื่นๆ มา เรื่องนี้ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

ดังนั้นหลังจากไตร่ตรองดูแล้ว เขาจึงหยิบกระเป๋าคลังเก็บขึ้นมาสำรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วน หลังจากยืนยันแล้วว่าของสิ่งนี้ปกติดีจึงเปิดมันออก ก็พบว่าข้างในมีของอยู่สามชิ้น

ชุดคลุมสีขาวดำ แผ่นหยก และตราผลึกประจำตัว

หวังเป่าเล่อกวาดมองของสามชิ้นแล้วตัดสินใจหยิบแผ่นหยกขึ้นมาก่อน พลิกไปมาบนฝ่ามือ ก่อนจะหรี่ตาและส่งดวงจิตเทพเข้าไปทันที พริบตาต่อมาข้อมูลมหาศาลก็หลั่งไหลเข้ามาในสมองหวังเป่าเล่อเหมือนกับกระแสน้ำหลาก

เวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า เนื่องจากมีข้อมูลมากเกินไป ต่อให้เป็นหวังเป่าเล่อก็ยังใช้เวลากว่าครึ่งก้านธูปทำความเข้าใจกับทุกอย่าง เมื่อถอนดวงจิตเทพและวางแผ่นหยกลง นัยน์ตาหวังเป่าเล่อก็ปรากฏแสงเลือนราง

 ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ 

ข้อมูลในแผ่นหยกนี้ได้ไขข้อสงสัยให้หวังเป่าเล่อแล้ว ภูเขาไฟลูกนี้เป็นที่ตั้งของสำนักเหอเสียนจริงๆ แต่จำนวนศิษย์ของสำนักมีไม่มากนัก ไม่ถึง 10,000 คน อีกอย่างผู้คนเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่คบค้าสมาคมกัน หากไม่ออกไปท่องเที่ยวหาแรงบันดาลใจในบทเพลงก็เก็บตัวรังสรรค์บทเพลงของตนเองอยู่ในเขาตลอดทั้งปี

ดังนั้นทั่วทั้งเขาจึงดูว่างเปล่า ถึงอย่างไร…ที่แห่งนี้ก็ดำรงอยู่ในยามราตรี แม้ว่าแสงของภูเขาไฟจะป้องกันอันตรายจากโลกภายนอก แต่หากออกไปจากอาณาเขตของแสงไฟนี้ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะกลืนกินสิ่งแปลกประหลาดเหล่านั้นได้อย่างหวังเป่าเล่อ

ขณะเดียวกันแม้ที่นี่จะมีคนธรรมดาอย่างข้ารับใช้เสียง แต่ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็กำหนดให้พวกเขาสามารถอยู่รอดได้แค่ในถ้ำเท่านั้น หากเดินออกไป แม้แสงภูเขาไฟจะป้องกันอันตรายจากภายนอกได้ แต่สิ่งที่อันตรายยิ่งกว่ามักจะมาจากด้านในภูเขา

ผู้ฝึกตนที่นี่ล้วนมีความแข็งแกร่งระดับหนึ่ง และตอนรังสรรค์บทเพลงของตัวเอง เสียงส่วนใหญ่จะมีอันตรายถึงชีวิต

ดังนั้นสำหรับข้ารับใช้เสียงเหล่านั้น ถ้ำที่พักคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว

นอกจากนี้สำนักเหอเสียนก็ไม่ได้มีกฎอะไรมากมาย โดยรวมแล้วยังดูอิสระมาก ข้อสงสัยเรื่องการเข้าร่วมสำนักของหวังเป่าเล่อได้รับคำตอบแล้ว สำหรับสำนักเหอเสียนไม่จำเป็นต้องทดสอบอะไร

เพราะว่า…อักขระเสียงที่เป็นของสำนักเหอเสียนนั้น นับเป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบ และการมาถึงสำนักเหอเสียนในยามราตรีโดยไม่ตายระหว่างทางก็เป็นการทดสอบเช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มาถึงเขาสำนักเหอเสียนได้ก็คือศิษย์สำนักเหอเสียนแล้ว

 สำนักประหลาด…  หวังเป่าเล่อหรี่ตา นอกจากจะไขข้อสงสัยของหวังเป่าเล่อได้แล้ว บนแผ่นหยกยังมีวิธีการฝึกฝนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสำนักเหอเสียนด้วย

ซึ่งต่างจากเคล็ดวิชาทีละระดับของสำนักอื่น เคล็ดวิชาของสำนักเหอเสียนมีประเภทเดียว

นั่นเรียกว่าการหล่อเลี้ยงเสียง

ความหมายตามชื่อของมันคือสะสมและหล่อเลี้ยงเสียงที่มีอยู่ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ตลอดเวลา และสามารถผลิตเสียงระดับสูงสุดได้ ส่วนวิธีฝึกฝนแบบอื่นนั้นไม่มี

ทุกอย่างต้องรู้แจ้งและรับจากทุกสรรพสิ่งจนกระทั่งสร้างเป็นบทเพลงของตัวเอง สุดท้ายบทเพลงจะเป็นเช่นไร แม้ผู้ฝึกตนจะมีแนวทางของตน แต่ทุกอย่างก็ยังต้องดูวาสนา ดังนั้นการรู้แจ้งจึงสำคัญเป็นพิเศษสำหรับที่นี่

 ตามคำอธิบายของสหพันธรัฐ ที่นี่…คือกลุ่มนักแต่งเพลงที่สามารถแสดงเองได้ด้วยใช่ไหมนะ  หลังจากหวังเป่าเล่อนึกถึงคำเรียกนี้ เขาก็รู้สึกว่าสามารถเข้ากับผู้ฝึกตนสำนักเหอเสียนได้อย่างสมบูรณ์แบบ

แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกับนักแต่งเพลงของสหพันธรัฐคือนักแต่งเพลงจะเชี่ยวชาญทุกจังหวะอักขระเสียง สิ่งที่จำเป็นคือแรงบันดาลใจและอักขระเสียงของพวกเขาจะออกมาจากเครื่องดนตรี

ส่วนผู้ฝึกตนสำนักเหอเสียนนั้น สิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเขาคือเจอโชคใหญ่เพื่อให้ได้เสียงของทุกสรรพสิ่ง ซึ่งเสียงของทุกสรรพสิ่งนี้ไม่ใช่แค่อักขระเสียงทั่วไปอย่างเสียงฟ้าร้องหรือเสียงฝนตก แต่เป็นเสียงของทุกสิ่งจริงๆ สิ่งที่ผู้ฝึกตนสำนักเหอเสียนต้องทำก็คือเปลี่ยนเสียงที่ตนรู้แจ้งนี้ให้กลายเป็นกฎของตัวเอง

อย่างแรกคือรังสรรค์จากอักขระเสียงที่ตนเชี่ยวชาญ อย่างหลังส่วนใหญ่คือใช้เสียงของสรรพสิ่งไม่กี่ตัวที่ตนรู้แจ้งมาจัดเรียงให้เหมาะสม

อย่างแรกยืมวิธีคนอื่นมาแสดง อย่างหลังใช้ตัวเองแปลงออกมาเป็นจังหวะดนตรีอย่างลึกลับ

ขณะเดียวกันในโลกใบนี้ ดนตรีคือสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่งจนอาจกล่าวได้ว่าดนตรีก็คือการดำรงแห่งเต๋าของผู้ฝึกตนเมืองปรารถนาเสียง

เพียงแต่ดนตรีของที่นี่ไม่ใช่แค่จังหวะธรรมดาอย่างที่นักแต่งเพลงของสหพันธรัฐรังสรรค์ขึ้น เสียงแห่งสรรพสิ่งคือตัวกำหนดเนื้อหาของดนตรีซึ่งเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา

และลักษณะเด่นของสำนักเหอเสียนคือมีพลังแห่งเนื้อเพลง

จุดนี้ค่อนข้างแตกต่างจากอีกสองสำนัก

จากแผ่นหยก หวังเป่าเล่อยังเข้าใจแก่นแท้ของสำนักเหิงฉินอย่างง่ายดาย ผู้ฝึกตนสำนักนี้สังหารเป็นหลัก เสียงส่วนใหญ่สูงปรี๊ดและยาวนาน ขึ้นชื่อเรื่องเพลงโบราณและแทบไม่มีเนื้อร้องเลย

ส่วนเต๋าแห่งจังหวะดนตรี…คือสำนักที่ลึกลับที่สุดในสามสำนักนี้ ผู้ฝึกตนสำนักนี้มีน้อยมาก ส่วนรายละเอียดในแผ่นหยกไม่ได้บอกอะไรมากนัก

หลังจากเรียบเรียงสิ่งที่ได้รู้มาในหัวแล้ว หวังเป่าเล่อก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบตราผลึกขึ้นมาและประทับดวงจิตเทพของตนลงไปโดยไม่ลังเล

เมื่อดวงจิตเทพประทับลงไป ผลึกนี้ก็ส่องแสงวิบวับสองสามครั้งก่อนจะกลับมาเป็นปกติ แต่หวังเป่าเล่อที่ถือตราอยู่สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อถือสิ่งนี้ไว้ในมือตนก็จะเข้าออกจากภูเขานี้ได้เพียงแค่คิดเท่านั้น ใช้เพียงความคิดแวบเดียวก็เดินทางไปมาที่นี่ได้

 ตราส่งตัวแบบคงที่หรือ  หวังเป่าเล่อพลิกดูแล้วจึงเก็บมัน จากนั้นก็สวมชุดคลุมสำนักเหอเสียนสีขาวดำแล้วเดินออกจากถ้ำที่พัก

เขาอยากสำรวจภายในสำนักเหอเสียนสักหน่อย แต่แทบจะทันทีที่เขาเดินออกมา หูก็ได้ยินเสียงเศร้าระทมดังขึ้น เสียงนี้แทรกซึมเข้าไปในวิญญาณเทพส่งผลให้หวังเป่าเล่อชะงักฝีเท้าทันที เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นร่างที่เต็มไปด้วยเลือดอยู่ไม่ไกล ร่างนั้นยังมีโซ่เหล็กจำนวนมากพันธนาการเอาไว้ขณะที่กำลังเดินขึ้นไปทางยอดเขาทีละก้าว

ทุกที่ที่ร่างนั้นเดินไปล้วนเกิดเสียงเศร้าสร้อยดังขึ้น ส่งผลให้ถ้ำที่พักหลายแห่งบนภูเขาไฟลูกนี้สั่นสะเทือน

……

 

ตำแหน่งที่มันหยุดคือข้างกายหวังเป่าเล่อพอดีและยังใกล้มากอีกด้วย ตอนที่มันหยุดลง แขนขาวดั่งหยกที่ยื่นออกมาจากม่านข้างนั้นก็ยกขึ้นเล็กน้อย นิ้วทั้งห้าเหมือนกับต้นหอม ดูเรียวสวยมาก โดยเฉพาะเล็บสีแดงยิ่งช่วยเพิ่มเสน่ห์เย้ายวน
ตอนนี้มันกำลังยกขึ้นช้าๆ และเข้ามาใกล้หวังเป่าเล่อราวกับดอกกหลานฮวาที่กำลังบานสะพรั่ง
หวังเป่าเล่อสีหน้าเรียบเฉย แต่ดวงตาฉายประกายเย็นวาบ เขาไม่ได้ทำตัวโดดเด่นมากเกินไปในโลกที่สัมผัสได้ด้วยกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงภายในเมืองปรารถนาเสียงนี้
อาจเพราะสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่เขาดึงดูดมา จึงทำให้แขนในเกี้ยวตรงหน้าดูจะสนอกสนใจเขาเป็นพิเศษ
อย่างก่อนหน้านี้เขาก็หลีกทางให้แล้วและไม่คิดจะไปค้นหาความลับของเกี้ยวนี้ด้วย แต่เห็นได้ชัดว่า…แม้เขาจะอยากหลีกทาง แต่เกี้ยวก็ไม่เห็นด้วย
ดังนั้นหวังเป่าเล่อในตอนนี้จึงค่อนข้างหมดความอดทนแล้ว เขาไม่เก็บซ่อนประกายเย็นยะเยือกในดวงตาอีก แต่จ้องมองนิ้วมือที่เข้ามาใกล้ตนมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเย็นชา
นิ้วที่เหมือนกับต้นหอมนี้ไม่ใช่แค่งดงามมาก แต่ยังให้ความรู้สึกน่ากินด้วย อย่างน้อย…หวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็คิดแบบนั้น
มุมปากของเขาค่อยๆ แยกออกจนไม่เหมือนมนุษย์อีกต่อไป มันแยกออกจนดูเกินจริงเหมือนกับผี ประกายเย็นยะเยือกในดวงตาก็ยิ่งคมปลาบ จ้องมองนิ้วมือที่กำลังจะแตะใบหน้าตนอย่างรวดเร็ว
ทว่ายามที่นิ้วมือนั่นอยู่ห่างจากปากที่แสยะออกช้าๆ ของหวังเป่าเล่อไม่ถึงหนึ่งชุ่น…นิ้วมือนั่นก็หยุดชะงักคล้ายกับกำลังชั่งน้ำหนัก จากนั้นก็ค่อยๆ หดกลับไปในผ้าม่านจนอยู่ในลักษณะเดิม
เกี้ยวสั่นไหวอีกครั้งเมื่อถูกร่างทั้งสี่แบกขึ้นเดินต่อ ก่อนจะค่อยๆ หายไปจากสายตาหวังเป่าเล่อ
เขาเหม่อมองอีกฝ่ายจากไป แต่ปากที่ฉีกออกจากกันของหวังเป่าเล่อกลับไม่ได้หายไปในทันที เพราะว่า…เขากำมือข้างขวาปิดกั้นอักขระเสียงในมือจนหมด ส่งผลให้แสงของมันหายไปด้วย เสียงตุ้บๆ ที่ดังออกมาจากมันก็หยุดลง
เมื่อเกี้ยวจากไปแล้ว สิ่งมีชีวิตประหลาดที่แตกกระเจิงไปเพราะอักขระเสียงและการปรากฏตัวของเกี้ยวต่างก็ส่งเสียงหายใจหืดหาดคล้ายกับว่าพวกมันกำลังพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อจากทุกทิศทาง
ราตรีมืดมิด ณ เวลานี้กลับมืดมิดยิ่งกว่าเดิมสิ่งมีชีวิตประหลาดเหล่านั้นราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน มันเข้าปกคลุมร่างของหวังเป่าเล่อจนมิด ราวกับต้องการกำจัดเขา
แต่ในพริบตา…ความมืดที่ปกคลุมหวังเป่าเล่อก็ผันผวน คล้ายมีบางอย่างกำลังดิ้นรนอยู่ข้างในและพยายามจะพุ่งออกไป และการดิ้นรนนั่นก็ไม่ได้มาจากจุดเดียว แต่มาจากทุกทิศทาง…
แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ทันการณ์แล้ว การดิ้นรนต่อสู้เริ่มถดถอย อ่อนแรงลงจนกระทั่งไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก และอีกครึ่งก้านธูปต่อมา หวังเป่าเล่อที่ถูกความมืดกลืนกินไปนั้นก็ราวกับมีน้ำชโลมร่างกายคอยชะล้างหมึกดำออกไปจนหมดและค่อยๆ เผยโฉมอีกครั้ง ไม่กี่อึดใจร่างของเขาก็ปรากฏขึ้นใหม่
มุมปากกลับมาเป็นปกติแล้ว มีเพียงอาการแลบลิ้นเลียปากราวกับกำลังลิ้มรสที่ยังกรุ่นอยู่ในปากเท่านั้น
“ไม่เลวนี่” หวังเป่าเล่อเช็ดมุมปาก ก่อนจะเดินต่อไปยังตำแหน่งที่อักขระเสียงนำทาง ฝีเท้าของเขาไม่ได้เร็วมาก แต่ต่างจากก่อนหน้านี้…ในความเงียบสงัดรอบตัว ใบหูของเขาไม่ได้ยินเสียงรบกวนแม้แต่น้อย
ราวกับว่าเสียงฝีเท้าของเขากลายเป็นเสียงเดียวในราตรีนี้
ส่วนสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นก็ไม่ปรากฏตัวขึ้นแม้แต่ตัวเดียว เพราะในบริเวณนี้ไม่มีแล้ว
เป็นเช่นนี้จนไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว จนกระทั่งหูของหวังเป่าเล่อได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงหายใจอีกครั้ง เขาก็เห็นภูเขาไฟสามลูกอยู่เบื้องหน้า
ภูเขาไฟสามลูกนี้ใหญ่โตจนน่าทึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่บนอากาศไกลลิบตา ควันดำหนาทึบปะทุออกมาจากปล่องเป็นระยะเชื่อมต่อกับท้องฟ้า ขณะเดียวกันลาวาจำนวนมหาศาลก็ไหลลงจากภูเขามาบรรจบกันกลายเป็นแม่น้ำ
มองจากที่ไกลๆ ดูเหมือนภูเขาไฟทั้งสามจะอยู่ใกล้กันมาก แต่ในความเป็นจริงแล้วพวกมันห่างกันพอสมควร และสิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงเสียงเพรียกร้องก็คือภูเขาไฟลูกที่สองแห่งนั้น
ในความเลือนราง สายตาของเขายังมองเห็นว่าบนภูเขาไฟลูกที่สองมีตึกมากมาย แต่ทุกตึกล้วนเป็นสีดำและดูแปลกตา
“สำนักเหอเสียน…” หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองภูเขาไฟลูกที่สอง สี่คำนี้ก็ผุดขึ้นในหัว
แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นมัน แต่ด้วยสัมผัสเชื่อมต่อของอักขระเสียงจึงรู้ได้อย่างชัดเจนว่าภูเขาไฟทั้งสามนี้ก็คือสามสำนักใหญ่แห่งเมืองปรารถนาเสียงนั่นเอง
“ดูจากระยะทางแล้วข้าควรจะออกจากเขตเมืองปรารถนาเสียงมาไกลแล้ว แต่จริงๆ แล้ว…ข้ายังอยู่ในเมือง” หวังเป่าเล่อละสายตาไปกวาดมองถนนและอาคารโดยรอบ
ตรงนี้เขาเคยผ่านในเวลากลางวัน มันเกือบจะเป็นพื้นที่ตอนกลางของเมืองปรารถนาเสียง
คิดอยู่ครู่หนึ่งหวังเป่าเล่อก็กะพริบร่างพุ่งไปยังภูเขาไฟลูกที่สอง ขณะเดียวกันหูก็ได้ยินเสียงคำรามต่ำและเสียงกรีดร้องจากรอบๆ ตัวราวกับว่ามีสิ่งมีชีวิตประหลาดในโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงกำลังเข้ามาใกล้เขาอย่างรวดเร็ว และไม่ยินยอมให้เขาเหยียบเข้าไปในอาณาเขตภูเขาไฟ
ที่นี่ไม่เหมาะจะใช้กฎเกณฑ์ปรารถนารส หวังเป่าเล่อจึงโบกมือนำอักขระเสียงที่หายไปกว่าครึ่งออกมา อาศัยแสงและเสียงอันน้อยนิดของมันระเบิดความเร็วมุ่งหน้าไปใกล้ภูเขาไฟลูกที่สองมากขึ้นเรื่อยๆ
และเมื่อเขาเข้าใกล้ แสงของภูเขาไฟก็สะท้อนบนร่างกายของหวังเป่าเล่อทำให้เกิดเงาปรากฏขึ้นข้างหลังเขา เงานี้…บิดเบี้ยว ราวกับมีความหวาดกลัวอย่างมาก โชคดีที่มีผนึกกับดักจากร่างต้นแบบอยู่ในร่างกายช่วยเสริมกำลัง ทำให้ท่าทางบิดเบี้ยวกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันก็เห็นได้ชัดว่าแสงไฟนี้เป็นอันตรายถึงชีวิตต่อสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดในโลกแห่งกฎปรารถนาเสียงในไม่ช้าหวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงหลบหนี
หวังเป่าเล่อใช้เวลาเพียงไม่กี่อึดใจก็ก้าวเข้าไปสู่อาณาเขตของภูเขาไฟลูกที่สอง เมื่อก้าวเข้าไปเสียงเซ็งแซ่ในหูของเขาก็หายวับไปทันที
หวังเป่าเล่อยืนอยู่กับที่ครู่หนึ่ง สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนไปแปลกประหลาด เพราะที่นี่เขาไม่รู้สึกถึงเสียงในราตรีเหมือนข้างนอกแม้แต่น้อย และและไม่รู้สึกถึงสิ่งมีชีวิตประหลาดเข้ามาใกล้แม้แต่น้อย
ราวกับที่แห่งนี้เป็นดินแดนบริสุทธิ์ในคืนมืดมิด
แต่ยังไม่ใช่เหตุผลหลักที่สีหน้าหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไป เพราะสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจจริงๆ แล้วคือ…เขามาถึงที่นี่สักพักหนึ่งแล้ว แต่กลับไม่พบวี่แววของคนหรือศิษย์ของสำนักเหอเสียนเลย
อย่างไรก็ตาม เขาตรวจพบถ้ำจำนวนมากทั้งภายในและภายนอกภูเขาไฟตรงหน้า และประมาณสามส่วนในนั้นมีลมปราณของผู้ฝึกตน
“ไม่มีใครสนใจหรือ” หวังเป่าเล่อสงสัย
“หรือว่าแค่เข้ามาที่นี่ได้ก็นับว่าเข้าร่วมสำนักเหอเสียนแล้ว อยู่ฝึกฝนที่นี่ได้ตามต้องการ?” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด เมื่อผ่านไปอีกครู่หนึ่งก็ยังไม่มีใครสนใจ เขาจึงก้าวเพียงก้าวเดียวพุ่งตรงไปยังภูเขาไฟ
ในไม่ช้าก็มาหยุดอยู่ที่เชิงเขา หวังเป่าเล่อเห็นถ้ำที่ไม่มีใครจึงครุ่นคิดอยู่นอกถ้ำครู่หนึ่งแล้วก้าวเข้าไปในถ้ำทันที พริบตาที่เหยียบย่างเข้าไป หูของเขาก็ได้ยินเสียงสงบนิ่งดังขึ้น
“ยินดีด้วย เจ้าเป็นสมาชิกของสำนักเหอเสียนแล้ว”
เรื่องข้ารับใช้เสียงนั้นหวังเป่าเล่อไม่ได้ตกลง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ ถึงอย่างไรตอนนี้เขาก็ยังไม่ได้เข้าร่วมสำนักเหอเสียน เรื่องนี้ไว้รอให้เขาเข้าสำนักได้ก่อนค่อยชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียก็ยังไม่สาย
เมื่อพ่อบ้านจากไป ท้องฟ้าด้านนอกก็เริ่มหม่นแสงลงแล้ว หวังเป่าเล่อนั่งทำสมาธิอยู่ในห้องและรอคอยอย่างเงียบๆ ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิดในใจ
“สามสำนักใหญ่ที่ดำรงอยู่ในยามราตรีเท่านั้น…” หวังเป่าเล่อหรี่ตามองท้องฟ้านอกหน้าต่าง ยามสายัณห์กำลังจะผ่านพ้น ราตรีกาลคืบคลานมาอย่างรวดเร็ว และความเงียบสงัดก็กลายเป็นบรรยากาศหลักของห้องนี้
เวลาไหลผ่านไป ภายในห้องก็ยิ่งเงียบสงัดขึ้นเรื่อยๆ คนเดินถนนด้านนอกหน้าต่างก็น้อยลงเช่นกัน และเมื่อแสงสว่างถูกความมืดกลืนกินจนหมดสิ้น…เวลากลางคืนก็มาถึง
ดังเช่นเมื่อวาน ทั้งนอกและในห้องเงียบสงัดไปทุกหนแห่ง
ในความเงียบนี้หวังเป่าเล่อเงยหน้าลืมตาขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปที่ประตู
เขาไม่ได้เปิดหน้าต่างแอบออกไปเพราะไม่จำเป็น
เวลากลางคืนของเมืองปรารถนาเสียงอาจอันตรายมากสำหรับหลายคน แต่สำหรับหวังเป่าเล่อที่เดินออกมาจากป่าทึบ ไล่ล่าสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดในโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงนั้นก็ไม่ต่างไปจากการเดินเล่นในสวนหลังบ้านตัวเอง
แน่นอนว่าในกรณีที่ไม่เจอเข้ากับสิ่งมีชีวิตชั้นสูงเหล่านั้น โชคดีที่…ในโลกที่สามารถรับรู้ได้จากกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงใบนั้น สิ่งมีชีวิตดังกล่าวมีไม่มากนักและไม่ค่อยปรากฏตัว
ดังนั้นเมื่อหวังเป่าเล่อผลักประตูออกไป เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังก้องอยู่ในหูทันที แต่สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไปเลย แค่ยกมือขวาขึ้นมาแล้วคว้าไปทางขวา
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็หยุดลงกะทันหัน
“ข้าไม่ชอบเสียงหัวเราะแบบนี้ ต่อไปไม่หัวเราะได้ไหม” หวังเป่าเล่อมองพื้นด้านขวาที่ว่างเปล่า เห็นได้ชัดว่าในมือของตนไม่มีอะไรเลย แต่อาการสั่นสะเทือนที่ส่งไปยังมือขวาของเขานั้นราวกับมีสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งกำลังพยักหน้าอย่างบ้าคลั่ง
หวังเป่าเล่อคลายมืออย่างพึงพอใจ เขารู้ว่าตนไม่ใช่ฆาตกร ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายตัวเล็กเกินกว่าจะยัดเข้าซอกฟันจึงปล่อยมันไป
“ข้าเป็นคนมีเหตุผล” หวังเป่าเล่อบอกตัวเองเช่นนี้แล้วเดินต่อไป ภายในร้านอาหารเวลานี้เงียบสงัดมาก เขาเดินตรงไปที่ประตูใหญ่
ระหว่างทางเดินผ่านห้องต่างๆ หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าในแต่ละห้องล้วนมีผู้ฝึกตนอยู่ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเปิดประตูราวกับร้านอาหารแห่งนี้กลายเป็นเขตหวงห้าม แต่หวังเป่าเล่อกลับเดินเข้าไปในเขตหวงห้ามนี้จนออกจากประตูมายืนอยู่บนถนน เขามองความว่างเปล่ารอบตัวและสัมผัสความเงียบยามค่ำคืน ในหูได้ยินเสียงลมพัดโหยหวน
ลมนั้นเย็นยะเยือกและกัดกร่อนราวกับมีมือเย็นเฉียบนับไม่ถ้วนกำลังจับไปทั่วร่างหวังเป่าเล่อ นี่ควรจะเป็นฉากที่เย้ายวน แต่ในยามที่ฉากหลังมืดมิดและเงียบเชียบแบบนี้กลับดูน่าขนลุกมาก
หวังเป่าเล่อไม่สนใจ นั่นยิ่งทำให้ภายในร่างกายปั่นป่วนราวกับผนึกกฎเกณฑ์ปรารถนารสอยากจะระเบิดออกมากลืนกินทุกสิ่ง
หลังจากสงบสติอารมณ์ได้ หวังเป่าเล่อจึงเดินไปภายในเมืองในยามราตรี หูของเขา ได้ยินเสียงแปลกๆ มากมายดังมาเหมือนกับมีสายตากำลังจับจ้องมายังร่างของตนมากขึ้นเรื่อยๆ มันพุ่งมาจากทุกทิศทาง
พริบตาที่พวกมันเข้ามาใกล้ หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาและพลิกมือขวาขึ้น ทันใดนั้นในมือพลันปรากฏอักขระเสียงขึ้น อักขระเสียงนี้เปล่งแสงจางๆ และส่งเสียงตุ้บๆ เบาๆ
ภายใต้แสงและเสียงนี้ สิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่มารวมตัวกันก็ดูจะวิตกกังวล พวกมันไม่ได้รีบร้อนพุ่งเข้ามา แต่วนเวียนอยู่รอบๆ คอยรอโอกาสด้วยความมุ่งร้าย
หวังเป่าเล่อสีหน้าปกติ แต่ในใจกลับยิ้มเยาะ หากไม่ใช่เพราะเขาอยากเข้าสำนักเหอเสียนก็คงไม่อยากเผยตัวตนหรอก ตอนนี้สิ่งมีชีวิตโดยรอบกำลังจะกลายเป็นอาหารของเขา
หวังเป่าเล่อไม่สนใจเสียงมากมายที่ดังเข้าหู เขาก้มมองอักขระเสียงในมือและผสานดวงจิตเทพลงไป จากนั้นก็เกิดความรู้สึกบางอย่างในความมืดราวกับว่าในที่ไกลๆ เบื้องหน้าตนมีเสียงเรียกหนึ่งกำลังดึงดูดเขาอยู่
“สำนักเหอเสียนหรือ…” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ก่อนจะเคลื่อนตัวไปยังสถานที่นั้นอย่างรวดเร็ว แต่สิ่งมีชีวิตประหลาด รอบตัวเขาก็ตามติดเหมือนผี และมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ดูเหมือนว่าหวังเป่าเล่อจะกลายเป็นคบเพลิงดึงดูดความสนใจในราตรีนี้แล้ว
ส่วนอักขระเสียงในมือเขาก็หรี่แสงลงอย่างรวดเร็ว และในความมืดนี้หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงหายใจเหมือนกับว่ารอบตัวเขามีเงาร่างมากมายกำลังเป่าอักขระเสียงในมือเขา ราวกับเห็นมันเป็นเทียนและต้องการดับมัน
เมื่อแสงอักขระเสียงค่อยๆ จางลง ความชั่วร้ายก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณราวกับว่าสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดที่มารวมตัวกันเหล่านี้กำลังรอให้แสงของอักขระเสียงดับลงอย่างสมบูรณ์
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นในเวลานี้คงตื่นตระหนกมาก แต่หวังเป่าเล่อเพียงแค่หรี่ตาลงเล็กน้อย และเดินต่อไปด้วยสีหน้าปกติ เขาได้ยินเสียงหายใจและเสียงฝีเท้ารอบด้าน ดูเหมือนมันจะมากขึ้นเรื่อยๆ และอักขระเสียงในมือก็เริ่มหม่นแสงลง
นั่นทำให้ประกายเย็นยะเยือกในดวงตาหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นช้าๆ ในใจของเขาชั่งน้ำหนัก เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ดีแน่ อักขระเสียงดับนั้นเรื่องเล็ก แต่ไม่มีหลักฐานที่ใช้เข้าร่วมสำนักเหอเสียนสิเรื่องใหญ่
ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงหยุดฝีเท้าและเก็บอักขระเสียงในมือ ทว่าตอนนั้นเองใบหน้าหวังเป่าเล่อก็กระตุกเล็กน้อย เขาเงยหน้ามองไปยังที่ไกลๆ ไม่นานก็เห็นโคมสี่อันลอยเข้ามาใกล้ในราตรีมืดมิดนี้
เมื่อเข้ามาใกล้ก็เผยให้เห็นร่างผอมแห้งสี่ร่าง รวมถึงเกี้ยวแดงที่พวกเขาแบกอยู่ และยังมีแขนสีขาวราวกับหยกข้างหนึ่งยื่นออกมาจากม่านของเกี้ยว
แขนนั้นแกว่งไปมาอย่างอิสระราวกับว่าเจ้าของอารมณ์ดีมาก หวังเป่าเล่อยังได้ยินเสียงฮัมเพลงด้วย
ค่ำคืนมืดมิด เมืองรกร้าง เกี้ยวสีแดง…
ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อดวงตาวาววับ เมื่อเกี้ยวมาถึง เขาได้ยินเสียงถอยกรูออกไปมากมายราวกับสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นพรั่นพรึงต่อต่อเกี้ยวนี้
ส่วนหวังเป่าเล่อก็ไม่รู้สึกถึงลมปราณของผู้ฝึกตนจากในเกี้ยวสีแดงแม้แต่น้อย
“ไม่ใช่ผู้ฝึกตน…และสี่คนที่แบกเกี้ยวนั่น…ก็ไม่ใช่มนุษย์” ขณะครุ่นคิดหวังเป่าเล่อก็หลีกทางให้ ปล่อยให้เกี้ยวลอยผ่านเขาไป ร่างทั้งสี่ที่แบกเกี้ยวไม่หันมามองหวังเป่าเล่อเลยสักนิด สิ่งที่อยู่ในเกี้ยวก็เช่นกัน แขนที่ยื่นออกมาจากม่านยังคงแกว่งไกว
ทว่า ตอนนั้นเองขณะที่เกี้ยวกำลังลอยผ่านร่างหวังเป่าเล่อ ลมที่พัดผ่านเข้ามาก็พัดเอาม่านตรงหน้าต่างของเกี้ยวให้เลิกขึ้นเล็กน้อย หวังเป่าเล่อที่หันไปมองพอดีจึงได้เห็นที่นั่งว่างเปล่าในม่านที่ยกขึ้นนั่น
มีแต่แขนข้างนั้นที่ส่วนหนึ่งยื่นออกไปด้านนอก อีกส่วนหนึ่งพาดอยู่ในเกี้ยว เหลือเพียงเลือดสีม่วงหยดติ๋งๆ…
และในพริบตาที่หวังเป่าเล่อเห็นทุกอย่างนั้นเอง จู่ๆ… เกี้ยวก็หยุดลง
……………………………………………
หลังจากหวังเป่าเล่อพูดออกไป เสียงลมหายใจข้างหูก็ชะงัก ทว่าพริบตาต่อมาเสียงแกรกกรากก็ดังมาจากนอกหน้าต่างราวกับกำลังมีเล็บตะกายอยู่ตรงนั้น
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว เพราะตอนนี้เขาอยู่ในเมืองปรารถนาเสียง ไม่อิสระเท่าข้างนอก กฎเกณฑ์ปรารถนารสถูกปิดผนึกไว้และไม่เหมาะที่จะเปิดเผย ดังนั้นหลังจากหวังเป่าเล่อเหลือบมองหน้าต่างว่างเปล่าแล้วก็หันหลังเมินมันไปเสีย เขานั่งขัดสมาธิลงและเริ่มทำสมาธิ
เพียงแต่ว่า…แม้เวลาจะผ่านไปแล้วเสียงแกรกกรากด้านนอกก็ยังคงดังไม่หยุด แล้วยังมีเสียงทุบคล้ายกับสิ่งที่อยู่นอกหน้าต่างกำลังไม่พอใจท่าทีของหวังเป่าเล่อมาก จึงออกแรงทุบหน้าต่าง
เสียงทุบที่ดังมานั้นสั่นสะเทือนไปทั่วห้องทำให้เกิดเสียงดังสะท้อนไปมาจนหวังเป่าเล่อทำสมาธิได้ยาก อันที่จริงเสียงนั้นล้วนพุ่งเข้ามาในร่างกายของเขาส่งผลให้กฎปรารถนาเสียงปั่นป่วนไปด้วย
สุดท้ายหวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้นแล้วเดินไปยืนข้างหน้าต่างด้วยสีหน้าถมึงทึง จ้องมองความว่างเปล่าด้านนอกอย่างเย็นชา เมื่อเขาเข้าไปใกล้ เสียงทุบและเสียงหายใจก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
“เจ้ารนหาที่ตายสินะ” หวังเป่าเล่อแสยะยิ้มเผยฟันเรียงตัวแน่นข้างใน มือขวาพลันยกขึ้นเปิดหน้าต่างแล้วคว้าออกไปจับด้านหน้าอย่างแรงแล้วดึงกลับเข้ามาในพริบตา ก่อนจะโยนมันเข้าปากโดยไม่แม้แต่จะมองด้วยซ้ำ จากนั้นก็ปิดหน้าต่างพร้อมกับเคี้ยวไปด้วย
เสียงกรุบกรอบพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนดังก้องอยู่ในห้อง หวังเป่าเล่อสีหน้าไร้อารมณ์ บดเคี้ยวอย่างแรงแล้วกลับมานั่งขัดสมาธิลงที่เดิม
ไม่นานเสียงโหยหวนในหูก็ค่อยๆ อ่อนเสียงลงจนกระทั่งเงียบหายไป บริเวณโดยรอบกลับมาเป็นปกติ ไร้เสียงทุบก่อกวน ไร้เสียงแกรกกราก เสียงหายใจก็ยิ่งไม่พบเจอเลย
ในความเงียบสงัด หวังเป่าเล่อปิดตาทำสมาธิอย่างอารมณ์ดี
เป็นเช่นนี้จนค่ำคืนผ่านไป
เมื่อหวังเป่าเล่อลืมตามองไปทางหน้าต่าง ทุกอย่างด้านนอกก็กลับมาเป็นปกติ ตึกสูง เสียงจอกแจกจอแจ และเสียงดนตรีดังมาจากที่ไกลๆ ดูครึกครื้นมาก
นั่นทำให้หวังเป่าเล่อหวนนึกถึงชีวิตในสหพันธรัฐอีกครั้งด้วยความอาลัยอาวรณ์ เขาเดินออกจากห้องมาและในตอนนั้นเองก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ในร้านอาหารมีผู้คนมากมายพักอยู่ที่นี่ไม่ต่างจากเขา ที่นี่มีบริกรเยอะมาก แต่ตอนที่หวังเป่าเล่อเดินออกมา แขกเหล่านั้นยังดูปกติดี แต่บริกรของร้านอาหารแห่งนี้เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อก็แสดงท่าทีประหม่าอย่างเห็นได้ชัดราวกับยำเกรงเขามาก
“หรือว่าเมื่อคืนจะได้ยินเสียงโหยหวนจากห้องข้า?” หวังเป่าเล่อกวาดตามอง เหล่าบริกรต่างก้มหน้าหลบ ยังไม่ทันที่หวังเป่าเล่อจะออกไปนอกร้าน ตอนนั้นเองชายวัยกลางคนผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากกลุ่มบริกร
ชายวัยกลางคนผู้นี้แต่งตัวภูมิฐาน ดูเรียบร้อยและพิถีพิถันอย่างยิ่ง เขาเรียกตนว่าพ่อบ้านและสุภาพกับหวังเป่าเล่อมาก หลังจากพูดคุยกันไม่กี่ประโยคก็ยังยกระดับห้องให้หวังเป่าเล่อเปลี่ยนไปอยู่ห้องที่ใหญ่กว่าเดิมด้วย
หวังเป่าเล่อไม่ปฏิเสธและไม่ได้ถามอีกฝ่ายว่าทำเช่นนั้นเพราะอะไร เขาพอจะมีคำตอบในใจแล้ว ดังนั้นหลังจากตอบรับน้ำใจจึงเดินออกมาจากร้านอาหารและไปเดินเล่นในเมืองปรารถนาเสียง
รถเหาะผ่านไปทีละคัน หวังเป่าเล่อสับสนเล็กน้อยราวกับว่าที่ที่เขาอยู่ตอนนี้ไม่ใช่มิติเต๋าต้นกำเนิด แต่เป็นสหพันธรัฐ บางครั้งยังมีขบวนพาเหรดเดินถือป้ายผ่านไป ทุกอย่างสงบสุขมาก ทำให้ผู้คนสำราญกายสำราญใจจนอดที่จะจมดิ่งลงไปกับมันไม่ได้
กระทั่งเที่ยงวัน หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้อักขระเสียงที่เขารู้แจ้งมาเข้าร่วมสำนักเหอเสียน แต่ตอนนี้หวังเป่าเล่อก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าตนเอง…หาที่ตั้งของสำนักเหอเสียนไม่เจอ
เมื่อวานเด็กหนุ่มผู้นั้นไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ และหวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้ถาม เพราะตามที่เขาเข้าใจเมืองปรารถนาเสียงไม่ได้ใหญ่โต ทุกคนย่อมรู้จักที่ตั้งของสามสำนักใหญ่
ทว่าตอนนี้เขาหามานานแล้วก็ยังไม่พบการมีอยู่ของสำนักเลย เรื่องนี้ทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย โดยเฉพาะหลังจากเขาใช้ปราณแห่งสุขเข้าไปสอบถามผู้คนมากมายก็ไม่มีใครรู้เลย นั่นยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อตกใจกว่าเดิม
“สามสำนักใหญ่ ผู้คนในเมืองปรารถนาเสียงล้วนรับรู้ว่ามีพวกเขาอยู่ แต่มีไม่กี่คนที่รู้ที่ตั้งของพวกเขา…หรือว่า…สำนักเหอเสียนกับเมืองปรารถนาเสียงจะไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน หรือเวลากลางวันจะมองไม่เห็นสำนักเหอเสียน” หวังเป่าเล่อครุ่นคิดก่อนจะกลับมายังที่พักของตน เขาได้รับการต้อนรับอย่างนอบน้อม บริกรพาเขาไปส่งยังห้องพักใหม่ แต่ทันทีที่ก้าวเข้าไปหวังเป่าเล่อก็เอ่ยขึ้นมาอย่างฉับพลัน
“เชิญพ่อบ้านของพวกเจ้ามาหน่อย”
เมื่อบริกรได้ยินก็พยักหน้าและรีบจากไป ไม่นานหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างในห้องก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เขาสะบัดมือขวาแล้วประตูก็เปิดออกทันที พ่อบ้านที่แต่งตัวเรียบร้อยผู้นั้นยืนยิ้มน้อยๆ อยู่หน้าประตู
“ผู้อาวุโส ข้าเข้าไปได้หรือไม่”
“เชิญ” หวังเป่าเล่อหันกลับมาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
พ่อบ้านวัยกลางคนก็ยิ้มให้เช่นกัน หลังจากเข้ามาในห้องก็ปิดประตูและยืนรอคำสั่งจากหวังเป่าเล่ออยู่ตรงนั้น ท่าทีเช่นนี้ทำให้ผู้คนสบายใจมาก หวังเป่าเล่อเหลือบมองก่อนจะพยักหน้าและเอ่ยช้าๆ
“จะเข้าสำนักเหอเสียนได้อย่างไร” หวังเป่าเล่อไม่อ้อมค้อมและถามอย่างตรงประเด็น
สีหน้าพ่อบ้านวัยกลางคนเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขามองหวังเป่าเล่ออย่างระมัดระวังก่อนจะตอบด้วยความเคารพ
“จำเป็นต้องมีเสียงที่มาจากสำนักเหอเสียนขอรับ…” อีกฝ่ายเอ่ยถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นมา เผยให้เห็นอักขระเสียงเปล่งประกายอยู่ในมือ
อักขระเสียงนี้ทำให้พ่อบ้านวัยกลางคนหายใจถี่กระชั้นขึ้นทันที ดวงตาเขาเป็นประกาย
“บอกที่ตั้งของสำนักเหอเสียนที” หวังเป่าเล่อกล่าวเบาๆ
“ผู้อาวุโส สำนักเหอเสียนอยู่ในเมืองปรารถนาเสียงและไม่ได้อยู่ในเมืองปรารถนาเสียง ที่บอกว่าอยู่เพราะมันตั้งอยู่ที่นี่ ที่บอกว่าไม่อยู่เพราะสถานที่นั้นต่างกัน”
“สามสำนักใหญ่ดำรงอยู่…ในยามราตรี”
“ค่ำคืนมืดมิดเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับผู้อื่น แต่สำหรับผู้แข็งแกร่งนั้น เมืองปรารถนาเสียงเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์”
“ดังนั้นหากผู้อาวุโสอยากเข้าสำนักเหอเสียนก็ต้องออกไปข้างนอกในเวลากลางคืนและใช้อักขระเสียงในมือท่าน มันจะดึงดูดท่านไปยังที่ตั้งของสำนักเหอเสียนเอง”
หวังเป่าเล่อไตร่ตรอง นี่คล้ายกับที่เขาคาดเดาไว้จึงพยักหน้า ตอนที่กำลังจะจบบทสนทนา พ่อบ้านวัยกลางคนก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะโพล่งขึ้น
“ผู้อาวุโส ท่านต้องการข้ารับใช้เสียงหรือไม่”
“ผู้ฝึกตนทุกคนที่เข้าร่วมสามสำนักใหญ่ได้สำเร็จ ตามกฎแล้วจะมีข้ารับใช้เสียงได้หนึ่งคน ในฐานะข้ารับใช้เสียงจะช่วยดูแลชีวิตประจำวันของท่าน ขณะเดียวกันก็จะมีคุณสมบัติในการฝึกฝนที่สามสำนักใหญ่ด้วยขอรับ”
“เจ้านายของเรายินดีจะยกทายาทของเขาให้เป็นข้ารับใช้เสียงของผู้แข็งแกร่ง…ด้วยเหตุนี้จึงยินดีที่จะให้ราคาที่ท่านพอใจขอรับ” พ่อบ้านวัยกลางคนเอ่ยเสียงเบา
“มีร้านอาหารเป็นธุรกิจใหญ่ขนาดนี้ในเมืองปรารถนาเสียง เจ้านายพวกเจ้ายังขาดแคลนผู้แข็งแกร่งที่ต้องการข้ารับใช้เสียงอีกหรือ” หวังเป่าเล่อมองพ่อบ้านวัยกลางคน
“เจ้านายของเรา…มีทายาทหลายคนน่ะขอรับ” พ่อบ้านวัยกลางคนอธิบายด้วยท่าทีอึกอัก
หวังเป่าเล่อได้ข้อมูลมากมายจากการสนทนาครั้งนี้
นอกจากความเข้าใจต่อสามสำนักใหญ่แล้ว เขายังรู้วิธีเข้าสำนักทั้งสาม และยังเห็นภาพรวมของผู้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงด้วย
ในเมื่อต่างเป็นโลกกาชั้นที่สองและเป็นหกปรารถนาแล้ว การฝึกฝนจึงคล้ายคลึงกัน เช่น ผู้ฝึกตนจำนวนมากในเมืองปรารถนาเสียงนี้ต่างถูกเรียกว่านักพึมพำ ซึ่งอยู่ระดับเดียวกับผีหิวโหยของเมืองปรารถนารส
ผู้พึมพำดังกล่าวคือผู้ฝึกตนระดับต่ำสุดและมีจำนวนมาก พวกเขาไม่มีอักขระเสียงหลัก แต่มีเสียงพึมพำที่ไม่นับว่าเป็นเสียงด้วยซ้ำ อย่างเช่นเด็กหนุ่มที่แนะนำทุกสิ่งให้หวังเป่าเล่อก็เป็นหนึ่งในนักพึมพำที่ฝันจะได้เข้าร่วมสำนักสักวัน แต่ผู้ที่ทำได้ก็มีน้อยมาก
ระดับที่อยู่เหนือกว่าผู้พึมพำเรียกว่านักอักขระเสียง ผู้ฝึกตนประเภทนี้สร้างอักขระเสียงของตนขึ้นมาได้ซึ่งนับว่ามีคุณสมบัติในการฝึกฝนต่อและสมบูรณ์แบบ แม้จะไม่สามารถเข้าร่วมสามสำนักใหญ่ได้ก็ยังมีที่ที่เหมาะสมในวงดนตรีทุกขนาดในเมืองปรารถนาเสียง
อย่างหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็นับว่าอยู่ในระดับนี้ เพียงแต่เป็นเพราะเขาสังหารอยู่นอกเมืองจึงมีอักขระเสียงถึงแปดตัวแล้ว เช่นนั้นในบรรดานักอักขระเสียงก็นับว่าเป็นยอดฝีมือ
และระดับที่สูงขึ้นไปอีก เด็กหนุ่มผู้นั้นบอกแก่หวังเป่าเล่อว่าคือนักทำนอง
ที่เรียกว่าทำนองก็หมายความตามตัวอักษร มีบทเพลงที่ยังไม่สมบูรณ์ท่อนหนึ่งเป็นของตัวเอง ผู้ฝึกตนประเภทนี้มักจะมีคุณสมบัติในการตั้งวงดนตรีขนาดเล็กในเมืองปรารถนาเสียงและนับว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง
ในวงดนตรีขนาดกลางพวกเขาก็สามารถเป็นตัวหลักได้แล้ว แต่ในสามสำนักใหญ่นี่เป็นขั้นพื้นฐานเท่านั้น
ส่วนระดับที่สูงยิ่งกว่านั้น ในวงดนตรีขนาดกลางและขนาดเล็กหาผู้ฝึกตนเช่นนั้นได้น้อยมาก มีเพียงในสามสำนักใหญ่เท่านั้นที่จะมีบุคคลประเภทนี้ พวกเขาถูกเรียกว่า…
นักบทเพลง
จากทำนองหนึ่งท่อนเติมเต็มจนเป็นบทเพลงที่สมบูรณ์ เข้าร่วมสำนักต่างๆ ตามวิธีที่ไม่เหมือนกัน เดินออกจากเส้นทางพิเศษของสำนัก นี่…ก็คือนักบทเพลง
โดยทั่วไปแล้วการไปถึงระดับนี้นับว่าเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งสำหรับเมืองปรารถนาเสียง แม้แต่ในสามสำนักใหญ่ก็ยังนับว่ามีอำนาจในระดับหนึ่ง
ส่วนที่สูงขึ้นไปอีกยังมีอีกสองระดับ ทั้งสองระดับนี้ถูกมองว่าเป็นการแสดงกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงขั้นสูง หนึ่งเรียกว่าบทประพันธ์แห่งท่วงทำนอง อีกหนึ่งเรียกว่าคณะดนตรี
อย่างแรกคือมีบทประพันธ์แห่งท่วงทำนองที่สมบูรณ์ซึ่งบทประพันธ์นั้น…เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่แค่บทเพลงเพลงเดียว แต่มักจะเป็นลำดับที่ประกอบขึ้นจากหลายๆ บทเพลง ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้แม้แต่ในสามสำนักใหญ่ก็ยังมีไม่มากนัก
อย่างการแสดงดนตรีที่หวังเป่าเล่อเห็นก่อนหน้า สตรีชุดม่วงที่รู้จักกันในชื่อบุตรตรีแห่งสวรรค์ผู้นั้นก็อยู่ในระดับนี้ด้วย เช่นเดียวกับนักแสดงหญิงชุดขาวที่ร่างต้นแบบของเขาเคยพบ รวมถึงร่างสูงใหญ่ที่ปรากฏตัวในเมืองปรารถนาเสียงพวกนั้น แม้แต่ชายหนุ่มที่ถูกหวังเป่าเล่อสังหารที่นอกเมืองปรารถนาเสียงผู้นั้นก็อยู่ระดับนี้เช่นกัน
ตัวบ่งชี้หลักๆ ของพวกเขาคือมีวงดนตรีเป็นของตัวเอง
อย่างหลังก็เช่นกัน แต่ยากกว่ามากเพราะไม่เพียงต้องมีวงดนตรีที่สมบูรณ์และหรูหราก่อตั้งเป็นคณะดนตรีของตัวเอง ทว่ายังต้องมีความสามารถในการปลดปล่อยทุกบทประพันธ์แห่งท่วงทำนองด้วย
ผู้ที่สามารถมาถึงจุดนี้ได้ ในสามสำนักใหญ่จะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้งสามคนนี้…ก็คือผู้ที่เป็นรองแค่เจ้าปรารถนาในเมืองปรารถนาเสียง
หลังจากเด็กหนุ่มเล่าทุกอย่างจบท้องฟ้าด้านนอกก็เริ่มหม่นแสงแล้ว แสงอาทิตย์ตกกระทบผืนดินท่ามกลางท้องฟ้าแดงฉาน
ภาพนี้ดูสวยงาม แต่หวังเป่าเล่อกลับสังเกตเห็นว่าผู้คนในร้านอาหารต่างรีบร้อน คนเดินถนนด้านนอกก็เร่งฝีเท้าอย่างเห็นได้ชัด ไกลออกไปก็ยังเห็นร่างผู้คนกำลังออกจากเมืองกันอย่างรวดเร็ว
ที่เหลืออยู่ที่นี่มีเพียงคนที่อาศัยอยู่ในร้านหรือชาวเมืองปรารถนาเสียงอย่างเด็กหนุ่ม ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่องุนงง ตอนนั้นเองเด็กหนุ่มข้างกายที่ยกสุราแก้วสุดท้ายขึ้นดื่มก็ยิ้มออกมา
“เสวียนหมิง ถึงเจ้าจะเพิ่งมาเมืองปรารถนาเสียง แต่ก็ต้องรู้ความแปลกของเมืองนี้ด้วย…”
“เมืองนี้ยามกลางวันทุกสิ่งสวยงาม แต่ตกกลางคืน…ห้ามออกมาจากที่พักของเจ้าเด็ดขาด ไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรข้างนอกต้องจำไว้ว่า…อย่าเปิดประตู อย่าออกไป” เด็กหนุ่มเอ่ยพร้อมกับลุกขึ้นยิ้มให้หวังเป่าเล่อแล้วออกจากร้านไป
หวังเป่าเล่อลุกขึ้นมองตามหลังอีกฝ่าย สักพักก็นั่งลงอีกครั้ง ก่อนจะยกสุราขึ้นจิบ ตอนที่วางมันลงบนมือนั้นก็ปรากฏอักขระเสียงส่องประกายคล้ายกับอักขระโบราณขึ้น
เมื่อสัมผัสเบาๆ อักขระเสียงก็ส่งเสียงดังตุ้บเหมือนตกลงพื้น
ขณะมองอักขระเสียงในมือ หวังเป่าเล่อก็มีสีหน้าแปลกไป นี่คืออักขระเสียงใหม่ที่รวมตัวอยู่ในร่างกายเขาโดยไม่รู้ตัวจากการฟังการแสดงดนตรีก่อนหน้านี้ สำหรับคนอื่นอาจจะดูเป็นเรื่องยาก แต่มันง่ายมากสำหรับเขา
เพียงแต่เสียงนี้จะพิเศษเล็กน้อย แต่ก็ยังดีที่ไม่ใช่ ‘’ฟู่’
ซึ่งช่วยปลอบใจหวังเป่าเล่อได้ขึ้นอีกนิด
“ต้องใช้อักขระเสียงนี้เพื่อเข้าร่วมสำนักเหอเสียนสินะ…” หวังเป่าเล่อสงสัย จากนั้นไม่นานก็เก็บอักขระเสียงในมือ
ร้านอาหารที่เขาเลือกก็คือที่ที่เขาพัก หลังจากกลับถึงห้องไม่นานแสงอาทิตย์ด้านนอกก็จากไป ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง นอกหน้าต่างมีคนเดินสัญจรน้อยมาก ส่วนใหญ่ต่างเร่งรีบสุดชีวิต จนกระทั่งท้องฟ้ามืดสนิท แสงสว่างเหมือนดั่งน้ำรด หลังจากมันหายไปอย่างรวดเร็วแล้ว หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างก็ไม่เห็นใครอยู่ข้างนอกอีกเลย
โลกทั้งใบในตอนนี้เงียบสงัด แม้แต่ร้านอาหารที่เขาอยู่ก็ยังเงียบเชียบ ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่ไฟก็ดับลงในพริบตา
ทั้งเมือง…ตกอยู่ในความเงียบและมืดมิด
หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขานึกถึงคำเตือนที่เด็กหนุ่มพูด ในความเงียบและดำมืด เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ตอนนั้นเองดวงตาหวังเป่าเล่อก็วาววับ หูแว่วเสียงบางอย่าง
ใครบางคนกำลังบ่นงึมงำ แต่เขาได้ยินไม่ชัดนัก เสียงงึมงำนั่นมาพร้อมกับเสียงถูพื้น สะท้อนมาจากด้านนอก
เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อนึกถึงป่าที่ด้านนอก เมื่อราตรีกาลมาเยือนนั่นคือโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง เขาเข้าไปใกล้หน้าต่างและมองออกไปอย่างระแวดระวัง ในพริบตาที่ทอดมองออกไปนั้นเอง จู่ๆ ความรู้สึกเย็นยะเยือกก็แผ่ซ่านมาถึงตรงหน้า หวังเป่าเล่อได้ยิน…เสียงหายใจ
เสียงหายใจนี้ดังอยู่นอกหน้าต่างคล้ายกับมีใบหน้าหนึ่งแนบติดอยู่ที่ตรงนั้น และมันกำลังมองหวังเป่าเล่ออยู่
รอบด้านยังคงเป็นเช่นเดิม เงียบสงัดและมืดมิด
ทว่า เสียงหายใจ…กลับชัดเจนยิ่งขึ้นในความเงียบนี้
ฟืดฟืด ฟืดฟืด ฟืดฟืด
“ไสหัวไป!” เมื่อเสียงหายใจดังขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อก็เลิกคิ้วมองนอกหน้าต่างที่ไม่มีสิ่งผิดปกติใดๆ แล้วเอ่ยเบาๆ
…………………………………………….
“เมล็ดพันธุ์เต๋าอีกแล้ว?” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะมายังเมืองปรารถนาเสียงเขายังไม่ได้สงสัยอะไรมากมาย ทว่า เมื่อเขาอยู่ที่นี่แล้วและเห็นภาพตรงหน้าจึงเกิดการคาดเดาขึ้นในใจ
“ตามหลักเหตุผลแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเมล็ดพันธุ์เต๋าเกิดขึ้นมากเกินไป…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ทำท่าว่าจะสอดส่องอีกครั้ง ถ้าเมล็ดพันธุ์เต๋าในเมืองปรารถนาเสียงมีถึงสามหรือห้าเมล็ดขึ้นไปจะต้องเป็นปัญหาแน่
หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ด้วยระดับการฝึกตนแล้วย่อมไม่มีทางสร้างข้อสันนิษฐานได้อย่างแม่นยำ แต่ด้วยระดับการฝึกตนและประสบการณ์ของหวังเป่าเล่อร่างต้นแบบ เขาจึงสันนิษฐานได้อย่างง่ายดาย เรื่องนี้ต้องมีใครบางคนจงใจจัดฉากไว้แน่
และจุดประสงค์ของการจัดฉากก็ไม่มีอะไรมากไปกว่า…การยืมร่างกายของผู้อื่นมาหล่อเลี้ยงเต๋าของตนเอง คนเมล็ดพันธุ์เต๋าเหล่านี้น่าจะเป็นเตาหลอมทั้งหมด
หากผู้ที่จัดฉากไม่ต้องการก็แล้วไป เตาหลอมย่อมปลอดภัยดี แต่ทันทีที่อีกฝ่ายเริ่มความคิด ร่างของคนที่เป็นเมล็ดพันธุ์เต๋าเหล่านี้ก็จะแห้งเหี่ยวในพริบตา เมล็ดพันธุ์เต๋าจะลอยออกมาและกลับคืนสู่ร่างต้นแบบ
“ดูสิว่ามีเมล็ดพันธุ์เต๋าอีกหรือไม่ ทุกอย่างก็จะได้คำตอบ” ขณะครุ่นคิดอยู่นั้นการแสดงดนตรีก็เริ่มต้น ด้วยท่วงทำนองอันไพเราะดังก้องกังวาน ภายในเมืองปรารถนาเสียงเต็มไปด้วยงานเลี้ยงฉลองการได้ยิน
แม้แต่หวังเป่าเล่อก็ยังต้องยอมรับว่าท่วงทำนองนี้ไพเราะยิ่งนัก ทำให้คนฟังจิตใจเบิกบานอย่างห้ามไม่ได้ ใบหน้าเผยรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว
และรอยยิ้มนี้ยังปลุกเร้าพลังปราณแห่งสุขในร่างหวังเป่าเล่อส่งผลให้มันตื่นขึ้นในชั่วพริบตา ในดวงตามีแสงที่ซ่อนอยู่ส่องประกายวาบผ่าน
“สุขกับเสียง แท้จริงแล้วเกี่ยวโยงกัน” หวังเป่าเล่อมองไปอย่างใจจดใจจ่อ วงดนตรีบนม่านแสงกำลังค่อยๆ เลือนหาย ผู้ฝึกตนทั้งหมดที่อยู่บนเวทีค่อยๆ กลายเป็นภาพมายาไปพร้อมกับการแสดงราวกับว่าทุกคนกำลังแปลงร่างเป็นโน้ตดนตรีล้อมรอบสตรีชุดม่วงผู้นั้น แสดงไปพร้อมกับนางทำให้จังหวะดนตรีของนางยิ่งเต็มอิ่มและมีพลังปลุกเร้ามากยิ่งขึ้น
สตรีผู้นี้ร่างของนางกลายเป็นมายาไปเกือบหมด และกลายเป็นดนตรีที่เกือบจะสมบูรณ์ล่องลอยอยู่ในเมืองปรารถนาเสียง
ผู้ฟังทุกผู้คนที่อยู่รอบๆ ต่างมัวเมา มีบางคนเลือกจะนั่งทำสมาธิตั้งแต่ช่วงแรกของการแสดงราวกับกำลังรู้แจ้ง
“หรือว่านี่คือวิธีฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง?” หวังเป่าเล่อมองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้ ในไม่ช้าก็พุ่งความสนใจไปที่เด็กหนุ่มที่กำลังเผยรอยยิ้มอย่างโง่เขลาอยู่ไม่ไกล ก่อนจะเดินไปหาช้าๆ ขณะที่ฝูงชนไม่ได้สนใจเขา เขาก็ตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ พลังปราณแห่งสุขแผ่จากฝ่ามือเข้าสู่ร่างของอีกฝ่าย
แม้การใช้พลังปราณแห่งสุขแบบนี้จะไม่ได้ผลในการเผชิญหน้ากับศัตรู แต่ในด้านการเพิ่มความรู้สึกดีและความเชื่อใจก็ยังได้ผลในระดับหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าตอนนี้จิตใจเด็กหนุ่มถูกดนตรีนั่นแทรกซึมจึงไม่ได้ระวัง ส่งผลให้พลังปราณแห่งสุขของหวังเป่าเล่อผสานเข้าไปในจิตใจอย่างราบรื่นก่อตัวเป็นคำแนะนำ
ด้วยอิทธิพลของคำแนะนำนี้ เมื่อเด็กหนุ่มถูกหวังเป่าเล่อขัดจังหวะก็ได้สติจากเสียงดนตรี และหันมามองหวังเป่าเล่อ เดิมทีเขาควรจะรู้สึกไม่พอใจ แต่น่าแปลกที่กลับรู้สึกสนิทสนมกับคนตรงหน้าอย่างมาก จึงระงับความขุ่นมัวเอาไว้ แล้วเอ่ยถามด้วยความใจเย็น
“สหายเต๋าผู้นี้มีอะไรหรือ”
“สหายเต๋า ข้าน้อยเสวียนหมิงจื่อ มาเยือนเมืองปรารถนาเสียงเป็นครั้งแรกและเห็นว่าทุกคนกำลังฟังการแสดงดนตรีนี้แล้วทำท่าทางราวกับได้รู้แจ้ง หลังจากได้ฟังการแสดงดนตรี ในใจข้าก็เกิดความปีติยินดีอย่างยิ่ง มือไม้ร่ายรำจนไปโดนสหายเต๋าเข้า ขอสหายเต๋าโปรดอย่าสนใจ” หวังเป่าเล่อเผยรอยยิ้มอ่อนโยนและด้วยอิทธิพลของพลังปราณแห่งสุข ร่างกายของเขาจึงแผ่ปราณที่ชวนให้ผู้คนมีความสุขไปด้วย
เด็กหนุ่มที่ถูกคำแนะนำไปแล้ว และยังถูกอิทธิพลจากปราณแห่งสุขไม่ได้ติดใจการขัดจังหวะของหวังเป่าเล่อ เขายังยืนพูดคุยกับหวังเป่าเล่อไปพร้อมกับฟังดนตรีด้วย
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม การแสดงก็จบลง ทั้งสองล้วนมีท่าทีพออกพอใจ เมื่อฝูงชนสลายตัว หวังเป่าเล่อก็เป็นฝ่ายเชื้อเชิญ เด็กหนุ่มตกลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นในไม่ช้าทั้งสองจึงไปนั่งอยู่ในร้านอาหารแห่งหนึ่งด้วยท่าทางราวกับเสียใจที่ไม่ได้พบกันเร็วกว่านี้
ในการพูดคุยครั้งนี้หวังเป่าเล่อก็ทราบตัวตนของอีกฝ่ายแล้ว คนผู้นี้คือชาวพื้นเมืองของเมืองปรารถนาเสียง แต่ด้วยต้นทุนธรรมชาติของเขาจึงไม่ได้เข้าร่วมสำนักของเมืองปรารถนาเสียง และเป็นเพียงบริกรในร้านดนตรีเท่านั้น
แต่เขารู้ข่าวคราวในเมืองปรารถนาเสียงไม่น้อยเลย เพราะต้องพบปะผู้คนมากมายในแต่ละวัน ตัวอย่างเช่นหวังเป่าเล่อได้รู้จากเขาว่าในเมืองปรารถนาเสียงมีถึงสามสำนักใหญ่
สำนักเหอเสียนเป็นเพียงหนึ่งในนั้น อีกสองสำนักแบ่งเป็นสำนักเหิงฉินและเต๋าแห่งจังหวะดนตรี
สามสำนักนี้คือผู้ที่มีอำนาจที่สุดในเมืองปรารถนาเสียง และเหนือขึ้นไปกว่าพวกเขาก็คือเจ้าปรารถนาเสียง
นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังได้รู้ทฤษฎีพื้นฐานเกี่ยวกับการฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงจากการแอบถามอ้อมๆ มาบ้าง
ในการฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง การรู้แจ้งนั้นกินพื้นที่แทบทั้งหมด ตัวอย่างเช่นการแสดงดนตรีก่อนหน้านี้ก็คือการทดสอบเบื้องต้นของสำนักเหอเสียน แต่ผู้ที่สามารถรวบรวมอักขระเสียงของตนออกมาได้จากการแสดงดนตรีจะมีคุณสมบัติได้เข้าร่วมสำนักเหอเสียน
“น่าเสียดาย การรู้แจ้งเช่นนี้ต้องดูวาสนา ดูต้นทุนธรรมชาติ ข้าฟังการแสดงดนตรีของสามสำนักใหญ่มาหลายครั้ง แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สำเร็จ” เด็กหนุ่มเสียใจมาก เขาดื่มสุรารวดเดียวขณะหวังเป่าเล่อปลอบใจ
“สหายเต๋าเสวียนหมิง เจ้ามาเมืองปรารถนาเสียงเป็นครั้งแรก หากมีต้นทุนธรรมชาติได้เข้าร่วมสามสำนักใหญ่จะต้องรุ่งโรจน์เป็นแน่ ข้าแนะนำให้เจ้าตั้งหลักอยู่ที่นี่ก่อน คอยฟังการแสดงดนตรีของสามสำนักใหญ่หลายๆ ครั้ง”
“จะฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงนั้นการรู้แจ้งเป็นสิ่งสำคัญมาก” เด็กหนุ่มรู้สึกดีกับหวังเป่าเล่อ ดังนั้นสิ่งที่เขาพูดจึงจริงใจอย่างยิ่ง หวังเป่าเล่อพยักหน้าและถามอีกไม่กี่ประโยคก็ค่อยๆ เข้าใจการฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงขั้นพื้นฐานขึ้นมาบ้างแล้ว
ตัวอย่างเช่น การฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงก็คือการรังสรรค์บทเพลงที่สมบูรณ์ขึ้นมา แต่ไม่ได้จำกัดเพียงบทเพลงเดียว จากที่เด็กหนุ่มเล่าให้ฟัง ผู้แข็งแกร่งของสามสำนักใหญ่สามารถรังสรรค์บทเพลงได้ตั้งแต่สองบทเพลงขึ้นไป
แต่ไม่ว่าอย่างไรอักขระเสียงหลักล้วนสำคัญมาก การมีอักขระเสียงหลักเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการทำให้ดนตรีของตนสมบูรณ์แบบ จากนั้นก็เพิ่มอักขระเสียงอย่างต่อเนื่อง สับเปลี่ยนเป็นครั้งคราว จนกระทั่งสร้างสรรค์ดนตรีที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุดออกมาและสร้างความสมบูรณ์แบบในขั้นสุดท้าย
ในความสมบูรณ์แบบขั้นสุดท้ายนั้นทั้งสามสำนักจะไม่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่นสำนักเหอเสียนจะให้ความสำคัญกับการเพิ่มเนื้อเพลงจนกลายเป็นบทเพลง แต่สำนักเหิงฉินจะต่างออกไป พวกเขาให้ความสำคัญกับอารมณ์ที่แสดงออกมาจากดนตรีโดยไม่มีเนื้อเพลงใดๆ มาช่วย
ส่วนเต๋าแห่งจังหวะดนตรีนั้นเน้นธรรมชาติเป็นหลัก ให้ความสำคัญกับเสียงของทุกสรรพสิ่ง ไม่จำกัดเฉพาะดนตรี ใช้อะไรก็ได้ จุดประสงค์คือสร้างเสียงมวลมหาธรรมชาติ
แต่ไม่ว่าอย่างไรสุดท้ายแล้วทั้งสามสำนักล้วนทำให้ผู้ฝึกตนแปลงร่างเป็นเสียงดนตรีและหลอมรวมเข้ากับสวรรค์และโลก
“ตามตำนานยังมีอีกอาณาจักรหนึ่งคือทำให้นับจากนี้โลกใบนี้ปรากฏเสียงที่ไม่เคยมีมาก่อน…ว่ากันว่าอาณาจักรนี้คืออาณาจักรที่ใกล้ชิดกับเจ้าปรารถนามากที่สุด”
……………………..
นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อเห็นเมืองปรารถนาเสียง แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ยินเกี่ยวกับรูปร่างของมัน
ในความเป็นจริงมีข่าวลือเกี่ยวกับเมืองปรารถนาเสียงมากมาย ช่วงเวลาที่อยู่ในเมืองปรารถนารสหวังเป่าเล่อจึงย่อมได้ยินมาเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น มีข่าวลือว่าจริงๆ แล้วมีศีรษะขนาดยักษ์ฝังอยู่ใต้เมืองปรารถนาเสียง และส่วนหูที่โผล่ออกมาก็ถูกสร้างเป็นเมือง
นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่าไม่มีศีรษะอะไรอยู่ใต้ดินทั้งนั้น นี่เป็นเพียงหูที่ถูกเหล่าทวยเทพตัดขาดเมื่อหลายปีก่อนและโยนทิ้งไว้ที่นี่
แต่ ณ เวลานี้สิ่งที่หวังเป่าเล่อซึ่งยืนอยู่นอกเมืองปรารถนาเสียงเห็นกลับไม่ใช่แบบนั้น ตาเปล่าของเขามองเห็นใบหูยักษ์ใหญ่ที่ราวกับหินโคลนแกะสลัก แต่เมื่อแผ่ขยายกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงออกไป เขากลับได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาจากเมือง
เสียงร้องไห้นี้ช่างเศร้าโศกนัก ราวกับถูกทรมานอยู่ตลอดเวลา แต่…ด้วยการหลอมรวมของเสียงร้องไห้ พลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงก็ยิ่งกระตือรือร้นราวกับว่าการฟังเสียงร้องไห้สามารถกระตุ้นกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้
“ไม่สิ!” สีหน้าหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วเขาก็รู้สึกว่าข้อสันนิษฐานของตนยังมีจุดที่ผิดอยู่ แวบแรกก็ดูเหมือนจะเป็นเสียงร้องไห้จากเมืองปรารถนาเสียง ทว่าหากเจาะจงอย่างละเอียดจะรู้สึกได้ว่าในเสียงร้องไห้มีเสียงอื่นๆ นับไม่ถ้วน
เสียงทั้งหมดมารวมตัวกัน และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงก่อตัวเป็นเสียงร้องไห้
ขณะเดียวกันเสียงนี้ก็ดูเหมือนจะมาจากเมืองปรารถนาเสียง แต่ในความเป็นจริง…ไม่ใช่ เพราะมันดังมาจากทั่วทุกสารทิศ
“เมืองปรารถนาเสียงนี่ก็เหมือนเครื่องรับขนาดใหญ่ รับเสียงจากทุกสรรพสิ่งในโลกาชั้นที่สอง!” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึม
“หรือพูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นคือสิ่งที่ข้ากำลังได้ยินอยู่นี้คือโลกอันน่าพิศวงที่มีเพียงผู้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเท่านั้นที่จะสัมผัสได้” หวังเป่าเล่อหรี่ตามองเมืองรูปร่างเหมือนหูนั่นอีกครั้ง
เมื่อพิจารณาจากตำแหน่งที่เขาอยู่แล้ว ภายในเมืองนั้นพร่าเลือน ไม่ชัดเจนราวกับถูกปกคลุมด้วยหมอกหนา เขาเข้าใจว่าสิ่งนี้น่าจะเกิดจากค่ายกลของเมืองปรารถนาเสียง
ขณะไตร่ตรองร่างกายก็ไม่ได้หยุดนิ่ง เขาพุ่งไปยังเมืองปรารถนาเสียงที่อยู่สุดปลายสายตา
ที่นี่ไม่เหมือนเมืองปรารถนารส เมืองปรารถนาเสียงไร้ประตูเมือง!
มันให้ความรู้สึกราวกับว่าที่นี่เปิดเผยอย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระซึ่งแท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น การมาของหวังเป่าเล่อไม่ได้ถูกขัดขวางแต่อย่างใดและไม่ได้รู้สึกถึงความผันผวนของค่ายกลใดๆ ด้วย
นอกจากนี้เขาสังเกตเห็นว่าผู้คนที่เข้าเมืองมาก็เช่นกัน ในฐานะหนึ่งในเมืองใหญ่ของโลกาชั้นสองจึงมีผู้คนมากมายมายังเมืองปรารถนาในแต่ละวัน และหวังเป่าเล่อซึ่งเป็นหนึ่งในนั้นก็ไม่ได้ทำให้เกิดความวุ่นวายแม้แต่น้อย
การเข้ามาในเมืองปรารถนาเสียงอย่างง่ายดายเช่นนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อประหลาดใจเล็กน้อย แต่ที่ทำให้เขายิ่งประหลาดใจก็คือทันทีที่เดินเข้าไปในหมอกหนาทึบ หูของเขาก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย
เสียงนั้นดังเจี๊ยวจ๊าวและอึกทึกครึกโครม แล้วยังมีคลื่นความร้อนลอยมาปะทะใบหน้า
ทั้งหมดนี้รวมกับสิ่งที่สายตาเขามองเห็นในขณะนี้ ทำให้เกิดความผันผวนอย่างรุนแรงในจิตใจหวังเป่าเล่อ
สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาคืออาคารสูงในเมือง รวมถึงรถเหาะที่วิ่งสัญจรไปตามท้องถนน
หวังเป่าเล่อตะลึงงันกับภาพที่เห็น เมื่อครู่ที่เขาอยู่ข้างนอก สถานที่แห่งนี้พร่าเลือนจึงมองไม่ชัด แต่ตอนนี้การได้เห็นภาพอันคุ้นเคยด้วยตาตัวเองก็ทำให้ดวงตาเบิกโพลง
ความจริง…ทุกอย่างที่นี่คล้ายกับสหพันธรัฐมาก หรือกล่าวโดยตรงแล้ว คือแทบจะเหมือนกันทุกประการ
อาคารสูงระฟ้า รถบินได้ และดวงไฟหลากสี ทั้งหมดเต็มไปด้วยกลิ่นอายการผสมผสานระหว่างความทันสมัยและเทคโนโลยี ทำให้หวังเป่าเล่อเกือบคิดว่าตนได้กลับไปสู่สหพันธรัฐแล้ว
หากไม่ใช่ว่าเสื้อผ้าของคนเดินสัญจรไปมายังมีความแตกต่างจากสหพันธรัฐอยู่บ้าง หวังเป่าเล่อก็คงแยกไม่ออก
“เป็นไปได้ยังไง…” หวังเป่าเล่อหายใจถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย เขาเดินอยู่บนถนน มองคนผ่านไปผ่านมา มองรูปแบบสถาปัตยกรรมที่คุ้นเคย ใบหูได้ยินเสียงรถเหาะดังมาเป็นระยะ ทุกอย่างแตกต่างจากเมืองปรารถนารสอย่างสิ้นเชิงเหมือนกับว่าที่นี่และเมืองปรารถนารสคือสองอารยธรรมที่แตกต่างกัน
ขณะมึนงงสับสน หวังเป่าเล่อก็ชะงักฝีเท้ากะทันหัน ก่อนจะเงยหน้ามองตึกสูงที่อยู่ไกลๆ บนผนังของตึกนั้นมีการฉายภาพขนาดใหญ่เป็นภาพสตรีผู้หนึ่งสวมชุดที่ทำจากขนนก ทั้งงดงามและยั่วยวน นางกำลังร้องเพลง เสียงเพลงนั้นดังไปทั่วทุกสารทิศ น่าอภิรมย์อย่างยิ่ง
และภาพฉายขนาดใหญ่นี้ก็ไม่ต่างจากคนจริงๆ ขณะร้องเพลงนางเดินออกมาจากตึกสูง ยืนอยู่บนอากาศราวกับมีชีวิตจริงๆ เดินร้องเพลงไปตามริมถนนเหมือนกับทุกที่ที่เดินผ่านคือเวทีของนางและยังเดินทะลุร่างหวังเป่าเล่อไปด้วย
หวังเป่าเล่อมองทุกอย่างอย่างเงียบเชียบ และเงยหน้ามองท้องฟ้าอีกครั้ง ก่อนจะออกเดินต่อ เขากำลังจะไปหาที่พัก พักก่อนแล้วค่อยดูสิ่งอื่น แต่หลังจากเดินไปได้ไม่ไกล ม่านแสงที่ผนังของตึกสูงเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไปราวกับว่าแหล่งสัญญาณถูกพรากไปทันทีทันใด
สิ่งที่สว่างวาบขึ้นมาแทนคือหอแสดงดนตรีขนาดใหญ่
ในภาพมีวงดนตรีวงหนึ่งกำลังเดินขึ้นไปบนเวที ขณะเดียวกันก็มีเสียงเบื้องหลังที่มาพร้อมอารมณ์เร่าร้อนแพร่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ
“ท่านผู้มีเกียรติทุกท่านในเมืองปรารถนาเสียง ข้าอยากจะบอกทุกท่านอย่างเป็นทางการว่าด้วยความพยายามสื่อสารอย่างหนักของพวกเรา ในที่สุดสำนักเหอเสียนก็ตกลงที่จะจัดศิษย์ในสำนักพร้อมด้วยวงดนตรีของนาง ไปแสดงเสียงแห่งธรรมชาติให้พวกเรา!”
“พวกท่านดูสิ คนแรกที่ขึ้นไปบนเวทีที่สวมชุดคลุมสีม่วงยาวนั้น ก็คือเยว่หลิงจื่อแห่งสำนักเหอเสียน!”
เสียงก้องกังวานดังขึ้นพร้อมกับม่านแสงนอกตึกสูงค่อยๆ กลายเป็นฉากหลังงานแสดงดนตรี ผู้คนในเมืองปรารถนาเสียงทยอยหยุดฝีเท้าและเงยหน้ามองม่านแสงที่ใกล้ที่สุด หวังเป่าเล่อที่อยู่ในฝูงชนก็เช่นกัน
ในไม่ช้าก็เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ
“การแสดงดนตรีสาธารณะของสำนักเหอเสียน!”
“เพราะเป็นหนึ่งในสามสำนักใหญ่แห่งเมืองปรารถนาเสียง จึงน้อยมากที่ศิษย์ในสำนักเหอเสียนจะมาทำการแสดงต่อสาธารณะ!”
“โอกาสที่หาได้ยากยิ่ง!!”
“การแสดงแบบนี้สำหรับพวกเราเรียกได้ว่าเป็นวาสนาแล้ว หากสามารถรู้แจ้งจากการแสดงนี้และรวบรวมอักขระเสียงของตนได้ก็จะสามารถใช้อักขระเสียงเข้าร่วมสำนักเหอเสียนได้!”
ท่ามกลางเสียงอึกทึกและเสียงจอแจจากการพูดคุย สายตาหวังเป่าเล่อเพ่งมองไปบนม่านแสงหนึ่ง มองไปยังวงดนตรีบนภาพนั้น โดยเฉพาะสตรีชุดม่วงที่เดินอยู่หน้าสุด
นางหน้าตาสะสวย แต่กลับเย็นชา แม้จะมีร่างกายเด่นชัด แต่หากพินิจอย่างถี่ถ้วนแล้ว จะเห็นว่าร่างกายนั้นอยู่ระหว่างจริงและลวงราวกับว่ามันสามารถกลายเป็นโน้ตดนตรีลอยหายไปได้ทุกขณะ
เทียบกับนางแล้วทุกคนที่อยู่ข้างหลังดูเหมือนใบไม้สีเขียว เห็นได้ชัดว่าแก่นแท้ของวงดนตรีคือสตรีผู้นี้
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ… บนร่างของสตรีชุดม่วงผู้นี้ หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึง…กลิ่นอายเมล็ดพันธุ์เต๋าที่อยู่บนตัวนักแสดงหญิงชุดขาวผู้นั้นที่เขาเคยเจอ
…………………………………………….
ฟ้าสว่างแล้ว
แสงตะวันแรกสาดส่อง ที่ด้านนอกป่าของโลกาชั้นที่สอง หวังเป่าเล่อเดินออกมาด้วยสีหน้าพึงพอใจ เขาเดินไปพลางก็ลูบท้องไปพลาง ท่าทางดูอิ่มหนำสำราญนัก
ต้นไม้ในป่าด้านหลังที่ล้มระเนระนาด บ่งบอกได้ชัดว่ามีร่องรอยการโจมตีด้วยพลังมหาศาล
เมื่อคืนที่ผ่านมาเขาอยู่ในป่าแห่งนี้ หลังจากรวบรวมสิ่งมีชีวิตจากกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้มากพอแล้ว หวังเป่าเล่อก็ปลดปล่อยกฎเกณฑ์ปรารถนารสออกมา แล้วเพลิดเพลินกับงานเลี้ยงอย่างตะกละตะกลาม
ต้องบอกว่าสิ่งมีชีวิตจากกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเหล่านั้น แม้จะแปลกประหลาดอยู่บ้าง ทว่าพลังของพวกมันแต่ละตัวกลับแข็งแกร่งมาก แต่จากการวิเคราะห์แล้วนั้น หลังจากหวังเป่าเล่อแปลงร่างเป็นเจ้าสวาปามก็จัดการพวกมันได้ไม่ยาก
ถึงอย่างไรกฎเกณฑ์ปรารถนารสและกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงก็อยู่ในระดับเดียวกัน ส่วนเจ้าสวาปาม…ก็เป็นหนึ่งในแหล่งกำเนิดกฎเกณฑ์ปรารถนารส หากเทียบเช่นนี้เมื่อเขาแปลงร่างเป็นเจ้าสวาปาม ผู้ที่สามารถต่อกรกับเขาได้ก็มีเพียงผู้ฝึกตนนักร้องที่มีดนตรีสมบูรณ์
ดังนั้นสำหรับหวังเป่าเล่อแล้วนี่ก็คืองานเลี้ยงฉลองดีๆ นี่เอง ส่วนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงแม้จะถูกกฎเกณฑ์ปรารถนารสกลืนกินไปไม่น้อย ทว่าเส้นไหมสีครามที่ดูดซับมานั้นไม่เพียงซ่อมแซมมันให้เหมือนเดิม แต่ยังเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ตอนนี้การก่อตัวของอักขระเสียงหลักตัวที่สองของเขาก็อยู่ห่างออกไปเพียงครึ่งทางเท่านั้น
เพียงแต่ในการฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง สิ่งที่หวังเป่าเล่อเชี่ยวชาญเป็นเพียงวิธีเรียบง่ายและหยาบกระด้าง เขาเชื่อว่าในเมืองปรารถนาเสียงน่าจะมีความเข้าใจที่ดีกว่านี้เพื่อให้รับรู้ความคืบหน้าได้
และสิ่งที่ทำให้เขาพอใจยิ่งกว่าคือกฎเกณฑ์ปรารถนารสได้ประโยชน์มากมายจากงานเลี้ยงครั้งนี้ บัดนี้ร่างปรารถนารสของเขาสูงขึ้นถึง 690 จั้งแล้ว ห่างจาก 700 จั้งเพียงนิดเดียวเท่านั้น
และ 700 จั้งก็เป็นความสูงอันดับหนึ่งของเจ้าสวาปามในเมืองปรารถนารส
หวังเป่าเล่อหันหน้ารับแสงอาทิตย์ด้วยจิตใจอิ่มเอม ขณะเหาะไประหว่างฟ้าดินก็ยังทำท่าว่าอยากจะดึงดูดสิ่งมีชีวิตจากกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง ความเร็วของเขาไม่ช้าไม่เร็ว หูตั้งตรง กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงไหลเวียนทิ้งเจตจำนงไว้ทุกแห่ง
แต่จนถึงเที่ยงวัน หวังเป่าเล่อก็ต้องประหลาดใจที่พบว่าระหว่างทางไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จากโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเลยซึ่งนั่นทำให้หวังเป่าเล่ออดคิดไม่ได้
“หรือว่าเมื่อวานนี้ข้าสังหารมากไป?”
“ไม่สิ พูดให้ชัดเจนคือเมื่อวานตอนกลางวันข้าก็ไม่รู้สึกถึงพวกมันเลยสักนิด ครั้งแรกที่สัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตในโลกปรารถนาเสียงก็คือตอนค่ำคืนอันมืดมิดมาเยือน”
ดวงตาหวังเป่าเล่อฉายแววครุ่นคิด เขาคาดเดาบางอย่างได้แล้ว
“บางทีสิ่งมีชีวิตในโลกปรารถนาเสียงอาจถูกแยกออกไปในเวลากลางวันของโลกนี้ เวลากลางคืนเท่านั้นที่พวกมันจะซ้อนทับกันและปรากฏในการรับรู้ของผู้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง”
“ข้อพิสูจน์นี้เมื่อถึงกลางคืนก็จะรู้เอง” หวังเป่าเล่อคิดได้แล้วจึงออกเดินทางต่อ จนกระทั่งผ่านไปหลายชั่วยาม เมื่อสายัณห์ผ่านพ้น ดวงจันทร์สว่างไสวลอยเด่น กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของเขาก็ไหลเวียน ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงลมหวีดหวิว
นี่ไม่ใช่ลมในโลกที่เขาอยู่ แต่เป็นลมที่พัดมาจากโลกซึ่งสัมผัสได้ด้วยกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเท่านั้น
ในสายลมดูเหมือนจะนำบางสิ่งมาตกใส่เขาด้วย คล้ายกับเกสรที่พยายามจะหยั่งรากลึกเข้าไปในเลือดเนื้อ แต่ดูเหมือนว่าร่างกายของหวังเป่าเล่อจะแข็งเกินกว่าที่เกสรเหล่านี้จะเจาะเข้าไปได้ ดังนั้นพวกมันจึงจากไปกับสายลม
เมื่อสัมผัสได้ถึงทุกสรรพสิ่ง หวังเป่าเล่อก็แย้มยิ้ม เขาพบว่าตนชอบยามค่ำคืนอันมืดมิดของโลกแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงมากกว่ายามกลางวัน
และความชอบนี้ก็ดำเนินไปอีก 20 กว่าวัน
20 กว่าวันนี้ หวังเป่าเล่อเดินทางไปพร้อมกับอดทนให้กลางวันผ่านพ้น เฝ้ารอยามค่ำคืนที่จะมาถึง ในค่ำคืนมืดมิดเขากลายเป็นคบเพลิงดึงดูดสิ่งมีชีวิตของโลกปรารถนาเสียงครั้งแล้วครั้งเล่า กลายร่างเป็นเจ้าสวาปามครั้งแล้วครั้งเล่า ดูดซับและกลืนกินครั้งแล้วครั้งเล่า
อักขระเสียงของเขาสร้างขึ้นมาได้ห้าตัวแล้ว
ร่างปรารถนารสก็ทะลุ 800 จั้งไปเป็น 860 กว่าจั้ง หวังเป่าเล่อกลายเป็นเจ้าสวาปามอันดับหนึ่งอย่างแท้จริง
ทว่า ก็เกิดวิกฤตขึ้นถึงสองครั้ง
ครั้งแรกคือเมื่อ 11 วันก่อน คบเพลิงที่เขาแปลงขึ้นดึงดูดความสนใจสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงกลัวมาตัวหนึ่ง สิ่งมีชีวิตจากโลกปรารถนาเสียงตัวนั้น แม้หวังเป่าเล่อจะไม่รู้ว่ามันรูปร่างหน้าตาอย่างไร แต่ด้วยกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเขาจึงพอจะสร้างภาพในหัวได้อย่างเลือนราง
มันน่าจะเป็นศพที่เติบโตอยู่บนพิณ ไม่ว่าศพนี้จะเดินไปที่ใดก็จะมีเสียงดนตรีที่ทำให้เลือดเนื้อพังทลายดังขึ้น แม้หวังเป่าเล่อจะกลายร่างเป็นเจ้าสวาปามก็ยังต้องสูญเสียพลังไปไม่น้อยกว่าจะผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปได้
จากการวิเคราะห์และคาดการณ์หลังเหตุการณ์นั้นผ่านไปแล้ว เขารู้สึกว่าเจ้าสิ่งนี้…ไม่น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตพื้นเมืองในโลกปรารถนาเสียง แต่มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นผู้ฝึกตนนักร้องนิรนามที่ไม่รู้ว่าเสียชีวิตไปนานเท่าไรแล้ว
ผู้ฝึกตนนี้ยามมีชีวิตอยู่คงจะได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี แต่อีกฝ่ายเสียชีวิตในโลกปรารถนาเสียงและศพของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติบางอย่างจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกับแหล่งกำเนิด แม้กฎเกณฑ์ปรารถนารสของหวังเป่าเล่อจะอยู่ระดับเจ้าสวาปาม แต่ก็ไม่สามารถคงอยู่ได้นานนัก มิเช่นนั้นมันจะกลืนกินกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของเขามากเกินไป
นี่คือเหตุผลหลักที่ทำให้เขาต้องหนี
เพราะทันทีที่เขาจนมุม เขาต้องรักษาสภาพเจ้าสวาปามไว้ต่อไป และในที่สุด…กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของเขาจะถูกกลืนกินจนหมดสิ้น ถึงเวลานั้นต่อให้เขาชนะ แต่ก็ยังสูญเสียมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลถึงการจัดการในอนาคต
ครั้งนี้ได้ทำให้หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งกลืนกินอย่างบ้าคลั่งมีสติขึ้นมาก
ครั้งที่สองคือเมื่อสามวันก่อน เขาพบกับอันตรายครั้งใหญ่ มันคือเสียงนกหวีด ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในโลกปรารถนาเสียงก็วิ่งไปยังที่ที่เสียงนกหวีดดังอย่างควบคุมไม่ได้
หวังเป่าเล่อตกใจยิ่งกว่าเมื่อพบว่าร่างกายของเขาเองก็เช่นกัน ดูเหมือนว่าเสียงนกหวีดนี้จะมีพลังเขย่าจิตวิญญาณและสามารถควบคุมทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเขาได้
ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ เขาต้องหนีจากวิกฤตอีกครั้งด้วยพลังควบคุมของร่างต้นแบบและพลังแห่งเจ้าสวาปาม สุดท้ายอันตรายทั้งสองนี้จึงทำให้หวังเป่าเล่อค่อยๆ ปัดเป่าความคิดที่จะกลืนกินเพื่อเสริมความแข็งแกร่งของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงอยู่ด้านนอกออกไป
เขาคิดว่าสิ่งที่ตนต้องทำตอนนี้คือรีบไปยังเมืองปรารถนาเสียงให้เร็วที่สุด เพื่อทำความเข้าใจความลับของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเข้าใจโลกใบนั้นที่มีเพียงกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเท่านั้นที่รับรู้ได้ จึงจะสะดวกต่อการฝึกฝนกฎเต๋าของเขาที่สุด
หากเขายังอยู่ข้างนอกต่อไป แม้จะหลีกเลี่ยงอันตรายทั้งสองได้สำเร็จและเพิ่มอักขระเสียงหลักได้เล็กน้อย แต่เขาก็รู้ดีว่าตราบใดที่มีเหตุไม่คาดฝันเพียงครั้งเดียว กำไรทั้งหมดที่เขาได้รับแม้จะพูดไม่ได้ว่าเสียเปล่า แต่ในกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงนั้นจะต้องเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่หรือไม่ก็หายไปอย่างสมบูรณ์แน่
ราคาที่ต้องจ่ายนี้หวังเป่าเล่อไม่อาจรับไหว ดังนั้นหลังจากชั่งน้ำหนักแล้ว เขาก็เพิ่มความเร็วขึ้น และในที่สุด…หลังจากผ่านไปอีกห้าวัน หวังเป่าเล่อก็เห็นเมืองเมืองหนึ่งปรากฏอยู่บนขอบฟ้าไกลๆ
รูปทรงของเมืองนี้พิเศษมาก…
มันมีรูปร่างคล้ายหู ราวกับว่ามีศีรษะยักษ์นอนตะแคงข้างและฝังอยู่ในพื้นดิน โดยมีเพียงหูข้างเดียวที่โผล่ขึ้นมาจากพื้น
ที่นี่คือ… เมืองปรารถนาเสียง
……………………………………………..

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไม่พูดอะไร มองดูความว่างเปล่า แต่เห็นได้ชัดว่าบริเวณรอบๆ คึกคักมาก เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพ่นลมหายใจเย็นเยียบ ไม่สนใจคำพูดของอีกฝ่ายและกะพริบร่างพุ่งต่อไป

หวังเป่าเล่อรวดเร็วมากเพียงพริบตาเดียวก็ทะลุผ่านปราการพุ่งออกไป เพียงแต่…ยิ่งเขาพุ่งออกไปมากเท่าไ เสียงรอบตัวก็ยิ่งเซ็งแซ่ ลมหายใจบนท้องฟ้าก็ยิ่งใกล้เข้ามา และเขายังได้ยินเสียงคลานอึกทึกจากที่ไกลๆ ด้วย

ทุกอย่างกำลังบอกเขาว่า สถานการณ์ในตอนนี้อันตรายมาก

และตอนนี้เสียงแผ่วเบานั่นก็เริ่มดุดันขึ้นเล็กน้อยและยังคงดังก้องอยู่ในหู

 พี่ชาย เจ้าคงไม่ได้ไม่มีดนตรีหรอกใช่ไหม 

 หากเป็นเช่นนั้นข้าก็ควบคุมไม่ไหวแล้วนะ 

 แต่ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกสักครั้ง… 

เห็นได้ชัดว่ามีเสียงกลืนน้ำลายดังมาพร้อมกับเสียงพูด หวังเป่าเล่อจำต้องหยุดฝีเท้าเพราะเขารู้สึกว่ามีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่อีกตัวอยู่ข้างหน้า กลายเป็นกำแพงขวางเขาไว้

เห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจ เขาไม่ได้บิดเบือนเจตนาของอีกฝ่ายอีกต่อไป ถึงอย่างไรการคลายกฎเกณฑ์ปรารถนารสก็ยังค่อนข้างยุ่งยาก

ดูเหมือนว่าการจัดการสถานการณ์ตรงหน้าจะไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น สิ่งเดียวที่ทำให้เขาไม่สบายตัวคืออักขระเสียงหลักของตน…

อันที่จริงนับตั้งแต่อักขระเสียงหลักก่อตัวขึ้น เขามักจะเก็บมันไว้ในร่างกายเสมอและไม่เคยเอ่ยถึงมันเลย เพราะหวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่า…คำตอบที่ได้รับจะส่งผลกระทบต่ออารมณ์ของเขาด้วย

เขายังเคยสงสัยว่านี่คือสิ่งที่ร่างต้นแบบจงใจมอบให้

แต่การไม่ปลดปล่อยมันออกมาก็ไม่ใช่เรื่องดี ดังนั้นหลังจากหวังเป่าเล่อเงียบเสียง กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงในร่างกายก็ขยับเล็กน้อย และเมื่อมันเคลื่อนไหว อักขระเสียงอันสว่างไสวในร่างกายก็ดูเหมือนจะดึงดูดปราณกังวานและส่งเสียงออกมาเล็กน้อย เสียงนี้ทะลุร่างหวังเป่าเล่อออกมาและแพร่กระจายไปในโลกกลายเป็นเสียงเสียงหนึ่ง

 ฟู่… 

ทันทีที่เสียงถูกปล่อยออกมา หวังเป่าเล่อก็หน้ามืดไปเล็กน้อย แต่เขายังคงระงับความรู้สึกไม่สบายไว้ได้ แต่ว่า…ในการรับรู้จากกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนรอบตัวเขาดูเหมือนจะตกตะลึงไปครู่หนึ่ง

 นี่มัน…ดนตรีอะไร  ในไม่ช้าเสียงแผ่วเบาจากก่อนหน้านี้ก็ดังขึ้นในหูของเขา แต่เห็นได้ชัดว่าเมื่อเปรียบเทียบกับก่อนหน้านี้ น้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความสงสัย

 ข้าได้ยินไม่ชัด เจ้าปล่อยมาอีกอันได้ไหม 

ใบหน้าของหวังเป่าเล่อกลับยิ่งบิดเบี้ยว หลังจากเงียบไปก็สั่นอักขระเสียงในร่างอีกครั้ง ส่งผลให้เสียงของดังออกมาอีกรอบ

 ฟู่… 

บริเวณโดยรอบเงียบลงทันที ความเงียบนี้กลายเป็นบรรยากาศแปลกประหลาด ราวกับว่าในโลกที่กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงสามารถรับรู้ได้ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่รอบๆ ในเวลานี้กำลังนิ่งเงียบ

 อีกครั้งสิ  เสียงแผ่วเบาพูดต่ออย่างดื้อรั้น

ตอนนี้เส้นเลือดบนหน้าผากหวังเป่าเล่อค่อยๆ ปูดโปน อารมณ์ของเขามาถึงขีดสุด เขาอดกลั้นความรู้สึกไม่สบายและปล่อยอักขระเสียงหลักสองครั้ง แต่อีกฝ่ายเอาแต่ขอซ้ำแล้วซ้ำเล่าซึ่งนั่นทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่า เขากำลังละเมิดหลักการของตนเอง

หวังเป่าเล่อคิดมาตลอดว่าตนไม่เหมือนกับร่างต้นแบบ ร่างต้นแบบไม่เอ่ยถึงหลักการ ร่างต้นแบบกระหายเลือด ร่างต้นแบบกระหายสงคราม แต่ตัวเขาแค่โต้กลับเมื่อถูกกระทำเท่านั้น

อย่างเช่นตอนนี้ เขารู้สึกว่าถึงเวลาที่ตนควรจะสู้กลับแล้ว

 ปล่อยๆๆ ปล่อยมารดามันสิ!!  หวังเป่าเล่อโมโหแล้ว กฎเกณฑ์ปรารถนารสในร่างกายพลันถูกกระตุ้นทันที ฉับพลันร่างก็ระเบิดสูงขึ้นมากกว่า 600 จั้ง พลังปราณบ้าคลั่ง แรงสยบอันน่าสะพรึงกลัว รวมถึงฝันร้ายแห่งปรารถนาหลายสิบตัวกระจายไปทั่วพื้นดิน

ร่างกายของเขาขยายใหญ่ขึ้นและพริบตาที่กฎเกณฑ์ปรารถนารสปะทุ มือขวายักษ์ก็ยกขึ้นคว้าความว่างเปล่าทางด้านขวาราวกับกำลังจับอะไรบางอย่างแล้วกระแทกมันลงกับพื้น

ท่ามกลางเสียงคำราม หลุมลึกปรากฏขึ้นที่พื้น และราวกับยังไม่สาแก่ใจ หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นกำหมัดแน่น ก่อนจะทุบลงพื้นอย่างดุเดือด หลังจากพื้นดินแตกเป็นเสี่ยงๆ และเกิดหลุมลึก เขาจึงหยุด

ในเวลาเดียวกันพลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงที่กำลังถูกเขากลืนกินอย่างรวดเร็วก็แผ่สัมผัสเชื่อมต่อ ทำให้เขารับรู้ได้ว่าในระหว่างกระบวนการนี้ มีเสียงถอยกรูดังขึ้นจำนวนมาก

ราวกับว่าในพริบตาที่สิ่งมีชีวิตที่เคยรายล้อมเห็นกฎเกณฑ์ปรารถนารสเปลี่ยนหวังเป่าเล่อเป็นเจ้าสวาปาม พวกมันก็รีบถอยหนีไปอย่างตื่นตระหนก นั่นทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งสีหน้าบิดเบี้ยวและรีบผนึกกฎเกณฑ์ปรารถนารสอีกครั้ง ในชั่วพริบตาร่างกายของเขาก็กลับมาเป็นปกติ ใบหน้ากลับมาอ่อนเยาว์เช่นเดิม

เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เขาปวดใจคือตอนนี้อักขระเสียงหลักที่ก่อตัวจากกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้หายไปหนึ่งส่วน เขาเองก็ไม่รู้ว่าหนึ่งส่วนที่หายไปจะทำให้เสียงเปลี่ยนไปหรือไม่

แต่สุดท้ายนั่นก็ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกไม่สบายใจ โดยเฉพาะเมื่อเขาต้องทนกับความไม่สบายและต้องประนีประนอม แต่อีกฝ่ายกลับไม่พอใจให้เขาปล่อยเสียงซ้ำๆ แล้วยังมีคำว่าปล่อยนั่นอีก…นี่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกโมโหขึ้นมา

แค่นึกถึงความเลวร้ายของร่างต้นแบบก็พอแล้ว ในโลกที่กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงไม่สามารถรับรู้ได้ นี่ยังมีสิ่งที่อธิบายไม่ได้มาหัวเราะเยาะอีก หวังเป่าเล่อก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว เมื่อเดินไปยังบริเวณที่เพิ่งถูกตนทุบไปก็กระทืบไปอีกสองสามครั้งถึงดีขึ้นเล็กน้อย

ทว่าขณะที่กำลังย่ำเท้ากระทืบนั้น จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็ร้องอุทานเบาๆ เขาก้มลงพื้นและเห็นว่าข้างในนั้นมีเส้นไหมสีครามกำลังรวมตัวเข้ากันช้าๆ

เห็นได้ชัดว่าบนเส้นไหมสีครามนั้นมีกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงอยู่ นั่นทำให้หวังเป่าเล่อใจเต้นและยกมือคว้ามันไว้ ทันใดนั้นเส้นไหมก็ลอยออกมาจมลงบนฝ่ามือและเจาะเข้าไปในร่างกาย หลอมรวมเข้ากับอักขระเสียงหลักของเขา

 หรือว่านี่คือวิธีฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง  หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย เขาคำนวณผลการเก็บเกี่ยวครั้งนี้และพบว่าเส้นไหมสีครามได้ซ่อมแซมแค่ส่วนที่ถูกกลืนกินไปเท่านั้น และในแง่ของความคุ้มค่า มันไม่คุ้มเลยแม้แต่น้อย

 หากช่วงเวลาแรกที่ข้าระเบิดกฎเกณฑ์ปรารถนารส แล้วเป้าหมายคือสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดทุกตัวโดยรอบ ถ้าเกิดว่าสามารถสยบพวกมันได้อย่างสมบูรณ์ก็น่าจะได้ประโยชน์มากกว่าที่ต้องจ่ายไป  คิดถึงตรงนี้หวังเป่าเล่อก็กระตือรือร้นที่จะลองดูสักหน่อย หลังจากไตร่ตรองดีแล้วร่างของเขาก็กะพริบวาบพุ่งไปข้างหน้าไม่ช้าไม่เร็ว

ขณะที่กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงแผ่ออกไปและทิ้งเจตจำนงไว้ทุกทิศทาง เขาก็พยายามรักษารูปลักษณ์ที่ไม่เป็นอันตราย พยายามทำให้ตัวเองกลายเป็นคบเพลิงอย่างสุดความสามารถเพื่อดึงดูดสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดในโลกที่ไม่รู้จักนั่น

 มากันเยอะๆ ล่ะ…  หวังเป่าเล่อเดินไปด้วยสายตาคาดหวัง ขณะเดียวกันก็รู้สึกเสียใจที่ก่อนหน้านี้ประมาทเกินไป กลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัวจนสิ่งมีชีวิตที่กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงรับรู้ได้จะไม่กล้าเข้ามา

 หวังว่าพวกมันคงจะไม่สื่อสารกันนะ…  หวังเป่าเล่อพึมพำ เวลาไหลผ่านไป ในไม่ช้าก็ผ่านไปกว่าค่อนคืน ตอนนั้นเองดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ทอประกาย

เพราะในที่สุดเขาก็ได้ยินอีกครั้ง…เสียงจากโลกนั้นที่กำลังใกล้เข้ามา

 

“กฎที่มีบางอย่างแตกต่างกัน…” หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นปัดผ่านความว่างเปล่าตรงหน้าและสัมผัสถึงสิ่งต่างๆ ในอากาศอันแปลกประหลาดที่การรับรู้ของเขาไม่อาจเข้าถึงได้
ร่างกายของเขาไม่ขยับ เขายังคงยืนอยู่กลางอากาศ แต่มือขวาที่เหยียดออกไปนั้นนิ้วมือกำลังขยับช้าๆ หากมองจากที่ไกลๆ มือที่ปราดเปรียวของเขาเหมือนกับผีเสื้อโบยบินอยู่ในความว่างเปล่า
เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไปอย่างเชื่องช้า สีหน้าหวังเป่าเล่อกลับมาเป็นปกติ นิ้วมือยังคงขยับไหวจนกระทั่งอึดใจถัดมา ดวงตาเขาก็วาววับ เพราะมีเสียงกระพือปีกดังมาจากใบหูของเขา
เสียงนั้นอยู่ตรงหน้า แต่ในสายตาของเขาก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ ไม่มีอะไรปรากฏขึ้นเลยแม้แต่น้อย แต่พลังแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงกำลังบอกเขาว่ามีสิ่งมีชีวิตบินได้ตัวหนึ่งกำลังเข้ามาใกล้ และจากเสียงกระพือปีกนั่น หวังเป่าเล่อก็พอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ตัวใหญ่มาก
หรือกล่าวให้ชัดเจนก็คืออีกฝ่ายมีขนาดเล็กมาก อีกทั้งพื้นที่ปีกยังใหญ่กว่าลำตัว คล้ายกับว่าเวลาบินจะเกิดฝุ่นตลบเล็กน้อย ทำให้ในหัวหวังเป่าเล่อค่อยๆ จินตนาการรูปร่างของผีเสื้อขึ้น
เห็นได้ชัดว่าผีเสื้อตัวนี้ถูกมือขวาของเขาดึงดูดให้บินเข้ามาใกล้ๆ จนกระทั่งพริบตาต่อมามันก็ค่อยๆ ร่อนลงบนนิ้วของเขา สัมผัสแผ่วเบาเกิดขึ้นบนปลายนิ้ว ก่อนที่ดวงตาหวังเป่าเล่อจะเผยแสงประหลาด แล้วค่อยๆ ดึงมือกลับมาตรงหน้า
การมองเห็นยังคงเป็นเช่นเดิม แต่สัมผัสนั้นก็ชัดเจน และการได้ยินก็รุนแรงขึ้นด้วย
“ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะมองเห็น…” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด แต่ก็ไม่ได้คำตอบ สิ่งเดียวที่เขาคิดได้คือบางทีอาจต้องศึกษากฎเกณฑ์ปรารถนารูปร่างของโลกใบนี้
“เป็นไปได้ไหมว่าหลังจากฝึกฝนกฎปรารถนาทั้งหกแล้วจะสัมผัสได้ถึง…ความจริงที่ซ่อนอยู่ภายใต้โลกใบนี้อย่างแท้จริง” ขณะครุ่นคิด จู่ๆ หูของหวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงบางอย่าง เสียงนั้นทำให้เขารู้สึกราวกับว่ามีบางอย่างกำลังแยกเขี้ยวและกำลังจะโจมตีเขา
หวังเป่าเล่อดวงตาวาววับ พริบตาที่ได้ยินเสียงนั้น สองนิ้วมือข้างขวาก็บีบไปในอากาศ ประสาทสัมผัสกำลังบอกเขาว่าสองนิ้วของเขาจับอีกฝ่ายได้สำเร็จ ประสาทการได้ยินยิ่งทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่เขาจับได้ก็คือผีเสื้อที่เพิ่งบินมาเกาะนิ้วตัวนั้น
ผีเสื้อตัวนี้มีเขี้ยว แต่ดูเหมือนฟันของมันเพิ่งจะยื่นออกมาก็เลยถูกสองนิ้วของหวังเป่าเล่อบีบบี้แบนจนสูญเสียร่องรอยของชีวิตไปแล้ว
“สามารถฆ่าให้ตายได้เช่นกัน” หวังเป่าเล่อสะบัดมือโยนผีเสื้อที่มองไม่เห็นทิ้งไป ก่อนจะพินิจที่นิ้วของตนอย่างถี่ถ้วน จึงพบว่ามีรอยเปื้อนสีดำเล็กกำลังแพร่กระจายอยู่บนนั้น
ราวกับพิษกำลังแพร่กระจายแล้วยังมีอาการชาด้วย โชคดีที่พิษไม่รุนแรง อีกอย่างหวังเป่าเล่อก็ร่างกายแข็งแกร่งพอและยังมีอิทธิพลของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงด้วย จึงส่งผลให้รอยเปื้อนนั้นค่อยๆ จางลงจนหายไปในที่สุด
“น่าสนใจ” หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองไปยังทิศทางของเมืองปรารถนาเสียงในการรับรู้ ในใจกำลังคิดว่าการเดินทางอีกหนึ่งเดือนต่อจากนี้คงจะน่าสนใจยิ่งขึ้น
คิดถึงตรงนี้ร่างของหวังเป่าเล่อก็กะพริบวาบพุ่งไปยังที่ไกลแสนไกลท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรีที่มีพระจันทร์สว่างไสว
ค่ำคืนอันมืดมิดอยู่เบื้องหลังเขาราวกับกลายเป็นเสื้อคลุม
พระจันทร์สาดแสงลงบนเสื้อคลุมราวกับกลายเป็นเครื่องประดับ
ส่วนเขาก็สวมเสื้อคลุมประดับพระจันทร์สว่างไสวนี้ เหยียบย่างไปข้างหน้าในท้องฟ้ายามราตรี
นี่เป็นราตรีแรกที่เขาเจอหลังจากการก่อตัวของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง วาระในคืนนี้…มีบางอย่างต่างออกไปและไม่ธรรมดา และหวังเป่าเล่อผู้กำลังเหาะเหินอยู่บนท้องฟ้าก็สัมผัสได้ถึงสิ่งนี้อย่างรวดเร็ว
แม้ว่าดวงตาและดวงจิตเทพจะมองไม่เห็นความจริง แต่กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงกลับทำให้เขารับรู้บางอย่างตลอดเวลา
เขารับรู้ได้ถึงเสียงของปีกซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะถึงอย่างไรเขาก็ควบวิ่งอยู่บนท้องฟ้าแห่งนี้ แต่เขาก็รับรู้ได้ถึงเสียงของคลื่นทะเลยามอยู่บนท้องฟ้าเช่นกัน
ดูเหมือนว่าในโลกที่รับรู้ได้ด้วยกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเท่านั้นจะมีท้องทะเลอยู่บนท้องฟ้าด้วย หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงคลื่นลม และยังได้ยินเสียงคล้ายปลากระโดดพุ่งออกมาจากท้องทะเล แล้วพลิกม้วนตกลงสู่ทะเลอีกครั้ง
ทว่า ทุกอย่างนี้ไม่อาจเทียบเท่าเสียงหายใจที่ดังขึ้นในการรับรู้จากกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงต่อจากนี้ได้เลย…เสียงหายใจนี้มาจากด้านข้างท้องทะเล ทั้งมหาศาลและกว้างใหญ่ราวกับพายุ
แม้แต่ในตอนแรก หวังเป่าเล่อยังคิดว่านั่นคือเสียงพายุ แต่ในไม่ช้าเขาก็ตรวจพบความแตกต่าง เสียงพายุมักจะไม่ขึ้นๆ ลงๆ และมีความต่อเนื่องในระดับหนึ่ง
เป็นระลอกๆ มีเข้ามีออก บางทีอาจมีข้อสันนิษฐานอื่นอีกมากมาย แต่การรับรู้จากกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงของหวังเป่าเล่อที่เชื่อมโยงกับสัญชาตญาณของเขานั้น เขาเดาได้ว่านี่คือเสียงลมหายใจ
มันเป็นสัตว์ร้ายที่มีรูปร่างใหญ่โตอย่างหาที่เปรียบไม่ได้กำลังพ่นลมหายใจออกมา และท้องทะเลแห่งนี้ก็ดูเหมือนว่า…แท้จริงแล้วจะเป็นน้ำลายในปากของเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้
ความคิดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตระหนกเล็กน้อย โดยเฉพาะหลังจากที่จินตนาการถึงขนาดของสัตว์ร้ายตัวนี้เข้า เขาก็แทบไม่ลังเลเลยที่จะดิ่งร่างลงกับพื้นดินอย่างรวดเร็วเพื่อหลบท้องทะเลและลมหายใจนั้นให้ไกล
ไม่ควบเหาะบนฟ้าอีกต่อไป แต่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วบนผืนดินแทน
ทว่า น่าเสียดายที่ค่ำคืนไม่ธรรมดานี้ได้นำพาประสบการณ์ที่ไม่ได้กำจัดอยู่แค่บนท้องฟ้ามาให้หวังเป่าเล่อ บนผืนดิน…ก็เช่นกัน ยามที่วิ่งไปบนนั้น หวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงลากเหมือนกับมีบางอย่างกำลังลากของหนักวิ่งแข่งกับเขา
นอกจากนี้ยังมีเสียงแทะและเสียงเคี้ยวดังขึ้นห้าครั้ง และแต่ละครั้งดูเหมือนจะอยู่ใกล้กับเขามาก
สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อขนหัวลุกมากที่สุดก็คือเขาได้ยินเสียงลมหายใจของท้องฟ้านั่นอีกรอบ และยังได้ยินเสียงคลานนับไม่ถ้วน ราวกับว่าบางอย่างบนนั้นได้เปลี่ยนทิศทางและกำลังเข้ามาใกล้เขาที่วิ่งอยู่บนพื้น
อีกทั้งสิ่งมีชีวิตที่เขาได้ยินบนพื้นดินเหล่านั้นก็ยังคงอยู่เช่นกัน พวกมันทั้งหมดตามเขามาและแผ่ความอาฆาตที่สามารถรับรู้ได้แม้จะไม่ได้อยู่โลกเดียวกับพวกมันก็ตาม
ราวกับว่าพวกมันกำลังรอคอย
หวังเป่าเล่อก็คือเหยื่อของพวกมัน ในแง่หนึ่งก็เปรียบได้กับคบเพลิงในคืนมืดมิดที่ดึงดูดความสนใจ จนทำให้ทุกชีวิตในค่ำคืนนี้อยากเข้าใกล้
แม้ว่ากฎเกณฑ์ปรารถนารสจะถูกผนึกไว้ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังใช้สัมผัสเชื่อมต่อได้ เขาสัมผัสได้ว่าสิ่งมีชีวิตที่มองไม่เห็นรอบๆ ตอนนี้ต่างแผ่ความกระหายที่แทบจะอดกลั้นไม่ไหวออกมา
ความกระหายนี้เข้มข้นเหลือคณานับ มันทำให้หวังเป่าเล่อคิดจะคลายผนึกและปลดปล่อยกฎเกณฑ์ปรารถนารสออกไปดูดซับอยู่หลายต่อหลายครั้ง
แต่เขาก็ยังคงยับยั้งไว้ได้เพราะ… ตอนนั้นเองสิ่งมีชีวิตตัวหนึ่งก็โผล่มาข้างกายเขาทันที ราวกับซบอยู่ที่ข้างกาย เป่าลมหายใจที่ข้างหูเขาเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่ว
“พี่ชาย เหตุใดเจ้าถึงไม่มีดนตรีล่ะ”
“ข้าอยากฟังมาก”
“เจ้ารีบแสดงดนตรีของเจ้าออกมา ตกลงไหม”
“หากเจ้าไม่แสดงล่ะก็ ตามพันธสัญญา ข้ากินเจ้าได้เลยนะ…”
…………………………………

แม้ว่าโลกตรงหน้าจะเหมือนเดิม แต่ด้วยบางอย่าง ในสายตาของหวังเป่าเล่อ เขากลับรู้สึกว่ามันดูจะ…ไม่ค่อยชัดเจนนัก

ไม่ใช่เพราะการมองเห็นของเขา แต่เพราะ…วิธีรับรู้ที่ชัดเจนกว่านั้นแทนที่จะเป็นสายตา กลับเป็นเพราะ…การได้ยิน

หวังเป่าเล่อมองทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า สิ่งที่หูเขาได้ยินคือเสียงเมฆเคลื่อนตัวบนท้องฟ้า ร่องรอยลมที่พัดผ่าน เสียงเพลงขับขานจากหญ้าและต้นไม้ที่สั่นไหว เสียงของการเจริญเติบโต และยังมีเสียงบางอย่างจากใต้ดิน เสียงแมลงขยับปีก

แม้แต่โลกใบนี้ก็ดูเหมือนจะเปล่งเสียงออกมา แต่ก็พร่าเลือนเล็กน้อย หวังเป่าเล่อได้ยินไม่ชัด แต่เขารู้สึกได้ว่าโลกนี้ต่างออกไปจากเดิม

ดวงตาของเขาค่อยๆ ปิดลงอีกครั้ง แต่ทุกสิ่งที่ปรากฏในหัวกลับไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก นี่เป็นวิธีที่ไม่พึ่งพาการมองเห็น ไม่อาศัยดวงจิตเทพ เพียงแค่ฟังรับข้อมูลทั้งหมด

และทั้งหมดนี้มาจาก…อักขระเสียงที่ลอยเด่นอยู่ตรงจุดตันเถียนในร่างกายที่ซึ่งผลึกกฎปรารถนารสมาก่อน

อักขระเสียงนี้ก็คือแหล่งกำเนิดของทุกสรรพเสียง การมีอยู่ของมันทำให้การได้ยินของหวังเป่าเล่อดีขึ้นมาก เหมือนกับว่าได้ยินไปถึงอีกดินแดนหนึ่ง และหากต้องการเขาก็สามารถให้อักขระเสียงของตนแผ่ขยายออกไปอีกได้

ภายในขอบเขตของอักขระเสียงนี้ เขามีความรู้สึกว่าสามารถควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์

 นี่คือกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงหรือ  ขณะพึมพำ หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้นและสัมผัสมันอย่างละเอียดลึกซึ้งอีกครั้ง ก่อนจะลุกขึ้นยืนและทะยานขึ้นฟ้าไป

 มีอักขระเสียงของตัวเองก็นับว่าก้าวเข้าสู่แม่น้ำสายยาวแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงแล้ว เช่นนั้น…ก็ถึงเวลาไปค้นหาคำตอบยังเมืองปรารถนาเสียง  หวังเป่าเล่อหรี่ตา จุดประสงค์ของการไปเยือนเมืองปรารถนาเสียงนั้น นอกจากค้นหาคำตอบแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือหาวิธีเพิ่มพูนกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงให้ถึงระดับที่คล้ายกับเจ้าสวาปาม

เขาอยากจะรู้ว่าเมื่อถึงตอนนั้น ผู้ที่ควบคุมกฎทั้งสองอย่างตนจะสามารถทำตามแผนการของร่างต้นแบบได้สำเร็จหรือไม่

 หากไม่ได้ผลก็หาวิธีควบคุมกฎที่สาม  หวังเป่าเล่อดวงตาทอประกาย ร่างกายพุ่งไประหว่างฟ้าดิน

 ข้าเคยพบผู้ฝึกกฎปรารถนาเสียงมาก่อน หลังจากฝึกฝนถึงระดับหนึ่งแล้วจะสามารถแปลงเป็นจังหวะดนตรีได้…สภาวะลวงตาเช่นนั้นเมื่อไรข้าจะทำได้ก็ไม่รู้ 

 แล้วยังกฎแห่งสุขอีก…  หวังเป่าเล่อนึกถึงเจ็ดอารมณ์ ความทรงจำของเขาเหมือนกับร่างต้นแบบ เขาจึงรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างและรู้ดีถึงความขัดแย้งระหว่างกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงและกฎแห่งสุข

 ผู้อาวุโสของเผ่าสุขเคยคาดเดาว่าเจ้าแห่งสุขที่หายตัวไปนั้น ถูกเจ้าปรารถนาเสียงสะกดไว้ในเมืองปรารถนาเสียง…  หวังเป่าเล่อหรี่ตาครุ่นคิด เขากำลังคิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง

หากหกปรารถนามาจากมหาเทพ เช่นนั้นเจ็ดอารมณ์ก็ต้องมาจากมหาเทพด้วย แต่หากเป็นเช่นนั้น…เหตุใดระหว่างหกปรารถนากับเจ็ดอารมณ์ถึงได้เป็นอย่างทุกวันนี้

ขณะเหาะเหินไป ความคิดของหวังเป่าเล่อก็ทำให้เขานึกถึงตอนนั้นหลังจากที่ตนได้เป็นเจ้าสวาปาม ระหว่างที่ทำความรู้จักกับเจ้าสวาปามคนอื่นๆ เขาก็ได้ยินข่าวคราวของเจ้าปรารถนาคนอื่นๆ ด้วย

ในโลกาชั้นที่สองนี้มีอยู่ทั้งหมดเจ็ดเมือง

นอกจากนครโบราณแล้ว อีกหกยังเป็นของเจ้าแห่งความปรารถนาทั้งหก ได้แก่ เมืองแห่งความอยากอาหาร เมืองแห่งการได้ยิน เมืองแห่งการสัมผัส เมืองแห่งการมองเห็น และเมืองแห่งการได้กลิ่น

เจ้าปรารถนาทั้งห้าในห้าเมืองใหญ่นี้ก็เหมือนกับผู้ปกครองโลกชั้นที่สอง ส่วนเมืองโบราณนั้น เจ้าสวาปามผู้นั้นไม่ได้รู้อะไรมากนักจึงไม่ได้พูดถึงมาก แต่กลับแนะนำเมืองปรารถนาที่หกให้หวังเป่าเล่อ นั่นก็คือ…เมืองปรารถนาอารมณ์!

เหตุผลที่มันสำคัญเป็นเพราะในโลกชั้นที่สอง เจ้าปรารถนาอารมณ์นั้นทั้งมีอยู่จริงและไม่มีอยู่จริง

ที่บอกว่ามีอยู่จริงเป็นเพราะมีกฎปรารถนาอารมณ์อยู่ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่เจ้าปรารถนาอีกห้าคนยอมรับและไม่อาจเลี่ยงได้ แต่ที่บอกว่าไม่มีอยู่จริงเป็นเพราะ…ไม่มีใครเคยเห็นผู้ฝึกตนที่ฝึกกฎปรารถนาอารมณ์

แม้แต่เมืองปรารถนาอารมณ์ก็แทบไม่เคยปรากฏขึ้นบนโลกนี้ ราวกับว่าเมืองนี้จะปรากฏเพียงแวบเดียวในช่วงเวลาพิเศษเท่านั้น

สิ่งนี้ทำให้เมืองปรารถนาอารมณ์ลึกลับอย่างยิ่ง มีคนไม่น้อยคาดเดาไปว่าบางที…ทุกอย่างอาจเป็นเพราะเจ้าปรารถนาอารมณ์ไม่มีอยู่จริงก็เป็นได้

แต่เรื่องนี้เจ้าสวาปามผู้นั้นก็ไม่ค่อยรู้อะไรมากนัก

 ม่านที่ปกคลุมมิติเต๋าต้นกำเนิดกำลังเปิดออกทีละนิด  หวังเป่าเล่อเก็บงำความคิดแล้วเร่งความเร็วยิ่งขึ้น

เขาไม่รู้ว่าเมืองปรารถนาเสียงไปทางไหนและไม่จำเป็นต้องรู้ เพราะการชี้นำของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงในร่างกายคือผู้นำที่ดีที่สุด ขณะเดียวกันระหว่างเหาะไปรูปร่างและลมปราณของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปด้วย

หวังเป่าเล่อค่อยๆ กลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม ขณะเดียวกันลมปราณในร่างกายก็ค่อยๆ ซึมซาบกฎปรารถนาเสียง ส่งผลให้แม้จะพบกับเจ้าสวาปามของเมืองปรารถนารสในตอนนี้ พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกคุ้นเคยกัน

เวลาหนึ่งวันไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว แม้ราตรีกาลจะมาถึง ความเร็วของหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย จากการสันนิษฐานของเขา ด้วยความเร็วประมาณนี้คาดว่าคงจะใช้เวลาประมาณหนึ่งเดือนจึงจะถึงเมืองปรารถนาเสียงแต่เขาไม่รีบร้อน และยังใช้ช่วงเวลานี้ทำความคุ้นเคยกับกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงในร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ

เพียงแต่…ในตอนที่หวังเป่าเล่อกำลังวางแผนอยู่นั่นเอง จู่ๆ เขาที่ควบเหาะไประหว่างฟ้าดินก็ดวงตาหดแคบ ใบหูขยับเอง

เขาได้ยินเสียงหนึ่ง

เสียงนั้นคล้ายกับการคลานราวกับมีขานับไม่ถ้วนกำลังเคลื่อนไหวผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้านทันที ร่างหายวับไปปรากฏบนพื้นดินห่างไกล ดวงจิตเทพกระจายตัวออก แล้วล็อกเป้าหมายทุกทิศทาง

ทว่า…ไม่ว่าดวงจิตเทพของเขาจะกระจายไปอย่างไรก็ตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติแม้แต่น้อย แต่เสียงคลานนั่นยังคงอยู่ เพียงแต่จากที่ดังอยู่ข้างหูกลับกลายเป็นดังอยู่ไกลๆ

 นี่มันเรื่องอะไรกัน  หวังเป่าเล่อเริ่มตื่นตระหนก แม้แต่บุคลิกของร่างต้นแบบก็ยังหลุดไปบ้าง แต่ที่น่าแปลกคือ…เขายังไม่เห็นอะไรผิดปกติแม้แต่น้อย

สายตา ดวงจิตเทพ ทุกอย่างเป็นปกติ

มีเพียงประสาทการได้ยินเท่านั้นที่ไม่ชอบมาพากล แม้เสียงคลานนั้นจะอยู่ไกลมากแล้ว แต่มันก็ยังอยู่ นั่นทำให้นัยน์ตาหวังเป่าเล่อเย็นยะเยือก ความคิดที่จะคลายการสะกดกฎเกณฑ์ปรารถนารสเกิดขึ้นทันที

แต่โชคดีที่เสียงคลานนั่นค่อยๆ เบาลง และตามประสาทการได้ยินของหวังเป่าเล่อ ตำแหน่งของอีกฝ่ายคงจะอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้

เขาอดสร้างภาพขึ้นมาในใจไม่ได้ ในภาพนั้นคือบริเวณที่เขากำลังมองอยู่ตอนนี้ มีสิ่งมีชีวิตคล้ายหนอนผีเสื้อร่างกายใหญ่โต ปกคลุมไปด้วยขานับไม่ถ้วนค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป

 มิติเต๋าต้นกำเนิดนี่มัน…  หวังเป่าเล่อเงียบเสียง เขาพบว่าโลกใบนี้มักจะทำให้เขาประหลาดใจเสมอ ทุกครั้งที่เขาคิดว่าเข้าใจมันแล้วก็จะมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้เขาเข้าใจยากเกิดขึ้น

ตัวอย่างเช่นในขณะนี้ และหวังเป่าเล่อก็คาดเดาคำตอบได้แล้ว ทุกอย่างมาจากกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง กฎเกณฑ์นี้ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงอีกด้านหนึ่งของโลก

 

“ร่างต้นแบบ เจ้าทำเกินไปแล้ว!” ดวงจิตหวังเป่าเล่อร่างแยกในตอนนี้เริ่มโมโหและเกิดอาการขัดขืน ทว่าการอยู่ต่อหน้าร่างต้นแบบกลับทำให้เขาไร้กำลังต่อสู้ไปโดยปริยาย
“ตอบข้าสิ เจ้าอยากเป็นอิสระหรือไม่” ร่างต้นแบบของหวังเป่าเล่อไม่ได้ขยับ เขาจ้องมองดวงจิตร่างแยกในมือก่อนจะเอ่ยช้าๆ
“อิสระบ้าบออะไรกัน อิสระคือสิ่งที่ตนสร้าง ไม่ใช่ผู้อื่นมอบให้!” ร่างแยกส่งเสียงคำรามต่ำ
“รู้อย่างนี้แสดงว่าเจ้าก็ยังไม่ถือว่าหมดหนทางเยียวยา เช่นนั้นตอนนี้เจ้าก็ต้องคิดให้ถี่ถ้วนอีกครั้งใช่ไหม” หวังเป่าเล่อในร่างต้นแบบหรี่ตา แล้วเอ่ยเสียงเบา
ทันทีที่เสียงนี้ดังขึ้น ดวงจิตของร่างแยกพลันสั่นสะท้าน เลิกต่อต้านและเงียบเสียงทันที เขาเข้าใจความหมายของร่างต้นแบบ หลังจากหวนคิดถึงสิ่งที่ประสบมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงเอ่ยขึ้นบ้าง
“เจ้าจะบอกว่าพวกเขากำลังเล่นละครอยู่หรือ”
“จะเล่นละครอยู่หรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ข้าว่า…การมาของเจ้าปรารถนาเสียงผู้นั้นดูจะง่ายเกินไปหน่อย อีกอย่างนางก็ดูเหมือนจะเรียกผู้พิทักษ์ไม่สำเร็จ แต่ว่า…ร่างหลักอีกสองร่างของนางไม่ได้ถูกตัดขาด แม้จะไม่เคยมาที่เมืองปรารถนารส แต่การเรียกผู้พิทักษ์มาก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ใช่ไหมล่ะ”
เมื่อได้ฟังคำพูดของร่างต้นแบบ ดวงจิตร่างแยกก็จมสู่ห้วงความคิด
“ดังนั้นเป็นไปได้ไหมว่า…นี่คือกลอุบายของเจ้าปรารถนาเสียงและเจ้าปรารถนารส เจ้าคือผู้ชม ผู้พิทักษ์นั้นก็คือผู้ชม” น้ำเสียงของร่างต้นแบบเรียบนิ่ง แต่คำพูดของเขาทำให้ดวงจิตร่างแยกปั่นป่วนเล็กน้อย
“หากเป็นกลอุบายจริง เช่นนั้น…จุดประสงค์ของพวกเขาคือต้องการให้ข้าเป็นฝ่ายไปเมืองปรารถนาเสียง…” ดวงจิตร่างแยกครุ่นคิด เขานึกย้อนไปอย่างละเอียดตามการชี้นำของร่างต้นแบบ และต้องยอมรับว่าความเป็นไปได้ข้อนี้ยังคงมีอยู่
“แท้จริงจะเป็นอย่างไรเจ้าไปถึงเดี๋ยวก็รู้เอง” หวังเป่าเล่อร่างต้นแบบเผยยิ้ม
“จุดประสงค์ที่เจ้ามาที่นี่ก็คือแบบนี้ไม่ใช่หรือ ต้องการให้ข้ามอบเมล็ดพันธุ์เต๋าปรารถนาเสียงให้เจ้า ขณะเดียวกันก็ช่วยเจ้าสะกดกฎเกณฑ์ปรารถนารสไว้เพื่อไม่ให้มันกลืนกินปรารถนาเสียงในช่วงแรกเริ่ม แบบนี้ปรารถนาเสียงก็จะเพิ่มขึ้นและอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล”
“เรื่องนี้ข้าทำให้เจ้าได้” ขณะที่พูด หวังเป่าเล่อร่างต้นแบบก็ยกมือขวาขึ้น ปลายนิ้วส่องสว่าง ตอนนั้นเองราวกับมีเสียงอันน่าอัศจรรย์ดังออกมาจากปลายนิ้วของเขา ก่อนจะค่อยๆ กลายเป็นอักขระดนตรีตัวหนึ่ง
ขณะที่อักขระส่องสว่างก็มีเสียงกรุ๊งกริ๊งราวกับเสียงหยดน้ำตกลงบนกระดิ่งซึ่งทำให้จิตใจผู้คนสั่นไหว หลังจากมันปรากฏขึ้นก็ดึงดูดดวงจิตร่างแยกของหวังเป่าเล่อในพริบตา ร่างต้นแบบสะบัดนิ้ว ทันใดนั้นอักขระตัวนั้นก็พุ่งเข้าไปในดวงจิตร่างแยกและหลอมรวมกันทันที ภายในนั้นยังมีพลังสะกดอันแรงกล้าบรรจุอยู่ด้วย
พลังนี้ทำให้หลังจากกลับเข้าร่างแล้ว ดวงจิตร่างแยกของหวังเป่าเล่อสามารถควบคุมสัญชาตญาณของกฎเกณฑ์ปรารถนารสได้ชั่วคราว และพลังสะกดนี้จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับร่างต้นแบบ
เพราะหากร่างต้นแบบควบคุมได้อาจเกิดความเสี่ยง
“เช่นนั้น แผนเดิมหรือ” ดวงจิตร่างแยกของหวังเป่าเล่อส่งดวงจิตเทพออกไปเอ่ยถาม
“ทุกอย่างเหมือนเดิม” หวังเป่าเล่อร่างต้นแบบพยักหน้าและมองดวงจิตร่างแยกของตน ก่อนจะถอยหลังรวบรวมหมอกที่กระจายตัวอยู่รอบๆ และหายเข้าไปในถ้ำ
“แม้ความรอบคอบจะเพียงพอแล้ว แต่ในแง่ของการคิดยังไม่ดีเท่าข้า หากอยากเป็นอาวุธที่ยิ่งใหญ่ยังต้องฝึกฝนอีก” เมื่อเห็นดวงจิตร่างแยกสลายไป หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนี้ก็ยิ้มและกำลังจะปิดเปลือกตาลง ทว่าในตอนนั้นเองเขาก็เบิกตาโพลงและมองไปยังจุดที่ดวงจิตร่างแยกจากไป
“ไม่สิ… กลอุบายของเจ้าปรารถนาทั้งสองดูเหมือนจะเฉียบแหลมมาก แต่จากความเข้าใจของข้าเอง มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเชื่ออย่างสุดใจในแวบแรก…ถ้าอย่างนั้นทำไมร่างแยกอิสระถึงได้เชื่อขนาดนั้นกันล่ะ” หวังเป่าเล่อร่างต้นแบบหรี่ตา จากนั้นไม่นานก็คลี่ยิ้มอีกครั้ง
“น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ ร่างแยกนี้เล่นละครใส่ข้าแล้ว…”
ในเวลาเดียวกันฝันร้ายแห่งปรารถนาของร่างแยกก็เหาะออกมาจากทะเลทราย ทันทีที่ออกมาจากพื้นทราย ความเร็วของมันก็ระเบิดออก ใช้การเผาไหม้ตัวเองแลกกับความเร็วสูงสุดราวกับต้องการหลบหนี เพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น ฝันร้ายแห่งปรารถนาที่สลายไปกว่าแปดส่วนก็เหาะออกมาพ้นทะเลทรายแล้วพุ่งไปยังกายเนื้อที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ด้านนอก
ก่อนจะแตะหว่างคิ้วและจมดิ่งเข้าไปทันที
ทว่า ไม่ช้าร่างแยกของหวังเป่าก็ตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาเปิดขึ้นทันที ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด
“ร่างต้นแบบอันตรายเกินไป แต่ครั้งนี้ข้าก็บรรลุเป้าหมายแล้ว” นัยน์ตาหวังเป่าเล่อทอประกายระยิบระยับ แท้จริงแล้วเรื่องที่ร่างต้นแบบพูดนั้น เขาจะไม่สังเกตเห็นได้อย่างไร
เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถไตร่ตรองได้ เพราะในความเห็นของเขา ร่างต้นแบบดูเหมือนจะตามใจเขา แต่ตามความเข้าใจของเขาเองเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้
ร่างแยกที่มีดวงจิตอิสระในเมื่อมีข้อดีก็ย่อมมีข้อเสีย
ดังนั้นเมื่อพบกับร่างต้นแบบ เขาจึงเก็บซ่อนความคิดแท้จริงเอาไว้ แล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราว แสดงละครตบตาแก่ร่างต้นแบบ มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่เขาจะไม่สัมผัสกับเส้นจำกัดของร่างต้นแบบ
“แต่ด้วยสติปัญญาของร่างต้นแบบแล้ว วิธีนี้ก็ใช้ได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น” หวังเป่าเล่อร่างแยกยืนขึ้นเงียบๆ มองไปทางทะเลทราย จากนั้นไม่นานร่างก็กะพริบหายไปจากตรงนั้นทันที
“ทางที่ดีข้าจะไม่มาที่นี่อีก ส่วนแผนการของร่างต้นแบบข้าก็จะทำให้สำเร็จ”
“ตามความเข้าใจของข้า ปล่อยร่างแยกอิสระออกมาข้างนอกและทำให้มันมีอิสระโดยสมบูรณ์ ความใจกว้างนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
ขณะคิดครุ่นคิด ร่างหวังเป่าเล่อก็ออกห่างจากทะเลทรายมามากแล้ว กระทั่งมาถึงจุดที่ตนคิดว่าปลอดภัยแล้วจึงหาที่นั่งทำสมาธิและกระตุ้นพลังสะกดที่อยู่ในดวงจิตออกมา ส่งผลให้มันครอบคลุมกฎเกณฑ์ปรารถนารสในทันที
ทันใดนั้นกฎเกณฑ์ปรารถนารสในร่างก็เริ่มทำงานราวกับผ้านวมคลุมบนหลังม้า มันค่อยๆ ผ่อนแรงลง กระบวนการนี้กินเวลาหลายวัน จนกระทั่งหลังจากหวังเป่าเล่อสะกดกฎปรารถนารสได้อย่างสมบูรณ์แล้วจึงลืมตาขึ้น แม้จะมีแววอ่อนล้าในดวงตาแต่ก็ยังสว่างชัด
“ต่อไปก็ผนึกกายเข้ากับเมล็ดพันธุ์อักขระโน้ตดนตรี” หวังเป่าเล่อสัมผัสอักขระโน้ตดนตรีที่อยู่ในดวงจิตอย่างระมัดระวังและค่อยๆ ถ่ายเทดวงจิตเทพเข้าไป ในพริบตาที่ดวงจิตเทพทั้งหมดผนึกกายเข้ากับอักขระ ในหัวหวังเป่าเล่อก็ส่งเสียงกรุ๊งกริ๊ง
เสียงนี้ไพเราะมากจนทำให้คนฟังหมกมุ่น ขณะที่มันสะท้อนก้อง สีหน้าหวังเป่าเล่อก็อ่อนลง แม้แต่บริเวณรอบๆ ก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย เสียงกรุ๊งกริ๊งคล้ายจะดังออกมาจากในหัวของเขา แล้วแผ่ขยายออกไปกลายเป็นค่ายกลไม่เสื่อมสลาย
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า
ในชั่วพริบตา…ก็ผ่านพ้นไปเจ็ดวัน
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ยามที่ดวงตะวันสาดส่อง แสงอาทิตย์ขจัดความมืดออกไปแล้วทอแสงอรุณส่องไปยังร่างของหวังเป่าเล่อ เขาลืมตาขึ้นมา
แม้หวังเป่าเล่อจะไม่รู้แน่ชัดว่าหลังตนจากไป ภายในเมืองปรารถนารสจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง รวมถึงเรื่องที่เจ้าปรารถนารสถูกลงโทษด้วย แต่ทุกอย่างก็พอจะเดาและสรุปเองได้
ถึงอย่างไรกลุ่มคนเหล่านั้นที่แฝงด้วยเสียงของสรรพสิ่งซึ่งแปลงมาจากร่างต้นของเจ้าปรารถนาเสียง ก็เป็นตัวแทนเจตจำนงของผู้พิทักษ์และเป็นเมืองที่เชื่อฟังผู้พิทักษ์
อีกอย่างวิธีของเจ้าปรารถนารสก็เป็นทั้งการขัดขวางและยังเป็นการยั่วยุด้วย ในเมื่อเลือกที่จะช่วยหวังเป่าเล่อแล้ว ย่อมต้องเจอกับการลงโทษจากผู้พิทักษ์เป็นการแลกเปลี่ยน
การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ต้องไม่ใช่เรื่องเล็ก มิเช่นนั้นเจ้าปรารถนารสคงไม่ตัดสินใจให้คำตอบหวังเป่าเล่อในชั่วเวลาสุดท้าย
“บางทีในอดีต เหตุผลที่เขาเลือกก้มหัวให้อาจเป็นเพราะ…มองไม่เห็นความหวังใดๆ” เบื้องลึกของจิตใจหวังเป่าเล่อซับซ้อน เพราะช่วงเวลาที่เขามาที่นี่ เขาก็ได้เข้าใจเรื่องพื้นฐานของโลกใบนี้แล้ว
ในโลกาชั้นแรก เห็นได้ชัดว่าเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ที่กลายเป็นตัวจ่ายพลังเหล่านั้นคือผู้ที่ไม่เคยยอมจำนน สภาพของพวกเขาจึงน่าสังเวช ชั่วนิรันดร์ล้วนต้องถูกดูดกลืน ไม่อาจออกจากทะเลทุกข์ได้
ส่วนพวกเจ้าปรารถนารสและเจ้าปรารถนาเสียงก็เห็นได้ชัดว่าเลือกที่จะเชื่อฟัง พวกเขาถึงสามารถครอบครองตำแหน่งปัจจุบันได้ แต่ขณะเดียวกัน…การเชื่อฟังก็มีราคาที่ต้องจ่าย
ราคานั้นก็คือการสูญเสียอิสรภาพและอื่นๆ
หวังเป่าเล่อที่พุ่งไประหว่างฟ้าดินกำลังครุ่นคิด เขานึกถึงหม้อยักษ์สัมฤทธิ์ของเจ้าปรารถนารส ตอนนั้นอีกฝ่ายพูดว่าร่างกายของเขา…อยู่ภายในนั้น
“บางทีนั่นอาจเป็นราคาที่ต้องจ่ายอย่างหนึ่ง” หวังเป่าเล่อถอนหายใจเบาๆ เพราะเขารู้ว่าการปรากฏตัวของตนเป็นดั่งแสงอรุณแห่งความหวังของเจ้าปรารถนารส
แสงอรุณนี้เองที่ทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เคยเลือกก้มหัว และกลายเป็นเจ้าปรารถนารสผู้นี้กลับมาฮึดสู้ขึ้นอีกครั้งและเดิมพันกับอนาคต
“เห็นได้ชัดว่าเจ้าปรารถนาเสียงไม่ได้มีความคิดเช่นนี้ด้วย แล้วยังเจ้าปรารถนาคนอื่นที่ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่อีก…” ขณะคิดดังนั้น ความเร็วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน จนกระทั่งผ่านไปสามวันต่อมาหวังเป่าเล่อก็เหาะข้ามป่า ข้ามภูเขาเนื้อ และในที่สุดตอนเที่ยงของวันที่สี่ ทะเลทรายที่อยู่ไกลลิบก็ปรากฏในสายตา
ทะเลทรายผืนนี้ไม่ต่างจากตอนที่เขาจากไป ยังคงรกร้าง แห้งแล้ง และไร้วี่แววของสิ่งมีชีวิต
แม้แต่หวังเป่าเล่อที่เป็นร่างแยกอิสระ ก็ยังไม่รู้สึกถึงร่องรอยของร่างต้นในบริเวณนี้เลยสักนิด
จินตนาการได้ว่าหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงไม่สามารถตรวจพบสิ่งผิดปกติในที่แห่งนี้ได้ และไม่อาจรู้ได้ว่าภายใต้ทะเลทรายผืนนี้มีวิญญาณเทพที่เกือบจะเทียบเท่าเจ้าปรารถนาดำรงอยู่
“ร่างต้นขี้ขลาดตาขาวราวกับหนู หากพูดถึงทักษะการหลบซ่อนแล้ว เขาบอกว่าตนเป็นรองและก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าเป็นที่หนึ่ง” หวังเป่าเล่อพึมพำและกำลังจะเหาะเข้าไปในทะเลทราย ทว่าในพริบตานั้นเองเขาก็หยุดลงอยู่ที่ขอบทะเลทรายกะทันหัน
ในดวงตาเกิดแสงวาววับ หวังเป่าเล่อครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะมองย้อนกลับไปยังทิศของเมืองปรารถนารส จากนั้นก็หันกลับมามองตำแหน่งที่ร่างต้นแบบของตนอยู่ข้างในทะเลทรายอีกครั้ง แล้วเงียบไปเป็นเวลานาน
“ถึงตอนนี้ข้าจะยังจัดการและวางแผนให้ร่างต้นไม่สำเร็จ แต่…ก็อดคิดไม่ได้ ร่างต้นความคิดเปลี่ยนไปตลอดเวลา ไม่จำเป็นต้องแยกตัวออกมาอีกแล้ว แต่นำข้ารวมเข้าไปในร่างกายแทน”
“หากเป็นเช่นนั้นร่างต้นแบบจะรับรู้คำสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าปรารถนารสหรือไม่” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าก่อนจะถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วนั่งขัดสมาธิอยู่นอกทะเลทราย มือขวายกขึ้นชี้หว่างคิ้ว ทันใดนั้นร่างของเขาก็สั่นสะท้าน ฝันร้ายแห่งปรารถนาเล็ดลอดออกมาจากร่างกายของเขา หลังจากมันแผ่ออกไปรอบๆ สองมือของหวังเป่าเล่อก็ผนึกมุทราแล้วประสานมือเข้าด้วยกัน
“แข็งตัว!”
เมื่อเขาเอ่ยออกมา ฝันร้ายแห่งปรารถนานับสิบก็พุ่งมารวมตัวกัน หลังจากมันหลอมรวมเข้าด้วยกันก็เกิดหมอกสีดำดิ้นไปมา แล้วค่อยๆ กลายเป็นร่างที่เหมือนกับหวังเป่าเล่อทุกประการ
ร่างนี้ประกอบขึ้นจากฝันร้ายแห่งปรารถนา สิ่งที่ต่างจากหวังเป่าเล่อคือดวงตาของมันเป็นสีแดงฉานราวกับกำลังสะกดความบ้าคลั่งเอาไว้ มันกำลังก้าวมาหาหวังเป่าเล่อทีละก้าวและสุดท้ายก็คุกเข่าคำนับอยู่เบื้องหน้าเขา
หวังเป่าเล่อหรี่ตา ก่อนจะยกมือขวาขึ้นมาแตะกลางหว่างคิ้วฝันร้ายแห่งปรารถนาเบาๆ ดวงจิตในร่างแยกออกไปหลอมรวมเข้ากับมันสามส่วน ส่งผลให้สีแดงฉานในดวงตามันสลายไปจนเผยให้เห็นความกระจ่างชัด มันหันหลังพุ่งตรงเข้าไปยังทะเลทรายทันที
หวังเป่าเล่อจ้องมองร่างฝันร้ายแห่งปรารถนาที่ตนสร้างขึ้น ก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง ร่างนั้นนิ่งไม่ไหวติง
ทว่าภายนอกร่างกายของเขาเวลานี้กลับมีวังวนจางๆ ปรากฏขึ้น นี่คือพลังของกฎปรารถนารสซึ่งสามารถป้องกันหวังเป่าเล่อจากอันตรายได้
หวังเป่าเล่อกำลังจับปลาสองมือ ทั้งนั่งสมาธิอยู่ตรงนี้และควบคุมฝันร้ายแห่งปรารถนาเอาไว้ ก่อนจะควบวิ่งไปยังจุดที่ร่างต้นแบบอยู่ช้าๆ
กระทั่งผ่านไปอีกสี่ชั่วยาม ณ ใจกลางทะเลทราย ฝันร้ายแห่งปรารถนาของหวังเป่าเล่อก็หยุดชะงักและมองค้นไปรอบๆ อยู่พักหนึ่ง ในที่สุดมันก็กระทืบเท้า ร่างกายพลันกลายเป็นหมอกสีดำมหาศาล ก่อนจะเจาะทะลวงเข้าไปยังก้นทะเลทราย
มันแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว เพียงสิบกว่าอึดใจ ณ ส่วนลึกของก้นทะเลทรายผืนนี้ก็มีร่างหนึ่งกำลังนั่งทำสมาธิอยู่ภายในถ้ำที่ถูกขุดขึ้น
ร่างนี้ไร้พลังปราณใดๆ แผ่ออกมาแม้แต่น้อย แต่ใครก็ตามที่เห็นเขานั่งอยู่ตรงนี้ล้วนต้องสัมผัสสวรรค์คำราม เกิดความรู้สึกราวกับถูกกดขี่คล้ายกับกำลังเผชิญหน้ากับเทพเจ้า
นั่นก็คือ…ร่างต้นแบบของหวังเป่าเล่อ
ขณะนี้เบื้องหน้าของร่างต้นแบบพลันปรากฏละอองหมอกแผ่ขยายออกจากพื้นดินโดยรอบ ก่อนจะมารวมตัวกันอย่างรวดเร็วและกลายเป็นฝันร้ายแห่งปรารถนาของหวังเป่าเล่อในพริบตา หวังเป่าเล่อในร่างต้นแบบที่นั่งทำสมาธิอยู่เปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ
เมื่อลืมตาขึ้นดวงตาสองดวงที่ราวกับสายฟ้าฟาดก็กวาดมองฝันร้ายแห่งปรารถนา แรงกดดันจากสายตาส่งผลให้ฝันร้ายแห่งปรารถนาไร้เรี่ยวแรงต่อต้าน ฉับพลันก็ถูกหวังเป่าเล่อในร่างต้นแบบมองออก
“สมกับเป็นร่างแยกที่มีความคิดเป็นของตัวเอง ช่วงเวลาที่ออกไปคงจะเรียนรู้มาไม่น้อย” หวังเป่าเล่อร่างต้นแบบยิ้ม
“พูดสิ มีเรื่องใดจึงกลับมา”
หวังเป่าเล่อในร่างต้นแบบเอ่ยเบาๆ ก่อนจะถอนสายตากลับ ทำให้ฝันร้ายแห่งปรารถนาคลายความกดดันลง ตอนนี้มันถอยหลังไปสองสามก้าวแล้วจ้องมองร่างต้นแบบอย่างระแวงและสับสน หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงแหบแห้ง
“ข้ากลายเป็นเจ้าสวาปามของเมืองปรารถนารสแล้ว และกลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎปรารถนารส…” ฝันร้ายแห่งปรารถนาพูดถึงตรงนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี มันกำลังจะถอยหนี ทว่าก็ยังสายเกินไป
พริบตาที่ได้ยินประโยคแรก ร่างต้นแบบก็เงยหน้าขึ้น มือขวายกขึ้นคว้าเล็กน้อย ทันใดนั้นฝันร้ายแห่งปรารถนาก็พังทลาย หมอกมหาศาลกระจายตัวออก ดวงจิตร่างแยกหวังเป่าเล่อที่อยู่ในร่างก็ถูกร่างต้นแบบจับมาและกดลงตรงหว่างคิ้ว
ไม่ใช่เพื่อดูดซับแต่เพื่อสัมผัสเชื่อมต่อ
พริบตาต่อมาทุกเรื่องราวที่หวังเป่าเล่อร่างแยกพบเจอ ตั้งแต่ออกไปจนถึงเวลานี้ก็ถูกหวังเป่าเล่อร่างต้นแบบควบคุมอย่างสมบูรณ์
จากนั้นไม่นาน ร่างต้นแบบของหวังเป่าเล่อพลันปรากฏแสงแปลกประหลาดในดวงตา ก่อนจะทอดมองดวงจิตของร่างแยกในมือ
“เจ้าอยากเป็นอิสระไหม”
…………
“หากไม่ใช่ว่าร่างต้นของคนผู้นั้นใจเสาะเหมือนหนู สตรีผู้พบข้าแล้วจะอย่างไร” เมื่อถูกสายตาสตรีนั้นจ้องมองนิ่งๆ ความรู้สึกวิกฤตแรงกล้าวูบหนึ่งก็ปะทุขึ้นภายในใจหวังเป่าเล่อทันที
ส่งผลให้เลือดเนื้อทั้งร่างของเขาสั่นไหว ขณะที่ร่างล่าถอยด้วยความเร็ว ความโกรธแค้นวูบหนึ่งก็ปรากฏอยู่ในใจหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกว่าร่างต้นนั้นอ่อนแอเกินไปแล้ว
ขณะล่าถอย ใบหน้าของสตรีภายในเค้าร่างบิดเบี้ยวนั้น ก็เผยรอยยิ้มวิปริต เพียงวูบเดียวนางก็พุ่งมาทางหวังเป่าเล่อ แต่ในตอนนั้นเอง…
หม้อยักษ์สัมฤทธิ์ที่ลอยอยู่กลางอากาศกลางเมืองปรารถนารสพลันส่งเสียงโจมตีออกมา ในพริบตาหม้อยักษ์นี้ก็เคลื่อนย้ายเองแล้วหายไป เมื่อปรากฏขึ้นอีกรอบก็อยู่ด้านหน้ารูปร่างบิดเบี้ยว ขวางกั้นสายตาของใบหน้าที่อยู่ด้านในจนหมดสิ้นแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นหอมเนื้อก็ยังอบอวลไปรอบด้าน มือที่ซีดขาวข้างหนึ่งราวกับถูกต้มมานานหลายปี ยื่นออกมาช้าๆ จากภายในหม้อยักษ์
“ฮูเอ๋อร์ลี่ เจ้าถูกคำสาปดวงจิตเทพ กลายเป็นอาหารที่เขาโปรดปรานที่สุด ต้องอยู่ในสภาพถูกต้มทุกภพทุกชาติ เวลานี้เพราะผู้มาจากภายนอก กลับพยายามฝ่าฝืนคำสาปงั้นหรือ!”
“เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่า นี่จะทำให้เจ้าสูญเสียความเป็นมนุษย์มากยิ่งขึ้น เจ้า…เจ้าบ้าไปแล้ว!” หลังจากเห็นมือซีดขาวที่ยื่นออกมาจากภายในหม้อยักษ์ สตรีนางนั้นก็หน้าถอดสี ส่งเสียงกรีดแหลม
ท่าทางของนางคล้ายจะหวาดกลัวต่อมือซีดขาวนี้ ล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้นยังกระจายความผันผวนออกมา ราวกับต้องการเพรียกหาวิญญาณจักรพรรดิและผู้พิทักษ์
แต่ขณะที่กระจายความผันผวนนั่นเอง มือซีดขาวที่ยื่นออกมาจากภายในหม้อยักษ์ ก็กระแทกขึ้นไปบนฟ้าทันที
การกระแทกครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดรอยแตกราวใยแมงมุมขนาดใหญ่บนท้องฟ้า เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น พวกมันปรากฏขึ้นทั่วสารทิศทันที ครอบคลุมทั้งภายในและภายนอกของเมืองปรารถนารส ทำให้สถานที่แห่งนี้คล้ายถูกตัดขาด
“เจ้าสตรีชั่วช้า ข้าไม่ชอบขี้หน้าเจ้ามานานแล้ว!” เสียงนั้นแหบพร่า ในตอนที่บริเวณโดยรอบถูกแยกออกจากหม้อยักษ์ มือซีดขาวนั้นก็รีบคว้าไว้ แบ่งแยกครึ่งฟ้าและครอบคลุมรูปร่างบิดเบี้ยวไว้โดยตรง ทำให้สตรีนางนั้นตองดิ้นรน ไม่อาจหลบหนี ถูกดูดดึงเข้ามาทีละเล็กทีละน้อยไปทางหม้อยักษ์
“ฮูเอ๋อร์ลี่ เจ้าบ้าไปแล้ว!” ใบหน้าของนางบิดเบี้ยว ดวงตาฉายแววอาฆาต กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงปะทุขึ้นทันที เสียงแห่งสรรพชีวิต ดนตรีแห่งธรรมชาติ เสียงแห่งสรรพสัตว์ ถูกส่งไปรอบด้าน ในเวลาเดียวกันบริเวณที่ถูกแยกออกก็ปรากฏสัญญาณของการพังทลาย
เมื่อเห็นว่าการแยกกำลังจะพังทลายลงแล้ว ตอนนั้นเองเสียงหัวเราะก็ดังมาจากหม้อยักษ์
“นี่ ก็คือคำตอบของข้า”
ประโยคนี้รวดเร็วยิ่ง แต่หวังเป่าเล่อกลับเข้าใจได้ ดวงตาฉายประกาย เขาเห็นมือซีดขาวที่ยื่นออกมาจากหม้อยักษ์ กระจายออกด้วยตัวมันเอง ออกจากพื้นที่ของหม้อยักษ์ทันที แล้วเผาไหม้ไปตลอดทาง สตรีนางนั้นไม่อาจเชื่อสายตา เพราะมันกำลังจะเจาะเข้าไปตรงกึ่งกลางคิ้วของตน
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็แผดแหลมไปทั่วทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ หรือเสียงของสรรพสิ่ง หรือเสียงของสรรพชีวิตทั้งหมด นางไม่อาจทนรับไหว รูปร่างบิดเบี้ยวนั้นพังทลาย ระเบิดออกแล้วแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ
ภายในสนามรบ ผู้ฝึกตนเมืองปรารถนาเสียงทั้งหมด หลังจากเห็นเหตุการณ์นี้เข้า ใบหน้าก็เปลี่ยนสี ความกระหายสงครามหายวับ รีบเร่งล่าถอย
“สตรีนางนั้นมีสามร่างหลัก นี่คือหนึ่งในนั้น การทำลายอาจส่งผลต่ออีกสองร่างที่เหลือและทำให้พวกเขาต้องหลับใหลและฟื้นฟู…” ด้านหวังเป่าเล่อ เพราะไล่ติดตามนักปราชย์ผู้นั้นมานานเกินไป ร่างกายจึงร้าวรานอยู่บ้าง เขาดูดรับกลิ่นอายกฎเกณฑ์จากภายในร่าง ได้ยินเสียงแว่วมาข้างหู.
“ปิงหลิงจื่อ ข้าใช้แขนเพียงข้างเดียวเป็นค่าตอบแทนช่วยเหลือเจ้า แลกเปลี่ยนกับความหวังในอนาคตให้ข้า การค้านี้เจ้าไม่เสียเปรียบ”
“ที่นี่ยังเหลือธูปอยู่ครึ่งดอก วิญญาณจักรพรรดิและผู้พิทักษ์กำลังจะมาในเร็วๆ นี้ ถ้าเจ้ายังไม่ออกไป อีกสักพักเจ้าก็จะไปไม่ได้แล้ว!”
ได้ยินเสียงแหบพร่าที่ดังมาจากภายในหม้อยักษ์ หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจเข้าลึกๆ มองอย่างลึกซึ้ง เมื่อเขาหันกาย ร่างก็หายในวับภายในพริบตา
หลังจากที่เขาหายตัวไปแล้ว การสังหารหมู่ก็เริ่มต้นขึ้น แม้ผู้ฝึกตนบางคนจากเมืองปรารถนาเสียงจะหนีไปได้ แต่ก็ยังมีอีกครึ่งหนึ่งล้มตายที่นี่
เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทันทีที่แยกตัวออกจากที่แห่งนี้ ท้องนภาก็พลิกคว่ำ ก่อนจะปรากฏร่างสวมหน้ากากสีขาวร่างแล้วร่างเล่า
พลังที่แผ่ออกมาจากร่างพวกเขาได้ปกคลุมไปทั่วเมือง ทำให้ผู้ฝึกตนทั้งหมด รวมทั้งเจ้าสวาปามต่างสั่นสะท้าน แหงนหน้าขึ้นมองด้วยความหวาดกลัว
หลังจากที่ได้เห็นร่างผู้ที่สวมหน้ากากสีขาวเหล่านี้ ใบหน้าไร้อารมณ์ขนาดใหญ่ที่ปรากฏขึ้นบนท้องนภา
สายตาของใบหน้าเหล่านั้นกวาดมองทั่วพื้นดิน สุดท้ายก็มาหยุดตรงหม้อยักษ์
หม้อยักษ์ไม่ได้ขยับเขยื้อน เสียงหัวเราะส่งออกมาจากด้านใน
“ไม่ได้พบกันนานเลยนะ”
“คำสาป!” ผู้ที่ตอบกลับคือใบหน้าขนาดใหญ่นั้น มันเอ่ยออกมาคำหนึ่ง
ทันทีที่กล่าวคำนี้ออกมา เสียงเดือดในหม้อก็รุนแรงขึ้นทันที ราวกับว่าระดับความร้อนและการทรมานเพิ่มขึ้นร้อยเท่า ทำให้หม้อยักษ์ทั้งใบสาดสีแดงฉาน การเดือดปุดภายในราวกับจะสามารถละลายทุกอย่างได้ จินตนาการได้ว่าเจ้าปรารถนาแห่งเมืองปรารถนารสผู้นั้น ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสอยู่แน่
แต่ระหว่างการทรมานนี้ ก็ยังมีเสียงหัวเราะส่งออกมาจากหม้อยักษ์ เพียงแต่เสียงหัวเราะนี้ เห็นชัดว่าได้รับความเจ็บปวด แต่ก็ดูเหมือนว่าพลังแห่งศรัทธาทำให้เขาไม่ยินยอมส่งเสียงเจ็บปวดออกมาเลยแม้แต่น้อย
“ในเมื่อมีศักดิ์ศรีเช่นนี้ คราวนั้นเหตุใดจึงยอมจำนน…”
ประโยคนี้ ดูเหมือนจะกระตุ้นเจ้าปรารถนาในหม้อใบใหญ่ได้อย่างรุนแรง ทำให้เสียงหัวเราะของเขาหยุดชะงัก คำพูดเหล่านั้นดูเหมือนจะกระตุ้นความอยากอาหารของเมืองอย่างรุนแรง ทำให้เสียงหัวเราะของเขาต้องหยุดลง ก่อนที่น้ำเสียงขมขื่นจะดังออกมา
“ใจทมิฬ! เจ้า…”
ดูเหมือนว่าสำหรับเขาแล้ว ความเจ็บปวดก่อนหน้านี้ก็ยังน้อยกว่าคำพูดนี้มากนัก ทว่าพูดไม่ทันจบ ใบหน้าที่สวมหน้ากากขาวเหล่านั้นก็ส่งเสียงเย้ยหยันออกมาเสียก่อน พลังที่น่าตระหนกเข้ามากดทับบนหม้อยักษ์ เสียงของเขาร้องคำราม เมื่อโดนกดลงไปที่พื้น และเมื่อกดอีกครั้งก็จมลึกลงไปใต้ดินแล้ว
“แสงอรุณในความมืดนั้นล้ำค่าที่สุด หากเจ้าต้องการความหวัง จงรอคอยในความมืดมิดนั้นเถอะ” ใบหน้านั้นกล่าวเสียงแผ่วแผ่ว จนมีเพียงเจ้าปรารถนาในหม้อยักษ์เท่านั้นที่ได้ยิน มันเมินเฉยต่อสรรพชีวิต ก่อนจะสลายไปบนท้องฟ้า
เมื่อมันสลายไปแล้ว วิญญาณจักรพรรดิเหล่านั้นที่อยู่รอบด้าน ก็กลายเป็นสายรุ้งทะยานกลับไปเช่นกัน
โลกเงียบสงัด ผู้ฝึกตนของเมืองปรารถนารสต่างประหลาดใจ มีเพียงเจ้าสวาปามหลายคนพวกนั้นที่เผยสีหน้าสับสน ไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมา ต่างมองหน้ากันและกัน ทว่าบนพื้นดิน ด้านเฉิงหลิงจื่อนั้น ตอนนี้ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความผิดหวัง เขามองออกไปไกลๆ ราวกับกำลังค้นหาร่างของคนผู้หนึ่ง
ในเวลาเดียวกัน บนพื้นดินบริเวณที่ห่างจากเมืองปรารถนารส หวังเป่าเล่อเปลี่ยนโฉมหน้าแล้ว เขากำลังพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เป้าหมายนั้นก็คือ… สถานที่ที่ร่างต้นของเขาหลับใหล!
“เจ้าปรารถนารส คำสัญญาของข้าที่ให้ท่าน ต้องทำให้สำเร็จ!”
ท่วงทำนองนี้มาอย่างกะทันหันมาก แต่เพียงชั่วอึดใจก็ก้องกังวานอยู่ในใจชาวเมืองปรารถนารส ทำให้ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่มึนงงไปในทันที
และในชั่วอึดใจที่ตกตะลึงอยู่นี้ เสียงคำรามหนึ่งก็ส่งมาจากที่ที่เจ้าสวาปามผู้แข็งแกร่งที่สุดอยู่ เสียงดังสะท้อนก้องเทียมฟ้าคล้ายอสนีสวรรค์น่าตระหนก พริบตาที่ระเบิดออก สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่คลื่นเสียง แต่เป็นพลังแห่งปรารถนารสที่มาจากภายในร่างผู้ฝึกตน
ด้วยปรารถนารสต่อต้านปรารถนาเสียง
แม้ระดับกฎเกณฑ์จะเท่าเทียมกัน แต่ลำดับชั้นต่างกันของผู้ที่ใช้ย่อมเป็นตัวกำหนดความแข็งอ่อน เพียงชั่วพริบตาผู้ฝึกตนที่อยู่ในอารามก็ตื่นตระหนกทั่วทั้งเมืองปรารถนารส ส่วนใหญ่ตื่นขึ้นมา แต่ก็ยังมีอีกส่วนหนึ่ง ระหว่างที่ท่วงทำนองโศกสลดบรรเลง ใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มประหลาด เลือกที่จะยกมือขึ้น แล้วทุบไปที่หว่างคิ้วของตน ส่งผลให้หน้าผากแหลกละเอียด จิตใจแตกสลาย
ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็นั่งขัดสมาธิลงกับที่ เขาลืมตาขึ้นมองไปทางท้องฟ้ามืดสนิทยามราตรีกาลอย่างเย็นชาด้านนอกโลกภายนอกเมืองปรารถนารส
บนท้องฟ้ามีผู้ฝึกตนสวมชุดยาวสีขาวนับหมื่นลอยอยู่ ผู้ฝึกตนเหล่านี้ ล้วนอยู่ในภาพมายาทั้งสิ้น บ้างก็กลายเป็นเสียงดนตรี บ้างก็กลายเป็นร่างคน
บนพื้นแผ่นดิน เวลานี้มีร่างสูงใหญ่ 12 ตน กำลังสืบเท้าเข้ามาช้าๆ ร่างแต่ละร่างเป็นราวกับนักแสดงในตอนแรก เวลาเดียวกันก็เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด ต่างมีเครื่องดนตรีเต็มยศ รอบด้านยังมีผู้ฝึกตนจำนวนมากราวกับกำลังไปสนับสนุนวงดนตรี
ไกลออกไป ระหว่างฟ้าดิน ความว่างเปล่าพลันบิดเบี้ยว
หวังเป่าเล่อเพียงเหลือบมองรูปร่างบิดเบี้ยวเหล่านี้ ทันใดนั้นเสียงหัวเราะก็ดังขึ้น เสียงร้องไห้ และเสียงกรีดร้องตามมา เสียงทั้งหมดมาจากสรรพชีวิตในจิตใจ มีเสียงดนตรีและเสียงคำรามก้องดังอยู่ในนั้น ราวกับเสียงที่มีอยู่ในกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียง รวมตัวอยู่ในรูปร่างบิดเบี้ยวทั้งหมด
ผู้คนพวกนี้ มาจากเมืองปรารถนาเสียง!
และรูปร่างบิดเบี้ยวใหญ่โตนั่น ไม่ต้องบอกก็รู้ถึงสถานะได้ มันคือ…เจ้าปรารถนาของเมืองปรารถนาเสียงผู้นั้น
ในเวลาเดียวกัน ด้านเมืองปรารถนารสก็ตอบโต้อย่างรวดเร็ว ร่างของเจ้าสวาปามขยายออกร่างแล้วร่างเล่า กลายเป็นภูเขาเนื้อทะยานขึ้นฟ้า แม้สาวกเนื้อจะมีจำนวนน้อยมาก แต่ผู้ฝึกตนเมืองปรารถนารสบนแผ่นดิน ต่างพากันคำรามเสียงเซ็งแซ่ ดวงตาแดงก่ำ คล้ายกับหิวโหยอย่างที่สุด กระจายกลิ่นอายปรารถนารสอันแรงกล้าออกมา
ยิ่งหม้อสัมฤทธิ์ยักษ์ที่อยู่ในตำหนักของเจ้าเมืองแล้ว มันค่อยเปลี่ยนรูปร่างช้าๆ ปรากฏร่างของเจ้าปรารถนาแห่งเมืองปรารถนารส…ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหม้อยักษ์
“ปรารถนารส กลิ่นอายของผู้มาจากภายนอก ก็อยู่กับเจ้าที่นี่ ส่งมันมาให้ข้า เจ้ากับข้าแบ่งกัน!” ตอนที่หวังเป่าเล่อหรี่ตา ดูเหมือนเสียงสรรพชีวิตที่รวมตัวอยู่ได้กระจายออกไปทั่วสารทิศจากกลุ่มบิดเบี้ยวนั้นแล้ว
“แบ่งกันหรือ เจ้าก็คู่ควร!” เสียงที่ตอบกลับรูปร่างบิดเบี้ยวนั้น เป็นเสียงเย้ยหยันจากเจ้าปรารถนาเมืองปรารถนารสที่อยู่บนหม้อยักษ์
เสียงนี้ราวกับจะไปกระตุ้นรูปร่างบิดเบี้ยวนั้นเข้า ทำให้มันแผดเสียงแหลมเล็กออกมาจากภายใน พริบตาต่อมากองทัพผู้ฝึกตนจากเมืองปรารถนาเสียงที่อยู่นอกคูเมือง เสียงดนตรีแต่ละชิ้นก็ดังก้องมายังเมืองปรารถนารส
ผู้ที่ตอบโต้พวกเขาคือผู้ฝึกตนในเมืองปรารถนารส คนเหล่านั้นทะยานขึ้นฟ้าคนแล้วคนเล่า โรมรันคำรามก้อง ส่วนร่างที่มีเครื่องดนตรีครบถ้วนนับสิบกว่าคนเหล่านั้น ผู้ที่ขวางกั้นพวกเขาเอาไว้คือเจ้าสวาปาม
โจวฮั่วก็ดี ถัวหลิงจื่อก็ช่าง เวลานี้ต่างคำรามก้องทะยานออกมา และเจ้าสวาปามผู้แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มผู้นั้น ยิ่งตรงเข้าไปต่อกรแบบหนี่งต่อสาม ตอนนั้นเองที่ด้านนอกคูเมืองก็เข่นฆ่ากันอย่างต่อเนื่อง
หวังเป่าเล่อไม่ได้ลงมือ เขากำลังรอเวลา
รอให้เจ้าปรารถนาของเมืองปรารถนารส ให้คำตอบแก่เขา
และการรอคอยของเขาก็ไม่ได้นานเกินไป เมื่อการต่อสู้เริ่มต้น ขณะที่กลุ่มเสียงโห่ร้องแห่งความบิดเบี้ยว ปะทะเข้ามาในเมืองปรารถนารสโดยตรง มุ่งตรงไปที่หม้อยักษ์
เจ้าปรารถนาเมืองปรารถนารสที่อยู่บนหม้อยักษ์ ร่างที่ราวกับภูเขาเนื้อก็ทะยานขึ้น จากนั้นก็ปะทะเข้าด้วยกันกับรูปร่างบิดเบี้ยว ขณะที่เสียงคำรามสะท้อนก้อง พลังแห่งกฎเกณฑ์ของทั้งสองก็ระเบิดอยู่บนร่างพวกเขาอย่างรุนแรง
เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนี้แล้ว ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็เลือนรางหายไปจากที่เดิม และปรากฏตัวอยู่นอกเมืองทันที ร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งด้านหน้าคือผู้ฝึกตนท่าทางเหมือนนักปราชญ์ รอบตัวเต็มไปด้วยด้วยเด็กนักเรียนจำนวนมาก เครื่องดนตรีของเขาใกล้เคียงกับคัมภีร์ เมื่องสะท้อนก้องไปทั่วทิศ จึงคงเหลือไว้ด้วยพลังผนึกปราบปราม
หลังจากเห็นหวังเป่าเล่อ ขณะที่นักปราชญ์โบกมือ เสียงคัมภีร์เทียมฟ้าก็ดังสะท้าน แต่หวังเป่าเล่อกลับหัวเราะเยาะ ร่างกายพลันขยายอย่างต่อเนื่อง หลังจากขยายถึง 500 กว่าจั้งแล้ว ก็ส่งหมัดไปที่อีกฝ่าย
หมัดนี้ต่อยเข้าไปในอากาศ ระเบิดไปทั่วสารทิศ ทำให้ผู้ติดตามรอบด้านนักปราชญ์ ต่างหน้าเปลี่ยนสี แสดงความดุร้าย ดูเหมือนจะหิวโหยมานาน แล้วหันกลับไปทางนักปราชญ์กัดกินอย่างบ้าคลั่ง
ในเวลาเดียวกัน ร่างของหวังเป่าเล่อไม่ได้ชะงักเลยแม้แต่น้อย เขาพุ่งเข้าไปทันที ร่างขนาด 500 กว่าจั้งกลายเป็นวังวนขนาดใหญ่ คล้ายต้องการกลืนกิน เป็นดังคาดมันกลืนนักปราชญ์เข้าไปในพริบตา
เหตุการณ์นี้ทำให้นักปราชญ์หน้าถอดสี ไม่ใช่ไม่เคยต่อสู้กับเจ้าสวาปามมาก่อน แต่เจ้าสวาปามแปลกหน้าที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ ดูไม่ค่อยเหมือนเจ้าสวาปามอื่นๆ เท่าไรนัก ท่าทางดูแล้วดุร้ายยิ่งกว่า ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อย ร่างกายหายวับกลายเป็นเครื่องดนตรีไร้ร่าง คล้ายต้องการหลบหลีกด้วยความรวดเร็ว
พริบตาต่อมา สถานที่ที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ก็ปรากฏหวังเป่าเล่อที่กลายเป็นวังวน กำลังกลืนกินความว่างเปล่ารอบตัวเขาเข้าไป
“คิดจะหนีงั้นหรือ” ภายในวังวน ใบหน้าหวังเป่าเล่อก็ปรากฎออกมา ดวงตาฉายประกายประหลาด เขาเลียริมฝีปาก แม้ว่าอีกฝ่ายจะหนีไป แต่ก็ยังถูกเขากลืนกินกลิ่นอายของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงมาแล้วบางส่วน เขาค้นพบอย่างยินดีว่า กลิ่นอายนี้เข้ากับภายในร่างตน ทำให้กฎเกณฑ์ปรารถนารสได้รับการหล่อหลอมลมหายใจกฎแห่งความปรารถนา หวังเป่าเล่อรู้สึกประหลาดใจมากที่พบว่าลมหายใจในร่างของเขาตอนนี้ กฎความอยากอาหารนั้นได้รับการหล่อเลี้ยงในระดับดีแล้ว
ดังนั้นเพียงวูบเดียว หวังเป่าเล่อจึงไล่ตามไปอีกครั้ง
เหตุการณ์เช่นเดียวกันอาจพบได้ทุกที่ในสนามต่อสู้นี้ เพียงแต่ว่ามีบางที่ที่กฎเกณฑ์ปรารถนารสได้เปรียบ และมีบางที่กลับตรงกันข้าม ทว่าเรื่องการหล่อเลี้ยงกฎเกณฑ์ของอีกฝ่าย ไม่เพียงมีเฉพาะหวังเป่าเล่อเท่านั้น
นี่เป็นกฎเวท บนร่างของคนผู้หนึ่งไม่อาจมีกฎเกณฑ์ปรารถนาทั้งสองชนิดได้ หากปรากฎกฎเกณฑ์ชนิดที่สองแล้ว ก็จะต้องถูกฝ่ายที่แกร่งกว่ากลืนกิน
ด้วยประการฉะนี้ การเข่นฆ่าที่สนามรบจึงดุเดือดตั้งแต่เริ่มแรก ในเวลาเดียวกันบนท้องนภา การต่อสู้ระหว่างสองเจ้าปรารถนาก็ส่งเสียงคำรามก้องไปทั้งฟ้าดินตั้งแต่เริ่มลงมือ
ทว่า เห็นได้ชัดว่าท่าทีของเจ้าปรารถนารสในตอนนี้ เป็นไปตามที่หวังเป่าเล่อเคยกล่าว เขาเป็นเพียงร่างแยก ดังนั้นในไม่ช้าขณะที่ทางหวังเป่าเล่อไล่ตามนักปราชญ์ผู้นั้นและลงมือกลืนกินอีกครั้ง ก็เกิดเสียงคำรามส่งมาจากท้องนภา ร่างของเจ้าเมืองปรารถนารสที่อยู่บนอากาศ เวลานี้ถูกรูปร่างบิดเบี้ยวนั้นพันธนาการ ก่อนจะพังทลายลงทันที
การพังทลายนี้ ทำให้จิตใจของผู้คนเมืองปรารถนารสสั่นสะท้านไปตามๆ กัน หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงเล็กน้อย ความรู้สึกวิกฤตที่รุนแรง ปะทุขึ้นในใจทันที
เพราะว่า…ตอนนี้เขาสังเกตเห็นแล้วว่าภายในรูปร่างบิดเบี้ยวกลางอากาศนั้น ได้ปรากฏใบหน้าของสตรีงามหมดจดอยู่ด้วย เวลานี้นางกำลังกวาดสายตาไปทางสนาม กวาดสายตาผ่านไปทั่วเมือง และสุดท้ายสายตาคู่นั้นก็มาหยุดลงที่ร่างของหวังเป่าเล่อ
“เจอตัวแล้ว!”
“เมื่อเทียบกับอิสระที่จะได้รับ ข้าอยากได้ความหวังที่ไร้ขอบเขตมากกว่า” หวังเป่าเล่อเงียบไปชั่วครู่ แล้วเงยหน้าขึ้นมองไปทางเจ้าปรารถนาที่อยู่บนหม้อยักษ์ซึ่งกำลังมองมาทางตนด้วยความสงสัย
เขาย่อมเข้าใจนัยยะของอีกฝ่าย ที่บอกตนก่อนถึงข้อต่อรองที่โลกด้านบนมอบให้ จากนั้นก็บอกว่าตนรู้ถึงท่าทีของเขา และสุดท้ายก็ยื่นข้อเสนอ
พื้นฐานของทั้งหมดนี้ก็คือ…ทั้งสองฝ่ายอาจจะสามารถร่วมมือกันได้
บางทีคนผู้นี้อาจยังไม่รู้แน่ชัดถึงสถานะของตน แต่ก็น่าจะคาดเดาได้ถึงเจ็ดแปดส่วนแล้ว และการร่วมมือนี้ สำหรับเจ้าปรารถนานั้น แม้จะมีความเสี่ยง แต่เมื่อคาดการณ์แล้วก็คุ้มค่าแก่การลอง
อย่างมากที่สุดก็ถูกกำราบก็เท่านั้น แต่หากสำเร็จ…เช่นนั้นสิ่งที่เขาได้รับก็คืออิสระอย่างแท้จริง
และตัวหวังเป่าเล่อ เวลานี้ก็ได้ตัดสินใจแล้วเช่นกัน สถานะของเจ้าปรารถนาเหล่านี้ของโลกาชั้นที่สอง น่าจะเป็นหนึ่งในผู้เยี่ยมยุทธ์ 108 คน ในตอนแรก
เพียงแต่เมื่อเทียบกับผู้ที่ถูกผนึกไว้เป็นตัวจ่ายพลังในโลกาชั้นแรก คนเหล่านั้น…เลือกที่จะยอมทำตาม ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ถูกผนึกเป็นตัวจ่ายพลัง แต่สูญเสียอิสรภาพไปเกือบนิรันดร์
ในหมู่พวกเขา บางคนหมดหวัง บางคนกำลังแสวงบุญ และบางคนยังคงมีไฟเผาผลาญอยู่ในใจ รอคอยโอกาสที่จะมาถึง
หวังเป่าเล่าเข้าใจเรื่องทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถให้สัญญาใดๆ ได้ ทั้งหมดที่เขาสามารถให้ได้คือความหวัง แต่เขาเชื่อว่า… ในเวลาอันยาวนานนี้ การปรากฏตัวของตน เป็นเพียงความหวังเดียวและยิ่งใหญ่ที่สุด
ดังนั้นหลังจากกล่าวออกมาแล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้รีบร้อน รอคอยคำตอบของเจ้าปรารถนาที่อยู่ตรงหน้า
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เขาก็ได้ยินเสียงหายใจหนักหน่วง
“การสวาปามกำลังจะเริ่มแล้ว ปิงหลิงจื่อ เทศกาลสวาปามครั้งนี้เตรียมไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ ตามข้าไปเถอะ” เจ้าปรารถนาไม่ได้รีบร้อนกล่าวคำตอบของเขาออกมา แต่กลับเปลี่ยนเรื่อง ยิ่งกว่านั้นก็ยืนขึ้นบนหม้อยักษ์ช้าๆ ขณะที่โบกมือ รอบด้านก็พร่าเลือนทันที
ราวกับว่าดวงดาวกำลังเคลื่อนคล้อย และในเวลาต่อมา หวังเป่าเล่อและเจ้าแห่งปรารถนาก็ออกจากตำหนักเจ้าเมือง แล้วปรากฏขึ้นเหนือแท่นบูชากลางเมืองปรารถนารสในเทศกาลสวาปาม
หลังจากปรากฏตัวแล้ว ก็ได้ยินเสียงโห่ร้องยินดีมาจากด้านล่าง หวังเป่าเล่อก้มลงมอง เขาก็เห็นประชาชนเมืองปรารถนารสเนืองแน่น
เมื่อถึงขอบเขตกฎเกณฑ์ปรารถนารสของเขาในตอนนี้ ยามที่เขากวาดตามองไป นอกจากจะเห็นผู้ฝึกตนที่ไม่สิ้นสุดแล้ว ยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความตะกละของพวกเขาอย่างชัดเจน
กลิ่นอายนี้ สำหรับกฎเกณฑ์ปรารถนารสแล้ว นับได้ว่าเป็นอาหารบำรุงอันโอชะ โดยเฉพาะหลังจากเจ้าแห่งปรารถนานำหนวดสีทองนับไม่ถ้วนนั้นออกมา กลิ่นอายตะกละรอบด้านก็ปะทุขึ้น
“ปิงหลิงจื่อ ยังไม่ดูดรับอีก!” เสียงของเจ้าปรารถนาส่งมาข้างหูหวังเป่าเล่อ ดวงตาของเขาเป็นประกาย ไม่ได้เกรงใจและก็ไม่ลังเล แต่กฎเกณฑ์ปรารถนารสในกายกลับปะทุออกมาทันที ขณะนี้ร่างกายได้กลายขนาดเป็น 500 กว่าจั้ง ก่อเป็นวังวนมหึมาสูดกลิ่นอายที่อยู่รอบด้านทันที
ภายใต้การดูดรับนี้ กลิ่นอายตะกละก็เป็นราวกระแสน้ำ รวมตัวกันอย่างบ้าคลั่งรวดเร็วไปทางหวังเป่าเล่อ หลอมรวมเข้าสู่ภายในวังวน ทำให้กฎเกณฑ์ปรารถนารสของหวังเป่าเล่อค่อยๆ เพิ่มขึ้น
ทั้งหมดนี้กินเวลาต่อเนื่องไปหนึ่งก้านธูป
เพราะเทศกาลสวาปามในคราวนี้ได้เตรียมไว้เพื่อหวังเป่าเล่อ ดังนั้นในเวลาหนึ่งก้านธูป เจ้าแห่งปรารถนาไม่ได้ดูดรับกลิ่นอายตะกละเลยแม้แต่น้อย เจ้าแห่งสวาปามทั้งแปดก็เป็นเช่นนี้ แต่เมื่อเทียบกับเจ้าปรารถนาแล้ว เวลานี้ฝ่ายหลังทั้งแปดคนต่างประหลาดใจอย่างที่สุด
โจวฮั่วปากอ้าตาค้าง ถัวหลิงจื่อเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก เจ้าสวาปามอื่นก็ล้วนใจเต้นระทึก มีเพียงสองคนที่มีร่างแห่งปรารถนาถึง 500 กว่าจั้งที่ยังสงบอยู่ได้บ้าง แต่ดวงตาฉายแววความหวาดกลัวและระแวดระวัง
แท้จริงแล้วนั้น…วังวน 500 กว่าจั้งของหวังเป่าเล่อ ทำให้พวกเขาตื่นตระหนกอย่างสมบูรณ์แบบ
ต้องรู้ว่า วังวนร้อยจั้งก็เป็นเจ้าสวาปามได้แล้ว และถึงขนาด 500 กว่าจั้ง ก็หมายความกฎเกณฑ์ปรารถนารสของหวังเป่าเล่อ สามารถกำราบเจ้าสวาปามได้หลายคน ระหว่างการก้าวกระโดดนี้ จากสาวกเนื้อมาถึงขั้นสูงเช่นนี้ ความเร็วเช่นหวังเป่าเล่อย่อมทำให้ทุกคนประหลาดใจ
ขณะที่จิตใจของเจ้าสวาปามพากันตื่นตระหนก ความคิดต่างๆ ก็ผุดขึ้น ภายในเวลาหนึ่งก้านธูปหวังเป่าเล่อก็เสร็จสิ้นการดูดรับ เขาดูดรับกลิ่นอายตะกละไปแล้วประมาณสามส่วน ไม่ใช่คิดจะหยุด แต่ประโยชน์ของกลิ่นอายตะกละสำหรับเขาครั้งเมื่อยังเป็นสาวกเนื้อนั้นมากนัก แต่หลังจากเป็นเจ้าสวาปามแล้ว แม้จะยังมี แต่ก็ไม่อาจรับมากเกินไปภายในครั้งเดียว
นี่ก็คือเหตุผลที่เทศกาลสวาปามมีเดือนละหนึ่งครั้ง อย่างไรกลิ่นอายตะกละยังต้องการย่อยสลาย ไม่เหมือนการกลืนกินผู้ฝึกตนอื่นเป็นอาหาร ที่สามารถดูดรับได้โดยตรง
หลังจากนั้นเจ้าปรารถนาก็ดูดกลิ่นอายตะกละจากทั่วสารทิศทันที การดูดดำเนินไปครึ่งเดียว ต่อไปจึงเป็นเจ้าสวาปาม เมื่อถึงเวลานี้เทศกาลสวาปามครั้งนี้สำหรับหวังเป่าเล่อนับว่าได้สิ้นสุดแล้ว
หลังจากเจ้าปรารถนาไปแล้ว คำเชื้อเชิญของเจ้าสวาปามก็มาอย่างต่อเนื่อง หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้ตัดความสัมพันธ์ เขาไปเยี่ยมเยีอนโจวฮั่วก่อน หลังจากนั้นก็ไปเยี่ยมเยียนเจ้าสวาปามอื่นทีละคนตามคำชี้แนะของโจวฮั่ว
ด้านถัวหลิงจื่อ เขาก็ไปแล้ว ท่าทีของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปมาก ยังแสดงถึงความขอบคุณที่ดูแลเฉิงหลิงจื่อด้วยความสุภาพ
แม้ก่อนหน้านั้นทั้งสองจะมีปัญหาขัดแย้งกันตอนยังเป็นสาวกเนื้อ แต่มีเฉิงหลิงจื่อประสานอยู่ตรงกลาง และพลังของหวังเป่าเล่อก็ยังทำให้ถัวหลิงจื่อหวาดหวั่น ดังนั้นการเยี่ยมเยียนในคราวนี้ ทั้งเจ้าบ้านและแขกต่างก็ยินดีปรีดา
ขณะเดียวกัน น้ำเย็นหล่อวิญญาณอาหารชนิดนี้ ภายในเมืองปรารถนารสแล้ว ก็นับว่ายืนหยัดได้อย่างมั่นคงและร้านอาหารปิงหลิงก็ขายดีเทน้ำเทท่า ขยายไปในเมืองปรารถนารสได้อย่างราบรื่น ไม่พบอุปสรรคใด
ถึงอย่างไรในฐานะที่หวังเป่าเล่อเป็นเจ้าสวาปาม การเลื่อนขั้นของเขาจึงจำเป็นต้องมีการแบ่งเมืองสวาปามใหม่ อีกทั้งความแข็งแกร่งและคุณความดีของเขา ก็ทำให้เจ้าสวาปามคนอื่น แม้จะไม่ยินยอมพร้อมใจ แต่ก็ไม่อาจไม่นำผลประโยชน์ส่วนของตนออกมา ทำให้ปรากฏกองกำลังที่เก้าของหวังเป่าเล่อ
หลังจากกระบวนการทั้งหมดผ่านไปประมาณครึ่งเดือน ชื่อของปิงหลิงจื่อได้กลายเป็นพลังเทพภายในเมืองปรารถนารสไปแล้ว ประตูทั้งแปดแต่เดิมที ก็ถูกสร้างขึ้นอีกแห่ง และหวังเป่าเล่อได้มอบให้เฉิงหลิงจื่อเป็นผู้ควบคุม
ในทำนองเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการร้านหญิงก็ดี คนแคระก็ช่าง หรือที่มาติดตามเป็นคนในร้านของเขา ต่างก็กระจายตัวกันไป ทำการค้าให้เขาด้วยความจงรักภักดี
ส่วนที่ดีก็ย่อมมากมายเป็นธรรมดา ที่โดดเด่นที่สุดก็คือในด้านการฝึกตน คนเหล่านี้ก็ได้ดูดรับกลิ่นอายตะกละอย่างเต็มอิ่ม พลังเพิ่มสูงขึ้นมาก กระทั่งว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าพวกเขาจะสามารถเลื่อนขึ้นเป็นสาวกเนื้อได้ในเวลาไม่นาน
ทั้งหมดนี้ล้วนดีงาม หวังเป่าเล่อก็สามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงภายในเมืองปรารถนารสนี้
แต่เขาเข้าใจว่านี่เป็นแค่เปลือกนอก
เพราะว่า…เขาสัมผัสได้อยู่ลึกๆ หวังเป่าเล่อแน่ใจว่า…เจตนาร้ายบางอย่างกำลังคืบคลานเข้าใกล้เมืองปรารถนารสไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เจ็ดวันต่อมา ความรู้สึกนี้ก็กลายเป็นจริง
สิ่งแรกที่มาถึง คือท่วงทำนองเศร้าสร้อยซึ่งก้องกังวานอยู่ภายในเมืองปรารถนารสในตอนค่ำคืน
..
“ดี!” ด้วยการคำนับของหวังเป่าเล่อ ร่างเจ้าปรารถนาที่ราวกับภูเขาเนื้อนั้น ดวงตาฉายแววประหลาดใจ เขาพยักหน้าน้อยๆ พวกโจวฮั่วต่างก็ประสานหมัดคำนับไปทางหวังเป่าเล่อ
ในหมู่พวกเขาแม้ถัวหลิงจื่อจะมีสีหน้าไม่สู้ดี แต่ดวงตากลับฉายความสงสัย เพราะเห็นบุตรชายของตน เวลานี้ยืนอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อ แม้กลิ่นอายจะอ่อนลงไปไม่น้อย ทว่าร่างกายและวิญญาณเทพกลับไม่เสียหายแม้แต่น้อย และสิ่งที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกประหลาดใจก็คือ สายตาของเฉิงหลิงจื่อขณะที่มองหวังเป่าเล่อนั้นมีความเทิดทูนบูชา
นี่ทำให้ถัวหลิงจื่อระงับความไม่พอใจที่มีต่อหวังเป่าเล่อก่อนหน้านั้นเอาไว้ แล้วจึงคำนับกลับไปด้วยสีหน้าไม่ยินยอม
หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจถัวหลิงจื่อ ยังไม่กล่าวถึงที่เฉิงหลิงจื่อสามารถเกลี้ยกล่อมได้หรือไม่ก่อน ลำพังความแตกต่างของกฎเกณฑ์ปรารถนารสระหว่างคนสองคน เจ้าสวาปามกว่าครึ่งก็ไม่อยู่ในสายตาของเขาแล้ว
ในหมู่เจ้าสวาปามอีกแปดคน มีเพียงสองคนที่เขาให้ความสำคัญ สองท่านนี้เมื่อครั้งเทศกาลสวาปามในตอนแรก ร่างแห่งปรารถนาที่ปรากฏ ต่างมีขนาดกว่า 500 จั้ง ยิ่งกว่านั้นอีกท่านหนึ่งขนาดถึง 700 กว่าจั้ง
หวังเป่าเล่อทำความเคารพกลับ สายตากวาดไปที่เจ้าสวาปามทั้งหมดในเวลาเดียวกัน ประชาชนที่มาจากภายในเมืองปรารถนารส เวลานี้เมื่อรู้ว่าภายในเมืองปรารถนารส ได้ปรากฏเจ้าสวาปามคนที่เก้าแล้ว ต่างก็ตอบสนองส่งเสียงร้องเซ็งแซ่ ดังนั้นในไม่ช้าจึงมีเสียงวุ่นวายโกลาหลส่งออกมา สุดท้ายกลายเป็นเสียงน้อมคำนับดังขึ้นเป็นระลอกเนิ่นนานกว่าจะจางหายไป
สำหรับเมืองปรารถนารสแล้ว หลายปีมานี้ไม่มีเจ้าสวาปามปรากฏขึ้นเลย ดังนั้นการเลื่อนขั้นของหวังเป่าเล่อจึงมีความหมายอย่างยิ่ง ในไม่ช้าเจ้าปรารถนาของเมืองปรารถนารสก็กล่าวออกมา ประกาศให้วันนี้เพิ่มเทศกาลสวาปามอีกครั้ง
คำประกาศนี้ ทำให้ทั่วทั้งเมืองปรารถนารสบรรยากาศครึกครื้นขึ้นอีกครั้ง ในหมู่คนเหล่านั้นผู้ที่ยินดีที่สุดก็คือทุกคนภายในร้างปิงหลิง ช่วงเวลานี้กระทั่งคนแคระที่เคี้ยวลูกตาอยู่ในปากซึ่งผูกพยาบาทกับเด็กหนุ่มในร้านมาโดยตลอด พลอยปลาบปลื้มยินดีไปด้วย
เขารู้สึกว่าการกระทำก่อนหน้านี้ของอีกฝ่ายล้วนถูกต้อง เมื่อทำให้ตนได้เป็นเจ้าสวาปามก็เท่ากับเป็นที่พึ่งพิง ทำให้คนของร้านปิงหลิงทั้งหมด ต่างได้ดีไปด้วย ได้เลื่อนขึ้นเป็นสายตรงของเจ้าสวาปาม
ดังนั้น คนแคระที่อยู่ในอารมณ์ยินดีปรีดา ถึงกับนำลูกตาที่อยู่ในปากออกมา คืนให้แก่เด็กหนุ่ม ฝ่ายหลังก็ตื่นเต้นเช่นกัน หลังจากได้รับก็รีบวางไว้ในดวงตาที่กลวงโบ๋
ภายในเมืองปรารถนารสก็เป็นเช่นนี้ เทศกาลสวาปามที่เพิ่มขึ้นชั่วคราวในครั้งนี้ จึงเริ่มขึ้นด้วยประการฉะนี้ และในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็ได้รับคำเชิญที่มาจากเจ้าปรารถนา
“ปิงหลิงจื่อ ตามข้ามา”
ขณะที่กล่าว เจ้าปรารถนาในร่างภูเขาเนื้อก็ยกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้นรอบด้านพลันพร่าเลือน ร่างของเขาและหวังเป่าเล่อหายไปในอากาศของเมืองปรารถนารสทันที
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง ก็ได้มาอยู่ภายในตำหนักลึกลับของเจ้าเมืองแล้ว
ตำหนักเจ้าเมืองตั้งอยู่ใจกลางเมืองปรารถนารส สร้างเป็นรูปหอคอยสูงหลังหนึ่ง ราวกับตั้งอยู่ระหว่างความจริงและความลวง คล้ายจะอยู่ในเมืองเมืองปรารถนารส แต่ก็ไม่ใช่
ตำแหน่งที่อยู่ในภาพลวงตาคือแท่นบูชาที่อยู่กลางคูเมือง และพื้นที่ที่มีอยู่จริง เป็นอีกชั้นหนึ่งซึ่งเป็นที่ว่างทับซ้อนกับเมืองปรารถนารส
ที่แห่งนี้กว้างขวางไร้ขีดจำกัด มองไปแล้วอาณาเขตไพศาลมาก มีหม้อทองสัมฤทธิ์ยักษ์ใบหนึ่ง ภายในหม้อนี้ดูเหมือนต้มอาหารบางอย่างไว้ตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงออกมา และยังส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล แผ่กระจายภายในพื้นที่ว่างทั้งหมดไปทั่วตำหนักเจ้าเมือง
นอกจากนี้แล้ว ไม่มีการตกแต่งอื่นใดในพื้นที่นี้อีก มีเพียงเจ้าปรารถนาที่ปรากฏอยู่ที่นี่ ร่างขัดดสมาธิอยู่บนหม้อยักษ์ ก้มหน้าลงมองหม้อยักษ์ที่ด้านล่าง มองหวังเป่าเล่อที่ถูกเขาพามา
หวังเป่าเล่อเพิ่งจะปรากฏตัว ก็ถูกหม้อยักษ์นั้นดึงดูดสายตาทันที เมื่อมองหม้อใบนี้ เขาเต็มไปด้วยความรู้สึกแห่งกาลเวลาบุพกาล ความเสื่อมโทรมบนตัวมันราวกับวัตถุครั้งโบราณกาล ทั้งยังมีกลิ่นหอมขจรขจายที่ปิดไม่มิด
ไม่นานสายตาที่ทอดมองหม้อยักษ์ ก็เบนไปทางเจ้าปรารถนาที่ลอยอยู่ตรงนั้น ประสานหมัดคำนับ
“กฎเกณฑ์หกปราถนา มาจากเทพเจ้า…” หลังจากหวังเป่าเล่อคำนับแล้ว เสียงทุ้มต่ำที่สะท้อนออกมาคล้ายอัสนีสวรรค์ ก็ดังออกมาจากภายในภูเขาเนื้อที่อยู่บนหม้อยักษ์
“เพียงแต่ว่าจิตเทพเจ้าหลับใหล ดังนั้นพวกข้าจึงเป็นตัวแทนของกฎเกณฑ์”
“และเจ้า…ไม่ว่าจะในสถานะใด ไม่ว่ามาจากแห่งหนใด ไม่ว่าจะมีจุดประสงค์ใด ในเมื่อกลายเป็นเจ้าสวาปามแล้ว เชื่อมต่อกับแหล่งกำเนิดกฎเกณฑ์ปรารถนารส เช่นนั้น…เจ้าก็เป็นส่วนหนึ่งของกฎเกณฑ์ปรารถนารส” เมื่อก้อนเนื้อกล่าวออกมา ภายในหม้อยักษ์ที่อยู่ด้านล่าง เสียงต้มเดือดปุดๆ ก็ยิ่งดังขึ้น ไอหมอกก็กระจัดกระจายออกมาจากภายใน ห่อหุ้มเจ้าปรารถนาเอาไว้
หวังเป่าเล่าทอดสายตามอง ดวงตาพลันหรี่เล็กลงทันที เพราะเขาเห็นว่าร่างของเจ้าปรารถนาที่ห่อหุ้มด้วยไอหมอก กำลังละลายไปจริงๆ หยดเลือดนั้นสาดออกมาจากภายในร่าง หยดลงสู่…ภายในหม้อ
นั่นเป็นสาเหตุทำให้ภายในหม้อเดือดขึ้นกว่าเก่า กลิ่นหอมกระจายอบอวลมากขึ้น
“เจ้าแห่งปรารถนาท่าน…” หวังเป่าเล่ออดรนทนไม่ได้
“ภายในหม้อปรารถนารส จึงเป็นร่างต้นของข้า ข้าที่เจ้าเห็นในตอนนี้ ก็เป็นเช่นเดียวกับเจ้า เป็นเพียงร่างแยก” เจ้าปรารถนาที่อยู่บนหม้อยักษ์ มองมาทางหวังเป่าเล่ออย่างล้ำลึก กล่าวช้าๆ
หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ตอนที่เขาเข้าสู่โลกาชั้นแรกก่อนหน้านั้น ก็แอบคิดว่าอีกฝ่ายรู้สถานะของตนเองอยู่บ้างแล้ว เวลานี้เขายิ่งมั่นใจ สำหรับผู้เยี่ยมยุทธ์ การโกหกนั้นไร้ความหมาย
เมื่อเขานิ่งเงียบเช่นนี้ ภูเขาเนื้อบนหม้อยักษ์ก็คล้ายจะเอ่ยปากตามอำเภอใจ เนื้อหาคำพูดที่เอ่ยออกมานั้นทำให้จิตใจหวังเป่าเล่อสั่นไหวอย่างยิ่ง
“คราวที่แล้ววิญญาณของจักรพรรดิก็สั่นคลอน ยิ่งมีผู้พิทักษ์ลงมือ จากนั้นอาณาจักรด้านบนก็ออกคำสั่งว่ามีคนนอกเข้ามาในอาณาจักรนี้ ให้เหล่าเจ้าแห่งปรารถนาของข้าตรวจหาสถานที่อยู่ แล้วจะประทานรางวัลให้”
“เจ้ารู้หรือไม่ ของรางวัลคือสิ่งใด” ภายในไอหมอก ร่างเจ้าปรารถนายังคงหลอมละลายอย่างช้าๆ จ้องไปทางหวังเป่าเล่อ
“อิสระ!” ไม่รอให้หวังเป่าเล่อเอ่ยปาก เจ้าปรารถนาก็กล่าวออกมาช้าๆ
แม้สองคำนี้จะดังออกมา หวังเป่าเล่อยังคงเงียบสนิท ไม่ได้กล่าวตอบ
ด้านเจ้าแห่งปรารถนาก็ตกอยู่ในความเงียบ จนกระทั่งครู่ต่อมา เขาก็หัวเราะเยาะตนเอง
“อิสระ…น่าขันจริงๆ ที่มีบางคนยังมองไม่ออก อย่างเช่นเหล่าสตรีที่ฟังเจ้าปรารถนา ก็คือหนึ่งในผู้ที่มองไม่ออก”
“ในโลกใบนี้ ผู้ที่ทำงานอย่างหนักที่สุดเพื่อเสาะหาผู้ลึกลับที่มาจากภายนอกก็คือนาง”
“ในฐานะที่เป็นเจ้าปรารถนา ก็จะยิ่งอ่อนไหวต่อสัมผัสเชื่อมต่อจากโลกภายนอก ผู้ที่มาจากภายนอกนั้น ขอเพียงปรากฏต่อหน้านาง ก็จะถูกนางค้นพบ…นางไม่จำเป็นต้องลงมือด้วยตนเอง มีเพียงเสียงเพรียกวิญญาณจักรพรรดิและผู้พิทักษ์ ก็จะได้รับรางวัล”
“เจ้ารู้หรือไม่ จะแก้ไขการค้นพบนี้ได้เช่นไร” เจ้าปรารถนาหรี่ตามองหวังเป่าเล่อ ความเงียบของอีกฝ่ายตั้งแต่ต้นจนจบ ทำให้เขาไม่อาจรู้ความคิดของอีกฝ่ายได้
“นั่นกลายเป็นความปรารถนาของเขา ก็เหมือนกับข้าอยู่ที่นี่เพื่อขึ้นเป็นเจ้าสวาปาม” หวังเป่าเล่อกล่าวอย่างสงบ
“นี่เป็นหนึ่งในนั้น ยังมีสิ่งหนึ่งก่อนหน้านั้น นั่นก็คือ… ผู้ที่ฟังเจ้าปรารถนาผู้นี้ ตนได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติ จึงต้องรับการรักษา ด้วยวิธีนี้จึงไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติในระยะเริ่มต้นได้” เจ้าปรารถนาเมืองปรารถนารส กล่าวออกมา ดวงตาของเขาที่จดจ้องหวังเป่าเล่อ ฉายประกายออกมาทันที ประกายนั้นคมปลาบราวกับกำลังรอคอยคำตอบของหวังเป่าเล่อ
แม้จะไม่ใช่คำถาม แต่เขาก็เชื่อว่า อีกฝ่ายเข้าใจว่าตนหมายถึงสิ่งใด
……………
คำพูดของอีกฝ่ายก่อให้เกิดการจู่โจมรุนแรงมาทางหวังเป่าเล่อ จิตใจของเขาก้องกังวาน ร่างถอยไปหลายก้าวอย่างควบคุมไม่อยู่ ยังดีที่การแผ่กระจายของกฎเกณฑ์ปรารถนารสของเขา รวมทั้งคุณสมบัติจากร่างต้น ทำให้เขาที่อยู่ที่นี่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้
ทว่าดวงตาของเขานั้น กลับแดงก่ำเต็มไปด้วยเลือด เพราะการจู่โจมและการปะทุของดวงจิตในที่แห่งนี้ หวังเป่าเล่อจ้องไปที่ร่างนั้นนิ่งๆ เอ่ยเสียงแหบพร่า
“ท่านดูให้ดี ข้าคือมหาเทพหรือ”
ร่างที่ลอยอยู่กลางอากาศ เวลานี้ดวงตาแดงก่ำเช่นกัน เขาจ้องมองหวังเป่าเล่อ ในแววตาแสดงถึงความเจ็บปวด แต่ท้ายที่สุดก็สามารถสังเกตเห็นชัดเจน หลังจากนั้นครู่หนึ่ง จึงส่งเสียงหัวเราะออกมา
“เจ้าไม่ใช่ ฮ่าๆ เจ้าไม่ใใช่…ช่างน่าสนใจ ช่างน่าสนใจนัก”
“กล่าวให้ชัดเจน!” หวังเป่าเล่อไม่เข้าใจ เขาเน้นย้ำคำอีกรอบ
“เจ้าเข้ามานี่หน่อย ข้าจะบอกเจ้า” ร่างนี้มองหวังเป่าเล่อ แล้วฝืนยิ้มออกมา ขณะเดียวกันสีหน้าก็บิดเบี้ยว
หวังเป่าเล่อเวลานี้ปวดศีรษะรุนแรงมาก เจ็บปวดราวจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เขามองร่างตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน คำรามเสียงเย็น แล้วหันกายจากไปโดยไม่สนใจอีก
แต่ในตอนที่เขากำลังจะจากไป ร่างที่อยู่ด้านหลังของเขาก็ส่งเสียงคำรามออกมา พุ่งตามหวังเป่าเล่อไปทันที แต่เห็นได้ชัดว่าร่างกายถูกพันธนาการไว้ที่นี่ เช่นนั้นแล้วจึงพุ่งออกไปได้เพียงไม่กี่จั้ง หนวดเหล่านั้นที่อยู่บนร่างเขาก็ตั้งตรงขึ้นทั้งหมดคล้ายกับโซ๋ พันธนาการเอาไว้ ทำให้ไม่อาจพุ่งออกต่อไปได้ จึงทำได้เพียงส่งเสียงคำรามดิ้นรนไปมา
“ทรยศหักหลัง ต่ำช้าไร้ยางอาย!”
หวังเป่าเล่อฝีเท้าหยุดชะงัก หันศีรษะกลับไปทันที มองร่างที่ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งนั้นอย่างเย็นชา เขาสามารถรับรู้ได้อย่างเลือนรางว่า ภายใต้ตำแหน่งนี้ อุโมงค์บนพื้นที่เช่นนี้ มีอายุเกือบร้อยปี แท้จริงแล้วในใจของเขาก็ได้คาดเดาท่าทีของอีกฝ่ายไว้แล้วไม่มากก็น้อย
หลังจากมองคนผู้นั้นอย่างลึกซึ้ง หวังเป่าเล่อก็ไม่หันกลับมาอีก เขาจากไปอย่างเฉยชา มุ่งตรงไปบนพื้น ตอนที่มานั้นเชื่องช้า แต่ตอนกลับนั้นด้วยความอ่อนแอของทะเลดวงจิต ดังนั้นจึงเร็วบ้าง
ก็เป็นเช่นนี้ ไม่นาน ขณะที่เสียงสะท้อนก้องบนโลกาชั้นแรกดังกังวาน หวังเป่าเล่อก็พุ่งออกมาจากใต้ดินแล้ว เขายืนอยู่กลางอากาศ ก้มหน้าลงมองผืนแผ่นดิน นัยน์ตาฉายประกายล้ำลึก
“รูปลักษณ์มหาเทพเว่ย เป็นพิมพ์เดียวเหมือนกับข้า…และคนผู้นี้ยังบอกว่าข้าคือมหาเทพ…เรื่องนี้ช่างน่าสนใจ…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก็แค่นเสียงหัวเราะออกมา
“อย่าเพิ่งไปคิดถึงคำพูดของคนบ้านั่นเลย ท่าทางของคนผู้นี้…เห็นได้ชัดว่ามีสติเหลืออยู่ไม่มาก แล้วร่างกายก็ยังถูกผนึกไว้ ดูเหมือน…จัดไว้เพื่อเป็นแหล่งอาหาร” คำพูดของสหพันธรัฐลอยเข้ามาในจิตใจของหวังเป่าเล่อ
ตัวจ่ายพลัง
ท่าทีของคนบ้านั่น เมื่อหวังเป่าเล่อมองไปก็แยกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นตัวจ่ายพลังตัวหนึ่ง หนวดเหล่านั้นบนร่างเขารับอาหารจากร่างของคนผู้นั้นอยู่ตลอดเวลา หากมองเช่นนี้ เป็นไปได้ว่าอุโมงค์อื่นที่อยู่ลึกลงไปอาจมีผู้แข็งแกร่งเช่นคนผู้นี้คนแล้วคนเล่า
และมีความเป็นไปได้มากว่า…พวกเขาก็เป็นตัวจ่ายพลังเช่นเดียวกัน
ส่วนที่มาของอาหารนั้นเดาได้ไม่ยาก คงจะเป็นมหาเทพ
“ผู้เยี่ยมยุทธ์ 108 คนที่เคยอยู่ใต้อาณัติ ล้วนถูกผนึกกลายเป็นตัวจ่ายพลัง สนับสนุนตนเองในการรักษาและต่อต้านตะปูไม้ดำ…”
“ดังนั้น ผู้ที่เคยเป็นมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด จึงได้เปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้”
“ถ้าอย่างนั้น หากสามารถตัดขาดการจ่ายพลังได้ จะสามารถตัดขาดการรักษาของมหาเทพได้หรือไม่” หวังเป่าเล่อตกอยู่ในห้วงความคิด แต่สุดท้ายล้มเลิกความคิดนี้ไป
เหตุเพราะเรื่องนี้มีสิ่งที่ไม่แน่นอนอยู่สองข้อ ข้อแรกคือมีความเป็นไปได้อย่างมากว่ามหาเทพจะตื่นก่อน และข้อสองคือท่าทีที่คนบ้านั่นมีต่อตน
หากมีคนผู้เดียวเป็นเช่นนี้ก็ช่างเถอะ แต่หวังเป่าเล่อกังวลว่า ผู้เยี่ยมยุทธ์อื่นที่ถูกผนึกไว้เหล่านั้น จะเป็นเช่นนี้ด้วยหรือไม่ เพราะเวลานี้แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจมั่นใจได้สักเรื่อง
“มหาเทพกับข้า ที่แท้แล้วมีความสัมพันธ์กันเช่นไร…ข้าคือมหาเทพหรือ” หวังเป่าเล่อใคร่ครวญ ไม่ว่าอย่างไร เขาก็รู้สึกว่านี่ไม่อาจเป็นไปได้
และงานเลี้ยงล่าสัตว์ในครั้งนี้ ดูเหมือนเขาจะได้รับเบาะแสมากมายด้วย แต่ก็มีข้อสงสัยมากขึ้นในเวลาเดียวกัน
ไม่นาน หวังเป่าเล่อก็ส่ายศีรษะ เขายังต้องการเบาะแสอีกจำนวนหนึ่ง จึงจะสามารถเชื่อมโยงทั้งหมดเข้าด้วยกันและได้มาซึ่งคำตอบ เวลานี้หลังจากเก็บความคิดทั้งหมดไว้ในใจแล้ว จึงเงยหน้ามองไปรอบด้าน ร่างสั่นวูบตรงไปยังความว่างเปล่าไกลแสนไกล
ในไม่ช้า เขาก็หาพวกเฉิงหลิงจื่อพบ ส่วนนิ้วที่หลบหนีไปนั้น หวังเป่าเล่อเดิมทีคิดจะค้นหา แต่สัมผัสเชื่อมต่อที่ตนเองเหลือไว้ที่อีกฝ่าย เมื่อนิ้วหลอมรวมกับฝ่ามือก็ได้สูญหายไปแล้ว
ตอนนี้เหมือนงมเข็มในมหาสมุทร หาอย่างไรก็หาไม่พบ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงได้แต่ปล่อยวาง หลังจากได้รวมกับพวกเฉิงหลิงจื่อแล้ว เขาสูดหายใจเข้าลึก แล้วกระจายกฎเกณฑ์ปรารถนารสของตนออกมา ทำให้ดวงจิตบรรจบเป็นหนึ่ง พุ่งขึ้นไปบนทางท้องนภา
นี่เป็นการออกมาจากโลกาชั้นแรก เป็นวิธีให้กลับไปยังเมืองปรารถนารส แม้สาวกเนื้อแต่ละคนจะอยู่ในกำมือแล้ว แต่มีเพียงเจ้าแห่งสวาปามเท่านั้น ที่จะแสดงพลังนี้ออกมาได้
มิฉะนั้นแล้ว ก็ได้แต่รอให้เมืองปรารถนารสเปิดออกเอง พวกเขาจึงจะกลับเข้าไป
ตอนหลังจากหวังเป่าเล่อรวบรวมกฎเกณฑ์ปรารถนารสแล้วส่งออกมา ไม่ช้าไอหมอกบนท้องนภาก็เคลื่อนตัวเข้ามา เสียงดังก้องส่งมาอย่างเชื่องช้า ยิ่งกว่านั้นภายในเสียงนี้ ยังเคลื่อนมาพร้อมกับไอหมอกที่กำลังก่อตัวหมุนวนกลายเป็นวังวนขนาดยักษ์ภายในปลายวังวันสามารถเห็นโครงร่างของเมืองปรารถนารสได้อย่างเลือนราง
เมื่อโครงร่างนี้ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น แรงสูบก็กระจายออกมาจากภายใน เวลาเดียวกันก็สะท้อนกับกฎเกณฑ์ปรารถนารสบนร่างหวังเป่าเล่อ และลากกฎเกณฑ์ปรารถนารสที่อยู่ภายในร่างสาวกเนื้อคนอื่นๆ ทำให้ร่างของพวกเขาลอยออกไปจากพื้นเองโดยไม่จำเป็นต้องควบคุม
รวมกับพลังบนร่างตน เวลานี้ทั้งแปดคนกลายเป็นสายรุ้งแปดสาย ตรงไปที่วังวนบนท้องฟ้า และภายในพริบตาก็เข้าสู่ภายในวังวนแล้ว
วังวนนี้ค่อยๆ ปิดลงท่ามกลางเสียงร้องคำราม แต่ในขณะที่มันกำลังปิดลงนั้นเอง แผ่นดินสีดำก็เกิดระลอกคลื่น หลกกหลายใบหน้าปรากฏออกมาจากพื้นที่แห่งนั้นอย่างไร้สุ้มเสียง
จำนวนนับสิบ พวกเขาไม่กล่าววาจาใดออกมาสักคำ ปรากฏออกมาบนพื้นดิน แล้วแหงนหน้ามองไปทางวังวนที่ปิดลง ตอนนั้นเองที่วังวนกำลังจะสลายไป หวังเป่าเล่อที่อยู่ด้านในคล้ายจะมีสัมผัสเชื่อมต่อ ก้มหน้าลงมองไปทางแผ่นดินนั้น ประสานสายตากับใบหน้าที่ปรากฏอยู่บนพื้น
เขาหรี่ตาทันที พยายามเพ่งมองให้ชัดเจน แต่วังวนที่อยู่ได้ห่อหุ้มเขาไว้แล้ว ทันใดนั้นร่างกายก็สลายไปบนท้องนภาเช่นเดียวกับวังวน
เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง…ก็อยู่กลางอากาศของเมืองปรารถนารสในโลกาชั้นที่สองแล้ว
ตอนที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัว กลิ่นอายของเจ้าสวาปามที่สะเทือนฟ้าสะท้านดินรอบตัวเขาก็แผ่กลิ่นอายกฎเกณฑ์ปรารถนารสที่ยิ่งกว่าบ้าคลั่ง เหนือกว่าเจ้าสวาปาม เหนือกว่าสรวงสวรรค์
“ขอต้อนรับการกลับมา เจ้าสวาปามลำดับเก้า!” เสียงกระหึ่มคล้ายฟ้าร้องดังก้องไปทั่วโลกาชั้นที่สอง โลกตรงหน้าของหวังเป่าเล่อค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น เขาเห็นสีหน้าที่ไม่น่าดูของถัวหลิงจื่อ และยังเห็นความตระหนกของโจวฮั่ว รวมทั้งสายตาวาววับของผู้อื่น ในที่สุดหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่กลางอากาศก็เงยหน้าขึ้น มองไปทางร่างภูเขาเนื้อของเจ้าปรารถนา ที่อยู่ด้านหลังเจ้าสวาปามเหล่านี้
“น้อมพบเจ้าปรารถนา!” หวังเป่าเล่อประสานหมัดโค้งคำนับ
…………………………………
สีหน้าหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไปกะทันหัน ระดับความเร็วถึงขีดจำกัด ท้ายที่สุดเมื่อมือมหึมานั้นตกลงมา เขาก็พุ่งออกมาจากขอบของมัน เพียงแต่พลังและพายุที่ก่อขึ้นจากมือยักษ์นี้ ยังคงกวาดผ่านร่างของหวังเป่าเล่อ จนทำให้ร่างของเขาซวนเซ แต่แล้วก็กลับมาตั้งตัวได้ ความเร็วเพิ่มขึ้นอีกครั้ง วิ่งหนีโดยไม่ลังเล
ด้านนิ้วที่ไล่ล่าเขานั้น เวลานี้หลอมรวมกับมือมหึมาที่ร่วงหล่นแล้ว มันปรากฏอยู่ในตำแหน่งที่ขาดหายไป ค่อยๆ ประสานเข้าด้วยกัน
หลังจากหวังเป่าเล่อเห็นเหตุการณ์นี้ เขาก็รีบหนีให้เร็วขึ้นอีก เพราะหลังจากที่นิ้วได้ผสานเข้ากับฝ่ามือแล้ว เวลานี้นิ้วทั้งห้าของฝ่ามือก็คืบคลานเข้ามาช้าๆ ขณะเดียวกันก็กลายเป็นหมัด เมื่อประสานเข้าด้วยกันก็ราวกับเกิดมติเป็นเอกฉันท์ ไล่กวดหวังเป่าเล่อด้วยความเร็วรี่ทันที
“จะรังแกกันมากไปแล้ว!” หวังเป่าเล่อรู้สึกกลัดกลุ้ม เพียงนิ้วเดียว เขายังสามารถต้านทานได้ แต่ห้านิ้วแล้วยังมีฝ่ามือแล้วอีก นอกจากร่างต้นจะมาแล้ว ไม่เช่นนั้นคงไม่อาจต่อกรได้
ขณะถูกไล่ตาม หวังเป่าเล่อก็อดกังวลไม่ได้ว่าจะถูกอีกฝ่ายกลืนกินดูดรับเข้าไปในไม่ช้า นั่นทำให้เขารู้สึกปวดหัว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียใจกับความโลภของตนก่อนหน้า
อย่างไรก็ตามท่ามกลางการแสวงหาความมั่งคั่งและอันตราย หากไม่ใช่เพราะความพยายามครั้งก่อนของตน กฎของความอยากอาหารจะทะยานขึ้นได้อย่างไร จาก 300 กว่าจั้ง ถึงระดับสูงมากกว่า 500 จั้ง
ดังนั้นแม้ว่าเขาจะรู้สึกหดหู่ในตอนนี้ ทว่าหวังเป่าเล่อก็ยังพอใจมาก ขณะที่หลบหนีด้วยความรวดเร็วกลายเป็นสายรุ้งยาวระหว่างฟ้าดิน ผ่านเฉิงหลิงจื่อและคนอื่นๆ ไปในพริบตา
พวกเฉิงหลิงจื่อมองไปที่ด้านหลังของหวังเป่าเล่ออย่างงงงัน พลันเห็นมือยักษ์ที่ดูเหมือนจะแฝงไปด้วยความโกรธแค้น แต่ละคนก็หน้าซีดขาว หลังจากสบตากันแล้ว แม้จะถูกสั่นคลอนด้วยความแข็งกล้าของหวังเป่าเล่อ แต่ก็ยังอดสงสัยไม่ได้
เจ้าแห่งสวาปามคนใหม่…จะจบสิ้นลงที่นี่แล้วหรือ…
แม้แต่เฉิงหลิงจื่อผู้คลั่งไคล้ในตัวหวังเป่าเล่อมาโดยตลอด เวลานี้ความมั่นใจก็สั่นคลอนเช่นกัน ปากอ้าอยากจะกล่าวบางอย่าง แต่เมื่อเห็นหวังเป่าเล่ออยู่ในสถานการณ์ลำบากจากที่ไกลๆ แล้ว เขาก็ทำได้เพียงนิ่งเงียบ
หวังเป่าเล่อก็ปวดหัวไม่น้อย แม้เขาจะมีระดับความเร็วที่เร็วมาก ทว่าความเร็วของมือยักษ์ก็น่าทึ่งเช่นกัน มันไล่ตามเขาไม่หยุด แม้หลบหนีไปในไอหมอกก็ยังคงไล่ตามมา และภายใต้ไอหมอกของท้องนภา มือยักษ์นี้ก็ยังไม่ยอมปล่อย ดูเหมือนว่ามันจะสามารถไล่ตามไปจนชั่วนิรันดร์
กระทั่งมีหลายครั้งที่นิ้วมือไม่รู้ว่าคิดวิธีใดขึ้นมาได้ จู่ๆ ก็เร่งความเร็วและคว้าตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้ แม้จะจับได้แต่ความว่างเปล่า ทว่าก็ยังทำให้จิตใจของหวังเป่าเล่อสั่นไหว
“ไปเช่นนี้ไม่ได้ ไม่เช่นนั้น ยิ่งไปไกลก็ยิ่งอันตราย…” ท่ามกลางความร้อนรน หวังเป่าเล่อมองลงมายังพื้นโลก ดวงตาของเขาแสดงถึงการดิ้นรน แต่ไม่นานก็หายไปและถูกแทนที่ด้วยความเด็ดขาด
ร่างกายเขาสั่นวูบ แล้วเปลี่ยนทิศทางตรงไปที่ผืนดิน
เนื่องจากทั้งท้องนภาและกลางอากาศไม่สามารถกำจัดฝ่ามือที่อยู่ข้างหลังเขาได้ เช่นนั้นก็มีเพียงทางเดียวแล้วสำหรับทางข้างหน้าของหวังเป่าเล่อ นั่นก็คือใต้ดิน!
“ดูซิว่าฝ่ามือนี้จะต่อต้านทะเลดวงจิตที่แผ่กระจายอยู่บนพื้นล่างได้หรือไม่” หวังเป่าเล่อเคลื่อนตัวไวว่องน่าอัศจรรย์ เขาส่งเสียงคำราม ร่างถึงพื้นล่างและตรงสู่ใต้พื้นดินโดยไม่หยุดแม้แต่น้อย พุ่งผ่านโคลนตมอย่างรีบร้อน หนีไปข้างใต้
นิ้วยักษ์ขนาดนับพันจั้งที่ตามมาด้านหลังได้ทะลวงผ่านพื้นดินมาตลอดทางราวไผ่แตก ไล่ตามหวังเป่าเล่ออย่างไม่ลดละ
ในไม่ช้า หวังเป่าเล่อก็มาถึงใต้พื้นดินตำแหน่ง 2000 กว่าจั้ง ดวงจิตที่กระจายอยู่ที่นี่แรงกล้ามาก ทว่าความเร็วหวังเป่าเล่อไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย หลังจากสำรวจฝ่ามือที่ด้านหลังยังคงตามมา เขาจึงดำดิ่งลงไปอีก
กระทั่งเมื่อมาถึงที่ตำแหน่ง 4000 กว่าจั้งแล้ว ก็แผ่กฎเกณฑ์ปรารถนารสออกไป หวังเป่าเล่อรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตนเองสุขุมขึ้นมากกว่าครั้งแรกที่มาถึงความลึกระดับนี้ พร้อมกันนี้เขาก็รู้สึกถึงฝ่ามือที่ด้านหลัง ดูเหมือนภายใต้การโจมตีของทะเลจิตสำนึกที่แผ่กระจาย ความเร็วของมันก็ลดลง โดยเฉพาะนิ้วทั้งห้าดูเหมือนจะไม่ประสานกันและกันอีกแล้ว
เหตุการณ์นี้ ทำให้หวังเป่าเล่อกระปรี้กระเปร่าขึ้น เข้าจู่โจมอีกครั้ง ก็เป็นเช่นนี้ เมื่อหวังเป่าเล่อพุ่งไปถึง 5000 กว่าจั้งแล้ว เขาก็ได้ยินเสียงแว่วๆ ร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยข้าด้วย…ช่วยข้าด้วย…”
เสียงขอความช่วยเหลือที่ส่งมาในตอนนี้ คล้ายจะแฝงด้วยพลังที่น่าตระหนก กฎเกณฑ์ปรารถนารสภายในร่างของหวังเป่าเล่อ พลันปรากฏความผันผวนรุนแรงทันที
ตัวหวังเป่าเล่อเองก็เกิดความรู้สึกผิดปกติอย่างรุนแรง ทว่าเมื่อเขาสำรวจฝ่ามือที่ตามมา นิ้วทั้งห้าก็ยิ่งเกิดความสับสน ราวกับต้องการจะแยกออกจากกัน เขากัดฟันอย่างแรงและรีบไปทางที่เสียงส่งมาขอความช่วยเหลือ
ที่นี่ แม้ระดับความลึกที่อยู่จะเท่ากับครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อเข้าสู่ใต้ดิน แต่ตำแหน่งกลับไม่ใช่ ทว่านั่นไม่ใช่ปัญหา เสียงขอความช่วยเหลือนั้นคล้ายพิกัดให้หวังเป่าเล่อเร่งรีบไปที่อุโมงค์นั้นที่เคยไปมาก่อน ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ
หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป เสียงขอความช่วยเหลือก็ยิ่งชัดเจนขึ้น มันกระทบเข้าสู่จิตใจของหวังเป่าเล่อ รู้สึกว่าเพียงมีเสียงหึ่งอยู่ในจิตใจ ดีที่กฎเกณฑ์ปรารถนารสมีประโยชน์อย่างยิ่งในเวลานี้ ช่วยสร้างความสมดุลอย่างต่อเนื่อง ทำให้หวังเป่าเล่อสามารถรักษาสติไว้ได้ แต่มือที่ไล่ตามหลังมานั้น ภายในตำแหน่งนี้ บางทีอาจเพราะดวงจิตที่ไม่รวมกันเป็นหนึ่งเมื่อถึงขีดสุด ท่ามกลางเสียงดังก้อง นิ้วทั้งห้าก็แยกออกจากฝ่ามือทั้งหมด
เมื่อแยกจากกัน นิ้วทั้งห้าและฝ่ามือ ก็ล่าถอยอย่างรวดเร็วไปทั้งหกทิศทางทันที ด้านหวังเป่าเล่อ ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจโล่งอก จากนั้นจึงสัมผัสถึงทิศทางนิ้วที่ถูกเขาดูดรับจนเหี่ยวลีบนั้นอย่างเคียดแค้น
“รอก่อนเถอะ!” เขาบ่นอุบอยู่ในใจ แล้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้จากไปไหน แต่ยังคงพุ่งไปทางเสียงที่ร้องขอความช่วยเหลือ
นี่เดิมทีก็เป็นแผนของเขาในตอนแรก คิดจะไปดูภายในอุโมงค์แห่งนั้น ว่าแท้จริงแล้วมันคือสิ่งใดกัน เวลานี้ในเมื่อได้มาถึงที่นี่แล้ว เขาไม่มีเหตุผลที่จะไม่ไปต่อ ดังนั้นหลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป เมื่อหวังเป่าเล่อถึงขีดสูงสุดที่เขาสามารถรับได้ โคลนตรงหน้าของเขาก็สลายหายไป อุโมงค์แห่งหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าทันที
ภายในอุโมงค์แห่งนี้ มีร่างหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ บนร่างถูกหนวดจำนวนมากรัดพัน หนวดเหล่านี้ได้แทรกลึกเข้าไปภายในร่างของเขา และกำลังส่ายไปมา มันดูดรับชีวิตและวิญญาณเทพของเขาไม่หยุด แล้วส่งไปยังในสถานที่ที่ไม่อาจรู้ได้
ดวงจิตที่แผ่กระจายระเบิดออกอย่างรุนแรง หวังเป่าเล่อทนรับความเจ็บปวดที่ศีรษะกำลังจะระเบิด ดวงตาของเขาแดงก่ำ มองไปทางคนผู้นั้นที่ลอยอยู่ทันที
“ช่วยข้าด้วย…” ร่างที่ลอยอยู่นั้น เป็นบุรุษผู้หนึ่ง ร่างกายผ่ายผอมแห้งห่อเหี่ยวราวกับซากศพ แต่พลังบนร่างของเขากลับกระจายออก หลังจากปะทุอยู่ในร่างของหวังเป่าเล่ออย่างไม่ยอมจำนน
เวลานี้ราวกับเขาสังเกตได้ถึงหวังเป่าเล่อ ดวงตาทั้งคู่ที่ปิดอยู่ก็ลืมขึ้นช้าๆ เผยให้เห็นรูม่านตาในดวงตา มองมาทางหวังเป่าเล่อ แต่เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อชัดเจนแล้ว เขาก็หรี่ตาลงทันที ร่างกายพลันสั่นเทิ้มรุนแรง ดวงตาปะทุความเกลียดชังเทียมฟ้าออกมา แล้วคำรามอย่างเคร่งเครียด
“มหาเทพ ท่านช่างต่ำช้าไร้ยางอาย ทรยศหักหลัง!”
..
เมื่อเข้าใกล้ นิ้วเทพดาวตกราวกับถูกปลุกให้ตื่น หนวดดำทั้งหมดที่เดิมทีส่ายไปมาอย่างไร้ระเบียบอยู่บนนิ้ว ทันใดนั้นก็ยื่นตรงออกมาทันที มองไปก็คล้ายตัวเม่น
ในขณะที่หนวดดำที่ยืดตรงเหล่านั้นเผชิญหน้ากับหวังเป่าเล่อ ราวกับจะทะลวงความว่างเปล่าด้วยความเร็วยิ่งยวด มันก็ส่งเสียงหวีดแหลมตรงมาที่ร่างของเขา
ราวกับจะทะลวงผ่านร่างของเขา แต่ขณะที่เข้าใกล้…ดวงตาหวังเป่าเล่อก็ส่องประกาย เขายกมือขวาขึ้นโบกสะบัดทันที ทันใดนั้นกฎเกณฑ์ปรารถนารสภายในร่างก็ระเบิดออก ก่อเป็นพลังห่อหุ้มบนนิ้วเทพดาวตก
พริบตาต่อมาก็ส่งผลต่อหนวดดำเหล่านี้ แต่ละเส้นราวกับมีปัญญาวิญญาณของตนเอง มันบิดตัวเข้าด้วยกัน กลืนกินกันและกัน สถานการณ์ตรงหน้าดูวุ่นวาย
ร่าง 300 กว่าจั้งของหวังเป่าเล่อหยิบยืมช่วงเวลาวิกฤตนี้ ขณะที่ก้าวย่างร่างกายไหววูบ เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้นก็อยู่บนนิ้วพันจั้งนี้แล้ว มือขวายกขึ้น กำหมัดกระแทกลงไปที่นิ้วมือที่อยู่ด้านล่าง
หมัดนี้กระแทกลงไปก็ราวกับอสนีสวรรค์แผดเสียงร้องร้อง มันดังก้องสะท้อนไปรอบด้าน ยิ่งกว่านั้นยังเข้าปะทะกวาดรอบด้าน ทำให้เส้นหนวดดำที่กำลังกลืนกินกันและกันที่บริเวณหนึ่ง ถูกถอนรากถอนโคนโดยตรงไปกว่าครึ่งและขาดสะบั้นไปทีละเส้น ไอหมอกแดงทั่วสารทิศล้วนม้วนตัวกระจายออกไป
ที่สำคัญที่สุดก็คือนิ้วพันจั้งนี้ ภายใต้หมัดของหวังเป่าเล่อ ตามด้วยการรบกวนจากพลังชั้นกายเนื้อและกฎเกณฑ์ปรารถนารส นิ้วนี้พลันดำดิ่งทันที และตกลงไปบริเวณนับพันจั้ง
นั่นยังไม่สิ้นสุด ดวงตาหวังเป่าเล่อเกิดประกายแสงประหลาด ส่งหมัดไปอีกครั้ง
ตามด้วยหมัดสาม หมัดสี่ และหมัดห้า!
แต่ละหมัดที่ลงไป ล้วนทำให้นิ้วนี้ดำดิ่งลงลึกในอากาศ สุดท้ายพริบตาที่หวังเป่าเล่อส่งหมัดที่ห้าลงไป นิ้วนี้ก็ร่วงหล่นจนถึงขีดสุด ทะลุผ่านหมอกแดงบนท้องนภา หล่นลงไปทางแผ่นดินสีดำ
นิ้วพลันกระแทกลงกับแผ่นดิน ขณะแผ่นดินสั่นไหว ตามด้วยเสียงก้องกังวาน จนพื้นแตกแยก ก่อเกิดเป็นแอ่งเว้าลงไปบนพื้น ดินโคลนสีดำจำนวนมากทะลักขึ้นและลอยไปทั่วสารทิศ
หนวดเส้นสีดำบนนิ้วล้วนขาดสะบั้น มองจากไกลๆ หนวดเส้นสีดำที่แหลกลาญกระจายไปทั่วจากท้องฟ้าสู่แผ่นดิน
แต่นิ้วนี้ไม่ธรรมดาเลย ในขณะที่หวังเป่าเล่อโจมตีไม่หยุด แม้มันจะร่วงหล่นจากท้องนภา แม้หนวดบนตัวขาดสะบั้นไปเป็นส่วนมาก แต่ตัวของมันกลับไม่เสียหายแม้แต่น้อย กระทั่งหลังจากตกลงสู่พื้น ก็ยังคงดิ้นรน แรงกดดันที่น่าหวาดผวาปะทุออกมาจากภายในตัวมัน ราวกับต้องการต่อต้านหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อคำรามเสียงเย็น พลังที่มาจากคุณสมบัติของตนก็ปะทุออกมาในเวลานี้ เวลาเดียวกับที่ต่อต้านนิ้ว กฎเกณฑ์ปรารถนารสก็กระจายออกมาเช่นกัน ดูดรับกลิ่นอายของมันอย่างบ้าคลั่ง
กลิ่นอายนี้สำหรับกฎเกณฑ์ปรารถนารสแล้วราวกับยาชูกำลัง ทำให้กฎเกณฑ์ปรารถนารสของหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ร่างกายพลันขยายจาก 330 จั้ง ไปถึง 380 จั้ง
หวังเป่าเล่อเลียริมฝีปาก แล้วกระแทกลงไปอีกครั้ง แต่การดิ้นรนของนิ้ว เวลานี้กลับรุนแรงขึ้น เมื่อหมัดของหวังเป่าเล่อลงไปเป็นครั้งที่ 11 นิ้วก็โค้งงอทันที ราวกับกำลังจะดีด เสียงคำรามดังลั่น มันเข้าปะทะหวังเป่าเล่อ ก่อนที่ร่างของเขาจะถูกโยนออกไปกลางอากาศ
หลังจากโยนหวังเป่าเล่อออกไปแล้ว นิ้วนี้ก็ยกขึ้นทันที ตำแหน่งปลายนิ้วชี้ส่ายไปทางหวังเป่าเล่อ กระโจนจู่โจม ทั้งเร็วทั้งแข็งแกร่ง ราวกับจะเจาะท้องฟ้าออกเป็นรู เพื่อตรงไปที่หวังเป่าเล่อ
แม้ร่างของหวังเป่าเล่อในตอนนี้จะใกล้ 400 จั้ง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับนิ้วนี้ก็ยังไม่ถึงครึ่งหนึ่ง เวลานี้แม้จะสามารถหลบซ่อนได้ แต่เขาเข้าใจกระจ่าง หากหลบออกไปแล้ว นิ้วมือต้องปะทะเข้าไปในหมอกแดง และหากคิดอยากจะเสาะหาก็ไม่รู้ว่าจะสูญเสียเวลานานเท่าใด คิดได้ดังนั้นใบหน้าก็ฉายแววดุดัน ไม่แม้แต่จะหลบหลีก ยกสองมือขึ้นขณะคำรามเสียงต่ำ ในตอนฝ่ามือนี้กดลงมา เขาก็รีบโอบกอดปลายนิ้วไว้ทันที
เมื่อเสียงคำรามดังก้อง ร่างของเขาถูกนิ้วผลักพุ่งตรงไปท้องนภา เจาะเข้าไปในหมอกแดง รับรู้ได้ถึงไอหมอกแดงที่เคลื่อนผ่านไปตรงหน้าด้วยความเร็ว รับรู้ว่าร่างตนสั่นเทารวมทั้งความเจ็บปวดจนแทบแหลกสลาย
ขณะคำรามกฎเกณฑ์ปรารถนารสแผ่ออกไปไม่ขาดสาย ดูดรับกลิ่นอายที่มาจากนิ้วอย่างบ้าคลั่งราวกับกำลังกัดกร่อน
ร่างกายฟื้นฟูไปพลางกลืนกินไปพลาง ร่างของเขาค่อยๆ ขยายออกอีกครั้ง หลังจากขยายไปถึง 420 จั้งแล้ว ภายในหมอกแดงบนท้องนภานี้ ในที่สุดนิ้วพันจั้งนี้ก็เหี่ยวลีบ พลังอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
ขณะที่กำลังจะสิ้นเรี่ยวแรง หวังเป่าเล่อก็คำรามพุ่งตัวออกไป นิ้วที่ตนกอดเอาไว้พลันเหวี่ยงออกและกระแทกอย่างดุเดือด ความเร็วของมันคล้ายดั่งสะเก็ดดาว ก่อนจะทะลุไอหมอก แล้วกระแทกพื้นดิน
เสียงดังก้องกระจายไปทุกหนแห่ง ที่แห่งนี้ห่างจากที่ที่พวกเฉิงหลิงจื่ออยู่ไม่ไกลนัก ดังนั้นพวกเขาที่รออยู่ที่เดิมย่อมได้ยินเสียง ยิ่งกว่านี้ยังเห็นเหตุการณ์ที่นิ้วมือร่วงหล่นผ่านไอหมอกที่ห่างไกล
ด้วยความประหลาดใจ ด้านหลังของนิ้วนั่น พวกเขาเห็นหวังเป่าเล่อที่เป็นดั่งเทพเจ้า ย่างเท้าไปตามนิ้วมือและกระแทกมันลงกับพื้น
เหตุการณ์นี้ เฉิงหลิงจื่อยังรู้สึกว่าธรรมดาสามัญ อย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้เห็นการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อกับนิ้วเทพดาวตก ดังนั้นจึงได้เตรียมใจไว้แล้ว ทว่าหกคนที่เหลือราวกับเห็นปีศาจ ประหลาดใจขวัญหนีดีฝ่อ
พวกเขาล้วนเคยติดต่อกับเจ้าสวาปามมาก่อน รู้ว่าเจ้าสวาปามแข็งแกร่งมาก แต่พวกเขากลับรู้ซึ้งในโลกาชั้นแรก ซากเทพเจ้านั้นแข็งแร่งไร้ใดเทียม ทว่าเจ้าสวาปามคนใหม่ปิงหลิงจื่อ กลับกระแทกนิ้วซากเทพเจ้าลงแผ่นดิน นี่จึงทำให้ในใจของพวกเขาเกิดความเลื่อมใสอย่างที่สุด
ในขณะที่ร่างกายกำลังสั่นเทิ้มอยู่นี้ หวังเป่าเล่อก็ยังโจมตีดุเดือดอย่างต่อเนื่อง ดูดรับไม่หยุด กระทั่งเขาโยนนิ้วอย่างบ้าคลั่ง มันค่อยๆ หดลงอย่างเชื่องช้า และร่างของเขา ในที่สุดก็ทะลวงผ่าน 500จั้ง แต่แล้วในตอนนั้นเอง…
นิ้วเทพดาวตกพลันระเบิดแสงโลหิตหนาแน่นออกมา ขณะที่แสงโลหิตส่องประกาย สีหน้าหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนไป เขารับรู้ได้ถึงวิกฤตชีวิตรุนแรง แต่จะให้ละทิ้ง หวังเป่าเล่อย่อมไม่ยินยอม ดังนั้นยังคงดูดรับอย่างบ้าคลั่ง
มองจากไกลๆ พลังปราณมืดจำนวนมากบินออกมาจากปากแผลที่แตกของนิ้วนี้ มันตรงไปที่หวังเป่าเล่อ ถูกเขาดูดรับไปทั่วร่าง และแสงโลหิตบนนิ้วก็พร่างพรายขึ้นเรื่อยๆ ไปตามการแผ่ของพลังปราณมืด
ตอนนั้นเอง หมอกแดงบนท้องนภาพลันพลิกม้วน ดูเหมือนแสงโลหิตของนิ้ว จะเป็นเสียงเพรียกบางอย่าง ในขณะที่ไอหมอกบนท้องนภาพลิกม้วน ฝ่ามือมหึมาที่มีเพียงสี่นิ้วขนาดนับพันจั้งข้างหนึ่งก็ค่อยๆ ปรากฏออกมาจากภายในเมฆหมอก ครอบคลุมท้องนภาเอาไว้
ครั้นเห็นเหตุการณ์นี้เข้า หวังเป่าเล่อก็หน้าเปลี่ยนสี รู้ว่ามือมหึมาสี่นิ้วมาจากที่เดียวกันกับนิ้วนี้
“น้องสาวเจ้าไง ยังรู้จักขอความช่วยเหลือ…”
หวังเป่าเล่อชาไปทั้งศีรษะ รีบปล่อยมือที่จับนิ้วนี้ไว้ ความเร็วของร่างประทุ เขาถอยหลังอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ล่าถอย ฝ่ามือมหึมาบนท้องนภา ก็ส่งเสียงครืนโครมกระจายไอหมอกออก แล้วตรงเข้ามาทางหวังเป่าเล่อ
ขณะเดียวกัน นิ้วที่ถูกหวังเป่าเล่อดูดรับจนเหี่ยวลีบบนพื้นก็ดีดขึ้นอย่างรวดเร็ว ไล่ตามหวังเป่าเล่ออย่างบ้าคลั่ง
…………
ขณะที่ร่างแห่งปรารถนา 300 กว่าจั้งก่อตัว ผลึกปรารถนารสภายในร่างหวังเป่าเล่อ ขณะนี้ก็หลอมละลายแผ่ไปทั่วร่าง ราวกับเปลี่ยนโครงสร้างของชั้นกายเนื้อ ดูเหมือนมันได้หลอมเข้าด้วยกันกับชั้นกายเนื้อแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นขณะหลอมรวมนี้ จิตใจของหวังเป่าเล่อก็คำรามก้อง ดวงจิตเทพของเขาถูกแรงประหลาดลาก ลอยขึ้นบนท้องนภา หลังจากทะลวงผ่านชั้นหมอกแดงไร้ที่สิ้นสุดก็เข้าสู่โลกาชั้นที่สอง
ทว่า หาได้จบสิ้นที่โลกาชั้นที่สองไม่ ดวงจิตเทพของเขาถูกแรงนี้ลากดึงต่อไป จนถึงขีดสุดของท้องนภา เข้าสู่ภายในโลกที่มีซากปรักหักพังไร้ที่สิ้นสุด
ในโลกใบนี้ หวังเป่าเล่อเห็นภูเขาลูกหนึ่ง
ภูเขาลูกนั้น…หลังจากคนผู้เดียวนั่งขัดสมาธิลงแล้ว ก็กลายเป็นภูเขาแห่งความไพศาล
แม้จะเลือนรางก็ยังสามารถมองเห็นตรงตำแหน่งยอดเขาได้ว่า องคาพยพบนร่างกาย ตรงกลางหว่างคิ้วอันเลือนรางนั้น…มีตะปูสีดำแท่งหนึ่ง
แรงที่ดึงดูดดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อ ก็คือเขาลูกนี้
ทว่า ดูเหมือนแรงลากนี้ยังไม่เพียงพอ หรืออาจเป็นดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อที่ยังไม่เพียงพอส่งเสริมให้เขามาถึงที่นี่ ดังนั้นขณะที่มองเห็นเขาลูกนั้น จิตใจของหวังเป่าเล่อก็คำรามก้อง ดวงจิตเทพเลือนหายไปจากที่นี่ทันที
ฉับพลัยที่เขาลืมตาขึ้น ตนยังคงอยู่ระหว่างฟ้าดินของโลกาชั้นแรก เสียงแสดงความยินดีของพวกเฉิงหลิงจื่อดังอยู่ข้างหู หวังเป่าเล่อแหงนหน้า มองออกไปยังท้องนภาไกล สายตาฉายแววล้ำลึก
“นั่นคือ…มหาเทพ…”
ในความมืดสนิท หวังเป่าเล่อรับรู้ได้ถึงท่าทีของตนในตอนนี้ กฎเกณฑ์ปรารถนารสแตกต่างจากเมื่อก่อน ดูเหมือนหลอมไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ไม่แบ่งแยกกันและกันแล้ว
ท่าทีเช่นนี้ ทำให้เขาเข้าใจระดับของกฎเกณฑ์ทปรารถนารสยิ่งขึ้น
กฎเกณฑ์ปรารถนารสนี้ ในความเข้าใจของหวังเป่าเล่อ เป็นเช่นเดียวกับสี่เหลี่ยมคางหมู จุดยอดสุดคือเจ้าแห่งปรารถนา แต่ในการรับรู้ของเขาเจ้าแห่งปรารถนาไม่น่าจะเป็น…
“เจ้าแห่งต้นกำเนิดคือ จักรพรรดิ…”
“เช่นนั้นเจ้าแห่งปรารถนา น่าจะเป็นสำนักสาขาที่ใหญ่ที่สุด ภายใต้ผู้สร้าง”
“และในขณะที่ผู้สร้างหลับใหล สำนักสาขาย่อมเทียบเท่ากับผู้ครอบครอง” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด สัมผัสได้ว่าเวลานี้กฎเกณฑ์ปรารถนารสของตนเอง แม้จะฝึกเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาของมหาเทพแล้ว ก็ยังมีจุดด้อยบางอย่าง เช่นถูกเขายับยั้งและผลกระทบไร้รูป
แต่ก็มีข้อดีเช่นกัน นั่นคือสามารถเข้าใกล้มหาเทพได้มากขึ้น ก็เหมือนการละเล่นที่ไร้รูป ไม่มีผิดถูก มีเพียงการเลือกที่ต่างกัน
ส่วนเจ้าสวาปามที่ต่อจากเขาก็จะเป็นสำนักสาขาเช่นกัน และจากการที่หวังเป่าเล่อสัมผัสในเวลานี้ เขาสามารถคาดเดาได้ว่า สำนักสาขาของเจ้าปรารถนารส ไม่ได้มาจากเจ้าปรารถนา แต่มาจากเจ้าผู้สร้างที่หลับใหล
เพียงแต่ว่า เมื่อเทียบกับสำนักสาขาของเจ้าปรารถนาแล้ว เจ้าปรารถนารสก็เล็กกว่ามากนัก
“การเลื่อนขึ้นเป็นเจ้าแห่งปรารถนารส สามารถทำให้ดวงจิตเทพถูกลาก มองเห็นมหาเทพ เช่นนั้นหากข้าได้เป็นขอบเขตที่รองจากเจ้าแห่งปรารถนาในสัมผัสทั้งหกอื่น ก็จะสามารถเห็นมหาเทพอย่างเมื่อครู่” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ขณะครุ่นคิดร่างกายก็ค่อยๆ ฟื้นคืนจากขนาด 300 กว่าจั้ง จนกระทั่งกลายเป็นคนปกติหลังจากนั้น สายตาเขากวาดไปทางเฉิงหลิงจื่อและพวกที่อุทิศกฎเกณฑ์ปรารถนารสทั้งหก
เวลานี้คนทั้งหกตัวสั่นเทา แต่สามารถมองออกว่าพวกเขาต่างก็ถอนหายใจโล่งอก เห็นได้ชัดว่ารู้อยู่แก่ใจแล้ว เมื่อเจ้าแห่งปรารถนารสคนใหม่ปรากฏ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นที่พวกเขาจะต้องอุทิศกฎเกณฑ์ปรารถนารสอีกต่อไป จึงไม่มีเรื่องสูญเสีย
เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขา ความตื่นเต้นของเฉิงหลิงจื่อที่เกิดขึ้นทั้งหมดมาจากหัวใจ เวลานี้ทั้งร่างกำลังสั่นเทา ดวงตามองไปทางหวังเป่าเล่อ ราวกับจะยินดีกว่าหวังเป่าเล่อเองเสียอีก
หวังเป่าเล่อไม่ได้ผิดคาดจากเรื่องนี้ เขาคุ้นเคยดี ในความทรงจำชีวิตของตนเองนั้น มักจะพบเจอผู้ที่คล้ายกัน หรืออาจกล่าวว่า จิตใจของคนเหล่านั้นถูกทำลายอย่างหนัก จากนั้นไม่รู้ด้วยเหตุใด การพึ่งพาที่ผิดปกตินี้ก็เกิดขึ้น
“ไร้ยางอายเสียจริง” หวังเป่าเล่อบ่นในใจ เขาไม่คิดว่าเขาจะทำลายจิตใจของเฉิงหลิงจื่อ และวิธีที่ตนเองกระทำ ได้ทำให้ปราณกังวานของเขาเกิดขึ้น ทำให้เขายกย่อง และยินยอมพร้อมใจที่จะมาช่วยเหลือตน
คิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็มองไปทางเฉิงหลิงจื่อ เผยสายจาชื่นชม
สายตาชื่นชมนี้ สำหรับเฉิงหลิงจื่อแล้ว ก็คือแรงบันดาลใจที่สวยงามที่สุดบนโลกนี้ เขารู้สึกชาไปทั้งศีรษะ และรู้สึกตื่นเต้นอย่างยิ่ง
“ท่านผู้มีพระคุณ พวกเราจะกลับกันตอนนี้ไหม” เฉิงหลิงจื่อกล่าวเสียงดัง ท่าทางยินดี
“ไม่รีบร้อน” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า สายตากวาดไปไกล แล้วหลับตาลงช้าๆ เริ่มสัมผัสเชื่อมต่อ
โลกาชั้นแรกนี้ นอกจากเขาจะเลื่อนขึ้นเป็นเจ้าสวาปามแล้ว ยังมีอีกสองเรื่องที่ต้องทำให้สำเร็จ หนึ่งคือนิ้วเทพดาวตกที่หลบหนี นี่มีส่วนช่วยอย่างมากในการก้าวไปอีกขั้นเพื่อเพิ่มกฎเกณฑ์ปรารถนารส ดังนั้นเขาจะไม่ยอมละทิ้ง
อีกอย่างเขาจะลงลึกไปใต้ดินอีกครั้ง ตรวจสอบเรื่องที่ไม่สำเร็จ และดูผู้ที่ร่ำร้องขอความช่วยเหลือ
ข้อแรกมีประโยชน์ต่อกฎเกณฑ์ของเขา ข้อหลังทำให้เขาเข้าใจโลกใบนี้ และช่วยให้เขาควบคุมความลับของมหาเทพได้มากขึ้น
ก่อนหน้านั้นเขาไม่ได้ขึ้นเป็นเจ้าสวาปาม ไม่อาจทำสิ่งใดได้สะดวก ตอนนี้สถานการณ์ต่างไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นนิ้วเทพดาวตกหรือว่าการสำรวจใต้ดิน หวังเป่าเล่อล้วนมั่นใจในระดับหนึ่ง
“เช่นนั้น หานิ้วเทพดาวตกก่อน” ขณะที่หวังเป่าเล่อหลับตาลง ดวงจิตเทพของเขาก็เลือนหายไปช้าๆ
“เฉิงหลิงจื่อ เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่” หลังจากสั่งการเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ก้าวเท้าไปทางท้องฟ้า เมื่อฝีเท้าก้าวลงไปร่างของเขาก็หายวับในทันที แล้วปรากฏตัวอยู่ระหว่างฟ้าดินไกลแสนไกล ทะลวงผ่านไปอีกครั้งพุ่งตรงเข้าไปภายในเมฆหมอก
ไอหมอกสีชาดมีการกัดกร่อนในระดับหนึ่ง แต่หลังจากกฎเกณฑ์ปรารถนารสของหวังเป่าเล่อเลือนหาย พลังกัดกร่อนเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ไม่มีผลกระทบต่อเขา ในทางตรงข้ามกลับมีประโยชน์ทดแทนบางอย่าง
นี่ทำให้หวังเป่าเล่อส่งเสียงประหลาดใจ คาดเดาใหม่ต่อที่มาของไอหมอกสีแดงไร้ขอบเขตนี้
เพียงแต่เขายังขาดข้อมูลที่ต้องการ ดังนั้นจึงยากที่จะคาดเดาถึงที่มาแท้จริงของหมอกสีแดงนี้ได้ ดังนั้นจึงหยุดความคิด บินไปในไอหมอกนี้ด้วยความเร็วสูง ฟังเสียงหวีดหวิวของลมที่ดังขึ้นตามทิศทางที่ตั้งไว้ในใจจ ใกล้ที่หมายเข้าไปทุกที
หลังจากหนึ่งก้านธูป ร่างหวังเป่าเล่อก็หยุดชะงัก เขาหรี่ตามองไอหมอกลึกลับด้านหน้า จากนั้นยกมือขึ้นสะบัดทันที ทันใดนั้นพลังรุนแรงหนึ่งกระจายออกมา กลายเป็นพายุกวาดไปรอบด้าน พัดไอหมอกที่อยู่ด้านหน้ากระจายไปกว่าครึ่ง ทำให้พื้นที่ด้านหน้าที่เดิมทีก็มองสิ่งใดไม่ชัดอยู่แล้ว กลายเป็นความพร่าเลือนในไอหมอกที่เลือนราง
ในความพร่าเลือนนี้ เขาเห็นนิ้วเทพดาวตกที่ตนเสาะหา ลอยอยู่ตรงนั้นไร้การเคลื่อนไหว มีเพียงหนวดสีดำเหล่านั้นบนร่างที่ส่ายไปมาช้าๆ
มองจากไกลๆ นิ้วขนาดประมาณพันจั้งนี้ ช่างมีพลังอัศจรรย์
“เจอแล้ว!” หวังเป่าเล่อเลียริมฝีปาก กฎเกณฑ์ปรารถนารสภายในร่างปะทุออกทันที ยิ่งกว่านั้นร่างกายก็ขยายออกมากระทั่งถึง 300 กว่าจั้ง แล้วเดินหน้าใกล้เข้าไปอีกก้าว
…………………………
สาวกเนื้อของเมืองปรารถนารส ทั้งหมดมีเพียง 20 กว่าคน ทั้งหมดต่างเข้าสู่งานเลี้ยงล่าสัตว์ของโลกาชั้นแรก ในนี้มีครึ่งหนึ่งที่ถูกเสินหลูเต้ากลืนกิน บวกกับความประหลาดของสถานที่แห่งนี้ ภายใต้การหยั่งรู้ด้วยเคล็ดวิชาของเฉิงหลิงจื่อ เวลานี้เหลือเพียงหกคนเท่านั้น
หกคนนี้ ไม่ใช่ผู้มีพลังแข็งแกร่งที่สุด แต่ส่วนมากมีเวทซ่อนตนที่พิเศษ อย่างไรก็ดี แม้จะซ่อนตัวเช่นไร ก็ยังไม่อาจหลบจากเคล็ดวิชาเสาะหาของเฉิงหลิงจื่อได้
เคล็ดวิชานี้เป็นบิดาของเขาถ่ายทอดให้ด้วยตนเอง เป็นวิชาใช้สำหรับเสาะหาสาวกเนื้ออื่นๆ โดยเฉพาะ เป็นเพราะเฉิงหลิงจื่อเป็นหนึ่งในไพ่ตายที่อยู่ที่นี่ ตามแผนของบิดาที่วางเอาไว้ให้เขา เขาอยู่ที่นี่อาศัยเคล็ดวิชาเสาะหา กลืนกินไปคนแล้วคนเล่า สุดท้ายแม้ว่าจะไม่อาจเป็นเจ้าสวาปามได้ แต่ก็หาประโยชน์จากที่นี่ได้อย่างมากมาย
เพียงแต่ว่าทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องบังเอิญ ตอนนี้เคล็ดวิชานี้กลายเป็นอาวุธทรงประสิทธิภาพที่ไปช่วยหวังเป่าเล่อ และเขาเองก็ยินยอมพร้อมใจ นี่อาจกล่าวได้ว่าใจมนุษย์นั้นยากแท้หยั่งถึง บางครั้งเมื่อนวดเค้นจนถึงระดับหนึ่ง เกรงว่าแม้ตนเองก็ยังไม่รู้จะออกมาเป็นเช่นไร
เวลานี้เฉิงหลิงจื่อนัยน์ตาแดงก็เป็นเช่นที่ว่านี้ เขาแสดงออกมาอย่างรวดเร็วในโลกาชั้นที่หนึ่ง ในไม่ช้าเขาก็หยุดชะงักในที่โล่งแจ้งแห่งหนึ่ง ก้มลงมองพลันเอ่ยปาก
“ให้โอกาสเจ้า ตามข้าไป อุทิศกฎเกณฑ์ปรารถนารสครึ่งหนึ่งให้ผู้มีพระคุณของข้า ข้ารับประกันว่าเจ้าจะไม่ถึงแก่ชีวิต”
คำพูดของเขาเมื่อกล่าวออกไป ทำให้พื้นที่แห่งนั้นเงียบสงัดทันที เฉิงหลิงจื่อรออยู่หลายอึดใจจนทนไม่ไหว พริบตาเดียวร่างก็ตรงไปปรากฏที่ตำแหน่งหนึ่ง มือขวายกขึ้นคว้าทันที ในตอนที่รอบด้านบิดเบี้ยวก็สามารถเห็นร่างเลือนรางร่างหนึ่งกำลังล่าถอยอย่างรวดเร็ว
เฉิงหลิงจื่อคำรามเสียงเย็น เขาไล่ตามร่างนั้นไปติดๆ กระบวนการทั้งหมดใช้เวลาเพียงสิบกว่าลมหายใจ เขาเหาะออกไปไกลด้วยเสียงก้องกังวาน มือถือเชือกไว้เส้นหนึ่ง ที่ปลายเชือกมีสาวกเนื้อใบหน้าซีดขาวถูกมัดไว้
ความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงในด้านพลัง ทำให้อีกฝ่ายไม่อาจต่อต้านได้นานเกินไป เวลานี้จึงถูกจับกุมไว้เยี่ยงเชลย
เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาค่อยๆ ไหลผ่านอีกครั้ง ในไม่ช้าก็ผ่านไปสองวันแล้ว ความเร็วและประสิทธิภาพของเฉิงหลิงจื่อเป็นที่น่ามหัศจรรย์ ภายในระยะเวลาสองวันนี้ เขาตามหาสาวกเนื้อที่หลบซ่อนมาได้ห้าคน จับเป็นพวกเขาทั้งหมด แต่ในการเสาะหาคนสุดท้าย กลับไม่ค่อยราบรื่นนัก
เวลานี้เขายืนอยู่บนท้องฟ้า ก้มลงมองผืนแผ่นดินด้านล่าง พื้นที่แห่งนี้มีความพิเศษอยู่บ้าง ประกอบด้วยพื้นที่เป็นแอ่งๆ และน้ำข้างในแอ่งเป็นสีแดง นอกเหนือจากนี้ที่นี่ยังมีดวงจิตกระจายอยู่อย่างหนาแน่น ทำให้เคล็ดวิชาของเขายากจะขยายผลในสถานที่เช่นนี้
เฉิงหลิงจื่อรับรู้แต่เพียงว่าที่นี่มีสาวกเนื้ออยู่ผู้หนึ่ง นอกจากต้องพลิกพื้นที่ทั้งหมดเสาะหา เช่นนั้นแล้วก็ยากที่จะพบร่องรอยที่มีอยู่ ทว่าด้วยระดับฝึกตนของเขา คิดจะพลิกพื้นที่ที่เต็มไปด้วยดวงจิตแห่งนี้ คงต้องใช้เวลานานมาก
นี่จึงไม่สอดคล้องกับแผนที่เขาวางไว้ เขาหรี่ตาลง ทันใดนั้นเฉิงหลิงจื่อก็มองไปที่สาวกเนื้อห้าคนที่ถูกเชือดมัดอยู่ทางด้านหลัง
“เดิมที ตามที่ผู้มีพระคุณร้องขอ หากมีสาวกเนื้อหกคน ก็จะสามารถรักษาชีวิตพวกเจ้าไว้ได้ ด้วยกฎเกณฑ์ปรารถนารสเพียงพอ ไม่ต้องการชีวิตมาทดแทน”
“แต่…เวลานี้หายไปหนึ่งคน ข้าก็ไม่กล้ารับประกันแล้ว”
“ดังนั้น ให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งก้านธูป ตามหาคนผู้นี้ให้พบ มิฉะนั้นพวกเจ้าคงรู้ผลของมัน” ว่าจบ ขณะที่เฉิงหลิงจื่อสะบัดมือ คนทั้งห้าทางด้านหลังได้แยกแยะผลพวงอันโหดร้ายนั้น ก็คลายเชือกออก แล้วกล่าวขึ้นเบาๆ
“ข้าเฉิงหลิงจื่อกล่าวแล้วไม่คืนคำ หากเจ้าไม่เชื่อ อย่าว่าแต่ข้อห้ามสามารถเอาชีวิตพวกเจ้า แม้พวกเจ้าจะหนีไปได้ นอกจากจะไม่กลับมาเมืองปรารถนาอีกแล้ว มิฉะนั้นคงมีจุดจบเดียวกัน” กล่าวพลาง เฉิงหลิงจื่อหลับตา นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอากาศ แล้วเริ่มจับเวลา
คนทั้งห้าใบหน้าซีดขาว หลังจากมองหน้ากันและกัน ต่างก็เข้าใจได้ว่าแต่ละคนไร้ซึ่งหนทาง พวกเขาไม่กล้ายั่วยุเฉิงหลิงจื่อ แต่ก็ไม่อาจไม่กลับไปเมืองปรารถนารส เวลานี้ได้แต่เพียงฝากความหวังไว้ว่าเฉิงหลิงจื่อจะไม่คืนคำ อีกอย่างอีกฝ่ายก็มีเหตุผล ทั้งหกคนไปแบ่งเบาภาระ ย่อมมีความเป็นไปได้ที่จะรักษาชีวิต
ดังนั้นคนทั้งห้าจึงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก้มหน้าตรงไปแอ่งน้ำ เฟ้นหาไปทั่วอาณาบริเวณกว้างใหญ่ ตามวิธีการของแต่ละคน ผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านการหลบซ่อนนั้นล้วนมีบางส่วนที่เหมือนกัน ดังนั้นสถานการณ์ที่เฉิงหลิงจื่อมองว่าหมดปัญญา แต่ภายใต้การร่วมมือร่วมใจกันของคนทั้งห้า หลังจากหนึ่งก้านธูปตามด้วยเสียงสะท้อนก้อง ดวงตาของเฉิงหลิงจื่อก็เบิกขึ้นทันที
“พบแล้ว!” พริบตาเดียวร่างของเขาก็วาบหาย หลังจากผ่านไปนับสิบลมหายใจ เมื่อเฉิงหลิงจื่อเหาะออกไปอีกครั้ง ด้านหลังของเขา จากห้าคนก็กลายเป็นหกคนแล้ว
เป็นเช่นนี้ ด้วยความกังวลของพวกเขาทั้งหมด เฉิงหลิงจื่อก็รีบพาคนทั้งหกกลับไปที่หวังเป่าเล่อกักตน ทั้งหกคนเห็นวังวนมหึมาระหว่างฟ้าดินที่คำรามไปทั่วสารทิศแต่ไกลๆ แม้จะไม่สามารถมองเห็นผู้ที่อยู่ในวังวนได้ แต่กฎเกณฑ์ปรารถนารสที่หนาแน่นจนน่าตระหนก ก็กระจากยออกมาจากในวังวน ทำให้จิตใจของพวกเขาร้องคำราม ใบหน้าพลันซีดขาว
“ยังไม่ไปอีก” เฉิงหลิงจื่อเห็นคนทั้งหกหยุดชะงัก ดวงตาก็ฉายแววดุร้าย ภายใต้การลากเพียงครั้งเดียวก็พาพวกเขาตรงไปที่วังวน หลังจากเข้าใกล้แล้ว เขารีบคุกเข่าลงไปเบื้องหน้าวังวนแห่งนั้น จากสีหน้าดุดันในตอนแรกเปลี่ยนเป็นเชื่อฟังและเคารพอย่างที่สุด ร้องตะโกนออกมา
“ผู้มีพระคุณ สาวกเนื้อเหล่านี้คือที่เหลืออยู่ในตอนนี้ ข้านำทั้งหมดมาแล้ว”
“ดีมาก” เสียงนั้นคล้ายฟ้าร้อง มันส่งออกมาจากภายในวังวน ในขณะที่ทั่วสารทิศสั่นไหว โซ่ที่ก่อตัวขึ้นจากหมอกแห่งความมืดขนาดใหญ่หกเส้น ก็พุ่งออกมาจากภายในวังวนตรงเข้าไปรัดพันสาวกเนื้อทั้งหกนี้ทันที ขณะนี้กฎเกณฑ์ปรารถนารสในร่างของสาวกเนื้อทั้งหก ก็ระเบิดออกไปตามโซ่ตรงเข้าไปที่วังวน
ด้านเฉิงหลิงจื่อก็ไม่ต้องรอคำสั่งของหวังเป่าเล่อ เวลานี้ได้ส่งกฎเกณฑ์ปรารถนารสออกไปจากภายในร่างอีกครั้ง หลอมรวมในวังวน ทำให้หวังเป่าเล่อพอใจอย่างที่สุด
เวลานี้การเลื่อนขั้นของเขาก็ได้มาถึงช่วงเวลาสำคัญแล้ว กลิ่นอายของเขาเหนือกว่าเจ้าสวาปามปกติ แต่เขตแดนอย่างไรก็ยังขาดอยู่ เวลานี้ด้วยกฎเกณฑ์ปรารถนารสจำนวนมหาศาลถาโถมเข้ามา ส่วนที่ขาดไปนี้ ในที่สุดก็เริ่มสมบูรณ์
ภายในเวลาหนึ่งก้านธูป กฎเกณฑ์ปรารถนารสจากภายในร่างของทั้งหกก็ถูกดึงออกมาเกือบเจ็ดเท่า มีเสียงคำรามส่งออกมาจากภายในวังวน ยามที่มันดังขึ้น วังวนพลันหดตัวลงแคบลง และเริ่มปะติดปะต่อกันเป็นร่างหนึ่งสะท้านฟ้าสะเทือนดิน
ในตอนแรกร่างนี้…กินอาณาบริเวณ 100 จั้ง หากแต่ตอนนี้วังวนก็ยังหดตัวไม่หยุด หลอมรวมไม่หยุด ขนาดของเขาเริ่มขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็น 130 จั้ง 170 จั้ง 210 จั้ง จนกระทั่ง…
สุดท้ายหลังจากสูงถึง 330 จั้งแล้ว วังวนก็หายไป พลังปราบปรามที่มาจากเจ้าสวาปาม เทพจุติ เทียมฟ้า ทำให้ไอหมอกบนท้องนภาพลิกม้วน พื้นดินคำรามก้อง ราวกับว่าระหว่างดินฟ้า เวลานี้ได้จุดบรรจบเพียงหนึ่งเดียว มีเพียง 300 กว่าจั้งเท่านั้น ใบหน้าพร่าเลือน แต่ยังคงเป็นร่างที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเช่นเดิม
“น้อมพบเจ้าแห่งสวาปาม!” เฉิงหลิงจื่อตะโกนขึ้นมาเป็นคนแรก
สาวกเนื้อหกคนที่เหลือ แม้จะยังอ่อนแรงต่างก็รีบคุกเข่าคารวะร้องรับกันเซ็งแซ่
ขณะที่พวกเขาน้อมคำนับ ร่าง 300 กว่าจั้งนี้ ก็ค่อยๆ ก้มศีรษะ ใบหน้าพร่าเลือนนั้นชัดเจนขึ้นทีละส่วน เผยให้เห็นรูปลักษณ์ของหวังเป่าเล่อ
เขาผุดยิ้มน้อยๆ
เจ้าสวาปามลำดับเก้า!

ดวงจิตมากมายกระจัดกระจายอยู่ตรงพื้นที่ของโลกาชั้นแรก ขณะเดียวกันก็รบกวนจิตใจและค่อนข้างอันตราย เช่นเดียวกับหลุมลึกที่เสินหลู่เต้าอยู่ เวลานี้ก็เป็นเช่นนี้

ดวงจิตกระจัดกระจายไปเป็นจำนวนมาก ลอยอยู่บนดินโคลน เห็นได้ว่าที่แอ่งหลุมลึกแห่ง ดวงจิตกำลังคืบคลานไปทั่ว คล้ายจะฟื้นคืนสภาพเดิมได้

แต่เวลานี้ไม่มีผู้ใดสนใจเหตุการณ์ประหลาดนี้เลย หวังเป่าเล่อก็ไม่สนใจ เพราะจำนวนของดวงจิตที่กระจัดกระจายเหล่านี้ยังไม่เพียงพอ มันทำให้เขาขมวดคิ้ว ด้านเสินหลูเต้าก็ไม่สนใจเช่นกัน เพราะ…ไม่ว่าจะถูกกลบฝังหรือถูกหวังเป่าเล่อกลืนกิน จุดจบของเขาก็เป็นเช่นเดียวกัน

ในฐานะที่เป็นสาวกเนื้อ เมื่อก้าวเข้าสู่งานเลี้ยงล่าสัตว์ชะตากรรมก็ถูกกำหนดไว้แล้ว เช่นเดียวกับสาวกเนื้ออื่นๆ แม้จะไม่ได้คาดคิดถึงฉากจบเช่นนี้ ทว่าตอนนี้ก็ทำได้เพียงฝืนทน

 ระหว่างเจ้ากับข้า ไม่มีความแค้น ดังนั้น…เจ้ามีสิ่งใดจะสั่งเสียหรือไม่  หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่เหนือลุมลึกแห่งนั้น ก้มหน้าลงมาแล้วเอ่ยช้าๆ

 ไม่มีคำสั่งเสีย แต่มีความปรารถนาครั้งสุดท้าย ปิงหลิงจื่อ เจ้ามาจนถึงขั้นนี้ เช่นนั้นย่อมกลายเป็นเจ้าสวาปามผู้แรก นี่คือความปรารถนาของข้า ขอให้เจ้าช่วยทำให้เป็นจริงด้วยเถอะ  เสินหลูเต้าหายใจหอบ พยายามจะกล่าว

 ย่อมได้  หวังเป่าเล่อพยักหน้า

เสินหลูเต้าเห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะออกมา

 เจ้าไม่ต้องดูดซับหรอก ปิงหลิงจื่อ เส้นทางของเจ้าแห่งสวาปาม ข้าเติมเต็มให้เจ้า!  กล่าวพลาง ดวงตาเสินหลูเต้าพลันเบิกโพลง กฎเกณฑ์ปรารถนารสที่อยู่ภายในระเบิดออกทันที ทะลุผ่านร่างออกมาโดยตรง เริ่มส่งตรงไปที่หวังเป่าเล่อ

เมื่อมองจากไกลๆ กฎเกณฑ์ปรารถนารสที่มาจากภายในร่างเสินหลูเต้า กลายเป็นไอหมอกดำหนาแน่นน่าตะลึง ภายในไอหมอกนี้แฝงไปด้วยความปรารถนาอันแรงกล้า เปี่ยมด้วยความแข็งแกร่ง มันตรงเข้าหาหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อไม่ได้หลบหลีก ปล่อยให้ไอหมอกปกคลุมร่าง หลังจากแทรกซึมไปตามทวารทั้งเจ็ด ตามผิวหนังของเขาอย่างบ้าคลั่งแล้ว มันก็หลอมรวมเข้ากับกฎเกณฑ์ปรารถนารส

ด้วยการหลอมรวม ผลึกแห่งปรารถนาที่ด้านนอกจุดตันเถียนของหวังเป่าเล่อเติบโตไม่หยุดหย่อน ระหว่างที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ภายในตัวเขา ก็คล้ายมีเส้นดำเส้นหนึ่งกำลังเจริญเติบโต

หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าตนกำลังจะกลายร่าง เขารีบนั่งขัดสมาธิที่กลางอากาศ ฝันร้ายแห่งปรารถนาของเขาในหลุมลึกต่างโบยบินออกมา รายล้อมรอบตัวเพื่อปกป้องเขา

และการรายล้อมของพวกมัน หมุนวนรอบตัวหวังเป่าเล่อไม่หยุด ด้วยความเร็วสูง นี่ทำให้คนภายนอกมองไม่เห็นร่างหวังเป่าเล่อ เห็นแค่เพียงเพียงวังวนมหึมาและเขาเป็นศูนย์กลาง ขึ้นสูงไปทางด้านบน ในขณะที่พลังยิ่งสะท้านฟ้า เบื้องล่างแอ่งหลุมลึกพื้นที่ที่เสินหลูเต้าอยู่ เวลานี้ก็สมานกันอย่างรวดเร็ว กระทั่งหลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ เมื่อวังวนสะท้านฟ้าสะเทือนดิน แอ่งหลุมลึกก็กลับคืนสู่สภาพเดิม

ไม่นานเฉิงหลิงจื่อที่อยู่ไกลๆ ก็วิ่งเข้ามา เขามองไปทางวังวน ดวงตาของฉายแววตื่นเต้นยินดี สามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของผู้มีพระคุณของตน พุ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่น่าหวาดกลัว

ระดับการพุ่งขึ้นนี้ยิ่งใหญ่มาก ดูเหมือนว่าใช้เวลาไม่นาน ก็สามารถถึงระดับเจ้าแห่งสวาปามได้

 เมืองปรารถนารสได้ปรากฏเจ้าสวาปามคนที่เก้า  เฉิงหลิงจื่อหายใจถี่รัว หลังจากเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่ง สีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นจริงจังทันที รีบนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างๆ ประสานเวทป้องกันอย่างระแวดระวัง

เขารู้สึกว่าตนต้องแสดงออกให้ดี นี่จึงจะสามารถเสริมคุณงามความดีที่ตนเองทำไว้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ หากกลับไปถึงเมืองปรารถนารส ตนก็จะมีสองหลักให้พึ่งพิง หนึ่งคือบิดา อีกหนึ่งคือผู้มีพระคุณ

ตนผู้มีสองเจ้าสวาปามให้พึ่งพิง เกรงว่าภายในเมืองปรารถนารส จะเป็นผู้สะท้านฟ้าเป็นรองก็เพียงเจ้าแห่งสวาปามเลยทีเดียว

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เฉิงหลิงจื่อพลันรู้สึกว่าตนช่างโชคดีเหลือเกิน

ดังนั้นขณะที่กระหยิ่มยิ้มย่อง เขาก็เริ่มปกป้องหวังเป่าเล่ออย่างสุขุม เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป ในไม่ช้าก็ผ่านไปสามวันแล้ว

ในสามวันนี้ เฉิงหลิงจื่อจากความตื่นเต้นในวันแรก เริ่มเปลี่ยนเป็นจริงจัง จนกระทั่งเข้าวันที่สาม คลื่นใหญ่เทียมฟ้าเกิดขึ้นในใจเขา ลูกตาแทบจะถลน กังวลจนถึงขีดสุดและตระหนกสุดขีด

เพราะ…ในวันที่สอง หวังเป่าเล่อที่อยู่ภายในพายุวังวน กลิ่นอายของเขาได้ถึงระดับของบิดาตนแล้ว หรือกล่าวได้ว่า เวลานั้น…อีกฝ่ายไม่ได้แตกต่างจากเจ้าสวาปามเลย

แต่กลับตรงกันข้าม…กลิ่นอายถึง ทว่าด้านขอบเขตกฎเกณฑ์ของเจ้าสวาปามนั้นยังคงยับยั้ง กลับไม่ได้ปรากฏ

ความแข็งแกร่งของเจ้าสวาปาม นอกจากความน่ากลัวของกฎเกณฑ์ของตนแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่าก็คืออำนาจปราบปรามของผู้ฝึกตนที่อยู่ในระบบกฎเกณฑ์นี้ ในฐานะที่เป็นหนึ่งในต้นกำเนิด

นี่จึงเป็นปณิธานของเจ้าสวาปาม แต่ด้านหวังเป่าเล่อ แม้กลิ่นอายจะถึงขั้น แต่การปราบปรามไม่ปรากฏ นี่จึงชัดเจนว่า…เขายังเลื่อนขั้นไม่สำเร็จ

 นี่มันไม่ถูกต้อง  เฉิงหลิงจื่อตื่นตระหนก ท่าทางไม่อยากเชื่อ แม้เขาจะไม่เคยเห็นผู้ใดเลื่อนขึ้นเป็นเจ้าสวาปาม แต่บิดาของตนก็เป็นเจ้าสวาปาม ดังนั้นจึงได้ฟังได้เห็นมาโดยตลอด รวมทั้งการสนทนาเชิงลึกก่อนที่จะมาถึง เหล่านั้นทำให้เขาเข้าใจในกระบวนการเลื่อนขั้นเป็นอย่างดี

หากกล่าวตามเหตุผล เวลานี้…หวังเป่าเล่อน่าจะเลื่อนขั้นแล้วจึงจะถูก

 นอกจาก…ด้วยต้นทุนธรรมชาติแข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นขีดจำกัดของผู้อื่น สำหรับเขาแล้ว กลับไม่ใช่ขีดจำกัด! 

 แต่หากเป็นเช่นนี้ เป็นไปได้หรือไม่ว่า…กฎเกณฑ์ปรารถนารสของเสินหลูเต้าผู้เดียว ยังไม่เพียงพอต่อการเลื่อนขั้น  ขณะที่สีหน้าเฉิงหลิงจื่อเปลี่ยนไป ตอนนั้นเองพลังปราณมืดสายหนึ่งก็ลอยออกมาจากภายในวังวน ตรงมายังเฉิงหลิงจื่อ

ทันใดนั้น พลังปราณมืดนี้ก็หลอมรวมเข้าสู่กลางหว่างคิ้ว ทำให้ร่างของเฉิงหลิงจื่อสั่นเทิ้ม กฎเกณฑ์ปรารถนารสภายในร่างถูกหวังเป่าเล่อกลืนกิน ชั่วอึดใจก็ได้รับการเติมเต็มอย่างสมบูรณ์ กระทั่งยิ่งเข้าถึงได้มากขึ้น

แต่ก็มีข้อแตกต่าง เวลานี้กฎเกณฑ์ปรารถนารสที่หลอมรวมเข้ามา เป็นสิ่งที่มีตราประทับอยู่ และตราประทับนี้ก็คือหวังเป่าเล่อ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง นี่เป็นของขวัญจากหวังเป่าเล่อ เขาจะเรียกคืนเมื่อใดย่อมได้

 ไปรวบรวมสาวกเนื้อทั้งหมดให้ข้า ข้าไม่ได้ต้องการสังหาร แต่ต้องการให้พวกเขาแต่ละคนอุทิศกฎเกณฑ์ปรารถนารสครึ่งหนึ่ง!  เสียงของหวังเป่าเล่อตามการหลอมรวมกฎเกณ์ปรารถนารสสะท้อนก้องอยู่ในใจของเฉิงหลิงจื่อ

ร่างของเฉิงหลิงจื่อสะท้าน รู้ว่าการคาดการณ์ของตนนั้นไม่ผิด การเลื่อนขั้นของผู้มีพระคุณ ต่างไปจากของบิดา อีกฝ่ายต้องการกฎเกณฑ์ปรารถนารสที่มากขึ้น

และนี่…ก็แสดงให้เห็นว่าหากผู้มีพระคุณประสบผลสำเร็จ เช่นนั้นระดับความแข็งแกร่งที่เกิดขึ้นของเขา จะเหนือกว่าบิดาของตนรวมทั้งเจ้าแห่งสวาปามกว่าครึ่ง!

เฉิงหลิงจื่อรีบผุดลุกขึ้นทันที ตะโกนรับคำ หันร่างไปพยายามอย่างเต็มกำลัง เริ่มเสาะหาร่องรอยของสาวกเนื้ออื่นเพื่อหวังเป่าเล่อ โดยไม่ต้องให้หวังเป่าเล่อเอ่ยย้ำ เฉิงหลิงจื่อรีบร้อนเป็นอย่างยิ่ง เขาบอกตนเอง ว่าต้องทำเรื่องนี้ให้สำเร็จเร็วที่สุด

 ตอนนี้ข้าและผู้มีพระคุณ อาจกล่าวได้ว่าหากรุ่งโรจน์ก็รุ่งโรจน์ด้วยกัน  ดวงตาเฉิงหลิงจื่อเผยความบ้าคลั่ง นัยน์ตาแดงก่ำ ระเบิดความเร็วทันที เพื่อแสวงหาสาวกเนื้อ

และเขายังมีเคล็ดวิชาที่ถ่ายทอดจากบิดาของตน เวลานี้เคล็ดวิชาก็ได้ถูกนำออกมาใช้โดยไม่ลังเล

……………………

 

คำพูดของเฉิงหลิงจื่อ ทำให้ภายในใจของเสินหลูเต้าหดหู่อย่างยิ่ง เขาไม่อาจเข้าใจได้เลยจริงๆ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองน่าจะมีความแค้นเทียมฟ้า แล้วเหตุใด…ตอนนี้จึงเปลี่ยนท่าที
ก่อนหน้านี้ก็แอบตรวจสอบมาก่อนแล้ว บนร่างของเฉิงหลิงจื่อไม่มีร่องรอยการถูกควบคุมเลยแม้แต่น้อย หรือกล่าวได้ว่า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเรื่องที่เฉิงหลิงจื่อยินยอมพร้อมใจภายใต้สถานการณ์ที่ตื่นรู้
ขณะเดียวกันนี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เสินหลูเต้าไม่อาจเข้าใจได้ และเกิดความเกรงกลัวต่อหวังเป่าเล่อ เขาล้มเลิกความคิดที่จะกลืนกินฝ่ายตรงข้ามแล้ว เวลานี้จิตใจคิดแต่จะหลีกหนีออกจากที่นี่
เพราะเขามองออกว่า นิ้วเทพดาวตกที่น่าหวาดผวานี้ ได้ถูกหวังเป่าเล่อควบคุมเอาไว้แล้วอย่างแน่นอน หวังเป่าเล่อผู้เดียว เดิมทีก็ยากที่จะต้านทาน หากเพิ่มนิ้วเทพดาวตกไปด้วย นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะกำราบได้แล้ว
เพียงแต่ว่า…ความเร็วของเขาที่กำลังคิดจะจากไป ไม่อาจเทียบเท่าได้กับความเร็วของหนวดดำเหล่านั้น มันไล่ตามเขาในฉับพลัน และล้อมเขาไว้ทุกด้านแล้ว
เวลานี้ ความแข็งกล้าของเสินหลูเต้าต่างไปจากเฟิงตี๋ มันปรากฏออกมา เมื่อเทียบกับเฟิงตี๋ที่สูญเสียพลังต่อต้านตอนเผชิญกับหนวดดำเหล่านี้ แม้มีสาเหตุจากการต่อสู้กับหวังเป่าเล่อ แต่สุดท้ายก็ยังไม่แกร่งพอ
แต่เสินหลูเต้านั้นแตกต่าง หลายปีก่อนเขาคือสาวกเนื้อคนแรกในเมืองปรารถนารส และมีความสามารถที่น่าอัศจรรย์ แม้เวลานี้จะถูกหนวดดำล้อมไว้ แต่ในพริบตา…ท่าทางเขาก็ดุร้ายขึ้น ส่งเสียงคำราม และส่งคลื่นความร้อนเทียมฟ้าปะทุออกมาทันที
ราวกับร่างของเขาได้กลายเป็นเตาหลอมมหึมา ราวกับดวงตะวัน ในชั่วพริบตาก็ปล่อยความร้อนสูงเกินจินตนาการราวกับไฟบรรลัยกัลป์ ระเบิดและเผาไหม้ไปทั่วทุกทิศทุกทาง
แม้หนวดดำเหล่านั้นจะไม่ธรรมดา แต่สุดท้ายด้วยการต่อต้านของหวังเป่าเล่อและเทพดาวตก ทำให้เขาสูญเสียพลังในการปราบปรามไป เวลานี้ถูกคลื่นความร้อนไฟบรรลัยกัลป์ แม้จะไม่ถูกเผาไหม้ แต่ด้านความเร็วและพลังก็ถูกทำให้อ่อนแรงลงไปบางส่วน เสินหลูเต้าจึงฉวยโอกาส ทะลวงผ่านวงล้อมออกไปตามช่องว่างภายในพริบตาเดียว
เห็นอยู่ว่ากำลังจะรอด…แต่หวังเป่าเล่อจะปล่อยให้เป็นไปตามปรารถนาของเขาหรือ
หวังเป่าเล่อลืมตาแล้ว สายตาเผยแววลึกลับ เขาพอใจที่เฉิงหลิงจื่อแสดงมาก ในความเป็นจริงหากก่อนหน้านั้นคลื่นลูกแรกที่เสินหลูเต้าลงมือ ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เฟิงตี๋แต่เป็นตน…เช่นนั้นแม้จะไม่ก่อให้เกิดผลถึงเป็นหรือตาย แต่ก็ต้องทำลายสมดุลอย่างแน่นอน ทำให้พลังดูดซับของนิ้วเทพดาวตกเพิ่มขึ้น ต้องได้รับความเสียหายในระดับหนึ่งอย่างแน่นอน
เรื่องนี้สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว จะมีความยุ่งยากอยู่บ้าง แล้วยังมีเสินหลูเต้าที่มองมาเหมือนเสือจ้องเหยื่อ เกรงว่าเวลานั้น เขาคงจะอยู่ในสถานการณ์คับขัน
แต่คำลวงของเฉิงหลิงจื่อทำให้เสินหลู่เต้าคาดผิด อีกฝ่ายลงมือไปที่เฟิงตี๋ แล้วยังทำลายหนวดดำไปกว่าครึ่ง นี่จึงทำให้ความสมดุลที่นิ้วเทพดาวตกถูกทำลาย สำหรับหวังเป่าเล่อล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น
ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสนี้ พลังดูดซับจากภายในร่างของหวังเป่าเล่อแผ่ออกมา แม้จะไม่ได้ดูดซับนิ้วเทพดาวตกจนแห้งเหี่ยว แต่ก็ดูดมาได้อย่างน้อยสองส่วน ทำให้กฎเกณฑ์ปรารถนารสของตนตรงไปเติมเต็มความว่างเปล่าจากครั้งก่อนทั้งหมด จนถึงขั้นสุดยอดของสาวกเนื้อ ส่วนในทางอ้อมก็มีคุณสมบัติควบคุมนิ้วเทพดาวตกนี้ด้วย
ขณะที่พึงพอใจอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็มองไปทางเสินหลูเต้าที่กำลังรีบหลบหนี ดวงตาส่องประกายวาบ เทียบกับการดูดซับกลิ่นอายของซากเทพดาวตกแล้ว เขายังชอบสาวกเนื้อเสียมากกว่า
สาวกเนื้อไม่เพียงง่ายต่อการปราบปราม การดูดซับก็ง่ายกว่า และเขาสามารถรับรู้ได้ว่า ขอเพียงตนได้กลืนกฎเกณฑ์ปรารถนารสของเสินหลูเต้า เช่นนั้นระดับที่สูงมากนี้ จะทะลวงผ่านข้อจำกัดกฎเกณฑ์ที่มี จนถึงระดับของเจ้าสวาปาม
และเจ้าสวาปาม ในฐานะที่เป็นผู้ควบคุมกฎสูงสุดภายใต้เจ้าปรารถนา กฎเกณฑ์ปรารถนาของตน ไม่ว่าระดับใดก็นับได้ว่าเป็นหนึ่งในแหล่งที่มาแล้ว และตามความคิดของหวังเป่าเล่อ หลังจากเลื่อนเป็นเจ้าแห่งสวาปาม จึงจะนับว่าเป็นเรื่องจริงจัง…ไม่แยกแยะกับกฎเกณฑ์ปรารถนารส หากเขาพลั้งพลาด กฎเกณฑ์ปรารถนารสก็จะอ่อนกำลังลงในช่วงเวลาหนึ่งด้วยเหตุนี้
ดังนั้นการเลื่อนเป็นเจ้าสวาปาม จึงจะนับได้ว่าเขาเป็นคนกันเองของเมืองปรารถนารสอย่างแท้จริง นี่ก็เป็นสาเหตุที่เจ้าปรารถนาเมืองปรารถนารสได้กล่าวไว้ก่อนที่เขาจะมางานเลี้ยงล่าสัตว์ครั้งนี้แล้ว
“เมื่อเป็นเช่นนี้….” หวังเป่าเล่อหรี่ตา แหงนหน้ามองนิ้วเทพดาวตกในไอหมอกเหนือศีรษะ แล้วมองเสินหลูเต้าที่ห่างออกไปไกลไม่หยุด
เขาเข้าใจดี ด้วยระดับการควบคุมนิ้วของตนในตอนนี้ ยังไม่สนับสนุนให้ไล่ล่า เช่นนั้นตราบใดที่ตนปล่อยมือ มีความเป็นไปได้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะหลบซ่อนขึ้นมาอีกครั้ง
ทว่า…เขามีส่วนคุณสมบัติที่มีอำนาจ อาศัยสัมผัสเชื่อมต่อ เสียเวลาไปอีกหน่อย เขาก็ยังสามารถเสาะหาอีกฝ่ายได้ใหม่ ดังนั้นการวัดค่านี้ให้ดำเนินต่อไปไม่กี่อึดใจ หวังเป่าเล่อก็มีคำตอบอยู่ในใจแล้ว
พริบตาต่อมา หวังเป่าเล่อปล่อยมือที่จับหนวดดำไว้ และเริ่มตัดการดูดซับนิ้วเทพดาวตก ขณะที่ปล่อยมือนั้น ร่างของหวังเป่าเล่อก็ก้าวไปข้างหน้าทันที
บนท้องฟ้า เขาเห็นเงาร่างแวบผ่าน ชั่วอึดใจ เสินหลูเต้าที่หลบหนีอย่างรวดเร็วทางด้านหน้า พลันหน้าเปลี่ยนสี เขาระเบิดคลื่นความร้อนจากภายในร่างอย่างเต็มกำลังออกไปรอบด้านทันที ทำให้ความว่างเปล่ารอบกายพลันก็บิดเบี้ยวขึ้นมา ราวกับว่าทั้งหมดที่อยู่ข้างกายเขาล้วนถูกเผาไหม้อย่างสมบูรณ์
แต่เห็นได้ชัดว่า…นี่เป็นสิ่งไม่แน่นอน พริบตาเดียวในความว่างเปล่าที่บิดเบี้ยวและการแผ่ความร้อนสูงนี้ มือหนึ่งก็ออกมาจากอากาศ ตรงเข้าไปกดบนหน้าผากของเสินหลูเต้า แล้วผลักเบาๆ
ตูม!
ท้องนภาราวกับจะพังทลาย ดังก้องสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ในการระเบิดกัมปนาท เสินหลูเต้าส่งเสียงคำรามแหลมรันทด ร่างของเขาราวกับไม่ได้รับการควบคุม พลังยิ่งใหญ่ที่หน้าผากส่งมาราวกับพายุ ร่างกายหมุนคว้างอย่างรุนแรงภายใต้แรงระเบิดโดยตรง ระดับความเร็วเทียบกับที่เขาหลบหนีก่อนหน้านั้นยังรุนแรงกว่า และถูกกระแทกลงกับพื้นทันที
เสียงแผ่นดินคำราม ร่างกายเป็นเช่นสะเก็ดดาวที่ถูกกระแทกลงกับพื้น ก่อเกิดรอยเว้าแหว่งขนาดมหึมา
หวังเป่าเล่อยืนอยู่กลางอากาศ ผมปลิวไสว ดวงตาส่องประกาย ก้มลงมองเสินหลูเต้าที่ดิ้นรนอยู่ภายในหลุมลึก แล้วเงยหน้ามองไปทางท้องนภา สถานที่ที่นิ้วดาวตกอยู่ก่อนหน้านั้น
ที่นั่น…ว่างเปล่า พริบตาที่หวังเป่าเล่อปล่อยมือ นิ้วเทพดาวตกก็ได้เคลื่อนออกไปแล้ว แม้สูญสลายไปไร้ร่องรอย แต่ในสัมผัสเชื่อมต่อของหวังเป่าเล่อ เขาก็ยังคงสามารถรับรู้ตำแหน่งที่อีกฝ่ายกำลังเคลื่อนย้ายด้วยความเร็วได้อย่างเลือนราง
“มาเลยทีละคน ไม่ต้องรีบร้อน” หวังเป่าเล่อเลียริมฝีปาก ถอนสายตาจากท้องนภา เพียงพริบตาร่างกายก็วาดผ่านความว่างเปล่า ปรากฏบนหลุมลึกที่พื้นล่าง ก้มลงมองเสินหลูเต้าที่ด้านล่าง
เสินหลูเต้าในเวลานี้ ทั้งร่างแทบแหลกละเอียด เลือดแดงฉานไหลกระอักออกจากปากไม่หยุด สบประสานสายตากับหวังเป่าเล่อ เผยความหวาดผวาและเหลือเชื่อออกมา คิดอยากจะดิ้นรน แต่พริบตาเดียวรอบด้านก็ก็ปรากฏฝันร้ายแห่งปรารถนาของหวังเป่าเล่อนับสิบคน กดเขาไว้แน่น

เมื่อได้ยินคำกล่าวของเฉิงหลิงจื่อ เสินหลูเต้าก็หรี่ตา มองไปทางหนวดนับร้อยเส้นที่ลอยลู่อยู่กลางอากาศ รวมทั้งหวังเป่าเล่อและศพเหี่ยวแห้งจำนวนมากที่อยู่ด้านบนของเขา จากนั้นก็มองเฉิงหลิงจื่อ แล้วร้องคำรามก้องอยู่ในใจ

เขามองออกว่าเฉิงหลิงจื่อไม่ได้กล่าวจากใจจริง และมองออกว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการยืมมือตนเองต่อต้านเฟิงตี๋ แต่เขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก เดิมทีนี่ก็เป็นจุดประสงค์เดียวกับเขา

ส่วนเรื่องกลอุบายลับพวกนั้น พลังตรงหน้าระหว่างกันและกัน ไม่มีนัยสำคัญใดให้กล่าวถึง และถึงแม้จะไม่ได้มีภูมิหลังของเฉิงหลิงจื่อก็ตาม เวลานี้เกรงว่าก็ได้ถูกตนกำราบไว้นานแล้ว

อีกอย่างในคำพูดของเฉิงหลิงจื่อ ยังแฝงความหมายบางอย่างที่ช่วยเหลือปิงหลิงจื่อเอาไว้ เสินหลูเต้าก็สังเกตเห็นในเรื่องนี้ ในใจก่อเกิดความสงสัย แต่ความสงสัยก็อยู่ในความคิดของเขาได้ไม่นานนัก มันหายไปในไม่ช้า เขาเข้าใจว่านี่เป็นไปไม่ได้ แม้มันจะเร็วเกินไป และไม่ได้เห็นการต่อสู้ระหว่าเฉิงหลิงจื่อและปิงหลิงจื่อกลางอากาศเมืองปรารถนารสด้วยตาตนเอง แต่ด้านหนึ่งเขารู้ว่าบิดาของเฉิงหลิงจื่อเป็นปฏิปักษ์ต่อปิงหลิงจื่อ ทั้งสองฝ่ายมีข้อขัดแย้งกัน

อีกด้านหนึ่ง เขาก็อยู่ในงานเลี้ยงล่าสัตว์นี้ เมื่อถามข่าวคราวของปิงหลิงจื่อจากสาวกเนื้ออื่นๆ ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอกปากทางเข้าวังวน ดังนั้นไม่ว่าจะลงมือในด้านไหน เขาก็ไม่คิดว่าจะมีความเป็นไปได้ที่เฉิงหลิงจื่อและปิงหลิงจื่อจะร่วมมือกัน

เรื่องในตอนนี้ หนวดนับร้อยเส้นที่กลางอากาศ ในความคิดของเสินหลูเต้านั้น เขาคิดว่ามีความเป็นไปได้มากว่าเฟิงตี๋ร่วมมือกับเฉิงหลิงจื่อเพื่อช่วยกันปราบปิงหลิงจื่อ และหลังจากที่ปิงหลิงจื่อถูกปราบแล้ว ระหว่างเฉิงหลิงจื่อและเฟิงตี๋อาจเกิดความขัดแย้งขึ้นมาใหม่ นำไปสู่ความแค้นเคืองในใจของเฉิงหลิงจื่อ จึงปรารถนาจะยืมมือตนทำลายเฟิงตี๋

หลังจากความคิดต่างๆ ล่องลอยอยู่ในจิตใจของเสินหลูเต้า ร่างของเขาก็พุ่งออกตรงไปที่ท้องนภาทันที พริบตาเดียวร่างก็มาถึงหนวดสีดำที่ขยับอยู่

เฉิงหลิงจื่อมองร่างเสินหลูเต้าที่อยู่ไกลๆ ยิ้มเย้ยหยันอยู่ในใจ พึมพำด้วยเสียงโง่เง่า

 การโกหกขั้นสุดยอด คือจริงเป็นลวง ลวงเป็นจริงในเวลาเดียวกัน ตั้งใจทิ้งข้อบกพร่องเอาไว้ ทำให้อีกฝ่ายครุ่นคิดเชื่อมโยงอยู่ในใจตนเอง แล้วจึงนำทั้งหมดประกอบสำเร็จด้วยตนเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ใช่ข้าหลอกเขาเพียงผู้เดียว แต่เป็นข้าและเขาร่วมกันโกหกตัวเขาเอง 

เฉิงหลิงจื่อภูมิใจอยู่ในใจ รู้สึกได้ว่าใต้หล้ามีเพียงไม่กี่คนที่จะสามารถเทียบเคียงกับเขาได้

ทว่าภายนอก กลับไม่เผยความคิดในใจออกมาแม้แต่น้อย แต่จ้องไปที่ซากศพของเฟิงตี๋ สายตาราวกับจะพยายามระงับพิษแค้นอย่างสุดความสามารถ นี่ทำให้เสินหลูเต้าที่อยู่กลางอากาศกวาดสายตามองเห็น หลังจากลอบสังเกตได้แล้ว ก็ยิ่งมั่นใจในการสันนิษฐานของตนยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงละสายตาจากดวงจิตเทพบนร่างเฉิงหลิงจื่อ จดจ้องไปที่ซากศพของเฟิงตี๋อย่างเงียบงัน

แม้ร่างอีกฝ่ายจะไร้ซึ่งกลิ่นอาย ไม่ต่างไปจากซากศพ แต่ด้วยความอคติ แม้เฉิงหลิงจื่อจะยังสนใจทางด้านหวังเป่าเล่ออยู่ในเวลานี้ แต่จุดสำคัญสุดท้ายก็ถูกเฉิงหลิงจื่อชี้นำผิดทางมุ่งความสนใจไปที่ร่างเฟิงตี๋ ดังนั้นหลังจากดวงจิตเทพกำลังกวาดผ่าน เสินหลูเต้าก็ยกมือขวาขึ้นสะบัดอย่างแรง ตอนนั้นเองคลื่นความผันผวนก็ระเบิดขึ้นทันที

ความผันผวนนี้กระจัดกระจายไปรอบด้านก่อน จากนั้นเสินหลูเต้าก็กำหมัดขวาไว้ทันที ความผันผวนที่กระจายออกไปพลันม้วนกลับ สุดท้ายรวมตัวเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเป็นมวลไอก้อนกลมๆ สีดำ

มวลไอดำทมิฬนี้กระจายกลุ่มควันจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา มันมีเสียงคำรามอยู่ในนั้นด้วย ราวกับมีปัญญาวิญญาณที่ถูกเสินหลูเต้าโยนเข้าไป ตรงเข้าปะทะกับหนวดเส้นดำนับร้อยนั้นอย่างรวดเร็ว ขณะกำลังพุ่งออกไป ไอหมอกสีดำก็เริ่มขยาย ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นมดดำขนาดมหึมาตัวหนึ่ง พร้อมด้วยความดุร้ายและโหดเหี้ยม ตรงเข้าไปใกล้เส้นหนวดสีดำ

หากเปลี่ยนเป็นหวังเป่าเล่อไม่ได้เผชิญกับนิ้วแห่งเทพดาวตกนี้มาก่อน ทันทีที่มดดำตัวนี้เข้ามาในอาณาบริเวณของหนวดเส้นสีดำ จะต้องถูกหนวดพวกนี้กำราบรัดพันอย่างแน่นอน แต่เวลานี้พลังแห่งการดูดกลืนทั้งหมดของนิ้วมือเทพดาวตก ล้วนวางอยู่ด้านหวังเป่าเล่อ สมดุลกับคุณสมบัติของเขาพอดี

ดังนั้นการมาของมดดำ จึงไม่ได้ดึงความสนใจของหนวดเส้นสีดำเลย มองไประหว่างหนวดที่ขวักไขว่ กำลังขยับเข้าใกล้เฟิงตี๋ เหตุการณ์นี้ทำให้เฉิงหลิงจื่อที่อยู่ด้านล่างมองตาไม่กะพริบ ขณะเดียวกันก็ทำให้เสินหลูเต้ายิ่งมั่นใจในการตัดสินใจของตน

ผลสุดท้ายวิญญาณเทพของเขาก็ละกายเนื้อ ใช้ทุกวิธีไม่ให้ผู้ใดรู้ หลอมรวมเข้าไปภายในนิ้วมือเทพดาวตก…  วิธีนี้ หากข้าสามารถควบคุมได้ล่ะก็…  ในสายตาเสินหลูเต้ามีความโลภแวบผ่าน ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย เข้าควบคุมมดดำในชั่วอึดใจเดียว และกระแทกไปบนร่างเฟิงตี๋

เสียงหนึ่งดังก้อง ด้วยการปะทะของทั้งสองฝ่ายรวมทั้งการระเบิดตัวเองของมดดำ การบุกจู่โจมเกิดขึ้นทันที

การฝึกตนของเสินหลูเต้า เดิมทีก็ไม่ธรรมดา ตอนนี้ห่างจากการเลื่อนขึ้นเป็นเจ้าสวาปามเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นเคล็ดวิชาลับที่กำลังจะเผยออกมาในตอนนี้ พลังย่อมน่าอัศจรรย์ ด้วยการระเบิดตัวเอง ความผันผวนที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ล้อมรอบทั่วร่างแรกที่เขาปะทะคือเฟิงตี๋ เพราะเดิมทีอีกฝ่ายก็เป็นซากศพ ปราณในตำนานภายในร่างและเลือดเนื้อทั้งหมดล้วนถูกดูดไปจนหมดสิ้น เหลือเพียงเปลือกนอกที่ว่างเปล่า หากนิ้วมือเทพดาวตกไม่ถึงระดับสมดุลกับหวังเป่าเล่อ มันยังสามารถใช้จิตสำนึกไปควบคุมได้ ทำให้ซากศพมีพลังที่ระดับหนึ่ง ทว่าตอนนี้ไม่มีเวลาแยกร่างอีกแล้ว ศพของเฟิงตี๋พังทลายลงทันที ถูกฉีกแยกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นเถ้าถ่านลอยละล่องทั่วอาณาเขตสามพันลี้ ทำให้ภายในอาณาเขตนี้เต็มไปด้วยพลังทำลายล้าง

พร้อมกับการพังทลาย ยังมีเส้นหนวดสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน ท่าทีของหนวดเหล่านี้ ล้วนไร้ซึ่งผู้ควบคุม ขณะซากศพอื่นๆ พังทลาย มันก็พังทลายไปด้วยไม่น้อย

เสินหลูเต้ารีบหลับตา เสียงตึกตักดังอยู่ภายในใจ เขาคิดไม่ถึงว่าจะราบรื่นเช่นนี้ ไม่คิดว่าเฟิงตี๋จะเปราะบางเช่นนี้ กระทั่งนิ้วเทพดาวตกก็เป็นเช่นเดียวกัน

เรื่องมหัศจรรย์นี้ต้องมีเงื่อนงำ แม้ก่อนหน้านั้นเขาจะถูกเฉิงหลิงจื่อสั่นคลอนไปบ้าง แต่ตอนนี้ฟื้นตื่นขึ้นอย่างฉับพลันแล้ว ความรู้สึกไม่พึงปรารถนาปะทุขึ้นในใจของเขาทันที

เสินหลูเต้าหน้าเปลี่ยนสี ร่างกายถอยกลับกะทันหัน ทว่า…ตอนที่ร่างกายถอยกลับนั่นเอง หวังเป่าเล่อที่หลับตาแขวนอยู่ใต้หนวดดำไม่ไหวติง ทันใดนั้น…ก็ลืมตาขึ้นแล้วมองไปทางเสินหลูเต้า

เสินหลูเต้าแหงนหน้าเช่นกัน ทันทีที่สบเข้ากับสายตาของหวังเป่าเล่อ จิตใจของเขาคำรามร้องก้อง ท่าทีเปลี่ยนไปอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน…เพราะเขาเห็นสิ่งที่อยู่รอบตัวหวังเป่าเล่อที่ไม่ได้ถูกตนทำลาย หนวดดำนับสิบเส้นที่เหลือ เวลานี้ไม่ได้นิ่งเฉยเช่นก่อนหน้า แต่เคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงล้อมรอบหวังเป่าเล่อ ราวกับเขาเป็นแกนหลัก

และสิ่งที่ทำให้เขาตระหนกที่สุด คือนิ้วมือที่ที่ผลุบๆ โผล่ๆ นิ้วนั้น เวลานี้กระจายพลังออกมาชัดเจนขึ้น ทว่า…พลังพวกนั้นกลับพุ่งเป้ามาที่ตนเอง

 เจ้า…ไม่ใช่เฟิงตี๋ที่เป็นผู้ควบคุมซากศพเทพดาวตกนี่ เป็นเจ้า! 

 เฉิงหลิงจื่อ เจ้าช่างกล้านัก! 

เสินหลูเต้าร้องคำรามเสียงต่ำ ร่างถอยกลับอย่างรวดเร็ว แต่หนวดเส้นสีดำเหล่านั้นที่มาจากรอบตัวหวังเป่าเล่อ ดูเหมือนแต่ละเส้นจะบ้าคลั่งไม่น้อย มันปะทะเข้ามาทันที ขยับยืดขยายตัวออกไม่หยุด พุ่งไปทางเสินหลูเต้า

ด้านล่าง เฉิงหลิงจื่อเผยศีรษะออกมา มองเหตุการณ์นี้อย่างตื่นเต้น และสังเกตได้ถึงการฟื้นตื่นของหวังเป่าเล่อ เขาตื่นเต้นน้ำตาจะไหล ตะโกนร้องออกมา

 ขอแสดงความยินดี ท่านผู้มีพระคุณออกจากการเก็บตัวแล้ว ได้ควบคุมซากเทพดาวตก กวาดล้างงานเลี้ยงล่าสัตว์! 

…………………….

 

ที่มาของการเปลี่ยนแปลงร่างนี้ คือการพลิกผันบนท้องนภาภายในเมฆหมอก

ท่ามกลางการพลิกผันนี้ ทันใดนั้นหนวดสีดำเส้นหนึ่งได้ร่วงหล่นจากเมฆหมอกบนท้องนภา ตกลงระหว่างหวังเป่าเล่อและเฟิงตี๋อย่างกะทันหัน และเป็นตำแหน่งศูนย์กลางของแรงดูด

แรงดูดที่ตำแหน่งนี้น่าจะมากโข ทว่าหนวดดำที่ห้อยลงมาในตอนนี้ กลับปลิวไหวเบาๆ ไม่ได้รับผลกระทบจากแรงดูดเลยแม้แต่น้อย

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีกลิ่นอายที่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกจิตใจสั่นไหว ต้นตอของหนวดเส้นสีดำนี้ เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะปลดปล่อยเฟิงตี๋จากการดูดซับ และล่าถอยอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ล่าถอยอยู่นั้น ยังมีหนวดดำสี่เส้นที่ห้อยลงมาจากไอหมอกด้านบน หนึ่งในนั้นก็เป็นที่ที่หวังเป่าเล่ออยู่ก่อนหน้า และยังมีอีกเส้นหนึ่ง ตกลงไปบนร่างเฟิงตี๋ที่มีดวงตาสิ้นหวังอยู่ในเวลานี้ ดูเหมือนเฟิงตี๋ได้สูญสิ้นพลังต่อต้านทั้งหมดไปแล้ว หลังจากยอมให้หนวดสีดำเส้นนั้นตกลง และพันธนาการเขาไว้ทันที

และหนวดเส้นที่สี่ กลีบตกไปที่หนุ่มน้อยเฉิงหลิงจื่อ เวลานี้สายตาของเด็กหนุ่มงงงัน ร่างกายสั่นเทิ้ม แต่กลับเหมือนสูญสิ้นพลังต่อต้านเช่นเดียวกับเฟิงตี๋ เมื่อมองไปก็ถูกหนวดจู่โจม

แต่การดำรงอยู่ของเขายังมีคุณค่าต่อหวังเป่าเล่อ ดังนั้นการล่าถอยของหวังเป่าเล่อ เขาจึงปรากฏอยู่ข้างกายของหนุ่มน้อยผู้นี้ ขณะที่หนวดดำห้อยลงมา หวังเป่าเล่อก็คว้าไหล่ของเด็กหนุ่มแล้วล่าถอยในทันที

เกือบจะทันทีที่ทั้งสองจากไป หนวดดำก็ห้อยลงมา ตรงเข้าสัมผัสความว่างเปล่า…เวลานี้หนวดจำนวนมากกำลังตกลงมาจากท้องนภา เส้นแล้วเส้นเล่า จนกระทั่งกระจายออกมาอย่างหนาแน่น

เฟิงตี๋ถูกหนึ่งในนั้นพันธนาการ ร่างของเขาเหี่ยวแห้งเร็วกว่าตอนที่ถูกหวังเป่าเล่อดูดซับ ทั้งกระบวนการใช้เวลาไม่กี่ลมหายใจ ร่างกายของเฟิงตี๋…ก็กลายเป็นซากศพเหี่ยวแห้งร่างหนึ่ง

เมื่อมองให้ถี่ถ้วน ก็จะเห็นว่า…หนวดดำที่ห้อยลงมากว่าร้อยเส้น ได้พันธนาการซากศพเอาไว้อย่างแน่นหนา จนขยับไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

ทว่า เสื้อผ้าพวกเขากลับไม่เน่าเปื่อย แม้จะมองอย่างแยกแยะ ก็สามารถเห็นได้ว่ารูปแบบของเสื้อผ้า ราวกับจะไม่ใช่ยุคสมัยเดียวกัน

เวลานี้ท้องนภาพลิกผัน หนวดเส้นสีดำก็ยังคงห้อยลงมาอย่างต่อเนื่อง ทว่าความถี่กลับน้อยลงกว่าเดิมอยู่บ้าง ร่างของหวังเป่าเล่อและเฉิงหลิงจื่อ ขณะที่ล่าถอยอย่างไม่หยุด หวังเป่าเล่อที่มองหนวดดำหนาทึบอยู่ตรงหน้าจากไกลๆ ดวงตาส่องประกาย

ด้านเด็กหนุ่ม เวลานี้ด้วยอยู่ห่างจากสถานที่ประหลาด ดังนั้นจึงค่อยๆ ฟื้นตัวขึ้น ความงงงันในดวงตาหายไป และแทนที่ด้วยร่างกายสั่นเทิ้ม สีหน้าเผยความหวาดผวาอย่างรุนแรง

 ซากเทพดาวตก! 

 เทพดาวตกหรือ  หวังเป่าเล่อเมื่อได้ยินก็มองไปทางเด็กหนุ่ม

ร่างของเด็กหนุ่มสั่นเทา หลังจากได้ยินคำถามของหวังเป่าเล่อ ก็รีบร้อนอธิบาย

ที่เรียกว่าเทพดาวตก แท้จริงแล้วในความเข้าใจของเฉิงหลิงจื่อ คือผู้เยี่ยมยุทธ์ในครั้งบรรพกาล พวกเขาบ้างก็ตายในเทพยุทธ์ บ้างก็ตายด้วยอายุขัย แต่ไม่ว่าผู้ใดต่างก็เทียบได้กับระดับเจ้าแห่งปรารถนา จนถึงระดับสูงกว่าผู้กล้าไร้เทียมทาน

ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ บางทีอาจมีบางส่วนที่หลับใหลที่โลกชั้นที่หนึ่งมาจนถึงทุกวันนี้ แต่มีข่าวลือหนาหูว่าได้ดับสูญไปก่อนแล้ว และร่างกายของพวกเขา ได้ปรากฏอยู่ในโลกชั้นแรกเป็นครั้งคราว

 ข้าได้ยินท่านพ่อเคยกล่าวไว้ เทพดาวตกเหล่านี้มีบางท่านเป็นผู้แข็งแกร่ง กระทั่งกล่าวได้ว่าเป็นระดับเดียวกับจักรพรรดิสวรรค์ที่หลับใหลของเรา และดูเหมือนการหลับใหลของจักรพรรดิสวรรค์อาจเกี่ยวข้องกับดวงจิตเทพเหล่านี้  เฉิงหลิงจื่อกล่าวในสิ่งที่ตนรู้ทั้งหมด ตัวสั่นงันงก

หวังเป่าเล่อได้ฟังคำพูดเหล่านี้ เพราะไม่เป็นสิ่งเดียวกับที่เขารู้มา ดังนั้นจึงได้เห็นแก่นแท้ภายในมากยิ่งขึ้น เวลานี้เขาหรี่ตา และจ้องไปที่หนวดเส้นสีดำที่ห้อยอยู่ตรงนั้น เขายังเห็นขณะที่ท้องนภาพลิกผัน มีนิ้วขนาดมหึมา…ราวกับผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ด้านใน

มันเป็นเพียงนิ้วเดียว แต่ขนาดของมัน เกรงว่าจะประมาณ 1000 จั้ง หนวดดำที่ห้อยอยู่เหล่านั้น แท้จริงแล้วเป็นเพียงขนของมันเท่านั้น

 เมื่อเทียบกับร่างแท้ของข้า ยังแกร่งกว่าอยู่บ้าง…  ดวงตาหวังเป่าเล่อเผยความสับสน เขาไม่รู้ว่าเจ้าของนิ้วนี้คือผู้ใด แต่ก็พอคาดเดาได้ ต้องเป็นหนึ่งใน 108 ขุนพลอย่างแน่นอน

ด้วยตอนมีชีวิตอยู่แข็งแกร่งมาก ดังนั้นตอนนี้เมื่อดับสูญ จึงเหลือเพียงนิ้วเดียว แต่ยังคงสามารถกำราบทุกอย่างได้ ทำให้ผู้ฝึกตนตรงหน้ามันสูญสิ้นพลังที่จะไปต่อต้าน ได้แต่เพียงยอมให้เขาดูดซับ

เช่นเดียวกับความงงงันของเฟิงตี๋และเด็กหนุ่ม

ด้วยเหตุนี้จึงไม่ส่งผลกระทบต่อหวังเป่าเล่อ เนื่องจากคุณสมบัติร่างต้นของเขา แม้ร่างต้นยังไม่เทียบเทียมกับเจ้าของนิ้วนี้ แต่ก็แตกต่างกันไม่มาก ดังนั้นนิ้วนี้สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว แม้จะมีพลัง แต่กลับไม่ได้มากมายเช่นนั้น

เพราะเขาสัมผัสได้ว่า ภายในชั้นเมฆมีเพียงนิ้วนี้เท่านั้น

 ขณะเดียวกัน ซากของเทพแห่งดาวตก ก็เป็นอาหารชั้นสุดยอด…ภายในเมืองปรารถนารส เพียงหนึ่งเดียว  เด็กหนุ่มเฉิงหลิงจื่อหายใจถี่รัว กล่าวออกมา สายตาไม่อาจระงับความโลภไว้ได้

 กินศพหรือ  หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว

 ไม่ใช่หรอกท่านผู้มีพระคุณ อาหารบางอย่างต้องกินลงไป แต่อาหารสุดยอดระดับนี้ไม่จำเป็นต้องกิน เพียงแค่ดูดซับกลิ่นอายวิญญาณเทพที่แฝงอยู่ภายใน แม้จะเป็นวิญญาณเทพดาวตก แต่กลิ่นอายยังคงอยู่ และการดูดซับกลิ่นอายเช่นนี้ สามารถทำให้กฎเกณฑ์ของตนก้าวหน้าราวติดปีก  เฉิงหลิงจื่ออธิบาย

หวังเป่าเล่อครุ่นคิด อดแหงนมองไปอีกฝากของท้องนภาไม่ได้ ที่นั่น…เป็นตำแหน่งของโลกาชั้นที่สอง จนถึงขั้นแยกแยะอย่างละเอียด เวลานี้จุดสิ้นสุดสายตาของหวังเป่าเล่อ หากสามารถทะลุทะลวงได้ทุกสิ่ง เช่นนั้นสิ่งที่มุ่งไปย่อมเป็น…ที่ซ่อนร่างต้นของเขา

 ร่างต้นของข้า ก็คงนับเป็นวิญญาณเทพสินะ เช่นนั้นกลิ่นอายของเขาที่ข้าดูดซับนั้นได้หรือไม่  ไม่รู้ด้วยเหตุใด จึงเกิดความคิดชั่วร้ายในความคิดของหวังเป่าเล่อ

โชคดีที่เขายังมีปัญญา ดังนั้นเมื่อความคิดชั่วร้ายออกมา ก็ถูกเขาระงับเอาไว้ เวลานี้เขาได้เก็บสายตากลับมาแล้วมองกลับไปที่เทพดาวตกอยู่อีกครั้ง

เมื่อหวังเป่าเล่อทอดมอง ขณะที่ยกนิ้วขึ้นในไอหมอกนั้น หนวดที่ห้อยลงมานับร้อยเส้นก็โผขึ้นอย่างช้าๆ ราวกับจะกลับเข้าไปในไอหมอกอีกครั้ง และออกจากที่นี่

หวังเป่าเล่อเฝ้าคิด ขณะที่สีหน้าของเด็กหนุ่มข้างกายเปลี่ยนไป ร่างของเขาก็พุ่งออกไปทันที พริบตาต่อมาก็ตรงไปที่ข้างหนวดสีดำเส้นหนึ่ง ยกมือขวาคว้าไว้ แรงดูดซับพลันกระจายออกจากภายในหนวด แต่สิ่งที่เผชิญคือสัมผัสพลังจากคุณสมบัติของหวังเป่าเล่อ

ระหว่างนั้น ก็เกิดการต่อต้านของสองขุมพลังทันที

ขณะที่ต่อต้าน ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้ม ดวงตาเกิดประกายประหลาด เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นอายที่สะเทือนฟ้าสะท้านดินภายในนิ้วด้านบนตามหนวดเส้นสีดำ

ตอนที่ไม่ได้สัมผัสกลิ่นอายนี้ หวังเป่าเล่อยังไม่สามารถรับรู้ถึงมันได้ แต่เวลานี้ด้วยหนวดเป็นสื่อกลาง ขณะที่เชื่อมต่อกันและกัน กฎเกณฑ์ปรารถนารสภายในร่างของหวังเป่าเล่อก็ระเบิดขึ้นทันที มันกระจายความบ้าคลั่งออกมาครั้งแรก คล้ายกระหายที่จะดูดกลืนกลิ่นอายของนิ้วมืออย่างถึงที่สุด

………………………

 

ขณะที่สายตาของทั้งสองประสานกัน ประกายสังหารของทั้งคู่ก็ฉายออกมา เพียงแต่เมื่อเทียบเจตนาที่อยากสังหารเฟิงตี๋แล้ว สิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการยิ่งกว่าก็คือกฎเกณฑ์ปรารถนารสนับไม่ถ้วนภายในร่างของอีกฝ่าย
ในตอนที่กำลังจ้องมองกันและกันอยู่นั้น สาวกเนื้อที่ถูกดูดกลืนก็กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ท่ามกลางเสียงสะท้อนก้อง เด็กหนุ่มข้างกายหวังเป่าเล่อก็กลับไปเป็นเช่นก่อน ความหวาดผวาเกิดขึ้นอีกครั้ง
“สาวกเนื้อในมือเจ้าเป็นของข้า” หวังเป่าเล่อมองเฟิงตี๋ แล้วเอ่ยออกมา
“ของเจ้าหรือ” เฟิงตี๋หรี่ตาลง ปราณโลหิตภายในร่างกระเพื่อมขึ้นตามอารมณ์ ราวกับว่ากำลังเพิ่มพลานุภาพ รัศมีที่ด้านหลังเปล่งประกายกว่าเก่า มุมปากพลันยกยิ้ม
ขณะที่กล่าวออกมานั้น มือขวาที่จับสาวกเนื้อเอาไว้ก็ออกกำลังสุดแรง ชั่วพริบตาสาวกเนื้อผู้นี้ก็ส่งเสียงกรีดร้องเทียมฟ้า จากนั้นก็หยุดลงทันที
เห็นได้ว่าภายในร่างของเขา กฎเกณฑ์ปรารถนารสรวมทั้งพลังชีวิตขณะนี้ ต่างถูกเฟิงตี๋บังคับดูดกลืน และทำให้เขากลายเป็นศพแห้งไปแลว จากนั้นก็ถูกโยนไปยังตำแหน่งที่หวังเป่าเล่ออยู่
“ในเมื่อเป็นของเจ้า เช่นนั้นก็ให้เจ้า แลกกับแขนของเจ้าเป็นอย่างไร” เฟิงตี๋เลียริมฝีปากกล่าวช้าๆ
หวังเป่าเล่อผุดยิ้มทันทีเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ยิ้มอย่างเป็นสุข ไม่ได้สนใจศพแห้งเหี่ยวที่โยนมา แต่กลับมองเฟิงตี๋ที่อยู่ตรงหน้าอย่างชื่นชมยินดี
ร่างแยกนี้ของหวังเป่าเล่อ รู้สึกมาตลอดว่าตนเองต่างจากร่างต้น ร่างต้นเป็นผู้ไร้หลักการและข้อจำกัด ทำตามความชอบส่วนตน ทำให้เขารังเกียจและไร้ยางอาย
เขาเข้าใจว่า ส่วนที่แตกต่างที่สุดของเขาและร่างต้น ก็คือที่นี่ตนเองมีหลักการ หากผู้อื่นไม่เริ่มยั่วยุตนก่อน เช่นนั้นตนก็แยกแยะบุญคุณความแค้นได้อย่างชัดเจน ไม่ไปรังแกอีกฝ่าย
ดังนั้น เขาจะคิดหาวิธีให้อีกฝ่ายยั่วยุตนเองเสียก่อน เมื่อเป็นเช่นนี้ หากรังแกขึ้นมาก็จะไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจนัก และสอดคล้องกับหลักการของตน
หลักการในการทำสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ทำให้หวังเป่าเล่อกล่าวคำพูดเมื่อครู่ออกมา เป็นสาเหตุที่ทำให้เขามองเฟิงตี๋ในเวลานี้อย่างเบิกบานและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ร่างของหวังเป่าเล่อพลันเคลื่อนไหว พริบตาเดียว ดวงตาเฟิงตี๋ก็หรี่ลง ร่างกายหายวับไปทันที
ในตอนที่ร่างหายไปนั้น ร่างของหวังเป่าเล่อปรากฏอยู่ตรงที่อยู่เมื่อครู่ แต่พริบตาเดียวก็หายไปอีกครั้ง ทันใดนั้นเสียงคำรามและทอดถอนใจก็ลอยมากลางอากาศ ร่างของเฟิงตี๋เป็นประกายออกมาจากที่ไกลๆ สีหน้าซีดขาว ดวงตาแฝงไปด้วยความเหลือเชื่อ เวลานี้เขาได้สูญเสียแขนข้างหนึ่งไป ตรงบาดแผลเลอะไปด้วยเลือด
อีกด้านหนึ่ง ท่ามกลางความว่างเปล่าอันบิดเบี้ยว หวังเป่าเล่อถือแขนข้างหนึ่งของเขาไว้ ค่อยๆ ก้าวเข้ามาทีละก้าว บนใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มเหมือนเช่นเคย มือที่ถือแขนไว้กระจายพลังปราณมืดออกมา คลุมแขนของเฟิงตี๋ ทำให้เห็นความเสื่อมสลายของแขนนี้ด้วยตาเปล่า พริบตาเดียวก็กลายเถ้าปลิวว่อนไป
กฎเกณฑ์ปรารถนารสที่เข้มข้นเข้าสู่ภายในร่างหวังเป่าเล่อ ทำให้ความพึงพอใจของหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นมาก เมื่อมองไปทางเฟิงตี๋ ก็ราวกับมองอาหารอันโอชะที่ไม่เคยมีมาก่อน
เฟิงตี๋หายใจถี่รัว สีหน้าไม่น่าดู ใจสั่นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เมื่อครู่ขณะที่ทั้งสองฝ่ายพบกัน เขาได้หลบซ่อนล่วงหน้าแล้วแท้ๆ แต่อีกฝ่ายได้คำนวณทุกอย่างเกี่ยวกับตนไว้อย่างแม่นยำ นอกจากนี้ยังมีพลังครอบคลุม ราวกับระดับการฝึกตนของตน ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์เลยแม้สักน้อยต่อหน้าหวังเป่าเล่อ ถูกทำลายพินาศย่อยยับ
หากไม่ใช่เป็นเพราะความเด็ดขาดของตน เกรงว่าคงไม่ใช่เสียเพียงแขนข้างเดียว
“ควบคุมคุณสมบัติ…” สีหน้าเฟิงตี๋ซีดขาว กล่าวออกมาทีละคำ จ้องหวังเป่าเล่อนิ่ง
“เจ้าเป็นใครกันแน่!”
หวังเป่าเล่อยิ้มน้อยๆ ไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่ขยับไปทางเฟิงตี๋อีกครั้ง พริบตาต่อมา เฟิงตี๋ก็คำรามเสียงดัง คราวนี้ไม่ได้ล่าถอยหลบหลีกอีก เพราะเขารู้ว่า ตนเองไม่อาจหลบเลี่ยงได้เลย ส่วนการหลบหนี เขาก็เข้าใจว่า ในเงื้อมือของบุคคลที่น่าหวาดผวาตรงหน้านี้ นอกจากสบโอกาส มิฉะนั้นแล้วก็ไม่อาจหลบหนีได้
เวลานี้เขาไม่ได้ล่าถอย แต่ท่ามกลางเสียงคำรามนี้ ปราณโลหิตกลับระเบิดไปทั้งร่างทันที แล้วก่อเป็นหมอกสีโลหิตกลิ้งม้วนอยู่นอกร่างกาย กลายเป็นปากใหญ่กลืนไปทางด้านหน้า
ความว่างเปล่าบิดเบี้ยว ปรากฏรอยแยกเป็นแห่งๆ อาจเห็นส่วนที่น่าหวาดผวาของเคล็ดลับหมอกสีโลหิต ทว่า…ไม่ว่าจะน่าหวาดผวาเช่นไร ดูเหมือนมันจะไม่ส่งผลต่อหวังเป่าเล่อมากนัก ร่างกายของเขาจะเผยออกมาด้วยเคล็ดลับนี้ แต่ขณะที่ปากใหญ่หมอกสีโลหิตกลืนมาทางเขา หวังเป่าเล่อก็แหงนหน้าขึ้นดูดหมอกสีโลหิตทันที
ภายใต้การดูดกลืนนี้ หมอกสีโลหิตพลันบีบรัด เสียงคำรามตรงเข้าระเบิดทำลายกลายเป็นกฎเกณฑ์ปรารถนารสสายแล้วสายเล่าตรงไปที่หวังเป่าเล่อ ถูกเขาดูดกลืนเข้าภายในร่าง ทำให้กฎเกณฑ์ปรารถนารสของร่างตนยิ่งมีพลานุภาพ
เหตุการณ์นี้ทำให้เฟิงตี๋ตื่นตระหนก บนใบหน้าเขาไม่มีสีเลือดแม้แต่น้อย นัยน์ตาเหลือกถลนแสดงถึงความไม่อยากจะเชื่อ ลนลานล่าถอย รัศมีที่อยู่ด้านหลังแตกเป็นเสี่ยงๆ แลกมาซึ่งความเร็วอันน่าประหลาด จำเป็นต้องหลีกหนี
ทั้งหมดไม่ใช่ในขั้นตอนเดียว!
“คิดจะหนีหรือ” ดวงตาหวังเป่าเล่อคมกริบ ไล่ตามไปทันที ระดับความเร็วฉีกความว่างเปล่าโดยตรง พริบตาเดียวเขาก็ไล่ทัน คว้าเฟิงตี๋ที่มีสีหน้าท่าทางเปลี่ยนไปเอาไว้
เส้นเลือดบนหน้าผากเฟิงตี๋นูนขึ้น ในช่วงเวลาวิกฤตเขาระเบิดออกมาอย่างไม่ลังเล ขณะนี้รัศมีที่อยู่ด้านหลังเขาแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ตอนนี้ทุกอย่างพังทลาย เพื่อแลกมาซึ่งแรงผลักอันทรงพลัง หนุนนำร่างของเขาให้ปะทะไปข้างหน้าเพื่อเปิดระยะห่าง สองมือผนึกมุทรา คล้ายยังต้องการคลี่คลายเคล็ดลับ พลังเทียมฟ้าแห่งปราณโลหิตกระจายไป เพื่อต่อต้านเต็มกำลัง
หวังเป่าเล่อหรี่ตา ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ มือขวายกขึ้นก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง มีเพียงดวงตาที่ยิ่งดำสนิท กล่าวออกมาหนึ่งคำ
“ดูด!”
ขณะที่คำนี้ออกมา พลังดูดมหาศาลระเบิดออกมาจากมือขวาของหวังเป่าเล่อ ราวกับกลายเป็นหลุมดำ ทำให้พลังดูดกระชากสะท้านฟ้าสะเทือนดินกระจายไปทั่วสารทิศทันที ครอบคลุมเฟิงตี๋ไว้ทุกด้าน
“ปิงหลิงจื่อ!” จิตใจหวังเป่าเล่อสั่นไหว ร่างของเขาในขณะนี้ไม่อาจปะทะไปข้างหน้าได้ ถอยกลับไปเองอย่างไม่อาจควบคุมได้ คล้ายกับมีเส้นไหมนับไม่ถ้วนพันธนาการเขาไว้ ค่อยๆ ลากไปทางหวังเป่าเล่อทีละนิด
นอกจากกระบวนการเหล่านี้ ปราณโลหิตของเขา กฎเกณฑ์ของเขาต่างก็กระจัดกระจายอยู่ด้านนอกอย่างไม่อาจควบคุมได้ และตรงไปที่หวังเป่าเล่อ
เหตุการณ์นี้ มองจากไกลๆ แล้ว หวังเป่าเล่อดูเหมือนเทพเจ้าลงมาจุติ เวลานี้ทุกที่ที่ฝ่ามือไป ต่างก็แตกพ่าย ไม่ว่าเฟิงตี๋จะดิ้นรนเช่นไร ก็ไม่อาจช่วยในเรื่องนี้ได้ ร่างภูเขาเนื้อกำลังหดตัวลงอย่างรวดเร็ว
เฉิงหลิงจื่อที่มองอยู่ไกลๆ ดวงจิตอิ่มเอิบ ราวกับไม่ใช่หวังเป่าเล่อที่ดูดรับเฟิงตี๋ แต่เป็นตัวเขาเอง
“ปิงหลิงจื่อ ข้าเป็นศิษย์เจ้าแห่งปรารถนา หากเจ้าสังหารข้า เจ้าจะไม่มีที่ยืนในเมืองปรารถนารส!” เวลานี้เฟิงตี๋ตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง ความเย่อหยิ่งที่เคยมีได้มลายไปทั้งหมด เวลานี้น้ำเสียงเศร้ารันทด
สีหน้าหวังเป่าเล่อเป็นปกติ ยังคงยิ้มน้อยๆ แต่พริบตาต่อมา ดวงตาเขาก็หรี่ลงทันที ร่างกายล่าถอยอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
แปลงร่าง โจมตีฉับพลัน
……
“เป็นผู้โง่งมใด…มาตกปลาที่นี่!” ปลาน้อยกำลังจะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว จิตใจของมันกระวนกระวาย อยู่ตรงนั้นไม่กล้าขยับเขยื้อน แต่เวลานี้เอง เสียงอบอุ่นก็ส่งมาจากผิวน้ำ ทะลุผ่านแอ่งน้ำเข้าสู่ภายในใจของปลาน้อย
“ปลาที่ไม่กินเหยื่อ ล้วนเป็นปลาตาย”
แม้น้ำเสียงจะอบอุ่น แต่เมื่อก้องอยู่ในใจของปลาน้อยก็กลับกลายเป็นเสียงสังหารที่เย็นเยือก ทำให้เฉิงหลิงจื่อในร่างปลานั้น ร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ เหตุใดเขาจะไม่รู้ว่า…นี่คือปิงหลิงจื่อมีดพันสังหารผู้นั้น
และคำพูดนี้ก็เป็นคำขู่ ทำให้ภายในใจของเฉิงหลิงจื่อเจ็บปวดฆาตแค้นนัก มีแรงกระตุ้นอยู่วูบหนึ่งที่คิดจะแลกชีวิตกับอีกฝ่าย แต่แรงกระตุ้นนั้นก็ถูกสัญชาตญาณการอยู่รอดควบคุมไว้ได้อย่างรวดเร็ว
ภายในส่วนลึกจิตใจของเขา ยังอดคิดไม่ได้ว่า…ปลาที่ไม่กินเหยื่อ คือปลาตาย เช่นนั้นตนควรจะไปกินเหยื่ออย่างว่าง่าย จึงจะมีโอกาสรอดชีวิตใช่หรือไม่
ความคิดนี้ ทำให้เฉิงหลิงจื่อสับสนทันที เบ็ดปลาส่ายไปส่ายมาตรงหน้าเขา คล้ายกำลังอดใจไว้ไม่อยู่
ทว่า ความสับสนนี้ ไม่สามารถตัดสินใจได้ด้วยเวลาอันสั้น ดังนั้นหลังจากผ่านไปหลายลมหายใจ เบ็ดปลานี้ก็ดูเหมือนจะถูกยกขึ้นด้านบน เวลาเดียวกัน เสียงอบอุ่นที่กลายเป็นเย็นเยือกกล่าวออกมาเบาๆ
“ดูไปแล้วคงเป็นปลาตายจริงๆ”
ทันทีที่คำพูดนี้ส่งออกมา จิตสังหารพลันแผ่ซ่านไปทั่วแอ่งน้ำ เฉิงหลิงจื่อตื่นตระหนกรีบระงับความสับสน ท่ามกลางความคับข้องใจด้วยความเจ็บปวดและขุ่นเคือง จึงรีบพุ่งตัวเข้าไป งับเบ็ดตกปลานั้นไว้
ตอนนั้นเอง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อยู่ๆ เขาก็คิดขึ้นมาได้ถึงคำพูดประโยคหนึ่งของบ้านเกิด
น้ำตาของปลาน้อย เจ้ามองไม่เห็น เพราะมันอยู่ในน้ำ…
เป็นเช่นนี้ เบ็ดถูกยกขึ้นข้างบน หลังจากปลาติดเหยื่อ มันถูกดึงขึ้นจากแอ่งน้ำ พริบตาที่ลอยออกจากแอ่งน้ำ น้ำตาและน้ำที่ผสมปนเปกันออกมาจากดวงตาของเขา และยังกระจายไอน้ำที่ตรงหน้า ทำให้เห็นว่าเวลานี้ปิงหลิงจื่อกำลังนั่งอยู่ ใบหน้านั้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มถือเบ็ดอยู่ข้างแอ่งน้ำ จดจ้องมาทางตน
ไม่ต้องรอให้เอ่ยปาก เมื่อสายเบ็ดสะบัด ปลาน้อยก็ถูกดึงขึ้นมาทันที หวังเป่าเล่อยกมือซ้ายคว้ามันเอาไว้ ฟองอากาศยังพ่นออกจากปากปลาไม่หมด แรงดูดมหาศาลระเบิดออกมาจากมือซ้ายของหวังเป่าเล่อ ตรงเข้าไปห่อหุ้มบนร่างของปลาน้อย
ไม่นาน กฎเกณฑ์ปรารถนารสภายในร่างเฉิงหลิงจื่อก็ถูกดูดตรงเข้าไปที่มือซ้ายของหวังเป่าเล่ออย่างควบคุมไม่ได้ มันถูกเขาดูดเข้าภายในร่าง ขณะที่เสริมพลังแห่งกฎจักรวาลของตน ก็ยังทำให้กฎเกณฑ์ปรารถนารสในร่างตนสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
และเจ้าปลาน้อยนั้น เวลานี้กลับหดตัวลงอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่า กระทั่งหายใจเพียงไม่กี่ครั้ง ก็ราวกับจะกลายเป็นปลาแห้ง ความเศร้าโศกและความหวาดกลัวผสมผสานไว้ด้วยกันในดวงตา เผยออกมาอย่างน่าสงสาร
กระทั่งกลิ่นอายแห่งชีวิตก็ยังอ่อนลง ราวกับจะแสดงให้เห็นถึงเปลวเพลิงของพลังชีวิตที่จะใกล้ดับสลาย ในตอนนั้นเองแรงดูดก็หยุดลงทันที ก่อนที่เสียงหนึ่งจะดังขึ้น
“เจ้ามีวิธีเสาะหาสาวกเนื้อคนอื่นหรือไม่”
เสียงนี้ราวกับเสียงสวรรค์ เปรียบได้กับอาหารทิพย์ ฉับพลันนั้นทำให้มันที่กำลังเหี่ยวแห้ง ได้ค้นพบความหวังของชีวิต เบิกตาโตขึ้นทันที หายใจถี่รัว ร่างปลาน้อยเวลานี้สั่นรัวด้วยความหวัง รีบเร่งเอ่ยปาก
“ได้! ข้าทำได้!”
หวังเป่าเล่อเมื่อได้ยิน ก็พยักหน้าพึงพอใจ เขาคลายมือออก สะบัดปลาตกลงไปบนพื้น หางของปลาดีดจากพื้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่กระโจนร่างก็กลายร่างเป็นเด็กหนุ่มท่าทางอ่อนแอผู้หนึ่ง ดูเหมือนว่าแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะเดินก็ยังไม่มีเท่าไรนัก เขามองไปทางหวังเป่าเล่อ สายตามีความหวาดกลัวอย่างรุนแรง
หวังเป่าเล่อกวาดตามองเฉิงหลิงจื่อที่มีทีท่าตื่นตระหนก แล้วเดินผ่าน ขณะที่เขาเข้าไปใกล้ ร่างของเฉิงหลิงจื่อก็สั่นรุนแรงขึ้น สีหน้าซีดขาวแต่เดิมที เวลานี้ขาวเผือดไปทั้งใบหน้า ความหวาดกลัวในดวงตาราวกับจะปะทุออกมา ปรารถนาจะจมตนเองลงน้ำอีกรอบ
“ข้า…”
ขณะที่กายสั่นเทิ้ม ก็กำลังจะเอ่ยปาก ทว่ายังไม่ทันกล่าวจบ หวังเป่าเล่อก็เดินมาถึงตรงหน้าเขา ยกมือขวากดไปที่ศีรษะของเด็กหนุ่มเบาๆ
ความรู้สึกสั่นเทาทำให้เด็กหนุ่มหวาดผวาจนแทบจะเป็นอัมพาตไปตรงนั้น แต่แล้วตอนนั้นเองเอง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างทันที เพราะรับรู้ได้ถึงกฎเกณฑ์ปรารถนารสที่กระจายออกจากภายในร่างหวังเป่าเล่อ แล้วหลอมรวมเข้าไปในร่างตน ทำให้ร่างกายที่อ่อนแอถึงขีดสุดของตนนั้นได้รับการฟื้นฟูทันที
พลังเพิ่มขึ้นทีละน้อย อย่างน้อยที่สุดก็ยังฝืนเหาะเหินในการเดินทางได้ นี่เป็นเพราะหวังเป่าเล่อต้องการให้อีกฝ่ายช่วยตนเสาะหาสาวกเนื้ออื่นๆ จึงได้มอบความสะดวกเล็กๆ น้อยๆ ให้ แต่เหตุการณ์นี้สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว ระดับความสั่นไหวรุนแรง ทำให้เขาอดรู้สึกขอบคุณหวังเป่าเล่อมากขึ้นไม่ได้
ขอบคุณที่อีกฝ่ายไม่สังหารตนทิ้ง ขอบคุณอีกฝ่ายที่ช่วยเหลือเช่นนี้
อีกทั้งยังมีความประทับใจที่บอกไม่ถูก เกิดจิตสำนึกที่ควบคุมไม่อยู่ เขารู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายมอบกฎเกณฑ์ปรารถนารสให้แก่ตน เรื่องนี้ทำให้ความเกลียดชังหวังเป่าเล่อที่อยู่ภายในใจเขาในตอนแรกมลายหายไป ไม่หลงเหลืออีกแล้วแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกระแสร้อนแรงกลับเพิ่มขึ้น เกิดความรู้สึกที่อยากจะทำเรื่องนี้เพื่ออีกฝ่ายอย่างเต็มกำลัง
หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นท่าทางกระตือรือร้นของเด็กหนุ่ม เขาก็กะพริบตาปริบๆ น้ำเสียงอบอุ่นขึ้นทันที ตบไปที่ศีรษะของเด็กหนุ่มเบาๆ
“เจ้าหนู ยังไม่พาข้าไปหาสาวกเนื้ออีก”
“รับบัญชา!” ร่างของเด็กหนุ่มสั่นไปทั้งกาย หายใจถี่รัวกล่าวเสียงดัง เห็นได้ชัดว่ายังมีความอ่อนเพลียแฝงอยู่อีกหลายส่วน แต่จิตใจกลับกระตือรือร้น เวลานี้เขาหันศีรษะมองไปรอบด้านทันที สองมือยกขึ้นตบไปที่ศีรษะของตนอย่างแรง ดวงตาพลันโปนขึ้น ขณะที่กระตุ้นกฎเกณฑ์ปรารถนารสภายในร่าง ปราณโลหิตก็อบอวลอยู่ภายในร่างด้วย
เวลาต่อมา ดวงตาของเขามีเส้นเลือดเพิ่มขึ้นนับไม่ถ้วน ขณะหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก
“ท่านผู้มีพระคุณ ทิศทางนั้น มีสาวกเนื้อของบิดาข้าอยู่ตนหนึ่ง ข้าจะพาท่านไปพบเขา”
หวังเป่าเล่อหัวเราะ คว้าไหล่ของเด็กหนุ่มเอาไว้ ร่างกายหายไปตามทิศทางที่อีกฝ่ายชี้แนะในพริบตา และในชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป ด้วยระยะทางที่เปลี่ยนแปลง เมื่อหวังเป่าเล่อพาเด็กหนุ่มปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง เขาก็เห็นสาวกเนื้อใต้บัญชาของถัวหลิงจื่อแต่ไกล คนผู้นั้นกำลังหลบหนีอย่างรวดเร็ว เบื้องหลังของเขามีชายร่างกำยำผู้หนึ่ง สีหน้าเย็นชา เยื้องย่างไล่ประชิดอย่างใจเย็น
คนผู้นี้ดูไปแล้วเหมือนภูเขาเนื้อ ร่างสวมเสื้อคลุมยาวสีขาว ทว่าขณะเดียวกันก็ทรงพลัง ให้รู้สึกถึงความแข็งแกร่งและอำนาจ ที่เบื้องหลังของเขายังมีรัศมีขนาดใหญ่และสัญลักษณ์ที่ซับซ้อนอยู่ด้านบน
ปราณโลหิตที่หนาแน่นสะเทือนฟ้าดิน ราวท้องนภาล้วนช่วยกันแต่งแต้มสีสัน นั่นคือเฟิงตี๋..ผู้ที่เจ้าแห่งปรารถนาชื่นชม
เกือบจะทันทีที่หวังเป่าเล่อและเฉิงหลิงจื่อมาถึง เฟิงตี๋สาวกเนื้อที่ไล่โจมตีอยู่ด้านหน้าก็ชะงักฝีเท้า เงยหน้าขึ้นมองไปทางที่หวังเป่าเล่อปรากฏกาย ใบหน้าที่เงียบสงบแต่เดิมที เวลานี้เคร่งขรึมอยู่บ้าง รัศมีที่อยู่ด้านหลังส่องประกาย สาวกเนื้อที่หลบหนีอยู่ด้านหน้า ร่างกายสั่นเทาในพริบตา ล่าถอยอย่างควบคุมไม่ได้ ทว่ากลับถูกเฟิงตี๋คว้าศีรษะเอาไว้
เขาดูดซับไปพลางหรี่ตามองหวังเป่าเล่อที่มองมาทางตนเช่นกัน
……………………………………………
ด้วยเสียงที่คำรามออกมา อสูรเนินเขาก็ระเบิดออกเต็มกำลัง
ร่างแปลกประหลาดของมัน ได้ปรากฏออกมาทั้งหมดในเวลานี้ แยกทะเลดวงจิตในระดับสูงสุด ทว่าน่าเสียดายที่พลังของมันยังไม่เพียงพอ ดังนั้นหลังจากแยกออกเพียงครู่เดียว อุโมงค์อาวุธปากของมันก็ทนรับไม่ไหว เลือดเนื้อเจิ่งนองและทรุดลงทันที
ยังดีที่ตอนนี้มีความหมายอย่างยิ่งต่อหวังเป่าเล่อ ทำให้เขาสามารถผ่อนคลายจิตใจลงได้บ้าง หวังเป่าเล่อพุ่งตัวอีกครั้งอาศัยไปตามอุโมงค์ที่พังทลายออกจากใต้ดิน หลังจากที่พุ่งออกแล้ว เขาพยายามอดทนอย่างหนักต่อความอ่อนแอทางร่างกายและอาการปวดหัวรุนแรง รวมทั้งความรู้สึกฉีกร้าวของวิญญาณเทพ มือยกขึ้นคว้าไปทางอสูรเนินเขา แล้วดึงมันขึ้นมาจากพื้นเมื่อมันส่งเสียงคำราม
แม้อีกฝ่ายจะไม่มีสติปัญญา แต่ครั้งนี้ได้ช่วยตนเอาไว้มาก ไม่ว่าจะจากเรื่องนี้ หรือว่าความต้องการในอนาคต หวังเป่าเล่อไม่อาจเมินเฉยได้
เมื่ออสูรเนินเขาถูกทะเลแห่งดวงจิตจู่โจม ท่ามกลางเสียงคำรามรวดร้าว มันถูกดึงขึ้นมาบนผืนแผ่นดินที่อยู่ในตอนแรก ส่งเสียงร้องกึกก้อง ตอนนั้นเองเสียงหนึ่งที่ราวกับรวบรวมเสียงคำรามของสรรพชีวิตเอาไว้ ก็ส่งออกมาจากผืนดินอย่างบ้าคลั่ง
ยิ่งไปกว่านั้นท่ามกลางเสียงที่ส่งออกมา พื้นดินพลันขยายนูนสูงขึ้น ก่อเป็นใบหน้ามหึมา แผดเสียงท่ามกลางความสยดสยองไม่หยุด มองจากไกลๆ ราวกับแผ่นดินได้กลายเป็นตาข่ายแห่งการผนึกขนาดมหึมา สามารถผนึกเทพอสูรตัวหนึ่งไว้ภายใน
และเวลานี้ เทพอสูรตัวนี้ก็ได้ตื่นขึ้นแล้ว ใบหน้าที่อยู่บนสุดพยายามทำลายตาข่ายแห่งผนึกแล้วพุ่งออกไป
ทว่า…หากไม่ฟังเสียงคำรามนั้น แต่ไปมองยังรูปปากของใบหน้านี้อย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็จะค้นพบอย่างสยดสยองว่า เสียงคำรามร้องของอีกฝ่าย ไม่ตรงกับรูปปาก
รูปปากนี้แยกเป็นสองตัวอักษรอย่างชัดแจ้ง
“ช่วยข้า..ช่วยข้า…ช่วยข้า…”
บนท้องฟ้า หวังเป่าเล่อที่คว้าอสูรเนินเขาอยู่ในตอนนี้ สีหน้าซีดขาว เขาก้มมองใบหน้าบนพื้น ดวงตาเกิดความสับสน เพียงชั่วแวบเดียว ก็ทะยานออกไปทางท้องฟ้าอันไกลโพ้น
ที่บนพื้น ใบหน้าขนาดมหึมาที่นูนขึ้นนั้น ส่งเสียงร้องคำรามอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะสงบลงในไม่ช้า และค่อยๆ หดกลับ ทำให้ผืนดินคืนความสงบดังเดิม
หลังจากชั่วครู่ใหญ่ หวังเป่าเล่อบินอยู่กลางอากาศ เขาช่วยชีวิตอสูรเนินเขาเอาไว้ แต่กลับทิ้งร่องรอยและอาหารที่สามารถรักษาอาการเมืองปรารถนารส จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดต้นไม้ในป่า เร่งรีบนั่งสมาธิฟื้นฟูร่างกาย
หนึ่งชั่วยามให้หลัง หวังเป่าเล่อกลืมตาตื่น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือด อาการบาดเจ็บทางร่างกายไม่นับว่าเป็นอย่างไร ทว่าวิญญาณเทพได้รับความเสียหาย ทำให้จิตใจอ่อนล้า ที่สำคัญที่สุดก็คือกฎเกณฑ์ปรารถนารสของเขา ขณะนี้ขาดแคลนอย่างยิ่ง
ราวกับเทียนที่ใกล้ดับแสง มีเพียงแสงไฟมืดสลัว
หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงสภาพของตน เขาส่งเสียงหัวเราะอย่างขมขื่น
“ก็ไม่รู้ว่าจะได้หรือเสีย หรือเสมอ…” หวังเป่าเล่อถอนหายใจ แต่ในไม่ช้าสายตาของเขาฉายแววซับซ้อนและสับสน หลังจากทะลวงเข้าไปใต้ดินลึกระดับ 6000 จั้ง ภายในทะเลดวงจิตอันบ้าคลั่งที่ไม่อาจบรรยายได้นั้น แม้เขาจะยังคงรักษาสติไว้ได้เพียงน้อยนิด ก็ยังเหลือบมองแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
ทว่า…การมองครั้งนี้ กลับทำให้เขาได้เห็นถึงเรื่องแปลกประหลาดบางเรื่อง
เขาเห็นถ้ำอุโมงค์ใต้ดิน เห็นคนผู้หนึ่งอยู่ภายในถ้ำ
เขาไม่เห็นลักษณะอย่างชัดเจน ไม่รู้ว่าเป็นบุรุษหรือสตรี แต่หวังเป่าเล่อก็สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบนร่างของอีกฝ่ายที่กระจายออกมา มันแทบจะเป็นระดับเดียวกันกับ…ร่างต้นของตนเอง
หรืออาจกล่าวได้ว่า เขาเห็นคนผู้นั้น อย่างน้อยก็เป็นสุดยอดผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับขั้นที่ห้า
คนผู้นี้ไม่ได้นั่งขัดสมาธิ แต่ลอยอยู่ภายในถ้ำ บนร่างมีหนวดอยู่นับร้อยเส้น หนวดเหล่านี้ล้วนเป็นสีดำ…เมื่อเปรียบกับหนวดสีทองในเมืองปรารถนารส นอกจากสีแล้ว แทบจะเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน
และหนวดเหล่านี้ คล้ายกับไม่ได้มาจากร่างของผู้ที่ลอยอยู่ หากแต่มาจากสิ่งภายนอก หรือบางทีอาจฝืนปลูกเอาไว้ ปลายข้างหนึ่งฝังอยู่ภายในร่างของเขา และปลายอีกข้างหนึ่งแผ่กระจายไปในดินโคลนทั่วถ้ำ จนไม่รู้ว่าสิ้นสุดที่ใด
พวกมันไม่แม้แต่จะขยับ แต่ส่ายไปมาเชื่องช้า ดูเหมือนกำลังดูดซับ เมื่อมองทิศทางที่มันส่ายนั่นเอง ก็เห็นชัดว่าเวลานี้ มันกำลังถอนตัวออกมาจากร่างของผู้เยี่ยมยุทธ์ ไปยังที่อื่น
ด้วยสติอันน้อยนิด หวังเป่าเล่อที่กำลังมองเหตุการณ์อยู่ในตอนนี้ก็เห็นได้ชัดว่า…บนใบหน้าของผู้เยี่ยมยุทธ์อันเลือนราง คล้ายจะลืมตาขึ้นมา แล้วอ้าปากส่งเสียงร้องของสตรีก็มิใช่บุรุษก็มิเชิงออกมา
“ช่วยข้าด้วย…” หวังเป่าเล่อหลับตา เสียงของอีกฝ่ายยังคงสะท้อนก้องอยู่ในจิตใจ และก็เป็นเสียงนี้ที่ทำให้ดวงจิตเทพทลายเร็วขึ้น
“น่าเสียดายที่ร่างต้นไม่ได้อยู่ที่นี่…” ผ่านไปชั่วครู่หนึ่งหวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น เขาคาดเดาไว้ในใจมากมายต่อสิ่งที่ตนได้เห็น ทว่าสิ่งเหล่านี้ก็ไม่อาจกำหนดออกมาได้อย่างแม่นยำ จึงอยากจะรู้คำตอบ…
“ต้องตรวจสอบอีกครั้ง” ดวงตาหวังเป่าเล่อทอประกาย เขาก้มศีรษะครุ่นคิดอีกรอบ เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเขาก็ฉายประกายคมปลาบ
“ต้องรีบชดเชยกฎเกณฑ์ปรารถนารส กฎเกณฑ์นี้ต่อต้านดวงจิตใต้ผืนดินของข้า มีผลที่แปลกประหลาด” หวังเป่าเล่อหรี่ตา คิดถึงเด็กหนุ่มที่ชอบเล่นซ่อนหาผู้นั้น
เด็กหนุ่มผู้นั้นยังอ่อนเยาว์นัก หารู้ไม่ว่าก่อนที่เขาจะกระโดดเข้าสู่วังวน หวังเป่าเล่อได้ผนึกดวงจิตเทพเอาไว้บนร่างของเขาอย่างเงียบเชียบแล้ว
เดิมที หวังเป่าเล่อไม่ได้วางแผนที่จะเสาะหาอีกฝ่ายเร็วขนาดนี้ แต่ตอนนี้จำเป็นต้องเตรียมพร้อม ดังนั้นการซ่อนหาครั้งนี้ ก็สามารถวาดจุดจบได้แล้ว
คิดถึงตรงนี้ ร่างของหวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดไม้ ก็กลายเป็นขี้เถ้าปลิวว่อน สลายไปอย่างไร้สุ้มเสียง
เวลาเดียวกัน ภายในโลกาชั้นแรก ปลาน้อยตัวหนึ่งอยู่ในแอ่งน้ำโคลน มันนอนคว่ำอยู่ในส่วนลึกของแอ่งโคลน แน่นิ่งไม่ไหวติง
ทั้งแอ่งโคลนมีปลาเพียงตัวเดียว ซ่อนพลังชีวิตไว้ลึกมาก อีกทั้งยังแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว ดังนั้นจึงเพียงพอที่จะปลอดสายตาการสำรวจของคนทั้งหมดได้
ปลาตัวนี้ก็คือเฉิงหลิงจื่อ
เมื่อได้รับความบาดเจ็บอย่างหนัก ถูกหวังเป่าเล่อกระทำจนหวาดผวา หลังจากมาถึงโลกาชั้นแรกแล้ว จึงไม่กล้าวิ่งวุ่น พบแอ่งน้ำนี้ก็รีบกระโดดลงไปทันที ใช้ความสามารถในการเปลี่ยนร่างของเวทแห่งปราณโลหิต แปลงเป็นเจ้าปลาน้อย คว่ำหน้าอยู่ในส่วนลึก ด้านหนึ่งหวาดกลัวและตื่นตระหนก อีกด้านหนึ่งก็สาปแช่งหวังเป่าเล่ออย่างบ้าคลั่ง
“เจ้าสุนัข รอก่อนเถอะ รอให้การสังหารครั้งนี้เสร็จสิ้น หลังจากข้ากลับไปต้องให้เจ้าอยากตายเสียดีกว่าอยู่!” ความเกลียดชังของเฉิงหลิงจื่อที่มีต่อหวังเป่าเล่อนั้นเทียมฟ้า เขาเข้าใจว่าอีกฝ่ายเป็นสาเหตุที่ทำให้ตนสูญเสียความเป็นไปได้ในการเลื่อนขึ้นเป็นเจ้าสวาปาม และเผชิญกับภัยพิบัติความเป็นความตายในตอนนี้
เขารู้ดีว่า ศัตรูของตนไม่ได้มีเพียงหวังเป่าเล่อ สาวกเนื้อทั้งหมดล้วนเป็นศัตรูของตน แม้บิดาของเขาจะเป็นเจ้าแห่งสวาปาม แต่เขาในเวลานี้อ่อนแอเกินไป แล้วยังมีกฎเกณฑ์ปรารถนารสอย่างหนาแน่น เขาไม่เชื่อว่าหลังจากผู้คนรอบข้างเห็นตนแล้ว จะสามารถทนได้
“ปิงหลิงจื่อ ขอเพียงให้ข้าผ่านพ้นภัยพิบัตินี้ ความร้ายกาจของเจ้าที่ทำต่อข้า ข้าจะต้องตอบแทนเจ้าเป็นร้อยเท่าพันทวี” เฉิงหลิงจื่อที่แปลงร่างเป็นปลาน้อย ขณะปากกำลังสาปแช่งหวังเป่าเล่ออย่างเต็มกำลัง ทันใดนั้นเอง…ก็ปรากฏเส้นไหมหนึ่งเส้นขึ้นมาตรงหน้าเขา
จากด้านบนพื้นผิวน้ำ เส้นไหมที่ถูกโยนเข้าไปนั้นอยู่ข้างปาก
เหตุการณ์นี้ ทำให้เจ้าปลาน้อยนี้ร่างแข็งทื่อทันที
………..
สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว ภายในจักรวาลนี้ อสูรร้ายที่สามารถทำให้เกิดพลังคุกคามต่อเขา และไม่สนใจพลังคุกคามของเขา ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่ก็หาได้ยากอย่างยิ่ง
ไม่ว่าระดับใด อสูรพวกนี้ย่อมมีสติปัญญาเพียงพอ และมีความเป็นไปได้สูงอย่างมากที่มันจะหลีกเลี่ยงการห้ำหั่นกับหวังเป่าเล่อ หากไม่ใช่เรื่องเกี่ยวกับความเป็นความตายดังนั้น แม้ว่าในด้านพลังร่างแยกนี้จะเทียบเท่ากับร่างต้นไม่ได้ แต่การยืมใช้คุณสมบัติบางส่วนของร่างต้นมาปราบปราม ร่างแยกนี้ก็เป็นทางเลือกที่ปกติที่สุดสำหรับหวังเป่าเล่อ
“ร่างต้นหลับใหล ปล่อยปัญหาเหล่านี้ให้ข้าทำ เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ายืมคุณสมบัติของเขาก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล” หวังเป่าเล่อคำรามเสียงเย็น ยืนอยู่บนหลังของอสูรเนินเขา เมื่อก้มศีรษะสายตาก็ปรากฏแสงเย็นยะเยือก
แสงเย็นยะเยือกนี้รวมเข้ากับการการบีบบังคับ จึงเป็นการข่มขู่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ทำให้อสูรเนินเขาค่อยๆ ตัวสั่นเทาขึ้นมา ปัญญาวิญญาณของมันที่ไม่มีหรืออาจเคยมี ในตอนนี้ได้สูญสลายไปไม่น้อยขณะหลับใหล คงเหลือไว้แต่สัญชาตญาณ
จิตใต้สำนึกของสัญชาตญาณเช่นนี้ หลังจากเผชิญกับวิกฤตความเป็นความตาย ความตรงไปตรงมาก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
ดังนั้น เกือบจะในทันที ขณะที่อสูรเนินเขาตัวสั่นเทิ้ม ทั้งร่างของมันก็อ่อนแรงลง จากลักษณะที่เป็นเนินเขากลายเป็นกองโคลนเนื้อ
“ลุกขึ้นมา ใช้กำลังทั้งหมดของเจ้า ไปทำลายดินกลบศพผืนนี้ซะ” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวขึ้นเบาๆ
เสียงของเขาสำหรับอสูรเนินเขาที่ตกใจจนอ่อนยวบไปแล้วนั้น ถือเป็นคำสั่งสูงสุด เวลานี้ขณะที่ร่างยังคงสั่นเทา ปากที่ราวกับอุโมงค์ของมัน ก็เจาะพื้นลงไปอย่างบ้าคลั่งแผ่ขยายไปส่วนลึกของพื้นโลก
ดวงจิตเทพหวังเป่าเล่อกระจายออกไป สัมผัสได้ถึงความทุ่มเทของอสูรเนินเขา ในการรับรู้ของเขา เดิมทีอาวุธปากของอีกฝ่ายลงพื้นไปได้ลึกประมาณพันจั้ง แต่ดูเหมือนเจ้าอสูรเนินเขานี้ไม่รู้ว่าทำได้เช่นไร เพื่อแสดงคุณค่าของตนเอง ขณะที่ร่างกายหดเล็กอย่างรวดเร็ว อาวุธปากของมันกลับยาวขึ้นอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายทำได้ถึงอาณาบริเวณ 2000 จั้ง
เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้นยินดีนัก เพียงพริบตาเดียวก็พุ่งตรงไปตามอุโมงค์ปากของอสูรเนินเขาใต้พื้นโลกลึก 2000 จั้ง แต่ขณะที่เขาเดินออกจากอุโมงค์เส้นนี้ ทันทีที่เหยียบสู่ดินโคลนอย่างแท้จริง ดวงจิตที่กระจายมาจากในดินโคลนทั่วสารทิศ ก็เป็นเหมือนกับคลื่นทะเลพิโรธที่โหมกระหน่ำมาจากทุกทิศทาง
ดวงจิตที่กระจายมาเหล่านี้ เมื่อดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่ได้มีพลังจู่โจมใดๆ แต่เวลานี้มีจำนวนมากเกินไป ท่วมท้นไปทั่วท้องฟ้า เมื่อมารวมกันก็กลายเป็นเหมือนแหล่งที่สามารถทำลายวิญญาณเทพทั้งหมดได้ อยู่ๆ นี่ก็ทำให้ใจของหวังเป่าเล่อที่เดินออกจากอุโมงค์กระทบกระเทือนอย่างรุนแรงไปตามแรงระเบิด
ทันใดนั้นจิตใจของเขา ก็ราวกับได้รับจิตวิญญาณและความทรงจำนับไม่ถ้วน แต่กลับไม่มีภาพใดที่สมบูรณ์ ล้วนเป็นชิ้นส่วนไม่ชัดเจน มันจู่โจมวิญญาณเทพของเขาไม่หยุด
แม้จะแข็งแกร่งเช่นหวังเป่าเล่อก็ยังสูญสติไปชั่วขณะ
ดีที่ว่าตัวเขาเองก็แข็งแกร่ง ขณะที่เส้นเลือดเขียวปูดโปนขึ้นมา เขาทนผ่านคลื่นลูกแรก และกฎเกณฑ์ปรารถนารสที่อยู่ภายในร่างก็หมุนเวียนออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อตัวเป็นความบิดเบี้ยวพร่าเลือน ขวางกั้นการครอบคลุมของทะเลแห่งดวงจิตที่กว้างใหญ่ไพศาลผืนนี้อย่างต่อเนื่อง
“ที่แท้แล้วมีกี่ชีวิตที่กลบฝังอยู่ที่นี่…” สีหน้าหวังเป่าเล่อไม่น่าดู เขาสามารถรับรู้ได้ถึงดวงจิตจำนวนมหาศาลที่กระจายมาจากสารทิศ เกินกว่าสรรพชีวิตของโลกแห่งศิลาไม่รู้กี่เท่า
และนี่ยังเป็นระดับ 2000 จั้งใต้พื้นดิน หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่า ยิ่งลึกลงไป ระดับความหนาแน่นของทะเลดวงจิตผืนนี้ก็ยิ่งมาก และลุกลามรุนแรงขึ้น
“ด้านล่าง…ไม่รู้ว่าลึกเท่าไร” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ไม่ได้บุ่มบ่าม แต่สัมผัสได้ถึงผลของกฎเกณฑ์ปรารถนารสที่นี่ กระทั่งหลังจากเขาเห็นการไหลเวียนทั้งหมดของกฎเกณฑ์ปรารถนารส ตนเองอยู่ใต้ดินตำแหน่ง 2000 จั้ง ค่อยๆ ถึงระดับสมดุล ความปวดแปลบที่จมอยู่ในทะเลแห่งดวงจิตก็สูญสลาย
นี่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกโล่งใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกถึงความพิเศษของกฎเกณฑ์ปรารถนารส…กฎเกณฑ์นี้ต่อต้านมนุษย์ ดูเหมือนส่งผลต่อชั้นกายเนี้อของอีกฝ่าย ทำให้เขาเกิดความละโมบหิวโหย แต่ความเป็นจริง…คุณประโยชน์ของมันก็คือวิญญาณเทพและดวงจิต
หรือกล่าวได้ว่า ที่กฎเกณฑ์ปรารถนารสสามารถต่อต้านทะเลแห่งดวงจิตรอบด้าน ก็เป็นเพราะร่างของเขาก็เหมือนแหล่งมลพิษแห่งหนึ่ง ดวงจิตกระจายอย่างเต็มกำลังเพื่อกำจัดการมาของมลพิษ
และดวงจิตที่กระจายเหล่านี้ การต่อต้านนั้นเปราะบางอย่างที่สุด ราวกับการเผชิญศัตรูสวรรค์ กฎเกณฑ์ปรารถนารสที่มีจำนวนห่างไกลไม่เท่าพวกมันค่อยๆ จับตัวกัน
กระทั่งถึงระดับสมดุล หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เพียงพริบตาร่างกายก็ไปทางด้านล่างดินโคลน เขาไม่ได้ไปเร็วนัก การเดินทางแต่ละครั้งถูกควบคุมอยู่ประมาณสิบจั้ง
ก็เป็นเช่นนี้ ด้วยการลงลึกไปอย่างไม่หยุด สิบจั้ง สามสิบจั้ง แปดสิบจั้ง…กระทั่งเดินทางแล้วเจ็ดร้อยกว่าจั้ง ตำแหน่งโดยรวมอยู่ใต้ดิน 2700 จั้ง ร่างของหวังเป่าเล่อจึงรับไม่ไหวอยู่บ้าง
ความสมดุลของกฎเกณฑ์ปรารถนารส ยังปรากฏสัญชาตญาณของความล่มสลายชุลมุน ตำแหน่งที่แท้จริงนี้ ดวงจิตที่กระจายรวมตัวกันเป็นทะเลดวงจิต รุนแรงกว่าตำแหน่งก่อนหน้ามากนัก จำนวนก็ยิ่งน่าตระหนก
สิ่งสำคัญที่สุดคือ หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงดวงจิตที่กระจัดกระจายนับไม่ถ้วนที่ตำแหน่งนี้ เริ่มปรากฏบางอย่าง…ที่เป็นของดวงจิตเทพของผู้ฝึกตนขั้นที่สี่
ดวงจิตเทพเหล่านี้ แต่ละสายล้วนไม่มีความผันผวนของอารมณ์ แต่พลังจู่โจมที่อยู่ภายในยังคงแรงกล้า และ…จำนวนของมันมากมายมหาศาลนัก
“เป็นการจากไปหรือว่า…พุ่งเข้าไปดู” หวังเป่าเล่อเผชิญกับทะเลดวงจิตที่ยิ่งน่าตระหนกนี้ เขามีความสงสัยอยู่บ้าง แต่ในไม่ช้า แววตาของเขาก็ส่องประกาย
“ในเมื่อมาแล้ว จะยินยอมให้จากไปเช่นนี้ได้อย่างไร”
“ข้าอยากจะดู ภายในส่วนลึกแผ่นดินนี้ ระดับผู้เยี่ยมยุทธ์ของมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิดเหล่านั้น เหตุใดจึงหลับใหล ที่แท้แล้วในนี้มีความลับใดแฝงอยู่”
ประกายแหลมคมส่องในดวงตาหวังเป่าเล่อ กฎเกณฑ์ปรารถนารสภายในร่างโหมกระจายขณะที่หมุนเวียนรอบด้านอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเขาขณะนี้พุ่งไปข้างหน้าอย่างฉับพลัน
ด้วยการพุ่งนี้ มันตรงไปถึง…3000 จั้ง
และในชั่วพริบตา หวังเป่าเล่อก็ปรากฏตัวที่ตำแหน่ง 5700 จั้ง ที่นี่…เป็นขีดจำกัดที่เขาสามารถทำได้ หากมากกว่านี้ ก็คงไม่ใช่เป็นการเสี่ยงอันตราย แต่เป็นการฆ่าตัวตายแล้ว
แม้ว่าไม่ได้ตั้งใจฆ่าตัวตาย แต่ความรุนแรงที่แฝงอยู่ในทะเลดวงจิต ก็ทำให้ร่างกายหวังเป่าเล่อขณะปรากฏตัว ก้องกังวานขึ้นในจิตใจ สติวุ่นวายทันที
ดีที่คุณสมบัติของเขาบีบบังคับให้ตนมีสติแม้จะจิตใจว้าวุ่นก็ตาม หวังเป่าเล่อรีบกวาดตามองไปรอบๆ ตอนนั้นเองดวงตาก็แผยแววตื่นตระหนก เขาไม่ลังเลเลยที่จะล่าถอย
แม้นี่จะเป็นการล่าถอย แต่ทะเลแห่งดวงจิตก็เหมือนถูกจุดชนวนเรียบร้อยแล้ว มันรวมตัวกันอย่างบ้าคลั่ง และจู่โจมอย่างต่อเนื่อง ราวกับจะแทรกซึมอยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้การล่าถอยของหวังเป่าเล่อจะเร็วจนน่าอัศจรรย์ แต่การไล่ล่าของทะเลดวงจิตนี้ก็น่าหวาดผวาเช่นกัน
สุดท้าย ขณะที่สติของหวังเป่าเล่อกำลังจะแตกสลาย ในที่สุดเขาก็หนีไปได้ไกลถึงที่บริเวณใต้ดิน 2000 จั้ง ภายในปากที่คล้ายกับอุโมงค์ของอสูรเนินเขา ตอนที่เข้าไปนั่นเอง ทะเลดวงจิตก็ท่วมท้นขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
“ขัดขวางเต็มกำลัง” หวังเป่าเล่อคำรามเสียงต่ำ
“ชิงหยางจื่อหรือ” ดวงตาหวังเป่าเล่อจดจ้องไปทางศีรษะของสตรีผู้นั้นทันที
แม้จะเป็นเพียงศีรษะ และใบหน้าดูดุร้าย แต่เพราะไม่ได้เน่าเปื่อย ดังนั้นจึงสามารถมองเห็นความงามบนดวงหน้าได้ คาดว่าหลายปีก่อน สตรีผู้นี้ก็คงเป็นผู้ที่งดงามหาใครเทียบได้ในยุคนั้น
ทว่าน่าเสียดายตอนนี้คนได้เปลี่ยนไปแล้ว มีเพียงสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง ราวกับผ่านความเป็นความตายนับไม่ถ้วนมานานหลายปี แล้วระเบิดมันออกมาต่อหน้าหวังเป่าเล่อ
“ชิงหยางจื่อ เจ้าคือชิงหยางจื่อ!” เสียงนางหวีดร้องแหลมและขมขื่น ขณะที่กล่าวผมดำสลวยนั้นราวกับงูพิษตัวแล้วตัวเล่า พุ่งตรงเข้าหาหวังเป่าเล่อจากทุกทิศทางท่ามกลางความบิดเบี้ยว
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาคำรามเสียงเย็น กฎเกณฑ์ปรารถนารสกระจายออกไปจากข้างในร่างทันที ชั่่วอึดใจเส้นผมเหล่านั้นก็คล้ายจะมีปัญญาวิญญาณอิสระ ก่อกบฎเส้นแล้วเส้นเล่า ภายใต้ผลกระทบของกฎเกณฑ์ปรารถนารส ต่างระเบิดความโลภอย่างแรงกล้า กลืนกินซึ่งกันและกันทันที
มีจำนวนหนึ่งกลืนศีรษะหญิงสาวเข้าไป ทว่านางกลับไม่ได้รับผลกระทบเลยแม้แต่น้อย ราวกับ…ความเกลียดชังที่อยู่ภายในตัวนั้นอัดแน่นมากล้นจนแทนที่ทุกสิ่ง ไม่มีที่พอสำหรับความปรารถนาอื่น และเวลานี้มันได้นำพาความเกลียดชังพุ่งเข้าใส่ไปทางหวังเป่าเล่อ
ปากของนางยังคงหวีดร้องส่งเสียงกรีดแหลม
“ชิงหยางจื่อ เจ้าคือชิงหยางจื่อ!”
หวังเป่าเล่อร่างกายซวนเซ ชั่วอึดใจอมาก็ปรากฏอยู่บนศีรษะนี้ เขายกมือขวาขึ้น กดมันอย่างแรง ทันใดนั้นการระเบิดก็เกิดขึ้นดังกึกก้อง และตกลงบนศีรษะนี้ กลายเป็นฝันร้ายแห่งปรารถนานับไม่ถ้วน เข้าพันธนาการทันทีและทุบลงไปบนพื้นล่างอย่างแรง สุดท้ายก็เป็นตะปูตอกแน่นลงบนดินกลบศพ ไม่ว่าศีรษะนี้จะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่อาจหลีกหนีไปได้
และเส้นผมของนาง เวลานี้ท่ามกลางการกลืนกินซึ่งกันและกันก็ยิ่งน้อยลง
ทว่าเสียงกรีดร้องกลับไม่อ่อนแรงลงเลยแม้แต่น้อย ยังคงดังลอดออกมาบ่อยครั้ง ทำให้หวังเป่าเล่อค่อยๆ เข้าใจได้ว่า นาง…กรีดร้องได้เพียงคำนี้เท่านั้น
ขณะครุ่นคิดนั่นเอง เขามองไปที่ศีรษะที่ถูกตนตรึงไว้ที่พื้น หลังจากเดินเข้าไปใกล้ ท่ามกลางเสียงคำรามของสตรีผู้นี้ นิ้วของเขาก็กดไปที่หว่างคิ้ว เพื่อสัมผัสวิญญาณเทพของอีกฝ่าย
“ไม่มีวิญญาณอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อตกตะลึง มองไปที่ศีรษะตรงหน้าอย่างใคร่ครวญ ภายในร่างของอีกฝ่ายไร้ร่องรอยวิญญาณ และดูเหมือนว่าสิ่งที่เป็นแรงขับให้ลงมือ ทั้งหมดคือความเกลียดชังภายในร่าง
“หรือว่าจะถูกปณิธานบางอย่างที่ข้าไม่อาจรับรู้ได้” หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองไปรอบๆ เงียบไปครู่หนึ่ง ไม่ได้สนใจศีรษะของสตรีผู้นี้อีก ชั่วแวบเดียวร่างก็เหาะไปไกล
“ชิงหยางจื่อ เจ้าคือชิงหยางจื่อ!”
ด้านหลังของเขา เสียงแหลมรันทดของสตรีส่งมาไม่ขาดสาย และเสียงนั้นค่อยๆ หายไปขณะที่เขาเดินห่างออกไปไกล กระทั่งไม่ได้ยินเสียงอีก หวังเป่าเล่อจึงสะบัดมือ ตอนนั้นเองพื้นที่รอบด้านที่ถูกเขาตรึงไว้ รวมทั้งฝันร้ายแห่งปรารถนาที่พันธนาการนางไว้ก็สลายไปทันที
เวลานี้สายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังในตอนแรก กลับกลายเป็นความงงงัน กระทั่งสุดท้ายกลายเป็นความว่างเปล่า เหาะขึ้นอย่างไร้ความรู้สึก ล่องลอยอยู่รอบๆ…
กระทั่งล่องลอยอยู่เนิ่นนาน ขณะที่สายรุ้งทอดยาวอยู่ระหว่างฟ้าดินอันไกลโพ้น ฉับพลันก็เกิดแสงขึ้นในดวงตาที่ว่างกลวงของสตรีผู้นี้ ราวกับไฟลุกโชน ความเกลียดชังระเบิดขึ้นอีกครั้ง
“ชิงหยางจื่อ เจ้าคือชิงหยางจื่อ!” นางส่งเสียงแหลมรันทด ตรงไปที่ร่างนั้น ร่างนี้คือสาวกเนื้อผู้หนึ่ง ใบหน้าเผยความหวาดผวา เดิมทีขณะเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วเขาสัมผัสได้ถึงด้านหลังของตนตลอดเวลา เวลานี้อยู่ๆ ก็พบเข้ากับศีรษะนี้ ใบหน้าเปลี่ยนสีทันที ไม่ทันได้หลบหลีกก็ถูกผมยาวจากสตรีผู้นั้นเข้ารัดพันธนาการโดยตรง ลากตรงเขาสู่ปาก ถูกกลืนกินลงไป
จนกระทั่งสาวกเนื้อผู้นี้ถูกกลืนกิน บนใบหน้าของเขานอกจากความหวาดกลัวแล้ว ยังแฝงไว้ด้วยความงงันและสงสัยราวกับว่าก่อนจะเผชิญเข้ากับความตาย ก็อดครุ่นคิดไม่ได้ว่าเหตุใดอีกฝ่ายเมื่อเห็นตน จึงกล่าวว่าตนคือชิงหยางจื่อ
เหตุการณ์นี้ มีสาวกเนื้อเมืองปรารถนารสอีกผู้หนึ่งที่มาจากแดนไกลเห็นเข้า หนังศีรษะชาทันที รีบถอยห่างออกไปไกล
กระทั่งเขาจากไปแล้ว ขณะที่สตรีผู้นั้นกำลังเคี้ยวอยู่ สองตาก็ค่อยๆ สูญสิ้นความมีชีวิต ท่าทางไร้สติกลับมา ลอยล่องไปไกลโพ้น ไม่ได้สังเกตเห็นว่าเส้นผมของตนเวลานี้ กำลังร่วงหล่นบนพื้น กลายเป็นฝันร้ายแห่งปรารถนาที่เลือนรางสายหนึ่ง
ฝันร้ายแห่งปรารถนานี้ จดจ้องสตรีที่ลอยห่างออกไปไกล หลังจากนั้นไม่นาน ร่างมันก็ยิ่งเลือนราง กระทั่งสลายไปในที่สุด
ในขณะเดียวกัน ณ โลกอันไกลโพ้นที่ห่างไปไกลจากที่นี่ หวังเป่าเล่อที่กำลังบินสำรวจอยู่รอบด้าน อยู่ๆ ท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป หลังจากสัมผัสถึงมันได้สักพัก ความสงสัยที่มีอยู่ตรงหว่างคิ้วตลอดเวลาก็จางหายไปกว่าครึ่ง
“ที่แท้ เมื่อเห็นใครต่างก็ตะโกนประโยคนี้…” หวังเป่าเล่อหัวเราะมิได้ร้องไห้ไม่ออก ในความเป็นจริงก่อนที่เขาจะพบเข้ากับสตรีผู้มีแต่หัวผู้นี้ ก็สะเทือนใจกับความเกลียดชังและคำพูดที่ตะโกนออกมาอย่างฉับพลันของอีกฝ่ายไม่น้อย
เวลานี้จึงไม่ได้ครุ่นคิดอีกว่างผู้ใดคือชิงหยางจื่อ เขาก้มศีรษะลง เฝ้ามองพื้นโลก เสาะหาหนทางเข้าสู่พื้นล่าง
แม้ตามระดับการฝึกตนของเขา ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ใดก็สามารถเห็นทางเข้าของพื้นล่างได้ แต่ดินกลบศพผืนนี้ประหลาดนัก หวังเป่าเล่อรู้สึกว่า ดินกลบศพผืนนี้คล้ายจะมีดวงจิตที่วุ่นวายโกลาหล หากตนเลือกตามอำเภอใจ อาจทำให้เกิดความเดือดร้อนโดยไม่จำเป็น
ดังนั้น เขาจึงพยายามเสาะหาสถานที่ที่ดวงจิตบอบบาง
สถานที่เช่นนี้ สำหรับหวังเป่าเล่อไม่ยากเลย หลายวันต่อมา ในการมองที่ไร้ขอบเขต หวังเป่าเล่อก็พบเนินเขาที่ดวงจิตอ่อนแอแห่งหนึ่งบนดินกลบศพซึ่งดูเหมือนไม่เปลี่ยนไปเลยชั่วนิรันดร์
ทั้งเนินเขาเป็นสีดำสนิท โครงสร้างภายในคล้ายกับภูเขาไฟ แต่ภายในกลับไร้เปลวไฟ มีเพียงเส้นทางที่คดเคี้ยวเชื่อมโยงกับพื้นล่างไว้ด้วยกัน
หวังเป่าเล่อกวาดสายตามอง เพิ่งจะเข้าใกล้ก็ต้องหรี่ตาลงทันที ยกมือขวาขึ้นกดไปข้างหน้าโดยตรง จากการกดนี้ พื้นดินพลันทรุดตัว วัตถุที่มีลักษณะเป็นท่อหนาหยาบนับสิบจั้งเส้นหนึ่ง ความยาวพันจั้งพอดิบพอดีก็แทงออกมาจากดินด้านล่างปรากฏขึ้นด้านบน เข้ามาทางหวังเป่าเล่อทันที
หลังจากสัมผัสมือขวาที่ยกขึ้นของหวังเป่าเล่อ ด้วยเสียงกังวานที่น่าตื่นตกใจนั้น แท่งยาวพันจั้งพลันหดเล็ก ก่อนจะตกลงพื้นอีกครั้ง ในเวลาเดียวกัน ณ เนินเขาแห่งนั้น…ยามนี้สั่นไหวไม่หยุด และโดยไม่คาดคิด…พื้นราบบก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวขึ้นยกสูงขึ้นทีละน้อย!
พินิจอย่างถี่ถ้วนแล้ว นี่มันเนินเขาที่ไหนกันเล่า แท้จริงกลับเป็นอสูรประหลาดที่ดูเหมือนเนินเขาต่างหาก แท่งยาวที่มีความลึกคล้ายท่อนั่นก็เป็นเหมือนปากของมัน มักจะเจาะลึกลงไปในดิน เวลาคนมองเห็นก็จะคิดว่าเป็นทางเดิน
ตอนนี้ราวกับสัมผัสได้ถึงพลังของหวังเป่าเล่อ อสูรประหลาดเนินเขาจึงเลือกที่จะเคลื่อนไหว คิดจะไปจากที่นี่ แต่ร่างที่มหึมากลับขาดซึ่งความคล่องตัว การเคลื่อนไหวเช่นนี้ แม้จะสั่นภูผาสะเทือนดิน ทรงพลังแข็งแกร่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเชื่องช้านัก
“ภายในมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิดนี้ มีสิ่งแปลกประหลาดอยู่มากมาย สิ่งใดๆ ก็สามารถถือกำเนิดได้” หวังเป่าเล่อประหลาดใจมาก เวลานี้เขาบินวนรอบเนินเขา ปรากฏแสงประหลาดแก่ดวงตา
ต้องรู้ว่าด้วยระดับฝึกตนของหวังเป่าเล่อ แม้ก่อนหน้านี้จะไม่อาจมองออกว่าเป็นสิ่งมีชีวิต เรื่องนี้ก็เพียงพอที่จะอธิบายความสามารถในการซ่อนตัวของอสูรเนินเขาได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ เมื่ออสูรเนินเขาเคลื่อนตัว สถานที่ที่ดวงจิตเคยอ่อนบางก่อนหน้านี้ก็พลันหนาแน่นขึ้นอีกครั้ง นั่นทำให้แววตาของหวังเป่าเล่อยิ่งสว่างไสว เพียงแวบเดียวร่างกายของเขาก็ร่วงลงไปบนร่างของอสูรเนินเขา มันคล้ายจะเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว คำรามเสียงก้อง และในขณะที่ท่อกำลังจะดึงออกมาอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็หรี่ตา กระจายศูนย์กลางของชีวิตออกมาจากร่าง
ตูม!
อสูรเนินเขาสั่นเทิ้ม ไม่แม้แต่จะขยับ
……………………………………..
คำพูดของหวังเป่าเล่อเย็นยะเยือก ขณะที่กล่าวออกไป ไม่เพียงแต่ชายหนุ่มผู้นั้นจะตกตะลึง ผู้คนภายในเมืองปรารถนารส เวลานี้ต่างก็โกลาหล แล้วยังมีถัวหลิงจื่อผู้ลงมือที่สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเป็นครั้งแรก
โจวฮั่วก็เป็นเช่นเดียวกัน เจ้าสวาปามอื่น พลันฉายแววตาดุร้ายออกมาทันที
แต่ทั้งหมดนี้กลับพลิกผันเร็วเกินไป จนแม้แต่ถัวหลิงจื่อก็มาไม่ทันจัดการ พริบตาเดียวขณะที่คำพูดของหวังเป่าเล่อสะท้อนก้อง เขาก็คว้ามือขวาของเฉิงหลิงจื่อไว้แล้วดึงอย่างแรง ร่างของเฉิงหลิงจื่อถูกลากขึ้นกายบิดเบี้ยว ส่งเสียงร้องโหยหวนแล้วโยนกลับไปด้านหลัง ซึ่งเป็นทิศเดียวกับที่มือยักษ์ของถัวหลิงจื่อคว้ามา
กระบวนการทั้งหมดแยบยลอย่างยิ่ง เวลานี้ดวงตาของถัวหลิงจื่อแดงก่ำ มือยักษ์ที่ปรากฏออกมาพลันเก็บกลับ แต่ยังกระแทกถูกคนโปรดของตน
ครั้งนี้กระแทกร่างเฉิงหลิงจื่อเสียงดัง ทำลายไปครึ่งร่างโดยตรง แม้เลือดจะไหลทะลัก แต่กลับไม่อาจส่งสียงกรีดร้องได้เลยสักนิด เพราะถูกมือขวาของหวังเป่าเล่อกำแน่นอยู่ที่ลำคอ เห็นเพียงการสั่นอย่างรุนแรงของร่างกาย แสดงถึงความเจ็บปวดของเขาในเวลานั้น
หวังเป่าเล่อไม่สนใจสีหน้าทุรนทุรายของถัวหลิงจื่อ หลังจากกล่าวอย่างราบเรียบออกไปก็คำรามออกมา ใช้กำลังมือขวาบีบเฉิงหลิงจื่อที่อยู่ในมือทันที
ชั่วอึดใจ ภายในร่างของเฉิงหลิงจื่อก็แหลกลาญ กฎเกณฑ์ปรารถนารสจำนวนมากที่แฝงอยู่ทั้งหมด ถูกหวังเป่าเล่อสูบเข้าปากทันที ทว่าเฉิงหลิงจื่ออย่างไรก็เป็นสาวกเนื้อ ย่อมมีไพ่ใบสุดท้าย เวลานี้ร่างกายที่แหลกลาญ หลังจากที่หวังเป่าเล่อดูดรับกฎเกณฑ์ไปส่วนหนึ่งแล้ว ก็เกิดการเผาไหม้ขึ้นและกลายเป็นเถ้าถ่านปลิวไปในทันที
เวลาต่อมา สถานที่ที่ใกล้กับวังวนที่ไกลออกไป ตามการบิดเบี้ยวของความว่างเปล่า ร่างของเขาก่อขึ้นจากความว่างเปล่าแห่งนั้น ทว่าดูแล้วไม่ใช่หนุ่มน้อยอีก กลับกลายเป็นชายวัยฉกรรจ์ที่ร่างกาย…ผ่ายผอมลง
ใบหน้าซีดขาว ลมหายใจรวยริน ดวงตาที่มองไปทางหวังเป่าเล่อก็เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวอันไม่เคยมีมาก่อน
“หืม?” หวังเป่าเล่อประหลาดใจอยู่บ้าง เงยหน้ามองไปทางเฉิงหลิงจื่อ ร่างกายพลันหายวับไปขณะที่เงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ปรากฏตัวตรงหน้าของอีกฝ่าย
ทว่า เฉิงหลิงจื่อที่เคยประสบกับวิกฤตความเป็นความตายมาก่อนกลับหวาดผวาคล้ายกระต่ายที่ตื่นตระหนก เวลาเดียวกับการมาของหวังเป่าเล่อ ร่างของเขาก็หายไปอีกครั้ง และปรากฏอยู่ภายในวังวนแล้ว
เขาไม่กล้าไปหาบิดาของตนเอง ไม่ทันกาลแล้ว ฝ่ายตรงข้ามต้องลงมือแน่ เขามีลางสังหรณ์บางอย่าง ก่อนที่บิดาของเขาจะลงมือขัดขวาง ตนเอง…ต้องตายเป็นแน่
วิธีการรักษาชีวิตเช่นเมื่อครู่ เขาเชื่อว่าตนคงไม่มีโอกาสได้ใช้เป็นครั้งที่สอง ดังนั้นตอนนี้ทางรอดเดียวของเขาก็คือเข้าไปซ่อนอยู่ภายในวังวน
เรื่องก็เป็นเช่นนี้ เพราะในเวลาเดียวกัน ช่องว่างระหว่างหวังเป่าเล่อและแท่นบูชาเมืองปรารถนารส ฝันร้ายแห่งความปรารถนาจำนวนมหาศาลก็ก่อตัวปิดล้อมออกมาจากอากาศ
หากเฉิงหลิงจื่อหนีมาทางนี้ ก็ต้องถูกสกัดกั้น
“น่าสนุก ข้าก็ชมชอบการเล่นซ่อนหา ดังนั้นเจ้าซ่อนตัวให้ดีล่ะ” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ในความเป็นจริงหากเขาใช้พลังของร่างต้นที่อยู่ภายนอกโลก เฉิงหลิงจื่อผู้นี้ แค่พลิกฝ่ามือก็สามารถกำราบได้ ไร้หนทางหนีรอด
เวลานี้หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขาเดินไปทางวังวน ดวงจิตเทพที่มากขึ้น ถูกกักไว้บนแท่นสังเวย สายตาระเบิดจิตสังหารแรงกล้าไปทางถัวหลิงจื่อ
หลังจากที่อีกฝ่ายลงมือเป็นครั้งแรก ก็ไม่ได้ลงมืออีก ไม่ใช่เขาไม่คิด ทว่า…พลังของเจ้าปรารถนาจากบนแท่นสังเวย เพียงพริบตาเดียวก็กวาดไปบนร่างเขาเบาๆ
สายตาที่กวาดไปนี้ ทำให้ถัวหลิงจื่อเหมือนถูกผนึกไว้ ไม่มีพลังลงมือ ดังนั้นเวลานี้พลังสังหารจึงคลั่งขึ้นมาด้วยไม่อาจระเบิดออกมาได้
หวังเป่าเล่อหรี่ตา มองไปทางก้อนเนื้อที่แฝงด้วยกลิ่นอายน่าตื่นตระหนกซึ่งกำลังยืนอยู่บนแท่นสังเวยในเวลานี้
“ในฐานะที่เป็นเจ้าแห่งสวาปาม ที่แล้วก็แล้วไป หากพ่ายแพ้ ข้าจะนำกฎเกณฑ์ปรารถนารสคืนกลับจากร่างเจ้า” เจ้าปรารถนา มองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาแปลกประหลาด กล่าวอย่างเนิบช้า
เสียงที่เปล่งออกมา ทำให้ท้องฟ้าเปลี่ยนสี ลมเมฆแปรปรวน ราวกับจะให้เป็นไปตามที่กล่าว โลกทั้งใบสั่นสะเทือน
หวังเป่าเล่อให้ความเคารพต่อเจ้าแห่งปรารถนาที่มีความแข็งแกร่งเท่าเทียมกับตนตามสมควร เมื่อได้ฟังก็ครุ่นคิดสักพัก แล้วจึงพยักหน้าหันร่างตรงไปที่วังวน พริบตาเดียวร่างของเขาก็หายวับไปข้างในนั้น
กระทั่งเวลานี้ สาวกเนื้อผู้อื่นต่างก็เข้าสู่วังวนทีละคนด้วยความขมขื่นและจำใจ สุดท้ายหลังจากคนสุดท้ายก้าวย่างเข้าไป เจ้าปรารถนาที่อยู่บนแท่นสังเวยก็สะบัดมืออีกครั้ง เวลาเดียวกันวังวนบนท้องนภาก็ค่อยๆ จางหายไป
คนที่อิ่มอุ่น ผู้ที่อิ่มท้อง เดิมทีก็ควรเข้าร่วม แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าปรารถนาได้เปลี่ยนหลักการ เวลานี้เขาแหงนหน้ามองไปที่วังวนที่กำลังจางหาย แล้วผุดยิ้ม
“เป็นเขาหรือ…”
มิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด ภายใต้โลกาชั้นที่สอง เป็นไอหมอกหนาสีแดงไร้ที่สิ้นสุด และชั้นล่างสุดของหมอกหนานี้ ก็คือโลกชั้นที่หนึ่ง และถูกเรียกว่าดินกลบศพ
เพราะที่แห่งนี้เคยฝังจักรวาลมากมายของมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิดมาหลายยุคหลายสมัย จึงมีผีดิบดำรงอยู่มากมายนับไม่ถ้วน
จิตสำนึกหลับใหล หรือบางทีอาจไม่มีทางฟื้นขึ้นตลอดกาล และความปรารถนาที่จะสนับสนุนกิจกรรมทางกายก็ต่างกันออกไป
“เจ้าปรารถนาผู้นั้น…เห็นฐานะของข้าแล้ว” เวลานี้ ในโลกที่เต็มไปด้วยดินกลบศพ หวังเป่าเล่อยืนตระหง่านอยู่กลางอากาศ ก้มลงมองพื้นโลก
สิ่งที่เขามองเห็นคือพื้นโลกที่มืดมิดไร้ขอบเขต กลิ่นอายแห่งความตายหนาแน่นถึงขีดสุด กลายเป็นความหนาวเหน็บมืดมน ราวกับสามารถแช่แข็งได้ทั้งหมด
แต่ตลอดเวลา…ก็รับรู้ได้ถึงในส่วนลึกของโลกนี้ ว่ามีความผันผวนของลมหายใจที่แน่นขนัดนับไม่ถ้วน
มีแข็ง มีอ่อน
สิ่งที่อ่อนน้อมราวคนธรรมดา แต่สิ่งที่แข็งนั้น…ในสายตาของหวังเป่าเล่อ เวลานี้ม่านตาของเขาหดลง เพราะสาเหตุของเนื้อแท้ของบุคลิกภาพ เขาสามารถใช้การรับรู้ขั้นที่ห้า สัมผัสถึงส่วนที่ลึกที่สุดของแผ่นดินนี้ได้อย่างเลือนราง ดูเหมือน 90 กว่าตน…มีกลิ่นอายเช่นเดียวกับผู้พิทักษ์ผู้นั้นที่ไล่ล่าในตอนแรก
ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเข้าใจในที่สุด ภายในมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด ร่างทั้งแปดที่รายล้อมอยู่ข้างกายมหาเทพ แท้จริงแล้วพวกเขาไปทางใด
ในความเงียบงัน หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง มองไปทางหมอกแดงที่พลิกม้วนอยู่ด้านบน
“กลิ่นอายที่ถูกกลบฝังไม่สอดคล้องกับจำนวน108 แต่หาก…เพิ่มหลักแห่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาล่ะ…” หวังเป่าเล่อเงียบงัน สักพักก็ถอนหายใจ
“ดังนั้น เจ้าปรารถนาที่ดูสถานะของข้าออกได้แปดเก้าส่วน ตัวเขาเองก็เป็นหนึ่งใน 108 การต่อสู้นั้น”
สิ่งนี้ไม่เป็นไปตามที่หวังเป่าเล่อคาดเดาในครั้งแรก เดิมทีเขาเข้าใจว่าเจ้าปรารถนามีระดับการฝึกตนขั้นเดียวกับตน น่าจะเป็นแหล่งกำเนิดของเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาของมหาเทพ คล้ายกับร่างอวตารที่เป็นเอกเทศ
“น้ำของมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด…ลึกล้ำ ลึกล้ำ” หวังเป่าเล่อหรี่ตา พลันยกมือขวาขึ้น คว้าไปในความว่างเปล่า ทันใดนั้นเส้นผมสีดำกระจุกหนึ่งก็ปรากฏอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่าที่เขาคว้าไว้ ราวกับเดิมทีก็รัดพันหวังเป่าเล่ออยู่อย่างเงียบๆ แต่หลังจากถูกเขาคว้าไว้ได้แล้วดึงอย่างแรง เส้นผมจำนวนมากก็ส่งเสียงดังจากความว่างเปล่า ราวกับน้ำหลาก ราวกับน้ำหมึกที่ไหลบ่าออกมา
และในการไหลบ่าไม่หยุดนี้ ในที่สุดก็ปรากฏแหล่งที่มา นั่นคือศีรษะ…ศีรษะของสตรีปรากฏในความว่างเปล่า จ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างเงียบงัน
สายตานั้นเผยความเกลียดชังเกินกว่าจะพรรณนา
“ชิงหยางจื่อ เจ้าคือชิงหยางจื่อ!”
………………….
แทบจะในชั่วพริบตาที่เสียงนี้สะท้อนดังก้อง ผู้ฝึกตนที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ในพื้นที่หลายแห่งในเมืองปรารถนารสก็ลืมตาพร้อมกัน ยิ่งกว่านั้นเมื่อลืมตาขึ้น คนเหล่านี้แต่ละคนบ้างก็ประหม่า บ้างตื่นเต้น บ้างก็ตั้งตารอและพากันลุกขึ้นยืน ชั่วแวบเดียวก็กลายเป็นสายรุ้งยาวหลายสายพุ่งไปที่ยังน้ำวนบนท้องฟ้า
การปรากฏตัวของพวกเขาดึงดูดความสนใจของกลุ่มคนรอบแท่นบูชาได้ทันที เมื่อสายตาแต่ละคู่มองไป เสียงพูดคุยก็ดังสะพัดออกมา
“เป็นเสินหลูเต้า!”
“แล้วยังมีเฟิงตี๋!”
“นั่นเฉิงหลิงจื่อ!”
เสียงพูดคุยเหล่านี้แพร่สะพัดไปทั่วทุกทิศจากบริเวณใกล้แท่นบูชา ในกลุ่มเงาร่างที่บินขึ้นมาจากที่ต่างๆ นั้น มีสี่ร่างที่น่าตะลึงอย่างยิ่ง และกลายเป็นจุดสนใจของทุกคน
หนึ่งในสี่ร่างนี้คือชายฉกรรจ์หัวล้าน คนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ แข็งแรงกำยำอย่างยิ่ง รูปร่างแตกต่างจากภูเขาเนื้อแบบเจ้าสวาปามอย่างเห็นได้ชัด แต่การปรากฏตัวของเขากลับทำให้ผู้คนรู้สึกถึงพลังระดับเคลื่อนย้ายพสุธา
เขาผู้นั้นสวมชุดคลุมยาวสีเหลือง พลานุภาพเหมือนสายรุ้ง นั่นก็คือเสินหลูเต้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนตัวของเขาคล้ายกับมีเตาไฟ ตอนนี้ขณะที่พุ่งไปบนท้องฟ้า เขาก็ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับท้องฟ้ากำลังจะถูกเผาอย่างไรอย่างนั้น ทำให้สาวกเนื้อคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ถูกสยบเอาไว้ ไม่อาจสู้เขาได้
มีเพียงเงาร่างอีกสามร่างเท่านั้นที่ยังเป็นปกติภายใต้กลิ่นอายเช่นนี้ของเขา หนึ่งในนั้นก็คือภูเขาเนื้อที่ดูไม่ต่างจากเจ้าสวาปามเท่าไรนัก
ภูเขาเนื้อผู้นี้สวมชุดคลุมสีขาว พลานุภาพของคนทั้งคนสะเทือนฟ้าดิน ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายแข็งแกร่งทรงพลังออกมา ยิ่งกว่านั้นที่ด้านหลังของเขากลับมีวงแสงมหึมาอยู่หนึ่งวง บนนั้นมีอักขระโบราณลวดลายซับซ้อน
แม้จะไม่มีคลื่นความร้อนแผ่ออกมาแบบเตาไฟ แต่บนร่างของเขากลับมีปราณโลหิตเข้มข้นสะเทือนสวรรค์อยู่ มันปะทุออกมา กระตุ้นความกระหายอยากของทุกคนที่มอง
คนผู้นี้ ก็คือผู้ที่จู่ๆ โดดเด่นขึ้นมา…เฟิงตี๋
ส่วนอีกสองคนนั้น คนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่ม เทียบกับทุกคนแล้ว ตัวตนของเขาพิเศษอย่างยิ่ง ดูคล้ายจะผอมโซเหมือนผีหิวโหย รอยยิ้มบนใบหน้าก็แปลกพิกล คล้ายไม่มีวันเลือนหาย ทางหนึ่งเดินไปยังท้องฟ้า อีกทางมองดูสาวกเนื้อคนอื่นๆ แล้วเลียริมฝีปาก ราวกับหิวโหยจนถึงที่สุดและกำลังข่มกลั้นสุดกำลัง
ส่วนคนสุดท้ายก็คือหวังเป่าเล่อ
เทียบกับคนอื่นๆ แล้ว รูปร่างของเขาธรรมดา ไม่อ้วนไม่ผอม ด้านหลังไม่มีวงแสง ภายในร่างไม่มีเตาสวรรค์ คล้ายไม่ได้น่าอัศจรรย์อะไรนัก แต่…บนตัวของเขากลับมีความเยือกเย็นที่ค่อยๆ ปะทุออกมาขณะที่กำลังเดินทางอยู่ตอนนี้
ความเยือกเย็นนี้ราวกับสามารถแช่แข็งเตาไฟ สยบปราณโลหิต และเมินเฉยต่อทุกสรรพสิ่งได้
นอกจากพวกเขาแล้ว สาวกเนื้อคนอื่นก็ด้อยกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด ถึงขนาดเป็นเหมือนดวงดาวข้างพระจันทร์อันเจิดจรัสภายใต้พลานุภาพของทั้งสี่คนอย่างไรอย่างนั้น แม้จะคงอยู่ แต่กลับต้องมืดสลัว
ทว่าก็จำเป็นต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงล่าสัตว์ ไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้นตอนนี้สาวกเนื้อเหล่านี้จึงทำได้เพียงกัดฟันบินไปยังวังน้ำวน ขณะเดียวกัน ส่วนใหญ่ก็เข้าไปใกล้กับผู้ที่สนิทสนม ถึงอย่างไรในงานเลี้ยงล่าสัตว์ครั้งนี้ แม้ระหว่างกันและกันจะไม่ปลอดภัย แต่ในบางครั้ง การเป็นพันธมิตรบางทีอาจจะสามารถรับประกันให้ชีวิตรอดไปจนถึงท้ายที่สุดได้มากก็ได้
เช่นนี้เอง ภายใต้ความสนใจของทุกคน สาวกเนื้อทั้งหมดในเมืองปรารถนารสก็กลายเป็นสายรุ้งยาว เข้าไปใกล้กับวังน้ำวนเรื่อยๆ ไม่นานเสินหลูเต้าก็เป็นคนแรกที่เข้าใกล้ เขาไม่ลังเลแม้แต่น้อย หันกลับมามองทุกคนด้านหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมองไปยังเฟิงตี๋กับหวังเป่าเล่อ ยิ้มเยาะให้ครั้งหนึ่ง ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในวังน้ำวน
ตามมาด้วยเฟิงตี๋ เขาไม่สนใจสายตาจากเสินหลูเต้า สีหน้าปราศจากอารมณ์ วงแสงด้านหลังเปล่งประกาย ปราณโลหิตยังคงพวยพุ่งมากมาย ความเร็วไม่ลดลงแม้แต่น้อย แล้วก็พุ่งเข้าไปในวังน้ำวนโดยตรง
เมื่อหวังเป่าเล่อและเด็กหนุ่มเฉิงหลิงจื่อที่เหมือนกับผีหิวโหยเข้ามาใกล้กับวังน้ำวนแทบจะพร้อมกัน ในชั่วพริบตาที่กำลังจะก้าวเข้าไป เฉิงหลิงจื่อก็ยกยิ้มให้กับหวังเป่าเล่อ
“พ่อข้าให้ข้าไปกินเจ้าข้างในนี้ แต่ข้าชอบเล่นซ่อนแอบ ดังนั้น…เจ้าต้องซ่อนตัวดีๆ นะ” กล่าวพลาง เฉิงหลิงจื่อก็เลียริมฝีปาก กำลังจะก้าวเข้าไปในวังน้ำวน
เสียงของเขาดังไปทั่วทุกทิศ ทำให้สาวกเนื้อที่ด้านหลังเหล่านั้นไม่อยากเข้าไปใกล้นัก ทุกคนที่อยู่รอบแท่นบูชาก็พากันสัมผัสได้ถึงความชั่วร้ายของเฉิงหลิงจื่อ
ส่วนเจ้าสวาปามทั้งแปดคนนั้นใบหน้าปราศจากอารมณ์ มีเพียงบิดาของเฉิงหลิงจื่อผู้เดียว ซึ่งก็คือถัวหลิงจื่อที่ตอนแรกต้องการสร้างความลำบากให้กับหวังเป่าเล่อแต่ถูกโจวหั่วขัดขวางเอาไว้ผู้นั้น แววตาของเขาสาดประกายชื่นชม
เขาชอบเด็กโอ้อวด และเฉิงหลิงจื่อก็เป็นบุตรชายคนที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา เขาเชื่อว่าครั้งนี้ต่อให้อีกฝ่ายไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าสวาปาม ก็คงไม่มีใครกล้าเสี่ยงหาเรื่องให้ตนเองอย่างการแตะต้องชีวิตของเฉิงหลิงจื่อหรอก
ถึงจะเป็นเจ้าสวาปามที่เลื่อนขั้นขึ้นมาใหม่ก็น้อยนักที่จะไม่เกรงกลัว
ส่วนปิงหลิงจื่อ เขาคิดว่าแม้จะแข็งแกร่ง ทว่าเขารู้จักบุตรชายของตนดียิ่งกว่า ดังนั้นจึงไม่เป็นกังวล
แต่ขณะที่เด็กหนุ่มเฉิงหลิงจื่อผู้เหมือนกับผีหิวโหยเปล่งวาจาออกมาเข้าหูของทุกคนนั้น หวังเป่าเล่อที่เดิมทีไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้างและกำลังจะเดินเข้าไปในวังน้ำวนก็เลิกคิ้วขึ้นทันที ร่างกายหายวาบในชั่วพริบตา ขณะต่อมากลับไปปรากฏตัวอยู่ด้านหลังเฉิงหลิงจื่อตรงๆ แล้ว
ขณะที่สีหน้าของเฉิงหลิงจื่อเปลี่ยนไป มือขวาของหวังเป่าเล่อก็ยกขึ้นมา ก่อนคว้าตัวเฉิงหลิงจื่อเต็มแรง
“บังอาจ ยังไม่ได้เข้าสู่สนามล่าก็กล้าลงมือแล้วหรือ รนหาที่ตายนัก!” ถัวหลิงจื่อข้างแท่นบูชามีประกายเย็นเยียบวาบอยู่ในดวงตา จู่ๆ ก็ยกมือขวาขึ้นพุ่งคว้าไปยังท้องฟ้าโดยพลัน
ทันใดนั้นก็ปรากฏเป็นมือยักษ์มายาข้างหนึ่งส่งเสียงกู่ก้องพุ่งสู่ท้องฟ้า โจวหั่วที่อยู่อีกด้านขมวดคิ้ว กำลังจะขัดขวาง แต่คลื่นผันผวนที่ทรงพลังยิ่งกว่ากลับแผ่ออกมาจากร่างของเจ้าสวาปามอันดับหนึ่งผู้มีใบหน้าปราศจากอารมณ์ และเข้าไปปกคลุมทั่วร่างของโจวหั่ว ทำให้ร่างกายของโจวหั่วสั่นไหว ไม่อาจขัดขวางได้อีก
ขณะที่หน้าเปลี่ยนสีอยู่นั้น มือยักษ์ที่ถัวหลิงจื่อแปลงออกมาก็อยู่บนฟ้าและพุ่งไปหาหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็วแล้ว ส่วนหวังเป่าเล่อนั้น เขาไม่แม้แต่จะมองมือยักษ์ข้างหลัง ตอนนี้ยกมือขวาขึ้น ยังคงจับตัวเฉิงหลิงจื่อไว้เช่นเดิม
“โง่เง่า!” เฉิงหลิงจื่อยิ้มเยาะ กฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสทั่วร่างระเบิดออกมา ร่างกายขยายใหญ่จนถึงแปดสิบกว่าจั้งอย่างรวดเร็ว เขาอ้าปากกว้างทันที ไม่ได้หลบหลีก กลับอ้าปากจะกลืนหวังเป่าเล่อ ปากใหญ่ของเขายิ่งเหนือจริงเข้าไปใหญ่ ชั่วพริบตาก็คล้ายถึงขอบเขตที่สามารถกลืนกินหวังเป่าเล่อเข้าไปทั้งตัวได้อยู่แล้ว
แววตาของเขาฉายแววโหดเหี้ยม ถึงอย่างไรที่ด้านหลังของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็มีมือยักษ์จากถัวหลิงจื่อ ตามการคาดเดาของเฉิงหลิงจื่อ ครั้งนี้…อีกฝ่ายไม่ตายก็คงบาดเจ็บสาหัส ยิ่งกำลังจะถูกเขาพลิกกลับมากลืนกินกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสไปส่วนหนึ่งอีกด้วย
“ต้องเข้าประตูก่อน!” ท่ามกลางความได้ใจของเฉิงหลิงจื่อ ประกายแสงในดวงตาก็แรงกล้ายิ่งขึ้น ทว่า…ชั่วขณะต่อมา ภาพที่ทำให้ร่างกายของเขาตกใจอย่างรุนแรงจนลูกตาแทบกระเด็นก็เกิดขึ้น
พลัง…กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งกว่า และพลานุภาพสะเทือนฟ้าดินนั้นทำให้เขารู้สึกว่ากฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสกำลังสั่นคลอน มันคล้ายกับลมพายุ และกำลังระเบิดพวยพุ่งมาจากบนร่างของหวังเป่าเล่อ
ร่างกายของเขาขยายใหญ่ขึ้นมาในชั่วพริบตา สามสิบจั้ง ห้าสิบจั้ง เจ็ดสิบจั้ง เก้าสิบจั้ง…
จนกระทั่งพริบตาต่อมา เขาก็มาถึงเก้าสิบเก้าจั้ง ยืนอยู่ระหว่างฟ้าดิน ราวกับยักษ์ที่ค้ำยันทุกสรรพสิ่ง สิ่งที่เปลี่ยนไปยังมีมือขวาของเขาที่ขยายใหญ่ขึ้นมาเช่นกัน ท่ามกลางความตกตะลึงของเด็กหนุ่มผีหิวโหย พลังพังพินาศทุกสิ่งอย่างง่ายดายก็ทำลายสิ่งกีดขวางทั้งหมด แล้วคว้าจับ…ลำคอของเฉิงหลิงจื่อไว้ทันที
“เจ้าชอบเล่นซ่อนแอบไหม”
เรื่องการเป็นเจ้าสวาปาม หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจมากนัก สำหรับเขาแล้ว ประโยชน์สำคัญที่สุดของการตระหนักรู้กฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสก็คือ…เข้าใจมหาเทพ
ตั้งแต่เขาตระหนักได้ว่าความจริงแล้วเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในโลกใบนี้ล้วนมาจากมหาเทพ หวังเป่าเล่อก็มีความคิดหนึ่ง ถ้าหากว่า…ตนตระหนักรู้เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาทั้งหมดได้อย่างสมบูรณ์ แล้ว…จะเกิดอะไรขึ้น
“มหาเทพจะตื่นขึ้น หรือว่า…ต่อจากนี้จะไม่มีวันตื่นอีก?” หวังเป่าเล่อหรี่ตา เดินอยู่บนถนนหินชนวนของเมืองปรารถนารส เงยหน้ามองฟ้า
แม้ว่าเขาจะมองทะลุท้องฟ้าจนเห็นโลกชั้นที่หนึ่งข้างบนไม่ได้ แต่อาศัยสัมผัสเชื่อมต่ออันเลือนราง เขาก็ยังสัมผัสได้ว่าบนท้องฟ้าไร้ขอบเขตแห่งนั้นมีร่างหนึ่งกำลังนั่งสมาธิอย่างเงียบงันอยู่ในโลกอีกใบ
ผ่านไปพักหนึ่งหวังเป่าเล่อก็ถอนสายตากลับมา แล้วก้าวเข้าในประตูร้านปิงหลิง
เวลาเคลื่อนผ่านไปอีกครั้ง เมื่อเทศกาลสวาปามสิ้นสุดลง การขยายตัวของร้านปิงหลิงก็ต่างไปจากเดิม ไม่ได้เก็บสินค้าเอาไว้อีกต่อไป แต่ส่งสินค้าแพร่กระจายไปทุกทิศโดยใช้ร้านเป็นศูนย์กลาง
ร้านแต่ละแห่งถูกริบมาหลังจากพวกผู้จัดการหญิงเข้าไปเยี่ยมเยียน จนกระทั่งใกล้จะผ่านไปหนึ่งเดือนแล้ว บนถนนในเขตตะวันออกของเมืองปรารถนารสที่ร้านปิงหลิงตั้งอยู่ก็เหลือร้านปิงหลิงอยู่แค่ร้านเดียว!
ส่วนร้านอื่นๆ ล้วนกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของร้านปิงหลิงโดยไม่มีที่ยกเว้น ทำให้ร้านอาหารชั้นยอดของเมืองปรารถนารสมีเพิ่มขึ้นมาหนึ่งแห่ง
และการขยายตัวกับความนิยมที่สมบูรณ์แบบของร้านปิงหลิงก็ได้พัดพากลิ่นอายแห่งปรารถนาไปทั่วทั้งเมืองปรารถนารส ทั้งยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงระดับน่ากลัวมาก ทำให้กฎเกณฑ์ปรารถนารสของหวังเป่าเล่อล้ำลึกขึ้นทุกวันๆ
ไม่มีใครรู้ว่าในช่วงหนึ่งเดือนนี้ กฎเกณฑ์ปรารถนารสของหวังเป่าเล่อบรรลุถึงระดับขั้นใดแล้ว เพียงแต่สัมผัสได้รางๆ แค่ว่า ขอเพียงใครคนหนึ่งก้าวเข้าไปบนถนนเส้นที่เขาอาศัยอยู่ ก็จะมีความกระหายอยากเข้มข้นอย่างควบคุมไม่ได้ขึ้นในใจทุกคน
และความแปลกประหลาดของที่แห่งนี้ก็ดึงดูดความสนใจของเจ้าสวาปามทั้งแปดในเมืองปรารถนารสแล้ว แต่บางทีอาจเป็นเพราะงานเลี้ยงล่าสัตว์กำลังจะเริ่มขึ้น ดังนั้นแม้จะมีการสืบดู แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางหรือรบกวนอะไร
เพราะว่า…ในหนึ่งเดือนมานี้ ผู้ที่ระเบิดพลังออกมานั้นไม่ได้มีแค่หวังเป่าเล่อคนเดียว ทั้งเมืองปรารถนารสมีอยู่สิบสามเขต ล้วนแล้วแต่เกิดการระเบิดในระดับที่ต่างกันทั้งสิ้น
และทุกที่ที่มีการระเบิดขึ้นล้วนมีสาวกเนื้อคนหนึ่งอยู่อย่างไม่มีข้อยกเว้น
เห็นได้ชัดว่าสำหรับสาวกเนื้อแล้ว เรื่องงานเลี้ยงล่าสัตว์มีความสำคัญเกี่ยวพันกับชีวิตอย่างยิ่ง ดังนั้นนอกจากบางคนที่ยังเลือกซ่อนตัวด้วยเหตุผลต่างๆ แล้ว คนที่เหลือส่วนใหญ่ก็พากันขยายระดับอย่างดุเดือดในช่วงหนึ่งเดือนนี้ และเสาะหาวิธีการดูดซับกลิ่นอายปรารถนารสให้ได้มากกว่านี้กันทั้งนั้น
ในบรรดาคนเหล่านี้ แม้ว่าการขยายระดับของหวังเป่าเล่อจะน่าตะลึง แต่ก็ไม่ใช่คนที่เลิศล้ำเหนือจริงมากที่สุด มีสามคนที่เลิศล้ำเหนือจริงยิ่งกว่าหวังเป่าเล่อ และหนึ่งในนั้นก็คือเสินหลูเต้า
เสินหลูเต้าไม่มีร้านเป็นของตัวเอง แต่เจ้าสวาปามที่เขาติดตามนั้นแข็งแกร่งที่สุดในเมืองปรารถนารส ในช่วงหนึ่งเดือนนี้ เขาได้มอบสถานที่ที่สามารถดูดซับกลิ่นอายแห่งปรารถนารสทั้งหมดในควบคุมไปให้เสินหลูเต้ามากที่สุดเท่าที่จะทำได้
หรือก็คือ เจ้าสวาปามผู้นั้นได้แบ่งปันการฝึกบำเพ็ญในช่วงหนึ่งเดือนของตนให้กับเสินหลูเต้า และกลิ่นอายแห่งปรารถนารสที่เจ้าสวาปามจำเป็นต้องใช้ในการฝึกฝนก็เรียกได้ว่ามีมหาศาล แต่มันได้ตกไปอยู่บนร่างของสาวกเนื้อคนหนึ่ง ดังนั้นระดับที่เขาระเบิดออกมาก็ย่อมสะเทือนฟ้าทีเดียว
นอกจากเสินหลูเต้าแล้ว ผู้ที่เลิศล้ำเหนือจริงอย่างยิ่งอีกสองคนนั้น ชื่อของหนึ่งในนั้นไม่โด่งดัง ราวกับก่อนหน้านี้ไม่เป็นที่สนใจอย่างยิ่ง เขากักตนอยู่ตลอดปี แต่เมื่อเดินออกมา กลับชักนำให้เกิดวังน้ำวนแห่งกลิ่นอายความปรารถนาส่วนหนึ่งของทั้งเมืองปรารถนารสขึ้น
ภาพนี้ทำให้ทุกคนในเมืองปรารถนารสตกตะลึงอย่างยิ่ง
ควรรู้ว่าการทำได้ถึงขั้นนี้ เจ้าสวาปามยังทำได้ยากอยู่สักหน่อย มีเพียงเจ้าแห่งปรารถนาเท่านั้นจึงจะมีอำนาจเช่นนี้ ดังนั้นเรื่องนี้จึงทำให้เกิดการคาดเดามากมาย ถึงขั้นมีข่าวลือว่าสาวกเนื้อลึกลับผู้นี้ น่าจะเป็นเหตุผลแท้จริงที่เจ้าแห่งปรารถนาเปิดงานเลี้ยงล่าสัตว์ครั้งนี้ขึ้น
ส่วนเรื่องชื่อของสาวกเนื้อผู้นี้ ไม่นานก็ถูกผู้ฝึกตนในเมืองปรารถนารสสืบรู้อย่างรวดเร็ว
คนผู้นี้มีนามว่า เฟิงตี๋
ส่วนคนสุดท้าย การปะทุของกฎเกณฑ์ปรารถนารสของเขาไม่ได้ทำให้เกิดอุบัติมากมายอะไร แต่เพราะตัวตนของคนผู้นี้คือบุตรชายสายตรงของเจ้าสวาปามถัวหลิงจื่อ นามว่าเฉิงหลิงจื่อ
ทั้งสามคนนี้ บวกกับหวังเป่าเล่อ ก็คือผู้ที่รวบรวมสายตาของทั้งเมืองปรารถนารสในช่วงหนึ่งเดือนมานี้ และกลายเป็นผู้ถูกเลือกที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นเจ้าสวาปามที่คนส่วนใหญ่คาดเดา
เช่นนี้เอง เทศกาลสวาปามอีกหนึ่งครั้งก็มาถึงช้าๆ และครั้งนี้ก็ต่างจากเมื่อก่อน เพราะสาวกเนื้อ…ไม่ได้ปรากฏตัว เมื่อกลุ่มคนและผู้ฝึกตนทั้งเมืองติดตามเจ้าสวาปามไปรวมตัวกันที่แท่นบูชา และเมื่อเจ้าแห่งปรารถนามาถึง เสียงโห่ร้องจากรอบข้างก็ดังขึ้นเช่นเคย จากนั้นตัวตนราวกับก้อนเนื้อบนแท่นบูชาผู้นั้นก็สะบัดมือขึ้นไปบนฟ้าอย่างแรง
ทันใดนั้นท้องฟ้าก็สะเทือนเลื่อนลั่น ราวกับโลกทั้งใบสั่นไหว เส้นทางวังน้ำวนมหึมาพลันปรากฏอยู่เหนือเมืองปรารถนารสและขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง จนมันชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
กระทั่งผ่านไปไม่กี่อึดใจ ผู้ฝึกตนในเมืองปรารถนารสทั้งหมดก็มองเห็นอย่างชัดเจนว่าวังน้ำวนสีดำมหึมาแห่งนั้นกำลังร้องลั่น ท่ามกลางสายฟ้ามากมายที่แผ่กระจายและเคลื่อนไหวอยู่นั้น ข้างในวังน้ำวนก็ปรากฏโลกเดี๋ยวจริงเดี๋ยวเลือนรางขึ้นช้าๆ
โลกแห่งนั้นทำให้ทุกคนรู้สึกไม่คุ้นเคย ผืนแผ่นดินดำสนิทในนั้นเผยกลิ่นคาวเลือดเข้มข้น ยิ่งเหมือนกับดินฝังศพ มันพร่าเลือน มองไม่เห็นซากปรักหักพังใดๆ ราวกับว่า…โลกข้างในวังน้ำวนแห่งนี้ก็คือหลุมศพในสนามรบ
ความเยือกเย็นและความตายคล้ายเป็นท่วงทำนองหลักในที่แห่งนี้ ทำให้ทุกคนในเมืองปรารถนารสถูกกดข่ม เสียงโห่ร้องถูกขัดจังหวะเป็นครั้งแรก
ถ้าแค่นั้นก็ช่างเถอะ แต่ขณะที่วังน้ำวนสีดำแห่งนี้หมุนวน ฉีกขาด และขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นในโลกดินฝังศพของวังน้ำวนก็มีเสียงร้องคำรามดังออกมา
เสียงคำรามนี้ส่งกลิ่นอายสั่นคลอนจิตใจ ราวกับมีลมพายุพัดมาจากวังน้ำวนเข้ามายังเมืองปรารถนารส ทำให้ทุกคนในเมืองปรารถนารสต่างกู่ร้องก้องอยู่ในใจ จากนั้นมือของศพเน่าเปื่อยขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นในวังน้ำวนตรงๆ คล้ายอยากจะยื่นเข้ามาในนี้ผ่านทางวังน้ำวนให้ได้
จะเห็นได้ว่าบนมือซากศพนั้นมีแมลงตัวสีดำจำนวนมากกำลังคลานเข้าคลานออกไม่หยุด แต่ละตัวน่าสะพรึงนัก ทำให้กลิ่นอายของมือซากศพข้างนี้น่ากลัวเข้าไปใหญ่ เมื่อมันกำลังจะเข้ามาใกล้ เจ้าแห่งปรารถนาของเมืองปรารถนารสบนแท่นบูชา ก้อนเนื้อใหญ่ยักษ์ผู้นั้น ก็พลันแค่นเสียงเย็นออกมา
เมื่อเสียงหัวเราะหยันดังขึ้น ทันใดนั้นมันก็ส่งผลต่อมือซากศพ แมลงสีดำพวกนั้นบนมือพากันกรีดร้องออกมาทันที ท่าทางคล้ายบ้าคลั่ง มันกลืนกินมือซากศพ รางกับความกระหายอยากของพวกมันถูกจุดติดอย่างสมบูรณ์ นอกจากกลืนกินมือศพแล้ว มันยังกัดกินกันเองอย่างดุเดือดเสียด้วย
เช่นนี้เอง มือศพที่ดูน่าสะพรึงกลัวข้างนั้นยังไม่ทันได้ยื่นออกมาจากในวังน้ำวน มันก็หายลับไปกับตา จนกระทั่งท้ายที่สุด ก็กลายเป็นแมลงสีดำกลุ่มหนึ่งที่กัดกินกันเอง และเมื่อก้อนเนื้อบนแท่นบูชาเริ่มดูด พวกมันก็ถูกสูบออกมาจากวังน้ำวนจนหมด ก่อนพุ่งเข้าไปในปากของก้อนเนื้อ
ยามที่เสียงเคี้ยวดังขึ้น ทุกคนในเมืองปรารถนารสก็รู้สึกขนพองสยองเกล้า แต่ขณะเดียวกันก็เกิดความกระหายอย่างรุนแรงขึ้นมาทีละคนๆ
“งานเลี้ยงเริ่มแล้ว สาวกเนื้อทุกคน ยังไม่เข้าไปอีก!” ขณะที่กลิ่นอายแห่งปรารถนารสเข้มข้น ก้อนเนื้อที่กลืนแมลงเข้าไปในปากและยืนอยู่บนแท่นบูชาก็เอ่ยเสียงเรียบ
เสียงนั้นดังก้องสะท้อนไปทั่วทั้งเมือง
…………………………………………..

 ถึงอย่างไร การที่มีเจ้าสวาปามคนที่เก้าปรากฏขึ้นในเมืองปรารถนารสก็เป็นสิ่งที่เจ้าแห่งปรารถนาต้องการเห็น  จงไห่จื่อแย้มยิ้ม มองหวังเป่าเล่อ

 น่าสนใจ แต่ถ้าอยากเห็นเจ้าสวาปามคนที่เก้าถือกำเนิดขึ้นจริงๆ เช่นนั้นสาวกเนื้อสักคนที่กลืนกินผู้ฝึกตนจำนวนมากได้ แม้จะไม่เต็มสมบูรณ์ แต่ก็น่าจะเลื่อนขั้นได้นะ แล้วเหตุใดจนถึงตอนนี้ในเมืองปรารถนารสจึงยังไม่มีเจ้าสวาปามคนที่เก้าเล่า  หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว

 การกลืนกินระหว่างสาวกเนื้อด้วยกัน แม้จะได้ประโยชน์มหาศาล แต่…ก็มีข้อจำกัด 

 ธรรมกายร้อยจั้งก็คือเจ้าสวาปาม แต่เมื่อถึงเก้าสิบเก้าจั้ง ความยากเข็ญของอีกหนึ่งจั้งที่เหลือยากลำบากเกินกว่าครั้งก่อนๆ ยิ่งนัก ดังนั้นการกลืนกินจึงต้องทำในชั่วขณะที่จะเลื่อนขั้นจริงๆ ถึงจะสามารถยืมกำลังของมันมารวบรวมผลึกสวาปามในตัวได้  ผู้ที่ตอบกลับหวังเป่าเล่อครั้งนี้ไม่ใช่จงไห่จื่อ หากแต่เป็นสาวกเนื้ออีกคน

คนผู้นี้ก็คือชายชราผู้นั้น ตอนนี้เขาเดินเข้ามา แย้มยิ้มให้กับหวังเป่าเล่อแล้วอธิบายให้ฟัง

 ไม่ผิด ไม่อย่างนั้นพวกข้าคงไม่อาจพูดคุยหัวเราะกันได้หรอก ชาวเนื้อนั้น แม้จะเป็นเครื่องพิสูจน์ความแข็งแกร่ง แต่ก็ต้องระวังอย่าได้กลายเป็นเนื้อของผู้อื่น  ชายชราส่ายหน้า รู้สึกทอดถอนใจอย่างยิ่ง จากนั้นก็ปราดมองหวังเป่าเล่อก่อนโพล่งออกมา

 แต่…จงไห่จื่อไม่ได้พูดถึงสถานการณ์อย่างที่สามที่สาวกเนื้อสามารถเข่นฆ่าได้ นั่นก็คือ…งานเลี้ยงล่าสัตว์ 

 งานเลี้ยงล่าสัตว์!  จงไห่จื่อได้ยินสีหน้าก็พลันเปลี่ยนไป เขาหันขวับไปมองชายชรา

 เรื่องนี้ ในปีนั้นถูกเจ้าสวาปามทั้งแปดร่วมกันหยุดยั้งเอาไว้แล้วนี่ หรือว่า… 

 ถูกต้อง ตามข้อมูลของข้าผู้เฒ่า งานเลี้ยงล่าสัตว์จะจัดขึ้นอีกครั้ง  ชายชราพยักหน้าเล็กน้อย ส่วนหวังเป่าเล่อ เมื่อได้ยินคำพูดของคนทั้งสอง ดวงตาก็ฉายแววประหลาด

สีหน้าของจงไห่จื่อที่อยู่ข้างๆ เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่มันเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาวไม่แน่นอน ชายชราก็หันมาอธิบายเรื่องงานเลี้ยงล่าสัตว์ให้หวังเป่าเล่อฟัง

งานเลี้ยงล่าสัตว์ที่ว่าก็คืองานที่จัดขึ้นปีละครั้งของเมืองปรารถนารส ตลอดมาล้วนยอดเยี่ยมยิ่งกว่าเทศกาลสวาปามเสียอีก เมื่อเจ้าแห่งปรารถนารสเริ่มงาน เขาจะให้ผู้เข้าร่วมทั้งหมดลงไปยังโลกด้านล่างเพื่อล่าสัตว์อสูรโบราณในนั้นมาเป็นวัตถุดิบอาหาร

โลกใบนี้แบ่งเป็นสามชั้น ชั้นที่ทุกคนอยู่คือชั้นที่สอง วิญญาณเทพเจ้าหลับใหลอยู่ในชั้นที่หนึ่ง และชั้นล่างสุดก็คือชั้นที่สาม ที่นั่นมีคนและอสูรนับไม่ถ้วนหลับใหลอยู่

ต้นกำเนิดของคนโบราณก็มาจากในนี้เอง แต่เมื่อเทียบกับคนโบราณที่ฟื้นขึ้นเหล่านั้นแล้ว ผู้คนในโลกชั้นล่างที่ยังไม่ฟื้นมักจะไร้จิตวิญญาณ เป็นเหมือนกับศพเดินได้ ขณะเดียวกันในนั้นก็ให้กำเนิดอสูรร้ายพิสดารเป็นพิเศษที่มีจำนวนมากยิ่งกว่า ดังนั้นจึงมีอันตรายอยู่มาก

แต่ขณะที่มีอันตราย ตัวของสัตว์ร้ายพวกนั้นก็เป็นวัตถุดิบชั้นยอดที่สุดเช่นกัน ตัวอย่างเช่นหนวดสีทองที่ถูกพบในโลกชั้นล่างเมื่อนานมาแล้ว แต่เจ้าแห่งปรารถนาคนหลังๆ ควบคุมมันได้และมีพลังสร้างสรรค์ขึ้นมาอย่างไม่จำกัด

นอกจากนี้ยังมีอันตรายอีกหนึ่งอย่างซึ่งมาจากเจตนาชั่วร้ายของพวกผู้ฝึกตนในเมืองปรารถนารส

เพราะว่าในงานเลี้ยงล่าสัตว์ทุกครั้ง เจ้าสวาปามจะไม่เข้าร่วม ดังนั้นผู้แข็งแกร่งที่สุดที่เข้าไปในนั้นก็คือสาวกเนื้อ เพราะอย่างนั้นเรื่องกลืนกินกันและกันที่ถูกห้ามไว้ในเมืองปรารถนารสจึงได้เกิดขึ้นแบบที่รู้กันดีในโลกชั้นล่าง

สำหรับเจ้าสวาปามแล้ว สาวกเนื้อใต้บัญชาได้ประโยชน์มากเท่าไรในโลกชั้นล่างก็จะเป็นตัวกำหนดส่วนแบ่งทางอำนาจของพวกเขาที่จะได้รับจากเจ้าแห่งปรารถนาด้วย

แต่สำหรับกลุ่มอิทธิพลในเมืองปรารถนารสแล้ว เนื่องจากเรื่องนี้ไม่อาจควบคุมผลประโยชน์และสิ่งที่เสียไปได้ ถึงขั้นมีโอกาสอย่างมากที่จะไม่ได้ส่วนแบ่งอำนาจด้วยซ้ำ ยิ่งกว่านั้นคือทำให้อิทธิพลใต้บัญชาของเจ้าสวาปามลดลงอย่างมาก ดังนั้นพวกเจ้าสวาปามจึงคัดค้านการจัดงานนี้

งานเลี้ยงล่าสัตว์นี้ก็หยุดจัดไปได้หลายปี แต่ครั้งนี้ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด เจ้าสวาปามทั้งแปดกลับไม่ขัดขวางอีก เรื่องนี้ทำให้สาวกเนื้อที่ถามถึงทุกคนรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ในใจ

 สาเหตุที่ถูกจัดขึ้นอีกก็เพราะว่าเจ้าแห่งปรารถนารู้สึกว่าจะมีเจ้าสวาปามคนที่เก้าปรากฏขึ้นในเมืองปรารถนารสของข้า และเจ้าสวาปามคนนี้ก็จะถือกำเนิดขึ้นในงานเลี้ยงล่าสัตว์ พวกเราส่วนใหญ่คิดว่า บางทีคนผู้นั้นอาจเป็นเสินหลูเต้า จึงเปิดงานล่าสัตว์ครั้งนี้ให้เป็นพิเศษ  หลังจากชายชราอธิบายเรื่องงานเลี้ยงล่าสัตว์ให้หวังเป่าเล่อฟังแล้ว ก็มีเสียงราบเรียบพร้อมกับอานุภาพกดดันดังเข้าไปในหูของทุกคน

เสียงนี้ดังขึ้น นั่นก็คือชายวัยกลางคน สวมชุดคลุมยาวสีม่วง ท่าทางน่าเกรงขาม ใบหน้าคล้ายคลึงกับโจวหั่วผู้เหมือนภูเขาเนื้ออย่างยิ่ง ตอนนี้พอเขามาถึง กฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสในร่างของคนในงานเลี้ยงทั้งหมดโดยรอบก็สั่นสะเทือนขึ้นมาเมื่อมองเห็นเขา สัมผัสเชื่อมต่อทำให้พวกเขารับรู้ถึงสถานะของผู้มาได้รางๆ

 คารวะเจ้าสวาปาม!  ชายชราและจงไห่จื่อ รวมถึงสาวกเนื้ออีกสองคนที่อยู่ไกลๆ ไม่ได้เข้ามาล้วนคำนับให้ทันทีเช่นกัน ผู้ฝึกตนคนอื่นในงานเลี้ยงก็ก้มหน้าลงตามๆ กัน

หวังเป่าเล่อก็ประสานหมัดคำนับด้วย เขามองออกว่าผู้ที่มาถึงคนนี้คือร่างแยก เห็นได้ชัดว่าร่างจริงของโจวหั่วใหญ่ยักษ์เกินไป ไม่เหมาะจะมาปรากฏตัวอยู่ในห้องโถงจัดเลี้ยงนัก ดังนั้นการที่ส่งร่างแยกมาจึงเป็นเรื่องสมควรแล้ว

แต่ถึงแม้จะเป็นร่างแยก แต่เพราะความกังวานของกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารส จึงทำให้อานุภาพกดดันของเขามีมหาศาล ทว่าเรื่องนี้ไม่ส่งผลใดๆ ต่อหวังเป่าเล่อเลย

 ที่เรียกพวกเจ้ามาในงานเลี้ยงครั้งนี้ก็เพื่อจะประกาศเรื่องนี้นี่แหละ  หลังจากโจวหั่วเดินมาถึง เขาก็กวาดมองพวกหวังเป่าเล่อ แล้วมองไปยังสาวกเนื้ออีกสองคนที่ตอนนี้รีบเดินเข้ามาแล้ว

 งานเลี้ยงล่าสัตว์จะเริ่มขึ้นในอีกหนึ่งเดือน ข้าหวังว่าพวกเจ้า ยามอยู่ในโลกชั้นล่าง…จะคำนึงถึงเรื่องรอดชีวิตเป็นอันดับแรก ส่วนปิงหลิงจื่อ เจ้าจะต้องระวังเสินหลูเต้าเอาไว้ วันนี้ตอนดูดซับอยู่ที่แท่นบูชา เจ้าได้กลายเป็นเหยื่อของเขาแล้ว  โจวหั่วมองไปยังหวังเป่าเล่อ

 เหยื่อหรือ  หวังเป่าเล่อแย้มยิ้ม ดวงตามีประกายแสงวาบผ่าน

โจวหั่วราวกับมองความคิดของหวังเป่าเล่อออก เขาหรี่ตาลง ไม่ได้กล่าวอะไร แต่เดินไปยังตำแหน่งประธานในห้องโถงจัดเลี้ยง ไม่พูดคุยเรื่องนี้อีก จากนั้นงานเลี้ยงก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

อาหารโอชะมากมายถูกส่งให้ พร้อมกับที่คนรับใช้บ้างงดงามบ้างหล่อเหลาจำนวนมากเดินสลับกันเข้ามา ความปรารถนาภายในงานเลี้ยงแห่งนี้ก็ยิ่งแพร่กระจาย มองจากไกลๆ มันเทียบได้กับความโกลาหลในเมืองปรารถนารสตอนนี้ด้วยซ้ำ ภายในคฤหาสน์ของโจวหั่วจึงแผ่ปราณมืดออกมา น่าตกตะลึงเช่นกัน

ปราณมืดเหล่านี้เป็นตัวแทนของความปรารถนารส เข้มข้นถึงขีดสุด จากที่ไกลๆ ผู้ฝึกตนในเมืองปรารถนารสล้วนไม่กล้าเข้ามาใกล้สักนิด

เพราะว่า…ทันทีที่เข้าใกล้ ร่างกายจะแปดเปื้อนอย่างไม่อาจควบคุมแล้วแห้งเหี่ยวในชั่วพริบตา

ที่แห่งนี้เข้าได้แค่ผู้มีกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาบรรลุถึงระดับหนึ่งหรือผู้ติดตามที่ถูกพาเข้ามาเท่านั้น ไม่อย่างนั้นล่ะก็ คนนอกทุกคนจะแปดเปื้อนโดยสมบูรณ์ และสูญเสียตัวตนไป

นี่ก็คือพลังแห่งกฎเกณฑ์ของความปรารถนา

แต่งานเลี้ยงก็ไม่ได้จัดอยู่นานนัก เมื่อการฆ่าฟันและการต่อสู้ที่เกิดจากเทศกาลข้างนอกจบลงแล้ว ขณะที่ค่ำคืนมืดมิดเข้าปกคลุมท้องฟ้าอย่างสมบูรณ์ งานเลี้ยงก็ดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุด

เมื่อทุกคนจากไปทีละคนๆ ครั้นหวังเป่าเล่อเรียกผู้จัดการร้านหญิงเข้ามาและไปกล่าวลากับโจวหั่ว โจวหั่วที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็พลันเอ่ยขึ้น

 ของขวัญไม่เลว 

 เจ้าสวาปามชอบก็ดีแล้วขอรับ  หวังเป่าเล่อตอบกลับพร้อมยิ้มน้อยๆ ของขวัญที่เขามอบให้กับเจ้าสวาปามโจวหั่วก็สี่ส่วนของคลังน้ำเย็นหล่อวิญญาณในร้าน

โจวหั่วปราดมองหวังเป่าเล่อ หลังจากครุ่นคิด เขาก็เอ่ยต่ออย่างมีนัยลึกซึ้ง

 ต้นกำเนิดของเจ้าไม่สำคัญ ต่อให้ฝึกกฎเกณฑ์แห่งสุขมาก่อนก็ไม่เป็นไร แต่นี่อยู่ในสถานการณ์ที่เจ้าไม่มีศัตรูคนอื่นนอกเมืองปรารถนารส ทว่าหากเจ้าได้กลายเป็นเจ้าสวาปามคนที่เก้าแบบที่เจ้าแห่งปรารถนาสัมผัสได้ เช่นนั้น…ศัตรูของเจ้า ก็คือศัตรูของเมืองปรารถนารสด้วย 

 เพราะเจ้าคือตัวแทนของกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารส  กล่าวจบ โจวหั่วก็ไม่เอ่ยต่ออีก

หวังเป่าเล่อได้ยินสีหน้าก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด เพียงแค่ประสานหมัดคำนับ ก่อนหันกายจากไป

จนกระทั่งเดินออกมาจากคฤหาสน์ของโจวหั่วแล้ว ขณะที่ผู้จัดการร้านหญิงไม่ได้สังเกต ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็มีประกายสนอกสนใจวาบผ่าน

 เจ้าสวาปามคนที่เก้าหรือ 

……

 

คำตอบชัดเจนมาก

เป็นไปได้มากว่าต้นกำเนิดของเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในโลกชั้นที่สองนั้น…มาจากมหาเทพ

มหาเทพผู้หลับใหล อารมณ์ของเขากลายเป็นเจ็ดอารมณ์ ความต้องการของเขากลายเป็นหกปรารถนามาเติมเต็มโลกใบนี้ เปลี่ยนแปลงทุกอย่างของที่นี่ ส่งผลต่อทั้งหมดของที่นี่ เป็นเพราะความเผด็จการของเขา ดังนั้นกฎเกณฑ์อย่างอื่นในที่นี่นอกเหนือจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาล้วนถูกผลักไสทั้งหมด

นอกจากจะเป็นเหมือนเมืองโบราณซึ่งได้รับการยอมรับในแง่หนึ่ง ไม่อย่างนั้นกฎเกณฑ์ข้างนอกทุกอย่างก็ล้วนไม่มีทางนำมาใช้กับที่นี่ได้

ทันทีที่ใช้ออกมาก็จะเรียกให้วิญญาณจักรพรรดิปรากฏกาย

หวังเป่าเล่อเหลือบมองก้อนเนื้อใหญ่โตผู้นี้อย่างล้ำลึก เมื่อเขาสะบัดมือ หนวดทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็บินว่อนไปรอบด้าน เสียงโห่ร้องกึกก้องราวกับอสนีสวรรค์ กลิ่นอายแห่งปรารถนารสเข้มข้นระเบิดออกมา จากนั้นเขาก็ถอนสายตากลับ

เมื่อเขาถอนสายตากลับแล้ว กลิ่นอายแห่งปรารถนารสในที่แห่งนี้ก็พลุ่งพล่านทันที หลังจากถูกเจ้าแห่งปรารถนากลืนกินจนเหลืออยู่สี่ส่วน เงาร่างของเขาก็หายวับ

หลังจากเขาหายไปแล้ว แววตาของเจ้าสวาปามทั้งแปดคนก็เผยประกายประหลาด โคจรพลังกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสในร่างแล้วเริ่มกลืนกิน เมื่อพวกเขากลืนกินอยู่นั้น ภาพที่หวังเป่าเล่อมองเห็นไม่ชัดตอนมาที่นี่ครั้งแรกเพราะยังไม่ได้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนารส ก็ปรากฏขึ้น

เขามองเห็นชัดเจนว่ารอบตัวของเจ้าสวาปามทั้งแปดมีหลุมดำแปดแห่งปรากฏขึ้นมา หลุมดำขนาดเล็กที่สุดจากแปดแห่งล้วนสูงใหญ่ถึงร้อยจั้ง ส่วนหลุมดำที่น่ากลัวที่สุดนั้นอยู่ตรงข้ามกับโจวหั่ว เป็นเจ้าสวาปามที่อยู่อีกฝั่งของแท่นบูชา หลุมดำของเขาคาดไม่ถึงว่าจะใหญ่ถึงเจ็ดร้อยจั้ง

ในชั่วพริบตาพวกเขาทั้งแปดดูดซับกลิ่นอายแห่งปรารถนารสรอบด้านอย่างดุเดือด ขณะเดียวกัน สาวกเนื้อที่อยู่ข้างกายเจ้าสวาปามทั้งแปดก็ค่อยๆ เริ่มดูดซับบ้าง

และวังน้ำวนของพวกเขาก็เล็กกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด ขนาดอยู่ระหว่างสิบกว่าถึงเจ็ดสิบจั้ง ดังนั้นจึงเกิดความต่างในเรื่องการดูดซับ เมื่อเห็นทุกอย่างแล้ว หวังเป่าเล่อก็หรี่ตา สูดหายใจลึก

ทันใดนั้นผลึกแก้วแห่งกฏเกณฑ์ปรารถนารสในตัวเขาพลันเจิดจรัส ก่อตัวเป็นแรงดึงดูดมหาศาล มันปรากฏออกมาข้างนอก กลายเป็นวังน้ำวนขนาดราวๆ สี่สิบจั้ง และเข้าไปดูดซับด้วยเช่นกัน

เมื่อกลิ่นอายแห่งปรารถนารสอันเข้มข้นถูกสูบเข้ามา ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็เปล่งประกายสว่างไสว เขาสัมผัสได้ว่ากฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสของตนกำลังเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่ไม่คาดคิด

แม้จะไม่ได้รวดเร็วเท่าตอนที่กลืนกินสาวกเนื้อผู้อยู่เบื้องหลังเกล็ดโลหิตก่อนหน้านี้ แต่มันยืดยาวกว่า โอนอ่อนกว่า ดังนั้นจึงได้ประโยชน์มามากกว่า

เหมือนกับร่างกายอยู่ท่ามกลางของบำรุงมหาศาล ขณะที่กฎเกณฑ์แจ่มชัดบริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกทรงพลังก็ถูกส่งกลับมาจากกฎเกณฑ์เช่นกัน

สิ่งนี้ทำให้ประกายแสงในดวงตาของหวังเป่าเล่อเจิดจรัส เขาจึงคลายการจำกัดตนเล็กน้อยอีกครั้ง พริบตาต่อมา เมื่อวังน้ำวนของเขากู่ร้องก้อง มันก็ขยายใหญ่ขึ้นเป็นห้าสิบกว่าจั้งทันที จากนั้นก็ขยายต่อไปจนถึงเจ็ดสิบกว่าจั้งอีกครั้ง

เดิมทีมันยังสามารถขยายใหญ่ต่อไปได้อีก แต่หวังเป่าเล่อรู้ว่าทุกอย่างไม่อาจมากเกินไป ดังนั้นจึงกลืนกินกลิ่นอายแห่งปรารถนารสโดยที่พยายามควบคุมสุดกำลังเพื่อรักษาขอบเขตนี้เอาไว้

แม้ว่าควบคุมอยู่ตรงนี้ แต่การมีอยู่ของเขาก็ได้เปลี่ยนไปแล้ว เพียงพริบตาก็ดึงดูดความสนใจจากสาวกเนื้อคนอื่นๆ และเจ้าสวาปามได้ โดยเฉพาะหลังจากเห็นวังน้ำวนของหวังเป่าเล่อใหญ่ถึงเจ็ดสิบกว่าจั้ง สาวกเนื้อแทบทุกคนก็ดวงตาหดเกร็ง แม้แต่เจ้าสวาปามก็ยังเผยประกายแสงแปลกประหลาดแล้วกวาดตามองหวังเป่าเล่อด้วย

ความจริงแล้วตอนนี้ในหมู่สาวกเนื้อ ผู้ที่บรรลุถึงเจ็ดสิบจั้งมีเพียงสองคนเท่านั้น คนหนึ่งคือหวังเป่าเล่อ ส่วนอีกคนก็คือชายฉกรรจ์หัวล้านลูกน้องของเจ้าสวาปามที่อยู่ข้างหลุมดำใหญ่เจ็ดร้อยจั้งผู้นั้นนั่นเอง

ชายฉกรรจ์ผู้นี้ไม่เพียงแต่หัวล้าน แม้แต่ขนคิ้วก็ยังไม่มี แต่การที่เขายืนอยู่ตรงนั้น ผู้ฝึกตนทั้งหมดที่มองเห็นเขาก่อนหน้านี้ล้วนมีสีหน้าเคารพนบน้อมแบบที่เป็นรองแค่การเคารพเจ้าสวาปามเท่านั้นด้วยซ้ำ

คนผู้นี้คือสาวกเนื้ออันดับหนึ่งในเมืองปรารถนารส

ตอนนี้เขาได้สังเกตเห็นความผิดปกติของหวังเป่าเล่อแล้ว จึงเงยหน้ามองด้วยความเย็นชา แววตาเปล่งประกาย

 ชื่อเขาคือเสินหลูเต้า ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีโอกาสเลื่อนขั้นเป็นเจ้าสวาปามคนที่เก้าในรอบพันปี เจ้าถูกเขาเพ่งเล็งแล้ว  หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าเช่นกัน ครั้นเขามองไปยังผู้ฝึกตนหัวล้านผู้นั้น ข้างหูของเขาก็มีเสียงอ่อนโยนดังขึ้นมา

ผู้ที่กล่าวก็คือสาวกเนื้ออีกคนใต้บัญชาโจวหั่ว เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อหันมามอง สาวกเนื้อที่พูดก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้า

 เขาอยากจะกินเจ้า  สาวกเนื้อที่กล่าวเอ่ยต่อ

 ในเมืองปรารถนารส ระหว่างสาวกเนื้อที่อยู่ใต้บัญชาของเจ้าสวาปามแต่ละคนจะถูกยกเว้นให้ต่อสู้กันได้โดยไม่จำกัด ซึ่งจะเกิดขึ้นด้วยเหตุการณ์สองอย่าง เรื่องถึงชีวิตก็ถูกแทรกแซงได้ด้วย…รอถึงงานเลี้ยงแล้วข้าค่อยบอกเจ้าอีกที 

หวังเป่าเล่อพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยอะไร แต่แววตาที่มองไปยังเสินหลูเต้าผู้นั้นกลับหรี่ลง ไม่นานก็ถอนสายตากลับ และเสินหลูเต้าผู้นั้นก็ถอนสายตากลับไปเช่นกัน

เช่นนี้เอง ระหว่างที่ทุกคนดูดซับกันอยู่นั้น ไม่นานกลิ่นอายแห่งปรารถนารสรอบๆ แท่นบูชาก็ค่อยๆ ลดลง จนกระทั่งหายไปจนหมด ฝูงชนกระจัดกระจายไปไล่ตามหนวดสีทองทันที

เมื่อเทศกาลมาถึงช่วงนี้ สำหรับพวกเจ้าสวาปามกับสาวกเนื้อ มันนับว่าเสร็จสิ้นแล้ว แต่สำหรับหวังเป่าเล่อ ต่อจากนี้…เป็นเวลาที่เขาจะได้เข้าร่วมกลุ่มอย่างสมบูรณ์

โดยเฉพาะก่อนที่จะแยกย้ายกัน โจวหั่วยังเหลือบมองหวังเป่าเล่ออย่างลึกล้ำอีกคราหนึ่งด้วย

หวังเป่าเล่อประสานหมัดคำนับ ไม่ได้กล่าวอะไร เขาเดินไปกับสาวกเนื้อคนอื่นๆ แล้วแยกย้ายกันไป

งานเลี้ยงยามเย็นของโจวหั่วกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว

งานเลี้ยงครั้งนี้อนุญาตให้สาวกเนื้อนำผู้อยู่ใต้บัญชามาด้วยได้ และผู้ที่หวังเป่าเล่อพาไปด้วยก็คือผู้จัดการร้านหญิง นางแต่งกายเต็มยศทั้งที่ในใจนั้นประหม่าและตื่นเต้น ขณะเดียวกันก็เตรียมของขวัญชุดหนึ่งมาด้วย

ในค่ำคืนแห่งเทศกาลสวาปามเช่นนี้ เมื่อเทียบกับการฆ่าฟันต่อสู้ข้างนอกและเสียงคำรามตื่นเต้นกับเสียงคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดแล้ว ภายในห้องโถงจัดเลี้ยงในคฤหาสน์ของโจวหั่วนั้นมีโคมไฟสว่างไสวและเสียงหัวเราะสุขใจดังลั่น

ผู้มีกินใต้บัญชาของโจวหั่วทั้งหมดล้วนมารวมตัวกันที่นี่ พวกคนใช้มากมายต่างยกอาหารเลิศรสแต่ละอย่างมาจากชั้นบนอย่างต่อเนื่อง ผู้ที่มีสิทธิมาที่นี่ทั้งหมดล้วนได้กินอย่างไม่จำกัด

ทั้งหมดนี้ ขณะที่มันเป็นประสบการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนของผู้จัดการร้านหญิง มันก็ยังเป็นครั้งแรกในชีวิตนางด้วยเช่นกัน ส่วนหวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจเรื่องเหล่านี้ พอมาถึงก็ให้ผู้จัดการร้านหญิงร่วมงานเอง ส่วนตนเดินเข้าไปในห้องโถงจัดเลี้ยง ไปหาสาวกเนื้อที่เคยแนะนำเสินหลูเต้าให้กับเขา ผู้ซึ่งถูกผู้ฝึกตนระดับมีกินเจ็ดแปดคนรายล้อมอย่างเคารพ

เมื่อเขาเดินเข้ามาหา ผู้มีกินที่อยู่รอบตัวสาวกเนื้อผู้นั้นก็พากันถอยไป

 ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ข้างแท่นบูชาไม่สะดวกพูดคุย จึงยังไม่ได้แนะนำตัวเอง ข้าน้อยนามจงไห่จื่อ  สาวกเนื้อผู้นี้มองหวังเป่าเล่อคราหนึ่ง เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

 สหายเต๋าจงไห่ โปรดบอกถึงสถานการณ์สองอย่างที่อนุญาตให้สาวกเนื้อเข่นฆ่ากันด้วยเถิด  หวังเป่าเล่อเดินเข้ามาใกล้ พลางหยิบไหสุราจากคนใช้ที่อยู่ข้างๆ มาหนึ่งไหแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน

จงไห่จื่อผู้นี้อยากสนิทสนมกับหวังเป่าเล่ออย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นจึงตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม

 อย่างแรกนั้นก็เป็นสาวกเนื้อที่เลื่อนขั้นใหม่แบบสหายเต๋าปิงหลิง ซึ่งจะมีเจ้าสวาปามดึงเข้าพวกและคอยให้ท้าย 

 อย่างที่สองก็คือ…ในช่วงเวลาสำคัญของการเลื่อนขั้น พฤติกรรมกลืนกินสาวกเนื้อคนอื่นในช่วงนี้จะไม่ถูกขัดขวาง 

 และแม้ว่าเสินหลูเต้าคนนี้จะยังไม่ถึงระดับสูงสุด แต่มีข่าวลือว่าพลังที่แท้จริงของเขาอยู่ไกลกว่าที่แสดงให้เห็นในปัจจุบันแล้ว ดังนั้นสหายเต๋าปิงหลิง เจ้าจะต้องระวังตัวไว้  จงไห่จื่อมองหวังเป่าเล่ออย่างล้ำลึก

…………………………………….

 

เทศกาลสวาปามในเมืองปรารถนารสจัดขึ้นเดือนละครั้ง ตั้งแต่ก่อตั้งเมืองปรารถนารสมา ประเพณีนี้ไม่เคยหยุดชะงัก มันดำเนินต่อมาจนถึงทุกวันนี้
เทศกาลนี้ไม่ใช่แค่ประเพณี แต่ยังเป็นเหตุผลที่ทำให้เมืองปรารถนารสมีจำนวนประชากรเยอะมาก ที่สำคัญกว่านั้นคือมันตอบสนองความต้องการของผู้ฝึกกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสทุกคนในเมืองปรารถนารสด้วย
แม้ว่ากลิ่นอายแห่งปรารถนารสส่วนใหญ่ล้วนถูกเจ้าแห่งปรารถนาสูบไปแล้ว แต่ที่ยังเหลือก็ยังทำให้เจ้าสวาปามกับสาวกเนื้อทั้งหมดได้รับประโยชน์มหาศาลอยู่ดี
และผลประโยชน์เช่นนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะได้กันทุกคน ต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติในระดับหนึ่งถึงจะดูดซับได้โดยไม่ถูกขัดขวาง สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับอำนาจของเจ้าสวาปามทั้งแปดและการเลือกของสาวกเนื้อ
กล่าวได้ว่าในเมืองปรารถนารส จะผู้อิ่มท้องก็ดี ผู้มีกินก็ช่าง ความจริงล้วนเป็นตัวตนที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ ตราบใดที่ตายกันไม่มาก พวกเขาก็ล้วนไม่สำคัญอะไรนัก
แม้ดูแล้วพวกเขาจะอยู่ชั้นกลาง แต่กล่าวกันตามจริง ล้วนเป็นแค่ชนชั้นล่างเท่านั้น
ในเมืองปรารถนารส ผู้ที่มีสถานะสำคัญจริงๆ นอกจากเจ้าแห่งปรารถนาแล้ว ก็มีแค่เจ้าสวาปามกับสาวกเนื้อเท่านั้นเอง พวกแรกมีสถานะยิ่งใหญ่ จำนวนคนน้อยมาก พวกหลังเองก็แข็งแกร่ง ยิ่งมีโอกาสเติบโตขึ้นไปอีก
ดังนั้น ท่าทีของเจ้าสวาปามต่อสาวกเนื้อจึงเป็นการอยู่ร่วมกันแบบเข้าเป็นพวกและกดขี่ข่มเหงเสียมาก เข้าเป็นพวกกับผู้ที่ยินดีพึ่งพาตนเอง และกดขี่สาวกเนื้อที่อยู่ใต้บัญชาของเจ้าสวาปามคนอื่น
แม้โอกาสที่สาวกเนื้อจะเลื่อนขั้นไปเป็นเจ้าสวาปามจะมีไม่มาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังมีอยู่ ถึงอย่างไรพวกเจ้าสวาปามทั้งแปดคนก็เลื่อนขั้นกันมาแบบนี้ ดังนั้นการดึงเข้าเป็นพวกก็สามารถมองได้ว่าเป็นการลงทุนล่วงหน้าอย่างหนึ่ง
แต่ก็ผ่านหลายปีมาแล้วที่เมืองปรารถนารสไม่มีเจ้าสวาปามคนใหม่กำเนิดขึ้น
เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเหตุผลที่ทำให้โจวหั่วลงมือ ถึงอย่างไรการที่หวังเป่าเล่อเป็นสาวกเนื้อคนใหม่นี้ แม้ที่มาของเขาจะคาดเดาไม่ได้และแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับเมืองปรารถนารสแล้ว พวกเขาไม่สนใจตัวตนของอีกฝ่าย มองแค่กฎเกณฑ์ที่ฝึกตนเท่านั้น
บวกกับที่หวังเป่าเล่อจัดการเรื่องราวได้อย่างงดงาม หลังจบเรื่องก็ส่งน้ำเย็นหล่อวิญญาณมาให้หนึ่งพันขวด แม้ว่ามันจะไม่ใช่ของมีคุณค่ายิ่งใหญ่อะไรในสายตาของเจ้าสวาปามโจวหั่ว แต่ท่าทีของหวังเป่าเล่อก็แสดงออกมาชัดเจนมากแล้ว
เพราะอย่างนั้น เขาถึงได้ส่งคำเชิญไป
เชิญให้หวังเป่าเล่อเข้าร่วมเป็นพรรคพวกกับเขา แบ่งปันกลิ่นอายแห่งปรารถนารสด้วยกัน
ขอเพียงหวังเป่าเล่อยอมรับ เช่นนั้นก็จะเท่ากับว่าได้ผูกพันธมิตรกับโจวหั่วแล้ว
สำหรับคำเชิญเช่นนี้ หวังเป่าเล่อย่อมไม่ปฏิเสธ เดิมทีนี่ก็เป็นแผนการของเขาเช่นกัน
ในความเข้าใจของเขา หากอยากผสานรวมกับกลุ่มอิทธิพลแห่งหนึ่งได้อย่างแท้จริงก็ต้องมีสถานะสำคัญอย่างยิ่งในกลุ่มอิทธิพลนั้น เรื่องนี้เขาในตอนนี้ยังทำไม่สำเร็จสมบูรณ์ นับว่าได้ก้าวเข้าไปขั้นแรกเท่านั้น
แต่หวังเป่าเล่อรู้สึกสนใจต่อกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันเขาก็ค้นพบว่า…ตนคล้ายจะมีต้นทุนพิเศษต่อการฝึกฝนเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาอย่างมาก
ไม่ว่าจะเป็นสุข หรือว่าปรารถนารสอย่างวันนี้ เขาเหมือนจะเข้าใจพวกมันได้รวดเร็วนัก
“น่าจะเกี่ยวกับระดับขั้นฝึกตนของร่างจริงข้าด้วยหรือเปล่า” ปรากฏการณ์เช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็เคยครุ่นคิดอยู่บ้าง คำตอบนั้นมีหลากหลาย และระดับขั้นการฝึกตนก็คือหนึ่งในนั้น
ส่วนคำตอบอื่นๆ…หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ในแววตามีประกายประหลาดวาบผ่าน
เป็นเช่นนี้ หลังจากตอบกลับพ่อบ้านคฤหาสน์ของโจวหั่วผู้มาส่งคำเชิญแล้ว เวลาก็เคลื่อนผ่านไปแล้วสามวัน และเทศกาลสวาปาม…ก็มาถึง
นี่คือเทศกาลสวาปามครั้งที่สี่ที่หวังเป่าเล่อได้ประสบในเมืองปรารถนารส นอกจากครั้งแรกที่เขาเข้าร่วมด้วยตัวเองแล้ว สองครั้งต่อมาเขาล้วนไม่ได้ออกไปจากร้าน เพียงแค่สังเกตการณ์ดูเท่านั้น
และครั้งที่สี่นี้ วิธีการเข้าร่วมของเขาก็แตกต่างจากก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง เมื่อยามเช้าตรู่มาถึงและกลิ่นอายแห่งวันเทศกาลแพร่กระจาย ขณะที่ผู้ฝึกตนทั่วทั้งเมืองเริ่มพากันส่งเสียงโห่ร้อง ตัวตนที่ราวกับภูเขาเนื้อทั้งแปดตนก็ถูกลูกน้องเหล่านั้นแบกขึ้นแล้วเดินจากคฤหาสน์เจ้าสวาปามทั้งแปดแห่ง
หลังออกเดินมาแล้วก็พากันเคลื่อนขบวนตามเส้นทางที่กำหนดในเมือง เงาร่างที่กักตนอยู่หลายร่างเดินออกมาจากทิศทางที่ต่างกัน ก่อนจะวาบหาย แล้วมาปรากฏตัวอยู่ในกลุ่มของเจ้าสวาปามแต่ละคน
เงาร่างเหล่านี้ล้วนเป็นสาวกเนื้อ ขณะเดียวกันก็ยังมีผู้มีกินที่อยู่ใต้บัญชาของเจ้าสวาปามแต่ละคนด้วย ล้วนมาถึงกันตามๆ กันก่อนจะเข้าไปรวมกับกลุ่มขบวนของแต่ละคน
พักหนึ่ง เสียงโห่ก้องร้องตะโกนก็ดังอยู่ในเมืองอย่างต่อเนื่อง ยิ่งกว่านั้นยังมีผู้ฝึกตนและชาวเมืองจากสองข้างทางเข้ามาร่วมด้วย เมื่อบรรยากาศของเทศกาลสวาปามเริ่มพวยพุ่งขึ้น หวังเป่าเล่อก็เดินออกจากร้าน เงาร่างพลันหายวาบ พริบตาต่อมา…เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ในกลุ่มขบวนของโจวหั่ว หนึ่งในเจ้าสวาปามทั้งแปดคนแล้ว
การปรากฏตัวของเขา โจวหั่วรับรู้ได้ตั้งแต่ชั่วขณะแรก ร่างกายราวภูเขาเนื้อค่อยๆ หันหน้ามา แล้วเหลือบมองหวังเป่าเล่อที่ปรากฏตัวอยู่ด้านหลังอย่างล้ำลึก
หวังเป่าเล่อก็มองไปยังโจวหั่ว ในร่างกายใหญ่มหึมาของอีกฝ่ายมีคลื่นความร้อนราวกับเตาไฟน่าตกตะลึงอย่างยิ่งแผ่ออกมา ทำให้หวังเป่าเล่อที่ต้องคาดเดาถึงผลสะท้อนของกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสขึ้นใหม่ประสานหมัดคำนับ
ใบหน้าของโจวหั่วแย้มยิ้ม พยักหน้า ไม่ได้กล่าวอะไร แล้วเคลื่อนขบวนต่อไป
พร้อมกันนั้น รอบกายของหวังเป่าเล่อก็มีสายตาสี่คู่จดจ้องมาตามๆ กัน หวังเป่าเล่อแค่เหลือบมองโดยอาศัยสัมผัสเชื่อมต่อก็สังเกตเห็นแล้วว่ารอบตัวของเขามีผู้ฝึกตนสี่คนที่มีกลิ่นอายบนร่างไม่ต่างจากตนนัก
สี่คนนี้ คนหนึ่งเป็นชายชรา สามคนเป็นวัยกลางคน คลื่นผันผวนของกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสบนร่างของพวกเขาแสดงเห็นชัดว่าพวกเขามีพลังระดับสาวกเนื้อ หลังจากสบตากับหวังเป่าเล่อ สีหน้าของทั้งสี่ก็นิ่งสงบ ก่อนพยักหน้าน้อยๆ
สำหรับสาวกเนื้อที่โผล่ขึ้นมาใหม่ผู้นี้ ในใจของพวกเขาก็รู้สึกกลัวเช่นกัน ถึงอย่างไรความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายก็เกิดจากการต่อสู้สังหารสาวกเนื้อ ส่วนหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้มีนิสัยสร้างศัตรูไปทั่ว ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตอบกลับ
หลังจากสองฝ่ายนับว่าได้ทักทายกันเบื้องต้นแล้ว ก็เคลื่อนขบวนต่อไป
ขณะที่บรรยากาศของงานเทศกาลเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ และกลุ่มคนที่อยู่หลังขบวนก็เพิ่มมากขึ้นนั้น ช่วงเวลาสำคัญของเทศกาลสวาปามก็มาถึง หลังจากเจ้าสวาปามทั้งหมดมารวมตัวกันที่แท่นบูชาตรงกลาง เจ้าแห่งปรารถนา…ก็ปรากฏ
เมื่อเสียงโห่ร้องดังกึกก้อง และก้อนเนื้อมหึมาน่าตกตะลึงผู้นั้นปรากฏตัวกลางแท่นบูชา หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ด้านหลังโจวหั่วก็เงยหน้ามอง ครั้งแรกที่มายังเมืองปรารถนารส เขายืนอยู่ในฝูงชนไกลๆ แต่วันนี้ เขาอยู่ห่างจากก้อนเนื้อผู้นั้นเป็นรองแค่ตำแหน่งเจ้าสวาปามเท่านั้นเอง
ตำแหน่งนี้ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสที่เข้มข้นจนถึงที่สุดบนร่างของอีกฝ่าย จนมันกลายเป็นแหล่งกำเนิดได้ชัดเจนยิ่งกว่า กฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสของอีกฝ่ายส่งผลต่อทั่วทั้งเมือง อีกทั้งยังอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างสมบูรณ์อีกต่างหาก
จากการคาดเดาของหวังเป่าเล่อ ทันทีที่อีกฝ่ายแผ่พลังออกมาโดยสมบูรณ์ ชั่วพริบตา…ก็จะทำให้ทั่วทั้งโลกาชั้นที่สองกลายเป็นโลกแห่งปรารถนารสได้เลย
แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าแห่งปรารถนาคนอื่นๆ ในโลกชั้นที่สองต้องไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้แน่
“นอกเสียจากเจ้าปรารถนาผู้นี้จะสิ้นชีพเท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครสามารถฝึกฝนกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสได้จนถึงระดับนี้ขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่แน่”
“มิติเต๋าต้นกำเนิดช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ในโลกเล็กๆ เช่นนี้…กลับมีผู้เยี่ยมยุทธ์แบบนี้อยู่ตั้งหลายคน” หวังเป่าเล่อหรี่ตา จ้องมองไปที่ก้อนเนื้อตรงหน้า
อีกฝ่ายคือผู้แข็งแกร่งสะเทือนฟ้าที่สามารถต่อสู้กับร่างจริงของเขาได้
“เช่นนั้น กฎเกณฑ์แห่งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนากำเนิดขึ้นมาที่นี่ได้อย่างไรกันนะ…หรือต้องพูดว่า พวกมันมาจากที่ไหน…” หวังเป่าเล่อเงียบงัน ในใจมีคำตอบไม่มากก็น้อยแล้ว
“มหาเทพไงล่ะ”
…………………………………
คืนนั้น ในเมืองปรารถนารสมีน้อยคนนักที่จะสงบสติอารมณ์ได้จนถึงยามฟ้าสาง
เป็นเพราะการต่อสู้ของชาวเนื้อที่เกิดคืนเมื่อคืนสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมือง สาวกเนื้ออาวุโส ‘อวิ๋นหลิงจื่อ’ ผู้อยู่เบื้องหลังร้านอาหารเกล็ดโลหิตในการต่อสู้ครั้งนี้ถูกคนไม่รู้ที่มาสยบลงได้อย่างดุเดือด
ถึงขั้นที่ทั้งกระบวนการสยบนี้ไม่เกิดสถานการณ์พลิกผันแม้แต่น้อย เมื่ออยู่ภายใต้กฎเกณฑ์แห่งปรารถนาที่น่าสะพรึงยิ่งกว่า อวิ๋นหลิงจื่อผู้นั้นก็อ่อนแอเสียจนแทบทนการโจมตีครั้งเดียวไม่ไหว ยิ่งกว่านั้นหลังจากถูกปราบได้ เขาก็ถูกอีกฝ่ายกลืนกินพลังภายในร่างไปจนหมดสิ้น กลายเป็นบุคคลไร้ประโยชน์ทันที
ภาพนี้สั่นคลอนไปทั้งแปดทิศ ทำให้ผู้ฝึกตนมากมายหลายคนภายในเมืองปรารถนารสเกิดเสียงอื้ออึงขึ้นในใจ ขณะเดียวกันนั้น พวกเขาก็รู้สึกกริ่งเกรงต่อสาวกเนื้อที่จู่ๆ ก็โผล่ออกมาอย่างแรงกล้า
แม้ว่าภายในเมืองปรารถนารสจะวุ่นวาย ผู้แข็งแกร่งกินผู้อ่อนแอ แต่การทำตามอำเภอใจไม่สนสิ่งใดเช่นนี้และใช้วิธีการจัดการอย่างโหดเหี้ยม ก็ยังทำให้คนในเมืองปรารถนารสส่วนใหญ่หวาดกลัว
แม้แต่สาวกเนื้อคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ พวกเขาให้ความสนใจกับผู้ฝึกตนมาใหม่คนนี้อย่างยิ่ง
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าในการต่อสู้ครั้งนี้ยังทำให้เจ้าสวาปามสองคนลงมือใส่กันด้วย ฝ่ายหนึ่งจะลงโทษสาวกเนื้อผู้มาใหม่คนนี้ ส่วนอีกฝ่ายก็ลงมือขัดขวาง แม้ว่าทั้งสองจะต่อสู้กันอย่างธรรมดาๆ แต่ในฐานะที่เป็นเจ้าสวาปาม ทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขาย่อมสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน แม้จะเผชิญหน้ากันกลางอากาศก็ยังทำให้ทั่วทั้งเมืองปรารถนารสสั่นสะเทือน
ทว่าเทียบกันกับพวกเขาแล้ว ตอนนี้พวกผู้จัดการร้านหญิงในร้านต่างหากถึงจะเป็นฝ่ายที่ตะลึงงันอ้าปากค้างที่สุด ความประหลาดใจและตกใจเหมือนกับกระแสน้ำ แทบจะท่วมท้นพวกเขาได้เลย
พวกเขารู้อยู่แล้วว่าเจ้านายของตนแข็งแกร่งมาก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายกลับอยู่ในระดับน่าสะพรึงขนาดนี้ ยิ่งไม่คาดคิดมาก่อนว่าในการต่อสู้ครั้งนี้ อีกฝ่ายไม่เพียงจัดการศัตรูภายนอกตามใจชอบ แต่ยังชักนำให้เจ้าสวาปามลงมือด้วย
ทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขาที่สังเกตการณ์อย่างใกล้ชิดหลังจากหวังเป่าเล่อจากไปรู้สึกตัวสั่นงันงกไปตามๆ กัน โดยเฉพาะเมื่อเงาร่างของหวังเป่าเล่อปรากฏขึ้นบนถนนแล้วก้าวมาหาทีละก้าวๆ ความกริ่งเกรงในแววตาของคนทั้งแปดก็กลายเป็นความคลั่งไคล้ พวกเขาคุกเข่าลงแล้วคำนับยกใหญ่แม้อยู่ห่างไกลทันที
หวังเป่าเล่อไม่สนใจแปดคนที่รอตนอยู่หน้าประตู เขาเดินผ่านข้างตัวพวกเขาเข้าไปในร้าน ขึ้นไปชั้นสอง จากนั้นปิดประตูห้องพักเสียงดังปึง แปดคนที่คุกเข่านอกร้านอยู่ตรงนั้นพากันเงยหน้าขึ้น สีหน้าของแต่ละคนเผยความตื่นเต้นรุนแรงถึงขีดสุดอย่างไม่อาจควบคุมออกมา
“รุ่งโรจน์แล้ว พวกเรา…จะรุ่งโรจน์แล้ว!”
พวกเขาหายใจถี่รัว เมื่อมองหน้ากันและกันก็มองเห็นความตื่นเต้นอย่างแรงกล้าของแต่ละคน พวกเขากระจ่างแจ้งดีว่าหลังจากเกิดศึกครั้งนี้…น้ำแห่งสุขจะต้องเป็นที่นิยมในเมืองปรารถนารสได้อย่างสมบูรณ์ และเมื่อน้ำขึ้นเรือลอยสูง ร้านค้าของพวกเขาจะต้องรุ่งเรืองอย่างรวดเร็วด้วยระดับที่เกินความจริงแน่ๆ
และระหว่างที่เกิดความรุ่งเรืองนี้ เรื่องของเจ้านายของตนจะต้องกลายเป็นประเด็นร้อนในเมืองปรารถนารสในช่วงหนึ่งแน่นอน เมื่อคิดถึงตรงนี้ ดวงตาของผู้จัดการร้านหญิงก็เผยความเร่าร้อนออกมา รีบหันกายกลับเข้าไปในร้าน เดินขึ้นบันไดด้วยความเคารพ จากนั้นคุกเข่าอยู่นอกห้องพักของหวังเป่าเล่อ ก่อนเอ่ยเสียงนุ่มนวล
“นายท่านเจ้าคะ หากคนนอกถามถึง พวกเราควรตอบนามของนายท่านอย่างไรหรือเจ้าคะ”
ผู้จัดการร้านหญิงคนนี้คิดได้รอบคอบมาก แม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะรู้หรือไม่รู้นามของหวังเป่าเล่อก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ทว่า นับแต่นี้เป็นต้นไป หวังเป่าเล่อจำเป็นต้องมีชื่อเรียกสำหรับคนนอก ทั้งสะดวกต่อความรุ่งเรืองของเขา และสะดวกต่อกิจการของร้านด้วย
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในห้องพักก็มีเสียงนิ่งเรียบของหวังเป่าเล่อดังออกมา
“ปิงหลิงจื่อ”
“อีกอย่าง พรุ่งนี้ส่งน้ำเย็นหล่อวิญญาณหนึ่งพันขวดไปที่คฤหาสน์ของเจ้าสวาปามโจวหั่วด้วย”
ผู้จัดการร้านนอกห้องพักได้ยินแล้วก็ตอบรับทันที รีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ก่อนเรียกสหายผู้ร่วมงานคนอื่นๆ มาปรึกษาหารือ หลายวันในอดีตเหล่านั้นทำให้พวกเขารู้นิสัยของเจ้านายดี จึงไม่ต้องการถามไถ่ไปเสียทุกเรื่อง ดังนั้นในกิจการแห่งนี้ พวกเขาจึงยังมีสิทธิเสียงของตนอยู่มาก
เช่นนี้เอง เมื่อเช้าวันรุ่งขึ้นมาถึง นอกร้านก็มีผู้ฝึกตนหลายพันคนรวมตัวกันไม่ขาดสาย มีส่วนหนึ่งในผู้ฝึกตนเหล่านี้มาต่อแถวทุกวัน แต่มากกว่านั้นคืออยากมาคารวะเพราะตกตะลึงจากเรื่องเมื่อคืน
พวกเขาเข้าแถวรออยู่ตรงนี้ และเมื่อประตูร้านเปิดออก พวกคนแคระกับเจ้าอ้วนน้อยก็เดินออกมา แต่ไม่ได้เปิดทำการทันทีเหมือนเมื่อก่อน กลับเดินไปเปลี่ยนป้ายร้านใหม่ด้วยท่าทางหน้าเชิดอกตรงอย่างเย่อหยิ่ง
จากนั้นพวกเขาสองคนก็ยืนขนาบซ้ายขวา สีหน้าหยิ่งยโสคล้ายกับว่าในการรับรู้ของพวกเขา ร่างกายตนสูงส่งไม่มีที่สิ้นสุด จนสามารถก้มมองผู้ฝึกตนที่เข้าแถวอยู่ข้างนอกเหล่านั้นได้
ขณะเดียวกัน เมื่อเปลี่ยนป้ายร้านเสร็จ สายตารอบด้านก็มองไปจุดเดียวกันทันที พวกเขามองเห็นอย่างชัดเจนว่าบนป้ายร้านอันใหม่สลักสามคำเอาไว้
ร้านปิงหลิง!
สามคำนี้ทำให้ทุกคนที่อยู่ด้านนอกใจสงบลงไปตามๆ กัน จากนั้นเจ้าอ้วนน้อยที่ยืนอยู่ตรงประตูก็เอ่ยออกมา แม้ว่าจะเสียดวงตาไปข้างหนึ่ง แต่ท่าทีกลับเย่อหยิ่งเหนือใคร
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป น้ำเย็นหล่อวิญญาณของร้านปิงหลิงจะเปลี่ยนรูปแบบการขาย ไม่ใช่ใครมาก่อนได้ก่อนอีกแล้ว แต่ใช้วิธีการจับหมายเลข ทุกๆ ครึ่งชั่วยามจะจับออกมาสิบคน”
ทันทีที่เอ่ยออกไป ทุกคนที่ต่อแถวอยู่ข้างนอกก็พลันวุ่นวาย ในหมู่พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ได้โง่ จึงเข้าใจวิธีการเช่นนี้ทันที มันจะทำให้การได้น้ำเย็นหล่อวิญญาณมาเป็นเรื่องยากยิ่งขึ้น ขณะเดียวก็ทำให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นด้วย
สิ่งนี้จำเป็นต้องมีคนมาต่อแถวอยู่นอกร้านเรื่อยๆ จึงจะทำได้
วิธีการเช่นนี้หากเป็นเมื่อก่อน จะต้องทำให้เกิดความขุ่นเคืองเป็นแน่ แต่เมื่อได้ประสบกับการต่อสู้เมื่อคืน ร้านปิงหลิงก็มีสิทธิเอาแต่ใจเช่นนี้ได้
เจ้าอ้วนน้อยไม่สนใจทุกคน เขาหันกายเดินเข้าไปในร้าน ส่วนทางด้านคนแคระ ทางหนึ่งเคี้ยวลูกตาอยู่ในปาก ทางหนึ่งก็ส่งหมายเลขให้ทุกคน
จากนั้นเมื่อวิธีการซื้อขายแบบใหม่เริ่มนำมาใช้ เวลาก็ผ่านเลยไป คนที่มาต่อแถวด้านนอกร้านปิงหลิงไม่ใช่แค่ไม่ลดลง กลับเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนเรื่องชื่อของหวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ มีคนรับรู้มากขึ้นเมื่อกลุ่มคนเพิ่มจำนวนและพวกคนแคระกับเจ้าอ้วนน้อยในร้านจงใจประกาศออกมา
“ปิงหลิงจื่อ!”
“สาวกเนื้อที่มาใหม่ผู้นั้นมีนามว่าปิงหลิงจื่อ!”
เสียงจอแจนอกร้านไม่ได้ส่งผลอะไรต่อหวังเป่าเล่อ กลับกันเมื่อกลุ่มคนเพิ่มขึ้นและมีการจำกัดการซื้อน้ำเย็นหล่อวิญญาณ ความกระหายอยากก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งนี้ทำให้ผลึกแก้วสีดำในวังน้ำวนแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนารสภายในร่างของหวังเป่าเล่อซึ่งนั่งสมาธิอยู่ในห้องพักเจิดจรัสยิ่งขึ้น เช่นนี้เอง หลายวันก็ผ่านไป
ในช่วงหลายวันมานี้ น้ำเย็นหล่อวิญญาณได้สั่นสะเทือนเมืองปรารถนารสอย่างถึงที่สุด ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เขตตะวันออกอีกแล้ว ถึงขั้นที่ผู้ฝึกตนในเขตอื่นๆ ก็มาตามเสียงเล่าลือ แม้จะมีบางคนรังเกียจการต่อแถว แต่ผู้ฝึกตนทุกคนที่ซื้อน้ำเย็นหล่อวิญญาณได้ก็ไม่มีใครไม่เคลิบเคลิ้ม ทั้งมันยังสร้างประโยชน์ที่เกี่ยวข้องให้กับตัวพวกเขาด้วย จึงทำให้น้ำเย็นหล่อวิญญาณมีแววเป็นที่นิยมในเมืองปรารถนารส
ขณะเดียวกัน สมญานามเต๋าของหวังเป่าเล่อก็แพร่หลายอย่างกว้างขวาง ชั่วขณะเดียวก็กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงในเมืองปรารถนารสแล้ว และในตอนนี้เอง คำเชิญจากโจวหั่ว หนึ่งในเจ้าสวาปามทั้งแปดก็ถูกพ่อบ้านของคฤหาสน์นำมาส่งให้กับร้านปิงหลิงด้วยตัวเอง
โจวหั่วเชิญหวังเป่าเล่อไปเข้าร่วม…เทศกาลสวาปามในอีกสามวันกับงานเลี้ยงยามเย็น
…………………………………
“ข้าชอบที่นี่” เสียงหัวเราะทุ้มต่ำของหวังเป่าเล่อดังออกมาจากทะเลแห่งความมืด
ตอนนี้เมื่อเขาก้าวเข้าไปเต็มตัวแล้ว ด้านนอกประตูที่พังทลาย ปราณมืดพวยพุ่งเข้ามาอย่างดุเดือด อาบย้อมทุกตารางนิ้วของร้านอาหารชั้นหนึ่ง ขณะที่มันกำลังทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างผุพัง เปลวไฟสีเขียวก็ปรากฏขึ้นมาและเริ่มแผดเผา
ขณะที่เกิดการเผาไหม้ขึ้น หวังเป่าเล่อก็เดินไปยังบันได ขึ้นไปทีละขั้นๆ ทุกขั้นที่เหยียบลงไป บันไดตรงนั้นก็จะกลายเป็นเถ้าถ่านแตกสลาย แต่ร้านอาหารร้านนี้กลับยังคงอยู่ ไม่มีร่องรอยพังทลายแม้แต่น้อย
เช่นนี้เอง หวังเป่าเล่อเดินไปถึงชั้นสอง ชั้นสองของร้านแห่งนี้มีห้องแยกส่วนตัวอยู่หลายห้อง ตอนนี้ในชั่วพริบตาที่เขาก้าวลงไป ประตูห้องแยกทั้งหมดพลันเปิดออก ผู้ฝึกตนหลายคนตาแดงก่ำ พุ่งออกมาจากข้างใน ทะยานไปหาหวังเป่าเล่อ
แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ ในทะเลแห่งความมืดบนตัวของหวังเป่าเล่อก็พลุ่งพล่านดีดดิ้นไปมา ก่อนจะมีเงาหมอกหลายสายคล้ายกับผีร้ายพุ่งออกมา แต่ละตัวบินว่อนอย่างดุดัน ก่อนจะถลันไปหาพวกผู้ฝึกตน ผ่านไปที่ใด เสียงร้องน่าเวทนาก็ดังก้องขึ้นมาอีกครั้ง ครั้นถูกสัมผัสเข้า ร่างกายของผู้ฝึกตนเหล่านั้นก็เหี่ยวแห้งไปตามๆ กัน จนกระทั่งสลายหายไป
เหลือเพียงเงาวิญญาณหลายสิบร่างเท่านั้น ตอนนี้พวกมันกรีดร้องไร้เสียงออกมา พร้อมแผ่กลิ่นอายแห่งปรารถนาอันเข้มข้น เดินตระเวนอยู่ที่ชั้นสอง สุดท้ายก็กลับมาอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ แล้วคืบคลานมาหาทีละตนๆ
“กฎเกณฑ์แห่งความกระหายอยาก หลังจากตระหนักรู้ถึงระดับหนึ่งแล้วก็สามารถสร้างฝันร้ายของตัวเองออกมาได้ ฝันร้ายแห่งความปรารถนาเหล่านี้ ไม่ว่าจะโยนตัวไหนเข้าไปในโลกใบเล็ก ก็ล้วนทำให้โลกแห่งนั้นกลายเป็นทะเลทุกข์”
หวังเป่าเล่อส่ายหน้า โบกมือขึ้น ชั้นที่สองก็ผุพังทั้งหมด เท้าของเขาเดินไปยังชั้นที่สาม ในชั้นที่สามมีอยู่แค่สามห้อง
และเมื่อฝันร้ายแห่งความปรารถนาเหล่านี้พวยพุ่งเข้าไป ห้องทั้งสามก็กลายเป็นเถ้าถ่านและเผยให้เห็น…เงาร่างของผู้ฝึกตนสามคนที่นั่งสมาธิอยู่ในนั้น
สองคนเป็นชายชรา หนึ่งคนมีเกล็ดโลหิตลักษณะเหมือนอสูรร้าย
ตอนนี้ร่างกายของชายชราทั้งสองสั่นกระตุกราวกับอยากจะลืมตาแต่ไม่อาจทำได้ ทำได้เพียงปล่อยให้ฝันร้ายแห่งความปรารถนาเข้ามาใกล้อย่างตะกละตะกลาม สอดแทรกเข้าไปอย่างดุเดือดผ่านรูขุมขนและทวารทั้งเจ็ดของพวกเขา
ส่วนเกล็ดโลหิตนั้น หลังจากหวังเป่าเล่อก้าวขึ้นมายังชั้นที่สาม อักขระบนเกล็ดที่หว่างคิ้วก็เปล่งประกายราวกับกำลังต่อต้าน จึงพอจะฝืนลืมตาขึ้นมาได้ ทำให้เห็นนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยสีเลือดกำลังมองมายังหวังเป่าเล่ออย่างตื่นตระหนก
“นี่ของเจ้าหรือ” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงราบเรียบ เขาสะบัดมือ เกล็ดโลหิตที่นำมาจากบนโต๊ะในร้านก็ลอยไปอยู่ตรงหน้าเกล็ดโลหิต
เกล็ดโลหิตตัวสั่นเทิ้ม ลูกตาของเขาคล้ายดิ้นรนเพื่อมองขึ้นไปด้านบน แต่ในขณะที่เขาพยายามมองขึ้นไปนั้น เสียงถอนหายใจก็ค่อยๆ ดังออกมาจากชั้นที่สี่ของร้านอาหารแห่งนี้
“สหายเต๋า เจ้าทำเกินไปหน่อยแล้ว หากจากไปตอนนี้ ข้าผู้เฒ่าจะทำเป็นว่าเรื่องทุกอย่างไม่เคยเกิดขึ้น”
ขณะที่เอ่ย เพดานกั้นระหว่างชั้นสามและชั้นสี่ของร้านอาหารก็พร่าเลือนในชั่วพริบตา ด้านบนของหวังเป่าเล่อเผยให้เห็น…ร่างที่อยู่บนชั้นสี่
เงาร่างนี้คล้ายคลึงกับเขา ดำมืดไร้ใดเทียบเทียม เหมือนกับวังน้ำวนกลุ่มหนึ่ง ทำได้เพียงมองเห็นรางๆ ในนั้นมีคนนั่งสมาธิอยู่กลางไอหมอกกลิ้งเกลือก ตอนนี้เองก็มีดวงตาคู่หนึ่งซึ่งมองตรงมายังหวังเป่าเล่อ
ขณะเดียวกันภายในวังน้ำวนของร่างร่างนี้ ฝันร้ายแห่งความปรารถนาแบบเดียวกันหลายสิบตนก็แผ่ขยายออกมาทีละตัวๆ มันร้องคำรามไปทางหวังเป่าเล่อ ทำให้ฝันร้ายแห่งปรารถนารอบตัวหวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้น จิตสังหารของแต่ละตนระเบิดออกมาคล้ายเจอกับศัตรูตัวฉกาจ
สีหน้าของหวังเป่าเล่อเป็นปกติ ไม่ได้กล่าวอะไร แต่ตอนนี้เมื่อเกล็ดโลหิตมองเห็นเงาร่างบนชั้นสี่ปรากฏตัวขึ้นมาแล้วก็โล่งอกอย่างเห็นได้ชัด แต่เกล็ดที่ลอยอยู่ตรงหน้าเกล็ดโลหิตพลันระเบิดออก ก่อนกลายเป็นหนามแหลมคมทะลวงไปยังหว่างคิ้วของเกล็ดโลหิตในพริบตา แล้วไประเบิดในร่างของเขาต่อ ทำให้เกล็ดโลหิตไม่มีเวลาแม้แต่จะกรีดร้อง ร่างวิญญาณของเขาแตกสลายทันที
ภาพนี้เห็นได้ชัดว่าทำให้เงาร่างบนชั้นสี่โกรธเกรี้ยวขึ้นมา
“รนหาที่ตาย!” เมื่อเสียงอื้ออึงเหมือนสายฟ้าดังขึ้น เงาร่างบนชั้นสี่ก็คล้ายลุกขึ้นจากท่านั่งขัดสมาธิ ทันใดนั้นวังน้ำวนที่เขาอยู่ก็ขยายใหญ่อย่างฉับพลัน มันกลายเป็นยักษ์ตัวสูงถึงยี่สิบกว่าจั้งสะเทือนฟ้าดินทันที
ทั่วร่างของยักษ์ดำมืดสนิท ไอหมอกพันรอบ พลานุภาพทั้งตัวมีมหาศาล ตอนนี้เมื่อมันยืนขึ้นก็ราวกับสามารถค้ำยันท้องฟ้าได้ มันยกมือขวาตบลงมาที่หวังเป่าเล่อทันที
ขณะที่ลงมือ คลื่นผันผวนแห่งความปรารถนาทั่วร่างก็ยิ่งระเบิดออกจนส่งผลกระทบไปทั้งแปดทิศ ทำให้ชาวเมืองในเมืองปรารถนารสพากันจิตใจสั่นสะท้าน
สายตาหลายคู่ก็ยิ่งมารวมกันจากทั้งสี่ทิศ
“เป็นสาวกเนื้อ!”
“สาวกเนื้อคนหนึ่งกำลังโจมตี!”
ยิ่งกว่านั้น ท่ามกลางเสียงดังก้องเหล่านี้ ในเมืองปรารถนารสก็มีเงาร่างมหึมาสูงร้อยจั้งแปดร่างปรากฏขึ้นมาจากแปดทิศในเมืองปรารถนารสอย่างเลือนราง แต่ละร่างล้วนเหมือนกับภูเขาเนื้อลูกหนึ่งพร้อมกับอานุภาพกดดันเข้มข้นน่าตะลึง กำลังมองมาที่นี่
การปรากฏตัวของทั้งแปดคนนี้ทำให้เสียงฮือฮาทั้งหมดหายวับ กลายเป็นความกริ่งเกรง เพราะพวกเขาก็คือ…เจ้าสวาปามทั้งแปดแห่งเมืองปรารถนารสนั่นเอง
และในชั่วพริบตาที่สายตาของเจ้าสวาปามทั้งแปดมองเข้ามาในร้านอาหารแห่งนี้ ฝ่ามือของยักษ์ที่แปลงมาจากสาวกเนื้อผู้นั้นก็กดลงมาทันที ฝ่ามือผ่านไปที่ใด ร้านอาหารก็จะพังทลายอย่างสมบูรณ์ และมันก็กดลงบนศีรษะของหวังเป่าเล่อ
แต่…กลับไม่อาจกดลงต่อได้!
ใต้ฝ่ามือนี้ หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน สิ่งที่ยันฝ่ามือนี้เอาไว้คือฝันร้ายแห่งความปรารถนาพวกนั้นที่เขาแผ่ออกมา
ถึงตาข้าพูดสามคำนั้นแล้ว…เจ้า หาที่ตาย” ชั่วพริบตาที่หวังเป่าเล่อเอ่ยอย่างนิ่งสงบ ก็มีเสียงดังลั่นออกมาจากร่างของเขา วังน้ำวนที่เขาอยู่พลันขยายใหญ่แล้วระเบิดออกมาทันที สิบจั้ง ยี่สิบจั้ง สามสิบจั้ง สี่สิบจั้ง!
เมื่อมันแผ่ขยาย มือยักษ์ก็ถูกดันขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งดันถึงขีดสุด มันคล้ายคิดจะถอนมือกลับไป แต่กลับถูกหวังเป่าเล่อจับเอาไว้ พริบตาต่อมา เมื่อวังน้ำวนที่หวังเป่าเล่ออยู่ระเบิดจนถึงสี่สิบจั้ง เขาก็ก้มหน้าลง มองไปยังสาวกเนื้อที่สีหน้าเต็มไปด้วยความสะพรึงกลัว
“เจ้า…” สาวกเนื้อเพิ่งจะเอ่ยออกมา หวังเป่าเล่อก็อ้าปากกว้าง ดูดอีกฝ่ายเข้าไปทันที คล้ายกับลมพายุพัดม้วน และเหมือนกับหลุมดำระเบิดออก แรงสูบมหาศาลพุ่งออกมาจากปากของหวังเป่าเล่อทันที ทำให้กฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสบนร่างของสาวกเนื้อผู้นี้พังโค่นในชั่วพริบตา แล้วพุ่งมาหาหวังเป่าเล่อ
“บังอาจ!” ที่ไกลๆ เงาเลือนรางของเจ้าสวาปามสูงร้อยจั้งก็ส่งเสียงคำรามต่ำออกมา ยกมือขวาขึ้นพุ่งไปจับหวังเป่าเล่อทันที มือของมันผ่านไปที่ใด ฟ้าดินล้วนเปลี่ยนสี เมฆลมพลิกม้วน ท้องฟ้าถูกปกคลุม บางส่วนของมือยักษ์กำลังจะจับลงไป
แต่ตอนนี้เอง เสียงหัวเราะเยาะก็ดังมาจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เงาร่างเลือนรางของเจ้าสวาปามอีกคนทางด้านนั้นก็ยกมือขึ้นเช่นกัน ฝ่ามือพุ่งตรงไปหาท้องฟ้า
“ถัวหลิงจื่อ การต่อสู้ของชาวเนื้อเจ้าอย่าเข้าร่วมด้วยดีกว่า”
“โจวหั่ว เจ้ากล้าขวางข้าหรือ!”
ท่ามกลางเสียงดังสนั่น มือยักษ์สองข้างบนท้องฟ้าก็ปะทะเข้าด้วยกัน แต่ขณะที่พวกเขากำลังห้ำหั่นกันอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็สูบพลังสาวกเนื้อผู้นั้นจนหมดสิ้นแล้ว ทำให้วังน้ำวนสีดำบนร่างของคนผู้นั้นแตกสลาย เผยให้เห็นเงาร่างแก่ชราหายใจรวยริน หลังถูกโยนไปข้างๆ ความปรารถนาในร่างของเขาก็เกลือกกลิ้ง เงาร่างของเขาพุ่งพรวดจากสี่สิบจั้งไปถึงห้าสิบจั้ง เขายืนอยู่ตรงนั้น เงยหน้ามองท้องฟ้า
หวังเป่าเล่อประสานหมัดคำนับให้เจ้าสวาปามที่ช่วยเหลือตนผู้นั้นโดยไม่กล่าวอะไร จากนั้นก็หันกาย เดินไปยังทิศทางที่ร้านของเขาตั้งอยู่ทีละก้าวๆ เมื่อเขาเดินจากไป เงาร่างของเขาก็ยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็กลายเป็นคนธรรมดา
แต่สายตาที่มองมาทางเขาไม่เพียงไม่น้อยลง กลับยังมีมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
เป็นไปไม่ได้ที่กลุ่มอิทธิพลจะกลมเกลียวกัน โดยเฉพาะสถานที่ที่ฝึกบำเพ็ญความปรารถนาแบบนี้ ซึ่งไม่อาจหลีกเลี่ยงการต่อสู้ภายในและแบ่งฝักฝ่ายได้เลย ดังนั้นสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องทำก็คือแสดงคุณค่าของตนเองออกมา
น้ำเย็นหล่อวิญญาณคือคุณค่า กฎเกณฑ์แห่งปรารถนาอันแข็งแกร่งของเขาก็ยิ่งเป็นคุณค่า
ครอบครองสองอย่างนี้ได้ แม้จะมีคนเพ่งเล็ง แต่ก็ต้องมีคนอยากคบค้าสมาคมและมอบน้ำใจให้อยู่แล้ว
…………………………………….
ยามค่ำวันนั้น ในร้านของหวังเป่าเล่อบรรยากาศเคร่งเครียด
ผู้จัดการร้านหญิงเจ้าเสน่ห์กับพวกคนแคระจดจ้องไปยังเกล็ดหนึ่งชิ้นที่วางอยู่บนโต๊ะ ดวงตาฉายแววหวั่นวิตกขึ้นมา ตรงข้ามพวกเขามีคนอยู่สี่คน
ในหมู่คนสี่คนนี้มีสองคนรูปร่างกำยำเป็นพิเศษ และยังมีเด็กหนุ่มแต่งตัวแบบพนักงานกับชายชราหนึ่งคน ตอนนี้พวกเขาล้วนมีสีหน้าขมขื่น พลางเหลือบมองไปที่ชั้นสองเป็นบางคราว
คนเหล่านี้ก็คือคนที่เดิมมาจากร้านข้างๆ เป็นเพราะพังร้านเข้ามาในวันนี้ จนถูกหวังเป่าเล่อเจรจาอย่างเป็นมิตรไปรอบหนึ่ง สุดท้ายก็ตัดสินใจเข้าร่วมกับครอบครัวนี้อย่างซาบซึ้งใจ และมอบร้านของตนให้ด้วยความเต็มใจ เพื่อให้กิจการน้ำเย็นหล่อวิญญาณแพร่หลาย พวกเขาจึงทุ่มเทแรงใจของตนออกมา
แต่ตอนนี้สายตาของพวกเขากลับหวั่นวิตก เห็นได้ชัดว่าเกล็ดบนโต๊ะชิ้นนั้นมีความหมายแตกต่างกันมากสำหรับพวกเขา
“ถูกเกล็ดโลหิตเพ่งเล็งแล้ว…”
“เกล็ดโลหิตอยู่เหนือผู้อิ่มท้องอย่างพวกเรา เขาเป็นถึงผู้มีกิน เหตุใดจะต้องจดจ้องร้านเล็กๆ ของพวกเราด้วย”
“ลำพังเกล็ดโลหิตก็ทำให้คนหนังศีรษะชาได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเบื้องหลังของเขายังมีสาวกเนื้ออยู่คนหนึ่งด้วย!”
ทุกคนปรึกษากันเสียงเบา สายตาที่มองไปยังชั้นสองก็บ่อยขึ้น จนกระทั่งผ่านไปพักหนึ่ง ขณะที่พวกเขาวิตกกังวลอยู่ตรงนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ประตูห้องพักชั้นสองก็เปิดออก หวังเป่าเล่อเดินออกมาจากข้างใน
ชั่วพริบตาที่มองเห็นร่างของหวังเป่าเล่อ ทุกคนที่อยู่ชั้นล่างก็ก้มหน้าลงพร้อมกัน และโค้งคำนับให้กับหวังเป่าเล่อ
“คารวะนายท่าน”
หวังเป่าเล่อใบหน้าปราศจากอารมณ์ ก้าวลงจากบันไดทีละขั้นๆ กลิ่นอายบนร่างแผ่ออกมาเดี๋ยวจริงเดี๋ยวเลือนราง ทำให้คนทั้งแปดใจสั่นสะท้าน ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น มองเห็นเพียงเท้าของหวังเป่าเล่อเท่านั้น เมื่อเขาเดินลงมาจากบันได ก็มาปรากฏตัวอยู่ด้านหน้าของพวกเขาแล้ว
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเกรงกลัวส่วนหนึ่ง และยังมีอีกส่วนมาจากอานุภาพกดดันบนตัวของหวังเป่าเล่อซึ่งรุนแรงเกินไป ทำให้ตอนนี้แม้อยู่ใกล้ก็ยังรู้สึกหายใจลำบาก พลังฝึกตนในร่างคล้ายถูกสยบเอาไว้
ทั้งหมดนี้ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาหลังจากหวังเป่าเล่อดูดซับคำแนะนำของร้านแห่งที่สอง ควบคู่ไปกับการขายน้ำเย็นหล่อวิญญาณ รวมถึงคนที่อยากมาซื้อข้างนอกก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เขาเดินมาอยู่ตรงหน้าทุกคน หวังเป่าเล่อไม่เอ่ยอะไร ทำเพียงหยิบเกล็ดบนโต๊ะชิ้นนั้นขึ้นมาแล้วเดินไปที่ประตูร้าน กระทั่งตอนที่ผลักประตูออก เขาถึงเอ่ยพูดเสียงราบเรียบออกมาหนึ่งประโยค
“พวกเขา…จะไม่ได้เห็นท้องฟ้าวันพรุ่งนี้” กล่าวจบ หวังเป่าเล่อก็ก้าวเท้าออกจากร้าน จนเขาจากไปแล้ว ทุกคนในร้านถึงได้กล้าเงยหน้าขึ้น ทั่วกายเปียกโชกด้วยเหงื่อเย็น แต่ละคนมองหน้ากัน ล้วนแต่มองเห็นความเกรงกลัวในแววตาของอีกฝ่าย
“นายท่านเขา…ตอนนี้ระดับฝึกตนเขาคืออะไร เขามีที่มาอย่างไรกันแน่”
“น่ากลัวเหลือเกิน เวลาแค่ไม่กี่เดือน แต่เหตุใดตอนที่ข้าพบหน้านายท่านถึงได้รู้สึกเหมือนเจอกับเจ้าสวาปามล่ะ”
“ทุกคน ที่มาของเจ้านายไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะรู้ได้ แต่ครั้งนี้ บางทีอาจจะเป็นโอกาสดีที่พวกเราจะได้รุ่งโรจน์ในเมืองปรารถนารสก็ได้นะ! หากเจ้านายกำจัดเกล็ดโลหิตได้แล้ว พวกเราจะต้องได้เข้าตาเจ้าสวาปามแน่…” ผู้จัดการร้านหญิงเลียริมฝีปาก แววตาฉายประกายประหลาด นางในตอนนี้ยอมจำนนอย่างสมบูรณ์แล้ว
คนอื่นเมื่อได้ยินคำพูดของนางก็เงียบเสียงลง แววตาค่อยๆ เผยประกายทะเยอทะยานออกมาตามๆ กัน
ไม่มีใครพูดต่อ ในร้านเงียบสงัด ทุกคนล้วนรอคอยผลลัพธ์
เรื่องทุกอย่างในร้าน หวังเป่าเล่อไม่สนใจ ตอนนี้เขาเดินอยู่บนถนนของเมืองปรารถนารส ท้องฟ้ามืดมิด ภายในอาคารรอบๆ มีเสียงกลืนกินดังออกมาเป็นบางคราว แต่ยามที่หวังเป่าเล่อเดินผ่าน เสียงเหล่านี้ก็จะหยุดลงกะทันหัน คล้ายกับติดอยู่ที่คอ ไม่กล้าส่งเสียงออกไปแม้แต่น้อย
บางครั้งบางคราวก็มีสายตาหลายสายเปิดขึ้นมาในความมืด หลังกวาดมองมาที่หวังเป่าเล่อ สายตาเหล่านั้นก็คลายออกทันที แล้วรีบถอนสายตากลับมาก่อนถอยห่างอย่างรวดเร็ว คล้ายกลัวว่าถ้าหนีช้าจะถูกกลืนลงไป
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะบนร่างของหวังเป่าเล่อแผ่กลิ่นอายน่าสะพรึงออกมา เหมือนกับวังน้ำวน มันดึงดูดความกระหายอยากที่ลอยอย่างอิสระทั้งแปดทิศมาหา
การผสานรวมกับร้านที่สองทำให้เมล็ดพันธุ์ปรารถนารสในตัวของหวังเป่าเล่อกลายเป็นวังน้ำวนกว้างใหญ่ไพศาลมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันการดูดซับกลิ่นอายแห่งปรารถนารสในช่วงหลายเดือนมานี้ก็ทำให้วังน้ำวนแห่งนี้ขยายใหญ่ พร้อมกับให้กำเนิดผลึกแก้วสีดำก้อนหนึ่ง
ของสิ่งนี้กำเนิดมาจากกฎเกณฑ์จริงๆ ชั่วขณะที่มันก่อตัวขึ้นก็ทำให้กฎเกณฑ์ของโลกภายนอกทั้งหมดในตัวของหวังเป่าเล่อกลายเป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาสามารถใช้ออกมาได้ในขณะนี้
“ข้าเรียกสภาวะในตอนนี้ว่า ร่างแห่งปรารถนา” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา ไม่ยินดียินร้าย เขาเดินช้าๆ ถ้าหากตอนนี้มองลงมาจากฟ้าสูงก็จะเห็นอย่างชัดเจนว่าร่างกายของหวังเป่าเล่อหายไป แล้วแทนที่ด้วยวังน้ำวนสีดำสนิทขนาดมหึมา
ราวกับร่างแห่งปรารถนาเติบโตขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ทำให้ชาวเมืองทุกคนรอบด้านก้มหน้าตัวสั่นเทากันหมด จนเกิดเป็นความเงียบสงัด ราวกับเผชิญหน้ากับวิญญาณเทพเจ้า น้อมส่งให้เขาเดินจากไปไกล
เป็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อยิ่งเดินยิ่งไกล กลิ่นอายบนร่างก็ยิ่งแรงกล้ามากขึ้น วังน้ำวนสีดำที่ปรากฏขึ้นมาก็ยังใหญ่โตมหาศาลเข้าไปใหญ่ ส่วนเป้าหมายของเขา ตลอดมาล้วนไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นก็คือ…ร้านอาหารระดับสี่ที่เปล่งประกายวาววับหรูหราอลังการอย่างยิ่งซึ่งตั้งอยู่ ณ ปลายสุดของถนนสายนี้
ขณะเดียวกัน ชั้นสามของร้านอาหารระดับสี่แห่งนี้ ผู้ฝึกตนวัยกลางคนที่นั่งสมาธิอยู่ตรงนั้นลืมตาโพลง ผู้ฝึกตนผู้นี้มีผมสีเลือด ทั่วร่างเต็มไปด้วยเกล็ด คนทั้งคนดูแล้วเหมือนกับอสูรร้าย แต่นัยน์ตากลับเปล่งประกาย ตอนนี้กำลังจ้องมองไปนอกหน้าต่าง
ด้วยระดับฝึกตนของเขาแล้ว ตอนนี้แค่มองปราดเดียวก็เห็นวังน้ำวนสีดำน่าสะพรึงกลุ่มนั้นค่อยๆ เข้ามาใกล้ วังน้ำวนแห่งนี้ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ดวงตาหดเกร็งทันที ลมหายใจถี่รัวเล็กน้อย กำลังจะผุดลุกขึ้น แต่พริบตาต่อมา จู่ๆ ภายในวังน้ำวนสีดำที่เขามองเห็นก็…มีดวงตาคู่หนึ่งปรากฏขึ้น
นัยน์ตาคู่นั้นไม่มีอารมณ์แม้แต่น้อย คล้ายกับห้วงนรก มันจ้องมองเขามาแต่ไกล และการจ้องมองนี้ก็มอบเสียงกู่ร้องขึ้นในหัวและทำให้โลกของผู้ฝึกตนคนนี้พร่ามัว คนทั้งคนราวกับเสียสติ ตกอยู่ในสภาวะสับสน
จนเขาไม่ทันสังเกตเห็นเลยว่าวังน้ำวนกลุ่มนั้นที่เขาเห็น เดิมทียังอยู่ห่างไกล แต่ในชั่วอึดใจก็คล้ายหายวาบมาปรากฏอยู่ด้านนอกประตูร้านอาหารแห่งนี้แล้ว
เมื่อมันเข้ามาใกล้ ร้านอาหารเปล่งประกายวาววับหรูหราอลังการแห่งนี้พลันถูกปราณมืดที่แผ่ออกมาจากวังน้ำวนสีดำปกคลุม ยิ่งกว่านั้นขณะที่มันเข้าปกคลุม เสียงประตูร้านอาหารก็ดังสนั่นแล้วแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ จนกระทั่งพังทลายและปลิวออกไป
เงาร่างที่ก่อตัวจากทะเลแห่งความมืดอย่างสมบูรณ์แบบคล้ายกับฝันร้ายจากขุมนรกกำลังยกขาก้าวเข้าไปในร้าน เมื่อเท้าเหยียบลงไป ปราณมืดที่พันอยู่บนเท้าข้างนี้ก็สลายหายไปกับพื้นอย่างรวดเร็ว ผ่านไปที่ใด ทุกสิ่งล้วนแต่แห้งเหี่ยว ขณะเดียวกันปราณมืดเหล่านี้ก็คล้ายกับผีปีศาจ มันกลายเป็นเกลียว พริบตาก็พันรัดร่างของพนักงานหลายสิบคนที่กำลังหน้าเปลี่ยนสีรุนแรงในชั้นที่หนึ่งของร้านอาหารทันที
จากนั้นมันก็ยกพวกเขาขึ้นสูง ไม่ว่าจะดิ้นรนหรือร้องขอความช่วยเหลืออย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ ขณะที่เงาร่างจากทะเลแห่งความมืดเดินมา ยามที่พวกเขากำลังกรีดร้องน่าเวทนาจนเสียงดังออกไปนอกร้าน พวกเขาก็ถูกแผดเผาในแบบที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จนกระทั่งกลายเป็นเถ้าถ่าน…
คล้ายกับว่าความปรารถนาในร่างกายติดไฟ!
มีเพียงเสียงน่าสังเวชดังแผ่ออกไปนอกร้านเท่านั้น เนิ่นนานก็ยังไม่หยุด สั่นสะเทือนชาวเมืองที่ตัวสั่นเทาอยู่รอบๆ ทุกคน ทำให้พวกเขาพากันก้มหน้าทำความเคารพ
เพียงแต่เรื่องที่หวังเป่าเล่อสามารถจัดหาน้ำเย็นหล่อวิญญาณได้ไม่จำกัดนี้ พวกผู้จัดการร้านยังไม่รู้ ดังนั้นแม้ว่าดวงตาจะสว่างไสว แต่สิ่งที่พวกเขามองเห็นมากกว่านั้นคือความดังระเบิดในชั่วพริบตา
แท้จริงแล้วพวกเขาก็ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าจะใช้วัตถุดิบประเภทเจ็ดอารมณ์ได้ในระยะยาว ถึงอย่างไรเรื่องแบบนี้ในเมืองปรารถนารสก็มีเพียงร้านอาหารยอดนิยมชั้นเลิศแค่สามสี่ร้านเท่านั้นจึงจะทำได้
และร้านอาหารแบบนี้ เบื้องหลังมักจะมีเจ้าแห่งสวาปามอยู่หนึ่งคน
ถึงขั้นที่กล่าวได้ว่ามีเพียงเจ้าแห่งสวาปามเท่านั้นจึงจะมีสิทธิครอบครองร้านในเมืองแห่งนี้ที่ใช้เจ็ดอารมณ์เป็นวัตถุดิบระยะยาวโดยไม่ถูกผู้อื่นสอดแนมแย่งชิงไป
ดังนั้น พวกผู้จัดการร้านและคนแคระในตอนนี้จึงไม่ได้รับรู้เลยว่าน้ำเย็นหล่อวิญญาณที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาจะทำให้เกิดลมพายุแบบไหนกับร้านค้าแห่งนี้ได้บ้าง
แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนอยู่ในการพิจารณาของหวังเป่าเล่อแล้ว
นี่เป็นการตัดสินใจหลังจากเขาชั่งน้ำหนักอยู่ถึงเจ็ดแปดวัน บางครั้งการซ่อนตัวก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวค้อมต่ำเสมอ บางทีการทำให้ตนมีค่ามากขึ้นก็อาจจะเป็นการซ่อนตัวที่ดีขึ้นก็ได้
ดังนั้นการเสนอขายน้ำเย็นหล่อวิญญาณจึงเป็นเพียงจุดแรกเริ่มในแผนการของหวังเป่าเล่อ
ไม่นานก็ผ่านไปหนึ่งคืน เมื่อเปิดร้านใหม่ในเช้าวันต่อมา ลูกค้าเก่าที่มักจะมาประจำทุกคนต่างแปลกใจอย่างมากเมื่อพบว่าพนักงานและผู้จัดการร้านได้ขจัดความเสื่อมโทรมของเมื่อหลายวันก่อนไปแล้ว แต่ละคนเปลี่ยนเป็นกระฉับกระเฉงขึ้นมา รอยยิ้มบนใบหน้าไม่เคยหายไปเลย
ขณะเดียวกัน นอกจากอาหารยามปกติแล้ว คนแคระและเจ้าอ้วนน้อยผู้นั้นยังแนะนำเครื่องดื่มที่ชื่อว่าน้ำเย็นหล่อวิญญาณให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากราคาไม่แพงมาก ดังนั้นจึงมีผู้ฝึกตนส่วนหนึ่งลิ้มชิมดู
แต่หลังจากดื่มไปคำแรก ผู้ฝึกตนที่ลองซื้อดูเหล่านั้นก็ตัวสั่นระริกกันหมดอย่างไม่มียกเว้น ดวงตาเบิกกว้าง ยากจะปกปิดความเคลิบเคลิ้มในแววตา ใบหน้าก็ยิ่งมีรอยยิ้มประดับอยู่ไม่มากก็น้อย
ทันใดนั้น ภาพนี้ก็ทำให้คนที่ไม่ได้ลองพากันแปลกใจ บางคนไปซื้อมาหนึ่งขวดด้วยความสงสัย และพริบตาต่อมาก็มีท่าทางเหมือนกัน
ผ่านไปพักหนึ่งถึงมีคนถอนหายใจยาวเหยียด
“กฎเกณฑ์แห่งเจ็ดอารมณ์!”
“นี่คือ…กลิ่นอายแห่งสุขหรือ”
“คาดไม่ถึงว่าจะมีเครื่องดื่มของกลิ่นอายแห่งสุขอยู่ ของสิ่งนี้…ส่งผลอย่างน่าตะลึงต่อการฝึกตนของพวกเรา”
หวังเป่าเล่อสังเกตได้นานแล้วว่าเจ็ดอารมณ์และหกปรารถนาของโลกใบนี้ต่อต้านกันและกัน และส่วนมากการต่อต้านเช่นนี้จะปรากฏอยู่ในรูปแบบของการกลืนกินและผสานรวม ฝ่ายตรงข้ามล้วนกลายเป็นของบำรุงชิ้นใหญ่เพื่อเพิ่มพลังให้ตนแข็งแกร่งขึ้นได้ทั้งนั้น
นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่เจ็ดอารมณ์ต้องหลบซ่อนตัวอยู่ในโลกใบนี้และเกือบจะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์
ด้วยเหตุนี้ หลังจากได้ลิ้มรสความอัศจรรย์ของน้ำเย็นหล่อวิญญาณแล้ว ยอดขายก็ย่อมเพิ่มขึ้นตาม แต่เมื่อคืนหลังจากได้น้ำเย็นหล่อวิญญาณมา พวกผู้จัดการร้านก็ปรึกษากันแล้วว่าจะจำกัดปริมาณขาย
ด้านหนึ่งคือพวกเขาไม่รู้ว่าน้ำชนิดนี้ผลิตได้ไม่จำกัด อีกด้านคือเป้าหมายทุกอย่างที่ใช้ส่วนผสมนี้ก็เพื่อดึงดูดกลิ่นอายแห่งความกระหายอยากให้มากขึ้น ดังนั้นการจำกัดปริมาณการขายจึงไม่ใช่สิ่งที่ร้านของพวกเขาริเริ่มทำ ที่ร้านอื่นๆ ก็เกิดขึ้นบ้างเป็นบางครั้ง
ดังนั้น ผู้ฝึกตนที่คิดจะซื้อขวดที่สองหลังจากซื้อไปแล้วหนึ่งขวดจึงถูกบอกกล่าวเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว แม้จะรู้สึกเสียดายและเกิดความปรารถนา แต่พวกเขาก็เข้าใจดีว่าเรื่องนี้มีแต่ต้องรอ
เป็นเช่นนี้ เมื่อยามเที่ยงและยามเย็นมาถึง จากการนำน้ำเย็นหล่อวิญญาณมาขายก็นับว่าทำให้เกิดการเคลื่อนไหวในส่วนเล็กๆ ของเมืองปรารถนารสแห่งนี้แล้ว แต่เนื่องจากมีปริมาณน้อยเกินไป บวกกับร้านไม่ได้เป็นที่รู้จัก ดังนั้นขอบเขตที่เกิดการเคลื่อนไหวจึงเล็กมาก ทั้งไม่ได้ดึงดูดความสนใจของร้านอื่นๆ รอบด้านด้วย
แต่…เรื่องใดก็ตามที่มีจุดระเบิดและยิ่งสั่งสมอย่างเพียงพอแล้ว ก็ล้วนสามารถแผ่คลื่นผันผวนน่าตะลึงได้ทั้งนั้น น้ำเย็นหล่อวิญญาณก็เช่นกัน พอผ่านไปสิบวัน ขณะที่ร้านค้าจำกัดปริมาณไว้ที่หนึ่งร้อยขวดต่อวัน เรื่องนี้ก็ค่อยๆ แพร่กระจายไป ผู้คนที่เคยลิ้มลองทั้งหมดยิ่งรู้สึกกระหายมากขึ้น ดังนั้นในไม่ช้า…นอกร้านค้าแห่งนี้ก็เริ่มมีคนมาตั้งแถวในยามค่ำคืนแล้ว
การต่อแถวเช่นนี้ ในแง่หนึ่งมันคือการประชาสัมพันธ์ที่ดีที่สุด ทำให้ผู้คนที่เดินผ่านไปทั้งหมดล้วนรู้สึกแปลกใจสงสัย โดยเฉพาะเมื่อผ่านไปอีกเจ็ดแปดวัน กลุ่มคนที่มาต่อแถวนอกร้านยามเย็นมีจำนวนมากถึงหลายร้อยคนแล้ว ในที่สุดเรื่องนี้ก็ทำให้เกิดความปั่นป่วนที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิมขึ้นมาในระดับหนึ่ง
ร้านรวงรอบๆ เริ่มเคลื่อนไหวแล้วพากันมาตรวจสอบ เป็นเพราะผู้คนต่อแถวมากมายขนาดนี้ ความกระหายและกลิ่นอายแห่งปรารถนารสของพวกเขาจึงยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คนอื่นๆ ไม่อาจไม่สนใจ
เช่นเดียวกัน การที่คนมาต่อแถวก็ทำให้หวังเป่าเล่อผู้เป็นเจ้าของร้านดูดซับกลิ่นอายแห่งปรารถนารสได้อย่างราบรื่นยิ่งขึ้น กฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสภายในร่างเพิ่มพูนอย่างรวดเร็ว
แม้แต่ผู้จัดการร้านกับพวกคนแคระก็ยังได้ประโชน์มากมาย แม้จะเสียร้านค้าไป แต่ตอนนี้สารอาหารของการฝึกตนที่พวกเขาดูดซับทุกวันๆ กลับมีมากกว่าตอนยังมีร้านแบบเมื่อก่อนเสียอีก
ใช้ความรุนแรงสามารถทำให้ร่างกายยอมจำนน แต่ผลประโยชน์กลับทำให้จิตใจของผู้คนจำนนอย่างสมบูรณ์ อย่างพวกผู้จัดการร้านก็เช่นกัน พวกเขาไม่เคียดแค้นหวังเป่าเล่ออีกแล้ว ถึงขั้นที่ถ้าหากหวังเป่าเล่อเสนอตัวจะจากไป พวกเขาก็จะยังไม่เห็นด้วยด้วยซ้ำ
ผลประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นมาทำให้พวกเขาทุ่มเทแรงใจปกป้องยิ่งกว่าตัวหวังเป่าเล่อเองเสียอีก
ในไม่ช้า กิจการของร้านรอบๆ ก็ตกต่ำเพราะเรื่องนี้ แต่พวกเขาไม่คิดว่าน้ำเย็นหล่อวิญญาณจะมีอยู่ได้นาน อีกทั้งเรื่องเช่นนี้ร้านรวงไม่น้อยล้วนเคยทำมาทั้งนั้น มากสุดหนึ่งเดือนก็จะหายไปแล้ว
ดังนั้น พวกเขาจึงเลือกจะสังเกตดูความนิยมของร้านค้าข้างๆ จนกระทั่ง…ความร้อนแรงของน้ำเย็นหล่อวิญญาณยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก กินเวลานานกว่าหนึ่งเดือนไปแล้ว จำนวนคนที่มาต่อแถวก็ยิ่งพุ่งไปถึงหนึ่งพันคน เรื่องนี้จึงนับว่าโด่งดังอยู่ในเมืองปรารถนารสเป็นวงกว้าง
ในที่สุดร้านค้าอื่นโดยรอบ ก็นั่งไม่ติด ผู้ที่เข้ามาหาเรื่องพวกแรกสุดก็คือร้านที่อยู่ใกล้กับพวกเขาที่สุดนั่นเอง พนักงานกับผู้จัดการร้านนั้นเฝ้าดูคนที่ต่อแถวอยู่ข้างนอก จนถึงยามค่ำก็พังประตูบุกรุกเข้าไป
เมื่อประตูร้านปิดลง ข้างในก็ไร้เสียง คนที่เฝ้าดูอยู่ด้านนอกก็ล้วนสังเกตดูอยู่บ่อยๆ แต่จนกระทั่งยามเช้า ด้านในก็ไม่มีความเคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว
กระทั่งถึงเวลาเปิดทำการ เจ้าอ้วนน้อยที่ตาบอดไปข้างหนึ่งก็เดินออกมาอย่างเย่อหยิ่ง หลังจากเปิดประตูร้านและเปิดกิจการตามปกติ ผู้ฝึกตนที่ต่อแถวอยู่ด้านนอกถึงหายใจเข้าลึกเมื่อพบว่าพนักงานในร้านมีเพิ่มขึ้นมา
ไม่กี่คนที่เพิ่มเข้ามาก็คือผู้ฝึกตนจากร้านข้างๆ ที่บุกเข้าไปเมื่อคืน พวกเขาแต่ละคนล้วนท้อแท้ แววตามีความหวาดกลัวขณะยังอ่อนแรง
พร้อมกันนั้น…ขนาดของร้านก็ใหญ่ขึ้นด้วย ไม่รู้ว่าเชื่อมกับร้านข้างๆ จนกลายเป็นร้านเดียวกันตั้งแต่เมื่อไร
เรื่องนี้ทำให้ลูกค้าที่ต่อแถวอยู่เหล่านั้นรู้สึกตกใจไปตามๆ กัน ยิ่งกว่านั้นพวกผู้ฝึกตนจากร้านอื่นๆ ที่มาเฝ้าดูอยู่ที่นี่ก็สูดหายใจลึก ทันใดนั้นก็ไม่กล้ากระทำการบุ่มบ่ามอีกแล้ว
เป็นเช่นนี้ เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน น้ำเย็นหล่อวิญญาณเหมือนกับฝนตกชุ่มฉ่ำอยู่ในเมืองปรารถนารส ในใจของผู้ฝึกตนเกือบครึ่ง มันกลายเป็นข่าวลือที่ดังระเบิดที่สุดในเขตตะวันออกของเมืองปรารถนารส
ตอนนี้เอง ในเขตตะวันออก ณ ร้านอาหารขนาดใหญ่แห่งหนึ่งก็กำลังจับตามองที่แห่งนี้ด้วยสายตาละโมบ
“ไปส่งข่าว บอกให้มอบสูตรกับวัตถุดิบจากกฎเกณฑ์แห่งสุขมาซะ ไม่อย่างนั้น…จะไม่ได้เห็นท้องฟ้าของวันพรุ่งนี้” คำพูดราบเรียบดังออกมาจากในร้านอาหารขนาดใหญ่แห่งนี้
………………………………………
เสียงเพลงดังอยู่ทั้งคืน
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อประตูใหญ่ของร้านเปิดออกและแสงแดดส่องเข้ามา พื้นร้านค้าก็สะอาดสะอ้านไร้ไรฝุ่น โต๊ะเก้าอี้ก็เช่นกัน ไม่มีร่องรอยเสียหายแม้แต่นิด
มีเพียงพนักงานดูแลลูกค้าสองคน คนหนึ่งสีหน้าซีดขาวเดินกะโผลกกะเผลก แต่ในปากเคี้ยวอะไรบางอย่างอยู่ตลอด เคี้ยวไม่หยุด ไม่กลืนลงไปสักที ส่วนอีกคนจากอ้วนก็ผอมลง ทั้งยังตาบอดหนึ่งข้าง สีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง
ส่วนพ่อครัวนั้น เนื่องจากไม่ได้เผยตัวออกมาจึงมองไม่เห็น แต่ก็ได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ มาจากครัวด้านหลังอย่างเลือนราง และยังมีเสียงคล้ายสับเนื้อดังฉับๆ
นอกจากนั้น ผู้จัดการร้านหญิงผู้งามล้ำเปี่ยมเสน่ห์ก็ยังมีสีหน้าห่อเหี่ยว เสียงแหบแห้งเล็กน้อย รอยยิ้มก็ดูฝืนใจอย่างยิ่ง สิ่งเหล่านี้ทำให้ลูกค้าประจำของร้านที่มาเยือนในวันธรรมดาประหลาดใจมาก
แต่พวกเขาก็ไม่ได้คิดอะไรนัก มีคนเข้ามาอยู่เนืองๆ กินอาหารตามปกติขณะพูดคุยกัน แล้วจากไปทีละคน จนกระทั่งยามเที่ยงตรง ลูกค้าในร้านก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น แม้จะไม่เต็มร้าน แต่ก็มีอยู่เจ็ดแปดส่วน
ในจำนวนนั้นมีทั้งชาวเมืองปรารถนารสและมีคนจากภายนอก ดูท่าทางปกติมาก เหมือนกับว่าหากไม่ใช่วันเทศกาล ความโกลาหลวุ่นวายของเมืองปรารถนารสก็จะถูกเก็บซ่อนเอาไว้ ไม่ปรากฏออกมาง่ายๆ
ส่วนความผิดปกติของพนักงานและผู้จัดการในร้านก็ไม่มีใครสนใจ กระทั่ง…เมื่อมีคนจากภายนอกสองสามคนซึ่งไม่ใช่ชาวเมืองเมืองนี้ก้าวเข้ามาในร้านอย่างระมัดระวัง สายตาของพวกเขากวาดมองรอบๆ เป็นพักๆ จดจ้องพิจารณาอยู่ที่คนแคระกับเจ้าอ้วนน้อยอยู่บ่อยๆ
หากเป็นในยามปกติ คนแคระกับเจ้าอ้วนน้อยคงไม่ยอมแล้ว แต่วันนี้พวกเขาคล้ายจะเปลี่ยนนิสัย ปล่อยให้ตนถูกประเมิน พลางยกอาหารไปให้ด้วยท่าทีเศร้าซึม ก่อนจะจากไปเงียบๆ
ภาพนี้ทำให้คนนอกไม่กี่คนนั้นพากันตกใจ เมื่อวานพวกเขาเห็นกับตาว่าหวังเป่าเล่อถูกบีบบังคับให้เข้าร้าน ที่มาวันนี้ก็เพราะความแปลกประหลาดของเมื่อวาน ทำให้เกิดความสงสัยใคร่รู้ จึงมาดูสถานการณ์สักหน่อย
ถึงอย่างไรหลังจากเทศกาลผ่านไป ความอันตรายจากร้านค้าของเมืองปรารถนารสก็ลดลงไปมาก
ตอนนี้เมื่อเห็นทั้งหมดนี้แล้ว คลื่นยักษ์ในใจคนนอกสองสามคนนี้ก็โหมซัด รับรู้ได้ว่าชายหนุ่มที่เข้ามาในร้านเมื่อวานผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดา แต่ดูแล้วแม้ว่าพนักงานในร้านกับผู้จัดการร้านจะบาดเจ็บ ทว่ากลับยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้นในใจของคนสองสามคนนี้จึงเริ่มคาดเดาว่า สุดท้ายชายหนุ่มผู้นั้นจะน้ำน้อยแพ้ไฟและกลายเป็นวัตถุดิบอาหารไปแล้วหรือไม่?
แต่ขณะที่คนนอกเหล่านี้กำลังครุ่นคิดอยู่ในใจ ประตูห้องพักที่ชั้นสองก็เปิดออก หวังเป่าเล่อค่อยๆ ก้าวมายืนอยู่บนระเบียงแล้วก้มหน้ามองลงไปข้างล่าง
การปรากฏตัวของเขาดึงดูดความสนใจของลูกค้าชั้นล่างได้ทันที ต่างก็พากันเงยหน้าขึ้นไปมอง คนนอกสองสามคนนั้นก็เช่นกัน หลังจากเห็นหวังเป่าเล่อแล้ว พวกเขาก็รีบเก็บสายตากลับไปอย่างว่องไว
ขณะเดียวกันนั้น คนแคระตัวสั่นสะท้านอย่างเห็นได้ชัด เขาส่งอาหารอย่างขยันขันแข็งมากกว่าเดิม ส่วนเจ้าอ้วนน้อยก็กระตือรือร้นสุดใจ เช็ดโต๊ะที่เดิมสะอาดเอี่ยมอ่องทั้งไม่มีคนใช้เต็มกำลัง และยังมีผู้จัดการร้านผู้นั้นก็คล้ายคึกคักขึ้น ก้มหน้าทำบัญชีเร็วรี่ ท่าทางจริงจังเหนือใคร
แม้แต่เสียงฉึบฉับที่ครัวด้านหลัง ตอนนี้ก็ยังดังชัดเจนยิ่งกว่าเดิม…
หวังเป่าเล่อทอดมองทั้งหมดนี้แล้วสูดหายใจลึก สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความกระหายอยากจางๆ มันแพร่กระจายไปทั่วร้านแล้วลอยเข้ามาหาเขา หลังถูกเขาสูบเข้าปากแล้วก็ผสานเข้ากับวังน้ำวนที่ตันเถียน
ความพึงพอใจแรงกล้าทำให้จิตใจของหวังเป่าเล่อกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาไม่น้อย เขาเริ่มรู้สึกสนใจการฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนารสยิ่งกว่าเดิม
การฝึกตนเช่นนี้ มันแปลกพิสดาร แต่ขณะเดียวกันเขาก็ชอบมาก
ทว่าน่าเสียดายที่กลิ่นอายความกระหายอยากของที่นี่ไม่เข้มข้น แค่หวังเป่าเล่อสูบเข้าไปไม่กี่คำก็สูบจนกลิ่นอายเหล่านี้หมดสิ้นแล้ว สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเสียดายอยู่ในใจ เมื่อคิดถึงวันเทศกาลเมื่อวาน คนทั้งเมืองต่างมารวมตัวกันที่แท่นบูชา กลิ่นอายแห่งความกระหายอยากเข้มข้นเสียจนไม่อาจจินตนาการได้เลย
“กฎเกณฑ์ปรารถนารสเช่นนี้ หากฝึกฝนได้จนถึงขีดสุด หมื่นชีวิตทุกสรรพสิ่งก็จะถูกควบคุม…เพราะความปรารถนาเช่นนี้ เดิมก็เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตอยู่แล้ว”
“เจ็ดอารมณ์หกปรารถนาเดิมก็ล้วนเป็นเช่นนี้…” หวังเป่าเล่อสัมผัสรสชาติวังน้ำวนแห่งความปรารถนาภายในร่าง จากนั้นก็หันกายเดินกลับเข้าห้องพักขณะครุ่นคิด
การจากไปของเขาทำให้คนแคระและเจ้าอ้วนน้อยในร้าน รวมไปถึงผู้จัดการหญิงลอบโล่งอก เช่นนี้เอง เวลาก็เคลื่อนผ่านไปช้าๆ ไม่นานก็มาถึงยามเย็น เวลานี้หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้ง หลังดูดซับกลิ่นอายแล้วก็กลับห้องพักอีกรอบ
จนกระทั่งยามค่ำ หลังจากปิดร้านแล้ว ค่ำคืนไร้สุ้มเสียง พร้อมกับความประหม่าวิตกของพวกพนักงาน
เวลาผ่านไปแต่ละวัน ในไม่ช้า หวังเป่าเล่อก็เป็นเจ้าของร้านมาแล้วแปดวัน ในแปดวันนี้ ทุกครั้งที่เขาโผล่หน้าออกมาล้วนเป็นการดูดซับกลิ่นอายแห่งปรารถนารส ช่วงเวลาอื่นล้วนไม่หือไม่อือ ทำให้พวกคนแคระเริ่มจะผ่อนคลายขึ้นบ้าง
แต่ในคืนวันที่เก้าที่พวกเขาคิดว่าจะเงียบงันไร้เรื่องราวเหมือนเดิม หลังปิดร้าน เงาร่างของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏขึ้นที่ชั้นหนึ่ง เมื่อเขานั่งลงบนเก้าอี้ คนแคระและเจ้าอ้วนน้อย รวมถึงผู้จัดการร้านกับพ่อครัวที่อยู่ชั้นหนึ่งก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ
“ข้าไม่พอใจมาก” หวังเป่าเล่อนั่งอยู่บนเก้าอี้และเอ่ยเสียงราบเรียบ
“กิจการของร้านนี้แย่เกินไป”
เมื่อหวังเป่าเล่อเอ่ยออกมา คนแคระก็หยุดเคี้ยว เจ้าอ้วนน้อยก้มหน้า พ่อครัวหันไปมองผู้จัดการร้านหญิง ส่วนใบหน้าผู้จัดการร้านหญิงก็เผยท่าทางไม่ได้รับความเป็นธรรม นางก้มหน้าตอบคำ
“นายท่าน สถานการณ์ช่วงสองสามวันมานี้นับว่าดีแล้ว…”
เขาไม่ได้สนใจคำพูดของผู้จัดการร้านหญิง หวังเป่าเล่อยกมือขึ้น หยิบกระเป๋าคลังเก็บออกมาโยนไว้บนโต๊ะ
“พรุ่งนี้ให้เปิดขายของสิ่งนี้” กล่าวจบ หวังเป่าเล่อก็ลุกขึ้นเดินกลับห้องพัก
หลังจากเขาเดินไปแล้ว พวกคนแคระก็มองหน้ากันแล้วเข้าไปใกล้โต๊ะทันที ก่อนจะหยิบกระเป๋าคลังเก็บขึ้นมาด้วยความสงสัย พอเปิดออกก็เห็นทันทีว่าข้างในมีขวดขนาดเล็กอยู่หลายร้อยขวด
ในขวดทุกใบล้วนมีน้ำอยู่ครึ่งขวด
“นี่คือ…” พ่อครัวสงสัย ยกขึ้นเปิดออก หลังดมอยู่ครู่หนึ่งก็ดื่มเข้าไปหนึ่งอึก จากนั้นดวงตาพลันเบิกโพลง ชั่วพริบตาใบหน้าอัปลักษณ์ก็แย้มยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว แววตาเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม
เมื่อคนแคระและเจ้าอ้วนน้อยเห็นภาพนี้เข้าก็รีบหยิบสองขวดขึ้นดื่มโดยเร็ว ไม่นานร่างกายก็สั่นสะท้าน เผยท่าทางแบบเดียวกันออกมา จนทำให้ดวงตาของผู้จัดการร้านหญิงเปล่งประกาย นางหยิบขึ้นมาจิบอึกหนึ่ง พริบตาต่อมาก็หายใจหอบถี่ทันที
“หวานอมเปรี้ยว มีฟองอากาศเล็กน้อย ที่สำคัญที่สุดคือในนั้นมีกลิ่นอายแห่งสุข!”
นี่ก็คือ…น้ำเย็นหล่อวิญญาณ!
ที่มือของหวังเป่าเล่อในห้องพักก็มีอยู่หนึ่งขวดเช่นกัน หลังดื่มลงไปหนึ่งอึก แววตาของเขาก็มีประกายแปลกประหลาดวาบผ่าน เดิมทีเขาคิดจะทำตัวค้อมต่ำเก็บงำอยู่ในเมืองปรารถนาเสียงสักหน่อย แต่เมื่อเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสแล้ว หวังเป่าเล่อก็คิดว่าการทำตัวค้อมต่ำนั้นแก้ไขปัญหาไม่ได้
หากสามารถปักหลักอยู่ในเมืองปรารถนารสและได้กฎเกณฑ์แห่งปราถรถนารสมามากกว่านี้ มันจะมีประโยชน์ต่อตัวเขามากยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงผสานกลิ่นอายแห่งกฎเกณฑ์สุขในร่างเข้าไปในน้ำเย็นหล่อวิญญาณ จนเกิดเป็นเครื่องดื่มชนิดนี้
การใช้เจ็ดอารมณ์เป็นวัตถุดิบไม่ใช่เรื่องหายากในเมืองปรารถนารส แต่นอกจากร้านค้าชั้นยอดสามถึงห้าแห่งที่สามารถจัดหาส่วนผสมที่เป็นหนึ่งในเจ็ดอารมณ์ได้ทั้งปีแล้ว บางครั้งส่วนใหญ่ร้านค้าอื่นจะจัดหามาได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ถึงอย่างไร สายเลือดของเจ็ดอารมณ์ส่วนใหญ่ล้วนซ่อนตัว หาเจอยากอย่างยิ่ง และเนื่องจากกฎเกณฑ์แห่งสุขถูกผู้ร่ำร้องแห่งปรารถนาเสียงเพ่งเล็ง หลายปีมานี้จึงถูกทำลายไปอย่างต่อเนื่อง เหลือเพียงพวกไม่สมบูรณ์ ซึ่งแทบจะถูกทำลายจนสิ้นอยู่แล้ว ดังนั้นจึงยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่ ต่อให้บางครั้งถูกจับมาได้ แต่ก็ไม่เหมือนกับหวังเป่าเล่อที่อาศัยการตระหนักรู้ของตนก็สามารถสร้างเต๋าออกมาได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด
ดังนั้น แทบจะเดาได้เลยว่าเมื่อเปิดขายน้ำเย็นหล่อวิญญาณ ร้านค้าแห่งนี้จะต้องค่อยๆ มีชื่อเสียงขึ้นแน่นอน
สิ่งนี้ทำให้ดวงตาของพวกผู้จัดการร้านหญิงกับคนแคระสว่างไสวในทันที
……………
เมืองปรารถนารสที่เหมือนกับสำนักแห่งหนึ่งเช่นนี้ ทั้งยังไม่มีกฎสำนักเป็นกรอบเป็นเกณฑ์อะไร ช่างเป็นสถานที่ที่เหมาะจะให้ตนซ่อนตัวอย่างยิ่ง นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังมองออกว่า เมืองปรารถนารสคล้ายไม่มีใครถูกมองว่าเป็นศัตรูเลย
ตามหลักการแล้วทุกคนจากข้างนอกสามารถเข้ามาในเมืองได้หลังจากได้รับสิทธิ จึงทำให้คนดีเลวปะปน
สิ่งที่พวกเขาต้องการคือความเปิดกว้างและต้องการให้คนมากมายหลั่งไหลเข้าสู่ที่นี่ ส่วนอาหารเลิศรสก็เป็นเพียงวิธีการและรูปแบบการฝึกตนอย่างหนึ่ง ยิ่งมีคนมากมายอุทิศความกระหายอยากให้พวกมัน ก็จะยิ่งทำให้ผู้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนารสภายในเมืองได้ประโยชน์มากมาย
บางทีอาจเป็นเพราะเงื่อนไขเหล่านี้จึงทำให้ภายในเมืองปรารถนารสดูคล้ายจะสับสนวุ่นวาย แต่ที่จริงกลับมีรูปแบบของกฎบางอย่าง
ที่นี่ชีวิตคนไม่มีความหมายอะไรนัก
สิ่งที่มีความหมายอย่างแท้จริงคือต้องสามารถปกป้องตนเองได้
“น่าสนใจ” เมื่อคิดเรื่องทั้งหมดนี้แล้ว ใบหน้าของหวังเป่าเล่อก็ยิ้มออกมา เขาพบว่าตนค่อนข้างจะชอบเมืองปรารถนารสแห่งนี้ ที่สำคัญที่สุดคือ ที่นี่เขามีกิจการอยู่หนึ่งแห่ง
“แล้วคำแนะนำของร้านแห่งนี้อยู่ไหน” หวังเป่าเล่อหรี่ตา มองไปยังผู้จัดการร้านหญิงที่ตอนแรกยังงดงามเปี่ยมเสน่ห์ แต่ตอนนี้กลับจำเค้าลางเดิมไม่ได้
ผู้จัดการร้านหญิงจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร เมื่อได้ยินแล้วก็รีบตบอกของตนทันที ตอนนั้นเองแสงสีแดงก็เปล่งออกมาจากภายในร่าง แล้วลอยมารวมตัวกันอยู่ตรงหน้านางช้าๆ จนเกิดเป็นป้ายคำสั่งเลือนรางป้ายหนึ่ง
บนป้ายคำสั่งแผ่นนี้มีอักขระโบราณจำนวนมากสอดประสานกันอยู่ ทำให้ชั่วพริบตาที่ผู้คนปราดมองไปก็คล้ายจะมองเห็นอาหารโอชะของโลก จนความอยากอาหารพุ่งขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
แม้แต่เจ้าอ้วนน้อยกับคนแคระและพ่อครัวผู้นั้น ตอนนี้ล้วนแล้วแต่มีสภาพน่าเวทนาอย่างยิ่ง แต่หลังจากเห็นป้ายคำสั่งนี้แล้ว ลมหายใจก็หอบถี่ขึ้นมาราวกับควบคุมเอาไว้สุดกำลัง
แต่เห็นได้ชัดว่าการควบคุมเช่นนี้ไม่อาจทำได้นานนัก หากแสดงป้ายคำสั่งออกมานานๆ เกรงว่าทั้งสามคนคงอดไม่ได้ที่จะพุ่งไปแย่งชิงโดยไม่สนอะไรทั้งสิ้นแน่
เขากวาดมองสีหน้าของทุกคน หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ยกมือขวาขึ้นคว้า ทันใดนั้นป้ายคำสั่งเลือนรางก็พุ่งมาหาหวังเป่าเล่อ เมื่อถูกเขาจับเอาไว้ในมือแล้ว สายตาของทุกคนในที่นี้ก็ถูกดึงดูดให้มองไปโดยสัญชาตญาณ
หวังเป่าเล่อถือป้ายคำสั่งไว้พลางสัมผัสตระหนักรู้ครู่หนึ่ง นัยน์ตามีประกายแสงวาบผ่าน คำแนะนำนี้…ในความคิดของเขา ความจริงมันก็คือเมล็ดพันธุ์เต๋าที่มีขนาดเล็กและเปราะบางอย่างยิ่งเท่านั้น
และเมื่อเทียบกับเมล็ดพันธุ์เต๋าของจริง ของสิ่งนี้นับว่าเป็นแค่กิ่งย่อยที่เล็กจ้อยอย่างยิ่ง ไม่เหมือนแม้แต่หนึ่งในหมื่นส่วน ใช้คำว่า ‘เส้นเต๋า’ มาบรรยาย บางทีอาจเหมาะยิ่งกว่า
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ มันก็ยังทำให้ผู้คนสามารถเชื่อมต่อกับกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสหลังจากตระหนักรู้ได้ แต่เรื่องการตระหนักรู้การฝึกตนนั้น ถ้าหากเปรียบเทียบกฎเกณฑ์ปรารถนารสเป็นแม่น้ำสายหนึ่ง เช่นนั้นตอนนี้เส้นเต๋าเส้นนี้ก็เหมือนกับต้นกล้าเล็กๆ ที่มีรากเชื่อมต่อกับแม่น้ำสายนี้นั่นเอง
แต่เนื่องจากต้นกล้าอ่อนแอและมีข้อจำกัด ดังนั้นระดับการดูดซับจึงไม่สูง
ส่วนผู้จัดการร้านหญิงในเวลานี้นั้น เป็นเพราะส่งคำแนะนำออกไป ตัวนางจึงอ่อนแอลงไม่น้อย แต่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ชัดเจนว่า ถึงแม้ภายในร่างของอีกฝ่ายจะไม่มีคำแนะนำอยู่แล้ว ทว่าบางทีอาจเป็นเพราะเคยตระหนักรู้อยู่หลายปี ตัวของนางจึงยังสามารถตระหนักรู้กฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสได้อยู่
แค่ความเร็วและประสิทธิภาพลดลงไปมาก
“ดูท่าการฝึกตนของโลกใบนี้จะใช้เมล็ดพันธุ์เต๋าเป็นพื้นฐาน รูปแบบการตระหนักรู้กฎเกณฑ์ก็เช่นเดียวกัน” หวังเป่าเล่อนึกถึงกฎเกณฑ์แห่งสุขและกฎเกณฑ์แห่งปรารถนาเสียง ซึ่งล้วนเป็นเช่นเดียวกับกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสตรงหน้า
หลังจากเงียบงันไปพักหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็โบกมือขวาทันที ทันใดนั้นป้ายคำสั่งของกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารสที่อยู่กลางฝ่ามือก็แทรกซึมเข้าไปในฝ่ามือของเขาเหมือนกับละลาย หลังจากเคลื่อนตัวอยู่ในร่าง มันก็กลายเป็นวังน้ำวนขนาดเท่าเล็บมืออยู่ที่บริเวณตันเถียน
เมื่อวังน้ำวนปรากฏ ความรู้สึกหิวโหยขั้นรุนแรงก็เกิดขึ้นในร่างของหวังเป่าเล่อ ราวกับตอนนี้แม้จะมีอาหารเลิศรสมากมายเหมือนภูเขาทะเลกองไว้ตรงหน้า เขาก็สามารถกลืนลงไปได้หมด
และถ้าไม่มีอาหารมาจัดการกับความหิวโหยนี้ ความหิวก็จะถูกกักไว้ข้างในแล้วดูดซับพลังชีวิตของผู้ฝึกตนไปเอง
ความรู้สึกนี้ยากจะข่มกลั้นอย่างยิ่ง เพียงพอจะทำให้คนธรรมดาเป็นบ้าได้เลย แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว มันยังอยู่ในขอบเขตที่ทนรับไหว ดังนั้นหลังจากลูบท้องของตน เขาก็สยบความรู้สึกนี้ไว้ได้ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น ปราดมองไปยังผู้จัดการหญิงคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
พอเขาปราดมองมา ผู้จัดการหญิงก็ตัวสั่นรุนแรงยิ่งกว่าเดิม แววตาเผยความไม่อยากเชื่อ นางรีบคำนับลงอย่างรวดเร็ว โขกศีรษะไม่หยุด พูดอะไรไม่ออกเพราะหวาดกลัวและประหม่าเกินไป
สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะก่อนหน้านี้ ตอนส่งคำแนะนำออกไป ในใจนางก็เกิดความเพ้อฝันอย่างหนึ่ง นางจงใจไม่พูดถึงผลข้างเคียงหลังจากหลอมรวมคำแนะนำ เดิมทีคิดว่าสามารถอาศัยเรื่องนี้มาพลิกสถานการณ์ได้
ถึงอย่างไรก็เป็นเพราะคนอื่นไม่เคยหลอมรวมกับคำแนะนำมาก่อน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าทันทีที่ผสานเข้าไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น เรื่องนี้ในเมืองปรารถนารสเดิมก็เป็นความลับในระดับหนึ่งอยู่แล้ว
ปีนั้นตอนที่นางผสานรวมเข้าไป แม้จะถูกเตือน แต่ก็เป็นเพราะไม่ได้เตรียมตัวอย่างเหมาะสม จึงเกือบถูกคำแนะนำสะท้อนกลับใส่ทั้งตัวแล้ว ดังนั้นนางจึงเข้าใจว่า ต่อให้คนตรงหน้าจะแข็งแกร่งปานใดก็ยากจะปลอดภัยไร้เรื่องราว ทันทีที่เขาถูกสะท้อนกลับ ก็จะเป็นโอกาสดีที่สุดที่นางจะพลิกกระดานตอบโต้
แต่อย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่าการสะท้อนกลับที่นางคิดว่าน่ากลัวอย่างยิ่ง เมื่ออยู่บนตัวของอีกฝ่าย มันกลับไม่ปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย สิ่งนี้ทำให้ความหวังเส้นสุดท้ายในใจของนางพังทลาย ขณะนี้หลังจากถูกหวังเป่าเล่อกวาดมองมา ความอยากอยู่รอดจึงรุนแรงถึงขีดสุด
“ทำความสะอาดที่นี่ให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เปิดทำการตามปกติ” หวังเป่าเล่อถอนสายตากลับไป เมื่อลุกขึ้นโบกมือ พันธนาการสี่สายก็แผ่ออกมาแล้วบินเข้าไปในร่างของคนทั้งสี่ ติดตรึงดวงวิญญาณเทพของพวกเขาเอาไว้โดยสมบูรณ์ จากนั้นเขาจึงบิดตัวอย่างเกียจคร้านแล้วเดินขึ้นไปชั้นสอง
ชั้นที่หนึ่งของร้านค้าคือร้านอาหาร ชั้นที่สองจึงจะเป็นที่พัก ตอนนี้เขาเดินขึ้นบันไดและผลักประตูห้องพักหลักออกแล้ว แต่จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็เอ่ยขึ้นว่า
“ข้าชอบฟังดนตรี คืนนี้ให้เจ้าร้องเพลงถึงเช้า” กล่าวจบหวังเป่าเล่อก็ผลักประตูเดินเข้าไป
จนกระทั่งเงาร่างของเขาหายลับไปแล้ว คนทั้งสี่ที่ชั้นล่างก็ตัวสั่นเทา มองหน้ากันและกัน ล้วนแต่มองเห็นความจนใจของแต่ละคนได้ จากนั้นคนแคระผู้นั้นก็กระโดดโหยงขึ้นมาไปอยู่ตรงหน้าเจ้าอ้วนน้อยทันที ก่อนตบหน้าเขาไปฉาดหนึ่ง
ตบจนร่างของเจ้าอ้วนน้อยกระเด็นไปกระแทกกับผนังตรงๆ ยังไม่จบ พ่อครัวชายฉกรรจ์ก็ทำเช่นเดียวกัน เขาเดินเข้าไปเตะอย่างแรง เตะจนเจ้าอ้วนน้อยกระอักเลือดออกมาแล้วล้มลงไปอีกด้าน
“เจ้าตาบอดหรือไง กลับพาดาวมรณะเช่นนี้เข้าร้านได้!”
สภาพของเจ้าอ้วนน้อยอนาถอย่างยิ่ง รู้สึกเสียใจเช่นกัน แต่กลับไม่อาจคัดค้านได้ ถึงอย่างไร…ก็เป็นเขาเองจริงๆ ที่บังคับให้หวังเป่าเล่อเข้ามาในร้าน
“พ่อครัวพูดได้ไม่ผิด ตาของเจ้ามืดบอดแล้วจริงๆ” ขณะที่เจ้าอ้วนน้อยพยายามคลานขึ้นมา เสียงแผ่วเบาก็ดังมาจากตรงหน้าของเขา เจ้าอ้วนน้อยหน้าเปลี่ยนสี หลบหลีกไม่ทันการ ผู้จัดการร้านหญิงปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขา นางยกนิ้วมือของมือขวาขึ้นแทงลงไปที่ตาขวาของเจ้าอ้วนน้อยแล้วควักออกมาเต็มแรง
เจ้าอ้วนน้อยกำลังจะกรีดร้อง คนแคระผู้นั้นก็มาอยู่ข้างหลังแล้วอุดปากเอาไว้แน่น ทำให้เจ้าอ้วนน้อยไม่อาจส่งเสียงร้องออกมาได้ ทำได้เพียงตัวสั่นเทิ้มรุนแรง ปล่อยให้ผู้จัดการร้านหญิงควักลูกตาของเขาออกมา แล้วป้อนให้คนแคระที่อยู่ข้างตัวเขา
“ลากออกไปซะ สั่งสอนให้ดี” จากนั้น ท่ามกลางความโหดเหี้ยมของคนแคระและพ่อครัว ผู้จัดการร้านหญิงก็เอ่ยเสียงเบาแล้วไม่ดูต่อ แต่นั่งอยู่ข้างๆ ถอนหายใจออกมา ก่อนเริ่มร้องเพลง
เสียงเพลงแสนคับแค้นใจพร้อมกับความอับจนปัญญาและเสียงที่สั่นระรัวก็สะท้อนก้องอยู่ในร้านเนิ่นนาน
ในห้องพัก สีหน้าของหวังเป่าเล่อเยือกเย็น ไม่ยินดียินร้าย นั่งทำสมาธิอยู่
ในโลกวิปริตที่เต็มไปด้วยความปรารถนา สิ่งที่จำเป็นคือเจ้าต้องโหดเหี้ยมยิ่งกว่าผู้อื่น
………………………………………….
เมื่อเห็นทุกคนในร้านยินดีต้อนรับตนขนาดนี้ หวังเป่าเล่อก็เผยรอยยิ้มออกมา ก่อนกวาดมองไปรอบด้าน มองดูร้านค้านี้แล้วเขาก็รู้สึกทอดถอนใจขึ้นมา
ตนนับว่ามีกิจการเป็นของตัวเองในเมืองแห่งนี้แล้ว
“แล้วก็ วัตถุดิบที่พวกเจ้าพูดถึงเมื่อครู่นี้คืออะไร” หวังเป่าเล่อเช็ดมุมปาก กวาดมองคนทั้งสี่
ทั้งสี่ไม่กล้าปิดบังแม้แต่น้อย ไม่ช้าก็ตอบคำถามหวังเป่าเล่อทีละข้อ
ที่บอกว่าวัตถุดิบอาหารนั้น ความจริงแล้วไม่ได้กินคนจริงๆ เรื่องเช่นนี้แม้จะอยู่ในเมื่องปรารถนารสก็ยังพบเห็นได้น้อยมาก สาเหตุที่เมื่อครู่พวกนี้เห็นหวังเป่าเล่อแล้วเกิดความโลภก็เพราะได้กลิ่นอายของเต๋าสุข
ร่างแยกร่างนี้ของหวังเป่าเล่อนั้น เนื่องจากแบ่งออกมาจากร่างจริง ดังนั้นย่อมปนเปื้อนกลิ่นอายของกฎเกณฑ์แห่งสุขอยู่บ้างเป็นธรรมดา และกลิ่นอายนี้สำหรับผู้ฝึกตนเมืองปรารถนารสแล้ว มันเหมือนกับอาหารโอชะชั้นเลิศ แค่ได้กลิ่นก็เพิ่มความอยากอาหารขึ้นมาก
ดังนั้นพวกเขาจึงเกิดความโลภ หลังจับตัวหวังเป่าเล่อก็เตรียมจะใช้วิธีการหลอมกลั่นดึงเอากลิ่นอายแห่งสุขภายในร่างของเขาออกมาสนองความกระหายอยากของตน
ขณะเดียวกันหากนำไปขาย ราคาก็จะสูงลิ่วอย่างยิ่ง ความจริงแล้วไม่ใช่แค่กลิ่นอายแห่งสุขเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ แต่เจ็ดอารมณ์ก็เช่นกันล้วนเป็นอย่างนี้ทั้งสิ้น สำหรับผู้ฝึกตนเมืองปรารถนารสแล้ว เต๋าแต่ละอย่างล้วนเป็นรสชาติโอชะชั้นยอด
แต่เห็นได้ชัดว่าถึงอย่างไรสี่คนในร้านค้าแห่งนี้ก็คิดไม่ถึงว่าวัตถุดิบที่พวกเขาเห็นว่าไม่เลวอย่างยิ่งผู้นี้ จะเปลี่ยนตัวตนเป็นเหมือนภูตผีปีศาจ จัดการพวกเขาได้ในพริบตา
โดยเฉพาะ…จากการอธิบายของพวกเขาตอนนี้ ก็สังเกตเห็นได้ทันทีว่าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงนั้นซึ่งเปรียบเหมือนฝันร้ายกลับฉายความเสียดายออกมา
สิ่งนี้ทำให้ทั้งสี่ใจสั่นสะท้านยิ่งกว่าเดิม
เมื่อสังเกตเห็นท่าทางของคนทั้งสี่ หวังเป่าเล่อก็ส่ายหน้า
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ไม่เหมือนกับที่ข้าคิดเอาไว้เลย น่าเสียดายอยู่สักหน่อย…” ขณะที่หวังเป่าเล่อกล่าว สายตาก็กวาดมองบนร่างคนทั้งสี่ สุดท้ายก็จดจ้องอยู่ที่เจ้าอ้วนน้อยที่แม้ใบหน้าจะบวมเป่ง เลือดเนื้อปะปนจนพร่าเลือน แต่เห็นได้ชัดว่ามีร่างกายขาวๆ นุ่มๆ
เมื่อสายตาคู่นี้กวาดมองมา ทันใดนั้นมันก็ทำให้สีหน้าของทั้งสี่คนซีดขาวเข้าไปใหญ่ ในใจสั่นสะท้าน อดคาดเดาไม่ได้ว่าอีกฝ่าย…เสียดายที่ตรงไหน
“เสียดายที่วัตถุดิบอาหารไม่ใช่เนื้อคน…”
“ต้องเป็นเช่นนี้แน่”
“นี่มันคนบ้าชัดๆ!”
โดยเฉพาะเจ้าอ้วนน้อยที่ถูกหวังเป่าเล่อจ้องมองเป็นคนสุดท้าย ตอนนี้ใกล้จะร้องคร่ำครวญออกมาอยู่รอมร่อ ความหวาดกลัวในดวงตาราวกับจะทำให้เขาตกใจตายได้เลย
ขณะที่ทั้งสี่ตัวสั่นเทิ้มพลางมองหน้ากันและกัน ตอนนี้เอง ระหว่างพวกเขาก็ไม่มีความต่างเรื่องฐานะอะไรทั้งสิ้นอีก พนักงานก็ดี พ่อครัวหลังร้านก็ดี แม้แต่ผู้จัดการร้าน ตอนนี้ล้วนเป็นนักโทษต่ำต้อยเหมือนกัน สีหน้าท่าทางหวาดกลัวไม่อาจปกปิด
ขณะนี้ท้องฟ้าภายนอกเริ่มมืดลงแล้ว จุดสิ้นสุดของเทศกาลใกล้จะมาถึง เสียงอึกทึกคึกครื้นที่มีอยู่เดิมก็เริ่มเงียบสงบลงช้าๆ ร้านค้ามากมายเริ่มแขวนโคม แม้จะยังไม่เปิดทำการ แต่เมื่อมองไป แสงโคมในเมืองค่อยๆ กลายเป็นประกายดวงดาว มากขึ้นเรื่อยๆ
แต่การมาถึงและความเงียบสงบของยามค่ำคืนกลับยิ่งทำให้บรรยากาศภายในร้านกดดันขึ้นมา บางทีอาจเป็นเพราะตกใจกับสายตาและความเสียดายของหวังเป่าเล่อ จึงทำให้ผู้ฝึกตนทั้งสี่ซึ่งรวมถึงผู้จัดการร้านรู้สึกหวาดผวามากขึ้น ยามตอบคำถามต่อๆ มาของหวังเป่าเล่อก็ยังมีความหวั่นวิตกรุนแรง พูดจาอึกอัก พร้อมทั้งไม่กล้าปิดบังแม้แต่นิด
นี่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้จักเมืองปรารถนารสแห่งนี้รอบด้านมากขึ้น ถึงอย่างไรความรู้เกี่ยวกับเมืองปรารถนารสของคนทั้งสี่ก็ถูกรวมเข้าด้วยกัน แม้หวังเป่าเล่อจะไม่คุ้นเคยกับเมืองปรารถนารส แต่หลังจากรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว เขาก็เข้าใจมันขึ้นไม่น้อยเลย
ตัวอย่างเช่น ผู้ฝึกตนในเมืองที่มีสิทธิอาศัยอยู่ระยะยาวทั้งหมดอาจมาจากหลายๆ เมืองด้วยซ้ำ แม้แต่เมืองโบราณก็มีคนได้รับสิทธิอาศัยอยู่ในเมืองปรารถนารสเช่นกัน
และการได้รับสิทธิเช่นนี้ก็ยากลำบากไม่น้อย จำเป็นต้องแลกมาด้วยการอุทิศระดับหนึ่งถึงจะได้
แต่ขอแค่ได้มาแล้วก็จะได้รับประโยชน์ไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะตราบใดที่อาศัยอยู่ในเมือง พลังฝึกตนจะเพิ่มพูนขึ้นช้าๆ และถ้ากินของในเมืองปรารถนารสล่ะก็ ประโยชน์ที่ช่วยเสริมด้านการฝึกตนก็จะมีมหาศาล
ขณะเดียวกัน หากเปิดร้านค้าของตนในเมืองแห่งนี้ สัญญาร้านเดิมทีก็เป็นคำแนะนำ และคำแนะนำนี้ก็สามารถทำให้ผู้ฝึกตนตระหนักรู้…กฎเกณฑ์ของเมืองปรารถนารสได้
กฎเกณฑ์เช่นนี้ต่างหากจึงจะเป็นรากฐานของเมืองปรารถนารส และเป็นสัญลักษณ์เมืองปรารถนารสสายตรง
ส่วนจะตระหนักรู้ได้อย่างไรก็ต้องมีอาหารเลิศรสต่างๆ อยู่ในมือก่อน ยิ่งอาหารของร้านอร่อยเท่าไร ชื่อเสียงและคนที่กระหายอยากเข้ามากินก็ยิ่งมาก เจ้าของร้านค้ากับพนักงานทั้งหมดก็จะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้มหาศาล
“คนนอกมาอยู่ในเมืองปรารถนารสก็เพื่ออาหารโอชะต่างๆ ที่จะทำให้การฝึกตนเพิ่มระดับขึ้น แต่สำหรับผู้ฝึกตนของกฎเกณฑ์ปรารถนารสแล้วนั้น สิ่งที่ต้องการคือดูดซับความคิดกระหายอยากของผู้คน” ผู้จัดการร้านหญิงเอ่ยเสียงสั่น
หวังเป่าเล่อได้ยินเรื่องเหล่านี้แล้วก็ครุ่นคิด ก่อนถามคำถามอื่นๆ อีกนิดหน่อย
ตัวอย่างเช่นเรื่องระดับชั้นและโครงสร้างของผู้ฝึกตนในเมืองปรารถนารสแห่งนี้
กล่าวโดยสรุปแล้ว เมืองปรารถนารสสามารถมองเป็นสำนักใหญ่ขนาดมหึมาแห่งหนึ่งได้เลย และภายในสำนักนี้ก็มีศิษย์นับไม่ถ้วน แต่ส่วนมากล้วนเป็นศิษย์นอก มีเพียงผู้ที่มีร้านรวงของตัวเองเท่านั้นถึงจะเป็นศิษย์สายใน
ศิษย์ในเช่นนี้ ในเมืองปรารถนารสเรียกว่าผู้อิ่มท้อง
และศิษย์นอกที่อยู่ต่ำกว่าผู้อิ่มท้องก็แบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกเรียกว่าผีหิวโหย ประเภทที่สองเรียกว่าผู้ยากจน
อย่างแรกนั้นมีจำนวนมากที่สุด พวกคนบ้าคลั่งผอมโซหนังหุ้มกระดูกที่หวังเป่าเล่อเห็นอยู่ข้างนอกก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่เป็นผีหิวโหย และคนที่ดีกว่าพวกเขาขึ้นมาเล็กน้อยก็คืออย่างหลัง
แต่ก็มีข้อจำกัดเช่นกัน ดังนั้นเมื่อมองโดยรวมแล้ว ในแง่หนึ่งนั้น ผู้ฝึกตนสองประเภทที่อยู่ในเมืองปรารถนารสก็คือแหล่งฝึกบำเพ็ญของผู้ฝึกกฎเกณฑ์ปรารถนารสนั่นเอง
ก็เหมือนกับระดับชั้นของการโกงกิน เหนือกว่าระดับผู้อิ่มท้องยังมีอีกหนึ่งระดับชั้นอยู่ ถูกเรียกว่าผู้มีกิน
คนประเภทนี้พวกเขามักจะมีความคิดเป็นของตัวเองในเรื่องกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารส ทั้งยังก้าวล้ำห่างไประยะหนึ่ง ร้านอาหารไม่อาจตอบสนองการฝึกบำเพ็ญของพวกเขาได้แล้ว ดังนั้นส่วนใหญ่จึงเลือกเลี้ยงดูคนรับใช้ที่สามารถให้ความกระหายอยากในปริมาณมากๆ กัน
อย่างเช่นผู้คนในกลุ่มขบวนแห่เหล่านั้น ซึ่งก็คือคนประเภทผู้มีกินนั่นเอง
ถัดจากผู้มีกิน ยังมีอีกหนึ่งระดับชั้น พวกนี้นับว่าอยู่ระดับสูงของเมืองปรารถนารส พวกเขาถูกเรียกว่าสาวกเนื้อ ผู้ที่สามารถฝึกฝนกฎเกณฑ์ปรารถนารสจนบรรลุถึงระดับนี้ได้นับว่ามีไม่มาก
ทั้งเมืองปรารถนารสก็มีแค่ไม่กี่สิบคนเท่านั้น เนื่องจากวิธีการฝึกตนแบบพิเศษจึงทำให้ผู้ฝึกตนประเภทนี้มักจะกักตนเป็นส่วนใหญ่ น้อยนักที่จะออกมาข้างนอก จึงพบได้ไม่บ่อย
ตรงกันข้าม ผู้ฝึกตนระดับสูงที่พบเห็นได้ง่ายกว่าก็คือ…เจ้าแห่งสวาปามผู้เป็นรองเพียงเจ้าปรารถนาเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ตอนที่หวังเป่าเล่ออยู่ในขบวนแห่ ภูเขาเนื้อแปดคนที่ถูกแบกที่เขาเห็นก็คือเจ้าสวาปามของเมืองปรารถนารสนั่นเอง แต่ละคนล้วนมีพลังต่อสู้น่าสะพรึงของขั้นที่สี่อยู่
และผู้อยู่จุดสูงสุดของเมืองปรารถนารสก็มีเพียงผู้เดียว ซึ่งก็คือ…ผู้ก่อตั้งเมืองนี้ ครอบครองแหล่งกำเนิดกฎเกณฑ์แห่งปรารถนารส ผู้ปรากฏตัวอยู่บนแท่นบูชารูปร่างเหมือนก้อนเนื้อผู้นั้น…เจ้าแห่งปรารถนา
“ดูจากโครงสร้างแล้ว ความจริงเมืองปรารถนารสแห่งนี้ก็คือสำนักแห่งหนึ่ง แต่ไม่มีกฎสำนักมากมายก็เท่านั้น” เมื่อฟังถึงตรงนี้แล้ว หวังเป่าเล่อก็หรี่ตา
…………………………………………
เดินตามเงาร่างของหวังเป่าเล่อเข้าไปในประตูใหญ่ของร้านค้า หลังจากถูกกลืนโดยปากที่ดูอึมครึมนี้แล้ว ตรงหน้าของเขาก็มืดลงเล็กน้อย ก่อนเดินเข้าไปในร้านคล้ายเดินทะลุผ่านสิ่งกีดขวาง
ร้านค้าแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก มีโต๊ะอาหารตั้งอยู่เจ็ดแปดตัว เนื่องจากเป็นวันเทศกาลจึงไม่มีลูกค้าอยู่ สิ่งที่สะท้อนเข้าสู่สายตาของหวังเป่าเล่อมีเพียงพนักงาน ผู้จัดการร้าน กับพ่อครัวเท่านั้น
ผู้จัดการร้านเป็นสตรี ร่างกายไม่ได้ผอมโซ แต่มีส่วนเว้าส่วนโค้ง แต่งตัวค่อนข้างยั่วยวน เสื้อผ้าเปิดเผยมาก ทั่วร่างแผ่เสน่ห์ยั่วเย้าของหญิงสาวโตเต็มวัยออกมา
ตอนนี้นางนั่งอยู่บนโต๊ะตัวหนึ่ง ขาข้างหนึ่งเหยียบลงบนเก้าอี้ข้างๆ แววตามีประกายสีแดง เลียริมฝีปาก เมื่อมองเห็นหวังเป่าเล่อเดินเข้ามา นางก็หัวเราะตื่นเต้นออกมาโดยไม่รู้ตัว
“โอ้ คิดไม่ถึงว่าในเทศกาลสวาปามจะมีลูกค้าน้อยตัวหอมขนาดนี้มาหา”
ข้างกายผู้จัดการร้านสาวมีคนแคระผู้หนึ่ง หน้าตาของคนแคระผู้นี้อัปลักษณ์พิลึก แม้ว่าตัวเขาจะไม่ได้กลมกลิ้งเหมือนเจ้าอ้วนน้อยนอกประตู แต่รูปลักษณ์ภายนอกน่าเกลียดน่ากลัวและเจตนาร้ายที่แผ่ออกมาก็เพียงพอจะทำให้คนส่วนใหญ่มองเห็นเขาครั้งแรกก็รู้สึกตกใจได้แล้ว
และยังมีชายฉกรรจ์ร่างท้วมมือถือมีดทำครัวเปื้อนเลือดยืนอยู่ไม่ไกล ดวงตาของชายผู้นี้เล็กมาก ถึงขั้นที่หากไม่มองให้ดีๆ ก็แทบจะมองไม่เห็นดวงตาของเขาเลย
มีเพียงเสียงหายใจหนักหน่วงดังออกมาจากปากของเขาเท่านั้น คล้ายใกล้จะข่มกลั้นตัวเองไม่ได้แล้ว ยามมองมาที่หวังเป่าเล่อ ลำคอของเขาก็เคลื่อนไหวบีบรัดอย่างเห็นได้ชัด
หวังเป่าเล่อมองผู้ฝึกตนเมืองปรารถนารสแปลกประหลาดทั้งสามคนตรงหน้า ในใจสงบนิ่ง ใบหน้าเผยรอยยิ้มราบเรียบออกมาแล้วเอ่ยเสียงเบา
“วันนี้ร้านปิดหรือ ทำไมไม่มีลูกค้าคนอื่นเลยล่ะ และข้ายังอยากถามอีกสักข้อ ที่นี่พวกเจ้าขาดเจ้าของหรือเปล่า”
“เจ้าของหรือ” ผู้จัดการร้านหญิงหัวเราะลั่น
“ลูกค้าน้อยช่างน่าสนใจจริงๆ วันนี้เป็นวันซื้อ ย่อมไม่เปิดร้านให้คนนอก แต่กลิ่นหอมบนตัวเจ้าที่พวยพุ่งมาเช่นนี้ช่างเป็นวัตถุดิบชั้นดีเชียวล่ะ ยกเว้นให้เจ้าสักครั้งแล้วกัน” ผู้จัดการร้านพูดพลางเตะคนแคระข้างๆ ไปทีหนึ่ง
“นิ่งทำอะไรอยู่ ยังไม่เอาวัตถุดิบไปเก็บไว้ในห้องเก็บของอีก จำไว้ว่าห้ามทำเสียหาย ให้ราคาเต็มครบสมบูรณ์ไว้จะดีกว่า”
คนแคระผู้นั้นแสยะยิ้ม ประกายชั่วร้ายในแววตาพลันปะทุขึ้นมา คนทั้งคนกลายเป็นเงาวาบทะยานไปหาหวังเป่าเล่อ พร้อมกันนั้น ชายฉกรรจ์ก็ร้องคำรามลั่น แล้วก้าวเท้าก้าวใหญ่พุ่งมาหาหวังเป่าเล่อ
ขณะเดียวกัน หลังจากหวังเป่าเล่อก้าวเข้ามาในร้าน ความโลภในดวงตาของเจ้าอ้วนน้อยที่อยู่ด้านนอกก็ไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป เขาเลียริมฝีปาก มองกลุ่มคนที่จ้องมารอบๆ หัวเราะแสยะไปทีหนึ่ง ก่อนก้าวไปยังประตูใหญ่ หนึ่งก้าวเข้าร้าน จากนั้นประตูร้านก็ปิดลงช้าๆ
ฝูงชนรอบด้านพากันก้มหน้าลง รีบเร่งเดินหนีไปไกล
แต่ในชั่วห้าถึงหกอึดใจที่เจ้าอ้วนน้อยก้าวเข้าไปในประตู ฝูงชนยังไม่ทันได้เดินหนีไปถึงไหน จู่ๆ ประตูร้านที่ปิดลงก็มีเสียงดังปึงปังออกมา คล้ายมีคนกำลังต่อสู้กันอยู่ในนั้นและพยายามเปิดประตูหนี
ฝูงชนรอบๆ ที่ยังไปไหนได้ไม่ไกลได้ยินเสียงแล้วก็หันกลับมามอง คนเข้าเมืองจากภายนอกเผยความหวาดกลัวออกมาในแววตา พวกเขาจินตนาการได้เลยว่าตอนนี้ภายในร้าน เจ้าหนุ่มที่เพิ่งเดินเข้าไปผู้นั้นคงกำลังเจอกับการปฏิบัติอย่างย่ำแย่ไร้ใดเทียมแน่
แม้ว่าตอนนี้จะต่อสู้เพื่อพังประตูออกมา แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ ต่อให้พังประตูได้จริงๆ ก็ถูกลากกลับไปใหม่
เรื่องเป็นเช่นที่พวกเขาคาดเอาไว้จริงๆ ชั่วขณะต่อมา แม้ประตูใหญ่ส่งเสียงดังลั่น จนรอยแยกถูกฝืนเปิดออก พร้อมมีร่างร่างหนึ่งดิ้นรนคลานออกมาจากข้างใน
แต่…หลังจากมองเห็นคนที่คลานออกมาชัดๆ ฝูงชนรอบๆ ที่ยังไม่ไปไหนและมองดูอยู่ก็ล้วนเบิกตาโพลง สีหน้าไม่อยากเชื่อและตกตะลึงปรากฏขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้
การคาดเดาของพวกเขาทั้งถูก และก็ผิดเช่นกัน ส่วนที่ถูกคือต่อให้พังประตูออกมาก็จะถูกดึงกลับไปจริงๆ ส่วนเรื่องที่ผิด…อยู่ที่คน
ตอนนี้ผู้ที่ดิ้นรนคลานออกมาข้างนอกจากในรอยแยกของประตูไม่ใช่ชายหนุ่มผู้นั้นที่พวกเขาเห็นก่อนหน้านี้ แต่เป็น…เจ้าอ้วนน้อยที่เมื่อครู่ยังยิ้มเยาะนั่นเอง
ขณะนี้ใบหน้าของเจ้าอ้วนน้อยเต็มไปด้วยเลือด ความกระหยิ่มใจหายไปนานแล้ว รอยยิ้มเยาะก็ลบไปอย่างสมบูรณ์ สิ่งที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเขาคือความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ความหวาดกลัวนี้คล้ายจะเหนือกว่าความปรารถนา มันแจ่มชัดอยู่บนหน้าของเจ้าอ้วนน้อยเป็นพิเศษ
ราวกับว่าโลกหลังประตูบานนั้นมีความน่าสะพรึงกลัวอยู่ ทำให้ทั้งหัวของเขาตอนนี้มีเพียงความคิดเดียว นั่นก็คือการพยายามคลานออกมาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ พุ่งออกมาเต็มกำลัง
แต่…พริบตาที่เจ้าอ้วนน้อยคลานออกมาจากรอยแยกประตูใหญ่ได้ครึ่งร่าง มือขาวสะอาดข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากข้างในแล้วคว้าผมของเจ้าอ้วนน้อยไว้ ก่อนดึงกลับเข้าไปในประตูใหญ่ช้าๆ
“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย!!” เจ้าอ้วนน้อยกรีดร้องอนาถ ความกลัวในแววตาระเบิดจนถึงที่สุด สองมือพยายามจับพื้น คิดจะหยุดร่างกายเพื่อต้านกับมือที่คว้าผมของตนข้างนั้นให้ได้
แต่ความต่างระหว่างสองฝ่ายมีมากเกินไป ขณะที่เกิดเสียงสวบสาบ พื้นก็ถูกสองมือของเจ้าอ้วนน้อยจิกจนเกิดรอยลึก แต่ร่างกายของเขายังถูกมือข้างนั้นลากกลับไปอย่างแรง
เสียงดังปึง ประตูปิดลง ในนั้นไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีก
ภาพนี้ทำให้ฝูงชนรอบๆ หนังศีรษะชาหนึบ รู้สึกแค่ความน่าสะพรึงข้างในร้านค้านั้นเหนือกว่าที่จินตนาการ แต่ละคนรีบเร่งความเร็วเดินจากไปทันที ไม่ช้าบริเวณโดยรอบก็ว่างเปล่า
และตอนนี้เอง เมื่อฝูงชนจากไปอย่างรีบเร่งพร้อมกับที่คนบ้าคลั่งทั่วทั้งเมืองตามหนวดสีทองจนใกล้จะจบสิ้นแล้ว ภายในร้านค้าที่ไม่มีใครให้ความสนใจแห่งนี้ หวังเป่าเล่อกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ตรงหน้ามีโจ๊กหนึ่งชาม เขาหยิบช้อนมาตักกินช้าๆ
ด้านหน้าของเขาคือคนแคระที่ก่อนหน้านี้มีท่าทีชั่วร้าย ทว่าตอนนี้ตาหายไปข้างหนึ่ง แขนขาดไปครึ่งท่อน ขาหักสองข้าง ร่างกายสั่นระริก กำลังกระโดดโลดเต้นอยู่
ท่าทางกระโดดโลดเต้นช่างเหมือนกับตัวตลกในคณะละครสัตว์ ขณะที่กระโดดอยู่ เลือดก็สาดกระเซ็นไม่หยุด เนื่องจากขาหักทั้งสองข้าง ดังนั้นทุกครั้งที่กระโดดก็ทำให้เขาเจ็บปวดจนถึงขีดสุด หากมีคนอื่นอยู่ที่นี่แล้วเห็นภาพนี้ จะต้องตะลึงลานเป็นแน่
ส่วนชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น เนื้อไขมันทั่วร่างสั่นเทิ้ม สองมือตบเข้าที่ลำคอของตนไม่หยุด ส่งเสียงร้องเหมือนตีกลองออกมา คล้ายเป็นดนตรีประกอบ
แต่บนคอของเขามีรอยแผลขนาดใหญ่หนึ่งรอย ทุกครั้งที่ตบลงไปล้วนทำให้บาดแผลฉีกขาดมากขึ้น ทำให้ขณะที่สีหน้าของชายฉกรรจ์ขาวซีด พลังชีวิตของเขาก็ไหลหายไปอย่างรวดเร็วด้วย
และยังมีผู้จัดการร้านหญิงผู้นั้น ความเย้ายวนคึกคักไม่มีอยู่บนตัวของนางแม้แต่นิดอีกต่อไป ตอนนี้นางนั่งนิ่งอยู่บนพื้น ด้านหน้าคือเจ้าอ้วนน้อยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ทั้งสองตัวสั่นเทิ้ม กำลังตบบ้องหูของอีกฝ่ายเต็มแรง
เจ้าหนึ่งที ข้าหนึ่งที เสียงตบเพี๊ยะๆ ดังอยู่ในร้านค้า คล้ายสอดประสานไปกับเสียงตีกลองของชายฉกรรจ์ผู้นั้น
เพราะว่าต้องใช้กำลัง ดังนั้นตอนนี้หน้าทั้งคู่จึงไม่เหลือเค้าเดิมเสียส่วนใหญ่ แม้แต่ลำคอก็ยังหัก น่าอนาถถึงที่สุด
แต่พวกเขาทั้งสี่กลับไม่กล้าดิ้นรนแม้แต่น้อย บางคราวยามมองไปที่หวังเป่าเล่อผู้กินโจ๊กอย่างนิ่งสงบ สีหน้าก็มีความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ราวกับกำลังมองดูภูตผีปีศาจ
ผ่านไปพักหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็วางช้อนลง พึงพอใจกับรสชาติของโจ๊กชามนี้อย่างยิ่ง จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเรียบ
“ข้าอยากถามหน่อย ตอนนี้ร้านแห่งนี้ยังขาดเจ้าของอยู่หรือไม่”
ทั้งสี่คนพยักหน้าหัวแทบหลุด
……………………
ชั่วขณะที่หนวดสีทองพวกนี้ปรากฏขึ้นมา หวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงกลืนน้ำลายดังมาจากกลุ่มคนนับล้านรอบๆ ทันที ยิ่งกว่านั้นยังสัมผัสได้ถึงความหิวกระหายเข้มข้นแพร่กระจายอย่างบ้าคลั่งอยู่ในเมือง
ราวกับว่าทุกคนล้วนถูกกลุ่มหนวดสีทองนั่นดึงดูดกันหมด
เมื่อความหิวกระหายของฝูงชนเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้าที่แทบถูกฝังไว้กว่าครึ่งของก้อนเนื้อบนแท่นบูชาก็คล้ายแย้มยิ้ม มันค่อยๆ อ้าปาก ก่อนสูดหายใจเข้าไป
เมื่อเขาหายใจ ทันใดนั้นความกระหายอยากรอบด้านก็พุ่งทะลักไปทางเขาแล้วถูกดูดเข้าไปในปาก ภาพนี้คนอื่นมองไม่เห็นและสัมผัสไม่ได้ เพราะความกระหายอยากนั้นไร้รูป
แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว ด้วยระดับชั้นของร่างจริง จึงตัดสินได้เลยว่าแม้ตอนนี้จะเป็นร่างแยกก็ยังสัมผัสถึงได้ ทำให้เขามองเห็นภาพนี้ชัดเจน ดวงตาจึงหรี่ลงอย่างอดไม่ไหว
“ใช้เทศกาลแบบนี้มาดูดซับความกระหายอยากเพื่อฝึกตน…” ขณะที่หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่นั้น เมื่อก้อนเนื้อมหึมาผู้นั้นดูดซับความกระหายอยากไปมากกว่าครึ่งแล้ว เขาก็หยุดดูดกินคล้ายพึงพอใจอย่างยิ่ง ก่อนจะเริ่มดูดซับจากพวกภูเขาเนื้อทั้งแปดคนนอกแท่นบูชา
ต่อจากนั้นก็สูบจากกลุ่มคนชุดสีสันสดใสที่อยู่ด้านหลังภูเขาเนื้อ หลังดูดซับเข้าไปรอบแล้วรอบเล่า ก็เห็นได้ชัดว่าความกระหายอยากที่อยู่รอบด้านน้อยลงไปมาก แต่ในไม่ช้า ความกระหายอยากก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ราวกับว่าในที่แห่งนี้ ความปรารถนาแทบจะไร้ที่สิ้นสุด
ขอเพียงผู้คนรอบด้านมีความปรารถนา มันก็จะเกิดขึ้นมาอย่างแน่นอน แต่เมื่อความปรารถนารอบที่สองผุดขึ้น ฝูงชนรอบๆ ก็รู้สึกอ่อนล้า และในความอ่อนล้านี้…หลักๆ แล้วมาจากวิญญาณและร่างกายของพวกเขาเอง
หากพินิจอย่างถี่ถ้วนแล้วจะเห็นว่า ร่างกายของคนส่วนใหญ่ในฝูงชนหลายล้านคนนอกแท่นบูชาผ่ายผอมลงหลังความปรารถนารอบสองปรากฏขึ้น สติจิตใจอยู่ในสภาพตื่นเต้นคลั่งไคล้ ไม่มีสติรับรู้ถึงความอ่อนล้าของตนเลย
“นี่มันเมืองกินคน!” แววตาของหวังเป่าเล่อมีประกายแสงวาบผ่าน ขณะเดียวกัน เมื่อดูดซับผู้ฝึกตนในกลุ่มคนสวมชุดสีสันสดใสอย่างต่อเนื่องจนเรียบร้อยแล้ว ก้อนเนื้อบนแท่นบูชาก็สะบัดมือ ทันใดนั้นกลุ่มหนวดสีทองพลันระเบิดกลายเป็นเส้นหนวดจำนวนนับไม่ถ้วน แผ่กระจายไปทั้งแปดทิศราวกับจะหลบหนี
“ประชาชนของข้า ไปสนุกกับอาหารของพวกเจ้าสิ”
น้ำเสียงเคลิบเคลิ้มดังออกมาจากก้อนเนื้อและส่งผลไปทั่วทั้งเมือง ทำให้แทบจะทุกคนที่อยู่รอบๆ ล้วนบ้าคลั่งกันอย่างสมบูรณ์แล้วร้องคำรามออกมา
“สวาปาม!”
“สวาปาม!!”
“สวาปาม!!!”
ขณะที่ส่งเสียงคำรามร้อง คนหลายล้านที่บ้าคลั่งแล้ว ก็พลันกระจายตัวไปยื้อแย่งเส้นหนวดเหล่านั้นกันสุดชีวิต ทำให้ตั้งแต่ใจกลางเมืองไปจนถึงทั้งแปดทิศเริ่มเกิดความโกลาหลแผ่ไปทั่วเมือง
หวังเป่าเล่อมองก้อนเนื้อบนแท่นบูชาที่ตอนนี้ร่างกายเริ่มเลือนรางแล้วหายตัวไปด้วยแววตาล้ำลึก รวมถึงพวกผู้ฝึกตนชุดหลากสีและภูเขาเนื้อทั้งแปดคนที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปไกลพร้อมกับฝูงชนด้วย
“แม้เมืองแห่งนี้จะวิกลจริต แต่กลับเหมาะแก่การซ่อนตัวอย่างยิ่ง” ท่ามกลางฝูงชน หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ในใจ ตอนนี้สิ่งที่เขาต้องทำก็คือผสานเข้ากับโลกแห่งนี้
และกฎเกณฑ์ที่ปรากฏขึ้นกลางความอลหม่านของเมืองปรารถนารสก็ทำให้หวังเป่าเล่อมีความคิดที่จะซ่อนตัว ถึงอย่างไรเมืองอื่นๆ ก็อยู่ห่างจากที่นี่ไกลเกินไป และจะเหมาะสมหรือไม่ก็ยังไม่แน่นอนนัก
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การเลือกเมืองปรารถนารสเป็นที่ปักหลักจึงเป็นความคิดที่สะดวกที่สุดในตอนนี้ของหวังเป่าเล่อ
“คิดจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่ อันดับแรกต้องจัดการปัญหาเรื่องระยะเวลาอาศัยอยู่เสียก่อน” ก่อนหน้านี้ตอนที่หวังเป่าเล่อติดตามฝูงชนเข้ามา เขาก็สังเกตเห็นว่าในเมืองมีร้านรวงจำนวนมาก แม้ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทร้านอาหาร แต่ก็คล้ายจะมีที่อยู่อาศัยด้วยเช่นกัน
ดังนั้นสิ่งที่แขวนอยู่ตรงหน้าของเขาก็คือ ขอเพียงมีเงินตราของที่นี่มากพอ และทำภารกิจเพื่อเพิ่มเวลาอยู่ที่นี่ให้เสร็จสิ้นเป็นบางครั้ง ทั้งหมดนี้ก็แก้ปัญหาได้แล้ว
สำหรับเงินตราของที่นี่ แม้ศิลาวิญญาณจะใช้ได้ แต่เห็นได้ชัดว่าหนวดสีทองที่ลอยล่องอยู่เต็มฟ้าในตอนนี้มีค่ามากยิ่งกว่า
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็วาบกายมาปรากฏอยู่ที่มุมถนนไกลๆ ขณะที่ยกมือขวาขึ้น หนวดสีทองหนึ่งเส้นก็ถูกเขาคว้ามาไว้ในมือทันที เมื่อเก็บเข้ากระเป๋าคลังเก็บแล้ว หวังเป่าเล่อก็เดินหน้าต่อ
สำหรับคนเหล่านี้แล้ว หนวดทองจับได้ยากมาก ทว่าหวังเป่าเล่อกลับได้มาอย่างง่ายดาย ดังนั้นในไม่ช้า เขาก็จับมาได้มากกว่าร้อยเส้นแล้ว
ระหว่างนี้ เขามองเห็นความบ้าคลั่งของผู้คนในเมืองด้วยเช่นกัน
บ่อยครั้งก็เกิดเรื่องถึงชีวิตอยู่เนืองๆ เพียงเพราะเส้นหนวดสีทองเส้นเดียว ถึงขั้นที่เขายังเห็นคนผอมโซเจ็ดแปดคนฆ่ากันตาแดงก่ำแล้วตกตายไปด้วยกัน
เรื่องผู้แข็งแกร่งกินผู้อ่อนแอก็ยิ่งเป็นกฎของที่นี่ไปแล้ว กลิ่นคาวเลือดค่อยๆ แพร่กระจายอยู่ในเมืองแห่งนี้ ยิ่งกว่านั้นยังไปกระตุ้นผู้คน ทำให้เส้นหนวดที่ยังลอยอยู่เปื้อนเลือดจนเป็นสีแดงไปเสียส่วนใหญ่
หวังเป่าเล่อไม่ค่อยชอบเส้นหนวดแบบนี้นัก จึงไม่อยากไปจับมัน แต่แม้เขาจะไม่อยากทำ ก็ยังมีหนวดสีโลหิตหนึ่งเส้นบินมาหาหวังเป่าเล่อที่กำลังเดินอยู่บนถนนเอง
จากนั้นผู้ฝึกตนตาแดงผอมโซหลายสิบคนก็ตามกันมา ไอสังหารของแต่ละคนพวยพุ่ง ไล่โจมตีมายังหวังเป่าเล่อ
ถึงขั้นที่ในหมู่คนเหล่านี้ยังมีผู้ฝึกตนระดับวิญญาณจุติอยู่สามคนกำลังมาถึงแล้วด้วย ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายประกายเยือกเย็น กำลังจะโจมตี แต่สีหน้าพลันขยับไหว จู่ๆ เส้นหนวดสีเลือดที่บินมาหาเขาเส้นนั้นก็ถูกมือซีดขาวข้างหนึ่งซึ่งยื่นออกมาจากรอยแยกประตูของร้านค้าข้างๆ คว้าเอาไปก่อน
เมื่อเส้นหนวดสีเลือดถูกคว้าไป รอยแยกประตูก็เปิดออกช้าๆ เผยให้เห็นเงาร่างของเจ้าอ้วนน้อยคนหนึ่งข้างใน เขายื่นหัวออกมากินเส้นหนวดสีเลือดนั่นเข้าปาก กลืนลงไปจนหมด พลางประเมินกลุ่มคนข้างนอกไปด้วย
“ทุกท่านมาเข้าพักหรือว่ามากินอาหารหรือ” ขณะที่มองประเมินอยู่นั้น เจ้าอ้วนน้อยก็กลืนเส้นหนวดสีเลือดลงไปในปาก ก่อนเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
ตอนนี้ผู้ที่ไล่ตามหนวดสีเลือดเหล่านั้นพากันหยุดฝีเท้าทีละคน มองเจ้าอ้วนน้อยอย่างหวาดกลัว แล้วก้าวถอยหลังท่ามกลางความเงียบงัน ไม่นานก็จากไป
“ลูกค้าผู้นี้ ท่านล่ะ จะเข้าพักหรือกินอาหาร” เขาไม่สนใจคนที่ถอยไปเหล่านั้น เจ้าอ้วนน้อยยิ้มตาหยีมาให้หวังเป่าเล่อ แววตามีแสงวาววับที่ซุกซ่อนไว้อย่างล้ำลึกวาบผ่านไป
หวังเป่าเล่อกวาดมองเขาแล้วหันกายกำลังจะเดินจากไป แต่ชั่วขณะต่อมา เงาร่างของเจ้าอ้วนน้อยก็วาบมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ เขายังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้มหยี
“ท่านลูกค้า มาถึงประตูแล้วเหตุใดไม่เข้าไปลองหน่อยล่ะ บนถนนเส้นนี้น่ะ รสชาติที่ร้านข้าอร่อยที่สุดแล้ว”
ขณะที่เอ่ย ประตูร้านก็เปิดกว้างมากยิ่งขึ้น ภายในนั้นไม่มีตะเกียง มืดสนิท มีเสียงหอบหายใจที่กลั้นเอาไว้ ราวกับโลกภายในประตูกลายเป็นปากใหญ่คอยกลืนกินผู้คน รอให้อาหารมาส่งถึงที่
“ต้องเข้าไปหรือ” หวังเป่าเล่อเอียงคอถาม
เจ้าอ้วนน้อยพยักหน้ายิ้มตาปิด ความวาววับในแววตาปิดไม่มิดแล้ว ขณะเดียวกัน เมื่อฝูงชนรอบข้างทั้งหมดที่เดินผ่านมาเห็นภาพนี้เข้าก็รีบหลบเลี่ยงไปไกลเช่นกัน
“ถ้าข้าไม่ไปล่ะ” หวังเป่าเล่อเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เช่นนั้นพวกเราก็จะไม่มีความสุขน่ะสิ” เจ้าอ้วนน้อยเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
“ก็ได้” หวังเป่าเล่อพยักหน้า ในเมื่ออีกฝ่ายเชื้อเชิญเขาอย่างจริงจังเช่นนี้ เขาคิดว่าหากตนปฏิเสธก็ออกจะไร้เหตุผลไปสักหน่อย ดังนั้นจึงหันกายเดินไปยังประตูใหญ่
“พนักงานทั้งหลาย เปิดร้าน” เจ้าอ้วนน้อยยิ้มกว้างยิ่งขึ้น เขาตะโกนเสียงดังเข้าไปในประตู จากนั้นเดินตามหวังเป่าเล่อไปที่ประตูใหญ่ด้วยกัน
ในฝูงชนห่างไกลมีผู้มาจากภายนอกแบบเดียวกับหวังเป่าเล่ออยู่ หลังจากเห็นภาพนี้ สีหน้าก็ซับซ้อนขึ้นมา พวกเขารู้ดีว่าในวันเทศกาลสวาปาม จุดที่อันตรายที่สุดของเมืองแห่งนี้ไม่ได้มาจากเจ้าแห่งปรารถนากับกลุ่มขบวนแห่ ยิ่งไม่ใช่การแย่งชิงระหว่างกันและกันด้วย แต่มาจาก…ร้านค้าทุกร้านในเมืองแห่งนี้
ในยามปกติ ผู้คนที่เดินเข้าไปในร้านพวกนี้คือลูกค้า
แต่ในวันเทศกาลสวาปาม ผู้ที่เดินเข้าไป…ก็คือวัตถุดิบอาหาร
แต่ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่า ตอนนี้ใบหน้าของหวังเป่าเล่อที่เดินหันหลังให้พวกเขาเข้าไปยังประตูใหญ่กลับมีท่าทางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ประกายสีเลือดในแววตากำลังกระโดดโลดเต้น…
ส่วนเจ้าอ้วนน้อยที่เชิญเขามาอย่างจริงใจผู้นั้นย่อมไม่รู้เช่นกันว่าผู้ที่เขาเชิญให้เข้าไป…เป็นการมีอยู่แบบไหน
“เปิดร้านแล้ว” หวังเป่าเล่อแย้มยิ้ม ก้าวเข้าไปในประตูร้านบานใหญ่มืดสนิท
…………………………………..
หลังจากมองดูทั้งหมดนี้แล้ว หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลง ร่างกายหายวาบ ชั่วพริบตาก็ปรากฏตัวอยู่กลางกลุ่มผู้คนพร้อมเดินตามฝูงชนเข้าประตูเมือง
เมื่อเข้ามาใกล้ กลิ่นหอมอวลชวนน้ำลายสอที่ลอยมาจากในเมืองก็ทำให้ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่ต่อแถวเข้าเมืองอยู่หายใจถี่รัวเล็กน้อย
แม้จะส่งผลต่อหวังเป่าเล่อน้อยมาก แต่ความผันผวนที่เกี่ยวข้องกับความปรารถนาเช่นนี้ก็ยังชวนให้นึกถึงความทรงจำเรื่องการกินของร่างจริงในวัยเด็กขึ้นมา
มันทำให้หวังเป่าเล่ออดลูบคลำกระเป๋าคลังเก็บไม่ได้ น่าเสียดายที่ผ่านมาหลายปีแล้ว ด้านในจึงไม่มีน้ำเย็นหล่อวิญญาณ
“จู่ๆ ก็คิดถึงขึ้นมา…” ขณะที่หวังเป่าเล่อถอนหายใจ เขาก็เงยหน้ามองประตูเมืองที่อยู่ไกลๆ แม้ที่นี่จะมีทหารรักษาการณ์อยู่ แต่ก็ไม่ได้สนใจคนเข้าเมืองพวกนี้ ทว่ากลับมีม่านแสงบังอยู่ที่ประตูเมือง
เห็นได้ชัดว่ามันคือเทพวัตถุอย่างหนึ่ง ผู้ที่ก้าวผ่านม่านแสงเข้าเมืองทุกคนล้วนได้รับการระบุป้ายคำสั่งและจำนวนครั้งการใช้งานโดยอัตโนมัติ ผู้ที่มีคุณสมบัติตรงตามเงื่อนไขย่อมผ่านไปได้โดยไม่ถูกขัดขวาง แต่บางครั้งก็จะมีคนที่พยายามจับปลาในน้ำขุ่นอยู่เช่นกัน
คนเหล่านี้ล้วนถูกขวางเอาไว้ข้างนอกโดยไม่มีข้อยกเว้น ถ้ายังวอแวอยู่อีกล่ะก็ ทหารรักษาการณ์เหล่านั้นก็จะลงมือโยนคนพวกนี้ออกไปไกลๆ
สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อสนใจไม่ใช่คนที่ถูกโยนออกไปเหล่านั้น แต่เป็นม่านแสงเทพวัตถุนั่นต่างหาก และถึงแม้ทหารรักษาการณ์เหล่านี้จะสวมชุดแบบมาตรฐาน แต่ดูจากเกราะอันหรูหราและใบหน้าท่าทางดูมีสง่าราศีแล้ว ก็คล้ายกับได้กินของบำรุงชั้นยอดที่ยังไม่ย่อยสลายเข้าไป สีหน้าของแต่ละคนเต็มเปี่ยมด้วยความเย่อหยิ่ง ยามกวาดตามองคนเข้าเมือง ส่วนใหญ่ก็จะมีประกายเหยียดหยามเล็กน้อย
จากความเข้าใจในธรรมชาติมนุษย์ของหวังเป่าเล่อแล้ว สิ่งที่ทำให้ทหารรักษาการณ์มีพฤติกรรมเช่นนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะพวกเขารู้สึกเป็นเจ้าของและภาคภูมิใจต่อเมืองแห่งนี้ ถึงได้ประพฤติตนเช่นนี้ออกมา
ยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกสนใจต่อเมืองปรารถนารสมากขึ้นไปอีก
ไม่นานนัก หลังจากกลุ่มคนเข้าเมืองที่หวังเป่าเล่ออยู่เดินผ่านม่านแสงเข้าไปทีละคนๆ จนมาถึงคราวของหวังเป่าเล่อ เขาก็ก้าวเข้าไปใกล้กับม่านแสงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย และในชั่วขณะที่ก้าวเข้าไป เขาก็สัมผัสได้ว่าป้ายสิทธิเข้าเมืองที่ตนได้มากะพริบวูบ จากนั้นในหัวก็มีดวงจิตเทพดวงหนึ่งดังขึ้น
“เจ็ดวัน หนึ่งครั้ง”
ดวงจิตเทพนี้เย็นชาเหมือนเครื่องจักร ไม่มีความผันผวนทางอารมณ์ใดๆ เห็นได้ชัดว่ามันมาจากเทพวัตถุของประตูเมือง สิ่งที่บอกมาก็กระชับเรียบง่ายอย่างยิ่ง ทำให้หวังเป่าเล่อรู้ว่าตนสามารถรั้งอยู่ในเมืองนี้ได้เจ็ดวัน ขณะเดียวกันก็เหลือสิทธิเข้าเมืองอีกแค่ครั้งเดียว
“น่าสนใจนี่” เขาพึมพำอยู่ในใจ หวังเป่าเล่อเดินออกจากม่านแสง ก้าวเข้าไปในเมือง แทบจะทันทีที่เขาเข้าสู่เมืองนี้ กลิ่นหอมฟุ้งตลบก็พุ่งเข้ามาหา ขณะเดียวกันยังมีเสียงกู่ร้องราวกับอีกเดี๋ยวก็จะดังกึกก้องไปทั่วทั้งหูของหวังเป่าเล่อแล้ว
เขามองเห็นว่าที่ถนนสายหลักข้างหน้าในเมืองอันกว้างใหญ่แห่งนี้ ตอนนี้กำลังมีผู้คนสวมชุดสีสันสดใส ท่าทางตลกขบขันจำนวนมากโห่ร้องพลางก้าวไปข้างหน้า
คนสวมชุดสีสันสดใสเหล่านี้พิเศษอย่างยิ่ง ตัวของพวกเขาโป่งพอง โดยเฉพาะคนที่อยู่ด้านหน้าสุด ไม่ได้ต่างจากสมัยนั้นที่หวังเป่าเล่ออ้วนที่สุดเลยสักนิด คนทั้งคนดูแล้วคล้ายกับภูเขาเนื้อลูกหนึ่ง
ภูเขาเนื้อคนนี้ไม่ได้เดินด้วยตัวเอง แต่ถูกผู้ฝึกตนสวมชุดสดใสหลายสิบคนแบกอยู่
ส่วนด้านหน้าอาคารมากมายบนสองข้างทางตอนนี้ล้วนมีผู้คนนับไม่ถ้วนเบียดเสียดกัน มองดูภูเขาเนื้อและขบวนแห่พร้อมส่งเสียงโห่ร้องกันทั้งคณะ
ขณะที่ฝูงชนจากสองข้างทางกู่ร้องอยู่นั้น บางคราวกลุ่มคนสวมชุดสีสันสดใสในขบวนแห่บนถนนหลักก็โยนอาหารปรุงสุกต่างๆ ออกมา เนื้อเอย ผลไม้เอย ผักเอย และยังมีของกินได้จำพวกโอสถบำรุงอีกด้วย ก่อนจะถูกกลุ่มคนที่อยู่สองข้างทางพากันแย่งชิงแล้วกินเข้าไป
ดูคล้ายจะสนุกสนาน แต่ภาพนี้กลับมีความประหลาดแฝงอยู่
เพราะว่า…นอกจากกลุ่มขบวนแห่ที่สวมชุดสีสันสดใสแล้ว แทบทุกคนจากสองข้างทางต่างก็…ผอมโซมีแต่กระดูก ใบหน้าเหลืองซูบ ในดวงตามีเส้นเลือด ยิ่งตอนกินอาหารก็เผยความตะกละตะกลามออกมา
ถึงขั้นที่หวังเป่าเล่อยังเห็นว่ามีหลายคนฆ่ากันเองเพียงเพื่อเนื้อชิ้นหนึ่ง และคนที่ตกตายเพราะฝูงชนรอบข้างแน่นขนัดเกินไปเหล่านั้นก็ไม่อาจล้มลงได้เลย แต่ถูกอัดเอาไว้ตรงนั้น ดูแล้วยิ่งแปลกพิลึกไปใหญ่
ราวกับ…ทุกคนล้วนเป็นบ้าไปหมด
ยิ่งกว่านั้นที่ด้านหลังของกลุ่มขบวนแห่ชุดสีสันสดใสยังมีคนผอมแห้งติดกระดูกจำนวนมากกว่าเดินตามคณะมา ตลอดทางต่างโห่ร้อง ตลอดทางต่างยื้อแย่งอาหาร และเมื่อคณะขบวนแห่ไปไกลแล้ว คนที่อยู่สองข้างทางก็พุ่งเข้าไปอยู่ในฝูงชนที่อยู่ข้างหลังอย่างรวดเร็ว แล้วตามขบวนแห่ไป ราวกับงูยักษ์ที่ตัวยาวขึ้นไม่หยุดและกำลังทะลักไปข้างหน้า
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ การมีอยู่ของเขาแทบจะไม่มีใครให้ความสนใจด้วยซ้ำ ดังนั้นแม้เขาจะเข้าไปในฝูงชนแล้วเดินตามกลุ่มคนไปด้วย ก็ไม่มีผู้ฝึกตนคนไหนใส่ใจ
เป็นเช่นนี้ ขณะที่สังเกตการณ์และก้าวไปข้างหน้าพร้อมกัน เวลาก็เคลื่อนผ่านไปช้าๆ สองชั่วยามต่อมา ขณะที่ขบวนแห่เคลื่อนตัว ฝูงชนที่ตามอยู่ข้างหลังก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนแน่นขนัด คงจะมีมากถึงหลายล้านเลยทีเดียว แม้แต่หวังเป่าเล่อที่อยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ยังรู้สึกเวียนหัวเพราะเสียงกู่ก้องอื้ออึงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ
ขนาดเขายังเป็นเช่นนี้ แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น เมื่อเทียบกับหวังเป่าเล่อที่สามารถสะกดกลั้นเอาไว้ได้แล้ว คนที่ทำไม่ได้ย่อมมีอยู่มากมาย อีกทั้งเมื่อไม่อาจต้านทานก็เหมือนกับติดเชื้อ จะเสียสติอยู่ในอาการวิงเวียน พฤติกรรมก็จะยิ่งคล้อยไปกับคนหมู่มากเป็นธรรมดา
ส่วนอาหารที่ถูกโยนมาให้นั้น หวังเป่าเล่อไม่เคลื่อนไหว สัญชาตญาณบอกเขาว่าอาหารเหล่านี้มีปัญหา และก็เป็นเช่นนี้ เมื่อผ่านมาสองชั่วยาม จู่ๆ ขบวนแห่ข้างหน้าก็หยุดลง เสียงโห่ร้องหายวับอย่างรวดเร็ว แล้วกลายเป็นความเงียบงัน
หวังเป่าเล่อแผ่ดวงจิตเทพออกมา เขามองเห็นทันทีว่าตอนนี้จุดที่อยู่ข้างหน้าขบวนแห่คือแท่นบูชาขนาดใหญ่ ทั่วทุกทิศรอบแท่นบูชาล้วนมีกลุ่มขบวนแห่อออยู่ตลอด ผู้นำต่างเป็นคนที่เหมือนกับภูเขาเนื้อ และด้านหลังก็มีคนผอมแห้งจำนวนมากตามอยู่เหมือนกัน
ราวกับ…คนทั้งเมืองรวมถึงคนนอกล้วนมารวมตัวกันที่นี่
และบนแท่นบูชานั้น เดิมทีมันว่างเปล่า แต่ตอนนี้ขณะที่ประกายแสงกะพริบวาบ เงาร่างมหึมาก็ปรากฏตัวขึ้น
คนผู้นี้สูงถึงพันจั้งและสั่นสะเทือนจิตใจของผู้คนไปพร้อมกัน เป็นเพราะรูปร่าง จึงทำให้ความรู้สึกกดดันจากตัวเขาน่าตะลึงยิ่งกว่าเดิม
ถ้าหากเทียบกับคนธรรมดาแล้ว หากการที่คนอ้วนแปดคนที่ถูกผู้คนแบกไว้จากแปดทิศทางรอบแท่นบูชาถูกเรียกว่าภูเขาเนื้อ เช่นนั้นตอนนี้พอนำมาเทียบกับยักษ์ใหญ่สูงพันจั้ง พวกเขาก็เหมือนกับเด็กทารกอย่างไรอย่างนั้น
ในแง่หนึ่ง ยักษ์ใหญ่สูงพันจั้งผู้นี้ไม่อาจนับว่าเป็นมนุษย์แล้ว แต่เป็นเนื้อชิ้นหนึ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างทุกกระเบียดนิ้ว!
คลื่นผันผวนของพลังฝึกตนที่เทียบได้กับขั้นห้าสูงสุดแผ่ออกมาจากตัวของก้อนเนื้อชิ้นนี้ ช่างสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน กดดันทุกผู้คนยิ่งนัก
“คารวะเจ้าปรารถนา!” เมื่อเสียงร้องคำรามของเจ้าอ้วนทั้งแปดจากแปดทิศรอบแท่นบูชาดังขึ้น ทุกคนที่อยู่รอบๆ ก็เป็นบ้าขึ้นมา แววตาคลั่งไคล้ พากันตะโกนร้องเสียงดังลั่น
ขณะที่ทุกคนตะโกนร้องอยู่นั้น ก้อนเนื้อบนแท่นบูชาก็ค่อยๆ ยกมือขวาอันน่าสะพรึงขึ้นมาแล้วกดลงไป ทันใดนั้นรอบข้างก็เงียบงันอีกครั้ง ขณะเดียวกัน เส้นสีทองนับไม่ถ้วนก็ก่อตัวเป็นกลุ่มก้อน แล้วปรากฏขึ้นกลางอากาศอย่างไร้สุ้มเสียง
มันคือหนวดทองที่หวังเป่าเล่อเคยกินไปไม่รู้ตั้งกี่ครั้งนั่นเอง ตอนนี้กำลังก่อตัวเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ยักษ์ หนวดทั้งหมดในนั้นล้วนดิ้นไปมา ดูแล้วน่าสะพรึงอย่างยิ่ง
หวังเป่าเล่อเหลือบมองป้ายคำสั่ง ไม่ได้ถามอะไรมาก เขายกมือจับอากาศ ทันใดนั้นป้ายคำสั่งก็พุ่งมาหา พอจับไว้ได้หวังเป่าเล่อก็เก็บมัน จากนั้นจึงมองไปที่ข้างในป่าที่ซึ่งส่งกลิ่นหอมแปลกประหลาดออกมา
เมื่อผู้ฝึกตนระดับวิญญาณจุติชั้นปลายผู้นั้นเห็นหวังเป่าเล่อเก็บป้ายคำสั่งไปแล้ว ในใจก็โล่งอกเล็กน้อย แต่ความระแวดระวังยังคงอยู่ เขาเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจ
“สหายเต๋า เชิญ”
กล่าวพลาง ตัวเขาก็เอียงไปด้านข้าง ไม่กล้าเดินนำหน้าและหันหลังให้หวังเป่าเล่อ แต่รอให้เขาเดินไปด้วยพร้อมกัน ตอนนี้ผู้ฝึกตนระดับวิญญาณจุติชั้นต้นสองคนที่อยู่อีกสองด้านก็พากันแผ่พลังมากขึ้น ไม่ได้แสดงเจตนาโจมตี แต่ป้องกันเป็นหลัก
หวังเป่าเล่อไม่สนใจการกระทำของคนทั้งสาม ตอนนี้เขาเดินเข้าไปในป่าเพียงชั่วแวบเดียว ผู้ฝึกตนระดับวิญญาณจุติชั้นปลายที่อยู่ข้างๆ ก็ก้าวไปพร้อมกัน แทบจะในชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็เข้ามาอยู่ในป่าและมองเห็นที่มาของกลิ่นหอมประหลาดแล้ว
มันคือหม้อใหญ่สูงราวหนึ่งคนกว่าๆ ทั้งใบเป็นสีเขียว ด้านบนสลักสัญลักษณ์และอักขระเอาไว้ ทั้งยังแผ่กลิ่นอายเก่าแก่ออกมาพร้อมกัน อักขระเหล่านั้นคล้ายแฝงความล้ำลึก ซึ่งเข้ากันกับสัญลักษณ์ด้านบน ทำให้หม้อนี้ส่งเสียงคำรามต่ำออกมา
ราวกับมีสิ่งมีชีวิตที่ครอบครองพลังยิ่งใหญ่กำลังกระแทกโจมตีจากข้างในหม้อใบนี้ไม่หยุดในชั่วขณะนี้ มันพยายามพังหม้อใบนี้ออกมา แต่กลับยากจะฝ่าออกมาได้ ทำได้เพียงถูกหม้อใหญ่หลอมละลายอย่างต่อเนื่อง จนส่งกลิ่นหอมฟุ้งชวนท้องไส้ปั่นป่วนออกมา
ขณะเดียวกัน รอบด้านยังมีร่องรอยของการต่อสู้อย่างเห็นได้ชัด และยังมองเห็นศพหลายศพอยู่ไกลๆ ด้วย
ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว ขณะก้าวเดินเขาก็แผ่ดวงจิตเทพมากวาดมองข้างในหม้อใหญ่ใบทันที เห็นชัดเจนว่าข้างในหม้อใบนี้มีเส้นสีทองหนึ่งเส้นที่มีลักษณะเหมือนกับหนวดเคราหรือเส้นผมของสิ่งมีชีวิตกำลังถูกต้มอยู่ในหม้อ
บางทีน้ำที่นำมาต้มเดิมอาจจะใสไร้สี แต่ตอนนี้มองด้วยตาเปล่าก็เห็นชัดว่าสีของมันเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ จนกลายเป็นสีทองอ่อน กลิ่นหอมก็เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
“นี่คือ…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง อาศัยความรู้กว้างขวางของร่างจริง แต่กลับไม่รู้อยู่ดีว่านี่คือสิ่งมีชีวิตใด แต่เขาสัมผัสได้ว่าหากกินเจ้าสิ่งนี้เข้าไป มันจะบำรุงกายเนื้อและมอบประโยชน์ที่นับว่าไม่เลวให้
สำหรับเขา มันมีประโยชน์แบบธรรมดา แต่สำหรับผู้ฝึกตนระดับวิญญาณจุติแล้ว มันไม่ต่างอะไรจากสมบัติล้ำค่า
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังประเมินหม้อใหญ่ใบนี้อยู่ ผู้ฝึกตนระดับวิญญาณจุติชั้นปลายก็สังเกตดูหวังเป่าเล่อเช่นกัน เมื่อเห็นว่าสีหน้าของหวังเป่าเล่อยังเหมือนเดิมราวกับไม่มีความคิดโลภเพราะหนวดอัศจรรย์เส้นนี้แล้ว จิตใจของเขาก็นับว่าสงบลงเล็กน้อย ถึงกับลอบถอนหายใจออกมา นึกเสียดายว่าก่อนหน้านี้เห็นอยู่ชัดๆ ว่าอีกฝ่ายกำลังจะจากไป แล้วเหตุใดตนถึงต้องคิดหยุดเขาไว้ด้วย
ผลสุดท้ายดันไปหยุดเทพสังหารตนหนึ่งเสียได้
ตอนนี้เขาตั้งสติ โบกมือให้แสงสีฟ้าบินออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บของตน ก่อนกลายเป็นหุ่นเชิดลักษณะเหมือนเด็กคนหนึ่ง เขาถือชามทองแดง เดินไปตักของจากด้านหน้าหม้อใบนั้นมาบางส่วน จากนั้นจึงส่งไปตรงหน้าหวังเป่าเล่อ
“สหายเต๋า ของสิ่งนี้มีผลบำรุงดีนัก เชิญ”
ใบหน้าของหวังเป่าเล่อไร้อารมณ์ เขารับมาแล้วก็ดื่มมันเข้าปากทันที จากคุณสมบัติของร่างจริง ไม่ว่าคำสาปก็ดี ยาพิษก็ช่าง ล้วนแต่ไม่มีผลกับตัวเขามานานแล้ว
แม้ว่าเขาจะเป็นแค่ร่างแยกก็ยังเป็นเช่นนี้เหมือนกัน
เมื่อซุปร้อนอุ่นๆ ตกถึงท้อง มันก็กลายเป็นกระแสอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วกาย ดวงตาของหวังเป่าเล่อสว่างขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ แม้ว่าประสิทธิภาพของซุปถ้วยนี้แทบจะไม่มีผลอะไรต่อเขามากมาย แต่รสชาติของมันกลับอร่อยล้ำเลิศอย่างที่ไม่เคยได้ลิ้มลองมาก่อน
“ขออีกชาม” หลังจากดื่มจนหมดแล้ว หวังเป่าเล่อก็เลียริมฝีปากแล้วเอ่ยบอก
ตอนนี้ผู้ฝึกตนระดับวิญญาณจุติชั้นปลายผู้นั้นพลันรู้สึกเจ็บปวดเล็กน้อย แต่ยังให้หุ่นเชิดเต๋าไปตักมาเพิ่มอีกหนึ่งชาม จากนั้นเขาก็ทำแบบเดียวกัน มานั่งข้างหวังเป่าเล่อแล้วลิ้มรสมัน
ส่วนผู้ฝึกตนระดับวิญญาณจุติชั้นต้นสองคนก็ทำได้เพียงยืนกลืนน้ำลายอยู่ตรงนั้น
เป็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อและผู้ฝึกตนระดับวิญญาณจุติชั้นปลายก็ดื่มกันอย่างข้าชามเจ้าชาม ดื่มไปพลาง หวังเป่าเล่อก็คล้ายเอ่ยถามไปเรื่อย เนื่องจากก่อนหน้านี้เขาบอกว่าตนเป็นผู้ฝึกตนจากเมืองโบราณ ดังนั้นผู้ฝึกตนระดับวิญญาณจุติชั้นปลายจึงไม่ได้คิดมากกับคำถามของหวังเป่าเล่อ ถึงอย่างไรทั้งหมดนั่นก็เป็นแค่เรื่องความรู้เบื้องต้น ไม่จำเป็นต้องปิดบังเพื่อทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น
ดังนั้น หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เมื่อหนวดทองในหม้อใบนั้นหลอมละลายจนสมบูรณ์ ซุปเนื้อกลายเป็นสีทอง ทั้งยังถูกพวกเขาทั้งสองดื่มลงไปเกือบแปดส่วน หวังเป่าเล่อก็ได้รับสิ่งที่เขาต้องการเช่นกัน
ตัวอย่างเช่นเขารู้แล้วว่าหนวดสีทองนี้มีชื่อว่าหนวดอัศจรรย์ ของสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ ผู้ฝึกตนคนนั้นก็ไม่รู้แน่ชัด รู้แต่ว่าสิ่งมีชีวิตเช่นนี้เป็นวัตถุดิบที่มีเฉพาะในเมืองปรารถนารส ทุกๆ ปีจะมีการจำกัดการซื้อขาย และต้องทำภารกิจที่เมืองปรารถนารสออกประกาศให้สำเร็จเสียก่อนจึงจะมีสิทธิซื้อได้
หนวดที่พวกเขามีอยู่ตรงนี้ไม่ได้ซื้อ แต่ปล้นชิงมา ดังนั้นจึงเก็บของสิ่งนี้ยาก เลยแก้ไขด้วยการนำไปทำอาหาร พวกเขาไม่มีเวลาเหลือมากนัก ทำได้เพียงหุงต้มอยู่ที่เดิมหลังฆ่าชิงสมบัติมาเท่านั้น
ตอนนั้นเองจึงมีกลิ่นหอมประหลาดโชยออกมา ทำให้ชายชราชุดดำที่ตายด้วยมือของหวังเป่าเล่อผู้นั้นไปคอยขวางไว้ข้างนอก
ขณะเดียวกัน สำหรับเรื่องป้ายคำสั่งเข้าเมืองของเมืองปรารถนารส หวังเป่าเล่อก็ได้รับคำตอบที่ตนต้องการเช่นกัน ห่างจากที่นี่ราวๆ หลายแสนลี้ก็จะเป็นเมืองปรารถนารสซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกแล้ว
แม้ว่าเมืองนี้จะไม่ได้ปิดประตูตลอดปี แต่ก็มีเงื่อนไขเข้มงวดสำหรับคนเดินทางเข้าออกซึ่งจะต้องมีป้ายคำสั่งพิเศษ จึงจะเข้าและออกจากเมืองได้ อีกทั้งภายในป้ายคำสั่งทุกป้ายล้วนมีจำกัดจำนวนครั้งและเวลาที่พักอยู่ในเมือง หากเวลาพักหมดแล้วและยังไม่จากไป ก็จะถูกเมืองปรารถนารสลงโทษ
อีกทั้งหลังจากจำนวนครั้งถูกใช้ไปหมดแล้ว ก็ต้องทำภารกิจเพื่อเติมจำนวนครั้งของป้ายคำสั่ง ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีสิทธิเข้าเมืองอีกต่อไป
“เมืองปรารถนารสคือสวรรค์ของพวกผู้ฝึกตนอย่างข้า” ผู้ฝึกตนระดับวิญญาณจุติชั้นปลายที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับหวังเป่าเล่อทอดถอนใจออกมา
“ที่นั่น ขอเพียงเจ้าจ่ายค่าตอบแทน ก็จะได้อาหารรสเลิศที่ไม่อาจจินตนาการ และอาหารรสเลิศทุกชนิดก็ล้วนทำให้การฝึกตนของเจ้าเพิ่มพูนขึ้นได้ด้วย”
“โดยเฉพาะเทศกาลสวาปามในวันแรกของทุกเดือน ทั่วทั้งเมืองจะกู่ก้องร้องยินดี แค่ได้กลิ่นหอมก็บำรุงวิญญาณเทพได้แล้ว พอนับวันดูก็คือวันนี้เอง น่าเสียดายที่ข้ายังมีธุระอื่น ไปไม่ทันแล้ว…”
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้ฝึกตนที่อยู่ตรงหน้าและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกชื่นชมต่อเมืองปรารถนารสของอีกฝ่าย หวังเป่าเล่อก็รู้สึกสนใจขึ้นมา เห็นว่าดื่มซุปไปได้พอสมควรแล้ว เขาก็ลุกขึ้นยืน ก่อนเอ่ยลาท่ามกลางสายตาลอบแปลกใจของผู้ฝึกตนผู้นั้น
กระทั่งหวังเป่าเล่อเดินไปไกลแล้ว ระดับวิญญาณจุติชั้นปลายผู้นี้ก็โล่งอกได้อย่างแท้จริง สหายอีกสองคนที่ไม่กล้าเข้ามาใกล้ก็รีบพุ่งเข้ามาตักซุปกินทันที ขณะที่รู้สึกหดหู่ก็มีความยินดีอยู่ด้วยเช่นกัน อย่างน้อยที่สุดก็ยังเหลือ…
พวกเขากินจนหมดด้วยความเร็วขั้นสุด จากนั้นทั้งสามก็รีบเก็บหม้อใหญ่แล้วจากไปอย่างร้อนรน
ด้านหวังเป่าเล่อในตอนนี้กำลังเดินทางอยู่บนฟ้า พุ่งตรงไปยังเมืองปรารถนารสตามทิศทางที่ได้รับมา หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนคนอื่น แม้ว่าระยะทางหลายแสนลี้จะไม่ถือว่าไกลเท่าไร แต่ก็ต้องใช้เวลาสักหน่อย อีกทั้งที่นี่ยังมีข้อจำกัดและการขวางกั้นวิชาเคลื่อนย้ายด้วย
แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหา และเป็นเช่นนี้เอง หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ด้านหน้าหวังเป่าเล่อที่กำลังท่องทะยานอยู่บนฟ้า บนพื้นที่ระหว่างฟ้าดินไกลๆ นั่น เขาก็มองเห็น…เมืองใหญ่มหึมาชวนให้ใจสั่นสะท้าน!
ทั่วทั้งเมืองเหมือนกับหม้อใบใหญ่ยักษ์ ด้านนั้นมีเสียงอึกทึกจอแจปะทุขึ้น อยู่ไกลๆ ก็ยังได้ยิน และสิ่งที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือควันสีเขียวเป็นหย่อมๆ ที่กำลังลอยขึ้นฟ้ามาจากภายในเมืองแห่งนี้ แล้วก่อตัวเป็นเมฆครึ้มก้อนใหญ่อยู่บนท้องฟ้า สายฟ้ามากมายแลบผ่านก้อนเมฆ เสียงฟ้าร้องดังลั่น
แต่กลับสะกดกลั้นเสียงกู่ร้องภายในเมืองไม่ได้เลย ราวกับว่าตอนนี้…ภายในเมืองแห่งนี้กำลังจัดงานฉลองยิ่งใหญ่ขึ้น
และจะมองเห็นได้ว่าที่นอกเมืองมีผู้ฝึกตนจำนวนมากกำลังต่อเป็นแถวยาวเข้าเมืองกันอย่างต่อเนื่อง
“เมืองปรารถนารส” หวังเป่าเล่อหรี่ตา พุ่งไปฉับพลัน
………………………………………………
“หวังเป่าเล่อคนใหม่หรือ” ที่ส่วนลึกใต้พื้นดินของจื่อหมัว หวังเป่าเล่อผู้นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นหัวเราะออกมา ไม่ได้ไปสนใจ
ร่างแยกเป็นอิสระอย่างแท้จริง ไม่มีเหตุต้นผลกรรมใดๆ กับอดีตของหวังเป่าเล่อเลยแม้แต่น้อย แต่ถ้าบอกว่ามีอยู่จริง ก็คงเป็นเพราะกฎเกณฑ์แห่งสุขและกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงที่แพร่กระจายอยู่ในร่างของหวังเป่าเล่อตอนนี้ ที่อาจจะยังมีอยู่ในตัวร่างแยกไม่มากก็น้อย
แต่เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหา เดิมทีกฎของเต๋าทั้งสองชนิดนี้ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ในโลกชั้นที่สองแห่งนี้อยู่แล้ว ไม่นับว่าเป็นเหตุต้นผลกรรมของตัวเขา
มีเพียงความสัมพันธ์แค่อย่างเดียวจริงๆ ซึ่งก็คือ…ตั้งใจจะกำจัดเหตุต้นผลกรรมกับมหาเทพเหมือนกัน
แค่เรื่องนี้ก็เพียงพอแล้ว
“บางทีการใช้ท่าทีที่เยือกเย็นขึ้นและเด็ดเดี่ยวขึ้นก็อาจจะคลี่คลายสถานการณ์ได้ดีขึ้นก็ได้” หวังเป่าเล่อจ้องมองร่างแยกที่เดินไปไกลแล้ว จากนั้นจึงหลับตาลงช้าๆ สำหรับเขาแล้ว สำเร็จคือดีที่สุด ถ้าร่างแยกล้มเหลวก็ไม่เป็นไร คิดว่าตอนนั้นตนคงจัดการภัยแฝงเรื่องกฎเกณฑ์ของโลกภายนอกในตัวเขาได้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อถึงตอนที่เขาผสานกฎเกณฑ์แห่งสุขและกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้อย่างสมบูรณ์ เขาก็สามารถเดินออกไปได้อีกครั้งโดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกตรึงตำแหน่งหรือถูกตามหาตัวเลย
เป็นเช่นนี้ หลังจากร่างจริงของหวังเป่าเล่อหลับตาลง ทั้งร่างก็จมลงไป ส่วนร่างแยกของเขาตอนนี้อยู่นอกทะเลทราย เดินทางไปไกลอยู่บนผืนโลก
เขาไม่มีความคิดจะทำตัวไม่เป็นจุดสนใจแบบหวังเป่าเล่อร่างจริง ตอนนี้ร่างแยกไม่มีความผันผวนทางอารมณ์แม้แต่น้อย เขาแผ่พลังฝึกตนระดับวิญญาณจุติออกมาทั่วร่าง พร้อมเร่งความเร็วพุ่งฉิวไปข้างหน้า
ไร้จุดหมายปลายทาง
ร่างแยกของหวังเป่าเล่อก็ไม่รู้ว่าตนต้องไปที่ใด โลกใบนี้กว้างใหญ่ และตัวเขาก็ยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่อย่างยิ่ง ดังนั้นตามความคิดของเขาแล้ว ตอนนี้ตนจำเป็นต้องสอบถามผู้ฝึกตนประจำถิ่นสักคน
เวลาเคลื่อนผ่าน ขณะที่หวังเป่าเล่อเร่งเดินทางรวดเร็วไปพร้อมกับความคิดเช่นนี้ ไม่นานก็ผ่านมาแล้วสี่วัน
ในช่วงสี่วันนี้ ไม่ว่าเขาผ่านไปที่ใดก็ไม่เห็นแม้แต่เงาผู้ฝึกตนสักคนเดียว ผืนดินค่อยๆ เปลี่ยนจากสีม่วงเข้ม จนกระทั่งเข้าวันที่ห้า สีของพื้นดินก็เริ่มเป็นสีเหลืองอ่อน มีต้นไม้ใบหญ้ามากขึ้น
หวังเป่าเล่อที่กำลังเร่งเดินทางกวาดมองผืนแผ่นดิน ขณะที่กำลังจะเดินทางต่อ ไม่ช้าสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เขาหันไปมองด้านขวา ที่ป่าในบริเวณห่างไกลตรงนั้นคล้ายจะมีร่องรอยผันผวนของกฎเกณฑ์อยู่
หลังจากปราดมอง หวังเป่าเล่อก็หันหน้าเปลี่ยนทิศทาง พุ่งตรงไปยังพื้นที่แห่งนั้น แต่เมื่อเข้ามาใกล้ป่าผืนนี้ กลับมีเสียงทะลวงอากาศดังขึ้นมาในพริบตา
หวังเป่าเล่อไม่ขยับขา ร่างกายส่วนบนเอนหลบไปด้านหลัง หางตามองเห็นเงาดำถลันบินผ่านหน้าตนไปตรงๆ บนยอดของต้นไม้ยักษ์ต้นหนึ่งที่ไกลๆ มีร่างของคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้น
เขาคือชายชราร่างกายผอมแห้งราวกับลิงคนหนึ่ง สวมเสื้อผ้าสีดำ พลังฝึกตนอยู่ระดับวิญญาณจุติชั้นกลาง ตอนนี้กำลังนั่งยองๆ อยู่บนยอดไม้ ดวงตาสาดประกายสีมรกต หลังจากจ้องหวังเป่าเล่อเขม็ง เขาก็เอ่ยเสียงแหบแห้งว่า
“ผู้มาเป็นใคร!”
“ผู้ฝึกตนจากเมืองโบราณ” หวังเป่าเล่อเอ่ยอย่างสงบนิ่ง ไม่ได้บอกชื่อแซ่ของตนออกไป ประกายแสงในดวงตารวมตัวกันแล้วจ้องมองชายชรา
“เมืองโบราณหรือ ที่นี่ไม่ต้อนรับเจ้า ออกไปเดี๋ยวนี้” ชายชราหรี่ตาลง เลียริมฝีปาก เสียงแหลมคมเล็กน้อย
หวังเป่าเล่อกวาดมองอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง ก่อนมองไปยังป่าผืนนั้นที่อีกฝ่ายขวางไม่ให้ตนเข้าไป เขาสัมผัสได้ลางๆ ว่าในป่ายังมีสายตาอีกสามคู่กำลังจ้องมาที่ตนเอง ทั้งยังแฝงเจตนาร้ายเอาไว้ และจมูกของเขาก็ได้กลิ่นหอมแปลกประหลาดเช่นกัน
กลิ่นหอมนี้ไม่รู้ว่าปรุงมาจากเนื้อสัตว์อะไร แม้จะจางมาก แต่ทันทีที่จมูกของหวังเป่าเล่อได้กลิ่น ร่างกายของเขาก็รู้สึกอยากกินขึ้นมาโดยสัญชาตญาณ คล้ายกับว่าตัวเขากำลังหิวกระหาย
คิดไปคิดมาคนพวกนี้น่าจะกำลังปกป้องของแปลกประหลาดนั่นอยู่ที่นี่ หากเปลี่ยนเป็นร่างจริงของเขา บางทีอาจจะรู้สึกสนใจอยู่บ้าง แต่หวังเป่าเล่อในขณะนี้ไม่สนใจ
“ขอแผนที่ของแถวนี้ให้ข้า แล้วข้าจะไป” หวังเป่าเล่อถอนสายตากลับแล้วเอ่ยบอกตรงๆ
ชายชราชุดดำขมวดคิ้วมุ่น คำพูดของอีกฝ่ายทำให้เขารู้สึกตะลึงเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่เป็นความแปลกใจ ดังนั้นหลังจากประเมินหวังเป่าเล่ออยู่สองสามที เขาก็สะบัดมือขวา โยนแผ่นหยกไปให้ หลังจากหวังเป่าเล่อคว้ามาได้ก็ใช้ดวงจิตเทพกวาดมอง ก่อนหันกายจากไป
แต่ในชั่วขณะที่หวังเป่าเล่อเดินห่างจากที่นี่ไปไม่กี่สิบจั้ง ภายในป่าไม้แห่งนั้นพลันมีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้น
“สหายเต๋าจากเมืองโบราณ ได้พบถือว่ามีวาสนา อยากจะเข้ามาเสวยสุขด้วยกันสักหน่อยหรือไม่”
แทบจะทันทีที่เสียงนี้ดังขึ้น ชายชราชุดดำผู้นั้นก็หรี่ตาและหายตัววาบคล้ายทำไปเพราะเสียงนี้ จากนั้นจึงกลายเป็นเงาติดตาที่รวดเร็วจนน่าตะลึง แล้วมาปรากฏตัวอยู่หน้าหวังเป่าเล่อ ขวางทางเขาเอาไว้ทันที
“หมายความว่าอย่างไร?” หวังเป่าเล่อหยุดชะงักฝีเท้า ใบหน้าไร้อารมณ์ เอ่ยขึ้นอย่างนิ่งสงบ
“ไม่ได้หมายความว่าอะไร แค่อยากจะผูกมิตรเท่านั้น” ผู้ที่ตอบหวังเป่าเล่อไม่ใช่ชายชราชุดดำตรงหน้า แต่เป็นชายที่อยู่ตรงกลางในหมู่ผู้ฝึกตนสามคนที่บินออกมาจากในป่าขณะนี้
ผู้ฝึกตนสามคนนี้คล้ายอยู่ในวัยกลางคน สองคนในนั้นมีพลังฝึกตนระดับวิญญาณจุติชั้นต้น มีเพียงคนที่พูดอยู่เท่านั้น เมื่อพลังฝึกตนของเขาผันผวนก็เปิดเผยกลิ่นอายของระดับวิญญาณจุติชั้นปลายออกมา
ตอนนี้เมื่อเขามองหวังเป่าเล่อ สายตาก็ส่องประกายความโลภ ถึงขั้นเลียริมฝีปากด้วยซ้ำ เจตนาร้ายเต็มไปหมด
“อ้อ” สีหน้าของหวังเป่าเล่อไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ขณะที่เขาพยักหน้า ร่างกายของเขาก็ระเบิดพลังทันที มันเหนือกว่าก่อนหน้านี้ยิ่งนัก แทบจะในชั่วพริบตา ขณะที่ทั้งสี่คนยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาอะไร เขาก็มาอยู่ข้างกายชายชราชุดดำ ก่อนยกมือขวาจับคอของชายชราเอาไว้แล้วกระชากอย่างแรง ขณะเดียวกันก็ยกเข่าซ้ายเตะไปที่เป้าของชายชราหนักๆ
เสียงแควกดังขึ้น เมื่อชายชรากรีดร้องลั่น เลือดเนื้อทั่วร่างของเขาตั้งแต่บนลงล่างก็พร่าเลือน แม้แต่ขั้นวิญญาณจุติก็ถูกทำลายทันที เหลือเพียงหัวที่ถูกหวังเป่าเล่อถืออยู่ในมือเท่านั้น เมื่อเขาหันไปมองผู้ฝึกตนทั้งสามที่หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ก็โยนมันไปให้
“จะผูกมิตร ก็ต้องมีมารยาทยามพบปะ ข้าแซ่หวังรีบร้อนเดินทางจึงไม่ทันได้เตรียมตัว เช่นนั้นก็ใช้หัวนี้เป็นของขวัญแล้วกัน”
ในบรรดาผู้ฝึกตนขั้นวิญญาณจุติสามคนนั้น นอกจากวิญญาณจุติชั้นปลายที่พูดจาก่อนหน้านี้แล้ว สองคนที่เหลือก็พากันถอยหลังหลายก้าวตามสัญชาตญาณ สายตาที่มองหวังเป่ามีความหวาดกลัวแรงกล้า
สามารถสังหารวิญญาณจุติคนหนึ่งได้ในชั่วอึดใจ ในความคิดของพวกเขา นี่เป็นศัตรูแกร่งที่ไม่อาจล่วงเกินได้เลย
แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับวิญญาณจุติชั้นปลายในตำนานผู้นั้นก็สะอึกอยู่ในใจ หลังจากสูดหายใจลึกแล้วทำให้รอยยิ้มของตนดูเป็นคนดีขึ้นมาหน่อย เขาก็โค้งคำนับพลางกล่าวว่า
“สหายเต๋าเกรงใจแล้ว ข้าชอบมารยาทเช่นนี้มาก ในป่าเตรียมหุงหม้อเนื้อสัตว์เอาไว้ แล้วยังมีเหล้าชั้นดีอีก เชิญ!”
หวังเป่าเล่อไม่ขยับเขยื้อน ปราดมองผู้ฝึกตนระดับวิญญาณจุติชั้นปลายคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วเอ่ยราบเรียบ
“ผูกมิตรจำเป็นต้องมีมารยาทการพบปะ ของขวัญข้าล่ะ” กล่าวจบหวังเป่าเล่อก็ปรายตามองลำคอของผู้ฝึกตนที่ถอยร่นไปพวกนั้น
เมื่อเห็นสายตาของหวังเป่าเล่อ ทั้งสองคนก็หน้าเปลี่ยนสี ร่างกายถอยหลังอีกครั้ง โคจรพลังฝึกตนเต็มที่
ผู้ฝึกตนระดับวิญญาณจุติชั้นปลายผู้นั้นก็หน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน หลังจากเห็นผู้ฝึกตนทั้งสองคนถอยร่น ความคิดที่อยู่ในใจก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขาคิดว่าหากเป็นตัวเองคงไม่อาจสังหารอย่างคล่องแคล่วฉับพลันเช่นนี้ได้ขณะที่มีระดับวิญญาณจุติชั้นกลางเพ่งสมาธิจดจ่ออยู่แน่ ดังนั้นในเมื่อคนที่อยู่ตรงหน้าสามารถทำได้ เขาก็รู้แล้วว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้
ทั้งตัวเขายังเป็นฝ่ายยั่วยุก่อน ดังนั้นหากไม่จัดการให้ดี วันนี้จะต้องเกิดวิกฤตถึงชีวิตแน่ เขาหรี่ตาลง สะบัดมือขวา ป้ายคำสั่งแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ
“ป้ายเข้าเมืองปรารถนารส ในนั้นยังมีจำนวนเข้าเมืองอยู่สองครั้ง ให้เป็นของขวัญ ดีหรือไม่”
……………………………………..

เหมือนกับจักรพรรดิในพระราชวังในเต๋าแห่งฝันของหวังเป่าเล่อ ตอนนี้เสวียนเฉินที่โผล่ใบหน้าไร้อารมณ์ขึ้นมาบนฟ้าสีหน้าเคร่งขรึม มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่แตกต่างไป สิ่งที่เปล่งออกมาไม่ใช่ความน่าเกรงขาม แต่เป็นลมพายุที่แฝงอยู่ใต้ประกายแสงสีแดงก่ำ

ราวกับเบื่อหน่ายโลกและสะกดกลั้นความบ้าคลั่งเอาไว้ แต่เห็นอยู่ชัดๆ ว่าทั้งที่ควรจะมีอารมณ์ความรู้สึกมาก แต่กลับกลายเป็นความเย็นชาแบบที่ไม่อาจปกปิด บางทีอาจเป็นเพราะความไม่เข้ากันนี้จึงทำให้ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในโลกาชั้นที่สองพากันเงยหน้าขึ้น พร้อมจิตใจที่สั่นสะท้าน

แม้ว่าผู้แข็งแกร่งในโลกาชั้นที่สองแห่งนี้จะมีมากมาย เจ็ดอารมณ์ก็ดี หกปรารถนาก็ช่าง และยังมีเมืองโบราณลึกลับแห่งนั้นอีก แต่ต้องพูดเลยว่า…ทั้งหมดนี้ เมื่ออยู่ต่อหน้าจักรพรรดิเสวียนเฉินผู้มีพลังฝึกตนอยู่ในขั้นที่หกเป็นอย่างต่ำนั้น พวกเขาล้วนสามารถถูกบดขยี้ได้

เพราะว่าเขาอยู่เหนือกว่าศิษย์แห่งเทพเจ้า เป็นผู้พิทักษ์จิตแห่งเทพเจ้า และในแง่หนึ่ง เขาก็เป็นตัวแทนของกฎเกณฑ์ข้อสุดท้ายของโลกใบนี้

ตอนนี้ใบหน้านี้มองลงมายังสรรพชีวิตบนผืนพิภพจากบนฟ้า ราวกับกำลังเสาะหา จนกระทั่งเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป ก็เห็นได้ชัดว่าใบหน้านี้ได้คลาดกับร่องรอยของหวังเป่าเล่อไปแล้ว มันจึงค่อยๆ เลือนหายไป

ในโลกชั้นที่หนึ่ง ชายชุดคลุมดำผู้ยืนอยู่บนรูปสลักนกแก้วนั่งลงอีกครั้ง ก้มหน้าแล้วหลับตา

เมื่อใบหน้านั้นหายไป วิญญาณจักรพรรดิที่หวังเป่าเล่อดึงดูดมาพวกนั้นก็พากันสลายตัวเช่นกัน โลกทั้งใบค่อยๆ ฟื้นกลับมาเป็นเหมือนเดิม เมื่อแสงอาทิตย์แรกของวันต่อมาสาดส่องไปทั่วโลกา ทุกอย่างก็กลับเป็นปกติอย่างสมบูรณ์

โลกยังคงหมุนไป สรรพชีวิตยังคงฝึกบำเพ็ญ แต่บรรยากาศแปลกประหลาดกลับเริ่มแพร่กระจายอยู่ในโลกาชั้นที่สอง เป็นเพราะเรื่องเมื่อคืนนี้ แม้ว่าคนนอกจะไม่รู้รายละเอียด แต่อาศัยการคาดเดาก็ยังเดาออกได้ประมาณหนึ่ง

ผู้ที่สามารถดึงดูดวิญญาณจักรพรรดิและทำให้ผู้พิทักษ์ปรากฏตัวได้นั้น มีเพียง…คนที่มาจากภายนอก

แม้ว่าเรื่องนี้จะพบได้ยากในโลกชั้นที่สอง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นผู้ฝึกตนประจำถิ่นจำนวนมากขึ้นจึงเริ่มแลกเปลี่ยนการคาดเดา ขณะเดียวกัน ยามรุ่งอรุณภายในเมืองปรารถนาเสียงก็มีเสียงฉินดังแว่วมาจากที่ใดสักแห่ง

เสียงดีดฉินนี้มาพร้อมกับความโกรธเกรี้ยว ยิ่งกว่านั้นคือไม่ยินยอม หลังจากมันดังขึ้นมาก็แผ่คลุมไปทั่วทั้งเมือง ทำให้ท้องฟ้าเหนือเมืองปรารถนาเสียงมีเมฆครึ้มปกคลุมในพริบตา ก่อนที่ฝนห่าใหญ่จะตกลงมา

ไม่นานมีก็มีคำสั่งถูกถ่ายทอดออกมา ผู้ฝึกตนเมืองปรารถนาเสียงจำนวนมากจะได้รับเงินรางวัลนำจับที่เรียกได้ว่าสูงมากทีละคน

และเป้าหมายของรางวัลนำจับนี้ก็คือตามหาชิงหลิง!

ชิงหลิงก็คือหญิงชุดเขียวที่ถูกหวังเป่าเล่อสังหารและได้เมล็ดเต๋ามาคนนั้นเอง

เมื่อเกิดเรื่องสั่นสะเทือนขึ้นในเมืองปรารถนาเสียงและมีผู้ร่ำร้องจากปรารถนาเสียงจำนวนมากออกมา โลกาชั้นที่สองซึ่งเดิมอยู่ในความสมดุลก็เริ่มส่อแววเสียสมดุลขึ้นมาช้าๆ

ขณะที่ฝนห่าใหญ่ของโลกภายนอกกำลังจะบังเกิด ณ พื้นที่เปล่าเปลี่ยวห่างไกลแห่งหนึ่งในโลกชั้นที่สอง ที่แห่งนี้ไม่ใช่เทือกเขา แต่เป็นทะเลทรายไร้ขอบเขตแห่งหนึ่ง ทว่ามันแตกต่างจากทรายเหลืองดั้งเดิม เพราะทะเลทรายที่นี่เป็นสีม่วง

กรวดทรายสีม่วงก่อเกิดเป็นมหาสมุทรทรายสีม่วงผืนหนึ่ง ทำให้ที่นี่ทั้งดูแห้งแล้ง ขณะเดียวกันก็มีความอัศจรรย์น่าพิศวงอยู่บ้าง

เพราะทุกคนที่เข้าใกล้หรือเดินเข้ามาที่นี่ ล้วนต้องได้กลิ่นคาวเลือด และรั้งอยู่ที่นี่ไม่อาจกลับไปได้

ที่แห่งนี้ ในโลกชั้นที่สองเรียกว่า จื่อหมัว

ตามตำนานเล่าว่าเมื่อหลายปีก่อน มีจอมพลังผู้หนึ่งถูกฆ่าตายในที่แห่งนี้ เลือดของนางชุ่มโชกไปทั่วทั้งทะเลทราย ทำให้ทะเลทรายแห่งนี้กลายเป็นสีม่วง ขณะเดียวกัน เนื่องจากที่แห่งนี้มีการยับยั้งอันแรงกล้าอยู่ จึงส่งผลกระทบต่อพลังฝึกตนของผู้ฝึกตนที่ก้าวเข้ามาที่นี่ นอกจากนี้ในความเปล่าเปลี่ยวก็ยังมีความแห้งแล้ง และมีจอมพลังมาตรวจสอบดูเพื่อให้แน่ใจว่าที่นี่ไม่มีโอกาสวาสนาใดๆ ด้วยเช่นกัน

ดังนั้น พื้นที่แห่งนี้จึงยากจะมีเงาคนปรากฏ

แต่ในส่วนลึกใต้ผืนดินของทะเลทรายสีม่วงแห่งนี้ หวังเป่าเล่อกลับนั่งสมาธิอยู่ที่นี่ไม่ขยับเขยื้อน ทั้งจิตและกายล้วนจมอยู่กับการผสานระหว่างกฎเกณฑ์เต๋าแห่งสุขและปรารถนาเสียงภายในร่าง

การผสมผสานเช่นนี้ ตามหลักการแล้วสามารถเร่งให้เร็วขึ้นได้ แต่การเร่งความเร็วจะทำให้เกิดข้อผิดพลาดบางอย่างต่อการปกปิดกฎเกณฑ์ในตัวหวังเป่าเล่อ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่รีบร้อน แต่ปล่อยให้กฎเกณฑ์ทั้งสองอย่างต่อต้านกันอย่างค่อยเป็นค่อยไปภายในร่าง

เขารู้ดีอย่างยิ่งว่า ครั้งแรกที่ใช้พลังจากโลกภายนอก เขาดึงดูดแค่วิญญาณจักรพรรดิเท่านั้น แต่ตอนใช้ครั้งที่สองกลับทำให้ผู้พิทักษ์ผู้นั้นปรากฏตัวได้ เมื่ออนุมานได้เช่นนี้ เขาก็เชื่อว่าหากตนใช้กฎเกณฑ์ของโลกภายนอกออกมาเป็นครั้งที่สาม หรือกลิ่นอายของเขาถูกตรึงเป้าหมายไว้ได้อีกครั้ง เช่นนั้นเขาก็ไม่มีทางถอยแล้ว

แต่พลังฝึกตนของเขาตอนนี้ยังไม่พอจะไปต่อกรกับผู้พิทักษ์คนนั้น และเป้าหมายที่เขามายังมิติเต๋าต้นกำเนิดแห่งนี้ก็ไม่ใช่การกวาดล้างครั้งใหญ่ในทันที

 จำเป็นต้องแก้ปัญหาสองอย่าง… 

 หนึ่งคือต้องหาวิธีไปอยู่หน้ามหาเทพให้ได้ 

 ส่วนอย่างที่สองคือผู้พิทักษ์คนนั้น…  หวังเป่าเล่อที่นั่งสมาธิอยู่ใต้พื้นดินค่อยๆ ลืมตาขึ้น มันส่องประกายวาบอยู่ใต้พื้นดินอันมืดมิด

 จักรพรรดิเสวียนเฉิน…ฝันของเขา การเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายและคำถาม…  หวังเป่าเล่อเงียบงัน เขานึกถึงคำพูดเรื่องความดีความชั่ว รู้สึกแปลกๆ กับคำถามในคราวนั้นของอีกฝ่าย ตอนนี้เมื่อลองไตร่ตรองดูแล้ว ความรู้สึกแปลกประหลาดก็ยิ่งแรงกล้ามากขึ้น จนเกิดความรู้สึกรุนแรงอย่างเลือนราง

ความดีและความชั่วเช่นนี้ดูแล้วคล้ายจะเป็นคำถามเรียบง่าย แต่แฝงความหมายลึกซึ้งอย่างยิ่ง

ท่ามกลางความเงียบงัน หวังเป่าเล่อก้มหน้ามองดูร่างกายของตน สัมผัสได้ถึงการต่อต้านระหว่างกฎเกณฑ์สองชนิดในร่างกาย ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง เขาก็มีตัวเลือกในใจแล้ว

ในเมื่อไม่อาจเผยร่างจริงได้ง่ายๆ เช่นนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คืออยู่ที่นี่เพื่อหลีกเลี่ยงการค้นหาของอีกฝ่าย จากนั้นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในตอนนี้ก็คือกลายเป็นร่างแยกออกไปข้างนอก

แต่ร่างแยกธรรมดานั้นมีเหตุต้นผลกรรมอยู่กับร่างจริง ทันทีที่ถูกพบเห็น ร่างจริงก็ยังคงถูกตรึงตำแหน่งอยู่ดี ดังนั้นร่างแยกนี้จะต้องไม่มีเหตุต้นผลกรรมเกี่ยวพันกับร่างจริง

ในแง่หนึ่งนั้น…มันจึงเท่ากับการสร้างร่างแยกอิสระออกมา

และอิสระก็มักจะเสี่ยงต่อการกบฏ แต่ความเสี่ยงเช่นนี้ สำหรับหวังเป่าเล่อที่อยู่ขั้นห้าแล้ว ใช่จะแก้ไขไม่ได้

ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็หลับตาลง พริบตาต่อมา ร่างกายของเขาก็เกิดเงาซ้อนทับขึ้น จากนั้นร่างแยกร่างหนึ่งก็ค่อยๆ รวมตัวขึ้น หายวับไปจากใต้พื้นดินในพริบตา

ไม่นานนัก ที่ชายขอบทะเลทรายสีม่วงแห่งนี้ก็มีเงาร่างร่างหนึ่งเดินออกมา

ร่างนี้ดูผอมบางอย่างยิ่ง มองไม่เห็นถึงความคล้ายคลึงกับหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือกลิ่นอาย พลังฝึกตนก็คล้ายอยู่ระดับวิญญาณจุติเท่านั้น แต่แววตากลับแฝงความเยียบเย็นเอาไว้ หากมองดีๆ แล้วจะเห็นว่าในความเยียบเย็นนี้มีไอสังหารและความโหดเหี้ยมอยู่ คล้ายกับว่าภายในร่างของเขาได้ผนึกพลังทำลายล้างโลกเอาไว้

นี่ก็คือร่างแยกพิเศษที่หวังเป่าเล่อสร้างขึ้น

ร่างแยกนี้คือสภาพที่หวังเป่าเล่ออ้างอิงมาจากวิญญาณจักรพรรดิ จนแล้วก่อเกิดขึ้นเป็น…ร่างแยกอิสระไร้คลื่นอารมณ์ผันผวนจนเกินไป

ในแง่หนึ่ง ตัวเขากับวิญญาณจักรพรรดิคล้ายคลึงกันมาก แต่ส่วนที่แตกต่างกันก็คือ…ไม่รู้ว่าใครมีอำนาจการควบคุมวิญญาณจักรพรรดิ เพราะมหาเทพยังหลับใหลอยู่ แต่วิญญาณเต๋าของหวังเป่าเล่อนี้ อำนาจการควบคุมอยู่ที่ตัวเขาเอง

 เช่นนั้นตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้า ก็คือหวังเป่าเล่อคนใหม่  ขณะนี้ ร่างแยกที่เดินออกจากทะเลทรายสีม่วงหันไปปราดมองทะเลทรายแวบหนึ่ง ก่อนหัวเราะเสียงเย็นออกมาหนึ่งคราแล้วก้าวเดินไปยังที่ห่างไกล

…………………………………………..

 

ในโลกาชั้นที่สอง ขณะที่หวังเป่าเล่อควบทะยานอยู่กลางอากาศ ตอนนี้เองเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปบนฟ้า ความรู้สึกใจเต้นรัวแรงแผ่ซ่านไปทั้งกาย
ต่อให้ท้องฟ้าในตอนนี้ดูคล้ายไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แม้จะมีคลื่นผันผวนและเกิดรอยแยก แต่ก็เป็นเพราะอานุภาพกดดันของวิญญาณจักรพรรดิเหล่านั้นที่ตามไล่ล่าอยู่ด้านหลังของเขา
แต่ความรู้สึกใจเต้นรุนแรงมันแรงกล้าเกินไป ทำให้หวังเป่าเล่อต้องหรี่ตาลง พลังฝึกตนโคจรเคลื่อนไปที่สองตา ชั่วขณะนั้นท้องฟ้าที่เขาจ้องมองก็ไม่เหมือนเดิมเล็กน้อย
บนฟ้าราวกับมีลมพายุตกลงมาจากฟากฟ้า เมื่อพินิจอย่างละเอียดแล้ว ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็หดเกร็งขั้นรุนแรง เขารับรู้ได้ว่าลมพายุที่พุ่งมาหานี้ คาดไม่ถึงว่าจะมีรูปร่างเป็นมือยักษ์
อีกทั้งอานุภาพกดดันที่แผ่ออกมาจากมัน แม้แต่ตัวเขาก็ยังรู้สึกหวาดกลัวผิดปกติ
“นี่ไม่ใช่พลังของขั้นที่ห้า!” ชั่วพริบตา สมองของหวังเป่าเล่อก็นึกถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับโลกใบนี้ที่ตนได้ยินมาจากผู้อาวุโสชั้นสูงของสาขาเต๋าสายสุขขึ้นมา
ในเรื่องเล่านั้น ผู้ที่อยู่เหนือยิ่งกว่าศิษย์แห่งเทพเจ้ายังมีผู้พิทักษ์คนนั้นอยู่
ผู้พิทักษ์คนนี้คอยคุ้มครองจิตเทพเจ้าที่หลับใหล…
“กลิ่นอายนี้ทำให้ข้ารู้สึกกลัว แล้วยังรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่มันไม่เหมือนกับความรู้สึกแบบที่มหาเทพมอบให้ข้า ดังนั้นจึงเป็นได้แค่…ผู้พิทักษ์คนนั้น!”
“ผู้พิทักษ์ที่มีพลังฝึกตนขั้นหก…” หวังเป่าเล่อถอนหายใจอยู่ในใจ แต่กลับไม่เสียใจต่อการตัดสินใจก่อนหน้านี้ จากการคาดเดาของเขา การได้เมล็ดพันธุ์เต๋านั้นมาจะทำให้ตัวเขาผสานรวมกับโลกใบนี้ได้ดียิ่งขึ้น และต้องมีส่วนช่วยมากมายแน่
ทว่า ตอนนี้เขาไม่มีเวลาคิดอะไรมากแล้ว ร่างพลันพร่าเลือนในชั่วพริบตา แม่น้ำแห่งกาลเวลาปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขาทันที หวังเป่าเล่อก้าวเข้าไปในนั้นตรงๆ โดยไม่ลังเลแม้แต่นิด
ทันทีที่ใช้กฎเกณฑ์จากโลกภายนอกขึ้นในที่แห่งนี้จะทำให้เกิดการปราบปราม แต่ตอนนี้เขาถูกไล่ฆ่าอยู่แล้ว ดังนั้นสำหรับหวังเป่าเล่อ มันจึงไม่ได้ต่างกันสักเท่าไร
ทันใดนั้น เมื่อก้าวเข้าไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลา ตัวเขาก็หายวับไปในพริบตา ชั่วขณะต่อมา ในห้วงเวลาที่ต่างกัน เงาร่างของหวังเป่าเล่อก็เคลื่อนไหววูบวาบไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่องอยู่ในโลกใบที่สองแห่งนี้
พลังฝึกตนของวิญญาณจักรพรรดิพวกนั้นแตกต่างจากเขา มันเอาชนะได้แค่ด้านจำนวนอย่างเดียว ดังนั้นเมื่อหวังเป่าเล่อไม่เข้าไปต่อสู้หรือเข่นฆ่าทำลายพวกมัน แต่หลบหนีด้วยความเร็วเต็มกำลัง ข้อบกพร่องของวิญญาณจักรพรรดิก็ย่อมถูกเปิดเผยออกมาเป็นธรรมดา
พวกเขาตามล่าหวังเป่าเล่อไม่ได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลังจากเคลื่อนไหววูบวาบอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาไปสิบกว่าอึดใจ หวังเป่าเล่อก็สลัดวิญญาณจักรพรรดิเหล่านั้นหลุดได้อย่างสมบูรณ์
แต่…มือยักษ์ที่มาจากโลกชั้นที่หนึ่งซึ่งเกิดจากลมพายุของชายชุดคลุมดำผู้นั้นกลับไม่สนใจกาลเวลา ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะเดินทางอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายนี้อย่างไรก็ตาม มันก็ยังคงอยู่เสมอ
ยังอยู่ในกาลเวลาทุกห้วงขณะ ยังคงสถิตอยู่เนืองๆ
ถึงขั้นที่หลังจากหวังเป่าเล่อเคลื่อนไหววูบวาบอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาไปหลายสิบห้วงขณะแล้ว สีหน้าของเขาก็พลันอึมครึม เงยหน้ามองท้องฟ้า มองเห็นมือยักษ์ที่เกิดจากลมพายุนั่นก่อตัวเป็นรูปร่างสมบูรณ์แล้วพุ่งมาจะคว้าตัวเขา
“แม้จะเป็นขั้นที่หก แต่คิดว่าอาศัยหนึ่งฝ่ามือก็จะสยบข้าได้อย่างนั้นหรือ” เดิมทีหวังเป่าเล่อไม่อยากเผชิญหน้ากับมัน เพราะจะเป็นการเปิดเผยกฎเกณฑ์ของโลกภายนอกมากเกินไป ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจโดยสัญชาตญาณ
แต่ตอนนี้ ฝ่ามือข้างนี้ติดหนึบเหมือนไขในกระดูก เอาแต่ไล่ตามไม่ลดละ หลบหนีต่อไปก็ไร้ประโยชน์ คิดจะซ่อนตัวอีกครั้งก็ต้องทำลายมือยักษ์ข้างนี้ให้พังทลายไปเสียก่อน ทำเช่นนี้จึงจะมีสิทธิไปหลบซ่อนตัวขณะเกิดช่องว่างตอนที่อีกฝ่ายกำลังใช้พลังเทพออกมาอีกรอบ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ สายตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแววตัดสินใจได้ เขาไม่หนีอีกต่อไป แต่แววตาระเบิดจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ออกมาอย่างฉับพลัน ตอนที่มือยักษ์ข้างนั้นมาถึง วิชาแปดปรมัตถ์ภายในร่างก็ถูกใช้ออกมาเต็มกำลัง เมื่อยกมือขึ้น เงามายาของแท่งเงิน เงาแห่งหยดน้ำตา อักขระเพลิงเซียน และกายาแผ่นศิลาก็ปรากฏขึ้นมาทันที
ร่างทุกร่างล้วนสะเทือนฟ้าสะเทือนดินทั้งสิ้น แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้ใช้สารัตถะแห่งไม้ออกมา ในมิติเต๋าต้นกำเนิดนี้มีข้อจำกัดต่อพลังธาตุไม้อยู่ แต่แม้ห้าธาตุจะขาดไปหนึ่ง ทว่าเมื่อหยินหยางแห่งความเป็นความตายของหวังเป่าเล่อถูกใช้ออกมา พร้อมกับการระเบิดของพลังแห่งความมืดมรณา และทันทีที่เงามายาอันทรงอานุภาพคล้ายเหยียบย่างสะพานสวรรค์แต่แท้จริงมิได้เหยียบย่างสะพานสวรรค์ปรากฏขึ้น พลังที่รวมอยู่บนร่างของหวังเป่าเล่อก็บรรลุถึงระดับที่น่าตะลึงแล้ว
ยิ่งกว่านั้น พลังที่มีสิ่งเหล่านี้เป็นพื้นฐานและชักนำหมื่นเต๋าแห่งจักรวาลออกมานี้ก็ก่อเกิดเป็นตาข่ายแห่งกฎเกณฑ์ของตนเองมารวมกัน กลายเป็นเงาร่างมหึมาสูงใหญ่เท่าแผ่นฟ้าทันที
เงาร่างนี้ก็คือร่างเต๋าของหวังเป่าเล่อนั่นเอง
ขณะที่ฝ่ามือนั้นเข้ามาจับ ร่างเต๋าที่เกิดจากหมื่นเต๋าของหวังเป่าเล่อก็ชกหมัดไปยังมือยักษ์ที่พุ่งมาหาทันที!
หมัดนี้ต่อยไปพร้อมพลังต่อสู้ของขั้นห้าในตัวเขา ทำให้แม่น้ำแห่งกาลเวลาเกิดการย้อนกลับจนพังทลาย หลังจากเขาปะทะกับฝ่ามือลมพายุนั่นแล้ว แม่น้ำแห่งกาลเวลาก็รับไม่ไหว ระเบิดออกมาทันใด
สิ่งที่ระเบิดไปด้วยยังมีฝ่ามือลมพายุนั่น กับร่างเต๋าของหวังเป่าเล่อ
ทั้งสามอย่างระเบิดออกมาพร้อมกันทันที
ขณะที่เสียงดังสนั่น ร่างเต๋าของหวังเป่าเล่อก็พังทลาย ฝ่ามือลมพายุแตกสลาย และแม่น้ำแห่งกาลเวลากลายเป็นเศษซากนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายไปทั่ว ที่โลกชั้นที่หนึ่ง แววตาของชายชุดคลุมดำที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนรูปสลักนกแก้วก็ส่องประกายสีแดงวาบขึ้นมาโดยพลัน ตัวเขาผุดลุกขึ้นมาจากท่านั่งทันที ก่อนเอนไปข้างหน้า มองลงไปยังด้านล่าง
แทบจะพร้อมกันกับที่เขาเอนกาย ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่สลายเป็นเศษนับไม่ถ้วน หนึ่งในนั้นมีเงาร่างของหวังเป่าเล่อวาบผ่านแล้วหลุดออกจากแม่น้ำแห่งกาลเวลาไป เมื่อปรากฏอีกครั้งก็กลับมาอยู่ในปัจจุบัน ณ สถานที่อีกแห่งในโลกชั้นที่สอง
ที่นี่ห่างไกลจากเทือกเขาก่อนหน้านี้มากนัก
หลังจากปรากฏตัว สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็ซีดขาว แต่แววตากลับนิ่งสงบอย่างยิ่ง เขาโคจรกฎเกณฑ์แห่งสุขภายในร่างจนถึงขีดสุดอย่างรวดเร็ว มันเติมเต็มทุกส่วนทุกมุมทั่วร่างกาย ปกปิดกฎเกณฑ์จากโลกภายนอกของเขาเอาไว้
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ความรู้สึกอันตรายที่มาจากท้องฟ้าก็ยังคงค้างคาไม่จางหาย ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเล นำเมล็ดเต๋าแห่งกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงออกมาทันที จากนั้นกดมันไว้ที่หว่างคิ้ว ผสานเข้าไปในร่างกาย
เมื่อผสานมันลงไป ภายในร่างของเขาก็คล้ายมีอสนีสวรรค์ระเบิดขึ้นจนเกิดเสียงสะเทือนลั่น แต่สีหน้าท่าทางของหวังเป่าเล่อก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็มุดลงสู่ส่วนลึกของผืนดินใต้ฝ่าเท้าตรงๆ
ในส่วนลึกของผืนดิน ท่ามกลางดินโคลน หวังเป่าเล่อราวกับถูกฝัง เขานั่งขัดสมาธิไม่ขยับเขยื้อน กลิ่นอายภายในร่างถูกเก็บจนหมด ไม่เผยออกไปแม้เพียงนิด พร้อมกันนั้น กฎเกณฑ์สองชนิดอย่างสุขและเสียงภายในร่างก็เหมือนน้ำไฟไม่เข้ากัน เริ่มต่อต้านกันและกันแล้ว
และการต่อต้านของพวกมันก็ยังปกคลุมร่องรอยของกฎเกณฑ์จากโลกภายนอกภายในร่างของหวังเป่าเล่อไว้อย่างสมบูรณ์ ทำให้ร่องรอยของเขาถูกลบทิ้งไปอย่างแยบยล
หากยังถูกฝ่ามือลมพายุนั่นตรึงเป้าหมายอยู่ตลอดล่ะก็ ต่อให้หวังเป่าเล่อบรรลุมาถึงขั้นนี้ ก็ยากจะตัดร่องรอยพวกนั้นให้หมดได้ แต่เมื่อฝ่ามือพังทลาย ก็ทำให้สภาพถูกตรึงเป้าหมายของเขาเกิดจุดตัดขาด
นี่ก็คือโอกาสที่หวังเป่าเล่อสร้างขึ้นมาให้ตัวเอง
และขณะที่กฎเกณฑ์สองชนิดอย่างสุขและเสียงภายในร่างของเขาต่อต้านกันและกันอยู่นั้น บนท้องฟ้าของโลกชั้นที่สองก็มีใบหน้าขนาดยักษ์ค่อยๆ โผล่ออกมา
ใบหน้านี้เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม แววตาสีแดงชาด ขณะที่ดวงตาฉายแววเย็นชาไร้ความรู้สึกก็แฝงไว้ซึ่งลมพายุเช่นกัน เห็นชัดว่ามันขัดแย้งกันอย่างยิ่ง แต่เมื่ออยู่บนหน้าของเขากลับไม่มีความไม่เข้ากันแม้แต่น้อย
เมื่อมันปรากฏขึ้นมา ผู้แข็งแกร่งทั่วทั้งโลกาชั้นที่สองต่างก็ใจสั่นสะท้านกันทั้งสิ้น พวกเขาเงยหน้าขึ้นจากที่ต่างๆ มองไปยังใบหน้าบนฟ้าด้วยความเคารพบูชา ก่อนก้มหน้าลงต่ำ
หวังเป่าเล่อที่อยู่ในสถานะซ่อนตัวไม่อาจมองไปที่ใบหน้านั้นได้ สำหรับเหล่าจอมพลังแล้ว เมื่อได้เห็นก็จะเกิดเป็นเหตุต้นผลกรรม ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหน้าตาเป็นอย่างไร
แต่ในก้นบึ้งจิตใจของเขามีคำตอบอยู่บ้างแล้ว
“เต๋าแห่งฝันของข้าที่เข้าไป…ก็คือฝันของเขาอย่างนั้นหรือ ผู้พิทักษ์จิตแห่งเทพเจ้า…จักรพรรดิเสวียนเฉิน”
บนท้องฟ้า ใบหน้าที่ปรากฏขึ้นมาก็คือ…จักรพรรดิเสวียนเฉิน
……………………………
เมล็ดพันธุ์เต๋าไม่ใช่ของแปลกหน้าสำหรับหวังเป่าเล่อ
ตอนที่เขาอยู่ที่โลกแห่งศิลาคราวนั้น ในกระบวนการฝึกฝนเต๋าแปดปรมัตถ์ เขาต้องเสาะหาสิ่งของหลายอย่างที่สามารถบรรจุเมล็ดเต๋าได้ กล่าวให้ถูกก็คือ สมบัติชั้นเลิศที่มีกฎเกณฑ์ต่างกันพวกนี้นับว่าเป็นแค่ของกึ่งสำเร็จรูปเท่านั้น จำเป็นต้องมีวิชาเต๋าของเขาร่วมบรรจุลงไปด้วย จึงจะถูกเรียกว่าเป็นเมล็ดพันธุ์เต๋าได้
แต่ตอนนี้ เสียงอันแหลมคมของหญิงชุดเขียวกลับคาดไม่ถึงว่าจะทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเช่นนี้ ถึงขั้นกล่าวได้ว่า เสียงในตอนนี้ไม่ใช่เมล็ดพันธุ์เต๋ากึ่งสำเร็จรูปอีกแล้ว แต่เป็นเมล็ดพันธุ์เต๋าที่แท้จริง
“ผู้หญิงคนนี้เป็นวัตถุดิบที่เหมาะจะบรรจุเต๋าปรารถนาเสียงที่สุด เมื่อกฎแห่งปรารถนาเสียงที่นางมีอยู่ผสานรวมกับตัวนางโดยสมบูรณ์แล้ว ก็จะทำให้นางกลายเป็นเมล็ดพันธุ์เต๋า!”
“นี่ไม่น่าจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ วิธีการเช่นนี้…น่าจะถูกคนเพาะปลูกเอาไว้!”
ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายประกายแปลกประหลาด ด้วยพลังฝึกตนและความรู้ของเขา มองปราดเดียวก็เห็นถึงข้อบกพร่องแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างของหญิงชุดเขียวผู้นี้จะต้องถูกคนสร้างไว้ หรือกล่าวให้ถูกคือ นาง…เป็นแค่เตาหลอม
เตาหลอมไว้เพาะเลี้ยงเมล็ดพันธุ์เต๋า
และผู้ฝึกตนที่มีความสามารถจะทำให้นางกลายเป็นเตาหลอมนั้น เห็นได้ชัดว่าก็เป็นผู้ฝึกตนในสายปรารถนาเสียงเช่นกัน เจ้าปรารถนาเสียงผู้นั้นย่อมมีความเป็นไปได้มากที่สุด
แน่นอนว่าผู้ฝึกตนปรารถนาเสียงคนอื่นก็เป็นไปได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร อีกฝ่ายจะต้องเป็นคนระดับยอดในเมืองปรารถนาเสียงแน่นอน
“น่าสนใจนี่”
หวังเป่าเล่อหรี่ตา ในใจเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว การใช้คำว่าสมบัติชั้นเลิศมาบรรยายเมล็ดเต๋าก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริง ถึงขั้นที่ว่าในแง่หนึ่งนั้น หากมีคนได้มันไปแล้วหลอมรวมเข้าสู่ร่าง ก็สามารถบรรลุถึงระดับอันน่าเหลือเชื่อด้านการตระหนักรู้กฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงได้เลย
ส่วนหวังเป่าเล่อนั้น หากเขาได้มันมาแล้วให้เวลาพักหนึ่ง เขาถึงขั้นสามารถสั่นคลอนตำแหน่งของเจ้าแห่งปรารถนาเสียงผู้นั้นแล้วกลายเป็นแหล่งกำเนิดของกฎเกณฑ์ปรารถนาเสียงเองได้เลย
เมล็ดพันธุ์เต๋าก็เหมือนกับกุญแจดอกหนึ่ง
กุญแจสู่แหล่งกำเนิด
“แต่ก็ยังมีความเสี่ยง…” สายตาของหวังเป่าเล่อฉายแววลังเล ถ้าเขาลงมือโจมตี อาศัยแค่กฎเกณฑ์เต๋าสุขที่ตระหนักรู้ได้ไม่กี่เดือน ไม่มีทางจัดการกับหญิงชุดเขียวผู้นี้แล้วหลอมเมล็ดพันธุ์เต๋าได้แน่
เขาจำเป็นต้องใช้พลังของตัวเองจึงจะทำเรื่องนี้ได้ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับความเสี่ยงสองอย่าง
ความเสี่ยงแรกนั้นมาจากคนของเมืองปรารถนาเสียงที่ทำให้หญิงชุดเขียวคนนี้กลายเป็นเตาหลอมและปลูกฝังเมล็ดพันธุ์เต๋าไว้ แม้หวังเป่าเล่อจะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ก็มีขอบเขตแคบมาก เพราะต้องเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงแน่นอน
เมื่อตนเก็บผลของอีกฝ่ายไป เหตุต้นผลกรรมกับศัตรูอันตรายถึงตายก็จะเกิดขึ้นทันที อีกฝ่ายจะต้องโมโหและทำทุกอย่างเพื่อตามหาตัวเขาแน่
ความเสี่ยงเช่นนี้ แม้ว่าจะยุ่งยาก แต่หวังเป่าเล่อกลับไม่ได้สนใจนัก สิ่งที่ทำให้เขาลังเลจริงๆ คือความเสี่ยงอย่างที่สอง ซึ่งมาจาก…สัมผัสรับรู้ของวิญญาณจักรพรรดิและสัญญาณการตื่นขึ้นของมหาเทพ
แต่เมล็ดพันธุ์เต๋าปรากฏอยู่ตรงหน้า ทั้งเป็นไปได้มากว่าจะเป็นเส้นทางเต๋าสายที่สองในการผสานรวมกับโลกใบนี้ของตน ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดดูแล้ว สายตาของเขาก็ฉายแววตัดสินใจออกมาอย่างรวดเร็ว
ทั้งหมดนี้ดูคล้ายจะยาวนาน แต่ความจริงล้วนเป็นความคิดจิตใจของหวังเป่าเล่อทั้งนั้น ทั้งกระบวนการเกิดขึ้นแค่ไม่กี่อึดใจ หลังจากตัดสินใจได้ เมื่อเสียงแหลมคมดังก้องอยู่รอบตัวเขา แววตาของเขาก็ส่องวาบ มองไปยังหญิงชุดเขียว
ยิ่งกว่านั้นยังมีเต๋าแปดปรมัตถ์พลันเคลื่อนโคจรอยู่ภายในร่างของเขา ทำให้ตอนนี้เสียงแหลมคมที่ดังมาจากหญิงสาวใบหน้าบิดเบี้ยวในสายตาของเขากลายเป็นท่วงทำนองแบบรูปธรรม
ท่วงทำนองนี้ทั้งมีรูปร่างคล้ายอักขระ และเหมือนกับแผ่นหลังของหญิงสาว เพียงปราดมองก็ทำให้จิตใจของผู้คนจมดิ่งอยู่ในนั้น ไม่อาจหลุดพ้น ตอนนี้กำลังส่งเสียงหวีดหวิวพุ่งมาหาเขาพร้อมกับอานุภาพทำลายล้างทุกสิ่ง อาบย้อมทุกทิศทาง
เมื่อเข้ามาใกล้ในชั่วพริบตา ท่วงทำนองนี้ก็คล้ายจะแทรกซึมเข้าไปในตัวหวังเป่าเล่อ มันทะยานมายังหว่างคิ้วของเขา ถึงขั้นที่เมื่อท่วงทำนองนี้เข้ามาใกล้ ในสายตาของหวังเป่าเล่อก็คล้ายเห็นมันแผ่เส้นสายจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา กำลังจะเจาะเข้าไปในร่างของหวังเป่าเล่อแล้ว
และเสียงที่มันแผ่ออกมาจนดังเข้าสู่จิตใจของหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้มีแค่ความเคียดแค้นหรือความทรมานจากความเกลียดชังเท่านั้น แต่ยังแฝงไว้ซึ่งความดีงาม เสียงหัวเราะ เสียงร้องไห้ และเสียงของสัตว์ร้าย
ยังมีเสียงของสิ่งแปลกปลอมไร้สัญญาณชีวิตอีกด้วย เสียงนี้คล้ายรวบรวมเสียงของทุกสิ่งทุกอย่างในฟ้าดินมาผสานไว้ด้วยกัน ราวกับเสียงแห่งธรรมชาติ แต่ก็น่าพิศวง มันทะยานเข้ามาใกล้หวังเป่าเล่อ
หากเป็นคนอื่น ตอนนี้คงจะสูญเสียตัวตนแล้วสิ้นสติอยู่ในกฎเกณฑ์ของปรารถนาเสียงแบบนี้ไปแล้ว แต่พลังฝึกตนของหวังเป่าเล่อกำหนดไว้แล้วว่าเป็นเพียงเมล็ดพันธุ์เต๋า มันจึงไม่อาจสั่นคลอนวิญญาณเทพของเขาได้
ดังนั้น ในชั่วพริบตาที่ท่วงทำนองใกล้ถึงหว่างคิ้วนั่นเอง มือขวาของหวังเป่าเล่อก็พลันยกขึ้นแล้วระเบิดกฎเกณฑ์แห่งเต๋าธาตุดินออกมาฉับพลัน ด้วยพลังแฝงรวมและผสานของธาตุดิน เพียงหนึ่งฝ่ามือก็จับท่วงทำนองนั้นอยู่มือได้แล้ว
ตอนนี้หากมีคนนอกอยู่ที่นี่ ก็จะเห็นหวังเป่าเล่อยกมือขึ้นคว้าอากาศ แต่พริบตาต่อมา ท่วงทำนองที่คนนอกไม่อาจสัมผัสรู้ได้กลับมาปรากฏอยู่ระหว่างนิ้วมือของหวังเป่าเล่อพร้อมกับดิ้นรนบิดเบี้ยวอยู่
มันอยากจะหลบหนี แต่สองนิ้วของหวังเป่าเล่อกลับแข็งแรงอย่างน่าอัศจรรย์ การโคจรวิชาแห่งเต๋าดินก็ยิ่งผนึกมันไว้แน่นหนากว่าเดิม
ขณะเดียวกัน หญิงชุดเขียวที่ร้องเสียงหวีดแหลมก็พลันหยุดชะงัก ตอนนี้เอง ร่างกายก็คล้ายถูกลมพัดผ่านแล้วสลายหายไปตรงๆ
เมื่อนางสลายหายไป เทือกเขารอบด้านก็กลับเป็นปกติในชั่วพริบตา หวังเป่าเล่อเก็บท่วงทำนองนี้ไว้อย่างไม่ลังเลแม้แต่นิด แล้วสลายพลังแห่งเต๋าดินของตนทันที ก่อนจะส่งพลังแห่งเต๋าสายสุขให้แพร่กระจายไปทั่วร่าง
แต่ก็ยัง…สายไป
ชั่วอึดใจที่เขาใช้พลังของตนออกมา ดวงจิตเทพมากมายก็พุ่งจากจุดที่เหนือกว่าเก้าสวรรค์แล้วตรึงเขาไว้ พริบตาต่อมา ขณะที่พลังสุขของหวังเป่าเล่อแผ่กระจาย รอบกายเขากลับมีเงาร่างของวิญญาณจักรพรรดิหลายร่างปรากฏขึ้นแล้ว
ขณะนี้ท้องฟ้าคำรามลั่น คลื่นผันผวนเทียมฟ้าแผ่ทั่วทุกทิศ ยิ่งกว่านั้นยังมีสายฟ้าสีดำเหมือนฟ้าพิโรธฟาดมายังโลก
“เร็วขนาดนี้เลยหรือ!” สีหน้าของหวังเป่าเล่อนิ่งขรึม รู้ว่าการต่อกรกับวิญญาณจักรพรรดิเหล่านี้ไม่มีประโยชน์ ร่างกายจึงถอยหลังรวดเร็วโดยไม่ลังเล แล้วพุ่งออกมาทันที ส่วนวิญญาณจักรพรรดิเหล่านั้นที่ด้านหลัง ตอนนี้ต่างพากันเงยหน้าขึ้น สองตาด้านหลังหน้ากากสีขาวเย็นชา กลายเป็นสายรุ้งยาวหลายสายพุ่งตามหลังเขาไป ไล่โจมตีอย่างฉับพลันโดยไม่สนว่าจะทำให้โลกตกตะลึงอย่างไร
เมื่อผ่านไปที่ใด อากาศก็จะส่งเสียงครืนครางออกมาแล้วเกิดรอยแยกขึ้น ก่อนจะพังทลายท่ามกลางเสียงสะเทือนลั่นของแผ่นดิน ทำให้สัตว์ป่ามากมายนับไม่ถ้วนตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ถึงขั้นที่ดึงดูดสัมผัสรับรู้ของผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในโลกใบนี้ได้แล้วด้วย
แต่นี่ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่อันตรายที่สุด
สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกหนังศีรษะชาขึ้นมาในชั่วพริบตาก็คือสายตาที่ราวกับทะลวงท้องฟ้า และมองมาจากโลกอีกใบนั่นต่างหาก
เจ้าของสายตานี้ก็คือชายชุดคลุมดำที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่โลกชั้นแรกบนหัวของรูปสลักนกแก้วผู้นั้น ตอนนี้เขาที่นั่งสมาธิอยู่ตรงนี้พลันลืมตาขึ้น เผยให้เห็นนัยน์ตาสีโลหิต
แต่หากมองดูดีๆ แล้วจะเห็นว่าถึงแม้นัยน์ตาคู่นี้จะเป็นสีแดงชาด ทั้งยังแฝงความบัาคลั่งเอาไว้ แต่กลับคล้ายจะไร้แวว เหมือนกับท่าทางของพวกไม้ตายซากอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้กลิ่นอายน่าสะพรึงบนตัวเขากลับระเบิดออกมาฉับพลัน
ครั้นระเบิดออกมาแล้ว ทั่วทั้งโลกชั้นที่หนึ่งก็เกิดลมพายุโหมกระหน่ำ เมื่อลมพายุนี้มาบรรจบกับ กลับก่อเกิดเป็นมือยักษ์ที่เกิดขึ้นจากลมพายุ มันยื่นไปยังโลกชั้นที่สองด้านล่างด้วยอานุภาพสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน เขย่าขวัญสรรพชีวิต!
…………………………………………..
เสียงนี้เคียดแค้นไร้ใดเทียบทียม แสดงถึงความเกลียดชังยากจะบรรยาย
ความเกลียดชังเช่นนี้แม้ว่าจะเป็นเพียงความรู้สึกที่เผยออกมาผ่านบทเพลง แต่ก็คล้ายส่งผลต่อความเป็นจริง ทำให้ทั้งแปดทิศในขณะนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกอัดอั้นตันใจแรงกล้า ราวกับอากาศเหนียวหนืดขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกหายใจลำบาก ถึงขั้นที่มีภาพน่ากลัวที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาในชีวิตภาพแล้วภาพเล่าปรากฏขึ้นมาในหัวอย่างหยุดไม่อยู่
แม้แต่เทือกเขาโดยรอบ ก็เปลี่ยนเป็นกึ่งโปร่งใสอีกครั้ง ถึงขนาดเกิดความบิดเบี้ยวขึ้นมา เหมือนกับพื้นที่ส่วนนี้ถูกปรับเปลี่ยน คล้ายก่อเกิดเป็นรูปทรงเวทีการแสดงอย่างเลือนราง
และตัวเอกของเวทีละครแห่งนี้ก็คือหญิงชุดเขียวที่กำลังเดินช้าๆ ทวารทั้งเจ็ดมีเลือดไหล แววตามาพร้อมกับความเคียดแค้น และมีน้ำเสียงเปี่ยมความเกลียดชังผู้นั้น ส่วนผู้ฝึกตนของเมืองปรารถนาเสียงคนอื่นๆ ข้างกายนาง ตอนนี้ล้วนเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมาจากเงาร่างที่เข้ามาเปลี่ยนในชั่วพริบตาเช่นกัน พวกมันพยายามทุ่มเต็มกำลังแผ่กระจายเสียงดนตรีออกมาเพื่อทำให้มีฤทธิ์อาบย้อมมากกว่าเดิม
ขณะเดียวกันนั้น วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายของหมู่บ้านเชิงเขาสาขาเต๋าสุขที่กำลังจะเคลื่อนย้ายจากไปก็ได้รับผลกระทบไปด้วย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเงาร่างของผู้ฝึกตนที่อยู่ในนั้นพร่าเลือน แต่เสียงเพลงกลับเหมือนกลายเป็นมือที่มองไม่เห็น ยื่นไปคว้าพวกเขาไว้ ราวกับจะฉุดลากให้กลับมาจากการเคลื่อนย้าย
ถึงขั้นมองเห็นได้ว่ามีผู้ฝึกตนสายเลือดเต๋าสุขจำนวนไม่น้อย เงาร่างค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นมาจากความพร่าเลือน ราวกับอีกไม่นานก็จะถูกเคลื่อนย้ายย้อนกลับมาจริงๆ
พร้อมกันนั้น ในเวทีละครที่แปลงมาจากทุกอย่างรอบตัวทั้งแปดทิศแห่งนี้ ตอนนี้พืชพรรณทุกชนิดล้วนเหี่ยวเฉาในพริบตา ความตายปกคลุมไปทั่ว
เหมือนกับว่านี่คือเวทีละครที่ไม่ควรมีอยู่ในโลกคนเป็น บทละครที่เล่นอยู่นั้นก็ไม่ควรจะให้คนเป็นได้ยินได้เห็นเช่นกัน
ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ในแววตามีประกายแสงส่องวาบ แต่ใบหน้ากลับแย้มยิ้ม
รอยยิ้มนี้เปี่ยมด้วยแสงอาทิตย์ แฝงไว้ซึ่งพลังชีวิตต่อสรรพสิ่ง ยิ่งกว่านั้นยังมีความมองโลกในแง่ดีต่อชีวิตมนุษย์ด้วย มันก่อเกิดเป็นพลังแพร่เชื้ออย่างหนึ่งที่ส่งผลต่อทั้งรอบด้านเช่นเดียวกัน ทำให้พืชพรรณบนภูเขาที่เขาฟื้นกลับมาจากสภาพเหี่ยวเฉาก่อนหน้านี้ในชั่วอึดใจ แล้วแผ่ขยายไปด้านนนอก ปะทะกับเวทีละครที่หญิงผู้นั้นสร้างขึ้น
ความปีติ สร้างรอยยิ้ม ส่งมาจากใจ แพร่กระจายไปทั้งแปดทิศ
นี่คือกฎเกณฑ์ของเต๋าสายสุข ความยินดี ปีติ ไร้ห่วงไร้กังวล ทั้งเรียบง่ายและไม่ไร้เดียงสา
ความเรียบง่ายเช่นนี้เป็นเพราะมีอยู่ในทุกคน ความไม่ไร้เดียงสาเช่นนี้เป็นเพราะถึงทุกคนจะมีอยู่ แต่ก็มักจะหายไปตามกาลเวลา เมื่อมีประสบการณ์มากขึ้น ความสุขก็เหมือนจะลดลงไปช้าๆ เช่นกัน
เมื่อเทียบกันแล้ว มักจะเป็นวัยเด็กที่รอยยิ้มจริงใจมากที่สุด และสอดคล้องกับสารัตถะแห่งเต๋าสายสุขมากที่สุด แต่หวังเป่าเล่อในตอนนี้ คนทั้งคนดูแล้วคล้ายกับเด็กที่กำลังฟังละครอยู่ รอยยิ้มจริงใจอย่างยิ่ง ความสุขไม่มีการปกปิดไว้แม้แต่น้อย
เมื่อเป็นเช่นนี้ หญิงชุดเขียวที่เดินเข้ามาผู้นั้นก็ชะงักฝีเท้าลงโดยไม่รู้ตัว สุดท้ายนางยืนอยู่ห่างจากหวังเป่าเล่อไปหลายร้อยจั้ง เงาร่างที่สูงพอๆ กับภูเขาคล้ายไม่อาจก้าวไปข้างหน้าต่อได้อีกแล้ว สีหน้าใต้ผมดำบิดเบี้ยว ราวกับกำลังดิ้นรน
ส่วนผู้ฝึกตนเมืองปรารถนาเสียงคนอื่นๆ ข้างกายนางนั้น ขณะนี้แม้ว่าจะพยายามถ่ายทอดบทเพลงเต็มกำลัง ทว่าภายใต้ความปีติและรอยยิ้มของหวังเป่าเล่อ แต่ละคนก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงหรือหยุดยั้งไม่ให้ถูกแพร่เชื้อสุขได้ เงาร่างค่อยๆ เปลี่ยนกลับจากสภาวะทำนองเพลงแล้วแย้มยิ้มออกมา ยิ้มไปยิ้มมา ร่างกายของแต่ละคนก็สูญเสียแรงกำลัง ก่อนร่วงหล่นลงมาจากกลางอากาศ
หลังหล่นลงมาที่พื้นก็ไม่ขยับเขยื้อนอีก มีเพียงใบหน้าที่ยังประดับรอยยิ้มและความพึงพอใจไว้เท่านั้น
เมื่อเห็นภาพนี้ หวังเป่าเล่อก็ครุ่นคิด
มองไปยังที่ไกลๆ ภาพที่ปรากฏอยู่ระหว่างฟ้าดินในตอนนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง เวทีละครมายาที่ก่อเกิดจากเทือกเขาและป่าไม้ราวกับถูกตัดเป็นสองส่วน ร่างของหญิงชุดเขียวและหวังเป่าเล่อยืนอยู่ที่ใจกลางของทั้งสองส่วนนี้พอดี
การเผชิญหน้าของพวกเขาทำให้ทั้งสี่ทิศบิดเบี้ยวตลอดเวลา แต่เห็นได้ชัดว่าถึงแม้เสียงเพลงของหญิงชุดเขียวผู้นั้นจะแปลกพิสดาร แต่เมื่อเทียบเรื่องระดับขั้นกับหวังเป่าเล่อแล้ว นางยังห่างชั้นอยู่มาก
ถ้าไม่ใช่เพราะหวังเป่าเล่อไม่อยากใช้วิชาจากโลกภายนอกออกมาล่ะก็ หรือพูดให้ถูกคือ ไม่ได้ใช้พลังของตัวเองเลยสักนิด แค่อาศัยความสุขที่ตระหนักรู้มาได้ในช่วงหลายปีนี้เท่านั้น ไม่อย่างนั้นการสังหารหญิงชุดเขียวผู้นี้ก็เป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง
ดังนั้นจึงเห็นผลลัพธ์ได้ชัดเจน เป็นเพราะตอนนี้ผู้ฝึกตนเมืองปรารถนาเสียงรอบตัวหญิงชุดเขียวผู้นี้ตกตายด้วยรอยยิ้มไปตามๆ กัน หมู่บ้านด้านหลังหวังเป่าเล่อจึงเริ่มโคจรวิชาเคลื่อนย้ายอีกครั้ง เงาร่างที่ก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบก็เริ่มกลับมาพร่าเลือนใหม่แล้ว
เมื่อเห็นว่าการเคลื่อนย้ายใกล้จะเสร็จสิ้น หญิงชุดเขียวที่ถูกวิชาเต๋าสายสุขของหวังเป่าเล่อหยุดไว้ก็พลันถอนหายใจแผ่วเบา และเมื่อเสียงถอนหายใจดังขึ้น ไม่ใช่แค่เนื้อเพลงเท่านั้น แต่บทเพลงก็ยังระเบิดออกมาในชั่วอึดใจนี้เช่นกัน
ความอัดอั้นที่มีอยู่ก่อนหน้านี้และความอาฆาตแค้นทั้งหมดราวกับพุ่งขึ้นมาฉับพลันท่ามกลางเสียงถอนหายใจแผ่วเบาและเสียงเพลงที่เพิ่มระดับขึ้นมาทันที ราวกับว่าส่วนหนึ่งของท่อนสำคัญในบทเพลงปะทุออกมาในชั่วพริบตา
“ที่ควรมา ล้วนไม่มา…”
“ที่ควรอยู่ ล้วนไม่อยู่…”
“ที่ควรรัก ล้วนไม่รัก…”
ชั่วขณะหนึ่ง ความอาฆาตแค้นที่ระเบิดออกมานี้ก็ทำให้เวทีละครที่เกิดขึ้นจากเทือกเขารอบๆ เปลี่ยนจากภาพมายาเป็นของจริง เหมือนกับมีเวทีละครมาตั้งไว้จริงๆ ร่างลวงตาหลายร่างผุดขึ้นมารอบตัวหญิงชุดเขียว ขณะที่พวกมันเริ่มร่ายรำ ฝีเท้าของหญิงชุดเขียวก็ก้าวมาหาหวังเป่าเล่ออีกครั้ง
ความพิศวงพุ่งถึงจุดสูงสุด น่าสะพรึงเขย่าขวัญ
ผ่านไปที่ใด ท้องฟ้าล้วนสิ้นสีสัน ฟ้าดินเหี่ยวเฉา
ได้ยินที่ใด จิตใจกลิ้งเกลือก ชีวิตสูญหาย
หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขา ความสุขรอบตัวเขาเบาบางลงไปมาก แม้ว่ารอยยิ้มบนใบหน้าจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่การถอนหายใจก็ยังอยู่ในใจเขาเนิ่นนานไม่สลายหายไป สุดท้ายภาพชุดแต่งงานก็ผุดขึ้นในหัวของเขา
“ดนตรีมีจิตใจ…ชื่อของบทเพลงนี้อาจจะเป็นชุดแต่งงาน” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าแล้วลุกขึ้นยืน เขาไม่คิดจะอยู่ที่นี่ต่อ การเคลื่อนย้ายที่ด้านหลัง ตอนนี้สำเร็จไปมากกว่าครึ่งและบรรลุถึงสภาวะที่ไม่อาจย้อนกลับได้แล้ว
และเขาก็ต้องยอมรับว่าในสถานการณ์ที่ไม่อาจใช้พลังของตัวเองเช่นนี้ แค่อาศัยวิชาแห่งสุขที่ตนตระหนักรู้ในช่วงไม่กี่เดือน เขาก็ยากจะจัดการหญิงชุดเขียวที่เปี่ยมไปด้วยความอาฆาตคนนี้ได้
ความแค้นและความเกลียดชังของอีกฝ่ายหลอมรวมเข้าไปในบทเพลงโดยสมบูรณ์แล้ว ทำให้บทเพลงนี้พิสดารจนถึงขีดสุด การที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ทั้งยังเกิดเป็นบทเพลงที่สมบูรณ์แบบ คิดไปคิดมา…สถานะของหญิงผู้นี้ในเมืองปรารถนาเสียงก็คงเป็นรองแค่เจ้าปรารถนาแห่งเสียงผู้นั้นแน่
ผู้ฝึกตนแบบนี้ เวลานี้หวังเป่าเล่อไม่อยากข้องเกี่ยวมากนัก ดังนั้นหลังจากลุกขึ้นมาแล้ว เขาก็ไม่ได้มองไปยังหญิงชุดเขียวที่เดินมาหาคนนั้นอีก ตัวเขาก้าวสู่ท้องฟ้าห่างไกล กำลังจะจากไป
แต่ในชั่วขณะที่กำลังจะจากไปนั้นเอง ความเคียดแค้นในแววตาของหญิงชุดเขียวก็รุนแรงขึ้นอีกครั้ง ชั่วอึดใจเสียงเพลงก็เปลี่ยนไปอีกรอบ มันไม่ได้เป็นทำนองขึ้นๆ ลงๆ อีกต่อไป แต่กลายเป็นท่วงทำนองโสตแห่งเต๋า
ราวกับเสียงคำรามและเสียงกรีดร้องกลายมาเป็นบทเพลงนี้ ช่างแหลมคมนัก!
เวทีละครก็ยังทนรับไม่ไหว เมื่อเสียงอันแหลมคมนี้ระเบิดออกมา มันก็พังทลายในพริบตา เงาร่างที่ร่ายรำรอบๆ ทั้งหมดแตกกระจายในชั่วอึดใจ แม้แต่ผู้ฝึกตนเมืองปรารถนาเสียงเหล่านั้นที่เหลืออยู่ข้างกายหญิงชุดเขียวก็ยังทนรับไม่ไหว พากันกรีดร้องครวญคราง ก่อนที่ร่างกายจะแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ทันที
ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ราวกับกลายเป็นของบำรุงให้หญิงชุดเขียว ทำให้เสียงแหลมคมที่นางร้องออกมาตอนนี้ราวกับทะลุทะลวงสิ่งกีดขวางบางอย่าง ทำให้ฟ้าดินสิ้นสีสันและหม่นแสงไปในชั่วขณะนี้เอง
เป็นครั้งแรกที่สีหน้าของหวังเป่าเล่อผู้เตรียมจะเดินไปไกลเปลี่ยนไป ฝีเท้าหยุดลงและหันหน้ามา ดวงตาฉายแววแปลกประหลาด
“นี่คือ…กลิ่นอายของเมล็ดพันธุ์เต๋าอย่างนั้นหรือ”
………………………………
ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อที่นั่งสมาธิอยู่บนยอดเขาในโลกาชั้นที่สองก็คล้ายสัมผัสถึง เขาเงยหน้ามองฟ้า หรี่ตาลง
เมื่อครู่นี้เขาคล้ายรู้สึกเหมือนถูกดวงจิตเทพกวาดผ่านไปลางๆ แต่ดวงจิตเทพดวงนี้ขาดจิตวิญญาณ ลักษณะเหมือนเครื่องจักรอย่างยิ่ง ราวกับแค่มุ่งตรวจหากฎเกณฑ์จากโลกภายนอกเท่านั้น
ส่วนทางด้านหวังเป่าเล่อ ตอนนี้ทั่วกายไม่ว่านอกในล้วนเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์แห่งเต๋าสุข เวลาไม่กี่เดือนทำให้กฎเกณฑ์จากโลกภายนอกในตัวของเขาถูกเก็บซ่อนเอาไว้โดยสมบูรณ์นานแล้ว
จุดนี้สัมพันธ์กับการฝึกตนขั้นห้าของเขาอย่างยิ่ง เพราะเขามีหมื่นเต๋าเพียบพร้อม ดังนั้นเมื่อควบคุมได้อย่างรอบคอบ เขาจึงทำได้ถึงขั้นสูงสุด เก็บซ่อนเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ
ถ้าหากเป็นขั้นที่สี่ เนื่องจากมีแหล่งกำเนิดแค่เต๋าเดียว พัวพันล้ำลึกเกินไป จึงไม่อาจเก็บซ่อนไว้ได้โดยสมบูรณ์เหมือนอย่างหวังเป่าเล่อ
“ภายในมิติเต๋าต้นกำเนิดแห่งนี้ เบื้องหลังล้ำลึกอย่างยิ่ง…” หวังเป่าเล่อถอนสายตาที่มองไปยังท้องนภากลับมา หลับตาลง นั่งสมาธิต่อ ทำให้เมล็ดเต๋าแห่งสุขภายในร่างแผ่กิ่งก้านสาขานับไม่ถ้วนออกมาและเติบโตอย่างต่อเนื่องอยู่ในตัว
วันเวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ เช่นนี้ ไม่นานก็ผ่านไปสามเดือนแล้ว ตอนนี้กฎเกณฑ์เต๋าสุขของหวังเป่าเล่อบรรลุถึงระดับที่สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงความดีงามของชาวบ้านในหมู่บ้านเชิงเขาเช่นกัน ราวกับผู้ที่ฝึกฝนเต๋าแห่งสุขส่วนใหญ่จะเป็นคนจิตใจดี ซึ่งสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับสารัตถะของกฎเกณฑ์ชนิดนี้ด้วย
ความดีงามเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ยอมรับเช่นกัน
แต่…เห็นได้ชัดว่าแบบของความดีงามนั้นไม่ใช่สิ่งหลักในมิติเต๋าต้นกำเนิดแห่งนี้เลย ก็เหมือนกับคบเพลิงที่จุดขึ้นในยามค่ำคืนมืดมิด หากข่มความมืดไว้ไม่ได้ ผลสุดท้ายก็มีแต่ต้องถูกมองเป็นตัวประหลาด และดับลงในความมืดอยู่ดี
หมู่บ้านสาขาของสายเลือดแห่งเต๋าสุขก็เช่นเดียวกัน ในยามค่ำคืนหลังผ่านไปไม่กี่วัน หวังเป่าเล่อที่นั่งสมาธิอยู่บนยอดเขาพลันลืมตาโพลง จ้องมองไปยังเทือกเขาห่างไกล
ดูแล้วที่แห่งนั้นมีความมืดปกคลุมไว้ทั้งผืน ราวกับไม่มีสิ่งผิดปกติ ได้แต่อาศัยแสงจันทร์อ่อนจางมองดูเงาดำที่เกิดจากต้นไม้ใบหญ้า ทว่า…มันเงียบงันเกินไป
บางทีอาจเป็นเพราะความเงียบนี้จึงทำให้หูของหวังเป่าเล่อคล้ายได้ยินเสียงร้องละครแปลกพิกลดังขึ้นได้ลางๆ
“ความตายไม่มาเยือน…”
“เงาแผ่นหลังมักอยู่เสมอ…”
นั่นเป็นเสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง เต็มไปด้วยความคับแค้นใจและความพิศวง ยิ่งกว่านั้นคือมีความอัดอั้นตันใจ เหมือนเก็บซ่อนความไม่ยินยอมอันแรงกล้าและเสียงคำรามร้องเอาไว้ แต่กลับไม่อาจปลดปล่อยออกมาได้
เมื่อดังเข้าสู่หูของหวังเป่าเล่อ เขาก็สั่นไปทั้งกาย ราวกับเวลานี้หัวใจถูกฝ่ามือที่มองไม่เห็นกุมเอาไว้และกำลังบีบช้าๆ คล้ายจะบดขยี้ให้แหลกและฉีกทึ้งเส้นเลือดที่เชื่อมต่อกับมันออก ก่อนจะกระชากออกมาจากในร่างทั้งยังเป็นๆ
ยิ่งกว่านั้นในชั่วพริบตานี้เอง ที่เทือกเขามืดมิดไกลๆ ตรงหน้าของหวังเป่าเล่อ คาดไม่ถึงว่าตอนนี้มันจะกลายเป็นกึ่งโปร่งใสขึ้นมา แสงจันทร์ที่เดิมอ่อนจางก็คล้ายส่องทะลุผ่านความกึ่งโปร่งใสนี้ไปได้ ทำให้โลกใบนี้เหมือนจะแจ่มชัดกว่าแต่ก่อนมาก
เมื่ออาศัยจากความแจ่มชัดนี้ก็จะมองเห็นว่า…มีหญิงสาวสวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวผมดำคลุมบ่า กำลังก้มหน้าเดินจากกลางเทือกเขา รูปร่างของนางสูงใหญ่มาก คาดไม่ถึงว่าจะสูงเท่าๆ กับภูเขา ทั้งยังมองเห็นหยดเลือดไหลลงมาจากใบหน้าที่ถูกผมดำปกคลุมของนางช้าๆ
รอบตัวของนางก็ยิ่งมีเงาร่างเลือนลางหลายร่างลอยอยู่ เงาร่างเหล่านี้บางครั้งก็จะกลายเป็นท่วงทำนองเพลง บางครั้งก็กลับมาเป็นมนุษย์ พวกมันค่อยๆ เดินเข้ามายังหมู่บ้านเชิงเขาที่หวังเป่าเล่ออยู่พร้อมกับหญิงสาวผู้นี้
เสียงเพลงยิ่งชัดเจนมากขึ้น
“ทำลายความคะนึงหา จนสลายกลายเป็นฝุ่นผง…”
“ใครหนอรอผู้ใดกลับมา…”
ไม่ว่าเดินผ่านไปที่ใด ภูเขากึ่งโปร่งใสรอบๆ ก็จะถูกหยดเลือดอาบย้อมเป็นสีแดง พืชพรรณทุกอย่างเหี่ยวเฉา ความอาฆาตแค้นในน้ำเสียงแรงกล้ามากยิ่งขึ้น ในตอนนี้ความคิดเศร้าโศกที่อัดอั้นอยู่คล้ายจะมาถึงจุดสูงสุด และใกล้จะระเบิดออกมาแล้ว
จิตใจของหวังเป่าเล่อกู่ร้องขึ้นอีกครั้ง กฎเต๋าแห่งสุขภายในร่างแพร่กระจายในพริบตา เขาหรี่ตาลง จ้องมองไปยังสตรีชุดเขียวที่เดินมาจากที่ไกลๆ จากความเข้าใจเกี่ยวกับโลกใบนี้ เขาไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ที่มาของอีกฝ่ายแล้ว
นั่นก็คือผู้ฝึกตนของเมืองปรารถนาเสียง แต่เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ไม่ได้อยู่ระดับเดียวกับสิ่งที่เขาเจอในหมอกแดงเลยสักนิด อย่างหลังเป็นแค่ท่วงทำนองเพลงหนึ่งท่อนเล็กๆ เท่านั้น ไม่ใช่บทเพลงสมบูรณ์
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ไม่ใช่แค่บทเพลงที่สมบูรณ์ยิ่งกว่า แต่ยังมีเนื้อเพลงปรากฏมาด้วย
ถึงขั้นส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขาได้ เห็นได้ชัดว่าสถานะของหญิงชุดเขียวผู้นี้จะต้องเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ภายในเมืองปรารถนาเสียงอย่างแน่นอน
“มาหาข้าหรือ หรือว่ามาทำลายสาขาเต๋าสายสุขที่เชิงเขากันล่ะ” ดวงตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายเยือกเย็น ภายในหุบเขาด้านล่างภูเขาที่เขาอยู่ ผู้ฝึกตนของสายเลือดเต๋าแห่งสุขก็ตื่นขึ้นมาแล้วเช่นกัน เสียงแห่งความปีติมากมายพร้อมกับความยินดีปรีดาพลันล้นทะลักไปทั่วทั้งสี่ทิศทันที ราวกับดวงไฟที่ถูกข่มเอาไว้ในความมืด แต่กลับไม่ยอมดับแสง และฝืนยืนหยัดต่อไป
ยิ่งกว่านั้น เมื่อความปีติยินดีนี้แผ่กระจายกลายเป็นวิชาเคลื่อนย้ายชนิดหนึ่งและกำลังจะถูกใช้ออกมาต่อจากนั้น จะเห็นม่านแสงนุ่มนวลหนึ่งชั้นผุดขึ้นมาจากเส้นขอบของหุบเขา ราวกับกลายเป็นม่านกำบัง
ในฐานะที่เป็นสาขาสายตรงของสายเลือดแห่งสุข แม้ว่าปัจจุบันจะอ่อนแอ แต่เป็นเพราะถูกไล่ฆ่ามาหลายปี ก็ย่อมมีวิธีป้องกันตัวเองอยู่บ้าง และการเคลื่อนย้ายผ่านพลังความสุขก็คือหนึ่งในนั้น
เมื่อม่านแสงเชื่อมเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นม่านกำบังโดยสมบูรณ์แล้ว ก็เป็นเวลาที่การเคลื่อนย้ายจะเริ่มต้นขึ้น
แต่เห็นได้ชัดว่าผู้ร่ำร้องจากเมืองปรารถนาเสียงที่มาในครั้งนี้แข็งแกร่งเกินไป เสียงเพลงแฝงความพิศวงและความอาฆาตแค้น มันส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้คนทั้งหมดในหมู่บ้านโดยตรง ทำให้หัวใจของผู้ฝึกตนสายเลือดสาขาเต๋าแห่งสุขคล้ายถูกจับเอาไว้ ขณะที่พวกเขาสีหน้าซีดขาว พลังชีวิตก็ไหลหายไปอย่างรวดเร็วราวกับจะแห้งเหี่ยว
สิ่งนี้ทำให้วิชาเต๋าของพวกเขาถูกโจมตีและได้รับผลกระทบ การเปิดใช้วิชาเคลื่อนย้ายก็ไม่อาจทำให้สำเร็จได้ในชั่วอึดใจ ยิ่งกว่านั้นยังมีความบิดเบี้ยวในความผันผวนของเสียงเพลง ทำให้ม่านแสงที่ผุดขึ้นมาเหล่านั้นส่อแววพังทลาย
หวังเป่าเล่อถอนหายใจแผ่ว เขาอาศัยอยู่ที่นี่มาครึ่งปี ทั้งเขาก็ยังยอมรับหมู่บ้านแห่งนี้แล้วด้วย และตอนนี้ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมาหาตนหรือมีเป้าหมายเดิมเป็นหมู่บ้านแห่งนี้ก็ตาม เขาก็ไม่มีเหตุผลจะยืนนิ่งดูดายอยู่ข้างๆ
ดังนั้นในชั่วพริบตาที่ม่านแสงเคลื่อนย้ายของหมู่บ้านเกิดความบิดเบี้ยว หวังเป่าเล่อก็มองไปยังหญิงสาวชุดเขียวที่เดินมาจากที่ห่างไกลช้าๆ ใบหน้าเผยรอยยิ้ม แทบจะในชั่วขณะที่รอยยิ้มของเขาปรากฏขึ้นนั้น กฎเกณฑ์แห่งสุขก็พลันระเบิดออกมาจากร่างของเขา ก่อนก่อตัวเป็นคลื่นอารมณ์ผันผวนไร้รูป แผ่กระจายไปรอบตัวฉับพลัน
ไม่ว่าผ่านไปที่ใด ต้นไม้ใบหญ้าที่เหี่ยวเฉาเหล่านั้นก็คล้ายจะมีพลังชีวิตขึ้นมาใหม่ เทือกเขาที่ถูกเลือดอาบย้อมก็เหมือนถูกชะล้างให้กลายเป็นสีเดิม ถึงขั้นที่แม้แต่ฟ้าดินกึ่งโปร่งใสแห่งนี้ก็ถูกบังคับให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมในชั่วขณะนั้นเช่นกัน
ส่วนหญิงชุดเขียวที่เดินมาจากไกลๆ ผู้นั้นก็ชะงักฝีเท้า ผู้ฝึกตนร่ำร้องที่ลอยอยู่รอบตัวนางเจ็ดแปดคนแย้มยิ้มออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ทันที บทเพลงของพวกเขาถูกขัดจังหวะ พริบตาที่รอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบนร่าง…วิญญาณก็ถูกทำลาย
เพราะอาศัยโอกาสชั่วพริบตานี้ ม่านแสงของหมู่บ้านเชิงเขาก็เชื่อมต่อกันจนเสร็จสมบูรณ์ วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายทำงานออกมาทันใด และขณะที่ผู้ฝึกตนสาขาเต๋าแห่งสุขในหมู่บ้านเคลื่อนย้ายหนีไปนั้น หญิงชุดเขียวที่ชะงักฝีเท้าผู้นั้นก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
ภายใต้แสงจันทร์ มองเห็นใบหน้าของหญิงผู้นั้นผ่านช่องว่างระหว่างกลุ่มผมสีดำ ใบหน้านั้น…มีเลือดออกจากทวารทั้งเจ็ด ยิ่งกว่านั้นที่ลำคอก็ยังมีรอยช้ำสีดำลึกหนึ่งรอย
ดวงตาของนางลึกและพร่ามัว ราวกับว่าในแววตามีเงาร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งอยู่อย่างเลือนราง ราวกับมีนักร้องละครกำลังร่ายรำและร้องเพลงอัดอั้นคับแค้นใจยิ่งกว่าเดิมออกมา
“ฝนยามค่ำหวาดโคมสารทส่องแสง…”
“ส่องเวทีว่างเปล่าจนสว่างไสว…”
“ที่ควรมา ล้วนไม่มา…”
“ที่ควรอยู่ ล้วนไม่อยู่…”
…………………………………
ท้องนภาสีฟ้า แผ่นดินใหญ่สีดำ
บนภูเขาอุดมไปด้วยสีเขียวขจี ลมพัดอ่อนโชย พาให้ต้นไม้ใบหญ้าพลิ้วไหว พร้อมกับทำให้อาภรณ์ของเงาร่างที่นั่งอยู่บนยอดเขาและกำลังทอดมองไปที่ไกลๆ ปลิวไสว พัดผมยาวสยาย ทำให้เกิดความรู้สึกล่องลอยสง่างามแบบหนึ่งขึ้นมา
ใต้ภูเขาคือหุบเขาแห่งหนึ่ง มองเห็นบ้านซึ่งสร้างจากไม้จำนวนหนึ่งและผู้คนที่อยู่อาศัย เหมือนกับหมู่บ้าน
ขนาดของหมู่บ้านแห่งนี้ไม่ใหญ่นัก บ้านเรือนมีอยู่เพียงไม่กี่สิบหลัง จำนวนประชากรที่อาศัยอยู่ก็ไม่ถึงหนึ่งร้อยคน ดูแล้วสงบสุขอย่างยิ่ง ราวกับทั้งหมู่บ้านล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยความชื่นมื่น
เมื่อมองลงมาจากยอดเขาก็จะมองเห็นเด็กน้อยสามถึงห้าคนกำลังวิ่งไปมาอยู่ในหมู่บ้านอย่างเริงร่า บางครั้งก็เงยหน้าขึ้นแล้วแอบลอบมองไปยังยอดเขา
“เต๋าแห่งสุข ดีงามยิ่งนัก” บนยอดเขา เงาร่างที่นั่งอยู่ตรงนั้นถอนสายตาที่มองไปยังที่ไกลๆ กลับมา ขณะมองดูหมู่บ้านเชิงเขาและเอ่ยพึมพำนั้น ก็สัมผัสได้ว่าที่เชิงเขามีคนกำลังก้าวเข้ามาช้าๆ
ไม่นาน ด้านหลังของเขาก็มีเสียงแสดงความเคารพดังขึ้น
“ผู้อาวุโส เหล่าเด็กๆ ที่เชิงเขาได้เก็บดอกไม้ภูเขามาให้ท่าน พวกเขาอยากจะมามอบให้ท่านด้วยมือตัวเอง แต่ไม่กล้าขอรับ” ผู้ที่เอ่ยขึ้นก็คือเด็กหนุ่มสายเต๋าแห่งสุขผู้นั้นที่ถูกหวังเป่าเล่อจับตัวมานั่นเอง
ตอนนี้สีหน้าท่าทางของเขาเปี่ยมความเคารพ ในมือถือดอกไม้สดกำหนึ่ง
เงาร่างบนยอดเขาหันหน้ากลับมายิ้มบางเบา หลังจากฝึกฝนเต๋าแห่งสุข รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็เพิ่มขึ้นมากตามไปด้วย ความปีติยินดีทั่วร่างของเขาแพร่กระจายมากขึ้น ต่อให้เป็นเด็กหนุ่มที่พบเจอมาหลายครั้งก็ยังสิ้นสติจนต้องยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
“ขอบคุณพวกเขาแทนข้าด้วย” เงาร่างบนยอดเขาโบกมือ ดอกไม้ก็เคลื่อนเข้ามาแล้วถูกเขาวางเอาไว้ข้างเท้า เขาควบคุมกฎแห่งสุขภายในร่างไว้ จึงพอทำให้เด็กหนุ่มผู้นั้นมีสติขึ้นมาได้แล้วรีบคำนับ จากนั้นก็ลงเขาไป
เมื่อเดินลงจากเขาแล้ว เขาก็อดหันไปมองเงาร่างบนภูเขาอีกหลายรอบไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อมองไปยังภาพที่ใบหญ้าเขียวขจีรอบตัวอีกฝ่ายพลิ้วไหวอัตโนมัติท่ามกลางสายลม ภายในใจเขาก็เต็มไปด้วยความทอดถอนใจ ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายเป็นคนมีความสามารถสูงอยู่แล้วหรือว่าเหมาะสมจะฝึกฝนเต๋าสายสุขเป็นพิเศษกันแน่ สรุปคือ เขาฝึกฝนวิชาเต๋าสายสุขมาได้ไม่กี่เดือน กลับฝึกฝนจนความปีติสุขพุ่งระดับที่สามารถแทรกซึมไปยังสรรพชีวิตได้แล้ว
แม้ว่าระดับนี้จะไม่ใช่ระดับที่สูงที่สุด แต่ทั่วทั้งสำนักนี้ ก็มีเพียงผู้อาวุโสชั้นสูงเท่านั้นถึงจะทำได้
และเงาร่างบนยอดเขาผู้นั้นก็คือหวังเป่าเล่อนั่นเอง
เขามายังโลกาชั้นที่สองของมิติเต๋าต้นกำเนิดได้หลายเดือนแล้ว
ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เขาเก็บงำกลิ่นอายทั้งหมด ไม่ได้ใช้พลังกฎจากโลกภายนอกเลยสักนิด จมจ่อมอยู่ท่ามกลางการตระหนักรู้เต๋าสายสุขและได้รับประโยชน์มามากมาย
ขณะเดียวกัน ในช่วงไม่กี่เดือนนี้เอง ในที่สุดเขาก็รับรู้และเข้าใจในโลกใบนี้ได้ค่อนข้างรอบด้านแล้ว
โลกใบนี้ มีอยู่เพียงสิบสี่กฎเกณฑ์จริงๆ ซึ่งก็คือเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาและวิชาโบราณแบบดั้งเดิม และมีเพียงกฎเกณฑ์ทั้งสิบสี่อย่างนี้เท่านั้นถึงจะถูกอนุญาตให้ใช้ออกมาในที่แห่งนี้
นอกเหนือจากนี้ หากใช้เต๋าของกฎเกณฑ์อย่างอื่นก็จะดึงดูดให้วิญญาณจักรพรรดิปรากฏตัวออกมาไล่ฆ่าอย่างแน่นอน และเมื่อเกิดเรื่องประเภทนี้มากขึ้น หวังเป่าเล่อก็เดาได้ว่าจะต้องเกิดเหตุการณ์ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านี้แน่
ถึงขั้นมีความเป็นไปได้ว่าจะทำให้มหาเทพตื่นจากการหลับใหล
ดังนั้น หากไม่มีเหตุสุดวิสัย หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจใช้วิชาจากโลกภายนอกได้ นี่ก็เป็นสาเหตุที่เขามายังที่แห่งนี้ได้หลายเดือนและรั้งอยู่ที่นี่มาโดยตลอด และเต๋าสายสุขก็จะกลายเป็นวิชาที่เขานำมาใช้แทน
กฎเกณฑ์ทั้งสิบสี่ชนิดของโลกใบนี้ก็ไม่ได้ผุดขึ้นมาจากอากาศ มันไม่ต่างจากคำแนะนำก่อนหน้านี้ของเด็กหนุ่มสักเท่าไร โลกใบนี้มีขุมอำนาจสามฝ่าย แบ่งเป็นเจ็ดอารมณ์และหกปรารถนา และยังมีเมืองโบราณอีก
แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่หวังเป่าเล่อเพิ่งเข้าใจหลังจากมาถึงที่แห่งนี้ นั่นก็คือ…ความขัดแย้งของเจ็ดอารมณ์และหกปรารถนา
กล่าวให้ถูกคือ โลกใบนี้เคยมีเจ็ดอารมณ์เป็นผู้ครอง จากนั้นหกปรารถนาก็เกิดตามมา หลังจากเจ็ดอารมณ์พ่ายแพ้ครั้งใหญ่ก็ถูกตัดสินให้เป็นกบฏ จากนั้นถูกหกปรารถนาไล่ล่า ตอนนี้เวลาผ่านไปเนิ่นนานหลายปี สายเลือดทั้งเจ็ดของเจ็ดอารมณ์ก็เสื่อมสลายกันจนถึงที่สุดแล้ว
ตัวอย่างเช่นเจ้าแห่งสุขของเต๋าสายสุข เขาถูกเจ้าปรารถนาของเมืองปรารถนาเสียงจัดการผนึกเอาไว้ ส่วนเจ็ดอารมณ์ที่เหลือ ส่วนใหญ่กระจัดกระจายกันอยู่ในโลกแห่งนี้ แต่ละแห่งพากันเก็บซ่อนตัวเอง
ส่วนหกปรารถนาก็พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแข็งแกร่งมากขึ้นจนกลายเป็นเจ้าที่ทรงพลังที่สุดในโลกใบนี้ แต่น่าแปลกที่เมืองซึ่งเกิดขึ้นจากหกปรารถนากลับไม่ใช่หกเมือง แต่เป็นห้าเมือง
เจ้าปรารถนาก็เช่นกัน มีเพียงห้าคน
เมืองปรารถนาอารมณ์ที่เป็นหนึ่งในนั้นไม่มีอยู่แล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งคือไม่มีอยู่ในโลกแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังมีข่าวลือว่า ในหมู่หกปรารถนา เจ้าปรารถนาอารมณ์ก็ยังไม่มาถึง
เรื่องภายในโดยละเอียดนั้น หวังเป่าเล่อยังไม่รู้ สิ่งที่เขารู้ทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องที่คนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้รู้เท่านั้น ขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อก็คาดเดาเกี่ยวกับการฝึกตนของเจ้าแห่งหกปรารถนาได้บ้าง
แต่ละคนน่าจะมีพลังเกือบถึงขั้นห้าทั้งสิ้น ถึงขั้นที่ไม่แน่ว่าอาจแข็งแกร่งกว่า เพราะว่า…นอกจากสถานะเจ้าปรารถนาของพวกเขาแล้ว ยังมีสถานะอีกหนึ่งอย่างด้วย
นั่นก็คือ…ศิษย์แห่งจักรพรรดิ
เรื่องเหล่านี้มีบางอย่างบันทึกไว้ในตำรา บางอย่างหวังเป่าเล่อก็ได้ยินมาจากปากของผู้อาวุโสชั้นสูงในหมู่บ้านตอนที่มาถึงเมื่อไม่กี่เดือนก่อนแล้วลงเขาไปคารวะ
โลกใบนี้มีวิญญาณเทพเจ้าหนึ่งองค์มาตั้งแต่สมัยโบราณ
นามของวิญญาณเทพเจ้าองค์นี้มีอยู่นามเดียว
จักรพรรดิ!
วิญญาณจักรพรรดิคือองครักษ์ผู้คุ้มครองเทพองค์นี้ และเจ้าแห่งหกปรารถนาก็คือศิษย์ของเทพองค์นี้
แต่ว่าวิญญาณเทพหลับใหลมาโดยตลอด บางครั้งบางคราวจึงจะตื่นขึ้นมา ดังนั้นมนุษย์โลกจึงไม่อาจสัมผัสได้ แต่สถานที่ที่วิญญาณเทพองค์นี้หลับใหลนั้นมีผู้พิทักษ์อยู่คนหนึ่ง ผู้พิทักษ์คนนี้อยู่เหนือกว่าศิษย์แห่งจักรพรรดิ ยามที่วิญญาณเทพหลับใหล เขาก็ควบคุมโลกทั้งใบไว้
พลังฝึกตนของเขา…ไม่อาจคาดคะเน ตามที่ผู้อาวุโสชั้นสูงในหมู่บ้านท่านนั้นบอกมา เมื่อนานมาแล้ว เจ้าแห่งเจ็ดอารมณ์เคยร่วมมือกันต่อสู้กับผู้พิทักษ์ผู้นี้ แต่กลับพ่ายแพ้ ถูกผู้พิทักษ์ผู้นี้ทำให้บาดเจ็บสาหัส
จึงได้สร้างโอกาสให้หกปรารถนารุ่งเรืองขึ้น
ทุกอย่างนี้ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งไม่อาจกระทำบุ่มบ่ามได้ เขาเดาได้ว่าวิญญาณเทพที่ว่านี้ก็คือมหาเทพ ส่วนผู้พิทักษ์…เขาก็ไม่รู้ว่าเป็นร่างแยกของมหาเทพหรือไม่ แต่เมื่อคาดเดาจากพลังแล้ว คล้ายจะไม่ใช่ เห็นได้ชัดว่าผู้พิทักษ์คนนี้แข็งแกร่งกว่า
ถึงขั้นเป็นรองแค่มหาเทพก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
ดังนั้น เขายังต้องตรวจสอบอีกที คิดจะหลอมรวมเข้ากับโลกใบนี้ให้ได้อย่างสมบูรณ์ มีเพียงทำเช่นนี้เท่านั้นจึงจะมีโอกาสไปอยู่ตรงหน้ามหาเทพแล้วผสานเข้าไปในหมุดไม้ดำเพื่อแก้ไขเหตุต้นผลกรรมกับเขา
“บางทีหากมองจากโลกภายนอก จักรวาลทั้ง 108 แห่งของมิติเต๋าต้นกำเนิดแห่งนี้อาจไม่มีอยู่จริง แต่ความจริงที่นี่ได้หลอมรวมเป็นหนึ่งโดยสมบูรณ์ไปแล้ว”
ขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็หลับตาลง ตระหนักรู้ถึงกฎเกณฑ์แห่งเต๋าสายสุขต่อไป
ขณะเดียวกันนั้น ในระดับชั้นที่สูงยิ่งกว่าโลกใบนี้ โลกชั้นที่หนึ่งในตำนาน ‘โลกนิทรา’ ที่แห่งนี้ไม่มีกลางวัน แผ่นดินใหญ่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังและซากศพ ราวกับว่าความตายและความแห้งแล้งคือท่วงทำนองหลักของสถานที่แห่งนี้
ท่ามกลางกองซากปรักหักพังผืนนี้มีรูปสลักตั้งตรงอยู่ที่นั่น รูปสลักนี้คือนกแก้วขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง
บนหัวนกแก้วมีคนชุดคลุมดำนั่งขัดสมาธิอยู่ ชุดคลุมยาวของเขาตัวใหญ่มาก ไม่เพียงครอบคลุมส่วนหัวของคนผู้นี้เท่านั้น แต่ยังแผ่กระจายลงมาคลุมรูปสลักไปเสียครึ่งตัว
ราวกับว่าวันเวลาในที่นี้ไร้ที่สิ้นสุด และชั่วขณะนี้เอง คนชุดคลุมดำก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ความดำมืดที่ถูกชุดคลุมดำปกคลุมอยู่นั้นพลันมีแววตาปรากฏขึ้นมา มันจ้องมองไปยังแผ่นดินใหญ่ ราวกับกำลังเสาะหา
ผ่านไปพักหนึ่ง ดวงตาที่เปิดขึ้นและคล้ายค้นหาไม่สำเร็จผลก็ปิดตาลงอย่างช้าๆ อีกครั้ง

เขาสามารถพูดประโยคนี้ออกมาได้ เห็นได้ชัดเลยว่าเด็กหนุ่มคนนี้ยังนับว่าเฉลียวฉลาด เขารู้ดียิ่งว่าความคิดระแวดระวังไปทุกเรื่องนั้นไม่มีประโยชน์กับจอมพลังที่สามารถจับกุมผู้ร่ำร้องสองคนได้สบายๆ และหนีมาได้อย่างปลอดภัยหลังจากชักนำวิญญาณจักรพรรดิมา

โดยคร่าวๆ แล้วในสายตาของอีกฝ่าย ความเป็นความตายของตนขึ้นอยู่กับหนึ่งความคิด สามารถเปลี่ยนได้ทุกเมื่อแค่เพราะเรื่องเล็กๆ บางอย่าง เขาจะเป็นหรือตายเดิมทีก็ไม่อาจคาดเดาได้เลย

แต่ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายวางแผนจะเข้าไปในโลกาชั้นที่สอง ดังนั้นเมื่อเห็นว่าไม่มีวิธีเข้าไป การกลืนกิน หรือการหลอมรวม หรือการยึดตนเอาไว้ก็น่าจะเป็นตัวเลือกแรกของอีกฝ่าย

หากเปลี่ยนเขาไปอยู่ในตำแหน่งของอีกฝ่าย เขาก็จะทำเช่นนี้เหมือนกัน และความต่างระหว่างทั้งคู่ก็ทำให้เขาไม่มีปัญญาจะต่อกรด้วยอยู่แล้ว ถึงขั้นที่หากกล่าวเกินจริงอีกสักหน่อย แค่ความสามารถจะระเบิดตัวเองต่อหน้าอีกฝ่ายก็เกรงว่าจะไม่มีด้วยซ้ำ

ดังนั้น แทนที่จะรอให้อีกฝ่ายเป็นคนตัดสินใจ ไม่สู้ตนเอ่ยปากเสนอวิธีการแก้ปัญหาอย่างอื่นให้เขาแทนก่อนดีกว่า

ในเมื่อตัดสินใจจะทำตัวเชื่อฟังน่าเอ็นดูแล้ว เช่นนั้นก็จงเชื่อฟังน่าเอ็นดูให้ถึงที่สุด

ขณะเดียวกันเขาก็เชื่อว่า ด้วยความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย การจะสังหารตนหรือไม่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำหรับผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ การแก้ปัญหาต่างหากถึงจะเป็นจุดสำคัญ

ส่วนกระบวนการ…ไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไร

หวังเป่าเล่อคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม เขาเหลือบมองเด็กหนุ่มปราดหนึ่ง สำหรับความคิดจิตใจของคนผู้นี้ จากประสบการณ์ของเขา แค่มองปราดเดียวก็มองออกได้ทะลุปรุโปร่ง แววตาจึงฉายแววชื่นชมออกมา ไม่ได้พูดตอบทันที แต่ยกมือขวาขึ้นแล้ววาดไปยังไปยังอากาศช้าๆ

เมื่อลดมือลงไป ขณะที่เด็กหนุ่มจากเต๋าแห่งสุขตกตะลึงอยู่นั้น ฉับพลันบนร่างของหวังเป่าเล่อก็มีคลื่นผันผวนปรากฏขึ้น หลังจากเด็กหนุ่มสัมผัสถึงคลื่นผันผวนนี้ ความวิตกในใจของเขาในตอนแรกก็หายไปในชั่วพริบตา และมีความปีติยินดีกำเนิดขึ้นมา สิ่งนี้ทำให้เขาเบิกตากว้างทันที

ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยปาก หวังเป่าเล่อก็อาศัยเต๋าลอกเลียนแบบของตนนำเต๋าสายสุขเข้ามา ก่อนก้าวหนึ่งก้าวไปยังความว่างเปล่า ต้องการใช้พลังงานสายนี้เพื่อก้าวเข้าไปในโลกาชั้นที่สอง

แต่ชั่วขณะที่หวังเป่าเล่อก้าวลงไปนั้น เงาร่างของเขาก็พร่าเลือนราวกับจะผสานรวมเข้าไปในพริบตา สีหน้าของหวังเป่าเล่อขยับไหว เท้าที่กำลังจะก้าวลงไปหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น ครู่หนึ่งจึงค่อยๆ ถอนมันกลับมา

จากนั้น ท่ามกลางความเงียบงัน เขาเงยหน้าทอดมองไปยังอวกาศอันห่างไกล สายตาฉายแววครุ่นคิด

ชั่วพริบตาเมื่อครู่นี้ แม้ว่าเขาจะเลียนแบบเต๋าสายสุขได้สำเร็จและหลอมรวมเข้าไปในร่างแล้ว แต่เมื่อก้าวเท้า เขากลับสัมผัสได้ถึงสิ่งกีดขวาง ทำให้รับรู้ได้ชัดเจนอย่างยิ่งว่า ขอเพียงตนก้าวออกไปหนึ่งก้าว ก็จะเข้าสู่ภายในสิ่งกีดขวางและเข้าสู่โลกชั้นที่สองตามที่เด็กหนุ่มพูดทันที

สิ่งกีดขวางนั้นคล้ายจะเป็นประตูใหญ่ของโลกชั้นที่สอง และกุญแจสำหรับประตูใหญ่นี้ก็มีอยู่สิบสามชิ้น แบ่งเป็นเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาทั้งสิบสามกฎเกณฑ์

ส่วนวิธีการที่คนโบราณเข้ามาในโลกชั้นที่สองนั้น หวังเป่าเล่อก็คาดเดาได้ส่วนหนึ่งเช่นกัน

ดังนั้น เขาจึงใช้เต๋าลอกเลียน แม้ว่าจะได้รับกุญแจมาสำเร็จ แต่ที่แห่งนี้คือมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด สิ่งที่เขาลอกเลียนมา สุดท้ายก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่สุด

ดังนั้นชั่วพริบตาที่กำลังจะก้าวเท้าลงไป ความระแวดระวังในใจของหวังเป่าเล่อก็ตื่นตัวขึ้น เขามีลางสังหรณ์ว่าขอเพียงตนก้าวเท้าลงไป พลังผันผวนที่ดึงดูดมาได้คงจะน่าตะลึงยิ่งกว่าการปรากฏตัวของวิญญาณจักรพรรดิเสียอีก

 ถึงขนาดเป็นไปได้ว่าจะมีวิญญาณจักรพรรดิหลายร้อยหลายพันตนปรากฏขึ้นมาพร้อมกันด้วยซ้ำ  หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ตอนนี้เขาวิเคราะห์คาดเดาถึงสาเหตุที่วิญญาณจักรพรรดิปรากฏตัวขึ้นได้แล้ว

นั่นก็เพราะ…เต๋าจากโลกภายนอก

ภายในมิติเต๋าต้นกำเนิดแห่งนี้ กฎเกณฑ์ที่สามารถใช้ได้น่าจะมีอยู่เพียงสิบสี่ชนิด สิบสามชนิดแรกคือเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา ส่วนชนิดสุดท้ายเห็นได้ชัดว่าเป็นวิถีฝึกตนของคนโบราณในที่แห่งนี้นั่นเอง แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะยังไม่กระจ่างชัดนักว่ารายละเอียดของมันคืออะไร แต่เขาก็เดาได้คร่าวๆ แล้วว่าน่าจะเป็นเต๋าสารัตถะที่เกี่ยวข้องกับสายเลือด

การถือกำเนิดขึ้นที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหนล้วนมีสายเลือดอยู่ในร่างกาย และสายเลือดนี้สามารถทำให้พวกเขาไม่ถูกจำกัดหลังจากฟื้นขึ้นมา

นอกเหนือจากกฎเกณฑ์สิบสี่ชนิดนี้ ทันทีที่มีกฎเกณฑ์อย่างอื่นปรากฏขึ้นภายในมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด ก็จะถูกตัดสินให้เป็นผู้ที่มาจากภายนอก และชักนำวิญญาณจักรพรรดิมา

วิญญาณจักรพรรดิ เป็นทั้งวิญญาณเทพ และเป็นทั้งผู้คุ้มครอง

และตามการคาดเดาของหวังเป่าเล่อ จำนวนวิญญาณจักรพรรดินั้นน่าจะขาดแค่ตนเดียวก็จะครบหนึ่งแสนตน

ดังนั้น ว่ากันตามหลักการแล้ว ถ้าหากมีผู้แข็งแกร่งที่สามารถเพิกเฉยต่อวิญญาณจักรพรรดิขั้นที่สี่ชั้นยอดจำนวนหนึ่งแสนตนเดินทางมายังที่แห่งนี้ เช่นนั้นคนผู้นี้ก็สามารถเดินเข้าไปอยู่ต่อหน้ามหาเทพที่กำลังหลับใหลได้ในทันที

เพียงแต่ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าบิดาของหวังอีอีจะทำได้หรือไม่ แต่จากพลังฝึกตนในปัจจุบันของตัวเขาแล้ว หวังเป่าเล่อไม่อาจทำได้เลย

ดังนั้นหลังจากครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็มองไปยังเด็กหนุ่มจากเต๋าแห่งสุขผู้นั้นแล้วพยักหน้า

เด็กหนุ่มข่มกลั้นความตกตะลึงภายในใจจากการที่เต๋าแห่งสุขพุ่งขึ้นมาบนร่างของอีกฝ่ายก่อนหน้านี้เอาไว้ หลังจากสูดหายใจลึก เขาก็รีบแยกกฎวิชาแห่งสุขภายในร่างออกมาหนึ่งสายโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น แล้วรวมกันเป็นเมล็ดพันธุ์สีแดงเมล็ดหนึ่งลอยออกมาจากหน้าอก

เมื่อเมล็ดพันธุ์นี้ลอยออกมา ก็เห็นได้ชัดว่าร่างกายของเขาอ่อนแอลง แต่การเคลื่อนไหวทั้งหมดไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย ถึงขั้นที่หลังจากส่งเมล็ดเต๋าสายสุขมาอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อจนสมบูรณ์แล้ว เขายังตัดการเชื่อมต่อกับเมล็ดพันธุ์นี้อย่างเด็ดขาดอีกด้วย

หวังเป่าเล่อยกมือขึ้น จับเมล็ดเต๋าสายสุขตรงหน้าเอาไว้ด้วยสองนิ้ว ดวงตาฉายประกายแปลกประหลาด ม่านตาแผ่ขยายอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ทำให้เมล็ดสายสุขตรงหน้าขยายขึ้น แล้วแผ่ขยายอีกครั้ง ขยายใหญ่อีกครั้ง

หลังจากทำแบบเดิมซ้ำๆ อยู่หลายรอบ ในที่สุดเขาก็มองเห็นว่าแกนกลางภายในเมล็ดเต๋าสุขที่รวมตัวขึ้นจากกฎเกณฑ์เต๋าสายสุขเมล็ดนี้กลับมี…อักขระโบราณพิเศษอย่างหนึ่ง

อักขระนี้ดูเหมือนกับใบหน้ายิ้ม

เมื่อเขาผสานจิตลงไป ก็คล้ายได้ยินเสียงหัวเราะมากมายดังออกมา สัมผัสได้ถึงความปีติยินดีของฟ้าดินและสรรพชีวิต ความรู้สึกรุนแรงเช่นนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตกอยู่ในภวังค์ จนกระทั่งผ่านไปพักหนึ่ง เมื่อเมล็ดเต๋าสายสุขที่ปลายนิ้วมือของเขาหายไปเพราะถูกหลอมเข้าไปในร่างเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจลึก

เขาหลับตานิ่งคิดไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความประหม่าวิตกของเด็กหนุ่มผู้นั้น ความปีติยินดีที่สมจริงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้แพร่กระจายอยู่บนร่างของเขาอย่างเลือนลาง เหมือนกับว่าพอเห็นเขาแล้วก็ยิ้มมีความสุขอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้

ถึงขั้นทำให้เด็กหนุ่มอ่อนแอผู้นั้นมีปฏิกิริยารุนแรงยิ่งกว่าเดิม คนทั้งคนยืนอยู่ตรงนั้นราวกับโง่งม พลางหัวเราะไร้เสียงออกมาคล้ายหยุดตัวเองไม่อยู่ ทั้งร่างของเขาก็ยังผ่อนคลายลงมาก พลังฝึกตนนิ่งสงบ ไม่มีการตื่นตัวแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ตกใจเช่นกัน

 วิถีสุขในเจ็ดอารมณ์ช่างดีนัก ดูเหมือนจะอ่อนโยน แต่ความจริงทรงพลังมาก หากฝึกเต๋านี้จนถึงจุดสูงสุด ก็จะทำให้สรรพชีวิตคลั่งไคล้เพราะมันได้ ผ่านไปที่ใด ทุกชีวิตล้วนสิ้นสติกันทั้งหมด 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็คว้าเด็กหนุ่มที่ยิ้มโง่งมและสูญสิ้นความรู้สึกนึกคิดจนหมดสติไปท่ามกลางความปีติยินดี จากนั้นก็ก้าวเข้าไปยังหมอกแดงตรงหน้า ครั้งนี้เขาไม่รู้สึกถึงความอันตรายเช่นนั้นอีกต่อไป หลังจากก้าวลงไปอย่างราบรื่นแล้ว เขาและเด็กหนุ่มที่ถูกเขาคว้ามาด้วยก็หายตัวเข้าไปในหมอกแดงพร้อมกันทันที

ข้ามผ่านสิ่งกีดขวาง เมื่อปรากฏตัวขึ้น…ภาพของฟ้าดินแห่งใหม่ราวกับผืนภาพวาดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อ!

………………………………..

 

ในหัวของหวังเป่าเล่อเกิดเสียงดังสนั่น ทั่วทั้งจิตใจเกิดคลื่นยักษ์เทียมฟ้าซัดโหม เดิมทีจากระดับการฝึกตนและประสบการณ์ของเขา เขาไม่มีทางที่จะถูกสั่นคลอนได้ง่ายดายขนาดนี้
แต่…ภาพตรงหน้านั้นเหนือความคาดหมายของเขาอย่างสมบูรณ์ ทำให้ตอนนี้ในใจของหวังเป่าเล่อเกิดความสับสนด้านการรับรู้ขึ้น
คาดไม่ถึงว่ารูปลักษณ์ของวิญญาณจักรพรรดิจะเหมือนตัวเขาไม่มีผิด
คำตอบของความหมายนี้ทำให้แค่คิดนิดเดียวหวังเป่าเล่อก็ต้องหายใจหอบถี่แล้ว
และเวลาก็มีไม่พอให้เขาได้คิดอะไรมากมาย ตอนนี้เมื่อมองลึกลงไปที่ใบหน้าของวิญญาณจักรพรรดิซึ่งโผล่ออกมาหลังหน้ากากที่กลายเป็นกระดาษแล้วหลุดออก หวังเป่าเล่อก็ถอยหลังไปกระแทกเข้ากับตาข่ายยักษ์สีทองที่ด้านหลัง
เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ตาข่ายยักษ์สีทองถูกหวังเป่าเล่อกระแทกจนเกิดช่องว่าง ร่างของเขาราวกับสายฟ้าฟาด ถอยหลังเพียงชั่วพริบตาก็ทะลวงตาข่ายออกไปได้
เขารวดเร็วอย่างยิ่ง ระเบิดความเร็วจนถึงขีดสุดทันที พริบตาก็หายไปจากหมอกแดงของโลกภายนอก เมื่อบินออกไป หวังเป่าเล่อก็เก็บพลังฝึกตนและซ่อนกลิ่นอายลมหายใจทั้งหมด ถึงขนาดที่วิญญาณจักรพรรดิเหล่านั้นที่ไล่ตามเขามาจากภายในตาข่ายก็ยังสูญเสียร่องรอยของหวังเป่าเล่อไปหลังจากไล่ตามอยู่ระยะหนึ่ง
ราวกับจับตำแหน่งเขาต่อไม่ได้อีก หลังจากค้นหาอยู่พักหนึ่งก็เริ่มสงบลงแล้วพากันหลอมรวมเข้าไปในหมอกแดงจนหายลับไป
ส่วนทางด้านหวังเป่าเล่อ หลังจากเก็บงำกลิ่นอายแล้ว เขาก็เร่งความเร็วขึ้นจากในหมอกแดงราวกับมีจุดหมายที่แน่นอน แต่ความจริงตอนนี้ทั้งหัวของเขามีแต่ใบหน้าของวิญญาณจักรพรรดิผุดขึ้นมา ไม่สามารถลบออกไปได้แม้แต่นิด
“นี่มันผิดปกติอย่างยิ่ง!”
“อย่างแรก…จากการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ของข้า วิญญาณจักรพรรดิเป็นขั้นสี่ที่ไม่สมบูรณ์ หรือกล่าวให้ถูกก็คือ วิญญาณจักรพรรดิควรจะเป็นการดำรงอยู่ประเภทหุ่นเชิดอะไรทำนองนั้น และจุดกำเนิดของมัน…ก็คือตัวของมหาเทพ”
“เช่นนั้นก็สามารถอนุมานได้ว่าวิญญาณจักรพรรดิน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของมหาเทพ”
“นี่อธิบายได้ถึงเหตุผลที่ตรงนี้มีขั้นสี่ปรากฏตัวขึ้นมากมาย ถึงอย่างไรระดับแบบมหาเทพก็สามารถแบ่งแยกดวงจิตเทพแสนดวงออกมาเป็นจักรพิภพกว้างใหญ่ไพศาลแสนแห่งได้ เช่นนั้น…การมีหุ่นเชิดมากมายขนาดนี้ปรากฏตัวขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย”
“ส่วนเรื่องที่ทำไมถึงได้เหมือนตัวข้าไม่มีผิดนั้น…มีความเป็นไปได้สองอย่าง” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ประกายเฉียบคมแฝงอยู่ในแววตา
“ความเป็นไปได้อย่างแรกคือเพื่อที่จะต่อต้านการปล้นชิงธาตุไม้มาจากห้าธาตุ มหาเทพจึงกระจายไปอยู่ในจักรพิภพกว้างใหญ่แสนแห่งยกเว้นโลกแห่งศิลาที่ข้าอยู่ และจักรพิภพทั้ง 99,999 แห่งที่เหลือก็กลายเป็นผลแห่งเต๋าจากความสำเร็จในขั้นสุดท้ายของเขา”
“ผลแห่งเต๋าแต่ละผลล้วนกลายเป็นวิญญาณจักรพรรดิในที่แห่งนี้ สาเหตุที่หน้าตาเหมือนกับข้าก็เพราะว่า…ถ้าไม่ใช่ความบังเอิญล่ะก็ ข้าก็น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาด้วยเช่นกัน พวกเขาล้วนเป็นข้า ข้าก็เป็นพวกเขา…”
หวังเป่าเล่อเงียบงัน การอนุมานเช่นนี้เขาคิดว่าสมเหตุสมผลมาก แต่ก็ไม่รู้ทำไมในหัวจึงปรากฏความเป็นไปได้อย่างที่สองขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“ร่างเดิมของมหาเทพหน้าตาเป็นอย่างไร…จะเหมือนกับข้าหรือไม่…” สำหรับความเป็นไปได้ข้อนี้ หวังเป่าเล่อไม่อยากและไม่กล้าที่จะคิด ดังนั้นหลังจากเงียบงันไปนาน เขาก็สูดลมหายใจลึก
“ความเป็นไปได้อย่างที่สองนี้เป็นแค่ความคิดเรื่อยเปื่อยของข้าเท่านั้น น่าจะไม่ใช่เรื่องจริง…จะต้องไม่ใช่เรื่องจริง!” หวังเป่าเล่อหลับตาลง ไม่นานก็ลืมตาแล้วกลบฝังความคิดทั้งหมดไว้ที่ก้นบึ้งจิตใจ เขาโบกมือขวาขึ้น แล้วปล่อยเด็กหนุ่มจากเต๋าสายสุขที่ถูกตนเก็บไว้ในแขนเสื้อออกมา
ทันทีที่เด็กหนุ่มถูกปล่อย เขาก็มีอาการงุนงงสับสนเป็นอย่างแรก จากนั้นก็นึกได้ถึงภาพก่อนหน้านี้ จึงมองซ้ายมองขวาและหน้าเปลี่ยนสีทันที หลังพบว่ารอบตัวไม่มีวิญญาณจักรพรรดิแล้ว เขาก็ชะงักนิ่ง ในใจโล่งอก แต่ต่อจากนั้นเปลี่ยนเป็นความตกตะลึงเมื่อพบว่าหวังเป่าเล่อไม่บาดเจ็บเลยสักนิดเดียว
“ผู้อาวุโส…”
“พูดมา คนโบราณที่เจ้าพูดก่อนหน้านี้คืออะไร แล้วยังมี ทำอย่างไรถึงจะเข้าไปในโลกที่เจ้าอยู่ได้!” หวังเป่าเล่อมองเด็กหนุ่ม น้ำเสียงสงบนิ่ง เอ่ยช้าๆ
คำพูดเรียบนิ่งของหวังเป่าเล่อสร้างแรงกดดันใหญ่หลวงให้กับเด็กหนุ่มผู้นี้มาก ตอนนี้เขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่าคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่คนโบราณที่ตื่นขึ้น แต่เป็นคนที่มาจากโลกภายนอก ทั้งยังทรงพลังในระดับที่น่ากลัวอีกต่างหาก
เกรงว่าแค่เพียงสายตาก็พอจะฆ่าตนได้แล้ว
สำหรับตัวตนเช่นนี้ เด็กหนุ่มไม่กล้าปิดบังแม้แต่นิด และไม่กล้ามีความคิดวอกแวกใดๆ ด้วย เขาเพียงพยายามทำตัวเชื่อฟังให้ได้มากที่สุด แล้วบอกเรื่องที่ตัวเองรู้ทั้งหมดออกไป
เด็กหนุ่มไม่รู้จักมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด และไม่รู้จักโลกที่ตนอยู่ มองจากโลกภายนอก จักรวาลมีอยู่ 108 แห่ง แต่ในความรู้ของเขา ที่นี่มีอยู่เพียงแผ่นดินเดียว
แผ่นดินนี้ไร้ขอบเขตไร้ที่สิ้นสุด ว่ากันว่ามีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเดินไปจนถึงสุดขอบโลก
แต่โลกที่มีคนเพียงไม่กี่คนเดินไปจนถึงสุดขอบแห่งนี้กลับไม่ได้มีแค่ชั้นเดียว ในความรู้ของเด็กหนุ่มตั้งแต่เล็กจนโต โลกแบ่งเป็นสามชั้น
ชั้นที่หนึ่งเรียกว่าโลกนิทรา
ชั้นที่สองเรียกว่าโลกโลกา
ชั้นที่สามเรียกว่าโลกสุสาน
สถานที่ที่เขาอาศัยนั้นอยู่ในชั้นที่สอง ส่วนชั้นที่หนึ่ง สำหรับเขาแล้วมันคือตำนาน เป็นที่ที่ไม่เคยไป ทั้งยังบอกกันว่าเป็นโลกที่วิญญาณจักรพรรดิอาศัยอยู่
ส่วนบริเวณที่อยู่ ณ ตอนนี้ ตามคำพูดของเด็กหนุ่ม มันคือส่วนระหว่างชั้นที่สองและชั้นที่สาม หากลงไปอีกก็เป็นโลกสุสานแล้ว และพวกคนโบราณก็มาจากโลกสุสานนี้
ส่วนเรื่องเล่าเกี่ยวกับโลกสุสานนั้นมีมากมาย หนึ่งเรื่องที่แพร่หลายอย่างกว้างขวางที่สุดก็คือ ฟ้าดินในอดีตนั้นแตกต่างจากที่เห็นในปัจจุบัน ที่นั่นมีหมื่นเต๋าคอยโต้แย้งกัน ผู้แข็งแกร่งมากมายราวกับเมฆา
แต่กลับเกิดภัยพิบัติปริศนาครั้งหนึ่ง ทุกอย่างในอดีตจึงถูกกลบฝัง ดังนั้นจึงเกิดเป็นโลกสุสานขึ้นมา ในนั้นไม่ได้ฝังไว้เพียงแค่อารยธรรมเท่านั้น แต่ยังฝังผู้ฝึกตนในคราวนั้นเอาไว้ด้วย
แม้ว่าผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ล้วนกลายเป็นเถ้ากระดูกไปแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังมีบางส่วนที่อยู่ในสภาวะนิทรา พวกเขาจะตื่นขึ้นมาทีละคนๆ จากนั้นก็ออกจากโลกสุสาน แล้วตระเวนมาถึงโลกโลกาชั้นที่สอง
คนเหล่านี้ล้วนถูกเรียกว่าคนโบราณ และพวกเขาแต่ละคนล้วนแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
“ดังนั้น คนโบราณเหล่านี้จึงกลายเป็นกลุ่มอิทธิพลหลักฝ่ายที่สามในโลกโลกาชั้นที่สอง พวกเราเรียกกลุ่มอิทธิพลของพวกเขาว่า…เมืองโบราณ”
“ส่วนอิทธิพลหลักอีกสองฝ่ายนั้นแบ่งเป็นเจ็ดแกนหลักที่เกิดจากเจ็ดอารมณ์อันได้แก่ สุข โกรธ กังวล รักใคร่ เศร้าโศก หวาดกลัว สะเทือนใจ และหกเมืองปรารถนาซึ่งฝึกตนจากปรารถนาทั้งหกอันได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส และอารมณ์”
“ผู้อาวุโส ข้านั้นเป็นผู้ฝึกตนจากเต๋าแห่งสุขในเจ็ดอารมณ์ขอรับ”
“ส่วนผู้ร่ำร้องก่อนหน้านี้นั้น พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนของเมืองปรารถนาเสียง หนึ่งในหกปรารถนาขอรับ!”
“เป็นเพราะเจ้าแห่งเต๋าสายสุขของข้าถูกเจ้าแห่งปรารถนาเสียงสยบไว้ ดังนั้นเต๋าสายสุขของข้าจึงเสื่อมถอย แต่ละสำนักสาขาทำได้เพียงซ่อนตัวแล้วพยายามอยู่รอด”
“ส่วนที่ว่าจะออกไปจากที่นี่เพื่อเข้าสู่โลกชั้นที่สองได้อย่างไรนั้น สำหรับพวกข้าแล้วง่ายดายอย่างยิ่ง เพียงแค่ต้องชักนำกฎเกณฑ์พลังเต๋า จากนั้นก็จะถูกพลังชักนำเข้าไปเองขอรับ” เด็กหนุ่มพูดถึงตรงนี้ก็แอบชำเลืองมองหวังเป่าเล่ออึกๆ อักๆ
หวังเป่าเล่อท่าทางครุ่นคิด ก่อนหน้านี้เขาลองมาหลายวิธีแล้ว แต่ก็ไม่อาจออกไปจากพื้นที่ไอหมอกผืนนี้ได้เลย ตอนนี้ดูแล้วน่าจะเป็นเพราะกฎเกณฑ์พลังแตกต่างกันจึงไม่อาจถูกชักนำเข้าไปได้
ขณะที่หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ตรงนี้ ทางฝั่งเด็กหนุ่มก็คล้ายชั่งใจ เขากัดฟันรุนแรงแล้วโพล่งขึ้นว่า
“ผู้อาวุโสจะเข้าไปในโลกโลกาชั้นที่สอง ก็จำเป็นต้องฝึกฝนกฎเกณฑ์ให้ตรงตามที่กำหนด ผู้น้อยยินดีแบ่งเต๋าสายสุขของตัวข้ามาเป็นเมล็ดพันธุ์เพื่อมอบให้ผู้อาวุโสฝึกตนตระหนักรู้ขอรับ”
…………………………………………
“แยกร่าง?”ดวงตาหวังเป่าเล่อค่อยๆ หรี่แคบลง แต่ไม่นานก็คิดได้ว่านี่ไม่ใช่การแยกร่าง เพราะหากเป็นการแยกร่างจริง เช่นนั้นวิญญาณจักรพรรดิสองคนที่ปรากฏตัวออกมา ในร่องรอยพลังงานไม่ควรเป็นสุดยอดขั้นที่สี่เหมือนกับก่อนหน้า
ค่อนข้างเหมือน…เสียงเพรียกมากกว่า
หากตายไปหนึ่งก็จะเพรียกหาออกมาสอง ลองคิดดูหากสองคนนี้ตายลงก็เป็นไปได้สูงว่าอาจจะออกมาเป็นสี่ วนซ้ำไปมาเช่นนี้จนถึงขั้นที่เรียกว่าเป็นอมตะไม่ดับ
“แต่ก็แตกต่างจากสุดยอดขั้นที่สี่แบบปกติอยู่บ้าง” หวังเป่าเล่อมองวิญญาณจักรพรรดิที่ผสานรวมออกมาสองคนนั้นอย่างครุ่นคิดระหว่างที่เด็กหนุ่มเต๋าฝ่ายสุขข้างกายกำลังตัวสั่นกระวนกระวาย
ไม่ว่าจะเป็นที่ดินแดนแห่งเซียนหรือเทียบกับตัวเอง หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกแปลกใหม่กับขั้นที่สี่ ดังนั้นเขาจึงสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่าวิญญาณจักรพรรดิตรงหน้านี้มีจุดบกพร่อง
พวกเขาดูเหมือนขั้นที่สี่ ทว่าแท้จริงแล้วก็เหมือนคัดลอกวางออกมา ขาดจิตวิญญาณ เป็นเหมือนหุ่นเชิดที่สร้างขึ้นมาเสียมากกว่า และขั้นที่สี่แบบนี้ ถึงแม้จะมีพลังแต่ก็ห่างชั้นกันไม่น้อยเลยทีเดียว
ไม่ต้องกล่าวถึงหวังเป่าเล่อ ต่อให้ดินแดนแห่งเซียนขั้นที่สี่มาสักคนหนึ่งก็สามารถขยี้วิญญาณจักรพรรดิไปได้หนึ่งคนแล้ว
“ยิ่งไปกว่านั้น…เสียงเพรียกเช่นนี้ ไม่มีทางที่จะไม่มีจุดสิ้นสุด” แม้ในใจจะคาดการณ์ไว้แล้ว แต่ในโลกมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิดที่แปลกประหลาดแบบนี้ ก่อนที่จะได้ข้อมูลที่ครบถ้วนของที่นี่ หวังเป่าเล่อไม่คิดจะเผยฐานะของตัวเองให้มากไป
เขารู้ดีว่าตนใช้เต๋าแห่งฝันเข้ามาในจักรวาลแห่งนี้ ในบางมุมก็คือการลักลอบเข้ามา จุดประสงค์ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อไม่ให้มหาเทพรู้ตัว จากนั้นก็ลุล่วงแผนการที่จะตัดเหตุต้นผลกรรมของตน
และการวิเคราะห์ของหวังเป่าเล่อ มหาเทพในตอนนี้เป็นไปได้สูงว่าอยู่ในช่วงหลับลึก ดังนั้นความน่าจะเป็นที่เขาจะทำสำเร็จก็นับว่าสูงมากทีเดียว
เดิมทีแผนการนี้ก็คือก่อนที่มหาเทพจะรู้ตัว เดินไปข้างหน้าเขา ผสานเข้าไปในตะปูไม้ดำและโจมจีเขาให้ถึงแก่ชีวิต
ดูเหมือนง่ายดาย แต่เมื่อจะทำจริงแล้วก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามโอกาส
แต่ว่าไปว่ามา สุดท้ายแล้วความจำเป็นที่จะปกปิดก็ยังต้องทำต่อไป และการลองหยั่งเชิงก็ยังคงต้องมี ดังนั้นเมื่อความคิดเหล่านี้ลอยเข้ามาในหัว พริบตาที่วิญญาณจักรพรรดิทั้งสองเงยหน้าและพุ่งมาทางหวังเป่าเล่อด้วยความรวดเร็ว หวังเป่าเล่อก็ถอยหลังอย่างฉับพลัน
ด้วยความรวดเร็วและหลบหลีกออกจากอณาเขตนี้ไปก่อน จึงชนเข้ากับตาข่ายสีทองที่ปรากฏขึ้นในหมอกสีโลหิตด้านหลังเขา
ตอนนั้นเองที่ชนเข้ากับตาข่ายทอง หวังเป่าเล่อก็เดินพลังเต็มที่ แต่กลับไม่ปล่อยออกมาทั้งหมด และเก็บกลับมาทันทีที่เมื่อโดนตาข่ายทองด้านหลัง
จากการสัมผัสในชั่วอึดใจนี้ หวังเป่าเล่อก็หยั่งเชิงขีดทนรับของตาข่ายทองนี้ได้ทันที เขามั่นใจ เมื่อรวบรวมพลังของตนเป็นจุดเดียว ด้วยเต๋าแปดปรมัตถ์ก็สามารถทำลายมันได้ฉับพลันแล้วหนีออกไป
เมื่อหยั่งเชิงจุดนี้ได้แล้ว หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาแคบลง แต่กลับไม่รีบร้อน นัยน์ตาฉายแววเย็นเยียบวาบผ่าน ก่อนพุ่งเข้าหาวิญญาณจักรพรรดิทั้งสองคนที่ไล่ตามมา
“เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้าจะพุ่งไปเองทำไมเล่า ทำไมไม่หนีล่ะ” เด็กหนุ่มที่ถูกหวังเป่าเล่อจับไว้อยู่ในมือขวาร้องโหยหวนออกมา
ด้วยความรู้ความเข้าใจของเขา วิญญาณจักรพรรดิก็เหมือนกับวิญญาณเทพที่ไม่สามารถต่อกรและไม่อาจสบประมาทได้ เป็นตัวแทนของเต๋าสวรรค์แห่งโลกทั้งใบ แต่คนบ้าที่จับตนมาทั้งเป็นกลับลงมือแล้วยังเลือกจะลงมืออีกรอบ
ทำให้ขณะที่เขาร้องโหยหวน ความหวาดกลัวก็แผ่ซ่านไปทั่วสัมผัสสวรรค์
บางทีเป็นเพราะรู้สึกว่าเสียงโหยหวนของเขาไม่น่าฟัง ขณะที่หวังเป่าเล่อพุ่งออกไปก็เก็บวิชาพลังเทพของเด็กหนุ่มผู้นี้ลงในกระบอกแขนเสื้อ ความเร็วไม่ตก พริบตาก็ปะทะเข้ากับวิญญาณจักรพรรดิทั้งสอง
ท่ามกลางเสียงดังสนั่น กฎเต๋าธาตุน้ำใกล้บังเกิดขึ้นปกคลุมไปทั่วสารทิศ วิญญาณจักรพรรดิทั้งสองคนร่างพลันแข็งค้างคล้ายกับวิถีเต๋าและโลหิตในร่างกายกำลังไหลย้อนกลับ ร่างพลันหยุดชะงัก
ตอนนี้ก็คือคนตาย
หวังเป่าเล่อสาวเท้าเข้ามาใกล้ นิ้วชี้ขวากลายเป็นเงา แตะลงหว่างคิ้วบนหน้ากากของวิญญาณจักรพรรดิทั้งสอง เสียงดังสนั่น หน้ากากรวมทั้งกะโหลกของพวกเขาพังทลายลงไปพร้อมๆ กัน
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว เดิมทีเขาคิดจะทำลายแค่หน้ากากก่อน ดูว่าอีกฝ่ายหน้าตาอย่างไร แต่หน้ากากนี้ราวกับว่าผลึกติดอยู่กับใบหน้าของพวกเขา ไม่สามารถแยกจากกันได้
“ไม่ดูก็ได้” หวังเป่าเล่อแค่นเสียงเย็น ขณะที่โบกมือ พลังกดต้านปะทุขี้นอีกครั้งทั่วบริเวณ ก่อนบดร่างวิญญาณจักรพรรดิทั้งสองจนแหลกละเอียด
พริบตาต่อมา เลือดเนื้อที่ถูกหวังเป่าเล่อบดละเอียดเหล่านั้นก็รวมตัวเข้ากันใหม่ ก่อนปรากฏออกมาเป็นวิญญาณจักรพรรดิสี่คน ยังคงใส่หน้ากากเช่นเดิม เงียบกริบไม่พูดจาเช่นเดิม แววตาว่างเปล่า พุ่งมายังหวังเป่าเล่อ
ในเวลาอันสั้น จากสี่เป็นแปด แปดเป็นสิบหก จากนั้นสามสิบสอง…
หวังเป่าเล่อยังคงสู้ต่อ ลงมือลื่นไหลเป็นธรรมชาติ สังหารอย่างต่อเนื่อง ทว่าหัวคิ้วเขายิ่งขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ จวบจนในตอนที่วิญญาณจักรพรรดิปรากฏขึ้นจนถึงหกสิบสี่คน…ลมหายใจหวังเป่าเล่อก็เริ่มถี่กระชั้นขึ้นบ้างแล้ว
แม้วิญญาณจักรพรรดิเหล่านี้จะห่างชั้นกับขั้นที่สี่แท้จริงอยู่มาก ไร้จิตวิญญาณ เป็นดั่งเทพวัตถุ แต่ข้อดีเรื่องจำนวน สำหรับภายนอกโลกถือว่าน่ากลัวเทียมฟ้าเลยทีเดียว
พอที่จะทำลายล้างกลุ่มอำนาจใหญ่ทั้งหลายได้เลย
ถึงขนาดสามารถกล่าวได้ว่า มองไปทั่วทั้งจักรวาลผืนใหญ่แห่งนี้ รวมทั้งทุกเขตแดนดินแดนแห่งเซียน เกรงว่าจำนวนขั้นที่สี่แท้จริงก็คงไม่ถึงหลายสิบ
ดังนั้นถึงแม้พลังของหวังเป่าเล่อจะถึงขั้นที่ห้า แต่ตอนนี้ความรู้สึกอันตรายก็ยังคงเพิ่มขึ้นอยู่ โดยเฉพาะ…วิญญาณจักรพรรดิเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่มีทางสังหารได้หมด
และสิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกอันตรายยิ่งกว่านั้นก็คือ ตอนที่จำนวนวิญญาณจักรพรรดิออกมาถึงหกสิบสี่ตัว เขารู้สึกได้รางๆ ว่ามีร่องรอยพลังงานขุมหนึ่งที่คล้ายมีคล้ายไม่มีอยู่ในสถานที่อันห่างไกลที่ไม่รู้จัก เหมือนคนที่กำลังนอนหลับลึกเปลือกตาขยับน้อยๆ คล้ายใกล้จะตื่น
และความรู้สึกที่ร่องรอยพลังงานนี้ให้แก่เขาก็คือ…มหาเทพที่เขากำลังตามหา!
“ทำต่อไม่ได้อีกแล้ว!”
เมื่อลองทดสอบระดับการแบ่งตัวของวิญญาณจักรพรรดิแล้ว เกรงว่าหนึ่งร้อยกว่าตัวก็คงไม่ใช่ปัญหา และในเวลาเดียวกันก็ได้หยั่งเชิงออกมาแล้วว่าการแบ่งตัวที่มากเกินของวิญญาณจักรพรรดิสามารถเป็นตัวกระตุ้นในการปลุกมหาเทพให้ตื่นขึ้นได้ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงเลือกที่จะถอยทันที
ร่างกายส่งเสียงดังโครมทีหนึ่ง ชนเข้ากับตาข่ายสีทองขนาดใหญ่ ทำให้ตาข่ายขนาดใหญ่นี้พังทลายในพริบตา ขณะเดียวกัน วิญญาณจักรพรรดินับสิบก็ไล่ตามมา ผู้ที่อยู่หน้าสุด พริบตาที่ตาข่ายใหญ่พังทลายลงก็มาถึงเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อและกำลังจะลงมือ
หวังเป่าเล่อนัยน์ตาวาววับ มือขวาพลันยกสูง ตอนนี้เองปลายนิ้วของเขากลับปรากฏแสงสีขาวสว่างดุจกระดาษสะท้อนแสง ก่อนแตะลงบนหว่างคิ้วของวิญญาณจักรพรรดิที่เข้ามา
เป็นกฎแห่งกระดาษ
นี่ก็คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อคิดได้ วิธีที่จะสามารถถอดหน้ากากวิญญาณจักรพรรดิออกมาได้ก็คือทำให้หน้ากากกลายเป็นกระดาษ!
เมื่อปลายนิ้วแตะลง กฎแห่งกระดาษพลันปรากฏ พริบตาวิญญาณจักรพรรดิที่ไล่ตามมาผู้นั้น หน้ากากบนหน้าก็บางลงและกลายเป็นกระดาษในทันที ก่อนปลิวร่วงลงมาจากใบหน้าคล้ายกับไม่สามารถติดอยู่ได้ พร้อมปรากฏใบหน้า…ที่เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นเข้าก็เกิดสายฟ้านับแสนฟาดใส่ลงบนหัว
ใบหน้านั้น…แม้จะไร้ความรู้สึก แม้จะเฉยชา แม้จะซีดขาวผิดปกติ แต่เมื่อเทียบกับใบหน้าหวังเป่าเล่อแล้ว…
มันเหมือนกันอย่างกับแกะ!!
……………………………………….
“เมืองปรารถนาเสียง?” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ในโลกมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิดนี้ จากความเข้าใจที่ผ่านมาของเขา คล้ายจะต่างกันอยู่บ้าง โดยเฉพาะรูปแบบการฝึกเสียงเพลง แม้ก่อนหน้านั้นหวังเป่าเล่อจะเคยเห็นจากผู้ฝึกตนแต่ละคนในโลกแห่งศิลา หากแต่ชัดเจนว่าจากเนื้อแท้และคุณประโยชน์นั้นแตกต่างจากผู้ฝึกตนนี้โดยสิ้นเชิง
“เมื่อฝึกจนถึงระดับหนึ่ง จะสามารถเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นบทเพลงเลื่อนลอยท่อนหนึ่งได้งั้นหรือ” การฝึกที่แปลกใหม่เช่นนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกสนใจกฎเกณฑ์ของมัน ส่วนเรื่องเป็นอมตะนิรันดร์ ไม่ตายไม่ดับ เขาไม่เชื่อ
ทว่าในใจเขาเวลานี้ บางทีอาจเป็นเพราะการตอบอย่างละเอียดของอีกฝ่าย หรือจะด้วยสาเหตุอื่น จึงเกิดความรู้สึกดีต่อเด็กหนุ่มตรงหน้า ถึงขนาดรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าความยินดีปรีดาในใจตนดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นอยู่บ้าง
ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ ดวงตาค่อยๆ หรี่ลง จับดึงตัวโน้ตสองตัวที่ระหว่างนิ้ว ทำให้เกิดเสียงจากความเศร้าโศกดังขึ้นอีกครั้ง หลังจากใช้พลังขุมนี้ตีแตกความยินดีปรีดาในใจ หวังเป่าเล่อก็เอ่ยถามว่า
“แล้วเจ้าล่ะ?”
เด็กหนุ่มชะงักครู่หนึ่ง แต่ด้วยนิสัยดีงามที่มี ทำให้เขาลืมเรื่องที่ตนวิจารณ์คนโง่เขลาก่อนหน้าไปอย่างง่ายดาย และโดยรวดเร็วก็คล้อยตามแต่โดยดี
“ข้าเป็นผู้ฝึกหนึ่งในสาขาของส่วนมงคล ฝึกเต๋าฝ่ายสุข แค่ขยับมือขยับเท้าก็สามารถปล่อยความเบิกบานใจออกมากระจายให้แก่ทุกคนได้ จากเนื้อหาของคัมภีร์แห่งความสุข เมื่อฝึกจนถึงขั้นสุดยอดได้อย่างเจ้าแห่งความสุข ก็จะทำให้ให้สิ่งมีชีวิตบนโลกทั้งหมดมีความสุขอย่างบ้าคลั่ง”
“เต๋าฝ่ายสุข?” หวังเป่าเล่อกำลังจะซักถามต่อ ทว่าตอนนั้นเอง หมอกสีแดงบริเวณรอบๆ พลันบิดม้วน เกิดเสียงฟ้าร้องติดต่อกันดังมาจากที่ไกลๆ
และไม่เพียงเท่านี้ ขณะที่เสียงฟ้าร้องลอยแว่วมา เมื่อหมอกสีแดงที่บิดม้วนปรากฏตาข่ายขนาดใหญ่สีทองหนึ่งอันขึ้นรางๆ คล้ายกับก่อตัวขึ้นจากทุกสารทิศกำลังพุ่งเข้ามาทางนี้ด้วยความรวดเร็ว
ภาพฉากนี้ทำให้นัยน์ตาหวังเป่าเล่อวาววับ พลางถามเด็กหนุ่ม
“นี่คืออะไรอีก?”
เด็กหนุ่มก็ตะลึงไปเช่นกัน สีหน้างงงวย
“หรือว่าเป็นชนชั้นสูงของเมืองปรารถนาเสียงตามมาอีกหรือ? เป็นไปไม่ได้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าในเมืองปรารถนาเสียงมีผู้ฝึกเสียงฟ้าร้อง…”
“ต่อให้มีจริงๆ ก็ไม่ถึงขั้นที่ต้องไล่ตามข้ามาถึงนี่”
“ที่นี่อยู่ในความว่างเปล่าใต้ผืนดินแล้ว นอกจากคนโบราณที่ยังไม่ฟื้นตื่นเหล่านั้น ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นใดอีก หรือว่ามีคนโบราณฟื้นตื่นอีกแล้ว?” เด็กหนุ่มแปลกใจ ที่เอ่ยมาไม่ใช่แกล้งหลอก แต่เขาไม่เข้าใจจริงๆ
เพราะจากความเข้าใจของเขา เรื่องคนโบราณฟื้นตื่นมีไม่บ่อยนัก ตอนนี้เห็นได้คนหนึ่งก็นับว่าเห็นได้น้อยมากแล้ว หากยังบังเอิญเจอคนที่สองก็ยิ่งน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ด้วยประสบการณ์และสายตาของหวังเป่าเล่อก็มองออกว่าเด็กหนุ่มคนนี้งงงันจริงๆ เขาหรี่ตาลง หลังจากเก็บโน้ตดนตรีที่จับเป็นมาทั้งสองตัวแล้วก็คว้าเด็กหนุ่มก่อนไหวร่าง ถอยหลังไปเตรียมออกจากอาณาเขตนี้
เพราะลางสังหรณ์ของเขา ในเวลานี้เสียงฟ้าร้องที่แว่วมาแต่ไกลด้วยความเร็วให้ความรู้สึกอันตราย และพลังที่สามารถทำให้เขาเกิดความรู้สึกอันตรายเช่นนี้ได้ต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
แต่ว่า…พริบตาที่หวังเป่าเล่อถอยหลัง ไม่รู้เพราะเหตุใด คล้ายการกระทำของเขาถูกเสียงฟ้าร้องที่ใกล้เข้ามารู้เข้าแล้ว เสียงฟ้าร้องพลันกระหน่ำคลั่งในตอนนั้น ความเร็วปะทุสูงขึ้น และพริบตาต่อมา ท่ามกลางไอหมอกที่กระจายออก หอกยาวสีดำเล่มหนึ่งวนล้อมสายฟ้าสีม่วงก่อนแหวกไอหมอกด้านหน้าและพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อทันที
หอกเล่มนี้ราวกับผ่ากระบอกไผ่ เร็วจนเกิดภาพติดตา เกิดแรงกดดันเทียมฟ้า แฝงไว้ด้วยพลังทำลายล้าง พริบตาที่ปรากฏก็เกิดเสียงสนั่นไปทั่วบริเวณ โดยเฉพาะพลังทำลายล้างที่แผ่กระจายออกมานั้นเทียบได้กับพลังสุดยอดขั้นสี่เลยทีเดียว
มันพุ่งไปทางเบื้องหน้าของหวังเป่าเล่อในอึดใจต่อมา จนเหมือนจะทะลุออกไป
แต่ชัดเจนว่า เพียงเท่านี้ยังไม่พอที่จะให้หวังเป่าเล่อกลัวได้ แทบจะเป็นพริบตาเดียวกับที่หอกยาวเล่มนี้เข้ามาใกล้ เต๋าแปดปรมัตถ์ของหวังเป่าเล่อก็ปะทุขึ้น มือซ้ายชูไปข้างหน้าคว้าหอกยาวที่พลังรุนแรงไว้ทันที!
ไม่ว่าหอกยาวเล่มนี้จะดุดันป่าเถื่อนอย่างไร ไม่ว่าจะดิ้นรนกระเสือกกระสนอย่างไร มือซ้ายของหวังเป่าเล่อก็เป็นดั่งคีมเหล็กคีบมันไว้
จากนั้นเหวี่ยงอย่างรุนแรง ทำให้หอกยาวเล่มนี้เบนทิศกลับไปทางทิศที่มา โจมตีกลับไปในเส้นทางนั้น อีกทั้งยังเร็วกว่าเดิม รุนแรงกว่าเดิม!
ท่ามกลางเสียงแหลมยาวที่ดังขึ้น ขณะที่หอกยาวนี้พุ่งไปยังทิศทางเดิมแล้ว ในไอหมอกก็ถูกทะลวง
ไม่กี่อึดใจ เมื่อเสียงดังสนั่นลอยดังออกมา เงาร่างที่สวมชุดคลุมยาวกับหน้ากากสีขาวก็ปรากฏ ตอนที่เขาปรากฏกาย ภายในไอหมอกบริเวณรอบด้านก็ผุดตาข่ายสีทองขนาดใหญ่ขึ้น ตอนนี้มันก็ยิ่งปรากฏชัดขึ้นจนครบถ้วนแล้ว
หวังเป่าเล่อหรี่ตามองฉากนี้ ขณะเดียวกันเด็กหนุ่มที่ถูกเขาจับอยู่ในมือขวา เวลานี้ดวงตาเบิกกว้างคล้ายกับนึกอะไรบางอย่างออก สีหน้าเปลี่ยนจากสับสนเป็นหวาดกลัว และเป็นความหวาดผวาอย่างรวดเร็วก่อนร้องเสียงหลงออกมา
“วิญญาณจักรพรรดิ!”
“สวรรค์ นี่…นี่คือวิญญาณจักรพรรดิ!”
“วิญญาณจักรพรรดิคืออะไร?” หวังเป่าเล่อเอ่ยถามทันที
“วิญญาณจักรพรรดิคือสาวกของเต๋าสวรรค์ในตำนาน ไม่ตายไม่ดับ และก็จะไม่ปรากฏตัวที่บนโลก แบบนี้ไม่ถูกสิ ทำไมแม้กระทั่งวิญญาณจักรพรรดิก็ปรากฏตัวออกมาแล้ว เล่ากันว่าภารกิจของเขามีเพียงข้อเดียว นั่นก็คือฆ่าล้างเต๋าที่มาจากภายนอก…” เอ่ยถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็เงียบเสียง หันมองหวังเป่าเล่ออย่างโง่งม นัยน์ตาฉายแววสั่นไหวรุนแรง
“เจ้า…เจ้าไม่ใช่คนโบราณ? เจ้าคือ…ผู้ที่มาจากภายนอก?”
“ฆ่าล้างผู้ที่มาจากภายนอก ไม่ตายไม่ดับ?” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด มองผู้ฝึกตนที่สวมหน้ากากและชุดคลุมสีขาวตรงหน้า ในเวลานี้เหยียบสายฟ้ามาอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น ตัวเขาไม่หลบหลีก
เพราะพริบตาต่อมา ที่ด้านข้างภายในไอหมอก หลังจากเสียงหวีดแหลมลอยมาอย่างฉับพลัน หอกยาวที่ถูกหวังเป่าเล่อโยนออกไปเล่มนั้นก็ทะลวงหมอกสีแดงและทะลุออกไปทันที ทั้งยังเร็วกว่าก่อนหน้าอีกมาก พริบตาที่ปรากฏก็เข้าใกล้เงาร่างสีขาวที่เดินมาทางหวังเป่าเล่อ
เงาร่างสีขาวผู้นี้รู้สึกได้ทันที พลันไหวร่างคิดจะหลบ ทว่ากลับสายไปเสียแล้ว เพียงพริบตา เมื่อเสียงดังสนั่นสะท้อนก้อง หอกยาวเล่มนั้นก็ทะลุทรวงอกเขาและระเบิดร่างเขาออกเป็นจุณทันที
ชายหนุ่มตะลึงงันไปอีกครั้ง
ทว่า ท่าทางหวังเป่าเล่อกลับไม่ผ่อนคลายลงแม้แต่น้อย คิ้วขมวดมุ่นยิ่งกว่าเก่า เพราะแค่วิญญาณจักรพรรดิขั้นสี่เพียงผู้เดียวยังไม่พอที่จะทำให้เขาเกิดความรู้สึกอันตรายขึ้นมาอย่างตอนก่อนหน้าได้ โดยเฉพาะหลังจากที่เวลานี้วิญญาณจักรพรรดิได้ตายลง ความรู้สึกอันตรายของเขาไม่เพียงไม่ลดลง แต่กลับยังรู้สึกหนักอึ้งขึ้นอีก
อึดใจต่อมา หวังเป่าเล่อมองไปทางจุดที่วิญญาณจักรพรรดิแตกสลายลงทันที ม่านตาของเขาพลันหดแคบ เพราะตรงนั้นวิญญาณจักรพรรดิที่แตกสลายไม่เพียงไม่ดับสลายอย่างแท้จริง มันกลับ…เกิดรวมร่างขึ้นใหม่จากเลือดเนื้อที่แตกกระจายออกไปในฉับพลัน
วิญญาณจักรพรรดิสองคน!
สองคนเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน เป็นวิญญาณจักรพรรดิระดับสุดยอดขั้นที่สี่!
…………
เมื่อได้ยินคำถามของชายขี้เมา หวังเป่าเล่อนัยน์ตาลึกล้ำไม่ได้ตอบกลับ เขามองชายขี้เมาและโลกที่กำลังจางหายไปตรงหน้าด้วยแววตาราบเรียบ จนกระทั่งผ่านไปหลายอึดใจ ทั่วทั้งคูเมืองก็ราวกับฟองอากาศที่แตกละเอียด สลายลงกลายเป็นความว่างเปล่า
และขณะเดียวกับที่มันแตกสลาย พริบตาที่มิติมายากับความเป็นจริงตัดสลับ วิชาเต๋าแห่งฝันของหวังเป่าเล่อก็เริ่มเคลื่อนตัวขึ้นอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ คว้าโอกาสตัดสลับสายนั้นพร้อมปิดตาลง
ในขณะเดียวกัน ร่างหลักของหวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่ใต้สะพานดินแดนเซียนในเวลานี้ ร่างกายค่อยๆ เลือนราง คล้ายกับการคงอยู่ของเขาเป็นดั่งภาพวาดที่ตอนนี้กำลังถูกคนลบไปทีละนิด
เมื่อถูกลบจนเลือนหายไปหมด ในมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด หวังเป่าเล่อที่อยู่ที่นี่ค่อยๆ เปิดตาขึ้นช้าๆ ร่างกายเขาเริ่มมีเลือดมีเนื้อขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งพริบตาที่ดวงตาทั้งสองของเขากะพริบเปิดและปิดอย่างเต็มที่…
เขาไม่ได้อยู่ในมิติฝันแล้ว
สิ่งที่เห็นตรงหน้า…กลายเป็นโลกแปลกตาทันที!
ท้องฟ้าที่นี่ราวกับเปลวเพลิง แดงก่ำไร้ใดเปรียบ คล้ายกับชโลมด้วยเลือด ให้ความรู้สึกชั่วร้ายยากจะบรรยายแก่ผู้คน
ส่วนพื้นดินเต็มไปด้วยความแห้งแล้ง ไม่มีแม้แต่ต้นหญ้าและแทบจะไร้ร่องรอยของสิ่งมีชีวิต ถึงขนาดที่ว่าแม้แต่ซากปรักพังก็ไม่มีเข้าสู่สายตาเลยสักนิด
ราวกับที่นี่เป็นเขตหวงห้ามของสิ่งมีชีวิต
เปล่าเปลี่ยว แห้งขอด คล้ายเป็นท่วงทำนองหลักของที่แห่งนี้ กระทั่งสายลมที่โชยมาก็ให้ความรู้สึกหยาบกร้านแก่ผู้คนยามกระทบกาย ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกคล้ายกับกำลังถูกพัดสลาย
“ลมที่นี่…แฝงด้วยกฎพิเศษบางอย่าง คล้ายกำลังดูดพลังชีวิตของข้า” หวังเป่าเล่อสัมผัสอยู่เงียบๆ ครู่หนึ่ง มองไปรอบๆ อีกครั้งก่อนปล่อยดวงจิตเทพออกไปอย่างรวดเร็ว แผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ
เขาอยากจะดูว่าที่นี่เป็นเขตแดนแบบใดกันแน่ แต่ชัดเจนว่าในจักรวาลนี้มีแรงยับยั้งอยู่ แม้แต่พลังปราณของหวังเป่าเล่อก็ปล่อยออกมาได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
แม้จะเป็นเพียงบางส่วน แต่ก็กว้างพอแล้ว ขนาดพอๆ กับโลกแห่งศิลา
และในเขตจิตของเขา พื้นดินยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีสิ่งมีชีวิตปรากฏขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย
หวังเป่าเล่อหรี่ตา ไหวร่างระเบิดพลังบินไปที่ห่างไกลด้วยความรวดเร็ว เมื่อบินไปได้สองชั่วยามคิ้วก็ค่อยๆ ขมวดมุ่น
เพราะด้วยความเข้าใจก่อนมาของเขา ในมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิดมีจักรวาลที่เกิดจากผู้เยี่ยมยุทธ์ 108 ท่านอยู่ ตามหลักการแล้ว เวลานี้ตนควรจะอยู่ที่ใดสักแห่งในจักรวาลนี้ แต่การบินด้วยความเร็วสองชั่วยาม แม้ดวงจิตเทพจะถูกยับยั้งจากที่แห่งนี้อยู่บ้าง ทว่าก็เพียงพอแล้วที่จะบิยวนจักรวาลได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพื้นดินผืนเดียวแห่งนี้เลย
ทว่าจวบจนถึงตอนนี้ สิ่งที่รับรู้ก็คือ ที่แห่งนี้ไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย และก็ไม่ถึงสุดเขตพื้นดิน สิ่งมีชีวิตที่นี่ยังคงไร้ร่อยรอยใดๆ
“ไม่ค่อยถูก ที่นี่ไม่ควรไร้สิ่งมีชีวิต…ไม่เช่นนั้นที่ข้าเห็นในเต๋าแห่งฝันทั้งหมดก่อนหน้านั้น ดวงแสงมากมายมหาศาลนั่นจะเป็นใคร?”
หวังเป่าเล่อยืนอยู่ใต้ท้องฟ้าสีแดงก่ำ ก้มหน้ามองพื้นดิน ผ่านไปอึดใจก็แหงนหน้ามองฟ้า ในเมื่อผืนดินแห่งนี้ราวกับไม่มีจุดสิ้นสุด เช่นนั้นเขาจะลองไปดูท้องฟ้าแทน
คิดได้ดังนี้ หวังเป่าเล่อก็ลอยขึ้นสูงทันที มุ่งไปยังท้องฟ้าที่แดงก่ำด้วยความรวดเร็ว ทว่าท้องฟ้าผืนนี้ก็ช่างประหลาดอย่างยิ่ง คล้ายกับไม่มีจุดสิ้นสุดเช่นกัน ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะไปต่ออย่างไร แม้จะเข้าไปในท้องฟ้าจนลึก รอบด้านเต็มไปด้วยแสงสีแดง แต่ก็ไม่สามารถทะลุออกไปได้อยู่ดี
ราวกับโลกใบที่เขาอยู่นี้เหมือนไม่มีขีดจำกัด ทุกๆ ที่ล้วนเป็นที่ที่ยากจะก้าวออกไป
ถึงขนาดในตอนท้าย เหตุเพราะแสงสีแดงเข้มข้นเกินไปจนเกิดการเปลี่ยนแปลงน้อยๆ กลายเป็นหมอกสีแดง แต่เขาก็ยังคงติดอยู่ข้างในหาทางออกไม่เจอ
นี่ทำให้หวังเป่าเล่อคิ้วขมวดมุ่นยิ่งขึ้น นัยน์ตามีประกายเยียบเย็นพาดผ่าน หยุดนิ่งครู่หนึ่ง มือขวายกสูง เต๋าแปดปกมัตถ์ในร่างปะทุ ขณะที่พลังแห่งธาตุทั้งห้าไหลเคลื่อน ขณะที่เขากำลังจะระเบิดโลกใบนี้อย่างไม่อ่อนข้อ
ตอนนั้นเอง สีหน้าหวังเป่าเล่อก็เคร่งขรึม ภายในเขตดวงจิตเทพของเขาเกิดระลอกคลื่น หากเปรียบดวงจิตเทพเป็นดั่งผืนน้ำ เช่นนั้นระลอกคลื่นตอนนี้ก็เหมือนกับมีก้อนหินตกลงไป เกิดระลอกคลื่นเล็กๆ ขึ้นมา
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่รู้สึกถึงระลอกคลื่นนี้ ดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อก็เล็งเป้าหมายไว้อย่างรวดเร็ว รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าในหมอกแดงแห่งนั้น ตอนนี้มีเงาร่างหนึ่งอยู่ก่อนพุ่งเข้าไปหาอย่างเร็วรี่
เงาร่างนี้ประหลาดอย่างยิ่ง ทั้งๆ ที่เมื่อเปรียบกับความเร็วของหวังเป่าเล่อแล้วต่างกันอย่างเห็นได้ชัด แต่พลังปราณของหวังเป่าเล่อในเวลานี้ กลับมองเห็นเขาไม่ชัดเจน
รู้สึกเพียงรางๆ ในตอนที่สัมผัสได้ ราวกับความรู้สึกของอีกฝ่ายแฝงด้วยความยินดี ถึงขนาดในความรู้สึกของตนยังได้รับผลกระทบ เกิดความสุขลอยขึ้นมา
อีกทั้งข้างหลังของเงาร่างนี้ ก็ปรากฏอีกสองเงาร่างที่เลือนรางเหมือนกันกำลังไล่กวดด้วยความรวดเร็ว เงาร่างสองร่างนี้ยังพิสดารกว่าความรู้สึกยินดีร่างนั้น เพราะหากพูดให้ถูก พวกเขา…ไม่ใช่เงาร่างของมนุษย์ที่สมบูรณ์เสียแล้ว
ในความรู้สึกของหวังเป่าเล่อ ผู้ที่ไล่ตามทั้งสองคนนี้ร่างกายคล้ายกับอยู่ระหว่างจับต้องได้และจับต้องไม่ได้ ขณะที่จับต้องได้ก็พอแยกแยะเป็นร่างคน แต่ยามที่จับต้องไม่ได้กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งไว้เพียงทำนองเสียงที่หวังเป่าเล่อไม่เคยได้ยินมาก่อนสองเสียง หนึ่งเร็ว หนึ่งช้า ผ่านไปในสัมผัสสวรรค์ของเขา
หวังเป่าเล่อหรี่ตา เมื่อสังเกตอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกได้ว่าเงาร่างทั้งสามที่กำลังรุกไล่ในเวลานี้กำลังจะออกจากเขตดวงจิตเทพของตน ดังนั้นนัยน์ตาจึงทอประกายวาบ ก้าวออกไปก้าวหนึ่งและหายไปทันที
และปรากฏขึ้นอีกครั้งที่ตรงกลางของเงาร่างทั้งสาม การปรากฏตัวของเขากะทันหันเกินไป ทำให้ผู้ที่ถูกไล่กวดตกตะลึง ส่วนผู้ที่ไล่ตามทั้งสองก็ไม่ต่างกัน
เมื่อถึงตรงนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใด ด้วยดวงตา หวังเป่าเล่อก็เห็นพวกเขาได้อย่างชัดเจนแล้ว ผู้ที่ถูกไล่ฆ่าเป็นเด็กหนุ่ม สีหน้าขาวซีด ดูธรรมดา แต่ไม่รู้ว่าทำไมเมื่อเห็นเขา ความรู้สึกยินดีปรีดาในใจหวังเป่าเล่อก็เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
ส่วนผู้ที่รุกไล่ทั้งสอง ดูแล้วเป็นวัยกลางคน สีหน้าเยียบเย็น ให้ความรู้สึกโอหังและถือดีบางอย่าง
ทั้งสองคนดูเหมือนจะเหี้ยมกว่าหน่อย ทั้งๆ ที่หวังเป่าเล่อก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน แต่เมื่อผงะไป ความเร็วกลับไม่ตกลงแม้แต่น้อย และพุ่งไปยังหวังเป่าเล่อทันที ขณะที่พุ่งทะยานนั้น เงาร่างทั้งสองก็เลือนรางก่อนจางหายไป มีเพียงทำนองสองเสียงที่พุ่งมาทางหวังเป่าเล่อด้วยความเร็วดังชัดใกล้เข้ามามากขึ้น
“พวกเขาเป็นพลังเทพแบบไหน?” หวังเป่าเล่อประหลาดใจ หันไปมองเด็กหนุ่มที่ถูกไล่ฆ่าพร้อมเอ่ยถาม
เมื่อถามจบ ด้วยเสียงที่ดังเข้ามาในหูของหวังเป่าเล่อ ร่างกายของเขากลับเกิดอาการถูกควบคุม ถึงขั้นมีพลังประหลาดขุมหนึ่งผุดขึ้นในร่างของเขาอย่างป่าเถื่อน ราวกับจะระเบิดฝังเขา
หวังเป่าเล่อทึ่งเป็นอย่างมาก สำหรับทำนองเสียงทั้งสองแล้วก็เหมือนกับพลังของสัตว์ร้าย เหมือนกับเห็นไส้เดือน เขาสัมผัสมันอย่างถี่ถ้วนครู่หนึ่ง
ขณะเดียวกัน ผู้ที่ถูกไล่นั้น ชัดเจนว่าไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นใคร นัยน์ตาจึงเป็นประกาย ยิ้มเยาะในใจ
“เจอผู้ร่ำร้องแห่งเมืองปรารถนาเสียง กลับให้ท่วงทำนองร่ายไปตามอำเภอใจ คนผู้นี้น่าจะเป็นคนโบราณที่เพิ่งจะฟื้นตื่น ช่างโง่เขลาเสียจริง มีที่ไหนที่เจอหน้าก็ถามแบบนี้ มีแต่คนโง่ถึงจะบอกตามจริง” เด็กหนุ่มแค่นเสียง แววตาเหมือนมองคนตาย คล้ายกับรู้ได้ว่าพริบตาต่อมา ผู้ที่มาอย่างประหลาดนี้จะต้องตกตายอย่างแน่นอน ก่อนหันหน้าเพิ่มความเร็วหนีไป
และในขณะที่เขาไหวร่าง พริบตาที่เหาะไปไม่ถึงสิบจั้ง ทำนองเสียงทั้งสองด้านหลัง…ก็หยุดลง
หลังจากตะลึงงัน เด็กหนุ่มหันกลับไปตามสัญชาตญาณ พริบตาที่เห็นฉากเหตุการณ์ด้านหลังอย่างชัดเจน ดวงตาพลันเบิกกว้างราวกับเห็นผี
“เจ้าเจ้าเจ้า…”
เวลานี้ หวังเป่าเล่อที่เขาเห็นกำลังยืนอยู่ตรงนั้น ในง่ามนิ้วของมือข้างหนึ่งกำลังจับโน้ตดนตรีทั้งสอง สังเกตด้วยความสนใจ ดีดดึงเล่นไม่หยุด
ส่วนโน้ตดนตรีทั้งสอง ตอนนี้มันสั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับหวาดกลัวสุดขีด ส่งเสียงโอดครวญขณะดิ้นรนทำให้ท่วงทำนองเปลี่ยนไป
เมื่อครู่ เสียงดนตรีทั้งสองได้พุ่งชนพลังที่ยิ่งใหญ่ของเขาอย่างดุดันป่าเถื่อน จากนั้น…พวกมันก็เริ่มสั่นไหวอยากจะถอยกลับ แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ทันแล้ว
“พวกเขาเป็นพลังเทพแบบไหน?” เมื่อเห็นเด็กหนุ่มที่โดนไล่ฆ่าหยุดลง หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าถามด้วยความจริงจังอีกครั้งท่ามกลางเสียงโหยหวนดิ้นรนของตัวโน้ตทั้งสอง
เด็กหนุ่มสูดลมหายใจลึก หลังจากสับสนลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยตอบอย่างเชื่อฟัง
“ผู้อาวุโส พวกเขาเป็นผู้ฝึกตนของเมืองปรารถนาเสียง ฝึกเคล็ดวิชาเสียง เสียงที่ได้ยินทั้งหมดเป็นสภาพพลังเคล็ดวิชาของพวกเขาทั้งนั้น ผู้ที่ฝึกจนถึงระดับหนึ่งสามารถกลายร่างเป็นเสียงสัมผัสได้ เป็นอมตะ ไม่ตายไม่ดับ”
เด็กหนุ่มตอบอย่างละเอียด
…………………………………
แม้กลุ่มเมฆดำบนท้องฟ้ายังคงหนาแน่น แต่สายฝนกลับไม่ได้ยิ่งตกยิ่งแรง ยังคงรักษาระดับเปาะแปะปรอยๆ อยู่ตลอด ราวกับบนชั้นเมฆนั้นมีเซียนผู้หนึ่งที่กำลังบิดอย่างช้าๆ ไม่ออกแรงสักเท่าไร
ดังนั้น เมื่อมองจากไกลๆ แม้ฉากฝนจะกลายเป็นม่านมุก แต่ก็มีความสวยงามต่างออกไป ทำให้ทั่วทั้งคูเมืองตกอยู่ท่ามกลางความขมุกขมัวดั่งภาพลวงตาที่ปรากฏกลางน้ำราวกับเป็นของจริง
ฟ้าค่อยๆ มืดลง บางทีอาจเป็นเพราะอาทิตย์ยามอัศดงถูกกลุ่มเมฆบดบัง แสงจึงลอดออกมาจากกลุ่มชั้นเมฆไม่มากนัก ทำให้ยามตะวันรอนนี้มีเพียงส่วนที่ถูกแสงส่องถึงเป็นปกติ ส่วนที่อื่นๆ ราวกับถูกความมืดคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว
เสียงเซ็งแซ่ของผู้คนบนท้องถนนยังคงเดิม พ่อค้าและเด็กน้อยก็ยังเป็นเหมือนตอนที่หวังเป่าเล่อลืมตามอง ดูไม่แตกต่างสักเท่าไรนัก และชายขี้เมาในตรอกนั้นที่พลิกตัวนอนกรนก็กำลังฝันหวาน
“น่าสนใจ” ในพระราชวัง หวังเป่าเล่อก้าวเดินไปอย่างไม่เร่งร้อน สีหน้าเป็นปกติ มีเพียงนัยน์ตาที่ฉายแววครุ่นคิดวาบผ่าน
“มิติฝันนี้ราวกับแฝงความนัยลึกซึ้ง” หวังเป่าเล่อพลันชะงักเท้า หันหน้ามองตำหนักที่จักรพรรดิเสวียนเฉินอยู่ ด้วยพลังปราณของเขาในตอนนี้ย่อมมองออกว่าจักรพรรดิเสวียนเฉินนั้นผิดปกติ
ดูคล้ายไม่ค่อยปราดเปรียวเท่าไรนัก ราวกับมีแม่แบบกำหนด ถูกวางพฤติกรรมและคำพูดคำจาไว้ก่อนแล้ว เป็นเหมือนกับสรรพสิ่งนอกพระราชวังแห่งนี้ ที่เห็นแค่ปราดเดียวก็สมจริงราวกับมีชีวิต ทว่าเมื่อพินิจให้ละเอียดก็เป็นเหมือนกับจักรพรรดิเสวียนเฉินทั้งสิ้น
“มีเพียงอู๋น้อย…” ขณะที่หวังเป่าเล่อพึมพำแล้วเดินไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง พริบตาต่อมาเงาร่างของเขาก็หายไปทันที ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ตำหนักข้างแห่งหนึ่ง เห็นอู๋น้อยที่กลับมาอย่างร้อนรนด้วยความน้อยใจและปั้นปึ่ง
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่หวังเป่าเล่อเห็นอู๋น้อย อู๋น้อยเองก็เห็นหวังเป่าเล่อ เท้าหยุดชะงักก่อนเอ่ยออกมา
“เจ้าไม่ควรมา ”
เมื่อคำพูดนี้ลอยมา ความปราดเปรียวบนร่างของเขาราวกับวิ่งหนีไป แล้วหายลับอย่างไร้ร่องรอย ทั้งร่างกลายเป็นเหมือนจักรพรรดิเสวียนเฉิน อารมณ์ความรู้สึกนัยน์ตาก็หายไปกลายเป็นราบเรียบ
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงทันที เลิกสนใจอู๋น้อยก่อนไหวร่างครั้งหนึ่งพร้อมตะปบลงบนกระหม่อมของอู๋น้อย เขารู้สึกได้ว่าเมื่อครู่นี้ ความคล่องแคล่วปราดเปรียวบนร่างเขาราวกับได้กลายเป็นจิตสำนึกสายหนึ่งที่กำลังจะลอยจากไปด้วยความเร็วรี่
แต่จิตสำนึกที่ปราดเปรียวสายนี้ซับซ้อนมาก เมื่อหวังเป่าเล่อคว้าได้ จิตสำนึกนี้ก็ดูเหมือนถูกจับไว้ ทว่าพริบตาต่อมากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว
“เป็นสีสันหนึ่งเดียวในภาพขาวดำงั้นหรือ?”
“จิตสำนึกนี้อยู่ในร่างใคร ผู้นั้นก็จะปราดเปรียวคล่องแคล่วราวกับมนุษย์จริง ส่วนเจ้าของมิติฝันก็คือเจ้าของของจิตสำนึกสายนี้”
หวังเป่าเล่อพลันเข้าใจกระจ่าง ถือโอกาสเดินไปทางท้องฟ้า เพียงไม่กี่ก้าวก็ออกจากพระราชวังก่อนปรากฏขึ้นอีกครั้งที่กลางท้องนภาของคูเมืองแห่งนี้ เขาก้มหน้ามองไปทางคูเมือง ค้นหาร่องรอยของของจิตสำนึกปราดเปรียวสายนั้น หวังเป่าเล่อหาตำแหน่งของมันพบแทบจะในพริบตา ประกายวาววับพาดผ่านนัยน์ตา จับจ้องอยู่ที่ร่างชายขี้เมาซึ่งกำลังนอนกรนหลับลึกอยู่ในตรอกแห่งหนึ่ง
ทว่าพริบตาที่หวังเป่าเล่อกำลังจะเข้าไป ตอนนั้นเองสิ่งมีชีวิตทั้งหลายในคูเมืองแห่งนี้ ไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ล้วนเงยหน้าขึ้นทั้งหมด ทั้งคนเดินถนน พ่อค้า เด็กเล็ก นักร้อง เวลานี้ต่างเงยหน้ามองมายังหวังเป่าเล่อที่อยู่บนฟ้า
“เจ้าไม่ควรมา”
“เจ้าไม่ควรมา”
“เจ้าไม่ควรมา”
คำพูดแบบเดียวกันลอยออกมาจากทุกคนที่เงยหน้ามองหวังเป่าเล่อในคูเมืองแห่งนี้ เมื่อประสานเข้าด้วยกันก็เป็นดั่งการคำรามของคูเมืองราวกับระเบิดก้องฟ้า ราวกับพายุโหมซัดสาด สะเทือนเลื่อนลั่นฟ้าดิน
กลายเป็นอุปสรรคแข็งแกร่งขุมหนึ่งที่ราวกับจะขัดขวางดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อ และในเวลาเดียวกันก็มีแรงขับไล่อันน่าสะพรึงขุมหนึ่งระเบิดสนั่นขึ้น แรงขับไล่นี้มาจากสิ่งมีชีวิตแห่งนี้ ราวกับด้วยการประสานรวมกันของดวงจิต พวกเขาได้เข้าใช้แทนเต๋าสวรรค์ ใช้แทนกฎเกณฑ์
ดังนั้น การไม่ต้อนรับของพวกเขาได้ส่งผลให้โลกผืนนี้กลายเป็นแรงขับไล่หวังเป่าเล่อแทน
หวังเป่าเล่อมุ่นคิ้ว มือขวายกขึ้นช้าๆ ขณะที่กำลังจะสะกด ตอนนั้นเองเสียงไอค่อกแค่กก็ลอยออกมาจากชายขี้เมาในตรอกแห่งนั้น
จากนั้น โลกใบนี้ก็กลับมาเป็นดังเดิมทันที ราวกับทุกคนลืมการโห่ร้องก่อนหน้า ทยอยกันกลับคืนเป็นปกติ ขณะเดียวกัน เปลือกตาปรือปรอยของชายขี้เมาก็ลืมขึ้นช้าๆ และพริบตาที่ดวงตาทั้งสองข้างเปิดขึ้น…
สายฝนที่ตกลงในคูเมืองแห่งนี้พลันหยุดลง แม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตก็เป็นเช่นเดียวกัน เพิ่งจะฟื้นคืนกลับมา คนเดินถนนที่กำลังรีบเร่งไม่ขยับเขยื้อน พ่อค้าที่หยิบของให้ลูกค้าก็ค้างเติ่งในท่าหยิบของ เด็กน้อยที่เริงร่าก็หยุดอยู่ในท่าวิ่งเช่นเดียวกัน
แววตาลึกล้ำพาดผ่านนัยน์ตาหวังเป่าเล่อ เขาสาวเท้าลงมาจากท้องฟ้าไปยังตรอกเส้นนั้น ยืนอยู่หน้าชายขี้เมาที่ในเวลานี้ลุกขึ้นจากท่าเอนนอนอยู่ในท่านั่งพิงกำแพง
ผมเผ้าของเขากระเซอะกระเซิง ดวงตาขมุกขมัว ร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นสุรา แต่ก็ยังพอมองออกได้อย่างเลือนรางว่าเหมือนกับจักรพรรดิเสวียนเฉินไม่ผิดเพี้ยน
เมื่อเห็นเช่นนี้ ดวงตาหวังเป่าเล่อก็กระจ่างใส ในใจได้คำตอบแล้ว คนตรงหน้าถึงจะเป็นจักรพรรดิเสวียนเฉินตัวจริง นี่คือมิติฝันของเขา ส่วนคนที่อยู่ในพระราชวังผู้นั้นก็เป็นแค่ตัวเองในความฝันของคนผู้นี้เท่านั้น ล้วนเป็นมายา
ชายขี้เมาในเวลานี้ศีรษะเอียงพิงกำแพงพลางหยิบกาสุราข้างกายขึ้นมา เมื่อดื่มน้ำเมาที่เหลือไม่มากไปอึกหนึ่งก็พ่นลมหายใจผสมกลิ่นสุราออกมายาวๆ ก่อนมองไปยังหวังเป่าเล่อ
“เจ้าว่างมากจนมารบกวนฝันหวานผู้อื่น หากไม่ใช่เพราะบนตัวเจ้ามีกลิ่นอายไม่ได้เรื่องของลูกข้า ข้าคงไล่เจ้าออกไปแต่แรกแล้ว”
“ผู้อาวุโส ขออภัยที่รบกวน” หวังเป่าเล่อประสานมือคารวะเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เข้ามิติฝันมาที่นี่ ตามหาเจ้าของความฝัน เจ้าจะยืมใช้มิติฝันเข้าไปในมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด?” ชายขี้เมาเขย่ากาสุราในมือไปมาก่อนโยนไปข้างๆ
“ผู้อาวุโสโปรดช่วยเหลือด้วย” หวังเป่าเล่อไม่แปลกใจที่คนตรงหน้ารู้สิ่งเหล่านี้ สำหรับชนชั้นสูงอย่างจักรพรรดิเสวียนเฉิน เรื่องราวต่างๆ เพียงปราดเดียวก็มองทะลุปรุโปร่ง
“ฟ้าใกล้มืดแล้ว” ชายขี้เมาเอ่ยตอบทันที คำพูดนี้ดูไม่เกี่ยวข้องกับบทสนทนาก่อนหน้า ก่อนปิดตาลง
“หืม?” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก ทว่าพริบตาถัดมาสีหน้าก็ต้องเปลี่ยนไป ดวงจิตเทพกวาดไปทั่วเมือง เวลานี้เมฆดำบนฟ้าได้บดบังแสงอาทิตย์สุดท้ายจนมิด พื้นดินมืดสลัว ขณะเดียวกันสิ่งมีชีวิตที่เดิมถูกหยุดค้างไว้ ตอนนี้ก็ฟื้นคืนกลับมาทั้งหมดแล้ว
แต่…สีหน้าท่าทางของพวกเขากลับแตกต่างไปจากตอนกลางวันโดยสิ้นเชิง อิงแอบอยู่ด้วยกัน คู่รักที่อยู่ใต้ร่มกระดาษน้ำมันคันเดียวกันระหว่างเดินไปเบื้องหน้าพลันทะเลาะกันขึ้นมา สีหน้าทั้งคู่ดูน่าเกลียดพ่นคำว่าร้าย
เด็กน้อยที่กำลังเล่นซุกซน เพียงพริบตาก็ดูดุร้ายตบตีกัน
อีกทั้งพ่อค้าที่กำลังค้าขายอยู่ก็ควักมีดออกมาจากอกอย่างกะทันหัน กระโจนไปทางลูกค้าแทงออกไปอย่างโหดเหี้ยม
แม้แต่นักร้องที่เดิมกำลังร้องรำทำเพลงก็เช่นกัน ราวกับกลายเป็นปีศาจร้าย ทุกๆ คนทั่วทั้งคูเมืองล้วนเป็นเช่นนี้ คูเมืองตอนกลางวันสามัคคีสงบสุข ยามค่ำคืนราวกับเป็นเมืองปีศาจ
เสียงคำราม เสียงกรีดร้อง เสียงก่นด่า เสียงบ้าคลั่งล้วนระเบิดออกมาในเวลานี้
กลางวันดั่งมิตรภาพ
กลางคืนชั่วร้ายอย่างยิ่ง
เหตุการณ์ฉากนี้ทำให้เกิดคลื่นลูกยักษ์ขึ้นในใจของหวังเป่าเล่อ เขาไม่เข้าใจ ต้องเป็นสภาพจิตใจแบบไหนกันถึงจะสามารถทำให้เกิดภาพดีและร้ายกลับไปกลับมาเช่นนี้ให้เกิดขึ้นในความฝันได้
“ในฝันนี้ แต่ละคนล้วนมีด้านดีและด้านร้าย” ชายขี้เมาหลับตาลงท่าทางคล้ายละเมอพูด ไม่รู้ว่าคลำหยิบกาสุราอีกกาหนึ่งมาจากตรงไหนข้างกาย
“เจ้าอยากใช้ข้าเป็นทางผ่านไปจากที่นี่ เข้าสู่มิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด เช่นนั้นเจ้าต้องตอบคำถามข้าข้อหนึ่งก่อน เจ้าว่า…”
“ข้าดีหรือชั่ว?”
“หากเดาถูก ข้าจะยอมฟื้นตื่นให้เจ้าเข้าไปในมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด หากเดาผิดหวังว่าเจ้าจะจากไป เจ้า…ไม่ควรมา”
หวังเป่าเล่อมองไปยังชายขี้เมา เงียบงันครู่ใหญ่ก่อนเงยหน้ามองไปทางพระราชวัง
“มองว่าดีก็ดี มองว่าชั่วก็ชั่ว อยู่กับความคิดของท่าน”
เมื่อคำพูดนี้ลอยออกมา ท่วงท่าที่กำลังจะยกกาสุราของชายขี้เมาพลันชะงัก นิ่งงันไปทั้งร่าง ครู่ต่อมาดวงตาที่ปิดอยู่ค่อยๆ เปิดออก เส้นเลือดแผ่กระจายแฝงด้วยความซับซ้อนยากจะเอื้อนเอ่ย ก่อนมองไปยังหวังเป่าเล่ออีกครั้ง
“เป็นเจ้าจริงสินะ…” ชายขี้เมางึมงำพลางยิ้มเฝื่อน มือขวายกโบกเต็มแรง เพียงพริบตาโลกที่คูเมืองอยู่พลันพร่ามัวทันที ราวกับฟองอากาศที่แตกละเอียดเริ่มจากขอบทั้งสองก่อนค่อยๆ จางหายไป
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว คำพูดเมื่อครู่ของจักรพรรดิเสวียนเฉินทำให้เขารู้สึกประหลาดชอบกล
“ผู้อาวุโสหมายความเช่นไร?”
ชายขี้เมาไม่ตอบ แต่กลับหัวเราะร่า หัวเราะไปหัวเราะมา โลกใบนี้ก็ยิ่งพร่ามัว กระทั่งตรอกที่พวกเขาอยู่ก็เริ่มจะเลือนหายไป
มีเพียงเสียงหัวเราะที่ซับซ้อนและฝืดเฝื่อนของเขาที่สะท้อนก้องอยู่
“เดิมเฝ้าตะเกียงน้ำมันเดินทางธรรม กลับติดอยู่ในโลกวุ่นวายด้วยสุรา สามชาติมีโชคได้พบเจ้า เจ้าเป็นทั้งรางวัลและด่านเคราะห์…”
”ผู้อาวุโส?” สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน ถ้อยคำนี้ทำให้ความรู้สึกประหลาดในใจทวีความรุนแรงขึ้น
“ข้าถามเจ้าอีกสักข้อ” ทั้งคูเมืองนี้ แม้แต่ตรอกเส้นนี้ เวลานี้ล้วนจางหาย ร่างของชายขี้เมาก็เช่นเดียวกัน แต่ขณะที่เขากำลังจะจางสลายไปจนสิ้น ชายขี้เมาก็มองหวังเป่าเล่อพร้อมเอ่ยขึ้นว่า
“เจ้าล่ะ? ดี ชั่ว หรือ…ขึ้นอยู่กับความคิดเหมือนกัน?”
……………………………………….
ชื่ออาณาจักรพิภพทมิฬนี้ หลังจากที่หวังเป่าเล่อเคยได้ยินจากอู๋น้อยเมื่อหลายปีก่อนก็ค้นหาอยู่นาน กล่าวให้ถูกคือ ในโลกแห่งศิลาก็เคยมีอาณาจักรพิภพทมิฬมาก่อน ทว่าอาณาจักรพิภพทมิฬนั้นไม่ใช่อาณาจักรพิภพทมิฬเดียวกัน
จนกระทั่งวันนี้ อ้อมวนรอบใหญ่ กลับได้มาในอาณาจักรพิภพทมิฬที่แท้จริงด้วยวิธีเช่นนี้
มองรูปสลักของพระราชวังที่ไกลออกไป มองผู้คนบนท้องถนนที่เดินขวักไขว่แม้จะอยู่ท่ามกลางสายฝน ในใจหวังเป่าเล่อก็สั่นไหว เขาเห็นในฝูงชนมีเงาร่างโดดเดี่ยว มีชายหญิงอิงแอบใต้ร่มคันเดียวกัน มีผู้รีบร้อนเดินทาง และก็มีผู้ที่เดินทอดน่องอย่างยินดีปรีดา
เขาเห็นพ่อค้าที่กำลังกางเต็นท์ค้าขาย เห็นนักร้องหญิงที่ใช้พัดบังใบหน้าครึ่งล่างมองผู้คนที่เดินอยู่นอกหน้าต่าง เห็นแม่ที่ดึงหูเด็กดื้อในสวนที่ไกลออกไป และที่ไกลออกไปกว่านั้นก็มีองครักษ์กลุ่มหนึ่งเดินผ่านไป
ยังมีขี้เมาที่นอนในตรอก แม้จะถูกความเย็นของน้ำฝนปลุกตื่นแต่ก็ไม่ลุกขึ้น ทำเพียงบ่นงึมงำก่อนพลิกตัวนอนต่อ ยังมีโจรลักเล็กขโมยน้อยท่ามกลางฝูงชน และที่ไกลกว่านั้นยังมีพ่อค้ามั่งคั่งที่เดินออกมาจากจุดที่นักร้องหญิงอยู่ด้วยใบหน้าแดงก่ำ
สิ่งเหล่านี้สะท้อนสู่นัยน์ตาหวังเป่าเล่อ เขาหลับตาลง
เสียงเซ็งแซ่ค่อยๆ คืบคลานไปในสัมผัสสวรรค์ของเขา มีทั้งเสียงย่ำเดิน เสียงฝนตกกระทบพื้น เสียงเรียกลูกค้าของพ่อค้า และเสียงหัวเราะเฮฮาของเด็กน้อยที่เล่นสนุกท่ามกลางสายฝน
รูปแบบชีวิตผู้คนราวกับภาพวาด ปรากฏขึ้นมุมหนึ่งในใจของหวังเป่าเล่อเวลานี้
เสียงต่างๆ นานา ที่ได้ยินสอดประสานเป็นโลกใบนี้ ขณะที่สะท้อนสู่สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อ เขาที่ถือร่มกระดาษน้ำมันลืมตามองเด็กน้อยที่มัดผมจุกตรงหน้า ในใจก็รู้สึกทอดถอนยิ่งนัก
เด็กคนนี้กำลังไล่ตามเพื่อน วิ่งผ่านหน้าหวังเป่าเล่อไป แม้จะเปียกฝนจนตัวชุ่มแต่ก็ยังคงสนุกสนาน แม้จะหกล้มเปรอะน้ำฝนบนพื้นก็ยังคงลุกขึ้นวิ่งต่อไปอย่างร่าเริง
เพียงแต่หลังจากวิ่งไปอีกหลายก้าว คล้ายกับว่ารู้ได้ถึงหวังเป่าเล่อ บางทีอาจรู้สึกว่าในโลกที่ไม่หยุดนิ่งนี้ ราวกับปรากฏผู้ที่หยุดนิ่งจึงรู้สึกประหลาดก่อนหันกลับไปมองเขาคราหนึ่ง
เด็กน้อยนัยน์ตากระจ่างใส สีหน้าอยากรู้อยากเห็น เมื่อประสานสายตาเข้ากับหวังเป่าเล่อก็แลบลิ้นใส่เขาก่อนวิ่งไปไกล
มองเงาหลังเด็กน้อยที่ลับตาไปตรงมุมถนนแล้ว หวังเป่าเล่อก็ยกยิ้ม ทุกๆ สิ่งในที่แห่งนี้เกิดอยู่ในมิติมายาของใครผู้หนึ่งในมิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด ความฝันนี้ช่างเหมือนจริง แม้โลกในห้วงมิติฝันนี้จะมีเพียงคูเมือง แต่ในคูเมืองนี้ไม่ว่าจะเป็นอิฐกำแพงหรือผู้คนทั้งหลายล้วนสมจริงอย่างมาก
“มีเพียงตั้งมั่นอย่างลึกล้ำถึงจะสร้างมิติฝันที่สมจริงเช่นนี้ได้” หวังเป่าเล่อพึมพำ แหงนมองไปทางพระราชวัง ผู้ที่สามารถถักทอมิติมายาเช่นนี้ออกมาได้ นอกจากความตั้งมั่นแล้วยังต้องมีพลังอันน่าสะพรึงอีกด้วย
มีเพียงเช่นนี้ถึงจะสามารถสร้างมิติมายาที่มีคูเมืองพระราชวังสมจริง ถึงขั้นที่ทำให้คนยากที่จะแยกแยะและลุ่มหลงได้ง่ายๆ
ทำได้ถึงขั้นนี้ที่อาณาจักรพิภพทมิฬน่าจะมีไม่มาก หวังเป่าเล่อใช้ดวงจิตเทพกวาดดู มีแค่เพียงในพระราชวังเท่านั้นที่มีร่องรอยพลังงานขุมหนึ่งกำลังหลับใหลอยู่
ร่องรอยพลังงานขุมนี้แข็งกล้านัก แม้จะเป็นระดับปราณของหวังเป่าเล่อตอนนี้ก็ยังรู้สึกว่าแกร่งกล้ายิ่งกว่าสถานะของเขา…เดาได้ง่ายมาก คนผู้นั้นก็คือบิดาของอู๋น้อย จักรพรรดิเสวียนเฉิน!
“นี่คือมิติฝันของจักรพรรดิเสวียนเฉิน?” หวังเป่าเล่อไม่ค่อยมั่นใจเท่าไร จากความเข้าใจของเขา จักรพรรดิเสวียนเฉินสามารถถักทอมิติฝันคูเมืองที่มีพระราชวัง สรรพสิ่งที่ราวกับของจริงเช่นนี้ได้แน่นอน ทว่านี่ยังไม่ใช่จุดสูงสุด จากการสัมผัสรู้ที่หวังเป่าเล่อมีจากก้าวที่ห้า หากจักรพรรดิเสวียนเฉินต้องการล่ะก็ เขาทำได้ถึงถักทออวกาศผืนหนึ่งออกมาได้เลย
ดังนั้นขณะที่พึมพำ หวังเป่าเล่อที่ถือร่มกระดาษน้ำมันในมือจึงก้าวไปข้างหน้า ย่างก้าวนั้นไม่ได้รีบร้อน เดินอยู่ในสายฝน เดินไปทางพระราชวัง ระหว่างทางเขาปรากฏอยู่ในสายตาของฝูงชนจำนวนมาก ทว่าเพียงพริบตาก็ไม่มีใครจดจำเขาได้เลยสักนิด
ราวกับมิติมายานี้ทุกอย่างล้วนมีตรรกะที่กำหนดไว้ การมาของหวังเป่าเล่อไม่มากพอที่จะก่อกวนมันได้ เขาจะอยู่หรือไม่อยู่มิติมายาก็ยังคงเคลื่อนต่อไป
ดำเนินไปเช่นนี้ ท่ามกลางสายฝน หวังเป่าเล่อเดินไปเรื่อยๆ จนผ่านมุมถนน ผ่านถนนใหญ่ และสุดท้ายก็ปรากฏอยู่ที่หน้าพระราชวัง เขายืนแหงนหน้ามองรูปสลักนกแก้วขนาดใหญ่ที่ด้านบน
ขณะที่ดูเลือนรางก็รู้สึกเหมือนคิดไปเอง ราวกับตอนนี้นกแก้วตัวนี้ก็กำลังก้มมองมายังตนเช่นกัน
จ้องมองเป็นเวลานาน หวังเป่าเล่อราวกับจมอยู่ในความคิด ก่อนถอนสายตากลับ ยกเท้าขึ้น เมื่อย่ำลงอีกครั้ง ร่างของเขาก็หายวับไปจากนอกพระราชวัง แล้วปรากฏขึ้นอีกครั้งที่ตำหนักแห่งหนึ่งในพระราชวัง
ที่นี่คล้ายกับเป็นห้องหนังสือของจักรพรรดิเสวียนเฉิน วางเต็มไปด้วยม้วนหนังสือไม้ไผ่ ที่ด้านหลังโต๊ะยาวขนาดใหญ่หรูหราโอ่อ่า หวังเป่าเล่อเห็นจักรพรรดิเสวียนเฉินนั่งอยู่ตรงนั้นราวกับภูเขายักษ์ลูกหนึ่ง
รูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางน่าเกรงขาม สวมชุดสีน้ำเงินเรียบง่าย เวลานี้กำลังนั่งก้มหน้าอ่านหนังสือม้วนไม้ไผ่ในมืออยู่ตรงนั้น ท่าทางดูสงบ ทว่าในร่างของเขาราวกับมีพายุที่สามารถทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง แม้เพียงสายตาที่ทอดมองก็สามารถสร้างความเสียหายเหมือนกับตนได้มองเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น
เหมือนกับเต๋าของร่างนี้น่ากลัวเกินไป มีกฎเกณฑ์อันน่าสะพรึง ราวกับวังวนขนาดใหญ่ที่สามารถดูดกลืนทุกสิ่ง
แม้หวังเป่าเล่อจะเป็นวังวนเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับเขาแล้ว นั่นก็ยังไม่พอ ทำได้เพียงปกป้องไม่ให้ตนได้รับผลกระทบ
ในเวลานี้ ทั่วทั้งตำหนัก นอกจากจักรพรรดิเสวียนเฉินและหวังเป่าเล่อแล้วก็ไร้เงาร่างผู้ใดอีก เงียบสงัดมาก
หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ เขามองจักรพรรดิเสวียนเฉิน สัมผัสถึงแรงบีบคั้นอันเปี่ยมล้นที่แผ่มาจากเขา ขณะที่เฝ้าสังเกตอย่างเงียบเชียบ จักรพรรดิเสวียนเฉินที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็เอ่ยขึ้นทันที
“เจ้าไม่ควรมา”
เมื่อคำพูดลอยออกมา เสียงฟ้าผ่าสะท้อนก้องท้องฟ้าด้านนอก สายฟ้าฟาดลงหลายสาย ทำให้เกิดแสงวาบขึ้นในเมฆดำที่บดบังอาทิตย์ยามอัศดง
หวังเป่าเล่อหรี่ตายังคงนิ่งเงียบเช่นเดิม เขาเพียงหันหน้ามองด้านนอกตำหนัก ในเวลานี้ตรงนั้นมีผู้เยาว์คนหนึ่งสวมชุดคลุมยาว เท้าข้างหนึ่งก้าวเข้ามาในตำหนักแล้วแต่กลับลังเล เอ่ยเสียงเบาอย่างระมัดระวัง
“ท่านพ่อ ข้า…”
ชายหนุ่มผู้นี้ก็คืออู๋น้อยในความทรงจำของหวังเป่าเล่อ กลิ่นอายบนร่างของเขาแตกต่างจากสรรพสิ่งในคูเมืองแห่งนี้อยู่บ้าง ดูว่องไวปราดเปรียวกว่ามาก
“ออกไป” อู๋น้อยยังไม่ทันกล่าวจบก็ถูกจักรพรรดิเสวียนเฉินที่นั่งอยู่ตรงนั้นเอ่ยขัด เสียงเย็นชาลอยมาขณะยังคงก้มหน้า
“ท่านพ่อ ข้า…ข้าอยากออกไป ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ ข้า…”
“ไปซะ!” จักรพรรดิเสวียนเฉินเสียงดังขึ้น ท้องฟ้าด้านนอกก็ยิ่งกระหน่ำโครมครามจนอู๋น้อยตกใจหน้าซีด หดเท้าที่ก้าวเข้าไปในตำหนักกลับมาทันที ขณะที่ได้แต่รับคำ สีหน้าแดงก่ำก็คล้ายกับเก็บกลั้นความน้อยใจและความโมโห ปรายตามองหวังเป่าเล่อครั้งหนึ่งก่อนหมุนตัวจากไป
หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย มองเงาหลังอู๋น้อย เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายดูแปลกไปจากสิ่งที่อยู่ในมิติฝันนี้
“สหายเต๋ามาที่นี่ ไม่ว่าเจ้าจะมาด้วยเหตุใด ที่นี่ก็ไม่ต้อนรับ เจ้าจะไปหรือไม่?” พริบตาที่หวังเป่าเล่อหันมองเงาหลังอู๋น้อย ด้านหลังของเขาก็มีเสียงเย็นยะเยือกที่แฝงไอสังหารลอยมา
จักรพรรดิเสวียนเฉินที่นั่งก้มหน้าอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา ตอนนี้ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาคล้ายกับมีสายฟ้า มองหวังเป่าเล่ออย่างเยียบเย็น
หวังเป่าเล่อหันกลับไปมองจักรพรรดิเสวียนเฉิน คิ้วขมวดมุ่นอีกครั้ง เดิมเขาคิดว่านี่คือมิติฝันของจักรพรรดิเสวียนเฉิน และสิ่งที่เห็นก็สอดคล้องกับการคาดเดาของตนอยู่ทีเดียว แต่อู๋น้อยเมื่อครู่…ดันว่องไวปราดเปรียวกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ
“นี่เป็นมิติฝันของใครกันแน่?” หลังจากพึมพำครู่หนึ่งก็ประสานมือคำนับจักรพรรดิเสวียนเฉิน
“รบกวนแล้ว” กล่าวจบก็หันกายจากไป
สายตาจักรพรรดิเสวียนเฉินทอดมองที่หวังเป่าเล่อตลอดเวลา จนกระทั่งเงาร่างของเขาหายลับไปแล้วถึงถอนสายตากลับมาแล้วก้มหน้าลงอีกครั้ง อ่านหนังสือม้วนไม้ไผ่ในมือนิ่งๆ ไม่ขยับเขยื้อน
และในเวลานี้ ด้านนอกพระราชวัง ในตรอกที่น้อยคนจะสนใจเส้นนั้น ขี้เมาวัยกลางคนผู้ถูกสายฝนกระทบจนตื่นก่อนพลิกกายนอนต่อก็บ่นงึมงำออกมา
“ทำไมฝนตกอีกแล้วเล่า ช่างรบกวนฝันหวานของข้าเสียจริง…”
……………………………………….
สำหรับอารยธรรมทั้งหลายในจักรพิภพนับไม่ถ้วนของมหาจักรวาล สถานที่ที่หวังเป่าเล่อมาเยือนคือสถานที่ที่ในชีวิตนี้พวกเขาไม่อาจเข้าถึงได้
กล่าวได้ว่าสิ่งมีชีวิตเกือบทั้งหมดในมหาจักรวาลนี้ไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ในจักรวาลที่พวกเขาอาศัยอยู่นั้นมีพื้นที่ต้องห้ามอย่างมิติเต๋าต้นกำเนิดนี้อยู่ด้วย
เพราะมันเก่าแก่มากเกินไป กาลเวลาที่แฝงอยู่ในนั้นสามารถสืบย้อนไปได้ถึงจุดเริ่มต้นของมหาจักรวาล ด้วยเหตุนี้มันจึงลึกลับและคาดเดาไม่ได้
มีอารยธรรมเพียงไม่กี่แห่งที่เก่าแก่พอๆ กับประวัติศาสตร์ของมหาจักรวาลที่สามารถบันทึกเรื่องนี้ไว้เป็นจุดเล็กๆ ในตำราหายาก
หากมีความสามารถในการจัดระเบียบบันทึกของอารยธรรมโบราณเหล่านี้เข้าด้วยกัน ก็จะเจอร่องรอยของเจ้าแห่งมิติเต๋าต้นกำเนิดจากบันทึกเหล่านั้น
สิ่งมีชีวิตแรกที่ถือกำเนิดขึ้นในยุคเริ่มจักรวาล
จักรวาลอันอิสระพร่างพราวดวงดารา มหาเทพถือกำเนิดขึ้นหลังจากนั้น ค่อยๆ กดขี่ข่มเหงสิ่งมีชีวิตแต่ละราย
แข็งแกร่ง ไร้พ่าย
ครอบงำ บ้าคลั่ง
มิติเต๋าต้นกำเนิดที่เขาอยู่นั้นเปรียบเสมือนคุก ผู้ทรงพลังที่ถูกเขาข่มเหงล้วนไม่อาจจากไปได้ตลอดกาล ทำได้เพียงเชื่อฟังคำสั่งถักทอจักรวาลของตนอยู่ในนั้น จนกลายเป็นจักรวาลย่อย 108 แห่ง
และจักรวาลทั้ง 108 แห่งนี้ก็ถูกถักทอเข้าด้วยกันกลายเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าแห่งมิติเต๋าต้นกำเนิดผู้นั้น
ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดเจ้าแห่งมิติเต๋าต้นกำเนิดผู้นี้ถึงต้องสยบผู้ทรงพลังทั้ง 108 คนที่ถือกำเนิดขึ้นหลังจากการกำเนิดของเขาไว้ในจักรวาลของเขาเอง
แม้จะมีการคาดเดา แต่ส่วนใหญ่ต่างคิดว่านี่อาจเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชา
แต่ความจริงคืออะไร น้อยคนนักจะรู้
ทั้งหมดนี้คือคำอธิบายเกี่ยวกับมหาเทพและมิติเต๋าต้นกำเนิดของเขาในบันทึกของอารยธรรมต่างๆ
บันทึกเหล่านี้ล้วนจบลงเหมือนกัน นั่นคือ…มหาเทพผู้นี้เป็นบ้าและต้องการหลอมรวมกฎหลักของมหาจักรวาล ด้วยเหตุนี้จึงเกิดหายนะไม้ห้าธาตุ
จนถึงตอนนี้ข่าวลือเกี่ยวกับเขาค่อยๆ หายไปกับกาลเวลา มิติเต๋าต้นกำเนิดก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของทุกชีวิต
หลังจากนั้นผู้ที่เก่งพอจะรับรู้ถึงสถานที่และประวัติศาสตร์นี้จึงมีเพียงผู้ที่ฝึกฝนจนถึงขั้นที่ห้าเท่านั้น
และมีเพียงพวกเขาที่สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของมิติเต๋าต้นกำเนิดตรงใจกลางมหาจักรวาล
เพราะที่นั่น…ไม่มีกฎ ไม่มีข้อบังคับ ไม่มีร่องรอยเต๋าราวกับว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง
ในทำนองเดียวกันแม้พวกเขาจะทราบถึงสถานที่แห่งนี้แล้วและยังพบร่องรอยจากเบาะแสเหล่านั้น ทว่า…นับแต่โบราณมาไม่เคยมีใครรอดชีวิตออกมาได้
ไม่มีเลย
หมอกสีแดงแยกตัวเป็นเอกเทศจากทุกสิ่ง ทุกคนที่เหยียบเข้าไปล้วนหายสาบสูญ
ผู้ที่มีความสามารถพอจะเหยียบเข้าไปและออกมาได้อย่างแท้จริงมีเพียงหยิบมือ และสำหรับพวกเขา มิติเต๋าต้นกำเนิดเป็นอาณาเขตของผู้ทรงพลังเก่าแก่ผู้นั้น ไม่มีเหตุผลที่จำเป็นต้องเข้าไป อีกอย่างพวกเขาเองก็ไม่ต้องการให้เกิดการต่อสู้ที่ไม่จำเป็นขึ้น ดังนั้นจึงไม่มีใครย่างกรายเข้าไปโดยง่าย
เพราะหากเกิดการต่อสู้…มหาจักรวาลจะล่มสลาย
ทว่า วันนี้หวังเป่าเล่อกลับใช้เคล็ดวิชาเต๋าแห่งฝันจากดินแดนเซียนไปจุติที่…มิติเต๋าต้นกำเนิดอันลึกลับและเก่าแก่
เพราะการเข้ามาด้วยเต๋าแห่งฝันนั้นต่างจากการเข้ามาจริงๆ มันอยู่ระหว่างภาพลวงตาและความเป็นจริง ดังนั้นเมื่อแสดงวิชาเต๋าแห่งฝันออกมา จิตใต้สำนึกของหวังเป่าเล่อก็ทะลุผ่านจักรวาลลอยเข้าไปในมิติเต๋าต้นกำเนิดที่ปกคลุมไปด้วยไอหมอกแดง ตอนนั้นเองโลกที่เขาเห็นก็เริ่มแปลกตาไปจากเดิม
ไม่ใช่ร่างผู้เยี่ยมยุทธ์ 108 คนที่ถักทอกันเป็นจักรวาลอย่างตอนที่มองมาจากสะพานสู่สวรรค์ แต่เป็นแผนที่ดวงดาวที่ก่อตัวจากดวงดาวนับไม่ถ้วน
ดวงดาวอันไร้จุดสิ้นสุดสะท้อนเข้ามาในการรับรู้ของหวังเป่าเล่อเหมือนกับการมองท้องฟ้าตอนกลางคืนบนโลกมนุษย์ ทว่า…ดวงดาวเกือบทุกดวงในที่แห่งนี้ล้วนมืดสลัวราวกับสามารถดับสูญได้ทุกเมื่อ มีเพียงไม่กี่ดวงเท่านั้นที่ดูเหมือนยังสามารถส่องแสงเลือนรางได้ต่อไป และหากสังเกตดีๆ ก็จะพบว่ามีเพียงห้าดวงเท่านั้นที่ความสว่างยังคงปกติ
สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อลังเลเล็กน้อยและใช้เวลาจดจ่อกับมันอยู่เนิ่นนาน ผู้ที่ฝึกเต๋าแห่งฝันมาแล้วอย่างเขาเข้าใจพื้นฐานดวงดาวเหล่านี้ดี
“ใช้เต๋าแห่งฝันเข้ามาในที่แห่งนี้ ตอนนี้ข้าจึงไม่ใช่ร่างจริง เป็นเพียงจิตใต้สำนึกเท่านั้น ข้าสัมผัสโลกภายนอกไม่ได้ ไม่ได้ยิน มองไม่เห็น…แล้วสิ่งที่เรียกว่าดวงดาวพวกนี้ก็ไม่ใช่ดวงดาวที่แท้จริงด้วย พวกมัน…คือความฝัน”
“ดวงดาวทุกดวงคือมิติมายาของสิ่งมีชีวิต ยิ่งแสงสว่างมากก็ย่อมแสดงว่ามิติมายายิ่งมั่นคงมาก”
“หากจะเข้าไปในมิติเต๋าต้นกำเนิดอย่างแท้จริง ข้าจำเป็นต้องผสานเข้ากับความฝันเสียก่อน ตามหาเจ้าของความฝันในความฝันนี้ สืบหาเป้าหมายแล้วปลุกเขาให้ตื่น…ทันทีที่เขาตื่นขึ้นมาและมิติมายาแตกสลาย ช่วงเวลานั้นที่ภาพลวงตาและความเป็นจริงมาบรรจบกัน ข้าก็จะ…จุติขึ้นที่นี่อย่างสมบูรณ์”
ขณะครุ่นคิดหวังเป่าเล่อก็หยั่งรู้แสงดาวนับไม่ถ้วนพวกนั้น เขาเพิกเฉยต่อดวงดาวที่มืดสลัวเป็นอันดับแรก ในความฝันเช่นนี้มันเสี่ยงที่จะพังทลายได้ทุกขณะ เป็นไปได้ด้วยซ้ำว่าทันทีที่เขาเข้าไป มิติมายาก็จะแบกรับไม่ไหว ซึ่งหากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริง หวังเป่าเล่อก็จะตามหาเจ้าของความฝันไม่ทันและไม่สามารถสืบหาเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ
ดังนั้นการพังทลายดังกล่าวจึงไม่มีประโยชน์ อีกทั้งทันทีที่ล้มเหลวจิตใต้สำนึกของเขาก็จะหายไปด้วย
ดวงดาวห้าดวงที่เสถียรที่สุดจึงเป็นเป้าหมายแรกของหวังเป่าเล่อ ทว่าในตอนที่การหยั่งรู้ของเขาแผ่กระจายออกไปและกำลังจะเลือกผสานเข้าไปนั่นเอง จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็ใจกระตุกวูบ การหยั่งรู้สืบหาเป้าหมายไว้ที่ดาวดวงหนึ่งที่ถึงแม้จะไม่ได้มืดสนิทแต่ก็เหมือนจะอยู่ได้อีกไม่นาน
แสงของดาวดวงนั้นให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับหวังเป่าเล่อ
“พลังปราณของอู๋น้อย?”
ในพริบตาที่การหยั่งรู้ของหวังเป่าเล่อกวาดไปยังแสงของดาวดวงนี้ เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณของอู๋น้อยซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจ้าของความฝันนี้เกี่ยวข้องกับอู๋น้อย หรือกล่าวให้ถูกคือในความฝันของคนคนนี้มีอู๋น้อยอยู่ด้วย
หวังเป่าเล่อครุ่นคิด จากนั้นเขาก็ละทิ้งดวงดาวทั้งห้าที่ดูเหมือนจะเสถียรที่สุด พุ่งเป้าหมายไปยังแสงดาวที่มีพลังปราณของอู๋น้อยในทันที ตอนนั้นเอง…ก็ผสานเข้าไป
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ราวกับเพียงชั่วอึดใจ แต่ก็ราวกับทั้งชีวิต
ประสาทสัมผัสที่หายไปค่อยๆ กลับมา หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงลมเย็นพัดผ่านผิวหนัง
ประสาทการรับกลิ่นก็กลับมา เขาได้กลิ่นหอมสดชื่นของดินหลังฝนตก ตามมาด้วยประสาทการได้ยิน เสียงฝีเท้า เสียงเม็ดฝนและเสียงจอแจดังมาจากสถานที่ใกล้ๆ และไกล
สุดท้ายหวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น
เขาเห็นพระอาทิตย์บนท้องฟ้ากำลังถูกก้อนเมฆบดบัง เห็นสายฝนตกจากท้องฟ้าลงไปในแอ่งน้ำเล็กๆ มากมายบนพื้นดินจนเกิดระลอกคลื่นนับไม่ถ้วน เขาเห็นคนจำนวนมากถือร่มเดินผ่านไปผ่านมาอยู่ตรงหน้า
โลกตรงหน้าค่อยๆ ชัดเจนขึ้น และในที่สุด…เมืองขนาดใหญ่ก็สะท้อนอยู่ในดวงตาหวังเป่าเล่อ เมืองนี้มีประชากรมากมาย แม้ฝนจะตกแต่ก็ยังคึกคักและมีชีวิตชีวามาก
ตอนนี้หวังเป่าเล่อยืนอยู่บนถนนสายหนึ่งในเมือง มือถือร่มกระดาษน้ำมันคันหนึ่ง
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็สูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะเหยียดมือซ้ายออกจากร่ม สัมผัสกับความเย็นจากเม็ดฝนที่ตกกระทบผิวหนัง แล้วเงยหน้าขึ้น จากที่ไกลๆ หวังเป่าเล่อก็ได้เห็นพระราชวังแห่งหนึ่ง บนนั้น…มีรูปสลักขนาดมหึมาตั้งอยู่
รูปสลักนั้นคือนกแก้วที่เหมือนจริงราวกับมีชีวิต
“อาณาจักรพิภพทมิฬ” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา
……
ดินแดนเซียนมี 17 ภูมิภาค ในเขตที่ 39 มีอาณาจักรทั่วไปอยู่นับร้อยแห่ง เรียกได้ว่าทุกเมืองในเขตนี้ก็คืออาณาจักร
มีอาณาจักรย่อมมีกษัตริย์ และเมื่อมีกษัตริย์…ก็ย่อมมีองค์ชาย
เพียงแต่เมื่อเทียบกับอาณาจักรอื่นแล้ว เมืองที่ 43 ของเขตที่ 39 ซึ่งเรียกขานกันว่าอาณาจักรจ้าวนั้น กลับต่างไปจากอาณาจักรอื่น เพราะที่นี่…มีองค์ชายเพียงผู้เดียว
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปี ไม่ว่ากษัตริย์จะสับเปลี่ยนกันเช่นไร แต่องค์ชายไม่เคยเปลี่ยน ไม่ว่ากษัตริย์องค์ไหนขึ้นครองราชย์ก็ล้วนรักษาประเพณีนี้ไว้ และยังให้ความเคารพเกรงใจองค์ชายผู้นี้มาก
แม้จะถูกอาณาจักรอื่นรุกรานและสายเลือดของราชวงศ์ถูกแทนที่ แต่ตราบใดที่ไม่เปลี่ยนชื่ออาณาจักรด้วยตนเองและยังเลือกที่จะใช้ชื่ออาณาจักรจ้าว ทุกอย่างก็จะเป็นเช่นเดิม
ดังนั้นในเมืองที่ 43 นี้จึงมีคำกล่าวมาแต่โบราณ
สงบต้านอำนาจราชวงศ์ ไม่ยั่วยุจวนซือถู
จวนของหวังโหม่วนี้ก็คือที่พำนักของซือถู แม้จะไม่ได้มีพื้นที่กว้างขวางเท่าพระราชวัง แต่ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก เสาแกะสลักและอิฐก่อด้วยหยกข้างในเต็มไปด้วยความหรูหรา ทหารยามมากมาย สาวใช้นับไม่ถ้วน
โดยเฉพาะนางบำเรอร้องเล่นเต้นรำ องค์ชายฝานกั๋วผู้นี้ชมชอบการเต้นรำ จึงมีนางบำเรอมากยิ่งกว่าทหารเวรยามและสาวใช้ ทำให้จวนหวังแห่งนี้มองไปทางไหนก็เจอแต่หญิงงามรายล้อม เสพสมโลกีย์
แม้ตอนนี้เจ้าของจวนจะไม่อยู่ หากแต่ทั้งจวนก็ยังเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ร้องเล่นเต้นรำกันสนุกสนาน และเป้าหมายของการร้องรำทำเพลงของพวกนางก็คือเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ในห้องโถง
ห้องโถงนี้กว้างขวางดั่งพระราชวัง ประดับด้วยเสามังกรขดกายขนาดใหญ่ 99 ต้น แต่ละต้นล้วนเป็นสีทอง มังกรที่แกะสลักอยู่บนนั้นราวกับมีชีวิต และหากเข้าไปใกล้แล้วก็จะได้ยินเสียงมังกรครวญครางดังลอยมาด้วย
ส่วนพื้นนั้นล้วนเป็นอิฐหินทำจากหยกเซียนชั้นยอดปูทอดยาว ส่งผลให้ห้องโถงนี้เต็มไปด้วยปราณเซียน ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงแหล่งกำเนิดแสงในปากมังกรทั้ง 99 ต้นเลย…
แหล่งกำเนิดแสงเหล่านั้นล้วนเป็นไข่มุกล้ำค่าแฝงด้วยพลังปราณอันน่าอัศจรรย์ จนสามารถจินตนาการได้ว่าหากไข่มุกเม็ดใดเม็ดหนึ่งอยู่ข้างนอกคงจะกระตุ้นความบ้าคลั่งของผู้ฝึกตนได้มากมาย
แต่ในที่แห่งนี้มันเป็นเพียงแหล่งกำเนิดแสงเท่านั้น
ทั้งห้องโถงนี้กว้างใหญ่และหรูหรา ขณะเดียวกันเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ตำแหน่งสูงสุดกลับดูเหนื่อยหน่าย
เด็กหนุ่มผู้นี้สวมชุดจีน นั่งขมวดคิ้วทำสมาธิอยู่บนที่นั่งซึ่งประดับประดาด้วยอัญมณีหรู ด้านล่างมีองครักษ์ยืนอยู่สองฝั่ง แต่ละคนมีสีหน้าแน่วแน่ พลังฝึกปรือไม่ธรรมดา แววตาเยือกเย็น ดุดันและเด็ดขาด แต่หากพินิจให้ถี่ถ้วนแล้วจะเห็นได้ว่าพวกเขากำลังดูแลเด็กหนุ่มคนนั้นอยู่
ราวกับว่าขอเพียงเด็กหนุ่มเอ่ยคำเดียว พวกเขาก็สามารถชักดาบสังหารทั้งห้องโถงได้
พื้นที่ห้องโถงระหว่างองครักษ์สองฝั่งในตอนนี้เต็มไปด้วยนางบำเรอหลายร้อยคนกำลังร้องรำทำเพลง และนักดนตรีหลายร้อยคนกำลังดีดฉินเป็นทำนองไพเราะ ทั้งหมดนี้มีเพียงคำว่าฟุ่มเฟือยที่สามารถใช้อธิบายสถานที่แห่งนี้ได้
แต่ไม่ว่าการละเล่นจะตื่นตาเพียงใด เด็กหนุ่มก็ยังคงขมวดคิ้ว เห็นเช่นนี้องครักษ์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดจึงหันไปมองนางบำเรอเหล่านั้นแล้วเอ่ยเบาๆ
“เปลี่ยน!”
ทันทีที่เอ่ยออกมา เหล่านางบำเรอก็ทยอยถอยออกไป จากนั้น…สตรีงามดั่งนางฟ้านางสวรรค์อีกกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาจากนอกประตูและเริ่มร่ายรำ
เห็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มก็ถอนหายใจยาวเหยียด เขาก็คือเฉินชิงนั่นเอง
หลังจากมาที่นี่พร้อมกับซือถู ซือถูก็ได้ถ่ายทอดพลังเทพอย่างหนึ่งให้เขา พลังเทพนี้ไม่มีชื่อเรียก แต่จากที่ซือถูบอกกล่าว เขาต้องผ่านการทดสอบทางโลกทั้งหมดก่อนถึงจะสามารถฝึกฝนให้บรรลุทางธรรมได้
ดังนั้นตั้งแต่วันที่สองที่เขามา การทดสอบก็เริ่มขึ้น
สุราที่หายากที่สุดในโลก อาหารชั้นยอดที่สุดในโลก หญิงงามมากมายนับไม่ถ้วน ความมั่งคั่งที่ไม่มีวันหมด รวมทั้งอำนาจชี้เป็นชี้ตายได้ภายในคำเดียว
ทุกสิ่งที่ทุกผู้คนใฝ่ฝันถึงวางอยู่ตรงหน้าเขา รอให้เขาฝึกฝน…
ทว่า ตอนนี้ขณะที่เขาฝึกฝนด้วยความเบื่อหน่ายอยู่ในห้องโถงนั้น กลับไม่มีใครสังเกตเห็นร่างสองร่าง ของหญิงชายคู่หนึ่งซึ่ง ไม่รู้ว่าพวกเขาปรากฏตัวขึ้นเมื่อใด ทั้งสองก็คือหวังเป่าเล่อและหวังอีอี
สีหน้าของทั้งคู่เผยความประหลาดใจที่แตกต่างกัน
“เป่าเล่อ การฝึกฝนของศิษย์พี่เจ้า…พิเศษดีนะ”
“…” หวังเป่าเล่อไม่รู้จะกล่าวคำใด หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างยากลำบาก
“ผู้อาวุโสซือถูทำเช่นนี้คงมีจุดประสงค์ บางทีนี่อาจเป็นการทดสอบหัวใจเต๋ากระมัง”
“เจ้าดูอิจฉานะ” หวังอีอีเอ่ยเรื่อยเปื่อย
“ไม่มีอะไรจีรัง ทุกสิ่งล้วนประดิษฐ์ขึ้น” หวังเป่าเล่อยิ้มอย่างไม่แยแส สายตาอ่อนโยนมองผ่านนางบำเรอเหล่านั้นไปยังเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ไกลๆ
จากนั้นไม่นานเขาก็ถอนสายตากลับแล้วสูดหายใจเข้าลึก ก่อนจะหมุนตัวออกเดิน
“ไปกันเถอะ”
“ไม่ไปพบหน่อยหรือ” หวังอีอีที่เดินตามอยู่ด้านหลังเอ่ยถาม
“ย่อมมีวันนั้น” หวังเป่าเล่อยิ้มก่อนจะเดินออกจากห้องโถง หวังอีอีก็ยิ้มออกมาแล้วหันกลับไปมองเด็กหนุ่มบนที่ประทับ ก่อนจะหมุนตัวจากที่นี่ไปพร้อมหวังเป่าเล่อ
ในพริบตาที่ร่างของพวกเขาเดินออกจากห้องโถงไปแล้ว เด็กหนุ่มเฉินชิงก็เงยหน้ามองไปทางปากประตูห้องโถงอันว่างเปล่า เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น แต่ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงมีความรู้สึกบางอย่างคล้ายกับว่าคนสำคัญของเขากำลังจากไป
หวังเป่าเล่อไปแล้ว ไปพร้อมกับหวังอีอี พวกเขาไปยังภูเขาทางตะวันออกสุดของดินแดนเซียน มองดูพระอาทิตย์ขึ้นจากตรงนั้น ไปยังทะเลทางตะวันตกสุด มองดูพระอาทิตย์ตกจากตรงนั้น
ไปยังป่าทึบทางเหนือสุด เด็ดเถาวัลย์ที่เรียกว่ากระชากวิญญาณจากที่นั่น และไปยังที่ราบทางใต้สุด โรยเมล็ดพันธุ์ดอกไม้ที่เรียกว่าโอบความฝัน
สุดท้ายพวกเขาก็กลับไปจุดเริ่มต้นซึ่งก็คือล่างสะพานสู่สวรรค์สะพานแรก ที่ตรงนั้นหวังเป่าเล่อนำเถาวัลย์กระชากวิญญาณถักทอเป็นมงกุฎดอกไม้ แล้ววางลงบนศีรษะหวังอีอี
“ดูแลตัวเองดีๆ เพราะอดีตและอนาคตของข้าอยู่กับเจ้า”
หวังอีอีนิ่งเงียบ นางจ้องมองหวังเป่าเล่อเนิ่นนาน ก่อนจะพยักหน้า หวังเป่าเล่อโบกมือ นางจึงหันหลังเดินจากไป แต่เดินไปได้สิบกว่าก้าวนางก็หันกลับไปมองอีกครั้ง และเห็นแผ่นหลังของหวังเป่าเล่อที่กำลังนั่งทำสมาธิ
เดินไปได้หลายสิบก้าวก็หันกลับไปมองอีกเช่นเดิม
จนกระทั่งร้อยก้าว พันก้าว หมื่นก้าว…นางหันกลับไปมองอยู่หลายครั้งหลายครา จนร่างนั้นเลือนราง หวังอีอีจึงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะสัมผัสมงกุฎดอกไม้บนศีรษะแล้วเดินจากไป
ด้านล่างสะพานแห่งแรกในตอนนี้มีเพียงหวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นเพียงคนเดียว ในมือเขาถือแผ่นหยกที่บันทึกเคล็ดวิชาพลังเทพหนึ่งเอาไว้
เคล็ดวิชานั้นเรียกว่าเต๋าแห่งฝัน
สำหรับผู้ฝึกตนขั้นที่สาม เต๋าแห่งฝันนั้นลึกลับและเข้าใจยากอย่างยิ่ง สำหรับขั้นที่สี่ก็ง่ายขึ้นบ้างเล็กน้อย สำหรับขั้นที่ห้าที่ฝึกฝนจนถึงระดับที่สามารถใช้หมื่นเคล็ดได้แล้วนั้น การฝึกฝนเต๋าแห่งฝันนี้จึงใช้เวลาเพียงชั่วพริบตา
ชั่วอึดใจนั้นหวังเป่าเล่อก็เข้าใจกระจ่างแล้ว ร่างของเขาค่อยๆ เลือนรางจนกลายเป็นภาพมายาราวกับกำลังหลับใหลและอยู่ในห้วงฝัน
โลกแห่งความฝันคือจักรวาลผืนหนึ่ง ในจักรวาลนั้นมีหมอกสีแดง ในหมอกนั้นมีจักรวาลย่อย 108 แห่ง และหนึ่งในนั้น…ก็คือที่ที่ความฝันของเขาเริ่มต้นขึ้น
………………………………………………
จักรวาลผืนนั้นแยกตัวเป็นเอกเทศจากทุกสิ่ง เนิ่นนานมาแล้ว…ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าไปได้ราวกับมันเป็นสถานที่ต้องห้ามของมหาจักรวาล
แต่ในตอนนี้หวังเป่าเล่อกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าตรงนั้น…มีความรู้สึกคุ้นเคยอยู่สองอย่าง ขณะนิ่งเงียบ เขาหลับตาลง ก่อนที่ลางสังหรณ์อันแรงกล้าจะผุดขึ้นในใจราวกับขอเพียงเขาก้าวไปทางนั้นเพียงก้าวเดียว ทั้งกายและจิตวิญญาณก็จะหลอมรวมเข้าไปในนั้น
การหลอมรวมเช่นนี้คือการผสานอย่างสมบูรณ์คล้ายว่าหากเดินไปเช่นนี้ เขาจะกลายเป็น…ส่วนหนึ่งของจักรวาลผืนนั้น
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความรู้สึกคุ้นเคยทั้งสองเหมือนกับพิกัดที่แม่นยำที่สุดในมหาจักรวาล หนึ่งมาจาก…ร่างต้นแบบของเขา อีกหนึ่งมาจาก…โลกแห่งศิลาที่ถูกเขาผสานเข้ากับตัวเอง
โลกแห่งศิลาเดิมถูกเรียกว่า…จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น
มันคือหนึ่งในแสนดวงจิตเทพของมหาเทพที่แปลงมา ดังนั้นจะโลกแห่งศิลาก็ดี หรือร่างแยกมหาเทพในนั้น แท้จริงแล้วล้วนเป็นส่วนหนึ่งของมหาเทพทั้งสิ้น
ตามแผนเดิมของมหาเทพ ดวงจิตเทพมหาเทพที่ถือกำเนิดขึ้นภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่แปลงมาจะผสานเข้ากับจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นและกลายเป็นสิ่งดำรงอยู่ที่เป็นปริศนา ก่อนจะกลับไปยังมิติเต๋าต้นกำเนิดและหลอมรวมเข้ากับร่างต้นแบบของมหาเทพอย่างแท้จริง
นี่คือกุญแจสำคัญในการฟื้นตัวของมหาเทพ
ทว่าหวังเป่าเล่อกลายเป็นเหตุบังเอิญ กระนั้น…ไม่ว่าอย่างไรระหว่างเขากับมหาเทพก็ยังมีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด การเชื่อมโยงนี้…ทำให้ยากที่จะระบุตัวตนที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อได้
เขาไม่ใช่แค่ดวงจิตเทพหนึ่งของไม้สีดำ แต่ยัง…เป็นส่วนหนึ่งของมหาเทพอย่างแท้จริงด้วย
ผ่านไปนานหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่บนสะพานที่สิบก็ลืมตาขึ้น เขาล้มเลิกความคิดที่จะก้าวต่อ เพราะหากเข้าไปเช่นนี้มันจะเปิดเผยเกินไป เกรงว่าทันทีที่เข้าไป…ตนอาจไปกระตุ้นความสนใจตามสัญชาตญาณของมหาเทพเข้า
เหมือนกับแสงไฟที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในคืนอันมืดมิด มันสะดุดตาเกินไป
ความเด่นชัดเช่นนี้ไม่ดีต่อหวังเป่าเล่อ กลับกันมันจะยิ่งทำให้เกิดสถานการณ์เลวร้ายขึ้นด้วย…แม้มหาเทพจะหลับใหล แต่ถึงอย่างไรสัญชาตญาณก็ยังอยู่ หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจว่าหลังจากตนเข้าไปอย่างอวดเบ่งเช่นนี้จะเป็นการกระตุ้นกลไกบางอย่างทำให้สัญชาตญาณของเขาออกมากำจัดความโกลาหล กลืนกินแล้วหลอมรวมเข้ากับร่างของตนหรือไม่
ดังนั้น…วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือเข้าไปในมิติเต๋าต้นกำเนิดอย่างลับๆ
คิดถึงตรงนี้หวังเป่าเล่อก็ก้มหน้าลง ร่างที่ยืนอยู่บนสะพานที่สิบพลันพร่าเลือนในฉับพลัน แต่ขณะที่พร่าเลือนนั่นเอง ร่างของเขาก็ค่อยๆ มาปรากฏตัวตรงหน้าท่านพ่อหวัง หวังอีอีและซือถูข้างล่างสะพานที่หนึ่ง
พร่าเลือนและปรากฏกายเกิดขึ้นพร้อมกันเหมือนกับมือสองข้าง ข้างหนึ่งถือยางลบ ข้างหนึ่งถือพู่กัน แล้วลงมืออย่างพร้อมเพรียง
ภาพนี้ดูไม่น่าประหลาดใจขนาดนั้น แต่ความจริงแล้วเมื่อมองไปทั่วทั้งมหาจักรวาล น้อยคนนักที่จะทำได้ สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับการประยุกต์ใช้เต๋าหลายแบบ ทั้งความว่างเปล่า เวลา ชีวิตและความตาย รวมถึงการสำแดงเต๋าทั้งหกประเภท และแต่ละประเภทล้วนต้องมีพลังแห่งต้นกำเนิด
การใช้ทุกเต๋าอาจเป็นเรื่องที่ดูเหมือนง่ายและสามารถทำได้สำเร็จ ทว่ามีเพียง…ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่มีพลังขั้นที่ห้าเท่านั้นที่จะทำได้สบายๆ
ขั้นที่สี่ควบคุมต้นกำเนิดเต๋าหนึ่งเต๋า
ขั้นที่ห้าทุกสรรพสิ่งในจักรวาลสามารถเรียกใช้
เช่นนี้เมื่อร่างของหวังเป่าเล่อหายไปจากสะพานที่สิบอย่างสมบูรณ์ ร่างของเขาล่างสะพานที่หนึ่งก็ปรากฏตัว เขาหายใจเข้าลึกๆ ในพริบตาที่ปรากฏกายก็หันไปโค้งคำนับให้ท่านพ่อหวังทันที
“ขอบคุณผู้อาวุโส!”
หวังอีอีดวงตาวูบไหวและต้องการจะเอ่ยบางอย่าง แต่เห็นบิดาตนและท่านลุงที่อยู่ข้างๆ จึงไม่ได้กล่าวอะไร ด้านซือถูก็กำลังกวาดตามองหวังเป่าเล่อเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ก่อนจะหันไปมองหวังอีอี แล้วกระแอมหนึ่งทีและไม่เอ่ยอะไรเช่นกัน
ฝ่ายท่านพ่อหวังก็ยังสีหน้าสงบเหมือนอย่างเคย สายตาจับจ้องทั่วร่างหวังเป่าเล่อราวกับจะมองให้ทะลุทั้งนอกและใน
หวังเป่าเล่อตกใจ แต่ไม่นานก็สงบลงและไม่พยายามหลบเลี่ยงสายตาอีกฝ่าย
ไม่นานท่านพ่อหวังก็พยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“จะไปเมื่อใด”
คำถามนี้กะทันหันมากแต่หวังเป่าเล่อก็เข้าใจได้ว่าเขากำลังถามตัวเองว่าจะไปมิติเต๋าต้นกำเนิดเมื่อไร
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“วางแผนว่าจะไปในเร็ววันนี้”
“ไปอย่างไร” ท่านพ่อหวังเอ่ยถามอีกครั้ง
“ข้างกายผู้เยาว์มีสหายอยู่คนหนึ่ง ดูแล้วตอนนี้คงจะเป็นขั้นที่ห้าส่งออกมาจากในมิติเต๋าต้นกำเนิด ดังนั้นบนร่างของเขาจะต้องมีร่องรอยการกลับไป ผู้เยาว์น่าจะตามร่องรอยนี้ไปได้” หวังเป่าเล่อเอ่ยช้าๆ โดยไม่ปิดบัง
“วิธีนี้ไม่ปลอดภัย” ท่านพ่อหวังส่ายหน้า หลังจากไตร่ตรองแล้ว เขาก็สะบัดมือขวา ทันใดนั้นแผ่นหยกสีฟ้าก็หลุดออกมาจากความว่างเปล่า เขาชี้ให้มันตรงไปที่หวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อคว้าไว้ ก่อนจะมองผู้อาวุโส
“วิธีนี้ใช้ความฝันเข้าสู่เต๋า ผู้ฝึกตนสามารถทำให้ความฝันของตนเป็นจริงได้ในระดับหนึ่ง เหมาะแก่การเดินทางไปในที่ลับตาและเหมาะกับการซ่อนตัว”
“คนผู้นั้นในมิติเต๋าต้นกำเนิดคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งถือกำเนิดขึ้นในยุคแรกของมหาจักรวาล เมื่อเทียบกับเขาแล้ว พวกเรา…ล้วนแต่เป็นผู้ที่มาทีหลัง”
“พวกข้าบรรลุเต๋าครั้งแรก เขากำลังหลับใหลและตอนนี้เขาก็ยังหลับใหลอยู่ ข้าไม่เคยไปในที่ที่เขาอยู่เลย”
“และระหว่างเจ้ากับเขาก็มีเหตุผลต้นกรรม เหตุผลนี้และต้นกรรมนี้ไม่มีประโยชน์ที่คนอื่นจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะนี่คือเรื่องของเจ้า คือเต๋าของเจ้า เจ้าต้องแก้ไขมันด้วยตัวเอง”
“ถ้าสำเร็จ เจ้าจะไร้พันธนาการนับแต่นี้ไป” ท่านพ่อหวังกล่าวจบก็ลุกขึ้นหมุนตัวเดินจากไป ซือถูหันไปยิ้มให้หวังเป่าเล่อและกำลังจะเอ่ยบางอย่างบ้าง แต่เสียงของหวังโหม่วก็เอ่ยมาจากที่ไกลๆ
“ซือถู เหล้าอุ่นแล้ว หากกลับไปช้าจะเสียรสชาติ”
ซือถูได้ยินก็หัวเราะดังลั่น ก่อนจะเดินนำหน้าหวังโหม่วออกไป
ด้านล่างสะพานแห่งแรกในตอนนี้เหลือเพียงหวังเป่าเล่อกับ…หวังอีอี
“เป่าเล่อ…” หวังอีอีเอ่ยเสียงเบา
“แม่นางน้อย เดินเป็นเพื่อนข้าสักหน่อย ดีไหม” หวังเป่าเล่อส่งยิ้มให้หวังอีอี นางจ้องมองหวังเป่าเล่อ ก่อนจะค่อยๆ เผยรอยยิ้มแล้วพยักหน้า
“เจ้าจะไปไหน”
“ข้าอยากไปหา…ศิษย์พี่สักหน่อย”
“ข้าจะไปกับเจ้า”
เวลานี้พระอาทิตย์กำลังตกดิน เมื่อสะพานสู่สวรรค์กลับมาสงบดังเดิม ทุกชีวิตบนดินแดนเซียนก็ค่อยๆ ละสายตาไป แม้จิตใจจะยังคงปั่นป่วนอย่างรุนแรง แต่พวกเขาก็รู้ว่าการก้าวสู่สวรรค์ได้สิ้นสุดลงแล้ว
และข้างล่างสะพานแห่งแรกที่พวกเขามองไม่เห็นนั้น เวลานี้ร่างของหวังเป่าเล่อและหวังอีอีค่อยๆ เดินไกลออกไปท่ามกลางแสงตะวันที่หลงเหลืออยู่คล้ายกับภาพวาดอันงดงาม
แสงระเรื่อสีทองทำให้ภาพวาดนี้อบอุ่นอย่างยิ่ง ณ เวลานี้สะพานสู่สวรรค์อันเก่าแก่ก็ดูเหมือนได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของฉากหลัง
แม้ทั้งสองจะไม่ได้อยู่ใกล้กันมากเกินไปเหมือนกับมิตรภาพแท้จริง หากแต่เมื่อเดินไกลออกไป เงาในแสงสายัณห์ก็ยืดยาวออก ราวกับกำลัง…เชื่อมเข้าด้วยกัน
ไกลออกไปช้าๆ
……………………………………
เต๋าแห่งหยินมืดเรียกได้ว่าเป็นหยินสูงสุด เป็นของเต๋าแห่งความตายในโลก และผู้ที่ควบคุมมันท่ามกลางภัยพิบัตินับไม่ถ้วนจะมีฉายาหนึ่งและเป็นเพียงฉายาเดียว
นั่นก็คือ…เจ้าแห่งความมืด
กำหนดความตาย กำหนดการเกิดใหม่ ตัดเหตุดับเต๋า
เช่นเดียวกับมหาเต๋าแห่งธาตุทั้งห้า เต๋าแห่งความตายนี้ไม่สามารถมีต้นกำเนิดเพียงแหล่งเดียวได้ ต่อให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ฝึกตนถึงระดับสูงสุดก็ยังกลายเป็นเพียงหนึ่งในต้นกำเนิดเท่านั้น
อย่างหวังเป่าเล่อในตอนนี้ เต๋าแห่งหยินมืดของเขาก็เป็นเช่นนั้น อาศัยพลังเสริมและกำลังขยายของสะพานสู่สวรรค์เชื่อมโยงกับเต๋าแห่งความตายของมหาจักรวาล ดั่งผิวน้ำต่างระดับที่มาเชื่อมกันจนเกิดความสมดุล ด้วยเหตุนี้หยินมืดของหวังเป่าเล่อจึงกลายเป็นหนึ่งในต้นกำเนิด
ตอนนี้…เต๋าแห่งหยางศักดิ์สิทธิ์ก็เช่นกัน
เดิมทีเพราะเต๋านี้ไม่มีสิ่งรองรับ ทุกอย่างจึงเป็นเพียงมายา มีเพียงรัศมีเปล่งประกาย แต่ไร้สสาร ทว่า…เมื่อท่านพ่อหวังมอบหินก้อนนั้นให้ ทุกอย่าง…ก็เปลี่ยนไป
หินก้อนนี้มีความพิเศษในตัวมันเอง มันคือส่วนหนึ่งของสะพานที่สิบเอ็ด และสามารถใช้สร้างสะพานสู่สวรรค์ได้ จึงไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงความน่ากลัวและความลึกลับของมัน
ถึงอย่างไร…สะพานที่สิบเอ็ดนั้น หากผ่านไปได้ก็จะเป็นการยืนยันถึงขั้นที่หกของพลังฝึกปรือ ระดับเช่นนี้ทั่วทั้งมหาจักรวาลหาได้ยากอย่างยิ่ง และทุกคนในนั้นล้วนมีคุณสมบัติ…ในการชิงตำแหน่งเจ้าแห่งมหาจักรวาล
ดังนั้นหินสะพานที่มาจากการสร้างสะพานที่สิบเอ็ดนี้จึงมีมูลค่าสูงยากต่อการจินตนาการ ขณะเดียวกันด้วยความพิเศษของมันจึงเหมาะแก่การเป็นสิ่งรองรับเต๋าของหวังเป่าเล่ออย่างยิ่ง
“นำสมบัติของขั้นที่หกมาเป็นตัวรองรับเต๋าขั้นที่ห้า…” ซือถูข้างกายหวังโหม่วดวงตาลึกล้ำ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ
“เยี่ยมไปเลย! เจ้าไม่เสียดายมันจริงๆ…มีสิ่งนี้อยู่ ขั้นที่ห้าของเขาก็จะมั่นคง มิเช่นนั้นขั้นที่ห้าของเด็กคนนี้คงไม่อาจข้ามไปได้” ซือถูอุทาน เขาเข้าใจทุกอย่างจึงยิ่งมีอารมณ์ร่วมกับการได้เห็นดาวมฤตยูลุกโชนกับตาตัวเองครั้งนี้ว่าเป็นการใจกว้างเพียงใด
ของกำนัลนั้นไม่ใช่หินสะพาน แต่เป็น…พลังฝึกปรือหนึ่งขั้น!
นี่คือโอกาสที่ผู้คนนับไม่ถ้วนใฝ่ฝัน!
“ข้าติดหนี้เขาครั้งหนึ่ง ดังนั้นนี่คือสิ่งที่เขาสมควรได้รับ อีกอย่าง…” บิดาของหวังอีอีมองไปยังหวังเป่าเล่อที่อยู่ระหว่างสะพานที่เก้าและสิบ
“เดิมทีเขาก็อยู่ระหว่างขั้นที่สี่กับห้าอยู่แล้ว แม้ก่อนหน้านี้กฎเต๋าโลกแห่งศิลาของเขาจะไม่สมบูรณ์ ทำให้พลังต่อสู้ไม่อาจไปถึงระดับที่ควรจะเป็นได้ แต่…ระดับของเขาถึงแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้เหตุใดข้าจะต้องตระหนี่ด้วยล่ะ” หวังโหม่วตอบอย่างสงบนิ่ง
ซือถูพยักหน้าอย่างครุ่นคิด แท้จริงแล้วตอนที่เขาเจอหวังเป่าเล่อเป็นครั้งแรกก็ตระหนักถึงสภาวะของหวังเป่าเล่อแล้ว พูดง่ายๆ คือหวังเป่าเล่อในตอนนั้นอยู่ตรงกลางระหว่างขั้นที่สี่กับห้า
แต่เพราะกฎเต๋าไม่สมบูรณ์จึงไม่อาจใช้พลังต่อสู้ได้ตามควร และสะพานสู่สวรรค์…ความจริงแล้วก็คือการเติมเต็มให้เขาได้รับพลังต่อสู้ขั้นที่สี่อย่างแท้จริง
อีกอย่างกับหินสะพานในตอนนี้…ซือถูสามารถจินตนาการได้ว่าอีกไม่นานในมหาจักรวาลผืนนี้จะมีผู้เยี่ยมยุทธ์ขั้นที่ห้าเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน!
“ขั้นที่ห้า…ทุกสรรพสิ่งล้วนมีมาให้ข้าได้ใช้สอย” ขณะที่ซือถูบ่นพึมพำ หวังเป่าเล่อที่อยู่ระหว่างสะพานที่เก้าและสิบได้หลอมรวมเข้ากับหินสะพาน แสงบนร่างของเขาเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม
ขณะที่รัศมีแผ่ขยาย พลังชีวิตอันยิ่งใหญ่ที่อธิบายไม่ได้ดูเหมือนจะแผ่ซ่านไปเกือบทั้งมหาจักรวาลจนเกิดเสียงคำรามดังมาจากทุกทิศทาง มันมารวมตัวกันรอบตัวเขา พลังหยางศักดิ์สิทธิ์พลันปะทุขึ้น
ท้องนภาเหนือร่างหวังเป่าเล่อพลันปรากฏ…สะพานมายา!
สะพานนั้นดูไม่ต่างจากสะพานสู่สวรรค์แม้แต่น้อย มันลอยอยู่ตรงนั้นด้วยรัศมีท่วมท้น ส่งผลให้ทุกชีวิตบนดินแดนเซียนจิตใจปั่นป่วนขึ้นมาในพริบตา
หวังเป่าเล่อก็เงยหน้ามองเช่นกัน สัมผัสถึงความสมบูรณ์ของเต๋าแห่งหยางศักดิ์สิทธิ์พลางจ้องมองสะพานมายาที่เขาทำขึ้น นี่…ไม่ใช่สะพานสู่สวรรค์
แม้จะดูเหมือนกันทุกประการ แต่บทบาทของมันไม่ใช่เพื่อเสริมพลังสะพานสู่สวรรค์ กล่าวให้ชัดเจนคือสะพานนี้…ใช้รองรับเต๋าและเป็นทางเชื่อม
รองรับเต๋าแห่งหยางศักดิ์สิทธิ์ของเขา ปลายด้านหนึ่งเชื่อมกับเต๋านี้ ส่วนปลายอีกด้าน…เชื่อมกับเต๋าแห่งชีวิตในมหาจักรวาล
เช่นเดียวกับเต๋าแห่งความตาย เต๋าแห่งชีวิตก็ไม่อาจถูกควบคุมอยู่ในมือคนคนเดียวได้ แต่อาศัยหินสะพานรองรับ ในพริบตาที่เชื่อมต่อกัน เต๋าแห่งหยางศักดิ์สิทธิ์ของหวังเป่าเล่อก็กลายเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดได้สำเร็จ
ด้วยความสมบูรณ์ของเต๋า ความรู้สึกทรงพลังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนผุดขึ้นในใจหวังเป่าเล่อราวกับทุกสิ่งในสายตาเขาล้วนเปลี่ยนไป ไม่ใช่ของจริงขนาดนั้น แต่มีความลวงเช่นภาพมายาอยู่ด้วย
“จุดสิ้นสุดของเต๋า ทุกสิ่งว่างเปล่าหรือ” ขณะพึมพำ หวังเป่าเล่อก็ยกเท้าก้าวไปยังสะพานที่สิบ ทันทีที่วางเท้าลง เงาสะพานเหนือศีรษะก็ค่อยๆ ลดระดับลงมาทางเขา หลังจากเงาสะพานนี้กับร่างกายของเขาหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ พลังปราณบนร่างหวังเป่าเล่อก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง
ธาตุทั้งห้ารายล้อม อยู่ด้วยกันไม่ว่าเป็นหรือตาย!
หลังจากเท้าของเขาวางลง หวังเป่าเล่อ…ก็ก้าวข้ามระหว่างสะพานที่เก้าและสิบมาปรากฏตัวที่หัวสะพานที่สิบ!
ยังไม่หยุดแค่นั้น เมื่อย่างก้าวอีกครั้ง ร่างของเขาก็ข้ามไปครึ่งสะพานมาปรากฏตัวอยู่กลางสะพานที่สิบและดูเหมือนจะก้าวต่อได้อีก หากแต่ว่าก้าวนี้…กลับทำอย่างไรก็ไม่สามารถยกเท้าขึ้นได้
“ถึงขีดจำกัดแล้ว…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ก่อนที่ฟ้าดินจะส่งเสียงคำราม ท้องฟ้าพลันเกิดระลอกคลื่น มหาจักรวาลดูเหมือนกำลังสั่นไหว ทุกชีวิตในขณะนี้ต่างต้องก้มหน้าลง ทั่วทั้งมหาจักรวาลในตอนนี้ผู้ที่สามารถเงยหน้ามองเขาได้มีเพียงคนที่อยู่ระดับเดียวกันและเหนือกว่าเท่านั้น ผู้อื่น…ไม่มีสิทธิ์
“ข้าในตอนนี้ยังไม่อาจข้ามสะพานที่สิบเอ็ดได้” หวังเป่าเล่อเงียบเสียง เขาสัมผัสได้ถึงสภาวะของตนในตอนนี้ว่าต่างจากก่อนหน้ามาก ก่อนจะข้ามสะพานที่สิบ เต๋าที่เขาควบคุมได้คือธาตุทั้งห้า ความตายและชีวิต
แต่ตอนนี้…ทุกสรรพสิ่ง ทุกเต๋าในจักรวาลล้วนเอามาใช้ได้ทั้งหมด!
แม้จะเอามาใช้ได้ไม่สมบูรณ์ แต่…ผู้เยี่ยมยุทธ์ขั้นที่สี่ทุกคนที่อยู่ตรงหน้าเขาล้วนถูกสยบได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส นี่คือการสยบซึ่งปราบทั้งระดับและเต๋า
ขณะสัมผัสตัวตน หวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นดวงจิตเทพในมหาจักรวาลที่มารวมตัวกันที่นี่ได้อย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก เขาจึงเงยหน้ามองจักรวาลของมหาจักรวาล
เขา…เห็นว่าในที่ไกลออกไปมีดินแดนหนึ่งอยู่ มันดูคล้ายกับดินแดนเซียน บนนั้นดูเหมือนจะมีร่างหนึ่งกำลังพยักหน้าน้อยๆ ให้
ร่างนั้นแผ่เคราะห์กรรมที่ไม่อาจพรรณนาได้ออกมา แต่ไม่ใช่เคราะห์กรรมของเขา ดูเหมือนว่าการดำรงอยู่ของอีกฝ่ายเป็นส่วนหนึ่งของเต๋าแห่งโชคชะตาของมหาจักรวาล
นอกจากนี้ในอีกทางหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็มองเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งที่ซึ่งบนนั้นมีเหตุผลต้นกรรมอันเข้มข้นอยู่ เด็กหนุ่มสวมชุดคลุมผ้าไหมกำลังนั่งขัดสมาธิอมยิ้มให้เขาอยู่บนนั้น
หวังเป่าเล่อเข้าใจกระจ่างในทันทีว่ามันเกี่ยวข้องกับสิ่งรองรับเต๋าธาตุทองของตน
ขณะเดียวกันเขาก็ยังเห็นอีกร่างหนึ่ง คนผู้นี้นัยน์ตาซับซ้อน คล้ายจะถอนใจ คล้ายจะอุทาน และกำลังมองมาทางเขาเช่นกัน
ร่างเหล่านี้มีไม่เยอะนัก มีเพียงแปดร่างเท่านั้น
และหลังจากทอดมองไปทีละคนแล้ว สุดท้ายสายตาหวังเป่าเล่อก็หยุดอยู่ที่ใจกลางมหาจักรวาล ที่ตรงนั้น…หมอกสีแดงเข้มข้นขจรขจายปกคลุมทุกสิ่ง ปิดกั้นเหตุผลต้นกรรม แต่กลับไม่อาจปกปิดความคุ้นเคยและสัมผัสเชื่อมต่อที่แผ่ออกมาจากในนั้นได้
“ร่างต้นแบบของข้า…อยู่ตรงนั้น”
“จักรพิภพเต๋าไพศาล…ของมหาเทพ หรือเรียกว่ามิติเต๋าต้นกำเนิด” หวังเป่าเล่อเพ่งมอง ที่ตรงนั้น…คือที่ที่เขากำลังจะไปต่อจากนี้
จากความคุ้นเคยและสัมผัสเชื่อมต่อ เขามีความรู้สึกว่าหากตนก้าวอีกเพียงก้าวเดียวก็จะสามารถเข้าไปในจักรวาลที่ถูกหมอกสีแดงปกคลุมอยู่ได้แล้ว
สะพานที่เก้านั้นทั้งศักดิ์สิทธิ์และเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามสำหรับทุกชีวิตบนดินแดนเซียน เพราะนับแต่โบราณมาคนที่ไปถึงจุดนี้ได้มีเพียงสี่คนเท่านั้น!
สี่คนนี้หนึ่งคือเจ้าแห่งดินแดนเซียน ส่วนอีกสามคนที่เหลือคือมหาจักรพรรดิสวรรค์ทั้งงสามที่แข็งแกร่งที่สุด
ทว่า ตอนนี้มีเพิ่มมาอีกคนแล้ว!
ในเวลาเดียวกันดวงอาทิตย์ดวงที่สิบเอ็ดบนดินแดนเซียนก็เปล่งแสงเจิดจ้าอีกครั้ง แสงสว่างวาบราวกับจะปกคลุมโลกทั้งใบด้วยแสงของมัน
ในแสงรัศมีหมื่นจั้งนี้ หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ตรงปลายสะพานที่เก้าก็ดวงตาเปล่งประกายไม่แพ้กัน เขาสัมผัสได้ถึงพลังต่อต้านที่อยู่ข้างหน้า สัมผัสได้ว่าร่างกายราวกับถูกแช่แข็งจนไม่อาจก้าวเท้าต่อไปได้
ราวกับ…เส้นทางสู่สวรรค์ของเขาได้สิ้นสุดลงตรงนี้
“จะหยุดตรงนี้ไม่ได้!” หวังเป่าเล่อเค้นเสียงต่ำ ก่อนจะค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ตอนนี้แสงในตาเขาเปลี่ยนไปทันที ประกายระยิบระยับในรูม่านตาราวกับหมึกหยดลงกลางน้ำ ก่อระลอกคลื่นไปทั่วทุกสารทิศ
ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็กลายเป็นสีดำ ไอมรณะสายหนึ่งแผ่ออกมาจากร่างกายปกคลุมไปทั่วบริเวณ ขณะเดียวกันไอปราณประหลาดนี้ก็ทำให้หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ตรงนั้นดูไม่เหมือนคนที่ยังมีชีวิต แต่เหมือนกับศพ!
ไอมรณะพลิกตลบอีกครั้ง หมอกสีดำแผ่ออกมาจากรูขุมขนบนร่างหวังเป่าเล่อ มันแผ่ขยายแทรกซึมไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว มาพร้อมความเน่าเปื่อยและความตาย นี่คือ…เต๋าแห่งหยินมืดของหวังเป่าเล่อ!
ขณะนี้ทุกสายตาที่กำลังมองหวังเป่าเล่อล้วนรู้สึกถึงระลอกคลื่นต่างระดับกันไป เพราะขณะที่หมอกสีดำแทรกซึมไปทั่ว มันก็ได้มารวมตัวกันเป็นรูปปั้นขนาดมหึมากลางท้องฟ้าเหนือสะพานที่เก้า!
รูปปั้นนี้…เหมือนหวังเป่าเล่อทุกประการ เพียงแต่สวมชุดคลุมสีดำทั่วทั้งร่าง สีหน้าเย็นชาราวกับไม่มีอารมณ์ใดอยู่ภายใน มือข้างหนึ่งถือหนังสือคล้ายข้างในหนังสือนั้นกำหนดความตายได้ มองจากที่ไกลๆ เต็มไปด้วยความคลุมเครือ
“ร่างเต๋าแห่งความตาย!”
“ตามตำนานกล่าวว่าหลังจากเต๋าแห่งความตายกลายเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดก็ได้กลายร่างเป็น…เจ้าแห่งความมืด!”
“นี่…หรือว่านี่คือร่างของเจ้าแห่งความมืด”
พริบตาที่ผู้ฝึกตนดินแดนเซียนจิตใจสั่นไหวอย่างรุนแรงนั้นเอง…รูปปั้นที่ก่อตัวจากหมอกสีดำก็ก้าว…ไปข้างหน้า!
ย่างก้าวนี้สะเทือนฟ้าดินอย่างยิ่ง ส่งผลให้จักรวาลร้องคำราม มหาจักรวาลผันผวนรุนแรง
ย่างก้าวนี้สั่นสะเทือนไปทั่วทุกสารทิศ ส่งผลให้เจ้าของสายตาทุกคู่ใจสะท้านวาบ
ย่างก้าวนี้เหมือนกับการก้าวจากสามัญไปยังเทพเซียน นั่นคือ…มหาวัฏจักรของขั้นที่สี่ นั่นคือ…สัญญาณของการก้าวสู่ขั้นที่ห้า!
ขณะนี้เสียงคำรามดังก้องไปทั่วท้องนภา ท้องฟ้าพลันซีดจาง เมฆหมอกพลิกม้วนกลับ ตามมาด้วยเสียงแกร๊กที่ไม่อาจปกปิดได้ดังมาจากท้องฟ้าคล้ายมีสิ่งกีดขวางบางอย่างถูกทำลาย ร่างของรูปปั้นนั้นก้าวข้ามจากปลายสะพานที่เก้าไปปรากฏตัวที่ความว่างเปล่าระหว่างสะพานที่เก้าและสิบ
พริบตาที่มันเหยียบลงมา ร่างนั้นก็ดูเหมือนจะหมดพลังจนไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้อีก แล้วกลับกลายเป็นหมอกสีดำอีกครั้งราวกับถูกลมพัดปลิว เผยให้เห็น…ร่างของหวังเป่าเล่อข้างในรูปปั้นยักษ์!
“มหาวัฏจักรของขั้นที่สี่หรือ” หวังเป่าเล่อยืนอยู่ระหว่างสะพานที่เก้าและสิบด้วยสีหน้าสงบ หลังจากรู้สึกถึงสภาพของตนในยามนี้ เขาก็มีความรู้สึกที่แน่ชัดบางอย่าง เขาในตอนนี้ใช้เพียงนิ้วเดียวก็กำจัดตัวเขาในอดีตได้แล้ว
ทั้งสองมีช่องว่างต่างกันมากเกินไป
ตัวเขาในอดีต แม้จะเป็นเต๋าแปดปรมัตถ์ แต่ก็เป็นแค่ขั้นที่สี่ มีเต๋าธาตุไม้เพียงอย่างเดียวและเป็นสารัตถะของร่างต้นแบบจึงเป็นสารัตถะตามธรรมชาติ แต่เต๋าธาตุอื่นๆ ที่ดูเหมือนจะเป็นต้นกำเนิด แท้จริงแล้วไม่ใช่ เป็นเพียงพลังของร่างกายเท่านั้น
แต่ตัวเขาในตอนนี้ ทุกๆ การเคลื่อนไหว ทอง ดิน น้ำ ไฟล้วนเป็นต้นกำเนิด แม้จะเป็นเพียงหนึ่งในต้นกำเนิดของธาตุทั้งห้า แต่ก็มีธาตุอื่นที่แบ่งปันกับตน ทว่า…นี่ก็เป็นจุดสูงสุดของธาตุทั้งห้าที่ผู้ฝึกตนสามารถบรรลุได้แล้ว
ในสภาวะปกติไม่มีผู้ใดสามารถแยกธาตุทั้งห้าออกมาใช้เดี่ยวๆ ได้
แต่เต๋าธาตุไม้ของหวังเป่าเล่อทำได้!
กอปรกับเต๋าแห่งหยินมืดของเขาเชื่อมโยงกับเต๋าแห่งความตายของมหาจักรวาลและกลายร่างเป็นเจ้าแห่งความมืด ดังนั้นเขาในตอนนี้แม้จะยังอยู่ขั้นที่สี่ แต่…กลับสามารถสยบขั้นที่สี่ด้วยกันได้แทบทั้งหมด!
คนอื่นนั้นส่วนใหญ่ล้วนเป็นต้นกำเนิดเต๋าเพียงเต๋าธาตุเดียว แต่หวังเป่าเล่อเป็นต้นกำเนิดเต๋าห้าธาตุ อีกทั้งยังเป็นต้นกำเนิดที่แท้จริงของเต๋าธาตุไม้ เช่นนี้แล้วหากขั้นที่สี่มาอยู่ตรงหน้าเขาก็มีเพียงการถูกสยบเป็นผลลัพธ์สุดท้ายเท่านั้น
อาจกล่าวได้ว่าหวังเป่าเล่อในขณะนี้คือขั้นที่สี่ที่แข็งแกร่งที่สุด ไม่ใช่แค่หนึ่งในนั้น
แต่…นี่ยังไม่ใช่จุดสิ้นสุดของหวังเป่าเล่อ เขาที่ยืนอยู่ระหว่างสะพานที่เก้าและสิบ เวลานี้ได้เงยหน้ามองสะพานที่สิบ ด้วยระดับในปัจจุบันของเขาจะสามารถมองเห็นว่าบนสะพานที่สิบมีเงาร่างอยู่สามร่าง
ทั้งสามร่างนี้ล้วนไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับหวังเป่าเล่อ สองท่านที่ยืนอยู่บนหัวสะพานที่สิบก็คือมหาจักรพรรดิสวรรค์ทั้งสองของดินแดนเซียน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยทำให้หวังเป่าเล่อเกิดความรู้สึกอันตรายมาแล้ว
ส่วนคนที่ยืนอยู่กลางสะพานที่สิบก็คือ…ซือถูที่เคยเล่นหมากรุกกับเขา
ส่วนที่ปลายสะพานนั้นไม่มีใคร และบนสะพานที่สิบเอ็ดซึ่งเป็นสะพานสุดท้ายก็ไม่มีใครเช่นกัน
ซึ่งนั่นมีสองความหมาย อาจเพราะไม่มีใครเคยไปถึง หรืออาจเพราะ…ไปถึงอย่างสมบูรณ์แล้วจึงไม่ทิ้งเงาร่างไว้
แต่ไม่ว่าอย่างไรสิ่งที่สายตาหวังเป่าเล่อเห็นอยู่ตอนนี้ก็คือ จากกลางสะพานที่สิบไปไม่มีใครเลย
“ข้า จะเดินบนสะพานที่สิบได้ไหมนะ” หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขารู้ดีว่าสะพานที่เก้าเป็นตัวแทนของขั้นที่สี่ สะพานที่สิบเป็นตัวแทนของ…พลังฝึกปรือขั้นที่ห้า!
ขอเพียงก้าวขึ้นไปได้ก็แสดงว่าตนนับเป็นขั้นที่ห้าแล้ว หากเดินไปถึงตรงกลางก็แสดงว่าขั้นที่ห้าฝึกปรือไปครึ่งหนึ่งแล้ว และหากเดินไปถึงปลายสะพานได้ก็แสดงว่าระดับขั้นที่ห้านี้สมบูรณ์แล้ว
แต่หวังเป่าเล่อไม่มั่นใจ เต๋าของเขา…ถูกใช้ไปหมดแล้ว
แม้จะยังเหลือเต๋าหยางศักดิ์สิทธิ์ แต่กลับไม่มีอะไรมารองรับเต๋า ไร้พันธนาการเช่นกัน
“น่าเสียดาย…” หวังเป่าเล่อถอนใจเบาๆ แต่แล้วในตอนนั้นเอง
บิดาของหวังอีอีที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ข้างสะพานแห่งแรกก็เอ่ยขึ้น
“เป่าเล่อ เดินต่อไป!”
ได้ยินเช่นนี้ แววตาหวังเป่าเล่อพลันวูบไหว ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ร่างของเขาก็ก้าวไปข้างหน้า ระหว่างนั้นพลังปราณบนร่างก็เปลี่ยนไปทันที หยินมืดสลาย ความมีชีวิตชีวาอันเข้มข้นสายหนึ่งพลันปะทุออกจากร่าง
นี่คือ…เต๋าตรงข้ามของเต๋าแห่งหยินมืด…เต๋าแห่งหยางศักดิ์สิทธิ์!
เต๋านี้เป็นเต๋าที่เข้มงวดและศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ทันทีที่ใช้มันความสูงส่งจึงพุ่งทะยาน แสงสว่างของมันสยบทุกแสงในใต้หล้า ความมีชีวิตชีวาสยบทุกความตาย!
แต่น่าเสียดาย…ที่มันเป็นเพียงมายา ไม่มีร่างจริง เหมือนกับแหนไร้รากลอยบนผิวน้ำ ดูเหมือนจะแข็งแกร่งแต่ความจริงแล้วเป็นเพียงภายนอกเท่านั้น!
เพราะในเต๋าแปดปรมัตถ์ของหวังเป่าเล่อ นอกจากไร้พันธนาการแล้ว เต๋าหยางศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่มีสิ่งรองรับเต๋า ตอนที่เขาอยู่ในโลกแห่งศิลา หวังเป่าเล่อตามหามันไม่เจอจึงทำให้เต๋านี้ไม่อาจสมบูรณ์ได้
ทว่า ตอนนี้…ในพริบตาที่เต๋าหยางศักดิ์สิทธิ์ของหวังเป่าเล่อแผ่ออกมา บิดาของหวังอีอีที่อยู่ล่างสะพานแห่งแรกก็ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น ก่อนที่หินรูปร่างประหลาดจะปรากฏอยู่ในมือของเขา
หินก้อนนี้มีขนาดเท่ากำปั้น มันแผ่พลังอันสูงส่งออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่ใหญ่ แต่ให้ความรู้สึกไร้ที่สิ้นสุด หากพินิจให้ละเอียดจะเห็นว่ามันมีรอยจำนวนมาก และวัสดุของมัน…ดูเหมือนจะเป็นอย่างเดียวกันกับสะพานสู่สวรรค์!!
“นี่คือหินสะพานที่เหลืออยู่ตอนที่ข้าแซ่หวังสร้างสะพานที่สิบเอ็ด มอบให้เจ้า…เป็นสิ่งรองรับเต๋า!” ขณะที่กล่าวหวังโหม่วก็สะบัดมือ หินสะพานก้อนนั้นพลันระเบิดแสงแรงกล้าและพุ่งไปยังหวังเป่าเล่อ!
พุ่งเข้าใกล้และหลอมรวมในพริบตา!
หวังเป่าเล่อตัวสั่นอย่างรุนแรง เต๋าหยางศักดิ์สิทธิ์พลันระเบิด!
ตอนนี้เมื่อมองไปรอบๆ จักรวาลนอกดินแดนเซียนแล้ว มันถูกปกคลุมด้วยตาข่ายยักษ์ใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด ตาข่ายยักษ์นี้ใหญ่โตมากจนดูเหมือนจะครอบคลุมได้ทั้งมหาจักรวาล มันปรากฏขึ้นในทุกภูมิภาคในมหาจักรวาล
ตาข่ายยักษ์นี้ก็คือกฎ
เส้นด้ายแต่ละเส้นมีทั้งหนาและบาง แต่ทุกเส้นล้วนเป็นกฎ
และในดินแดนเซียน ไม้สีดำกลางตาข่ายก็ยิ่งชัดเจน แม้แต่ลายไม้ก็ยังมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยเฉพาะแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากไม้สีดำนั้นได้ส่งผลให้คนที่สัมผัสถึงมันต่างร้องคำรามอยู่ในใจ
แม้แต่ด้ายกฎบนตาข่ายรอบๆ ไม้สีดำก็ยังเทียบไม่ได้ ทำให้ไม้สีดำเขย่าขวัญไปทุกสารทิศ
และตอนนี้ไม้สีดำก็กำลังจมลงช้าๆ ท่ามกลางเสียงคำรามดุร้ายราวกับกำลังจะแตะต้องดินแดนเซียน
ทุกคนที่ได้เห็นภาพนี้ย่อมตื่นตกใจ ร่างกายสั่นเทิ้มรุนแรง ผู้เยี่ยมยุทธ์ซึ่งเป็นตัวแทนของดวงอาทิตย์ที่กำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าในดินแดนเซียนตอนนี้ก็เช่นกัน
ในความรู้สึกของพวกเขา ไม้สีดำที่ปรากฏรอบดินแดนเซียนนั้นสมจริงมาก พลังแห่งการจุติของมันก็ยิ่งสมจริง กระทั่งรู้สึกว่าหากไม้สีดำนี้จมลงมา ดินแดนเซียนคงจะมืดมิดในชั่วพริบตา
“นี่…นี่มัน…”
“ต้องหยุดไม้นั่น!”
เสียงอุทานดังมาจากดินแดนเซียนอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ซือถูที่เคยเล่นหมากรุกกับหวังเป่าเล่อก็ยังปรากฏตัวข้างหวังโหม่วบิดาของหวังอีอีด้วยท่าทางเคร่งขรึมยิ่ง
ในเวลาเดียวกันภายในดวงอาทิตย์สิบเอ็ดดวงนั้น ดวงอาทิตย์สองดวงที่สว่างพร่างพรายกว่าของหวังเป่าเล่อก็ออกมาจากถ้ำที่พักและจ้องมองมาทางท้องฟ้าอย่างเคร่งขรึม ปล่อยพลังกดทับรุนแรง
ในการรับรู้ของพวกเขา ไม้นี้แฝงภัยคุกคามรุนแรง หลังจากจมลงมาจะต้องสร้างผลกระทบให้ดินแดนเซียนเป็นแน่ และทั้งดินแดนเซียนในตอนนี้มีเพียงสองคนที่จิตใจแจ่มกระจ่าง สีหน้าปกติ หนึ่งในนั้นคือบิดดาของหวังอีอี
เขาจ้องมองไม้สีดำนอกท้องฟ้าอย่างสงบ หลังจากพึมพำประโยคแรกแล้วก็เอ่ยประโยคที่สองออกมา
“แต่น่าเสียดาย…ที่ไม่สมบูรณ์”
“ไม่สมบูรณ์?” ซือถูที่ยืนถัดจากบิดาของหวังอีอีชะงักไปครู่หนึ่ง หากใช้พลังฝึกปรือของเขาในตอนนี้มองไป ไม้สีดำที่ปรากฏอยู่ตอนนี้เป็นของจริง ขณะเดียวกันก็ดูเป็นหนึ่งเดียวกันและไม่มีวี่แววของความไม่สมบูรณ์เลย
“ใช่ นี่เป็นเพียงการฉายภาพมายาที่ดูเหมือนจริงเท่านั้น” บิดาของหวังอีอีกล่าวตอบเสียงเบา
“ฉายภาพ…” ซือถูยิ่งใจสั่นสะท้านมากขึ้น และในขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ระหว่างสะพานที่เจ็ดและแปดก็ถอนหายใจเบาๆ
ไม้สีดำนี้เกิดจากสารัตถะแห่งไม้ของเขา ดังนั้นเขาจึงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าไม้สีดำที่ปรากฏอยู่นอกดินแดนเซียนในขณะนี้ไม่ได้มีอยู่จริง
ดังนั้นใจเขาจึงเข้าใจกระจ่าง สีหน้าเรียบเฉย
แต่เพราะความเชื่อมโยงกับไม้สีดำอย่างไม่อาจแยกออกจากกันได้จึงสัมผัสได้อย่างชัดเจน หากแต่บิดาของหวังอีอีนั้นต่างจากเขาอย่างเห็นได้ชัด จากจุดนี้ยังทำให้เห็นถึงความน่ากลัวของเขาด้วย
“หากนี่เป็นเพียงภาพฉาย เช่นนั้นไม้ของจริง…อยู่ไหน” ซือถูที่ยืนอยู่ล่างสะพานที่หนึ่งเอ่ยขึ้น จากนั้นก็ครุ่นคิด ก่อนจะหันขวับไปทางท้องฟ้า สายตาราวกับมองทะลุจักรวาลไปยังที่ที่หนึ่ง
“ตรงนั้นไง” ท่านพ่อหวังเอ่ยเสียงเบา พร้อมกับหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ระหว่างสะพานที่เจ็ดและแปดก็หันมองไปยังจุดหนึ่งในมหาจักรวาลโดยอาศัยสัมผัสเชื่อมต่อภายในใจ
และแทบจะในทันทีที่เขาหันไปมอง…
จุดหนึ่งในจักรวาลที่สายตาเขาทอดมองก็ราวกับมีหมอกสีแดงกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต หมอกนั้นยังคงม้วนตัวราวกับว่ามันไม่ได้หยุดมาเป็นเวลานานแล้ว
และข้างในหมอกนั้นปรากฏเงาร่าง 108 ร่าง แต่ละร่างล้วนยิ่งใหญ่สะท้านจิตใจ ภายในร่างแต่ละร่างล้วนมีจักรวาลที่ต่างกัน
ร่างทั้ง 108 ร่างนี้ยืนล้อมกันและกันราวกับจัดเรียงเป็นรูปแบบ หากมองจากมุมสูงจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารูปแบบนี้…เป็นรูปมนุษย์
และใจกลางร่างมนุษย์ก็คือตำแหน่งของจุดตันเถียน ที่ตรงนั้น…เป็นแก่นของหมอกสีแดง สายตาและดวงจิตเทพไม่อาจมองทะลุได้ราวกับไม่อาจแยกออกจากทุกสิ่ง
และในพื้นที่อันเป็นเอกเทศแห่งนี้กลับมี…ร่างที่ 109 อยู่อย่างน่าประหลาด!
คนผู้นี้นั่งทำสมาธิ รูปร่างหน้าตาไม่ชัด ทั่วทั้งร่างปกคลุมไปด้วยหมอกแดง มีเพียงบริเวณหน้าผากที่เห็นได้ชัดเจนกว่าส่วนอื่น จะเห็นได้ว่าตรงนั้น…มีตะปูไม้สีดำตอกอยู่ตรงกลาง!
พลังที่แผ่ออกมาจากตะปูไม้สีดำนี้ทำให้บริเวณรอบๆ บิดเบี้ยวจนหมอกสีแดงไม่อาจแทรกซึมเข้าไปตรงนั้นได้ ทำได้เพียงสัมผัสอยู่ภายนอก แต่หมอกสีแดงก็ดูจะไม่ยินยอมให้เป็นเช่นนั้น มันม้วนตลบและพยายามครอบคลุม
บางที…อาจเป็นเพราะหมอกพลุ่งพล่านตรงใจกลางจึงส่งผลให้หมอกสีแดงพลิกตลบไม่หยุดมานานหลายปี
“สถานที่ที่ร่างต้นแบบอยู่อย่างแท้จริง!” หวังเป่าเล่อดวงตาหดแคบ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งและเงยหน้าขึ้น ดวงตาเผยแววมุ่งมั่น ก่อนจะยกเท้าก้าวลงไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
ยามที่เท้ายกขึ้น ภาพฉายไม้สีดำกลางจักรวาลนอกท้องฟ้าก็ลดระดับลงรวดเร็วจนน่าตกใจ ขณะที่ผู้คนในดินแดนเซียนตื่นตกใจอยู่นั้น พริบตาที่เท้าของหวังเป่าเล่อวางลง ไม้สีดำก็ร่วงลงมาอย่างสมบูรณ์ มันร่วงกระทบดินแดนเซียน กระทบสะพานสู่สวรรค์และกระทบศีรษะหวังเป่าเล่อ!
แผ่นดินไม่ได้สะเทือน ท้องฟ้าไม่ได้ถล่มอย่างที่ทุกคนจินตนาการไว้ ท่ามกลางความตื่นตกใจของทุกชีวิต ไม้สีดำสัมผัสกับหวังเป่าเล่อและ…หลอมรวมเข้าไปในร่างของเขาอย่างเงียบเชียบ!
เห็นได้ชัดว่าร่างของหวังเป่าเล่อเป็นดั่งเศษธุลีเมื่อเทียบกับไม้สีดำ เห็นได้ชัดว่าไม้สีดำยิ่งใหญ่กว่าดินแดนเซียน ทว่าในตอนนี้ราวกับประสาทสัมผัสและดวงตาได้รับผลกระทบ ไม้สีดำขนาดมหึมาหลอมรวมเข้าไปในร่างหวังเป่าเล่อชั่วพริบตา
อึดใจต่อมาเท้าของหวังเป่าเล่อก็วางลงอย่างสมบูรณ์แล้ว
ย่างก้าวนี้ก้าวข้ามความว่างเปล่าระหว่างสะพานที่เจ็ดและแปด ก้าวข้ามหัวสะพานที่แปด ก้าวข้ามปลายสะพานที่แปด และก้าวข้ามความว่างเปล่าระหว่างสะพานที่แปดและเก้า…ข้ามพ้น…ทุกสะพาน
และมาอยู่บนสะพานที่เก้า!!
หากแต่ไม่ใช่ที่หัวสะพาน กลับเป็น…ปลายสะพาน!!
เมื่อร่างของหวังเป่าเล่อปรากฏขึ้นตรงปลายสะพานที่เก้า ทั้งโลกพลันตกตะลึง ก่อนที่ความโกลาหลมากมายจะทะยานสูง
“สะ…สะพานที่เก้า!!”
“ก้าวเดียว…ข้ามพ้นทุกสะพาน!”
“ไม่ใช่ข้ามพ้นทุกสะพาน แต่จากสะพานที่เจ็ดถึงสะพานที่เก้าต่างหาก!!”
ท่ามกลางความโกลาหล หวังเป่าเล่อบนปลายสะพานกลับมีความเศร้าโศกผุดขึ้นในใจ เขารู้ดีว่าเป็นเพราะการปรากฏตัวของไม้สีดำเป็นเพียงภาพฉาย ไม่ใช่ของจริง จึงไม่อาจทำให้เขาไปถึงสุดสะพานที่สิบเอ็ดได้ในพริบตาเดียวและหยุดลงอยู่ตรงนี้
ขณะนี้แม้เขาจะยืนอยู่บนปลายสะพานที่เก้าแล้ว แต่หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ว่าเส้นทางข้างหน้ายังมีอุปสรรคใหญ่หลวง ส่งผลให้เท้าของเขา…ยากที่จะยกขึ้นไปต่อ
“ท่านพ่อ เขา…จะหยุดแล้วหรือ” หวังอีอีที่ยืนอยู่ข้างสะพานแห่งแรกเอ่ยเสียงเบา
“ของขวัญของข้ายังไม่ทันได้มอบให้ ย่อมไม่มีทางหยุด” ผู้เป็นบิดาสีหน้าสงบนิ่งตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้
เต๋าธาตุทองและน้ำข้ามผ่านสะพานที่หก
ไม่ใช่ว่าเต๋าไม่แข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะการรู้แจ้งของหวังเป่าเล่อยังไม่ถึงระดับต้นกำเนิด แท้จริงแล้ว…เต๋าแห่งธาตุทั้งห้านั้นโดยพื้นฐานไม่สามารถฝึกฝนจนถึงระดับต้นกำเนิดได้ เพราะนั่นไม่สอดคล้องกับกฎของมหาจักรวาล
ธาตุทั้งห้าคือเต๋าสำคัญของตรรกะพื้นฐานของมหาจักรวาล ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนจะควบคุมได้ อย่างมากที่สุด…ก็ถึงระดับที่หวังเป่าเล่อกำลังทำในตอนนี้ ดูเหมือนจะกลายเป็นต้นกำเนิด แต่ความจริงแล้วเป็นเพียงหนึ่งในนั้น ไม่ใช่หนึ่งเดียว
ความต่างของทั้งสองอย่างนี้ก็คือต้นกำเนิดปลอมกับต้นกำเนิดที่แท้จริง
เรื่องพวกนี้หวังเป่าเล่อที่เดินข้ามสะพานมาถึงตรงนี้รู้ดี เขาจึงไม่ได้แปลกใจ ขณะนี้แม้จะยืนอยู่ระหว่างสะพานที่หกและเจ็ด แต่เขาก็ยังสะบัดมือขวาลง ทันใดนั้นเต๋าธาตุดินก็จุติขึ้น
รอบตัวพลันมีศิลาขนาดมหึมาควบแน่นจากสภาวะลวงตาแปรเปลี่ยนเป็นของแข็งอย่างรวดเร็ว กฎแห่งเต๋าธาตุดินแผ่ขยายออกไปทั่วทุกสารทิศกู่ก้องไปทั้งจักรวาล
ในไม่ช้าศิลานี้ก็หลอมละลายเข้ากับหวังเป่าเล่อเหมือนกับทองและน้ำ ขณะเดียวกันก็ดูเหมือนจะกลายเป็นเส้นด้ายนับไม่ถ้วนกระจายไปทั่วจักรวาลราวกับเชื่อมโยงกับสารัตถะแห่งดินในมหาจักรวาล
เปรียบเหมือนด้านหนึ่งเป็นทะเลสาบ ด้านหนึ่งเป็นมหาสมุทร ทั้งขนาดและความลึกต่างกัน เมื่อเกิดช่องทางระหว่างกัน น้ำในมหาสมุทรก็พุ่งไปที่ทะเลสาบอย่างรวดเร็ว ในที่สุดไม่เพียงแต่ทะเลสาบจะใหญ่ขึ้น แต่หลังจากใหญ่ขึ้นแล้ว…มันก็รวมเป็นหนึ่งเดียวกันไม่แยกจากกันอีก
นี่ก็คือการพิสูจน์เต๋า
เต๋าธาตุทองเป็นเช่นนี้ เต๋าธาตุน้ำเป็นเช่นนี้และเต๋าธาตุดินในตอนนี้ก็เป็นเช่นกัน!
ดังนั้นในกระบวนการนี้เต๋าธาตุดินของหวังเป่าเล่อจึงยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ดูดซับและเติบโต ในที่สุดฝีเท้าของเขาก็ไม่หยุดนิ่งอีกต่อไปราวกับมีพลังใหม่และก้าวไปข้างหน้าทีละก้าว
สิบจั้ง ร้อยจั้ง พันจั้ง…
กฎเต๋าธาตุดินของมหาจักรวาลพรั่งพรูคอยสนับสนุนและผสานเข้าไปอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ร่างของหวังเป่าเล่อขยายใหญ่ขึ้น หนาขึ้นและน่ากลัวขึ้น!
ดังนั้นขณะก้าวไปข้างหน้า พลังปราณบนร่างของเขาจึงปะทุขึ้นไม่หยุด ดวงอาทิตย์ดวงที่สิบเอ็ดที่ปรากฏขึ้นในดินแดนเซียนก็ยิ่งเปล่งแสงเจิดจ้า จนกระทั่งหวังเป่าเล่อก้าวไปถึงสะพานที่เจ็ด และก้าวขึ้นไป พริบตานั้นดวงอาทิตย์ดวงที่สิบเอ็ดก็ส่องสว่างถึงขีดสุด
ทุกคนที่กำลังมองหวังเป่าเล่ออยู่พลันร้องคำรามอยู่ในใจ
“สะพานที่เจ็ด!”
“เขา…ไปถึงสะพานที่เจ็ดแล้ว!”
ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกชีวิต หวังเป่าเล่อที่กำลังเดินบนสะพานที่เจ็ดดวงตาเจิดจ้า เขาสัมผัสได้ว่าเต๋าธาตุทอง เต๋าธาตุน้ำและเต๋าธาตุดินของตนได้หลอมละลายเข้ากับร่างกายอย่างสมบูรณ์พร้อมกับการพิสูจน์เต๋าของสะพานสู่สวรรค์
นี่คือการหลอมรวมและเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งด้วย
จากเต๋าแห่งธาตุทั้งห้าของโลกศิลาแปรสภาพเป็น…ธาตุทั้งห้าของมหาจักรวาล!
มันทำให้เขาสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเต๋าทั้งสามของตนไม่ได้แยกจากกันอีก และเต๋าแห่งธาตุทั้งห้าในร่างก็หลอมรวมเข้าไปในธาตุทั้งห้าของมหาจักรวาลแล้วกลายเป็นหนึ่งในต้นกำเนิดของมัน
แม้จะเป็นเพียงหนึ่งในนั้น แต่ก็นับว่าเป็นขีดสูงสุดที่ผู้ฝึกตนจะบรรลุได้แล้ว ระดับการการฝึกตนของเขาไม่เหมือนเมื่อก่อน พลังต่อสู้ของเขาก็ต่างออกไป เพราะเขาในตอนนี้ไม่ใช่แค่แสดงเต๋าธาตุทอง เต๋าธาตุน้ำ เต๋าธาตุดินได้ด้วยพลังของตนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังมี…พลังแห่งสามธาตุของมหาจักรวาลด้วย
ทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา!
“เจ้าสะพานสู่สวรรค์ตัวดี!” แสงในดวงตาหวังเป่าเล่อเจิดจ้ารุนแรงขึ้น ไม่มีผู้ใดไม่ชอบความรู้สึกที่ร่างกายแข็งแกร่ง หวังเป่าเล่อก็เช่นกัน เขาอยากแข็งแกร่งเพราะแบบนั้นเขาจึงจะไร้พันธนาการ
ดังนั้นหลังจากไปถึงกลางสะพานที่เจ็ดแล้ว หวังเป่าเล่อก็สะบัดมือขวาลงทันทีเมื่อตระหนักได้ว่าพลังที่เหลืออยู่ไม่เพียงพอ
“เต๋าธาตุไฟ!”
ทันทีที่เอ่ยขึ้น ไฟลุกโชนพลันระเบิดขึ้นรอบตัวเขา เปลวเพลิงนี้ยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด แต่สิ่งที่แผ่ออกมาไม่ใช่ความร้อน กลับเป็น…กระแสเซียนและวิชาสืบทอด
เพราะนี่คือเพลิงเซียน และเป็นไฟแห่งคบเพลิง!
แม้มันจะเป็นเพียงหนึ่งในเต๋าธาตุไฟ แต่ก็เป็นไฟเหมือนกัน หลังจากปรากฏตัวขึ้นมันก็กระตุ้นปราณกังวานของไฟแห่งธาตุทั้งห้าในมหาจักรวาลทันที พวกมันเชื่อมโยงกันในพริบตาและภาพของสามธาตุก่อนหน้านี้ก็ปรากฏขึ้น
มองจากที่ไกลๆ ทะเลเพลิงแทรกซึมไปทั้งสะพาน รวมถึงจักรวาลที่อยู่ไกลออกไปด้วย แต่…แม้ทะเลเพลิงจะสว่างโชติช่วงก็ยังไม่อาจซ่อนร่างหวังเป่าเล่อได้ ราวกับทะเลเพลิงนี้เป็นเพียงการจัดฉาก ทำให้ร่างของหวังเป่าเล่อยิ่งน่าเกรงขาม และเมื่อทะเลเพลิงกับร่างของเขาหลอมรวมเข้าด้วยกันแล้ว เท้าของเขาก็ยกขึ้นย่างก้าวไปยังปลายสะพานอีกครั้ง
ความเร็วไม่มาก แต่ฝีเท้ากลับมั่นคงอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับการปะทุของระดับการฝึกตน ท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วน เขาก็มาถึง…ปลายสะพานที่เจ็ดในเวลาไม่นาน
ห่างจากทางลงเพียงหนึ่งก้าว!
สะพานสู่สวรรค์มีจุดพิเศษอย่างหนึ่ง นั่นก็คือไม่ว่าสะพานใด ในด้านความแข็งแกร่งการก้าวข้ามกับการเดินผ่านนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นสายตาที่มองหวังเป่าเล่อจึงยิ่งเคร่งขรึมขึ้นทันที
แต่ความเคร่งขรึมเหล่านี้…ไร้ความหมาย
เพราะ…หวังเป่าเล่อที่เดินมาถึงปลายสะพานที่เจ็ดไม่ได้รั้งรอแม้แต่น้อย เขาก้าวตรงไป…ด้วยท่าทีสบายๆ เดินผ่านสะพานที่เจ็ดไปยังความว่างเปล่าระหว่างสะพานที่เจ็ดและแปด
เสียงเซ็งแซ่พลันโพล่งออกมาด้วยความตกใจไปทั่วทั้งดินแดนเซียนทันที
“ไปสะพานที่แปดแล้ว!”
“เขา…เขาจะไปได้กี่สะพานกันนะ”
หวังโหม่วที่จ้องมองร่างหวังเป่าเล่อยิ่งมีสายตาคาดหวังยิ่งกว่าเดิม ขณะเดียวกันมหาจักรพรรดิสวรรค์ทั้งหมดบนดินแดนเซียนต่างก็เกิดการคาดเดาทำนองเดียวกัน
แม้แต่ตัวหวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน ขณะนี้เขายืนอยู่ในความว่างเปล่าระหว่างสะพานที่เจ็ดและแปด เงยหน้ามองสะพานที่แปดที่อยู่ไกลๆ แล้วพึมพำเบาๆ
“หากธาตุทอง ธาตุไฟ ธาตุน้ำ ธาตุดิน สนับสนุนข้าให้ผ่านมาได้สองสะพาน …เต๋าธาตุไม้ของข้าจะพาข้าไปได้ไกลแค่ไหนกันล่ะ”
“เต๋าธาตุไม้!” พริบตาต่อมาหวังเป่าเล่อก็ยกสองมือขึ้นพร้อมเอ่ยเสียงต่ำ
ตอนนั้นเองที่เขาเอ่ยขึ้น สะพานทั้งเจ็ดด้านหลังก็พลันสั่นสะเทือนรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับสะพานสู่สวรรค์ทั้งเจ็ดก่อนหน้านี้ไม่อาจทนรับได้
แม้แต่สะพานที่แปดก็ยังสั่นสะเทือน มีเพียงสะพานที่เก้าที่ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากนัก
หากแตดินแดนเซียนใต้ร่างหวังเป่าเล่อเวลานี้กลับส่งเสียงร้องคำรามรุนแรง เสียงอสูรร้ายนับไม่ถ้วนชะงักกึกทันที เพราะขณะนี้…ท้องฟ้าพลันบิดเบี้ยว
เพราะขณะนี้จักรวาลเกิดระลอกคลื่น
เพราะขณะนี้พื้นที่เกือบทั้งหมดของมหาจักรวาลกำลังสั่นไหว!
ดวงจิตเทพของผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายต่างตื่นตกใจและรีบเพ่งมองมาจากทุกสารทิศของมหาจักรวาล และเมื่อดวงจิตเทพของพวกเขามาถึง พวกเขาก็ได้เห็นว่า…ท่ามกลางจักรวาลนอกดินแดนเซียนในตอนนี้…มีไม้ขนาดมหึมา…ไม่ต่างจากดินแดนเซียนปรากฏขึ้น!
เส้นด้ายนับไม่ถ้วนถักทอขึ้นเป็นตาข่ายยักษ์ที่ปกคลุมไปทั่วทั้งมหาจักรวาล ทำให้ไม้นี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของมันอย่างไม่อาจแยกออก และเส้นด้ายทุกเส้นบนตาข่ายก็คือ…กฎ!
มองดูไม้นี้อีกครั้ง สีของมันดำสนิทเหมือนกับโลงศพ!
แรงกดดันที่อธิบายไม่ได้แผ่ซ่าน อีกทั้งยังมีความเศร้าโศกและทุกข์ทรมานแทรกซึมไปในจักรวาลพร้อมกับที่ไม้ปรากฏขึ้นด้วย
“สารัตถะเพียงหนึ่งเดียวแห่งไม้ในจักรวาลผืนนี้!” บิดาของหวังอีอีเงยหน้าพร้อมเอ่ยเสียงเบา
…………………………………
นับแต่สะพานสู่สวรรค์ถือกำเนิดขึ้นความลึกลับและความยิ่งใหญ่ของมันล้ำลึกถึงขีดสุด ในมหาจักรวาลผืนนี้สิ่งที่สามารถพิสูจน์ระดับการก้าวสู่สวรรค์ได้นั้นมีเพียงหยิบมือ และสะพานสู่สวรรค์ที่มีฐานะอยู่ในหนึ่งนั้นจึงย่อมน่าอัศจรรย์
ขณะเดียวกันสะพานสู่สวรรค์นี้ยังมีจุดที่พิเศษอย่างยิ่ง มันไม่เพียงสามารถพิสูจน์การฝึกตนระดับการก้าวสู่สวรรค์ได้ แต่ยังเป็นเหมือนเครื่องขยายเสียง ทำให้วิถีเต๋าของผู้ฝึกตนที่ก้าวข้ามสะพานและเต๋าหมื่นวิถีก่อตัวเป็นปราณกังวาน ส่งผลให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ก้าวข้ามสะพานนี้มีพลังต่อสู้เพิ่มขึ้นมหาศาล
ตามหลักการแม้จะไม่ใช่ว่าไม่มีใครรู้ แต่ต่อให้เข้าใจก็ยากที่จะลอกเลียนแบบได้อยู่ดี ผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเพียงหนึ่งเดียวมีเพียงบิดาของหวังอีอี
เพราะสะพานที่ครั้งหนึ่งเคยพังทลายถูกเขาสร้างขึ้นใหม่ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังสร้างเพิ่มขึ้นอีกสองสะพานบนฐานรากเดิมด้วย
การทำสิ่งแรกได้นั้นก็ไม่ธรรมดาแล้ว การทำอย่างหลังจึงนับว่าน่าอัศจรรย์ยิ่งกว่า
ดังนั้นในมหาจักรวาลผืนนี้ ความเข้าใจในสะพานสู่สวรรค์ของหวังโหม่วจึงไม่มีใครเทียบได้
เขารู้ดีว่าการข้ามสะพานแห่งแรกคือทำให้ผู้ฝึกตนรู้แจ้งเต๋าทั้งหมดในจักรวาลเหมือนเป็นการเปิดทาง ทำให้ตัวผู้ฝึกตนยิ่งสมบูรณ์ขึ้น สะพานนี้ ใครก็ตามที่มีระดับการฝึกตนในระดับหนึ่งก็มีคุณสมบัติที่จะเหยียบมันได้
แต่ตั้งแต่สะพานที่สองเป็นต้นไปนั้นจะแตกต่าง เฉพาะผู้ที่มีสายเลือดดินแดนเซียนเท่านั้นจึงจะมีคุณสมบัติก้าวต่อได้ ดังนั้นจุดสำคัญของสะพานแห่งที่สองก็คือการทดสอบ หรือจะเรียกว่าธรณีประตูก็พอจะคล้ายคลึงกัน
ดังนั้นก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อจึงถูกต่อต้านอย่างรุนแรง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่คนของดินแดนเซียนจะต้องถูกสกัดอยู่ตรงนี้เป็นแน่ แต่หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน
ดังนั้นภายใต้เจตจำนงและฝีเท้าของเขา แม้สะพานที่สองจะพังทลายก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งได้ จนต้องยอมรับในคุณสมบัติของเขาในท้ายที่สุดและเปิดทางก้าวสู่สวรรค์อย่างแท้จริงให้หวังเป่าเล่อ
นี่จึงเกิดการ ‘สำรวจจิตใต้สำนึก’ เป็นครั้งแรกของสะพานสู่สวรรค์
เมื่อหัวใจเต๋าสมบูรณ์จึงจะสามารถเดินลงจากสะพานที่สองและเดินขึ้นสะพานที่สามได้ และมีเพียงผู้ที่หัวใจเต๋ามั่นคงเท่านั้นจึงจะเดินข้ามสะพานที่สามไปยังสะพานที่สี่ได้
นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องให้หัวใจเต๋าอยู่บนพื้นฐานของความสมบูรณ์และมั่นคงจึงจะสามารถก้าวลงจากสะพานที่สี่และไปยังสะพานที่ห้าได้เช่นกัน
ทั้งหมดนี้หวังเป่าเล่อทำได้แล้ว ระดับการฝึกตนของเขาหลังจากก้าวข้ามสะพานมาอย่างต่อเนื่องก็ปะทุเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พลังการต่อสู้ก็เช่นกัน พลังปราณบนร่างยิ่งทะยานขึ้นฟ้า จนเรียกได้ว่าหากเทียบระหว่างเขาในขณะนี้กับเขาตอนก่อนหน้าจะก้าวข้ามสะพาน มันอาจไม่ต่างกันมาก แต่ตอนนี้แม้จะยังไม่ถึงขนาดบดขยี้ได้ ทว่าก็สามารถสยบได้
เพราะก่อนจะข้ามสะพานมีเพียงพลังของคนคนเดียว ทว่าตอนนี้สามารถยืมพลังจากเต๋าหมื่นวิถีในจักรวาลและปราณกังวานจากมหาจักรวาลมาใช้ได้ แม้ว่า…การยืมพลังเช่นนี้จะยากลำบากอยู่บ้าง แต่…นี่ก็ไม่ใช่เคล็ดวิชาทั่วไปของขั้นที่สี่แล้ว นี่คือขั้นที่ห้า!
ต่อให้เป็นต้นกำเนิดแห่งเต๋าแล้วอย่างไร พลังเต๋าหมื่นวิถีที่ยืมมาจากมหาจักรวาลก็ย่อมสยบได้ทั้งสิ้น
แต่นี่ก็ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนที่อยู่บนสะพานที่ห้าจะทำได้ โดยปกติแล้วการเหยียบสะพานที่ห้าก็แค่ทำให้เกิดดวงอาทิตย์ขึ้นบนดินแดนเซียนเท่านั้น อิงจากชื่อของดินแดนเซียนแล้วก็เป็นเพียงมหาจักรพรรดิสวรรค์
ไม่ใช่ขั้นที่สี่ แต่เป็นระดับใกล้เคียง
แต่เนื่องจากรากฐานร่างกายหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งเกินไป สะพานที่ห้าของเขาจึงแตกต่างจากผู้อื่น ไม่เพียงแต่ปรากฏดวงอาทิตย์ดวงที่สิบเอ็ดขึ้นในดินแดนเซียนเท่านั้น ทว่ารัศมีร่างกายของเขายังน่าทึ่งจนคาดไม่ถึงด้วย
นี่ก็คือเหตุผลที่หวังโหม่วเอ่ยคำพูดไม่ธรรมดานั่นออกมา
เพราะผู้ที่สร้างสะพานสู่สวรรค์ขึ้นใหม่เองกับมืออย่างเขารู้ดีว่า จะความสมบูรณ์ของร่างกายในสะพานแรกก็ดี การรับรองคุณสมบัติในสะพานที่สองก็ดี หรือจะการสำรวจจิตใต้สำนึกในสะพานที่สามถึงห้า ทั้งหมดนี้…ในความเป็นจริงเป็นเพียงการยกระดับรายละเอียดข้างในของผู้ฝึกตนเท่านั้น
ยิ่งรายละเอียดลึกซึ้งก็ยิ่งยกระดับได้มาก!
บทบาทของการขยายจริงๆ ได้เริ่มขึ้นนับจากนี้ และการยกระดับรายละเอียดทั้งหมด การขยายทั้งหมด ท้ายที่สุดแล้วก็มีไว้สำหรับ…การระเบิดของสะพาน!
ห้าสะพานแรกล้วนเป็นการสั่งสมพลัง!
หกสะพานหลังถึงจะเป็นการก้าวสู่สวรรค์!
ยิ่งสั่งสมพลังได้ลึกซึ้งเท่าไร การก้าวสู่สวรรค์ก็จะยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น!
“อย่างแรกสำรวจจิตใต้สำนึก อย่างหลังพิสูจน์เต๋า หวังเป่าเล่อ ขอข้าดูหน้อยสิ เจ้า…จะไปได้สักกี่สะพาน!” หวังโหม่วมองหวังเป่าเล่อบนปลายสะพานที่ห้าด้วยสายตาเฝ้ารอ
การพิสูจน์เต๋า เริ่มได้!
หวังเป่าเล่อเงยหน้าก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ตอนนั้นเองสะพานที่ห้าพลันเกิดเสียงร้องคำรามทันที หวังเป่าเล่อซึ่งอยู่ระหว่างสะพานที่ห้าและหกยิ่งเปล่งรัศมีมากขึ้น ผู้ที่มาถึงจุดนี้ได้อย่างเขาย่อมรู้วิธีที่จะไปต่อ
“ทอง!” หวังเป่าเล่อดวงตาวาววับพร้อมเอ่ยเสียงต่ำ
พริบตาที่เสียงเขาดังขึ้น บนร่างก็ระเบิดกฎแห่งทองอันน่าสะพรึงกลัวออกมา กฎนี้ไม่ได้ไร้รูปร่างอีกต่อไป แต่มันกลายเป็นด้ายสีทองนับไม่ถ้วนพันไปรอบๆ หากมองจากที่ไกลๆ ด้ายพวกนี้กำลังถักทอเป็นโครงสร้างวัตถุหนึ่ง
ซึ่งนั่นก็คือแท่งเงิน
เห็นได้ชัดเจนว่าเป็นสีเงินแต่กลับเปล่งแสงสีทอง ความขัดแย้งอันน่าประหลาดนี้ทำให้ผู้พบเห็นต่างดวงตาพร่ามัว อีกทั้งยามนี้กฎแห่งทองนับไม่ถ้วนจากมหาจักรวาลที่กำลังสั่นสะเทือนก็ก้องกังวานราวกับได้รับพร ทำให้กฎแห่งทองบนร่างหวังเป่าเล่อทวีความยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้น
และท่ามกลางความยิ่งใหญ่นี้เอง หวังเป่าเล่อก็ก้าวไปอีกก้าว เหยียบย่างลงบนความว่างเปล่าและไปปรากฏตัวขึ้นที่กลางสะพานที่หก!
มาถึงตรงนี้พลังปราณของเขาก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง อานุภาพแห่งกฎทองก็ดูเหมือนจะยกระดับขึ้นจนเห็นได้ว่า…แท่งเงินนั่นกำลังหลอมละลาย ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วอึดใจ พริบตาต่อมาแท่งเงินก็หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับหวังเป่าเล่อไปแล้ว!
ฟ้าดินร้องคำราม จักรวาลปั่นป่วน กระแสน้ำวนขนาดมหึมาปรากฏขึ้นนอกดินแดนแห่งเซียน ส่งผลให้เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ในมหาจักรวาลรับรู้ถึงมันได้จากระยะไกล และทยอยแผ่ดวงจิตเทพมาราวกับกำลังรับชมเต๋า
ขณะที่ดึงดูดความสนใจจากสายตาและดวงจิตเทพมานับไม่ถ้วน หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่กลางสะพานที่หกกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาก้มมองสองเท้าของตนและพบว่ามันไม่สามารถยกขึ้นมาได้
“เต๋าธาตุทอง เพราะข้าไม่ใช่ต้นกำเนิดที่แท้จริง ดังนั้น…เจ้าไม่มีทางช่วยพาข้าข้ามสะพานนี้ไปได้เลยหรือ…”
“ไม่มีปัญหา” ดวงตาหวังเป่าเล่อสว่างวาบ มือขวาสะบัดลงไปหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นหมอกน้ำก็แผ่ขยายไปทั่วทุกสารทิศ แผ่ขยายเต็มท้องฟ้า ปกคลุมดินแดนเซียน หากมองจากระยะไกลมันเป็นรูปทรงหยดน้ำ หรือกล่าวให้ถูกมันก็คือน้ำตาหยดหนึ่ง
เมื่อหมอกน้ำกระจายตัวออก กฎแห่งน้ำก็จุติขึ้นและเสริมพลังทันที มันหลอมละลายรูปแบบดั้งเดิมของตน แล้วหลอมรวมเข้ากับร่างหวังเป่าเล่อเช่นเดียวกับกฎแห่งทอง จากนั้นฝ่าเท้าของเขาก็ยกขึ้นและก้าวไป
ร่างของเขา…ข้ามสะพานที่หกมายืนอยู่ระหว่างสะพานที่หกและเจ็ดในทันที!
“ต่อไปคือเต๋าธาตุดิน!”
……………………………………………………………….
ภาพที่ได้เห็นจากการอาศัยพลังแห่งสะพานสู่สวรรค์กับพลังวิชาจันทร์ข้างแรมของหวังเป่าเล่อคือคลื่นพายุโหมกระหน่ำซึ่งทำให้ใจยากจะสงบ
เพราะก่อนหน้านี้จิตใต้สำนึกและการสรุปของเขา ร่างต้นแบบนั้นเป็นเพียงไม้สีดำขนาดมหึมา เป็นสารัตถะแห่งไม้ของมหาจักรวาลผืนนี้ ต่อมาถูกใช้เป็นอาวุธ แปลงเป็นตะปูไม้สีดำจุติขึ้นในมิติเต๋าต้นกำเนิดและตอกลงบนหว่างคิ้วมหาเทพ
ในกระบวนการนี้ เขายังไม่มีจิตใต้สำนึก หรือจะกล่าวให้ถูกคือจิตใต้สำนึกที่เป็นของหวังเป่าเล่อยังไม่ถือกำเนิด จนกระทั่งการต่อต้านของมหาเทพด้วยการแปลงเป็นหนึ่งแสนดวงจิตเทพ ตะปูไม้สีดำก็เช่นกัน นี่เป็นเหมือนกับการเปิดโอกาสทำให้ตะปูไม้สีดำในหนึ่งแสนโลกเกิดจิตใต้สำนึกนับแสนขึ้น
หวังเป่าเล่อก็เป็นเพียงหนึ่งในนั้น อีกอย่างดูแล้วในตอนนี้ก็เป็นเพียงเขาคนเดียวด้วย
ดังนั้นเขาจึงมีคุณสมบัติที่จะก้าวมาถึงระดับนี้ มีคุณสมบัติ…ที่จะตามหาต้นกำเนิดที่แท้จริง ทว่าหวังเป่าเล่อก็ไม่คาดคิดเลยสักนิดว่า ตอนนี้ทุกอย่างที่ตนเคยคิดจะเกิดจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่และความเป็นไปได้อันไร้ขอบเขต
“หาก…ข้ายังคงเป็นจิตใต้สำนึกของไม้สีดำที่ตื่นขึ้น เช่นนั้นศพในโลงนั่นเป็นใครล่ะ”
“หาก…ข้าไม่ใช่ไม้สีดำที่ตื่นขึ้น แต่เป็นศพนั่นกลับมาเกิดใหม่ แล้ว…ข้าเป็นใครกันแน่”
หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ สิ่งที่เขาเข้าใจมาจนถึงทุกวันนี้แทบจะเกิดความสับสนน้อยมาก แต่ตอนนี้ดวงตาของเขากลับว่างเปล่า หวังเป่าเล่อยืนเงยหน้ามองจักรวาลอยู่ที่ปลายสะพานที่สาม สิ่งที่เขากำลังมองไม่ใช่สะพานสู่สวรรค์อื่น ไม่ใช่ห้วงแห่งกาลเวลา แต่กำลังมองโลงศพสีดำที่ค่อยๆ หายไปในภาพความทรงจำของเขา
ตอนนี้เขายังรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน ท่ามกลางการสืบย้อนความทรงจำเมื่อครู่ ตอนที่เห็นโลงศพนั่น มันก็ไกลออกไปเรื่อยๆ และโปร่งแสงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งตอนที่มันค่อยๆ หลอมรวมเข้ากับความว่างเปล่า ศพที่หลอมรวมอยู่ข้างในอย่างรวดเร็วนั่นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
ความชัดเจนนี้เพิ่มความสับสนให้แก่หวังเป่าเล่อ
เพราะการเพ่งมองก็คือหนึ่งในประสาทสัมผัสสำหรับเซียนผู้เยี่ยมยุทธ์เช่นกัน มันสามารถดำรงอยู่ได้จริง ราวกับการเพ่งมองนี้คือเส้นเชื่อมโยงระหว่างเขากับศพนั่น
และในพริบตาที่มันเชื่อมโยงกันและกัน ความรู้สึกคุ้นเคยซึ่งไม่อาจอธิบายก็ส่งผ่านมาจากโลงศพ เมื่อย้อนกลับไปที่ต้นทาง หวังเป่าเล่อจึงพบว่า…ความคุ้นเคยนี้ไม่ได้มาจากโลงศพเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มาจาก…ศพที่กำลังหลอมรวมอยู่ข้างในนั้นด้วย
เหมือนกับได้เห็นตัวเองอีกคน
ลักษณะของศพนั้นดูยากมาก มองออกแค่ว่าเป็นเพศชาย ในเวลาเดียวกันสายตาที่เชื่อมโยงกันก็ได้ส่งผ่านความเสียใจและความทุกข์ทรมานอย่างลึกซึ้งจากศพนั่นมาหลอมรวมอยู่ในใจเขาด้วย
หากเปรียบหัวใจของคนเป็นดั่งทะเลสาบ ความเสียใจและความทุกข์ทรมานในขณะนี้ก็คือหยดหมึกที่ตกลงสู่ทะเลสาบจนเกิดระลอกคลื่น ขณะเดียวกันหมึกหยดนั้นก็ดูเหมือนจะส่งผลต่อทั้งหัวใจของหวังเป่าเล่อ
เขาจ้องมองจนกระทั่งโลงศพไม้สีดำหลอมรวมเข้ากับจักรวาลจนหมดสิ้น เมื่อศพที่อยู่ข้างในหลอมละลาย โลงศพก็ดูเหมือนจะถูกผนึกปิดตายและกลายเป็นไม้สีดำในที่สุด…
และไม้สีดำนี้ก็คล้ายจะก่อเกิดความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับจักรวาลผืนนี้ และกลายเป็นต้นกำเนิดมหาเต๋า
ความทรงจำดำเนินมาถึงตรงนี้ก็เลือนหายไป หวังเป่าเล่อยืนเงียบอยู่บนปลายสะพานที่สาม
หวังโหม่วเองก็นิ่งเงียบ แต่สายตาล้ำลึกกลับมีแสงแปลกประหลาด ส่วนหวังอีอีที่อยู่ข้างๆ กำลังมองหวังเป่าเล่อบนสะพานที่สามด้วยความสับสน ก่อนจะมองไปทางบิดาของตนแล้วเอ่ยถามเสียงต่ำ
“ท่านพ่อ หวังเป่าเล่อเขา…เป็นอะไรหรือ”
“เขา… ก็ทำให้ข้าประหลาดใจมากเช่นกัน” หวังโหม่วเอ่ยเสียงเบา
“ประหลาดใจมาก?” หวังอีอีตกตะลึง นางรู้จักบิดาของตนดี รู้ฐานะของบิดาในมหาจักรวาลแห่งนี้ และยิ่งเข้าใจวิธีการพูดของบิดา จึงตกใจมากที่บิดาพูดว่าประหลาดใจ อีกทั้งยังมีคำว่ามากเสริมเข้าไปด้วย
“เขาทำให้ข้านึกถึงคนคนหนึ่ง” หวังโหม่วไม่ได้เอ่ยต่อ เพราะหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่บนปลายสะพานที่สามในตอนนี้ได้คลายความสับสนในดวงตาแล้ว และกำลังก้าวเดินจากสะพานที่สามไปยังสะพานที่สี่ที่ห่างออกไปทีละก้าว
ยิ่งก้าวเดินระยะทางจากสะพานที่สี่ก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ฝีเท้าของหวังเป่าเล่อมั่นคงมากขึ้น ความสับสนในดวงตาก็ยิ่งลดน้อยลง
“ข้าจะเป็นจิตใต้สำนึกไม้สีดำก็ดี…”
“เป็นศพเกิดใหม่ก็ช่าง…”
“เรื่องพวกนี้ไม่สำคัญ!”
“อดีตและอนาคตถูกข้ามอบให้อีอีไปหมดแล้ว เช่นนั้นข้าเป็นใคร มาจากไหนแล้วอย่างไรกันเล่า”
“ข้าคือหวังเป่าเล่อ”
“เต๋าของข้าคือไร้พันธนาการ!”
“เช่นนั้น…จะว้าวุ่นไปไย!” ขณะที่หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่ในใจก็ก้าวไปข้างหน้าและเมื่อเสียงคำรามดังกึกก้อง เขาก็มายืนอยู่ที่หัวสะพานที่สี่แล้ว
นัยน์ตาของเขากลับมากระจ่างชัดอย่างสมบูรณ์ ราวกับมีกระแสเทพอันมั่นคงลุกโชน คล้ายเปลวไฟอยู่ข้างในรูม่านตา
“สำรวจจิตใต้สำนึกสินะ เจ้าสะพานสู่สวรรค์ตัวดี!” หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงหัวสะพานที่สี่และสูดหายใจเข้าลึกๆ จิตใจไร้ซึ่งกิเลสตัณหา ฝีเท้าไร้ความลังเลราวกับสัมผัสสวรรค์ของตนถูกชำระล้าง เมื่อจิตใจของตนมั่นคงก็ก้าวขึ้นไปบนสะพานที่สี่
ตอนนี้ร่างของเขาสูงใหญ่ไร้ขอบเขต ฝีเท้าย่างก้าวอย่างมั่นคง พลังปราณบนร่างพลันระเบิดขึ้นอีกครั้ง ในสายตาของทุกชีวิตในดินแดนเซียน สะพานเป็นเพียงกระดาษ ภาพที่ดึงดูดความสนใจได้มากที่สุดพลันปรากฏขึ้น
ขณะก้าวไปข้างหน้า พลังปราณของเขาก็เพิ่มขึ้นอีกครั้งและกลายเป็นที่น่าตกใจมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เสียงคำรามของดินแดนเซียนรุนแรงขึ้นกว่าเก่า จนกระทั่งหวังเป่าเล่อเดินมาถึงปลายสะพานที่สี่ ความผันผวนในร่างกายของเขาก็ทำให้จักรวาลบิดเบี้ยวและพร่าเลือนไปทุกทิศทาง ทั้งยังมีรัศมีสว่างจ้าถึงขีดสุดปะทุออกมาจากร่างของเขา
ราวกับว่ากำลังจะมีดวงอาทิตย์อีกดวงหนึ่งถือกำเนิดขึ้นในดินแดนเซียน!
ในเวลาเดียวกันดวงอาทิตย์ทั้งสิบของดินแดนเซียนพลันมืดดับไปเสียแปดดวง คล้ายไม่อาจ…เทียบรัศมีได้!
ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้ฝึกตนของดินแดนเซียนจำนวนมากพูดไม่ออก ร่างของหวังเป่าเล่อก้าวข้ามสะพานที่สี่ไปแล้ว และเพียงก้าวเดียวเขาก็ก้าวข้ามระยะทางอันไร้ที่สิ้นสุดไปถึงสะพานที่ห้า
ร่างของเขาเปล่งรัศมีมากขึ้นขณะเดินไปยังปลายสะพานที่ห้าทีละก้าว
เมื่อเขาใกล้จะถึงปลายสะพานที่ห้า รัศมีบนร่างหวังเป่าเล่อก็ยิ่งพร่างพราย ดวงอาทิตย์ดวงที่สิบเอ็ดได้ถือกำเนิดขึ้นในดินแดนแห่งเซียนอย่างชัดเจนแล้วขณะนี้ กระทั่งหวังเป่าเล่อไปถึงปลายสะพานที่ห้า ดินแดนเซียนก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทันที
อสูรร้ายนับไม่ถ้วนพลันร้องคำราม ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนกู่ร้องอยู่ในใจ ดวงอาทิตย์ดวงที่สิบเอ็ดกำลังส่องแสงระยิบระยับสะเทือนแผ่นดิน!
“เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา!” ดวงตาหวังโหม่วเปล่งพลังและกระซิบแผ่วเบา ความชื่นชมในตัวหวังเป่าเล่อมาถึงขีดสุด
“การสำรวจจิตใต้สำนึกผ่านไปแล้ว ต่อจากนี้…ก็คือพิสูจน์เต๋า!”
“ที่นี่…” มองทุกอย่างรอบด้านแล้ว หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาทันที
เขาในตอนนี้ระดับการฝึกตนไม่ธรรมดา อีกทั้งสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าก็เป็นฝ่ายดึงดูดมาเอง เพราะฉะนั้นสติปัญญาจึงแจ่มชัด ขณะเดียวกันเขาก็รู้ดีว่าทุกอย่างในตอนนี้เกิดขึ้นเนิ่นนานแล้ว มันฝังอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำ
หรือกล่าวให้ถูกคือฝังอยู่ใน…ความทรงจำของร่างต้นแบบ ถึงอย่างไรหากเทียบกับตะปูไม้สีดำบนร่างต้นแบบของเขาแล้ว ความทรงจำก็เหมือนสายน้ำที่ทอดยาว และเขา ณ ที่แห่งนี้ก็เป็นเพียงการตื่นขึ้นที่ปลายของแม่น้ำ
ดังนั้นความทรงจำในจิตใต้สำนึกนี้จึงเป็นเพียงหยดเดียวในมหาสมุทรเมื่อเทียบกับร่างต้นแบบ แต่เมื่อระดับการฝึกตนเพิ่มขึ้น เขาก็มีคุณสมบัติในการติดตามความทรงจำในโบราณกาลของตนแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อมีพลังแห่งการเหยียบสะพานสู่สวรรค์ ทุกอย่างจึงกลายเป็นเรื่องง่าย
ส่วนสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าหวังเป่าเล่อก็คือความทรงจำโบราณกาลที่ใกล้จะถึงจุดสิ้นสุด เพราะหวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าการย้อนอดีตของสะพานสู่สวรรค์…มีจุดสูงสุดอยู่ตรงนี้
ไม่สามารถย้อนกลับไปได้ไกลกว่านี้อีกแล้ว
ขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อที่เดินออกมาจากโลกแห่งศิลาและก้าวสู่สะพานสู่สวรรค์ ความเข้าใจและรู้แจ้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาบนดินแดนเซียน ทำให้มีความคิดที่แม่นยำเกี่ยวกับจักรวาลทั้งหมดมากยิ่งกว่าเดิม
จักรวาลผืนนี้อาจเคยมีชื่อ ทว่าตอนนี้ได้ถูกหลงลืมไปแล้วจึงเรียกกันง่ายๆ ว่ามหาจักรวาล
มหาจักรวาลนี้ดูกว้างใหญ่ไร้จุดสิ้นสุด ดินแดนเซียนเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ของมันเท่านั้น รวมถึงมิติเต๋าต้นกำเนิดที่เป็นที่อยู่อาศัยของมหาเทพด้วย
ขณะเดียวกันยังมีบ้านเกิดของเซียนและกู่ จักรพิภพของผู้เยี่ยมยุทธ์อีกมากที่ดูเหมือนจะเป็นจักรวาลที่สมบูรณ์ แต่ในความเป็นจริงล้วนอยู่ในมหาจักรวาลผืนนี้ทั้งสิ้น
และมหาจักรวาลผืนนี้ก็ไม่ได้ไร้จุดสิ้นสุดจริงๆ ตอนพำนักอยู่ที่บ้านของหวังอีอี หวังเป่าเล่อเคยถามหวังโหม่วและได้เรียนรู้จากความเก่าแก่ของดินแดนเซียนและการรู้แจ้งของตนว่ามหาจักรวาลผืนนี้มีขอบเขต
และนอกมหาจักรวาลก็ยังมีมหาจักรวาลอื่นอยู่ด้วย
“จักรวาลที่พวกเราอยู่เปรียบเสมือนใบไม้ที่ลอยอยู่ในทะเลสาบ นอกจากใบไม้…และนอกจากทะเลสาบอันกว้างใหญ่แล้ว ยังมี…ใบไม้อีกมากมาย และที่ขอบใบไม้แต่ละใบล้วนมีแนวกั้นที่แทบจะไม่อาจทำลายได้”
นี่คือสิ่งที่ท่านพ่อหวังบอกกับหวังเป่าเล่อในบ้านของเขา
ไม่ได้มีบทสนทนาต่อกันมากนัก แต่หวังเป่าเล่อก็มีความรู้สึกว่าท่านพ่อหวัง…คงจะเคยออกจากใบไม้นี้ ท่องไปในทะเลสาบและท่องไปในใบไม้ใบอื่นมาแล้ว
“แนวกั้นหรือ…” หวังเป่าเล่อครุ่นคิดพลางเงยหน้ามองช่องโหว่ยักษ์บนจักรวาลที่อยู่ไกลออกไป เห็นได้ชัดว่าตรงนั้น…คือแนวกั้นขอบเขตของมหาจักรวาล
อีกทั้งช่องโหว่นั้นยังดูเหมือนถูกพลังบางอย่างระเบิดออก จะระเบิดจากข้างในหรือข้างนอกก็ไม่อาจทราบได้
“เช่นนั้นทำไมความทรงจำเก่าแก่จากร่างต้นแบบที่ข้าสืบย้อนมาถึงเป็นภาพนี้…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา
“หรือว่าช่องโหว่ยักษ์นี่เกี่ยวข้องกับร่างต้นแบบของข้า หรือว่าร่างต้นแบบของข้าเป็นคนทำ เช่นนั้น…ร่างต้นแบบของข้าทำลายแนวกั้นจากข้างในมหาจักรวาลออกไป หรือ…ทำลายจากข้างนอกเข้ามากันล่ะ” หวังเป่าเล่อคิดถึงตรงนี้ก็ไม่อาจสงบจิตใจได้อีก ขณะที่มวลคลื่นปั่นป่วนจิตใจ เขาก็กะพริบร่างวาบมาถึงช่องโหว่ยักษ์นั่นทันที
ดวงจิตเทพแผ่ขยายออกไปนอกช่องโหว่ยักษ์ ทว่าในพริบตาต่อมากระแสความรู้สึกอันตรายที่อธิบายไม่ได้สายหนึ่งพลันปะทุขึ้น ส่งผลให้หวังเป่าเล่อถอยกลับ สีหน้าประหลาดใจยากจะกล่าว
เขามีความรู้สึกราวกับว่าข้างนอกช่องโหว่มีอันตรายใหญ่หลวง แต่จะจากไปเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ไม่ค่อยจะเต็มใจนัก ดังนั้นหลังจากไตร่ตรองดูแล้ว สายตาของเขาก็เผยความมุ่งมั่น มือขวาพลันยกขึ้นโบกสะบัดไปข้างหน้า
“จันทร์ข้างแรม!”
ด้วยระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อในปัจจุบัน อานุภาพการใช้จันทร์ข้างแรมจึงแข็งแกร่งขึ้นกว่าในตอนนั้นมาก เสียงคำรามดังสนั่นพร้อมกับแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวทอดปกคลุมไปทั่วทุกสารทิศ ภาพต่างๆ ผุดขึ้นอยู่ในแม่น้ำสายนั้น แต่ละภาพล้วนเป็นพื้นที่แห่งนี้
แม้หวังเป่าเล่อจะอาศัยพลังของสะพานสู่สวรรค์เพื่อย้อนรอยความทรงจำโบราณกาลที่ร่างต้นแบบยากจะสัมผัสได้ แต่พลังของสะพานสู่สวรรค์เองก็มาถึงจุดสิ้นสุด ดังนั้นในทางทฤษฎีจึงไม่สามารถให้พลังย้อนรอยแก่หวังเป่าเล่อได้อีก ทว่าร่างกายของหวังเป่าเล่อเองก็ไม่ธรรมดา เมื่อแสดงวิชาจันทร์ข้างแรมออกมา กาลเวลาของพื้นที่นี้จึงหมุนย้อนกลับอีกครั้ง
แม้การย้อนเวลาเช่นนี้จะเทียบกับพลังของสะพานสู่สวรรค์ไม่ได้ แต่ก็เหมือนกับเส้นทางร้อยจั้งที่เดินมาแล้ว 99 จั้ง แม้อีกหนึ่งจั้งสุดท้ายจะไม่ได้ยาว แต่กลับเป็นจุดสำคัญอย่างยิ่ง
ดังนั้นเมื่อพลังแห่งจันทร์ข้างแรมแสดงจนถึงขีดสุด แม้แต่ร่างของหวังเป่าเล่อที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ก็ยังเริ่มลวงตา และในตอนที่ดูเหมือนว่าจะทนไม่ไหวอีก ไม่รู้ว่ากาลเวลาในแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ก่อตัวจากเคล็ดวิชาจันทร์ข้างแรมผ่านไปนานเพียงใด ในภาพที่เหมือนกันทุกประการนับไม่ถ้วนนั้นจู่ๆ …ก็มีรูปหนึ่งที่ไม่เหมือนกับรูปอื่นปรากฏขึ้น
ในภาพนั้น พื้นที่แห่งนี้ไม่มีช่องโหว่ยักษ์!
ร่างของหวังเป่าเล่อในตอนนี้เลือนรางไปแล้วกว่าครึ่ง แต่เมื่อเห็นภาพนี้ จิตวิญญาณพลันกระตุกและหยุดลงทันที พริบตาต่อมาโลกตรงหน้าของเขาก็ถูกภาพนั้นเข้ามาแทนที่
ในภาพนี้จุดที่เคยมีช่องโหว่ดูปกติดีทุกอย่าง แต่พริบตาต่อมา…ตรงนั้นก็ปรากฏระลอกคลื่น ปรากฏรอยแยก ก่อนจะมีแสงสีแดงส่องผ่านออกมาจากรอยแยกนั้น ยังไม่ทันที่หวังเป่าเล่อจะมองให้ชัดเจนก็เกิดเสียงราวกับจะแยกฟ้าดินออกจากกันดังออกมาจากรอยแยก
ทันใดนั้นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยรอยแยกก็พังทลายลงและกลายเป็นช่องโหว่ยักษ์ ท่ามกลางเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน หวังเป่าเล่อมองเห็นไม้สีแดงขนาดมหึมาจากข้างในรอยแยกพุ่งออกมา
ไม้ยักษ์นี้ใหญ่เกินไป รัศมีสีแดงที่เปล่งออกมาจากมันสะท้อนไปทั่วจักรวาลราวกับโลหิต…
พริบตาต่อมาไม้ยักษ์ก็พุ่งเข้ามาในมหาจักรวาลไถลไปสู่ความว่างเปล่าอันไกลโพ้นพร้อมกับเสียงคำรามที่รุนแรงขึ้น การบุกรุกเข้ามาส่งผลให้เต๋าหมื่นวิถีในมหาจักรวาลร้องคำรามทันที ราวกับมันต้องการจะรวมตัวกลายเป็นหนึ่งในเต๋าหมื่นวิถีพวกนั้น อีกทั้งเมื่ออยู่ไกลออกไป รัศมีสีแดงของไม้ยักษ์ก็หายไปอย่างรวดเร็ว มันโปร่งแสงราวกับจะหายไปกับจักรวาล
“มาจากนอกมหาจักรวาลหรือ!” หวังเป่าเล่อใจสั่นไหวอย่างรุนแรง ดวงตาพลันเบิกกว้างเผยความประหลาดใจจนถึงกับตกใจด้วยซ้ำ ด้วยระดับการฝึกตนและความเยือกเย็นของเขาในปัจจุบันนับเป็นเรื่องยากที่จะแสดงอารมณ์เช่นนี้ออกมา แต่ความจริงคือ…เมื่อไม้ยักษ์เข้าสู่มหาจักรวาลอย่างสมบูรณ์อีกทั้งยังลอยออกไปไกลโพ้น เขาจึงเห็นรูปร่างหน้าตามันชัดๆ พร้อมกับรัศมีที่ค่อยๆ โปร่งแสง นั่นทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตกใจและถึงกับตัวสั่นเมื่อเห็น…
ในไม้ยักษ์นั่นดูเหมือนว่าจะ…มีศพอยู่ร่างหนึ่ง!
ศพนั้นกำลังสลายตัวอย่างรวดเร็วราวกับว่า เมื่อไม้ยักษ์หลอมรวมเข้ากับเต๋า หลอมรวมเข้ากับจักรวาล ศพนั้นก็จะหลอมรวมเข้ากับไม้ยักษ์นั่นด้วย
ไม้สีดำ…ที่ซึ่งไม่ใช่ไม้กระดาน และไม่ใช่ตะปู แต่เป็น…
โลงศพ!
โลงศพที่มีศพนอนอยู่ในนั้น!
โลงศพที่มีศพลึกลับจากนอกมหาจักรวาล!
จิตใจหวังเป่าเล่อสั่นไหว ภาพตรงหน้าหายไปในพริบตา เมื่อทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ร่างของเขาก็มายืนอยู่บนสะพานที่สามแล้ว และไม่ใช่หัวสะพาน แต่เป็นปลายสะพาน
ทว่า อารมณ์ของเขากลับเปลี่ยนไปมาไม่หยุด ลมหายใจถี่กระชั้น
“ข้า…คือจิตใต้สำนึกของไม้สีดำที่ตื่นขึ้น หรือศพนั่น…มาเกิดใหม่กันแน่?”
…………………………
“นี่มัน…ผู้อาวุโส ข้ามิได้ตั้งใจ…” หวังเป่าเล่อรู้สึกผิด คิดดูแล้วอาจเป็นเพราะเมื่อครู่ตนเองอารมณ์เบิกบานไปหน่อย ดังนั้นจึงก้าวเท้าเร็วเกินไปจนทำให้สะพานพัง ในเวลาเดียวกันใจก็หดหู่ เขาไม่ทันคาดคิดเลยจริงๆ ว่าสะพานแห่งที่สองจะไม่แข็งแกร่งขนาดนี้ แท้จริงแล้วมิใช่สะพานแห่งที่สองไม่แข็งแกร่ง หากสืบสาวราวเรื่องแล้ว เหตุก็เพราะพลังต่อสู้ของหวังเป่าเล่อยามนี้เกินกว่าระดับสี่ทั่วไปตั้งนานแล้วต่างหาก ดังนั้น…การขับไล่ของสะพานแห่งที่สองย่อมทำให้ร่างกายและดวงจิตเทพของเขาถูกกำราบ และก่อเกิดกระแสต่อต้าน ราวกับว่าสะพานนั้นต้องทำศึกกับหวังเป่าเล่อรอบหนึ่ง บัดนี้…มันจึงพังทลาย “เจ้าเดินต่อไปเถอะ!” หวังโหม่วถอนหายใจ เขาโบกมือ พริบตานั้นสะพานแห่งที่สองซึ่งพังทลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเมื่อครู่ก็ราวกับย้อนเวลา พวกมันพัดม้วนมาจากสี่ทิศแปดด้านด้วยความเร็ว จากนั้นจึงประสานกันแล้วย้อนคืนกลับเป็นเช่นเดิมในพริบตา! เมื่อมองจากที่ไกลๆ สะพานแห่งที่สองบนท้องฟ้านี้ก็ยังดูยิ่งใหญ่น่าเกรงขามเหมือนเก่า กระทั่งไม่ว่าจะมองด้วยตาเปล่าเช่นไร ก็เหมือนกับก่อนหน้าที่ยังไม่พังทลายทุกประการ ไม่ได้มีความแตกต่าง ทว่าหากมองและสัมผัสอย่างละเอียดล่ะก็ ยังคงจับสังเกตได้อยู่ว่าสะพานที่สองซึ่งผ่านการฟื้นคืนมานี้ พลังปราณของมันอ่อนด้อยลงอยู่บ้าง ท่ามกลางการสัมผัสของหวังเป่าเล่อ สะพานแห่งที่สองซึ่งถูกบูรณะซ้ำอีกครั้งก็ลดแรงต้านทานต่อตัวเขาไปไม่น้อยเมื่อเทียบกับก่อนหน้า ราวกับมันยินยอมแล้วอย่างไรอย่างนั้น ยอมลดพลังของตนลงและยอมให้หวังเป่าเล่อยืนอยู่บนตัวมัน อีกทั้งหวังเป่าเล่อในรอบนี้ก็ยังอ่อนโยนลงไม่น้อย เขาค่อยๆ ยกขาขึ้นจากนั้นก็ก้าวเดินอย่างระมัดระวังไปยังสุดปลายของสะพานแห่งที่สอง สายตาระวังไม่ให้สะพานต้องพังลงอีกครั้ง หวังเป่าเล่อลอบถอนหายใจ เขามองไปยังสะพานแห่งที่สามห่างซึ่งอยู่ไกลและใหญ่ยิ่งกว่า คิดจะก้าวจากไปจากสะพานแห่งที่สอง แต่ในตอนนั้นเอง… ร่างกายของหวังเป่าเล่อพลันชะงักรุนแรง มีกระแสความคิดหนึ่งภายใต้ส่วนลึกในใจของเขางอกเงยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มันขยายใหญ่ขึ้นด้วยความเร็วอันน่าตื่นตะลึง ความคิดนี้ มาจากสิ่งที่เขามองเห็น สะพานสู่สวรรค์อันห่างไกลที่ใหญ่สะท้านใจคนนั้น ทุกสะพาน ไม่ว่าจะเป็นสะพานที่สามหรือสี่ แปดหรือเก้า กระทั่งสะพานสุดท้าย ราบกับว่าสะพานเหล่านี้พริบตานั้นพลันเปลี่ยนรูปลักษณ์ ห่างไกลออกไปมากกว่าเก่า ทำให้หวังเป่าเล่อต้องเพ่งมองมัน และตัวเขานั้นตอนนี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นเล็กจ้อยอย่างมาก เมื่อเปรียบเทียบระยะห่างระหว่างสะพานแล้ว ราวกับมันถูกขยายจนถึงขีดสุด ราวกับว่าสะพานเหล่านี้ ได้กลายเป็นยอดเขาที่ไม่อาจป่ายปีน ส่วนระยะห่างระหว่างตัวเขาและสะพานก็ไกลแสนไกล จนความคิดที่อยากจะล้มเลิกก่อตัวขึ้นในใจทันที เมื่อความคิดนี้ปรากฏขึ้นก็เหมือนถูกเล็งขยายกลายเป็นแรงขับดันอันรุนแรงแผ่ซ่านไปทั้งกาย คล้ายกับตนนั้นไม่อยากจะทำสิ่งใดอีกแล้วในโลก คล้ายแสวงหาข้ออ้างให้ตัวเองมากมายโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่เกิดขึ้นกับหวังเป่าเล่อในยามนี้ก็เป็นเช่นนั้น มีเสียงจำนวนนับไม่ถ้วนพลันระเบิดขึ้นในสมองของเขา เสียงเหล่านี้บอกกับเขาว่า อย่าเดินต่อไปอีกเลย ให้เขาไปจากที่นี่ ให้เขาละทิ้งการข้ามสะพานสู่สวรรค์เอาไว้ ณ ที่แห่งนี้ ในตอนนี้ หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงปลายสุดของสะพานแห่งที่สอง เห็นได้ชัดว่าแค่ก้าวออกไปก็จะข้ามผ่านแล้ว แต่เขากลับยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับเขยื้อนราวกับถูกขุมพลังไร้รูปชั้นหนึ่งขวางกั้น บดบังเส้นทางเบื้องหน้าทำให้เขายากจะก้าวเดินได้ ใต้สะพานแห่งที่หนึ่ง หวังโหม่วกำลังเพ่งมอง ส่วนหวังอีอีในยามนี้สีหน้าเป็นกังวล กระทั่งเหล่าเงาร่างจำนวนนับไม่ถ้วนในดินแดนเซียนก็มองเห็นฉากนี้เช่นกัน “ถามใจ…” หวังโหม่วเอ่ยปาก เขาเข้าใจกระจ่าง ไม่ว่าจะมองในแง่ใด นี่สิถึงจะเป็นการทดสอบจากสะพานสู่สวรรค์ และนี่คือสิ่งแรกที่เขาเตือนให้หวังเป่าเล่อเติมจิตเต๋าของตนให้สมบูรณ์ในครั้งแรก เพราะเขาทราบดีว่า หากข้ามด่านนี้ไม่ได้ เช่นนั้น…ต่อให้พลังฝึกปรือจะสูงเพียงใด พลังต่อสู้จะเข้มแข็งแค่ไหนก็ไม่อาจข้ามผ่านสะพาน เวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า เนิ่นนานให้หลัง หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ตรงสุดสะพานที่สองก็ค่อยๆ แหงนหน้าขึ้น มองไปยังสะพานที่สามจนกระทั่งถึงสะพานสุดท้ายที่อยู่ห่างออกไปไกล จากนั้นก็ก้มหน้ามองเท้าของตน แล้วยกยิ้ม “ในใจมีความสำราญ แล้วต้องถามมากมายไปทำไมเล่า?” กล่าวแล้วก็ยกเท้าขวาขึ้น ออกเดินจากสะพานแห่งที่สอง ข้ามผ่านมัน มุ่งหน้าต่อไปยังสะพานแห่งที่สาม ทีละก้าว ทีละก้าว เมื่อก้าวแรกเริ่มต้น รอบด้านของเขาก็ก่อเกิดระลอกคลื่น ก้าวที่สองเริ่มต้น ระลอกคลื่นนี้ก็ราวกับรอยวงน้ำ มันขยายต่อไปจนกระทั่งก้าวที่สามที่สี่ จากนั้นสะพานแห่งที่สามอันห่างไกลก็พร่าเลือน ราวกับว่าโลกที่เขาอยู่ ในพริบตาก็กลายเป็นโลกมายา แต่ฝีเท้าของหวังเป่าเล่อกลับไม่ชะงัก เขาเพียงแค่ปิดตาลง จากนั้นจึงก้าวเดินก้าวที่ห้า ก้าวที่หก ก้าวที่เจ็ด… รอบด้านพลันเลือนราง กระทั่งเมื่อก้าวที่แปดแล้ว ทุกสิ่งก็หายไปกลายเป็นความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด กระทั่งไม่มีแม้แต่เสียง ราวกับทุกสิ่งหยุดนิ่ง หวังเป่าเล่อก้าวเดินก้าวที่เก้าท่ามกลางความเงียบสงัด เมื่อเท้าเหยียบย่างลงไปพริบตาแรก ก็ราวกับเขาได้ข้ามเส้นกั้นบางอย่าง เดินผ่านธารเวลาระยะหนึ่ง จากโลกหนึ่งเดินเข้าสู่อีกโลกหนึ่ง โลกที่หยุดนิ่งพลันเคลื่อนไหว พริบตานั้นเสียงจำนวนมหาศาลก็ถาโถมเข้ามาจากทั้งสี่ทิศ หวังเป่าเล่อหยุดฝีเท้า เขาได้ยินเสียงอึกทึก ได้ยินเสียงหวีดหวิว ได้ยินเสียงของเม็ดฝน ได้ยินเสียงวุ่นวายรอบด้าน แล้วยังเสียงจำนวนนับไม่ถ้วนที่แย่งชิงกันก็ปรากฏขึ้น ในสมองของหวังเป่าเล่อพลันปรากฏฉากมากมาย นอกจากเสียงเหล่านี้แล้ว ยังมีลำแสงขนาดยักษ์รวมตัวกันอยู่บริเวณเปลือกตาของเขา มันขยายแสงมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้บริเวณนอกเปลือกตาปรากฏภาพลำแสงที่ดึงดูดสายตาภาพหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน กลิ่นหอมเป็นระลอกๆ ก็ลอยเข้าสู่จมูกของเขา เขาสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยและในเวลาเดียวกันก็ได้กลิ่นหอมของน้ำเย็นหล่อวิญญาณ ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อคุ้นชินอย่างมาก จนกระทั่งหลงเหลือความทรงจำ ต่อให้เขาไม่ได้ลืมตาแต่เขาก็สัมผัสได้ นี่ก็คือ…ความทรงจำของตัวเขาเอง เป็นภาพที่อยู่บนเรือบินซึ่งมุ่งหน้าไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกัน หวังเป่าเล่อในยามนี้ เข้าใจเหตุผลต้นสายของสะพานแห่งที่สามแล้ว สะพานแห่งที่สามทดสอบจิตเต๋าของเขา ทางทฤษฎีนั้นก็คือนำความทรงจำของตัวเขาออกมาสร้างเป็นจิตมาร หากว่าจิตเต๋าเข้มแข็ง เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ต่อให้มีภาพฉากปรากฏขึ้นมาในสมอง ตนก็จะไม่สะทกสะท้านเหมือนเก่า ย่อมสามารถเดินบนสะพานแห่งที่สามได้ ทว่าเมื่อลืมตา หรือจิตใจนั้นเกิดระลอกคลื่น ก็หมายความว่าโอกาสที่จะได้เดินบนสะพานแห่งที่สามนี้ ลดน้อยลงไปด้วย “นี่มันปีไหนแล้ว เรื่องจิตมารพรรค์นี้ ตกยุคแล้วนา…” หวังเป่าเล่อเห็นภาพความอบอุ่นพวกนี้แล้วก็ถอนหายใจก่อนจะพึมพำ “อีกอย่าง การทดสอบเช่นนี้ สำหรับผู้ฝึกตนที่ยังไม่เข้าระดับสี่อาจจะมีประโยชน์ แต่กับข้า…ไร้ประโยชน์” หวังเป่าเล่อผิดหวังเล็กน้อย เขาส่ายหน้ากำลังจะละทิ้งความสนใจทุกอย่างแล้วเดินต่อไป แต่ในยามที่เขาก้าวเท้านั้นเอง ส่วนลึกในใจก็เกิดความคิดหนึ่ง “ในเมื่อสะพานนี้สามารถทำให้ความทรงจำกลับมาได้ หากว่าใช้กับสมุดชะตาแล้วก็เรื่องเทพทั้งหลายที่ข้าได้ประสบมาเมื่อปีนั้น เช่นนั้น…จะสามารถยืมใช้ได้หรือไม่นะ?” คิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็ใจเต้น หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่ง ภายใต้สายตาของท่านพ่อหวังและหวังอีอี อีกทั้งสรรพชีวิตบนดินแดนเซียนซึ่งกำลังมึนงงนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็…ถอยหลังจากมา เขาถอยเก้าฝีเท้าในครั้งเดียว หลังจากนั้น…ก็เดินไปข้างหน้าอีกเก้าครั้ง ราวกับว่ายังไม่พอใจ หวังเป่าเล่อทำซ้ำอีกรอบ เขาเดินกลับไปกลับมาเช่นนี้ ภาพที่สัมผัสได้เปลี่ยนแปลงไปตลอด กลายเป็นภาพในชาติก่อนๆ โลกแห่งศิลาปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เขายังสามารถมองเห็นได้ว่าในกาลเวลาอันห่างไกลก่อนหน้านี้ การต่อสู้ระหว่างหลัวและกู่ มองเห็นฉากที่ไม้กระดานสีดำร่วงหล่น กระทั่งเขายังมองเห็นฉากในจักรวาลต้นกำเนิดที่แท้จริง ยามไม้กระดานร่วงหล่นและปักลงไปในฉากนั้น แต่หวังเป่าเล่อยังไม่พอใจ เขาต้องการดูให้มากกว่านี้ ต้องการมองความทรงจำที่ลึกไกลกว่านั้นของตนเอง! จนกระทั่งสีหน้าของหวังอีอีแปลกประหลาด ส่วนหวังโหม่วเบื่อหน่าย เหล่าผู้เฝ้าชมที่อยู่บนดินแดนเซียนนั้นล้วนแต่เหม่อลอย ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็ชะงัก มุมปากยามนี้เผยให้เห็นรอยยิ้ม “สำเร็จแล้ว” ระหว่างที่กล่าวนั้น เขาพลันลืมตาขึ้นมา มองภาพเบื้องหน้าของตน นั่นมิใช่ภาพเรือบินของสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว แต่กลับเป็น…จักรวาลอันไพศาล! อีกทั้งที่นี่ ก็ไม่เหมือนกับใจกลางของจักรวาล ราวกับว่าเป็นสุดเขตของจักรวาลเสียมากกว่า เพราะว่า…ไกลออกไปนั้นมีหลุมขนาดยักษ์อยู่แห่งหนึ่ง! หากนำจักรวาลนี้มาเปรียบเทียบกับลูกบอลแล้ว ดินแดนเซียนรวมถึงท้องฟ้าที่อยู่ของมหาเทพและเหล่าดารานับไม่ถ้วนก็คือภายในลูกบอลลูกหนึ่ง เช่นนั้นตำแหน่งที่หลุมดำตั้งอยู่นี้ ย่อมต้องเป็น…นอกจักรวาล! ……………………….
มองจากระยะไกล ไม่ว่าจะเป็นสะพานแห่งที่สองหรือว่าสะพานแห่งที่สามหรือสี่ด้านหลัง และสะพานที่สิบเอ็ดซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกนั้น บนนั้นล้วนมีเงาร่างมายาจำนวนหนึ่ง ทว่า ยิ่งออกเดินไปเรื่อยๆ ก็จะเงาร่างพวกนี้น้อยลง ในบรรดานั้นบนสะพานแห่งที่เก้ายังมีเงาร่างสิบสาย แต่เมื่อมาถึงสะพานแห่งที่สิบ กลับมีเพียงสองเท่านั้น และในสะพานสุดท้าย…กลับมีเพียงเงาร่างเดียว! เงาร่างเหล่านี้สภาพเลือนรางนัก ยิ่งเดินไปด้านหลังมากเท่าไรก็ยิ่งพบว่ามองไม่ชัดเจนขึ้นเท่านั้น หลังเพ่งมองเงาร่างเหล่านี้ หวังเป่าเล่อก็เข้าใจ คนพวกนี้…บางทีอาจเป็นเหล่าคนที่เคยข้ามผ่านสะพานนี้มาก่อน จึงเหลือเงาร่างของแต่ละคนทิ้งไว้ “หลังผ่านไปแล้ว สะพานนี้…บางทีอาจเหลือเงาร่างของข้า” หวังเป่าเล่อพึมพำ เงาร่างกลายเป็นเส้นรุ้งสียาว ควบตะบึงไปเบื้องหน้า ระหว่างสะพานสู่สวรรค์เส้นที่หนึ่งละสองนั้น ดูแล้วไม่ได้ตั้งอยู่ห่างกันมาก ทว่าความเป็นจริงนั้น ระยะห่างระหว่างทั้งสองกลับไพศาลนัก อีกทั้งระยะห่างนี้ยังแฝงไปด้วยพลังของเต๋าแห่งมิติ ดังนั้นต่อให้เป็นพลังฝึกปรือระดับหวังเป่าเล่อก็ยังคงต้องบินไปอีกหลายวันถึงจะลุมายังสะพานแห่งที่สองได้ หลังจากเข้าใกล้แล้ว หวังเป่าเล่อก็เห็นสะพานแห่งที่สองชัดเจนเบื้องหน้าตน เมื่อเทียบกับแห่งแรกไปแล้ว สะพานแห่งที่สองใหญ่กว่ามาก ทั้งยังมีระดับสูงมากกว่าหลายเท่า ในเวลาเดียวกันก็ดูกว้างใหญ่กว่า หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่หน้าสะพานนั้นเทียบกับขนาดของสะพานแห่งนี้ ตัวเขาช่างเล็กจ้อยไม่อาจเทียบได้ แต่การที่เขายืนอยู่ตรงนี้ก็สัมผัสได้ว่าพลังปราณที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างกลับเหนือล้ำกว่าสะพานที่สองมากทีเดียว เพราะว่า…ตัวเขาไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่มายังสะพานแห่งที่สอง เมื่อผู้อื่นมาที่นี่ ตัวของผู้นั้นยังไม่ได้ข้ามสู่สวรรค์ จึงต้องอาศัยพลังของสะพานช่วยให้บรรลุขั้นสุดท้าย แต่หวังเป่าเล่อนั้นแตกต่าง พลังการต่อสู้ของเขา แท้จริงแล้วถือว่าได้ข้ามผ่านระดับสวรรค์แล้ว หากแต่สิ่งที่เขาต้องการคือแรงหนุนจากสะพานแห่งนี้ เพื่อให้พลังการต่อสู้ของตนแข็งแกร่งขึ้น ดังนั้นแล้ว เงาร่างของหวังเป่าเล่อที่อยู่เบื้องหน้าสะพานแห่งที่สองจึงยิ่งใหญ่สะเทือนฟ้าดิน และโดยไม่รู้ตัว พลังปราณบนร่างของเขาที่สำเร็จการข้ามผ่านสะพานแรกมาได้ ก็ทำให้สะพานที่สองบังเกิดเสียงก้องดังสะเทือนเลื่อนลั่น “ที่แท้ก็ไม่สามัญ” ท่านพ่อหวังที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าสะพานแห่งแรกแหงนหน้ามองหวังเป่าเล่อ ดวงตาฉายแววชื่นชม ส่วนด้านข้างนั้นมีเงาร่างเพิ่มมาอีกหนึ่งคือหวังอีอี นางกำลังจ้องมองหวังเป่าเล่อที่อยู่เบื้องหน้าสะพานแห่งที่สองห่างออกไปไกล นัยน์ตาฉายประกายความเป็นห่วง ก่อนจะหันหน้ามามองบิดาของตน “ท่านพ่อ…สะพานแห่งที่สองนี้…” “สะพานแห่งที่สอง สำหรับเขาแล้วไม่เกิดอุปสรรคสิ่งใด ข้าต้องการให้โอกาสเขาบ่มเพาะ ยังไม่ถึงเวลา” ทหวังโหม่วถอนหายใจก่อนจะอธิบาย ระหว่างที่สองพ่อลูกกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่เบื้องหน้าสะพานแห่งที่สองก็ยกเท้าขึ้นเดินไปบนนั้นอย่างรุนแรง ในพริบตาที่ฝ่าเท้ารุดเหยียบลงไป ร่างกายของเขาก็เกิดเสียงดังสนั่นราวกับถูกขุมพลังอันไร้ลักษณ์โจมตีเข้ามา มันกวาดไปทั่วร่างของเขาราวกับจะต้องการตรวจสอบว่าเขามีคุณสมบัติที่จะขึ้นสะพานหรือไม่ แล้วยังมีกระแสจิตเทพระเบิดออกจากสะพานแห่งที่สองนี้ครอบงำทั้งสภาวะจิตของหวังเป่าเล่อ ราวกับจะตรวจสอบว่า เต๋า พลังจิต ร่างกายนี้สมบูรณ์หรือไม่ หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่ชอบการถูกตรวจสอบทั้งในและนอกอย่างละเอียดเช่นนี้ แต่เมื่อคิดว่าตนนั้นเป็นแขกของดินแดนแห่งเซียน และสะพานแห่งนี้ก็ไม่ใช่สะพานธรรมดา แต่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของดินแดนเซียน ดังนั้น ต่อให้ไม่ชอบใจสักเท่าไร แต่หวังเป่าเล่อก็ต้องพยายามสะกดอารมณ์ ปล่อยให้สะพานนี้ตรวจสอบต่อไป ทว่า…หลังจากสะพานตรวจสอบเสร็จสิ้น ด้วยความรวดเร็วก็มีขุมพลังต่อต้านระเบิดออกมาจากสะพานแห่งที่สองทันที นี่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่า แม้ร่างกาย สภาวะจิต และเต๋าของตนจะสมบูรณ์ หากแต่…เพราะไม่ใช่ผู้ฝึกตนของดินแดนเซียน ดังนั้นจึงไม่มีคุณสมบัติจะขึ้นสู่สวรรค์ อีกทั้งกระแสพลังขับไล่นี้ ก็ระเบิดออกมาเป็นพลังน่าหวาดผวาจากสะพานแห่งที่สองพุ่งเข้ามาที่ขาขวาของหวังเป่าเล่อที่กำลังเหยียบย่างบนสะพาน ราวกับต้องการยกขาของเขาขึ้น “เอ๋?” หวังเป่าเล่อคิ้วกระตุก ขาขวาของเขาคล้ายเป็นหินไปแล้ว มันเหยียบอยู่บนนั้นไม่อาจขยับเขยื้อนได้ เห็นดังนี้เขาจึงหันหน้าไปมองสองพ่อลูกที่อยู่หน้าสะพานแห่งแรก “ผู้อาวุโส สะพานนี้…” หวังเป่าเล่อเอ่ยไม่ทันจบ “หากมีอุปสรรค ต้องทำเช่นไร?” คำตอบที่มอบให้หวังเป่าเล่อ ก็คือดวงตาล้ำลึกของหวังโหม่วและน้ำเสียงราบเรียบ “สังหาร!” หวังเป่าเล่อที่ขาเพียงข้างเดียวค้างอยู่บนสะพานนั้น ดวงตาทอประกายวาบ “หากไม่ยินยอม จะทำเช่นไร?” หวังโหม่วถามซ้ำ “สยบมัน!” หวังเป่าเล่อเอ่ยคำนี้ออกมาโดยไม่ลังเล ในเวลาเดียวกันขณะที่เอ่ยปาก แววตาของเขาก็ยิ่งลุกโชน “ผู้อาวุโส ผู้เยาว์เข้าใจแล้ว ทว่า…ก่อนหน้านี้ผู้เยาว์ยังเอ่ยไม่ทันจบ สิ่งที่ต้องการพูดก็คือ หากว่าผู้เยาว์ไม่ทันระวังทำลายสะพานแห่งนี้พัง…ขอผู้อาวุโสอย่าได้โกรธ” หวังโหม่วมื่อได้ยินประโยคนี้กลับยิ้มกว้าง น้ำเสียงอารมณ์ดีกระจายไปแปดทิศ สีหน้าของเขาเป็นสุข ราวกับว่าในหลายขวบปีมานี้ไม่ได้หัวเราะเช่นนี้นานแล้ว “หากว่าเจ้าทำได้ ไม่มีปัญหา!” อีกด้านหวังอีอีที่ได้ยินประโยคนี้เช่นกัน ราวกับนางระลึกถึงความทรงจำบางอย่างได้ ดวงตาพลันเบิกกว้าง รีบคว้าจับแขนเสื้อของบิดาเอาไว้ คิดอยากกล่าวอะไรสักอย่างแต่ดูเหมือนว่าท่านพ่อของตนจะไม่สนใจ หลังจากนางลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา และเพราะคำว่า “ไม่มีปัญหา” นี้ลอยออกมานั่นเอง พริบตานั้นลมปราณของหวังเป่าเล่อก็ระเบิดออก เขาหันกายกลับ ไม่สนใจกระแสขับไล่ของสะพานแห่งที่สองไม่ว่ามันจะต่อต้านแค่ไหน เท้าขวาของเขาในเมื่อเหยียบขึ้นไปแล้วจึงขยับกายกระโจนเข้าสู่สะพานเต็มตัว เมื่อเหยียบเข้าไป ทั้งสะพานก็สั่นสะท้าน ตอบโต้รุนแรงกว่าเก่า ราวคลื่นทะเลซัดโหม แต่กลับไม่อาจทำอะไรหวังเป่าเล่อได้สักนิด ยิ่งแรงสยบรุนแรงขึ้นก็ยิ่งสะท้านสะเทือนขวัญ ทว่าเขาก็ยังเดินไปเรื่อยๆ ออกเดินไปทีละก้าวยังสะพานแห่งที่สองราวกับเดินชมนกชมไม้ หลังจากทุกย่างก้าวนั้น สะพานแห่งที่สองก็สั่นสะท้านรุนแรงขึ้นราวกับย่างก้วาของหวังเป่าเล่อคือแรงกดดันที่มาสู่มัน ตอนนั้นเองก็มีรอยแตกร้าวสายหนึ่ง ปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าหวังเป่าเล่อ! ในเวลาเดียวกัน กระแสขับไล่จากสะพานแห่งนี้พลันระเบิดออกมาราวกับเป็นขุมพลังกดทับขนาดยักษ์ขุมหนึ่ง ทำให้ทั้งร่าง จิตใจ และเต๋าของหวังเป่าเล่อที่สมบูรณ์มาตั้งแต่สะพานแห่งแรกนั้นราวกับถูกหลอมล้าง ลมปราณของเขา ยามที่ออกเดินก็ยิ่งไพศาลมากขึ้น ขยายออก รุนแรงมากขึ้น! และสุดท้าย ท่ามกลางเสียงครืนโครมของฟ้าดิน ทั้งดินแดนเซียนก็เกิดเสียงดังลั่น หากคนปกติข้ามสะพาน จะต้องสูงศักดิ์ แต่หากคนไม่ธรรมดาข้ามนั้น จะต้องเอาชนะ! หากเจ้าไม่ยอมรับข้า เช่นนั้นข้าจะสยบเจ้า! หากเจ้าขัดขวางข้า เช่นนั้นข้าจะสังหารเจ้า! สิ่งใดที่เรียกว่าความสำราญ มิใช่การหลีกเร้น มิใช่การฝากฝัง มีเพียงพลังเท่านั้น จึงจะสามารถมีชีวิตอย่างสุขสำราญได้แท้จริง! นี่สิคือความสำราญ และนี่สิคือเซียน! ท่ามกลางเสียงดังสนั่น พริบตานั้นเงาร่างของหวังเป่าเล่อก็ขยายใหญ่ มันปรากฏอยู่บนท้องฟ้าของดินแดนเซียนแห่งนี้ เหล่าสรรพชีวิตสามารถเห็นร่างของเขาและสะพานใต้ร่างได้ ในพริบตานี้ สะพานแห่งที่สองราวกับต้องการ…ขัดขวาง! แม้จะไม่ยินยอมแต่ก็ไม่อาจอดทนได้ เพราะพลังปราณของหวังเป่าเล่อนั้นสะท้านสะเทือนนัก แต่เจ้าสะพานแห่งที่สองนี้กลับยังคงระเบิดพลังขับไล่ออกมา ในพริบตาดินแดนเซียนก็ปรากฏขึ้นในดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อ นี่คือพลังส่งเสริมทั้งหมดซึ่งสะพานแห่งที่สองมี มันช่วยเพิ่มเสริมดวงจิตเทพ หรือจะกล่าวให้กระจ่างชัดกว่านั้นคือช่วยเพิ่มพูนปณิธาน กระแสจิตครอบคลุมได้มหาศาลเท่าไร ข้อมูลที่ได้รับมาก็ยิ่งมากเท่านั้น อีกทั้งยังต้องการปณิธานอันห้าวหาญเข้มแข็งจึงจะมีจิตเทพอันสงบนิ่งได้ ในยามนี้ดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อ รูปลักษณ์ของดินแดนเซียนนั้นแปรเปลี่ยน ภายใน 72 อาณาเขต ได้กลายเป็นยักษ์เกราะทองทั้งสิ้น 72 ร่าง ทุกร่างล้วนมองไปยังท้องฟ้าด้วยสีหน้าเข้มงวด ภายในกายของยักษ์ทั้ง 72 นี้ก็มีจักรวาล 8,000 เคลื่อนไหวหมุนเวียนอยู่ด้านใน และภายในเขตของแต่ละจักรวาล ก็ยังมีอสูรดุดันต่างลักษณ์จำนวน 108 ตัวอยู่ด้วย ในยามนี้พวกมันโห่คำรามมายังหวังเป่าเล่อ หรือจะกล่าวให้ชัดเจนคือ เสียงโห่คำรามนี้เป็นเสียงร้องขอให้ช่วย! คล้ายว่าพวกมันสามารถสัมผัสได้ถึงกระแสจิตเทพของหวังเป่าเล่อ จึงวิงวอนให้หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพวกมันให้เป็นอิสระ! ในตอนนี้เอง ทุกเมืองในดินแดนเซียนก็สั่นสะท้านรุนแรง ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนจำนวนมากจากทุกแห่งหนทะยานออกมา ยามที่พวกเขามองมาทางเงาร่างของหวังเป่าเล่อ ผืนดินก็ยิ่งสั่นสะท้านรุนแรงกว่าเก่า เงาร่างของอสูรยักษ์แต่ละร่าง พลันปรากฏลักษณ์มายาออกมาจากแต่ละเมือง ล้วนกู่คำรามโหยหวนขอความช่วยเหลือพร้อมกันไปยังฟากฟ้า ฉากนี้ สำหรับผู้ฝึกตนในดินแดนเซียนแล้ว ไม่ได้แปลกประหลาดนัก ในเวลาอันรวดเร็วก็มีผู้ฝึกตนกรีดร้องลืมตัว “มีคน…มีคนกำลังขึ้นสู่สวรรค์!” “คนผู้นี้ ได้เห็นการข้ามผ่านสวรรค์แล้วครั้งหนึ่ง!” “ใครกัน ทำไมถึงรู้สึกแปลกหน้าเช่นนี้” สำหรับผู้ฝึกตนในดินแดนเซียน ฉากนี้แม้ว่าจะหากได้ยาก แต่ก็เกิดขึ้นนับไม่ถ้วนแล้วแล้วในจำนวนขวบปีที่ผ่านมา ทว่าระยะห่างแต่ละครั้งนั้นเนิ่นนานไปหน่อย ดังนั้นหลายคนจึงยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาขึ้นมาในครั้งแรก และในเวลาอันรวดเร็ว เสียงกรีดร้องตกใจก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง มันสะท้อนออกมาจากแต่ละแห่งในดินแดนเซียน หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจความวุ่นวายพวกนั้น ยามนี้เขาสัมผัสได้ว่าดวงจิตเทพของตนกำลังขยาย สามารถสัมผัสได้ถึงปณิธานที่แน่วแน่กว่าเก่า ฝ่าเท้าของเขาก้าวเดินเร็วยิ่งขึ้น ลมปราณก็แสดงพลังจนถึงขั้นสูงสุด แววตาทอประกายคมปลาบสะเทือนฟ้าดิน จิตใจเบิกบานอย่างมาก และในขณะที่เขากำลังจะกู่ร้องนั่นเอง พริบตาถัดมา… หลังจากที่เท้าเหยียบย่าง ท่ามกลางเสียงอื้ออึงซึ่งสะท้อนไปทั่วดินแดนนั้น สะพาน ก็พังทลาย สรรพชีวิตทั้งหลายในดินแดนเซียน พริบตานั้น…เงียบสนิท ทุกสายตาที่แหงนมองท้องนภาพลันเบิกกว้าง ท่าทางเหม่อลอย กระทั่งเหล่าอสูรที่ร้องขอให้ช่วยในทีแรกก็พลันเงียบเสียง สีหน้าฉายแววหวาดผวา ต่างพากันหดศีรษะราวกับไม่กล้าส่งเสียงร้องอีก หวังเป่าเล่อส่ายหน้า เขาหันไปมองหวังโหม่วที่อยู่หน้าสะพานแห่งแรกอย่างรู้สึกผิด สีหน้ากระอักกระอ่วน “ผู้อาวุโส…” “เจ้าทำพังเข้าแล้วจริงๆ” หวังโหม่วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะถอนหายใจ ส่วนหวังอีอีที่อยู่ข้างๆ ได้แต่กะพริบตาปริบๆ นางไอแค่กๆ ออกมา แล้วไม่กล่าวสิ่งใดเลย
ท่านพ่อหวังนั่งขัดสมาธิอยู่บนสะพานสู่สวรรค์ค่อยๆ ลืมตาทั้งสองขึ้น แล้วมองหวังเป่าเล่ออย่างสงบจากนั้นจึงพยักหน้า เขาที่ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่นั้นพลันยกมือขวาขึ้นมาชี้ไปยังสะพานสวรรค์ด้านหลังก่อนจะโบกมือส่งๆ ครั้งหนึ่ง ภายใต้การโบกมือครั้งนี้ ฟ้าดินเปลี่ยนผัน ลมเมฆพัดหมุน เกิดเสียงดังก้องกังวานไปทั่วแปดทิศ ในเวลาเดียวกัน สะพานสวรรค์เส้นแรกนี้ก็พลันมีแสงส่องจ้านับหมื่นจั้ง ศิลาแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นข้างสะพานจากความว่างเปล่าควบรวมจนก่อเกิดขึ้นมา พลังปราณโบราณ เข้มข้นแผ่กระจายไปทั่ว ความรู้สึกของกาลเวลาไหลผ่านเริ่มแผ่ขยายได้ชัดเจนกว่าเก่า สะท้อนทั่วทั้งแปดทิศ ภายในบริเวณโดยรอบพลันปรากฏวังวนขึ้น วังวนนี้ยิ่งใหญ่นัก มโหฬารเกินพรรณนา แล้วยังครอบคลุมทั้งท้องฟ้า แต่หากมองไปแล้ว…ก็จะพบว่าดินแดนเซียนแห่งนี้ไม่พบความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ราวกับทุกอย่าง เป็นแค่ความเข้าใจผิดอย่างไรอย่างนั้น ในวังวนที่ยากจะมีคนพบเห็น ยามนี้กระแสบางอย่างกำลังเคลื่อนไหว ด้านหวังเป่าเล่อที่อยู่กลางวังวนนั้น สภาวะจิตของเขาถูกเหนี่ยวนำ แต่เขาก็สงบลงอย่างรวดเร็วก่อนจะมองไปยังสะพานเบื้องหน้า ศิลาที่ควบรวมค่อยๆ ปรากฏรอยอักษรขึ้นช้าๆ มันเป็นอักขระที่เขาไม่รู้จัก หวังเป่าเล่อไม่เคยพบเห็นมาก่อนแน่นอน ทว่าในยามที่เขาทอดมองนั่นเอง อักขระนั้นก็ปรากฏในสมองของเขา ราวกับว่าเขาเข้าใจมันได้ทันที “สะพานสู่สวรรค์ ความว่างเปล่าทำลายมรรคา วิญญาณไม่ดับสิ้น สรรพชีวิตเคารพ” คำทั้งสิบสองคำนี้ ทุกคำล้วนเผยให้เห็นพลังอันสูงส่งซึ่งสามารถสั่นสะท้านจิตวิญญาณของหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกว่าลมที่อยู่รอบด้านคล้ายจะขยายตัวแรงขึ้น วังวนหมุนวนเร็วยิ่งกว่าเก่า เวลาและกลิ่นอายเก่าแก่นี้ก็สัมผัสได้รุนแรงมากขึ้น ในเวลาเดียวกันกับที่สภาวะจิตของเขาถูกวลีทั้งสิบสองคำนี้ดึงดูด เสียงดังสะท้านภพก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ทันใดนั้นอีกด้านหนึ่งของแผ่นศิลา ก็ปรากฏแผ่นศิลาที่สองควบรวมกัน ขนาดของมันไม่ได้แตกต่างจากศิลาแผ่นแรกมากนัก แต่ให้ความรู้สึกคุกคามหนักกว่า เมื่อปรากฏแล้ว ก็ราวกับว่าดินแดนเซียนแห่งนี้จะสั่นคลอนไปด้วย บนนั้น มีสิบสองคำปรากฏอีกครั้ง “เจตจำนงสูงศักดิ์ สั่นสะท้านวัฏสงสาร จิตวิญญาณจักรวาล เสียงเรียกของหมื่นมรรคา!” เมื่อมองเห็นคำทั้งสิบสองบนศิลาแผ่นที่สองแล้ว ในใจของหวังเป่าเล่อคล้ายถูกพายุซัดโหม ในช่วงจังหวะนั้นราวกับเขามองเห็นภาพวาด ในภาพวาดนั้นมีเงาร่างที่เขาคุ้นเคยอยู่ ช่วงเวลาก่อนหน้านี้หลายต่อหลายครั้ง เงาร่างนี้ชูมือขึ้นเบื้องหน้าสะพาน แล้วรวมพลังอันเร้นลับจากทั้งจักรวาลกอปรเป็นแผ่นศิลา จากนั้นจึงตวัดพู่กัน เขียนคำทั้งสิบสองนี้ลงไป เมื่อทุกคำปรากฏขึ้นก็มากพอจะทำให้ฟ้าดินสั่นสะเทือน กระทั่งหลังจากคำทั้งสิบสองเรียบเรียงเสร็จแล้ว ท้องนภาก็พลันปรากฏลำแสงเจิดจ้า ราวกับจักรวาลนั้นก่อเกิดคลื่นใหญ่น่าตื่นตะลึง อีกทั้งผู้ที่เขียนคำทั้งสิบสอง ก็หันหน้ามาในตอนนี้เอง พริบตานั้นหวังเป่าเล่อจึงได้เห็น คนผู้นี้ก็คือ…ท่านพ่อหวัง! ฉากเบื้องหน้าในพริบตาก็หายไป หวังเป่าเล่อหายใจกระชั้น เขาเหลือบไปมองทางท่านพ่อหวังที่นั่งขัดสมาธิอยู่อีกด้านหนึ่ง มองดวงตาอันแสนสงบของอีกฝ่าย ในสมองพลันปรากฏภาพความทรงจำหลายปีก่อน ในตอนที่เขาเพิ่งมาถึงดินแดนเซียนแห่งนี้ บนท้องนภาที่เขามองสะพานทั้งสิบเอ็ดสาย อีกฝ่ายได้เอ่ยคำพูดอย่างสงบไว้ว่า “สะพานนี้ เคยพังมาแล้วในกาลก่อน หลังจากนั้นเป็นหวังโหม่วที่บูรณะมันขึ้นใหม่ จากเดิมเก้าสายเปลี่ยนเป็นสิบเอ็ดสาย ในบรรดาเก้าสายนั้นก็คือเส้นทางสู่สวรรค์” เวลาผ่านไปเนิ่นนาน หวังเป่าเล่อจึงถอนสายตาแล้วมองไปยังสะพานอีกครั้งหนึ่ง ดวงตานั้นทอแสงแรงกล้า เขาไม่ได้เอ่ยคำใด แต่กลับขยับกายแล้วพุ่งตัวเข้าไปหาสะพานสู่สวรรค์แห่งแรกทันที ความเร็วนั้นช้านัก แต่ก้าวเพียงหกเก้าก็มาถึงหน้าสะพานแล้ว เมื่อเหยียบย่างที่เจ็ดเข้าไป ขาขวาของหวังเป่าเล่อก็ก้าวเข้าสู่สะพานแรก ในพริบตาที่ก้าวเข้าสู่สะพาน ระลอกคลื่นในตาของหวังเป่าเล่อพลันหยุดชะงัก เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ตอนนี้ร่างกายและจิตวิญญาณของตนราวกับยกระดับขึ้น ราวกับมีพลังกฎของฟ้าดินขนานใหญ่ กระแสแห่งหมื่นเต๋า หลอมรวมมาจากทุกทิศ มาจากทั้งจักรวาลและตกลงบนสะพานแห่งนี้ก่อนจะกระจายตัวออกไป มันพุ่งตัวมายังร่างของเขาอย่างบ้าคลั่ง หวังเป่าเล่อไม่เคยสัมผัสถึงความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน อีกทั้งกระแสเต๋าอันเต็มเปี่ยมนี้เมื่อหลอมรวมกับพลังกฎ ก็ทำให้จิตวิญญาณของหวังเป่าเล่อพลันระเบิดขึ้นมา มันสะเทือนฟ้าดิน ภายใต้การระเบิดรุนแรง ความเข้าใจของเขาที่มีต่อกฎทั้งหลายพลันกระจ่างชัดมากขึ้นด้วยความเร็วที่ยากจะเชื่อได้ มันพุ่งทะยานขึ้น ธาตุทั้งห้าในกายของเขาบริบูรณ์กว่าเดิม พลังปราณภายใต้การปะทะหลอมรวมของกระแสเต๋าจำนวนนับไม่ถ้วนก็หลอมรวมกับธาตุทั้งห้าภายใต้พายุอันบ้าคลั่งนี้เอง และยังมีความรู้สึกอบอุ่นก่อร่างขึ้นเรื่อยๆ มันกระจายไปทั่วทั้งร่าง ก่อเกิดกระแสอบอุ่นของดวงตะวันสาดปกคลุมร่างกายที่เหน็บหนาวโดยไม่รู้ตัว คล้ายกับว่าในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ แม้ดูไปแล้วเขาจะสมบูรณ์แบบ ทว่าแท้จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นทางด้านร่างกายหรือจิตวิญญาณย่อมมีจุดบกพร่องอยู่บ้าง เหมือนขาดชิ้นส่วนบางอย่าง แต่ในยามนี้ ชิ้นส่วนพวกนั้นได้เติมเต็มสมบูรณ์แล้ว ทั้งหมดนี้ ทำให้ร่างของหวังเป่าเล่อซึ่งเหยียบย่างขึ้นสะพานสู่สวรรค์เป็นครั้งแรก ทำได้เพียงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน หลับตาทั้งสองข้างหยุดยืนอยู่ตรงหัวสะพาน ระหว่างขั้นตอนนี้ กินเวลาทั้งสิ้นประมาณหนึ่งก้านธูป จากนั้นหวังเป่าเล่อจึงค่อยๆ สัมผัสได้ถึงกระแสแห่งเต๋าและพลังของกฎที่ไหลอยู่ในร่างกายของเขาอย่างเนิบช้า ตอนที่เขาลืมตานั้น ดวงตาราวกับมีเงาร่างของท้องฟ้าแฝงอยู่ พลังปราณบนร่างยกระดับขึ้นแล้ว ทวีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อสัมผัสได้ หวังเป่าเล่อก็เห็นระยะห่างนั้นเ ขาเพิ่งจะก้าวขึ้นสะพานมาเพียงแค่หนึ่งก้าว นี่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่า ทั้งบนและล่างสะพานนั้น ตนเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ตอนอยู่ล่างสะพาน เขาแม้แข็งแกร่งแต่ก็มีขีดจำกัด หากแต่เมื่ออยู่บนสะพาน เขารู้แจ้งกฎทุกสิ่ง หลอมรวมกระแสเต๋านับไม่ถ้วน ไร้ขีดจำกัด ดังนั้น…จึงแข็งแกร่งมากขึ้น! นี่ทำให้ในตอนที่หวังเป่าเล่อก้มหัวลงไปมองสะพานสู่สวรรค์ใต้ฝ่าเท้าของตนเอง สายตาของเขาจึงเจือประกายประหลาด “นี่น่ะหรือ…สะพานสู่สวรรค์?” หวังเป่าเล่อพึมพำเบาๆ ดวงตานั้นคมปลาบ เขาก้าวเท้า ต่อไปมุ่งเข้าสู่สะพานสู่สวรรค์แห่งแรกนี้ทีละก้าว ทุกครั้งที่ก้าวเดิน เขาก็สัมผัสได้ลึกซึ้งกว่าเก่า การรู้แจ้งของเขาทะยานขึ้น ร่างกายของเขาเองผ่อนคลายลง และที่สำคัญที่สุดก็คือจิตวิญญาณของเขาเองก็คล้ายจะปลอดโปร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกย่างก้าว เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาที่เดินอยู่บนสะพานก็ยิ่งก้าวเดินเร็วขึ้น ลมปราณทวีความน่าตื่นตระหนกในทุกการเหยียบย่าง กระทั่งสุดท้าย ตอนที่ยืนอยู่ตรงสุดปลายของสะพานแห่งแรก ลมปราณบนร่างของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งใหญ่ไพศาล สะท้อนไปทั่วแปดทิศอย่างรุนแรง ทำให้วังวนรอบด้านตอนนี้หมุนคว้างกว่าเก่าด้วยความรุนแรงถึงขีดสุด เพราะนี่คือการสนองคุณที่มาจากสะพานแห่งแรก ท่ามกลางแรงหนุนของกฎฟ้าดินที่เปลี่ยนแปลง และกระแสเต๋าจำนวนนับไม่ถ้วนนั้น มันสลักลงในจิตวิญญาณของหวังเป่าเล่อโดยไม่อาจดับสูญในทันที และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ตอนนี้ร่างของหวังเป่าเล่อได้หลอมรวมเป็นเนื้อเดียว ราวกับนี่คือความสมบูรณ์ นี่คือ สะพานสู่สวรรค์เส้นทางแรก! ประโยชน์ของมันคือให้ผู้ฝึกตนได้ลองสัมผัสพลังแห่งกฎทั้งหมดภายในจักรวาล กระแสเต๋าทั้งหมดนั้นแม้เหมือนจะเข้าใจเพียงคร่าวๆ แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะเบิกเจตนาแห่งเต๋าของผู้ฝึกตน เปลี่ยนขีดจำกัดเป็นไร้ขีดจำกัด สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว สะพานเส้นแรก แล้วยังมีการสนองคุณอีก นี่นับว่าเป็นการ…บำรุงเต๋า! หวังเป่าเล่อที่มาจากโลกแห่งศิลา ในโลกที่กฎและเต๋าไม่สมบูรณ์แห่งนั้น แม้ว่าเขาจะฝึกมาได้จนถึงขีดสุดของคำว่าสมบูรณ์ และยังได้รับการเสริมแต่งหลังมายังมหาจักรวาล แต่เขามีชีวิตมาจากโลกแห่งศิลา ดังนั้นแล้วหากกล่าวกันโดยตรง เขาก็ยังคงมีจุดบกพร่องอยู่เล็กน้อย และยากที่จะซ่อมแซมมันในเวลาสั้นๆ แต่ในยามนี้ หลังจากที่เขาเดินมาจนถึงสุดทางของสะพานแห่งแรก ร่างของเขายังมีร่างเต๋า จิตวิญญาณของเขาก็ได้กลายเป็นวิญญาณเต๋า ทุกสิ่งนั้น สมบูรณ์แล้ว! หวังเป่าเล่อร่างกายสั่นสะท้าน เขายืนอยู่ตรงปลายสะพานพลางแหงนหน้ามองไปยังเส้นทางห่างไกล หวังเป่าเล่อสามารถมองเห็นมันได้ สะพานที่สองเบื้องหน้า แล้วยังมีสะพานที่สามและถัดไปจากนั้น เป็นสะพานยักษ์ที่มีขนาดใหญ่ราวกับสายรุ้ง หลังสูดลมหายใจเข้าลึก หวังเป่าเล่อจึงขยับกาย เดินลงจากสะพานที่หนึ่ง จากนั้นกระโจนเหาะไป
หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา เสียงนี้ของเขา สองสามีภรรยาเฉินอวิ๋นลั่วไม่อาจได้ยิน ผู้ที่ได้ยินมีเพียงเด็กน้อยที่มองหวังเป่าเล่ออย่างใคร่รู้ เขาได้ยิน แต่แม้ว่าจะฟังไม่เข้าใจ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด ส่วนลึกในใจของเขา พริบตานั้นพลันปรากฏความรู้สึกหนึ่งว่าแม้คนผู้นี้จะแปลกหน้า แต่ก็มีกระแสความอบอุ่นอันคุ้นเคยอยู่ด้วย กระแสความอบอุ่นนี้ร้อนลวกอย่างยิ่ง มันอาบท่วมหัวใจของเขา ทั้งภายในร่าง จิตวิญญาณ พริบตานั้นขวบปีที่ข้ามผ่านของห้วงเวลาฟ้าดินนี้ ในสถานที่ที่หิมะแรกโปรยปรายก็เปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นโดยพลัน ราวกับว่า นักพรตเต๋าเบื้องหน้า ทำให้เขารู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย ราวกับว่า เงาร่างเบื้องหน้านี้ ทำให้เขาคิดถึงอย่างมาก และอยากจะอยู่เคียงข้างอีกฝ่าย ท่ามกลางความอบอุ่นนี้ สองสามีภรรยาเฉินอวิ๋นลั่วสัมผัสได้ถึงความเมตตาและยอมรับของหวังเป่าเล่อ คล้ายกับพวกเขาถูกอิทธิพลของความอบอุ่นโดยรอบนั้นเช่นกัน ในใจท่วมท้มด้วยความยินดี พวกเขาค้อมตัวให้หวังเป่าเล่ออย่างซาบซึ้งก่อนจะพาเด็กน้อยจากไป ก่อนหน้าจากไปนั้น เด็กน้อยที่ถูกบิดาจูงมือไว้ก็หันหน้ากลับมามองถึงสามครั้ง สุดท้ายแล้ว ในตอนที่หันกลับมา เขาก็ทนไม่ไหวอีก มองเงาร่างภายในอารามเต๋านั้น แล้วเอ่ยปากเสียงดัง “นักพรตเต๋า พวกเรา…เคยพบกันหรือไม่?” เสียงที่จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมานี้ทำเอาสองสามีภรรยาเฉินอวิ๋นลั่วตระหนกอย่างยิ่ง แต่สายตาคาดโทษของบิดาและสายตาตื่นลนลานของมารดานั้นกลับไม่ได้ทำให้เด็กน้อยหันหลัง เขายังคงมองอารามเต๋าอยู่ราวกับรอคำตอบ “เคยพบ…” หวังเป่าเล่อยิ้ม แล้วพยักหน้าให้ ทว่าในใจนั้นพึมพำเสียงเบา “ในชาติที่แล้วของท่าน” “เยี่ยมเลย” เด็กน้อยดวงตาทอประกาย แต่ด้วยความที่เป็นเด็กจึงกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสายตาลุแก่โทษของบิดามารดาและรอยยิ้มอันอบอุ่นของหวังเป่าเล่อ สมาชิกในบ้านทั้งสามคนก็ออกเดินไปไกลแล้ว และโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เสียงอบรมบุตรชายของเฉินอวิ๋นลั่วก็ดังลอยมากับสายลม มองจากไกลๆ ท้องฟ้าเป็นสีเทา เกล็ดหิมะโปรยปรายกระจายไปทั่วเมือง ราวกับกำลังสวมชุดยาวสีขาวพิสุทธิ์ให้แก่เมืองแห่งนี้ นอกจากความงดงามแล้ว ด้านนอกอารามเต๋า สมาชิกในบ้านเฉินอวิ๋นลั่วทั้งสาม เงาร่างของพวกเขาค่อยๆ พร่าเลือนท่ามกลางลมหิมะ ภายในอารามเต๋า หวังเป่าเล่อยืนอยู่ข้างประตู ในมือยังคงถือไม้กวาด เขาแหงนหน้าเพ่งมอง รอยยิ้มบนหน้ายิ่งกว้างขึ้น กระทั่งเกล็ดหิมะนั้นปิดบังภาพเบื้องหน้าไปจนสิ้น ร่างกายและวิญญาณของเขาก็ราวกับได้เติมเต็มเพิ่มขึ้นท่ามกลางหิมะนี้ ครั้งนี้หิมะตกเป็นเวลาหนึ่งเดือน สำหรับโลกของคนธรรมดา หิมะที่ตกต่อเนื่องหนึ่งเดือนอาจก่อให้เกิดโศกนาฏกรรม แต่สำหรับดินแดนแห่งเซียนนั้น นี่กลับเป็นเรื่องธรรมดา แม้หิมะจะตกเช่นเดิม แต่ก็ไม่อาจต้านทานการเบิกเนตรของเด็กน้อยได้ ทุกวันในยามเช้า เด็กน้อยทั้งหลายในอารามจะรีบมาตามกำหนดเวลา เพื่อมาฟังเทศนาจากนักพรตเต๋าในอารามแห่งนี้ เฉินชิงก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาชอบบรรดาสหายข้างกาย ชอบเอ้อร์ยาที่อยู่โต๊ะข้างๆ แล้วก็ยิ่งชอบนักพรตเต๋าที่อบอุ่นอ่อนโยนท่านนี้ การสอนของหวังเป่าเล่อ ไม่ได้แตกต่างจากอารามเต๋าอื่นๆ มาก ล้วนอธิบายเรื่องการตื่นรู้ของการฝึกตน หลักเต๋านี้ ยากจะใช้คำพูดที่เด็กฟังแล้วเข้าใจมาอธิบาย แต่บนร่างของเขากลับแผ่กระแสเต๋าออกมาบ้างเป็นบางครั้ง ภายใต้อิทธิพลของกระแสเต๋า แม้ว่าเด็กๆ จะไม่ได้เข้าใจทั้งหมด แต่ก็มีความเข้าใจแบบคร่าวๆ อยู่บ้าง มันจะตกผลึกอยู่ในความทรงจำส่วนลึกของพวกเขา และในอนาคตภายหลังพวกเขาเติบใหญ่ หลังจากที่พวกเขาฝึกตนแล้ว กระแสเต๋าและการรู้แจ้งที่เกิดขึ้นในยามเบิกเนตรก็จะกลายเป็นเหมือนตะเกียงส่องทางให้การฝึกตน และตะเกียงนำแสงที่ว่า บัดนี้ได้ส่องสว่างโชติช่วงเป็นพิเศษในใจของเฉินชิงแล้ว เขาประหลาดใจว่าสหายตัวน้อยคนอื่นๆ เหตุใดจึงฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก เพราะว่าคำพูดของนักพรตเต๋าผู้อ่อนโยนสำหรับเขาแล้ว ทุกประโยคนั้นคล้ายว่าตนจะเข้าใจได้ทั้งหมด ก็เป็นเช่นนี้ วันเวลาค่อยๆ ผันผ่าน ในขั้นตอนการเบิกเนตร หนึ่งปีก็ผ่านไป เฉินชิงหกขวบแล้ว เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่นๆ ตั้งแต่ปีแรกเป็นต้นมา ระหว่างที่เฉินชิงกำลังเรียนรู้นั้นมักจะถามคำถามของตนเอง และทุกคำถามนั้น นักพรตผู้อ่อนโยนก็จะช่วยตอบให้แก่เขา อีกทั้งแววตายังฉายประกายชื่นชม นี่ทำให้เฉินชิงยิ่งเฝ้าคอยเส้นทางแห่งการฝึกตนอย่างมาก ในเวลาเดียวกันระหว่างที่เรียนรู้กระแสเต๋า สิ่งที่เขาได้รับนั้นก็มีมากขึ้นทุกขณะ พร้อมกันนั้น…ในฐานะที่เป็นสหายร่วมเรียนของเขา เด็กคนอื่นๆ ในกลุ่มก็ล้วนได้รับประโยชน์เช่นเดียวกัน “ท่านนักพรต ทำไมบนโลกเราจึงมีปราณวิญญาณด้วยเล่า?” “เพราะว่าต้นไม้ สรรพสัตว์ เจ้าและข้า ทุกหมื่นสรรพสิ่งในฟ้าดินแห่งนี้มีวิญญาณ ดังนั้นในจักรวาล…ก็มีวิญญาณเช่นเดียวกัน และวิญญาณนี้ก็คือปราณของมัน” “ท่านนักพรต เต๋าคือสิ่งใด?” “เต๋านั้นไม่สำคัญ ก็เหมือนกับยามที่เจ้ากลับบ้านอย่างไรเล่าเฉินชิง เดินกลับได้ด้วยเส้นทางมากมาย ทุกๆ เส้นทางนั้นล้วนแตกต่าง ดังนั้น “เต๋า” หรือ “เส้นทาง” ก็ย่อมแตกต่าง กลับบ้านคือสิ่งสำคัญที่สุด ดังนั้นแล้วในส่วนของ “เต๋า”…ตามความเข้าใจของข้า หลังจากที่เจ้ามีทิศทางแล้ว ดังนั้นเจ้าจึงได้เลือกเส้นทางที่จะเดิน” “ท่านนักพรต หากว่าทิศทางที่ข้าเลือก ไม่มีเส้นทางเล่า?” “เช่นนั้นก็เบิกทางให้แก่ตนเอง หาทางกลับบ้าน” หวังเป่าเล่อมองเฉินชิงอย่างล้ำลึกคราหนึ่ง ตอบเสียงเบา เฉินชิงคล้ายมีความคิดบางอย่าง ส่วนคำถามของเขานั้นยังมีอยู่มากมาย หลังจากนั้นเวลาก็ได้ผ่านเลยไป เป็นอีกปีที่ผ่านพ้น เฉินชิงที่อายุครบเจ็ดปีแล้ว ในใจนั้นเมื่อข้อสงสัยทั้งหมดของเขาได้รับการอธิบาย ในวันเกิดอายุครบเจ็ดปีของเขานี้ ก็ได้รู้แจ้งทางวิญญาณ การเบิกเนตรในวัยเด็ก เป้าหมายสุดท้ายคือการทะลวงทางวิญญาณ ก็เหมือนกับการคว้าจับพลังปราณสายหนึ่งของจักรวาล ทำให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย กล่าวโดยทั่วไปนั้น เด็กจำนวนมากก็จะฝ่าทะลวงทางวิญญาณนี้ในช่วงระหว่างอายุหกถึงเจ็ดปีในอารามเต๋านั่นเอง ระหว่างนี้ ช้าเร็วไม่อาจบ่งบอกถึงคุณสมบัติ การทะลวงวิญญาณของเฉินชิงนี้มีบางส่วนที่แตกต่างอยู่บ้าง ในระหว่างการเบิกเนตรสองปี หวังเป่าเล่อเหลือทิ้งพลังเต๋าสำนักแห่งความมืดไว้ในใจของเขาแล้ว ภายหลังจะเลือกหรือไม่นั้น ย่อมต้องดูทางเลือกของตัวเฉินชิงเอง และในวันเดียวกันนั้น หวังเป่าเล่อก็มอบของขวัญวันเกิดให้เฉินชิงชิ้นหนึ่ง นั่นคือ…ลูกปัดร่างมายาของพระอาทิตย์ทั้งเก้าดวง อีกทั้งตราประทับมายาชิ้นหนึ่ง ตราประทับนี้รูปร่างคล้ายพระจันทร์ พวกมันลอยไปอยู่ข้างกายเฉินชิง ในวันนี้…เป็นช่วงฤดูหนาว เหมือนกับตอนที่เขามาในยามนั้น นี่เป็นหิมะแรก ท่ามกลางพายุฝน เฉินชิงจ้องมองตราประทับพระจันทร์และอาทิตย์เก้าดวงที่อยู่รายล้อม ดวงตาเผยประกายความหลงใหล เขามองหวังเป่าเล่อ “เลือกมาชิ้นหนึ่ง ให้กลายเป็นมรรคาเต๋าแรกเริ่มของเจ้าในชาตินี้” เฉินชิงเงียบไปชั่วครู่ เขามองไปรอบด้าน ก่อนจะมองหวังเป่าเล่อแล้วถามอย่างลังเล “ข้าติดตามท่านได้หรือไม่ขอรับ?” หวังเป่าเล่อยิ้ม เขาลูบหัวของเฉินชิงก่อนจะเอ่ยปากเสียงเบา “แต่อีกไม่นานข้าต้องไปทำเรื่องเรื่องหนึ่ง ดังนั้นเจ้าเลือกก่อนแล้วรอข้ากลับมา” เฉินชิงพยักหน้า จากนั้นกวาดตามองดวงอาทิตย์ทั้งเก้าที่รายล้อมและตราประทับจันทร์นั้น โบกมือครั้งหนึ่งก็คว้าตราประทับจันทร์เข้ามา “งั้นข้าเลือกอันนี้” หลังจากที่เขาเลือกแล้ว เสียงหัวเราะดังก็ลอดข้ามฟากฟ้า เงาร่างของซือถูพลันปรากฏอยู่กลางฟ้าเดินเข้ามาทีละก้าว ส่วนเมฆหมอกด้านหลังนั้นมองไปรางๆ จะเห็นเงาร่างไพศาลเก้าเงา ต่างทอดถอนใจ พยักหน้ามาทางหวังเป่าเล่อ หลังจากนั้นหวังเป่าเล่อจึงยกยิ้มทักทายกลับ ก่อนพวกเขาจะค่อยๆ จากไป มีเพียงซือถูที่ก้าวเข้ามาก้าวใหญ่ หยุดอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อและเฉินชิง หัวเราะฮ่าๆ “เป่าเล่อ สายตาของเฉินชิงนั้นเหนือกว่าเจ้ามากทีเดียว ข้าไม่ได้รับศิษย์มาหลายปีมากแล้ว ในปีนั้นฝืนรับมาครึ่งหนึ่ง สอนสั่งไปๆ มาๆ ก็ได้ผู้สูงศักดิ์มาหนึ่งราย” ซือถูยิ้มกว้าง หวังเป่าเล่อเองก็หัวเราะ หลังจากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนเป็นจริงจัง เขาค้อมกายลงคำนับซือถูต่ำหนึ่งครา “ลำบากผู้อาวุโสแล้ว” “มีข้าอยู่ ทุกอย่างจงวางใจ เฉินชิง พวกเราไปกันเถอะ” กล่าวจบ ซือถูก็โบกมือ พัดม้วนเฉินชิงขึ้นสู่ฟากฟ้า “ท่านนักพรต…” บนท้องฟ้า มีเสียงตัดไม่ขาดของเฉินชิงดังลอยมา ในสายตาของเขาอารามเต๋าแปรเปลี่ยนเป็นเล็กจ้อย ส่วนเมืองเองก็เล็กเช่นกัน มีเพียงเงาร่างของนักพรตเต๋าที่ยังโบกมืออยู่นั้นกลับยังคงเดิม “เจ้าหนูอย่าอาลัยอาวรณ์ไป ศิษย์น้องของเจ้ามีเรื่องต้องไปจัดการ เกรงว่าไม่นานก็กลับมาแล้ว” ซือถูเอ่ยยิ้มๆ “ศิษย์น้องของข้า?” เฉินชิงผงะ “ใช่แล้ว ข้าไม่กล้าเป็นอาจารย์คนแรกของเจ้าหรอก ขอเป็นแค่ครึ่งหนึ่งพอแล้ว เพราะว่าเจ้าคือศิษย์ที่หวังเป่าเล่อรับไว้แทนอาจารย์ ข้ายินยอมให้เจ้าเป็นศิษย์พี่ ดังนั้นแล้วเจ้าตัวน้อย เจ้าก็พยายามฝึกตนเข้าเล่า” “หา…” ดวงตาเฉินชิงเผยประกายมึนงง คิดอยากจะพูดอีกครั้ง ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังตัวเมืองที่อยู่ห่างออกไปเรื่อยๆ จนไม่มองไม่เห็นมันอีก ในอารามเต๋านั้น ลมพายุยังคงเดิม หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้น มองเห็นเงาร่างที่ค่อยๆ ห่างออกไปของศิษย์พี่ ท้องฟ้ามีเกล็ดหิมะร่วงโปรยปราย ราวกับตกกระทบหัวใจของเขา กลายเป็นระลอกคลื่นแผ่ซ่านออกทั่วจิตวิญญาณ เนิ่นนาน เนิ่นนาน รอยยิ้มของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งความอบอุ่น เขาหันกายแล้วเดินจากไปยังที่ห่างไกล ทีละก้าว ทีละก้าว… ในชาติก่อน ท่านยืนอยู่เบื้องหน้าข้า บังลมบังฝนให้แก่ข้าในช่วงเริ่มต้นฝึกตน ทำให้ลมหนาวเหน็บนั้นไม่อาจกระทบกายข้า ทำให้ลมฝนนั้นสาดไม่ถึงวิญญาณของข้า ไม่ว่าชีวิตของข้าจะดำเนินไปเช่นไร เงาร่างของท่านก็ยังคงคอยแอบดูแลจากเบื้องบน ในช่วงเวลาอันตรายก็ยื่นมือเข้าช่วย เบิกเส้นทางอันว่างเปล่าให้แก่ข้าได้เดินโดยราบรื่นและสุขใจ เพราะว่า ข้าคือศิษย์น้องของท่าน เพราะว่า ท่านคือศิษย์พี่ของข้า เงาร่างอันสูงใหญ่ของท่าน ในสายตาของข้าเหมือนไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ในหลายเวลาท่านคล้ายกับไม่ได้เป็นศิษย์พี่แต่กลับเป็นอาจารย์เสียมากกว่า แต่ก็เหมือนจะเป็นพี่ชายแท้ๆ ของข้าด้วย ข้าไม่อาจลืมครั้งที่ท่านปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกได้ ร่างสวมชุดคราม สุราหนึ่งไห กระบี่ไม้เล่มหนึ่ง เส้นผมโบกไสว ราวกับกระบี่ ราวกับเทพเซียน ไม่แปดเปื้อน ไม่สามัญ ข้าไม่อาจลืม เงาร่างที่จากไปของท่าน เสื้อครามนั้นกลายเป็นสีดำ ไหสุรากลายเป็นสุราขุ่น กระบี่ไม้กลับรอยตำหนิ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนปรากฏรอยปริแตก ข้ามองท่านสลายไปท่ามกลางความว่างเปล่า ข้าทราบ การที่ท่านไปแสวงหาเต๋าของตนนั้น นี่ก็เป็นเพราะ…เพื่อศิษย์น้องผู้ไม่ได้ความนี้ เพื่อไปตรวจสอบเส้นทางที่แตกสลาย ในยามนี้ เมื่อมองท่าน ในสมองของข้า ความทรงจำปรากฏความทรงจำของชาตินั้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว มีท่านคอยรักห่วงใยข้า มีท่านคอยปกป้องข้า มีท่านคอยเมตตาข้า และมีท่าน ข้าถึงมีรอยยิ้ม ไม่ว่าจะเป็นเฉินชิง(陈青) หรือเฉินชิง (尘青) “ในชาตินี้ ข้าจะคอยปกป้องท่านทุกด้าน” “ในชาตินี้ ข้าจะพาท่านเข้าสู่เต๋า” “ในชาตินี้ ข้ายังคงเป็นศิษย์น้องของท่าน” …………………………………..
เวลาผันผ่าน พริบตาเดียวห้าปีก็ผ่านไป ในเขตแดนหนึ่งของดินแดนเซียน ณ เมืองแห่งหนึ่ง เมืองนี้เมื่อมองห่างๆ จะคลับคล้ายกับร่างของหอยทากยักษ์ตัวหนึ่ง กระแสพลังเซียนแผ่ออกมาจากที่นั่นช้าๆ บนเปลือกของหอยทากตัวนี้ก็คืออาณาบริเวณของเมืองทั้งหมด ราวกับว่าบนร่างของมันมีกระแสเหนี่ยวนำ ทำให้เปลือกนั้นตั้งตระหง่าน แต่สำหรับมนุษย์ที่อาศัยอยู่บนตัวมันนี้ ทุกสิ่งเป็นปกติ ท้องฟ้าก็คือท้องฟ้า ไม่มีอะไรแตกต่าง ภายในเมืองขนาดมโหฬารนี้เอง มีอารามเต๋าเพิ่มขึ้นมาหนึ่งหลัง ลักษณะนั้นไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้คนมากนัก ขนาดของมันเล็กมาก แต่สำหรับหลายคนอารามเต๋ากลับมีความสำคัญอย่างยิ่ง ในดินแดนเซียนนี้ คนจำนวนมากจะพาเด็กน้อยที่อายุเหมาะสมเข้าสู่อารามเต๋า เพื่อเบิกเนตรเข้าสู่วิถีฝึกตน สำหรับดินแดนเซียนแล้ว วิธีฝึกตนนั้นเป็นเรื่องปกติ ก็เหมือนกับสถานศึกษาในโลกแห่งศิลา เด็กน้อยในโลกใบนี้เมื่ออายุได้ประมาณหนึ่งก็จะต้องเข้าไปเบิกเนตรในอารามเต๋า การมีอยู่ของอารามเต๋านั้นเพื่อคัดสรรผู้มีคุณสมบัติดี จากนั้นก็ส่งไปยังสำนักศึกษาที่สูงขึ้นอีกระดับ ค่อยๆ ส่งไปตามลำดับขั้น สุดท้ายแล้วก็เพื่อการเจริญเติบโตของดินแดนเซียน เพื่อสั่งสมบารมีให้แก่ตนเอง ในระหว่างกระบวนการนี้ มีเรื่องราวบันดาลใจมากมายเกิดขึ้นเผยแพร่ไปทั่วทั้งดินแดนเซียนแห่งนี้ ทำให้ในทุกๆ ปี เด็กที่อายุได้ประมาณหนึ่งจากทุกสารทิศในเมือง จะแสวงหาอารามเต๋าเฉกเช่นที่นี่เพื่อไปเบิกเนตร กล่าวได้ว่า การมีอยู่ของอารามเต๋า แท้จริงแล้วคือสถานที่ที่เหล่าผู้ฝึกตนจากโลกมนุษย์จำนวนมากได้สัมผัสกับวิถีเต๋าเป็นที่แรก อารามเต๋าส่วนมากในดินแดนเซียนล้วนสร้างจากสำนักใหญ่ทั้งสิ้น อีกทั้งวิชาก็เป็นระเบียบแบบแผน ดังนั้นแล้วอย่าว่าแต่บิดามารดาที่มีทั้งพละกำลังและทรัพยากรเลย ต่อให้เป็นตัวผู้ฝึกตนด้วยกัน ส่วนมากก็เลือกที่จะส่งบุตรหลานของตนเข้าสู่อารามเต๋า ทว่า ระหว่างอารามเต๋าด้วยกันเองนั้น ย่อมมีทั้งดีและชั่ว ทั้งหมดดูได้ว่าหล่อเลี้ยงเมล็ดพันธ์เช่นไรออกมาได้มาก ใช้วิธีนั้นตัดสิน ดังนั้นแล้วยิ่งอารามเต๋าไหนที่มีชื่อเสียงในด้านดีและโด่งดัง ตระกูลที่ส่งลูกหลานมาก็ย่อมมากขึ้นเท่านั้น ในเมืองที่มีลักษณะคล้ายหอยทากแห่งนี้ อารามเต๋าปรากฏขึ้นนับแต่ห้าปีก่อน แม้ว่าจะไม่ได้วิเศษมากนัก แต่สามปีก่อนหน้านี้ กลุ่มเด็กที่ทางอารามเต๋าอบรมออกไปกลุ่มแรก ถึงกับมีสิบกว่าคนที่ถูกสำนักระดับหนึ่งรับตัวเอาไว้ ดังนั้นแล้วชื่อเสียงของอารามเต๋าแห่งนี้จึงค่อยแพร่กระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศ ในทุกเขตแดนของดินแดนเซียนนั้นมีสำนักเต๋ามากมายเหลือคณานับ อีกทั้งในหนึ่งเขตแดนแปดพันหัวเมือง จำนวนคนก็ยังมากล้น ดังนั้นหากถูกสำนักเต๋าที่มีชื่อระดับหนึ่งรับตัวไว้ เห็นได้ชัดว่านั่นดีเพียงใด อีกอย่างจำนวนเด็กที่สำนักเต๋าชั้นแนวหน้าเปิดรับในแต่ละปีก็น้อยมาก เงื่อนไขเข้มงวดอย่างยิ่ง ดังนั้นแล้ว การถูกรับตัวในครั้งเดียวถึงสิบกว่าคนก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าสามารถดึงดูดความสนใจคนได้มากมาย แม้เด็กที่เหลือจะไม่ได้ถูกสำนักชั้นหนึ่งรับตัวไป แต่ก็ถูกคัดสรรเข้าสำนักสามลำดับแรกเช่นกัน คล้ายกับว่าสำนักนี้เข้ามาตัดส่วนแบ่งทั้งหมดแล้วรับเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น เรื่องครั้งนี้จึงสร้างความฮือฮาทั่วเมืองในทันที เพราะนี่คือการรับเข้าเรียนในระดับสิบเมือง หากเปลี่ยนเป็นอารามเต๋าอื่นเกรงว่ายากจะทำถึงจุดนี้ได้ กระทั่งยังมีเสียงร่ำลือว่า เหล่าเมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการอบรมจากอารามเต๋าแห่งนี้ ล้วนเป็นคนที่บรรดาสำนักชั้นนำวางแผนจะรับเอาไว้ทั้งหมด แต่กลับถูกสำนักอื่นคัดค้านรุนแรง อิจฉาตาริษยา ดังนั้นแล้วจึงได้แต่ยอมตัดใจรับแค่ส่วนหนึ่ง เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ก็ทำให้ชื่อเสียงของอารามเต๋ายิ่งแพร่สะพัด ในบรรดาเด็กน้อยเมื่อสามปีก่อนนั้น ถึงกับมีคนผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้สืบทอดของนักพรตเต๋าในอารามแห่งนั้นถูกรับตัวไปโดยสำนักสูงสุด ยอดสำนักสวรรค์เร้นลับอย่างเหนือความคาดหมาย เรื่องนี้กลายเป็นที่เล่าลือไปทั่ว และทำให้ในใจผู้คนสั่นสะท้าน ดังนั้น ระยะสองปีให้หลัง การรับเด็กเข้ามาของอารามเต๋าจึงมีตระกูลจำนวนมากที่เข้ามายื้อแย่ง ด้วยเพราะกลัวว่าบุตรหลานของตนจะเสียโอกาสนี้ ในเวลาเดียวกันผู้ฝึกตนจำนวนมากก็เริ่มเสาะหาประวัติของอารามเต๋าแห่งนี้ แต่ยิ่งสืบค้นก็ยิ่งสงสัย สิ่งที่แตกต่างจากอารามอื่นที่มีนักพรตเต๋าสามถึงห้าคนหรือมากกว่านั้น ก็คือในอารามเต๋าแห่งนี้…มีนักพรตเต๋าเพียงคนเดียว กล่าวให้ชัดเจนก็คือ ในอาราม ทั้งในและนอกมีอาจารย์เพียงคนเดียว คนผู้นี้เป็นที่เรียกขานกันว่านักพรตเต๋าหวัง ในส่วนชื่อจริงว่าอย่างไรนั้นไม่มีผู้ใดทราบ ประวัติความเป็นมาลึกลับ พลังฝึกปรือเร้นลับ ราวกับว่าทุกอย่างเป็นความลับไปเสียหมด ไม่ว่าผู้ที่ใคร่รู้จะเสาะหาสักเท่าไร แต่กลับไม่พบข้อมูลของนักพรตเต๋าหวังผู้นี้เลยแม้เพียงนิด ราวกับว่า…ผู้ที่ล่วงรู้ทั้งหมด เกรงที่จะกล่าวถึงและเอ่ยปาก และต่อให้เอ่ยขึ้นมาบ้างในบางครั้งครั้ง ผู้ที่ได้ยินก็เลือกที่จะหุบปากอยู่ดี ในไม่ช้า เรื่องนี้จึงทำให้อารามเต๋าแห่งนี้เร้นลับยิ่งกว่าเก่า เป็นที่แน่นอนว่านักพรตเต๋าที่อาศัยอยู่ในอารามเร้นลับแห่งนี้ ย่อมเป็น…หวังเป่าเล่อ ห้าปีก่อนหน้า ในตอนที่พบว่าศิษย์พี่ได้กลับชาติมาเกิดใหม่นั้น หวังเป่าเล่อก็จากยอดเขาเดียวดายมายังเมืองใหญ่ เลือกสถานที่ที่ไม่ห่างจากบ้านของศิษย์พี่มากนัก ซื้อจวนหลังหนึ่งเอาไว้ และจากนั้นก็สร้างขึ้นเป็นอารามเต๋า เขารู้ความหมายของอารามเต๋าที่มีต่อดินแดนเซียนแห่งนี้ดี ความคิดแรกเริ่มนั้นก็คือเฝ้าคอยจนศิษย์พี่ใหญ่เติบใหญ่ในระดับหนึ่ง จากนั้นก็จะรับเข้ามาเบิกเนตรให้ด้วยตนเองแล้วถ่ายทอดวิชาของสำนักแห่งความมืดให้ ในส่วนการรับเด็กคนอื่นๆ ก็เป็นแค่การกระทำตามอำเภอใจเท่านั้น และในส่วนของการแก่งแย่งกลุ่มเด็กๆ เมื่อสามปีก่อนของสำนักใหญ่ชั้นนำทั้งหลาย ข่าวลือภายนับไม่ถ้วนเหล่านั้น ตามที่หวังเป่าเล่อเข้าใจแท้จริงแล้ว เป็นเพราะบรรดาผู้อาวุโสของสำนักใหญ่ทราบถึงการมีตัวตนอยู่ของเขา ดังนั้น…จึงคิดผูกสัมพันธ์ด้วยวิธีนี้ นี่รวมถึงยอดสำนึกที่สูงส่งที่สุดในเขตที่หนึ่ง ผู้ก่อตั้งของสำนักนี้มีพลังอยู่ระดับสี่แล้ว และเป็นหนึ่งในอาทิตย์กลางนภาทั้งเก้าบนฟากฟ้า เมื่อคิดเช่นนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา แม้เรื่องราวนี้จะทำลายความสงบของเขาบางส่วน แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้สนใจมากนัก ในเมื่อมาถึงดินแดนแห่งนี้แล้ว เขาย่อมไม่ปฏิเสธที่จะเหลือเหตุผลต้นกรรมอยู่ที่นี่ไว้บ้าง ก็เหมือนในตอนนี้ ภายในอารามเต๋าที่มิได้ใหญ่โต หลังจากส่งเด็กๆ ที่มาเบิกเนตรที่นี่ไปหมดแล้ว หวังเป่าเล่อที่อยู่ในชุดนักพรตก็แหงนหน้าขึ้นด้วยจิตใจอันสงบ เขามองไปยังป่าต้นอู๋ถงที่อยู่นอกประตูใหญ่ของอารามเต๋า กิ่งไม้ประดับไปด้วยใบไม้สีเขียวกึ่งแดงเหล่านั้น ร่วงหล่นเมื่อถูกสายลมพัดลงมาส่วนหนึ่ง ราวกับถูกอารามเต๋าแห่งนี้น้อมนำ มีจำนวนไม่น้อยที่ลอยเข้ามาข้างใน พัดม้วนอยู่บนพื้น คล้ายไม่ยินยอมจะจากไป พวกมันหมุนอยู่รอบกายหวังเป่าเล่อ เขาไม่ได้หันไปมองใบไม้เหล่านั้น นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อไม่ขยับเขยื้อน ในพริบตานั้นเขาก็มองเห็นบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป ลมหนาวพัดโชย สิ่งที่หอบมาไม่ได้มีเพียงแค่บรรยากาศของฤดูใบไม้ร่วง แต่ยังมีเสียงเด็กเล็กเล่นหัวเราะสนุกสนานในบ้านหลังนั้นด้วย เมื่อได้ยินเสียงนี้ สีหน้าของหวังเป่าเล่อพลันฉายแววอ่อนโยน เขาหยิบไม้กวาดขึ้นกวาดใบไม้ที่ลอยเข้าอารามเต๋า ค่อยๆ กวาดไปตามมุมของอาราม หลังจากเสียงกวาดซ่าๆ ข้ามผ่านพื้นผิวไปไม่หยุดนั่นเอง ทั้งโลกก็คล้ายจะสงบนิ่งขึ้นทันที กระแสเต๋าขุมหนึ่ง อยู่บนร่างของหวังเป่าเล่อ บ้างปรากฏบ้างซ่อนเร้น นั่นคือความนิ่งเงียบและสงบสุข วันเวลาเช่นนี้ค่อยๆ ผ่านไปในทุกวัน ฤดูใบไม้ร่วงค่อยๆ ผันผ่าน จนกระทั่งยามเย็นวันหนึ่งที่หิมะแรกโปรยปราย หวังเป่าเล่อที่กวาดหิมะอยู่ในจวน ในใจก็เกิดระลอกคลื่นหนึ่งเข้ามา เขาแหงนหน้า หน้าประตูใหญ่ของอารามเต๋า บัดนี้มีเสียงเคาะประตูดังลอดออกมา ด้านนอกอาราม ชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่ง ในมือถือของขวัญเบิกเนตรกำลังจูงมือเด็กชายอายุประมาณห้าขวบที่ยืนตื่นเต้นอยู่ตรงนั้น “นักพรตหวัง ผู้เยาว์เฉินอวิ๋นลั่ว นี่คือบุตรน้อยของข้าเฉินชิง อยากจะกราบเข้าอารามเต๋าของท่าน ได้รับการเบิกเนตรจากท่านนักพรต ยังคงขอให้นักพรตช่วยให้สมปรารถนาด้วย” หลังจากประตูใหญ่ของอารามเต๋าเปิดออก ยามที่เงาร่างของหวังเป่าเล่อปรากฏสู่สายตาของคนในครอบครัวทั้งสาม ชายหนุ่มผู้นั้นก็ดึงแขนภรรยาด้านข้าง ให้ค้อมคำนับลงต่ำแก่หวังเป่าเล่อครั้งหนึ่ง มีเพียงเด็กชายคนนั้น ที่เบิกตากลมโตขึ้นมามองหวังเป่าเล่ออย่างใครรู้ ราวกับจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ถูกบิดาด้านข้างถลึงตา ก่อนจะดึงให้โค้งคำนับลงเช่นกัน หวังเป่าเล่อเบนกาย หลบการคำนับของเด็กชายครั้งนี้ เขาจ้องดวงตาของเด็กชายผู้นั้น สีหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนโยน แล้วเอ่ยขึ้นมาเสียงเบา มันเป็นคำพูดที่เด็กชายได้ยินเพียงคนเดียว “ข้ายินดีอย่างยิ่ง ที่จะช่วยเบิกเนตรในชาตินี้ให้แก่ท่าน” ………………………
น้ำเสียงนี้องอาจหาใดเปรียบ อีกทั้งยังแฝงไปด้วยความโอหัง ราวกับเมื่อเอ่ยคำพูดออกมาจะสามารถทำให้ฟ้าดินสะเทือนได้ ในยามนี้เสียงดังก้อง ท่ามกลางเม็ดฝนที่หลั่งริน ในขอบฟ้าห่างไกลนั้นปรากฏเงาร่างหนึ่งเดินเข้ามา เงาร่างนี้สูงใหญ่อย่างมาก สวมชุมคลุมกษัตริย์สีม่วง แม้ศีรษะจะไม่ได้ประดับกวานแล้วปล่อยเส้นผมให้พัดปลิวสยาย แต่กลับให้ความรู้สึกเย่อหยิ่ง อีกทั้งร่างของเขานั้นแม้หน้าตาจะดูหยาบกระด้างทว่าดวงตานั้นดุจดารา ทำให้ผู้พบเห็นจิตใจเคลิบเคลิ้มหลงลืมทุกสิ่งทำได้เพียงจ้องมองดวงตาอันงดงามกระจ่างคู่นั้นของเขา ยามนี้เมื่อเขาเดินมา ด้านบนศีรษะเห็นชัดว่ามีสายฝน แต่ไม่มีแม้แต่หยดเดียวที่ตกกระทบร่างของเขา ราวกับว่าในสถานที่ทั้งหมดนี้ แม้กระทั่งหยาดน้ำที่หลั่งรินลงมาก็ไม่อาจแปดเปื้อนเขาได้สักนิด ตรงจุดนี้ หวังเป่าเล่อทำไม่ได้ แต่แรกก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เพราะจากระดับพลังของหวังเป่าเล่อในปัจจุบัน อย่าว่าแต่หยาดฝนเลย ต่อให้เป็นกระแสพลังเทพคุกคาม ก็ไม่มีทางที่จะทำให้เขาอยู่ในระดับที่ไม่อาจยับยั้งได้เลยสักนิด กระทั่งหากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนขั้นรากฐานตั้งมั่นสักคน ก็สามารถหลบฝนในโลกุตระได้ แต่ว่า…ชายที่ปรากฏตัวท่ามกลางสายฝนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการโคจรพลังของเขา การตัดขาดจากโลกภายนอก หยาดฝนเหล่านี้ก็ยังคงมอบความชุ่มชื้นไร้สุ้มเสียงดุจเก่า ราวกับถูกแบ่งกั้นโดยสมบูรณ์ บางทีนี่อาจไม่เกี่ยวข้องกับพลังการต่อสู้ แต่เป็นเหตุเพราะระดับพลังฝึกตนแตกต่างเป็นสำคัญ ยามนี้เห็นได้ว่า ชายร่างใหญ่ผู้มาเยือนหลายต่อหลายครั้งในระหว่างสองปีนี้ พลังฝึกตนของเขาต้องอยู่ระดับสี่เป็นแน่! ในเวลาเดียวกัน ฝนนี่ก็ไม่ปกติเลยจริงๆ หากมองมายังยอดเขาที่หวังเป่าเล่ออยู่จากระยะไกล จะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่ามีเพียงอาณาบริเวณรอบด้านหลายร้อยจั้งเท่านั้นที่มีฝน แต่ในส่วนบริเวณนอกร้อยจั้งไปนั้น ไม่มีฝนสักครึ่งหยด อีกอย่าง…หวังเป่าเล่อที่อยู่ท่ามกลางสายฝน ตอนนี้เสื้อผ้าหน้าผมล้วนเปียกปอน ไม่อาจใช้วัตถุใดๆ กันได้ ทั้งหมดล้วนเปล่าประโยชน์ แต่ในครั้งแรกที่อีกฝ่ายมาเยือนเมื่อปีที่แล้ว หลังจากได้อาบฝน หวังเป่าเล่อก็คล้ายเข้าใจบางอย่าง ตอนนี้เขาแหงนหน้ามองชายร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามา แล้วลุกขึ้นพร้อมค้อมกาย “น้อมพบผู้อาวุโสซือถู” ระหว่างที่กล่าว หยาดฝนก็หลั่งรินออกจากเส้นผมของเขา ไหลผ่านแก้มจนกระทั่งรวมกันอยู่ตรงตำแหน่งคาง กลายเป็นหยดน้ำฝน ร่วงกระทบดินเป็นสาย มีบางส่วนที่ไหลไปเปียกปกเสื้อ “ฮ่าๆ เจ้าอ้วนน้อย พวกเราพบกันอีกแล้ว” ในตอนที่หวังเป่าเล่อกล่าวออกไป ชายสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาก็หัวเราะเสียงดัง เขาเดินมาข้างหน้าพร้อมกอดหวังเป่าเล่อเอาไว้ “นี่ก็เพิ่งเดือนเดียวเท่านั้น…” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากยิ้มๆ ชายสูงใหญ่เบื้องหน้าตนหลังจากคลายอ้อมกอดอันสนิทสนมนี้ เขาก็เช็ดหยาดฝนบนหน้าก่อนจะสะบัดมือ “หนึ่งเดือนก็นานนัก มาๆๆ เจ้าอ้วนน้อย ครั้งที่แล้วข้าจงใจยอมให้เจ้า มาครั้งนี้ ข้าจะสู้กับเจ้าอย่างเอาจริงแล้ว” ชายร่างสูงใหญ่เอ่ย เขานั่งอยู่ข้างหน้าหวังเป่าเล่อพลางโบกมือ จากนั้นกระดานหมากก็ปรากฏ เม็ดหมากเม็ดหนึ่งถูกเขาหยิบออกมา ราวกับกลัวว่าจะถูกแย่งชิงเปิดกระดาน หมากตัวนั้นรีบวางลงทันที หวังเป่าเล่ออมยิ้ม ผู้อาวุโสซือถูเบื้องหน้าเขานี้ กล่าวให้กระจ่าง เขาได้พบเจอทั้งสิ้นเจ็ดครั้งแล้วในเวลาสองปี ในครั้งแรกที่มานั้น อีกฝ่ายสนทนากับเขาอยู่นาน ราวกับมาดูว่าตนเองเป็นเช่นไร หลังจากนั้นก่อนจากไปยังถามเขาเหมือนไม่ได้ใส่ใจอีกประโยคหนึ่งว่าเล่นหมากเป็นหรือไม่ หวังเป่าเล่อนั้นเล่นไม่เป็น กฎของหมากในโลกแห่งศิลาและที่แห่งนี้แตกต่างกัน แต่ก็สอบถามด้วยความสงสัย จากนั้นผลลัพธ์ก็… ในตอนที่ทั้งสองพบกันครั้งแรก ฝ่ายหนึ่งตื่นเต้นระริกระรี้ อีกฝ่ายพยายามร่ำเรียน แต่เขา…สุดท้ายกลับเป็นผู้ชนะ นี่ทำให้ซือถูอดรนทนไม่ได้อยู่บ้าง ดังนั้นจึงมีครั้งที่สอง ครั้งที่สามและสี่ตามมา… ทุกครั้ง หวังเป่าเล่อชนะ ตัวเขาเองรู้สึกเหนือความคาดหมายไปบ้าง บางทีอาจเพราะตนเองไม่เคยพบพรสวรรค์ทางด้านนี้มาก่อน หรือไม่ก็อาจจะเป็นเพราะฝีมือของผู้อาวุโสซือถูท่านนี้ ในด้านหมากนั้นอ่อนด้อยเกินไป… ก็เป็นเช่นนี้ ยามนี้เขาปรากฏตัวมาเจ็ดครั้งแล้ว หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจน้ำฝนที่ไหลอาบแก้ม เขาหยิบเม็ดหมากขึ้นวางลงบนกระดาน หลังจากนั้นจึงรอด้วยความเคารพ ผู้อาวุโสซือถูเบื้องหน้าเขา เป็นคนที่ลงหมากได้เชื่องช้ามาก ผลก็คือ ทุกครั้งก็เป็นเช่นเดียวกัน หนึ่งก้านธูปให้หลัง ซือถูถึงค่อยลงหมาก หวังเป่าเล่อเองไม่ได้มีท่าทีเหนื่อยหน่ายแม้แต่น้อย เขาหยิบหมากวางลงไปอีกครั้ง จากนั้นก็รอคอย ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ เวลาล่วงผ่านไปสามวันแล้ว… มองเห็นหมากวางอยู่กว่าครึ่งของกระดาน ซือถูทางด้านนั้นก็นั่งคิดเนิ่นนาน หวังเป่าเล่อใช้มือปาดน้ำฝนออกจากศีรษะ หลังจากลองกวาดตาดูรอบหนึ่งก็เอ่ยปากเสียงเบา “ผู้อาวุโส ดูท่าท่านจะพลาดไปท่าหนึ่งอีกแล้ว” ซือถูจ้องมองกระดานแล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง เขาลังเลไม่รู้ว่าควรจะลงเช่นใด สีหน้าท่าทางค่อยๆ เผยความเสียใจออกมาทีละน้อย แล้วแหงนหน้ามองท้องฟ้า “ตกพอหรือยังน่ะ? ไสหัวไป” หลังจากกล่าวจบ ฟ้าดินก็ก้องคำราม บนท้องนภาเมฆพัดม้วนเป็นชั้น ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าในพริบตานั้น ท้องฟ้าคล้ายกับแสดงอารมณ์เบิกบานอยู่ ราวกับว่าได้กลั่นแกล้งจนพอใจแล้ว ไม่นานชั้นเมฆก็หายไปและฝนจึงหยุดลง เห็นสายฝนหยุดลงในที่สุด พลังภายในของหวังเป่าเล่อก็พลันเปลี่ยน ชายเสื้อและเส้นผมในพริบตานั้นไม่อับชื้นอีก ท่ามกลางความสดชื่นนี้ เขาลุกขึ้นมองชายร่างสูงใหญ่เบื้องหน้าก่อนจะโค้งคำนับลงคราหนึ่ง “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ตามใจข้า” ชายร่างสูงใหญ่ห่อปาก ก่อนจะโบกมือแล้วเก็บกระดานหมากกลับ “รอบนี้สถานการณ์ไม่ดี รอจนข้าไปนอนสักรอบ ตื่นแล้วมาสู้กับเจ้า” กล่าวจบ ชายร่างสูงใหญ่นี้ก็บิดขี้เกียจแล้วลุกขึ้นทำท่าจะจากไป “บุญคุณของผู้อาวุโส ผู้เยาว์ซาบซึ้งยิ่งนัก” หวังเป่าเล่อถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะคำนับอีกครั้ง “บุญคุณ?” ชายร่างสูงชะงัก “ผู้อาวุโสอย่าได้ปิดบังอีกเลย ตั้งแต่ครั้งที่สองที่ท่านมา ผู้เยาว์ก็ทราบแล้ว” นัยน์ตาหวังเป่าเล่อใสกระจ่าง เอ่ยปากเสียงเบา “เจ้ารู้สิ่งใดงั้นหรือ?” ชายร่างสูงเอ่ยถามด้วยความฉงน “เจ็ดครั้งที่ผู้อาวุโสมา เจ็ดครั้งที่ฝนตก ฝนนี้ไม่ปกติ ฝนช่วยสลายจิตอาฆาตของคนหนึ่งได้ อีกทั้งยังสลายเหตุผลต้นกรรมตนเองได้ สามารถหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณตนเองได้ สามารถทำให้สภาวะจิตของผู้เยาว์สงบนิ่งมากขึ้น” “หากจนบัดนี้ ผู้เยาว์ยังมิรู้ความ ว่านี่คือโอกาสบ่มเพาะที่ผู้อาวุโสมอบให้ เพื่อช่วยผู้เยาว์ตัดอาวรณ์ที่มีต่อจิตเต๋าและความยึดติดนี้ เช่นนั้นผู้เยาว์ก็ไม่มีค่าควรให้เล่นหมากกับท่านแล้ว” “แท้จริงแล้ว อานุภาพของฝนนี้สะท้านใจผู้คนนัก ผู้เยาว์ในยามนี้สภาวะกลับอยู่ในความสงบสุข ในส่วนการรู้แจ้งแห่งเต๋านั้นลึกซึ้งกว่าสองปีก่อนหน้ามาก ในตอนนี้จะตัดอาวรณ์แห่งจิตเต๋าเช่นไร เริ่มคิดได้บ้างแล้ว” หวังเป่าเล่อเอ่ยด้วยความจริงใจ ก่อนจะคำนับอีกครั้ง ได้ยินคำพูดนี้ของหวังเป่าเล่อ ชายร่างสูงใหญ่ก็มีท่าทางเหลอหลาเล็กน้อย ก่อนจะกะพริบตาแล้วไอค่อกแค่กครั้งหนึ่ง “มิผิด! ก็เป็นเช่นนี้!” “ไอ๊หยา เจ้าเด็กนี้ใช้ได้ ข้าซ่อนเสียแนบเนียนปานนี้ เจ้าเข้าใจจิตใจงดงามและความเหนื่อยยากของข้าได้เร็วขนาดนี้เชียว” ชายร่างสูงใหญ่ระหว่างที่ไอกลบเกลื่อนนั้น ในใจพลันเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมาทว่าสีหน้าก็ยังไม่แสดงออก จึงได้แต่แสร้งหัวเราะฮ่าๆ ที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้ แสดงท่าทางว่าตนมีอะไรแอบซ่อนลึกซึ้งอยู่ “ขอบคุณผู้อาวุโสมากขอรับ ผู้เยาว์รู้แจ้งได้เช่นนี้ เป็นเพราะตอนที่อีอีอยู่ที่บ้านเกิดของผู้เยาว์ นางก็แอบใช้วิธีการเช่นนี้ช่วยผู้เยาว์อยู่หลายครั้ง” หวังเป่าเล่อเอ่ยอย่างซาบซึ้ง ชายร่างสูงใหญ่ในครั้งนี้ไม่อาจปิดบังความแปลกใจได้อีก อารมณ์นี้ปรากฏขึ้น และโดยไม่รู้ตัวเขาก็แหงนหน้ามองไปยังถ้ำที่พำนักของบ้านตระกูลหวัง หลังจากพึมพำด้วยคำพูดที่มีเพียงแค่เขาที่ได้ยิน ก็กระแอมไอออกมาหนึ่งครั้ง ราวกับต้องการจะเอ่ยบางอย่าง แต่แล้วตอนนั้นเอง…เสียงร้องไห้แผ่วเบาของทารกก็ลอยมาจากในเมืองอันห่างไกล เสียงนี้ไม่นับว่ามีค่าอันใดในเมืองอันกว้างขวางนี้ อีกทั้งตัวเมืองก็มีขนาดใหญ่มากย่อมไม่มีใครสนใจและยากจะแยกแยะได้ หากแต่หวังเป่าเล่อกลับเพ่งความสนใจทั้งหมดไปยังบ้านหลังหนึ่ง ในตอนที่ได้ยินเสียง หวังเป่าเล่อร่างกายพลันสั่นสะท้าน เขาหันขวับกลับไปมอง ในพริบตานั้น ทารกคนหนึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นในบ้านหลังนี้ “ศิษย์พี่…” หวังเป่าเล่อทอดมอง ครู่หนึ่งก็เผยรอยยิ้มเบิกบานออกมา ……………………………
ดวงดาราแปลกหน้า ท้องนภาไม่คุ้นเคย มหาทวีปแปลกใหม่ โลกแปลกตา บนท้องฟ้า แสงอาทิตย์ทั้งเก้าสายสาดส่องหมื่นจั้ง แต่มหาทวีปนี้กลับไม่ได้ร้อนระอุเพราะดวงอาทิตย์ทั้งเก้าเลย หนึ่งปีมีสี่ฤดู แบ่งแยกชัดเจนในที่แห่งนี้ เพราะว่า ดินแดนเซียนนั้น ยิ่งใหญ่โดยแท้จริง ดูเหมือนว่าต่อให้มีพระอาทิตย์เก้าดวงฉายแสงเจิดจ้าก็ไม่อาจส่งผลอะไรต่อมันได้แม้แต่น้อย ราวกับว่าเมื่อเทียบกับดวงอาทิตย์เหล่านั้นแล้ว ตัวมันต่างหาก…ที่มีการคงอยู่เป็นนิรันดร์ ส่วนอาทิตย์ก็มีหน้าที่โคจรล้อมรอบมันเท่านั้น ในจุดนี้ กลับตาลปัตรจากสิ่งที่หวังเป่าเล่อได้รู้ในโลกแห่งศิลาทั้งสิ้น และด้วยความรวดเร็ว เขาก็ได้เข้าใจ ภายในดินแดนเซียนอันกว้างใหญ่ไพศาล แบ่งออกได้เป็น 72 เขต ในอาณาเขตทุกแห่งนั้น มี 8,000 แดนดิน ทุกอาณาแดนมีแบ่งใหญ่เล็กใหญ่เล็ก ที่ใหญ่นั้นใหญ่ยิ่งกว่าโลกแห่งศิลา ดังนั้นการเปรียบเทียบว่า “ไพศาล” ราว “จักรวาล” ใช้สองคำนี้มาอธิบาย เกรงว่าจะไม่เหมาะสมนัก ในเวลาเดียวกัน ทุกดินแดนก็มีเมืองใหญ่นับร้อยหัวเมืองตั้งอยู่ เมืองใหญ่เช่นนี้ลักษณะคล้ายกับอสูรยักษ์ที่กำลังจำศีล รูปลักษณ์ของพวกมันแต่ละตัวแตกต่าง ราวกับมีชีวิตจริงๆ ราวกับดำรงอยู่จริง เพียงแต่กำลังนิทรา หากอสูรเหล่านี้ตื่นขึ้น ย่อมน่าสะพรึงสะท้านฟ้าดิน ตำนานกล่าวขานว่า อสูรยักษ์ทุกตัวเหล่านี้ แท้จริงแล้วมีชีวิต แต่ถูกผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งดินแดนเซียนดึงเอาพลังชีวิตไป จากนั้นจึงผนึกพวกมันเอาไว้ให้กลายเป็นเมือง ทว่าดินแดนที่ยิ่งใหญ่สะท้านใจคนนี้ ในนั้นกลับมีจิตวิญญาณแห่งชีวิตอยู่ แม้มีจำนวนไม่มากนัก แต่ก็เป็นจำนวนที่ยากเกินกว่าจะใช้ตัวเลขทางดาราศาสตร์ไปคิดคำนวณได้ ด้วยเหตุอันไพศาลนานัปการ ผนวกเข้ากับพลังวิญญาณหนาหนัก ทำให้การฝึกตนในที่นี้เป็นเรื่องสามัญ ส่วนเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์…จากจำนวนที่นับได้ในตอนนี้ ก็นับว่าถือกำเนิดมาไม่น้อย อีกทั้งหลังจากกาลเวลาผ่านพ้นและประวัติศาสตร์ได้เข้าที่เข้าทาง จำนวนของผู้เยี่ยมยุทธ์ย่อมมากขึ้นเป็นธรรมดา และสิ่งที่เป็นตัวแทนได้เหมาะสมที่สุด…ก็คือดวงอาทิตย์ทั้งเก้าบนฟากฟ้า “เทพผู้ยิ่งใหญ่ทั้งเก้า…” หวังเป่าเล่อพึมพำสะท้อนออกมาในแดนดินที่ 8,000 ของเขตแดนแรก บนยอดเขาเดียวดายนอกเมือง เวลานี้ผ่านไปแล้วสองปีนับตั้งแต่ที่เขามาถึงดินแดนแห่งเซียน สองปีก่อนหน้า เขาติดตามสองพ่อลูกมาถึงมหาทวีปแล้ว จากนั้นก็ถูกเชิญไปยังบ้านของหวังอีอี ดูผิวเผินแล้วเหมือนบ้านธรรมดาแห่งหนึ่ง แต่บนยอดเขากลับมีถ้ำหนึ่งอยู่ด้วย ในถ้ำแห่งนี้ ในนั้นมีโลกใบหนึ่ง และนั่นคือบ้านของหวังอีอี ในที่นั้น หวังเป่าเล่อได้พบกับมารดาของหวังอีอี สตรีผู้อบอุ่นอ่อนโยน นัยน์ตาของนางราวกับสามารถเอ่ยคำพูดได้ นางปฏิบัติต่อเขาด้วยความอบอุ่น ดวงตาทอประกายความเมตตา นัยน์ตานี้เมื่อทอดมองเขาและหวังอีอี ยิ่งเจือความอ่อนโยน ในที่แห่งนั้น หวังเป่าเล่อได้รับรู้ว่าหวังอีอีมีพี่ชายคนหนึ่ง จากบ้านไปหลายปี ออกไปหาประสบการณ์ข้างนอกและยังไม่กลับมา ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อคิดถึงบิดามารดาและคิดถึงน้องสาวตนเอง ที่ยังดีนั้นคือ พวกเขาทั้งหมดยังอยู่ แม้ว่าจะอยู่ในมิติที่อยู่กลางฝ่ามือหนึ่ง แต่ก็นับว่าปลอดภัยดี หลังจากที่พำนักอยู่บ้านตระกูลหวังมาได้ระยะหนึ่งแล้ว หวังเป่าเล่อก็ปฏิเสธเรื่องที่ท่านแม่หวังจัดแจงอย่างมีมารยาท เขาออกเดินทางคนเดียว เพื่อต้องการแสวงหาสถานที่ที่ศิษย์พี่จะกลับชาติมาเกิด ในเวลาเดียวกัน เขาอยากไปดู อยากจะเดินไปในโลกอันไม่คุ้นเคยนี้ เขาจำได้ตลอดว่า ก่อนออกเดินทาง ท่านพ่อหวังได้เอ่ยกับเขาประโยคหนึ่ง “เจ้าในตอนนี้ แม้ว่ามีคุณสมบัติจะก้าวสู่สวรรค์ อีกทั้งยังมีพลังต่อสู้ที่สามารถทะยานสู่สวรรค์ได้ แต่…จิตเต๋าของเจ้าและห้วงการยึดติด ยังไม่สมบูรณ์เพียงพอ ในตอนที่เจ้าเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว สามารถมาพบข้าได้ ข้าจะเบิกทางสู่สวรรค์ให้แก่เจ้า” หวังเป่าเล่อค้อมตัวลงต่ำ เขาบอกลาภูเขา บอกลาถ้ำแห่งนี้และคนตระกูลหวัง เขาออกเดินทางในโลกแห่งนี้ ทว่า…ดินแดนเซียนกว้างใหญ่เกินไป ต่อให้อาศัยพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อ ก็ยากที่จะสำรวจพื้นที่ทั้งหมดได้ในเวลาสองปี ดังนั้นหลังจากที่เดินชมทัศนียภาพโดยคร่าวๆ ของมหาทวีปแล้ว ก่อนเวลาจะครบสิบเดือน หวังเป่าเล่อก็เลือกสถานที่นี้ให้เป็นเป็นสถานที่ที่ศิษย์พี่กลับชาติมาเกิด สถานที่นี้ เขานำวิญญาณของศิษย์พี่ออกมา แล้ววาดเค้าหน้าเป็นรูปลักษณ์ของชาติที่แล้ว อาศัยวิชาเต๋าของตนเปิดวัฏสงสาร ส่งอีกฝ่ายเข้าไปข้างใน ให้ถือกำเนิดใหม่ในเมืองใต้ภูเขาข้างล่าง เพราะความมึนงงในครรภ์นั้น ต้องรอจนกว่าพลังฝึกปรือของศิษย์พี่จะถึงระดับหนึ่งก่อนเขาจึงจะได้ความทรงจำของชาติก่อนกลับมา แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้รีบ ทุกวันเขานั่งอยู่บนยอดภูเขาแห่งนี้ ความคิดคำนึงล่องลอย สภาวะจิตจับจ้องแต่ในเมือง ในตระกูลคหบดีที่ไม่นับว่าร่ำรวยมากมายตระกูลหนึ่ง หลังสัมผัสได้ว่าศิษย์พี่ใหญ่จุติในร่างมารดาแล้ว ลมปราณจึงค่อยๆ นิ่งสงบ นี่ราวกับเป็นความเคยชินของหวังเป่าเล่อและกลายเป็นสิ่งที่เขายึดมั่น ในเวลาเดียวกัน เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังเต๋าซึ่งอยู่ในทุกแห่งหนของดินแดนเซียน ในสายตาของเขา ดินแดนเซียนยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุด มีวังวนน่าสะพรึงอยู่หลายสิบแห่ง ในบรรดานั้นที่แข็งแกร่งที่สุดมีเก้าแห่ง ทั้งหมดนี้เกาะเกี่ยวกับดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าทั้งเก้า ในดวงอาทิตย์ทั้งเก้านี้ทุกดวงล้วนมีพลังที่จะก้าวขึ้นสู่สวรรค์ โดยเฉพาะสองดวงในบรรดานั้น หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ชัดเจนว่ามีเจตนาอันตราย ในส่วนของวังวนอื่นๆ แบ่งตัวกระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศ พลังฝึกปรือไม่นับว่าอยู่ขั้นสี่แต่ก็ล้วนอยู่สูงสุดของขั้นสาม อยู่ในจุดที่เตรียมจะย่างขึ้นขั้นสี่แล้ว แต่ก็มีข้อยกเว้น มีวังวนที่แข็งแกร่งที่สุดที่ไม่ได้แขวนตัวอยู่บนฟ้า แต่ในสายตาของหวังเป่าเล่อ วังวนที่อยู่ในทิศเหนือของมหาทวีปนี้ มีขุมพลังที่ไม่ด้อยไปกว่าพลังของดวงอาทิตย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในนภา คนผู้นี้…เห็นชัดว่าอยู่ขั้นสี่ “สิบท่านงั้นหรือ” หวังเป่าเล่อแหงนหน้า มองดูดวงอาทิตย์ทั้งเก้า คนเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ของดินแดนเซียน รอบกายของพวกเขาทุกคนแฝงไปด้วยร่องรอยแห่งเต๋าอันสะท้านสะเทือนใจ ภายหลังจากรู้แจ้ง ภายหลังจากสูดลมหายใจ ก็ดึงเอาพลังเต๋าภายในจักรวาลเข้ามาหาตน ด้วยเหตุนี้จึงก่อเกิดวังวนขึ้น ทว่าในยามนี้หวังเป่าเล่อทราบตั้งแต่แรกแล้วว่า ระดับจักรพิภพในโลกแห่งศิลานั้น แท้จริงแล้วหากเทียบกับภายในดินแดนเซียนแล้ว เป็นเพียงขั้นสามเท่านั้น และขั้นสามเช่นนี้ ในดินแดนเซียน…มีจำนวนไม่น้อยเลย เขาเพ่งมองก้อนที่เหมือนพระอาทิตย์ทั้งเก้าบนท้องฟ้าและวังวนที่ปรากฏอยู่ หวังเป่าเล่อเข้าใจกระจ่าง เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้ก็เล็งเห็นตัวเองกลายเป็นวังวนหนึ่งเช่นกัน! เพราะว่าพลังฝึกปรือของเขา ไม่ว่าจะพูดจากความเข้าใจใดก็กลายเป็นระดับขั้นที่สี่แล้ว กระทั่งในบรรดาขั้นที่สี่ด้วยกัน ระยะห่างระหว่างชั้นก็มีแตกต่างแค่ระดับหนึ่ง แต่ที่เป็นเอกลักษณ์และหาได้ยากคือผู้ที่ได้แรงหนุนจากจักรวาล เต๋าเช่นนี้ เมื่อเดินไปจนสุดทางก็กลายเป็นต้นกำเนิดพลังและเป็นขั้นที่สี่ และการสนับสนุนทั้งหมดนี้ แท้จริงแล้วเป็นการขยายกำลัง สามารถทำให้ผู้ฝึกตนต่ำกว่าขั้นหกในมหาทวีปแห่งนี้ได้ และมีพลังฝึกต่อสู้แข็งแกร่งมากขึ้น หากคิดอยากทำให้ได้จุดนี้ แท้จริงแล้วมีหนทางหลายวิธี การเหยียบขึ้นสะพานสู่สวรรค์ก็นับเป็นหนทางหนึ่ง ดังนั้นแล้ว หวังเป่าเล่อเข้าใจอย่างยิ่ง หากตนเองเหยียบเข้าสู่สะพานสู่สวรรค์ เช่นนั้นพลังฝึกตนของเขาก็จะยิ่งทะยานสูง อีกทั้งพลังการต่อสู้จะเพิ่มระดับขึ้นอีกมาก แต่เขากลับเข้าใจดีว่า ท่านพ่อหวังกล่าวได้ถูกต้องแล้ว จิตเต๋าความยึดมั่นของตนยังไม่หายไป เขาต้องการอยู่เป็นเพื่อนศิษย์พี่ เดินบนเส้นทางของมนุษย์สักช่วงระยะหนึ่ง อยากจะอยู่เคียงข้างบิดามารดาในโลกกลางฝ่ามือนั้น ไปเที่ยวเทียนหลุนเล่ออีกสักครั้ง แล้วยังมีเจ้าเยี่ยเหมิง โจวเสี่ยวหยาและหลี่หว่านเอ๋อร์… ยังมี…แม่นางน้อย เรื่องราวเหล่านี้คือสิ่งที่เขายังไม่อาจตัดขาดได้ ดินแดนเซียนมอบความรู้สึกสงบนิ่งให้แก่เขา ทำให้มีโอกาสที่จะตัดขาดจาก อีกทั้งผู้คนในที่นี้ ไม่ได้มีความคิดเป็นอื่นใด ด้านหนึ่งเนื่องจากเขาเป็นแขก อีกด้านหนึ่งคือท่านพ่อหวังเป็นผู้พามา กอปรกับเหตุที่ว่าเขาคือผู้มีพระคุณช่วยชีวิตหวังอีอีแล้ว ทำให้ตั้งแต่เริ่มจนจบ เจตจำนงของดินแดนเซียนรวมไปถึงความแข็งแกร่งจำนวนมากล้วนเต็มไปด้วยไมตรีต่อเขา ในเวลาเดียวกัน ระหว่างเวลาสองปีมานี้ นอกจากหวังอีอีที่ออกมาข้างนอกบ่อยๆ ผู้เยี่ยมยุทธ์ในดินแดนเหล่านี้ รวมถึงพระอาทิตย์ที่อยู่กลางท้องนภา ก็มีจำนวนไม่น้อยเลยที่อาศัยวิธีการต่างๆ นานา มาปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าเขา และจะมากจะน้อยแต่ละคนก็เก็บซ่อนประกายตาประหลาดใจและความคิดที่จะต้องการประเมินอย่างล้ำลึก ราวกับว่า…กำลังดูลูกเขยที่มาเยี่ยมบ้าน โดยเฉพาะในบรรดานี้มีอยู่คนหนึ่ง ท่ามกลางลมฝน ก็มาอยู่หลายครั้ง… อย่างเช่นในช่วงเวลานี้…ท้องฟ้าที่สดใสแต่เดิม ก็มีฝนโปรยลงมา น้ำเสียงเปี่ยมความห้าวหาญ เจือมากับเสียงหัวเราะท่ามกลางเม็ดฝนที่ร่วงหล่นจากที่ไกลๆ “เต๋าสวรรค์ของดินแดนเซียนขี้โมโห ไม่ใช่เพราะปีนั้นข้าตะคอกเจ้าไปหน่อยหรือไง หลายปีมานี้ ทุกครั้งที่ข้าโผล่ออกมาเจ้าจะต้องต้อนรับด้วยสายฝน?” ………
“ข้าหรือ?” บิดาของหวังอีอีหัวเราะยิ้มๆ
“เจ้าลองเดาสิ”
สีหน้าของหวังเป่าเล่อแปลกประหลาด เขาไม่คิดว่าท่านพ่อหวังซึ่งก่อนหน้านี้ให้ความรู้สึกเข้มงวดมาโดยตลอดจะมีด้านแบบนี้ด้วย ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยปากเสียงเบาด้วยท่าทีไม่แน่ใจ
“ท่านจะคว่ำโต๊ะ?”
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ หวังอีอีก็ชำเลืองมองเขาครั้งหนึ่ง ในส่วนของผู้เป็นบิดานั้นกลับยิ้มกว้างมากขึ้น การฟื้นคืนชีพของบุตรสาวราวกับทำให้นิสัยของเขามีชีวิตชีวาขึ้นมาจากแต่ก่อนพอควร ในระหว่างที่แย้มยิ้ม ท่านพ่อก็หมุนตัวไม่สนใจผู้เยาว์ทั้งสองอีก แต่มีคำพูดหนึ่งลอยเข้าสู่หูของหวังเป่าเล่อและหวังอีอี
“หากเจ้าไร้หนทางทำให้อีอีฟื้นคืนชีพล่ะก็ หากการคว่ำโต๊ะสามารถทำได้เช่นเดียวกัน เช่นนั้น…เจ้าโต๊ะนี้ หวังโหม่วย่อมต้องคว่ำ หากใครกล้าขวาง ข้าจะสังหารมันเสีย ไม่ว่าเป็นใคร!”
แม้มหาเทพจะอยู่จุดสูงสุด หากเขากล้าขวางข้า หวังโหม่วแม้ไม่เคยประมือกับมาก่อน แต่…ใครจะรู้ว่าข้าสังหารไม่ได้?”
“เต๋าของข้า…มีเพียงอารมณ์เท่านั้น”
หวังเป่าเล่อเงียบสนิท เขามองเงาร่างเบื้องหน้าอย่างลึกซึ้งครั้งหนึ่ง คำตอบของอีกฝ่ายทำให้เขาจมอยู่ในภวังค์ ในยามนี้ก้นบึ้งหัวใจนั้นพลันบังเกิดระลอกคลื่น เขากำลังคิด…หากเป็นตนเอง จะทำเช่นไร
“สังหารทุกผู้ที่ขัดขวางความสุขของข้า” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจ ดวงตาพลันมีประกายแสงทอวาบ ทางเลือกของเขาไม่ว่าจะเป็นในแง่ใดล้วนคล้ายกับของท่านพ่อหวัง เขาไม่ได้สนความมีอยู่ของโต๊ะ อีกทั้งยังไม่สนต้นตอที่มา
สิ่งที่เขาสนใจ คือความเป็นอิสรเสรี ไม่ถูกผูกมัดบังคับ
เห็นได้ชัดว่า วิธีการคงอยู่ของมหาเทพในตอนนี้ ได้กลายเป็นอุปสรรคขวางเส้นทางมรรคาของเขา ระหว่างเขาและมหาเทพ ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สุดท้ายย่อมอยู่คนละฝ่ายกันแล้ว
แม้หวังเป่าเล่อเลือกยอมแพ้ แต่หากมหาเทพตื่นขึ้นมาเมื่อใด ก็มีความจำเป็นต้องสยบเขา เพราะร่างของหวังเป่าเล่อตอนนี้…ได้กลายเป็นต้นตอขัดขวางมรรคาของอีกฝ่ายแล้ว
ในพริบตาที่มหาเทพปรารถนาจะเป็นมหาจักรวาลนั้น แก่นกำเนิดของไม้ได้ตอกตรึงลงหว่างคิ้ว และกลายเป็นผนึกไม้กระดานสีดำนั่นเอง ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนพลันปรากฏเหตุผลต้นกรรมแล้ว
ท่ามกลางกาลเวลานับไม่ถ้วนที่ไหลผ่าน ไม่ได้ชะล้างเหตุผลต้นกรรมนี้จนสิ้น กลับกัน…นานวันเข้ามันก็ยิ่งเข้มข้น เพราะว่า…แม้เวลาจะผ่านไปก็จริง แต่ความขัดแย้งระหว่างพวกเขานั้น กลับดำเนินต่อเนื่องตลอดเวลา
ไม่ว่าจะการเป็นปรปักษ์กับตัวมหาเทพเอง หรือกระแสความคิดนับแสนที่กลายเป็นโลกา ก็เป็นเช่นเดียวกัน
“ไม่สังหารมหาเทพ ก็ไม่อาจเสพสุขได้” หวังเป่าเล่อหรี่ตา จากนั้นเขาก็เก็บงำประกายตาคมปลาบนี้ไว้ สุดท้ายแล้วจึงค่อยหลับตาลงทั้งหมด
หวังอีอีที่อยู่อีกด้านหนึ่ง กลับฟังไม่เข้าใจคำพูดของท่านพ่อหวังและหวังเป่าเล่อ นางกำลังรู้สึกว่าคำพูดของคนทั้งสอง สำหรับนางแล้วคล้ายจะเข้าใจได้แต่เมื่อเอามาผสมรวมกัน ได้กลายเป็นเรื่องลึกซึ้งเร้นลับ ทำให้นางในยามนี้ ฟังแล้วสมองเกิดความมึนงงนัก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หวังอีอีรู้สึกเช่นนี้ แท้จริงแล้วในความทรงจำของนาง ระหว่างที่ติดตามบิดาของตนเอง มีหลายครั้งที่เกิดสถานการณ์นี้ขึ้น เพียงแต่ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้างกายนางนั้นไม่ได้มีคนอื่นๆ ดังนั้นแล้วนางจึงไม่มีตัวเปรียบเทียบ นี่ทำให้นางไม่ได้รู้สึกอะไรมากมายนัก กระทั่งยังคิดว่าสิ่งที่บิดามารดาพูดนั้นเร้นลับยากเข้าใจ หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นก็คงจะฟังไม่เข้าใจเหมือนกัน
แต่ในยามนี้…เริ่มไม่เหมือนกันแล้ว
นี่ทำให้ตัวนางผู้หยิ่งทะนง รับไม่ได้อยู่บ้าง หลังสังเกตว่าหวังเป่าเล่อหลับตาจึงแสร้งทำเป็นว่าเข้าใจขึ้นมาบ้าง เลือกหลับตาลงเช่นกัน
เพียงแต่ว่า การที่หวังเป่าเล่อเงียบลงครั้งนี้ก็เพื่อย่อยเต๋าที่แฝงอยู่ในคำพูดของท่านพ่อหวัง อีกทั้งเพื่อยืนยันเส้นทางของตนเอง ส่วนการหลับตานี้ของหวังอีอี…ตัวนางเองไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคิดอะไร
ทั้งหมดนี้ ล้วนตกอยู่ภายใต้การรับรู้ของท่านพ่อหวัง เขาถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง สีหน้าเผยให้เห็นความเหนื่อยหน่ายแต่ก็รักถนอมไปในตัว
ก็เป็นเช่นนี้ หลังจากที่รอบด้านของนาวาปรากฏภาพมายาพร่าเลือนจำนวนนับไม่ถ้วน การเคลื่อนตัวของจักรวาลนี้ก็ได้อยู่ในระดับที่ยากจะจับสังเกตได้อีก ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ราวกับเป็นเพียงชั่วลมหายใจเดียว และก็ราวกับศตวรรษืหนึ่ง
ในมหาจักรวาลนี้ หลังจากข้ามผ่านจักรวาลผืนน้อยจำนวนมากแล้ว ในที่สุด…จักรวาลนี้ก็หยุดเคลื่อนไหว มันค่อยๆ ช้าลงจนกระทั่งความเร็วกลับเข้าสู่ปกติ ข้างหูของหวังเป่าเล่อก็มีเสียงของท่านพ่อหวังดังขึ้นมา
“มาถึงแล้ว”
ยามที่ได้ยินเสียงนี้ หวังเป่าเล่อพลันเบิกตา เขามองไปยังท้องฟ้า แต่ต่อให้เป็นพลังฝึกตนและสมาธิของเขาในยามนี้ก็ยังต้องสั่นสะท้านเพราะภาพที่มองเห็นเบื้องหน้า ดวงตาทั้งสองของเขายามนี้พลันเบิกกว้างขึ้น
ที่อยู่ใจกลางหมู่ดวงดารา ไม่แน่ว่าจะเป็นดาวพระเคราะห์ทั้งหมด
ภาพที่สะท้อนออกมาจากในแววตา สามารถมองเห็นได้ชัดเจน…เพราะที่อยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อในตอนนี้ มันคือมหาทวีปอันใหญ่ยักษ์จนยากจะบรรยาย
มหาทวีปนี้ใหญ่เหลือเกิน ราวกับหากเทียบกับโลกแห่งศิลาไปแล้ว โลกแห่งศิลาคงมีขนาดเพียงหนึ่งในหมื่นของมันเท่านั้น อีกทั้งมันยังไม่หยุดนิ่งๆ แต่กลับเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง ตำแหน่งตรงรอยต่อของมันนั้นก่อเกิดความพร่าเลือนราวกับภาพมายา
ไม่เพียงแค่นี้ ดวงดาวน้อยใหญ่ที่รายล้อมอยู่นั้นก็มีจำนวนมหาศาล ราวกับว่ามหาแผ่นดินนี้คือใจกลางและพวกมันก็โคจรต่อเนื่องกัน เห็นชัดว่าท่ามกลางวันเวลาที่เคลื่อนผ่านระหว่างที่มหาทวีปเคลื่อนตัว ก็ได้ดึงดูดดาวบริวารพวกนี้ไว้
ในเวลาเดียวกัน ยังมีชีพจรขนาดมโหฬารยากจะพรรณนา ผืนดินนี้แผ่ไพศาลออกมาไม่หยุด ราวกับภูเขาไฟยามราตรีกาลอันมืดมิด โชนแสงสีแดงจ้าท่ามกลางท้องฟ้าราตรี ทำให้จักรวาลนี้งดงาม
เพียงแค่กวาดตามองก็สัมผัสได้ถึงพลังแห่งชีวิตขั้นสูงสุดโจมตีเข้ามา อีกทั้งข่าวสารที่มันพัดเข้ามานี้ยังทำให้สมองของหวังเป่าเล่อเกิดเสียงอึกทึกทันที
หากเป็นเพียงเช่นนี้ก็แล้วไป แต่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตกใจนั้น ก็คือมหาแผ่นทวีปอันยิ่งใหญ่สะท้านภพ มันยังมีดาวเคราะห์พิเศษระดับสูงเก้าดวงลอยอยู่ด้วย ราวกับเป็นดวงอาทิตย์ที่ข้ามไปอีกระดับแล้ว พวกมันควบคุมเหล่าดวงดาวไว้ และครอบครองมหาทวีป
ทุกดวงดารานั้นพาให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าพลังไม่ได้แตกต่างจากตนมากน้อย ถึงกับว่ามีสองดวงในนั้นทำให้เขาสัมผัสถึงอันตราย
อีกทั้งใจกลางของอาทิตย์เก้าดวงนี้ ยังมีรูปสลักศักดิ์สิทธิ์ขนาดมโหฬารตั้งตระหง่านอยู่ ความสูงของมันน่าครั่นคร้าม รูปสลักนี้เห็นได้ชัดว่ามันคือ…ท่านพ่อหวังที่อยู่เบื้องหน้า!
เรื่องราวพวกนี้ทำให้ในใจของหวังเป่าเล่อก่อเกิดความสะพรึง และที่ทำให้เขาตะลึงหนักยิ่งกว่าก็คือ…เบื้องหน้ารูปสลักยักษ์ใหญ่…ยังมีสะพานขนาดยักษ์อยู่ 11 แห่ง!
พวกมันทอดยาวไปสู่ความว่างเปล่า เชื่อมต่อระหว่างมิติแห่งความจริง เมื่อมองจากระยะห่างเข้าไป จะเห็นคล้ายขั้นบันได แต่ละขั้นที่เหยียบย่างนั้นยิ่งใหญ่สะท้านภพ
และสะพานทั้ง 11 แห่งนี้ก็เผยกลิ่นอายโบราณตระการตา ราวกับว่ามันตั้งอยู่คู่ฟ้าดิน ตั้งอยู่ร่วมกับจักรวาล และไหลผ่านมาพร้อมกระแสเวลา อีกทั้งยังไม่มีวี่แววความผุกร่อน ประกายแสงดาวนั้นกระจายทั่ว แต่กลับไร้รอยด่างพร้อยแม้เพียงนิด
พวกมัน มีนามหนึ่งที่ก้องสะท้อนไปทั่วมหาจักรวาล
พวกมัน มีชื่อเรียกขานท่ามกลางสรรพชีวิตในจักรวาลนี้
“นี่ คือสะพานสู่สวรรค์”
“ก่อนหน้านี้พวกมันพังทลายไปแล้ว แต่หลังจากนั้นข้าหวังโหม่วเป็นผู้บูรณะ สร้างมันขึ้นมาใหม่ 11 แห่งจากเดิม 9 แห่ง ในบรรดานี้เก้าเส้นคือเส้นทางสู่สวรรค์”
“หลังจากนั้นแต่ละเส้นทางที่เพิ่มขึ้นมา ก็คือเพิ่มอีกหนึ่งก้าวของการฝึกตน!” เสียงของท่านพ่อหวังแฝงไปด้วยกฎกระจายไปทั่วทั้งแปดทิศ ทำให้สะพานทั้ง 11 สาย ยามนี้แผ่ประกายแสงเรืองรองรุ่งโรจน์ ราวกับกำลังต้อนรับการกลับมาของเขา
แต่ในยามที่สะพานสู่สวรรค์พวกนี้ส่องแสงนั่นเอง สภาวะจิตของหวังเป่าเล่อก็ร้องคำราม ก่อนที่หวังอีอีซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งจะเอ่ยปากเสียงเบา
“เจ้าอ้วน…ยินดีต้อนรับสู่…บ้านเกิดของข้า ดินแดนแห่งเซียน”
อักษรทั้งสี่นี้แฝงไปด้วยเสียงสะท้านแล้วยังอารมณ์ที่ไม่อาจพรรณนาออกมาเป็นคำพูด นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกขอบคุณอันไร้ขีดจำกัดของหวังเป่าเล่อด้วย ในชีวิตของหวังเป่าเล่อ ผู้ที่สร้างอิทธิพลให้แก่เขาได้นั้นมีจำนวนไม่น้อย แต่ว่าในบรรดาคนผู้นี้ ผู้ที่มีอิทธิพลต่อเขามากที่สุด…ในนั้นย่อมรวมศิษย์พี่อยู่ด้วยแน่ ตั้งแต่ที่ได้เริ่มพบกัน ประสบการณ์ที่ได้รับระหว่างนั้น และความขัดแย้งพร้อมทั้งคลี่คลายในช่วงเวลาท้ายๆ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนพัฒนาความรักสมานระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้องของทั้งสอง ฝังแน่นท่ามกลางกาลเวลาเหล่านี้ กระจายอยู่ทั่วในความทรงจำ พวกเขา แม้เป็นศิษย์พี่ศิษย์น้อง แต่ก็เป็นสหายเต๋า สหายร่วมมรรคาเต๋า ดังนั้นแล้ว หลังจากได้ยินคำพูดของท่านพ่อหวัง นี่จึงทำให้หวังเป่าเล่อสั่นสะท้านอย่างหนัก เจตนาดังเดิมที่จางหายหวนกลับคืนดั่งพายุคลั่ง ทำให้เขาผู้ที่สูญเสียทั้งอดีตและอนาคตจนกลายเป็นคนเงียบงันไปเช่นนี้ พลันบังเกิดคลื่นซัดโหมขึ้นใหม่ภายในใจ ราวกับผืนน้ำทะเลสาบ ปรากฏระลอกคลื่น ราวกับภูเขาที่น้ำแข็งกลบฝัง เริ่มหลอมละลาย ระลอกคลื่นและการหลอมละลายนี้ หลังจากที่ท่านพ่อหวังรับการคารวะจากหวังเป่าเล่อแล้ว ก็โบกมือคราหนึ่ง พลันปรากฏลูกปัดมุกซึ่งมีร่างวิญญาณบรรจุอยู่ลอยเข้ามาหาหวังเป่าเล่อ สุดท้ายแล้วมันก็หยุดอยู่เบื้องหน้าเขาในลักษณะเกือบจะแนบเนื้อ ด้วยระยะห่างอันใกล้ เมื่อหวังเป่าเล่อเพ่งมองมัน ในพริบตานั้นราวกับว่าตัวเขาได้ข้ามผ่านกาลเวลา นี่คือลูกปัดมุกที่แผ่แสงประกายรุ้งเจ็ดสี ในนั้นราวกับมีเส้นสายควันเจ็ดสีกำลังพันรัดกัน แม้ว่าสีสันจะมากมาย แต่ก็ไม่อาจปิดบังได้ว่าท่ามกลางกลุ่มควันเหล่านี้ มีวิญญาณของเฉินชิงจื่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ เขาหลับตาอยู่ในนั้น ท่าทางคล้ายกับกำลังหลับลึก หมอกควันเจ็ดสีลอยอยู่รอบร่างวิญญาณ ราวกับว่าพวกมันคือสารบำรุงสำหรับเพาะเลี้ยงวิญญาณนี้ และทุกครั้งที่วนผ่านร่างวิญญาณไป ก็จะส่งผลให้ร่างวิญญาณนี้มองเห็นด้วยตาชัดมากขึ้นอีกส่วน ลูกปัดมุกเช่นนี้ หวังเป่าเล่อเคยเห็นมาแล้ว ก่อนหน้านี้ร่างวิญญาณของหวังอีอีก็อยู่ในลูกปัดมุกประเภทนี้เช่นกัน เพียงแค่คิดก็ทราบได้แล้วว่าของสิ่งนี้ล้ำค่าเพียงใด และมีเพียงสมบัติล้ำค่าสูงสุดเช่นนี้จึงจะมีพลังเอาชนะชะตาฟ้าได้ สามารถรวบรวมวิญญาณแตกซ่านเอาไว้ข้างใน อีกทั้งเพาะเลี้ยงจนเริ่มมีกระแสวิญญาณก่อกำเนิด และในเส้นสายหมอกควันทั้งเจ็ดสีนี้เอง อาศัยพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อยามนี้ เขาก็สามารถมองออกได้ว่า ทุกเส้นสายนั้นแฝงไปด้วยกฎและเกณฑ์ ทุกเส้น…แฝงไปด้วยชีพจรอันไร้ขีดจำกัด กล่าวให้กระจ่างก็คือ…เต๋าเจ็ดสาย พลังฝึกปรือเฉพาะทางของเต๋าเจ็ดอัตลักษณ์นำมาช่วยฟื้นฟูวิญญาณของเฉินชิงจื่อ นี่คือเต๋าที่ดูดกลืนมาจากจักรวาล การลงทุนครั้งนี้ น่าแตกตื่นสะท้านฟ้า เห็นน้ำหนักความสำคัญได้ชัดเจน หลังจากเพ่งมองเนิ่นนาน หวังเป่าเล่อก็ยื่นมือออกมาประคองลูกปัดมุกของเฉินชิงจื่อเอาไว้ เขาค่อยๆ กำมันเข้าสู่ฝ่ามือเบาๆ ผสานเข้ากับโลกของตน ในยามที่แหงนหน้า หวังเป่าเล่อมองท่านพ่อหวังอีกครั้ง จากนั้นประสานมือพลางโค้งตัวลงต่ำเพื่อคำนับหนึ่งครา “โลกแห่งศิลายังไม่สมบูรณ์ หากอยากให้มันสมบูรณ์ ต้องใช้กาลเวลาอันยาวนานเพื่อชำระล้าง เหตุนี้…วิญญาณของศิษย์พี่เจ้า หากกำเนิดใหม่ในโลกแห่งศิลาคงจะมีอนาคตจำกัด ทว่าเขา…เมื่อถือครองพลังเต๋าหลากชนิด อนาคตคงไม่พบขีดจำกัดใดๆ อีก” บิดาของหวังอีอีมองหวังเปาเล่อก่อนจะเอ่ยปากช้าๆ “เขาจำเป็นต้องอยู่ในโลกที่สมบูรณ์กว่านี้ และกฎแห่งเต๋าสมบูรณ์กว่านี้ อย่างเช่น…บ้านเกิดของข้า” กล่าวถึงจุดนี้ ท่านพ่อหวังต่างเรียกเรือลำนั้นออกมา อีกด้านวานรเฒ่าและจิ้งจอกน้อย แล้วยังมีปรมาจารย์ดาราจันทร์ ทุกคนต่างรีบติดตามไป มีเพียงหวังอีอีเท่านั้นที่ยืนมองหวังเป่าเล่ออยู่ที่เดิม ท่าทางคล้ายกับกำลังคิดว่าจะเอ่ยสิ่งใดออกมา “อีอี” ไม่ทันรอให้นางเอ่ยคำ เสียงของบิดาก็ลอยเข้ามาเสียแล้ว หวังอีอีจมอยู่ในภวังค์ จากนั้นนางจึงก้มหน้าแล้วเดินไปยังนาวาลำนั้น กระทั่งหลังก้าวเท้าขึ้นสู่เรือแล้ว นางจึงรวบรวมความกล้าพันมองไปทางหวังเป่าเล่อทันที “เจ้าอ้วน สุดท้ายแล้วเจ้าจะมาหรือไม่มา!” คำเรียกขานนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อลนลานอยู่บ้าง เขาไม่ได้ยินแม่นางน้อยเรียกตนเช่นนี้มานานแล้ว หลังจากเงียบไปหลายอึดใจ หวังเป่าเล่อก็เผยยิ้ม “บนเรือที่นั่งพอหรือไม่?” แม้จะกล่าวเช่นนี้แต่เท้าก็ก้าวไปก่อนแล้ว เขามุ่งไปทางเรือแล้วกระโจนขึ้นไป จักรวาลแหวกออกราวระลอกคลื่นเปิดทาง นาวาเดียวดายลำนี้ค่อยๆ ขยับมุ่งหน้าเคลื่อนไปยังน่านฟ้าอันห่างไกล แม้มองไปแล้วเหมือนจะช้า แต่เมื่อเคลื่อนไปข้างหน้า ทิวทัศน์รอบด้านพลันบิดเบี้ยว ภาพมายาแต่ละฉากทอแสงเรืองรอง ในบรรดาภาพเหล่านี้ สามารถมองเห็นดาวเคราะห์แต่ละดวง ระบบดาวแต่ละแห่ง รวมถึงจักรวาลแต่ละแห่ง “นี่คือมหาจักรวาลเช่นนั้นหรือ…” หวังเป่าเล่อนั่งอยู่บนเรือลำนั้น หันหน้ามองออกไปด้านนอกเรือ ในดวงตาทอประกายแปลกประหลาด เขาเข้าใจดี เรือลำนี้ไม่ได้ช้าเลยแม้เพียงนิด เพราะว่าความเร็วของมันอยู่ในระดับที่ยากจะจินตนาการออก เร็วหรือช้ายากจะแยกแยะได้ แน่นอนว่ามาตรที่ใช้วัดได้นั้น ย่อมไม่ใช่ตัวเขาเอง หากแต่เป็น…ใช้วัตถุที่เห็น ราวกับว่าท่านพ่อหวังที่ยืนอยู่ตรงหัวเรือสัมผัสได้ถึงความคิดของหวังเป่าเล่อ เขาเอ่ยปากโดยไม่หันมามอง “เจ้ารู้แจ้งได้เพียงแค่ส่วนเดียว เจ้าลองสัมผัสดูอีกสักหน่อย ที่เคลื่อนไหวนั้น…ที่แท้คือสิ่งใด” หวังอีอีกะพริบตา นางพยายามสะกดความสับสนในหัวใจ ดวงตาเผยประกายครุ่นคิด นางกวาดตามองจักรวาลนอกลำเรือ ส่วนหวังเป่าเล่อเองก็ผงะไป เขาเริ่มจากมองไปด้านนอกก่อน แต่ว่าสุดท้ายก็เบนสายตากลับแล้วมองเรือที่ตนเองโดยสารอยู่นี้ จากนั้นดวงตาก็ค่อยๆ เผยแววตกตะตึง เขาพบว่า เรือลำที่ตนอยู่ ตั้งแต่เริ่มต้น ไม่ได้ขยับแม้แต่นิดเดียว “ที่เคลื่อนไหวอยู่…ไม่ใช่ลำเรือ แต่เป็น…จักรวาลผืนนี้!!” ระหว่างพึมพำ หวังเป่าเล่อก็แหงนหน้าขึ้น มองไปยังเงาหลังของบิดาหวังอีอี ในใจนั้นพลันบังเกิดแรงสั่นสะท้านรุนแรง เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่า สุดท้ายแล้วต้องถือครองระดับพลังมากขนาดไหน ถึงสามารถ…ทำให้จักรวาลพลิกหมุนเบื้องหน้าตนเอง จากนั้นทำให้ความเร็วของตนอยู่ในระดับสูงสุดจนยากจะพรรณนาออกมาได้ “ความเร็วของผู้ฝึกตนก็มีพลังจำกัด ดังนั้นหลายครั้ง ในยามที่เจ้าสัมผัสรู้ได้ว่าความเป็นจริงสามารถกระโจนออกมาได้ เมื่อมองปัญหาจากอีกมุมหนึ่ง เจ้าจะพบว่า…การฝึกตน ที่แท้แล้วง่ายดายนัก” เสียงของท่านพ่อหวังดังเข้าสู่หูของหวังอีอีและหวังเป่าเล่อ รายแรกนั้นดวงตามึนงง แสดงให้เห็นว่าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร แต่รายหลังนั้น…ดวงตาพลันทอแสงรุนแรงเจิดจ้า ราวกับว่าประตูบานใหญ่ได้เปิดออกในสมองของเขาแล้ว หลังจากการไขเปิดนี้ ภายในใจของหวังเป่าเล่อพลันกระเพื่อมรุนแรง พลังแห่งเต๋าห้าวิถีที่อยู่บนร่างของเขาส่องแสงเรืองรอง เต๋าแห่งอดีตและอนาคต แม้จะกลายเป็นหลุมว่างเปล่าไปแล้ว แต่ในยามนี้มันก็ได้กลายเป็นแสงสีขาวดำครอบคลุมไปทั่ว ห้าวิถี ไม่สำคัญ อดีตและอนาคต ไม่สำคัญ หยินมืดมิดและหยางอันศักดิ์สิทธิ์ ไม่สำคัญ ทุกอย่างนี้คือความคิดคับแคบ การฝึกตนที่แท้จริงแล้วนั่นคือ… “หมื่นสรรพสิ่งทั้งหลายนี้ ทุกสิ่งมีไว้ให้แก่ข้า!” หวังเป่าเล่อพลันแหงนหน้า แล้วเอ่ยปากเสียงเบา “กลายเป็นต้นกำเนิด คือรากฐานของการเหยียบขึ้นสวรรค์ หากสัมผัสได้ถึงจุดที่เจ้าพูดมานี้ และสามารถกระทำได้ถึงขั้นนี้ เจ้าก็จะมาถึงขั้นที่ห้าของการฝึกตน” ท่านพ่อหวังหันหน้าจากนั้นก็มองหวังอีอีที่ยังคงมึนงงอยู่ ถอนหายใจออกมาครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาเผยประกายชื่นชม “แล้วขั้นที่หกเล่า?” หวังเป่าเล่อถามขึ้นทันที “ขั้นที่หก?” ท่านพ่อหวังแววตาล้ำลึก เขามองไปยังความว่างเปล่าอันห่างไกลนั้น “ผู้เยี่ยมยุทธ์ที่อยู่ถึงขั้นที่ห้าทั้งหลายนั้น ถือครองขั้นที่หกอันแตกต่างกันไป บางท่านก็สร้างจักรวาลขึ้นใหม่ จากนั้นก็เริ่มต้นก้าวเดินที่หกเจ็ดแปดจากมุมมองนั้นของตน ฉูดฉาดเกินความจำเป็น ข้าไม่ชอบ” “มีบ้างที่กลายเป็นโลกไปเสียเอง จากนั้นใช้พลังพิทักษ์เป็นหัวใจเต๋า ดังนั้นทุกคนจึงอยู่มีเพียงเขาที่หายไป แต่ตราบใดที่เรื่องราวของเขายังคงอยู่ เขาก็จะคงอยู่ตลอดไป มีชีวิตอยู่ในอดีต พลังฝึกปรือไร้ขีดจำกัด” “มีบ้างที่ถือเอาสิ้นสลายเป็นแหล่งพลัง หากสรรพสิ่งคงอยู่นิรันดร์ เต๋าของเขาก็จะไม่สมบูรณ์ แต่ยิ่งไม่สมบูรณ์มากเท่าไร เขาก็ต้องกลับชาติมาเกิดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อแสวงหาจุดบกพร่องนั้น ส่วนตนเองแน่นอนว่าย่อมเดินไปได้ไกลขึ้น” “แล้วยังมีบางคน ใช้เหตุผลต้นกรรมเข้าสู่วิถีเทพ นี่ตรงข้ามกับอดีต เขาอยู่ในอนาคต ไม่มีเริ่มต้นไม่มีสิ้นสุด” “เช่นนั้นมหาเทพเล่า?” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด จากนั้นจึงเอ่ยถาม “มหาเทพ?” ท่านพ่อหวังยิ้ม “หากว่าพวกเรานำจักรวาลอันมากมายเหล่านี้หลอมรวมเป็นมหาจักรวาลอันใหญ่โตไร้ขีดจำกัดของมัน และเปรียบมันเป็นโต๊ะตัวหนึ่ง มีบางคนที่ศึกษาว่าจะสร้างโต๊ะนี้ได้อย่างไร มีบ้างคนครอบครองอดีตของโต๊ะตัวนี้ แล้วยังมีบางคนคิดทำลายโต๊ะตัวนี้ แล้วก็มีบางคนที่ควบคุมความเป็นไปของโต๊ะตัวนี้” “เช่นนั้นมหาเทพ เขาย่อมคิดอยากกลายเป็นโต๊ะตัวนี้ ทำให้ผู้ที่เดิมคิดศึกษาไม่อาจศึกษาได้ ผู้คิดทำลายไม่อาจกระทำได้ ผู้ที่คิดจะควบคุมอดีตและอนาคต ก็ไร้หนทางจะควบคุม ในเวลาเดียวกัน…เขายังคิดจะกลืนเหล่าคนพวกนี้ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง” หวังเป่าเล่อดวงตาหดลีบ หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ถามขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “เช่นนั้นผู้อาวุโส…ท่านเล่า?” ………………………..
บาดแผลของหวังอีอี ที่แท้คือสิ่งใด มาจากที่ใด และเหตุใดความแข็งแกร่งดังเช่นท่านพ่อหวังที่เป็นเทพเคารพสูงสุด ก็ไม่อาจช่วยรักษาได้ มีเพียงเซียนเท่านั้นจึงจะช่วยได้
เรื่องนี้แม้หวังเป่าเล่อจะไม่เข้าใจ แต่ก็พอคาดเดาได้
“บางที อาจเกี่ยวข้องกับหลัว” หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่ในใจ เรื่องนี้ไม่มีคำตอบ นอกจากท่านพ่อหวังจะบอกให้รู้
แต่หวังเป่าเล่อไม่เชื่อ…การปรากฎตัวของตนเองภายในโลกแห่งศิลา ช่างเป็นความบังเอิญ
เพราะ…หากไม่มีการมาของหวังอีอี และการปรากฎตัวของบิดาของนาง เช่นนั้นถึงแม้โลกแห่งศิลาจะเป็นมือขวาหลัวจำแลง ท้ายที่สุดตนเองก็ยากที่จะได้ชัยจากการต่อสู้กับดวงจิตเทพของมหาเทพ
มีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะเป็นเช่นเดียวกับศิษย์พี่เฉินชิงจื่อ
ในเวลาเดียวกัน ถึงแม้ว่าเรื่องจะมีความน่าจะเป็นเพียงเล็กน้อย ที่ตนเองจะเอาชนะดวงจิตมหาเทพได้ และไม่อาจจะท่องเที่ยวต่อไปได้อีก และยากที่จะหนีจากการเป็นเส้นทางสู่อาวุธนักรบ
กล่าวได้ว่า การเปลี่ยแปลงมากมายของที่นี่ นอกจากหัตถ์หลัวจำแลงนอกป้ายศิลาแล้ว สิ่งสำคํญที่สุด…ก็คือการมาของพ่อลูกหวังอีอี ดังนั้น หากกล่าวว่านี่ไม่เกี่ยวข้องกับหลัว หวังเป่าเล่อก็คงไม่เชื่อ
โดยเฉพาะเขารู้อยู่แล้วว่า หลังจากที่หลัวต่อสู้กับกู่ เคยโจมตีกลับจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ต่อสู้กับมหาเทพแต่ล้มเหลว เช่นนั้น…เป็นไปได้ไหมว่า ก่อนที่จะต่อสู้กับมหาเทพ หลัวได้รวบรวมเซียนแล้วกว่าครึ่ง และตนเองก็ได้มาถึงขั้นสุดยอด และได้ทิ้งคำชี้แนะไว้
คำชี้แนะนี้ ก็คือสาเหตุของการบาดเจ็บของหวังอีอี และก็เป็นเพราะคำชี้แนะนี้ ทำให้หลังจากที่เขาเองล้มเหลวมาหลายปี ยังคงสามารถทำให้ท่านพ่อหวัง มาเสาะหาความเป็นอมตะที่นี่
ดังนั้นสำหรับมหาเทพ ก็ฝังแผนสังหารไปหลังจากนั้นหลายปี
ความจริงเป็นเช่นนี้หรือไม่ หวังเป่าเล่อไม่รู้ และเขาก็ไม่ต้องการจะรู้ ด้วยนี่ไม่สำคัญ
เพราะไม่ว่าอย่างไร การช่วยรักษาหวังอีอีเป็นการเลือกที่ไม่เคืองแค้นไม่เสียใจของเขา เวลานี้ขณะที่สะบัดมือ ร่างของเขาก็สั่นเทา ปรากฎการพร่าเลือนและทับซ้อน และในไม่ช้าก็มีเงาร่างหนึ่งเดินออกมาจากร่างของเขา
ร่างนี้คือหวังเป่าเล่อ แต่ดูเหมือนจะหนุ่มกว่า และหากมองให้ถี่ถ้วน ราวกับจะสามารถมองเห็นกระบวนการเติบโตทั้งหมด เห็นทารก เด็กน้อย และชายหนุ่มจากในร่างนี้
และยังหมายถึงทุกสิ่งในอดีตชาติ
ดูเหมือนนับจากจุดนี้เป็นต้นไป ทุกสิ่งในกาลข้างหน้า ต่างก็รวมกันอยู่ในร่างนี้ ที่สุดก็ทำให้ความพร่าเลือน ที่ร่างนี้เปลี่ยน คล้ายกลุ่มแสงสีดำ
หันหน้าไปมองร่างที่เป็นตัวแทนอดีตของตนเอง หวังเป่าเล่อจ้องมองอยู่นาน สุดท้ายก็หัวเราะ ขณะที่ยกมือขวาขึ้น ทันใดนั้นกระบี่ยาวลวงตาเล่มหนึ่งก็ปรากฎอยู่เหนือศีรษะเขา
กระบี่นี้ ก็คือกระบี่สำริดโบราณที่แทงทะลุตะวัน แต่เห็นได้ชัดว่าด้วยโลกแห่งศิลาหลอมรวมเข้ากับฝ่ามือของหวังเป่าเล่อ กระบี่เล่มนี้…ก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว
“ตัดเถอะ” หวังเป่าเล่อกล่าวเสียงเบา ทันทีที่กล่าวออกไป กระบี่สำริดโบราณนี้พลันก็ฟันออกไป
ดูเหมือนฟันไปบนความว่างเปล่า แต่ที่ฟัน…คือหวังเป่าเล่อและกรรมทั้งหมดในอดีตของเขา
ราวมีฟ้าร้องคำราม คล้ายกับสายฟ้าฟาด ท้องฟ้ารอบด้านสั่นไหวอย่างรุนแรง ในขณะที่กระแสวนกระเพื่อม ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเบาๆ เมื่อดูไป ร่างในอดีตของเขาไม่มีส่วนเชื่อมต่อกับเขาอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ขณะที่สะบัดมือ ร่างในอดีตกลายเป็นแสงสีดำสายหนึ่ง ตรงไปที่…หวังอีอีที่กำลังกัดริมฝีปากล่างอยู่
หวังอีอีต้องการหลบซ่อน แต่นางทำไม่ได้
เพราะในเวลานี้ดูเหมือนนางยังคงอยู่ แต่ที่จริงแล้ว …นางอยู่ภายในลูกปัดเม็ดหนึ่ง ร่างลวงตาของหวังอีอีที่ปรากฎอยู่ด้านนอกหายไปพร้อมกับการมาถึงของแสงดำตัวแทนร่างในอดีตของหวังเป่าเล่อ ลูกปัดปรากฎออกมา และแสงดำนี้หลอมรวมเข้าภายในลูกปัดทันที
วินาทีต่อมาลูกปัดก็แตกออก
ร่างที่ประกอบไปด้วยเลือดเนื้อ เวลานี้ได้ก่อขึ้นอย่างช้าๆ ภายใต้การหล่อเลี้ยงจากแสงสีดำที่กลายมาจากร่างในอดีตของหวังเป่าเล่อ ในที่สุดร่างจริงของแม่นางน้อยก็ถูกหล่อหลอมออกมา ปรากฎอยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อในขณะนี้
สมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติ
แต่มันเหมือนภาพวาดที่ไร้ซึ่งชีวิต
หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก วินาทีต่อมา ร่างกายของงเขาก็พร่าเลือนปรากฎเงาทับซ้อนขึ้นอีกครั้ง ในไม่ช้าก็มีเงาร่างที่สองเดินออกมา
เงาร่างนี้พอปรากฎ แสงสีขาวก็สว่างไสวไร้สิ้นสุด นั่นคืออนาคต
ภาพลวงตานับไม่ถ้วนในนั้นแวบผ่าน มีสุขใจ โศกเศร้า ตั้งตระหง่านเหนือท้องฟ้า และลมหายใจที่ฝังอยู่ในนพภูมิ ภาพนับไม่ถ้วนนี้ ส่องประกายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างนี้ยิ่งสว่างไสว รุ่งโรจน์เรืองรอง
เขามองไปที่ร่างแห่งอนาคตของตน เห็นได้ชัดว่าช่วงเวลาในการจ้องมองครั้งนี้ ขาดอดีตมากเกินไป ดูเหมือนหวังเป่าเล่อไม่สนใจต่ออนาคต
ราวกับเมื่อเทียบกันแล้ว เขาดูจะห่วงอดีตที่ผ่านไปของตนมากกว่า ดังนั้นพลันละสายตา ยกมือขวาขึ้นสะบัดลงไปอีกครั้ง
เสียงคำรามดังขึ้นอีก กระบี่ยาวฟันลง อนาคต…ขาดสะบั้น
ร่างกายของหวังเป่าเล่อสั่นขึ้นอีกครั้ง สีหน้าค่อยๆ ซีดขาวไปบ้าง แม้จะฟื้นคืนอย่างรวดเร็ว แต่ดูไปแล้ว ร่างของเขาราวกับจะผอมบางลงมาก
ขณะที่เงยหน้าขึ้น เขาเห็นร่างแห่งอนาคตของตนกลายเป็นแสงขาว พุ่งตรงไปที่ร่างแท้ของแม่นางน้อย คลุมไปทั่งร่างนาง และหลอมรวมสู่ร่างกายอย่างช้าๆ ทำให้ร่างกายหวังอีอีค่อยๆ ปรากฎพลังชีวิต
หวังเป่าเล่อยิ้มแล้ว จ้องมองไปที่หวังอีอีอย่างลึกซึ้ง ในสายตาของเขา ภายในร่างของหวังอีอีในเวลานี้ แม้อดีตและอนาคตของตนสอดประสาน แต่กลับไม่ได้หลอมรวมด้วยกัน
มีสติวูบหนึ่งมาจากร่างแท้ของหวังอีอี ราวกับกำลังต่อต้านอย่างสุดกำลัง และขับไล่…
“หัวใจนี้ก็พอเพียง” หวังเป่าเล่อยิ้มอย่างเป็นสุข มือทั้งสานประกบกันอยู่ข้างหน้าอย่างช้าๆ กล่าวเสียงเบา
“ชะตากรรม…”
ชั่วอึดใจ ขณะที่เขากล่าวออกมา และขณะที่สองมือประกบกัน อดีตและอนาคตของเขาภายในร่างหวังอีอี ก็ปะทุขึ้น และหลอมรวมเข้าด้วยกันในทันที
แสงสองสาย สายหนึ่งสีดำ และสายหนึ่งสีขาว เวลานี้หลังจากที่ประสานเข้าด้วยกัน กลับกลายเป็นไม่ใช่สีเทา
แต่เป็นสีสันตระการตา งดงามสดใส
ด้วยเหตุนี้จึงเป็นชะตากรรม
ชะตากรรม ที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลง
ชะตากรรม ที่ไม่เหมือนเช่นเคย
ในขณะที่ทั้งสองสีหลอมรวมเข้าด้วยกัน เติมเต็มเข้าไปในความหลงใหลของหวังเป่าเล่อ ทำให้เขารักษาพลังชีวิตที่สมบูรณ์ และแฝงด้วยสัมผัสอมตะ
“ให้เจ้า” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเบา รํศมีหลากสีที่ปะทุออกมาจากภายในร่างหวังอีอี คลุมร่างของนางไว้ข้างใน ความผันผวนของวิญญาณก็กระจายออกมาในขณะนี้
ปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์ที่อีกด้านหนึ่ง สับสนวุ่นว่ายอยู่ในใจ แต่ความตื่นเต้นก็คงอยู่เช่นกัน สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณของประมุขน้อยในขณะนี้ เขาเข้าใจ ประมุขน้อย…กำลังจะตื่นขึ้น
วานรเฒ่าและจิ้งจอกน้อย เวลานี้ต่างก็เงียบงัน เพียงแต่วานรเฒ่าขณะอยู่ในความเงียบงัน ยังมองไปทางหวังเป่าเล่อด้วยความสะท้อนใจ ขณะที่คนหลัง…กลับตกตะลึง
เพียงแต่…เมื่อผ่านไปหลายอึดใจ ความผันผวนของพลังวิญญาณบนร่างหวังอีอีก็ยิ่งรุนแรงขึ้น แต่กลับไม่ตื่นขึ้น กระทั่งมีสัญญาณหยุดชะงัก เหตุการณ์นี้ ทำให้ปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์ร้อนรนอยู่บ้าง
“ยังไม่ยอมฟื้นหรือ…” หวังเป่าเล่อยถอนใจเบาๆ สายตาอ่อนโยนลงเงยหน้าขึ้นมองความว่างเปล่าทางด้านหลังของหวังอีอี ที่นั่น…เวลานี้มีเรือเดียวดายลำหนึ่ง กำลังค่อยๆ เข้ามา
ร่างที่ยืนอยู่บนเรือ ก็ค่อยๆ ปรากฎออกมา
“ท่านประมุข!” ทันทีที่ประมาจารย์สำนักดาราจันทร์เห็นร่างนี้ พลันก็รีบก้มศีรษะลงคำนับ
วานรเฒ่าและจิ้งจอกน้อย ต่างก็ก้มศีรษะ
ร่างนี้ยกขาก้าวออกจากเรือเดียวดาย และพยักหน้าไปทางปรมาจารย์ดาราจันทร์รวมทั้งวานรเฒ่าจิ้งจอกน้อยก่อน จากนั้นก็ยืนอยู่ข้างร่างหวังอีอี ยกมือขวาขึ้นแตะไปที่หว่างคิ้วของหวังอีอี
“อีอี ยังไม่ฟื้นหรือ”
ร่างของอีอีพลันสั่นไหว ขนตากระพริบเบาๆ น้ำตาไหล อีกนานจึงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ สิ่งแรกที่เห็น ไม่ใช่บิดาของตน แต่เป็นร่างในชุดขาว…ที่อยู่ห่างไกล
ท่านพ่อหวังไม่ได้สนใจ ลูบศีรษะบุตรสาวอย่างปลอบประโลม เมื่อหันร่างไปทางหวังเป่าเล่อ ท่าทางเคร่งขรึม ประสานหมัด…คำนับไปทางหวังเป่าเล่อ
“ขอบคุณสหายเต๋า!”
“ท่านอาวุโสเกรงใจไปแล้ว ผู้น้อยขอตัวก่อน” หวังเป่าเล่อก้มศีรษะ กล่าวเสียงเบา หันร่างเดินไปทางท้องฟ้าอย่างโดดเดี่ยว
ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต เดิมทีเขายังมีศิษย์พี่ แต่ศิษย์พี่สิ้นแล้ว เวลานี้ดูเหมือนเขาไม่เหลือสิ่งใดอีกนอกจากโลกในฝ่ามือ
หวังอีอีมองไปที่ด้านหลังของหวังเป่าเล่อ ร่างของนางสั่นสะท้าน กำลังจะเอ่ยปาก บิดาของนางที่อยู่ข้างๆ ก็กล่าวออกมาเบาๆ
“เป่าเล่อ วิญญาณของเฉินชิงจื่อศิษย์พี่เจ้า ได้ถูกข้าช่วยไว้ก่อนที่จะแตกสลาย ตอนนี้การฟูมฟักในเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าต้องการจะวาดวิญญาณหวลกลับชาติด้วยตนเองหรือไม่”
หวังเป่าเล่อที่เดินไปไกล ร่างกายพลันสะดุ้ง หันร่างมาทันที มองไปทางบิดาหวังอีอี ในขณะที่ร่างกายสั่นเทา โค้งคำนับไปทางอีกฝ่าย
“ขอบคุณ ท่านผู้อาวุโส!”
…………………..
กำปั้นสามฉื่อไร้เทพเจ้า
ฝ่ามือสามนิ้วคือโลกมนุษย์
หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้น แล้วก้มหน้าจ้องมองโลกบนฝ่ามือ สายตาของเขาตกไปที่แต่ละมุมของลายมือ แต่ละร่างวิญญาณ
ทั่วทั้งโลกแห่งศิลา ล้วนอยู่ในสายตาของเขา เขาเห็นแต่ละร่างที่คุ้นเคย มีญาติของเขา ท่านอาจารย์ของเขา คนรักของเขา สหายของเขา และยังมีผู้ที่เคยเป็นปฎิปักษ์ต่อเขา
หวังเป่าเล่อเห็นอดีตของพวกเขา และก็เห็น…ภายโลกแห่งศิลานี้ อนาคตที่มีขีดจำกัด แต่สืบสาวเรื่องราวไปแล้ว ทั้งหมดของทั้งหมดนั้น เวลานี้ล้วนเป็นอักษรบนสมุด
อักษรที่แท้จริง
บางที ไม่เพียงแต่สมุดแห่งโชคชะตาเล่มนี้ นอกจากสมุดเล่มนี้แล้ว อาจจะยังมีหน้าสมุดเล่มหนึ่งที่กว้างใหญ่กว่า
นี่ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญก็คือ…อารมณ์ความรู้สึกที่แฝงอยู่ข้างใน เต็มไปด้วยความทรงจำของชีวิตเขา
ความทรงจำเหล่านี้ ราวกับเป็นภาพอยู่ในจิตใจของเขา แวบผ่านไปภาพแล้วภาพเล่า ตั้งแต่ถือกำเนิด ตั้งแต่เวลานี้ อารมณ์ทั้งหมด การต่อสู้ทั้งหมด ความสับสนทั้งหมด ความทรงจำทั้งหมด
และฉากสุดท้าย อยู่บนเรือบิน ในห้องเสบียงของห้องโดยสารบนเรือบิน ร่างเจ้าอ้วนน้อยถือน่องไก่ กัดกินอย่างสบายอารมณ์
ปีนั้น การลดความอ้วน เป็นสิ่งที่เขาร้องขอมาตลอดชีวิต
ปีนั้น การเป็นผู้นำของสหพันธรัฐคือความใฝ่ฝันมาทั้งชีวิตของเขา
ปีนั้น อัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงเล่มหนึ่ง เป็นเกณฑ์ชีวิตที่เขาหมายมาด
เวลาผ่านไปไม่นาน เขาก็ไม่ต้องการลดความอ้วนแล้ว
เวลาผ่านไปไม่นาน เขาก็ไร้ความใฝ่ฝัน
เวลาฝ่านไปไม่นาน อัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงเล่มนั้น ปกคลุมไปด้วยฝุ่นอยู่ในกระเป๋าคลังเก็บ
“เวลาผ่านไปไม่นาน ข้า…ก็ไม่เป็นข้าอีกต่อไปหรือ” หวังเป่าเล่อพึมพำ ถอนหายใจเบาๆ ยกมือขวาขึ้นและสะบัดเบาๆ ตรงหน้า
สะบัดนี้ สะบัดภาพในใจออกไป
สะบัดนี้ ทำความทรงจำที่ผ่านไปให้เลือนราง
สะบัดนี้ จะฝังทุกอย่างที่เคยเป็น
และในทำนองเดียวกัน สะบัดนี้ ก็ได้ขจัดหมอกที่อยู่ตรงหน้า ในความว่างเปล่าที่ถูกทำลาย ราวกับจะฮึกเหิมขึ้นอีกครั้ง
สะบัดนี้ ภายใต้ความหวังใหม่ หงส์ที่ถูกฝังท่ามกลางเปลวเพลิง ก็เคยอยู่ในวัยเยาว์ ด้วยนิพพานที่อยู่ภายใน ต้องเป็นหงส์อมตะ
ข้ายินยอมให้ปีกลุกไหม้ เพราะตราบใดที่มุ่งมั่น ข้ายังคงสามารถโบยบินอยู่บนท้องฟ้าสีคราม
ข้าหมายมาดจะลอยล่อง!
หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ภายใต้การโบกสะบัด ความว่างเปล่ารอบด้านได้สลายไป
สิ่งที่ปรากฎอยู่ในสายตาหวังเป่าเล่อ คือสิ่งที่เขาโหยหาก่อนหน้านั้น…จักรวาลอันยิ่งใหญ่
จักรวาลที่แท้จริง!
สามารถทำให้เขาคืนชีวิตจากนิพพาน และแสวงหาจักรวาลจากปณิธานที่สูงขึ้น
ท้องฟ้าอันล้ำลึก แสงดาวระยิบระยับ กฎเกณฑ์และกฎเวทนับไม่ถ้วนเต็มไปทั่วทุกซอกทุกมุมของจักรวาลนี้ กฎของที่นี่เข้มงวดกว่า แตกต่างจากโลกแห่งศิลา กฎของที่นี่เหนือกว่า และเต๋าของที่นี่…สมบูรณ์แบบกว่า
หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก กล่าวให้ชัดก็คือ สิ่งที่เขาสูดไม่ใช่ลมหายใจ แต่เป็น…ร่องรอยแห่งเต๋าที่มาจากจักรวาลอันยิ่งใหญ่นี้ ร่องรอยที่กลายมาจากกฎเกณฑ์และกฎเวทเหล่านี้ เข้าสู่ปากของเขาไปตามลมหายใจ ผสานเข้าไปภายในร่างของเขา ดูเหมือนเต๋าภายในร่างของเขากำลังตอบรับ
ชั่วอึดใจ เต๋าแห่งธาตุทั้งห้าบนร่าง ยิ่งส่องประกายขึ้นมา ราวกับจะเพิ่มความสมบูรณ์แบบอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ ก่อตัวเป็นกระแสวนขนาดมหึมาอยู่รอบตัวเขา
กระแสวนค่อยๆ หมุนและขยายวงขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อที่อยู่ภายใน หลังจากที่จิตใจแน่วแน่แล้ว จึงเริ่มเผชิญกับทั้งหมดนี้
เวลานี้มองจากไกลๆ คล้ายจะกลายเป็นผืนทะเลวิญญาณ และท่ามกลางทะเลวิญญาณ…หวังอีอียืนจ้องมองหวังเป่าเล่ออยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ ข้างๆ นาง ปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์รวมทั้งวานรเฒ่า ยังมีจิ้งจอก ต่างก็กำลังจ้องมอง
เพียงแต่ว่าความยำเกรงในสายตาของจิ้งจอกจะล้ำลึกกว่าผู้อื่น
ไม่มีผู้ใดกล่าว จิ้งจอกไม่กล้า วานรเฒ่าหลับตา ในดวงตาปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์มีความสับสน ส่วนแม่นางน้อยหวังอีอี เวลานี้เหมือนจะอึกอัก ด้วยเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่นางและหวังเป่าเล่อพบกันหลังจากแยกจาก
แต่สุดท้าย นางก็ไม่รู้ว่าควรกล่าวสิ่งใด จึงเลือกที่จะนิ่งเงียบ
ท่ามกลางความเงียบงันนี้ กระแสวนทะเลวิญญาณเงียบสงบ มีเพียงร่างบนเรือเดียวดายที่นอกทะเลวิญญาณ เวลานี้นัยน์ตาเผยความกังวล แม้เขาจะเป็นเทพเคารพสูงสุด แม้ระดับฝึกตนของเขาจะเป็นสุดยอดในหมู่เทพเคารพสูงสุด แม้ความเย็นยะเยือกของเขาจะสามารถผนึกท้องฟ้า แต่สุดท้ายเขา…ก็คือบิดาผู้หนึ่ง
บิดาที่รอคอยติดตามมานานนับปีเพื่อช่วยบุตรสาวของตน และเวลานี้…ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังถูกเปิดเผย ดังนั้นแม้จะเป็นเขา ก็เป็นเช่นคนธรรมดาผู้หนึ่ง จิตใจย่อมกังวลกับผลได้ผลเสีย
เพราะเขารู้ว่า เวลาสำคัญได้มาถึงแล้ว
เพียงแค่เวลาอันยาวนาน เขาก็รอจนผ่านพ้นมาแล้ว แม้เห็นได้ชัดว่ากำลังจะสิ้นสุด แต่ทุกการไหลเวียนของแต่ละลมหายใจ ช่างยาวนานสำหรับเขา
เวลาผ่านไปเช่นนี้ หลังจากผ่านไปครึ่งก้านธูป ในทะเลวิญญาณที่ไหลวนไม่หยุดแต่กลับเงียบสงบ หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่จุดศูนย์กลาง แหงนหน้าขึ้นอย่างแน่วแน่
เวลานี้ลมหายใจบนร่างเขาไม่สม่ำเสมอ มิใช่เป็นการสอดประสานของการเปิดโปงและซ่อนเร้น แต่เป็น…เหมือนเมฆที่สามารถล่องไปตามลมอย่างไร้คำพูด ผู้จ้องมองมาจากหัวใจ
เต๋าแห่งธาตุทั้งห้าภายในร่างเขา ขณะที่ผสานรวมกับร่องรอยแห่งเต๋าของจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมหัศจรรย์ เหมือนกำลังแปรรูป
เต๋าของโลกแห่งศิลาเป็นสิ่งไม่สมบูรณ์แบบ แม้หวังเป่าเล่อจะเป็นหนึ่งในผู้สมบูรณ์ที่สุด และจิตสำนึกในอดีตชาติ ได้แผ่ไปถึงภายในจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ทีเคยติดต่อกับโลกภายนอก แต่ท้ายที่สุด…เมื่อเทียบกับเต๋าที่แท้จริงของจักรวาลอันยิ่งใหญ่ เขายังคงมีข้อบกพร่อง
แต่เวลานี้ ข้อบกพร่องนี้กำลังได้รับการชดเชยส่วนที่ขาดหาย กำลังเติมเต็มอย่างรวดเร็ว เขาไม่จำเป็นต้องควบคุมการฝึกตนอีกต่อไป เวลานี้ระดับการฝึกตนที่ปะทุขึ้นอย่างรวดเร็วภายในร่างกายที่กว้างใหญ่ไพศาล
เพียงแต่การปะทุนี้ ไม่อยู่ในขั้นสุดยอด แต่เป็นขั้นพื้นฐาน
ห้าธาตุพื้นฐานยิ่งหนักแน่น
และพื้นฐานที่หนักแน่นหาใดเทียบชนิดนี้ ได้นำพาให้เต๋าสูงสุดในอดีต แผ่กระจายไปเทียมฟ้า เช่นเดียวกับเต๋าสูงสุดในอนาคตก็เป็นเช่นนี้
หยินสูงสุด หยางสูงสุด ก็เป็นเช่นเดียวกัน
และเมื่อดูโดยรวม จะเรียกว่าหกเต๋าครึ่ง แต่ที่จริงเป็นแปดเต๋าครึ่ง
สิ่งที่สำคัญกว่าก็คือ เวลานี้การล่องลอยของหวังเป่าเล่อ ก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
เรียกว่าล่องลอย ความเป็นจริง…ก็เป็นสัมผัสเซียนของเขา
เนื่องจากพื้นฐานขยายออกไปเรื่อยๆ ย่อมเหนือกว่าในอดีตหลังจากการปะทุ เวลานี้ขณะที่สัมผัสเซียนแผ่ขยายอย่างต่อเนื่อง ผมของหวังเป่าเล่อก็ขยับเองโดยไร้ลม เสื้อคลุมยาวสีขาวก็ยิ่งปลิวไสว บุคคลิกของเขาก็ค่อยๆ ให้ความรุ้สึกแปลกแยกจากผู้ชมรอบข้าง
ดูเหมือนมิใช่มนุษย์
“มิใช่มนุษย์อย่างแน่นอน” หวังเป่าเล่อพึมพำ เงยหน้าขึ้น
หลังจากจากกันไปนาน เป็นครั้งแรกที่เขามองไปทางแม่นางน้อย มองไปทางสตรีในอดีตชาติที่ติดตามเขา
จากนั้นด้วยท่าทางที่อึกอักรวมทั้งสายตาที่เต็มไปด้วยความสับสนของหวังอีอี หวังเป่าเล่อยิ้มแล้ว
ฟันที่ขาว ผมที่ยาว เสื้อขาวบนร่าง รอยยิ้มที่ราวกับแสงตะวัน อบอุ่นยิ่งนัก
“ข้ามาช่วยเจ้า”
เมื่อกล่าวออกไป มือขวาของหวังเป่าเล่อยกขึ้น ค่อยๆ ส่งออกไป
การส่งครั้งนี้ ที่ส่งคืออดีตของเขา
การส่งครั้งนี้ ที่ส่งคืออนาคตของเขา
การส่งครั้งนี้ ที่ส่งคือชะตากรรม…ของเขา
นี่คือข้อตกลงกับท่านพ่อหวัง แต่เขายินยอมพร้อมใจ
ไม่เคืองแค้น
ไม่เสียใจ
…………………………………………..
ท้องฟ้าเงียบสงัด
บิดาของหวังอีอีบนเรือเดียวดายไม่ได้กล่าวสิ่งใด ชายชราที่อยู่ห่างไกลก็เป็นเช่นนั้น เพียงแต่ในเวลานี้สีหน้าเปลี่ยนไปหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ยังเกิดความหวาดกลัว มองไปที่ไม้ยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในท้องฟ้าอย่างลึกซึ้ง และยังมองไปที่ร่างที่อยู่บนเรือเดียวดาย แล้วเลือกที่จะจากไป
แม้เขาจากไป แต่กลับมีผู้ใหม่มาถึง
เงาร่างเลือนรางสายหนึ่ง ราวกับจะสามารถกวาดไปบนท้องฟ้า การบรรจบจากทั่วสารทิศอย่างไร้สุ้มไร้เสียง ตรงไปที่ข้างร่างของบิดาหวังอีอีบนเรือเดียวดาย ก่อเป็นโครงร่าง นั่นคือบุรุษผู้หนึ่ง
ใบหน้าเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก เห็นแต่เพียงผมยาวปลิวไสว ราวกับเส้นผมแต่ละเส้น ดุจธารดารา นอกจากนี้แล้ว กลับมีเพียงเสื้อผ้าของร่างนี้ที่โบกสะบัด และที่มุมหนึ่งปรากฎตราหม้อหลอมโอสถ
“แปดเต๋าปรมัตถ์หรือ” ร่างนี้มองไม้ดำที่ท้องฟ้า เอ่ยเสียงเบา ราวกับจะกล่าวกับตนเอง และก็เหมือนกำลังไต่ถาม
“แปดเต๋าปรมัตถ์” สีหน้าบิดาหวังอีอีบนเรือเดียวดายเป็นปกติ ตอบกลับอย่างราบเรียบ
“ข้าเคยได้ยินแต่ธาตุทั้งห้าเป็นห้าปรมัตถ์แรก จากนั้นสองปรมัตถ์ก็ตามมาตามลำดับ สุดท้ายตอนนี้…สหายน้อยนี้ได้ยกระดับดูเหมือนจะตระหนักรู้ถึงขั้นสุดยอดแล้ว ปรมัตถ์ที่หกนี้…เจ้าสามารถเข้าใจทะลุปรุโปร่งแล้วหรือ” เงาร่างนิ่งไปสักพัก ค่อยๆ เอ่ยปาก
“เต๋าธาตุทองมีกรรมแห่งท่าน ใยต้องถามข้า” บิดาของหวังอีอีบนเรือเดียวดาย สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวเบาๆ
“แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่แปดเต๋าปรมัตถ์ข้าไม่ค่อยคุ้นเคยกับปรมัตถ์ที่หกของเขา แต่หลัวแห่งการล้มเหลว เป็นเต๋าธาตุมืดดับสูญเป็นที่สั่งสมหยินหรือ” ร่างนั้นเงียบไปเป็นครู่ แล้วมองไปทางบิดาหวังอีอี
“ไม่เพียงเท่านั้น” คราวนี้บิดาหวังอีอีเงียบไปนานมาก จึงได้ตอบกลับด้วยเสียงต่ำลึก
“เขายังนำอดีต หลอมรวมเข้าภายในตัว ทำให้ปรมัตถ์ที่หกนี้ ถึงจะเป็นหยินแห่งความมืดขั้นสูงสุด ก็เป็นขั้นสูงสุดในอดีต”
“เมื่อเป็นเช่นนี้…ปรมัตถ์ที่เจ็ดของเขา ก็แค่คิดก็รู้ได้ว่าต้องเป็นหยางศักดิ์สิทธิ์ปรมัตถ์ และก็เป็นขั้นสูงสุดในอนาคต..ดูเหมือนทั้งสองปรมัตถ์ แต่ที่จริงคือสี่ปรมัตถ์ มิน่า มิน่าเล่า…” ร่างที่มุมเสื้อมีตราหม้อหลอมโอสถ ถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้กล่าวให้มากความ หันร่างค่อยๆ ก้าวไปทางความว่างเปล่า เมื่อลดฝีเท้าลงก็กระจายตัวอีกครั้ง และหายไปในท้องฟ้า
เพียงแต่ ขณะที่ร่างเขากำลังจะสลายไปหมดสิ้น เสียงของเขายังคงส่งออกจากภายในความว่างเปล่า และเข้าหูบิดาของหวังอีอีบนเรือเดียวดาย
“ศิษย์พี่หวัง แปดเต๋าปรมัตถ์เป็นสิ่งที่บรรพชนเซียนสร้างขึ้น เซียนอาวุโสผู้นี้ จะมีที่มาเดียวกับเซียนของสหายน้อยเป่าเล่อหรือไม่”
ดูเหมือนไต่ถาม แต่คำพูดส่งมาหลังจากจากไปแล้ว เห็นชัดว่า…ไม่อยากได้คำตอบ หรืออาจกล่าวว่า ไม่ต้องการคำตอบ
บิดาของหวังอีอีบนเรือเดียวดาย ค่อยๆ เงยหน้า ไม่ได้กล่าวสิ่งใด แต่ดวงตากลับลึกล้ำ กระทั่งหลังจากนั้นอีกนาน เขาจึงได้มองไปยังไม้ดำที่ท้องฟ้าใหม่อีกครั้ง สายตาล้ำลึกจางหายไป และถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่น
เขาสามารถนิมิตได้ถึงบุตรสาวของตน แล้วจึง…จากไป
ขณะที่รอคอยอยู่ที่นี่ ภายในไม้ดำที่เคยอยุ่ในโลกแห่งศิลา หวังเป่าเล่อเดินไปบนท้องฟ้า มองดูจักรวาลที่เคยเข้าใจว่าไร้ขอบเขต มองจักรวาลผืนนี้ที่เคยเข้าใจว่าดวงดารานับไม่ถ้วนรวมทั้งชะตาชีวิตที่ไม่อาจคำนวณ หวังเป่าเล่อถอนหายใจบางเบา
“ข้าไม่มีอดีต และไม่มีอนาคต” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา อดีตและอนาคตของเขา กลายเป็นโชคชะตา มอบให้แก่แม่นางน้อย แต่ในเวลาเดียวกัน นี่ก็กลายเป็นเต๋าของเขา
และเต๋าต้องแบกรับไว้ เช่นดียวกับเต๋าแห่งธาตุทั้งห้าต้องการสิ่งที่แบกรับ อดีตและอนาคตก็ต้องการเช่นเดียวกัน
ดังนั้น เขาจึงนำเต๋าแห่งหยินดำมืดดับสูญ กลายเป็นการแบกรับอดีตของตน เต๋านี้กว้างใหญ่ไพศาล และในระดับหนึ่ง…ความมัวเมาในการดับสูญที่มาจากหลัวผู้ฝึกตนที่เขย่าฟ้าผู้นี้
“ข้าก็ต้องการบางสิ่งเพื่อแบกรับเต๋า สิ่งนี้…ข้าได้คาดเดาไว้แล้ว” หวังเป่าเล่อกล่าวกับตัวเองเบาๆ ก้มมองไปทางท้องฟ้า สายตาเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน
“ดังนั้น ตอนนี้สิ่งเดียวที่ข้ามี ก็คือปัจจุบัน…รวมทั้ง โลกของข้า” ขณะที่กล่าว หวังเป่าเล่อได้เดินมาถึงในโลกแห่งศิลาที่เคยอยู่ภายในไม้ดำ ดินแดนที่ลึกลับที่สุด
ที่นี่…มีดวงดาราดวงหนึ่ง เรียกว่าดาวชะตา
ที่นี่…มีดวงจิตดวงหนึ่งได้ถูกสร้างขึ้น เรียกว่าประมุขกฎสวรรค์
ประมุขกฎสวรรค์ มีสมุดเล่มหนึ่ง
เรียกว่า…สมุดแห่งโชคชะตา
แต่ละก้าวที่หวังเป่าเล่อเดินสู่ดาวชะตา คราวนั้นที่เดินสู่ยอดเขา ที่นั่น…ประมุขแห่งสวรรค์นั่งขัดสมาธิ ดวงตาลืมขึ้น มุมปากปรากฎรอยยิ้ม จ้องไปที่ร่างหวังเป่าเล่อที่ค่อยๆ ใกล้เข้ามา
“นับตั้งแต่เกิดสติขึ้น ก็มีเสียงบอกข้า ว่า…วันหนึ่ง ข้าจะได้เห็นดวงจิตเทพจุติอย่างแท้จริง เสียงนั้นบอกข้า เมื่อข้าได้เห็นดวงจิตเทพ ข้าจะหลุดพ้น”
“ข้ารอคอยมาตลอด” ประมุขกฎสวรรค์กล่าวเสียงเบา จากนั้นก็ลุกขึ้นยืน โค้งคำนับ…ไปทางหวังเป่าเล่อ
ในการคำนับนี้ ร่างของเขาเลือนราง ทั่วทั้งดาวชะตาล้วนเลือนราง ดวงดาราค่อยๆ จางหาย กลายเป็นสมุดขนาดมหึมาที่ลอยอยู่ในท้องฟ้า!
และประมุขกฎสวรรค์ก็เลือนหาย กลายเป็นวานรเฒ่า คำนับไปทางหวังเป่าเล่อ แล้วสลายไปอีกครั้ง ราวกับจากไปจากที่แห่งนี้
และในเวลาเดียวกัน สมุดแห่งโชคชะตาสั่นไหว ค่อยๆ ลอยมาอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ราวกับจะรอให้เขาหยิบไป
หวังเป่าเล่อยืนอยู่หน้าสมุดแห่งโชคชะตาไม่ได้รีบหยิบไป หันไปมองท้องฟ้า แล้วเอ่ยเบาๆ
“พวกเจ้า ยินยอมให้ข้าพิทักษ์จากนี้ไปหรือไม่”
เสียงนี้บางเบาแท้ๆ แต่เมื่อส่งออกไป กลับดังก้องไปทั่วทั้งโลกของไม้ดำในทันที ดังก้องในดวงดาราแต่ละดวงในโลกนี้ และในจิตสำนึกของแต่ละชีวิต
ทำให้ขณะนี้ ทุกสิ่งในโลกทั้งหมดสัมผัสได้ กลายเป็นเสียงก้องกังวานอยู่ภายในใจ สะเทือนจิตวิญญาณ และยิ่งไปกว่านั้นภายในจิตใจก็ปรากฎ…ชีวิตทั้งหมดของหวังเป่าเล่อ
พวกเขาเห็นถึงความสุขของหวังเป่าเล่อ เห็นถึงการเติบโต เห็นถึงความทุกข์โศก เห็นถึงความบ้าคลั่ง และยังเห็นถึงความมุ่งมั่นของเขาที่จะพิทักษ์โลกนี้
นี่คือสิ่งที่เขามี สามารถเป็นความงดงามของเขาเอง
หลังจากนั้นอีกนาน เสียงตอบรับของสรรพสัตว์ก็ส่งออกมา จากภายในโลกแห่งศิลา
“ยินยอม!”
“ยินยอม!”
“ยินยอม!”
ขณะนี้ ต้นไม้ใบหญ้าก็ดี ผู้ฝึกตนก็ช่าง ไม่ว่าจะเป็นคนสามัญ อสูรร้าย จนถึงเขาลำธาร กระทั่งดวงดารา สรรพสัตว์ล้วนกำลังตอบรับ จิตสำนึกสายแล้วสายเล่าส่งมาไม่ขาด บรรจบกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้สมุดแห่งโชคชะตาที่อยู่กับหวังเป่าเล่อ ค่อยๆ ส่องประกายระยิบระยับออกมา
ท่ามกลางการตอบรับนับไม่ถ้วนในความสว่างไสวนี้ หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงจากคนสนิทและสหายของระบบสุริยะ เขาได้ยินถึงความตื่นเต้นของอาจารย์ ได้ยินความตื่นเต้นของสหายเก่า
ภายในนั้นมีเจ้าเยี่ยเหมิง มีจั่วอี้ฟาน มีหลินเทียนหาว มีตู้หมิน…
ไม่เพียงแต่ระบบสุริยะ ไม่ว่าจะเป็นเต๋าฝ่ายซ้ายหรือสำนักเสริม หรือว่าเขตแดนศูนย์กลาง ล้วนเป็นเช่นนี้ มีผู้ที่เขาคุ้นเคย และก็มีผู้ที่เดิมทีเป็นปฎิปักษ์กับเขา แต่เวลานี้ ทั้งหมด…กำลังตอบรับ
กระทั่งสุดท้าย ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยะและปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณ หลังจากถอนหายใจในความเงียบ ก็ออกปากตอบรับ
และโลกแห่งศิลาก็ปะทุแสงทอประกาย หลังจากคำกล่าวของพวกเขา กระทั่งสุดท้าย…ภายในดินแดนแห่งการล่มสลาย ก็ตอบรับออกมาเช่นเดียวกัน ทั้งโลกแห่งศิลา เสียงทั้งหมดหลอมรวมไว้ด้วยกัน กลายเป็นเสียงแห่งความยิ่งใหญ่ไพศาล
นั่นคือเสียงแห่งสรรพสัตว์ และก็เป็น…เสียงแห่งโลกจิตวิญญาณของโลกแห่งศิลา
“ยินยอม!”
ทันทีที่เสียงนี้ปรากฎขึ้น โลกแห่งศิลาก็สลายไปแล้ว ทั้งหมดที่มี ต่างกลายเป็นแสงสายแล้วสายเล่า มาจากทั่วสารทิศ บรรจุบนสมุดแห่งโชคชะตานี้ ในหน้าสมุดภายใน กลายเป็น…อักษร
สมุดย่อมก่อจากอักษร
สมุดเล่มนี้ก็คือโลกนี้
และสายตาของหวังเป่าเล่อในขณะนี้ก็ปรากฎแสงแห่งความพากเพียร ค่อยๆ ยื่นมือขวาของตนออกไปทางสมุดแห่งโชคชะตา
ไว้บนฝ่ามือ
ทันใดนั้น สมุดแห่งโชคชะตากลายเป็นกระแสแสง ตรงมาที่ฝ่ามือของหวังเป่าเล่อ เล็กลงเรื่อยๆ กระทั่งสุดท้ายเมื่อตกลงบนฝ่ามือของเขา แทนที่ลายมือของหวังเป่าเล่อ และหลอมรวมกับมันอย่างสมบูรณ์
เวลาต่อมา ฝ่ามือขวาของหวังเป่าเล่อกำลงอย่างระวัง
ราวกับกำอัญมณีล้ำค่า
เขาแหงนหน้าขึ้น สิ่งที่เขาเห็น ไม่มีท้องฟ้า ยิ่งไม่มีดวงจิตเทพ
มีความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด คล้ายกับหลุมดำที่ไม่มีแรงสูบ และในความว่างเปล่าผืนนี้ นอกจากเขา…ยังมีเงาร่างหลายสายที่อยู่ไกลๆ ที่อยู่ต่ำกว่าระดับของเขา กำลังมองเขาอย่างเงียบๆ
เงาร่างหลายสายนั้น ที่นำโดยแม่นางน้อย ข้างร่างของนางมีปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์ ยังมี…วานรเฒ่าตัวหนึ่งและจิ้งจอกตัวหนึ่ง
หวังเป่าเล่อก้มศีรษะเป็นเวลานาน ไม่ได้ไปมองร่างของแม่นางน้อย แต่มองไปทางฝ่ามือของตนเอง ในฝ่ามือขนาดสามนิ้วนั้น บรรจุด้วย…
โลกของเขา
…………………………..
ความเป็นมาของโลกแห่งศิลา เต็มไปด้วยความลึกลับสำหรับผู้ที่ไม่รู้ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อรวมทั้งเหล่าเทพเคารพสูงสุดภายนอกศิลาเหล่านี้ มิใช่สิ่งลึกลับแต่อย่างไร
ที่นี่ เดิมทีก็คือหัตถ์ขวาของหลัวจำแลง
เดิมทีมีเสถียรภาพมาก แต่ด้วยความเสื่อมของหลัว ทำให้การผนึกกดนี้ไม่ได้ดำเนินต่อไปจนถึงรากฐาน เช่นไม้ที่ไร้รากและค่อยๆ เหี่ยวเฉา จึงทำให้หัตถ์ขวาแห่งหลัวก็ยิ่งอ่อนแรงลง สูญเสียพลังที่มันพึงมีไป
นี่ก็คือเหตุใด ทั้งๆ ที่หลัวสามารถต่อสู้กับมหาเทพได้ แต่หัตถ์ซ้ายของเขากลับสามารถเพียงฝืนต่อต้านร่างอวตารมหาเทพ กระทั่งสุดท้ายยังถูกหลบหลีกไปได้
ในท้ายที่สุด หัตถ์หลัวก็ไม่มีพลังชีวิตแล้ว
แต่ตอนนี้…ในสายตาของชายชรา หัตถ์ยักษ์มหึมาที่ยื่นออกมาจากศิลานี้ แตกต่างยิ่งกับที่เขาเคยมองจากไกลๆ ไม่เหี่ยวแห้งมืดมนอีกต่อไป แต่…เต็มไปพลังชีวิต
พลังชีวิตนี้เห็นชัดว่าย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะมาจากหลัวที่เสื่อมถอย แต่มาจาก…หวังเป่าเล่อ
และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ชายชราเสียงแหบแห้ง เพราะสามารถทำได้ถึงจุดนี้ มีเพียงหล่อหลอมโลกแห่งศิลาเท่านั้น จึงจะสำเร็จได้
มีเพียงนำโลกแห่งศิลาหลอมเป็นส่วนหนึ่งของตน จึงจะรวมเข้าสู่ร่างได้ และต่อพลังชีวิตให้มัน
เรื่องนี้ ทำให้ชายขราเกิดความหวาดกลัวขึ้นในใจ ความหวาดกลัวของเขาย่อมมิใช่ระดับฝึกตนของหวังเป่าเล่อ อันที่จริงดูไปแล้วขั้นที่สี่ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ตนสั่นคลอนได้
สิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัว คือสถานะของหวังเป่าเล่อรวมทั้งการตกปลาที่อีกฝ่ายแสดงออกมาก่อนหน้านั้น
“ทัณฑ์แห่งธาตุไม้…” ชายชราหรี่ตา แล้วพึมพำอยู่ในใจ
ที่มาของไม้ดำ เขาย่อมรู้ดี นี่คือเต๋าธาตุไม้สารัตถะจำแลงเป็นหนึ่งในห้าธาตุสารัตถะที่เป็นต้นกำเนิดภายในจักรวาลอันยิ่งใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดนี้ มันคือสุดยอดของธาตุไม้ แหล่งกำเนิดของกฎเต๋าธาตุไม้การฝึกตนของสรรพสัตว์ และเป็นการแสดงถึงหายนะในเวลาเดียวกัน
ด้วยเพราะห้าธาตุสารัตถะแต่ดั้งเดิมนี้ ตนเองก็ไม่ได้มีความรู้ หรืออาจกล่าวได้ว่า แทบจะไม่อาจเกิดความรู้อย่างแท้จริง
ดังนั้น พวกมันจะไม่ส่งผลต่อผู้ฝึกตนในการฝึกเต๋าของเขา ได้แต่เพียงขับดันไปตามสัญชาตญาณ สำหรับสิ่งมีชีวิตที่พยายามปลอมแปลงตรรกะที่ก้นบึ้งของจักรวาล หายนะแห่งการจุติดับสูญ
เพียงแต่ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ถูกหายนะแห่งการจุติดับสูญ นั่นก็คือมหาเทพ
และหากมหาเทพเอาชนะหายนะได้สำเร็จ สรรพสัตว์ภายในจักรวาลกว้างใหญ่กระทั่งเทพเคารพสูงสุดเหล่านั้น ก็ต้องศิโรราบ นี่คือสิ่งที่เขาไม่ยินยอม และก็เป็นสาเหตุที่เขาโน้มน้าวผู้อื่น ทำให้ผู้อื่นยินยอมร่วมมือกับเขา
ในทางกลับกัน เมื่อมหาเทพพ่ายแพ้ หมื่นวิถีที่ถูกเขากักไว้จะคืนกลับ และล้มเหลวตามไปด้วย แต่ผู้ที่ถึงขั้นเทพเคารพสูงสุด ต่างก็สามารถมีโอกาสตระหนักรู้ ถึงเวลานั้น…บางทีอาจมีมหาเทพองค์ใหม่ ที่จะถือกำเนิดในหมู่พวกเขา
ดังนั้นจึงมีแผนนักรบธาตุไม้ที่ใช้ ภายใต้การนำของเขา และโลกแห่งศิลาที่ผนึกหัตถ์หลัว ความพิเศษของมันในตอนแรก จึงเป็นธรรมดาที่จะเลือกแผนการนี้มาดำเนินการที่นี่
ตามแผนการแต่เดิมที หวังเป่าเล่อจะฉีกกระชากอาวุธของมหาเทพ หากเขาทำสำเร็จ มหาเทพพ่ายแพ้ในการก้าวผ่านหายนะ และล้มเหลวด้วยตนเอง
หากหวังเป่าเล่อพ่ายแพ้ ก็สามารถทำให้มหาเทพเกิดการเสียเปรียบปางตาย ไม่อาจไปถึงขั้นวัฎจักร และมีความเป็นไปได้ที่จะล้มเหลว
ในเวลาเดียวกัน เพราะความพิเศษของแหล่งแห่งธาตุไม้ แทบจะไม่อาจเกิดความรู้อย่างแท้จริง ดังนั้นแผนการนี้ จึงเพิ่มชั้นปราการป้องกันที่ไร้การควบคุม และแม้เขาจะเห็นเส้นทางการเติบโตของหวังเป่าเล่อด้วยตาตนเอง ก็ไม่มีสาเหตุให้ไปใส่ใจเกินไป
สำหรับเขาแล้ว นั่นเป็นเพียงอาวุธอย่างหนึ่ง แม้จะมีความรุ้ แต่ความรู้นี้…สุดท้ายการเติบโตมีจำกัด ไม่มีสิ่งใดต้องกังวล เพราะในทางทฤษฏี อีกฝ่าย…ไม่ใช่ของจริง ด้วยสาเหตุบางอย่าง เขา…แม้จะยืนอยู่ต่อหน้าตนเอง ก็ไม่อาจเห็นตนได้
เหมือนเป็นสองมิติ
แต่ทั้งหมดนี้ ด้วยบุตรสาวของเทพเคารพสูงสุดผู้หนึ่ง ปรากฎการเบี่ยงเบน หากเป็นเทพเคารพสูงสุดท่านอื่นก็ช่างเถอะ แต่กลับเป็นเทพเคารพสูงสุดผู้นี้…พลังและสถานะ เหนือกว่าปกติ เทพเคารพสูงสุดท่านอื่นที่ถูกตนโน้มน้าว ยอมจำนนต่อพฤติกรรมของเทพเคารพสูงสุดผู้นี้
นี่คือความเบี่ยงเบนแรก และตอนนี้…ก็ปรากฎความเบี่ยงเบนที่สอง
การเติบโตของนักรบธาตุไม้นี้ เกินกว่าแผนที่วางไว้ ที่ใช้ร่างอวตารมหาเทพเป็นเหยื่อล่อ เพื่อหมายจะตกปลา และยิ่งกว่านั้น..ยังเห็นตนแล้ว
นี่ทำให้เกิดระลอกคลื่นพลิกฟ้าลูกใหญ่ภายในใจของเขา ทำให้เขารู้เข้า แผนการ…ไร้การควบคุมแล้ว
นักรบธาตุไม้ไร้การควบคุมแล้ว
“นี่เป็นไปไม่ได้…เซียน เป็นเซียน ! ชายชราหายใจถี่รัว พลันก็เหมือนจะนึกสิ่งใดขึ้นมาได้ มองไปยังใบหน้าของหวังเป่าเล่อเหนือศิลานั้นอีกครั้ง สายตาของเขาก็เผยความสับสน
เขาเข้าใจแล้ว สาเหตุของการไร้ควบคุม บางที…อาจเป็นภายในจักรวาลกว้างใหญ่นี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็มีการสืบทอดแห่งเซียนดำรงอยู่
หากกล่าวว่าแผนการที่เขาใช้ เป็นกรอบที่แน่นอนแทบจะไม่อาจถูกทำลายได้ เช่นนั้นเซียน…เพราะการล่องลอยของเขา จึงอิสระไร้การควบคุม
สองคนขัดแย้งกัน และฝ่ายหลังเห็นได้ชัดว่า…แข็งแกร่งกว่า
“เซียนของจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้…ที่แท้คือสิ่งใด” ชายชรานิ่งเงียบ บิดาหวังอีอียังคงเงียบสงบ หวังเป่าเล่อเองก็นิ่งงันเช่นกัน
หัตถ์แห่งหลัวที่ยื่นออกมาจากโลกแห่งศิลา ในสายตาของชายชราดูกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต พลังชีวิตหนาแน่น แต่ในสายตาของหวังเป่าเล่อกลับไม่เป็นเช่นนั้น
สิ่งที่หัตถ์แห่งหลัวแผ่ออกมา ไม่ใช่พลังชีวิต แต่เป็น…ปราณแห่งความมืด
ปราณแห่งความมืด…ที่หนาแน่นจนถึงขีดสุด
เพราะ นี่คือปราณแห่งความมืดที่กลายมา เพราะ…สิ่งที่หวังเป่าเล่อตระหนัก มิใช่เพียงธาตุทั้งห้า
สามเต๋าหลังของแปดเต๋าปรมัตถ์ เขาได้ตระหนักก่อนหน้าธาตุทั้งห้าขั้นสูงสุด หลังจากธาตุทั้งห้า ก็เป็นหยินหยาง หลังจากหยินหยางแล้ว คือล่องลอย
หยินสูงสุด หยางสูงสุด และล่องลอยสูงสุด!
เพียงแต่ยังขาดหยางสูงสุด และหวังเป่าเล่อก็ยากที่จะได้รับ ดังนั้นล่องลอยนี้ จึงยังไม่ถึงขั้นสูงสุด แต่หยินสูงสุด..เขาได้ครอบครองแล้ว นั่นคือเต๋าแห่งการดับสูญของสำนักแห่งความมืดที่กลายมาจากการหลอมรวม
ดังนั้นจึงปรากฎการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ชายชราและชายหนุ่มสีโลหิตต่างไม่อาจคาดเดาได้ การฝึกตนของหวังเป่าเล่อไม่ใช่ห้าเต๋า แต่เป็นหกเต๋าครึ่ง
ครึ่งเต๋าที่เกินออกมาคือล่องลอย
หกเต๋าครึ่งนี้ ทำให้ร่างอวตารของเขาแข็งแกร่งที่สุด จึงสามารถต่อสู้กับชายหนุ่มสีโลหิตได้ ในเวลาเดียวกันก็เป็นเพราะครึ่งเต๋าล่องลอยนั้น ทำให้หวังเป่าเล่อเกิดคำถามต่อการดำรงอยู่ของตนเอง
เขาต้องการรู้ ที่แท้แล้วมีคนมากมายเท่าใดที่ติดตามการต่อสู้นี้
ที่แท้มีคนมากมายเท่าใด พยายามมีอิทธิพลต่อตนเอง
เขาอยากจะรู้ เนื้อแท้ไม้ดำของตนเอง ที่แท้แล้วมาจากทางใด
และสิ่งที่ผู้อื่นกล่าว เขาก็ไม่เชื่อ ดังนั้นเขาต้องการตกปลา
ด้วยการใช้ร่างอวตารของมหาเทพเป็นเหยื่อ ไปดูว่า มีผู้ใดมา
เขาต้องการดู เช่นเดียวกับปีนั้นในสมุดแห่งโชคชะตาของประมุขกฎสวรรค์ ในขีดจำกัดเขาก็ดิ้นรนไปดูโลกภายนอกเช่นกัน ในเวลานี้เขาก็เป็นเช่นนี้ เขาต้องการเห็นผลลัพธ์
ดังนั้น หวังเป่าเล่อได้ซ่อนร่างต้นแบบเอาไว้ หลอมรวมโลกแห่งศิลา…อย่างเงียบๆ
เพราะเขารู้ ไม่ว่าตนเองจะเห็นสิ่งใด โลกแห่งศิลา ก็เป็นรากเหง้าของตน ดังนั้น เขาต้องการนำโลกแห่งศิลามาไว้ในกำมือก่อน
เวลานี้ เขาเห็นแล้ว
หลังจากความเงียบงัน หวังเป่าเล่อพลันก็ยิ้มออกมา ในแววตาที่สับสนของชายชรา เขายกหัตถ์แห่งหลัวที่กำการเวียนว่ายเต๋าธาตุไม้ขึ้น บีบเบาๆ
เสียงแคว๊กดังขึ้นอย่างชัดเจน แต่เหมือนจะสามารถสั่นคลอนจิตวิญญาณ ราวกับจะส่งออกมาจากเบื้องลึกของจักรวาล และยังเหมือนจะก้องกังวานจากที่นี่ถึงส่วนนอกสุดของจักรวาล ทำให้จิตใจของชายชราสั่นไหว ยังทำให้สายตาทั้งหมดที่จดจ้องติดตามที่นี่ บรรจบกันจากทุกทิศทุกทางของความว่างเปล่า
เวียนว่ายดับสูญ!
“เจ้าต้องการให้เขาตาย ข้าได้ทำสำเร็จแล้ว ”
“เช่นนั้นจากวินาทีนี้เป็นต้นไป…”
อย่าได้มากวนใจข้า”
เสียงของหวังเป่าเล่อต่ำลึก ขณะที่ถ่ายทอดสู่จักรวาล ใบหน้าเหนือศิลา ได้เลือนหายไปพร้อมกับหัตถ์แห่งหลัว เสียงก้องกังวานในขณะนี้วิธีการปะทุที่สั่นสะเทือนความว่างเปล่า และในระหว่างที่ความผันผวนกระจายออกไปรอบๆ อย่างบ้าคลั่ง ศิลา…ก็ถูกแทนที่ด้วยไม้ยักษ์สีดำจำแลง
ไม้ยักษ์ ตั้งตระหง่านอยู่ในท้องฟ้า
…………………………………………..
ความแตกต่างที่เป็นพื้นฐานที่สุดระหว่างออกกฎตามคำพูดกับคำพูดกำหนดเต๋า ก็คือกฎเวทที่คนแรกรวบรวมมาทั้งหมด คล้ายกับว่าไม่มีสิ่งใดที่ไม่อาจทำได้ แต่บนความเป็นจริงล้วนเป็นกฎที่มีมาบนโลกแต่เดิมที
และคนหลัง ก็สร้างเรื่องขึ้นมาตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อที่เข้าร่วมให้ได้ และ…เมื่อได้เข้าร่วม ก็จะคงอยู่ตลอดไป
ทั้งสองฝ่ายเป็นเช่นผู้สืบทอดและผู้ก่อตั้ง ดูคล้ายกัน เพียงแต่เป็นคุณสมบัติที่แตกต่าง
เวลานี้คำกำหนดเต๋าที่ชายหนุ่มสีโลหิตใช้ออกมา มีพลังจนน่าตระหนก ส่งผลกระทบต่อโลกแห่งศิลายิ่งนัก ทำให้โลกแห่งศิลาสั่นไหวอย่างรุนแรง เรื่องที่กุขึ้นนั้นเป็นกฎที่เกิดจากความว่างเปล่า จากภายนอกสู่ภายใน มาบรรจบภายในโลกแห่งการเวียนว่ายของเต๋าธาตุไม้ของหวังเป่าเล่อ
ภายในโลกแห่งการเวียนว่ายของเต๋าธาตุไม้ เวลานี้เสียงคำรามก้องกัมปนาท ตะปูไม้ดำที่อยู่เหนือใบหน้ามหาเทพที่จำแลงมาจากชายหนุ่มสีโลหิตไปสิบจั้ง เวลานี้ก็สั่นอย่างรุ่นแรงเช่นกัน ราวกับจะรับไว้ไม่ไหว ตรงขอบของมันเริ่มเกิดรอยแตก คล้ายกับถูกทำลาย จนแตกเป็นเสี่ยงๆ กระจายออกไปรอบด้านแล้วก็สลายไป เพียงไม่กี่อึดใจก็ถูกทำลายไปกว่าเจ็ดแปดส่วน
ทำให้ความว่างเปล่ารอบด้านมันกลายเป็นความขมุกขมัว ด้วยเพราะถูกฉาบไปด้วยการทะลายของไม้ขนาดใหญ่
โดยเฉพาะเป็นไม้มหึมานี้ เวลานี้เมื่อมองไปแล้ว ยากเกินกว่าที่จะเรียกมันว่าเป็นไม้มหึมาเหมือนเป็นท่อนไม้มากกว่า กระทั่งมองจากไกลๆ ก็มิใช่ตะปูอีกต่อไป เหมือนเป็นไม้ฝอยเสียมากกว่า
และยังคงแหลกสลายไปอย่างต่อเนื่อง
ดูเหมือนในเวลาไม่นาน ไม้ดำนี้ถูกพังทะลายจนเป็นเถ้าธุลี
เหตุการณ์จากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดมองไป ต่างก็มองออกว่าหวังเป่าเล่ออยู่ท่ามกลางวิกฤตและความอ่อนแออย่างรุนแรง กระทั่งชีวิตก็อยู่บนเส้นด้าย
อย่างไรก็ตาม ไม้ดำเป็นร่างของเขา เมื่อไม้ดำถูกทำลายอยู่ตรงนี้ เช่นนั้นร่างของหวังเป่าเล่อเอง ก็ยากนักที่จะดำเนินต่อไปได้
โดยเฉพาะการพลิกกลับทั้งหมดนี้เร็วเกินไป ในโลกห้าธาตุสี่เต๋าก่อนหน้านั้น หวังเป่าเล่ออยู่เหนือการครอบครองอย่างชัดเจน แต่เวลานี้…ภายในเต๋าธาตุไม้สารัตถะของเขา นึกไม่ถึงว่าจะถูกล้มล้างลงอย่างสมบูรณ์
เห็นได้ชัดว่า ทั้งหมดนี้ไม่สมเหตุสมผล และเรื่องเกิดอย่างผิดปกติ ต้องเป็นเพราะปีศาจ
อันที่จริงก็เป็นเช่นนั้น ทันใดนั้น ชายหนุ่มสีโลหิตที่จำแลงมาจากใบหน้าของมหาเทพ ก็กล่าวออกมา
“หวังเป่าเล่อ ท้ายที่สุดเจ้า…ก็เป็นเพียงซากวิญญาณ ครานี้…เจ้าไม่อาจชนะได้ เจ้ารู้หรือไม่ ที่จริงข้ารอคอยมาตลอด รอการเวียนว่ายเต๋าธาตุไม้ของเจ้า ”
“นี่ก็คือเหตุผลที่ข้าไม่ได้ใช้คำกำหนดพลังเทพนี้ออกมา ในสี่เต๋าของเจ้าก่อนหน้านั้น”
“ข้าดูเจ้าสำแดงการเวียนว่าย ดูเจ้าโดดเด่น ดูเจ้า…พังพินาศ หวังเป่าเล่อ ข้า…ชนะแล้ว!” ชายหนุ่มสีโลหิตที่กลายจากใบหน้ามหาเทพ เวลานี้อ่อนแอยิ่ง แต่กลับไม่ปรากฏความบ้าคลั่งบนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย มีแต่เพียงความสงบนิ่ง
ดูเหมือนความบ้าคลั่งที่เคยเกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเรื่องเท็จ ตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่เขาสังเกตว่าระดับฝึกตนของหวังเป่่าเล่อเพิ่มขึ้น และตั้งแต่เริ่มเข้าสู่โลกแห่งศิลา สิ่งที่ทำหรือสิ่งที่เป็นทั้งหมด ภายใต้ความบ้าคลั่งนั้น ล้วนเป็นเช่นที่ผ่านมา ความเงียบสงบที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
รอคอยเต๋าธาตุไม้และเทพจุติของหวังเป่าเล่ออย่างสงบ
สำแดงพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเองออกมาในเต๋าธาตุไม้นี้อย่างสงบ หมัดเดียวกำหนดแพ้ชนะ
ทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในโลกเต๋าธาตุไม้ รวมทั้งเวลานี้คำพูดที่ราบเรียบชองชายหนุ่มสีโลหิต ทำให้เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงขึ้นนอกโลก
เวลานี้ ท้องฟ้าจักรวาลใหญ่ที่นอกโลกแห่งศิลา สายตาแต่ละคู่จ้องมาจากท้องฟ้าพกพาความผันผวนแห่งอารมณ์ ด้วยพลังกดดันของผุ้ที่มองมา ท้องฟ้ารอบด้านโลกแห่งศิลาดูเหมือนจะรับไว้ไม่ไหว และเริ่มบิดเบี้ยว
และความบิดเบี้ยวนี้ยิ่งรุนแรงขึ้น และแผ่ขยายไปถึงศิลา ทำให้ดูเหมือนมีสัญญาณว่าศิลาจะพังได้ทุกเมื่อ ยิ่งภายใต้การบรรจบกันของสายตาเหล่านั้น แล้วยังถูกสียงชราของบิดาหวังอีอีที่คำรามเย็นยะเยือกทะลายท้องฟ้าก่อนหน้านั้น เวลานี้แฝงไปด้วยความมืดมนและแผ่ออกไปรอบด้าน
“ขยะ!”
น้ำเสียงนี้พกความเย็นชา ยังมีความเคืองแค้น กระทั่งแฝงไปด้วยความเกียจชัง
เวลาเดียวกับคำพูดนี้ส่งออกมา ภายนอกโลกแห่งศิลานี้ เงาสายหนึ่งมาพร้อมกับเสียงสะท้อนก้องรวมกันออกมา นั่นคือชายชราผู้หนึ่ง ร่างสวมชุดคลุมยาวสีม่วง ร่างกายมีสภาพกึ่งลวงตา คล้ายกับสามารถหลอมรวมกับท้องฟ้า แต่ก็ยังถูกท้องฟ้าสะท้อนส่งจางๆ
ในขณะนี้เขาสามารถเห็นได้ถึงความมืดมนที่แสดงออกมาบนใบหน้าที่ไม่ชัดเจนนัก และยิ่งหลังจากคำกล่าว ชายชรานี้ก็หันหน้ามองไปทางบิดาหวังอีอี ที่นั่งอยู่บนเรือเดียวดาย
“สหายเต๋าหวังเรื่องได้มาถึงตรงนี้แล้ว พวกเราก็ได้ให้โอกาสแก่เขาแล้ว หรือเจ้ายังต้องการรั้งข้าไว้รอให้แผนการล้มเหลวหรือ”
บนเรือเดียวดาย บิดาของหวังอีอีเงยหน้าขึ้น ดวงตาเย็นชา ไร้อารมณ์แอบแฝง ราวกับจิตใจเงียบสงบ ในขณะนี้ แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเสียเปรียบ และสามารถพลาดพลั้งได้ทุกเมื่อ แต่ก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใด เพราะ…เวลานี้มีเสียงที่หนาวเหน็บ เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นในการสังหาร ในขณะนี้…ได้ค่อยๆ แพร่กระจายออกมาจากภายในโลกแห่งศิลาอย่างฉับพลัน
“เจ้าบอกสิ ผู้ใดเป็นขยะ”
ทันทีที่คำพูดนี้ออกไป บิดาของหวังอีอีมิได้มีสีหน้าไม่คาดฝันใดๆ หันหน้าไปมอง กระทั่งชายชราผู้นั้นถึงกับผงะไป รีบมองไปทางโลกแห่งศิลา วินาทีต่อมานัยน์ตาเขาก็พลันหรี่ลง
เห็นเพียง…เหนือศิลาขนาดมหึมาที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า วินาทีนี้…พลันก็ปรากฎใบหน้าหนึ่งออกมา ใบหน้านี้…ก็คือหวังเป่าเล่อ
แต่ท่ามกลางการรับรู้ของชายชรา แยกแยะได้ชัดเจนว่าขณะนี้หวังเป่าเล่ออยู่ในการเวียนว่ายของเต๋าธาตุไม้ของโลกแห่งศิลา ในการคำนวณของมหาเทพ เผชิญหน้ากับวิกฤตที่จะถูกกวาดล้าง แต่ใบหน้ามหึมาที่อยู่ตรงหน้านี้ ทำให้เขารู้สึกว่าแข็งแกร่งกว่าเงาร่างในการเวียนว่ายเต๋าธาตุไม้ กระทั่ง…มีคุณสมบัติในการกระตุ้นตนเองอีกด้วย
“เจ้า…” สีหน้าชายชราเปลี่ยนไป
“ที่ต่อสู้อยู่ภายในการเวียนว่ายเต๋าธาตุไม้ เป็นเพียงร่างอวตารของเขา” ภายในเรือเดียวดาย บิดาของหวังอีอีกล่าวอย่างแผ่วเบา
“เจ้าเข้าใจว่า เขาต่อสู้กับมหาเทพอย่างเต็มกำลัง แต่อันที่จริง…”
“อาวุธนักรบในสายตาของเจ้า คือสหายน้อยในสายตาของข้า เห็นได้ชัดว่าได้มีการคาดการณ์ไว้แล้ว ดังนั้นเขากำลังตกปลา โดยใช้ร่างอวตารมหาเทพเป็นเหยื่อล่อ…ปลาตัวใหญ่ที่พยายามส่งผลต่อเสรีภาพของเขา”
“สหายเต๋าจิว ขอบเขตความรู้ของเจ้ายังไม่เพียงพอ”
ขณะที่บิดาหวังอีอีกล่าวออกมา สีหน้าชายชรายิ่งไม่น่าดู สายตายังคงยังมีความยากที่จะเชื่อ มองไปบนศิลาที่เวลานี้มีใบหน้าหวังเป่าเล่อลอยอยู่
“ข้าไม่เชื่อ มหาเทพแม้จะถูกคุกคาม ถึงตอนนี้ก็ยังคงหลับไหล แต่สัญชาตญาณของเขาดวงจิตเทพที่จำแลง ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนสามัญจะสามารถต่อต้านได้ แม้ว่าจะเป็นนักรบแหล่งไม้ หากเป็นเพียงซากวิญญาณ ก็ต้องใช้พลังทั้งหมดจึงจะได้”
“ดังนั้น เจ้าไม่อาจมีพลังหลงเหลือมาจำแลงอยู่ข้างนอก ขณะที่กำลังคุกคามดวงจิตมหาเทพอยู่ เจ้า…”
“เจ้าหมายถึงเขาหรือ” ใบหน้าหวังเป่าเล่อบนศิลา ไม่รอให้ชายชรากล่าว เอ่ยขัดจังหวะชายชราออกมาเบาๆ ราวกับกำลังสะบัดมือ ครู่ต่อมา ภายในโลกแห่งศิลา การเวียนว่ายเต๋าธาตุไม้ก็ราวกับลูกปัดลูกหนึ่ง และภายนอกลูกปัดนี้คือความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด เวลานี้ความว่างเปล่าก็ม้วนหมุนโดยตรง ทันใดนั้น…ความว่างเปล่าทั้งหมดก็เคลื่อนไหวขึ้นมา ครอบคลุมไปทางโลกเวียนว่ายของเต๋าธาตุไม้
เหตุการณ์นี้ตกอยู่ในสายตาของชายชรา ทำให้จิตใจของเขาคำรามก้อง เพราะยืนอยู่ที่มุมมองของเขามองไปที่โลกแห่งศิลาที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเวลานี้…ความว่างเปล่าที่ม้วนหมุนอยู่นั้น ก็คือฝ่ามือขนาดมหึมาข้างหนึ่ง
การครอบคลุมที่ว่า ในความเป็นจริงก็คือฝ่ามือมหึมานี้ กำเดียว…ก็สามารถหอบทั้งโลกเวียนว่ายเต๋าธาตุไม้ไว้ในฝ่ามือแล้ว
เวลาเดียวกับที่ไม่อาจทนการต่อสู้ได้อีกต่อไป ฝ่ามือมหึมานี้ แผ่ออกไปนอกโลกแห่งศิลา และปรากฎอยู่…ต่อหน้าชายชรา !
มองไปไกลๆ กำปั้นที่ยื่นออกมาบนศิลา กว้างใหญ่จนน่าตระหนก ความผันผวนกระจายออกจากมันเผยความหมายแห่งบุพกาลที่ไม่สิ้นสุด ราวกับมาจากบรรพกาลอันไกลโพ้น ยิ่งมีพลังชีวิตที่หนาแน่นกำลังระเบิดอยู่ภายใน
“หัตถ์แห่งหลัวหรือ เจ้า…เจ้าหล่อหลอมโลกแห่งศิลาแล้วรึ!” สีหน้าชายขราเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อุทานอย่างไม่รู้ตัว
……………………
ขณะเดียวกันกับที่หวังเป่าเล่อเอ่ยขึ้น เสียงคำรามก็ดังออกมาจากในกระแสน้ำวนสีเลือดที่ถูกตัดออกจากกัน สายฟ้าสีเลือดกะพริบวาบอยู่ระหว่างกระแสน้ำวนทั้งสองส่วนอย่างต่อเนื่อง
เสียงกรีดร้องยิ่งพุ่งทะยานขึ้นฟ้า หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าดวงตามหาเทพในกระแสน้ำวนสีเลือดก็ถูกฟันขาดออกจากกันด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ใบหน้าของเด็กหนุ่มชุดแดงก็ถูกฟันขาดจากกลางหว่างคิ้ว
ขณะนี้สายฟ้าเพิ่มจำนวนขึ้น กระแสน้ำวนก็ดูเหมือนจะใช้พลังทั้งหมดเพื่อรวมเข้าด้วยกันอีกครั้ง
หวังเป่าเล่อที่กำลังจ้องมองทุกอย่างเงยหน้าขึ้นอย่างไม่สนใจอะไรราวกับมองไปไกลแสนไกล สายตาเขา…เหมือนกับไม่ได้มองโลกใบนี้ แต่เป็นนอกโลกศิลา
แต่ทุกการกระทำนั้นก็หายวับไปในฉับพลันจนยากจะสังเกตเห็น วินาทีต่อมาเขาก็ก้มมองกระแสน้ำวนสีเลือดต่อ นัยน์ตาปรากฏความเย็นชาอย่างชัดเจน เขาบอกตัวเองในใจว่าการกลับมาเกิดของธาตุทั้งห้าดำเนินมาถึงธาตุที่สี่แล้ว เหลือเพียงธาตุไม้เท่านั้นที่ยังไม่ได้สำแดงออกมา และเต๋าธาตุไม้…ก็เป็นเต๋าสารัตถะ เป็นเต๋ารากฐานของเขา ขณะเดียวกันก็เป็นเต๋าที่แข็งแกร่งที่สุด
ดังนั้นเขาต้องสร้างโอกาสที่จะระเบิดเต๋าธาตุไม้ของตนออกมาได้อย่างสมบูรณ์ และตอนนี้…ดวงตามหาเทพที่ถูกสี่ธาตุก่อนหน้าตัดกำลังลงอย่างต่อเนื่องได้ไร้แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวไปหมดแล้ว และตอนนี้…ก็เป็นเวลาที่เขาจะใช้เต๋าธาตุไม้แล้ว
วินาทีต่อมาเมื่อกระแสน้ำวนสีเลือดพยายามจะกลับมารวมตัวกันนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้น ทันใดนั้นทั้งโลกก็ร้องคำราม ด้านหลังเขาพลันปรากฏไม้ขนาดใหญ่ขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
และนี้ก็คือไม้แห่งชีวิตของหวังเป่าเล่อ ตะปูไม้สีดำ!
ไม้นี้สีดำสนิทแผ่พลังปราณเก่าแก่โบราณ อีกทั้งยังมีความรู้สึกถึงวันคืนอันไร้ที่สิ้นสุดแผ่ออกมาจากบนไม้สีดำ ส่งอิทธิพลต่อความว่างเปล่าไปยังจักรวาล ส่งผลให้โลกทั้งใบราวกับย้อนไปในสมัยโบราณ
อีกทั้งสายฟ้าสีดำก็ได้ปรากฏขึ้นพร้อมไม้สีดำแผ่ไปทั่วทุกสารทิศและยิ่งปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุด…ก็แทรกซึมและแทนที่จักรวาล
จักรวาลกลายเป็นทะเลสายฟ้า!
หากมองขึ้นไปจะพบว่าสายฟ้าสีดำนั้นบ้าคลั่งถึงขีดสุด และไม้สีดำที่ล้อมรอบด้วยสายฟ้าก็กำลังแผ่แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวออกมาเหมือนกับ…พลังแรกแห่งจักรวาลสามารถให้กำเนิดทุกสิ่งและทำลายทุกสิ่งได้
หวังเป่าเล่อตรงหน้าไม้สีดำเมื่อเทียบกับไม้สีดำทั้งแผ่นและสายฟ้าเหล่านั้น ตัวเขาเป็นดั่งเศษธุลีไร้ชีวิต ในความรู้สึกของคนนอกราวกับว่าทุกส่วนของเขา ทั้งหมดของเขาต่างผนึกรวมเข้ากับไม้สีดำไปแล้ว
ไม้สีดำคือเขา เขาคือไม้สีดำ
รัศมีดั่งรุ้งสะเทือนฟ้าดังไปยังความว่างเปล่าของโลกศิลา ส่งผลให้ทุกชีวิตในจักรพิภพทยอยตื่นจากการถูกสายตามหาเทพตรึงจิตวิญญาณ ทั้งหมดต่างเกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในสัมผัสสวรรค์ราวกับได้เห็นเทพเจ้า
ไม่ว่าระดับการฝึกตนใด ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดล้วนตัวสั่นสะท้าน
พลังปราณนี้ได้แผ่ขยายออกมาจากโลกศิลาเช่นกัน ส่งผลให้สายตาจากนอกโลกศิลาที่กำลังให้ความสนใจทางนี้ยิ่งทวีความสนใจยิ่งขึ้น
ในตอนนั้นเอง…หวังเป่าเล่อตรงหน้าไม้สีดำเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นมือขวาที่ยกขึ้นก็ค่อยๆ วางลง
ตู้ม!
ทันทีที่วางมือลง ความว่างเปล่าพลันเกิดเสียงคำราม โลกศิลาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ไม้สีดำด้านหลังเขาเคลื่อนสายฟ้าซึ่งมีมันเป็นศูนย์กลางลงไปยังกระแสน้ำวนสีเลือดด้านล่างช้าๆ!
เมื่อมองใกล้ๆ นี่คือไม้สีดำขนาดมหึมากำลังจุติ แต่หากมองจากที่ไกลๆ …ไม้สีดำนี้ก็คือตะปูหนึ่งตัวกำลังเข้าไปใกล้กระแสน้ำวน เข้าไปใกล้เด็กหนุ่มชุดแดงที่อยู่ข้างในด้วยสายฟ้าที่มาพร้อมรัศมีที่ไม่อาจหยุดยั้ง ไม่อาจหลบหนี
กระแสน้ำวนสีเลือดที่กำลังกลับมารวมตัวกันก็ดูเหมือนไม่อาจทนรับแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้จึงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและหยุดรวมตัวกันทันที แม้แต่กระแสน้ำวนที่ถูกตัดแบ่งเป็นสองส่วนก็ยังเกิดรอยร้าว
เด็กหนุ่มชุดแดงที่ถูกฟันที่หว่างคิ้วกำลังตื่นตระหนกสุดขีด เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างรุนแรง สัมผัสได้ถึงความตายที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม
ราวกับสวมเสื้อผ้าบางๆ แต่อยู่ในป่าอันหนาวเหน็บ รู้สึกหนาวสั่นจากภายในสู่ภายนอก ขณะเดียวกันความทรงจำจากร่างต้นแบบก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น
ภาพตะปูไม้สีดำสะกดร่างต้นแบบในตอนนั้นผุดขึ้นในใจเด็กหนุ่มชุดแดง
“เจ้าไม่มีทางสะกดข้าได้เป็นครั้งที่สองหรอก!” เด็กหนุ่มชุดแดงกรีดร้องอย่างโกรธจัด เขารู้ว่าตนผสานกระแสน้ำวนไม่ทันแล้วจึงสะบัดมือทั้งสองข้างแรงๆ ทันใดนั้นกระแสน้ำวนสีเลือดที่ถูกตัดเป็นสองส่วนก็กลายร่างเป็นกระแสน้ำวนสีเลือดสองวง
ตัวเขาเองก็แบ่งเป็นสองส่วนและกลายร่างเป็นตัวเองสองร่างเช่นกัน กระแสน้ำวนทั้งสองเริ่มหมุนพร้อมกัน ข้างในปรากฏดวงตามหาเทพวงละหนึ่งข้าง
การปรากฏตัวของดวงตาทั้งสองภายใต้การอุทิศตนของเด็กหนุ่มชุดแดง และเค้าโครงใบหน้าเลือนรางทำให้หากมองจากที่ไกลๆ สิ่งที่ปรากฏอยู่ด้านล่างตะปูไม้สีดำคือใบหน้าขนาดมหึมา!
ใบหน้านั้นเหมือนกับเว่ยยางจื่อ เหมือนกับเด็กหนุ่มชุดแดง นั่นคือ…ใบหน้าที่แท้จริงของมหาเทพ!
แม้ส่วนอื่นๆ บนใบหน้าจะเลือนราง แต่ดวงตาคู่นั้นกลับมีพลัง เมื่อเสียงกรีดร้องของเด็กหนุ่มชุดแดงดังก้องไปทั่ว ใบหน้ามหาเทพก็ราวกับอ้าปากส่งเสียงกรีดร้องขึ้นไปยังตะปูไม้สีดำด้านบนไปด้วย
เสียงกรีดร้องจนท้องฟ้าแตกกระจาย ระเบิดกำลังทั้งหมดราวกับเดิมพันด้วยชีวิตได้ก่อตัวเป็นพลังโจมตีจนตะปูไม้สีดำสั่นสะเทือนเล็กน้อย แต่พลังไม่ได้หยุดชะงักแต่อย่างใด เมื่อมันอยู่เหนือหว่างคิ้วของใบหน้ายักษ์นั้นขึ้นไป 10 จั้งจึงค่อยๆ หยุดลงเพราะถูกสกัดกั้นจากพลังที่ใบหน้ามหาเทพระเบิดออกมา
“สะกด!” แทบจะในพริบตาที่ตะปูไม้สีดำถูกสกัด หวังเป่าเล่อก็เปิดรูทวารทั้งเจ็ด ร่างสารัตถะทั้งหมดรอบตัวเขาต่างรวบรวมพลังตะโกนเสียงดัง
ทันทีที่เอ่ยขึ้น ฟ้าดินพลันร้องคำราม จักรวาลแหลกสลาย ตะปูไม้สีดำพลันทะลวงผ่านปราการของใบหน้ามหาเทพ ทว่าในตอนนั้นเองใบหน้ามหาเทพก็พร่ามัวและกลายร่างเป็นเด็กหนุ่มชุดแดง โดยไร้ความบ้าคลั่งอย่างก่อนหน้านี้ มีแต่ความสงบนิ่ง เขาเอ่ยว่า
“ข้ามหาเทพ ที่สุดแห่งจักรวาล จุดเริ่มต้นกฎ ผู้ฆ่าย่อมฆ่าตัวตาย!”
ประโยคสุดท้ายรวม 18 คำ ทุกคำที่เอ่ยออกมา ใบหน้ามหาเทพจะหรี่แสงลงทีละนิด หลังจากเอ่ยจบดวงตาของใบหน้ามหาเทพก็เหมือนกับสละพลังทั้งหมดและจางสนิท
อย่างไรก็ตาม แม้ดวงตาจะหรี่แสงลง แต่ทั้ง 18 คำที่เอ่ยออกไปนั้นกลับมีพลังที่อธิบายไม่ถูก โลกศิลาส่งเสียงกึกก้อง จักรวาลอันกว้างใหญ่ด้านนอกสั่นไหว ในจำนวนกฎนับอนันต์ดูเหมือนจะมีกฎอีกข้อหนึ่งปรากฏขึ้น กฎนั้นก็คือประโยคนี้นั่นเอง มันหลอมรวมเข้ากับวิถีเต๋านับหมื่นที่ส่งผลต่อโลกศิลา ทำให้ภายในโลกศิลาเกิดกฎเต๋าข้อนี้ขึ้นไปด้วย
ซึ่งนี่มันมากกว่าคำพูดเกิดเป็นกฎแล้ว นี่มัน…คำเดียวกำหนดเต๋า!
………………………………………………….
โลกแห่งเต๋าธาตุดินยังไม่เพียงพอที่จะสยบเด็กหนุ่มชุดแดงได้ หวังเป่าเล่อรู้เรื่องนี้ดี แต่เป้าหมายของเขาก็ไม่ได้คิดจะจัดการทุกอย่างให้จบในโลกแห่งเต๋าธาตุดินอยู่แล้ว
สิ่งที่เขาจะทำคือลดทอนพลังสายตาจากมหาเทพเรื่อยๆ และเมื่อสายตามหาเทพอ่อนแอลงอย่างไร้ที่สิ้นสุดนั่นก็คือเวลาแห่งการสังหารเด็กหนุ่มชุดแดง
“การต่อสู้ครั้งนี้ ข้าเอาชนะได้” ขณะพึมพำ เม็ดทรายที่มารวมตัวกันก็ก่อตัวเป็นฝ่ามือยักษ์อันน่าสะพรึงกลัวก็ตกลงบนกระแสน้ำวนสีเลือดพร้อมเสียงคำรามลั่น
กระแสน้ำวนสีเลือดนั่นพลันหดตัวลงทันทีราวกับถูกฝ่ามือยักษ์เต๋าธาตุดินของหวังเป่าเล่อบดขยี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มชุดแดงไม่ยินยอม เสียงกรีดร้องดังออกมา จากนั้นกระแสน้ำวนสีเลือดก็ระเบิดออก สายตาจากมหาเทพข้างในก็ยิ่งแข็งแกร่งอย่างสุดจะพรรณนา มันจับจ้องมาที่หวังเป่าเล่อ
เพียงเหลือบตามองก็ฟ้าดินสั่นสะเทือน ฝ่ามือยักษ์ก็แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทันที อีกทั้งเม็ดทรายทุกเม็ดก็ยังดูราวกับทนรับสายตานั่นไม่ไหวและแตกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นเถ้าธุลี
จนกระทั่งฝ่ามือเต๋าธาตุดินราวกับถูกลบทิ้งไป จากนั้นสายตาจากมหาเทพก็ตกลงบนร่างของหวังเป่าเล่อในที่สุด
หวังเป่าเล่อตัวสั่น ตรงหน้าพลันปรากฏภาพวาดที่ไม่เหมือนกันขึ้นมาสองภาพ ภาพหนึ่งคือร่างขนาดมหึมาร่างหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในที่มืดมิด ร่างนั้นแผ่ความกดดันอันน่าสะพรึงกลัวไปทั่ว บัดนี้ร่างนั้นกำลังเงยหน้า ดวงตาที่ดูเหมือนบรรจุจักรวาลได้มองมาที่เขาอย่างเย็นชา
ดวงตาเย็นชา ร่างกายดั่งเทพเจ้า!
ส่วนอีกภาพหนึ่งคือภาพเด็กหนุ่มชุดแดงที่ผมกระเซิง ท่าทางชั่วช้า ดวงตาบ้าคลั่งในกระแสน้ำวน สองคน สองภาพปรากฏอยู่ในดวงตาซ้ายและขวาของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะซ้อนทับกันเป็นภาพเดียวในวินาทีต่อมา
ในพริบตาที่มันรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ร่างกายหวังเป่าเล่อก็ร้องคำราม ก่อนที่พลังโจมตีที่อธิบายไม่ได้จะจู่โจมจิตใจ ดวงวิญญาณเทพและจิตใต้สำนึกก็ราวกับใกล้จะพังทลาย ในเวลาเดียวกันโลกแห่งเต๋าธาตุดินที่มีรากฐานมาจากเขาก็เริ่มพังทลายลงไปด้วย
เมื่อเห็นโลกกำลังจะแตกสลาย ดวงตาในกระแสน้ำวนสีเลือดคู่นั้นก็ฉายแววชั่วร้ายขึ้นมาฉับพลัน เด็กหนุ่มชุดแดงที่อยู่ข้างในทำให้กระแสน้ำวนยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับจะฉีกโลกใบนี้ออกจากกัน
ในตอนนั้นเองจู่ๆ หวังเป่าเล่อที่ยกมือซ้ายขึ้นแล้วเอ่ยเสียงต่ำ
“กระบวนท่าสารัตถะ!”
ทันทีที่เอ่ยขึ้นความว่างเปล่ารอบตัวหวังเป่าเล่อก็บิดเบี้ยวทันที ร่างที่เหมือนเขาทุกประการจำนวนหนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้น นี่ก็คือร่างแยกที่เกิดจากการข่มกลั้นระดับการฝึกตนก่อนหน้านี้นั่นเอง
ทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น ทุกร่างก็ระเบิดแสงเจิดจ้าราวกับดวงอาทิตย์ ก่อนจะพุ่งตรงไปยังกระแสน้ำวนสีเลือดที่ขยายตัวไม่หยุดด้านล่าง
เสียงคำรามพลันดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีจากร่างแยกหวังเป่าเล่อ เด็กหนุ่มชุดแดงในกระแสน้ำวนก็หน้าเปลี่ยนสี อันที่จริงสงครามระหว่างเขากับหวังเป่าเล่อในตอนนี้ได้ครอบงำจิตใจไปหมดแล้ว อีกทั้งเคล็ดวิชาลับที่เขาใช้ยังเพิ่มพลังดวงตาเข้าไปให้ล้ำลึกยิ่งขึ้นโดยไม่สนว่าต้องแลกกับสิ่งใด เดิมทีเขาตั้งใจจะฮึดสู้อย่างเด็ดเดี่ยวพลิกแพ้เป็นชนะจึงไม่สามารถแยกพลังจิตออกมาได้เลย
เพราะฉะนั้นการโจมตีจากร่างแยกเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบและความผันผวนแก่เขา
หากมีเพียงแค่นี้ก็ไม่เท่าไหร่ เขายังสามารถจัดการได้อยู่ เขาจะเล็งเป้าไปที่หวังเป่าเล่อเหมือนเดิมเพื่อทำให้ดวงวิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อแตกสลาย
ทว่า…หวังเป่าเล่อที่ปล่อยร่างแยกออกมามากมายนั้น ในพริบตาที่ร่างแยกปรากฏตัว ระดับการฝึกตนของเขาก็พุ่งทะยานขึ้นอีก ถึงอย่างไร…ร่างแยกพวกนั้นก็เป็นสิ่งที่เขาผนึกไว้ด้วยตัวเอง ตอนนี้เมื่อเปิดผนึกออกจนหมดจึงได้ระเบิดแสงเจิดจ้าเหนือทุกสรรพสิ่งราวกับกลายเป็นแหล่งกำเนิดแสงแห่งแรกของโลกใบนี้ก็ไม่ปาน
การระเบิดพลังแห่งแหล่งกำเนิดแสงนี้ส่งผลให้ฝ่ายเด็กหนุ่มชุดแดงที่ได้รับผลกระทบจากร่างแยกไปแล้วไม่สามารถคงสภาพดวงตาไว้ได้อย่างก่อนหน้านี้จึงอ่อนแอลงในพริบตา
และความอ่อนแอในพริบตาเดียวนี้ก็ทำให้ทุกอย่างตรงหน้าหวังเป่าเล่อกลับมาชัดเจนดังเดิม แม้ความหวาดกลัวจะยังคงหลงเหลืออยู่ แต่จิตสังหารในดวงตาก็รุนแรงไม่แพ้กัน เขาสะบัดมือขวาขึ้นกะทันหัน
“ทอง…แห่งธาตุทั้งห้า!”
ทันทีที่เอ่ยขึ้น ทุกอย่างรอบตัวก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแต่อย่างใด ยังคงเป็นโลกแห่งเต๋าธาตุดินที่กำลังพังทลายอย่างต่อเนื่อง ภาพนี้ทำให้เด็กหนุ่มชุดแดงในกระแสน้ำวนสีเลือดเผยแสงเจิดจ้าในดวงตา ก่อนจะยิ่งระเบิดพลังรุนแรงขึ้นอีก
“หวังเป่าเล่อ ดูท่าธาตุทองของเจ้าจะสู้ข้าไม่ได้นะ!” เสียงเด็กหนุ่มชุดแดงดังลอยมา กระแสน้ำวนสีเลือดก็ส่งเสียงคำราม ก่อนที่ร่างแยกหวังเป่าเล่อจะกระเด็นออกไปทั้งหมด มันขยายตัวต่อไป ขณะเดียวกันสายตาจากร่างต้นแบบมหาเทพก็แผ่แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวออกมาอีกครั้ง
ส่งผลให้โลกแห่งเต๋าธาตุดินยิ่งพังทลายอย่างรุนแรงราวกับพร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ
“นั่นเป็นเพราะเจ้าไม่เข้าใจ…ว่าธาตุทองของข้าคืออะไร” หวังเป่าเล่อยังมีสีหน้าสงบนิ่งเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการล่มสลายของโลกแห่งเต๋าธาตุดินและคำพูดของเด็กหนุ่มชุดแดง ก่อนจะวางมือขวาลง
นั่นเป็นการกระทำที่เรียบง่าย ดูไม่มีอะไร ทว่าในพริบตาที่หวังเป่าเล่อวางมือลงไปนั้นเอง…
เด็กหนุ่มชุดแดงในกระแสน้ำวนสีเลือดหน้าเปลี่ยนสีกะทันหัน
“นี่มัน…”
ไม่รอให้เขาเอ่ยจนจบก็เกิดแสงสีเงินออกมาจากความว่างเปล่ารอบกระแสน้ำวนสีเลือดทันใด มันรวมตัวกันอย่างบ้าคลั่งตรงกระแสน้ำวน แสงเหล่านี้มากมายเหลือคณานับ หากมองด้วยตาเปล่าจะดูหนาแน่นไร้ที่สิ้นสุด ดูเหมือนมันจะถักทอและก่อตัวเป็นกระบี่ยาวสีเงินสองท่อนที่ปลายกระแสน้ำวนสีเลือดทั้งสองข้าง
พูดให้ชัดเจนคือส่วนหนึ่งคือปลายกระบี่ ส่วนหนึ่งคือด้ามกระบี่ ส่วนตรงกลาง…ก็คือตัวกระแสน้ำวน จะเห็นได้ว่าจุดเชื่อมต่อระหว่างกระแสน้ำวน ปลายกระบี่และด้ามกระบี่เกิดรอยร้าว
รอยร้าวนั้นขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งเส้นสีเงินจำนวนมากหลั่งไหลมารวมตัวกันที่ตรงนี้และก่อตัวขึ้นเป็น…ตัวกระบี่!
ช่วงเวลาที่ตัวกระบี่กำลังก่อตัว กระแสน้ำวนสีเลือดก็ส่งเสียงคำรามราวกับถูกตัดขาด…เป็นสองส่วน!
ยังไม่จบแค่นั้น ขณะที่มันถูกตัดเป็นสองส่วน กระบี่สีเงินที่ก่อตัวเสร็จสมบูรณ์ก็ยกขึ้นลอยไปยังหวังเป่าเล่อ มันเล็กลงเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงตรงหน้าหวังเป่าเล่อและหวังเป่าเล่อก็คว้ามันไว้ มันก็กลายเป็นขนาดปกติ
มือที่ถือกระบี่ก็ยกขึ้น จากนั้นกระบี่ก็กลายเป็นเส้นสีเงินแผ่กระจายไปทั่ว…
นั่นเป็นภาพที่หากมีใครพบเห็นจะต้องตกตะลึงจนตาค้าง
เพราะ…ทั้งหมดนี้ดูเหมือนไม่สมเหตุสมผล แต่…หากมองย้อนกลับไปที่ภาพนี้…ก็จะพบว่าทุกอย่างสมเหตุสมผลยิ่ง!
ยกมือขึ้น กระบี่รวมตัว ตัดเป็นสองส่วน กระบี่กระจาย
โลกแห่งเต๋าธาตุทองนั้นไม่เหมือนคนอื่น
“นี่ก็คือโลกแห่งเต๋าธาตุทองของข้า หรือเรียกว่า…เหตุต้นผลกรรม” หวังเป่าเล่อก้มหน้ามองกระแสน้ำวนสีเลือดที่แยกเป็นสองส่วนด้วยสายตาลึกลับ
ภายในโลกแห่งเต๋าธาตุดินมีลมพายุโหมกระหน่ำ เสียงกรีดร้องดังไม่หยุด
ที่นี่ไม่มีฟ้าดิน มีเพียงทรายสีเหลืองกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา และกระแสน้ำวนจากเด็กหนุ่มชุดแดงก็กำลังบ้าคลั่งถึงขีดสุด มันปล่อยสายฟ้าสีเลือดฟาดไปทั่วบริเวณ ขณะเดียวกันก็หมุนเร็วราวกับอยากจะทะลวงทรายสีเหลือง ทำให้โลกแตกสลาย
หากมองจากที่ไกลๆ กระแสน้ำวนสีเลือดนี้ก็ดูเหมือนแหล่งมลพิษขนาดมหึมาที่พยายามจะสร้างมลพิษให้กับทุกสิ่ง ขณะเดียวกันความว่างเปล่าโดยรอบก็กำลังบิดเบี้ยวเป็นแนวกว้าง
มวลคลื่นอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านออกมาจากกระแสน้ำวน พลังของคลื่นนั้นสามารถทำลายล้างระดับจักรวาลทุกคนในโลกศิลาได้ อย่างเช่นพวกของปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยนั่นเอง หากพวกเขาอยู่ที่นี่ ยังไม่ต้องเข้าใกล้มันหรอก แค่เพียงเหลือบตามองก็จะเกิดการบ้าคลั่ง สติสัมปชัญญะพังทลาย
พวกเขาไม่อาจมองมันตรงๆ ได้ ขณะนี้ในกระแสน้ำวนมีสายตาของมหาเทพอยู่…มันจึงนับเป็นเทพเจ้า
แต่ถึงกระนั้นก็ยังยากที่เด็กหนุ่มชุดแดงจะหลบหนีไปได้ กรวดทรายรอบๆ พัดปกคลุมอย่างบ้าคลั่ง ส่งผลให้เสียงกรีดร้องของเด็กหนุ่มในกระแสน้ำวนยิ่งทวีความวิตกจริตมากขึ้น
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าภายในโลกแห่งเต๋าธาตุดินแห่งนี้ยังมีเทพเจ้าอีกคนหนึ่ง นั่นก็คือหวังเป่าเล่อ!
ภายในโลกแห่งเต๋าธาตุดินมีกรวดทรายมากมายนับไม่ถ้วนและทุกเม็ด…ล้วนมีเจตจำนงของหวังเป่าเล่ออยู่ข้างใน ใบหน้าหวังเป่าเล่อที่ปรากฏบนเม็ดทรายกำลังกวาดมองไปทั่วราวกับจะกวาดล้างทุกสิ่งและฝังกลบกระแสน้ำวน
เสียงคำรามดังกึกก้อง การต่อกรระหว่างทรายสีเหลืองกับกระแสน้ำวนทำให้ทั้งโลกสั่นสะเทือน
บนท้องฟ้ามีทรายส่วนหนึ่งมารวมตัวกันกลายเป็นร่างหนึ่ง นั่นก็คือหวังเป่าเล่อ เขาจ้องมองกระแสน้ำวนด้านล่างด้วยสายตาล้ำลึก
หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าหากไม่มีสายตาของมหาเทพ ด้วยพลังต่อสู้ในปัจจุบันของเขาแล้วก็สามารถสยบร่างแยกเด็กหนุ่มชุดแดงของเขาได้ไม่ยาก ถึงอย่างไรเด็กหนุ่มชุดแดงนี่ก็ไม่ใช่ระดับสุดยอดแล้ว ทั้งอ่อนแอลงหลังจากเจอกับศิษย์พี่เฉินชิง และยังบาดเจ็บที่ไม่อาจรักษาได้ในระยะเวลาสั้นๆ นี้อีกด้วย
ดังนั้นทั้งสยบและสังหาร ล้วนทำได้ทั้งสิ้น
แต่การปรากฏตัวของสายตาคู่นั้น แม้แต่หวังเป่าเล่อก็ยังสะพรึงกลัว อันที่จริงหากเขาประมาทไปเพียงนิดเดียว โลกศิลาก็คงล่มสลาย ต่อให้เขาสามารถสังหารเด็กหนุ่มชุดแดงได้ในที่สุด แต่จุดจบเช่นนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการ
เขาสูญเสียอดีตกับอนาคตไปแล้ว หวังเป่าเล่อไม่ต้องการสูญเสียโลกศิลาแห่งนี้ไปอีก
นอกจากนี้…หวังเป่าเล่อที่มาถึงระดับในปัจจุบันนั้นสัมผัสได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างตนกับโลกศิลาแล้ว ความสัมพันธ์เช่นนี้เกี่ยวโยงผูดมัดอย่างลึกซึ้งนับตั้งแต่ที่ร่างต้นแบบของเขาเริ่มถูกจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นเพรียกหาในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่แท้จริง ในการต่อสู้ระหว่างจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นกับจักรพิภพเต๋าไพศาลแล้ว
นี่คือเคล็ดวิชาของมหาเทพ และเป็นวิธีรักษาตัวเขาด้วย
ดังนั้นหากโลกศิลาล่มสลาย ตัวหวังเป่าเล่อเองก็จะได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวงไปด้วย
ในทำนองเดียวกันยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่โลกศิลาไม่สามารถล่มสลายได้ นั่นก็คือ…โลกศิลาเป็นเส้นด้ายเพียงเส้นเดียวที่เชื่อมโยงกับมหาเทพ!
หลายปีก่อนยุคสมัยอันเนิ่นนาน บาดแผลของมหาเทพและตะปูไม้สีดำที่ปรากฏบนหว่างคิ้วของเขาทำให้เขาแทบพินาศ แต่เขาก็ยังคิดหาวิธีรอดได้ทางหนึ่ง นั่นก็คือแยกเป็นแสนดวงจิตเทพ สร้างเมล็ดพันธุ์และกระจายมันไปในจักรวาลอันกว้างใหญ่
หนึ่งแสนดวงจิตนี้ก่อกำเนิดเป็นหนึ่งแสนโลกหรือก็คือหนึ่งแสนจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น หลังจากแต่ละโลกกำเนิดขึ้นก็ทำพิธีอัญเชิญไม้สีดำ นำตะปูไม้สีดำที่ตรึงไว้กลางหว่างคิ้วมหาเทพแบ่งเป็นหนึ่งแสนส่วนผูกติดกับจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นทั้งหนึ่งแสนโลก
จุดประสงค์ก็เพื่อทำลายพลังสะกดที่มาจากไม้สีดำ
และวิธีเอาตัวรอดนี้ก็ประสบความสำเร็จ นอกจากโลกศิลาแล้ว จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นอีก 99,999 จักรพิภพล้วนถือกำเนิดตระกูลไม่รู้สิ้น มีเว่ยยางจื่อ กลืนกินโลกทั้งใบได้สำเร็จ รวมถึง…พลังของไม้สีดำหนึ่งในแสนนั้นด้วย
หลังจากนั้นเว่ยยางจื่อเหล่านี้ก็นำโลกที่พวกเขาอยู่รวมเข้าด้วยกันกลับมาเป็นจักรพิภพไม่รู้สิ้นที่แท้จริงและกลับมาเป็นร่างมหาเทพ เข้าสู่กระบวนการตอบแทนและทำให้อาการบาดเจ็บของมหาเทพฟื้นฟูขึ้น ขณะเดียวกันตะปูไม้สีดำบนหว่างคิ้วของเขาก็จะอ่อนกำลังลง
อย่างไรก็ตามแม้จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น 99,999 จักรพิภพจะกลับมารวมกันได้สำเร็จ แต่ตราบใดที่มีเพียงจักรพิภพเดียวที่ไม่สำเร็จ ตะปูไม้สีดำบนหว่างคิ้วของมหาเทพก็ไม่สามารถจัดการได้อยู่ดี
หากฝืนบังคับทำลายตะปูไม้สีดำบนหว่างคิ้ว แม้ผลกระทบจะไม่ถึงตาย แต่มันจะทำให้เขาไม่มีโอกาสทะลวงขั้นที่สูงกว่านี้ได้อีก และอย่างหลัง…ก็คือสาเหตุที่ทำให้เขาถูกตะปูไม้สีดำตรึงไว้นั่นเอง
ดังนั้นในแง่หนึ่งก็สามารถมองตะปูไม้สีดำเป็นหายนะอย่างหนึ่งที่หากจะขึ้นไปถึงระดับสูงอย่างแท้จริง…มันก็เป็นหายนะที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้!
หายนะไม้สีดำ!
หากมหาเทพเอาชนะหายนะได้สำเร็จ เขาก็จะทะลวงขั้นได้
แต่น่าเสียดาย การปรากฏตัวของโลกศิลาทำให้โอกาสเอาชนะหายนะครั้งนี้ลดลง
ประการแรกเพราะกู่และหลัวทำให้ที่แห่งนี้เกิดตัวแปร ประการที่สองเพราะพ่อของหวังอีอีทำให้ตัวแปรนี้ยิ่งขยายเป็นวงกว้าง แน่นอนว่ายังมีแรงผลักดันจากใครบางคนที่ไม่ทราบจุดประสงค์อยู่ด้วย ดังนั้นสุดท้ายแล้ว…วิวัฒนาการของโลกศิลาจึงค่อยๆ ต่างไปจากชะตากรรมที่ดวงจิตมหาเทพมอบให้
และนี่จึงได้นำไปสู่การเติบโตของหวังเป่าเล่อ รวมถึงกำเนิดจิตใต้สำนึกของเขา
ดังนั้นหลังจากมหาเทพทราบเรื่องนี้จึงได้แยกร่างออก และนั่นก็คือการมาถึงของเด็กหนุ่มชุดแดง สำหรับเขานั้นต้องแก้ไขให้ทุกอย่างกลับสู่วิถีเดิม หรือไม่ก็…ต้องทำลายโลกศิลาทิ้งไปเพื่อทำให้การเชื่อมโยงเหตุต้นผลกรรมระหว่างที่แห่งนี้กับมหาเทพตัดขาดจากกันอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่าการตัดขาดอย่างหลังจะทำให้มหาเทพพ่ายแพ้ในการเอาชนะหายนะครั้งนี้ แต่หากไม่ตัด โลกศิลา…จะกลายเป็นจุดอ่อนร้ายแรงของมหาเทพที่ร่างกายเกี่ยวโยงกับมัน
ดังนั้นการปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อได้ทำให้ทันทีที่ฝ่ายเด็กหนุ่มชุดแดงพ่ายแพ้ ไม่ว่าจะทำอย่างไรล้วนต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่
หวังเป่าเล่อเหมือนกับ…อาวุธ เป็นอาวุธที่ทำให้มหาเทพไม่สามารถเติมเต็มได้สมบูรณ์ อีกทั้งยังเกิดจุดอ่อน
เรื่องเหตุต้นผลกรรมพวกนี้ แม้หวังเป่าเล่อจะไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ แต่ก็เดาได้เกินครึ่ง สำหรับเขาไม่ว่าจะเป็นเช่นไร โลกศิลาก็จะล่มสลายไม่ได้
ฉะนั้นสิ่งที่หวังเป่าเล่อจำเป็นต้องทำก็คือทำให้สายตาจากมหาเทพอ่อนลงด้วยการเกิดใหม่ของธาตุทั้งห้า ทำให้สายตานั้นค่อยๆ อ่อนแอลงจนไม่ส่งผลใดๆ ต่อโลกศิลาอีก ซึ่งนั่นก็คือ…ตอนที่เด็กหนุ่มชุดถูกสยบและสังหารสิ้นนั่นเอง
ฝ่ายเด็กหนุ่มชุดแดงนั้นเขาย่อมเข้าใจทุกอย่างชัดเจนกว่า ดังนั้นในโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำจึงคิดจะหลบหนีไป ในโลกแห่งเต๋าธาตุไฟจึงยิ่งพยายามออกไปไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม
นี่เป็นทางรอดเดียวที่เขามี
จะถูกหวังเป่าเล่อสยบ หรือ…จะพุ่งออกไปจากการเกิดใหม่ของเต๋าทั้งห้าธาตุและทำลายโลกศิลาเพื่อหยุดการสูญเสียของตน แม้ร่างต้นแบบจะเอาชนะหายนะไม่ได้ แต่ก็จะไม่มีจุดอ่อนอีกต่อไป!
ความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือก่อนหน้านี้ไม่ได้ทำลายโลกศิลาอย่างเด็ดขาด ถึงอย่างไร…นี่ก็เป็นความหวังที่ร่างของเขาจะทะลวงขั้นได้ หากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้าย เขาก็ไม่อยากทำ
และความคิดนี้ก็ได้นำพาเรื่องราวต่างๆ มาสู่ที่ที่เป็นอยู่ในตอนนี้
ขณะที่จ้องมองอยู่ หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลงแล้วจู่ๆ ก็ยกมือขึ้น ทันใดนั้นทั้งโลกแห่งเต๋าธาตุดินก็ร้องคำราม เม็ดทรายนับไม่ถ้วนรวมตัวกันตรงหน้าเขาอย่างรวดเร็ว และก่อตัวเป็นฝ่ามือยักษ์ที่ดูเหมือนจะปกคลุมได้ทั้งท้องฟ้า กดลงไปยังกระแสน้ำวนสีเลือดด้านล่าง!
……
ท้องฟ้าคำราม!
ท้องฟ้าที่กลายเป็นอักขระกำลังส่งเสียงคำราม อักขระนั้นเหมือนจะบดขยี้ทุกสิ่ง ทุกที่มี่มันผ่านไปจะทำให้ท้องฟ้าร่วงหล่น ความว่างเปล่าพังทลายและส่งเสียงปริแตก
เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าโลกทั้งใบดูเหมือนจะหดเล็กลงจนจินตนาการได้ว่าหากอักขระบนท้องฟ้ายังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่องและฟ้าดินสัมผัสกันเมื่อไหร่ก็จะบดขยี้ทุกสิ่งข้างในจนหมดสิ้น และรวมถึง…ตะขาบสีเลือดด้วย
ภาพนี้เผยความครอบงำไม่รู้จบราวกับไม่ว่าเจตจำนงใดก็ไม่อาจขวางกั้น ไม่อาจหลบเลี่ยง ไม่อาจต่อกร!
โลกแห่งเต๋าธาตุไฟก็เป็นเช่นนี้แล
อักขระท้องฟ้าลดต่ำลง ทะเลเพลิงลุกโชน โลกทั้งใบดูเหมือนแทรกซึมไปด้วยปณิธานแห่งไฟ แต่ในความร้อนอันแผดเผานี้ก็มีกระแสเซียนอยู่ด้วย
ทะเลเพลิงบ้าคลั่ง กระแสเซียนไร้พันธนาการสุขสงบ
พลังปราณที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงทั้งสองนี้ปะปนกันอยู่ตลอดเวลา ทำให้โลกแห่งเต๋าธาตุไฟเกิดความบิดเบี้ยว และการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ก่อเกิดเป็นพลังสยบสองเท่าสำหรับตะขาบสีเลือด
ส่วนหนึ่งมาจากการสยบท้องฟ้า อีกส่วนหนึ่งมาจากการขัดแย้งกันของทะเลเพลิงและกระแสเซียน
อย่างแรกมีผลกับกายเนื้อ อย่างหลังมีผลกับจิตวิญญาณ
อีกทั้งยังต่างจากโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำ ที่นี่แม้ตะขาบสีเลือดจะแปลงเป็นทุกสรรพสิ่งก็ไม่สามารถอยู่รอดในโลกที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและบิดเบี้ยวได้
“บัดซบ บัดซบ บัดซบเอ๊ย!!” ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ตะขาบสีเลือดแผดเสียงกรีดร้อง ร่างกายกะพริบวาบแปลงจากตะขาบเป็นยักษ์ทันที ยักษ์ตัวนี้มีสีแดงทั้งตัว สีหน้าบิดเบี้ยว มันยกสองมือขึ้นพร้อมเสียงคำรามกระแทกอักขระท้องฟ้าที่กำลังตกลงมาอย่างแรง สองเท้าก็เหยียบลงไปในทะเลเพลิงราวกับยืนอยู่ตรงจุดต่ำสุดของโลกใบนี้ เมื่อมันลงมาทะเลเพลิงก็ส่งเสียงคำราม แผ่นดินสั่นสะเทือน ท้องฟ้าที่กำลังตกลงมาก็หยุดชะงัก
อย่างไรก็ตามร่างของยักษ์สีเลือดตนนี้ก็ส่งเสียงคำรามออกมาเช่นกันราวกับค้ำยันการบดขยี้ของท้องฟ้าไว้ มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับเขา แต่สุดท้ายเขาก็ยันท้องฟ้าไว้ได้ เลือดพุ่งพล่านอยู่ในร่างกาย เรี่ยวแรงดูเหมือนจะยิ่งมากขึ้นด้วยเจตนาจะสะท้อนแรงบดขยี้จากท้องฟ้ากลับไป
ขณะที่ท้องฟ้าคำรามอักขระก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ใบหน้าของหวังเป่าเล่อบนนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น หลังจากมองยักษ์ตนนี้อย่างเย็นชาแล้วก็เอ่ยเสียงเบา
“จมูก เปิด!”
ทันทีที่เอ่ยขึ้น ใบหน้าหวังเป่าเล่อบนอักขระก็ขยับจมูกเล็กน้อยและสูดหายใจเข้าแรงๆ ทันใดนั้นฟ้าดินพลันสั่นสะเทือน ลมแรงพลันปรากฏขึ้นกวาดไปทั่วทุกสารทิศ เพียงอึดใจเดียวก็กลายเป็นพายุ เมื่อลมพัดแรงและไฟโหมกระหน่ำ ทะเลเพลิงก็มาถึงจุดสูงสุด มันลอยขึ้นจากพื้นดินและปกคลุมโลกทั้งใบอย่างสมบูรณ์
ขณะเดียวกันผนึกก็คลายออก พลังแห่งอักขระบนท้องฟ้าพลันปะทุขึ้น มันส่องแสงเจิดจ้าและพลังจมดิ่งก็เพิ่มขึ้น
แม้ยักษ์สีเลือดจะกรีดร้องและต่อต้านด้วยกำลังทั้งหมด แต่ก็ไม่อาจยืนหยัดได้นาน หลังจากผ่านไปไม่กี่อึดใจท้องฟ้าที่ร้องคำรามก็กดลงมาจนร่างของยักษ์ไม่อาจต้านทานพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้ได้และค่อยๆ ก้มตัวลง
ทะเลเพลิงรอบๆ ก็โหมกระหน่ำมากขึ้น คลื่นความร้อนแผ่ขยายเข้มข้นขึ้นไปอีกราวกับจะเปลี่ยนที่นี่เป็นหม้อล้อมโอสถและหลอมละลายทุกสิ่ง
กระทั่งเสียงปริแตกดังขึ้นเรื่อยๆ ร่างของยักษ์ตนนี้ก็เกิดรอยร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ และกระจายไปทั่วทั้งตัวในที่สุด สุดท้ายท่ามกลางเสียงกรีดร้องร่างของเขาก็แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
และเมื่อมันแตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอักขระท้องฟ้าก็ตกลงมือด้วยพลังอันน่าทึ่ง บดขยี้ความว่างเปล่า บดขยี้ทุกสรรพสิ่งและสัมผัสกับทะเลเพลิงบนพื้นดินในที่สุด
แต่ทุกอย่างยังไม่สิ้นสุดแค่นั้น
ในพริบตาที่ฟ้าดินบรรจบกัน จู่ๆ ก็มีก้อนนูนโป่งพองขึ้นระหว่างฟ้าดิน มองจะระยะไกลฟ้าดินดูเหมือนแป้งสองแผ่นที่ถึงแม้จะผสานเข้าด้วยกัน แต่ข้างในกลับมีถุงขนาดใหญ่ที่ไม่อาจบดขยี้หนือหลอมละลายได้ และที่น่าตกใจคือมันกำลังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ!
หากมองทะลุฟ้าดินเข้าไปก็จะเห็นว่าส่วนที่นูนขึ้นมานั้นก็คือกระแสน้ำวนสีเลือด และภายในกระแสน้ำวนนั่นก็คือเคล็ดวิชาลับที่เด็กหนุ่มชุดแดงใช้มาหลายครั้งแล้ว ดวงตามหาเทพ
เพียงแต่เมื่อเทียบกับสองครั้งก่อน ดวงตาในกระแสน้ำวนครั้งนี้ดูเลือนรางลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ถึงจะเลือนราง พลังอันน่าสะพรึงกลัวของมันก็ยังคงทำให้โลกแห่งเต๋าธาตุไฟทนรับไม่ไหวอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ท้องฟ้าและพื้นดินเกิดรอยร้าวราวกับปดคลุมต่อไปไม่ไหวแล้ว
“แค่ร่างแยกร่างเดียว แต่สายตาจากจักรวาลอันไกลโพ้น…มีพลังเช่นนี้เลยหรือ” ในตอนนี้ฟ้าดินกำลังจะพังทลายนั้นเอง เสียงหวังเป่าเล่อก็ดังก้องพร้อมถอนหายใจเบาๆ ร่างมายาของเขาปรากฏขึ้นในความว่างเปล่า และก้มหน้าลงมองส่วนนูนพองในฟ้าดินที่ผสานตัวกันที่ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับกำลังจะแตกออก
แทบจะในเวลาเดียวกับที่หวังเป่าเล่อเอ่ยขึ้น ฟ้าดินของโลกแห่งเต๋าธาตุไฟก็พังทลายจากส่วนนูนพองนั่นแตกออกกลายเป็นเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน กระแสน้ำวนสีเลือดปรากฏกาย มันขยายตัวอีกครั้งด้วยความเร็วที่น่าตกใจเหมือนกับจะปกคลุมหวังเป่าเล่อ
รัศมีสีเลือดเจิดจ้าแผ่ขยายไปในความว่างเปล่าจนสะท้อนไปถึงจักรวาลโลกศิลา ส่งผลให้ทุกสรรพสิ่งตื่นตะลึง
พวกปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์ที่กำลังติดตามการต่อสู้ครั้งนี้ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย แม้แต่สายตาจากนอกโลกศิลาก็ยังเพ่งสมาธิขึ้นไม่น้อย
อันที่จริงกระแสน้ำวนสีเลือดนี้ขยายตัวเร็วเกินไป เมื่อเทียบกับมันแล้ว หวังเป่าเล่อที่อยู่ข้างๆ ดูเป็นเพียงเศษธุลี แต่ในตอนที่ทุกสายตากำลังจับจ้องมาทางนี้มากขึ้นนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็ส่ายหน้า สายตาที่สงบนิ่งแต่เดิมก็ฉายแววโหดเหี้ยมฉับพลัน
“เช่นนั้นแล้วสายตาจากร่างจริงมหาเทพจะอยู่ได้นานแค่ไหนกันนะ” พูดจบหวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นคว้าไปทางกระแสน้ำวนสีเลือดที่ยังคงปะทุไม่หยุด!
“ดิน…แห่งธาตุทั้งห้า!”
เมื่อหวังเป่าเล่อเอ่ยขึ้นและมือขวาคว้าไป ทันใดนั้นเศษชิ้นส่วนฟ้าดินจากโลกแห่งเต๋าธาตุไฟก็พลิกม้วนกลับราวกับเวลาไหลย้อนกลับ มันแตกออกมาอย่างไรก็กลับไปรวมตัวกันใหม่อย่างนั้น
เพียงแต่ครั้งนี้มันไม่ได้กลับไปรวมตัวเป็นห้าดินของโลกแห่งเต๋าธาตุไฟ แต่…มันกลับไปปะติดปะต่อกันพร้อมเสียงหวีดหวิวราวกับจะก่อตัวเป็นศิลาที่ห่อหุ้มกระแสน้ำวนนี้ไว้!
แม้กระแสน้ำวนจะขยายตัวเร็วมาก แต่ศิลาที่ถูกประกอบเข้าด้วยกันเร็วกว่า!
มองจากที่ไกลๆ เศษชิ้นส่วนเหล่านี้ก็ดูเหมือนสิ่งก่อสร้างที่กำลังปะติดปะต่อกันอย่างรวดเร็ว…จากหนึ่งส่วนเป็นสามส่วน เป็นห้าส่วน เจ็ดส่วน เก้าส่วน…
และ…สิบส่วน!
ทันใดนั้นกระแสน้ำวนก็หายไป ศิลาก้อนยักษ์เข้ามาแทนที่ในความว่างเปล่า!
โลกแห่งเต๋าธาตุดินก่อตัว!
“สยบอีกครั้ง!” ด้านนอกโลกแห่งเต๋าธาตุดิน หูที่ปิดผนึกของหวังเป่าเล่อก็เปิดออก ร่างกายกลายเป็นรุ้งทอดยาวเข้าไปในศิลายักษ์
………………
โลกที่เกิดจากธาตุน้ำมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไร้ขีดจำกัด ในทางทฤษฎีมันไม่มีขอบเขตเนื่องจากทุกสิ่งที่นี่ล้วนเป็นการกลับมาเกิดมายา
สิ่งที่อยู่ในนี้มีเพียงสิ่งที่เกิดจากกฎแห่งน้ำ เช่น ทะเล ธารน้ำแข็ง ฝนที่ตกลงมา เป็นต้น แต่…ทั้งหมดนี้ก็เปลี่ยนไปเพราะการพังทลายของตะขาบสีเลือด
ร่างที่พังทลายของเด็กหนุ่มชุดแดงแตกกระจายหลายชิ้นจนไม่อาจคำนวณได้ในระยะเวลาสั้นๆ และทุกชิ้นส่วนที่แตกออกมาก็ได้แทรกซึมไปทั่วทั้งโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำแล้ว
แทบจะในทันทีที่พวกมันปรากฏตัวขึ้นก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่บ้างเหมือนกัน บ้างแตกต่างกัน ดังนั้น…จึงเหมือนกับว่าสิ่งมีชีวิตได้ถือกำเนิดขึ้นแล้ว ภายในระยะเวลาสั้นๆ นี้เอง ในโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำจึงปรากฏชีวิตขึ้น
ในทะเลมีปลาและกุ้ง มีสัตว์ยักษ์ มีสิ่งของลอยอยู่ มีสาหร่ายและทุกอย่าง ส่วนบนท้องฟ้าก็ปรากฏนกทุกชนิด พื้นดินเกิดเป็นธารน้ำแข็งและเริ่มปรากฏสัตว์ต่างๆ จนกระทั่ง…ปรากฏมนุษย์
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพืชพันธุ์ต่างๆ สีสันของโลกูเปลี่ยนไปเพราะพวกมันปรากฏตัวขึ้น ยิ่งกว่านั้นในการเปลี่ยนแปลงนี้ ทุกชีวิตที่ปรากฏขึ้นในโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำนี้ต่างมีเจตจำนงเหมือนกัน
นั่นก็คือ…ทำลายที่นี้ หลบหนีออกจากที่นี่ ฉีกทึ้งทุกสิ่ง ทำให้การเกิดใหม่ของเต๋าธาตุน้ำพังทลาย เพื่อพลิกสถานการณ์
และการเปลี่ยนแปลงทุกอย่างในโลกเต๋าธาตุน้ำก็เสร็จสิ้นในเวลาเพียงแค่ประโยคเดียว
ประโยคนั้นคือห้าคำที่ดังออกมาจากรูปปั้นที่จมลงสู่ทะเล
“เจ้า หนีไม่พ้นหรอก”
หลังจากเอ่ยประโยคนี้ออกไปก็ดูเหมือนภายในโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำจะมีเสียงสะท้อนกลับมา เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ และซ้อนทับกันมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าสิ่งมีชีวิตต่างกำลังเอ่ยประโยคนี้ออกมาเช่นกัน…
บางทีอาจต้องลบคำว่าราวกับว่าออกไป เพราะ…ในพริบตาที่ห้าคำนี้ดังออกมา ในโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตนี้ จู่ๆ…ก็มีสิ่งมีชีวิตปรากฎตัวเพิ่มขึ้น มีปลากุ้ง มีสัตว์ยักษ์ มีสิ่งของลอย มีนก สัตว์ กระทั่งมนุษย์เหมือนกัน
มีพืชพันธุ์ กระทั่งสิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็กระจายตัวไปทุกพื้นที่ และทุกชีวิตที่แปลงกายมาจากเด็กหนุ่มชุดแดงก็…เริ่มต่อสู้!
ขณะนี้หากยืนดูจากมุมสูงไม่ว่าจะพลังมากหรือพลังน้อยก็จะเห็นว่ากำลังเกิดสงครามที่ส่งผลกระทบมหาศาลไปทั่วทั้งโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำ
เหตุที่เรียกว่าสงครามก็เพราะทุกชีวิต ทุกการดำรงอยู่ต่างกำลังฟาดฟันกันอยู่ในตอนนี้!
จะเห็น…ในทะเล ปลากำลังกินกุ้ง กุ้งกำลังกลืนสิ่งลอยน้ำ
จะเห็น…ปลาใหญ่กำลังกินปลาเล็ก สัตว์ยักษ์กำลังกินปลาใหญ่
จะเห็น…สาหร่ายกำลังพันรัดฉีกกินกันและกัน
จะเห็น…นกทุกตัวบนท้องฟ้ากำลังต่อสู้กันเอง
จะเห็น…ทวีปบนธารน้ำแข็ง สัตว์ต่างๆ กำลังกรีดร้อง พืชพันธุ์พันรัด สิ่งมีชีวิตกำลังแผดเสียงคำราม
การเข่นฆ่านับไม่ถ้วน การกลืนกินนับไม่ถ้วนพบเห็นได้ในทุกๆ พื้นที่ แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่ขนาดเล็กจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็กำลังต่อสู้กัน
เมื่อครู่สัตว์ป่าที่เพิ่งฉีกทึ้งสัตว์เล็กก็ถูกสัตว์ร้ายกัดเข้าที่คอ วินาทีต่อมาก็มียักษ์แห่งพงไพรตบฝ่ามือลงมาบดขยี้สัตว์ร้ายตัวนั้น ยังไม่สิ้นสุดแค่นั้น อึดใจต่อมา…กลุ่มลมสีดำก็พัดมาแทรกซึมเจ้ายักษ์ จะเห็นได้ว่ามีแมลงเล็กๆ นับไม่ถ้วนอยู่ในกลุ่มลมสีดำนั้น ทั้งกัดทั้งฉีก และเมื่อกลุ่มลมสีดำนั้นพัดผ่านไป เจ้ายักษ์ก็ไม่เหลือแม้แต่กระดูก
และกลุ่มลมสีดำนั้นก็ไม่ได้พัดไปไหนไกลก็ถูกฝนที่ตกลงมาทำลายทิ้ง
ฝนนั้นยังคงอยู่ได้ไม่นาน หลังจากตกลงมาก็ถูกสิ่งมีชีวิตที่เผาผลาญทะเลเพลิงด้วยเปลวเพลิงที่เกินกำลังของมันระเหยไปทั้งหมด…
ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไร้จุดเริ่มต้น ไร้จุดสิ้นสุด สิ่งมีชีวิตในโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
และเมื่อจบการต่อสู้แต่ละครั้งจะมีประโยคหนึ่งที่สะท้อนออกมา
“เจ้า หนีไม่พ้นหรอก”
ไม่รู้ว่าประโยคนี้ดังขึ้นกี่ครั้งแล้วในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้ จนกระทั่งมารวมตัวกันในที่สุดราวกับกลายเป็นเสียงของเต๋าสวรรค์ สะท้อนไปมาอยู่ในโลกนี้อย่างเป็นนิรันดร์
“เจ้า หนีไม่พ้นหรอก”
ราวกับเป็นคำสาปทุกชีวิตและทุกวัตถุที่แปลงมาจากตะขาบสีเลือดลดลงอย่างรวดเร็ว แม้สิ่งมีชีวิตที่แปลงมาจากหวังเป่าเล่อจะลดลงไปด้วย แต่เมื่อเทียบกันแล้วก็ยังได้เปรียบกว่ามาก
ในเวลาเดียวกันทะเลของโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำที่ถูกย้อมเป็นสีเลือดก็ค่อยๆ ฟื้นกลับมา รูปปั้นที่จมลงสู่ทะเลก็ค่อยๆ โผล่ขึ้นมาท่ามกลางคลื่นโหมกระหน่ำอีกครั้ง
เมื่อส่วนที่โผล่ขึ้นมานั้นใกล้จะถึงตำแหน่งตาของรูปปั้นแล้ว อีกทั้งเสียงเอ่ยประโยคนั้นก็ดังกังวานราวกับฟ้าแลบ ในพริบตาที่ทั้งโลกกำลังปะทุไม่หนุดนั้น…เสียงกรีดร้องสะเทือนฟ้าดินก็ดังมาจากปากของทุกสรรพสิ่งที่แปลงมาจากตะขาบสีเลือดที่เหลืออยู่
ในเวลาเดียวกันทุกสรรพสิ่งที่แปลงจากตะขาบสีเลือดก็เหมือนกับสัมผัสได้ถึงอันตรายจึงระเบิดตัวกลายเป็นเส้นยาสูบสีแดงขนาดต่างกันไปและพุ่งจากทุกสารทิศไปรวมตัวกันบนท้องฟ้า ฉับพลันนั้นก็ก่อตัวเป็นร่างตะขาบอีกครั้ง ตะขาบตัวนี้กรีดร้องสะบัดร่างกายแล้วเชื่อมส่วนหัวกับหางเข้าด้วยกัน
เมื่อมันกลายเป็นวงกลม ภายในวงกลมก็ปรากฏกระแสน้ำวนขึ้น…ดวงตาจากร่างจริงของมหาเทพก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
สายตาของเขาเต็มไปด้วยอำนาจบารมีเหลือล้น ในพริบตาที่เขามองมายังโลก ทั้งโลกก็สั่นสะเทือนราวกับกำลังจะทนรับไม่ไหว สิ่งมีชีวิตที่แปลงมาจากหวังเป่าเล่อต่างพังทลายกลายเป็นเส้นด้ายนับไม่ถ้วนและผสานเข้าไปในรูปปั้นกลางทะเลในชั่วพริบตา ทำให้รูปปั้นนั้นยิ่งลอยสูงขึ้น ส่วนหัวโปล่พ้นน้ำ ดวงตาที่กำลังเบิกกว้างกวาดมองไปยังสายตาของมหาเทพ สายตาที่มองไม่เห็นสัมผัสกันทันใด
การปะทะสายตากันก่อให้เกิดพลังมหาศาลแผ่ขยายไปรอบบริเวณ ทุกที่ที่มันผ่านไปล้วนทำลายท้องฟ้า ทำลายธารน้ำแข็ง ทำลายท้องทะเล จนโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำแตกกระจายราวกับฟองอากาศ
ตะขาบสีเลือดกะพริบร่างกลายเป็นแสงเลือดและกำลังจะพุ่งออกไป ส่วนรูปปั้นหวังเป่าเล่อก็เต็มไปด้วยรอยร้าว เห็นได้ชัดว่าสายตาของมหาเทพมีอิทธิพลต่อเขามากเพียงใด
แต่ในตอนที่ตะขาบสีเลือดกำลังจะหนีออกจากตรงนี้นั้นเอง หวังเป่าเล่อก็เอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
“ไฟ…แห่งธาตุทั้งห้า!”
ทันทีที่เอ่ยขึ้น โลกแห่งเต๋าธาตุน้ำที่แตกกระจายดั่งฟองอากาศก็พลิกกลับทันทีและกลายเป็นไฟที่ดูเป็นนิรันดร์ อีกทั้งท่ามกลางไฟนี้ยังแผ่ปณิธานแห่งเซียนสะท้านฟ้าสะเทือนดินออกมาด้วย
ปณิธานนี้เคลื่อนไหวรวดเร็ว ด้วยความไร้พันธนาการห่อหุ้มตะขาบสีเลือดที่กำลังจะหนีอีกครั้ง และโลก…ก็เปลี่ยนไปในพริบตา ทะเลกลายเป็นทะเลเพลิง ธารน้ำแข็งกลายเป็นภูเขาไฟ ท้องฟ้ากลายเป็นสีเปลวไฟกดทับส่วนหัวของตะขาบสีเลือดไว้
และสกัดทางหนีของตะขาบสีเลือด!
หากมองจากที่ไกลๆ ท้องฟ้าที่กำลังร่วงหล่นราวกับพยายามจะบดขยี้ทุกสิ่ง
หากสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนจะเห็นว่าท้องฟ้าผืนนี้…ก็คืออักขระยักษ์ตัวหนึ่ง และบนอักขระนี้ก็มีใบหน้าของหวังเป่าเล่อปรากฏอยู่
“เจ้า หนีไม่พ้นหรอก”
……………………………
โลกศิลาไม่สามารถทนรับการระเบิดเต็มกำลังของหวังเป่าเล่อได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้ระหว่างเขากับมหาเทพเลย แม้หวังเป่าเล่อจะไม่รู้ว่าร่างแยกมหาเทพเข้ามาในโลกศิลาได้โดยไม่ทำให้เกิดการล่มสลายได้อย่างไร แต่คิดดูแล้วน่าจะเกิดจากวิธีลับที่พิเศษมากชนิดหนึ่ง
ขณะเดียวกันก็ต้องเกี่ยวข้องกับ…จักรพิภพไม่รู้สิ้นในตอนนั้น
ถึงอย่างไรหากมองย้อนกลับไปที่ต้นกำเนิด จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่ต่อสู้กับจักรพิภพเต๋าไพศาลในตอนนั้น ตัวมัน…ก็เป็นหนึ่งในดวงจิตนับแสนของมหาเทพแปลงมา
ดังนั้นต่อให่ตอนนั้นกู่จะหนีเข้าไปในสนามรบ หลังก็ใช้มือขวาปิดผนึกที่แห่งนี้ให้กลายเป็นศิลา แต่เมื่อสืบสาวเรื่องราวถึงแก่นแท้แล้ว โดยพื้นฐานแล้วที่แห่งนี้ยังคงเป็นหนึ่งในดวงจิตดั้งเดิมของมหาเทพอยู่ดี
บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมร่างแยกของมหาเทพถึงอยู่ที่นี่และไม่ทำให้โลกนี้ล่มสลาย
อย่างไรก็ตามไม่ว่าควาาจริงจะเป็นเช่นไรก็ไม่สำคัญสำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว การต่อสู้ระหว่างเขากับร่างแยกมหาเทพในครั้งนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดล้วนไม่อาจทำได้ในโลกจริง
หวังเป่าเล่อปล่อยให้โลกศิลาล่มสลายไม่ได้ ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้…จึงเป็นเพียงการต่อสู้ระหว่างกระแสเต๋า ดวงจิตเทพและจิตวิญญาณ แต่ถึงแม้การต่อสู้ครั้งนี้จะดูเหมือนเป็นภาพลวงตา แต่เมื่อวิเคราะห์ถึงแก่นแท้แล้วก็รวมอยู่ในการกลับชาติมาเกิดใหม่ได้ด้วย
การบุกเบิกโลกใหม่ในห้วงมายานั้น การกลับชาติมาเกิดในโลกนี้นั้นใช้การเผชิญหน้าระหว่างการเกิดใหม่เป็นปัจจัยหลักที่กำหนดทุกสิ่ง นี่…ก็คือพลังพิเศษที่หวังเป่าเล่อได้รับหลังจากธาตุทั้งห้าเสร็จสมบูรณ์
คนที่ทำเช่นนี้ได้มีแต่ผู้เยี่ยมยุทธ์เท่านั้น อย่างหลัวและกู่ในตอนนั้นก็ต่อสู้ในการเกิดใหม่ และสุดท้ายกู่ก็เป็นใ่ายพ่ายแพ้จึงทำได้เพียงหลบหนีไป
ขณะนี้ก็เช่นกัน ขณะที่หวังเป่าเล่อสะบัดมือ เต๋าแห่งธาตุทั้งห้าทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดินของเขาก็ปะทุขึ้นก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนขนาดมหึมาปกคลุมไปทั้งความว่างเปล่า กระแสน้ำวนนี้ดูเหมือนจะสามารถกลืนกินได้ทุกสิ่งอย่าง ทำให้ทั้งเขาและร่างแยกมหาเทพ…จมดิ่งลงไปในพริบตา
แม้ร่างแยกมหาเทพที่แปลงกายเป็นเด็กหนุ่มชุดแดงจะไม่อยากต่อสู้ในการเกิดใหม่ เพราะสำหรับเขาแค่ทำลายโลกศิลาด้วยการเสียสละตนเองก็ทำให้หวังเป่าเล่อกลายเป็นพลังที่ไร้รากได้แล้วและย่อมไร้กำลัง ไม่อาจส่งผลต่อการรักษาและการปลุกมหาเทพได้อีกต่อไป
แต่…เขาก็พลาดโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว ขณะเดียวกันร่างของเขาก็ไม่ใช่จุดสูงสุด ทั้งหมดนี้ทำให้เขาไม่สามารถยืนหยัดตัวเองและดวงจิตต่อหน้าการเกิดใหม่ของธาตุทั้งห้าของหวังเป่าเล่อได้ จึงจำต้องถูกดึงเข้าสู่การเกิดใหม่
และหากจะหาต้อตอของทุกสิ่งก็จะพบว่า…มันเกี่ยวข้องกับที่ศิษย์พี่เฉินชิงของหวังเป่าเล่อออกไปล่วงหน้าในตอนนั้น
อาจกล่าวได้ว่าหากเฉินชิงไม่ออกไปล่วงหน้าและใช้การตายของตัวเองสร้างความเสียหายให้เด็กหนุ่มชุดแดง สถานการณ์ตอนนี้จะเป็นอย่างไรก็ยากจะคาดเดา บางทีอาจไม่มีอะไรเปลี่ยนไปเลย หรือบางที…นี่คือฟางเส้นสำคัญที่ทำให้เกิดความไม่สมดุล
ความจริงจะเป็นเช่นไรตอนนี้ก็ไม่มีใครมีพลังพอจะคิดคำนวณได้ ตอนนี้ทุกชีวิตในโลกศิลาล้วนสัมผัสสวรรค์คำราม พวกของปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยก็เช่นกัน ราวกับถูกพรากวิญญาณไปแล้ว
แม้สายตาที่มาจากมหาเทพตัวจริงจะถูกดึงเข้าไปในกระแสน้ำวนแล้ว แต่ช่วงเวลาสั่นๆ ที่มันดำรงอยู่ก็ยังคงทำให้ทั้งโลกศิลาราวกับหยุดหมุน
ไม่ว่ากฎหรือข้อบังคับใดก็ราวกับถูกแช่แข็งไปแล้ว
มีเพียงปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์และแม่นางน้อยที่เป็นคนนอกเท่านั้นที่ยังสามารถรักษาจิตใจให้เป็นปกติได้ และกำลังสนใจการต่อสู้ที่เกิดขึ้นในความว่างเปล่า
แม้จะมองไม่เห็นสนามรบ เห็นเพียงกระแสน้ำวนในความว่างเปล่ากำลังหมุนวน สายฟ้าแลบกะพริบวาบเรื่อยๆ บ้างก็เป็นสีเลือด บ้างก็พลังปราณของธาตุทั้งห้าปะทุ แต่จากการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ พวกเขาก็พอจะสันนิษฐานได้ว่าฝ่ายใดกำลังได้เปรียบ
ตอนนี้สีเลือดถูกกดข่มไว้อย่างเห็นได้ชัด พลังปราณของธาตุทั้งห้าในกระแสน้ำวนแผ่ขยาย เงาของธาตุทั้งห้าราวกับจะสยบทุกสิ่งเข้าปกคลุมเหนือกระแสน้ำวน โดยเฉพาะ…เมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุน้ำ น้ำตาหยดนั้นใสดุจคริสตัล ส่องแสงเจิดจรัสเหนืออีกสี่ธาตุ
ใบหน้าเลือนรางของหญิงสาวปรากฏอยู่ในกระแสน้ำวน
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ…เต๋าเกิดใหม่ของธาตุทั้งห้านั้นแท้จริงแล้วเป็นภาพมายาของโลกทั้งห้าซึ่งแต่ละโลกประกอบขึ้นจากแต่ละเต๋า
ดูลวงตาแต่ก็ดูไม่ลวงตา
ในเวลานี้เต๋าแรกที่สำแดงฤทธิ์คือการเกิดใหม่ของเต๋าธาตุน้ำ
โลกในการเกิดใหม่ประกอบด้วยน้ำทะเลทั้งหมด ทะเลนี้กว้างใหญ่ ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด คลื่นในทะเลพลิกม้วนราวกับจะพุ่งสู่ท้องฟ้า จากที่ไกลๆ จะเห็นว่าในทะเลมีรูปปั้นขนาดใหญ่ยืนอยู่
รูปปั้นนั้นเป็นรูปมนุษย์ดูยิ่งใหญ่มาก สองเท้ากำลังเหยียบก้นทะเล ร่างกายครึ่งหนึ่งอยู่เหนือน้ำทะเลราวกับกำลังค้ำฟ้า สองแขนกำลังจับตะขาบยักษ์ที่กำลังดีดดิ้นไม่หยุด
ใบหน้าของรูปปั้นนั้นเหมือนกับหวังเป่าเล่อไม่มีผิด เขากำลังหลับตา แต่ความสง่างามนั้นกลับยิ่งใหญ่กว่าความเป็นจริงมาก ตอนนี้ฟ้าแลบแปลบปลาบ ทะเลโหมกระหน่ำ ตะขาบที่ถูกรูปปั้นหวังเป่าเล่อจับไว้ส่งเสียงกรีดร้องบาดหู
ขณะแผดเสียงร้อง มันก็ระเบิดพลังรุนแรงออกมา เท้าหยุบหยับบนร่างของมันเป็นเหมือนมีดคมพันรัดรอบแขนของรูปปั้นจนเกิดรอยขีดข่วนสีขาว ส่งเสียงเฉียบคมแกรกกรากดังไม่หยุด
แต่รูปปั้นนั้นกลับไม่แยแสว่ารอยสีขาวบนแขนตนจะปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่วนใจว่ารอยสีขาวเหล่านี้กำลังจะทำให้ร่างแตกสลาย รูปปั้นนั้นยังคงสีหน้าไร้อารมณ์ สองมือที่จับตะขาบไว้ออกแรงฉีกมันมากขึ้นราวกับจะทำให้ร่างของตะขาบตัวนี้กระจุยกระจาย!
“หวังเป่าเล่อ! !” ความเจ็บปวดเจียนตายยิ่งทำให้ตะขาบตัวนี้ทวีความบ้าคลั่ง มันยิ่งดิ้นรนมากขึ้น หมู่มวลหมอกสีเลือดผุดพรายไปทั่วบริเวณทำให้สีของน้ำทะเลเริ่มเปลี่ยนไป แม้แต่ตัวรูปปั้นเองก็เริ่มผุพัง
แต่สุดท้าย…ตะขาบสีเลือดก็ยังด้อยกว่า ขณะที่พลังเทพของมันเปลี่ยนทะเลให้กลายเป็นทะเลเลือดและกัดเซาะรูปปั้นไปเกือบเก้าส่วนนั้นเอง สองมือของรูปปั้นก็ฉีกดึงจนเกินกว่าขีดจำกัดที่ตะขาบจะรับได้ ร่างของตะขาบพลันฉีกเป็นสองท่อนพร้อมเสียงดังสนั่น
เสียงกรีดร้องดังกึกก้อง ตะขาบที่ถูกฉีกออกเป็นสองท่อนก็ได้สำแดงความพิเศษของมันออกมาในช้วงเวลาแห่งความเป็นความตายนี้เอง อาศัยช่วงเวลาที่รูปปั้นผุพังและพริบตาที่สองมือของรูปปั้นแยกออกจากกัน ร่างกายสองท่อนของมันก็พังทลายลงด้วยตัวเองและกลายเป็นเศษชิ้นส่วนนับล้านกระจายไปรอบๆ บ้างก็จมลงใต้ทะเล บ้างก็หนีเข้าไปในความว่างเปล่า
และขณะกระจายตัวออกไปมันก็แบ่งตัวอีกครั้งและกระจายต่อไป เป็นแบบนี้ซ้ำๆ …ภายในเวลาสั้นๆ ก็มีจำนวนมหาศาลเกินจะนับได้กระจายไปทั่วทั้งโลกการกลับมาเกิดของเต๋าธาตุน้ำ
ส่งนรูปปั้นนั้นขณะที่ตะขาบสลายตัวก็ดูเหมือนจะสูญเสียพลังชีวิตไป ค่อยๆ ขยับไม่ได้ และค่อยๆ นั่งลง ตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นไปเริ่มจมลงสู่ทะเลราวกับกำลังจะจมน้ำ
จนกระทั่งส่วนหัวจมลงสู่ทะเล ดวงตาที่ปิดอยู่ตลอดเวลาก็…ลืมขึ้นทันใด!
ชั่วอึดใจนั้น ฟ้าดินพลัน เปลี่ยนสี!
วินาทีนั้น ลมพายุโหมกระหน่ำ!
พริบตานั้น จักรวาลร้องคำราม!
วินาทีนั้น จักรวาลตื่นตะลึง!
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะ…ดวงตาคู่นั้นลืมขึ้น และเสียงจากปากของรูปปั้นที่ดังก้องไปทั่วทั้งโลกแห่งเต๋าธาตุน้ำ
“เจ้า หนีไม่พ้นหรอก”
…………………..
ตอนนี้กฎไฟ ดิน ทองปะทุขึ้นติดๆ กันสร้างแรงกดดันมหาศาลราวกับสามารถสยบได้ทั้งจักรวาล เป็นผลให้ฝ่ามือยักษ์สีเลือดสั่นอย่างรุนแรงเมื่อมันเข้าใกล้
มองจากที่ไกลๆ ฝ่ามือยักษ์นี้ยิ่งใหญ่ราวกับจะครอบครองทั้งจักรวาล ทว่าเมื่อจะจับหวังเป่าเล่อความเร็วก็ลดลง จนกระทั่งวินาทีที่เต๋าธาตุทองปรากฏขึ้น ฝ่ามือยักษ์นี้ก็เหมือนกับถูกยึดไว้กับที่ ไม่สามารถเคลื่อนไหวต่อได้
เหมือนกับมีสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็นขัดขวางระหว่างฝ่ามือยักษ์กับหวังเป่าเล่ออยู่ราวกับความว่างเปล่าแข็งตัว ทำให้ฝ่ามือยักษ์อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
ภาพนี้ทำให้เด็กหนุ่มชุดแดงหน้าเปลี่ยนสีและยังทำให้ปรมาจารย์ทั้งสามที่ไล่ตามมาจากจักรพิภพใจกลางดวงตาหดแคบ พวกเขาไม่ได้เข้าไปใกล้มากเกินไป ทำแค่มองดูอยู่ห่างๆ แต่ถึงกระนั้นจิตใจก็ยังสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
อาการสั่นสะท้านไม่ได้มาจากฝ่ามือยักษ์สีเลือดที่ดูเหมือนจะทุบทำลายทุกอย่างได้ แต่มาจากพลังปราณที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างหวังเป่าเล่อ
พลังปราณนี้ทำให้ทั้งโลกศิลาส่งเสียงคำรามราวกับไม่อาจทนรับไหว ส่วนหวังเป่าเล่อมีสีหน้าสงบนิ่ง ไม่มีอารมณ์ใดๆ แม้แต่น้อย พวกเขาเฝ้ารอวันนี้มาเนิ่นนานเกินไปแล้ว
ขณะนี้ทิศตะวันตกคืออักขระไฟเซียน ทิศเหนือคือศิลา ทิศใต้คือร่างมายาบนแท่งเงิน ซึ่งทำให้จักรวาลสั่นสะเทือนรุนแรง
ทว่าทุกอย่างยังไม่สิ้นสุดแค่นั้น วินาทีต่อมาหวังเป่าเล่อที่กำลังหลับตาก็เอ่ยออกมาเบาๆ เป็นคำที่สี่ และเป็น…เต๋าที่สี่!
“น้ำ!”
ทันทีที่เอ่ยขึ้น ทางทิศตะวันออกของหวังเป่าเล่อพลันปรากฏหยดน้ำตาหยดหนึ่งซึ่งมีขนาดเล็ก ทว่าในพริบตาที่มันปรากฏขึ้นกลับทำให้ทั่วทั้งจักรวาลเปียกชื้น นอกจากนี้ยังมีอารมณ์โศกเศร้าที่ยากจะอธิบายครอบคลุมไปทั้งโลกศิลา
กระทบต่ออารมณ์ของทุกชีวิต ปั่นป่วนผู้ที่ฝึกตนตามวิถีกฎแห่งน้ำทั้งหมด และยังทำให้แม่น้ำและทะเลทั้งหมด รวมถึงทุกสิ่งที่เกี่ยวกับน้ำกู่ร้องไปตามๆ กัน
สุดท้ายพลังแห่งเต๋าธาตุน้ำจากจักรวาลมารวมตัวกันเป็น…ใบหน้าขนาดมหึมา ใบหน้านี้พร่าเลือน มองไม่ชัดว่าเป็นชายหรือหญิง เห็นเพียงแค่เส้นใยน้ำนับไม่ถ้วนก่อตัวเป็นเส้นผมยาวกลายเป็นทางช้างเผือก ขณะเดียวกันหยดน้ำตานั้นก็สว่างวาบอยู่ที่หางตาของใบหน้านั้น
ในเวลาเดียวกันการปรากฏตัวของเต๋าธาตุน้ำก็เขย่าขวัญฝ่ามือยักษ์นั่นทำให้ฝ่ามือยักษ์ที่ดูเหมือนถูกขัดขวางอยู่นั้นเริ่มพังทลายและเริ่มทนรับต่อไม่ไหว เด็กหนุ่มชุดแดงด้านในหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างสิ้นเชิง ทว่าดวงตาที่บ้าคลั่งกลับยิ่งแย่ลงไปอีก เมื่อเห็นเคล็ดวิชาลับของตนไม่สามารถทำอะไรคู่ต่อสู้ได้ เขาก็ส่งเสียงกรีดร้องแหลมบาดหู ทันใดนั้นฝ่ามือยักษ์นั้นก็ดิ้นไปมา
ทันใดนั้นเขาก็แปลงเป็นตะขาบสีเลือดอีกครั้งและพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่ออีกครั้ง ครั้งนี้พลังปราณบนร่างเขาก็ยิ่งน่าพิศวงราวกับมาพร้อมพลังปราณเหนือระดับที่สามารถทะลวงผ่านความว่างเปล่าได้ หากมองจากที่ไกลๆ ตะขาบสีเลือดตัวนี้…ก็เหมือนกับกระบี่คมที่ใช้ตัวตะขาบเป็นตัวกระบี่!
กระบี่ตัวนี้หวีดเสียงแหลมบาดหูและส่งเสียงหึ่งๆ มันฟื้นคืนสภาพจากที่กำลังจะพังทลาย และเมื่อมันพุ่งเข้ามาก็พุ่งหัวต้านสิ่งกีดขวางไปหาหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อหลับตาลงและค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ไม่จำเป็นต้องมองประสาทสัมผัสของเขาก็รับรู้ทุกสิ่งรอบตัวได้ ในพริบตาที่กระบี่ตะขาบเข้ามาใกล้ เขาก็เอ่ยคำที่ห้าออกมา
“ไม้!”
เต๋าธาตุไม้เป็นเต๋าสารัตถะของหวังเป่าเล่อและเป็นเต๋ารากฐานของตัวเขา อีกทั้งยังเป็นร่างกายของเขาด้วย ทันทีที่เอ่ยออกมา ทั้งสี่ทิศก็ถูกยึดครองโดยมีเขาเป็นจุดศูนย์กลาง จากนั้นไม้สีดำขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้น
การปรากฏตัวของมันทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี จักรวาลพลิกกลับ แรงระเบิดที่อธิบายไม่ได้พลันปะทุขึ้นจากพื้นดิน และขณะที่ระเบิดอยู่นั้นเอง ไม้สีดำก็เป็นจากมายาเป็นของจริง รูปร่างของมันเหมือนกับไม้กระดานสีดำและเหมือนตะปูไม้สีดำด้วย บนตัวไม้แผ่กลิ่นอายเก่าแก่โบราณ
ความรู้สึกเก่าแก่หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกาลเวลานั้นเหนือกว่าอีกสี่ธาตุมากเหลือเกิน ราวกับว่าเมื่อเทียบกับอีกสี่ธาตุแล้ว ไม้สีดำนี้…ถึงจะเรียกว่าเป็นนิรันดร์อย่างแท้จริง!
เสียงคำรามดังไปทั่วจักรวาล และในตอนนั้นเอง เด็กหนุ่มชุดแดงกรีดร้อง ก่อนที่กระบี่ยาวจากตัวตะขาบจะแผ่แสงเลือดเจิดจ้าราวกับจะแข่งกับหวังเป่าเล่อ แทงทะลุทุกสิ่งมาปรากฏตัวตรงหน้าเขาและแทงเข้าไปอย่างแรง!
ในเวลาเดียวกันเสียงคำรามที่ดังไปทั่วจักรวาลและเสียงหัวใจเต้นระรัวของทุกชีวิตก็ผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อเต๋าห้าธาตุปรากฏออกมาหมดแล้ว ระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อ…ก็ระเบิดทะลักครั้งใหญ่ในวินาทีนั้นเอง
ระดับการฝึกตนของเขาเหมือนกับว่ามาถึงขีดจำกัด ในพริบตาที่เสียงแตกละเอียดดังก้องอยู่ในหู กระแสเต๋าของหวังเป่าเล่อก็ได้ครอบคลุมทุกตารางนิ้วของโลกศิลาไว้หมดแล้ว
ห้าธาตุ…เสร็จสมบูรณ์!
รากฐานของเต๋าแปดปรมัตถ์เสร็จสมบูรณ์แล้ว!
ระดับการฝึกตนเท่าไร หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจแล้ว คนที่ไม่มีอนาคต ไม่มีอดีต มีเพียงปัจจุบันอย่างเขานั้นมีเรื่องที่สนใจไม่มากแล้ว มือขวายกขึ้นแล้วหนีบสองนิ้วเล็กน้อย กระบี่ยาวสีเลือดที่พุ่งเข้ามาก็ถูกหนีบไว้ระหว่างนิ้ว
กระบี่นั้นสั่นเล็กน้อย ทันใดนั้นก็เกิดเสียงปริแตกดังก้องสะเทือนฟ้า กระบี่สีเลือดเกิดรอยร้าวจากจุดที่หวังเป่าเล่อหนีบไว้และกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็แตกร้าวไปทั่วทั้งเล่ม กระบี่เล่มนี้…พลันระเบิดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
กระบี่ยาวกลายร่างเป็นชิ้นส่วนตะขาบและชิ้นส่วนตะขาบเหล่านี้ก็พังทลายกลายเป็นหมอกสีเลือดพลิกตลบและสุดท้ายก็รวมตัวกันเป็นร่างเด็กหนุ่มชุดแดงอยู่ไกลๆ
ทันทีที่ปรากฏกาย เขาก็กระอักเลือดก้อนใหญ่ออกจากปาก ใบหน้าขาวซีด ขณะเดียวกันความไม่อยากจะเชื่อก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยความบ้าคลั่งในวินาทีต่อมา
“ก้าวสู่สวรรค์งั้นหรือ?!”
“ในโลกนี้ไม่มีผู้ใดที่ก้าวสู่สวรรค์ได้ เศษวิญญาณไม้สีดำอย่างไรก็เป็นแค่เศษวิญญาณ แม้ตอนนี้เจ้าจะถูกปลุกให้ตื่น แต่…เจ้าเกี่ยวโยงกับโลกนี้ล้ำลึกเกินไป หากทำลายโลกนี้ เจ้าก็จะไร้รากไร้ต้นกำเนิด เกิดเองดับสูญเอง!” ขณะที่พูด เด็กหนุ่มชุดแดงก็ยกสองมือขึ้นสะบัดอย่างแรง ทันใดนั้นข้างหลังเขาก็เกิดกระแสน้ำวน กระแสน้ำวนนี้เป็นสีเลือด ข้างในดูเหมือนมีดวงตาคู่หนึ่งซ่อนอยู่
สัมผัสได้ถึงความเย็นชาและความสง่างามในดวงตาที่เปิดอยู่คู่นั้นราวกับว่าเจ้าของดวงตาคู่นี้เห็นทุกสิ่งไร้ค่า
ราวกับมาจากที่ไกลแสนไกล ราวกับเป็นนิรันดร์ ส่งผลให้ทุกชีวิตในโลกศิลาสมองว่างเปล่าราวกับสูญเสียพลังชีวิตของตนไปแล้ว
ซึ่งยิ่งทำให้โลกศิลาที่กำลังสั่นสะเทือนยิ่งทวีรอยแตกร้าวไปอย่างรวดเร็ว ราวกับเปลือกไข่ที่กำลังจะแตก…จุดจบกำลังจะมาถึง!
ทั้งหมดนี้เกิดจากสายตาในกระแสน้ำวนนั้นทั้งสิ้น
“มหาเทพ…” หวังเป่าเล่อพึมพำเบาๆ ก่อนจะลุกขึ้นช้าๆ รอบกายรายล้อมไปด้วยไฟ น้ำ ดิน ทอง ท่ามกลางเต๋าธาตุดินของตัวเขาเอง เขาก้าวไปข้างหน้าและสะบัดมือขวาอย่างแรง
ทันใดนั้น…จักรวาลก็บิดเบี้ยว สิ่งรอบตัวแปรเปลี่ยน ดวงดาวหายไป จักรวาลหายไป จุดที่พวกเขายืนอยู่…กลายเป็นความว่างเปล่า!
ที่แห่งนี้ไม่ใช่แก่นโลกศิลา แต่เป็นชั้นที่สองของโลกศิลา
“จะมีประโยชน์อะไร ที่นี่พังทลาย โลกศิลาก็พังทลาย เศษวิญญาณไม้สีดำ ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะทำอย่างไร!” เด็กหนุ่มชุดแดงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาในกระแสน้ำวนด้านหลังเขาเหมือนจะเบิกตากว้างขึ้น
แต่ในตอนนั้นเอง…หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้น เต๋าแห่งธาตุทั้งห้ารอบตัวพลันหมุนเวียน ทำให้ตัวเขาพร่าเลือน และเอ่ยเสียงล้ำลึกดังก้องไปทุกหนทุกแห่ง
“ห้าธาตุ จุติ!”
……………………………………………………………………….
โลกศิลากำลังเดือดพล่าน จักรวาลกำลังร้องคำรามมาจากทุกสารทิศ การเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงเช่นนี้ ด้านหนึ่งมาจากสงครามที่ร่างแยกมหาเทพอยู่ในขณะนี้ อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะการหลอมเมล็ดพันธุ์เต๋าของหวังเป่าเล่อ
อย่างหลังนั้นส่งผลกระทบใหญ่กว่ามาก ถึงขนาดทำให้ร่างแยกมหาเทพหวาดกลัวจนเนื้อเต้น รู้สึกได้ถึงเค้าลางหายนะจนเด็กหนุ่มชุดแดงยิ่งบ้าคลั่งเข้าไปอีก เขาพยายามสลัดพวกปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยเพื่อจะขัดขวางหวังเป่าเล่อ
เพียงแต่…หากมีแค่ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยกับปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณสองคน เขาคงสยบได้อย่างง่ายดาย แต่…มีปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์เพิ่มมาอีกหนึ่งคน
ดาบสะท้านฟ้าของอีกฝ่ายทำให้ฝ่ายเด็กหนุ่มชุดแดงหวาดกลัวอยู่ในใจ แม้อานุภาพของดาบจะไม่ได้ถึงขนาดทำลายล้างเขาได้ แต่ทั้งสามคนต่างจับมือกันขัดขวางเขาทุกวิถีทาง และท้ายที่สุดก็ดึงร่างเขาไว้ที่เดิม ไม่อาจหนีไปไหนได้
นั่นยิ่งทำให้เขาวิตกจริตขึ้นเรื่อยๆ และควบคุมความบ้าคลั่งไว้ไม่ได้ ขณะกรีดร้องคำรามก็แปลงกายเป็นตะขาบสีเลือดดูชั่วร้ายจนจักรวาลของโลกศิลากลายเป็นสีแดงฉาน
การต่อสู้ดำเนินต่อไป ส่วนอีกด้านหนึ่งหวังเป่าเล่อที่กำลังหลอมเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟอยู่ในจักรพิภพสำนักเสริมก็ได้มาถึงช่วงเวลาสำคัญของชีวิตแล้ว
หากเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟเซียนเสร็จสมบูรณ์ มันจะไม่ใช่แค่เป็นตัวแทนของกฎแห่งไฟและเป็นต้นกำเนิดเท่านั้น แต่ยังหมายถึง…ธาตุทั้งห้าของเขาสมบูรณ์แล้ว และการระเบิดหลังจากมันสมบูรณ์แล้วนั้นย่อมรุนแรงกว่าแต่ก่อนมาก
แม้ในด้านระดับก็ไม่เหมือนกัน
และเพราะเหตุนี้เอง ความเร็วในการหลอมขั้นสุดท้ายจึงยากจะสำเร็จในชั่วพริบตา และในขณะนี้ก็มีสายตามากมายกำลังจ้องมองมายังโลกศิลา
หนึ่งในนั้นมาจากในสำนักดาราจันทร์ นั่นก็คือแม่นางน้อยหวังอีอี ในใจนางทั้งสับสนและรู้สึกผิด สายตาที่จ้องมองไปยังจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่นั้นแน่วแน่เด็ดเดี่ยว เมื่อก้มหน้าลงในมือนางก็ปรากฏบางอย่างที่คล้ายกับแผ่นหยกมายา แผ่นหยกนี้บิดเบี้ยวราวกับอยู่ในห้วงกาลเวลา
“เตี่ย…ข้าเสียใจ หากสุดท้ายแล้วเขา…ท่านจะลงมือไหม”
ขณะที่แม่นางน้อยพึมพำเสียงเบาอยู่นั้น ด้านนอกโลกศิลา ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ไร้ของเขต ร่างที่นั่งอยู่บนเรือเดียวดายกำลังเงยหน้าขึ้น ดวงตามีความสับสนเช่นกัน แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ
“นี่คือทางเลือกของเจ้าหรือ”
“เตี่ย นี่คือทางเลือกของข้า”
“…” ร่างนี้ไม่ได้เอ่ยอะไร แต่กลับหลับตาลง
ในเวลาเดียวกันภายในจักรวาลอันกว้างใหญ่ ทุกสายตาต่างมองมาที่จุดนี้ราวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดที่นี่สำคัญมากสำหรับพวกเขา
“อาวุธ…กำลังจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว” ไม่รู้ว่าใครกำลังพึมพำจนสะท้อนอยู่ในหัวเจ้าของสายตาทุกผู้คน บางคนเงียบ บางคนถอนหายใจ ส่วนร่างบนเรือเดียวดายนั้นลืมตาขึ้นและแค่นเสียงเย็นชา
“สหายเต๋าหวัง แม้ข้าแทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบรรลุเต๋าของเจ้า แต่…นี่เพื่อพวกเราทุกคน เหตุใดถึงต้องปฏิเสธด้วย” เสียงแก่ชราดังขึ้นอีกครั้ง
“ไปซะ!” คนที่ตอบเขาคือร่างที่นั่งอยู่บนเรือเดียวดาย สายตาเฉียบคมพร้อมกับคำพูดสองคำนั้นทำให้เกิดเสียงดังสะท้อนกลับมาจากจักรวาลอันไกลโพ้นทันทีราวกับพื้นที่ตรงนั้นพังทลายลงและเสียงแก่ชรานั่นก็หายไป
ร่างบนเรือเดียวดายเงยหน้า ไม่สนใจจักรวาลที่พังทลายไปเมื่อครู่แต่อย่างใด แต่กลับจ้องมองศิลาขนาดมหึมาที่แตกร้าวตรงหน้า จากนั้นไม่นานก็เอ่ยเสียงเบา
“แซ่หวังเป็นหนี้เจ้า เพราะฉะนั้นทุกคนที่พยายามจะใช้ชะตากรรมของเจ้า ข้าจะช่วยกำจัดมันเอง”
ในพริบตาที่ร่างนั้นเอ่ยออกมา เด็กหนุ่มชุดแดงในโลกศิลาก็ระเบิดเคล็ดวิชาลับ แปลงกายเป็นทะเลเลือดกวลาดล้างไปทุกทิศทุกทาง
ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยกระอักเลือด กายเนื้อไม่อาจทนรับการพังทลายนี้ได้ ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณก็เช่นกัน โชคดีที่ปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์สกัดไว้ทำให้พวกเขาสองคนไม่ได้วิญญาณแตกสลาย ส่วนเด็กหนุ่มชุดแดงก็ไม่มีเวลามาสังหาร เขาที่กำลังวิตกจริตและร้อนใจสุดๆ แปลงกายเป็นทะเลเลือดและกวาดไปยัง…จักรพิภพสำนักเสริมที่หวังเป่าเล่ออยู่
มันเร็วมาก เพียงพริบตาเดียวก็ข้ามผ่านจักรพิภพใจกลางไปแล้ว สีแดงเลือดปกคลุมไปทั่วทั้งจักรวาล ทุกชีวิตต่างสัมผัสได้ถึงพลังปราณเลือดอันเข้มข้นที่มาจากระหว่างฟ้าดินได้อย่างชัดเจน
ผืนดินกำลังแตกระแหง ทุกชีวิตกำลังเหี่ยวเฉา ทุกสิ่งในโลกศิลาราวกับถูกย้อมสี แม้แต่ศิลาขนาดมหึมาที่ลอยอยู่ในจักรวาลยังกลายเป็นสีแดงฉานอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เหมือนกับก้อนอิฐที่ถูกเผาจนเป็นสีแดงที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ มันปรากฏรอยร้าวขึ้นทีละรอยและกระจายไปอย่างรวดเร็ว ภาพนี้ทำให้ทุกสายตาที่จ้องมองมายังที่แห่งนี้ยิ่งใจจดใจจ่อ ร่างที่นั่งอยู่บนเรือเดียวดายยกมือขวาขึ้นมา
ในพริบตาที่ความสนใจจากโลกภายนอกเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง ทะเลเลือดจากร่างแยกมหาเทพที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งสยบทุกสิ่งยิ่งระเบิดจิตสังหารออกมามากขึ้น ท่ามกลางกลิ่นอายความร่วงโรยของทุกสิ่ง เขาได้ข้ามผ่านจักรพิภพใจกลางมาถึงในจักรพิภพสำนักเสริมแล้ว ในวินาทีต่อมา…เขาก็ปรากฏตัว…ในจักรวาลที่หวังเป่าเล่อกำลังนั่งขัดสมาธิหลอมเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟ!
“ตาย!” เสียงคำรามที่ไม่เหมือนเสียงมนุษย์แผ่ซ่านไปถึงจิตใจทุกคน ทะเลเลือดพลันก่อตัวเป็นฝ่ามือยักษ์ขนาดเท่าจักรวาล
ทุกชีวิตในจักรพิภพสำนักเสริมต่างเห็นภาพนี้กันอย่างชัดเจน พวกเขาแหงนหน้าขึ้นก็มองเห็นท้องฟ้าที่ถูกย้อมเป็นสีเลือดได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ามือยักษ์ไปแล้ว อาการสั่นเทามาจากจิตวิญญาณและความหวาดกลัวจากสัญชาตญาณทำให้ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ทำได้แค่ตัวสั่นเทิ้ม!
ตอนนี้ฝ่ามือยักษ์กำลังกวาดไปทางหวังเป่าเล่อที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว จนล้อมรอบร่างหวังเป่าเล่อราวกับจะทำให้เขาและจักรวาลที่เขาอยู่ รวมถึงส่วนเล็กๆ ของจักรพิภพสำนักเสริมแห่งนี้มอดไหม้เป็นจุณอยู่ในฝ่ามือ
ทว่าในพริบตาที่ฝ่ามือนี้จะจับเขาและแผดเสียงดุร้ายของร่างแยกมหาเทพออกมานั้นเอง…หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าสงบนิ่งแล้วเอ่ยเบาๆ
“ไฟ”
เมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟเซียนตรงหน้าเขา…เสร็จสมบูรณ์แล้ว!
วินาทีที่มันเสร็จสมบูรณ์ก็เปล่งแสงเจิดจ้าก่อตัวเป็นประกายเพลิงขนาดมหึมา ส่งอิทธิพลไปทั่วทั้งโลกศิลา ทำให้ทั้งไฟจริงและไฟมายาทั้งหมดในโลกศิลาสั่นไหวราวกับกำลังเคารพบูชา มันโผล่ขึ้นมาทางทิศตะวันตก ขนาด…ใหญ่ไม่แพ้ฝ่ามือยักษ์นั่น
“ดิน” ยังไม่จบแค่นั้น หวังเป่าเล่อเอ่ยออกมาเป็นคำที่สอง ฉับพลันศิลาขนาดมหึมาที่ดูลวงตา แต่ก็ดูมีอยู่จริงก็วางอยู่ทางทิศเหนือของเขา
ทันทีที่ศิลานี้ออกมา พื้นดินทั่วทั้งโลกศิลาพลันสั่นสะเทือน วัตถุและผู้คนที่เกี่ยวข้องกับดินต่างโห่ร้องเคารพบูชาอีกครั้ง แม้แต่ดวงดาวยังเปลี่ยนวิถีการโคจรและเริ่มขยับราวกับว่า…โลกศิลากำลังจะมีชีวิต!
“ทอง” คำที่สามดังก้อง ทหารหลายพันล้านนายและกฎที่เกี่ยวข้องต่างสั่นสะท้านและแผดเสียงกรีดร้อง เสียงของพวกเขาแฝงการเจาะทะลวงที่อธิบายไม่ได้ เหมือนกับ…เสียงร้องอันบ้าคลั่งของโลกศิลา!
ทางทิศใต้ก็มีแท่งเงินปรากฏขึ้น!
แม้แท่งเงินนี้จะเล็ก แต่บนนั้นมีร่างหนึ่งที่มองเห็นหน้าไม่ชัดปรากฏขึ้น ร่างนั้น…สวมชุดคลุมเต๋า บนแขนเสื้อมีรูปหม้อหลอมโอสถ การปรากฏตัวของเขาทำให้พลังปราณทองพุ่งทะยานขึ้นฟ้า
“จะมาแล้วหรือ” “หวังเป่าเล่อที่ปิดผนึกดวงตา หูและจมูกกำลังเงยหน้า ประสาทสัมผัสของเขาครอบคลุมไปทั้งโลกศิลาและเขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณเลือดที่ดูเหมือนจะกำลังทะลุจักรวาลมาด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์
ในการรับรู้ พลังปราณนี้ก่อตัวเป็นตะขาบขนาดมหึมา ความโหดร้ายและความบ้าคลั่งที่ไม่อาจบรรยายได้เผยออกมาตลอดทางที่ข้ามผ่านความว่างเปล่า ราวกับจะฉีกทุกสิ่งที่ขวางหน้า
คนที่สังเกตเห็นความผิดปกตินี้เหมือนกันคือปรมาจารย์ตระกูลเซี่ย ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณรวมถึงปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์
เมื่อทั้งสามสัมผัสได้ถึงพลังปราณเลือดก็สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นทันใด ร่างแต่ละคนกะพริบและหายไปจากสถานที่ถือสันโดษทันที
ตอนนี้เมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟของหวังเป่าเล่อเพิ่งหลอมไปได้แปดส่วน อีกสองส่วนที่เหลือยังต้องใช้เวลาอีกสักพักถึงจะเสร็จสิ้น อีกทั้งเขายังสัมผัสได้ถึงว่าแม้รูทวารทั้งเจ็ดของตนจะเหลืออีกหนึ่งรูที่ยังไม่ได้ปิดผนึก แต่ก็ใกล้ถึงขีดจำกัดแล้ว
ต่อให้ปิดผนึกทั้งหมดก็ยังไม่อาจสกัดการปะทุและการก้าวหน้าของระดับการฝึกตนได้ ขีดจำกัดที่โลกศิลาจะรับได้ก็จะถูกทำลายเช่นกัน
แต่สีหน้าหวังเป่าเล่อยังไม่เปลี่ยนมากนัก ก่อนที่เขาจะหลอมเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟ เขาได้เตรียมการไว้บ้างแล้ว ตอนนี้เขายังไม่ทำอะไรเพื่อหยุดการก้าวหน้าของระดับการฝึกตน แต่หลอมเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟต่อไปและระดับการฝึกตนก็ยังปะทุไม่หยุด
ในไม่ช้าพลังปราณของเขาก็ครอบคลุมไปทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายและการคลอบคลุมไปถึงเต๋าฝั่งซ้ายได้ย่อมหมายถึงทั้งโลกศิลาตกอยู่ในอาณาเขตพลังปราณของเขาแล้ว
สำนักเสริม เต๋าฝั่งซ้าย จักรพิภพใจกลางล้วนถูกพลังปราณของหวังเป่าเล่อแทรกซึม ทุกชีวิตและผู้ฝึกตนที่ฝึกตนตามวิถีกฎแห่งไฟต่างร้องคำรามอยู่ในใจ นั่นก็เพราะเต๋าแห่งวิถีการฝึกตนของพวกเขามีต้นกำเนิดแล้ว
ต้นกำเนิดนี้กลายเป็นที่สุดแห่งเต๋าของพวกเขา
จักรวาลแผดเสียงคำราม โลกศิลาสั่นสะเทือน ในที่สุดเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟตรงหน้าหวังเป่าเล่อสำเร็จไปเก้าส่วน เหลืออีกแค่ส่วนเดียวเท่านั้น…
ระดับการฝึกตนของเขาก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง รอยร้าวปรากฏขึ้นเป็นวงกว้าง คราวนี้มันแตกร้าวไปทั่วทั้งโลกศิลาจนทุกชีวิตแหงนหน้ามอง
ความรู้สึกถึงวันโลกาวินาศผุดขึ้นในจักรวาล เมื่อเห็นว่าโลกศิลากำลังจะรับไม่ไหว หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาแตะหว่างคิ้ว
ทันทีที่แตะลงไป ร่างของเขาก็สั่นเทิ้ม และเกิดเงาซ้อนทับบนร่างกายเขาทันที ขณะที่ตัวสั่นเทิ้มนั้นเอง เงาร่างมายาที่ซ้อนทับอยู่นั้นก็ผุดลุกขึ้นและเดินไปรอบๆ
มีทั้งหมด 10 ร่าง ล้วนเป็นร่างแยกของหวังเป่าเล่อทั้งสิ้น
กระบวนท่าสารัตถะ!
กระบวนท่านี้สืบทอดมาจากเฉินชิง หลังจากหวังเป่าเล่อชำนาญแล้วมันก็ช่วยเขาได้มากทีเดียว อย่างในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้มันก็ได้สำแดงอานุภาพสูงสุดแล้ว
แบ่งระดับการฝึกตน!
วินาทีต่อมาเมื่อร่างสารัตถะเดินออกมา ในร่างต้นแบบจึงไม่อาจข่มกลั้นระดับการฝึกตนได้อีกต่อไป มันไหลเวียนและผสานเข้าไปในร่างแยกทั้งสิบ ทำให้ร่างแยกทั้งสิบระเบิดระดับการฝึกตนขึ้นในพริบตา ในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจก็สูงถึงระดับที่น่าทึ่งเมื่อเทียบกับตอนที่หวังเป่าเล่อยังไม่มีเซียนไร้พันธนาการ
ร่างแยกทั้งสิบก็เช่นกัน
หากมีใครเห็นภาพนี้คงจะตกตะลึงสุดขีด ร่างแยกทั้งสิบในตอนนี้มีพลังต่อสู้ที่ทรงพลังมาก ถึงอย่างไรก่อนที่หวังเป่าเล่อจะรู้แจ้งเซียนไร้พันธนาการ ร่างของเขาก็ถึงจุดสูงสุดด้านพลังต่อสู้ของโลกศิลาอยู่ก่อนแล้ว
ร่างแยกทั้งสิบต่างเป็นเช่นนั้น แต่พวกเขาก็เกิดจากระดับการฝึกตนส่วนหนึ่งของหวังเป่าเล่อเท่านั้น ซึ่งหากคำนวณดูแล้ว พลังการต่อสู้ที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ได้ไปถึงจุดที่น่าสะพรึงกลัวแล้ว
ขณะเดียวกันระดับการฝึกตนของร่างต้นแบบหวังเป่าเล่อถูกแบ่งแยกออกไปและปิดผนึกรูทวารทั้งหก ความผันผวนภายในร่างกายที่ทำให้โลกศิลาไม่อาจรับได้ก็อ่อนลงในที่สุด รอยร้าวเริ่มประสานตัว
โลกศิลาก็เหมือนบอลลูนลูกหนึ่ง สิ่งที่จะทำให้มันระเบิดไม่ได้มีแต่อากาศข้างใน ยังมีวัตถุด้วย อย่างเช่นพ่อของหวังอีอีหรือหวังเป่าเล่อ พวกเขาก็เหมือนกับดาบยาวอันแหลมคมที่ซึ่งความยาวของมันเกินขอบเขตของบอลลูนไป ดังนั้นทันทีที่มันปรากฏขึ้นก็จะทะลวงและพังทลายทุกอย่าง
แต่หากดาบยาวเล่มนี้แบ่งแยกเป็นหลายเล่ม ความยาวของมันก็ย่อมลดลง ดังนั้นแม้จำนวนจะเพิ่มมากขึ้น แต่โลกศิลาก็ยังพอรับได้
เพียงแต่การรับนี้ก็มีขีดจำกัด อีกทั้งผู้ฝึกตนจากข้างนอกกับผู้ฝึกตนท้องถิ่นก็แตกต่างกัน ดังนั้นพ่อของหวังอีอีจึงไม่อาจเข้ามาได้ เพราะระดับความแข็งแกร่งของเขานั้นไม่เหมือนกับระดับของสิ่งมีชีวิตอีกต่อไปแล้ว ร่างแยกเพียงร่างเดียวก็ไม่ใช่สิ่งที่โลกศิลาจะรับได้
ขณะที่กระบวนท่าสารัตถะของหวังเป่าเล่อกำลังทำงานอยู่นั้น ร่างแยกจากดวงจิตเทพของมหาเทพก็ทะลวงผ่านกำแพงกั้นระหว่างจักรวาลโลกศิลาและความว่างเปล่าเข้ามาในโลกศิลาพร้อมกับเสียงคำรามดังก้องไปทั่ว
และในพริบตาที่เขาก้าวเข้ามานั้นเอง จักรวาลพลันบิดเบี้ยว ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณเป็นคนแรกที่ก้าวออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และยกมือขวาขึ้นทันทีโดยไม่ลังเล ทันใดนั้นก็มีกระบองยักษ์ปรากฏขึ้นพุ่งตรงไปยังเด็กหนุ่มชุดแดง
กระบองยักษ์นี้ต่างจากแต่ก่อน มันถูกล้อมรอบด้วยดวงดาวที่หดเล็กลงจำนวนมากทำให้อานุภาพของมันพุ่งถึงขีดสุด เมื่อมันปรากฏตัวขึ้น จักรวาลพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ในเวลาเดียวกันร่างของปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยก็ก้าวออกมาด้วยสายตาแน่วแน่ สองมือทำผนึกมุทรา เคล็ดวิชาแห่งชะตาพลันไหลเวียนในร่างกายและมีกำยานปรากฏขึ้นตรงหน้าและติดไฟทันที ก่อตัวเป็นเส้นยาสูบจำนวนมากพุ่งตรงไปยังเด็กหนุ่มชุดแดง
เส้นยาสูบเหล่านี้บรรจุชะตาอนันต์ ฟันได้ สยบได้ ผนึกได้!
ทั้งหมดนี้ดูเหมือนเชื่องช้า แต่ในความเป็นจริงเร็วดั่งสายฟ้าแลบ เพียงพริบตาเดียวพวกเขาทั้งสองก็คำรามขึ้นพร้อมกัน
“ไสหัวไป!” เด็กหนุ่มชุดแดงกำลังหัวเสียอย่างหนักและวิตกกังวลมาก หลังจากเข้ามายังโลกศิลาแล้วความรู้สึกของเขาก็ยิ่งทวีความชัดเจนขึ้น ความผันผวนจากจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่นั้นเหมือนกับเปลวไฟลูกใหญ่ในคืนมืดมิด สะท้านฟ้าสะเทือนดิน และน่าสยดสยอง ขณะเดียวกันก็ทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อันตรายครั้งนี้ยิ่งใหญ่กว่าตอนที่เฉินชิงนำมาให้เขาเสียอีก
ดังนั้นเขาจึงโบกมือเพื่อสำแดงเคล็ดวิชาลับโดยไม่ลังเล ร่างกายแปลงเป็นพายุสีเลือดกวาดล้างไปทั่วทุกสารทิศ กระบองยักษ์พังทลาย เส้นยาสูบชะตาถูกตัดขาด ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณกับปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยต่างกระอักเลือดสดออกจากปาก และไม่สามารถหยุดเด็กหนุ่มชุดแดงได้อีกต่อไป
แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้ผลอะไรเลย ฉับพลันที่พวกเขาทั้งสองล้มกลิ้ง แสงดาบพลันสว่างวาบบนจักรวาล ส่องสว่างพร่างพรายราวกับจะทำให้ทั้งจักรวาลสว่างไสว มันปรากฏขึ้นตรงหน้าเด็กหนุ่มชุดแดง
ดาบนั้นกวาดไปหนึ่งครั้งทำให้ร่างเด็กหนุ่มชุดแดงที่กำลังพุ่งไปข้างหน้าต้องถอยร่นไปกะทันหัน แต่ก็ไม่อาจหลบพ้นจึงถูกแสงดาบนั้นฟันลงบนร่างกายจนร่างกายแยกเป็นสองส่วน แต่ในไม่ช้ามันก็กลับมารวมตัวกัน ยิ่งทำให้สีหน้าปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์ที่มาพร้อมกับแสงดาบนั้นเคร่งขรึมมากขึ้น
“ดาบนี่…คุ้นๆ นะ…” เด็กหนุ่มชุดแดงที่ร่างกลับมาเป็นเช่นเดิมแหงนหน้ามองปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์อย่างบ้าคลั่ง
“แต่ยังไม่พอหรอก!” ระหว่างที่พูด ร่างของเด็กหนุ่มชุดแดงก็แยกออกจากกันเอง ฉับพลันเงาร่างตะขาบสีเลือดก็ปรากฏกายขึ้นพร้อมแผดเสียงกรีดร้องสะท้อนไปในจิตใจทุกคน มันพุ่งเข้าใส่ทั้งสามคนทันที
จักรวาลพลันปั่นป่วน หวังเป่าเล่อกำลังหลอมเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟซึ่งกำลังจะสำเร็จจากเก้าส่วนเป็นสิบส่วน ทำให้หลังจากสำนักเสริม เต๋าฝั่งซ้ายและจักรพิภพใจกลางถูกห่อหุ้มแล้วก็เกิดรอยร้าวแผ่ขยายไปทั่วทุกซอกทุกมุมอย่างรวดเร็ว
ระดับการฝึกตนของเข้าก้าวหน้าอย่างน่าทึ่ง พลังปราณของเขากว้างขวางและสง่างาม!
ส่วนร่างแยกนั้นก็ถูกเขาแยกออกมาอีกสิบร่างล้อมรอบร่างของเขาไว้ราวกับกลุ่มดาวล้อมรอบดวงจันทร์!
เมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟก็เร่งความเร็วในการหลอมขึ้นในทันที เก้าจุดหนึ่ง เก้าจุดสาม เก้าจุดห้า…
จนกระทั่งเก้าจุดเก้า…
……………………………
หากจะใช้คำว่าสุดยอดรากฐานแห่งเต๋าก็ไม่เกินจริง!
ขณะนี้สุดยอดรากฐานแห่งเต๋านี้ขาดเพียงตัวเชื่อมสุดท้ายเท่านั้น ทันทีที่ไฟแห่งเซียนรวมตัวกลายเป็นเมล็ดพันธุ์เต๋าก็แสดงถึงความสมบูรณ์ของธาตุทั้งห้า แสดงถึงรากฐานแห่งเต๋าแปดปรมัตถ์ของหวังเป่าเล่อเสร็จสมบูรณ์แล้ว!
จักรวาลร้องคำรามสั่นสะเทือนไปทั่วทุกสารทิศ เส้นผมของหวังเป่าเล่อขยับไหวเองโดยไร้ลม รวมถึงชุดที่เขาใส่อยู่ด้วยแม้ดวงตาที่ปิดอยู่จะไม่ได้ลืมขึ้น แต่บนร่างของเขากลับเปล่งแสงสว่างยิ่งกว่าดวงตา
มือขวาที่ยกขึ้นคลายฝ่ามือออก เปลวไฟสีทองพลันลุกโชนขึ้นบนฝ่ามือ แต่หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่าสิ่งที่เรียกว่าเปลวไฟนี้ความจริงแล้วเกิดจากการรวมตัวของอักขระสีทองนับไม่ถ้วน อักขระเหล่านั้นกำลังซ้อนทับและหลอมเข้าด้วยกันกันอย่างต่อเนื่องจนสามารถจินตนาการได้ว่าเมื่ออักขระในมือเขาหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันจนหมด มันก็จะกลายเป็น…เมล็ดพันธุ์เต๋า!
กระบวนการเปลี่ยนหนึ่งเป็นหมื่นและเปลี่ยนหมื่นกลับมาเป็นหนึ่งนี้คือการก่อกำเนิดเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟ!
หากเทียบกระบวนการสำคัญนี้กับสิบระดับ กระบวนการตอนนี้ได้มาถึงระดับสามแล้ว และแผ่ขยายไประดับสี่อย่างรวดเร็ว อีกทั้งในกระบวรการนี้ยังทำให้พลังปราณบนร่างหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ระดับการฝึกตนของเขาผันผวนขึ้นเรื่อยๆ ดวงวิญญาณเทพก็ยิ่งร้ายกาจขึ้น กระแสเซียนบนร่างก็เข้มขึ้นถึงขีดสุดเช่นกัน ทุกอย่างเกี่ยวกับเขากำลังปะทุขึ้นในเวลานี้
แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ!
ความว่างเปล่าก็มาถึงขีดกำจัดราวกับไม่อาจทนได้อีกต่อไป แม้หวังเป่าเล่อจะหลับตาอยู่และข่มกลั้นการทะลวงขั้นของระดับการฝึกตน แต่จักรวาลโดยรอบก็ยังคงปรากฏรอยร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ
รอยร้าวแผ่ขยายไปครึ่งจักรพิภพสำนักเสริมทำให้ปรมาจารย์ดาราจันทร์หน้าเปลี่ยนสี ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณก็ตื่นตระหนก
“โลกกำลังจะทนไม่ไหวแล้ว!!”
เมื่อเห็นรอยร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ หวังเป่าเล่อก็ยกมือกดหว่างคิ้วตัวเอง
“ผนึก!”
ฉับพลันหูสองข้างของเขาก็ถูกปิดผนึกเอง รูทวารทั้งเจ็ดคือจุดรับรู้ของดวงวิญญาณเทพกับโลกภายนอก ในเมื่อปิดสองตาแล้วยังไม่อาจข่มกลั้นได้ก็ปิดอีกสองหู!
เมื่อหูถูกปิดผนึก พลังปราณก็ถูกระงับลงในทันที ไม่ให้มันแผ่ขยายออกไปมากเกินไป ร่างกายของเขาส่งเสียงคำราม ก่อนที่รอยร้าวทั่วจักรวาลจะค่อยๆ หายไป
ส่วนกระบวนการหลอมเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟเซียนนั้นก็ได้ทำให้เกิดมวลคลื่นลูกใหญ่ไปทั่วทั้งจักรพิภพสำนักเสริม
ดวงดาวทุกดวงต่างกำลังสั่นสะเทือนและสิ่งมีชีวิตทุกชนิดต่างจิตใจสั่นสะท้าน จะความว่างเปล่าก็ดี เศษฝุ่นผงก็ช่าง ในวินาทีนี้ล้วนราวกับได้รับอิทธิพลรุนแรง และขอบเขตของอิทธิพลนี้ยังทะลุจักรพิภพสำนักเสริมไปยังจักรพิภพใจกลาง
ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยที่กำลังถือสันโดษรวบรวมวงแหวนชะตาอยู่ในจักรพิภพใจกลางสังเกตเห็นในทันที เขาหับขวับมองไปทางจักรพิภพสำนักเสริม ดวงตาไหวคลอน เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนไปทั่วทั้งจักรวาลได้อย่างชัดเจน ความรุนแรงของความผันผวนนี้ทำให้เต๋าชะตาของเขาสั่นคลอนไม่น้อย
“เป็นหวังเป่าเล่อ!” ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ แม้ความสั่นไหวในดวงตาจะค่อยๆ หายไป แต่ความเคร่งขรึมก็ค่อยๆ ปรากฏแทนที่ แต่สุดท้ายก็กลายเป็นถอนหายใจเบาๆ
ระดับของหวังเป่าเล่อในตอนนี้คือสิ่งที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดแม้ยามหลับ แต่เขาก็รู้ดีว่าเต๋าของตนหยุดก้าวหน้าไปแล้ว ตอนนี้ทำได้แค่ถอนหายใจเล็กน้อยและจิตใจเขาก็โล่งขึ้น
เพราะเขาไม่จำเป็นต้องใช้ชีวิตของตนหลอมวงแหวนชะตาอีกแล้ว หายนะที่โลกศิลากำลังจะต้องเผชิญมีคนที่เหมาะสมกว่าปรากฏตัวแล้ว หากอีกฝ่ายยังไม่สามารถหยุดยั้งหายนะได้ ต่อให้เขาสละชีวิตตนไปก็เปล่าประโยชน์
และขนาดตัวเขายังได้รับอิทธิพลขนาดนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ในจักรพิภพใจกลางที่ต่างกำลังสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนของร่างกายตนอยู่ในขณะนี้
นั่นคือความผันผวนจากเพลิงชีวี ไฟแบ่งออกเป็นจริงและปลอม และเพลิงชีวีนั้นนับเป็นส่วนหนึ่งของไฟ อันที่จริงในระหว่างธาตุทั้งห้าดูเหมือนจะแยกจากกัน แต่หลังจากถึงจุดสูงสุดแล้วก็ยากที่จะแยกธาตุใดเป็นธาตุใด และมีจุดเชื่อมโยงกันในท้ายที่สุด
มหาเต๋าเป็นเช่นนี้ วิถีการฝึกตนก็เป็นเช่นนี้
เวลานี้ท่ามกลางเสียงร้องคำรามจากจักรพิภพใจกลาง และการหลอมเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟของหวังเป่าเล่อ ยังมีอีกคนที่สัมผัสได้ถึงความผันผวนนี้ นั่นคือร่างแยกมหาเทพที่กำลังต่อสู้กับฝ่ามือหลัวอยู่ในความว่างเปล่า
เด็กหนุ่มชุดแดงที่เป็นร่างแยกนั้นกำลังต่อกรกับฝ่ามือหลัว ในฉับพลันก็สังเกตเห็นพลังปราณที่มาจากโลกศิลาก็อดหน้าเปลี่ยนสีไปอีกครั้งอย่างห้ามไม่ได้
ก่อนหน้านี้ยามที่เขาสัมผัสได้ถึงกระแสเซียนของหวังเป่าเล่อก็ตกตะลึงมากแล้ว ตอนนี้ยังสัมผัสได้ถึงความผันผวนจากไฟนั่น โดยเฉพาะพลังปราณที่บรรจุอยู่ข้างในไฟจนเขารู้สึกกลัวนั่นทำให้สีหน้าเด็กหนุ่มชุดแดงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
“เป็นเช่นนี้ต่อไปการจะสยบที่นี่และหวนคืนกลับมาคงไม่อาจทำได้เป็นแน่…จะเสียเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว!” เด็กหนุ่มชุดแดงสีหน้าบิดเบี้ยว ความกังวลที่หาได้ยากยิ่งผุดขึ้นในใจ แววตายิ่งทวีความดุดัน ร่างกายส่งเสียงดังออกมาครั้งหนึ่งก่อนจะกลายร่างเป็นหมอกเลือดเข้มข้นเข้าห่อหุ้มฝ่ามือหลัวไว้ด้วยท่าทางบ้าคลั่ง
เวลาผ่านไปพลังปราณของหวังเป่าเล่อยังคงแทรกซึมและแผ่ขยายไปอย่างต่อเนื่อง ทุกสรรพสิ่งยิ่งสั่นสะท้านมากขึ้น การหลอมเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟสำเร็จไปสี่ส่วน ห้าส่วนและหกส่วน!
การหลอมเมล็ดพันธุ์ก้าวหน้าไปพร้อมกับระดับการฝึกตนของเขาที่ก็กำลังก้าวหน้าไม่หยุดและมาถึงจุดสูงสุดที่โลกศิลาจะรับได้อีกครั้ง รอยร้าวปรากฏขึ้นอีกครั้ง และคราวนี้ไม่ได้ปรากฏแค่รอบตัวหวังเป่าเล่อเท่านั้น แต่แทรกซึมพลังปราณของมันครอบคลุมจักรพิภพสำนักเสริมและจักรพิภพใจกลาง
นั่นทำให้ผู้ฝึกตนในจักรพิภพสำนักเสริมและจักรพิภพใจกลางที่กำลังสั่นสะท้านกลายเป็นอกสั่นขวัญแขวน เมื่อเงยหน้ามองท้องฟ้า ความหวาดกลัวตามสัญชาตญาณและความรู้สึกถึงวันโลกาวินาศผุดขึ้นในใจพวกเขาในทันที
“จักรวาล…จักรวาลจะแตกสลายแล้ว!”
“นี่มันอะไรกันแน่ ท้องฟ้าแตกร้าวไปหมด!!”
ท่ามกลางความโกลาหลของทุกขีวิต หวังเป่าเล่อในจักรพิภพสำนักเสริมก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง
“ผนึก!”
คราวนี้เขาปิดผนึกจมูกตัวเอง!
รูทวารทั้งเจ็ดถูกปิดผนึกไปแล้วหก วิธีนี้ทำให้รอยร้าวไม่ขยายเพิ่มในท้ายที่สุด แต่พลังปราณในร่างกายเขายังคงปะทุและน่าสะพรึงกลัวขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะรากฐานแห่งเต๋าของเขาแข็งแกร่งเกินไปถึงขั้นผิดปกติแล้ว!
พลังปราณของเขาได้แทรกซึมไปทั่วทั้งจักรพิภพใจกลางแล้วและเริ่มแผ่ขยายไปยังจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย การหลอมเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟก็สำเร็จไปเจ็ดส่วนแล้ว!
จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายเป็นสถานที่ที่รากฐานของหวังเป่าเล่อตั้งอยู่ สถานที่แห่งนี้ถูกครอบครองโดยระบบสุริยะมานานแล้ว ดังนั้นในพริบตาที่พลังปราณไฟเซียนของหวังเป่าเล่อมาถึง เหล่าผู้ฝึกตนในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายทุกคนจึงไม่ได้เคราะห์ร้ายมากนัก แต่กลับนั่งขัดสมาธิลงและสัมผัสถึงความผันผวนของร่างกายตนอย่างสุดกำลัง ขณะเดียวกันดวงตาของพวกเขาก็ฉายแววกระตือรือร้น
ในเวลาเดียวกันเด็กหนุ่มชุดแดงที่ต่อสู้กับฝ่ามือหลัวอยู่นั้นก็บ้าคลั่งถึงขีดสุด ไม่รู้ว่าเขาใช้เคล็ดวิชาใด แต่มันส่งผลต่อร่างกายของเขาอย่างเห็นได้ชัด อานุภาพจึงยิ่งน่าอัศจรรย์ ร่างกายส่งเสียงคำรามและก่อตัวเป็นตราประทับสีเลือดซึ่งทำให้ฝ่ามือหลัวสั่นสะท้านจนเผยช่องโหว่ในพริบตา
เด็กหนุ่มชุดแดงอาศัยช่องโหว่นั้นแปลงเป็นแสงเลือดเข้มข้นแล้วพุ่งจากความว่างเปล่าไปยังแกนกลางของโลกศิลาทันที
“หวังเป่าเล่อ ภารกิจของข้าคือกวาดล้างเจ้า ไม่ว่าอย่างไร ต่อให้สูญเสียอักขระเชื่อมต่อระหว่างตัวข้ากับร่างต้นแบบเพื่อปราบฝ่ามือหลัว ข้าก็ไม่อาจปล่อยให้เจ้าอยู่ต่อไปได้!” ใบหน้าเด็กหนุ่มชุดแดงกลายเป็นแสงสีเลือด ดวงตาดูบ้าคลั่งและแฝงจิตสังหารถึงขีดสุด ก่อนจะพุ่งตรงไปยังจักรวาลโลกศิลา!
ตอนนั้นเองภายในโลกศิลาในจักรพิภพสำนักเสริม หวังเป่าเล่อค่อยๆ เงยหน้าขึ้น สองหู สองตาและจมูกถูกเขาปิดผนึกด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่ส่งผลต่อการรับรู้ของเขา
เขาสัมผัสได้ว่สไฟเซียนของตนหลอมสำเร็จไปแปดส่วนแล้ว
และสัมผัสได้ว่าในความว่างเปล่า มีพลังปราณเลือดสายหนึ่งกำลังเข้ามาใกล้โลกศิลาอย่างรวดเร็ว!
……………
เมื่อมองไปรอบๆ จักรวาลอันไกลโพ้นของจักรพิภพสำนักเสริมแห่งนี้ที่เหมือนกับกลุ่มสะเก็ดดาวนับไม่ถ้วนที่ดำรงอยู่มาแต่โบราณ บัดนี้กำลังเรียงตัวอย่างรวดเร็วท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง
เทียบกับพวกมันแล้ว ร่างของหวังเป่าเล่อที่ลอยอยู่ตรงหน้าดูเล็กน้อยจนไม่ควรค่าให้เอ่ยถึง แต่หากหลับตาแล้วสัมผัสกับรัศมีของร่างหวังเป่าเล่อนั้นเปล่งประกายเหนือสิ่งอื่นใดราวกับเป็นเจ้าแห่งทุกสรรพสิ่ง กำลังโบกมือและกลุ่มสะเก็ดดาวก็เรียงเป็นแถวด้วยตัวเอง
ความผันผวนแผ่ขยายไปทั่วทั้งจักรพิภพสำนักเสริมส่งผลให้ทุกขีวิตใจสั่นสะท้าน ผู้ฝึกตนจำนวนมากต่างใจสั่นไหว ขณะเดียวกันกลุ่มสะเก็ดดาวนี้…ก็ค่อยๆ เชื่อมต่อกันเป็นอักขระโบราณ!
อักขระโบราณนี้เหมือนกับลูกไฟ ไม่ว่าจะมองด้วยตาเปล่าหรือใช้ประสาทสัมผัสล้วนเป็นดั่งเปลวไฟราวกับสามารถเผาทำลายได้ทุกสรรพสิ่ง ครอบทั้งจักรวาล และพลังปราณของมันก็น่าอัศจรรย์ราวกับเขย่าจักรวาลได้
ขนาดของมันก็น่าอัศจรรย์ เผยให้เห็นความเก่าแก่และความผันผวนไม่มีที่สิ้นสุด เพราะมันปรากฏตัวท่ามกลางจักรวาล ความว่างเปล่าโดยรอบก็ราวกับมีกลิ่นอายของกาบเวลาซึ่งทำให้หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ตรงหน้ามันรู้สึกราวกับอยู่ในแม่น้ำสายยาวแห่งกาลเวลา
“นี่คือ…อักขระโบราณที่ศิษย์พี่ทิ้งไว้ให้ข้า” แม้จะไม่ได้ลืมตา แต่หวังเป่าเล่อก็ได้รับญาณทั้งหมดที่เขาต้องการที่ จากบนอักขระโบราณตรงหน้าอย่างชัดเจน จากนั้นไม่นานเขาก็พึมพำเสียงเบา
อักขระตรงหน้ากับที่ปรากฏอยู่ในหัวเขาเหมือนกันทุกประการ!
อีกทั้งในทันทีที่มันก่อตัวขึ้น ไม่ใช่แค่จักรพิภพสำนักเสริมเท่านั้นที่ตื่นตะลึง จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายรวมถึงจักรพิภพใจกลางก็เช่นกัน ทั่วทั้งโลกศิลาต่างกำลังร้องคำราม ทั้งสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตต่างก็กำลังตัวสั่นเทา
เพราะนี่คือพลังเหนือโลกศิลา!
เพราะพลังนี้เก่าแก่ถึงขีดสุด ไม่ใช่ของยุคปัจจุบัน!
เพราะนี่คือ…เซียนที่หลัวและกู่แย่งชิงกันในตอนนั้น!
วิชาสืบทอดแห่งเซียน!
สาเหตุที่เป็นรูปลูกไฟก็เพราะวิชาสืบทอดนี้…เป็นตัวแทนแห่งเปลวไฟ เปลวไฟแห่งเซียน!
บนอักขระนี้ หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงพลังปราณแห่งเซียนอันเข้มข้นซึ่งทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยมากราวกับเห็นเงาร่างของศิษย์พี่อยู่ในนั้น แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ
“ไฟนี้…คือเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟของข้า!” เมื่อสัมผัสอักขระอันใหญ่โตตรงหน้าแล้วหวังเป่าเล่อก็เอ่ยออกมาเบาๆ ก่อนจะกวักมือเบาๆ ไปทางอักขระที่ประกอบขึ้นจากสะเก็ดดาวนับไม่ถ้วนที่สั่นสะเทือนไปทั้งโลกศิลา
ทันใดนั้นอักขระสะเก็ดดาวอันตระการตาก็สั่นสะเทือนและก่อตัวเป็นสะเก็ดดาวของตัวมันเอง รอยร้าวพลันปรากฏขึ้นทันทีและมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากแทรกซึมไปทั่วทั้งอักขระแล้วก็เกิดเสียงคำรามดังสนั่นแล้วกลุ่มสะเก็ดดาวก็พังทลายลง
ในพริบตาที่มันพังทลายลงด้ายสีทองก็พุ่งออกมาจากข้างในสะเก็ดดาวที่แตกกระจาย และพุ่งตรงมาทางหวังเป่าเล่อ ทั้งหมดนี้ดูเหมือนยาวนาน แต่ในความเป็นจริงมันเกิดขึ้นเร็วราวกับแสงฟ้าแลบ วินาทีต่อมา…เมื่อด้ายสีทองมาบรรจบกัน อักขระสีทองขนาดเท่าฝ่ามือก็ลอยอยู่บนฝ่ามือหวังเป่าเล่อ
สีทองส่องประกายอักขระดั่งไฟ
โลกศิลาสั่นสะเทือนรุนแรงยิ่งขึ้น ไฟอักขระสีทองกำลังแกว่งไปมาราวกับปรารถนาจะผสานเข้ากับหวังเป่าเล่อ ขณะเดียวกันกระแสเซียนบนร่างหวังเป่าเล่อก็แผ่ขยายออกมาเองราวกับมันเป็นหนึ่งเดียวกับอักขระนี้อยู่แล้ว ขณะนี้พวกมันต่างกระตือรือร้นที่จะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
เมื่อสัมผัสได้ถึงเปลวไฟสีทองในมือ หวังเป่าเล่อก็เงียบไปครู่หนึ่ง มือขวากำเข้าหากันเล็กน้อยจนกระทั่งอักขระไฟเซียนนั่นอยู่ในมืออย่างสมบูรณ์
ทันทีที่สัมผัสกับมัน อักขระไฟเซียนนั่นก็ผสานเข้าไปในฝ่ามือหวังเป่าเล่อและแผ่ซ่านไปในร่างกายเขา ในตอนนั้นเองในหัวหวังเป่าเล่อก็ปรากฏภาพสี่ด้าน
ภาพแรกคือแสงสว่างจ้ากำลังพุ่งไปข้างหน้าในจักรวาลอันมืดมิด ด้านหลังแสงสว่างจ้านั้นมียักษ์ตัวหนึ่งที่ดูเหมือนสามารถแยกฟ้าเปิดแผ่นดินได้กำลังไล่ตามไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ในไม่ช้าด้านหน้าแสงสว่างนั้นก็ปรากฏสนามรบขึ้นซึ่งแสงสว่างนั้นก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย มันเร่งความเร็วพุ่งเข้าไปในสนามรบทันที และในพริบตาที่ใันเข้าไปในสนามรบแสงสว่างนั่นก็แยกเป็นสองส่วน!
ส่วนหนึ่งส่องประกายดั่งเดิม อีกส่วนหนึ่งมืดมิดยากจะหาพบ แยกออกจากกันเป็นสองทาง
ภาพแรกหายไปและในไม่ช้าภาพที่สองก็ปรากฏขึ้น
ในภาพนั้นลำแสงที่มืดมิดจนแทบมองไม่เห็นนั้นเงียบสงัดอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อเริ่มมีสิ่งมีชีวิตปรากฏขึ้นในโลกศิลา แสงนั้นก็หลอมรวมเข้ากับสิ่งมีชีวิตหนึ่งราวกับกลับชาติมาเกิดและเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ตั้งแต่นั้นมาลำแสงนั้นก็ได้เกิดใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า มีทั้งคน พืช วิญญาณ…จนกระทั่งผ่านไปนานเพียงใดก็สุดรู้ ตอนจบของภาพที่สองนี้คือทารกคนหนึ่งที่เกิดในหมู่บ้านธรรมดา
ชื่อของทารกคือเฉินชิง
ดูถึงตรงนี้จิตใจหวังเป่าเล่อพลันซับซ้อนและถอนหายใจเบาๆ ก้อนจะมองดูภาพที่สามที่ผุดขึ้นในหัวต่อไป ในภาพนั้น…คือสำนักแห่งความมืดในอดีต เขาเห็นศิษย์พี่เฉินชิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ วันหนึ่งจู่ๆ แสงในดวงตาก็ไม่เหมือนเดิม แสงนั้น…มืดมิดจนแทบมองไม่เห็นเหมือนกับแสงที่แยกออกมาจากลำแสงสว่างจ้านั่น
และภาพสุดท้ายคือหลังจากผ่านไปเนิ่นนาน เฉินชิงกำลังยืนอยู่ด้านหลังจุดที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่ในตอนนี้และกำลังจ้องมองกลุ่มสะเก็ดดาวที่แตกกระจาย
ภาพทั้งสี่สิ้นสุดลงแค่นี้
แม้ภาพเหล่านี้จะไม่มีเสียง แต่หวังเป่าเล่อก็เข้าใจทุกอย่าง แสงสว่างกับยักษ์ในภาพแรกก็คือกู่กับหลัว
กู่เข้ามาในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น หลัวจึงปิดผนึกที่นี่ แต่เขาไม่ได้สังเกตเห็นว่าหลังจากกู่เข้ามาแล้วก็แยกออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งสว่าง ส่วนหนึ่งมืดมิด
วิชาสืบทอดของแสงสว่างกลายเป็นนักเล่าเรื่องและได้พบกับชะตากรรมของหวังเป่าเล่อ สุดท้ายก็ถูกเขาเก็บเกี่ยวไป
ส่วนวิชาสืบทอดของความมืดมิดนั้นเวียนว่ายตายเกิดอยู่หลายครั้ง สุดท้ายเมื่อได้มาอยู่กับเฉินชิงก็ได้ปลุกความทรงจำขึ้น…บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่เฉินชิงกบฏต่อสำนักแห่งความมืดในตอนนั้น ภารกิจของสำนักแห่งความมืดคือป้องกันไม่ให้เซียนจากไป แต่เมื่อถึงยุคของอาจารย์ก็ถูกอาจารย์เปลี่ยนให้กลายเป็นป้องกันทุกคน และที่สำคัญคือ…ไปตกอยู่กับตระกูลไม่รู้สิ้นซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือตั้งใจ
“อาจารย์รับศิษย์สองคน ล้วนเป็นผู้สืบทอดเซียน…” หวังเป่าเล่อเอ่ยเบาๆ เขาเข้าใจอะไรขึ้นมากแล้ว เกรงว่า…อาจารย์คงจะเป็นคนที่รู้มากที่สุดและบางทีอาจารย์ก็อาจต้องการทำลายภารกิจของสำนักแห่งความมืด
“ดังนั้นสุดท้ายอาจารย์ถึงช่วยเติมเต็มศิษย์พี่และสุดท้ายศิษย์พี่ถึงเลือกที่จะจากไป ยินยอมทำให้ข้าสมบูรณ์แบบ…”
หวังเป่าเล่อถอนหายใจ เข้าใจทุกอย่างแล้ว แม้จะมีรายละเอียดอีกมากที่เขายังไม่รู้ แต่นั่นก็ไม่สำคัญแล้ว สิ่งสำคัญคือ…เขาเองก็เลือกที่จะจากไปเช่นกัน
เพื่อโลกศิลา เพื่ออาจารย์ เพื่อศิษย์พี่ เพื่อแม่นางน้อย เพื่อทุกคนและเพื่อตัวเอง…
“สงครามครั้งนี้ ใกล้แล้วสินะ” เจตนาอันแรงกล้าปะทุขึ้นบนร่างหวังเป่าเล่อที่กำลังหลับตา เขายกมือขวาขึ้นมา ไฟอักขระเซียนที่เขาจับไว้ในมือเปล่งแสงเล็ดลอดออกมาจากนิ้วมือแผ่ขยายไปทั่วทุกสารทิศ
เมล็ดพันธุ์ไฟห้าธาตุเริ่มก่อตัว!
ทันทีที่มันก่อตัว พลังของหวังเป่าเล่อก็ปะทุขึ้นฟ้า เพราะว่า…เต๋าห้าธาตุของเต๋าแปดปรมัตถ์นั้นมีเมล็ดพันธุ์เต๋าเหนือกว่าผู้บุกเบิกกฎเต๋านี้มากเกินไป!
เต๋าธาตุทองของเขาเป็นสิ่งเดียวที่นอกจักรพิภพสูงสุดขาดแคลน ได้รับศรัทธาสูงสุดและอยู่ยงคงกระพัน!
เต๋าธาตุน้ำของเขาคือน้ำตาหยดหนึ่งซึ่งบรรจุอารมณ์และความเพียรพยายาม ไหลผ่านคืนวันนับแต่อดีต ต้นกำเนิดลึกลับหายาก!
เต๋าธาตุดินของเขาแปลงมาจากมุมหนึ่งของโลกศิลา ในระดับหนึ่ง…หากจะพูดว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของหลัวก็เหมาะสมแล้ว!
เต๋าธาตุไฟของเขากำลังก่อตัวอยู่ในขณะนี้ นั่นคือวิชาสืบทอดไฟแห่งเซียนจึงย่อมเขย่าขวัญไปทั้งแผ่นดิน!
เต๋าธาตุไม้ของเขายิ่งไม่ต้องพูดถึง เรียกได้ว่าเป็นเต๋าแรกและเป็นเต๋าของชีวิตเขา หวังเป่าเล่อสันนิษฐานไว้แล้วว่าบางที…ร่างต้นแบบของเขา…เป็นต้นกำเนิดไม้แห่งธาตุทั้งห้า…นอกจักรวาลอันกว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดจริงๆ
เป็นรากฐานเต๋าที่ไม่เคยมีมาก่อน!
……………………………………
มีบางคนที่ลืมตาขึ้น แต่ในสายตาเขากลับเต็มไปด้วยอุปสรรคและหมอกหนาทึบมากเกินไปจนมองเห็นไม่ชัดและไม่รู้ว่าประกายไฟแห่งชีวิตอยู่ที่ใดหรืออาจเป็นเพราะตัวพวกเขาเองหรืออาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมและพันธนาการอันยุ่งเหยิง
คนพวกนี้อยู่ในโลกเป็นส่วนใหญ่ ไม่อาจบอกได้ว่าพวกเขาไม่มีความสุข แต่ก็ไม่ได้มีอิสระ บางทีพวกเขาอาจไม่รู้ หรือบางทีอาจจะรู้ ชีวิตคือการฝึกฝนที่ใช้เวลาเป็นปราณวิญญาณ แต่พวกเขายังต้องตระหนักรู้ ตรัสรู้และรู้แจ้งอย่างต่อเนื่อง
แต่ก็มีบางคนเช่นกันที่ก้าวเดินไปในชีวิตนี้และค่อยๆ ไปถึงอีกระดับ พวกเขาต่างหลับตาลง แต่โลกทั้งใบกลับชัดเจนยิ่งขึ้นในการรับรู้ของพวกเขาและยิ่งสัมผัสได้อย่างแม่นยำ เห็นชัด เห็นทะลุปรุโปร่ง งดงามยิ่งขึ้น มีสีสันมากขึ้นและเต็มไปด้วยประกายไฟแห่งชีวิต
คนประเภทนี้ก็มีไม่น้อยเช่นกัน
ส่วนหวังเป่าเล่อเคยเป็นคนประเภทแรก แต่ตอนนี้เป็นประเภทหลัง และยังก้าวเดินไปถึงจุดสูงสุดของเส้นทางประเภทหลังด้วย ไม่ใช่แค่การตรัสรู้อย่างยิ่งใหญ่ แต่ยังรวมถึงจิตใจรู้แจ้งเห็นจริง
ความทรงจำตลอดชีวิตที่ผ่านมาผุดขึ้นในหัว เงาร่างแต่ละคนแวบเข้ามาในความคิดหวังเป่าเล่อหลับตาขณะเดินไปในจักรวาลและเอ่ยเบาๆ
“ชีวิตคือการฝึกตน…ฝึกใจ ฝึกนิสัย ฝึกตัวเอง”
ขณะพึมพำหวังเป่าเล่อก็หัวเราะออกมา รอยยิ้มของเขาไร้เดียงสา ตรงไปตรงมาและสงบสุข และหลังจากทั้งสามอย่างผสานเข้าด้วยกัน เส้นผมที่ปลิวไสวขณะก้าวเดิน…ก็พริ้วไหวอยู่บนร่าง
ค่อยๆ เดินไปยังสถานที่ที่ศิษย์พี่มอบให้ทีละก้าวๆ
ดวงตาของเขาปิดสนิทตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องลืมตาและไม่อาจลืมตาได้
เขาไม่รู้ว่าระดับการฝึกตนของตนในตอนนี้คือระดับใด บางทีอาจเป็นระดับจักรพิภพชั้นมหาวัฏจักร หรืออาจจะมากกว่านั้นอีกหน่อยเป็นระดับที่เรียกว่าจักรวาล หรือบางที…อาจเป็นอีกระดับที่ไม่มีใครรู้จัก
ระดับนั้นนอกจากเขาแล้ว ในโลกศิลานี้คงมีเพียงศิษย์พี่ที่ไปถึง
แม้จะไม่เข้าใจระดับการฝึกตนของตนมากนัก แต่มีเรื่องหนึ่งที่หวังเป่าเล่อรู้ดีมาก เขารู้ว่าทันทีที่ตนลืมตาขึ้น ระดับการฝึกตนที่เขาข่มกลั้นอยู่จะต้องระเบิดออกมา และจุดสูงสุดของการระเบิดเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่โลกศิลาจะทนรับได้
“รออีกหน่อย” หวังเป่าเล่อดูเหมือนจะพูดกับตัวเอง แต่ก็ดูเหมือนพูดกับความว่างเปล่า เหยียบเท้าลงก้าวเดิน วินาทีต่อมาร่างของเขาก็ราวกับถูกลบหายไปจากจักรวาล
เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็มาอยู่ที่จุดสิ้นสุดของจักรพิภพสำนักเสริมแล้ว ตรงนั้นคือจักรวาลอันไกลโพ้นที่ซึ่งมีดวงดาวเพียงไม่กี่ดวง มีเพียงสะเก็ตดาวนับไม่ถ้วนที่ลอยเคว้งราวกับสายน้ำ ด้วยแรงดึงดูดหรือแรงโน้มถ่วงใดๆ ก็ตามทำให้มันไม่กระจัดกระจายและแยกจากกัน แต่ก่อตัวเป็นวงแหวนศิลาขนาดมหึมาที่ไม่อาจแยกหัวท้ายได้
หากมองจากมุมสูงจะเห็นได้ลางๆ ว่าสะเก็ดดาวที่อยู่ตรงนี้มีต้นกำเนิดเดียวกัน กล่าวคือ…พวกมันเป็นหนึ่งเดียวกัน
ราวกับว่าหลายปีก่อนที่นี่มีดวงดาวขนาดใหญ่หรือสะเก็ดดาวมหาศาล แต่กลับพังทลายลงอย่างไม่ทราบสาเหตุจึงได้มีสภาพอย่างที่เห็นตรงหน้า
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นหลังจากมาที่นี่แล้วแผ่ดวงจิตเทพออกไปถึงขีดสุดก็ไม่อาจตรวจพบสิ่งผิดปกติใด แม้แต่ระดับจักรวาลก็เช่นกัน
ราวกับที่แห่งนี้ธรรมดามาก กระทั่งหลายปีมานี้มีผู้ฝึกตนเคยเข้ามาในวงแหวนสะเก็ดดาว แต่ท้ายที่สุดก็ไม่พบสิ่งใดและยิ่งทำให้ที่นี่ค่อยๆ ไม่มีความลึกลับอะไร
ทว่า…ในการรับรู้ของหวังเป่าเล่อขณะนี้ ทุกอย่างในที่แห่งนี้แตกต่างออกไป แม้จะยังคงเป็นวงแหวนสะเก็ดดาวและไม่มีสิ่งมีค่าอะไรซ่อนอยู่ทั้งนอกและในวงแหวน แต่…ที่นี่กลับมีกระแสเซียนบางเบาจนแทบจะตรวจไม่พบ! !
กระแสเซียนนี้บางเบาเกินไป บางเบาจนถึงขั้นที่ว่าระดับจักรวาลก็ยังสัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อย บางเบาจนถึงขั้นที่ส่วต่อให้เป็นเว่ยยางจื่อคนก่อนก็ยังไม่รู้ แม้กระทั่งหวังเป่าเล่อก่อนหน้าที่จะรู้แจ้ง ต่อให้มีวิชาสืบทอดเซียนก็ยังไม่ได้อะไรเหมือนคนอื่นๆ
มีเพียงตอนนี้ที่ได้รู้แจ้งแล้วและกระแสเต๋าแปลงเป็นกระแสเซียนแล้ว ด้วยการอาศัยสัมผัสเชื่อมต่อจากต้นกำเนิดเดียวกัน หวังเป่าเล่อจึงสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของที่นี่
“ศิษย์พี่ช่าง…เป็นอัจฉริยะจริงๆ” หลังจากสัมผัสได้ไม่นาน หวังเป่าเล่อก็เอ่ยเสียงเบา
แท้จริงแล้วที่นี่ไม่ได้มีอะไรสำคัญซ่อนอยู่ เพราะไม่มีความจำเป็นแล้ว เพราะวงแหวนสะเก็ดดาวตรงหน้าเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดแล้ว
เพราะ…หลายปีก่อนสิ่งที่อยู่ที่นี่ไม่ใช่ดวงดาวหรือสะเก็ดดาวยักษ์ แต่เป็น…อักขระโบราณ!
อักขระโบราณนี้แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้วก่อตัวเป็นกลุ่มสะเก็ดดาว สะเก็ดดาวทุกดวงในที่แห่งนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของอักขระโบราณนั่น อีกทั้งเมื่อมันเคลื่อนที่ไปรอบๆ ตำแหน่งของสะเก็ดดาวก็เบี่ยงเบนไปนานแล้วเหมือนกับรูปภาพที่แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและถูกจัดวางไว้ตรงหน้ามั่วๆ เหมือนกับตัวต่อ
หากมีคนประกอบมันกลับเป็นเหมือนเดิมได้อักขระโบราณก็จะปรากฏขึ้นในโลกอีกครั้ง แต่…ในสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าอักขระโบราณเดิมเป็นแบบไหนการประกอบมัน…จึงแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ส่วนกระแสเซียนที่บางเบาจนแทบจะตรวจไม่พบนั้นหากถูกค้นพบก็จะตามหารูปแบบอักขระโบราณเดิมได้จากในการรับรู้…ข้อจำกัดเช่นนี้ยังทำให้คนที่สามารถรับวิชาสืบทอดของเฉินชิงได้จึงมีเพียง…เซียนที่มีต้นกำเนิดเดียวกันเท่านั้น!
หลังจากรับรู้ทุกอย่างแล้ว หวังเป่าเล่อก็เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขวาขึ้นช้าๆ โบกไปยังวงแหวนสะเก็ดดาวตรงหน้าเบาๆ ทันใดนั้นกระแสเซียนบางเบาที่แทรกซึมอยู่ในที่แห่งนี้ก็มารวมตัวกันในทันทีและผสานเข้ากับมือขวาของหวังเป่าเล่อ หลังจากถูกเขารวบรวมมาจนหมดแล้ว ในหัวเขาก็ค่อยๆ มีอักขระโบราณตัวหนึ่งปรากฏขึ้น
ทันทีที่อักขระโบราณนั้นผุดขึ้นในหัว จักรวาลโดยรอบก็เริ่มปั่นป่วน มีเปลวไฟที่มองไม่เห็นซึ่งกลายเป็นคลื่นความร้อนออกมาจากทั่วทุกสารทิศทำให้จักรพิภพผืนนี้บิดเบี้ยวและมืดสลัว
ความรู้สึกกดดันก็แผ่ขยายออกไปอย่างหนาแน่น
ผ่านไปสักพักมือขวาที่หวังเป่าเล่อยกขึ้นก็กระแทกกำปั้นชี้ไปทางวงแหวนสะเก็ดดาวตรงหน้า ทันใดนั้นวงแหวนสะเก็ดดาวก็สั่นสะเทือนและกระจัดกระจายแยกออกจากกัน
และในพริบตาที่มันแยกออกจากกันนั่นเอง ดวงจิตเทพหวังเป่าเล่อก็แผ่ขยายออกไปครอบคลุมสะเก็ดดาวทุกดวง จากนั้นก็ควบคุมตามรูปร่างอักขระโบราณที่ปรากฏขึ้นในหัว เริ่ม…กู้คืน!
เสียงคำรามและเสียงหวีดหวิวดังไปทั่วทั้งจักรพิภพสำนักเสริมพร้อมกับการเคลื่อนที่สะเก็ดดาวนับไม่ถ้วนและอักขระโบราณนั้นค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา ความปั่นป่วนก็ยิ่งขยายออกไปทำให้สิ่งมีชีวิตในจักรพิภพสำนักเสริมต่างใจสั่นสะท้านรุนแรงในพริบตาเดียว
ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณเองก็หน้าเปลี่ยนสี สัมผัสสวรรค์ก่อคลื่นลูกใหญ่ ระดับการฝึกตนระดับจักรวาลเองก็ยังใจสั่นระริกอย่างรุนแรง
ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว ปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์ก็เช่นกัน ต่อให้เขาจะเคยมีระดับการฝึกตนดีเลิศ แต่ตอนนี้จิตใจก็ยังสั่นเทิ้ม
ไม่ว่าจะสั่นระริกหรือสั่นเทิ้มก็ล้วนไม่ได้เกิดจากความเกลียดชัง แต่เป็นสัญชาตญาณเหมือนกับตัวเองกลายเป็นคนธรรมดากำลังเผชิญหน้ากับเทพเจ้าที่ถูกปลุกให้ตื่น!
เทพเจ้าที่ไม่อาจจ้องมองได้โดยตรง!
เทพเจ้าที่ไม่อาจล่วงเกินได้!
เทพเจ้าที่ไม่อาจขัดขวางได้!
…………………………
เต๋าแจ้งเห็นความจริงเรียกว่าไร้พันธนาการได้!
ก็เหมือนกับอิสระคือร่างกาย เสรีคือวิญญาณ ร่างกายและวิญญาณเป็นอิสรเสรีก็คือไร้พันธนาการ!
ส่วนเซียน…ก็ไร้พันธนาการเช่นกัน!
สำหรับหวังเป่าเล่อ อดีตไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ อนาคตไม่อาจคาดเดาได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ก็อย่ากังวลอะไรกับมันเลย!
เป็นเพราะจิตใจปล่อยวางได้จึงทำให้เขารู้แจ้งยิ่งขึ้น แปลงอดีตเป็นกฎ แปลงอนาคตเป็นข้อบังคับ ทำให้มันดำรงอยู่ระหว่างสวรรค์และโลกเป็นรากฐานแห่งเต๋าของตนและเป็นชะตากรรมที่จำเป็นสำหรับการฟื้นคืนชีพของหวังอีอี
ชะตากรรมนั้นข้ามอบให้เจ้าได้
ด้วยความเต็มใจ!
ข้าขอเพียงนับจากนี้ไป คนที่จะเดินข้ามผ่านจักรวาลคนนั้นไม่ต้องการอดีต ไม่แสวงหาอนาคต อยู่กับปัจจุบันในสายตาเจ้ากับข้าและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเท่านั้น
ความคิดของหวังเป่าเล่อแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ เส้นผมยาวพริ้วไหว กระแสเต๋าไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ก่อนจะแผ่ขยายไปทั่วทุกสารทิศ ขณะเดียวกันระดับการฝึกตนของเขาก็ก้าวกระโดดอย่างรวดเร็วเนื่องจากการรู้แจ้งดังกล่าว
จากระดับจักรพิภพชั้นกลางทะลวงไปสู่ระดับจักรพิภพชั้นปลายและยังก้าวต่อไป
สำหรับผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ฝึกตนมาจนถึงระดับเขานั้นการทะลวงระดับการฝึกตนไม่ใช่การสะสมพลังของตนอีกต่อไป แต่เป็นการเข้าใจโลก เข้าใจจักรวาล เข้าใจกฎเกณฑ์ และเข้าใจตัวเอง
การบรรลุธรรมแห่งเต๋า ทันทีที่ทำได้ก็จะได้รับเต๋า!
และหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็กำลัง…ได้รับเต๋า!
อดีตที่หายไป อนาคตที่ถูกละทิ้งกลายเป็นเต๋าของเขา และส่องสว่างแก่จิตใจเขา ทำให้เขามองเห็นเส้นทางของตนและเสริมสร้างจิตใจให้เข้มแข็ง
ขณะก้าวไปข้างหน้า กระแสเต๋าบนร่างของเขาก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ สัญญาณของการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพก็เริ่มปรากฏให้เห็นราวกับจะก้าวจากกระแสเต๋าเป็นพลังปราณที่พิเศษยิ่งขึ้น
ปรมาจารย์ดาราจันทร์ที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของหวังเป่าเล่อกับตากำลังตื่นตะลึงถึงขีดสุด เขาไม่เคยเห็นเซียนมาก่อน แต่ในชีวิตนี้ก็เคยสัมผัสได้ถึงสองครั้ง ครั้งแรก…จากนายท่านของเขาหรือพ่อของหวังอีอีนั่นเอง นั่นคือครึ่งเทพครึ่งเซียน บนร่างของเขามีกระแสประเภทเดียวกันนี้ครึ่งหนึ่ง
อีกครั้งหนึ่ง…เป็นอีกคนหนึ่งที่เดินบนเส้นทางแห่งเซียนอย่างชัดเจน แต่กลับก้าวเข้าสู่เส้นทางของปีศาจ
“นี่…คือเซียนหรือ !” ปรมาจารย์ดาราจันทร์พึมพำ
“นี่คือเซียนไหมน่ะหรือ” คนที่ตอบเขาคือหวังเป่าเล่อที่กำลังก้าวไปข้างหน้า เส้นผมปลิวไสวและกระแสเต๋าทั่วทั้งร่างกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง
ขณะที่ตอบ เท้าที่กำลังยกขึ้นก็หยุดชะงักลง เขายืนหลังหลังให้ปรมาจารย์ดาราจันทร์อยู่ตรงนั้น
“ไม้คือรากฐานเต๋า”
“น้ำคือแหล่งกำเนิดเต๋า”
“ทองคือปิดทางหนีเต๋า”
“ดินคือสยบเต๋า”
“ไฟคือ…ทำลายล้างเต๋า”
“ห้าธาตุเป็นรากฐาน รู้แจ้งอดีตและอนาคต กลายเป็นเต๋าใหม่…”
“และทั้งหมดนี้…เพียงเพื่อ…ปลดพันธนาการ!” หวังเป่าเล่อยิ้มน้อยๆ ขณะที่พูด ก่อนจะก้าวเพียงก้าวเดียว ร่างของเขาก็ก้าวเข้าสู่จักรวาล กระแสเต๋าพลันเสร็จสิ้นการเปลี่ยนแปลงในวินาทีนั้นและกลายเป็น…กระแสเซียน!
และในขณะที่กระแสเซียนนี้แผ่ขยายออกไป ด้านหลังหวังเป่าเล่อก็ปรากฏ…ไม้สีดำ!
พลังปราณของไม้สีดำค่อยๆ เข้มข้นขึ้นราวกับผสานเข้ากับกระแสเซียนและค่อยๆ เป็นหนึ่งเดียวกัน
และทันทีที่กระแสนี้แผ่ออกมา จักรวาลก็ไร้สี โลกศิลาพลันสั่นสะเทือน ทุกชีวิตต่างสมองว่างเปล่าไปในฉับพลัน เด็กหนุ่มชุดแดงที่ต่อสู้กับฝ่ามือหลัวก็ตัวสั่นเทิ้มเป็นครั้งแรก ความตื่นตระหนกอันหาได้ยากยิ่งปรากฏตัวในดวงตาของเขา
ไม่ใช่แต่กระแสเซียนที่ทำให้เขาตื่นตกใจ แต่เบื้องหลังกระแสเซียนนี้เก็บซ่อน…พลังปราณอีกสายหนึ่งที่กำลังพุ่งพรวดราวกับถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา
พลังปราณนั้น…มาจากไม้สีดำ!
ขณะเดียวกันที่ด้านนอกโลกศิลา ร่างที่อยู่บนเรือเดียวดายนั้นก็กำลังเพ่งมองมาเช่นกัน และในที่สุดรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ดวงตาเผยความคาดหวัง ก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ
“ใกล้แล้ว…ใกล้จะถึงเวลาแล้ว”
ท่ามกลางความสั่นสะเทือนไปทุกชีวิต ในจักรวาลนอกสำนักดาราจันทร์ เส้นผมหวังเป่าเล่อกระจัดกระจาย กระแสเซียนไหลเวียนไปทั่วทั้งร่าง ก่อนที่ร่างของเขาจะพร่าเบลอ ทุกที่ที่เขาก้าวผ่านก็เหมือนกับจักรวาลไร้ความเสถียร รอยแตกร้าวปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าเขาราวกับโลกนี้ไม่สามารถทนต่อการดำรงอยู่ของเขาได้อีกต่อไปและกำลังสั่นไหวอย่างหนัก
คนสุดท้ายที่ไปถึงระดับนี้ได้คือเฉินชิง
“ไม่ต้องกลัว” หวังเป่าเล่อยิ้มน้อยๆ แล้วเอ่ยเบาๆ คำปลอบโยนนี้ไม่ใช่เพื่อสิ่งมีชีวิตใด แต่เพื่อ…โลกศิลา
“ข้าไม่ทำร้ายเจ้า” น้ำเสียงของหวังเป่าเล่ออบอุ่น และหลังจากพูดออกไป รอยแตกร้าวใต้เท้าของเขาก็ค่อยๆ หายเป็นปกติ แรงสั่นสะเทือนจากทั้งโลกศิลาก็บรรเทาลงไม่น้อย แต่สิ่งที่ตามมาคือรังสีแห่งความไม่ยินยอม
ความไม่ยินยอมจากจักรวาลราวกับล่วงรู้ได้ส่าเวลาที่หวังเป่าเล่อจะอยู่ที่นี่…กำลังจะหมดลงแล้ว
“ข้าจะควบคุมพลังปราณของตัวเองไม่ให้ไปถึงระดับที่เจ้ารับไม่ได้”
“จากนั้นก็รอข้าจนกว่าข้าจะผสานเต๋าธาตุทอง หลอมละลายเต๋าธาตุไฟ…ข้าจะพาเจ้าไปด้วยกัน” เสียงอันนุ่มนวลของหวังเป่าเล่อทำให้แรงสั่นสะเทือนของจักรวาลค่อยๆ หายไป ความรู้สึกสนิทสนมแผ่เข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ โอบล้อมรอบตัวหวังเป่าเล่อจนกลายเป็นชะตาและห่อหุ้มตัวเขาไว้
นี่คือชะตาของทั้งโลกศิลา ขณะที่กำลังแทรกซึมอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาของเขาราวกับมองทะลุทุกสิ่งอย่าง และเมื่อเขาเห็นเด็กหนุ่มชุดแดงที่กำลังพันรัดฝ่ามือหลัวอยู่ที่ปลายสุดความว่างเปล่าก็สายตาเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ
“อย่ารีบร้อน” ข่มกลั้นความเย็นยะเยือกในดวงตาได้แล้วสีหน้าหวังเป่าเล่อก็กลับมาเป็นปกติ แม้เขาในตอนนี้จะมีความมั่นใจในระดับหนึ่งว่าสามารถสังหารเด็กหนุ่มชุดแดงได้ แต่หวังเป่าเล่อไม่อยากทำเช่นนั้น เขาอยากมั่นใจเต็มร้อยว่าไม่มีทางพลาดก่อน
เพราะเต๋าของเขานั้นดูเหมือนจะสมบูรณ์ แต่ก็สมบูรณ์แค่โครงสร้างเท่านั้น ข้างในยังมีจุดสำคัญอีกหลายจุดที่ยังไม่สมบูรณ์
เต๋าธาตุทองคืออย่างที่หนึ่ง เต๋าธาตุไฟคืออย่างที่สอง และยังมี…เต๋าเซียนอีกส่วนหนึ่งด้วย
เต๋าของเซียนตามที่หวังเป่าเล่อเข้าใจคือความหมายของมัน กระแสเซียนที่อยู่นอกร่างกายในตอนนี้ก็คือการสำแดงตัวหลังจากความหมายผสานเข้ากับเต๋า แต่ในแง่หนึ่ง มันยังไม่ถือว่าสมบูรณ์อย่างแท้จริง
“หากข้าเดาไม่ผิด สิ่งที่ศิษย์พี่ทิ้งไว้ให้ข้า…น่าจะเป็นเต๋าอีกส่วนหนึ่งของเซียน และเป็น…ทางสืบทอดไฟ”
“นั่นคงจะเป็น…เซียนแห่งไฟ”
“ไฟนี้สามารถหลอมธาตุทั้งห้าให้เป็นสิ่งถ่ายทอดวิถีเต๋าของข้าได้” หวังเป่าเล่อหลับตาลงและเปิดมันในวินาทีต่อมาพร้อมกับโบกมือ ทันใดนั้นแท่งเงินที่ปรมาจารย์ดาราจันทร์มอบให้ก็ปรากฏอยู่ในฝ่ามือ
เมื่อใช้ระดับการฝึกตนในปัจจุบันของหวังเป่าเล่อมองดู แท่งเงินธรรมดานี้รวบรวมพลังปราณไว้อย่างน่าอัศจรรย์ เหตุและผลของพลังปราณนี้มีที่มาเดียวกันกับขวดปรารถนาของเขา
“เหตุและผลจากคนคนเดียวหรือ” หวังเป่าเล่อพึมพำ กระแสเซียนไหลเวียน ทันใดนั้นอักขระโบราณนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือแผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ แทรกซึมไปทุกอณูของจักรวาลในสายตาเขา
อักขระโบราณเหล่านี้คือสิ่งจำเป็นสำหรับการหลอมเมล็ดพันธุ์เต๋า หลังจากแผ่ออกไป หวังเป่าเล่อก็ทุบกำปั้นขวาลงพื้นอย่างแรงจนกลายเป็นหลัมดำ ในพริบตาเดียวอักขระโบราณที่กระจัดกระจายไปทั่วก็แผดเสียงคำรามราวกับสายฟ้าฟาด พลิกตลบราวกับทะเล
ในชั่วพริบตาก็มารวมตัวกันในกำปั้นหวังเป่าเล่อและหลอมรวมเข้ากับ…แท่งเงินสองสามแท่งนั้น หลังจากเข้าไปทีละตัวก็ทำให้มันเปลี่ยนสภาวะไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีชะตารอบๆ ตัวเพิ่มเข้ามารวมกับระดับการฝึกตนในปัจจุบันของเขา เมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุทอง…จึงใช้เวลาไม่นานเลย ทั้งหมดกินเวลาเพียงครึ่งก้านธูปเท่านั้น และเมื่อหวังเป่าเล่อคลายกำปั้นอีกครั้ง เมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุทองก็ปรากฏ!
การปรากฏตัวของมันทำให้โลกศิลาสั่นสะเทือนอีกครั้ง ขณะนี้ดวงดาวทุกดวง อารยธรรมทั้งหมด สิ่งมีชีวิตทั้งหมด ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับกฎธาตุทอง แร่ธาตุก็ดี เทพวัตถุก็ช่าง ล้วนสั่นสะท้าน!
เพราะ…ธาตุทองแห่งธาตุทั้งห้ามีแหล่งกำเนิดแล้วนับจากนี้!
ส่วนระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อก็ปะทุขึ้นมาในวินาทีนี้ด้วย และกำลังจะทะลวงขีดจำกัดปัจจุบัน แต่ในพริบตาที่โลกศิลาไม่สามารถทนรับได้ การปะทุนี้ก็ถูกหวังเป่าเล่อสยบกลับเข้าร่างกายไป ไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย ขณะเดียวกันเขาก็เลือกที่จะหลับตาลง
ไม่อาจลืมตาได้ เพราะทันทีที่ลืมตาขึ้น…
จักรวาลจะแหลกสลาย ฟ้าดินจะถล่มทลาย โลกศิลา…จะรับไม่ไหว!
“ต่อไป ไปที่ดินแดนที่ศิษย์พี่ยกให้” หวังเป่าเล่อที่กำลังหลับตาสามารถมองเห็นทุกสรรพสิ่งได้โดยไม่ต้องใช้ดวงตา ขณะที่พึมพำก็ก้าวไปข้างหน้า ก่อนที่ร่างจะหายลับไป
“เจ้าคือเสือน้อย?” หวังเป่าเล่อเอ่ยช้าๆ แล้วจ้องมองชายชราตรงหน้า
“ทั้งใช่และไม่ใช่” ปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์เอ่ยตอบเสียงแหบแห้ง
“ข้าอยู่กับนายท่านมาหลายปี เคยเป็นปีศาจ เคยเป็นวิญญาณดาบ ผ่านยุคสมัยมานับไม่ถ้วน ข้ามผ่านมาทั้งทางช้างเผือก และยินยอมดับสูญไปในท้ายที่สุดรวมตัวเป็นดวงจิตเทพอมตะแล้วเข้ามายังโลกนี้พร้อมกับนายน้อยเพื่อปกป้องเขา”
“พูดถึงเรื่องนี้ เมื่อหลายปีก่อนบนดวงดาวที่เจ้าอยู่ ข้าเคยพบเจ้าครั้งหนึ่ง หุ่นตัวหนึ่งของเจ้าผ่านการดลบันดาลทำให้มันแปลกไป กูท่าหลายปีมานี้มันน่าจะเคยช่วยเจ้าได้ในระดับหนึ่ง”
“หลายปีก่อน?” หวังเป่าเล่อพึมพำในลำคอ จากนั้นไม่นานก็ยกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้นหุ่นเชิดตัวหนึ่งก็ลอยออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ หุ่นเชิดตัวนี้…หวังเป่าเล่อไม่ได้ใช้มันมาหลายปีแล้ว มันคือหุ่นเชิดตัวแรกที่เขาทำขึ้น หลังจากนั้นร่างกายของมันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย
“เป็นหุ่นตัวนี้” ปรมาจารย์ดาราจันทร์ยิ้มเล็กน้อย
เขามองหุ่นเชิดแล้วหันไปมองปรมาจารย์ดาราจันทร์ สีหน้าหวังเป่าเล่อแปลกประหลาดอย่างห้ามไม่ได้เพราะเขานึกขึ้นได้ว่าหุ่นเชิดตัวนี้…ราวกับในความแปลกประหลาดของมันมีความชั่วร้ายบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ ที่ผ่านมาคู่ต่อสู้ที่เข้าไปข้องเกี่ยวกับมันล้วนน่าสังเวชยิ่งนัก
ความชั่วร้ายนั้นแม้จะไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ตรงหน้า แต่ภาพปรมาจารย์ดาราจันทร์ที่ยังสง่างามราวกับเป็นอมตะก็ดูไม่เข้ากันเช่นกัน
หวังเป่าเล่อก้าวถอยหลังอย่างไม่ทราบสาเหตุ เมื่อจ้องมองสายตาของปรมาจารย์ดาราจันทร์ก็ยิ่งเคร่งขรึมมากขึ้นไปอีก
“สหายเต๋าไม่จำเป็นต้องกลัว ก่อนที่ข้าจะดับสูญก็มีพลังพอจะต่อสู้กับเจ้าได้ ตอนนี้ดวงจิตเทพได้กลับมาเกิดใหม่ แม้จะเป็นขั้นที่สามแล้วก็ยังไม่ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ของเจ้าได้หรอก” ปรมาจารย์ดาราจันทร์เอ่ยเสียงเบาและโบกมือ เบาะสานจากใบกกสองเบาะก็ปรากฏขึ้นและวางลงที่เท้าหวังเป่าเล่อ
“เชิญนั่ง”
หวังหวังเป่ามองเบาะสานอย่างระแวง หลังจากใช้ดวงจิตเทพตรวจสอบจนแน่ใจแล้วจึงนั่งลง ในหัวคิดไปต่างๆ นานาถึงเหตุผลในการนัดหมายครั้งนี้
ข้อตกลงเมื่อ 68 ปีก่อนคือการมาพบกันที่หน้าผาในวันนี้ ตอนที่มาถึงหวังเป่าเล่อคิดว่าตนคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้แล้ว แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าการคาดเดาของเขามีทั้งถูกและผิด
เขาเดาว่าปรมาจารย์ของสำนักดาราจันทร์คงจะเป็นเสือน้อยในตอนนั้น
แต่เขาคิดไม่ถึงส่านอกจากเสือน้อยแล้วยังมีอีกตัวตนหนึ่งซ่อนอยู่ ดังนั้น…ข้อตกลง 68 ปีนี้แทนที่จะพูดว่านัดหมายกับเขา เรียกว่าเป็นการเชิญหวังอีอีมาพบ…
เพราะ…นายท่านคือใคร หวังเป่าเล่อพอจะเดาได้ว่าต้องเป็นพ่อของหวังอีอีแน่ ส่วนที่เรียกว่านายน้อยรวมถึงหวังอีอีที่โผล่ออกมาจากหน้ากากในอกหวังเป่าเล่อในขณะนี้ก็ยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อเข้าใจว่าข้อสันนิษฐานของเขาถูกต้อง
“ท่านลุงสวี่…” หวังอีอีพูดเสียงเบาพลางโค้งคำนับปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์ตรงหน้า
ปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์เผยรอยยิ้มเล็กๆ และจ้องมองหวังอีอีอยู่นาน รอยยิ้มของเขาก็ยิ่งอ่อนโยน ก่อนจะเอ่ยเบาๆ
“อีอี ถึงเวลาแล้ว”
หวังอีอีอ้าปากเหมือนอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็เงียบไป
เมื่อเห็นเช่นนี้จิตใจหวังเป่าเล่อก็เริ่มปั่นป่วน ขณะเดียวกันปรมาจารย์ดาราจันทร์ก็ละสายตาจากหวังอีอีมายังหวังเป่าเล่อ ก่อนจะผุดลุกขึ้นโค้งคำนับให้หวังเป่าเล่อ
“ขอบคุณสหายเต๋าที่ปกป้องนายน้อยของเรา”
“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณ” หวังเป่าเล่อตอบเสียงแผ่ว สายตาที่มองหวังอีอีอ่อนโยนมาก อาจกล่าวได้ว่า…อีกฝ่ายคือเพื่อนที่ติดตามเขามาทั้งชีวิตอย่างแท้จริง
ตั้งแต่แรกพบจนถึงตอนนี้
“ผู้อาวุโสนัดให้มาพบกันในวันนี้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องใด” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง เขาอยากรู้จริงๆ ว่าการนัดหมาย 68 ปีนี้จะมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่
สีหน้าปรมาจารย์ดาราจันทร์เรียบนิ่งและยังคงกำมือโค้งคำนับเช่นเดิม
“ข้าแซ่สวี่นัดสหายเต๋าให้มาพบในครั้งนี้มีด้วยกันสามเรื่อง”
“หนึ่ง เพื่อต้อนรับการกลับมาของนายน้อยของเรา ทำให้ดวงวิญญาณเทพของนายน้อยสมบูรณ์และฟื้นคืนชีพ…เตรียมการสำหรับการฟื้นคืนชีพขั้นสุดท้าย” ปรมาจารย์ดาราจันทร์พูดพลางโบกมือขวา ทันใดนั้นความว่างเปล่าก็บิดเบี้ยว ก่อนที่เศษชิ้นส่วนของแสงจะปรากฏขึ้น ส่องสว่างไปทั่วทุกสารทิศ ท้องฟ้าเองก็ส่องสว่างจนทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นทะเลแสง
และที่มาของทะเลแสงนี้ก็คือเศษชิ้นส่วนเหล่านั้น ชิ้นส่วนเหล่านั้นมารวมตัวอยู่ตรงกลางระหว่างปรมาจารย์ดาราจันทร์กับหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว และก่อตัวเป็น…หน้ากาก!
เมื่อเห็นหน้ากากปรากฏขึ้น หวังเป่าเล่อก็หายใจถี่ขึ้นเล็กน้อยแล้วหยิบหน้ากากออกมาจากอกของตน มันส่องแสงสว่างจ้าแทบจะในทันทีที่หยิบออกมา ขณะที่แสงพร่างพรายถึงขีดสุด หน้ากากที่ไม่สมบูรณ์ทั้งสองก็ราวกับถูกดึงดูดเข้าหากันช้าๆ ด้วยแรงที่มองไม่เห็น จนกระทั่งผสานเป็นหนึ่งเดียว…
หน้ากากสมบูรณ์!!
ไม่มีรอยแตกหักใดอีก อีกทั้งยังมีพลังปราณอันน่าทึ่งแผ่ซ่านออกมาจากมัน พลังปราณนี้มาพร้อมกับความศักดิ์สิทธิ์ราวกับไม่อาจล่วงเกินได้ สามารถสยบได้ทั่วทุกสารทิศทำให้จักรวาลที่สำนักดาราจันทร์ตั้งอยู่เกิดแรงสั่นสะเทือน จนกระทั่งสั่นสะเทือนไปทั้งจักรพิภพสำนักเสริม
“หน้ากากนี้คือสิ่งที่นายท่านทำขึ้นเองกับมือ ตอนแรกที่ทำมันขึ้นมาก็ดูเหมือนจะสมบูรณ์ดี ความจริงแล้วมันมีรอยแตกร้าวอยู่ตั้งแต่แรก เป็นเศษชิ้นส่วนเล็กๆ ทั้งหมด 17 ชิ้น แต่ละชิ้นล้วนบรรจุเศษวิญญาณของนายน้อยไว้ทำให้เศษวิญญาณของเขามีชีวิตต่อไปได้อยู่ข้างใน และทันทีที่…หน้ากากนี้สมบูรณ์อย่างแท้จริง ไม่มีรอยร้าวใดอีก เศษวิญญาณทั้งหมดของนายน้อยก็จะผสานกันและ…ฟื้นคืนชีพ!”
“แต่การจะทำให้มันสมบูรณ์นั้นต้องใช้เคล็ดวิชาเฉพาะซึ่งจำเป็นต้องใช้ตัวยาหลัก นั่นก็คือ…กระดูกเซียน!”
“มีเพียงเซียนที่สมบูรณ์เท่านั้นที่สามารถสร้างกระดูกเซียนในร่างกายได้”
“ดังนั้นเรื่องที่สองที่ข้านัดสหายเต๋ามาก็คือหวังว่าสหายเต๋า…จะได้รับวิชาสืบทอดแห่งเซียนทั้งหมดและกลายเป็นเซียนที่แท้จริงโดยเร็วที่สุด”
“ก่อนหน้านี้นายน้อยติดตามอยู่ข้างกายข้า ใช้ดวงจิตเทพของข้ารักษาความสมบูรณ์ของหน้ากากเพื่อรอคอยความสำเร็จของเจ้า”
หวังเป่าเล่อฟังถึงตรงนี้ก็ดูปกติดี แต่ลึกลงไปในดวงตาของเขากลับมีแสงแห่งความซับซ้อน เขาไม่ใช่คนโง่ ตรงกันข้าม…คนที่ผ่านเรื่องราวมามากมายอย่างเขาได้ฝึกฝนจิตใจจนเฉียบคมและสามารถตรวจจับบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนั้นได้
เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายซ่อนอะไรไว้และไม่อยากเค้นถามด้วย เวลานี้เปลือกตาของเค้าตกลงเล็กน้อยเพื่อปกปิดความซับซ้อนในดวงตาไว้ซึ่งการกระทำเหล่านี้แม้ปรมาจารย์ดาราจันทร์จะเป็นคนที่มีจิตใจเฉียบคมเหมือนกันก็ยังไม่สังเกตุเห็นแม้แต่น้อยและยังคงพูดต่อไป
“ส่วนเรื่องที่สามคือรางวัล…” ปรมาจารย์ดาราจันทร์พูดถึงตรงนี้ หวังอีอีที่อยู่ด้านข้างก็พูดแทรกขึ้นมาทันที
“ท่านลุงสวี่ อย่าโกหกเขา”
ปรมาจารย์ดาราจันทร์ชะงักก่อนจะมองหวังอีอี
“ข้าไม่อยากโกหกเขา ท่านลุงสวี่…บอกความจริงเขาเถอะ” หวังอีอีเอ่ยเสียงแผ่วเบา หากฟังดีๆ จะได้ยินว่าเสียงของนางสั่นไหว เมื่อพูดเช่นนี้ออกไปแล้วนางก็ดูเหมือนจะไม่กล้ามองหวังเป่าเล่อ นางก้มหน้าเดินมาหยุดระหว่างปรมาจารย์ดาราจันทร์กับหวังเป่าเล่ออย่างเงียบๆ ก่อนที่หน้ากากที่ลอยอยู่จะเข้าไปใกล้แล้วนางก็ผสานร่างเข้าไป
แผ่นหลังของนางดูขี้ขลาด โดดเดี่ยว และอยากหนีไปอยู่ลึกๆ เมื่อผสานเข้าไปแล้วก็หายไปช้าๆ…
ราวกับว่านางไม่อยากเผชิญกับเรื่องต่อจากนี้
หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้น เปลือกตาที่ตกลงค่อยๆ เบิกขึ้นอีกครั้ง เขามองหน้ากากแล้วถอนหายใจเบาๆ
“แค่กระดูกเซียนอย่างเดียวยังไม่สามารถผสานรอยร้าวหน้ากากได้ใช่หรือไม่”
ไม่มีเสียงใดในหน้ากาก ตอนนี้ปรมาจารย์ดาราจันทร์ก็เงียบไปเช่นกัน เขามองหน้ากากแล้วมองหวังเป่าเล่อ ริ้วรอยบนใบหน้าชัดเจนมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ต้องใช้ชะตากรรมของเจ้าด้วย” ปรมาจารย์ดาราจันทร์เอ่ยเสียงทุ้มลึกหลังจากเงียบไปไม่นาน
……………………
ในฐานะดวงจิตเทพที่มหาเทพส่งมายังที่แห่งนี้พร้อมภารกิจสำคัญ ดวงจิตเทพนี้จึงแข็งแกร่งยิ่งนัก ถึงระดับขั้นที่สี่เลยทีเดียว
โดยพื้นฐานแล้วพลังต่อสู้และระดับการฝึกตนที่ดวงจิตเทพสำแดงออกมาได้ ทั่วทั้งจักรวาลก็แทบจะไม่มีคู่ต่อสู้มากนักแล้ว แค่มาตรวจสอบโลกสุดท้ายที่กระจัดกระจายอยู่ข้างนอกและทำภารกิจให้สำเร็จก็มากเกินพอแล้ว
เด็กหนุ่มชุดแดงเองก็คิดเช่นนั้น
หากทำไปตามลำดับทีละขั้น เขาก็ใกล้จะได้ทะลวงประตูศิลาในอนาคตอันใกล้ ใช้พลังอันเฟื่องฟูเข้ามาสยบฝ่ามือหลัว เข้าไปยังใจกลางโลกศิลาและกวาดล้างวิญญาณสุดท้ายของตะปูไม้สีดำ
แต่ทุกอย่างกลับพลิกผัน เฉินชิงโผล่ออกมาและต่อสู้กับเขา แม้สุดท้ายตนจะชนะและยังช่วงชิงร่างเฉินชิงมาได้ แต่ร่างของเขากลับบาดเจ็บสาหัสที่ยังไม่หายดีมาจนถึงวันนี้จากการสังเวยชีวิตของอีกฝ่าย
อาการบาดเจ็บส่งผลกระทบกับดวงจิตเทพของเขาทำให้พลังต่อสู้และระดับลดลงจนไม่สามารถรักษาสถานะของขั้นที่สี่ได้ตลอดเวลา แต่ก็เพราะช่วงชิงกายเนื้อของเฉินชิงมา แม้จะสูญเสียไปไม่น้อยแต่ก็ได้ประโยชน์มากมายเช่นกัน
อย่างแรกประตูศิลาไม่จำเป็นต้องให้เขาโจมตีหลายครั้งก็เข้ามาได้แล้ว จากนั้นกายเนื้อของเฉินชิงซึ่งฝ่ามือหลัวเพิกเฉยทำให้หนีออกไปได้ นั่นทำให้เขาทำภารกิจสำเร็จได้อย่างรวดเร็วและสำเร็จก่อนเวลาที่ตั้งไว้ด้วย
แต่เขาไม่คาดคิดว่า…เขาจะตรวจไม่พบเคล็ดวิชาที่เฉินชิงทิ้งไว้ในร่างกายซึ่งนั่นได้กลายมาเป็นกับดัก
และกับดักนี้ยังทำลายดวงจิตเทพของเขาไปได้ถึงสามส่วน!
กอปรกับอาการบาดเจ็บของร่างกายเรียกได้ว่าบอบช้ำรุนแรงทำให้ระดับของเขาในตอนนี้ตกลงมาจากขั้นที่สี่แล้ว เป็นเพียงจุดสูงสุดของขั้นที่สามเท่านั้น
โชคดีที่ฝ่ามือหลัวในตอนนี้ไร้ราก ในสภาวะที่อ่อนล้าลงเรื่อยๆ และเหลือพลังอีกไม่มาก แม้ระดับการฝึกตนของเขาจะตกลง แต่ก็ไม่สามารถขัดขวางได้นานเกินไป
แต่เขาก็จำต้องเคร่งเครียดเพราะในโลกศิลาตอนนี้ ฝ่ายหนึ่งมีการเตรียมการมา อีกฝ่ายหนึ่งคือหวังเป่าเล่อ นั่นทำให้ควมมั่นใจเต็มร้อยของเขาลดเหลือเพียงบางส่วนเท่านั้น
“เฉินชิง! !” เด็กหนุ่มชุดแดงกัดฟัน นัยน์ตาเผยแววโกรธเกรี้ยวอย่างถึงที่สุด การปรากฏตัวของอีกฝ่ายทำให้ทุกอย่าง…ผิดแผนไปหมด
ทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้…เป็นไปได้!
“ต้องจัดการให้เร็วที่สุด จะให้พวกนั้นมีเวลามากไปกว่านี้ไม่ได้!” เด็กหนุ่มชุดแดงตัดสินใจบางอย่าง ตะขาบสีเลือดที่เขายิ่งดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ การต่อสู้กับฝ่ามือหลัวยิ่งรุนแรงขึ้นทำให้ความว่างเปล่าสั่นสะเทือนไปทั่วทุกสารทิศไม่หยุด และยังส่งผลกระทบต่อจักรพิภพเต๋าใจกลางโลกศิลาด้วย มันทำให้กฎและข้อบังคับในจักรพิภพเต๋าเกิดความปั่นป่วน
ภายในดาวอังคารหวังเป่าเล่อถอนสายตาจากการเพ่งมองไปยังจักรวาลและข่มกลั้นจิตสังหารในดวงตา สีหน้าเขาดูสงบนิ่ง เมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุดินที่เปล่งแสงส่องประกายอยู่ตรงหน้าผสานเข้ากับร่างของเขา
พลังแห่งเต๋าธาตุดินแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างหวังเป่าเล่อ แม้เต๋าธาตุดินกับเต๋าธาตุไม้และเต๋าธาตุน้ำของหวังเป่าเล่อจะไม่มีความสัมพันธ์กัน แต่ดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อสามารถสร้างหมื่นวิถีได้ เมื่อหมุนเวียนเพียงเล็กน้อยจนเกิดเป็นเต๋าธาตุไฟแล้ว ทันใดนั้นพลังปราณในร่างกายเขาก็ปะทุขึ้น
น้ำก่อกำเนิดไม้ ไม้ก่อกำเนิดไฟ ไฟก่อกำเนิดดิน!
สามจริงหนึ่งมายา นี่คือสี่ธาตุสี่เต๋า!
“เต๋าแปดปรมัตถ์สำเร็จไปสาม…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขายังขาดเต๋าธาตุทองกับเต๋าธาตุไฟ และเขาก็คิดไว้เรียบร้อยแล้ว
เต๋าธาตุทองนั้นต้องได้พบกับสิ่งที่นำพาไปสู่เต๋าที่เหมาะสม หวังเป่าเล่อจะเลือกกระบี่สำริดโบราณ แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่นำพาไปสู่เต๋าทั้งสามของตนแล้ว แม้กระบี่สำริดโบราณจะมีค่าที่สุดในจักรวาล แต่ก็ยังไม่พอ
ส่วนเต๋าธาตุไฟนั้น เปลวไฟสีดำคือทางหนึ่ง เปลวไฟแห่งคำสาปที่อาจารย์เพลิงกัลป์เคยสอนก็คืออีกทางหนึ่ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังนำพาไปสู่เต๋าได้ไม่สมบูรณ์
หากมีเวลามากพอ บางทีหวังเป่าเล่ออาจจะเลือกทางอื่น แต่สถานการณ์ตอนนี้มีเวลาน้อยนัก ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงเตรียมใจไว้แล้ว เขาจะใช้กระบี่สำริดโบราณหรือไม่ก็เปลวไฟแห่งคำสาปเพื่อรวมธาตุทั้งห้า
“แต่ก่อนจะทำ ข้ายังจำเป็นต้องไป…สำนักดาราจันทร์ก่อน!” ดวงตาหวังเป่าเล่อเผยแสงล้ำลึก
“ปรมาจารย์ขอเชิญเจ้าในวันที่สิบเก้าเดือนเจ็ดในอีกหกสิบแปดปีข้างหน้า บนหน้าผาของสำนักดาราจันทร์ เจอกัน!” คำพูดของหลี่หว่านเอ๋อร์ในตอนนั้นผุดขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อ
ตอนนี้เหลืออีกเจ็ดวันก็จะถึงเวลาที่ตกลงกันไว้
เมื่อหวนนึกถึงความทรงจำเมื่อ 68 ปีก่อน หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจ การเปลี่ยนแปลงยิ่งใหญ่เกินไป ตัวเขาในตอนนั้นแม้จะพลังต่อสู้แข็งแกร่งแล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่ระดับสูงสุด
ตอนนั้น…อาจารย์ยังอยู่ ศิษย์พี่ก็ยังอยู่
ตอนนั้น…เขาไม่รู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงนัดให้ไปที่นั่นและทำไมเวลาที่นัดกันไว้ถึงช่างละเอียดและแปลกประหลาดนัก
ตอนนั้น…เขาไม่รู้ตัวตนของอีกฝ่ายและยิ่งไม่รู้ว่าอีก 68 ปีต่อมา โลกศิลาจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
แต่ตอนนี้…พลังต่อสู้ของเขามาถึงจุดสูงสุดของโลกศิลาแล้ว แต่อาจารย์ไม่อยู่แล้ว ศิษย์พี่ก็ด้วย
และเขาก็รู้แล้วว่าเหตุได้เวลานัดหมายของอีกฝ่ายถึงได้เจาะจงเช่นนี้ ดูท่า…ปรมาจารย์ดาราจันทร์ผู้นี้คงจะมีพลังเทพอันน่าอัศจรรย์ถึงมองเห็นอนาคตได้
อีกทั้งในใจเขายังพอจะคาดเดาตัวตนของอีกฝ่ายได้เกือบทั้งหมดแล้ว
หวังเป่าเล่อถอนหายใจเบาๆ ท่ามกลางความเงียบงัน ก่อนจะปิดตาลง ปล่อยให้เวลาเจ็ดวันผ่านไปด้วยการทำสมาธิ จนกระทั่งวันที่เจ็ดมาถึง ร่างธรรมกายที่อยู่นอกระบบสุริยะก็ผุดลุกขึ้น ก้าวเพียงก้าวเดียวก็มาถึงจักรพิภพสำนักเสริม
เมื่อเข้ามาในสำนักเสริม หวังเป่าเล่อก็ก้าวเดินอีกหนึ่งก้าว คราวนี้…เขามาปรากฏตัวอยู่ในพื้นที่ที่มองไม่เหมือนกันด้วยตาเปล่า แม้แต่ดวงจิตเทพของผู้ฝึกตนระดับจักรวาลก็ยังตรวจไม่พบ เขามองดูจักรวาลอันว่างเปล่าตรงหน้าและเห็นร่างคุ้นตาสองร่างที่ดูเหมือนจะยืนอยู่ตรงนั้นนานแล้วและกำลังโค้งคำนับให้เขา
“ศิษย์สำนักดาราจันทร์ หลี่หว่านเอ๋อร์ ทำความเคารพเจ้าแห่งเต๋า ศิษย์มาต้อนรับเจ้าแห่งเต๋าเข้าสู่สำนักดาราจันทร์ตามคำสั่งของปรมาจารย์ขอรับ ”
“ศิษย์สำนักดาราจันทร์ จั่วอี้ฟาน ทำความเคารพ…เจ้าแห่งเต๋า”
“อี้ฟาน…” หวังเป่าเล่อกวาดตามองทั้งสองคนแล้วหยุดอยู่ที่จั่วอี้ฟาน ใบหน้าค่อยๆ เผยรอยยิ้มที่ไม่ได้เห็นมานานขึ้น
ความทรงจำในอดีตค่อยๆ ผุดขึ้นมา จากนั้นไม่นานหวังเป่าเล่อก็เดินเข้าไปกอดจั่วอี้ฟาน จั่วอี้ฟานเองก็สวมกอดหวังเป่าเล่อแรงๆ ด้วยความตื่นเต้น
สองพี่น้องได้กลับมาเจอกันอีกครั้งหลังจากห่างหายกันไปนาน
หลี่หว่านเอ๋อร์ยืนยิ้มอยู่ด้านข้าง ไม่ได้เข้าไปรบกวน จนกระทั่งเห็นทั้งสองรำลึกความหลังกันแล้วจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ
“เป่าเล่อ ปรมาจารย์รอเจ้าอยู่”
หวังเป่าเล่อหันไปมองหลี่หว่านเอ๋อร์ด้วยแววตาซับซ้อน ก่อนจะเข้าไปกอดเขาอีกคน เมื่อคลายอ้อมกอดอารมณ์ของเขาจึงกลับมาเป็นปกติ และเดินตามจั่วอี้ฟานกับหลี่หว่านเอ๋อร์ไปยังจักรวาลอันว่างเปล่าตรงหน้า เมื่อเหยียบก้าวแรก จักรวาลก็เปลี่ยนไป ดวงดาวสีฟ้าขนาดมหาปรากฏแก่สายตาหวังเป่าเล่อ
อันที่จริงหากเขาไม่อยากไปตามทาง เพียงแค่โบกมือก็สามารถยกทุกสิ่งที่ปกคลุมสถานที่แห่งนี้ออกไปได้แล้ว แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น ในฐานะแขกผู้มาเยือน เขาก้าวตามหลี่หว่ายเอ๋อร์กับจ้่วอี้ฟานเป็นก้าวที่สองก็มาปรากฏตัวอยู่กลางท้องฟ้าภายในดวงดาวสีฟ้า
พื้นดินเขียวขจี มองเห็นภูเขา แม่น้ำ ทะเลอันกว้างใหญ่ตลอดจนอาคารสิ่งปลูกสร้างต่างๆ
“ยินดีต้อนรับสู่สำนักดาราจันทร์” หลี่หว่านเอ๋อร์เอ่ยเสียงเบา
หวังเป่าเล่อพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะกวาดตามองรอบๆ และไปหยุดอยู่บนยอดเขา ที่ตรงนั้น เขามองเห็นร่างหนึ่งกำลังนั่งหันหลังให้เขา
จุดที่ร่างนั้นนั่งอยู่เป็นหน้าผา มีน้ำตกไหลอยู่ด้านหน้า เสียงน้ำไหลซู่ราวกับมีกระแสเต๋าแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อก้าวเป็นครั้งที่สามก็มาปรากฏตัว…ข้างกายคนคนนั้น
“เจ้ามาแล้ว” แผ่นหลังนี้เผยให้เห็นความแปรผันของชีวิต แต่น้ำเสียงกลับดังกังวานเหมือนกับจะผ่าเมฆหมอกเป็นชิ้นๆ ขณะที่เอ่ยออกมา เขาก็ค่อยๆ หันหน้ามา
สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาหวังเป่าเล่อคือใบหน้าแก่ชราที่ไม่คุ้นเคย
“ข้าแซ่สวี่ นามลี่กั๋ว…ผู้ปกป้องเต๋าให้นายน้อยตระกูลเรา”
……
อยู่อย่างยอดคน ตายอย่างวีรบุรุษ!
นี่ก็คือเฉินชิง
ขณะนี้ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณมองจุดที่ร่างเฉินชิงสลายไปอย่างเงียบงัน ก่อนจะโค้งคำนับ ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็มีสีหน้าซับซ้อนและก้มหัวโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง
ยังมีเสวียนหัวที่อยู่ในระบบสุริยะ เขาส่งร่างธรรมกายมาร่วมต่อสู้ ร่างต้นแบบอยู่บนดาวอังคาร แม้การพังทลายของร่างธรรมกายจะทำให้เขาบาดเจ็บไม่น้อย แต่ก็ยังไม่ถึงชีวิต ดังนั้นตอนนี้เขาจึงก้มหัวคำนับมาทางสนามรบด้วยใบหน้าขาวซีด
คำนับ ยอดคน
คำนับ วีรบุรุษ
คำนับ เฉินชิง!
อันที่จริงในการต่อสู้ครั้งนี้ หากไม่มีเคล็ดวิชาสุดท้ายของเฉินชิง ต่อให้พวกหวังเป่าเล่อต่อสู้ได้ก็ต้องบาดเจ็บหนักเป็นแน่ ยิ่งกว่านั้นยังทำให้ศัตรูที่ไม่มีทางเอาชนะได้อ่อนแอลงจนสามารถสู้ได้
แต่ตอนนี้เป็นเพราะเคล็ดวิชาของเฉินชิง ดวงจิตของมหาเทพจึงพังทลายทำให้วิกฤติครั้งนี้ได้รับการแก้ไข แม้ทั้งหวังเป่าเล่อ ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยและปรมาเต๋าเจ็ดวิญญาณต่างก็สัมผัสได้ว่าความจริงแล้วมหาเทพที่แท้จริงยังอยู่ และจากนี้จะต้องมีการต่อสู้ที่ดุเดือดยิ่งกว่า แต่ถึงอย่างไร…พวกเขาก็ยังมีเวลาเตรียมการ
แม้การเตรียมการในระยะเวลาสั้นๆ นี้อาจจะไม่ได้เปลี่ยนผลลัพธ์สุดท้าย แต่…บางทีการเตรียมการนี้อาจส่งผลต่ออนาคตก็ได้
ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร เวลาที่เฉินชิงมอบให้นี้ก็มีค่ายิ่งสำหรับพวกเขา โดยเฉพาะ…การทำลายดวงจิตเทพบางส่วนของมหาเทพยิ่งทำให้พลังต่อสู้ของอีกฝ่ายอ่อนแอลง
ซึ่งนั่นเป็นโอกาสของพวกหวังเป่าเล่อแล้ว
“ข้าต้องการเวลา!” จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็เอ่ยขึ้น
“วิธีที่ข้าฝึกตนเรียกว่าเต๋าแปดปรมัตถ์ ห้าปรมัตถ์แรกคือเคล็ดวิชาห้าธาตุ ตอนนี้เต๋าธาตุน้ำและเต๋าธาตุไม้สมบูรณ์แบบ เต๋าธาตุดินก็ใกล้จะสมบูรณ์แบบแล้ว ยังเหลือเต๋าธาตุทองและเต๋าธาตุไฟ…”
“เมื่อทั้งห้าธาตุสมบูรณ์แบบ พลังต่อสู้จะพุ่งสู่จุดสูงสุด เกือบจะเท่ากับก่อนที่ศิษย์พี่ข้าจะจากไป…”
“แต่ไม่รู้ว่าจะมีเวลาเพียงพอหรือไม่” หวังเป่าเล่อมองปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยและปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณ
“ข้ามีวิถีเต๋าชะตารวมสมาชิกทุกคนในตระกูลเซี่ย อานุภาพนั้นเหนือกว่าตัวข้าหลายเท่านัก แต่…ต้องใช้เวลาสามปีจึงจะสำเร็จ อีกทั้งทันทีที่ใช้มัน ข้าก็จะตาย ตระกูลเซี่ยก็จะดับสิ้น” ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยเอ่ยขึ้นช้าๆ หลังจากเงียบไป
“ข้าเต๋าเจ็ดวิญญาณเก่งเรื่องวิถีแห่งอดีตชาติ รวมพลังทั้งหมดของสำนักก็สามารถระเบิดพลังต่อสู้ได้เจ็ดเท่าในพริบตา แต่จะดำรงอยู่ได้ในเวลาเจ็ดก้านธูปเท่านั้น หลังจากนั้นวิญญาณของข้าก็จะกระจายไป” ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดเสียงแหบแห้งมองไปยังหวังเป่าเล่อเช่นเดียวกับปรมาจารย์ตระกูลเซี่ย
พวกเขาทั้งสองเข้าใจดีว่าการต่อสู้ในอนาคต ตนไม่อาจกลายเป็นผู้ที่มีอำนาจตัดสินทุกอย่างได้ ตอนนี้บางทีความหวังเพียงหนึ่งเดียวคงอยู่ที่หวังเป่าเล่อแล้ว
แต่ราคาที่พวกเขาต้องจ่ายนั้นสูงเกินไป แม้จะเข้าใจดีว่าหากไม่ทำเช่นนี้ โลกศิลาก็ต้องพังพินาศ ทุกสำนักทุกตระกูลล้วนต้องถูกทำลาย หากลองสู้กันสักตั้งก็อาจพอมีหวังบ้าง แต่เรื่องของพวกเขาในตอนนี้ก็ยังต้องรอคำตอบจากหวังเป่าเล่ออย่างเลี่ยงไม่ได้
“ข้าไม่ได้มั่นใจเต็มร้อย แต่จะทำให้ดีที่สุด…” หวังเป่าเล่อหลับตาครู่หนึ่ง ก่อนจะลืมตาแล้วเอ่ยออกมา ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยและปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณมองหน้ากันและไม่พูดอะไร
แต่ในตอนนั้นเองก็มีเสียงหนึ่งลอยมาจากที่ไกลๆ
“ยังมีข้าอีกคนนะ!”
“ข้ามีวิชาหนึ่งเรียกว่าคำสาปวิญญาณเพลิง สั่งสมมานานนับหมื่นปี หากระเบิดมัน ไม่ว่าอีกฝ่ายจะระดับการฝึกตนใดล้วนได้รับอิทธิพลจากมัน!” เสียงนั้นดังมาพร้อมกับร่างมายาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้น นั่นก็คือ…ปรมาจารย์แห่งไฟ!
ร่างต้นแบบของเขาไม่ได้มา นี่เป็นเพียงร่างแยกของเขาเท่านั้น แต่ดวงตากลับฉายแววมุ่งมั่นแน่วแน่ การมาของเขาทำให้ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยและปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณเผยแสงแปลกๆ ในดวงตา
เพราะถึงแม้ปรมาจารย์แห่งไฟจะไม่ใช่ระดับจักรวาล แต่…วิถีคำสาปของเขานั้นน่าทึ่งมาก และที่สำคัญคือ…ตัวตนของเขา!
เขาคืออาจารย์ของหวังเป่าเล่อ ในเมื่อเขาเลือกที่จะต่อสู้แลกชีวิตเพื่อให้เวลาแก่หวังเป่าเล่อ เช่นนั้นการโจมตีของหวังเป่าเล่อในครั้งนี้ยิ่งเต็มไปด้วยอารมณ์ เช่นนี้แล้วทางหนีก็จะยิ่งแคบลง
นี่คือสิ่งที่ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยและปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณกังวล พวกเขากังวลว่าหลังจากที่ตนตายไปแล้ว หวังเป่าเล่อจะไม่ทุ่มสุดกำลัง แต่จะใช้วิธีอื่นขัดขวางพวกเขาแล้วหนีเอาตัวรอดไปคนเดียว
ดังนั้นเมื่อเห็นปรมาจารย์แห่งไฟปรากฏตัว ในใจพวกเขาทั้งสองจึงตัดสินใจบางอย่าง และคนที่มาไม่ได้มีแค่พวกเขา แทบจะในทันทีที่ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยและปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณตัดสินใจก็มีเสียงถอนหายใจดังสะท้อนมาจากความว่างเปล่า
“เต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดพินาศ เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นดับสูญ แต่ข้า…สามารถแทนที่เต๋าสวรรค์สยบบุคคลภายนอกได้ในระยะสั้นๆ แลกกับการเผาตัวเอง ถึงตอนนั้น…ข้าจะโจมตีให้สุดฝีมือ”
ในความว่างเปล่ามีแสงเล็กๆ ปรากฏขึ้น ก่อนจะรวมตัวกันกลายเป็นหนังสือเล่มหนึ่งต่อหน้าทุกคน บนหนังสือมีชายชราคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ นั่นก็คือ…ผู้ศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์
ภัยร้ายนี้เป็นหายนะของทั้งโลกศิลา ถึงตอนนี้ไม่ว่าจะตระกูลอะไร อารยธรรมไหน สำนักใดล้วนไม่มีความหมายแล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ลองกันสักตั้งแล้วกัน หากสำเร็จ…ก็หวังว่าสหายเต๋าจะไม่ลืมชดใช้ด้วยการให้สำนักของเราอยู่ต่อไป! ”
“ปกป้องสายเลือดของข้า สายเลือดคนสุดท้าย”
หลังจากปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยและปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณเอ่ยช้าๆ ก็คำนับให้หวังเป่าเล่อแล้วหันหลังเดินจากไปเพื่อเริ่มเตรียมการในส่วนของพวกเขา ผู้ศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์มองหวังเป่าเล่ออย่างลึกซึ้ง สายตานั้นดูเหมือนจะมองหวังเป่าเล่อ แต่ก็ดูเหมือนจะมองข้างกายเขามากกว่า มองหวังอีอีที่คนนอกไม่สามารถมองเห็นได้
หลังจากคำนับให้ร่างนั้นก็หายวับไป
ในจักรวาลตอนนี้เหลือเพียงหวังเป่าเล่อกับปรมาจารย์แห่งไฟ
“อาจารย์ ท่าน…”
“ไม่ต้องพูดหรอก วิถีคำสาปของข้ายังต้องรอจนกว่าโลกศิลาจะแตกสลายถึงใช้ได้หรือไง คนอื่นแลกได้ ข้าก็ทำเพื่อศิษย์ของข้าได้เช่นกัน!” ปรมาจารย์แห่งไฟโบกมืออย่างอิสระ
“เป่าเล่อ สู้ให้ถึงที่สุดนะ!”
“สู้ให้ถึงที่สุด…” หวังเป่าเล่อพึมพำ จากนั้นไม่นานดวงตาก็เผยแสงคมกริบพร้อมคำนับปรมาจารย์แห่งไฟ ทั้งสองก้าวเดินไปยังระบบสุริยะพร้อมกันและร่างของทั้งคู่ก็ค่อยๆ หายไป บนดาวอังคารในระยบสุริยะ ร่างต้นแบบของหวังเป่าเล่อลืมตาขึ้น
ดวงตายังหลงเหลือความดุร้ายของร่างธรรมกายและดูซับซ้อน
ไม่รู้ว่าตนก้าวจากศิษย์คนหนึ่งของสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มาถึงจุดนี้ตั้งแต่เมื่อไร เมื่อหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต ทุกอย่างราวกับภาพฝัน มีทั้งจริงและไม่จริง
“อาจารย์ไปแล้ว ศิษย์พี่ดับสูญ สำนักแห่งความมืดพังทลาย ตระกูลไม่รู้สิ้นของที่นี่ก็แตกสลาย…ต่อไปอาจารย์เพลิงกัลป์ก็ต้องแลกตัวเองกับคำสาป คนอื่นก็ยอมแลกโดยไม่ลังเล…”
“ทุกอย่างก็เพื่อสู้กับมหาเทพ…”
“มหาเทพ…” หวังเป่าเล่อตาลุกวาวอย่างอาฆาตแค้น เมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุดินตรงหน้าก็บรรจบสายใยสุดท้ายท่ามกลางความผันผวนของอารมณ์เขานั่นเอง
วินาทีต่อมาเมล็ดพันธุ์ที่แผ่พลังแห่งกฎและข้อบังคับเต๋าธาตุดินก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขา พร้อมแรงสั่นสะเทือนไปทั้งระบบสุริยะและเต๋าฝั่งซ้าย
เต๋าสวรรค์ไม่อยู่ ตอนนี้จึงไม่เกี่ยวกับการช่วงชิงอำนาจ แต่เป็น…หวังเป่าเล่อได้รับอำนาจใหม่ ในชั่วขณะหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่ฝึกฝนเต๋าธาตุดินทั้งหมดในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายต่างตัวสั่นเทิ้ม จิตใจแห่งเต๋าสั่นคลอนและก้มหัวเพื่อบูชาไปยังทิศทางที่หวังเป่าเล่ออยู่อย่างควบคุมไม่ได้
พื้นดินสั่นสะเทือน ท่ามกลางหมู่ดาวที่ส่องแสงระยิบระยับ พลังปราณที่เหนือกว่าครั้งก่อนระเบิดแผ่กระจายออกมาจากดาวอังคารราวกับสามารถสยบทั่วทั้งเต๋าฝั่งซ้าย สำแดงความยิ่งใหญ่ของมัน!
“มหาเทพ หากการต่อสู้ครั้งนี้…ข้าสังหารดวงจิตเทพของเจ้าได้ ขั้นต่อไปข้าก็จะไปสังหารร่างต้นแบบของเจ้าในโลกไม่รู้สิ้นที่แท้จริง!”
“ข้าแซ่หวังทำเรื่องใดย่อมตัดต้นไม่เว้นราก นี่คือ…คำปฏิญาณของข้า! ”
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังพึมพำ ทันใดนั้นเสียงฟ้าผ่าราวกับจะระเบิดจักรวาลก็ดังสนั่นไปเกือบทั้งจักรพิภพ เสียงฟ้าผ่านี้ราวกับเป็นสักขีพยานและดังไปถึงจุดสิ้นสุดความว่างเปล่า ดังไปถึงในสัมผัสสวรรค์เด็กหนุ่มชุดแดงที่ต่อสู้กับฝ่ามือหลัว
“หวังเป่าเล่อ!”
……
อันที่จริงเด็กหนุ่มชุดแดงผู้ช่วงชิงร่างเฉินชิงไปมีระดับการฝึกตนเหนือกว่าพวกหวังเป่าเล่อทุกคน อีกทั้งยังเหนือกว่าเว่ยยางจื่อคนก่อนมาก
ถึงอย่างไร…ร่างกายของอีกฝ่ายก็มาจากเฉินชิง ระดับการฝึกตนขั้นสูงสุดของเฉินชิงก็ใกล้จะถึงขั้นที่สี่แล้ว ตอนนี้ยังมีดวงวิญญาณเทพบางส่วนของมหาเทพอีก โดยรวมแล้วแม้จะยังไม่ถึงขั้นที่สี่อย่างแท้จริง แต่ก็เกือบจะถึงขีดสุดแล้ว
ดังนั้น…การต่อสู้กับศัตรูเช่นนี้ หวังเป่าเล่อรู้ดี ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณกับปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยเองก็ชัดแจ้งว่าพวกเขาไม่มีทางเอาชนะได้
บางทีหากให้เวลาพวกเขาอีกสักหน่อยก็คงมีโอกาสอยู่บ้าง แต่ก็เช่นเดิม…หากรอต่อไปก็กลัวว่าอีกไม่นานอีกฝ่ายจะกลืนกินอารยธรรมทั้งหมดของจักรพิภพเต๋าไป และพวกเขาก็คงไม่แคล้วโดนกวาดล้าง
ดังนั้นศึกครั้งนี้…จึงต้องสู้
แต่จะสู้อย่างไร สู้แบบไหน ก็เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคำนวณและควบคุมให้ได้
ดังนั้นจึงมีแผนการต่อสู้…ศึกแห่งชะตาของปรมาจารย์ตระกูลเซี่ย!
ชะตาเป็นเรื่องลวงตาไม่ชัดเจน แต่ก็เพราะลวงตาของมันจึงเป็นเรื่องลึกลับ และเพราะความไม่ชัดเจนจึงไม่ค่อยได้รับการปกป้อง
และเมื่อชะตาเด็กหนุ่มชุดแดงถูกฟัน แม้จะไม่ได้ทำร้ายที่ร่างกายเขา แต่อีกฝ่ายก็อยู่ในโลกศิลาอย่างไร้รูปร่าง ในระดับหนึ่งมันก็เท่ากับก้าวเดียวก็เดินลำบาก
ถึงอย่างไร…ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทาน หากร่างกายไม่มีชะตา ทุกเรื่องก็จะไม่ราบรื่น ร่างกายก็จะเสียหายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่กับศัตรูทุกอย่างจะราบรื่นอย่างที่สุด
อีกประเด็นหนึ่งคือทันทีที่ชะตาเด็กหนุ่มชุดแดงถูกฟัน กฎและข้อบังคับในโลกศิลาจะยิ่งต่อต้านร่างของเขาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
เหตุผลที่ก่อนหน้านี้เขาไม่ถูกต่อต้านก็เพราะอาศัยร่างกายของเฉินชิงซ่อนตัวอยู่ข้างใน แต่หากชะตาสลายไปก็เป็นไปได้สูงว่าเกราะป้อวกันของอีกฝ่ายจะไร้ผล
ทั้งหมดคือจึงเกิดการโจมตีสี่คนติดครั้งนี้ขึ้น!
ขณะนี้ต่อให้เด็กหนุ่มชุดแดงจะมีระดับการฝึกตนที่น่าทึ่ง แต่เขาก็ประมาทเกินไป เมื่อกระบี่สำริดโบราณของหวังเป่าเล่อตกลงมา ไฟแห่งชะตาของเด็กหนุ่มชุดแดงก็ลุกโชนขึ้นในพริบตา มันเผาไหม้มากขึ้น ล้ำลึกขึ้นและรุนแรงขึ้น
เพียงลมหายใจสั้นๆ ชะตาเขาก็ถูกเผาไปหนึ่งส่วนแล้วทำให้การต่อต้านจากกฎและข้อบังคับของโลกศิลาเริ่มปรากฏขึ้น
แต่ระดับการฝึกตนของเขาก็แข็งแกร่งเกินไป ขณะนี้ดวงตาเขาเป็นสีแดง แม้ชะตาจะถูกเผาไหม้และเสียหายหนัก แต่เขาก็ยังมั่นใจ มือขวายกขึ้นมาโดยไม่สนใจปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยที่กำลังถูกตนช่วงชิงร่างและคว้าไปทางหวังเป่าเล่อ
“ข้าไม่ไปหาเจ้า เจ้ากลับมาถึงที่ด้วยตัวเอง เช่นนั้นก็ดี!” ขณะที่พูดมือขวาของเด็กหนุ่มก็เต็มไปด้วยแสงสีเลือดและกำลังจะยิงใส่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ
ดวงตาหวังเป่าเล่อดูซับซ้อน คนตรงหน้าเขาเคยรู้จักสนิทสนมเป็นอย่างดี แต่ตอนนี้…คนใช่แต่วิญญาณไม่ใช่
“ศิษย์พี่…” พึมพำในใจ หวังเป่าเล่อข่มกลั้นความสับสนไว้ในใจและกำลังจะโจมตี
ทว่าในตอนนั้นเอง…จู่ๆ สีหน้าเด็กหนุ่มชุดแดงก็เปลี่ยนไป บนหน้าอกเขามีช่องว่างขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นอย่างไม่คาดคิด ช่องว่างนี้ดูเหมือนอยู่บนกายเนื้อ แต่ความจริงมันอยู่ในดวงวิญญาณเทพ
เวลาเดียวกันกับที่ช่องว่างนี้ปรากฏขึ้น ก็ดูเหมือนจะเกิดการดิ้นรนปะทุขึ้นในร่างของเฉินชิงทำให้เด็กหนุ่มชุดแดงที่ช่วงชิงร่างมาสั่นไปทั้งตัว
“เฉินชิง นี่เจ้ายังอยู่รึ เป็นไปไม่ได้!”
เมื่อเห็นเช่นนี้หวังเป่าเล่อเองก็ใจสั่นอย่างรุนแรง ดวงตาเผยความตกใจ ขณะเดียวกันกับที่ดวงจิตเทพแผ่ออกมาจากร่างเฉินชิงที่ถูกช่วงชิงไป
“ข้าดับสิ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องยั้งมือ นี่คือเคล็ดวิชาสุดท้ายที่ข้าทิ้งไว้ในร่าง ข้าเฉินชิง…ต่อให้ตายไปก็ไม่มีทางถูกผู้ใดช่วงชิงร่างได้!”
“ดังนั้นก่อนที่ข้าจะออกสู้ ข้าก็ได้ทิ้งตราประทับไว้ในร่างกายแล้ว หากข้าพ่ายแพ้…อีกฝ่ายไม่ช่วงชิงร่างข้าไปก็ไม่เป็นไร แต่ทันทีที่ชิงไป…ก็จะไม่มีวันหวนคืน!” ดวงจิตเทพของเฉินชิงที่ถูกทิ้งไว้ก่อนที่เขาจะจากไปกำลังดังสะท้อนอยู่ในตอนนี้ ร่างกายของเขาก็ปรากฏรอยมากมาย รอยพวกนี้ล้วนเป็นสีเทาแผ่กระจายความเน่าเปื่อย ขณะเดียวกันก็ทำให้ร่างกายของเขาค่อยๆ สลายไปอย่างไม่อาจย้อนกลับได้
ขณะที่มันสลายไป เด็กหนุ่มชุดแดงก็เผยความตกใจออกมาเป็นครั้งแรก เขาคิดจะดิ้นรน แต่ร่างกายเฉินชิงในตอนนี้ก็เหมือนกับกุญแจมือที่พันธนาการเขาไว้ราวกับกรงขัง เขาจึงไม่สามารถหลบหนีไปได้ ทำได้เพียงสลายไปพร้อมกับร่างกายนี้
เมื่อเห็นเช่นนี้ดวงตาหวังเป่าเล่อก็เต็มไปด้วยความโศกเศร้า แต่ก็ยังกัดฟันทะยานตัวขึ้นไป ก่อนจะยกมือขวาพร้อมความบ้าคลั่งในดวงตา กระบี่สำริดโบราณพลันระเบิดพลังของมันในวินาทีนั้นเอง ระดับการฝึกตนของเขาก็ปลดปล่อยออกมาทั้งหมด แม้เมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุดินจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่มันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว
กฎของกระบี่สำริดโบราณบรรจบกับธาตุทั้งสี่ก่อตัวเป็นกระบี่ตกใส่เด็กหนุ่มชุดแดง
“เฉินชิง! ! !” เสียงคำรามอย่างอาฆาตแค้นดังออกมาจากปากเด็กหนุ่มชุดแดง เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ ขณะที่ดวงวิญญาณเทพกำลังดิ้นรนจนภายนอกกลายเป็นตะขาบสีเลือด แต่ไม่ส่ามันจะดิ้นรนอย่างไร ครึ่งหนึ่งของร่างกายมันก็ไม่อาจออกมาจากร่างกายที่กำลังเน่าเปื่อยของเฉินชิงได้
จนมองเห็นโซ่ที่พันธนาการตัวมันไว้ วินาทีต่อมา…กระบี่สำริดโบราณของหวังเป่าเล่อก็ฟันฉับ
ท่ามกลางเสียงคำราม เด็กหนุ่มชุดแดงที่ช่วงชิงร่างเฉินชิงไปก็พังทลาย กายเนื้อฉีกเป็นชิ้นๆ ดวงวิญญาณเทพฉีกเป็นชิ้นๆ กายเนื้อทุกชิ้นล้วนโอบล้อมด้วยเศษดวงวิญญาณเทพทำให้ไม่สามารถหลบหนีได้ ทำได้เพียงเน่าเปื่อยไปพร้อมกับเศษกายเนื้ออย่างรวดเร็วและกลายเป็นเถ้าธุลีในที่สุด
ขณะที่ร่างของเขาค่อยๆ สลายไป หว่างคิ้วปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณกับปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยต่างเป็นสีแดงและมีแสงสีแดงสองดวงพุ่งออกมา ไปบรรจบกันบนจักรวาลและก่อตัวเป็นร่างของเด็กหนุ่มชุดแดง
เพียงแต่ร่างนี้เลือนรางนัก อีกทั้งในทันทีที่ปรากฏตัวขึ้นมา พลังต่อต้านจากกฎและข้อบังคับของโลกศิลาก็ถาโถมเข้าใส่ทำให้ร่างนั้นยิ่งเลือนราง เขากำลังจะสลายไปอย่างสมบูรณ์ แต่ดวงตากลับฉายแววดุร้ายและสง่างามเพ่งมองพวกหวังเป่าเล่อและปรมาจารย์ตระกูลเซี่ย
เขายอมรับว่าครั้งนี้ตนประมาทเกินไป เขาไม่คิดว่าเต๋าชะตาของปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยจะสูงถึงเกือบถึงขั้นที่สี่เช่นนี้
และไม่คาดคิดว่าธูปที่อีกฝ่ายหยิบออกมาจะสร้างเปลวไฟแห่งชะตาเมื่อไหม้หมดก้าน และยังมีการขัดขวางของปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณกับการโจมตีของหวังเป่าเล่อในตอนสุดท้ายอีก!
โดยเฉพาะอย่างหลัง พลังโจมตีนั่นทำให้เขาตกใจ ทำให้ชะตาของเขาเปาไหม้อย่างรวดเร็ว แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด เพราะต่อให้เป็นเช่นนี้ เขาก็ยังมั่นใจว่าจะพลิกสถานการณ์ได้
แต่เขาคิดไม่ถึงว่าเฉินชิงที่ถูกเขาช่วงชิงร่างมาจะ…ทิ้งการตลบหลังที่เขาตรวจไม่พบไว้ในร่างกาย!
หากคิดจะทำให้เขาตรวจไม่พบ ร่องรอยการตลบหลังนี้ก็จำเป็นต้องลึกซึ้งมาก คิดถึงตรงนี้เด็กหนุ่มชุดแดงก็สีหน้ามืดมนลง ใจที่เคยดูถูกเหยียดหยามหมดไป แทนที่ด้วยความเคร่งขรึม
“ครั้งนี้เป็นข้าที่ประมาทเอง แต่…อีกไม่นาน ข้าจะกลับมา ถึงเวลานั้น…ข้าจะไม่ประมาทศัตรู และจะทำให้เต็มที่! ”
คำพูดนั้นดังก้องพร้อมกับร่างของเด็กหนุ่มที่เลือนรางมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหายไปในจักรวาล
เมื่อร่างของเขาหายไปจนหมด ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยและปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณจึงโล่งใจได้อย่างแท้จริง ยามที่ทั้งสองผินหน้ามองหวังเป่าเล่อก็เห็นว่าหวังเป่าเล่อสีหน้าซับซ้อนและยังโศกเศร้าจึงเงียบไป
“เฉินชิง ยอดคน” ผ่านไปครู่หนึ่งปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยก็เอ่ยขึ้นเบาๆ
อันที่จริงหลังจากเฉินชิงพ่ายแพ้ ในใจพวกเขาก็เกิดความคับข้องใจไม่มากก็น้อย เพราะถึงอย่างไรการพ่ายแพ้ของเฉินชิงก็ทำให้เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นก่อนกำหนด
ทว่าเคล็ดวิชาสุดท้ายของเฉินชิงกลับทำให้พวกเขาพูดไม่ออก
“ศิษย์พี่ข้าเป็นยอดคนอยู่แล้ว!” หวังเป่าเล่อหลับตาข่มกลั้นความโศกเศร้าไว้ข้างใน ก่อนจะลืมตาจากนั้นไม่นานและเอ่ยเสียงลุ่มลึก
…………………………………
นิ่งเงียบเพราะความกะทันหันและความสับสนกับทุกสิ่ง
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการสำแดงพลังที่ยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้นในการต่อสู้ที่ไม่อาจเลี่ยง
ไม่ว่าจะปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยหรือคนของสำนักแห่งความมืดหรือปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณรวมถึงหวังเป่าเล่อล้วนชัดเจนแล้วว่าวินาทีนี้…บุคคลที่ข่วงชิงร่างเฉินชิงที่ปรากฏตัวอยู่ในโลกศิลผู้นี้คือศัตรูที่ใหญ่ที่สุด!
หากไม่สามารถสยบเขาได้…บางทีจุดจบของโลกศิลาคงจะต้องมาถึงอย่างไม่อาจเลี่ยงได้เป็นแน่
ไม่มีใครอยากตายและน้อยคนนักที่จะทนดูตระกูลของตนพังพินาศอยู่เฉยๆ ได้ ดังนั้น…ศึกครั้งนี้ต้องสู้ ไม่ว่าจะต้องแลกกับอะไร
และในที่สุด…อีกสามวันถัดมา ขณะที่เด็กหนุ่มชุดแดงที่ช่วงชิงร่างเฉินชิงไปท่องไปในจักรวาล การเตรียมการของปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยก็เสร็จสิ้นเป็นคนแรก
เขาจำต้องทำให้สำเร็จ เพราะทิศที่เด็กหนุ่มชุดแดงกำลังมุ่งหน้าไป…คือที่ที่ตระกูลเซี่ยตั้งอยู่ ดังนั้นในชั่วพริบตาร่างของปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยก็หายวับไปพร้อมเสียงถอนหายใจดังกังวาน และมาปรากฏตัว…ตรงหน้าเด็กหนุ่มชุดแดง
จักรวาลผันผวนจนเกิดความบิดเบี้ยว เด็กหนุ่มชุดแดงหยุดฝีเท้าพร้อมกับการปรากฏตัวของปรมาตระกูลเซี่ย ใบหน้าเผยรอยยิ้มแปลกๆ และมองปรมาจารย์ตระกูลเซี่ย
“ฝึกเต๋าชะตา? น่าสนใจนี่”
ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยเงียบ นัยน์ตาเปยแสงแรงกล้าในฉับพลัน ไม่มีปฏิกิริยาทางวาจาแต่อย่างใด สองมือพลันโบกสะบัด ทันใดนั้นหมอกแห่งชะตาสีม่วงก็ระเบิดออกมาจากร่างของเขา จากนั้นก็หดตัวมารวมกันที่ดวงตาทั้งสองข้างและมองเด็กหนุ่มชุดแดง
ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยจ้องมองพร้อมกับตัวสั่นเทิ้ม สิ่งที่เขาฝึกคือเต๋าชะตาจริงๆ และด้วยพลังทั้งหมด เขาจึงเห็นชะตาบนร่างเด็กหนุ่มชุดแดง ชะตานั้นเป็นสีแดงฉานซึ่งเป็นตัวแทนของหายนะ ขณะเดียวกันก็ยังไร้ขอบเขต ตะขาบสีเลือดที่ก่อตัวขึ้นนั้นราวกับจะดูดกลืนทั้งจักรวาล
เหมือนกับว่าเขาเพียงคนเดียวก็เหนือกว่าทั้งจักรพิภพเต๋าแล้ว
สิ่งที่เรียกว่าชะตานั้นเป็นมายายากจะเอ่ย แต่โดยรวมแล้วชะตากับโชคนั้นคล้ายกัน ผู้มีชะตามั่งคั่งทำสิ่งใดก็ราบรื่น ขณะที่ผู้อาภัพชะตาสะดุดตัวเองล้มตลอดเส้นทาง บางครั้งยังถูกสิ่งของที่ตกลงมาจากฟ้าฟาดตาย หรือขั้นสุดจริงๆ แค่หายใจก็ยังสำลักตายได้
สิ่งที่ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยฝึกฝนคือเต๋าชะตา นั่นก็คือเหตุผลที่ตระกูลเซี่ยอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้นั่นเอง และเป็นจุดสำคัญที่เขาเลือกช่วยตระกูลไม่รู้สิ้นในตอนนั้น ตระกูลไม่รู้สิ้นในตอนนั้นมีชะตาเหนือกว่าสำนักแห่งความมืดอย่างเห็นได้ชัด
ขณะเดียวกันที่เขาไม่ได้ช่วยเว่ยยางจื่อในครั้งนี้ก็เพราะเหตุผลเดียวกัน เขาเห็นความอาภัพชะตาของตระกูลไม่รู้สิ้นจึงไม่อยากเข้าไปขัดชะตา มันไม่สอดคล้องกับเต๋าของเขา
แต่ตอนนี้ต่อให้ไม่สอดคล้องกับเต๋าของตน มองแวบเดียวก็สัมผัสสวรรค์ปั่นป่วนจนแทบบ้า แต่ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยก็ยังคงยกสองมือขึ้นรวมชะตาสีม่วงของตนให้กลายเป็นดาบยาวแล้วฟันลงบนหัวเด็กหนุ่มชุดแดง!
“ฟัน!”
ฟันชะตา!
ดูเหมือนฟันอากาศ แต่จริงๆ แล้ว…สิ่งที่ฟันคือชะตาของคู่ต่อสู้
เด็กหนุ่มชุดแดงไม่ได้ขัดขืน เขายืนมองปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยอยู่ตรงนั้นพลางหัวเราะ ปล่อยให้คู่ต่อสู้ฟันชะตาของตน ทว่าในวินาทีต่อมา…ร่างกายเขาไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆ ชะตาก็เช่นกัน แต่ทางด้านปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยนั้น ในพริบตาที่ดาบยาวนั่นฟันลงมาก็ราวกับฟันถูกสิ่งที่ไม่อาจทำลายได้จนตัวมันแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ส่วนปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยก็เจอกับแรงสะท้อนกลับจนกระอักเลือด ปราณในตำนานอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด
“หากเจ้าเป็นขั้นที่สี่ การฟันนี้ก็คงตัดชะตาข้าได้จริงๆ แต่พลังขั้นที่สามกระจอกๆ อย่างนี้ยังกล้าสู้กับข้าอีกหรือ” เด็กหนุ่มชุดแดงเหยียดยิ้มดูถูกและก้าวไปข้างหน้า ยกมือขวาขึ้น ก่อนที่หมอกเลือดจะกลายร่างเป็นตะขาบสีเลือดตรงหน้าเขาและกำลังจะกลืนกินปรมาจารย์ตระกูลเซี่ย
ทว่าในตอนนั้นเองปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยที่ดูอ่อนแอกลับมีแสงเย็นยะเยือกวาบผ่านดวงตา ก่อนจะหยิบธูปก้านหนึ่งออกมาปักในจักรวาลเบื้องหน้า จากนั้นสองมือทำผนึกมุทราอย่างรวดเร็ว ดวงตากลายเป็นสีม่วงโดยพลัน ส่งเสียงคำรามต่ำ
“ช่วงชิงชะตา!”
ในทันทีที่เอ่ยขึ้น เศษดาบจากชะตาสีม่วงที่ถูกเด็กหนุ่มชุดแดงพังไปก็เปล่งแสงระยิบระยับพร่างพรายในชั่วพริบตา และหยุดกระจัดกระจายก่อนจะกลายเป็นแมลงปีกแข็งสีม่วงราวกับว่ามันสามารถกลืนกินทุกสิ่งได้ มันส่งเสียงกรีดร้องก่อนจะเปลี่ยนทิศพุ่งไปยังเด็กหนุ่มชุดแดงอย่างบ้าคลั่ง
มันเร็วมากจนเข้าใกล้เด็กหนุ่มชุดแดงได้ในชั่วพริบตาและดูดกลืนชะตาของเด็กหนุ่ม ยามที่ดูดกลืน ธูปตรงหน้าปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยก็กำลังเผาไหม้อย่างรวดเร็ว
“หืม?” เด็กหนุ่มชุดแดงหยุดชะงัก ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อยและกำลังจะโบกมือ ทว่าในวินาทีต่อมามือขวาที่ยกขึ้นก็ตกลงข้างตัว
เมื่อมันตกลงก็มีร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้น พลังฝึกตนระดับจักรวาลระเบิดขึ้น นั่นก็คือเสวียนหัว เห็นได้ชัดว่าเขาแอบซ่อนตัวมาถึงที่นี่และตั้งใจลอบโจมตีในช่วงเวลาวิกฤติ หลังจากถูกเจอตัวเขาก็ทำได้เพียงขัดขวางด้วยกำลังทั้งหมด
ร่างของเสวียนหัวระเบิดออกพร้อมเสียงดังสนั่น แต่เขาก็เป็นคนโหดเหี้ยม แม้ตัวจะระเบิดก็ยังสำแดงพลังเทพกลายร่างเป็นหมอกดำแล้วก่อตัวเป็นปากขนาดใหญ่กลืนกินมือขวาของเด็กหนุ่มชุดแดง
ในตอนที่กำลังกลืนกินนั้นเอง อีกด้านของเด็กหนุ่มชุดแดง จักรวาลถูกฉีกก่อนที่กระบองยักษ์อันหนึ่งจะโผล่ออกมาต่อหน้าเด็กหนุ่ม
ด้านหลังกระบอง ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณเดินออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว มือขวาชกกระบองนั่นทำให้อานุภาพของมันแข็งแกร่งยิ่งขึ้น
ทั้งสองลงมือพร้อมกันจนทำให้ชะตาของเด็กหนุ่มชุดแดงถูกแมลงปีกแข็งสีม่วงดูดกลืนได้ไวขึ้น ธูปตรงหน้าปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยก็เผาไหม้จนเกือบสุดปลาย
แต่ร่างกายของเด็กหนุ่มชุดแดงก็แข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อ แม้กระบองจะมีอานุภาพเทียมฟ้า แต่เมื่อมันเข้าไปใกล้ก็ถูกมือซ้ายของเด็กหนุ่มคว้าไว้ได้ก่อน
“แค่นี้?” เด็กหนุ่มชุดแดงผู้ช่วงชิงร่างเฉินชิงไปแค่นหัวเราะเย็นชา ก่อนจะบีบมือขวาอย่างแรง ปากที่เกิดจากเศษชิ้นส่วนร่างกายเสวียนหัวพังทลายลงอีกครั้ง ดวงวิญญาณเทพแผ่ซ่านและกำลังจะหนี ทว่ากลับถูกเด็กหนุ่มชุดแดงอ้าปากดูดกลืนมันเข้าไป ยามที่เคี้ยวก็ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของเสวียนหัว
ส่วนมือซ้ายก็บีบเข้าหากัน กระบองของปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณถูกเขาบีบจนระเบิดกระจายเป็นชิ้นๆ แสงสีแดงวาววับอยู่ในดวงตาก่อนจะทะลวงหว่างคิ้วของปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณในทันที
ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า นัยน์ตาเผยแววดิ้นรน เด็กหนุ่มชุดแดงวาบร่างมาปรากฏตรงหน้าปรมาจารย์ตระกูลเซี่ย ดวงตาฉายแสงแปลกๆ ก่อนจะมีแสงสีแดงปรากฏขึ้นอีกครั้งและยิงทะลวงหว่างคิ้วปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยเข้าไปเพื่อทำการช่วงชิงร่าง
ทว่าในพริบตาที่แสงสีแดงทะลวงเข้าไป ดวงตาปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยก็เผยแววดุร้ายและคำรามเสียงต่ำ
“เผา!”
เมื่อเขาพูดออกมา ธูปตรงหน้าก็เผาไหม้เร็วขึ้นในฉับพลัน จนกระทั่งไหม้หมดก้าน แมลงปีกแข็งสีม่วงที่แทรกซึมอยู่ในชะตาของเด็กหนุ่มชุดแดงก็ส่งเสียงกรีดร้องบาดหูและเผาไหม้ไปพร้อมๆ กัน ในพริบตาก็แทรกซึมไปทั่วทั้งชะตาของเด็กหนุ่มทำให้ชะตาถูกเผาไหม้ไปด้วย
นั่นทำให้เด็กหนุ่มชุดแดงขมวดคิ้วมุ่นและกำลังโจมตี ทว่าในวินาทีต่อมา…กระบี่สำริดโบราณก็แหวกออกมาจากความว่างเปล่า กระบี่เล่มนี้แหลมคม ขณะเดียวกันตัวมันก็ยังบรรจุกฎเต๋าธาตุทองบางส่วน พลังไม้และพลังน้ำพลันระเบิดออกมาพร้อมกัน
ธาตุทองก่อกำเนิดน้ำทำให้เต๋าธาตุน้ำพวยพุ่ง น้ำก่อกำเนิดไม้ทำให้พลังไม้ทรงอานุภาพ และจากนั้นเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไฟยังถูกดาวเคราะห์เต๋าแปลง จึงเกิดเป็น…ไม้ก่อกำเนิดไฟ!
การก่อกำเนิดแต่ละขั้นยิ่งทำให้พลังธาตุไฟน่าสะพรึงกลัว พร้อมกับที่กระบี่สำริดโบราณฟัน…ชะตาของเด็กหนุ่มชุดแดง!
และกระบี่สำริดโบราณที่ผ่าความว่างเปล่าออกมาก็คือ…ร่างธรรมกายของหวังเป่าเล่อ!
ทุกสิ่งที่ทั้งสี่คนร่วมกันทำก็เพื่อการโจมตีนี้!
ข้างในมีเปลวไฟแห่งการเผาไหม้ชะตา ข้างนอกมีไฟจากธาตุทั้งสี่เกิดเป็น…พลังการฟันอันน่าทึ่งของชะตา!
…………………
เสื้อผ้ายังเหมือนเดิม หุ่นยังเท่าเดิม ไม่ว่ารูปลักษณ์หรือทุกอย่างดูเหมือนจะไม่ต่างกัน ความแตกต่างเพียงอย่างเดียว…คือการแสดงออกและสายตา
ร่างนี้…สีหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาไร้แววราวกับเป็นเพียงซากศพ
หากมีผู้เยี่ยมยุทธ์อยู่ที่นี่ ด้วยดวงจิตเทพของเขาคงมองเห็น…ว่าบนร่างของเฉินชิงมีตะขาบยักษ์พันรัดอยู่ และขณะที่พันรัด ร่างครึ่งหนึ่งของมันก็ผสานเข้ากับเฉินชิง
เหมือนตอนที่หวังเป่าเล่ออยู่ที่ดาวชะตาและเห็นภาพอนาคตในสมุดแห่งโชคชะตา…แต่ตอนนี้ภาพอนาคตเปลี่ยนไป คนที่ถูกช่วงชิงไป…ไม่ใช่เขาอีกต่อไป แต่เป็นเฉินชิง
ราวกับ…หายนะของเขาถูกเฉินชิงใช้ร่างของตนรับแทนให้แล้ว
“มีคนกำลังเรียกเจ้าอยู่นะ เจ้าจะไม่ตอบสักหน่อยหรือ” เด็กหนุ่มชุดแดงหน้าเฉินชิงพูดยิ้มๆ สายตาเต็มไปด้วยความชั่วร้ายเหมือนกำลังคุยกับเฉินชิง แต่ก็เหมือนกำลังคุยกับตัวเอง
“ข้าลืมไป เจ้าไม่ใช่ตัวเจ้าแล้วนี่นา” เด็กหนุ่มยิ้ม แต่หากสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่าลึกๆ ของรอยยิ้มนั้นมีแววยั่วยุอยู่เล็กน้อย หลังจากก้าวเข้าประตูศิลา เขาก็หันหน้าไปมองยังนอกประตูศิลา
สายตาเขาราวกับสามารถมองทะลุความว่างเปล่าด้านนอกประตูศิลาได้ เขามองรอยร้าวขนาดมหึมารวมถึงร่างที่กำลั่งนั่งมองเขาอย่างเย็นชาอยู่บนเรือเดียวดาย
หลังจากสบตากับร่างนั้น เด็กหนุ่มก็หรี่ตาลง ก่อนจะโบกมือยักษ์หนึ่งครั้ง ประตูศิลาค่อยๆ ปิดลง แยกความว่างเปล่าด้านนอกออกไปและตัดขาดสายตาของพวกเขาทั้งสอง ยามที่หันกลับมาก็เห็นฝ่ามือยักษ์ที่เกิดขึ้นระหว่างความว่างเปล่าซัดสาดตรงหน้าพวกเขาทั้งสอง
“หยุด!”
“ฝ่ามือหลัวห้ามไม่ให้ข้าผ่านไปหรือ” เด็กหนุ่มมองฝ่ามือนั่นแล้วอุทานออกมา ก่อนที่ร่างจะกลายเป็นสีเลือดตรงเข้าห่อหุ้มฝ่ามือยักษ์นั้นไว้
ทว่าในวินาทีต่อมาหลังเกิดเสียงดังสนั่น ฝ่ามือยักษ์ยังอยู่ แต่หมอกเลือดจากเด็กหนุ่มกลับแตกกระเจิงไปรวมตัวกันที่ประตูศิลาอีกครั้งแล้วแปลงกลับเป็นร่างเด็กหนุ่มชุดแดงอีกครั้ง
ครั้งนี้ถึงแม้เขาจะยังมีรอยยิ้ม ทว่ามันกลับเย็นยะเยือก ดวงตาเผยแสงสีแดง เขาก้มหน้ามองหน้าอกตน ตรงนั้น…มีบาดแผลขนาดใหญ่ แม้มันจะกลับมาผสานกันอย่างรวดเร็ว แต่เห็นได้ชัดว่าส่งผลกระทบกับเขาไม่น้อย
“เฉินชิงเอ๋ยเฉินชิง ใช้ชีวิตเจ้าสังเวยเพื่อแลกกับการโจมตีนี้ย่อมสร้างปัญหาให้ข้าไม่น้อย… แต่ถึงกระนั้นก็ไม่สามารถหยุดข้าได้หรอก” เด็กหนุ่มพึมพำ ดวงตาสีแดงพลันเปล่งประกาย ก่อนที่จะกลายร่างเป็นหมอกเลือดอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้มีหมอกเลือดสามส่วนพุ่งเข้าใส่เฉินชิง หลังจากมันทะลวงเข้าไปในดวงตาเฉินชิงแล้ว อีกเจ็ดส่วนที่เหลือก็กลายร่างเป็นตะขาบสีเลือดยักษ์พุ่งเข้าไปพันรัดฝ่ามือหลัว
“หลัวดับสิ้นไปแล้ว มือที่ไร้รากจะหยุดข้าไว้ได้นานแค่ไหนกัน!” หลังจากพูดจบ ขณะที่ตะขาบสีเลือดพันรัดฝ่ามือหลัวอยู่นั้น เฉินชิงที่ถูกหมอกเลือดทะลวงเข้าไปในดวงตาก็ราวกับถูกจุดเชื้อเพลิง แสงสีแดงจางๆ แผ่ออกมา จากนั้นเขาก็เดินไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไร ส่วนฝ่ามือหลัวก็ไม่สนใจเฉินชิงทำให้เขาค่อยๆ เดินไกลออกไปในความว่างเปล่าได้อย่างราบรื่น
สงครามที่นี่ยังคงดำเนินต่อไป ภารกิจของฝ่ามือหลัวไม่ใช่แค่ป้องกันไม่ให้สิ่งมีชีวิตในโลกศิลาออกไป แต่ยังต้องป้องกันไม่ให้ใครเข้ามาด้วย
ในตอนที่การต่อสู้ยังดำเนินต่อไปนั้นเอง เฉินชิงผู้ซึ่งสูญเสียจิตวิญญาณและถูกเด็กหนุ่มชุดแดงควบคุมก็เดินออกไปในความว่างเปล่าทีละก้าว จนถึง…ใจกลางโลกศิลาและเป็นในจักรพิภพเต๋า
แทบจะในพริบตาที่เขาเหยียบเข้าไป สีแดงเลือดของจักรวาลในโลกศิลาก็ระเบิดกลายเป็นกระแสน้ำวนขนาดมหึมาราวกับพายุปกคลุมไปทั่วทั้งโลกศิลา ท่ามกลางเสียงคำรามอย่างต่อเนื่อง ร่างของเฉินชิงปรากฏขึ้นที่ใจกลางกระแสน้ำวน ชุดคลุมยาวของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงฉานไปแล้ว
สีหน้าท่าทางไร้อารมณ์นั่นก็เปลี่ยนไป เริ่มมีความว่องไว เพียงแต่…สิ่งที่เรียกว่าความว่องไวนั้นกลับเต็มไปด้วยความชั่วร้าย โดยเฉพาะดวงตาของเขาที่ตอนนี้ไม่ใช่แค่สีแดงจางๆ อีกต่อไป แต่เป็นสีแดงฉานเลยทีเดียว
“ในที่สุดก็เข้ามา” เฉินชิงที่ถูกช่วงชิงร่างไประบายยิ้มจางๆ ก่อนจะเงยหน้ามองจักรวาล จักรวาลในสายตาเขาตอนนี้มีดวงตาสี่ตาลอยอยู่
“สองขั้นสุดท้ายของก้าวที่สามยังมีอีกอย่างที่น่าสนใจ ส่วนขั้นสุดท้าย…” เฉินชิงที่ถูกช่วงชิงร่างไปหรี่ตามองไปยังระบบสุริยะและบนดาวอังคาร ก่อนจะสบตากับหวังเป่าเล่อที่แววตาเศร้าโศก ตัวสั่นเทิ้มในทันที
“เจ้านี่เอง” เฉินชิงที่ถูกช่วงชิงร่างยิ้ม
“เป่าเล่อ ข้าคือศิษย์พี่ของเจ้า จะไม่มาหาข้าหน่อยหรือ”
เสียงเขาดังก้องไปทั้งจักรวาลและดังเข้าไปในสัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อบนดาวอังคาร หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ผ่านไปครู่หนึ่งก็หลับตาลง ปิดบังความโศกเศร้า เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขาก็จ้องมองเมล็ดพันธุ์แห่งเต๋าปฐพีตรงหน้าและใช้กำลังทั้งหมดเพื่อหลอมมัน
“ไม่เป็นไร เด็กน้อย เดี๋ยวข้าจะไปหาเจ้าเอง” เฉินชิงที่ถูกช่วงชิงร่างยิ้มแล้วถอนสายตากลับไปก้มมองร่างกายตนราวกับพอใจมาก เขาหันกลับไปมองเข้าไปในส่วนลึกของกระแสน้ำวน ตรงนั้น…ร่างต้นแบบของเขากำลังต่อสู้กับฝ่ามือหลัวซึ่งเห็นได้ชัดว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่สามารถจบได้ในระยะเวลาสั้นๆ
แต่ไม่เป็นไร แม้ร่างกายนี้จะยังมีปัญหาบางอย่างทำให้เขาไม่สามารถช่วงชิงร่างมาได้ทั้งหมด และผสานดวงจิตเทพเข้าไปได้บางส่วนเท่านั้น แต่เขาก็รู้สึกว่าเพียงพอที่เขาจะทำทุกอย่างในโลกศิลาได้แล้ว
“เช่นนั้นต่อจากนี้…ก็หลอมทุกชีวิตในโลกนี้กลั่นวิญญาณโลหิตมาเสริมพลังดวงจิตเทพของข้า รักษาอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้…”
“แล้วก็ไปหาเจ้าหนูนั่น อีกครึ่งของเซียนรวมทั้ง…คนที่ผสานวิญญาณตะปูไม้สีดำตัวสุดท้าย ทำลายทิ้งให้หมด!” เด็กหนุ่มชุดแดงที่ช่วงชิงร่างเฉินชิงไปแย้มยิ้ม ขณะพูดกับตัวเองก็ยกมือขวาขึ้นมา ทันใดนั้นสีแดงเลือดรอบตัวเขาก็มารวมตัวกันบนมือของเขาเกิดเป็นก้อนเลือดขนาดเท่ากำปั้น
เขาถือก้อนเลือดเดินไปในจักรวาลแล้วเหวี่ยงมือขวาไปทางดาราจักรอันไกลโพ้น
ทันใดนั้นก้อนเลือดก็พุ่งตรงไปยังดาราจักรนั้น และไม่กี่อึดใจดาราจักรนั้นก็เกิดเสียงคำรามดังสนั่น แสงเลือดในนั้นพลันแผ่ซ่านไปพร้อมกับความทุกข์ทรมานของสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วน อารยธรรมนั้นแตกสลายเป็นชิ้นๆ ในเวลาเพียงสิบกว่าอึดใจ ทั้งดวงดาวในนั้นและสิ่งมีชีวิต ทุกสรรพสิ่งพังทลายลงในวินาทีนี้
หากมีใครก้าวเข้าไปในดาราจักรนั้นก็จะมองเห็นดวงดาวกำลังหลอมละลาย สิ่งมีชีวิตทั้งหลายกำลังเหี่ยวเฉา และเกิดเป็นรอยเลือดมหาศาลในที่สุด เมื่อลอยออกมาจากดาราจักรที่แตกสลายนั้นก็มารวมตัวเป็นก้อนเลือดอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มชุดแดงอีกครั้ง หลังจากดูดกลืนอารยธรรมแล้วก้อนเลือดนั้นก็สีเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่เลวนี่” เด็กหนุ่มชุดแดงยิ้มแล้วก้าวต่อไป
เป็นเช่นนี้ต่อไปจนเวลาผ่านไป 10 วัน
ใน 10 วันนี้เด็กหนุ่มชุดแดงท่องไปในจักรวาลอย่างไม่เร่งรีบ แต่ทุกอารยธรรมที่เขาผ่านไปไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนพังพินาศไปพร้อมกับการย่าฃก้าวของเขา ทุกสรรพสิ่งข้างในล้วนกลายเป็นรอยเลือดและทำให้ก้อนเลือดนั้นสีเข้มขึ้น
พื้นที่ที่เขาอยู่นั้นคือพื้นที่ตอนกลางของไม่รู้สิ้นในอดีต ดังนั้นในไม่ช้า…เขาก็อาศัยสัมผัสเชื่อมต่อมาถึงตระกูลไม่รู้สิ้นที่กกลังย่ำแย่ลงเรื่อยๆ
เขาไม่ได้หยุดเพราะเห็นว่าเป็นตระกูลเดียวกัน ตรงกันข้ามเด็กหนุ่มชุดแดงที่กำลังตื่นเต้นพลันหยุดอยู่ที่ตระกูลไม่รู้สิ้นนานกว่าปกติและหลอมทุกอย่างอย่างละเอียดยิ่งขึ้น
จนกระทั่งเขาจากไป ในโลกศิลาก็ไม่มีตระกูลไม่รู้สิ้นอีกต่อไป การปรากฏตัวของเขารวมทั้งการกระทำของเขาได้สั่นสะเทือนไปทั้งโลกศิลาแห่งนี้
แต่…ไม่ว่าปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยหรือปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณหรือปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์รวมทั้งหวังเป่าเล่อกลับยังนิ่งเงียบ
ทว่าในความนิ่งเงียบนั้นราวกับมีพายุกำลังก่อตัว!
……………………………………
ผลลัพธ์เป็นอย่างไร หวังเป่าเล่อมองไม่เห็นแล้ว
รอยแยกของประตูศิลา ในยามนี้นับว่าปิดลงสมบูรณ์ ส่วนเสียงที่เหมือนได้ยินพลาดไปนั้นกลับสะท้อนอยู่ในข้างหูหวังเป่าเล่อ อีกทั้งยังมีขุมมหาพลังจากด้านนอกพัดเข้ามาราวพายุคลั่งหลังเสียงนี้ พัดผ่านทั้งแปดทิศ ตกกระแทกสู่ประตูศิลา
ตู้ม!
ประตูศิลาถูกโจมตีทำให้ตัวประตูสั่นสะท้านอยู่ครู่หนึ่ง และทำให้ความว่างเปล่าภายในศิลานี้เกิดความไม่คงที่ ราวกับถูกคลื่นคลั่งพัดโหม สิ่งไม่มีลักษณ์กลับเป็นมี อีกทั้งยังปรากฏรอยแยกจำนวนหลายเส้น ทำให้รู้สึกว่าสถานที่นี้คล้ายเกิดความโกลาหล อาศัยพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อในยามนี้คงยืนหยัดอยู่ได้ไม่นาน ทำได้เพียงถอยหนีรวดเร็วออกมาให้ห่าง
การถอยหนีนี้ ยากจะประคองต่อไปได้ เพราเหตุที่ความโกลาหลในสถานที่นี้ตั้งแต่แรกจนจบดำเนินไปนั้น ระดับความลำบากของมันเมื่อเทียบไปแล้วยิ่งมาก็ยิ่งทวีหนักขึ้นกว่าเก่ามากเข้ามากเข้า
นี่บีบให้หวังเป่าเล่อต้องถอยหนีอย่างเสียไม่ได้ หนีไปจากความว่างเปล่านี้ หนีไปจากเขตสิ้นสุดนี้ หนีไปจากจักรพิภพตรงนี้ กลับเข้าสู่ใจกลางของโลกแห่งศิลา นั่นก็คือ…ในจักรพิภพเต๋า
ยามที่เงาร่างของเขากลับเข้าปรากฏอีกครั้งใจกลางจักรพิภพไม่รู้สิ้น ทั้งจักรพิภพเต๋านั้นสั่นคลอนทันที ราวกับว่ามีกระแสพลังที่พันรัดร่างของเขาจากโลกภายนอกระเบิดออก ณ ที่นี้
ราวกับว่ากระแสปราณนี้ไม่มีเจตนาร้าย และเป็นเพียงแค่กระแสหนึ่งเท่านั้น แม้จะก่อเกิดคลื่นลมทั้งจักรพิภพเต๋า แต่ก็คงอยู่ได้ไม่นานนักกลับมาเป็นปรกติอีกครั้ง
แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ก็ยังทำให้สภาวะจิตของสรรพชีวิตในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นสั่นสะท้าน ผู้อาวุโสสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณและบรรดาระดับจักวาลอย่างผู้อาวุโสตระกูลเซี่ย ยิ่งสัมผัสได้ชัดเจนต่างพากันเบิกตาโพลง สายตานั้นปรากฎความรู้สึกสงสัยตื่นตะลึงยังยากจะกลบ
“เมื่อครู่…” หวังเป่าเล่อซึ่งยืนอยู่กลางหมู่ดาราพลันหันศรีษะ มองไปยังทิศห่างไกลนั้น ในใจของเขายังคงพะวงอยู่ตรงบริเวณความว่างเปล่าด้านหน้าประตูศิลา สิ่งที่คิดอยู่ในสมองนั้นคือภาพที่ศิษย์พี่เฉินชิงจื่อถูกตะขาบสีเลือดตัวยักษ์พันรัดอยู่ ในเวลาเดียวกันก็คล้ายจะได้ยินอะไรผิดไป
“เป็นพ่อของข้า” ในสมองของเขา มีน้ำเสียงเศร้าศร้อยของพี่สาวตัวน้อยลอยออกมา ในน้ำเสียงนั้นแฝงไปด้วยความคะนึงหา
หวังเป่าเล่อเงียบงัน ดวงตาของเขาค่อยๆ ทอประกายวาบ แต่แล้วในเวลาอันรวดเร็วก็หม่นทึมอีกครั้ง เขารู้ดีว่าบิดาของพี่สาวตัวน้อยนั้นรออยู่นอกโลกแห่งศิลา แต่ก็เข้าใจดีว่าอีกฝ่ายเข้ามาไม่ได้ เพราะว่าเมื่อบุกเข้ามา โลกแห่งศิลานี้ก็จะแตกสลาย นี่กระทบต่อกระบวนการฟื้นคืนชีพของพี่สาวตัวน้อย
ดังนั้นแล้วความเป็นไปได้มากกว่าก็คืออีกฝ่ายจะไม่บุกเข้ามา เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้เขาไปรบกวนการศึกระหว่างตะขาบสีเลือดและศิษย์พี่เฉินชิงจื่อ เกรงว่าก็คงมีขีดจำกัดอยู่ดี
ชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสียแล้ว หวังเป่าเล่อก็ทอดถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง เขาทำสุดกำลังแล้ว เขาในยามนี้อยู่อยู่ตรงใจกลางนั้นเนิ่นนาน ถึงค่อยหันกายเข้าสู่หมู่ดาว มุ่งหน้ากลับจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝ่ายซ้าย
สิ่งที่ควรมอง ได้เห็นแล้ว
สิ่งที่ควรทำ ได้ทำแล้ว
ในใจของหวังเป่าเล่อแม้ว่ายังมีความเสียใจ แต่อย่างมากสุดก็คือจิตใจยึดมั่นขุมหนึ่งเท่านั้น
“ตอนนี้ข้ายังอ่อนแอเกินไป!” ในใจหวังเป่าเล่อพึมพำ ก้าวหนึ่งเหยียบย่างก็มาถึงยังภายในดาวอาคารของระบบสุริยะ มาถึงยังที่ร่างต้นเขาอยู่ หวนร่างแยกย้อนคืน ร่างต้นพลันเบิกตาทั้งคู่ขั้นทันที หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขายกมือทั้งสองขึ้น จากนั้นค่อยๆ ดำเนินการหลอมเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าปฐพีเบื้องหน้าของตนต่อ
เวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่านไปช้าๆ โลกแห่งศิลานั้นค่อยๆ ฟื้นคืนสู่ความสงบอีกครั้ง แม้ว่าพายุคลั่งในอวกาศและแสงสีงดงามเหล่านั้นยังคงอยู่ ระดับจักรวาลลงมานั้นนับได้ว่าถูกตัดโอกาสในการข้ามอวกาศ แต่ก็เป็นเพราะเหตุนี้เอง กลับกลายเป็นว่าในโลกแห่งศิลานี้ความสงบสุขมั่นคงกลับบังเกิดขึ้น
สำหรับหวังเป่าเล่อ เมื่อทำสิ่งที่ตนเองทำได้ทั้งหมดแล้ว ในระหว่างที่หลอมสร้างเมล็ดพันธ์เต๋าปฐพี ใจของเขาก็ไม่ปรากฏความคิดวุ่นวายและโดยช้าๆ ก็ทำให้เมล็ดพันธ์แห่งเต๋าปฐพีนี้สำเร็จไปแล้วถึงเก้าส่วนโดยประมาณ
และเวลาก็ผ่านไปอีกสามปี เมล็ดพันธ์เต๋าปฐพีของหวังเป่าเล่อก็มาถึงระดับขั้นที่เก้าสิบแปดส่วน ในวันนั้น ร่างกายของเขาพลันสะท้าน
นี่มิใช่เพราะเมล็ดพันธ์ของเต๋าปฐพีสำเร็จ แต่ภายในใจของเขา การสั่นสะท้านนี้ทำให้หัวใจของเขาเต้นระรัวขึ้นมาอย่างรุนแรงฉับพลัน ราวกับว่ามีมือไร้รูปสองข้างทะลุผ่านร่างกายของเขา จากนั้นก็จับดวงวิญญาณของเขาเอาไว้ ทำให้ร่างหวังเป่าเล่อพลันเหน็บหนาวในเวลาเดียวกันเขาแหงนหน้าขึ้น
และในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกหัวใจเต้นระส่ำนี้ก็พลันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งสภาวะจิตของหวังเป่าเล่อ ราวกับมีกระแสจิตเทพขุมหนึ่ง มาจากเขตสิ้นสุดแห่งความว่างเปล่าอันไม่รู้ว่าไกลเท่าไหร่พุ่งผ่านหมู่มวลดารา พุ่งเข้ามายังจักรพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้าย พุ่งเข้ามาบนดาวอังคารของระบบสุริยะ แล้วพุ่งเข้าสู่ใจกลาง…ดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อ
“เป่าเล่อ ข้าแพ้แล้ว…”
ครั้นเมื่อกระแสจิตนี้เริ่มต้น ก็คือคำพูดนี้ ส่วนเนื้อหาของคำพูดนี้นั้นทำให้ในใจของหวังเป่าเล่อพลันบังเกิดพายุคลั่งชนิดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ความใหญ่ของพายุนี้ เหมือนจะกวาดทิ้งทั้งสวรรค์และปฐพีเก้าชั้นฟ้าไม่ปาน มันระเบิดขึ้นอย่างบ้าคลั่งในใจของหวังเป่าเล่อ รุนแรงจนถึงขีดสุดและในเวลาเดียวกันก็ส่งผลกระทบให้จิตวิญญาณของหวังเป่าเล่อรู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
ความเจ็บปวดนี้ครอบงำไปทั้งระบบสุริยะ ครอบคลุมทั้งจักรพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิฝ่ายซ้าย ปกคลุมไปไกลกว่านั้น รวมถึงสรรพชีวิตในสถานที่แห่งนี้ ในพริบตานั้น ถูกความรู้สึกนี้ระบาดเข้า ก่อเกิดความรู้สึกเจ็บปวด
ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า และมองเห็นสีสันอันตระการตาบนท้องฟ้าในหลายสิบปีมานี้ ค่อยๆ หายไป ความองอาจในนั้นค่อยๆ หายไป พลังที่ห้ามมิให้สรรพชีวิตข้ามเขตดารานั้นในยามนี้ก็เริ่มพังทลายลง
กลับมีแสงสีแดงชาด ราวกับพุ่งเข้ามาจากเขตสิ้นสุดของจักรวาลปรากฏขึ้น ในชั่วเวลากระพริบตานั้นราวกับพายุร้ายก็ไม่ปาน ราวกับคลื่นโทสะ พลังอันพลิกภูเขาถล่มทะเลนั้นทำการกวาดล้างทั้งโลกแห่งศิลา ราวกับว่ามีใครใช้ผืนผ้าขาวบางสีแดงผืนหนึ่งปกคลุมทั้งมิติจักรวาลนี้ โดยไม่ยกออก ทำให้ทั้งจักรวาลของโลกแห่งศิลานี้…ในยามนี้ ถูกปนเปื้อนจนกลายเป็นสีแดง
จักรวาลสีแดงดุจดั่งโลหิต เป็นตัวแทนความตายของศิษย์พี่ ทำให้สรรพชีวิตในโลกแห่งศิลาในยามนี้สัมผัสได้อย่างรุนแรง ไม่เพียงแค่ความเจ็บปวดของหวังเป่าเล่อที่แผ่ขยายไปทั่ว ผู้อาวุโสสำนักเจ็ดวิญญาณ ผู้อาวุโสตระกูลเซี่ย ผู้อาวุโสสำนักดาราจันทร์และระดับจักรวาลของสำนักแห่งความมืดล้วนแต่เงียบงัน
แม้พวกเขาไม่ได้รับกระแสจิตของเฉินชิงจื่อ แต่มองดูไปในยามนี้ ทำให้พวกเขาล้วนกระจ่างถึงสาเหตุแล้ว
ท้องฟ้าสีแดงฉาน แถมด้วยเจตนาร้ายไม่รู้สิ้นหมุนคว้างบิดมิติ ค่อยๆ หลอมรวมลักษณ์กลายเป็นตะขาบขนาดยักษ์ มันโห่คำรามพลางพุ่งเข้ามาหาจักรวาลโลกแห่งศิลา เจตนาชั่วร้ายนี้ทำให้เหล่าสรรพชีวิตหลังจากนิ่งเงียบและเจ็บปวดแล้ว ภายในใจบังเกิดความตื่นตะลึงขลาดกลัว
หวาดกลัวจักรวาลสีโลหิตนี้
“เปลี่ยนฟ้าแล้ว…” ในสำนักจันทร์ดารา เขตต้องห้ามในภูเขาด้านหลัง เบื้องหน้าน้ำตกนั้น ผู้อาวุโสดาราจันทร์พลันลืมตาแล้วเอ่ยเสียงเบา
บนดาวชะตา ประมุขกฎสวรรค์ก้มหน้าถอนหายใจยาวคราหนึ่ง
ต้นตระกูลเซี่ยนิ่งเงียบ หลังจากนั้นพลันออกคำสั่งในวินาทีถัดมา ตระกูลเซี่ยปิดตระกูล คนในตระกูลห้ามออกข้างนอก
สำหรับหวังเป่าเล่อ ในยามนี้ความเจ็บปวดภายในใจสาหัสเป็นที่สุด เขามองท้องฟ้าสีโลหิตสั่นสะท้าน จากนั้นยกมือขวาขึ้นราวกับจะคว้าจับอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่อาจห้ามกระแสจิตของศิษย์พี่ใหญ่ได้ มันค่อยๆ จางหายไปจากสมองของเขา
ในกระแสจิตนั้น ไม่ได้มีเพียงแค่ประโยคนั้นประโยคเดียว นี่เห็นได้ชัดว่าก่อนที่ศิษย์พี่จะสิ้นชีพ เขาได้ใช้พลังปราณสุดท้ายส่งคำสั่งเสีย กระแสจิตนี้ เขาบอกหวังเป่าเล่อถึงทุกสิ่ง รวมถึงเรื่องแสงสว่างและความมืด
ในเวลาเดียวกันเขาก็บอกตำแหน่งหนึ่งให้แก่หวังเป่าเล่อ ที่นั่น…คือมรดกที่เขาเตรียมการไว้ล่วงหน้าเพื่อมอบแก่หวังเป่าเล่อ
เห็นได้ชัดว่า เขาไม่อยากให้หวังเป่าเล่อต้องมาแบกรับ ดังนั้นจึงไม่ได้แจ้งแก่อีกฝ่ายล่วงหน้ากลับมุ่งไปแก้ไขด้วยตนเอง ทว่ายามนี้…เขาทำไม่สำเร็จ
หวังเป่าเล่ออารมณ์หดหู่ เขายกมือขวาขึ้นก่อนจะปล่อยลงอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่ได้ทันสังเกตุเลยว่ามือขวาของเขายามนี้กำหมัดแน่นสั่นสะท้าน มันบีบเข้าแน่น และไม่ได้สังเกตุเลยว่าเงาร่างของพี่สาวตัวน้อยกำลังออกมาจากนั้นก็อยู่ข้างเขาอย่างเบาๆ นางฟังคำพูดที่เอ่ยออกจากปากหวังเป่าเล่อ น้ำเสียงนั้นเจือความแหบพร่ากระด้าง แถมยังแฝงไปด้วยอารมณ์ปวดร้าวอันอธิบายไม่ได้
“ศิษย์พี่…”
และเกือบจะในทันทีกับที่หวังเป่าเล่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงรวดร้าวสุดแสนนั้น ตรงจุดสิ้นสุดของโลกแห่งศิลา ประตูแห่งศิลาค่อยๆ เปิดออกช้าๆ จากข้างนอก ทันใดนั้นเงาร่างสองเงาก็เดินเข้ามา
เงาร่างด้านหน้า เป็นผู้เยาว์ซึ่งสวมชุดยาวสีแดงรายหนึ่ง ผู้เยาว์นี้หน้าตางดงามสง่า แต่ก็แฝงไปด้วยความชั่วร้ายถึงที่สุด ราวกับว่าสีสันบนร่างนั้นคือต้นตอแห่งแสงสีชาดที่ปนเปื้อนไปทั่วทั้งโลกแห่งศิลา ในยามนี้มุมปากเขายกยิ้มเบา ชะเง้อไปมองเงาร่างด้านหลังแล้วเอ่ยออกมาคำหนึ่ง
“มีคนเรียกเจ้าอยู่”
เมื่อมองตามสายตาของผู้เยาว์ไปนั้น จะสามารถมองเห็น…เงาร่างที่ติดตามร่างนี้อยู่ ที่แท้กลับเป็น…เฉินชิงจื่อ!
เพียงแต่ว่า เป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ!
…………………………………………..
“ห้ามทุกคนผู้คนออกไป หรือนี่จะหมายความว่า ห้ามให้ทุกผู้คนบุกเข้ามา?” มองดูฝ่ามือขนาดยักษ์เสียดฟ้าเบื้องหน้าตนแล้ว ราวกับมีกระแสพลังขนาดพลิกภูเขาทะลายผืนฟ้าไหลบ่าเข้ามา ในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อทางนี้เองนั้นก็ถอยเท้าไม่หยุด ในสมองเขาคิดเร็วรี่
มือข้างนี้ หากใช้เพียงตาเนื้อมองดู เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณสะท้านภพอันโบราณ พลังปราณนี้แข็งแกร่งยิ่ง ยามที่หวังเป่าเล่อมองดูแล้วยังเหนือกว่าเฉินชิงจื่อเสียอีก
เพียงแต่ว่า…ฝ่ามือนี้ดูคล้ายเป็นจอกแหนไร้ราก ภายใต้พลังปราณอันแข็งแกร่งสะท้านใจคน กลับซ่อนลักษณะการร่วงโรยไม่อยู่
“เพราะหลัวร่วงหล่นงั้นเหรอ…” หวังเป่าเล่อคล้ายจะคิดได้ หากคิดจะทำลายมือข้างนี้ทิ้ง อาจจะเสียเวลาและต้องใช้วิธีอยู่บ้าง กลับมิใช่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
เพียงแต่ว่า…ความเป็นไปได้ที่มากกว่าคือยังไม่ทันที่ฝ่ามือข้างนี้จะสลายไป ตนเองคงจะสิ้นอายุขัยไปเสียก่อน อีกทั้งในระหว่างเวลาการต่อสู้นี้หากตนเองไม่ระมัดระวัง เกรงว่าดวงวิญญาณเทพของตนนี้จะถูกทำลายจนสิ้นเช่นกัน
อีกทั้งการสิ้นเปลืองพลังเช่นนี้ดูไปแล้วไม่คุ้มอย่างมาก โดยเฉพาะขนาดของฝ่ามือนี้ใหญ่ยิ่ง คงมีเอาไว้เพื่อใช้กันมิให้ศัตรูภายนอกบุกเข้ามา ดังนั้นหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ที่เก่าจึงนิ่งเงียบ
วิธีที่ดีที่สุด คือใช้วิธีการใดสักอย่างเพื่อให้ฝ่ามือนี้ยอมรับ แล้วยอมให้ตนเองฝ่าออกไป
“วิธีการที่ศิษย์พี่ใช้ คงจะเป็นการหลอมเต๋าสวรรค์แห่งสำนักแห่งความมืด เพื่อให้ได้รับการสืบทอดบัญชา วิธีการนี้ฝ่ามือนี้เองคงยอมรับปล่อยผ่านได้” ดวงตาหวังเป่าเล่อทอประกาย เขาเดาออกถึงวิธีการของเฉินชิงจื่อได้ ในใจกำลังพิจารณาว่าจะใช้วิธีการคล้ายคลึงกันฝ่าออกไป
ครึ่งครู่ให้หลัง หวังเป่าเล่อพลันก้มหัวลงจากนั้นมองสมุดแห่งชะตาเบื้องหน้าตน
สำหรับสมุดแห่งชะตาและความเป็นมาของวานรเฒ่า เสือน้อยและจื่อเย่ว์นั้น หวังเป่าเล่อในปัจจุบันเข้าใจดี พูดให้ชัดๆ เดิมที่แล้วพวกเขาไม่ได้เป็นของสถานที่นี้
เดิมทีในโลกแห่งศิลา ไม่ได้มีเงาร่างและชะตาของพวกเขา แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพราะบิดาของพี่สาวตัวน้อย เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งหลังทำให้แผ่นศิลานี้เกิดรอยแตก
ท่านผู้สูงศักดิ์รายนั้นแม้ว่าตนเองจะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แต่ตัวศิลายากจะต้านรับไหว ดังนั้นแล้วจึงไม่อาจเข้ามาได้เอง หรือต่อให้บุกเข้ามาจนทำให้ศิลาต้องพังทลายเกรงว่าตัวเขาเองยังไม่สนใจด้วยซ้ำ แต่…การฟื้นคืนชีพให้หวังอีอีนั้นก็จะล้มเหลว และนี่คือสิ่งที่ผู้สูงศักดิ์ท่านนั้นรับไม่ได้
ดังนั้น…เมื่อเขาควบคุมพลังจนเข้ามาที่นี่ได้ก้าวแรก ก็เพื่อใช้วิถีเต๋าแห่งเดือนปี ส่งตัวหวังอีอีเข้ามา อีกทั้งภายใต้เต๋าแห่งเดือนปีและผลกระทบจากเวทกาลเวลา เปลี่ยนแปลงดวงชะตาของโลกแห่งศิลานี้ในทุกระดับ…เรียกได้ว่าส่งมอบสิทธิในการฉีกทำลายการบ่มเพาะของจักรวาลนี้ส่วนหนึ่ง ให้แก่หวังอีอี
นี่ทำให้ภายหลังจากหวังอีอีถูกส่งตัวมาผนึกอยู่ในโลกแห่งศิลาไม่นานนัก เหล่ามวลดาราภายในเปลี่ยนผัน ตระกูลไม่รู้สิ้นในยามแรกจึงพินาศไปอย่างเงียบๆ สรรพชีวิตนั้นภายใต้จุดเชื่อมต่อแห่งธารเวลาค่อยๆ หลั่งไหลกันเข้ามาอยู่ในโลกแห่งศิลา อีกทั้งหลังได้รับตัวตนในโลกแห่งศิลาแล้ว แต่ละคนจึงค่อยสั่งสมจนได้วิถีแห่งการบ่มเพาะ ดังนั้นจึงได้มีภาพวาด จึงได้มีหมึกหยดแรกของสรรพชีวิตในคราเริ่มต้น และได้มีโลกใบแรกของทุกคน
อีกทั้ง…วานรเฒ่า เจ้าเสือน้อย จิ้งจอกน้อยและกวางขาวน้อยทั้งหลาย…
ดังนั้นแล้วในทุกระดับ พี่สาวตัวน้อยหวังอีอีระหว่างที่เตรียมตัวละทิ้งเงื่อนไขและสัญญาในสถานที่นี้ สุดท้ายแล้วหลังจากนางกลับชาติมาเกิดหลายต่อหลายครั้ง…ก็ยังคงมีสิทธิในการบ่มเพาะโลกแห่งศิลานี้อยู่
ไม่ว่าสิทธินี้ในยามนี้จะหายไปแล้ว แต่หากสืบสาวราวเรื่องไป แค่ตำแหน่งของพี่สาวตัวน้อยนี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว
ความคิดไหลลื่น เมื่อตรึกตรองกระจ่างแล้ว หวังเป่าเล่อก้มหน้าลง ในสมองพลันส่งเสียงเรียกเบาๆ
ครึ่งครู่ให้หลัง มีเสียงถอนหายใจดังออกมา พี่สวาตัวน้อยที่สวมชุดกระโปรงยาวสีขาว พลันปรากฏตัวอยู่ด้านข้างหวังเป่าเล่อในยามนี้ นางมองดูฝ่ามือขนาดยักษ์ไร้ขีดจำกัดอันน่าครั่นคร้ามซึ่งแผ่ไพศาลครอบท้องฟ้า แล้วก็มองหวังเป่าเล่อ ก่อนจะเงียบไปหลายอึดใจค่อยเอ่ยปากเสียงเบา
“เจ้าแน่ใจแล้วเหรอ?”
“ข้าแน่ใจ รบกวนพี่สาวตัวน้อยด้วย” หวังเป่าเล่อสีหน้าเคร่งขรึม เขาประสานหมัดก่อนจะโค้งคำนับลงต่ำ
“แต่ว่า ประตูบานนี้ อย่างมากข้าก็…ทำได้แค่เปิดรอยแยกเท่านั้น อีกทั้งเวลายังสั้นนัก…” พี่สาวตัวน้อยเอ่ยเสียงเบา
หวังเป่าเล่อไม่เอ่ยคำใด ยังคงก้มคำนับไม่หยัดกาย
ครึ่งครู่ให้หลัง พี่สาวตัวน้อยถอนหายใจอีกครั้ง ดวงตาปรากฏแววเวทนา นางไม่ได้เอ่ยโน้มน้าวต่อ แต่กลับแหงนหน้ามองฝ่ามือขนาดไพศาลเบื้องหน้าตนเอง ในเวลาเดียวกันก็สะบัดแขนเสื้อ สมุดแห่งชะตาลอยเข้ามาอยู่เบื้องหน้าของนาง
ในยามนี้ ตัวสมุดแห่งชะตานั่นสั่นสะท้านรุนแรง เผยให้เห็นคลื่นอารมณ์ตื่นเต้น ส่วนพี่สาวตัวน้อยยกมือขึ้นแล้วค่อยๆ ลูบมันแผ่วเบา
“ไม่เจอกันนาน”
สมุดแห่งชะตาส่งเสียงร้องดัง แสงอร่ามในยามนั้นพลันระเบิดออกมา พลันมีพู่กันด้ามหนึ่ง ปรากฏตัวออกจากภายในสมุดแห่งชะตานี้ลอยเข้าสู่มือของพี่สาวตัวน้อย
พู่กันด้ามนี้ เป็นพู่ก่อนที่ถูกบ่มเพาะมาก่อน ประมุขกฎสวรรค์ใช้มันไม่ได้ ทั้งโลกแห่งศิลานี้ มีเพียงพี่สาวตัวน้อยเพียงคนเดียวซึ่งเรียกพู่กันด้ามนี้ออกมาได้ เหตุเพราะนอกจากมันจะแฝงถึงพลังจำกัดแห่งการบ่มเพาะแล้ว ยังแฝงด้วยตราประทับของบิดา
“ในจักรวาลโลกแห่งศิลา ข้าไม่มีความสามารถช่วยเจ้าได้มาก แต่ว่าเรื่องเล็กน้อยตรงนี้ข้าสามารถทำได้ ในเมื่อเจ้าขอร้อง…ข้าช่วยเจ้าก็พอแล้ว” พี่สาวตัวน้อยเอ่ย สีหน้าเผยแววตาจริงจัง นางค่อยๆ ยกมือข้างที่ถือพู่กันนั้นชี้มายังหวังเป่าเล่อแล้วตวัดเบาๆ คราหนึ่ง
การตวัดนี้ ในพริบตานั้นพลังปราณบนร่างหวังเป่าเล่อพลันเผยระลอกอันดุดันออกมา ในพริบตานั้นระลอกคลื่นนี้ก็พลันหมุนเปลี่ยนรวดเร็ว ทั้งหมดภายในเวลาไม่ถึงชั่วพริบตาดี ร่างของหวังเป่าเล่อนั้นก็พลันปรากฏซึ่ง…ปราณของเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืด กระทั่งว่ากระแสพลังแห่งชีวิตของเขาเปลี่ยน มองไปแล้วที่แท้เหมือนกับเฉินชิงจื่อ ทุกประการ!
แฝงไปด้วยบัญชาแห่งสำนักแห่งความมืด พร้อมพรั่งหลอมรวมเต๋าสวรรค์ แล้วยังมีหน้าที่ที่ได้รับสืบทอด
จัดการเรื่องทั้งหมดนี้เสร็จ สีหน้าของพี่สาวตัวน้อยซีดขาวไม่น้อย แต่ผลลัพธ์กลับน่าตกใจอย่างมาก ในระหว่างที่หวังเป่าเล่อในใจแอบตื่นตะลึงนั้น ฝ่ามืออันยักษ์ใหญ่เบื้องหน้าของตนเห็นได้ชัดว่าภายใต้การสั่นสะท้านนี้ ราวกับลังเล แต่ในหลายเจ็ดแปดอึดใจให้หลัง มันก็ค่อยๆ จางหายไปจากเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อและหวังอีอี เผยให้ประตูศิลาเก่าแก่โบราณผืนนั้น…ที่อยู่ด้านหลัง!
“ขอบคุณนะ” หวังเป่าเล่อมองดูพี่สาวตัวน้อยที่สีหน้าซีดขาว ในใจของเขารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เอ่ยปากเสียงเบา
“อีกสักครู่ค่อยขอบคุณเถอะ” พี่สาวตัวน้อยยิ้มแย้ม นางมองดูประตูศิลาเช่นกัน สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นเรื่อยๆ ยกมือที่ถือพู่กันขึ้นช้าๆ ในครานี้ ร่างของนางเริ่มสั่นสะท้าน เห็นได้ชัดว่ากำลังจะลงมือตวัดซึ่งกินแรงคราหนึ่ง
การตวัดคราหนึ่ง ประตูศิลาพลันส่งเสียงร้องรุนแรงออกมา พู่กันในมือของพี่สาวตัวน้อยนี้ ถึงกับแหลกสลายอย่างรับไม่อยู่ มันกลายเป็นลำแสงอีกครั้งย้อนกลับเข้าสู่สมุดแห่งชะตา
สมุดเล่มนี้ เริ่มมีแสงหม่นทึมอย่างรวดเร็ว ส่วนพี่สาวตัวน้อยตรงนั้นยามนี้ร่างสั่นเอน สีหน้ายิ่งซีดขาวกว่าเก่า ถูกหวังเป่าเล่อประคองเอาไว้ แต่ว่าพี่สาวตัวน้อยรีบเอ่ยปากทันที
“มีเวลาแค่ชั่วอึดใจเดียว!”ในเวลาที่นางเอ่ยออกมานั้น แผ่นศิลาที่สั่นสะท้านเสียงดัง ก็ค่อยๆ เผยให้เห็นถึงรอยแยกนั้น รอยแยกนี้จะคงอยู่เพียงแค่ชั่วลมหายใจเดียว แล้วปิดลงอีกครั้ง!
หนึ่งลมหายใจแม้จะสั้น แต่ก็เพียงพอที่กระแสจิตของหวังเป่าเล่อจะเข้าสู่รอยแยกแล้ว เขามองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกภายนอก เขามองเห็นว่าในความว่างเปล่าไม่รู้สิ้นด้านนอกนั้น ตะขาบตัวยักษ์เงาร่างสะท้านใจคนสีโลหิตกำลังรัดพันเฉินชิงจื่อ คล้ายกับจะดูดกลืน!!
ส่วนเฉินชิงจื่อสีหน้าซีดขาว ราวกับว่าสิ้นสติไปแล้ว!
แต่…ในพริบตาที่หวังเป่าเล่อส่งกระแสจิตออกไปนั้น ตะขาบตัวนั้นเหมือนถูกชักนำมันพลันหันศรีษะมามองทันที ทำให้พลังที่สะกดเฉินชิงจื่อเอาไว้นี้ผ่อนคลายลง และเปลือกตาของเฉินชิงจื่อในยามนี้สั่นสะท้านรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกัน ในชั่วแล่นลมหายใจนี้ก็เพียงพอที่หวังเป่าเล่อจะโยนของออกไปชิ้นหนึ่ง และในตอนที่กระแสจิตเทพนี้แผ่ขยายออกไปก็ได้กลายเป็นพลังเทพกระแสหนึ่งก่อนจะถูกตัดขาด!
ของชิ้นนี้…ก็คือม้วนภาพดาราจันทร์ที่ต้นตระกูลดาราจันทร์มอบให้ ส่วนวิชาเทพที่ว่ากลับเป็น…คืนพินาศ!
ผลลัพธ์เป็นเช่นไร ทั้งหมดไม่มีทางทราบ เพราะรอยแยกของแผ่นศิลานี้ในยามนี้พลันปิดลงอีกครั้ง แต่ในพริบตาที่ปิดลงนั้น..หวังเป่าเล่อพลันสัมผัสได้เลาๆ ไม่รู้ว่าสังหรณ์พลาดไปหรือไม่ ราวกับมองเห็นว่าเฉินชิงจื่อที่ถูกตัวตะขาบรัดพันดูดกลืนอยู่นั้น แผ่นตาสั่นสะท้านเล็กๆ แล้วพลันเบิกตาขึ้น!
ในเวลาเดียวกัน ยังมีเงาร่างหนึ่งบนนาวาอันโดดเดี่ยวซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่นอกโลกแห่งศิลา ในพริบตานี้พลันลืมตาขึ้น
“อีอี…”
……
สิ่งที่ผู้อาวุโสเซี่ยกล่าวนั้นถูกต้อง จริงๆ แล้วไม่เพียงแค่เขา ไม่ว่าจะเป็นประมุขกฎสวรรค์ หรือว่าผู้อาวุโสสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ หรือว่าต้นตระกูลของสำนักดาราจันทร์ท่านนั้น ล้วนเดาเหตุสัมพันธ์ออกตั้งแต่ที่หวังเป่าเล่อมาแล้ว
หากจะกล่าวว่าในบรรดาผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหมดในโลกแห่งศิลาทุกท่านกังวลเรื่องผลการศึกล่ะก็ หวังเป่าเล่อย่อมเป็นผู้ที่กังวลมากที่สุด
สรรพชีวิตสามารถรอคอยผลการต่อสู้นี้ได้ ผู้เยี่ยมยุทธ์แต่ละท่านสามารถเฝ้ารออย่างเงียบๆ ได้ แต่หลายขวบปีที่หวังเป่าเล่อเฝ้ารอนั้น ความกังวลในใจของเขายิ่งมาก็ยิ่งทวี เขามิอาจรอได้อีก
เขาอยากใช้ความสามารถทั้งหมดที่ตนมี ทดลองดูอีกครั้ง ไปดูความคืบหน้าของสงครามในครั้งนี้ด้วยตาตัวเอง
แต่หวังเป่าเล่อเข้าใจดี อาศัยพลังฝึกปรือของตนในยามนี้ ต่อให้อยู่ในระดับสูงสุดของจักรพิภพขั้นกลางแล้ว หรือความสามารถในการต่อสู้เทียบเท่าระดับจักรวาลขั้นกลางชั้นสูงสุดก็ตาม หรือต่อให้แข็งแกร่งกว่านี้สักนิด ทว่าเมื่อเทียบกับเฉินชิงจื่อแล้วยังคงมีระยะห่างค่อนข้างมาก
เฉินชิงจื่อที่หลอมรวมเต๋าสวรรค์แล้ว ได้เข้าไปอยู่ในระดับที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ดังนั้นแล้ว…เมื่อทราบถึงพลังของตัวเองดีแล้ว หวังเป่าเล่อจึงไปหาทุกคนเพื่อขอยืมสมบัติล้ำค่าของพวกเขา
กระบี่สำริดโบราณ ประกายคมกริบบุกสังหาร สามารถตัดผ่านความว่างเปล่าได้!
กระบองเจ็ดวิญญาณ พลังทำลายสะท้านดารา บดขยี้สิ่งกีดขวางเป็นผุยผง!
สมุดแห่งชะตา แฝงด้วยวิชาแห่งเวลา ควบคุมความทรงจำจักรวาล สยบทุกกระแสจิต!
ภาพวาดดาราจันทร์ เร้นลับเป็นที่ยิ่ง หวังเป่าเล่อไม่ได้เปิดออกดู แต่อาศัยจากสัมผัสนั้น เขารู้สึกได้ว่าม้วนภาพวาดนี้ผนึกกลิ่นปราณสะท้านฟ้า ในเวลาที่สำคัญสามารถผนึกได้ทุกสิ่ง!
ธูปตระกูลเซี่ย แฝงไปด้วยโชคแห่งความรุ่งโรจน์ ก็เหมือนกับการผงาดขึ้นของตระกูลเซี่ย ก็เหมือนกับที่ในยามนี้ ตระกูลเซี่ยยังคงไร้ความเสียหายดุจเก่า กระแสแห่งโชคแผ่ซ่านทั่วอาณาเขต สิ่งนี้มีความสำคัญอย่างมาก!
เมื่อมีสมบัติทั้งห้าที่เปรียบเสมือนสมบัติล้ำค่าที่สุดในโลกศิลาปัจจุบันนี้แล้ว หวังเป่าเล่อค่อยมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นแล้วโดยที่ไม่ลังเลสักนิด เขาก็พุ่งตัวไปยังสุดเขตของจักรวาลด้วยเสียงอันดัง
แต่แม้จะอยากไปยังตรงสุดเขตของจักรวาลก็ตาม เขาก็ไม่อาจกระทำได้โดยอาศัยมิติชั้นนี้ ก็เหมือนคราแรกที่ตามหาจื่อเย่ว์ สถานที่ที่ไป จริงๆ แล้วไม่ว่าจะระดับชั้นใด ก็ล้วนแต่เป็นสุดเขตแล้ว
แต่ว่าสถานที่นั้น…เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ที่ที่หวังเป่าเล่อมุ่งจะไปในครานี้ ที่ที่เขาคิดจะไปไม่ใช่สุดเขตจักรวาลตามความหมายปรกติ แต่คือสถานที่ว่างเปล่าซึ่งถูกทำลายไปแล้ว
เมื่อพกพาความคิดนี้ หวังเป่าเล่อก็ทวีความเร็วขึ้น แม้ว่าสำหรับลำแสงที่สาดส่องไปทั่วจักรวาล คลื่นทะเลลำแสงเหล่านี้จะกระทบสรรพสิ่งทั้งหมด ทำให้เหล่าสิ่งที่มีวิญญาณทั้งหลายไม่อาจเดินทางข้ามอวกาศได้ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว แม้จะมีอุปสรรคเช่นกัน แต่หลังจากเคลื่อนกระแสปราณแล้ว ความเร็วของเขาก็ระเบิดออกอย่างน่าอัศจรรย์ ในชั่วแล่นลมหายใจนั้นเขาก็มาถึงสุดเขตแดนเก่า หลังจากข้ามผ่านตรงนั้นไปแล้วก็คือเขตดวงดาราแตกสลาย เผยให้เห็นความว่างเปล่าด้านหลัง
และโดยไม่มีความลังเลแม้เล็กน้อย ในพริบตานั้นหวังเป่าเล่อกระโจนเข้าสู่ความว่างเปล่า เพียงแต่ว่าเขาสัมผัสได้เลาๆ ว่า ความว่างเปล่าในที่นี้ คล้ายมิได้มีอยู่จริง เพราะบรรดาผู้ที่เข้ามาอยู่ในเขตว่างเปล่าและทำได้ถึงขนาดนี้ สิ่งที่จำกัดพวกเขานั้นมิได้มีมากนัก
จริงๆ แล้วหากผู้ฝึกตนระดับจักรวาลผู้ใดลงมือ ก็สามารถฉีกมวลดาราออกแล้วเข้าสู่ความว่างเปล่าที่ใดก็ได้ ในส่วนของผู้ฝึกตนระดับจักรพิภพ ล้วนทำได้เช่นกัน
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าความว่างเปล่าใต้จักรวาลนี้ มิใช่เขตสิ้นสุด
“ความว่างเปล่าใต้อวกาศ น่าจะมีหลายชั้น…” หวังเป่าเล่อหรี่คา ความทรงจำยามที่เขามองเฉินชิงจื่อจากไปเมื่อหลายปีก่อนหน้าหวนระลึกขึ้นมา ในยามนั้นวิธีการที่เฉินชิงจื่อใช้ แม้ว่าเขาจะมองไม่เข้าใจทั้งหมดแต่เขาก็สามารถมองออกถึงเส้นสายปลายเหตุได้ น่าจะเป็นการใช้พลังชีวิตของตนบวกกับพลังของเต๋าสวรรค์ หลอมรวมกับพลังบัญชาที่ได้รับสืบทอดเฉพาะตน จากนั้นก้าวเข้าสู่มิติบุกเข้าซากแห่งความว่างเปล่าแท้จริงไป
หวังเป่าเล่อทำไม่ได้ถึงขนาดนั้น ดังนั้นสิ่งที่เขาทำได้จึงมีเพียงแค่ยืมพลังหมาน ในยามนี้เขาเคลื่อนกระแสจิต ในพริบตานั้นกระบี่สำริดโบราณพลันปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา ประกายอันคมปลาบของมันพลันปะทุขึ้นมา แล้วฟาดไปยังเบื้องหน้ารุนแรง
การฟันลงครั้งนี้ ความว่างเปล่าสั่นหมุน รอยแยกขนาดใหญ่ที่เหมือนฟันผ่าผิวทะเลได้บังเกิดขึ้นเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ เขาขยับกายแล้วพุ่งเข้าไป
ยิ่งมาก็ยิ่งเพิ่มความเร็ว ไม่รู้ว่าพุ่งผ่านมาแล้วกี่ชั้น เพียงแต่ว่าเมื่อหันมองไปรอบกายแล้ว ก็ยังคงเป็นความว่างเปล่า
“ยังไม่พอ…” ในใจหวังเป่าเล่อพึมพำ เขาโบกกระบองเขี้ยวหมาป่าของสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ ในพริบตาก็หลอมรวมก่อเกิดเป็นเสียงอสูรคำรามขนาดยักษ์ ในชั่วพริบตากระบองนี้สาดแสงโชติช่วง พุ่งไปยังความว่างเปล่าสยบทุกสิ่ง
การใช้พลังสยบนี้ทำให้ความว่างเปล่าส่งสัญญาณเหมือนจะพังทลาย เมื่อรวมเข้ากับกระบี่สำริดโบราณ ในชั่วกระพริบตาก็กระจายไปทั่วเขตว่างเปล่านี้ หวังเป่าเล่อยิ่งทวีความเร็ว รีบเร่งไปตลอดทาง ในความว่างเปล่าที่เหมือนหมอกอันไร้ทิศนี้ ไม่รู้ว่าเขาวิ่งผ่านมานานกี่ชั้นหลังจากนั้น หวังเป่าเล่อถึงค่อยหยิบเอาธูปแห่งโชคของต้นตระกูลเซี่ยออกมา
ธูปนี้ยังคงติดไฟ ทำให้เกิดกระแสพลังแห่งโชคที่มองไม่เห็น ไหลเข้ามารวมตัวกันจนก่อเกิดกายภาพ ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นหอกยาวสีม่วงเล่มหนึ่งแล้วพุ่งทะยานแหวกความว่างเปล่าไป
ในชั่วกระพริบตา สัญญาณการพังภินท์ของความว่างเปล่าเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากสามสมบัติล้ำค่าผลัดกันออกมาเช่นนี้ หวังเป่าเล่อเองก็พยายามพุ่งไปข้างหน้าไม่หยุด เวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่านไปเช่นนี้
ชั่วพริบตา…ก็ผ่านไปอีกสองปี!
สำหรับเฉินชิงจื่อ ใช้เพียงก้าวเดียวก็สามารถเข้าสู่ทะเลรวมกระแสจิตของเหล่าสรรพชีวิตได้ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว เขาทำไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่อาศัยมหาสมบัติทั้งสามชิ้น และในวันหนึ่งเมื่อเวลาผ่านไปกว่าสองปี หลังจากเสียงอันดังครั่นคร้ามสะท้านแปดทิศ ในความว่างเปล่าที่ไม่รู้หนาสักเท่าใดนี้ ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็ฝ่าออกมาได้!
ในพริบตาถัดมา หวังเป่าเล่อก็เหยียบย่างไปยัง…เขตสุดแดนของจักรวาล ซึ่งเป็นเขตความว่างเปล่าที่แท้จริงในโลกแห่งศิลา เมื่อมองออกไป รอบด้านล้วนไม่มีอะไรเลย มีเพียงความมืดมิด แต่หวังเป่าเล่อราวกับสามารถสัมผัสถึงความทรงจำของสรรพสัตว์ได้
กระทั่งเขาไม่จำเป็นต้องเหลือบมองด้วยซ้ำ แทบจะในชั่วพริบตาที่หวังเป่าเล่อก้าวเข้าสู่ที่นี่ ราวกับว่าความทรงจำและข้อมูลมากมายไร้ที่สิ้นนั้น ต่างพากันหลั่งไหลเข้ามาจากรอบด้านท่วมฟ้ามิดดิน ราวกับจะพลิกภูเขาคว่ำทะเล ราวกับการมาของหวังเป่าเล่อก่อให้เกิดวังวนหนึ่ง ไม่ว่าเขาจะสมัครใจหรือไม่ เหล่าความทรงจำไม่รู้สิ้นที่เบียดแน่นสถานที่นี้ก็จะพยายามดึงดันไหลเข้ามาหาเขา
และในพริบตาที่ถูกความทรงจำพุ่งชนนั้น แม้ว่าพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อไม่ธรรมดา แต่ก็ยังได้เหมือนถูกโจมตีอย่างรุนแรงยิ่ง กระทั่งว่าเกือบจะทำให้ดวงวิญญาณเทพของตัวเขาเองนั้นแหลกสลาย
พูดได้ว่าไม่เพียงแค่หวังเป่าเล่อที่เป็นเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นตัวคนอื่นๆ นั้นก็เป็นเช่นเดียวกัน ทั้งโลกศิลานี้…มีเพียงเฉินชิงจื่อ เนื่องจากเพราะเข้าสู่อีกระดับชั้นไปแล้วถึงได้อยู่ที่นี่ได้อย่างไร้อุปสรรค
โดยเฉพาะ…นี่คือสิ่งที่หลัวทิ้งเอาไว้ เป็นสถานที่ผนึกเต๋าสุดท้าย!
ทว่าหวังเป่าเล่อเองก็เตรียมตัวมาอย่างเต็มที่ เกือบจะในพริบตาที่ความทรงจำนั้นหลั่งไหลเข้ามา เขาก็เริ่มผนึกกระแสจิตเทพของตนเอง อีกทั้งยังหยิบสมุดแห่งชะตาออกมา!
สิ่งแรกไม่ค่อยมีประโยชน์นัก แต่ว่าสิ่งหลังนั้น…ดูจะมีผลอันน่าอัศจรรย์ที่นี่ เกือบจะในพริบตาที่มันโผล่ออกมานั้น ก็ทำหน้าที่ดูดกลืนความทรงจำสรรพสัตว์ในความว่างเปล่านี้แทนหวังเป่าเล่อ
สมุดแห่งชะตา เดิมก็มีเพื่อบันทึกทุกสิ่ง ดังนั้นแล้วในยามนี้ต่อให้รับหน้าที่ดูดซับแทนทั้งหมดแม้ตัวเล่มจะสั่นสะท้านไม่หยุด ทว่ามันยังคงส่องแสงสว่างไสวเหมือนปรกติทุกประการ
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาถือสมุดแห่งชะตาเดินไปด้านหน้าอย่างช้าๆ เพราะการมีอยู่ของสมุดแห่งชะตา ดังนั้นจึงไม่ปรากฏภาพใดๆ ขึ้นใต้เท้าของเขา แต่หลังจากเดินไปได้เก้าก้าวนั้น…เขาก็มองเห็น…ในความว่างเปล่าด้านหน้า พลันปรากฎบานประตูหินที่ลักษณ์โบราณคร่ำครึขนาดยักษ์บานหนึ่ง!
ประตูหินบานนี้ปิดอยู่ ไม่มีที่ผลักเปิด ดังนั้นแล้วจึงมองไม่เห็นว่าด้านหลังของประตูหินนี้มีสิ่งใด แต่ในพริบตาที่มองเห็นประตูหินนี้ ในสมองของหวังเป่าเล่อพลันปรากฏแรงสั่นสะเทือนรุนแรง ในพริบตานั้นราวกับจะกระจ่าง เขาพลันเข้าใจทันทีว่า…
“ด้านหลังประตูหิน คงจะเป็นสถานที่ที่ศิษย์พี่ต่อสู้อยู่!”
“ส่วนคู่ต่อสู้ของศิษย์พี่…” ในระหว่างที่สมองของหวังเป่าเลิกพลิกค้นอยู่นั้น พลันสมองของเขาคิดไปถึงภาพการปรากฎตัวของตะขาบตัวหนึ่งโอบล้อมบนแผ่นศิลาซึ่งเขาได้พบเมื่อครั้นเดินออกจากโลกแห่งศิลานี้บนดาวชะตา!!
ท่ามกลางความเงียบ ดวงตาหวังเป่าเล่อทอประกาย กำลังคิดจะก้าวออกไป แต่ในยามนี้…กระแสจิตเทพขนาดไพศาล พลันพัดบ่าเข้ามายังเบื้องหน้าราวพายุคลั่ง พลังรุนแรงพัดเข้ามา
“หยุด!”
หลังจากกระแสจิตนี้สะท้อนไปมา ฝ่ามือขนาดยักษ์อย่างไร้ที่สิ้น ราวกับว่าจะครอบคลุมไปทั่วทั้งผืนความว่างเปล่าก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ นั่นคือ…มือของหลัว
……………………
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากตัวตะขาบ สีหน้าของเฉินชิงจื่อยังคงเรียบนิ่งขณะที่เดินมาข้างประตู อาศัยพลังฝึกปรือในยามนี้ของเขาสามารถรู้ได้ว่าด้านนอกรอยแยกแห่งความว่างเปล่า มีเรือพายอยู่ลำหนึ่ง และมีเงาร่างสูงศักดิ์นั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น
เงาร่างนี้ดุจทะเล แผ่ขยายไพศาลไร้ขอบเขต เสียดายแต่ว่าท่วงท่านี้แข็งแกร่งเกินไปจนเป็นเหตุที่ไม่อาจเข้าใกล้ และครั้นล่วงล้ำเข้าไปในรอยแยกทั้งร่าง เกรงว่าทั้งโลกศิลานี้ จะพลันแตกเป็นสี่ห้าส่วน แหลกสลายไปในพริบตา
แล้วยังมีสายตานับไม่ถ้วนจากสถานที่ห่างไกลในหมู่ดารานั้นยังคงจ้องมาอยู่ สำหรับสายตาพวกนี้นั้น เฉินชิงจื่อไม่เห็นความสำคัญ ในบรรดานั้นสายหนึ่ง…ยังแฝงด้วยความรู้สึกสับสน ส่งผลให้เกิดระลอกคลื่นภายในกายของเฉินชิงจื่อด้วย เขาเข้าใจดี เกรงว่า…นี่ก็คือหลัวตนใหม่..ซึ่งตะขาบอันก่อเกิดจากกระแสจิตมหาเทพได้เอ่ยเอาไว้
แต่นี่ก็ยังไม่สำคัญ
กระแสจิตมหาเทพนั้นเห็นได้ชัดว่ารออยู่ตรงนี้มานานเกินไปแล้ว ดังนั้นจึงพูดจาตั้งมากมายที่นี่ หรือสำหรับกระแสจิตของมหาเทพแล้วเรื่องราวพวกนี้ไม่ได้เป็นความลับอะไร ทว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตม นับได้ว่าได้แก้ปัญหาข้อมูลสำคัญที่ขาดไปสำหรับการสืบทอดของเฉินชิงจื่อพอดี
แผนของบุตรไม่รู้สิ้น ก่อนหน้านี้เขาเดาได้แล้ว ในยามนี้เมื่อมองไป ก็ไม่ได้แตกต่างจากที่ตนคิดมากนัก ทั้งหมดเป็นพวกมันจงใจแพ้เพื่อให้ตนเองหลอมรวม หลังจากนั้นก็จะใช้พลังของตนเองในโลกนี้ออกจากโลกแห่งศิลา และนำดวงจิตเทพร่างต้นที่อยู่เบื้องหน้าตนตรงนี้เข้ามาเช่นกัน
“แต่ว่านี่…ก็ถือว่าเป็นแผนของข้า เจ้าและข้าล้วนใช้ประโยชน์ไปมา แต่ข้า…กลับยืมพลังของเจ้าจนได้สมความปรารถนาสุดท้ายแล้ว” ในใจเฉินชิงจื่อพึมพำ ดวงตาฉายประกายหม่นทึมคราหนึ่งก่อนจะขยับร่างแล้วก้าวเท้า…ออกจากประตูศิลา!
ในพริบตาที่ก้าวเท้าออกไปนั้น ประตูศิลาก็ปิดลงอีกครั้ง!
ส่วนความว่างเปล่านอกประตูนั้น ในยามนี้มีเสียงดังสะท้านฟ้าดุดันกังวานขึ้น มหาศึกที่ยิ่งใหญ่ระดับภพ ได้เปิดฉากขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ท่ามกลางสายตาจำนวนมากที่จับจ้อง!
การศึกครั้งนี้ คนในโลกแห่งศิลาไม่มีใครได้เห็น มีเพียง…เจ้าของดวงตาที่จับจ้องจำนวนมากจากนอกภพเท่านั้น ถึงจะได้ทราบรายละเอียดของการต่อสู้นี้
แม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่หวังเป่าเล่อก็พอสัมผัสได้ จริงๆ แล้วไม่ได้มีเพียงแค่เขาเท่านั้น พูดได้ว่าทุกสรรพชีวิตในโลกแห่งศิลาล้วนแต่สัมผัสได้ เพราะว่า…ในโลกแห่งศิลา ไม่ว่าจะเป็นในศูนย์กลางหรือสำนักเต๋าฝ่ายซ้าย สำนักเสริม ในหมู่ท้องดาราในยามนี้ล้วนแต่เกิดกระแสกระเพื่อมรุนแรง
กระแสคลื่นนี้สะท้อนกลับไปมา กลายเป็นลำแสง สำแสงหลากสีเหล่านั้นกระแทกชนกันในอวกาศ แต่กลับไม่ก่อให้เกิดเสียงใดๆ เว้นเสียแต่จะยกระดับเป็นผู้ฝึกตนจักรพิภพเสียก่อน ไม่เช่นนั้น เหล่าผู้ฝึกตนระดับต่ำกว่าจักรพิภพก็ไม่กล้าเหยียบย่างเข้าอวกาศ
เพราะครั้นเมื่อเข้าไป ท่ามกลางแสงที่แผ่ขยายไปทั่วนี้ ก็จะตายหรือแตกดับได้ในพริบตา
มีเพียงผู้ฝึกตนจักรพิภพที่พอจะฝืนข้ามผ่านหมู่ดาราได้ในระยะสั้นๆ มีเพียงในระดับจักรวาลที่พอจะบรรเทากระแสคลื่นนี้บ้าง แต่ก็ไม่อาจจะข้ามผ่านได้ในพริบตาเหมือนแต่ก่อนแล้ว
ทั้งโลกแห่งศิลา เหมือนตกอยู่ในสภาวะถูกผนึกระดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับความงงงวยของผู้ฝึกตนระดับล่างและทั่วไปนั้น มีเพียงผู้ฝึกตนซึ่งมีระดับสูงประมาณหนึ่งถึงได้เข้าใจสาเหตุทั้งหมดที่เกิดขึ้นนี้
“ศิษย์พี่…” หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนดาวอังคารแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มองไปยังคลื่นแสงจำนวนนับไม่ถ้วนนั้น สุดท้ายแล้วจึงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหลับตา เริ่มต้นหลอมรวมเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าปฐพีต่อไป
เวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่านไปเช่นนี้
เวลาสิบปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว กำหนดเวลานัดของหวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสสำนักดาราจันทร์ บัดนี้เหลือเพียงเก้าปีเท่านั้น
แสงแห่งมวลดารายังคงส่งระลอกคลื่นออกมาเหมือนเก่าแถมยังรุนแรงขึ้น นี่สร้างแรงกดดันชนิดที่เหล่าผู้ฝึกตนระดับจักรพิภพเองก็ไม่อาจข้ามผ่านดาวเคราะห์ได้ ความรู้สึกที่เหมือนฟ้าดินจะทะลาย เริ่มปรากฏออกมาเป็นครั้งแรก พาให้ในใจของทุกคนนั้นรู้สึกหม่นเศร้า
ในเวลาเดียวกันกฎและเกณฑ์แห่งเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดก็เริ่มอ่อนพลังลง ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อไม่สบายใจอย่างมาก แต่ว่าก็ไม่ได้มีอาการนี้เนิ่นนานนัก ความรู้สึกกดดันทั้งหลายเริ่มหายไป ส่วนพลังเต๋าสวรรค์ค่อยฟื้นคืนดังเดิม
ส่วนลำแสงที่เหลืออยู่เพียงสิ่งเดียวนั้นกลับเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ราวกับว่าท้องฟ้ากลายเป็นทะเลลำแสง ลำแสงเหล่านั้นยังคงผลัดกันพุ่งชนกลืนกิน ทำลายล้างทุกสิ่ง
และในเวลานี้เอง ผู้ที่สามารถเดินไปมาในอวกาศได้ ในทั้งโลกแห่งศิลานี้ มีเพียงระดับจักรวาลเท่านั้น ส่วนที่ผู้พลังเตรียมจะก้าวเข้าสู่ระดับจักรวาลนั้น ก็ยังพอจะฝืนเดินทางเป็นระยะสั้นๆ ฝ่าอวกาศได้
ความกังวลใจของหวังเป่าเล่อไม่ได้ลดลงแม้ว่าความรู้สึกหดหู่จะหายไปหรือกฎและเกณฑ์ทั้งหลายจะฟื้นคืน กลับกันมันรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นหลังผ่านไปอีกสามปี เมื่อเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าดินนี้เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง แม้ว่าร่างต้นของเขายังรักษาสภาพหลอมรวมเอาไว้ แต่ร่างเสมือนนั้นกลับไปจากระบบสุริยะแล้วมุ่งไปยังดาวชะตา
ก่อนออกเดินทาง หวังเป่าเล่อก็หยิบเอา…กระบี่สำริดโบราณไปด้วย!
หลังมาถึงดาวชะตาแล้ว หวังเป่าเล่อก็มายังบริเวณที่ประมุขกฎสวรรค์เคยนั่งขัดสมาธิอยู่ ในที่นี้เขาก็ได้พบกับวานรเฒ่าอีกครั้ง
“เจ้ามาแล้ว” วานรเฒ่านั่งอยู่หน้าสมุดชะตา เขาลืมตาขึ้นเอ่ยเสียงแหบพร่า
“ผู้อาวุโส ข้าคิดจะยืมหนังสือนี้สักครั้ง” หวังเป่าเล่อกำหมัดคำนับ
วานรเฒ่านิ่งเงียบ นานครึ่งครู่เขาจึงโบกมือ จากนั้นสมุดแห่งชะตาด้านหลังของตนก็ลอยขึ้นมาหาหวังเป่าเล่อ หลังจากหวังเป่าเล่อใช้สองมือประคองรับแล้ว เขาก็โค้งคำนับอีกครั้งหันกายจากไป
เมื่อเดินทางออกจากเขตพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้าย เข้าสู่สำนักเสริมพริบตานั้นเอง เขาก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่พุ่งมาจากดินแดนไม่รู้จัก มาจากใจกลางจักรพิภพสำนักเสริม เขาทราบดีว่า ที่นั่นคือสำนักดาราจันทร์ เวลาตามที่สัญญายังมีอีกหกปี การไปเยี่ยมเยียนก่อนนั้นไร้ความหมาย แต่ว่าหวังเป่าเล่อยังคงตรงมาที่นี่ เขากำหมัดคำนับให้จากระยะไกล
“ผู้อาวุโสดาราจันทร์ หวังโหม่วอยากขอยืมสมบัติล้ำค่าของสำนักท่านหนึ่งครา!”
หลังกระแสจิตส่งออกไปไม่นาน ลำแสงพิสุทธิ์ลอยออกมาจากสำนักดาราจันทร์มุ่งมายังหวังเป่าเล่อ สุดท้ายเมื่ออยู่เบื้องหน้าของเขาก็กลายเป็นม้วนกระดาษหนึ่ง
เขาไม่ได้เปิดมันออก เหตุเพราะปราณที่ม้วนกระดาษนี้แผ่ออกมาอยู่ในระดับที่สั่นคลอนเขาได้ ดังนั้นแล้วหวังเป่าเล่อจึงหยิบม้วนกระดาษขึ้นมาคำนับหันกายจากไป หลังจากนั้นก็ไปยังสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ เพื่อพบกับผู้อาวุโสเจ็ดวิญญาณ
หลายวันให้หลังที่หวังเป่าเล่อจากมานั้น ด้านข้างเขามีกระบองเขี้ยวหมาป่าขนาดยักษ์เพิ่มขึ้นมาหนึ่งอัน สิ่งนี้คือ…อาวุธสงครามประจำกายของผู้อาวุโสสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ พละกำลังองอาจครั่นคร้าม โดยเฉพาะหลังจากที่ผู้อาวุโสสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณได้ทำการหลอมยกระดับมันขึ้นใหม่ ตอนนี้ระดับพลังของมันถึงขั้นน่าสะท้านยำเกรง
หลังจากได้สมบัติล้ำค่าพวกนี้แล้ว หวังเป่าเล่อก็ไปจากจักรพิภพเต๋าสำนักเสริม ในครานี้ มันกลับไปอีกใจกลางจักรพิภพไม่รู้สิ้นอีกครั้ง ไปยัง…สถานที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน ตระกูลเซี่ย
เกือบจะในเวลากับที่เขามายังดาวต้นกำเนิดตระกูลเซี่ย ในหมู่ดารานอกดาวต้นกำเนิดนั้น ต้นตระกูลเซี่ยผู้สวมชุดสีเขียวกำลังรออยู่ตรงนั้น ด้านข้างของเขายังตามติดด้วย…เซี่ยไห่หยาง
ด้วยการสนับสนุนของต้นตระกูลเซี่ย เซี่ยไห่หยางสามารถเข้าสู่ดาวเคราะห์ได้ อีกทั้งหลังจากเห็นหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาเขาเผยประกายตาซาบซึ้ง แต่ใต้ก้นบึ้งหัวใจนั้นถอนหายใจ เขามองหวังเป่าเล่อพลางประสานหมัดคำนับต่ำคราหนึ่ง
หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน หลังตอบแทนมารยาทแล้วเขาก็หันกลับไปมองผู้อาวุโสเซี่ย
อายุนั้นไม่ตรงกับที่เขาคิดเอาไว้ ต้นตระกูลเซี่ยรายนี้ดูเผินๆ ไปแล้วอายุประมาณกลางคน หลังจากประสานสายตากับหวังเป่าเล่อแล้ว ต้นตระกูลเซี่ยพลันเอ่ยปากเสียงทุ้มต่ำ
“ข้ารู้ถึงเหตุที่สหายเต๋ามาแล้ว” เมื่อกล่าวเขาก็โบกมือ จากนั้นธูปซึ่งแผดเผาไปแล้วกว่าครึ่งดอกสีทองก็ปรากฎตัวขึ้นข้างกายเขา พุ่งไปหาหวังเป่าเล่อ
ธูปดอกนี้แผ่กลิ่นอายคุกคาม เหนือล้ำยิ่งกว่ากระบองเขี้ยวหมาป่า แม้ไม่ถึงขึ้นสมุดชะตา แต่ก็ไม่ต่างกันมากน้อย
หวังเป่าเล่อรับมาด้วยอาการสำรวม เขาประสานมือคำนับต้นตระกูลอีกครั้ง หลังจากสบสายตาเซี่ยไห่หยางและต้นตระกูลเซี่ยแล้ว เขาก็หันกายยิ่งเดินก็ยิ่งจากไปไกล
เมื่อเงาร่างของเขาหายไปจนสิ้น เซี่ยไห่หยางถอนหายใจ
“ความทรงจำเมื่อปีนั้น ราวกับเป็นคนละชาติภพ…ผู้อาวุโส การที่หวังเป่าเล่อมายืมสมบัติประจำตระกูลเรา นี่เพื่อใช้ประโยชน์อันใดกัน?”
“เขาต้องการไปยังจักรวาลอันว่างเปล่า ไปดูสักคราหนึ่ง” ต้นตระกูลเซี่ยจ้องมองท้องฟ้า ครึ่งครู่ให้หลังจึงค่อยเอ่ยปาก
…………
คำเรียกขานมหาเทพนี้ ทั้งชีวิตของเฉินชิงจื่อเข้าใจผ่านสองวิถีอันแตกต่างกัน วิถีหนึ่งมาจากบัญชาของสำนักแห่งความมืด คำบัญชาดังกล่าวมีข้อมูลจำนวนมาก หนึ่งในนั้นมีคำเรียกขาน “มหาเทพ” คำนี้อยู่ด้วย โดยเฉพาะหลังจากหลอมรวมเต๋าสวรรค์แล้ว เฉินชิงจื่อก็เข้าใจได้มากขึ้น
มหาเทพที่ว่านี้ คือผู้ปกครองที่แท้จริงของอาณาจักร
เขาได้ยินว่าดวงจิตเทพนี้แบ่งออกเป็นหนึ่งแสนส่วน แตกกระจายไปทั่วทั้งแสนจักรวาล จากนั้นกลายเป็นจักรพิภพเต๋านับแสน ในทุกเขตจักรพิภพเต๋านั้น อาณาจักรไม่รู้สิ้นได้ก่อกำเนิดขึ้นจากดวงจิตเทพที่ล่องลอยพวกนี้
ส่วนร่างก่อนในโลกแห่งศิลาเหล่านั้น…ก็คืออาณาจักรไม่รู้สิ้นที่มีอยู่มาไม่นานเท่าไหร่ พูดได้อีกอย่างว่าอาณาจักรนี้เพิ่งถือก่อกำเนิดขึ้นเท่านั้น อีกทั้งมีเพียงจักรพิภพไม่รู้สิ้นตรงนี้ ความบังเอิญทางโชคชะตากลับทำให้มันมีการเปลี่ยนแปลงและถูกรบกวนมากเกินไป
ในคราแรก การต่อสู้ระหว่างเซียนหลัวและกู่ สุดท้ายแล้วกู่หลบเร้นจนมาถึงที่นี่ ทำให้สถานที่นี้กลายเป็นเหมือนที่ซ่อนตัวของเขา แต่หลังจากนั้นเขายังคงถูกหลัวตามสังหาร จึงใช้แขนแปรสภาพเป็นผนึกก่อร่างตั้งสำนักแห่งความมืด เพื่อสืบทอดบัญชาที่ตนเองมอบหมายเอาไว้
หยุดยั้งไม่ให้เซียนจากไป ต้องถูกผนึกอยู่ที่นี่ไปทุกชาติทุกภพ
หากว่าหลัวมิได้ร่วงหล่น บางทีการเปลี่ยนผันของศิลาก็คงเป็นเช่นนี้ตลอดไป แต่เมื่อหลัวแตกดับ ทำให้บัญชาทั้งหลายกลายเป็นไม้ไร้ราก เมื่อใช้พลังมาจนบัดนี้ก็นับว่าร่วงโรยแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในโลกแห่งศิลานั้นได้เปลี่ยนผันเป็น…การถือกำเนิดใหม่ของตระกูลไม่รู้สิ้นอีกทั้งบุตรไม่รู้สิ้นก็ได้เกิดขึ้นมาจากการฟื้นคืนความทรงจำบางส่วน ในนี้นั้นยังมี…ผู้สืบทอดบัญชาของสำนักแห่งความมืด ผู้ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงและสั่นคลอนในจิตแห่งเต๋าของตน
ดังนั้นแล้ว อาจารย์ของเฉินชิงจื่อและหวังเป่าเล่อ จึงเกิดความขัดแย้งในก้นบึ้งหัวใจ
เพราะหากว่าไม่มีเฉินชิงจื่อ หรือว่าตัวหวังเป่าเล่อไม่ตื่นรู้ขึ้นมา หรือว่าตื่นรู้แต่ถูกแย่งชิงไป เช่นนั้นชะตาของโลกแห่งศิลานี้ก็คงจะเหมือนกับจักรพิภพเต๋านับแสนอื่นๆ ก็คือสุดท้ายแล้วคือตระกูลไม่รู้สิ้นเป็นผู้ถือครองความรุ่งโรจน์ ส่วนบุตรไม่รู้สิ้นในแดนเต๋านับแสนล้วนรู้แจ้ง เสมือนหนึ่งได้นิพพานก็ไม่ปาน เสมือนกลืนกินก็ไม่ปาน พวกเขากลืนกินทั้งจักรพิภเต๋า จากนั้นกลายเป็นผลแห่งเต๋าหนึ่งที่แหวกทำลายสภาวะว่างเปล่า จากนั้นย้อนคืนสู่ตัวมหาเทพ
เห็นได้ชัดว่า…อาณาจักรไม่รู้สิ้นแห่งนี้เกิดปัญหา
นี่คือข้อมูลที่เฉินชิงจื่อทราบจากเต๋าสวรรค์แห่งความมืด และสำหรับเขาแล้ววิธีการที่ทำให้ล่วงรู้ได้อีกอย่างหนึ่งนั้น กลับเป็น…การสืบทอดจากตัวเซียนเอง
การสืบทอดแห่งเซียน ไม่ได้มีแค่ส่วนหนึ่งกลับมีสองส่วน
หลังจากที่กู่หนีเข้าโลกแห่งศิลาแล้ว ทราบดีว่าหลัวย่อมหาตัวเองพบเป็นแน่ ดังนั้นแล้วในตอนที่เข้าสู่ตระกูลไม่รู้สิ้นในยามนั้น เขาตัดกระแสจิตเทพของตนเอง จากนั้นตนเองจึงกำหนดการสืบทอดแห่งเซียน แบ่งเป็นหนึ่งสว่าง หนึ่งมืด
ที่ว่าสว่างนั้นก็คือตนเอง กลายเป็นปณิธานอันแข็งกล้า
ที่มืดนั้นคือตนหนีเข้าวัฏสังสาร จากนั้นใช้ความรู้หนึ่งกลายเป็นกระแสเซียน เลือนหายไร้ลักษณ์
หลายขวบปีให้หลัง…การสืบทอดแห่งเซียนอย่างลับๆ นี้ถูกเฉินชิงจื่อล่วงรู้เข้า ดังนั้นแล้วในเวลาเพียงสั้นๆ เขาจึงแก้แค้นทำลายอาณาจักรอสรพิษดำ จนกระทั่งเข้าตาหมิงคุนจื่อ ท่ามกลางความซับซ้อนแห่งจิตเต๋านี้ หมิงคุนจื่อรับตัวเขาเป็นศิษย์
และความทรงจำแห่งการสืบทอดเซียนลับๆ นี้ เฉินชิงจื่อก็ได้ล่วงรู้เข้าท่ามกลางความทรงจำหลายทบ ระหว่างที่เขาระลึกแค้น และท่ามกลางจิตสังหารอันมึนงงภายหลังจากที่สำนักแห่งความมืดสิ้นสลายแล้ว
ในยามนั้น เขาถึงเพิ่งรู้ว่าตนเองเป็นใคร
ในยามนั้น เขาก็ได้ทราบที่มาของโลกแห่งศิลา
และเป็นในยามนั้นเอง ที่เขาได้กระจ่างว่า…สิ่งที่อาจารย์ต้องการผนึก ไม่ใช่ตนเองแต่กลับเป็น…มหาเทพ
เพราะการตื่นรู้ซึ่งการสืบทอดแห่งเซียนของเขาในที่นี้ แฝงไปด้วยความทรงจำ ในความทรงจำนั้น…หลัวและกู่ เคยไปยังจักรวาลหนึ่ง จักรวาลนั้นเคยมีนามว่า มิติแห่งเต๋าต้นกำเนิด
มิติแห่งเต๋าต้นกำเนิดดังกล่าวใหญ่โตไร้ขอบเขต ในนั้นตั้งแต่โบราณจวบจนบัดนี้ มีผู้เยี่ยมยุทธ์ถือกำเนิดทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดท่าน ทุกท่านล้วนชื่อเสียงสะท้านฟ้า แต่ละคนก่อกำเนิดพิภพของตนเอง และในบรรดาหนึ่งร้อยแปดคนนี้ มีผู้สูงศักดิ์รายหนึ่ง…กวาดล้างมิติต้นกำเนิด สยบทั้งพิภพเต๋า และถูกขนานนามว่า…มหาเทพ!
มหาเทพไร้พ่าย ข้างกายมักจะพานกแก้วไปด้วยตัวหนึ่ง ในยามนั้นได้รวมการปกครองในมิติเต๋าต้นกำเนิด หลังจากนั้นภายใต้เจตนารมณ์แห่งมหาเทพ…ได้เปลี่ยนมิติเต๋าต้นกำเนิดให้มีชื่อใหม่เป็น…จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น!
หลัวและกู่ ในยามนี้เนื่องจากโลกาต้นกำเนิดของตนเองมาถึงขีดจำกัด ล้วนค่อยๆ ทยอยกันเสาะหาสถานที่แต่ก็ถูกสยบเอาไว้ในที่นี้ หลังจากนั้นหลายปี มหาเทพวางแผนฝึกตนขั้นสุดท้าย แต่เนื่องจากเคราะห์ร้ายเจอพลังสะท้อนกลับ ตะปูไม้สีดำชิ้นหนึ่งร่วงจากนภาเข้าเจาะทะลุกลางหว่างคิ้ว ทำให้พลังฝึกตนของมหาเทพนั้นยุ่งเหยิงบ้าคลั่ง และในยามนี้เอง มิติเต๋าต้นกำเนิดที่ถูกปกครองมานานนับกาลปาวสาน จึงผ่อนคลายลง
หลัวและกู่ เหตุเพราะเต๋าที่ถือครองนั้นมิใช่อยู่ในมิติเต๋าต้นดำเนิด ดังนั้นในยามที่การปกครองหละหลวม จึงสำแดงพลังฝึกปรือทั้งหมดเพื่อหลบหนีออกจากที่นั้น แต่หลังจากหนีไปแล้ว บางทีผลการกลืนกินสะท้อนกลับของมหาเทพนั้นก่อเกิดการเปลี่ยนแปลง หรือเหตุเพราะความบังเอิญทางโชคชะตา พวกเขาทั้งสองคนได้รับการสืบทอดแห่งเซียน ดังนั้นแล้วจึงได้มีการต่อสู้ที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินนั้น!
หลังจากนั้น กู่ถูกผนึก และได้รับสืบทอดการสืบทอดแห่งเซียนส่วนใหญ่ แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็มากกว่าพลังฝึกตนของหลัว ส่วนที่ว่าเขาไปที่ใดนั้น เฉินชิงจื่อไม่ทราบ
บางทีอาจจะไปเกิดใหม่ในมิติเต๋าต้นกำเนิด หรือบางทีอาจจะกำลังต่อสู้บ้าคลั่งกับมหาเทพ เฉิงชิงจื่อไม่ทราบเช่นกัน
แต่จากการสืบทอดแห่งเซียนนี้ เขาทราบว่า…หลัวที่หลอมรวมกับการสืบทอดแห่งเซียน จะต้องหลอมสกัดสมบัติสูงส่งที่เรียกว่าโลหิตจักรวาลออกมาได้ สมบัติสูงส่งนี้…คือสิ่งจำเป็นสำหรับอีกระดับชั้นหนึ่ง
ของสิ่งนี้…หากว่าผู้อยู่ระดับเดียวกันได้ไป จะกลายเป็นยาศักดิ์สิทธิ์สำหรับรักษาอาการบาดเจ็บ
“มหาเทพ…” เฉินชิงจื่อมองไปนอกประตูศิลา เห็นเงาร่างโลหิตลอยผ่านไป ดวงตาของเขาทอประกายคมปลาบสามารถคาดเดาถึงตัวตนของอีกฝ่ายได้ทันที สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ได้รับสืบทอดมาหรือจากปราณบนร่างอีกฝ่ายในยามนี้ ได้อธิบายทุกอย่างชัดแล้ว
และเกือบจะในพริบตาที่เฉินชิงจื่อเอ่ยปาก เงาร่างโลหิตด้านนอกก็เพิ่มความไวขึ้น ในพริบตาถัดมา ลูกตาขนาดมหึมาข้างหนึ่งปรากฏอยู่นอกประตูแทบจะในทันที มันยึดครองพื้นที่ประตูศิลาเกือบทั้งหมด จากนั้นจ้องเฉินชิงจื่อในประตูศิลา
ดวงตานี้เป็นสีดำปนเหลือง แสดงอารมณ์เย็นชาและไร้ความรู้สึก อีกทั้งลูกตาดำยังมีขนาดใหญ่มาก มองจากประตูเพียงโผล่มาเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่หากยามนี้มีคนอยู่นอกประตูแล้วมองมายังความว่างเปล่านี้ จะมองเห็นตะขาบตัวขนาดมโหฬารจนน่าตื่นตะลึง ลำตัวสีโลหิตของมันมองไม่เห็นว่ายาวเท่าไหร่กันแน่กำลังม้วนขดไปมาอยู่ในความว่างเปล่านี้อย่างไร้ช่องว่าง
ร่างสีโลหิต ทำให้รู้สึกเหมือนจะแผ่ขยายไปทั่วความว่างเปล่าได้ ปราณที่มันแผ่ออกมานั้นกระจายไปทั่วทั้งแปดทิศ ในยามนี้ศรีษะของตัวตะขาบโลหิตกำลังประจันหน้ากับประตูศิลา
“เจ้ากล้าออกมาไหม?” กระแสจิตครองฟ้าครองพิภพกระจายไปทั่วทิศ และเข้าสู่ดวงวิญญาณเทพของเฉินชิงจื่อ
“หากร่างต้นของเจ้ามา ข้าอาจจะลังเลอยู่บ้าง แต่เจ้าในยามนี้…เป็นเพียงแค่กระแสจิตหนึ่งเท่านั้น…ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ทำไมข้าจะกลัวเล่า” เฉินชิงจื่อค่อยๆ เอ่ยปาก
นอกประตูศิลา ตะขาบสีโลหิตมองเฉินชิงจื่อ ครึ่งครู่ใหญ่ถึงค่อยหัวเราะออกมา
“ในเมื่อรู้จักร่างต้นของข้าผู้สูงศักดิ์ แต่ยังเลือกที่จะมา หรือว่าเมล็ดพันธ์ที่ข้าหว่านไว้ตรงนั้น ไม่อาจจะหลอมผลแห่งเต๋าที่นี่ออกมาได้…”
“ต้องพูดสักหน่อย หลัวนั้นคือผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดที่ข้าผู้สูงศักดิ์เคยพบ…เขาที่ได้รับสืบทอดพลังเซียนส่วนใหญ่ แม้จะพ่ายแพ้ให้แก่ข้า และถูกข้าชิงโลหิตจักรวาลไป แต่ว่า…เขาก็ยังหนีรอดได้ทั้งที่บาดเจ็บสาหัส น่าเสียดาย สุดท้ายเขาก็ร่วงหล่นอยู่ดี”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังทิ้งปัญหาที่ทำให้ข้าผู้สูงศักดิ์รังเกียจอยู่ดี อย่างเช่นเจ้าคนที่อยู่ข้างนอกแต่เข้ามาไม่ได้คนนั้น อย่างเช่นหลายคนที่จับจ้องที่นี่จากสถานที่ห่างไกลนั่น หรืออย่างเช่นในที่นี้…หลังข้ามาแล้วถึงค่อยทราบ ที่แท้เป็นสิ่งที่สร้างมาจากมือขวาของมัน นี่ขจัดความสงสัยของข้า เพราะเหตุใด…กระแสจิตนับแสนที่ข้าปล่อยออกไปนั้น ถึงส่งคืนผลแห่งเต๋ามาแค่เก้าหมื่นเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าผล สถานที่เดียวนี้…ที่ไม่ได้กลับมา”
“โลกทั้งเก้าแสนเก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าได้กลายเป็นผลแห่งเต๋าทิ้งสิ้น ส่วนแก่นรากเดิมภายในนั้นถูกทำลายทิ้ง โลกอันเป็นเอกเช่นนี้…ถึงกับทำให้ข้าผู้สูงศักดิ์ต้องส่งกระแสจิตหนึ่งมาสำรวจก่อนล่วงหน้าเป็นการเฉพาะ”
“ไม่น่าเชื่อว่าจะได้พบผู้ฝึกตนเช่นเจ้า ผู้สืบทอดบัญชาแห่งหลัว สืบทอดพลังเซียนส่วนนั้น หากเจ้าเติบโตต่อไป จะไม่กลายเป็นหลัวอีกคนเหรอ?”
“ผู้สูงศักดิ์ทราบอยู่แล้วว่าหลัวแม้ร่วงหล่น แต่ต้นกำเนิดดาวเคราะห์นั้นพิเศษ ทำให้มีหลัวคนใหม่กำเนิดขึ้น ในยามนี้เขาเองก็จับจ้องที่นี่อยู่ เช่นนั้นหากพวกเจ้าทั้งสองพบหน้า…จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นนะ” ตะขาบพูดเข้าพูดเข้าก็พลันเผยรอยยิ้มกว้าง
ความว่างเปล่าคืออะไร
คนมากมายล้วนรับรู้ แต่ผู้ที่มองเห็นและสัมผัสได้อย่างแท้จริงนั้นกลับมีไม่มาก
ความว่างเปล่าไม่ใช่ไม่มีอะไร แต่ก็ไม่ใช่ความพร่าเลือน ยิ่งไม่ใช่ภาพมายา
ความว่างเปล่าคือชั้นล่างสุดของอวกาศ ในแง่หนึ่งกล่าวได้ว่าเป็นชั้นกำแพงกั้น เพียงแต่กำแพงกั้นนี้ใหญ่ยิ่งนัก ถึงขนาดที่หลังจากก้าวเข้าไปแล้วล้วนมองไม่เห็นสิ่งใด
แต่มองไม่เห็นไม่ได้หมายความว่าไม่มี
สิ่งที่อยู่ที่นี่คือความทรงจำของสรรพสิ่ง สามารถเปรียบเทียบได้กับมหาสมุทรที่รวบรวมสติสัมปชัญญะ ที่แห่งนี้…ในทางหลักการแล้ว สามารถมองเห็นชีวิตของวิญญาณที่เคยมีอยู่ทุกตนได้ เพียงแต่จำกัดให้แค่คนตาย ส่วนคนเป็นนั้น ยามอยู่ที่นี่จะมองไม่เห็น เว้นแต่ตัวเองมองตัวเองเท่านั้น
แต่ก็เป็นเพียงแค่หลักการ เพราะความทรงจำในที่แห่งนี้มีมากมายเหลือเกิน แทบจะไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถทนรับการหลอมรวมของความทรงจำกันกว้างใหญ่ไพศาลนี้ได้ ดังนั้นย่อมผลักไสมันไปตามสัญชาตญาณเป็นธรรมดา เพราะอย่างนั้น…จึงมองเห็นและรับรู้ว่าภายในความว่างเปล่าไม่มีอะไร
นี่คือการป้องกันตัวเองตามสัญชาตญาณ
แต่เฉินชิงจื่อนั้นแตกต่าง เขาไม่รู้ว่าพลังฝึกปรือของตนเองตอนนี้อยู่ระดับไหนกันแน่ แต่เขารู้ว่า…ในความว่างเปล่าแห่งนี้ ถ้าหากตนต้องการ ก็สามารถมองดูความทรงจำของสรรพสิ่งได้
เหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ เพราะเขาไม่อยากจะสิ้นเปลืองความคิดจิตใจ ไม่อยากจะไปดูชีวิตของคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…ที่นี่ไม่มีร่องรอยของเว่ยยางจื่อ
และเรื่องนี้…ได้พิสูจน์การคาดเดาของเขาแล้ว
เว่ยยางจื่อ ความจริงนั้น…ยังไม่ตาย
นี่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกเช่นกัน เพราะเฉินชิงจื่อรับรู้แผนการของเว่ยยางจื่อแล้ว นี่คืออุบาย ถึงแม้เขาจะรู้ แต่ก็ยังจะเดินไป
หากไม่เดินแล้วอยู่ในโลกแห่งศิลาก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่พฤติกรรมหลบเลี่ยงเช่นนี้ นอกจากไม่ช่วยอะไรในอนาคต ก็ยังทำให้ตนสูญเสียจิตใจแสวงหาเต๋าด้วย
สุดท้ายแล้ว…ที่ควรมาก็ต้องมา ที่ควรเกิดก็ต้องเกิด
“ศิษย์น้องเล็ก…เจ้าเป็นแสงสว่าง ข้าเป็นความมืด ถ้าหากข้าสำเร็จ ความลับเกี่ยวกับความอมตะก็จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ เหตุต้นผลกรรมทั้งหมด ข้าจะแบกรับไว้คนเดียว ถ้าหากข้าล้มเหลวและสิ้นชีพ…” เฉินชิงพึมพำ ส่ายหน้าเบาๆ
“ก็จะทำให้เจ้าสมบูรณ์ด้วย!” แววตาของเฉินชิงจื่อแน่วแน่ เผยให้เห็นความคาดหวังในอนาคต เงาร่างอยู่ในความว่างเปล่า ก้าวต่อก้าว ค่อยๆ เดินไปไกล เหยียบผ่านความทรงจำอยู่ในชั้นล่างของอวกาศแห่งนี้
นี่คือหนทางการแสวงหาเต๋า
และเป็นกระบวนการแสวงหาจิตใจเช่นกัน
เมื่อก้าวลงก้าวแรก ความว่างเปล่าก็เกิดระลอกคลื่นกระเพื่อม ในระลอกคลื่นนี้ เฉินชิงจื่อมองเห็นภาพภาพหนึ่ง
ในภาพนั้น เป็นหมู่บ้านของปุถุชนที่อยู่ท่ามกลางกองไฟลุกโชน ในนั้นมีเด็กผู้ชายวัยเจ็ดแปดขวบอยู่คนหนึ่ง สวมเสื้อผ้าขาดๆ ร่างกายผอมโซยิ่งนัก เขานั่งยองๆ อยู่หน้าเปลวเพลิง ส่งเสียงร้องไห้น่าอนาถใจออกมา
เสียงร้องไห้มาพร้อมกับความหมดหนทางและความสับสน ยิ่งกว่านั้นยังระเบิดความเกลียดชังที่ถึงแม้เพิ่งแตกหน่อแต่กลับเติบโตอย่างรวดเร็ว
จากที่ไกลๆ จะมองเห็นกองทหารมนุษย์กลุ่มหนึ่งมาพร้อมกับความโหดเหี้ยม กำลังหายเข้าไปจากปลายภูเขา กองทหารกองนี้อันธพาลอย่างยิ่ง มองเห็นรูปสลักของงูดำตัวหนึ่งบนเสาธงเอียงๆ ได้รางๆ
ภาพหายไป เฉินชิงจื่อหลับตาลง เดินก้าวที่สอง ก้าวที่สาม…ภาพปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของเขาภาพแล้วภาพเล่า
ภาพที่สองคือเมืองหลวงของปุถุชน ภายในพระราชวังมีซากศพเกลื่อนพื้น ทหารทั้งหมดที่เหลืออยู่ล้อมรอบร่างของชายหนุ่มคนหนึ่ง เพียงแต่…เห็นอยู่ชัดๆ ว่าคนที่ถูกล้อมนั้นเป็นคนหนุ่ม แต่ผู้ที่ตัวสั่นกลับเป็นทหารรอบๆ
เมื่อชายหนุ่มก้าวทีละก้าว ทุกคนล้วนถอยหลัง จนกระทั่งถอยจนถอยไม่ได้แล้ว ที่ด้านหน้าของชายหนุ่ม เขาก็มองเห็นตำหนักใหญ่ของพระราชวัง มองเห็นชายวัยกลางคนนั่งหน้าเขียวอยู่บนบัลลังก์
ด้านหลังของชายผู้นี้มีรูปสลักประจำอาณาจักร นั่นก็คืองูดำตัวหนึ่ง
พริบตาต่อมา รูปสลักก็พังทลาย ทหารล้มตาย ราชาสิ้นพระชนม์!
ภาพที่สามคือสำนักอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ชายชราสวมชุดคลุมสีม่วงคนหนึ่งก้มหน้ามองชายหนุ่มที่คุกเข่าคำนับอยู่ตรงหน้าแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ
“เจ้ามีนามว่าอะไร”
“เฉินชิง”
“ต่อไป เจ้าชื่อว่าเฉินชิงจื่อ ส่วนข้า…ก็คืออาจารย์ของเจ้า” ชายชราเอ่ยอย่างสงบนิ่ง เสียงนั้นดังเข้าสู่หูของชายหนุ่ม ทำให้ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น มองไปยังชายชราตรงหน้า และมองเห็นด้านหน้าของสำนักแห่งนี้ที่อยู่หลังชายชรา มีหินก้อนใหญ่ตั้งอยู่ เขียนตัวอักษรมหึมาสีดำเอาไว้ว่า
สำนักแห่งความมืด
“อาจารย์…” เฉินชิงจื่อก้าวลงไปก้าวที่สาม ลืมตาขึ้น ก้มหน้ามองภาพใต้ฝ่าเท้าของเขา ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็ก้าวเดินเป็นก้าวที่สี่ ก้าวที่ห้า ก้าวที่หก
ในระหว่างทั้งสามก้าวนี้ เขามองเห็นตนกำลังดูแลดวงวิญญาณคนตายในอวกาศภายในสำนักแห่งความมืด มองเห็นว่าศิษย์น้องหนึ่งที่จู่ๆ ก็ถูกอาจารย์พากลับสำนักในวันหนึ่ง
บนร่างของศิษย์น้องเล็ก เขาในตอนนั้นสัมผัสได้ถึงความผันผวนพิเศษมากๆ บางอย่าง ความผันผวนนี้…ตนคุ้นเคยดีเหลือเกิน ราวกับว่า…ได้เห็นตัวเองอีกคน
“เขาคือแสงสว่าง ข้าคือความมืด…อาจารย์ ภารกิจของสำนักแห่งความมืดคือหยุดไม่ให้ผู้เป็นอมตะออกไป แต่ท่านกลับ…เปลี่ยนเป็นขวางไม่ให้สิ่งมีชีวิตใดๆ ออกไป”
“การขยายขอบเขตเช่นนี้ความจริงแล้วเป็นการคุ้มครองแบบหนึ่ง และก็เป็น…ความรู้เห็นเป็นใจอย่างหนึ่ง”
“รู้เห็นเป็นใจให้ข้า…และรู้เห็นเป็นใจให้ศิษย์น้องเล็ก…”
“เพราะว่า…เขาสืบทอดอมตะ ส่วนข้า…ก็สืบทอดความอมตะเช่นกัน การสืบทอดความอมตะเดิมทีก็ไม่ใช่สถานะหนึ่งอยู่แล้ว!”
“ท่านกับข้าเหมือนกัน ล้วนเบื่อหน่ายภารกิจนี้…ดังนั้นในการสำเร็จสมบูรณ์สุดท้ายของท่าน ความจริงแล้ว…เป็นความรู้สึกนึกคิดสองอย่างของตัวท่านเอง พวกมันทำลายกันและกัน ศิษย์น้องเล็กไม่รู้ ข้าก็ไม่อยากให้เขาแบกรับมากเกินไป…” เฉินชิงพึมพำ ก้มหน้าลง เดินต่อไป
ทีละก้าวๆ จนกระทั่งเขารู้สึกได้รางๆ ท่ามกลางวิญญาณคนตายนับไม่ถ้วน จากนั้นก็จ้องมองไปยังดวงวิญญาณดวงหนึ่ง มองเห็นประกายแสงในดวงตาของเงาร่างของตนเองที่ทั้งมือเต็มไปด้วยการสังหารในชั่วขณะที่สำนักแห่งความมืดล่มสลาย
แปลกตายิ่งนัก แต่ก็คุ้นเคยมากเช่นกัน
ยังมีภาพอีกมากมาย สังหารจักรพรรดิสวรรค์ สังหารไม่รู้สิ้น สังหารหมื่นตระกูล ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งชีวิตของเขาปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าขณะที่เฉินชิงก้าวเดินไป จนกระทั่งภาพสุดท้ายที่ปรากฏขึ้นกลับเป็นภาพเฉินชิงเงยหน้าร้องตะโกนเสียงดังออกมา…
“ศิษย์พี่ รอดชีวิตกลับมา”
“ข้ารับปาก” เฉินชิงจื่อพึมพำเสียงเบา เขาเดินมาจนถึงปลายสุดของความว่างเปล่า ก้าวออกมาก้าวสุดท้าย เมื่อก้าวลงไป ทั่วทั้งความว่างเปล่าก็สั่นไหว อานุภาพกดดันไม่อาจบรรยายได้ตกลงมากะทันหันแล้วกลายเป็นฝ่ามือมหึมาข้างหนึ่ง ตกลงมาขวางกั้นอยู่ข้างหน้าเฉินชิงจื่อ
ฝ่ามือนี้มาจากดวงจิตของทั่วทั้งโลกแห่งศิลา สิ่งนี้…แปลงมาจากมือของหลัวเทียน!
ยิ่งกว่านั้นยังมีคลื่นปราณมืดผันผวนเข้มข้นสายหนึ่งแผ่ออกมาจากในฝ่ามือข้างนี้ด้วย
“ข้าคือเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืด จักรพรรดิแห่งความมืดคนปัจจุบัน ภายในโลกแห่งศิลา ภารกิจคือเจตจำนงที่สูงสุด!” เมื่อเผชิญหน้ากับฝ่ามือข้างนี้ เฉินชิงก็พลันเอ่ยปากบอก เมื่อเอ่ยคำพูดออกมา ปราณมืดบนร่างของเขาก็ระเบิดทันใด ปลาดำที่หว่างคิ้วสว่างสดใส จ้องมองไปยังฝ่ามือ
กลิ่นอายของทั้งสองฝ่ายมาจากแหล่งเดียวกันอย่างเลือนราง ผ่านไปครู่หนึ่ง ในที่สุดฝ่ามือนั้นก็ค่อยๆ สลายหายไป และเมื่อมันสลายไปแล้ว ประตูหินเก่าแก่บานหนึ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเฉินชิงจื่อ
เขายืนอยู่หน้าประตู เฉินชิงจื่อเงียบงันอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายก็สะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นประตูหินบานนี้ก็ค่อยๆ เปิดออกไปข้างนอกกะทันหัน เมื่อมันเปิดออกมา เฉินชิงจื่อก็มองเห็นด้านนอกประตูหิน มันกลับมีความว่างเปล่าอีกผืนหนึ่ง
จุดที่ไร้ขอบเขตไร้ที่สิ้นสุดและไกลออกไป มีรอยร้าวขนาดใหญ่เส้นหนึ่งอยู่ รอยร้าวนี้…ราวกับมีคนอยู่ข้างนอกและพยายามกระแทกออก
“โลกแห่งศิลาแบ่งออกเป็นสามระดับชั้น ชั้นแรก…คือโลกใจกลางและเป็นจักรวาล ชั้นที่สอง…ก็คือกำแพงด้านในของแผ่นศิลา และเป็นความว่างเปล่าด้านหลังประตูเต๋าบานนี้เช่นกัน ส่วนที่ที่ข้าอยู่ก็คือจุดที่อยู่ระหว่างใจกลางและกำแพงด้านใน ส่วนชั้นที่สาม… ”
“รอยแยกนั้นคือกำแพงด้านนอก และเป็นชั้นที่สามด้วย!”
เฉินชิงจื่อหรี่ตาลง ยืนอยู่ภายในประตู พริบตาที่กวาดมองไปด้านนอก ทันใดนั้น…ก็มีเงาโลหิตมหึมาร่างหนึ่งวาบผ่านนอกประตู ยิ่งกว่านั้นภายในชั่วพริบตา เงาโลหิตมากมายยิ่งกว่านั้นก็วาบผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อมองดีๆ เงาโลหิตเหล่านั้นคล้ายกับหนวดเคราบนร่างกายของสิ่งมีชีวิต
เพียงแต่เป็นเพราะสิ่งมีชีวิตนี้ตัวใหญ่ยิ่ง ดังนั้นเพียงแค่หนวดเคราก็มีขนาดมหึมาน่าตะลึงแล้ว!
ขณะเดียวใน เมื่อเงาโลหิตเหล่านั้นวาบผ่าน ก็ยังมีเสียงร้องคำรามแหลมสูงดังออกมาด้วย
เสียงนี้เพียงพอจะทะลุทะลวงดวงวิญญาณเทพแล้วฉีกกระชากทุกสิ่งทุกอย่าง สั่นคลอนสรรพสิ่งทั้งหมด ถึงขั้นที่เมื่อระดับจักรวาลได้ยินแล้ว ก็คงจะเลือดเนื้อแตกสลาย วิญญาณเทพพังทลายทันทีเป็นแน่!
“ผู้ที่เว่ยยางจื่อรอคอยก็คือเจ้าหรือ…”
“เป็นท่าน…ที่พยายามครอบงำศิษย์น้องเล็กของข้าอย่างนั้นหรือ”
“มหาเทพผู้แท้จริง!”
………………………
มองดูเฉินชิงจื่อ หวังเป่าเล่อก็เงียบงัน
ทุกคนล้วนมีเส้นทางของตัวเอง คนอื่นที่ไร้อำนาจไม่มีสิทธิ์ไปหยุดยั้ง ไม่ว่าจะเป็นการแสวงหาเต๋าหรือว่าพลีชีพ สำหรับผู้ฝึกตนโดยเฉพาะผู้ฝึกตนที่บรรลุถึงระดับเช่นพวกเขาแล้ว นี่…ก็คือการแสวงหาและเป้าหมายของชีวิต
สุดท้ายแล้วล้วนต้องเดินก้าวนี้เพื่อไปดูจักรวาลของโลกภายนอก ไปดูโลกที่แท้จริง ไปสัมผัสว่าสิ่งที่ตนฝึกฝนมาหลายปีขนาดนี้แท้จริงมันคืออะไร ไปรับรู้ว่า…สิ่งที่ตนเสาะหานั้นคือเส้นทางใด!
ดังนั้น ในใจของหวังเป่าเล่อจึงมีความซับซ้อน แต่สุดท้ายคำพูดนับพันนับหมื่นภายในใจก็กลายเป็นเสียงถอนหายใจแผ่วเบา
“ศิษย์น้องเล็ก เรียกข้าว่าศิษย์พี่อีกครั้งได้หรือไม่” เมื่อมองเห็นถึงความแปรปรวนในก้นบึ้งจิตใจของหวังเป่าเล่อ เฉินชิงจื่อก็ยิ้มอ่อนจาง อบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง เขารู้ว่าการเดินออกมาครั้งนี้ของตนนั้นนั้นหาได้รู้ถึงผลลัพธ์ไม่ บางทีอาจจะ…ตัวตายเต๋าสลาย ก็ยังไม่รู้แน่
ดังนั้นเขาจึงไม่หวาดกลัวอะไรและไม่เสียใจด้วย มีเพียง…เสียดายเล็กน้อย เพราะเหมือนกับว่าไม่ได้ยินคำเรียกขานที่ทำให้ตนรู้สึกอบอุ่นและให้ความรู้สึกคล้ายกับว่าการมีอยู่ของเขามีความหมายมานานแล้ว
ตั้งแต่ชั่วขณะที่อาจารย์สิ้นชีพ มิตรภาพระหว่างเพื่อนร่วมสำนักของพวกเขาก็ถูกตัดขาด
และประโยคนี้เขาก็ไม่เคยพูดมาก่อน มีเพียงแค่ตอนนี้เท่านั้นที่เขาอยากได้ยินคำว่าศิษย์พี่สองคำนี้อีกครั้งมากๆ ก่อนจะจากไป
หวังเป่าเล่ออ้าปาก แต่คำสองคำนี้กลับคล้ายติดอยู่ในลำคอ สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะเงียบ แต่กลับยกมือขวาขึ้นและตบเข้าที่หว่างคิ้วของตนอย่างแรง
เมื่อตบลงไป ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน ปราณมืดรอบกายผันผวน อวกาศคล้ายจะสั่นไหว กลิ่นอายบนร่างของหวังเป่าเล่อพลันระเบิดออกมาขณะที่ตัวสั่นสะท้าน
ด้วยการระเบิดนี้ ทำให้ด้านหลังของเขามีเงาร่างของอดีตชาติปรากฏขึ้นทันที เป็นเผ่าเทพอัคคีอันสะเทือนฟ้าสะเทือนดินผู้นั้นก่อน จากนั้นกลิ่นอายของผีดิบก็พุ่งเทียมฟ้า ก่อนเป็นดาบเวทย์ เป็นความแค้น จนกระทั่งเมื่อเงาร่างของกวางขาวน้อยปรากฏขึ้น เงาร่างจากอดีตชาติเหล่านี้ก็ยืนอยู่เบื้องหลังของหวังเป่าเล่อ ยืนอยู่ระหว่างฟ้าดิน อานุภาพทรงพลังน่าตะลึงเรื่อยๆ
ทุกๆ ร่างคล้ายจะแฝงไว้ซึ่งพลานุภาพไร้ที่สิ้นสุด
ทุกๆ ร่างคล้ายจะฉีกประชากท้องนภาอันว่างเปล่า สยบทุกสารทิศ
เมื่อพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นและห้าธาตุของเข้าล้ำลึกมากขึ้น ร่างอดีตชาติของเขาก็ก้าวกระโดดไปด้วยเช่นกัน ตอนนี้ขณะที่ฟ้าดินสั่นสะเทือนและเกิดการระเบิดเขย่าอวกาศ หวังเป่าเล่อก็ยกมือขึ้นแล้วประสานสิบนิ้วไว้ตรงหน้าช้าๆ
การเคลื่อนไหวเชื่องช้าราวกับเรื่องที่เขากำลังจะทำนั้นยากเย็นต่อเขาอย่างยิ่ง แต่สองมือกลับมั่นคงเหลือเกิน มือทั้งสองค่อยๆ เข้ามาใกล้กัน ร่างอดีตชาติด้านหลังของเขาก็ซ้อนทับเข้าด้วยกันช้าๆ
จนกระทั่งมือของหวังเป่าเล่อสัมผัสเข้าด้วยกันโดยสมบูรณ์ในชั่วพริบตา เงาอดีตชาติด้านหลังของเขาก็ผสานรวมกันจนหมด ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย พวกมันพัฒนากลายเป็น…กระดานไม้ดำ!
มันแตกต่างจากกระดานไม้ดำที่เคยปรากฏขึ้นก่อนหน้านี้ ร่างเดิมที่เคยถูกหวังเป่าเล่อแสดงออกมาหลายครั้งล้วนเป็นเงามายา มีเพียงครั้งนี้เท่านั้น…ที่ไม่ใช่ภาพมายา!
แต่เป็นของจริง!
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าต่อให้พลังฝึกปรือในปัจจุบันของหวังเป่าเล่อจะไม่สามัญ แต่เขาก็ยังไม่อาจทำให้ร่างเดิมกระดานไม้ดำปรากฏออกมาอย่างชัดเจนสมบูรณ์แบบได้ ดังนั้นกระดานไม้ดำที่ปรากฏขึ้นนี้จึงมีบริเวณหนึ่งส่วนเป็นของจริง และอีกเก้าส่วนยังคงเป็นภาพมายา
เมื่อกระดานไม้ดำปรากฏขึ้น แม้จะเป็นของจริงแค่เพียงส่วนเดียว แต่ในชั่วพริบตามันก็ระเบิดกลิ่นอายสะเทือนฟ้าออกมา แผ่ขยายเป็นบริเวณกว้าง ทำให้ทั่วทั้งโลกแห่งศิลาสั่นสะเทือน ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณของจักรพิภพสำนักเสริมก็ใจแกว่งไกว สีหน้าเคร่งเครียด
และยังมีปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์ที่นั่งสมาธิอยู่บนหน้าผาหน้าน้ำตกในเขตต้องห้ามของสำนักดาราจันทร์มาเนิ่นนานหลายปีแล้ว ตอนนี้เขาก็ลืมตาขึ้น มองไปยังอวกาศ
“เวลา ใกล้มาถึงแล้ว…” ขณะที่ปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์เอ่ยพึมพำเสียงเบา กลิ่นอายเบื้องหลังของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งแผ่ไพศาล คล้ายกับว่าตัวเขากลายเป็นแหล่งกำเนิดที่ทำให้โลกแห่งศิลาสั่นสะเทือนต่อไป ก้นบึ้งจิตใจของสรรพชีวิตก็มีความเคารพบูชาไร้ที่มาผุดขึ้น
เฉินชิงจื่อเป็นคนแรกที่ได้รับผล เขาที่ทรงพลังเช่นนี้กลับต้องถอยหลังไปสองสามก้าว แววตาฉายประกายเจิดจ้า ขณะที่จ้องมองไปยังหวังเป่าเล่อ เขาก็มองไปที่กระดานไม้ดำเช่นกัน
เขารู้ที่มาของศิษย์น้องเล็กของตน แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ตอนนี้เขาเมื่อเขาได้เห็นกับตาตัวเอง ในใจก็ยังมีความผันผวนรุนแรงสาดซัด เขาเดาได้รางๆ ว่าหวังเป่าเล่อคิดจะทำอะไร สีหน้าจึงพลันซับซ้อน
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้า…”
เพียงแต่เขายังไม่ทันได้เอ่ยให้จบ สองมือที่ประสานเข้าด้วยกันของหวังเป่าเล่อก็คลายออก เขาพลันยกมือขวาขึ้นไปยังของจริงหนึ่งส่วนบนกระดานไม้ดำที่ก่อตัวอยู่เบื้องหลัง แล้วกดลงไป ไม่ได้เอ่ยคำพูดใด เพียงแต่เส้นเลือดดำปนหน้าผากปูดโปนขึ้นมา แล้วฉีกหักมันอย่างแรง!
เสียงดังกึกก้อง กระดานไม้ดำบริเวณหนึ่งส่วนหักออกมาทันทีด้วยความยินยอมของหวังเป่าเล่อเอง ถูกเขาบังคับหักเป็นเศษไม้ขนาดเท่านิ้วมือ!
หากดูรวมๆ แล้ว มันเป็นเพียงแค่หนึ่งในร้อยของกระดานไม้ดำ แต่เพราะว่าตำแหน่งสถานะของมันสูงอย่างยิ่ง ดังนั้นแม้จะเป็นเศษไม้ แต่ก็เป็นสมบัติชั้นเลิศสะเทือนฟ้าเช่นกัน
และแรงภายนอกก็ไม่อาจทำลายกระดานไม้ดำนี้ได้ มีเพียงตัวมันเองเท่านั้น…ถึงจะทำลายตัวมันได้ และผลกระทบที่เกิดจากการหักย่อมไม่น้อยเลย ดังนั้นในพริบตาต่อมา กลิ่นอายบนร่างของหวังเป่าเล่อก็ผันผวนรุนแรง สีหน้าขาวซีด
แต่ผลกระทบเช่นนี้ไม่ได้คงอยู่นาน ไม้มีพลังแห่งการกำเนิดใหม่ ดังนั้นหลังจากให้เวลาพักหนึ่งหรือมอบโอกาสวาสนาให้หวังเป่าเล่อ มันก็ยังมีโอกาสจะฟื้นตัวได้
ขณะนี้เขาคว้าจับเศษไม้ชิ้นนี้ไว้ หวังเป่าเล่อไม่ลังเล เมื่อเงยหน้ามองเฉินชิงจื่อ เขาก็โยนออกไปทันใด ทำให้เศษไม้ชิ้นนี้พุ่งไปหาเฉินชิงจื่อตรงๆ
นี่เป็นสิ่งเดียวที่หวังเป่าเล่อสามารถทำได้ เขาไม่อาจเบิกตามองเฉินชิงจื่อทะลวงไปเช่นนี้ได้ เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายดังนั้นเมื่อมาถึงจุดนี้ ดังนั้นเขาจึงมอบร่างเดิมไม้ดำชิ้นหนึ่งออกไป
ประโยชน์ใหญ่ที่สุดของของสิ่งนี้ก็คือการสยบโชคชะตา และการสยบเช่นนี้…ถ้าหากใช้กับตัวเองล่ะก็ จะทำให้ดวงวิญญาณเทพคล้ายถูกสยบเอาไว้ แต่ความจริงแล้วกลับถูกปกป้องต่างหาก
เมื่อเป็นเช่นนี้…ต่อให้สุดท้ายแล้วจะล้มเหลว แต่ก็อาจจะ…ดำรงอยู่ได้เพราะจุดจุดนี้ ทำให้ถึงแม้ว่าดวงวิญญาณเทพจะแตกสลาย แต่วิญญาณแท้ยังอยู่ มีโอกาสได้กลับชาติมาเกิด
เฉินชิงจื่อโบกมือ ไม่ได้เข้าไปรับ แต่หมุนเศษไม้ชิ้นนี้กลับไปตรงหน้าหวังเป่าเล่อ
“ศิษย์น้องเล็ก ข้าไม่ต้องการของสิ่งนี้!”
“ไม่ได้ให้ท่าน แต่ให้ท่านยืม จำไว้ล่ะ…ต้องเอามาคืนข้า” หวังเป่าเล่อก็โบกมือเช่นกัน เศษไม้บินไปหาเฉินชิงจื่ออีกครั้ง
เฉินชิงจื่อเงียบงัน ผ่านพักครู่หนึ่งก็ถอนหายใจแผ่วเบา หยิบเศษไม้ชิ้นนี้มาไว้ในมือ กำเอาไว้แน่น เขาเงยหน้ามองหวังเป่าเล่ออย่างล้ำลึกปราดหนึ่ง จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น
“ศิษย์น้องเล็ก หลังข้าจากไป ถ้าหากมีวันหนึ่งที่อวกาศกลายเป็นสีเลือด…”
“นั่นหมายความว่า ข้าล้มเหลวแล้ว”
“อวกาศสีเลือดเกิดมาจากเต๋าโลหิตของข้า ภายในนั้นก็จะมีดวงจิตเทพของข้าอยู่ เจ้าสัมผัสถึงมันได้ ในดวงจิตเทพนั้น…มีคำพูดที่ข้าอยากเอ่ยต่อเจ้า”
“ศิษย์น้องเล็ก ลาก่อน”
“ศิษย์น้องเล็ก โลกแห่งศิลามีเกิดก็ต้องมีดับ เหมือนหยินและหยาง หมื่นชีวิตในโลกล้วนเป็นเช่นนี้ มีแสงสว่าง ก็มีความมืด…เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมอาจารย์ถึงรับแค่เจ้ากับข้าเป็นศิษย์…”
“มีบางเรื่อง ถ้าหากข้าทำสำเร็จแล้ว เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องแบกรับหรือรับรู้ ถ้าหากข้าล้มเหลว…เป็นเพราะศิษย์พี่ไร้ความสามารถ เจ้าก็ต้อง…เดินไปด้วยตัวเองแล้ว”
“ศิษย์น้องเล็ก…ลาก่อน” เฉินชิงจื่อมองหวังเป่าเล่อที่ก้มหน้าอยู่อย่างลึกซึ้งคราหนึ่งราวกับรออะไรบางอย่าง แต่รออยู่หลายอึดใจ เขาก็ไม่รอ สุดท้ายเขาก็หันกายพร้อมแววตาหมองหม่น เดินไปยังความว่างเปล่า หนึ่งก้าวต่อหนึ่งก้าว แผ่นหลังอ้างว้าง กำลังจะหายไปอยู่รอมร่อ
“ศิษย์พี่!”
“รอดชีวิตกลับมา!” หวังเป่าเล่อเงยหน้าฉับพลัน ใช้พลังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตร้องตะโกนเสียงดังออกไป
เฉินชิงตัวสั่นไหว ในที่สุดเขาก็รอได้ยินคำเรียกนี้แล้ว ขณะนี้เขาไม่ได้หันกลับไป แต่กลับมีเสียงหัวเราะดังสะท้อนก้อง ในเสียงหัวเราะมีความไม่เสียใจ มีความแน่วแน่ มีความอิ่มเอม!
ก้าวหนึ่งก้าว ก็เข้าไปสู่ความว่างเปล่า!
…………………
หวังเป่าเล่อเงียบงัน สายตาของเฉินชิงจื่อนั้น เขามองเห็นอยู่ในดวงตา ความคิดมากมายปรากฏขึ้นในใจของเขา สุดท้ายก็กลายเป็นเสียงถอนหายใจแผ่วเบา แม้ว่าจะไม่ได้ยึดติดเรื่องการตายของอาจารย์อีก แต่คำว่าศิษย์พี่นั้น เขากลับทำอย่างไรก็พูดไม่ออก
สุดท้าย เขาจึงทำได้เพียงกอบหมัดโค้งคำนับต่ำให้กับเฉินชิงจื่ออีกครั้ง
จากนั้นหวังเป่าเล่อก็หันกายไปยังอวกาศ ไปยังเต๋าฝั่งซ้าย
เขารู้ดีว่าวันที่ศิษย์พี่ทะลวงระดับก็คือเวลาแสวงหาเต๋า และการแสวงหาภายในโลกแห่งศิลานี้ กล่าวจนถึงที่สุดแล้ว…ก็คือการเดินออกจากโลกแห่งศิลาไปยังจักรวาลภายนอก มองดูอวกาศที่แตกต่างจากที่แห่งนี้
ด้วยการฝึกตนในปัจจุบันของเขายังทำถึงจุดนี้ไม่ได้ อีกทั้ง…เต๋าของเขาก็แตกต่างกับของเฉินชิงจื่อ
ห้าธาตุยังไม่สมบูรณ์แบบ ขณะเดียวกันการเลือกของเฉินชิงจื่อก็เต็มไปด้วยความไม่รู้ บางทีอาจจะสำเร็จเข้าจริงๆ และทำลายอุปสรรคขวางกั้นได้ แสวงหาเต๋าสำเร็จผล
แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่…จะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน
ส่วนสุดท้ายจะเป็นอย่างไรนั้น หวังเป่าเล่อไม่กังวลใจไม่ได้ แต่เขาเข้าใจดีว่ากังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ นี่คือจิตยึดมั่นของเฉินชิงจื่อ และเป็นทางเลือกที่เขาแสวงหามาตลอด
“ขอให้…ปลอดภัย” หวังเป่าเล่อพึมพำ ก้าวหนึ่งก้าวก็หายไป
หลังจากหวังเป่าเล่อไปแล้ว ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณก็โค้งคำนับให้กับเฉินชิงจื่อแล้วหันกายจากไป ตอนนี้อดีตจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้นแห่งนี้จึงเหลือเพียงเงาร่างของเฉินชิงจื่อนั่งขัดสมาธิอยู่ในความว่างเปล่า แม่น้ำแห่งความมืดรอบตัวเขาแปรผันเข้ามาพัวพัน ก่อนค่อยๆ ห่อหุ้มตัวเขาเอาไว้ข้างใน
เวลาเคลื่อนผ่านไปอย่างช้าๆ พริบตาก็ผ่านไปยี่สิบแปดปีแล้ว
ยี่สิบแปดปีไม่มากไปสำหรับโลกแห่งศิลา แต่เกิดความเปลี่ยนแปลงใหญ่ยิ่ง!
หลังจากตระกูลไม่รู้สิ้นร่วงลงจากสวรรค์และไม่ได้มีอิทธิพลเช่นสมัยก่อนอีก โดยเฉพาะสำนักตระกูลหรือพวกอารยธรรมที่เคยถูกพวกเขาล้างสมองเมื่อก่อน ตอนนี้แตกหักแล้ว สุดท้ายตระกูลไม่รู้สิ้นก็จำต้องละทิ้งทุกอย่าง พาทุกคนไปอยู่รวมตัวบนดาวบรรพบุรุษของพวกเขา จึงพอจะมีพื้นที่ให้อาศัยอยู่ได้
และนี่…ก็คือการออกหน้าครั้งสุดท้ายของปรมาจารย์ตระกูลเซี่ย ถึงได้ปกป้องตระกูลนี้เอาไว้ได้
นอกจากนั้น ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยมีฐานะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์สูงสุด แต่กลับยังไม่เคยลงมือเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นศึกในปีนั้น หรือในช่วงยี่สิบแปดปีมานี้ก็ตาม เขาคล้ายจะอยู่เงียบๆ และถ่อมตัวต่ำไปพร้อมกัน ตระกูลเซี่ยก็ไม่ได้ขยายอาณาเขตเพราะการล่มสลายของตระกูลไม่รู้สิ้นด้วย
ตรงกันข้าม กลับทำตัวหดเล็กลงเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็เป็นเพราะว่าเขาไม่ได้ลงมือในปีนั้น ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นหวังเป่าเล่อหรือว่าปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณ หรือสำนักแห่งความมืดที่รุ่งโรจน์ดุจดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าในโลกแห่งศิลาปัจจุบันนี้ก็ตาม พวกเขาล้วนไม่เคยทำให้ลำบากใจเลย
ส่วนสำนักแห่งความมืด ในช่วงยี่สิบแปดปีมานี้ก็ได้กลายเป็นสำนักใหญ่อันดับหนึ่งของโลกแห่งศิลาไปแล้ว อิทธิพลของพวกเขาแผ่คลุมไปทั่วทุกสารทิศ ไม่ด้อยไปกว่าตระกูลไม่รู้สิ้นก่อนหน้านี้ มักจะได้เห็นศิษย์ของสำนักแห่งความมืดสวมชุดดำ มือถือตะเกียง และนั่งอยู่บนเรือพาวิญญาณคนตายข้ามฟากในทุกๆ พื้นที่ได้
การกลับชาติมาเกิดเปิดออกแล้ว วิชาของสำนักแห่งความมืดทุกอย่างก็หมุนเวียนปรากฏอยู่ในสำนักแห่งความมืดเช่นกัน ราวกับทั่วทั้งโลกแห่งศิลาล้วนสงบสุขขึ้นมาแล้ว
กลับไปยังหวังเป่าเล่อที่จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย เขาไม่ได้กักตนบ่อยๆ แล้ว เนื่องจากตนได้รับพลังอำนาจมา ดังนั้นความเร็วในการก่อรูปของเมล็ดเต๋าธาตุดินของเขาจึงมีไม่น้อยเลย แต่ก็แค่เร็วขึ้นอีกหน่อยเท่านั้น ไม่อาจสำเร็จได้ในชั่วข้ามคืน แต่การได้รับพลังอำนาจก็ทำให้แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะก่อเมล็ดเต๋าล้มเหลว ก็ไม่ส่งผลต่อคุณภาพวัตถุบรรจุเต๋าอีกต่อไป
เป็นเช่นนี้ก็เพียงพอแล้ว อีกทั้งหวังเป่าเล่อยังสัมผัสได้ว่าการก่อตัวของเมล็ดธาตุดินใกล้จะมาถึงแล้ว
และในช่วงยี่สิบแปดปีมานี้ สหพันธรัฐมีชีวิตชีวาขึ้นมามาก แม้ว่าเวลายี่สิบแปดปีจะสั้นเมื่อนับตามทั้งจักรวาล แต่ก็ยังทำให้ตำแหน่งเจ้าผู้ปกครองเต๋าฝั่งซ้ายของสหพันธรัฐฝังลึกเข้าไปในใจของทุกคนแล้ว
ฐานะเจ้าแห่งเต๋าของหวังเป่าเล่อก็เช่นกัน สำหรับสำนักเสริมก็ด้วย สำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณเป็นเจ้าผู้ปกครองในแง่หนึ่งอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นปรมาจารย์ของพวกเขาก็รวมจักรพิภพสำนักเสริมเป็นหนึ่งเดียว ถูกเรียกว่าเจ้าแห่งเต๋าสำนักเสริม
มีเพียง…สำนักดาราจันทร์ที่อยู่ห่างออกไปเท่านั้น เป็นส่วนที่ลึกลับที่สุดภายในจักรพิภพสำนักเสริม แม้แต่สำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณก็ยังยินยอมในเรื่องนี้ เพียงแต่ถึงอย่างไรคนที่มีคุณสมบัติรู้จักสำนักดาราจันทร์ก็มีน้อยมาก คนส่วนใหญ่จะรู้จักแต่เจ็ดวิญญาณ ไม่รู้จักดาราจันทร์
ส่วนหวังเป่าเล่อ เขาก็ลืมคำเชิญของปรมาจารย์ดาราจันทร์เมื่อครั้งนั้นไปแล้ว หกสิบแปดปีของปีนั้น ยังห่างจากปัจจุบัน…อีกสามสิบเอ็ดปี
เวลาเคลื่อนเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันในช่วงยี่สิบปีมานี้ หวังเป่าเล่อก็ไปมาหลายที่ กล่าวได้ว่าไม่ว่าจะเป็นเต๋าฝั่งซ้ายหรือสำนักเสริม อวกาศมากมายล้วนเคยมีเงาร่างของเขาเดินผ่าน เขากำลังตามหาสมบัติชั้นเลิศที่สามารถบรรจุธาตุทองและไฟได้
แต่น่าเสียดาย สมบัติชั้นเลิศสองชนิดนี้เขาไม่เคยหาพบสักที ส่วนอดีตจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้นนั้น ในช่วงยี่สิบแปดปีมานี้ หวังเป่าเล่อก็ไปมาสามครั้ง
ครั้งแรก เขายืนอยู่ข้างแม่น้ำแห่งความมืด ทอดมองไปยังส่วนลึกของแม่น้ำแห่งความมืด ในความเลือนราง เขาสามารถมองเห็นเงาร่างร่างนั้นจมลึกอยู่ในก้นแม่น้ำได้
ครั้งที่สอง เขาจ้องมองอยู่นาน สุดท้ายก็คำนับแล้วจากไป
และครั้งที่สาม ตอนที่เขาจากไป เขาไม่อาจสังเกตเห็นเลยว่าดวงตาที่ปิดอยู่ของเงาร่างในก้นแม่น้ำจะค่อยๆ เปิดออกแล้วจ้องมองเขาจากไกลๆ
จนกระทั่งผ่านไปอีกหนึ่งปี เมื่อปีที่ยี่สิบเก้ามาถึง ปรมาจารย์แห่งไฟก็กักตน พยายามทะลวงระดับอีกครั้งเพื่อก้าวเข้าสู่ระดับจักรวาล
หลังจากใช้เวลาอยู่กับครอบครัวมายี่สิบเก้าปี หวังเป่าเล่อก็กักตนใหม่อีกครั้งเพื่อตระหนักรู้ถึงเมล็ดเต๋าธาตุดิน เขาสัมผัสได้ว่าการก่อตัวของเมล็ดธาตุดินอยู่ไม่ไกลแล้ว
เวลาเคลื่อนผ่านอีกรอบ ครั้งนี้สั้นยิ่งกว่า มันผ่านไปอีกหนึ่งปี
สามสิบปีหลังจากสงครามใหญ่ครั้งนั้น วันนี้…จู่ๆ หวังเป่าเล่อที่กักตนอยู่ก็ลืมตาโพลง เขาไม่ได้มองไปยังอักขระโบราณมากมายที่แพร่กระจายอยู่ตรงหน้าซึ่งก่อเมล็ดเต๋าธาตุดินได้เกินครึ่งแล้ว แต่พลันเงยหน้าขึ้น มองไปยังอวกาศ มองไปยังอดีตจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้น มองไปยังแม่น้ำแห่งความมืดตรงนั้น มองไปยัง…เงาร่างภายในแม่น้ำแห่งความมืด
แทบจะพร้อมกันกับที่หวังเป่าเล่อจ้องมองไป ชั่วขณะนี้เอง ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณ ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ย และปรมาจารย์ของสำนักดาราจันทร์ก็ล้วนจ้องมองไปยังแม่น้ำแห่งความมืด
แม่น้ำแห่งความมืดในตอนนี้ไหลบ่า เสียงสะเทือนกึกก้องดังกังวานไปทั่วแปดทิศ กลิ่นอายมหาศาลกำลังก่อตัวขึ้นมาจากภายในนั้น กลิ่นอายนี้เพียงพอทำให้ทั่วทั้งโลกแห่งศิลาสั่นสะเทือน ทำให้สรรพชีวิตสิ้นสติได้
แต่ไม่ช้า กลิ่นอายนี้ก็หายวับไปทันตา แม่น้ำแห่งความมืดก็ไม่ไหลเกลือกลิ้งอีกต่อไป มันสงบลง แต่กลับมีเงาร่างร่างหนึ่งเดินออกมาจากแม่น้ำแห่งความมืดช้าๆ จนกระทั่งยืนอยู่บนแม่น้ำแห่งความมืด
เสื้อคลุมดำทั้งตัว ผมยาวทั้งศีรษะ กระบี่ไม้หนึ่งด้าม น้ำเต้าหนึ่งขวด เงาร่างอันคุ้นเคยนี้ปรากฏขึ้นในสายตาของพวกหวังเป่าเล่อ พวกเขาแต่ละคนล้วนตกตะลึง
พวกเขามองไม่ทะลุ
ถ้ากล่าวว่าหากเฉินชิงจื่อคนก่อนยืนอยู่ตรงนั้น แม้ว่าจะทรงพลังไร้ใดเทียม แต่ก็ยังมองเห็นคลื่นผันผวนของพลังฝึกตนได้รางๆ ล่ะก็ เช่นนั้นเฉินชิงจื่อในตอนนี้ก็คล้ายเป็นเช่นปุถุชนอย่างแท้จริง บนร่างของเขาไม่มีคลื่นผันผวนเลยแม้แต่นิด สีหน้าอารมณ์ก็ไม่ได้เย็นชาเหมือนเมื่อก่อน อ่อนโยนลงมาก
แต่กลับกัน เงาร่างที่ดูธรรมดาสามัญนี้กลับทำให้ทุกคนที่มองมาสะท้านในใจ เพราะมองปราดแรกดูธรรมดาสามัญ แต่มองปราดที่สองกลับคล้ายจะมองเห็นวิญญาณเทพ
ความลึกลับที่ไม่อาจพรรณนา ความทรงอานุภาพไม่อาจคาดเดา เป็นระดับที่ยากจะมองให้ทะลุปรุโปร่ง!
“ก้าวสู่สวรรค์หรือ” ข้างกายของหวังเป่าเล่อ เงาร่างของแม่นางน้อยก่อตัวขึ้นแล้วมองภาพนี้อย่างไม่อยากเชื่อพร้อมเอ่ยพึมพำ
“ก็เหมือนจะไม่ใช่…”
เมื่อได้ยินเสียงพึมพำของแม่นางน้อย หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะทุกอย่างนี้ไม่สำคัญเลย สิ่งสำคัญคือในชั่วพริบตานี้ ในใจของเขามีความเจ็บปวดผุดขึ้นมา
เพราะเขารู้ว่า หลังจากเฉินชิงจื่อทะลวงระดับแล้ว จะต้องไปแสวงหาเต๋า
แต่สุดท้ายแล้วจะเป็นการแสวงหาเต๋าหรือว่าพลีชีพ ทุกอย่างล้วนเป็นปริศนา
ดังนั้นหลังจากเงียบงันไป ร่างของหวังเป่าเล่อก็หายวับไปจากเต๋าฝั่งซ้าย เมื่อปรากฏตัวขึ้น…เขาก็มาอยู่ริมแม่น้ำแห่งความมืด ห่างจากเฉินชิงจื่อร้อยจั้ง มองไปที่เฉินชิงจื่ออย่างซับซ้อนแล้วเอ่ยเสียงเบา
“ต้องไปจริงๆ หรือ”
เฉินชิงจื่อหันหน้ามอง มองไปยังหวังเป่าเล่ออย่างอบอุ่นแล้วแย้มยิ้ม
“ศิษย์น้องเล็ก ศิษย์พี่…ไปก่อนเจ้าหนึ่งก้าว ไปดูปลายสุดของโลกใบนี้ จะเพื่อเจ้าก็ดี เพื่อตัวเองก็ดี ท้ายที่สุดต้องมีชีวิตอยู่อย่างไม่เสียใจ!”
“ข้าไม่เชื่อในโชคชะตา”
“แต่ถ้าข้าล้มเหลว ก็ไม่จำเป็นต้องโศกเศร้าเพราะข้า”
“เพราะว่า…”
“นี่คือเส้นทางของข้า!”
……………………
ณ เวลานี้ เว่ยยางจื่อสิ้นชีพ!
ณ เวลานี้ เต๋าสวรรค์ตระกูลไม่รู้สิ้นล่มสลาย!
ณ เวลานี้ ตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งหมดในจักรวาลแห่งนี้พากันตัวสั่นสะท้านทันที ราวกับมีกลิ่นอายของอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็นหายไปจากร่างของพวกเขา
เว่ยยางจื่อคือบรรพบุรุษของทั้งตระกูลไม่รู้สิ้น ถึงขั้นที่กล่าวได้ว่าเพราะมีเขาจึงมีตระกูลไม่รู้สิ้น!
และเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น เขาก็เป็นคนสร้างขึ้นมาเช่นกัน มันเป็นทั้งเครื่องมือและอาวุธศักดิ์สิทธิ์ในแง่หนึ่ง ดังนั้นการตายของเขาจึงทำให้จิตใจของทุกชีวิตในตระกูลไม่รู้สิ้นปั่นป่วนรุนแรง และการล่มสลายของเต๋าสวรรค์ก็ยิ่งทำลายโชคชะตาที่ประทับอยู่บนตัวของคนในตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งหมดไปด้วย
ทำให้ตระกูลไม่รู้สิ้นร่วงตกลงมาจากสวรรค์ กลายเป็นธรรมดาสามัญ!
ทั้งยังมีจีเจีย ในชั่วอึดใจที่เว่ยยางจื่อสิ้นชีพ ร่างวิญญาณของเขาที่เหลืออยู่เพียงวิญญาณเทพก็สั่นสะท้านเช่นกัน เขาอ้าปากอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ไม่ทันแล้ว ดวงวิญญาณเทพของเขากลายเป็นเถ้าถ่านแล้วสลายหายไปในจักรวาลทันที
ตระกูลไม่รู้สิ้นไม่กลับเป็นเช่นแต่ก่อนอีกต่อไป!
ยิ่งกว่านั้นในชั่วขณะนี้เอง เมื่อเส้นสายของกฎเกณฑ์กฎพลังนับไม่ถ้วนที่เกิดจากการล่มสลายของเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นถูกกลืนเข้าปาก ผมของเฉินชิงจื่อก็แผ่สยายในชั่วพริบตา พลานุภาพน่าสะพรึงสายหนึ่งระเบิดยิ่งใหญ่อยู่บนร่างของเขา ยิ่งกว่านั้นยังมีอานุภาพกดดันที่น่ากลัวยิ่งกว่าเว่ยยางจื่อเมื่อกี้นี้เสียอีก และมันหลั่งไหลมายังจักรวาลแห่งนี้ในชั่วพริบตา
อานุภาพกดดันของเขาคล้ายจะกลายเป็นระลอกคลื่นไร้รูปเคลื่อนผ่านไปทั้งแปดทิศ ปกคลุมอดีตจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้นแห่งนี้ ปกคลุมเต๋าฝั่งซ้าย ปกคลุมสำนักเสริม ปกคลุมตระกูลและสำนักทั้งหมด ปกคลุมดวงดาวและความว่างเปล่าทุกชนิด ปกคลุมทั่วทั้ง…โลกแห่งศิลา!
ภายในโลกแห่งศิลาเหมือนกับย้อนไปในสมัยที่ถูกสำนักแห่งความมืดปกครองในปีนั้น กฎเกณฑ์กฎพลังทั้งหมดเริ่มต้นใช้ศาสตร์มืดเป็นที่เคารพและให้ศาสตร์มืดเป็นเจ้าปกครองนับตั้งแต่ชั่วขณะนี้!
แม้ว่าการฝึกตนของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะเปลี่ยนแปลงไม่มาก แต่โดยพื้นฐานแล้ว…ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ล้วนแต่ต้องมีการปรับเปลี่ยน ถ้าหากว่าไม่เปลี่ยนแปลง รากฐานของวิถีเต๋าในร่างของตนก็จะสั่นคลอน
กลิ่นอายแห่งความตายแพร่กระจายอยู่ในโลกแห่งศิลาในชั่วอึดใจ อำนาจแห่งการกลับมาเกิดใหม่เริ่มกลับคืนสู่สำนักแห่งความมืดตั้งแต่ชั่วขณะนี้เอง ราวกับต่อจากนี้ไป เรื่องของการส่งข้ามอวกาศและปลดปล่อยวิญญาณคนตายจะปรากฏขึ้นในโลกแห่งศิลาอีกครั้ง
แม้ว่าปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณจะตัวสั่นสะท้าน แต่ในฐานะที่เป็นฝ่ายช่วยรบ เขาจึงได้รับการพรแห่งโชคชะตาจากสำนักแห่งความมืดเป็นพิเศษอย่างเห็นได้ชัด สองขาที่เดิมขาดหายไปงอกขึ้นใหม่ทันทีท่ามกลางปราณมืดที่ไหลหลั่งเข้ามาในชั่วพริบตา ถึงขั้นที่พลังฝึกตนของเขาก็พลันปะทุขึ้นมาทันใด มันกลับกระโจนขึ้นจากระดับจักรวาลชั้นกลางสูงสุดเข้าสู่ระดับจักรวาลชั้นปลาย!
ระดับขั้นเท่ากันกับปรมาจารย์ตระกูลเซี่ย!
ทั้งยังมีเสวียนหัว แม้ว่าจะมาจากตระกูลไม่รู้สิ้น แต่ตอนนี้ก็ได้รับการตอบแทนจากปราณมืดเช่นกัน ขณะเดียวกับที่อาการบาดเจ็บหายเป็นปลิดทิ้งในพริบตา พลังฝึกตนของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นด้วย มีเพียงตี้ซานและกวงหมิงสองคนเท่านั้น เดิมทีลมหายใจก็เบาบางอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งอ่อนแอเข้าไปใหญ่ ไม่มีพลังดิ้นรนต่อสู้ใดๆ ได้ และถูกบีบให้เปลี่ยนแปลงไปจากการระเบิดของปราณมืดนี้ด้วย
แต่การเลื่อนระดับทั้งหมดนั้น นอกจากเฉินชิงจื่อแล้ว หวังเป่าเล่อคือผู้ที่ได้ประโยชน์มากที่สุด แทบจะในชั่วพริบตาที่ทั่วทั้งโลกแห่งศิลามีปราณมืดแผ่กระจาย กฎเกณฑ์กฎพลังทั้งหมดที่ฝึกฝนอยู่ในร่างของหวังเป่าเล่อและที่เกี่ยวข้องกับเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นก็พังทลายทันที ยิ่งกว่านั้นในขณะเดียวกัน เมื่อเฉินชิงจื่อโบกมือ กฎเกณฑ์ของเต๋าธาตุไม้และธาตุน้ำ รวมถึงเต๋าธาตุทอง ไฟ และดินทั้งสามเต๋าก็ถูกดึงออกมาจากเส้นสายของกฎพลังที่เกิดขึ้นจากการล่มสลายของเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นทันที ก่อนถูกส่งไปให้แก่หวังเป่าเล่อ
กฎพลังห้าธาตุคือพลังอำนาจของเต๋าสวรรค์ ตอนนี้เมื่อมันหลอมรวมเข้ามา เต๋าธาตุไม้และธาตุน้ำของหวังเป่าเล่อก็พลันระเบิดออกมาในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน สิ่งที่เขาครอบครองอยู่ก่อนหน้านี้มีแค่อำนาจไม้และน้ำในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย แต่ตอนนี้กลายเป็นอำนาจต่อทั่วทั้งโลกแห่งศิลา ดังนั้นพลังที่พุ่งทะยานขึ้นมาจึงน่าตกตะลึงเป็นธรรมดา
ส่วนสามเต๋าที่เหลือนั้น แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ได้ก่อเมล็ดพันธุ์ แต่อำนาจมาถึงแล้ว สำหรับเขามันก็เท่ากับการได้รับพลังอำนาจก่อน ส่วนคุณสมบัติย่อมเสริมได้ง่ายดายยิ่งกว่าเดิม
กล่าวได้ว่า ต่อจากนี้ในกระบวนการก่อเมล็ดเต๋าของเต๋าทั้งสาม เขาจะราบรื่นยิ่งกว่าก่อนหน้านี้มากยิ่งนัก
ราวกับก้าวเข้าสู่รถศึกที่นำไปสู่ดินแดนอันไร้ที่สิ้นสุด ส่วนตั๋วรถ…ค่อยเสริมเข้ามาทีหลังก็ได้
การระเบิดที่ทุกสิ่งทุกอย่างนี้นำมาทำให้พลังฝึกตนของหวังเป่าเล่อพุ่งทะยานทันที เขาก้าวสู่ระดับระดับจักรพิภพชั้นกลางสูงสุด เพลิงดำบนตัวของเขาก็แผ่กระจายออกมาในชั่วพริบตา กลายเป็นเปลวเพลิงสะเทือนฟ้า แผ่กระจายไปทั่วทั้งแปดทิศ แม้แต่ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณที่อยู่ข้างกายก็ยังมีท่าทางเปลี่ยนไป แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นระดับจักรวาลชั้นปลาย แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเพลิงดำนี้ หัวใจเขาก็เต้นตุบแล้วหลบเลี่ยงอย่างรวดเร็ว
ราวกับว่าเปลวเพลิงนี้คือวิชาชั้นสูงไร้ใดเทียมภายในโลกแห่งศิลาในปัจจุบัน
แต่เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว เฉินชิงจื่อคือคนที่พลังฝึกตนพุ่งทะยานจนถึงขีดสุดอย่างแท้จริง เขากลืนกินเต๋าสวรรค์ตระกูลไม่รู้สิ้น กลืนกินกฎเกณฑ์กฎพลังทั้งหมดนอกจากห้าธาตุลงไป ทำให้ในชั่วพริบตา เต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดก็บรรลุถึงสุดยอด
แม้จะไม่มีห้าธาตุ แต่ก็ยังเป็นสุดยอด!
และความสุดยอดนี้ก็ครอบคลุมทั่วทั้งโลกแห่งศิลาและผสานรวมกับเต๋าสวรรค์ หรือควรกล่าวว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากภายในตัวเฉินชิงจื่อที่เป็นเต๋าสวรรค์ได้ระเบิดดังกึกก้องราวกับผลักภูเขาพลิกทะเล
พลังฝึกตนของเขาเดิมทีก็บรรลุถึงระดับที่น่าตะลึงอยู่แล้ว ตอนนี้เมื่อเกิดการระเบิดขึ้น แค่เพียงกลิ่นอายก็ทำให้อวกาศสั่นคลอน พลังฝึกตนของเขาเคลื่อนจากระดับจักรวาลชั้นมหาวัฏจักรในชั่วอึดใจ ราวกับจะทะลวงขึ้นไป!
เสียงก้องกัมปนาทดังสะเทือนฟ้าเหมือนกับหัวใจเต้นดังออกมาจากภายในร่างของเฉินชิงจื่อ มันสะท้อนก้องอยู่ในจิตใจของสรรพชีวิต ทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดใจสั่นสะท้านขึ้นมาในชั่วขณะนี้
ราวกับมีพลังบางอย่างที่เหนือยิ่งกว่าโลกแห่งศิลากำเนิดออกมาจากเฉินชิงจื่อ ณ เวลานี้!
แต่เห็นได้ชัดว่าการทะลวงเช่นนี้ไม่ง่ายเลย หลังจากเสียงดังสนั่นราวกับใจเต้นสะท้อนก้องแล้ว แม้ว่ากลิ่นอายของเฉินชิงจื่อจะผันผวนพลิกผันรุนแรงจนทำให้โลกแห่งศิลาสั่นสะท้าน แต่กลับไม่พุ่งทะยานในระดับใหญ่นัก
ดวงตาของเฉินชิงจื่อมีประกายจางๆ ส่องวาบ เขาสัมผัสได้ว่า ถึงแม้ความพยายามก่อนหน้านี้จะล้มเหลว แต่นั่นก็เป็นเพราะยังสะสมพลังทะลวงฝ่าโซ่ตรวนไม่เพียงพอ ตราบใดที่ตนดูดซับเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นที่กลืนกินมาจนสมบูรณ์แล้ว เช่นนั้นการทะลวงโซ่ตรวนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
“หลังจากระดับจักรวาล…คืออะไร” เฉินชิงจื่อพึมพำ เขาไม่ได้ลองดูอีกครั้งในทันที แต่หันหน้าไปมองหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อก็ถูกเสียงกึกก้องราวกับหัวใจเต้นนั่นสั่นสะเทือนด้วยเช่นกัน ตอนนี้กำลังจ้องสบตากับเฉินชิงจื่อ
ท่ามกลางความเงียบงัน หวังเป่าเล่อก้มหน้าคำนับให้กับเฉินชิงจื่อ เขาไม่ได้เอ่ยอะไร เฉินชิงจื่อก็ไม่พูดอะไรเหมือนกัน เพียงแต่ประกายแสงในส่วนลึกของดวงตามีความอ่อนโยนผุดขึ้นมาพร้อมกับเสียงถอนหายใจแผ่วเบาในก้นบึ้งจิตใจด้วย
“ศิษย์น้องเล็ก…ชีวิตนี้ของศิษย์พี่ใช้เข่นฆ่าสังหาร ทำเรื่องราวที่ไม่รู้ถูกผิดลงไปมากมาย”
“ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางการเข่นฆ่าและความเสียใจ ข้าเหนื่อยล้ายิ่งนัก…”
“เข้ารู้เป้าหมายของเว่ยยางจื่อ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการยืมร่างของข้า จะครอบครองก็ได้ หรือบรรลุตามแผนการบางอย่างก็ดี เรื่องเหล่านี้ไม่เป็นปัญหาหรอก…”
“เพราะว่าข้าก็คิดจะยืมเป้าหมายของเขาเพื่อดูว่าเต๋าของข้าคืออะไร…”
“ขณะเดียวกัน…ข้าก็ต้องทำภารกิจของสำนักแห่งความมืดด้วย คำพูดของอาจารย์ก่อนวาระสุดท้ายนั้น ข้ายังไม่ลืม”
“ข้าก็รู้ตัวตนและที่มาของเจ้าเช่นกัน ในเมื่อลิขิตว่าเจ้าจะต้องจากไปแล้ว…เช่นนั้นศิษย์พี่ก็จะใช้วิธีการของตัวเองไปผนึกพลังทั้งหมดที่ขัดขวางไม่ให้เจ้าจากไป มันไม่ไร้ค่าหรอกนะ…ความสัมพันธ์ศิษย์พี่ศิษย์น้องของเจ้ากับข้าน่ะ”
“ข้าไม่รู้หรอกว่าข้าจะทำได้หรือไม่ แต่ต่อให้สุดท้ายข้าจะล้มเหลว แต่คิดดูแล้ว…ข้าได้มอบโอกาสไปจากที่นี่ในอนาคตให้แก่เจ้าด้วย”
“เจ้าไปยั่วยุตระกูลไม่รู้สิ้นก็เพื่อทำให้ข้าเห็นพลังต่อสู้ของเว่ยยางจื่อชัดๆ เช่นนั้นข้า…ก็จะทำให้เจ้าได้เห็น…ว่านอกโลกแห่งศิลามีอันตรายและอุปสรรคอะไรอยู่”
“บางที…นี่อาจเป็นการจากลาตลอดกาล” เฉินชิงก้มหน้าพึมพำ คำพูดเหล่านี้เขาไม่ได้เอ่ยกล่าว เพียงดังก้องอยู่ในใจเท่านั้น เขามองดูหวังเป่าเล่อโค้งคำนับ มุมปากของเขาเผยรอยยิ้มออกมา
รอยยิ้มนี้มาพร้อมกับความไม่เสียใจและความแน่วแน่ เขาหันหน้าจ้องมองไปยังส่วนลึกของอวกาศ จากนั้นเขาก็หลับตาลง นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอวกาศ เข้าไปย่อยเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นที่กลืนกินเข้าไปในร่างอย่างเต็มกำลัง
“เมื่อย่อยสลายจนสมบูรณ์ นั่นก็คือวันที่ข้า…เฉินชิงจื่อ จะทะลวงโลกาแสวงหาเต๋า!”
………………………
ทันทีที่คำนับลงไป ร่างของเว่ยยางจื่อก็สั่นสะเทือนรุนแรง แล้วพ่นเลือดคำใหญ่ออกมาทันที
ภาพนี้ หวังเป่าเล่อดูไม่ค่อยเข้าใจอยู่สักหน่อย แต่กลับไม่ได้ส่งผลต่อการรับรู้ของเขา หลังจากจักรพรรดิแห่งความมืดคำนับครั้งที่สาม ก็คล้ายจะมีพลังที่อยู่เหนือการรับรู้ของเขาส่งผลต่อทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบ และก็เพราะพลังสายนี้เองที่ทำให้เว่ยยางจื่อบาดเจ็บสาหัสในพริบตา
และเมื่อเว่ยยางจื่อบาดเจ็บสาหัส การสลายของปราณมืดในอวกาศผืนนี้จึงล่าช้า ขณะเดียวกัน แหล่งที่มาของปราณมืดที่รุนแรงยิ่งกว่าก็ระเบิดออกมา และแหล่งที่มานี้…ไม่ได้อยู่รอบๆ แต่อยู่ที่…ภายในร่างของเว่ยยางจื่อ!
“คำนับครั้งที่สามของจักรพรรดิแห่งความมืดช่างดีนัก!” สีหน้าของเว่ยยางจื่อไม่น่ามอง ร่างกายถอยหลังเร็วรี่ แต่กลับกระอักเลือดออกมาไม่หยุดอย่างไม่อาจควบคุม ยิ่งกว่านั้นคือไม่อาจสะกดกลั้นปราณมืดมหาศาลที่พวยพุ่งออกมาจากภายในร่างของเขาตอนนี้ได้ด้วย
ถ้าหากกล่าวว่าคำนับครั้งแรกคือเปลี่ยนโลกให้กลายเป็นความมืด คำนับครั้งที่สองบุปผาดำเบ่งบาน เช่นนั้นคำนับครั้งที่สาม…ก็คือพลิกผันเป็นตาย ปลูกฝังแหล่งกำเนิดความมืด บังคับให้ร่างที่ถูกปลูกฝังเปลี่ยนเป็นร่างแห่งความมืด
ตอนนั้นจักรพรรดิแห่งความมืดก็เคยใช้วิชานี้ เพียงขาดไปนิดเดียวก็จะสำเร็จแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังพ่ายแพ้ มาวันนี้เขาใช้ออกมาอีกครั้ง ทำให้ปราณมืดภายในร่างของเว่ยยางจื่อพลิกตลบรุนแรง ถึงขั้นที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าร่างกายของเขากำลังแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว
ความตายกำลังอยู่บนร่างของเขา ครอบงำพลังชีวิตของเขา ราวกับการกลายเป็นความมืดนี้ไม่อาจย้อนกลับได้
แค่ใช้การคำนับครั้งที่สามออกมาก็เห็นได้ชัดว่าต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงมาก เพราะเดิมทีร่างกายของจักรพรรดิแห่งความมืดเป็นเถ้าเพียงส่วนเดียว แต่ตอนนี้ร่างกายส่วนใหญ่ของเขากลับกลายเป็นเถ้าอย่างช้าๆ แล้วกระจายออกไปข้างนอก
แม้ว่าพอมองจากไกลๆ ยังพอจะเห็นเป็นรูปร่างอยู่ แต่ก็จินตนาการได้เลยว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน ทว่าในดวงตาของเขากลับไม่มีคลื่นความรู้สึกผันผวนเลยสักนิด เพียงจ้องมองไปยังเว่ยยางจื่อราวกับจะหยิบยืมโอกาสการฟื้นคืนชีพครั้งนี้มาลากเว่ยยางจื่อให้ลงหลุมไปพร้อมกับตนให้ได้ และสำหรับเขา มันก็เพียงพอแล้ว
“จักรพรรดิแห่งความมืด ถ้าหากเจ้ายังสามารถใช้ได้แค่ของพวกนี้ล่ะก็ เช่นนั้น…เจ้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอยู่ดี” เว่ยยางจื่อสัมผัสได้ถึงความเดือดพล่านของแหล่งกำเนิดความมืดภายในร่างของเขา สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตกำลังถูกสับเปลี่ยนเป็นปราณมืดที่มีอยู่กว่าครึ่งในร่างของเขาอย่างรวดเร็ว ขณะที่เขาเอ่ยพูดช้าๆ อาภรณ์เหลืองบนร่างของเขาก็ขาดกระจายทันที
เมื่อมันกลายเป็นเศษซากกระจายไปทั่ว มงกุฏจักรพรรดิบนศีรษะเขาก็พังทลายไปเอง ไม่มีมงกุฏจักรพรรดิและอาภรณ์เหลืองแล้ว ชั่วขณะนี้ จิตจักรพรรดิของเว่ยยางจื่อที่ทั้งร่างสวมเพียงชุดขาวกลับไม่เพียงไม่ลดลงเท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงได้เข้มข้นยิ่งกว่าเดิมขึ้นมาได้
“ข้าคือจักรพรรดิ เป็นนิรันดร์ไม่แหลกสลาย!” ชั่วพริบตาที่คำพูดสงบนิ่งดังออกมาจากปากเขา เต๋าสวรรค์แห่งตระกูลไม่รู้สิ้น ด้วงเกราะทองที่กำลังต่อสู้อยู่กับปลาดำก็กรีดร้องคำรามเสียงแหลมไปทั่วอวกาศ ชั่วอึดใจร่างกายของมันก็กลายเป็นลำแสงนับไม่ถ้วน กลายเป็นทะเลแสง ส่งเสียงร้องหวีดหวิวพุ่งไปยังเว่ยยางจื่อ
ภายในทะเลแสงแห่งนั้นมีลำแสงมากมายนับไม่ถ้วน และลำแสงทุกสาย…ล้วนเป็นวิชาเต๋า!
มันคือกฎพลังและกฎเกณฑ์ทั้งหมดที่อยู่ภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ตอนนี้ต่างพากันผสานเข้าไปในร่างของเว่ยยางจื่อ ทำให้จิตจักรพรรดิบนร่างของเว่ยยางจื่อปะทุออกมาจนถึงขีดสุดในชั่วพริบตา
จักรพรรดิ ควรเป็นผู้เฝ้ามองฟ้าดิน!
จักรพรรดิ ควรปกครองสายธารดวงดาว!
จักรพรรดิ ควรสยบสรรพสิ่ง!
ไม่ว่าจะเป็นเต๋า หรือวิชา หรือว่ากฎ ทุกอย่างล้วนสมควรจะอยู่ภายใต้สายตาของเขา ตอนนี้มันเข้ามารวมกันคล้ายกับความสมบูรณ์แบบ ทำให้บนร่างของเว่ยยางจื่อมีประกายแสงเจิดจ้าแรงกล้าสาดส่องออกมาเช่นเดียวกัน
นี่ไม่ใช่เต๋าแห่งแสง แต่เป็นหมื่นเต๋ารวมกาย หมื่นเต๋ารวมจิต พลานุภาพและพลังของเขาก็พลันระเบิดออกมาในชั่วขณะนี้เอง ปราณมืดภายในร่างถูกสยบลงไปโดยพลัน ส่วนแหล่งกำเนิดความมืดที่ถูกการคำนับครั้งที่สามปลูกฝังลงไปก็ราวกับเหี่ยวเฉา มันกระจัดกระจายอย่างรวดเร็วแล้วถูกชะล้างจนสะอาดถึงที่สุด
แต่ในชั่วขณะนี้เอง จักรพรรดิแห่งความมืดที่ร่างกายเกินครึ่งกลายเป็นเถ้าถ่าน ถึงขั้นที่ไม่อาจคงรูปลักษณ์ให้สมบูรณ์ได้ เขากลับหันหน้าไปมองเฉินชิงจื่อที่ก้มหน้าอยู่อย่างล้ำลึก จากนั้นราวกับสูดลมหายใจเข้าลึก แววตาเผยความเด็ดเดี่ยว แล้วคำนับลงไปหาเว่ยยางจื่อ!
นี่ก็คือ…การคำนับครั้งที่สี่!
ไม่เคยมีมาก่อน ปีนั้นก็ไม่ได้ใช้ออกมา…การคำนับครั้งที่สี่!
การคำนับครั้งนี้เพียงเกิดขึ้นได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ร่างกายของจักรพรรดิแห่งความมืดก็เกิดเสียงดังสนั่น คล้ายกับการพลังทลายจากข้างใน เขากลายเป็นเถ้าถ่านอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างของเขาสลายจนสมบูรณ์ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้…เถ้าถ่านที่มองรูปร่างไม่ออกกลับคล้ายจะก้มคำนับครั้งที่สี่…ได้สำเร็จ!
ทั้งยังมีเสียงของความโชกโชนผันผวนดังออกมาจากความว่างเปล่าแล้วสะท้อนก้องอยู่ในอวกาศรางๆ
“ผนึกจักรพรรดิ!”
การผนึกนี้ไม่ได้มีเจตนายึดบัลลังก์ แต่เป็นผนึกของตราผนึก!
พริบตาที่เอ่ยออกมา ร่างกายของเว่ยยางจื่อสั่นสะท้าน เมื่อเขาพลันเงยหน้าขึ้น กองขี้เถ้าที่รวมกันเป็นมัดยาวก็ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าอยู่ข้างตัวเขา แล้วเข้ามาพันรัดเว่ยยางจื่อทันใดโดยอาศัยดวงจิตที่ไม่มีทางขวางได้เป็นพื้นฐาน
ไม่ว่าเว่ยยางจื่อจะล่าถอยเช่นไร หมื่นเต๋าหมื่นวิชาภายในร่างจะระเบิดออกมาอย่างไร ก็ไม่อาจขัดขวางมัดยาวสายนี้ได้เลยสักนิด ในชั่วอึดใจ เขาก็ถูกมัดยาวที่เกิดมาจากเถ้าถ่านนี้พันมัดร่างกายไว้ทันทีแล้วกลายเป็นอักขระโบราณขนาดมหึมา
อักขระโบราณนี้ ใครก็ตามที่มองเห็น สมองก็จะมีตัวอักษรหนึ่งลอยขึ้นมาพร้อมกับเสียงสะเทือนลั่นในวิญญาณเทพ
ผนึก!
“น่าขัน!” สีหน้าของเว่ยยางจื่อไม่น่ามอง ประกายแสงในดวงตาส่องวาบ กำลังจะใช้วิชาจักรพรรดิของตนออกมา แต่ขณะนั้นเอง แม่น้ำแห่งความมืดก็ปรากฏขึ้นในอวกาศคล้ายถูกชักพา มันซัดกระหน่ำราวกับผลักภูเขาพลิกทะเล ขณะที่เว่ยยางจื่อหน้าเปลี่ยนสีรุนแรง พวกมันก็บรรจบกันอยู่ข้างตัวเขาทันทีแล้วไหลเข้าไปในอักขระโบราณที่เป็นตัวแทนผนึกแห่งนั้น!
จึงทำให้อักขระโบราณสว่างไสว ระเบิดประกายแสงน่าสะพรึงออกมาทันใด คล้ายกับมีชีวิตขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น!
หลังจากผนึกที่ใช้การสิ้นชีพของจักรพรรดิแห่งความมืดเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนนี้หลอมรวมเข้าไปในแม่น้ำแห่งความมืดแล้ว ความยิ่งใหญ่ของอานุภาพกดดันที่เกิดขึ้นมาก็เหนือยิ่งกว่าจินตนาการ และทำให้ความรู้สึกของเว่ยยางจื่อเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงเป็นครั้งแรกในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
สิ่งที่ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปไม่ใช่แค่ผนึกกับแม่น้ำแห่งความมืดเท่านั้น แต่ยังมี…เฉินชิงจื่อที่เอาแต่ก้มหน้ายืนอยู่กลางอวกาศ และชั่วขณะนี้กำลังเงยหน้าขึ้นช้าๆ พร้อมยกมือขึ้นมา
ในมือของเขาไม่มีกระบี่ไม้ แต่ในสายตาของเว่ยยางจื่อราวกับมองเห็น…เงากระบี่ไม้ ควบแน่นขึ้นออกมาจากภายในร่างกายของเฉินชิงจื่อ
“มันจบแล้ว” เฉินชิงจื่อพึมพำ มือขวาที่ยกขึ้นมาปล่อยลงไปตามใจ และพริบตาที่มันตกลงไป เว่ยยางจื่อก็คำรามเสียงต่ำ ดิ้นรนสุดพลัง ส่วนลึกในดวงตายิ่งเผยให้เห็นความไม่เชื่อและไม่ยินยอมออกมา
แต่กลับไร้ประโยชน์ ต่อจากนั้น…ปราณกระบี่สะเทือนฟ้าราวกับจะฉีกกระชากอวกาศให้ได้ มันฟาดฟันจักรพิภพแล้วเคลื่อนเข้ามา ก่อนวาบผ่านหว่างคิ้วของเว่ยยางจื่อในพริบตา
ร่างกายของเว่ยยางจื่อสั่นสะท้าย ที่หว่างคิ้วมีรอยแยกหนึ่งเส้น เขานิ่งงันไป ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น มองไปยังเฉินชิงอย่างล้ำลึก ทันใดนั้นมุมปากก็เผยรอยยิ้มออกมา
รอยยิ้มนี้หายไป…ในพริบตา
เพราะชั่วขณะนี้ร่างกายของเขา…ระเบิดออกมาตรงๆ แล้วกลายเป็นเถ้าถ่าน กระจัดกระจายไปทั้งแปดทิศ และเมื่อมันสลายไป เส้นสายที่เกิดจากกฎเกณฑ์พลังเต๋าทั้งหลายก็หลุดออกมาจากจุดที่ร่างกายของเขาพังทลาย จากนั้นเมื่อเกิดเสียงร้องคำรามของปลาดำจากสำนักแห่งความมืดกลางอวกาศ เส้นสายเหล่านี้ก็พุ่งทะยานไปหาปลาดำ
เว่ยยางจื่อตาย เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นแตกสลาย อวกาศในตอนนี้มีเพียงเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดเท่านั้น ดังนั้นในตอนนี้ กฎเกณฑ์พลังไร้เจ้าของเหล่านี้จึงรวมเข้าด้วยกัน กำลังจะเข้าไปใกล้ปลาดำและกำลังจะถูกดูดซับไปแล้ว
“รอเดี๋ยว!” เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นภาพนี้ ในใจก็สั่นสะท้าน เขามองเห็นรอยยิ้มก่อนตายของเว่ยยางจื่อ ความจริงต่อให้ไม่มีรอยยิ้มนี้ ที่ส่วนลึกภายในใจของเขาก็ยังมีข้อสงสัยอย่างหนึ่งผุดขึ้นมาอยู่ดี
นั่นก็คือ…ตั้งแต่ต้นจนจบ เว่ยยางจื่อคล้ายจะตายไปง่ายเกินไปแล้ว!!
ดูเหมือนจะยากลำบาก แต่ความจริงแล้ว…ราวกับอีกฝ่ายให้ความร่วมมือด้วย ตอนนี้เมื่อเห็นเส้นสายของกฎเกณฑ์พลังวิชาเหล่านั้นแล้ว ความรู้สึกแบบนี้ในใจของเขาก็ยิ่งแรงกล้ามากขึ้น
“ไม่เป็นไร ข้าเดาแผนการของเขาได้ นี่คืออุบายของเขา และเป็น…เรื่องที่ข้ารอคอยมานานแล้ว ข้าอยากจะรู้ว่า เต๋าของข้า…ที่แท้มันคืออะไรกันแน่ เป่าเล่อ ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย” เฉินชิงจื่อเอ่ยเสียงเบา จ้องมองหวังเป่าเล่อคราหนึ่ง รอยยิ้มอ่อนโยน ยกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้นปลาดำเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดก็อ้าปากกว้าง กลืนเข้าไปพร้อมเสียงคำรามลั่น…
เส้นสายของกฎเกณฑ์กฎพลังทั้งหมดเข้าไปในปากของมันทันที!
…………………………
หวังเป่าเล่ออยู่ห่างออกไป หลังจากมองดูภาพนี้ ดวงตาก็หดเกร็ง เมื่อพินิจดูอย่างละเอียดแล้วเขาก็มั่นใจเต็มร้อยว่าเงาร่างที่เดินออกมาจากแม่น้ำแห่งความมืดก็คือศพจักรพรรดิแห่งความมืดที่ตนเห็นในโลงศพวันนั้น
เห็นได้ชัดว่าทางเฉินชิงจื่ออาจจะใช้สมบัติชั้นสูงอะไรบางอย่างหรือไม่ก็ใช้วิชาย้อนสวรรค์สักอย่างออกมา ถึงได้ทำให้เขากลับมาเหมือนกับฟื้นคืนชีพ โดยเฉพาะอานุภาพกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างของอีกฝ่ายในตอนนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเว่ยยางจื่อเลย ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเดาได้ว่านี่คงจะเป็นเคล็ดวิชาลับของเฉินชิงจื่อ
แทบจะทันทีที่สายตาของหวังเป่าเล่อทอดมองไป จักรพรรดิแห่งความมืดผู้เดินออกมาจากแม่น้ำแห่งความมืดก็จ้องมองอย่างเย็นชาไปยังเว่ยยางจื่อด้วยท่าทางจริงจัง ไม่พูดอะไรก็กอบหมัดคำนับอย่างล้ำลึกไปยังเว่ยยางจื่อตรงๆ!
นี่ดูคล้ายกับเป็นการคำนับธรรมดาๆ แต่กลับทำให้สีหน้าของเว่ยยางจื่อเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง ร่างของเขาถอยร่นเร็วรี่ หวังเป่าเล่อก็มองเห็นเค้าเงื่อนแล้วเช่นกัน เพราะถึงอย่างไรสถานะของจักรพรรดิแห่งความมืดก็คือจักรพรรดิ การคำนับของเขาจะต้องมีจุดแปลกประหลาดอยู่แน่ๆ
ความจริงเป็นเช่นนั้นจริงๆ แทบจะทันทีที่จักรพรรดิแห่งความมืดคำนับไปทางเว่ยยางจื่อ แม่น้ำแห่งความมืดก็สะเทือนสนั่น แม่น้ำในนั้นไหลกลิ้งหนักหน่วง ชั่วขณะนี้เอง ปราณมืดก็กวาดไปทั้งแปดทิศอย่างบ้าคลั่ง ในชั่วพริบตา อวกาศของทั่วทั้งจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้นกลับถูกปราณมืดที่ราวกับผลักภูเขาพลิกทะเลพวกนี้ปกคลุมไว้จนสิ้น
เมื่อเกิดการปกคลุมห่อหุ้ม กลิ่นอายของจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้นก็ผันผวนขึ้นมา ราวกับกลายเป็นมิติแห่งความมืดอย่างไรอย่างนั้น พลังชีวิตและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดพากันตัวสั่นสะท้านในระดับต่างๆ กันขึ้นมาตอนนี้เอง ผู้ที่อ่อนแอก็หมดสติไปทันที ต่อให้เป็นผู้แข็งแกร่งก็ยังมีคลื่นมโหฬารซัดโหมอยู่ในใจ
แม้จะเป็นปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ตอนนี้สีหน้าของเขาขาวซีด ต่อต้านไว้เต็มกำลัง มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้น เพลิงดำภายในร่างลุกโชนแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชั่วพริบตา ทำให้เมื่ออวกาศแห่งนี้กลายเป็นมิติแห่งความมืด เขาจึงไม่เพียงไม่ได้รับผลกระทบ กลับยังอิสระเบาสบายยิ่งกว่าเดิม
ขณะเดียวกัน เมื่อเห็นว่าปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณคล้ายจะทนไม่ไหว หวังเป่าเล่อก็พลันโบกมือ เพลิงดำแผ่ออกมาครอบคลุมปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณเอาไว้ แบ่งไปให้เขาเป็นส่วนใหญ่ จึงทำให้สีหน้าของปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณฟื้นกลับมาบ้าง เมื่อมองไปยังหวังเป่าเล่อก็ฉายแววซาบซึ้งออกมา จากนั้นยามมองไปรอบตัว เขาก็รู้สึกใจสั่นรุนแรง
“จักรพรรดิแห่งความมืด…” ท่าทางของปรมาจารย์เจ็ดวิญญาณนั้นซับซ้อน เพราะเขามองออกว่าการคำนับครั้งนี้ของจักรพรรดิแห่งความมืดได้ทำให้อวกาศกลายเป็นมิติแห่งความมืด และการระเบิดของปราณมืด โดยรวมแล้วส่วนใหญ่ไปกระจุกอยู่ที่เว่ยยางจื่อ เพียงส่งผลต่อสรรพชีวิตแค่สองส่วนเท่านั้น แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ตนก็แทบจะทนรับไม่ไหว เห็นได้ว่าช่องว่างนั้นยิ่งใหญ่มากนัก
ขณะเดียวกัน เมื่อจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้นกลายเป็นมิติแห่งความมืด พริบตาที่จักรพรรดิแห่งความมืดเงยหน้าขึ้นจากการคำนับ ทั่วทั้งมิติมืดก็มีเสียงก้องกัมปนาทดังขึ้นมา คล้ายกับการบีบอัด ปราณมืดแปดส่วนรอบๆ รวมตัวแล้วกดดันไปที่เว่ยยางจื่ออย่างพร้อมเพรียง
พลังสยบกดดันนี้สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน คล้ายกับหยิบทั้งมิติมืดขึ้นมาแล้วทุบลงไปอย่างไรอย่างนั้น ความรุนแรงเช่นนี้ต่อให้เป็นระดับจักรวาลก็ยากจะทนรับไหว ร่างกายของเว่ยยางจื่อสั่นสะเทือน อาภรณ์เหลืองทั่วร่างขยับโดยไร้ลม ชั่วพริบตานี้ ในดวงตาของเขาก็ระเบิดประกายเจิดจรัสออกมา
“ไม่ได้พบกับคำนับสามครั้งของจักรพรรดิแห่งความมืดนานแล้ว!”
“แต่ปีนั้นข้าผู้เฒ่าสามารถสังหารเจ้าได้ วันนี้ก็ทำได้เช่นกัน!” ขณะที่เว่ยยางจื่อเอ่ยพูด พลังในร่างก็ปะทุออกมาทันใด ชั่วขณะนี้อานุภาพแห่งจักรพรรดิก็ยิ่งพวยพุ่งมหาศาล จากนั้นเท้าก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว
“สายตามองทางใด สรรพสิ่งล้วนกลายเป็นภาพจักรพรรดิ!”
แทบจะในพริบตาที่เท้าของเขาเหยียบลงมา รูปภาพมายาอันงดงามหลากสีสันภาพหนึ่งก็ปรากฎขึ้นใต้เท้าของเขา ภาพนี้ขยายใหญ่อย่างไร้ที่สิ้นสุดในชั่วพริบตา กวาดไปยังอวกาศทันที แผ่ขยายอย่างบ้าคลั่งไปทั้งสี่ทิศ แล้วปกคลุมอวกาศตระกูลไม่รู้สิ้นแห่งนี้โดยตรง แผ่ขยายไปทั่วทั้งจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้น
อานุภาพแห่งจักรพรรดิไร้ใดเทียมแผ่กระจายออกมาจากบนภาพผืนนั้นพร้อมกับอานุภาพน่าเกรงขามสุดสะพรึง ถ้าหากก้มหน้ามองลงมาจากที่สูงก็จะเห็นได้ชัดเจนว่า ภายในภาพผืนนี้คล้ายจะวาดสายน้ำภูเขาและพื้นภูมิเอาไว้
นั่นก็คือ…ภาพแผนที่อาณาจักร!
ชั่วขณะนี้เอง ภาพจักรพรรดิและปราณมืดก็ปะทะเข้าด้วยกันทันที
พริบตาต่อมา เมื่อเว่ยยางจื่อยกสองมือขึ้น ทันใดนั้นภาพจักรพรรดิผืนนี้ก็ทะยานขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้าของเขา พุ่งขึ้นต้านทานอานุภาพกดดันจากปราณมืด เมื่อพุ่งลงก็ยิ่งไปสยบกดดันมิติมืด
เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังก้องขึ้นมาทันที ทำให้อวกาศบิดเบี้ยว แปดทิศโกลาหล ทั่วทั้งจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้นล้วนมีคลื่นผันผวนสะเทือนฟ้าโหมขึ้นมา การต่อสู้เช่นนี้ไม่อาจใช้วิชาเวทพลังเทพมาอธิบายได้แล้ว โดยพื้นฐานแล้วมันคือการต่อสู้ของกลิ่นอายพลัง เป็นการปะทะกันของจักรพรรดิและความตาย
ในการต่อสู้นี้ หวังเป่าเล่อก็ล่าถอยไปทันทีเช่นกัน ถ้าหากมีแค่ปราณมืดก็ช่างเถอะ แต่ในนั้นยังผสานจิตแห่งจักรพรรดิของเว่ยยางจื่อด้วย คลื่นผันผวนที่ถูกชักนำขึ้นมานั้น แม้แต่ตัวเขาก็ยังรู้สึกว่าวิญญาณเทพสั่นสะท้านรุนแรง
มีเพียงเฉินชิงจื่อเท่านั้นที่ยังยืนอยู่กลางอวกาศ เขาก้มหน้าลงแล้วจ้องมองทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ถ้าหากมองดูดีๆ แล้ว คล้ายกับว่าชั่วขณะนี้เฉินชิงจื่อกำลังเหม่อลอยอยู่ ราวกับจมอยู่ในความคิดบางอย่าง
ดูเหมือนว่าสองฝ่ายที่ต่อสู้กันจะเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่ศึกของเขากับเว่ยยางจื่ออีก แต่เป็นการต่อสู้ของจักรพรรดิแห่งความมืดกับไม่รู้สิ้น
พริบตาต่อมา ทั่วทั้งอวกาศล้วนสั่นสะเทือน การสยบกดดันของมิติมืดที่เกิดจากการคำนับครั้งแรกของจักรพรรดิแห่งความมืดก็ถูกภาพจักรพรรดิทำลายได้ จักรพรรดิแห่งความมืดมีสีหน้าสงบนิ่ง ก่อนคำนับอีกครั้งให้กับเว่ยยางจื่อ!
คำนับครั้งที่สองของจักรพรรดิแห่งความมืด!
หลังจากคำนับลงไปแล้ว ทันใดนั้นภายในมิติมืดแห่งนี้ก็พลันมีแสงริบหรี่หลายดวงปรากฏขึ้น คล้ายกับดวงดาว ดวงแสงมีจำนวนนับไม่ถ้วน ถึงขั้นที่บนภาพจักรพรรดิก็ยังมีดวงแสงจำนวนไม่ชัดเจนปรากฎขึ้นมาเช่นกัน
แสงริบหรี่แพร่กระจายราวกับเพลิงดำและยิ่งเหมือนกับตะเกียงมืด ยิ่งกว่านั้น ดวงแสงเหล่านี้ก็ยังระเบิดออกมาตามๆ กันในชั่วพริบตา แล้วผลิบานออกมากลายเป็น…ดอกไม้!
ดอกไม้เหล่านี้มีสีดำและแผ่กลิ่นอายแห่งความตายเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม กลีบดอกไม้คล้ายกับใบหน้าผี ขณะที่มันแพร่กระจายไปทั่วทั้งจักรวาล ก็มีเสียงหัวเราะแปลกประหลาดที่แยกชายหญิงแก่ชราไม่ออกดังก้องไปทั่วทั้งแปดทิศ
“บุปผาดำ!” หวังเป่าเล่อดวงตาหดเกร็ง ดอกไม้เช่นนี้เขาไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ในตำราของสำนักแห่งความมืดในนิมิตมืดนั้น เขาเคยเห็นคำอธิบายของมัน
ในคำอธิบายนั้น เขารู้ว่ามิติแห่งความมืดมีดอกไม้ชนิดหนึ่ง มีข่าวลือว่าดอกไม้ชนิดนี้แปลงมาจากดวงวิญญาณเทพของจักรพรรดิแห่งความมืดองค์แรกของสำนักแห่งความมืด เบ่งบานหนึ่งหมื่นปีและเหี่ยวเฉาหนึ่งหมื่นปี และทุกครั้ง ในชั่วอึดใจระหว่างที่มันเบ่งบานและเหี่ยวเฉา มันก็จะปล่อยพลังสะเทือนวิญญาณเทพออกมา
เพียงแต่อานุภาพกดดันเช่นนี้ไม่ได้น่าตะลึงอย่างในข่าวลือ พูดได้เพียงพอใช้ได้เท่านั้น
แต่…แม้ว่าอานุภาพกดดันของดอกไม้หนึ่งดอกจะไม่มากนัก ทว่าเมื่อมองออกไป บุปผาดำในที่แห่งนี้เกรงว่าจะมีจำนวนเป็นล้านล้านดอก อีกทั้งราวกับมีกาลเวลาไหลผ่านพวกมันไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวเบ่งบาน และอีกพริบตาเดียว…ก็เหี่ยวเฉา!
เมื่อมันเหี่ยวเฉา พลังน่าสะพรึงยากจะพรรณนาก็พลันระเบิดพวยพุ่งไปยังภาพจักรพรรดิ ทำให้ภาพจักรพรรดิผืนนั้นสั่นสะเทือนอยู่ชั่วขณะแล้วเกิดรอยร้าวขึ้นทันที จากนั้นท่ามกลางเสียงดังกัมปนาท มันก็แตกกระจาย พังทลายเป็นเสี่ยงๆ
ขณะที่มันพังทลายนั้น พลังที่สยบมิติมืดก็สลายไปเช่นกัน ทำให้ทั่วทั้งมิติมืดแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง ปราณมืดปรากฏขึ้นจากทั่วทุกทิศ บุปผาดำผุดขึ้นมากมายยิ่งกว่าเดิมแล้วเหี่ยวเฉาลงอย่างต่อเนื่อง มันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ก่อเกิดเป็นพลังน่าสะพรึงไร้ใดเปรียบสะเทือนเลื่อนลั่นไปทางเว่ยยางจื่อ
สีหน้าของเว่ยยางจื่อไม่น่ามอง ร่างกายถอยหลังอีกครั้ง มือขวายกขึ้นโบกไปข้างหน้าโดยพลัน ทันใดนั้นอาภรณ์เหลืองและมงกุฏจักรพรรดิบนร่างของเขาก็ส่องประกายแสงเจิดจ้าเสียดตา ทำให้จิตจักรพรรดิบนร่างของเขากว้างใหญ่ไพศาลอีกครั้ง ขณะที่มันปะทะกับพลังกดดันที่แผ่มาจากทั่วทุกทิศนั้น ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายเจิดจ้า ท่าทางน่าเกรงขาม ปากเอ่ยเสียงดังยิ่งกว่าอัสนี
“บัญชาจักรพรรดิ!”
“โลกานี้ไร้ความมืด!”
“กษัตริย์ตรัสคำไหนคำนั้น!”
เมื่อคำพูดของเว่ยยางจื่อดังออกมา เจตจำนงเต๋าภายในร่างของเขาก็แผ่กระจาย ความน่าเกรงขามแสนสะพรึง เจตจำนงจักรพรรดิมหาศาลราวกับพลิกย้อนวิถีเต๋า เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ ส่งผลต่อทุกสิ่งทุกอย่างในอวกาศ และเขียนโครงสร้างของอวกาศใหม่จากรากฐาน ทำให้ในชั่วพริบตา อวกาศผืนนี้ก็บิดเบี้ยวขึ้นมาทันที บุปผาดำทั้งหมดในนั้นราวกับถูกลบเลือน ล้วนแต่สลายหายไปจนสิ้น!
ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีปราณมืดทั้งหมดภายในอวกาศด้วย ถึงขนาดที่เพลิงดำภายในร่างของหวังเป่าเล่อก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน ชั่วพริบตา…มันก็หายวับไป หายไปแบบที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!
ส่วนจักรพรรดิแห่งความมืดก็เช่นเดียวกัน ร่างกายลมหายใจของเขาอ่อนแออย่างรุนแรงทันที ถึงขั้นที่บางส่วนกลับเริ่มกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว ภาพนี้ทำให้จิตใจของหวังเป่าเล่อพลิกตลบ แต่พริบตาต่อมา จักรพรรดิแห่งความมืดก็ถอนหายใจแผ่วเบา แล้วคำนับอีกครั้งไปยังเว่ยยางจื่อ!
นี่ก็คือ การคำนับครั้งที่สาม!
……………………
อวกาศเงียบสนิท มีเพียงเสียงของเฉินชิงจื่อดังก้องไปทั้งแปดทิศ สะท้อนอยู่นานไม่จางหาย
“ข้าคือเฉินชิงจื่อ เต๋าของข้าคืออะไร เจ้ารู้หรือไม่”
ท่ามกลางเสียงสะท้อนก้องนี้ กระบี่ไม้แตกสลายแล้วกลายเป็นดอกบัวไม้ค่อยๆ กระจัดกระจาย แตกสลายออกจากกัน ไม่ก่อร่างขึ้นอีก ส่วนเฉินชิงจื่อตอนนี้เงียบงัน มองดูเศษซากของกระบี่ไม้ที่สลายหายไป ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
บางทีอาจกำลังหวนนึกถึงเรื่องเก่า
“นี่…นี่…” ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณสีหน้าซีดขาว ในใจมีคลื่นยักษ์สะเทือนฟ้าซัดโหม ร่างกายถอยหลังโดยไม่รู้ตัว ราวกับแม้ว่าตรงนี้จะอยู่ห่างจากเฉินชิงจื่อมากแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่ปลอดภัย จึงถอยหลังมาตามสัญชาตญาณ
เป็นเพราะพลังต่อสู้ที่เฉินชิงจื่อแสดงออกมาเมื่อครู่นี้มันเกินกว่าที่เขาจินตนาการนัก ไปถึงระดับที่ไม่คาดคิด โดยเฉพาะ…เขาดูไม่ออกเลยว่าสิ่งที่อีกฝ่ายแสดงออกมานั้นเป็นเต๋าอะไร!
ดูคล้ายกับเต๋ากระบี่ แต่ก็ไม่เหมือน ดูคล้ายเต๋าสังหาร แต่จิตใต้สำนักบอกเขาว่านั่นก็ไม่ใช่เต๋าสังหาร!
เป็นเพราะความไม่รู้เช่นนี้ จึงทำให้จิตใจของปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณสั่นสะท้านรุนแรงเหลือล้ำ
ทางฝั่งนักบุญมืดก็เช่นกัน แม้ว่าเฉินชิงจื่อจะเป็นตัวแทนของเต๋าธาตุมืด ทั้งตัวเขาก็ยังเป็นเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืด แต่นักบุญมืดก็ยังตัวสั่นระริก ราวกับตอนนี้เขาไม่ใช่ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรวาล แต่เป็นเช่นมนุษย์ปุถุชน
“น่ากลัวเกินไปแล้ว!!” ขณะที่นักบุญมืดเอ่ยพึมพำอยู่ตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็เงียบงัน ความซับซ้อนในแววตาเข้มข้นยิ่งขึ้น คนอื่นดูไม่ออก แต่เขาที่อยู่ตรงนี้ยังสามารถมองออกได้ส่วนหนึ่ง
“ไม่ใช่เต๋ากระบี่ ไม่ใช่เต๋าสังหาร แต่เป็นความทรงจำ…หวนนึกถึงเรื่องอดีต จนเกิดเป็น…เต๋าอันสับสน”
“ดังนั้นสุดท้ายเขาจึงถามว่าเต๋าของเขาคืออะไร…” หวังเป่าเล่อถอนหายใจแผ่ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รู้ว่า ชีวิตอันสมบูรณ์แบบของเฉินชิงจื่อ ตอนนี้เมื่อดูแล้ว…บางทีอาจไม่มีความสุขอยู่เลยก็ได้
อวกาศเงียบสงบ มีเพียงเฉินชิงจื่อยืนอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งผ่านไปเนิ่นนานเขาก็เงยหน้าขึ้น แววตาฉายแววสับสน ทอดมองไปยังที่ไกลๆ จากนั้นก็มองไปยังจุดที่ร่างกายของเว่ยยางจื่อแตกสลาย
“ออกมาเถอะ ข้ารู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่”
แทบจะทันทีที่เฉินชิงจื่อเอ่ยออกมา บริเวณที่ร่างของเว่ยยางจื่อแตกสลายก็พลันบิดเบี้ยว เงามายานับไม่ถ้วนปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าแล้วรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ความน่าเกรงขามไร้ใดเปรียบและจิตแห่งจักรพรรดิสะเทือนฟ้าสะเทือนดินระเบิดออกมาทันใด
ท่ามกลางการระเบิดนี้ เงามายาเหล่านี้ก็รวมตัวกันอย่างรวดเร็ว จากนั้นจะมองเห็นด้วยตาเปล่าว่าเงาร่างของเว่ยยางจื่อกำลังก่อตัวขึ้นมา เพียงแต่เงาร่างที่ก่อตัวขึ้นมาครั้งนี้แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง!
อาภรณ์ยาวสีเหลืองทั่วร่าง ศีรษะสวมมงกุฏจักรพรรดิ ท่าทางน่าเกรงขามไร้โทสะ พลานุภาพของจักรพรรดิบนร่างของเขารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าเขาจะไม่ได้เคลื่อนไหวและไม่ได้เอ่ยอะไร แต่เขายืนอยู่ตรงนั้น จุดที่เขายืนก็คืออาณาเขตของเขา ราวกับเมื่อสายตาของเขามองมา สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนต้องคุกเข่าคำนับต่อหน้าเขา
นี่ก็คือหัวสุดท้ายของเว่ยยางจื่อ!
แม้ว่าหัวแห่งแสงสว่างและความมืดของเขาจะพังทลายไปแล้ว แม้ว่าแขนทั้งหกของเขาก็ถูกทำลายด้วย แต่เขายังมีหัวสุดท้ายอยู่ และเต๋าที่แฝงอยู่ในหัวนี้
ก็คือเต๋าแห่งจักรพรรดิ!
เต๋าชนิดนี้เป็นที่ที่สารัตถะของเขาสถิตอยู่ ซึ่งมีที่มาจาก…มหาเทพ!
นักบุญมืดเป็นคนแรกที่ทนรับไม่ไหว ในหัวของเขาเกิดเสียงอึกทึกกึกก้องทันทีแล้วเสียความรู้สึกนึกคิดไป ตัวของเขาคุกเข่าลงโดยไม่รู้ตัว เพียงแต่ชั่วขณะที่กำลังคุกเข่านั้น ลำตัวของเขาก็กลายเป็นเถ้าถ่านแหลกสลาย
ร่างกายของปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณสั่นไหวรุนแรง หวังเป่าเล่อก็เช่นกัน เขาสัมผัสได้ถึงอานุภาพมหาศาลที่แผ่ออกมาจากร่างของเว่ยยางจื่อแล้วตกลงมาที่ตน คล้ายกับมีเสียงเสียงหนึ่งร้องเสียงต่ำอย่างเผด็จการดังขึ้นในใจของเขา
“คุกเข่า!”
“คุกเข่า!!”
“คุกเข่า!!!”
ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณร้องคำราม ดวงตาแดงก่ำ คล้ายคิดจะต้านทานอานุภาพกดดันและดวงจิตนี้ให้ได้ แต่สองขาของเขากลับค่อยๆ งอลงอย่างคุมไม่อยู่จนเส้นเลือดดำทั่วร่างของปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณนูนขึ้น ไม่อาจขัดขวางได้ แต่เขาก็เป็นคนเหี้ยม เมื่อเห็นว่าต้านไม่อยู่ เขาก็ระเบิดพลังภายในร่างออกมาพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม
พริบตาต่อมา สองขาของเขาก็เกิดเสียงดังก้องแล้วระเบิดแตกสลายทันที เลือดและเนื้อกระจัดกระจาย ในที่สุดเขาที่เสียขาทั้งสองข้างก็เงยหน้าขึ้น ต่อต้านการบดขยี้สังหารจากดวงจิตของเว่ยยางจื่อไปได้
ส่วนหวังเป่าเล่อ ตอนนี้เส้นเลือดดำที่หน้าผากก็เต้นตุบเช่นกัน ดวงตาแดงก่ำด้วยสีเลือด แต่ร่างกายกลับยังอยู่ท่าเดิม ไม่ได้บิดงอแม้เพียงนิด เพราะด้านหลังของเขามีกระดานไม้ดำแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้น!
ความเย่อหยิ่งของเขาไม่ใช่สิ่งที่เว่ยยางจื่อจะทำให้จำนนได้!
ร่างเดิมของเขาก็ยิ่งไม่ใช่สิ่งที่เว่ยยางจื่อจะเหยียบย่ำได้!
ดวงจิตของเขา ชีวิตนี้ไม่คุกเข่าให้ฟ้าดิน มีเพียงพ่อแม่ มีเพียงอาจารย์!
ภาพนี้ดึงดูดสายตาของเว่ยยางจื่อในทันที และเป็นครั้งแรกที่มองไปยังหวังเป่าเล่อตั้งแต่สู้กับเฉินชิงจื่อมาจนถึงบัดนี้ แต่เพียงแค่กวาดมองเท่านั้น เพราะตอนนี้สายตาของเฉินชิงจื่อกำลังจดจ้องมาแล้วเอ่ยช้าๆ
“เจ้าเป็นร่างแยกของมหาเทพจริงๆ!”
“เฉินชิงจื่อ สิ่งที่เจ้าใช้ออกมาก่อนหน้านี้คือเต๋าอะไร!” เว่ยยางจื่อเงียบไปครู่หนึ่ง ฉับพลันก็เอ่ยขึ้น
“นั่นไม่ใช่เต๋า” เฉินชิงจื่อส่ายหน้าเบาๆ ไม่ได้พูดต่อ แต่หยิบน้ำเต้าที่แขวนไว้ที่เอวขึ้นมาแล้วดื่มเข้าปากไปอึกใหญ่ จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเบา
“เว่ยยางจื่อ มีเพื่อนเก่าคนหนึ่งของเจ้าอยากจะมาเยี่ยมเยียนเจ้าหน่อย”
“หืม” เว่ยยางจื่อหรี่ตาลง กำลังจะเอ่ยพูด แต่พริบตาต่อมาสายตาของเขาก็หดเกร็งทันที เห็นเพียงแค่เฉินชิงจื่อโบกมือ จากนั้นแม่น้ำแห่งความมืดด้านหลังของเขาก็ไหลบ่ากระทันหันแล้วมาบรรจบที่ตัวเขาทันใด ขณะที่มันไหลมาบรรจบ ด้านหลังของเขาก็ก่อเกิดเป็นวังน้ำวนมหึมา
ภายในวังน้ำวนนี้มีเสียงดังอึกทึกดังออกมา และยิ่งมีเสียงกรีดร้องคำรามมากมายแผ่กระจายไปทั้งแปดทิศ ทำให้ผู้ที่ได้ยินต่างรู้สึกปั่นป่วนในใจ
“เว่ยยางจื่อ!”
“เจ้าออกไปไม่ได้!”
“สำนักแห่งความมืดของข้ามีภารกิจที่ห้ามไม่ให้สิ่งมีชีวิตใดออกไปจากโลกแห่งศิลา!”
“ข้าผู้เป็นจักรพรรดิแม้จะสวรรคตแล้ว แต่การสืบทอดหน้าที่ของข้ายังคงอยู่ทุกชาติทุกภพ เจ้าไม่อาจจากไปได้!”
ท่ามกลางเสียงคำรามนี้ เงาร่างมหึมาก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากภายในวังน้ำวนที่รวมขึ้นมาจากแม่น้ำแห่งความมืดด้านหลังเฉินชิงจื่อ เมื่อเงาร่างนี้ปรากฏขึ้น อานุภาพจักรพรรดิแบบเดียวกันก็ปะทุอย่างมหาศาลออกมาจากภายในนั้น
ท่ามกลางการระเบิดปะทุครั้งนี้ ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก
“จักรพรรดิแห่งความมืดหรือ!”
หวังเป่าเล่อก็ใจสั่นสะเทือนเช่นกัน ตอนนี้เปลวไฟสีดำภายในร่างพลุ่งพล่านเหลือแสน มันปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา เมื่อมองไปยังวังน้ำวนแม่น้ำแห่งความมืด เขาก็มองเห็นเงาร่างที่โผล่ออกมาทันที คนผู้นั้นสวมอาภรณ์จักรพรรดิสีม่วงทั้งร่างและสวมมงกุฎจักรพรรดิ แม้ว่าใบหน้าจะขาวซีด ไอความตายทั่วทั้งกายแพร่กระจาย แต่อานุภาพกดดันและดวงจิตกลับแรงกล้าไร้ใดเทียม
เงาร่างนี้ หวังเป่าเล่อเคยเห็นแล้ว!
นั่นก็คือ…ศพของจักรพรรดิแห่งความมืดซึ่งตอนนั้นอยู่ในโลงศพ ณ ดินแดนหลุมศพที่ส่วนลึกของแม่น้ำแห่งความมืดและถูกเฉินชิงจื่อนำออกไป…เพียงแต่ตอนนี้ ศพนี้กลับคล้ายมีชีวิต!
แม้ว่าชีวิตแบบนี้จะไม่ใช่พลังชีวิต แต่เป็นไอความตาย แต่สำหรับสำนักแห่งความมืดแล้ว เท่านี้ก็เพียงพอ!
“จักรพรรดิแห่งความมืด!” เว่ยยางจื่อหรี่ตาลงแล้วเอ่ยช้าๆ
………………
การฝึกบำเพ็ญทั้งหมดในชีวิตของเฉินชิงจื่อ ก่อนที่จะผสานเข้ากับเต๋าธาตุมืด เขามีอยู่เพียงเต๋าเดียว!
และเต๋าชนิดนี้ไม่ใช่เต๋าธาตุมืด
ความจริงแล้วหลังจากทรยศสำนักแห่งความมืด เขาก็ละทิ้งเต๋าธาตุมืดของตนไป จากนั้นผ่านมาหลายปีก็ไม่ได้ฝึกใหม่ ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบ เต๋าของเขา…ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงมีเพียง…เต๋ากระบี่!
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่บนกระบี่ไม้ในมือเขาเล่มนี้ หนึ่งชีวิตแสวงหากระบี่นี้ หนึ่งชาติเดินเพียงหนึ่งเต๋า
ดังนั้นแม้ว่าต่อมาเขาจะผสานรวมกับเต๋าธาตุมืด แต่ส่วนใหญ่แล้วเพียงแค่เป็นการหยิบยืมพลังเท่านั้น เต๋ากระบี่สิถึงจะเป็นทุกอย่างของเขา และกระบี่ไม้ที่อยู่คู่กับเข้ามาเนิ่นนานเล่มนี้ วัสดุของที่ใช้ก็ธรรมดาสามัญอย่างยิ่ง
กล่าวให้ถูก มันคือแผ่นไม้แผ่นหนึ่ง เป็นแผ่นป้ายแผ่นหนึ่ง
ภรรยาผู้ถึงแก่กรรมของเขาที่ทั้งชีวิตนี้เขาเคยเห็นเพียงวิญญาณ และเคยวาดภาพใบหน้ายามอยู่ในโลกหลังความตายของนาง นี่ก็คือแผ่นป้ายของนาง ไม่ว่าการที่วิญญาณดวงนี้เกิดขึ้นมาจะเป็นอุบายก็ดีหรือความบังเอิญก็ช่าง สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ สุดท้าย…หลังจากไปเกิดใหม่ในอนาคต วิญญาณของภรรยาเขาก็จะสิ้นวาระไป สลายหายราวกับเถ้าถ่าน
ที่เขาทรยศสำนักแห่งความมืด แม้ว่าจะไม่ใช่เหตุผลนี้ทั้งหมด แต่สุดท้ายดวงวิญญาณนี้ก็ถือว่าเป็นต้นเหตุชักพา และฝังลึกอยู่ในใจของเขา หลายปีมานี้ล้วนไม่เคยสูญสลาย ดังนั้น หลังจากเขาทรยศสำนักแห่งความมืดแล้วไปยังตระกูลไม่รู้สิ้น ยืนอยู่หน้าแผ่นป้ายตอนที่ดวงวิญญาณดวงนี้ยังอยู่ เขาเงียบงันอยู่นาน ก่อนนำแผ่นป้ายนี้จากไป
หลังจากนั้น ข้างกายเขาก็มีกระบี่ไม้เล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
กระบี่นี้ติดตามเขามาจนถึงทุกวันนี้ แต่ในสายตาของเขาแล้ว เขาก็แยกไม่ถูกเหมือนกันว่าเต๋าของตนคืออะไร บางทีอาจจะเป็นเป็นเต๋ากระบี่อย่างหนึ่งจริงๆ ก็ได้ เพราะเขาสัมผัสได้ว่าบนกระบี่ไม้เล่มนี้มีระดับขั้นอยู่สามขั้น
ขั้นแรกก็คือร่างกระบี่ไม้ สามารถรบได้หลายหมื่นพันครั้ง อยู่ยงคงกระพัน
ขั้นที่สองก็คือกลายเป็นวิญญาณ ระเบิดอานุภาพออกมาหลายชั้น ไม่สนใจเต๋าทุกใดๆ ฟาดฟันสังหารทั้งหมด
ส่วนขั้นที่สามหรือก็คือร่างที่สาม มันเคยปรากฏขึ้นในใจของเฉินชิงจื่อเท่านั้น ไม่เคยแสดงให้โลกเห็น
เขาเรียกร่างที่สามนี้ว่า…ความทรงจำ
แม้จะชื่อว่าความทรงจำ แต่กลับไม่เกี่ยวอะไรกับกาลเวลาเลย ถึงขนาดนี้ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับมันเลยแม้แต่นิด เพราะว่าร่างที่สามนี้…แม้จะยังไม่เคยแสดงออกมา แต่ทุกครั้งที่ปรากฏขึ้นมาในใจเขาก็จะทำให้จิตสังหารของเขาพวยพุ่งจนถึงระดับที่ยากจะพรรณนา
ดังนั้น น่าจะเป็นเต๋าสังหาร
เฉินชิงจื่อพึมพำ จ้องมองไปยังกระบี่ไม้ตรงหน้า มองดูกระบี่เล่มนี้สั่นระริกในชั่วขณะหนึ่ง บนนั้นมีเปลือกไม้ปรากฏขึ้นทีละชั้นๆ จนกระทั่งถึงชั้นสุดท้ายก็ทำให้อวกาศสั่นสะเทือน ทำให้สีหน้าท่าทางของเว่ยยางจื่อเปลี่ยนไปเพราะจิตสังหารนี้ และทันใดนั้นกระบี่ก็ระเบิดพลังมหาศาลออกมา
จิตสังหารนี้สามารถสั่นคลอนได้ทั้งแปดทิศ
จิตสังหารนี้สามารถสั่นสะเทือนดวงดาว
จิตสังหารนี้สามารถทำให้จักรวาลพร่ามัว!
“ความทรงจำในชีวิตนี้ของข้า…ล้วนเป็นการเข่นฆ่า” เฉินชิงพึมพำเสียงเบา ไม่ได้มองไปยังเว่ยยางจื่อแต่จดจ้องที่กระบี่ไม้ เขายกมือขึ้นจับกระบี่อย่างนุ่มนวลแล้วก้าวหนึ่งก้าวไปข้างหน้าก่อนเหวี่ยงกระบี่ตามใจชอบ เกิดเป็นประกายกระบี่หนึ่งสายที่ทำให้อวกาศคล้ายจะมืดมิดในชั่วพริบตาและมีเพียงประกายแสงของกระบี่เล่มนี้เท่านั้นที่ส่องสว่าง
มันพุ่งไปหาเว่ยยางจื่อที่หน้าเปลี่ยนสีและตกใจจนพูดไม่ออกฉับพลัน
“นี่มัน…เต๋าอะไรกัน เต๋ากระบี่หรือ ไม่ใช่! เต๋าสังหารหรือ ก็ไม่ใช่!” จิตใจของเว่ยยางจื่อสะเทือนกึกก้อง นี่เป็นครั้งแรกที่ในใจของเขารู้สึกถึงวิกฤตแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนหลังจากต่อสู้กับเฉินชิงจื่อมาจนถึงตอนนี้
แม้ว่าหัวที่สองของเขาจะมีปราณมารมหาศาล แม้ว่าพลังฝึกตนและพลังรบของเขาจะทรงพลังยิ่งกว่าแต่ก่อนอย่างยิ่ง ทว่าชั่วพริบตานี้เอง เขากลับถอยหลังเป็นครั้งแรก
“ก่อนจะกราบเข้าสำนักแห่งความมืด บิดามารดาข้าตายในสงคราม ข้ากราบเข้าสำนักแล้วร่ำเรียนกระบวนวิชาสังหารคน…” เขาไม่สนใจการถอยหลังหลบเลี่ยงของเว่ยยางจื่อ เฉินชิงจื่อยังคงเอ่ยพึมพำ สุ้มเสียงแผ่วเบา คล้ายจะก้องกังวานไปกับมหาเต๋าและดังสะท้อนไปทั่วทั้งแปดทิศ แม้แต่ปลาสีดำเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดและด้วงเกราะทองเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นก็ยังตัวสั่นระริก สีหน้าฉาวแววเกรงกลัว
อันตรายไร้ที่มาทำให้ภายในใจของพวกมันสั่นเทา
“หลังจากร่ำเรียนเสร็จแล้ว ข้าก็ฆ่า!”
“ฆ่าไปหนึ่งค่าย ฆ่าไปหนึ่งกองทัพ ฆ่าไปหนึ่งประเทศ เพื่อเซ่นศพบิดามารดาข้า” เห็นอยู่ว่าเสียงของเฉินชิงจื่อแผ่วเบาและเนิบนาบ แต่คำพูดที่เอ่ยออกมาทุกคำราวกับก่อตัวเป็นพลังกดดันมหาศาลทำให้เต๋าสวรรค์ต้องถอยหลบ ทำให้เว่ยยางจื่อต้องหลบหลีกไปเรื่อย แต่สุดท้ายยังไม่ทันที่เขาจะหลบได้อย่างสมบูรณ์ คำพูดของเฉินชิงจื่อก็ดังขึ้นแล้วก้าวออกมาเป็นก้าวที่สาม ปราณกระบี่หนึ่งสายพุ่งมาถึงตัวเขาตรงๆ
เสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ภายในวิกฤตถึงชีวิตอันแรงกล้า เว่ยยางจื่อยกมือขวาขึ้น แขนของเขาแผ่กระจายเมฆหมอกแปรผันออกมาในชั่วพริบตา แต่ยังไม่ทันที่เต๋าซึ่งแฝงอยู่ในแขนของเขาจะถูกใช้ออกมาโดยสมบูรณ์ ปราณกระบี่ก็มาถึงแล้ว มันวาบผ่านไปโดยพลัน แขนขวาของเว่ยยางจื่อก็พังทลายทันที
ความเจ็บปวดรุนแรงทำให้สีหน้าของเว่ยยางจื่อพลันเปลี่ยนไปรวดเร็ว แม้ว่ามือข้างใหม่จะงอกออกมาพร้อมกับลมพายุพัดกระจาย แต่อันตรายถึงชีวิตแบบนั้นก็ยังทำให้เว่ยยางจื่อถอยหลังอีกครั้ง
“หลังจากนั้น ข้าก็ได้พบกับอาจารย์ผู้มีพระคุณ ได้รับการชี้แนะจากอาจารย์ วางดาบไม่ฆ่าคน กราบเข้าสู่สำนักแห่งความมืด…”
“ในสำนักแห่งความมืด ข้าส่งวิญญาณคนตายข้ามฟาก ดูแล้วดีงามบริสุทธิ์ เดินทางเพื่อการกลับชาติมาเกิดของเต๋าสวรรค์ แต่ความจริงแล้ว…นี่ยังคงเป็นการฆ่า เพียงแต่ครั้งนี้ สิ่งที่ฆ่าคือวิญญาณ!” เฉินชิงจื่อแย้มยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มนี้ไม่มีคลื่นผันผวนของความรู้สึกใดๆ เลยสักนิด กระบี่ไม้ในมือกวาดผ่านไปพร้อมคำพูดของเขา จิตสังหารทำให้อวกาศเย็นยะเยือก เว่ยยางจื่อกรีดร้องออกมา แขนพายุที่เพิ่งจะงอกออกมาของเขาพังทลายอีกครั้ง!
“นี่มันเต๋าอะไรกันแน่!!” เว่ยยางจื่อหนังศีรษะชา เขามองออกว่าสภาวะของเฉินชิงจื่อในตอนนี้แปลกประหลาดอย่างยิ่ง ดูเหมือนอยู่ตรงนี้ แต่ความจริงก็คล้ายไม่ได้อยู่ และพลังเทพที่ตนใช้ออกมากลับไม่อาจส่งผลใดๆ ได้เลย ทว่าแต่ละกระบี่ของอีกฝ่ายล้วนแต่นำพาวิกฤตยากจะอธิบายมาให้กับเขา
“ข้าเหนื่อยล้าแล้ว การหายไปของภรรยาในชีวิตหลังความตายทำให้ข้าอยากจะทำลายชีวิต ดังนั้นข้าจึงทรยศสำนักแห่งความมืด และในศึกครั้งนั้น ข้าก็ยังฆ่า ฆ่าเพื่อนร่วมสำนักในวันเก่าก่อนที่สำนักแห่งความมืด ฆ่าผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่บุกรุกเข้ามา…”
“เดิมทีคิดว่าเมื่อศึกนี้จบลง ข้าจะไม่ฆ่าอีกแล้ว ไม่คิดเลยว่า…ในจักรวาลของตระกูลไม่รู้สิ้น ข้ากลับเกิดการหวนนึกถึง หวนนึกถึงสำนักแห่งความมืด หวนนึกถึงศิษย์น้องเล็ก หวนนึกถึงอาจารย์…”
“ความทรงจำก็เหมือนยาพิษ เหมือนแมลงพิษ กลืนกินทุกอย่างของข้า วิธีกำจัด…มีเพียงฆ่า!” สีหน้าของเฉินชิงจื่อนิ่งสงบ แต่คำพูดที่เอ่ยออกมากลับทำให้คนที่ได้ยินตกตะลึงอยู่ในใจ ปราณกระบี่มากมายยิ่งระเบิดออกมาอย่างไร้ที่สิ้นสุด
ในช่วงวิกฤตนี้เอง สองมือของเว่ยยางจื่อผนึกมุทรา ตอนนี้สองมือของเขาก็คือสองแขนสุดท้ายจากหกแขน หนึ่งแขนคือสายฟ้า อีกหนึ่งแขนนั้น หลังจากงอกออกมาก็คล้ายเป็นหลุมดำ แฝงไว้ซึ่งเต๋าแห่งการกลืนกิน
ขณะนี้เมื่อทำมุทรา สายฟ้าก็ระเบิดออกมา การกลืนกินสะเทือนสวรรค์ ยิ่งมีเงามารที่เกิดจากปราณมาร จึงเหมือนกับเทพมารมาเยือนและปรากฏกายอยู่ด้านหลังตัวเขา คล้ายกับสยบทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้
เสียงอึกทึกกึกก้อง เมื่อปราณกระบี่มาถึง เงามารสั่นสะเทือน ปราณกระบี่ทุกสายฉีกกระชากมันไปไม่น้อย ส่วนตัวของเว่ยยางจื่อก็ถอยร่นไม่หยุดยั้ง ดวงตามีความบ้าคลั่งปรากฏอยู่
“ข้าฆ่าหมื่นตระกูล ข้าฆ่าไม่รู้สิ้น ข้าฆ่าแม่ทัพสวรรค์ ข้าฆ่าจักรพรรดิสวรรค์!”
“ข้าเป็นร้อยปี ฆ่าเป็นพันปี ฆ่าเป็นหลายหมื่นปี!”
“แต่เหตุใด ภายในใจของข้ายังถูกพิษรุกราน เหตุใด ข้าถึงยังหวนนึกถึง…เพื่อเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดแล้ว ข้าฆ่าหมื่นวิญญาณ เพื่อบรรลุถึงจุดสูงสุด ข้าฆ่าอาจารย์ ตอนนี้…ข้าก็ฆ่ามาจนถึงโลกคนเป็น ฆ่าสิ่งกีดขวางทั้งหมด ฆ่า…มหาเทพไม่รู้สิ้น!” เฉินชิงพลันเงยหน้าขึ้น ชั่วพริบตานี้เองกระบี่ไม้ในมือก็มีจิตสังหารพุ่งถึงระดับสะเทือนฟ้าไม่อาจบรรยายได้ ถึงขั้นมีรอยร้าวหลายเส้นปรากฏอยู่บนนั้น ราวกับตัวมันยากจะทนรับไหว เมื่อเฉินชิงจื่อเงยหน้าขึ้นแกว่งดาบ กระบี่นี้ก็พุ่งออกไปทันใด
ปราณกระบี่รุนแรงไม่รู้จบยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ฟันลงมาในชั่วอึดใจแล้วตกลงบนเงามารของเว่ยยางจื่อทันที เงามารสิ้นสลายในพริบตาแล้วแตกเป็นเสี่ยงๆ ปราณกระบี่ส่องวาบ เคลื่อนผ่านลำคอของเว่ยยางจื่อ
ในชั่วพริบตา…หัวเต๋ามารของเว่ยยางจื่อก็ถูกทำลาย!
แขนซ้ายสายฟ้าถูกทำลาย!
แขนขวากลืนกินถูกทำลาย!
ตัวของเขา…พังทลาย!
“ข้าคือเฉินชิงจื่อ เต๋าของข้าคืออะไร เจ้ารู้หรือไม่” อวกาศเงียบสนิท มีเพียงเฉินชิงจื่อที่ก้มหน้าลงเอ่ยพึมพำเสียงเบา
กระบี่ไม้ในมือของเขาแตกสลายทีละนิดๆ แล้วกระจัดกระจายอยู่ข้างตัวเขา มองจากไกลๆ ดูคล้ายกับดอกบัว
……………
เฉินชิงจื่อแข็งแกร่งมาก เขาสามารถทำลายเต๋าแห่งความว่างเปล่าและฝ่ามือแห่งพลังได้ในหนึ่งดาบ แม้ว่าอย่างหลังจะขาดนิ้วมือไปหนึ่งนิ้วและไม่สมบูรณ์ก็ตาม แต่เขาก็สามารถใช้กระบี่ไม้หนึ่งด้ามทำลายทั้งมือได้ในชั่วพริบตา ทั้งยังฟันแขนขวาของเว่ยยางจื่อไปด้วย เรื่องนี้อธิบายถึงความน่าสะพรึงของเฉินชิงได้เลย
แต่…ทางด้านเว่ยยางจื่อคล้ายจะน่าสะพรึงยิ่งกว่า แม้ว่าร่างเดิมของเว่ยยางจื่อจะมีสามหัวหกแขน แต่…พอแขนขาดไปข้างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นตระกูลไม่รู้สิ้นคนใดก็ย่อมมีอานุภาพอ่อนแอลง แต่ตอนนี้พลานุภาพของเว่ยยางจื่อกลับไม่ใช่แค่ไม่อ่อนแอ กลับกัน ขณะที่เสียงหัวเราะดังออกมา เขาก็ยิ่งแข็งแกร่ง
“เจ้าไม่เหมือนกับตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่น” ดวงตาของเฉินชิงฉายแววดุร้าย จดจ้องไปที่เว่ยยางจื่อแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ย่อมไม่เหมือน เดิมตระกูลไม่รู้สิ้นก็ไม่มีร่างเดิมอยู่แล้ว สิ่งที่เรียกว่าสามหัวหกแขนนั้น…เป็นเพียงชีพจรวิชาเทพเท่านั้น และชีพจรวิชาเทพนี้…ก็ไม่ได้นำมาแทนที่โชคชะตา แต่นำมา…ผนึกพลัง!”
“เฉินชิงจื่อ ให้ข้าผู้เฒ่าได้เห็นขีดจำกัดของเจ้าหน่อยเถอะ ดูว่าเจ้าสามารถทำให้ชายชราผู้นี้ปลดผนึกทั้งหมดแล้วแสดงพลังต่อสู้ที่แท้จริงออกมาได้หรือไม่!” ความคาดหวังในแววตาของเว่ยยางจื่อเข้มข้นยิ่งขึ้น ประกายแสงในดวงตาเปล่งออกมาพร้อมเสียงหัวเราะลั่น ชั่วขณะนี้ ทั่วร่างของเขามีแสงเจิดจ้าสาดส่องออกมาโดยมีศีรษะเป็นแหล่งกำเนิดในทันที
แสงนี้คล้ายกับอาทิตย์แรก แต่กลับแรงกล้าเสียยิ่งกว่า ราวกับว่าร่างกายของเขากลายเป็นแหล่งกำเนิดแสงเพียงหนึ่งเดียวของทั้งจักรวาล เมื่อมันแผ่กระจายออกมาก็ทำให้รู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ยากจะพรรณา
นี่คือ…เต๋าแสงแสว่าง!
“เว่ยยางจื่อผู้นี้มีกี่เต๋ากันแน่” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง สีหน้าของปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณข้างๆ ก็เคร่งเครียดยิ่งกว่าเดิม เมื่อพวกเขามองไป เว่ยยางจื่อก็กางแขนออก ทันใดนั้นแสงสว่างบนร่างของเขาก็กลายเป็นท้องทะเลและระเบิดสาดซัดไปทั่วทุกทิศ
“ต้องขอบคุณศิษย์น้องเล็กของเจ้า คืนพินาศของเขามอบแรงบันดาลใจให้ข้า ที่แท้เต๋าแห่งแสงก็ใช้เช่นนี้ได้ด้วย!” ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเว่ยยางจื่อ ทะเลแสงที่แผ่ซ่านอยู่บนร่างของเขาก็พุ่งไปจัดการกับเฉินชิงจื่อด้วยอานุภาพสะเทือนฟ้าสะเทือนดินตรงๆ
ในดวงตาของเฉินชิงจื่อมีประกายเย็นชาวาบผ่าน เขาไม่ได้หลบ แต่คลายมือขวาออกแล้วถือโอกาสผนึกมุทรา ชี้ไปที่กระบี่ไม้ที่ถูกเขาคลายออกจนมันพุ่งออกไปด้วยตัวเอง
“ร่างที่สอง!” เพียงแค่คำสามคำ แต่พริบตาที่มันดังออกมาจากปากของเฉินชิงจื่อ กระบี่ไม้ที่พุ่งออกไปด้วยตัวเองก็โปร่งใสในชั่วพริบตาราวกับไม่มีอยู่จริง!
เมื่อแสงทั้งหมดสัมผัสเข้ากับกระบี่ไม้โปร่งใส มันก็ทะลวงผ่านไปตรงๆ ไม่ก่อเกิดเป็นอุปสรรคขวางกั้นกันและกันแม้สักนิด เพราะความโปร่งใสเดิมทีก็บรรจุทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้อยู่แล้ว
ในชั่วอึดใจ กระบี่ไม้โปร่งใสก็ทะลวงผ่านทะเลแห่งแสง พุ่งทะยานไปยังเว่ยยางจื่อ ส่วนเต๋าแห่งแสงสว่างของเว่ยยางจื่อก็ส่งเสียงหวีดหวิวเข้ามาใกล้กับเฉินชิงจื่อเพื่อบดขยี้เขาให้สิ้น
ฉากนี้รวดเร็วหาใดเปรียบ แม้แต่หวังเป่าเล่อหรือปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณก็ทำได้เพียงฝืนพยายามมองเห็นให้ชัดเจนเท่านั้น ชั่วพริบตา เสียงดังก้องกังวานเทียมฟ้าก็สะท้อนก้องไปทุกสารทิศ อวกาศในบริเวณที่ทั้งสองฝ่ายสัมผัสกันถูกทำลายสิ้นโดยสมบูรณ์และเกิดเป็นหลุมดำ แต่หลุมดำที่สามารถกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างแห่งนี้ ในชั่วขณะนั้นกลับคล้ายสูญเสียพลังของตัวเอง ยากจะทำอะไรเฉินชิงจื่อกับเว่ยยางจื่อแม้เพียงนิด
แต่ทะเลแสงนั้นไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ตอนนี้หลังจากมันแพร่กระจายไปหาเฉินชิงจื่อแล้วก็ทำให้ร่างกายของเฉินชิงจื่อต้องถอยร่นออกไป ร่างกายคล้ายจะถูกแทรกซึมอย่างรวดเร็ว มองจากตาเปล่าเห็นได้ว่ากำลังจะถูกแสงสว่างครอบคลุมไปจนหมด โชคดีที่ในชั่วอึดใจก็มีปราณมืดที่มาพร้อมความตายอันเข้มข้นแผ่ซ่านออกมาจากภายในร่างของเฉินชิงจื่อ มันต่อต้านกับทะเลแสง ท่ามกลางการสยบและขับไล่ระหว่างกันนี้เอง ร่างของเฉินชิงจื่อก็หยุดลงทันใด ไม่ใช่แค่ไม่ถอยหลังต่อ แต่ถึงขั้นพุ่งออกมาอย่างฉับพลัน
เข้าพุ่งไปยังทะเลแสงตรงๆ และปล่อยให้ทะเลแสงแพร่กระจายเข้าไปในร่าง โดยอาศัยกลิ่นอายความตายมาต้านไว้ ความเร็วเขาสูงมาก ถึงขนาดเกินกว่าความเร็วของกระบี่ไม้เสียอีก พริบตาก็ไล่ตามมาทันแล้วคว้าจับกระบี่ไม้ที่เข้ามาใกล้เว่ยยางจื่อได้ จากนั้นก็เคลื่อนมันไปที่ศีรษะของเว่ยยางจื่อด้วยความเร็วที่รวดเร็วและน่าสะพรึงยิ่งกว่าเมื่อก่อน!
ภาพนี้เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว คิดไม่ถึงว่าเฉินชิงจื่อที่อยู่ใต้ทะเลแสงและคล้ายไม่อาจประคองตัวเองต่อไปได้จะพลิกสถานการณ์ได้ในชั่วอึดใจ ถึงขั้นที่ระเบิดความเร็วเกินจินตนาการออกมา แม้แต่ทางด้านเว่ยยางจื่อก็ยังใจแกว่ง
“เขาซ่อนพลังไว้!!” ความคิดนี้เพิ่งจะลอยขึ้นมา ร่างของเฉินชิงจื่อที่ถือกระบี่ไม้ก็เข้ามาใกล้ เขาฟันไปยังศีรษะของเว่ยยางจื่อตรงๆ โดยไม่ลังเลสักนิด กระบี่ไม้ของเขายังคงโปร่งใสเช่นเคย ถึงขนาดที่ในชั่วขณะนี้เอง บนกระบี่ของเขายังระเบิดพลานุภาพเหนือล้ำยิ่งกว่าแต่ก่อนออกมาอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนเป็นโปร่งใสเมื่อกี้ ไม่ใช่ร่างที่สองที่ทำให้ไม้สมบูรณ์แบบทันที เฉินชิงซ่อนพลังเอาไว้จริงๆ ด้วย และกระบี่ไม้ด้ามนี้…ภายใต้การควบคุมของเขา ก็เป็นเช่นเดียวกัน
ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างระเบิดออกมา อวกาศส่องสว่าง แสงกระบี่ล้นหลาม เงาร่างของเฉินชิงจื่อวาบผ่านข้างกายเว่ยยางจื่อไป เลือดพุ่งออกมาจากคอของเว่ยยางจื่อ หัวของเขากระเด็นขึ้นสูง
ยังไม่จบ หลังจากวาบผ่านตัวเว่ยยางจื่อไป แม้ว่าเฉินชิงจะไม่ได้หันกายมา แต่มือถือกระบี่ไม้ฟันลงไปหนึ่งพันกระบี่อยู่ข้างหลัง ทุกกระบี่ที่ฟันลงไปมีพลังสะเทือนฟ้าระเบิดออกมา ทั้งหมดพุ่งไปโจมตีร่างขาดหัวของเว่ยยางจื่อ
แต่หนึ่งพันกระบี่นี้กลับไม่ได้แสดงพลังที่สมควรมีออกมา เพราะว่า…ความว่างเปล่าหลายชั้นกำลังพุ่งเข้ามาถึงในชั่วอึดใจ สิ่งที่สร้างความว่างเปล่าเหล่านี้ขึ้นก็คือมือซ้ายของเว่ยยางจื่อ ในชั่วพริบตา มือซ้ายของเขาก็คล้ายเป็นแหล่งกำเนิดความว่างเปล่า ชั่วขณะเดียวความว่างเปล่านับร้อยชั้นก็ซ้อนทับกันจนเกิดเป็นแนวขวางกั้น
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เฉินชิงจื่อก็ได้เตรียมท่าไม้ตายนี้มานานแล้ว ไม่ใช่จะสามารถทำลายกันได้ง่ายๆ ความว่างเปล่านับร้อยทับซ้อนกันของเว่ยยางจื่อจึงพังทลายโดยพลัน สิ่งที่ถูกทำลายไปด้วยก็ยังมีมือซ้ายของเขา
เขาใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องแลกเปลี่ยน สุดท้ายก็สามารถทำลายท่าไม้ตายของเฉินชิงจื่อได้ ขณะเดียวกัน ลำตัวของเว่ยยางจื่อก็ถอยหลังกะทันหัน ตอนนี้บนลำคอที่ไร้หัวมีปราณมืดแผ่ออกมาแล้วก่อตัวเป็นหัวที่สอง ขณะเดียวกันมือซ้ายที่เสียไปของเขาก็งอกออกมาใหม่อีกครั้ง
อีกทั้งในชั่วขณะที่แขนซ้ายข้างใหม่นี้ปรากฏขึ้นมากลับมีสายฟ้าพัวพันอยู่ พลานุภาพแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม แต่…ทั้งหมดนี้เมื่อเทียบกับหัวที่สองที่งอกออกมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ส่วนสำคัญเลย
พริบตาที่หัวที่สองของเขาปรากฏขึ้น ความว่างเปล่าก็สะเทือนเลื่อนลั่น อวกาศสั่นไหว ความชั่วร้ายดำมืดไร้ใดเทียมปะทุออกมาในพริบตา คล้ายกับไอมาร เหมือนกับเต๋ามาร แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับแสงสว่างก่อนหน้านี้ และถึงขนาดทรงพลังยิ่งกว่าด้วย
แม้แต่กลิ่นอายของเว่ยยางจื่อก็เปลี่ยนไปทันทีพร้อมกับการปรากฏขึ้นของหัวที่สอง ผมของเขาปลิวไสว ท่าทางองอาจ ทั่วร่างแผ่ความชั่วร้ายไร้ที่สิ้นสุด เขายืนอยู่ตรงนั้น ปราณมืดแผ่ออกมานอกร่างราวกับสามารถกัดกร่อนจิตใจทั้งหมดได้
“น่าสนใจ!” เขาสั่นศีรษะ มุมปากของเว่ยยางจื่อเผยรอยยิ้มเหี้ยมออกมา เขามองไปยังเฉินชิงจื่อที่มีสีหน้าอึมครึมเล็กน้อย และเฉินชิงจื่อก็มองเห็นเต๋าของเว่ยยางจื่อแล้ว
อันที่จริง ชั่วขณะนี้หวังเป่าเล่อกับปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณก็มองเห็นความจริงแล้วเช่นกัน
เว่ยยางจื่อมีสามหัวหกแขน ทุกหัวแฝงไว้ซึ่งมหาเต๋าหนึ่งสาย ทุกแขนก็เช่นเดียวกัน อย่างเช่นหัวที่ถูกตัดไปนั้นแฝงไว้ซึ่งเต๋าแห่งแสงสว่าง และหัวที่สองนี้ก็เห็นได้ชัดว่าเบนไปทางสายมาร เป็นเต๋าประเภทความมืด
ส่วนแขนของเขา สองข้างที่ถูกเฉินชิงจื่อตัดทิ้งไปนั้น ข้างหนึ่งแฝงไว้ซึ่งเต๋าพละกำลัง อีกข้างก็เป็นเต๋าแห่งความว่างเปล่า ส่วนแขนข้างใหม่ที่งอกออกมานี้ เมื่อเห็นว่ามีสายฟ้าพัวพันอยู่ก็รู้เลยว่ามันคือเต๋าอัสนี
นี่ยังเป็นแค่ครั้งที่สอง สิ่งสำคัญที่สุดคือ ทุกครั้งที่เว่ยยางจื่อเสียหัวหรือแขนไป พลังฝึกปรือของเขาก็คล้ายถูกปลดผนึกจริงๆ มันแข็งแกร่งทรงพลังยิ่งกว่าเดิม หากเป็นเช่นนี้ต่อไปความยากที่จะเอาชนะก็จะเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทาอยู่เงียบๆ เขาเดินออกมาทันที ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณก็กัดฟันพุ่งออกมาเช่นกัน เดิมทีพวกเขาไม่คิดเข้าร่วมรบ แต่เมื่อดูจากตอนนี้แล้ว แม้ว่าพลังช่วยเหลือจะไม่มากนัก แต่ก็ไม่อาจทนดูต่อไปได้
“ดูเฉยๆ ก็พอ!” แต่ขณะที่ทั้งสองคนพุ่งออกมา เฉินชิงจื่อก็เอ่ยขึ้นทันใด แววตาของเขามีความเย็นชาส่องวาบ เขาจดจ้องไปยังเว่ยยางจื่อ ยกมือขวาขึ้นโบกแล้วเอ่ยออกมา
“ร่างที่สาม!”
………………………………..
แม่น้ำแห่งความมืดไหลบ่าราวกับแยกอวกาศออกเป็นสองส่วน ด้านหลังแม่น้ำแห่งความมืด กลิ่นอายแห่งความตายกลิ้งตลบเทียมฟ้า คล้ายจะมองเห็นเงาร่างของวิญญาณคนตายนับไม่ถ้วนกำลังเกลือกกลิ้งอยู่ในนั้นได้รางๆ
ด้านหน้าแม่น้ำแห่งความมืด อวกาศไม่รู้สิ้นเปล่งแสงเจิดจรัสราวกับมีพลังชีวิตมหาศาลกำลังระเบิดออกมาต้านกับความตาย
เมื่อมองไป ด้านหนึ่งคือไม่รู้สิ้น ด้านหนึ่งคือมิติแห่งความมืด!
ยิ่งกว่านั้นและด้านหลังของเฉินชิงจื่อก็มีกลิ่นอายแห่งความตายแพร่กระจายออกมา ปลาสีดำมหึมาตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากในนั้น แววตาเฉียบคม มันลอยมาอยู่บนเฉินชิงจื่อแล้วมองลงไปยังไม่รู้สิ้น
ขณะเดียวกัน ภายในอวกาศของไม่รู้สิ้น ที่ข้างกายของเว่ยยางจื่อ ด้วงเกราะทองขนาดมหึมาหาใดเปรียบตัวหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมเสียงร้องคำราม มันมองไปยังปลาสีดำตัวนั้นความไม่เป็นมิตรเต็มเปี่ยม คล้ายกับว่าทั้งสองเป็นศัตรูโดยธรรมชาติ ไม่อาจอยู่ร่วมกันได้!
“เว่ยยางจื่อ”
“เฉินชิงจื่อ”
สายตาของทั้งสองฝ่ายบรรจบกันอย่างคุ้นเคย และการจ้องตากันก็ราวกับแฝงไว้ซึ่งพลังมหาศาล ทำให้อวกาศสั่นสะเทือนแล้วเกิดรอยแยกขนาดใหญ่รอยแล้วรอยเล่า เหมือนกับถูกฉีกขาด
หวังเป่าเล่อและปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณรวมถึงนักบุญมืดทั้งสามคนถอยหลังทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่นิด เมื่อออกมาห่างแล้ว พวกเขาก็กระจ่างแจ้งดีว่าการต่อสู้ต่อไปนี้ไม่ใช่ของพวกเขาอีกต่อไป แต่เป็นของ…เฉินชิงจื่อ
สีหน้าของหวังเป่าเล่อซับซ้อนเล็กน้อย เขาลอบถอนหายใจออกมา ความจริงแล้วครั้งนี้เขาจะไม่ลงมือก็ได้ แต่สุดท้ายเขาก็ยังมาเข้าร่วม เพราะเขาคิดจะสร้างโอกาสลงมือให้กับเฉินชิงจื่อ
ตอนที่ทั้งสองคนกำลังเตรียมพร้อมรบอยู่นั้น ว่าตามหลักการแล้ว ฝ่ายหลุดพลังออกมาก่อนย่อมเป็นผู้เสียเปรียบ โดยเฉพาะถ้าหากตัวเขาบาดเจ็บด้วยยิ่งแล้ว จะทำให้ก็ยิ่งเสียเปรียบหนักเข้าไปใหญ่
และทางฝั่งเว่ยยางจื่อก็เป็นผู้ที่จบการเตรียมพร้อมรบก่อนเพราะการโจมตีของหวังเป่าเล่อและปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณรวมไปถึงคนจากสำนักแห่งความมืดสองสามคนนั้น แม้ว่าอาการบาดเจ็บจะไม่หนักหนา แต่นิ้วมือที่หักไปก็ไม่อาจย้อนกลับมาเขา
ตัดนิ้วขาดหนึ่งนิ้ว!
นี่คือขีดสุดที่พวกหวังเป่าเล่อสามารถทำได้ในตอนนี้ แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ได้ทดสองพลังต่อสู้ของเว่ยยางจื่อในทางอ้อมด้วย กล่าวตามตรง มันสามารถทำให้ทางเฉินชิงจื่อมีแผนการอยู่ในใจได้
“สิ่งที่ข้าทำได้มีเพียงเรื่องพวกนี้แล้ว” หวังเป่าเล่อถอยไปเรื่อยๆ อย่างเงียบงัน และตอนที่พวกเขาสองสามคนถอยหลังมานั้น เสียงของเว่ยยางจื่อก็ค่อยๆ ดังก้องพร้อมความโชกโชนผันผวน
“เฉินชิงจื่อ ข้าผู้สูงส่งรอเข้ามานานแล้ว” เว่ยยางจื่อไม่สนใจการหนีไปของพวกหวังเป่าเล่อทั้งสามคน ตอนนี้ในสายตาของเขามีเพียงเฉินชิงจื่อ ส่วนคนอื่นๆ ล้วนไม่อาจเข้ามาอยู่ในสายตาของเขาได้
มีเพียงเฉินชิงจื่อหลังสืบทอดตำแหน่งจักรพรรดิแห่งความมืดเท่านั้นถึงจะเป็นคนที่เขาสนใจและรอคอยมากที่สุด
แววตาของเฉินชิงนิ่งสงบ จดจ้องไปยังเว่ยยางจื่อตรงหน้า เขารู้ว่าการที่หวังเป่าเล่อเป็นผู้ยั่วยุเว่ยยางจื่อครั้งนี้ก็เพื่อสร้างโอกาสให้กับตัวเขา เพื่อทำลายการสั่งสมกำลังของเว่ยยางจื่อ
อันที่จริง เรื่องนี้เป็นประโยชน์จริงๆ แม้ว่าเขาจะมองออกไปรางๆ ว่าเว่ยยางจื่อมีจุดประสงค์บางอย่าง แต่ก็ยังสามารถทำให้เว่ยยางจื่ออ่อนแอลงไปได้ในระดับหนึ่ง ทำให้ตัวเขามองเห็นขีดจำกัดของอีกฝ่ายได้
ส่วนจุดประสงค์ของเขา เฉินชิงจื่อก็เดาออกได้เกินครึ่ง อีกฝ่ายคาดหวังการต่อสู้กับตน ถึงขั้นที่ใช้คำว่า ‘รีบร้อน’ มาบรรยายถึงระดับความคาดหวังได้เลย
“ยืมมือของข้าเพื่อจะไปจากโลกแห่งศิลาหรือ…” แววตาของเฉินชิงเผยประกายคมกริบ
แม้ว่าจะเดาได้ แต่เขาก็ยังเลือกที่จะสู้รบ ถึงขนาดที่ว่าถ้าหากพวกหวังเป่าเล่อไม่ได้มาวัดขีดจำกัดของอีกฝ่ายให้แก่เขา สุดท้ายเขาก็ยังจะสู้ เพราะเตรียมการมาจนถึงที่สุดแล้ว ต่อไปถ้าหากยังไม่สู้และตัวเขาเองคิดไม่ตก เช่นนั้น…ศึกกับเว่ยยางจื่อก็จะกลายเป็นจิตยึดมั่นของตัวเขาเช่นกัน
“นี่ คือวิถีของข้า!” เฉินชิงจื่อพึมพำในใจ พริบตาต่อมาแววตาของเขาก็ระเบิดประกายแสงแรงกล้า ตอนนี้เองจิตแห่งการต่อสู้ก็ยิ่งปะทุขึ้นมาในใจของเขากะทันหัน ร่างสั่นไหว คนทั้งคนกลายเป็นสายฟ้าสีดำสายหนึ่งฉีกกระชากอวกาศ แล้วพุ่งทะยานไปยัง…เว่ยยางจื่อ
เว่ยยางจื่อหัวเราะลั่นขึ้นฟ้า แววตาฉายแววตื่นเต้นออกมา ขณะที่ก้าวเท้า ร่างกายก็พุ่งออกมาเช่นกัน ทุกก้าวที่เหยียบลงก็เกิดเสียงดังสนั่นมาจากทั้งสี่ทิศ เต๋าแห่งความว่างเปล่าเข้ามาละชั้นๆ
เมื่อแต่ละชั้นร่วงลงมาก็ทำให้อวกาศราวกับถูกแช่แข็ง ชั่วพริบตาก็มีความว่างเปล่าหลายสิบแห่งซ้อนทับกันอยู่ในที่แห่งนี้แล้วขวางกั้นอยู่ตรงหน้าเฉินชิงจื่อ แต่กลับไม่มีผลใดๆ ต่อเว่ยยางจื่อแม้แต่นิด กลับทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้น ขณะที่ผนึกมุทราก็มีเสียงกึกก้องดังออกมา ความว่างเปล่าซ้อนทับกันเกินกว่าหลายร้อยชั้นไปแล้ว
ขณะที่ทั้งสองเข้ามาใกล้กัน ปลาดำจากสำนักแห่งความมืดและด้วงเกราะทองของตระกูลไม่รู้สิ้นก็ส่งเสียงกรีดร้องแหลมแล้วพุ่งออกมาเช่นกัน พวกมันไม่ได้สู้กันในระยะประชิด แต่แผ่กฎเกณฑ์และวิชาเวทของตัวเองออกมา ทำให้อวกาศสั่นสะเทือน มหาเต๋ากู่ร้อง กฎเกณฑ์และวิชาเวทที่แตกต่างกันปะทะเข้าด้วยกันอย่างไร้รูป คลื่นความผันผวนโหมซัดกระจายไปทั่วทุกทิศ แผ่ขยายไปทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น
ไม่ว่าจะเป็นเต๋าฝั่งซ้ายหรือสำนักเสริม ชั่วขณะนี้ล้วนแต่สั่นสะท้านกันทั้งนั้น
ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็หดเกร็ง เขาและปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณรวมถึงนักบุญมืดพากันถอยหลังอีกครั้งแล้วจ้องมองศึกครั้งนี้
เสียงอึกทึกกึกก้องดังสะท้อนไปทั่วฟ้า แม้ว่าความเร็วของเฉินชิงจื่อที่กลายเป็นสายฟ้าดำจะน่าตะลึง แต่หวังเป่าเล่อก็ยังพอมองเห็นเงาร่างของเขาได้ ชุดดำพลิ้วไสว ผมดำแผ่สยาย กระบี่ไม้ในมือขวาที่ยกขึ้นมาฟันทะลวงไปข้างหน้าในชั่วพริบตา
เสียงหวีดหวิดกึกก้องดังตลอดทาง ความว่างเปล่าทับซ้อนหลายชั้นที่เดิมทีมองไม่เห็นและก่อนหน้านี้สามารถขัดขวางพวกหวังเป่าเล่อไว้ได้ แต่ตอนนี้กลับขวางเฉินชิงจื่อไม่ได้เลย
ตอนนี้เมื่อกระบี่ไม้เข้าไปปะทะ มันก็แตกร้าวแล้วถล่มทลายมาตรงๆ ไม่ว่าจะเป็นสิบกว่าชั้น หรือว่าหลายสิบชั้น หรือนับร้อยชั้นก็ล้วนไม่แตกต่าง มันแตกสลายทั้งหมดพร้อมเสียงหวีดหวิวของกระบี่ไม้!
ท่ามกลางเสียงดังสนั่น เฉินชิงจื่อในร่างสายฟ้าดำได้ทำลายการทับซ้อนของความว่างเปล่าทั้งหมดจนสิ้นซากในทันที แล้วมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเว่ยยางจื่อ ก่อนฟันกระบี่ลงไป!
เว่ยยางจื่อเงยหน้าหัวเราะ จิตวิญญาณการต่อสู้ในแววตาแรงกล้าไร้ใดเปรียบ
“เฉินชิงจื่อ หวังว่าเจ้าจะไม่…ทำให้ข้าผิดหวัง!” ขณะที่เอ่ย เว่ยยางจื่อก็ยกมือขวาขึ้น เต๋าพลังปะทุออกมาทันใดแล้วกดหนึ่งฝ่ามือลงไปที่กระบี่ไม้ทันที
ฝ่ามือของเขาขยายใหญ่อย่างไร้ที่สิ้นสุดในชั่วพริบตา กลายเป็นฝ่ามือแห่งพลังแบบก่อนหน้านี้ราวกับสามารถปกคลุมทั่วทั้งอวกาศได้ จากนั้นก็ปะทะเข้ากับกระบี่ไม้ของเฉินชิงจื่อ
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว คมดาบของกระบี่ไม้สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน แม้ว่าฝ่ามือพลังจะมีอานุภาพเทียมฟ้า แต่ในชั่วขณะที่ปะทะกันนั้น มันก็พลันสั่นสะเทือน แม้ว่าจะกำหมัดลงกะทันหันเพื่อมาห่อหุ้มกระบี่ไม้ของเฉินชิงจื่อไว้ภายในก็ตาม แต่ในชั่วขณะที่กำหมัด กระบี่ไม้ก็แทงทะลุทุกสิ่งทุกอย่างออกมาตรงๆ จากภายในฝ่ามือนี้พร้อมกับแสงเจิดจ้า
เลือดสาดกระเซ็น ฝ่ามือแตกสลาย เงาร่างของเฉินชิงจื่อสงบนิ่ง หลังจากเขาปรากฏตัวขึ้นพร้อมกระบี่ไม้ ชั่วพริบตาก็มาถึงตรงหน้าเว่ยยางจื่อแล้ว เขายกมือขวาที่จับกระบี่ไม้ขึ้นมาแล้วฟันตรงไปยังลำคอของเว่ยยางจื่อทันที
รวดเร็วยิ่งนัก!
การตัดตอนนั้นเฉียบคมอย่างยิ่ง ราวกับไม่มีทางถูกขัดขวางได้เลย ส่วนเว่ยยางจื่อในตอนนี้ก็ดูจะหลบได้ยาก ขณะที่จิตใจของพวกหวังเป่าเล่อสั่นสะเทือน พวกเขาก็มองเห็นเงาร่างถือกระบี่ไม้ของเฉินชิงจื่อทะลวงผ่านข้างกายเว่ยยางจื่อไปตรงๆ!
จนกระทั่งด้านหลังของเว่ยยางจื่อมีแสงเจิดจ้านับร้อยสาย สายฟ้าดำสลายหายไปจนเผยให้เห็นร่างของเฉินชิงจื่อ สีหน้าของเขาเป็นปกติ แต่แววตาก็ไม่นิ่งสงบอีกต่อไป ทว่าเผยให้เห็นความเครียดขึง มองไปยังเว่ยยางจื่อที่ยืนอยู่ที่เดิมและเสียแขนไปหนึ่งข้าง
เมื่อครู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อหลังจากนั้น กระบี่เล่มนั้นถูกพลังแปลกประหลาดที่แผ่ออกมาจากภายในร่างของเว่ยยางจื่อบังคับเปลี่ยนทิศทาง ดังนั้นสิ่งที่เขาเสียไปจึงไม่ใช่หัว แต่เป็นแขน
มือขวาของเว่ยยางจื่อขาดออกจากร่างกาย ถึงขั้นที่หลังจากขาดออกมาแล้ว แขนที่ขาดไปก็คล้ายจะแบกรับพลังทำลายล้างจากภายในไม่ได้ จึงเริ่มแตกสลาย แต่…เว่ยยางจื่อที่ยืนอยู่ตรงนั้น ตัวของเขากลับมีแขนข้างใหม่งอกออกมาเสียได้
“สมกับที่ข้าผู้เฒ่ารอมาหลายปีเพื่อรอการต่อสู้ครั้งนี้ เฉินชิงจื่อ…เจ้าไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!” มุมปากของเว่ยยางจื่อเผยรอยยิ้มโหดเหี้ยม เสียงหัวเราะของเขาดังขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดมันก็สะท้อนก้องอยู่ในอวกาศ ทำให้ความว่างเปล่าสั่นสะเทือนจนแตกร้าวติดๆ กัน
แม้แต่นักบุญมืด เป็นเพราะว่าบาดเจ็บ ตอนนี้ท่ามกลางเสียงหัวเราะนี้ ร่างกายของเขากลับทนรับไม่ไหว เกือบจะสยบอาการบาดเจ็บไว้ไม่ได้อยู่แล้ว ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณและหวังเป่าเล่อก็มีสีหน้าอึมครึมในพริบตา
………………………
ฝ่ามือยักษ์ทรงพลัง!
พลังยิ่งใหญ่สายหนึ่งระเบิดอย่างมหาศาลขึ้นมาในฝ่ามือข้างนี้ เต๋าที่แฝงอยู่บนนั้นก็รุนแรงยิ่งนัก นั่นก็คือเต๋าพลัง เน้นที่จุดสูงสุดของพลัง คล้ายกับสามารถทำลายทุกสิ่งกำจัดทุกอย่างได้
ดาบกระดูกที่แปลงมาจากเทพอัฐิเข้าไปใกล้เป็นอันดับแรก แต่แทบจะทันทีที่เข้าใกล้และฟันทะลวงไปยังฝ่ามือนี้ด้วยเสียงดังสนั่น ดาบกระดูกเล่มนี้กลับสั่นสะเทือนรุนแรงขึ้นมาตัวเอง รอยร้าวสายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้นบนนั้นอย่างคาดไม่ถึง
ส่วนตอนนี้ต้นไม้สุสานวิญญาณก็มาถึงทันที อักขระโบราณและซากศพที่แปลงมา หรือแม้แต่ร่างจริงของต้นไม้สุสานวิญญาณก็ก่อตัวเป็นลมพายุกระแทกเข้ากับฝ่ามือข้างนั้นโดยตรง
เสียงดังกึกก้องเทียมฟ้า อักขระโบราณจำนวนนับไม่ถ้วนพังทลายทันที ซากศพก็ส่งเสียงกรีดร้องระทมออกมา เถ้าและควันกระจัดกระจาย ถึงขนาดที่แม้แต่ร่างจริงของต้นไม้สุสานวิญญาณก็คล้ายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ
เห็นได้ชัดว่า แค่เพียงเทพอัฐิกับสุสานวิญญาณเดิมก็ไม่มีทางสั่นคลอนมือยักษ์ของเว่ยยางจื่อได้เลยสักนิด แต่ในศึกครั้งนี้ ผู้ที่ใช้เคล็ดวิชาลับออกมาไม่ได้มีแค่พวกเขาสองคน ในชั่วอึดใจ ผมยาวสีม่วงที่แปลงมาจากนักบุญมืดก็เข้ามาใกล้พร้อมเสียงหวีดหวิว มันไม่ได้โจมตีตรงๆ แต่เข้าไปพันรัดในชั่วพริบตา อีกทั้งเลือกพันเพียงนิ้วเดียวเท่านั้น มันพันรัดเป็นวงกลมจำนวนนับไม่ถ้วนอย่างฉับพลัน ยิ่งกว่านั้นยังมีการกัดกร่อนรุนแรง ทำให้นิ้วมือที่ถูกมันพันเอาไว้เกิดรอยด่างดำขึ้นมาทันที
ส่วนฝ่ามือของเว่ยยางจื่อข้างนี้ ในที่สุดตอนนี้เอง อานุภาพน่าตะลึงของมันก็หยุดนิ่งเล็กน้อยกลางอวกาศและช้าลงเพราะการร่วมมือกันโดยไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้นของระดับจักรวาลทั้งสามคนจากสำนักแห่งความมืด
ขณะที่มันเชื่องช้าและเสียงอึกทึกดังสะท้อนก้องไม่หยุด กระบองยักษ์ของปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณ หรือแม้แต่รอยประทับเต๋าสามสิบกว่าตนด้านหลังของเขาก็มาถึงแล้ว ขณะที่เกิดเสียงกัมปนาทดังสะเทือนฟ้า กระบองยักษ์ด้ามนั้นก็สัมผัสกับฝ่ามือโดยตรง จุดที่มันทุบลงไปก็คือนิ้วที่ผมยาวของนักบุญมืดพันรัดเอาไว้
รอยประทับเต๋ากว่าสามสิบตนด้านหลังกลายเป็นเงาร่างสามสิบร่างที่ระเบิดพลังฝึกปรือออกมาทั้งหมดพร้อมๆ กัน แต่ละร่างพุ่งเข้ามาโจมตี ชั่วขณะนี้เอง จะสามารถมองเห็นถึงความแข็งแกร่งของปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณได้ เขาอาศัยกำลังของคนคนเดียวต้านกับฝ่ามือของเว่ยยางจื่อที่ยื่นขยายออกมาให้อยู่ที่เดิมตรงๆ
แม้ว่าร่างกายของปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณจะสั่นระริก เส้นเลือดดำที่หน้าผากปูดโปน พลังฝึกตนทั้งหมดพลุ่งพล่านออกมา แม้แต่กายเนื้อก็ส่งเสียงแกร่กกรั่กอย่างทนรับไม่ไหว แต่…ฝ่ามือของเว่ยยางจื่อกลับไม่อาจดันเข้ามาได้อีกแม้แต่น้อย ตอนนี้นิ้วชี้บนนั้นสั่นเทารุนแรง จุดที่ถูกผมสีม่วงพันรัดเอาไว้ถูกกัดกร่อนอย่างชัดเจน และยังมีรอยประทับจากอดีตชาติของปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณ ทำให้นิ้วมือนิ้วนี้บิดเบี้ยว ราวกับจะหักโค่น
และการต่อต้านครั้งนี้ก็ยังไม่จบสิ้น อึดใจต่อมา…เงาร่างของเสวียนหัวที่ตลอดมาไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ก็เปลี่ยนแปลงไปทันใด ขณะที่ลงมือพร้อมเสียงคำรามต่ำ เขาก็กลายเป็นดอกบัวสีดำดอกหนึ่ง
เมื่อดอกบัวแห้งเหี่ยว ในชั่วพริบตามันกลับกลายเป็นพิษ จากนั้นก็พุ่งทะยานไปยังนิ้วมือที่บิดเบี้ยวนิ้วนั้นของเว่ยยางจื่อ มันอาบย้อมทั้งนิ้วในชั่วอึดใจ ทำให้การกัดกร่อนของนิ้วมือรุนแรงมากยิ่งขึ้น
ทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นในชั่วพริบตา แทบจะขณะเดียวกับที่เสวียนหัวลงมือ หวังเป่าเล่อก็คำรามเสียงต่ำออกมา แสงที่เกิดจากเต๋าลอกเลียนของเขาผสานเข้ากับอาทิตย์แรกคืนพินาศ ตอนนี้อาทิตย์แรกผุดขึ้นจนถึงที่สุด ประกายแสงนับไม่ถ้วนระเบิดออกมาจากข้างในแล้วเกิดเป็นทะเลแสงอันน่าสะพรึงพุ่งไปทำลายความมืดมิดและฝ่ามือของเว่ยยางจื่อ
ทะเลแสงผืนนี้เจิดจ้าบาดตายิ่งกว่าที่เคย
มองจากที่ไกลๆ ทะเลแสงคล้ายจะกวาดม้วนแหล่งกำเนิดแสงมาทั้งหมด ราวกับสามารถชำระทุกอย่างและลบเลือนทุกสิ่ง พลานุภาพสะเทือนฟ้าดังสนั่นออกมา ปะทะเข้ากับฝ่ามือพลังของเว่ยยางจื่อโดยตรง
ตอนนี้เองเสียงดังสนั่นก็สะเทือนแผ่ไปทั่วทั้งอวกาศของตระกูลไม่รู้สิ้น ดวงดาราจำนวนนับไม่ถ้วนสั่นสะเทือนขึ้นมา ทำให้สิ่งมีชีวิตมากมายหูอื้อ แม้แต่อวกาศก็ยังถล่มลงมาในบริเวณกว้างเช่นกัน สำหรับทั่วทั้งจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้นแล้ว มันคล้ายกับว่าวันสิ้นโลกกำลังมาถึง
และในบริเวณที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอยู่ก็เป็นเช่นเดียวกัน ฝ่ามือของเว่ยยางจื่อสั่นสะเทือนทันใด ทั้งฝ่ามือคล้ายจะถูกชำระล้างในชั่วพริบตา มันค่อยๆ โปร่งใส แต่ตอนนี้เอง เว่ยยางจื่อพลันร้องฮึเย็นชาดังออกมา ฝ่ามือของเขาก็บีบรัดในชั่วอึดใจ!
การบีบลงมาครั้งนี้ทำให้อวกาศสั่นสะเทือน เสียงหวีดแหลมดังก้อง การพังทลายที่ไม่เคยมีมาก่อนแผ่กระจายออกมาจากจุดที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันทันที หวังเป่าเล่อกระอักเลือด ตัวสั่นรุนแรง รู้สึกเพียงแค่มีพลังยิ่งใหญ่กวาดเข้ามาจากข้างหน้าราวกับผลักภูเขาพลิกทะเล ก่อนพุ่งเข้ามาภายในร่างของตนตรงๆ แล้วกวาดผ่านไปทั่วร่าง ค่อยๆ ทำลายพลังชีวิต ร่างกายของเขาก็พลันเซถอยอย่างไม่อาจควบคุมเพราะพลังอันยิ่งใหญ่สายนี้ เขาพ่นเลือดออกมาสามคำติดต่อกัน โชคดีที่แม้ว่าเมล็ดเต๋าธาตุน้ำภายในร่างจะถูกสยบ แต่พลังธาตุไม้ยังคงมีมหาศาลอย่างเดิม และในช่วงวิกฤต วิชาลอกเลียนของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นเต๋าธาตุทอง
ด้วยกฎทองเสริมน้ำที่พยายามเติมเต็มธาตุน้ำที่แห้งผากไป จึงทำให้การหลั่งไหลของมันมีพลังและหลั่งเข้าสู่เต๋าธาตุไม้ ทำให้พลังชีวิตถูกฟื้นคืนมาสมบูรณ์ ขณะที่พลังยิ่งใหญ่สายนั้นบุกเข้าทำลาย มันก็ซ่อมแซมตัวเองใหม่ต่อเนื่อง จึงทำให้พลังน่าสะพรึงที่แพร่เข้ามาในร่างถูกกำจัดไปทีละชั้นๆ
ส่วนปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณน่าหดหู่ยิ่งกว่า ร่างกายกระเด็นไปเหมือนกับว่าวสายขาด กระอักเลือดออกมามากถึงเจ็ดแปดคำติดต่อกัน กระบองยักษ์ในมือแตกกระจายแล้วกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว แต่ในฐานะที่เป็นปรมาจารย์ของเต๋าเจ็ดวิญญาณและฝึกบำเพ็ญมาไม่รู้ตั้งกี่ปี กลับชาติมาเกิดเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ตั้งหลายสิบครั้ง เขาจึงยังมีจุดที่น่าอัศจรรย์ของตัวเองอยู่
ตอนนี้แม้ว่าอาการบาดเจ็บจะสาหัส แม้ว่าพลังยิ่งใหญ่ภายในร่างสายนั้นจะทำลายพลังชีวิตทั้งหมด แต่ชั่วขณะนี้ แววตาของเขากลับดุดัน ยกมือขวาขึ้นและใช้นิ้วมือแตะที่หว่างคิ้วของตน วาดลงมาอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็ผ่าแยกเป็นสองส่วน
แต่ภายในร่างกายที่กำลังฉีกแยกนี้กลับมีตัวเขาอีกคนกระโจนออกมา ราวกับถอดเสื้อผ้าออกอย่างไรอย่างนั้น อีกทั้งเห็นได้ชัดว่าร่างกายอ่อนวัยกว่าสักหน่อย แต่อานุภาพยังคงเดิม แม้จะยังมีอาการบาดเจ็บอยู่ แต่กลับไม่สาหัส
วิธีการเช่นนี้ แม้ว่าจะแตกต่างกับการฟื้นฟูพลังธาตุไม้ของหวังเป่าเล่อ แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน อาการบาดเจ็บของพวกเขาสองคนล้วนอยู่ในขอบเขตที่สามารถรับได้ ทั้งยังสู้ต่อได้อีก
เพียงแต่…ระดับจักรวาลสามคนจากสำนักแห่งความมืด เห็นได้ชัดว่าไม่มีวิชาเช่นนี้อยู่ ดาบกระดูกที่แปลงมาจากเทพอัฐิแตกสลายโดยสมบูรณ์ แม้ว่าสารัตถะของเขาจะรวมตัวกันใหม่แล้วเกิดเป็นเงาร่างขึ้น แต่ก็ดำรงอยู่เพียงไม่กี่อึดใจก็ส่ายหน้าเบาๆ มองไปยังอวกาศอย่างซับซ้อนแล้วหลับตาลง ร่างกายแตกกระจายอีกครั้งแล้วสลายหายไปในอวกาศ
ระดับจักรวาล สิ้นชีพ!
ผู้ที่สิ้นชีพเช่นเดียวกันก็ยังมีสุสานวิญญาณ อักขระโบราณทั้งหมดของเขาสลายสิ้น ซากศพทั้งหมดล้วนกลายเป็นเถ้าถ่าน ตอนนี้ต้นไม้สุสานวิญญาณร่างจริงของตัวเขาก็มีรอยแตกนับไม่ถ้วน ยากจะประคองตัวต่อได้ ถึงขนาดที่แม้แต่ร่างกายก็ยังไม่อาจรวมขึ้นใหม่ มีเพียงเสียงถอนหายใจอันขมขื่นดังออกมาแล้วแตกสลายจนสิ้น
มีเพียงนักบุญมืดเท่านั้น แม้ว่าผมสีม่วงที่แปลงมาจากเขาตอนนี้จะขาดไปกว่าครึ่ง แต่ก็ยังม้วนกระเด็นออกมา สุดท้ายรวมตัวกันเป็นเงาร่างของเขา แววตาซับซ้อนเช่นกัน เงียบงันไม่พูดจา
ส่วนโชคของเสวียนหัวดียิ่งกว่า เขาถูกหวังเป่าเล่อกวาดม้วนออกมาในช่วงวิกฤต ตอนนี้เมื่อหวังเป่าเล่อโบกมือก็ถูกปล่อยตัวแล้ว แม้ว่าจะบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ไม่มีอันตรายถึงชีวิต เพียงแต่แววตาที่มองไปยังเว่ยยางจื่อเผยให้เห็นความหวาดกลัวไร้ที่สิ้นสุด
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
สู้กับพวกเขาหกคนด้วยกำลังของคนคนเดียว กลับใช้เพียงแค่ฝ่ามือเดียวก็สังหารสองคนและทำให้เจ็บหนักทุกคนได้แล้ว เพียงแต่…สำหรับเว่ยยางจื่อแล้ว ก็ไม่ใช่ไม่มีค่าตอบแทน
ฝ่ามือที่เกิดจากเต๋าพลังของเขาตอนนี้หายไปแล้ว แขนเสื้อมือขวาของเขากลายเป็นเศษซากกระจัดกระจาย และยังมีนิ้วชี้มือขวาของเขา…ตอนนี้ขาดหายไปแล้ว!
แม้ว่าจะไม่มีเลือดไหลออกมา แต่จุดที่มันหักไปก็มองเห็นได้ชัดเจน ทั้งยังคล้ายจะไม่อาจงอกขึ้นใหม่ได้ ทำให้เว่ยยางจื่อขมวดคิ้วมุ่น ก้มหน้ามองดู เมื่อเงยหน้าขึ้น ดวงตาก็มีประกายล้ำลึกเผยออกมา จ้องมองไปยังหวังเป่าเล่อและปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณรวมถึงนักบุญมืด
“ห้าธาตุฟื้นคืนอีกครั้ง ปอกเปลือกเมล็ดเต๋า พิษแห่งความมืดมิด…”
“น่าเสียดาย ถ้าหากพวกเจ้าแข็งแกร่งกว่านี้อีกหน่อย บางทีสิ่งที่ข้าเสียไปอาจไม่ใช่แค่นิ้วมือหนึ่งนิ้วก็ได้” เว่ยยางจื่อเอ่ยช้าๆ ดวงตาเผยความเย็นเยือก ยกเท้าขึ้น กำลังจะก้าวออกไป แต่ในพริบตาต่อม้า…เขาก็ถอนเท้ากลับแล้วพลันเงยหน้าขึ้นมองไปยังอวกาศ
“ในที่สุด…เจ้าก็มาแล้ว!”
กลางอวกาศ แม่น้ำแห่งความมืดไหลบ่าแล้วพลุ่งพล่านจากที่ไกลๆ เงาร่างหนึ่งร่างสถิตอยู่เหนือคลื่นน้ำ ผมยาวทั้งศีรษะ ชุดดำทั้งร่าง หนึ่งน้ำเต้าสุรา หนึ่งกระบี่ไม้
นั่นก็คือ…เฉินชิงจื่อ!
…………………
ความแข็งแกร่งของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งตระกูลไม่รู้สิ้นแสดงออกมาให้เห็นโดยสมบูรณ์ในชั่วขณะนี้เอง เต๋าแห่งความว่างเปล่าก็เหมือนกับกาลเวลา ล้วนเป็นมหาเต๋าสูงสุดภายในจักรวาลแห่งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะหยั่งรู้ได้ ถึงขนาดคนไร้โอกาสวาสนาใหญ่ก็ทำไม่ได้แม้แต่จะสัมผัสถึง
โดยเฉพาะเว่ยยางจื่อ เห็นได้ชัดว่าเขามีสีหน้าเป็นปกติ คล้ายกับว่า สำหรับเขาแล้ว การแสดงมหาเต๋าความว่างเปล่านี้ช่างเป็นเรื่องง่ายดายเหมือนกับสัญชาตญาณ สามารถใช้ออกมาสยบกดดันได้ตามต้องการ
ขณะเดียวกันพลังฝึกปรือระดับจักรวาลชั้นมหาวัฏจักรที่ผสานเข้าไปด้วย ก็ทำให้พวกหวังเป่าเล่อทั้งหกที่แม้ว่าจะไม่ธรรมดาสามัญยังเกิดอาการคล้ายจิตใจถล่มลงมาเพราะพลังกดดันสายนนี้ของเว่ยยางจื่ออยู่ดี
หวังเป่าเล่อยังดี พลังธาตุไม้ภายในร่างแผ่กระจายออกมาอย่างไม่จบสิ้น ช่วยเขาหักล้างพลังกดดันที่มาจากภายนอก ถึงยากจะทนรับ แต่ก็มีพลังให้ต้านทาน
ยังมีปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณที่เป็นเช่นเดียวกัน แม้ว่าตอนนี้สีหน้าของเขาจะซีดขาว ตัวสั่นเทา แต่แววตากลับมีจิตวิญญาณการต่อสู้ลุกโชน กระบองยักษ์ในมือก็ยิ่งส่งเสียงดังอื้ออึง คล้ายเผยความไม่ยินยอมในใจของปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณออกมา
เพียงแต่…ระดับจักรวาลทั้งสามคนของสำนักแห่งความมืดกลับน่าเวทนาอย่างยิ่งเมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันนี้ เป็นเพราะพวกเขาทั้งสามคน…ความจริงแล้วล้วนมีข้อบกพร่องถึงชีวิตอยู่ กล่าวให้ถูกคือ พวกเขาไม่ใช่คนมีชีวิต แต่ถูกแม่น้ำแห่งความมืดชุบชีวิตมาอีกครั้งและได้รับการเสริมพลังจากเจตจำนงเต๋าสวรรค์แห่งความมืดอย่างเฉินชิงจื่อ จากนั้นจึงกลับมาสู่โลก
จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่…สารัตถะจะไม่เพียงพอ ปกติเมื่อต่อสู้กับระดับเดียวกันยังดีอยู่ แต่ตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับเว่ยยางจื่อผู้ทรงพลังจนน่าตะลึง ทั้งยังถูกมหาเต๋าว่างเปล่ากดดัน จึงทำให้ข้อบกพร่องของพวกเขาสามคนขยายใหญ่ขึ้นอย่างไม่มีสิ้นสุด
โดยเฉพาะสุสานวิญญาณ แม้ว่าร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งกว่าเทพอัฐิอยู่เล็กน้อย แต่เนื่องจากต้นไม้สุสานวิญญาณที่เป็นร่างจริงของเขาแห้งเหี่ยวไปแล้ว แม้จะถูกชุบชีวิตก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นเมื่อกายเนื้อพังทลายไปครั้งแรกแล้ว แม้ว่าจะก่อตัวขึ้นใหม่ในทันที แต่สารัตถะนั้นบาดเจ็บสาหัสอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลังจากถูกเว่ยยางจื่อพาไป จากที่ไกลๆ จีเจียและกวงหมิงก็มีกำลังใจมากขึ้น ส่วนตี้ซานมีแววตาซับซ้อน เก็บซ่อนความเหนื่อยล้าเอาไว้ในส่วนลึก หลังจากประสบกับเรื่องเหล่านี้แล้ว สำหรับเขา สงครามแบบนี้น่าเบื่อหน่ายเหลือเกิน แต่กลับไม่มีวิธีจะเปลี่ยนแปลง เขาจึงเงียบงัน
ทั้งหมดนี้กล่าวแล้วยาวยืด แต่ความจริงก็เกิดขึ้นในชั่วพริบตา เมื่อเว่ยยางจื่อลงมือ พวกหวังเป่าเล่อต่างก็ได้รับบาดเจ็บ รอบข้างส่งเสียงอึกทึกกึกก้อง ความว่างเปล่าที่ซ้อนทับและก่อตัวเป็นพลังบีบคั้นคล้ายเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงวิกฤต ผมของหวังเป่าเล่อปลิวไสว ตาแดงก่ำ ร้องคำรามเสียงต่ำออกมา
“ทุกท่าน ต้องรวมพลังกันจึงจะทำได้!”
“รวมพลัง!” ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณกัดฟัน ยามที่เอ่ยออกมา เขาก็พยายามยกมือขวาขึ้น กระบองยักษ์ในมือมีแสงจ้าบาดตาส่องสว่าง ส่วนพวกนักบุญมืดทั้งสามคนนั้นก็ทำเช่นเดียวกัน
มองจากไกลๆ ทั้งหกคนคล้ายกับแสงของหิ่งห้อยบินอยู่หน้าเว่ยยางจื่อที่เปรียบเสมือนพระจันทร์ คล้ายจะสู้แสงกัน และคนแรกที่ระเบิดแสงออกมาก็คือหวังเป่าเล่อ
ชั่วขณะนี้เอง พลังธาตุไม้ภายในร่างของหวังเป่าเล่อพลันสั่นสะเทือนแล้วแผ่ขยายไปทั่วร่างแล้วแผ่ออกไปข้างนอกทันที ทำให้พืชพรรณนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมารอบๆ ในชั่วอึดใจ ดอกไม้เบ่งบานตลอดทาง เป็นสีเขียวขจีหนึ่งผืน ทั้งยังไม่ได้ผุดขึ้นในความว่างเปล่าชั้นนี้เท่านั้น แต่ยังแพร่กระจายไปยังความว่างเปล่าหลายสิบชั้นที่ซ้อนทับกันเหล่านี้อย่างรวดเร็ว
ทำให้ภายในความว่างเปล่าทุกชั้นล้วนมีต้นไม้ใบหญ้างอกขึ้นมาอย่างน่าตะลึงจนมันสั่นไหวเล็กน้อย ส่วนเต๋าธาตุน้ำก็ระเบิดออกมาอย่างไร้ขีดจำกัดในชั่วขณะนี้เอง ขณะที่สร้างพลังอันไร้ที่สิ้นสุดออกมา มือขวาของหวังเป่าเล่อก็ยกขึ้นทันใดแล้วโบกซัดไปข้างหน้า
“คืนพินาศ!”
วิชาคืนพินาศถูกใช้ออกมาด้วยมือของหวังเป่าเล่อในตอนนี้เอง เมื่อเขาโบกมือ ความว่างเปล่าทั้งหมดไปจนถึงความว่างเปล่าทั่วทุกสารทิศก็กลายเป็นสีดำสนิทในทันที
“คืนพินาศหรือ” ในความมืดมิดนี้เอง เสียงของเว่ยยางจื่อดังก้อง ในน้ำเสียงแฝงไว้ซึ่งความสนอกสนใจ เห็นได้ชัดว่าเขาให้ความสนใจกับวิชาคืนพินาศเช่นนี้ของหวังเป่าเล่อมานานแล้ว
และชั่วขณะที่เขาเอ่ยพูดออกมา ความมืดสนิทรอบตัวกลับสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ตาเปล่ามองไม่เห็น แต่สัมผัสสวรรค์กลับรับรู้ได้ ราวกับชั่วขณะนี้เอง ความมืดมิดผืนนี้ได้กลายเป็นผ้าม่านที่มีพลังยิ่งใหญ่อยู่ด้านหลัง กำลังจะฉีกทึ้ง
ในชั่วอึดใจ พลังฉีกกระชากนี้ก็ระเบิดออกมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ท่ามกลางเสียงอึกทึกกึกก้อง ความมืดมิดรอบด้านจากคืนพินาศกลับมีเสียงครืนครางดังออกมาทันที รอยแยกขนาดมหึมาปรากฏขึ้นอยู่ในความมืดมิดผืนนี้จริงๆ แล้ว
ราวกับม่านถูกฉีกออกจนเผยให้เห็น…ร่างของเว่ยยางจื่อที่อยู่หลังม่าน!
“แค่นี้เองหรือ” เว่ยยางจื่อคล้ายผิดหวังนิดหน่อย แต่พริบตาต่อมา ดวงตาของเขาก็หดเกร็งเล็กน้อย
เพราะว่า…พริบตาที่เขาฉีกกระชากความมืดมิด อาทิตย์แรกจากคืนพินาศของหวังเป่าเล่อก็โผล่ขึ้นมากะทันหัน ยิ่งเป็นเพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เอามาใช้กับจีเจียก็ถูกอีกฝ่ายใช้กระจกโบราณมาสกัดไว้ ดังนั้นครั้งนี้หลังจากหวังเป่าเล่อใช้คืนพินาศออกมา ดาวเคราะห์เต๋าภายในร่างก็สะเทือนดังกึกก้อง เต๋าลอกเลียนระเบิดออกพร้อมระเบิดกฎเต๋าที่ลอกเลียนมาไว้ในร่างของตนนานในชั่วขณะนี้เอง
กฎวิชานั้นก็คือเต๋าแห่งแสง
เต๋าชนิดนี้ถูกหวังเป่าเล่อหลอมรวมเข้ามาในคืนพินาศและหลอมรวมเข้ามาในอาทิตย์แรกของคืนพินาศ ทำให้พลังของอาทิตย์แรกระเบิดขึ้นอีกครั้ง แสงสว่างราวกับท้องทะเล มันสาดส่องไปทางเว่ยยางจื่อในทันใด
ยังไม่จบ ท่ามกลางทะเลแห่งแสงผืนนี้ ระดับจักรวาลทั้งสามคนของสำนักแห่งความมืดก็ระเบิดพลังออกมาเต็มที่ แม้ว่าก่อนหน้านี้ร่างกายของพวกเราจะถูกกดดัน แต่เมื่ออยู่ภายใต้วิชาคืนพินาศของหวังเป่าเล่อก็คลายลงแล้ว บวกกับการทุ่มกำลังทั้งหมดของแต่ละคนอีก ดังนั้นตอนนี้จึงหลุดพ้นออกมาได้
ในหมู่พวกเขา สุสานวิญญาณกลายเป็นร่างจริงทันที ก่อตัวเป็นต้นไม้สุสานวิญญาณที่ใหญ่ยักษ์ไร้ใดเปรียบต้นหนึ่ง ถึงขั้นที่มองเห็นได้ว่าบนนั้นมีศพจำนวนไม่น้อยแขวนเอาไว้ ขณะที่มันสั่นไหว อักขระโบราณทั้งหมดก็ลอยออกมา ศพทั้งหมดก็ลืมตาโพลงเช่นกัน มันพัวพันรอบต้นไม้สุสานวิญญาณพร้อมเสียงร้องคำราม เกิดเป็นลมพายุพุ่งสู่ความมืดมิดที่ถูกฉีกขาดจนเผยเงาร่างของเว่ยยางจื่อทันที
เทพอัฐิก็เช่นกัน เขาเปลี่ยนเป็นร่างจริง ก่อตัวเป็นมีดกระดูกขนาดมหึมาด้ามหนึ่งพร้อมอานุภาพน่าตะลึง ปราณพิฆาตแผ่กระจายอย่างบ้าคลั่ง แล้วฟันไปยังเว่ยยางจื่อ
ส่วนนักบุญมืด ตอนนี้สองมือเขาทำมุทรา ปราณม่วงทั่วร่างแผ่กระจาย สุดท้ายร่างกายเขาก็หลอมละลายกลายเป็นไอหมอกทั้งหมด เมื่อไอหมอกลอยอวล มันก็กลายเป็นผมยาวสีม่วงพวงหนึ่งพุ่งไปหาเว่ยยางจื่อ
และยังมีปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณที่ตอนนี้ดวงตาโกรธเกรี้ยว ร้องคำรามแล้วกระโจนขึ้นไป กระบองในมือขยายใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดราวกับแฝงไว้ซึ่งพลังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ขณะที่ด้านหลังของเขา ตอนนี้มีรอยประทับเต๋าสามสิบอันปรากฏขึ้นกะทันหัน ทุกรอยประทับล้วนมีเงาร่างเต๋าอย่างละร่างหนึ่งร่าง!
สุดท้ายพวกมันก็เข้ามาซ้อนทับกับร่างจริง และเงาซ้อนทับเหล่านั้นล้วนมีลักษณะเหมือนกับตัวเขาทุกประการ พลังฝึกตนที่ต่ำที่สุดก็คือระดับจักรพิภพชั้นมหาวัฏจักร ถึงขั้นที่ในนั้นยังมีเจ็ดตนที่เป็นระดับจักรวาลทั้งหมด!
แม้จะเป็นเพียงชั้นต้น แต่เมื่อปรากฏตัวออกมาตอนนี้ก็ยังสั่นสะเทือนไปทั่วทุกสารทิศ
วิถีเต๋าของเต๋าเจ็ดวิญญาณให้ความสนใจเรื่องการกลับชาติมาเกิด เป็นการกลับมาสู่โลกแล้วบำเพ็ญใหม่ จุดนี้ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เพียงแต่เขามาเกิดสามสิบกว่าครั้งแล้ว และทุกครั้งก็ถือได้ว่ายืนอยู่ในตำแหน่งสูงอย่างยิ่ง มีอยู่เจ็ดครั้งที่ก้าวสู่ระดับระดับจักรวาล เมื่อสะสมไปเรื่อยๆ จึงมีระดับสูงสุดอย่างระดับจักรวาลชั้นกลางในชาตินี้ได้
เมื่อตอนนี้ระเบิดออกมาจนถึงที่สุด จึงทำให้พลังต่อสู้ของเขาเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากมายโดยตรง ขณะนี้เอง เขาก็เข้ามาใกล้เว่ยยางจื่อด้วยพลานุภาพกวาดล้างทุกสิ่งทุกอย่าง
พร้อมกันนั้นเอง อาทิตย์แรกคืนพินาศของหวังเป่าเล่อก็เปล่งแสงสว่างไร้ที่สิ้นสุด ราวกับกำลังจะผุดขึ้นมาจากความมืดมิดแล้วขับไล่ความดำมืดทั้งหมดออกไป แสงสว่างราวกับกระบี่ ฟาดฟันไปทั่วทุกทิศ
กล่าวได้ว่าชั่วขณะนี้ ทุกคนล้วนแสดงเคล็ดวิชาลับที่ทรงพลังที่สุดของตนออกมา เสียงดังสนั่นสะเทือนเลื่อนลั่นทันที ความว่างเปล่าหลายชั้นที่กดดันอยู่บนร่างของทุกคนก็เริ่มจะพังทลาย ราวกับทนรับเจตจำนงเต๋าของพวกเขาทั้งหกคนไม่ได้
ขณะที่เกิดเสียงดังก้อง เมื่อความว่างเปล่าแต่ละชั้นแตกสลาย สีหน้าของเว่ยยางจื่อก็เคร่งเครียดขึ้นมาในชั่วขณะนี้เอง เห็นได้ชัดว่าการเผชิญหน้ากับการร่วมมือของคนทั้งหกนั้น ต่อให้เป็นเขาก็จำเป็นต้องรับมืออย่างจริงจัง
“พวกเจ้ามีคุณสมบัติได้เห็นเต๋าอย่างที่สองของข้า” เว่ยยางจื่อเอ่ยช้าๆ ยกมือขวาขึ้นแล้วกดลงไปด้านหน้ากะทันหัน
“พลัง!”
ทันทีที่เอ่ยออกมา มือขวาของเขาก็ขยายใหญ่พร้อมเสียงดังสนั่นในพริบตา คล้ายกับว่าสามารถปกคลุมความว่างเปล่าของอวกาศได้อย่างไรอย่างนั้น ราวกับฝ่ามือแห่งวิญญาณเทพเจ้าตกลงมาฉับพลัน
…………………
เป็นเพราะการมาถึงของเสวียนหัวจึงทำให้สถานการณ์ที่เดิมสมดุลอยู่แล้วโน้มเอียงมากยิ่งขึ้น
ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณคนเดียวก็ทำให้จีเจียที่แผดเผาตัวเองไปรับมือได้ยากมากอยู่แล้ว ตอนนี้จึงมีสภาพยับเยินอย่างยิ่ง ร่างสามหัวหกแขนก็เสียหายไปกว่าครึ่ง
ส่วนตี้ซานและกวงหมิงก็ยิ่งมีสภาพเช่นนี้ ตี้ซานก็ยังบาดเจ็บจนถึงที่สุด วิญญาณเทพหมองหม่นอย่างยิ่ง ไม่มีพลังต่อสู้อีกแล้ว ทางฝั่งกวงหมิงก็เช่นกัน เขาเผชิญหน้ากับการโจมตีจากระดับจักรวาลสามคนของสำนักแห่งความมืด เขาที่เดิมบาดเจ็บอยู่แล้วกายเนื้อไม่ได้พังทลายรุนแรงอะไร ดวงวิญญาณเทพก็ไม่ต่างจากของตี้ซานสักเท่าไหร่
ดังนั้น…เมื่อหวังเป่าเล่อกลับมาอีกครั้งและเงาร่างของเสวียนหัวก็มาถึง มันจึงทำให้จิตใจของพวกเขาสามคนสั่นสะท้านรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…พริบตาที่เสวียนหัวมาถึงเขาก็โจมตีทันที เป้าหมายย่อมไม่ใช่กวงหมิงและตี้ซานที่เจ็บหนัก แต่เป็น…จีเจีย!
ในชั่วพริบตา จีเจียที่ถอยร่นไม่หยุดขณะที่ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณโจมตีใส่และได้อาศัยการเสียพลังมาฝืนประคับประคองตัวอยู่นั้น ก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายยิ่งยวดทันที เสวียนหัวใช้พลังเต๋าธาตุไม้ไม่ยั้งมือเลยสักนิด วิถีเต๋าพลังเทพปกคลุมไปทุกด้าน
และยังมีระดับจักรวาลทั้งสามคนของสำนักแห่งความมืด ตอนนี้ล้วนไม่สนใจกวงหมิงกับตี้ซานแล้ว พวกเขาพุ่งเข้ามาหาจีเจียจากทั้งสามทิศ ทำให้ดวงตาของจีเจียฉายแววสิ้นหวังออกมา เพราะว่า…หวังเป่าเล่อไม่ได้ลงมือ แต่เขายืนอยู่ตรงนั้น แผ่อานุภาพคุกคามออกมา ทำให้จีเจียที่เดิมก็ไม่อาจประคองตัวเองต่อไปได้ไม่มีโอกาสแม้แต่จะหลบหนี
“ร่างเดิม!!” ในช่วงวิกฤต จีเจียก็หัวเราะอย่างน่าเวทนา เขาคำรามเศร้าโศกขึ้นฟ้า ไม่เข้าใจเลยว่ามีอะไรที่สำคัญไปกว่าความเป็นความตายของตระกูลไม่รู้สิ้นอีก เขากระจ่างแจ้งดีกว่าวันนี้…ถ้าหากร่างเดิมไม่ออกมา เช่นนั้นเวลาตายของเขาก็คือ…เวลาที่ตระกูลไม่รู้สิ้นจะหายไปจากจักรวาลแห่งนี้แล้ว
ถึงอย่างไร…ตอนนี้กองทัพใหญ่ที่มาจากสำนักเสริม เต๋าฝั่งซ้าย และสำนักแห่งความมืดก็กำลังเข้ามาใกล้แล้ว แม้ว่าต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งจึงจะมาถึงก็ตาม แต่จินตนาการได้เลยว่าอีกเวลาไม่นานหรอก และทันทีที่มาถึง ร่องรอยทุกอย่างของตระกูลไม่รู้สิ้นก็คงถูกลบเลือนไปหมดแล้ว
เมื่อเห็นอย่างนี้ หวังเป่าเล่อจึงมีสมาธิจดจ่อเต็มที่ พลังฝึกปรือแผ่ปกคลุมทั่วทุกทิศ หากบอกว่าปรมาจารย์ตระกูลไม่รู้สิ้นจะต้องปรากฏตัวล่ะก็ เช่นนั้นก็มีโอกาสมากที่สุดที่จะปรากฏตัวในช่วงเวลาต่อจากนี้
แทบจะทันทีที่ความคิดนี้ของหวังเป่าเล่อผุดขึ้นมา จีเจียก็ยิ่งกรีดร้องสลด คนทั้งคนพ่นเลือดออกมา ตอนนี้ร่างสามหัวหกแขนดั้งเดิมเหลืออยู่เพียงหนึ่งหัวหนึ่งแขน อีกสองหัวห้าแขนที่เหลือถูกทำลายไปนานแล้ว พลังฝึกตนของเขาก็ไม่อาจยับยั้งการร่วงระดับเช่นนี้ได้ เขาไม่ใช่ระดับจักรวาลชั้นกลางอีกต่อไป แต่ตกลงมาอยู่ในระดับชั้นต้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งยืนหยัดต่อไปได้ยาก เพียงไม่กี่อึดใจ กายเนื้อของจีเจียก็ส่งเสียงกึกก้องน่าตะลึง มันแตกเป็นเสี่ยงๆ ดวงวิญญาณเทพคล้ายจะหลบหนีได้ยากเย็นเหลือเกิน และกำลังจะถูกปรมาจารย์เต๋าเก้าวิญญาณที่ยิ้มเยาะอยู่จับไว้ได้แล้ว
แต่ในตอนนี้เอง เสียงถอนหายใจเบาๆ แฝงความจนใจก็ดังก้องมาจากอวกาศอันว่างเปล่า
เมื่อเสียงถอนหายใจนี้ดังออกมา ทั่วทั้งอวกาศก็บิดเบี้ยวแล้วปรากฏมือยักษ์มโหฬารข้างหนึ่งขึ้น มือยักษ์ข้างนั้นกึ่งโปร่งใส มันปรากฏขึ้นรอบตัวของพวกปรมาจารย์เต๋าเก้าวิญญาณแล้วบีบแรงๆ โดยตรง
สีหน้าของปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณเปลี่ยนไป พลังฝึกปรือระเบิดออกมาโดยสมบูรณ์ แสดงให้เห็นถึงพลังต่อสู้ที่ทรงพลังยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ถึงสามส่วน เห็นได้ชัดว่า…การต่อสู้กับจีเจียก่อนหน้านี้ ตั้งแต่ต้นจนจบเขาได้กักพลังเอาไว้เพื่อป้องกันสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้น ส่วนระดับจักรวาลทั้งสามคนของสำนักแห่งความมืดก็เช่นกัน แต่ละคนล้วนแสดงพลังต่อสู้ที่เหนือยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ออกมาในชั่วขณะนี้เอง แล้วถอยร่นในชั่วอึดใจ
ดังนั้น ท่ามกลางเสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินนี้ เมื่อทุกคนล่าถอยออกไป มือยักษ์ที่ปรากฏขึ้นมาจากอากาศก็กวาดม้วนจีเจียกลับ ผู้ที่ถูกนำไปด้วยกันก็ยังมีกวงหมิงและตี้ซาน และหลังจากมือยักษ์พาทั้งสามคนไปแล้ว ในที่สุดเงาร่างชราของเว่ยยางจื่อก็ปรากฏตัวขึ้นในความว่างเปล่า เขาเดินออกมาจากภาพมายาสู่ความเป็นจริงทีละก้าวๆ
จนกระทั่งยืนอยู่ห่างจากพวกปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณร้อยจั้งจึงหยุดลง สีหน้าดูไม่ได้ แววตามีความจนปัญญา แต่กลับปกปิดจิตสังหารที่พวยพุ่งไม่อยู่
“พวกเจ้าจะรังแกกันเกินไปแล้ว!”
“ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งไม่รู้สิ้น!” ดวงตาของหวังเป่าเล่อหดเกร็ง ร่างกายสั่นไหวแล้วมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณ ด้านหลังของพวกเขาสองคนคือเสวียนหัวและระดับจักรวาลทั้งสามคนของสำนักแห่งความมืด ตอนนี้พวกเขาหกคนล้วนมีสีหน้าเคร่งขรึม จ้องเขม็งไปยังเว่ยยางจื่อที่ปรากฏตัวห่างไปร้อยจั้ง
ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งตระกูลไม่รู้สิ้นผู้นี้น่าเกรงขามไม่ธรรมดา เขายืนอยู่กลางอวกาศ ผมสีขาวปลิวไสว เห็นอยู่ชัดๆ ว่าทั่วร่างของเขาไม่มีคลื่นผันผวนใดๆ แผ่ออกมา แต่กลับทำให้พวกหวังเป่าเล่อหกคนคล้ายเผชิญหน้ากับอานุภาพกดดันล้ำลึกราวหุบเหว
เมื่อเป็นเช่นนี้ การมีอยู่ของเขาจึงเหมือนกับหลุมดำที่กลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคนที่เข้าใกล้ล้วนถูกเขาดูดพลังชีวิตไปจนถึงจิตปราณวิญญาณทั้งหมดโดยไม่รู้ตัว
“นี่คือการกดข่มของมหาเต๋า! ในวิถีของข้าผู้เฒ่า ข้าไม่รู้เลย ไม่เคยเห็นเขาใช้มันมาก่อน!” สีหน้าของปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณอึมครึม เขาเอ่ยบอกหวังเป่าเล่อทันที
หวังเป่าเล่อพยักหน้าเบาๆ เขาก็รับรู้ถึงจุดนี้เช่นกัน กล่าวให้ถูกก็คือ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งตระกูลไม่รู้สิ้นด้วยตัวเอง ตอนนั้นอีกฝ่ายเพียงใช้ดวงจิตเทพแทรกเข้ามาในวิญญาณเทพแล้วเอ่ยคำเตือน ตอนนี้สิคือการเผชิญหน้าอย่างแท้จริง
อานุภาพที่มาจากบนร่างของอีกฝ่ายทำให้เมล็ดธาตุไม้และเมล็ดธาตุน้ำในร่างของเขาสั่นสะเทือนขึ้นมา เพียงแต่เมื่อเทียบกับอย่างหลังแล้ว อย่างแรกคล้ายจะแสดงพลังต่อต้านอีกฝ่าย
“มหาเต๋าของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งตระกูลไม่รู้สิ้น…สามารถสยบเมล็ดของเต๋าธาตุน้ำของข้าได้ แต่กลับไม่อาจกดข่มเมล็ดธาตุไม้ได้” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง สังเกตดูปรมาจารย์ผู่ก่อตั้งตระกูลไม่รู้สิ้นตรงหน้า ในใจก็วิเคราะห์คาดเดา พยายามหาเบาะแสของกระแสเต๋าที่อีกฝ่ายฝึกฝนทั้งหมดออกมา
และเมื่อคนทั้งหกจดจ้องไปที่ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งตระกูลไม่รู้สิ้นนั้น สายตาของคนหลังก็หวาดมองมาที่พวกเขาทั้งหกเช่นกัน มองผ่านร่างของคนจากสำนักแห่งความมืดทั้งสามคนไปโดยไม่ได้หยุด มีเพียงตอนที่มองปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณและหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่จะหยุดลง ในบรรดาทั้งสอง…เขาหยุดอยู่ที่หวังเป่าเล่อนานที่สุด
“เต๋าธาตุไม้ เต๋าธาตุน้ำ…กลับไม่อาจปกปิดรอยประทับสำนักแห่งความมืดบนร่างของเจ้าได้ หวังเป่าเล่อ…ข้าควรเรียกเจ้าว่าเจ้าแห่งเต๋าฝั่งซ้ายหรือว่าบุตรของสำนักแห่งความมืดกันล่ะ” ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งตระกูลไม่รู้สิ้นถอนหายใจแผ่วเบาแล้วเอ่ยพูดช้าๆ
“แตกต่างกันหรือ เมื่อเทียบกันแล้ว พวกข้าสงสัยยิ่งกว่าอีกว่าเต๋าของผู้อาวุโสเว่ยยางจื่อคืออะไร” หวังเป่าเล่อตอบอย่างใจเย็น สีหน้าเป็นปกติ อันที่จริงไม่ใช่แค่เขาที่เป็นเช่นนี้ ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณกับสำนักแห่งความมืดทั้งสามคนที่อยู่ข้างๆ ก็เช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่าสถานะของหวังเป่าเล่อไม่ใช่ความลับอะไรตั้งนานแล้ว
“เต๋าของข้าน่ะหรือ…” เว่ยยางจื่อเงยหน้า สายตาล้ำลึกแล้วทอดมองไปไกลๆ จากนั้นก็ยิ้มบางๆ
“พวกเจ้า สามารถสัมผัสได้ด้วยตัวเอง” ขณะที่เอ่ย เว่ยยางจื่อก็ยกมือขวาขึ้นคล้ายตามแต่ใจ แล้วค่อยๆ กดไปทางพวกหวังเป่าเล่อทั้งหกคน
แต่เมื่อกดลงมาครั้งนี้ อวกาศก็สั่นสะท้าน เสียงสั่นสะเทือนดังติดต่อกันเป็นชุดๆ ทันใดนั้นก็มันระเบิดขึ้นจากความว่างเปล่า ในการระเบิดนี้เอง อวกาศผืนนี้ก็คล้ายจะทับซ้อนกัน ราวกับว่ามีความว่างเปล่าอีกหนึ่งชั้นร่วงลงมากะทันหัน แล้วสยบไว้ทุกสารทิศ สยบสรรพชีวิตไว้
ทั้งไม่ใช่ความว่างเปล่าเพียงชั้นเดียว แต่ในชั่วพริบตา ความว่างเปล่าชั้นแล้วชั้นเล่าก็ร่วงตกลงมาตามๆ กัน ชั่วอึดใจก็มีเกินกว่าสามสิบชั้นแล้ว
คล้ายกับว่า…มีอวกาศสามสิบแห่งที่เหมือนกับจักรวาลผืนนี้ตกลงมาอย่างไร้รูป ขณะที่ทับซ้อนกับที่แห่งนี้ ก็ยิ่งกลายเป็นพลังบดขยี้ที่ไม่อาจพรรณนา ราวกับสามารถบดขยี้ทุกสิ่งทุกอย่างให้กลายเป็นเถ้าถ่านได้ทันที
พวกแรกที่ได้รับผลกระทบก็คือระดับจักรวาลทั้งสามคนจากสำนักแห่งความมืด สามคนนี้ตัวสั่นสะท้านรุนแรงในพริบตา นักบุญมืดกระอักเลือดออกมา เทพอัฐิก็มีเสียงแกร่กกรั่กดังมาจากลำตัว คนสุดท้ายนั้น กายเนื้อก็ยิ่งพังทลายระเบิดกระจายออกมาตรงๆ แม้ว่าจะรวมกลับมาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว แต่เห็นได้ชัดว่ามีสีหน้าหวาดกลัวและอ่อนแอลงมาก
ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณก็หน้าเปลี่ยนสี ระเบิดพลังฝึกตนออกมาต่อต้านเต็มที่ หวังเป่าเล่อก็สัมผัสถึงพลังที่ราวกับไร้ที่สิ้นสุดนี้เช่นกัน มันตกมาอยู่บนกายเนื้อและวิญญาณเทพของเขาตรงๆ แล้วพันรัดทุกอย่าง เมล็ดเต๋าธาตุน้ำในร่างก็ยิ่งสะเทือนเลื่อนลั่น ทำให้ความยืดหยุ่นทนทานของเมล็ดเต๋าธาตุไม้ระเบิดพุ่งเทียมฟ้าตอนนี้เพื่อมาประคับประคองตัวมันเอง
“เต๋าแห่งความว่างเปล่า!” ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณกัดฟันเอ่ย
…………………………………
ชิ้นส่วนภาพมายาโปร่งใสจำนวนนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายจากจุดอ่อนยวบไปยังอวกาศส่วนในของตระกูลไม่รู้สิ้น ขณะที่มันแตกกระจาย ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณก็เป็นคนแรกที่พุ่งเข้ามาแล้วก้าวเข้าสู่อวกาศส่วนในของตระกูลไม่รู้สิ้นทันที เพิ่งจะเข้ามาได้เขาก็เงยหน้าหัวเราะลั่นแล้ว
ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณมีรูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง แม้ว่าผมจะเป็นสีขาวทั้งหัว แต่พลานุภาพกลับยังคงทรงพลัง โดยเฉพาะเลือดลมที่ไหวเวียนไปทั่วร่างก็ช่างกว้างใหญ่ไพศาลราวกับท้องฟ้า เห็นได้ชัดว่าเต๋าของเขาจะต้องเกี่ยวพันกับกายเนื้อแน่นอน ให้ความรู้สึกว่าไม่เหมือนผู้ฝึกตน แต่เหมือนกับอสูรร้ายในร่างมนุษย์
“สหายเต๋าหวัง ผู้เฒ่ามาแล้ว!” ท่ามกลางเสียงหัวเราะ ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณก็ก้าวใหญ่ตรงไปหาจีเจีย ขณะที่ย่างก้าว เขาก็ยกมือขวาขึ้นคว้าจับที่ความว่างเปล่า ทันใดนั้นอวกาศหน้าฝ่ามือของเขาก็บิดเบี้ยว กระบองฟันหมาป่าขนาดมหึมาด้ามหนึ่งคล้ายจะทะลวงผ่านอวกาศเข้ามาหาแล้วถูกเขาคว้าเอาไว้ในมือ จากนั้นก็ทุบไปทางจีเจียตรงๆ
“จีเจีย กินกระบองข้าไปซะ!”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะดังสนั่นของปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณ อานุภาพนั้นช่างน่าตะลึงยิ่ง หวังเป่าเล่อที่มองดูอยู่ก็เผยประกายแปลกประหลาดขึ้นในดวงตา เขามองเต๋าของปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณผู้นี้ออก มันน่าจะเป็น…เต๋าพละกำลัง!
ดังนั้นเขาจึงยืมกำลังเร่งให้ตนถอยอย่างรวดเร็ว ส่วนทางจีเจีย ตอนนี้สีหน้าดูไม่ดีเลย เหมือนรู้สึกว่าในคำพูดของอีกฝ่ายแฝงไว้ซึ่งการดูหมิ่น
โดยเฉพาะกระบองฟันหมาป่าที่มีหนามแหลมผุดขึ้นมานับไม่ถ้วน ดูแล้วอำมหิตเป็นที่สุด ถึงขั้นยังมีกลิ่นคาวเลือดเผยออกมา ยิ่งกว่านั้นยังมีวิญญาณคนตายนับไม่ถ้วนพันล้อมอยู่ในนั้นแล้วคำรามไร้เสียง ถึงขนาดที่ตอนที่มันฟันทุบลงมา อวกาศก็ยังฉีกขาดได้ง่ายๆ บนนั้นยังแฝงไว้ซึ่งกระแสเต๋าอันน่าตื่นตะลึงอีกด้วย
ในชั่วพริบตา เมื่อปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณเดินทางมาถึง ไม่ว่าจีเจียจะยินยอมหรือไม่ก็จำต้องลงมือเต็มกำลังแล้วปะทะเข้ากับเขา ขณะเดียวกันนั้น ระดับจักรวาลทั้งสามคนของสำนักแห่งความมืดก็ก้าวเข้ามายังส่วนในของตระกูลไม่รู้สิ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อทั้งสามคนเข้ามา กลิ่นอายของเต๋าธาตุมืดก็พวยพุ่งบ้าคลั่ง และกำลังจะพุ่งเข้าไปหาจีเจีย
แต่ในตอนนี้เอง เสียงคำรามแหลมสูงก็ดังมาจากความว่างเปล่า เต๋าสวรรค์ตระกูลไม่รู้สิ้น…กำลังจะมา
ด้วงเกราะดำมหึมาตัวนั้นเพิ่งจะปรากฏตัวก็พุ่งเข้าหาสำนักแห่งความมืดทั้งสามคนแล้ว ทั้งยังมีจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงกัดฟันโจมตีด้วย ชั่วขณะนั้นจึงเกิดเสียงดังสนั่นลั่นฟ้า ส่วนการต่อสู้ของปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณและจีเจียก็ปะทุจนดุเดือดถึงขีดสุดภายในเวลาอันสั้นแล้ว
แม้ว่าจีเจียจะได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับหวังเป่าเล่อ ทั้งยังเสียพลังไปไม่น้อย แต่ก่อนหน้านี้เขาได้ใช้เคล็ดวิชาลับออกมา ตอนนี้ประกายแสงทั่วร่างจึงส่องสว่าง แม้ว่ามือข้างหนึ่งจะกลายเป็นง้าวลดการเสียพลัง แต่ร่างสามหัวของตระกูลไม่รู้สิ้นที่เขาใช้บนร่างกายของตัวเองก็ทำให้เขาเสียพลังมากยิ่งกว่าเดิม
ขณะนี้ เขาเข้าโจมตีปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณโดยไม่สนว่าต้องแลกด้วยอะไรแล้ว
การต่อสู้ทั้งสนามรบเดือดพล่าน ทั้งยังเกิดขึ้นที่จักรพิภพใจกลางตระกูลไม่รู้สิ้นแล้วแผ่ขยายออกมา ทำให้ดวงดาวของตระกูลไม่รู้สิ้นได้รับผลกระทบอย่างหนัก ส่วนหวังเป่าเล่อ ตอนนี้เขาตัวสั่นไหว เมื่อจัดระเบียบตัวเองเล็กน้อยแล้วเขาก็หรี่ตา หลังจากใคร่ครวญอยู่ไม่กี่อึดใจก็พุ่งออกไป ไม่ได้พุ่งเข้าสู่สนามรบ แต่ก้าวหนึ่งก้าวเข้าสู่ดาวเอกของตระกูลไม่รู้สิ้น
อวกาศที่ตระกูลไม่รู้สิ้นตั้งอยู่นั้นมีดวงดาวอยู่นับไม่ถ้วน ดาวเอกก็มีไม่น้อยเช่นกัน แต่ทิศทางของหวังเป่าเล่อกลับแม่นยำ เขายึดตามทิศทางที่จิตใจนำพาไป เข้าไปใกล้ดาวเอกดวงนั้นอย่างรวดเร็ว
ที่นี่…ก็คือสถานที่กักตนของเสวียนหัว
ในเมื่อได้ฉีกหน้าไปแล้ว หวังเป่าเล่อย่อมไม่ปล่อยเสวียนหัวไป แม้ว่าจะอ่อนแอไปหน่อยในสายตาของหวังเป่าเล่อ แต่ถึงอย่างไรพลังต่อสู้ของจักรพรรดิสวรรค์ระดับจักรวาลผู้นี้ก็ยังมีประโยชน์อย่างยิ่ง
ดังนั้นตอนนี้หวังเป่าเล่อจึงเร่งความเร็วขึ้น เมื่อเกิดเสียงดังสนั่น เขาก็ก้าวเข้าไปในดาวเอกที่เสวียนหัวอยู่ทันที สำหรับเกราะป้องกันของที่นี่และผู้ฝึกตนของตระกูลไม่รู้สิ้น อย่างหลังไม่มีทางขัดขวางหวังเป่าเล่อได้เลย ส่วนอย่างแรก เพียงทำให้หวังเป่าเล่อเสียเวลาไปสิบกว่าอึดใจเท่านั้นเขาก็เดินผ่านไปตรงๆ ได้แล้ว จากนั้นจึงก้าวไปยังยอดเขาแห่งหนึ่งบนดวงดาว
เมื่อเสียงฝีเท้าดังขึ้น ภูเขาลูกนี้ก็สะเทือนเลื่อนลั่น บริเวณที่ฝ่าเท้าของเขาเหยียบลงพังทลาย ภูเขาทั้งลูกกลายเป็นเถ้าถ่านทันที ยิ่งกว่านั้นยังมีระลอกคลื่นแผ่กระจายออกมา ทำให้แผ่นดินรอบข้างสั่นสะเทือนแล้วถล่มลงมาทุกชั้น หวังเป่าเล่อที่ตอนนี้นับว่ายืนอยู่กลางอากาศเอนหน้ามองไปยังทิศทางหนึ่ง
“เสวียนหัว ยังไม่มาพบข้าอีกหรือ”
แทบจะพร้อมกับที่หวังเป่าเล่อมายืนบนดาวดวงนี้ เสวียนหัวภายในสถานที่กักตนซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในวงแหวนปราณ ด้านนอกร่างกายมีม่านแสงปกคลุมและกำลังต่อต้านจิตมารก็ตัวสั่นสะท้านรุนแรง
วงแหวนปราณเปิดออกทั้งหมดแล้ว ส่วนม่านแสงก็มีผลลัพธ์อัศจรรย์ที่สามารถขวางกั้นดวงจิตเทพได้ นี่คือการเตรียมพร้อมให้ของจีเจียและกวงหมิงก่อนจะจากไป ทำให้เสวียนหัวพอจะกดตัวเองให้อยู่ที่นี่ได้ แต่ในชั่วพริบตานี้เอง จิตมารในร่างของเขากลับปะทุอย่างรุนแรงขึ้นมากะทันหัน
เมื่อมันปะทุขึ้น เส้นเลือดดำทั่วร่างของเสวียนหัวก็พองนูน แสดงให้เห็นถึงความดิ้นรนอย่างเจ็บปวด ยิ่งกว่านั้นยังมีปราณมืดมหาศาลไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ดแล้วล้อมรอบร่างกายเขา
“ข้า…ไม่…” เสวียนหัวกัดฟัน พูดก็พูดไม่ออก เหงื่อเปียกชุ่มไปทั้งตัว เขายังคงต่อต้าน แสงของวงแหวนปราณใต้ร่างส่องสว่างแรงกล้า ม่านแสงก็เช่นเดียวกัน แต่ทุกอย่างนั้น…เปลี่ยนไปทันทีหลังจากหวังเป่าเล่อเอ่ยออกมา
การโจมตีอย่างบ้าคลั่งระเบิดขึ้นภายในร่างของเสวียนหัวตรงๆ หมอกมืดทะลวงออกจากทวารทั้งเจ็ดของเขา แล้วรวมตัวกันเป็นเงาร่างร่างหนึ่งอยู่ตรงหน้าเขา
เงาร่างนี้ไม่ใช่หวังเป่าเล่อ แต่เป็น…รูปลักษณ์ของเสวียนหัว ทว่ากลับมีกลิ่นอายของหวังเป่าเล่อแผ่ออกมา พูดให้ถูกก็คือ เงาดำนี้…คือจิตมารของเสวียนหัว
ตอนนี้จิตมารดวงนี้กำลังหัวเราะ เงยหน้าหัวเราะ
หลังจากหัวเราะเสร็จ มันก็กลายเป็นหมอกดำแล้วทะลวงเข้าไปในทวารทั้งเจ็ดของเสวียนหัวอีกครั้งทันที แม้ว่าเสวียนหัวจะขัดขวางมันเต็มกำลังแต่ก็ไม่ช่วยอะไร พริบตาต่อมา ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน แล้วนิ่งสงบทันใด ศีรษะของเขาก็ก้มลง ไม่ขยับไหว
หลังผ่านไปประมาณสิบกว่าอึดใจ เสวียนหัวก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แววตากลับมากระจ่างชัด เขายกมือขึ้นโบก ฉับพลันม่านแสงนอกร่างกายก็พังลงมาทันใด วงแหวนปราณรอบๆ ยิ่งแตกเป็นเสี่ยงๆ ในชั่วพริบตา เสวียนหัวตบเสื้อผ้าแล้วลุกขึ้นยืน คล้ายหลุดพ้นจากพันธนาการ
“หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ ไยก่อนหน้านี้ข้าต้องดิ้นรนหนักหนาด้วย ที่แท้…การหลอมรวมกับมหาเต๋าก็ทำให้จิต ปราณ วิญญาณสดชื่นเช่นนี้นี่เอง” เสวียนหัวยิ้มอย่างพึงพอใจ ร่างกายเคลื่อนไปข้างหน้า กำลังจะออกจากสถานที่กักตน แต่พริบตาต่อมาก็มีโซ่มายาหลายเส้นปรากฏขึ้นจากสี่ทิศทางแล้วพันรอบตัวเขาทันที คล้ายขวางไม่ให้เขาจากไป
สีหน้าของเสวียนหัวอึมครึม แผ่พลังฝึกตนออกมาทันใด คลื่นผันผวนของระดับจักรวาลแพร่กระจายไปทั่วทุกทิศทันที ทำให้โซ่รอบๆ พังลงหลังจากฝืนรั้นอยู่ไม่กี่อึดใจ และสิ่งที่พังทลายไปด้วยยังมีห้องลับที่เขาอยู่ มันทรุดตัวลงในชั่วพริบตาแล้วเกิดเป็นซากปรักหักพังทันที เผยให้เห็นท้องฟ้าเหนือศีรษะของเขา
เขาเงยหน้ามองฟ้า เสวียนหัวสูดลมหายใจลึก ร่างกายพุ่งขึ้นฟ้าแล้วตรงไปยังจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่ทันใด เขายกขาก้าว เงาร่างหายวับในชั่วพริบตา เมื่อปรากฏตัวขึ้น…เขาก็อยู่ห่างจากหวังเป่าเล่อร้อยจั้งแล้ว
เขาไม่ได้เข้าใกล้ทันที หลังจากปรากฏตัวขึ้นตรงนี้ สีหน้าของเสวียนก็เคร่งขรึมยิ่งขึ้น ทั้งยังจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นจึงเดินไปหาหวังเป่าเล่อทีละก้าว จนกระทั่งอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อห้าจั้ง เขาก็หยุดฝีเท้าแล้วคุกเข่าคารวะหวังเป่าเล่อ
“เสวียนหัว คารวะเจ้าแห่งเต๋า!”
หวังเป่าเล่อจ้องมองเสวียนหัว ใบหน้าเผยรอยยิ้มบางๆ แล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ
“ศึกในอวกาศนั่น เจ้ายินดีเข้าร่วมหรือไม่”
เสวียนหัวครุ่นคิดแล้วเอ่ยเสียงราบเรียบ
“แม้ว่าจะเป็นสหายเต๋ากันมาหลายปี แต่…วิถีแตกต่างกัน ยากจะเลี่ยงการต่อสู้”
“ดี!” หวังเป่าเล่อหัวเราะฮ่าๆ ร่างกายสั่นไหวแล้วบินไปยังอวกาศ เสวียนหัวตามอยู่ด้านหลังเขา ทั้งสองกลายเป็นสายรุ้งยาวสองสายก้าวเข้าสู่อวกาศในทันที จนมาอยู่บนสนามรบ
และการปรากฏตัวของเสวียนก็ทำให้สายตาของทุกคนที่กำลังต่อสู้กันอยู่หดเกร็ง โดยเฉพาะกวงหมิงและจีเจีย รวมถึงตี้ซาน พวกเขามีสีหน้าย่ำแย่เสียยิ่งกว่า
ชั่วขณะนี้เอง เต๋าฝั่งซ้ายเดินทัพ สำนักเสริมเคลื่อนไหว สำนักแห่งความมืดกำลังจะมาถึง
สำหรับตระกูลไม่รู้สิ้นแล้ว นี่คือหายนะอย่างหนึ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ว่าตระกูลไม่รู้สิ้นจะมีภูมิหลังที่ล้ำลึกและยังเป็นระดับเจ้าผู้ปกครองอย่างไร แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการโจมตีจากสามฝ่ายก็ไม่มีทางปลอดภัยไร้ความเสียหายแน่
โดยเฉพาะ…จนถึงตอนนี้ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งตระกูลไม่รู้สิ้นยังไม่ปรากฏตัวออกมาเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ ระดับจักรพรรดิสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นจึงฝ่ายเสียเปรียบอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรเสวียนหัวก็ไม่อาจออกรบได้ ตี้ซานก็ยังอ่อนแออย่างยิ่ง มีเพียงกวงหมิงและจีเจีย…แต่คู่ต่อสู้ของพวกเขาไม่ใช่แค่ผู้เยี่ยมยุทธ์อย่างหวังเป่าเล่อเท่านั้น แต่ยังมีปรมาจารย์สำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณและระดับจักรวาลสามคนจากสำนักแห่งความมืดด้วย
สองต่อห้า จะชนะได้อย่างไร!
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้ของระดับจักรพิภพเลย ตระกูลไม่รู้สิ้นก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบเช่นเดียวกัน ทั้งหมดนี้ทำให้สีหน้าของจีเจียเปลี่ยนแปลงขั้นรุนแรงในทันที เขารู้สึกต่อตระกูลไม่รู้สิ้นอย่างล้ำลึกไม่เหมือนกับเว่ยยางจื่อ และตอนนี้ในแววตาของเขาก็มีรอยเลือดแผ่กระจายอยู่
“ร่างเดิม!!” ในช่วงวิกฤตนี้เอง จีเจียพลันเงยหน้าร้องคำรามไปยังอวกาศ แต่กลับไม่มีเสียงตอบกลับใดๆ ทำให้จีเจียหัวเราะ ดวงตาเผยความบ้าคลั่ง ทั้งร่างเกิดเสียงปึงปังแล้วกลายเป็นหมอกควันกลุ่มหนึ่งทันที ก่อนพุ่งเข้าไปหาหวังเป่าเล่อ
ยิ่งกว่านั้นกวงหมิงกับตี้ซานทั้งสองคน ตอนนี้ล้วนรู้ดีว่าตระกูลไม่รู้สิ้นตกอยู่ในวิกฤตความเป็นความตาย ต่างก็พุ่งออกไปเช่นกัน
“จัดการหวังเป่าเล่อก่อน!” ตอนนี้ทั้งสามมีความคิดแบบเดียวกัน ถึงอย่างไรการมาถึงของสำนักเสริมและสำนักแห่งความมืดก็จำเป็นต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่ง ทั้งยังไม่ใช่ระดับจักรวาลทุกคน มีแต่ระดับเช่นหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ใช้ประโยชน์จากเต๋าธาตุน้ำและไม้ ไม่สนใจเกราะป้องกันวงแหวนปราณของตระกูลไม่รู้สิ้น และมีความสามารถที่จะพุ่งผ่านเข้ามาได้ในทันที
ดังนั้น สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขาทั้งสามคนจึงมีแค่ทางเดียวคือจัดการหวังเป่าเล่อ!
และเมื่อสยบหรือทำให้หวังเป่าเล่อบาดเจ็บหนักก่อนที่สำนักแห่งความมืดและสำนักเสริมผู้แข็งแกร่งจะมาถึงได้แล้วล่ะก็ เช่นนั้นวิกฤตของตระกูลไม่รู้สิ้นในวันนี้ก็ใช่ว่าจะจัดการไม่ได้
ถึงอย่างไร…แม้ว่าท่านปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งจะไม่ได้มา แต่ความน่าเกรงขามของตระกูลก็ยังอยู่
หลังจากความคิดทั้งหมดนี้ปรากฏขึ้นในหัวของพวกจีเจียทั้งสามคน พลังฝึกปรือของพวกเขาทั้งสามก็ระเบิดออกมาโดยสมบูรณ์แล้วกลายเป็นสายรุ้งยาวสามสายพุ่งทะยานไปหาหวังเป่าเล่อ ส่วนหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็ย่อมวิเคราะห์ทุกอย่างได้ ขณะที่เขาหรี่ตาลง ร่างกายก็ก้าวถอย ไม่ต่อสู้ซึ่งหน้ากับจักรพรรดิสวรรค์สามคน
เพราะมันไม่จำเป็น!
สิ่งที่เขาต้องทำคือถ่วงเวลา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจเด็ดขาด ขณะที่หวังเป่าเล่อถอยไป วิชาเงาจันทร์ก็ถูกใช้ออกมาทันที เขาถอยหลังก้าวต่อก้าว ระลอกคลื่นปรากฏขึ้นเมื่อเท้าเหยียบลงไปจนกระเพื่อมเป็นกระแสเต๋าแห่งกาลเวลา แล้วก้าวเข้าสู่แม่น้ำแห่งกาลเวลาโดยตรง
ส่วนจีเจียและกวงหมิงรวมถึงตี้ซานก็ตามไปอย่างรวดเร็ว พลังฝึกปรือแผ่กระจายแล้วก้าวเข้าไปไล่ล่าอย่างรวดเร็วในแม่น้ำแห่งกาลเวลาเช่นเดียวกัน
เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น ทันใดนั้นอวกาศของตระกูลไม่รู้สิ้นก็ระเบิดกระจายไปทั่วทุกทิศ พร้อมกันนั้นเงาร่างของหวังเป่าเล่อและพวกจีเจียก็หายไปจากสายตาของทุกคนที่จ้องมองอยู่ แต่ทั้งตระกูลไม่รู้สิ้นกลับมีคลื่นผันผวนไร้รูปแผ่กระจายออกมาเป็นบางคราว เสียงดังสนั่นทั่วทุกทิศอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งการยุบสลายในแต่ละพื้นที่ก็เกิดขึ้นในอวกาศเช่นกัน
ภาพแห่งวันสิ้นโลกเช่นนี้ทำให้คนตระกูลไม่รู้สิ้นมากมายตัวสั่นสะท้าน ใจกลิ้งพลิกตลบอย่างดุเดือด อีกไม่นานฉากแบบหิมะหนาเติมซ้ำน้ำค้างแข็งก็เกิดขึ้น ด้านนอกตระกูลไม่รู้สิ้น ตอนนี้เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมาแล้ว
นั่นเป็นเพราะมีคนกำลังโจมตีระลอกใหญ่อยู่ด้านนอก!
ผู้ที่โจมตีมีทั้งหมดสี่คนล้วนมาจากทิศทางต่างกัน นั่นก็คือปรมาจารย์สำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณและระดับจักรวาลทั้งสามคนจากสำนักแห่งความมืด พวกเขาสี่คนเดินทางมาเร็วยิ่งนัก แต่วงแหวนปราณก็ยากจะทำลายได้ในเวลาอันสั้น ตอนนี้กำลังพากันทุ่มเต็มกำลังทำลาย ทำให้วงแหวนเกราะป้องกันรอบด้านของตระกูลไม่รู้สิ้นบิดเบี้ยวขึ้นมาทันที
มันบิดเบี้ยวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และเวลาก็ผ่านไปแล้วหนึ่งก้านธูป ทันใดนั้น กลางอวกาศภายในวงแหวนปราณของตระกูลไม่รู้สิ้นก็มีวังน้ำวนแห่งหนึ่งปรากฏขึ้นจากไหนไม่รู้ ดวงวิญญาณเทพของตี้ซานพุ่งออกมาจากในนั้นทันที วิญญาณเทพของเขาหม่นแสง ถึงขั้นเสียหายไปอย่างมาก น่าเวทนาและสะบักสะบอมอย่างยิ่ง และยิ่งตอนที่พุ่งออกมานั้น แขนขวาของวิญญาณเทพของเขาก็ระเบิดออกทันที
และในชั่วขณะที่เขาบินออกมา วังน้ำวนที่เขาออกมาก็พังทลายทันใด เงาร่างของหวังเป่าเล่อพุ่งมาจากในนั้น ดูแล้วก็สะบักสะบอมเล็กน้อยเช่นกัน และที่ด้านหลังของเขา จีเจียผู้มีไอสังหารพวยพุ่งก็เดินตามมาทันที แม้ว่าตัวเขาจะบาดเจ็บ แต่กลับยังไล่ตามอย่างบ้าคลั่ง
ส่วนด้านหลังของเขาก็ยังมีกวงหมิงที่บินออกมาจากวังน้ำวน เพียงแต่ชั่วขณะที่เขาบินออกมา เขาก็กระอักเลือด กายเนื้อเกือบจะพังทลาย เห็นได้ชัดว่าภายในแม่น้ำแห่งกาลเวลานั้น พวกเขาสามคนได้ร่วมมือกันต่อสู้กับหวังเป่าเล่อ เขากับตี้ซานล้วนบาดเจ็บสาหัส แต่เมื่อเปิดโอกาสให้จีเจียลงมือ สุดท้ายก็ทำให้หวังเป่าเล่อบาดเจ็บได้
“หวังเป่าเล่อ!” จิตสังหารในดวงตาของจีเจียปะทุออกมา ความเร็วเพิ่มขึ้นอีกครั้ง หวังเป่าเล่อหรี่ตา พลังต่อสู้ของเขาและจีเจียพอๆ กัน ถ้าหากสองคนสู้กันตัวต่อตัวก็ดีไป แต่นี่มีกวงหมิงและตี้ซานเพิ่มขึ้น สมดุลย่อมเอนเอียง
แต่…หากถ่วงเวลาต่อไปเขาก็ยังมีความมั่นใจอยู่ ตอนนี้ขณะที่ถอยร่นอยู่นั้น มือขวาของหวังเป่าเล่อก็ยกขึ้นกะทันหันแล้วโบกไปยังด้านหน้า ปากก็ตะโกนออกมา
“เต๋าธาตุน้ำ!”
ในชั่วอึดใจ ผู้คนทั่วทั้งตระกูลไม่รู้สิ้นที่ฝึกฝนเพียงเต๋าธาตุน้ำก็ตัวสั่นเทากันหมด ราวกับว่าจิตแห่งเต๋าถูกความว่างเปล่าดึงออกไปบรรจบที่ต้นกำเนิด
ต้นกำเนิดก็ย่อมเป็นหวังเป่าเล่อ ในพริบตาอาการบาดเจ็บของเขาก็ฟื้นกลับมามากกว่าครึ่ง เขากำหมัดโจมตีไปยังจีเจียที่ไล่ตามมา หลังจากอีกฝ่ายต้านเอาไว้ได้ หวังเป่าเล่อก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“เต๋าธาตุไม้!”
ภาพแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้พลังธาตุไม้มารวมกัน อวกาศคล้ายจะกลายเป็นแผ่นดินใหญ่ที่มีต้นไม้ใบหญ้านับไม่ถ้วนเติบโตขึ้นมา ทำให้อาการบาดเจ็บของหวังเป่าเล่อฟื้นขึ้นไม่น้อย เงาร่างสั่นไหว แล้วหนีไปอีกครั้ง
และตอนนี้วงแหวนเกราะกำบังของตระกูลไม่รู้สิ้นรอบๆ ก็บิดเบี้ยวรุนแรง ถึงขั้นที่มีจุดจุดหนึ่งอ่อนยวบอย่างยิ่ง ตรงนั้น…ก็คือจุดที่ปรมาจารย์เต๋าเจ็ดวิญญาณและจักรพรรดิสวรรค์สามคนของสำนักแห่งความมืดเลือกที่จะร่วมมือกันโจมตี
“ร่างเดิม!!” เมื่อเห็นเช่นนี้ จีเจียก็ร้อนใจถึงขีดสุด เขาอดตะโกนร้องเรียกอีกครั้งไม่ได้ และในครั้งนี้ บนดวงดาราที่ห่างไกล เว่ยยางจื่อที่นั่งทำสมาธิอยู่ตรงนั้นในที่สุดก็ลืมตาแล้ว
เขาจ้องมองทุกอย่างบนสนามรบ มองเห็นพวกปรมาจารย์สำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณกำลังโจมตี และยิ่งมองเห็นหวังเป่าเล่อที่ถ่วงเวลาไม่หยุด เขากระจ่างดียิ่งว่าขอแค่ตนลงมือในตอนนี้โดยมีเป้าหมายอยู่ที่หวังเป่าเล่อ บางทีอาจต้องใช้เวลาในการสังหารเขานิดหน่อย แต่การทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสก็ยังทำได้ง่ายๆ
แต่ถ้าหากทำเช่นนี้ เกรงว่าเฉินชิงจื่อก็คงจะเปิดเผยตัวออกมาต่อสู้กับตนทันที
แม้ว่าเขาจะรอคอยศึกครั้งนี้อย่างยิ่ง แต่…สิ่งที่เขาต้องการคือให้เฉินชิงจื่อเลือกลงมือในสถานการณ์ที่ตัวเขามั่นใจเต็มร้อย ไม่ใช่การโจมตีกลับเพราะถูกบังคับแบบนี้
สองอย่างนี้…มีความหมายแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
“เพื่อทำให้เฉินชิงจื่อมั่นใจยิ่งกว่านี้ เพื่อให้การแสดงละครฉากนี้ดียิ่งขึ้น…ตระกูลไม่รู้สิ้นในที่แห่งนี้ ไม่ต้องมีก็ช่างปะไร” แววตาของเว่ยยางจื่อเย็นเยียบ ไม่มีความรู้สึกแม้แต่น้อย เขาหลับตาลงอีกครั้ง
และการที่เขาหลับตาลงเลือกไม่ตอบกลับก็ทำให้จีเจียสิ้นหวังทันที ร่างของเขาส่องแสงเจิดจรัสพร้อมรอยยิ้มโศก แสงสว่างนี้แรงกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่ร่างกายของเขากลับแห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็วแบบที่ตาเปล่าก็ยังมองเห็น
ราวกับกำลังจะใช้พลังเทพบางอย่างที่กินพลังเกินควรอย่างยิ่งออกมา ใช้ความอ่อนแอของพลังชีวิตแลกมาซึ่งวิชาเวทอันทรงพลัง ความรู้สึกถึงวิกฤตปรากฏขึ้นในใจของหวังเป่าเล่อ ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเล ก้าวเข้าไปในแม่น้ำแห่งการเวลาอีกครั้ง
และพริบตาที่เขาก้าวเข้าไปนั้น จีเจียก็ยกมือขวาขึ้น มือขวาทั้งมือของเขาระเบิดตรงๆ เลือดเนื้อกระจัดกระจายแล้วรวมตัวกันกลายเป็นง้าวยาวที่เกิดจากเลือดเนื้อด้ามหนึ่ง มันพุ่งทะยานไปยัง…หวังเป่าเล่อ!
มันรวดเร็วมากจนทำลายกาลเวลาแล้วกระแทกเข้าไปในแม่น้ำ ภายใต้เสียงดังอึกทึกสะเทือนไปทั้งอวกาศนี้ แม่น้ำกาลเวลาท่อนนั้นก็พังทลายทันที เงาร่างของหวังเป่าเล่อก็ล่าถอยออกมาจากในนั้นแล้วกระอักเลือดออกมา
แววตาของจีเจียมีจิตสังหารระเบิดออก เขาก็กำลังจะไล่ตามมาท่ามกลางเสียงสะเทือนดังสนั่น
วิกฤตอยู่ตรงหน้า แต่ตอนนี้…เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นที่รุนแรงยิ่งกว่าก็ดังมาจากที่ไกลๆ ณ วงแหวนเกราะป้องกันของตระกูลไม่รู้สิ้น…ณ จุดที่อ่อนยวบซึ่งพวกปรมาจารย์สำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณทั้งสี่คนร่วมกันโจมตีพังลงมาแล้ว
……………………………
ภาพนี้ทำให้เว่ยยางจื่อเกิดอาการใจสั่นไหวขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อทำให้แผนการสำเร็จ ตนจึงปล่อยให้หวังเป่าเล่อเติบโตขึ้นมา นี่เขา…ทำพลาดไปหรือไม่
“ไม่เป็นไร…สุดท้ายก็เป็นแค่ตัวเสริมเท่านั้น” แต่ไม่นาน เว่ยยางจื่อก็ส่ายหน้าไม่ไปสนใจอีก เขากักตนต่อ รอคอยให้ฉากสุดท้ายในแผนการของเขาเปิดการแสดง
ขณะเดียวกันนั้น บนสนามรบของตระกูลไม่รู้สิ้น จีเจียถอยร่น สีหน้าของเขาย่ำแย่อย่างยิ่ง เขาจ้องหวังเป่าเล่อเขม็ง ในใจมีความคิดมากมายปรากฏขึ้นมา ยกมือขวาขึ้นผนึกมุทราอย่างรวดเร็ว ราวกับกำลังจะใช้วิชาเทพของเขาออกมา
แต่หวังเป่าเล่อเร็วกว่า แทบจะในชั่วขณะที่จักรพรรดิสวรรค์จีเจียจะใช้พลังเทพออกมาใหม่ หวังเป่าเล่อก็ก้าวเข้ามาตรงๆ แล้วเข้าต่อสู้กับจีเจียอีกครั้ง
เสียงดังสนั่นกึกก้อง เงาร่างของทั้งสองคนพัวพันกันอยู่กลางอวกาศ เจ้ามาข้าไป ภายในช่วงสั้นๆ ก็เกิดการพุ่งปะทะกันหลายพันครั้งแล้ว ทุกที่ที่เคลื่อนผ่านไป รอยแยกกลางอวกาศก็จะแผ่ขยาย หลายบริเวณถล่มทลายทันที
ระดับความรุนแรงช่างน่าตะลึงยิ่งนัก อีกทั้งหลังๆ มาความเร็วก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขนาดหากผู้ที่มองดูอยู่มีขั้นฝึกตนไม่ถึงระดับหนึ่ง ก็จะเห็นวิธีต่อสู้ได้ไม่ชัดเจน ทำได้เพียงมองดูอวกาศแตกกระจายราวกับวันสิ้นโลกมาถึง
ขนาดที่ขณะต่อสู้กันอยู่ก็ยังมีเต๋าแห่งกาลเวลาปรากฏขึ้นมา ทั้งสองคนก้าวเข้าไปในกาลเวลาพร้อมกันแล้วต่อสู้กันในอดีต เรื่องนี้ส่งผลต่อตระกูลไม่รู้สิ้นอย่างใหญ่หลวง ตี้ซานผู้โชคดีที่พลังฝึกปรือฟื้นคืนมาส่วนหนึ่งและกวงหมิงที่ปรากฏตัวขึ้นต้องทุ่มพลังเข้าสยบเต็มที่ ถึงจะแก้ไขผลกระทบที่ตามมาจากการต่อสู้ของคนทั้งสองได้
“เหตุใดเขาแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้!!” กวงหมิงจิตใจสั่นสะท้าน มองไปที่อวกาศ แววตาเผยความตื่นตะลึงออกมา ตี้ซานที่อยู่ข้างๆ ก็เงียบงันไม่พูดจา เขามีประสาทสัมผันที่รุนแรงยิ่งกว่า เพียงแต่ในช่วงครึ่งปีนี้คล้ายกับว่าพลังต่อสู้ของหวังเป่าเล่อจะดุดันยิ่งกว่าเมื่อก่อนนัก
จนกระทั่งชั่วหนึ่งก้านธูปต่อมา กลางอวกาศ เงาร่างของหวังเป่าเล่อและจีเจียปรากฏขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้…ทั้งสองล้วนบาดเจ็บเหมือนกัน แววตาของหวังเป่าเล่อฉายความเหี้ยมโหด แสงสว่างบนร่างกายส่องวูบวาบชั่วพริบตา วิชาคืนพินาศ…ปะทุออกมาบนร่างของเขาทันที
พริบตาเดียวอวกาศก็กลายเป็นสีดำสนิท แม้แต่ทางฝั่งจีเจียก็คล้ายจะหลอมรวมไปกับความมืดด้วย เมื่อประกายแสงบนร่างของหวังเป่าเล่อแรงกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ แล้วก่อตัวเป็นอาทิตย์แรก ทันทีที่เขากระโจนร่างขึ้นมา แสงสว่างก็สาดส่องไปทั่วทุกทิศพร้อมลานุภาพราวกับฉีกกระชากกำจัดความมืดมิด
ทันทีที่ใช้วิชานี้ออกมา อวกาศก็สั่นสะเทือน จีเจียก็หน้าเปลี่ยนสี แต่แววตากลับมีความเหี้ยมโหดส่องวาบ เมื่อโบกมือก็มีกระจกหนึ่งบ้านปรากฏขึ้นในมือแล้ว
กระจกบานนี้เรียบง่ายเก่าแก่ เผยกลิ่นอายแห่งกาลเวลาไร้ที่สิ้นสุด พริบตาที่หยิบออกมา มันก็ขยายใหญ่ขึ้นตรงหน้าจีเจียแล้วบังร่างกายของเขาไว้ข้างหลังทันที ขณะเดียวกัน ผิวกระจกก็มีประกายแสงส่องวาบ ทำให้แสงอาทิตย์แรกที่หวังเป่าเล่อสร้างขึ้นสะท้อนลงมาบนผิวกระจก
เห็นได้ชัดว่ากระจกใบนี้มีประวัติศาสตร์มากมาย อีกทั้งผิวกระจกก็ยังเป็นสมบัติชั้นเลิศ ไม่อย่างนั้นคงไม่อาจทำให้คืนพินาศสะท้อนลงมาได้แน่ แม้ว่า…ขณะที่เกิดการสะท้อนแสงลงมานี้จะทำให้กระจกสั่นสะท้านและผิวกระจกมีรอยร้าว แต่สุดท้าย…ก็ยังสะท้อนแสงเข้ามาข้างในแล้วระเบิดขึ้นทันใด!
ขณะที่เกิดการระเบิด กลางอวกาศก็มีดวงอาทิตย์แรกปรากฏขึ้นมาสองดวง คล้ายกับดวงอาทิตย์ทั้งสองกำลังแข่งกันส่องสว่าง ทำให้ความมืดมิดทั้งหมดในอวกาศแห่งนี้ถูกกำจัดสิ้นสมบูรณ์ในชั่วพริบตา จากนั้น…แสงสว่างของอาทิตย์แรกทั้งสองดวงนี้ก็เริ่มกลืนกินกันเอง!
วิธีการต่อต้านเช่นนี้ หวังเป่าเล่อเพิ่งเคยเจอครั้งแรก สีหน้าจึงย่ำแย่ทันที โดยเฉพาะเมื่อเขาค้นพบว่าอาทิตย์แรกที่สะท้อนออกมาจากผิวกระจกมีอานุภาพเหมือนกับดวงที่ตัวเขาใช้ออกมา ถึงขั้นที่ว่าเขายังเห็นตัวเองอีกคนยืนอยู่ในนั้นด้วยซ้ำ
และสิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือ ตอนนี้ความรู้สึกว่าถูกแสงสว่างทำร้ายไม่ได้มาจากตัวเขาเท่านั้น แต่ยังมาจาก…ผิวกระจก หรือก็หมายความว่า สิ่งที่สะท้อนมาจากผิวกระจกนี้ไม่ใช่แค่อาทิตย์แรก แต่ยังมีอาการบาดเจ็บด้วย!
อาการบาดเจ็บที่เขาสร้างให้กับผิวกระจกก็ถูกสะท้อนกลับมายังร่างของเขาด้วย และอาการบาดเจ็บที่กระจกสร้างให้เขาก็เช่นเดียวกัน มันจึงเกิดเป็นวงจรแบบหนึ่งหวังเป่าเล่อต้องขมวดคิ้ว หลังจากพบว่าอาการบาดเจ็บของเขารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาก็มองเห็นรอยร้าวบนกระจกฟื้นกลับสู่สภาพเดิม ดังนั้นเขาจึงโบกมือขวาขึ้นสลายวิชาคืนพินาศทิ้งทันใด
“กระจกใบนี้แปลกประหลาด แต่ไม่ใช่ว่าคืนพินาศทำลายไม่ได้ ทว่าเป็นเพราะพลังฝึกตนของข้าไม่อาจเกื้อหนุน ไม่อย่างนั้นหากดันไปให้สุดล่ะก็ จะต้องทำให้กระจกใบนี้พังไปก่อนได้แน่!”
แทบจะพร้อมกันกับที่หวังเป่าเล่อถอนคืนพินาศกลับ จีเจียก็ถอนกระจกใบนี้กลับอย่างรวดเร็วเช่นกัน สีหน้าเขาซีดขาวเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าสำหรับเขาแล้ว การหนุนนำกระจกบานนี้ใช้พลังมหาศาลมาก ตอนนี้เขาจึงจ้องมองไปยังหวังเป่าเล่อด้วยความซับซ้อน เขารู้ว่าหากคิดจะสังหารอีกฝ่าย โดยพื้นฐานแล้วเป็นไปไม่ได้เลย
จุดนี้เอง หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้เช่นกัน ความแข็งแกร่งของจีเจียผู้นี้เหนือกว่าที่เขาคาดเดาไว้อยู่สักหน่อย วิถีเต๋าของคนผู้นี้ราวกับมีอยู่ไม่น้อยเลย ทั้งยังไม่ว่าจะเป็นเต๋าธาตุทองหรือเต๋าธาตุมืดก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ธรรมดา โดยเฉพาะอย่างหลังนั้นช่างแปลกประหลาดยิ่งกว่า
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว จุดแปลกประหลาดของกระจกบานนั้นต่างหากถึงจะเป็นส่วนสำคัญ
“ของสิ่งนี้…คือสมบัติอะไรกัน ไม่รู้ว่าจะนำมาเป็นของบรรจุเต๋าให้ข้าได้หรือไม่!”
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงแล้วฝังความคิดนี้เอาไว้ในใจ เขามองไปรอบกาย การมาครั้งนี้ของเขา ถ้าหากทำเพียงเท่านั้นก็เหมือนจะช่วยเหลือเฉินชิงจื่อได้ไม่มาก ดังนั้นในแววตาของเขาจึงมีประกายแสงจางๆ ส่องวาบ ตอนนี้ร่างเดิมภายในสหพันธรัฐของระบบสุริยะกลางจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็ลืมตาขึ้นแล้วแผ่กระแสเต๋าออกมาปกคลุมทั้งจักรพิภพเต๋าฝั่งซ้าย
“ตระกูลไม่รู้สิ้นขวางการกลับมาของผู้ศรัทธาเต๋าฝั่งซ้ายของข้า สำนักทุกแห่งในเต๋าฝั่งซ้าย…ทำศึกกับตระกูลไม่รู้สิ้น!”
ทันทีที่คำสั่งนี้แพร่ออกไป ทั่วทั้งเต๋าฝั่งซ้ายก็เคลื่อนไหวทันที หากเปลี่ยนเป็นก่อนหน้านี้ แม้เต๋าเก้ารัฐผู้เป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งเต๋าฝั่งซ้ายจะแพร่คำสั่งนี้ออกมาก็จะมีการต่อต้านและความล่าช้าเกิดขึ้น แต่ด้วยสถานะและอานุภาพของหวังเป่าเล่อในปัจจุบัน ทันทีที่คำสั่งนี้เกิดขึ้น ทุกสำนักในสหพันธรัฐของระบบสุริยะก็เคลื่อนไหวเป็นพวกแรก
ส่วนสำนักอื่นๆ ก็ไม่มีความลังเลใดๆ เช่นกัน พวกจอมพลังพากันออกเดินทางจนเกิดเป็นกองทัพใหญ่ พุ่งเข้ามาใกล้กับจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้นอย่างรวดเร็ว
ส่วนพวกที่อยู่ระดับจักรวาลก็ได้แผ่กระแสเต๋าออกมาในขอบเขตอันกว้างใหญ่ไพศาล การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของอวกาศเช่นนี้ แม้ว่าจะมีจักรพิภพขวางกั้นอยู่ แต่ก็สามารถรับรู้ถึงพลังปราณได้ ดังนั้นแทบจะทันทีที่คำสั่งของหวังเป่าเล่อดังออกมาและจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายเคลื่อนไหวออกศึก จีเจียจึงสังเกตเห็นในทันที
เขายังไม่ทันได้ตอบสนองก็มีพลังปราณแปรปรวนระเบิดขึ้นมากะทันหันภายในจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้น
และจุดที่มันระเบิดออกมาก็คือแม่น้ำแห่งความมืด!
ขณะที่แม่น้ำแห่งความมืดไหลซัด ระดับจักรวาลทั้งสามคนของสำนักแห่งความมืดก็พุ่งทะยานออกมาพร้อมกัน ยิ่งกว่านั้นยังมีผู้ฝึกตนของสำนักแห่งความมืดจำนวนมากและวิญญาณในแม่น้ำแห่งความมืดก็พากันพุ่งออกมาเช่นเดียวกัน จำนวนคนที่ลงมือในครั้งนี้มีมากจนกลายเป็น…การทุ่มกำลังสุดแรง!
สีหน้าของจีเจียอึมครึม เอ่ยขึ้นกะทันหันว่า
“ขอบคุณสหายเต๋า ได้โปรดลงมือเถิด!”
“สหายเต๋าจีเจีย ตัวข้ากับปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งของเจ้ามีสัญญากัน หากยังไม่ถึงเวลาลงมือ นอกเหนือจากนั้น…ศึกครั้งนี้ข้าแซ่เซี่ยก็ไม่ต้องการเข้าร่วม” ผู้ที่ตอบกลับเขากลับเป็นเสียงนิ่งสงบที่ดังมาจากอวกาศ
“เจ้า!!” จีเจียหน้าเปลี่ยนสี กำลังจะเอ่ยปากแต่พริบตาต่อมา…ภาพที่ทำให้จิตใจของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ก็เกิดขึ้นแล้ว!
จักรพิภพสำนักเสริม ภายในสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ ตอนนี้ปรมาจารย์เจ็ดวิญญาณผุดลุกขึ้นมา แววตาส่องประกายแรงกล้า เวลาที่เขารอคอยยังไม่มาถึง แต่เขาไม่อยากรออีกแล้ว เขากลับมองออกว่าไม่ว่าจะเป็นหวังเป่าเล่อหรือว่าสำนักแห่งความมืด ก็เหมือนกับว่าตอนนี้พวกเขากำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการลงมือของเฉินชิงจื่ออยู่
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ก็ลงมือเถอะ หากรอต่อไปข้าจะหงุดหงิดแล้ว!” ปรมาจารย์เจ็ดวิญญาณร้องคำรามขึ้นฟ้า ร่างกายกระโจนสู่อวกาศโดยตรง ลำตัวขยายใหญ่ในชั่วพริบตาคล้ายกับยักษ์ แล้วก้าวไปยังตระกูลไม่รู้สิ้น
ยิ่งกว่านั้นเขายังก็เผยแพร่คำสั่ง ประกาศไปทั่วทั้งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ
“ศิษย์ทุกคนของสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ เดินทาง…ไปตระกูลไม่รู้สิ้น! พวกเรา…กลับข้างแล้ว!!”
ทันใดนั้นสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณก็เคลื่อนไหว ผู้ฝึกตนจำนวนมากพุ่งออกไป แววตาของแต่ละคนฉายแววกระหายอยากต่อสู้พวยพุ่งเทียมฟ้า ตามอยู่ด้านหลังปรมาจารย์สำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ แล้วเดินทางไปยังจักรพิภพในกลางไม่รู้สิ้น
ผู้ที่พุ่งทะยานมาพร้อมกันยังมีสำนักตระกูลอื่นๆ ของจักรพิภพสำนักเสริมจำนวนไม่น้อยอีกด้วย ในพริบตา กลุ่มผู้ฝึกตนก็โผบิน!
ร่างกายของกวงหมิงสั่นสะท้าน สีหน้าของตี้ซานหม่นหมอง ดวงตาของจีเจียหดเกร็ง ทั่วทั้งตระกูลไม่รู้สิ้น ผู้ฝึกตนทั้งตระกูลล้วนตกตะลึง ชั่วขณะนี้เอง…เต๋าฝั่งซ้ายยกทัพ สำนักเสริมกลับข้าง สำนักแห่งความมืดออกรบ!
สงครามจึงปะทุขึ้นโดยสมบูรณ์!
……………………………
ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งตระกูลไม่รู้สิ้นกำลังสร้างสถานการณ์
สร้างสถานการณ์อันสะเทือนฟ้า สร้างสถานการณ์แห่งมหาเต๋า!
ดังนั้นเขาจึงยอมทนต่อพฤติกรรมหลายต่อหลายครั้งของหวังเป่าเล่อ ไม่สนใจเรื่องหน้าตาและความอ่อนแอของตระกูลไม่รู้สิ้น เพราะว่า…ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลังก็ล้วนไม่สำคัญต่อเขา
ไม่สำคัญเลยสักนิด!
หวังเป่าเล่อตัวเล็กๆ แม้เต๋าที่เขาฝึกฝนจะไม่ธรรมดา แม้ดูจากร่องรอยแล้วจะเห็นได้ชัดว่ามีเต๋าจากภายนอกเข้ามาแทรกแซง อีกทั้งตัวตนของเขาก็ยังมีจุดที่น่าสงสัย แต่เรื่องพวกนี้ไม่นับเป็นอะไร ในสายตาของเขา แม้ว่าเต๋าของหวังเป่าเล่อจะน่าตะลึง แต่กลับขาดฤทธิ์เดช ราวกับถูกแช่แข็ง ดังนั้นขอเพียงแผนการของตนสำเร็จผล ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่สำคัญแล้ว
ตระกูลไม่รู้สิ้น…ก็ยิ่งไม่นับว่าเป็นอะไร ที่นี่ยิ่งไม่ใช่จักรวาลไม่รู้สิ้นที่แท้จริงด้วย ในแง่หนึ่งนั้น…คุณค่าเดียวของตระกูลไม่รู้สิ้น ณ ที่แห่งนี่ก็คือทำให้เต๋าของตัวเขาสมบูรณ์เท่านั้น
แต่ตอนนี้เขาไม่ต้องการมันแล้ว ความกังวลและความห่วงใยต่อตระกูลนี้ถูกตัวเขาตัดทิ้งไปนานแล้ว จากนั้นนำความคิดทั้งหมดมารวมกันเป็นร่างแยกร่างหนึ่ง
ส่วนร่างแยกนั้นจะมีหรือไม่มีก็ได้ แม้ว่าจะเป็นตัวเขา แต่ก็ไม่ใช่ตัวเขา
“สำหรับข้าแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด…ก็คือการจากไป เฉินชิงจื่อเอ๋ย ข้ารอให้เจ้าลงมือไม่ไหวแล้ว” ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งตระกูลไม่รู้สิ้นหรืออีกชื่อ…เว่ยยางจื่อ นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ดวงตาของเขาหรี่ลงแล้วเผยประกายแสงแรงกล้าออกมา
เขารอคอยเรื่องนี้มาเนิ่นนานเหลือเกิน แผนการนี้ก็สร้างขึ้นมาเนิ่นนานแล้วเช่นกัน
“จักรพรรดิแห่งความมืดรุ่นแรกเป็นตัวไร้ประโยชน์ ข้าให้โอกาสเขา เขาก็ยังทำล้มเหลว แต่เฉินชิงจื่อ เจ้า…คือความหวังของข้า ข้ามีลางสังหรณ์ว่าเจ้า…จะต้องทำสำเร็จ” มุมปากของเว่ยยางจื่อเผยรอยยิ้มออกมาแล้วค่อยๆ ปิดลงตาอีกครั้ง เขาสัมผัสได้ว่า ใกล้แล้ว ใกล้แล้ว…
ใกล้จะถึงเวลาที่เฉินชิงจื่อลงมือไม่นานแล้ว
ขณะเดียวกันในตอนนี้ ภายในตระกูลไม่รู้สิ้น ขณะที่ธรรมกายของหวังเป่าเล่อก้าวย่างเข้ามา พลังฝึกปรือของจีเจียก็ปะทุขึ้น อานุภาพกดดันแรงกล้า เงาร่างราวกับสายรุ้งยาวพุ่งทะยานไปหาหวังเป่าเล่อ
ความเร็วสูงมาก หลังจากเข้ามาใกล้ในชั่วอึดใจ พลังมหาศาลก็ระเบิดออกมาจากร่างของจีเจียแล้วกลายเป็นประกายกระบี่เก้าเต๋าปรากฏขึ้นนอกร่างกายของเขาโดยตรง ทุกประกายล้วนสะเทือนฟ้าสะเทือนดินและแฝงไว้ซึ่งอานุภาพไร้ใดเทียม เทียบได้กับการโจมตีเต็มกำลังของจักรพรรดิสวรรค์ธรรมดา ตอนนี้มันพุ่งทะยานอย่างฉับพลันมายังธรรมกายของหวังเป่าเล่อ
“เต๋าธาตุทองหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ประมือของจักรพรรดิสวรรค์จีเจีย ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ว่าเต๋าของอีกฝ่ายคืออะไร ทำได้เพียงรับรู้ว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก พอจะสูสีกับตัวเขาในปัจจุบันได้
“น่าจะไม่ใช่!” ธรรมกายของหวังเป่าเล่อเปล่งประกายแสงเจิดจรัส มือขวากำเป็นหมัดแล้วชกออกไปตรงๆ พลังธาตุไม้แผ่ซ่าน ทำให้เกิดพลังชีวิตไร้ที่สิ้นสุดไปทั่วอวกาศทั้งสี่ทิศแล้วกลายเป็นต้นไม้ใบหญ้าจำนวนนับไม่ถ้วนพัวพันเข้าด้วยกัน เกิดเป็นตาข่ายยักษ์ พุ่งไปหาเก้ากระบี่
เพียงพริบตาทั้งสองฝ่ายก็เข้าปะทะ ท่ามกลางเสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้า ตาข่ายยักษ์จากพืชพรรณก็พังทลาย เก้ากระบี่หม่นแสง แต่ความเร็วยังคงเดิม เห็นอยู่ว่าเคลื่อนเข้ามาใกล้ แต่พริบตาต่อมา คุณสมบัติไร้ที่สิ้นสุดของพลังธาตุไม้ก็ปรากฏขึ้นอย่างสมบูรณ์ในชั่วขณะนี้เอง พลังไม้ที่แผ่ขยายออกมาเหล่านั้นรวมตัวกันอีกครั้ง แล้วกลายเป็นฝ่ามือพืชขนาดมหึมาหนึ่งข้างเข้าปะทะกับเก้ากระบี่อีกครั้ง
เสียงดังสนั่นระเบิดขึ้นซ้ำสอง ฝ่ามือพังทลาย แต่เก้ากระบี่ก็ไม่อาจทนรับได้เช่นกัน มันระเบิดออกมาทันที แต่ชั่วพริบตาที่มันระเบิดออกมานั้น…ก็มีควันเก้าสายลอยออกมาจากเก้ากระบี่ที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ด้วย มันบิดเบี้ยวราวกับงู แต่กลับพุ่งตรงมาหาหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็วกะทันหัน!
“เต๋าธาตุมืด!”
ไอควัน ไอหมอก ไปจนถึงกลิ่นอายทั้งหมด ล้วนเรียกได้ว่าเป็นเต๋าธาตุมืด!
ดวงตาของหวังเป่าเล่อหดเกร็งรุนแรง ร่างของธรรมกายล่าถอยทันทีโดยไม่ลังเล มือซ้ายกระแทกไปข้างหน้าอย่างแรง ทันใดนั้นมหาสมุทรผืนใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นตรงหน้าเขา มันพัดม้วนคลื่นมหึมาเทียมฟ้ากดดันไปทางควันเก้าสายที่เข้ามาหาโดยตรง
ท่ามกลางเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นนั้น พริบตาที่ไอควันสัมผัสกับน้ำทะเลมันก็จางหายไปทันที แต่ความจริงมันไม่ได้หายไป ทว่ากลายเป็นอนุภาคเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนแทรกซึมเข้าไปในน้ำทะเลอย่างคาดไม่ถึง แล้วข้ามผ่านช่องว่างที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าเข้ามา
ความแปลกประหลาดนี้ทำให้ดวงตาของหวังเป่าเล่อทอประกายแสง เขายกมือขวาขึ้นชี้ฉับพลันโดยไม่ลังเลสักนิด
“น้ำแข็ง!”
ราวกับลมหนาวพัดโชย ความเย็นเยือกระเบิดขึ้นในชั่วอึดใจ ในชั่วพริบตาคลื่นพิโรธก็กลายเป็นสลักน้ำแข็งโดยตรง คล้ายกับสามารถปิดผนึกทุกสิ่งทุกอย่างได้ ซึ่งรวมไปถึงอนุภาคของเต๋าธาตุมือที่พยายามผ่านเข้ามาภายในสลักน้ำแข็งนี้ด้วย
แต่เห็นได้ชัดว่า…ผนึกน้ำแข็งเช่นนี้ก็ยังทำได้ไม่ถึงจุดสูงสุด ในสัมผัสสวรรค์ของเขา อนุภาคเต๋าธาตุมืดเหล่านั้นราวกับยังสามารถเคลื่อนผ่านไปได้ เพียงแต่ได้รับผลกระทบทำให้เชื่องช้าไปนิดหน่อยเท่านั้น
แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว ดวงตาของหวังเป่าเล่อทอประกายพราวพร่าง ขณะที่โบกมือ ดวงดาวแต่ละดวงด้านหลังของเขาก็เปลี่ยนแปลงทันที พริบตาก็มีดวงดาราจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นด้านหลังของเขาแล้ว
ในหมู่ดวงดาวเหล่านี้ ดวงที่อยู่ใจกลางที่สุดก็คือดาวเคราะห์เต๋าของเขา ตอนนี้ประกายแสงของดาวเคราะห์เต๋าปะทุออกมากะทันหัน ในนั้นยังมีกฎเกณฑ์พิเศษสายหนึ่งแฝงอยู่และถูกหวังเป่าเล่อนำมาใช้!
เต๋าแห่งการลอกเลียน!
หลังจากฝึกวิชามาจนถึงระดับอย่างหวังเป่าเล่อ เขาก็ได้ศึกษาถึงเต๋าพิเศษที่แฝงอยู่ในดาวเคราะห์เต๋ามานานแล้ว ถึงขั้นที่ ส่วนลึกภายในใจของเขายังคิดว่าเต๋านี้…มีประโยชน์อย่างยิ่ง
โดยเฉพาะหลังจากเขากลายเป็นเจ้าแห่งเต๋าแล้ว เมื่อกระแสเต๋าแผ่ออกมาและสัมผัสไปถึงสรรพชีวิตได้ เต๋าแห่งการลอกเลียนนี้จึงมีจิตแห่งเต๋านับไม่ถ้วนสลักอยู่ภายใน เพียงแต่เมื่อเทียบกับธาตุไม้และน้ำภายในร่างของเขาแล้ว เต๋าแห่งการลอกเลียนนี้ก็มีอานุภาพอ่อนแอเกินไป และเมื่อใช้วิชานี้ออกมาก็แสดงได้ทีละครั้งเท่านั้น
แม้จะดูเหมือนเป็นซี่โครงไก่ แต่ในก้นบึ้งจิตใจของหวังเป่าเล่อคิดว่าถ้าหากใช้เต๋าชนิดนี้ดีๆ แล้วล่ะก็มันจะมีประโยชน์สะเทือนฟ้าสะเทือนดินอย่างยิ่ง
ตัวอย่างเช่นในตอนนี้ กฎเกณฑ์ที่เขาใช้ออกมาตอนนี้ไม่ได้ลอกเลียนเต๋าธาตุมืดของจีเจีย แต่เป็น…แสดงกฎแห่งเต๋าอย่างหนึ่งที่เขาลอกเลียนมาไว้ตั้งนานแล้ว!
นั่นก็คือ…ธาตุทองแห่งเบญจธาตุ!!
หวังเป่าเล่อไม่ได้ไปหาสมบัติชั้นเลิศที่สามารถบรรจุเต๋าธาตุทองมา และไม่ได้ก่อเมล็ดธาตุทองด้วย แต่เขาได้ลอกเลียนเต๋ามาหลายอย่าง และเต๋าธาตุทองก็ย่อมอยู่ในนั้น แม้ว่าช่องว่างระหว่างระดับจะใหญ่อย่างยิ่ง อีกทั้งอานุภาพมันก็ไม่อาจนำมาเทียบได้ ในระดับหนึ่งถือได้ว่าเป็นการยืมพลังมาใช้ แต่…ตอนนี้เอง มันกลับสำคัญอย่างยิ่ง
เพราะว่าทองหนุนน้ำ น้ำหนุนไม้ และน้ำคือต้นกำเนิดของไม้ เมื่อมีกฎเกณฑ์ของทองเข้ามาก็ยิ่งเพิ่มพลังแห่งต้นกำเนิดอย่างไร้รูป และเมื่อมีการส่งเสริมแบบไร้รูปเช่นนี้ขึ้นมา ก็สามารถทำให้เต๋าธาตุไม้ที่แข็งแกร่งที่สุดของหวังเป่าเล่อยิ่ง…ยิ่งแข็งแกร่งกว่าเดิม!
เมื่อเต๋าธาตุไม้แข็งแกร่งมากขึ้น ก็จะควบแน่นกลายเป็น…เต๋าอีกชนิดหนึ่ง!
ดังนั้นในพริบตาต่อมา หลังจากวิชาลอกเลียนแสดงกฎเกณฑ์ของธาตุทองออกมาแล้ว เต๋าธาตุน้ำในร่างของหวังเป่าเล่อก็ระเบิดขึ้นกะทันหันและส่งผลต่อเต๋าธาตุไม้ของเขา ทำให้รอบกายของเขามีพืชพรรณจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏทันใด
พืชพรรณเหล่านี้ปกคลุมไปครึ่งอวกาศของตระกูลไม่รู้สิ้นโดยตรง และยิ่งส่งผลต่อต้นไม้ใบหญ้าทั้งหมดบนดวงดาวทุกดวงภายในตระกูลไม่รู้สิ้นด้วย และในชั่วพริบตานี้เอง ท่ามกลางเสียงคำรามต่ำของหวังเป่าเล่อ เมื่อสายควันเก้าสายของจีเจียพุ่งผ่านทะเลน้ำแข็งไปสังหารหวังเป่าเล่อโดยฉันพลันนั้นเอง…พืชพรรณบนดวงดาวภายในตระกูลไม่รู้สิ้นก็สั่นไหวขึ้นมา ต้นไม้ใบหญ้าทั้งหมดในอวกาศก็สั่นสะท้านเช่นเดียวกัน
ขณะที่พวกมันสั่นไหว…ลมก็พัดขึ้น!!
ลมที่เดิมทีไม่ควรจะปรากฏขึ้นในอวกาศแห่งนี้กลับปรากฏขึ้นเพราะอิทธิพลของวิชาเต๋าชนิดนี้!
นี่ก็คือ…เต๋าธาตุลม!
วิชาลอกเลียนก็สามารถสร้างเต๋าธาตุลมขึ้นมาได้ แต่อานุภาพอ่อนเกินไป ส่วนเต๋าธาตุลมในตอนนี้แตกต่างกัน มันเกิดมาจากพลังธาตุไม้ที่ก่อตัวเป็นลมพายุมหึมาพัดโหมทั่วอวกาศในชั่วพริบตา มันปะทุขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อทันที แล้วปะทะเข้ากับสายควันเก้าสายโดยตรง
เสียงสะเทือนลั่นดังแผ่ไปทั่วทั้งแปดทิศ สายควันอันตรธาน เต๋าธาตุลมสลายหายไป สีหน้าของจีเจียขาวซีด ร่างกายเซถอยกะทันหัน แววตาของเขาเผยให้เห็นความไม่อยากเชื่อ เดิมทีเขาคิดว่าหวังเป่าเล่อจะใช้วิชากาลเวลาออกมา หรือไม่ก็ใช้เต๋าแสงสว่างอันน่าสะพรึงที่ใช้สยบตี้ซานเมื่อคราวนั้น ซึ่งเขาก็มีวิธีการตอบโต้อยู่ในใจแล้ว
แต่เขาคิดไม่ถึงว่าการลงมือของหวังเป่าเล่อจะแตกต่างจากที่เขาคาดไว้
เต๋า…กลับสามารถนำมาใช้เช่นนี้ได้ด้วย สิ่งนี้ทำให้เขาตื่นตะลึงยกใหญ่และจิตใจสั่นสะท้าน ถึงขั้นที่แม้แต่เว่ยยางจื่อที่นั่งสมาธิหลับตาอยู่บนดวงดาวห่างไกล ตอนนี้ก็ยังลืมตาโพลงขึ้นมา เผยให้เห็นความตกใจในดวงตา
เพราะว่า…การปรากฏตัวของเต๋าลอกเลียนทำให้เต๋าของหวังเป่าเล่อไม่ได้ถูกแช่แข็งตายตัวอีกต่อไป มีทักษะเพียงไม่กี่อย่าง แต่กลับใช้น้ำและไม้เป็นรากฐาน แสดงฤทธิ์เดชที่ไม่อาจจินตนาการออกมาได้!
……………………
เสวียนหัวรู้สึกว่าตนช่างน่าสังเวชอย่างยิ่ง
ตั้งแต่ครั้งก่อนที่ได้รับคำสั่งให้เดินทางไประบบสุริยะ ณ เต๋าฝั่งซ้ายเพื่อทดสอบดูพลังที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองได้พบกับภัยพิบัติถึงตายของชีวิตนี้แล้ว
ภัยอันตรายนี้ยิ่งใหญ่มากจนทำให้จิตใจของเขาพังทลาย
เมื่อได้รับอิทธิพลจากเต๋าธาตุไม้ของหวังเป่าเล่อ ภายในร่างกายของเขาก็เกิดจิตมารขึ้น ถ้าหากมารนี้เป็นสายนอกรีตก็ดี มันยังพอมีวิธีแก้ไข แต่จิตมารนี้ดันไม่ใช่สายนอกรีต มันมีอิทธิพลต่อจิตใจและสติปัญญาของเขาไม่หยุดยั้ง ทำให้เขาเริ่มจะเกิดความคิดเคารพบูชาหวังเป่าเล่อขึ้นมา
ความคิดนี้แรงกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่ตัวของเสวียนหัวเองก็สังเกตเห็น เพียงแค่ดำเนินอยู่นานกว่าหนึ่งก้านธูป แต่ตนก็ไม่อาจใช้พลังทั้งหมดสยบเอาไว้ได้ จากนั้น…ตนในอีกหนึ่งก้านธูปต่อมาก็อาจจะไม่ใช่ตัวเขาในตอนนี้อีกแล้ว
ร่างกายไม่เปลี่ยนแปลง ดวงวิญญาณเทพไม่เปลี่ยนแปลง แต่ความรู้สึกนึกคิดทั้งหมดพลิกผันไปโดยสิ้นเชิง เขาใกล้จะพุ่งออกจากตระกูลไม่รู้สิ้นโดยไม่สนอะไรเพื่อไปหาหวังเป่าเล่อและคุกเข่าคำนับอยู่ตรงหน้าอีกฝ่ายได้เลยด้วยซ้ำ
แค่ต้องการเพียงหนึ่งประโยคของอีกฝ่าย ต่อให้เขาให้ตนไปตาย ตนก็ไม่มีความลังเลสักนิดและจะดำเนินการทันที…เพราะว่าการมีอยู่ของอีกฝ่ายก็คือต้นกำเนิดเต๋าของตน เงาร่างของอีกฝ่ายก็คือทั้งหมดในชีวิตนี้ของตน
เขาไม่อยากให้เป็นเช่นนี้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงกักตน ไม่ได้ต่อต้านมันทุกเวลา แต่การก่อกำเนิดของเต๋าธาตุน้ำและการทะลวงพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อก็ทำให้จิตใจของเขาแทบจะสูญสลาย แม้ว่าจะถูกจีเจียและกวงหมิงสยบเอาไว้พร้อมกัน ทำให้เขาพอจะโล่งอกไปได้ แต่ความโศกเศร้าในใจของเขามาจนถึงขีดสุดแล้ว
เพราะเขาตระหนักได้ว่าตัวเขานั้น…คงไม่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์เช่นนี้ได้แล้ว เว้นเสียแต่…หวังเป่าเล่อจะตกตาย ไม่อย่างนั้นการแตกสลายทางจิตใจเขาก็เป็นเรื่องของเวลาแล้ว
แต่เขาก็ฆ่าตัวตายไม่ได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงวางความคาดหวังไว้ที่ท่านปรมาจารย์ แต่ด้วยความแปลกประหลาดของจิตมารเต๋าธาตุไม้นั้น ภายในช่วงสั้นๆ นี้แม้แต่ท่านปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งไม่รู้สิ้นก็ยากจะกำจัดมันได้ และหากคิดจะกำจัดมันโดยเร็วก็มีแต่ต้องจ่ายค่าตอบแทน
แล้วศัตรูตัวใหญ่อย่างสำนักแห่งความมืดก็ดันอยู่ข้างๆ ตระกูลไม่รู้สิ้นจึงต้องตื่นตัวระมัดระวัง ท่านปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งจึงไม่สะดวกจะฝืนแก้ปัญหาให้เขาในช่วงเวลาเช่นนี้ ดังนั้นจึงเกิดสถานการณ์อันน่าสังเวชไร้ใดเปรียบของเขาแบบตอนนี้ขึ้น
“หวังเป่าเล่อ!!” ในห้องลับ ยากนักที่เสวียนหัวจะสยบคลื่นผันผวนในใจของตนลงไปได้ เขาหอบหายใจหนักหน่วง ตอนนี้เสื้อผ้าและผมเผ้ายุ่งเหยิงยิ่ง คนทั้งคนหมดสภาพอย่างที่สุด อีกทั้งเขายังรู้ด้วยว่าตนมีเวลาพักหายใจหายคอแค่ชั่วครึ่งก้านธูปเท่านั้น จากนั้นก็ต้องมาต่อต้านอีกครั้ง
และในชั่วครึ่งก้านธูปนี้ สำหรับเขาแล้ว มันเปรียบเสมือนรุ่งอรุณแห่งชีวิต และเป็นแรงผลักดันที่ประคับประคองจิตใจของเขา ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลานี้ เขาก็จะสาปส่งหวังเป่าเล่ออย่างบ้าคลั่งเพื่อระบายความเคียดแค้นชิงชังถึงที่สุดในใจของเขาออกมา
“หวังเป่าเล่อ ข้าจะต้องฆ่าเจ้า ไม่ใช่แค่ฆ่าเท่านั้น ข้ายังจะทำลายญาติมิตรทั้งหมดของเจ้าด้วย ทำลายวงศ์ตระกูลของเจ้า ทำลายอารยธรรมของเจ้า ทำลายร่องรอยการมีอยู่ทั้งหมดของเจ้า!!” ตอนนี้เสวียนหัวกำลังตะโกนคำรามเสียงดังอย่างที่เคย แต่คราวนี้…มีบางอย่างแตกต่างออกไป
ภายในดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐ ขณะที่หวังเป่าเล่อผนึกมุทราชี้ขึ้นหนึ่งนิ้ว เสวียนหัวทางด้านนี้ยังไม่ทันสาปส่งเสร็จสิ้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปกะทันหัน จิตมารในใจพลันระเบิดออกมาในชั่วขณะนี้เอง
“ยังไม่ถึงเวลานี่!!” เสวียนหัวตกตะลึงทันที เขารีบสยบเอาไว้ แต่ร่างกายของเขาอ่อนล้า ยังไม่ได้พักหายใจหายคอเพื่อฟื้นฟูจิตใจ ทำให้การสยบในครั้งนี้ก็ยากลำบากขึ้นมาทันที สิ่งที่เขารู้สึกหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิมก็คือการระเบิดของจิตมารในครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ
การปะทุของจิตมารในครั้งก่อนๆ คล้ายเกิดขึ้นมาเฉยๆ เหมือนกับสัญชาตญาณโดยที่ไม่มีดวงจิตเข้าไปควบคุม แต่ครั้งนี้…มันทำให้เสวียนหัวรู้สึกราวกับว่าภายในนั้นมีดวงจิตบางอย่างแฝงเร้นเอาไว้และกำลังเป็นผู้ควบคุมจิตมารให้กระจายกลิ้งเกลือกอยู่ในร่างของเขา
ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ทำให้จิตมารรุนแรงขึ้นทันที แทบจะในชั่วพริบตาก็ทำให้เส้นเลือดดำทั่วร่างของเสวียนหัวปูดนูนพร้อมร้องคำรามออกมา ที่น่าประหลาดยิ่งกว่าคือขณะที่เขาร้องคำรามนั้น ในดวงตาของเขากลับมีความศรัทธาแรงกล้าค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา ราวกับใจของเขาเริ่มได้รับผลกระทบแล้ว
“ช่วยด้วย!” ร่างกายของเสวียนหัวสั่นเทา พยายามฝืนร้องเรียกออกไป ขณะเดียวกันนั้น จีเจียและกวงหมิงที่อยู่ภายในตระกูลไม่รู้สิ้นก็รู้สึกผิดปกติ พวกเขามาปรากฏตัวอยู่ในห้องลับสำหรับกักตนของเสวียนหัวทันที หลังจากเห็นสภาพของเสวียนหัวแล้ว สีหน้าของพวกเขาสองคนก็เคร่งเครียด รีบไปลงมือช่วยสยบเอาไว้ทันที
เมื่อมีแรงภายนอกมาช่วยเหลือ อีกทั้งจีเจียที่เป็นร่างแยกของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งไม่รู้สิ้นก็มีดวงจิตของตนมานานแล้ว แม้มีสารัตถะเหมือนกับท่านผู้ก่อตั้งไม่รู้สิ้นในแง่หนึ่ง แต่ก็ไม่อาจมองว่าเป็นร่างแยกบริสุทธิ์ได้ เพราะตัวเขามีปัญญาวิญญาณของตน เดิมก็แข็งแกร่งมาก ดังนั้นในไม่ช้าการระเบิดจิตมารของเสวียนหัวจึงค่อยๆ สงบลง
แต่เมื่อร่างกายของเสวียนหัวเริ่มผ่อนคลายจากการสั่นเทารุนแรงและสีหน้าของเขาก็ไม่ดุร้ายอีกแล้ว ตอนนั้นเองดวงตาของเขาก็กลิ้งกลอก ปราณมืดสายหนึ่งปะทุออกมาจากภายในร่างของเขาแล้วรวมตัวอยู่กลางหน้าผากโดยตรง มันควบแน่นอยู่ตรงนั้น พริบตาเดียวก็กลายเป็นใบหน้าเล็กจ้อย
ใบหน้านี้…กลับเป็นของหวังเป่าเล่อ
“ใครขัดขวางการกลับมาของผู้ศรัทธาข้าแซ่หวัง!!” เมื่อใบหน้านั้นก่อตัวขึ้นมา เสียงของหวังเป่าเล่อก็ดังก้องกังวานพร้อมอานุภาพกดดัน สีหน้าของจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงเปลี่ยนไป เขาถอยหลังทันที ส่วนทางจีเจียก็ขมวดคิ้วมุ่นแล้วแค่นเสียงเย็นออกมา
“เจ้าแห่งเต๋าฝั่งซ้าย เรื่องของตี้ซาน ตระกูลไม่รู้สิ้นของข้ายังไม่ได้ไปถามหาคำอธิบายจากเจ้าเลยนะ ตอนนี้…เจ้าอย่าได้ทำเกินไปนัก!”
“จักรพรรดิสวรรค์จีเจียหรือ ที่แท้ก็เป็นเจ้าที่ขัดขวางที่กลับมาของผู้ศรัทธาในข้า” ใบหน้าที่หว่างคิ้วของเสวียนหัวมีประกายแสงวาบผ่านดวงตา เขามองสบตากับจีเจีย พลังกดดันของจีเจียแผ่ซ่านออกมาแล้วค่อยๆ พูดขึ้น
“เสวียนหัวคือจักรพรรดิสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้น ไม่ใช่ผู้ศรัทธาของเจ้า!”
ใบหน้าที่หว่างคิ้วของเสวียนหัวเงียบงันไปไม่กี่อึดใจ จู่ๆ ก็ยิ้ม อีกหนึ่งประโยคที่ดังขึ้นด้วยวิธีการอันน่าตกใจ
“เจ้า…” นี่คือคำแรกของประโยคนี้ ไม่ใช่แค่ดังออกมาจากปากของใบหน้าที่อยู่ตรงหว่างคิ้วของเสวียนหัวเท่านั้น แต่ยังดังมาจากทางจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ในอวกาศอันไกลโพ้นอีกด้วย
ผู้ที่เอ่ยออกมาก็คือร่างธรรมกายอันใหญ่มหึมาของหวังเป่าเล่อ…ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่นอกระบบสุริยะภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายนั่นเอง
“บอกว่า…” นี่คือคำที่สอง ขณะที่มันดังขึ้นนั้น เสียงที่อยู่กลางอวกาศก็ราวกับเข้ามาใกล้มากขึ้น นั่นคือร่างธรรมกายของหวังเป่าเล่อ หลังจากยืนขึ้นแล้วก้าวไปข้างหน้า เขาก็ตรงมาอยู่ที่ชายขอบของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายทันที
“ไม่ใช่…” เสียงสะท้อนก้องของคำที่สามนี้ เมื่อฟังดูจากทิศทางแล้ว มันไม่ได้ดังมาจากเต๋าฝั่งซ้ายอีกต่อไป แต่ดังมาจากภายในจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้นนี่เอง ทำให้กวงหมิงหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ส่วนจีเจียก็มีจิตสังหารวาบผ่านดวงตา
“ก็ไม่ใช่หรือ” สี่คำสุดท้ายคล้ายกับอัสนีสวรรค์ มันผ่าลงมาภายในตระกูลไม่รู้สิ้นโดยตรงแล้วสะเทือนก้องไปทั่วทั้งแปดทิศ ทำให้ภายในตระกูลไม่รู้สิ้นโกลาหลขึ้นทันที และตอนนี้เอง ร่างของจีเจียก็เลือนราง หายวับไปในพริบตา เมื่อปรากฏตัวขึ้นเขาก็อยู่กลางอวกาศของตระกูลไม่รู้สิ้น มองเห็นร่างธรรมกายมโหฬารของหวังเป่าเล่อย่างก้าวเข้ามาจากที่ไกลๆ
“หวังเป่าเล่อ!!”
“ที่นี่คือตระกูลไม่รู้สิ้น เจ้าบุกเข้ามาตั้งหลายครั้งแล้ว นี่คือความเป็นกลางที่เจ้าบอกหรือ!” จีเจียโพล่งออกมาด้วยความโกรธ แม้ว่าเขาจะเป็นร่างแยกของปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งไม่รู้สิ้น แต่ตัวเขาก็มีดวงจิตเป็นของตัวเอง ตอนนี้เมื่อความโกรธลุกโชน จิตสังหารก็ปะทุออกมาโดยสมบูรณ์
เป็นเพราะในช่วงครึ่งปีสั้นๆ นี้หวังเป่าเล่อบุกเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้จิตสังหารของตระกูลไม่รู้สิ้นพวยพุ่งขึ้นทันใด
“ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมารับผู้ศรัทธาของข้ากลับไป” ธรรมกายของหวังเป่าเล่อเดินเข้ามา เสียงดังก้องราวกับอัสนีสวรรค์ ดังสนั่นไปทั้งแปดทิศ
“ส่วนความเป็นกลางที่ข้าบอกนั้น ถ้าหากวันนี้ตระกูลไม่รู้สิ้นของเจ้าขัดขวางผู้ศรัทของข้าล่ะก็ เช่นนั้น…ไม่เป็นกลางแล้ว ข้าก่อสงครามกับตระกูลไม่รู้สิ้นของเจ้าแล้วอย่างไร!”
เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ สีหน้าของจีเจียก็ดูไม่ได้ ความจริงแล้วตัวเขาไม่ค่อยเข้าใจความคิดของร่างเดิมนัก ไม่รู้ว่าทำไมร่างเดิมต้องชะลอสถานการณ์ศึกจนทำให้หวังเป่าเล่อเติบโตขึ้นมา แล้วยิ่งปล่อยให้ยั่วยุอยู่หลายครั้ง ทำให้ตระกูลไม่รู้สิ้นต้องเอาหน้าไปกวาดพื้น ยิ่งกว่านั้นในวันนี้เขายังมาประกาศสงครามอีก ถึงอย่างไรการบอกว่าจะเป็นกลางก่อนหน้านี้ก็เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้ทั้งนั้นว่ามันเป็นไปไม่ได้
ทั้งหมดนี้ สำหรับตระกูลไม่รู้สิ้นแล้วสำคัญอย่างยิ่ง แต่ดัน…ทางร่างเดิมกลับเหมือนว่าไม่สนใจสถานการณ์ของตระกูลไม่รู้สิ้นเลย และไม่สนใจว่าหลังจากตระกูลไม่รู้สิ้นต้องอับอายขายหน้าจะพาให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ตามมาเป็นชุดแล้วทำให้มีคนเลียนแบบมากมาย
“ร่างเดิมช่างโง่เง่า!” จิตสังหารในดวงตาของจีเจียรุนแรงขึ้น ร่างกายสั่นสะท้านแล้วพุ่งออกมากะทันหัน ทะยานไปยังหวังเป่าเล่อ
“หวังเป่าเล่อ ในเมื่อเจ้ามาหาที่ตาย เช่นนั้นวันนี้ข้าจะทำให้เจ้าสมหวัง!”
ขณะเดียวกัน ภายในตระกูลไม่รู้สิ้นแห่งนี้ บนดวงดาวที่อยู่ห่างออกไปเล็กน้อย ผู้ก่อตั้งไม่รู้สิ้นที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางดวงดาวก็ค่อยๆ ลืมตาเหี่ยวย่นของเขาขึ้น มองไปยังจุดที่หวังเป่าเล่อกับร่างแยกของตนอยู่อย่างสงบนิ่ง แต่กลับทำเพียงแค่กวาดมอง ไม่ให้ให้ความสนใจแม้แต่น้อย ราวกับว่าในโลกของเขานี้ หวังเป่าเล่อก็ดี ร่างแยกของตนก็ดี ล้วนแต่ไม่สำคัญทั้งนั้น สายตาของเขาจ้องมองไปยังสถานที่อันไกลโพ้นยิ่งกว่า…
“ละครของข้าน่าจะแสดงไปได้พอสมควรแล้ว ข้าสร้างโอกาสให้เจ้ามากมายขนาดนี้ เฉินชิงจื่อเอ๋ย…เจ้ายังเตรียมตัวไม่พร้อมหรือ เหตุใดถึงยังไม่ลงมือเล่า”
“ข้า…รอไม่ไหวแล้ว”
…………………………
เป้าหมายของเฉินชิงจื่อคืออะไรและเขาคิดอย่างไร เรื่องนี้…หวังเป่าเล่อคาดเดาได้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ความคิดที่ล้ำลึกยิ่งกว่านี้หวังเป่าเล่อไม่อาจวิเคราะห์ได้
แต่เขาเข้าใจบางอย่างได้รางๆ ว่าเฉินชิงจื่อ…คล้ายพยายามทำอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็พิสูจน์อะไรบางอย่าง
เมื่อความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาในหัวของเขา หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วก้าวเข้าสู่ระบบสุริยะซึ่งแผ่ขยายใหญ่โตจนเกือบจะไร้ที่สิ้นสุดหลังจากผสานรวมแปดพันกว่าอารยธรรมเข้าด้วยกันแล้ว
ระบบสุริยะในปัจจุบันมีขอบเขตกว้างใหญ่มาก จำนวนของดารานิรันดร์ก็มีเกือบหมื่นดวง แต่อย่างไรก็ตาม ดารานิรันดร์เหล่านี้ล้วนแนบมากับอารยธรรมในด้านหนึ่ง แม้แต่ดารานิรันดร์ของห้าสำนักใหญ่ก็เหมือนกัน ดาวหลักจึงมีเพียง…ดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐเท่านั้น!
เมื่อเทียบดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐกับในอดีตแล้ว มันเปลี่ยนแปลงเชิงด้านคุณภาพเช่นกัน ขนาดของมันใหญ่โตมโหฬารไร้ใดเปรียบ เทียบได้กับดาราจักรแห่งหนึ่ง และแสงสว่างของมันก็ยิ่งส่องสว่างไปไกล ขณะเดียวกัน เปลวเพลิงในนั้นก็แทบจะเป็นสีดำและแผ่อานุภาพน่าสระพรึงน่าหวาดกลัวออกมา
อานุภาพกดดันเช่นนี้ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ก็ไม่อาจเข้าใกล้ได้ พอมองจากไกลๆ ก็จะรู้สึกใจสั่นไหว ผู้ที่มีระดับต่ำกว่าดารานิรันดร์ก็เช่นเดียวกัน มีเพียงอยู่ระดับจักรพิภพเท่านั้นถึงพอจะเข้ามาคำนับดวงอาทิตย์ใกล้ๆ ได้
ในทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย มีอยู่สามคนเท่านั้นที่มีสิทธิ์ก้าวเข้ามาในดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐได้โดยการอาศัยพลังฝึกตนของตัวเอง
หนึ่งคือปรมาจารย์แห่งไฟ หนึ่งคือเยาถง พวกเขาทั้งสองคนถือว่าอยู่ในระดับกึ่งจักรวาล เมื่อโคจรพลังเต็มที่ ก็สามารถรั้งอยู่บนดวงอาทิตย์ได้ในช่วงสั้นๆ
ส่วนผู้ที่สามารถอาศัยและฝึกบำเพ็ญอยู่ที่นี่ได้เป็นเวลานาน มีเพียงแค่หวังเป่าเล่อ
ดังนั้นสถานที่กักตนของเขาจึงย้ายจากดาวอังคารไปยังภายในดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐ ทำให้ดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐ….รู้จักโดยทั่วกันว่าเป็น….วังเต๋าของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย
วังของเจ้าแห่งเต๋า!
ยิ่งกว่านั้น เนื่องจากการที่หวังเป่าเล่อไปวางอำนาจข้างนอกหลังทะลวงระดับฝึกตน ทำลายกายเนื้อของตี้ซาน แล้วกลับมาจากตระกูลไม่รู้สิ้นได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งตระกูลไม่รู้สิ้นก็ไม่ได้มีคำกล่าวใดๆ ตามมา จึงยิ่งทำให้ชื่อเสียงบารมีของหวังเป่าเล่อในจักรพิภพศักดิสิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายเพิ่มขึ้นจากเดิมที่สูงมากอยู่แล้ว จนเป็นเฉกเช่นจิตแห่งเทพเจ้า
ตระกูลทั้งหลายในจักรพิภพศักดิ์สิทธ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็ยิ่งรู้สึกตะลึง ในภายภาคหน้า ผู้ที่มาขอผสานรวมด้วยก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน เนื่องด้วยสถานะเจ้าแห่งเต๋าในปัจจุบันของหวังเป่าเล่อ เมื่อเต๋าฝั่งซ้ายรวมเป็นหนึ่ง เต๋าฝั่งซ้ายก็จะทำตามเจตจำนงของเขา กระทำตนเป็นกลาง ไม่ส่งผู้ฝึกตนคนใดไปยังสนามรบของตระกูลไม่รู้สิ้นอีก
ในเรื่องนี้ ตระกูลไม่รู้สิ้นก็ไม่มีการโต้ตอบตามมา เลือกที่จะเงียบ
เวลาจึงเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้าเช่นนี้ การต่อสู้ของสำนักแห่งความมืดกับตระกูลไม่รู้สิ้นยังคงดำเนินต่อไป แต่ก็เป็นอย่างที่เคย ล้วนรักษาขอบเขตไว้ในระดับหนึ่ง ถึงขั้นที่เมื่อสังเกตดูการรบอย่างละเอียดแล้วก็จะพบว่าการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายกลับมีการยั้งกำลังมากขึ้นจากเดิมที่อยู่ในสถานการณ์ยั้งกำลังอยู่แล้ว
ราวกับ…กำลังเตรียมการ!
ไม่ใช่แค่หวังเป่าเล่อที่สังเกตเห็นจุดนี้ ปรมาจารย์แห่งสำนักเจ็ดวิญญาณที่จักรพิภพสำนักเสริมและผู้ฝึกตนส่วนหนึ่งก็มองเห็นเค้าลางนี้เช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเวลาผ่านไป การต่อสู้ระหว่างสำนักแห่งความมืดและตระกูลไม่รู้สิ้นกลับเกิดขึ้นน้อยลงเรื่อยๆ ราวกับว่า…เป็นความสงบก่อนลมพายุ
ความสงบของสงครามกลับทำให้ความตึงเครียดและความประหม่ากระจายอยู่ในจิตใจของคนความรู้สึกไวทุกคน
“จะเริ่มสงครามกันจริงๆ แล้วหรือ” หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ในดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐลืมตาขึ้นจากสมาธิ เมื่อจ้องมองไปยังตระกูลไม่รู้สิ้น รอบกายของเขาก็มีอักขระโบราณนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น
อักขระโบราณเหล่านี้แฝงไว้ซึ่งพลังเต๋าธาตุดินเข้มข้น ล้อมรอบอยู่บนศีรษะของหวังเป่าเล่อ และสิ่งที่ถูกอักขระโบราณพันล้อมอยู่ก็คือก้อนโคลนก้อนนั้นที่เขาได้มาจากร่างของตี้ซาน…สามารถรองรับธาตุดินได้!
หลังจากกลับมาจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ก่อนหวังเป่าเล่อจะกักตน เขาก็ออกคำสั่งเต๋าให้รวบรวมนักหลอมอาวุธเวทจากทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายมาสร้างอักขระกึ่งสำเร็จรูปจำนวนมหาศาลให้แก่เขา
จนถึงตอนนี้ เขาล้มเหลวไปเลวหลายต่อหลายครั้ง เสียอักขระโบราณไปมากเสียจนน่าตกใจ ถ้าหากหวังเป่าเล่อไม่ใช่เจ้าแห่งเต๋าฝั่งซ้ายล่ะก็ เขาคงไม่อาจรวบรวมทรัพยากรของทั่วทั้งเต๋าฝั่งซ้ายได้ และความล้มเหลวหลายครั้งพวกนี้ก็จะทำให้เขาดำเนินการต่อไปได้ยากมากๆ
ถึงอย่างไรความสูญเสียจากความล้มเหลวในทุกๆ ครั้งก็มีจำนวนมหาศาล
แต่สำหรับหวังเป่าเล่อซึ่งในปัจจุบันที่เป็นเจ้าแห่งเต๋าฝั่งซ้ายแล้วนั้น ความเสียหายเหล่านั้นไม่นับเป็นอะไร ยังไม่ได้แตะถึงขีดจำกัดของเขา สิ่งเดียวที่ทำให้เขาร้อนใจมีเพียงก้อนโคลนก้อนนั้นแสดงอาการไม่เสถียรออกมาหลังจากล้มเหลวไปครั้งแล้วครั้งเล่า
“ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป เมื่อเกิดการล้มเหลวอีกหลายร้อยครั้ง ความไม่เสถียรของสมบัติชิ้นนี้ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น…” หวังเป่าเล่อลังเลอยู่ในใจเล็กน้อย แม้เขาจะเชื่อว่าหากของสิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผ่นศิลาจริงๆ เช่นนั้น…ว่ากันตามหลักการแล้ว ระดับความทนทานของมันน่าจะไม่ถูกสั่นคลอนได้ด้วยความล้มเหลวจากการหลอมสิ
แต่ถ้าเขาวิเคราะห์พลาด ของสิ่งนี้ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของแผ่นศิลาและล้มเหลวอีกหลายร้อยครั้ง ทันทีที่มันไม่มั่นคงมากยิ่งขึ้น คุณภาพของมันก็จะเสียหาย อีกทั้งถ้าหากเสียหายถึงระดับหนึ่งแล้ว คิดว่าคงไม่อาจนำมาเป็นสิ่งบรรจุเต๋าได้อีก
“เต๋าแปดปรมัตถ์ฝึกฝนยากมากจริงๆ ทั้งยังกินพลังมากเกินไป” หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก แม้ว่าวันนี้เขาจะถือว่าร่ำรวยอุดมสมบูรณ์แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บเข้าเนื้ออยู่บ้าง
ทว่าก็ทำอะไรไม่ได้ เมล็ดของเต๋าธาตุดินนี้จะต้องหลอมรวมให้สำเร็จให้ได้ และเมื่อทำสำเร็จแล้ว…แม้ว่าจะไม่ทำให้เกิดวงจรส่งเสริมกดข่มกันและกันกับเต๋าธาตุน้ำและเต๋าธาตุไม้ แต่ก็ทำให้พลังต่อสู้ของหวังเป่าเล่อยกระดับได้อีกหน่อย
โดยเฉพาะความหนาหนักของเต๋าธาตุดิน มันจะทำให้เกราะป้องกันที่ตัวของหวังเป่าเล่อบรรลุถึงระดับอันน่าตกตะลึง อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงของมันก็สามารถทำให้เกิดเต๋าภูเขาและหินจำนวนมาก อานุภาพก็จะยิ่งแข็งแกร่ง
ถึงอย่างไร ตามปกติแล้วธาตุไม้และน้ำจะมีพลังชีวิตและนุ่มนวลกว่า แม้ว่าจะมีเต๋าน้ำแข็งแฝงอยู่ด้วยก็ตาม แต่ว่ากันตามตรงแล้ว การใช้เต๋าธาตุดินเลื่อนระดับพลังต่อสู้ก็ยังยอดเยี่ยมอย่างที่สุดอยู่ดี
ในการวิเคราะห์ด้วยตัวเองของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ ไม่ต้องพูดถึงจักรพรรดิสวรรค์ตระกูลไม่รู้สิ้นและตี้ซานแล้ว เสวียนหัวก็ถูกตนปลูกฝังจิตมารและถือว่าเป็นกึ่งคนเสียสติ ส่วนจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิง…ด้วยพลังต่อสู้ในปัจจุบันของหวังเป่าเล่อ การทำลายคนผู้นี้ไม่ใช่เรื่องยาก
มีเพียงจีเจียเท่านั้นที่หวังเป่าเล่อไม่เคยต่อสู้ด้วย แต่ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในตระกูลไม่รู้สิ้นเขาก็เคยใช้สัมผัสสวรรค์รับรู้ว่าถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นร่างแยกของบรรพบุรุษแห่งไม่รู้สิ้น พลังต่อสู้น่าตื่นตะลึง แม้เขาจะสามารถสู้ได้หนึ่งครั้ง แต่ก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะ เป็นไปได้มากกว่าอาจจะสูสี
“หลังจากฝึกเต๋าธาตุดินสำเร็จแล้ว จีเจีย…ก็จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอีกต่อไป!” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ในใจจัดลำดับจอมพลังทั้งหมดภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นทันที
“ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งไม่รู้สิ้นกับเฉินชิงจื่อ น่าจะอยู่ระดับจักรวาลชั้นมหาวัฏจักร ต่อมาก็คือปรมาจารย์ตระกูลเซี่ย จากนั้นคือจีเจียและปรมาจารย์สำนักเจ็ดวิญญาณ พวกเขาอยู่เกือบๆ ระดับจักรวาลชั้นกลางสูงสุด ยังไม่ถึงขั้นมหาวัฏจักร ส่วนข้า…ก็นับว่าอยู่ในระดับนี้เช่นกัน ส่วนพวกกวงหมิงเสวียนหัวเป็นแค่ชั้นต้นเท่านั้น”
หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ในใจมีความร้อนรนปรากฏขึ้นมา เพราะเขาสัมผัสได้รางๆ ถึงกลิ่นอายของเต๋าธาตุมืดภายในจักรวาลแห่งนี้ที่เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ และความเข้มข้นเช่นนี้…ก็หมายถึงการเตรียมการของสำนักแห่งความมืดเสร็จสิ้นแล้ว
เรื่องนี้ตระกูลไม่รู้สิ้นไม่อาจไม่เตรียมตัวได้ คิดไปคิดมาก็คงกำลังเตรียมการอยู่เช่นกัน จากการพัฒนาเช่นนี้…เกรงว่าอีกไม่นาน ศึกใหญ่ที่แท้จริงของสำนักแห่งความมืดและตระกูลไม่รู้สิ้นก็คงจะปะทุขึ้นมาโดยสมบูรณ์
และการปะทุเช่นนี้ นอกจากจะเป็นศึกชี้ตายของผู้ฝึกตนทั้งสองฝ่ายและการกลืนกินกฎวิถีของเต๋าสวรรค์แล้ว ในระดับที่สูงยิ่งกว่านั้น มันยังเป็นศึกตัดสินของเฉินชิงจื่อกับปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งไม่รู้สิ้นด้วย
หวังเป่าเล่อในตอนนี้ยังไม่มีสิทธิ์ก้าวเข้าสู่ศึกตัดสินครั้งนี้ได้อย่างแท้จริง แต่แม้ว่าเขากับเฉินชิงจื่อจะแตกแยก แต่ในส่วนลึกของจิตใจแล้ว เขายังอยากเข้าร่วมอยู่ ถึงอย่างไร…ถ้าหากเฉินชิงจื่อพ่ายแพ้ สุดท้ายหวังเป่าเล่อก็ไม่อาจใจทำใจ…เบิกตามองอีกฝ่ายแตกดับและสลายกลายเป็นเถ้าถ่านได้
เพียงแต่การก่อตัวของเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุดินนั้นยากลำบากมากเกินไป เต๋าธาตุไม้ก่อนหน้านี้ก็เป็นเพราะร่างจริงของหวังเป่าเล่อเป็นหมุดไม้ จึงสำเร็จได้ไม่ยาก เต๋าธาตุน้ำก็มีขวดปรารถนาอวยพรให้ จึงสำเร็จได้เช่นกัน
แต่เต๋าธาตุดินนี้ โดยพื้นฐานแล้วล้วนต้องอาศัยพลังทั้งหมดของตัวหวังเป่าเล่อมาลองดูครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงขั้นที่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ว่าที่แท้แล้วต้องทำถึงกี่ครั้งจึงจะสำเร็จ
“ไม่อาจรอคอยเช่นนี้ต่อไปได้แล้ว…ก่อนที่จะเกิดศึกตัดสินของเฉินชิงจื่อกับปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งไม่รู้สิ้น ข้าจะต้องทำอะไรสักอย่าง” ขณะที่จดจ้องดูเมล็ดธาตุดิน หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลง ดวงตาฉายประกายแสงเฉียบคมขึ้นแล้วเอ่ยพึมพำ
ผ่านไปสักพัก หวังเป่าเล่อก็ผนึกมุทรากะทันหัน แล้วชี้ไปยังตระกูลไม่รู้สิ้นด้วยมืออันสั่นเทา
“เสวียนหัว!”
……………………
ไม่ยินยอมก็เพราะความเย่อหยิ่งของเขาไม่ยอมให้เขาพ่ายแพ้ และยิ่งเป็นเพราะว่าในสายตาของเขานั้น หวังเป่าเล่อเป็นแค่ชนรุ่นหลังคนหนึ่งเท่านั้น ถึงขั้นมีพลังฝึกปรือแค่ระดับจักรพิภพ
แม้ว่าเขาจะรู้ความลับมากมายของโลกแห่งศิลานี้ และมองออกว่าเต๋าของหวังเป่าเล่อแตกต่างไป แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่อาจยอมรับบทสรุปที่ตนพ่ายแพ้ให้อีกฝ่ายติดต่อกันถึงสองครั้งได้
โดยเฉพาะตอนนี้ กายเนื้อของเขาได้ท่านปรมาจารย์มอบของล้ำค่ามาสร้างให้ใหม่ ทำให้เต๋าของเขาสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น พลังฝึกปรือก็สูงขึ้นกว่าเมื่อก่อนนัก ถึงขั้นที่ว่าเป็นเพราะการผสานรวมของสมบัติชิ้นนั้นจึงคล้ายได้เปิดประตูบานใหญ่ให้แก่เขา ทำให้เขาราวกับมองเห็นเส้นทางแห่งอนาคต และกำลังจะค้นพบทิศทางการทะลวงระดับของตนได้รางๆ แล้ว
แต่วันนี้…ทุกอย่างกลายเป็นเถ้าถ่านก็เพราะหวังเป่าเล่อตรงหน้า เขาเติบโตอย่างรวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ ศึกก่อนหน้านี้เขายังสามารถต่อสู้กับหวังเป่าเล่อได้อยู่เลย ทว่าวันนี้…ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นแค่พลังเทพหนึ่งสายเท่านั้น!
ฝ่ามือที่เกิดจากเต๋าธาตุไม้นั้นแฝงไว้ซึ่งพลังอันไร้ขอบเขต ด้วยความไร้ขอบเขตไม่มีที่สิ้นสุดนี้เอง แม้ว่าเต๋าภูผาของตนจะต่อต้านไว้ได้ในชั่วขณะหนึ่ง แต่สุดท้ายมันก็ไม่ได้ไร้ที่สิ้นสุด จึงไม่อาจดำเนินต่อไปได้นาน
ดังนั้น ขณะที่เขารู้สึกไม่ยินยอม ก้นบึ้งจิตใจก็มีความขมขื่นล้ำลึกแพร่กระจาย
“นี่ไม่ใช่ชะตากรรมของข้า!” ตี้ซานกรีดร้องเจ็บปวด ขณะนี้ในดวงตาของเขากลับไม่มีความบ้าคลั่งเช่นเมื่อครู่อีกแล้ว มันแผ่ความหม่นหมองออกมา เขายืนอยู่ในอวกาศ ราวกับลืมต่อต้านไปแล้ว
เพราะเขาเข้าใจแล้วว่าระหว่างตนกับหวังเป่าเล่อนั้น แตกต่างกัน…มากเกินไป
แต่ความรู้สึกหดหู่นี้เกิดขึ้นในหัวของเขาเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น จากนั้นก็ถูกเขาขับไล่ไปทันที เพราะเขามองเห็นว่าภายในร่างกายที่ใกล้จะแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ของตนมีดวงแสงสีดินเหลืองกำลังเปล่งประกายออกมาอย่างต่อเนื่อง มันลอยอยู่กลางอวกาศรอบกาย ราวกับแสงดาวที่แตกต่างออกไป แต่ก็เจิดจรัส
ราวกับชีวิตของเขา!
แม้จะไม่สมบูรณ์แบบ แต่ก็สว่างสดใส
ในเมื่อเป็นเช่นนี้…แล้วเหตุใดต้องเสียดายชีวิต!
ความมืดหม่นในแววตาของตี้ซานหายไป เขาเงยหน้าหัวเราะลั่น ร่างกายลุกไหม้ในทันที เขาประคองตัวเองพุ่งไปยังหวังเป่าเล่ออีกครั้ง ราวกับมอดที่วิ่งเข้าสู่เปลวไฟ!
หวังเป่าเล่อยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองการมาถึงของตี้ซาน เขามองเห็นความมืดหม่นก่อนหน้านี้ของอีกฝ่าย และมองเป็นประกายแสงที่พวยพุ่งขึ้นอีกครั้งด้วย ยิ่งสัมผัสได้ว่า…ตอนนี้บนร่างของตี้ซานมีเจตนาร้องขอความตายปรากฏออกมาด้วย
ในชั่วขณะนี้เอง ที่ความว่างเปล่าอันไกลโพ้นก็มีเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวดังออกมาอย่างฉับพลัน
“หวังเป่าเล่อ เจ้ากล้าสังหารจักรพรรดิสวรรค์ของข้า ผู้เฒ่าคนนี้ก็จะบดขยี้สหพันธรัฐของเจ้าแน่!”
แต่ในขณะที่คำพูดของเขาดังออกมา คลื่นผันผวนของเต๋าแห่งความมืดก็แรงกล้าขึ้นทันที ราวกับว่าในความว่างเปล่าที่มองไม่เห็นนั้น ตอนนี้เฉินชิงจื่อกำลังลงมือแล้ว แม้ว่าจะไม่มีเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังออกมา แต่เสียงของปรมาจารย์ไม่รู้สิ้นก็ยังก็ทะลวงผ่านความว่างเปล่าและดังสะท้อนไปทั่วทั้งแปดทิศ
“เฉินชิงจื่อ ถ้าตี้ซานดับสิ้น ศึกระหว่างเจ้ากับข้าก็จะปะทุขึ้นมาเต็มกำลัง!”
“ไม่มีปัญหา!” ผู้ที่ตอบกลับปรมาจารย์ไม่รู้สิ้นก็คือเสียงราบเรียบของเฉินชิงจื่อ จากนั้นในความว่างเปล่าก็เกิดคลื่นผันผวนไร้ที่สิ้นสุดแพร่กระจายไปทั่วทุกด้าน ทำให้ตระกูลไม่รู้สิ้นสั่นสะเทือนกันทั้งสำนัก
หวังเป่าเล่อกลับเงียบงัน มองดูตี้ซานที่ตอนนี้พุ่งทะยานมาหาตนราวกับดาวตก เขายกเท้าขึ้นแล้วก้าวไปหาตี้ซาน ตรงผ่านอวกาศทันทีด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ แล้วปรากฏอยู่ตรงหน้าตี้ซานตรงๆ เขาไม่รอให้ตี้ซานได้ระเบิดตัวเองออกมา มือขวาของเขายกขึ้นแล้วชี้ไปที่ด้านหน้าของตี้ซานทันที
“จันทร์แรม!”
ไม่ใช่เงาจันทร์ แต่เป็นจันทร์แรม
ไม่ได้ก้าวเข้าไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลา แต่ทำให้ตี้ซานที่อยู่ตรงหน้าวกกลับไปเมื่อหลายสิบอึดใจก่อนหน้านี้!
ด้วยการสนับสนุนจากเต๋าธาตุน้ำต้นกำเนิด เวทจันทร์แรมที่ใช้ออกมาท่ามกลางการระเบิดของเต๋าธาตุน้ำก็ขยับไหวในพริบตาทันที กระแสเต๋ากาลเวลาแผ่กระจายไปทุกทิศทาง ร่างกายของตี้ซานถอยร่นอย่างไม่อาจควบคุมได้ ทั้งหมดล้วนไหลวกกลับไป!
มีเพียงร่างกายของหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ไม่ได้ย้อนกลับ แต่ก้าวเดินมาหนึ่งก้าวแล้วปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าตี้ซานที่กลับไปยังหลายสิบอึดใจก่อนหน้านี้ที่เพิ่งจะได้รับบาดเจ็บและไม่ได้มีท่าทีเหมือนตัวมอด จากนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้น เมื่อทิ้งมือลงมาอีกครั้ง มันก็แทงเข้าไปในทรวงอกของตี้ซานโดยตรง ข้อมือจมลงไปแล้วคว้าจับอย่างรุนแรง
ด้วยการคว้าจับนี้ ทำให้ดวงแสงสีดินเหลืองเหล่านั้นที่แผ่ออกมาจากในร่างของตี้ซานกระพริบวูบขึ้น พริบตาต่อมามือขวาของหวังเป่าเล่อที่คล้ายจะแทงเข้าไปในอกของตี้ซานก็กลายเป็นหลุมดำ นำพาดวงแสงที่แผ่ออกมาด้านนอกเหล่านั้นไปทั้งหมดแล้วถูกดูดซับเข้ามาทันที
สิ่งที่ถูกดูดไปด้วยยังมีต้นกำเนิดของดวงแสงสีดินเหลืองในร่างของตี้ซานเช่นกัน…ทั้งหมดนี้พูดแล้วยาว แต่ความจริงล้วนเกิดขึ้นในชั่วอึดใจ พริบตาต่อมามือขวาของหวังเป่าเล่อก็ถอนกลับมาจากทรวงอกของตี้ซานทันใด
ขณะที่เขาถอนมือขวากลับมานั้น ร่างกายของตี้ซานก็คล้ายกับลูกบอลลมรั่ว มันแห้งเหี่ยวในพริบตาแล้วกลายเป็นเถ้าถ่านทันที มีแค่วิญญาณเทพเท่านั้นที่ยังอยู่ที่เดิม มันมองหวังเป่าเล่อและมือขวาของเขาด้วยท่าทางซับซ้อนอย่างยิ่ง!
บนมือขวาของหวังเป่าเล่อ ตอนนี้มีของสิ่งหนึ่งเพิ่มขึ้นมา!
นั่นก็คือก้อนโคลนสีเหลืองขนาดเท่าฝ่ามือหนึ่งก้อน!
บนก้อนโคลนนี้มีคลื่นความผันผวนมหาศาลแผ่ออกมา ความรู้สึกที่มอบให้คือ เมื่อมองไปที่มันก็คล้ายมองเห็นโลก มองเห็นฟ้าดิน มองเห็นทั่วทั้งอวกาศ!
และยิ่งกว่านั้นยังมีกลิ่นอายที่มีที่มาแบบเดียวกันกับจักรวาลผืนนี้ด้วย มันอยู่บนก้อนโคลนและแผ่กระจายออกมาอย่างปกปิดไม่มิด ทำให้แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเตรียมใจไว้ก่อนแล้วก็ยังตื่นตระหนก ดวงตาหดเกร็ง
ที่มาของสิ่งสิ่งนี้ พริบตาที่เขาสัมผัสมันก็รับรู้ได้แล้ว แต่…ที่มาของมันอยู่เหนือความคาดหมายของเขานัก ครั้งนี้เขาบอกว่าจะกุมอำนาจก็ทำจริงๆ แต่มันไม่ใช่จุดสำคัญ เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น
เป้าหมายที่แท้จริงของเขาก็คือทำเพื่อของสิ่งนี้
นี่คือการแผนการยึดอำนาจ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำร้ายตี้ซานก็ได้สร้างสถานการณ์นี้เอาไว้แล้ว ตี้ซานเป็นจักรพรรดิสวรรค์ อุปนิสัยและต้นทุนล้วนอยู่ระดับสูง ดังนั้นหลังจากกายเนื้อของเขาถูกทำลายสิ้น ปรมาจารย์ไม่รู้สิ้นจะต้องหาวิธีมาฟื้นฟูเขาแน่ และเต๋าธาตุภูผากับเต๋าธาตุดินก็มีแหล่งที่มาเดียวกัน ดังนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่จะต้องใช้สมบัติล้ำค่าธาตุดินเช่นที่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ท่ามกลางความมืดมิด
จุดนี้หวังเป่าเล่อเดาได้ถูกต้อง ดังนั้นเขาจึงใช้พลังกดดันจากการทะลวงระดับฝึกตนของเขาพุ่งมายังที่แห่งนี้ทันที แต่เขาไม่คิดว่าสมบัติล้ำค่าเต๋าธาตุดินนี้กลับไม่ธรรมดายิ่งกว่าจินตนาการของเขาเสียอีก
สิ่งของที่สามารถก้องกังวานไปทั่วทั้งจักรวาลและสามารถทำให้คนรู้สึกเหมือนจ้องมองดูฟ้าดินและโลกหล้าได้ ของแบบนี้มีแค่…แผ่นศิลาเท่านั้น!
แผ่นศิลาที่ผนึกจักรวาลผืนนี้ไว้!!
วัสดุของของสิ่งนี้ก็คือแผ่นศิลา พูดให้ถูกก็คือของชิ้นนี้…เป็นส่วนหนึ่งของแผ่นศิลา!
หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าตระกูลไม่รู้สิ้นได้ของสิ่งนี้มาได้อย่างไร แต่ตอนนี้จิตใจของเขาเกิดคลื่นผันผวนถาโถมแล้ว เขาจับก้อนโคลนในมือแน่น เมื่อเงยหน้าขึ้น เขาก็มองดูตี้ซานที่มีสีหน้าท่าทางซับซ้อน
“ทำไมไม่ฆ่าข้า!”
หวังเป่าเล่อไม่พูดจา แต่หันหน้ากลับไปยังความว่างเปล่า ไม่ว่าจะเป็นเพราะชื่นชมในตัวตี้ซานอยู่นิดหน่อยหรือเป็นเพราะเฉินชิงจื่อก็ตาม สุดท้ายแล้วเขาก็ยังเลือกที่จะไว้ชีวิตตี้ซาน
“เฉินชิงจื่อ แท้จริงแล้ว…เจ้าคิดอะไรกันแน่” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจแล้วถอนหายใจออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ เอ่ยขึ้นว่า
“ผู้อาวุโสไม่รู้สิ้น ข้าแซ่หวังมาที่นี่ไม่ใช่เพื่อวางอำนาจ แต่มาเพราะว่าเมื่อครั้งนั้นตระกูลไม่รู้สิ้นของเจ้ารุกรานสหพันธรัฐของข้าโดยไร้เหตุผล และคำอธิบายว่าขวางไม่ให้ข้ารวมเต๋าฝั่งซ้ายเป็นหนึ่งเดียว”
“วันนี้ ข้าแซ่หวังก็จะเก็บคำอธิบายนี้ไป ถ้าหากผู้อาวุโสขุ่นเคืองก็สามารถมาหาข้าที่เต๋าฝั่งซ้ายได้ เต๋าฝั่งซ้ายของข้า…มุมมองความเป็นกลางในปัจจุบันยังคงเหมือนเดิม” พูดจบ หวังเป่าเล่อก็กอบหมัดคำนับแล้วเดินไปยังอวกาศ เมื่อเขาจากไป กลิ่นอายเต๋าแห่งความมืดก็สลายหายไปช้าๆ จนกระทั่งเงาร่างของหวังเป่าเล่อหายไปจากตระกูลไม่รู้สิ้นแล้ว ในอวกาศของตระกูลไม่รู้สิ้น สีหน้าของเว่ยยางจื่อดูไม่ได้ เขาปรากฏตัวขึ้นมา
“เฉินชิงจื่อ…หวังเป่าเล่อ…” จิตสังหารวูบวาบอยู่ในแววตาของเขา แต่สุดท้ายก็ฝืนกดลงไป
“ยังไม่ถึงเวลา…แต่ใกล้แล้ว ใกล้จะถึงแล้ว!” ผ่านไปครู่หนึ่ง เว่ยยางจื่อก็หลับตาลง สะบัดแขนเสื้อหอบใหญ่นำดวงวิญญาณเทพมืดหม่นของตี้ซานกลับมา จากนั้นเงาร่างก็เลือนหายไป
ภายในจักรพิภพสำนักเสริม ปรมาจารย์แห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณถอนหายใจ เขาเตรียมพร้อมจะลงมือแล้ว ผลสุดท้ายกลับไม่ได้ต่อสู้ ส่วนหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็เตรียมพร้อมแล้ว กระทั่งเขาก้าวเข้ามาในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายเขาก็หยุดฝีเท้าลง หันหน้าไปมองยังจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้น
“เว่ยยางจื่อ…เจ้ารออะไรหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เงียบงันอยู่นานแล้วมองไปอีกด้านหนึ่ง ที่นั่น…คือทางเข้าไปยังสำนักแห่งความมืดของอวกาศผืนนี้
“เฉินชิงจื่อ…ชีวิตนี้ของข้าจะยังมีโอกาสเรียกเจ้าว่า…ศิษย์พี่…อยู่หรือไม่” ก้นบึ้งจิตใจของหวังเป่าเล่อซับซ้อนนัก เพราะอาจารย์ เขาจึงแตกหักกับเฉินชิงจื่อ
แต่หลังจากการช่วยเหลือหลายครั้งของเฉินชิงจื่อ หวังเป่าเล่อก็ไม่ใช่คนไร้ความรู้สึก ในใจของเขาจะไม่เกิดคลื่นถาโถมขึ้นมาได้อย่างไร
จนกระทั่งผ่านไปพักหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจแล้วเดินไปยังระบบสุริยะ ณ จุดที่สายตาของเขาจ้องมองไปก่อนหน้านี้ ที่ทางเข้าสำนักแห่งความมืด ตอนนี้เงาร่างของเฉินชิงจื่อเดินออกมาจากความว่างเปล่าคล้ายมีคล้ายไม่มี ทั่วร่างสวมชุดดำ มือหนึ่งถือกระบี่ไม้ มือหนึ่งถือสุรา
เขายืนอยู่ตรงนั้น จ้องมาที่นี่…มาที่เต๋าฝั่งซ้ายเช่นกัน
จากนั้นบนใบหน้าเย็นชาของเขาก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มอบอุ่นออกมา
“โตแล้ว ปกป้องตัวเองได้ ข้าก็วางใจได้จริงๆ แล้ว ต่อไป…ก็ถึงตาข้าแล้ว!” เฉินชิงจื่อเอ่ยพึมพำ มองไปยังตระกูลไม่รู้สิ้น รอยยิ้มเลือนหายไป ความเย็นชาพวยพุ่งเทียมฟ้า!
………………………
“ต่อไป…ข้าจะเป็นผู้กุมอำนาจ” ความในใจของหวังเป่าเล่อ คนนอกไม่อาจล่วงรู้ เมื่อมาถึงระดับการฝึกปรือเช่นนี้ ต่อให้เป็นปรมาจารย์ตระกูลไม่รู้สิ้นหรืออดีตศิษย์พี่ของตนอย่างเฉินชิงจื่อก็ไม่มีทางมองเห็นทะลุปรุโปร่ง และยากจะประมาณการ
ผู้เยี่ยมยุทธ์ในระดับนี้ทุกคนล้วนบรรลุถึงระดับที่ควบคุมโชคชะตาตนเองได้แล้ว คนอื่นทำได้เพียงคาดเดาวิเคราะห์กันเองจากร่องรอยเท่านั้น ไม่อาจอาศัยวิชาเวทพลังเทพเพื่อมาล่วงรู้ความจริงได้
จุดนี้ก็คือความแตกต่างระหว่างผู้เยี่ยมยุทธ์กับผู้ฝึกตน
ดังนั้นแล้ว ชั่วขณะที่หวังเป่าเล่อเอ่ยประโยคนี้ออกไปและเสียงของเขาดังสะท้อนอยู่ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายนั้น สรรพชีวิตของเต๋าฝั่งซ้ายก็ล้วนมีจิตแห่งการต่อสู้พุ่งสูงเทียมฟ้า ราวกับว่าจะติดตามหวังเป่าเล่อไปทำสงครามคุมกำอาจด้วยกันจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น
ส่วนภายในจักรพิภพสำนักเสริม แววตาของปรมาจารย์แห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณสว่างวาบในทันใด และยิ่งฉายแววคาดหวังออกมาด้วย!
สำหรับเขาแล้ว หวังเป่าเล่อไม่ใช่ศัตรู ขณะเดียวกันก็ยังมีความสัมพันธ์กับศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดของสำนักตนอีกฝ่ายอยู่ เรื่องที่เดิมทีเคยทำให้เขารู้สึกโมโหและอับอาย ได้เปลี่ยนไปกลายเป็นทำให้เขารู้สึกชื่นชมถึงขั้นประทับใจด้วยซ้ำ
ศิษย์ลำดับสิบเจ็ดของสำนักตนเป็นลูกชายของหวังเป่าเล่อ แม้ว่าจะเป็นลูกบุญธรรม แต่ความสัมพันธ์เช่นนี้…เห็นได้ชัดว่าได้เปรียบยิ่งกว่าสำนักอื่นมากนัก
ดังนั้นเขาคิดว่าตนกับหวังเป่าเล่อจึงนับว่าเป็นพันธมิตรไปโดยปริยาย เพราะว่า…พวกเขามีเป้าหมายเดียวกัน ล้วนทำเพื่อให้หลุดพ้นจากตระกูลไม่รู้สิ้น ปรมาจารย์แห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณอยากจะหลุดพ้นจากการควบคุมของตระกูลไม่รู้สิ้นตั้งนานแล้ว เพียงแต่ก่อนหน้านี้เขาหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่อาจทำได้
ต่อให้เขาอยู่ระดับจักรวาลและถือได้ว่าเป็นจอมพลัง แต่จักรพรรดิสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นมีมากเกินไป ยิ่งกว่านั้นยังมีปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งที่ล้ำลึกจนคาดเดาไม่ถูก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงอดกลั้นมาหลายปี แต่ในฐานะที่เป็นระดับจักรวาล จะยินยอมให้ผู้อื่นได้อย่างไร
การปรากฏตัวของสำนักแห่งความมืดทำให้เขามองเห็นความหวัง และการจุติของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งทำให้เขาคิดว่าความหวังนี้ยิ่งใหญ่จนไม่มีที่สิ้นสุดไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงหวังว่าจะได้เห็นหวังเป่าเล่อบุกเข้าไปในตระกูลไม่รู้สิ้น แล้วบุกเบิกน่านน้ำสีครามเพื่อตัวเขาและตัวเอง!
ส่วนตัวเขานั้นก็จะไม่ทำแค่เฝ้าดู เขาได้เตรียมตัวพร้อมลงมือตลอดเวลาอยู่แล้ว รอแค่…โอกาสที่จะมาถึงเท่านั้น
ขณะนี้เอง ยังมีอีกหนึ่งคนก็ทอดมองมาเช่นกัน คนผู้นี้คือปรมาจารย์แห่งสำนักดาราจันทร์ เขานั่งขัดสมาธิอยู่หน้าน้ำตกและให้ความสนใจกับเรื่องทั้งหมดด้วย แววตาของเขาไร้ความรู้สึก แต่ถ้าหากมองอย่างละเอียดๆ ก็จะเห็นว่าส่วนลึกในแววตาของเขา…มีความคาดหวังแบบเดียวกัน!
พร้อมกันนั้น เสียงของหวังเป่าเล่อก็ดังมาถึงภายในตระกูลไม่รู้สิ้น ทำให้จักรพรรดิสวรรค์สองสามคนนั้นของตระกูลไม่รู้สิ้นหน้าเปลี่ยนสี โดยเฉพาะจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิง จิตใจของเขาผันผวนอย่างมาก ตอนนี้ฝ่ามือที่ฟื้นกลับมาเหมือนเดิมมีอาการปวดแปลบแผ่ขึ้นมา ในใจมีคลื่นลูกยักษ์ซัดโหม ทำให้เขาร้องเสียงเบาออกมา
“ไม่ดีแล้ว ทางเสวียนหัว…” แทบจะในชั่วขณะที่เขาเอ่ยขึ้นมา จักรพรรดิสวรรค์จีเจียก็ก้าวออกไปแล้วหายตัวไปจากจุดเดิม ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นที่…สถานที่กักตัวของจักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัว
ขณะที่เขาปรากฏตัวนั้น ก็เป็นเวลาเดียวกับที่เสวียนหัวร้องคำรามบ้าคลั่งออกมา การก่อตัวของเมล็ดเต๋าธาตุน้ำของหวังเป่าเล่อและการระเบิดของพลังธาตุไม้ทำให้จิตใจของเสวียนหัวเกือบจะสูญเสียเกราะป้องกันไป จากนั้นพลังฝึกตนของหวังเป่าเล่อก็ทะลวงขึ้นมา คล้ายกับมีการโจมตีไร้รูปกระแทกเข้ามาทำให้เสวียนหัวที่เดิมทีก็ยากจะต่อต้านได้ ทรุดทลายโดยพลัน
ขณะที่เสวียนหัวเป็นบ้าผมเผ้ายุ่งเหยิงอยู่ที่นี่ คนทั้งคนก็ผุดลุกขึ้นยืนราวกับอยากจะพุ่งออกจากสถานที่กักตน พุ่งออกจากตระกูลไม่รู้สิ้น แล้วเดินทาง…ไปสักการะบูชาที่จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย!
แต่กลับถูกจักรพรรดิสวรรค์จีเจียที่เพิ่งมาถึงขัดขวางไว้แล้วสยบตัวเขาลงด้วยพลังทั้งหมด ถึงอย่างไรเขาก็เป็นร่างแยกของปรมาจารย์ตระกูลไม่รู้สิ้น พลังฝึกปรือสูงส่งล้ำลึกยิ่งกว่าเสวียนหัว ขณะนี้พอเขาใช้พลังทั้งหมดออกมา ในที่สุดก็ทำให้จิตใจเสวียนหัวฟื้นคืนเป็นปกติได้ แต่อิทธิพลที่หวังเป่าเล่อมีต่อเสวียนหัวจะธรรมดาง่ายดายขนาดนั้นได้อย่างไร
ขณะที่เขาเดี๋ยวผุดเดี๋ยวล้มอยู่นั้น แม้ว่าสติปัญญาบางส่วนของเสวียนหัวจะฟื้นกลับมาแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มั่นคงเลย โชคดีที่จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงก็ปรากฏตัวต่อจากนั้นแล้วช่วยจีเจียสยบไว้ด้วยกัน ถึงได้ทำให้เสวียนหัวตัวสั่นเทาพร้อมกับใบหน้าซีดขาว นับว่าฝืนกดการคงอยู่ของจิตมารในร่างของเขาไว้ได้
แต่ในตอนนี้เอง…สีหน้าของจีเจียกลับเปลี่ยนไปอีกครั้ง
“ตี้ซาน…” ขณะที่เสียงเขาดังออกมา ดวงตาของจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงก็หดเกร็งอย่างรุนแรง เขาหันหน้าทอดมองไปไกลๆ ทันที ประกายแสงในดวงตาของเขาคล้ายมองทะลุสายธารดวงดาวไปยังดาราจักรด้านหลังตระกูลไม่รู้สิ้นในตอนนี้ ท่ามกลางทะเลดวงดาวผืนนี้เอง ตี้ซานกำลังนั่งทำสมาธิ ตัวเขาหายดีไปมากกว่าครึ่งอย่างเห็นได้ชัด
กายเนื้อดั้งเดิมของตี้ซานถูกหวังเป่าเล่อสังหารไปแล้ว ดวงวิญญาณเทพของเขาก็ได้รับบาดเจ็บ แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าได้รับการรักษาอย่างทรงพลังแล้ว ไม่ใช่แค่กายเนื้อที่ถูกปั้นขึ้นใหม่อีกครั้งเท่านั้น คลื่นผันผวนของพลังฝึกตนก็ถึงขั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าเมื่อก่อนเล็กหน่อยด้วย
จินตนาการได้เลยว่าทันทีที่พลังฝึกปรือของเขาฟื้นคืนกลับมาทั้งหมด เกรงว่าพลังต่อสู้ก็จะก้าวกระโดดขึ้นสู่ระดับสูงยิ่งกว่าระดับเดิมด้วย
แต่ในตอนนี้เอง…ขณะที่จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงและจักรพรรดิสวรรค์จีเจียมองไปยังตี้ซาน ทางหวังเป่าเล่อที่อยู่ในดาวอังคารของระบบสุริยะภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย แววตาจากร่างจริงของเขาส่องประกายจางๆ ก่อนก้าวออกมาฉับพลัน ก้าวหนึ่งเข้าไปยังอวกาศ
เมื่อเท้าของเขาแตะลงมา ร่างกายเขาก็พร่าเลือน เมื่อเงาร่างของเขาชัดเจนขึ้นอีกครั้ง เขาก็ออกมาจากดาวอังคาร ออกมาจากระบบสุริยะ ออกมาจากจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย แล้วปรากฏตัวที่…จักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้น ปรากฏที่…ด้านหลังของตระกูลไม่รู้สิ้น ท่ามกลางทะเลดวงดาวที่ตี้ซานนั่งสมาธิอยู่!
ที่นี่คือบริเวณด้านหลังตระกูลไม่รู้สิ้นแล้ว ปกติหมื่นสำนักหมื่นและตระกูลไม่กล้าก้าวเข้ามาง่ายๆ แต่วันนี้…หวังเป่าเล่อเพียงก้าวหนึ่งก้าวก็ข้ามผ่านความเวิ้งว้าง จนมาถึงที่นี่แล้ว
และการปรากฏตัวของเขาก็ทำให้จักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้นเกิดคลื่นผันผวนรุนแรงทันที นั่นคือการปะทะชนของมหาเต๋ากับมหาเต๋า เป็นอิทธิพลจากเต๋าธาตุไม้และธาตุน้ำของหวังเป่าเล่อที่มีต่อจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้น
เพียงชั่วพริบตา ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นจำนวนนับไม่ถ้วนก็พากันตัวสั่นเทา คล้ายกับว่าตอนนี้เอง พลังธาตุไม้และน้ำภายในร่างของพวกเขาล้วนถูกชักนำ โชคดีที่พลังแห่งเต๋าสวรรค์ตระกูลไม่รู้สิ้นมาถึง จึงพอจะกำจัดมันไปได้
แต่สุดท้ายแล้ว กระบวนการที่ยังเกิดขึ้นต่ออีกไม่กี่อึดใจ…ทำให้ตระกูลไม่รู้สิ้นได้รับผลกระทบ แม้แต่วงแหวนปราณระดับสุดยอดที่เกิดจากเส้นเลือดของสำนักก็ยังได้รับผลกระทบเช่นกัน ส่วนทางหวังเป่าเล่อก็สามารถปรากฏตัวขึ้นที่นี่ได้อย่างราบรื่นไร้ใดเปรียบ
ไม่แปลกเลยที่ตี้ซานจะเป็นจักรพรรดิสวรรค์ เขารู้สึกตัวทันที พริบตาที่เงยหน้ามองหวังเป่าเล่อ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปยกใหญ่ การเปลี่ยนแปลงแบบเดียวกันก็เกิดขึ้นกับกวงหมิงและจีเจียด้วย แต่ตอนนี้คนทั้งสองไม่อาจจากไปได้ เพราะทางเสวียนหัวนี้ จิตมารที่เดิมถูกบังคับสยบเอาไว้กลับคล้ายถูกเสริมแรงขึ้นมาในตอนนี้ และคล้ายกับถูกเพรียกหา มันระเบิดออกมาทันใด ทำให้คนทั้งสองจำต้องใช้กำลังทั้งหมดสยบเอาไว้จึงจำสำเร็จ ทำให้ไปช่วยเหลือไม่ได้ในระยะหนึ่ง
“หวังเป่าเล่อ!” ในแววตาของตี้ซานเผยความบ้าคลั่งออกมา เขาผุดลุกทันที อุปนิสัยของเขามุทะลุ ตอนนี้เมื่อรับรู้ถึงอันตราย เขาก็ไม่ได้ถอยหนี แต่กระโจนพุ่งออกจากทะเลดวงดาว คนทั้งคนกลายเป็นยอดเขาไร้ที่สิ้นสุดพุ่งตรงไปสยบยังหวังเป่าเล่อ
“ตี้ซาน ข้าชื่นชมเจ้ามาก” หวังเป่าเล่อกล่าวราบเรียบ แม้เขาจะสัมผัสกับจักรพรรดิสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นมาหลายครั้ง แต่ตี้ซานผู้นี้มีบุคลิกเป็นของตัวเองจริงๆ ความเย่อหยิ่งและยึดมั่นแบบนั้นช่างเข้ากับการถูกเรียกว่าเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์เสียจริง
ดังนั้น สำหรับจอมพลังเช่นนี้ หวังเป่าเล่อจึงเลือกใช้วิชาเต๋าธาตุไม้อันไร้ที่สิ้นสุดภายใต้กฎไม้เสริมน้ำในปัจจุบันนี้ออกมา ถึงแม้จะด้อยกว่าคืนพินาศ แต่ก็น่าตกตะลึงยิ่ง เขาโบกมือ ทั่วทั้งอวกาศส่งเสียงดังสนั่น เส้นสายธาตุไม้หลายเส้นปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่าแล้วรวมตัวรอบกายของหวังเป่าเล่อโดยตรง ก่อตัวเป็นฝ่ามือไม้ขนาดยักษ์ข้างหนึ่ง แล้วตบลงไปที่ภูเขาขนาดมหึมาที่กำลังเคลื่อนเข้ามาหาโดยตรง
ในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นคลื่นผันผวนของเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดปรากฏขึ้นมาในตระกูลไม่รู้สิ้นอย่างแม่นยำ และมีเสียงคำรามต่ำดังมาจากที่ไกลๆ
“เฉินชิงจื่อ เจ้าวางแผนจะทำศึกตัดสินกับข้าในวันนี้จริงๆ หรือ”
หวังเป่าเล่อเงียบงัน ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่แววตาลึกล้ำอยู่สักหน่อย เขาลงมือรุนแรงยิ่งกว่าเดิม พลังฝึกตนระดับจักรพิภพชั้นกลางภายในร่างระเบิดออกมาโดยสมบูรณ์ เต๋าธาตุน้ำกลายเป็นพลังต้นกำเนิดของเต๋าธาตุไม้ มันโคจรจนถึงขีดสูงสุด ภายใต้ห้าธาตุส่งเสริมกันนี้ ทำให้เต๋าธาตุไม้เป็นเหมือนกับดวงดาวดวงเดียวในอวกาศที่ส่องสว่างเจิดจรัส
พริบตาเดียวฝ่ามือจากเต๋าธาตุไม้ก็ปะทะเข้ากับภูเขาลูกมหึมาที่เกิดจากตี้ซาน
อวกาศสะเทือนเลื่อนลั่น จุดที่ทั้งสองฝ่ายปะทะกันเกิดคลื่นผันผวนราวกับผลักภูเขาพลิกทะเลหลายชั้นพวยพุ่งขึ้นมาในทันที มันแผ่ขยายเสียงดังลั่นไปทั่วทุกทิศ ทุกที่ที่มันเคลื่อนผ่าน ภายในตระกูลไม่รู้สิ้นก็จะสั่นสะเทือน ถึงขั้นที่อวกาศก็ยังพังทลายลงมาและแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
และสิ่งที่แตกสลายก่อนใครก็คือ…ภูเขามหึมาที่เกิดจากตี้ซาน!
รอยร้าวหลายเส้นแพร่กระจายไปทั่วภูเขายักษ์ลูกนี้โดยตรง มันแผ่ขยายในชั่วพริบตา และในอึดใจต่อมา ภูเขากว้างใหญ่ไพศาลน่าตะลึงคล้ายจะสยบสรรพชีวิตหมื่นเต๋าไว้ได้ลูกนี้ก็พังทลาย แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
เงาโลหิตสายหนึ่งถูกพลังมหาศาลโจมตีเข้าจากข้างภายในภูเขาที่แตกละเอียดนี้ ขณะที่ถอยร่นไป เลือดก็พุ่งออกมาไม่หยุด ร่างกายคล้ายจะพังทลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ตอนนี้ยังฝืนประคองไว้ได้อยู่ และเงาเลือดนั่นก็คือ…ผู้ที่มีแววตาไม่ยินยอมและขมขื่นยิ่งกว่าอย่างตี้ซาน!
…………
เต๋าฝั่งซ้ายสั่นสะเทือนกึกก้อง!
พลังอำนาจของเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นได้สูญเสียกฎธาตุน้ำและกฎธาตุไม้ไปจากจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายโดยสิ้นเชิง แม้ดูคล้ายจะขาดไปเพียงสองเต๋า แต่ความจริงแล้วน้ำเสริมไม้ เต๋าสองชนิดนี้ส่งเสริมกันและกันในแง่หนึ่ง ทั้งยังสามารถทำให้เต๋าธาตุไม้บรรลุถึงขีดสุดแบบที่ใช้คำว่า ‘ไร้ที่สิ้นสุด’ มาบรรยายก็ไม่เกินจริง
จุดนี้เอง เมื่อหวังเป่าเล่อควบรวมเมล็ดแห่งเต๋าธาตุน้ำสำเร็จ ประสาทสัมผัสของเขาก็แรงกล้าอย่างยิ่ง เขาสัมผัสได้ชัดเจนว่าในทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายนี้ ขอแค่เป็นผู้ที่มีธาตุไม้แฝงอยู่ในวิถีฝึกตน ไม่ว่าจะฝึกฝนมานานเท่าใดก็ล้วนแต่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาโดยสมบูรณ์ แค่เพียงหนึ่งความคิดก็สามารถสังหารทุกชีวิตจนสิ้นได้โดยใช้ธาตุไม้พวกนี้เป็นรากฐานแล้ว
ขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสได้อย่างแรงกล้าว่าสถานที่ที่เขาอยู่นั้นมีพลังไม้แข็งแกร่งอย่างยิ่งจนสามารถสยบนับพันหมื่นวิชาเวทได้เลย
แต่เต๋าธาตุน้ำก็แข็งแกร่งเช่นเดียวกัน เพียงแค่ขาดการหนุนนำเท่านั้น ดังนั้นนอกจากจะเป็นพลังเทพที่คล้ายคลึงกันแต่อ่อนกว่าเล็กน้อยแล้ว ส่วนใหญ่ตัวของมันก็จะทำหน้าที่เหมือนเป็นแหล่งกำเนิดที่ทำให้พลังไม้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
หวังเป่าเล่อเข้าใจแล้ว ทันทีที่ตนควบรวมเมล็ดแห่งเต๋าธาตุทอง แล้วทองก็จะเสริมน้ำ ทีนี้ก็จะทำให้เต๋าธาตุน้ำบรรลุถึงระดับไร้ที่สิ้นสุดเหมือนกับเต๋าธาตุไม้ได้ ขณะเดียวกัน นอกจากห้าธาตุจะกดข่มกันและกันแล้ว มันยังส่งเสริมกันและกันอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ ขณะที่เต๋าธาตุน้ำรุ่งโรจน์ ก็จะทำให้เต๋าธาตุไม้กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งขึ้นแล้วขยายตัวเพิ่มระดับขึ้นอีกครั้ง
ด้วยหลักการแบบเดียวกันนี้ ถ้าหากว่าตนควบรวมเมล็ดแห่งเต๋าธาตุไฟขึ้นมา เช่นนั้น…ไม้เสริมไฟ เมื่อเต๋าธาตุไฟก่อตัวขึ้น พลังอันน่าเกรงขามก็จะเพิ่มขึ้นจนถึงระดับที่น่าตกตะลึงโดยตรงทีเดียว
“เต๋าแปดปรมัตถ์…มิน่าถึงต้องใช้ธาตุทั้งห้ามาเป็นพื้นฐาน ห้าธาตุนี้ไม่ใช่แค่รากฐานเท่านั้น ยิ่งกว่านั้นคือตัวมันยังส่งเสริมและกดข่มกันและกัน พอเป็นวงจรเช่นนี้ต่อไป วันหนึ่งเมื่อข้าทำให้ธาตุทั้งห้าครบสมบูรณ์ได้ล่ะก็…” แววตาของหวังเป่าเล่อเผยประกายแสงประหลาด ตัวเขาเองก็ไม่อาจคาดการณ์อะไรได้ เมื่อธาตุทั้งห้าครบสมบูรณ์ เขาก็จะแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้!
และนี่…ก็เป็นเพียงรากฐานของเต๋าแปดปรมัตถ์เท่านั้น เต๋าทั้งสามที่เหลือต่อจากนี้ หรือพูดให้ถูกก็คือ เต๋าอย่างสุดท้ายจึงจะเป็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดดที่แท้จริงเมื่อเขาสะสมเต๋าแปดปรมัตถ์จนครบทั้งหมดแล้ว
“เช่นนั้นต่อจากนี้…ก็คือการยกระดับครั้งแรกก่อนการก้าวกระโดดอย่างแท้จริง!” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ยกมือขวาขึ้น ขณะเดียวกันที่ด้านนอกระบบสุริยะ ร่างธรรมกายขนาดมหึมาที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอวกาศก็ลืมตาขึ้นมาทันทีแล้วยกมือขวาขึ้น ก่อนกดลงเบาๆ ไปทางระบบสุริยะ
ขณะที่กดลงไป ทันใดนั้นระบบสุริยะก็ส่งเสียงสั่นสะเทือนขึ้นมา คลื่นผันผวนปรากฏขึ้นมามากมาย จากนั้น…แผ่นผนึกโลกาขนาดมโหฬารไร้ใดเปรียบที่ปกคลุมทั่วทั้งระบบสุริยะก็ปรากฏให้เห็นเด่นชัด
จะเห็นได้ว่าที่มุมหนึ่งซึ่งเคยขาดหายไปของแผ่นผนึกโลกา มีเงาร่างของจื่อเยว่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น และจื่อเยว่ก็คล้ายจะรู้สึกตัว หลังจากเงยหน้าจ้องมองมา นางก็คุกเข่าคารวะ
“เปิดแผ่นผนึกโลกา หมื่นโลกผสานรวม!” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเรียบ เสียงของเขาดังสะท้อนอยู่ในระบบสุริยะ สะท้อนอยู่ในอวกาศ ทำให้อารยธรรมทั้งหลายที่มายื่นข้อเสนอผสานรวมเข้ากับระบบสุริยะในตอนนี้ตื่นตัวขึ้นมาทันที
ผู้นำของสหพันธรัฐอู๋เมิ่งหลิงและบุคคลระดับสูงของกลุ่มพันธมิตรก็เช่นเดียวกัน พวกเขาดำเนินการส่งคำสั่งผสานรวมไปให้กับอารยธรรมต่างๆ ที่รออยู่นานแล้วทันที
ดังนั้นในชั่วพริบตา ภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็มีอารยธรรมน้อยใหญ่จำนวนเกินกว่าแปดพันแห่งจากต่างที่ล้วนส่องแสงแรงกล้าออกมา ในอารยธรรมเหล่านี้ มีห้าอารยธรรมที่มีประกายแสงสว่างไสวที่สุด
นั่นก็คืออดีตห้าสำนักใหญ่ซึ่งรวมไปถึงเต๋าเก้ารัฐ!
แผ่นผนึกโลกาของระบบสุริยะคล้ายคลึงกับระบบพิกัด พริบตาที่ถูกหวังเป่าเล่อเปิดออกมาก็ได้ชักนำอารยธรรมน้อยใหญ่ทั้งแปดพันแห่งจากต่างพื้นที่เคลื่อนเข้ามายังระบบสุริยะ
ผู้ที่มาคนแรกก็คือ…เต๋าเก้ารัฐ สำนักนี้ไม่มีความลังเลใดๆ เป็นพวกแรกที่เลือกเช่นนี้ พวกเขาผสานรวมเข้าไปในระบบสุริยะโดยสมบูรณ์ จากนั้นก็เป็นสี่สำนัก ต่อมาคืออารยธรรมน้อยใหญ่แปดพันแห่งที่ตามกันมาติดๆ
ระบบสุริยะจึงคล้ายกับวังน้ำวนขนาดมหึมาที่ดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างแล้วนำอารยธรรมแปดพันกว่าแห่งเข้ามาเก็บเอาไว้ข้างในทั้งหมด ทำให้ตัวของมันแผ่ขยายอย่างต่อเนื่อง ขอบเขตขยายกว้างใหญ่อย่างบ้าคลั่งไปทั้งสี่ทิศ
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นอารยธรรมอื่น ตอนนี้คงประคองต่อไปไม่ไหวและจะต้องพังทลายแน่ แต่จุดที่น่าประหลาดของแผ่นผนึกโลกาก็แสดงออกมาชัดเจนอย่างสมบูรณ์ในตอนนี้เอง มันผนึกแก่นของระบบสุริยะไว้ ทำให้แม้ว่าจะแผ่ขยายอย่างต่อเนื่องอย่างไร ระบบสุริยะก็ยังคงเสถียรมั่นคงเช่นเดิม!
ขณะเดียวกัน…เมื่อห้าสำนักใหญ่และอารยธรรมแปดพันกว่าแห่งผสานเข้ามา ขนาดของระบบสุริยะก็ก้าวกระโดดขึ้นในเชิงคุณภาพ สรรพชีวิตทั้งหมดภายในกลุ่มพันธมิตรล้วนเลื่อนขั้นระดับชีวิตอย่างใหญ่หลวงในชั่วขณะนี้เอง
ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ที่หวังเป่าเล่อได้รับประโยชน์มากที่สุด เพียงแต่พลังฝึกตนของเขาล้ำลึกเกินไป รากฐานหนาแน่นเกินไป ดังนั้นแม้ว่าจะดูดซับพลังที่เกิดจากการผสานหมื่นโลกเข้าไปมากกว่าครึ่ง แต่การขยับเขยื้อนของพลังฝึกตนก็ยังเชื่องช้าเช่นเดิม
แต่…แม้ว่าจะเชื่องช้าอย่างไรก็ยังเลื่อนระดับไปอย่างมั่นคง มันค่อยๆ บรรลุถึงขั้นสุดยอดของจักรพิภพชั้นต้น แล้วไปถึงจักรพิภพชั้นต้นขั้นมหาวัฏจักรอย่างช้าๆ
จนกระทั่งท่ามกลางสายตาจากสำนักเสริมและตระกูลไม่รู้สิ้นรวมไปถึงสำนักแห่งความมืดที่จดจ้องมา และหลังจากอารยธรรมแปดพันกว่าแห่งผสานเข้ามาโดยสมบูรณ์ ไปจนถึงชั่วขณะนี้ที่ระบบสุริยะมีขนาดเทียบเท่ากับหนึ่งในร้อยของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายในพริบตา…
ตอนนั้นเอง ร่างกายของหวังเป่าเล่อส่งเสียงสะเทือนกึกก้องดังไปทั่วจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ขณะที่เกิดเสียงดังสนั่นนี้ ธรรมกายของเขาก็แผ่ประกายแสงพร่างพราวออกมาแล้วขยายตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อขยายจนถึงขีดสุดแล้ว ประกายแสงภายในร่างของเขาก็ไหลวน อานุภาพสะเทือนฟ้า ส่วนร่างจริงของเขาก็เช่นเดียวกัน จักรวาลภายในร่างคล้ายถูกผ่าฟ้าแยกดินจนขยายใหญ่อย่างไร้ที่สิ้นสุด
สุดท้าย…ชั่วขณะที่ดวงตาของร่างจริงหรุบเปิด ผมของเขาก็งอกยาวอย่างไม่มีขีดจำกัดจนแผ่สยายไปทั่วทั้งดาวอังคาร แผ่สยายไปถึงครึ่งหนึ่งของระบบสุริยะ ผมของเขาพลิ้วไสวอยู่ในอวกาศ ในที่สุดพลังฝึกตนของเขา…ก็ทะลวงจากจักรพิภพชั้นต้น ก้าวเข้าสู่…
จักรพิภพชั้นกลาง!
พริบตาที่เลื่อนระดับจนถึงจักรพิภพชั้นกลาง อานุภาพบนร่างของหวังเป่าเล่อก็ปกคลุมทั่วทั้งระบบสุริยะที่กว้างใหญ่ไพศาลไม่รู้กี่เท่าในปัจจุบันทันที ประกายแสงเจิดจ้าเสียดตา พราวพร่างถึงขีดสุด
ทำให้ปรมาจารย์แห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณก้มหน้าลง ทำให้จักรพรรดิสวรรค์สองสามคนของตระกูลไม่รู้สิ้นหายใจถี่รัว ทำให้ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งตระกูลไม่รู้สิ้นผู้นั้นขมวดคิ้วมุ่น!
“ชั้นกลางขั้นที่สาม…ดูจากพลานุภาพของเขาแล้ว ชีวิตนี้คงจะต้อง…มุ่งสู่สวรรค์!” ในระบบสุริยะ อู่น้อยก็ตัวสั่นเทาเช่นกัน สีหน้าเผยความเคารพบูชาโดยไม่รู้ตัว เขาก้มหน้าพึมพำ
ขณะที่ระบบสุริยะขยายตัวจนน่าตะลึงและทุกคนถูกอานุภาพของหวังเป่าเล่อสั่นสะเทือนอยู่นั้น ความคิดของหวังเป่าเล่อก็พลุ่งพล่าน เขารู้สึกถึงความแข็งแกร่งของตนเอง รู้สึกถึงความคิดที่เคลื่อนไหว และสามารถชักนำพลังอันน่าสะพรึงของพายุจักรวาลได้ แต่ไม่นานเขาก็นิ่งสงบลงเพราะนึกถึงเส้นทางของเต๋าแปดปรมัตถ์ต่อจากนี้ขึ้นมา
เพราะว่าหลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้วก็ยังคิดว่า…หลังจากเต๋าห้าธาตุเต็มสมบูรณ์แล้ว บางทีตนอาจจะเป็นเจ้าแห่งเต๋าธาตุไม้ก็ได้
เพราะว่า…เต๋าธาตุไม้ของเขา มันแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง!
“สุดท้ายจะเป็นเช่นที่ข้าคาดเดาหรือไม่ เชื่อว่าอีกไม่นาน…ก็จะมีคำตอบแล้ว” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ส่วนลึกในแววตามีแสงสว่างสดใสปรากฏขึ้น ประกายแสงนี้แผ่ขยายในพริบตาจนปกคลุมทั่วทั้งนัยน์ตาของเขาแล้วไปกระตุ้นเมล็ดธาตุไม้และเมล็ดธาตุน้ำภายในร่างของหวังเป่าเล่อ
พริบตาเดียว ผู้ฝึกตน จิตวิญญาณ ต้นไม้ใบหญ้า และแม่น้ำลำธารจำนวนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็ส่งเสียงก้องสะเทือนกึกก้องขึ้นมาทั้งหมด ตอนนี้ท่ามกลางดวงดาวนับไม่ถ้วนมีแม่น้ำลำธารมากมายไหลบ่ากระหน่ำ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่พึ่งพาน้ำเพื่ออยู่รอดก็สั่นสะท้านด้วยเช่นกัน
ต้นไม้ใบหญ้าสั่นไหว น้ำทะเลร้องคำราม ผู้ฝึกตนแทบจะทั้งหมดไม่ว่าจะมีพลังฝึกตนระดับไหนล้วนคุกเข่าคำนับไปทางระบบสุริยะตามสัญชาตญาณในชั่วพริบตา แววตาล้วนเผยความเคารพและความคลั่งไคล้ออกมา
ที่นั่น…คือสถานที่แสวงบุญของพวกเขา
ที่นั่น…มีสุดยอดของชีวิตของพวกเขาอยู่
ที่นั่น…ยิ่งมีต้นกำเนิดแห่งเต๋าของพวกเขา
ขณะนี้ทุกชีวิตคุกเข่าคารวะ
ขณะนี้นภาสวรรค์ก้มศีรษะ
ขณะนี้อวกาศเกิดระลอกคลื่นไร้ที่สิ้นสุด
สำนักเสริมกำลังเฝ้าดูอยู่ ตระกูลไม่รู้สิ้นกำลังเฝ้าดูอยู่ สำนักแห่งความมืดกำลังเฝ้าดูอยู่ ชั่วขณะนี้…ทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นล้วนกำลังเฝ้าดู!
เฝ้าดูการผุดขึ้นของจักรพรรดิสวรรค์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย เฝ้าดูความน่าตกตะลึงของเต๋าธาตุน้ำและธาตุไม้ ยิ่งเฝ้ามองดู…ฉากที่กำจะเกิดขึ้นและไม่เคยถูกเปิดเผยออกมาตั้งแต่อดีต…การถือกำเนิดของเจ้าแห่งเต๋าฝั่งซ้าย!
“จากนี้ไป…จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายมีข้าแซ่หวังเป็นผู้ปกครอง!” ท่ามกลางสายตาของสรรพชีวิต หวังเป่าเล่อที่อยู่บนดาวอังคารก็ค่อยๆ พูดขึ้น ประโยคนี้ถูกเผยแพร่ผ่านวิถีเต๋า ดังก้องกังวานอยู่ในใจของสรรพชีวิตในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ก้องกังวานอยู่ระหว่างต้นไม้ใบหญ้าและแม่น้ำทะเล ก้องกังวานไปทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์
“เจ้าแห่งเต๋า!”
“เจ้าแห่งเต๋า!!”
“เจ้าแห่งเต๋า!!!” ไม่รู้ว่าเสียงร้องเรียกเสียงแรกนั้นดังมาจากทางไหน จากนั้นเสียงร้องเรียกก็ค่อยๆ ดังกระจายออกไป จากดวงดาราทุกดวง จากอารยธรรมทุกแห่ง จากผู้ฝึกตนทุกคน จากต้นไม้ใบหญ้าทุกต้น จากภายในท้องทะเลและสายน้ำไร้ที่สิ้นสุด แพร่กระจายไปทั่วทุกทิศ!
ตอนนี้เอง หวังเป่าเล่อก็กลายเป็น…เจ้าแห่งเต๋าฝั่งซ้ายผู้เหมาะควรแล้ว!
……………………………….
หากการต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อกับจักรพรรดิสวรรค์ตี้ซานเป็นศึกสู่เทพเจ้า เช่นนั้นศึกที่เขามาสังหารปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐได้ทั้งๆ ที่ห้าสำนักใหญ่ร่วมมือกันและทำให้ห้าสำนักยอมจำนน ก็เป็นศึกสู่จักรพรรดิ!!
จักรพรรดิแห่งเต๋าฝั่งซ้าย!
ขณะนี้ ภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายอันกว้างใหญ่ จึงไม่มีเสียงคัดค้อนหวังเป่าเล่ออีกต่อไป
ขณะนี้ ภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายอันกว้างใหญ่ หมื่นตระกูล สำนักอีกนับไปถ้วน และอารยธรรมทั้งหลาย ล้วนแล้วแต่ถือเอาหวังเป่าเล่อเป็น…จักรพรรดิ!
สี่สำนักใหญ่เป็นผู้ตอบรับกลุ่มแรกและเริ่มเดินทางมาสักการะ จากนั้นก็เป็นเต๋าเก้ารัฐ…หลังจากปรมาจารย์เฒ่าแตกดับไปแล้ว ถ้าหากพวกเขาคิดจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เช่นนั้นก็จะต้องก้มหน้าต่ำ และเต๋าเก้ารัฐ…ก็ไม่มีสิทธิ์จะเงยหน้าขึ้นด้วย ดังนั้นหลังจากหวังเป่าเล่อจากไปแล้ว บุคคลระดับสูงที่เหลืออยู่ในเต๋าเก้ารัฐก็มีท่าทีเหมือนกันอย่างรวดเร็ว พวกเขาก้มหัวลงไปทาง…ระบบสุริยะ สหพันธรัฐ หวังเป่าเล่อ!
ขณะเดียวกันเต๋าเก้ารัฐก็เป็นพวกแรกในห้าสำนัก…ที่เสนอตัวจะผสานดาราจักรของตนเข้าไปในระบบสุริยะก่อน แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ต้องดำเนินการอยู่แล้ว แต่ก็มองออกได้ว่าผู้มีอำนาจของเต๋าเก้ารัฐมีทัศนคติเที่ยงตรงอย่างยิ่งจริงๆ
เมื่อสี่สำนักเห็นเช่นนี้ก็พากันร้องขอสิ่งนี้ออกมาเช่นกัน…
ระบบสุริยะในปัจจุบันไม่ใช่สิ่งที่สำนักหรือตระกูลใดจะสามารถเข้าร่วมได้ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ…เมื่อได้รับคำขอในเรื่องเหล่านี้ หวังเป่าเล่อไม่ได้ให้ความสนใจ เขามอบให้ผู้นำสหพันธรัฐอู๋เมิ่งหลิงเป็นคนจัดการ
ส่วนทางอู๋เมิ่งหลิงนั้น แม้ว่าพลังฝึกตนของเขาจะไม่เพียงพอ แต่ทักษะของเขาสูงอย่างยิ่ง ทำให้ผู้มาเยือนจากห้าสำนักไม่ได้รับประโยชน์เพิ่มเติมแม้แต่น้อยเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา แต่เขาก็เป็นที่ยอมรับทางจิตใจด้วย ถึงขั้นมีผู้ฝึกตนหญิงสองสามคนที่อยู่ระดับจักรพิภพมีความสุขอย่างมากตอนที่คบหาพูดคุยกับอู๋เมิ่งหลิง
เมื่อเป็นเช่นนี้ การพัฒนาของทั้งสหพันธรัฐของระบบสุริยะจึงดำเนินไปอย่างราบรื่นอย่างยิ่ง ส่วนทางอู๋เมิ่งหลิงก็มองหวังเป่าเล่อเป็นลูกเขยบ้านตนตั้งนานแล้ว ดังนั้นทั้งหมดนี้จึงพิจารณาถึงความต้องการของหวังเป่าเล่อเป็นอันดับแรก
เมื่อหวังเป่าเล่อกลับมาและศึกษาหยดน้ำตาหยดนั้น เขาก็เสนอว่าอยากจะให้โรงหล่อของสำนักและตระกูลทั้งหลายหล่อของอย่างที่เขาต้องการให้สำเร็จ อู๋เมิ่งหลิงก็จัดการเรื่องนี้ให้ทันที ทั้งเขายังมีฐานะเป็นองค์ประกอบแรกในการประเมินเพื่อเข้าร่วมสหพันธรัฐด้วย
และหวังเป่าเล่อก็ไม่กังวลว่าจะมีคนมองเห็นถึงเบาะแสผ่านโรงหล่อพวกนั้นด้วย เพราะแก่นของมันอยู่ที่เขา สิ่งที่สำนักและตระกูลทั้งหมดต้องทำมีเพียงให้ความช่วยเหลือเท่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะต่อลมหายใจให้กันและกัน แต่สุดท้ายก็ไม่มีทางฟื้นตัวกลับมาได้
ดังนั้นในไม่ช้า นักหลอมอาวุธเวททั้งหมดภายในตระกูลและสำนักทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็เริ่มยุ่งง่วน ตราอักขระกึ่งสำเร็จรูปจำนวนมากจึงถูกส่งไปอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อในดาวอังคาร
ขณะเดียวกัน…จากความรุ่งโรจน์ของระบบสุริยะภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายนั้น สำนักเสริมก็ดี จักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้นก็ช่าง ล้วนไม่ได้เหยียบย่างเข้ามาในเต๋าฝั่งซ้ายแม้แต่นิด ถึงขั้นที่แม้แต่คำสั่งสงคราม…ก็ไม่ได้ส่งต่อมาด้วย
สิ่งนี้ทำให้สถานะของหวังเป่าเล่อในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายมั่นคงยิ่งกว่าเดิม ทั้งยังทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวรุนแรงยิ่งขึ้น ดังนั้น…ระบบสุริยะจึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างคึกคักเหลือแสน มีสำนักและตระกูลของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายจำนวนมากเดินทางมาคารวะแทบจะทุกวัน
ส่วนเครือข่ายความสัมพันธ์ของหวังเป่าเล่อก็ยากจะปกปิดเป็นความลับได้ จึงถูกสำนักเหล่านี้รู้เข้า ดังนั้นสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จึงกลายเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในหมู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกันนั้นนครศักดิ์สิทธิ์ก็เช่นเดียวกัน
และยังมีเจ้าเยี่ยเหมิงกับโจวเสี่ยวหยาที่ยิ่งทำให้สำนักตระกูลเหล่านี้บ้าคลั่ง ต่างพากันไปเยี่ยมเยียนและส่งของขวัญใหญ่ ไม่ร้องขออย่างอื่น เพียงให้รู้สึกคุ้นตา
สำหรับเรื่องพวกนี้ เจ้าเยี่ยเหมิงรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย จึงกักตนเสียเลย แต่ทางด้านโจวเสี่ยวหยากลับแสดงความสามารถที่แต่ก่อนไม่เคยมีออกมา ด้านการจัดการเรื่องเหล่านี้นางกลับมีระเบียบดียิ่ง มีของขวัญมอบกลับให้แก่ผู้มาเยือน ทำให้แม้ว่าผู้มาเยือนจะไม่ได้พบนาง แต่ก็จากไปอย่างซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง
เป็นเช่นนี้ ขณะที่สหพันธรัฐหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ด้วยความช่วยเหลือของอารยธรรมดวงเนตรสววรค์และอารยธรรมครามทองคำ และเมื่อคำร้องขอของอารยธรรมหลายต่อหลายแห่งได้รับการอนุมัติ ระบบสุริยะจึงถูกเรียกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ไม่จำเป็นต้องให้ใครอื่นมาให้การยอมรับแล้ว
ถ้าหากที่นี่ไม่ใช่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นในเต๋าฝั่งซ้ายตอนนี้ก็ไม่มีดินแดนศักดิ์สิทธิ์แล้ว
ส่วนทางหวังเป่าเล่อก็นับว่าเข้าสู่ช่วงกักตนอีกครั้ง เมื่อศึกษาหยดน้ำหยดนั้นอย่างต่อเนื่อง หวังเป่าเล่อก็ยิ่งแน่ใจว่า…นี่คือหยดน้ำตาหนึ่งหยด!
เพราะทุกครั้งที่เขาใส่สัมผัสสวรรค์เข้าไปก็จะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกพิเศษบางอย่าง คล้ายเศร้าโศกคล้ายดีใจ แต่ท้ายที่สุดก็เหมือนความว่างเปล่า ไม่ดีใจไม่เศร้าโศก ราบเรียบเงียบสงบยิ่ง
“นี่เป็นหยดน้ำตาที่ไหลมาจาก…สิ่งมีชีวิตสูงสุดแบบไหนกัน” แววตาของหวังเป่าเล่อเผยประกายแสงแปลกประหลาด เขาสัมผัสได้ว่าภายในหยดน้ำตาหยดนี้แฝงไว้ซึ่งพลังชีวิตอันเข้มข้น ยิ่งมีความหมกมุ่นยึดติด ราวกับ…เป็นน้ำตาแห่งความรัก
ตามการวิเคราะห์ของเขา น้ำตาที่เหมือนกับสารัตถะเช่นนี้น่าจะไม่ได้มีแค่หยดเดียว แต่ยากจะมีเกินกว่าสามหยด และในทุกหยดก็ต้องแฝงไว้ซึ่งกระแสเต๋าไร้ที่สิ้นสุด
“เป็นของจากโลกภายนอกอีกหรือ…” หวังเป่าเล่อก้มหน้ามองดูน้ำตาที่กลางฝ่ามือ ขณะที่ครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ สีหน้าของเขาก็ขยับไหว เขารู้สึกว่าบนตัวเขามีของบางอย่างที่เหมือนกัน ตอนนี้ก็คล้ายจะแผ่คลื่นความผันผวนออกมา
หลังจากตรวจสอบตามคลื่นผันผวนนั้น สายตาของหวังเป่าเล่อก็เผยความสับสนงงงวย เขาหยิบต้นเหตุของคลื่นผันผวนนั้นออกมา มันคือขวดเล็กๆ ใบหนึ่ง…ขวดปรารถนา!
ขณะนี้ขวดปรารถนาสั่นสะเทือนด้วยตัวมันเอง แต่กลับไม่มีความร้อนไหลออกมาเหมือนอธิษฐานขอพร ความรู้สึกที่มอบให้หวังเป่าเล่อราวกับว่า…เรื่องราวที่แฝงอยู่ในขวดเล็กใบนี้คล้ายจะมีเหตุต้นผลกรรมกับหยดน้ำตาหยดนี้
ขณะที่หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาก็คล้ายจะได้ยินเสียงแผ่วเบาดังออกมาจากขวดใบเล็กได้รางๆ
“ที่แท้ น้ำตาหยดที่สามก็อยู่ที่นี่…”
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงแล้วลุกขึ้นมาทันที เขาคำนับไปให้กับขวดปรารถนา
“คารวะผู้อาวุโส”
เขาจำเสียงนี้ได้ ที่ก้นแม่น้ำแห่งความมืด เขาติดหนี้บุญุคณ…อีกฝ่าย
“ใช้น้ำตานี้ให้เป็นประโยชน์…นับว่าเจ้าได้ตอบแทนบุญคุณแล้ว” เนิ่นนาน เสียงภายในขวดปรารถนาก็ดังออกมาอย่างแผ่วเบาแล้วค่อยๆ สลายหายไป
สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึม เขากอบหมัดคำนับอีกครั้ง
จากนั้นก็เก็บขวดปรารถนาขึ้นมาแล้วมองไปยังน้ำตากลางฝ่ามือของเขาอีกครั้ง ประกายแปลกประหลาดในแววตาของเขาเข้มข้นยิ่งขึ้น แม้จะไม่รู้ที่มาของของสิ่งนี้ แต่เขาก็เข้าใจแล้วว่า น้ำตาหยดนี้…ไม่ธรรมดา
“ยังมีหุ่นศพนั่น…” ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแววครุ่นคิด หุ่นศพตนนั้นเคยปรากฏขึ้นบนสนามรบที่เต๋าเก้ารัฐ ไม่มีจุดไหนน่าสงสัย ดังนั้นความน่าจะเป็นน้อยสุดคือตัวของมันมีความแปลกประหลาด ความน่าจะเป็นมากสุดคือตอนที่อีกฝ่ายมีชีวิตอยู่ก็ได้รับน้ำตาหยดนี้มาแล้วผสานเข้าไปในตัว เพื่อพยายามดูดซับพลังชีวิตให้ตนฟื้นคืนชีพขึ้นมา
แต่ท้ายที่สุดแล้ว…ภายใต้เหตุผลมากมาย เขาก็ยังล้มเหลว
ส่วนที่ว่ารายละเอียดเป็นอย่างไรนั้นหวังเป่าเล่อไม่รู้ และมันไม่ใช่จุดสำคัญที่เขาต้องให้ความสนใจในตอนนี้ด้วย ดังนั้นไม่นานเขาก็ถอนความคิดกลับมาแล้วผนึกมุทรา ตราประทับกึ่งสำเร็จรูปที่นักหลอมอาวุธเวทจากสำนักตระกูลในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายหลอมขึ้นก็ถูกเขานำออกมา จากนั้นจึงเริ่มการหลอมกลั่นธาตุน้ำ!
การหลอมกลั่นครั้งนี้ยากลำบากมาก ดังนั้นตราประทับจึงต้องมีจึงมีจำนวนมากจนน่าตกใจ แต่ทุกครั้งที่ล้มเหลวก็จะสร้างความเสียหายบางอย่างให้กับหยดน้ำตา ถึงแม้ของสิ่งนี้จะไม่ธรรมดา แต่ถึงอย่างไร…มันก็ยังไม่ดีเท่าร่างจริงของเขา
และหลังจากล้มเหลวไปสามครั้ง หวังเป่าเล่อก็หยิบขวดปรารถนาออกมาแล้ววางไว้ข้างๆ จากนั้นจึงอธิษฐานมันตรงๆ เสียเลย
“ข้าขออธิษฐาน แม้ว่าการหลอมกลั่นของสิ่งนี้จะล้มเหลวก็จะไม่ทำให้ของสิ่งนี้เสียหาย!”
เขาไม่ได้อธิษฐานให้ทำสำเร็จตรงๆ เพราะความเป็นไปได้ของเรื่องนี้มีไม่มาก อีกทั้งยังมีทัศนคติไม่มั่นใจอยู่สักหน่อย ดังนั้นเขาจึงไม่อยากลอง และเนื่องจากเขารู้ว่าการอธิษฐานไม่ให้ของสิ่งนี้เสียหายจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน และนั่นคือทัศนคติของเขาเช่นกัน
ความจริงปรากฏเป็นเช่นนี้จริงๆ หลังจากหวังเป่าเล่ออธิษฐานแล้ว ขวดปรารถนาก็เงียบลงครู่หนึ่งแล้วแผ่ไอร้อนออกมา มันแพร่กระจายไปรอบตัวหยดน้ำตา เมื่อเห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็กระแอมไอหนึ่งที รู้ว่านี่นับว่าเป็นกลอุบายอย่างหนึ่ง ดังนั้นจึงลุกขึ้นคำนับแล้วหลอมต่อ
ก็เป็นเช่นนี้ เมื่อเวลาผันผ่านไป ภายใต้ความช่วยเหลือของผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายและท่ามกลางตราประทับจำนวนมหาศาลที่ถูกส่งมาให้ไม่หยุดนี้ หวังเป่าเล่อล้มเหลวไปหลายสิบครั้ง ในที่สุดหลังผ่านมาสามเดือน…เขาก็ทำให้ตราประทับนับพันนับหมื่นหลอมเข้าไปในหยดน้ำตาได้ ทำให้หยดน้ำตานี้มีประกายแสงสว่างไสวในพริบตา แล้วกลายเป็น…เมล็ดที่บรรจุเต๋าธาตุน้ำเอาไว้!
ทันใดนั้น ทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็ส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ขอเพียงเป็นเต๋าที่เกี่ยวข้องกับน้ำล้วนแต่สั่นสะเทือนทั้งหมด เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นก็ยิ่งร้องคร่ำครวญออกมาอย่างชัดเจน อำนาจของน้ำในร่างมันถูกชิงไป…โดยภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย!
……………………………
หลังจากเฉินชิงจื่อกลายร่างเป็นเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดที่จุติมายังจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นแล้ว เมื่อเป็นตายก็ไม่มีโอกาสได้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งแล้ว เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นตระกูลไม่รู้สิ้นหรือว่าสำนักพันธมิตรอื่นๆ ล้วนเป็นเช่นนี้ทุกประการ
เป็นเพราะกฎการฟื้นคืนชีพถูกควบคุมไว้ นี่ก็คือต้นเหตุของการก่อสงครามระหว่างสำนักแห่งความมืดกับตระกูลไม่รู้สิ้นครั้งนี้นั่นเอง ไม่อย่างนั้นล่ะก็…ศึกครั้งนี้ก็ไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นด้วยซ้ำ ดังนั้นในเรื่องนี้ เฉินชิงจื่อผู้เป็นเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดจึงมีกฎการควบคุมอยู่ในมือมากมาย อำนาจมากกว่าครึ่งล้วนใช้ไปกับส่วนนี้ แม้ว่าอำนาจของเต๋าสวรรค์ตระกูลไม่รู้สิ้นจะมีมากเช่นกัน แต่ก็ยังขาดในด้านนี้ไปเล็กน้อย
ดังนั้นทุกคนที่เสียชีวิตในช่วงหลายปีมานี้จึงตกตายกันจริงๆ ใช้คำว่าวิญญาณร่างกายล้วนหายไปหมดมาบรรยายก็ไม่เกินจริงเลย…ตัวอย่างเช่นปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐในตอนนี้ พริบตาที่มือซ้ายของหวังเป่าเล่อสัมผัสกับหว่างคิ้วของเขา เขาก็…วิญญาณร่างกายสลายหายไป ร่างวิญญาณถูกทำลายสิ้น!
ความจริงแล้วหากเปลี่ยนเป็นการต่อสู้ธรรมดาทั่วไป ภายใต้การร่วมมือของห้าสำนักใหญ่และการกดดันของกฎน้ำเสริมไม้เช่นนี้ ต่อให้หวังเป่าเล่อจะใช้คืนพินาศออกมาก็ยากจะสังหารปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐที่รวบรวมพวกเขาเข้ามาในสำนักตนและใช้พลังต่อสู้ระดับจักรวาลออกมาให้สิ้นซากได้อย่างสะอาดหมดจดแบบนี้แน่
ศึกครั้งนี้นับว่าหวังเป่าเล่อมีเล่ห์เหลี่ยม เขาใช้คืนพินาศจัดการเคล็ดวิชาลับของแต่ละสำนักเสียก่อน จากนั้นก็ดึงแก่นเต๋าของปรมาจารย์เก้าเต๋า หรือก็คือหยดน้ำตาเม็ดนั้นออกมาจากแม่น้ำแห่งกาลเวลา
แม้ว่าสิ่งที่เขาหยิบออกมานั้น โดยพื้นฐานแล้วจะเป็นภาพฉายมายา แต่…ระหว่างมายากับความเป็นจริงมักจะแตกต่างที่ความแข็งแกร่งอ่อนแอเท่านั้น ในแง่หนึ่งสามารถเปรียบเทียบโดยใช้ความลวงและความจริงได้ เมื่อความลวงแข็งแกร่งยิ่งกว่าจนทุกคนเชื่อว่าเป็นจริงแล้ว เช่นนั้นมันก็คือความจริง
กลับกัน…ความเป็นจริงก็สามารถกลายเป็นความลวงได้ด้วย
มายากับความจริงก็เช่นเดียวกัน เมื่อจิตมายาแข็งแกร่งยิ่งกว่าความจริง แล้ว…ใครคือตัวจริงและใครคือมายากันแน่
คำถามนี้ไม่อาจตอบได้ง่ายๆ แต่หวังเป่าเล่อใช้วิชาเต๋าของตนพิสูจน์ข้อนี้แล้ว น้ำตามายาของเขาทำให้ตัวของเก้าเต๋าอ่อนแอ เมื่อจัดการปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐล่วงหน้าได้แล้ว ก็เป็นผลให้ในท้ายที่สุด ภายใต้การได้เปรียบเสียเปรียบนี้ เก้าเต๋าก็ไม่ใช้ระดับจักรวาลอีกต่อไป เป็นเพียงกึ่งจักรวาลเท่านั้น
และกึ่งจักรวาล…สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว ฆ่าได้…ไม่ยาก!
ท่ามกลางเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นในชั่วขณะนี้เอง ร่างของปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐก็สั่นระริก เขาฝืนลืมตาจนถึงวินาทีสุดท้าย เมื่อมองไปที่หวังเป่าเล่อ เขาก็ไม่มีลมหายใจเกื้อหนุนให้เอ่ยพูดแล้ว เมื่อภาพตรงหน้าเลือนราง จิต ปราณ วิญญาณของร่างกายเขาก็สลายหายไปทันที
ท่ามกลางการสูญสลายนี้ มองเห็นความแก่ชราของร่างกายเขาได้ด้วยตาเปล่า คล้ายกับว่ากาลเวลาหลายหมื่นปีไหลผ่านตัวเขาไปในเวลาเพียงหนึ่งลมหายใจ กายเนื้อของเขากลายเป็นโคลนทันที จากนั้นกลายเป็นเถ้าถ่านลอยล่องแล้วหายไปจากประตูภูเขาของเต๋าเก้ารัฐ
ตอนนี้เอง สนามรบรอบด้านก็เงียบงันในชั่วพริบตา ผู้ฝึกตนของเต๋าเก้ารัฐแต่ละคนตัวสั่นเทา มองภาพตรงหน้าอย่างตะลึงงัน ดวงตาเผยความไม่อยากเชื่อ
ไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้นมา เสียงร้องไห้ดังแผ่ไปทั่วทั้งสี่ทิศ
“ท่านปรมาจารย์!”
“ท่านปรมาจารย์!!”
ขณะที่เสียงร้องไห้สะท้อนไปทั่ว ผู้ฝึกตนของเต๋าเก้ารัฐแต่ละคนก็พากันคุกเข่าคำนับไปยังจุดที่ปรมาจารย์เก้าเต๋าสูญสลาย สีหน้าเจ็บปวดถึงขีดสุด ความจริงแล้วทั่วทั้งเต๋าเก้ารัฐนั้นมีท่านปรมาจารย์เก้าเต๋าเป็นผู้บุกเบิก ทำให้เต๋าเก้ารัฐเดินจากสำนักเล็กๆ มาจนถึงทุกวันนี้
กล่าวได้ว่าเขาใส่ใจศิษย์ทุกคนที่นี่ ถึงแม้สำหรับโลกภายนอกแล้วเขาจะเป็นโจรเฒ่าเหี้ยมโหดแกมโกงและถูกคนนับไม่ถ้วนเกลียดชัง แต่สำหรับคนของเต๋าเก้ารัฐ เขาคือจิตวิญญาณเทพที่คุ้มครองทุกสิ่งทุกอย่าง
ตอนนี้ วิญญาณเทพแตกดับ
ตอนนี้ การคุ้มครองหายไป
ตอนนี้ ความเชื่อพังทลาย
สิ่งที่ตามมาก็คือความสับสนไร้ที่สิ้นสุดและความหวาดกลัวต่ออนาคต ทำให้ศิษย์เต๋าเก้ารัฐทั้งหมดรู้สึกขมปร่าในใจ
ท่ามกลางเสียงร้องไห้ที่ดังกังวานไปทั่วทุกแห่ง สีหน้าของหวังเป่าเล่อเป็นปกติยิ่ง ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว และไม่มีความเมตตา เพราะเขารู้ว่าถ้าหากผู้ที่ตายในศึกนี้เป็นเขาล่ะก็ ปรมาจารย์เก้าเต๋าและสำนักเต๋าเก้ารัฐก็คงไม่เห็นอกเห็นใจตัวเขาแน่
“นี่ก็คือโลกแห่งการฝึกตน!” หวังเป่าเล่อกวาดตามองไปยังสี่สำนักใหญ่ที่เหลือ เมื่อสายตาของเขากวาดมองไป ผู้ฝึกตนของสี่สำนักใหญ่ก็ล้วนก้มหน้าไม่กล้าสบตากับเขา แม้จะแต่ปรมาจารย์ของทั้งสี่สำนักก็ตาม ล้วนแต่พากันหวาดกลัวอยู่ในใจ ร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่
“จะยอมจำนนหรือไม่” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงราบเรียบขณะที่พวกเขาตัวสั่นเทา
“พวกข้า…ยอมจำนน!” เมื่อเสียงของเขาดังสะท้อนไป ปรมาจารย์จากสี่สำนักก็ดูจะโล่งอก แต่ละคนก้มหัวคำนับทันที แม้แต่ศิษย์ของแต่ละสำนักที่ติดตามพวกเขามาด้วยก็คุกเข่าคำนับทั้งหมด เป็นการคารวะให้แก่หวังเป่าเล่อ
ขณะที่ผู้ฝึกตนของสี่สำนักใหญ่ก้มคารวะ หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังอวกาศ สายตาของเขาส่องทะลุผ่านความว่างเปล่า มองไปเห็น…นอกดาราจักรเต๋าเก้ารัฐในตอนนี้มีเงาร่างแผ่แสงแรงกล้าร่างหนึ่งส่งเสียงกรีดร้องเข้ามาหา แต่กลับหยุดชะงักกะทันหันเมื่อปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐสิ้นชีพ
นั่นก็คือ…จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิง!
สีหน้าของเขาย่ำแย่ถึงขีดสุด เขาจ้องเขม็งมายังดาราจักรตรงหน้า มองสบตากับหวังเป่าเล่อภายในดาราจักรโดยมีอวกาศขวางกั้นแล้วเอ่ยคำรามเสียงต่ำด้วยความโกรธเกรี้ยว
“หวังเป่าเล่อ!!” เขามาช้าไป ทางด้านเยาถงทุ่มกำลังทุกอย่างทำตามคำขอของหวังเป่าเล่อ รั้งตัวจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงไว้ไม่ใช่เวลาแค่ยี่สิบอึดใจ และยื้อเวลาให้กับหวังเป่าเล่อจนเพียงพอ
“ข้าให้เวลาเจ้าสามอึดใจ ถ้ายังไม่หนี…ข้าจะฟันเจ้า!” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเรียบ
“หนึ่ง!”
“เจ้า!!” ประกายแสงทั่วร่างของจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงส่องสว่าง พลานุภาพระเบิดออกมาในทันที ในดวงตาฉายให้เห็นความดิ้นรน แต่ส่วนลึกแฝงไว้ซึ่งความหวาดกลัว ขณะที่กำลังจะเอ่ยพูด ทางหวังเป่าเล่อก็ตะโกนนับครั้งที่สองแล้ว
“สอง!”
เมื่อตะโกนออกมา ความเยือกเย็นในแววตาของเขาก็ทำให้จิตใจของจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงสั่นไหว เขาสัมผัสได้ถึงจิตสังหาร และเข้าใจดีว่าหวังเป่าเล่อตรงหน้ามีพลังที่สามารถสังหารตัวเขาได้ และยิ่งเป็นพวกฆ่าได้โดยไม่ลังเลอีกด้วย
ดังนั้นตอนนี้แม้ในใจจะไม่ยินยอม แต่ร่างกายก็ถอยหลังในพริบตา เวลาเพียงชั่วอึดใจก็ออกจากจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายไปแล้ว
“ส่งสาวใช้ของข้ากลับมาด้วย” ความเร็วของจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงแทบจะระเบิดออกมา ขณะที่ทะยานล่าถอยมานั้น เสียงของหวังเป่าเล่อก็ดังขึ้น จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงไม่ลังเลแม้แต่นิด เขาโบกแขนเสื้อ พริบตาเดียวเยาถงที่กำลังจะตายก็ถูกโยนออกมาจากแขนเสื้อ
แต่ในพริบตาที่เยาถงถูกโยนออกมา เห็นชัดๆ ว่าเยาถงอ่อนแออย่างยิ่ง แต่ในแววตากลับมีความอาฆาตแค้นแรงกล้า ราวกับจะกระตุ้นพลังภายในร่างขึ้นมาอีกครั้ง นางตัวสั่นไหวแล้วกลายเป็นปากขนาดใหญ่ทันที มันกัดลงไปที่แขนขวาของจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงในพริบตา!
เสียงแกร่กดังขึ้น!
มันรวดเร็วมาก อีกทั้งจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงยังอยู่ภายใต้การกดดันของหวังเป่าเล่ออีก พลังจิตทั้งหมดล้วนกำลังใช้เพื่อป้องกันหวังเป่าเล่ออยู่ ไม่ได้สนใจเยาถงที่ถูกเขาทำร้ายตนนี้เลย บวกกับที่เยาถงก็มีพลังต่อสู้ระดับจักรวาลอยู่ ดังนั้นภายใต้เหตุผลแต่ละอย่างนี้ ทั้งร่างของจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงจึงสั่นสะท้าน ส่งเสียงร้องอู้อี้ออกมาจากปาก ใบหน้าซีดขาวในพริบตา มือขวาของเขาหายไปกว่าครึ่งฝ่ามือ!
“เจ้า!!” สายตาของกวงหมิงเผยความบ้าคลั่งออกมา ตะโกนลั่นเสียงดัง เจ็บปวดจนจิตสัมผัสของเขาสั่นสะเทือน
“ข้าทำไม เจ้ากล้าฆ่าข้าต่อหน้านายท่านหรือ!” เยาถงก็เป็นคนเถื่อนเช่นกัน ตอนนี้นางกลับไม่ล่าถอย แต่ยืนอยู่ตรงนั้น กลืนกินครึ่งฝ่ามือลงไป ทำให้ร่างกายตนฟื้นฟูอย่างรวดเร็วจนส่งเสียงแหลมคมออกมา
จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงโมโหจนถึงขีดสุดแล้ว แต่เขาทำได้เพียงอดทนไว้ ร่างกายถอยกลับในพริบตา เพราะเงาร่างของหวังเป่าเล่อปรากฏขึ้นอย่างเลือนรางระหว่างเยาถงกับเขาแล้ว ทั้งยังอ้าปากกำลังจะตะโกนเลขสามออกมาอีก ดังนั้นจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงจึงคำรามหนึ่งเสียง อดทนมันทุกอย่าง ก่อนหันกายพุ่งทะยานจากไปอย่างบ้าคลั่ง
มองตามเงาร่างที่จากไปของกวงหมิงแล้ว สายตาของหวังเป่าเล่อก็ส่องวาบ สุดท้ายก็ยังละทิ้งความคิดที่จะลงมือลงไป ส่วนเยาถงด้านหลังของเขาในตอนนี้ ในแววตาเผยประกายแสงแปลกประหลาด นางก็มองไปยังกวงหมิงที่เผ่นแน่บเหมือนหมาไร้เจ้าของเช่นกัน
นางไม่เคยเห็นจักรพรรดิสวรรค์เผ่นหนีเช่นนี้มาก่อน นางก็คิดไม่ถึงด้วยว่าจะมีวันหนึ่งที่ตนกลืนฝ่ามือของจักรพรรดิสวรรค์แล้วอีกฝ่ายจะทำได้เพียงคำรามเสียงต่ำ แต่กลับไม่กล้าโต้กลับ
และทั้งหมดนี้ นางเข้าใจดีว่าไม่ใช่เพราะตน แต่เป็นเพราะ…ร่างที่อยู่ตรงหน้า!
ดังนั้นแวววตาของนางจึงเผยความคลั่งไคล้ออกมาทีละน้อย ความคลั่งไคล้นี้มาจากหัวใจ มาจากวิญญาณเทพ ทำให้ภายในใจของเยาถงเกิดความรู้สึกแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน นางคุกเข่าคารวะตามความรู้สึกนี้ทันที
“บ่าวคารวะคุณชาย!”
“ทำได้ไม่เลว” หวังเป่าเล่อถอยสายตาที่มองดูเงาร่างจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงจนจากไปไกลกลับมา กวาดมองเยาถงไปคราหนึ่ง แววตาเผยความชื่นชม และความชื่นชมในแววตาของเขานั้น สำหรับเยาถงแล้ว มันทำให้ตัวของนางมีความรู้สึกเจิดจรัสบางอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนทันที ยามที่คุกเข่าคารวะ…ก้นก็กระดกสูงยิ่งขึ้นด้วย
…………………………
เมื่อเสียงหัวเราะของปรมาจารย์เก้าเต๋าดังขึ้นพร้อมการระเบิดของหอกน้ำแข็ง เต๋าธาตุน้ำที่สั่งสมอยู่ก็แผ่ออกมาจากร่างของเขา มหาเต๋าที่เขาฝึกฝนคือน้ำแข็ง มีต้นกำเนิดเดียวกับน้ำ ดังนั้นเมื่อเกิดการระเบิดของกระแสเต๋าชนิดนี้ขึ้น ผู้ฝึกตนที่ได้รับผลกระทบจากหวังเป่าเล่อเหล่านั้นก็ตัวสั่นเทาราวกับเต๋าธาตุไม้ภายในร่างถูกก่อกวน
โดยเฉพาะหอกน้ำแข็งสีน้ำเงินนั่น มันข้ามผ่านความมืดมิดมาพร้อมปลายดาบอันไร้ที่สิ้นสุดและกระแสเต๋าธาตุน้ำ แม้ว่าตอนนี้ด้านหลังของหวังเป่าเล่อจะมีภาพมายาของดวงอาทิตย์แรกอยู่ แต่ก็เหมือนจะขัดขวางเขาได้ไม่มากนัก เพราะว่า…ชั่วพริบตานี้เอง บรรดาผู้ฝึกตนทั้งหมดของห้าสำนักทั้งพวกจักรพิภพก็ดีหรือพวกปรมาจารย์ที่เหลืออยู่สองสามคนนั้นก็ช่าง หรือเงาแห่งมหาเต๋าของห้าสำนักที่พังทลายแล้วก็ตาม ตอนนี้ทั้งหมดกลับมารวมตัวกันอีกครั้งคล้ายไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น
อีกทั้งยังเกิดการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนให้พลังทั้งหมดของห้าสำนักกลายเป็นพันธนาการกดดันสยบมายังอวกาศที่หวังเป่าเล่ออยู่ สยบไว้ทั้งสี่ทิศรอบตัวเขา สยบร่างกายของเขา สยบวิญญาณเทพของเขา
ทำให้ในชั่วขณะนี้เอง ร่างวิญญาณของหวังเป่าเล่อราวกับถูกแช่แข็ง แต่เมื่อหอกน้ำแข็งสีน้ำเงินนั่นพุ่งทะยานเข้ามาหาหว่างคิ้ว สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็ยังเป็นปกติ เขามองไปยังหยดน้ำที่หว่างคิ้วของปรมาจารย์เก้าเต๋าแล้วยิ้มขึ้นมา
“ความจริงแล้วเมื่อกี้ข้าหลอกเจ้า”
“ข้าแซ่หวังมาที่นี่ก็เพียงเพราะอยากจะดูว่าของที่ข้าต้องการคืออะไร” หวังเป่าเล่อเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม พริบตาที่หอกน้ำแข็งสีน้ำเงินพุ่งมาถึง รอบตัวของเขาก็กลายเป็นผืนน้ำ ร่างกายหายไปในชั่วพริบตา กลายเป็นหยดน้ำหนึ่งหยดร่วงลงไปในผืนน้ำแล้วกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นหลายชั้น
วิชาเงาจันทร์ถูกใช้ออกมาทันที!
หอกยาวสีน้ำเงินส่งเสียงหวีดแหลมเข้ามา ผนึกรอบกายทั้งหมดไร้ประโยชน์ในพริบตา มีเพียงการไหลกลับของเวลาเท่านั้น และในพริบตานี้เอง…ระลอกคลื่นแต่ละชั้นก็แผ่กระจาย
“ตราบใดที่ข้ามองเห็นแล้ว มันก็เป็นของข้า” ท่ามกลางความเลือนรางในกาลเวลา คล้ายกับมีเสียงอันเรียบเรื่อยของหวังเป่าเล่อดังขึ้นมา เขากำลังหลอกปรมาจารย์เก้าเต๋าแห่งเต๋าเก้ารัฐอยู่จริงๆ
เขาย่อมรู้ดีถึงความเชื่อมโยงระหว่างเต๋าธาตุน้ำและเต๋าธาตุไม้ และเข้าใจดีว่าที่นี่จะต้องมีการซุ่มโจมตีมากมาย แล้วเขาจะสะเพร่าได้อย่างไร ดังนั้นสิ่งที่พูดมาเมื่อครู่นี้เพียงแค่ต้องการทำให้ปรมาจารย์เก้าเต๋าจดจ่อกับความเป็นตายของตัวเองเท่านั้น แต่ความจริงแล้ว…การที่หวังเป่าเล่อมาที่นี่ เก้าเต๋าจะล่มสลายหรือไม่ไม่สำคัญ สำคัญคือการได้ของมา
และการจะได้ของมานั้น แค่อาศัยสัมผัสสวรรค์มันยังไม่พอ เขาจำเป็นต้องมองเห็นวัตถุที่สามารถบรรจุเต๋าธาตุน้ำด้วยตาตัวเองแล้วจดจำกลิ่นอายของมันด้วย จากนั้น…เขาก็จะใช้วิชาบุปผากระจกไปนำมันมาจากกาลเวลาที่ย้อนผ่านหลายปี
การต่อสู้ของผู้เยี่ยมยุทธ์นั้นแตกต่างกับการฆ่าฟันของผู้ฝึกตน…ดูจากมุมมองของระดับขั้น แม้ว่าปรมาจารย์ของเต๋าเก้ารัฐจะเป็นระดับจักรวาล แต่ในด้านจิตสัมผัส เขายังคงเป็นจักรพิภพ เรื่องวิชาการต่อสู้ก็ยังไม่ถึงระดับเต๋า
ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นแตกต่างกัน ระดับขั้นและจิตสัมผัสของเขาก้าวกระโดดไปตั้งนานแล้ว ความแตกต่างระหว่างเขากับปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐผู้นี้ ความจริงแล้วก็คือ…แตกต่างที่ความเข้าใจในเต๋าและความรู้เรื่องต้นกำเนิดวิชาเต๋าของทั้งจักรวาล
ความแตกต่างระหว่างความรู้เช่นนี้ มักจะสามารถตัดสินทุกอย่างในการต่อสู้ของผู้เยี่ยมยุทธ์ได้
อย่างเช่นในตอนนี้ก็เช่นกัน…น้ำเสริมไม้อะไร ไม้ข่มดินอะไร ห้าธาตุส่งเสริมต่อต้านเติมเต็มซึ่งกันและกันอะไรพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ ระดับการต่อสู้แตกต่างกัน ความรู้แตกต่างกัน ปรมาจารย์แห่งเต๋าเก้ารัฐยังหยุดอยู่ที่ระดับกายภาพ แต่หวังเป่าล่อ…อยู่ในระดับขั้นที่หนึ่งไปแล้ว
สถานที่ก็คือเต๋าฝั่งซ้าย
ดาราจักรก็คือเต๋าเก้ารัฐ
สนามรบ…ก็คือนอกประตูภูเขาของเต๋าเก้ารัฐ
แต่ห้วงเวลาในบัดนี้กลับไม่เหมือนเดิมแล้ว คล้ายจะมีแม่น้ำกาลเวลาที่มองไม่เห็นสายหนึ่งไหลหลั่ง ส่วนหวังเป่าเล่อก็ไหลย้อนไปทางที่แม่น้ำไหลลงมาทีละก้าวๆ
หนึ่งก้าวเหยียบลงไปก็คือหนึ่งร้อยปี ระหว่างการเดินทางนี้ เงาร่างของเขาไม่ได้ขยับไหวเลย สิ่งเดียวที่เคลื่อนไหวมีเพียงการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลารอบตัวเท่านั้น เป็นเช่นนี้ หนึ่งก้าวต่อหนึ่งก้าว จากร้อยปีก็เปลี่ยนเป็นหมื่นปี
จนกระทั่งหวังเป่าเล่อจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองเดินมากี่ก้าวและใช้วิชาเงาจันทร์ออกไปกี่ครั้ง ในที่สุด…ณ ห้วงเวลาจุดจุดหนึ่ง เขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันคุ้นเคย
กลิ่นอายนี้เบาบางอย่างยิ่ง กล่าวได้ว่าหากหวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นรอยประทับที่หว่างคิ้วของปรมาจารย์เก้าเต๋าด้วยตาตัวเองและเกิดความเข้าใจล้ำลึกยิ่งขึ้นแล้วล่ะก็ แค่อาศัยสัมผัสเชื่อมต่อก่อนหน้านี้อย่างเดียวคงไม่อาจสัมผัสการปรากฏของสิ่งนี้ในห้วงกาลเวลาได้อย่างแม่นยำแน่
“มันคือที่นี่” ขณะที่หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเบา ฝีเท้าของเขาก็หยุดลง ยามที่ก้มหน้ามองลงไปนั้น ภายในห้วงกาลเวลา เขาก็มองเห็นว่านอกประตูภูเขาในดาราจักรเต๋าเก้ารัฐก่อนหน้านี้ไม่รู้ตั้งกี่ปีมีผู้ฝึกตนคนเจ็ดแปดคนกำลังกลับมาจากโลกภายนอก
ข้างหลังของพวกเขามีก้อนน้ำแข็งขนาดยักษ์ก้อนหนึ่ง ก้อนน้ำแข็งนี้ดูลึกลับมาก ไม่อาจนำมาใส่เข้าไปในกระเป๋าคลังเก็บได้ ทำได้เพียงถูกพวกเขาใช้วิชาเวทแปลงเป็นโซ่ตรวนพันมัดแล้วลากมันกลับมา
สีของก้อนน้ำแข็งนั้นเป็นสีฟ้าอ่อน ใสกระจ่าง ข้างในนั้น…ผนึกคนเอาไว้หนึ่งคน
นั่นคือบุรุษหนึ่งคน สวมชุดเกราะทั้งร่าง ไม่มีกลิ่นอายแห่งชีวิตใดๆ เขาตายไปแล้ว สถานะของเขาไม่มีใครรู้ ประวัติความเป็นมาของเขาก็ย่อมยากจะเสาะหา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็สามารถมองออกได้ว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา
แม้ว่าสายตาของหวังเป่าเล่อจะมองไปทางนั้น แต่สิ่งที่เขามองดูกลับไม่ใช่ศพชายวัยกลางคนคนนั้น แต่เป็นก้อนน้ำแข็งที่ผนึกเขาเอาไว้
“ก็คือของสิ่งนี้…” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงแผ่วเบา ยกมือขวาขึ้นช้อนลงไปในแม่น้ำแห่งกาลเวลา ทันใดนั้นแม่น้ำก็ไหลกลิ้ง ภาพด้านในบิดเบี้ยวราวกับมีมือยักษ์ข้างหนึ่งปรากฏขึ้นในห้วงกาลเวลา มันคว้าจับก้อนน้ำแข็งเอาไว้ ก้อนน้ำแข็งสลายไปโดยที่ผู้ฝึกตนรอบข้างไม่มีปฏิกิริยาใดๆ
หวังเป่าเล่อไม่ต้องการศพด้านในนั้น เมื่อมือขวาของเขายกขึ้นมาจากในแม่น้ำแห่งกาลเวลาโดยที่ในมือมีก้อนน้ำแข็งยักษ์ปรากฏขึ้น มันกำลังหลอมละลายอย่างรวดเร็ว หลอมละลายได้รวดเร็วอย่างยิ่ง เพียงไม่กี่อึดใจสิ่งที่ปรากฏอยู่ในมือของหวังเป่าเล่อก็เหลือเพียงน้ำแข็งสีฟ้าขนาดเท่าเล็บมือราวกับหยดน้ำเท่านั้น
หวังเป่าเล่อหยิบน้ำแข็งก้อนนี้แล้วก้มหน้าจ้องมอง ผ่านไปพักหนึ่งก็คล้ายกับมีความคิดบางอย่าง
“เหมือนน้ำตาหยดหนึ่ง”
หวังเป่าเล่อพึมพำ หยิบหยดน้ำตาขึ้นมาแล้วก้าวเดินออกจากแม่น้ำแห่งกาลเวลา กาลเวลารอบกายไหลเคลื่อนในทันที จากนั้น…เมื่อเขาเดินออกมาโดยสมบูรณ์แล้วก็เกิดเสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น เสียงคำรามดังก้อง เสียงกรีดร้องก็ยิ่งใกล้เข้ามาตรงหน้า!
นั่นคือ…เสียงการมาถึงของหอกยาวสีน้ำเงิน!
ขณะนี้เอง กาลเวลาก็กลับเป็นปัจจุบัน ผนึกของผู้ฝึกตนห้าสำนักรอบข้างยังคงอยู่ เมื่อเห็นหอกยาวสีน้ำเงินเข้ามาใกล้ ผู้ที่หน้าเปลี่ยนสีไปกลับไม่ใช่หวังเป่าเล่อ แต่เป็นปรมาจารย์เก้าเต๋าภายในประตูภูเขาของเต๋าเก้ารัฐ
“เจ้า…เจ้าทำอะไร!!” สีหน้าของปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐเปลี่ยนไปยกใหญ่ ร่างกายสั่นสะเทือนแล้วกระอักเลือดออกมา ยกมือขวาขึ้นแตะที่หว่างคิ้วของตนอย่างรวดเร็ว
รอบประทับหยดน้ำที่เดิมอยู่ตรงหว่างคิ้วของเขา…ตอนนี้ก็ยังอยู่ แต่กลับหม่นแสงลงไปมาก
และในมือของหวังเป่าเล่อก็มีกลิ่นอายแบบเดียวกันแผ่กระจายออกมา การมาถึงของหอกยาวสีน้ำเงินเร่งระดับความเข้มข้นของกลิ่นอายนี้ พริบตาที่เข้ามาใกล้ หอกยาวสีน้ำเงินด้ามนี้ก็…แทงลงไปยังมือขวาของหวังเป่าเล่อโดยตรง พริบตานั้นเอง…มันก็ผสานเข้าไปในน้ำแข็งสีฟ้าที่อยู่กลางฝ่ามือของเขา
ทำให้ก้อนน้ำแข็งสีฟ้าที่เหมือนหยดน้ำตาก้อนนี้มีประกายแสงพร่างพราวส่องขึ้นมาในตอนนี้เอง
กลับกัน รอยประทับหยดน้ำที่หว่างคิ้วของปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐตอนนี้หม่นแสงลงเรื่อยๆ สีหน้าของเขาซีดขาว ยามที่มองไปยังหวังเป่าเล่อก็คล้ายมองเห็นผี ความผันผวนของพลังฝึกตนบนร่างกายก็ควบคุมไม่ได้แล้ว เมื่อเขาเซถอยหลังโดยไม่รู้ตัว หวังเป่าเล่อที่ถือก้อนน้ำแข็งสีฟ้าอยู่ก็ก้าวเดินไปข้างหน้า
พริบตาต่อมา เงาร่างของเขาก็หลุดพ้นจากผนึก เมื่อปรากฏตัวขึ้น…เขาก็ถลันมาอยู่ในประตูภูเขาของเต๋าเก้ารัฐแล้วปรากฏตัวต่อหน้าปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐที่ถอยร่นไป
“หวังเป่าเล่อ เจ้า…” สีหน้าของปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐซีดเซียว ในใจปั่นป่วนจนถึงขีดสุด กำลังจะเอ่ยปาก แต่พริบตาต่อมา…เขาก็มองเห็นมือซ้ายที่หวังเป่าเล่อยกขึ้นมากดลงที่หว่างคิ้วของเขาโดยที่ไม่อาจต่อต้าน ถึงขั้นไม่อาจหลบหลีกได้เลย
ขณะที่เกิดเสียงก้องกังวานดังอยู่ในหัว เขาก็ได้ยินประโยคสุดท้าย เป็นเสียงของหวังเป่าเล่อ
“ขอบคุณมาก”
…………………

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าตัวเองเปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนเป็นสุขุมลุ่มลึก นิ่งมากกว่าเดิม บางที…อาจเป็นตั้งแต่ที่เขาตระหนักรู้เต๋าเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง

หรือบางทีเป็นนาทีที่เขาย่างเข้าสู่จักรพิภพ แม้สิ่งผูกมัดจะไม่อยู่ แต่เขาก็มองเห็นความหวัง

หรือบางทีเป็นเขาที่ฝึกมาจนถึงตอนนี้และแจ่มแจ้งความหมายของคำว่าไม่สับสนได้อย่างลึกซึ้งแล้ว

การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี แต่ดีที่เขารู้ตัว…ส่วนคนที่ตนรัก ที่ตนใส่ใจ เขาไม่เคยเปลี่ยน

แต่ในทางตรงกันข้าม…สำหรับคนหรือเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องเขาก็ยิ่งเย็นชาตอบ ความรู้สึกที่แตกต่างกันคนละขั้วเช่นนี้ทำให้หลายครั้งในสายตาคนนอกหวังเป่าเล่อช่างดูเย็นชาอย่างที่สุด

ดั่งเช่นตอนนี้…ก็เป็นเช่นนั้น เมื่อหวังเป่าเล่อยกเท้าไปทางวงแหวนปราณเต๋าเก้ารัฐ วินาทีที่เท้าย่ำลง วงแหวนปราณเต๋าเก้ารัฐสั่นครืนดังสนั่นไปทั่ว โซ่เก้าเส้นในนั้นรวมทั้ง สะเก็ดดาว กระถางสำริดสามขาขนาดใหญ่ ขวานรบและมนุษย์ยักษ์ เงาที่ปรากฏขึ้นของมหาเต๋าทั้งห้านี้สะท้อนก้อง

กระทั่งสะเทือนไปทั่วทั้งดาราจักรเต๋าเก้ารัฐ ทำให้ผู้ฝึกตนและดวงดาราทั้งหมดในนั้นสั่นไหวอย่างรุนแรง ผู้ฝึกตนของห้าสำนักจำนวนมากกระอักเลือด เหตุเพราะจุดยืนของแต่ละคนต่างกันต่างฉายแววอาฆาตแค้นขึ้นในนัยน์ตา

สำหรับสายตาเช่นนี้ หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ แต่เขาได้แต่เงียบงัน การลงมือของทั้งห้าสำนักตอนที่เขาเลื่อนขั้น รวมทั้งท่าทางยามที่ตระกูลคงกระพันหนุนหลังในตอนหลังก็ได้ตัดสินชะตาชีวิตของพวกเขาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

ทว่าท้ายที่สุดหวังเป่าเล่อก็ยังเป็นคนที่มีหลักการและขอบเขต ดังนั้นเวลานี้ขณะที่สาวเท้าก้าวที่สองออกไปก็ไม่ได้แผ่พลังออกไปสั่นคลอนรากฐานของผู้ฝึกตนทั้งห้าสำนัก และได้ประสานพลังทั้งหมดรวมไว้ที่เต๋าของห้าสำนักในวงแหวนปราณ

เพียงพริบตา ทั่วทั้งท้องฟ้าคำรามลั่น สะเก็ดดาวพังทลาย กระถางสำริดสามขาแตกละเอียด ขวานรบกับมนุษย์ยักษ์ก็ยืนหยัดได้อีกไม่นานก่อนระเบิดออก สิ่งสุดท้ายที่ทลายลงก็คือโซ่เก้าเส้นของเต๋าเก้ารัฐ

เมื่อเงามหาเต๋าทั้งห้าสำนักพังทลายลง ภายใต้พลังคลุ้มคลั่งนี้วงแหวนปราณก็ปรากฎลางแตกร้าว รอยแตกขนาดใหญ่ทางหนึ่ง แม้ตัวมันจะไม่ยินยอม แต่ก็ไม่สามารถรักษารอยแตกแยกนี้ได้ เผยขึ้นที่เบื้องหน้าหหวังเป่าเล่อ ทำให้เขามองผ่านรอยแตกเข้าไปเห็นผู้ฝึกตนของทั้งห้าสำนักจำนวนมหาศาลอยู่ด้านใน

ตอนนี้ เวลาเพิ่งผ่านไปสามลมหายใจ!

หวังเป่าเล่อสีหน้าเรียบเฉยก้าวที่สามต่อไป เงาร่างก้าวผ่านรอยแตก ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง…ที่ในดาราจักรเต๋าเก้ารัฐ และวินาทีที่เขาก้าวเข้ามา วงแหวนปราณด้านหลังเขา มหาเต๋าห้าสำนักที่พังทลายอยู่ในคราแรก ด้วยแรงฟื้นฟูอย่างสุดพลังของแต่ละสำนักก็ค่อยๆ เกาะรวมกันใหม่และผสานเข้าด้วยกันกลายเป็นฝ่ามือมหาเต๋าข้างนั้นที่เคยปรากฏขึ้นที่นอกระบบสุริยะในตอนนั้น

ฝ่ามือนี้มีพลังมหาศาลเต็มไปด้วยพลังอันน่าสะพรึง เวลานี้เคลื่อนออกมาจากวงแหวนปราณคว้าหมับไปทางหวังเป่าเล่อ ในขณะเดียวกัน เสียงคำรามหลายเสียงสะท้อนก้องไปทั่วฟ้า ผู้ฝึกตนจักรพิภพของห้าสำนักมากกว่ายี่สิบคนปรากฏขึ้นรอบกายหวังเป่าเล่อ แต่ละคนต่างระเบิดพลังปราณออกมาทั้งหมด เผยเคล็ดวิชาลับอันแข็งแกร่งตีโอบไปทางหวังเป่าเล่อ

หากมองไกลๆ ฉากนี้ช่างอกสั่นขวัญแขวน เหล่าชนชั้นสูงจักรพิภพมากกว่ายี่สิบคน รวมทั้งฝ่ามือมหาเต๋า ราวกับกลายเป็นวงแหวนประหารโอบล้อมหวังเป่าเล่อไว้ภายใน หากเพียงเท่านี้…บางทีอาจรับมือกึ่งจักรวาลได้ แต่ไม่มีทางสามารถจัดการกับระดับจักรพรรดิสวรรค์ที่แท้จริงได้ แต่เห็นได้ชัดว่า…ฉากสังหารไม่ได้ง่ายดายเช่นนั้น

พริบตาต่อมา ด้านหลังเหล่าชนชั้นสูงจักรพิภพกว่ายี่สิบคนนี้ได้ปรากฏผู้เฒ่าขึ้นห้าคน แต่ละคนล้วนแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของกาลเวลา และก็เป็นผู้อาวุโสของทั้งสี่สำนัก แม้พวกเขาจะไม่ใช่ระดับกึ่งจักรวาล แต่ในจักรพิภพก็เป็นผู้แข็งกล้าน่าสะพรึงเช่นกัน อีกทั้งแต่ละคนยังนำของดีของแต่ละสำนักออกมา กลายเป็นแรงสังหารที่น่าหวาดกลัวอย่างยิ่ง

ส่วนผู้อาวุโสคนที่ห้าก็คือหุ่นเชิดผีดิบที่เต๋าเก้ารัฐหลอมออกมา ที่มาลึกลับ แต่พลังต่อสู้ที่ระเบิดออกมาก็น่าสะพรึงเช่นกัน ทั้งห้าคนร่วมมือกันกลายเป็นแรงบีบคั้นระลอกสอง ทำให้หวังเป่าเล่อที่ถูกล้อมอยู่ด้านในราวกับ…ถูกจี้ยากจะหนี

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ เต๋าเก้ารัฐก็ยังไม่รามือ เห็นได้ชัดว่าเตรียมพร้อมมาอย่างดี ในพริบตา ผู้ฝึกตนทั้งห้าสำนักจำนวนมหาศาลนั่งขัดสมาธิลงพลางส่งเสียงท่องบทสวดประหลาดออกมา

บทสวดนี้แฝงด้วยความหลุดพ้น ดูคล้ายเป็นบทวัฏสงสาร แต่ความจริง…กลับเป็นบทสวดให้คนตายอย่างหนึ่ง เป็นวิชาลับของเต๋าเก้ารัฐ สามารถเป็นพลังเปลวธูปขุมหนึ่งได้เพื่อเจตนาฆ่าคน

หลักการของมันก็คือรวบรวมเจตนาสังหารของทุกคนเปลี่ยนเป็นความเชื่อ และใช้มันฆ่าสยบทุกสิ่ง เวลานี้เมื่อบทสวดจากผู้ฝึกตนทั้งห้าสำนักลอยล่อง ไอหมอกสีเทาหลายสายจากทั้งสี่ทิศมารวมกัน ทำให้จุดที่หวังเป่าเล่อถูกโอบล้อมเกิดเป็นน้ำวนขนาดยักษ์จากไอหมอกจำนวนมหาศาลนี้

เสียงดังสนั่นไม่หยุดหย่อน ขณะที่สะท้อนไปทั่วฟ้า ในประตูบรรพชนเต๋าเก้ารัฐ ผู้อาวุโสเต๋าเก้ารัฐที่หว่างคิ้วมีผนึกหยดน้ำจับจ้องศึกนี้ได้ก้าวออกจากสถานที่ถือสันโดษ เวลานี้หรี่ตาลง มือขวาพลันเคลื่อนสูง เพียงพริบตาก็มีสายน้ำจำนวนมากออกมาจากอากาศ ก่อนกลายเป็นหอกน้ำแข็งเล่มหนึ่งตรงเบื้องหน้าเขาในทันที

หอกนี้เป็นสีฟ้าทั้งเล่ม แวววาวโปร่งใส ประกอบขึ้นจากน้ำแข็งเต๋า แฝงไว้ด้วยพลังมหาเต๋าของผู้อาวุโสเต๋าเก้ารัฐรวมทั้งผู้ฝึกตน แม้จะยังไม่ขว้างออกไป แต่จากกระแสคลื่นและกลิ่นอายของมันก็น่าสะพรึง หากเป็นเยาถงอยู่ที่นี่นอกจะเสียจากจะทุ่มสุดตัว ไม่เช่นนั้นก็เกรงว่าจะต้านทานไม่ไหวเช่นกัน

ถึงอย่างไร…ผู้อาวุโสเต๋าเก้ารัฐที่ในประตูใหญ่เต๋าเก้ารัฐ เขาก็เป็นระดับจักรวาล!

ซึ่งในเวลานี้ทำเพียงผสานรวมหอกน้ำแข็งตั้งท่าเตรียมพร้อม ยังไม่ลงมือในทันที แต่ยิ่งเป็นแบบนี้แรงกดดันก็ยิ่งมาก ราวกับมีผนึกพลังปราณ หากถูกเขาคว้าโอกาสได้ก็จะต้องสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างแน่นอน!

ถึงตอนนี้ เวลาได้ผ่านไปแล้วสิบลมหายใจ เมื่อเห็นการสังหารกำลังจะระเบิดออก ทว่าในเวลานั้นเอง…หวังเป่าเล่อที่ถูกล้อมไว้หลายชั้น นัยน์ตาวาววับ พลังเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไม้ในร่างพลันระเบิดออก พริบตา…ผู้ฝึกตนทั้งห้าสำนักจำนวนมหาศาลในสนามรบนี้ จำนวนไม่ต่ำกว่าเจ็ดส่วนร่างกายล้วนสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง

ในร่างของพวกเขา จะมากจะน้อยอย่างไรก็ต้องมีพลังเต๋าธาตุไม้ และทึ่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็มีประมาณสองส่วน ในดวงตาของผู้ฝึกตนเหล่านี้ไร้การขัดขืนใดๆ เพียงพริบตาก็ขบถขึ้น ถึงขนาดมีผู้ฝึกตนจักรพิภพสี่คนและผู้อาวุโสจากห้าสำนักหนึ่งคน

การขบถของพวกเขา ช่างเหนือความคาดหมายจนพวกเขาก็รู้สึกเหลือเชื่อ แต่วินาทีนี้ราวกับไม่สามารถควบคุมความคิดและร่างกายได้ เพียงพริบตาเสียงดังสนั่นก้องไปทั่วทุกสารทิศ และนาทีนี้ทั่วทั้งท้องฟ้าก็เกิดความมืดมิดขึ้นในการรับรู้

 คืนพินาศ!   ผู้อาวุโสเต๋าเก้ารัฐรู้เคล็ดวิชาลับนี้ของหวังเป่าเล่ออยู่แล้ว ในเวลานี้ไร้ความลังเล ขว้างหอกน้ำแข็งในมือออกไปอย่างสุดแรง ฉับพลันเสียงแหวกท้องฟ้าดังลั่นเป็นทาง หอกน้ำแข็งนี้ได้กลายเป็นสายสีฟ้ายาวเส้นหนึ่ง แผ่กลิ่นอายมหาเต๋า และกระแสระดับจักรวาล ราวกับสามารถทะลุผ่านทุกสิ่งอย่าง พุ่งไปหาหวังเป่าเล่อ

เพียงพริบตา ขณะที่ท้องฟ้ากลายเป็นสีดำ ขณะที่หอกน้ำแข็งไม่ผ่านเข้ามาด้านใน อาทิตย์แรกเปล่งกระจายออกมาจากตัวหวังเป่าเล่อกลายเป็นแสงจำนวนนับไม่ถ้วนระเบิดกระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศในทันทีดุจทะเลแสงที่ทะยานซัด

ฝ่ามือยักษ์ที่เกิดจากมหาเต๋าห้าสำนักไม่สามารถยืนหยัดต่อได้ในทะเลแสงนี้ ก่อนแยกออกจากกันใหม่ ในเวลานี้ได้พังทลายลงอีกครั้ง เหล่าชนชั้นสูงระดับจักรพิภพยี่สิบกว่าคนนั้นก็มีคนขบถ ภายใต้ความวุ่นวายนี้ต่างกระอักเลือดไปตามๆ กัน ถึงขั้นที่มีหกคนถูกทะเลแสงกลืนหายไป

และผู้อาวุโสห้าสำนักผู้นั้นก็เป็นเช่นเดียวกัน หนึ่งขบถ หนึ่งมอดม้วย สามคนที่เหลือต่างกระอักเลือด ถอยหลังอย่างบ้าคลั่ง ส่วนผู้ฝึกตนห้าสำนักที่สวดท่องทั้งหมดก็เป็นเช่นเดียวกัน ภายใต้ทะเลแสงนี้ราวกับวันสิ้นโลกกำลังมาเยือนก็มิปาน

มีเพียงหอกน้ำแข็งที่กลายเป็นทางสีฟ้าเส้นนั้น ในเวลานี้เคลื่อนไหวในความมืดมิดก่อนระเบิดไอสังหารรุนแรง ปรากฏขึ้นที่…หน้าหวังเป่าเล่อ

นี่…ที่จริงแล้วก็คือโอกาศที่ผู้อาวุโสเต๋าเก้ารัฐกำลังรออยู่ การเตรียมการทั้งหมดก่อนหน้า การลงมือทั้งหมด ก็เพื่อเป็นการหักล้างเคล็ดวิชาลับของหวังเป่าเล่อทั้งสิ้น เพื่อสร้างจังหวะให้การลงมือของตน

 น้ำกำเนิดไม้ น้ำเป็นมารดาของไม้ หวังเป่าเล่อ แม้เจ้าจะมีเต๋าธาตุไม้ แต่ตัวผู้เฒ่าเช่นข้าอยากจะเห็นนักว่าเจ้าจะใช้อะไรสยบข้าชิงของไป!  ผู้อาวุโสเต๋าเก้ารัฐหัวเราะลั่น นัยน์ตาฉายรังสีฆ่าฟันอย่างรุนแรง เขาอยากฆ่าหวังเป่าเล่อไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว

ความจริงแล้ว เขาสามารถรับรู้ได้ หากตนฆ่าหวังเป่าเล่อจริงๆ และกลืนเต๋าของเขา เช่นนั้นตนก็จะสามารถกลายเป็นระดับจักรวาลอย่างแท้จริงได้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นทั้งในสำนักหรือนอกสำนัก!

และระดับจักรวาลเช่นนี้ยังไม่ธรรมดาอีกด้วย!

……………………

 

“จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงตั้งกองทัพอยู่ที่เขตแดน…”
“เต๋าเก้ารัฐประณามสหพันธรัฐอย่างเปิดเผย! ”
“สี่สำนักใหญ่ต่างลิงโลดไปตามๆ กัน เดินหน้าถอยหลังไปพร้อมๆ กับเต๋าเก้ารัฐ…”
“ดวงจิตเทพผู้อาวุโสไม่รู้สิ้นมาตักเตือนข้า…”หวังเป่าเล่อผุดยิ้ม เพียงแต่รอยยิ้มนี้ช่างเย็นเยียบ เขามองออกว่าสหพันธรัฐยืนเดี่ยวเรื่องนี้ยังห่างจากขีดจำกัดของตระกูลคงกระพันอยู่บ้าง
ไม่เช่นนั้น ก็คงไม่มีเหตุการณ์ที่ดูอันตราย มุ่งด้วยเจนาร้ายเช่นนี้ แต่เป็นการมาปราบตนของตระกูลคงกระพันอย่างสุดชีวิตแทน แต่หากคิดเช่นนี้ เป็นกลางชั่วนิรันดร์ประโยคนี้จากมติประชุมสหพันธรัฐ เห็นได้ชัดว่ามีผลอยู่บ้าง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…งั้นก็ยุต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน ในเมื่อเฉินชิงจื่อช่วยข้าแล้ว ด้วยคุณธรรม…ข้าก็ต้องช่วยเขาเสียหน่อย ”หวังเป่าเล่อนิ่งงัน สัมผัสถึงเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไม้ของตนเอง
เมล็ดพันธุ์นี้ได้ฝังลงในดวงวิญญาณเทพของร่างตนเรียบร้อยแล้ว หากอยากให้สำเร็จถึงระดับที่ต้องการ สิ่งที่ต้องการ…ไม่ใช่การฝึกอีกต่อไป แต่เป็นการสัมผัสรับรู้รวมทั้งผสานรวมกับพลังเต๋าธาตุไม้อื่นๆ
“ยังมีอีกวิธี ก็คือผสานรวมเมล็ดพันธุ์เต๋าทั้งห้าธาตุ หากธาตุทั้งห้าสมบูรณ์เกิดการหมุนเวียนขึ้นเมื่อใด…เต๋าแห่งธาตุทั้งห้าก็จะกลายเป็นดั่งกาลักน้ำ หากเป็นเช่นนี้ จะสำนักเสริมหรือใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น เต๋าแห่งธาตุทั้งห้าในนั้นย่อมกลายเป็นต้นกำเนิดของข้าทั้งสิ้น! ”
“ต่อจากนั้น เต๋าธาตุดินยังต้องพักไว้ก่อน เต๋าอื่นๆ ก็ยังอีกไกล มีเพียง…สมบัติล้ำค่าบรรจุเต๋าธาตุน้ำเท่านั้นแล้ว ”หวังเป่าเล่อนัย์ตาวาววับมองไปทางเต๋าเก้ารัฐ
ด้วยพลังปราณและการสัมผัสรู้ต้นไม้ใบหญ้าของเขาในตอนนี้ เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าในเต๋าเก้ารัฐมีสิ่งที่สามารถบรรจุเต๋าธาตุน้ำอยู่ ส่วนเป็นอะไรนั้นเขาไม่รู้ แต่ความรู้สึกไม่ผิดแน่
“เต๋าเก้ารัฐ! ”หวังเป่าเล่อเงียบงันไปหลายอึดใจ นัยน์ตาฉายแววเด็ดเดี่ยว ในเวลานี้หลายสำนักอย่างเต๋าเก้ารัฐออกมาประณามกันอย่างแข็งขัน จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงปักหลักมั่นอยู่ด้านนอก ผู้อาวุโสไม่รู้สิ้นก็เพิ่งสะเทือนสยบ หากตนจะหยุดเพียงเท่านี้ก็พูดไม่ได้ว่าอ่อนแอ
ดังนั้น หากจะโต้กลับ หากจะลองหยั่งเชิงขีดจำกัดต่อ ก็ต้องตีเหล็กตอนร้อนๆ แสดงท่าที…เป็นผู้ที่ไม่สามารถหยามเหยียดกันได้ง่ายๆ ออกไป มีเพียงทางเดียว…ถึงจะสยบลงได้ และก็สามารถช่วยเหลือเฉินชิงจื่อไปพร้อมๆ กันได้ด้วย บรรเทาแรงกดดันของเขา อีกทั้ง…ยังทำให้ทางด้านตี้ซานได้สมบัติสวรรค์เต๋าธาตุดินมาฟื้นฟูพลังปราณของเขาได้อย่างราบรื่นขึ้นด้วย
“ข้านับว่าเป็นแผนโจ่งแจ้ง ไม่ใช่แผนลับๆ ต่อให้ผู้อาวุโสไม่รู้สิ้นมองออก นอกเสียจากไม่ทำ ไม่อย่างนั้น…สุดท้ายก็ยังต้องจัดการแบบนี้อยู่ดี! ”คิดได้ดังนี้ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป ไม่ได้ขยับร่างแท้ของตน แต่ธรรมกายที่อยู่นอกระบบสุริยะหยัดกายขึ้นในทันที ก่อนก้าวเข้าไปทางความว่างเปล่า
เท้าย่ำลง ท้องฟ้าสนั่นครืน ระเบิดระลอกคลื่นไปทั่วสารทิศ ธรรมกายของหวังเป่าเล่อปรากฏเป็นขนาดมนุษย์ปกติ หายไปจากตำแหน่งเดิม ก่อนปรากฏขึ้นอีกครั้งที่…นอกดาราจักรของเต๋าเก้ารัฐในฉับพลัน
จักรวาลโคจร สัมผัสสวรรค์ของสรรพสิ่งล้วนถูกกระตุ้น เหล่าชนชั้นสูงในระดับเดียวกันยิ่งมีสัมผัสเชื่อมกัน โดยเฉพาะยิ่งหวังเป่าเล่อที่ทรงพลังอย่างมากในตอนนี้ ทุกอากัปกิริยาของเขาล้วนไม่สามารถปกปิดได้ พริบตาที่หายไปและปรากฏขึ้นหลายคนก็สัมผัสได้ในทันที
โดยเฉพาะผู้อาวุโสเต๋าเก้ารัฐพลันลืมตาขึ้นจากสถานที่ถือสันโดษอยู่ในทันที นัยน์ตาฉายแววอาฆาต เมื่อมือขวาขยับยก อภิมหาวงแหวนปราณของเต๋าเก้ารัฐก็เริ่มขยับที่นอกประตูใหญ่ในทันที
จากสายตาของหวังเป่าเล่อ เมื่อวงแหวนปราณของเต๋าเก้ารัฐเริ่มเคลื่อน ดาราจักรเบื้องหน้าพลันเปลี่ยนแปลงจนกลายเป็นน้ำวนขนาดยักษ์ขึ้น และภายในนั้นก็มีโซ่เก้าเส้นที่เปล่งแสงสีทองบาดตาราวกับมังกรที่ขยับไปมา ด้านบนเต็มไปด้วยภาษาโบราณและแฝงกลิ่นสังหารอย่างรุนแรงอยู่ภายใน
และในเวลาเดียวกันนี้ ตระกูลต่างๆ ศิษย์ทุกคนทั่วทั้งในดาราจักรเต๋าเก้ารัฐล้วนนั่งขัดสมาธิลง มอบพลังปราณของตนประสานเข้าในวงแหวนปราณ เหล่าชนชั้นสูงของเต๋าเก้ารัฐอีกส่วนก็ทยอยกันบินออกไปราวกับดวงดารา ระเบิดแรงบีบคั้นของตนให้ถึงขีดสูงสุดอย่างตั้งใจ
ด้านหลังพวกเขา ผู้อาวุโสเต๋าเก้ารัฐที่ถือสันโดษมานานปี เมื่อในเวลานี้เริ่มเคลื่อนวงแหวนปราณ ก็ออกจากสถานที่ถือสันโดษ ชุดคลุมยาวสีขาวตลอดร่าง เส้นผมขาวโพลนแลดูไม่ธรรมดา นัยน์ตาราวกับมีประกายไฟ แผ่ระลอกคลื่นออกมาจากร่างตลอดเวลาดุจระลอกน้ำกระจายไปทั่วทุกสารทิศ
และบนหว่างคิ้วเขาก็มีตราผนึกหยดน้ำหนึ่งหยด! !
ไม่เพียงเท่านี้ แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ประตูใหญ่เต๋าเก้ารัฐเปิดออก ในดาราจักรเต๋าเก้ารัฐพลันปรากฏแสงขนาดใหญ่ยากจะเปรียบสี่บานประตู ในนาทีนี้พลันเปิดออกทั้งหมด มีกองทัพผู้ฝึกตนที่มาจากจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายและอีกสี่สำนักใหญ่พลันก้าวออกมา มีจักรพิภพสำนักต่างๆ รวมทั้งผู้อาวุโสอีกทั้งยังพกของล้ำค่าออกมาด้วย
นาทีนี้ ห้าสำนักใหญ่ร่วมมือกันทำให้พลังของวงแหวนปราณยิ่งแข็งแกร่ง หลังจากโซ่เก้าเส้นปรากฏ ก็ยังมีมนุษย์ขนาดยักษ์ ขวานรบ กระถางสำริดสามขาขนาดยักษ์และสะเก็ดดาว
แต่เพียงเท่านี้ เห็นได้ชัดว่ายังไม่ใช่การเตรียมพร้อมทั้งหมดของเต๋าเก้ารัฐ ที่ตอนแรกผู้อาวุโสเต๋าเก้ารัฐกล้าออกมาประณามสหพันธรัฐ ย่อมต้องมีที่พึ่ง ส่วนที่พึ่งของเขา…ไม่จำเป็นต้องเดา ขอเพียงเป็นผู้ที่คิดวิเคราะห์ได้ก็ย่อมรู้
ก็คือ…จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงที่ปักหลักอยู่ด้านนอก
ดังนั้นก็แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่หวังเป่าเล่อมาถึงเต๋าเก้ารัฐ จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงที่อยู่ที่เขตแดนนัยน์ตาฉายแววเด็ดเดี่ยว นำกองทัพตระกูลไม่รู้สิ้นมุ่งเข้าไปในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายทันที
นาทีนี้ สายตาของผู้เยี่ยมยุทธ์ทุกคู่ล้วนมองมาเป็นจุดเดียวกัน มารเต๋าแห่งเต๋าเจ็ดวิญญาณลุกยืนโดยพลัน นัยน์ตาวูบไหวราวกับกำลังชั่งน้ำหนัก ผู้อาวุโสแห่งสำนักดาราจันทร์เปิดตาขึ้นช้าๆ แววตาเคร่งขรึมวาบผ่าน
ผู้อาวุโสตระกูลเซี่ยเงียบงัน ทว่ามือขวากลับผนึกมุทราขึ้นอย่างรวดเร็ว ไร้กระแสเวทใดเคลื่อนไหว แต่หากมีคนตระกูลเซี่ยผู้ใดที่ที่คุ้นเคยกับเขาเห็นเข้า ล้วนต้องสั่นสะท้านขึ้นในใจ เพราะผู้อาวุโสตระกูลเซี่ยมีนิสัยอย่างหนึ่ง ทุกครั้งที่เขาจะตัดสินกระทำเรื่องใหญ่โตล้วนเป็นเช่นตอนนี้
และยิ่งเร็วเท่าไรก็ยิ่งหมายความว่าการตัดสินใจนี้ยิ่งสำคัญมากขึ้นเท่านั้น เวลานี้…มือขวาเขาที่กำลังผนึกมุทราได้พร่าเลือนไปแล้ว…
ยังมีจีเจียในตระกูลคงกระพันรวมทั้งซวนฮว๋าที่ถือสันโดษ คนหน้าเคร่งเครียด คนหลังดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำ มองไปทางสนามรบอยู่ในตราผนึก
และยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์ของสำนักแห่งความมืดที่ต่างกำลังเฝ้ามอง
พูดได้ว่า…ศึกครั้งนี้ของสำนักแห่งความมืดกับตระกูลคงกระพันราวกับไม่ใช่ท่วงทำนองหลักของยุคนี้อีกต่อไปแล้ว เป็นหวังเป่าเล่อถึงจะถูก!
เขาถือสันโดษไม่ออกมาก็ช่างเถอะ ตอนนี้ทันทีที่ออกมาก็กระทำการใหญ่ติดต่อกันครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งเบื้องหลังของทุกๆ เรื่องยังราวกับมีเบื้องลึก แต่รูปแบบเช่นนี้ก็ทำให้ผู้คนหวาดกลัวขึ้นอย่างอดไม่ได้
และในขณะที่สายตาทุกคู่ของเหล่าชนชั้นสูงมองมา ยามจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงมาถึง อากาศเบื้องหน้าเขาพลันบิดม้วน เงาร่างเยาถงก้าวออกมาขวางอยู่หน้าจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิง
ในใจนางเวลานี้สับสนอย่างที่สุด สีหน้าย่ำแย่ แต่ก็ไม่สามารถไม่มาได้ ในหัวก็ผุดภาพที่หวังเป่าเล่อสั่งนางก่อนหน้านั้น
“ขัดขวางกวงหมิง! ”
“คุณชาย ข้า…ข้าทำไม่ได้ นอกเสียจากท่านจะคืนแก่นสำคัญให้ข้า ข้าถึงจะสู้กับจักรพรรดิสวรรค์ได้ ”
“ไม่จำเป็น ขัดขวางแค่ยี่สิบลมหายใจก็พอ ”
“ยี่สิบลมหายใจ”เยาถงกัดฟัน พริบตาที่เห็นกวงหมิง พลังปราณปะทุขึ้นทำให้กาลเวลารอบๆ บิดม้วนกลายเป็นผนึก
ในขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสเต๋าเก้ารัฐเพ่งมองไปทางหวังเป่าเล่อที่นอกดาราจักร พลางเอ่ยเสียงต่ำ
“หวังเป่าเล่อ เจ้ามาด้วยเหตุใด? หากเหยียบเข้ามาในสำนักนี้ เจ้าและข้า…ไม่ตายไม่เลิกรา! ”
หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่นอกดาราจักรเต๋าเก้ารัฐนัยน์ตาระยับ ยกเท้าขึ้นก้าวไปทางวงแหวนปราณย่ำลงไปทันที!
เสียงเขาสะท้อนไปทั่วทุกสารทิศ
“วันนี้หวังเป่าเล่อมาที่นี่ ทำลายเต๋าเก้ารัฐ และนำของชิ้นหนึ่งไป! ”
……………………………

หวังเป่าเล่อต้องการคำอธิบายอะไร เยาถงไม่รู้และก็ไม่กล้าถาม นางรู้แค่เพียงในใจตนคาดหวังต่อเรื่องนี้อยู่บ้าง…ถึงอย่างไรตนก็เป็นกึ่งระดับจักรวาลไม่ใช่ธรรมดาๆ หากผู้อาวุโสไม่รู้สิ้นลงมือ บางทีอาจทำให้ตนหลุดพ้นสภาวะที่ยากลำบาก กลับไปเป็นอิสระดังเดิมได้

แต่นางก็ไม่มั่นใจ เพราะแก่นสำคัญของนาง…อยู่ในกำมือหวังเป่าเล่อ

ดังนั้นในเวลานี้เยาถงจึงไปพร้อมกับความคิดซับซ้อนต่างๆ นาๆ และวินาทีที่นางหายไป หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองด้วยแววตาเรียบเฉย ดวงตาหรี่ลงน้อยๆ

เขาไม่ได้เจาะจงสิ่งใดเป็นค่าตอบแทน คิดจะเอาสิ่งบรรจุเต๋าธาตุไม้อันล้ำค่าที่ตนสัมผัสได้มาจากมือของตระกูลคงกระพัน เรื่องนี้ไม่ใช่ง่ายๆ

ต้องวางแผนอย่างรัดกุมเท่านั้น…ดังนั้น หลังจากที่เขาไปใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น สิ่งแรกที่หาเจอก็คือตี้ซาน ในเวลาเดียวกันนี่ก็คือเหตุผลที่ตอนสุดท้ายเขาไม่ไล่ตามไป ปล่อยตี้ซานไปอย่างฉลาดหลักแหลม

เต๋าของตี้ซาน คือภูเขา!

และภูเขากับดิน คล้ายกับ…หากสาวถึงต้นตอก็เป็นเต๋าธาตุดินอย่างหนึ่ง

‘’บาดเจ็บสาหัสจนเหลือแค่ดวงวิญญาณเทพ หาเปลี่ยนเป็นตอนอื่นก็ยังพอทำเนา ทว่าเวลานี้รบรากับสำนักแห่งความมืด เสียจักรพรรดิสวรรค์เป็นค่าตอบแทน…ตระกูลคงกระพันทนรับไม่ได้ เช่นนั้น…คิดจะฟื้นฟูมันกลับมาก็มีแค่เพียง…ผสานรวมสมบัติล้ำค่าที่ใกล้เคียงกับเต๋าของมันเท่านั้น ‘’แววตาหวังเป่าเล่อเป็นประกาย!

เรื่องนี้ หากมีใครสามารถมองใจหวังเป่าเล่อได้อย่างทะลุปรุโปร่งก็คงจะหวาดกลัวสุดขีด หากเขาได้วางแผนจากความคิดในใจของซวนฮว๋าตั้งแต่แรกจริง เช่นนั้นการที่ซวนฮว๋าบุกเข้ามา หวังเป่าเล่อโมโหบุกเข้าไปในใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น เหตุเพราะซวนฮว๋าถือสันโดษ ดังนั้นจึงลงมือต่อตี้ซานอย่างหนัก เผยพลังต่อสู้ที่แท้จริงของตนออกมา

เหตุการณ์ต่างๆ นี้…สำหรับการเดาใจคน สำหรับการวางแผนการณ์ต่างๆ ช่างน่ากลัวเกินไปแล้ว!

หวังเป่าเล่อยิ้มน้อยๆ เลิกหรี่ตา เรื่องนี้จะเป็นการวางแผนตั้งแต่เนิ่นๆ ของเขา หรือมาถึงจุดนี้อย่างจวนตัว นอกเสียจากตัวเขาเองก็ไม่มีใครล่วงรู้

และความจริงคืออะไรก็ไม่สำคัญอีกแล้ว สิ่งที่สำคัญก็คือ…จุดประสงค์ของหวังเป่าเล่อลุล่วงไปครึ่งหนึ่งแล้ว ดังนั้นเขาก็ไม่ค่อยจะใส่ใจสักเท่าไรว่าเยาถงจะได้ค่าตอบแทนอะไรกลับมา

เพราะไม่ว่าตระกูลคงกระพันจะส่งอะไรมาเป็นค่าตอบแทน เขาก็จะใช้มันเป็นข้ออ้าง แสดงออกว่าไม่พอใจ จากนั้น…ก็ใช้ความเป็นกลางในก่อนหน้า เปลี่ยนเป็นหัวรุนแรงสักเล็กน้อย

 จากการสู้รบของสำนักแห่งความมืดกับตระกูลคงกระพันที่ดูเหมือนไม่เคยเลิกลาแต่กลับไม่เคยล้ำเส้นกัน ช่างเหมาะสมที่จะให้ข้าล้ำเส้นตระกูลคงกระพันสักนิดเหลือเกิน…

คิดได้ดังนี้ หวังเป่าเล่อจึงหลับตาเข้าฌาณต่อ ส่วนร่างของเขากลับอยู่ที่บนโลก ลืมตาทั้งสองข้าง ลุกเดินไปทางที่อาจารย์ปรมาจารย์แห่งไฟอยู่

เรื่องราวต่อจากนี้ เขาจำเป็นต้องปรึกษากับอาจารย์ ในเวลาอันรวดเร็ว หลังจากหารือกับอาจารย์เรียบร้อยแล้ว สหพันธรัฐก็เปิดประชุมพันธมิตร เหล่าชนชั้นสูงจากอารยธรรมต่างๆ ในระบบสุริยะก็ทยอยมารวมตัวกันที่ดาวโลก

เวลาผ่านไปช้าๆ ระหว่างการประชุมของพันธมิตร เยาถงกลับมาถึงแล้ว ตลอดทางในใจนางรู้สึกหดหู่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่ก็ไร้หนทาง การเดินทางไปตระกูลคงกระพันครั้งนี้ นางไม่ได้พบกับผู้อาวุโสไม่รู้สิ้นผู้นั้น บางทีอาจจะไม่อยู่จริงๆ หรือบางที…ก็ไม่อยากขัดใจกับหวังเป่าเล่อไปมากกว่านี้เพราะนาง

ดังนั้นท้ายที่สุด นางจึงได้แต่พาความซับซ้อนกลับมายังระบบสุริยะ ในเวลาเดียวกันยังนำแหล่งทรัพยากรจำนวนมากที่ตระกูลคงกระพันมอบให้กลับมาด้วย พวกนี้…ก็คือค่าตอบแทนที่ตระกูลคงกระพันมอบให้

ตี้ซานปราชัยให้หวังเป่าเล่อ เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อมีคุณสมบัติพอควร โดยเฉพาะการคงอยู่ของสำนักแห่งความมืด ดังนั้นตระกูลคงกระพันจึงทำได้เพียงอดกลั้นต่อเรื่องนี้ ถึงอย่างไรหวังเป่าเล่อก็มีหลักการอยู่ระดับนึง

และหลักการนี้…ส่วนมากแม้จะไม่ค่อยมีผลต่อผู้ที่อ่อนแอนัก แต่สำหรับชนชั้นสูง…มักจะมีผลที่คาดไม่ถึงเสมอ อีกทั้งบวกกับการเชื้อเชิญของผู้อาวุโสตระกูลเซี่ยและการสนับสนุนจากจักรพิภพสำนักเสริมและปรมาจารย์เต๋าเจ็ดสำนัก ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นนี้ก็ปรากฏแววแตกแยกขึ้นมาลางๆ แล้ว

ดังนั้นในเวลานี้ หากไม่สามารถปราบได้อย่างทรงพลังเช่นนั้นก็ได้แต่กล้ำกลืน ยืดเวลาออกไป

เห็นได้ชัดว่า…อย่างแรกไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ทั้งต้องการพละกำลังพอสมควร ทั้งยังต้องใช้ความแข็งแกร่งที่มากพอ ตระกูลคงกระพัน…นอกเสียจากจะเป็นผู้อาวุโสออกคำสั่ง ไม่เช่นนั้นจักรพรรดิสวรรค์คนอื่นๆ ก็ไม่กล้าเสี่ยง

ดังนั้นจึงมีเหตุการณ์เช่นนี้ออกมา

เมื่อความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาในหัว วันที่เจ็ดที่เยาถงเดินทางกลับ ภายใต้การแนะนำของปรมาจารย์แห่งไฟ การประชุมกลุ่มพันธมิตรระบบสุริยะก็ได้มติที่ตรงกันสำหรับเรื่องนี้

ระบบสุริยะ…พ้นจากจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ยิ่งพ้นจากนามพันธมิตรตระกูลคงกระพัน เพิ่มคำว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เข้าไป เป็นกลางจากในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นตลอดไป

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสหพันธรัฐ!

และประกาศต่อทั่วทั้งจักรวาล ดินแดนศักดิ์สิทธิ์เปิดต้อนรับทุกอารยธรรมทุกตระกูลทุกสำนักให้เข้าร่วม

เมื่อมตินี้ออกมา ก็เกิดการเคลื่อนไหวในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นทันที ทำให้สำนักตระกูลจำนวนมากใจสั่นสะท้านไปตามๆ กัน เริ่มแรกก็รู้สึกเหลือเชื่อ เพราะหลายปีมานี้ เรื่องการแยกตัวเห็นได้น้อยมากเหลือเกิน

แต่ลองคิดดูดีๆ …ก็เหมือนว่าสหพันธรัฐในตอนนี้ก็มีคุณสมบัติเช่นนี้อยู่จริงๆ ในสภาพแวดล้อมปัจจุบันนี้ สหพันธรัฐมีหวังเป่าเล่อที่ติดอันดับแถวหน้าสุดยอดชนชั้นสูงในจักรพิภพเต๋า ทั้งยังมีระดับจักรวาลอย่างปรมาจารย์แห่งไฟกับเยาถง อีกทั้งยังมีสมบัติล้ำค่าอย่างแผ่นเลื่อนโลกา

พลังอำนาจเช่นนี้ แยกตัวจากวังวนของตระกูลคงกระพันก็เหมือนอยู่ในความคาดหมาย!

เพียงแต่แม้เรื่องนี้จะก่อเกิดความสั่นสะเทือน และก็มีตระกูลสำนักเล็กๆ จำนวนไม่น้อยมาแอบหารือกับสหพันธรัฐเพื่อจะเข้าร่วม แต่สุดท้ายตระกูลสำนักส่วนมากในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็ยังคงเฝ้าสังเกตด้วยความลังเล

เห็นได้ชัดว่าอิทธิพลอำนาจอันเนิ่นนานของตระกูลคงกระพันทำให้สำนักตระกูลเหล่านี้ไม่กล้าตัดสินใจง่ายๆ หากตระกูลคงกระพันโกรธเพราะเรื่องนี้จนเกิดศึกล้างตระกูลขึ้นมา พวกเขารับไม่ไหว

ในเวลาเดียวกัน สำนักใหญ่จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายอย่างเต๋าเก้ารัฐก็ลังเลต่อเรื่องนี้เช่นกัน แต่ในเวลาสั้นๆ ปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐรู้สึกราวกับคว้าโอกาสได้ ก่อนจะถ่ายทอดคำสั่งออกไปในทันที ประณามการกระทำของสหพันธรัฐนี้อย่างรุนแรง

สำนักใหญ่อื่นๆ ก็ทยอยกันขานรับ ในเวลาเดียวกันใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ ต่อเรื่องนี้ แต่…จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงเป็นผู้นำตระกูลคงกระพันมาด้วยตัวเอง ที่นอกสนามรบที่เปิดศึกกับสำนักแห่งความมืด เลือกผู้ฝึกของตระกูลจำนวนหนึ่งปักหลักอยู่ที่ในเขตแดนจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย

ในเวลาเดียวกันก็มีแรงบีบคั้นดวงจิตเทพที่เรียกได้ว่าน่ากลัวอาจหาญดวงหนึ่งแผ่กระจายออกมาจากตระกูลคงกระพัน กวาดไปทั่วจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ทำให้ขณะที่สรรพสิ่งสั่นคลอน สุดท้ายดวงจิตเทพนี้ก็ร่อนลงที่นอกระบบสุริยะ ก่อนแผ่แรงกดดันไปทางระบบสุริยะในทันที

สะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งระบบสุริยะราวกับจะถล่ม ธรรมกายของหวังเป่าเล่อเงยหน้าลืมตามองไปทางท้องฟ้าที่ดวงจิตเทพแผ่ออกมา ขณะที่ดูเลือนราง ราวกับว่าเขาเห็นปลายทางของท้องฟ้านั่น ในเมืองหลวงของตระกูลคงกระพัน มีดวงจิตเทพดวงหนึ่งกำลังมองมาที่ตนด้วยความเยียบเย็น

 ผู้อาวุโสไม่รู้สิ้น หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงพลางเอ่ยเสียงเบา

 หวังเป่าเล่อ อย่าให้มากไป เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะไม่มีปัญญาแบ่งใจมาทำลายเจ้าได้? ! เสียงแค่นเย็นชาที่แฝงความน่าเกรงขามลอยออกมาจากดวงจิตเทพก่อนสลายหายไป

แม้ตระกูลคงกระพันจะไม่แสดงท่าทีออกมา แต่ไม่ว่าจะเป็นการตั้งมั่นของจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิง หรือดวงจิตเทพของผู้อาวุโสไม่รู้สิ้น ต่างก็ทำให้ตระกูลอารยะธรรมที่ในใจลึกๆ กำลังโลดแล่นขึ้นมาเหล่านั้นไม่กล้าติดต่อกับสหพันธรัฐต่อไปตามๆ กัน

และสหพันธรัฐในเวลานี้ ราวกับกำลังรับบทแสดงอยู่คนเดียว แต่อันที่จริง…สิ่งเหล่านี้ล้วนอยู่ในความคาดหมายของหวังเป่าเล่อทั้งสิ้น

 คำเตือนนี้…ดูท่าจะยังไม่ล้ำเส้นสินะ หวังเป่าเล่อหรี่ตา นัยน์ตาฉายแววลึกล้ำ

………………………

 

ศึกครานี้ใช้คำว่าปราบเทพจำกัดความก็ไม่เกินเลยไป
แม้ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อจะถูกคิดว่ามีพลังต่อสู้ระดับจักรวาล แต่เป็นหลังจากที่เขาเลื่อนระดับสู่จักรพิภพสะกดหลายสำนักใหญ่รวมทั้งการศิโรราบของปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐ ทว่าเขาในตอนนี้ หากแค่คนเดียว ระดับการให้ความสำคัญของตระกูลคงกระพันก็ไม่ได้สูงขนาดนั้น
แม้แต่มารเต๋าแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณก็เกรงว่าจะคิดแบบเดียวกัน ถึงอย่างไรระดับกึ่งจักรวาลแบบหวังเป่าเล่อ จะเต๋าฝั่งซ้ายก็ดี สำนักเสริมก็ดี หรือในใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นล้วนแล้วแต่มีด้วยกันทั้งนั้น
อย่างเช่นคนเต๋าหยาง ปรมาจารย์เยาถง ก็อยู่ในขั้นนี้ทั้งสิ้น
แม้จะเป็นชนชั้นสูงเช่นเดียวกัน อยู่ในสภาวะที่ใกล้ถึงขีดสุดยอด แต่…ถึงอย่างไรก็ยังไม่ใช่ระดับจักรวาล การให้ความสำคัญต่อเขาอย่างมากก็เป็นเพราะเฝ้าสังเกตเต๋าของเขาที่สมบูรณ์กว่าใครๆ นี่ถึงจะเป็นจุดที่พวกเขาให้ความสนใจ
แต่ก็เป็นแต่การให้ความสนใจเท่านั้น สิ่งที่ทำให้เขาหวาดผวาอย่างแท้จริง อันที่จริงแล้วคือปรมาจารย์แห่งไฟกับสาขาของเขา ถึงอย่างไรระดับกึ่งจักรวาลคนหนึ่งกับระดับกึ่งจักรวาลสองคนก็แน่นอนว่าต่างกันมาก
ดังนั้นในช่วงต้น หวังเป่าเล่อได้รับความสนใจจากด้านอื่นๆ ส่วนที่ทำให้เขาโดดขึ้นมาอย่างแท้จริง ก่อความหวาดกลัวมากขึ้นให้แต่ตระกูลคงกระพันก็คือเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไม้ของเขาฉกชิงขอบเขตอำนาจเต๋าสวรรค์ตระกูลคงกระพัน ควบคุมเต๋าธาตุไม้ไว้ทั้งหมด
เรื่องนี้สั่นคลอนไปทั่วจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ยังไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ชนชั้นสูงทั้งหลายราวกับเห็นเส้นทางไปต่อจากเรื่องนี้
และด้วยเหตุนี้ ในใจของผู้คนจำนวนมากสถานะของหวังเป่าเล่อจึงเหนือกว่าปรมาจารย์แห่งไฟไปแล้ว กลายเป็นคนที่น่าจับตามองที่สุดในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย หากสภาพการณ์เช่นนี้มั่นคงกว่านี้สักหน่อย ก็จะดูน่าเกรงขามมากกว่านี้แน่นอน แต่หลังจากที่หวังเป่าเล่อถือสันโดษนานปี ไม่ได้ลงมือ ดังนั้นจึงมีการคาดเดาต่างๆ นาๆ ออกมา
จากการคาดเดาที่มากขึ้นทุกวี่ทุกวัน ก็มีการลองหยั่งเชิงของซวนฮว๋า
หลังจากที่หวังเป่าเล่อตระหนักได้ ก็เลือกที่จะแสดงพลังที่แท้จริง สยบอย่างเด็ดขาดไปเสียเลย
แต่ไม่มีใครคาดถึงว่าการหยั่งเชิงครั้งนี้ แม้จะทำให้พวกเขาสมปรารถนาเห็นพลังที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อ แต่…พลังที่แท้จริงที่แสดงออกมานี้กลับน่าหวาดกลัวอย่างไม่มีที่เปรียบ สั่นสะเทือนไปตามๆ กัน
เหมือนกับการตกปลา ไม่มีใครคิดว่าสิ่งที่ตกได้กลับเป็นฉลามตัวหนึ่ง!
จันทร์ข้างแรมเดิมก็น่ากลัวอยู่แล้ว เงาจันทร์ก็ยิ่งเขย่าขวัญ และคืนพินาศในตอนสุดท้าย…กลับทำลายล้างความเข้าใจจของทุกคนไปจนสิ้น เต๋าแสงแห่งการสังหารอันสุดยอดนั้นกลับสามารถฆ่าระดับจักรพรรดิสวรรค์ได้โดยไร้ความเสียหายอย่างคาดไม่ถึง
ต้องรู้ว่าระดับกึ่งจักรวาลคนอื่นๆ หากสู้ไม่คิดชีวิตก็มีความสามารถที่จะพินาศไปพร้อมกับจักรพรรดิสวรรค์ แต่ก็ต้องสู้อย่างไม่คิดชีวิตเท่านั้น ถึงขนาดมีความเป็นไปได้สูงว่าตนเองจะตาย จักรพรรดิสวรรค์สาหัส
แต่สิ่งที่หวังเป่าเล่อแสดงออกมา กลับเป็น…ฆ่าฟันโดยไร้บาดเจ็บ!
นี่หมายความว่า…ต่างกันโดยสิ้นเชิง ถึงขนาดที่ไม่สามารถมองหวังเป่าเล่อเป็นระดับกึ่งจักรวาลได่อีก นี่เป็นระดับจักรวาลอย่างสมบูรณ์โดยแท้จริง ถึงขนาดที่ด้านการต่อสู้สามารถสะกดชั้นต้นได้!
ดังนั้น ศึกนี้ ก็คือศึกปราบเทพอย่างแท้จริง!
หลังศึกนี้ ระดับจักรวาลทั้งหมดในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นต่างมองหวังเป่าเล่อเป็นระดับเดียวกัน ถึงขนาดที่…ความหวาดกลัวในใจยังมากกว่าจักรพรรดิสวรรค์คนอื่นๆ อีกด้วย
หากเรียงลำดับพลังต่อสู้ พลังที่แท้จริงที่หวังเป่าเล่อแสดงออกมาในครานี้ก็นับว่าไม่มีอะไรให้ละอายที่จะลำดับไว้ในระดับจักรวาลชั้นกลาง และที่จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ผู้ที่อยู่ในระดับจักรวาลชั้นกลางตอนนี้ก็มีเพียงสองคนเท่านั้น!
จีเจียและมารเต๋า!
พวกเขาจัดอยู่ในลำดับที่สอง
คนอื่นๆ เช่น กวงหมิง ซวนฮว๋า สุสานวิญญาณ นักบุญมืดและคนอื่นๆ ก็เป็นแค่ชั้นต้นเท่านั้น จัดอยู่ในลำดับสาม
ส่วนชั้นปลายและผู้ที่สูงขึ้นไปกว่านั้น…มีเพียงเว่ยยางจื่อและเฉินชิงจื่อสองคนเท่านั้นที่แสดงพลังต่อสู้ระดับชั้นปลายออกมา
ส่วนผู้อาวุโสตระกูลเซี่ยไม่ใช่ชั้นปลายแต่กลับไม่แพ้กัน ดังนั้นเขาจะอยู่ลำดับที่สอง แต่ถูกจัดอยู่ในขั้นกึ่งลำดับหนึ่ง
หากมองเช่นนี้ พลังแท้จริงที่หวังเป่าเล่อแสดงออกมา ก็เหนือกว่าชั้นต้น เป็นผู้ที่อยู่ลำดับที่สองอย่างแน่นอนแล้ว
พลังแท้จริงเช่นนี้ทำให้ตระกูลต่างๆ ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นเกิดคลื่นลูกยักษ์ขึ้นในใจ โดยเฉพาะจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ยิ่งสำนักใหญ่ทั้งหลายที่เคยล่วงเกินสหพันธรัฐต่างก็ใจระส่ำไม่เป็นสุขตั้งนานแล้ว
และเมื่อเปรียบกับพวกเขา ในเวลานี้ผู้ที่ใจเป็นสุขที่สุดก็คือ…ซวนฮว๋า
หลังจากรับการโจมตีเต๋าธาตุไม้จากหวังเป่าเล่อคราเดียว เขาดูเหมือนปกติดี แต่ในใจทั้งประหลาดใจทั้งตกใจ ดังนั้นหลังจากที่กลับมาถึงตระกูลคงกระพัน เขาจึงเลือกถือสันโดษในทันที ปิดกั้นการรับรู้ของตนเองทั้งหมด
เพราะ…เขาพบว่าพลังปราณของตนเองใกล้จะควบคุมไม่อยู่แล้ว ไม่ใช่เลื่อนขั้น แต่เป็น…ไหลออก! !
ราวกับหวังเป่าเล่อได้กลายเป็นต้นกำเนิดน้ำวน หลังจากที่เต๋าของตนได้กระทบเข้ากับเขา ก็มีชีวิตชีวาอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน อีกทั้งยังยิ่งควบคุมยากขึ้นเรื่อยๆ แต่พวกนี้ยังไม่ใช่สิ่งที่เขาหวาดกลัวมากที่สุด
สิ่งที่ทำให้เขาหวาดกลัวที่สุดก็คือสัมผัสสวรรค์ของตัวเองราวกับมีความคิดหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ความคิดนี้คือจะศิโรราบให้แก่หวังเป่าเล่อ อยากจะใกล้ชิดเขา และก็ไม่สามารถลบออกไปได้เลย ในใจเป็นดั่งเมล็ดพันธุ์ที่งอกเติบโตขึ้นมา
“ไม่ถูกสิ! ”
“ความคิดนี้ไม่ได้เกิดหลังจากศึกนี้ แต่ก่อนหน้านั้นก็มีแล้ว บางเบามากจนตัวเองก็สัมผัสไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้…ที่ข้ามีความคิดอยากจะไปหยั่งเชิงหวังเป่าเล่อถึงขนาดลงมือไป เป็นเพราะ…ความคิดนี้ก่อกวนทั้งหมด! ! ”ซวนฮว๋าหน้าซีดเผือด เมื่อฝึกมาจนถึงระดับเขาแล้ว ต่อให้สามารถปิดบังได้ชั่วครู่ชั่วยาม แต่ก็ไม่สามารถปิดบังได้นาน ตอนนี้เขาจะไม่รู้สาเหตุได้อย่างไร…
“ต้นกำเนิดมหาเต๋าเดียวกัน! ! ”
ซวนฮว๋าสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่ง เต๋าที่เขาฝึกก็คือเต๋าธาตุไม้ เดิมคิดว่าแม้หวังเป่าเล่อจะชิงอำนาจของเต๋าสวรรค์ไปได้ แต่พลังปราณของเขาไม่ใช่ระดับจักรวาล ไม่มีผลต่อตัวเอง ถึงขนาดที่ในทางตรงกันข้าม หากตนเองสามารถสะกดอีกฝ่ายได้ ไม่แน่ว่าจะแย่งมหาเต๋ามาจากเขาได้ด้วย
แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าความคิดนี้ของตัวเองจะมีมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้มองดูน่าจะเป็นนาทีที่เต๋าธาตุไม้ของอีกฝ่ายกำเนิดขึ้น ตัวเองก็ได้รับผลกระทบแล้ว และตอนหลังที่ประมือกันอย่างประชิด สัมผัสถูกเต๋า ระดับผลกระทบจึงระเบิดออกมาอย่างกระทันหัน
‘’ข้าจะยอมแพ้ไม่ได้! ‘’ซวนฮว๋าสีหน้าบิดเบี้ยว เส้นเลือดบนหน้าผากปูดโปน สะกดพลังปราณของตัวเองอย่างเต็มที่ สะกดความคิดที่เกิดขึ้น สำหรับเขาแล้วก็เป็นดั่งจิตมาร!
ความจริงแล้ว ใช้จิตมารจำกัดความนับว่าเหมาะสมยิ่ง
หลังจากที่ผสานรวมเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไม้ สำหรับหวังเป่าเล่อ สรรพสิ่งที่ฝึกเต๋าของตน เดิมก็สามารถกลายเป็นจิตมารได้ และการคิดวิเคราะห์ของซวนฮว๋าก็ไม่ผิด ความคิดของเขานั่นมาจากหวังเป่าเล่อจริงๆ นาทีที่ผสานรวมเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไม้ หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงซวนฮว๋าในในกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นแล้ว
เพียงแต่ซวนฮว๋าเป็นระดับจักรวาล ไม่ใช่จะถูกควบคุมได้ง่ายๆ เช่นนั้น แต่ก็เป็นเพราะเขาฝึกได้ลึกซึ้งเช่นกัน เต๋าลึกล้ำ ดังนั้น…เขาจึงหลบไม่พ้น
และก็ทำให้เกิดเรื่องการมาของเขากับการสัมผัสกับตนจากการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ ในช่วงที่หวังเป่าเล่อถือสันโดษ เพียงแต่หากไม่ได้รับความร่วมมือจากเฉินชิงจื่อ หวังเป่าเล่อก็คงไม่ได้ผลประโยชน์มากเช่นนี้ การลงมือของเฉินชิงจื่อทำให้พลังอำนาจของเขาพลิกขึ้นสู่ขีดสูงสุด
กลับมาตอนนี้ วินาทีที่ย่างเข้าสู่จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงการดิ้นรนของซวนฮว๋า ปรายตากลับไปมองที่ไกลๆ ก่อนยิ้มออกมาและไม่สนใจอีก นำลูกแก้วที่เหมือนลูกตาในมือกลับไปยังดาวอังคาร
หลังจากที่กลับมายังดาวอังคาร หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นโบก ปรมาจารย์เยาถงก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้า นัยน์ตาฉายแววกระวนกระวาย ท่าทางเปี่ยมเสน่ห์ ก้มหน้า คุกเข่าคำนับที่ด้านหน้าหวังเป่าเล่อ จงใจอวดส่วนโค้งเว้าส่วนสะโพกออกมา ราวกับสำหรับเธอแล้ว นี่เป็นปฏิกิริยาที่มีต่อชนชั้นสูงอย่างหนึ่งโดยสัญชาตญาณ
“บ่าวคารวะคุณชาย! ”
“เจ้าไปตระกูลคงกระพัน เรียกหาคำอธิบายแทนข้า”
“รับบัญชา! ‘’ปรมาจารย์เยาถงตอบรับเสียงเบา ไหวร่างเข้าสู่ความว่างเปล่าแล้วหายไป
…………………………
คืนพินาศของหวังเป่าเล่อ แตกต่างกับวิถีเต๋าของบิดาหวังอีอีอยู่บ้าง แม้จะเป็นวิชาสังหารเหมือนกัน แต่เมื่ออยู่ในมือบิดาหวังอีอี เนื่องจากเดิมก็เป็นเต๋าของเขา ดังนั้นจึงยิ่งกว้าง ยิ่งลึกซึ้ง ยิ่งแฝงความล้ำลึก
ส่วนทางหวังเป่าเล่อ เหตุเพราะความพยายามอดกลั้นอย่างยิ่งยวดที่จะไม่ไปสัมผัสต้นกำเนิดเต๋าคืนพินาศอย่างลึกซึ้ง ทำให้ในเวลานี้จึงมีพลังลึกไม่พอ แฝงความล้ำลึกไม่เท่า แต่…พลังสังหารกลับไม่ลดลงแม้แต่น้อย
เพราะ…ในคืนพินาศของหวังเป่าเล่อได้ใส่วิชาดวงเนตรปีศาจของตัวเอง ใส่เวทสังหาร ถึงขั้นผสานการสังหารที่รู้ในชีวิตนี้ทั้งหมดลงไปในคืนพินาศ
————
ซ้อนเพิ่มลงไปเช่นนี้ ก็ทำให้วิชาคืนพินาศนี้ที่แต่เดิมก็อยู่บนพื้นฐานวิชาสังหาร ก็ถูกหวังเป่าเล่อยกระดับขึ้นถึงขีดสุด
สุดยอดการสังหาร!
ทั่วทั้งท้องฟ้าในนาทีนี้ ทั้งๆ ที่ไม่มืดมิด แต่ทุกคนกลับรู้สึกมืดมิดจนยากจะบรรยาย ดุจท้องฟ้าก่อนฟ้าสาง อีกทั้งไม่เพียงแค่คนที่อยู่ตรงนี้เท่านั้นที่รู้สึกได้ นาทีนี้…ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิสวรรค์จีเจียตระกูลคงกระพันที่นั่งสะกดอยู่ หรือผู้อาวุโสตระกูลเซี่ย หรือจะเป็นมารเต๋าสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ ปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐ หรือผู้ที่มีความสามารถเฝ้าชมศึกครั้งนี้ ล้วนเกิดระลอกคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในสัมผัสสวรรค์!
วิชาคืนข้างแรม เดิมทีก็ทำพวกเขาแสดงความประทับใจออกมาอยู่แล้ว คล้ายจริงคล้ายฝันยิ่งทำให้พวกเขาสั่นสะท้าน แต่เมื่อเทียบกัน… คืนพินาศที่หวังเป่าเล่อแสดงออกมายิ่งสะเทือนฟ้าสะทือนดิน ผู้ที่สัมผัสได้ทุกคนล้วนเกิดเสียงสนั่นฟ้าขึ้นในใจ
ราวกับมีสิ่งอันตราย มีวิกฤตใหญ่ ความเป็นความตาย ที่กำลังจะมาเยือนโลก
สุสานวิญญาณและนักบุญมืด ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรวาลของสำนักแห่งความมืดทั้งสองหน้าเปลี่ยนสี รีบถอยหลังในทันทีโดยไร้ความลังเล ส่วนจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงที่ปรากฏตัวข้างตี้ซานก็ผงะไป ขณะที่จะลงมือพร้อมกัน แต่ตี้ซานข้างกายกลับตะโกนดังลั่น
“กวงหมิง นี่เป็นศึกของข้า! ”ในฐานะระดับจักรวาล ในฐานะจักรพรรดิสวรรค์ แม้จะเป็นแค่ชั้นต้น แต่ตี้ซานก็ยังคงเย่อหยิ่ง เพราะเขาเป็นผู้ที่ขึ้นสู่ระดับจักรวาลได้เร็วที่สุดตั้งแต่มีมาในประวัติศาสตร์ตระกูลคงกระพัน
อีกทั้งนิสัยบ้าอำนาจ อีกทั้งเต๋าที่ฝึกก็เป็นภูเขา ทรงพลังยิ่ง เดิมก็อยู่ในเส้นทางสะกดปราบอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเจอกับการลงมือของหวังเป่าเล่อ ด้วยนิสัยเขา ความเย่อหยิ่งของเขา เต๋าของเขา จึงไม่ยอมรับการช่วยเหลือจากผู้อื่น
“ก็๋แค่ระดับดาราจักร! ! ”แม้ในใจตี้ซานจะถูกทำให้สั่นไหวจนถึงขั้นตัวสั่น แต่ศักดิ์ศรีของเขาไม่ยอมให้ตัวเองก้มหัว เวลานี้คำรามก้องพร้อมยกมือทั้งสองขึ้น พลังปราณระดับจักรวาลก็ระเบิดออกมาสิบสองส่วน พริบตาก็ปรากฏภูเขาลูกหนึ่งขึ้นในท้องฟ้าอันมืดมิด
ภูเขาที่ราวกับสามารถสะกดทุกสรรพสิ่งบนโลกได้ จนถึงขนาดที่แม้แต่ท้องฟ้าก็ไม่สามารถค้ำยันดวงจิตภูเขาเทพของมันได้ ภูเขาลูกนี้…ใหญ่จนราวกับไร้ที่สิ้นสุด วินาทีที่ปรากฏขึ้น พลังสะกดรุนแรงขุมหนึ่งระเบิดสนั่น ทำให้ทุกคนสัมผัสได้ถึงแรงบีบคั้นอย่างรุนแรง
ท้องฟ้าถึงขั้นพังครืน รอยแตกร้าวปรากฏขึ้นรอบๆ ภูเขาและแตกขยายออกไปเรื่อยๆ นี่…ก็คือเคล็ดวิชาลับของตี้ซาน ไม่ใช่วิถีเต๋า ไม่ใช่พลังเทพ แต่ เป็น…ธรรมกายของเขา !
ในธรรมกาย ท่าทางตี้ซานดูดุร้าย ร่างกายเป็นเหมือนจุดสำคัญทำให้ภูเขาธรรมกายยิ่งทรงพลัง และร่างในธรรมกายนี้ก็คือกายาเต๋าของตี้ซาน
เป็นรากฐานตั้งมั่น!
จากการระเบิดพลังปราณของเขา ทั่วทั้งในกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นสั่นสะเทือน แม่น้ำแห่งความมืดไหลเชี่ยว ก่อให้เกิดพายุขึ้นในดาวเคราะห์ที่ตระกูลอารยธรรมต่างๆ อยู่ ขณะที่เสียงดังสนั่นไปทั่วบริเวณ ณ สนามรบ…เพราะความเข้มข้นรุนแรงของพลังวิถีเต๋าได้ปรากฎหลุมยุบขึ้น ทำให้กฎทั่วทั้งใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นล้วนเอียงมาทางนี้
และขณะที่กฎทั่วทั้งใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นกำลังเอียง พริบตาที่ธรรมกายตี้ซานสูงเสียดฟ้า…ในท้องฟ้าอันมืดมิด จุดที่หวังเป่าเล่ออยู่ ฉับพลัน…ปรากฏแสงสว่างขึ้น
หากเปรียบท้องฟ้าเป็นมหาสมุทร เช่นนั้นก็เป็นแสงสว่างแรกบนมหาสมุทร!
หากเปรียบท้องฟ้าเป็นผืนดิน เช่นนั้นนี่ก็คือแสงอรุณเบิกฟ้า!
หากไม่นำไปเปรียบเทียบ เช่นนั้นนี่ก็คือ…แสงแรกของสรรพสิ่งในจักรวางผืนนี้!
แสงสว่างปรากฏ ความมืดมิดกระจายออก ทั่วทั้งท้องฟ้าในเวลานี้ส่งเสียงดังสนั่น ราวกับความมืดมิดกำลังหมุนตลบอยู่ใต้แสงสว่าง แต่ไม่ได้มีลำแสงเดียว…พริบตาต่อมา แสงสองลำ แสงสามลำจวบจนนับไม่ถ้วน พลันระเบิดออกมาจากจุดเดียวกัน เมื่อแสงทอส่องไปทั่วสารทิศ เมื่อความมืดมิดถูกไล่กระจายหาย อาทิตย์แรก…ก็ปรากฏขึ้นกลางท้องฟ้าที่มืดมิด
เหนือกว่าดารานิรันดร์ แฝงไปด้วยแสงสว่างอันไร้ที่สิ้นสุด แม้จะเป็นเพียงอาทิตย์แรก ไม่ใช่ดวงตะวันที่สมบูรณ์ แต่ในเวลานี้ก็ยังทำให้จักรวาลที่มืดมิดแห่งนี้บิดเบี้ยวอย่างรุนแรง เมื่อแสงส่องถึงก็กระจายออกไป แม้แต่…ธรรมกายของตี้ซานก็ไม่มีคุณสมบัติอยู่ในช่วงที่อาทิตย์แรกกลายเป็นดวงตะวัน
ดังนั้นเพียงพริบตา เมื่อความมืดมิดหมุนวนไม่หยุด เมื่อแสงส่องมายังจักรวาล ธรรมกายของตี้ซานที่แปลงเป็นภูเขาเทพก็ส่งเสียงดังขึ้นมา ราวกับมันได้กลายเป็นสิ่งขัดขวางแสงสว่าง เมื่ออาทิตย์แรกลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ นาทีที่ดวงตะวันเกินครึ่ง ภูเขาเทพก็รับไม่ไหวอีกต่อไปจนเกิดรอยแตกร้าวออกมาทางหนึ่ง
เมื่อมีหนึ่ง ก็มีหมื่น!
เพียงพริบตารอยแตกก็ปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ ตี้ซานที่อยู่ข้างในนัยน์ตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด ขณะที่คำรามลั่นระเบิดพลังปราณออกมาอย่างสุดกำลังเพื่อยืนหยัดต่อ ทว่า…สุดท้ายความมืดมิดก็กระจายหาย อาทิตย์แรกถูกกำหนดให้ลอยขึ้นเป็นดวงตะวัน
ดังนั้น เมื่อดวงตะวันสมบูรณ์เต็มดวงลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า…ธรรมกายของตี้ซานที่แปลงเป็นภูเขาเทพก็พังทลายลงในทันที ขณะที่แตกเป็นเสี่ยงๆ กายาเต๋าตี้ซานในนั้นก็กระอักเลือกออกมาคำโต คิดจะถอยหลังแต่กลับสายไป แสงตะวันทอส่องไปทั่วท้องฟ้าและก็โอบเขาไว้ภายในด้วยเช่นกัน
“ทำลาย! ”หวังเป่าเล่อเอ่ยเนิบๆ เสียงดังสนั่นไปทั่วฟ้า ใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นเอียง กฏเกณฑ์ของที่แห่งนี้ล้วนแตกร้าว ราวกับมีเสียงสะอื้นไห้ลอยมาจากอากาศ ขณะที่สะท้อนอยู่ในท้องฟ้า ตี้ซานที่ถูกแสงตะวันโอบหุ้มไว้ ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไร ไม่ว่าจะขัดขืนเช่นไร ร่างธรรมกายของเขาก็ละลายจนเห็นได้ด้วยตา!
ทว่าอย่างไรเขาก็เป็นคนเย่อหยิ่ง ท่ามกลางความเจ็บปวดแสนสาหัส ก็ไม่ส่งเสียงกรีดร้องใดๆ ออกมาแม้แต่น้อย ทำเพียงเพ่งมองไปทางหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาฉายแววดุร้าย ราวกับก่อนตายจะสลักหน้าหวังเป่าเล่อไว้ในวิญญาณเทพ
แต่จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงจะยอมให้เกิดขึ้นได้อย่างไร ในช่วงสำคัญของความเป็นความตาย เส้นผมพลิ้วสยาย ระเบิดแสงออกมาจากร่าง เขาที่ใช้ชื่อกวงหมิง[1]เป็นฉายาเต๋า เต๋าที่ฝึกก็เป็นแสงเช่นกัน
ดังนั้น ในนาทีนี้ เมื่อพลังปราณระเบิดขึ้น ร่างกายไหวคราหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าตี้ซาน วินาทีที่ธรรมกายของตี้ซานกำลังจะแตกสลายก็รวบร่างดึงดวงวิญญาณเทพของเขาออกมาก่อนถอยออกไปด้วยความรวดเร็ว
ช่วงเวลาเดียวกัน ในตระกูลคงกระพัน ร่างอวตารเว่ยยางจื่อที่กลายเป็นจักรพรรดิสวรรค์จีเจียก็ปรากฏตัวออกมาเช่นกัน แต่ไม่ใช่ที่กวงหมิง แต่เป็นที่ด้านหน้าของสุสานวิญาณกับนักบุญมืดที่กำลังเข้าไปขัดขวาง มือยกขึ้นกด เสียงดังลั่นฟ้า ทำให้สุสานวิญาณกับนักบุญมืดช้าไปก้าวหนึ่ง
พริบตาต่อมา กวงหมิงพาตี้ซานที่เหลือแต่ดวงวิญญาณเทพออกมา จีเจียก็ถอยออกมาเช่นกัน ทั้งสองไม่มีคำพูดใด ขณะที่ถอยหลัง เงาร่างก้าวเข้าสู่ความว่างเปล่ามุ่งไปข้าหน้าด้วยความรวดเร็ว ไม่หยุดชะงักเลยแม้แต่น้อย
สุสานวิญาณกับนักบุญมืดแววตาวาววับรีบตามเข้าไปในอากาศ ส่วนหวังเป่าเล่อ เขายืนอยู่ที่เดิมมองเรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่ลงมือต่อ
ถึงอย่างไร…เขาก็ไม่ใช่ระดับจักรวาล การใช้วิชาคืนพินาศก็ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น เขาไม่สามารถใช้ครั้งที่สองได้ในเวลาสั้นๆ หากกวงหมิงไม่เข้ามาขวาง เขาสามารถฆ่าตี้ซานได้จริง แต่ผลลัพธ์เช่นนี้ บางทีอาจจะดีกว่า
ตี้ซานจะอยู่หรือตายไม่สำคัญอีกต่อไป ธรรมกายถูกทำลาย กายาเต๋าถูกสับ หากเหลือแค่เพียงดวงวิญญาณเทพก็เหมือนกับพลังปราณเขาถูกตัดไปแปดส่วน ไม่ได้มีอำนาจคุกคามอีกแล้ว
และตนก็ไม่ได้มีความคิดที่จะแตกหักกับตระกูลคงกระพันจริงๆ ในเวลาเดียวกันยังได้เผยพลังต่อสู้ของตัวเองเพียงพอที่จะแสดงอำนาจให้กริ่งเกรงแล้ว บทสรุปเช่นนี้ตรงกับความต้องการของตัวเองมากกว่า
เขายังต้องการเวลาอีกหน่อยที่จะทำให้แปดปรมัตถ์ของตัวเองสมบูรณ์
ดังนั้นหลังจากมองทางที่จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงไป หวังเป่าเล่อก็เอ่ยเสียงเรียบ ไปยังคลื่นดวงจิตเทพทั่วทั้งแปดทิศ
“สหายเต๋าทุกท่านเห็นเรื่องตลกแล้ว ”ขณะที่เสียงของเขากระจายไปทั่วฟ้า ผู้อาวุโสตระกูลเซี่ยนิ่งไปหลายอึดใจก่อนตอบกลับ
“สหายเต๋า หากภายหน้ามีเวลาก็มาพูดคุยกันที่ตระกูลเซี่ยของข้า! ”
“สหายเต๋ามีจิตเมตตา ไม่มุ่งแต่ฆ่าฟันให้สิ้น เรื่องนี้ข้าสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณสนับสนุนสหายเต๋า ตระกูลคงกระพันบุกเข้าสหพันธรัฐของสหายเต๋าไม่ดูตาม้าตาเรือ ต้องมีคำอธิบาย! ”มารเต๋าในจักรพิภพสำนักเสริมเอ่ยออกมาช้าๆ
หวังเป่าเล่อสีหน้าเรียบเฉยพลางประสานหมัดคารวะก่อนหมุนกายไปทางความว่างเปล่า ก้าวเดียวก็ปรากฏตัวขึ้นที่เขตแดนของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายกับใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ก่อนสาวเท้ากลับไปยังเต๋าฝั่งซ้าย
ศึกเดียว ปราบเทพ!
……………………………………….
[1] สว่างไสว
เมื่อวิชาจันทร์ข้างแรมปรากฏสู่สายตาจักรพรรดิสวรรค์ ความลึกลับมหัศจรรย์ของมัน ทำให้สุสานวิญญาณที่หนีไปไกลแล้วแต่ยังไม่ละสายตาไปจากสนามรบนี้สีหน้าเปลี่ยนไป
ไม่เพียงแค่เขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ตี้ซานก็เช่นกัน ในเวลานี้เผยสีหน้าเครียดขึงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิง ผู้อาวุโสตระกูลเซี่ย มารเต๋าแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ ปรมาจารย์สำนักดาราจันทร์ และปรมาจารย์ของเต๋าเก้ารัฐที่จับตามองอยู่
คนเหล่านี้ที่อยู่แถวหน้าในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ในนาทีนี้ต่างสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
ถึงอย่างไรคนหยางเต๋าก็ไม่อ่อนแอ สามารถสู้กับระดับจักรวาลได้ แม้จะไม่ใช่คู่ต่อสู้ แต่หากจะให้ทำให้สาหัสหรือถึงขั้นฆ่าให้ตาย สำหรับระดับจักรวาลก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงขนาดที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนที่พอฟัดพอเหวี่ยงเลยทีเดียว
แต่ตอนนี้…เต๋าจันทร์ข้างแรมที่หวังเป่าเล่อ เผยให้เห็นกลับมีพลังน่าอัศจรรย์ ถึงขนาดให้ความรู้สึกราวกับกาลเวลาอยู่ในมือของหวังเป่าเล่อ เพียงแค่ขยับไปตามใจ ก็ทำให้ร่างกายของคนหยางเต๋าคล้ายกับถูกควบคุม การสั่งการ…ส่งไปยังหน้านิ้วของหวังเป่าเล่อ
ท่ามกลางเสียงดังสนั่น คนหยางเต๋าส่งเสียงคำรามลั่นฟ้า ในพริบตาก็ปรากฏเขาสีดำโค้งสองเขาขึ้นบนหัว ราวกับจะขัดขืน ถึงอย่างไรเขาก็เป็นระดับจักรวาล แม้ตอนนี้จะดูเหมือนไม่พอ แต่ในขณะที่เกิดเสียงดังสนั่นสะท้อนขึ้น เขาทนต่ออาการบาดเจ็บกระอักเลือด ทนต่อเขาสีดำที่ออกมาจากรอยแตก ท้ายที่สุดก็ยังคงต้องถอยออกไปจากสนามรบอย่างฝืนทน ถอยออกไปสิบลี้ในพริบตา
ไม่มีการหยุดชะงักใดๆ เคลื่อนย้ายในพริบตา หนีไปอย่างไร้ร่องรอย
แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ยังคงสร้างความสั่นสะท้านในแก่ผู้คนอย่างมากมาย ถึงอย่างไรนี่…ก็เป็นชนชั้นสูงที่มีพลังระดับจักรวาลที่มีอยู่ในตอนนี้ และคนชั้นสูงแบบนี้…ต่อหน้าหวังเป่าเล่อ เพียงแค่นิ้วเดียว…กลับไม่กล้าสู้ต่อแล้ว
แม้นิ้วนี้จะแฝงเล่ห์เหลี่ยม แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่า…หวังเป่าเล่อยังมีเล่ห์กลอะไรอีกหรือไม่ ถึงอย่างไรไม่ว่าจะเป็นพลังระดับจักรวาลคนไหนก็มีเคล็ดวิชาลับด้วยกันทั้งนั้น
“หวังเป่าเล่อ! ”นัยน์ตาตี้ซานฉายรังสีฆ่าฟัน ไหวร่าง พยายามสลัดเส้นใยเต๋าธาตุไม้ คิดจู่โจมหวังเป่าเล่อ แต่พริบตาที่หวังเป่าเล่อโบกมือ ก็มีเส้นใยจำนวนมากขึ้น ขณะที่กำลังพันรัด เงาร่างของเขาก็พลันหายไปอีกครั้ง ปรากฏตัวอีกครั้ง…อยู่ที่ข้างปรมาจารย์เยาถงที่ถอยห่างออกไป
“เป็นเจ้าที่ขานชื่อข้า? ”หวังเป่าเล่อน้ำเสียงราบเรียบ แต่เมื่อลอยเข้าหูของเยาถงก็ราวกับสายฟ้าฟาด ทำให้ขณะที่นางหน้าซีดเผือด ร่างกายส่งเสียงดัง กลายเป็นหมอกมารถอยหลังออกไปด้วยความรวดเร็วโดยไม่ลังเล
ขณะที่ไอหมอกหมุนวน ก็ราวกับเห็นดวงตาข้างหนึ่งซ่อนอยู่ข้างใน ที่เวลานี้เต็มไปด้วยเส้นเลือด ราวกับสายตาสามารถมองทะลุได้ ทำให้ท้องฟ้าระหว่างหวังเป่าเล่อกับหมอกมารพังครืน และเมื่อพังถล่มลงมา เส้นเลือดในดวงตาก็มากขึ้นเท่าทวี คาดไม่ถึงว่าขณะที่ถอยหลัง ก็จะสลายหายไป ราวกับตกลงไปในกาลเวลา หายไปอย่างไร้ร่องรอย!
หวังเป่าเล่ออุทานอย่างแปลกใจ เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่าในโลกแห่งศิลายังสามารถใช้วิชากาลเวลาอะไรทำนองนี้ได้ด้วย ในใจก็อดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้ ไม่ใช้วิชาจันทร์ข้างแรม แต่กลับยกมือขวาขึ้นกดลงไปยังจุดที่เยาถงหายตัวไปเบาๆ
เวทแห่งเงาจันทร์พลันปรากฏ เพียงพริบตาก็ราวกับหยดน้ำหล่นลงสู่ผิวน้ำ เกิดเป็นระลอกกระจายไปทั้วทั้งสี่ทิศ พริบตาเดียวนับร้อยปี และหวังเป่าเล่อก็ก้าวเท้าเช้าไปในระลอกคลื่น
ร้อยปีก่อน ในท้องฟ้าใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ปรมาจารย์เยาถงกำลังควบม้า พริบตาต่อมาเงาร่างหวังเป่าเล่อก็เดินออกมา หนึ่งนิ้วจรดลง ฟ้าถล่มดินทลาย
สองร้อยปีก่อน ปรมาจารย์เยาถงกำลังถือสันโดษ แต่เพียงพริบตาสีหน้านางก็เปลี่ยนไป อยากจะหลบก็สายไปแล้ว มือข้างหนึ่งที่โผล่ออกมาจากอากาศกดลงบนหว่างคิ้วนาง
ห้าร้อยปีก่อน…
สามพันปีก่อน…
แปดพันปีก่อน…
สองหมื่นปีก่อน…
“เจ้าเป็นใคร! ”ในสายน้ำกาลเวลา เยาถงที่ยังไม่ถึงขั้นกึ่งระดับจักรวาลส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน ตรงหว่างคิ้วนางมีนิ้วอันหนึ่งที่กำลังดึงดวงตาสีเลือดดวงหนึ่งออกมาจากหว่างคิ้วนาง
ท่ามกลางความน่าเวทนา เวลาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง มาสู่จักรวาลสำนักแห่งความมืด มาจนถึงช่วงต้นของการกำเนิดจักรวาลผืนนี้ ในฐานะที่เป็นซากดวงตาที่จักรวาลยุคก่อนทิ้งไว้ เดิมลอยล่องอยู่ในท้องฟ้า พลังชีวิตข้างในกำลังจะฟื้นตื่น แต่นาทีต่อมา มีมือข้างหนึ่งออกมาจากท้องฟ้า คว้าจับดวงตาดวงนี้ไว้ในมือ
กระแสเต๋าของหวังเป่าเล่อแผ่ออก สะเทือนไปทั่วสารทิศอีกครั้ง
ผู้ที่เฝ้ามองศึกครั้งนี้ต่างเกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในจิตใจ ถึงขนาดที่มีคนลุกขึ้นยืน เวลาล่วงผ่านไปยี่สิบลมหายใจ
ดูเหมือนยี่สิบลมหายใจ แต่ในความเป็นจริง…ในกาลเวลาได้ผ่านไปนานแสนนานแล้ว
และเงาร่างของหวังเป่าเล่อก็ก่อขึ้นใหม่จากความเลือนลาง เงาร่างยังคงเดิม ท่าทางยังคงเดิม มีเพียงในมือ…มีดวงตาที่แผ่กลิ่นอายโบราณเพิ่มขึ้นมา
และเบื้องหน้าเขา…เดิมจุดที่ปรมาจารย์เยาถงหนีไป ในเวลาพลันบิดเบี้ยว ปรมาจารย์เยาถงไปและกลับมา พอปรากฏกายขึ้นก็กระอักเลือดคำโต มองไปทางหวังเป่าเล่อราวกับเห็นผี หากเป็นคนอื่น บางทีอาจจะยังไม่เข้าในว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองด้วยซ้ำ
ทว่า เดิมนางก็ฝึกเต๋าแห่งกาลเวลา ดังนั้นในเวลานี้ย่อมรู้ถึงความน่ากลัวของหวังเป่าเล่อและสิ่งที่ตนเจอมาอย่างดี นาง…ที่ในสายน้ำแห่งกาลเวลาถูกหวังเป่าเล่อฆ่าไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง จนกระทั่งครั้งสุดท้ายที่ช่วงต้นของจักรวาลผืนนี้ ดวงจิตของตัวเอง ในนาทีที่ยังกำเนิดไม่สมบูรณ์ ก็ถูกคนตรงหน้านี้เอาไป
หากแค่เอาไปก็ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็เกิดอยู่ที่กาลเวลา แต่ดัน…ถูกหวังเป่าเล่อพามายังยุคนี้เสียได้ ดวงตาที่อยู่ในมือของเขาในตอนนี้ก็คือแก่นสำคัญของตัวเอง
และแก่นสำคัญของตนแต่เดิม…ในเวลานี้กลับกลายเป็นภาพมายา ราวกับเมื่อเทียบกันแล้ว แก่นสำคัญของตนเป็นของปลอม
ในนั้นแฝงไว้ด้วยเต๋าแห่งกาลเวลาที่ทั้งลึกซึ้งและซับซ้อนมาก ที่แม้แต่นางก็ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ รู้สึกเพียงว่าหวังเป่าเล่อตรงหน้าน่ากลัวอย่างที่สุด
“ทั้งเรียกขานชื่อข้า ทั้งยังมีความสามารถอยู่บ้าง งั้นก็เป็นสาวรับใช้ข้าแล้วกัน ”หวังเป่าเล่อพูดขึ้นอย่างสบายๆ พลางเล่นดวงตาในมือ
ปรมาจารย์เยาถงนิ่งเงียบ ก้มหน้าอย่างจำนนก่อนก้าวไปคำนับ
“คารวะคุณชาย ”
คล้ายกับทำเรื่องเล็กๆ ไม่สำคัญ หวังเป่าเล่อไม่สนใจเยาถง แต่เงยหน้ามองไปทางตี้ซานที่ในเวลานี้สลัดหลุดจากเส้นใยเต๋าธาตุไม้ออกมาแล้ว
อันที่จริง ตี้ซานหลุดออกมาตั้งนานแล้ว แต่เต๋าแห่งกาลเวลาของหวังเป่าเล่อทำให้ลึกๆ ในใจเขาเกิดความหวาดกลัวอย่างรุนแรงขึ้น จึง…ไม่ลงมือ
แม้ตัวเองจะเป็นระดับจักรวาล และอีกฝ่ายจะเป็นกึ่งระดับจักรวาล แต่ตอนนี้เขาตระหนักได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้งว่าตัวเอง…ไม่มั่นใจ!
พูดให้ถูกก็คือ ไม่มั่นใจเลยสักนิด!
“สหายตี้ซาน ระหว่างเจ้ากับข้า ต้องสู้สักรอบไหม? ข้ามาที่นี่เพื่อเอาคำอธิบาย “หวังเป่าเล่อเอ่ยเรียบๆ
ตี้ซานนิ่งเงียบ อึดใจต่อมาความว่างเปล่าด้านหลังบิดเบี้ยว พลันปรากฏเงาร่างหนึ่งเดินออกมา…จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิง!
หลังจากเขาปรากฏตัวขึ้น ก็มองไปยังหวังเป่าเล่อด้วยแววตาหวาดกลัวเช่นกัน
แต่วินาทีถัดมา นักบุญมืดระดับจักรวาลของสำนักแห่งความมืดพลันปรากฏตัวขึ้นจากที่ไกลๆ จากนั้นสุสานวิญญาณที่หลบการต่อสู้ค่อยๆ หรี่ตาลง ก่อนระเบิดพลังในสนามรบ
เพียงเวลาสั้นๆ กวงหมิงก็ดี ตี้ซานก็ช่าง ก็ได้แต่นิ่งเงียบ
อึดใจต่อมา นัยน์ตาตี้ซานเผยแววเย็นเยียบ มองไปทางหวังเป่าเล่อพลางเอ่ยออกมาช้าๆ
“สหายหวัง ข้าอยากจะดู พลังเทพอันอื่นของเจ้า”
“สมปรารถนาเจ้า! ”หวังเป่าเล่อยิ้มน้อยๆ นิ้วมือขวาทั้งห้าคลายออก ดวงตะวันดวงหนึ่งปรากฏขึ้นในฝ่ามือเขาลางๆ และทั่วท้องฟ้าทุกสารทิศ…สว่างไสวขึ้นในพริบตา แต่ในความรู้สึกของทุกคน พริบตานี้…กลับกลายเป็นความมืดมิด!
มีเพียงเสียงของหวังเป่าเล่อที่ลอยออกมาเนิบๆ ดังก้องไปทั่วฟ้าดิน
“คืนพินาศ”
…………………………

ในใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น นอกแม่น้ำแห่งความมืด กองทัพสำนักแห่งความมืดกับพันธมิตรตระกูลคงกระพันกำลังสู้รบกัน เต็มไปด้วยเสียงฆ่าฟัน พลังเทพจำนวนมาก คลื่นวิถีเต๋ากระจายไปทั่วสารทิศ
ทว่าเวลานี้ พริบตาที่หวังเป่าเล่อยกเท้าและย่ำลงมา การสู้รบของตี้ซานกับคนเต๋าหยางและปรมาจารย์เยาถง รวมทั้งสุสานวิญญาณล้วนเกิดกระแสคลื่นในสัมผัสสวรรค์ ต่างมองไปโดยพร้อมเพรียง
เมื่อเทียบกับตระกูลคงกระพันสามคนนั้น ความรู้สึกของสุสานวิญญาณรุนแรงกว่ามาก เพราะ…ร่างเดิมของเขาคือต้นไม้สุสานวิวาณต้นหนึ่งพอดี และต้นไม้ก็คือพืช เดิมทีก็อยู่ในธาตุไม้
แม้เต๋าธาตุไม้ของหวังเป่าเล่อจะครอบคลุมอยู่แค่จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย แต่จากกระแสเต๋าที่แผ่กระจายออกมาจากการมาในเวลานี้ก็ยังคงทำให้สุสานวิญญาณสัมผัสได้ถึงพลังบีบคั้นรุนแรงและความคลุ้มคลั่งของสัมผัสสวรรค์ได้อยู่เช่นเดิม
แต่เขาก็ไม่ได้แปลกใจเท่าไร หรือพูดให้ถูกก็คือ สุสานวิญญาณ…คือคนส่วนน้อยที่สังเกตเห็นถึงแก่นแท้หลังจากได้เห็นหวังเป่าเล่อสัมผัสกับซวนฮว๋าแล้ว
จักรพรรดิสวรรค์ไม่สามารถมองได้อย่างทะลุปรุโปร่งก็เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ฝึกเต๋าธาตุไม้ แต่…เต๋าธาตุไม้ของสุสานวิญญาณทำให้เขาเข้าใจดีว่าทำไปหลังจากที่ซวนฮว๋ากลับไปแล้วถึงถือสันโดษในทันที
เนื่องจาก…ซวนฮว๋าเองก็ฝึกเต๋าธาตุไม้!
ดอกบัวสีดำสิบห้ากลีบนั่น ไม่ว่าจะมหัศจรรย์อย่างไร เปลี่ยนแปลงมาได้อย่างไร แต่ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลงเนื้อแท้ของมัน
ดังนั้น แม้ซวนฮว๋าจะเป็นระดับจักรวาล แต่วินาทีที่สัมผัสเข้ากับหวังเป่าเล่อ แก่นแท้ก็ยังคงถูกทำให้สั่นสะเทือนจนเกิดแรงสั่นสะเทือนที่คนนอกไม่สามารถสัมผัสได้และยากจะเข้าใจขึ้นขุมหนึ่งในสัมผัสสวรรค์
สุสานวิญญาณล้วนเข้าใจ ดังนั้นในเวลานี้เขาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย วินาทีที่กระแสเต๋าของหวังเป่าเล่อแผ่ออกมาก็ถอยหลังทันควัน สัญชาตญาณบอกเขาว่า ห้ามเข้าใกล้หวังเป่าเล่อ
ความรู้สึกที่ลึกที่สุดของเขาก็คืออีกฝ่ายเป็นดั่งน้ำวน หากตนเข้าใกล้ก็จะถูกกลืนเข้าไป และกลิ่นอายที่แฝงอยู่ในน้ำวนนั้นก็เป็นเหมือนต้นกำเนิดของตัวเอง
แรงบีบคั้นที่ราวกับมาจากธรรมชาติแบบนั้น ทำให้เขามีความรู้สึกเหมือนไร้พลัง นอกเสียจากว่าจะสามารถใช้เต๋านอกรีต หรือไม่ก็หวังเป่าเล่อถูกโค่น ไม่เช่นนั้นแรงบีบคั้นเช่นนี้ก็จะอยู่ตลอดกาลอีกทั้งจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
“คาดว่าซวนฮว๋าในตอนนี้ก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน! ”
และในขณะที่ถอยหลังออกมา นัยน์ตาตี้ซานก็ฉายรังสีฆ่าฟัน ท้องฟ้าสุดสายตาเขาในเวลานี้เกิดกระแสคลื่น หวังเป่าเล่อในชุดสีขาวสยายผมยาว เดินออกมาจากความว่างเปล่าทีละก้าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย เงาร่างเขาราวกับถูกวาดออกมา เริ่มจากโครงร่างค่อยๆ ชัดขึ้น จวบจนย่างเข้าสู่สนามรบ
พริบตาที่ปรากฏกายขึ้น กระแสเต๋าของเขาแผ่ปกคลุมไปทั่วสารทิศ ทำให้ทั้งสองฝ่ายในสนามรบ ไม่ว่าจะเป็นสำนักแห่งความมืดหรือพันธมิตรตระกูลคงกระพัน ต่อให้เต๋าสวรรค์ของพวกเขาจะไม่เหมือนกัน แต่พลังของธาตุทั้งห้าคือรากฐาน ดังนั้นผู้ฝึกตนทั้งสองฝ่ายสีหน้าแทบจะเปลี่ยนไปทั้งสิ้น ถอยหลังไปตามๆ กัน
สุสานวิญญาณรู้สึกได้ชัดมาก ถึงขนาดที่เมื่อเห็นเข้า ในใจลึกๆ ก็มีความรู้สึกอยากจะเข้าไปคำนับใน โชคดีที่ปราณของเขาลึกซึ้ง ยืมพลังเต๋าสำนักแห่งความมืดพยายามฝืนถอยออกไปด้วยความรวดเร็ว
ภาพเหตุการณ์นี้ ทำให้ดวงตาของตี้ซานค่อยๆ หรี่ลง ส่วนคนเต๋าหยางกับปรมาจารย์เยาถงนัยน์ตากลับหดเล็กลง วิธีการปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อ แม้จะไม่ได้รู้สึกประหลาดใจมากนัก แต่หลังจากเผยตัวขึ้นกลับก่อให้เกิดคลื่นเช่นนี้ได้ จุดนี้…พวกเขาทั้งสองทำไม่ได้
และสิ่งที่ทำให้พวกเขาทั้งสอง หรือแม้แต่ทุกคนในที่นี้ โดยเฉพาะตระกูลคงกระพันสั่นสะท้าน ก็คืออึดใจที่สองหลังจากหวังเป่าเล่อปรากกฏตัวขึ้น เกิดระลอกคลื่นไปทั่วท้องฟ้า เสียงกรีดร้องเสียงหนึ่งราวกับสะท้อนอยู่ในสัมผัสสวรรค์ของทุกคน ขณะที่ความว่างเปล่าบิดเบี้ยว พลันปรากฏด้วงเกราะดำสีทองขนาดมหึมาตัวหนึ่งที่เปี่ยมด้วยอานุภาพที่ทำให้ดวงวิญญาณเทพของทุกคนสั่นระริกขึ้น
นี่…ก็คือเต๋าสวรรค์ของตระกูลคงกระพัน
เพราะการมาของหวังเป่าเล่อมันจึงออกมาเอง นัยน์ตาฉายแววคลุ้มคลั่ง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น ส่งเสียงคำรามไปทางหวังเป่าเล่อไม่หยุด ราวกับกำลังแค้นเคืองที่หวังเป่าเล่อฉกพลังธาตุไม้ที่เป็นของมันไป
“หนวกหู! ”หวังเป่าเล่อสีหน้าปกติ หลังจากมองไปรอบๆ ก็เอ่ยพูดกับเต๋าสวรรค์ที่คำรามร้องไม่หยุดนั่นด้วยเสียงราบเรียบ มือขวายกชี้ไปทางมัน
เต๋าสวรรค์ที่ราวกับเป็นวิญญาณเทพในใจของผู้อื่น สำหรับหวังเป่าเล่อก็เป็นแค่สัตว์เลี้ยงเลอค่าที่ผู้อื่นเลี้ยงเอาไว้แค่นั้น คนอื่นๆ ทำอะไรไม่ได้ แต่ไม่รวมถึงเขา การผสานรวมของเมล็ดพันธุ์ธาตุเต๋าทำให้ตัวหวังเป่าเล่อขึ้นสู่ระดับสูงมากแล้ว ดังนั้นการชี้ครั้งนี้ แรงบีบคั้นพลันปรากฏขึ้น เพียงอึดใจก็ทำให้เต๋าสวรรค์ของตระกูลคงกระพันถอยไปอย่างรวดเร็ว แม้จะยังร้องคำรามอยู่แต่มีความหวาดกลัวฉายขึ้นในแววตา
ภาพฉากนี้ ก็ทำให้เกิดความสั่นไหวขึ้นในใจของผู้ฝึกตนทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะคนเต๋าหยางกับปรมจารย์ถงเยายิ่งใจสะท้าน ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็คาดไม่ถึงเลยว่าเหตุใดต่างเป็นพลังระดับกึ่งจักรพรรดิสวรรค์เหมือนกัน แต่หวังเป่าเล่อ…กลับทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกสั่นสะท้านขึ้นในใจลึกๆ ได้
ต้องรู้ว่า ถึงแม้จะอยู่ต่อหน้าตี้ซาน พวกเขาทั้งสองก็ไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้นมาก่อน ทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นพวกเขาจะมีความรู้สึกแบบนี้ก็เฉพาะกับเฉินชิงจื่อและบรรพบุรุษไม่รู้สิ้นเท่านั้น
และในวินาทีที่เกิดความสั่นสะท้านขึ้นในใจทั้งสอง ไอสังหารในแววตาของตี้ซานพลันปะทุขึ้น เขาก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่ง เลือนลางขึ้นในพริบตา ขณะที่ปรากฏตัวในพริบตาต่อมาก็มาอยู่ด้านหน้าหวังเป่าเล่อแล้ว มือขวายกขึ้นและกดฝ่ามือลงไปทางหวังเป่าเล่อทันที
และในขณะที่ฝ่ามือกำลังจะกดลงไป ด้านหลังเขาพลันปรากฏยอดเขาสูงเสียดฟ้าขนาดมหึมาขึ้นลูกหนึ่ง พลังปราณของเขาระเบิดออก กลิ่นอายเต๋าระดับจักรวาลแผ่ไปทั่วท้องฟ้า ทำให้ที่แห่งนี้จู่ๆ ก็ตกอยู่ภายใต้ผนึกบางอย่าง ในเขตแดนนี้ เต๋าของตี้ซานกำลังขึ้นสู่ระดับสูงสุด ส่วนเต๋าของคนอื่นๆ กลับถูกกดผนึกไว้
“เด็กน้อย! ! ”
หวังเป่าเล่อสีหน้านิ่งสงบ รับมือกับระดับจักรวาล เขาไม่หลบ มือขวายกขึ้นโบกไปด้านหน้า ฉับพลันนั้นเต๋าธาตุไม้ปรากฏขึ้นทำให้ผู้ฝึกตนนับแสนของทั้งสองฝ่ายในสนามรบนี้ล้วนตัวสั่นเทิ้ม ผู้ฝึกตนเกินกว่าครึ่งกลับมีเส้นใยสีเขียวออกมาจากร่าง
นี่คือกฎของเต๋าธาตุไม้ เพราะธาตุทั้งห้าเป็นรากฐาน ดังนั้นในชีวิตของผู้ฝึกตนส่วนมากย่อมต้องสัมผัสกับมันบ้าง และเพียงแค่สัมผัสก็จะมีร่องรอยอยู่ในร่าง นอกเสียจากจะเป็นเช่นหวังเป่าเล่อที่ถูกคนตัดเส้นใยขาด ไม่เช่นนั้น ในการตระหนักรู้ของหวังเป่าเล่อ ร่องรอยของเต๋าธาตุไม้เหล่านี้ก็จะสามารถกลายเป็นพลังของเขาทั้งหมด
ในเวลานี้แค่ชักนำเล็กน้อย เส้นใยสีเขียวที่ออกมาจากร่างของผู้ฝึกตนเกินครึ่งจากจำนวนนับแสนก็พุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อในทันที หมุนวนอย่างรุนแรงอยู่ตรงหน้าเขาจนเกิดเป็นน้ำวน ขณะที่ส่งเสียงดังสนั่นก็ไปพันฝ่ามือที่ตี้ซานกดลงมารวมถึงยอดเขามหึมาด้านหลังเขาด้วย
เวลาแค่พริบตา แม้ตี้ซานจะมีความรู้สึกราวกับถูกมัดไว้ หลังจากแค่นเสียง ภูเขาหินพังครืนลงมาเอง ขณะที่กำลังจะสะกดอีกครั้ง ทว่าเงาร่างหวังเป่าเล่อกลับหายไปจากที่เดิมก่อนแล้วก้าวหนึ่ง
วินาทีที่เขาหายไป คนเต๋าหยางกับปรมาจารย์เยาถงผงะไป ก่อนถอยหลังด้วยความรวดเร็วโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ทว่า…ยังคงสายไป หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกายคนเต๋าหยางด้วยสีหน้าเยียบเย็น มือขวายกขึ้นชี้…ตำแหน่งที่คนเต๋าหยางอยู่ก่อนหน้า แม้ในเวลานี้ตรงนั้นจะว่างเปล่า แต่คำพูดสองคำเรียบๆ ที่ลอยออกมาจากปากหวังเป่าเล่อสะท้อนไปทั่วทั้งสี่ทิศ
“จันทร์ข้างแรม ”
เมื่อสองคำนี้ลอยออกมาก คนเต๋าหยางสีหน้าตื่นตระหนก แม้ปราณจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ตอนนี้ราวกลับถูกจำกัดไว้ นอกร่างปรากฏกาลเวลาบิดม้วน เงาร่างของเขาราวกับถูกกาลเวลาดึงกลับไป วินาทีที่เวลาย้อนกลับ ปรากฏตัวอยู่ที่…สิบลมหายใจก่อนหน้า จุดเดิมที่เขาเคยอยู่
หรือก็คือ…จุดที่นิ้วมือของหวังเป่าเล่อชี้อยู่ในตอนนี้ ทำให้นิ้วของเขา…จรดลงหว่างคิ้วของคนเต๋าหยางพอดิบพอดี!
ตู้ม!
……………………

ถือสันโดษจนถึงตอนนี้ หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงผู้ฝึกธาตุไม้ได้เยอะแล้ว และในเวลาเดียวกันก็มีแนวทางให้กับการเลือกเต๋าต่อไปให้ตัวเองแล้วเช่นกัน
ประเด็นสำคัญนัันขึ้นอยู่กับว่าเขาจะสามารถหาสมบัติล้ำค่าอันไหนในธาตุทองน้ำไฟดินที่จะสามารถทำเป็นเมล็ดพันธุ์เต๋าได้ก่อน สมบัติล้ำค่านี้ ระหว่างที่หวังเป่าเล่อถือสันโดษ ได้รวบรวมความคิดของสัมผัสสวรรค์ธาตุไม้และต้นไม้ใบหญ้าในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย และสำรวจทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย
ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายมีสมบัติล้ำค่าอย่างหนึ่งที่สอดคล้องกับเงื่อนไขอยู่จริง หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจว่าสมบัติล้ำค่านี้เรียกว่าอะไร แต่เขารู้สึกได้ว่า…สมบัติล้ำค่าชิ้นนี้เป็นธาตุน้ำที่อยู่ใน…สำนักเต๋าเก้ารัฐ
จากการวิเคราะห์ของหวังเป่าเล่อ ของสิ่งนี้…น่าจะเป็นตัวนำที่ปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐใช้ลองพยายามก้าวสู่ระดับจักรวาล มีค่าเหลือประมาณ สำหรับปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐแล้วยิ่งเป็นสิ่งเกื้อหนุนเต๋าของเขา ไม่สามารถได้มาง่ายๆ อย่างแน่นอน
ส่วนเต๋าธาตุไฟ ที่จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายไม่มี แม้ตัวช่วยฝึกของปรมาจารย์แห่งไฟจะเป็นไฟ แต่จากการสังเกตของหวังเป่าเล่อ ไฟนี้ส่วนมากจะมาจากคำสาป ไม่ใช่จากเต๋าของตัวเอง
และเปลวไฟสีดำก็รวมอยู่ในนั้นด้วย แต่ก็ยังคงเป็นเต๋าของผู้อื่น อีกทั้งจุดสิ้นสุดของต้นกำเนิดมีจำกัด ไม่ใช่สิ่งที่จะเผาไหม้ได้ดี จากการปรึกษาหารือกับปรมาจารย์แห่งไฟ ปรมาจารย์แห่งไฟก็นึกถึงตำนานเรื่องหนึ่ง
เล่ากันว่า ที่จักรพิภพสำนักเสริมเคยปรากฏไฟชนิดหนึ่งขึ้น ไฟนี้ลุกไหม้อยู่ในกาลเวลา เติบโตอยู่ในวันเวลา ปรากฏขึ้นหลายครั้ง แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีใครพิชิตได้
หวังเป่าเล่อรู้สึกว่า นี่อาจจะไม่เป็นอย่างที่ตนคิดก็ได้ และไฟที่เขามี นอกจากเปลวไฟสีดำแล้ว ยังมีไฟอัคคีในอดีตชาติ สิ่งเหล่านี้ทำให้หวังเป่าเล่อขบคิดเรื่องเต๋าธาตุอยู่นาน
ยังมีเต๋าธาตุทอง ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็ยังขาดสิ่งที่จะบรรจุเช่นกัน แต่หวังเป่าเล่อมีแผนสำหรับเต๋าธาตุทองแล้ว คล้ายกับว่าอยู่ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ส่วนอันสุดท้ายเต๋าธาตุดิน จากความรู้สึกของหวังเป่าเล่อหรือบางทีอาจเป็นเพราะความเกี่ยวข้องของเต๋าธาตุไม้กับดิน เขารู้สึกอยู่ลึกๆ ว่า…ในตระกูลคงกระพันมีสิ่งที่เหมาะสมกับการบรรจุเต๋าของตนอยู่
ทว่าสหพันธรัฐในตอนนี้นับว่าเป็นกลาง หากอยากได้สิ่งบรรจุเต๋าเหล่านี้ เขาจำเป็นต้องมีเหตุผลในการลงมือ และขณะที่เขากำลังคิดว่าจะหาเหตุผลอะไรดี เทพอัฐิกับซวนฮว๋าก็มาพอดี
คนแรกเขารู้สึกคาดไม่ถึงอยู่บ้าง ส่วนคนหลัง…เขาไม่แปลกใจหรือพูดได้ว่า เป็นอย่างที่คิด!
และวิธียั่วยุและการมาของระดับจักรพรรดิสวรรค์ทั้งสองคนนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเห็นโอกาส ส่วนท่าทีของเฉินชิงจื่อก็อดทำให้หวังเป่าเล่อถอนหายใจเบาๆ ออกมาไม่ได้ ฝึกได้ถึงขั้นเขาแล้ว จะไม่รู้ว่าเทพอัฐิกับซวนฮว๋ามาได้อย่างไร เห็นได้ชัดว่าคนแรกอยู่ในเจตนารมณ์ของเขา
หรืออาจจะมีจุดประสงค์อื่นอยู่ แต่บางที…อาจจะเป็นวิธีใช้เขาเป็นตัวช่วยหวังเป่าเล่อ เพราะไม่ว่าอย่างไร จากสถานการณ์ในตอนนี้ก็เป็นเหตุผลที่ดีที่สุดที่หวังเป่าเล่อจะลงมือ
ดังนั้น หลังจากหวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่ง ธรรมกายของเขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นอกระบบสุริยะค่อยๆ ลุกยืนขึ้นก้าวไปทางท้องฟ้า นาทีนี้สายตาจำนวนมากจับจ้องมา
ปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐและมารเต๋าของจักรพิภพสำนักเสริมรวมทั้งตระกูลคงกระพันและสำนักแห่งความมืดที่กำลังสู้กันอยู่ทั้งสองฝ่าย เหล่าชนชั้นสูงในโลกแห่งศิลา ในเวลานี้ล้วนมองไปทางที่หวังเป่าเล่ออยู่
ภายใต้สายตาจำนวนมากที่จ้องมองมา ร่างกายทรงพลังของหวังเป่าเล่อดูเล็กลงตามก้าวที่ย่างเดินไป จนกระทั่งเดินผ่านดาวเคราะห์ที่เต๋าเก้ารัฐอยู่ก็กลายร่างเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง เท้าพลันหยุดชะงักเล็กน้อย
การหยุดชะงักของเขาทำให้สีหน้าของปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐเคร่งขรึมขึ้นในพริบตา พลังปราณถูกกระตุ้นให้เคลื่อนวนโดยอัตโนมัติ แม้แต่วงแหวนปราณหน้าประตูภูเขาเต๋าเก้ารัฐก็ถูกกระตุ้นขึ้นเช่นกัน พลังบีบคั้นรุนแรงขุมหนึ่งแผ่ออกมาจากหวังเป่าเล่อแผ่คลุมไปทั่วดาวเคราะห์เต๋าเก้ารัฐ
ทำให้เหล่าผู้ฝึกจิตใจสั่นสะท้าน หวังเป่าเล่อไม่แม้แต่จะปรายตาแล หลังจากชะงักไปอึดใจ ท่ามกลางเสียงผ่อนลมหายใจ ก็เดินผ่านประตูภูเขาของเต๋าเก้ารัฐ มุ่งหน้าไป…ชายเขตของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย
หวังเป่าเล่อชะงักเท้าอีกครั้งเมื่อถึงตรงนี้ เขาไม่เคยมีความคิดที่จะออกจากจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายจริงๆ มาก่อนเลย เวลานี้แววตานิ่งสงบราวกับกำลังอยู่ในห้วงความคิด และการหยุดชะงักอีกครั้งของเขาก็ทำให้สายตาจำนวนมากที่จับจ้องเขาค่อยๆ หรี่แคบลง
ในจักรพิภพสำนักเสริม มารเต๋าแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ นัยน์ตาหรี่ลงเพ่งมองจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่พลางพึมพำว่า
“ตอนนี้เจ้า…พลังต่อสู้อยู่ระดับไหนกันแน่? ”
การลงมือของเทพอัฐิกับซวนฮว๋า เขาดูไม่ออก ภาพฉากนั้นจะพูดว่าหวังเป่าเล่อชนะก็ได้หรือจะพูดว่าเทพอัฐิกับซวนฮว๋าถอยออกมาก่อนก็ได้
ส่วนรายละเอียดปลีกย่อย บางทีคงมีแต่คนในเรื่องเท่านั้นที่รู้ดีที่สุด
ในเวลาเดียวกัน ที่สำนักดาราจันทร์ ที่หน้าน้ำตกด้านหลังภูเขา ปรมาจารย์ดาราจันทร์ที่นั่งขัดสมาธิลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววคาดหวัง
และในใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น เวลานี้ ผู้อาวุโสตระกูลเซี่ยเพ่งสายตามองตระกูลคงกระพันก่อนมองไปทางหวังเป่าเล่อที่ยืนจมอยู่ในห้วงความคิดที่ชายแดนจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย
ขณะเดียวกัน ในตระกูลคงกระพัน ทันทีที่ซวนฮว๋ากลับเข้ามาก็เลือกถือสันโดษ ไม่มีเสียงโต้ตอบใดๆ เรื่องนี้ดูแปลกอยู่บ้าง
ส่วนทางปรมาจารย์เต๋าไม่รู้สิ้นก็เงียบกริบราวกับตกอยู่ในเรื่องที่ไม่สามารถรบกวนได้ แม้แต่จักรพรรดิสวรรค์จีเจียที่เป็นร่างอวตารก็ไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง
จุดนี้ ผู้อาวุโสตระกูลเซี่ยพอเดาได้คร่าวๆ จักรพรรดิสวรรค์จีเจียกับจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงที่นั่งสั่งการอยู่ที่ตระกูลคงกระพันก็เดาได้ลางๆ เช่นกัน คาดว่าคงเป็นเฉินชิงจื่อถือโอกาสใช้เรื่องนี้ปิดบังเรื่องราวก่อนลงมือ
ทำให้จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงรู้สึกเครียดอยู่บ้าง เรียกจักรพรรดิสวรรค์ตี้ซานที่รบอยู่ข้างนอกให้กลับมาโดยเร็วที่สุด และเห็นได้ชัดว่าในเวลานี้ตี้ซานไม่เห็นด้วย เขากำลังสู้อยู่กับกองทหารแนวหน้าสุสานวิญญาณเหล่าชนชั้นสูงระดับจักรวาลของสำนักแห่งความมืดที่นอกแม่น้ำแห่งความมืดอยู่
สนามรบมีพลังเทพมหาศาล วิถีเต๋าสั่นคลอนไปทั่ว ในศึกนี้ยังมีสองในสามที่อยู่ระดับกึ่งจักรพรรดิสวรรค์ สองคนนี้คนหนึ่งเป็นคนเต๋าหยางจากตระกูลแกะนิล ร่างเดิมของเขาเป็นแกะสีดำตัวหนึ่งที่อยู่ตั้งแต่กำเนิดโลก ป่าเถื่อนอย่างที่สุด ทรงพลังจนน่าหวาดกลัว หากไม่ใช่เพราะสาเหตุพิเศษบางอย่างเกรงว่าคงก้าวสู่ระดับจักรวาลไปนานแล้ว
อีกผู้หนึ่งกลับเป็นผู้หญิง หญิงผู้นี้สวมชุดกี่เพ้าสีดำที่ปักลายดวงตาขนาดเล็กๆ ใหญ่ๆ เต็มไปหมดดูประหลาดยิ่ง ชวนให้หวาดผวา นางก็คือปรมาจารย์ที่มาจากตระกูลเยาถง ลือกันว่าร่างเดิมของนางเป็นดวงตาของชนชั้นสูงผู้หนึ่งในจากยุคก่อนหน้า จากการเปลี่ยนแปลงยุค ผู้เยี่ยมยุทธ์ผู้นั้นมีดวงตาข้างหนึ่งที่เก็บมาจนถึงยุคนี้
สองคนนี้ล้วนเป็นปราณที่น่าสะพรึงไม่แพ้ระดับจักรวาล มีพลังต่อสู้ระดับจักรพรรดิสวรรค์ ในสนามต่อสู้นี้ พวกเขาทั้งสองก็สังเกตเห็นคลื่นดวงจิตเทพที่จักรพรรดิสวรรค์ตี้ซานได้รับจึงมองตามไปด้วย
“ก็แค่เด็กน้อยคนหนึ่ง กวงหมิงระวังเกินไปแล้ว ”ตี้ซานเคยเจอหวังเป่าเล่อมาก่อน ในสายตาของเขา หวังเป่าเล่อในเวลานั้นก็เหมือนกับมด หากไม่ใช่เพราะเฉินชิงจื่อห้ามไว้ ดวงจิตเทพของเขาเพียงดวงเดียวก็สามารถทำให้เขาวิญญาณดับสลายได้แล้ว
“หวังเป่าเล่อ? ”ปรมาจารย์เยาถงถามอย่างลังเล
ไม่ทันให้ตี้ซานตอบ เขาพลันหันหน้าไปทางท้องฟ้าอันห่างไกลอย่างกะทันหัน คนเต๋าหยางกับถงเยาก็หันมองไปพร้อมกันด้วยเหตุบางอย่าง สุสานวิญญาณของสำนักแห่งความมืดหน้าเปลี่ยนสีพร้อมหันไปในพริบตา
วินาทีที่สายตาของพวกเขามองไป…ที่ชายแดนจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย หวังเป่าเล่อยกเท้าก้าวออกมา ย่างเข้าสู่ใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น กระแสเต๋าดวงจิตเทพพลันปะทุ ขณะที่กวาดไปทั่วทั้งใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น เขาก็สัมผัสได้ถึงสนามรบที่พวกตี้ซานอยู่ ที่นั่นมีคน เอ่ยชื่อเขา!
แววตานิ่งสงบ ก้าวที่สองต่อไป เป้าหมาย…ก็คือสนามรบ!
………………………………………
ความคิดนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อเผยสีหน้าประหลาด เขารู้สึกว่าไม่ใช่เป็นไปไม่ได้ แม้ความเป็นไปได้จะไม่สูงมาก ถึงอย่างไรหากร่างเดิมของตัวเองเป็นธาตุไม้หนึ่งในห้าธาตุของจักรวาลจริง เช่นนั้น…เต๋าธาตุไม้ขั้นสูงสุดของตัวเองในตอนนี้ ทำไมถึงได้ล้มเหลวเป็นร้อยครั้งจึงจะเกิดเป็นเมล็ดพันธุ์เต๋าได้ล่ะ

 

“ยิ่งกว่านั้น หากร่างเดิมของข้าเป็นธาตุไม้จริง เช่นนั้นจะเป็นใครที่สามารถสั่งการให้ตอกลงในหว่างคิ้วของมหาเทพ อีกอย่าง…ทำไมต้องใช้ต้นกำเนิดธาตุไม้ตอกมหาเทพ?”

 

“ตามหลักการแล้ว ต้นกำเนิดธาตุไม้เดิมก็ลอยตัวอยู่เหนือไปแล้ว เป็นหนึ่งในกฎพื้นฐานในการสร้างจักรวาล ไม่น่าเป็นไปได้ที่มีจิตสำนึกเป็นของตัวเอง และเป็นไปได้ที่จะมีคนไปสั่นคลอน…”

 

“นอกเสียจาก…ไม่มีคนสั่นคลอนแล้ว แต่ด้วยจุดประสงค์บางอย่างทำให้ต้นกำเนิดธาตุไม้ลงมือเองตามสัญชาตญาณ เพราะมหาเทพลองสั่นคลอนต้นกำเนิดทั้งห้าธาตุ?” จากความคิดหนึ่ง ในหัวของหวังเป่าเล่อก็เกิดความรู้สึกนึกคิดขึ้นมามากมาย ก่อนจะยิ้มออกมาทันที แม้จะไม่คิดว่าเรื่องนี้เหลวไหลเกินไป แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจจริงจัง

 

ท้ายที่สุด เขาก็ยังคงรู้สึกว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาอย่างหนึ่งเท่านั้น

 

“เมล็ดพันธุ์ธาตุไม้กำเนิดขึ้น เต๋านี้ก็เป็นแค่ขั้นแรก มองได้ว่าเป็นระดับชั้นต้น ต่อจากนี้ยังต้องตระหนักรู้อยู่ทุกขณะ จวบจนรับธาตุไม้ของจักรพิภพสำนักเสริมหรือใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นเข้ามาในต้นกำเนิดธาตุไม้ของข้า ก็จะก้าวสู่ระดับชั้นกลาง หากผสานรวมเข้าได้ทั้งหมดก็จะเป็นชั้นมหาวัฏจักร”

 

“ที่ข้าต้องการ ก็คือชั้นมหาวัฏจักรเท่านั้น ”หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง หลังจากงึมงำเรื่องเต๋าธาตุไม้ การถือสันโดษของเขายังคงดำเนินต่อไป เพิ่มพลังต้นกำเนิดธาตุไม้ของตน และในเวลานี้ หลังจากที่ฝึกเต๋าธาตุไม้ แม้พลังปราณจะเพิ่มขึ้นไม่มากเท่าไร แต่ทางด้านการต่อสู้กลับเพิ่มสูงขึ้นไม่น้อย

 

ด้านหนึ่งเป็นเพราะวิถีเต๋าพินาศที่มีความทรงพลังแฝงอยู่ ทำให้หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าหากใช้ขึ้นมาเมื่อไรก็จะต้องเขย่าขวัญไปทั่วอย่างแน่นอน

 

อีกด้านหนึ่ง ก็เป็นเพราะจากความเข้าใจของเต๋า หวังเป่าเล่อในตอนนี้นับได้ว่าก้าวสู่ประตูระดับสูงของจักรวาลแล้ว การกระทำและคำพูด แม้กระทั่งสายตาก็แฝงไว้ด้วยกระแสเต๋าของเขา

 

ส่วนเลื่อนถึงระดับไหน หวังเป่าเล่อไม่เคยประมือกับระดับจักรวาลจริงๆ มาก่อน แม้เขาจะมั่นใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่สามารถนำมาอ้างอิงได้

 

“ไม่ต้องรีบร้อน…” หวังเป่าเล่อยิ้มน้อยๆ ปิดเปลือกตาลง จมสู่การตระหนักรู้เต๋าธาตุไม้อีกครั้ง จากนั้นในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ต้นไม้ใบหญ้าล้วนสั่นไหว ผู้ฝึกเต๋าธาตุไม้ทั้งหลายก็ยิ่งเคารพยำเกรง

 

ยิ่งกว่านั้น จากการถือสันโดษตระหนักรู้ของหวังเป่าเล่อ จิตสำนึกของเขาราวกับแยกแตกออกไปนับไม่ถ้วน ผสานรวมกับต้นไม้ใบหญ้าแต่ละต้น จับจ้องกาลเวลาที่ไหลไป

 

ความรู้สึกผุดขึ้นในก้นบึ้งจิตใจของผู้ฝึกพลังธาตุไม้แต่ละคน ยืมใช้การรับรู้สัมผัสของตัวผู้ฝึกตนในการสัมผัสรับรู้ร่องรอยวิถีเต๋าในโลกภายนอก

 

พูดได้ว่า เวลานี้ไม่มีที่ใดไร้หวังเป่าเล่อ

 

เวลาเคลื่อนผ่านไปอีกครั้ง สงครามที่เกิดขึ้นในใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ขยายออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ ระดับการสู้รบก็เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลกระทบเช่นนี้

 

สงครามระหว่างจักรพรรดิสวรรค์ก็ถี่มากขึ้นเช่นกัน

 

การลงมือของเทพอัฐิ สุสานวิญญาณ นักบุญมืด จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิง จักรพรรดิสวรรค์ตี้ซานและจักรพรรดิเสวียนหัวก็ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น อีกทั้งการปรากฏของเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดทำให้วัฏจักรไม่เกิดขึ้น ผู้ตายไม่สามารถใช้เต๋าสวรรค์ๆไม่รู้สิ้นเกิดใหม่ได้ ดังนั้นขณะที่บาดเจ็บล้มตาย…วิญญาณในแม่น้ำแห่งความมืดก็ยิ่งเยอะขึ้นหลายเท่าตัว

 

นั่นทำให้สำนักแห่งความมืดยิ่งแข็งแกร่งขึ้น แต่ตระกูลไม่รู้สิ้นก็ประหลาดนัก ทั้งๆ ที่รู้ว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป สำนักแห่งความมืดก็จะยิ่งแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ ทว่าก็ยังคงเลือกที่จะให้คนเข้าไปในโม่หินเลือดนี้

 

ทั้งสองฝ่ายราวกับตั้งใจยืดเวลาตัดสินสงคราม ต่างกำลังเดินตามแผนการบางอย่าง

 

ไม่เพียงแค่ตระกูลไม่รู้สิ้นเท่านั้น จักรพิภพสำนักเสริมและจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็ยากจะนิ่งดูดาย ต่างส่งสำนักตระกูลต่างๆ เข้าร่วมในสงคราม แม้กระทั่งเหล่าชนชั้นสูงก็ยังต้องไปตามคำสั่งของตระกูลไม่รู้สิ้น

 

และก็มีผู้ที่พยายามเลี่ยงถ่วงเวลา แต่…สำหรับสำนักเช่นนี้ ตระกูลไม่รู้สิ้นก็ลงมือปราบด้วยความเด็ดขาดอย่างไม่ลังเล ทำให้สำนักอื่นที่คิดจะหนีสงครามหวาดกลัวสั่นเทิ้ม ทำได้เพียงออกรบ

 

โชคดีที่กลุ่มที่มีอำนาจอย่างเช่นสหพันธรัฐ และตระกูลใหญ่ห้าอันดับในจักรพิภพยังมีคุณสมบัติและเบื้องลึกเบื้องหลังที่พอจะไม่เข้าร่วมได้ แต่ก็คาดว่า จากระดับสงครามที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่ายิ่งช่วงหลัง สำนักที่จะยืนหยัดต่อแรงบีบคั้นก็คงน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

 

ทว่ามองจากตอนนี้ สถานะของสหพันธรัฐยังคงเหนืออยู่มาก เป็นเพราะหวังเป่าเล่อ ดังนั้นผู้ฝึกตนที่ถูกมอบหมายให้ไปรายงานสถานกาณ์ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นจึงไม่ได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลไม่รู้สิ้นหรือสำนักแห่งความมืดราวกับตั้งใจหลบเลี่ยง

 

ทุกอย่างกินระยะเวลาเช่นนี้ไปสามปี

 

ในสามปีนี้ สำนักจำนวนมากในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายมีจำนวนคนลดลงอย่างรวดเร็ว สงครามระหว่างสำนักแห่งความมืดและตระกูลไม่รู้สิ้นมีหลายครั้งที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงถึงในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ถึงขนาดที่ครึ่งปีก่อน การต่อสู้ของเทพอัฐิกับเสวียนหัวได้สู้กันจนถึงเขตที่ค่อนข้างลึกของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย กระทบต่ออารยธรรมต่างๆ นับพัน จนทำให้จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายสั่นสะท้าน

 

ท้ายที่สุดปรมาจารย์แห่งไฟเลือกลงมือเอง ปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐก็ใช้วิชาพิเศษปล่อยกระแสเต๋าข้ามอากาศออกไปเป็นแรงบีบคั้น ทำให้เทพอัฐิและเสวียนหัวสงบเสงี่ยมขึ้นบ้าง

 

ทว่าหลังจากนั้น เสวียนหัวและเทพอัฐิกลับมองไปทางระบบสุริยะพร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย เสวียนหัวหรี่ตาลง เทพอัฐิกลับฉายแววดูถูกขึ้นในสายตา

 

“ถูกผู้อื่นตีเข้ามาในประตูบ้านแล้วยังไม่ปรากฏตัว ดูท่าเจ้าแห่งเต๋าสหพันธรัฐ ยิ่งเดินลึกขึ้นก็ยิ่งขี้ขลาด”

 

บางทีการต่อสู้ครั้งนี้อาจจะเป็นการแอบหยั่งเชิงของทั้งสองคน ดังนั้นหลังจากหยุดลงมือแล้ว แม้ปรมาจารย์แห่งไฟและปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐจะปล่อยแรงบีบคั้นออกมา แต่ก่อนที่พวกเขาจะจากไปกลับประมือกันขึ้นมาอย่างฉับพลัน อีกทั้งการปะทะกันครั้งนี้ก็รวดเร็วมาก สิ้นเสียงคำรามก็เข้าใกล้ในเขตระบบสุริยะอย่างรวดเร็ว

 

เห็นได้ชัดว่า…หวังเป่าเล่อถือสันโดษหลายปี ไม่ได้ปรากฏตัวต่อเหล่าชนชั้นสูงในโลกแห่งศิลา ดังนั้นการหยั่งเชิงของตระกูลคงกระพันจึงเกิดขึ้น ส่วนเทพอัฐิก็เห็นได้ชัดว่าเลือกที่จะร่วมมือมาหยั่งเชิงระบบสุริยะด้วยความต้องการของตนเอง

 

เห็นเช่นนี้ ปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐจึงยั้งมือไว้ไม่ไปห้ามปรามและเฝ้าดูอย่างใกล้ชิดแทน ส่วนปรมาจารย์แห่งไฟกลับขมวดคิ้วมุ่น ยืดกายลืมตาขึ้นจากการนั่งขัดสมาธิที่ระบบสุริยะ

 

ทว่าพริบตาต่อมา…

 

ต้นไม้ใบหญ้าทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็แผ่ไอสังหารออกมาในพริบตา ตั้งตรงขึ้นราวกับมีดคมกริบที่ชี้ไปยังท้องฟ้า อีกทั้งยังมีเส้นแผ่กระจายไปทั่วในความว่างเปล่า

 

เวลาเดียวกันผู้ฝึกพลังธาตุไม้ทุกคนร่างกายสั่นเทา ปรากฏน้ำวนขึ้นที่หว่างคิ้ว ในน้ำวนนี้ราวกับมีเส้นใยล่องหนลอยเข้าไปในอากาศ

 

เพียงพริบตา นอกระบบสุริยะ เงาร่างของเทพอัฐิและเสวียนหัว ขณะที่กำลังปะทะกันอย่างดุเดือด ตอนนั้นเองร่างธรรมของหวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่นอกระบบสุริยะ มือขวาก็ค่อยๆ ยกสูง

 

จากนั้น เส้นใยก็พุ่งออกมาจากอากาศทั่วทุกสารทิศไปรวมกันที่มือขวาของเขา ท้ายที่สุดก็กลายเป็นนิ้วขนาดยักษ์ที่เกิดขึ้นจากเส้นใยเต๋าธาตุไม้จำนวนนับไม่ถ้วน

 

นิ้วนี้ใหญ่มาก คล้ายกับว่าหากดารานิรันดร์มาอยู่ตรงหน้าก็มีขนาดแค่ปลายนิ้วเท่านั้น ภายในเต็มไปด้วยพลังธาตุไม้จากจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ในเวลานี้หลังจากยกขึ้นก็หันไปทางร่างของเทพอัฐิและเสวียนหัวที่กำลังใกล้เข้ามา ก่อนกดลงไปในทันที

 

สีหน้าของเทพอัฐิและเสวียนหัวเคร่งเครียดขึ้นในพริบตา ก่อนจะแยกออกจากกัน ไม่ต่อสู้กันอีกแต่ลงมือพร้อมกันแทน ด้านหลังเทพอัฐิมีโครงกระดูกมนุษย์ขนาดยักษ์ปรากฏขึ้น ด้านหลังเสวียนหัวก็ปรากฏดอกบัวสีดำที่มีสิบห้ากลีบดอกหนึ่ง ในแต่ละกลีบมีใบหน้าบิดเบี้ยวที่สัมผัสกับนิ้วที่หวังเป่าเล่อกดลงมา

 

พริบตานี้ ทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น เหล่าชนชั้นสูงทั้งหลายต่างจิตใจสั่นสะท้าน ใช้ทุกวิธีในการตรวจหาการต่อสู้นี้ และในดวงจิตเทพของทุกคน ตรงที่นิ้วธาตุไม้สัมผัสโดนกับระดับจักรวาลทั้งสอง ความว่างเปล่าพังถล่ม ขณะที่เงียบไร้เสียง มนุษย์โครงกระดูกยักษ์เซถอย ดอกบัวของเสวียนหัวก็มลายหายไป เจ้าตัวเซถอยไปเช่นกัน

 

ใครแพ้ใครชนะ มองไม่ชัด ส่วนนิ้วนั้นกลับหยุดชะงักลง จากนั้นร่างธรรมขนาดใหญ่ของหวังเป่าเล่อก็ลืมตา

 

“เฉินชิงจื่อ เว่ยยางจื่อ ให้คำอธิบายกับผู้แซ่หวังเดี๋ยวนี้!”

 

แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่คำพูดของหวังเป่าเล่อลอยออกมา นอกจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย เทพอัฐิที่กำลังก้าวออกจากที่นี่ร่างกายพลันสั่นสะท้าน เงาร่างเฉินชิงจื่อก้าวออกมาจากข้างตัวเขาก่อนยกมือขึ้นกดลงในทันทีด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ไม่มีโอกาสให้เทพอัฐิได้อธิบายแม้แต่น้อย

 

ท่ามกลางเสียงดังสนั่น ร่างเทพอัฐิแยกออกเป็นชิ้นๆ แม้พริบตาต่อมาจะกลับมารวมกันอีกครั้ง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าอ่อนแรงลงไปไม่น้อย มันมองเฉินชิงจื่อด้วยสีหน้าหวาดกลัวปิดปากเงียบ

 

จากนั้นเฉินชิงจื่อจึงพยักหน้าไปทางจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ก่อนหมุนกายพาเทพอัฐิก้าวเข้าสู่ความว่างเปล่า ทางด้านเสวียนหัว…ตระกูลไม่รู้สิ้นไร้ปฏิกิริยาใดตอบโต้ ให้เสวียนหัวก้าวเข้ามาในความว่างเปล่า กลับตระกูลไม่รู้สิ้นด้วยตัวเอง

 

เห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อผู้ถือสันโดษอยู่ที่นครดาวอังคารหลายปีจึงเงยหน้า

 

“ดูท่า ต้องออกไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อยแล้ว”

 

……………………………………….
เหล่าชนชั้นสูงในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นทุกคนล้วนสั่นสะเทือน โดยเฉพาะในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ขณะที่ต้นไม้ใบหญ้าและผู้ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไม้ทั้งหมดจิตใจสั่นสะท้าน หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิถือสันโดษอยู่ที่นครดาวอังคารใหม่ในระบบสุริยะพลันลืมตาขึ้น
ในเวลานี้บริเวณรอบด้านเต็มไปด้วยตราผนึก ตราผนึกเหล่านี้กำลังเคลื่อนเข้าใกล้เขาราวกับร่างของหวังเป่าเล่อเป็นหลุมดำ ทำให้ตราผนึกที่กำลังเปล่งแสงทั้งหมดล้วนถูกดูดเข้าไปในร่าง ก่อนสลายหายไปในร่างเขา
แต่ความจริงแล้ว…ผนึกนับสิบล้านที่ปรากฏขึ้นอย่างราบรื่นในครั้งเดียวจากการทดลองนับร้อยครั้งของหวังเป่าเล่อ เวลานี้ไม่ได้สลายหายไปแต่อย่างใด แต่ผสานรวมกันอยู่ในร่างของเขากลายเป็น…เมล็ดพันธุ์เต๋าอันหนึ่ง!
นี่ก็คือเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไม้
เป็นเต๋าอันดับแรกในการฝึกเต๋าแปดปรมัตถ์ เป็นรากฐานเต๋าของเต๋าธาตุไม้ขั้นสูงสุด
เมื่อเมล็ดพันธุ์เต๋าสมบูรณ์ พลังธาตุไม้ทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็ผุดขึ้นมาในการรับรู้ของหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกราวกับได้ย้อนกลับไปเป็นเทพเจ้าที่ระลึกชาติอยู่ ณ ดาวเคราะห์ชะตา
เพราะเขาสามารถรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของต้นไม้ใบหญ้าทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายได้ จนถึงขนาด…คล้ายกับเกิดความสัมพันธ์ที่ยากจะตัดขาดกับต้นไม้ใบหญ้าทุกต้น ราวกับพวกมันสามารถกลายเป็นดวงตาของเขา กลายเป็นร่างอวตารของเขาได้ตลอดเวลา
ในเวลาเดียวกัน…ผู้ฝึกวิชาพลังไม้ทุกคนได้กลายเป็นดวงแสงจำนวนนับไม่ถ้วนผุดขึ้นในการรับรู้ของหวังเป่าเล่อ หากเขาต้องการ ขอเพียงแค่คิดก็สามารถตัดสินชะตาชีวิตของคนเหล่านี้ได้
ดวงแสงสว่างปกติในนั้นหรือดวงที่มืดสลัวยังดีอยู่ ไม่ได้รับผลกระทบทั้งหมด ในทางกลับกัน…ดวงที่ยิ่งสุกสกาวก็ยิ่งได้รับผลกระทบจากหวังเป่าเล่อจนถึงขั้นสามารถชี้บงการได้ จะให้อยู่ก็อยู่ จะให้ตาย…ก็ต้องยินยอมพร้อมใจ
ในบางครั้ง ดูเหมือนว่านอกจากชะตาชีวิตก็มีเส้นชะตาชีวิตเพิ่มเข้ามาอีกอัน
ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะหวังเป่าเล่อนั้น เวลานี้คือต้นกำเนิดของเต๋าพวกเขา
ยิ่งพวกเขาฝึกมากเท่าไรก็ยิ่งใกล้หวังเป่าเล่อมากเท่านั้น อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากเขาด้วย และสุดท้าย…หากต้นกำเนิดชั่วร้าย ผู้ที่ฝึกเต๋านี้ย่อมไม่ต่างกัน!
นี่ก็คือเต๋า!
นี่ก็คือผู้เยี่ยมยุทธ์!
นี่ก็คือเทพเจ้า!
ฝึกเต๋าของข้าก็ต้องให้ข้าเป็นนาย คอยรับใช้!
เมื่อหวังเป่าเล่อรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ ในใจก็เกิดสั่นไหวอย่างรุนแรง ในที่สุดเขาก็เข้าใจความนัยที่บิดาของหวังอีอีกล่าวไว้แล้ว
วิชาของเขาใช้สำหรับสังหาร แต่ไม่ต้องรู้ลึก!
เพราะเจ้าไม่มีวันรู้ว่าต้นกำเนิดเต๋าที่เจ้าฝึกมีเงาร่างหรือไม่ หากมีเงาร่างเช่นนั้นตัวมันมีจิตสำนึกหรือไม่ หากมีจิตสำนึกแล้วท้ายที่สุดเป็นดีหรือชั่ว
อาจหมายความว่า แท้จริงแล้วพริบตาแรกที่ก้าวเข้าสู่การฝึกวิชาก็ได้มอบชีวิตออกไปแล้ว
แน่นอนว่า หากฝึกธรรมดาสามัญไม่ลึกซึ้งก็ยังดีอยู่ แต่พวกที่ฝึกถึงขั้นสูง ฝึกมายาวนานชั่วชีวิต…ยากจะหนีพ้น!
นี่ก็คือความลับของจักรวาลแห่งเต๋า!
นี่ก็คือความโหดร้ายของการฝึกวิชา!
นี่ก็คือ…ห้วงจักรวาล!
เมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าของจื่อเยว่ บางครั้งก็เป็นเพียงการยืมใช้กฎขั้นสูงที่แท้จริงของจักรวาลเท่านั้น หากเทียบกันแล้วยังห่างอีกหลายขั้น
ลมหายใจหวังเป่าเล่าถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย หวนคิดถึงชีวิตนี้ของตนก็เกิดความหวั่นกลัวและหวาดผวาขึ้นในจิตใจ ยิ่งเข้าใจมหาเต๋ามากขึ้นเท่าไร เขาก็ยิ่งเคารพยำเกรง แต่แก่นเต๋าไม่ไหวหวั่น อีกทั้งความศรัทธาราที่มีต่อเต๋ายิ่งเพิ่มมากขึ้น ยิ่งถลำลึกขึ้น
เวลานี้ เขาสัมผัสได้ถึงเงื่อนไขกฎขั้นสูงของจักรวาลแล้ว จึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อย่างแท้จริง!
หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงความน่ากลัวและความห้าวหาญของบิดาหวังอีอีอย่างแท้จริงในพริบตานี้เอง
“โลกแห่งศิลานับเป็นอะไรได้ ที่นอกโลกแห่งศิลา ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลไร้จุดสิ้นสุดที่แท้จริงแห่งนี้ บางทีมหาเทพก็อาจจะไม่นับว่าเป็นอะไร แต่เป็นที่แน่ชัดว่า พวกเขาก้าวไปสู่ขั้นสูงสุดแล้ว ถึงขั้นกลายเป็นต้นกำเนิดของมหาเต๋าเส้นหนึ่ง หลายเส้น หรือมากกว่านั้น เมื่อถึงระดับของพวกเขา ความแข็งแกร่งของต้นกำเนิดเต๋าจะเป็นตัววัดทุกสิ่งอย่างแท้จริง”หวังเป่าเล่อพึมพำ
หวังเป่าเล่อรู้จักเต๋าธาตุไม้ของตัวเองดีว่าตอนนี้เพิ่งแตะระดับขั้นสูงของจักรวาล แต่กลับมีพลังที่คาดไม่ถึงเช่นนี้ หากก้าวสู่ระดับขั้นสูงสุด ความน่ากลัวของมัน แค่คิดก็ขนลุกแล้ว!
“ข้าก็คงพาเต๋าธาตุไม้ไปสู่ขั้นสูงสุดจนถึงขั้นกลายเป็นต้นกำเนิดที่แท้จริงได้ อย่างมาก…ก็แค่สูงสุดอยู่ในโลกแห่งศิลาเท่านั้น และอันที่จริง…เมื่อเทียบกับเต๋าธาตุไม้ของกฎขั้นสูงในนอกจักรวาลที่แท้จริง เต๋าธาตุไม้ของข้าในตอนนี้ก็เป็นเพียงกระแสสายเล็กๆ สายหนึ่งเท่านั้น”
“มหาเต๋าแห่งธาตุทั้งห้า ที่ผ่านมา…ไม่มีทางที่จะไม่มีใครยึดครองต้นกำเนิด…” นัยน์ตาหวังเป่าเล่อทอประกายลึกลับ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดในแผ่นหยกของเต๋าแปดปรมัตถ์สุดท้ายถึงได้บันทึกวิธีเต๋าที่ลึกลับยิ่ง
วิชาเต๋านี้เรียกว่า…เต๋านอกรีต!
ที่เรียกว่าแปดปรมัตถ์ แท้จริงแล้วก็คือการเรียงลำดับห้าสองหนึ่ง ห้าหมายถึงไร้ตัวตน สองหมายถึงสองขั้วตรงข้ามแห่งต้นกำเนิดเต๋า หนึ่งก็คือตัวแปร!
มหาเต๋าเจ็ดทางแรก ผู้ฝึกตนต้องเข้าใกล้ต้นกำเนิด แต่ก็ยังไม่ใช่ระดับต้นกำเนิด เหมือนเดินอยู่บนเส้นลวดที่อันตราย
เพราะเต๋านอกรีตยากดั่งพลิกฟ้า ถึงอย่างไรเมื่อฝึกวิชาเต๋าอื่นจนถึงระดับหนึ่ง เช่นนั้นแม้จะละทิ้งวิถีเต๋า ทำลายปราณ แต่ก็ยังหลุดไม่พ้นอยู่ดี เพราะกายเนื้อของผู้ฝึกตน ดวงวิญญาณเทพ แม้แต่ตราผนึกที่มีอยู่ ขณะที่ฝึกวิถีเต๋าของผู้อื่น ก็จะถูกลบเลือนและแทนที่อยู่ตลอดเวลา ชั่วชีวิตไม่สามารถควบคุมตนเองได้!
ทว่า เมื่อไรที่หวังเป่าเล่อทำตามวิถีเต๋านอกรีตได้สำเร็จ…หลบเลี่ยงอันตราย เช่นนั้นช่วงเวลาสุดท้ายเขาก็สามารถจุดเต๋าทั้งเจ็ดก่อนหน้าให้ลุกไหม้ขึ้นและใช้เป็นเชื้อเพลิงได้เช่นกัน และในขณะที่เผาไหม้มันก็จะเปิดทางให้เต๋าที่แปดราวกับสะสมพลังรอวันระเบิด!
เต๋าที่แปดนี้จะเป็นหัวใจคำสัญของเต๋าแปดปรมัตถ์ เพราะนั่นจะเป็นมหาเต๋าสมบูรณ์ที่จะเป็นของผู้ฝึกอย่างแท้จริง!
“มิน่าบิดาของหวังอีอีถึงบอกว่า ต้นกำเนิดของเต๋าแปดปรมัตถ์ไม่มีนาย นั่นเป็นเพราะ…ต้นกำเนิดเต๋าสายนี้มีความเป็นไปได้มากมาย ไม่มีใครที่จะสามารถเรียกได้ว่าเป็นนายของต้นกำเนิดทั้งหลาย!”
คิดได้ดังนี้ หวังเป่าเล่อก็ปลงตก ครู่ต่อมาจึงจะสงบจิตสงบใจลงได้
“โชคดีที่ข้าฝึกมาจนถึงตอนนี้ ยังไม่เคยรู้สึกถึงวิถีเต๋าได้ลึกซึ้งถึงขั้นสุดมาก่อน…” หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึก เมื่อเมล็ดพันธุ์เต๋าธาตุไม้ในร่างขยับเคลื่อน กระแสเต๋าออกจากร่าง เขาก็เพ่งมองตนเอง ดูต้นกำเนิดเคล็ดวิชาที่ตนฝึกในชาตินี้
หวังเป่าเล่อเห็นร่างกายของตน แม้กระทั่งดวงวิญญาณเทพก็ปรากฏเส้นใยจำนวนมากออกมา เส้นใยแต่ละเส้นคือเคล็ดวิชาพลังเทพที่เขาเคยฝึก
แต่ส่วนใหญ่แล้วค่อนข้างตื้น มีเพียงเส้นลึกๆ ไม่กี่เส้นเท่านั้น รวมทั้งเวทวิญญาณเพลิงที่ตนเคยฝึกและกฎแห่งดาวเคราะห์เต๋าจากแผนที่ดวงดาว เส้นใยนับหมื่นที่ลอยล่องจากดวงดาวพิเศษนับหมื่นในนั้น
มันดูแน่นขนัด แต่…นอกจากเส้นหนึ่งแล้ว เส้นอื่นๆ ที่เหลือกลับ…ขาดทั้งสิ้น ถึงขนาดไม่มีทางไปต่อ กลายเป็นวัฏจักรปิด
หวังเป่าเล่อเพ่งสายตา
หลังจากพินิจอย่างละเอียด เขาพบว่าเส้นใยเหล่านี้น่าจะถูดตัดออกทั้งหมดในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อคาดเดาอยู่ในใจ อึดใจถัดมานัยน์ตาก็ฉายแววหดหู่
เขาเดาคำตอบได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเวลาหรือกลิ่นอายที่เหลืออยู่ ล้วนบอกหวังเป่าเล่อว่า…ผู้ที่ตัดเส้นใยเหล่านี้ก็คือบิดาของหวังอีอี
และหนึ่งในนั้นที่ไม่ขาดเพียงเส้นเดียว ก็คือเต๋าธาตุไม้…ที่เพิ่งเกิดออกมา มันใหญ่และแข็งแรงหาสิ่งใดเปรียบ สะเทือนฟ้าสะเทือนดินเหมือนต้นไม้สูงเสียดฟ้าที่แผ่ขยายออกไป
ส่วนปลายทางจะอยู่ที่ใด หวังเป่าเล่อไม่เคยสัมผัสได้ แต่เขารู้สึกได้ถึงแหล่งต้นกำเนิด…คล้ายกับไม่มีจิต แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีผู้ใดยึดครองแหล่งกำเนิด บอกเพียงคร่าวๆ ว่า…สิ่งที่ยึดครองแหล่งกำเนิดเต๋าธาตุไม้ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่มีจิตสำนึก
และนี่ก็สอดคล้องกับการคาดเดาของหวังเป่าเล่อ ถึงอย่างไรธาตุทั้งห้าก็เป็นมหาเต๋าขั้นสูง และต้องเป็นศิลารากฐานเพียงหนึ่งเดียวของทั้งหมด หากมีสิ่งที่มีจิตสำนึกครอบครองอยู่จริง เกรงว่าจักรวาลคงต้องวุ่นวายปั่นป่วนอย่างที่สุด
หวังเป่าเล่อถอนหายใจโล่งอก กระแสเต๋าสลายไป ร่างที่นั่งขัดสมาธิค่อยๆ เงยหน้า ขณะที่กำลังจะยืดกายลุกขึ้น ตอนนั้นเองใบหน้าก็ต้องเปลี่ยนสี ในใจเกิดการคาดเดาบางอย่างออกมา
“เป็นไปได้ไหมว่า…ร่างเดิมของข้า ตะปูไม้ดำที่ตรึงอยู่ตรงหว่างคิ้วมหาเทพ…คือแหล่งกำเนิดเต๋าธาตุไม้ของมหาเต๋าทั้งห้าธาตุ?”
……………………
“ตะปูไม้ดำ ปรากฏ!” หวังเป่าเล่อนัยน์ตาเป็นประกาย มือขวายกขึ้นโบก ทันใดนั้นแผ่นไม้ดำก็ปรากฏขึ้นด้านหลังเขา
ภาพมายาแผ่นไม้ดำนี้กลับมีกลิ่นอายโชกโชน เวลานี้ลอยล่องขึ้นตามใจของหวังเป่าเล่อเคลื่อนมายังด้านหน้าเขาในทันที ขนาดนั้นพอๆ กับฝ่ามือ แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาก็เพียงพอที่จะทำให้กฏเกณฑ์และข้อบังคับบิดเบี้ยวได้
ทว่าคิ้วของหวังเป่าเล่อกลับค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน
“นี่เป็นเพียงเงาที่ทอดลงมาจากในอดีตชาติเท่านั้น…” หวังเป่าเล่อพึมพำ
“จะต้องทำเช่นไรถึงสามารถทำให้ร่างเดิมของตนปรากฏออกมา ทั้งยังต้องทำรากฐานเมล็ดพันธุ์เต๋าให้สมบูรณ์…”หวังเป่าเล่อมุ่นคิ้ว มือขวายกขึ้นคว้าเงามายาของแผ่นไม้ดำไว้ในมือ ก่อนกดลงหว่างคิ้วทันทีเพื่อสั่นคลอนดวงวิญญาณเทพของตน ลองให้แผ่นไม้ดำร่างเดิมปรากฏออกมาอย่างแท้จริง
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่เงามายาแผ่นไม้ดำสัมผัสกับหว่างคิ้วของหวังเป่าเล่อ ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ปรากฏเงาซ้อนทับขึ้น ราวกับมีบ่อเกิดบางอย่างรวมตัวอออกมาจากร่างของเขาในเวลานี้
เวลาเดียวกัน ท้องฟ้าดาวอังคารพลันหมุนพลิกไปมา ผืนดินสั่นไหวอย่างรุนแรง สิ่งมีชีวิตจำนวนมหาศาลในนครดาวอังคารต่างจิตใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรงไปตามๆ กัน แหงนหน้าขึ้นมองฟ้าอย่างอดไม่ได้
จะหลิวต้าวปินหรือหลินโยวก็ดี และผู้ฝึกตนสหพันธรัฐคนอื่นๆ ที่อยู่บนนครดาวอังคาร เวลานี้ต่างเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้า…ที่พลันปรากฏเค้าโครงเลือนรางขึ้น
เค้าโครงนี้รูปร่างยาวเหมือนกับแผ่นไม้ในมือของผู้เล่านิทานที่ถูกขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าปล่อยแรงบีบคั้นออกมาเป็นระลอก ทำให้นครอังคารราวกับจะเบนห่างออกจากวงโคจรของมัน ผู้ที่เห็นทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนระดับใดล้วนเกิดระลอกคลื่นยักษ์ขึ้นในสัมผัสสวรรค์
ในเวลาเดียวกัน ดาวเคราะห์ต่างๆ ในระบบสุริยะรวมทั้งดาวโลก ผู้ฝึกตนทั้งหมดไม่ว่าจะมาจากฝ่ายไหน ในเวลานี้คล้ายกับเห็นไม้ขนาดยักษ์อันหนึ่งที่ลอยอยู่บนฟ้ากำลังร่วงไปทางนครดาวอังคารได้อย่างเลือนลาง
ผู้คนยังไม่ทันเงียบเสียง เหตุการณ์นี้พลันหายไปในพริบตา รวมทั้งเงามายาบนท้องฟ้าก็พลันหายไปด้วยเช่นกัน ราวกับไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แรงบีบคั้นสลายไป ทำให้ทุกคนใจโหวง ขณะที่ต่างคนต่างงุนงง หวังเป่าเล่อที่ถือสันโดษอยู่ในนครดาวอังคารใหม่ สีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย ร่างกายโงนเงน
เงาที่ซ้อนทับร่างกายเขา ในเวลานี้ได้ฟื้นกลับเป็นปกติ เงามายาแผ่นไม้ดำที่สัมผัสกับหว่างคิ้วเขากลับทะลุผ่านเข้าร่าง ก่อนปรากฏขึ้นที่ด้านหลังร่างกาย
หวังเป่าเล่อเงียบงัน คิ้วขมวดขึ้นน้อยๆ อีกครั้ง ทว่าอึดใจต่อมาก็ยกยิ้ม
“เป็นข้าที่คิดนอกกรอบไป ตะปูไม้ดำก็คือข้า ข้าก็คือตะปูไม้ดำ ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ทำไมจะต้องให้มันแสดงร่างออกมาให้ได้” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า ปรับขบวนความคิดของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง
“ใช้ตัวเองเป็นเมล็ดพันธุ์ กลายร่างเป็นรากฐานเต๋าธาตุไม้ขั้นสูงสุด” ขณะพึมพำ มือทั้งสองยกขึ้น ผนึกมุทราตามความเข้าใจจากวิธีหลอมเต๋าแปดปรมัตถ์ในแผ่นหยก เขาผนึกมุทราอย่างรวดเร็ว ผนึกเวทต่างๆ พลันปรากฏขึ้นในพริบตาลอยอยู่นอกร่างกาย
กระบวนท่าของหวังเป่าเล่อเร็วขึ้นเรื่อยๆ ผนึกเวทก็ปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน และเมื่อถึงตอนสุดท้าย เหตุเพราะความเร็วที่สูงมาก มือทั้งสองของหวังเป่าเล่อจึงกลายเป็นภาพเลือนรางติดต่อกัน ทำให้ผนึกเวทพุ่งขึ้นสู่หลักแสนลอยล่องอยู่ทั่วทั้งสี่ทิศหมุนวนรอบตัวหวังเป่าเล่อ
ทว่าผนึกมุทราของเขากลับยังไม่สิ้นสุดเพราะมันยิ่งเร็วขึ้น หากในเวลานี้มีคนอยู่ที่นี่ได้เห็นเข้า สิ่งที่เห็นจะไม่ใช่ภาพเลือนรางอีก เพราะหวังเป่าเล่อไม่ได้ขยับเขยื้อน นั่นเป็นเพราะได้ก้าวข้ามขีดระดับความเร็วที่สูงสุดไปแล้ว
จำนวนของผนึกเวทเกินล้าน อีกทั้งยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนแตะสามล้าน ห้าล้าน แปดล้าน…สุดท้ายสิบล้านผนึกเวท ได้ห่อหุ้มหวังเป่าเล่อเอาไว้ทั้งหมด หากไม่ใช่หวังเป่าเล่อกดไว้อย่างสุดพลัง เกรงว่าในตอนนี้คงแผ่คลุมไปเกือบครึ่งนครดาวอังคาร เวลานี้ถูกย่อขนาดลงอยู่ในพื้นที่ถือสันโดษและผนึกเวทอันหนึ่งก็จะทับซ้อนกันนับพัน
จนกระทั่ง เมื่อหวังเป่าเล่อปฏิบัติจนเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผากน้อยๆ แสงในดวงตายิ่งเป็นประกาย เขาไม่รู้ว่าคนอื่นที่ฝึกเต๋าแปดปรมัตถ์นั้นหล่อหลอมเมล็ดพันธุ่เต๋าอย่างไร แต่ก็แอบรู้สึกว่าวิธีหล่อหลอมของตนนั้น บางทีเป็นสิ่งที่มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ถึงขนาดทำให้เขารู้สึกถึงความเป็นความตายได้ อย่างไรก็ตาม…การหลอมเมล็ดพันธุ์เต๋ามีส่วนที่เหมือนกับการหลอมวัตถุอยู่ หากไม่สำเร็จ…วัตถุเวทย่อมเสียหาย
แต่สิ่งที่หวังเป่าเล่อเดิมพันก็คือร่างเดิมของตนไม่มีทางถูกทำลายอย่างแน่นอน ดังนั้นพริบตานี้จึงยิ่งแน่วแน่ ไม่รู้เลยสักนิดว่าการหลอมของเขาทำให้ต้นไม้ใบหญ้า สรรพสิ่งทั้งหลายที่เป็นธาตุไม้ทั้งหมด รวมทั้งผู้ที่ฝึกปราณเต๋านี้บนนครดาวอังคาร แม้กระทั่งดาวพระเคราะห์ขนาดเล็กใหญ่ทั้งหมดในระบบสุริยะต่างสั่นสะท้านไปพร้อมๆ กันในพริบตา
ต้นไม้ใบหญ้าไหวเอนคล้ายกับสั่นระริกราวกับถูกเพรียกหา ผู้ฝึกตนที่ฝึกปราณธาตุไม้ พลังปราณล้วนเกิดระลอกคลื่นขึ้นอย่างรุนแรง ร่างกายหันไปทางดาวอังคารอย่างห้ามไม่ได้ เหมือนกับทางนั้นมีอะไรบางอย่างที่ทำให้พวกเขาต้องคำนับกราบ
ผู้ที่รู้สึกได้มากที่สุดก็คือสหายกุ้ย ในเวลานี้เขาได้หมอบลงไปทั้งตัวแล้ว ร่างกายสั่นเทาอย่างรุนแรง ปราณของเขารู้สึกได้ชัดเจนว่าบนนครดาวอังคารมีกลิ่นอายที่ยากจะบรรยายขุมหนึ่ง ราวกับเป็นต้นกำเนิดของธาตุไม้ที่กำลังโผล่ขึ้นมาอย่างฉับพลัน
ทว่าพริบตาต่อมา สรรพสิ่งทั้งหลายในระบบสุริยะที่เกี่ยวข้องกับไม้ต่างสั่นสะเทือนอีกครั้ง กลิ่นอายที่ทำให้พวกเขาก้มกราบนั้นหายไปในทันที
ต้นไม้ใบหญ้าหยุดสั่นไหว ผู้ฝึกตนที่ฝึกพลังธาตุไม้ต่างงงงวยไปตามๆ กัน ภายในนครดาวอังคาร หวังเป่าเล่อร่างกายสั่นเทิ้ม ในผนึกรอบๆ มีอันหนึ่งพังทลายลง
หนึ่งอันพังทลายส่งผลต่อทั้งหมด สิบล้านผนึกแตกสลายลง หวังเป่าเล่อหน้าซีดเผือด ดวงวิญญาณเทพไม่มั่นคง ครู่ใหญ่ถึงฟื้นตัวกลับมาได้ หลังจากสัมผัสก็พบว่าดวงวิญญาณเทพเพียงแค่อ่อนล้าไปเท่านั้น ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรงจึงลืมตาขึ้น
“เป็นเหมือนที่คิดไว้จริงๆ เพราะร่างเดิมของข้าเหนือกว่าที่คาดไว้ ดังนั้นต่อให้การหลอมล้มเหลวถูกสั่นคลอนแต่ก็ไม่เสียหายใดๆ หากเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าเมล็ดพันธุ์เต๋านี้จะหลอมยากแค่ไหน ข้าก็ยังคงทดลองได้เรื่อยๆ!”
“แต่ว่าเต๋าแปดปรมัตถ์แค่รวบรวมเมล็ดพันธุ์เต๋าก็ยากขนาดนี้แล้ว ต่อไปข้ายังจำเป็นต้องหาสมบัติสวรรค์ที่เหมาะสมกับแต่ละเต๋าอีก เดิมทีก็ยากอยู่แล้ว อีกทั้งการหลอมก็ล้มเหลวได้ง่าย…”
“แม้จะพูดว่าหากวันใดเมล็ดพันธุ์เต๋าก่อตัวขึ้น การฝึกต่อจากนั้นก็คือการตระหนักรู้เต๋านี้จวบจนก้าวสู่ขั้นสูงสุด…ระหว่างนั้นคงไม่มีอุปสรรคใหญ่อะไร แต่หากทั้งแปดเต๋าเป็นแบบนี้…” ขณะที่ดวงวิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อพักฟื้น เขาขบคิดสักเล็กน้อย ในใจก็ได้ทางออกแล้ว
“เต๋าธาตุไม้ข้าจัดการเอง ส่วนเต๋าอื่นๆ…จำเป็นต้องรวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมอาวุธเวทในระบบสุริยะทั้งหมดมาช่วยกัน” คิดได้ดังนี้ หวังเป่าเล่อก็รู้สึกถึงดวงวิญญาณเทพก่อนผนึกมุทราขึ้นอีกครั้ง
เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เพียงไม่นานก็ผ่านไปสามเดือน ในสามเดือนนี้ต้นไม้ใบหญ้ารวมถึงผู้ฝึกตนธาตุไม้ทั้งหมดในระบบสุริยะก็รู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่มาๆ หายๆ นั้นอยู่ทุกครั้ง และก็รู้แล้วว่านี่คือการฝึกของผู้อาวุโส แม้จะยังสั่นสะท้านแต่ก็คุ้นเคยปรับตัวได้มากกว่าเดิมแล้ว
จนกระทั่งวันนี้ หลังจากที่หวังเป่าเล่อได้ทดลองหลอมไปไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยครั้ง ทันใดนั้นพลังที่ส่งผลต่อธาตุไม้ที่ออกมาจากร่างกายเขาก็ค่อยๆ แผ่ไปทั่วระบบสุริยะก่อนกระจายออกไปนอกระบบสุริยะ แผ่ขยายไปยังจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายต่อไปเรื่อยๆ
ทุกที่ที่กระจายผ่าน ไม่ว่าจะเป็นท้องฟ้า ดาวพระเคราะห์ใดๆ สิ่งมีชีวิตหรือสรรพสิ่งใด ขอเพียงเกี่ยวข้องกับธาตุไม้ต่างสั่นสะเทือนขึ้นพร้อมกันอย่างรวดเร็ว
ขยายออกไปอย่างต่อเนื่อง ดุจพายุโหมกระหน่ำ ในเวลาอันสั้นก็กวาดไปทั่วจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายทำให้ตระกูลและสำนักนับไม่ถ้วนล้วนตื่นตระหนก
เพราะพวกเขาพบว่า ต้นไม้ใบหญ้าทั้งหมดค่อยๆ โค้งตัวลง อีกทั้งยังหันไปในทิศทางเดียวกัน นั่นก็คือระบบสุริยะ
ในเวลาเดียวกันผู้ฝึกตนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นปราณขั้นไหน ขณะที่รับรู้ได้ถึงปราณ ในหัวก็ค่อยๆ เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น ความรู้สึกนี้ราวกับเป็นต้นกำเนิดของการฝึกของพวกเขา ทำให้ผู้ฝึกตนทุกคนไม่ว่าจะมาจากสำนักไหน พริบตานี้ล้วนเป็นดั่งต้นไม้ใบหญ้า คุกเข่าคำนับไปทางระบบสุริยะอย่างควบคุมไม่ได้
ไม่เพียงเท่านั้น แม้กระทั่งกฎเกณฑ์และข้อบังคับของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็ได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน ขณะที่บิดม้วนอยู่ตลอดเวลา เต๋าสวรรค์ของตระกูลคงไม่รู้สิ้นก็ปรากฏขึ้นพร้อมส่งเสียงคำรามออกมา นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัวและเกรี้ยวโกรธ เพราะมันรู้สึกถึง…อำนาจบางอย่างของมันกำลัง…ถูกแย่งชิง!!
สถานการณ์นี้กินเวลาไปถึงแปดวันเต็ม!
ในแปดวันนี้ ตระกูลคงไม่รู้สิ้นต่างจับตามอง ถึงขนาดหยุดสงครามกับสำนักแห่งความมืดไว้ก่อน สายตาของสำนักแห่งความมืดก็มองไปทางระบบสุริยะเช่นกัน
ชั่วขณะที่ความสั่นสะเทือนของผู้คนจบลงในวันที่แปด พลังอันน่าสะพรึงอย่างไม่เคยมีมาก่อนขุมหนึ่งพลันพุ่งพรวดขึ้นจากในระบบสุริยะ ในตอนที่ต้นไม้ใบหญ้าและผู้ฝึกธาตุไม้กำลังกราบคำนับ!
ราวกับเกิดวังน้ำวนกวาดไปทั่วจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย พริบตานี้ผู้ฝึกธาตุไม้ทุกคนร่างกายสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า…ปรากฏต้นกำเนิดปราณของพวกเขาจากที่ไกลๆ!
พริบตานี้ ต้นไม้ใบหญ้าทั้งหมดในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายสั่นไหวรุนแรงราวกับจากนี้มีผู้สูงศักดิ์ถือกำเนิด!
พริบตานี้ เต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นส่งเสียงกรีดร้องคล้ายกับมีเสียงแตกร้าวออกมา ในกฎเกณฑ์และข้อบังคับของมันจากในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ไม่มี…ธาตุไม้อีกแล้ว!
พริบตานี้ ธาตุไม้ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย เป็นของคนเพียงผู้เดียว!
หวังเป่าเล่อ!
นี่เกิดจากเมล็ดพันธุ์เต๋าเท่านั้น คิดดูว่าหากหวังเป่าเล่อก้าวไปถึงธาตุไม้ขั้นสูงสุด เช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นจักรพิภพสำนักเสริมหรือใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ธาตุไม้ก็จะต้องตกอยู่ในมือของเขาแต่เพียงผู้เดียวอย่างแน่นอน!
……………………
บางทีอาจจะเป็นท้องฟ้า แต่ในโลกเป็นความว่างเปล่าผืนหนึ่ง
บางทีอาจจะเป็นท้องฟ้ายามค่ำคืน แต่ในจักรวาลมืดมิดอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ไร้แสงสว่าง ไร้แสงระยิบระยับ ราวกับไม่มีสิ่งใดเลย หรือบางทีสิ่งเดียวที่มีอยู่ก็คือห้วงลึกที่มองไม่เห็นสิ่งใดเลยอันนั้น
สีดำคล้ายกับเป็นสีเดียวที่มีอยู่ในที่แห่งนี้ ความเย็นเยียบราวกับเป็นบรรยากาศทั้งหมดของที่นี่…
ความรู้สึกเช่นนี้ สภาวะเช่นนี้ สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ ในการระลึกอดีตชาติที่ดาวเคราะห์ชะตาในตอนนั้นของเขา ชาติก่อนกวางขาวน้อยหลายชาตินั้นก็เป็นเช่นนี้ มืดมิด เย็นเยียบ ไร้สิ่งอื่นใดอีก
จนกระทั่งไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด จวบจนความมืดมิด ความเย็นเยียบนี้ดำเนินถึงจุดสิ้นสุด สั่งสมจนถึงขีดสุด ราวกับขณะที่ความว่างเปล่า ท้องฟ้าและโลกทั้งหมดค่อยๆ กลายสภาพเป็นห้วงเหวย้อนกลับ หวังเป่าเล่อก็เห็นลำแสงหนึ่ง
ท่ามกลางโลกที่มืดมิดแห่งนี้ ลำแสงนี้เป็นดั่งบุปผาสีสันสวยสดที่กำลังเบ่งบานกลายเป็นลำแสงอันไร้ที่สิ้นสุด…แผ่พลังยากจะอธิบายขุมหนึ่งไปทั่วทั้งสี่ทิศในพริบตา ราวกับสามารถขับไล่ทุกสรรพสิ่งฉีกทึ้งทุกสิ่งอย่าง
ภาพฉากนี้ก็ไม่แปลกใหม่สำหรับหวังเป่าเล่อเช่นกัน มันไม่ต่างกับตอนที่เขาระลึกอดีตชาติ ในสภาวะแผ่นไม้ดำตอนกำเนิดจักรวาลเลยสักนิด แต่ว่าที่นี่…สิ่งที่กำเนิดไม่ใช่จักรวาล แต่เป็น…อาทิตย์แรก!
ดวงอาทิตย์แรกค่อยๆ ขึ้นจากห้วงเหวมืดมิดอันห่างไกล มันทอแสงสว่างไสวก่อนระเบิดขึ้นไปทางโลกที่มืดมิด ในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขตทั้งสี่ทิศในพริบตา
จะลุกไหม้ก็ดี จะกระจัดกระจายออกไปก็ช่าง พลังขุมหนึ่งที่พุ่งออกไปอย่างห้าวหาญยามอาทิตย์แรกโผล่ขึ้นนั้น ทำให้ห้วงยามนี้ปรากฏดวงไฟที่ราวกับไม่มีวันดับขึ้นบนโลกอันแสนมืดมิดแห่งนี้ แสงที่ไม่มีวันดับทำให้สีที่เหมือนราตรีกาลนั้นราวกับถูกฉีกทำลายไปเป็นส่วนๆ แตกสลายและถูกแทนที่อยู่ตลอดเวลา
จนกระทั่งอาทิตย์แรกลอยขึ้นสูงและกลายเป็นตะวันแดงดวงหนึ่ง ระหว่างท้องฟ้าและผืนดิน ภายในท้องฟ้า ภายในโลก ภายในความว่างเปล่า พริบตานี้สีดำทั้งหมดที่คล้ายกับมารปีศาจ คล้ายกับความชั่วช้า ค่อยๆ แตกพังสลายไป!
ดั่งมีสิ่งชอบธรรมคอยปัดเป่าความชั่วร้ายในโลกจนสิ้น!
เป็นธรรมอย่างที่สุด ไม่ใช่ความชั่วร้าย แต่…เป็นพลังอันน่าเกรงขามและองอาจสง่าสาม!
เสียงดังสนั่นก้องอยู่ในโสตประสาท เสียงคำรามดังสะท้อนไปทั่วทั้งแปดทิศ ดวงตะวันแดงลอยอยู่บนท้องฟ้า ผืนฟ้าและผืนดินกระจ่างใส ภาพฉากนี้ทำให้ร่างกายหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้มอย่างรุนแรงเกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในใจ
กระทั่งครู่หนึ่งผ่านไป แม้ค่ำคืนมืดมิดจะมลายหายไปจากจิตใจของหวังเป่าเล่อ ตะวันแดงและภาพต่างๆ ค่อยๆ พร่าเลือนลง แต่ในใจของเขา ภาพความมืดมืดอันว่างเปล่าในห้วงเหวลึก ดวงอาทิตย์แรกกำลังขึ้นดุจรุ่งอรุณเบิกฟ้ากลับคงอยู่ไม่เลือนหาย โดยเฉพาะเต๋าที่แฝงไว้ในพลังที่ปรากฏให้เห็น ทำให้หวังเป่าเล่อระลึกอย่างเนิ่นนาน
“นี่…ก็คือคืนพินาศ ความพินาศของค่ำคืน” หลายวันต่อมา หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้น พึมพำเสียงเบา ในใจรู้สึกเคารพเลื่อมใสบิดาหวังอีอีผู้คิดสร้างวิถีเต๋านี้อย่างที่สุด
เพราะวิชาคืนพินาศ ในบางระดับนั้นไม่ใช่วิถีเต๋าแล้ว แต่คล้ายความเชื่ออย่างหนึ่ง…
“เวทศรัทธางั้นหรือ?” หวังเป่าเล่อพึมพำ ชื่อนี้ตอนที่ทิ้งแผ่นหยกไว้ให้บิดาหวังอีอีก็เคยได้ยินเขาพูดถึงครั้งหนึ่ง
ส่วนเวทศรัทธานั้น เขาไม่ได้ขบคิดมันอย่างลึกซึ้ง เพราะจดจำคำพูดหนึ่งได้ วิชาของผู้อื่นใช้สังหารก็พอ ไม่ต้องไปครุ่นคิด
เช่น วิชาคืนพินาศ ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับการสังหาร แต่ความเป็นจริงแล้ว…จากความรู้สึกและการวิเคราะห์ของหวังเป่าเล่อ สิ่งที่เขาได้รับก็คือเรียกได้ว่าเป็นวิชาที่สูงที่สุดในโลกแห่งการสังหาร!
แม้จะเป็นคำสาปของปรมาจารย์แห่งไฟ เมื่อเทียบกันแล้วก็คล้ายจะต่างกันอยู่มาก ไม่ใช่วิชาระดับเดียวกัน อันหลังแม้จะลึกลับและมหัศจรรย์แต่กลับมืดมิดเกินไป แต่ความยิ่งใหญ่และทรงพลังนั้นของสิ่งแรกราวกับเป็นตัวแทนของความชอบธรรมของโลกที่สะกดทุกสิ่ง!
“ศัตรูของข้าก็คือค่ำคืน!” พริบตานี้ร่างกายของหวังเป่าเล่อราวกับมีกระแสไฟพาดผ่าน หนังศีรษะค่อยๆ ชาหนึบ
เพราะคำพูดนี้ ยิ่งพิจารณาอย่างละเอียด ความทรงพลังและไอสังหารก็ยิ่งรุนแรง
นั่นทำให้หวังเป่าเล่อเข้าใจบิดาของหวังอีอีจากก้นบึ้งของใจ เขาตระหนักได้อย่างแท้จริงว่าอีกฝ่าย…จะต้องใช้การฆ่าฟันในการพิสูจน์เส้นทางฝึกตนอย่างแน่นอน ชีวิตนี้สังหารไปมากมาย เกรงว่า…คงนับไม่ถ้วน
และที่ตนสามารถตระหนักรู้วิชาคืนพินาศได้อย่างราบรื่น คิดดูแล้วน่าจะเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ระลึกอดีตชาติของตน สิ่งที่สำคัญที่สุดแน่นอนว่ายังต้องเป็นการสืบทอดวิชาเต๋าของอีกฝ่าย
การสืบทอดนี้ราวกับเป็นการยอมรับด้านคุณสมบัติอย่างหนึ่ง ทำให้ตนสามารถผลักเปิด…เต๋าที่ไม่เป็นส่วนหนึ่งของโลกแห่งศิลาในโลกแห่งศิลานี้ได้!
หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึก ทำความเข้าใจวิชาคืนพินาศอยู่เงียบๆ ตกตะกอนและคาดเดาอยู่ในใจอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ทำอยู่หลายครั้งก็ยิ่งเข้าใจมากขึ้น เขาพยายามหยุดยั้งความหุนหันที่จะรับรู้อย่างลึกซึ้งขึ้น เปิดเปลือกตา ละทิ้งความคิดที่จะพินิจพิเคราะห์ต้นตอของมัน
“แค่ดูจากการสังหารอย่างเดียว ตอนนี้เข้าใจถึงระดับนี้ก็พอแล้ว” นัยน์ตาหวังเป่าเล่อฉายแววเด็ดเดี่ยว หยิบแผ่นหยกออกมาดูเต๋าแปดปรมัตถ์อีกครั้ง
นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องเข้าใจและตระหนักอย่างลึกซึ้ง เพื่อเป็นเส้นทางที่เขาต้องเดินไปในภายภาคหน้า
“เต๋าของข้าเป็นอิสระอยู่แล้ว เต๋าแปดปรมัตถ์จะเป็นวิชาปกป้องเต๋าของข้า!” หลังจากหวังเป่าเล่องึมงำเบาๆ จิตใจก็ค่อยๆ สงบลง หลอมรวมเข้าไปในเต๋าแปดปรมัตถ์
ร่างกายของเขาค่อยๆ เลือนราง ปรากฏผิวน้ำขึ้นบริเวณรอบด้าน จวบจนมีเสียงน้ำไหลลงแม่น้ำจากกาลเวลาลอยแว่วมาเรื่อยๆ ขณะที่เกิดระลอกคลื่นเก้าชั้น เงาร่างของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งเลือนราง
การเข้าใจและตระหนักวิชาเต๋าแปดปรมัตถ์ ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ในระยะเวลาอันสั้น ต้นกำเนิดของวิชานี้ลึกซึ้งมาก ความเป็นมาก็ยิ่งใหญ่ แม้จะเป็นหวังเป่าเล่อก็ไม่สามารถเรียนรู้ได้ในระยะน้อยนิดเช่นนี้
อีกทั้งเขามีเวลาที่โลกแห่งศิลาไม่มาก ดังนั้น…ในการระลึกเต๋าแปดปรมัตถ์ หวังเป่าเล่อจึงเลือกวิชาเงาจันทร์ พาตัวเองย้อนกลับไปเดินอยู่ในสายน้ำกาลเวลาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ระลึกเต๋านี้ ณ ที่แห่งนั้นราวกับเป็นเวลาชั่วนิรันดร์
หนึ่งร้อยปี สองร้อยปี สามร้อยปี…
หนึ่งพันปี สองพันปี สามพันปี…
จวบจนหวังเป่าเล่อใช้วิชาเงาจันทร์อย่างสมบูรณ์ทั้งแปดครั้งโดยไม่รู้รู้ตัว ราวกับไม่ได้เดินผ่านเฉยๆ แต่เป็นการระลึกอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นเขาจึงสัมผัสได้ถึงขีดจำกัดของเงาจันทร์
หากเดินไปขีดจำกัดก็จะไกลออก อย่างเช่น เขาสามารถเดินไปในช่วงเวลากวางขาวน้อยและยังไปต่อได้อีก แต่หากฝึกตนในกาลเวลา แปดครั้ง…ก็คือขีดจำกัดของเขาในเวลานี้
แต่ดีที่…แปดครั้ง ก็เพียงพอแล้ว
ดังนั้นในช่วงที่ร่างกายหวังเป่าเล่อเลือนราง เงาร่างของเขาจึงค่อยๆ ชัดขึ้น จวบจนเมื่อเขาลืมตา นัยน์ตาก็ฉายแววที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชน พริบตาของโลกภายนอก เขาได้ระลึกกาลเวลาทั้งแปดครั้งอย่างสมบูรณ์ทั้งหมด 7200 สองร้อยปี
“ที่แท้ นี่ก็คือเต๋าแปดปรมัตถ์” หวังเป่าเล่อพึมพำ แววตาโชกโชนเลือนหายไป สิ่งที่เข้าแทนที่ก็คือระลอกคลื่นธาตุทั้งห้าขุมหนึ่ง ในขณะที่ดูคล้ายมีคล้ายไม่มีอยู่บนร่างเขา ดวงตาราวกับมีไม้สูงเทียมฟ้าขนาดใหญ่ มีน้ำเชี่ยวกราก มีไฟแผดเผาฟ้า มีดินฝังจักรวาล มีศัตราวุธ และมีชีวิตแฝงอยู่
เต๋าแปดปรมัตถ์ ห้าสิ่งแรกคือรากฐาน
เต๋าธาตุทองขั้นสูงสุด!
เต๋าธาตุไม้ขั้นสูงสุด!
เต๋าธาตุน้ำขั้นสูงสุด!
เต๋าธาตุไฟขั้นสูงสุด!
เต๋าธาตุดินขั้นสูงสุด!
เต๋าทั้งห้านี้ต้องสำเร็จไปทีละอย่าง การจะฝึกธาตุทั้งห้านี้ให้สมบูรณ์…จำเป็นต้องหาสมบัติล้ำค่าทั้งห้าชนิดที่เกี่ยวข้องกับธาตุทั้งห้า ก่อเกิดเป็นเมล็ดพันธุ์เต๋า ยิ่งคุณสมบัติเมล็ดพันธุ์เต๋าสูงก็ยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อก้าวหน้า
เมล็ดพันธุ์เต๋าเหนือกว่ารากฐานตั้งมั่น!
“เช่นนั้น…สิ่งที่ข้าต้องฝึกเป็นอันดับแรก ย่อมต้องเป็น…เต๋าธาตุไม้ขั้นสูง!” นัยน์ตาหวังเป่าเล่อมีประกายวาบผ่าน
หากเป็นธาตุไม้นั้น เกรงว่าจะไม่มีสิ่งใดที่เหนือไปกว่าร่างเดิมของเขา…ตะปูไม้ดำ!
ดังนั้น สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วเต๋าธาตุไม้ขั้นสูง นับว่ายอดเยี่ยมที่สุดในโลก!
ไร้สิ่งใดเปรียบ!
……………………
แสวงหาเต๋า
นี่คือบทสรุปของหวังเป่าเล่อในการไปเยี่ยมบิดาของหวังอีอีในแม่น้ำแห่งประวัติศาสตร์ครั้งนี้ และเป็นความตั้งใจแต่แรกของเขาด้วย
ที่แน่ๆ ก็คือ ต้องยืมวิถีเต๋าบุปผากระจกเงาจันทร์ที่ตนตระหนักรู้ ไปร้องขอเต๋าจากเทพเคารพสูงสุดผู้นั้น
เพราะเส้นทางแห่งการฝึกตน เมื่อมาถึงระดับของเขาในตอนนี้แล้ว หนทางข้างหน้าใช่ว่าจะไม่มี แต่ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะประเมินเช่นไร ไม่ว่าจะไตร่ตรองเช่นไร การสัมผัสเชื่อมต่อล้วนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดเสมอ…
เส้นทางของโลกแห่งศิลา ไม่เหมาะกับเขาอีกต่อไป
จักรพิภพของเขาไม่เป็นเช่นผู้อื่น เช่นเดียวกับที่อู๋น้อยเคยกล่าวไว้ เต๋าของเขาสมบูรณ์แบบกว่า เมื่อเป็นเช่นนี้…ทิศทางของเส้นทางในอนาคตจึงสำคัญเป็นพิเศษ แม้เต๋าแห่งอิสรภาพได้สลักเข้าไปในจิตวิญญาณของเขาแล้วก็ตาม แต่ก็เป็นเพราะต้องการอิสระยิ่งขึ้น ดังนั้น เขาต้องยิ่งแข็งแกร่ง
ด้วยเหตุนี้ จึงจะกำหนดชะตาด้วยตัวเอง มิใช่ด้วยสวรรค์
ดังนั้น เขาจึงต้องไปแสวงหาเต๋า
และผู้ที่สามารถช่วยเขาในเรื่องนี้ได้ เมื่อมองไปทั่วโลกแห่งศิลา บางทีบรรพบุรุษตระกูลไม่รู้สิ้นอาจช่วยได้ แต่เห็นได้ชัดทั้งสองฝ่ายไม่อาจช่วยได้ บางทีศิษย์พี่เฉินชิงจื่ออาจช่วยได้เช่นกัน แต่ทั้งสองคนอยู่คนละเส้นทาง และเต๋าของศิษย์พี่คือเต๋าสวรรค์ คือเต๋าแห่งความมืด ราวท้องฟ้ามีเพียงคืนมืดสนิทและไม่สมบูรณ์แบบ
ส่วนท่านอาจารย์ปรมาจารย์แห่งไฟ เต๋าแห่งคำสาปได้มาถึงขั้นสูงสุดแล้ว บางทีหากไม่ใช่เต๋าของโลกแห่งศิลานี้ไม่สมบูรณ์แบบ อีกทั้งสาเหตุอื่นทั้งหมด เกรงว่าด้วยพรสวรรค์ของท่านอาจารย์คงเลื่อนขึ้นระดับจักรวาลแล้ว
แต่ตอนนี้ เขามีเพียงจักรพิภพชั้นมหาวัฏจักร พริบตานั้นมีเพียงระเบิดคำสาปเพื่อเต๋าพิสูจน์ชะตา เขาจึงจะเป็นระดับจักรวาล
หลังจากคิดไปคิดมาแล้ว หวังเป่าเล่อจึงเลือกขอความช่วยเหลือจากบิดาอีอี ทั้งสองคนได้มีการนัดหมายในอดีตก่อนหน้านั้น จากนั้นเขาและอีอีก็มีชะตากรรมผูกพันกันมาหลายชาติ นี่เป็นหนทางเดียว จนกว่าสุดท้ายหวังอีอีจะฟื้นตัวในอนาคตนั่นคือผลลัพธ์
ในกระบวนการนี้ บิดาของหวังอีอี เทพเคารพสูงสุดนอกเขตผู้นั้นเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดของตน
“บางทีหากข้าไม่ไปหาเขา อีกไม่นานท่านอาวุโสผู้นั้นก็คงมาหาข้าอยู่ดี…ด้วยเพราะในโลกแห่งศิลานี้ หากคิดจะเลื่อนขึ้นระดับจักรวาล…ต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงนัก” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา ประโยคนี้ ไม่มีผู้ใดบอกเขา แม้แต่ปรมาจารย์แห่งไฟเองก็ยังงุนงง แม้กระทั่งผู้มีพลังต่อสู้ระดับจักรวาลเกรงว่าต่างก็คงไม่เข้าใจ
มีเพียงหวังเป่าเล่อ เพราะเต๋าของเขาสมบูรณ์แบบ ดังนั้นเขาจึงสามารถสัมผัสได้อย่างเลือนราง
“น่าจะมีสามวิธี…”
“วิธีแรก คล้ายกับการขอความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ หลังจากขยายดาราจักรที่ตนเองอยู่ให้กว้างใหญ่ออกไปถึงระดับหนึ่ง จนถึงขีดจำกัดใดๆ รวบรวมโชควาสนา จะทำให้ตนเองสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับจักรวาล”
“ขอบเขตนี้ อย่างน้อยน่าจะเป็นหนึ่งเขตแดน สำหรับหลักการ…น่าจะเป็นที่มาเดียวกับเต๋าเปลวธูปของศิษย์พี่รอง”
“เช่นปรมาจารย์ของเต๋าเก้ารัฐ และมารเต๋าของเต๋าเจ็ดวิญญาณ…พวกเขาก็ใช้วิธีนี้เลื่อนขั้น เพียงแต่ว่ามารเต๋าสมบูรณ์แบบกว่าอย่างเห็นได้ชัด ภายในจักรพิภพสำนักเสริม แม้จะมีดีเลวปะปน แต่ต้องมีสิ่งแปลกประหลาดอยู่ภายใน ทำให้น้อยนักที่จะจัดเขาเป็นผู้มีโชคจักรพรรดิ ดังนั้นระดับจักรวาลของเขาจึงเลื่อนขึ้นได้อย่างราบรื่น”
“แต่จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายกลับไม่เป็นเช่นนั้น ที่นี่มีท่านอาจารย์ โดยเฉพาะเป็นสถานที่ที่เฉินชิงจื่อโลดแล่นมาหลายปี บางทีอาจมีสาเหตุอื่นอีก จึงนำไปสู่การที่ปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐรวบรวมโชคได้ไม่เพียงพอ สามารถบรรลุระดับจักรวาลภายในสำนักเขาเท่านั้น นี่ก็เป็น…สาเหตุการผุดขึ้นของข้า ทำให้เต๋าเก้ารัฐร้อนรนที่จะขัดขวางด้วยพลังเกือบทั้งหมดเช่นนี้”
“เกรงว่า การทะลวงผ่านของข้าจะทำให้ปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐผู้นั้น ไม่อาจเลื่อนขั้นได้อีกไปโดยปริยาย ในสภาพตอนนี้ที่ถูกกระทบความแข็งแกร่งชั่วนิรันดร์”
“สำหรับท่านอาจารย์ บ้านเกิดของท่านได้สูญสิ้น ราวฐานเต๋าถูกทลาย ดังนั้นก็เดินเส้นทางนี้ไม่รอด”
“แต่วิธีการทะลวงผ่านนี้ มีข้อเสียอันใหญ่หลวง ชีวิตถูกลิขิตไม่อาจออกจากโลกแห่งศิลาได้ หากหลีกหนี…ก็เท่ากับผลเต๋าที่เหี่ยวเฉา การฝึกตนจะตกลงแล้วตกลงอีก จนกว่าจะกลายเป็นคนธรรมดา เช่นเดียวกับถูกขังตาย”
“นอกเหนือจากนี้ วิธีที่สอง ยินยอมที่จะเป็นหุ่นเชิดของเต๋าสวรรค์ ยืมกฎเกณฑ์กฎเวทที่ไม่สิ้นสุดจากเต๋าสวรรค์ เพื่อเลื่อนขั้นระดับจักรวาล วิธีนี้ดูเหมือนจะง่ายดาย แต่จำนวนมีจำกัด…และหากกลายเป็นหุ่นเชิดเต๋าสวรรค์ ความเป็นตายตลอดจนดวงจิต ต่างมิได้เป็นของตนอีกต่อไป”
“จักรพรรดิสวรรค์หลายท่านของตระกูลไม่รู้สิ้น ก็คงเป็นดังนี้…หากสืบสาวถึงแก่นแท้ก็มีที่มาเดียวกับวิธีแรก เพียงแต่ว่าในการเตรียมโชคไว้ก่อน แล้วไปยืมพลังจากเต๋าสวรรค์ จะทำให้การเลื่อนขึ้นยิ่งราบรื่น และหลังจากพลังต่อสู้เลื่อนระดับแข็งแกร่งขึ้น กระทั่งเต๋าสวรรค์สามารถออกจากโลกแห่งศิลา พวกเขาก็สามารถออกไปด้วยวิธีนี้”
“สำหรับวิธีที่สาม…ก็คือภายในโลกแห่งศิลาตอนนี้ เส้นทางระดับสูงสุด นั่นก็คือ…กลายเป็นเต๋าสวรรค์” ดวงตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย
“เต๋าสวรรค์ก็คือร่างตน เช่นนั้นย่อมไม่มีขอบเขตใดๆ เช่นเฉินชิงจื่อ…และหากไปดูตอนนี้ เกรงว่าบรรพบุรุษของตระกูลไม่รู้สิ้นผู้นั้น ก็คงเดินตามเส้นทางนี้ เต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้น บางทีเดิมก็คือร่างจำแลงของเขา” ความคิดของหวังเป่าเล่อค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นมา
“และเต๋าที่ข้าแสวงหา ก็คือวิธีที่สี่”
“ภายในโลกแห่งศิลาการฝึกฝนเต๋าที่แท้จริงของจักรวาลจากภายนอก การเข้าสู่ระดับจักรวาลด้วยวิธีนี้ ดังนั้น…จะทำให้ไร้ข้อจำกัดและหลุดพ้นเป็นอิสระ”
หวังเป่าเล่อเงียบไปครู่ใหญ่ อยู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา ไม่ครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้อีก และภายในนครดาวอังคารใหม่นี้ เขานำแผ่นหยกออกมาพิจารณาอย่างละเอียด และถือสันโดษต่อไป การถือสันโดษครั้งนี้ เขาจะต้องครอบครองเต๋าแปดปรมัตถ์รวมทั้งวิถีเต๋าคืนพินาศให้ได้
อย่างแรกคือเส้นทางที่เขาต้องเดินในอนาคต อย่างหลังจะกลายเป็นเคล็ดวิชาลับบนพลังต่อสู้ของเขา
เวลาในการตระหนักรู้และศึกษาของหวังเป่าเล่อ ผ่านไปอย่างช้าๆ โดยไม่รู้ตัวหนึ่งปีก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สงครามระหว่างตระกูลไม่รู้สิ้นและสำนักแห่งความมืดยังคงร้อนระอุ ไฟสงครามของทั้งสองฝ่ายได้แผ่ขยายไปมากกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่ส่วนกลางของไม่รู้สิ้น อีกทั้งยังปรากฏการต่อสู้แห่งจักรพรรดิสวรรค์อยู่หลายครั้ง
แม้ส่วนใหญ่เป็นการลงมืออย่างเรียบง่าย แต่ก็เป็นสัญญาณว่าสงครามกำลังร้อนแรง และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ… ทางด้านสำนักแห่งความมืด ยังปรากฏพลังต่อสู้จักรพรรดิสวรรค์อื่นอีกนอกจากเฉินชิงจื่อ!
พลังต่อสู้จักรพรรดิสวรรค์ทั้งสามท่าน กลับไม่ใช่ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืด แต่เป็นวิญญาณที่ดับสูญซึ่งมาจากภายในแม่น้ำแห่งความมืด เห็นได้ชัดว่าภายใต้เวทวิเศษของเฉินชิงจื่อได้มอบพลังฝึกตนที่แข็งแกร่งแก่พวกมัน ค่าตอบแทนย่อมมิใช่น้อย แต่สำหรับสงครามความผันผวนที่เกิดจากเรื่องนี้ใหญ่นัก
วิญญาณที่ดับสูญทั้งสามนี้ ก็มีสมญานามเช่นกัน ผู้หนึ่งนามว่านักบุญมืด อีกผู้หนึ่งนามว่าเทพอัฐิ ส่วนคนสุดท้ายร่างแท้คือสุสานวิญญาณต้นหนึ่ง กลายมาเป็นผู้เฒ่าสมญานามว่าวิญญาณสุสาน
แต่นี่ยังมิใช่สิ่งที่ทำให้ทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นสั่นสะเทือน สิ่งที่ทำให้สัมผัสสวรรค์ทุกฝ่ายคำรามก้องอย่างแท้จริง คือการต่อสู้ระหว่างนักบุญมืดและจักรพรรดิกวงหมิง ท้ายที่สุดจักรพรรดิกวงหมิงก็ตะโกนเรียกชื่อหนึ่งออกมาอย่างไร้เสียง
“จักรพรรดิสวรรค์เฮ่าเยว่!”
จักรพรรดิสวรรค์เฮ่าเยว่ที่ถูกเฉินชิงจื่อสังหารเมื่อสามหมื่นปีก่อน
เวลานี้ดูไปแล้ว เห็นชัดว่าที่เฉินชิงจื่อต่อสู้เพื่อสำนักแห่งความมืดในวันนี้ ได้เตรียมการมานานมาก โดยเฉพาะเมื่อระลึกถึงจักรพรรดิสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นเหล่านั้นที่ดับสูญตั้งแต่ปกครองกลุ่มดาวจนถึงทุกวันนี้ ไม่รู้ว่าในนี้ยังมีผู้ที่ถูกเฉินชิงจื่อสังหารอีกหรือไม่ เมื่อคิดโยงไปถึงเรื่องราวมากมาย ทำให้เกิดระลอกคลื่นใหญ่ภายในใจทุกคน
ยังดีที่เทพอัฐิและวิญญาณสุสานปรากฏร่างขึ้นทีละคน เรื่องเช่นนี้จึงไม่ปรากฏขึ้นอีก และลดความตระหนกของตระกูลไม่รู้สิ้นลงได้ แต่การคาดเดาเกี่ยวกับตัวตนดั้งเดิมของคนทั้งสองกลับไม่เคยสิ้นสุด
ท้ายที่สุด…เป็นไปไม่ได้ที่จักรพรรดิสวรรค์องค์ใหม่จะปรากฏตัวในเวลาอันสั้นเช่นนี้ ดังนั้นทั้งสามท่านที่ปรากฏในสำนักแห่งความมืดแต่ละคนย่อมมีที่มาที่ไป สามารถตรวจสอบได้ในประวัติศาสตร์!
แม้ว่าสงครามช่วงสั้นๆ ระหว่างจักรพรรดิสวรรค์ ไม่ได้ลามมาถึงจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย แต่ด้วยสถานะในตอนนี้ของสหพันธรัฐมีกองกำลังสำนักอารยธรรมเล็กๆ คิดจะเข้าร่วมมากเกินไป เข้ามาทำหน้าที่เป็นหูเป็นตาไม่หยุด นำเรื่องการรบมารายงาน ขณะเดียวกันภายใต้การจัดการของปรมาจารย์แห่งไฟ สหพันธรัฐเองก็จัดกองทหารหน่วยหนึ่ง คอยติดตามเรื่องการรบที่นั่น ทำให้สหพันธรัฐสามารถรู้เรื่องเกี่ยวกับสนามรบได้อย่างรวดเร็ว
และสิ่งเหล่านี้ เนื่องจากร่างธรรมและร่างอวตารของหวังเป่าเล่อต่างก็อยู่ภายนอก ดังนั้นเขาย่อมรู้เช่นกัน แต่ตอนนี้กลับไม่มีเวลาไปสนใจ เพราะจิตใจของเขาทั้งหมดล้วนหมกมุ่นอยู่กับการศึกษาเต๋าแปดปรมัตถ์และคืนพินาศ
สิ่งแรกที่หวังเป่าเล่อรู้แจ้ง ไม่ใช่เต๋าแปดปรมัตถ์ แต่เป็น…คืนพินาศ
ในระหว่างที่จะตกใจหรือไม่ตกใจดีนั้น หวังเป่าเล่อใช้เพียงสองลมหายใจในการไตร่ตรอง จึงตอบรับอย่างยากลำบาก
“ตามประสงค์ท่านพ่อตา ท่านพ่อตาย่อมเรียกข้าเป่าเล่อได้” หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าเขาเอาความกล้ามาจากไหน กล่าวประโยคนี้จนจบ จากนั้นก็ก้มหน้ารอ
หลังจากนั้นสักพัก เสียงเย็นเยียบก็ส่งมาจากด้านหน้าของเขา เสียงนี้แฝงด้วยความสงสัยและยังมีคำกล่าวที่เย็นชา ดังก้องอยู่ข้างหูของหวังเป่าเล่อ
“ใจกล้าไม่น้อย แต่คิดจะเป็นลูกเขยของผู้แซ่หวัง เจ้ายังต้องผ่านการทดสอบมากมาย และจากนี้ต่อไป อย่าได้ทำให้บุตรสาวข้าอีอีได้รับความโศกเศร้าเสียใจเป็นอันขาด เจ้าจะทำได้หรือไม่”
หวังเป่าเล่อก้มหน้าอยู่ตลอดเวลา ผนึกกั้นร่างตน มิได้มองไปด้านหน้า แต่พอฟังไปก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ ระดับฝึกตนกระจายไปอย่างเงียบเชียบ เมื่อกวาดตามองก็พบว่าเจ้ากวางขาวน้อยและอีอีน้อยที่อยู่บนหลังมัน ยังมีเทพเคารพสูงสุดผู้นั้น ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว มีเพียงแม่นางน้อยยืนอยู่ด้านหน้าตน ใบหน้าเต็มไปความพอใจ
หวังเป่าเล่อลังเลอยู่บ้าง ระดับฝึกตนยังไม่กระจาย กล่าวเสียงต่ำ
“ท่านพ่อตา ท่านต้องเข้าใจผิดเป็นแน่ นางรังแกข้ามาตลอด..”
“บังอาจ ลูกสาวข้าอ่อนโยน เชื่อฟัง รังแกเจ้า นั่นเป็นเพราะ…” ในสติของหวังเป่าเล่อ เห็นกับตาว่าแม่นางน้อยกำลังกลั้นหัวเราะอยู่ตรงหน้าตนเอง ไม่รู้ว่าเลียนเสียงผู้เป็นบิดาด้วยวิธีใดตอบกลับอย่างชอบใจ
เมื่อเห็นดังนี้ หวังเป่าเล่อก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก หวังอีอีกล่าวไม่ทันจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นก่อน สายตาประสานกับหวังอีอี ฝ่ายหลังจึงรีบปิดปาก มองหวังเป่าเล่อตาปริบๆ
“อีอี เจ้าซุกซนอีกแล้ว” หวังเป่าเล่อถอนหายใจ
เวลานี้แม่นางน้อยทนไม่ไหวอีกต่อไป นางหัวเราะจนท้องแข็ง หน้าตาเต็มไปด้วยความสุข ทำให้ใบหน้าหมดจดแต่เดิมนั้น เพิ่มความขี้เล่นขึ้นอีก
หวังเป่าเล่ออดรนทนไม่ไหว หลังจากมองซ้ายมองขวาแล้ว จึงถามขึ้น
“บิดาเจ้าไปแล้วหรือ ไปตั้งแต่เมื่อใด”
“เจ้าทายสิ” แม่นางน้อยอมยิ้มมองหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อรู้สึกปวดหัว และพยายามถามหลังจากผ่านไปสักพัก
“ไม่เถียงแล้ว ข้ายังมีเรื่องจริงจังที่ยังไม่ได้คุย เรื่องนั้น…ประโยคแรกน่าจะเป็นบิดาเจ้ากล่าว แล้วส่วนหลังเล่า เจ้าเริ่มกล่าวตั้งแต่ประโยคใดกัน”
“ข้าไม่บอกเจ้า” แม่นางน้อยหัวเราะขึ้นอีกครั้ง ท่าทางถูกอกถูกใจ
หวังเป่าเล่อรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้าง เมื่อแม่นางน้อยเห็นเช่นนั้น หลังจากหัวเราะไปสักพักก็เดินเข้าไปใกล้เขา ตบไหล่หวังเป่าเล่อเบาๆ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“อย่าได้คิดเรื่องนี้แล้ว ท่านพ่อข้ากล่าวว่ามิใช่ไม่ต้องการพบเจ้า แต่เพราะระดับฝึกตนของเจ้าในตอนนี้ หากจะเข้าพบท่าน จะทนรับแรงกดดันจากช่องว่างกาลเวลารวมทั้งจากร่างของท่านไม่ไหว จะส่งผลร้ายต่อมหาเต๋าของเจ้า”
“ท่านยังกล่าวขอบใจเจ้ามาก”
“ยังกล่าวว่า ท่านทราบถึงเจตนาในการมาของเจ้า ให้ข้านำแผ่นหยกมาให้เจ้า ในนี้มีสิ่งที่เจ้าต้องการ นอกจากนี้…ท่านยังกล่าวว่า ท่านจะตั้งตารอพวกเราที่ด้านนอกโลกแห่งศิลา”
“ยังมีๆ…” หลังจากกล่าวจบ แม่นางน้อยก็รีบกล่าวต่อไปอีก
“สุดท้ายท่านพ่อข้ากล่าวว่า แผ่นหยกนี้มิใช่ของขอบคุณ ของขอบคุณที่แท้จริง จะรอให้เจ้าออกจากที่นี่แล้ว ท่านจะพาเจ้าไปบ้านเกิดของข้า และจะเปิดสะพานสู่สวรรค์ให้เจ้าผู้เดียว ข้าก็ไม่เข้าใจว่าหมายถึงสิ่งใด เพราะแต่ไหนแต่ไร สะพานสู่สวรรค์ที่บ้านเกิดข้า มีเพียงท่านพ่อเท่านั้นที่เคยได้ไป”
“เขาบอกว่า นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของมหาเต๋า”
“จริงสิ ยังมีอีก…สุดท้ายท่านกล่าวว่า ให้เจ้าดีต่อข้า ทะนุถนอมข้า รักข้า อย่าทำให้ข้าเสียใจ น่าจะเป็นเรื่องเหล่านี้ ข้าล้วนบอกเจ้าหมดแล้ว” สุดท้ายแม่นางน้อยก็ส่งเสียงกระแอมไอ เหลือบตามองหวังเป่าเล่อ แล้วส่งแผ่นหยกให้
หวังเป่าเล่อมึนงงอยู่บ้าง ปริมาณข่าวสารค่อนข้างมาก เขาต้องการวิเคราะห์สักพัก มือเอื้อมหยิบหยิบแผ่นหยกตามสัญชาตญาณ หลังจากไตร่ตรองทุกอย่างอยู่ในใจแล้ว ในสายตาก็เผยแววประหลาดแวบผ่าน
สะพานสู่สวรรค์คือสิ่งใด ตัวเขาเองไม่รู้ แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด หลังจากได้ยินชื่อนี้ กระแสเต๋าของเขาก็ผันผวนอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนแค่ชื่อก็สามารถทำให้เกิดปราณกังวานของเต๋าขึ้น
“สู่สวรรค์…ไม่ใช่ครองสวรรค์ ก็ไม่ใช่ขึ้นสวรรค์ คำว่าสู่ แฝงไปด้วยความครอบงำไร้ที่เปรียบ เหมือนกับการหลุดพ้นอย่างสมบูรณ์…”
“อยู่ด้านนอกรอพวกเรา…” หวังเป่าเล่อยังคงครุ่นคิด ส่วนประโยคสุดท้ายที่แม่นางน้อยกล่าว เขาไม่เชื่อว่าเทพเคารพสูงสุดผู้นั้นจะกล่าวเช่นนี้ คิดไปน่าจะเป็นแม่นางน้อยเพิ่มเข้าไปเอง ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่ได้คิดให้ลึกซึ้ง แต่ก้มหน้ามองแผ่นหยกในมือ
กระแสเต๋าแผ่ออกไป หลอมรวมเข้าในแผ่นหยก แผ่นหยกนี้ก็มีดวงจิตเทพที่สงบก้องสะท้อนสัมผัสสวรรค์ของเขา
“ชีวิตของผู้แซ่หวัง นอกจากการศึกษากระบวนเวทของผู้อื่นในตอนแรกแล้ว พลังเทพที่ตนสร้างขึ้นโดยมาก ความตั้งใจ คืนพินาศ จันทร์คล้อย ทางฝัน ตราเต๋าสารัตถะรวมทั้งเต๋าโบราณไร้เวทอมตะ เต๋าส่วนตนของผู้แซ่หวังเหล่านี้ ฝึกตนแบบเรียบง่ายย่อมได้ แต่ไม่อาจประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ๋ เพราะจุดกำเนิดของแต่ละมหาเต๋าที่นี่ต่างเป็นเงาร่างของผู้แซ่หวังกลายจากแหล่งที่มา หากข้าอยู่ ผู้อื่นไม่อาจสู่สวรรค์ด้วยวิธีนี้”
“ดังนั้นจึงเหมาะกับอีอี ด้วยอนาคตของนางมีจำกัด แต่ไม่เหมาะกับเจ้า”
“ชีวิตนี้ของผู้แซ่หวังได้เห็นพลังเทพมานับไม่ถ้วน จนถึงทุกวันนี้จำได้ว่ามีวิถีเต๋าน้อยนักที่สามารถทำให้ข้าประหลาดใจได้ มีเพียง…เวทเดียว แม้จะมองด้วยขอบเขตของข้าในปัจจุบัน ยังคงยากจะลืม ยังคงอดที่จะชื่นชมไม่ได้ ที่มาของมันว่างเปล่า ไร้ดวงจิตครอบครอง หากเจ้าประสบความสำเร็จ เต๋านี้สามารถเปลี่ยนการฝึกตนของเจ้าไปเป็นอีกเต๋าหนึ่ง”
“เต๋านี้ มีชื่อว่า…เต๋าแปดปรมัตถ์”
“ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ห้าธาตุนี้เป็นรากฐาน ฝึกเป็นเต๋าทองปรมัตถ์ เต๋าไม้ปรมัตถ์ เต๋าน้ำปรมัตถ์ เต๋าไฟปรมัตถ์ เต๋าดินปรมัตถ์ เป็นความสำเร็จเล็กๆ และสามปรมัตถ์หลัง ต้องให้เจ้าไปตระหนักรู้ด้วยตนเอง จนกระทั้งแปดขั้นมหาวัฏจักร หากสามารถรวมเป็นหนึ่ง… เหนือกาลเวลา วันคืนที่ผ่านพ้น ผู้ใดจะสามารถทำอะไรเจ้าได้”
“นอกเหนือจากนี้ เจ้าได้ตระหนักรู้ส่วนจันทร์คล้อย และยังศึกษาเต๋าแห่งคืนพินาศของผู้แซ่หวังอีก แต่ต้องจำไว้ว่า เวทของคนภายนอกอาจถูกเจ้าของทำลาย หากที่มาไม่แน่ชัดอย่าได้ศึกษาให้ลึกซึ้ง”
เมื่อเสียงสิ้นสุด หวังเป่าเล่อร่ำร้องอยู่ในใจทันที เกี่ยวกับข่าวต่างๆ ของคืนพินาศรวมทั้งเวทแห่งการฝึกตนของเต๋าแปดปรมัตถ์ ขณะนี้กำลังระเบิดอยู่ในใจหวังเป่าเล่อทำให้สัมผัสสวรรค์ของเขาสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ทำให้รอบด้านที่ว่างเปล่าของเขาพังทลายลงทันที
ดูเหมือนแม่นางน้อยรู้มาก่อนว่าจะเป็นเช่นนี้ รีบกลับเข้าไปในหน้ากาก พริบตาต่อมาด้วยการพังทลายรอบด้าน หมู่ดาวจักรวาลที่แต่ละชั้นแม้หวังเป่าเล่อจะเดินผ่านก็ปรากฏอย่างต่อเนื่อง และเปลี่ยนไปทุกๆ เก้าร้อยปี พังลงที่ละชั้น ท่ามกลางเสียงร้องอย่างต่อเนื่องนี้ เงาร่างของหวังเป่าเล่อปรากฏอยู่ที่สหพันธรัฐ และปรากฎอยู่ภายในนครดาวอังคารใหม่
จากการปรากฏตัวของเขา ทั้งดาวสะเทือนเลื่อนลั่น กวาดตามองไป ชั้นระลอกคลื่นกระจายออกจากภายในดาวอังคาร และแผ่ขยายไปทั่วทั้งระบบสุริยะ
ระลอกคลื่นนี้ดูน่าตื่นตระหนก แต่มิได้แฝงพลังทำลายล้าง ทั้งหมดนั้นเป็นการปรากฏตัวของเต๋า เพียงพริบตาเดียวก็กวาดดวงดาราทั้งหมดไปทั้งระบบสุริยะ ทำให้ปรมาจารย์แห่งไฟรีบร้อนลุกขึ้น ใบหน้าหวาดผวา
“กระแสเต๋านี้…ดูเหมือนวิชาสืบทอด แต่นี่รุนแรงเกินไปแล้ว เทียบตาเฒ่าอย่างข้า…ไม่อาจเทียบได้ แต่เทียบกับความรุนแรงนี้ พื้นฐานของข้าก็เป็นขนนกไปเลย”
ขณะที่ปรมาจารย์แห่งไฟถอนหายใจ ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดภายในระบบสุริยะ เกิดระลอกคลื่นใหญ่ขึ้นภายในใจ มองไปทางดาวอังคารด้วยความเคารพอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะลัทธิเต๋านี้ ยังปะทุออกจากระบบสุริยะ แผ่ขยายตรงไปที่จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายกว่าครึ่งดูเหมือนกระบวนท่าซัดคลื่น ทำให้ขณะนี้…กฎเกณฑ์และข้อบังคับของทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นล้วนสั่นสะเทือน สีหน้าปรมาจารย์ของเต๋าเก้ารัฐเปลี่ยนไปอย่างรุนแรง สำนักเสริมก็ดี ตระกูลไม่รู้สิ้นก็ดี ระดับจักรวาลทั้งหมด ต่างมองไปทางระบบสุริยะกันอย่างพร้อมเพรียง
“นี่มันพลังกระแสวิถีเต๋าอะไรกัน รุนแรงเช่นนี้” ปรมาจารย์ของตระกูลไม่รู้สิ้นที่สงสัยว่าเป็นร่างอวตารมหาเทพผู้นั้น เวลานี้ต่างก็เปลี่ยนสีหน้า
ยังมีภายในแม่น้ำแห่งความมืด ก็ปรากฏใบหน้าของเฉินชิงจื่อออกมาในขณะนี้ มองไปทางระบบสุริยะอย่างลึกซึ้ง
ไม่เพียงเท่านี้ ที่นอกโลกแห่งศิลาและที่ในหมู่ดาวแท้จริงนั้น มีแผ่นศิลาโบราณโชกโชนก้อนหนึ่ง ลอยอยู่ในความว่างเปล่าของเหวลึกไร้ที่สิ้นสุดในกลุ่มดาว สามารถเห็นพื้นผิวของแผ่นศิลาเต็มไปด้วยรอยแตก
เวลานี้ อยู่ๆ มันก็สั่นขึ้นมา เพิ่มรอยแตกมาอีกเส้น
ความสั่นสะเทือนนี้ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วนในความว่างเปล่า และในความว่างเปล่ายังมีวิญญาณที่ทรงพลังและดุร้ายมากมายนับไม่ถ้วน แต่ตอนนี้ไม่มีผู้ใดเลยที่จะกล้าเข้าใกล้ที่นี่แม้แต่น้อย เพราะ… ที่นี่นอกจากแผ่นศิลาแล้ว ยังมีเรือโบราณลำหนึ่ง
บนเรือมีชายวัยกลางคนผมขาวผู้หนึ่งอยู่ในนั้น เขานั่งเงียบๆ อยู่ที่นั่น จ้องไปทางแผ่นศิลา ดูเหมือนจะจ้องมองมันมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว และเวลานี้มุมปากเขายกขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้ม
……………………………………
หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงอ่อนโยนของแม่นางน้อย รอยยิ้มก็ผุดขึ้นที่มุมปาก เขาคิดถึงภาพที่เคยหยอกล้อกับนาง และระลึกถึงเรื่องราวในอดีตมากมายตอนที่ยังอยู่สหพันธรัฐ
เหมือนตอนปีก่อนตนเองกำลังกินขาไก่อยู่บนเรือบินของสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ หรืออย่างเช่นตอนที่เป็นหัวหน้านักเรียนในสำนักศึกษาเต๋ารวมทั้งนิสัยที่ชอบเตะเป้าในตอนแรก
ยังมีอุดมคติ
ลดความอ้วนก็ดี สมใจก็ช่าง เขายังคงจำได้เรื่องที่ตนตั้งตารอในวัยเด็ก…การเป็นผู้นำของสหพันธรัฐ
เพื่อความใฝ่ฝันนี้ แบบอย่างของการที่เขาพยายามดิ้นรนยังคงอยู่ในส่วนลึกของความทรงจำ แล้วยังมีอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงที่เขาอ่านจนขึ้นใจเล่มนั้น และความสมปรารถนาของเจ้าสำนักดาวอังคาร
อดีตที่รีบเร่ง ชีวิตที่เหมือนฝัน…การระลึกถึงความหลังอย่างไม่ตั้งใจ มักจะทำให้ผู้คนร่ำไห้ ก็เหมือนกับใบไม้ใบหนึ่งที่ผ่านมาแล้วทุกฤดูกาล จากนั้นสีสันจึงผันเปลี่ยน
“ที่แท้แล้ว รูปลักษณ์ข้าได้เปลี่ยนไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ…” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา
“เติบโตแล้ว” หวังเป่าเล่อถอนหายใจเบาๆ
เขาเหยียบเข้าสู่โลกแห่งการฝึกตนโดยไม่รู้ตัว แม้จะไม่ถึงสองร้อยปี แต่ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก รายละเอียดของกาลเวลาตัวเขาเองก็ยังคลุมเครืออยู่บ้าง
นี่ไม่ใช่เป็นเพราะกาลเวลาที่เนิ่นนาน ในความเป็นจริงนั้น หากกล่าวจากมุมมองของการฝึกตนที่แท้จริง สามารถฝึกตนมาถึงขั้นนี้ได้ในเวลาไม่ถึงสองร้อยปี นับได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์แล้ว
แต่สำหรับเขาแล้วดูเหมือนจะสมเหตุสมผลอยู่บ้าง ในขณะที่ความจริงยังคงถูกเปิดเผย หวังเป่าเล่อเองก็เข้าใจแล้วว่าตนและชะตาภายในจักรวาลนี้ต่างกันในด้านสาระสำคัญ
จุดสำคัญที่ทำให้ความทรงจำของเขาพร่าเลือน และสาเหตุที่ทำให้บุคลิกเขาเปลี่ยนไป เป็นเพราะในช่วงเวลาที่จำกัดนี้ เขาได้ผ่านเหตุการณ์มามากมาย โดยเฉพาะกลุ่มดาวชะตาจู่โจมต่อชีวิตของเขาจนพลิกฟ้าสะเทือนดิน
หลายครั้งที่หวังเป่าเล่อรู้สึกตัวว่าชราแล้ว มิใช่ร่างกายที่ชรา มิใช่จิตวิญญาณ แต่เป็นที่ใจ
ดูเหมือนเรื่องราวมากมายพวกนั้น แม้จะไม่ได้สงสัยอีก ล้วนมองข้ามไป แต่ก็เพราะมันเลือนรางไปแล้ว จึงยากที่จะเกิดความหลงใหลดังเช่นในวัยเยาว์
“ค่าตอบแทนที่ไม่สับสน” หวังเป่าเล่อมองท้องฟ้าอันไกลโพ้น เผยยิ้มโง่งม ทันใดนั้นก็หยิบขวดปรารถนาออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บด้วยเกิดความรู้สึกครั้งเยาว์วัย
“ผู้อาวุโส ข้าขอพร…ขอให้ดวงจิตของข้ากลับไปสู่ครั้งวัยเยาว์”
ขวดปรารถนาเงียบงัน และเริ่มส่งเสียงดิ้นรนออกมาจากมือหวังเป่าเล่อ ราวกับมันมีความรังเกียจแฝงไว้ ก่อนจะกลับเข้าไปในกระเป๋าคลังเก็บ
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นเช่นนี้ ก็ส่งเสียงหัวเราะที่ยากจะเห็น
แม้ใบไม้จะเปลี่ยนสี แต่เขาก็ยังคงเป็นเขา หัวใจยังคงเป็นเหมือนเมื่อแรกรุ่น
“เช่นนี้…ก็ดี” หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น โบกเบาๆ จนเกิดระลอกคลื่นรอบตัว ระลอกนี้แผ่ขยายออกไป…จนกระทั่งหลังจากครอบคลุมไปทั่วสารทิศที่เขาอยู่ทั้งหมด ผิวน้ำ…ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งบนร่างของเขา ด้วยตัวหวังเป่าเล่อเองเป็นดั่งหยดน้ำที่ร่วงหล่น ระลอกวงแหวนเก้าวงแผ่ออกไปเป็นชั้นๆ
เมื่อเก้าร้อยปีก่อน ตอนนั้นเขายังไม่ถือกำเนิด ทว่าก็ไม่เป็นไร เวทแห่งเงาจันทร์เป็นเขาสร้างมันขึ้นมาเอง อาจกล่าวได้ว่ามองไปทั่วจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น คงมีไม่กี่คนที่จะเหมาะสมกับกระบวนเวทนี้ยิ่งไปกว่าเขาแล้ว
เพราะร่างของเขาได้รู้แจ้งแห่งจักรวาลนี้ กระบวนการทั้งหมดกลายเป็นแผ่นศิลาจวบจนทุกวันนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบ หวังเป่าเล่อ…อยู่มาโดยตลอด
ดังนั้นเมื่อเขายกมือขึ้นชี้ไปที่ผิวน้ำ โลกที่เขาอยู่ดูเหมือนจะถูกเปลี่ยนไปแล้ว ทันทีที่มันเปลี่ยนแปลง หวังเป่าเล่อ…ก็ได้กลับไปยังสถานที่เมื่อเก้าร้อยปีก่อนนั่น
มันเป็นที่ว่างผืนหนึ่ง
เมื่อชี้ไปอีกครั้ง ผิวน้ำกระเพื่อมเก้าวงขึ้นอีก…เป็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อร่ายเวทด้วยสีหน้าสงบนิ่ง โลกที่อยู่เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เขาเดินในแม่น้ำสายยาวแห่งประวัติศาสตร์ไม่รู้จัก เขาเห็นสิ่งกำเนิดแรกของจักรวาลในชาตินี้ จากนั้น…ก็มาถึงจักรวาลของเผ่าเทพ
ในไม่ช้าก็มาถึงโลกของผีดิบอีกรอบ ต่อมาโลกของทหารอาฆาตนั้นก็ยังคงอยู่เช่นกัน จากนั้นก็เป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้น…หวังเป่าเล่อมองทั้งหมดนี้อย่างสงบ ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยมานั่งอยู่ข้างเขาตั้งแต่เมื่อใด นางไม่ได้พูดจา เพียงจ้องมองท้องนภาที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกัน
กระทั่งไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าใด ภาพบนผิวน้ำ…ก็ได้หยุดลง ก่อนจะปรากฏเจ้ากวางขาวน้อยอยู่ในน้ำ มีเด็กหญิงผู้หนึ่งนั่งอยู่บนหลังของมัน และที่ด้านหน้า…เงาร่างผมขาวยืนตระหง่านยากที่จะหลบซ่อนได้
ทันทีที่เห็นเงาร่างนี้ แม่นางน้อยที่อยู่ข้างร่างหวังเป่าเล่อก็ตัวสั่น เงาด้านหลังของผู้ที่เดินอยู่บนท้องฟ้าในภาพนั้น กลับหยุดฝีเท้า
เกือบจะในเวลาเดียวกับที่เขาหยุดชะงัก หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้น ชี้ไปที่ภาพ จากนั้นโลกที่เขาอยู่ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ทั้งหมดต่างสลายไปทันที และถูกแทนที่ด้วยภาพหนึ่ง ด้านหน้าเป็นเงาด้านหลังที่ผ่านโลกมาโชกโชนแต่กลับยืนตระหง่าน กวางขาวน้อยหลับตา ท่าทางของมันคล้ายกำลังหลับใหล เด็กหญิงก็งีบหลับเช่นกันคล้ายกับมีพลังแห่งกฎจักรวาล ทำให้อดีตไม่อาจพบกับปัจจุบัน
“ท่านพ่อ…” แม่นางน้อยสั่นสะท้าน จ้องไปที่เงาด้านหลังนั้น พึมพำเสียงเบา
“ท่านอาวุโส” หวังเป่าเล่อค้อมศีรษะ ประสานหมัดขึ้นคำนับ
เงาผมขาวด้านหลังนั้น ค่อยๆ หันร่างมา เผยให้เห็นใบหน้าวัยกลางคนทั้งหล่อเหลาและสง่างามในเวลาเดียวกัน สายตานั้นอบอุ่นเช่นเดียวกับผู้อาวุโส
มันคือผู้เล่านิทานตอนแรกในชาตินั้น สุดท้ายเทพเคารพสูงสุดจากโลกภายนอกปรากฎอยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่อรู้ว่าเขาแซ่หวัง แต่ไม่ได้ไต่ถามชื่อ
นี่ไม่สำคัญ เพราะที่สำคัญก็คือ พวกเขาได้พบกันอีกครั้งหนึ่งในสายน้ำของกาลเวลา
“เติบโตแล้ว” ชายผมขาวผู้นั้นมองดูหวังเป่าเล่อและหวังอีอี ใบหน้าปรากฏรอยยิ้มชื่นใจ เอ่ยปากเสียงเบา
“ท่านพ่อ” แม่นางน้อยทนไม่ไหวอีกต่อไป นางรีบวิ่งเข้าไปหาด้วยใบหน้าอาบน้ำตา พุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของบิดาเช่นเด็กน้อย น้ำตาไหลมากขึ้น
หวังเป่าเล่อไม่ได้เข้าไปรบกวน เขาถอยหลังไปหลายก้าว มองไปทางกวางขาวน้อยที่กำลังหลับใหล ให้ช่องว่างแก่สองพ่อลูก ขณะเดียวกันก็ตรวจอดีตชาติกวางขาวของตนเอง
แม้เขาจะหมกมุ่นในการสำรวจชีวิตอดีตชาติของเจ้ากวางขาวน้อย แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกของเขา ที่ใช้มุมมองนี้ วิธีนี้ เพื่อดูอดีตชาติของตน
“ดูท่าทางสบายใจมากนะ” หวังเป่าเล่อหัวเราะ เขาสามารถรับรู้และเห็นได้ถึงเจ้ากวางขาวน้อยว่ามีความสุขเพียงไร ดูเหมือนการได้อยู่เคียงข้างหวังอีอี สำหรับมันแล้วเป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจที่สุด
กาลเวลาผ่านไป การสนทนาของหวังอีอีและบิดา หวังเป่าเล่อไม่ได้เข้าไปฟัง เขาเชื่อว่าหากเทพเคารพสูงสุดผู้นั้นไม่ยินยอม อาศัยระดับการฝึกตนของตนก็ไม่อาจได้ยิน ดังนั้นจึงทำการผนึกรอบด้านของตนไปก่อนเลย
กระทั่งไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด หวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงเรียก
“สหายน้อย”
เสียงนี้อบอุ่นมากเต็มไปด้วยความเมตตา หวังเป่าเล่อได้ยินก็หันร่างไป มองไปทางบิดาของหวังอีอี สีหน้าแสดงความเคารพ และคำนับอีกครั้ง
“ท่านพ่อตาเรียกข้าเป่าเล่อได้” หวังเป่าเล่อกะพริบตา ในใจได้ไตร่ตรองไว้ก่อนหน้านี้แล้ว ที่ตนเรียกว่าพ่อตาออกมา มีความเป็นไปได้ว่าอาจถูกตีกลับไปในความเป็นจริง แต่หากไม่เรียก เขาก็กลัวว่าจะไม่มีโอกาสนี้แล้ว
ดังนั้น เวลานี้จึงลองเรียกก่อนให้รู้กันไปเลย
ไม่แน่ว่า อีกฝ่ายอาจจะยอมรับไปโดยปริยายก็ได้ อย่างไรก็ดี…ตนเองก็โดดเด่นเช่นนี้
เป่าเล่อไม่กลัว
ไม่ผิด
หวังเป่าเล่อก้มศีรษะ ขณะที่ปลอบตนเองอยู่ในใจ เสียงของบิดาหวังอีอีก็ส่งมาที่ข้างหู เห็นได้ชัดถึงน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป
“เจ้าพูดอีกครั้งซิ”
หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ…
…………………………………………………………..
สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว ทั้งชีวิตของเขายังไม่เคยได้สร้างพลังเทพด้วยตนเองอย่างแท้จริงเลย ที่เคยนับว่าได้ทำก็มีเพียงกระบวนเวทเท่านั้น
ทว่า พลังเทพ…เป็นวิถีเต๋า นั่นเป็นกฎบังคับ และกฎเวทกลายเป็นเครื่องสายดีดเสียงออกมาได้ไม่เหมือนกัน
เต๋าของอู๋น้อยจะเรียกว่าอะไร หวังเป่าเล่อไม่มีความสามารถพอที่จะกล่าว แต่ตามภาพพิมพ์กฎเวทดาวเคราะห์เต๋าของเขา ระหว่างการตระหนักรู้นับครั้งไม่ถ้วนในเวลากว่าครึ่งปีนี้ ในที่สุดเขาก็พิมพ์ประทับมันออกมาได้
หลังจากพิมพ์ประทับได้สำเร็จ สุดท้ายหวังเป่าเล่อก็ได้เข้าใจแล้วว่า…เหตุใดร่างของอู๋น้อย จึงมีลักษณะพิเศษของความเป็นอมตะ ก็คือไม่ว่าจะบาดเจ็บเช่นไร ดูเหมือนสำหรับเขาแล้ว นั่นจะทำอะไรเขาไม่ได้เลย
เป็นเพราะเต๋าพิเศษนี้ ได้หลอมรวมเข้าไปในจิตวิญญาณ ในชั้นกายเนื้อและในกระดูกของอู๋น้อยแล้ว ตลอดเวลา อู๋น้อยได้งมหาตัวตนของตนออกมาจากอดีตที่ผ่านมาอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ดังนั้นไม่ว่าอาการบาดเจ็บของเขาจะเป็นเช่นไร ก็ไม่เป็นไร แม้กระทั่งถึงจะตายก็ไม่ส่งผลกระทบต่อการหมุนเวียนเต๋าของเขา อดีตที่ผ่านไปของเขาจะเข้ามาแทนที่ปัจจุบันในทันทีและยังคงหมุนเวียนต่อไป
การไม่ตายไม่ดับเช่นนี้…ยิ่งหวังเป่าเล่อตระหนักได้ลึกซึ้งมากเพียงใด ก็ยิ่งสั่นสะท้านรุนแรงขึ้น แต่น่าเสียดายที่ถึงแม้เขาจะพิมพ์ประทับได้ ก็ไม่สามารถใช้บนร่างตน
เช่นเดียวกับกฎเวทการพิมพ์ประทับของตนเอง แหล่งที่มาของเต๋าได้ถูกกักไว้อยู่บนร่างอู๋น้อยแล้ว เว้นแต่อู่น้อยจะดับสูญอย่างสมบูรณ์ เต๋านี้จะถูกทำลาย เช่นนี้จึงจะสามารถสร้างมันขึ้นมาในร่างตนเองได้ใหม่ มิฉะนั้นแล้วก็จะไม่มีผู้ใดทำได้ถึงระดับเดียวกับอู๋น้อย
หากต้องการทำลายเต๋านี้ต้องสังหารอู๋น้อยให้ได้ วิธีการดังกล่าวก็เรียบง่าย ก็คือขณะที่สังหารอู๋น้อยต้องไปในช่วงเวลาที่เขาผ่านมาทั้งหมด นำอู๋น้อยนับไม่ถ้วนในแต่ละกาลเวลาที่ผันผ่านมาสังหารโดยพร้อมเพรียงในเวลาเดียวกัน
จะพลาดไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว และต้องจบทุกอย่างในคราเดียว มิฉะนั้นแล้ว หากพลาดแม้เพียงหนึ่ง มิใช่ในเวลาเดียวกัน เงาแห่งอดีตทั้งหมดก็จะฟื้นคืนชีพทันที
ทว่า หากคิดจะทำให้ถึงจุดนี้ คงลำบากแสนเข็ญเกินไปจริงๆ อย่างน้อยที่สุดหวังเป่าเล่อในวันนี้ เขาถามตัวเองก็ยังทำไม่ได้
และหวังเป่าเล่อก็มองออกแล้วว่า นี่ไม่ใช่ความตระหนักรู้ของตัวอู๋น้อย แต่เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับลึกล้ำสะเทือนฟ้าดิน ด้วยวัยของตนและการอุทิศให้การฝึกตนตีตราอยู่ที่อู๋น้อย ทำให้เขาเป็นหนึ่งเดียวกับเต๋านี้อย่างสมบูรณ์ และมีที่มาเดียวกันอย่างสมบูรณ์แบบ
“จักรพรรดิเสวียนเฉินหรือ” หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่ในใจ ชื่อนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ตีตรากฎเวท สมญานามที่ปรากฎขึ้นมาในหัวเอง
“ด้วยเหตุนี้ก็สามารถตัดสินว่าจักรพรรดิที่แท้จริงแข็งแกร่งเพียงใดแล้ว…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา อู๋น้อยที่ฐานการฝึกตนต่ำผู้หนึ่ง เมื่อประกอบด้วยกฎเกณฑ์นี้ล้วนมีร่างที่ไม่ตายไม่ดับ หากเปลี่ยนเป็นระดับจักรวาล ระดับความน่ากลัวของเขาก็ยากที่จะบรรยาย
แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังคงไม่อาจเทียบเท่าจักรพรรดิได้…
หวังเป่าเล่อส่ายหน้า หยุดความคิด ไม่ได้ใคร่ครวญต่อ เขาหมกมุ่นในเต๋าที่พิมพ์ประทับมาได้จากอู๋น้อย ขณะเดียวกันก็เปิดสถานที่ที่ถือสันโดษ ส่งอู๋น้อยที่ลิงโลดและภาคภูมิใจที่สามารถตอบแทนบิดาได้ออกไป
หลังจากเขาได้หลอมรวมกับจันทร์ข้างแรม ในความตระหนักรู้นี้ก็พยายามที่จะสร้าง…พลังเทพอีกอัน
ในเมื่อที่มาของเต๋านี้ไม่อาจครอบครอง เช่นนั้นสำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว การรวมเป็นหนึ่งกับจันทร์ข้างแรม แล้วเดินไปตามเส้นทางเต๋าอีกสายหนึ่ง จึงจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับตนเองที่สุด
“ชื่อจันทร์ข้างแรมดูไม่เหมาะสม บางทีอาจเรียกเป็น…เงาจันทร์ น่าจะเหมาะกับเต๋าของข้ามากกว่า” ขณะหวังเป่าเล่อพึมพำ เวทแห่งสัมผัสสวรรค์จันทร์ข้างแรมยังหลอมรวมกับร่างอู๋น้อยอย่างต่อเนื่อง ขจัดส่วนที่มีปัญหาทั้งหมดออก จัดสถานที่เหมาะสมไว้รองรับ ค่อยๆ นำเต๋าทั้งสองที่ยังไม่ได้รับอย่างสมบูรณ์หลอมรวมไว้ด้วยกันอย่างช้าๆ
ก่อตัวเป็นเต๋าสายหนึ่งที่อาศัยอากาศของที่นี่สร้างออกมา อย่างที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน
“เงาจันทร์…” ผ่านไปเนิ่นนาน หวังเป่าเล่อที่หลับตาอยู่ ระหว่างที่กำลังลืมตาขึ้นช้าๆ ร่างกายของเขาค่อยๆ พร่าเลือน มันพร่าเลือนไปรอบด้านราวกับแผ่นดินที่อยู่ใต้ร่างเขา กลายเป็นผืนน้ำเรียบนิ่ง และในเวลานี้ร่างของเขาราวกับกลายเป็นหยดน้ำ ตกลงมาจากกลางอากาศลงสู่ผิวน้ำ
เสียงดังติง…
ยามหยดน้ำร่วงหล่น ผิวน้ำราบเรียบกระเพื่อมออกเป็นวงกว้าง หยดน้ำที่อยู่ตรงกลางค่อยๆ กระจายออกไปรอบด้าน
กระเพื่อมไม่มาก มีเพียงเก้าวง
หนึ่งวง…แทนร้อยปี
วงกระเพื่อมเก้าวงทำให้กาลเวลาผ่านไปเก้าร้อยปี ก่อเป็นภาพลวงตาขึ้นมาบนผิวน้ำนับไม่ถ้วน ภาพเหล่านี้ปะปนกันไป หากเป็นมนุษย์ธรรมดาอยู่ที่นี่ เมื่อมองดูผืนน้ำคงจะรับกระแสข้อมูลมหาศาลเช่นนี้ไม่ได้ทันที ถึงขั้นที่ว่าดวงตาทั้งสองอาจมืดบอดและจิตวิญญาณล่มสลาย
แม้จะเป็นผู้ฝึกตนต่ำกว่าดาวพระเคราะห์ก็ทนรับไม่ได้เช่นเดียวกัน ความเป็นไปได้ที่จะดับสูญมีสูงมาก ภาพและข้อมูลนับไม่ถ้วนหลั่งไหลเข้ามาทันที ดังนั้นมีเพียงขั้นดารานิรันดร์จึงจะไม่ดับสูญด้วยเหตุนี้ แต่ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงจากการบาดเจ็บสาหัส
แต่นี่ แค่เหลือบมองก็เพียงพอแล้ว
หากถูกครอบงำด้วยพลังเทพนี้อย่างแท้จริง แม้จะเป็นขั้นจักรพิภพก็ยากที่จะหนีจากการล่มสลาย แม้จะมียอดองครักษ์ พลังเทพนี้ก็สามารถนำร่างในอดีตมาสังหารได้ ทำให้มนุษย์ไม่มีอดีต ตัวตนไม่สมบูรณ์แบบ ราวกับฟ้าไร้จันทร์ ในน้ำแม้พระจันทร์จะเต็มดวงก็ยังคงว่างเปล่า ลัทธิเต๋าจะไม่ล่มสลายได้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้ หวังเป่าเล่อจึงตั้งนามแก่พลังเทพนี้ว่า เงาจันทร์
หากมีเพียงเงาจันทร์ พลังเทพนี้ก็ยังคงไม่สมบูรณ์ ไม่อาจเรียกได้ว่ากลายเป็นมหาเต๋าสายหนึ่ง ดังนั้นเงาจันทร์จึงเป็นเพียงส่วนครึ่งแรกของพลังเทพที่หวังเป่าเล่อสร้างจากความตระหนักรู้
ยังมีครึ่งหลังอีก หวังเป่าเล่อต้องการให้นามมันว่า
บุปผากระจก
เต๋าแห่งบุปผากระจก อยู่ที่การสะท้อนเงา
จากในห้วงน้ำแห่งกาลเวลา นำสิ่งในอดีตออกมาให้มันปรากฏในกาลปัจจุบัน แม้ว่าเวลาของการดำรงอยู่จะแปรผันและยากที่จะแก้ไข เพราะมันไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริง ทว่า…ตามสารัตถะสสารแล้ว ในความเป็นจริงก็ไม่มีสิ่งใดแตกต่างบุปผาในกระจก ก็เป็นดอกไม้เช่นเดียวกัน
ดวงตาของหวังเป่าเล่อสงบนิ่งก้มหน้ามองดูผิวน้ำ ยกมือขวาขึ้นชี้นิ้วลงไป เขาหยิบดินทรายที่มีอยู่ที่นี่เมื่อเจ็ดร้อยปีก่อนมาไว้ในมือ
การสัมผัสตลอดจนถึงการสำรวจวิญญาณเทพเหมือนของจริงที่มีอยู่ทุกประการ
“น่าสนใจ” หวังเป่าเล่อยิ้มน้อยๆ มองดินทรายในมือ ไม่ได้ส่งมันกลับไป แต่กลับขยี้มันทำให้ดินทรายละลายในมือ กลายเป็นปิ่นปักผมสีแดงเหน็บไว้ที่ผม
หลังจากที่เงยหน้ามองไกลไปทางดาวชะตา แล้วก้มหน้ามองหน้ากากที่อยู่ในอ้อมแขน เขาก็เอ่ยเสียงเบา
“มีบางเรื่องที่ไม่ต้องไปรบกวนผู้อาวุโสที่ดาวเคราะห์ชะตาแล้ว เจ้าว่า…ข้าใช้เวทนี้ พาเจ้าไปเยี่ยมบิดาเจ้า ดีหรือไม่”
“ข้ามิได้ต้องการขจัดอคติ แต่ข้าต้องการความช่วยเหลือของเขา”
ขณะที่หวังเป่าเล่อกล่าว เงาร่างของแม่นางน้อยก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขา มองเข้าไปในดวงตาของหวังเป่าเล่อ แววตานั้นมีทั้งประหลาดใจและสับสนอย่างรุนแรง อีกทั้งยังมีความสงสัยรวมไว้ด้วยกัน
ตอนที่การฝึกตนของหวังเป่าเล่อทะลวงผ่านถึงขั้นจักรพิภพ นางไม่มีสายตาเช่นนี้ และเมื่อครั้งที่หวังเป่าเล่อเอาชนะจิตมาร นางก็ยังไม่มีสายตาเช่นนี้ จนกระทั่งเรื่องดำเนินต่อไป หลายครั้งที่นางสับสน ไม่มั่นใจ แต่ก็ยังคงไม่มีสายตาที่แรงกล้าเช่นนี้เลย
“เจ้า…เปลี่ยนไปจนเหมือนท่านพ่อของข้าไปทุกทีแล้ว…ไม่เพียงแต่ท่านพ่อข้า ยังมีพวกท่านลุง เจ้า…ข้าก็ไม่รู้ว่าจะบรรยายเช่นไร สรุปก็คือ…พวกเจ้ายิ่งเหมือนกันเข้าไปทุกทีแล้ว” แม่นางน้อยเงียบไปสักพัก แล้วกล่าวเสียงเบา
“แล้วอย่างไรหรือ” สายตาหวังเป่าเล่ออ่อนโยน มองแม่นางน้อย ใบหน้าคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
“เจ้าสามารถอาศัยตนเองไปพบท่านพ่อข้าได้จริงหรือ” แม่นางน้อยถูกหวังเป่าเล่อมองด้วยสายตาเช่นนี้ ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด นางจึงประหม่าอย่างไม่มีเหตุผล จึงรีบหลบสายตาด้วยความเร็ว
“ร้องเรียกพ่อตามาหลายปีเช่นนี้ ก็ต้องลองดูว่าจะพบได้หรือไม่” หวังเป่าเล่อหัวเราะออกมา น้ำรอบด้านเปลี่ยนรูปใหม่ไปตามการกระจายของกระแสเต๋า
วิธีการเรียบง่าย เงาจันทร์เก้าวง อย่างมากที่สุดก็เก้าร้อยปี แต่บุปผากระจกบานเมื่อเก้าร้อยปีก่อน นำตนเองเมื่อเก้าร้อยปีก่อนออกมา นำตนเป็นหลักและบานอีกครั้ง หมุนเปลี่ยนวนเวียน จากนั้นขีดจำกัดการฝึกตน จึงเป็นขีดจำกัดแห่งกาลเวลา
เดินข้ามผ่านกาลเวลา ไปเยี่ยมเยียนท่านผู้ยิ่งใหญ่…ผู้นั้น
“ตกลงดี” แม่นางน้อยคิดแล้ว จึงกล่าวตอบเสียงเบา
……………………………………………………………
หลังจากได้ฟังคำกล่าวของหวังเป่าเล่อ สติของอู๋น้อยก็ตื่นตัวขึ้น แต่กลับดูเศร้าสร้อย
“เหตุใดท่านพ่อต้องเกรงใจเช่นนี้ อย่าได้ทำแบบนี้เลย ข้าไม่ใช่คนนอก สามารถแบ่งเบาความทุกข์ของท่านพ่อ เป็นอิฐก้อนเล็กๆ ในการฝึกตนขั้นสูงสุดของท่านพ่อได้ นี่นับเป็นเกียรติของอู๋น้อย วาสนาของอู๋น้อย สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่อู่น้อยถวิลหา”
“ดังนั้น ท่านพ่อ อู๋น้อยวิงวอนท่าน มอบเรื่องนี้ให้อู๋น้อยสำหรับท่าน อาจไม่เป็นสิ่งสำคัญ แต่สำหรับอู๋น้อยแล้ว กลับเป็นโอกาสที่ปราถนามาทั้งชีวิต ให้ลูกได้แสดงความกตัญญูต่อท่านพ่อด้วยเถิด” สีหน้าอู๋น้อยจริงจัง สายตาแฝงความกระตือรือร้น แม้แต่ลาน้อยที่ได้ฟังคำกล่าวนี้ก็ยังรู้สึกเลี่ยน แต่จากปากอู๋น้อย กลับดูเหมือนเช่นเดียวกับสัจธรรม ราวกับผู้ถูกวิเคราะห์ไม่ใช่เขา…
กระทั่งทำให้ผู้อื่นรู้สึกว่า หากหวังเป่าเล่อไม่ยินยอม เช่นนั้นก็เป็นความอัปยศอันยิ่งใหญ่รวมทั้งเป็นการโจมตีอย่างหนักจนน่าวิตกสำหรับอู๋น้อย
แท้จริงแล้วปณิธานของอู๋น้อยเข้าใจได้ไม่ยาก เขา…รู้สึกไม่มั่นคงมากเกินไป ไม่ว่าผู้ใดก็ตามที่เหยียบเข้าสู่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก่อนกาลเวลาไม่สิ้นสุด เมื่อตื่นขึ้นมาก็จะพบว่าตนอยู่ในโลกที่แปลกไป ล้วนเป็นเช่นนี้
ในความคิดของเขา ตนต้องเป็นผู้ที่มีประโยชน์ มีเพียงเช่นนี้เท่านั้น จึงจะไม่ตกหล่น และไม่กลายเป็นเถ้าที่หลงเหลือ ดังนั้นเวลานี้ความจริงใจของเขาจึงสะเทือนฟ้า ความปราถนาของเขาสะเทือนดิน แววตาดูราวกับดารานิรันดร์ สามารถหลอมละลายความเย็นเยือกทั้งหมด
หวังเป่าเล่อยังคงหมกมุ่นอยู่ในความสะท้อนใจของอารมณ์ก่อนหน้า เวลานี้เขากะพริบตาปริบๆ มองไปที่อู๋น้อย แล้วดูเจ้าลาน้อยที่คว่ำหน้าอยู่ไกลออกไป ทำท่าราวกับมันคลื่นไส้ ส่งเสียงไอ แล้วยกมือขึ้นมา
อู๋น้อยรีบเร่งเข้ามา นำศีรษะของตนตรงไปที่มือหวังเป่าเล่อ ทำให้หวังเป่าเล่อสัมผัสกับศีรษะของเขาได้เลย
“เอาเถอะ…” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากอย่างลังเล
“ขอบคุณท่านพ่อ!” อู่น้อยสีหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจ คล้ายกับเกรงว่าหวังเป่าเล่อจะเปลี่ยนใจ จึงนั่งขัดสมาธิลงทันที ดวงตาฉายแววเชื่อฟัง ราวกับทุกห้วงเวลา ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะให้เขาทำอะไร เขาจะรีบไปทำให้สำเร็จโดยไม่ลังเล
เหตุการณ์นี้ หลังจากดูเจ้าลาน้อยคลื่นไส้อยู่นาน ฉับพลันก็รู้สึกขนหัวลุก ในความเลือนรางคล้ายกับรับรู้ได้ถึงวิกฤตที่รุนแรงวูบหนึ่ง นี่ทำให้เจ้าลาน้อยในตอนนี้ตื่นตัวอย่างยิ่ง ดูเหมือน…มีลางสังหรณ์บางอย่างของสถานะที่ไม่มั่นคง มันรีบวิ่งไปตรงหน้าหวังเป่าเล่อ เยี่ยงอย่างอู๋น้อยที่นั่งอยู่ตรงนั้น แม้แต่สภาพจิตใจก็เป็นเช่นเดียวกัน อยู่ๆ ก็ตะโกนขึ้น
“อียอวว อียอวว”
หวังเป่าเล่อฟังแล้วหงุดหงิด พอสะบัดแขนเสื้อ เจ้าลาน้อยก็ถูกกระเด็นไปไกล เขาไม่ได้ไปสนใจเจ้าลาน้อยที่หล่นไปด้วยสีหน้าบึ้งตึง แต่หันมองไปทางอู๋น้อย
“สำแดงพลังเทพของเจ้าออกมา”
อู๋น้อยรีบกวาดตามองไปไกลทางเจ้าลาน้อยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม แอบยินดีอยู่ในใจ พอใจในการตอบสนองที่ว่องไวของตนเอง รู้สึกว่าคลื่นระลอกนี้ของตนจะอยู่ในใจของบิดา นับว่ามั่นคงอย่างสมบูรณ์แล้ว หลังจากได้ฟังคำกล่าวของหวังเป่าเล่อ เขารีบเก็บสัมผัสสวรรค์ไว้แน่น กระจายมันบนร่างตนเองไปข้างหน้าอย่างเต็มกำลัง หลังจากวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายออกมา ก็ประกอบไปด้วยกฎพิเศษ
กฎนี้ไม่ได้เป็นของจักรวาลผืนนี้ แม้กระทั่งไม่ได้เป็นของบ้านเกิดของเขา มาได้เช่นไร เขาเองก็ไม่ชัดเจนัก แต่เขาสามารถรับรู้ได้ในระดับหนึ่งว่า กฎนี้นับว่าประกอบด้วยร่างที่ไม่แตกดับ
กล่าวให้ชัดก็คือ เวลานี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นตัวตนที่แท้จริง…ส่วนรูปแบบเฉพาะเช่นไร อู๋น้อยรู้ว่า หากตนเองกระจายวิถีเต๋านี้ทั้งหมด ท่านพ่อต้องยิ่งชัดเจนและเข้าใจกว่าตนเอง
อู๋น้อยจึงสูดหายใจเข้าลึก แล้วกระจายวิถีเต๋านี้บนร่างอย่างเต็มกำลัง รอบด้านค่อยๆ ปรากฏลมไปตามการกระจายของเขา…ลมที่ไม่มีอยู่จริง แต่ในความรู้สึก น่าประหลาดที่ลมได้พัดผ่านมาจริงๆ
นั่นคือลมแห่งเต๋าที่เส้นผมไม่แม้แต่จะขยับ แต่จิตใจกลับเคลื่อนไหว
ในขณะที่ลมแห่งเต๋านี้ปรากฏ ความว่างเปล่ารอบตัวก็ปรากฏระลอกบางอย่างที่มองไม่เห็น ซึ่งกระตุ้นให้กาลเวลาของโลกไหลผ่าน และรอบตัวเขายังปรากฏเงาแห่งซากที่ไม่สมบูรณ์บางอย่าง
นั่นคือเงาร่างที่เคยมีอยู่ในตำแหน่งนี้ เป็นเวลานานแสนนานก่อนหน้านั้น…
หวังเป่าเล่อมองเหตุการณ์นี้ด้วยความตระหนก ดวงตาส่องประกาย กระแสเต๋ากระจายออกมาอย่างเต็มกำลัง ครอบคลุมไปรอบตัวอู๋น้อย สัมผัสเข้ากับกฎเต๋าที่กระจายอยู่บนร่างอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง
ขณะเดียวกันดาวเคราะห์เจ้าชะตาของเขา ก็มุ่งหน้าไปเต็มกำลัง ระเบิดการโคจรจนถึงขีดสุด เพื่อไปพิมพ์ประทับกฎเต๋านี้ แต่เห็นชัดว่าคุณลักษณะของกฎนี้สูงเกินไป แม้หวังเป่าเล่อสามารถเชื่อมต่อและสัมผัสได้ชั่วขณะหนึ่ง แต่หากคิดต้องการพิมพ์เป็นกฎของตนเอง แม้ด้วยระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อตอนนี้ ก็ไม่มีทางทำได้ในเวลาอันสั้น
ทว่า หวังเป่าเล่อไม่รีบร้อน อู๋น้อยเองก็ไม่รีบร้อน เป็นเช่นนี้ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ชีวิตหวังเป่าเล่อเรียบง่ายกว่าเมื่อก่อนมากนัก โดยพื้นฐานแล้วเขาได้แยกร่างอวตารของตนให้คอยดูแลอยู่ข้างบิดามารดา ก็เป็นเหมือนบุตรธรรมดาผู้หนึ่ง บางครั้งก็ดูแลเจ้าเยี่ยเหมิงและโจวเสี่ยวหยา
ส่วนร่างธรรมของเขา เวลานี้นั่งขัดสมาธิอยู่ในท้องฟ้าที่นอกระบบสุริยะ ครอบคลุมไปทุกสารทิศ ขัดขวางทุกสิ่ง และในเวลานี้ร่างของเขาถือสันโดษกับอู๋น้อยด้วยกันนานนับเดือนแล้ว
ด้วยความเบื่อของเจ้าลาน้อย ไม่รู้ว่ามันคิดเช่นไร หนีจากสถานที่ที่หวังเป่าเล่อถือสันโดษไป แล้วไปที่ที่ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อดูแลบิดามารดาอยู่ มันกลายร่างเป็นลูกสุนัข สิ่งใดที่น่ารักก็ทำเช่นนั้น…ทุกวันดูเหมือนพลังงานทั้งหมด ล้วนใช้ไปกับการทำให้บิดามารดาหวังเป่าเล่อสบายใจ…
เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นฉากนี้เข้าก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขารู้สึกว่าลาตัวหนึ่งสามารถเปลี่ยนเป็นลูกสุนัขโดยไม่คำนึงถึงหน้าตา ขณะเดียวกันยังกระดิกหางทำให้คนรัก ยังสามารถกินอาหารสุนัขได้อย่างเอร็ดอร่อย ทั้งหมดนี้ก็เพียงพอที่จะมองออกว่าการถือสันโดษของอู๋น้อยกับตน กระตุ้นเจ้าลาน้อยเข้าอย่างจัง
และในขณะที่หวังเป่าเล่อถือสันโดษ ชื่อเสียงของสหพันธรัฐก็แผ่ไปทั่วจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย กองกำลังใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนต่างก็ทราบ ขณะเดียวกันตระกูลสำนักเขตชายแดนมากมาย เพื่อที่จะเสาะหาความปลอดภัยก็ดี เพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้ก็ช่าง เริ่มติดต่อกับสหพันธรัฐบ่อยครั้ง หมายจะรวมเข้ากับภายในระบบของสหพันธรัฐโดยไม่คำนึงค่าตอบแทน
เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ หวังเป่าเล่อไม่ได้ไปเข้าร่วม โดยมีอู๋เมิ่งหลิงรวมทั้งหลี่ซิงเหวิน ยังมีปรมาจารย์มหาทัณฑ์รวมทั้งปรมาจารย์ครามทองคำคนเหล่านี้ไปจัดการ ดูแลทุกสิ่งอย่างเป็นระเบียบ กำลังของสหพันธรัฐก็เพิ่มขึ้นทุกวัน สิ่งสำคัญที่สุดคือ…ความเป็นกลางของสหพันธรัฐ ค่อยๆ กลายเป็นเรื่องจริงไปตามกาลเวลา
ตระกูลไม่รู้สิ้นก็ดูราวกับจะไม่เห็นสหพันธรัฐ นอกจากการให้รางวัลในตอนเริ่มต้นแล้ว ก็ไม่มีการกระทำอื่นใด รางวัลนั้นแม้จะแฝงไว้ด้วยการยั่วยุ แต่ตอนนี้เมื่อดูแล้ว ก็ยังรู้สึกรับไม่ได้
สิ่งนี้ทำให้ตระกูลและสำนักนับไม่ถ้วนได้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของสหพันธรัฐ ระหว่างการถือสันโดษของหวังเป่าเล่อมากว่าค่อนปี ตระกูลไม่รู้สิ้นและสำนักแห่งความมืดได้ต่อสู้กันอยู่บ่อยครั้ง ไฟสงครามก้องกังวาน แพร่สะพัดขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ล้วนปรากฏการรุกรานเล็กๆ น้อยๆ แต่ในทางกลับกัน…ระบบสุริยะรวมทั้งท้องฟ้ารอบด้านก็ราวกับเขตหวงห้าม สำนักแห่งความมืดไม่เคยย่ำกรายเข้ามา
ในสายตาตระกูลและสำนักนับไม่ถ้วน บางทีนี่อาจใช้คำว่าบังเอิญมานิยามได้ จนกระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่ง สำนักแห่งความมืดต่อสู้กับตระกูลไม่รู้สิ้น หลังจากรุกรานไปถึงจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายแล้ว เมื่อเข้าใกล้ระบบสุริยะมากแล้ว ขณะที่สำนักแห่งความมืดไล่ติดตามจนไปหยุดอยู่ตรงนั้น พวกมันก็ดูเหมือนลังเลอยู่สักพัก จากนั้นจึงเลือกที่จะจากไป
แต่ก่อนจะจากไป เขาประสานหมัดคำนับไปทางระบบสุริยะ
ฉากนี้ทำให้พวกสำนักตระกูลที่ดูอยู่ทั้งหมดตื่นตะลึง
ด้วยความไม่เข้าใจของตระกูลสำนักต่างๆ เบาะแสต่างๆ เกี่ยวกับหวังเป่าเล่อล้วนถูกรวบรวม กองกำลังแต่ละฝ่ายต่างก็ค่อยๆ ได้คำตอบ
หวังเป่าเล่อปรมาจารย์ของสหพันธรัฐ เคยเป็น…บุตรแห่งความมืดรุ่นก่อน แล้วยังเป็นศิษย์น้องของเฉินชิงจื่อเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืด ทั้งสองมีอาจารย์คนเดียวกัน แต่ด้วยต่างอุดมการณ์ หวังเป่าเล่อจึงละทิ้งสถานะบุตรแห่งความมืด และไม่เข้าร่วมสงคราม
คำตอบนี้ละเอียดเกินไปแล้ว มีผู้แอบได้ยินหรืออาจกล่าวมีผู้มีน้ำใจปล่อยข่าวออกมา แต่ไม่ว่าอย่างไร ด้วยการปรากฏสถานะของหวังเป่าเล่อ ทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นก็สั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้ง
ในการสั่นสะเทือนครั้งนี้ ตระกูลไม่รู้สิ้นยอมรับโดยปริยาย และสหพันธรัฐไม่ได้คัดค้าน ระบบสุริยะกลายเป็นจุดสนใจ…อีกครั้ง
ไม่อาจเมินเฉยได้ เพราะสุดท้ายบางทีที่นี่อาจเป็นที่เดียว ที่จะยืนหยัดอยู่ได้
และในขณะเดียวกัน ในการถือสันโดษที่ยาวนานกว่าครึ่งปี ร่างของหวังเป่าเล่อ หลังจากที่กฎแห่งเต๋าของอู๋น้อยกระจายออกมาครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุด…ก็ได้รับผล
“ขึ้นชื่อว่าจันทร์ข้างแรม ย่อมไม่กลมกลืน…”
……………………………………………….
ข้อสันนิษฐานนี้ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!
อัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงเคยกล่าวไว้ว่า สิ่งที่เรียกว่าความบังเอิญ แท้จริงแล้วเป็นการจัดเตรียมที่ลึกซึ้งขึ้นไปอีกระดับ
เช่นนั้นเหตุใดโลกศิลาแห่งนี้ถึงกลายเป็นกระดานหมากรุก ต่อให้จักรพรรดิเสวียนเฉินจะมีพลังเทพมากมายเพียงใดก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมหาเทพ แต่กลับจัดการให้ทายาทมาปรากฏตัวต่อหน้าเขาได้อย่างแม่นยำ
ส่วนเขาก็ก่อกำเนิดดวงจิตขึ้นในโลกศิลาแห่งนี้ ก่อตัวเป็นจิตวิญญาณของตน และเดินทางมาจนถึงระดับในปัจจุบัน ทั้งหมดนี้…เป็นเพียงเรื่องบังเอิญจริงๆ หรือ
เป็นไปได้ไหมว่าในหนึ่งแสนโลกที่ก่อตัวขึ้นจากหนึ่งแสนร่างแยกมหาเทพจะมีตัวเขาอยู่ในทุกๆ โลก เพราะตะปูไม้สีดำก็แบ่งออกเป็นหนึ่งแสนเล่มอยู่ในหนึ่งแสนโลกเช่นกัน
สงครามกับมหาเทพนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนเป็นการชี้นำ เขาคิดว่าร่างกายตนเองพิเศษ แต่ความจริงแล้ว…ในทุกๆ จักรพิภพย่อยไม่รู้สิ้นล้วนมีตัวเขา ร่างกายก็เป็นเพียงหนึ่งในร่างของตะปูไม้สีดำนับแสน!
การคาดเดานี้ทำให้สัมผัสสวรรค์หวังเป่าเล่อคำรามอย่างรุนแรง แม้แต่จักรวาลจักรพิภพในร่างกายเขาก็ยังสั่นไหวในชั่วพริบตาและเริ่มปรากฏสัญญาณความไม่เสถียร
ยังมีหมอกสีดำแผ่ออกมาจากรูทวารทั้งเจ็ดของหวังเป่าเล่อลอยไปบรรจบกันในจักรวาล…
ในสัมผัสสวรรค์ของเขาตอนนี้มีเสียงนับไม่ถ้วนมารวมตัวกัน เกิดเป็นเสียงคำรามเขย่าวิญญาณเทพของเขา
“เจ้าก็เป็นแค่หนึ่งในแสน!”
“จะชนะหรือพ่ายแพ้ก็ไม่มีความหมาย!”
“ไม่ว่าเจ้าจะออกไปได้หรือไม่ เจ้าก็จะถูกร่างของเจ้าดูดกลืน เจ้า…เป็นแค่ความคิดของร่างเจ้าเท่านั้น!”
“ไม่ตลกหรือ นี่…ก็คือความจริงอย่างไรล่ะ!”
“ความจริงก็เป็นเช่นนี้ ต่อให้เจ้าพยายามแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ สงครามระหว่างเจ้ากับมหาเทพแผ่ขยายไปจนไร้คืนวันก่อตัวเป็นจักรวาลนับไม่ถ้วน เจ้าเคยเห็นการต่อสู้ระหว่างกู่กับเซียนไหม การต่อสู้ที่วนเวียนกลับชาติมาเกิดนับไม่ถ้วน นั่นก็คือการต่อสู้ของผู้เยี่ยมยุทธ์!”
“เจ้าเป็นใคร ก็แค่ความคิดของร่างเจ้าเท่านั้น!”
เสียงเหล่านี้ประเดประดังเข้ามาจนเกิดเป็นระลอกคลื่นบ้าคลั่งปะทุอยู่ในสัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อราวกับจะทำให้เขาจมดิ่งลงไปและแทรกซึมเข้าไปในจักรวาลจักรพิภพในร่างหวังเป่าเล่อ คล้ายจะทำให้มันสั่นคลอนจากรากฐานและทำลายมันทิ้ง
นี่คือความพินาศของเต๋า อิสรเสรีคืออะไร หากการดำรงอยู่ของตัวเองเป็นเพียงความคิดของผู้อื่น เช่นนั้นสิ่งที่เรียกว่าอิสระก็คงเป็นการหลอกตนเอง และสิ่งที่เรียกว่าเสรีนั้นก็เป็นเรื่องไร้สาระ!
สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อพลันคำรามขึ้นมาอีกครั้งราวกับฟ้าร้องก้องกังวาน เขาเริ่มดิ้นรน สิ่งที่เขากำลังคิดไม่ใช่ความคิดว่าจริงหรือปลอม แต่คิดว่าเหตุใดตนถึงเป็นเช่นนี้!
“ไม่ ไม่สิ เหตุใดจู่ๆ ข้าถึงมีความคิดเช่นนี้ สันนิษฐานไปเช่นนี้…”
“แล้วเหตุใดทันทีที่ข้อสันนิษฐานนี้เกิดขึ้นถึงได้ทำให้สัมผัสสวรรค์ของข้าสั่นคลอนรุนแรงเช่นนี้ ต่อให้จะเป็นเช่นนั้นจริงข้าก็ไม่ควร! ปั่นป่วนมากขนาดนี้”
หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม สีหน้าบิดเบี้ยว หมอกสีดำเหนือศีรษะเขาเริ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ ภาพนี้ยังทำให้โจวเสี่ยวหยากับเจ้าเยี่ยเหมิง เจ้าลาน้อย และศิษย์พี่รอง รวมทั้งอู๋น้อยที่อยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อต่างหน้าเปลี่ยนสีกันหมด
“จิตมาร!!” ศิษย์พี่รองเอ่ยขึ้นทันที เขาคือเครื่องหอมบรรลุเต๋าจึงมีญาณพิเศษ เมื่อมองหวังเป่าเล่อในตอนนี้จึงเห็นจิตมารทันที!
ขณะร้อนใจ ศิษย์พี่รองก็เข้ามาใกล้ในพริบตา ก่อนจะยกมือขวากดที่ไหล่ของหวังเป่าเล่อเพื่อพยายามแบ่งภาระให้ทุเลาลง ทว่าในพริบตาเดียวเขาก็ตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ร่างกายพลันพร่าเบลอ ก่อนจะเซถอยออกไป
“นี่คือการช่วงชิงร่าง!!” เห็นได้ชัดว่าอู๋น้อยเองก็มองเห็นอะไรบางอย่างจนอุทานออกมา หน้ากากในอกหวังเป่าเล่อวาบแสงสีขาว ร่างของแม่นางน้อยพลันปรากฏขึ้นด้วยความร้อนใจ ก่อนจะกดมือลงบนหว่างคิ้วหวังเป่าเล่อ
ทว่าในทันทีที่สัมผัส ร่างของแม่นางน้อยก็สั่นสะท้านและเซถอยไปหลายก้าวเช่นกัน
ทั้งนางและศิษย์พี่รองต่างก็ไม่สามารถหยุดมันได้แม้แต่น้อย หมอกสีดำบนร่างหวังเป่าเล่อยิ่งแผ่ขยายออกมารวมกันที่เหนือศีรษะมากขึ้น
ในเวลาเดียวกันก็เกิดลมกรรโชกแรงไปทั่วบริเวณ ปรมาจารย์แห่งไฟที่หนีไปพักผ่อนปรากฏตัวขึ้นทันที ศิษย์พี่หญิงใหญ่กับวัวเฒ่าก็เช่นกัน พวกเขาทั้งสามหน้าเปลี่ยนสี สายตาปรมาจารย์แห่งไฟเผยแววกรุ่นโกรธ ก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นกดไปยังจุดรวมปราณเทียนหลิงของหวังเป่าเล่อ ดวงตาของเขาเบิกกว้างและส่งเสียงคำรามต่ำออกมา
“เจ้ามายากลกล้าดีนัก!!” ขณะที่กล่าวเคล็ดวิชาคำสาปของเขาก็ปะทุออกมา มือขวาทำผนึกมุทราชี้ไปยังหมอกเหนือศีรษะหวังเป่าเล่อ
ทว่าในพริบตาที่เขาชี้ไป หมอกสีดำนั่นก็พลิกม้วนอย่างรวดเร็ว สีแดงเลือดไหลออกมาและย้อมหมอกให้กลายเป็นสีแดง ขณะเดียวกันร่างมายาตะขาบตัวหนึ่งก็ส่องแสงอยู่ข้างใน มันชนกับนิ้วของปรมาจารย์แห่งไฟโดยตรง
การชนกันครั้งนี้ทำให้ปรมาจารย์แห่งไฟตัวสั่นอย่างรุนแรง ก่อนจะถอยไปสามก้าว แต่ดวงตาของเขากลับฉายแววเย็นยะเยือก แล้วระเบิดจิตสังหารออกมาจ้องมองตะขาบสีโลหิตด้านในหมอกเลือด ส่วนตะขาบตัวนั้นหลังจากชนกันแล้วก็ถอยไปหลายก้าวเช่นกัน ยามที่จ้องมองปรมาจารย์แห่งไฟ ดวงตาฉายแววดุดัน
“เป็นเจ้า!” จิตสังหารของปรมาจารย์แห่งไฟพลันรุนแรงยิ่งขึ้น ตอนที่เขาสัมผัสกับกระแสเต๋าของหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ก็รับรู้ถึงการมีอยู่ของตะขาบสีโลหิตตัวนี้แล้ว เมื่อได้เห็นเองกับตา คำสาปที่สะสมอยู่ในตัวเขาก็กำลังจะระเบิดออกมา
ปรมาจารย์แห่งไฟมองออกแล้วว่าความจริงตะขาบสีโลหิตตัวนี้ไม่มีอยู่จริง ทว่ากลับมีความเกี่ยวโยงกับหวังเป่าเล่อที่บุคคลภายนอกไม่สามารถทำลายมันได้ มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ทำได้ หากเขาคิดจะขัดขวางก็มีทางเดียวคือ…คำสาป!
สำหรับปรมาจารย์แห่งไฟในตอนนี้ หากตนระเบิดคำสาปและตายไปพร้อมกับอีกฝ่ายก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว ถึงอย่างไรด้วยอายุของเขา ความเป็นความตายนั้นไม่สำคัญแล้ว แต่หวังเป่าเล่อยังเด็กมาก เขาจะทนดูหวังเป่าเล่อถูกช่วงชิงร่างไปได้อย่างไรกัน
ท้ายที่สุดพลังแห่งคำสาปที่ไหลเวียนไปมาอยู่ในร่างปรมาจารย์แห่งไฟก็ทำให้ตะขาบสีโลหิตตัวนั้นระแวงอย่างเห็นได้ชัด ทว่าในตอนที่ปรมาจารย์แห่งไฟระเบิดคำสาปโดยไม่ลังเลนั้นเอง จู่ๆ…ก็มีเสียงแหบพร่าแต่หนักแน่นดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ
“ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ข้าเองดีกว่า” ผู้ที่เอ่ยขึ้นมาก็คือหวังเป่าเล่อนั่นเอง ตอนนี้ดวงตาของเขาลืมขึ้น เผยให้เห็นริ้วเลือด ขณะเดียวกันดวงตาก็กระจ่างชัด เงยหน้ามองตะขาบสีโลหิตที่อยู่เหนือศีรษะตน
ตะขาบสีโลหิตมีสีหน้าประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด มันมองหวังเป่าเล่ออย่างตื่นตระหนก
“เจ้าตื่นขึ้นมาเองหรือ?! เข้าใจแล้วหรือ นี่มันเกิดความคาดหมายของข้า…”
“เข้าใจแล้ว” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเบา ระดับการฝึกตนในร่างกายพลันระเบิดขึ้น หมัดขวาที่ยกขึ้นพุ่งออกไปทันที
หมัดนี้ดูดปราณวิญญาณในระบบสุริยะมาก่อตัวเป็นสิ่งมีชีวิตคล้ายหลุมดำในพริบตา ตะขาบสีโลหิตจมดิ่งเข้าไปในนั้น
เนื่องจากตะขาบสีโลหิตตัวนี้ไม่มีอยู่จริง บุคคลภายนอกจึงไม่สามารถทำร้ายมันได้ แต่หวังเป่าเล่อมีบางอย่างเกี่ยวโยงกับมัน ดังนั้นสำหรับตะขาบสีโลหิต การโจมตีของเขาจึงมีพลังจริงๆ
การระเบิดระดับการฝึกตนไปถึงพลังต่อสู้ระดับจักรวาลในโลกศิลาของเขานั้น ทำให้ร่างของตะขาบสีโลหิตถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ในพริบตา หมอกสลายไปแต่กลับไม่มีความตายเกิดขึ้น นี่เป็นเพียงดวงจิตเทพของมันเท่านั้น
“น่าสนใจดีนี่ หวังเป่าเล่อ ครั้งหน้า…ข้าต้องทำได้แน่!” หลังจากประโยคนี้ลอยมา หมอกก็สลายหายไปอย่างสมบูรณ์ ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ หวังเป่าเล่อปลอบใจพวกปรมาจารย์แห่งไฟที่เป็นกังวล ปรมาจารย์แห่งไฟที่สภาพเหนื่อยล้าจากไป เจ้าเยี่ยเหมิงกับโจวเสี่ยวหยาก็จากไปพร้อมความเป็นห่วง
เมื่อเหลือเพียงอู๋น้อยกับเจ้าลาน้อย หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองไปยังจักรวาลอันแสนไกล
เขาครุ่นคิดจนเข้าใจแล้วจริงๆ ไม่ว่าความคิดก่อนหน้านี้จะจริงหรือไม่ล้วนไม่สำคัญ เขา…ก็ยังเป็นเขา
ยิ่งกว่านั้นเรื่องที่ว่าโลกศิลาคือกระดานหมากรุกก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
เพราะในโลกศิลามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สามครั้ง หนึ่งคือการเข้ามาของกู่ซึ่งส่งผลต่อวิวัฒนาการของสถานที่แห่งนี้ สองคือการผนึกหลัวซึ่งทำให้เกิดสำนักแห่งความมืดและได้เปลี่ยนโครงสร้างของที่นี่ไป สามคือบิดาของหวังอีอีได้เปิดรอยร้าวนอกโลกศิลาทำให้พวกเขาสองพ่อลูกเข้ามา
จากนั้นแม่นางน้อยก็วาดภาพอธิบายสิ่งมีชีวิต และขัดขวางการพัฒนาตามปกติของที่นี่ จึงเป็นเหตุให้มีโลกศิลาอย่างในปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้…ไม่สามารถเลียนแบบได้จึงน่าจะมีเพียงหนึ่งเดียว
“โลกนี้คือสมอเรือของข้า ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร มันก็มีเพียงหนึ่งเดียว ข้าก็มีเพียงหนึ่งเดียว!” สายตาหวังเป่าเล่อค่อยๆ สงบลง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบากับอู๋น้อยที่กำลังกังวลเล็กน้อยอยู่ด้านหลังเขา
“อู๋น้อย ร่างของเจ้าสามารถทำให้กาลเวลารอบตัวเปลี่ยนไป ทำให้เรื่องในอดีตดูแปลกไปจริงๆ ข้าอยากรู้และต้องการความร่วมมือจากเจ้า และข้าจะพยายามสุดความสามารถเพื่อส่งเจ้ากลับบ้านเป็นการตอบแทน ตกลงไหม”
……………………………..
“ความหมายของเจ้าคือที่บ้านเกิดของเจ้าก็มีจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น มีตระกูลไม่รู้สิ้น มีจักรวรรดิเสวียนเฉิน แต่ไม่มีสำนักแห่งความมืดหรือ” ปรมาจารย์แห่งไฟหรี่ตา แม้จะพยายามอดกลั้นอย่างสุดความสามารถ แต่ในใจก็ยังเกิดคลื่นลูกใหญ่
ต่างจากผู้คนและเรื่องราวที่หวังเป่าเล่อประสบพบเจอมา ปรมาจารย์แห่งไฟในฐานะผู้ฝึกตนของโลกศิลาไม่ได้เข้าใจเรื่องราวในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นอย่างแท้จริง
แท้จริงแล้วความลับระดับนี้หากหวังเป่าเล่อไม่ได้รู้จากบิดาของหวังอีอีก็คงไม่มีทางรู้เลย
และตอนนี้เมื่อปรมาจารย์แห่งไฟเอ่ยขึ้น อู๋น้อยก็ยิ้มอย่างขมขื่น
“ท่านปรมาจารย์แห่งไฟ ข้าย่อมหมายความเช่นนั้นจริง จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่นี่คล้ายกับบ้านเกิดของข้ามาก แต่ความก้าวหน้าของประวัติศาสตร์ไม่เหมือนกัน ราวกับแม่น้ำที่ไหลมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันแต่เมื่อถึงจุดสำคัญกลับไหลไปคนละทาง”
“ดังนั้นข้ามาจากจักรวรรดิเสวียนเฉิน แต่ไม่ใช่จักรวรรดิเสวียนเฉินของที่นี่ แต่เป็นในอีกจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น”
“ที่นี่…โลกศิลา!” ปรมาจารย์แห่งไฟเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพึมพำเบาๆ ชื่อนี้หวังเป่าเล่อเป็นคนบอกเขา แต่ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะบอกเขา ความจริงแล้วผู้ฝึกตนชั้นยอดของจักรวาลผืนนี้ส่วนใหญ่มีสัมผัสเชื่อมต่อและวิจารณญาณ แต่เนื่องจากขาดข้อมูลที่จำเป็น ดังนั้นสำหรับปรมาจารย์แห่งไฟนั้นต่อให้ทั้งจักรวาลกลายเป็นแผ่นศิลาก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
แต่…จากที่อู๋น้อยว่า หากที่นี่และบ้านเกิดของเขาเหมือนกันขนาดนั้น เรื่องราวที่อยู่ในนั้นก็ทำให้ปรมาจารย์แห่งไฟใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
มีทั้งตระกูลไม่รู้สิ้น มีทั้งจักรวรรดิเสวียนเฉิน…เหมือนกับภาพสะท้อนในกระจก
“คนล่ะ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนสองคนที่เหมือนกันทุกประการหรอกกระมัง” เจ้าเยี่ยเหมิงกับโจวเสี่ยวหยาที่อยู่ด้านข้างต่างก็นิ่งงัน จนโจวเสี่ยวหยาอดอ้าปากค้างไม่ได้
“ตอนนี้ข้ายังไม่เจอและคงไม่…” อู๋น้อยรีบตอบด้วยความเคารพ กล่าวจบก็ลังเลไปชั่วครู่ ก่อนจะมองหวังเป่าเล่อที่นิ่งเงียบแล้วหันไปมองปรมาจารย์แห่งไฟที่กำลังทำสายตาตกตะลึง แล้วว่าต่อ
“นอกจากนี้…ข้าเคยเห็นระดับจักรวาลที่นี่และรู้สึกว่า…มันต่างจากระดับจักรวาลของบ้านเกิดข้า อย่างพ่อข้ามากทีเดียว…”
“หืม?” ดวงตาปรมาจารย์แห่งไฟสว่างวาบอีกครั้งและอู๋น้อยที่เห็นแสงนั้นพลันถอยร่นไปพร้อมยิ้มแหย
“ท่านปรมาจารย์อย่าเพิ่งตื่นเต้น นี่เป็นแค่การคาดเดาจากระดับการฝึกตนของข้า ไม่แน่ว่าจะจริง”
“พูดต่อสิ!” ปรมาจารย์แห่งไฟเงียบไปครู่หนึ่ง หลังจากสงบจิตสงบใจแล้วก็เอ่ยช้าๆ
อู๋น้อยเกิดความสงสัย
“พูดมาเถอะ” หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองอู๋น้อย
ได้ยินหวังเป่าเล่อว่าเช่นนั้น อู๋น้อยก็หายใจเข้าลึก ก่อนจะพูดในสิ่งที่ตนต้องการพูดออกมา
“ระดับจักรวาลของบ้านเกิดข้าอย่างเช่นท่านพ่อของข้านั้น ข้าคิดว่าระดับของเขาสูงกว่าระดับจักรวาลของที่นี่มากทีเดียว เหมือนกับ…ระดับจักรวาลของที่นี่ไม่เสถียรและไม่สมบูรณ์เล็กน้อย ดูเหมือนระดับเดียวกันแต่ความจริงเป็นเหมือนดอกไม้ในกระจก เหมือนกับ…”
“ของปลอม?” ปรมาจารย์แห่งไฟเอ่ยแทรกขึ้น เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงแนวคิดที่วนเวียนอยู่ในจักรวาลแห่งนี้เมื่อหลายปีก่อนว่าที่นี่…เป็นของปลอม
“จะบอกว่าปลอมก็ไม่ได้หรอก กล่าวได้แค่ว่าไม่สมบูรณ์อย่างมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีข้อยกเว้น อย่างท่านพ่อ…เขาไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกว่าไม่สมบูรณ์แบบ แต่ยังครบเครื่องยิ่งกว่าผู้ฝึกตนทั้งหมดที่ข้าเคยเห็นในบ้านเกิดของข้าเสียอีก!” อู๋น้อยเอ่ยถึงตรงนี้ก็มองหวังเป่าเล่ออย่างกระหายใคร่รู้
“เป่าเล่อ เจ้ารู้ความจริงของจักรวาลผืนนี้หรือไม่…” ปรมาจารย์แห่งไฟหายใจถี่กระชั้นพร้อมหันขวับมามองหวังเป่า
หวังเป่าเล่อถอนหายใจเบาๆ บางอย่างเขาก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดีจึงเพียงแค่แผ่กระแสเต๋าออกไป เพื่อบอกทุกอย่างที่เขารู้เกี่ยวกับโลกใบนี้ไปยังสัมผัสสวรรค์ของอาจารย์ด้วยวิถีเต๋า
นอกจากตะปูไม้สีดำของตน หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องอื่นอีก
เมื่อสัมผัสกับกระแสเต๋าของหวังเป่าเล่อ สายตาปรมาจารย์แห่งไฟก็ดูมึนงง ก่อนจะค่อยๆ ว่างเปล่า จนกระทั่งถอนหายใจยาวเหยียดในตอนสุดท้ายด้วยสีหน้าซับซ้อน
“ไม่จริง แต่ก็ไม่ปลอม เป็นเช่นนี้เอง เป็นเช่นนี้เอง” ปรมาจารย์แห่งไฟพึมพำ สีหน้าดูอ่อนล้าเล็กน้อย ความจริงนี้กระแทกใจเขาอย่างจัง แม้แต่ระดับการฝึกตนระดับเขาก็ยังต้องใช้เวลาย่อยข้อมูลสักพัก ดังนั้นหลังจากถอนหายใจ ร่างปรมาจารย์แห่งไฟก็หายวับ
“เป่าเล่อ อาจารย์ขอพักผ่อนก่อนนะ”
ผู้ที่หายวับไปยังมีวัวเฒ่าและศิษย์พี่หญิงใหญ่ ในสายตาคนนอกจะเห็นพวกเขาหายไปพร้อมเปลวเพลิง แต่หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าสิ่งนี้เกิดจากความตื่นตกใจของอาจารย์
การจากไปของปรมาจารย์แห่งไฟทำให้อู๋น้อยทำอะไรไม่ถูกจึงยืนมองหวังเป่าเล่ออยู่ตรงนั้นอย่างกระตือรือร้น สีหน้าหวังเป่าเล่อสงบลงแล้ว คำพูดของอู๋น้อยไม่ได้ทำให้จิตใจเขาปั่นป่วนมากนัก เพราะถึงอย่างไรเขาก็รู้นานแล้ว สิ่งที่กระทบเขามากที่สุดก็คงจะเป็นแค่การยืนยันเท่านั้น
ยืนยันบางสิ่งที่เขารู้มาก่อนหน้านี้ ขณะเดียวกันก็ทำให้เขาเข้าใจโลกศิลาแห่งนี้มากขึ้นอีกนิด เมื่อรวมกับที่มาของอู๋น้อย หวังเป่าเล่อก็พอจะเห็นภาพรวมแล้ว
ก่อนหน้าวันเวลาอันไร้ที่สิ้นสุด ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่แท้จริงอันไกลโพ้นมีพระเจ้าองค์หนึ่ง คนผู้นี้ถูกเรียกว่ามหาเทพ บางทีเขาอาจจะเป็นเซียนหรือบางทีเขาอาจจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เหนือเซียนขึ้นไปอีก
แต่ไม่ว่าอย่างไรความแข็งแกร่งของเขาล้วนอยู่เหนือจินตนาการ แต่เขาก็ไม่ใช่ศัตรู ตะปูไม้สีดำบนหว่างคิ้วคือกุญแจสำคัญในการจัดการเขา
และเพื่อหลีกเลี่ยงความยุ่งยาก เขาได้กระจายร่างแยกจำนวนมากออกไปในจักรวาลอันไร้ที่สิ้นสุดนอกเขตจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น และก่อตัวขึ้นเป็นตระกูลไม่รู้สิ้นทีละคน จากนั้นก็ค่อยๆ เสริมกำลังแต่ละร่างเพื่อให้การเลี่ยงความยุ่งยากมีความหวัง
“บางทีกู่กับหลัว แม้จะมาจากจักรวาลที่ต่างกัน แต่พวกเขาต่างอยู่ภายใต้การปกครองของมหาเทพคนนั้นอยู่ระยะหนึ่ง…”
ก็เหมือนกับภาพวาดที่เขาเห็นด้วยความช่วยเหลือจากรูปปั้นแกะสลักในวัดใต้แม่น้ำแห่งความมืด รอบร่างสง่างามที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในจักรวาลมีร่างที่เล็กกว่าเขาอยู่ไม่น้อย
แต่ละร่างคงจะเป็นผู้สูงส่งที่สุด!
“มหาเทพถูกตรึง กู่และเทียนต่อสู้เพื่อความเป็นอมตะและแยกจาก…”
เวลาเดียวกันจักรพรรดิที่ระดับการฝึกตนน่าทึ่งแห่งจักรวรรดิเสวียนเฉินในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่แท้จริงคงจะเป็นหนึ่งในร่างพวกนั้น เขาเลือกตั้งตัวเป็นอิสระ
แต่สุดท้ายกลับถูกมหาเทพปราบ ทั้งจักรวรรดิถูกทำลาย ขณะเดียวกันเขาก็คงทำอะไรไม่ได้จึงส่งลูกชายของตนเข้าไปในห้วงแห่งกาลเวลา
ตอนที่ปรากฏตัวจึงได้มาปรากฏตัวตรงหน้าเขาในกาลเวลาปัจจุบันของโลกศิลา
เมื่อรวมกับนิ้วชี้ของหลัวในตอนนั้น จากนั้นก็ผนึกแขนทั้งหมดและรวมปรมาจารย์ตระกูลไม่รู้สิ้นในโลกศิลาก็ยังไม่สามารถหนีออกไปได้ และปรากฏตัวขึ้นที่นี่อีกครั้ง…
“จากการคำนวณทุกด้าน บางทีที่นี่อาจกลายเป็นจุดที่สำคัญที่สุดของร่างแยกสำหรับมหาเทพ” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด เขาคิดว่าการวิเคราะห์ของตนอาจไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่คงมาถูกทางแล้ว
“นี่คือกระดานหมากรุก…โลกศิลาคือกระดานหมากรุก ฝ่ายที่เล่นคือมหาเทพ อีกฝ่ายหนึ่งคือผู้แข็งแกร่งอย่างพวกจักรวรรดิเสวียนเฉินหรือหลัว ส่วนตัวหมาก…ก็คือข้า ร่างแยกมหาเทพ แม้แต่อู๋น้อยก็ด้วย” หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบแล้วถอนหายใจ หลังจากครุ่นคิดทั้งหมดแล้วก็เก็บมันไว้ในใจ เตรียมจะถามอู๋น้อยเกี่ยวกับเรื่องการเปลี่ยนแปลงกาลเวลา
ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไร ตราบใดที่เขาแข็งแกร่งขึ้นก็จะเป็นรากฐานรองรับทุกสิ่งได้
ทว่า ตอนนั้นเองอาจเป็นเพราะวันนี้เขาคิดมากเกินไป หลังจากความคิดทุกอย่างตีกันในหัว ความคิดหนึ่งที่ไม่น่าเชื่อก็ผุดขึ้นทันที
“หืม?”
“ทำไมถึงเลือกโลกศิลาเป็นกระดานหมากรุก ทำไมข้าถึงมาปรากฏตัวที่นี่ เป็นไปได้ไหมว่า…กระดานหมากรุกจะไม่ได้มีที่เดียวและข้าเองก็ไม่ได้มีแค่คนเดียว…ร่างแยกของมหาเทพทั้งหมดที่กำเนิดขึ้นในโลกไม่รู้สิ้นในจักรวาลต่างๆ ล้วนมีข้าอีกคน!”
ความคิดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตาเบิกโพลง แม้แต่ระดับการฝึกตนก็ยังสั่นคลอนจากความคิดนี้
มหาเทพหนึ่งแสนร่างก่อตัวเป็นหนึ่งแสนโลก
ตรึงหนึ่งแสนเทพก่อตัวเป็นหนึ่งแสนความคิด!
………………………………………
“น่าสนใจ” หวังเป่าเล่อเผยรอยยิ้มมุมปาก ก่อนที่ร่างธรรมจะหายไป แล้วมาปรากฏตัวยังสะเก็ดดาวที่เขาพบอู๋น้อยในตอนนั้น
สะเก็ดดาว…ก็หายไปเช่นกัน
ราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน แม้หวังเป่าเล่อจะแผ่กระแสเต๋าออกไปก็หาไม่พบ แต่เขากลับรู้สึกถึงร่องรอยความผันผวนเล็กน้อยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตรงนี้
ร่องรอยนี้บางเบามาก ถึงขนาดที่ต่อให้เป็นจักรพรรดิสวรรค์มาก็คงไม่อาจสังเกตเห็นได้ มีเพียงหวังเป่าเล่อที่มีเต๋าแห่งแสง อีกทั้งเส้นทางที่เขาฝึกฝนยังเป็นกาลเวลานอกโลกที่สมบูรณ์กว่าโลกศิลาถึงจะสัมผัสถึงมันได้
“ทุกอย่างดูน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ” หวังเป่าเล่อพึมพำก่อนที่ร่างธรรมจะหายไปอีกครั้ง ในขณะเดียวกัน ร่างจริงของหวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ตรงหน้าปรมาจารย์แห่งไฟในระบบสุริยะก็เงยหน้ายิ้มให้อาจารย์ ก่อนจะหยิบกาน้ำชาขึ้นมารินใส่ถ้วย หลังจากยกขึ้นจิบแล้วก็หันไปมองอู๋น้อย
ในตอนที่เขาหันไปมองอู๋น้อยนั่นเอง อู๋น้อยก็เงยหน้ามองหวังเป่าเล่อ สองสายตาพลันประสานกัน อู๋น้อยรีบหลบหน้าตามสัญชาตญาณทันทีราวกับถูกไฟช็อต แต่ในพริบตาเขาก็ตอบสนองอีกครั้ง สีหน้าบิดเบี้ยวเสียยิ่งกว่าตอนร้องไห้ และพยายามเอาใจ เขามองหวังเป่าเล่ออย่างกระตือรือร้นและเอ่ยเสียงเบา
“ท่านพ่อ…”
ทันทีที่อู๋น้อยเอ่ยออกมา เจ้าเยี่ยเหมิงกับโจวเสี่ยวหยาก็เบิกตากว้างทันที นี่เป็นคั้งแรกที่อู๋น้อยเรียกหวังเป่าเล่อเช่นนี้ต่อหน้าพวกนาง ดังนั้นในดวงตาทั้งคู่จึงเต็มไปด้วยความเข้าใจผิด พวกนางมองอู๋น้อย ก่อนจะหันไปมองหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อที่กำลังดื่มชาแม้จะระดับการฝึกตนสูงส่งจนน่าทึ่ง แต่ก็ยังอดกระแอมไอไม่ได้ ถึงอย่างไรเขาก็ผ่านเรื่องราวมามากมาย จึงวางถ้วยชาลงอย่างสงบแล้วเอ่ยเบาๆ
“เจ้าคือองค์ชายสายตรงของจักรวรรดิเสวียนเฉิน ข้าแซ่หวังมิอาจเอื้อมกับคำเรียกนี้”
เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงกับโจวเสี่ยวหยาจึงมีสีหน้าผ่อนคลายลง แม้ในใจจะรู้อยู่แล้วว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ในใจพวกนางก็ยังมีคลื่นระลอกใหญ่ไม่น้อย ขณะนี้เมื่อจิตใจสงบลง ความสงสัยใหม่ก็ผุดขึ้นจึงหันไปมองอู๋น้อย เห็นได้ชัดว่าสงสัยกับคำว่าจักรวรรดิเสวียนเฉินที่หวังเป่าเล่อกล่าว
ในพริบตาที่หวังเป่าเล่อเอ่ยถึงจักรวรรดิเสวียนเฉินและเจ้าเยี่ยเหมิงกับโจวเสี่ยวหยาหันไปมองอู๋น้อยนั่นเอง ดวงตาศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็หดแคบ วัวเฒ่าเองก็มีแสงสว่างวาบผ่านดวงตาไป ปรมาจารย์แห่งไฟตรงหน้าหวังเป่าเล่อเองก็หรี่ตาลง
ส่วนเจ้าลาน้อยก็อาศัยจังหวะนี้สะบัดตัววิ่งหนีออกมาอย่างรวดเร็ว จ้องมองทุกคนอยู่ไกลๆ ด้วยความหวาดกลัวราวกับเพิ่งรอดชีวิต
อู๋น้อยที่กำลังถูกทุกคนจ้องมองอยู่ตัวสั่นสะท้าน สีหน้าคร่ำครวญ
“ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องการข้าแล้วหรือ อู๋น้อยทำอะไรผิดหรือ ท่านบอกอู๋น้อยสิ อู๋น้อยจะปรับปรุงตัว ท่านอย่าทิ้งข้านะ “
“อู๋น้อย ตอบคำถามข้าสามข้อ” หวังเป่าเล่อเอ่ยช้าๆ ละสายตาจากอู๋น้อยไปยังเจ้าเยี่ยเหมิงและโจวเสี่ยวหยา เขาเริ่มมั่นใจในข้อสันนิษฐานของตนมากขึ้น
เพราะ…ตามที่อาจารย์ได้พูดไว้ หากไม่มีระดับการฝึกตนเพียงพอ ต่อให้เจ้าเยี่ยเหมิงกับโจวเสี่ยวหยาได้ยินชื่อจักรวรรดิเสวียนเฉินก็ไม่มีทางจำได้ ทว่าตอนนี้ดูจากสีหน้าพวกนางแล้ว พวกนางจำได้อย่างแน่นอน
เรื่องนี้ปรมาจารย์แห่งไฟก็มองเห็นเช่นกัน ดังนั้นหลังจากสองศิษย์อาจารย์สบตากันและอู๋น้อยก็พยักหน้าอย่างกล้าๆ กลัวๆ หวังเป่าเล่อจึงเอ่ยออกมา
“อู๋น้อย ไม่ต้องแสดงท่าทีหวาดกลัวเช่นนี้แล้ว ไม่ว่าเจ้าจะตอบหรือไม่ตอบ ข้าก็จะไม่ทำอะไรเจ้า ถึงอย่างไรตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้าลาน้อยก็เปลี่ยนแปลงได้อย่างทุกวันนี้เพราะเจ้า”
“โดยเฉพาะความทรงจำในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ของข้า ตอนที่อารยธรรมครามทองคำปรากฏตัวและจับเจ้าลาน้อย เจ้าและเยี่ยเหมิงไปเพื่อข่มขู่ข้า เจ้าคงคิดจะเปิดเผยตัวตนและลงมือ แต่เมื่อเห็นว่าข้าจัดการได้ เจ้าจึงไม่เปิดเผย”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อู๋น้อยก็เลิกตัวสั่นและยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสงบนิ่ง ไม่เอ่ยอะไร
“ดังนั้นเจ้าลองคิดดูก่อนก็ได้ว่าจะตอบคำถามข้าหรือไม่” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเบา เขาไม่ได้โกหกอู๋น้อย คำถามสามข้อที่เขาจะถามต่อจากนี้ ถึงแม้อีกฝ่ายไม่ตอบ เขาก็จะไม่ทำอะไร และยังจะช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้เพื่อให้ทุกคนจากกันด้วยดี
“ข้อแรก อู๋น้อย เจ้าเป็นใครกันแน่”
“ข้อสอง เหตุใดเจ้าถึงเลือกข้า”
“ข้อสาม จุดประสงค์ของเจ้าคืออะไร”
คำถามสามข้อจากหวังเป่าเล่อดูเหมือนจะธรรมดาทั่วไป แต่ทุกคำถาม…มีความหมายลึกซึ้ง คำถามแรกถามถึงตัวตน ถามถึงต้นกำเนิด อย่างเช่นตัวตนที่แท้จริงหรือภูมิหลังทั้งหมด จะตอบอย่างไรล้วนขึ้นอยู่กับเจตนา
คำถามที่สองเป็นการบอกอู๋น้อยว่าเขารู้เรื่องทุกอย่างแล้ว
คำถามที่สามคือการถามถึงจุดจบ และเช่นเดิมว่าทุกคำตอบขึ้นอยู่กับเจตนาและวิธีอธิบาย
อู๋น้อยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยหน้ามองหวังเป่าเล่อ สายตาของเขาดูซับซ้อนและขมขื่น จากนั้นไม่นานก็ถอนหายใจก่อนจะประสานมือคำนับหวังเป่าเล่อ
“สมกับที่เป็นท่านพ่อ อู๋น้อยขอชื่นชมท่าน คำถามสามข้อนี้ดูธรรมดา แต่ในความเป็นจริงคำตอบของข้าจะแสดงถึงจิตใจของข้า สิ่งที่ท่านพ่อต้องการไม่ใช่คำตอบ แต่เป็นทัศนคติของข้า”
หวังเป่าเล่อมองอู๋น้อยก่อนจะพยักหน้ายิ้มๆ
อู๋น้อยยิ้มอย่างขมขื่น ก่อนจะเดินตรงมายังข้างกายหวังเป่าเล่อ หลังจากประสานมือคำนับเขากับปรมาจารย์แห่งไฟแล้วก็นั่งลงกับพื้นและถอนหายใจ
“ท่านพ่อ ข้ามีนามว่าจี้อู๋จื่อจริงๆ และมาจากจักรวรรดิเสวียนเฉินอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่ใช่ในกาลเวลานี้ พูดให้ชัดเจนคือข้ามาจากอดีต ตอนที่จักรวรรดิเสวียนเฉินถูกทำลาย ข้าก็ถูกส่งตัวออกมาแล้ว”
“ส่วนเหตุผลที่เลือกท่านพ่อ แท้จริงตอนที่ได้ยินคำถามนี้ข้าก็เข้าใจแล้ว ท่านรู้ทุกอย่างมากเลยทีเดียว จริงๆ แล้วหลังจากข้าตื่นขึ้นมาก็ตามหาอยู่นาน จนวันหนึ่งข้าสัมผัสได้ถึงพลังปราณของท่านพ่อ มันราวกับข้ามีความรู้สึกบางอย่างจึงได้ปรากฏตัวขึ้น เพราะข้ารู้สึกสนิทสนมกับท่านมาก ราวกับว่าท่านคือคนที่ข้าเฝ้ารอ ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้”
“ส่วนจุดประสงค์ของข้า ท่านพ่อเคยถามคำถามนี้กับข้าไปแล้ว ข้าไม่ได้โกหกท่านและไม่มีเจตนาร้าย ข้าแค่อยากกลับบ้านและหวังว่าท่านพ่อจะช่วยให้ข้ากลับบ้านได้”
“จักรวรรดิเสวียนเฉินล่มสลายไปแล้ว” ปรมาจารย์แห่งไฟเอ่ยแทรก ดวงตาที่มองอู๋น้อยเป็นประกายวาววับ
“ปรมาจารย์แห่งไฟ…” อู๋น้อยรีบกำมือแล้วกล่าวเสียงเบา
“ท่านปรมาจารย์ ข้าไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร แต่ข้าจะบอกความจริงบางอย่าง อย่างแรกสถานที่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของข้ามีชื่อว่าจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แต่ในประวัติศาสตร์จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นบ้านเกิดข้าไม่มีสำนักแห่งความมืด…”
“ส่วนจักรวรรดิเสวียนเฉินนั้นถูกตระกูลไม่รู้สิ้นทำลายเพราะตั้งตัวเป็นอิสระจริง คนที่ลงมือ…ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นบ้านเกิดข้าเรียกเขาว่า…มหาเทพ”
“ขณะเดียวกัน…แม้จักรวรรดิเสวียนเฉินจะล่มสลาย แต่พ่อข้า…ซึ่งก็คือจักรพรรดิแห่งเสวียนเฉินไม่ได้ดับสิ้นไปด้วย ข้ารู้สึกได้ว่าเขากำลังรอข้ากลับไป…”
“ตอนที่ข้าตื่นขึ้นมาก็คิดว่าที่นี่คือบ้านเกิดของข้า แต่ไม่นานข้าก็ค่อยๆ ค้นพบว่าที่นี่…ไม่ใช่ ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร…” อู๋น้อยเอ่ยตอบเสียงต่ำ
คำพูดของเขาทำให้ปรมาจารย์แห่งไฟลุกขึ้นด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ ด้านหวังเป่าเล่อก็ดวงตาหดแตบ หลังจากมองลึกเข้าไปในดวงตาอู๋น้อย ในหัวก็นึกถึงคำพูดของบิดาของแม่นางน้อยที่เคยเอ่ยไว้หลังจากปรากฏตัวในอดีตชาติของเขา
“ที่นี่ไม่ใช่จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่แท้จริง…”
……………………………………
Click to Hide Advanced Floating Content

Kingdom66

Brazil999
“มีแค่นี้หรือ…” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองอู๋น้อยที่กำลังกดตัวเจ้าลาน้อยไว้ใต้ร่างพร้อมกับวัวเฒ่าและศิษย์พี่หญิงใหญ่ด้วยสายตาที่ไม่อาจอธิบายได้ จากนั้นจึงเอ่ยกับปรมาจารย์แห่งไฟทันที
“อาจารย์ ท่านเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับจักรวรรดิเสวียนเฉินไหม”
“หืม?” รูม่านตาปรมาจารย์แห่งไฟหดแคบในฉับพลัน
“เป่าเล่อ เจ้าไปได้ยินชื่อจักรวรรดิเสวียนเฉินนี้มาจากไหน”
“ได้ยินโดยบังเอิญขอรับ อาจารย์ จักรวรรดิเสวียนเฉินมีอะไรแปลกหรือ”
“ไม่ใช่แค่แปลก…ในพื้นที่ตอนกลางของไม่รู้สิ้นมีจักรวรรดิเสวียนเฉินอยู่จริงๆ ซึ่งมีอำนาจไม่น้อย ข้างในยังมีปรมาจารย์ระดับจักรวาลอยู่คนหนึ่งและพวกเขาไม่สนใจคำสั่งของตระกูลไม่รู้สิ้น ถอนตัวจากการเป็นพันธมิตรและตั้งตัวเป็นอิสระโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่…” ปรมาจารย์แห่งไฟมองลึกเข้าไปในดวงตาหวังเป่าเล่อก่อนจะพูดเสียงคลุมเครือ
“นั่นคือตอนที่สำนักแห่งความมืดเพิ่งจะถูกปราบปราม และตระกูลไม่รู้สิ้นเพิ่งได้ชัยชนะมาไม่นานซึ่งมันผ่านมานานมากแล้ว และปรมาจารย์ของจักรวรรดิเสวียนเฉินคนนั้นก็ถูกเว่ยยางจื่อตัดศีรษะเองกับมือ และยังใช้เต๋าสวรรค์ลบล้างร่องรอยทุกอย่างในจักรวรรดิเสวียนเฉินให้โลกลืมทุกอย่างไป ตามหลักความจริงแล้วผู้เยี่ยมยุทธ์ที่พลังต่อสู้ทะลุระดับจักรวาลจึงจะปลดความทรงจำที่ถูกปิดผนึกในตอนนั้นได้ ข้าก็ปลดผนึกความทรงจำด้วยวิธีนี้”
“แต่เจ้า…รู้จักจักรวรรดิเสวียนเฉินได้อย่างไรกัน แม้จะมีผู้ที่มีพลังต่อสู้ระดับจักรวาลบอกเจ้า แต่ว่าหากฐานการฝึกฝนของเจ้ายังเป็นเหมือนตอนแรก หลังจากฟังแล้วก็จะลืมมันไป…ย่อมไม่มีทางจำได้”
ทันทีที่ปรมาจารย์แห่งไฟเอ่ยขึ้น แม้แต่หวังเป่าเล่อที่ฐานการฝึกฝนระดับจักรพิภพและมีพลังต่อสู้ระดับจักรวาลก็ยังดวงตาหดแคบเล็กน้อย ก่อนจะมองไปที่อู๋น้อยอีกครั้ง คำพูดของอีกฝ่ายตอนที่เพิ่งปรากฏตัวผุดขึ้นในหัวและ…คิดถึงยักษ์ศิลาที่ฐานการฝึกฝนระดับดารานิรันดร์ที่เขาได้พบนอกระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ในจักรวาลอันห่างไกล
ปฏิกิริยาของอีกฝ่ายในตอนนั้น หลังจากได้ยินเขาเอ่ยชื่อศิษย์พี่เฉินชิงจื่อแล้วจึงปล่อยเขาไป แต่หลังจากเรื่องราวตอนนั้นหวังเป่าเล่อก็สงสัยว่าไม่ใช่เพราะเรื่องของเฉินชิงจื่ออย่างเดียว ทว่าตอนนั้นข้างกายเขายังมีอู๋น้อยอยู่ด้วย
“น่าสนใจดีนะ อาจารย์ ศิษย์ขอออกไปตรวจสอบเรื่องหนึ่งก่อนนะขอรับ” หวังเป่าเล่อเอ่ยขึ้น หลังจากครุ่นคิดแล้ว เขามองออกว่าอาจารย์ไม่รู้ตัวตนของอู๋น้อย ต้องทราบก่อนว่าหากความแข็งแกร่งระดับอาจารย์ยังไม่พบร่องรอยของอู๋น้อย ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นก็ยิ่งมีน้อยคนนักที่จะตามรอยเขาได้
ก่อนหน้านี้แม้หวังเป่าเล่อจะพอเดาได้ว่าที่มาของอู๋น้อยคงไม่ธรรมดาและยังแปลกประหลาด แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ ดังนั้นแม้ร่างกายจะอยู่กับพื้น แต่กระแสเต๋ากลับรวมตัวอยู่ที่นอกระบบสุริยะก่อตัวขึ้นเป็นร่างธรรม กะพริบทีเดียว…ก็ออกจากระบบสุริยะไปยังจักรวาล
และในพริบตาที่ร่างธรรมของเขาจากไป ปรมาจารย์แห่งไฟก็รับรู้ได้ทันที ขณะเดียวกัน…อู๋น้อยที่กำลังกดเจ้าลาน้อยด้วยท่าทางโหดเหี้ยมพร้อมกับแววตาภูมิใจยิ่งก็ตัวสั่นเทาขึ้นมาฉับพลัน ความภูมิใจหายไป แทนที่ด้วยความลังเลสงสัย ก่อนจะเหลือบตามองด้านนอกระบบสุริยะราวกับกลัวจะถูกจับได้
ขณะที่เขารู้สึกประหม่าอยู่ทางนี้ ในจักรวาล ร่างธรรมของหวังเป่าเล่อก็ควบพุ่งไปด้วยความเร็วน่าทึ่ง ทุกๆ ย่างก้าวราวกับสามารถข้ามผ่านจักรวาลได้ การปะทะกันของสองเต๋าสวรรค์ในจักรวาลตอนนี้ได้ทำให้ผู้ฝึกตนเกือบทั้งหมดถูกกดข่มไว้ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อนั้นไม่ได้มีผลอะไรเลย
ด้านหนึ่งเป็นเพราะฐานการฝึกฝนของเขาสูงเกินไป ในร่างกายกลายเป็นจักรวาลไปแล้ว อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะในร่างกายหวังเป่าเล่อมีกฎและข้อบังคับของทั้งเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดและเต๋าสวรรค์ตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่ เรียกได้ว่าหวังเป่าเล่อก็เหมือนกับร่างที่เต๋าสวรรค์ทั้งสองผสานกัน ดังนั้นไม่ว่าจักรวาลจะโกลาหลเพียงใด เขาก็ยังเหมือนเดิม
อีกทั้งรัศมีบนร่างของเขาก็หนาสุดขั้ว ทุกที่ที่เขาผ่าน แม้จะไม่มีใครสามารถสังเกตเห็นได้ แต่แรงกดดันที่มาจากร่างกายเขานั้นไม่ว่าจะเก็บอย่างไรก็เก็บไม่มิด ดังนั้นสิ่งมีชีวิตในอารยธรรมน้อยใหญ่นับไม่ถ้วนตลอดทางจึงตัวสั่นเทิ้มราวกับอำนาจแห่งสวรรค์จุติลงมาทันที
แม้แต่ดวงดาวทุกดวงก็ยังสูญสิ้นสีของมันในยามที่หวังเป่าเล่อก้าวผ่าน แม้แต่ดารานิ่งงันก็ยังหรี่แสงลง ในเวลาเดียวกันภายในเต๋าเก้ารัฐ ปรมาจารย์ที่ไม่สามารถออกจากประตูภูเขาได้ผู้นั้นพลันเบิกตามองไปยังจักรวาลจากในห้องลับ
เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของร่างธรรมหวังเป่าเล่อ ราวกับมีคบเพลิงปรากฏขึ้นในพงไพรแห่งปฐพีอันมืดมิด มันแพรวพราวอย่างยิ่ง นี่…คือพลังต่อสู้ระดับจักรวาล
ตราบใดที่มาถึงระดับนี้ ทุกการเคลื่อนไหวล้วนส่งผลกระทบต่อเต๋าสวรรค์และจักรวาล อีกทั้งยังยากต่อการซ่อนตัวจากผู้ต่อสู้อื่นที่มีระดับเดียวกัน เพราะพลังที่มีอยู่นั้นแข็งแกร่งเกินไปก็เหมือนกับใยแมงมุมที่มีแมลงเล็กๆ บินมาติดก่อให้เกิดคลื่นระลอกเล็กๆ แต่หากเป็นนกตัวหนึ่ง…หากใยแมงมุมนั้นแข็งแรงพอ ระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นก็เพียงพอที่จะพลิกแม่น้ำคว่ำทะเลได้
นั่นทำให้ปรมาจารย์แห่งเต๋าเก้ารัฐเผยแสงเลือนรางในดวงตาอย่างเงียบงัน
ในแสงเลือนรางนั้นมีความอิจฉาริษยา ความเกลียดชัง และยังมีความอาฆาตอยู่ด้วย แต่สุดท้ายก็ถูกเขาข่มกลั้นและหลับตาลงอีกครั้ง
หวังเป่าเล่อสีหน้าปกติ เขาเองก็สัมผัสได้ถึงสายตาของปรมาจารย์แห่งเต๋าเก้ารัฐผู้นั้นเช่นกัน แต่ไม่ได้สนใจ ทุกย่างก้าวของเขาดูยาวนาน แต่ในความเป็นจริงจากระบบสุริยะไปจนถึงที่ระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ตั้งอยู่นั้นกินเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ
พริบตาต่อมาเมื่อปรมาจารย์แห่งเต๋าเก้ารัฐถอนสายตากลับ ร่างของหวังเป่าเล่อก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงจุดที่ระบบอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ตั้งอยู่ ที่แห่งนี้ว่างเปล่า หลังจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จากไปแล้ว ที่นี่ก็ไม่เหลือสิ่งมีชีวิตใดอีก
เมื่อได้กลับมาอีกครั้ง หวังเป่าเล่อกวาดตามองไม่หยุด ในตอนที่เขายกเท้าก้าวไปข้างหน้าและปรากฏตัวขึ้น…ก็มาอยู่ที่นอกดาราจักรซึ่งเป็นสถานที่ของยักษ์ศิลาที่เขาเคยไปเมื่อตอนนั้น
เมื่อมาถึงตรงนี้ ดวงตาหวังเป่าเล่อพลันเผยแสงแปลกประหลาด เพราะดาราจักรผืนนี้ต่างจากที่เขาเคยเห็น ที่นี่ไร้ความผันผวนของสิ่งมีชีวิต ขณะที่ก้าวเข้าไป สิ่งที่ปรากฏแก่สายตาเขากลับกลายเป็นซากปรักหักพัง
มันคือเศษหินนับไม่ถ้วนจากดวงดาวที่พังทลาย ไม่มีมนุษย์ศิลา
ตอนนั้นที่แห่งนี้มีดารานิรันดร์ที่ดับสิ้นแล้วหรือก็คือยักษ์ศิลาผู้นั้น แต่ตอนนี้ไม่มีดารานิรันดร์ดวงนั้นอีก หรือกล่าวให้ชัดเจนคือมันกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยล่องลอยอยู่ในจักรวาลไปแล้ว
หวังเป่าเล่อยืนมองดูทุกสิ่งอยู่ตรงนั้น หลังจากกระแสเต๋ากวาดออกไป เขาก็สัมผัสได้ถึงความโกลาหลที่เกิดขึ้นที่นี่ ที่แห่งนี้…ถูกทำลายไปอย่างน้อยหลายแสนปีหรือนานกว่านั้น
“เช่นนั้นที่ข้าเคยเห็นตอนนั้นคืออะไร…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาครุ่นคิด
“ห้วงมายา? ไม่น่าใช่”
“แบบนี้ดูแล้วเป็นไปได้แค่อย่างเดียว สิ่งที่ข้าเห็นตอนนั้นเป็นของจริง เพียงแต่…เพราะการชักนำพิเศษบางอย่างจึงเกิดการสับสนวันเวลา ทำให้ข้าได้เห็นที่นี่เมื่อนานมาแล้วและเห็นยักษ์ศิลาในตอนที่ยังไม่ถูกทำลาย”
“ดูจากร่องรอยพลังงาน อีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้จักเฉินชิงจื่อแล้ว เฉินชิงจื่อในตอนนั้นก็มีระดับการฝึกตนไม่ธรรมดา อีกทั้งจักรวรรดิเสวียนเฉินก็ยังไม่ล่มสลาย”
“ไม่น่าจะมีอะไรหรอก…” หวังเป่าเล่อนัยน์ตาสว่างวาบ หากเป็นเพียงการพบเห็นภาพในช่วงวันเวลาสับสนก็คงไม่น่าตกใจอะไร แต่เขาจำได้แม่นว่าตนสามารถสื่อสารกับอีกฝ่ายได้ และที่สำคัญที่สุด…ยักษ์ศิลาผู้นั้นได้มอบวัสดุล้ำค่าสำหรับแต่งเรือรบให้เขาอีกด้วย
สื่อสารกันเป็นเรื่องจริง
วัสดุก็เป็นเรื่องจริงเช่นกัน
หากดูเช่นนี้เรื่องนี้ก็น่าตกใจแล้ว มันเกี่ยวโยงกับมหาเต๋าแห่งกาลเวลา และเต๋าแห่งกาลเวลาเป็นรากฐานจันทร์ข้างแรมของหวังเป่าเล่อ การย้อนเวลาหาอดีต หากมันสามารถกลายเป็นพลังเทพได้…จะต้องเป็นเคล็ดวิชาที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าจันทร์ข้างแรม!
คิดถึงตรงนี้ ดวงตาหวังเป่าเล่อก็หรี่ลง เพราะเบื้องหลังสิ่งมหัศจรรย์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสิ่งชักนำพิเศษใดกันแน่ที่ทำให้เกิดเรื่องทุกอย่างขึ้น
คำตอบชัดเจนในตัวมันเอง
หวังเป่าเล่อหลับตาลง นึกถึงภาพและบทสนทนาตอนที่ได้พบอู๋น้อยในซากปรักหักพังของสะเก็ดดาว
“เจ้าชื่ออะไร”
“สัญลักษณ์ประจำจักรวรรดิเสวียนเฉินของเราคือนกแก้ว บิดาข้าจึงตั้งชื่อข้าว่าจี้อู่จื่อ ท่านพ่อ ท่านเรียกข้าว่าอู๋น้อยก็ได้”
……………………………………
สงครามเริ่มต้น
การปรากฏของแม่น้ำแห่งความมืด การต่อต้านระหว่างเต๋าสวรรค์ทั้งสองในโลกแห่งศิลาทำให้กฎและข้อบังคับทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นปะทะกันอย่างดุเดือดตลอดเวลา
การปะทะกันของเต๋าสวรรค์ส่งผลกระทบต่อการโคจรของจักรวาลโดยตรงทำให้ระบบอารยธรรมนับไม่ถ้วนเริ่มเกิดสัญญาณของการล่มสลาย ส่งผลให้พายุจักรวาลเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ทั่วทั้งโลกศิลาตกอยู่ในความโกลาหลอันมืดมน
สำนักแห่งความมืดตัวแทนของความตายมาพร้อมดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนจากอารยธรรมที่ล่มสลาย ก่อตัวเป็นพลังรุนแรงที่ไม่อาจอธิบายได้ เริ่มทำการทิ้งระเบิดกับกองกำลังทั้งหมดที่เป็นพันธมิตรกับตระกูลไม่รู้สิ้น
สนามรบทยอยปรากฏขึ้นในหลายพื้นที่
การต่อสู้เปิดฉากขึ้นในทุกๆ พริบตา
เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งจักรวาลเพราะการต่อต้านกันเองของเต๋าสวรรค์จนเกิดสัญญาณของการล่มสลาย เสียงคำรามดังก้องไปทั้งโลกแห่งศิลาไม่หยุด
ส่วนผลกระทบต่อผู้ฝึกตนก็ยิ่งหนักขึ้นไปอีก สำหรับผู้ฝึกตนของเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น การปะทะกันของกฎและข้อบังคับทำให้เต๋าของพวกเขาไม่สามารถรู้แจ้งได้ต่อไป ฐานการฝึกฝนของพวกเขาจึงเกิดความปั่นป่วน
และทันทีที่เต๋าไม่รู้สิ้นพังทลาย ฐานการฝึกฝน…ของพวกเขาก็กลายเป็นน้ำไร้ราก แม้จะสามารถดัดแปลงเต๋าแห่งความมืดได้ เว้นแต่จะเปลี่ยนไปก่อน มิเช่นนั้นก็จะยังได้รับผลกระทบจากรากฐานเสียหาย
แม้จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายกับจักรพิภพสำนักเสริมจะไม่อยากเข้าร่วมสงคราม แม้ฝ่ายที่ได้รับผลกระทบก่อนใครและยังกระทบมากที่สุด มีสนามรบเกิดขึ้นมากมายในพื้นที่ตอนกลางของไม่รู้สิ้น แต่…พันธะสัญญาจากโบราณกาลและความปั่นป่วนของเต๋าตนเองยังคงทำให้เต๋าฝั่งซ้ายกับสำนักเสริมจำต้องออกรบ
การต่อสู้ระหว่างจักรพิภพทั้งสองย่อมเป็นเรื่องใหญ่ เหล่าสำนัก ตระกูลและอารยธรรมเล็กๆ จำนวนมากจึงไม่มีทางเลือก ถูกส่งเข้าไปในพื้นที่ตอนกลางของไม่รู้สิ้นเพื่อเข้าสู่สนามรบนองเลือดอย่างลับๆ
มีเพียงสำนักและตระกูลที่มีพลังต่อสู้ระดับจักรวาลเท่านั้นที่รอดูท่าทีและปกป้องตัวเองอยู่ในระดับสูงสุดได้ในช่วงเริ่มต้นของสงคราม แต่…ก็ไม่ใช่ทุกกองกำลังที่มีพลังต่อสู้ระดับจักรวาลที่เลือกจะรอดู เนื่องจากเหตุผลหลายประการ กองกำลังบางส่วนได้เข้าสู่สนามรบ
ตระกูลเซี่ยคือหนึ่งในนั้น…ตระกูลยักษ์ใหญ่ที่ตอนนั้นเดิมพันกับตระกูลไม่รู้สิ้นจนรุ่งเรืองมาจนถึงวันนี้ และเป็นอีกครั้งที่ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ย…เลือกลงสนาม!
สงครามกำลังดำเนิน เขตเต๋าฝั่งซ้ายกับสำนักเสริมนั้นแม้จะไม่ได้รับผลกระทบรุนแรงเกินไปเนื่องจากสนามรบหลักอยู่ที่พื้นที่ตอนกลางของไม่รู้สิ้น แต่เนื่องจากการเข้าร่วมสงครามของตระกูลและสำนักเล็กๆ นับไม่ถ้วนจึงมีพื้นที่เหลือว่างไม่น้อยและเป็นไปได้ว่าเมื่อสงครามดำเนินต่อไปจะต้องได้รับผลกระทบไม่ช้าก็เร็วเป็นแน่
แต่ระบบสุริยะในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายกลับมีสถานที่ไม่มากที่ถือเป็นดินแดนบริสุทธิ์เหมือนจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นในปัจจุบัน ด้านหนึ่งเป็นเพราะการสยบพลังต่อสู้ของหวังเป่าเล่อกับปรมาจารย์แห่งไฟ อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะเกราะของแผ่นเลื่อนระดับโลกา
ทั้งหมดนี้ทำให้ตระกูลไม่รู้สิ้นไม่ยั่วยุก่อน และฐานะในอดีตของหวังเป่าเล่อ…ก็ทำให้สำนักแห่งความมืดไม่มารบกวนเขา
ดังนั้นโลกศิลาจึงเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ แต่ทุกอย่างในระบบสุริยะยังปกติ
“เต๋าของข้าเป็นอิสระ พันธะเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้…ก็คือโลกศิลา”
“ดังนั้นความว่างเปล่าที่แตกสลายคือเส้นทางที่ศิษย์ต้องเดินต่อจากนี้ไป” ขณะนี้ในบ้านเก่าของหวังเป่าเล่อ ภายในนครดารานิรันดร์ในระบบสุริยะ เขานั่งอยู่ตรงนั้นและกำลังรินชาจนเต็มถ้วยให้ปรมาจารย์แห่งไฟที่นั่งอยู่ตรงหน้า ก่อนจะเอ่ยปากเบาๆ
ความว่างเปล่าหมายถึงทะเลดวงดาวและหมายถึงจักรวาล
ความว่างเปล่าที่แตกสลายเปรียบได้กับการทำลายทางช้างเผือก และเปรียบได้กับการเริ่มต้นจักรวาลใหม่
ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกหนึ่งความหมาย นั่นคือ…จากไป
เมื่อปรมาจารย์แห่งไฟได้ยิน ดวงตาก็เผยแววครุ่นคิดล้ำลึก
ภายในบ้านเก่าของหวังเป่าเล่อไม่ได้มีแค่พวกเขาสองศิษย์อาจารย์เท่านั้น ยังมีเจ้าเยี่ยเหมิงและโจวเสี่ยวหยาอยู่ด้วย ศิษย์พี่รองนั่งขัดสมาธิอยู่ไม่ไกล ร่างกายพร่าเลือนราวกับกำลังฝึกตนอยู่ ส่วนศิษย์พี่หญิงใหญ่อยู่อีกมุมหนึ่งและกำลังจ้องมองเจ้าลาน้อยและอู๋น้อยตรงข้ามพวกเขาด้วยความหมายลึกซึ้ง
เจ้าลาน้อยยิงฟัน ไม่รู้ว่ามันเอาความกล้ามาจากไหน บางทีอาจเป็นเพราะกลืนกินพลังปราณเต๋าสวรรค์มากเกินไปจึงได้ตัวลอยขึ้นเล็กน้อย ทำท่าทางราวกับว่าอย่าได้เข้ามายั่วโมโหข้านะ ส่วนอู๋น้อยก็ยืนระแวดระวังอยู่ข้างเจ้าลาน้อยเผชิญหน้ากับศิษย์พี่หญิงใหญ่
“น่าสนใจดีนี่ เจ้าของเล่นนี่คือเต๋าสวรรค์หรือ! แล้วยังเจ้าเด็กน้อยนี่อีก…เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในโลกนี้ เป่าเล่อ เจ้าสองสิ่งนี้ไม่เลวเลย อยากให้ข้าผ่ามันออกไหม ไอ้หยา ผ่าตัวไหนก่อนดีนะ…” ศิษย์พี่หญิงใหญ่เดาะลิ้น ดวงตาเริ่มเปล่งประกาย
ขนเจ้าลาน้อยลุกเกรียวไปทั่วร่างและยิ่งแยกเขี้ยวมากขึ้นไปอีก ด้านอู๋น้อยก็เผยแสงวาววับในดวงตาราวกับกำลังประเมินบางอย่างอยู่ในใจ แต่ในพริบตาต่อมาขณะที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่เดาะลิ้น หวังเป่าเล่อก็ยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ เงาร่างวัวเฒ่ากลับปรากฏขึ้นข้างกายศิษย์พี่หญิงใหญ่และมองอู๋น้อยกับเจ้าลาน้อยอย่างสนอกสนใจเช่นกัน
การปรากฏตัวของวัวเฒ่าทำให้เจ้าลาน้อยตัวสั่นเทิ้ม ส่วนอู๋น้อยก็มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น หลังจากพิจารณาดูแล้ว ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงค่อยๆ เดินเข้าไปหาวัวเฒ่ากับศิษย์พี่หญิงใหญ่ อู๋น้อยกระแอมหนึ่งที ก่อนจะทำหน้าประจบสอพลอ
“ผู้อาวุโสทั้งสอง ข้ารู้จักเจ้าลานี้ดี ให้ข้าเป็นพวก ข้าสามารถช่วยพวกท่านผ่ามันได้!” กล่าวจบ อู๋น้อยก็หมุนตัวหันไปทางเดียวกับวัวเฒ่าและศิษย์พี่หญิงใหญ่ นั่นคือ…เผชิญหน้ากับเจ้าลาน้อย
สีหน้าจริงจัง แววตาเฉียบแหลม
“???” เจ้าลาน้อยผงะไปชั่วขณะ
ภาพนี้ทำให้โจวเสี่ยวหยาและเจ้าเยี่ยเหมิงที่มองอยู่อดหัวเราะไม่ได้ หวังเป่าเล่อก็กะพริบตา ทำหน้าเหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม เขารู้อยู่แล้วว่าอาจารย์แค่ต้องการหยอกเจ้าลาน้อยกับอู๋น้อยเล่น และท่าทีที่เปลี่ยนไปของเจ้าลาน้อยนั้น หวังเป่าเล่อก็มีคำตอบอยู่ในใจบ้างแล้ว
“ประเด็นสำคัญคือเจ้าอู๋น้อย…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา มองลึกเข้าไปในดวงตาอู๋จ้อย ก่อนจะถอนสายตาและส่งชาที่รินเต็มถ้วยส่งให้ปรมาจารย์แห่งไฟแล้วเอ่ยเบาๆ
“อาจารย์ ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นตอนนี้มีผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรวาลกี่คน แล้วมีกี่คนที่ไม่ใช่ แต่มีพลังต่อสู้ขอรับ” หวังเป่าเล่อยังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้อย่างถ่องแท้ ถึงอย่างไรเขาก็ก้าวเข้าสู่ระดับนี้ได้ไม่นาน เรื่องพวกนี้ปรมาจารย์แห่งไฟย่อมรู้เยอะกว่าเขามาก
“ระดับจักรวาล นี่คือชื่อที่เต๋าฝั่งซ้ายกับสำนักเสริมเรียก…ในตระกูลไม่รู้สิ้นเรียกมันว่าจักรพรรดิสวรรค์ แน่นอนว่าทั้งสองชื่อนี้ใช้ผสมกันไปในหลายกรณี แต่ที่จริงแล้วมันคือคำเดียวกัน” ปรมาจารย์แห่งไฟยกชาขึ้นจิบ เขามีความสุขจริงๆ ที่ยังคงสามารถตอบคำถามศิษย์ตรงหน้าได้อยู่
“ก่อนอื่นมาพูดถึงพื้นที่ตอนกลางของไม่รู้สิ้นก่อน ในตระกูลไม่รู้สิ้นปัจจุบันมีจักรพรรดิสวรรค์สี่คน เจ้าคงเห็นแล้วใช่ไหมล่ะ ตี้ซาน กวงหมิง เสวียนหัว ส่วนคนสุดท้ายคือจีเจีย”
“จักรพรรดิสวรรค์จีเจียผู้นี้ไม่ธรรมดา ข้าเองก็เพิ่งรู้จักเมื่อไม่นาน เดิมทีเขาคือร่างแยกของปรมาจารย์ดั้งเดิมเว่ยยางจื่อตระกูลไม่รู้สิ้น”
“ดังนั้นจักรพรรดิสวรรค์ตระกูลไม่รู้สิ้นจึงมีสี่คน แต่ในพื้นที่ตอนกลางของไม่รู้สิ้นยังมีระดับจักรวาลอีกคนหนึ่ง นั่นก็คือปรมาจารย์ตระกูลเซี่ย”
“ส่วนจักรพิภพสำนักเสริมนั้นลึกลับมาก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าสำนักอันดับหนึ่งคือสำนักใด ตำแหน่งใด ในนั้นจะต้องมีระดับจักรวาลอยู่เป็นแน่”
“คร่าวๆ ก็ถือว่ามีแล้วหนึ่งคนกระมัง แล้วยังมีศิษย์คนแรกของสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ นามเต๋าหมัวจื่อ คนผู้นี้โหดร้ายอย่างยิ่งและเป็นระดับจักรวาลด้วย! ส่วนคนอื่นในสำนักของเขาน่าจะไม่มีแล้ว”
“ส่วนจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายของเราแย่กว่ามาก แม้จะบอกว่า 20,000 ปีก่อนมีระดับจักรวาลคนหนึ่ง แต่เขาตาย…” คนผู้นี้ ดูเหมือนปรมาจารย์แห่งไฟไม่อยากเอ่ยถึงจึงรีบปิดประเด็นแล้วสรุป
“กล่าวคือทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นตอนนี้ รวมกันแล้วมีเจ็ดคน ส่วนตาแก่หวังปาแห่งเต๋าเก้ารัฐคนนั้นเขาคือระดับจักรวาลของสำนัก แต่เมื่อจากไปก็เป็นเพียงดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรเท่านั้นจึงไม่นับ เป็นแค่คนที่มีพลังต่อสู้ระดับจักรวาลเท่านั้น”
“พลังต่อสู้ระดับจักรวาลแปดถึงเก้าคน เจ้ากับข้านับเป็นสอง ตาแก่หวังปานับเป็นหนึ่ง ก็ยังมีอีกหกคน อยู่ในสำนักเสริมสามคน อยู่ในพื้นที่ตอนกลางอีกสามคน”
“ดังนั้นรวมกันแล้วไม่ถึง 20 คน พวกนี้…คือจุดสูงสุดที่เผยตัวในโลกศิลาปัจจุบัน ส่วนจะมีพวกที่หลบซ่อนอยู่ในเงามืดหรือไม่ ข้าก็ไม่แน่ใจ แต่จากที่ข้าสังเกตเห็น ต่อให้มีก็ไม่เกินคนหรือสองคนเท่านั้น ไม่มีทางมากกว่าสาม!”
………………
ชาตินี้ ไม่พบกัน
หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ช่องโหว่เลื่อนระดับโลกา มองทุกอย่างจากไกลๆ เขารู้เรื่องราวชาติก่อนของศพยักษ์และจื่อเยว่ดี รู้ว่าศพยักษ์นี้เป็นความหวังของสำนักวังเต๋าไพศาล เป็นดั่งศิษย์เต๋าอันดับหนึ่ง
แต่สุดท้าย ก็ยังคงพ่ายแพ้ภายใต้น้ำมือของจื่อเยว่ เพราะจื่อเยว่มัวแต่คลั่งไคล้อยู่กับเคล็ดวิชาเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า ด้วยเหตุนี้จึงสังหารเขาอย่างโหดร้ายโดยไม่เสียดาย ไม่เพียงสะกด ทั้งยังตรึงร่างกายเอาไว้ ทำให้วิญญาณและร่างของอีกฝ่ายตกอยู่ในท่ามกลางความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ใช้มันเป็นราคาที่ต้องจ่ายเพื่อสืบทอดเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าในท้ายที่สุด
ที่สุดแล้ว ก็รักคนผิด
และเหตุที่จื่อเยว่เป็นดั่งตอนนี้ ก็เพราะหลังจากความทรงจำฟื้นฟูกลับมา รับรู้เหตุและผลทั้งหมดแล้ว เมล็ดพันธุ์ดาราเต๋านั้น เดิมทีก็เป็นสิ่งที่ชาติก่อนนางสร้างขึ้นมา เดิมทีก็เพื่อเป็นเคล็ดวิชาของตนถึงได้กระทำกับคนรักอย่างโหดร้ายในตอนนั้น ด้วยเหตุนี้จึงมีคำขอโทษออกมา
แน่นอนว่าในนี้ก็ยังมีความเป็นไปได้บางอย่างอยู่ คือ…จื่อเยว่จงใจทำเช่นนี้ เพื่อแสดงความสำนึกผิดและเจตนาดีให้ตนดู เพื่อที่จะได้รับประกันความปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น
รายละเอียดจะเป็นเช่นไร หวังเป่าเล่อไม่สนใจ นี่ไม่สำคัญ เพราะโลกใบนี้…เรื่องราวสารพัดดูที่การกระทำไม่ดูที่ใจ ดูที่ใจใต้หล้านี้ก็ไม่มีคนสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าในใจจื่อเยว่จะคิดอย่างไร สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วขอแค่ไปสะกดเลื่อนระดับโลกาที่ขาดหายไปได้ก็เพียงพอแล้ว
และก็ดูเหมือนจื่อเยว่จะเข้าใจข้อนี้ดี ดังนั้นการไปดวงจันทร์ครั้งนี้จึงไม่มีพฤติกรรมที่เลยเถิดสักนิดเดียว ขณะที่กลับมาแม้นัยน์ตาจะยังเหลือความซับซ้อน แต่ก็จัดการกับความรู้สึกของตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อกลับมาถึงหน้าหวังเป่าเล่อแล้ว นางก็ค้อมคำนับ
“ศิษย์พี่ ข้าพร้อมแล้ว”
“ดี” หวังเป่าเล่อพยักหน้า มือขวายกขึ้นชี้อากาศ ทันใดนั้นจักรพิภพที่ช่องโหว่เลื่อนระดับโลกาอยู่พลันส่งเสียงดังสนั่น ท้องฟ้าเกิดคลื่นขนาดใหญ่ก่อนกลายเป็นน้ำวนขนาดยักษ์ ภายในน้ำวนมีลูกประคำเพลิงอยู่หนึ่งเม็ด
ในลูกประคำอบอวลไปด้วยดวงดารา ขณะที่เกิดภาพจำลองดาราจักรไฟก็มีเส้นใยหลายสายปลดปล่อยออกมา เส้นใยเหล่านี้คืบคลานไปในน้ำวนแผ่ขยายไปทั่วทั้งบริเวณถักทอดินแดนเขตนี้เป็นดั่งตาข่าย
เห็นเช่นนี้ จื่อเยว่ก็รู้สึกกระวนกระวายอยู่บ้าง แต่ไม่รอให้นางลังเล หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นคว้าลูกประคำที่เกิดจากดาราจักรไฟ ทันใดนั้นพลังท่วมท้นขุมหนึ่งหอบม้วนลูกประคำเม็ดนั้นเข้าไป สลัดหลุดจากตาข่ายยักษ์ออกจากกระแสน้ำวนเข้าสู่มือของหวังเป่าเล่อในทันที
และเมื่อดาราจักรไฟถูกคว้าไว้ได้ ก็เกิดระลอกคลื่นเป็นระลอกค่อยๆ ออกมาจากตำแหน่งช่องโหว่แผ่กระจายไปทั่วระบบสุริยะด้วยเสียงดังสนั่น ถึงขนาดที่หากเวลานี้มองมาจากนอกระบบสุริยะก็จะเห็นว่าระบบสุริยะกำลังสั่นไหว
ราวกับเสียความสมดุลไป เกิดอาการทรุดเอียงขึ้น ทำให้อารยธรรมต่างๆ ในระะบบสุริยะล้วนจิตใจสั่นไหว ดีที่หวังเป่าเล่อได้เตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว แผ่กระแสเต๋าออกไปกดไว้เล็กน้อยก็ทำให้สภาพเสียสมดุลของระบบสุริยะสงบลงชั่วคราว
“จื่อเยว่ ไม่กระโดดลงไปยังจะรออะไร!” เสียงหวังเป่าเล่อราวกับฟ้าผ่าสะท้อนขึ้นในจิตใจของจื่อเยว่ ทำให้ในใจนางสั่นเทา แววตาลังเลถูกแทนที่ด้วยความเด็ดเดี่ยว นางรู้ว่าตัวเองหลบไม่พ้น เวลานี้จึงได้แต่หมุนกายคำนับหวังเป่าเล่ออีกครา
“หวังว่าศิษย์พี่จะรักษาคำพูด” กล่าวจบ จื่อเยว่ก็ไม่ละล้าละลัง ไหวร่างกระโดดเข้าไปในน้ำวนท้องฟ้าทันที ทันใดนั้นเหตุเพราะสูญเสียดาราจักรไฟจึงพังครืนลงมา ขาดจุดเชื่อมประสานเส้นใยตาข่ายยักษ์นั่น พริบตาก็มีปฏิกิริยาพุ่งตรงไปยังจื่อเยว่
ด้วยความรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มีเส้นใยนับร้อยมัดตัวจื่อเยว่ หลังจากทะลวงเข้าไปอย่างรวดเร็วก็เชื่อมเข้ากับดวงวิญญาณเทพของนาง สีหน้าจื่อเยว่บิดเบี้ยวราวกับเจ็บปวดทรมานอย่างรุนแรง ทว่าวิญญาณของนางพิเศษ แบกรับความหนักหน่วงของกาลเวลาไว้ ดังนั้นแม้จะเจ็บปวดแต่กลับไม่พังทลาย ถึงขนาดปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เส้นใยยิ่งเข้ามาหลอมรวมอย่างไม่ขาดสายจากทุกสารทิศ
จำนวนเพิ่มเป็นหลักพัน หลักหมื่น หลักแสน หลักล้าน ร้อยล้านอย่างรวดเร็วถึงขนาดนับไม่ไหว จวบจนในที่สุด…จื่อเยว่ถูกเส้นใยจำนวนมหาศาลนี้ห่อคลุมไว้ภายใน หลังจากถูกดึงเข้าไปในน้ำวนแล้ว น้ำวนบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ เลือนหายไป
หลังจากเลือนหายไป กระแสคลื่นขุมใหม่ก็กระจายออกมาจากในระบบสุริยะ นั่นคือพลังระเบิดหลังจากเลื่อนระดับโลกาที่สมบูรณ์ ในขณะเดียวกันยังมีปราณวิญญาณเป็นระลอกออกมาจากกลางอากาศของระบบสุริยะอบอวลไปทั่วท้องฟ้า
นี่คือการตอบแทน เหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้สามารถพูดได้ว่าการสะกดของจื่อเยว่นั้นเหมาะสมกับเลื่อนระดับโลกามากกว่าการสะกดของดาราจักรไฟ ถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้นสมบูรณ์อย่างแท้จริง แต่ก็ใกล้เคียงอย่างไร้ข้อจำกัดแล้ว
และพลังตอบแทนนี้ก็ถูกหวังเป่าเล่อจัดการในมือเดียว หลอมรวมเข้าไปในลูกประคำดาราจักรไฟในมือ ทำให้พลังสะกดลูกประคำในเวลานี้ค่อยๆ หมดลง พริบตาก็ได้รับแรงเสริม ถึงขั้นเหนือขึ้นกว่าเดิม
จนกระทั่งตอนนี้ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว หวังเป่าเล่อจึงหันหน้ากลับไปมองความว่างเปล่าด้านหลังตนเองที่ปรากฏเงาร่างของปรมาจารย์แห่งไฟ
“อาจารย์” หวังเป่าเล่อโค้งคำนับก่อนยื่นลูกประคำที่แปรสภาพมาจากดาราจักรไฟในมือให้
ปรมาจารย์แห่งไฟมาตั้งนานแล้ว เขาย่อมรับรู้ถึงการกลับมาของหวังเป่าเล่อรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของเขตแดนช่องโหว่นี้ เวลานี้เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อทำได้อย่างที่พูดในตอนแรก หลังจากรับลูกประคำดาราจักรไฟกลับมา ในใจปรมาจารย์แห่งไฟพลันรู้สึกเสียดาย ดังนั้นหลังจากกะพริบตาไปมาก็โยนลูกประคำดาราจักรไฟในมือทิ้งไป
ทันใดนั้นลูกประคำนี้ก็กลายเป็นแสงสีแดงเส้นหนึ่ง ขณะที่พุ่งไปยังท้องฟ้า ปรมาจารย์แห่งไฟมือขวาผนึกมุทรา ลูกประคำระเบิดขยายขนาดขึ้นในฉับพลัน ท่ามกลางเสียงระบิดติดต่อกัน ในที่สุดลูกประคำนี้ก็เปลี่ยนเป็นดวงดาวดวงหนึ่ง!
ขนาดพอๆ กับดารานิรันดร์ แต่กลับเป็นดาวพระเคราะห์ แม้จะไม่ได้ผนวกรวมเข้ากับสหพันธรัฐ แต่ก็อยู่ในระบบสุริยะ อีกทั้งดูคล้ายกับดาวพระเคราะห์ แต่หากเดินเข้าไปก็จะเห็นว่าเป็นเพียงแค่ประตูบานหนึ่ง ด้านในถึงจะเป็นดาราจักรไฟ
“ไอ้หยา อาจารย์อยู่ที่นี่รู้สึกสบายดีจริง ไม่กลับไปแล้ว เป่าเล่อ อาจารย์ทิ้งดาราจักรไฟไว้ที่นี่ เจ้าไม่ว่าอะไรใช่หรือไม่?”
“วางใจเถอะ วางใจเถอะ รอถึงช่วงเวลาสำคัญ ข้าผสานดาราจักรไฟรวมเข้ากับระบบสุริยะ อาจจะมีประโยชน์ต่อเจ้าไม่มากเท่าไร แต่สำหรับคนอื่นก็นับว่าเพิ่มขึ้นอีกระดับแล้ว”
“เฮ้อ แก่แล้ว อายุเยอะ ไม่อยากทรมานแล้ว” ปรมาจารย์แห่งไฟกระแอมไอหลายที มองไปยังหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อใบหน้ายิ้มแย้ม ประสานหมัดคารวะไปยังปรมาจารย์แห่งไฟ
“อาจารย์มีความสุขก็พอ ศิษย์ต้อนรับอาจารย์พักที่สหพันธรัฐ”
ปรมาจารย์แห่งไฟหัวเราะร่า พออกพอใจเป็นอย่างมาก
เขาไม่มีทางไปจากสหพันธรัฐหรอก สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว สหพันธรัฐมีความสำคัญต่อเขามาก และในใจของปรมาจารย์แห่งไฟ หวังเป่าเล่อ…ในตอนนี้คือหนึ่งในศิษย์จากทั้งสอง
และก็เป็นหนึ่งในสองที่เขาสนิทที่สุดในจักรวาลแห่งนี้แล้ว ระดับความสำคัญไม่ใช่สิ่งที่คำพูดจะสามารถพรรณาออกมาได้ ดังนั้นเขาไม่ไปไหนทั้งนั้น จะคอยปกป้องอยู่ที่นี่ ในใจลึกๆ ของเขา เวทคำสาปนั้น สุดท้ายแล้วก็ยังต้องใช้ เขาหวังว่าจะใช้กับลูกศิษย์คนนี้ของตนในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด
เป็นเช่นนี้ หลังจากปรมาจารย์แห่งไฟไม่ได้ถูกควบคุม ยังคงอยู่ที่ระบบสุริยะ กลายเป็นไพ่ใบสุดท้ายหนึ่งเดียวของระบบสุริยะ ในขณะที่ทำให้ความสามารถในการสู้ของระบบสุริยะเพิ่มขึ้น ตำแหน่งอื่นๆ และภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็ไต่ระดับถึงจุดสุดยอดแล้ว
ต่อให้เต๋าเก้ารัฐไม่ยินยอม แต่ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็จะไม่บุ่มบ่ามอีก เพราะ…หลังจากนี้อีกครึ่งเดือน แม่น้ำแห่งความมืดของนพภูมิปรากฏขึ้นบนโลก ปรากฏขึ้นในใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นในจักรวาล
บนแม่น้ำแห่งความมืดนั้น ดวงดาวแห่งความมืดอันกว้างใหญ่ ขณะที่ทำให้ทั้งแปดทิศตกตะลึง กองทัพใหญ่สำนักแห่งความมืดก็ลงมาจากทั่วทุกด้าน
การต่อสู้ของสำนักแห่งความมืดกับตระกูลไม่รู้สิ้น…ก็เริ่มต้นขึ้นที่จุดนี้
การต่อสูู้ที่หอบเอาหายนะมาให้แก่จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น กำลังจะมาถึงอย่างแท้จริงแล้ว!
…………………………………….
“ข้า…ได้สติ…” จื่อเยว่ร่างกายสั่นสะท้าน มองฝ่ามือตรงหน้า มองไปยังเงาร่างพร่ามัวเบื้องหลังฝ่ามือที่กลับคล้ายแฝงไว้ด้วยการบีบคั้นจากสวรรค์ จิตใจสั่นไหวเป็นระลอก
ราวกับคำพูดของหวังเป่าเล่อเป็นดั่งก้อนหินใหญ่ยักษ์ก้อนหนึ่งที่ตกลงไปในทะเลใจของนางจนเกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้น และขณะที่มันดูดกลืนนาง ก็ได้พัดภาพเหตุการณ์มากมายที่ฝังไว้ในความทรงจำส่วนลึกขึ้นมา กระหน่ำในจิตใจ
นางเห็นร่างของตัวเอง เป็นเพียงตุ๊กตาตัวหนึ่งที่วางอยู่บนชั้น เป็นของเล่นชิ้นหนึ่งในห้องเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง ไร้ชีวิต ไร้ลมหายใจ ไร้ความรู้สึกนึกคิด ถึงขนาดตัวนางเองก็ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเริ่มมีจิตสำนึกตั้งแต่เมื่อใด
นางรู้แค่เพียง ตัวเองจับจ้องเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง และสิ่งที่จับจ้องในเวลาเดียวกัน ยังมีของเล่นชิ้นอื่นๆ ด้วย เช่น วานรเฒ่าตัวหนึ่ง เสือน้อยตัวหนึ่ง
พวกมันต่างกำลังจ้องมอง จนกระทั่งวันหนึ่งเด็กหญิงตัวน้อยพาพวกมันเข้าไปในโลกที่วาดขึ้น
ดังนั้น พวกมันจึงได้มีชีวิตขึ้นจริงๆ ในโลกที่วาดขึ้นนั้นกลายเป็นดวงจิตเทพในระยะแรกสุด…แต่ไม่เหมือนกับดวงจิตเทพอื่นๆ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ณ ที่แห่งนี้นางมักจะรู้สึกไม่ปลอดภัยอยู่เสมอ
บางทีอาจเป็นเพราะอยู่ตัวคนเดียวนานเกินไป บางทีอาจเป็นเพราะเงาร่างในเวลานั้น สายตานั้น คำพูดนั้น ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัว ดังนั้นนางจึงรู้สึกหวาดระแวง
นางมักจะกังวลว่าสักวันหนึ่งตนจะถูกลบเลือน ดังนั้นภายใต้ความกลัวจึงมอบขนของตัวเองให้แก่ทุกคนที่นางคิดว่าสามารถปกป้องชีวิตของนางได้ นิสัยนี้ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปสักกี่หน จักรวาลจะเริ่มต้นใหม่อีกกี่ครา ตัวนางก็ยังเป็นเช่นเดิม
ส่วนที่ไม่เหมือนกับวานรเฒ่า นางกับเสือน้อย เข้าสู่การเวียนว่ายอย่างหลบเลี่ยงไม่ได้
จากนั้น ทุกครั้งที่ฟื้นขึ้นมาอย่างโง่เขลาเบาปัญญา นางลืมเรื่องราวในอดีตไปมากมาย ลืมเหตุการณ์ต่างๆ ไปมากมาย สิ่งเดียวที่จำได้ก็คือตัวเองในจักรวาลแห่งนี้รู้สึกไม่ปลอดภัย สิ่งเดียวที่จำได้ก็คือนิสัยที่เคยชิน
ดังนั้น จึงมีเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า
นางนึกออกแล้ว เคล็ดวิชานี้…ไม่ใช่นางฆ่าคนรักของนางแล้วได้รับมา แต่เป็นวิชาเต๋าของสำนักวังเต๋าไพศาล ก็คือวิชาสืบทอดจากจุดค้นพบอันลึกลับ ส่วนจุดค้นพบแห่งนั้น…นางไม่รู้ว่าเป็นถ้ำที่พักจากชาติไหน
เมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า? เดิมทีก็เป็นนางสร้างขึ้นมา
“ข้านึกออกแล้ว…” จื่อเยว่พึมพำ ตั้งแต่นางเข้ามายังจักรวาลแห่งนี้ ได้ฟื้นตื่นขึ้นมาอยู่หลายครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่เหมือนครั้งนี้ นึกความทรงจำขึ้นได้ทั้งหมด
“เจ้า…ก็คือคนในเวลานั้น หรือก็คือกวางขาวน้อย ทั้งในห้องเจ้าของ วิญญาณตนนั้นที่เคยผลักประตูออกไป!” จื่อเยว่ก้มหน้าลง ละทิ้งการต่อต้านใดๆ เอ่ยขึ้นอย่างเจ็บปวด
หวังเป่าเล่อมองจื่อเยว่เงียบๆ เก็บมือขวากลับ ยืนอยู่ตรงหน้าจื่อเยว่ หลังจากมองไปรอบด้าน ก็เอ่ยขึ้นอย่างสงบ
“ในเมื่อเจ้าจำเรื่องราวในอดีตชาติได้แล้ว เช่นนั้นจะยอมให้ข้าสักสามสิบปีได้หรือไม่?”
“แค่สามสิบปี?” จื่อเยว่ตกตะลึง เงยหน้ามองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง เดิมนางคิดว่าครั้งนี้ตนต้องตายแน่แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งความทรงจำที่ฟื้นกลับมายิ่งทำให้นางไม่มีความคิดต่อต้านใดๆ อีก เพราะนางรู้ว่า หากเป็นคนอื่นบางทีนางอาจจะดิ้นรนได้อีกหน่อย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนผู้นี้ ตนก็ไม่มีพลังความสามารถใดเลย
ไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือตอนนี้
“อีกร้อยปี ข้าจะให้เหตุผลเจ้า” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเนิบนาบ จื่อเยว่ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย หวังว่าหลังจากเผาไหม้อีกครั้ง นางเพ่งมองหวังเป่าเล่อคราหนึ่งก่อนก้มหน้าลง
“เหตุใดต้องเป็นร้อยปี?”
หวังเป่าเล่อไม่ตอบ เพียงยืนอยู่ตรงนั้น มองจื่อเยว่อย่างสงบ แววตาของเขาทำให้จื่อเยว่เงียบงันไปอึดใจ หลังจากถอนหายใจเบาๆ มือขวานางยกขึ้นคว้าจับอากาศ ในพริบตาชีวิตหนึ่งที่ถูกนางแยกออกไป ภายในซากปรักพังในเขตวงแหวนที่ห่างไกล ปรากฏตัวจากเม็ดฝุ่นเม็ดหนึ่งกลายเป็นหมอกสีม่วงเข้มข้น ส่งเสียงหวีดหวิวมายังที่แห่งนี้ เข้ามาใกล้ก็หมุนวนอยู่รอบๆ
คล้ายกำลังลังเล ส่วนสีหน้าหวังเป่าเล่อยังคงปกติ ไม่ได้เร่งรัดราวกับมีความอดทนมากพอที่จะรอ จวบจนหมอกสีม่วงนี้วนครบสามรอบแล้ว ตัดสินใจเสร็จก็ลอยเข้ามาในทันทีพร้อมหลอมรวมเข้าไปในร่างจื่อเยว่ ทำให้ร่างกายนางดูจับต้องได้ยิ่งกว่าเดิมในพริบตา กระแสปราณและลมปราณพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วไม่น้อยเลยทีเดียว
“รับบัญชา” เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น จื่อเยว่จึงตอบรับเสียงเบา
หวังเป่าเล่อยังคงนิ่งเงียบ แววตาที่จ้องมองจื่อเยว่ยังคงสงบเหมือนเดิม ด้านจื่อเยว่ก็เงียบงันอีกครั้ง อึดใจถัดมานางกัดฟันอย่างรุนแรง ผนึกมุทราขึ้น ภายใต้สายตากดดันอย่างยิ่งยวดของหวังเป่าเล่อนี้ ไม่นานชีวิตที่สามที่นางปล่อยออกไปแอบซ่อนในอากาศก็ถูกจื่อเยว่เรียกกลับมาหลอมรวมเข้าร่างอย่างห้ามไม่ได้
กลิ่นอายของนางยิ่งแข็งกล้าขึ้น ดวงวิญญาณเทพของนางสมบูรณ์อย่างแท้จริง
นางไม่กล้าเดิมพัน ยิ่งต่อหน้าหวังเป่าเล่อ นางไม่คิดว่าตนจะมีความเป็นไปได้ที่จะทำสำเร็จ เพราะว่านั่นคือจิตมารของนาง ในเวลาเดียวกันเวลาร้อยปีก็สั้นนัก นางเชื่อว่าหวังเป่าเล่อจะไม่หลอกลวง จึงยิ่งไม่กล้ามีความคิดแอบแฝง ดังนั้นภายใต้การจับตาดูของหวังเป่าเล่อ ในที่สุดนางก็ดึงชีวิตทั้งสองที่แบ่งกระจายออกไปกลับมา
ในตอนนี้เมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้ว จื่อเยว่สูดลมหายใจลึก โค้งคำนับไปยังหวังเป่าเล่อ
“ไปเถอะ” หวังเป่าเล่อเก็บสายตากลับ ไม่ได้สะกดอะไรนาง หมุนกายก้าวไปข้างหน้า แต่ยิ่งเขาไม่สะกด จื่อเยว่ก็ยิ่งไม่กล้ารีบร้อน เดินตามหลังเขาไปเงียบๆ เมื่อเขาเดินออกจากศูนย์กลางแห่งนี้ เดินออกจากวงแหวนแต่ละวง กระทั่งออกจากห้วงเหวย้อนกลับ ใต้เท้าของหวังเป่าเล่อก็ผุดระลอกคลื่นขึ้น
ขณะที่ระลอกคลื่นกระจายตัวออกไป ด้านในก็ปรากฏระบบสุริยะ หวังเป่าเล่อกำลังจะกระโดดลงไปในนั้น ทว่าจื่อเยว่พลันลังเล เอ่ยเสียงเบา
“ศิษย์พี่ วานรเฒ่าอยู่ที่ดาวเคราะห์ชะตาหรือเปล่า เขายังสบายดีอยู่ไหม แล้วก็ศิษย์พี่พอรู้ไหมว่าเสือน้อยอยู่ที่ใด?”
“วานรเฒ่าสบายดี เสือน้อยข้าก็รู้ ก็ดีเหมือนกัน” หวังเป่าเล่อตอบเสียงเรียบ ก้าวเข้าไปในระลอกคลื่น จื่อเยว่เพ่งมองระบบสุริยะในระลอกคลื่น จ้องมองดวงจันทร์ข้างใน ถอนหายใจเบาๆ ครั้งหนึ่งพลางเดินเข้าไป
พริบตาต่อมา ภายในระบบสุริยะ ขณะที่ระลอกคลื่นบิดวน เงาร่างของหวังเป่าเล่อกับจื่อเยว่ หนึ่งหน้า หนึ่งหลัง ก็เดินตามกันออกมา
“ศิษย์พี่จะให้ข้าทำอะไร…” เมื่อถึงที่นี่ แววตาจื่อเยว่ฉายแววซับซ้อน หันมองไปทางดวงจันทร์อยู่บ่อยครั้ง
“ให้เจ้าไปสะกดช่องโหว่ของแผ่นเลื่อนระดับโลกา”
“ระหว่างสะกด ข้าออกจากที่นั่นไม่ได้ใช่หรือไม่?”
“ใช่” หวังเป่าเล่อพยักหน้า
“ศิษย์พี่ ให้เวลาข้าสักหน่อยได้หรือไม่ ข้า…ข้าอยากไปดวงจันทร์สักหน…” จื่อเยว่เอ่ยเสียงเบา
หวังเป่าเล่อจ้องมองจื่อเยว่ครั้งหนึ่งก่อนพยักหน้า ใบหน้าจื่อเยว่เผยความซาบซึ้ง หลังจากโค้งคำนับหวังเป่าเล่อก็หมุนกายไปยังดวงจันทร์ทันที เดิมทีนางก็ฝึกฝนจนไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ตอนนี้เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจก็ข้ามผ่านท้องฟ้ามาถึงใกล้ดวงจันทร์
ถึงตรงนี้ เห็นได้ชัดว่านางลังเล นิ่งเงียบอยู่นานถึงค่อยก้าวไปทางดวงจันทร์ทีละก้าว กระทั่งเดินถึง…ศพขนาดยักษ์ที่ดวงจันทร์นั่น หรือก็คือถ้ำที่สามีในชาตินี้ของนางอยู่
แต่เดิมถ้ำเงียบสงบ ศพยักษ์หลับลึก ไม่เคยฟื้นตื่น ทว่าพริบตาที่จื่อเยว่เข้าใกล้ ราวกับมีปฏิกิริยาขึ้นในความวังเวง ส่วนลึกสุดของถ้ำ ดวงตาศพยักษ์นั้นราวกับจะลืมตาขึ้น ส่งเสียงคำรามอัดอั้นขึ้นอย่างไร้สติ อีกทั้งเสียงนี้ยิ่งคำรามยิ่งรุนแรงจนถึงขั้นแผ่นดินเริ่มสั่นสะเทือน
เห็นได้ชัดว่าศพยักษ์นี้ใกล้จะตื่นขึ้นแล้ว คล้ายยังมีพายุพัดหมุนออกมาจากในถ้ำกวาดไปทั่วบริเวณ
ฟังเสียงคำราม รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนของพื้นดิน จื่อเยว่เงียบงัน อึดใจต่อมาจึงเอ่ยขึ้นเบาๆ
“อภัยให้ด้วย”
เมื่อคำพูดของนางลอยออกมา พื้นดินไม่สั่นสะเทือนอีก เสียงคำรามหยุดลง กระแสคลื่นไม่แผ่ขยาย เนิ่นนานผ่านไป มีเพียงเสียงตอบรับที่ทอดถอนใจอย่างขมขื่นออกมาจากถ้ำ
“เจ้าไปซะ ชาตินี้…ข้าไม่อยากเห็นเจ้าอีก”
……………………………………….
ห้วงเหวย้อนกลับแห่งนี้ มีวงแหวนนับสิบวงที่ก่อตัวขึ้นจากดวงดาวต่างๆ บนท้องนภา เมื่อมองแล้วจะเห็นว่ากว้างใหญ่ไพศาล ภายในวงแหวนทุกๆ วงเกิดขึ้นจากฝุ่นละอองซากปรักพังจำนวนมหาศาล ส่วนที่อยู่ลึกเข้าไปเปล่งแสงสีม่วงแดงออกมา ยามแสงนี้ตกสู่สายตาจะทำให้ดวงตาทั้งสองข้างเจ็บปวดรวดร้าวจนระเบิด
เหตุเพราะในแสงที่ดูเหมือนสีม่วงแดงนั้น แท้จริงแล้วประกอบด้วยสีที่เกินกว่าสิ่งมีชีวิตสามัญธรรมดาจะมองได้ ขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยกาลเวลาอันยาวนานไร้ที่สิ้นสุด ดังนั้นต่อให้เป็นระดับจักรพิภพจ้องมองมัน แม้จะไม่ตกตายแต่จิตใจก็จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง
ทว่า สำหรับหวังเป่าเล่อ สิ่งเหล่านี้นับเป็นอะไรได้ เขาเพียงแค่หรี่ตาลง กวาดตามองห้วงเหวย้อนกลับแห่งนี้ ขณะที่แผ่กระแสเต๋าไปทั่ว ยืนอยู่ด้านนอกเสาะหาสิ่งที่น่าสงสัยภายใน
ในช่วงเวลาเดียวกับที่หวังเป่าเล่อมาถึง ศูนย์กลางของห้วงเหวย้อนกลับ ภายในเขตสีม่วงแดง ดวงตาของจื่อเยว่พลันหดลงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าเผยความหวาดผวาตกตะลึงอย่างควบคุมไม่ได้ในทันที
ที่นางตกตะลึงก็คือพลังปราณของหวังเป่าเล่อ ไม่ว่าอย่างไรนางก็คาดไม่ถึงว่าพลังปราณของหวังเป่าเล่อจะพัฒนาได้รวดเร็วเช่นนี้ ความรู้สึกของนางในตอนนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกอันตรายอย่างรุนแรง
และสิ่งที่ทำให้นางพรั่นพรึงยิ่งกว่านั้น ก็คือคิดไม่ถึงว่าการปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อจะทำให้เกิดปฏิกิริยาที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ได้ในห้วงเหวย้อนกลับ ต้องรู้ก่อนว่าห้วงเหวย้อนกลับจะรุนแรงเช่นนี้ก็ต่อเมื่อเกิดพายุทำลายล้าง ส่วนช่วงเวลาอื่นๆ ล้วนสงบเงียบไร้ใดเปรียบ
ทว่าเวลานี้…ความวุ่นวายยุ่งเหยิงในนั้นคล้ายกับสูญเสียการควบคุมบางอย่างไปช่วงหนึ่ง และสาเหตุทั้งหมดก็มาจากการมาเยือนของหวังเป่าเล่อ
“เจ้าหวังเป่าเล่อนี่เป็นปราณอะไรกันแน่ เขา…เขาจำอดีตชาติได้แล้วหรือ?” จื่อเยว่ร่างกายสั่นสะท้าน ความทรงจำในอดีตชาติที่นางฟื้นคืนมาได้มีไม่มีนัก แต่ฉากเหตุการณ์ในนั้น เป็นสิ่งที่นางไม่มีทางลืมได้ลง
นั่นก็คือ…ในอดีตชาติแรกๆ ณ ริมแม่น้ำ ขณะที่นางอยากจับปลาวิญญาณตัวหนึ่ง ก็ถูกสายตาหนึ่งจับจ้องจากอากาศ สายตานั้นทำให้นางหวาดกลัวมาจนถึงทุกวันนี้
ความทรงจำนั้น หลังจากที่นางฟื้นคืนมาแล้วก็พินิจพิจารณาอยู่นาน ถึงขนาดใช้กฎพิเศษบางอย่างมาช่วยวิเคราะห์ตัดสิน รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าสายตาของคนผู้นั้นก็น่าจะเป็นหวังเป่าเล่อ
ดังนั้น ยามนั้นนางจึงให้ซงอี้จื่อลองลงมือหยั่งเชิงดู น่าเสียดายที่ตั้งแต่เริ่มจนจบก็ไม่ได้ข้อยืนยันพิสูจน์ จนกระทั่งครั้งนั้นเมื่อถูกหวังเป่าเล่อใช้กระแสเต๋าจับไว้ จื่อเยว่ถึงแอบรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าบางทีอาจจะเป็นหวังเป่าเล่อ
ทว่า ตอนนี้หลังจากได้เห็นด้วยตาตนเอง จื่อเยว่ก็ได้คำตอบในใจแล้ว ดังนั้นสีหน้าจึงยิ่งซีดเผือด รู้สึกว่าวิชาสามชีวิตของตนยังไม่ดีพอ ดังนั้นจึงไหวร่างครั้งหนึ่ง กำลังจะล่าถอย
ตอนนั้นเอง…หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่นอกห้วงเหวย้อนกลับแห่งนี้ก็เอ่ยเสียงเบาออกมา
“หนวกหู!”
ตอนที่เสียงของเขาเปล่งออกมา พลันเกิดเสียงสะท้อนในห้วงเหวย้อนกลับผืนนี้นับไม่ถ้วน!
เสียงสะท้อนเหล่านี้เกิดขึ้นในทุกๆ วงแหวน ยิ่งขณะที่มันสะท้อน ในแต่ละวงแหวนล้วนมีเงามายาลอยขึ้นมาเรื่อยๆ เงาเหล่านี้ส่วนมากล้วนเป็นแผ่นไม้ดำ มีบางเงาเป็นอดีตชาติของหวังเป่าเล่อ
เผ่าเทพ ดาบปีศาจ ความเคียดแค้น ผีดิบ กวางขาวน้อย…เงาร่างเหล่านี้เอ่ยซ้ำคำพูดของหวังเป่าเล่อพร้อมๆ กัน ฉับพลันนั้นวงแหวนที่โคจรในที่รกร้าง รวมทั้งกฎเกณฑ์และข้อบังคับที่สับสนอย่างบ้าคลั่งพลันหยุดลงในพริบตา ราวกับเมื่ออยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อ ความสับสนวุ่นวายทั้งหมด ณ ที่แห่งนี้ล้วนต้องสงบลง!
เพราะเต๋าของหวังเป่าเล่อนั้นเป็นอิสระ ไร้ข้อผูกมัด!
เพราะวิญญาณของหวังเป่าเล่อได้ผ่านอดีตชาติมาหมดแล้ว ตั้งแต่จักรวาลนี้ถูกสร้างขึ้นจนกระทั่งตอนนี้ มันทั้งหนาทั้งหนัก ยอดเยี่ยมอย่างที่สุด!
เพราะจักรวาลผืนนี้ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้ ในทุกๆ ชาติล้วนมีเงาร่างของหวังเป่าเล่อ!
ทั้งหมดนี้จึงทำให้หวังเป่าเล่อสามารถใช้เงาร่างในทุกชาติสะกดรอบด้านได้ ใช้ประสบการณ์อันโชกโชนขย่มขวัญ ใช้เต๋าของเขาบดทลายความวุ่นวาย
สรรพสิ่งที่ถูกขจัดจากกฎเกณฑ์และข้อบังคับของเต๋าสวรรค์ล้วนรวมอยู่ที่แห่งนี้ แต่การดำรงอยู่กับเต๋าของเขาไม่ใช่สิ่งที่เต๋าสวรรค์สามารถขจัดออกไปได้ ดังนั้น ณ ที่แห่งนี้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดเขาล้วนอยู่สูงสุด!
ไม่ว่าที่แห่งนี้จะสับสนสุ่นวายเพียงไร เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ต้องว่านอนสอนง่าย นี่เป็นสาเหตุจากความสามารถเฉพาะตัว เป็นการกดดันของวิญญาณเทพ!
หลังจากการสะกด ห้วงเหวย้อนกลับก็สงบเงียบ ส่วนกระแสเต๋าของหวังเป่าเล่อ หลังจากห้วงเหวย้อนกลับสงบลง ก็สัมผัสได้ถึง…กระแสคลื่นเพียงหนึ่งเดียวจากภายใน!
กระแสคลื่นนี้ไม่ได้มาจากชั้นกายเนื้อ แต่มาจากสัมผัสสวรรค์ ภายใต้กระแสเต๋าของหวังเป่าเล่อ กระแสคลื่นของสัมผัสสวรรค์ไม่มีทางหลุดรอดไปได้ ถูกเขาสัมผัสได้ในพริบตา สัมผัสได้ว่าในศูนย์กลางของเขตสีม่วงแดงนั้นมีดวงจิตเทพที่เป็นเป้าหมายของตน
“เจอแล้ว” หวังเป่าเล่อเอ่ยเบาๆ พลางก้าวเดินไปข้างหน้า ก้าวย่างนี้ราวกับย่อส่วนดาวลง เพียงพริบตาก็ข้ามผ่านวงแหวนทั้งหมด ปรากฏตัวขึ้นในเขตศูนย์กลาง ตรงหน้าจื่อเยว่ที่กำลังซ่อนตัวอยู่
แทบจะในพริบตาที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้น จื่อเยว่ส่งเสียงกรีดร้อง ร่างกายถอยหลังโดยพลัน ขณะมือทั้งสองผนึกมุทรา เส้นใยแต่ละสายก็ประสานรวมกันด้านหน้าฉีกทึ้งอากาศพุ่งเข้าโอบล้อมหวังเป่าเล่อ
เส้นใยเหล่านี้มีมากนับแสนสาย เบียดเสียดแน่นขนัดไปทั้งบริเวณดุจตาข่ายฟ้า!
แต่ละเส้นล้วนมีเงาของดวงดาราปรากฏให้เห็น และในพริบตา ภายในศูนย์กลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย จักรพิภพสำนักเสริม ทั้งสามเขตแดนใหญ่ ล้วนมีผู้คนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนแต่ละสำนักหรือมหาศิษย์แห่งเต๋าหรือผู้อาวุโส ทั้งหญิงทั้งชาย ทั้งสูงวัยทั้งเยาว์วัย นับแสนคน ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ร่างกายล้วนสั่นขึ้นฉับพลัน
นั่งขัดสมาธิลงพร้อมกัน ใบหน้าขึ้นสีแดง ตอบสนองต่อทางด้านจื่อเยว่อย่างลับๆ พวกเขา…ล้วนเป็นเมล็ดพันธุ์ดาราของจื่อเยว่ทั้งสิ้น!
ยังมีบางเส้นใยที่ไม่ได้เชื่อมโยงกับทั้งสามโลก แต่เป็นฝุ่นละอองซากปรักพักในแต่ละวงแหวนของห้วงเหวย้อนกลับแห่งนี้!
จื่อเยว่เวลานี้สู้สุดตัวแล้ว ยามลงมือก็เป็นเคล็ดวิชาลับ ขณะที่ใช้วิชาเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า คู่ต่อสู้ของหวังเป่าเล่อก็ราวกับเป็นคนจำนวนนับแสน และในเวลาเดียวกันภายในเส้นใยเหล่านี้ยังกอปรด้วยเต๋าจำนวนกว่าครึ่งอยู่ภายในที่แฝงด้วยกฏเกณฑ์และข้อบังคับจำนวนมาก ทั้งชาตินี้และชาติก่อน ตั้งแต่จักรวาลนี้เริ่มต้นขึ้นใหม่นับหลายครา
อานุภาพของมันได้ก้าวล้ำจักรพิภพไปแล้ว ถึงขนาดที่ในบางด้านเต๋าของจื่อเยว่ ในมหาเต๋าของโลกศิลาที่ไม่สมบูรณ์ ก็นับว่าค่อนข้างสมบูรณ์แล้ว แม้ยังเทียบจักรพรรดิสวรรค์ไม่ได้แต่ก็ยังมีส่วนที่ทำให้จักรพรรดิสวรรค์หวาดกลัว
ยามระเบิดพลังนี้ ดวงตาหวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ หรี่มอง แต่ก็เพียงมองเท่านั้น…หากเปลี่ยนสนามต่อสู้เป็นที่อื่น บางทีหวังเป่าเล่ออาจจะอยากสะกดจื่อเยว่ จำเป็นต้องหลอมรวมร่างเข้าด้วยกัน ต้องทุ่มเทสุดกำลังเท่านั้นถึงจะได้
แต่ที่แห่งนี้ เขาไม่จำเป็น
แม้ที่แห่งนี้จะเหมาะสมต่อจื่อเยว่ ทว่ามันกลับเหมาะสมต่อหวังเป่าเล่อยิ่งกว่า
เพราะบนประวัติศาสตร์ของโลกศิลา หวังเป่าเล่อนั้นมาก่อนจื่อเยว่ และที่แห่งนีั…สิ่งที่ใช้ทดสอบกันก็คือความหนักหน่วงที่กาลเวลาแบกรับ เหมือนกับขอบเขตอำนาจ!
“สะกด!” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเรียบ มือขวายกกดไปทางด้านหน้า ฉับพลันนั้นห้วงเหวย้อนกลับส่งเสียงดังขึ้นอีกครั้ง ภายในปรากฏเงาร่างของหวังเป่าเล่อทั้งหมด ล้วนยกมือขึ้น สะกดลงพร้อมกัน
และด้านหลังหวังเป่าเล่อ ภายใต้การโคจรดังสนั่นของวงแหวนทั้งหมดในที่แห่งนี้ ร่างหลักแผ่นไม้ดำของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏขึ้นราวกับภาพลวงตา อีกทั้งขนาดยิ่งใหญ่หาใดเปรียบ น่าทึ่งอย่างไม่เคยมีมาก่อน สะกดลงตามมือที่ลดระดับลงของเขา
เพียงพริบตา จื่อเยว่ส่งเสียงกรีดร้องเสียดแทง กระแสเต๋านับแสนสายด้านหน้านางเริ่มพังทลาย แต่ละสายที่พังทลาย ทำให้ดวงดาวบนนั้นดับสลายลงด้วย ในดินแดนทั้งสามด้านนอก คนที่ถูกนางสร้างเมล็ดพันธุ์ต่างกระอักเลือก ร่างกายกลายเป็นเถ้าธุลี
เพราะพวกเขาต่างเสียชีวิตไปตั้งนานแล้ว เพียงแต่ถูกจื่อเยว่ใช้วิชาเมล็ดพันธุ์ทำให้มีชีวิตราวกับหุ่นเชิดเพียงเท่านั้น
ส่วนพวกที่ไม่ได้กลายเป็นเถ้าธุลี ตอนนี้ก็แห้งเหี่ยวลง ลมปราณทั้งหมดล้วนถูกจื่อเยว่เก็บกลับคืน จื่อเยว่ในเวลานี้ สีหน้าดุร้าย ระเบิดลมปราณทั่วร่างปลดปล่อยแสงสีม่วงออกมา ฝ่ามือของหวังเป่าเล่อราวกับกลายเป็นสวรรค์ตรงหน้านางที่นางปรารถนาจะลุกขึ้นต่อกร
ทว่า…ท้ายที่สุดก็ยังคงไม่ไหว!
ฝ่ามือหวังเป่าเล่อประทับติดต่อกันลงมาไม่หยุด เส้นใยพังทลายลงเรื่อยๆ ขณะที่เสียงกรีดร้องของจื่อเยว่ยิ่งน่าเวทนาขึ้นทุกขณะ ทั้งๆ ที่ร่างของนางยืนอยู่ในอากาศ แต่อากาศที่อยู่เบื้องล่างราวกับเป็นพื้นมั่นคงไม่แตกร้าว ทำให้นางไร้หนทางหนี ไม่สามารถหลบได้ ร่างกายเลือนรางพังทลาย
ใบหน้าร่างวิญญาณจำนวนมหาศาลในนั้น ปรากฏขึ้นบนร่างนางในพริบตา แต่กลับตายติดต่อกันไป จวบจนกระแสทั้งแสนสายพังครืนลงทั้งหมด เมื่อลมปราณของจื่อเยว่อ่อนแอลงอย่างถึงที่สุด พริบตาที่ความกลัวและความหวาดผวาก่อตัวขึ้นในดวงตา ฝ่ามือของหวังเป่าเล่อก็หยุดอยู่ที่ศีรษะนาง
“จิ้งจอกน้อย เจ้ายังไม่ได้สติอีกรึ?”
ร่างกายจื่อเยว่สั่นสะท้าน พยายามเงยหน้าขึ้น สายตามองลอดฝ่ามือมองหวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่อในเวลานี้ดูพร่ามัวในสายตานาง เปี่ยมไปด้วยมหาเต๋าดุจผู้ควบคุมโลกหล้าและลึกลับน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน นางเห็นใบหน้าไม่ชัด เห็นเพียงดวงตาคู่นั้น…ที่เหมือนกับในความทรงจำอย่างกับแกะ
ความหวาดกลัวในชาติก่อนผุดขึ้น ศีรษะของจื่อเยว่ราวกับจะระเบิด คล้ายกับฟื้นความทรงจำบางส่วนขึ้นมาอีก ราวกับตัวเองอยู่ในห้องเด็กหญิงผู้หนึ่ง ถูกวางอยู่บนชั้น ดูภาพวาดของเด็กหญิงผู้นั้นอย่างสนอกสนใจ
จวบจนวันหนึ่ง นางเห็นคนตัวเล็กคนหนึ่งบินออกมาจากภาพวาด เด็กหญิงตัวน้อยผู้นั้นพาคนตัวเล็กเดินไปทางประตู ตัวเองคล้ายกับอยากรู้อยากเห็น จึงออกแรงทีหนึ่ง หล่นลงมาจากชั้นวางใส่หัวเด็กหญิงตัวน้อย
ชนกันครั้งนี้ นางเห็นเด็กหญิงตัวน้อยอย่างชัดเจน
ชนกันครั้งนี้ ราวกับเข้าสู่อีกชาติ
……………………………………….
แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่สายตาของหวังเป่าเล่อและเฉินชิงจื่อมองไปยังอวกาศ หนึ่งสายตาจากในระบบสุริยะดารานิรันดร์สหพันธรัฐ และหนึ่งสายตาจากนพภูมิอันไกลโพ้น ในช่วงเวลาเดียวกันตำแหน่งที่เป็นศูนย์รวมสายตาของทั้งสอง ภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นนี้ ภายในเขตแดนหนึ่งที่ระดับผู้เยี่ยมยุทธ์เท่านั้นถึงจะหาพบ เงาร่างหนึ่งที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่พลันสั่นสะท้าน
เงาร่างนี้เป็นของสตรีนางหนึ่ง พริบตาแรกเห็นก็บ่งบอกว่าเป็นหญิงงาม นั่นก็คือจื่อเยว่!
ทว่า ร่างกายนางกลับคล้ายม่านหมอก พร่ามัวยิ่งนัก ราวกับภายในนั้นอบอวลไปด้วยวิญญาณมากมาย ทุกๆ วิญญาณราวกับเป็นวิญญาณหลัก ขณะที่ขับเคลื่อนอยู่ภายในร่างตลอดเวลา ใบหน้าและรูปร่างของหญิงนางนี้ก็เปลี่ยนแปลงอยู่ในระดับที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า
บางคราเป็นชายหนุ่ม บางคราเป็นสาวน้อย บางคราเป็นผู้เฒ่า บางคราเป็นวัยกลางคน อีกทั้งตั้งแต่เริ่มจนจบก็ไม่ซ้ำกันสักครั้งเดียว ราวกับวิญญาณภายในร่างไม่มีที่สิ้นสุด
ทว่าก็ไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ไม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นรูปแบบไหนล้วนแสดงสีหน้าที่ระแวดระวังเต็มไปด้วยความไม่สงบอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งถึงครั้งสุดท้าย เมื่อใบหน้าเปลี่ยนกลับมาเป็นหญิงงามอีกครั้งหนึ่ง นัยน์ตานางเปล่งประกาย มือขวาผนึกมุทราด้วยความรวดเร็วคล้ายกำลังคำนวณ
ช่วงเวลาที่นางคำนวณ หากมองไปรอบด้าน จากตำแหน่งนี้ก็จะเห็นว่าจุดที่จื่อเยว่อยู่นั้นไร้ดวงดาว ท้องนภาเต็มไปด้วยฝุ่นละออง และละอองฝุ่นเหล่านี้ล้วนมีกลิ่นอายกาลเวลายาวนาน อีกทั้งสิ่งปลูกสร้างที่พอนับได้ว่ายังสมบูรณ์อยู่ก็จะเห็นเอกลักษณ์ที่ไม่สอดคล้องกับยุคสมัย
เมื่อมองดูจะเห็นว่าฝุ่นละอองเหล่านี้ก่อตัวเป็นซากปรักพังขนาดใหญ่ กินเนื้อที่เกือบหนึ่งดาราจักร ทว่านี่ยังไม่ใช้จุดที่สมบูรณ์ของมันทั้งหมด เพราะด้านนอกนั้นยังมีแสงรัศมีลอยวนอีกเป็นชั้นๆ
ภายในแต่ละวงแหวน แสงรัศมีราวกับมีซากปรักพังไม่ซ้ำยุคสมัยอยู่ในนั้น
ดูเหมือนข้างในจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่เลย มีเพียงร่องรอยประวัติศาสตร์ที่ไหลไปดั่งสายธาร ท่ามกลางความเงียบสงัด เมื่อมองจากไกลๆ ที่แห่งนี้ราวกับวังน้ำวนขนาดยักษ์ที่หยุดนิ่ง
ที่แห่งนี้…ไม่ได้อยู่ในโลกจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แต่เป็นห้วงเหวย้อนกลับซึ่งฝังกลบประวัติศาตร์ เป็นเหมือนสถานที่ทิ้งขยะที่จะถูกกำจัดได้ทุกเมื่อ
ไม่ว่าจะมาจากนพภูมิหรือมาจากจักรพิภพเต๋าของผู้มีชีวิต สรรพสิ่งใดๆ ก็ตามที่ผิดไปจากกฎเกณฑ์และข้อบังคับของยุคนี้ล้วนถูกขับมายังที่แห่งนี้ทั้งสิ้น นานวันเข้าลานขยะซากปรักหักพังแห่งนี้ก็เต็มไปด้วยกระแสคลื่นยุ่งเหยิงสารพัดสารพัน
กระแสคลื่นและความยุ่งเหยิงนี้ เมื่อไต่ถึงระดับหนึ่งก็จะกลายเป็นพายุทำลายล้างทุกสิ่ง จากนั้นนำส่วนที่ถูกฉีกทำลายแปรเปลี่ยนเป็นสารตั้งต้นส่งไปยังจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แล้วสาดกระจายไปในท้องนภาให้กลายเป็นดวงดารา รวมทั้งปราณวิญญาณพื้นฐานที่ปรากฏออกมา
กล่าวได้ว่า การดำรงอยู่ของที่แห่งนี้คือสิ่งที่จักรวาลไม่อาจขาดไปได้เลย และก็เป็นสิ่งที่หมุนเวียนไปตามกฎธรรมชาติ
และถึงแม้พายุทำลายล้างจะยังไม่พัดมา สถานที่นี้ก็ไม่ใช่สถานที่ที่สิ่งมีชีวิตจะเข้ามาได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่หรือผู้ที่เสียชีวิตแล้ว ล้วนห้ามเข้าใกล้
หากมีใครหลุดเข้าไปโดยไม่ตั้งใจ เช่นนั้นเมื่อเข้าไปใกล้ก็จะถูกปนเปื้อน ได้รับผลกระทบ จิตวิญญาณจะสับสน สติฟั่นเฟือนแล้วตายลงกลายเป็นส่วนหนึ่งของที่แห่งนี้
แม้จะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพก็ไม่มีข้อยกเว้น นอกเสียจากจะมีกลยุทธ์พิเศษ อีกทั้งต้องฝึกถึงขั้นชั้นมหาวัฏจักรแล้วจึงจะหยุดอยู่ ณ ที่แห่งนี้ได้ในชั่วขณะหนึ่ง
แน่นอนว่า หากฝึกจนถึงระดับจักรวาลแล้ว เช่นนั้นก็สามารถไปมาตามใจได้ แต่ก็ยังคงได้รับผลกระทบอยู่บ้าง อีกทั้งผลกระทบก็จะเพิ่มมากขึ้นตามเวลาที่ไหลไป
ดังนั้นที่แห่งนี้จึงไม่เหมาะที่จะตามหา แต่ด้วยเหตุพิเศษนี้เองก็ทำให้ที่แห่งนี้เหมาะแก่การหลบซ่อนเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่า…ความเหมาะสมนี้เป็นสำหรับวิญญาณที่พิเศษเท่านั้น
เหตุเพราะความสับสนปนเปของที่นี่ สำหรับวิญญาณที่มีความพิเศษจำเพาะ ไม่เพียงไม่ใช่เขตอันตรายเท่านั้น อีกทั้งยังราวกับเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ดังเช่นจื่อเยว่…ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ณ ที่แห่งนี้ นางแทบจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ และในเวลาเดียวกันยังสามารถหยิบใช้ความสับสนปนเปทำให้เมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าของตนสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ดังนั้นหลังจากออกจากสหพันธรัฐในตอนนั้น นางที่ฟื้นคืนความทรงจำในอดีตชาติแล้ว เมื่อมายังห้วงเหวย้อนกลับ ขณะที่พลังปราณก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ ในเวลาเดียวกันก็อาศัยเมล็ดพันธุ์ที่สาดทิ้งไว้ด้านนอกในการควบคุมรอบๆ โดยทางอ้อม
และในขณะเดียวกัน ด้านความปลอดภัยโดยรวมแล้วก็ทำได้เกือบเต็มร้อย อย่างไรเสียหากนางจะหลบซ่อน ต่อให้เป็นจักรพรรดิสวรรค์อยู่ที่นี่ก็ไม่สามารถคงสภาพอยู่ได้นาน เป็นไปได้มากว่าคงต้องละทิ้งการจับกุมไปอย่างห้ามไม่ได้
และนี่ก็เป็นสาเหตุว่าทำไม…เมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าของจื่อเยว่ถึงสามารถลอบกระจายอยู่ในสำนักต่างๆ ทั้งสามดินแดนใหญ่ ถึงขนาดถูกหมายหัวเป็นศัตรูแต่ก็ยังสามารถลอยนวลต่อไปได้
ถึงแม้ตอนนั้นจะถูกเฉินชิงจื่อทำให้ตกใจกลัว แต่หลังจากที่จื่อเยว่หลบหนีไปในใจก็ยังคงไม่ได้เกรงกลัวเสียเต็มประดา ทว่าหลายปีมานี้ ยังคงรู้สึกหวาดผวาอยู่สามครั้ง
ครั้งที่หนึ่ง ก็คือตอนที่หวังเป่าเล่อใช้สมุดแห่งโชคชะตาค้นหานางตอนอยู่บนดาวชะตา ส่วนครั้งที่สองก็คือตอนที่หวังเป่าเล่อปล่อยกระแสเต๋าในมิติเวทที่สหพันธรัฐ
ถึงแม้จื่อเยว่จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบในทันที อีกทั้งเปลี่ยนตำแหน่ง และในเวลาเดียวกันก็ได้เตรียมพร้อมอย่างดี ทว่าตอนนี้…เมื่อความรู้สึกไม่ปลอดภัยเกิดขึ้นอีกครั้ง ร่างกายของนางก็สั่นเทิ้มอย่างเห็นได้ชัด
อึดใจต่อมา หลังจากนางคำนวณเสร็จก็เงยหน้าขึ้นฉับพลัน สีหน้าฉายแววดุร้ายโกรธเคือง เอ่ยพึมพำ
“เคราะห์?!”
ระหว่างพึมพำนั้นเอง จื่อเยว่หรี่ตาลง มือขวาผนึกมุทราขึ้นอีกครั้งพร้อมฟาดใส่ร่างกายตน ฉับพลันนั้นร่างกายของนางสั่นเทิ้มในพริบตา ก่อนจะค่อยๆ แบ่งออกเป็นสามส่วน แบ่งส่วนหนึ่งไว้ที่แห่งเดิมที่นั่งขัดสมาธิอยู่ อีกส่วนหนึ่งกลายสภาพเป็นฝุ่นละอองอยู่ในที่ห่างไกล และส่วนสุดท้ายก็ไม่ได้หยุดชะงัก สลายหายไปในความว่างเปล่า
ในเวลาเดียวกัน ภายในดารานิรันดร์ระบบสุริยะ ร่างหลักของหวังเป่าเล่อนัยน์ตาฉายแววลึกล้ำ หยัดกายลุกจากการนั่งขัดสมาธิ ก้าวย่างไปข้างหน้าด้วยท่าทีสงบ
ก้าวที่ย่างไป ใต้เท้าเขาปรากฏรอยคลื่นขึ้นกลางอากาศ ขณะที่ระลอกคลื่นกระจายออกไปเป็นชั้นๆ ราวกับแยกท้องฟ้าออกจากกัน ก่อนค่อยๆ ปรากฏภาพฉากหนึ่ง ในภาพนั้น…ก็คือห้วงเหวย้อนกลับ
จากการเสาะหาทั้งสองครั้งของหวังเป่าเล่อ ก็พอมั่นใจตำแหน่งคร่าวๆ ที่จื่อเยว่ซ่อนตัวแล้ว เวลานี้เมื่อตัดสินใจจะจับนาง เขาก็ไม่มีความลังเลใดๆ อีก ก้าวเดินไปยังภาพระลอกคลื่นด้านหน้า
ร่างหลักของหวังเป่าเล่อเลือนหายไปตามก้าวย่างที่เดิน
ในเวลาเดียวกัน คูเมืองบนโลกแห่งหนึ่ง ท่ามกลางรถราผู้คนมากมาย ปรมาจารย์แห่งไฟที่กำลังเดินอยู่ที่นั่นกำลังทอดถอนใจต่อความตระการตาของโลกีย์อารยธรรมสหพันธรัฐ ข้างกายเขานอกจากหวังเป่าเล่อ ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ศิษย์พี่รองและวัวเฒ่าที่แปลงเป็นชายแล้ว ก็ยังมีเจ้าเยี่ยเหมิงและโจวเสี่ยวหยาเดินเป็นเพื่อนด้วย
สำหรับหญิงสาวทั้งสองนางนี้ ปรมาจารย์แห่งไฟมองพวกนางราวกับเป็นลูกสะใภ้ ยิ่งมองก็ยิ่งพออกพอใจ ส่วนศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็มักหยอกล้อกับหวังเป่าเล่อและพวกนางตลอดทาง ขณะที่บรรยากาศกลมเกลียว ปรมาจารย์แห่งไฟก็รู้สึกราวกับเป็นผู้อาวุโสครอบครัว พาเด็กออกมาเดินเที่ยว บางช่วงก็ให้คำแนะนำการฝึกปราณแก่โจวเสี่ยวหยาและเจ้าเยี่ยเหมิง พูดคุยกันชื่นมื่นตลอดทาง
อีกทั้งเขาก็มีของล้ำค่าอยู่มาก ประเดี๋ยวก็ยกให้ ทำให้อาวุธเวทของเจ้าเยี่ยเหมิงกับโจวเสี่ยวหยาเพิ่มขึ้นกันอีกหลายสิบชิ้น หวังเป่าเล่ออมยิ้มอยู่ด้านข้าง ทว่าในเวลาอันสั้น แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ร่างหลักของเขาจากไป ปรมาจารย์แห่งไฟที่อยู่ด้านหน้าพลันชะงักเท้า เงยหน้ามองไปทางดวงอาทิตย์ก่อนหันมองหวังเป่าเล่อที่ข้างกาย
“ออกไปแล้วรึ?”
“จัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ขอรับ” หวังเป่าเล่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าไม่ต้องอยู่เป็นเพื่อนอาจารย์หรอก” ปรมาจารย์แห่งไฟกล่าวด้วยความเข้าใจ
“ไม่เป็นไร อาจารย์วางใจเถอะ” หวังเป่าเล่อคำนับอย่างอ่อนน้อม ก่อนพาอาจารย์เดินเที่ยวต่อในเมือง ตลอดทางเงาร่างพวกเขาหล่อหลอมเข้ากับฝูงชนรอบด้าน ทว่าแม้จะมีผู้คนคุ้นตาหน้าตาของหวังเป่าเล่อ แต่กลับไม่มีคนเห็นเขาแล้วจำได้เลย ราวกับในสายตาของพวกเขา หวังเป่าเล่อนั้นดูแตกต่างออกไป
ขณะที่เดินเที่ยวชม ณ ห้วงเหวย้อนกลับในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ภายในความว่างเปล่านอกวงแหวนเหล่านั้น เวลานี้ในระลอกคลื่นได้ปรากฏร่างหลักของหวังเป่าเล่อเดินออกมาจากกลางอากาศ
เมื่อเขาปรากกฏกายขึ้น มหาเต๋าของเขาก็สั่นคลอนกฎเกณฑ์และข้อบังคับของที่แห่งนี้ในทันที ทำให้ห้วงเหวย้อนกลับพลันเกิดเสียงดังสะเทือน สายฟ้ากระหน่ำระเบิดขึ้นในบริเวณรอบด้านอย่างมหาศาล วงแหวนเหล่านั้นถึงขั้นเคลื่อนโคจรอย่างช้าๆ ราวกับการมาเยือนของหวังเป่าเล่อส่งผลต่อห้วงเหวย้อนกลับแห่งนี้อย่างยิ่งยวด
………………………
ปกติแล้ว ความสูงส่งของคนคนหนึ่งยากที่จะตัดสินระดับอารยธรรมหนึ่งอย่างแท้จริงได้ ทว่า…เรื่องราวบนโลกนี้มีความเที่ยงแท้น้อยนัก ดังนั้นเมื่อความสูงส่งของคนคนหนึ่งได้ก้าวสู่ระดับที่ใกล้จะสูงสุดแล้ว เช่นนั้นอารยธรรมย่อมยกระดับขึ้นสูงด้วยประการฉะนี้
เฉกเช่นสหพันธรัฐ!
ดังเช่น หวังเป่าเล่อ!
แม้พลังปราณของเขาจะเป็นเพียงระดับจักรพิภพ แต่…การต่อสู้ครั้งก่อนระหว่างเขากับห้าสำนักใหญ่ ความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมานั้นสามารถเทียบได้กับจักรพรรดิ์สวรรค์ โดยเฉพาะหมัดทั้งสี่ที่ปล่อยใส่สี่สำนักใหญ่ได้สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่ผู้คน และสิ่งที่สร้างความตระหนกและตกตะลึงให้แก่สำนักที่แข็งแกร่งทั้งหลายรวมทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นจนถึงขั้นเกิดความระแวดระวังต่อหวังเป่าเล่อ ก็คือ…กระบี่ที่สังหารเต๋าเก้ารัฐนั่น!
กระบี่นั้น เป็นกระบี่สำริดโบราณอันล้ำค่าจากระดับจักรวาลที่เต็มไปด้วยพลังปราณจากดวงวิญญาณเทพและกายเนื้อของหวังเป่าเล่อทั้งหมด ผนวกเข้ากับพลังอันล้ำค่า เกิดเป็นพลังที่แข็งแกร่งขึ้นจนสามารถสร้างบาดแผลให้แก่จักรวาลจักรพรรดิสวรรค์!
ผู้อาวุโสของเต๋าเก้ารัฐนั้นแม้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะปัญหาจากตัวเขาเอง แต่ในประตูภูเขาเต๋าเก้ารัฐ เขาสามารถยืมกฎพิเศษบางส่วนให้พลังก้าวสู่ระดับจักรวาลได้อย่างแท้จริง แต่นิ้วมือของเขาบาดเจ็บเสียหาย ทำให้จักรพรรดิสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นหลายคนนั้นเพิ่มความสำคัญต่อหวังเป่าเล่อในพริบตา
ไม่ว่าอย่างไร ประการแรกหากเขาออกจากประตูภูเขาเต๋าเก้ารัฐก็เป็นได้เพียงจักรพิภพชั้นมหาวัฏจักรที่องอาจ ส่วนประการหลัง…สามารถไปทั่วทุกแห่งหนตามใจต้องการ สามารถใช้อำนาจจักรพรรดิสวรรค์คุกคามได้
นี่จึงทำให้สหพันธรัฐ…เกิดขึ้นมาอย่างแท้จริง เพราะไม่เพียงแค่พลังต่อสู้ที่เทียบเคียงจักรพรรดิสวรรค์ของหวังเป่าเล่อเท่านั้น แต่ยังมีปรมาจารย์แห่งไฟด้วย
เมื่อพวกเขาอาจารย์และศิษย์ร่วมมือกัน หากไม่มีสำนักแห่งความมืดก็ยังพอทำเนา ตระกูลไม่รู้สิ้นแม้จะหวาดกลัว แต่หากตัดใจเสี่ยงอันตรายจากการแตกดับของทั้งสองจักรพรรดิสวรรค์ก็ไม่ใช่ว่าจะสะกดไม่ได้
แม้ทำเช่นนี้ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายจะสูงมาก แต่เมื่อถึงเวลาจำเป็นจริงๆ ตระกูลไม่รู้สิ้นก็จะไม่ลังเล ทว่าตอนนี้สำนักแห่งความมืดศัตรูตัวฉกาจอยู่ข้างตัว อำนาจอันร้ายกาจทั้งสองนี้สามารถแผ่ขยายไปในการสงครามของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นในช่วงเวลานี้ตระกูลไม่รู้สิ้นจึงไม่กล้าเคลื่อนไหว และเคลื่อนไหวไม่ได้
เมื่อใดที่ลงมือ สำนักแห่งความมืดจะไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดรอดไปแน่นอน หากถึงเวลานั้น ตระกูลไม่รู้สิ้นก็จะกลายเป็นฝ่ายถูกกระทำ ถึงขนาดที่ความเป็นไปได้ที่จะพินาศย่อยยับยังเพิ่มขึ้นอีกสองสามส่วน
แต่เมื่อคนคนหนึ่ง หรือว่าอำนาจอิทธิพลหนึ่ง สามารถเพิ่มความพ่ายแพ้ให้อีกฝ่ายได้สองสามส่วนแล้ว เมื่อนั้นคนผู้นั้นหรืออำนาจอิทธิพลนั้น ก็จะได้ยืนอยู่ในจุดที่ไม่ปราชัย
สหพันธรัฐในเวลานี้ ก็เป็นเช่นนั้น!
ดังนั้นในเวลาสั้นๆ ตระกูลไม่รู้สิ้นก็ประกาศแสดงความเป็นมิตรต่อทั้งจักรพิภพในทันที ไม่เพียงยอมรับสถานะของสหพันธรัฐ อีกทั้งยังมอบแหล่งทรัพยากรจำนวนมากให้เป็นของขวัญ ทั้งนี้ก็มีแผนการอยู่ในใจ สถานะที่ยอมรับก็คือสำนักที่หนึ่งของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย
เห็นได้ชัดว่าจุดประสงค์แฝงไว้ด้วยการยุยง ทำให้สำนักอื่นๆ ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย โดยเฉพาะเต๋าเก้ารัฐนั้นเสียหน้าเป็นอย่างมาก จึงต้องเข้าเป็นหนึ่งในการต่อสู้ของสหพันธรัฐอย่างห้ามไม่ได้
ใช้เหตุนี้ในการผูกมัด เพราะจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นสามารถอดทนต่อการกำเนิดที่พุ่งพรวดของสหพันธรัฐ นี่ถือเป็นขีดสุดแล้ว พวกเขาไม่อยากเห็นว่า ภายภาคหน้าในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย จะปรากฏ…เจ้านครที่รวบรวมจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายให้เป็นหนึ่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!
อย่างน้อยต้องรอให้การต่อสู้ครั้งใหญ่ของตระกูลไม่รู้สิ้นและสำนักแห่งความมืดมีบทสรุปที่แน่นอนและสิ้นสุดลงเสียก่อน หรือไม่ก็…ใช้สิ่งนี้เป็นแต้มต่อ ไม่ให้สูญเสียการควบคุมเรื่องนี้ไป
การกระทำของตระกูลไม่รู้สิ้นสอดคล้องกับผลประโยชน์ ดังนั้นเวลาต่อจากนี้ ตระกูลไม่รู้สิ้นจึงมาเยี่ยมเยียนเป็นประจำ ส่วนสำนักต่างๆ ของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ข้างๆ ก็ได้จัดการส่งผู้ที่มีสถานะระดับหนึ่งให้มามอบของขวัญด้วยเช่นกัน
เช่นเดียวกัน ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายนี้ การต่อสู้ครั้งนี้ของหวังเป่าเล่อก็ได้ขย่มขวัญสำนักต่างๆ ทำให้เวลาหลังจากนั้นมีผู้มาหาเป็นจำนวนมาก มีผู้เยี่ยมเยียนไม่ขาดสาย แต่แทบจะไม่มีผู้ที่อยากขอเข้าร่วมกับระบบสุริยะเลย
ตระกูลต่างๆ ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายไม่อยากล่วงเกินฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง จึงเฝ้าสังเกตการณ์
สำหรับเรื่องนี้ ทางหวังเป่าเล่อไม่ได้นำมาใส่ใจ และได้มอบหมายให้พวกอู๋เมิ่งหลิงผู้นำของสหพันธรัฐไปจัดการ เขาแยกร่างไปเดินเล่นกับปรมาจารย์แห่งไฟในระบบสุริยะ ร่างหลักก็นั่งขัดสมาธิอยู่ในดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์ ฝึกฝนอย่างมั่นคง
เขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของพละกำลังที่ปรากฏออกมาหลังจากตนก้าวสู่ระดับจักรพิภพแล้ว อีกทั้งยังมากเกินกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ และนี่ก็ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกงงงันอยู่ในใจเช่นกัน
แต่ว่าคำตอบ…เขาก็มีการคาดคะเนและคาดการณ์เอาไว้ในใจแล้ว
“พวกนี้บางทีอาจมีสาเหตุอยู่สามประการ…หนึ่ง เป็นเพราะร่างหลักของข้าเป็นแผ่นไม้ดำ อีกประการอาจเกี่ยวกับวิชาสืบทอดของปราณโบราณสายนั้น อีกประการหนึ่งก็คือในการระลึกอดีตชาติ ข้าเคยออกจากโลกแห่งศิลา เคยตระหนักถึงเต๋าภายนอกของโลกแห่งศิลา โดยเฉพาะตระหนักถึงจันทร์ข้างแรม…”
หวังเป่าเล่องึมงำ กฎแห่งกาลเวลาของจันทร์ข้างแรม เขาย่อมรู้ว่าไม่ใช่เต๋าของโลกแห่งศิลา ดังนั้นในโลกแห่งศิลาอานุภาพของมันจึงสุดยอดมาก
ในขณะเดียวกัน วิชาสืบทอดของปราณก็เลื่อนลอยมาก หวังเป่าเล่อรู้สึกว่านี่ราวกับเป็นโอกาสอย่างหนึ่ง หรือพูดได้อีกอย่างว่าเป็นหลักฐานจำพวกคุณสมบัติอย่างหนึ่ง ส่วนรายละเอียดที่แน่ชัดคืออะไร เขายังไม่กระจ่างแจ้ง
สำหรับแผ่นไม้ดำร่างหลัก…ดวงตาหวังเป่าเล่อหรี่ลง เขานึกถึงตนเองที่แม่น้ำแห่งความมืดในตอนนั้นที่ยืมทัศนวิสัยของรูปปั้น ตะปูไม้ที่ตอกลงไปในหว่างคิ้วของมหาเทพตัวจริง!
“รู้สึกว่าความจริง ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แล้ว…”
“ในเมื่อร่างหลักของข้าถูกตรึงอยู่ในหว่างคิ้วของมหาเทพที่จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่แท้จริง เช่นนั้นเหตุใดถึงถูกเรียกมายังจักรวาลแห่งนี้อีก นี่เป็นแผนการณ์ช่วยตัวเองของมหาเทพ หรือว่า…แท้จริงแล้วข้ายังมีภารกิจอื่น…”
“อีกทั้งตอนนั้น…หลัวเทียนเดิมทีเพียงต้องการใช้หนึ่งนิ้วผนึกจักรภพไม่รู้สิ้นนี้ ทว่าหลังจากเห็นร่างแผ่นไม้ดำของข้า เหตุใด…จากหนึ่งนิ้วถึงเปลี่ยนเป็นทั้งแขนเล่า!”
“สิ่งที่เขาผนึก ใช่กู่จริงหรือ? ”หวังเป่าเล่อหรี่ตา นัยน์ตาทอประกาย ในใจลึกๆ แฝงไว้ด้วยการคาดคะเนที่อาจหาญ
“เป็นไปได้หรือไม่ว่า สิ่งที่หลัวเทียนผนึกจะเป็นทั้งกู่ ทั้งข้า รวมทั้ง…ร่างแยกของมหาเทพ!” หวังเป่าเล่อนิ่งงัน เขานึกถึงเฉินชิงจื่อ
เฉินชิงจื่อจะไม่รู้เรื่องเลยอย่างนั้นรึ ตัวข้า ณ ที่นี้ถึงจะเป็นสิ่งที่เขาต้องการผนึกและกักขังไม่ให้ออกไป แล้วเพราะเหตุใดถึงได้มองข้าม ตอนแรกหวังเป่าเล่อรู้สึกว่านี่เป็นเพราะความรู้สึกผูกพัน เป็นเพราะอาจารย์หมิงคุนจื่อ
ทว่าเวลานี้ความคิดของเขาเริ่มสั่นคลอน
“เป็นได้ไหมว่า…ฉากหน้าของภารกิจของเฉินชิงจื่อคือผนึกวิญญาณกู่ ทำให้ปราณสืบทอดไม่สามารถออกไปได้ และสิ่งที่แอบลอบผนึกก็คือ…ร่างแยกของมหาเทพ!”
“ร่างแยกของมหาเทพออกไปไม่ได้ อีกทั้งมหาเทพที่แท้จริงก็ยังไม่สมบูรณ์…หากมหาเทพแยกร่างออกไปเป็นจำนวนมากจริงๆ เช่นนั้นเป็นไปได้ไหมว่าที่นี่…ก็คือร่างสุดท้ายของเขาที่ดำรงอยู่”
“หากเป็นไปตามที่ข้าคาดการณ์ไว้จริง เช่นนั้นที่ข้าถูกเรียกมายังจักรวาลแห่งนี้ก็ไม่ใช่ความต้องการของมหาเทพอย่างแน่นอน…” หวังเป่าเล่อยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าการผนึกของโลกแห่งศิลานี้ชัดเจนว่าต้องการขัดขวางไม่ให้ร่างแยกของมหาเทพกลับไป ส่วนตนเองที่อยู่ที่นี่…ก็เป็นเพราะภาพฉากที่ยืมทัศนวิสัยของรูปปั้นที่แม่น้ำแห่งความมืด เห็นได้ชัดว่าเป็นปรปักษ์กับมหาเทพ
“หรือว่าข้าจะมีภารกิจที่ลืมไปจริงๆ ทำลายร่างแยกของมหาเทพให้สิ้นซาก? ทำให้เขาไม่สามารถสมบูรณ์ครบถ้วนได้อีก?”
“เช่นนั้นที่มาของตะขาบคืออะไรอีกเล่า…เป็นปราณส่วนหนึ่ง? หรือ…ร่างแยกจริงๆ ของมหาเทพ? หรือว่าเป็นผู้ไขปริศนาที่ร่างแท้จริงของมหาเทพส่งมา?” หวังเป่าล่อรู้สึกปวดหัว ยิ่งเข้าใจเรื่องราวมากขึ้นเท่าไร ความสับสนของเขาก็มีมากขึ้นเท่านั้น
“ยังมีอีก ข้าเป็นตะปูไม้ดำ เช่นนั้น…ตะปูไม้ดำในตอนนั้น เดิมก็มีจิตสำนึกหรือว่ามีคนใช้ตะปูไม้ดำที่ไม่มีจิตสำนึกเป็นสิ่งล้ำค่าในการทำลายมหาเทพ ใช้มันตอกลงไปในหว่างคิ้วมหาเทพ? หากเป็นอย่างแรก ถ้าเวลานั้นตะปูไม้ดำมีจิตสำนึก เช่นนั้นจิตสำนึกของข้าในเวลานี้คืออะไรเล่า”
“หากเป็นอย่างหลัง เป็นใคร…ที่ควบคุมข้าให้แสดงเป็นปรปักษ์ต่อมหาเทพ?” หวังเป่าเล่อนิ่งงัน อึดใจถัดมาเขาพลันหัวเราะ
“คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ เดินต่อไปย่อมมีสักวันที่จะรู้เอง”
“เวลานี้ สิ่งที่ข้าต้องคิดคือจะทำเช่นไรให้อาจารย์ปรมาจารย์แห่งไฟปลดการจำกัดของสหพันธรัฐให้เร็วที่สุด ข้าต้องการสิ่งที่ทดแทนแผ่นเลื่อนระดับโลกาอีกอัน…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงขณะพึมพำพลางครุ่นคิด ครู่ถัดมานัยน์ตาของเขาทอแสงเป็นประกาย
“มีอยู่สิ่งหนึ่งที่สอดคล้องอย่างมาก…นั่นก็คือวิญญาณพิเศษตนหนึ่งที่สำหรับโลกแห่งศิลาทั้งใบแล้ว มันได้แบกรักความหนักหน่วงของกาลเวลาอันไร้ที่สิ้นสุด ข้ามผ่านการกำเนิดจักรวาลใหม่แทบจะทุกชาติ…”
“จื่อเยว่!” หวังเป่าเล่อเงยหน้าในฉับพลัน สายตาทอดมองไปยังอวกาศอันไกลลิบจากระบบสุริยะ
ในเวลาเดียวกัน ณ นพภูมิ ภายในความว่างเปล่า สายตาหนึ่งก็ทอดมองออกไปยังตำแหน่งที่หวังเป่าเล่อจ้องมองอยู่เช่นกัน เจ้าของสายตานั่งขัดสมาธิอยู่ในนพภูมิ เส้นผมยาวพลิ้วไหว ด้านหน้าหัวเข่ามีกระบี่ไม้ธรรมดาเล่มหนึ่ง นั่นก็คือเฉินชิงจื่อ
“ศิษย์น้อง นี่ก็คือสิ่งที่ศิษย์พี่เตรียมให้แก่เจ้า…การชดเชยชิ้นใหญ่!”
……………………………………….
ดวงตาของปรมาจารย์แห่งไฟฉายแววงุนงง ตอนนี้เขายังไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจู่ๆ หลังจากศิษย์ของตนทะลวงเป็นจักรพิภพแล้ว กลับกลายเป็นว่า…มีพลังแบบจักรพรรดิสวรรค์ได้
เขามีการคาดเดาอยู่ในใจ แต่การคาดเดานี้มันเหลือเชื่อเกินไป สิ่งนี้ทำให้เขานึกถึงข่าวลือบางอย่างในสมัยโบราณ
กลับกัน ตอนนี้แม้ว่าผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐภายในระบบสุริยะจะตื่นเต้นตกใจกันอยู่ แต่เนื่องจากไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับจักรพิภพ ดังนั้นจึงดูอะไรไม่ออก เพียงรู้ว่าหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งไร้เทียมทาน
แต่กับปรมาจารย์มหาทัณฑ์และประมุขซิงอี้ รวมถึงปรมาจารย์ครามทองคำสามคนนั้นไม่เหมือนกัน ตอนนี้ในใจของพวกเขาเกิดคลื่นลูกใหญ่โหมกระหน่ำ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์สูดหายใจ ชั่วขณะนี้เอง ความคิดระแวงทั้งหมดภายในใจล้วนสลายหายไปทั้งสิ้น และไม่กล้าเกิดความรู้สึกไม่พอใจแม้แต่นิด
ส่วนทางฝั่งประมุขซิงอี้ ขณะที่เขาตัวสั่นเทา ดวงตาก็ฉายประกายแสงแรงกล้าออกมา เขารู้มากกว่าคนอื่นๆ มาก…เพราะเขาเคยเห็นผู้ฝึกตนอย่างเทพเคารพสูงสุดที่มาจากโลกภายนอกคนหนึ่ง ธิดาศักดิ์สิทธิ์ของสำนักอย่างหวังอีอีก็คือบุตรสาวของคนผู้นี้
ดังนั้น ความลับที่เขารู้ก็คือ…เต๋าที่ผู้ฝึกตนทั้งหมดภายในจักรวาลแห่งนี้ฝึกฝนอยู่ล้วนไม่ใช่ทางที่สมบูรณ์แบบ ล้วนแต่มีส่วนขาดหาย แต่กับโลกภายนอกนั้น แม้ว่าชื่อของการแบ่งระดับชั้นจะแตกต่างกัน แต่กลับมีการตัดสินแบบเดียวกัน
วิธีการตัดสินนี้เริ่มจากระดับขั้นที่หนึ่งไปถึงขั้นที่ห้า
ตามที่เขาได้ยินมาเมื่อปีนั้น จักรพิภพในจักรวาลแห่งนี้ควรจะอยู่ในขั้นที่สามของจักรวาล จักรพรรดิสวรรค์คือขั้นที่สี่ แต่ความจริงแล้วเนื่องจากว่าเต๋าไม่สมบูรณ์แบบ ดังนั้นจึงเทียบกับผู้ฝึกตนของโลกภายนอกไม่ได้ ความแตกต่างนั้นเป็นเพราะเต๋าที่แต่ละคนบรรลุไม่เหมือนกัน ถือว่าอยู่ประมาณระดับขั้นใหญ่อย่างหนึ่ง
บางครั้งก็มีข้อยกเว้น แต่ก็ยังขาดระดับขั้นเล็กไปนิดหน่อย ทว่าขอแค่ทำถึงข้อยกเว้นได้ก็จะเป็นสุดยอดในสุดยอดของจักรวาลแห่งนี้ได้แล้ว
แต่…ไม่ว่าจะได้รับข้อยกเว้นอย่างไรก็ดูเหมือนว่าล้วนไม่อาจบรรลุถึงระดับอย่างหวังเป่าเล่อได้ ด้วยพลังที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับจักรพิภพ แต่กลับใช้อานุภาพการควบคุมมหาเต๋าของจักรพรรดิสวรรค์ได้เช่นนี้
มีคำอธิบายเพียงอย่างเดียว…
“หวังเป่าเล่อ อาจเป็นเพราะโอกาสวาสนาพิเศษบางอย่างที่สร้างขึ้น จึงเดินไปถึง…มหาเต๋าอันสมบูรณ์ กลายเป็น…ขั้นที่สามอย่างแท้จริงอย่างนั้นหรือ”
ภายในใจของประมุขซิงอี้สั่นสะท้านรุนแรง และยังมีปรมาจารย์ครามทองคำ ตอนนี้ก้นบึ้งจิตใจของเขาทั้งตื่นเต้นและยินดีกับการตัดสินใจเลือกก่อนหน้านี้ของตนยิ่งนัก เขาคิดว่าเรื่องที่กระทำได้ถูกต้องที่สุดในชั่วชีวิตนี้ของเขาคงจะเป็นการเลือกผสานเข้ากับระบบสุริยะอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
และยังมีภายในจักรพิภพสำนักเสริม ศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดภายในสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ ตอนนี้เขาก็ตื่นเต้นเช่นเดียวกันแล้วเอ่ยพึมพำเสียงเบา
“ท่านพ่อสมกับเป็นท่านพ่อจริงๆ ท่านพ่อรอข้านะ ไม่นานข้าก็จะทะลวงพลังฝึกตน เมื่อถึงตอนนั้นแล้วจะไปคารวะที่ตักของท่าน…”
และยังมีสำนักดาราจันทร์ผู้ลึกลับ ตอนนี้ปรมาจารย์ดาราจันทร์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนหน้าผาหน้าน้ำตกด้านหลังภูเขาได้ถอนสายตาที่มองไปยังสหพันธรัฐกลับมาแล้ว แววตาเผยความทอดถอนใจ มุมปากเผยรอยยิ้ม
“ใกล้จะถึงเวลานัดหมายแล้ว…”
ชั่วขณะนี้ ทั่วทั้งภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น จิตใจของทุกคนล้วนเกิดความคิดหนึ่งอย่างขึ้นมา นั่นก็คือ…จากนี้เป็นต้นไป ผู้แข็งแกร่งสูงสุดของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นจะมีเพิ่มขึ้นมา…หนึ่งคน!
ชื่อของคนผู้นี้ก็คือ…หวังเป่าเล่อ!
และในตอนนี้เอง ร่างธรรมของหวังเป่าเล่อที่โดดเด่นขึ้นภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นก็กำลังยืนอยู่นอกระบบสุริยะ หลังจากสยบมหาเต๋าของห้าสำนักไว้ที่ส่วนขาดหายของแผ่นเลื่อนระดับโลกาแล้ว เขาก็จ้องมองไปยังจุดที่ฝ่ามือซึ่งเกิดจากพลังเบื้องหลังของห้าสำนักเลือนหายไป ดวงตาหรี่ลง มีประกายเฉียบคมวาบผ่าน
“ราคาที่ต้องจ่ายยังไม่พอ” หวังเป่าเล่อกล่าวเสียงเรียบ เขายกมือขวาขึ้น กำหมัด แล้วชกไปยังอวกาศถึงสี่หมัดทันที!
สี่หมัดนี้ แต่ละหมัดล้วนผสานกายเนื้อ วิญญาณเทพ และพลังฝึกปรือเอาไว้อย่างเต็มที่ พลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดก็ปะทุออกมากลายเป็นเงาหมัดขนาดมหึมาสี่ร่าง พร้อมกับพลังสั่นสะเทือนมหาเต๋า ส่งเสียงกึกก้องไปตลอดทางแล้วพุ่งไปยังสี่สำนักใหญ่นอกเหนือจากเต๋าเก้ารัฐ!
ความเร็วของมันพุ่งทะลวงผ่านความว่างเปล่า พริบตาเดียวก็มาถึงอวกาศที่สี่สำนักใหญ่อยู่แล้วทะยานไปยังประตูภูเขาดาวเอกของทั้งสี่สำนัก ขณะที่ผู้ฝึกตนของทั้งสี่สำนักตกตะลึงจนพูดไม่ออกนั้น หมัดทั้งสี่ของหวังเป่าเล่อก็ชกลงไปยังอวกาศส่วนที่แตกต่างกัน
ทั้งสี่สำนักระเบิดพลังสะเทือนฟ้าของตนออกมา พลังเบื้องหลังก็ถูกใช้ออกมาเต็มกำลัง แต่ก็ยังถูกเงาหมัดของหวังเป่าเล่อทุบทำลายสำนักท่ามกลางเสียงสะเทือนกึกก้องดังติดต่อกันเป็นชุดๆ สิ่งก่อสร้างนับไม่ถ้วนพังทลาย ผู้ฝึกตนจำนวนมากสั่นสะท้านจนกระอักเลือดออกมา ถึงขั้นที่ดวงดาราก็ยังสั่นไหว ถูกทุบตีรุนแรงจนวงโคจรบิดเบี้ยว ทำให้เกิดลมพายุพัดกวาดอวกาศของพวกเขาไป
ยิ่งกว่านั้นยังมีกระแสเต๋าจากหวังเป่าเล่อ ขณะที่กำปั้นของเขาสลายไป มันก็เติมเต็มอวกาศที่สี่สำนักแห่งนี้อยู่และทำให้ร่างกายของผู้ฝึกตนทั้งหมดจมลง วิญญาณเทพถูกกดไว้ ยิ่งพลังฝึกปรือแข็งแกร่งก็ยิ่งสัมผัสได้ล้ำลึก
สำหรับทั้งสี่สำนักนี้ หมัดลูกนี้หมายถึงทัศนคติของหวังเป่าเล่อและหมายถึงการเตือนด้วย!
จากนั้นหวังเป่าเล่อก็มองไปยังทิศของเต๋าเก้ารัฐ วันนี้เขาจะต้องแสดงอำนาจ สิ่งที่ทำไปก่อนหน้านี้ยังไม่พอ ต่อให้ชกออกไปสี่หมัดก็ยังทำได้ไม่ถึงการสยบแบบที่เขาต้องการ ดังนั้นเต๋าเก้ารัฐผู้เป็นต้นเหตุของทุกอย่างก็คือสถานที่ที่หวังเป่าเล่อจะแสดงอำนาจ
ดังนั้นขณะที่หมัดทั้งสี่ส่งเสียงสะเทือนกึกก้องไปไกลแล้ว หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้น คว้าจับไปที่ระบบสุริยะ
ด้านนอกดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์ เป็นเพราะหลังจากขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้ ตอนนี้กระบี่สำริดโบราณที่แทงลงไปจึงโผล่ออกมาเพียงส่วนเล็กมากๆ เท่านั้น และทันใดนั้นมันก็สั่นสะเทือนรุนแรงท่ามกลางการคว้าจับครั้งนี้ พริบตาต่อมามันก็หายไปทันที เมื่อปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในมือของหวังเป่าเล่อด้วยขนาดที่หดเล็กลงไม่น้อย!
หลังจากถูกเขายกขึ้นมาแล้ว พลังฝึกปรือภายในร่างก็ระเบิดออก พลังแห่งฝักดาบกู่ร้องแล้วฟันลงไปยังทิศทางของเต๋าเก้ารัฐฉับพลัน
ปราณกระบี่ขนาดเท่ากับดาราจักรสายหนึ่งระเบิดออกมาตรงหน้าหวังเป่าเล่อทันทีแล้วพุ่งทะลวงความว่างเปล่าไปยังจุดที่เต๋าเก้ารัฐตั้งอยู่โดยตรง เสียงระเบิดและเสียงหวีดแหลมนับไม่ถ้วนกรีดร้องออกมา
เมื่อดาบฟันลงไป หวังเป่าเล่อก็คลายมือ กระบี่สำริดโบราณก็หายกลับไปปรากฏยังที่เก่า ผู้ฝึกตนวังเต๋าไพศาลที่อยู่ในนั้นตกตะลึง ตอนนี้ภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ความว่างเปล่า ณ ประตูภูเขาดาวเอกภายในอวกาศที่สำนักเต๋าเก้ารัฐอยู่ฉีกขาดทันที ปราณกระบี่ปรากฏขึ้นกะทันหันแล้วฟันลงไปยังดาวแห่งนี้โดยตรง!
ดวงดาราสั่นสะเทือนคล้ายจะถูกฟันเป็นสองส่วน ผู้ฝึกตนของเต๋าเก้ารัฐกระอักเลือด ขณะที่ตื่นตกใจอยู่ก็มีเสียงถอนหายใจดังออกมาจากส่วนลึกของเต๋าเก้ารัฐ เงาร่างมหึมายิ่งใหญ่ที่ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายของระดับจักรวาลก็ปรากฏขึ้นมาในตอนนี้เอง จากนั้นก็ยกมือขึ้นชี้ไปยังปราณกระบี่ของหวังเป่าเล่อที่ฟันลงมา
ท่ามกลางเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น นิ้วมือของเงาร่างนั้นพลันพังทลาย ขณะที่แตกสลายเป็นเสี่ยงๆ ปราณกระบี่ก็สลายไปด้วยเช่นกัน แต่ตอนนี้กระแสเต๋าจากหวังเป่าเล่อได้กลายเป็นพลังสยบกดดัน พร้อมกับเสียงของหวังเป่าเล่อที่ดังสะท้อนอยู่ในห้วงอวกาศของเต๋าเก้ารัฐแล้ว
“นี่คือคำเตือน!”
เสียงของเขาและกระแสเต๋าของเขาราวกับลมพายุพัดกระจายในชั่วขณะนี้เอง ทำให้ประตูภูเขาของเต๋าเก้ารัฐถูกทำลายลงกะทันหัน ดวงดาวในนั้นสั่นสะเทือนรุนแรง มีบริเวณหนึ่งที่แบกรับไม่ไหวแล้วพังทลายลงทันทีก่อนกลายเป็นสะเก็ดดาวกระจัดกระจายไปในอวกาศ
“สหายเต๋าระงับโทสะ เป็นความผิดของเต๋าเก้ารัฐของข้าเอง สมควรได้รับเคราะห์ครั้งนี้แล้ว” ผ่านไปพักหนึ่ง เสียงของปรมาจารย์ระดับจักรวาลผู้นั้นของเต๋าเก้ารัฐก็ค่อยๆ ดังออกมาพร้อมกับความอ่อนล้าแก่ชรา
ชั่วขณะนี้เอง สรรพชีวิตภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็เงียบงัน ทุกคนล้วนเข้าใจแล้วว่า สถานการณ์…ได้เปลี่ยนแปลงแล้ว
หวังเป่าเล่อไม่ให้ความสนใจกับเต๋าเก้ารัฐอีก ร่างธรรมของหวังเป่าเล่อที่ด้านนอกระบบสุริยะหันกายไปทางปรมาจารย์แห่งไฟ แล้วคำนับด้วยธรรมเนียมของศิษย์อย่างล้ำลึก
“อาจารย์”
ทันใดนั้นดวงตาของปรมาจารย์แห่งไฟก็สว่างไสว ยืดอกแล้วลูบเครา ใบหน้าเผยรอยยิ้ม ท่าทางกระฉับกระเฉง จากนั้นก็พยักหน้าให้
“เป่าเล่อ เจ้าทำได้ไม่เลว ดีมาก อาจารย์ภูมิใจยิ่งนัก เจ้าใหญ่ เจ้ารอง แล้วก็วัวเฒ่า พวกเจ้าก็ฮึดสู้อีกหน่อยล่ะ อย่าได้เอาแต่เล่นทั้งวัน!”
“อาจารย์สั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว ต่อไปศิษย์จะต้องขยันขันแข็ง เชื่อฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ให้มาก จะได้บรรลุถึงระดับสูงส่งเช่นศิษย์น้องเล็กในเร็ววัน” ศิษย์พี่หญิงใหญ่สีหน้าเคร่งขรึม สายตายามมองไปยังหวังเป่าเล่ออบอุ่นนัก เมื่อมองไปยังปรมาจารย์แห่งไฟก็เคารพนบน้อมอย่างหาใดเปรียบ ถึงขั้นยังมีความคลั่งไคล้เกินจริงอยู่เล็กน้อย…
วัวเฒ่าข้างๆ ก็เอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึมเช่นกัน
“ศิษย์ของเจ้าสุดยอด เจ้าสุดยอดยิ่งกว่า!”
“…” ศิษย์พี่รองเงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยหนึ่งประโยคอย่างอ่อนแรง
“อาจารย์น่าเกรงขาม…”
หวังเป่าเล่อกะพริบตา ในใจมีความอบอุ่นอ่อนโยนอยู่มาก เขาประสานหมัดไปทางปรมาจารย์แห่งไฟแล้วคำนับลงอีกครั้ง
“ขอบคุณท่านอาจารย์ที่สั่งสอน อาจารย์ ไปเยี่ยมชมบ้านเกิดของข้าหน่อยดีหรือไม่”
ปรมาจารย์แห่งไฟได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะร่า พยักหน้าอย่างยินดี
หวังเป่าเล่อก็ยกยิ้มเช่นกัน ยามที่เดินไปยังระบบสุริยะ ร่างธรรมของเขาก็ยิ่งหดเล็กลง จนกระทั่งกลายเป็นมนุษย์ธรรมดา เขาติดตามอยู่ด้านหลังปรมาจารย์แห่งไฟ แล้วเดินไปยังดาวโลกท่ามกลางผู้เยี่ยมยุทธ์ของกลุ่มอิทธิพลแต่ละแห่งในสหพันธรัฐที่บินออกมาเคารพและต้อนรับ
ระหว่างทาง เสียงหัวเราะของปรมาจารย์แห่งไฟดังก้องกังวาน ความยินดีปรีดาแพร่กระจายไปทั่วทั้งอวกาศ
ระบบสุริยะกลับมาสงบสุขอีกครั้ง เงาเต๋าเทพวัวที่เกิดจากพลังเทพของหวังเป่าเล่อนั่งพับขาอยู่เหนือระบบสุริยะและคอยสยบจักวาลไปพร้อมกัน ภายในดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์ ตอนนี้ร่างจริงของหวังเป่าเล่อหลับตาลง มุมปากเผยรอยยิ้มออกมา
ผู้ที่ติดตามอาจารย์ไปก็คือร่างแยกจากร่างธรรมของเขา ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคารพ แต่เป็นเพราะเพิ่งเลื่อนขั้นเป็นจักรพิภพ ร่างจริงจึงต้องการการตระหนักรู้เพื่อทำให้พลังฝึกปรือแน่นหนาแข็งแรงขึ้น
…………………………………………..
กลางอวกาศนอกระบบสุริยะ เงาของเทพวัวขนาดมหึมาตั้งตระหง่านอยู่บนสายธารดวงดาวคล้ายสามารถค้ำยันความว่างเปล่าได้ ทำให้ทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายสั่นสะเทือนรุนแรง
แต่ที่มาของทุกอย่างนี้ไม่ได้มาจากเงาของเทพวัว ทว่ามาจากผู้ที่นั่งสมาธิอยู่บนหลังของมัน เขาสวมชุดคลุมยาวสีคราม เส้นผมปลิวไสว…หวังเป่าเล่อ!
สีฟ้าครามดุจก้อนเมฆ หมายถึงอิสระ
ผมยาวราวถนนหนทาง แต่ละเส้นร่ายรำพลิ้วไหว หมายถึงเสรี
คิ้วราวกับใบมีดคม นัยน์ตาแฝงดวงดารา ขณะที่กระแสเต๋าแพร่กระจายไปทั่วร่าง จักรพิภพอันเป็นจักรวาลกว้างใหญ่ไพศาลภายในร่างของเขาก็ยิ่งทำให้ร่างธรรมกายของหวังเป่าเล่อราวกับเหนือล้ำยิ่งกว่าเทพ กลายเป็นเทพเคารพสูงสุด
และในชั่วขณะที่เอ่ยออกมา คำพูดของเขาก็บรรลุถึงขั้นวาจาบัญญัติกฎไปแล้ว
พวกเจ้าไม่อิสระ!
ทันทีที่เอ่ยคำนี้ออกมา…กฎเกณฑ์และกฎเวทนับไม่ถ้วนนอกระบบสุริยะก็เปลี่ยนสภาพ พวกมันกลายเป็นเส้นสายพัวพันอยู่รอบทิศทางพร้อมกับถูกจัดเรียงแล้วรวมเข้าด้วยกันใหม่อีกครั้ง
มันเรียงลำดับใหม่ตามมหาเต๋าของหวังเป่าเล่อและดวงจิตของเขาจนกลายเป็นพันธนาการ แล้วไปปรากฏอยู่บนร่างของผู้ฝึกตนทุกคน ตอนนี้เอง เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นในที่แห่งนี้ก็ริบหรี่ลง พลังของเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดก็สลายไป ณ ที่แห่งนี้เช่นกัน
มีเพียงมหาเต๋าของหวังเป่าเล่อที่อยู่ตรงนี้แต่เพียงผู้เดียวเท่านั้น!
นี่ไม่ใช่พลังที่จักรพิภพในโลกแห่งศิลาจะแสดงออกมาได้!
นี่คือพลังจักรวาลของโลกแห่งศิลา!
ไม่ว่าจะเป็นเต๋าเก้ารัฐหรือสำนักทั้งสี่ หรือว่าผู้ฝึกตนจากตระกูลและสำนักอื่นๆ ที่มาด้วยก็ตาม ชั่วขณะนี้ร่างกายของทุกคนต่างก็สั่นสะท้านรุนแรงขึ้นมา
ร่างกายของพวกเขาหนักอึ้งอย่างหาใดเปรียบขึ้นทันทีพร้อมกับพันธนาการที่ปรากฏขึ้น และเหมือนกับสิ่งบางอย่างที่เดิมเป็นของร่างกายของพวกเขาได้ถูกบังคับถอนออกไป ทำให้กายเนื้อของผู้ฝึกตนทั้งหมดในที่นี้กระตุกรุนแรงทันที ถึงขั้นที่แม้แต่การเคลื่อนไหวก็ยังช้าลง
นี่คือการกีดกั้นกายอันอิสระทั้งหมด กีดกั้นพลังของร่างกายทั้งหมด!
ยังไม่จบ
พวกเขาไม่เสรี!
เมื่อประโยคนี้ดังออกมา ก็คล้ายมีพายุมาเยือนยังอวกาศแล้วกวาดไปทั่วทั้งสี่ทิศ ทำให้ความว่างเปล่าของอวกาศผืนนี้บิดเบี้ยวรุนแรง ทำให้เต๋าภายในร่างของผู้ฝึกตนทั้งหมดสั่นระริกแล้วถูกสยบเอาไว้โดยตรง คล้ายมีพันธนาการอีกอย่างหนึ่งเข้ามาผนึกวิญญาณเทพ ดวงจิต และประสาทสัมผัสของพวกเขาเอาไว้!
นี่คือการกีดกั้นจิตอันเสรีทั้งหมด กีดกั้นลมหายใจแห่งจิตวิญญาณทั้งหมด!
ตอนนี้พวกเขาขยับตัวไม่ได้ เคลื่อนไหวจิตก็ไม่ได้ สมองของผู้ฝึกตนทุกคนขาวโพลน ราวกับเวลาหยุดนิ่งอยู่บนร่างของพวกเขา จนกระทั่งเมื่อหวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น กางฝ่ามือออก แล้วกำหมัดอย่างช้าๆ ไปยังความว่างเปล่า
ขณะที่เขากำหมัด อวกาศก็ส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ความว่างเปล่าแตกสลาย ราวกับร่างกายของจักรพิภพหลายสิบคนที่ถูกผนึกเหล่านี้มีร่องรอยการแตกสลายปรากฏขึ้น เมื่อรอยร้าวหลายเส้นแพร่กระจายก็เหมือนพวกเขากำลังจะพังทลาย
เหมือนกับว่าฝ่ามือของหวังเป่าเล่อกลายเป็นอวกาศ และเมื่อเขากำหมัดนี้ก็จะบดขยี้ผู้ฝึกตนทั้งหมดในที่นี้ได้
แม้ว่าจะมีผู้ฝึกตนระดับจักรพิภพชั้นต้นอยู่เจ็ดแปดคน แต่ก็รับไม่ไหวแล้ว เพราะยังไม่ทันทีที่หมัดของหวังเป่าเล่อจะกำแน่นโดยสมบูรณ์ ร่างกายของพวกเขาก็ส่งเสียงดังอึกทึกขึ้นมาแล้วระเบิดพังทลายทันทีภายใต้การผนึกของพันธนาการทั้งสองอย่าง ขณะที่พวกเขาถูกฉีกแยกเป็นชิ้นๆ วิญญาณเทพก็แตกสลาย กายและวิญญาณถูกทำลายสิ้น
คนอื่นๆ ก็มีรอยร้าวบนตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่…ถึงอย่างไรคนพวกนี้ก็เป็นจักรพิภพ ทั้งยังมีจำนวนไม่น้อย ในนั้นยังจักรพิภพชั้นมหาวัฏจักรอย่างชายชราชุดขาวอยู่ด้วย
ยิ่งกว่านั้นคือยังมีจักรพิภพชั้นปลายอีกสี่คน ดังนั้นในชั่วขณะนี้ เมื่อเห็นจักรพิภพเจ็ดแปดคนนั้นแตกดับ ร่างกายของชายชราชุดขาวก็สั่นสะท้านรุนแรงแล้วมีพลังแรงกล้าระเบิดออกมาจากในร่างของเขาทันที
เมื่อมันระเบิดออกมา ทั่วร่างของเขาก็คล้ายลุกไหม้ คาดไม่ถึงว่าในช่วงวิกฤตเช่นนี้ เขาเลือกที่จะแผดเผาพลังฝึกตนและวิญญาณเทพของตัวเอง จากนั้นจึงเพิ่มพลังฝึกตนขึ้นมาในพริบตาเพื่อขืนตัวหลุดพ้นออกจากพันธนาการเต๋าของหวังเป่าเล่อ ปากก็ร้องคำรามโหยหวนออกมาด้วย
“ทุกท่าน ยังไม่แผดเผาเต๋าของทุกสำนักอีก อยากตายอยู่ที่นี่หรืออย่างไร!”
พริบตาที่คำพูดนี้ของเขาดังออกมา โซ่เก้าเส้นที่เกิดจากมหาเต๋าของเต๋าเก้ารัฐก็ลุกไหม้ทันที พวกมันตรงเข้าไปพัวพันธรรมกายที่หวังเป่าเล่ออยู่
เวลาเดียวกันนั้น ผู้อาวุโสระดับจักรพิภพชั้นปลายทั้งสี่คนจากสี่สำนักก็ตระหนักได้ว่านี่คือวิกฤตชีวิต เมื่อเห็นชายชราชุดขาวลุกไหม้ พวกเขาจึงพากันกัดฟันระเบิดพลังฝึกปรือภายในร่างออกมาราวกับเปลวเพลิง เลือกที่จะแผดเผาแล้วฝืนกระตุ้นเงาเต๋าของสำนักตน ทำให้หม้อใหญ่ สะเก็ดดาว ขวานแยกฟ้าและยักษ์เผาไหม้ขึ้นมาตามๆ กัน
ขณะที่เกิดการลุกไหม้ ยามที่เสียงร้องของผู้อาวุโสจากสี่สำนักเหล่านี้ดังโหยหวนไปทั่วทั้งแปดทิศ หม้อใหญ่ก็กระแทกไปหาหวังเป่าเล่อ สะเก็ดดาวพุ่งเข้าไป ขวานแยกฟ้าฟันลงไปข้างกายหวังเป่าเล่อทันที ยักษ์ตนนั้นคำรามสะเทือนอวกาศแล้วกระแทกร่างของเขาเข้าไปโดยตรง!
ไม่ใช่แค่นี้เท่านั้น เมื่อมหาเต๋าของห้าสำนักใหญ่ลุกใหม่และเข้าไปบดขยี้หวังเป่าเล่อพร้อมกัน ตอนนี้ทางทิศทั้งห้าภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น ทั้งห้าทิศนั้นก็คือที่ตั้งของห้าสำนักใหญ่ภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงเต๋าเก้ารัฐด้วย
ห้าสำนักใหญ่นี้ต่างกำลังให้ความสนใจกับสถานที่แห่งนี้อยู่ เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อลงมือและผู้ฝึกตนฝั่งตนกำลังตกอยู่ในอันตราย พวกเขาจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร ถึงอย่างไรนั่นก็คือกำลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดในเบื้องหน้าของพวกเขาเชียวนะ
ดังนั้นในพริบตาต่อมา พลังเบื้องหลังของห้าสำนักใหญ่จึงระเบิดออกมาทันที แต่ละแห่งก่อตัวเป็นแสงดาวพร่างพราวสายหนึ่งซึ่งบรรจุท่อนแขนซึ่งมีกระแสเต๋าไร้ที่สิ้นสุดเอาไว้ พวกมันทะลวงความว่างเปล่าจากทั้งห้าทิศมาปรากฏขึ้นบนสนามรบด้านนอกระบบสุริยะโดยตรง ไม่ได้เข้าไปปะทะกับหวังเป่าเล่อ แต่คว้าจับผู้ฝึกตนของสำนักตัวเองแล้วล่าถอยอย่างรวดเร็ว
“ระบบสุริยะไม่ใช่ที่ที่พวกเจ้าคิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป” ร่างธรรมของหวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเรียบ ไม่สนใจมหาเต๋าจากแต่ละสำนักที่โจมตีมาหาตน ร่างกายเขาพร่าเลือนทันทีแล้วสลายหายไปในพริบตา เมื่อปรากฏตัวขึ้นมาก็ไปอยู่ที่ไกลๆ แล้ว เขายกมือขวาขึ้นกำหมัด พลังของกายเนื้อ ดวงวิญญาณเทพ และพลังของการฝึกตนผสานเข้าด้วยกันจนกลายเป็นหนึ่งหมัด แล้วพุ่งชกไปยังท่อนแขนทั้งห้าของแสงดาวที่เกิดจากพลังเบื้องหลังของห้าสำนัก ซึ่งหลังจากช่วยเหลือคนแล้ว พวกมันก็กำลังล่าถอยจากไปอย่างรวดเร็วทันที!
ท่อนแขนทั้งห้าสั่นสะเทือน พริบตาต่อมาแต่ละท่อนก็เข้ามาผสานด้วยกันโดยไม่ลังเล ก่อนก่อตัวเป็นฝ่ามือที่แพรวพราวยิ่งกว่าเดิม ขณะที่หมัดของหวังเป่าเล่อชกเข้ามา มันก็ตบลงไปทางเขาตรงๆ
เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น หมัดของหวังเป่าเล่อปะทะกับฝ่ามือซึ่งเกิดจากการรวมพลังเบื้องหลังของห้าสำนัก
อวกาศสั่นสะเทือน มหาเต๋ากู่ร้องลั่น ฝ่ามือนี้สั่นไหวรุนแรง ผู้ฝึกตนจากแต่ละสำนักในนั้นกระอักเลือดออกมาทั้งหมด และมีอย่างน้อยสามส่วนที่กายเนื้อพังทลาย วิญญาณเทพแตกสลาย ร่างวิญญาณก็ถูกทำลายสิ้นท่ามกลางการสั่นสะเทือน
แต่หลังจากพลังเบื้องหลังของห้าสำนักผสานรวมกันแล้วก่อตัวเป็นมือยักษ์นั้น ตัวของมันก็ไม่ใช่ธรรมดาสามัญจริงๆ ตอนนี้กำลังถดถอยอย่างรวดเร็วท่ามกลางการสั่นสะเทือน แม้ว่าแต่ละสำนักจะมีผู้เสียชีวิต แต่สุดท้ายก็ยังรักษาคนไว้ได้มากกว่าครึ่ง เมื่อล่าถอยไป ภายในพริบตาพวกเขาก็จมหายไปในอวกาศทันที
ทางหวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ทอดมองไปยังอวกาศอันไกลโพ้น เพราะก่อนหน้านี้ร่างธรรมของเขาเคลื่อนไหวอย่างพร่าเลือน ดังนั้นมหาเต๋าที่ลุกไหม้ของแต่ละสำนักซึ่งเขาเลี่ยงการโจมตีได้ก็พุ่งมาหาตัวเขาอย่างรวดเร็วเพื่อบดขยี้อีกครั้ง
โซ่ หม้อใหญ่ ยักษ์ ขวานแยกฟ้า และสะเก็ดดาว ผสมด้วยกลิ่นอายอันสะเทือนฟ้าและการแผดเผาทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏขึ้นจากทั้งสี่ทิศ แต่ขณะที่พวกมันกำลังจะสัมผัสตัวหวังเป่าเล่อนั้น หวังเป่าเล่อก็เอ่ยเสียงเรียบขึ้นมาก่อน
“จันทร์ข้างแรม!”
ทันใดนั้นวิชาจันทร์ข้างแรมก็ถูกใช้ทันที เต๋าแห่งจันทร์ข้างแรมคือกาลเวลา ทั้งยังไม่ได้เป็นของโลกแห่งศิลาอีกด้วย ด้วยพลังฝึกปรือระดับจักรพิภพในปัจจุบันของหวังเป่าเล่อแล้ว ตอนนี้เมื่อใช้มันออกมา กาลเวลาจากสี่ทิศรอบๆ ก็ไหลย้อนกลับกะทันหัน ทันทีที่ไหลย้อนกลับไปหลายสิบอึดใจนั้น มหาเต๋าจากแต่ละสำนักที่แผดเผาอยู่รอบด้านก็ได้รับผลกระทบแล้ว พวกมันถอยกลับมาจากสภาวะลุกไหม้ในพริบตา ย้อนเวลากลับไปทีละตนๆ
แต่ยังไม่ทันที่พวกมันจะหนีไปได้ เมื่อหวังเป่าเล่อยกมือขึ้น เขาก็บดขยี้สิ่งที่แปลงมหาเต๋าของห้าสำนักไว้ทั้งหมด โยนไปยังจุดขาดหายของแผ่นเลื่อนระดับโลกาที่ได้ดาราจักรไฟมาช่วยเสริมช่องว่างไว้แล้วปิดผนึกทันที ทำให้จุดขาดหายนั่นส่งเสียงดังก้อง แรงต้านของดาราจักรไฟลดลงอย่างมากเพราะถูกมหาเต๋าของห้าสำนักมาแทนที่ได้ไม่ใช่น้อย
จากนั้นก็กลายเป็นสิ่งที่เติมเต็มส่วนขาดหายแห่งใหม่!
ภาพนี้สั่นสะเทือนผู้ฝึกตนภายในระบบสุริยะที่ให้จดจ่อกับการรบครั้งนี้มาก ทั้งยังสั่นคลอนหมื่นสำนักและตระกูลของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายที่ทอดมองมายังที่แห่งนี้ และยิ่งทำให้กลุ่มอิทธิพลภายในจักรพิภพสำนักเสริมมากมายที่สังเกตการณ์ที่แห่งนี้อยู่ตกตะลึงจนพูดไม่ออก
“นี่ไม่ใช่จักรพิภพแล้ว!!”
“พลังแห่งจักรพรรดิสวรรค์!!”
“นี่…นี่มันเป็นไปไม่ได้!!”
ไม่ใช่แค่พวกเขาที่มีอาการเช่นนี้เท่านั้น ตอนนี้หลังจากเห็นภาพทั้งหมด แต่ละสำนักและตระกูลภายในจักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้นและตระกูลไม่รู้สิ้นก็มีคลื่นยักษ์ซัดสาดอยู่ในใจ ปรมาจารย์ผู้ก่อตั้งภายในนั้นลืมตาขึ้นมาขณะที่ยังนั่งสมาธิ รูม่านตาของเขาหดเกร็งอย่างเห็นได้ชัด
“นี่คือ…ขั้นที่สามที่แท้จริงหรือ”
แม้เป็นสถานที่ที่ไกลออกไป อย่างภายในนพภูมิ สายตาคู่หนึ่งก็คล้ายจะมองทะลุทุกสิ่งอย่างมายังที่แห่งนี้เช่นกัน
………………………………………
“หวังเป่าเล่อ!” ชายชราชุดขาวของเต๋าเก้ารัฐหน้าเปลี่ยนสีรุนแรง ผู้อาวุโสสำนักใหญ่แห่งอื่นๆ ก็เช่นกัน แต่ละคนล้วนแผ่จิตสังหารออกมา ถ้ากล่าวว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองฝ่ายยังผ่อนปรนให้กันและกันอยู่ แต่ตอนนี้หวังเป่าเล่อกลับเลือกที่จะเลื่อนขั้นขึ้นจากดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรภายใต้การล้อมโจมตีและการบีบบังคับของพวกเขาเสียอย่างนั้น สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงทัศนคติของหวังเป่าเล่อแล้ว
และคำพูดของเขาก็ยิ่งทำให้โทสะในใจของพวกชายชราชุดขาวพวยพุ่ง ขณะนี้เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อกำลังจะเลื่อนขั้นได้อยู่รอมร่อ หลังจากทั้งห้ามองหน้ากันและกันก็ไม่มีความลังเลอีก พวกเขาลงมือพร้อมกัน กู่ร้องเลื่อนลั่นไปยังระบบสุริยะ
ปรมาจารย์แห่งไฟกำลังจะขัดขวาง เสียงของหวังเป่าเล่อก็สะท้อนขึ้นในอวกาศ
“อาจารย์ไม่จำเป็นต้องขัดขวาง ทั้งยังขอเชิญให้ท่านมาพักผ่อนอยู่ในระบบสุริยะด้วย ให้พวกเขาลงมือไปเถอะ หลังจากศิษย์เลื่อนขั้นแล้วจะไปเยี่ยมเยียนที่สำนักของพวกเขาทีละคนเองขอรับ”
ปรมาจารย์แห่งไฟหัวเราะลั่น สะบัดแขนเสื้อวงใหญ่ไปม้วนตัวลูกศิษย์ของตนและประมุขซิงอี้รวมถึงเทพวัวให้ถอยมาทันที ก่อนเข้าไปในระบบสุริยะ ขณะที่พวกเขาเข้าไปนั้น การโจมตีของห้าสำนักใหญ่รอบด้านก็พุ่งลงมาแล้ว
ท่ามกลางเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น โซ่มหาเต๋าเก้าเส้นของเต๋าเก้ารัฐก็แผ่ขยายอย่างไร้ที่สิ้นสุดทันที ก่อนจะพันล้อมระบบสุริยะเป็นชั้นๆ ราวกับปิดผนึกไว้โดยสมบูรณ์ ส่วนยักษ์ตนนั้นก็คว้าจับขวานแยกฟ้าเอาไว้ในชั่วพริบตา คาดไม่ถึงว่าสองสำนักนี้จะทำการผสานเต๋า จากนั้นมันก็ขว้างขวานไปยังเกราะกำบังจากแผ่นเลื่อนระดับโลกาของระบบสุริยะ
เสียงดังสะเทือนฟ้า แผ่นเลื่อนระดับโลกาซึ่งเป็นเกราะป้องกันระบบสุริยะสั่นสะเทือน แม้ว่าจะบุบลงไปแต่กลับไม่พังทลาย ทั้งยังฟื้นคืนกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันสะเก็ดดาวก็ทุ่มลงมาพร้อมเสียงดังสนั่น ทำให้ขอบของระบบสุริยะบุบลงไปมาก แต่ก็ยังไม่พังทลายเช่นกัน
จากนั้น การโจมตีจากจักรพิภพจำนวนหลายสิบคนก็ก่อตัวเป็นพายุกระบวนเวทพลังเทพทำให้ระบบสุริยะจมอยู่ในนั้น แต่ในฐานะที่แผ่นเลื่อนระดับโลกาเป็นสมบัติชั้นเลิศ แม้ว่าจุดขาดแหว่งจะถูกเสริมแบบลวงตา แต่เกราะป้องกันที่สร้างขึ้นมาก็ยังทำให้คนที่ลงมือโจมตีทั้งหมดตกตะลึงอย่างรุนแรงอยู่ในใจ
ในชั่วขณะหนึ่ง พวกเขากลับจนปัญญา ทำอะไรแผ่นเลื่อนระดับโลกาไม่ได้แม้เพียงนิด!
นี่ก็คือจุดแตกต่างระหว่างหวังเป่าเล่อกับอดีต เขาที่ผ่านประสบการณ์มากมายขนาดนี้มีความคิดเปลี่ยนไปไม่น้อย แม้เวลาทำเรื่องอะไรก็ยังไม่ขาดความโหดเหี้ยมและการเดิมพัน แต่โดยพื้นฐานแล้วกลับ…พิจารณาได้อย่างถี่ถ้วน!
การต่อสู้ในวันนี้ แม้ว่าจะมีจุดที่คลาดเคลื่อนกับแผนการของเขาอยู่บ้าง แต่นี่เป็นเพียงเรื่องของระดับพลังฝึกปรือเท่านั้น ถ้าหากพูดถึงการใคร่ครวญด้านความปลอดภัยแล้ว หวังเป่าเล่อมั่นใจถึงเก้าส่วน
ดังนั้นเขาจึงไม่แม้แต่จะมองผู้เยี่ยมยุทธ์ของแต่ละสำนักที่กำลังโจมตีระบบสุริยะอย่างบ้าคลั่งอยู่ข้างนอก และไม่สนใจคลื่นผันผวนที่สะท้อนอยู่ในระบบสุริยะซึ่งเกิดจากเสียงดังอึกทึกของโลกภายนอกด้วย
คลื่นความผันผวนเหล่านี้ย่อมมีผู้ฝึกตนในสหพันธรัฐลงมือจัดการเอง จิตใจทั้งหมดของหวังเป่าเล่อตอนนี้วางไว้ที่การทะลวงระดับของตน หลังจากเขาบรรลุพลังฝึกปรือร้อยขั้นของดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร เขาก็ไม่มีความลังเลแม้แต่นิด เมื่อสะสมจนถึงขีดสุดแล้วก็ระเบิดออกมาทันที
ลำแสงที่คล้ายมองไม่เห็นเป็นตัวแทนพลังฝึกตนของหวังเป่าเล่อ มันพุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องไปยังความว่างเปล่าได้รวดเร็วอย่างยิ่ง แม้ว่าจะเจออุปสรรคขวางกั้นไร้รูปจำนวนหนึ่งระหว่างการเลื่อนระดับ แต่เมื่ออุปสรรคขวางกั้นเหล่านี้ปะทะกับลำแสงสายนี้แล้วก็แตกสลายทันที ขวางกั้นไม่ได้เลยสักนิด
ทั่วทั้งกระบวนการนี้ใช้เวลาเพียงหนึ่งก้านธูป เมื่อพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อเลื่อนขั้นอย่างน่าตะลึง กระแสเต๋าบนร่างของเขาก็รุนแรงมากยิ่งขึ้น ผมของเขาปลิวไสว ร่างกายของเขาแผ่กลิ่นหอมจางๆ ออกมาในชั่วขณะนี้เอง
รอบกายของเขามีกฎเกณฑ์และกฎเวทปรากฏขึ้นเด่นชัด ระบบสุริยะเกิดการมีอยู่คล้ายตาข่ายจำนวนนับไม่ถ้วนเหนือตัวของเขา ด้านล่างของเขาเป็นความว่างเปล่า ตอนนี้มันก็กลอกกลิ้งไปมาเช่นกัน เขาอยู่ที่ใจกลางของระบบสุริยะ ทั่วทั้งระบบสุริยะล้วนหมุนวนอยู่รอบตัวของเขา
การหมุนวนนี้เริ่มเร็วขึ้นเรื่อยๆ กฎเกณฑ์และกฎเวทยิ่งปรากฏขึ้นอีกมากมาย อวกาศผืนนี้ก็ยิ่งส่งเสียงดังลั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ในที่สุดภายในร่างของหวังเป่าเล่อก็มีเสียงแตกหักดังออกมา!
ดวงดารานับหมื่นภายในร่างของเขา ตอนนี้ได้กลายเป็นดารานิรันดร์โดยสมบูรณ์แล้ว ใจกลางคือเต๋า รอบด้านรายล้อมด้วยเก้าเต๋าเหมือนกัน ประดับด้วยดาวหมื่นดวง หลังจากแต่ละดวงกลายเป็นดารานิรันดร์แล้วก็ขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง ทำให้อวกาศภายในร่างของเขาหมุนวนไปด้วย!
ขนาดของอวกาศแห่งนี้…น่าตกตะลึงยิ่งนัก เพราะดาราจักรนับหมื่นทุกแห่งในนั้นล้วนไม่เล็กและไม่อ่อนแอ ต่างก็เกิดจากการวิวัฒนาการของดาราจักรพิเศษ ก่อตัวเป็นวังวนดวงดาวแห่งแล้วแห่งเล่า จนกระทั่ง…วังวนดวงดาวเหล่านี้ภายในร่างของหวังเป่าเล่อได้เข้ามารวมกันแล้วเกิดเป็น…จักรพิภพ!!
ขณะที่เกิดเสียงดังอึกทึก ผมของหวังเป่าเล่อปลิวไสวอีกครั้ง วิญญาณเทพของเขาเปลี่ยนรูป กายเนื้อของเขาแผ่ประกายแสงแรงกล้าออกมา พลังฝึกปรือของเขาเลื่อนขั้นเป็นจักรพิภพ และในขณะนี้เอง สามอย่างนี้ก็ผสานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว
วิญญาณเทพ กายเนื้อ พลังฝึกตน ทั้งหมดรวมเป็นหนึ่ง!!
ไม่แยกกันและกัน ไม่มีพลังวิญญาณเทพเดี่ยวๆ อีก ไม่มีอานุภาพกายเนื้ออันเรียบง่ายอีก และไม่มีความผันผวนของพลังฝึกตนอย่างปกติอีกต่อไป หลังจากทั้งหมดผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ทุกการเคลื่อนไหวของหวังเป่าเล่อก็แฝงไว้ซึ่งพลังแห่งวิญญาณเทพ แฝงไว้ซึ่งอานุภาพของกายเนื้อ และแฝงไว้ซึ่งความผันผวนของพลังฝึกตน
ทั้งหมดนี้ทำให้กระแสเต๋าของเขาระเบิดออกมาในพริบตา และด้านหลังของเขาก็ก่อตัวเป็นเทพวัวอันน่าตกตะลึงซึ่งมีขนาดเกินกว่าระบบสุริยะและถึงขั้นใหญ่ทะลุออกไปด้านนอกขึ้นมาทันที
ต่อให้เป็นร่างจริงของเทพวัว หากตอนนี้นำมาเปรียบเทียบกันแล้วก็คล้ายจะสู้ไม่ได้อยู่สักหน่อย ราวกับนี่ต่างหากคือเทพวัวตัวจริง แต่สิ่งเหล่านี้ยังไม่ถือว่าเสร็จสมบูรณ์ บนหลังของเทพวัวตัวนี้มีเงาเลือนรางของหวังเป่าเล่อปรากฏขึ้นทันใด เขานั่งทำสมาธิ ดวงตาปิดลง คลื่นความผันผวนแผ่ขยายไปทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย
ตอนนี้เอง กฎเกณฑ์และกฎเวทของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ดาราจักรทั้งหมด อวกาศทั้งหมด ดวงดาราทั้งหมดล้วนสั่นสะเทือนเบาๆ ตอนนี้ภายในใจของผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนแปรปรวนขั้นรุนแรง คล้ายจะมีเสียงหนึ่งดังสะท้อนเข้ามาในหัวของสรรพชีวิตในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายว่า
“เต๋าของข้าคืออิสรเสรี!”
“เสียงของมหาเต๋า นี่มันเป็นไปไม่ได้!” แทบจะในชั่วพริบตาที่เสียงของหวังเป่าเล่อดังสะท้อนขึ้นในใจของสรรพชีวิตภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายนั้น ตอนนี้ผู้คนด้านนอกระบบสุริยะหยุดโจมตีเพราะความตกตะลึงไปนานแล้ว จักรพิภพทั้งหมดถอยร่นอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครที่ไม่หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง
ชายชราชุดขาวของเต๋าเก้ารัฐผู้นั้นยิ่งเหมือนกับมองเห็นผี แม้แต่พลังสมาธิของเขาก็ไม่อาจควบคุมตัวเองได้จึงส่งเสียงร้องอุทานออกมา
“มีเพียงเลื่อนขั้นเป็นจักรพรรดิสวรรค์เท่านั้นถึงจะแพร่เสียงแห่งมหาเต๋าไปให้สรรพชีวิต เจ้า เจ้า เจ้า…เจ้าแค่เลื่อนขั้นเป็นจักรพิภพเท่านั้น จะเป็นไปได้อย่างไร!”
“แม้แต่ร่างเต๋าแรกเริ่มในตำนานก็ไม่มีทางทำถึงขั้นนี้ได้ เว้นเสียแต่…เว้นเสียแต่ว่าเดิมทีระดับชีวิตของตัวเจ้าอยู่เหนือกว่าระดับจักรพรรดิสวรรค์แล้ว ดังนั้นยามเลื่อนขั้นเป็นจักรพิภพถึงปรากฏเสียงแห่งมหาเต๋าล่วงหน้า!”
“บนตัวเจ้ายังมีความลับอยู่ เจ้า…เจ้า…เจ้าไม่ใช่หวังเป่าเล่อ ไม่ใช่ผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐ เจ้าเป็นใครกันแน่!!”
ชายชราชุดขาวเป็นบ้าไปแล้ว ผู้อาวุโสจากสี่สำนักใหญ่ข้างกายเขาก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออกเช่นกัน ถึงขั้นหนังศีรษะชา ในใจโอดครวญว่าถ้าหากพวกเขารู้ตั้งแต่แรกว่าหลังจากหวังเป่าเล่อเลื่อนระดับแล้วจะมีเสียงแห่งมหาเต๋าออกมาล่ะก็ พวกเขาจะไม่มีทางขัดขวางสักนิด
เพราะเสียงของมหาเต๋าหมายความว่าเต๋าของคนผู้นั้นถูกเขียนอยู่ในระดับกฎเวทของจักรวาล แม้ว่าระดับของกฎเวทนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของเต๋าสวรรค์ แต่กลับไม่ใช่สิ่งที่เต๋าสวรรค์จะไปมีอิทธิพลได้ นั่นคือพื้นฐานของทุกสิ่งเชียวนะ!
และเต๋าที่มีสิ่งนี้อยู่ ไม่ว่าจะระดับใด…ก็เท่ากับครอบครองพลังแห่งจักรพรรดิสวรรค์ระดับจักรวาลส่วนหนึ่งเอาไว้!
ระดับจักรวาลคือร่างกายตนมีจักรวาลแฝงอยู่ เพราะเหตุนี้จึงเรียกว่าเป็นจักรพรรดิสวรรค์ ด้วยพลังแห่งสวรรค์ ด้วยอำนาจแห่งจักรพรรดิ จึงทำให้สรรพชีวิตในจักรวาลไม่อาจสู้ ไม่อาจมอง และไม่อาจสั่นคลอน!
แต่ตอนนี้ ยามที่พวกเขามองไปยังธรรมกายของหวังเป่าเล่อที่เผยให้เห็นชัดเจนอยู่ด้านนอก พวกเขาล้วนรู้สึกแสบตาราวกับจะมีเลือดไหลออกมา ในใจเกิดคลื่นยักษ์มโหฬารสาดซัดแล้วพากันถอยร่น
ปรมาจารย์แห่งไฟก็ตะลึงเช่นกัน เขามองหวังเป่าเล่ออย่างทึมทื่อ สมองเกิดเสียงอื้ออึง แล้วมองไปยังศิษย์ใหญ่กับเทพวัวที่แปลงมาจากร่างแยกของตนโดยไม่รู้ตัว
“ข้าสั่งสอนจักรพรรดิสวรรค์คนหนึ่งออกมาหรือ”
“อืม ท่านสุดยอดมาก” วัวเฒ่า
“สุดยอด!” ศิษย์พี่หญิงใหญ่
“อาจารย์น่าเกรงขามนัก…” ศิษย์พี่รองครุ่นคิดแล้วเอ่ยเสียงต่ำ
ขณะที่ปรมาจารย์แห่งไฟมองตาปริบๆ อยู่ตรงนี้ ชั่วพริบตาที่ผู้เยี่ยมยุทธ์จากห้าสำนักใหญ่ด้านนอกถอยร่นออกไปอย่างรวดเร็วนั้น ธรรมกายของหวังเป่าเล่อที่มีขนาดใหญ่ยิ่งกว่าระบบสุริยะก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“พวกเจ้าไม่อิสระ”
“พวกเจ้าไม่เสรี”
………………………
ขณะที่พลังฝึกตนของหวังเป่าเล่อเลื่อนระดับถึงดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรระดับเก้าสิบห้าขั้น จักรพิภพสิบกว่าคนที่อยู่ตรงจุดขาดแหว่งของแผ่นเลื่อนระดับโลกาก็ส่งเสียงกรีดร้องเจ็บปวด ร่างกายแห้งเหี่ยวในพริบตา จากนั้นก็คล้ายจะกลายเป็นฝุ่นธุลีที่สลายหายไปกลางอวกาศ
ร่างกายของพวกเขา พลังชีวิตของพวกเขา ดวงวิญญาณเทพของพวกเขา พลังฝึกตนของพวกเขา ตลอดจนทุกสิ่งทุกอย่าง ขณะนี้ล้วนถูกสังเวยออกมาทั้งหมดเพื่อเสริมให้มุมที่ขาดแหว่งของแผ่นเลื่อนระดับโลกา
แต่…แม้ว่าจะสังเวยพวกเขาแล้วก็ยังไม่อาจเสริมจุดที่ขาดหายไปของแผ่นเลื่อนระดับโลกาได้อย่างสมบูรณ์
การเติมเต็มอย่างแท้จริงคือการซ่อมแซมตัวจริงของมันเพื่อให้แผ่นเลื่อนระดับโลกาสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง จุดนี้ยากเกินไป ตามการคาดคะเนของหวังเป่าเล่อ คิดจะทำสิ่งนี้ได้ จำนวนของจักรพิภพที่นำมาสังเวยจะต้องอยู่ในระดับที่น่าตกตะลึง แน่นอนว่าถ้าหากมีความสามารถนำจักรพรรดิสวรรค์ระดับจักรวาลคนหนึ่งมาสังเวยได้ก็เป็นไปได้เช่นกัน
นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งวิธี นั่นก็คือตามหาสมบัติฟ้าดินอันล้ำค่าอย่างที่สุดมาจำนวนหนึ่ง หรือไม่ก็วิญญาณที่มีจิตพิเศษซึ่งแฝงด้วยกระแสแห่งกาลเวลาอันเข้มข้นจากทั่วทั้งโลกแห่งศิลา
ดูคล้ายจะมีวิธีการมากมาย แต่ความจริงแล้วแต่ละอย่างล้วนแทบจะทำไม่ได้เลย
ดังนั้นก่อนหน้านี้หลังจากหวังเป่าเล่อศึกษาแผ่นเลื่อนระดับโลกา เขาก็คิดได้ถึงวิธีการอย่างหนึ่ง นั่นก็คือไม่เติมเต็มส่วนที่ขาดไป แต่ควบคุมเครือข่ายลวงตา ใช้ประโยชน์จากปราณวิญญาณและวิญญาณเทพจำนวนมากมาเติมเต็มช่องว่างของแผ่นเลื่อนระดับโลกาให้ดูสมบูรณ์แบบขึ้น
จากนั้นนำมาหนุนนำตัวเองให้ทะลวงถึงระดับจักรพิภพ แต่…หลังจากตอนนี้ที่พลังฝึกปรือเลื่อนขั้นถึงดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรเก้าสิบห้าขั้น หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงการขาดพลังดำเนินต่อไปของแผ่นเลื่อนระดับโลกาแล้ว
เมื่อพิจารณาดู การสังเวยจักรพิภพสิบกว่าคนเหล่านั้นมากที่สุดก็แค่เติมเต็มส่วนที่ขาดไปของแผ่นเลื่อนระดับโลกาแค่หกส่วนเท่านั้นเอง
“น่าเสียดาย!” หวังเป่าเล่อถอนหายใจเสียงเบา รู้สึกเสียใจเล็กน้อย แต่…สำหรับจอมพลังจากสำนักและตระกูลที่อยู่ด้านนอกระบบสุริยะแล้ว ความตื่นตะลึงที่มาพร้อมกับภาพนี้กลับรุนแรงอย่างยิ่ง
“นี่…นี่มัน…”
“ช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก!!”
“ดึงดันสังเวยผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพเพื่อมาเติมส่วนที่ขาดหาย หวังเป่าเล่อ เจ้าจะชั่วร้ายเกินไปแล้ว!”
เสียงคำรามต่ำอย่างตื่นตกใจหลายเสียงดังออกมาจากจอมพลังของสำนักเหล่านั้นที่อยู่นอกระบบสุริยะ ดวงตาของชายชราชุดขาวของเต๋าเก้ารัฐก็หดเกร็ง ตกตะลึงด้วยภาพการสังเวยของหวังเป่าเล่อ ร่างกายสั่นไหวจนเซถอยหลัง ยามที่จ้องมองไปยังระบบสุริยะ จักรพิภพชั้นปลายของอีกสี่สำนักก็ล่าถอยอย่างรวดเร็ว
ปรมาจารย์แห่งไฟไม่ได้ขัดขวาง เขาแค่นเสียงเย็นออกมาแล้วยืนอยู่นอกระบบสุริยะ ตอนนี้ศิษย์ใหญ่ของเขาและศิษย์คนรอง รวมถึงเทพวัวก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว ทางด้านประมุขซิงอี้ลังเลเล็กน้อยแต่ก็เข้ามาประสานหมัดคำนับให้ปรมาจารย์แห่งไฟเช่นกัน
ปรมาจารย์แห่งไฟยิ้มบางพลางพยักหน้า จากนั้นยามที่มองไปยังพวกเต๋าเก้ารัฐ ในแววตาก็เผยประกายเย็นเยียบออกมา
“มาสิ เข้ามาสิ ครั้งนี้พวกเจ้าไม่ขัดขวางแล้วหรือ”
ชายชราชุดขาวของเต๋าเก้ารัฐขมวดคิ้วมุ่น ตอนนี้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย ถ้าหากลงมือก็กังวลว่าแผ่นเลื่อนระดับโลกานี้จะยังมีแรงดึงดูดอยู่ ถ้าไม่ลงมือ การยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อก็ไม่ใช่วิธีการอะไร
ผู้อาวุโสจากสำนักใหญ่อีกสี่สำนักก็มีสีหน้าอึมครึมเช่นกัน ก่อนหน้านี้ถึงแม้พวกเขาจะเดาว่าจุดขาดแหว่งนั่นอาจมีอันตราย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าอันตรายนี้จะเป็นการสังเวย
โชคดีที่ในประสาทสัมผัสของพวกเขาตรวจพบชัดเจนว่าพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์ยังไม่ได้บรรลุถึงระดับเต็มขั้นอย่างสมบูรณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็นับว่าพวกเขาบรรลุเป้าหมายแล้ว
“หวังเป่าเล่อ ครั้งนี้ถ้าเจ้ารับปากพวกข้าสองสามข้อ พวกข้าไม่เอาแผ่นเลื่อนระดับโลกาก็ได้ อีกทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็จะต้อนรับการเลื่อนขั้นสหพันธรัฐของเจ้า ยอมรับสถานะของสหพันธรัฐของเจ้า สองฝ่ายเป็นพันธมิตร ไม่มีการต่อสู้อีก!” ผ่านไปพักหนึ่ง ชายชราชุดขาวของเต๋าเก้ารัฐก็เอ่ยขึ้นทันที
หวังเป่าเล่อยังไม่ทันได้ตอบกลับ ชายชราชุดขาวก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“หนึ่ง เจ้าต้องเลื่อนระดับถึงจักรพิภพทันที ไม่อาจสะสมพลังให้สมบูรณ์ต่อไปได้!”
“สอง ภายในหมื่นปีสหพันธรัฐห้ามขยายตัวอีก ให้รักษารูปแบบเช่นนี้เอาไว้!”
“สาม เจ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งของสภาจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย หากพบศัตรูภายนอกจงร่วมมือกันจัดการ!”
“สามเงื่อนไขนี้ ถ้าหากเจ้าตอบรับ สภาจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายจะมอบสิทธิให้แก่สหพันธรัฐของเจ้า ทั้งยังได้รับการปกป้องจากจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายด้วย แต่ถ้าหากไม่ยอมรับ…วันนี้พวกข้าจะลงมือเต็มกำลังเพื่อทำลายสหพันธรัฐของเจ้า!” เมื่อชายชราชุดขาวเอ่ยออกมา กลิ่นอายของจักรพิภพชั้นมหาวัฏจักรทั่วร่างก็พวยพุ่งมโหฬาร จักรพิภพคนอื่นๆ ของเต๋าเก้ารัฐที่อยู่ข้างกายเขาก็ทำเช่นเดียวกัน ทำให้อวกาศคล้ายสั่นสะเทือน ทันใดนั้นโซ่มหาเต๋าเก้าเส้นเปลี่ยนรูปอีกครั้งแล้วปกคลุมไปทั้งสี่ทิศ ราวกับต้องการจะกักขังระบบสุริยะเอาไว้ภายใน
สี่สำนักที่เหลือก็ทำเช่นเดียวกัน ในพริบตา หม้อใหญ่ก็ส่งเสียงเลื่อนลั่น ยักษ์ร้องคำราม ขวานแยกฟ้าและสะเก็ดดาวแผ่อานุภาพเต๋าอนันต์ออกมา ราวกับจะแช่แข็งการเคลื่อนไหวปราณทั้งหมดของระบบสุริยะ
จักรพิภพเกินกว่าห้าสิบคนรายล้อมอยู่รอบๆ อานุภาพของแต่ละคนสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ทำให้อวกาศ ณ ที่แห่งนี้ถูกบีบอัดรุนแรงจนแสดงร่องรอยพังทลายออกมา
เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ ต่อให้เป็นปรมาจารย์แห่งไฟก็ยังมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นเล็กน้อย เทพวัวและศิษย์ใหญ่ของเขาที่อยู่ด้านหลังก็มีอาการเช่นเดียวกันเพราะต่างก็เป็นร่างแยกของเขา มีเพียงทางด้านศิษย์คนรองเท่านั้นที่หน้าตาไร้อารมณ์ แต่แววตากลับมีความแน่วแน่ปรากฏอยู่
ส่วนประมุขซิงอี้ก็หรี่ตาลงคล้ายชั่งน้ำหนักอยู่ในใจ แต่สุดท้ายไม่รู้นึกถึงอะไร ในดวงตาจึงฉายแววตัดสินใจได้แล้ว จิตวิญญาณการต่อสู้จึงพุ่งทะยานขึ้น
สองฝ่ายเผชิญหน้ากัน จู่ๆ ปรมาจารย์แห่งไฟก็ส่งดวงจิตเทพไปให้กับหวังเป่าเล่อในใจ
“เป่าเล่อ ครั้งนี้อาจารย์ประมาทเลินเล่อ ใช้วิธีการสุดท้ายของเจ้าเถอะ ต้องการให้อาจารย์สังเวยพลังฝึกปรือส่วนหนึ่งเพื่อเติมเต็มจุดที่ขาดไปหรือไม่”
“อาจารย์เป็นห่วงศิษย์ จะเรียกว่าประมาทเลินเล่อได้อย่างไร ในใจของศิษย์ซาบซึ้งนักขอรับ เรื่องนี้ขอบคุณท่านอาจารย์มาก เป็นศิษย์เองที่วางแผนได้ไม่แม่นยำ ไม่โทษท่านอาจารย์ขอรับ!” หวังเป่าเล่อลุกขึ้นยืนจากการนั่งขัดสมาธิแล้วเงยหน้ามองไปนอกระบบสุริยะ เขาคำนับอย่างล้ำลึกให้กับทางฝั่งอาจารย์ของตนก่อน
ยามที่หยัดกายกวาดมองผู้เยี่ยมยุทธ์อย่างพวกเต๋าเก้ารัฐ แววตาของหวังเป่าเล่อก็เผยจิตสังหารออกมา เรื่องวันนี้ถึงแม้เขาจะวางกลอุบายกับสำนักเหล่านี้ แต่ถ้าหากพวกเขาไม่มาก็ย่อมไม่เกิดเรื่องเช่นก่อนหน้านี้ขึ้นหรอก
“ยังขาดไปหน่อย…” แววตาของหวังเป่าเล่อเผยความแน่วแน่ เขาก็ไม่ใช่พวกลังเลไร้ความเด็ดขาด แม้ว่าแผนการต่อไปจำเป็นต้องได้ความช่วยเหลือจากอาจารย์ แต่จะต้องไม่ส่งผลใดๆ ต่ออาจารย์ เพียงจำกัดให้เขาอยู่แค่สหพันธรัฐชั่วครู่เท่านั้น
ในชั่วครู่ก็เพียงพอจะให้ตนตามหาวิธีอื่นมาทดแทนได้แล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็ส่งดวงจิตเทพออกไปทันที
“ไม่จำเป็นต้องให้อาจารย์จัดการด้วยตัวเอง แค่ฉุดดึงดาราจักรไฟเข้ามาสยบจุดขาดแหว่งของแผ่นเลื่อนระดับโลกา ก็พอ วิธีการนี้จะทำให้ดาราจักรไฟสูญเสียปราณวิญญาณเล็กน้อย แต่มากที่สุดครึ่งปี ศิษย์สามารถหาของมาทดแทนได้ เมื่อปล่อยดาราจักรไฟออกมามันก็จะเสริมปราณวิญญาณที่เสียไป เพียงแต่ในครึ่งปีนี้ ศิษย์เกรงว่าอาจารย์จะถูกจำกัดให้อยู่แต่ในสหพันธรัฐเพราะดาราจักรไฟมาสยบจุดขาดหาย…ศิษย์…”
“เรื่องเล็กแค่นี้เองหรือ” ปรมาจารย์แห่งไฟหัวเราะ ไม่ได้ใส่ใจเลยสักนิด ถึงขั้นที่ไม่ได้ฟังประโยคส่วนหลังของหวังเป่าเล่อด้วยซ้ำ เขายกมือขวาขึ้นทันใดแล้วคว้าจับไปที่ความว่างเปล่า
เมื่อคว้าจับลงไป ดวงแสงเปลวเพลิงก็ปรากฏออกมาจากว่างเปล่าแล้วถูกปรมาจารย์แห่งไฟจับเอาไว้ในมือ จากนั้นก็โยนไปทางจุดขาดหายตามอำเภอใจ
ดวงแสงจากเปลวเพลิงรวดเร็วอย่างยิ่ง หลังจากมาถึงจุดขาดหายในพริบตามันก็ขยายตัวขึ้นโดยพลัน ทันใดนั้นเกิดเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นจากความว่างเปล่า ดวงไฟขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ชั่วพริบตาก็มีขนาดเท่ากับจุดขาดหายแล้ว เปลวเพลิงในนั้นม้วนตัว มองเห็นได้ว่าข้างในมีดาราจักรขนาดกว้างใหญ่ไพศาลสถิตอยู่
นั่นก็คือ…ดาราจักรไฟ
ภาพนี้ทำให้พวกชายชราชุดขาวตกใจ สีหน้าเปลี่ยนไปทันทีแล้วคิดจะเข้าขัดขวาง แต่เห็นได้ชัดว่าทำไม่ได้ พริบตาต่อมา…เมื่อดวงแสงของเปลวเพลิงปรากฏขึ้น มันก็ตรงไปสยบจุดขาดหาย
เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังสนั่นฟ้า ระบบสุริยะสั่นสะเทือนรุนแรง ภายในดวงแสงเปลวเพลิงได้ระเบิดปราณวิญญาณอันน่าตะลึงออกมาทันที ปราณวิญญาณเหล่านี้แผ่ขยายอย่างรวดเร็วแล้วก่อตัวเป็นเส้นสายมากมายแพร่กระจายไปยังมุมที่ขาดหาย ทำให้ส่วนที่ขาดหายซึ่งถูกเติมเต็มไปหกส่วนได้รับการเสริมเข้ามาจนสมบูรณ์ขึ้นในพริบตา!
แม้ว่ายังไม่ได้สมบูรณ์ในรูปลักษณ์จริง แต่หากดูจากมุมที่ถูกเติมเต็มก็นับว่าสมบูรณ์แบบแล้ว!
และขณะที่ถูกเสริมจนสมบูรณ์นั้น แผ่นเลื่อนระดับโลกาก็ส่งเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น พลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อก็ยกระดับอีกครั้งจากเดิมที่หยุดอยู่ ณ เก้าสิบห้าขั้น
เก้าสิบหกขั้น!
เก้าสิบเจ็ดขั้น!
เก้าสิบแปดขั้น!
เก้าสิบเก้าขั้น!
จนถึง…หนึ่งร้อยขั้น!!
ผมของหวังเป่าเล่อปลิวไสว ขณะที่อานุภาพเลื่อนระดับขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัดและท่ามกลางจิตใจที่สั่นสะท้านของทุกคนที่อยู่นอกระบบสุริยะ ประกายแสงภายในดวงตาของเขาก็ระเบิดออกมาในพริบตาแล้วเอ่ยขึ้นทันที
“อาศัยอะไรให้พวกเจ้ามามอบเงื่อนไขสามอย่างให้ข้า แทนที่จะเป็นข้ามอบเงื่อนไขสามอย่างให้พวกเจ้า วันนี้…ข้าแซ่หวังก้าวสู่จักรพิภพ!!”
เมื่อเขาเอ่ยขึ้น ภายในร่างของเขาก็มีเสียงอวกาศดังกึกก้องขึ้นมาสั่นคลอนมหาเต๋า ทำให้ทั่วทั้งระบบสุริยะรวมเป็นหนึ่งเดียวในชั่วพริบตาแล้วผสานเข้ากับร่างกายของเขา กฎเกณฑ์จำนวนนับไม่ถ้วนในร่างระเบิดออกมาอย่างบ้าคลั่ง!
…………………..
เมื่อชายชราชุดขาวของเต๋าเก้ารัฐเอ่ยออกมา ทันใดนั้นผู้เยี่ยมยุทธ์จากแต่ละสำนักในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายที่เพิ่งมาถึงก็พากันขมวดคิ้ว แต่ละคนลังเลไม่ก้าวเข้าไป
“หืม?” ชายชราชุดขาวหรี่ตาลงแล้วมองมา
เมื่อสายตาของเขากวาดผ่าน จักรพิภพจากเจ็ดแปดสำนักที่มาถึงเหล่านั้นก็ใจสั่นสะท้านตามๆ กัน เป็นเพราะการจับจ้องจากจอมพลังระดับจักรพิภพชั้นมหาวัฏจักรนั้นไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ จะทนได้เลย
“ผู้อาวุโสสามเต๋า ไม่รู้ว่าปรมาจารย์เก้าเต๋าผู้สูงส่งออกจากด่านหรือยัง” ผู้ฝึกตนระดับจักรพิภพชั้นกลางสูงสุดคนหนึ่งในหมู่จักรพิภพจากแต่ละสำนักที่ถูกจับจ้องกัดฟันเอ่ยถาม
“สามารถออกมาได้ทุกเมื่อ!” ชายชราชุดขาวขมวดคิ้ว เมื่อเร็วๆ นี้จู่ๆ ก็มีข่าวลือไม่ดีเกี่ยวกับปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐของเขามากมาย กล่าวว่าปรมาจารย์เก้าเต๋าไม่ได้มีพลังต่อสู้ระดับจักรพรรดิสวรรค์ ทำให้เต๋าเก้ารัฐอารมณ์เสียมาก ทั้งยังหาที่มาของข่าวลือนี้ไม่พบ ตอนนี้เขาจึงสะบัดแขนเสื้อ ยกมือขวาขึ้นมา ในมือมีแผ่นหยกโบราณประณีตหนึ่งแผ่นปรากฏ เขาบีบมันเบาๆ ทันใดนั้น กระแสเต๋ามโหฬารก็แผ่กระจายออกมาทันที
กระแสเต๋านี้เกินกว่าจักรพิภพไปแล้ว มันคือระดับจักรวาล และเป็นระดับขั้นจักรพรรดิสวรรค์ เมื่อมันแผ่ออกมา แววตาชายชราชุดขาวก็เผยประกายแสงเฉียบคม
“พวกเจ้ายังไม่ไปทำลายส่วนที่ขาดหายอีก!”
ผู้ฝึกตนระดับจักรพิภพที่เอ่ยถามก่อนหน้านี้หน้าเปลี่ยนสี หน้าผากมีเหงื่อเย็นไหลออกมา
ระยะนี้มีข่าวลือมากมายเกี่ยวกับปรมาจารย์เก้าเต๋าระดับจักรวาลผู้นั้นของเต๋าเก้ารัฐ บ้างก็บอกว่าปรมาจารย์เก้าเต๋าผู้นี้มรณภาพขณะนั่งสมาธิ บ้างก็ว่าอีกฝ่ายกลับมายังโลกเพื่อหลีกเลี่ยงการกลับชาติมาเกิด ดังนั้นจึงถูกสำนักแห่งความมืดสยบไว้ ทั้งยังมีที่บอกว่าอีกฝ่ายไม่อาจก้าวออกจากประตูภูเขาของเต๋าเก้ารัฐได้ เรื่องนี้แพร่กระจายไปทั่วจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ทำให้จิตใจของสำนักทั้งหลายสั่นสะท้านรุนแรง
ถึงขั้นที่มีผู้เยี่ยมยุทธ์ไปทำนายความลับสวรรค์ แม้ว่าคำตอบที่ได้จะพร่าเลือน แต่ก็ชี้ไปที่เรื่องมรณภาพขณะนั่งสมาธิได้รางๆ แม้แต่ตอนนี้ ถึงกระแสเต๋าที่แผ่นหยกแผ่ออกมาจะเป็นระดับจักรวาลจริงๆ ก็ยังไม่แน่ใจเต็มร้อย แต่ก็ไม่กล้าเดิมพัน
ดังนั้นผู้ฝึกตนระดับจักรพิภพชั้นกลางคนนี้จึงรีบกัดฟันคำนับทันที
“รับบัญชา!” กล่าวพลางสายตาของเขาก็ฉายแววตัดสินใจ เมื่อมองไปยังระบบสุริยะก็มีจิตสังหารส่องวาบแล้วพุ่งออกไปเป็นคนแรก จักรพิภพแต่ละสำนักเหล่านั้นด้านหลังของเขาก็ไม่กล้าพูดมาก พากันพุ่งตามไป หนึ่งคณะเจ็ดคนเข้ามาใกล้ระบบสุริยะในพริบตา ก่อนจะก้าวเข้าไปยังจุดขาดแหว่งของแผ่นเลื่อนระดับโลกาซึ่งปกคลุมระบบสุริยะอยู่
เพิ่งจะเข้ามา เจ็ดคนนั้นก็ลงมือทันที พลังฝึกปรือระดับจักรพิภพระเบิดออกแล้วโจมตีกำแพงเกราะป้องกัน
ทันใดนั้น แผ่นเลื่อนระดับโลกาที่เลือนรางก็แจ่มชัดขึ้นมาจากความโปร่งใสอย่างช้าๆ ท่ามกลางการสั่นสะเทือนรุนแรงนั้น ทางฝั่งปรมาจารย์ซิงอี้และศิษย์พี่หญิงใหญ่ รวมถึงศิษย์พี่รองและเทพวัว แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะถอยร่นอย่างต่อเนื่องจนไม่อาจขัดขวางไว้ได้ทั้งหมด แต่…ขณะที่ยังคงสกัดกั้นสำนักใหญ่ห้าอันดับแรกซึ่งรวมไปถึงเต๋าเก้ารัฐอยู่นั้น สำนักแต่ละแห่งก็ส่งผู้ฝึกตนหนึ่งหรือสองคนไปโจมตีเกราะป้องกันของแผ่นเลื่อนระดับโลกาของระบบสุริยะแล้ว
ส่วนคนที่เหลือไม่ได้เข้าไปใกล้
ภายในระบบสุริยะตอนนี้ แม้ว่าพลังฝึกตนผันผวนบนร่างของหวังเป่าเล่อจะเลื่อนจากห้าสิบกว่าขั้นจนใกล้ถึงเจ็ดสิบขั้นและมีพลานุภาพน่าตกตะลึงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไปไม่ถึงทั้งหมด
หวังเป่าเล่อถอนหายใจ
แผ่นเลื่อนระดับโลกาไม่สมบูรณ์แบบ ขาดไปมุมหนึ่ง ถ้าหากหวังเป่าเล่อเพียงแค่เลื่อนระดับเป็นจักรพิภพปกติ การที่แผ่นเลื่อนระดับโลกาผสานเข้าสู่สหพันธรัฐย่อมเพียงพอจะหนุนนำการทะลวงของเขาได้อยู่แล้ว ถึงขั้นที่ยังไม่ต้องพูดถึงตัวเขาแค่คนเดียว ต่อให้เพิ่มขึ้นคนมากกว่านี้ก็ยังเพียงพอ
แต่การเลื่อนระดับของเขาครั้งนี้มีสิ่งที่จำเป็นต้องใช้มากนัก เทียบได้กับหนึ่งร้อยเท่าของจักรพิภพธรรมดา ดังนั้นมุมที่ขาดไปมุมนี้จึงสำคัญมาก หวังเป่าเล่อก็ไม่มั่นใจว่าเขาจะทำสำเร็จด้วย
ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวที่จะเปิดเผยการเลื่อนขั้นขึ้นสูงของตนออกมาภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน สิ่งที่เขาต้องการก็คือดึงดูดความสนใจของผู้คน เขาต้องทำให้สำนักและตระกูลทั้งหลายของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายเกิดความรู้สึกถึงวิกฤตอันตราย ไม่ว่าจะเพื่อแผ่นเลื่อนระดับโลกา หรือเพื่อขัดขวางตัวของเขาก็ตาม ขอเพียงที่พวกเขามา ขอเพียงพวกเขาก้าวเข้ามาในแผ่นเลื่อนระดับโลกาเท่านั้น…
หวังเป่าเล่อก็จะมีความมั่นใจว่าจะยืมพลังชีวิตของพวกเขามาทำให้แผ่นเลื่อนระดับโลกาเข้าใกล้ความสมบูรณ์แบบอย่างไร้ขีดจำกัดในช่วงสั้นๆ และทำให้ส่วนที่ขาดไประหว่างการเลื่อนระดับถูกเสริมเข้ามาได้
นี่คือแผนแรกเริ่มของหวังเป่าเล่อหลังจากกลับมายังสหพันธรัฐและศึกษาทำความเข้าใจแผ่นเลื่อนระดับโลกานี้แล้ว เพราะเขาได้พบว่าแผ่นเลื่อนระดับโลกานี้…แฝงไว้ซึ่งวิชาเคลื่อนจักรวาล ขณะเดียวกัน เนื่องจากมันมีส่วนที่ขาดแหว่งอยู่ ดังนั้นทันทีที่ใช้งานมัน…ส่วนขาดแหว่งก็จะเป็นจุดที่ร้ายกาจที่สุดจริงๆ!
เพียงแต่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ศิษย์พี่รอง และเทพวัว รวมไปถึงประมุขซิงอี้ แม้ไม่ได้ตั้งใจจะเผยจุดอ่อนทั้งยังไร้พลังขัดขวางจริงๆ แต่…เต๋าเก้ารัฐและสำนักใหญ่อีกสี่สำนักที่เหลือกลับไม่เสี่ยง ยังคงระมัดระวัง สั่งให้จักรพิภพของสำนักอื่นๆ เข้ามาตรวจสอบก่อน
แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานจนเริ่มระแคะระคาย ความพยายามก่อนหน้านี้ของตนก็ต้องสูญเปล่าแล้ว ยังมีอีกเรื่อง ตอนนี้หวังเป่าเล่อสามารถคาดเดาได้ว่าแผ่นเลื่อนระดับโลกาที่ไม่สมบูรณ์นี้ มากที่สุดก็หนุนนำให้ตนไปถึงระดับเจ็บสิบขั้นเท่านั้น ถึงอย่างไรระหว่างความสมบูรณ์และความไม่สมบูรณ์ สิ่งที่ขาดไปนั้นไม่ใช่แค่ส่วนแหว่งหายไปส่วนเดียว แต่เป็นการเสริมพลังรอบด้านหลังจากรวมเป็นหนึ่งโดยสมบูรณ์ต่างหาก
“เป็นข้าที่คิดง่ายไป ต่อให้อาจารย์ไม่มา ก็เกรงว่าคนพวกนี้คงไม่ยอมเสี่ยง ผลสุดท้ายก็ยังคงเป็นเช่นนี้…” หวังเป่าเล่อลอบถอนหายใจ รู้สึกเสียใจเล็กน้อย มุมขาดหายตอนนี้มีแค่จักรพิภพเจ็ดคนเท่านั้น ส่วนอื่นๆ ของแผ่นเลื่อนระดับโลกาก็มีอยู่แค่หกคน
พอรวมกันแล้วก็มีจักรพิภพอยู่สิบสามคน นอกจากชั้นกลางสูงสุดคนหนึ่งแล้ว คนที่เหลือล้วนเป็นชั้นต้น
“ถ้าหากมีเพิ่มอีกสิบคน…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ตอนนี้เอง ปราการที่จุดขาดแหว่งก็เกิดเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น จักรพิภพเจ็ดคนในนั้นลงมือเต็มกำลัง เมื่อเห็นปราการกำลังจะถูกทำลาย ผู้ฝึกตนระดับจักรพิภพชั้นกลางคนเดียวในนั้นก็บังเกิดความประหลาดใจขึ้นในดวงตา จากนั้นคล้ายจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจึงหน้าเปลี่ยนสี ร่างกายถอยหลังกลับทันที
แต่ขณะที่เขาสังเกตเห็นบางอย่างและกำลังถอยกลับนั้น ภายในดวงตาของหวังเป่าเล่อพลันมีประกายแสงเย็นเยียบส่องวาบ เขาไม่ลังเลอีก แต่ยกมือขวาขึ้นชี้ไปทันที!
“หัน!”
หนึ่งคำถูกเอ่ยออกไป ทันใดนั้นแผ่นเลื่อนระดับโลกาขนาดมหึมาที่ปกคลุมทั่วทั้งระบบสุริยะก็พลิกหมุน ขณะที่พลิกหมุนอยู่นั้น จิตเคลื่อนจักรวาลสายหนึ่งก็ระเบิดออกมาทันที ชายชราชุดขาวของเต๋าเก้ารัฐด้านนอกและผู้อาวุโสระดับจักรพิภพชั้นปลายของอีกสี่สำนักพากันหน้าเปลี่ยนสีแล้วผุดลุกขึ้น สีหน้าท่าทางของจักรพิภพคนอื่นๆ ก็เคลื่อนไหวด้วยเช่นกัน…
ตอนนี้ร่างกายของจักรพิภพชั้นต้นหกคนที่มาจากห้าสำนักของพวกเขาพร่าเลือนในพริบตา ไม่มีพลังจะหลุดพ้นหรือต่อต้านได้เลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็หายตัวไปทันที เมื่อปรากฏตัวขึ้น…พวกเขาก็ล้วนถูกส่งไปยังมุมที่ขาดไปแล้ว!
“มีกลโกงจริงๆ ด้วย!”
“สมควรตาย!!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามต่ำดังออกมาจากสำนักทั้งห้ารวมไปถึงเต๋าเก้ารัฐ ตอนนี้ผู้ฝึกตนหกคนที่ถูกส่งไปยังจุดขาดแหว่งหน้าเปลี่ยนสี ระเบิดพลังฝึกตนออกมาพร้อมกับผู้ฝึกตนจักรพิภพชั้นกลางเพียงผู้เดียวคนนั้น หลบหนีออกจากที่นี่
แต่ในพริบตาต่อมา
“ผนึก!”
แววตาของหวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์ก็ฉายแววโหดเหี้ยม ขณะที่เอ่ยเสียงราบเรียบ จุดขาดแหว่งของแผ่นเลื่อนระดับโลกาก็มีพลังผนึกสะเทือนฟ้าปรากฏขึ้นทันที มันตรงไปผนึกตายตำแหน่งทุกจุด ทำให้ผู้ฝึกตนที่อยู่ในนั้นไม่อาจพุ่งออกมาได้ใน
“หวังเป่าเล่อ!” พริบตาที่เสียงตะโกนลั่นดังออกมาจากภายในและภายนอกจุดขาดแหว่งตามๆ กันนั้น ชายชราชุดขาวของเต๋าเก้ารัฐและผู้อาวุโสระดับจักรพิภพชั้นปลายของสี่สำนักก็พุ่งออกมาพร้อมกัน แต่พริบตาที่พวกเขาพุ่งออกมา อวกาศทะเลเพลิงก็พุ่งเข้ามากะทันหันแล้วปกคลุมทั่วทั้งแปดทิศ เงาร่างของปรมาจารย์แห่งไฟก้าวเดินออกมาจากความว่างเปล่า
เขาโบกมือขัดขวางทั้งห้าคนเอาไว้โดยตรง
“เพลิงกัลป์ เจ้ากล้า! ปรมาจารย์เก้าเต๋าของข้าจะต้องมาจัดการเจ้าแน่!” ดวงตาของชายชราชุดขาวของเต๋าเก้ารัฐเปล่งประกายเย็นเยียบแล้วตะโกนเสียงต่ำ
“จัดการหรือ อาศัยวงแหวนเต๋าของสำนักเจ้าก็บรรลุถึงระดับจักรวาลแค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น เขากล้าออกมาหรือไม่ แสร้งทำเป็นมีพลังต่อสู้ระดับจักรพรรดิสวรรค์อะไรกัน พลังต่อสู้ระดับจักรพรรดิสวรรค์ของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายมีแค่ท่านปู่ของเจ้าอย่างข้าคนเดียวเท่านั้น ครั้งก่อนก็ขู่ปู่ไปแล้ว ครั้งนี้เจ้ายังคิดจะมาขู่ปู่ของเจ้าอีกหรือ” ปรมาจารย์แห่งไฟยิ้มเย็น แอบคิดว่าถ้าข่มขู่ตัวเขาอีก เขาก็จะกระจายข่าวลือให้แพร่หนักยิ่งกว่าเดิม
ช่วงนี้ข่าวลือเกี่ยวกับปรมาจารย์เต๋าเก้ารัฐของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายนั้น ย่อมเป็นเขาที่สร้างขึ้น…..
ขณะเดียวกัน ระหว่างที่ปรมาจารย์แห่งไฟและผู้อาวุโสห้าสำนักประมือกันนั้น แววตาของหวังเป่าเล่อก็เยือกเย็น แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง!
“สังเวย!”
ทันทีที่เอ่ยออกมา ทันใดนั้นก็เกิดแรงดึงดูดมหาศาลระเบิดออกมากะทันหันจากกลางแผ่นเลื่อนระดับโลกาภายในระบบสุริยะ เนื่องจากจุดอื่นๆ ล้วนเต็มหมดแล้ว ดังนั้นเมื่อมันระเบิดออกมา จุดขาดแหว่งจึงกลายเป็นเป้าหมายทันที
ครั้นที่นี่ถูกผนึกไว้คล้ายเป็นผนึกตาย ทันใดนั้นผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพสิบสามคนในนั้นก็มีสีหน้าบ้าคลั่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ต้องการจะกระแทกออกไปอย่างบ้าคลั่ง แต่เห็นได้ชัดว่าทำไม่ได้!
พริบตาต่อมา ร่างกายของสิบสามคนนี้ก็สั่นสะท้าน ยอดหัวกะโหลกของพวกเขา ทวารทั้งเจ็ดของพวกเขา เลือดเนื้อทุกตารางนิ้วทั่วร่างของพวกเขา กระดูกทุกชิ้นภายในร่าง แม้แต่ทุกตารางนิ้วของดวงวิญญาณเทพล้วนมีกลิ่นอายแห่งสารัตถะ ระเบิดออกมาด้วยตัวเองภายใต้แรงดึงดูดนี้ ก่อนกลายเป็นเกลียวหมอกสีขาวพุ่งทะยานไปยังเส้นขอบของแผ่นเลื่อนระดับโลการอบด้าน!
การดูดซึมเช่นนี้ทั้งบังคับและเผด็จการ ดังนั้นขณะที่สารัตถะของทุกคนถูกดูดออกไปก็มาพร้อมกับความเจ็บปวดรุนแรงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ผู้ฝึกตนทั้งสิบสามคนนี้ส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนออกมา
ร่างกายของพวกเขาแห้งเหี่ยวแบบที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า วิญญาณเทพของพวกเขากำลังโปร่งใส พลังชีวิต พลังฝึกตน ไปจนถึงร่องรอยของการดำรงอยู่ทั้งหมดของพวกเขาล้วนถูกแรงดึงดูดจากแผ่นเลื่อนระดับโลกา…ดูดออกไปในตอนนี้เอง!
ขณะที่ดูดซับไปอยู่นั้น แม้ว่าจุดที่ขาดแหว่งไปของแผ่นเลื่อนระดับโลกาจะไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง แต่กลับมีเส้นเลือนรางปรากฏอยู่ มันขดพันผสานเข้าด้วยกัน ทำให้แผ่นเลื่อนระดับโลกานี้เคลื่อนไปสู่ความสมบูรณ์แบบอย่างเลือนรางพร้อมทั้งแผ่กระจายต่อไปไม่หยุดยั้ง
ส่วนพลังฝึกปรือในตอนนี้หวังเป่าเล่อก็ระเบิดพรวดพราดทันใดตามการดูดซับ และความสมบูรณ์ที่เพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ ของแผ่นเลื่อนระดับโลกา!
เจ็ดสิบขั้น เจ็ดสิบห้าขั้น แปดสิบขั้น แปดสิบห้าขั้น…เก้าสิบขั้น
ผมของเขาปลิวไสวราวกับกลายเป็นสายธารดวงดารา วิญญาณเทพของเขาเผยตัวออกมาราวกับยักษ์ และคล้ายสะท้อนก้องกังวานไปกับมหาเต๋า กายเนื้อของเขาเคลื่อนไหวคล้ายกำลังสะท้อนไปกับอวกาศ จนกระทั่ง…พลังฝึกปรือของเขาก็มาถึงเก้าสิบห้าขั้นของดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรแล้ว!
………………………………..
ห้าสิบสี่ขั้น!
ห่างจากหนึ่งร้อยขั้นมาครึ่งทางแล้ว ภายในดวงตาของหวังเป่าเล่อเผยประกายแสงเปล่งปลั่ง สัมผัสสวรรค์แผ่ขยายไปปกคลุมทั่วทั้งระบบสุริยะ จนสัมผัสถึงเงาร่างสี่ร่างที่มาจากทั้งสี่ทิศ ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันทรงพลังที่ในอดีตสูงส่งเกินเอื้อมจนตนต้องเงยหน้ามองอยู่ทางด้านนอกระบบสุริยะซึ่งกำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพมารวมตัวกัน ภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย สงครามใหญ่ที่พัวพันอยู่รอบสหพันธรัฐกำลังจะเริ่มขึ้น และในชั่วขณะนี้เอง สายตาของสำนักเสริมก็จดจ้องมา จักรพิภพใจกลางไม่รู้สิ้นก็จ้องมองมายังที่แห่งนี้ด้วยวิธีการเฉพาะเช่นเดียวกัน
ตอนนี้เอง สหพันธรัฐเล็กจ้อยแห่งนี้ก็มีดวงจิตเทพของผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนมากจากทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นมารวมตัวกัน ในจำนวนเหล่านี้ แม่นางกระพรวนนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกายอาจารย์ของตนภายในสำนักเก้าวิหคเพลิงที่อยู่อันดับสามภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น กำลังทอดมองไปเช่นกัน สีหน้าดูคล้ายจะเป็นปกติ แต่ในใจกลับปั่นป่วนรุนแรง
ทั้งยังมีสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณที่อยู่อันดับสองของจักรพิภพสำนักเสริมก็เช่นกัน รวมไปถึงสำนักดาราจันทร์อันลึกลับ…เงาร่างหลายร่างก็ทอดมองไปยังสหพันธรัฐจากข้างในวงแหวนปราณของสำนักเช่นกัน ในวงแหวนปราณมีทั้งข่งเต๋า จัวอี้ฝาน และหลี่หว่านเอ๋อร์
ทั้งยังมีร่างเลือนรางนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหน้าน้ำตกแห่งหนึ่งที่ภูเขาด้านหลังสำนักดาราจันทร์ ถึงแม้ตอนนี้จะหลับตาอยู่ แต่ดวงจิตเทพก็กระโจนผ่านสายธารดวงดาวแล้วไปตกอยู่ที่อวกาศของสหพันธรัฐแล้ว
รวมไปถึงบิดาของเซี่ยไห่หยางที่กลับไปยังตระกูลเซี่ย ทั้งยังมีคนรู้จักของหวังเป่าเล่ออีกมากมายล้วนแต่จดจ้องมองมาจากพื้นที่ต่างๆ ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น
และท่ามกลางการจับตามองของทุกคนนี้ พริบตาที่พลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อเลื่อนระดับจากห้าสิบสี่ขั้นต่อเนื่องไปจนถึงห้าสิบเจ็ดและห้าสิบแปดขั้นนั้น…ที่ด้านนอกระบบสุริยะของสหพันธรัฐ ทางทิศตะวันออกจากดาวโลก ตอนนี้อวกาศบิดเบี้ยวแล้ว เสียงของมหาเต๋าดังกระจายก้องกังวานทั่วความว่างเปล่า ถึงขั้นมองเห็นได้ว่าอวกาศกำลังทลายและแตกเป็นเสี่ยงๆ
โซ่สีดำหลายเส้นพุ่งทะลวงอวกาศที่พังทลายออกมาตรงๆ มันมีทั้งหมดเก้าเส้น ทุกเส้นล้วนเกิดจากมหาเต๋าของเต๋าเก้ารัฐ บนนั้นมีผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพอยู่สิบกว่าคน ยิ่งกว่านั้น เงาร่างที่ยืนอยู่บนโซ่เส้นท้ายสุดก็เป็นชายชราสวมชุดคลุมสีขาว ทั้งร่างเป็นพลังฝึกตนระดับจักรพิภพชั้นมหาวัฏจักร คล้ายจะสามารถสยบกฎเวทและกฎเกณฑ์ได้ และพริบตาที่ปรากฏตัวขึ้นมาก็ทำให้อวกาศทั้งนอกและในระบบสุริยะเกิดระลอกคลื่นซัดสาดทันที
แม้แต่การฝึกตนของหวังเป่าเล่อก็ชะงักไปเล็กน้อย ลืมตาขึ้นมามอง
ผู้ที่มองไปก็ยังมีศิษย์พี่รองของหวังเป่าเล่อผู้ฝึกเต๋าเปลวธูปที่ยังคงอารักขาสถานที่แห่งนี้ด้วยเช่นกัน เขาค่อยๆ ลืมตามองอย่างนิ่งสงบไปยังโซ่มหาเต๋าทั้งเก้าเส้นที่พุ่งเข้ามาหาและเงาร่างของจักรพิภพสิบกว่าคนขณะที่ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่
“หยุด” ศิษย์พี่รองเอ่ยเสียงราบเรียบ มือขวายกขึ้นโบก ทันใดนั้นด้านหลังของเขาก็เกิดเสียงดังสนั่น อวกาศบิดเบี้ยวด้วยเช่นกัน ก่อนจะมีฟองอากาศสีสันแพรวพราวหลากหลายทั้งใหญ่เล็กปรากฏขึ้น
ภายในฟองอากาศเหล่านี้มีโลกแอบแฝงอยู่ มันคือรากฐานเต๋าของศิษย์พี่รอง ในรัฐเปลวธูป ถ้าหากขยายฟองอากาศเหล่านี้ใหญ่สักหลายเท่า ก็จะมองเห็นได้ชัดเจนว่าโลกด้านในแฝงไว้ซึ่งสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ตอนนี้สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ล้วนทำสมาธิและกำลังกราบไหว้บูชาเพื่อถวายเปลวธูปอันน่าอัศจรรย์ออกมา ที่มาของเปลวธูปเหล่านี้ก็คือศิษย์พี่รองนั่นเอง
เมื่อเขาเอ่ยคำนี้ออกมาและโบกมือขวา พริบตาที่ฟองอากาศเหล่านี้ปรากฏตัวขึ้น พลังแห่งเปลวธูปหลายชั้นพวกนั้นก็เผาไหม้กลายเป็นอักขระที่แฝงไว้ซึ่งพลังปรารถนาไร้ที่สิ้นสุด แล้วตรงไปขัดขวางโซ่ทั้งเก้าเส้น
เสียงอึกทึกเลื่อนลั่น พลังปรารถนาของอักขระกับโซ่ทั้งเก้าเส้นปะทะเข้าด้วยกัน วิถีแห่งเต๋าดังก้องกังวาน จิตใจของทุกคนสั่นสะท้าน โซ่เก้าเส้นสั่นไหว จักรพิภพสิบกว่าคนบนนั้นพุ่งออกมาเพื่อไปสยบศิษย์พี่รอง
เสียงดังลั่นสะเทือนฟ้า ร่างกายของศิษย์พี่รองเลือนราง สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย แต่สองมือกลับผนึกมุทราก่อนโบกออกไป ทันใดนั้นเปลวธูปจำนวนนับไม่ถ้วนจากฟองอากาศก็รวมตัวกันอีกครั้งแล้วเกิดเป็นแท่งธูปที่ถูกจุด!
ทันทีที่ธูปแท่งนี้ปรากฏขึ้นมา หมอกบางเบาก็เข้าพันล้อมทั้งแปดทิศแล้วขวางกั้นไว้อีกครั้ง
ถึงแม้พอจะยับยั้งฝีเท้าของโซ่ทั้งเก้าเส้นและจักรพิภพสิบกว่าคนไว้ได้เล็กน้อย แต่เห็นได้ชัดว่าไม่อาจอยู่ได้นาน ขณะเดียวกันชายชราชุดขาวในเต๋าเก้ารัฐผู้นั้น ตอนนี้เขามองมาจากที่ไกลๆ ด้วยสายตาเย็นชา แต่ไม่ได้ลงมือทันที
ขณะเดียวกัน อีกสามทิศทางที่เหลือ ภาพที่คล้ายคลึงกันนี้ก็ปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ผู้ที่เข้ามาใกล้กับทิศที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่อยู่ก็คือยักษ์ร่างสูงใหญ่ตนหนึ่ง ยักษ์ตนนี้เป็นเพียงเงาเต๋ามายา ในตัวมันมีจักรพิภพมากมายที่ผนึกมุทราพร้อมกัน ทำให้พลังยิ่งใหญ่ของยักษ์ระเบิดออกพร้อมกับมีหนึ่งหมัดพุ่งเข้ามา แม้ว่าจะถูกศิษย์พี่หญิงใหญ่ขัดขวางไว้ได้ แต่ทางฝั่งศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็กระอักเลือดเช่นกัน ทว่ากลับไม่ถอย
ส่วนทางฝั่งของประมุขซิงอี้สะบักสะบอมยิ่งกว่า คู่ต่อสู้ของเขาคือหม้อใหญ่ที่ทำให้คนใจสั่นสะท้านใบนั้น พลังกดดันสยบน่าตะลึง ทำให้หลังจากเขากระอักเลือดออกมาแล้วผมก็หลุดร่วงแผ่สยาย ก่อนจะเซถอยหลังไม่หยุด
ส่วนผู้ที่สบายที่สุดเดิมควรจะเป็นเทพวัว เพียงแต่คู่ต่อสู้ของเขาไม่ได้มีแค่ฝ่ายเดียว แต่เป็นขวานแยกฟ้าและสะเก็ดดาวสองฝ่ายมาพร้อมกัน สำนักผู้เป็นตัวแทนของเงาเต๋าสองอย่างนี้ก็คือห้าอันดับแรกภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย จักรพิภพที่มาในครั้งนี้ยังมีถึงสิบกว่าคน ตอนนี้ลงมือพร้อมกัน แม้ว่าตัวของเทพวัวเองจะไม่สามัญ แต่ก็ถูกเงาร่างเต๋าโจมตีจนสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง
ชั่วพริบตา เสียงสะเทือนกึกก้อง เสียงการปะทะกันของมหาเต๋า และเสียงคำรามผ่าแยกอวกาศก็ปะทุออกมาไม่หยุดที่ด้านนอกระบบสุริยะ แต่กลับยังมีคนไม่เคลื่อนไหว
ชายชราชุดขาวของเต๋าเก้ารัฐผู้นั้นยังไม่เคลื่อนไหว ยังมีชายชราอีกสี่ท่านผู้มีพลังฝึกตนระดับจักรพิภพชั้นปลายซึ่งมาจากสำนักใหญ่สี่สำนักที่เหลือก็ไม่ได้เคลื่อนไหวเช่นกัน พวกเขาทั้งห้านั่งขัดสมาธิอยู่ที่ห้าทิศทาง สีหน้าท่าทางระมัดระวัง
ปรมาจารย์แห่งไฟยังไม่ออกมา พวกเขาก็ไม่เคลื่อนไหว
หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงแล้วดูดซับปราณวิญญาณจำนวนมหาศาลที่แผ่นเลื่อนระดับโลการวมมาให้ พลังฝึกปรือในร่างเลื่อนระดับขึ้นทุกชั่วขณะ ตอนนี้จากห้าสิบกว่าขั้นมาถึงหกสิบขั้นแล้ว
แม้ว่าเป็นจนถึงตอนนี้ก็ไม่อาจปกปิดพลังฝึกปรือและไม่อาจถอนพลังกลับคืนได้แล้ว ดังนั้นกลิ่นอายจึงแผ่ออกไปอย่างช่วยไม่ได้ ทำให้จักรพิภพที่กำลังทำศึกกันอยู่ด้านนอกระบบสุริยะเริ่มสัมผัสได้ทีละคน
ตอนนี้ภายในสายตาของชายชราชุดขาวจากเต๋าเก้ารัฐที่นั่งประจำการอยู่ด้านหลังมีประกายแสงจางๆ ส่องวาบ เขาจ้องมองไปยังหวังเป่าเล่อที่อยู่ในระบบสุริยะอย่างละเอียด พร้อมทั้งมองดูเงาเลือนรางของแผ่นเลื่อนระดับโลกาในระบบสุริยะ จากนั้นจึงกวาดมองจุดที่ขาดหายไปบนแผ่นเลื่อนระดับโลกาแล้วเอ่ยขึ้นทันที
“สหายเต๋าทั้งสี่ท่าน หากตอนนี้สี่สำนักของท่านยังยั้งมืออยู่อีกแล้วพลาดโอกาสนี้ไปก็อย่าได้เสียใจภายหลัง!”
“สหายสามเต๋าคิดมากไปแล้ว ผู้เยี่ยมยุทธ์ของสำนักข้าได้ทุ่มเต็มกำลังแล้ว ไม่อย่างนั้นเต๋าเก้ารัฐก็โจมตีช่องว่างเสียสิ สำนักของข้ายินดีเป็นผู้บุกเบิกหลังจากที่ช่องว่างปรากฏ” เมื่อได้ยินคำพูดของชายชราขุดขาว ชายชราระดับจักรพิภพชั้นปลายสี่ท่านจากสี่สำนักที่ยังไม่ได้ลงมือก็ค่อยๆ เอ่ยปาก
“เช่นนั้นก็ทำแบบนี้ล่ะ!”
“เทพวัวตัวนั้นเป็นสัตว์พาหนะของเพลิงกัลป์ เดิมก็เป็นสัตว์ประหลาดแห่งจักรวาล จะต่อต้านมันได้ง่ายๆ หรือ”
ชายชราชุดขาวของเต๋าเก้ารัฐแค่นเสียงเย็น เขาย่อมมองออกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพของสี่สำนักยังแอบกักพลังเอาไว้ไม่น้อย ความจริงเต๋าเก้ารัฐก็เช่นกัน นี่ไม่ใช่การอ่อนข้อให้ แต่ไม่มีใครอยากจะทะลวงฝ่าเข้าไปในระบบสุริยะเป็นคนแรก ซึ่งนั่นจะดึงดูดปรมาจารย์แห่งไฟและตกเป็นเป้าหมายอันดับแรกได้
ทุกคนฝึกตนมาจนถึงระดับเช่นนี้ย่อมไม่โง่ เมื่ออยู่ข้างนอกแต่ละคนล้วนเป็นตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ทั้งนั้น เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในสายตาของชายชราชุดขาวก็ตัดสินใจได้แล้วเอ่ยออกมาทันที
“สหายเต๋าทั้งสี่ ถ้าหากเพลิงกัลป์มาถึง ชายชราผู้นี้จะเป็นกำลังหลักในการสกัดกั้นเอง แลกกับให้พวกเจ้าสี่สำนักลงมือเต็มที่เป็นอย่างไร”
หลังเงียบงันไปชั่วขณะ ชายชราระดับจักรพิภพชั้นปลายทั้งสี่คนจากสี่สำนักก็พยักหน้า จากนั้นก็ออกคำสั่งธรรมทันที พริบตาต่อมา…เทพวัวและประมุขซิงอี้รวมถึงทางฝั่งศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็เกิดเสียงสนั่นสะเทือนฟ้าดังขึ้นมา ผู้ที่ถูกโจมตีพ่ายแพ้ก่อนย่อมเป็นทางฝั่งซิงอี้
เขากระอักเลือดออกมา ขณะที่ร่างกายถอยร่น ก็มีเงาเต๋าสามร่างพุ่งผ่านเขาเข้าไปในระบบสุริยะ ครั้งเดียวก็เข้าไปใกล้ แต่เพิ่งจะก้าวเข้าไป แต่ละคนกลับถูกแรงต้านสกัดกั้นไว้พร้อมกับเสียงดังสนั่น
สิ่งที่ขัดขวางไม่ให้พวกเขาเข้าไปในระบบสุริยะก็คือเกราะกำบังที่แผ่นเลื่อนระดับโลหาแผ่ออกมาจากตัวมันนั่นเอง มันเทียบได้กับวงแหวนปราณ ทำให้ผู้ฝึกตนทั้งสามไม่อาจก้าวเข้าไปในระบบสุริยะในทันที
ทั้งสามคนมองหน้ากันแต่ไม่ได้พูดจา กลับลงมือโจมตีวงแหวนปราณที่ขวางไม่ให้พวกเขาเข้าไป ตั้งแต่ต้นจนจบ พวกเขาล้วนไม่ได้ตรงไปยังจุดขาดแหว่งนั่น และไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ด้วย
ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้ กลับกัน…เมื่อมาถึง สำนักทั้งห้ารวมถึงเต๋าเก้ารัฐก็เห็นส่วนขาดหายบนแผ่นเลื่อนระดับโลกาแล้ว
แต่นั่น…เห็นได้ชัดเจนเกินไป แค่เป็นผู้ที่ระมัดระวังสักหน่อยก็จะไม่เลือกโจมตีแล้ว
ดังนั้นในไม่ช้า ด้านนอกระบบสุริยะก็มีเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้นอีกครั้ง ขณะที่ซิงอี้ ศิษย์พี่หญิงใหญ่ และศิษย์พี่รองถอยร่นไปตามๆ กันนั้น เงาร่างมากมายก็พุ่งเข้ามาโจมตีเกราะป้องกันของแผ่นเลื่อนระดับโลกา
ส่วนหวังเป่าเล่อในตอนนี้ ดวงตาของเขาส่องวาบเล็กน้อยอย่างไม่อาจจับสังเกตได้
“ยังไม่พอหรอก” เขาพึมพำอยู่ในใจ การเลื่อนระดับของพลังฝึกตนมาถึงหกสิบสามและหกสิบสี่ขั้น ราวกับรีบเร่งอยู่สักหน่อย ไม่รู้ว่าใช้วิชาอะไรถึงดูดซับและเลื่อนระดับเร็วมากขนาดนี้
ขณะเดียวกัน ที่ด้านนอกระบบสุริยะ จักรพิภพที่มาจากแต่ละสำนัก แม้ว่าความเร็วจะช้าไปหน่อย แต่ตอนนี้ก็ได้เดินทางมาถึงตามๆ กันแล้ว และทันทีที่พวกเขาปรากฏตัว ดวงตาของชายชราชุดขาวของเต๋าเก้ารัฐก็สดใสขึ้นในทันที
“แผ่นเลื่อนระดับโลกามีจุดขาด พวกเจ้าทำตามคำสั่งของข้าแล้วเดินหน้าไปสยบมันซะ!”
………………………………….
จักรพิภพผู้ใดก็ตามล้วนถือว่าเป็นเจ้าปกครอง!
ตัวอย่างเช่น ภายในเต๋าเก้ารัฐ เบื้องหน้ามีจักรพิภพอยู่สิบกว่าคนชัดๆ แต่ขุมพลังเบื้องพลังของพวกเขาล้ำลึกยิ่ง และยังเก็บซ่อนบางส่วนเอาไว้อย่างลับๆ อีก ถึงขั้นที่ระดับจักรพิภพชั้นมหาวัฏจักรก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
และถ้าหากนำจำนวนของจักรพิภพในห้าสำนักแรกของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายมารวมกัน เบื้องหน้าก็จะมีอยู่เกือบห้าสิบคน!
หากนำจอมพลังระดับจักรพิภพของห้าสำนักแรกและทุกพื้นที่มารวมกัน ก็ไม่เกินกว่าจำนวนนี้เช่นกัน เมื่อคำนวณแบบนี้ พลังเช่นนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง นี่ก็คือความน่ากลัวของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย แม้ว่าจะเทียบกับจักรพิภพใจกลางของไม่รู้สิ้นไม่ได้ แต่ก็ไม่ต่างจากจักรพิภพสำนักเสริมนัก
มีเพียงอย่างเดียวคือ…ภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ไม่มีระดับจักรพรรดิสวรรค์!
ก่อนหน้านี้คนเดียวที่พอจะครอบครองพลังของจักรพรรดิสวรรค์ก็มีเพียงปรมาจารย์แห่งไฟเท่านั้น เพียงแต่ทันทีที่คำสาปของปรมาจารย์แห่งไฟถูกใช้งานออกมาเต็มที่ ตัวเขาก็จะตายตามไปด้วย ดังนั้นถึงแม้เขาจะเรียกได้ว่ามีพลังต่อสู้อย่างจักรพรรดิสวรรค์ แต่ก็มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
ด้วยกลยุทธ์จำนวนคน การสังเวยจอมพลังสูงสุดของระดับจักรพิภพชั้นมหาวัฏจักรสักหลายคนจึงไม่ได้แก้ปัญหานี้ แค่ไม่จำเป็นต้องไปเสี่ยง เพราะถึงจะจัดการเขา ปรมาจารย์แห่งไฟก็ยังเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์อันดับหนึ่งของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายอยู่ดี
ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว กระแสเต๋าที่หวังเป่าเล่อเผยออกมาได้ทำให้จอมพลังของทุกสำนักเกิดคลื่นลูกใหญ่ถาโถมอยู่ในใจหลังจากได้เห็นได้สัมผัส
เพราะร่างเต๋าแรกเริ่มคือสิ่งที่มีอยู่แต่ในตำนาน เป็นสภาวะสูงสุดอย่างหนึ่งที่แทบจะไม่มีทางปรากฏขึ้นได้เลย จักรพิภพทั่วไปที่มีชั้นมหาวัฏจักรหนึ่งร้อยขั้นหนึ่งครั้งก็นับว่าเป็นสุดยอดในสุดยอดแล้ว หากมีสองครั้งล่ะก็ นั่นคือปีศาจแล้ว
ส่วนสามครั้งก็เช่นกัน เรื่องเช่นนี้ขัดกับสวรรค์ ไม่ว่าจะตัดสินหรือประเมินจากตำราหรือความรู้ในอดีต ก็ล้วนมอบคำตอบแบบนี้ทั้งนั้น
ระดับจักรพิภพชั้นต้นของร่างเต๋าแรกเริ่มสามารถต่อสู้กับจักรพิภพชั้นมหาวัฏจักรได้ เรียกได้ว่าเป็นจักรพิภพไร้พ่าย ถ้าหากร่างเต๋าแรกเริ่มเลื่อนขั้นเป็นจักรพิภพชั้นกลาง ก็สามารถต่อสู้แบบไม่ตายไม่เลิกรากับจักรพรรดิสวรรค์ได้ ถึงขั้นที่ถ้าคาดเดาต่อไป หากร่างเต๋าแรกเริ่มเลื่อนขั้นเป็นจักรพิภพชั้นปลายแล้วเผชิญหน้ากับจักรพรรดิสวรรค์ แม้ว่าจะสังหารได้ยาก แต่ก็เอาชนะได้ไม่ยากเลย
ถึงขนาดที่ว่าถ้าหากร่างเต๋าแรกเริ่มมาถึงจักรพิภพชั้นมหาวัฏจักร ก็สามารถสังหารจักรพรรดิสวรรค์ได้และทำให้เลือดของจักรพรรดิสวรรค์สาดกระเซ็นไปในจักรวาล!
จุดนี้ต่อให้เป็นอดีตศิษย์พี่ของหวังเป่าเล่ออย่างเฉินชิงจื่อสมัยอยู่ในระดับจักรพิภพก็ไม่อาจทำได้ มากที่สุดเขาก็แค่ทำให้จักรพรรดิสวรรค์พ่ายแพ้ และการสังหารจักรพรรดิสวรรค์สองครั้งนั้น ความจริงเป็นเพราะการฝึกตนของตัวเขาเอง ซึ่งเขาได้ก้าวเข้าสู่ระดับจักรพรรดิสวรรค์ในเขตแดนนพภูมิโดยที่โลกภายนอกไม่มีใครรู้
ดังนั้น ตอนนี้เมื่อเห็นว่าเส้นทางที่หวังเป่าเล่อจะเดินไปกลับเป็นเส้นทางนี้ สำนักและตระกูลส่วนใหญ่ภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็ใจสั่นสะท้านรุนแรงขึ้นมา ผู้เยี่ยมยุทธ์จำนวนไม่น้อยที่ใช้วิชาลับแผ่ดวงจิตเทพเข้ามาและถูกการสั่นคลอนของปรมาจารย์แห่งไฟทำให้ตกใจอยู่แล้วก็ยิ่งตกตะลึงเข้าไปใหญ่ จึงพากันถอนตัวแล้วออกจากที่แห่งนี้ไปไกล
พวกเขากังวลว่าทันทีที่หวังเป่าเล่อเลื่อนขั้นสำเร็จ เช่นนั้นเกรงว่าไม่จำเป็นต้องใช้สงครามระหว่างไม่รู้สิ้นกับสำนักแห่งความมืดหรอก เพราะหวังเป่าเล่อจะมาหาเรื่องแก้แค้นด้วยตัวเขาเอง
สิ่งที่ต้องแลกมากเกินไป ไม่คุ้มให้แลกเพื่อแผ่นเลื่อนระดับโลกา ล่วงเกินศัตรูตัวใหญ่เช่นนี้ แม้ว่าแผ่นเลื่อนระดับโลกาจะเป็นสมบัติชั้นเลิศในหมู่สมบัติชั้นเลิศ แต่ท่ามกลางความเป็นความตาย มันจะสร้างโอกาสวาสนาหรือจะหายนะถึงชีวิตก็ยากจะพูด
แต่ว่าถึงแม้สำนักตระกูลส่วนใหญ่เลือกที่จะล่าถอย ทว่าสำหรับเต๋าเก้ารัฐและสำนักใหญ่ทั้งสี่ในห้าอันดับแรกของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายนั้น พวกเขา…ถอยไม่ได้!
ความจริงแล้วแม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่เปิดเผยร่างเต๋าแรกเริ่มของเขา พวกเขาก็ยังเลือกจะลงมือหลังจากชั่งน้ำหนักแล้วอยู่ดี แม้ปรมาจารย์แห่งไฟจะขัดขวาง พวกเขาก็ยังอยากลองดูว่าจะแย่งชิงแผ่นเลื่อนระดับโลกามาได้หรือไม่
แต่ตอนนี้ ร่างเต๋าแรกเริ่มของหวังเป่าเล่อยิ่งทำให้ในใจของพวกเขาเกิดจิตสังหารขึ้นมา เพราะทันทีที่หวังเป่าเล่อเลื่อนขั้นสำเร็จ เช่นนั้น…สหพันธรัฐที่มีหวังเป่าเล่อและปรมาจารย์แห่งไฟจะต้องทำให้สถานการณ์ของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวงชนิดพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินได้แน่นอน
เต๋าเก้ารัฐและสำนักห้าอันดับแรกแห่งอื่นๆ รวมไปถึงสำนักอันดับหลังๆ ล้วนสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามรุนแรง ภัยคุกคามเช่นนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของสำนัก
ดังนั้นพริบตาต่อมา ภายในประตูภูเขาของเต๋าเก้ารัฐก็มีเสียงแก่ชรากล่าวคำสั่งการ
“ภายในเขตแดนทั้งสิบเก้า มีอารยธรรมสูญสิ้นคุณธรรม ด้วยคำสั่งของเต๋าเก้ารัฐ ให้ทุกเขตแดนร่วมกำจัดทันที!”
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น กลิ่นอายสายแล้วสายเล่าก็ระเบิดออกมากะทันหัน ทั้งหมดมีสิบสี่สาย ล้วนแต่เป็นระดับจักรพิภพทั้งนั้น สายหนึ่งในนั้นยังแผ่ความผันผวนของจักรพิภพชั้นมหาวัฏจักรออกมาด้วย ล้วนแต่พุ่งทะยานไปยัง…สหพันธรัฐ!
ไม่ใช่แค่เต๋าเก้ารัฐที่เป็นเช่นนี้ ตอนนี้สำนักและตระกูลอีกสี่แห่งที่อยู่ในห้าอันดับแรกต่างก็ตอบรับกัน แต่ละแห่งล้วนมีระดับจักรพิภพบินออกมาแล้วพุ่งไปยังสหพันธรัฐ
ส่วนหมื่นสำนักและตระกูลแห่งอื่นๆ แม้ว่าจะจนปัญญา แต่ก็ไม่อาจไม่ออกมาได้ ทว่าความเร็วกลับช้าลงไปอย่างชัดเจน
ตอนนี้ภายในอวกาศของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายมีเงาร่างหลายสายที่พลานุภาพเหมือนสายรุ้ง บ้างก็อาละวาดสะเปะสะปะ บ้างก็พุ่งตรงตัดผ่านความว่างเปล่า บ้างก็อัญเชิญอาวุธเวทพาหนะเดินทางมาจากทุกทิศ เข้าใกล้สหพันธรัฐมากขึ้นเรื่อยๆ
ถ้าหากสามารถก้มหน้ามองไปทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายได้จากที่สูงก็จะมองเห็นจักรพิภพสิบกว่าตนจากเต๋าเก้ารัฐมารวมตัวกันในตอนนี้ พร้อมกับที่มีโซ่ขนาดใหญ่อยู่บนร่างของพวกเขารางๆ
โซ่เก้าเส้นนี้ก็คือมหาเต๋าเก้าเส้นของเต๋าเก้ารัฐ พลังอานุภาพน่าตกตะลึง ส่วนอีกสี่ทิศทางก็เช่นเดียวกัน มีทั้งขวานแยกฟ้าหนึ่งด้าม สะเก็ดดาวขนาดเท่ากับดาราจักรหนึ่งดวง หม้อยักษ์สีโลหิตหนึ่งหม้อและยักษ์ลวงตาที่รูปร่างสูงใหญ่มโหฬารเทียบเท่ากับดวงดาว
สิ่งเหล่านี้ก็คือมหาเต๋าของแต่ละสำนักที่แปลงมา และความผันผวนที่สาดซัดจากการเคลื่อนไหวของพวกเขาได้ดึงดูดความสนใจของจักรพิภพสำนักเสริมและจักรพิภพไม่รู้สิ้นกึ่งกลางได้ทันที
ฝ่ายหลังจ้องมองมาแต่กลับไม่ได้กระทำการบุ่มบ่าม เพราะความสนใจและพลังสยบจากสำนักแห่งความมืดนั้นแข็งแกร่ง ทันทีที่ตระกูลไม่รู้สิ้นเคลื่อนไหวก็จะเป็นการมอบโอกาสให้สำนักแห่งความมืด กลัวแต่ว่าสงครามจะเริ่มขึ้นทันที และตอนนี้ทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่ได้เตรียมพร้อมอย่างสมบูรณ์
ส่วนจักรพิภพสำนักเสริมนั้น เพราะว่าอยู่ห่างไกลเกินไป และหากข้ามเขตแดนไปแล้วก็จะทำให้เกิดความเข้าใจผิดได้ง่ายและทำให้เกิดสงครามใหญ่ยิ่งกว่านั้นอีก ดังนั้นตอนนี้จึงกำลังจับตาดู
เพราะเหตุนี้ ท่ามกลางการจับจ้องของจักรพิภพในกลางไม่รู้สิ้นและจักรพิภพสำนักเสริม ผู้ฝึกตนระดับจักรพิภพของแต่ละสำนักตระกูลจึงเข้าใกล้สหพันธรัฐมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
ตอนนี้ประมุขซิงอี้ที่อยู่ภายในวังเต๋าไพศาลเงียบงันไปหลายอึดใจ เขาลุกขึ้นยืนแล้วคำนับไปยังทิศที่หวังเป่าเล่อนั่งทำสมาธิก่อน จากนั้นก็ก้าวออกไปหนึ่งก้าว ตรงไปยังด้านนอกระบบสุริยะ นั่งลงบนอวกาศ ด้านหลังมีเงาร่างมหึมาก่อตัวกันราวกับเทพเจ้าที่สูงตระหง่านกลางอวกาศ
อีกด้านหนึ่ง เสียงหัวเราะยาวเบิกบานใจเสียงหนึ่งก็ดังมาจากทุกทิศทางภายในทะเลเพลิง หญิงสาวคนหนึ่งเดินออกมาจากทะเลเพลิง หญิงสาวผู้นี้สวมเกราะสงคราม ดวงตาแฝงไอพิฆาต มุมปากยิ้มเย็น หลังปรากฏตัวขึ้นก็นั่งขัดสมาธิอยู่นอกระบบสุริยะแล้วเอ่ยขึ้นมา
“ศิษย์น้องเล็กไม่ต้องกลัว ศิษย์พี่หญิงใหญ่มาปกป้องเจ้าแล้ว!”
ผู้ที่มาก็คือศิษย์พี่ใหญ่ของหวังเป่าเล่อ และเป็น…หนึ่งในร่างแรกของปรมาจารย์แห่งไฟ ส่วนพลังฝึกปรือก็บรรลุระดับจักรพิภพเช่นกัน
นอกจากศิษย์พี่หญิงใหญ่แล้ว เงาเลือนรางของเทพวัวตัวหนึ่งก็ปรากฏออกมาจากอีกด้านหนึ่ง มันร้องคำรามขึ้นฟ้า เปลวเพลิงพวยพุ่งท้องฟ้าทันที
“เจ้าหนู วัวเฒ่ามาช่วยเจ้าแล้ว!”
หวังเป่าเล่อเผยรอยยิ้มออกมาแล้วถอนหายใจอีกครั้ง เขาคิดว่าอาจารย์จะต้องเข้าถึงบทบาทล้ำลึกเกินไปแล้วแน่ๆ…
ยังไม่ทันทีที่รอยยิ้มของหวังเป่าเล่อจะสลายไป กลิ่นอายของเปลวธูปก็แผ่ออกมาจากจากทั้งสี่ทิศ ชายวัยกลางคนผู้มีใบหน้าอ่อนโยนงามสง่าเดินออกมาจากความว่างเปล่า ร่างกายเดี๋ยวจริงเดี๋ยวเลือนราง หลังจากปรากฏตัวออกมา เขาก็ยิ้มบางๆ ไปให้ทางหวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ ไม่ได้เอ่ยอะไร จากนั้นก็นั่งลงขัดสมาธิ พลังแห่งเปลวธูปทั่วร่างเขย่าอวกาศ
นี่ก็คือ…ศิษย์พี่รองผู้ฝึกฝนเต๋าเปลวธูปและเป็นคนเดียวที่มีตัวตนจริงๆ ของปรมาจารย์แห่งไฟนอกจากหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อไม่อาจลุกขึ้นได้ แต่ในใจยิ่งอบอุ่นมาก หลังจากทอดมองไปยังเงาร่างทั้งสี่จากสี่ทิศ เขาส่งเสียงออกมาทันทีแล้วหลับตาลง พลังฝึกปรือในร่างกระโดดจากสิบห้าขั้นของดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรไปถึงห้าสิบขั้น!
………………………
จักรพิภพคืออะไร
หวังเป่าเล่อมีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องนี้หลายอย่างมาก่อนแล้ว ช่วงแรกสุด ตอนที่เขายังไม่ได้บรรลุถึงระดับดาวพระเคราะห์นั้น เขาคิดว่านี่คือระดับขั้นที่สูงส่งล้ำลึกมาก เป็นระดับขั้นที่ผู้ฝึกตนใฝ่ฝันและอยากจะบรรลุให้ได้ในหนึ่งชีวิต
ต่อมาเมื่อเขาเลื่อนขั้นดาวเคราะห์เต๋าเป็นนิรันดร์แล้วก้าวเข้าสู่ระดับดารานิรันดร์ ความคิดของเขาก็เปลี่ยนไป ในความเข้าใจของหวังเป่าเล่อ ระดับจักรพิภพและจักรพิภพในจักรวาลนั้น โดยพื้นฐานแล้วไม่มีความแตกต่าง ล้วนประกอบด้วยดาราจักรมากมาย จากนั้นก็รวมเข้าด้วยกันและก่อตัวเป็นทะเลดวงดาวอันกว้างใหญ่ไพศาล
เนื่องจากจำนวนดาราจักรและขนาดของมันที่ประกอบอยู่ในจักรพิภพแตกต่างกัน จักรพิภพจึงมีการแบ่งเล็กใหญ่ และถ้าหากเทียบจักรพิภพเหล่านี้กับสิ่งมีชีวิต เช่นนั้นก็เป็นระดับขั้นจักรพิภพแล้ว
แต่ตอนนี้ ความคิดของเขาได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดจากการระลึกอดีตชาติบนดาวเคราะห์ชะตา เกิดจากน้ำตาและการคุกเข่าคำนับอย่างน่าอับอายในแม่น้ำแห่งความมืดของนพภูมิ ในความเข้าใจของเขา ระดับจักรพิภพไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แค่ทำให้ทะเลดวงดาวผืนหนึ่งภายในจักรวาลมีชีวิตจิตใจเท่านั้น
แต่เป็น…เต๋า!
ค้นหาเต๋าของตน รวมถึงผลักดันเต๋าสายนั้นไปถึงจุดสูงสุด เดินไปถึงปลายสุด จนกระทั่งสุดท้ายทำให้เต๋าสายนี้อยู่ระดับชั้นมหาวัฏจักร นี่…นี่สิถึงจะเป็นแก่นแท้ของผู้ฝึกตนระดับจักรพิภพ
ความจริงแล้วจักรพิภพทุกคนล้วนประกอบด้วยเต๋าของตนที่แตกต่างจากของคนอื่น บางคนมีสายเดียว บางคนมีหลายสาย ยากจะแยกแยะความแข็งแกร่งอ่อนแอ ต้องดูที่ความเข้าใจเกี่ยวกับเต๋า
ตัวอย่างเช่นปรมาจารย์แห่งไฟ นั่นคือการผสานรวมระหว่างเต๋าแห่งคำสาปและเต๋าแห่งเปลวไฟ เช่นเดียวกับจักรพิภพคนอื่นๆ ที่หวังเป่าเล่อเคยพบเจอก็เหมือนกัน ถึงแม้ทั่วทั้งจักรวาลจะมีข่าวลือว่ามหาเต๋ามีสามพัน แต่ความจริงแล้วเต๋าไม่ได้คงที่ ไม่ได้หยุดอยู่แค่จำนวนสามพันอย่างที่กล่าวมา
รายละเอียดว่ามีมากแค่ไหนนั้นหวังเป่าเล่อไม่กระจ่าง แต่เขารู้ชัดเจนว่า เต๋าที่ตนเดินอยู่ในปัจจุบันนี้ คืออิสรเสรี
เจตจำนงเต๋าสงบ จิตใจเต็มเปี่ยม
นี่คือ…แก่นเต๋าแจ่มชัด
“คุณธรรม” หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์แย้มยิ้มเล็กน้อย ดวงตาปิดลงอีกครั้ง หลังจากเริ่มดูดซับแผ่นเลื่อนระดับโลกาที่ผสานเข้ามาแล้ว เขาก็ดูดซับปราณวิญญาณอันทรงพลังไร้ที่สิ้นสุดที่มาจากทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายด้วย
บทบาทของปราณวิญญาณเหล่านี้คือ พวกมันไม่ได้มอบสารอาหารที่ทำให้ดวงดารานับหมื่นของจักรพิภพภายในร่างของหวังเป่าเล่อเลื่อนขั้นเป็นดารานิรันดร์ทั้งหมด เพราะดวงดาราทั้งหมดของเขาอยู่เหนือขั้นตอนนี้นานแล้ว พวกมันบรรลุถึงระดับที่เรียกว่าดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรไปแล้ว
แต่ผลของปราณวิญญาณคือ…จุดประกายให้ดารานิรันดร์นับหมื่นภายในร่างของหวังเป่าเล่อสว่างไสวขึ้นมา ทำให้เต๋าของดารานิรันดร์ทั้งหมดปรากฏขึ้นในใจของเขา ทำให้เต๋าเหล่านี้หลอมรวมกันในที่สุด จากนั้นก็ก่อตัวเป็นอิสรภาพที่เขาตามหา
เพราะต้องการอิสระ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าคนอื่น!
เพราะต้องการเสรี ดังนั้นเต๋าแห่งการตระหนักรู้ของหวังเป่าเล่อต้องครอบคลุมรอบด้านยิ่งกว่านี้!
และกระบวนการเลื่อนระดับดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรจากขั้นแรกไปจนถึงขั้นที่หนึ่งร้อย ก็คือเส้นทางแสวงหาอิสรภาพในเต๋าสายนี้ของเขา
ตอนนี้มาถึงขั้นที่สิบห้าแล้ว ยังต้องไปต่อ
ขณะที่เสียงเลื่อนลั่นดังกึกก้อง วังน้ำวนที่เกิดจากปราณวิญญาณก็ปกคลุมทั่วทั้งรอบนอกของดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์ และยังแผ่ขยายไปทั่วทุกทิศ ภายในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจ มันก็แผ่ขยายไปถึงครึ่งหนึ่งของระบบสุริยะใหม่ในปัจจุบัน ทำให้ในชั่วพริบตานี้เอง ขณะที่ผู้แข็งแกร่งภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายที่กำลังให้ความสนใจสถานที่แห่งนี้และสังเกตเห็นว่าที่แห่งนี้มีสมบัติชั้นสูงสยบไว้นั้น พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของหวังเป่าเล่อเช่นกัน!
“ศิษย์ของปรมาจารย์แห่งไฟหวังเป่าเล่อ!”
“กลิ่นอายนี้คือเขาไม่ผิดแน่ เขากำลังเลื่อนขั้นเป็นจักรพิภพ!”
“นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สมบัติชั้นสูงที่สามารถสยบระบบสุริยะได้สิถึงจะเป็นส่วนที่สำคัญ!”
“ตอนนี้ตระกูลไม่รู้สิ้นและสำนักแห่งความมืดกำลังเริ่มทำสงครามกัน ถ้าหากข้าสามารถครอบครองสมบัติชั้นสูงเช่นนี้ได้ จะต้องสามารถมั่นคงสงบสุขท่ามกลางภัยพิบัติครั้งนี้อย่างยิ่งแน่!”
ความคิดมากมายผุดวาบขึ้นในใจของสำนักและตระกูลต่างๆ ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายทันที แต่พลังที่สหพันธรัฐเปิดเผยออกมาข้างนอกตอนนี้ก็ยังสามารถกำจัดคนที่มีความโลภไปได้ไม่น้อย แต่…สำหรับเต๋าเก้ารัฐและสำนักห้าอันดับแรกภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายแล้ว พริบตาที่สังเกตเห็นสมบัติชั้นสูง ความโลภก็ผุดขึ้นในใจแล้ว
แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเบื้องหลังของหวังเป่าเล่อมีปรมาจารย์แห่งไฟอยู่ แต่พวกเขาก็ยังโคจรเคล็ดวิชาลับของสำนักและตระกูลของตนอย่างไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น สัมผัสสวรรค์ก็ถูกการร่ายเวทอันแรงกล้าแผ่ขยายตัดผ่านความว่างเปล่าเข้ามาจากทั่วทุกทิศทางผ่านวิธีการต่างๆ เพราะต้องไปดูด้วยตาของตนเองว่าที่แท้แล้วสมบัติชั้นสูงนั่นคืออะไรกันแน่
ถ้าหากไม่ใช่ของที่มีชื่อเสียงหรือมีอานุภาพด้อยกว่าที่พวกเขาประเมินไว้ หรือว่าวันนี้มันถึงขีดสุดไปแล้วล่ะก็ เช่นนั้นถึงแม้ในใจของพวกเขาจะมีความโลภ แต่สุดท้ายก็ต้องชั่งน้ำหนักได้เสียอยู่ดี
ดังนั้นในพริบตา ด้านนอกของระบบสุริยะ ขณะที่อวกาศบิดเบี้ยว ดวงจิตเทพจากทั้งแปดทิศก็มารวมตัวกันทีละดวงๆ แล้วมองไปยังระบบสุริยะ
เพียงแต่…ขณะที่วิชาลับของแต่ละสำนักถูกใช้งานและมองเข้าไปจนเห็นแผ่นเลื่อนระดับโลกาและเงาร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในระบบสุริยะ ความเงียบงันก็เกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ ทันที จากนั้นเสียงอุทานเหลือเชื่อมากมายพร้อมกับลมหายใจอันหนักหน่วงก็ระเบิดขึ้นทันใดภายในสำนักของดวงจิตเทพที่เข้าไปตรวจสอบเหล่านี้
“นั่นมัน…นั่นมัน…”
“แผ่นเลื่อนระดับโลกา!! กลับเป็นแผ่นเลื่อนระดับโลกาที่ตำนานบอกว่าแตกสลายไปแล้ว นี่มันเป็นไปไม่ได้!”
“แผ่น! เลื่อนระดับ! โลกา!!”
ความโกลาหลเกิดขึ้นทั่วทุกทิศ ภายในเต๋าเก้ารัฐมีกลิ่นอายของจักรพิภพสิบกว่าสายระเบิดออกมาทันใด สำนักอื่นๆ อีกสี่แห่งในห้าอันดับแรกก็เช่นเดียวกัน แต่ละกลิ่นอายพากันกู่ร้องออกมาในตอนนี้เอง
สิ่งล่อใจอย่างแผ่นเลื่อนระดับโลกามันยิ่งใหญ่เกินไป!
และขณะที่ภายในใจของผู้แข็งแกร่งของทุกสำนักสั่นสะเทือนและกำลังจะลงมือนั้น ประมุขซิงอี้จากวังเต๋าไพศาลภายในระบบสุริยะก็ลืมตาโพลงทันที ดวงจิตเทพแผ่ออกมาอย่างไม่ลังเลแล้วกวาดไปยังด้านนอกระบบสุริยะ ก่อตัวเป็นพลังสยบขึ้นมา
ทั้งยังมีการแค่นเสียงเย็นชาคล้ายดังมาจากที่ไกลๆ สะท้อนขึ้นในใจของผู้เยี่ยมยุทธ์แต่ละสำนักที่ใช้วิชาลับมาตรวจสอบดูที่แห่งนี้ เสียงนี้…แฝงไว้ซึ่งพลังแห่งเปลวไฟ แฝงไว้ซึ่งวิชาคำสาป นั่นก็คือปรมาจารย์แห่งไฟ
ซิงอี้ยังไม่เท่าไร เขาเป็นเพียงจักรพิภพทั่วไปเท่านั้น แต่ปรมาจารย์แห่งไฟนั้นไม่ใช่แล้ว การแค่นเสียงเย็นชาของเขาทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์จากสำนักและตระกูลไม่น้อยใจสั่นสะเทือนทันที
ความจริงก็เดาได้แล้วว่าปรมาจารย์แห่งไฟจะมาแน่ แต่ก็ไม่เหมือนกับสัมผัสได้ถึงการมาของอีกฝ่ายด้วยตัวเองเช่นนี้
เวลาเดียวกันนั้น ภายในใจของหวังเป่าเล่อก็มีเสียงของปรมาจารย์แห่งไฟดังขึ้นมา
“เป่าเล่อ เลื่อนระดับให้สบายใจ ความผิดทั้งหมด อาจารย์จะช่วยเจ้ารับไว้เอง ข้าอยากจะเห็นนักว่าใครจะกล้ามารบกวนการเลื่อนขั้นของศิษย์ข้า!”
“อาจารย์…ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้” หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้น ในใจอบอุ่น พร้อมเอ่ยพูดเสียงเบา
สำหรับดวงจิตเทพของผู้เยี่ยมยุทธ์จากสำนักตระกูลต่างๆ ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายที่เข้ามาใกล้นั้น หวังเป่าเล่อจะไม่สังเกตเห็นได้อย่างไร แม้ว่าวันนี้เขาจะอยู่ในห้วงตระหนักรู้เลื่อนระดับ แต่ก็ยังสามารถรับรู้ทุกอย่างได้
เพราะว่าเดิมทีนี่ก็อยู่ในการคาดเดาของเขาก่อนหน้านี้แล้ว
หวังเป่าเล่อย่อมเข้าใจถึงความหมายของแผ่นเลื่อนระดับโลกาดี เขายิ่งเข้าใจถึงการทะยานขึ้นของสหพันธรัฐ โดยเฉพาะการเลื่อนระดับของตนเอง มันเท่ากับการแบ่งอาณาเขตจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายใหม่อีกครั้งเลย ดังนั้นย่อมตกเป็นเป้า ย่อมถูกจับตาดู ถึงขั้นอาจถูกขัดขวางได้
แต่ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกขัดขวางจนตกเป็นเป้าแล้วไม่กล้าก้าวจากจุดเดิมไปข้างหน้า ขณะเดียวกันเขาก็คิดจะใช้โอกาสนี้ชักนำผู้เยี่ยมยุทธ์ของแต่ละสำนักตระกูลของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายให้เคลื่อนไหว แล้วสร้างโอกาสวางอำนาจให้กับตน…ณ ที่นี้
การวางอำนาจครั้งนี้จะตัดสินตำแหน่งสถานะของสหพันธรัฐ และจะตัดสินว่าหวังเป่าเล่อจะเป็นอิสระหลีกห่างได้ในอนาคตหรือไม่ ขณะเดียวกัน…สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ นี่ก็เป็นการป้องกันเหตุของเขา เป็นการส่งเสริมการเลื่อนระดับสู่จักรพิภพที่เหลือเอาไว้!
ถึงอย่างไร สุดท้ายแล้วแผ่นเลื่อนระดับโลกาก็ขาดไปมุมหนึ่ง
ดังนั้นหลังจากสังเกตเห็นว่าดวงจิตเทพเหล่านั้นลังเลและได้ยินเสียงของอาจารย์ดังขึ้น หวังเป่าเล่อจึงเอ่ยเช่นนี้ออกมา
“เจ้ามั่นใจหรือ” ดวงจิตเทพของปรมาจารย์แห่งไฟดังมา
“ไม่กล้าบอกว่าทั้งหมด แต่ก็มั่นใจอยู่บางส่วน ถ้าหากผิดปกติ…อาจารย์ช่วยข้าปราบไว้สักพักหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”
“ได้!”
เมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์ หวังเป่าเล่อก็แย้มยิ้มบางๆ กระแสเต๋าของเขาแผ่กระจายทันที พริบตาก็แผ่ออกไปนอกระบบสุริยะแล้ว ท่ามกลางความลังเล เขาก็ทำให้ดวงจิตเทพที่มาเยือนและอยู่นอกระบบสุริยะเหล่านั้นมองเห็นสภาวะร่างจริงของหวังเป่าเล่อที่อยู่ภายในระบบสุริยะ!
ชั่วพริบตา…ดวงจิตเทพเหล่านั้นก็ตื่นตระหนกรุนแรงขึ้นมาอีกครั้ง!
“วิญญาณเทพร้อยก้าวสู่จักรพิภพ! กายเนื้อร้อยก้าวสู่จักรพิภพเช่นกัน! พลังฝึกปรือดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร…เป้าหมายคือร้อยก้าวสู่จักรพิภพเหมือนกัน!?”
“นี่…นี่…ไม่เคยมีมาก่อน นี่คือร่างเต๋าแรกเริ่มในตำนาน!”
“เมื่อสำเร็จก็จะเป็นจักรพิภพที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากจักรพรรดิสวรรค์ ถ้าหากเลื่อนขั้นเป็นจักรพิภพชั้นกลาง…ก็สามารถต่อสู้กับจักรพรรดิสวรรค์ได้!!”
“จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย จะมีเจ้าปกครองแล้วหรือ!!”
………………….
ทันทีที่แผ่นเลื่อนระดับโลกาปรากฏ อวกาศก็ดังก้องกังวาน ปราณวิญญาณนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมาจากในนั้น ขณะที่มันแพร่กระจายไปทั่วทั้งระบบสุริยะ ก็ทำให้ดวงดาวภายในระบบสุริยะแห่งนี้คล้ายจะถูกชะล้างจนเปล่งประกายแสงพร่างพราวออกมา
ดาวพระเคราะห์เจิดจรัส เปลวไฟแห่งดารานิรันดร์แผ่ไปทั่วทุกทิศ
พลังสยบกดดันปกคลุมทั่วทั้งจักรวาล ราวกับแช่แข็งทุกสรรพสิ่งในช่วงเวลาที่ดีเยี่ยมที่สุด ถึงขั้นมีพลังป้องกันแผ่ออกมาจากตัวของมันด้วย ทำให้ในชั่วพริบตานี้เอง ระบบสุริยะก็กลายเป็นจุดรวมความสนใจของทั้งจักรวาลทันที!
ที่น่าตะลึงยิ่งกว่านั้นคือระบบสุริยะในชั่วขณะนี้คล้ายกลายเป็นหลุมดำแห่งหนึ่งที่ดึงดูดปราณวิญญาณในอวกาศของทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายเข้าไปเป็นวงกว้าง
ชั่วอึดใจ ปราณวิญญาณนับไม่ถ้วนก็ส่งเสียงเลื่อนลั่นราวกับโค่นภูเขาพลิกทะเลดังมาจากทั้งสี่ทิศแล้วไหลเข้าสู่ระบบสุริยะ เข้าสู่แผ่นเลื่อนระดับโลกาอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นกลิ่นอายของสหพันธรัฐ กลายเป็นขุมพลังเบื้องหลังของสหพันธรัฐ!
สิ่งนี้ทำให้ปราณวิญญาณของระบบสุริยะพุ่งถึงระดับน่าตะลึงทันทีและกลายเป็นหมอกทึบปกคลุมจากทุกสายตา
เส้นปราณวิญญาณหลายเส้นกำเนิดขึ้นภายในดาวพระเคราะห์แต่ละดวง ฝนวิญญาณก็ตกลงมาในแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวย่อมสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ดังนั้นเสียงร้องตกใจมากมายก็ดังออกมาจากภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายทันที ภายในสำนักและตระกูลที่กำลังให้ความสนใจกับทางสหพันธรัฐอยู่อุทานออกมากะทันหัน เสียงแห่งความว้าวุ่นดังออกมาจากผู้เยี่ยมยุทธ์ในแต่ละดาราจักรอย่างต่อเนื่อง
พวกเขามองไม่เห็นสหพันธรัฐในขณะนี้แล้ว ดวงจิตเทพก็ตรวจสอบไม่ถึงระบบสุริยะเพราะอยู่ไกลเกินไป แต่ประสาทสัมผัสจากเต๋าก็ทำให้พวกเขารับรู้ถึงความผิดปกติได้ในทันที การสูญเสียปราณวิญญาณในดาราจักรต่างๆ ทำให้ภายในใจของพวกเขาเกิดคลื่นยักษ์ซัดโหม
“ไม่ถูกสิ ความรู้สึกเช่นนี้ผิดปกติมาก ปราณวิญญาณกำลังลดลงแล้วไหลไปยังสหพันธรัฐ!!”
“ก่อนหน้านี้หลังสหพันธรัฐผสานกับครามทองคำ ทั่วทั้งพิภพก็ไม่เสถียร พูดได้เพียงแค่ว่าพยายามประคับประคองเท่านั้น แล้วเหตุใดในชั่วอึดใจ…กลับมั่นคงขึ้นมาจนสมบูรณ์เหมือนกับดูดซับได้สำเร็จเสร็จสิ้นแล้วอย่างนั้นล่ะ!”
“มีของสิ่งใดที่กำลังดูดซับปราณวิญญาณอย่างไม่รู้จบ สยบพิภพของสหพันธรัฐ ทำให้มันมั่นคงขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ได้อย่างนั้นหรือ!” ขณะที่เสียงร้องตกใจดังออกมาจากสำนักและตระกูลต่างๆ ตอนนี้สำนักใหญ่ห้าอันดับแรกอย่างเต๋าเก้ารัฐและอีกสี่สำนักจากทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็เปลี่ยนจากความตกใจเล็กน้อยก่อนหน้านี้เป็นท่าทีที่รุนแรงยิ่งขึ้น
สิ่งที่สำนักและตระกูลอื่นๆ สัมผัสได้ พวกเขาย่อมสัมผัสได้เช่นกัน ขณะเดียวกัน…สิ่งที่ตระกูลและสำนักอื่นๆ ไม่อาจรู้ได้เพราะความรู้จำกัด แต่สำหรับพวกเขาแล้วมันไม่ใช่ปัญหาเลยสักนิด ดังนั้นหลังจากที่สังเกตเห็นกลิ่นอายและความเสถียรของสหพันธรัฐแล้ว เต๋าเก้ารัฐและสำนักอื่นๆ อีกสี่แห่งก็พบคำตอบในทันที
“นี่คือสมบัติชั้นยอดอย่างหนึ่ง เป็นสมบัติที่สามารถสยบการเคลื่อนไหวของปราณและทำให้ดินแดนมั่นคงขึ้นมาได้ สมบัติเช่นนี้หาพบได้ยากมาก ไม่ว่าชิ้นไหนก็สามารถเรียกได้ว่าเป็นสุดยอด!”
“จากบันทึก สมบัติชั้นสูงที่สามารถทำได้ถึงระดับนี้มีจำนวนนับนิ้วได้ นอกจากของบางอย่างที่มีเจ้าของอยู่แล้ว ของที่กระจัดกระจายอยู่ภายนอกก็มีอยู่ไม่เกินสามชิ้น!”
“ระฆังหลิงอี่ ธงวิญญาณเต๋า แผ่นเลื่อนระดับโลกา จะต้องเป็นหนึ่งในสามอย่างนี้แน่!”
“ไม่มีทางเป็นแผ่นเลื่อนระดับโลกาได้ นั่นเป็นสมบัติชั้นสูงสะเทือนฟ้าที่สามารถสยบจักรวาลได้และมีอยู่แต่ในตำนาน มีข่าวลือว่าปีนั้น ในการต่อสู้ของจักรพรรดิแห่งความมืด บรรพบุรุษไม่รู้สิ้นได้ทำลายมันไปแล้ว จึงได้ทำให้จักรพรรดิแห่งความมืดแตกดับ!”
ขณะที่สำนักตระกูลต่างๆ ประหลาดใจและห้าสำนักอย่างพวกเต๋าเก้ารัฐกำลังตกตะลึงอยู่นั้น ตอนนี้ภายในระบบสุริยะใหม่ การเลื่อนระดับพลังฝึกตนของทุกสรรพชีวิตได้มาถึงขีดสุดแล้ว พลังฝึกปรือของหลี่สิงเหวินพุ่งจากดารานิรันดร์ชั้นต้นไปเป็นดารานิรันดร์ชั้นกลางโดยตรง
ดูคล้ายว่านี่เป็นเพียงการเลื่อนระดับเล็กๆ เท่านั้น แต่เพราะระดับชั้นแตกต่างกัน ความยากของมันจึงเทียบได้กับผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์หลายสิบหรือหลายร้อยคนทะลวงระดับขึ้นหนึ่งครั้งเลยทีเดียว
ต่อจากนั้นก็คือเจ้าเยี่ยเหมิง ซึ่งก็ก้าวเข้าสู่ระดับดารานิรันดร์ชั้นกลางเช่นกัน หลินโยวน้อยกว่าอยู่สักหน่อย นางมาถึงขั้นสุดของดารานิรันดร์ชั้นต้น ส่วนอู๋เมิ่งหลิงและสหายเต๋ากุ้ย รวมไปถึงปรมาจารย์ตระกูลจิน ตอนนี้ต่างพากันปะทุพลังออกมาแล้ว นอกจากปรมาจารย์ตระกูลจิน สองคนแรกล้วนแต่มาถึงระดับดารานิรันดร์ชั้นต้น!
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในทั้งหกคนจึงมีห้าคนที่เป็นดารานิรันดร์ ถึงแม้ปรมาจารย์ตระกูลจินจะไม่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับนี้ทันที แต่ด้วยขุมพลังเบื้องหลังของเขา หากฝึกตนอีกพักหนึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่าจะก้าวสู่ดารานิรันดร์ได้แล้ว
ส่วนสิบสามคนนั้นที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นดาวพระเคราะห์ก็เลื่อนระดับต่อไปเป็นดาวพระเคราะห์ชั้นกลางอย่างยิ่งใหญ่ ถึงขั้นที่ยังมีอีกสิบกว่าคนที่พลังฝึกตนทะลวงถึงดาวพระเคราะห์ภายใต้การผสานรวมของแผ่นเลื่อนระดับโลกาอีกด้วย
จำนวนการทะลวงระดับของผู้ฝึกตนระดับล่างๆ ยิ่งมีมากจนนับไม่ถ้วน ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งอารยธรรมดวงเนตร สววรค์ก็ได้รับผลมหาศาลเช่นกัน เขาบรรลุถึงจุดสูงสุดของดารานิรันดร์ชั้นกลาง ขาดเพียงแค่ครึ่งก้าวก็เป็นดารานิรันดร์ชั้นปลายแล้ว
และการเลื่อนระดับเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นช่วงเวลาอื่น พลังฝึกตนจะต้องไม่มั่นคงและมีข้อบกพร่องมากมายอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้…ในแง่หนึ่ง การพัฒนาของระดับชีวิตได้กำจัดความไม่เสถียรนี้ออกไปมากกว่าครึ่งแล้ว ยิ่งมีการสยบของสมบัติชั้นสูงอย่างแผ่นเลื่อนระดับโลกาอยู่ จึงทำให้พลังฝึกปรือของผู้ฝึกตนทั้งหมดเลื่อนขั้นได้มั่นคงอย่างยิ่ง!
วังเต๋าไพศาลก็เช่นกัน ผู้อาวุโสที่รักษาอาการบาดเจ็บแต่ละคนพากันออกจากด่านกักตน ดวงตาของประมุขซิงอี้ผู้นั้นยิ่งเผยประกายแสงแปลกประหลาดออกมา อาการบาดเจ็บของเขา…ก็หายดีขึ้นมากกว่าแปดส่วนทันที
สิ่งนี้ทำให้จิตใจของเขาตื่นเต้น การหายใจก็รุนแรงรวดเร็วด้วยเช่นกัน
พร้อมกันนั้น…ก่อนหน้านี้ตอนที่อารยธรรมครามทองคำได้ผสานเข้ามาในระบบสุริยะ พวกเขาเป็นฝ่ายมอบให้ ผู้ฝึกตนทั้งหมดภายในนั้นรวมถึงอารยธรรมที่แนบติดมาด้วยจึงไม่ได้ประโยชน์เลยสักนิด และยังเสียขุมพลังเบื้องหลังไปไม่น้อยในแง่หนึ่ง
แม้แต่พลังฝึกปรือของผู้ฝึกตนส่วนหนึ่ง ก็ดูเหมือนว่าพลังชีวิตของพวกเขาจะแห้งเหี่ยวเพราะการสั่นสะเทือนครั้งนี้ด้วย สิ่งนี้ทำให้ผู้ฝึกตนของอารยธรรมครามทองคำจำนวนไม่น้อยมีความไม่พอใจและความอัดอั้นแฝงอยู่ในใจ ยิ่งกว่านั้นคือความจนปัญญา
แม้แต่ภายในใจของปรมาจารย์ครามทองคำ มากน้อยก็ก็เกิดความรู้สึกเสียใจภายหลัง คล้ายรู้สึกว่าการตัดสินใจครั้งนี้ของตนอาจจะผิดไป…
แต่ในชั่วพริบตานั้นเอง เมื่อปราณวิญญาณอันไร้ขอบเขตหลั่งไหลเข้ามาพร้อมกับการผสานรวมของแผ่นเลื่อนระดับโลกา การตอบกลับของปราณวิญญาณก็เริ่มเกิดขึ้นบนร่างของพวกเขาด้วยเช่นกัน!
ทั้งหมดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ความสูญเสียก่อนหน้านี้ของอารยธรรมครามทองคำถูกเติมเต็มกลับมาทันที บรรดาผู้ที่ระดับชีวิตเหี่ยวเฉาล้วนจิตใจสั่นสะท้านขึ้นมาทั้งหมดแล้วฟื้นคืนเหมือนเดิม พลังฝึกปรือก็เริ่มเลื่อนระดับขึ้นภายใต้การตอบกลับครั้งนี้
เพียงแต่เนื่องจากระยะเวลาการเข้าร่วมนั้นสั้นเกินไปและลำดับก็แตกต่างกันมาก จึงเห็นได้ชัดว่าสิ่งที่พวกเขาได้รับย่อมเทียบกับดวงเนตรสวรรค์และวังเต๋าไพศาลไม่ได้ แต่…ก็เพียงพอจะทำให้อารยธรรมครามทองคำและอารยธรรมขนาดเล็กนับร้อยเหล่านั้นตื่นเต้นยินดีได้แล้ว
ส่วนตอนนี้ปรมาจารย์ครามทองคำก็ตื่นเต้นยิ่งกว่าใคร เพราะแม้ว่าการป้อนกลับให้อารยธรรมครามทองคำจะไม่ได้มากมายนัก แต่ก็พอจะทำให้พลังฝึกปรือของเขาที่เดิมอยู่ในสภาพสิ้นหวังจะเลื่อนเป็นจักรพิภพมาตลอดเลื่อนระดับขึ้นมาอีกก้าวได้ แล้วบรรลุถึงจุดสูงสุดอย่างแท้จริง ทำให้มีความมั่นใจว่าจะทะลวงก้าวสู่ระดับจักรพิภพได้แล้ว ต่างจากก่อนหน้านี้ที่แทบจะเลื่อนขั้นไม่ได้ เขาก็กลายเป็นครอบครองความมั่นใจกว่าครึ่งหนึ่ง!
พลังต่อสู้ของเขาก็ยกระดับสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ขุมพลังเบื้องหลังอันล้ำลึกของเขาทำให้ในตอนนี้เขาพอจะมีคุณสมบัติต่อสู้กับจักรพิภพชั้นต้นได้แล้ว!
สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือสิ่งนี้ทำให้เขามีความมั่นใจและความคาดหวังอย่างแรงกล้า ขณะที่ภายในใจของปรมาจารย์ครามทองคำตื่นเต้นยินดีนั้น เขาก็เงยหน้ามองไปทางดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์ หลังจากมองเห็นรางๆ ว่ามีเงาร่างร่างหนึ่งนั่งทำสมาธิอยู่ในนั้น ก้นบึ้งจิตใจก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่และดีใจยิ่งกว่าใครต่อการผสานรวมกับสหพันธรัฐครั้งนี้แล้ว
เงาร่างที่เขาเห็นนั้นก็คือหวังเป่าเล่อ ในฐานะเจ้าของแผ่นเลื่อนระดับโลกา สิ่งที่เขาได้รับครั้งนี้ย่อมได้มากที่สุด ปราณวิญญาณที่ถูกสรรพชีวิตทั่วทั้งระบบสุริยะดูดซับมาเป็นเพียงสองสามส่วนเท่านั้น แต่อีกเจ็ดแปดส่วนที่เหลือล้วนไหลเข้ามาหาเขาทั้งหมด
ในชั่วพริบตา พลังฝึกปรือของเขาก็บรรลุระดับสามถึงห้าขั้นของดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร แล้วเลื่อนระดับต่อไปถึงจุดสูงสุดอย่างต่อเนื่อง!
ไม่นานก็มาถึงสิบสี่สิบห้าขั้นแล้ว ปราณวิญญาณที่ไหลเข้ามากลายเป็นวังน้ำวนพันวนอยู่นอกดวงอาทิตย์ จิตใจของหวังเป่าเล่อจมอยู่ในนั้น ตอนนี้ในหัวมีเพียงความคิดเดียว
เขาต้องการ…พยายามทะลวงระดับเข้าสู่ระดับจักรพิภพ แล้วใช้วิญญาณเทพ กายเนื้อ และพลังฝึกตนในระดับจักรพิภพมากลายเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แท้จริงในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น เป็นฝ่ายที่ทำให้จักรพรรดิสวรรค์ต้องรู้สึกหวาดกลัว!
“ครั้งนี้จะต้องก้าวถึงจักรพิภพ!” หวังเป่าเล่อฉายแววแน่วแน่อยู่ในดวงตา สองมือผนึกมุทรา พลังฝึกปรือเลื่อนระดับอีกครั้งภายใต้การไหลหลั่งของปราณวิญญาณนับไม่ถ้วนเหล่านี้!
………………………………….
การผสานรวมของครามทองคำทำให้อารยธรรมสหพันธรัฐยกระดับขึ้น!
กฎแห่งเต๋าสวรรค์และกฎเกณฑ์แผ่ขยายอย่างต่อเนื่องอยู่ภายใน ท่วมท้นไปทุกสารทิศ และแพร่กระจายไปทั่วทุกสิ่งทุกอย่าง มีสายฟ้าสีม่วงสายแล้วสายเล่ากระจายอยู่ในดาราจักร ทำให้ทุกคนที่เงยหน้ามองจะเห็นงูสีม่วงร่ายรำอยู่กลางอวกาศอย่างสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน
ผู้ฝึกตนทุกคนไม่ว่าจะเป็นวังเต๋าไพศาลหรือว่าอารยธรรมดวงเนตรสววรค์ก็ล้วนระเบิดพลังฝึกปรือออกมาในชั่วขณะนี้เอง พร้อมกับการยกระดับชีวิตและการตอบรับของปราณวิญญาณ ยังมีกลิ่นอายของการทะลวงปะทุขึ้นหลายสาย ซึ่งแผ่กระจายออกมาอย่างต่อเนื่องภายในสหพันธรัฐใหม่ตอนนี้
ภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ พลังฝึกปรือของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ทะลวงจากดาวพระเคราะห์ชั้นมหาวัฏจักรดั้งเดิมพุ่งตรงไปยังระดับดารานิรันดร์ท่ามกลางการระเบิดครั้งนี้ ส่วนตัวเขาก็ได้เตรียมการสำหรับการเลื่อนขั้นพลังฝึกปรือของตนมาหลายปี โดยเหลือดาวเคราะห์อมตะดวงหนึ่งไว้ให้ตนเองนานแล้ว นี่ก็คือพลังเบื้องพลังของอารยธรรมดวงเนตรสววรค์
ตอนนี้ ด้วยความช่วยเหลือจากดาวเคราะห์อมตะดวงนี้ พลังฝึกปรือของเขาก็จุดประกายดาวดวงนี้ขึ้นทันทีท่ามกลางการทะลวงและการตอบรับของปราณวิญญาณ จนตัวเขาเลื่อนระดับอย่างต่อเนื่อง พลังฝึกปรือก้าวเข้าสู่ระดับดารานิรันดร์อย่างราบรื่น!
และยังมีผู้ฝึกตนของอารยธรรมดวงเนตรสววรค์จำนวนมากที่ยกระดับขึ้นเช่นกัน มีสามคนในนั้นก้าวสู่ระดับดาวพระเคราะห์โดยตรง!
สำหรับวังเต๋าไพศาล ตอนนี้เกิดเสียงดังสนั่นไม่หยุด เงาร่างหลายร่างกู่ร้องออกมาจากสถานที่กักตน อาการบาดเจ็บของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ทั้งเก้าคนหายดีจนหมดและออกจากด่านกักตนทันที!
ส่วนชิงหลิงจื่อ อาการบาดเจ็บของเขายิ่งหายเป็นปลิดทิ้ง และกลับสู่ระดับดารานิรันดร์ชั้นกลาง!
ยังมีประมุขซิงอี้ผู้นั้น เนื่องจากพลังฝึกตนของเขาสูงส่งลึกล้ำ ทั้งอาการบาดเจ็บก็ไม่เบานัก ถึงแม้จะไม่ได้ฟื้นตัวขึ้นมาโดยสมบูรณ์ แต่ตอนนี้ก็สัมผัสได้ชัดเจนว่าอาการบาดเจ็บของตนดีขึ้นไม่น้อย
ส่วนผู้ที่เลื่อนระดับได้มากที่สุด…ก็คือผู้ฝึกตนสหพันธรัฐภายในระบบสุริยะดั้งเดิมนั่นเอง พลังฝึกตนของพวกเขาระเบิดออกมา โดยรวมแล้วเทียบได้กับของดวงเนตรสวรรค์และวังเต๋ารวมกันด้วยซ้ำ
เจ้าเยี่ยเหมิง หลี่สิงเหวิน อู๋เมิ่งหลิง หลินโยว ปรมาจารย์ตระกูลจินและสหายเต๋ากุ้ย อดีตดาวพระเคราะห์ทั้งหก ตอนนี้ต่างพากันทะลวงระดับท่ามกลางเสียงกู่ก้องภายในร่าง การระเบิดของปราณวิญญาณ และการเพิ่มพูนระดับชีวิต
ดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง ดาวพระเคราะห์ชั้นปลาย…จนถึงชั้นปลายสุด ไม่แปลกใจเลยที่หลี่สิงเหวินเป็นบุคคลผู้มีพรสวรรค์น่าตะลึง เขาเป็นคนแรกที่ทะลวงเข้าสู่ระดับดารานิรันดร์ ต่อมาคือเจ้าเยี่ยเหมิง จากนั้นเป็นหลินโยว!
ส่วนอู๋เมิ่งหลิงกับปรมาจารย์ตระกูลจิน รวมไปถึงสหายเต๋ากุ้ยนั้นหยุดอยู่ที่ระดับดาวพระเคราะห์ชั้นปลาย
ยังมีคนอื่นๆ อยู่อีก ซึ่งต่างก็ปะทุพลังออกมาตามๆ กัน ถึงขั้นมีผู้ฝึกตนที่เดิมเป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะสิบสามคน ก็ถือโอกาสนี้ทะลวงสู่ระดับดาวพระเคราะห์
การเพิ่มระดับของกลุ่มอิทธิพลทั้งสามฝ่าย การปรากฏตัวของดาวพระเคราะห์จำนวนมาก และประกายแสงของดารานิรันดร์หลายดวงทำให้อวกาศของสหพันธรัฐใหม่แห่งนี้สว่างไสวยิ่งขึ้น เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นทุกสารทิศ
การพัฒนาเช่นนี้ของผู้ฝึกตนประจำถิ่นของสหพันธรัฐเป็นเพราะ…การฝึกตนของสหพันธรัฐล้วนเป็นชั้นนำไม่ว่าจะเป็นเมื่อก่อนหรือว่าตอนนี้ พวกเขาต่างหากถึงจะเป็นเจ้าของที่แท้จริงภายในดาราจักรแห่งนี้ ดังนั้นการยกระดับการฝึกตนครั้งนี้จึงยิ่งครอบคลุมรอบด้านมากขึ้น
แต่ผู้ที่ได้รับมากที่สุดก็ยังเป็นหวังเป่าเล่อ!
หากกล่าวว่าพลังฝึกตนประจำถิ่นของสหพันธรัฐเป็นชั้นนำ เช่นนั้นหวังเป่าเล่อก็คือผู้ควบคุมในหมู่ชนชั้นนำ!
ด้วยการเพิ่มระดับชีวิต การผสานรวมของอารยธรรมครามทองคำ และการระเบิดครั้งนี้ มันทำให้ดวงวิญญาณเทพของเขาบรรลุถึงวิญญาณเทพเก้าสิบขั้นของดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร ยังไม่หมดเท่านั้น เพราะยังเพิ่มระดับขึ้นอีก
จนกระทั่งถึงเก้าสิบสามขั้น เก้าสิบหกขั้น…เก้าสิบเก้าขั้น!
เมื่อกระโจนอีกครั้งก็ก้าวสู่หนึ่งร้อยขั้นแล้ว จากนั้นดวงวิญญาณเทพก็สั่นสะเทือนรุนแรง ทะยานสูงจากพื้น ทะลวงไปถึง…ระดับจักรพิภพ!
หวังเป่าเล่อในตอนนี้ กายเนื้อเป็นจักรพิภพแล้ว วิญญาณเทพก็เป็นจักรพิภพแล้ว และแม้ว่าพลังฝึกตนของเขาจะทั้งลึกทั้งหนาเกินไป ดังนั้นแค่การผสานรวมของครามทองคำอย่างเดียวจึงไม่อาจหนุนให้มันเลื่อนระดับได้ พลังฝึกตนของเขาจึงยังเป็นดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรอยู่ แต่พลังต่อสู้ของเขากลับเพิ่มขึ้นมามากมายเพราะวิญญาณเทพเลื่อนขั้นเป็นจักรพิภพนั่นเอง
ตอนนี้เขานั่งขัดสมาธิอยู่ภายในดวงอาทิตย์ ดวงตาสองข้างหลุบลงคล้ายกับเทพเจ้าที่สูงตระหง่านดุจขุนเขา ณ ใจกลางของสหพันธรัฐใหม่!
ขณะที่เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นและเสียงการทะลวงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องภายในจักรวาลแห่งนี้ เนื่องจากดาราจักรของสหพันธรัฐใหม่แผ่ขยายและปฏิกิริยาของจักรวาลที่เกิดขึ้น จึงทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ภายในสำนักและตระกูลจำนวนนับไม่ถ้วนในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายใจสั่นสะท้านขึ้นมาทุกคน สายตาคล้ายจะมองทะลวงผ่านทะเลแห่งดวงดาวไปยังสหพันธรัฐที่แผ่ขยายไปหลายร้อยเท่าในวันนี้!
นี่ไม่ใช่การมองอย่างแท้จริง และไม่ใช่การมาถึงของดวงจิตเทพ แต่เป็นเพราะเต๋าเข้าผสานกับจักรวาล ดังนั้นจึงสัมผัสได้เป็นธรรมดา
ถึงอย่างนั้น แม้ว่าสำนักและตระกูลส่วนใหญ่จะตกตะลึงรุนแรงมาก และรู้ว่าจากนี้ภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายจะมีเจ้าปกครองแห่งใหม่ปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องน่ากลัวมาก แต่สำหรับสำนักใหญ่ที่อยู่อันดับต้นๆ ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายอย่างเช่นสำนักอันดับหนึ่งเต๋าเก้ารัฐนั้น พวกเขาแค่ใจสั่นไหวเล็กน้อย ไม่ได้เกิดความรู้สึกรุนแรงมากนัก เพราะไม่ว่าภายในสหพันธรัฐใหม่จะมีดาวพระเคราะห์เกิดขึ้นอีกหลายสิบตนก็ดี มีดารานิรันดร์เกิดขึ้นอีกหลายคนก็ช่าง แม้ว่าจะทำให้พลังของสหพันธรัฐใหม่ไม่ใช่แค่กลายเป็นเจ้าปกครองเขตแดนที่สิบเก้าด้วยการกระโจนครั้งเดียวเท่านั้น แต่ยังถึงขั้นเหนือกว่านั้นด้วยซ้ำ ทว่า…สุดท้ายก็ยังขาดพลังต่อสู้ระดับสูงอยู่ดี!
ถึงอย่างไรในการวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ของเต๋าเก้ารัฐ พลังของหวังเป่าเล่อยังคงเป็นดารานิรันดร์ ตอนนี้พวกเขาไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาตัวเอง เพียงแค่สัมผัสถึงการขยายตัวของดาราจักรเท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาใส่ใจก็ยังเป็นปรมาจารย์แห่งไฟและประมุขซิงอี้ของวังเต๋าไพศาลผู้นั้น
ในสายตาของเต๋าเก้ารัฐ สองคนนี้คือพลังเบื้องหลังของสหพันธรัฐใหม่ในปัจจุบัน แม้จะแข็งแกร่ง แต่คนแรกไม่แผดเผาคำสาปออกมาง่ายๆ ส่วนคนหลังก็บาดเจ็บอยู่ เต๋าเก้ารัฐและสำนักที่อยู่อันดับต้นๆ แห่งอื่นก็ไม่ได้ขาดแคลนระดับจักรพิภพ ดังนั้นแม้จะเป็นภัยคุกคาม แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคใหญ่
แน่นอนว่ายังมีอีกสองสาเหตุที่ทำให้พวกเขาใจสั่นไหวเล็กน้อยเท่านั้น สาเหตุแรกคือ…ภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นตอนนี้ สงครามกำลังจะเริ่มขึ้น ภัยพิบัติใหญ่กำลังจะมาถึง สุดท้ายแล้วจะอยู่รอดต่อไปได้หรือไม่ก็ยังไม่รู้
ส่วนสาเหตุที่สองคือ…เต๋าเก้ารัฐกระจ่างแจ้งดีว่าการเลื่อนขั้นโดยอาศัยการกลืนกินสอดผสานกับอารยธรรมอื่นเช่นนี้ แม้จะสำเร็จอย่างรวดเร็ว แต่กลับเต็มไปด้วยข้อเสีย ทั้งยังมีขีดจำกัดอีกด้วย
ประการแรกคือไม่เสถียร ถ้าหากสิ่งที่ผสานรวมไปเป็นอารยธรรมขนาดเล็กก็ช่างเถอะ แต่การผสานดาราจักรใหญ่อย่างอารยธรรมครามทองคำเข้าไปก็เหมือนงูกลืนช้าง มีภัยแฝงเสี่ยงจะถล่มลงมา ทั้งยังต้องใช้เวลาค่อนข้างนานในการหลอมรวม ขณะเดียวกันก็บรรลุถึงขั้นสูงสุดของจุดอิ่มตัวได้ง่ายมาก ไม่อาจใช้วิธีนี้เพื่อเลื่อนระดับต่อไปได้
สุดท้าย…ก็ยากจะบรรลุถึงตำแหน่งใหญ่เช่นสำนักอันดับต้นๆ อย่างเต๋าเก้ารัฐได้
เป็นเพียงแค่การยกระดับจุดเริ่มต้นให้สูงขึ้นเท่านั้น แต่รากฐานไม่มั่นคง หากมีพายุลูกใหญ่พัดมาก็จะถล่มลงอย่างเลี่ยงไม่ได้
หลักการที่พวกเขารู้นั้น หวังเป่าเล่อย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ เขามีความทะเยอทะยานยิ่งใหญ่มาแต่ไหนแต่ไร ทั้งยังแข่งขันกับเวลา เห็นได้ชัดว่าหลังจากอารยธรรมครามทองคำผสานรวมแล้วเขาก็ยังไม่พอใจ มันยังไม่อาจหนุนให้พลังฝึกตนของเขายกระดับขึ้นได้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ…อารยธรรมครามทองคำจะมาหรือไม่ หวังเป่าเล่อไม่ได้ให้ความสนใจนัก
เพราะว่าเขาต้องการให้สหพันธรัฐเลื่อนขั้น เดิมทีเขาก็ไม่ได้จะให้ครามทองคำมาผสาน แต่เป็น…ให้แผ่นเลื่อนระดับโลกาผสาน!
บทบาทของจานแผ่นนี้ไม่ได้เหมือนกับชื่อของมันเท่านั้น แต่มันยังสามารถทำให้อารยธรรมเลื่อนขั้น ซ้ำยังใช้เป็นสมบัติเบื้องหลังมาสยบโชคชะตาได้ ทำให้อารยธรรมที่เลื่อนระดับใหม่ไม่เกิดเหตุไม่เสถียร และสามารถบรรลุถึงระดับของการผสานรวมได้อย่างสมบูรณ์แบบ อีกทั้ง…ไม่มีขีดจำกัด!
หรือก็หมายความว่า เมื่อมีแผ่นเลื่อนระดับโลกานี้อยู่ การแผ่ขยายและการผสานรวมของสหพันธรัฐใหม่ ในแง่หนึ่งสามารถทำลายขีดจำกัดสู่การไร้ที่สิ้นสุดได้!
ดังนั้นในพริบตาต่อมา การปรากฏตัวของสหพันธรัฐใหม่ก็ได้สั่นสะเทือนสำนักและตระกูลส่วนใหญ่ แต่กลับทำให้สำนักแบบเต๋าเก้ารัฐเพียงสั่นไหวเล็กน้อยแค่ชั่วพริบตาเท่านั้น…แต่หลังจากหวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในดวงอาทิตย์แผ่สัมผัสสวรรค์ไปปกคลุมระบบสุริยะที่ขยายตัวขึ้นหลายร้อยเท่าในปัจจุบันแล้ว เขาก็ยกมือขวาขึ้นแล้วโบกกะทันหัน
“สรรพชีวิตเพื่อเต๋า เลื่อนระดับเพื่อมวลรวม จากนี้…ให้กลายเป็นมรดกแห่งสหพันธรัฐของข้า สยบจักรวาล ทำให้สหพันธรัฐไม่ถล่มไม่ทลายไม่ร่วงไม่หล่น!”
ทันใดนั้นแผ่นเลื่อนระดับโลกาที่ดูธรรมดาสามัญก็ลอยออกมาทันที หลังจากบินออกจากดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์แล้ว ขนาดของมันพลันแปรเปลี่ยนในพริบตา มันขยายตัวอย่างไร้ขีดจำกัด ท่ามกลางเสียงสะเทือนกึกก้อง จานแผ่นนี้ก็ยิ่งขยายใหญ่มากขึ้น ยิ่งกึ่งโปร่งแสงมากขึ้น ถึงขั้นที่ภายในไม่กี่อึดใจมันก็ใหญ่พอๆ กับระบบสุริยะใหม่นี้ รูปลักษณ์ของมันโปร่งแสงโดยสมบูรณ์แล้วเข้าปกคลุมระบบสุริยะโดยที่ตาเปล่าไม่อาจมองเห็นได้!
แล้วกดลงไปข้างล่าง!
เสียงสะเทือนกู่ก้อง ระบบสุริยะใหม่ที่แผ่ขยายหลายร้อยเท่า จากเดิมที่อยู่ในสภาวะไม่มีการหนุนนำและไม่เสถียร แต่ชั่วพริบตาที่เกิดเสียงดังสนั่นนี้ขึ้น มันกลับมั่นคงขึ้นมาทันที ในพริบตานี้เองการตอบสนองของปราณวิญญาณก็มากเกินกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย จากนั้นมันก็ระเบิดออกมาเป็นครั้งที่สอง!
พลังฝึกตนของสรรพชีวิต เลื่อนระดับอีกครั้ง!
……………………
บทที่ 1197 เจ็ดวันผสานดาว!
จานหลัวผานแผ่นนี้ดูแล้วไม่มีจุดแปลกประหลาดมากนัก มีเพียงความรู้สึกถึงเก่าแก่เท่านั้นที่ชัดเจนอย่างยิ่ง ทั้งยังมีคราบสกปรกที่เช็ดไม่ออกหลายที่ คล้ายกับแปดเปื้อนเลือดมาไม่รู้กี่ปีแล้ว
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีกลิ่นอายแปลกประหลาดเลยแม้แต่น้อย ทั่วร่างของมันมีกลิ่นคล้ายไม้เซี่ยงมู่แผ่ออกมา ขณะเดียวกันที่มุมด้านขวาของมันก็มีมุมกว้างที่ขาดแหว่งไปอย่างเห็นได้ชัด
มุมที่ขาดหายไปนี้ราวกับถูกแรงจากภายนอกกระแทกใส่ ทำให้แผ่นจานนี้แตกร้าว ถึงขั้นที่มองเห็นรอยร้าวหลายเส้นบนมุมที่ขาดหายไปได้ มีทั้งเส้นที่ตื้นและเส้นที่ลึก ล้วนแพร่กระจายไปทั่วทั้งจานหลัวผาน ทำให้ความรู้สึกเก่าแก่ของจานหลัวผานแผ่นนี้เพิ่มพูนขึ้น
“แผ่นเลื่อนระดับโลกา” หวังเป่าเล่อถือจานหลัวผานพร้อมเอ่ยพึมพำ ประโยชน์ของจานแผ่นนี้อาจจะมีไม่น้อย แต่หวังเป่าเล่อรู้จักเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ…เลื่อนขั้นระดับอารยธรรม
เขาไม่รู้ว่าหลักการของมันคืออะไร แต่คิดดูแล้วของสิ่งนี้คงจะเป็นการดำรงอยู่ที่เหมือนกับพลังเบื้องหลังอย่างหนึ่งที่สามารถเพิ่มระดับความหนาแน่นของอารยธรรม จากนั้นก็ทำให้อารยธรรมแห่งหนึ่งก้าวกระโดดคล้ายกับเพิ่มประวัติศาสตร์ขึ้นมาจากความว่างเปล่า เหมือนกับการต่อเติมกิ่งอย่างไรอย่างนั้น
สำหรับเรื่องวิธีใช้ก็ไม่ได้ซับซ้อน เพียงแค่หลอมรวมมันเข้าไปภายในดารานิรันดร์ก็เป็นพอ
หวังเป่าเล่อไตร่ตรองอยู่พักหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์ เขาไม่ได้หลอมรวมเข้าไปทันที ถึงอย่างไรของสิ่งนี้ก็มาจากแม่น้ำแห่งความมืด มาจากนพภูมิ หวังเป่าเล่อไม่ค่อยมั่นใจมากนัก ดังนั้นจึงต้องศึกษาอีกสักรอบถึงจะแน่ใจว่าจะใช้หรือไม่
“การมาถึงของอารยธรรมครามทองคำ หลังจากผสานรวมกันแล้วก็จะยกระดับอารยธรรมของสหพันธรัฐขึ้น…” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ปิดดวงตาลงแล้วทำสมาธิเงียบๆ
เวลาหมุนเวียนไป ไม่นานก็ผ่านมาเจ็ดวันแล้ว
ในช่วงเจ็ดวันนี้ บ้านของหวังเป่าเล่อมีผู้มาเยือนไม่ขาดสาย ทั้งปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์หลี่สิงเหวิน อู๋เมิ่งหลิงประธานสหพันธรัฐ รองประธานและเจ้านครดาวอังคารหลินโยว สหายเต๋ากุ้ย รวมทั้งกลุ่มไตรจันทราและปรมาจารย์ตระกูลจินที่หวังเป่าเล่อยังไม่เคยพบผู้นั้น ไปจนถึงพวกมหาทัณฑ์จากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แล้วยังมีชิงหลิงจื่อผู้แสนประหม่าจากวังเต๋าไพศาล
คนเหล่านี้คือบุคคลระดับสูงในปัจจุบันของสหพันธรัฐ แต่ละคนพากันมาเยี่ยมเยียนและคารวะ การปฏิบัติตัวต่อคนที่แตกต่างกัน ท่าทีของหวังเป่าเล่อก็ย่อมไม่เหมือนกัน อย่างเช่นพวกหลี่สิงเหวินและอู๋เมิ่งหลิง หวังเป่าเล่อจะปฏิบัติด้วยธรรมเนียมแบบผู้น้อย ส่วนคนอื่นๆ หวังเป่าเล่อก็ไปพบด้วยรอยยิ้ม แต่ไม่ว่าจะอ่อนโยนแค่ไหนก็ยังเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้ผู้มาเยือนคนอื่นๆ นอกจากหลี่สิงเหวินและอู๋เมิ่งหลิงรู้สึกประหม่าอยู่ในใจได้
ยังมีปรมาจารย์อารยธรรมครามทองคำที่เพิ่งเข้ามาใหม่ก็มาเยือนด้วยเช่นกัน เขาเคารพนบน้อมอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ไม่กล้ามีการกระทำและคำพูดประมาทเลินเล่อสักนิด นี่ก็ยิ่งทำให้ในใจของบุคคลระดับสูงเหล่านั้นของสหพันธรัฐกริ่งเกรงหวังเป่าเล่อมากขึ้นไปอีก
ไม่ว่าจะเป็นที่แจ้งหรือที่ลับ ตัวตนและตำแหน่งของหวังเป่าเล่อในสหพันธรัฐก็หาที่เปรียบไม่ได้แล้ว ถึงขั้นที่เวลาผู้ฝึกตนบางส่วนของสหพันธรัฐพูดคุยเรื่องหวังเป่าเล่อก็ยังเรียกเขาว่าปรมาจารย์อีกด้วย
ปรมาจารย์สหพันธรัฐ!
ไม่นานคำเรียกนี้ก็แพร่หลาย ไม่มีใครไม่ยอมรับ เพราะกล่าวได้ว่าทุกอย่างในปัจจุบันของสหพันธรัฐล้วนเป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อได้รับมาทั้งสิ้น ทั้งการผสานรวมของวังเต๋าไพศาล เขาก็เป็นประธาน การผสานรวมของอารยธรรมดวงเนตรสววรค์ เขายิ่งมีส่วนรวมในทุกขั้นตอน และอารยธรรมครามทองคำในวันนี้ก็ยิ่งมาเพราะเลื่อมใสในชื่อเสียง
ดังนั้นในสหพันธรัฐปัจจุบันนี้ ถึงแม้หวังเป่าเล่อจะยังไม่บรรลุความฝันในวัยเด็กที่จะเป็นประธานสหพันธรัฐ แต่นี่ก็ไม่สำคัญแล้ว
หลังจากพบกับผู้มาเยือนทั้งหมด หวังเป่าเล่อก็ทิ้งร่างแยกเอาไว้เพื่อไม่เป็นการรบกวนพ่อแม่ ส่วนร่างจริงนั้นไปจากดาวโลก สู่ภายในดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์
ดารานิรันดร์ที่ปีนั้นเขาไม่อาจเข้ามาได้ แต่วันนี้ สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วกลับเหมือนไปสวนดอกไม้ที่บ้านของตัวเอง สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ด้านหนึ่งก็เพราะพลังฝึกปรือของเขาไม่อาจเทียบกับในอดีตได้แล้ว ส่วนอีกด้านก็เพราะเดิมทีดารานิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์ได้ถูกเขาควบคุม หลังจากผสานรวมกับดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์ ก็จะทำให้ดวงอาทิตย์เป็นของหวังเป่าเล่อในแง่ของการครอบครองโดยปริยาย
ภายในดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์ หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิท่ามกลางแสงอาทิตย์เจิดจ้า ขณะที่กำลังบำเพ็ญตนอยู่นั้น อารยธรรมครามทองคำและสหพันธรัฐก็บรรลุมติในด้านรายละเอียดเรียบร้อยแล้ว เรื่องการผสานรวมจึงมีกำหนดการขึ้น
นั่นคือกำหนดไว้ที่ครึ่งเดือนให้หลัง!
ในช่วงครึ่งเดือนนี้ ยังมีเรื่องต้องทำก่อนอีกมากมาย อย่างเช่นการแบ่งพื้นที่หลังจากการผสานรวม และวิธีการจัดการกับอารยธรรมนับร้อยที่มาพร้อมอารยธรรมครามทองคำ ไปจนถึงตำแหน่งที่นั่งของอารยธรรมครามทองคำในสหพันธรัฐ
ถึงอย่างไรเมื่อเทียบกับสหพันธรัฐแล้ว อารยธรรมครามทองคำนั้นใหญ่เหลือเกิน ถ้าหากไม่มีหวังเป่าเล่ออยู่ สหพันธรัฐก็คงเป็นฝ่ายเสียเปรียบโดยสมบูรณ์ในการผสานรวม แต่วันนี้อารยธรรมครามทองคำกลับเป็นฝ่ายถอยให้ก่อนแล้วเสนอให้ดารานิรันดร์ของครามทองคำผสานเข้าไปในดารานิรันดร์ของสหพันธรัฐโดยสมบูรณ์ ละทิ้งอำนาจผู้นำ ขณะเดียวกันก็มอบอารยธรรมขนาดเล็กนับร้อยที่ติดมาด้วยให้กับสหพันธรัฐทั้งหมด
หลังจากนี้ อารยธรรมขนาดเล็กเหล่านี้จะไม่ใช่ของครามทองคำอีกต่อไป แต่เป็นของสหพันธรัฐ
ดาราจักรของพวกเขาจะพันรอบที่ขอบของดาราจักรสหพันธรัฐในอนาคต กลายเป็นส่วนหนึ่งของวังวนดวงดาวของสหพันธรัฐ ขณะเดียวกันอาณาเขตของสหพันธรัฐก็จะแบ่งออกเป็นสองพื้นที่แล้วมอบให้กับอารยธรรมครามทองคำด้วย
สำหรับอารยธรรมครามทองคำแล้ว นี่เป็นเรื่องเสียเปรียบอย่างยิ่ง ถึงอย่างไรการผสานรวมของพวกเขาก็สามารถส่งเสริมสหพันธรัฐได้มากมายเหลือเกิน แต่ครามทองคำกลับไม่มีความไม่พอใจเลยสักนิด แต่สนับสนุนอย่างเต็มที่
ทุกคนต่างมองออกและรู้ว่าสหพันธรัฐไม่นับเป็นอะไรสำหรับครามทองคำ พวกเขามาที่นี่ก็เพื่อ…พึ่งพาหวังเป่าเล่อ
ภายใต้การส่งเสริมและร่วมมืออย่างเต็มกำลัง ครึ่งเดือนก็ผ่านไปในพริบตา เรื่องที่ต้องทำก่อนหน้าก็เสร็จสมบูรณ์ และในที่สุดวันนี้ ภายใต้การออกอากาศอย่างพร้อมเพรียงของทุกเขตแดนในสหพันธรัฐ การผสานรวมของอารยธรรมครามทองคำกำลังจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการ!
ด้านหวังเป่าเล่อในตอนนี้แบ่งร่างแยกออกมาเป็นร้อยๆ ร่าง แล้วกระจายไปทั่วทุกที่เพื่อนั่งทำสมาธิอยู่ที่ขอบนอกของระบบสุริยะ เป็นการป้องกันอุบัติเหตุและการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น ส่วนร่างจริงยังคงนั่งอยู่ภายในดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์ เป็นประธานในการผสานรวมครั้งนี้
ดังนั้นในไม่ช้า ประชาชนทั่วทั้งสหพันธรัฐก็ล้วนมองเห็นว่าบนฟ้ามีดารานิรันดร์ที่ใหญ่ยิ่งกว่าพระอาทิตย์อยู่ดวงหนึ่ง มันค่อยๆ เผยตัวออกมาท่ามกลางความพร่าเลือน รอบตัวมันมีอุกกาบาตจำนวนนับไม่ถ้วน ราวกับกำลังดึงและผลัก และเหมือนกับกำลังหนุนนำให้ดารานิรันดร์แปลกหน้าดวงนี้ค่อยๆ เข้ามาใกล้กับดวงอาทิตย์
ตลอดกระบวนการดำเนินไปเป็นเวลาสิบสี่วัน ในช่วงเจ็ดวันแรก อุณหภูมิในระบบสุริยะพุ่งสูงขึ้นมหาศาล ปราณวิญญาณก็พุ่งทะยานขึ้นด้วย ประชาชนทุกคนเห็นเหตุการณ์จริงทั้งหมดผ่านการออกอากาศจากวงแหวนปราณของระบบสุริยะ
ทุกคนต่างตื่นเต้น อารยธรรมดวงเนตรสววรค์ก็เช่นกัน เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว การผสานรวมของครามทองคำจะทำให้ระดับชีวิตของพวกเขาเพิ่มสูงขึ้น พลังฝึกปรือก็จะเพิ่มพูนขึ้นในพริบตา เช่นเดียวกับวังเต๋าไพศาล พวกเขาถึงขนาดตั้งตารอยิ่งกว่าใคร เพราะทันทีที่ผสานรวมแล้ว อาการบาดเจ็บของพวกเขาก็ถูกบังคับให้ฟื้นตัวขึ้นมาอย่างมากในชั่วพริบตา แม้ว่าเดิมทีอาการบาดเจ็บบางอย่างก็ไม่ได้สาหัสมาก แต่ก็สามารถหายเป็นปกติได้ทันที
นี่ก็คือกฎเกณฑ์และกฎเวทแห่งอวกาศของโลกแห่งศิลา ไม่ว่าจะเป็นสำนักแห่งความมืดหรือเต๋าสวรรค์ หรือกระทั่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น ล้วนเป็นเต๋าที่ประกอบอยู่ในกฎนี้ทั้งนั้น
การผสานอารยธรรม ยกระดับชั้น ตอบแทนให้กับสรรพชีวิต ราวกับเปลี่ยนฟ้าแลกชะตา ส่งผลต่อพรสวรรค์ตามธรรมชาติ ทำให้พลังฝึกตนเพิ่มขึ้น!
จนกระทั่งวันที่แปดมาถึง ดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐและดารานิรันดร์ของครามทองคำก็สัมผัสกันโดยสมบูรณ์ ทั้งสองดวงล้วนแผ่ไอหมอกจำนวนมากออกมาแล้วผสานเข้าด้วยกันอย่างช้าๆ ภายใต้แรงกดดันควบคุมของปรมาจารย์ครามทองคำและหวังเป่าเล่อ
มองจากไกลๆ จะเห็นว่าดวงอาทิตย์นั้นเล็กมาก ดารานิรันดร์ครามทองคำก็ใหญ่มาก แต่ระหว่างการผสาน ดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐกลับเป็นฝ่ายดูดซับ ส่วนดารานิรันดร์ครามทองคำก็มอบให้ ทั้งกระบวนการนี้ดำเนินอยู่เป็นเวลาสิบวัน
สำหรับสหพันธรัฐแล้ว เจ็ดวันครั้งที่สองนี้คล้ายกับการเปลี่ยนฟ้าแลกดิน ความยิ่งใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงสั่นคลอนจิตใจของคนทุกคน!
เขตแดนของสหพันธรัฐขยายขึ้นในพริบตา มากยิ่งกว่าเดิมถึงสิบเท่า!
ปราณวิญญาณภายในดาวพระเคราะห์ดั้งเดิมของอารยธรรมดวงเนตรสววรค์และของระบบสุริยะภายในจักรวาลของสหพันธรัฐทั้งสิบกว่าดวงนี้ล้วนระเบิดออกมาทันที จนเกินกว่าร้อยเท่าแบบที่ผ่านมา
อุณหภูมิของจักรวาลพุ่งสูงถึงระดับที่น่าตกใจ แต่ภายใต้การคุ้มครองของหวังเป่าเล่อ มันกลับไม่ส่งผลต่อดาวพระเคราะห์และไม่ทำร้ายผู้คนแม้แต่นิด ขณะเดียวกันเมื่ออุณหภูมิและปราณวิญญาณเข้มข้นขึ้น ทั่วทั้งระบบสุริยะก็พร่ามัว
ยิ่งพร่ามัวมากเท่าใด ก็เกิดวิญญาณไร้สติสัมปชัญญะส่วนหนึ่งขึ้นเลือนราง วิญญาณเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตแต่กำเนิดที่เกิดมาพร้อมกับปราณวิญญาณ มีลักษณะแตกต่างกัน และกำลังร่ายรำอยู่กลางจักรวาล ทำให้ผู้ที่มองเห็นทุกคนต่างตกตะลึง
ดาวพระเคราะห์ที่เป็นของอารยธรรมครามทองคำราวกับถูกฉุดรั้งให้มาปรากฏตัวขึ้นยังบริเวณภายในระบบสุริยะที่ถูกกำหนดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ถึงแม้มันจะพร่ามัว แต่การปรากฏตัวของพวกมันก็ทำให้ระบบสุริยะเริ่มเกิดลมพายุ ทุกที่ที่พายุพัดผ่าน ปราณวิญญาณก็จะระเบิดอีกครั้ง
ทุกคนในอารยธรรมดวงเนตรสววรค์ ทุกชีวิตในสหพันธรัฐ และผู้ฝึกตนในวังเต๋าไพศาลล้วนตัวสั่นสะท้านรุนแรงขึ้นมาและในชั่วขณะนี้เอง กลิ่นอายแต่ละสายก็พวยพุ่งออกมาตามๆ กันจากทุกทิศทางหลากตำแหน่ง พวกมันคือการทะลวง มันคือการเลื่อนระดับ!
วันที่เจ็ด…ดารานิรันดร์ครามทองคำได้ผสานเข้ากับดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐโดยสมบูรณ์ ทำให้ขอบเขตของจักรพิภพสหพันธรัฐขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้งจนมีขนาดหลายร้อยเท่าจากของเดิม มีดาวพระเคราะห์หลายร้อยดวงของสหพันธรัฐอยู่ภายในนั้น ที่บริเวณขอบก็มีอารยธรรมขนาดเล็กจำนวนหลายร้อยล้อมรอบอยู่ ภายในอารยธรรมขนาดเล็กทุกแห่งล้วนมีดาวพระเคราะห์แตกต่างกันสิบดวงสถิตอยู่
มองจากที่ไกลๆ จะเห็นว่าภายในจักรวาลนี้…ระบบสุริยะได้หายไปจากตำแหน่งเดิมของมันแล้ว สิ่งที่เข้ามาแทนที่ก็คือ…วังวนดวงดาวหลายรูปร่างที่มีขอบเขตใหญ่ยิ่งกว่า!
ตอนนี้เอง ภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ตระกูลและสำนักทั้งหลายต่างก็สัมผัสได้แล้ว สายตาแต่ละสายจากทุกทิศทางภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายล้วนมองไปยัง…จุดที่ระบบสุริยะตั้งอยู่!
……………………………………
เมื่อปรมาจารย์มหาทัณฑ์เอ่ยออกมา ปรมาจารย์ครามทองคำก็หรี่ตาลงราวกับเดาออกได้ประมาณหนึ่ง แอบคิดว่าผู้ที่สามารถทำให้ผู้ฝึกตนที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ขั้นดารานิรันดร์ผู้หนึ่งยินยอมถูกลงโทษ อีกทั้งวิธีการลงโทษยังลึกลับเช่นนี้ ราวกับใช้แค่กระแสเต๋าเพียงเล็กน้อยก็ส่งผลถึงมหาเต๋าได้ ผู้นั้นย่อมเป็นหวังเป่าเล่อคนนั้นแล้ว
“ดูเหมือนว่าการประเมินของข้าต่อเขาก่อนหน้านี้จะยังไม่พออยู่สักหน่อย หวังเป่าเล่อผู้นี้…แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่ข้าคิดไว้และยิ่งกว่าที่เขาเคยแสดงออกมาให้เห็นก่อนหน้านี้เสียอีก!”
เมื่อคิดถึงตรงนี้ รอยยิ้มของปรมาจารย์ครามทองคำก็ยิ่งเจิดจ้า และมั่นใจในการเลือกของอารยธรรมครามทองคำครั้งนี้ยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันคณะสหพันธรัฐที่อยู่ตรงข้ามกับเขา ไม่ว่าจะเป็นหลินโยวหรือว่าสหายเต๋ากุ้ย หรือว่าชิงหลิงจื่อ ทุกคนต่างตกตะลึง แน่ใจในการคาดเดาก่อนหน้านี้ของตนแล้ว
ยังมีพวกอู๋เมิ่งหลิงและหลี่สิงเหวินของสหพันธรัฐ พวกเขาไม่ได้ออกไปรับข้างนอก แต่ไปยังดาวพฤหัส ที่นี่ถูกใช้เป็นสถานที่รับรองครามทองคำ ตอนนี้ก็ยิ่งแน่ใจแล้วว่าหวังเป่าเล่อได้กลับมาแล้ว จึงหันหน้าไปมองทางดาวโลกเป็นครั้งคราว
พวกเขากระจ่างแจ้งดีว่า ถ้าหากหวังเป่าเล่อกลับมาแล้วจริงๆ เช่นนั้นตอนนี้จะต้องอยู่…ภายในนครศักดิ์สิทธิ์
หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจสภาพของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ และไม่มองเงาร่างที่มักจะมองมายังโลกบ่อยๆ เหล่านั้น ตอนนี้เขาแผ่กระแสเต๋าไปบนร่างของชายหนุ่มผู้นั้น พริบตาที่เหตุต้นผลกรรมของชายหนุ่มคนนี้ถูกตัดขาด ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้านรุนแรง เหงื่อจำนวนมากไหลโซม ทั่วร่างสั่นระริก สายตาเผยให้เห็นความหวาดกลัวอันแรงกล้า
“ข้าจะไม่สอดมือเรื่องเจ้ากับเป่าหลิง แต่ห้ามทำร้ายนาง การทำร้ายใดๆ ก็ตามล้วนไม่อนุญาตทั้งสิ้น” ชั่วพริบตานี้ ในหัวของเขาก็มีเสียงที่ทั้งแปลกหน้าทั้งคุ้นเคยดังขึ้น บอกว่าแปลกหน้าก็เพราะเป็นครั้งแรกที่เสียงนี้ดังเข้าสู่จิตใจ บอกว่าคุ้นเคยก็เพราะว่าหลายปีตั้งแต่เด็กจนโต เขาล้วนเคยเห็นภาพเงาของหวังเป่าเล่อและคำพูดที่เขาเคยพูดจากหน้าจอบ่อยๆ
สำหรับสหพันธรัฐแล้ว หวังเป่าเล่อ…ถูกมองว่าเป็นเทพไปโดยสมบูรณ์แล้ว
เมื่อเอ่ยประโยคนี้จบ หวังเป่าเล่อก็ถอนกระแสเต๋ากลับ นี่เป็นเรื่องเล็กน้อยอย่างยิ่ง ในเมื่อน้องสาวชอบ เช่นนั้นก็ชอบไปเถอะ ส่วนที่ว่าชายหนุ่มคนนี้จะคิดอย่างไรนั้นไม่สำคัญ ในเมื่อเลือกวางอุบายแล้ว เช่นนั้นก็ถือว่าได้ผูกเหตุต้นผลกรรมไว้แล้ว รอให้น้องสาวเบื่อเขาก็จะเป็นอิสระ
ก่อนหน้าที่จะเบื่อ ชีวิตของเขาก็ต้องถือเอาเจตจำนงของหวังเป่าหลิงเป็นสำคัญ
บางทีอาจจะเอาแต่ใจไปสักหน่อย แต่ตำแหน่งเป็นตัวตัดสินความคิด หวังเป่าเล่อไม่ได้คิดเรื่องนี้ต่อ เขาลูบศีรษะน้องสาวอีกครั้งแล้วเอ่ยเสียงเบา
“ไปเปิดประตูเถอะ มีคนเก่าคนแก่มาหา”
ตอนนี้หัวสมองของหวังเป่าหลิงยังรู้สึกตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยเพราะอาการเวียนหัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อนางได้ยินคำนั้นแล้วก็รีบลุกขึ้นวิ่งไปยังประตู พริบตาที่เปิดประตูบ้านออก นางก็มองเห็นเงาร่างอันคุ้นเคยอยู่นอกประตูแล้ว
“พี่เสี่ยวหยา!” หวังเป่าหลิงเอ่ยอย่างยินดี
ผู้มาก็คือ…โจวเสี่ยวหยา!
การฝึกปรือของนางมาถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว ทั่วร่างเต็มไปด้วยบุคลิกอันอ่อนโยน ผมยาวคลุมไหล่ สวมกระโปรงยาว ตอนนี้กำลังยกมือขึ้นลูบหัวของหวังเป่าหลิงพร้อมรอยยิ้ม สายตามองผ่านข้างกายนางไปยังหวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ตรงนั้นและเงยหน้ามองมาที่ตนเช่นกัน
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไรหรือ” โจวเสี่ยวหยาเอ่ยอย่างอ่อนโยนแล้วเดินเข้ามาใกล้หวังเป่าเล่อ จัดคอเสื้อให้เขาอย่างเรียบร้อยแล้วนั่งอยู่ข้างกายเขาอย่างเป็นธรรมชาติ
ทางหวังเป่าหลิงกะพริบตาปริบๆ รีบเข้าไปหยิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณขวดหนึ่งมาวางไว้ตรงหน้าโจวเสี่ยวหยา ก่อนนั่งลงอีกด้าน ในดวงตามีประกายความสนอกสนใจอยู่เล็กน้อย มองดูพี่ชายของตนสลับกับโจวเสี่ยวหยาไม่หยุด
หลายปีมานี้ นางย่อมรู้ว่าพี่เสี่ยวหยาชื่นชอบพี่ชายของตน วันธรรมดาแทบจะทุกสองสามวันก็จะมาเยี่ยมครั้งหนึ่ง หลายครั้งก็มากยิ่งกว่าจำนวนที่ตนกลับบ้านเสียอีก…
“เพิ่งจะกลับมา” หวังเป่าเล่อมองดูโจวเสี่ยวหยาแล้วเผยรอยยิ้มอ่อนโยน เพียงแต่ในส่วนลึกของดวงตาแฝงความขอโทษเล็กน้อย ไม่ใช่แค่ขอโทษเรื่องที่มีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยนัก แต่ยังขอโทษเรื่องความซับซ้อนของความรู้สึก
โจวเสี่ยวหยาราวกับสัมผัสได้จึงยิ้มพลางส่ายหน้า แล้วเอ่ยพูดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตอย่างโอนอ่อน คล้ายกับเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นเหมือนพี่สาวและสะใภ้ พูดคุยกับทางเป่าหลิงได้
เขามองออกว่าเป่าหลิงก็ชอบโจวเสี่ยวหยามากเช่นกัน อีกทั้งยังมีท่าทางคุ้นเคยอย่างยิ่ง หวังเป่าเล่อมองดูภาพนี้แล้วในใจก็มีความอบอุ่นอ่อนโยนแพร่กระจาย จนกระทั่งเขาเงยหน้าขึ้นมองไปนอกประตู เป่าหลิงที่อยู่อีกด้านก็กะพริบตา ถึงแม้นางจะมองไม่เห็นอะไร แต่กลับอาศัยสัมผัสระหว่างสายเลือดเดาได้รางๆ ดังนั้นจึงลุกขึ้นวิ่งไปที่ประตูอีกครั้งแล้วเปิดประตูออก
“พี่เยี่ยเหมิง!”
ที่ประตูมีเงาร่างแสนเย่อหยิ่งยืนอยู่ ขณะที่มีความสูงตระหง่านก็ยังมีความอ่อนโยนของหญิงสาวอยู่ด้วย ทั้งไม่ขาดความองอาจผ่าเผย ทั่วร่างราวกับดวงอาทิตย์ร้อนระอุ ทั้งยังเผยความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ออกมา สามารถทำให้คนจำนวนมากต้องละอายตนเมื่ออยู่ต่อหน้านาง
คนผู้นี้ก็คือ…เจ้าเยี่ยเหมิง!
หลังจากสังเกตเห็นหวังเป่าเล่อ เป็นเพราะนางไม่ได้อยู่บนโลก นางจึงมาช้ากว่าโจวเสี่ยวหยาไปก้าวหนึ่ง แต่ตอนนี้เมื่อมาถึงแล้วนางก็มองหวังเป่าเล่อและมองเห็นโจวเสี่ยวหยาที่นั่งอยู่ข้างเขาด้วย
“ศิษย์พี่เยี่ยเหมิง” โจวเสี่ยวหยาลุกขึ้นแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน
เจ้าเยี่ยเหมิงตบหัวเป่าหลิงแตะๆ พร้อมรอยยิ้ม และยิ้มคืนกลับไปให้โจวเสี่ยวหยา จากนั้นก็มาอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อ มองอยู่ครู่หนึ่งก็นั่งลงที่อีกข้างของเขา
“อารยธรรมครามทองคำถูกเป่าเล่อปราบหรือ ทำอย่างไรหรือ จะรวมเข้ามาภายในดาวฤกษ์ดวงอาทิตย์ตอนไหนล่ะ”
แตกต่างจากการพูดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตแบบโจวเสี่ยวหยา เจ้าเยี่ยเหมิงนั่งลงแล้วก็เอ่ยปากพูดเรื่องเกี่ยวกับสหพันธรัฐ อีกทั้งหลังจากสนทนากับหวังเป่าเล่อแล้ว นางยังรายงานเรื่องเกี่ยวกับข้อบกพร่องของสหพันธรัฐที่นางพบตลอดหลายปีมาให้ให้เขาฟังทั้งหมดด้วย
ทั้งยังบอกหวังเป่าเล่อว่าภายในอารยธรรมดวงเนตรสววรค์มีคลื่นใต้น้ำอยู่ รวมถึงจอมพลังของวังเต๋าที่ตื่นขึ้นเหล่านั้นของวังเต๋าไพศาลก็คล้ายจะเคลื่อนไหวเล็กน้อยแล้ว
นี่เป็นรูปแบบที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับโจวเสี่ยวหยา หวังเป่าเล่อแฝงความขอโทษในแววตาเหมือนกันแล้วตอบกลับอย่างรอบคอบ ส่วนโจวเสี่ยวหยาก็เงียบงันมาก นางรับฟังอยู่ตลอด คล้ายไม่ได้เข้าร่วม แต่กลับไม่รู้จะพูดอะไร ทว่าสองมือของนางก็ยกขึ้นมากดที่หลังหูของหวังเป่าเล่อ แล้วนวดให้อย่างอ่อนโยน
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้นางผสานรวมเข้าไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าหลิงที่นั่งอยู่ไม่ไกลจากทั้งสามแอบร้องว่าร้ายกาจ
ประกายแสงในดวงตาสว่างไสวยิ่งขึ้น ถึงแม้นางยังกลัวเกรงพี่ชายของตนอยู่ แต่ตอนนี้ก็มีความใคร่รู้อยู่ที่ก้นบึ้งในใจแล้วว่าพี่ชายคนนี้ของตนจะจัดการปัญหาสะใภ้สองคนอย่างไร
เพียงแค่นางไม่รู้ว่าตอนนี้ที่ด้านหลังของตนนั้น…ด้านหลังของโจวเสี่ยวหยาและเจ้าเยี่ยเหมิงได้มีเงาร่างร่างหนึ่งปรากฏขึ้นมา นอกจากหวังเป่าเล่อแล้วก็ไม่มีใครมองเห็น นั่นก็คือแม่นางน้อยหวังอีอี
นางมองไปที่โจวเสี่ยวหยาคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มและมองไปทางเจ้าเยี่ยเหมิง สุดท้ายก็มองหวังเป่าเล่ออย่างหยอกล้อ
“เป่าเล่อ ผู้หญิงสองคนนี้ข้าเห็นทุกย่างก้าวที่พวกเจ้าเดินมาถึงทุกวันนี้กับตาเชียว ไอ๊หยา ที่แท้เจ้าจะเลือกใครกันนะ แล้วยังมีหลี่หว่านเอ๋อร์อีก ไม่อย่างนั้นก็เก็บไว้ทั้งหมดเถอะ ปีนั้นพ่อของข้าก็…คิกๆ” หวังอีอีไม่ได้พูดต่อ แต่สายตากลับเผยแววให้กำลังใจ
หวังเป่าเล่อรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไรหลังจากกลับมาจากนพภูมิ สภาพจิตใจที่เดิมทีสงบนิ่งก็ยากจะหลีกเลี่ยงเกลียวคลื่นสาดซัด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อน้องสาวของตนยังอยู่อีกด้าน เมื่อครู่ยังถูกตนสั่งสอนอยู่เลย ทว่าตอนนี้กำลังนั่งดูอย่างสนอกสนใจอยู่ตรงนั้น สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อต้องเหลือบไปมองอย่างอดไม่ได้
เป่าหลิงก้มศีรษะ คิดจะแสร้งทำเป็นไม่เห็น หลังจากพบว่าในสายตาของพี่ชายผู้นี้ของตนมีความเฉียบคมอยู่เล็กน้อย นางก็มุ่ยปากยืนขึ้นแล้วจงใจหาวออกมา
“ข้าจะไปนอนแล้ว” กล่าวจบนางก็เดินกลับห้องของตนอย่างไม่เต็มใจนัก
เวลาล่วงเลยผ่านไป ค่ำคืนเงียบงัน
ท่ามกลางการพร่ำร้องอันเบื่อหน่ายของหวังอีอี เจ้าเยี่ยเหมิงและโจวเสี่ยวหยาก็จากไปทีละคน ส่วนหวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ เรื่องราวภายในจิตใจของเขามีมากเกินไป แม้ว่าเขาจะรู้จุดประสงค์ในใจของคนทั้งสอง แต่ก็ยังไม่อาจตอบรับได้
เพราะเขาไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นอย่างไร เพราะในโลกแห่งศิลานี้ยังมีเรื่องราวอีกมากนักที่เขาไม่รู้ว่าต้องจัดการอย่างไร
เขายังอ่อนแอเกินไป
“ให้เป็นเรื่องของเวลาเถอะ” หวังเป่าเล่อพึมพำเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้น สายตาของเขากลับมาเป็นปกติ มองไปยังพวกอู๋เมิ่งหลิงและหลี่สิงเหวินที่อยู่บนดาวพฤหัสกำลังปรึกษาหารือเรื่องขั้นตอนผสานดาวฤกษ์กับปรมาจารย์ครามทองคำอยู่
“ต่อไปหวังว่าการหลอมรวมของสหพันธรัฐจะทำให้การฝึกตนและดวงวิญญาณเทพของข้าเลื่อนขั้น ก้าวเข้าสู่…ระดับจักรพิภพ!” หวังเป่าเล่อก้มหน้า ยกมือขวาขึ้นมา ในมือขวาของเขามีแผ่นจานที่ขาดแหว่งไปมุมหนึ่ง
นั่นก็คือแผ่นเลื่อนระดับโลกา!
…………………
การมาถึงของอารยธรรมครามทองคำและคำพูดของปรมาจารย์ครามทองคำผู้นี้ดังไปทั่วทั้งระบบสุริยะในชั่วพริบตา จอมพลังทั้งหมดภายในระบบสุริยะล้วนใจสั่นสะท้าน สัมผัสสวรรค์สายแล้วสายเล่าก็แผ่ซ่านออกมาแล้วพุ่งไปยังอวกาศที่อารยธรรมครามทองคำอยู่อย่างรวดเร็ว
“อารยธรรมครามทองคำหรือ”
“ครามทองคำที่เคยรุกรานอารยธรรมดวงเนตรสววรค์เมื่อครั้งนั้นน่ะหรือ”
“เหตุใดจู่ๆ พวกเขาก็มาล่ะ คำพูดนี้ก็เป็นคำอ้อนวอนขอผสานรวมเสียด้วย”
“ผู้อาวุโสหวัง…หรือจะเป็น…” ขณะที่ดวงจิตเทพเหล่านี้สอดประสานกันอย่างรวดเร็ว แต่ละคนก็ส่งเสียงหากันทันที เผยให้เห็นความตกใจระมัดระวังอย่างรุนแรง
เป็นเพราะการมาถึงของอารยธรรมครามทองคำ แค่เพียงดูจากพลานุภาพก็น่าสะพรึงอย่างไร้ใดเปรียบแล้ว ไม่ว่าจะเป็นตัวปรมาจารย์ที่เอ่ยคำพูด หรืออวกาศอันกว้างใหญ่ไพศาลที่เห็นได้ชัดเจนอยู่ในวังน้ำวนด้านหลังของเขา ล้วนแสดงถึงความล้ำลึกของอารยธรรมครามทองคำที่เหนือยิ่งกว่าระบบสุริยะมากมายนัก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…การผสานรวมอารยธรรมดวงเนตรสววรค์ในครั้งนั้นได้ทำให้สหพันธรัฐมีความเข้าใจเกี่ยวกับจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายบ้างแล้ว สำหรับอารยธรรมครามทองคำที่เคยวางอุบายกับดวงเนตรสวรรค์นี้ พวกเขาก็ไม่ใช่ไม่คุ้นเคยอะไรนัก
พวกเขาเข้าใจดีว่าอารยธรรมครามทองคำก็คือสำนักอันดับหนึ่งในดาราจักรลำดับที่สิบเก้าในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย มีอารยธรรมใต้บังคับบัญชาอยู่หลายร้อยแห่ง เป็นความยิ่งใหญ่มหึมาของทั่วทั้งดาราจักรที่สิบเก้า
ถึงแม้จะไม่มีระดับจักรพิภพอยู่ในนั้น แต่ปรมาจารย์ของพวกเขาก็เป็นครึ่งก้าวสู่ระดับจักรพิภพ ถึงขั้นที่ว่าหากอาศัยวงแหวนปราณของอารยธรรมครามทองคำในขอบเขตอารยธรรมของพวกเขาก็มีคุณสมบัติพอจะต่อสู้กับระดับจักรพิภพแล้ว
ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ อานุภาพเช่นนี้ กลับจะมาขอผสานรวมอย่างวันนี้…
เรื่องนี้ทำให้ในใจของจอมพลังทั้งหมดภายในระบบสุริยะเต็มไปด้วยความสงสัย
หลินโยวแห่งเจ้านครดาวอังคาร สหายเต๋าเจ้านครดาวศุกร์ รวมถึงปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งอารยธรรมดวงเนตร สววรค์และชิงหลิงจื่อแห่งวังเต๋าไพศาล ชั่วขณะนี้ ขุมพลังทั้งสามฝ่ายล้วนพุ่งออกไปด้านนอกระบบสุริยะ ขณะเดียวกันวงแหวนปราณของระบบสุริยะก็คลี่ออกมาทั้งหมดอย่างไร้สุ้มเสียง ยิ่งกว่านั้น อู๋เมิ่งหลิน หลี่สิงเหวิน และปรมาจารย์ตระกูลจินก็ยังแผ่สัมผัสสวรรค์ทั้งหมดออกมาพร้อมกับทอดมองไปยังนอกระบบสุริยะด้วย
นอกจากนั้นยังมีเจ้าเยี่ยเหมิงผู้กักตนอยู่ในดาวพุธก็ลืมตาขึ้นมาในตอนนี้เอง แล้วมองไปทางอารยธรรมครามทองคำ แววตานั้นฉายแววครุ่นคิด จากนั้นจึงหันหน้าไปมองโลก
ไม่ใช่แค่นางเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ ผู้คนที่แผ่สัมผัสสวรรค์และออกมาข้างนอก ตอนนี้ต่างพากันตกอกตกใจในพริบตาแล้วมองไปยังดาวโลกด้วย เห็นได้ชัดมากว่าผู้อาวุโสหวังที่อารยธรรมครามทองคำแผ่ดวงจิตเทพออกมา เอ่ยเรียกชื่อด้วยความเคารพนบน้อมจนทำให้เกิดคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในใจของคนทุกคนผู้นี้…
จากคำเรียกเช่นนี้ ผู้ที่พวกเขานึกถึงนั้น มีเพียงคนเดียวที่จะรับคำเรียกขานนี้ได้!
คนผู้นี้ย่อมเป็นหวังเป่าเล่อที่ออกจากสหพันธรัฐไปสิบกว่าปี!
“เขากลับมาแล้วหรือ” คำถามนี้ปรากฏขึ้นในใจของคนทุกคน อารมณ์ความรู้สึกของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ระดับจักรพิภพผู้นั้นของวังเต๋าไพศาลเงียบงัน ศิษย์ของเขาชิงหลิงจื่อก็ไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อกลับมาแล้ว การที่จิตใจสั่นสะท้านเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าการถูกหวังเป่าเล่อสยบในปีนั้น ยังคงทิ้งเงาดำมืดมาจนถึงทุกวันนี้อยู่
อารยธรรมดวงเนตรสววรค์กลับหวาดกลัวอย่างถึงที่สุด จอมพลังทั้งหมดในนั้นไม่มีใครไม่ก้มหน้า เพราะในสายตาของพวกเขา หวังเป่าเล่อคือจักรพรรดิ
ส่วนปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็ทอดถอนใจและเลือกก้มหน้าลงเช่นเดียวกัน เมื่อเทียบกับตัวเขาแล้ว ทุกคนในสหพันธรัฐที่มีการคาดเดาอยู่ในใจตื่นเต้นเป็นพิเศษ
ดวงตาของท่านผู้นำอู๋เมิ่งหลิงสว่างไสวขึ้นมา หลี่สิงเหวินก็ยิ้มออกมาจากใจจริง หลินโยวก็ดี สหายเต๋ากุ้ยก็ดี จิตใจของแต่ละคนล้วนแต่ตื่นเต้น
แต่ก็มีบางคนที่ตอนนี้ในใจประหม่าร้อนตัวเป็นพิเศษ
สำหรับท่าทางของทุกคนนั้น หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ภายในบ้านในนครศักดิ์สิทธิ์และพูดคุยกับน้องสาวของตนอยู่สามารถรับรู้ได้แจ่มชัดอย่างยิ่ง เขาไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร ปล่อยให้คนเหล่านั้นในสหพันธรัฐไปติดต่อหารือกันเอง
เรื่องนี้นับว่ามอบให้เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งของสหพันธรัฐแล้วกัน ถ้าหากทุกอย่างราบรื่นก็ดี แต่ถ้าหากไม่ราบรื่น ให้เขาออกหน้าอีกครั้งก็เป็นเรื่องที่เหมาะสม ดังนั้นตอนนี้เขาจึงเพียงแค่แผ่กระแสเต๋าออกมาล้อมรอบกายของปรมาจารย์ครามทองคำที่โค้งกายคำนับตนอยู่นอกระบบสุริยะเป็นการแสดงออกว่าเขารับทราบแล้ว หลังจากแสดงท่าทีต้อนรับเรียบร้อย เขาก็ถอนกระแสเต๋ากลับมาแล้วมองไปยังหวังเป่าหลิงที่นั่งอยู่ข้างกายตนอีกครั้ง
เมื่อสัมผัสได้ว่าหวังเป่าเล่อมองมาทางตนอีกครั้ง หวังเป่าหลิงก็นั่งตัวตรงตามสัญชาตญาณทันที ใบหน้าเล็กๆ ประหม่าอย่างยิ่ง
“ท่านพ่อ ท่านแม่ไม่ชอบให้เจ้าแต่งตัวแบบนี้” เรื่องเกี่ยวกับหวังเป่าหลิงเป็นเรื่องที่จัดการได้ง่ายมากสำหรับหวังเป่าเล่อ ตอนนี้เขาถอนสายตากลับมาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
“อีกเดี๋ยวข้าจะเปลี่ยน ต่อไปไม่มีทางเป็นแบบนี้แล้ว” หวังเป่าหลิงกล่าวตอบอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่คิด
หวังเป่าเล่อพยักหน้า แล้วเอ่ยต่อ
“อย่าทำให้ท่านพ่อและท่านแม่เป็นห่วง อย่าได้ต่อปากต่อคำ”
“ข้า…ต่อไปข้าจะไม่เถียงกลับสักคำ ท่านพ่อท่านแม่พูดอะไรข้าล้วนเห็นด้วยทั้งหมด ข้าจะเชื่อฟังอย่างที่สุดเจ้าค่ะ” หวังเป่าหลิงรู้สึกน้อยใจเล็กน้อย อดกลั้นไม่ให้ร้องไห้ออกมา แต่หลังจากกล่าวจบ นางก็ยังกลั้นไว้ไม่ได้ จึงเอ่ยถามเสียงเบา
“แต่ถ้าหากสิ่งที่พวกเขาพูดมันไม่ถูกต้อง…พี่ ข้า…ข้าพูดกับท่านได้ไหม”
เมื่อได้ยินเสียงเรียกว่าพี่ จิตใจของหวังเป่าเล่อก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้น เขามองน้องสาวที่หวาดกลัวตนเองอย่างยิ่งคนนี้ จากนั้นจึงเผยยิ้มโง่งมออกมาแล้วยกมือขึ้นลูบหัวน้องสาว
“ได้สิ”
“จริงหรือ” เมื่อถูกหวังเป่าเล่อลูบหัว ดวงตาของหวังเป่าหลิงก็สว่างไสว
“จริงสิ แต่เจ้าห้ามทำให้พ่อแม่กังวลใจ”
หวังเป่าหลิงอยากร้องดีใจตามสัญชาตญาณ แต่พอชำเลืองมองหวังเป่าเล่อ นางก็หดคอกลับสะกดกลั้นเอาไว้แล้วพยักหน้าเร็วๆ ด้วยความเชื่อฟังอย่างยิ่ง จากนั้นก็กลอกตาไปเห็นว่าบนโต๊ะด้านหน้าของหวังเป่าเล่อว่างเปล่า จึงรีบลุกขึ้นไปหยิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณมาให้หวังเป่าเล่อหนึ่งขวด ก่อนวางเอาไว้ตรงหน้าเขา
หวังเป่าเล่อมองดูน้ำเย็นหล่อวิญญาณ ในใจอบอุ่นขึ้นมาก หลังจากเงียบงันไป จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้น
“เจ้าชอบเขาหรือ” หวังเป่าเล่อพูดพลางยกมือขึ้นโบก เงามายาสายหนึ่งปรากฏขึ้น นั่นก็คือภาพชายหนุ่มคนนั้นที่ถูกน้องสาวของตนแอบมองก่อนหน้านี้
ใบหน้างามของหวังเป่าหลิงแดงเรื่อ กระมิดกระเมี้ยนเล็กน้อย แต่ก็ยังพยักหน้า
หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ตำแหน่งต่างกันก็ต้องใช้วิธีจัดการแตกต่างกัน ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้ล่ะก็ บางทีหวังเป่าเล่ออาจจะกีดกันทันทีแล้วเลือกคนที่ตนยอมรับมาคนหนึ่งแทน แต่ตอนนี้เมื่ออยู่ในตำแหน่งเช่นเขา เขาไม่อาจไปยุ่งเกี่ยวกับการเลือกของน้องสาวได้ ยิ่งกว่านั้นคนหนุ่มสาวก็มีความไม่แน่นอน เรื่องในตอนนี้อาจไม่ได้หมายถึงอนาคต ดังนั้นเรื่องนี้เขาจะไม่ไปกีดกั้น แต่จะปรับเปลี่ยนบางอย่าง
ดังนั้นพริบตาต่อมา หวังเป่าเล่อก็แผ่กระแสเต๋าแล้วตามหาชายหนุ่มที่เพิ่งจะกลับถึงบ้านภายในนครศักดิ์สิทธิ์ทันที เขามองเห็นเส้นของเหตุต้นผลกรรมที่แผ่ออกมาจากร่างแล้วโยงขึ้นไปบนฟ้าเส้นนั้นจึงโบกมือขึ้นทันที พริบตาเดียวเส้นเหตุต้นผลกรรมเส้นนั้นก็พังทลายลงมาโดยตรง
เมื่อมันพังลงมา ที่ปลายอีกด้านของเส้นนั้น ภายในดาวพระเคราะห์ที่อารยธรรมดวงเนตรสววรค์อาศัยอยู่ ผู้ฝึกตนวัยกลางคนที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ก็หน้าเปลี่ยนสี กำลังจะลุกขึ้นยืน แต่พริบตาต่อมาร่างกายของเขาก็เหมือนกับลูกหนังลมรั่ว แห้งเหี่ยวอย่างฉับพลัน แล้วร่วงลงพื้นกลายเป็นเถ้าถ่านบินว่อน
ไม่ใช่แค่เขาที่เป็นเช่นนี้ แต่ในขณะเดียวกัน ร่างกายของผู้ฝึกตนทั้งหมดสิบกว่าคนที่มีระดับฝึกปรือแตกต่างกันภายในอารยธรรมดวงเนตรสววรค์ก็กลายเป็นเถ้ากันหมดในพริบตา
ยังมีอีกคนที่มีพลังฝึกปรือมาถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะ คนผู้นี้หวังเป่าเล่อคุ้นตาเล็กน้อย แต่ลืมชื่อไปแล้ว น่าจะเป็นศิษย์ผู้นั้นของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ในความทรงจำ ร่างกายของเขาก็สั่นสะเทือนเช่นกัน คิดจะกำจัดแก้ไข แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยปาก ตัวเขาก็กลายเป็นเถ้าถ่านเสียแล้ว
ขณะที่คนผู้นี้กำลังจะตาย ตอนนั้นเองปรมาจารย์มหาทัณฑ์ที่อยู่นอกระบบสุริยะและกำลังรับรองอารยธรรมครามทองคำพร้อมกับคนในสหพันธรัฐก็ตัวสั่นเทาขึ้นมา เหนือศีรษะมีเงาดวงวิญญาณเทพปรากฏ แขนข้างหนึ่งของเงาร่างนี้ถูกกระแสเต๋าสายหนึ่งแผ่เข้ามาแล้วตัดขาดทันที!
เมื่อแขนของวิญญาณเทพถูกตัดขาด ฉับพลันเลือดก็พุ่งออกมาจากปากของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ร่างกายของเขาสั่นไหว เขาหันหน้าซีดขาวของตนไปทางดาวโลกในระบบสุริยะแล้วค้อมคำนับอย่างล้ำลึก
“แม้จะไม่ได้วางแผน แต่รู้เรื่องแล้วปล่อยผ่าน ตัดแขนของดวงวิญญาณของเจ้า ลดการฝึกปรือของเจ้าสองขั้นเป็นการตักเตือน!” ภายในใจของเขามีเสียงที่ทำให้เขาทั้งกลัวเกรงและหวาดผวาดังขึ้นมา
ผู้คนโดยรอบมองเห็นสภาพของเขาได้ทันที แต่ละคนล้วนมองมาอย่างสงสัย แม้แต่ปรมาจารย์ครามทองคำก็กวาดตามองมายังปรมาจารย์มหาทัณฑ์อย่างครุ่นคิด
“ทำให้สหายเต๋าทุกท่านและผู้อาวุโสต้องหัวเราะแล้ว ศิษย์ของข้าน้อยทำเรื่องต้องห้ามลงไป ในฐานะที่ข้าเป็นอาจารย์จึงย่อมต้องรับโทษด้วยความเต็มใจขอรับ”
……………………………
ผ่านไปนาน ขณะที่ปากบ่อน้ำกำลังจะพังทลายโดยสมบูรณ์นั้น ก็มีเสียงระมัดระวัง ถึงขั้นมีความกลัวเกรงและความซับซ้อนบางส่วนแฝงอยู่ก็ดังออกมาจากข้างใน
“คารวะบุตรแห่งความมืด”
“ขอบุตรแห่งความมืดได้โปรดยกโทษให้ข้าด้วย อีกเดี๋ยวข้าจะตัดการเชื่อมต่อกับดวงเนตรอนธการแห่งนี้ทันทีขอรับ”
“ข้าไม่ใช่บุตรแห่งความมืดของพวกเจ้า” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงราบเรียบ เขาสะบัดแขนเสื้อโดยไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้กล่าวต่อ จากนั้นบ่อน้ำบนดาวแห่งความมืดนี้ก็พังทลายหายไปไม่เห็นร่องรอยในพริบตา
เงาร่างของหวังเป่าเล่อหายไปโดยไม่ได้หยุดอยู่ที่นี่นานนัก เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็อยู่ในส่วนลึกของท้องทะเลแห่งอสูร ใต้ล่างของจุดที่ค้นพบซากปรักหักพังในปีนั้น ที่แห่งนั้น…มีโครงกระดูกอยู่
โครงกระดูกนี้คล้ายกับยักษ์ มันจมอยู่ในโคลน หลังจากเงาเต๋าของหวังเป่าเล่อปรากฏขึ้น เขาก็เหลือบมองอยู่พักหนึ่งแล้วหันกายจากไป
เดิมทีผนึกที่อยู่ด้านในซากปรักหักพังที่เขาเห็นเมื่อคราวนั้นช่างสมบูรณ์แบบ แต่วันนี้ด้วยพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อ เขาได้เห็นแล้วว่ามีอุโมงค์ที่เชื่อมต่อกับสำนักของจักรพิภพสำนักเสริมที่หลี่หว่านเอ๋อร์เดินทางไปมากมาย
ตนเคยคิดว่าผนึกเอาไว้หมดแล้ว แต่ความจริงยังมีจุดนี้ที่ไม่ได้ผนึก
แต่วันนี้มันไม่สำคัญแล้ว จะผนึกหรือไม่ผนึกก็ไม่สำคัญ เมื่อคิดว่ายังมีข้อตกลงสี่สิบกว่าปีอยู่ หวังเป่าเล่อจึงปล่อยมันเอาไว้ ตอนนี้เมื่อเงาเต๋าของเขาเลือนหาย ร่างจริงของเขาที่บนเตียงเล็กในบ้านก็ลืมตาขึ้น
กระแสเต๋าแผ่กระจายในครั้งนี้ไม่เหมือนกับการแผ่ขยายของสัมผัสสวรรค์ สัมผัสสวรรค์นั้นเพียงแค่มอง ส่วนกระแสเต๋าหลอมรวมเข้าไปจนกลายเป็นระบบสุริยะ ทำให้เขามองเห็นคนเก่าแก่มากมายและสัมผัสได้ถึงความรู้สึกนึกคิดของสรรพสิ่ง
พลังฝึกปรือของเจ้าเยี่ยเหมิงกำลังเลื่อนระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว โจวเสี่ยวหยายังคงสง่างาม พลังฝึกปรือก็มาถึงขั้นเชื่อมวิญญาณ แล้วยังมีหลิวต้าวปิน หลินเทียนโย่วและตู้หมิน
เพียงแต่นอกจากเจ้าเยี่ยเหมิงแล้ว การเลื่อนระดับพลังฝึกปรือของคนที่เหลือล้วนมีจำกัด
“ไม่รู้ว่าตอนนี้จั่วอี้ฟานกับกงเต๋าที่อยู่ในสำนักแห่งหนึ่งกับหลี่หว่านเอ๋อร์จะฝึกตนเป็นอย่างไรบ้าง” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า กระแสปราณแผ่กระจายครั้งนี้ของเขาได้ผสานรวมกับระบบสุริยะ จนสัมผัสได้ถึงคลื่นใต้น้ำบางส่วนที่แพร่กระจายอยู่ในสหพันธรัฐได้
คลื่นใต้น้ำเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนพัวพันกับฝ่ายการเมืองของสหพันธรัฐ ขณะเดียวกันส่วนหนึ่งในนั้นก็มีการส่งเสริมและสนับสนุนอย่างลับๆ จากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ทำให้สภาพแวดล้อมโดยรวมของสหพันธรัฐในปัจจุบันสงบสุข แต่ความขัดแย้งและการกระทบกระทั่งในที่ลับล้วนเกิดขึ้นอยู่ทุกเมื่อ
ถึงอย่างนั้น…สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญในใจของหวังเป่าเล่อ
ไม่ว่าที่ใดก็ล้วนไม่อาจมีอยู่แค่เสียงเดียวได้ ตราบใดที่เป็นสถานที่ที่สิ่งมีชีวิตมีสติปัญญามารวมกัน ก็ย่อมต้องมีอุบายการต่อสู้และการช่วงชิง
นี่เป็นเรื่องดีในแง่หนึ่ง แต่กลับไม่อาจล้ำเส้นได้ในระดับหนึ่ง
ส่วนตอนนี้ คลื่นใต้น้ำที่อารยธรรมดวงเนตรสววรค์แอบสนับสนุนก็กำลังพยายามล้ำเส้นอยู่ เรื่องนี้…ทำให้นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเผยความเย็นเยียบออกมา
“จะวางอุบายกับน้องสาวข้าหรือ”
การฆ่าฟันอย่างไร้ปราณีในโลกภายนอก ไม่ว่าจะฆ่าอย่างไรก็ไม่อาจทำให้หวังเป่าเล่อหวั่นไหวได้ เดิมทีเขาก็เป็นคนที่โหดเหี้ยมอยู่แล้ว เขาโหดกับคนอื่นและเหี้ยมกับตัวเองยิ่งกว่า ดังนั้นแม้ว่าสหพันธรัฐจะเป็นบ้านเกิดของเขา แต่ถ้าหากมีใครพยายามแตะต้องเส้นความอดทนของเขาล่ะก็ เขาไม่มีทางมีเมตตาให้เพราะอีกฝ่ายอ่อนแออย่างแน่นอน
บิดารมารดาของเขาไม่รู้เรื่อง ถึงขั้นที่คนเก่าแก่มากมายของหวังเป่าเล่อก็ล้วนไม่รู้เรื่อง แต่มีบางเรื่องที่หวังเป่าเล่อมองเห็นได้กระจ่างแจ้งยามแผ่กระแสเต๋าออกมา
มีคนกำลังวางอุบายกับน้องสาวของเขาจริงๆ เป้าหมายของมันก็คือตัวเขา และการวางอุบายครั้งนี้ ด้านหนึ่งก็ได้เพิ่มความคิดต่อต้านของเด็กหญิง ขณะเดียวกันก็สับเปลี่ยนเพื่อนตัวน้อยข้างกายนางไม่หยุด พยายามตามหาคนที่สามารถดึงดูดนางได้ จากนั้นก็สร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกัน
ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นคำบอกใบ้หรือการยุยงจากอารยธรรมดวงเนตรสววรค์ก็ดี หรือเป็นความคิดและแผนการส่วนตัวก็ช่าง แต่ตราบใดที่เริ่มลงมือ มันก็ได้ละเมิดจิตสังหารของหวังเป่าเล่อแล้ว
ขณะนี้ในสายตาของหวังเป่าเล่อ เขามองเห็นรถหินวิญญาณนับร้อยบนถนนสายหนึ่งในเขตตะวันออกของนครศักดิ์สิทธิ์อย่างชัดเจน มันกำลังส่งเสียงร้องกระหึ่ม คนเหล่านั้นล้วนเป็นวัยรุ่นชายหญิงกำลังแข่งรถกันอยู่ บางครั้งก็ส่งเสียงกรีดร้องแปลกๆ ท่าทางสนุกสนานกำเริบเสิบสานอย่างยิ่ง
ในบรรดานั้น คันที่เร็วที่สุดก็คือน้องสาวราคาถูกของตน หลังจากวิ่งไปถึงเส้นชัยแล้ว ข้างกายนางก็มีคนหนุ่มสาวยี่สิบกว่าคนพยายามเข้ามาใกล้ ขณะที่เข้ามาเอ่ยถามไถ่สารทุกข์อยู่นั้น ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูท่าทางหยิ่งยโสอย่างมาก เขาไม่ได้เข้าไปใกล้ แต่หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นได้ชัดเจนว่าน้องสาวของตนมักจะชำเลืองมองชายหนุ่มคนนี้อยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งเวลาที่มองไป หัวใจก็เต้นเร็วขึ้นด้วย
ถ้าหากชายหนุ่มคนนี้หยิ่งยโสจริงๆ ก็ช่างเถอะ ท่าทางเย่อหยิ่งของเขาสามารถหลอกเด็กพวกนี้ได้ แต่ไม่อาจปกปิดสายตาของหวังเป่าเล่อได้ เขามองเห็นความได้ใจของชายหนุ่ม มองเห็นความประหม่าของเด็กหนุ่ม และมองเห็นความอึมครึมหนาวเหน็บที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของสายตา
ภายใต้กระแสเต๋าของหวังเป่าเล่อ เขาเห็นว่าด้านหลังของชายหนุ่มมีเส้นไหมหลายเส้นปรากฏอยู่ เส้นเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนมืดสลัว มีเพียงเส้นเดียวเท่านั้นที่พุ่งตรงไปยังท้องฟ้า ฉุดรั้งอยู่กลางอวกาศ บนดาวพระเคราะห์สองสามดวงที่อารยธรรมดวงเนตรสววรค์ครองอยู่
หวังเป่าเล่อคร้านจะมองให้ละเอียดถึงตัวตนของบุคคลที่ดึงรั้งมันไว้ เขาถอนสายตากลับไปแล้วส่งเสียงหนึ่งประโยคเข้าไปในจิตใจของน้องสาว
“กลับบ้านมาพบข้า!”
ขณะเดียวกับที่ประโยคนี้ของหวังเป่าเล่อดังออกไป ทางฝั่งหวังเป่าหลิงที่กำลังเงยหน้าขึ้นอย่างได้ใจและสะบัดผมของนาง หนุ่มสาวจำนวนมากข้างกายเข้ามาล้อมรอบ ทำให้นางราวกับเป็นไข่มุกที่สว่างแพรวพราวอย่างยิ่ง นางโยนหมวกนักรบของรถไปด้านข้างตามแต่ใจ ขณะที่กำลังจะอ้าปากพูดบางอย่าง ตอนนั้นเอง เมื่อเสียงของหวังเป่าเล่อดังเข้ามา หวังเป่าหลิงก็ตัวแข็งทื่อทันที
สีหน้านางซีดขาวขึ้นมาในพริบตา ความจริงถึงแม้เสียงนี้จะแปลกหูอย่างยิ่ง แต่หลังจากเข้าสู่จิตใจของนางแล้วก็ทำให้เลือดในตัวคล้ายจะหยุดไหลเวียน การตอบสนองตามสัญชาตญาณทำให้ในใจของนางมีคำตอบถึงตัวตนของเจ้าของเสียงนี้ขึ้นมาในพริบตา
ชื่อของหวังเป่าเล่อได้ติดตามนางมาทั้งชีวิต ตั้งแต่นางเริ่มจำความได้ก็รู้ว่าทุกสิ่งที่ตนมีล้วนเป็นเพราะชื่อชื่อนี้ และเป็นเพราะชื่อนี้เอง จึงทำให้นางค่อยๆ รู้ว่าตนนั้นเป็นสิ่งพิเศษอย่างยิ่งในทั่วทั้งระบบสุริยะและสหพันธรัฐ
นางไม่กลัวท่านพ่อและท่านแม่ แต่สำหรับพี่ชายที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อนผู้นี้ นางมีความเกรงกลัวยากจะพรรณนาบางอย่าง
ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าหลิงที่กำลังภาคภูมิใจตัวสั่นเทา หันกายขึ้นขี่รถทั้งใบหน้าซีดขาว ไม่มีเวลาแม้แต่จะทักทายกับผู้คน จากนั้นก็รีบทะยานไปที่บ้าน
ขณะที่ทิ้งให้กลุ่มเพื่อนพากันงุนงงยากจะเข้าใจ เงาร่างของนางก็หายไปไกลแล้ว
หวังเป่าหลิงกลับมาถึงประตูบ้านอย่างรวดเร็วที่สุดและทำเวลาเร็วที่สุดพร้อมกับหัวสมองขาวโพลน นางยืนลังเลประหม่าอยู่พักหนึ่ง ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ เปิดประตูบ้าน มองเข้าไปเห็นเงาร่างที่ทั้งแปลกหน้าทั้งคุ้นเคยนั่งอยู่ในห้องรับแขกในขณะนี้เอง
แทบจะทันทีที่ประตูเปิดออก หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้น เหลือบมองน้องสาวผู้นี้ของตน การเหลือบมองครั้งนี้เขามองอย่างละเอียดอย่างยิ่งจนแน่ใจว่าด้านในตัวนางไม่มีกลอุบายใดๆ และแน่ใจว่าน้องสาวคนนี้ไม่ได้มีเหตุต้นผลกรรมแอบแฝง และแน่ใจว่าทั้งหมดนี้คือการสรรค์สร้างของพ่อแม่ที่อยู่ในสภาวะปกติเท่านั้น จากนั้นหวังเป่าเล่อจึงถอนสายตากลับ
แต่ทางหวังเป่าหลิงกลับมีสีหน้าซีดขาวยิ่งกว่าเดิมเพราะสายตานี้ แววตาจึงเผยความหวาดกลัวออกมา ทั้งหวั่นวิตก เอาแต่ยืนอยู่ที่ประตูไม่รู้จะพูดอะไร ถึงขั้นที่แม้แต่ก้าวเดินไปก็ยังทำไม่ได้
“มานั่งสิ” หวังเป่าเล่อกล่าวช้าๆ
“อือ” หวังเป่าหลิงพยักหน้ารัวแล้วนั่งลงอีกด้านหนึ่งอย่างเชื่อฟังอย่างยิ่ง นางก้มหน้า ไม่กล้าพูดจา ถ้าหากท่านพ่อและท่านแม่ของหวังเป่าเล่อตื่นมาเห็นภาพนี้ตอนนี้เข้าล่ะก็ จะต้องตกใจมากแน่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแต่ไหนแต่ไรพวกเขาก็ไม่เคยเห็นบุตรสาวมีท่าทางเช่นนี้มาก่อนอยู่แล้ว
เมื่อเห็นเด็กสาวหวาดกลัวตนเองเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็แอบส่ายหน้า เขาเห็นว่าพรสวรรค์โดยธรรมชาติของหวังเป่าหลิงนั้นธรรมดาสามัญมาก ขณะกำลังจะเอ่ยปาก แต่ทันใดนั้นเขาก็เลิกคิ้วขึ้นก่อนเงยหน้ามองไปยังท้องฟ้า
ดวงตาของเขาราวกับมองทะลุทั่วทั้งระบบสุริยะ มองเห็นว่านอกระบบสุริยะในตอนนี้มีวังน้ำวนขนาดใหญ่แห่งหนึ่งปรากฏขึ้น วังน้ำวนส่งเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ก่อนจะมีเงาร่างเต๋าบินออกมาจากในนั้น
ภายในวังน้ำวนด้านหลังของเงาร่างนั้นคืออวกาศอันเจิดจรัส แสงสีม่วงแผ่กระจาย นั่นก็คือ…อารยธรรมครามทองคำ
ส่วนคนที่บินออกมาก็คือปรมาจารย์ครามทองคำผู้นั้น หลังจากที่เดินออกมาแล้วก็หยุดอยู่ด้านนอกระบบสุริยะ สีหน้าท่าทางของปรมาจารย์ครามทองคำผู้นี้เคร่งขรึม ประสานหมัดคำนับอย่างล้ำลึกมาทางระบบสุริยะด้วยท่าทางเคารพอย่างยิ่ง
“เจ้าแห่งอารยธรรมครามทองคำคารวะผู้อาวุโสหวัง ตามที่ผู้อาวุโสกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ข้าได้ข้อสรุปหลังจากปรึกษาหารือแล้ว ขอวอนให้ผู้อาวุโสมอบโอกาสให้อารยธรรมครามทองคำของข้ารุ่งเรืองด้วย เพื่อที่ว่า…ข้าจะได้ผสานรวมกับสหพันธรัฐโดยสมบูรณ์และสู้รบให้กับผู้อาวุโส!”
………

ยามดึก

 

หลังจากได้กลับมาหาบิดามารดา บางทีอาจเป็นเพราะหวังเป่าเล่อไม่ได้กลับมานานสิบกว่าปี อารมณ์ของทั้งสองจึงผันผวนอย่างมากในการพบหน้ากันครั้งนี้ บวกกับพลังฝึกตนในปัจจุบันของหวังเป่าเล่อ ทำให้แม้ว่าเขาจะควบคุมสุดกำลัง ก็ยังส่งผลต่อสิ่งรอบข้างในระดับหนึ่งได้

 

เมื่อเทียบกันในด้านระดับชีวิต หวังเป่าเล่อนั้นเหนือล้ำยิ่งกว่าผู้ฝึกตนแทบจะเก้าส่วนไปแล้ว แม้การมีอยู่ของเขาจะแตกต่างจากเต๋าสวรรค์ในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่มากนัก

 

ถึงอย่างไรกายเนื้อของเขาก็เป็นกายเต๋า ดวงวิญญาณเทพของเขาก็มาถึงระดับสูงสุดของดารานิรันดร์แล้ว โดยเฉพาะดวงดารานับหมื่นที่แฝงอยู่ในพลังฝึกตน เจ็ดส่วนในนั้นล้วนกลายเป็นดารานิรันดร์เรียบร้อย เมื่อเป็นเช่นนี้ หากใช้ศัพท์ของสหพันธรัฐมาบรรยาย บนร่างของหวังเป่าเล่อจึงมีรัศมีปริมาณของดารานิรันดร์ทั้งหมดเจ็ดพันกว่าดวงอยู่

 

รัศมีเช่นนี้ทำให้เขาอยู่เหนือมนุษย์ และขณะเดียวกันก็ทำให้พลังต่อสู้ของเขาแผ่กระจายออกมา แค่พลังกดดันอย่างเดียวก็สามารถทำให้ท้องนภาทั้งหมดในขอบเขตจิตสัมผัสเทพของเขาพังทลายได้ทันที

 

ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างของเขา ไม่ใช่แค่สามารถสั่นสะเทือนกระบี่จักรวาลของวังเต๋าไพศาลได้ แต่ยังกลืนกินพลังเต๋าสวรรค์ได้ด้วย ราวกับเป็นแกนกลางการฝึกตนของหวังเป่าเล่อก็ไม่ปาน นั่นทำให้เขายกระดับสูงขึ้นมากนัก

 

แม้กระทั่ง…ถ้าไม่ใช่เพราะร่างจริงของหวังเป่าเล่อน่าตกใจเกินไปจนกลัวว่าตัวเขาจะทนรับมันไม่ไหวแล้วร่างพังทลายล่ะก็ ทุกอย่างคงไม่มีทางเป็นปกติแบบเช่นในปัจจุบันแน่นอน

 

ดังนั้นเขาจะต้องระมัดระวังอย่างยิ่งยวด แต่ก็ยังยากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้ส่งผลกระทบต่อบิดาและมารดาที่มีพลังฝึกตนอยู่ที่ขั้นกำเนิดแก่นในได้เลย ผลกระทบนี้แม้ว่าจะถูกเขาลดระดับลงมามหาศาล แต่ก็ไม่ได้คงอยู่นานนัก ทำให้จิตใจของพ่อแม่เขาเหนื่อยล้า จำเป็นต้องหลับใหลเพื่อฝึกตนไปตามสัญชาตญาณ

 

เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นเช่นนี้ เขาก็โบกมือเพื่อให้บิดาและมารดาหลับไปแล้วส่งพวกท่านทั้งสองกลับห้องอย่างนุ่มนวล หวังเป่าเล่อยังแผ่พลังฝึกปรือเพื่อเพิ่มการคุ้มกันให้กับพวกเขาอีก จากนั้นก็รวมสารัตถะจำนวนน้อยนิดของตนผสานเข้าไปในร่างของพวกท่านทั้งสอง

 

สารัตถะนี้มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังไม่ถึงแม้แต่หนึ่งในล้านของตัวเขาเลย ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากให้เยอะๆ แต่จุดเล็กน้อยนี่ก็เป็นจุดสูงสุดที่บิดามารดาสามารถดูดซับได้แล้ว

 

เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็กลับไปยังห้องในบ้านที่เตรียมเอาไว้ให้เขาตลอดมา แม้ว่าเขาจะยังไม่เคยอยู่ในห้องห้องนี้มาก่อน แต่ของตกแต่งทั้งหมดล้วนเหมือนกับความทรงจำในวัยเด็กของเขาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นภาพติดบนผนัง หรือว่าของเล่นในวัยเด็ก ล้วนแต่เต็มไปด้วยสีสันแห่งความทรงจำอันล้ำลึก ทำให้หลังจากหวังเป่าเล่อกวาดสายตามอง แววตาทั้งคู่ของเขาก็อ่อนโยนยิ่งขึ้น

 

  กลับบ้านแล้ว…   หวังเป่าเล่อพึมพำ เขาลูบเตียงเล็กๆ ของตน บนนั้นสะอาดมาก เห็นได้ชัดว่าทั้งบิดาและมารดามาทำความสะอาดให้อยู่บ่อยๆ เบื้องหลังของพฤติกรรมรักษาความสะอาดเอาไว้เช่นนี้ ก็คือความคิดที่คอยเฝ้ารอให้ลูกชายกลับมาอยู่ตลอดเวลา

 

เขานั่งขัดสมาธิบนเตียงเล็ก หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองจันทร์กระจ่างนอกหน้าต่าง ขณะที่ร่างกายเริ่มนิ่งสงบ บนร่างของเขาก็แผ่กระแสเต๋าออกมาช้าๆ จนตลบอบอวลไปทั่วห้องและแพร่กระจายออกไปด้านนอก ทำให้ทั่วทั้งนครศักดิ์สิทธิ์ล้วนตกอยู่ในสภาพแปลกประหลาดที่ไม่มีใครสังเกตเห็นในชั่วขณะนี้เอง

 

นี่ก็คือปราณวิญญาณที่เข้มข้นยิ่งกว่า ดอกไม้ใบหญ้าทั้งหมดในเมืองล้วนสั่นไหวราวกับกำลังตอบรับและคล้ายจะกู่ร้องยินดี ความเร็วในการเติบโตก็เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

ยังมีสัตว์ทั้งหลายและแมลงที่ตัวสั่นระริกขึ้นในมาชั่วพริบตา ทอดมองไปไกลยังบ้านที่หวังเป่าเล่ออยู่ราวกับถูกดลบันดาล ราวกับถูกกระแสเต๋าอาบย้อม จนทุกๆ ตนต้องก้มกราบ

 

จากนั้นพวกมันก็แผ่ปราณวิญญาณ…สิ่งมีชีวิตสามัญเดิมทีก็ไม่อาจสร้างปราณวิญญาณออกมาได้ แต่ตอนนี้พวกมันคล้ายจะกลายเป็นสิ่งไม่ธรรมดาสามัญภายใต้อิทธิพลของกระแสเต๋าและแผ่ปราณวิญญาณออกมาด้วยตัวเอง ทำให้ทั่วทั้งนครศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ มีปราณวิญญาณแพร่กระจายออกมา

 

ส่วนกระแสปราณของหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่นครศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังแผ่ซ่านอย่างรวดเร็วไปด้านนอก จนกระทั่งแผ่กระจายไปยังสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ทำให้การฝึกตนของนักเรียนทั้งหมดภายในสำนักเต๋าพุ่งพรวดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในค่ำคืนนี้และทำให้นกกับสัตว์จำนวนนับไม่ถ้วนพากันเงียบสงบ

 

ณ เกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง วานรเพชรร่างกายมหึมาตนหนึ่งเดิมทีกำลังนอนหลับอยู่ แต่ตอนนี้พลันลืมตาขึ้นมาแล้วมองไปยังนครศักดิ์สิทธิ์ ในแววตาเผยความสับสนงุนงง

 

ใต้ทะเลสาบสานุศิษย์ ปลาใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนแหวกว่ายอย่างรวดเร็วราวกับตื่นเต้นอย่างไร้ที่สิ้นสุด ณ จุดที่ลึกยิ่งกว่า…งูยักษ์ที่แฝงกายอยู่ในที่นี้มานานหลายปีจนมีร่างกายยาวถึงร้อยจั้งเต็มๆ ก็แผ่ประกายแสงเป็นการตอบรับเช่นกัน มันลืมตาขึ้นแล้วมองไปยังนครศักดิ์สิทธิ์

 

กระแสเต๋ายังคงแผ่ซ่าน

 

แพร่กระจายไปยังสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ แพร่กระจายไปยังขอบเขตทั่วทุกทิศอย่างไร้ที่สิ้นสุด ถึงขั้นแพร่กระจายไปยังท้องทะเลแห่งอสูร ทำให้ตอนนี้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในท้องทะเลแห่งอสูรพากันสั่นสะท้าน ในส่วนลึกของท้องทะเลแห่งอสูรมีเจ้าแห่งสัตว์หลายตัวสถิตอยู่ ล้วนแต่ขยับเคลื่อนไหวด้วยความตกใจ

 

ยังมีกลุ่มไตรจันทรา ยังมีสำนักอีกหลายสำนัก ยังมีสำนักวิชาเต๋าอื่นๆ ยังมีนครอื่นๆ ยังมีคฤหาสน์ของประธานสหพันธรัฐ…สถานที่ทุกแห่ง ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา

 

แต่น่าเสียดาย การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ถึงแม้ร่างกายของสิ่งมีชีวิตจะมีการตอบสนอง แต่ส่วนใหญ่กลับคล้ายตั้งใจลืมเลือน ไม่มีความคิดสนใจสงสัยอยู่ในหัวเลย

 

ราวกับว่า…พวกเขาล้วนคิดว่าความไม่ปกติทั้งหมดนี้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นปกติโดยสัญชาตญาณ ไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์ตระกูลจินผู้มีพลังฝึกปรือระดับดาวเคราะห์เต๋าในกลุ่มไตรจันทรา หรือว่าอู๋เมิ่งหลิงและจอมพลังคนอื่นๆ ของสหพันธรัฐในคฤหาสน์ประธานสหพันธรัฐก็ตาม หรือแม้แต่ผู้ฝึกตนทั้งหมดภายในนั้น ซึ่งรวมไปถึงปรมาจารย์ศักดิ์สิทธิ์หลี่สิงเหวินด้วย ล้วนไม่มีใครสังเกตเห็นแม้แต่นิด

 

จนกระทั่งกระแสเต๋าของหวังเป่าเล่อครอบคลุมทั่วทั้งโลก มองจากไกลๆ จะเห็นว่าดาวโลกกลายเป็นหมอกพร่าเลือนกลางอวกาศแล้ว ขณะที่เหมือนกับภาพลวงตาราวกับความฝันนั้น ก็มีปราณวิญญาณเล็กๆ ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่ออกมา ขยายไปในอวกาศ

 

ขอบเขตของกระแสเต๋ายังคงแผ่ขยายไปจนถึงดาวอังคาร จนถึงทางด้านหลินโยว จนถึงดาวศุกร์ จนถึงดาวพระเคราะห์ดวงอื่นๆ และสุดท้าย…ก็แผ่ขยายไปจนทั่วทั้งระบบสุริยะ

 

ในพริบตาระบบสุริยะก็เกิดการเปลี่ยนแปลงลึกลับขึ้นมา ขณะที่การเปลี่ยนแปลงนี้แผ่ขยายไป ทั่วร่างของหวังเป่าเล่อก็เหมือนจะหลอมรวมเข้ากับระบบสุริยะอย่างล้ำลึก

 

เขาสัมผัสถึงพลังชีวิตของดวงดาวนับหมื่นและเสียงกู่ร้องยินดีที่มาถึงตัวเขาได้ สัมผัสถึงความสนิทชิดเชื้อที่มาจากดารานิรันดร์ของดวงเนตรสวรรค์ สัมผัสถึงความยินดีปรีดาที่มาจากดวงอาทิตย์ สัมผัสได้ถึงการเติบโตของทุกสรรพสิ่ง สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทั้งหมดภายในสหพันธรัฐ

 

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์กำลังกักตน ผู้อาวุโสของวังเต๋าไพศาลยังคงรักษาตัวอยู่

 

ทุกอย่างนี้ล้วนปรากฏขึ้นในใจของหวังเป่าเล่อ ขณะเดียวกันความรู้สึกที่ว่าตัวเขาเป็นระบบสุริยะก็รุนแรงมากยิ่งขึ้น ถึงขั้นที่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงจุดแปลกประหลาดทั้งสามจุดในระบบสุริยะ

 

จุดหนึ่งอยู่บนดาวโลก จุดหนึ่งอยู่ที่ดาวแห่งความมืด จุดหนึ่ง…กลับอยู่ที่ดาวพฤหัสบดี

 

แทนที่จะบอกว่าเป็นจุด ไม่สู้บอกว่าเป็นประตูสามแห่ง

 

ประตูของสามบ้านที่ทั้งออกได้และก้าวเข้าไปได้ ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อไม่ได้สังเกตอะไรมากเกี่ยวกับจุดสามจุดนี้ในสหพันธรัฐ แต่ในชั่วขณะนี้ทุกอย่างล้วนปรากฏขึ้นมาในความคิดของเขาขณะที่กระแสเต๋าแผ่ขยาย

 

สิ่งแรกที่เขามองเห็นคือจุดที่อยู่บนดาวพฤหัสบดี จุดนี้เป็นวังน้ำวนที่เล็กมากๆ จนยากจะสังเกตเห็น มันอยู่ในกลุ่มหมอก หลังจากดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อก่อตัวรวมกันเป็นเงาเต๋าแล้วยืนอยู่บนดาวพฤหัส ยืนอยู่นอกกลุ่มหมอก สายตาก็กวาดมองไป แววตาเผยความเยือกเย็น

 

เขายกมือขวาขึ้น ปราณกระบี่ของฝักกระบี่เจ้าชะตาสายหนึ่งปรากฏขึ้นทันใด ก่อนจะก่อตัวเป็นสายฟ้าสีเทาสายหนึ่ง พุ่งทะยานไปยังวังน้ำวนนั่นแล้วจมเข้าไปในพริบตา เมื่อปรากฏขึ้นอีกครั้งก็ไปอยู่ที่สถานที่ที่หวังเป่าเล่อเคยเห็นแต่กลับไม่เคยไป

 

ที่นั่นมีเศษซากของอารยธรรมและประวัติศาสตร์นับไม่ถ้วนกระจัดกระจายคล้ายกับกองขยะ ในส่วนลึกของซากปรักหักพังไร้ที่สิ้นสุดนี้มีสตรีคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ ตอนนี้สตรีผู้นี้เบิกตาโพลงอยู่ พริบตาที่ดวงตาเผยความสงสัยและหวาดกลัวออกมานั้น สายฟ้าที่เกิดจากปราณกระบี่ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของนางทันที แล้วพุ่งไปยังหว่างคิ้วของนางกะทันหัน

 

ชั่วขณะที่เกิดเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น สีหน้าของหญิงสาวพลันเปลี่ยนไปยกใหญ่ ร่างกายถอยร่นรวดเร็วแล้วผนึกมุทราอย่างว่องไว ด้านหน้ามีเงาเลือนรางของชายหญิงจำนวนนับไม่ถ้วนมาต้านทานอสนีบาตสายนี้พร้อมกันและกำจัดมันไปได้ แต่หลังจากสายฟ้าปราณกระบี่สายนี้ถูกกำจัดไป ก็มีคำพูดของหวังเป่าเล่อดังมาจากดาวพฤหัสบนสหพันธรัฐนอกอวกาศไร้ที่สิ้นสุด

 

  ไปซะ  

 

  หวังเป่าเล่อ?! เป็นไปไม่ได้!!   ดวงตาของหญิงสาวหดเกร็งทันที หัวใจเต้นรัวเร็ว วังน้ำวนที่นางทิ้งไว้ในสหพันธรัฐนี้ ต่อให้เป็นระดับดาราจักรก็ยากจะหาพบ มันคือหนึ่งในไพ่ลับของนาง แต่ตอนนี้กลับถูกคนใช้มันตามหาตำแหน่งของตนพบ

 

ดังนั้นจึงต้องตัดขาดวังน้ำวนนั่นตามสัญชาตญาณ แต่กลับไม่อาจตัดขาดได้ เพราะตอนนี้วังน้ำวนนั่นบนดาวพฤหัสถูกหวังเป่าเล่อใช้มือจับเอาไว้แล้ว หลังจากผนึกมันได้ก็เก็บเข้าไปในกระเป๋าคลังเก็บ

 

  จื่อเยว่…   ดวงตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลง แค่นเสียงเย็น เขาเพิ่งจะกลับมายังสหพันธรัฐ ยังไม่คิดจะจากไปโดยเร็วขนาดนี้ จึงปล่อยอีกฝ่ายไปชั่วคราว แต่อสนีบาตก่อนหน้านี้ได้ตรึงตำแหน่งอีกฝ่ายไว้แล้ว

 

จากนั้นเงาร่างของหวังเป่าเล่อก็สลายไป พริบตาต่อมา เขาพลันปรากฏตัวขึ้นที่ส่วนในของดาวแห่งความมืด ที่นี่มี…บ่อน้ำแห่งนึ่ง

 

เขายืนอยู่ข้างบ่อน้ำ สัมผัสถึงคลื่นความตายที่แผ่ออกมาจากข้างใน หวังเป่าเล่อเงียบงันไปครู่หนึ่งแล้วยกมือขวาขึ้นไปกดที่บ่อน้ำ ทันใดนั้นเสียงระเบิดดังกึกก้อง ปากบ่อน้ำเริ่มพังทลาย ขณะเดียวกันก็มีเสียงคำรามต่ำดังออกมาจากในนั้น ในน้ำเสียงมีความโกรธเกรี้ยวแผ่ออกมา

 

  ใครกล้าทำลายดวงเนตรแห่งโลกภายนอกของสำนักแห่งความมืดของข้า แจ้งนามของเจ้ามา สำนักแห่งความมืดของข้า…  

 

  หวังเป่าเล่อ!   หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงราบเรียบ

 

ขณะที่คำพูดนี้ดังออกมา ปากบ่อน้ำที่พังทลายนั่นก็เงียบกริบทันที

 

……………………

 

การกลับมาของหวังเป่าเล่อ หากเขาไม่อยากให้ทราบ ในระบบสุริยะนี้ไม่ว่าใครก็ตามล้วนไม่อาจสังเกตถึงเขาได้ นี่ไม่ได้หมายความว่าระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อไปถึงระดับสูงสุดแล้ว แต่เป็นเพราะฝักกระบี่เจ้าชะตาของเขาแฝงไว้ด้วยพลังแห่งเต๋าสวรรค์มากเกินไป

ในเวลาเดียวกันพลังหลักของเขาก็มาจากการที่กายภาพยกระดับเป็นจักรพิภพ ทั้งหมดกลายเป็นพลังสนองภายหลังฝักกระบี่เจ้าชะตาคืนพลังเต๋าสวรรค์ให้ร่างเขาเท่านั้น ดังนั้นกายเนื้อของเขาจึงได้กลายเป็นกายเต๋าเสียส่วนมากแล้ว

ด้านภายในวังหลวงเต๋าไพศาล ผู้อาวุโสระดับจักรพิภพรายเดียวในยามนี้ ผู้สูงส่งซิงอี้ไม่มีทางสังเกตถึงเขาได้เลยหากก่อนหน้าหวังเป่าเล่อไม่เผยกระแสเต๋าออกมา

เมื่อมองไปเช่นนี้ แสดงว่าการกลับมาของหวังเป่าเล่อครั้งนี้ยังไม่มีผู้ใดทราบ หวังเป่าเล่อจึงให้เจ้าลาน้อยเดินทางต่อ เมื่อมาถึงโลกก็มายังนครศักดิ์สิทธิ์ มายังเมืองหลวง…บ้านของตนเอง

บิดามารดาของเขา เนื่องเพราะสถานภาพของหวังเป่าเล่อนั้นถือว่ามีระดับสูงสุดในสหพันธรัฐแล้ว ที่อยู่อาศัยของพวกเขาแม้มองไปแล้วจะดูปกติ แต่รอบด้านล้วนมีการอารักขาอย่างเข้มงวด กอปรกับมียาบำรุงวิญญาณหลายขนาน ถึงแม้ว่าสองผู้ชราจะไม่ได้มีคุณสมบัติในการฝึกตนที่ดีมาก แต่ในยามนี้ก็อยู่ถึงระดับขั้นแก่นกำเนิดใน มีส่วนช่วยเรื่องอายุขัย

กระทั่งดูจากภายนอกไปแล้ว พวกเขายังเยาว์วัยลงมากทีเดียว ในเวลาเดียวกัน…ในบ้านยังมีเด็กสาววัยรุ่นเพิ่มขึ้นมา

เด็กสาวคนนี้ดูไปแล้วอายุประมาณสิบเจ็ด สิบแปดปีเห็นจะได้ เรือนร่างสูงอ้อนแอ้น รูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับบิดามารดาของหวังเป่าเล่ออยู่หลายส่วน ส่วนโลหิตที่ไหลเวียนในกายนั้น ทำให้หวังเป่าเล่อที่กำลังจะเหยียบเข้าบ้านตนกลับชะงักลง หลังจากกวาดตามอง

“นี่คือ…” หวังเป่าเล่อสีหน้าประหลาด หลังกลับมาจากดาราจักรโลกันตร์แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่รอยยิ้มเขาผันเปลี่ยน เขากะพริบตา พึมพำหลายประโยค

“สองตายายนี่…ไม่เจอกันสิบกว่าปี มีน้องสาวให้ข้าแล้ว…” โลหิตที่ไหลเวียนอยู่ในกายของสาวน้อย มีที่มาเดียวกับหวังเป่าเล่อ เป็นน้องสาวของเขานั่นเอง

เพียงแต่ว่าผมของเด็กสาวนั้น ย้อมกลายเป็นสีแดงสลับเขียว เสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็เป็นสไตล์พังค์ จนเขาที่มองอยู่อดขมวดคิ้วไม่ได้

ยามนี้ ภายในบ้าน น้องสาวของหวังเป่าเล่อกำลังก้มหน้า สีหน้าของนางดูเหนื่อยหน่ายขณะที่ถูกมารดาของหวังเป่าเล่อสอนสั่ง เหตุเพราะน้องสาวนั้นเล่นมากเกินไป ตอนนี้จึงถูกอบรม

ชั่วอึดใจให้หลัง เสียงทะเลาะดังมาก ภาพตรงหน้าจึงจบลงอย่างไม่ค่อยสวยนัก หลังจากนั้นประตูเปิดออก หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ตรงประตูมองน้องสาวของตนเดินออกมาอย่างเดือดดาล ใช้พลังเหวี่ยงประตูบ้านปิด แล้วจากไปอย่างฉุนเฉียว

นางมองไม่เห็นหวังเป่าเล่อ และย่อมไม่สังเกตเห็นว่าหวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเป็นปมกว่าเก่า อีกทั้งเท่าที่หวังเป่าเล่อสังเกตเห็น นอกรั้วบ้านนั้น เด็กวัยรุ่นที่อายุใกล้เคียงกับน้องสาวตนประมาณสี่ห้าคนกำลังบิดรถไฟฟ้าที่ใช้หินวิญญาณส่งเสียงแว๊นๆ รออยู่ เมื่อน้องสาวของตนเองโบกมือให้ คนทั้งกลุ่มก็โห่ร้องแล้วจากไป

หวังเป่าเล่อส่ายหน้า เขาไม่ได้สนใจต่อ หลังจากจัดเสื้อผ้าแล้ว ก็ยกมือขึ้นเคาะประตูบ้านที่ถูกปิดอยู่

ในบ้านยามนี้ มารดาของหวังเป่าเล่อกำลังโมโหสุดขีด ส่วนบิดาของเขา กลับอยู่ชงชาอยู่อีกด้านหนึ่ง ดื่มไปพลางพูดโน้มน้าว

“เจ้าเด็กเป่าหลิงนี่นา… ถึงจะหัวดื้อนิดหน่อย แต่จริงๆ นิสัยไม่เลวหรอกนะ…”

“ท่านหุบปากเสีย เป็นเพราะท่านไม่สั่งสอน เห็นไหมว่ายัยเด็กน้อยนี่วันๆ สภาพเป็นอย่างไร ช่างทำให้คนกลุ้มใจเหลือเกิน!”

“พอแล้วนาๆ ข้าไม่พูดอะไรแล้ว” บิดาของหวังเป่าเล่อหดศีรษะ

“แล้วยังมีท่าน ทุกวันต้องออกไปให้คนเขาเยินยอ ได้ยินคำชื่นชมมาเป็นสิบกว่าปีแล้ว ท่านเหนื่อยบ้างหรือไม่ แล้วยังมีเจ้าตัวร้ายเป่าเล่อนั่นอีก ไปแล้วก็ไม่มีส่งข่าวกลับมา น่ากลุ้มจริงๆ!”

ขณะที่มารดาของหวังเป่าเล่อกำลังเอ่ยบ่น ตอนนั้นเองนางก็ได้ยินเสียงเคาะประตู นางผงะคราหนึ่ง ด้านบิดาของหวังเป่าเล่อดวงตาทอประกายปลาบ แท้จริงแล้วพวกเขารู้ดีว่ารอบบ้านของตนมีคนคุ้มกันตลอดเวลา หากมีคนมาคำนับก็จะมีผู้มาบอกกล่าวล่วงหน้า ไม่มีทางที่จู่ๆ จะมีคนมาเคาะประตูอย่างไม่มีสาเหตุ

ต่อให้เป็นผู้นำสหพันธรัฐตอนนี้ อู๋เมิ่งหลิงมารดาของเจ้าเยี่ยเหมิงเองก็เช่นกัน ดังนี้ไม่ต้องเอ่ยถึงคนอื่นเลย ในเวลาหลายสิบปีมานี้ เรื่องผิดปกติครั้งเดียวในตอนนี้ทำให้บิดา มารดาของหวังเป่าเล่อเกิดความระแวง

“ใคร!” บิดาของหวังเป่าเล่อถือแผ่นหยกออกมา หลังจากลองส่งเสียงแล้วไม่พบข้อติดขัดก็จ้องไปยังประตูบ้าน

ส่วนมารดาของหวังเป่าเล่อ ยามนี้รีบประสานท่ามุทรา พริบตานั้นวงแหวนปราณรอบบ้านก็ทำงาน แต่ยามที่ผู้ชราทั้งสองกำลังระวังตัวแจนั้น นอกบ้าน เสียงที่พวกเขาคุ้นเคยก็เอ่ยออกมาอย่างอ่อนโยน

“พ่อ แม่ เป็นข้าเอง…ข้ากลับมาแล้ว”

หวังเป่าเล่อยืนอยู่นอกบ้าน แม้เขาจะสามารถเข้าไปได้เลยแต่ก็เลือกที่จะเคาะประตู ในยามนี้คำพูดที่เพิ่งจะกล่าวออกมานั้น ทำให้ประตูบ้านเบื้องหน้าตนเปิดออกทันที บิดา และมารดายืนอยู่ตรงนั้น จ้องหวังเป่าเล่ออย่างตกตะลึง พวกเขาพูดอะไรไม่ออก จากนั้นแต่ละคนก็ตื้นตันจนน้ำตาหลั่ง

“เป่าเล่อ…”

มองบิดามารดาของตนเองแล้ว ในใจหวังเป่าเล่อก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้น ตั้งแต่ที่เขาเข้าสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์นั้น ทุกครั้งที่พบกับพวกท่านก็เป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ และทุกครั้งที่ไปด้านนอกล้วนเป็นเวลาสิบกว่าปีอันยาวนาน หากกล่าวเรื่องความกตัญญูแล้ว หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนนั้นเนรคุณนัก

ในยามนี้ก้นบึ้งหัวใจความอบอุ่นแผ่ซ่าน หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึก ไม่ได้รีบเดินเข้าตัวบ้านแต่คุกเข่าอยู่ข้างนอก มองไปยังผู้ชราทั้งสองที่ตื้นตันจนน้ำตาอาบหน้าก่อนจะโขกศีรษะลงคราหนึ่ง

ยังไม่ทันจะลุกขึ้น มารดาก็เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วแล้วกอดเขาเอาไว้

“กลับมาแล้วก็ดี กลับมาแล้วก็ดี…”

บิดาของหวังเป่าเล่อเช็ดน้ำตา เขาเดินเข้ามากอดหวังเป่าเล่อไว้เช่นกัน มองดูเงาร่างที่แม้จะคุยเคยแต่ก็แฝงความแปลกหน้านี้ ขยี้ลงไปบนหัวหวังเป่าเล่อแรงๆ หลายที หลังจากนั้นก็หันหน้าไปตะโกนใส่ภรรยาของตนเองคราหนึ่ง

“ยายเฒ่า ลูกชายกลับมาแล้ว ยังไม่ไปทำกับข้าวอีก!”

ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อยังไม่กลับมา มารดาของเขาเดือดดาลดุร้าย แต่ยามนี้เหมือนลืมเรื่องไม่สบอารมณ์ก่อนหน้าจนสิ้น นางลากหวังเป่าเล่อเข้าบ้าน รอยยิ้มบนหน้าไม่เลือนหาย อีกทั้งยังไม่ถือสาคำพูดของตาแก่บ้านตัวเอง นางลงมือเข้าครัว ไม่นานกลิ่นหอมอบอวลก็ลอยออกมา เป็นเนื้อผัดซอสแดงที่หวังเป่าเล่อชอบกินสมัยเด็กๆ นั่นเอง

ในห้องนั้น พ่อลูกสองคนมองหน้ากัน ในใจหวังเป่าเล่อรู้สึกผิดกว่าเก่า เพราะเขาพบว่าตนเองไม่กลับมานานมาก ยามนี้พอพบกับผู้ชราทั้งสองแล้วกลับไม่รู้จะเอ่ยอะไร

“ท่านพ่อ ข้ามีน้องสาวเพิ่มมาอีกคนหรือ?”

“เป่าเล่อ ครั้งนี้เจ้าจะกลับมานานเท่าไร?”

หลังจากนิ่งเงียบไปหลายลมหายใจ สองพ่อลูกพลันพูดขึ้นมาพร้อมกัน

เมื่อได้ยินคำพูดของบุตรชาย บิดาของหวังเป่าเล่อเองก็ขัดเขินขึ้นมา โดยเฉพาะในยามที่บุตรชายไม่รู้เรื่องราว ตนก็เพิ่มน้องสาวให้เขาอีกหนึ่ง ในฐานะพ่อแล้ว แถมยังอายุตั้งมาก ยังคงรู้สึกกระดากอายอยู่บ้าง

สัมผัสได้ถึงความกระอักกระอ่วนของบิดาแล้ว หวังเป่าเล่อก็ยิ้มพลางกล่าว

“ช่วงสั้นๆ นี้ไม่ไปแล้ว อีกหน่อยต่อให้ไป ก็คงกลับมาเร็ว…”

“อื้ม เจ้าก็ควรจะเป็นแบบนี้แต่แรกแล้ว ด้านนอกนั่นจะดีเท่าที่บ้านได้อย่างไร แล้วยังมีน้องสาวของเจ้าคนนั้น…ทำให้คนปวดหัวนัก เจ้ากลับมาแล้วก็อบรมนางให้มากหน่อยแล้วกัน” บิดาของหวังเป่าเล่อกระแอมไอ เขาเปลี่ยนเรื่องแล้วพูดถึงการเปลี่ยนแปลงหลายสิบปีนี้ในสหพันธรัฐให้หวังเป่าเล่อฟัง โดยสรุปแล้วทุกสิ่งนั้นล้วนพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น

แล้วก็ยังมีบางส่วนที่ไม่ค่อยสมบูรณ์นัก เรื่องพวกนี้หวังเป่าเล่อกำลังทำความเข้าใจ ไม่นานกับข้าวก็ทำเสร็จแล้ว สมาชิกครอบครัวสามคนนั่งด้วยกันเหมือนปีนั้น ท่ามกลางสายตาอ่อนโยนและเสียงพูดคุยในความทรงจำ ความอบอุ่นยิ่งเพิ่มพูน ความแปลกหน้าเล็กน้อยที่เกิดขึ้นเพราะไม่ได้พบกันหลายปีค่อยๆ จางหาย

ทั้งร่างของหวังเป่าเล่อรู้สึกผ่อนคลายยิ่ง ได้ยินเสียงทะเลาะกันของพ่อแม่แล้ว ดวงตาก็ยิ่งอ่อนโยน สภาพอารมณ์ผ่อนคลายอย่างมาก จนกระทั่งสองผู้ชราพูดถึงน้องสาวของตนเอง…

“เป่าเล่อ พ่อของเจ้าพูดได้ถูกต้อง น้องสาวของเจ้าคนนี้…เจ้าต้องอบรมสั่งสอนให้มากหน่อย ไม่เชื่อฟังมากไปแล้ว! ข้าเสียใจจริงๆ ที่คลอดนางออกมา ช่างน่ากังวลเหลือเกิน” มารดาของหวังเป่าเล่อคีบเนื้อชิ้นโตให้เขาแล้วเอ่ยอย่างโมโห

หวังเป่าเล่อยิ้มพลางพยักหน้า ในใจรู้สึกทอดถอนใจ แท้จริงแล้วกลับมารอบนี้ สำหรับเรื่องที่จู่ๆ มีน้องสาวเพิ่มขึ้นมานั้น เขาไม่เคยได้เตรียมตัวหรือคาดการณ์เลยสักนิด ยามนี้จึงอดที่จะส่งกระแสจิตออกไปไม่ได้ พริบตาเดียวก็ครอบคลุมทั้งโลก มองเห็นทางด้านทิศตะวันออกของนครศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น เขามองเห็นแม่น้องสาวตัวดีของตนอยู่ท่ามกลางวัยรุ่นหญิงชายที่ซิ่งรถกันอยู่

…………………………………………………..

ประโยคที่เอ่ยทิ้งไว้นี้ ทำให้บรรดาคนรอบด้านจมอยู่กับภวังค์ ในขณะเดียวกันเส้นผมของหวังเป่าเล่อก็พริ้วสะบัด ร่างในชุดคลุมยาวสง่างามนั้นเดินจากไปไกลแสนไกล

ทุกก้าวย่างของเขาก่อเกิดคลื่นกระเพื่อม ราวกับทั้งจักรวาลกลายเป็นผิวทะเลสาบให้เขาเดินข้าม กระแสเต๋านั้นแผ่ซ่านออกจากร่างไม่หยุด ทั้งยังสามารถมองเห็นดาวเคราะห์เต๋าที่แฝงไปด้วยกฎชั้นสูงกำลังหมุนวนอยู่บนศีรษะของเขา ดาวเคราะเต๋าดวงเล็กจ้อยรอบด้านทั้งเก้านั้นหมุนไปพร้อมกันทุกย่างก้าว แล้วก็ยังมี…เงาร่างของดาวเคราะห์ทั้งหลายที่เจ็ดส่วนในบรรดาหมื่นดวงนี้กลายเป็นดาวเคราะห์นิรันดร์ไปแล้ว ยามนี้ก็คล้ายปรากฏลางเลือนเช่นกัน

ทั้งหมดนี้ สะท้อนเข้าสู่สายตาของผู้ฝึกตนอารยธรรมครามทองคำ ทำให้พวกเขาพลันรู้สึกว่าตนมองพลาดไป ราวกับที่มองอยู่นี้มิใช่ผู้ฝึกตนทว่าเป็นจักรวาลอันยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง

ฉากนี้ ทำให้หัวใจของทุกผู้คนสั่นสะท้านรุนแรง แม้แต่กับตัวปรมาจารย์ครามทองคำเองก็เช่นกัน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพลังของกระบี่เมื่อครู่นั้นยิ่งใหญ่สะท้านฟ้าเพียงใด ส่วนเงาร่างนี้ก็ราวกับหลุดพ้นจากดงธุลีไปแล้ว

ทั้งหมดนี้ทำให้ก้นบึ้งหัวใจของเขาต้องวิเคราะห์ถึงคำพูดก่อนหน้าของหวังเป่าเล่อไม่ได้ เขาต้องการมอบเรื่องยินดีใหญ่หลวงให้อารยธรรมครามทองคำสักครั้ง เท่าที่เขาเข้าใจ คำว่าเรื่องน่ายินดีใหญ่หลวงนี้ แท้จริงแล้วเมื่อเทียบคำพูด เป้าหมายก็ยังเป็นสิ่งเดิม คือให้อารยธรรมครามทองคำเข้าผนวกกับระบบสุริยะ กลายเป็นอาณานิคม

แต่ไม่ว่าจะเป็นอาณานิคมหรือไม่ ครั้นเมื่อระบบสุริยะยกระดับ สำหรับอารยธรรมครามทองคำแล้วแน่นอนว่าเป็นเรื่องน่ายินดีครั้งใหญ่

หากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่น อารยธรรมครามทองคำคงไม่คิดเรื่องนี้ แต่ว่าการศึกที่กำลังจะปะทุนั้น ทำให้ในใจของผู้อาวุโสครามทองคำพลันสับสนยุ่งเหยิง อีกทั้งยังมีอีกสิ่งที่ถึงขั้นทำให้หัวใจเขาสั่นสะท้านราวกับถูกอัสนีฟาดเลยทีเดียว มันย่อมไม่ใช่เพราะพลังกระบี่ที่หวังเป่าเล่อแสดงมาให้ดูก่อนหน้า แต่ว่าในยามนี้…หวังเป่าเล่อที่เดินห่างออกไปแล้วนั้น พลันโบกมือคราหนึ่ง ก็ปรากฏอสูรดุร้ายตนหนึ่งอยู่ข้างกายเขา!

หรือจะกล่าวว่า นั่นมิใช่อสูรร้าย และมิใช่อสูรวิญญาณ แต่เป็นอสูรวิเศษตนหนึ่ง

อสูรนี้ กลับเป็น…ลาตัวน้อย หลังจากหวังเป่าเล่อเรียกมันมาแล้ว เขาก็นั่งลงไปบนตัวลา ระหว่างที่ยกมือขึ้นปราณเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดกระแสหนึ่งก็แผ่ซ่าน หวังเป่าเล่อใช้มันเป็นอาหารให้ลาตัวน้อย หลังจากนั้นจึงเรียกเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นออกมาอีก แล้วโยนให้อาหารให้เหมือนเดิม

ระหว่างที่ให้อาหารนี้ ท่าทางของลาน้อยดูเบิกบานอย่างมาก ร้องฮี้ฮ้าๆ พลางกระทืบกีบทั้งสี่ มันควบไปข้างหน้าอย่างกระตือรือร้น พาหวังเป่าเล่อจากไปไกลขึ้นทุกที

จนกระทั่งว่าหลังจากที่เขาหายไปจากครรลองสายตาของปรมาจารย์ครามทองคำแล้ว หัวใจของปรมาจารย์ครามทองคำท่านนี้ก็ราวกับมีคลื่นยักษ์ดุดันซัดโหมไม่หยุด ดวงตาเขาหรี่เล็กลง ราวกับมองเห็นผี และสงสัยว่าตนเองมองอะไรผิดไปหรือไม่

“ที่…ที่มันกิน…เป็นพลังเต๋าสวรรค์? เต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืด เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น…สวรรค์ สัตว์วิเศษนั่นมันอะไร?”

“หรือว่า…หรือว่า…” ในใจของปรมาจารย์ครามทองคำพลันก้องกระหึ่ม เขามีความคิดอันหาญกล้าที่ไม่อาจหยุดยั้งขึ้นมา มันระเบิดขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ในสมองของเขาทันที

กระทั่งเนิ่นนานให้หลัง เขากัดฟันคราหนึ่ง ราวกับว่าการปรากฏตัวของลาน้อยทำให้เขาตัดสินใจได้ในที่สุด นัยน์ตาฉายแววแน่วนิ่ง จากนั้นจึงรีบพาทุกคนกลับอารยธรรมครามทองคำ เรียกประชุมเหล่าศิษย์ระดับสูงทั้งหมดของตนในอารยธรรมครามทองคำ แล้วเปิดฉากการประชุมลับซึ่งกำหนดอนาคตของอารยธรรมครามทองคำขึ้นมา!

ในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อที่อยู่ห่างไกลจากอารยธรรมครามทองคำแล้วนั้น ก้มหน้าลงมองลาน้อยที่เบิกบาน เขาส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะเก็บลาน้อยเข้าไป นี่เป็นความตั้งใจของเขานี่เอง

ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีกำลังหักหาญเอาอารยธรรมครามทองคำมาได้ แต่ว่าเขาไม่สนใจ อารยธรรมครามทองคำนั้นมองไปเหมือนใหญ่ แต่เมื่อเปรียบเทียบไปแล้ว ยังไม่คู่ควรให้เขาลงมือ หากว่าให้ฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายมาขอสวามิภักดิ์เอง เช่นนั้นจะดีที่สุด

ดังนั้นแล้วจึงมีคำเชิญที่เอ่ยไปเรื่อยก่อนหน้านี้ อีกทั้งการแสดงอันน่าครั่นคร้าม เขาจึงตั้งใจที่จะลากเจ้าลาน้อยออกมาแสดงให้ดูด้วย

พลังที่สามารถกลืนกินเต๋าสวรรค์ได้…เท่าที่คนทั้งหมดพอทราบนั้น ก็มีเพียงเต๋าสวรรค์เช่นกัน

หวังเป่าเล่อเองก็กินแล้วแต่เพราะเขายังคงมีรูปลักษณ์เช่นเดิม จึงไม่น่าตกใจเท่าการที่เจ้าลาน้อยนั่นกินได้ พูดไปแล้วเมื่อจำเพาะเทียบรูปลักษณ์ของเต๋าสวรรค์ ก่อนหน้าที่เฉินชิงจื่อจะผนวกมันเข้าไปนั้น เต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดอยู่ในลักษณ์ปลาสีดำ ส่วนของตระกูลไม่รู้สิ้นคือด้วงทองคำ

“เลี้ยงเจ้าลาน้อยให้กลายเป็นเต๋าสวรรค์ เช่นนั้นก็คงไม่เลว” หวังเป่าเล่อก้มหน้ามองเจ้าลาน้อย เจ้าลาน้อยเองก็รู้สึกได้ถึงสายตาของหวังเป่าเล่อ มันรีบหันหน้าหลังจากมองเห็นรอยยิ้มของหวังเป่าเล่อ ในใจเต้นระส่ำ

พลันสังหรณ์รวดเร็วขึ้นมาว่า เจ้านายซึ่งปล่อยตนเองออกมาในครั้งนี้ไม่เหมือนกับแต่ก่อน รอยยิ้มนี้ดูๆ ไปแล้วทำเอาขนในใจมันลุกพรึบ เร่งรีบส่งเสียงเอาใจคราหนึ่ง จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นเสียงร้องของเด็กที่ว่านอนสอนง่ายทันที

“กลับบ้านกัน” หลังจากลูบหัวเจ้าลาน้อยแล้วหวังเป่าเล่อก็ปิดตาลง เจ้าลาน้อยที่ในยามนี้ต้องกลายมาเป็นพาหนะกลับไม่กล้าแสดงอารมณ์แง่ลบสักนิด อีกทั้งยังไม่กล้าคิดเรื่องการเปลี่ยนจากสัตว์เลี้ยงมาเป็นพาหนะของตนนี้คือเลื่อนหรือลดระดับกันแน่

แต่ว่าในใจของมันจะมากน้อยก็ยังคงมึนงงอยู่บ้าง แต่หลังจากวิ่งไปหลายก้าว มันพลันคิดได้ว่าอู๋น้อยยังไม่ได้ออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ สภาพจิตใจก็แปรเปลี่ยนทันที พริบตานั้นสีหน้าท่าทางเบิกบานขึ้นมาทันใด

ราวกับรู้สึกว่าตนเองยังมีประโยชน์ ดังนั้นแล้วจึงร้องส่งเสียงอีกหลายคำ ความเร็วก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น จนกระทั่งสุดท้ายอาจจะเพราะกินเต๋าสวรรค์มากเกินไป ท่ามกลางความเร็วนี้ ร่างของมันราวกับว่าจะค่อยๆ หลอมรวมกับพลังของกฎเกณฑ์ รูปลักษณ์กลายเป็นเหมือนลำแสงที่บ้างปรากฏบ้างเลือนหาย มุ่งหน้าไปยัง…ระบบสุริยะ

ระยะทางของอารยธรรมครามทองคำแม้ห่างจากระบบสุริยะ แต่แท้จริงแล้วก็ยังอยู่ในเขตที่สิบเก้าของสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้าย เมื่อเทียบพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อในปีนั้น บางทีอาจต้องใช้เวลานับหลายร้อยปีกว่าจะถึง ทว่าปัจจุบันไม่จำเป็นแล้ว

ความเร็วของเจ้าลาน้อย หลังจากกลายสภาพไปกับกฎเกณฑ์จนรูปร่างของมันหมือนเส้นด้ายแล้ว เจ้าลาน้อยใช้เวลาเพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้นก็ข้ามผ่านขอบเขตทั้งหมดเข้าใกล้ชายขอบของระบบสุริยะ

เมื่อมาถึงที่นี่ หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น มองไปยังจักรวาลอันคุ้นเคยเบื้องหน้า มองไปยังดาวเคราะห์นิรันดร์ที่แผ่แสงอันแสนจะคุ้นตา อีกทั้งในพริบตาที่เขามองเห็นกระบี่สำริดโบราณเล่มนั้น กระบี่สำริดนี้ก็พลันสั่นสะท้านขึ้นมา

หลังจากการสั่นสะท้าน แสงเพลิงบนพระอาทิตย์ก็สว่างดับสลับกันไม่หยุด ผู้ฝึกตนในวังเต๋าไพศาลภายในกระบี่สำริดนั้น พลันตกตะลึง เหล่าผู้อาวุโสที่ปิดด่านอยู่ก็พลันเบิกตาโพลงด้วยสีหน้าตื่นตะลึง

ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ชิงหลิงจื่อที่เคยมีความสัมพันธ์ลับๆ กับทางสหพันธรัฐในปีนั้นและถูกหวังเป่าเล่อตามฆ่า จนสุดท้ายกายเนื้อแหลกสลาย จิตวิญญาณเทพกลับบาดเจ็บหนักกว่าเก่าผู้นั้น ยามนี้ก็เบิกตาขึ้นเช่นกัน ดวงตาเผยประกายแตกตื่นสงสัย

แล้วยังมีอาจารย์ ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพนามว่าซิงอี้ พลันลืมตาขึ้นมาจากสภาวะนิ่งสงบ แล้วมองไปยังกระบี่สำริดด้วยความตื่นตะลึง หลังจากนั้นจึงส่งกระแสจิตกวาดมองทั่วทั้งระบบสุริยะทันที สุดท้ายก็ลองค้นหาภายนอกดู ทว่าหลังกวาดผ่านจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่แล้วซิงอี้กลับจับสังเกตอะไรไม่ได้

“บาดเจ็บสาหัสไป” แต่ในสายตาของหวังเป่าเล่อ ผู้สูงส่งซิงอี้ท่านนี้ซึ่งเขาต้องควักไพ่ตายหลายใบมาใช้ในยามนั้นกว่าจะประนีประนอมได้ ตอนนี้เขามองทะลุตัวตนอีกฝ่ายหมดแล้ว จากกระแสคลื่นที่ออกจากตัวอีกฝ่าย เกรงว่าก่อนหน้านั้นคนผู้นี้คงอยู่ระดับจักรพิภพขั้นปลาย แต่ตอนนี้น่าจะเป็นแค่ขั้นต้นเท่านั้น

แต่…กระบี่สำริดโบราณในวังเต๋าไพศาล กลับแสดงท่าทีผิดแปลกหนักขึ้น ยามนี้จากที่หวังเป่าเล่อลองมองและใช้จิตวิญญาณเทพสำรวจ เขาสามารถสัมผัสได้ชัดเจนว่ากระบี่สำริดนี้มีระดับที่…สูงมาก!

“อาวุธโบราณระดับจักรวาล!” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา ฝักกระบี่ภายในร่างสั่นสะท้าน อีกทั้งยังเผยประกายปรารถนาออกมา ในเวลาเดียวกันกระบี่สำริดทางด้านนั้นก็เป็นเช่นเดียวกัน ราวกับว่าขอเพียงหวังเป่าเล่อเอ่ยประโยคเดียว มันจะกลับเข้าฝักทันที!

หลังเพ่งมองเนิ่นนาน หวังเป่าเล่อจึงถอนสายตากลับ พลันแผ่กระแสเต๋าบนร่างออกมาขุมหนึ่ง ทำให้ผู้สูงส่งซิงอี้ที่กวาดตามองรอบกายเขาแต่เดิมนั้นพลันสัมผัสได้ แล้วรีบเพ่งมองมา หลังจากเห็นหวังเป่าเล่อและพลังปราณที่แผ่ออกมาอย่างชัดเจน รวมถึงมองเห็นพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่ออย่างกระจ่างชัดแล้ว ในใจก็สะท้านรุนแรง

หวังเป่าเล่อยิ้มพลางก้มหน้า พร้อมประสานมือคำนับหนึ่งครา

……………..

“สหายเต๋าหวัง…” กระแสจิตของเหล่าผู้ฝึกตนอารยธรรมครามทองคำเหล่านั้นเริ่มล่าถอย กระทั่งตัวของปรมาจารย์ครามทองคำซึ่งหมายมาดจะครองสหพันธรัฐในปีนั้น แต่จบลงที่ตัวเขายามนี้ต้องอยู่นอกระบบสุริยะ เพราะถูกปรมาจารย์แห่งไฟขับไล่ ยังถึงกับตกอยู่ในสภาวะตกตะลึงหัวใจระส่ำ

ก่อนหน้านี้เขายอมรับหวังเป่าเล่อ ทว่าในใจแม้จะหวั่นเกรงอยู่บ้างแต่ความหวั่นเกรงนี้มิได้มาจากตัวหวังเป่าเล่อโดยตรง แต่คือหวาดเกรงปรมาจารย์แห่งไฟเบื้องหลังของหวังเป่าเล่อ ทว่ายามนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว

เหตุใดเขาถึงไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า หวังเป่าเล่อที่ดูไปแล้วคล้ายจะไม่ใช่ระดับจักรพิภพและระดับท่าทางไม่ต่างจากตนมากนั้นในยามนี้ กลับสามารถ…กลืนเต๋าสวรรค์ได้ในพริบตาเดียว!!

แม้เต๋าสวรรค์ที่ปรากฏตัวอยู่ที่นี่จะเป็นเพียงแค่พลังกระแสหนึ่งเท่านั้น ทว่ามันก็ยังนับว่าเป็นเต๋าสวรรค์ ถ้าให้เขาสลับเปลี่ยนตำแหน่งกับหวังเป่าเล่อ ต่อให้เขาพยายามสุดกำลัง กระทั่งเผาผลาญจิตวิญญาณเทพของตน เกรงว่ายังไม่อาจทนต่อพลังของเต๋าสวรรค์นี้ได้สักนิด

กฎที่เขาฝึกตนนั้น กฎที่รู้แจ้งมาทั้งหมดล้วนมีที่มาจากพลังเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น หากเลือกต่อสู้กับเต๋าสวรรค์นั่นคือการคานกับมรรคเต๋า พลังแห่งกฎที่มีอยู่ทั้งหมดย่อมถูกลบทิ้ง หากพูดให้น่ากลัวกว่านั้นอีกก็คือเต๋าสวรรค์สามารถกลืนกินร่างของผู้ฝึกตนรุ่นหลังเหล่านี้ในพริบตาแล้วเปลี่ยนให้เป็นคนธรรมดาได้

เต๋าสวรรค์เช่นนี้ ใครบ้างไม่เกรงกลัว ใครบ้างคิดอยากต่อกร

แต่กับหวังเป่าเล่อผู้นี้ นอกจากจะไม่ถูกต่อต้านแล้ว ตัวเขายังกลืนกินเต๋าสวรรค์อีกด้วย กระบวนการนี้ยังราบรื่นตลอดขั้นตอน แถมยังสะอาดหมดจด จนทำให้กระแสจิตที่อยู่ตรงนี้ทั้งหมด…ล้วนหวาดผวา!

หวาดผวารุนแรงชนิดที่ทำให้ปรมาจารย์ครามทองคำที่อยู่ห่างจากระดับจักรพิภพเพียงครึ่งก้าวผู้นี้ในใจสั่นสะท้าน ยามนี้ตัวเขายังจะดื้อดึงได้อีกหรือ? เขาเอ่ยปากเสียงเบา

“สหายเต๋า ปีนั้นข้าล่วงเกินไปมาก ล้วนเป็นความเข้าใจผิดทั้งสิ้น ในเมื่อท่านเป็นศิษย์ของปรมาจารย์แห่งไฟ อารยธรรมครามทองคำย่อมไม่อาจมองท่านเป็นศัตรูแม้เพียงนิด…”

“เรื่องที่เจ้าเอ่ยปากเมื่อปีนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้าแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ข้าจะมอบสัญญาที่น่าตื่นเต้นให้พวกอารยธรรมครามทองคำของเจ้าหน่อยไหม จงมาเข้าร่วมเป็นอารยธรรมหนึ่งในสหพันธรัฐของข้าเป็นอย่างไร?” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว มองไปยังอดีตศัตรูของตน แม้เขาจะไม่เคยเห็นอีกฝ่ายก็ตาม แต่หากไม่มีท่านปรมาจารย์แห่งไฟผู้เป็นอาจารย์ล่ะก็ เกรงว่ายามนี้ตนเองและสหพันธรัฐคงต้องจิตวิญญาณดับสูญไปแล้ว

เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ ผู้ฝึกตนอารยธรรมครามทองคำรอบด้านล้วนแต่พากันเคร่งขรึม ทว่าในดวงตากลับมีความโกรธที่สะกดข่มเอาไว้ เพราะแท้ที่จริงแล้วไม่มีอารยธรรมใดๆ หรอกที่ยินยอมอยู่ภายใต้อารยธรรมอื่น โดยเฉพาะในสายตาของพวกเขา เจ้าหวังเป่าเล่อผู้นี้มองไปแล้วแม้ดูจะแข็งแกร่งก็จริง แต่ก็ยังไม่ถึงขนาดแข็งแกร่งที่สุดหรอกกระมัง ที่ได้ดีเป็นเพราะปรมาจารย์แห่งไฟให้ท้ายก็เท่านั้น

แล้วเมื่อเทียบกับความวุ่นวายในจักรวาลโดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงยามนี้ สำนักแห่งความมืดกำลังปรากฏตัวอีกครั้ง ในช่วงเวลาสำคัญอารยธรรมครามทองคำยังคงมีตัวเลือกมากมาย ย่อมไม่ยอมสยบง่ายๆ อย่างแน่นอน

“สหายเต๋า!” ดังนั้นแล้วท่ามกลางผู้คนที่สะกดกั้นความโกรธ ปรมาจารย์ครามทองคำพลันขมวดคิ้ว ดวงตาที่เพิ่งมองมานี้เจือประกายตาคมปลาบ เพ่งมองหวังเป่าเล่อ

“เรื่องในปีนั้นย่อมเป็นตัวข้าที่ผิดแน่นอน ดังนั้นอารยธรรมครามทองคำของพวกข้ายินดีชดใช้ให้ แต่ก็ขอให้พอเท่านี้เถอะ!”

“ชดใช้? ปีนั้นมิใช่พวกเจ้าก็ชดใช้จนหมดแล้วมิใช่หรือ ในยามนี้ข้าไม่ต้องการ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้าลงมือเอาชนะเจ้าด้วย นี่เป็นการมอบโอกาสในการทำสัญญาที่ดีแก่พวกเจ้า ไม่ต้องการก็ช่างเถอะ” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า เขาไม่ได้สนใจต่ออีก เขาไม่ได้โกหกจริงๆ แม้เขาจะมีความคิดบางประการต่อดารานิรันดร์ของอารยธรรมครามทองคำอยู่บ้าง แต่ในจักรวาลยามนี้ อารยธรรมมีมากมายเหลือเกิน

และตามแผนของหวังเป่าเล่อนั้น แม้การให้อารยธรรมครามทองคำเข้าร่วมสหพันธรัฐจะทำให้ครามทองคำต้องเสียหายไปบ้าง แต่สภาพการณ์ในช่วงเวลาปัจจุบัน เกรงว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้วสำหรับอารยธรรมครามทองคำ

เพราะว่า…บางทีในทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นแห่งนี้…เกรงว่าหวังเป่าเล่อจะเป็น…ผู้เดียวที่มีพลังและมีสิทธิ์ยืนอยู่ตรงกลาง!

ฝ่ายอื่นๆ แม้จะมีผู้แข็งแกร่ง แต่ก็ข้องเกี่ยวกับตระกูลไม่รู้สิ้นมากเกินไป บุญคุณความแค้นที่มีกับสำนักแห่งความมืดแต่เดิมของตระกูลไม่รู้สิ้นนั้น ไม่มีทางไถ่ถอนได้ เพราะเส้นทางเต๋าอันแตกต่าง

จึงมีเพียงหวังเป่าเล่อตรงนี้ที่สำนักแห่งความมืดไม่เข้ามาขวาง ไม่ตรวจสอบ ไม่รบกวน ในเวลาเดียวกันกับทางตระกูลไม่รู้สิ้น การมีอยู่ของฝักกระบี่เจ้าชะตาของหวังเป่าเล่อซึ่งกลืนกินเต๋าสวรรค์ได้ อีกทั้งการเป็นผู้อยู่ในความดูแลของปรมาจารย์แห่งไฟ ทำให้แม้ตระกูลไม่รู้สิ้นต้องปะทะกับมหาศัตรูอย่างสำนักแห่งความมืด ก็ไม่อาจมารบกวนตนได้ง่ายๆ

และที่สำคัญไปกว่านั้น…หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่า วันเวลาที่ใกล้จะมาถึงนี้ สำนักแห่งความมืดจะเข้าคุกคามจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น หลังจากที่เต๋าสวรรค์แห่งสำนักแห่งความมืดได้พัฒนากฎจนสมบูรณ์แบบภายในเขตจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นแล้ว คาดว่าอีกไม่นาน ภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นแห่งนี้…ความวุ่นวายจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่หมื่นตระกูลสำนักและบรรดาอารยธรรมใหญ่น้อยแล้ว

เพราะว่าเมื่อเต๋าสวรรค์โกลาหล สำนักแห่งความมืดและตระกูลไม่รู้สิ้น ทั้งสองขุมพลังเต๋าสวรรค์ล้วนรุกรานกันและกัน ล้วนขัดแย้งซึ่งกันและกัน จนกลายเป็นแรงกดดันต่อมหาชนทั้งมวล ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนของสำนักแห่งความมืดหรือเต๋าไม่รู้สิ้น ท่ามกลางการหมุนเปลี่ยนของกฎเกณฑ์นี้ ยากจะหนีพ้นผลกระทบและการรุกราน

ขุมกำลังศึกอันแกร่งกล้าแต่เดิมนั้นจะถูกทำให้อ่อนแอ แต่จะอ่อนแอไปเท่าใดนั้นก็จำเพาะต่างออกไป สถานการณ์ศึกจะดำเนินไปเรื่อยๆ เพื่อรอดูว่าใครจะเป็นผู้กำชัย

มีเพียงหวังเป่าเล่อ…ซึ่งถือครองกฎและเกณฑ์ของเต๋าสวรรค์ทั้งสองประการเท่านั้น และมีเพียงเขาเท่านั้น ไม่ว่าตระกูลไม่รู้สิ้นและสำนักแห่งความมืดจะขัดแย้งกันเท่าไร ก็จะไม่มีทางได้รับความวุ่นวายจากกฎเกณฑ์พวกนี้ นอกจากเขาจะไม่ได้รับผลกระทบมากเท่าที่ควรแล้ว ท่ามกลางการสับเปลี่ยนไปมา หวังเป่าเล่ออาจยกระดับขุมกำลังต่อสู้ได้อีกสามส่วนด้วยซ้ำ

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อเข้าใจสถานการณ์ที่ตนได้เปรียบท่ามกลางความโชคร้ายของผู้อื่นดี ครั้นเมื่อพลังฝึกตนและจิตวิญญาณเทพรวมถึงร่างเนื้อของเขาอยู่ในระดับดารานิรันดร์ชั้นสมบูรณ์ครบร้อยก้าวแล้วเข้าสู่ระดับจักรพิภพ ตนในยามนั้นย่อมถูกเรียกขานว่าเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพ!

ระดับจักรพิภพตอนต้น ตนเองฆ่าได้ ระดับจักรพิภพตอนกลาง ตนเองสังหารได้ ระดับจักรพิภพตอนปลาย แม้ยากที่จะสังหาร แต่จะขับไล่ไปให้ไกลนั้นไม่ยากนัก มีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพชั้นสมบูรณ์เท่านั้นที่จะตัดสินต่อสู้กับตนได้จริงจัง

ในเวลาเดียวกัน หากให้เวลาและวาสนาแก่เขาอีกส่วนหนึ่ง ครั้นเมื่อพลังกายภาพ พลังฝึกตน จิตวิญญาณเทพทะลุเข้าสู่ระดับจักรพิภพตอนกลางเมื่อใด เมื่อถึงเวลานั้น…หวังเป่าเล่อลองชั่งน้ำหนักและคะเนความสามารถในการสู้ของตนเองแล้ว เขามั่นใจถึงแปดส่วนว่าจะสามารถสู้กับจักรพรรดิสวรรค์ได้!

เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็จะกลายเป็นผู้กุมชะตาฝ่ายหนึ่งในเขตจักรพิภพไม่รู้สิ้นแห่งนี้ ส่วนระบบสุริยะก็จะกลายเป็นอารยธรรมศักดิ์สิทธิ์ในอนาคตที่รอดพ้นจากการศึกโกลาหลอันวุ่นวาย

เมื่อรวมกับปรมาจารย์แห่งไฟอาจารย์ของตนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจักรพิภพไม่รู้สิ้นหรือสำนักแห่งความมืด ย่อมต้องให้ความเคารพอย่างมากต่อระบบสุริยะของเขา

นี่ก็คือแผนการของหวังเป่าเล่อ เขาต้องการเป็นตาชั่งตรงกลาง!

ดังนั้นในยามนี้หลังจากส่ายหน้าแล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดอีก เขาหันกายเตรียมจะจากไป ทว่าท่าทางเช่นนี้ของเขาทำให้ผู้ฝึกตนอารยธรรมครามทองคำเห็นต่างออกไป ท่าทีนี้ทำให้พวกเขาผงะ กระทั่งทำให้ปรมาจารย์ครามทองคำถึงขั้นลังเลเล็กน้อย แท้จริงแล้วเขาก็รู้สึกได้ว่าอนาคตยากจะคาดการณ์ ในใจนั้นคิดถึงแต่การศึกที่จะมาของสำนักแห่งความมืดและตระกูลไม่รู้สิ้น ก้นบึ้งหัวใจล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกอันตราย

โดยเฉพาะแม้อารยธรรมครามทองคำจะไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่นับว่าเล็ก นี่อยู่ในจุดที่ลำบากใจอย่างมาก หากจัดการได้ไม่ดี เกรงว่าแปดเก้าในสิบส่วนคงต้องพินาศเพราะมหาเคราะห์ในครั้งนี้แน่!

ดังนั้นแล้วเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อจากไป ปรมาจารย์ครามทองคำพลันเอ่ยปาก

“มหาเคราะห์ใกล้มาเยือน แต่ต่อให้มีปรมาจารย์แห่งไฟคอยสนับสนุน ทว่าขุมกำลังและพลังฝึกปรือของสหายเต๋า ก็ยังไม่ถึงขนาดมีพลังโอบอุ้มอารยธรรมครามทองคำของข้าได้…”

“ไม่มีพลังโอบอุ้มงั้นหรือ?” หวังเป่าเล่อชะงักฝีเท้า เขากวาดตามองดารานิรันดร์ภายในอารยธรรมครามทองคำที่อยู่ห่างออกไป รวมถึงเงาร่างของผู้ฝึกตนดารานิรันดร์นับร้อยภายใต้การควบคุมของดารานิรันดร์ดวงนี้

หลังจากยกยิ้มบางๆ แล้ว เขาก็ยกมือขวาขึ้น ฝักกระบี่เจ้าชะตาส่งเสียงคำรามหมุน พลังของเต๋าสวรรค์แห่งความมืดและเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นพลันระเบิดออกมาพร้อมกัน กลายเป็นกระแสปราณเต๋าสองสายดำขาวหลอมรวมกันแผ่จากภายในกาย แม้ว่าพลังทั้งสองจะขัดแย้งกันจนถึงขนาดพยายามย่อยอีกฝ่าย แต่ก็กำลังเสริมสร้างซึ่งกันและกัน…อยู่ในเวลาเดียวกัน ราวกับว่าพวกมันกำลังช่วยเสริมพลังเต๋าที่บกพร่องและกำลังช่วยแต่งเติมเต๋าที่ขาดวิ่นของอีกฝ่าย

หลังจากที่ฝักกระบี่เจ้าชะตาก้องคำรามแล้ว ปราณกระบี่สายหนึ่งก็พลันระเบิดจากกายของหวังเป่าเล่อ ปราณกระบี่นี้มีพลังสองสีขาวดำกำลังปะทะหลอมรวม ครั้นเมื่อออกมา จักรวาลก็สั่นสะเทือนไปทั่วสี่ทิศ เกิดเสียงดังลั่น ขุมพลังอันเหนือชั้นสุดขีดพลันสาดประกายไปทั่ว ทำให้ปราณกระบี่ในพริบตานี้ระเบิดออก จากที่มีขนาดประมาณหนึ่งจั้งจากที่เก่า พลันขยายไปนับสิบจั้ง หมื่นจั้ง แสนจั้ง กระทั่งล้านจั้ง…ไร้ที่สิ้นสุด ท่ามกลางความตกตะลึงของเหล่าผู้ฝึกตนอารยธรรมครามทองคำ

ปราณกระบี่นี้ขยายออกอย่างไร้ขอบเขต ราวกับจะทะลุอารยธรรมครามทองคำก็ไม่ปาน มันพลันพุ่งตัวไปยังอารยธรรมครามทองคำ!

“หวังเป่าเล่อ!!” ผู้คนรอบด้านเขาล้วนคำรามโกรธ ปรมาจารย์ครามทองคำนั้นทั้งตกตะลึงทั้งเดือดดาลร้อนรน

ในพริบตาถัดมา วงแหวนปราณยักษ์ที่คอยปกป้องอารยธรรมครามทองคำ ก็กลายสภาพราวกับเป็นกระดาษ มันถูกทำลายฉีกจนพินาศ อีกทั้งกฎเกณฑ์อันแตกต่าง ทำให้การป้องกันพลันไร้ผลไปทันที ในพริบตานั้น กระแสปราณกระบี่ไร้ขอบเขตอันน่าพรั่นพรึงก็มาถึงเหนือดารานิรันดร์ของอารยธรรมครามทองคำหมื่นจั้งแล้ว ยามที่เข้าใกล้ดาวเคราะห์นิรันดร์จนไม่อาจขยับได้ก็พลันหยุดชะงักลง

หลังจากนั้นก็ล่าถอย ราวกับว่าเกิดปรากฏการณ์ย้อนเวลาอย่างไรอย่างนั้น ปราณกระบี่ย่อหดลง จนกระทั่งตัวปราณกลับเข้าสู่ตัวของหวังเป่าเล่อ เขาไม่ได้หันหน้ามามอง กลับเดินจากไปไกล ปากก็เอ่ยเพียงประโยคเดียว อีกทั้งยังเป็นประโยคเดียวที่ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนอารยธรรมครามทองคำล้วนหัวใจสั่นสะท้าน เงียบงันไม่กล้าเอ่ยคำ

“โอบอุ้มไหวหรือยัง?”

………………………………..

จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น

พายุฝนตั้งเค้า

หลังจากการมาของเต๋าสวรรค์แห่งความมืด แล้วตามด้วยการสถาปนากฎขึ้นใหม่ ประกาศใช้กฎนิรันดร์นี้อีกครั้ง ทำให้แทบทุกผู้คนในอาณาจักรไม่รู้สิ้นต้องตกอยู่ในอันตราย

ถึงกับว่ามีอารยธรรมเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วน เริ่มเปิดใช้งานวงแหวนปราณที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ทำการปิดกั้นระบบดาราจักรของตน วางแผนหลีกเร้นจากความวุ่นวายในยามนี้ ส่วนอารยธรรมระดับกลางจำนวนมากนั้น แต่ละที่ล้วนคิดเห็นแตกต่างกันไป

มีบางที่เลือกจะปิดตัว แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยบางส่วน…เลือกบุกเข้าสู่ภายนอก เริ่มทำสงครามกับเหล่าอารยธรรมระดับเล็กอื่นๆ

มหาเคราะห์ที่กำลังจะมาถึง ทำให้ในยามนี้ ด้านหนึ่งพวกเขาจำเป็นต้องป้องกันตนเอง ส่วนอีกด้านหนึ่งก็คือต้องแย่งชิงทรัพยากร สิ่งเหล่านี้คือวิธีการที่ดีที่สุดซึ่งเหล่าอารยธรรมได้ตัดสินใจกระทำ หวังข้ามผ่านคราวเคราะห์ครั้งนี้

เพราะว่า…มีเพียงการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นและมีทรัพยากรที่มากเพียงพอเท่านั้น จึงจะเป็นการป้องกันตัวเองได้ดีในระดับหนึ่ง ไม่ว่าใครก็ยากจะทราบว่าสุดท้ายแล้ว การต่อสู้ระหว่างอาณาจักรไม่รู้สิ้นและสำนักแห่งความมืด ฝั่งใดจะกำชัย

อย่างไรก็ดี ในระหว่างที่ขุมพลังทั้งสองนี้ประจันหน้า ผู้ที่มีสิทธิ์ออกเสียงอันแน่นอนระดับหนึ่งเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ได้เฝ้าชม

บริเวณใจกลางของอาณาจักรไม่รู้สิ้นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เช่นเดียวกันกับสำนักเสริมจักรพิภพ และกระทั่งในสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้ายก็ด้วย

โดยเฉพาะฝ่ายหลัง เพราะก่อนหน้าที่เฉินชิงจื่อจะหลอมรวมเต๋าสวรรค์ สำนักแห่งความมืดก็มีการเคลื่อนไหวกันในดินแดนศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีขุมกำลังลับจำนวนไม่น้อยของสำนักแห่งความมืดวางแผนจะสร้างความวุ่นวายที่นี่ให้มากกว่าเก่า

ส่วนระบบสุริยะของสหพันธรัฐนั้น ในสายตาของสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้ายไม่ถือว่ามีความสำคัญ ต่อให้เทียบในระดับอารยธรรมขนาดเล็กระบบสุริยะก็นับเป็นอารยธรรมขนาดกลางเท่านั้น ทว่าต่อให้ตำแหน่งที่ตั้งของระบบจะอยู่ห่างไกลเพียงใด แต่ก็ยากจะรอดพ้นจากการถูกจับตามองจากอารยธรรมโดยรอบได้

เพียงแค่ว่าเพราะมีกระบี่สำริดเล่มนี้อยู่ อีกทั้งชื่อเสียงของหวังเป่าเล่อได้ขจรขจายไปแล้ว เมื่อรวมเข้ากับกระแสพลังองอาจที่ปรมาจารย์แห่งไฟแผ่คุ้มครองสถานที่นี้ไว้ ทำให้เหล่าอารยธรรมผู้ประสงค์ร้ายรอบด้านต้องระงับความปรารถนา

ก็เป็นเช่นนี้เอง สหพันธรัฐจึงนับว่าเป็นสถานที่ปลอดภัยท่ามกลางความโกลาหลนี้

ส่วนสภาพแวดล้อมการฝึกตนในสหพันธรัฐนี้ เวลานี้สภาพยิ่งมีความเหมาะสมแก่การฝึกมากขึ้น เพราะอารยธรรมได้ยกระดับหลังจากควบรวมอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว สิ่งนี้ทำให้เหล่าประชากรของสหพันธรัฐไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือประชาชนทั่วไปล้วนมีความแข็งแกร่งขึ้นอีกจำนวนหลายระดับ

ในวันนี้…ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณนั้นไม่นับว่าเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว อย่างน้อยต้องเป็นระดับเชื่อมวิญญาณถึงจะถือว่ามีระดับสูงประมาณหนึ่ง

ในส่วนของผู้แข็งแกร่ง…ก็จะเป็นผู้ที่เข้าสู่ระดับจิตวิญญาณอมตะ อาทิเช่น เจ้านครดาวอังคาร ระดับฝึกตนของเขานั้นทะลุขั้นมาหลายปีแล้ว บัดนี้ย่อมอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ ส่วนผู้เฒ่าที่อยู่ในสำนักเต๋าอันห่างไกลนั้นย่อมเป็นระดับดาวพระเคราะห์เช่นกัน ในเมื่อฝ่ายเขามีทรัพยากรและคุณสมบัติพรั่งพร้อม ยามนี้จึงก้าวเข้าสู่ระดับดาวพระเคราะห์ขั้นกลางแล้วเช่นเดียวกับจ้าวเยวี่ยเหมิง

นอกจากนี้แล้ว ผู้ที่อยู่ระดับดาวพระเคราะห์ทั่วไปยังมีอีกหลายคน ผู้หนึ่งคืออดีตเจ้าเมืองของเมืองอันไกลโพ้นแห่งหนึ่ง หลินโยวที่บัดนี้เป็นรองเจ้านครดาวอังคาร แล้วยังมีสหายเต๋ากุ้ยซึ่งมีร่างเป็นต้นหอมหมื่นลี้ มหาศิษย์แห่งเต๋าในวังเต๋าไพศาลที่เคยสู้กับหวังเป่าเล่อเมื่อตอนนั้น และสุดท้ายก็คือผู้ที่พลังฝึกปรือเพิ่งฝ่าระดับขึ้นมาได้ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคน ผู้อาวุโสของกลุ่มไตรจันทราตระกูลจิน

เจ็ดรายนี้ บวกกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สองรายของอารยธรรมเนตรสวรรค์ ทั้งหมดเก้าคน คือผู้แข็งแกร่งที่สุดของสหพันธรัฐในยามนี้ แน่นอนว่าดูจากกำลังศึกแล้ว จักรพรรดิมหาทัณฑ์ที่อยู่ระดับดาวพระเคราะห์ชั้นสมบูรณ์ที่เคยต่อสู้กับหวังเป่าเล่อในปีนั้นย่อมเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุด แต่เพราะอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ถูกผนวกเข้ามาแล้ว ดังนั้นบุคคลผู้นี้จึงถูกคุมตัวอยู่ใจกลางสหพันธรัฐ

และโดยไม่เป็นที่ล่วงรู้ พลังของเหล่าผู้ฝึกตนชราที่รักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในวังเต๋าไพศาลเหล่านั้นก็ไม่อาจดูเบาได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้อาวุโส…ระดับดารานิรันดร์รายนั้น

สรุปแล้วก็คือ ระดับของอารยธรรมสหพันธรัฐแม้ไม่สูงนัก แต่พละกำลังโดยรวมก็นับว่าแข็งแกร่ง ในส่วนของคนอื่นๆ เช่นเพื่อนร่วมเรียนของหวังเป่าเล่อในปีนั้น พวกผู้อาวุโสอีกรุ่น และผู้อาวุโสนอกสำนักอดีตคนของวังเต๋าไพศาล ทุกคนล้วนอยู่ในระดับจิตวิญญาณอมตะทั้งสิ้น แม้ระดับไม่ใกล้ดาวพระเคราะห์แต่ก็ไม่ห่างนัก

เวลาเดียวกันในสำนักเต๋าภายในสหพันธรัฐ เนื่องเพราะมีเด็กรุ่นใหม่ส่งเข้ามาจากสหพันธรัฐไม่ได้หยุด ทำให้เหล่าบรรดาเด็กจบใหม่ทั้งหลายนั้น มีหลายคนที่อาศัยสภาพแวดล้อมของสหพันธรัฐในยามนี้พยายามฝึกฝนจนระดับเกินหวังเป่าเล่อในปีนั้นไปแล้ว

หวังเป่าเล่อในปีนั้นหากอยู่ในระดับรากฐานตั้งมั่นจึงจะถือว่าสำเร็จการศึกษา แต่ในเวลานี้มาตรฐานได้ยกระดับไปเป็นขั้นกำเนิดแล้ว อีกทั้งเหล่าอาจารย์ที่รับผิดชอบสอนอย่างน้อยสุดต้องมีระดับวิญญาณจุติ
กล่าวได้ว่าสภาวะของสหพันธรัฐยามนี้ สิ่งที่ขาดไปมีเพียงเวลาเท่านั้น หากให้โอกาสพวกเขาอีกสักหลายสิบปีเพื่อให้สหพันธรัฐเติบโตอย่างมั่นคง ขุมกำลังทั้งหมดของสหพันธรัฐในยามนี้ย่อมยกระดับขึ้นสูงกว่าเดิมมาก อีกทั้งจำนวนของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จะยิ่งมากขึ้นและหลังจากกลืนกินอารยธรรมด้านนอกอื่นๆ แล้ว ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ของพวกเขาย่อมมีจำนวนสูงกว่าอารยธรรมขนาดกลางทั่วไป
ทว่าทั้งหมดนี้ สืบสาวย้อนไปก็เริ่มต้นจากหวังเป่าเล่อทั้งสิ้น จึงได้มีการควบรวมสหพันธรัฐและอารยธรรมดารานิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์ได้แบบปัจจุบัน
และในยามนี้ เนื่องจากขุมกำลังของสหพันธรัฐกำลังยกระดับขึ้นอย่างช้าๆ ในเขตของสักนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้าย บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งไม่ห่างจากการบุกรุกอารยธรรมครามทองคำในปีนั้น พลันปรากฏรอยแยกขนาดยักษ์ ค่อยๆ ปริแตกจากภายในอย่างไร้สุ้มเสียง ไร้กลิ่นอาย
หลังจากรอยแยกนี้ปรากฏ ไอมรณะจำนวนมหาศาลก็ปะทุออกจากข้างใน ทำให้ในบริเวณดาวเคราะห์โดยรอบพลันปรากฏสัญญาณของการเสื่อมสลายและแห้งเหี่ยว มีสภาพบิดเบี้ยว
ถัดมาด้วยความรวดเร็ว ก็มีเงาร่างหนึ่งปรากฏตัวออกจากรอยแยกนั้น ค่อยๆ เดินออกมาเพื่อแสดงโฉมหน้าอย่างช้าๆ
นี่ก็คือคนผู้หนึ่ง เส้นผมยาว สวมชุดคลุมสีขาว ทั้งร่างมีกระแสเต๋าแผ่ขยาย ดวงเนตรดุจดาวพระเคราะห์ สีหน้าเปื้อนรอยยิ้ม ผู้นี้ก็คือ…หวังเป่าเล่อที่กลับมาจากนพภูมิ!
“เหมือนต่อต้านข้าเล็กน้อย?” ในพริบตาที่เดินออกมาจากรอยแยกนั้น หวังเป่าเล่อพลันพบกับพลังกดดันที่มาจากดาวพระเคราะห์ทั่วทิศ ตั้งแต่อ่อนแรงจนถึงแข็งกล้า พวกมันพากันรวมตัวกัน หลังเขาเอ่ยปากพึมพำแล้ว ฝักกระบี่ประจำกายนั้นพลันหมุนคำราม พลังของเปลวไฟสีดำถูกเก็บเข้าไป รวมไปถึงพลังกฎและเกณฑ์แห่งสำนักแห่งความมืดด้วย หวังเป่าเล่อดึงพวกมันกลับเข้าร่วง และเมื่อเป็นเช่นนี้และพลังของฝักกระบี่ประจำกายเริ่มหมุนเผยให้เห็นพลังเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นแทน
พลังดังกล่าวอาบท่วมร่างของหวังเป่าเล่อ ทำให้กายเนื้อและดวงวิญญาณเทพของเขา ยามนี้ปรับให้เข้ากันได้กับเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นมากขึ้น ทำให้แรงต่อต้านยามที่เขาบุกเข้าพื้นที่นี้ค่อยๆ จางหายไป
แต่…กระแสพลังคุกคามที่มารวมตัวกันนั้นยังไม่จางหายไปในทันที มันกลับลอยเข้ามาจนเข้าใกล้หวังเป่าเล่อจากทุกทิศ กลายเป็นหมอกสีทอง ด้านในนั้นมีพลังที่พยายามเอาชนะแผ่ซ่าน และโดยไม่ชัดเจน พลังนี้ก็ค่อยๆ รวมตัวกันเป็นดวงตาไร้ความรู้สึกคู่หนึ่ง มองมายังหวังเป่าเล่อฉายแววคมปลาบ
สิ่งนี้ก็คือเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น!
เต๋าสวรรค์อยู่ในทุกที่ แปลงร่างได้นับหมื่น ยามนี้ที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อนั้น เป็นเพียงแค่กระแสความคิดหนึ่งในบรรดานับไม่ถ้วน ทว่าแรงคุกคามยังแข็งกล้าไม่เปลี่ยน หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนคนอื่นๆ เกรงว่าจะต้องสั่นสะท้านหวั่นเกรงในใจ
แท้จริงแล้วก็ควรจะเป็นเช่นนี้ เพราะพลังของเต๋าสวรรค์ที่มารวมตัวกัน ทำให้อารยธรรมจำนวนไม่น้อยในอาณาเขตครามทองคำใกล้ๆ สัมผัสได้ โดยเฉพาะจุดนี้อยู่ใกล้กับอารยธรรมหลักของครามทองคำอย่างมาก ดังนั้นในพริบตาถัดมา ก็มีกระแสเจตจำนงพุ่งออกจากดาวเคราะห์แล่นตรงมา เมื่อรวมตัวกันจึงกลายเป็นใบหน้ามองหวังเป่าเล่อจากระยะไกล
กระแสเจตจำนงนี้ แล้วยังมีกระแสเต๋าอันแข็งกล้าสุดขีดอีกสายหนึ่งปรากฏตัวขึ้น พลังสายนี้เห็นได้ชัดว่าอยู่ในระดับกึ่งจักรพิภพแล้ว ยามนี้ใบหน้าขยายออกสุดระดับ รอบด้านนอกจากพื้นที่ที่เต๋าสวรรค์ปรากฏตัวแล้ว พื้นที่อื่นเกิดความบิดเบี้ยวเล็กๆ ราวกับว่ากระแสความคิดของคนผู้นี้ส่งผลถึงกฎของที่นี่
และในพริบตาที่มองเห็นหวังเป่าเล่อ กระแสความคิดที่มาถึงยังมีหลายกระแสที่จดจำตัวตนของหวังเป่าเล่อได้ สีหน้าของพวกเขาพลันแปรเปลี่ยน ดวงตาทั้งล้วนเผยแววประสงค์ร้าย
ทว่า หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใดกระแสจิตที่ส่งมาจากอารยธรรมครามทองคำเหล่านั้น ยามนี้เขายังคงยิ้มแย้มเหมือนเก่า ระหว่างที่มองไปยังดวงตาของเต๋าสวรรค์ที่จับจ้องจากทั้งสี่ทิศ สองมือก็ผายออก
“ท่านดู ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าเองก็ไม่ถือว่าบุกเข้ามานะ ข้าแค่เพิ่งกลับมา”
เต๋าสวรรค์ซึ่งเป็นหมอกสีทองรอบด้านพลันหมุนคว้างรุนแรงเป็นการตอบรับคำพูดของเขา อีกทั้งมันยังเผยกระแสคุกคามที่รุนแรงกว่าเก่าด้วย กระทั่งว่าในหมอกสีทอง ยามนี้พลันปรากฏแสงสว่างวาบหนึ่ง คล้ายกับว่าแสงนี้ประสงค์จะสังหารหวังเป่าเล่อ
“ขอเจรจาหน่อย นี่ข้าก็แค่จะกลับบ้านสักครั้ง” หวังเป่าเล่อถอนหายใจ หลังประโยคถอนหายใจนี้จบลง กระแสพลังในหมอกเต๋าสวรรค์กลับรุนแรงขึ้นกว่าเก่า ทั้งในนั้นยังมีเสียงโห่คำรามแฝงมาด้วย เสียงนั้นดังก้องไปทั่วทั้งสี่ทิศ และจากนั้นไอหมอกก็พลันกลายร่างเป็นรูปปากขนาดยักษ์ ด้านในมีประกายสายฟ้าสีทองอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันทั้งหมดมุ่งหมายจะกลืนร่างหวังเป่าเล่อ
หวังเป่าเล่อถอนใจพลางส่ายหน้า ฝักกระบี่ประจำกายของเขาพลันส่งเสียงขึ้น ตัวเขาอ้าปากแต่ไม่ได้เอ่ยคำใด ทว่ารูปปากที่มีขนาดยักษ์ มโหฬารเสียยิ่งกว่าเต๋าสวรรค์ในที่นี่พลันก่อรูปขึ้นเบื้องหน้าเขา จากนั้นก็พุ่งไปยังหมอกเต๋าสวรรค์นั้นก่อนจะกลืนกินมันด้วยความเร็วที่ไม่อาจบรรยายได้ในพริบตา!
เต๋าสวรรค์หมอกสีทองที่ก่อนหน้านี้แสดงท่าทีไม่ขออยู่ร่วมโลก ท่าทางจะขอสู้กับเขาจนตัวตาย ก็ถูกปากที่มีขนาดยักษ์จัดการกลืนจนสะอาดเกลี้ยง…ในชั่วพริบตา หลังจากที่เต๋าสวรรค์ดังกล่าวหายไปแล้วหวังเป่าเล่อที่ปรากฏตัวอีกครั้งตรงจุดเดิมพลันเลียริมฝีปาก สีหน้ามีรอยยิ้มจาง
“นี่จำเป็นด้วยหรือ”
“พวกเจ้า ว่าไหมล่ะ?” หวังเป่าเล่อมองกระแสจิตของผู้ฝึกตนอารยธรรมครามทองคำเหล่านั้นที่รีบถอยร่นไปไกลจากทั่วทิศ สีหน้าเผยแววตาตกตะลึงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
………………

อิสระ หมายถึงทางกายภาพ

เสรี หมายถึงทางจิตวิญญาณ

หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าสภาพของตนยามนี้ แม้ยังไม่ถึงระดับรู้แจ้งเต๋าของตนเอง แต่ก็ใกล้เคียงแล้ว การมียิ้มประดับบนใบหน้านั้น เขารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ดีมาก และพอใจกับมันอย่างยิ่ง

ดังนั้นระหว่างที่กำลังคลี่ยิ้ม หวังเป่าเล่อเดินผ่านร่องรอยที่ถูกถมทับในแม่น้ำแห่งความมืดไปเรื่อยๆ ร่องรอยพวกนี้ล้วนมีลักษณะไม่เหมือนกัน และมาจากโลกอันแตกต่างที่หวังเป่าเล่อเคยได้สัมผัสในชาติก่อนๆ

ในบรรดานี้มีจำนวนไม่น้อยเป็นวิญญาณดุร้าย เหล่าวิญญาณพวกนี้แตกต่างจากวิญญาณพวกที่ลอยไปลอยมาเหนือน่านน้ำ พวกมันโหดร้าย ทว่า ขณะเดียวกันก็มีความคิดเรียบง่ายประการหนึ่ง

พวกมันรู้จักถึงขั้นไปกินวิญญาณวายชนม์คนอื่น เพื่อนำมาเป็นอาหารบำรุงเพาะเลี้ยงร่างตัวเอง สิ่งนี้ก็เพื่อให้ร่างของพวกมันยังคงสภาพอยู่ได้ อีกทั้ง…ในสถานการณ์ทั่วไปแล้ว นอกจากเพื่อแสวงหาอาหาร พวกมันจะไม่ยอมจากตำแหน่งซากของตัวเองเด็ดขาด สำหรับพวกดวงวิญญาณที่ย่ำกรายยังอาณาเขตของพวกมันนั้น พวกมันก็มีทีท่าว่าจะตอบโต้อย่างรุนแรง

โดยเฉพาะกับปราณบนร่างของหวังเป่าเล่อ ราวกับตัวปราณมีพลังล่อลวงเหล่าวิญญาณเหี้ยมโหดพวกนี้ ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะเดินไปที่ใด ล้วนแต่กระตุ้นให้เหล่าวิญญาณเหี้ยมพวกนี้เกิดความละโมบ อีกทั้งสัญชาตญาณโดยพื้นฐานที่พวกมันมีอยู่ก็ทำให้พวกมันไร้ความนึกคิด เมื่อเป็นแบบนี้…ฉากฆ่าฟันแต่ละฉากจึงบังเกิดขึ้นตลอดระยะทางก้นบึ้งแม่น้ำ หวังเป่าเล่อใบหน้าฉายรอยยิ้มตลอดทาง ตัวเขายิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไร เสียงดังลั่นพวกนี้ก็ยิ่งเกิดขึ้นมากเท่านั้น

ในตอนแรกพื้นที่แม่น้ำแห่งความมืดที่ถูกเขาเสาะพบนั้น ไม่ใช่ก้นแม่น้ำที่แท้จริง แต่ก็กล่าวได้ว่าเป็นส่วนที่ใกล้กับก้นบึ้ง ซากทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นในชั้น เขตที่ลอยขึ้นเหนือพื้นผิวน้ำ ดูจากลวดลายแล้วน่าจะเป็นช่วงเวลาของเผ่าเทพ

มองเห็นรูปสลักแหว่งวิ่นจำนวนนับไม่ถ้วน มองเห็นตำหนักหลวงขนาดยักษ์ที่พังพินาศ ส่วนภายในนั้นวิญญาณดุร้ายทั้งหมดล้วนแล้วแต่มีเอกลักษณ์ของเผ่าเทพทั้งสิ้น

สิ่งนี้พาให้หวังเป่าเล่อหวนนึกถึง และในขณะเดียวกันเขาก็ยังก้าวเท้าไปไม่หยุด ยิ่งสังหารมากเท่าไร รอยยิ้มของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งเสมือนจริงมากขึ้น ทุกดวงวิญญาณที่ตายดับ ได้มอบกลิ่นอายความตายให้แก่เขา ทำให้จิตวิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อเข้าใกล้ระดับจักรพิภพมากขึ้นทุกที ทำให้พลังฝึกปรือของเขานั้นค่อยๆ เคลื่อนจากระดับดารานิรันดร์ตอนปลายเข้าใกล้ระดับสมบูรณ์

วิชาผนึกดาราของเขา เปล่งประกายมากขึ้นกว่าเก่า แม้ว่าเงาร่างเทพวัวจะไม่ปรากฏ แต่อาศัยแค่ตาเนื้อมองดูก็สามารถสัมผัสได้ถึงกระแสเต๋าที่แผ่ออกมาอย่างเข้มข้นจากร่าง

กระแสเต๋านี้ เพียงพอที่จะเอาชนะระดับจักรพิภพทั่วไปได้แล้ว!

แล้วยังมีดาวเคราะห์พิเศษนับหมื่นดวงในแผนที่ดารา ยามนี้พวกมันหมุนเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ในนั้นมีถึงเจ็ดส่วน…ที่กลายเป็นดารานิรันดร์ ดาวเคราะห์เหล่านี้สาดคลื่นอันรุนแรงออกมา ทำให้ทั้งร่างของหวังเป่าเล่อเวลานี้ ท่วงท่าดูดุดันยิ่งนัก

ทว่า ส่วนที่เหลืออีกสามส่วนเองก็อยู่ในระหว่างพัฒนาอย่างรวดเร็วเช่นกัน!

ในส่วนของตัวหวังเป่าเล่อ ระดับความเร็วของเงาร่างปราดเปรียวว่องไวขึ้น ในพริบตาที่เขาทะยานไปข้างหน้าแล้วเห็นซากร่องรอยนั้น ร่างกายก็กระโจนเข้าสู่ข้างในทันที จิตวิญญาณเทพแผ่ซ่านกวาดล้าง สยบเหล่าวิญญาณดุร้ายในเวลาเดียวกันก็แอบสำรวจไปด้วยว่ามีแผ่นเลื่อนระดับโลกาอยู่หรือไม่

หลังจากที่เคลื่อนดวงวิญญาณเทพ ร่างเนื้อของเขาก็จากไป ส่วนวิญญาณดุร้ายที่ถูกกระแสจิตเทพของเขากำราบนั้นก็สลายในทันที

แต่ไม่ใช่ว่าทุกดวงวิญญาณร้ายจะถูกจิตวิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อสยบ ยามที่เขาค้นหาไปกว่าครึ่งของเผ่าเทพในแม่น้ำแห่งความมืดแล้ว หวังเป่าเล่อก็พบเข้ากับจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่า

ตอนนี้ หวังเป่าเล่อยังคงยกยิ้มดุจเก่า เพราะว่าร่างเนื้อของเขาทำให้ทุกส่วนในร่างกายเปรียบดั่งอาวุธเทพอันเฉียบคม

ไม่ว่าจะไปทิศทางใด การสังหารก็จะเริ่มต้นอีกครั้ง!

เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาจึงค่อยๆ ไหลผ่านไปเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อใช้เวลาสำรวจอาณาเขตของเผ่าเทพแล้วก็ยิ่งเข้าใกล้ชั้นก้นบึ้งของแม่น้ำแห่งความมืดเพิ่มมากขึ้น ก่อนจะค่อยๆ จมสู่ชาติก่อนหน้า ซากแห่งโลกที่ซากศพนั้นเป็นผู้ปกครอง

ในที่แห่งนี้ จิตวิญญาณเทพอันสมบูรณ์ของเขาและสภาพร่างนั้นแตกต่าง ทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยไม่สบายตัวอยู่บ้าง หลังจากเปลวไฟสีดำถูกจุดโชติช่วง ที่นี่ก็ไม่ต่างอะไรกับด้านนอกมากนัก การฆ่าฟันรุนแรงมากยิ่งขึ้น

ชั่วเสียงคำรามถัดมา หวังเป่าเล่อคว้าลำคอของผีดิบร่างผุเน่าตัวหนึ่งซึ่งพุ่งเข้ามาโจมตีเขาทั้งๆ ที่ยังคงยิ้มอยู่เช่นเดิม เขาใช้แรงบีบจนเกิดเสียงพลั่กดังขึ้นเสียงหนึ่ง ทำให้ร่างของผีดิบนั้นวิญญาณแตกซ่าน จากนั้นจึงเดินหน้าไปต่อตามปกติ

กระทั่งเนิ่นนานให้หลัง เสียงฝีเท้าของเขา…จึงชะงักลงเป็นครั้งแรก

เพราะว่าเบื้องหน้านั้น หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นร่องรอยบางอย่าง ร่องรอยนี้คือความทรงจำในชาติก่อน เขาในยามนั้น กำลังนั่งอยู่เพื่อไขว่คว้าหาแสงสว่าง

“บังเอิญเพียงนี้เชียว…” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากด้วยรอยยิ้มก่อนจะส่ายหน้า เขาส่งจิตวิญญาณเทพไปกวาดมอง แล้วหันหลังจากไป แต่ว่าในตอนที่กำลังจะจากไปนี้เอง เสียงคำรามหนึ่งก็ดังเข้ามาหาหวังเป่าเล่อ

รูปร่างของผีดิบตนนี้ แม้จะไม่เหมือนกับหวังเป่าเล่อ แต่ในพริบตาที่เขามองมัน หวังเป่าเล่อก็รู้สึกคุ้นเคยทันที กระทั่งว่ามีความรู้สึกหนึ่ง ราวกับเขากำลังมองดูตัวเอง

ดังนั้นรอยยิ้มของเขาจึงยิ่งแจ่มชัด หวังเป่าเล่อแหงนหน้ามอง ทะลุแม่น้ำแห่งความมืดออกไป จนกระทั่งมองเห็นด้านนอกของแม่น้ำแล้ว เขาก็เผยยิ้มกว้าง

“ห้ามตรวจสอบ ห้ามหยุดยั้ง ห้ามกักกัน และห้ามรบกวน!”

เกือบจะในพริบตาที่หวังเป่าเล่อเอ่ยออกมา ผีดิบตนที่กำลังพุ่งตัวมาหาเขา ร่างกายพลันสะท้าน ราวกับถูกควบรวมพลังไม่ปาน มันคงสภาพค้างอยู่ในท่าที่พุ่งเข้ามานั้นและไม่ขยับกายอีก

ว่าไปแล้ว แม้กระทั่งแม่น้ำแห่งความมืดรอบด้านก็เป็นเช่นเดียวกัน ราวกับตัวแม่น้ำไม่มีสิทธิ์จะเคลื่อนไหวอีกต่อไป ทุกสิ่งทุกอย่างในที่นี้พลันหยุดนิ่ง มีเพียงรอยยิ้มของหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ยังคงเป็นจริง

ชั่วอึดใจให้หลัง น้ำเสียงทุ้มต่ำพลันดังขึ้น สะท้อนไปรอบกายหวังเป่าเล่อ

“ต้องการให้ข้าช่วยเจ้า หาแผ่นยกระดับโลกาหรือไม่?”

“เยี่ยม” หวังเป่าเล่อยังคงไม่เปลี่ยนรอยยิ้ม ก่อนจะกล่าวตอบ

พริบตานั้น ทั้งแม่น้ำแห่งความมืดเกิดพลิกหมุน ขุมพลังคลื่นส่งแรงกระแทกมาจากก้นบึ้งของแม่น้ำ แล้วยังมีเสียงคำรามแฝงมาด้วยเป็นระลอก มีแสงรำไรแสงหนึ่งแล่นขึ้นมาจากก้นแม่น้ำด้วยความรวดเร็ว มันพุ่งผ่านทุกสิ่งแล้วมายังเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อทันที

นั่นก็คือจานหลัวผานชิ้นหนึ่ง

มุมหนึ่งของมันบิ่น มองไปแล้วคล้ายว่าจะขาดแหว่งอยู่บ้าง ตัวจานดูไปไม่มีอะไรวิเศษ กระทั่งว่าเขาลองหลังใช้ประสาทสัมผัสดูแล้วก็เท่านั้น แต่พอลองใช้เปลวไฟสีดำหลอมเข้าสู่ดวงตา จึงเห็นว่า…บนจานแผ่นนี้มีประกายพลังชีวิตขุมหนึ่งที่ยากจะอธิบายปรากฏขึ้น เส้นชีพจรไม่มีผลกระทบใหญ่หลวงใดต่อสรรพสิ่ง ทว่ากลับมีผลกระทบยิ่งยวดต่อดาวเคราะห์

“ขอบคุณ” หวังเป่าเล่อยิ้มพลางก้มหน้า หยิบเอาจานหลัวผานเบื้องหน้าของตนมา แล้วลองหลอมเข้ากับแผนที่ดาราจักร แม้ว่าจะทำได้ แต่ก็ไม่ได้มีผลในการยกระดับดาวเคราะห์อย่างที่เขาคิด

นี่แสดงให้เห็นว่าประโยชน์ของจานนี้ไม่ได้มีผลอะไรต่อพลังฝึกตน แม้จะมีค่าอย่างมาก แต่หากลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว ตัวจานคงมีค่าเพียงแค่การยกระดับอารยธรรมเท่านั้น

ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่มองมันอีก แต่เก็บมันเข้าในกระเป๋าคลังเก็บ แล้วขยับร่างกายดำดิ่ง ยังคงไม่จากไป…

หลังจากที่เขาจากไปแล้ว เสียงนั้นไม่ได้เอ่ยปากอะไรต่อ ทว่าคล้ายกับมีกระแสดวงจิตเทพค่อยๆ ถูกดึงกลับจากบริเวณโดยรอบอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งหายวับไป หลังจากนั้นร่องรอยที่ทำให้หวังเป่าเล่อชะงักก็กลายเป็นความว่างเปล่า ส่วนผีดิบที่ดูสงบนิ่งตนนั้น ยามนี้กลายเป็นเงาร่างค่อยๆ พร่าเลือน

แม้ว่าจะได้รับแผ่นยกระดับโลกามาแล้ว แต่หวังเป่าเล่อก็ยังคงดำดิ่งลงในแม่น้ำแห่งความมืด หลังจากสำรวจดูร่องรอยของโลกผีดิบแล้วนั้น เขาก็ไปยังโลกร่องรอยของดาบมาร หลังจากนั้นก็ไปยังดินแดนแห่งความแค้น กระทั่งสุดท้ายไปดูร่องรอยของโลกกวางขาวตัวน้อย

เมื่อมาถึงที่นี่ ก็นับว่าอยู่สุดก้นบึ้งของแม่น้ำแห่งความมืดแล้ว สามารถมองเห็นโคลนเลนจำนวนนับไม่ถ้วน หวังเป่าเล่อหยุดอยู่ตรงนี้ ไม่ต้องการเสาะหาอีก พลังของเปลวไฟสีดำที่เขามีนั้นถึงขีดจำกัดแล้วเช่นกัน

การเดินทางมาหนนี้ จิตวิญญาณเทพของเขาก็ถึงขีดจำกัดแล้ว ระยะห่างจากการยกระดับนั้นเหลือเพียงแค่เสี้ยวเดียว แต่กลับถูกหวังเป่าเล่อสะกดเอาไว้ เขาไม่ต้องการให้ตนเองยกระดับจิตวิญญาณเป็นจักรพิภพภายในแม่น้ำแห่งความมืดนี้

ในส่วนพลังฝึกปรือของเขาเองก็ยกระดับขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน ดาวเคราะห์พิเศษกว่าเก้าส่วนตอนนี้ได้กลายเป็นดารานิรันดร์ ส่วนแผนที่ดวงดาวก็ส่องสว่างโชติช่วง พลังฝึกปรือก็ถึงระดับดารานิรันดร์ชั้นสมบูรณ์แล้ว

เมื่อถึงเวลานี้ ไอมรณะในแม่น้ำก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไรแล้ว เพราะสิ่งที่เขาต้องการกลับเป็นพลังเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น หรือไม่ก็ต้องเป็นกฎเกณฑ์หรือกฎของจักรพิภพคนเป็นเท่านั้น ถึงจะค่อยหลอมรวมได้

“เช่นนั้นก็ไปเถอะ” หวังเป่าเล่อยังคงยิ้มเหมือนเก่า เขาหันกายไปพร้อมรอยยิ้มนี้ ค่อยๆ ก้าวทีละก้าว…มุ่งหน้าไปทางผิวน้ำของแม่น้ำแห่งความตาย ยิ่งมาก็ยิ่งทวีความเร็วขึ้นจนกระทั่งทั้งร่างกลายเป็นเหมือนสายรุ้งโผล่พ้นผิวน้ำ ก้าวออกจากแม่น้ำสายนี้

หวังเป่าเล่อที่ลอยอยู่กลางอากาศไม่ได้เอ่ยปากบอกให้ผู้ใดเปิดเส้นทางไปสู่โลกคนเป็น และโดยที่ไม่ได้หยุดนิ่งแม้แต่น้อย ฝักกระบี่เจ้าชะตาของเขาพลันส่องแสงเรืองรอง ปราณกระบี่ขุมหนึ่งควบเป็นลำแสงอยู่ในฝ่ามือ ยามที่หวังเป่าเล่อยกมันขึ้นฟันนั้น ทั้งนพภูมิสั่นสะท้าน อากาศกว้างสะเทือน รอยแยกเส้นหนึ่งพลันถูกหวังเป่าเล่อผ่าเปิดออก เขาก้าวไปข้างหน้าเข้าสู่รอยแยกนั้นแล้วหายตัวไป

ตั้งแต่เริ่มจนจบกระบวนการ ใบหน้าของเขาเกลื่อนรอยยิ้มตลอดเวลา

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า ภายในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดเงียบสนิท มีเพียงเสียงอ่อนโยนบางเบาลอยก้อง เข้าสยบความเจ็บปวดในใจของหวังเป่าเล่อ ทำให้ความอ่อนล้าในใจของเขา ยามนี้ค่อยผ่อนคลายลงทั้งหมด จนกระทั่งตัวเขาผล็อยหลับไป

ปลอดภัยยิ่งนัก อบอุ่นเหลือเกิน สัมผัสได้ถึงความมั่นคง

เหล่าวิญญาณในแม่น้ำแห่งความมืดด้านนอกราวกับสัมผัสได้ถึงบทเพลงของหวังอีอี พวกมันไม่ก่อคลื่นลมอะไรอีก กระทั่งว่ายังมีวิญญาณผู้วายชนม์จำนวนไม่น้อยบางส่วนในยามนี้ต่างค่อยๆ สงบลง ไม่ส่งเสียงกรีดร้องทุกข์ทรมาน

อีกทั้งในดาวเคราะห์แห่งความมืดนี้ ไม่ทราบว่าได้รับผลกระทบอย่างไร เพราะมันเองก็สงบลงเช่นกัน ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดราวกับดวงดาวเข้าสู่ห้วงนิทรา

เมื่อมองอย่างผิวเผินราวกับว่าทั้งดินแดนเงียบสงัด แม่น้ำแห่งความมืดสงบเงียบ ดาวเคราะห์แห่งความมืดจมอยู่ในความเงียบ สรรพสิ่งนิ่งสงบ สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือเสียงเพลงของหวังอีอี ราวกับมันแผ่กระจายจากแม่น้ำแห่งความมืดนี้ไปทั่วทั้งดินแดน

“สายลมเอ๋ยโบกพลิวช้าๆ นกน้อยขับขานเสียงเบา เด็กน้อยอย่าได้เจ็บปวดไป หลับตาลงไวๆ…”

“หิมะเอ๋ยโบกปลิวเอื่อยเฉื่อย น้ำตาเอ๋ยยังคงหลั่งไหล เด็กน้อยอย่าได้ปวดร้าวไป ตื่นมาคราใดพบรอยยิ้มสุขอุรา…”

น้ำเสียงอบอุ่นปลอบประโลม ไม่มีกระแสคุกคามหรือน้ำเสียงดีดสูงเลยสักนิดเดียว มีเพียงความอ่อนโยนดังกระแสน้ำอุ่น ดังลมที่พัดบางเบา…อย่างเชื่องช้า มันกระจายเข้าไปสู่วังวนไร้ที่สิ้นสุดในดินแดนเบื้องบน ไปยังหัวใจของเงาร่างโดดเดี่ยวสูงศักดิ์นั้น

เงาร่างนี้ยังคงนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ราวกับเป็นผู้ควบคุมวังวนของท้องนภา คนผู้นี้ครอบครองความมืดทั้งหมด ใจของเขา เต๋าของเขา ยามนี้ทำให้หัวใจด้านชาไปหมดสิ้น ทว่า…เมื่อได้ยินเสียงนี้เข้า เขาก็พลันลืมตาขึ้นช้าๆ ก่อนจะก้มหน้ามองไปยังแม่น้ำแห่งความมืด

จากนั้น เวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่าน ล่วงเข้าสิบวัน สามสิบวัน หนึ่งร้อยวัน…

หวังเป่าเล่อตื่นขึ้นแล้ว

ยามที่เขาลืมตาตื่นขึ้นมา ดวงตานั้นฉายแววมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับว่ามีความทรงจำบางอย่างตกค้าง เมื่อเพ่งมองไปข้างหน้าก็พบเข้ากับดวงหน้าคุ้นเคย มองเห็นความอบอุ่นในดวงตาคู่นั้น ส่วนข้างหูยังคงได้ยินเสียงบทเพลงดังสะท้อนบางเบา ราวกับเป็นฝันตื่นหนึ่งของเขา

ในฝัน กระบี่สำริดยักษ์ไม่ปรากฏตัวในระบบสุริยะ ในฝัน…ไม่มีความขัดแย้งของสหพันธรัฐ ในฝัน…กระแสวิญญาณบนโลกนั้นบางเบาอย่างมาก และไม่มีผู้ฝึกตน

ในฝัน…เขาเป็นเพียงเจ้าอ้วนคนหนึ่ง อาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ มีชีวิตธรรมดา

สอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ไม่นับว่าดีมากนัก หลังเรียนจบก็เข้าสู่สังคม ทำงานล้มลุกคลุกคลาน มีความรัก พบความผิดหวังจากการทำงาน อีกทั้งยังประสบการสูญเสียความรักไป ร่างกายนั้นแม้ไม่ได้อ้วนเหมือนเก่าแล้ว แต่บนหน้ากลับมีรอยตีนกาค่อยๆ เพิ่มมาทีละน้อย

เขาเองแต่งภรรยาคนหนึ่ง อีกทั้งยังมีบุตรของตนเองอีกด้วย ก็เหมือนกับคนทั่วไปอื่นๆ แม้ว่างานการจะไม่ดีมาก รายรับไม่ถือว่ามากมาย ทว่าต่อให้ไม่ได้ใช้ชีวิตหรูหราแสวงหาของแพง ก็ยังคงกินอิ่มนอนหลับ ท่ามกลางความธรรมดานี้ เขาค่อยๆ ลืมเลือนความฝันวัยเยาว์ไป ลืมความรุ่งโรจน์ในวัยรุ่น เปลี่ยนเป็นคนนิ่งเงียบ เปลี่ยนเป็นมึนงง เปลี่ยนสิ่งที่ไม่สนุกสนานให้กลายเป็นความเบิกบาน จิตใจนั้นแก่ชรานำหน้าร่างกายไปแล้ว

กระทั่งอายุของเขายิ่งเข้าใกล้วัยชรามากขึ้น กระทั่งเส้นผมเปลี่ยนเป็นสีดอกเลา กระทั่งเขานอนอยู่บนเตียงคนป่วย มองดูเพดานห้อง ในนั้นมีเงาบางส่วนแสดงภาพความทรงจำของเขา

มีบิดามารดา มีบุตรธิดา มีเพื่อน และยังมี…เงาร่างของตนเองที่ผ่านชีวิตนี้มาด้วย

ในเงาร่างนั้น มีรักแรกของตน มีภรรยาที่เองตบแต่ง ผู้ที่ตนซาบซึ้ง การทอดถอนใจแห่งความเสียดาย และคู่ชีวิตที่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะอยู่เคียงข้างตัวเขาไปตลอด

กระทั่งท้ายที่สุดนั้น เขายังเห็นฉากที่ตนเองได้เติบโตตั้งแต่เด็กจนแก่ชราทีละฉากๆ ตอนแรกคิดว่า…หลังจากหลับตาลงแล้ว ทุกสิ่งตรงนี้ก็จะจบลง ทว่าเมื่อลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาเขาพลันปรากฏแสงสายหนึ่ง

แสงนี้อบอุ่นอย่างมาก ทำให้หวังเป่าเล่อเกิดความรู้สึกตื่นรู้อยู่เลาๆ ราวกับว่าชีวิตนี้ของเขา มีไว้เพื่อใช้ตามหาบางสิ่ง ชาติก่อนเองก็เช่นกัน และในชาตินี้…เกรงว่าก็คงไม่ต่าง

บางทีอาจต้องการตามหาใครสักคนที่จะเป็นผู้โอบอุ้มดูแล

หรือบางทีอาจไม่ได้ตามหาผู้ใด เพียงแต่ตามหาตัวตนที่แท้จริงของตนเอง

สิ่งนี้ขัดแย้งนัก ราวกับการที่เขาต้องการคืนชีพให้อาจารย์นั้น บางทีอาจเป็นเรื่องที่ถูกต้องและไม่ถูกต้องก็ได้

เพราะว่านี่เป็นเพียงแค่ความต้องการของตัวเขาเอง เพราะเขาเพียงคิดว่าหากอาจารย์ยังคงอยู่ เช่นนั้นทุกอย่างคงดี แต่ยิ่งไปกว่านั้น…นี่เป็นเพียงการยึดตนเองเป็นหลัก เขาไม่ได้คิดถึงความรู้สึกของผู้เป็นอาจารย์ ความเหนื่อยล้าของอาจารย์ ความเหนื่อยหน่ายของเขา ความไม่ยินยอมของอาจารย์ที่จะพบเห็นการทรยศ

คล้ายกับว่านี่เป็นเพียงหนทางที่ตนเองคิดว่าสมบูรณ์แล้วเท่านั้น

กำหนดชะตาหรือไม่ก็ดี ชักจูงเหตุผลต้นกรรมหรือไม่ก็ช่าง ใช้ความธรรมดาชิงความสงบเงียบ ใช้ความเหนือล้ำเพื่อยืนเหนือผู้อื่น ทุกสิ่งเหล่านี้ แท้แล้วเป็นความคิดของตนเอง

การกลับชาติถึงจะมีแต่ชะตาและเหตุผลต้นกรรมล้วนไม่สำคัญ ทุกสิ่งทั้งหมดนี้ หวนย้อนคืนไป…ก็คือการกระทำตามใจนั้นเป็นดี

“ดังนั้นที่ท่านอาจารย์กล่าว เต๋าของข้ายังไม่สมบูรณ์ เพราะข้าคิดว่าเต๋าของข้าคือการทำให้ข้ามีอิสระ แต่ที่ถูกนั้น แท้จริงแล้วก็คือ…อิสระอยู่ที่ตัวของเราอยู่แล้ว และบางทีนี่ก็คือเต๋าของข้า”

หวังเป่าเล่อจ้องมองใบหน้าเบื้องหน้าของตน เนิ่นนาน เนิ่นนาน

“เพลงของเจ้า ไพเราะมาก” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงแผ่วเบา

“ตอนที่ข้ายังเด็ก ทุกครั้งที่รู้สึกไม่ดี ท่านแม่ก็จะกอดข้าเช่นนี้แล้วร้องเพลงให้ข้าฟัง…” แม่นางน้อยเอ่ยปากเสียงเบา

ในใจของหวังเป่าเล่อปรากฏภาพทั้งหมดที่ตนรู้เกี่ยวกับหวังอีอี เขาเข้าใจดีว่าช่วงเวลายามเด็กของอีกฝ่ายต้องขมขื่นอย่างไร และยิ่งเข้าใจดีว่านางในตอนนี้เป็นเพียงแค่เสี้ยววิญญาณเท่านั้น

“ขอบคุณ” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา ค่อยๆ ลุกขึ้นช้าๆ เหยียดกาย ทว่าสีหน้าของหวังอีอียังคงมีรอยยิ้มเหมือนเก่า นางลูบหัวของหวังเป่าเล่อ

“เป่าเล่อน้อย สัญญากับข้านะ ต้องมีความสุข ยิ้มเยอะๆ” กล่าวจบ นางก็มองหวังเป่าเล่อคราหนึ่งด้วยสายตาลึกซึ้งก่อนจะกลายเป็นลำแสงสีครามสายหนึ่งพุ่งเข้าไปอยู่ในหน้ากากบนตัวหวังเป่าเล่อ

“ต้องสุขใจ ยิ้มเยอะๆ…ข้ารับปากเจ้า” หวังเป่าเล่อพึมพำ แล้วมองไปรอบด้านที่นิ่งงัน เนิ่นนานเขาก็เผยรอยยิ้ม รอยยิ้มนี้ดูไปแล้วเป็นความจริง มันมาจากใจ…

แต่ว่าไม่มีเสียงหัวเราะออกมา หวังเป่าเล่อเพียงยิ้มออกมาจากใจ คำนับลงยังจุดที่ร่างของอาจารย์แหลกสลาย หลังจากนั้นตัวเขาก้าวออกจากสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดด้วยรอยยิ้ม และพกรอยยิ้มบนใบหน้านี้ออกจากแม่น้ำแห่งความมืด ค่อยๆ เดินห่างออกไปจากแม่น้ำสายนี้…ทีละก้าว ทีละก้าว

เขาไม่ได้จากไปจากตัวแม่น้ำ ทว่ากำลังหาบางอย่างอยู่ภายในบริเวณ ระหว่างนั้นรอยยิ้มยังคงอยู่ตลอด มองหาเป้าหมายอย่างที่สองในการเข้าแม่น้ำแห่งนี้ แผ่นเลื่อนระดับโลกา!

ในเวลาเดียวกันในแม่น้ำแห่งความมืดนี้ แฝงไปด้วยไอมรณะไม่รู้ที่สิ้นสุด ของเหล่านี้ช่วยบำรุงจิตวิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อให้ยกระดับ ยิ่งเดินไปไกลมากเท่าไร เขาก็ยิ่งเบิกบานใจกว่าเก่า ฝักกระบี่ภายในกายนั้นคอยส่งเสียงกังวาน ไอมรณะจากทั้งแปดทิศหลอมรวมเข้ามา มุ่งหน้าเข้ามาหาเขาไม่หยุด

หลังจากเดินไปได้ไกลแล้ว ไอมรณะที่มารวมกันเป็นเวลานานก็ยิ่งมากขึ้น จิตวิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อดูดกลืนพวกมันอย่างต่อเนื่อง ค่อยๆ เลื่อนระดับจากระดับสมบูรณ์ ก้าวเข้าสู่ระดับจักรพิภพ ในเวลาเดียวกันขุมพลังเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อระดับพลังฝึกตนของหวังเป่าเล่อด้วย ทำให้ระดับการฝึกตนดารานิรันดร์ชั้นปลายของเขาเข้าสู่ชั้นสมบูรณ์แล้วค่อยๆ ยกระดับขึ้นอีก

วิชาผนึกดาราของเขา กำลังเคลื่อนพลัง

ดาวเคราะห์นับหมื่นด้านหลังเขานั้น ค่อยๆ แปรสภาพเป็นดารานิรันดร์อย่างช้าๆ หลังจากที่พวกมันทั้งหมดเปลี่ยนเป็นดารานิรันดร์แล้ว ก็หมายความว่าระดับการฝึกปรือของหวังเป่าเล่อจะถึงระดับสูงสุดของดารานิรันดร์ชั้นสมบูรณ์

ในเวลานั้น เพียงความคิดเดียวของเขาก็สามารถทำให้แผนที่ดารานั้นเบิกฟ้าตั้งแผ่นดินขึ้นใหม่ สำแดงพลังเบิกสร้าง…จักรพิภพ!

และในตอนนั้นเอง เขาก็จะเป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพิภพ

อีกทั้งยังเป็นระดับจักรพิภพที่แข็งแกร่ง….ชนิดไม่เคยพบมาก่อนด้วย!

เพราะว่าเขตจักรพิภพของเขา จะมีดาวเคราะห์เต๋านิรันดร์เป็นศูนย์กลาง อาศัยกฎแห่งเต๋าทั้งเก้า และดาวเคราะห์พิเศษนับหมื่นเป็นพลังกฎ จากนั้นกลายเป็น…จักรพิภพอันแสนสมบูรณ์แบบ!

หวังเป่าเล่อยังคงยิ้มเหมือนเก่า เขาเดินไปข้างหน้าทีละก้าว ค่อยๆ ตามหาร่องรอยภายในแม่น้ำแห่งความมืด มองเห็นเหล่าผีร้ายที่พุ่งตัวเข้ามาหาทีละตนเหล่านั้น

เขาพกพารอยยิ้ม เดินตามร่องรอย

เขาพกพารอยยิ้ม สังหารผีร้ายทีละตน บางครั้งก็แหงนหน้ามองไปยังนอกแม่น้ำแห่งความมืด มองไปยังเงาร่างที่อยู่ใจกลางวังวน ใบหน้านั้นปรากฏรอยยิ้มจริงใจ เป็นรอยยิ้มที่จริงใจมากยิ่งขึ้น

“ต้องเบิกบาน ต้องยิ้มให้เยอะๆ”

สำนักแห่งความมืดแม้จะยังไม่ได้โลดแล่นในโลกนี้อย่างเต็มที่ แต่เมื่อวิถีเต๋าแห่งความมืดฟื้นคืน วิชาได้กลับมาใช้ใหม่ กฎนี้จึงหวนกลับมาใช้อีกครั้ง ก่อเกิดทัณฑ์แห่งความมืด นี่ทำให้ทั้งจักรพิภพไม่รู้สิ้นต้องสั่นคลอน ทว่าในยามนี้ ในอาณาเขตดาราจักรโลกันตร์นั้น ณ บริเวณก้นบึ้งของแม่น้ำแห่งความมืดกลับมีวิญญาณผู้วายชนม์จำนวนนับไม่ถ้วนกระจายเต็มไปหมด สภาพช่างไม่สอดคล้องกับความวุ่นวายภายนอกดาวเคราะห์ความมืดและเหตุโกลาหลด้านนอกเลยสักนิด…

และในที่นี้ ความเจ็บปวดกำลังแผ่กระจาย เต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง

“จันทร์ข้างแรม!”

“จันทร์ข้างแรม!!”

“จันทร์ข้างแรม!!!”

ในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด ร่างของหวังเป่าเล่อคุกเข่าอยู่หน้าตำแหน่งซึ่งหมิงคุนจื่อหายตัวไป ลืมสิ้นว่าเวลาผ่านไปเท่าไร เหลือเพียงความคิดเดียว

เขาพยายามที่จะทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ย้อนเวลากลับคืน เพื่อให้วิญญาณของอาจารย์กลับมาอีกครั้ง

เขาไม่รู้ว่าตนเองใช้วิชาจันทร์ข้างแรมไปกี่ครั้งแล้ว สีหน้านั้นซีดขาวเต็มที่ ในขณะเดียวกันดวงตาก็เผยให้เห็นเส้นเลือดฝอยที่ใกล้จะแตกซ่าน เนิ่นนานให้หลัง ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็สั่นสะท้าน พลันกระอักเลือดกองโตออกมา ก่อนที่ร่างกายจะโงนเงนถอยหลังไปหลายก้าว ราวกับว่าได้ทุ่มเทพลังไปจนสิ้นแล้ว ทว่าวิชาจันทร์ข้างแรมนั้นแม้จะบิดเบี้ยวมวลความว่างเปล่าเบื้องหน้าได้ แต่สุดท้ายเงาร่างวิญญาณของอาจารย์ก็ไม่ปรากฏ หวังเป่าเล่อจึงจมอยู่ในภวังค์อย่างโง่งม

เขาทราบดี แท้จริงแล้วคงทราบตั้งแต่ต้นว่าเรื่องพวกนี้มิใช่ตนเองจะมีกำลังย้อนคืนได้ ดวงวิญญาณของอาจารย์แตกซ่าน ผลนี้เกี่ยวข้องกับซากของจักรพรรดิแห่งความมืด ไม่ใช่สิ่งที่จันทร์ข้างแรมจะส่งผลกระทบหรือเปลี่ยนแปลงได้

“แม่นางน้อย ท่านช่วยข้าได้หรือไม่…” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากเสียงเบาด้วยความขมขื่น

“ข้า…ทำไม่ได้หรอก หวังเป่าเล่อเจ้าอย่าเสียใจไปเลย พวกเรามาช่วยกันคิดว่ายังมีวิธีการอื่นอีกไหมดีกว่า” หวังอีอีที่ไม่ได้เอ่ยตอบหวังเป่าเล่อมานานแสนนาน ยามนี้เอ่ยเสียงแผ่วเบา นางสัมผัสได้ถึงความคิดของหวังเป่าเล่อ แต่ว่านางไร้หนทางจะทำสิ่งใดได้จริงๆ

บางทีจันทร์คล้อยอาจทำได้

แต่…นางเองก็สัมผัสได้ว่า บิดาของตนนั้น คงไม่ได้อยู่ในมิตินี้แล้ว

“ทำไม่ได้งั้นหรือ…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ในหัวใจก่อเกิดความปวดร้าวแผ่ซ่านรุนแรงไปทั่วร่าง จนกระทั่งเนิ่นนานให้หลัง พื้นที่บิดเบี้ยวเบื้องหน้าอันเกิดจากวิชาจันทร์ข้างแรมก็ค่อยๆ หายไปช้าๆ หวังเป่าเล่อแหงนหน้าขึ้นมองไปยังข้างบน

แม้ว่าแม่น้ำแห่งความมืดจะกลบทับทุกสิ่งไปแล้ว ปิดบังแนวสายตา แต่เขาก็ยังสามารถมองเห็นเงาร่างของอดีตศิษย์พี่ของตนนอกกระแสน้ำนั้นได้ เขามองอยู่เช่นนั้นเป็นเวลานานแสนนาน ก่อนจะเบนสายตากลับมา

เขาเข้าใจทางเลือกของอาจารย์ดี และเข้าใจหนทางเลือกของศิษย์พี่ เรื่องที่เกิดขึ้นตรงนี้เกรงว่าจะไม่มีฝ่ายใดผิด เพียงแค่ว่าหนทางเดินแตกต่างกัน จุดนี้ตัวเขาไม่สามารถทำใจยอมรับได้

เพราะว่า…เฉินชิงจื่อยังสามารถไปแสวงหาเส้นทางเต๋าของตนเส้นทางอื่นได้ สามารถเดินบนเส้นทางสำนักแห่งความมืดอันรุ่งโรจน์ได้ แต่สิ่งตอบแทนของเส้นทางนั้นไม่ควรจะเป็นการทำให้ดวงวิญญาณของท่านอาจารย์แหลกสลาย จุดนี้…หวังเป่าเล่อเข้าใจดียิ่ง ว่าศิษย์พี่ทำผิดแล้ว

อาจารย์เองก็ทำผิดเช่นกัน ที่ผิดคือความใจอ่อน สิ่งที่อาจารย์ทำผิดพลาดก็คือการทนดูศิษย์ทั้งสองของตนเป็นปรปักษ์กันไม่ได้ และที่ผิดพลาดอีกอย่างก็เพราะอาจารย์ต้องการใช้ความตายของตนมาทำให้ความปรารถนาของศิษย์ทั้งสองเป็นจริง

“ข้าเองก็ผิด ข้าไม่ควรมาที่แม่น้ำแห่งความมืดเลย” หวังเป่าเล่อนั่งอยู่ด้านหนึ่งอย่างอ่อนล้า พลางมองดูจุดที่อาจารย์สลายตัวไป เขานิ่งงัน แต่ในชั่วพริบตาก็แหงนหน้า แววตานั้นกลับมาทอประกายอีกครั้ง

“ยังมีอีกวิธีหนึ่ง…” หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น ในพริบตานั้นกลางฝ่ามือก็ปรากฏขวดเล็กๆ ใบหนึ่ง

นี่คือขวดปรารถนา

หวังเป่าเล่อที่ถือขวดปรารถนาพลันมีสายตาลุกโชนด้วยความหวัง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นก็ใช้พลังทั้งหมดที่ตนมีเองกำมันแน่น ก่อนจะเอ่ยปากเสียงเบา

“ข้าอธิษฐาน…ให้อาจารย์ฟื้นคืนชีพ!”

ขวดปรารถนายังคงเย็นเยียบเหมือนเก่าไม่มีปฏิกิริยาใด หวังเป่าเล่อนิ่งไปอีกครู่หนึ่ง เนิ่นนานจึงเอ่ยปาก

“ข้าขออธิษฐาน…ขอให้เวลาย้อนไปถึงก่อนที่ท่านอาจารย์จะดวงวิญญาณแตกซ่าน!”

ขวดปรารถนาไร้การเปลี่ยนแปลง หวังเป่าเล่อก้มหน้าลง เขาหลับตา ครั้งนี้เขานิ่งเงียบไปนานกว่าเก่า กระทั่งในครึ่งก้านธูปให้หลัง จึงค่อยลืมตามองขวดปรารถนาในมือตนเองด้วยความสับสน ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

“ผู้อาวุโส หากไม่สามารถคืนชีพให้อาจารย์ได้แน่แล้ว เช่นนั้นให้โอกาสข้า…ได้แต่งหน้าศพหน่อยเถิด”

ขวดปรารถนานิ่งเงียบดุจเดิม ไม่มีกระแสความร้อนที่หวังเป่าเล่อคุ้นเคยแผ่ออกมา กระทั่งผ่านไปเนิ่นนาน ในใจหวังเป่าเล่อจึงค่อยรู้สึกเย็นเยียบ คิดจะลองเปลี่ยนคำอธิษฐานดูอีกครั้ง ทันใดนั้นเอง ขวดปรารถนาในมือของเขาก็สั่นไหวเบาๆ ราวกับว่ามีเจตจำนงบางอย่างแผ่ซ่านออกมาจากภายใน จากนั้นกระแสหนึ่งจากสถานที่ห่างไกลซึ่งไม่มีใครรู้จักพลันดังเข้ามาสะท้อนก้องในหัวใจของหวังเป่าเล่อ

“เจ้า ติดค้างน้ำใจข้าผู้สูงศักดิ์คราหนึ่ง”

เสียงนั้นเบาบางยากจับต้องได้ ราวกับว่าขวดปรารถนาได้กลายเป็นภาชนะสื่อสารไปในห้วงยามนั้น เสียงดังกล่าว ตกเข้าสู่สุสานจักรพรรดิแห่งความมืดดังก้องภายในโลกแห่งศิลา มันดังสะท้อนขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นขวดปรารถนาในมือของหวังเป่าเล่อก็พลันมีกระแสความร้อนไหล

กระแสความร้อนในครานี้ พลันระเบิดออกมาแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเข้าสู่มือของหวังเป่าเล่อ และในยามที่หัวใจของหวังเป่าเล่อกำลังสะท้าน ขวดปรารถนาก็พลันส่องแสงเจิดจ้าออกมา แสงนี้ครอบคลุมไปทั่วทั้งสี่ทิศ กระทบเข้ากับกฎที่นี่ เปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ซึ่งบังคับใช้ จากนั้นจึงค่อยๆ ก่อเกิดกระแสวิญญาณหลอมรวมกันในอากาศว่างเปล่า

กระแสวิญญาณเหล่านี้ แท้จริงแล้วสลายไปหมดแล้ว แต่ในยามนี้ ท่ามกลางความตกตะลึงรุนแรงของหวังเป่าเล่อ พลังขุมนี้เปลี่ยนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้กลับมามีได้ สุดท้ายจึงก่อเกิดเส้นใยวิญญาณ หลอมรวมกันเบื้องหน้าของเขา จนกระทั่งกลายเป็น…ดวงวิญญาณดวงหนึ่ง!

ก้อนวิญญาณนั้นคล้ายไม่อาจคงรูปได้นาน และไม่อาจคงอยู่ได้นาน

นี่คือวิญญาณขาดแหว่งของท่านอาจารย์!

กล่าวให้กระจ่างชัดหากเรียกให้เหมาะสมน่าจะเป็นแหล่งพลังงานของวิญญาณมากกว่า เพราะว่าในก้อนวิญญาณนี้ ไม่มีรูปลักษณ์ของอาจารย์อีกแล้ว เป็นเพียงดวงวิญญาณที่จดจำคุณลักษณ์ของอาจารย์เอาไว้

ดวงจิตประเภทนี้ ในวิธีที่สำนักแห่งความมืดทราบ จำเป็นต้องใช้เต๋าสวรรค์ชี้นำ เพื่อวาดหน้าศพ กำหนดชะตาชีวิต ชักนำเหตุผลต้นกรรม แล้วสุดท้ายจึงส่งเข้าสู่การเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง

แต่วิญญาณขาดวิ่นของอาจารย์ดวงนี้ มีบางสิ่งไม่เหมือนกัน มัน…กำลังจะสลายไป ถึงแม้ว่าพลังของขวดปรารถนาจะทำให้การแตกสลายนี้ช้าลงบางส่วน แต่ก็ไม่อาจคงรูปได้นานนัก

หากลองคำนวณความไวของการแตกสลายแล้ว คล้ายกับว่าอย่างมากก็รั้งไว้ได้เพียงหนึ่งก้านธูป

ระหว่างที่เพ่งมองก้อนวิญญาณ ดวงตาของหวังเป่าเล่อค่อยๆ ชุ่มชื่น เขารั้งเอาก้อนวิญญาณเข้ามาเบื้องหน้าตนอย่างอ่อนโยน แล้วเอ่ยเสียงเบา

“ท่านอาจารย์…”

ระหว่างที่พึมพำ หวังเป่าเล่อหลับตาแล้วเบิกตาโพลงอย่างรวดเร็ว ดวงตาเขาแฝงไปด้วยความทรงจำ ก่อนจะยกมือที่สั่นสะท้านนั้น วาดร่างใบหน้าอดีตชาติ

วาดคิ้ว วาดตา วาดจมูก และริมฝีปาก

ทุกฝีแปรงนั้น ล้วนเต็มไปด้วยอารมณ์ของเขา ทุกครั้งที่วาดล้วนเปี่ยมไปด้วยความทรงจำ เขาลงมืออย่างตั้งใจ

สิ่งที่เขาวาดมิใช่ชาติอดีต

แต่เขาวาด ชาติปัจจุบัน

เป็นภาพของท่านอาจารย์ในยามก่อนจะแตกดับ ท่านอาจารย์ผู้หวังให้เขาได้มีอนาคตที่ไม่ถูกรังควาน ให้เขาได้สิทธิ์ในการจากไปจากที่นี่

พวกเขาพบกันท่ามกลางความฝันฉากใหญ่ ได้กราบท่านเป็นอาจารย์ในช่วงเวลาดังฝัน ทว่ายามที่พบนั้นเป็นร่างวิญญาณไปเสียแล้ว พริบตาเดียวก็กลายเป็นอดีต…

เนิ่นนาน ยามที่หวังเป่าเล่อตวัดฝีแปรงครั้งสุดท้าย ใบหน้าของเขาก็เปื้อนไปด้วยน้ำตา มองดูเงาร่างที่มีเค้าโครงของอาจารย์คืนกลับมา เขาก็ลุกขึ้นยืนไปด้านหลัง ก่อนจะคุกเข่าลงเบื้องหน้าดวงวิญญาณที่หลับตานี้

คำนับลงหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…จนครบเก้าครั้ง

แทนพระคุณอาจารย์!

ร่างวิญญาณค่อยๆ เบิกตาขึ้นช้าๆ สายตาอบอุ่นมองดูหวังเป่าเล่อก่อนจะค่อยๆ…เผยรอยยิ้ม

“ประเสริฐ”

พริบตาถัดมา ร่างวิญญาณพลันรางเลือนราวกับไม่เคยคงอยู่มาก่อน มันหายไปในยามที่หวังเป่าเล่อแหงนหน้าขึ้น เขามองดูเงาร่างของอาจารย์ค่อยๆ สลายหายไป น้ำตาอาบดวงหน้าหนักกว่าเก่า ห้วงเวลานั้นสมองราวกับมีภาพความฝันเมื่อปีนั้นปรากฏขึ้น คำพูดของท่านอาจารย์

“ทั้งหมด ทำตามใจปรารถนาก็ดีแล้ว…”

“ทำตามใจปรารถนาย่อมดี…” หวังเป่าเล่อพำพำเสียงเบา เขานั่งแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น น้ำตาไหลออกมาทีละหยด

เงาร่างของแม่นางน้อยค่อยๆ ลอยอยู่ข้างตัวเขา นางมองหวังเป่าเล่อเงียบๆ ดวงตาฉายแววปวดใจ ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้แล้วนั่งลงข้างกาย ยกมือทั้งสองข้างขึ้นลูบหัวหวังเป่าเล่ออย่างอ่อนโยน สัมผัสมันอย่างแผ่วเบา

“ชีวิตมนุษย์ ย่อมต้องมีเรื่องเสียใจพวกนี้บ้าง ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะไปเปลี่ยนแปลงได้”

“ข้าทำดีที่สุดแล้วหรือไม่…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ความรู้สึกอ่อนล้าของเขาแผ่ซ่านไปทั่วร่าง

“อื้ม เจ้าพยายามเต็มที่แล้ว หลับสักหน่อยเถอะ พักผ่อนนะ” แม่นางน้อยเอ่ย จากนั้นก็ประคองศีรษะของหวังเป่าเล่อให้หนุนตักของนาง ลูบไล้เบาๆ มุมปากพึมพำขับร้องท่วงทำนองอันอ่อนหวานออกมา

บทเพลงนี้อบอุ่นปลอบประโลม ทำให้ผู้ที่ได้ฟังรู้สึกปลอดภัย อบอุ่น ทำให้ในใจของผู้คนสงบลงได้ อีกทั้งหวังเป่าเล่อในยามนี้ ราวกับว่าอยู่ในท้องฟ้ามืดสนิทอันเหน็บหนาว เขาเหมือนคนธรรมดาที่สวมเสื้อเพียงหนึ่งตัวออกเดินทาง ในระหว่างที่ร่างกายสั่นสะท้าน ก็พลันได้พบกับกองไฟซึ่งค่อยๆ ส่องสว่างให้ความอบอุ่นแก่จิตใจของเขา

รอบด้านล้วนเงียบสนิท มีเพียงท่วงทำนองของแม่นางน้อยที่ดังสะท้อนอย่างอ่อนโยน

“เจ้าลมน้อยค่อยโบกพัด นกน้อยส่งเสียงแผ่วเบา เด็กน้อยอย่าเสียใจ รีบๆ เข้านอนเถิด…”

“เกล็ดหิมะปลิวไสว น้ำตาเจ้าค่อยหลั่งไหล เด็กน้อยอย่าเจ็บปวดไป ขอให้เจ้าตื่นมาพบรอยยิ้มสุขสม”

…………………..

แม่น้ำแห่งความมืดซัดโหม ราวกับมีวังวนอันไร้รูปคอยหมุนมัน จนกระทั่งเงาร่างของเหล่าผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดหายเข้าไปในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด กระทั่งเงาร่างอันน่าหวาดหวั่นบนฟากฟ้าได้หายลับไปไกลขึ้นทุกที แม่น้ำแห่งความมืดอันยิ่งใหญ่แห่งนี้จึงค่อยๆ กลับคืนดังเดิม

ไม่นาน กระแสน้ำกลับมาสงบราบเรียบ เหล่าวิญญาณคนตายจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งแอบซ่อนอยู่ในที่นี้จึงค่อยๆ สำรวจภายในบริเวณอีกครั้ง พวกมันทยอยกันกลับเข้ามา แล้วโลดแล่นอยู่บนผืนน้ำ ชั่วอึดใจให้หลังจึงเริ่มมีเสียงวิญญาณลอยมาเป็นระยะ

เสียงวิญญาณนี้แฝงไปด้วยเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา แฝงไปด้วยความกระหายแห่งชีวิตและความไม่ยินยอมต่อความตาย นี่คือสภาพปกติของแม่น้ำแห่งความมืดเหมือนกับก่อนที่เหล่าผู้ฝึกตนของสำนักแห่งความมืดจะเหยียบย่างเข้าไปทุกประการ

ไม่ว่าจะในด้านใด สำหรับแม่น้ำแห่งความมืดสถานการณ์นี้ไม่สามารถใช้คำว่าสงบนิ่งมาอธิบายได้

สิ่งที่ไม่ได้สงบนิ่งเหมือนที่นี่ ก็คือดาวเคราะห์แห่งความมืดที่ลอยอยู่เหนือแม่น้ำ หลังจากที่เหล่าผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดกลับมานั้น การสูญเสียครั้งนี้ควรจะใช้คำว่าอเนจอนาถมาบรรยาย ยามมา มากันนับหลายร้อย ยามกลับเหลือแค่หลักสิบ

ทว่า…ต่อให้เป็นเช่นนี้ การได้กระจ่างวิถีเต๋าสวรรค์สำเร็จ แล้วได้รับสืบทอดซากแห่งจักรพรรดิความมืดนั้น ก็ยังทำให้เหล่าผู้ฝึกตนทั้งหลายต้องโห่ร้องและตื่นเต้นอยู่ดี กระทั่งว่าเสียงที่แผดร้องกันอยู่ในสำนักแห่งความมืดนั้นแพร่กระจายไปยังนอกดาวเคราะห์แห่งความมืดด้วยซ้ำ

“ผงาดขึ้น!”

“รุ่งโรจน์!!”

“หลอมสร้างโลกแห่งศิลาขึ้นมาอีกครั้ง!!”

คลื่นเสียงนี้กระจายสะท้อนก้องไปมา แพร่กระจายไปเหนือแม่น้ำรอบทิศของดาวเคราะห์ความมืด แผ่กระจายไปในความว่างเปล่าและกระจายเข้าสู่…วังวนอันไร้ก้นบึ้งแห่งนั้น เงาร่างน่าเกรงขามที่ค่อยๆ กระจายไปรอบทั้งสี่ทิศ

เงาร่างนี้ก็คือ เฉินชิงจื่อที่ยังคงเดินอยู่เช่นเดิม

บางที เขาในยามนี้ ชื่อเก่านั้นไม่มีความสำคัญอีกต่อไปแล้ว ควรจะถูกเรียกว่าเป็น…เต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืด จักรพรรดิแห่งความมืด…องค์ใหม่!

เขายืนอยู่ตรงจุดสิ้นสุดของวังวนอย่างเงียบเชียบ เนิ่นนานก่อนจะนั่งลงขัดสมาธิ ไม่พึมพำเสียงแผ่วเบาอีก แต่ว่าหลับตาทั้งสองลง แผ่กระแสจิตแห่งเต๋าออกมา ไหลไปตามวังวน…มุ่งหน้าไปยังอีกซีกหนึ่งของโลก แผ่ขยายไปทั่ว

ในชั่วเวลานี้ อีกด้านหนึ่งของโลกคนเป็นนั้น ตระกูลหมื่นสำนักภายในอาณาเขตจักรพิภพไม่รู้สิ้น เหล่าผู้ฝึกตนระดับจักรพิภพทั้งหมด ล้วนแต่ร่างกายสั่นสะท้าน แต่ละคนไม่ว่าจะทำสิ่งใดอยู่ ในพริบตานั้นพลันรู้สึกหัวใจเต้นระรัว

อีกทั้งในยามที่บังเกิดความรู้สึกหัวใจเต้นระรัวนี้ ราวกับว่ามีเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นในห้วงหัวใจของพวกเขา…สะท้อนไปมา

“ตั้งแต่วันนี้ไป วัฏสังสารจะกลับมาอีกครั้ง ฟื้นคืนวิชาและให้ตั้งกฎขึ้นใหม่ คนเป็นส่วนคนเป็น ผู้วายชนม์ส่วนผู้วายชนม์ ธุลีกลับเป็นธุลี ดินกลับสู่ดิน…”

“ใครที่หนีพ้นจากวัฏสงสาร สังหาร!”

“ผู้ที่คิดหนีจากอายุขัย สังหาร!”

“ผู้ที่แอบอ้างเป็นวิญญาณหวนคืน สังหาร!”

“ผู้ที่ไม่เชื่อฟังผู้ฝึกเต๋าแห่งความมืด สังหาร!”

ประโยคห้าประโยคราวกับเป็นอสนีบาตห้าสาย กระแทกลงกลางจิตเทพของผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพทั้งหมดในอาณาเขตไม่รู้สิ้น ระเบิดดังครามครัน ชั่วพริบตานั้นก็สั่นสะท้านทั้งอาณาเขตไม่รู้สิ้นทันที

เหล่าผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยมีปฏิกิริยา และแทบจะทุกตระกูล ทุกสำนัก พริบตานั้น…เรื่องราวแบบเดียวกัน อสนีสวรรค์ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งความตายพลันสาดโหมลงมาหลังจากที่เงาเมฆสีดำรูปลักษณ์คล้ายปลาปรากฏขึ้นอย่างไร้เสียงและไร้ร่องรอย

แม้ว่าจะเป็นแค่อัสนีเพียงเส้นเดียว แต่กระแสนั้นครั่นคร้ามฟ้าดินนัก สะเทือนฟ้าสะท้านดิน เพราะว่า…นี่คือการลงทัณฑ์ของอัสนีสวรรค์!

บทลงทัณฑ์ของเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืด!

จักรพิภพในยามนี้ไม่คณามือพลังนี้สักนิด พวกมันถูกโจมตีสาดทะลุความว่างเปล่า ฟาดทะลุสิ่งกีดขวาง ทะลุทะลวงวงแหวนปราณพิทักษ์แล้วฟาดลงยังร่างเนื้อ ดวงวิญญาณเทพ และทำให้ผู้ที่ถูกสายฟ้าเหล่านี้ตกตาย ในพริบตานั้น…ดวงวิญญาณแหลกสลาย!

สอดคล้องกับคำสุดท้ายของสี่ประโยคก่อนหน้า คำนั้น…สังหาร!

ไม่ว่าผู้ใดที่ถูกอัสนีเพ่งเล็งแล้ว ล้วนกลายเป็น…

เหล่าผู้ที่อายุขัยถูกสะบั้น แต่พยายามฝืนชะตา

ผู้ที่ถูกสังหาร แต่ยืมดวงวิญญาณลับของพลังไม่รู้สิ้นเพื่อกลับมากำเนิดใหม่

ชั่วพริบตานี้ ผู้ฝึกตนระดับจักรพิภพอย่างน้อยนับพันคน ล้วนตกตาย เงาร่างของปลาสีดำจำนวนมากปรากฏตัวอยู่ในอาณาเขตไม่รู้สิ้น มันได้กลายเป็นฝันร้ายที่สั่นสะเทือนทั้งอาณาเขตไม่รู้สิ้นไปเสียแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวดังมาจากความว่างเปล่า ก่อนจะหลอมรวมกันในอาณาบริเวณรอบตัวปลาสีดำทั้งสี่ทิศ กลายเป็นหมอกควันสีทองซึ่งหลอมรวมกันเป็นด้วงทองตัวหนึ่ง นี่คือเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น ราวกับว่ามันจะเปิดฉากต่อสู้กับเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืด!

เสียงคำรามนับไม่ถ้วนระเบิดขึ้นท่ามกลางเวลานี้ ท่ามกลางสำนักเต๋าฝ่ายซ้ายและจักรพิภพสำนักเสริมนั้น ในอาณาบริเวณของตระกูลไม่รู้สิ้น สถานการณ์ยิ่งรุนแรง

คล้ายกับว่าเมฆรูปปลาที่ลอยไปทั่วทั้งตระกูลไม่รู้สิ้นกำลังระเบิดอัสนีสวรรค์อันน่าตกตะลึง

อัสนีสวรรค์ ณ ตรงนี้ มิได้มีเพียงเส้นเดียว แต่มีนับไม่ถ้วน เป้าหมายก็คือเหล่าตระกูลไม่รู้สิ้นซึ่งกลับชาติมาเกิดใหม่เหล่านั้น ในเวลาเดียวกันยังมีสายฟ้าของสำนักแห่งความมืดจำนวนมากยิ่งกว่ากำลังหลอมรวมตัวกลายเป็นเส้นทางสายฟ้า มุ่งหน้าไปยัง…ส่วนลึกสุดของอาณาเขตไม่รู้สิ้น ฝ่าวงแหวนปราณต้องห้ามจำนวนนับไม่ถ้วน ไปยังกระถางกลับชาติไม่รู้สิ้น…ซึ่งถูกตระกูลไม่รู้สิ้นหลอมขึ้นมา!

กระถางสีครามอยู่ในสภาวะร่างมายากึ่งหนึ่ง ข้างในนั้นบรรจุแก่นพลังวิญญาณตายดับของทั้งจักรพิภพเต๋าอยู่ เมื่อมีกระถางนี้ก็สามารถทำให้ผู้ตกตายทั้งหมด กลับมามีชีวิตได้อีกครั้งตามแต่ที่ตระกูลไม่รู้สิ้นจะปรารถนา!

ในตอนที่สายฟ้าคำราม พริบตาที่มันปรากฏ ก็มีเสียงโกรธเคืองหนึ่งดังขึ้นมาจากภายในตระกูลไม่รู้สิ้น

“เฉินชิงจื่อ!”

“บังอาจนัก!”

เหล่าจักรพรรดิสวรรค์เดือดดาลพร้อมกัน พวกมันล้วนร่วมมือคิดหยุดยั้ง ทว่าในยามที่ออกตัวยับยั้งนั่นเอง กระแสธารแห่งอสนีบาตที่ถาโถมเข้ามาพลันระเบิดพลัง ท่ามกลางเสียงดังสนั่นที่ไม่อาจบรรยายได้นั้น จักพรรดิสวรรค์ที่แข็งแกร่งโหดเหี้ยมทั้งหลายยังต้องกระอักเลือดพร้อมล่าถอย

พวกเขา แม้ว่าแต่ละคนจะได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ดี แต่ละคนล้วนเป็นสุดยอดของผู้เยี่ยมยุทธ์ ทำให้ธาราอัสนีในยามนี้ต้องหยุดชะงักท่ามกลางความพินาศ พินิจแล้วคล้ายจะสลายไป ไร้หนทางเข้าใกล้กระถางกลับชาติ

ทว่าในพริบตานี้เอง…ฝ่ามือยักษ์ฝ่ามือหนึ่ง พลันปรากฏอยู่บนท้องฟ้าเหนือตระกูลไม่รู้สิ้น ในพริบตาที่ปรากฏร่างก็พากลิ่นอายความตายไร้ที่สิ้นสุด แล้วยังบันดาลเสียงอันสะท้านไปทั่วทั้งจักรพิภพไม่รู้สิ้น มันมุ่งหน้ามายังกระถางกลับชาติ ของตระกูลไม่รู้สิ้นแล้วใช้มือนี้…คว้าจับ!

ด้วยความไวยิ่งยวดและพละกำลังมหาศาล พลังนี้ราวกับจะสยบเต๋านับหมื่นได้ อย่าว่าแต่เป็นจักรพรรดิสวรรค์ไม่กี่ท่านตรงนี้ ยามนี้หลังจากที่มือยักษ์นี้ปรากฏแล้ว จิตวิญญาณเทพของพวกเขาก็สั่นสะท้าน สีหน้าแปรเปลี่ยนครั้งใหญ่
เพราะว่า…เต๋าที่แฝงอยู่ในฝ่ามือนั้น พลังที่แผ่ออกมา เหนือกว่าขีดจำกัดที่พวกเขาจะหยุดยั้งได้ อีกทั้งนี่ยังมิใช่ในระดับเดียวกับจักรพรรดิแล้ว ในพริบตาที่มันปรากฏ ฝ่ามือยักษ์ก็แตะเข้ากับกระถางกลับชาติ
เสียงเย็นชาเสียงหนึ่ง ดังลอดออกจากภายในกระถางไม่รู้สิ้น พริบตาถัดมา…เงาร่างชราผู้หนึ่งปรากฏกายในสภาวะกำลังนั่งขัดสมาธิอย่างเลือนรางอยู่บนกระถาง ด้านหลังนั้นแสงสีทองทะลุหมื่นจั้ง ด้วงทองคำปรากฏร่าง เต๋าสวรรค์ที่ดูยโสถือตัวด้านนอกนี้ ยามนี้ยืนอยู่อย่างเชื่องเชื่อด้านหลังผู้อาวุโส กระทั่งตัวมันยังสะท้านเล็กๆ แสดงท่าทางเคารพคนผู้นี้ขั้นสุด
ส่วนผู้อาวุโส หลังจากแค่นเสียงแล้ว ดวงตาก็พลันเบิกโพลง เขายกมือขวาขึ้นจากนั้นใช้หนึ่งดัชนีต้านรับฝ่ามือที่มาจากด้านบน
ท่ามกลางเสียงอึกทึกไร้ลักษณ์ ฟ้าดินพังทลาย ฝ่ามือยักษ์ที่เคลื่อนเข้ามาเมื่อปะทะเข้ากับนิ้วมือพลันแหลกเป็นสีห้าส่วน แล้วดัชนี้…ก็พลันเลือนรางเช่นกัน
หลังจากฝ่ามือแหลกสลาย เหล่าผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นรอบด้านล้วนตื่นเต้น แววตาของจักรพรรดิสวรรค์เหล่านั้นเผยประกายเคารพ ไม่ว่าในเวลาปกติพวกเขาจะมีอำนาจเพียงใด อยู่สูงส่งเพียงไหน แต่ในยามนี้ล้วนแต่ก้มศีรษะ น้อมตัวเคารพไปยังผู้อาวุโสที่อยู่บนกระถางไม่รู้สิ้นนั้น
“ต้นตระกูล!”
ผู้ชรานี้…ก็คือต้นตระกูลผู้ก่อตั้งตระกูลไม่รู้สิ้น ผู้ที่ปีนั้นนำพาตระกูลไม่รู้สิ้นให้รุ่งโรจน์แล้วบดทำลายสำนักแห่งความมืด!

เวลานี้ ต้นตระกูลไม่รู้สิ้นไม่ได้สนใจคนในตระกูลซึ่งอยู่รายล้อม แต่แหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แล้วเพ่งมองไปยังจุดหนึ่ง พื้นที่ว่างเปล่าตรงนั้นสะท้านไหว ก่อเกิดวังวนขนาดยักษ์ พลันปรากฏขึ้นมาอย่างไร้เสียงไร้กลิ่นอาย ก็มองเห็นเงาร่างหนึ่งซึ่งอยู่ในวังวนและแม่น้ำแห่งความมืด…ซึ่งมีคลื่นยักษ์ดุดันด้านหลังเงาร่างนั้น

“วันนี้เจ้าทำลายกระถางกลับชาติไม่รู้สิ้น ไม่สำเร็จหรอก” ต้นตระกูลไม่รู้สิ้นค่อยๆ เอ่ยปาก น้ำเสียงนั้นเต็มไปด้วยความแหบพร่า แล้วยังแฝงเจตนารมณ์ไม่รู้ที่สิ้นสุดผ่านวันเวลานับไม่ถ้วน

“ทำลายกระถางไม่รู้สิ้นไม่ได้ก็ไม่เป็นไร นับแต่วันนี้ไป วิญญาณใดๆ ที่ฟื้นคืนชีพผ่านกระถางนี้ จำเป็นต้องถูกลงทัณฑ์ ตามกฎของโลกแห่งศิลา!!” เงาร่างเต๋าสวรรค์แห่งความมืดที่อยู่ในวังวนพลันเอ่ยปาก

เงาร่างทั้งสอง หลังจากกล่าวคนละประโยคแล้ว ก็เข้าสู่ความเงียบ พวกเขาไม่เอ่ยคำ เหล่าผู้ที่อยู่โดยรอบก็ยิ่งไม่กล้าพูด ท่ามกลางความตื่นตระหนกยังมีความไม่สบายใจและสับสนต่ออนาคต

ผ่านไปชั่วครู่ ต้นตระกูลไม่รู้สิ้นก็ผุดยิ้ม

“เฉินชิงจื่อ หลัวเทียนร่วงหล่นไปแล้ว โลกแห่งศิลาถูกผู้ฝึกตนจากอีกโลกหนึ่งขีดเขียนขึ้นมาใหม่ ยามนี้อ่อนแรงลงไม่น้อย เจ้าบัญชาสำนักแห่งความมืด อาจจะไม่สำเร็จก็เป็นได้ เจ้าควรจะทราบเอาไว้ ข้ามิใช่วิญญาณที่สำนักแห่งความมืดของเจ้าต้องการเสาะหา ให้ข้าจากไป ส่วนที่แห่งนี้…กลับคืนสู่เจ้า”

“ไม่อนุญาต!” เงาร่างของจักรพรรดิแห่งความมืดในวังวนเอ่ยปากออกมาทันที

…………………………………..

เฉินชิงจื่อนิ่งเงียบ

หมิงคุนจื่อแววตายังคงเดิม ไม่เอ่ยคำใด

รอบด้านนั้นเหล่าผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดรอบด้านค่อยๆ ก้มหน้า เรื่องประเภทนี้พวกมันไม่มีทางเข้าไปข้องเกี่ยว อีกทั้งยังไร้ความสามารถจะยุ่งเกี่ยวได้ มีเพียงบุรุษและสตรีกึ่งบุตรแห่งความมืดร่างหยินหยางเท่านั้นซึ่งยามนี้ดวงตาฉายแววไม่ยินยอม พวกเขาแอบมองหวังเป่าเล่อคราหนึ่งก่อนจะเลือกก้มหน้าลง

ด้านหวังเป่าเล่อนั้น ยามนี้เส้นเลือดปูดโปนบนหน้าผากของเขา ร่างกายสะท้านไหวรุนแรง กำลังดิ้นรน ภายในใจกรีดร้องไม่หยุด รอบด้านพลันปรากฏเสียงเปรี๊ยะๆ ดังออกมาเป็นเลาๆ ราวกับว่ามีผนึกที่มองไม่เห็นนั้นกำลังถูกทำลาย

กระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ เฉินชิงจื่อจึงค่อยพยักหน้า

“หากท่านอาจารย์ยืนยันเช่นนั้น ศิษย์ก็น้อมรับ นับแต่วันนี้ไป การกระทำใดๆ ของศิษย์น้องเล็ก…ข้าไม่อาจสืบเสาะ ไม่อาจหยุดยั้ง ไม่อาจจำกัดบริเวณ ไม่อาจรบกวน โดยเฉพาะหากเขาอยากไปที่โลกแห่งศิลา!”

“ประเสริฐ” หมิงคุนจื่อยิ้ม เขาเบนสายตาออกจากร่างของเฉินชิงจื่อ จากนั้นก็หยุดที่หวังเป่าเล่อ มองเห็นเส้นเลือดปูดบนหน้าผากและลักษณะการดิ้นรนของอีกฝ่ายแล้ว นัยน์ตาของหมิงคุนจื่อก็อดทอประกายอบอุ่นไม่ได้ เขาพึมพำเสียงเบา

“อย่าปวดใจไปเลย อาจารย์สามารถอยู่มาได้ถึงวันนี้ ล้วนแต่พึ่งโชคดีทั้งสิ้น อีกทั้งมีชีวิตอยู่อย่างไม่สมบูรณ์ เฝ้าสุสานด้วยอารมณ์มึนงงเช่นนี้ แท้จริงอาจารย์เหนื่อยเหลือเกิน เช่นนั้นปลดปล่อยข้า…เสียเถอะนะ”

“ส่วนการปลดเปลื้องของอาจารย์ในครั้งนี้นับว่าคุ้มแล้ว ศิษย์คนโตของข้าก็จะได้รุ่งโรจน์เพราะการจากไปของข้า และได้สืบทอดปณิธานต่อ ส่วนศิษย์คนเล็กของข้าก็จะได้ฝึกเต๋าของตนให้สมบูรณ์ แต่นีต่อไปก็เหตุต้นผลกรรมที่จะมาถ่วงแข้งขาเรื่องหนึ่ง อีกไม่นานข้าก็คงพ้นจากทุกข์แล้ว อีกทั้งยังได้รับสิทธิ์ที่จะจากไปด้วย เรื่องนี้….สำหรับข้า ช่างแสนสบายนัก เป็นเรื่องน่ายินดี” หมิงคุนจื่อยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งเจิดจ้าและกว้างขวาง แผ่ไพศาลไปทั่วทั้งสุสานจักพรรดิแห่งความมืด กระจายออกไปสี่ทิศ

สิ่งนี้สร้างระลอกคลื่นโดยรอบที่มองเห็นด้วยตาเปล่า และทำให้เหล่าศิษย์ของสำนักแห่งความมืดทุกคนล่าถอย โคมวิญญาณสามดวงที่ลอยอยู่เหนือโลงศพจักรพรรดิแห่งความมืดนั้น ในชั่วขณะพลันกระพริบไหว โคมที่หนึ่ง…พลันดับมอด!

ในใจหวังเป่าเล่อกรีดร้องรุนแรงกว่าเก่า แต่ไม่อาจหยุดทุกสิ่งตรงหน้าได้ เขาทำได้เพียงเบิกตามองรอยยิ้มและคำพูดของอาจารย์ มองร่างกายค่อยๆ สลายไป กระทั่งโคมดวงที่สองเหนือโลงศพนั้นดับมอด เงาร่างของอาจารย์ก็ยิ่งเลือนรางมากขึ้น…

เมื่อโคมดวงที่สาม มอดดับลงแล้ว

เงาร่างของเฉินคุนจื่อ ก็พลัน…หายไปสิ้น

“อาจารย์!” หวังเป่าเล่อกรีดร้องคำรามลั่น พริบตานั้นร่างของเขาก็ขยับได้อีกครั้งหลังจากเฉินคุนจื่อหายตัวไป เสียงกรีดร้องที่สะกดเอาไว้ในใจดังลอดออกมา น้ำเสียงเจ็บปวดถึงที่สุด อีกทั้งยังมีความบ้าคลั่งที่ไม่อาจพรรณนาได้ เขาวิ่งถลาไปหาจุดที่ท่านอาจารย์หายไป ยกสองมือขึ้นเพื่อคว้าจับอะไรบางอย่าง

แต่ทว่ากลับคว้าได้เพียงความว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดเลย…

“จันทร์ข้างแรม!!” หวังเป่าเล่อดวงตากลายเป็นสีแดงชาด สมองของเขายามนี้หลงลืมทุกคนในที่นี่ไปแล้ว เขาไม่สนใจกระทั่งตัวเฉินชิงจื่อ ความคิดเดียวของเขาก็คือต้องเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้

วิชาจันทร์ข้างแรมถูกเปิดใช้งานทันที ทว่า…วิชาเทพที่ใช้ได้ดีมาตลอดนี้ ยามนี้กลับไม่ได้ผลอะไร มิใช่ว่าใช้การไม่ได้ แต่ต่อให้พึ่งพิงกระแสพลังของยี่สิบลมหายใจนี้ ก็ไม่อาจหลอมรวมเงาร่างของอาจารย์เบื้องหน้าได้อยู่ดี

“วิชาจันทร์ข้างแรม!”

“วิชาจันทร์ข้างแรม!!”

“วิชาจันทร์ข้างแรม!!!”

แต่ละครั้งที่หวังเป่าเล่อใช้พลังนั้น เฉินชิงจื่อที่อยู่ห่างออกไปมองดูเงาร่างหวังเป่าเล่อ ส่วนลึกในดวงตาทอประกายปวดร้าวและสับสน แต่เพียงไม่นานก็กลับมานิ่งสงบเหมือนเก่า เขาถอนสายตากลับมาจากร่างหวังเป่าเล่อ มองไปยังโลงจักรพรรดิแห่งความมืด ก่อนจะยกมือขวาขึ้น

ในพริบตานั้นโลงศพจักรพรรดิแห่งความมืดขนาดใหญ่ก็ส่งเสียงกระหึ่ม ฝาปิดของตัวโลงถูกพลังอันไร้รูปลักษณ์เปิดออก ค่อยๆ ยกตัวขึ้น กระทั่งหลังจากเปิดออกมาหมดแล้ว กลิ่นอายแห่งความตายอันเข้มข้นสุดจะหยั่งลึกก็พลันปะทุออกมา

พริบตาที่มันระเบิดออกมานี้ แสงเส้นหนึ่งก็สาดส่องออกจากภายในโลง สุดท้ายแล้วโครงกระดูกหนึ่งลอยออกจากข้างใน ศพนี้ขาดแหว่งไปเหลือเพียงแค่ครึ่งกายเท่านั้น แถมยังเน่าขาดไปหมดสิ้น มีเพียงแค่ส่วนหัวกะโหลก แต่เมื่อมองอย่างละเอียด จะเห็นว่าทุกตารางนิ้วของหัวกะโหลกนี้แผ่กระแสเต๋าแห่งความตายออกมา และแทบทุกตารางของกระแสแห่งความตายนี้คล้ายจะบรรจุอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนเอาไว้ หัวกะโหลกนี้…สำหรับสำนักแห่งความมืดแล้วนับเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่ล้ำค่าที่สุด

ไม่มีสิ่งอื่นใด!

ยามนี้กะโหลกลอยขึ้นมา พุ่งไปยังทิศทางที่เฉินชิงจื่ออยู่ เหล่าผู้ฝึกตนของสำนักแห่งความมืดล้วนสั่นสะท้าน คุกเข่าลงพร้อมกันดวงตาทอประกายปรารถนาและรอคอย ส่วนหวังเป่าเล่อ…เป็นเพียงผู้เดียวที่ไม่ได้มองสักนิด เขายังคงยืนอยู่ตรงที่ที่อาจารย์หายไปราวกับเป็นปีศาจก็ไม่ปาน พยายามใช้วิชาจันทร์ข้างแรมไม่หยุด

เพราะว่าใช้พลังมากเกินไป ร่างกายของเขาจึงเริ่มรับไม่ไหว ความว่างเปล่ารอบทิศเริ่มบิดเบี้ยว ส่วนเงาร่างของเขาคล้ายปรากฏคล้ายเลือนหาย ในบริเวณโดยรอบไม่กี่จั้งนั้น เริ่มมีลักษณะแตกต่างจากบริเวณอื่นๆ แล้วด้วยเพราะใช้วิชาจันทร์ข้างแรมหลายครั้งและกระแสแห่งเวลาไหลผ่านไวไป

“ต้องทำได้!”

“วิชาจันทร์ข้างแรมเป็นวิชาควบคุมเวลา ข้าต้องทำได้แน่!” หวังเป่าเล่อดวงตาทั้งคู่แดงฉาน พึมพำผนึกมุทรารวดเร็ว ไม่ได้สนใจกะโหลกศีรษะของจักรพรรดิแห่งความมืดซึ่งเปรียบเหมือนของศักดิ์สิทธิ์ในหัวใจของเหล่าผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดเลยสักนิด และไม่ได้สนใจว่ากะโหลกนี้ค่อยๆ ร่อนลงช้าๆ สู่มือของเฉินชิงจื่อแล้ว

ด้านเฉินชิงจื่อหลังจากยกมือขวาขึ้นรับซากกะโหลกแล้ว กะโหลกนี้ก็เปลี่ยนเป็นจุดแสงส่องสว่างหนึ่งจุดหลอมรวมเข้าไปในข้อมูลของเฉินชิงจื่อ ทำให้บริเวณข้อมือนั้นส่องแสงสีอื่นๆ ปรากฏขึ้นในดาราจักรโลกันตร์เป็นครั้งแรก นอกเหนือจากแสงสีเทาและขาวดำ

ห้าแสงสิบสี!

สีสันเหล่านี้เปล่งประกายจากข้อมือของเขาค่อยๆ อาบไล้ทั้งร่าง จนกระทั่งครอบตัวของเฉินชิงจื่อจนหมดสิ้น กลิ่นอายเต๋าสวรรค์ก็ระเบิดออกมาในพริบตานั้นอย่างเข้มข้นมากขึ้นจนเรียกได้ว่าสุดกำลัง กระทั่งว่าเหนือศีรษะนั้นเริ่มปรากฏเค้าลางของวังวนอันยิ่งใหญ่ขึ้นแล้ว

วังวนนี้ครอบคลุมทั่วบริเวณไร้สิ้นสุดของดาราจักร เหนือศีรษะของเหล่าผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืด ล้วนแต่สัมผัสและมองเห็นได้ ในวังวนนี้มีพลังเต๋าสายหนึ่ง พลังนี้…สามารถทำให้ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดเข้าสู่เส้นทาง…เบื้องหน้าได้!

ส่วนจุดสิ้นสุดของเส้นทางดังกล่าว ก็คือ…โลกด้านนอกของอาณาเขตเต๋าไม่รู้สิ้น!

ในชั่วพริบตา หลังจากที่วังวนนี้พัดหมุน ทั้งดาราจักรโลกันตร์พลันสั่นสะท้านขึ้นมา แม่น้ำแห่งความมืดเริ่มหมุนคว้าง ราวกับอยู่ในกระแสพลังและทั้งหมดที่ว่ามานี้เกิดขึ้นในชั่วหนึ่งกระแสจิตของเฉินชิงจื่อเท่านั้น

หลังสัมผัสได้ว่าตนเองแตกต่างออกไปแล้ว อีกทั้งยังสืบทอดพลังเต๋าสวรรค์มาได้อย่างราบรื่น นัยน์ตาของเฉินชิงจื่อจึงยิ่งสงบนิ่งกว่าเก่า เขามองเงาร่างหวังเป่าเล่ออย่างลึกซึ้งคราหนึ่งก่อนจะหันกายเดินออกไปสู่นอกโลก

หลังจากเฉินชิงจื่อจากไปแล้ว เหล่าผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดแต่ละคนก็รีบตามติด ดวงตาเผยประกายบ้าคลั่งเร่าร้อน แถมมาด้วยความตื่นเต้นและการยึดมั่น ทว่า…ผู้ฝึกตนทั้งสอง บุรุษและสตรีกึ่งบุตรแห่งความมืดนั้น ยามนี้ผู้ฝึกตนผู้เป็นบุรุษดวงตาฉายแววไม่ยินยอม เขาหันกลับมามองหวังเป่าเล่อคราหนึ่ง ก่อนจะรีบกระโจนออกจากสุสาน เหยียบย่างเข้าแม่น้ำแห่งความมืดก่อนจะตัดแขนขวาของตนเองออกจากร่าง แขนนั้นกลายเป็นกลิ่นอายความมืดขุมหนึ่ง มันทะยานด้วยความเร็วมุ่งไปยัง…หวังเป่าเล่อที่อยู่ในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดทันที!

ในพริบตาที่กำลังพุ่งเข้าไปนั้น ข้อมือนี้ก็กลายเป็นมนุษย์ตัวจ้อย ลักษณะเหมือนกึ่งบุตรแห่งความมืดผู้นั้นไม่ปาน จิตสังหารเต็มเปี่ยม ทว่าความเร็วกลับไม่ได้เร็วตามไปด้วย ราวกับตัวผู้โจมตีนี้กำลังตัดสินและรอคอย แต่หลังจากพบว่าเต๋าสวรรค์ไม่เข้ามาหยุดยั้งแล้ว มนุษย์ตัวจ้อยก็เหมือนได้รับสัญญาณลับ พุ่งตัวด้วยความเร็วเท่าทวีคูณ พริบตานั้นก็เข้าสู่บริเวณสามจั้งใกล้กับที่หวังเป่าเล่ออยู่

โดยที่ไม่หยุดชะงัก มันพุ่งตัวเข้าไปทันที คิดจะฉวยโอกาสที่หวังเป่าเล่อเลอะเลือนอยู่นี้ลงมือ แต่แล้วยามที่มันเข้าสู่เขตแดนนั้น ยังไม่ทันได้ลงมือร่างกายก็พลันสั่นเทา ก่อนจะเปลี่ยนร่างด้วยความเร็วที่เห็นด้วยตาเปล่า เหมือนว่าในชั่วกะพริบตานั้น มีกระแสแสงจำนวนนับไม่ถ้วนไหลทะลักออกจากร่าง

เวลานั้นมันย้อนกลับอยู่ในรูปลักษณ์ข้อมืออีกครั้ง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นปราณสีดำ หลังจากนั้นก็กลายเป็นโลหิตสีดำสนิทหยดหนึ่ง ก่อนจะถูกลบหายไปโดยไม่เหลือร่องรอยใดๆ

ในพริบตาที่ถูกลบหาย ราวกับเหตุต้นผลกรรมกระจายทั่ว ตัดซึ่งรากเหตุ ทำให้ทุกอย่างสิ้นหายไป สลายไปในดาราจักรแห่งนี้

ไม่เพียงแค่นั้น ร่างของกึ่งบุตรแห่งความมืดที่ใช้วิชาท่อนแขนก็พลันร่างสั่นสะท้านกระอักเลือดออกมาคราหนึ่ง วิญญาณเทพเลอะเลือนไปในทันที สตรีที่อยู่ข้างๆ เองก็เช่นกัน นางกระอักเลือดออกมา

ด้านผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดรายอื่น มีจำนวนไม่น้อยที่ขมวดคิ้วคิดกล่าวยับยั้ง ทว่าเฉินชิงจื่อที่เดินไปข้างหน้าตลอดทางนั้น ตั้งแต่ต้นจนจบไม่หยุดเท้าเลยสักนิด อีกทั้งยังไม่มีทีท่าจะเข้ายับยั้งแม้แต่น้อย มีเพียงแค่แผ่กระแสเต๋าออกจากร่างอ่อนจางไม่หยุด แต่แล้วในเวลาถัดมา…

บุรุษและสตรีผู้ฝึกตนสองคนนี้ซึ่งแบ่งร่างเป็นหยินหยาง ผู้ซึ่งตระหนักว่าฝีมือตนไม่ธรรมดา ในฐานะอนาคตผู้นำ เจ้าสำนักแห่งความมืดอันดับหนึ่งผู้ซึ่งคิดว่าตนเองจะจัดการหวังเป่าเล่อได้แล้วนั้น ร่างของพวกเขาพลันสั่นสะท้าน ดวงตาเผยประกายไม่อยากเชื่อ กระทั่งโอกาสจะเอ่ยปากพูดก็ไม่มี ร่างแหลกสลายในพริบตา ดวงวิญญาณพินาศ ไม่มีแม้กระทั่งโอกาสในการเข้าวัฏสงสาร เพราะพวกเขาถูกเต๋าสวรรค์…ลบทิ้ง!

เงาร่างของเฉินชิงจื่อยังคงก้าวต่อไปทีละก้าวจนห่างออกไปไกล กระแสเต๋าเปี่ยมร่าง ท่วงท่าองอาจยิ่งใหญ่ ทำให้มวลความว่างเปล่าสั่นสะท้าน ทำให้ทั้งดาราจักรโลกันตร์โห่ร้อง ราวกับบังเกิดกระแสวังวนครอบคลุมไม่รู้สิ้น

ส่วนทางด้านหลังเขานั้น พื้นล่างของสุสานแห่งความมืด อีกเงาร่างหนึ่งเส้นผมกำลังยุ่งเหยิง สีหน้าซีดขาว ดวงตาทั้งคู่เจือเส้นเลือดฝอย กำลังใช้วิชาจันทร์ข้างแรมอย่างไม่หยุดยั้ง อีกครั้งและอีกครั้ง…

ในไม่ช้า ระยะห่างของทั้งสองคนก็ยิ่งทวีคูณ กระทั่งเฉินชิงจื่อจากแม่น้ำแห่งความมืดไปแล้ว แม่น้ำแห่งความมืดก็บังเกิดเสียงอึกทัก จากนั้นจึงม้วนตัวกลับเข้าโอบล้อมสุสานแห่งความมืดอีกครั้ง…กลบทุกสิ่งเอาไว้ข้างใน ตัดขาดจากทุกอย่าง

พริบตาที่แม่น้ำแห่งความมืดกลบทับสุสานไว้แล้ว เฉินชิงจื่อจึงพึมพำออกมา ด้วยเสียงที่ตัวเขาเองได้ยินเพียงผู้เดียว

“ข้า จะต้องถูกสิ!”

คำเรียกขานศิษย์พี่นี้ มีกระแสความเคารพและความสนิทสนมเจืออยู่ คำนี้ยังแฝงไว้ด้วยความรู้สึกปลอดภัยขุมหนึ่งที่ไม่สามารถเอ่ยได้ เมื่อคำนี้เข้าสู่จิตใจคน ย่อมทำให้คนผู้นั้นเกิดความรู้สึกสบายใจแผ่ซ่านจากภายในสู่ภายนอก

การเรียกขานนี้ ก่อนหน้านี้เป็นคำเรียกขานที่ทำให้ในใจหวังเป่าเล่อมีให้แก่เฉินชิงจื่อ…เพียงผู้เดียว

เมื่อก่อนนั้นศิษย์พี่ของเขา ผู้ที่คอยปกป้องทางเดินของเขา แม้กระทั่งในภายหลังที่หวังเป่าเล่อตื่นขึ้นมาในสำนักแห่งความมืดก็ได้อีกฝ่ายคอยคุ้มครอง ทั้งยังช่วยมอบทางเดินอันมั่นคงให้แก่เขาในสำนักแห่งความมืด ทำให้ความฝันเรื่องสำนักแห่งความมืดนี้ไม่ว่างเปล่าอีกต่อไป และเมื่อฝันกลายเป็นจริงแล้ว ก็ทำให้ผู้คนยอมรับเขาขึ้นบางส่วน

แม้กระทั่งในส่วนลึกของจิตใจ ถึงขั้นมีผลให้หวังเป่าเล่อทะนงตนเล็กๆ ว่าตนเองแตกต่างจากคนอื่นๆ สามารถทำให้ผู้อาวุโสสำนักแห่งความมืดรับตนเข้าเป็นศิษย์ได้ อีกทั้งยังมีศิษย์พี่ที่แกร่งกล้าระดับสังหารจักรพรรดิสวรรค์แล้วยังอยู่รอดมาจนถึงปัจจุบันผู้นี้อีกด้วย

สิ่งนี้รวมถึงภูมิหลังที่มาของเขานั้น หลายอย่างกลายเป็นฐานรากที่อยู่ในหัวใจของเขา และได้กลายเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขาอุ่นใจและปลอดภัยในเวลาเดียวกัน ดังนั้นก้นบึ้งหัวใจของหวังเป่าเล่อย่อมเคารพศิษย์พี่จนถึงที่สุด อีกทั้งเชื่ออีกฝ่ายจนหมดใจ

ดังนั้นแล้ว…หากศิษย์พี่แสดงท่าทีเพียงนิดเดียว เขาก็จะพุ่งเข้าไปยังวงแหวนปราณอย่างไม่ลังเล ประโยคเดียวของศิษย์พี่ หวังเป่าเล่อย่อมเข้าไปจัดการให้แล้วเสร็จโดยไม่ลังเลสักนิด

แม้ว่าหลังจากที่ศิษย์พี่หลอมรวมกับเต๋าสวรรค์แล้วเปลี่ยนไป อีกทั้งยังเริ่มทำตัวแปลกแยก อย่างไรก็ดี แม้หวังเป่าเล่อลึกๆ แล้วจะมึนงง หรือเกิดความคิดสับสนมากน้อย แต่เขาก็ยังคงตั้งมั่น….ว่าจะต้องช่วยศิษย์พี่ให้ได้

เนื่องด้วยเหตุสัมพันธ์บางประการเหล่านี้ จึงยังคงมีหวังเป่าเล่อที่มุ่งหน้าสุดกำลัง และยังมีการเดินทางไปยังสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดครั้งนี้ด้วย

แต่ในพริบตานี้…น้ำเสียงราบเรียบของหวังเป่าเล่อ กลับเอ่ยออกมาเพียงแค่ห้าคำเท่านั้น แต่ห้าคำนี้แฝงไปด้วยความรู้สึกสับสนเป็นที่สุด

มันมีทั้งความสับสน ลังเลใจ และมึนงง

สับสนเพราะว่า ความดีที่ศิษย์พี่มีต่อเขานั้น เมื่อเปรียบเทียบกับการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ความแตกต่างที่แม้ในใจเขาจะรู้สึกไม่ยินดี แต่ก็ไม่ถึงกับรับไม่ได้ ทว่าหากนี่เปลี่ยนเป็นตัวท่านอาจารย์….อีกฝ่าย…ไม่มีทางรับได้แน่!

ลังเลก็เพราะการที่ตนพบกับอาจารย์ และพบอดีตศิษย์พี่ตอนนี้ เขาควรปฏิบัติตนเช่นไร แล้วควรตัดสินใจอย่างไร

และที่มึนงงนั้นเป็นเพราะเขาไม่รู้ ว่าเหตุใดเรื่องราวจึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่ไม่ได้ผิด ท่านอาจารย์เองก็ไม่ผิด ตนก็ไม่ได้กระทำผิดเช่นกัน แต่เพราะเหตุใด…ถึงได้มีจุดจบที่เจ็บปวดฉีกกระชากหัวใจถึงเพียงนี้

แต่แล้วในท้ายที่สุด…แววตาของหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนเป็นแน่วแน่อีกครั้ง เขาไม่ลังเลใจอีก อีกทั้งยังไม่สนใจความมึนงงนี้ของตนเองด้วย หวังเป่าเล่อสะกดข่มความสับสัน ยามนี้ตัวเขาคิดเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือ…

เขาไม่มีทางยอม!

ไม่ยอมให้ศิษย์พี่ทำเช่นนี้ และจะไม่ยอมให้ท่านอาจารย์ต้องดับสลายไปเพราะสาเหตุนี้เช่นกัน!

ดังนั้น…ยามที่เขาเอ่ยปาก ตะโกนออกไปจึงไม่ใช่คำว่าศิษย์พี่อีกต่อไป แต่กลับเป็น…เฉินชิงจื่อ สามคำนี้!

การเรียกขานเช่นนั้นแสดงให้เห็นความแน่วแน่และทางเลือกของเขา อีกทั้งยังแสดงถึงความโกรธ น้ำเสียงทั้งหมดที่แผ่ออกมานั้นระเบิดออกไปพร้อมกับพลังฝึกตนของหวังเป่าเล่อ จิตวิญญาณเทพของเขาสะท้านหวั่นไหว หลังจากนั้นเงาร่างมายาสูงใหญ่ก็ลอยขึ้นเบื้องหลัง

กล้ามเนื้อของหวังเป่าเล่อระเบิดออก เส้นโลหิตพลันกลายเป็นพายุคลั่ง พลังแผ่กระจายไปทั่วสารทิศอย่างรุนแรง สะท้านฟ้าสะเทือนดิน

ยิ่งไปกว่านั้นกลางอากาศเหนือศีรษะของเขา พลันมีดวงเนตรปีศาจลอยอยู่ ส่วนบริเวณว่างเปล่าด้านหลังนั้น พลันมีดาวเคราะห์เต๋าดารานิรันดร์และเหล่าดาราอื่นๆ จัดเรียงตามลำดับเก้าดวง ดาวเคราะห์พิเศษนับหมื่นดวงล้วนทอประกายแสง พวกมันกลายเป็นเงาร่างของเทพวัว แผ่อำนาจไพศาล!

หวังเป่าเล่อยามนี้ เส้นผมปลิวสะบัดแม้ไร้แรงลม พลังปราณทั่วร่างแผ่กระแสคลื่นที่แม้แต่ระดับจักรพิภพปกติยังต้องสะท้าน โดยเฉพาะประกายคมปลาบในดวงตานั้นรุนแรงเป็นที่สุด

ชั่วพริบตา เหล่าผู้ฝึกตนรอบด้านของสำนักแห่งความมืดล้วนคุกเข่า บุรุษและสตรีบุตรแห่งความมืดหยินหยางที่รวมร่างกันเมื่อครู่ล้วนคุกเข่าลงเช่นกัน ร่างหนึ่งค่อยๆ ก้าวเข้ามาทีละก้าว เรือนร่างสูงโปร่ง หน้าตางดงาม ทั้งร่างนั้นเผยกระแสเต๋าไร้ขีดจำกัด ตัวตนนั้นแท้จริงนั้นก็คือเต๋าสวรรค์ อีกทั้งหว่างคิ้วของคนผู้นี้ยังมีเค้าลางตราประทับของปลาดำ แต่แล้วย่างเก้านี้…ก็พลันต้องหยุดชะงักลง!

ในแดนดินแห่งนี้ มีน้อยคนนักที่จะทำให้เขาหยุดชะงักได้ และในบรรดานี้ผู้ที่พลังฝึกตนอ่อนด้อยที่สุดก็คือ หวังเป่าเล่อ

หยุดชะงัก นิ่งเงียบ แล้วก็เพ่งมอง

เฉินชิงจื่อทอดสายตามองหวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่อเองก็มองสบตาเขาเช่นเดียวกัน หนึ่งแววตาสงบนิ่ง อีกหนึ่งโกรธเคืองคมปลาบ ไม่เอ่ยสิ่งใด

กระทั่งชั่วอึดใจให้หลัง เสียงถอนหายใจหนึ่งก็ดังออกจากด้านหลังของหวังเป่าเล่อ

“เป่าเล่อ ให้อาจารย์ดูศิษย์พี่ของเจ้าสักหน่อย”

หวังเป่าเล่อซึ่งยืนอยู่เบื้องหน้าหมิงคุนจื่อและกำลังบดบังวิสัยทัศน์อยู่นั้น หลังจากจมอยู่ในภวังค์และถอนหายใจหลายครั้ง ก็ยอมหลีกทาง ทว่าต่อให้ยืนอยู่อีกด้านหนึ่ง เขายังไม่ยอมสลายพลังเต๋าออกแม้เพียงนิดเดียว และการหลีกทางให้ของเขานี้ ก็ทำให้สายตาของเฉินชิงจื่อประสานเข้ากับดวงตาของอาจารย์ตนเองโดยพลัน

“อาจารย์” เป็นครั้งแรกที่เฉินชิงจื่อเปล่งเสียงออกมานับแต่มาที่นี่ น้ำเสียงนั้นยังคงอ่อนโยนเหมือนเก่า ไม่มีนัยคุกคาม แต่ความอ่อนโยนในกระแสเสียงที่คล้ายต้องการจะมอบความอบอุ่นให้นั้น กลับทำให้คนรู้สึกแปลกหน้าและเย็นชา

“เฉินชิงจื่อ เจ้าหาซากของจักรพรรดิแห่งความมืดเจอได้เช่นไร แล้วจะทำอย่างไรต่อ?” หมิงคุนจื่อมองศิษย์ผู้นี้ของตน เขาเหม่อลอยในชั่วครู่แต่แล้วก็กลับเป็นปกติทันที ก่อนจะเอ่ยปากเสียงทุ้ม

“อาจารย์…” หวังเป่าเล่อพลันร้อนรนขึ้นมา เขาอยากจะเอ่ยปาก แต่ในพริบตานั้นหมิงคุนจื่อก็ยกมือขวาขึ้น ชี้มาทางหวังเป่าเล่อ ตอนนั้นเองพลังของดัชนีพลันก่อเกิดกระแสอันดุดันออกมา โลงศพจักรพรรดิแห่งความมืดด้านหลังนั้น ยิ่งส่งเสียงคำรามหนักกว่าเก่ามันระเบิดขุมพลัง โคมวิญญาณสามดวงด้านบนมีเพลิงลุกโชติช่วงกระจายขึ้นสูง ทำให้ทั้งสุสานส่องสว่างในพริบตา

แม้ว่าร่างเนื้อของหวังเป่าเล่อจะแข็งแกร่ง ดวงวิญญาณเทพเองก็ไม่ธรรมดา พลังฝึกปรือและวิชาเทพของเขาเองก็ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก แต่ความสนใจของเขาทั้งหมดล้วนอยู่ที่ตัวเฉินชิงจื่อทางด้านนั้น สำหรับท่านอาจารย์ย่อมไม่ได้คิดป้องกัน อีกทั้งพลังฝึกปรือของพวกเขาทั้งสองก็ต่างกันอย่างมาก เช่นนี้เองในจังหวะที่หมิงคุนจื่อยกนิ้วขึ้นมา ร่างกายของหวังเป่าเล่อจึงสั่นสะท้านรุนแรง รู้สึกราวกับถูกเส้นด้ายจำนวนมากพันรัดเอาไว้แน่นหนา กระทั่งยังห้ามไม่ให้เขาเปล่งเสียงใดออกมาได้!

“ศิษย์น้องเล็กของเจ้าให้ความสำคัญกับสายสัมพันธ์ เจ้าอย่าได้โทษเขาเลย” หมิงคุนจื่อหันหน้า ใช้สายตาอบอุ่นมองหวังเป่าเล่อ ในแววตาแฝงประกายยอมจำนนและทอดถอนใจ หลังจากนั้นเขาก็หันกลับไปมองเฉินชิงจื่อ ความอบอุ่นอ่อนโยนล้วนหายไปสิ้นแล้ว ดวงตาแทนที่ด้วยความสับสน

เฉินชิงจื่อเงียบไปครู่ใหญ่ เขาไม่ได้มองหวังเป่าเล่ออีกแต่รักษาระยะห่างเอาไว้ประมาณร้อยจั้ง มองไปยังหมิงคุนจื่อพร้อมน้อมกายคำนับ เอ่ยปากออกมาค่อยๆ

“อาจารย์ ศิษย์ย่อมไม่อาจโทษศิษย์น้องเล็ก ส่วนคำถามของอาจารย์ก่อนหน้า ในใจศิษย์มีคำตอบแต่แรกแล้ว”

“ตัวศิษย์หลอมรวมกับเต๋าสวรรค์ แต่กลับไม่อาจไปจากดาราจักรโลกันตร์ได้นาน เหตุที่ถูกล่ามเอาไว้ในที่นี้ ส่วนใหญ่เลยเป็นเพราะไม่อาจแบกรับสสารของเต๋าสวรรค์ได้”

“ดังนั้น ศิษย์จึงต้องการซากจักรพรรดิแห่งความมืดเข้าสู่ร่าง เพื่อให้เต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดเราสามารถสำแดงพลังเต็มที่ได้ อีกทั้งยังช่วยให้สำนักแห่งความมืดของเราออกจากดาราจักรโลกันตร์ได้ กลับเข้าสู่สังสารวัฏของโลกคนเป็น”

“ยังคงขอให้ท่านอาจารย์…ช่วยข้าให้สมปรารถนา” เฉินชิงจื่อกล่าวคำก่อนโน้มตัวลงเช่นเก่า

หวังเป่าเล่อร่างกายสั่นสะท้าน คิดอยากเอ่ยคำพูดบางอย่างแต่กลับพูดไม่ออก เขาไม่อาจแม้แต่ส่งกระแสจิต ทำได้เพียงมองเห็นศิษย์พี่ของตนนิ่งเงียบและถอนหายใจ จากนั้นก็หันหน้ามามองตนเองอย่างลึกซึ้งคราหนึ่ง ดวงตานั้นแฝงแววแน่วแน่และยิ่งกว่านั้นคือชื่นชม

ที่แน่วแน่เป็นเพราะตัดสินใจได้แล้ว ส่วนที่ชื่นชมนั้นก็เป็นเพราะได้พบตนเอง

ร่างกายของหวังเป่าเล่อกลับสะท้านหนักกว่าเก่า เขาได้ยินหมิงคุนจื่อ พึมพำเสียงเบา

“เฉินชิงจื่อ อาจารย์สามารถมอบซากจักรพรรดิแห่งความมืดให้แก่เจ้าได้ แต่ว่าข้ามีข้อแม้หนึ่งอย่าง ซึ่งเจ้าต้องตอบรับ!”

“อาจารย์โปรดกล่าว” เฉินชิงจื่อไม่ค้อมตัวอีก เขาเงยหน้าขึ้นมองหมิงคุนจื่อ

“เต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดรวมถึงผู้อยู่ใต้บัญชา ผู้ฝึกตนของสำนักแห่งความมืดรวมถึงตัวเจ้าเอง สามารถไปยังศิลาที่ถูกผนึกได้ สามารถไปทำสิ่งที่เจ้าต้องการทั้งหมดได้ ทว่า…เจ้าไม่อาจทำร้ายศิษย์น้องเล็กของเจ้าแม้เพียงนิด หากวันใด เขาคิดจะไปที่โลกแห่งศิลา ห้ามตรวจสอบ ห้ามหยุดเขา ห้ามกักกันและห้ามรบกวนเขา!”

“หากเจ้าสามารถทำได้ วันนี้…อาจารย์จะช่วยให้เจ้าสมหวัง เป็นอย่างไร!” หมิงคุนจื่อเงยหน้า ดวงตาฉายประกายแสงพรั่นพรึงออกมาวูบหนึ่ง ก่อนที่จะโชนแสงกลายเป็นคมปลาบ ประสานสายตากับดวงตาคู่นั้นของเฉินชิงจื่อ!

“เสียทีน้องเจ้าสิ!” เส้นเลือดกระจายไปทั่วตาหวังเป่าเล่อ เกือบจะทันทีที่บุตรแห่งความมืดหยินหยางรวมเป็นหนึ่งผู้นั้นเผชิญหน้าเข้ามา เขาก็ส่งเสียงคำราม

เสียงคำรามมีความเดือดดาล ซ้ำยังแฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่ง ทำให้ทั้งโลกหวาดผวา ความว่างเปล่าหมุนไปรอบด้าน แม้กระทั่งแม่น้ำแห่งความมืดด้านนอกก็ยังสั่นสะเทือน ขณะที่คำรามอยู่นั้นเอง ร่างของหวังเป่าเล่อไม่เพียงแต่ไม่หลบเลี่ยง ในทางตรงข้ามกลับก้าวไปข้างหน้า ทั้งร่างคล้ายกับเป็นภูเขาลูกหนึ่งที่ก่อเกิดความบ้าคลั่ง ตรงเข้าไปปะทะบุตรแห่งความมืดที่เผชิญเข้ามาผู้นี้

ทันทีที่ทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน บุตรแห่งความมืดหยินหยางรวมหนึ่งนั้นช่างทรงพลังนัก ตอนที่ยังไม่รวมร่างกัน ร่างของทั้งสอง เดิมทีต่างก็เป็นถึงดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรแล้ว พลังต่อสู้ไม่ธรรมดา ต้นทุนธรรมชาติยิ่งน่าผวา ตอนนี้หลังจากรวมตัวเป็นหนึ่ง การระเบิดพลังต่อสู้ไม่ซ้ำซ้อน ทว่าระเบิดเป็นเท่าทวีคูณ ทำให้ร่องรอยพลังงานของมัน…ได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว ณ เวลานี้

วิญญาณเทพของมัน… พริบตานั้นก็ถึงระดับร้อยก้าวของดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร ยิ่งกว่าเหนือชั้น เหยียบเข้าสู่ระดับจักรพิภพ ส่วนชั้นกายเนื้อของมันแม้จะต่ำกว่าบ้าง แต่ก็อยู่ในสถานะยี่สิบ สามสิบมสิบก้าวของดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร ย่างเข้าสู่ระดับจักรพิภพ

มีเพียงฐานฝึกตนที่ไม่ได้เป็นเช่นนี้ มันไม่ได้ย่างเข้าสู่จักรพิภพ แต่ก็ยังเป็นสามสิบกว่าก้าวของดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร กล่าวได้ว่า…คนผู้นี้ นับเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าระดับสุดยอดที่อาจพบได้ในโลก

ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงภายในดาราจักรโลกันตร์แล้ว เขาไม่เป็นรองผู้ใด เป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าอันดับหนึ่งก่อนหวังเป่าเล่อจะมา

แต่…เมื่อเทียบกับหวังเป่าเล่อก็ยังต่ำกว่าอยู่บ้าง ด้านที่เขาต่ำกว่าคือชั้นกายเนื้อ ส่วนอีกด้านหนึ่ง…ก็คือการสู้ไม่ถอย และไม่มีการประนีประนอม

ท่ามกลางเสียงร้องก้อง หวังเป่าเล่อและบุตรแห่งความมืดปะทะกันในทันที ขณะร้องคำรามก้องฟ้า ร่างหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน ถอยกลับไปหลายก้าว ด้านบุตรแห่งความมืดหยินหยางรวมหนึ่งนั้น บ้าคลั่งไปทั้งร่างถอยออกไปไกลกว่าสิบจั้ง เลือดไหลออกมาจากมุมปาก

การประะมือครั้งแรกของสองฝ่าย หวังเป่าเล่อชนะในความแข็งแกร่งของชั้นกายเนื้อ และแม้ระดับฝึกตนจะไม่เทียบเท่า แต่เขาเป็นพรดาวเคราะห์เต๋า นั่นจึงสามารถชดเชยให้เขาได้ ส่วนวิญญาณเทพ แม้วิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อยังไม่ขึั้นถึงระดับจักรพิภพ แต่มองเฉพาะด้านพลังแห่งชั้นกายเนื้อ เขาย่อมเป็นต่อ

เพียงแต่…ด้วยความไม่เท่าเทียมของวิญญาณเทพและระดับฝึกตน ดังนั้นบุตรแห่งความมืดที่หยินหยางรวมหนึ่งนั้นจึงสังเกตได้ในทันที ด้านกระบวนเวทพลังเทพของหวังเป่าเล่อด้อยกว่าเล็กน้อย ดังนั้นขณะที่บุตรแห่งความมืดหยินหยางรวมหนึ่งนี้ถอยกลับไป สองมือก็ผนึกมุทรา ปล่อยร่องรอยพลังงานสีเทาจำนวนมากออกมาทันที ร่องรอยพลังงานเหล่านี้ก่อตัวเป็นสัตตบงกชสีเทาดอกหนึ่งที่มีสิบสองกลีบอยู่ด้านหลังเขา

“หวังเป่าเล่อ แม้เจ้าจะเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋า แต่ตรงนี้…ภายใต้สัตตบงกชสีเทาเต๋า เจ้าทำไม่ได้”

ขณะที่กล่าวออกมา ตรงหน้าบุตรแห่งความมืดหยินหยางรวมหนึ่ง ดอกบัวนั้นหมุนเปลี่ยน กลีบดอกร่วงหล่นทีละกลีบอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเจดีย์เต๋า เจดีย์เต๋าเหล่านี้สีพื้นคือสีเทา แต่ขณะที่ลอยออกไปกลับส่องประกายหลากแสงสี มีกฎเกณฑ์และกฎเวทมากมายรวมอยู่ในนั้น

ตามแหล่งที่มาของกฎเกณฑ์และกฎเวท แรงที่ฉุดทั้งหมดย่อมเป็นเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืด และก็คือ…ภายในความว่างเปล่าเหนือท้องฟ้า เต๋านั้นทำให้ร่างในใจของหวังเป่าเล่อฉีกขาด!

ร่างนี้แม้ไม่ได้ลงมือ แต่ในฐานะที่เป็นเต๋าสวรรค์ ดวงจิตของเขาย่อมไม่ผ่านการลงมือ เวลานี้เจดีย์เต๋าเหล่านี้ส่องประกาย แต่ละองค์มีพลังที่มหาศาลตรงเข้ามากำราบหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นทันที พลังชั้นกายเนื้อได้ขึ้นสู่จุดสูงสุดแล้ว ปราณโลหิตที่น่าหวาดผวาระเบิดอยู่ภายในร่าง จากนั้นจึงก่อเกิดปราณโลหิตระเบิดอยู่นอกร่าง แผ่กระจายไปทั่วภูเขาและมหาสมุทรโดยรอบ

“เจดีย์เต๋า…เจ้าเข้าใจว่าสิ่งใดคือเต๋าหรือไม่!” สายตาหวังเป่าเล่อส่งประกายสังหาร ขณะที่พลังชั้นกายเนื้อระเบิดมือขวาก็กำหมัด ส่งตรงไปที่เจดีย์เต๋าแต่ละอันที่เผชิญเข้ามา

หนี่งหมัด สองหมัด สามหมัด…หวังเป่าส่งออกไปเจ็ดหมัดภายในลมหายใจเดียว

แต่ละหมัด ล้วนตกลงไปบนเจดีย์เต๋าส่งเสียงก้องไปรอบทิศ แต่ละครั้งที่ตกลงล้วนเป็นพลังทั้งหมดของหวังเป่าเล่อที่ส่งออกไป เส้นเลือดนับไม่ถ้วนบนร่างของเขาปูดขึ้น เวลานี้พลังปราณโลหิตของเขาดูเหมือนจะครอบคลุมไปทั่วท้องฟ้า

ท่ามกลางเสียงร้องก้อง เจดีย์เต๋าเหล่านั้นต่างทลายลง และหลังจากผ่านไปเจ็ดหมัด เจ็ดเจดีย์ก็แหลกละเอียด!

การแตกกระจายแต่ละครั้ง มีเศษชิ้นส่วนกระจัดกระจายไปทั่ว มันพังทลายอย่างต่อเนื่อง จนทำให้เสียงที่ส่งมานั้นไม่สิ้นสุด ความว่างเปล่ารอบด้านล้วนบิดเบี้ยว โลกด้านนอกแม่น้ำแห่งความมืดยิ่งเกิดการม้วนตัวมากขึ้น

แท้จริงแล้วการลงมือของคนทั้งสอง ฝีมือต่อสู้เหนือกว่าขั้นจักรพิภพปกติ ทว่า แต่ละหมัดของหวังเป่าเล่อ ล้วนสามารถจู่โจมสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพชั้นต้นได้ และพลังเทพของเคล็ดวิชาลับที่บุตรแห่งความมืดหยินหยางรวมหนึ่งนั้นสำแดงกลายเป็นเจดีย์เต๋าก็เป็นเช่นนี้!

พลังเทียมฟ้า!

ก่อนหน้านั้นไม่นาน เมื่อเข้าต่อสู้กับหวังเป่าเล่อ ใบหน้าของผู้ฝึกตนพวกนั้นที่ถูกเขาขัดขวางก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน แม้แต่ผู้เฒ่าจักรพิภพสามท่านก็ล้วนเป็นเช่นนี้ต่างมีสีหน้าประทับใจมาก

ความจริงแล้วหวังเป่าเล่อขณะนี้ ทั้งร่างดูเหมือนดาวมฤตยู ภายใต้การปราบปรามอย่างบ้าระห่ำของเจดีย์เต๋า

เพียงแต่… พวกเขาก็ดูออกว่า เวลานี้ชั้นกายเนื้อของหวังเป่าเล่อได้มาถึงขีดสุดแล้ว ยังมีอีกห้าเจดีย์ที่ตามมา พร้อมด้วยพลังทำลายล้าง ร้องก้องเข้ามา

กระนั้น… แม้ความคิดของพวกเขาจะถูกต้อง แต่ก็ไม่แม่นยำ

นี่ไม่ใช่ขีดจำกัดของหวังเป่าเล่อ แม้วิญญาณเทพและระดับฝึกตนจะไม่เทียบเท่า แต่เขายังมีร่างแห่งการตระหนักรู้ในอดีตชาติ ขณะต่อมา…ร่างของหวังเป่าเล่อพลันปรากฏเงาทับซ้อน ร่างเผ่าเทพอัคคีออกมาทันที คำรามก้องมุ่งไปทางเจดีย์เต๋า

จากนั้นร่างผีดิบ ร่างทหารอาฆาต ผู้ฝึกตนวิญญาณแค้น รวมทั้งกวางขาวน้อยก็ปะทะเข้าไปอย่างแรง

ร่างของชาติที่ห้าเกือบจะชนกับเจดีย์เต๋าทั้งห้าในเวลาเดียวกัน ฟ้าดินแผดเสียง แม่น้ำแห่งความมืดบังเกิดคลื่นใหญ่ สุสานจักรพรรดิแห่งความมืดระเบิดระลอกคลื่นสะเทือนฟ้าดิน เจดีย์เต๋าสิบสององค์จึงพังทลายลงทั้งหมด!

และบุตรแห่งความมืดหยินหยางรวมหนึ่งนั้น เวลานี้ภายใต้แรงสะท้อนกลับ มันกระอักเลือดออกมา ขณะที่ร่างถอยกลับไปไม่หยุด เส้นโลหิตสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางหว่างคิ้ว นี่ไม่ใช่อาวุธคมที่ตัดขาด แต่คือ…ตัวมันเองในขณะที่แรงสะท้อนกลับ สภาพการผนึกกายของหยินหยางภายในร่างตอนแรกก็ถูกทำลายอย่างรุนแรง

ท้ายที่สุด… มันยังไม่สมบูรณ์แบบ!

เว้นแต่จะสามารถฝึกตนและก้าวเข้าสู่จักรพิภพ มิฉะนั้นแล้ว เส้นทางหยินหยางแห่งการรวมเป็นหนึ่งของชีวิตและความตายที่เลือกเดินนี้ ก็จะยังมีข้อบกพร่อง เวลานี้ท่ามกลางเสียงร้อง ขณะที่กระอักเลือดออกไม่หยุด รอยแตกบริเวณหว่างคิ้วก็ยิ่งแดงขึ้น กระทั่งเมื่อถอยไปถึงร้อยจั้งแล้ว ร่างของมันพลันสั่นเทา และแยกออกจากกัน กลายเป็นเงาร่างชายหนึ่ง หญิงหนึ่งตามเดิม จากนั้นจึงมองไปทางหวังเป่าเล่ออย่างไม่ยินยอม

ด้านหวังเป่าเล่อ เวลานี้ถอยร่างกลับไปเช่นกัน เขาถอยไปกว่าสามสิบจั้ง จนถึงเบื้องหน้าร่างของหมิงคุนจื่อ จึงกระอักเลือดออกมา หวังเป่าเล่อไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่เลือดที่กระอักออกมาเกิดจากชั้นกายเนื้ออ่อนล้า ขณะเดียวกันวิญญาณเทพและระดับฝึกตนของเขาก็สูญเสียไปมาก แต่ยังคงมี…พลังต่อสู้!

“ท่านอาจารย์ ข้าไม่เอาซากศพจักรพรรดิแห่งความมืดแล้ว!” หวังเป่าเล่อหายใจหอบ สายตาแสดงความแน่วแน่ หมิงคุนจื่อจ้องไปที่หวังเป่าเล่อด้วยความเมตตา ความปลาบปลื้มท่วมท้น ท้ายที่สุดก็พยักหน้ากำลังจะเอ่ยปาก

แต่ในขณะที่เขาพยักหน้านั้น เสียงถอนหายใจค่อยๆ ส่งออกมาจากท้องฟ้านอกโลก จากในความว่างเปล่าของดาราจักรโลกันตร์ ตอนนั้นเอง เงาร่างสายหนึ่งจากด้านนอกแม่น้ำแห่งความมืดก็มุ่งไปทางสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด ก้าวเข้าไป…ทีละก้าว!

ขณะที่เขาเดินมา แม่น้ำแห่งความมืดพลันแยกออกจากกัน

ขณะที่เขาเดินมา สุสานจักรพรรดิแห่งความมืดพลันสั่นสะเทือน

ขณะที่เขาเดินมา สัตตบงกชสีดำพลันปรากฏขึ้นใต้ฝ่าเท้าของเขา

ขณะที่เขาเดินมา… ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดทั้งหมด ณ ที่แห่งนี้ รวมทั้งรักษาการบุตรแห่งความมืดที่แยกร่างชายหญิงต่างคุกเข่าโดยพร้อมเพรียง สีหน้าแสดงความกระตือรือร้นและความนับถือ

หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นและจ้องไปยังร่างนั้น ดวงตาของเขาดูสับสน ลังเล และมึนงง แต่สุดท้าย… กลับกลายเป็นความแน่วแน่

“เฉินชิงจื่อ หยุดก่อน!”

นี่คือความจริงที่หมิงคุนจื่อไม่ได้บอกหวังเป่าเล่อ

หมิงคุนจื่อที่อยู่ตรงนี้ไม่ใช่ชั้นกายเนื้อ แท้จริงแล้วในการต่อสู้คราวนั้น หมิงคุนจื่อได้ดับสูญไปแล้ว เพียงแต่ว่าระหว่างเขาและจักรพรรดิแห่งความมืดมีความสัมพันธ์บางอย่างที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ ดังนั้นเขาจึงอยู่ที่นี่เพื่อฟื้นตัว

ด้วยเหตุนี้จึงได้เกิดนิมิตมืดขึ้นมา และเรื่องรับหวังเป่าเล่อไว้เป็นศิษย์ ทุกสิ่งย่อมมีค่าตอบแทน หมิงคุนจื่อที่ฟื้นตัวอยู่ที่นี่เป็นเพียงร่างวิญญาณ ภารกิจของเขาไม่ใช่เรื่องการเวียนว่ายของสำนักแห่งความมืดแทนเต๋าสวรรค์อีกต่อไป หากแต่ภารกิจของเขา…คือปกป้องสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด

สุสานจักรพรรดิแห่งความมืดไม่อนุญาตให้ผู้ใดมารบกวน แม้จะเป็นศิษย์สำนักแห่งความมืดก็เช่นกัน หากมาที่นี่ เป็นการไม่ให้ความเคารพ

ดังนั้น…หากคิดจะนำซากศพจักรพรรดิแห่งความมืดไป สิ่งที่ต้องทำก็คือทำให้หมิงคุนจื่อดับสูญไปอย่างแท้จริง หากเขาดับสูญอย่างสมบูรณ์แล้ว โลงศพจักรพรรดิแห่งความมืดจะเปิดออกได้เอง

หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่นมาที่แห่งนี้ ไม่อาจได้ซากศพจักรพรรดิแห่งความมืดไปอย่างแน่นอน แม้หมิงคุนจื่อจะเป็นร่างวิญญาณ แต่ก็เคยเป็นเก้าผู้อาวุโสสำนักแห่งความมืดมาก่อน ระดับฝึกตนของเขาเทียมฟ้า พลังล้ำลึกยากที่จะหยั่งได้ ไม่ต้องกล่าวถึงสำนักแห่งความมืดตอนนี้ แม้จะเป็นจักรพรรดิสวรรค์หลายท่านของตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่ที่นี่ ก็จนปัญญา

เฉินชิงจื่อแม้จะเป็นศิษย์ของเขา แต่ก็นำไปไม่ได้เช่นกัน เพราะ…นี่คือหลักการและภารกิจของหมิงคุนจื่อ เขาจะไม่ละเว้น และไม่ยินยอม ทว่ามีเพียง…หวังเป่าเล่อเท่านั้น ที่เป็นจุดอ่อนของเขา

เขาสำนึกเสียใจที่รับหวังเป่าเล่อไว้เป็นศิษย์ เพราะเห็นความทนทุกข์ของหวังเป่าเล่อ เห็นแรงกดดันที่หวังเป่าเล่อได้รับ และขณะที่ทุกข์ใจ เขาก็ชื่นชมหนทางเต๋าของหวังเป่าเล่อ ชื่นชมที่หวังเป่าเล่อไม่เปลี่ยนความตั้งใจเดิม

แต่สุดท้าย…ก้นบึ้งของหัวใจยังรู้สึกผิด ดังนั้นมีเพียงหวังเป่าเล่อที่จะสามารถทำให้เขาสะท้อนใจได้ ทำให้เขาไม่สามารถปฎิเสธได้ และเลือกฝ่าฝืนเส้นทางของตนเอง เลือก…ที่จะเติมเต็มศิษย์ของตนผู้นี้

ทั้งหมดนี้ เฉินชิงจื่อรู้ดี หากเปลี่ยนเป็นก่อนหน้าที่ยังไม่หลอมรวมเต๋าสวรรค์ บางทีเฉินชิงจื่อคงทำเรื่องเช่นนี้ไม่ได้ แต่หลังจากหลอมรวมเต๋าสวรรค์แล้ว…เขาเป็นเต๋าสวรรค์ก่อน จากนั้นจึงเป็นเฉินชิงจื่อ

ดังนั้น จึงได้มีการมาของหวังเป่าเล่อ

นี่เป็นแผนการ แผนที่หมิงคุนจื่อไม่ยอมบอก เฉินชิงจื่อเลือกใช้แผนการล้ำลึก

ร่างหวังเป่าเล่อสั่นเทา สิ่งที่ขวดปรารถนานำมาให้เขา ไม่เพียงเป็นสายตาทะลวงความจริง ซ้ำยังทะลวงความคิดของแผนการ แม้จะภายในชั่วเวลาสั้นๆ ก็มีคำตอบมากมายผุดขึ้นในก้นบึ้งของหัวใจ

ในขณะที่คำตอบนี้ผุดขึ้น ฉับพลันนั้นก็ปรากฎริ้วเลือดขึ้นในดวงตาของเขา หวังเป่าเล่อแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าทันที นี่เป็นครั้งแรกที่เขา…ใช้สายตาเช่นนี้มองไปที่นั่น…ร่างที่ทั้งคุ้นเคยและแปลกหน้า!

แม้ในสำนักแห่งความมืด หวังเป่าเล่อจะถูกขับไล่ แม้นอกแม่น้ำแห่งความมืด หวังเป่าเล่อจะถูกต่อต้าน เขาไม่เคยแยแส ทว่า ตอนนี้…ฟางเส้นสุดท้ายของเขาได้มาถึงแล้ว สายตาของเขามีความกรุ่นโกรธ มีความไม่อยากเชื่อ มีการต่อสู้ ก่อนจะคำรามเสียงต่ำออกมา

“ศิษย์พี่ นี่เป็นเรื่องจริงหรือ”

เฉินชิงจื่อนิ่งเงียบ

หวังเป่าเล่อยิ้มขื่น และถอยกลับในทันที เสียงชราของหมิงคุนจื่อ ดังก้องไปทั่วทิศ

“เป่าเล่อ!”

หวังเป่าเล่อชะงักฝีเท้า มองไปทางอาจารย์ ในใจเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม เต็มไปด้วยความสูญเสียที่ระบายออกมาไม่ได้

“เมื่อครู่เจ้าถามอาจารย์ เหตุใดจึงกล่าวว่าเต๋าของเจ้ายังไม่สมบูรณ์ ตอนนี้อาจารย์จะให้คำตอบแก่เจ้า” หมิงคุนจื่อกล่าวออกมาช้าๆ สีหน้ายังคงอบอุ่น สายตาแห่งความรักและเมตตายิ่งล้ำลึก

“การตระหนักรู้เต๋าของเจ้าในครั้งแรก แม้จะสำเร็จ แต่หลักของเต๋ายังไม่มั่่นคง ด้วยเหตุนี้วิญญาณทั้งหมด ต่างก็เป็นภาพลวง มิใช่แท้จริง…ดังนั้น หากต้องการทำให้เต๋าของเจ้าก่อขึ้นอย่างแท้จริง เจ้าต้อง…ทำให้ดวงวิญญาณที่แท้จริงพ้นทุกข์”

“และข้า ก็คือดวงวิญญาณนี้ ดวงวิญญาณที่เตรียมไว้ให้เจ้า ทำให้อาจารย์พ้นทุกข์เถอะ เจ้าข้าอาจารย์ศิษย์ เริ่มจากนิมิตอันยิ่งใหญ่ สุดท้ายจบลงที่สุสานนี้”

หวังเป่าเล่อร่างกายสั่นสะท้าน ดวงตาแดงก่ำ ร่างกายของเขาขยับถอยหลังอีกครั้งมองไปที่อาจารย์ ดวงตาเผยให้เห็นถึงความแน่วแน่ จากนั้นจึงค่อยๆ ส่ายหน้า

พ้นทุกข์ นี่เป็นวิธีกล่าวของสำนักแห่งความมืด ในความเป็นจริงก็คือดับสูญ แม้จะวาดใบหน้าซากศพใหม่ ลิขิตชะตากรรมใหม่ เข้าสู่การเวียนว่ายใหม่ แต่…ผู้นั้นหลังจากการเวียนว่าย ไม่ใช่อาจารย์ของตนอีกต่อไป

คนนอกอาจไม่ได้เข้าใจเช่นนั้น แต่หวังเป่าเล่อในฐานะที่เป็นบุตรแห่งความมืด เหตุใดเขาจะไม่รู้ว่า หลังจากการเวียนว่าย แม้จะมีต้นกำเนิดเดียวกัน แต่ก็มิใช่ร่างเดิม

ในโลกนี้ เดิมทีก็ไม่มีดอกไม้ใดที่เหมือนกันทุกประการ

เขาวาดใบหน้าซากศพให้ผู้อื่นและส่งกลับไปเวียนว่ายตายเกิด หวังเป่าเล่อทำเรื่องพวกนี้ได้ด้วยอารมณ์มั่นคง แต่หากลงมือให้อาจารย์พ้นทุกข์ด้วยตนเอง เขาย่อมทำไม่ได้ ด้วยเพราะอาจารย์ในเวลานี้ เดิมอายุยืนยาวไร้ที่สิ้นสุด และที่เรียกว่าพ้นทุกข์นั้น ก็ไม่ต่างอะไรไปกับการ…สังหารอาจารย์

“ท่านอาจารย์ ซากศพจักรพรรดิแห่งความมืด ข้าไม่เอาแล้ว!” เส้นเลือดที่หน้าผากหวังเป่าเล่อนูนขึ้น คำรามเสียงต่ำแล้วถอยกลับไปอีกครั้ง แต่ขณะที่เขาถอยกลับ ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดที่เฝ้าดูอยู่ในที่ไกลๆ เหล่านั้น ตอนนั้นเองก็มีร่างสิบกว่าร่างพลันปรากฏขึ้น พุ่งตรงเข้ามาที่นี่ในทันที

ในบรรดาคนเหล่านี้ ผู้ที่อ่อนแอที่สุดต่างเป็นดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร และยังมีสามท่านเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพ เวลานี้พวกเขารีบเร่งเข้ามา เป้าหมายไม่ใช่หวังเป่าเล่อ แต่เป็น…โลงศพ

พวกเขาต้องการดับโคมวิญญาณที่มองไม่เห็นบนโลงศพนั้น แม้จะไม่รู้วิธี แต่ก็พอตัดสินได้ เมื่อเปิดโลงแล้ว ตะเกียงก็จะดับเอง หากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่นที่หมิงคุนจื่อไม่ยินยอม แน่นอนว่าย่อมไม่อาจทำสำเร็จ แต่ยามนี้…หมิงคุนจื่อเลือกที่จะยอมจำนน

ทันใดนั้น เงาร่างเหล่านี้ก็เข้ามาใกล้ แววสังหารในดวงตาหวังเป่าเล่อปะทุขึ้นครั้งแรกในดาราจักรโลกันตร์ ระดับฝึกตนของเขาหมุนเวียน พลังแห่งกายเนื้อชั้นดาราจักรก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้น ดวงวิญญาณเทพของดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร ดูเหมือนต่างกำลังตะโกนก้อง ร่างกายก่อตัวเป็นซากเงานับสิบสาย ตรงเข้าไปขัดขวางการมาของผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดเหล่านั้น

ขณะเสียงร้องก้องดังขึ้ย ทั้งสองฝ่ายก็ตรงเข้าปะทะกันทางด้านบนของโลง นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อระเบิดออกในที่แห่งนี้ พลังขณะนั้นเทียมฟ้า ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดกว่าสิบคน เกือบทั้งหมดหลังจากปะทะกับซากเงาของหวังเป่าเล่อต่างกระอักเลือดและกลิ้งกลับไป สีหน้าแสดงถึงความประหลาดใจ

แม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์ดาราจักรสามคนนั้น ถึงจะไม่ได้กระอักเลือดออกมา แต่ร่างกายก็สั่นไหวรุนแรง เห็นได้ชัดว่าถูกหวังเป่าเล่ออาศัยพลังของชั้นกายเนื้อและดวงวิญญาณเทพ บังคับให้ถอยไปเจ็ดแปดจั้งโดยตรง

“อย่าได้บังคับให้ข้าต้องสังหาร” ผมของหวังเป่าเล่อปลิวกระจาย เลือดสดๆ ไหลออกทางมุมปาก ยามนี้เผชิญหน้ากับคนมากมายเช่นนี้ แม้จะรับไหวก็ยังได้รับบาดเจ็บ แต่แววตาสังหารของเขากลับยิ่งรุนแรง

จากที่ต้องการได้ซากศพจักรพรรดิแห่งความมืดให้ศิษย์พี่ จนถึงตอนนี้ขัดขวางสำนักแห่งความมืดไม่ให้ได้ไป อย่างแรกคือความมัวเมา อย่างหลัง…ยิ่งเป็นความมัวเมา

ใจมีความมัวเมา จึงนับว่าเป็นการฝึกตน หากไร้ความมัวเมา แม้จะอยู่ร่วมห้วงดารา จะสามารถทำสิ่งใดได้

หวังเป่าเล่อระเบิดการฝึกตนอีกครั้ง ยกมือขวาขึ้นสะบัด ทันใดนั้นแผนที่ดวงดาวด้านหลังก็กลายเป็นภาพลวงตา อาวุธเวทนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่รอบตัวเขา พร้อมกันนั้นก็ส่งประกายสะดุดตา หมิงคุนจื่อถอนใจบางเบา ก่อนจะแหงนหน้ามองเงาร่างของศิษย์อีกผู้หนึ่งของตนบนท้องฟ้า

“เจ้า..ที่แท้แล้วคิดเช่นไร”

ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดถูกบังคับให้ถอยออกไปจากรอบด้าน ทั้งหมดต่างมีสีหน้าสับสน

“บุตรแห่งความมืด เหตุใดท่านจึงต้องเป็นเช่นนี้…” หนึ่งในจักรพิภพ ในที่สุดก็ยอมรับสถานะของหวังเป่าเล่อ เวลานี้กล่าวอย่างขมขื่น

“พวกข้าทราบว่าท่านลำบาก แต่ทั้งหมดนี้ ล้วนเพื่อการเติบโตของสำนักแห่งความมืดเรา และผู้อาวุโสลำดับเก้าก็เห็นด้วย…”

“บุตรแห่งความมืด โปรดอนุญาตให้พวกเราช่วยท่านบรรลุมหาเต๋า เรื่องหลังจากนี้ พวกเราถือว่าบุตรแห่งความมืดเป็นผู้นำ” ผู้เยี่ยมยุทธ์ดาราจักรทั้งสาม ต่างกล่าวเช่นนี้ออกมา

“ไม่ได้” หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นผนึกมุทรา ทันใดนั้นแผนที่ดวงดาวด้านหลังก็ส่งเสียงร้องก้อง เงาแห่งเทพวัวจำแลง ร่องรอยพลังงานระเบิดขึ้นอีกครั้ง สั่นสะเทือนไปรอบด้านทันที เสียงหนึ่งร้องโหยหวนส่งมาแต่ไกล

เสียงที่ส่งออกมานี้ เป็นของคนสองคน หนึ่งคือสตรีที่ซ่อนพลังไว้ผู้นั้น สองคือรักษาการบุตรแห่งความมืดชายผู้นั้น ทั้งสองเวลานี้เหาะมาจากที่ไม่ไกลนัก กลายเป็นสายรุ้งสองสาย ชั่วอึดใจต่างใกล้เข้ามาและเริ่มหลอมรวม

สายรุ้งกำลังหลอมรวม ร่างของพวกเขากำลังผนึกกายและการหลอมรวมนั้นอยู่ได้ไม่นาน เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจ สายรุ้งก็รวมเป็นหนึ่ง หยินหยางรวมเป็นหนึ่งแล้ว ผู้ที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อนั้นไร้เพศ มองระดับการฝึกตนไม่ออก ระดับฝึกตนของมันขณะนี้ ทะลวงผ่านดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรและตรงไปถึงระดับจักรพิภพ อีกทั้งกลิ่นไอยังน่าหวาดผวากว่าสามผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพนั้น

หลังจากปรากฏตัว คนผู้นี้ก็ไม่ชะงักแม้แต่น้อย ตรงไปที่หวังเป่าเล่อ

“สำนักแห่งความมืดรุ่งเรือง ไม่อาจสูญสลาย หวังเป่าเล่อ…เจ้าเสียทีเป็นถึงบุตรแห่งความมืด ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ข้าจะมารับความยิ่งใหญ่ของสำนักแห่งความมืดแทนเจ้าเอง!”

“ยังไม่สมบูรณ์” ชั้นล่างสุดของสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด ผู้เฒ่าที่นั่งขัดสมาธิอยู่ข้างโลงศพ ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม แม้ร่างของเขาจะมีกลิ่นอายความชรากระจายออกมา แต่รอยยิ้ม ความอบอุ่น และความเมตตาเหมือนเช่นความทรงจำในนิมิตมืดของหวังเป่าเล่อ

แววตานี้ตกอยู่ในสายตาของหวังเป่าเล่อ แทรกซึมเข้าสู่ใจของเขา ทำให้ความทุกข์ที่อยู่ในใจมาหลายปี คล้ายจะจางหายไปบางส่วน เหลืออยู่เพียงความสันติสุขและเงียบสงบ

“ท่านอาจารย์…” หวังเป่าเล่อมองไปยังร่างที่อยู่ลึกที่สุดของสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด ใบหน้าค่อยๆ เผยให้เห็นรอยยิ้ม ไม่ได้ไตร่ถามว่าเหตุใดไม่สมบูรณ์ แต่ลุกขึ้นยืนและก้าวไปในผืนทะเลสีดำด้านล่างซึ่งปรากฏเป็นทางที่เกิดจากรอยแตกขนาดใหญ่ทีละก้าว

ร่างของเขาเดินสู่ทะเลดำ เดินสู่รอยแตก เดินสู่เต๋าปราณกังวานที่เขาตระหนักรู้ เป็นอีกชั้นหนึ่งที่แตกออกมา ชั้นนี้เดิมทีคือควบคุมเหตุผล แต่ตอนนี้กลับรับกลิ่นไอเพียงกึ่งเดียวของหวังเป่าเล่อไม่ไหว ด้วยเหตุนี้จึงปล่อยให้เขาผ่านเข้าสู่อีกชั้นหนึ่ง

ด้วยวิธีนี้ เขาจึงเข้าใกล้อาจารย์เข้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงส่วนล่างของสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด มาถึงหน้าโลงศพนั้น และมาถึงด้านหน้าของอาจารย์

เขาไม่ได้มองไปที่โลงศพ และไม่ได้สนใจหนทางที่เดินมา ยิ่งไม่ได้ไปสนใจร่างทั้งสอง ชายหนึ่ง หญิงหนึ่งที่ปรากฏอยู่ชั้นบน ในสายตานั้นแฝงความประหลาดใจและระมัดระวัง ทั้งยังแฝงความสับสนและไม่ยินยอม

สิ่งเหล่านี้ล้วนไม่สำคัญ เพราะในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ตอนนี้มีเพียงอาจารย์เท่านั้น

หวังเป่าเล่อค่อยๆ เดินใกล้เข้าไป ตรงหน้าอาจารย์ที่มีรอยยิ้มแฝงความเมตตา เขาหยุดฝีเท้า สะบัดชายเสื้อ แล้วคุกเข่าค้อมคำนับลงตรงหน้าอาจารย์ด้วยความเคารพ ด้วยความสำนึกขอบคุณ และด้วยความสงบ

ทุกการเคลื่อนไหวมีความพิถีพิถัน แม้จะเชื่องช้า แต่กลับจริงจังมาก

รอยยิ้มของหมิงคุนจื่อเป็นเช่นปกติ แต่นัยน์ตากลับเต็มไปด้วยอารมณ์ ความชื่นชม และที่มีมากกว่าคือ…ความปวดใจ

“อาจารย์รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง บางทีครั้งนั้นไม่ควรจะนำเจ้าเข้าสู่นิมิตมืด” หมิงคุนจื่อถอนหายใจเบาๆ มองศิษย์ที่อยู่ตรงหน้า เขาเห็นความทุกข์ของหวังเป่าเล่อ เห็นความเหนื่อยล้า เห็นความเลื่อนลอย และเห็นเต๋าของเขา

“ท่านอาจารย์ ศิษย์ไม่สำนึกเสียใจ” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้ม

หมิงคุนจื่อส่ายหน้า ริ้วรอยบนใบหน้ามากขึ้น กลิ่นไอบนร่างก็ยิ่งชราภาพ แววตาอ่อนโยนและความปวดใจที่ส่งออกมามากกว่าเดิม คิดอยากจะยกมือขึ้นลูบศีรษะหวังเป่าเล่อ แต่กลับไม่ได้ทำ ทว่าย้ายสายตาจากร่างหวังเป่าเล่อ มองไปทางด้านนอกสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด นอกแม่น้ำนั้น ในความว่างเปล่า…ร่างนั้นผู้เป็นศิษย์อีกคนของตน

เมื่อได้เห็นเงาร่างนี้ สายตาของเขาก็ไม่อบอุ่นอีกแล้ว กลับกลายเป็นความเศร้าโศก ปวดร้าวและยิ่งกว่านี้…คือไร้ทางเลือก ในความเงียบงัน เงาร่างนั้นก็ค้อมคำนับให้เขาเช่นกัน

ท้ายที่สุด หมิงคุนจื่อจึงถอนสายตา เขาทอดถอนใจ หลังจากนั้นจึงมองไปที่หวังเป่าเล่ออีกครั้ง พึมพำเสียงอ่อนโยน

“เจ้ามาที่นี่ เพื่อมานำซากศพของจักรพรรดิแห่งความมืดแทนศิษย์พี่ของเจ้าหรือ”

“ซากศพจักรพรรดิแห่งความมืดมีประโยชน์อนันต์ต่อศิษย์พี่ ศิษย์…ต้องการช่วยเขาให้ได้มา” หวังเป่าเล่อมองไปที่อาจารย์ เอ่ยเสียงเบา

หมิงคุนจื่อหัวเราะ หลังจากเหลือบมองหวังเป่าเล่ออย่างลึกซึ้ง จึงพยักหน้า

“ไปเอาเถอะ”

“ขอบคุณท่านอาจารย์” หวังเป่าเล่อลุกขึ้นทำการคำนับอีกครั้ง การเดินทางครั้งนี้ราบรื่น เขารู้สึกถึงเต๋าของตนเอง และยังสามารถนำซากศพจักพรรดิแห่งความมืดให้ศิษย์พี่ ยิ่งกว่านั้นยังได้พบอาจารย์ที่เดิมทีเข้าใจว่าสูญสิ้นแล้ว

นี่ทำให้ใจเขาสงบสุข กระทั่งเดิมทีความคิดที่จะตั้งใจจะไม่อยู่ในสำนักแห่งความมืด เวลานี้กลับสั่นคลอนเล็กน้อย แม้เต๋าจะแตกต่าง แต่หากอาจารย์และศิษย์พี่ล้วนอยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้น…หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าตนควรจะอยู่

ด้วยความคิดนี้ หวังเป่าเล่อเดินไปทางโลงศพ พริบตานั้นไม่ไกลออกไปรักษาการบุตรแห่งความมืดทั้งสองชายหนึ่ง หญิงหนึ่งกำลังมองมาทางเขา

เวลานี้ ความว่างเปล่าของนพภูมิทางด้านบน สายตาของเฉินชิงจื่อก็กำลังจ้องมาที่เขา

เวลานี้ แม้จะมีเหตุไม่คาดคิดที่สุสานจักพรรดิแห่งความมืดครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดที่เป็นอิสระแล้วเหล่านั้น ต่างก็มองมาที่เขาเช่นกัน

หวังเป่าเล่อกลายเป็นจุดรวมของสายตาทั้งหมด ไม่ได้สังเกตเห็นว่าเวลานี้เมื่อเขาใกล้เข้าไป สายตาของอาจารย์ที่มองมานั้น ฉายแววคิดคะนึงและความ…อาลัยอาวรณ์

เพราะหมิงคุนจื่อไม่ได้บอกหวังเป่าเล่อ ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะมานั้น เฉินชิงจื่อเคยมาที่นี่ก่อนแล้ว และปรารถนาจะนำซากศพจักพรรดิแห่งความมืดไป ทว่าเขากลับไม่ยินยอมและปฏิเสธไปโดยตรง

ดังนั้น…หวังเป่าเล่อจึงได้มาในที่แห่งนี้ เขาไม่อยากจะกล่าวเรื่องพวกนั้น อีกทั้งไม่ต้องการเห็นหวังเป่าเล่อและเฉินชิงจื่อมีปัญหากัน ทั้งสองต่างเป็นศิษย์ของเขา ผู้หนึ่งเขารับในความเป็นจริงติดตามกันมาตั้งแต่ยังเล็ก สุดท้ายก็ทรยศ มีชีวิตท่ามกลางความเจ็บปวด กระทั่งหลอมรวมกับเต๋าสวรรค์ไปสู่อีกเส้นทางหนึ่งที่สุดขั้ว

อีกผู้หนึ่ง ตนเองรับเข้าสำนักในนิมิตมืด ภายในนั้นให้เขาได้ประสบกับทุกสิ่ง จนถึงวันนี้เสาะหาเต๋าของตน ไม่เปลี่ยนใจ

“เช่นนี้…ก็ดี” หมิงคุนจื่อพึมพำอยู่ในใจแล้วหลับตาลง เขาไม่ต้องการให้ศิษย์คนเล็กที่สุดของตน เห็นภาพการสลายไปของเขา

แต่…ประสบการณ์ของหวังเป่าเล่อ ทำให้ความไวในการรับรู้นั้นเกินกว่าที่หมิงคุนจื่อคาดไว้ แทบจะทันทีที่หวังเป่าเล่อเดินเข้าไปใกล้โลงศพ เขาพลันหยุดฝีก้าว ดวงตาฉายแววสงสัย สัญชาตญาณบอกตนเองว่า เรื่องนี้…มีบางอย่างผิดปกติ

แต่เขาไม่รู้ว่าผิดปกติที่ใด ดังนั้นจึงหันกลับไปมองอาจารย์

สายตาที่เหลือบมองนั้น ดูแล้วไม่มีสิ่งใดผิดปกติแม้แต่น้อย ทว่าหลังจากที่หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ฉับพลันนัยน์ตาก็ส่องประกาย เงาในอดีตชาติปรากฏอย่างต่อเนื่อง กลิ่นไอของฝักกระบี่เจ้าชะตากระจายออก หลังจากทั้งหมดมาบรรจบลงตรงหน้า ดวงตาทั้งคู่ของเขาเปล่งประกายกล้า แต่…ทุกอย่างก็ยังคงเป็นปกติ

“ยังไม่ไปอีกหรือ” เมื่อรู้สึกถึงสายตาของหวังเป่าเล่อ หมิงคุนจื่อจึงลืมตาขึ้น ถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นมีเมตตา

หวังเป่าเล่อหยุดฝีเท้า เวลานี้เขาอยู่ห่างจากโลงศพไปไม่ถึงครึ่งจั้ง แต่กลับหยุดฝีเท้าอย่างลังเล แม้ว่าจะตรวจดูแล้วว่าปกติ แต่เขายังมองใบหน้าของอาจารย์แล้วเอ่ยถาม

“อาจารย์ ท่าน…มีสิ่งใดที่ไม่ได้บอกข้าหรือไม่ หากข้านำซากศพจักพรรดิแห่งความมืดไปแล้ว จะส่งผลเช่นไรต่อ..ท่านหรือไม่?”

หมิงคุนจื่อหัวเราะ

“เจ้าเด็กผู้นี้ ตอนอยู่ในนิมิตมืดก็ไม่ได้ขี้สงสัย เหตุใดตอนนี้จึงเป็นแบบนี้ไปได้ เจ้านี่คิดมากเสียจริง อาจารย์ไม่ใช่จักพรรดิแห่งความมืด จะมีผลกระทบได้อย่างไร รีบไปเอาเถอะ”

หวังเป่าเล่อเงียบไปสักพัก พลันกล่าวขึ้น

“อาจารย์ ก่อนหน้านั้นท่านกล่าวว่าเต๋าของข้ายังไม่สมบูรณ์ ไม่ทราบว่าจะทำให้สมบูรณ์ได้เช่นไร”

“ไปเอามาแล้ว อาจารย์จะบอกเจ้า ไปเถอะ” หมิงคุนจื่อฝืนยิ้ม แล้วหลับตาลง

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วมองอาจารย์ แล้วมองโลงศพจักพรรดิแห่งความมืด หลังจากหยุดไปชั่วอึดใจ ฉับพลันเขาก็ยกมือขึ้นควานไปที่กระเป๋าคลังเก็บ ทันใดนั้นในมือก็ปรากฏ…ขวดน้อยใบหนึ่ง!

มันคือขวดปรารถนา!

“ข้าขอพร ให้ข้ามองทะลวงความจริง ณ บัดนี้”

ทันทีที่หวังเป่าเล่อเอ่ยปาก ดวงตาหมิงคุนจื่อก็ลืมขึ้นทันที พร้อมกันนั้นสายตาที่มาจากด้านบนก็จ้องมาด้วย เพราะ…ขณะนี้ขวดปรารถนาได้แผ่ไอร้อนออกมา หลังจากแทรกซึมเข้าสู่ภายในร่างหวังเป่าเล่อแล้ว มันบรรจบที่ดวงตาทั้งสอง ปรากฏสายฟ้าสีดำเวียนว่ายอยู่ในดวงตาของเขา

และขณะที่สายฟ้าปรากฏขึ้น ทุกสิ่งตรงหน้าหวังเป่าเล่อ แปรเปลี่ยน…ทันที

แม้จะยังคงเป็นสุสานจักพรรดิแห่งความมืด ยังคงเป็นโลงศพ ยังคงเป็นอาจารย์ แต่…เงาร่างของอาจารย์ไม่ใช่ร่างจริง หากแต่เป็นภาพลวงตา…นั่นคือร่างวิญญาณ

ยิ่งกว่านั้นบนร่างวิญญาณนี้ มีสามดวงวิญญาณแผ่กระจายออกมา เชื่อมโยงกับโลงศพ และที่แห่งนั้น…มีโคมวิญญาณสามดวงที่หวังเป่าเล่อมองไม่เห็นในตอนแรก!

โคมวิญญาณดับ โลงจึงเปิด!

โคมวิญญาณดับ หมิงคุนจื่อมลาย!

…………………………………

“ท่านอาจารย์ เต๋าคือสิ่งใดกัน” ภายในนิมิตมืด หวังเป่าเล่อเคยถามคำถามนี้มาก่อน

“เจ้าสามารถควบคุมสองขาของเจ้า ควบคุมเส้นทางที่เจ้าต้องการเดิน ไปด้านหน้า ด้านหลัง ด้านซ้าย ด้านขวา…หรือไม่ก็ไม่ขยับไหม แม้ร่างจะทุพพลภาพ แต่หัวใจยังมีเส้นทาง เห็นอกเห็นใจ”

“ได้อย่างแน่นอน”

“นี่ก็คือเต๋า”

“อาจารย์ ข้าไม่เข้าใจนัก…” หวังเป่าเล่าสายตาสับสน

“หากหลัง ซ้าย ขวาล้วนมีวิกฤต ท่านจะไปเช่นไร” อาจารย์ของเขา นัยน์ตาเผยความล้ำลึก เอ่ยเสียงเบา

“ย่อมไปข้างหน้า”

“ตามต้องการหรือ”

“หืม? น่าจะตามต้องการ”

“สามารถเดินไปในเส้นทางที่ตนต้องการ อิสระหรือไม่”

“อิสระ”

“นี่ก็คือเต๋า เมื่อเจ้าเข้าใจความหมายที่แท้จริงของอิสรเสรี เจ้าก็จะเข้าใจ อะไรคือเต๋าของเจ้า”

ในใจของหวังเป่าเล่อ การไต่ถามของตนเองกับอาจารย์ที่ปรากฏในนิมิตมืด เดิมทีเขาคิดว่าตนเข้าใจแล้ว ต่อมาก็พบว่าตนยังไม่เข้าใจ ก่อนที่จะมาสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด เขาก็คิดว่าตนเข้าใจแล้วอีกครั้ง

แต่หลังจากนั่งสมาธิ เขาก็พบว่าตนเองยังไม่เข้าใจมัน กระทั่งตอนนี้ขณะกำหนดชะตา เขากำลังสำรวจใจและไตร่ตรอง ในความเลือนลางนั้น ดูเหมือนเขาจะคว้าบางอย่างได้

ภารกิจของสำนักแห่งความมืด ที่แท้คืออะไร

หวังเป่าเล่อเฝ้าถามตนเอง

ภารกิจผิวเผินคือแบ่งหยินหยางแทนเต๋าสวรรค์ เปลี่ยนชีวิต ทำให้วัฏจักรชีวิตของโลกนี้ก่อความสมดุล ให้ผู้มีชีวิตไม่อาจมีชีวิตยืนยาว และให้ผู้ล่วงลับไม่ดำดิ่งไปตลอดกาล

เช่นเดียวกับบทกวีแห่งความมืด

“ครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…”

อตีตชาติสะสมคุณความดี ชาตินี้ประสบสุข ทำชั่วในชาติก่อน ชาตินี้ทุกข์ระทม เหตุแห่งอดีตชาติส่งผลต่อชาตินี้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น นี่ไม่ใช่วัฏจักร จะทำให้สิ่งมีชีวิตสิ้นหวัง ดังนั้นบทกวีแห่งความมืดจึงมีประโยคต่อไปนี้

“ครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น…”

ชาตินี้สะสมความดี ชาติต่อไปเป็นสุข ชาตินี้ทำกรรมชั่ว ชาติต่อไปทุกข์ระทม ผลแห่งชาติต่อไปดูได้จากชาตินี้

และบนความเป็นจริงชะตากรรมไม่อาจเปลี่ยนแปรได้ เช่นหวังเป่าเล่อในการกำหนดชะตา วิญญาณดวงแรกที่ถูกเขากำหนดชะตากรรม เขาไม่ได้ทำให้ชะตากรรมสมบูรณ์ทั้งหมด แต่เหลือร่องโอกาสเอาไว้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปร โอกาสนี้พบเจอกับการเปลี่ยนแปรได้แล้ว ก็สามารถแก้ชะตาได้

เพียงแต่ในความเป็นจริงที่เรียกว่าแก้ชะตา ก็มีหนทางให้เสาะหา

ความจริงก็คือ…ชะตากรรมมากมาย วางไว้ต่อหน้าสิ่งมีชีวิต ทุกสิ่งแล้วแต่จะดำเนินไปเช่นไรเท่านั้น และไม่ว่าจะดำเนินไปเช่นไร ล้วนอยู่ในสภาพการณ์

ฟ้าดินเป็นเช่นกระดานหมาก สิ่งมีชีวิตเป็นตัวหมาก

นี่ก็คือภารกิจครั้งผิวเผินของสำนักแห่งความมืด สำหรับชั้นล้ำลึกนั้นอยู่นอกกระดานหมาก มีเทพเจ้าหลัวเทียนกลายฝ่ามือเป็นตราศิลา ลายมือก่อชะตากรรม เลือดเนื้อเป็นเต๋าสวรรค์ ทุกสรรพสิ่งหนีไม่พ้นผนึกเดียว

ผนึกชีวิต ผนึกจักรวาล ผนึกทุกสิ่ง

ดังนั้นจึงเกิดการแก่งแย่ง ดังนั้นจึงเกิดการต่อต้าน ดังนั้นจึงเกิดความไม่ยินยอม

เมื่อมองในจุดนี้ สำนักแห่งความมืดไม่ผิด สิ่งมีชีวิตก็ไม่ผิด ตระกูลไม่รู้สิ้น…ในความเป็นจริงก็ไม่ผิดเช่นกัน

ผู้ใดผิด หวังเป่าเล่อไม่คิดจะไปประเมินและไม่ยินยอมไปครุ่นคิด เพราะเวลานี้เขากำลังอยู่ในระหว่างกำหนดชะตา และความหมายชั้นที่สามของภารกิจสำนักแห่งความมืดปรากฏขึ้นในใจแล้ว

นั่นคือ…การอภัย

ไม่ใช่เพื่อหลัวเทียน ไม่ใช่เพื่อเต๋าแห่งความมืด ข้าวาดใบหน้าซากศพข้าเอง ข้าลิขิตชะตากรรมตนเอง เวียนว่ายอยู่ตรงนั้น ย่อมต้องไปเอง แต่…ชะตากรรมของสิ่งมีชีวิต ก็ไกลเกินกว่าที่สำนักแห่งความมืดจะสามารถวางแผน ทำให้คนเข้าใจไปเองว่าเปลี่ยนชะตาได้สำเร็จและทุกสิ่งล้วนอยู่ในความควบคุม แท้จริงแล้วกลับถูกควบคุม จะเป็นการดีกว่าถ้า…เพิ่มความไม่รู้ในชะตากรรม

เส้นทางแห่งความไม่รู้คือเส้นทางที่ไม่ถูกควบคุม เต็มไปด้วยเส้นทางที่ไร้ขีดจำกัดความสามารถ

ให้สิ่งที่ไม่ธรรมดาสามารถเหนือธรรมดา และให้สิ่งที่ธรรมดาสามารถไปได้อย่างปลอดภัย

เต๋า เหตุใดจึงมีเพียงเส้นทางเดียว

หลัวเทียน…บางทีอาจผิดมาแต่แรก ในโลกแห่งศิลานี้ เขาผิด และนอกโลก เขายิ่งผิด คิดอยากจะปกป้อง กลับกลายเป็นควบคุม นั่นเป็นเหตุผลให้มีรุ่นที่โดดเด่นน่าประทับใจรุ่นแล้วรุ่นเล่า ตัดนิ้วของเขา เดินบนเส้นทางที่เหนือธรรมดาด้วยตนเอง

ดังนั้น จึงมีประโยคหนึ่งในบทกวีแห่งความมืด

“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”

สิ่งที่หลัวเทียนต้องการทำก็คือ เมื่อกงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง โลกแห่งศิลาก็จะเป็นเช่นนี้ นอกโลกก็จะเป็นเช่นนี้ ทำให้กงล้อแห่งโชคชะตายังคงดำรงอยู่ เป้าหมายของเขาจะเป็นควบคุมก็ดี เป็นการปกป้องก็ช่าง สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ เพราะสิ่งสำคัญก็คือ…

เต๋าของเขา ผิดพลาดแล้ว

ดวงตาของหวังเป่าเล่อลืมขึ้นทันที ความคิดคืบคลานเข้าไปในจิตใจ เขาไม่รู้ว่าความคิดของตนถูกต้องหรือไม่ แต่ไม่เป็นไร เพราะนี่คือเต๋าที่เขาตระหนักรู้

อภัย

แตกต่างกับเต๋าของศิษย์พี่ ที่เคยเป็นภารกิจแรก เวลานี้เป็นภารกิจขั้นที่สอง

แต่กับเต๋าของอาจารย์มีส่วนที่คล้ายคลึงกัน ทว่าไม่เหมือนกันเลยเสียทีเดียว เพราะเต๋าของอาจารย์ เคยเป็นภารกิจขั้นที่สอง แต่เวลานี้เป็นภารกิจขั้นแรก

“ในการระลึกอดีตชาติปีนั้น เรื่องที่ได้ยินจากบิดาของอีอีที่นั่น กับทุกสิ่งที่ข้าเห็น ทำให้ข้าเกิดคำถาม”

“หลัวเทียน ดูน่าสงสารมาก”

เขาคล้ายกำลังปกป้องบางสิ่ง แต่แล้วกลับกลายเป็นการควบคุม ดังนั้นจึงเกิดการต่อต้าน ดังนั้นจึงเกิดการแย่งชิง”

“จนกระทั่งก่อนหน้านั้น ในภาพลวงตาสะท้อนผ่านสตรีชุดแดง ข้าเห็นผู้ฝึกตน 108 ร่าง…” หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่ในใจ เขาคาดเดาได้ว่า เหตุใดหลัวเทียนต้องการควบคุม

บางที เขาอาจมาจากความว่างเปล่าที่ผู้ฝึกตน 108 ร่างนั้นอยู่ หรือบางทีเขาอาจเป็นศัตรูกับที่นั่น และบางที…เส้นทางที่เขาจะออกเดิน เป็นเช่นเดียวกับร่างตนที่กลายเป็นจักรวาล สำเร็จเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แท้จริง!

“แต่ไม่ว่าอย่างไร ตั้งแต่ข้าเริ่มครุ่นคิด แม้จะพลาดไปแล้ว ก็ไม่สำนึกเสียใจ” ขณะที่หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่ในใจ ทันทีที่ยกมือขวาขึ้นสะบัด ทันใดนั้นวิญญาณทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเขาก็ขยายออก เข็มทิศชะตาของท้องฟ้า ก็หมุนเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

กลิ่นไอชะตากรรมสีเทาเป็นสายๆ ร่วงหล่น แทรกสู่ดวงวิญญาณดวงแล้วดวงเล่า ทำให้วิญญาณเหล่านี้ด้านพื้นฐานพลังชีวิต มีชีวิตชีวา มีชะตากรรม ขณะเดียวกัน…ชะตากรรมของพวกเขาก็ไม่สมบูรณ์

เพราะ…ไม่มีเหตุและผล!

วิชาหัตถ์สื่อวิญญาณ วิชาใบหน้าซากศพ ลิขิตชะตา ควบคุมเหตุผล!

ในสี่ขั้นตอนนี้ หวังเป่าเล่อลบขั้นตอนสุดท้ายออก ให้ชะตากรรมของวิญญาณแม้จะถูกลิขิต แต่เหตุและผลจะเลือกเอง การเลือกสาเหตุทั้งหมด หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของชะตากรรม หากการเปลี่ยนแปลงดำเนินต่อไป จะไม่อยู่ภายในขอบเขตแห่งชะตากรรม!

อภัยทุกสิ่ง ยินยอมทุกอย่าง

“นี่ ก็คือเต๋าที่ข้าพยายามจะเดิน…” ระหว่างพึมพำ ฟ้าดินคำรามก้อง จากนั้นดวงตาหวังเป่าเล่อก็แจ่มใสขึ้น เขาค่อยๆ หยัดกาย

วิญญาณทั้งหมดรอบตัว ต่างเลือกเหตุและผลของตน ชะตากรรมแม้จะยังอยู่ แต่กลับไม่อาจล่วงรู้อนาคต ขณะนี้แวดล้อมด้วยเสียงของฟ้าดิน ทะเลเบื้องล่างปั่นป่วน เผยให้เห็นรอยแตกขนาดใหญ่

รอยแตกแผ่ขยายไม่สิ้นสุด ก้าวข้ามตรงไปยังชั้นต่อไปที่เดิมทีต้องไปควบคุมเหตุและผล จากนั้นจึงเผยให้เห็น…ส่วนที่ลึกที่สุดของสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด

ที่นั่นมีโลงศพโลงหนึ่ง ที่หน้าโลงมีผู้เฒ่านังขัดสมาธิอยู่!

เวลานี้ ผู้เฒ่าแหงนหน้าขึ้น นัยน์ตาแฝงแววทอดถอนใจ แฝงความปลาบปลื้ม กำลังมองมาทางหวังเป่าเล่อ

“เจ้า เข้าใจแล้วสินะ”

“ศิษย์เข้าใจแล้ว!” หวังเป่าเล่อค้อมคำนับ

“อิสระเป็นตัวแทนชั้นกายเนื้อ เช่นมีผู้ที่ถูกปล่อยจากคุกที่บ้านเกิดข้า จะกล่าวว่าเป็นอิสระนับแต่นี้ และเสรี เป็นตัวแทนของจิตวิญญาณ ท่องไปในโลกกว้างอย่างอิสรเสรี”

“เต๋าของข้า ทำให้ข้าอิสระ ทำให้ใจข้าเสรี และเต๋านี้ จึงเป็นหนทางที่ข้าเลือก”

………………………

“สนิทสนม…” หวังเป่าเล่อชะงักฝีเท้า ไม่ได้รีบร้อนมองโลกรอบด้านของชั้นต่อ เพราะไม่ว่าที่นี่จะเป็นเช่นไร ก็ไม่สำคัญสำหรับหวังเป่าเล่อในยามนี้แล้ว

เขาเข้าใจแล้วว่า สุสานจักรพรรดิแห่งความมืดเป็นที่ฝึกฝนและก็เป็นที่คัดเลือก อีกทั้งยังเป็นที่สืบทอด ตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งหมดล้วนเป็นภารกิจปล่อยให้ผู้มาเยือนเดินรอบสำนักแห่งความมืดเท่านั้น

เส้นทางนี้ ตอนนั้นหวังเป่าเล่อเคยเดินผ่านในนิมิตมืดมาก่อน ตอนนี้กลับเป็นครั้งแรกในความเป็นจริง แต่เขาก็ยินยอม เพราะดูเหมือนเมื่อเดินต่อไปก็ทำให้หวนนึกถึงทุกสิ่งในนิมิตมืดขึ้นมาได้ใหม่ หวนนึกถึงช่วงเวลาอันสวยงาม

ดังนั้นในความเงียบงัน หวังเป่าเล่อจึงรับรู้ว่าสิ่งนี้มาจากความสนิทสนมส่วนลึกของด้านล่าง คำว่าคุณธรรมที่ได้ฟังก่อนจะก้องอยู่ในสมอง สิ่งที่เหลือเชื่อค่อยๆ ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา

“คุ้นเคย…” หวังเป่าเล่อพึมพำ แม้จะมีคำตอบอยู่ในใจ แต่กลับไม่กล้าเชื่อว่านี่เป็นเรื่องจริง เดิมทีอารมณ์ที่สงบนิ่งตอนที่สื่อวิญญาณรวมทั้งวาดใบหน้าซากศพก็เกิดระลอกคลื่นขึ้น เพราะความสนิทสนมและคุ้นเคยนี้เช่นกัน

ระลอกคลื่นนั้นปิดกั้นความทรงจำของเขา พาเขากลับไปที่ที่เคยผ่าน กลับไปท่ามกลางความฝันอันยิ่งใหญ่ ฝันนั้น…ในระดับหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าได้เปลี่ยนหวังเป่าเล่อไปทั้งชีวิต

ดังนั้นหลังจากชะงักฝีเท้า หวังเป่าเล่อก้มหน้า สายตาคล้ายสามารถทะลวงผ่านแผ่นดินบนโลก มองเข้าไปได้ลึกที่สุด ผ่านแผ่นศิลา เขารู้ว่าที่นั่นมีโลงศพอยู่โลงหนึ่ง แต่ตอนนี้เมื่อเขามองไป แม้ด้วยระดับฝึกตนตอนี้ก็ยังไม่อาจมองผ่านได้ แต่ภายในใจของหวังเป่าเล่อ ได้ปรากฏภาพวาดหนึ่งลอยขึ้นมาตรงหน้า

ในภาพ ส่วนที่ลึกที่สุดมีเงาร่างหนึ่งอยู่ในความทรงจำ ยามนี้เขากำลังมองดูตนเอง เผยรอยยิ้มรักใคร่ที่หายไปนานแสนนาน

ระหว่างจ้องมอง หัวใจของหวังเป่าเล่อกระเพื่อมเป็นระลอก อารมณ์ต่างๆ พลันถาโถมเข้ามา และไม่รู้ด้วยเหตุใด ดวงตาก็แดงขึ้นทีละน้อย นี่เป็นเพราะไม่เคยได้เห็นอาจารย์อย่างแท้จริง เรื่องนี้มีอิทธิพลต่อเขาเป็นอย่างยิ่ง และความอบอุ่นก็จริงมากสำหรับเขาเช่นกัน

นิมิตมืดคำนับอาจารย์ กำหนดไว้ทั้งชาติแล้ว

สุดท้ายอารมณ์เหล่านี้ก็รวมกันอยู่ที่เขา หวังเป่าเล่อก้มหน้า คุกเข่าลงคำนับไปทางร่างที่ปรากฏอยู่ในใจ

“คุณธรรม”

เสียงอันคุ้นเคยนั้น สะท้อนก้องอยู่ภายในใจของหวังเป่าเล่อ เป็นเวลานานกว่าจะจางหาย เขาหายใจเข้าลึก เมื่อลุกขึ้นยืนสายตาก็เผยถึงความแน่วแน่ ร่างของเขาเกิดความกระปรี้กระเปร่า

หวังเป่าเล่อไม่ได้ใส่ใจความหดหู่ของตน หลังจากที่ศิษย์พี่ได้รับผลกระทบจากเต๋าสวรรค์

เขาไม่ได้ใส่ใจการถอนหายใจของตน ที่ขับไล่ตนของสำนักแห่งความมืด

และยิ่งไม่ใส่ใจเส้นทางสุดท้ายที่ตนเลือกเดิน ซึ่งตรงข้ามกับสำนักแห่งความมืดบนความเป็นจริง ในใจส่วนลึกของเขา วันใดวันหนึ่งในอนาคตไม่ยินยอมไปคร่ำครวญ บางทีความกังวลที่เขาจำต้องต่อสู้กับศิษย์พี่ก็สลายไปในเวลานี้

เพราะในสายตาของหวังเป่าเล่อ ความคิดเดียวที่มีก็คือนำวิญญาณที่วาดใบหน้าซากศพเหล่านั้น ลิขิตชะตากรรม ดึงเหตุและผล ส่งให้เวียนว่าย

ด้วยเพราะ…อาจารย์ที่มองมาอีกครั้ง

เช่นเดียวกับที่อาจารย์ตรวจสอบงานของตนในนิมิตมืด

ด้วยอารมณ์เช่นนี้ หวังเป่าเล่อกวาดสายตามองไปทั่วบริเวณชั้นที่หนึ่ง ที่นี่ไม่เหมือนกับหลายชั้นที่ผ่านมา ท้องฟ้าของที่แห่งนี้คือเข็มทิศขนาดใหญ่อันหนึ่ง

เข็มทิศนี้ใหญ่เกินไป บนนั้นมีอักขระโบราณอย่างหนาแน่นนับไม่ถ้วน แต่ละอันแทนชะตากรรมที่ต่างกัน และจากด้านในถึงด้านนอก ทั้งหมดมีวงแหวนมากกว่าหมื่นวง ดูเหมือนชุดวงแหวนเหล่านี้วงหนึ่งจะใหญ่กว่าอีกวงไปเรื่อยๆ รวมอยู่ด้วยกัน สุดท้ายก่อเป็นแผ่นเข็มทิศนี้ขึ้น

และวงแหวนภายในแต่ละชั้นต่างหมุนวนได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเกิดเส้นทางแห่งชะตากรรมจำนวนมหาศาล และแม้ว่าจะเป็นชะตากรรมเดียวกัน แต่ด้วยอักขระโบราณไหลผ่านช่วงแห่งกาลเวลา การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจึงแตกต่าง

เพราะชั่วอึดใจเดียว ภาษาโบราณจำนวนมหาศาลที่ยากจะคำนวณภายในเข็มทิศ ก็เปลี่ยนไปไม่ซ้ำกัน ดังนั้น…จึงก่อเป็นเข็มทิศชะตากรรม…ที่โดยพื้นฐานสามารถครอบงำสรรพชีวิต

การประเมินของชั้นแรก คือการกำหนดชะตากรรม

กำหนดโลกวิญญาณเจ็ดอาณาจักร ชะตากรรมในอนาคตของวิญญาณที่ไม่สิ้นสุด และสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องทำ คือทำตามคำแนะนำอย่างลับๆ มอบชะตากรรมให้พวกมันแทนเต๋าสวรรค์

เรื่องนี้ไม่อาจเกิดข้อผิดพลาดได้ เพราะหากเกิดข้อผิดพลาด จะส่งผลต่อโลกของวิญญาณ สำหรับเขาแล้ว บางทีนี่อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่สำหรับวิญญาณพวกนั้นย่อมหมายถึงทั้งชีวิต

เช่นเดียวกัน หากปรากฏข้อผิดพลาดก็จะส่งผลต่อการโคจรของจานเข็มทิศนี้ และหากมีข้อผิดพลาดมากขึ้น การโคจรก็จะหยุดชะงัก แม้แต่เต๋าสวรรค์ก็จะได้รับผลกระทบจากมันด้วย

ในจุดนี้ หวังเป่าเล่อได้ยินอาจารย์ภายในนิมิตมืดกำชับอยู่หลายครั้ง สิ่งเดียวที่น่าเสียดายคือในนิมิตมืดเขาไม่เคยเข้าร่วมวงจรนี้ด้วยตนเองมาก่อนเลย แค่เพียงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของอาจารย์ และเห็นศิษย์พี่สำแดงเท่านั้น

“ไม่อาจคำนึงแต่ตน และไม่คิดถึงแต่ตน” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา มองไปทางแผ่นดินใต้ท้องฟ้าเข็มทิศ แผ่นดินนี้ไร้ไอหมอก เป็นเพียงผืนทะเลสีดำ

สายฟ้าสีม่วงวาบผ่านน้ำทะเลเป็นระยะ ทำให้ทั้งผิวทะเลดูมีพลังเทียมฟ้าและน่าพิศวง ขณะเดียวกันก็มีเสาแต่ละต้น ตั้งตระหง่านอยู่บนผิวทะเล คล้ายเชื่อมต่อกับพื้นทะเลและเป็นส่วนที่ยื่นออกมาบนพื้นผิว เสาเหล่านี้…เป็นแต่ละหลักแห่งชะตากรรม

ศิษย์สำนักแห่งความมืด ต้องนั่งอยู่บนหลักนี้ สัมผัสชะตาแห่งเต๋าสวรรค์เพื่อกำหนดชะตา

สายตากวาดมองเสาเหล่านี้ นัยน์ตาเผยความแน่วแน่ ร่างกายสั่นสะท้าน ดึงวิชาวาดใบหน้าซากศพเจ็ดอาณาจักรนั้นจากรอบด้าน วิญญาณที่ไม่สิ้นสุดไร้ซึ่งกลิ่นไอมรณะ ก้าวไปทางเสาต้นหนึ่งในนั้นทีละก้าว

คล้ายจะเชื่องช้า แต่ในความเป็นจริงเพียงสามก้าวเท่านั้น หวังเป่าเล่อก็เหยียบลงบนเสาต้นหนึ่ง คำนับไปทางผิวทะเลด้านล่างอีกครั้ง

“ขอท่านอาจารย์โปรดตรวจสอบ”

กล่าวจบ หวังเป่าเล่อสะบัดชายเสื้อแล้วนั่งลงขัดสมาธิ ดวงตาส่องประกายสงบนิ่ง แหงนหน้ามองเข็มทิศท้องฟ้า เปลวไฟสีดำภายในร่างพลันระเบิดก้อง ตราประทับบนหว่างคิ้วของบุตรแห่งความมืดก็ส่องประกายเช่นกัน ราวกับขานรับเข็มทิศชะตาฟ้า ดูเหมือนจะใช้ร่างตนเป็นกุญแจในการเปิดมัน

และเข็มทิศชะตาฟ้า ก็ตอบรับทันที ท่ามกลางเสียงก้องคำราม กว่าหมื่นวงแหวนของเข็มทิศชะตานี้ เคลื่อนตัวในเวลาเดียวกัน ด้วยความถี่ต่างกัน มีเร็วมีช้า และในขณะที่หมุนนี้ กลิ่นไอของชะตากรรมก็ขจรขจายมาจากด้านใน ส่งผลไปทั่วสารทิศ ก่อนจะปกคลุมไปทั่วพิภพ
ไอลีนโนเวล
วิญญาณแต่ละดวงมาจากรอบตัวหวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ วิญญาณไม่รู้สิ้นลอยออกจากภายในสมุด มันลอยอยู่เบื้องหน้าเขา เพราะวิญญาณแต่ละดวงล้วนเป็นเขาตั้งใจวาดขึ้นจึงเข้าใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นขณะที่ยกมือขวาแล้วคว้าไปทางเข็มทิศท้องฟ้า กลิ่นไอชะตาที่เต๋าสวรรค์จะมอบให้เหล่าวิญญาณที่เกิดใหม่นี้ก็ออกมาจากบนเข็มทิศตามอำเภอใจ

กลิ่นไอชะตาเหล่านี้ล้วนมีสี มันเป็นสีเทา

กลิ่นไอสีเทาถูกหวังเป่าเล่อคว้ามาไม่หยุด ระหว่างที่เขาตรวจสอบอย่างระมัดระวัง เขามั่นใจว่ากลิ่นไอชะตานี้ไม่มีปัญหาและสอดคล้องกับหัวใจเต๋าของตน สอดคล้องกับแก่นแท้ของวิญญาณ และที่สำคัญกว่าก็คือ ภายในกลิ่นไอชะตานี้ไร้ช่องโหว่ ไร้ร่องรอยของการแทรกแซง แล้วจึงหลอมรวมลงในวิญญาณ

และขั้นตอนที่เป็นกุญแจสำคัญ…ก็ปรากฏแล้ว

ด้วยกลิ่นไอแห่งชะตาสายแรก หลอมรวมเข้าในดวงวิญญาณหนึ่ง ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นอย่างรุนแรง ดวงตาพร่ามัว ในเวลาอันสั้น ดูเหมือนเขาจะกลายเป็นวิญญาณนั้น และได้ประสบกับชีวิตของวิญญาณที่เกิดใหม่

สัมผัสถึงอารมณ์ทั้งเจ็ด ประสบกับความปรารถนาทั้งหก ผ่านอารมณ์ยินดีและเกลียดชัง ตระหนักถึงความเศร้าสุข นี่ จึงเป็นส่วนที่ยากที่สุด ในการกำหนดชะตาของวงจร

ต้องประสบด้วยตนเอง ตรวจหาจุดบกพร่องในเวลาเดียวกัน นี่จึงเป็นการง่ายมากที่จะได้รับผลกระทบ หากอารมณ์ของตนผันผวน ถูกรบกวน นั่นหมายถึงไร้ความสามารถ

เวลาผ่านไป วิญญาณที่ถูกมันสัมผัสเชื่อมต่อมากขึ้น ความเป็นไปได้ที่จะถูกผลกระทบก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งรับไว้ไม่ไหว ทำให้ตนเองบ้าคลั่ง

นี่คือชะตากรรมของสำนักแห่งความมืด

ขณะที่มอบภารกิจให้เต๋าสวรรค์ ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการสูญเสียแก่นแท้บางอย่าง เพราะในระหว่างกระบวนการ สิ่งที่ศิษย์สำนักแห่งความมืดต้องแสวงหาอย่างแท้จริงหรือรากฐานภารกิจของพวกเขา…ในความเป็นจริงนั้น คือการแสวงหาความเป็นอมตะ

หากหาไม่พบ ต้องผนึกนิรันดร์ หลังจากหาพบ…ก็ยิ่งต้องผนึก จนกว่าหลัวเทียนจะมาถึง

สิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ศิษย์สำนักแห่งความมืดทั้งหมดที่จะรับรู้ กล่าวให้กระจ่างชัดคือ ส่วนใหญ่ไม่รู้ แต่หวังเป่าเล่อเข้าใจ หากแต่ตอนนี้เขาไม่สนใจ เพราะสิ่งที่เขาคิดคือนำผลงานของตนเอง ให้อาจารย์ตรวจสอบ

แต่ในไม่ช้า สายตาหวังเป่าเล่อก็เผยความสับสน

เขาพบว่าวิญญาณที่ถูกตนกำหนดชะตากรรม หลังจากที่เขาได้ประสบกับทั้งชีวิตของมันด้วยตนเอง มักจะเสียใจและงงงัน

“เหมือนหุ่นเชิด…”

เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…เพราะทุกอย่างได้ถูกลิขิตไว้แล้ว เพราะชีวิตคนล้วนถูกกำหนด…” หวังเป่าเล่อค่อยๆ ขมวดคิ้ว เข้าสู่ความครุ่นคิดด้วยท่าทีที่แปลกประหลาด

ในเวลาเดียวกัน สายตาที่มาจากด้านบนเผยความสับสน

ในเวลาเดียวกัน สายตาที่มาจากด้านล่างเผยการรอคอย

………………………….

หลายปีก่อน ภายในนิมิตมืด หมิงคุนจื่อยืนอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ สายตาแฝงความอ่อนโยน แต่ใบหน้ากลับเคร่งขรึม แล้วถามเกี่ยวกับเรื่องการฝึกตน

“เป่าเล่อ หลังจากวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณ พวกเราศิษย์สำนักแห่งความมืดทำเช่นไร”

“ท่านอาจารย์ หลังจากวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณ ตามหลักเต๋าในการเวียนว่ายของเต๋าสวรรค์ ด้วยการวาดวิชาใบหน้าซากศพให้วิญญาณ ลิขิตชะตากรรม และชักใยแห่งเหตุผล หลังจากเสร็จสิ้นทุกสิ่งก็จะสามารถส่งมันเข้าสู่การเวียนว่ายได้อย่างราบรื่น ให้เต๋าสวรรค์ตรวจสอบ หากทะลวงผ่านก็เริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่หากไม่อาจทะลวงผ่านได้ก็หมายถึงการฝึกตนของศิษย์สำนักแห่งความมืดยังไม่เพียงพอ”

“คุณธรรม”

หวังเป่าเล่อลืมตา มองตนเองเหยียบเข้าสู่ประตูแสง โลกชั้นที่สามปรากฏ เขาเฝ้ามองสถานที่นี้ท่ามกลางแสงที่ไม่สิ้นสุดอย่างโดดเดี่ยว นอกจากเมฆขาวแล้วสิ่งเดียวที่สะท้อนสู่สายตา

นั่นก็คือหน้าผาแห่งหนึ่ง

ด้านหน้าหน้าผา มีโต๊ะตัวหนึ่งวางอยู่

บนโต๊ะ มีพู่กันแท่งหนึ่ง

นั่นคือพู่กันแต่งหน้าศพ

เมื่อเห็นสิ่งเหล่านี้ เขาก็คิดถึงนิมิตมืดขึ้นมา คิดถึงสิ่งที่ตนเคยร่ำเรียน พร้อมกันนั้นในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดจึงมหัศจรรย์เช่นนี้

“นั่นเป็นเพราะ…สถานที่แห่งนี้คือดินแดนหลุมศพ เป็นการฝึกฝนและก็เป็น…การสืบทอด”

“ดังนั้นทุกสิ่งของที่แห่งนี้ ล้วนเพื่อไปตรวจสอบ ประเมินและเลือกเฟ้น เพื่อให้ได้ศิษย์ผู้สืบทอดจักรพรรดิแห่งความมืด”

หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา หันหน้ามองภายในแม่น้ำแห่งความมืดที่อยู่ข้างตน ในนั้นมีวิญญาณนับไม่ถ้วน เขาก้าวไปข้างหน้าท่ามกลางความเงียบงัน เมื่อถึงข้างหน้าผาจึงนั่งลงหน้าโต๊ะ

เขาหลับตาลงอีกครั้งราวกับกำลังหวนคำนึงและคล้ายกำลังหมกมุ่น กระทั่งผ่านไปชั่วครู่ ขณะที่หวังเป่าเล่อลืมตา ดวงตาของเขาสงบนิ่ง สะบัดมือซ้ายทันที จากนั้นเมฆขาวรอบด้านก็ถาโถมเข้ามา หลอมเข้าสู่แม่น้ำแห่งความมืดที่อยู่ข้างๆ ดำดิ่งท่ามกลางหมู่วิญญาณภายในตัวมัน จากนั้น…ดูเหมือนเขาจะเห็นใบหน้ามากมาย ค่อยๆ ผุดอยู่ในจิตใจของตน

หลังจากนั้นหวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น หยิบพู่กันที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา ด้วยแสงวิญญาณกลุ่มหนึ่ง ลอยออกมาจากแม่น้ำแห่งความมืดตรงหน้าเขา หวังเป่าเล่อสีหน้าสงบแฝงความจริงจัง ราวกับกลับไปสำนักแห่งความมืดในปีนั้น และเริ่มวาดเค้าโครงลงบนแสงวิญญาณนี้

วาดใบหน้าซากศพ

ใบหน้าซากศพวาดลำบาก เพราะไม่สามารถผิดพลาดได้เลยแม้แต่น้อย หากผิดเพียงพู่กันเดียวจะส่งผลต่อการถือกำเนิดของวิญญาณดวงนั้น เพียงเหตุการณ์เดียวก็จะทำให้แก่นเต๋าของตนได้รับผลกระทบ

ยิ่งไม่อาจมีความรู้สึกส่วนตนได้ เหมือนศิษย์พี่ในปีนั้น ด้วยเพราะความรู้สึกส่วนตัวนั่นต่อมาจึงได้เลือกเดินทางผิด

หวังเป่าเล่อไม่อาจทราบว่าตนเองจะทำได้ดีหรือไม่ แต่อย่างไร…เขาไม่ได้วาดใบหน้าซากศพมานานมากแล้ว แม้กระทั่งเส้นทางของตนก็อยู่ตรงข้ามกับสำนักแห่งความมืด

“แต่นี่ก็เป็นสาเหตุส่วนเดียว” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า หลังจากทำให้ตนสงบขึ้น แต่ละเส้นที่วาดเค้าโครงให้ดวงวิญญาณตรงหน้า ค่อยๆ ปรากฏรูปร่าง รูปลักษณ์ปรากฏขึ้นทีละน้อย จากนั้นจึงค่อยๆ กำหนดเพศ

ในขั้นตอนเหล่านี้ มือเขาไม่สั่น แม้มันจะฝืดเคืองไปบ้าง ทว่าจิตใจของเขาเป็นดั่งดวงจิตเทพเจ้า ความเหนือชั้นนี้ คล้ายทำให้หวังเป่าเล่อตอนนี้ เปล่งเสน่ห์ลึกลับของเต๋าไปทั่วร่าง

เต๋านี้เป็นเต๋าสวรรค์ และเป็นเต๋าของสำนักแห่งความมืด

เสียงถอนหายใจด้านนอกโลกแห่งนี้ นอกแม่น้ำแห่งความมืดอันกว้างใหญ่ไพศาล เสียงสะท้อนนั้นบางเบา แต่กลับส่งไปไม่ถึงใจผู้ใด ส่งไม่ถึงสัมผัสสวรรค์ของคนรอบข้างแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเฉินชิงจื่อที่อยู่นอกแม่น้ำแห่งความมืด ในใจตกอยู่ในความว่างเปล่าอยู่นานแสนนาน

ดวงตาของเฉินชิงจื่อคล้ายกับสามารถมองผ่านทั้งหมด และเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด

เขามองเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในวัดก่อนหน้านั้น ประสบการณ์ของหวังเป่าเล่อทำให้เขานิ่งงัน จากนั้นเขาก็เห็นว่าหลังจากหวังเป่าเล่อจากไปแล้ว ทุกคนภายในวัดค่อยๆ ได้ฟื้นคืนสติและเข้าสู่ขั้นต่อไป

แล้วยังเห็นเช่นกันว่า ในชั้นแรกของหอคอยที่ทลายนั้น ความต้องการสังหารนับไม่ถ้วนที่อยู่รอบตัวหวังเป่าเล่อเหล่านี้ มากพอที่จะชะล้างวิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อ

กระทั่งหลังจากการคารวะ หวังเป่าเล่อเลิกต่อต้านเผยให้เห็นสัมผัสสวรรค์ และแสดงคุณธรรมของตนแล้ว ดวงวิญญาณเหล่านั้นก็สลายไปอย่างช้าๆ

ในทำนองเดียวกัน เขายังเห็นว่าหลังจากหวังเป่าเล่อจากไปแล้ว ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดที่เข้าสู่ขั้นแรกเหล่านั้น ในนั้นมีกว่าครึ่งที่เห็นแก่ตัวไร้คุณธรรม ต่างก็เสียชีวิตอยู่ภายใน

และยังมีวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณของหวังเป่าเล่อในชั้นที่สอง รวมทั้งวิชาใบหน้าซากศพของชั้นที่สาม ทั้งหมดนี้ทำให้เสียงถอนหายใจของเฉินชิงจื่อดังก้องขึ้นอีกครั้ง

ไม่ต้องสงสัยว่า หวังเป่าเล่อคือความหวังการเกิดใหม่ของสำนักแห่งความมืด

เพราะไม่ว่าจะเป็นก่อนหน้าเขาหรือหลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถทำหัตถ์สื่อวิญญาณถึงเจ็ดอาณาจักรได้ หวังเป่าเล่อเป็นผู้ที่ทำได้มากที่สุดและไม่มีใครสามารถทำได้เช่นเขา รักษาความเหนือชั้น ไม่ได้รับผลกระทบ และวาดใบหน้าซากศพไปอย่างเงียบๆ

แต่…เป็นเต๋าที่แตกต่าง

ดังนั้นทั้งหมดนี้ เฉินชิงจื่อจึงได้แต่เพียงถอนหายใจ กระทั่งสายตาของเขายิ่งล้ำลึก เห็นได้ว่าหลายชั้นลงไป มีสองร่างกำลังเดินหน้ามาอย่างยากลำบาก

หนึ่งบุรุษ หนึ่งสตรี

สตรีคือรักษาการบุตรแห่งความมืดที่แอบแฝงพลังอยู่ด้านนอก ส่วนบุรุษนั้นรูปลักษณ์อัปลักษณ์ เป็นรักษาการบุตรแห่งความมืดอีกผู้หนึ่งที่ไร้ความรู้สึกถึงการดำรงอยู่ ยามนี้ทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน ร่างของพวกเขาอยู่ในสายตาของเฉินชิงจื่อ เหมือนจะค่อยๆ หลอมรวมกัน

“วิชาหยินหยางต้องห้ามรวมตัวเป็นมหาเต๋า เมื่อไม่คิดจะเป็นตัวเลือก ดังนั้นจึงยิ่งต้องสู้ แต่ยังขาดส่วนหนึ่งมาโดยตลอด…โชคชะตา” เฉินชิงจื่อจ้องมองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอนสายตา มองไปยังที่ที่ลึกที่สุดในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด

ที่นั่นมีโลงศพโลงหนึ่ง และร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างโลงศพ

ร่างนี้พร่ามัว แต่กลับมีลมหายใจแปรปรวน นำพาเวลาที่ไม่สิ้นสุดขจรขจายไปทั่วชั้นสุดท้าย คล้ายกับรับรู้ได้ถึงการจ้องมองของเฉินชิงจื่อ ร่างนี้ลืมตาแหงนหน้าขึ้น แยกสุสาน แยกแม่น้ำแห่งความมืด แล้วเผชิญหน้ากับเขา

“ท่านอาจารย์…ข้าต้องการซากศพจักรพรรดิแห่งความมืด ท่านไม่ให้ เช่นนั้นถ้าศิษย์น้องไปแล้ว ท่าน…จะให้หรือไม่” เฉินชิงจื่อก้มหน้าพึมพำ

ร่างนี้คือผู้เฝ้าสุสาน ยังเป็น…อาจารย์ของเขา และเป็นอาจารย์สำนักแห่งความมืดของหวังเป่าเล่อ

สมญานามเต๋าของเขาคือ…หมิงคุนจื่อ

เวลาผ่านไป หวังเป่าเล่อไม่สนใจว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร และก็ไม่ได้พิจารณาว่าจะมีใครสังเกตตนเองอยู่หรือไม่ แม้กระทั่งไม่ได้ไปสนว่าหลังจากเขา จะมีผู้เข้าสู่ชั้นที่สามเช่นเดียวกัน

เขาไม่ได้ไปพิจารณา เหตุใดหลังจากตนแล้ว ผู้ที่เข้าสู่ชั้นที่สามนี้ยังคงมีวิญญาณที่ถูกดึงอยู่ข้างๆ อย่างไรก็ตามเขานับว่าเป็นวิญญาณเจ็ดอาณาจักรที่ขึ้นมาอีกชั้น หัตถ์สื่อวิญญาณทั้งหมด

สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ

ไม่ว่าชั้นที่สองจะไร้จุดเริ่มไร้จุดจบหรือไม่ โลกวิญญาณก็ไม่สิ้นสุด ไม่ว่าผู้ที่มาที่แห่งนี้คนแล้วคนเล่า และหลังจากที่เห็นเขาต่างก็เฝ้าระวัง ไม่ว่าหน้าผาแต่ละแห่งปรากฏเมฆขาวรอบด้าน ตามการปรากฏของผู้มาเยือน ต่างก็ไม่อาจดึงดูดความสนใจของเขาได้

หวังเป่าเล่อยามนี้ มีเพียงใบหน้าซากศพตรงหน้า

เขาค่อยๆ วาดเค้าโครงวิญญาณ ตามที่ตนเองสัมผัสได้ในใจทั้งหมดออกมา จนกระทั่งแม่น้ำแห่งความมืดที่ข้างกายตนหายไป วิญญาณที่ถูกเขาวาดด้วยใบหน้าซากศพเหล่านี้กลายเป็นจุดแสงมากมายล้อมรอบกายเขา ทำให้ร่างทั้งร่างของเขาเรืองรองสุกใส

เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นบนร่างา ทำให้ผู้มาเยือนจากรอบด้าน ดวงตาฉายแววสับสน

เมื่อถึงเวลานี้ จิตใจของหวังเป่าเล่อจึงค่อยๆ ฟื้นคืน

“ต่อไป คือลิขิตชะตากรรม” ขณะพึมพำ ประตูแสงก็ปรากฏขึ้นเองตรงหน้าหวังเป่าเล่อ เขาลุกขึ้นยืน เดินออกไปก้าวหนึ่ง นำวิญญาณใหม่ที่ไร้ไอมรณะ แต่มีพลังชีวิตย่างเข้าไปด้วยกัน

ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาไม่ได้มองไปด้านข้างเลยแม้แต่น้อย

เขารู้สึกเพียงว่ามีสายตาสองสาย หนึ่งอยู่บน อีกหนึ่งอยู่ล่าง ต่างจ้องมองมาที่ตนเอง เขาสามารถตระหนักได้ว่าด้านบนคือผู้ใด แต่ด้านล่างนั้น…เขาไม่อาจรู้

ทว่า หวังเป่าเล่อกลับสัมผัสได้ ขณะที่ตนเดินไปแต่ละชั้น เสียงเพรียกเช่นนั้น แรงดึงเช่นนั้น ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เขาค่อยๆ เดินเข้าสู่ลำแสง หลังจากเข้าสู่อีกชั้นหนึ่งแล้ว ในใจของหวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงความสนิทสนมและคุ้นเคย

………………

“เสียง?” หวังเป่าเล่อใจกระตุกวูบ สัมผัสได้ถึงคำพูดที่สะท้อนอยู่ในจิตใจของตนเองตอนนี้ ซึ่งได้ยืนยันการคาดเดาของเขาแล้ว

แท้จริงแล้วตอนที่เขาเห็นแผ่นป้ายสุสานในตอนแรก ก็กำลังคิดถึงปัญหาหนึ่งอยู่ สุสานแห่งนี้…ใครเป็นคนสร้างให้จักรพรรดิแห่งความมืดกัน?

ไม่น่าจะใช่ตัวจักรพรรดิแห่งความมืดเอง ทว่าความเป็นไปได้ข้อนี้ก็ยังไม่ถูกตัดทิ้ง หวังเป่าเล่อคิดว่าน่าจะเป็นชนรุ่นหลังมากกว่า หรือจะเป็นผู้ฝึกตนที่คอยติดตามข้างกายในตอนนั้นเป็นผู้สร้าง

ดังนั้นเสียงที่ดังขึ้นจึงทำให้หวังเป่าเล่อมั่นใจมากกว่าเดิม ความคิดเหล่านี้วาบผ่านใจเขาไป หวังเป่าเล่อยืนอยู่หน้าประตูแสง และโค้งคำนับสี่ทิศก่อนก้าวเข้าไป

ทันทีที่ก้าวเข้ามา ภาพตรงหน้าเลือนราง โลกใบใหม่ปรากฏขึ้นตรงหน้าเขาในพริบตาต่อมา ท้องฟ้าของโลกใบนี้มืดมิด พื้นดินปกคลุมด้วยหมอก เห็นแผ่นป้ายสุสานแบบเดียวกันกับเมื่อครู่ทุกประการในที่ไกลๆ แต่มันถูกหมอกปกคลุมจนมองไม่ชัด

สิ่งเดียวที่มองเห็นคือเหล่าภูตผีวิญญาณที่เกลือกกลิ้งอยู่ในหมอกเบื้องหลังนับไม่ถ้วน พวกมันไม่ได้สงบนิ่ง แต่ก่อตัวขึ้นเป็นอาณาจักรอยู่ในหมอก เขาเห็นว่าที่นี่มีเจ็ดอาณาจักรวิญญาณ จากจุดที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่ สามารถมองเห็นภายในอาณาจักรทั้งเจ็ดได้อย่างชัดเจน แต่ละแห่งมีระบบของตนเองและมีจักรพรรดิวิญญาณ

ขณะนี้มีอาณาจักรวิญญาณสามแห่งกำลังสู้รบกัน ทำให้หมอกตลบอบอวลมากขึ้น และยังมีเสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองกระจายไปทุกสารทิศ ภาพนั้น…ทำให้หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย

แท้จริงแล้วทุกอย่างในสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดดูแปลกประหลาดสำหรับเขา ดูเหมือนจะไม่ง่ายเหมือนการฝังกระดูกในสุสาน

“ห้วงมายาของวัดเป็นเหมือนการย้อนความทรงจำ…ขั้นแรกของการกลั่นกรองคือความต่างระหว่างความดีความชั่ว”

“เหตุใดสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดต้องจัดวางเช่นนี้” หวังเป่าเล่อเงียบไป จากนั้นไม่นานดวงตาก็เผยแสงจ้า แม้ตอนนี้จะมองไม่เห็นอะไรมาก แต่ไม่ว่าเขาจะคิดอย่างไร ในคำตอบมากมายก็มักจะมีคำตอบหนึ่งผุดขึ้นในใจเสมอ

“ที่นี่…เป็นเหมือนทางเลือก…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาและนิ่งเงียบไปนาน เขาสำรวจอาณาจักรวิญญาณในสายหมอกเบื้องล่างอย่างละเอียดถี่ถ้วน เห็นได้ชัดว่าที่แห่งนี้มีมาช้านานแล้ว การต่อสู้ของอาณาจักรวิญญาณนั้นเหมือนกับอาณาจักรมนุษย์ไม่มีผิดราวกับว่าไม่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบ อีกทั้งสายหมอกไม่สามารถบดบังสายตาของหวังเป่าเล่อได้ แต่เห็นได้ชัดว่า…สามารถปิดกั้นวิญญาณในที่แห่งนี้ได้

จุดที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่ห่างออกไปมากราวกับพระเจ้ามองลงมา เขามองดูแล้วก็ขมวดคิ้วอีกครั้ง ยังไม่ทันได้คิดว่าจะจัดการอย่างไร ร่างของเขาก็เคลื่อนไหวเข้าไปในสายหมอกและมุ่งตรงไปยังอาณาจักรวิญญาณทั้งเจ็ด

ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ภูตผีวิญญาณทุกตัวต่างไม่อาจตรวจพบพลังปราณของเขาแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อเป็นเหมือนคนนอกที่เดินไปเดินมาในโลกแห่งวิญญาณนี้

เขากำลังมองหาทางเข้าและกำลังสำรวจโลกแห่งวิญญาณ สำหรับหวังเป่าเล่อไม่จำเป็นต้องไปบังคับเปลี่ยนแปลงอำนาจจิตมากเกินไป เพราะเขามีดวงจิตเทพเจ้าอยู่แล้ว

จุดนี้บางทีคนอื่นในสำนักแห่งความมืดอาจทำได้เช่นกัน แต่ก็ยากลำบากไม่น้อย ถึงอย่างไรแม้จุดเด่นของดวงจิตเทพเจ้าจะเกี่ยวข้องกับความแข็งแกร่ง แต่อำนาจจิตนั้นสำคัญกว่า

นั่นเป็นความสงบชนิดหนึ่งที่เฉยเมยต่อทุกชีวิต ปราศจากอารมณ์ ห่างเหินซึ่งเป็นเรื่องที่พูดง่ายแต่ทำยาก ทว่าสำหรับหวังเป่าเล่อเนื่องจากการรับรู้ชาติก่อนบนดาวชะตาในตอนนั้น ความเข้าใจและประสบการณ์ที่ได้รับนำพาให้อำนาจจิตของเขามาถึงระดับนี้แล้ว ถึงอย่างไรหากตอนนั้นเขาสามารถละทิ้งทุกสิ่งได้ก็จะสามารถอยู่เฝ้ามองการขึ้นลงของเต๋าอย่างเฉยเมยบนดาวชะตาได้

ทั้งหมดที่เขาต้องทำคือสังเกตและบันทึกเท่านั้น

หลังจากออกมาอำนาจจิตของเขายังไม่ฟื้นกลับมาอยู่ช่วงหนึ่ง เป็นเพราะเขาจงใจปกปิดตนเองมาจนถึงตอนนี้ และค่อยๆ กลับสู่สภาพเดิมอย่างช้าๆ จากเทพเซียนสู่โลกีย์

ดังนั้นสำหรับหวังเป่าเล่อ การเปลี่ยนแปลงอำนาจจิตจึงเป็นเรื่องง่าย และในทันทีที่อำนาจจิตของเขาแยกตัวออกมา เขาก็สัมผัสได้ถึง…เสียงร้องไห้ที่แทรกซึมไปทั่วฟ้าดิน แทรกซึมไปในวิญญาณของทุกชีวิต แทรกซึมไปในสายหมอกอันไร้ขอบเขต

นั่นเป็นเสียงร้องไห้จริงๆ ราวกับกำลังเศร้าโศก ราวกับกำลังอ้อนวอน ราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราว…

หวังเป่าเล่อหยุดฝีเท้าเงยหน้ามองหมอกรอบด้าน เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของวิญญาณในที่แห่งนี้และค่อยๆ เข้าใจ

“เสียงร้องไห้นี้เกิดจากการไม่ได้เข้าสู่วัฏจักรการกลับชาติมาเกิด หลังจากการตายและตื่นขึ้นมาอย่างไม่รู้จบ ความเบื่อหน่ายที่ก่อตัวขึ้น ความเศร้าโศกที่สั่งสมไว้ การทดสอบนี้คือให้ศิษย์สำนักแห่งความมืดทำภารกิจส่งวิญญาณเหล่านี้ไปเกิดใหม่ใช่หรือไม่”

หวังเป่าเล่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะนั่งขัดสมาธิ เปลวไฟสีดำในร่างพลันแผ่กระจาย ขณะเดียวกันเขาก็หลับตาลงและพึมพำเสียงเบา Aileen-novel

“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”

ทันทีที่เอ่ยขึ้น เปลวไฟสีดำที่แผ่ออกจากร่างพลันลุกโชนขึ้นมา เพียงพริบตาเดียวก็แทรกซึมไปทั่วทั้งอาณาจักรวิญญาณ ราวกับท้องฟ้าผนวกรวมเข้ากับสายหมอกก่อตัวเป็นร่างขนาดมหึมา

ร่างนี้เลือนรางมาก แต่เต็มไปด้วยพลังอำนาจราวกับสามารถสยบทุกสิ่งได้ คล้ายการแทนที่กลับชาติไปเกิด

การปรากฏตัวของร่างนี้ทำให้เหล่าภูตผีวิญญาณที่กำลังต่อสู้กันในอาณาจักรวิญญาณตกตะลึง แต่ละตัวเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าด้วยความตะลึงงัน นอกจากนี้จักรพรรดิวิญญาณทั้งเจ็ดอาณาจักรและดวงวิญญาณทั้งหมดต่างก็เงยหน้ามองตามเช่นเดียวกัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจักรพรรดิวิญญาณทั้งเจ็ด ตอนนี้ร่างพวกเขาสั่นเทาเล็กน้อย ดวงตาเผยแสงแห่งความหวังริบหรี่

ขณะที่วิญญาณทุกดวงจ้องมองไปบนท้องฟ้า หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่พื้นก็เอ่ยประโยคที่สอง

“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…”

ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ขึ้น ทั่วทั้งโลกแห่งวิญญาณก็สั่นสะท้าน กระเป๋าคลังเก็บของหวังเป่าเล่อเปิดออก ก่อนที่ชุดคลุมสีดำ เรือสำปั้นแห่งความมืดและไม้พายประทีปจะปรากฏขึ้น

ชุดคลุมตกลงบนร่างหวังเป่าเล่อปิดบังใบหน้าเขาเอาไว้ เรือสำปั้นแห่งความมืดอยู่ใต้เท้าเขาพาร่างของเขาทะยานขึ้น ไม้พายประทีปปรากฏอยู่ตรงหน้าและขยับด้วยตัวมันเอง

ร่างที่ถูกเหล่าวิญญาณนับไม่ถ้วนจ้องมองอยู่บนท้องฟ้าก็เช่นกัน มีชุดคลุม เรือและไม้พาย จากเดิมที่เคยเลือนรางก็ชัดเจนขึ้นเล็กน้อย

ดวงไฟวิญญาณเข้มข้นขึ้น ร่างนี้ราวกับกำลังจะกลายเป็นกระแสน้ำวนทำให้โลกทั้งใบแกว่งไปมาไม่หยุด และทำให้ดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนเผยแสงแห่งความปรารถนาในดวงตา

โดยเฉพาะจักรพรรดิวิญญาณทั้งเจ็ดที่ได้คุกเข่าสวดอ้อนวอนไปแล้วในตอนนี้ นำพาให้ดวงวิญญาณทั้งหมดทำตาม

โลกสั่นสะเทือน ดวงวิญญาณนับไม่ถ้วนคุกเข่าบูชา ประโยคที่สามของหวังเป่าเล่อเปล่งออกมาดังก้องอยู่ในหัวใจของดวงวิญญาณทั้งหมดที่นี่!

“ครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น…”

“หัตถ์สื่อวิญญาณ!”

ฟ้าดินสั่นสะเทือน เสียงคำรามดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ เงาร่างหวังเป่าเล่อบนท้องฟ้าชัดเจนขึ้นราวกับกลายเป็นวัตถุจริงกำลังนั่งอยู่บนเรือสำปั้นแห่งความมืดขนาดมหึมา ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบกไปทางอาณาจักรวิญญาณบนพื้น ทันใดนั้นเปลวไฟสีดำที่แผ่ออกก็พลิกตลบกลายเป็นแม่น้ำแห่งความมืด!

แม้เทียบกับแม่น้ำแห่งความมืดด้านนอกแล้ว แม่น้ำแห่งความมืดของหวังเป่าเล่อจะเล็กกว่า แต่พลังปราณที่แผ่ออกมาจากแม่น้ำมีต้นกำเนิดเดียวกัน พริบตาที่มันปรากฏขึ้นก็แผ่พลังดูดจนกลายเป็นแรงฉุดดึงทำให้เหล่าภูตผีวิญญาณในอาณาจักรวิญญาณที่กำลังคุกเข่าราวกับถูกปลดปล่อย ลอยขึ้นไปผสานกับแม่น้ำแห่งความมืดทีละดวง

ขณะที่ลอยขึ้นไปและผสานกับแม่น้ำ ใบหน้าของพวกมันเลือนรางและค่อยๆ หายไป ร่างของพวกมันค่อยๆ กลายเป็นแสงวิญญาณ หลังจากผนึกเข้ากับแม่น้ำแห่งความมืดแล้วก็กลายเป็นดวงดาว ทำให้แม่น้ำแห่งความมืดสายนี้ดูคล้ายทางช้างเผือก

ในไม่ช้าดวงวิญญาณทั้งหมดของอาณาจักรแรกก็ถูกดึงออกจากโลกวิญญาณไป ตามด้วยอาณาจักรที่สอง สาม สี่ ห้า…

ถึงตอนนี้หวังเป่าเล่อตัวสั่นเล็กน้อย เปลวไฟสีดำของเขาเริ่มไม่มั่นราวกับจะไม่สามารถยืนหยัดไปจนถึงอาณาจักรที่เจ็ด แต่เขารู้สึกว่าการใช้วิธีนี้จะมีผลในภายหลังว่าเขาจะสามารถรับซากจักรพรรดิแห่งความมืดได้หรือไม่

ดังนั้นหลังจากเงียบไป หวังเป่าไม่ได้ลืมตาขึ้นมา แต่ชุดคลุมสีดำบนร่างพลันส่องแสง ก่อนที่พลังปราณเรือสำปั้นแห่งความมืดจะระเบิดออก ไม้พายประทีปในมือก็เช่นกัน ในที่สุดพลังปราณทั้งหมดก็ผสานเข้ากับ…ตะเกียงที่ผูกไว้กับไม้พายประทีป

ไส้ตะเกียงมืดสลัวพลันเกิดประกายไฟ พริบตานั้น…มันลุกโชน แสงสว่างแผ่ไปทั่วทั้งอาณาจักรที่หกและเจ็ด กระทั่งดวงวิญญาณทั้งหมดในอาณาจักรวิญญาณแห่งนี้ถูกฉุดดึงเข้าไปในแม่น้ำแห่งความมืด

โลกว่างเปล่า!

ประตูแสงพลันปรากฏ!

ดวงตาของหวังเป่าเล่อค่อยๆ ลืมขึ้น รับรู้ได้เองในใจ เขาลุกขึ้นและก้าวเข้าสู่ประตูแสงไปพร้อมกับวิญญาณทุกดวง

……………

สถานที่ที่วัดของจักรพรรดิแห่งความมืดตั้งอยู่ หากมองจากด้านบนลงมาก็คือยอดเขาที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง แม้บนยอดเขาจะมีรูปปั้นตั้งตระหง่าน แต่ในความเป็นจริงด้านล่างรูปปั้นก็ยังคงเป็นยอดเขา

ดังนั้นวัดแห่งนี้ก็ถือว่าเป็นยอดเขาเช่นกัน

โลกที่เผยให้เห็นหลังจากโลกของสตรีชุดแดงพังทลาย แท้จริงแล้วก็คือภายในของวัดซึ่งอุทิศสร้างให้แก่สตรีชุดแดงนั่นเอง หลังจากมองทะลุผ่านความว่างเปล่าไปแล้วก็ไม่มีอะไรที่น่าแปลกเลยจริงๆ

ทว่า…เมื่อเดินเข้ามาแล้วก้าวลงไปอีกขั้น ภาพที่หวังเป่าเล่อเห็นก็ทำเอาจิตใจปั่นป่วนไม่น้อย ที่แห่งนี้ยังคงเป็นโลกใบหนึ่ง แต่ไม่ใช่โลกที่เปิดออก เพราะมันถูกสร้างขึ้นหรือกล่าวให้ถูกคือความจริงแล้วที่แห่งนี้ ก็คือถ้ำที่ปิดผนึก!

ส่วนบนของถ้ำคือจุดที่เขาเข้ามา ตรงนั้นได้รับอิทธิพลจากพลังเทพแปลกประหลาดและกลายเป็นท้องฟ้า รอบด้านดูเหมือนระหว่างฟ้าดินจะมีเขตแดนอยู่ แต่ยากจะรับรู้ได้ด้วยตาเปล่า แต่เมื่อใช้จิตใต้สำนึกกวาดไปก็สามารถสัมผัสได้ถึงสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็นในระยะหลายแสนลี้

ส่วนด้านล่าง…คือพื้นดิน ภูเขา แม่น้ำไหลเอื่อย นอกจากจะไม่มีสิ่งมีชีวิตแล้ว ทุกอย่างดูปกติมาก

โดยเฉพาะตรงใจกลางโลกใบนี้มีศิลาก้อนหนึ่งตั้งอยู่ ส่วนบนของศิลามีตัวอักษรแกะสลัก

นั่นคือตัวอักษรของสำนักแห่งความมืด

สุสานจักรพรรดิแห่งความมืด!

นี่คือแผ่นป้ายสุสาน ทว่าสิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อจิตใจปั่นป่วนคือรูปสลักด้านหลังตัวอักษรเหล่านั้น เพราะมันคือภาพวาดภาพหนึ่ง

เป็นภาพเจดีย์สูงกลับหัวซึ่งฝังลึกเข้าไปในภูเขา ด้านบนวาดเป็นรูปวัด เหนือวัดเป็นรูปปั้นซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเทพแทบจะทุกประการ

ส่วนเจดีย์กลับหัวนั้นลึกเข้าไปในภูเขา และด้านล่างสุด ที่ตรงนั้นเป็นรูปโลงศพโลงหนึ่ง

บนโลงศพมีดวงตาดวงหนึ่งสลักเอาไว้ เมื่อหวังเป่าเล่อมองดูดวงตาข้างนั้น แรงฉุดดึงและเสียงเพรียกร้องก็รุนแรงขึ้น แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขาจิตใจปั่นป่วน

สิ่งที่ทำให้เขาจิตใจปั่นป่วนคือในชั้นแรกส่วนบนสุดของเจดีย์กลับหัว เขาเห็นรายละเอียดต่างๆ มากมายในนั้น เห็นภูเขาแม่น้ำ และแผ่นศิลา

และ…ด้านนอกแผ่นศิลานั้นยังมีร่างของคนตัวเล็กๆ วาดเอาไว้ ที่ด้านหลังคนผู้นั้นมีมือสีดำเอื้อมมาจับ แม้จะยังมีระยะห่างอยู่บ้าง แต่ก็ดูเหมือนใกล้จะถึงตัวแล้ว

ในพริบตาที่เห็นร่างเล็กนั่น หวังเป่าเล่อก็วาบหนีออกจากจุดที่ยืนอยู่โดยพลัน จิตใจปั่นป่วนยิ่งขึ้น จากนั้นหลังจากกวาดมองรอบตัวอีกครั้งก็หันกลับมามองแผ่นป้ายสุสาน

เขามองออกว่าภาพที่วาดบนแผ่นป้ายนี้คงจะเป็นโครงสร้างของสุสานจักรพรรดิแห่งความมืด และจุดที่เขาอยู่ตอนนี้ก็คือขั้นที่หนึ่งของด้านบนสุดของเจดีย์กลับหัว!

และคนตัวผู้นั้น…หวังเป่าเล่อดูอย่างไรก็เห็นเป็นตัวเขาเอง!

นี่เป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่ง แต่หากเป็นตัวเขาจริง…จิตใต้สำนึกของหวังเป่าเล่อก็พลันตื่นตัวระแวดระวังถึงขีดสุดในทันที เพราะว่า…หากที่นี่มีอะไรแปลกประหลาดอยู่จริงถึงขนาดสะท้อนตัวเขาออกมาได้ เช่นนั้นแล้วฝ่ามือที่อยู่ข้างหลังอยู่ที่ไหนกัน

“ยุ่งยากแล้ว!” หวังหวังเป่าเล่อระแวงถึงขีดสุด เขามองสำรวจไปรอบด้านไม่หยุด ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงความเงียบแปลกประหลาดของโลกใบนี้ นับตั้งแต่เข้ามาถึงที่นี่ก็ไม่มีเสียงอะไรเลย

แม้แต่น้ำที่ไหลเอื่อยเฉื่อยอยู่บนพื้นดินก็ยังไร้สุ้มเสียง

หวังเป่าเล่อหรี่ตา ทิ้งดวงจิตเทพไว้ที่นี่ก็รีบจากไปทันที เขามองสำรวจหาปากทางเข้า แต่ไม่ว่าจะค้นหาอย่างไรก็ไม่มีอะไรให้เก็บเกี่ยวแม้แต่น้อย ไอรีนโนเวล

อย่างไรก็ตาม หวังเป่าเล่อกลับเห็นภูมิประเทศแปลกประหลาดบางอย่าง

ภูมิประเทศนี้เป็นรอยมือ บนพื้นดินของโลกนี้มีสามรอยมือ ทั้งสามรอยมือขนาดประมาณหมื่นจั้ง และที่ใจกลางรอยมือนั้น หวังเป่าเล่อก็ได้เห็น…โครงกระดูกสามชิ้น!

โครงกระดูกทั้งสามนี้ผอมมากราวกับถูกดูดกลืนเลือดเนื้อไปจนหมดสิ้น ทำให้หวังเป่าเล่อไม่สามารถระบุได้จากรูปลักษณ์ภายนอก แต่จากเสื้อผ้าและพลังปราณ เขาสัมผัสได้ถึงเต๋า คนทั้งสามนี้…มาจากสำนักแห่งความมืด

คิดดูแล้วคงเป็นผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดที่ผ่านห้วงมายาของสตรีชุดแดงมาได้ด้วยวิธีหนึ่ง แต่กลับต้องมาตกตายอย่างอนาถอยู่ที่นี่

ท่ามกลางความระแวดระวังและสำรวจอย่างถี่ถ้วนของหวังเป่าเล่อ เขาก็พบว่าสาเหตุการตายของทั้งสามเป็นเพราะวิญญาณเทพถูกกลืนกินโดยบางอย่าง ส่วนเลือดเนื้อ…ราวกับว่าหลังจากวิญญาณเทพสลายไปก็ถูกดูดกินจนแห้งเหี่ยว

และสิ่งที่ดูดกินเลือดเนื้อพวกเขาก็คือผืนดินแห่งนี้!

หวังเป่าเล่อขยับเข้าไปใกล้ เขาสังเกตเห็นว่าพื้นดินที่โครงกระดูกทั้งสามอยู่มีเลือดจางๆ

ทั้งหมดนี้ยิ่งทำให้โลกใบนี้ประหลาดขึ้นไปอีก

ดวงตาหวังเป่าเล่อส่องประกายเย็นยะเยือก เขาถอนสายตากลับไปและสำรวจปากทางเข้าต่อ ทว่าไม่นานใบหน้าก็พลันเปลี่ยนสี ดวงจิตเทพที่ทิ้งไว้บนแผ่นป้ายมองเห็นการเปลี่ยนแปลงบนภาพวาด!

ภาพชั้นแรกคนตัวเล็กที่เป็นตัวแทนของหวังเป่าเล่อได้จากแผ่นป้ายไปแล้ว ตำแหน่งที่มันอยู่คือจุดที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่ในขณะนี้ ขณะเดียวกัน…ฝ่ามือสีดำที่ไล่จับอยู่ข้างหลังนั่นก็เข้ามาใกล้!

และไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่มีถึงสิบฝ่ามือที่ล้อมรอบเขาเอาไว้ข้างใน

หลังจากเห็นพวกมัน หวังเป่าเล่อก็ขมวดคิ้วมุ่น

“ลวงเทพหลอกวิญญาณ!” กล่าวจบ ระหว่างนั้นเปลวไฟสีดำในร่างหวังเป่าเล่อก็ปะทุขึ้น ดวงตาเผยแสงเจิดจ้า วิญญาณปลดปล่อยออกมาสำรวจไปรอบตัวอย่างเต็มที่

ไม่มีอะไรเลย!

หวังเป่าเล่อหรี่ตาและยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างค่อยๆ หมุนเวียนช้าๆ ปราณกระบี่สายหนึ่งแผ่ออกมาจากร่างและมองไปรอบตัวด้วยสายตาเย็นชา

แต่ก็…ไม่พบอะไร ทว่าดวงจิตเทพที่ทิ้งไว้ตรงแผ่นป้าย ตอนนี้กลับเห็นภาพที่น่าตื่นตกใจ

ในภาพวาดนั้น รอบด้านของคนตัวเล็กที่เป็นตัวแทนหวังเป่าเล่อ ตอนนี้มีฝ่ามือสีดำไม่ใช่แค่สิบฝ่ามือแล้ว แต่มากกว่านั้น…มันอัดแน่นอยู่รอบตัวเขาและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กระบวนการทั้งหมดกินเวลาเพียงสิบ กว่าอึดใจ หลังจากนั้นหวังเป่าเล่อในภาพวาดก็มีฝ่ามือนับหมื่นรายล้อมแล้ว

มันล้อมรอบเขาไว้ข้างในอย่างหนาแน่นราวกับจะก่อตัวเป็น…ฝ่ามือที่ใหญ่กว่าหนึ่งฝ่ามือ และจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่ก็คือใจกลางฝ่ามือนั้น

ทว่า หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายแม้แต่น้อย จนอาจกล่าวได้ว่าหากเขาไม่มีดวงจิตเทพที่ทิ้งไว้ตรงแผ่นป้าย ตอนนี้เขาก็ยังคงไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติเลยสักนิดเดียว

อีกอย่างรอยมือยักษ์ที่เกิดจากฝ่ามือมารวมตัวกันอย่างหนาแน่นรอบตัวก็ทำให้หวังเป่าเล่อนึกถึงภูมิประเทศที่เขาเห็นเมื่อครู่ รวมถึงซากผู้แข็งแกร่งของสำนักแห่งความมืดทั้งสาม

“ไม่สิ ที่นี่มีปัญหา!” เขาขมวดคิ้วมองไปทั่วบริเวณ แล้วมองไปทางแผ่นป้ายอีกครั้ง ในใจทวีความสงสัยมากขึ้น หากสถานที่แห่งนี้อันตรายจริง แล้วเหตุใดถึงมีการเตือนจากแผ่นป้ายกัน

หน้าที่ของแผ่นป้ายดูเหมือนไม่จำเป็นเลย ตรงกันข้าม…คล้ายเป็นคำแนะนำและชักจูงให้ผู้คนหวาดระแวง

“ที่นี่คือสุสานจักรพรรดิแห่งความมืดและข้าก็เป็นบุตรแห่งความมืด ทุกคนที่มาครั้งนี้ล้วนเป็นสำนักแห่งความมืด…บนร่างมีพลังปราณเต๋าสวรรค์ ไม่ควรจะเกิดอันตรายเพราะไม่ว่าอย่างไรก็มีต้นกำเนิดเดียวกัน!”

“สตรีชุดแดงข้างบนนั่นยังกล่าวได้เต็มปากว่าเป็นอุบัติเหตุ ถึงอย่างไรนั่นก็คือสิ่งมีชีวิต ความคิดเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่เข้ามาในสุสานแห่งนี้แล้ว…” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ใช้อีกมุมมองหนึ่งพิจารณาเรื่องนี้

“แยกแยะดีชั่วหรือ” ผ่านไปชั่วครู่ เขาก็พึมพำออกมาเบาๆ หวังเป่าเล่อคิดว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้ระดับหนึ่ง แยกแยะความดีกับความชั่ว หากใจเขามีความเคารพเกรงกลัวต่อสถานที่แห่งนี้ก็จะไม่สนใจฝ่ามือสีดำรอบตัว เพราะเชื่อว่าสิ่งนี้จะไม่ทำร้ายตน ตรงกันข้าม…หากกังวลหรือร้อนรน คิดไปมากมายล่ะก็

ในความเงียบงัน ภายในภาพวาดที่มองจากดวงจิตเทพ จำนวนฝ่ามือสีดำรอบตัวเขาถึงขีดสุดแล้ว ขาดอีกเพียงเส้นเดียวก็จะก่อตัวเป็นรอยมือยักษ์อย่างสมบูรณ์ ดวงตาหวังเป่าเล่อวาววับ เขาตัดการเชื่อมโยงกับดวงจิตเทพและไม่สนใจแผ่นป้าย อีกทั้งยังคำนับไปทางแผ่นป้ายนั่นหนึ่งครั้ง

“ท่านบรรพบุรุษจักรพรรดิแห่งความมืด ศิษย์หวังเป่าเล่อมาที่นี่ในนามเต๋าสวรรค์เพื่อรับซากของท่าน นี่อาจดูไม่เคารพท่าน แต่เพื่อฟื้นคืนความรุ่งโรจน์ให้เต๋าสวรรค์ เพื่อภารกิจของหลัวเทียนและหวังว่าท่านจะได้รับการเติมเต็ม” หลังจากโค้งคำนับ หวังเป่าเล่อรีรออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยัดกายขึ้นช้าๆ ราวกับไม่รับรู้ถึงฝ่ามือสีดำที่มองไม่เห็น เก็บฐานการฝึกฝนทั้งหมด กดระงับพลังปราณกระบี่ของฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างลงอย่างสงบ แล้วออกเดินไปข้างหน้า

หนึ่งก้าว สิบก้าว ร้อยก้าว พันก้าว…

สิบจั้ง ร้อยจั้ง พันจั้ง หมื่นจั้ง…

หวังเป่าเล่อเดินออกจากบริเวณที่มีรอยมือโดยไม่เจออันตรายแม้แต่น้อย ขณะที่เดินออกมาอย่างราบรื่น ความว่างเปล่าตรงหน้าพลันปรากฏความผันผวนก่อตัวเป็นประตูแสง

พริบตาที่ประตูปรากฏ หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจ ดูเหมือนเขาจะได้ยินเสียงดังมาจากความว่างเปล่าซึ่งแผ่ซ่านราวกับระลอกคลื่นอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจตน

“ความดี”

…………………….

“ที่แท้…นั่นก็คือตะปูไม้!” หวังหวังเป่านิ่งเงียบ ไม่นานก็ถอนหายใจเบาๆ แม้จะยังไม่อาจสงบสติอารมณ์ได้ในขณะนี้ อีกทั้งยังได้เห็นเรื่องบางอย่างที่เขาอยากรู้มาตลอด แต่ในใจเขาก็ยังอดรู้สึกสับสนไม่ได้

ความสับสนนี้มาจาก…ต้นกำเนิดของตนเอง

“ข้าคือตะปูหรือ” หวังเป่าเล่อรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย แต่โชคดีที่ความคิดนี้ถูกระงับไปอย่างรวดเร็ว ก่อนที่ร่าง 108 ร่างในภาพที่เขาเคยเห็นจะผุดขึ้นในหัว

“ทุกร่างล้วนไม่อาจหยั่งรู้ได้ ฐานการฝึกฝนเหนือกว่าที่ข้าคิดไว้…ไม่รู้ว่ามันคือระดับใด แล้วยังมีโลกบรรจุอยู่ในร่างเหล่านั้นอีก” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจ จากนั้นร่างขนาดมหึมาหาใดเปรียบราวกับจะสามารถสยบทุกสิ่งได้เหนือร่างทั้ง 108 ร่างก็ผุดขึ้นในหัว!

ความครอบงำนั้น ทั้งยังมีพลังปราณของจักรพรรดิทำให้หวังเป่าเล่อมีคำตอบอยู่ในใจแล้ว

“จักรพรรดิ…” หวังเป่าเล่อเผยดวงตาล้ำลึก เขายืนยันได้เจ็ดถึงแปดส่วนแล้วว่าร่างของจักรพรรดิผู้นั้นก็คือจักรพรรดิในตำนาน และสถานที่ที่เขาและร่าง 108 ร่างนั้นอยู่ก็คงจะเป็น…จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่แท้จริง

“โลกศิลาที่ข้าอยู่เป็นเพียงที่ที่ร่างแยกของจักรพรรดิถือกำเนิดเท่านั้น” เรื่องนี้หวังเป่าเล่อทราบแล้ว เขาก็เข้าใจกระจ่างขึ้นไปอีกว่าหากไม่ใช่การมาถึงของเซียนโบราณ หากไม่ใช่ผนึกกับดักที่แปลงมาจากมือหลัวเทียน จักรพิภพย่อยไม่รู้สิ้นในตอนนั้นคงจะกลับมานานแล้ว

เป็นเพราะผนึกกับดักของมือหลัวเทียนที่ก่อตัวเป็นเหตุผลทำให้จักรพิภพย่อยไม่รู้สิ้นราวกับถูกตัดขาดจากจักรพิภพหลัก และยังมีการปราบปรามจากสำนักแห่งความมืดในฐานะทูต เมื่อเริ่มต้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าก็อ่อนแอลง อีกทั้งการกวาดล้างร่องรอยของไม่รู้สิ้นก็ทำให้ผนึกกับดักนี้ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

แท้จริงแล้วหากไม่ใช่เพราะหลัวเทียนเกิดปัญหา ตระกูลไม่รู้สิ้นในโลกศิลาก็ไม่มีโอกาสฟื้นคืนชีพ แม้ว่า…เป้าหมายของหลัวเทียนจะไม่ได้มุ่งไปที่จักรพรรดิ แต่มุ่งไปที่ผนึกเซียนโบราณ ทว่าสุดท้ายก็เพราะเหตุนี้…ถึงได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิที่น่าสะพรึงกลัวผู้นั้น

ทั้งสองคนผู้ใดแข็งแกร่งกว่า หวังเป่าเล่อไม่อาจรู้ได้ แต่เขารู้ว่า…หลัวเทียนดับสิ้นไปแล้ว การเปรียบเทียบนี้จึงไม่มีความหมายอีก ที่เขาสนใจยิ่งกว่าคือตะปูไม้สีดำบนหว่างคิ้วจักรพรรดิ!

ตะปูไม้สีดำนั้นมาจากไหน ทำไมจักรพิภพย่อยไม่รู้สิ้นถึงสามารถเรียกมันออกมาได้…

หวังเป่าเล่อหรี่ตา หลังจากครุ่นคิด ในหัวก็ค่อยๆ เกิดการคาดเดาอันบ้าบิ่น

“เป็นไปได้ไหมว่าสาเหตุที่จักรพรรดิกระจายวิญญาณสารัตถะออกมาจำนวนมากและรวบรวมร่างแยกกลับไป จุดประสงค์…ก็คือเพื่อต่อสู้กับตะปูไม้สีดำตรงหว่างคิ้วของเขา จึงได้มีเสียงเพรียกจากจักรพิภพย่อย ภาพที่ตะปูไม้สีดำปรากฏขึ้นนั้นบางทีอาจเป็น…การช่วยตัวเองอย่างหนึ่ง?” หวังเป่าเล่อรู้สึกปวดหัว ข้อมูลที่เขารู้น้อยเกินไป สิ่งที่เขาคิดจึงเป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น ไม่สามารถยืนยันความจริงได้

แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น สำหรับหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว

เขาสัมผัสได้ลึกๆ ว่าโลกใบนี้หรือจะเรียกว่าจักรวาลแห่งนี้ หรือจะเรียกว่าจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่แท้จริง ความลับทั้งหมดกำลังค่อยๆ เปิดเผยให้เขารู้

หากเส้นทางของเขาสามารถดำเนินต่อไปได้ หากเต๋าของเขายังสมบูรณ์ต่อไปได้ สักวันหนึ่งเขาก็จะได้รู้ความจริงทั้งหมด เข้าใจคำตอบทั้งหมด…และหาต้นกำเนิดของตนเจอ!

“ถึงต้นกำเนิดจะสำคัญ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ…ข้าอยากมีชีวิตอยู่ด้วยตัวเอง!” ดวงตาที่หรี่ลงของหวังเป่าเล่อระเบิดแสงแรงกล้า หลังจากปัดความคิดทั้งหมดออกไปได้แล้ว เขาก็สัมผัสถึงการเก็บเกี่ยวของวิญญาณเทพ

วิญญาณเทพมาถึงขีดสุดของระดับดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรแล้วเหมือนกับกายเนื้อ ทั้งสองอย่างเรียกได้ว่าเป็นระดับกึ่งจักรพิภพ ต่างไปถึงหนึ่งร้อยก้าวแล้ว!

รากฐานอันล้ำลึกเช่นนี้ ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นทั้งหมด ในตระกูลหมื่นสำนักนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันก็เพียงพอที่จะเรียกได้ว่าหาตัวจับยาก

ทั้งสามด้านมาถึงขีดสุด จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยปรากฏมาก่อน

แค่ถึงขีดสุดในด้านเดียวก็สามารถกลายเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าชั้นยอดของกองกำลังแรกได้แล้ว ถึงขีดสุดสองด้านเรียกได้ว่าปาฏิหาริย์ หากคนนอกได้รู้เข้าย่อมสะเทือนไปทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นเป็นแน่

แล้วถึงขีดสุดถึงสามด้าน…นั่นเป็นเพียงตำนานเท่านั้น!

โดยเฉพาะหลังจากวิญญาณเทพถึงขีดจำกัดหนึ่งร้อยก้าวดารานิรันดร์ ความรู้สึกที่สามารถฝ่าฟันและควบคุมกฏต่างๆ ได้ตลอดเวลา ทำให้หวังเป่าเล่อสงบใจลงได้ไม่น้อย แม้ฐานการฝึกฝนจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาก แต่การพัฒนาของวิญญาณเทพกับกายเนื้อ เขาก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าแม้จะไม่มีโอกาสหรือแม้กระทั่งไม่ได้ฝึกฝนถึงสิบปี ฐานการฝึกฝนของเขาก็จะก้าวหน้าได้ด้วยตัวมันเอง

“แต่ก็ยังช้าไปหน่อย” ดวงตาหวังเป่าเล่อเผยแววดื้อรั้น ก่อนจะเงยหน้ามองรอบๆ

สิ่งแรกที่เขาเห็นคือรูปปั้นสีแดงที่เต็มไปด้วยรอยแตกร้าว หลังจากหวังเป่าเล่อมองมัน สีหน้าของเขาก็แปลกไป อารมณ์ในใจท่วมท้นและแอบขอบคุณสตรีชุดแดงผู้นั้น หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่าย วันนี้เขาคงไม่ได้เข้าใจความจริงมากมาย

ขณะเดียวกันเขาก็เห็นหุ่นกระบอกที่ถูกสตรีชุดแดงทิ้งไป เหล่านั้นล้วนเป็นผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดที่เข้ามาที่นี่ทั้งสิ้น แต่ไม่ใช่ทั้งหมด

ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพห้าถึงหกคนไม่ได้อยู่ในนั้น แม้จะมีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะตายแล้ว แต่ก็เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะใช้วิธีการบางอย่างหนีออกจากที่นี่และเข้าสู่ระดับถัดไปแล้ว

ส่วนเหล่ากึ่งบุตรแห่งความมืดส่วนใหญ่ก็กลายเป็นหุ่นกระบอกอยู่ตรงนี้ หวังเป่าเล่อกวาดตามองและสัมผัสได้ถึงความมีชีวิตชีวาและจิตใต้สำนึกบนร่างพวกเขากำลังค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมา

เขากำลังจะถอนสายตากลับ แต่พริบตานั้นก็ต้องอุทานเสียงเบา นัยน์ตาเป็นประกายหันไปมองเหล่ากึ่งบุตรแห่งความมืดอีกครั้ง เขาเห็นเด็กหนุ่มที่เคยมายั่วยุตน และเห็น…ร่างสวมหน้ากากอยู่ด้านข้าง!

“เจ้านี่ก็ติดอยู่ที่นี่ด้วยหรือ” หวังเป่าเล่อประหลาดใจเล็กน้อย ร่างสวมหน้ากากนั้นคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาบุตรแห่งความมืด ตามความเข้าใจของหวังเป่าเล่อ อีกฝ่ายควรจะต้องมีเคล็ดวิชาบางอย่างช่วยให้ตนไม่ติดอยู่ที่นี่สิถึงจะถูก

ในไม่ช้าหวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลงอย่างรวดเร็ว เพราะเขาพบว่ากึ่งบุตรแห่งความมืดในที่แห่งนี้หายไปสองคน…

หนึ่งคือสตรีที่เก็บซ่อนพลังแท้จริงตอนขยายความลึกก่อนหน้า!

สองคือคนที่หวังเป่าเล่อแทบจะไม่เคยใส่ใจเลยด้วยซ้ำ แม้จะนึกย้อนกลับไป กึ่งบุตรแห่งความมืดที่หายไปคนนี้ก็ไม่ได้สร้างความประทับใจอะไรยิ่งใหญ่ เขาจำได้แค่ว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะเป็นผู้ฝึกตนวัยกลางคน อย่างอื่นดูเลือนรางไปหมด

“หืม” เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อแปลกใจ หลังจากครุ่นคิดเขาก็ขยับร่างไปยังหุ่นกระบอกสวมหน้ากากที่กำลังจะตื่น มองหุ่นกระบอกที่กำลังกลายเป็นเลือดเนื้ออย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงยกมือจับหน้ากากบนใบหน้าของผู้ฝึกตนออกแล้วกวาดตามอง

“ผู้หญิง?” เขาผงะไปชั่วครู่ ไม่ได้คาดคิดว่านี่จะกลับตาลปัตรกับภายนอกที่เห็น กระจ่างชัดแล้วว่าบุตรแห่งความมืดที่แข็งแกร่งที่สุดซึ่งได้รับการยอมรับจากทุกคนในสำนักแห่งความมืด ไม่ใช่ผู้ชายอย่างที่แสดงให้เห็นภายนอก

ใบหน้านี้…เป็นสตรีที่ดูอ่อนโยน

“ไม่น่าใช่กระมัง หรือว่าแค่หน้าตาเหมือนผู้หญิงกัน” หวังเป่าเล่ออยากรู้ เขาอยากรู้จริงๆ…จึงก้มหน้ามองเรือนร่างของผู้ฝึกตนที่ถูกถอดหน้ากากออกแล้ว Aileen-novel

อดที่จะก้มตัวลงไปมองสำรวจอย่างละเอียดถี่ถ้วนไม่ได้ กระนั้น ก็ไม่ได้ใช้มือ แต่ก็ยืนยันได้แล้วว่า…อีกฝ่ายเป็นสตรี แต่ก็ยังไม่มั่นใจเต็มร้อย

“ไม่สิ…” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วมุ่น การคาดเดามากมายผุดขึ้นในหัวเขาคิดว่าบางทีคนผู้นี้อาจถูกเข้าใจผิด บุตรแห่งความมืดที่แข็งแกร่งแท้จริงแล้วคือคนอื่น

หรือไม่ก็คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่เขาเคยเห็นตอนอยู่ด้านนอก แต่ถูกสลับตัวเมื่อเข้ามาในนี้

หรือไม่ก็พลังเทพของสตรีชุดแดงทำให้ผู้ฝึกตนบางส่วนเปลี่ยนไป…การคาดเดาไหลผ่านความคิดหวังเป่าเล่อไป เขารีบใส่หน้ากากกลับเข้าไปตามเดิม ดวงตาเผยแววครุ่นคิด ก่อนจะวาบร่างออกมายังปากทางเข้าหน้ารูปปั้นสีแดง ข่มกลั้นการคาดเดาทั้งหมดแล้วก้าวเข้าไป!

“คิดมากไปก็ไร้ประโยชน์ รีบช่วยศิษย์พี่นำซากจักรพรรดิแห่งความมืดกลับไปให้เร็วที่สุดดีกว่า!” ดวงตาหวังเป่าเล่อเปล่งประกาย ร่างหายวับไปเข้าไปด้านในทันที

……………………………………

ทุกอย่างในภาพเหมือนกับที่หวังเป่าเล่อเคยเห็นบนดาวชะตาในชาติก่อนทุกประการ!

นั่นคือการต่อสู้ระหว่างจักรพิภพเต๋าไพศาลและจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น เป็นภาพที่จักรพิภพเต๋าไพศาลทุ่มสุดตัวเพื่อขัดขวาง เปิดเผยเคล็ดวิชาลับ ทำให้รูปปั้นแกะสลักของปรมาจารย์ตื่นขึ้นและต่อสู้ตัดสินชะตากับไม่รู้สิ้น

ในภาพ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นกำลังบูชาจักรวาล ปากเอ่ยคาถาซับซ้อนยากจะเข้าใจราวกับกำลังสวดอ้อนวอนและราวกับกำลังเพรียกร้อง

ด้วยการสวดอ้อนวอนของพวกเขา จักรวาลจึงเกิดฟ้าแลบนับไม่ถ้วนราวกับจะบดบังความว่างเปล่าทั้งหมด บริเวณใจกลางสายฟ้านับไม่ถ้วนเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะเกิดรอยแยกของกระแสน้ำวนขึ้น

ที่กล่าวว่าเป็นรอยแยกเพราะลักษณะไม่ปกติเหมือนกับดวงดาวที่ถูกฉีกออกจากกัน ที่กล่าวว่าเป็นกระแสน้ำวนเพราะรอบรอยแยกนี้มีกฎถูกดึงดูดเข้ามานับไม่ถ้วน ต่างปะทะกันเอง หักล้างกันเองจนก่อให้เกิดสภาพเหมือนพายุที่รัศมีแผ่ขยายไปรอบด้านอย่างต่อเนื่อง มองไกลๆ จึงดูเหมือนกระแสน้ำวน!

และยิ่งสะเทือนฟ้าดิน ทำให้จักรวาลสั่นสะเทือน แรงกดดันของจักรวาลหรี่ลงกำลังปลดปล่อยออกมาจากกระแสน้ำวนนี้ ราวกับมันอยู่สูงเกินไป ทำให้จักรวาลอันว่างเปล่าจนมากพอจะเกิดจักรพิภพ ไม่สามารถแบกรับได้ คล้ายกับว่าแรงกดดันที่มันแผ่ออกมาจะทำให้จักรวาลล่มสลาย

ช่างเขย่าขวัญ!

จิตใจหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน แท้จริงแล้วตอนที่เขาอยู่ในชาติก่อน ถึงแม้จะได้เห็นภาพนี้มาแล้ว แต่เขาในตอนนั้นทั้งฐานการฝึกฝนและความคล่องตัวล้วนไม่เท่าปัจจุบัน ตอนนั้นต่างจากตอนนี้ไม่น้อย อีกทั้งเพราะเวลานี้อยู่ในห้วงมายาและตัวเขายังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนจึงตัดสินใจได้ว่าจะอยู่ต่อหรือไม่!

ในไม่ช้าขณะที่แรงกดดันพุ่งสูง เขาก็ได้เห็นไม้ชิ้นใหญ่ค่อยๆ ออกมาจากกระแสน้ำวนกับตาตนเอง หนึ่งฉื่อ สองฉื่อ สามฉื่อ…

ไม้สามฉื่อ จักรพิภพเต๋าไพศาลพังทลาย รูปปั้นปรมาจารย์พังทลาย เสียงกรีดร้องนับไม่ถ้วน ความโศกเศร้านับไม่ถ้วนระเบิดไปทั่วจักรวาลอย่างต่อเนื่อง สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนเลือดเนื้อแตกกระจาย ชีวิตนับไม่ถ้วนถูกกวาดล้าง ไม่มีการนองเลือด แต่มีความจริงที่ว่าความตายกำลังเกิดขึ้น!

วิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อก็กำลังสั่นสะท้าน ได้เห็นภาพนี้อีกครั้งอารมณ์ของเขาก็ปั่นป่วนถึงขีดสุด แต่ก็รู้ดีว่าโอกาสนี้คงอยู่ได้ไม่นาน แม้พลังของสตรีชุดแดงจะน่าทึ่งที่สามารถจำลองทุกอย่างตรงหน้าออกมาได้ แต่ก็ยากที่จะยืนหยัดได้นาน เกรงว่าเพราะไม่อาจยืนหยัดได้ และเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็นจะทำให้ทุกอย่างตรงหน้าหายวับไป

ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงข่มกลั้นความตกใจเอาไว้ และทำสิ่งที่เขาทำไม่ทันตอนระลึกชาติโดยไม่ลังเล!

ร่างของเขาพุ่งออกไปทันที กายเนื้อ วิญญาณเทพ และฐานการฝึกฝนต่างระเบิดความเร็วถึงขีดสุดคล้ายดาวตกพุ่งข้ามผ่านจักรวาลตรงไปยัง…กระแสน้ำวนรอบรอยแยกที่ไม้สีดำสามฉื่อตกลงมา!

ความรู้สึกอันคุ้นเคย ความอบอุ่นผุดขึ้นในใจอย่างต่อเนื่องพร้อมกับการเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว และยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเขาเข้าใกล้กระแสน้ำวนนั้นมากขึ้น!

ในเวลาเดียวกันโลกที่เกิดจากห้วงมายาก็เริ่มสั่นคลอน จากการสั่นเล็กน้อยในตอนแรกกลายเป็นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงในไม่กี่อึดใจ แล้วพริบตาต่อมาก็ทำท่าเหมือนจะพังทลาย!

เสียงคำรามดังก้องอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงกรีดร้องที่คล้ายจะดังมาจากความว่างเปล่า เขารู้ในทันทีว่าเสียงนี้มาจาก…สตรีชุดแดง

“ห้วงมายาจะทนไม่ไหวแล้ว!” หวังเป่าเล่อกระวนกระวาย ระเบิดความเร็วอีกครั้งและเข้าใกล้กระแสน้ำวนนั้นมากกว่าเดิม ทว่าตอนนั้นเองห้วงมายาก็เริ่มพังทลาย

สิ่งแรกที่พังทลายคือความว่างเปล่าด้านล่าง เศษชิ้นส่วนความว่างเปล่ากำลังถูกมือยักษ์ที่มองไม่เห็นกวาดมาจากด้านล่างอย่างรวดเร็ว

พริบตาต่อมาจักรพิภพเต๋าไพศาลที่พังทลายก็สลายไป จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นก็กำลังสลายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน โลกทั้งใบกลายเป็นความว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว

ส่วนหวังเป่าเล่อก็ได้ใช้ความเร็วจนถึงขีดสุดของตัวเองแล้วในตอนนี้ ท่ามกลางการไล่ล่าอย่างต่อเนื่องของพลังแห่งการกวาดล้างข้างหลังเขา ท่ามกลางการสลายไปอย่างรวดเร็วของโลกนี้ ขณะที่การกวาดล้างใกล้เข้ามา ในที่สุดหวังเป่าเล่อ…ก็พุ่งเข้าไปในกระแสน้ำวนแตกร้าว!

ทันทีที่ก้าวเข้าไป ร่างของเขาหมุนตามกระแสน้ำวนและพุ่งเข้าไปในรอยแยก พริบตาที่เข้าไปได้ ภาพตรงหน้าก็พร่าเลือนราวกับมีหมอกปกคลุมทำให้มองไม่ชัด มันเหมือนกับรอยแยกเป็นทางเข้าแต่เพราะความต่างของกฎ และเต๋าระหว่างสองจักรวาลหรือสองโลกต่างกัน ทำให้หวังเป่าเล่อต้องปรับตัวให้เสร็จสมบูรณ์ มิเช่นนั้นก็จะเห็นดวงจันทร์อยู่ในน้ำ!

ขณะนี้จุดที่เขาอยู่ในตอนแรกถูกพลังกวาดล้างไปในพริบตา แม้แต่ความว่างเปล่ารอบด้านก็สลายไป แม้แต่กระแสน้ำวนรอบรอยแยกก็เช่นกัน ทั้งห้วงมายาในตอนนี้มีเพียงรอยแยกนี้เท่านั้นที่ยังอยู่

ทว่ามันก็ไม่อาจยืนหยัดต่อไปได้ ไม่ใช่เพราะพลังของรอยแยกไม่พอ กลับกันเป็นเพราะตำแหน่งที่มันอยู่สูงเกินไป สูงเกินขอบเขตความสามารถของสตรีชุดแดง ราวกับได้เห็นบางอย่างที่ไม่ควรเห็น ราวกับคนธรรมดามองเห็นเทพเซียน ทุกอย่างที่ไม่อาจมองเห็นในขณะนี้…พลันระเบิดออก

รอยแยก…สลายไปแล้ว!

แต่…ในพริบตาที่มันจะสลาย หวังเป่าเล่อก็ก้าวเข้าไปแล้ว ภาพตรงหน้าจากพร่าเลือนเริ่มแจ่มชัดขึ้นทีละน้อย แต่ท้ายที่สุดก็ยังไม่ชัดเจนอย่างสมบูรณ์คล้ายมองเห็นดอกไม้ในสายหมอก

ในความพร่าเลือนนี้หวังเป่าเล่อดูเหมือนจะเห็นในรอยแยกนี้ยังมีอีกจักรวาลหนึ่ง ที่นี่ไร้ดวงดาว มีเพียงร่างมายาเล็กใหญ่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในจักรวาล

ร่างเหล่านี้มีทั้งชายหญิง มีทั้งแก่และเด็ก และยังมีสัตว์ประหลาด รวมทั้งหมด 108 ร่าง บนร่างล้วนแผ่เจตจำนงแห่งเต๋าออกมาอย่างน่าทึ่ง ทุกร่างกำลังหลับตานั่งสมาธิ และในร่างของพวกเขา…ราวกับมีโลกและสิ่งมีชีวิตดำรงอยู่

ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ เหนือร่างทั้ง 108 ร่างขึ้นไปยังมีร่างที่ขนาดใหญ่กว่าทั้งหมด คาดว่าหากเอาร่างทั้ง 108 ร่างรวมกันก็ยังใหญ่ไม่ถึงหนึ่งในสิบของมัน

ร่างนี้ราวกับจักรพรรดิ ทั่วร่างแผ่พลังปราณของจักรพรรดิออกมา เขาไม่ได้หลับตา แต่กำลังลืมตามองหวังเป่าเล่อ!

ทันทีที่สายตาสบเข้ากับนัยน์ตาของหวังเป่าเล่อแล้ว ร่างกายของหวังเป่าพลันตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ดั่งถูกมีดแหลมคมแทงทะลุหัวใจเข้าไปถึงวิญญาณเทพ ดวงตาเบิกกว้างสูญเสียการมองเห็นทั้งหมด ก่อนที่โลกใบนี้จะพลันพร่าเลือนและพังทลาย!

ในพริบตาภายในวัดแม่น้ำแห่งความมืด ในโลกที่สตรีชุดแดงอยู่ จิตวิญญาณหวังเป่าเล่อก็กลับเข้าร่าง เขากระอักเลือดเต็มปาก รูทวารทั้งเจ็ดราวกับจะระเบิดออก ดวงตาหลั่งสายเลือด ร่างกายเกิดรอยแยกคล้ายกำลังจะฉีกเป็นชิ้นๆ เขาถอยหลังออกไปหลายก้าว

ขณะที่ถอยหลังไปก็มีหมอกสีแดงแผ่ออกมาจากร่างกายเขา หมอกเหล่านี้รวมตัวกันอย่างรวดเร็วก่อตัวเป็นร่างของสตรีชุดแดงกำลังกรีดร้องอย่างเศร้าโศก

“เจ้าเป็นใคร เจ้าเป็นใครกันแน่!!” สตรีผู้นี้ดูเหมือนต้องแบกรับความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส นางกระอักเลือดออกมาเช่นกัน ร่างของนางกำลังจะแหลกสลาย นางจับตาข้างเดียวของตนแล้วถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่หุ่นกระบอกที่นางรักก็ไม่ต้องการแล้ว ในพริบตานางก็สลายไป

เมื่อนางสลายไปแล้ว โลกใบนี้พลันพร่าเลือน จากนั้นจึงแตกสลาย เผยให้เห็น…สถานที่ที่แท้จริงในวัด

นี่เป็นเพียงวัดธรรมดาแห่งหนึ่ง สิ่งบูชาคือรูปปั้นสตรีสวมชุดแดงผู้หนึ่ง แต่ในตอนนี้รูปปั้นนั้นเกิดรอยร้าวนับไม่ถ้วน เลือดไหลออกจากรูทวารทั้งเจ็ด ขณะเดียวกันตรงหน้ารูปปั้นก็มีปากทางเข้าปรากฏอยู่บนพื้น

ด้านหวังเป่าเล่อ เขาอยู่ข้างปากทางเข้าและกำลังหลับตาสูดหายใจหอบถี่ รอบตัวเขา…ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดจำนวนมากนอนแผ่อยู่ตรงนั้น ทุกคนต่างหลับสนิท แต่เห็นได้ชัดว่าพลังปราณผันผวนราวกับกำลังจะตื่น

ไม่นานหลังจากนั้น หวังเป่าเล่อก็สงบลง เขาไม่ได้ตื่นเต้นกับวิญญาณเทพของตนไปถึงหนึ่งร้อยก้าวของระดับดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร แต่กลับถูกคลื่นยักษ์โหมกระหน่ำอยู่ในใจ เพราะว่า…ดวงตาของเขาไม่ได้มืดบอด แม้จะเจ็บแสบและมีเลือดไหลไม่หยุด แต่ในห้วงมายาเมื่อครู่ เวลานั้นที่ร่างมหึมานั่นมองเขา หวังเป่าเล่อก็ได้เห็น…บนหว่างคิ้วของร่างนั้นมีไม้สีดำตอกอยู่ข้างใน!

ไม้สีดำนั่น…เขารู้จักดี!

……………………………

“โง่จริงๆ ด้วย” หวังเป่าเล่อตื่นเต้น หลังจากเข้ามาในห้วงมายาอีกครั้ง ผู้ที่คุ้นชินกับมันแล้วอย่างเขาจึงได้สติกลับมาแทบจะทันที

เมื่อมองไปรอบด้าน หวังเป่าเล่อก็อดเปล่งเสียงประหลาดใจออกมาไม่ได้

รอบตัวเขาไม่ใช่ชาติที่เป็นกวางขาวอีกแล้ว แต่กลายเป็นความว่างเปล่ามืดมิดหาใดเปรียบ ไร้ดวงดาว ไร้พลังปราณ ทุกสิ่งที่เขามองเห็นคือความมืดไร้จุดสิ้นสุด ทั้งหนาวเย็นและเงียบงัน

“ที่นี่…” หวังเป่าเล่อใจกระตุก แม้เขาจะตั้งตารอมานาน และได้สัมผัสกับชาติก่อนในห้วงมายา แต่เขาก็ยังถูกพลังเทพของสตรีชุดแดงทำให้ตกใจจนได้

แท้จริงแล้ว…ชาติก่อนที่มีภาพและเรื่องราวนั้นย่อมกลายเป็นห้วงมายาได้ค่อนข้างง่าย แต่ตอนนี้…เป็นภาพที่ตัวเขาเดินเตร่อยู่ในความว่างเปล่ายามที่อยู่ในความทรงจำของชาติก่อน และสตรีชุดแดงก็สามารถหักเหมันออกมาได้

นั่นทำให้หวังเป่าเล่อใจกระตุก มองสำรวจไปทั่วบริเวณอย่างรวดเร็ว เขาเห็นตัวเองเป็นสิ่งแรกซึ่งเหมือนกับการรับรู้ชาติก่อนในความทรงจำ ตัวเขาในขณะนี้…เป็นแผ่นไม้สีดำแผ่นหนึ่ง

ไม่มีใครอื่น

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ก่อนจะมองสำรวจรอบด้านอีกครั้งอย่างไม่ยินยอม เขาให้ความสำคัญกับห้วงมายาในครั้งนี้มาก เพราะการรับรู้ชาติก่อนในตอนนั้น เขาในสภาพนี้ไม่ได้รับรู้อะไรจากมันมากนัก

ทว่าน่าเสียดาย ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะมองสำรวจอย่างไรก็ไม่เห็นอะไรพิเศษในความว่างเปล่าแห่งนี้เลย และในไม่ช้าเขาก็สัมผัสได้ถึงแรงดึงอีกครั้งและอีกครั้ง แต่หวังเป่าเล่อกลับไม่สนใจมันแม้แต่น้อย

จนกระทั่งผ่านการดึงไป 30 กว่าครั้งแล้ว เขาก็ต้องถอนหายใจยาวเหยียดและเลิกสำรวจรอบตัว รู้สึกว่าในระหว่างที่ล่องลอยไปในความว่างเปล่า บางทีอาจไม่มีอะไรแปลกใหม่ จึงใส่ความคาดหวังไว้กับห้วงมายาที่ตามมา

ไม่นานหลังจากนั้นแรงดึงก็กลับมาอีกครั้ง ความว่างเปล่ารอบตัวพังทลายลง หวังเป่าเล่อรู้ดีว่านี่หมายความว่าห้วงมายาในครั้งนี้กำลังจะสิ้นสุด สตรีชุดแดงผู้โง่เขลาล้มเหลวในการทำหุ่นกระบอกเช่นเดิม

แต่ในขณะที่เศษชิ้นส่วนรอบตัวเพิ่มขึ้นและห้วงมายากำลังจะสลายหายไป หวังเป่าเล่อก็ต้องใจกระตุกวูบ เขาหันขวับมองความว่างเปล่าในที่ไกลออกไป

ที่ตรงนั้น หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นเส้นด้ายเส้นหนึ่งลางๆ แต่ยังไม่ทันได้ยืนยันสิ่งที่เห็น ความว่างเปล่าตรงหน้าก็พังทลายเสียแล้ว หวังเป่าเล่อได้สติกลับมาและลืมตาขึ้นเช่นเคย สตรีโง่เขลาชุดแดง ดวงตาสีแดงฉาน หอบหายใจโกรธเกรี้ยว

“ที่ข้าเห็นเมื่อครู่คืออะไร” หวังเป่าเล่อไม่สนใจนาง คิ้วขมวดมุ่นและครุ่นคิดอย่างละเอียด แต่ในขณะที่เขาครุ่นคิด สตรีชุดแดงตรงหน้าก็โกรธจัด จนดูเหมือนว่าจะควบคุมไม่อยู่และแผดเสียงกรีดร้องดังลั่น

เสียงกรีดร้องนั้นก่อตัวเป็นพายุระเบิด ขัดจังหวะความคิดหวังเป่าเล่อ นั่นทำให้เขาไม่พอใจจึงเงยหน้าขมวดคิ้วและเหลือบมองนางแวบหนึ่ง

“เบาเสียงหน่อยได้หรือไม่”

ในดวงตาข้างเดียวของสตรีชุดแดงดูบ้าคลั่ง นางแผดเสียงกรีดร้องรุนแรงขึ้น มือขวาอันสั่นเทายกขึ้นชี้ไปยังหวังเป่าเล่อ ในพริบตา…หวังเป่าเล่อก็เข้าสู่ห้วงมายาอีกรอบ

คราวนี้สตรีชุดแดงรีบคว้าหุ่นกระบอกหวังเป่าเล่อขึ้นมาทันที แต่นางไม่ดึงศีรษะเขาอีกแล้ว กลับยัดเข้าใส่ปากตนเองโดยไม่ลังเล!

หวังเป่าเล่อที่เพิ่งเข้าสู่ห้วงมายาได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันได้มองรอบด้านให้ชัดเจนก็รู้สึกได้ถึงแรงเสียดแทงบริเวณคอหอย คราวนี้ไม่ใช่แรงดึงอีกต่อไป แต่คล้ายกับมีแรงที่มองไม่เห็นก่อตัวเป็นมีดกำลังจะสับเขา

แต่เห็นได้ชัดว่า…ไร้ประโยชน์

หวังเป่าเล่อเกาคออย่างไม่ใส่ใจ มองไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว นึกถึงความรู้สึกในความทรงจำก่อนหน้านี้อย่างละเอียด สัมผัสสวรรค์แผ่ซ่าน ดวงวิญญาณเทพกระจายออกไปสำรวจละเอียด

จนกระทั่งมีดที่มองไม่เห็นเฉือนลงที่คอมากกว่า 10 ครั้ง ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็เห็นเส้นด้ายที่หายวับไปในความว่างเปล่านั่น!

“ตรงนั้น!” จิตวิญญาณหวังเป่าเล่อลุกฮือ สัมผัสสวรรค์แผ่ขยายไล่ตามเส้นด้ายนั้นทันที แต่ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะไล่ตามอย่างไรก็ดูเหมือนไม่อาจเข้าใกล้เส้นด้ายเส้นนั้นได้เลย มันคล้ายจะอยู่ตรงหน้าแต่ในพริบตาเดียวกลับไปอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างน่าประหลาด

นั่นทำให้หวังเป่าเล่อกังวลเล็กน้อย วิญญาณเทพแผ่ขยายเร็วขึ้น อีกทั้งยังสำแดงพลังเทพทำให้วิญญาณเทพแยกร่างพยายามเข้าใกล้เส้นด้ายนั้นจากหลายทิศทาง ไอลีนโนเวล

แต่ก็ยังไม่สามารถแตะต้องได้ เข้าใกล้ว่ายากแล้ว นับประสาอะไรกับมองให้ชัดว่ามันคืออะไรกันแน่

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากถูกมีดที่มองไม่เห็นเฉือนคอครั้งที่ 35 ห้วงมายาก็พังทลาย หวังเป่าเล่อตื่นขึ้น เขาเห็นสตรีชุดแดงอยู่ตรงหน้า เห็นเจตจำนงอันบ้าคลั่งในดวงตานาง และเห็นปากของนาง….ในนั้นมีฟันซี่หนึ่งที่ดูเหมือนจะสึกกร่อนไปแล้ว

เขายังสัมผัสได้ถึงของเหลวที่ตนไม่รู้จักบริเวณลำคอและเส้นผมจากกายเนื้อตน ทว่า…ทุกอย่างตรงหน้านี้ ถึงหวังเป่าเล่อจะเห็นมัน แต่กลับไม่มีอารมณ์ใส่ใจ

เพราะในทันทีที่เขาตื่นขึ้น จิตใจพลันเต็มไปด้วยคลื่นลูกใหญ่ และตกใจที่พบว่าวิญญาณเทพของตนในระดับดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรก้าวเพิ่มไป 30 กว่าก้าวอย่างไม่คาดคิด!

การก้าวหน้าเช่นนี้แทบจะเรียกว่าน่าสะพรึงกลัวทำให้ดวงตาหวังเป่าเล่อฉายแสงแรงกล้า เขาเมินเฉยต่อความบ้าคลั่งของสตรีชุดแดง ไม่รู้ว่านางทำอะไรกับตนถึงทำให้เส้นผมและคอเปียกเช่นนี้ สายตาร้อนแรงมาพร้อมกับความรู้สึกซาบซึ้งและกำมือคำนับให้สตรีชุดแดงหนึ่งที

“ผู้อาวุโสช่างมีเมตตา…”

โฮก!! ยังไม่ทันที่หวังเป่าเล่อจะกล่าวจบเขาก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์คุกรุ่นอันยากจะบรรยายจากสตรีชุดแดง นางหยัดกายขึ้น พร้อมกับสองมือที่คว้ามาทางหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อยินดีอย่างยิ่ง และรู้สึกขอบคุณมากขึ้นไปอีก เขาไม่หลบเลี่ยงและยังเป็นฝ่ายเหาะเข้าไปหา ในพริบตา…ก็เข้าสู่ห้วงมายาอีกครั้ง ยังคงเป็นความว่างเปล่าและยังคงตามหาเส้นด้ายเส้นนั้นเช่นเดิม

แต่คราวนี้หลังจากถูกดึงและถูกมีดที่มองไม่เห็นสับลงบนลำคอ อีกทั้งยังถูกบดขยี้อยู่หลายรอบ วิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อก็แยกร่างออกมาได้มากกว่าเดิม และในที่สุด…เขาก็เข้าใกล้เส้นด้ายเส้นนั้นและมองเห็น…ลักษณะเฉพาะของมันอย่างชัดเจน!

นั่นคือ…

มือขาด!

บนมือขาดนั้นเต็มไปด้วยกฎที่ไม่สามารถอธิบายได้ อีกทั้งกระแสมหาเต๋านับไม่ถ้วนที่เหนือกว่าทุกสิ่ง เพียงแค่เหลือบมองก็ทำให้วิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อร้องคำรามราวกับข้อมูลนับไม่ถ้วนเติมเต็มเข้ามาอย่างรวดเร็ว วิญญาณเทพที่แยกร่างออกมาเกือบทั้งหมดพลันระเบิดหายไปในพริบตา เหลือเพียงวิญญาณหลักเท่านั้นที่ดำรงอยู่ได้อย่างยากลำบาก

ความว่างเปล่ารอบด้านก็พังทลายลงในชั่วขณะนั้นเอง หลังจากหวังเป่าเล่อกลับมาอีกครั้ง ยังไม่ทันได้หันไปมองสตรีชุดแดง เขาก็หลับตาอย่างรวดเร็วราวกับจะใช้วิธีนี้ปิดผนึกการเก็บเกี่ยวของตนไม่ให้มันแผ่กระจายออกไป ร่างกายพลันสั่นสะท้าน วิญญาณเทพดูดซับและย่อยข้อมูลเหล่านั้นอย่างต่อเนื่องราวกับเต๋าของตนถูกเติมเต็มและพัฒนาไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้วิญญาณเทพของเขาพัฒนาจาก 30 กว่าก้าวเป็น 90 กว่าก้าว!

ร่างกายหวังเป่าเล่อสั่นสะท้านและเมื่อเขาลืมตาก็ฉายลำแสงแผดเผายิ่งกว่าก่อนหน้านี้ ยามที่มองไปยังสตรีชุดแดง จิตใจพลันรู้สึกท่วมท้น

เขาเดาได้แล้วว่ามือที่ถูกตัดนั้นเป็นของใคร แต่ก็เป็นเพราะการคาดเดา ดังนั้นสำหรับสตรีชุดแดงผู้นี้สามารถแปลงมันออกมาได้ ช่างน่าตกใจอย่างยิ่ง

“อาจเป็นเพราะต้นกำเนิดเดียวกัน?” คำตอบนี้เพิ่งจะผุดขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อ สตรีชุดแดงก็หอบหายใจอย่างบ้าคลั่งจนแทบจะสิ้นสติ นางถลึงตามองหวังเป่าเล่อแล้วแผดเสียงกรีดร้องไม่หยุด แต่ในพริบตาต่อมาก็ดูเหมือนนางจะกระเสือกกระสน มือที่ยกขึ้นมาไม่ได้ชี้ไปทางหวังเป่าเล่อเป็นครั้งแรก แต่กลับผายไปทางด้านข้าง…

ตรงนั้นมีกระแสน้ำวนสายหนึ่งปรากฏ นั่นคือปากทาง

เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่เล่นด้วยแล้วและกำลังจะหนีจากตนไป หวังเป่าเล่อก็ตกใจและร้อนรนทันที โอกาสเช่นนี้เขาจะปล่อยไปง่ายๆ ได้อย่างไร สมองพลันคิดคำนวณอย่างรวดเร็ว ไม่นานดวงตาก็เบิกโพล่ง แล้วตะโกนใส่สตรีชุดแดงเสียงดัง

“เจ้าโง่ มานี่สิ!” หวังเป่าเล่อยกมือขวากระดิกไปทางสตรีชุดแดงอย่างดูถูกและหยิ่งผยอง

สตรีชุดแดงข่มกลั้นความโกรธ หลังจากหันไปมองหวังเป่าเล่อแล้ว นางก็อดกลั้นและเมินเฉย

หวังเป่าเล่อยิ่งร้อนรนและรีบใช้วิธีอื่นทันที แต่ไม่ว่าเขาจะยั่วโมโหอย่างไร สตรีชุดแดงก็ข่มกลั้นสุดฤทธิ์ จนในที่สุดก็หมดความอดทน นางชี้นิ้ว ทันใดนั้นปากกระแสน้ำวนแผ่แรงดูดออกมาทำให้ร่างของนางถูกดูดเข้าไปอย่างไม่ทันตั้งตัวแม้หวังเป่าเล่อจะทุ่มสุดตัวก็ตาม

นั่นทำให้หวังเป่าเล่อตาแดงก่ำแผดเสียงคำรามออกมาในที่สุด ร่างกายทะยานขึ้น เป้าหมายคือ…เบื้องหน้าสตรีชุดแดง ตรงหุ่นกระบอกเหล่านั้นที่เห็นได้ชัดว่านางรักมากแล้วทำท่าเหมือนจะจากพวกมันไป

ตอนนั้นเองสตรีชุดแดงที่อดกลั้นอารมณ์จนถึงขีดสุดก็ทนไม่ได้อีกแล้ว ร่างของนางลุกขึ้นยืนเต็มขา รัศมีพลันปะทุจนพื้นดินสั่นสะเทือน เกิดรอยร้าวราวกับจะพังทลาย หวังเป่าเล่อเองก็ตื่นตกใจเมื่อเห็นเช่นนั้น สตรีชุดแดงกระแทกเท้ากลายร่างเป็นลำแสงสีแดงพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ…

และพุ่งเข้าร่างเขาในพริบตา!

ในหัวหวังเป่าเล่อเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น ก่อนจะ…หมดสติไปอีกครั้ง!

ตอนนั้นเอง…เขาก็เห็นภาพที่ทำให้จิตใจสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ภาพนั้นคือ…ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนกำลังบูชาไม้ชิ้นใหญ่ที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นทีละชุ่นในกระแสน้ำวนแห่งความว่างเปล่าซึ่งไม่รู้ว่านำไปสู่ที่แห่งใด!

…………………………

“ใคร!” หวังเป่าเล่อรู้สึกกลัวอยู่ในใจ รีบหนีอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไร้ประโยชน์ ไม่กี่อึดใจแรงดึงก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาตกใจและตะโกนเสียงดัง

“ข้าเห็นเจ้าแล้ว เหอะ ที่แท้ก็เป็นเจ้า!”

ตึง!

ดึงอีกครั้ง!

“น่ารังเกียจ ไร้ยางอาย มีฝีมือก็ออกมา ดูสิพ่อเจ้าจะตีเจ้าอย่างไร!”

ตึง ตึง!

ดึงอีกครั้ง…

หวังเป่าเล่อกำลังจะเป็นเสียสติ ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เขาถูกดึงไปมากกว่า 20 ครั้งแล้ว ตอนนี้รอบตัวเขาต่างเกิดรอยร้าวนับไม่ถ้วนราวกับกำลังจะพังทลาย นั่นทำให้หวังเป่าเล่อที่จมดิ่งอยู่กับโลกใบนี้อย่างสมบูรณ์ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก

เวลาเดียวกันภายในวัดที่แม่น้ำแห่งความมืด ตอนนี้สตรีชุดแดงฉายแววตามุ่งร้าย นางก้มหน้าลง มือหนึ่งจับร่างหวังเป่าเล่อไว้ อีกมือหนึ่งใช้แรงทั้งหมดดึงศีรษะของเขาเขา ปากส่งเสียงคำรามต่ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ใช้แรงดึงไม่หยุด…

10 ครั้ง 20 ครั้ง…ในที่สุดเมื่อพยายามครั้งที่ 27 พร้อมเสียงคำราม ไม่ใช่ว่าหัวหวังเป่าเล่อถูกดึงลง แต่หุ่นกระบอกร่างเขาที่อยู่ในสภาพเปิดออกก่อนหน้านี้ จู่ๆ ก็ถอยร่นออกไปราวกับไม่ได้อยู่ในการควบคุมของสตรีชุดแดงอีก มันถอยกลับไปที่เดิม จากนั้นก็ตัวสั่น และเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็ได้สติ

ความทรงจำทั้งหมดจากดวงจันทร์ก่อนหน้านี้กลับมาทันที สีหน้าหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไปฉับพลันและตระหนักได้ทันทีว่าเมื่อครู่ตนตกอยู่ในห้วงมายาแปลกประหลาด ทันทีที่ถอยออกมาเขาก็สำรวจร่างกายตนเอง ก่อนใบหน้าจะฉายความงุนงง

เขา…ไม่เป็นอะไรเลย แค่เจ็บตรงคอเล็กน้อยเท่านั้น หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้น ในพริบตาที่เงยหน้าขึ้นนั่นเอง เขาจึงเห็นว่าสตรีชุดแดงกำลังตาแดงก่ำและถลึงตามองเขาอยู่

ท่าทางนั้นดูโกรธเกรี้ยว และไม่พอใจอย่างยิ่ง

หวังเป่าเล่อใจกระตุก ถอยหลังไปอีกครั้ง เขากำลังจะท่องบทสวดแห่งเต๋า ฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างกายกำลังจะไหลเวียน แต่ในพริบตา สตรีชุดแดงร่างยักษ์ก็ดวงตาวาววับ หวังเป่าเล่อตัวแข็งทื่อไปทันที ดวงตาพลันว่างเปล่าและกลายเป็นหุ่นกระบอกอีกรอบ คราวนี้…ไม่ได้เดินไปที่เดิม แต่สตรีชุดแดงให้การดูแลเป็นพิเศษโดยการเดินมาตรงหน้าเขา

ตอนนี้สตรีผู้นั้นไม่สนใจหุ่นกระบอกตัวอื่นแล้ว ต่อให้มีหุ่นกระบอกเปล่งแสงก็ไม่สน นางจ้องมองหวังเป่าเล่อที่กลายเป็นหุ่นกระบอกและรอคอยให้เขาเปล่งแสง Aileen-novel

ขณะที่นางกำลังรอคอย หวังเป่าเล่อก็จมดิ่งไปในอีกห้วงมายาหนึ่งแล้ว นั่นก็คือดาราจักรดวงเนตรสวรรค์ ด้านหลังหวังเป่าเล่อมีเรือรบจำนวนมากกำลังไล่ตามเขามา ผู้นำคือสตรีผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้บัญชาการกองทัพมังกรหยดหมึก ดวงตานางเผยเจตนาฆ่าอย่างรุนแรงขณะเข้าใกล้หวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อที่กำลังหลบหนีดวงตาว่างเปล่าไปชั่วขณะ แต่ไม่นานการไล่ล่าในตอนนี้ก็ทำให้เขาจมดิ่งเข้าไปและหลบหนีอย่างรวดเร็ว หากแต่กลับเลี่ยงไม่ได้ ยังคงถูกอีกฝ่ายไล่ตามเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

“ให้ตายสิ พวกเขาเอาผลของข้าไปชัดๆ” หวังเป่าเล่อจมดิ่งไปกับห้วงมายา พริบตาที่ความเกลียดชังอัดแน่นในใจ จักรวาลก็แผดเสียงคำราม พลังอันแข็งแกร่งไหลมารวมตัวจากทั่วทุกสารทิศ และตกลงบนคอของเขาเหมือนกับมันได้กลายเป็นฝ่ามือใหญ่ สองมือบีบเค้นคอเขาเอาไว้!

ความรู้สึกที่ถูกดึงอย่างแรง แต่กลับ…ดึงไม่ขาดทำให้หวังเป่าเล่อชะงักไป

“ความรู้สึกแบบนี้คุ้นๆ อยู่นะ…”

เวลาเดียวกัน ภายในวัดที่แม่น้ำแห่งความมืด สตรีชุดแดงกำลังแหงนหน้าแผดเสียงกรีดร้องอย่างโกรธเกรี้ยว เส้นเลือดในดวงตาปูดโปน ก่อนจะลุกขึ้น สองมือระเบิดพลังทั้งหมดเพื่อจะ…ฉีกร่างหวังเป่าเล่อที่กลายเป็นแผ่นไม้สีดำในมือ

แต่ไม่ว่านางจะพยายามแค่ไหน บ้าคลั่งเพียงใดก็ไม่อาจทำอะไรแผ่นไม้สีดำได้แม้แต่น้อย แท้จริงแล้ว…หากพลังเทพของนางไม่ได้เชื่อมโยงกับสารัตถะของสิ่งมีชีวิตและมีเพียงวิญญาณเทพ ป่านนี้วิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อคงสลายไปแล้ว แต่หากเกี่ยวข้องกับสารัตถะของสิ่งมีชีวิตแล้วล่ะก็…

เกรงว่าต่อให้ไม่มีแม่น้ำแห่งความมืด แผ่นไม้สีดำหวังเป่าเล่อก็ยังดำรงอยู่ต่อไปอย่างสงบ เพียงแต่วิญญาณเทพที่เกิดบนแผ่นไม้สีดำนี้จะหายไปก็เท่านั้น

ขณะนี้เสียงกรีดร้องยังดำเนินต่อไป สตรีชุดแดงยังคงพยายามต่อไปอย่างบ้าคลั่ง ส่วนหวังเป่าเล่อในห้วงมายาก็รู้สึกว่าถูกดึงครั้งแล้วครั้งเล่า จากว่างเปล่าเป็นมึนงง และจากมึนงงเป็นว่างเปล่า กลับไปกลับมาเช่นนี้หลายครั้ง ดวงตาของเขาฉายแววกระเสือกกระสนและรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดก็ชัดแจ่มแจ้ง!

“หืม” หวังเป่าเล่อสะบัดศีรษะแรงๆ ก่อนจะมองไปรอบด้าน ความทรงจำในหัวผุดขึ้นมาทันที เขาจำได้แล้ว ตัวเขาอยู่ในแม่น้ำแห่งความมืด ภายในวัดที่มีสตรีชุดแดงผู้นั้น

“เช่นนั้นสภาพของข้าตอนนี้…” หวังเป่าเล่อดวงตาฉายแสงแรงกล้า แต่ก่อนที่เขาจะคิดอะไรได้มากกว่านั้น พลังไม่ธรรมดาที่ระเบิดขึ้นอีกครั้งก็ทำให้คอของเขาเจ็บเล็กน้อยและโลกพลันพังทลายลง

ความเจ็บครั้งนี้ราวกับถูกคนตบ ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ได้เจ็บอะไรมาก แต่โลกกลับแบกรับไม่ไหวจนพังทลายลงเป็นอย่างแรก ในทันทีที่หวังเป่าเล่อได้สติคืนมา เขาก็รีบถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็เห็นสตรีชุดแดงอยู่ตรงหน้าเขา และกำลังจะครอบครองพื้นที่ทั้งหมด

ขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อก็เห็นว่ามีหุ่นกระบอกมากกว่า 10 ตัวที่ไม่รู้ว่าเปล่งแสงมานานแค่ไหนแล้ว แต่ไม่ได้รับความสนใจ…ใบหน้าเขาแสดงความประหลาดใจเล็กน้อย แต่แล้วพริบตานั้นด้วยความดื้อรั้นของสตรีชุดแดง ภาพตรงหน้าของหวังเป่าเล่อก็พร่าเลือนอีกครั้ง เมื่อฟื้นขึ้นเขาก็กลับไปอยู่ในสุสานดวงดาราแล้ว

และกำลังหลบหนีเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่ไล่ล่าเขาบนเกาะ ทว่าหลังจากหวังเป่าเล่อวิ่งไปได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงฝีเท้า ดวงตาพลันเผยแววกระเสือกกระสนอย่างรวดเร็ว และเขาก็ฟื้นขึ้น

คราวนี้บางทีอาจเป็นเพราะประสบการณ์สองครั้งก่อนหน้า หวังเป่าเล่อจึงตื่นขึ้นมาก่อนได้อย่างราบรื่น ทันทีที่ตื่นขึ้นก็เกิดแรงดึงอีกครั้ง หวังเป่าเล่อไม่สนใจ หลังจากเกาคอแล้วมองไปรอบด้าน จากนั้นสายตาก็เผยแววครุ่นคิด

“สตรีชุดแดงผู้นั้นดูโง่เขลา…”

“ภาพลวงตาไม่มีผลอะไรกับข้าหรอก”

“แต่…ภาพลวงตานี้ดูน่าสนใจ สามารถแสดงความทรงจำของข้าได้ ขณะเดียวกันยังส่งผลกระทบกับชาติก่อนได้ด้วย…เช่นนั้นเป็นไปได้ไหมว่าภาพที่ปรากฏตรงหน้าข้าเมื่อครู่เป็นห้วงมายา”

“หากเป็นเช่นนั้นจริง…บางทีข้าอาจรับรู้ชาติก่อนได้อีกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจจะได้เห็นอะไรมากขึ้น! อาจจะได้เห็น…ความทรงจำที่ข้าไม่เคยรู้ก็ได้” ความคิดของหวังเป่าเล่อก็เป็นเพียงจินตนาการเท่านั้น ตัวเขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก แต่ก็มีความหวังเล็กน้อยจึงเดินเตร่ไปรอบๆ มองดูทุกสิ่งในห้วงมายา ตอนนี้เขาผ่านประสบการณ์ถูกดึงคอมากกว่า 30 ครั้งแล้ว

หวังเป่าเล่อคุ้นชินกับมันแล้ว ทุกครั้งที่มีการดึงเขายังเบี่ยงมุมให้แรงดึงนั้นสบายกับตนเองมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ เป็นเช่นนี้ไปจนสุดท้ายโลกก็พังทลาย

หลังจากได้สติกลับมาครั้งนี้ หวังเป่าเล่อไม่ถอยหลัง แต่ยืนอยู่ตรงนั้นและมองสตรีชุดแดงที่กำลังถลึงตามองเขาด้วยดวงตาเปื้อนเลือดอย่างรอคอย

พริบตานั้นราวกับถูกหวังเป่าเล่อยั่วโมโห สตรีชุดแดงแผดเสียงกรีดร้องและใช้เคล็ดวิชา ทำให้หวังเป่าเล่อกลับมายังจักรวาลสีเทาที่ศิษย์พี่เฉินชิงจื่ออยู่อย่างปีติยินดี…

ไม่นานหวังเป่าเล่อก็กลับมา และเข้าสู่…ชาติที่เขาเป็นเผ่าเทพออัคคี

จากนั้นก็ทหารอาฆาต ผู้ฝึกตนโกรธเกรี้ยว ผีดิบ กวางน้อย…

หวังเป่าเล่อเข้าสู่ห้วงมายาครั้งแล้วครั้งเล่าจนมีสติเต็มร้อย ยิ่งกว่านั้นความแข็งแกร่งของพลังเทพสตรีชุดแดงผู้โง่เง่าก็ยิ่งน่าตกใจขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันความคาดหวังในใจก็ยิ่งแรงกล้าขึ้น

“มันเป็นไปได้จริงๆ!!”

เขารู้สึกตื่นเต้นในฉับพลัน หลังจากกลับมาอีกครั้ง สายตาที่จ้องมองสตรีชุดแดงซึ่งกำลังหอบหายใจอยู่ก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น

“มาอีกสิ!”

สตรีชุดแดงคำรามขึ้นฟ้า แล้วยกมือขวาขึ้นมาราวกับจะใช้คาถาเวทอีก หากแต่ครั้งนี้กลับลังเลไปชั่วครู่ ท่าทางนั่นทำให้หวังเป่าเล่อร้อนใจ เขากลอกตา มุมปากเหยียดยิ้มเย้ยหยัน ก่อนจะเหาะช้าๆ ทำราวกับว่ากำลังจะจากไป

แสงดุร้ายในดวงตาสตรีชุดแดงลุกโชนขึ้นอีกรอบ มือขวาที่ยกขึ้นพลันตบลงมาทำให้หวังเป่าเล่อได้ตอบสนองความปรารถนาของตน และเข้าไปในห้วงมายา…ด้วยความยินดี

………………………

ตรงปลายสุดของรอยมือในแม่น้ำแห่งความมืดลึก 1,000,000 จั้ง ที่ยอดเขามหึมานั้นมีรูปปั้นแกะสลักงดงามตระการตาอยู่ชิ้นหนึ่ง รูปปั้นแกะสลักนี้เป็นชายวัยกลางคน มองไม่เห็นใบหน้าของเขา

เขาก้มหน้าลงราวกับกำลังมองไปยังขุมนรก พลังไอมรณะเข้มข้นแผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขาราวกับได้กลายเป็นหนึ่งในแหล่งทรัพยากรของแม่น้ำแห่งความมืดสายนี้

ด้านล่างรูปปั้นแกะสลัก ด้านนอกวัดสีดำ หวังเป่าเล่อกำลังผลักประตูไม้ของวัดแล้วเดินเข้าไปด้วยความมุ่งมั่น

ไม่ว่าผู้ที่เข้ามาก่อนหน้านี้จะเป็นอย่างไร ไม่ว่าหลังจากเข้ามาแล้วจะมีอันตรายที่ยากจะต่อกรอยู่หรือไม่ หวังเป่าเล่อก็ต้องก้าวเข้าไป ไม่ใช่เพื่อตัวเขาเอง แต่เพื่อศิษย์พี่

เพื่อมิตรภาพในวันวาน เพื่อตอบแทนจากก้นบึ้งหัวใจ

อันตรายหรือไม่อันตราย ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว สิ่งสำคัญคือหวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเขาควรเข้าไป ควรทำเช่นนี้

ดังนั้นฝีเท้าของเขาจึงมั่นคงมาก พริบตาที่ก้าวข้ามธรณีประตูและเดินเข้าไป…ก็เหมือนกับหลุดเข้าไปอีกโลกหนึ่ง

ในประตูกับนอกประตูดูเหมือนไม่มีอะไรแตกต่างกัน แต่มีเพียงคนที่เข้ามาอย่างแท้จริงเท่านั้นที่จะรู้ว่าด้านในกับด้านนอกไม่เหมือนกัน โลกภายนอกคือก้นแม่น้ำแห่งความมืด ไอมรณะแทรกซึมไปทั่ว แต่ด้านในวัด…กลับมีอย่างอื่น นั่นก็คือโลกใบหนึ่ง

เป็นโลกที่กว้างใหญ่ แต่ก็เล็กจ้อยเช่นเดียวกัน ที่บอกว่ากว้างใหญ่มากนั้นเป็นเพราะมันไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุดได้ในพริบตาเดียว จิตใต้สำนึกเองก็ไม่สามารถครอบคลุมได้หมด ส่วนที่บอกว่าเล็กจ้อยมากก็เป็นเพราะในโลกอันไร้ขอบเขตนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลย มีเพียงร่างหนึ่งที่ครอบครองพื้นที่เกือบครึ่งของโลกเอาไว้ สตรีในชุดสีแดง เบื้องหน้านางมีหุ่นกระบอกที่จัดวางอย่างเรียบร้อย

หุ่นกระบอกพวกนั้นส่วนมากมืดมน มีเพียงสามถึงห้าตัวเท่านั้นที่กำลังเปล่งแสงอยู่

นอกจากนี้ยังมีเพลงแห่งความว่างเปล่าดังออกมาจากปากของสตรีผู้นั้น

“หนึ่งปากหนึ่งตาหนึ่งตัว มีวิญญาณมีเนื้อมีกระดูก…”

“มองดวงตาอันพร่างพราย สิ่งเดียวที่มากขึ้นคือไม้แห่งความมืด…”

“มีปากมีตามีตัว หนึ่งวิญญาณหนึ่งเนื้อหนึ่งกระดูก…”

“ทุกสิ่งที่ได้ยินคือน้ำตา สิ่งเดียวที่ขาดคือเสือน้อย…”

จู่ๆ เพลงนี้ก็ลอยมาพร้อมกับเสียงเรียกแปลกประหลาด คล้ายกับเป็นเพลงสวดส่งวิญญาณ เมื่อมันลอยเข้าหูหวังเป่าเล่อ เขาพลันชะงักฝีเท้า ดวงตาเผยความสับสน แต่ในไม่ช้าความสับสนนั้นก็ถูกเขาสะกดกลั้น แต่ในใจกลับยิ่งตื่นตกใจกับเพลงนี้มากขึ้น

ความจริงคือเนื้อหาของเพลงนั้น…น่าสะพรึงกลัว

เมื่อมองเข้าไป หวังเป่าเล่อก็เห็นว่าในโลกใบนี้ สตรีชุดแดงร่างมหึมาผู้นั้นกำลังขับร้องเพลงพร้อมกับนำหุ่นกระบอกที่เปล่งแสงไม่กี่ตัวนั้นขึ้นมา การกระทำราวกับกับกำลังสร้างพวกมัน

ส่วนวัสดุนั้น…หวังเป่าเล่อรู้จักดี นั่นคือร่างของผู้ฝึกตนในสำนักที่เข้ามาก่อนหน้านี้ แม้จะไม่ใช่ผู้ฝึกตนทั้งหมดของสำนักแห่งความมืดที่อยู่ในที่แห่งนี้ แต่อย่างน้อยก็เจ็ดในสิบ อีกทั้งผู้ฝึกตนแต่ละคนก็ราวกับหลับใหล และปล่อยให้สตรีผู้นั้นจัดการได้ตามใจชอบ

รูปร่างหน้าตาของสตรีผู้นั้นก็น่าสยดสยองมากเช่นกัน นางไร้จมูก บนใบหน้ามีเพียงตาดวงเดียวและปากสีเลือดที่กำลังฮัมเพลงเสียงเบา หวังเป่าเล่อดวงตาหดแคบ ฐานการฝึกฝนในร่างไหลเวียน เขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามรุนแรงบนร่างของนาง

ภัยคุกคามนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเต๋าสวรรค์ แต่มาจากจิตวิญญาณเหมือนกับจิตวิญญาณของเขากำลังสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนเขาว่าที่นี่…อันตรายอย่างยิ่ง!

ยิ่งหวังเป่าเล่อมองเห็นวัสดุของหุ่นกระบอกที่กำลังสร้างอยู่ในมือของสตรีชุดแดง…นั่นคือผู้ฝึกตนดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรที่เข้ามาก่อนหน้าเขา

ตอนนี้ในสายตาของเขา ผู้ฝึกตนที่เปล่งแสงอยู่ในมือสตรีชุดแดงกำลังถูกบิดไปมา นางดึงศีรษะผู้ฝึกตนนั้นลงมา และในตอนที่ดึงลงมานั่นเองก็มีเงาร่างบางอย่างปรากฏขึ้นบนร่างผู้ฝึกตน ไอรีนโนเวล

ร่างเหล่านั้นมีทั้งผู้ฝึกตน มนุษย์ธรรมดา และสัตว์ร้าย หากหวังเป่าเล่อไม่มีประสบการณ์ที่ดาวชะตา เขาคงไม่สามารถมองทะลุได้ แต่ตอนนี้เมื่อมองไปก็ต้องตกใจทันที เข้าใจกระจ่างว่าเงาร่างเหล่านั้นคงจะเป็นร่างในชาติก่อนๆ ของผู้ฝึกตนผู้นั้น

“นี่มันคืออะไรกันแน่ มีผลกับสารัตถะจิตวิญญาณได้โดยตรง ศีรษะที่ดึงลงมาไม่ใช่ชีวิตปัจจุบัน แต่เป็นสารัตถะที่แท้จริงของเขา!”

ไม่มีเลือดราวกับผู้ฝึกตนนั้นกลายเป็นวัตถุไร้ชีวิตมาปะติดเข้าด้วยกัน ศีรษะของเขาถูกสตรีชุดแดงกดทับลงบนหุ่นอีกตัว

ขณะเดียวกันร่างของผู้ฝึกตนผู้นั้นก็ถูกแยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว แขน ขา และลำตัว ราวกับได้กลายเป็นชิ้นส่วนที่ถูกติดตั้งบนหุ่นกระบอกตัวอื่น

ภาพนี้ทำให้ดวงตาหวังเป่าเล่อหดแคบลงอีกครั้ง ยังไม่ทันที่เขาจะได้ขยับ จู่ๆ เพลงของสตรีชุดแดงก็หยุดลง มุมปากเผยรอยยิ้ม ก่อนนางจะเงยหน้าขึ้นและใช้ดวงตาเพียงข้างเดียวมองมาทางหวังเป่าราวกับดีใจมาก

“มีปากมีตามีตัว มีวิญญาณมีเนื้อมีกระดูก” น้ำเสียงร่าเริงดังก้องกังวาน สตรีชุดแดงยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังหวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่อคิดจะหลบหนี ทว่านิ้วที่ชี้มาย่อมไม่เปิดโอกาสให้เขาหลบหนีได้ เสียงคำรามดังขึ้นในหัว พริบตาเขาก็เห็นร่างของตนไม่สามารถควบคุมได้และค่อยๆ แข็งทื่อ ก่อนจะก้าวเข้าไปหาสตรีชุดแดงทีละก้าว

ในที่สุดก็เดินมาถึงตรงหน้านาง และหยุดอยู่ข้างหลังหุ่นกระบอกทั้งหลาย จากนั้นความง่วงงุนก็เข้าคืบคลาน ทุกสิ่งตรงหน้าพร่าเบลอจนหมดสิ้น

เวาผ่านไปอย่างเนิบช้า ทว่าเพลงของสตรีชุดแดงกลับยิ่งร่าเริงขึ้น นางไม่ได้หยิบหวังเป่าเล่อที่กลายเป็นหุ่นกระบอกขึ้นมา เพียงแต่เหลือบมองเป็นครั้งคราว ทว่าเมื่อใดก็ตามที่มีหุ่นกระบอกเปล่งแสง นางจะจับขึ้นมาด้วยความดีอกดีใจ และแยกชิ้นส่วนไปติดตั้งบนหุ่นตัวอื่น

ด้านหวังเป่าเล่อที่หมดสติไป เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งเขาก็ไม่ได้อยู่ในวัดต่อไปแล้ว แต่อยู่ในสนามรบอันคุ้นตา

รอบด้านไร้พืชพันธุ์ บนพื้นมีแอ่งอยู่หลายจุด เมื่อเงยหน้ามองท้องฟ้าเป็นจักรวาล และในจักรวาลนี้มีดวงดาวสีฟ้าอยู่ดวงหนึ่ง

มันดูคุ้นตามาก

“โลก?” หวังเป่าเล่อผงะไปชั่วครู่ ทันใดนั้นก็มีคนผลักสีข้างเขา คนผู้นี้หวังเป่าเล่อคุ้นเคยดี เขาคือ…จินตั้วหมิงแห่งสหพันธรัฐ!

“เป็นไง แลกไม่แลก” จินตั้วหมิงกะพริบตามองหวังเป่าเล่อ

“แลกอะไร” หวังเป่าเล่อเอ่ยตอบอย่างว่างเปล่า จินตั้วหมิงมองหวังเป่าเล่อด้วยความประหลาดใจ พึมพำสองสามประโยคแล้วหมุนตัวจากไปโดยไม่สนใจเขาอีก

จินตั้วหมิงเดินจากไปแล้ว หวังเป่าเล่อมองไปรอบด้าน ไม่นานสมองเขาก็ค่อยๆ แจ่มชัดและจำทุกสิ่งได้ เขานึกออกแล้ว เขาเคยอยู่ที่สำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์มาก่อน ได้รับสิทธิ์ฝึกฝนบนดวงจันทร์และสร้างรากฐานแห่งเต๋า

“ใช่ รากฐานแห่งเต๋า!” หวังเป่าเล่อใจกระตุก ดวงตาเปล่งแสงจ้าและกรอกไปรอบตัวอย่างรวดเร็ว ก่อนจะใช้ฐานการฝึกฝนชั้นมหาวัฏจักรควบออกไปอย่างรวดเร็ว

ระหว่างทางเขาเห็นเหล่าอสูรร้ายที่เป็นลักษณะเฉพาะของดวงจันทร์ ไม่ว่าจะเซียนดวงจันทร์หรือวิญญาณร้ายล้วนทำให้หวังเป่าเล่อต้องระวัง ขณะเดียวกันก็มีคนคุ้นหน้าคุ้นตาทยอยปรากฏขึ้นในสายตาของหวังเป่าเล่อ

นั่นทำให้หวังเป่าเล่อจมดิ่งกับโลกใบนี้โดยสมบูรณ์และไม่ตระหนักถึงปัญหาที่นี่และไม่รับรู้ถึงสภาพของตัวเองในตอนนี้ซึ่งผิดปกติมาก

เวลาเดียวกันในแม่น้ำแห่งความมืด ด้านล่างรูปปั้นแกะสลัก ภายในวัด ในโลกที่มีสตรีชุดแดงผู้นั้นอยู่ จู่ๆ หุ่นกระบอกหวังเป่าเล่อก็เปล่งแสงไปทั่วร่างราวกับแสดงถึงการเติบโตเต็มวัยแล้ว นั่นทำให้สตรีชุดแดงโห่ร้องดีใจ นางคว้าหุ่นกระบอกหวังเป่าเล่อขึ้นมาด้วยความยินดี ก่อนจะบีบศีรษะเขาแล้วดึง…

ทันใดนั้นร่างในชาติก่อนๆ ของหวังเป่าเล่อก็ทยอยปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลเทพ ผีดิบ กวางหรืออาวุธ ทั้งหมดล้วนถูกดึงออกมาในพริบตา แต่ในตอนนั้นเองร่างชาติก่อนของหวังเป่าเล่อ แผ่นไม้สีดำพลันปรากฏ ทำให้สตรีชุดแดง…ดึงไม่ได้!

นางชะงัก

เวลาเดียวกันในโลกดวงจันทร์ที่หวังเป่าเล่อจมดิ่ง เขากำลังพยายามสร้างรากฐานแห่งเต๋าอย่างระมัดระวัง แต่แล้วร่างกลับกระตุกอย่างรุนแรง ความว่างเปล่ารอบด้านสั่นสะเทือนราวกับมีแรงมหาศาลกำลังฉุดดึง แรงดึงนี้ไม่ได้มาจากพื้นดิน แต่มาจากจักรวาล มาจากทั่วทุกสารทิศ มาจากทุกพื้นที่และมาบรรจบกันที่คอของเขาในที่สุด

ทว่าในขณะที่ดึงก็ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะใช้กำลังทั้งหมด ไม่ได้หักคอของเขา ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆ สงบลง ดวงตาหวังเป่าเล่อมีแววกระเสือกกระสน เขาส่ายหัวแล้วยกมือลูบบริเวณนั้นด้วยความสงสัย

“ใครดึงคอข้า”

ตอนนั้นเองโลกก็พลันสั่นสะเทือนขึ้นมาอีกครั้ง มันรุนแรงขึ้นและแรงดึงก็มากขึ้น!

……………………………………

“คฤหาสน์จักรพรรดิแห่งความมืด…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา หลังจากกระแทกฝ่ามือนั้นลงไป พลังแห่งเต๋าสวรรค์ในร่างกายเขาก็หายไปหมดด้วย หวังเป่าเล่อไม่แสดงอาการอ่อนเพลียใดออกมา ตอนนี้เขากำลังก้มศีรษะจ้องมองเข้าไปในแม่น้ำ ภูเขาที่มองไม่เห็นก้นบึ้งลูกนั้นและรูปปั้นแกะสลักบนยอดเขา แล้วยังมี…วัดสีดำสนิทนั่น

สำหรับจักรพรรดิแห่งความมืด หวังเป่าเล่อไม่ค่อยรู้เรื่องราวของเขามากนัก ในนิมิตมืดก็ไม่ได้มีคำอธิบายอะไรมาก เขารู้แค่ว่านี่คือผู้นำของสำนัก มีอำนาจเหนือผู้อาวุโสชั้นสูงทั้งเก้า

ทว่า ถือสันโดษมานานนับหลายปี อำนาจของสำนักแห่งความมืดจึงตกอยู่ที่ผู้อาวุโสชั้นสูงทั้งเก้า ในตอนสุดท้ายของสงครามตระกูลไม่รู้สิ้น จักรพรรดิแห่งความมืดคือผู้ที่ถูกตัดศีรษะเป็นคนแรก ส่วนราคาที่แลกกับการตายนั้น…หวังเป่าเล่อไม่รู้ แต่จากความเข้าใจในภายหลัง เขารู้ว่าเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดตอนนั้นได้ถูกตระกูลไม่รู้สิ้นตัดศีรษะไปพร้อมกับจักรพรรดิแห่งความมืดผู้นี้ด้วย

จากนั้นการปรากฏตัวของเต๋าสวรรค์ตระกูลไม่รู้สิ้นและการต่อสู้ตัดสินชะตาของสายเลือดทั้งเก้าของสำนักแห่งความมืดก็อยู่ในความควบคุมของผู้อาวุโสชั้นสูงทั้งเก้า กระทั่งสายเลือดทั้งเก้าของสำนักแห่งความมืดถูกทำลายจนตายไปกว่าเก้าในสิบ

ถึงจุดนี้ความรุ่งโรจน์ของสำนักแห่งความมืดจึงถูกปิดม่านและกลายเป็นเพียงประวัติศาสตร์ ขณะที่ตระกูลไม่รู้สิ้นรุ่งเรืองและกลายเป็นศูนย์กลางจักรพิภพเต๋า เต๋าสวรรค์ของพวกเขาแผ่ขยายไปทั่วจักรพิภพเต๋าและกลายเป็นธรรมเนียม

ตอนที่มายังนพภูมิแห่งนี้ หวังเป่าเล่อก็ได้รู้ความลับจากศิษย์พี่เฉินชิงจื่อว่าจักรพรรดิแห่งความมืด…คือนิ้วชี้ของหลัวเทียนที่แปลงมา

“นิ้วชี้…เช่นนั้นใครกันที่สามารถตัดหัวจักรพรรดิแห่งความมืดที่แปลงมาจากนิ้วชี้หลัวเทียนได้…” ดวงตาที่หรี่ลงของหวังเป่าเล่อเผยความล้ำลึก เขานึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกในรับรู้ชาติก่อนของตน เรื่องราวเหล่านี้ทำให้เขาเข้าใจความแข็งแกร่งของคนที่เฉือนนิ้วชี้หลัวเทียน

จากจุดนี้ก็สามารถอนุมานพลังต่อสู้ของจักรพรรดิแห่งความมืดและความแข็งแกร่งของคู่ต่อสู้ได้ไม่มากก็น้อย

“เป็นปรมาจารย์ดั้งเดิมของตระกูลไม่รู้สิ้นที่ทำให้แม้แต่ศิษย์พี่ยังกลัวผู้นั้น…คนผู้นี้คือร่างแยกของตี้เทียนหรือ แล้วยังมีตะขาบสีโลหิตนั่นอีก” ขณะที่หวังเป่าเล่อเงียบไป เฉินชิงจื่อในความว่างเปล่าก็เผยแสงสลัวในดวงตา และกล่าวอย่างเนิบช้าด้วยความสงบนิ่ง

“เข้าไปในคฤหาสน์จักรพรรดิแห่งความมืดและนำซากของเขาออกมา เวลามีจำกัด ทางเดินเปิดแล้วจะอยู่ได้แค่สามชั่วยามเท่านั้น”

ทันทีที่กล่าวจบ ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดทั้งหลายต่างตื่นตระหนก สายตาแน่วแน่ ก่อนจะพุ่งร่างไปยังทางเดินรอยมือนั่นพร้อมเสียงคำราม

ในชั่วพริบตาเงาร่างหลายพันร่างก็พุ่งเข้าไปในทางผ่านราวกับดาวตก ตรงไปยังยอดเขาด้านล่าง ในจำนวนนั้นมีเหล่ากึ่งบุตรแห่งความมืดและศิษย์พี่ใหญ่สวมหน้ากากด้วย

ขณะนี้หากมองจุดที่คฤหาสน์จักรพรรดิแห่งความมืดตั้งอยู่เป็นโลกใบหนึ่ง แม่น้ำแห่งความมืดก็คือท้องฟ้าของโลกใบนั้น ส่วนคนของสำนักแห่งความมืดก็แหวกนภาเข้ามายังโลก!

ซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่ออยู่หลังทุกคนก่อนจะเหยียบย่างเข้าไป เดินทางผ่านทางเดินยาว 1,000,000 จั้ง ขณะที่เข้าใกล้คฤหาสน์จักรพรรดิแห่งความมืดมากขึ้นเรื่อยๆ แรงฉุดดึงและเสียงเพรียกก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น กระทั่งเขาพุ่งออกมาจากปลายสุดทางเดิน รอบตัวก็คือโลกอีกใบหนึ่ง!

หรือกล่าวให้ถูก นี่คือโลกในแม่น้ำแห่งความมืด หรือจะกล่าวให้กระจ่างชัดกว่านั้น…โลกใบนี้คือฟองอากาศขนาดมหึมา และฟองอากาศนี้…อยู่ในแม่น้ำแห่งความมืด ในที่แห่งนี้ไม่มีใครอื่นนอกจากภูเขาที่มองไม่เห็นก้นบึ้งลูกเดียว

บางทีอาจเป็นเพราะฟองอากาศ ท้องฟ้าจึงมืดสลัว พื้นดินก็เช่นกัน เป็นไปได้ว่าในแม่น้ำแห่งความมืดสายนี้มีฟองอากาศเช่นนี้อยู่ไม่น้อย แต่นี่ไม่ใช่เวลาคิดถึงฟองอากาศอื่นๆ หลังจากก้าวเข้ามาในโลกใบนี้ หวังเป่าเล่อก็กำลังเข้าใกล้คฤหาสน์จักรพรรดิแห่งความมืดแล้ว

ทว่า ตอนนั้นเองจู่ๆ ก็มีร่างสี่ร่างปรากฏตัวขึ้นขวางหน้าหวังเป่าเล่อเอาไว้ ทั้งสี่ล้วนเป็นชายชรา หลังจากขวางหวังเป่าเล่อไว้แล้วก็ไม่กล่าวอะไร เพียงแค่โค้งคำนับเล็กน้อย

หนึ่งในพวกเขามีฐานการฝึกฝนระดับจักรพิภพ ส่วนอีกสามคนเป็นระดับดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร การเข้ามาขวางทางเขาเป็นเหมือนสัญลักษณ์มากกว่า หากหวังเป่าเล่อต้องการจะฝ่าไปจริงก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้

หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วกำลังจะอ้อมไป แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นั้นกลับถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงต่ำ

“สหายโปรดพักอยู่ตรงนี้เถิด เรื่องต่อจากนี้คนของสำนักแห่งความมืดสามารถจัดการได้ด้วยตนเอง ขอบคุณสหาย”

หวังเป่าเล่อชะงักฝีเท้า ก่อนจะมองดูคนทั้งสี่ที่ขวางอยู่ตรงหน้า แล้วมองเลยไปด้านหลังพวกเขา ตอนนี้เหล่าผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดที่ใช้ศิษย์พี่ใหญ่สวมหน้ากากผู้นั้นเป็นศูนย์กลางต่างทยอยหายเข้าไปในวัดสีดำใต้รูปปั้นแกะสลักอย่างไร้ร่องรอย

เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมาก หวังเป่าเล่อก็เข้าใจในทันที

มหาอำนาจใดก็ตามไม่ว่าจะรุ่งเรืองหรือเสื่อมกำลังล้วนมีความขัดแย้งภายใน โชคชะตาที่เขาแสดงออกมารวมถึงรอยมือเปลวไฟสีดำนั้น ไม่ใช่ว่าผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดมองไม่เห็น แต่…ในใจของพวกเขา หวังเป่าเล่อคือคนนอก

ดังนั้นทั้งในด้านความรู้สึกและผลประโยชน์ พวกเขาจึงยืนอยู่ข้างศิษย์พี่ใหญ่กึ่งบุตรแห่งความมืดผู้นั้น โดยเฉพาะเมื่อทางเดินเปิดออก ใครที่สามารถนำซากจักรพรรดิแห่งความมืดไปให้เต๋าสวรรค์ได้ คนผู้นั้นก็เท่ากับทำผลงานได้อย่างไร้ใดเทียบเทียม

ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจึงไม่ต้องการให้หวังเป่าเล่อเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ หากก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อไม่ได้สำแดงพลังก็ไม่เท่าไร แต่ตอนนี้พวกเขาต่างหวาดกลัว ขณะเดียวกันก็อยากจะขัดขวางด้วย

แต่ถึงอย่างไรฐานะและโชคชะตาของหวังเป่าเล่อก็ยังมีอยู่ ดังนั้นแม้จะเข้ามาขัดขวาง แต่ในใจชายชราระดับจักรพิภพก็ยังสับสน เขาจึงแสดงท่าทีสุภาพและคำนับให้ Aileen-novel

แม้ทุกคนจะทำเพื่อสำนักแห่งความมืด แต่ความเห็นแก่ตัวก็ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะไม่มี

หวังเป่าเล่อเข้าใจแจ่มแจ้ง หลังจากนิ่งเงียบไปจึงพยักหน้า เป้าหมายของเขาคือนำซากจักรพรรดิแห่งความมืดกลับไปให้ศิษย์พี่ หากนำไปให้เองกับมือย่อมเป็นเรื่องดี หากไม่ได้ผลลัพธ์ก็เหมือนกัน สุดท้ายเขาก็จะได้รับมันอยู่ดี

เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อเห็นด้วยกับเรื่องนี้ ดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรสามคนที่เหลือก็สับสนเล็กน้อย ชายชราระดับจักรพิภพที่กล่าวกับหวังเป่าเล่อถอนใจยาวเหยียด ไม่เอ่ยคำใดอีก มีเพียงริ้วรอยบนใบหน้าที่ชัดขึ้น ก่อนจะคำนับให้หวังเป่าเล่ออีกครั้ง

หลังจากนั้นทั้งห้าคนก็นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านนอกวัด หวังเป่าเล่อไม่ได้กล่าวอะไรต่อ แต่เงยหน้ามองรูปปั้นแกะสลักจักรพรรดิแห่งความมืด มองจากจุดนี้ขึ้นไป เขาสามารถมองเห็นใบหน้าของจักรพรรดิแห่งความมืดได้

ใบหน้านั้นดูธรรมดามาก ไม่มีอะไรโดดเด่น ยกเว้นแววตาของที่ต่างออกไปเล็กน้อย

ราวกับมีความคิดบางอย่างแฝงอยู่ในนั้น

“เสียใจ…” หวังเป่าเล่อพึมพำ นี่คืออารมณ์ที่เขาเห็นในดวงตาของรูปปั้นแกะสลักนี้

ในขณะที่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์อยู่นั้นก็เกิดเสียงดังสนั่นดังมาจากในวัด และยังมีเสียงกรีดร้องและเสียงต่อสู้ปะปนมากับเสียงนั้นด้วย

ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหันขวับทันที ทั้งสี่คนตรงหน้าเขาก็หันไปมองเช่นกัน เพียงแต่พวกเขาอยู่ด้านนอกสถานที่แปลกประหลาดแห่งนี้ จึงมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นด้านในบ้าง

แต่ในไม่ช้าเสียงคำรามก็ดังถี่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง และน่าหดหู่ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับผู้คนข้างในเข้าไปลึกขึ้นอย่างไรอย่างนั้น และมันรุนแรงมาก จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เสียงคำรามอย่างหดหู่ก็หายไปอย่างฉับพลัน

ทั้งวัดตกอยู่ในความเงียบเชียบ สีหน้าผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดทั้งสี่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นั้นที่รีบหยิบแผ่นหยกออกมา หลังจากจดจ่อกับมันอยู่นานสีหน้าของเขาก็ดูตกใจจนไม่สามารถอธิบายได้ เขามองหวังเป่าเล่อสลับกับวัดอย่างลังเล ก่อนจะกัดฟันลุกขึ้นแล้วเรียกอีกสามคนที่เหลือพุ่งตรงไปยังวัด

หวังเป่าเล่อไม่ได้เคลื่อนไหว มองผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดทั้งสี่ก้าวเข้าไปด้านในวัด หลังจากเกิดเสียงคำรามดังมาอีกระลอกหนึ่ง ตรงนั้นก็ตกอยู่ในความเงียบอีกรอบ และตอนนี้ก็เหลือเวลาเพียงสองชั่วยามก่อนที่ทางเดินจะปิดลง

เห็นได้ชัดว่าข้างในวัดมีอันตรายใหญ่หลวง ทั้งยังเกินความคาดหมายของผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดด้วย ตอนนี้คนที่เข้าไปข้างในเป็นตายไม่อาจทราบได้ ขณะที่หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ เขาก็ถอนหายใจยาวเหยียด ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังวัดทีละก้าว

กระทั่งเดินมาถึงประตูวัดเขาก็หยุดฝีเท้า เงียบไปไม่กี่อึดใจ ก่อนจะ…ก้าวเข้าไปในวัด!

…………………………………………………………

ทันทีที่หวังเป่าเล่อเอ่ยขึ้น ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดเหล่านั้นต่างมีสีหน้าแปลกประหลาด โดยเฉพาะเหล่ากึ่งบุตรแห่งความมืดที่ลงมือก่อนหน้ายิ่งเบิกตากว้าง และมองหวังเป่าเล่อราวกับกำลังสับสน

แท้จริงแล้ว…หวังเป่าเล่อในตอนนี้ให้ความรู้สึกต่างจากหวังเป่าเล่อคนก่อนมาก ก่อนหน้านี้เขาทั้งเย็นชา ทั้งหยิ่งผยอง ทั้งเงียบขรึม ทั่วทั้งแผ่ความรู้สึกเข้ากันไม่ได้

แต่ตอนนี้…ทันทีที่เอ่ยออกไป ท่าทางของเขาดูอึดอัด และกลายเป็นบางอย่างที่…อธิบายไม่ถูก

ราวกับภาพวาดเปลี่ยนรูปแบบกะทันหันจนทำให้ผู้คนไม่ทันตั้งตัวและยังก่อให้เกิดความรู้สึกไม่เข้ากัน ราวกับภาพวาดที่ดูจริงจังและล้าสมัยพลันเกิดบางสิ่งที่อธิบายไม่ได้ขึ้น…

นี่ยังเป็นเรื่องรอง เพราะสิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดสนใจยิ่งกว่าคือทันทีที่พลังแห่งเต๋าสวรรค์จุติ มันก็หายไปทันที… พวกเขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังแห่งเต๋าสวรรค์ตกใส่ร่างหวังเป่าเล่อแล้วจริงๆ แต่ในพริบตามันก็ดูเหมือนถูกดูดซับจนหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ภาพนี้เมื่อคิดไตร่ตรองดูแล้วก็เป็นจุดสำคัญที่ทำให้จิตใจทุกคนตกตะลึง

หวังเป่าเล่อเองก็อึดอัด เขาอึดอัดมาก

ก่อนหน้านี้ เพราะหมกมุ่นอยู่กับอารมณ์จนลืมฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่าง หากไม่ระวังมันจะดูดกลืนพลังแห่งเต๋าสวรรค์ของศิษย์พี่ไปส่วนหนึ่งจนตัวเขาตรงนี้ไม่อาจขยายความลึกของรอยมือในแม่น้ำได้ ดังนั้นถึงแม้ในใจจะยังมีอารมณ์ก่อนหน้านั้นอยู่ แต่เขาก็จำต้องกัดฟันเอ่ยขอกับศิษย์พี่

ส่วนศิษย์พี่เฉินชิงจื่อของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็กำลังนิ่งเงียบ แม้สายตาที่มองหวังเป่าเล่อจะไม่แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ลึกๆ กลับเกิดความรู้สึกทำอะไรไม่ถูกอยู่แวบหนึ่ง จากนั้นไม่นานเขาก็ยกมือขวาขึ้นชี้ไปที่หวังเป่าเล่ออีกครั้ง

หวังเป่าเล่อระเบิดฐานการฝึกฝนสยบฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างกายทันที และยังคำรามข่มขู่อยู่ในใจ

“อย่าดูดไปอีกล่ะ ข้าขอเตือนเจ้า!”

บางทีคำขู่ของหวังเป่าเล่ออาจได้ผลหรือบางทีอาจเพราะฐานการฝึกฝนของเขาสยบไว้ ครั้งนี้เมื่อพลังแห่งเต๋าสวรรค์จุติ ฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างหวังเป่าเล่อก็ไม่ดูดซับอีก ดังนั้นพลังแห่งเต๋าสวรรค์จึงเติมเต็มร่างหวังเป่าเล่อในพริบตาราวกับเติมเชื้อเพลิงให้กับเปลวไฟสีดำ ทำให้เปลวไฟสีดำของเขาระเบิดออก

เปลวไฟสีดำลุกโชนถึงขีดสุดแล้วแผ่ขยายออกจากร่างของเขา กะพริบตาครั้งหนึ่งก็ใหญ่กว่าร้อยจั้ง กะพริบตาอีกครั้งก็กลายเป็นหนึ่งพันจั้ง และขยายเป็นหนึ่งหมื่นจั้ง

การระเบิดของเปลวไฟสีดำพลอยทำให้ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดรอบด้านหน้าเปลี่ยนสีและถอยร่นไป ไม่ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะต่อต้านหวังเป่าเล่ออย่างไร ทว่าหลังจากได้เห็นเปลวไฟสีดำหมื่นจั้งนี้ก็ต่างกู่ร้องอยู่ในใจ

แม้แต่กึ่งบุตรแห่งความมืดเหล่านั้นก็เช่นกัน สตรีผู้เก็บซ่อนพลังที่แท้จริงไว้ก็ยังดวงตาหดแคบ แม้แต่ศิษย์พี่ใหญ่ของเหล่ากึ่งบุตรแห่งความมืดก็ยังเปล่งแสงแรงกล้าอยู่ในดวงตา

ขณะที่จิตใจทุกคนปั่นป่วน ตอนนี้หวังเป่าเล่อในสายตาพวกเขาถูกล้อมรอบด้วยเปลวไฟ ตัวเขาอยู่ในเปลวไฟสีดำที่โหมกระหน่ำราวกับเซียนแห่งความมืดได้จุติขึ้น แรงกดดันแผ่ซ่านไปทั่วทุกสารทิศ อานุภาพสะท้านฟ้าสะเทือนดินจนแม่น้ำแห่งความมืดด้านล่างถูกดึงดูด และพลิกม้วนโดยมีรอยมือเป็นศูนย์กลาง

ยิ่งกว่านั้นวิญญาณในแม่น้ำแห่งความมืดก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งท่ามกลางกระแสน้ำที่พัดโหม แต่ละดวงวิญญาณแผดเสียงคำรามอย่างเงียบงันใส่หวังเป่าเล่อ แต่ความตื่นตระหนกบนสีหน้าพวกมันก็ได้แสดงให้เห็นถึงความกลัวในใจ

ราวกับแรงกดดันจากร่างของหวังเป่าเล่อเพียงคนเดียวที่ปลดปล่อยออกมาสยบได้ทั้งแม่น้ำ!

อาจจะฟังดูเกินจริงและเป็นไปไม่ได้ แต่ในความรู้สึกของทุกคนในขณะนี้ดูเหมือน…มันกำลังเกิดขึ้นจริงๆ!

“เป็นไปไม่ได้!”

“ต่อให้เขาเป็นบุตรแห่งความมืด แต่เปลวไฟสีดำจะถูกเสริมพลังจนแข็งแกร่งถึงระดับนี้ได้อย่างไร!”

“เห็นได้ชัดว่าฐานการฝึกฝนของเขาไม่สามารถทำได้ถึงระดับนี้ เป็นไปได้ไหมว่า…บนร่างของคนผู้นี้จะมีมหาโชคชะตาของสำนักแห่งความมืดจึงให้ผลลัพธ์ยิ่งใหญ่!”

ในความตกตะลึงและความโกลาหลของผู้คนในสำนักแห่งความมืด หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงจุดที่ต่างออกไปเช่นกัน พลังแห่งเต๋าสวรรค์เปรียบดั่งเชื้อเพลิงและเปรียบดั่งพลังเสริม ขณะที่ปลดปล่อยออกมาอย่างไร้ขอบเขต เขาก็สัมผัสได้ถึง…เสียงเพรียกเลือนรางดังมาจากในแม่น้ำแห่งความมืด!

เสียงเพรียกนี้มีผลกับจิตวิญญาณของเขา มีผลกับเปลวไฟสีดำของเขา ราวกับก่อตัวเป็นแรงฉุดดึงและปราณกังวาน และนี่…คือเหตุผลที่แท้จริงว่าเหตุใดเปลวไฟสีดำของเขาจึงระเบิดรุนแรงถึงเพียงนี้ ไอรีนโนเวล

ยังไม่ทันได้คิดอะไรมาก ท่ามกลางความสนใจจากทุกคน หวังเป่าเล่อก้มศีรษะมองแม่น้ำแห่งความมืดที่มีเสียงเพรียกและแรงฉุดดึง ดวงตาเขาเผยแสงประหลาด ก่อนจะยกมือขวาขึ้นกระแทกพื้นที่ใหญ่กว่าหมื่นจั้งลงไปยังรอยมือลึกแปดแสนกว่าจั้งในแม่น้ำด้านล่าง

การกระแทกครั้งนี้ ความว่างเปล่าคำราม นพภูมิแปรปรวน รอยมือขนาดมหึมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา เปลวไฟสีดำนับไม่ถ้วนพลันหลั่งไหลเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศและหลั่งไหลออกมาจากร่างของหวังเป่าเล่อ ทั้งหมดบรรจบกับที่รอยมือนี้ ทุกอย่างฟังดูยาวนาน ทว่าในความเป็นจริงรวดเร็วราวกับอสนีบาต และในพริบตา…ภายในรอยมือที่ปรากฏในสายตาหวังเป่าเล่อและทุกคนที่ขยายขอบเขตถึงเกือบหมื่นจั้งก็เต็มไปด้วย…เปลวไฟสีดำเข้มข้นราวกับสามารถเผาผลาญวิญญาณทั้งหมดได้

“ตก!” หวังเป่าเล่อคำรามเสียงต่ำ ทันใดนั้นรอยมือเปลวไฟสีดำก็แผดเสียงคำรามและพุ่งสู่แม่น้ำแห่งความมืด ทับซ้อนกับรอยมือบนแม่น้ำและกระแทกลงไปอย่างแรง!

ความลึกแปดแสนกว่าจั้ง ทันทีที่สัมผัสก้นบึ้งเสียงคำรามก็แผ่ไปทั่วแม่น้ำแห่งความมืด วิญญาณนับไม่ถ้วนแตกกระจายไปคนละทิศ ความลึกของรอยมือเต๋าสวรรค์ก็ขยายลงไปทันที!

ในพริบตาเดียวก็ถึง 900,000 จั้ง พริบตาต่อมาก็ถึง 950,000 จั้ง และเมื่อกะพริบตาอีกครั้ง…ก็ถึง 1,000,000 จั้ง!

อานุภาพดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นเพียงการระเบิดขั้นแรก ไม่มีใครรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วมันสามารถไปได้ถึงแค่ไหน แต่ขณะเดียวกันกับที่ทะลวง 1,000,000 จั้งได้ พลังจากรอยมือของหวังเป่าเล่อก็ราวกับแข็งแกร่งเกินไปจนไม่มีที่ระบายออก มันกระจายไปรอบบริเวณ ทันใดนั้นรอยมือขนาดหนึ่งหมื่นจั้งก็ผันผวนอย่างรุนแรงและแผ่ขยายออกจากหนึ่งหมื่นจั้งเป็นสามหมื่นจั้ง

ยังไม่สิ้นสุดแค่นั้น มันยังคงขยายออกไปเรื่อยๆ จนถึงสี่หมื่น ห้าหมื่น หกหมื่น…และถึงเจ็ดหมื่นในที่สุด ก่อนจะค่อยๆ สลายไป!

ภาพนี้ทำให้คนของสำนักแห่งความมืดทุกคนในที่แห่งนี้ รวมถึงบุตรแห่งความมืด ศิษย์พี่ใหญ่ผู้สวมหน้ากากคนนั้น และผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งทั้งหลายต่างเกิดคลื่นยักษ์โหมกระหน่ำภายในจิตใจ สายตาที่มองหวังเป่าเล่อราวกับเห็นผี!

“นี่…นี่มัน…”

“ไม่จริงน่า…”

“เรื่องนี้มันเป็นไปได้อย่างไร!!”

แท้จริงแล้ว…การขยายขอบเขตแนวตั้งนั้นต่างจากแนวนอน อย่างหลังนั้นยากกว่าเพราะทุกๆ สิบจั้งที่ขยายออกคือแนวตั้ง 1,000,000 จั้ง!

ถึงแม้การคำนวณจริงๆ จะไม่สามารถคำนวณได้เช่นนี้ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความน่าสะพรึงกลัวของหวังเป่าเล่อที่ถูกเสริมพลังได้ จนกล่าวได้ว่าโชคชะตาบนร่างของเขาสามารถกวาดล้างบุตรแห่งความมืดทุกคนได้และยังเหลือพลังอีกมาก

แม้แต่เฉินชิงจื่อก็ยังมีแววตาล้ำลึก เขามองหวังเป่าเล่ออย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง ในขณะเดียวกันเมื่อพลังของรอยมือเปลวไฟสีดำของหวังเป่าเล่อระบายไปจนหมดสิ้น แม่น้ำแห่งความมืดค่อยๆ สงบลง ทุกคนในที่แห่งนี้จึงได้เห็น…ในส่วนลึกของทางผ่านขนาดเท่ารอยมือเจ็ดหมื่นจั้ง ที่ปลายสุดนั้น…

บางทีตรงนั้นอาจไม่ใช่จุดต่ำสุดที่แท้จริงของแม่น้ำแห่งความมืด แต่กลับมีภูเขาลูกใหญ่ที่มองไม่เห็นตีนเขาตั้งอยู่ จุดที่ทุกคนเห็นคือยอดของภูเขาลูกนี้ และที่ตรงนั้น..

มีรูปปั้นแกะสลักอยู่ชิ้นหนึ่ง เป็นชายวัยกลางคน เขานั่งอยู่ตรงนั้น ท่าทางเหนื่อยอ่อนมาก กำลังก้มศีรษะมองไปด้านล่าง จึงมองเห็นใบหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจน แต่พลังไอมรณะที่เข้มข้นถึงขีดสุดบนร่างของเขาก็ราวกับจุดที่เขาอยู่ คือหนึ่งในแหล่งทรัพยากรของแม่น้ำแห่งความมืดสายนี้!

ใต้เท้าของเขายังมีวัดอยู่แห่งหนึ่ง คล้ายเป็นวัดธรรมดาทั่วไป

ทว่า สิ่งเดียวที่ไม่ธรรมดาคือวัดแห่งนี้…มืดสนิท!

“คฤหาสน์จักรพรรดิแห่งความมืดในตำนาน!” ผู้ฝึกตนชราคนหนึ่งเอ่ยพึมพำ เสียงนั้นสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น

…………………………

กึ่งบุตรแห่งความมืดคนที่สองอ่อนแอกว่าเล็กน้อย ขยายความลึกไปได้เพียงหนึ่งหมื่นกว่าจั้ง ส่วนหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็เข้าใจแล้วว่าทำไมศิษย์พี่เฉินชิงจื่อจึงขอให้เขาช่วย

ตามที่ศิษย์พี่บอกก่อนหน้านี้ ความลึกของแม่น้ำแห่งความมืดคือหนึ่งล้านจั้งซึ่งฟังแล้วลึกมาก แต่เมื่อเทียบกับดาราจักรมันไม่มีค่าพอจะเทียบเลยด้วยซ้ำ แม้แต่ดาราจักรเล็กๆ ความลึกระดับนี้ก็ไม่นับเป็นอะไร

แต่…ที่นี่คือแม่น้ำแห่งความมืด การจะให้ที่นี่ขยายความลึกไปถึงหนึ่งล้านจั้งเป็นเรื่องยาก ไม่ใช่ว่าเฉินชิงจื่อไม่แข็งแกร่งพอ แต่เพราะเป็นกฎ ต่อให้เป็นเต๋าสวรรค์ก็ขยายความลึกไปได้มากสุดแค่ห้าแสนจั้ง

อีกห้าแสนจั้งที่เหลือต้องให้ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดทำต่อให้สำเร็จ และเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ใครในสำนักก็ได้ แต่ต้องเป็นบุตรแห่งความมืดเท่านั้น!

และต้องเป็นกึ่งบุตรแห่งความมืดที่ได้รับการยอมรับของแต่ละสายเลือด

บุตรแห่งความมืดนั้น ในทันทีที่ได้การยอมรับก็จะได้รับโชคชะตาของสำนักแห่งความมืด บางทีนี่อาจเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงมีเพียงบุตรแห่งความมืดเท่านั้นที่แบกรับเต๋าสวรรค์และขยายความลึกต่อไปได้ ตอนที่หวังเป่าเล่อตระหนักได้ กึ่งบุตรแห่งความมืดก็ลงมือต่อกันถึงสี่คนแล้ว

ในจำนวนนี้คนที่ขยายความลึกได้มากที่สุดทำไปได้ถึงสามหมื่นกว่าจั้ง ความลึกระดับนี้หากไม่มีการเปรียบเทียบก็ดูลึกมาก และไม่น่าแปลกใจที่กึ่งบุตรแห่งความมืดเหล่านี้จะเหลือบมองหวังเป่าเล่อหลังจากออกไปแล้ว

แม้จะไม่ใช่การยั่วยุ แต่สายตาเหล่านี้ก็มาพร้อมเจตนาไม่ดีทั้งสิ้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอยากจะดูว่าหวังเป่าเล่อจะขยายความลึกได้มากเพียงใด

หลังจากหวังเป่าเล่อตระหนักรู้ถึงแม่น้ำแห่งความมืดสายนี้แล้ว เขาไม่ได้สนใจสายตาของกึ่งบุตรแห่งความมืดพวกนั้น ยังคงจ้องมองแม่น้ำต่อไป จนกึ่งบุตรแห่งความมืดคนที่ห้าปรากฏตัว

คนผู้นี้…เป็นสตรีเพียงคนเดียวในบรรดากึ่งบุตรแห่งความมืด นางรูปร่างหน้าตาธรรมดา ไม่มีอะไรโดดเด่น แต่เป็นคนเดียวที่ไม่มองหวังเป่าเล่ออย่างเกลียดชังและยั่วยุ และการโจมตีของนางยังทำให้หวังเป่าเล่อตกตะลึง

หกหมื่นจั้ง!!

ทันทีที่ขอบเขตขยายลึก ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดก็หน้าเปลี่ยนสีในฉับพลัน บางคนถึงกับซุบซิบเสียงเบาอย่างอดไม่ได้

“เยอะมาก!”

“สมกับเป็นศิษย์พี่หญิงรองที่ผู้อาวุโสวางตัวให้เป็นเนื้อคู่แห่งเต๋าของศิษย์พี่ใหญ่!”

“ปกติศิษย์พี่หญิงรองไม่ค่อยปรากฏตัว ไม่คิดเลยว่าโชคชะตาสำนักแห่งความมืดบนร่างของนางจะทรงพลังเช่นนี้!”

พลังของคนคนเดียวเทียบได้กับสามคน แสดงให้เห็นว่าเปลวไฟสีดำของสตรีผู้นี้บริสุทธิ์และล้ำลึก การเชื่อมต่อระหว่างนางกับสำนักแห่งความมืดก็น่าทึ่ง เพราะตอนนี้หวังเป่าเล่อรับรู้ได้ว่ามันขยายไปมากเพียงใด ถึงแม้นี่จะเกี่ยวข้องกับฐานการฝึกฝนและเปลวไฟสีดำ แต่ที่มากกว่านั้นคือ…โชคชะตาที่มองไม่เห็นนั่นต่างหาก

ยิ่งโชคชะตาสำนักแห่งความมืดล้ำลึกมากเท่าไรก็ยิ่งได้ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่มากเท่านั้น!

ขณะนี้ลงมือไปห้าคน ความลึกของรอยมือทะลุเกิน 500,000 จั้งเป็น 650,500 จั้งแล้ว คนที่เหลือที่ยังไม่ได้ลงมือรวมถึงหวังเป่าเล่อเหลือเพียงสี่คนเท่านั้น ทว่ายังมีอีก 350,000 จั้งที่ยังต้องทำให้ได้

หวังเป่าเล่อเหลือบมองสตรีผู้นั้นซึ่งตอนนี้ดูอ่อนเพลียอย่างเห็นได้ชัด นางคำนับเฉินชิงจื่อหนึ่งครั้ง แม้แต่เฉินชิงจื่อก็ยังปฏิบัติกับนางต่างจากกึ่งบุตรแห่งความมืดคนอื่นที่ลงมือเสร็จ เขาพยักหน้าให้สตรีผู้นั้น

จากนั้นยามที่นางกำลังจะจากไป ก็สังเกตเห็นสายตาของหวังเป่าเล่อจึงหันมามอง ก่อนจะหันกลับไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และเข้าไปในกลุ่มผู้ฝึกตน

“นาง…ไม่ได้ทุ่มสุดกำลัง!” หวังเป่าเล่อหรี่ตาเล็กน้อย เขาเชื่อแบบนี้และศิษย์พี่เองก็คงมองออก ส่วนคนอื่นๆ เขาไม่รู้ว่าสังเกตเห็นหรือไม่ แต่จากความผันผวนของเปลวไฟสีดำ หวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง กึ่งบุตรแห่งความมืดคนที่หกและเจ็ดก็แบกรับพลังแห่งเต๋าสวรรค์และลงมือต่อ คนหนึ่งขยายความลึกไปได้สามหมื่นจั้ง อีกคนหนึ่งขยายความลึกไปได้สองหมื่นจั้ง ทำให้ทางผ่านกระแสน้ำวนรูปรอยมือบนแม่น้ำแห่งความมืดสายนี้ลึกถึง 700,000 จั้งแล้ว

เหลืออีก…300,000 จั้ง!

ขณะนี้ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ต่างวิตกกังวลและมองกึ่งบุตรแห่งความมืดที่สวมหน้ากากอย่างคาดหวัง คนผู้นี้คือความหวังของสำนักแห่งความมืด

ผู้ฝึกตนสวมหน้ากากยืนนิ่งเงียบอยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวออกมาคำนับให้เฉินชิงจื่อ จากนั้นเมื่อพลังแห่งเต๋าสวรรค์จุติ ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ สั่นไหว เปลวไฟสีดำในร่างพลันลุกโชนระเบิดพลังออกมาอย่างบ้าคลั่ง!

การระเบิดพลังนี้แซงหน้าสตรีผู้นั้นไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อพลังพุ่งไปถึงจุดสูงสุด ร่างของเขาก็ราวกับกลายเป็นพายุ ทำให้ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดรอบด้านบ้าคลั่ง บางคนถึงกับโห่ร้องยินดีอย่างอดไม่ได้

“ศิษย์พี่ใหญ่!”

ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง ร่างที่ลอยอยู่ในพายุก็ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น เขาไม่ได้ลงมือในทันทีแต่กลับหันมามองหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อยังคงสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้ตอบสนองอะไรกลับไป ในไม่ช้าร่างนั้นก็ถอนสายตากลับ หลังจากเงียยบไปไม่กี่อึดใจมือขวาที่ยกขึ้นก็กระแทกไปที่รอยมือในแม่น้ำด้านล่างอย่างแรง

การกระแทกครั้งนี้ส่งเสียงดังกึกก้องไปทุกสารทิศ รอยมือขนาดมหึมาพุ่งกระแทกรอยมือในแม่น้ำ ในพริบตาที่มันซ้อนทับกันก็เกิดแรงโจมตีอย่างต่อเนื่อง และเกิดเสียงดังเป็นชุดกึกก้องไปทั่วท้องนภา

การจะกลายเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าสำนักแห่งความมืดรุ่นปัจจุบันที่เป็นที่จับตามองและฝากความหวังจากสำนักแห่งความมืดได้ ถูกศิษย์แทบทุกคนในสำนักติดตาม หรือแม้กระทั่งเคยถูกเฉินชิงจื่อยอบรับ ผู้ฝึกตนสวมหน้ากากผู้นี้ย่อมมีพลังเหนือกว่าทุกคน การลงมือครั้งนี้ย่อมไม่ธรรมดา!

ความลึกจากรอยมือของเขาลึกถึงห้าหมื่นจั้งและยังไม่สิ้นสุดแค่นั้น หลังเกิดเสียงดังสนั่นอีกครั้งก็ทะลุไปหกหมื่นจั้ง เจ็ดหมื่นจั้ง…ตามด้วยแปดหมื่นจั้ง เก้าหมื่นจั้ง จนกระทั่งถึงเก้าหมื่นเจ็ดพันจั้งก็ไม่มีแรงเหลือแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่พอใจ ทันใดนั้นเสียงคำรามต่ำก็ดังออกมาจากพายุ

ทันใดนั้นร่างของเขาก็พองตัวและระเบิดเปลวไฟสีดำออกมาอีกรอบ พายุที่รวมตัวกันนอกร่างกายผนึกเข้ากับรอยมือทำให้ความลึกพลันขยายลงไปอีกครั้ง ทะลุ 100,000 จั้ง ทะลุ 110,000 จั้ง…จนถึง 140,000 จั้งก็ไม่มีพลังงานหลงเหลือแล้ว ร่างกายของเขาพลังปราณไม่มั่นคงอย่างเห็นได้ชัด เลือดไหลออกจากมุมปาก ร่างซวนเซอยู่บนอากาศสองสามครั้ง

ผู้เยี่ยมยุทธ์ของสำนักแห่งความมืดเหล่านั้นก็ให้ความสำคัญกับเขามาก แทบจะในพริบตาก็มีผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพสี่คนปรากฏตัวที่ข้างกายเขาพร้อมกัน รีบประคองเขาไว้เพื่อจัดระเบียบพลังปราณที่ปั่นป่วนในร่าง

ในเวลาเดียวกันผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดรอบด้าน ต่างส่งเสียงดังหลังจากตกตะลึง

“140,000 จั้ง!!”

“นี่สิคือศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักแห่งความมืดของเรา บุตรแห่งความมืดรุ่นปัจจุบัน 140,000 จั้ง!!”

“พลังของคนคนเดียวเทียบได้กับบุตรแห่งความมืดทุกคน สำนักแห่งความมืดของเรามีศิษย์พี่ใหญ่อยู่ อนาคตย่อมเป็นไปตามหวัง!!”

สำนักแห่งความมืดส่วนใหญ่กำลังโห่ร้องยินดี ตื่นเต้น ปลุกใจ แต่ในไม่ช้าหลังจากตื่นเต้นดีใจแล้ว ก็ตามมาด้วยความวิตกกังวลและผิดหวัง เพราะ…แม้ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขาจะระเบิดพลังน่าทึ่งออกมา แต่ก็ยังเหลืออีก 160,000 จั้งกว่าจะถึง 1,000,000 จั้ง

นั่นทำให้ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดหันไปมองหวังเป่าเล่อด้วยความรวดเร็ว บุตรแห่งความมืดสวมหน้ากากที่ถูกประคองอยู่ก็ยังมองไปที่หวังเป่าเล่อเช่นกัน เขาพยักหน้าน้อยๆ โดยไม่พูดอะไร

หวังเป่าเล่อมองชายหนุ่มในหน้ากาก จากนั้นก็หันไปมองสตรีผู้นั้น แล้วส่ายหน้า ก่อนจะก้าวออกมาจนยืนอยู่เหนือรอยมือในแม่น้ำแห่งความมืด เขาเงยหน้ามองเฉินชิงจื่อในความว่างเปล่าด้านบนและประสานคำนับ

เฉินชิงจื่อเหลือบมองหวังเป่าเล่อ ก่อนจะยกมือขวาชี้มา ทันใดนั้นพลังแห่งเต๋าสวรรค์ก็ปรากฏขึ้นรอบกายหวังเป่าเล่อ ทว่า เพียงแค่เข้าไปในร่างกายยังไม่ทันที่หวังเป่าเล่อจะได้ดูดซับ ฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างก็ดูดซับในพริบตา ดูดซับ…ทั้งหมด

หวังเป่าเล่อกะพริบตา รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย

เฉินชิงจื่อนิ่งเงียบ

“นั่นน่ะ…ศิษย์พี่ ขอเพิ่มอีกได้หรือไม่ขอรับ” หวังเป่าเล่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มให้เฉินชิงจื่ออย่างขมขื่น

…………

“สำนักแห่งความมืด…” หวังเป่าเล่อก้าวออกมาจากห้องข้างและเงยหน้ามองร่างแต่ละร่างบนท้องฟ้า จากนั้นจึงมองใบหน้ามายาของศิษย์พี่ ก่อนจะลอบถอนใจเบาๆ สีหน้าค่อยๆ สงบลง

ในเมื่อตัดสินใจแล้วก็ต้องไม่ลังเล

ครั้งนี้ไม่มีเหตุและผล ถึงจะกลายเป็นบ่อน้ำเก่าไม่สร้างคลื่น[1]อีก

หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึกๆ อารมณ์ที่ค่อยๆ สงบลงยิ่งสงบเข้าไปอีก เขาเข้าใจดีว่าชีวิตคนเราไม่เที่ยง ย่อมมีเรื่องเสียใจและยากที่จะสมบูรณ์แบบ

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็คงดีที่จะเปลี่ยนความเสียใจให้เป็นความทรงจำที่ดี

“คราวนี้…เป้าหมายแรกคือทุ่มกำลังนำซากจักรพรรดิแห่งความมืดมาให้ศิษย์พี่ เป้าหมายที่สองคือแผ่นเลื่อนระดับโลกาและการฝึกฝน!” หวังเป่าเล่อยืนยันความคิดในใจ ขณะเดียวกันท่ามกลางเสียงคำรามของผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดบนท้องฟ้า เสียงคลื่นจากแม่น้ำแห่งความมืดด้านนอกก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

เสียงคลื่นกลบทับเสียงคำรามของเหล่าผู้ฝึกตนราวกับเสียงเพรียกหาครอบคลุมผู้ฝึกตนทุกคนในที่แห่งนี้เอาไว้ รวมถึงหวังเป่าเล่อด้วย เขาสัมผัสได้ถึงเสียงเพรียกร้องของแม่น้ำแห่งความมืด

กล่าวให้กระจ่างคือเสียงเพรียกนี้สะท้อนกับเปลวไฟสีดำในร่างกาย

ราวกับเต๋าทั้งหมดของสำนักแห่งความมืดล้วนมาจากแม่น้ำแห่งความมืดสายนี้

ขณะที่หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ใบหน้าศิษย์พี่บนท้องฟ้าก็กำลังกวาดสายตามองผู้ฝึกตนทุกคนที่อยู่ด้านล่าง หลังจากนั้นก็หยุดชะงักที่หวังเป่าเล่อเล็กน้อย ก่อนถอนสายตากลับไปแล้วเอ่ยเสียงต่ำ

“แม่น้ำแห่งความมืดเปิดแล้ว!”

ทันทีที่กล่าวขึ้น แม่น้ำแห่งความมืดด้านนอกก็ยิ่งปะทุรุนแรง ขณะเดียวกันผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดต่างทะยานข้ามท้องฟ้าออกจากดวงดาวแห่งความมืดไป

สีหน้าหวังเป่าเล่อสงบนิ่ง เขาก้าวไปข้างหน้า ก้าวหนึ่งลอยขึ้นไปในอากาศ ก้าวหนึ่งออกจากดวงดาวแห่งความมืด และเมื่อก้าวครั้งที่สามก็มาอยู่บนแม่น้ำแห่งความมืดข้างนอกดวงดาวแห่งความมืดแล้ว

เพียงแต่ตรงที่เขายืนอยู่มีเพียงเขาคนเดียว และตรงหน้าเขาคือผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดที่เตรียมจะลงแม่น้ำ ในจำนวนนั้นมีพลังปราณผันผวนมากกว่าสิบดวงที่เป็นผู้อาวุโสที่แข็งแกร่ง

คนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพในสำนักแห่งความมืดในปัจจุบัน มีคนหนึ่งที่ทั่วร่างแฝงไปด้วยเต๋า ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับว่าเขาเหนือกว่าปรมาจารย์แห่งไฟยามที่ไม่ได้ใช้คำสาปอยู่เล็กน้อย คล้ายกับว่าพลังของเขาเพียงคนเดียวก็สามารถสยบได้ทุกสารทิศ ทำให้แม่น้ำแห่งความมืดด้านล่างมีคลื่นมารวมตัวกันอยู่ใต้ร่างของเขาได้

นอกจากนี้ในบรรดาผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดยังมีผู้หนึ่งที่สวมหน้ากากปิดบังใบหน้าทำให้คนรอบข้างไม่รู้ว่าเป็นใคร สรุปได้เพียงว่าคนผู้นี้เป็นชาย และความผันผวนบนร่างก็แผ่พลังแห่งจักรพิภพออกมาครึ่งก้าว

แต่ที่เด่นชัดที่สุดบนร่างของเขาคือเปลวไฟสีดำ มันลุกโชติช่วงจนน่าขนลุก เพราะตอนนี้ไม่มีการปิดบังใดๆ จึงปลดปล่อยออกมาเต็มกำลัง ทำให้ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดโดยรอบต่างถูกดึงดูดปราณกังวาน เมื่อมองสายตาของคนผู้นี้จึงเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง

ส่วนตัวตน…หวังเป่าเล่อไม่จำเป็นต้องเดาอีกแล้ว ในพริบตาที่เขาเห็นคนผู้นี้ สายตาของอีกฝ่ายก็ตกอยู่ที่เขาเช่นกัน สายตาทั้งคู่สัมผัสกันเล็กน้อย มีความเกลียดชังซ่อนอยู่ในนั้น นั่นทำให้หวังเป่าเล่อเข้าใจกระจ่างแล้วว่า…แท้จริงแล้วคนผู้นี้ก็คือคนที่คอยจ้องมองเขามาโดยตลอด ตั้งแต่าก้าวเข้ามาในสำนักแห่งความมืดและเป็นกึ่งบุตรแห่งความมืดที่ฝึกฝนอยู่ในส่วนลึกของสำนักคนนั้น

บางทีหากไม่มีหวังเป่าเล่า เขา…ก็คงเป็นบุตรแห่งความมืดที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในสำนัก

เมื่อคิดเช่นนี้ ความเกลียดชังที่มีให้หวังเป่าเล่อก็เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้

หากเป็นนิสัยของหวังเป่าเล่อเมื่อก่อน ความเกลียดชังดังกล่าวจะกลายเป็นแรงกระตุ้นในการทำให้คนผู้นี้เรียกเขาว่าท่านพ่อ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อในตอนนี้เรื่องพวกนั้นไม่สำคัญอีกแล้ว

สิ่งที่เขาคิดตอนนี้คือต้องช่วยศิษย์พี่นำซากจักรพรรดิแห่งความมืดกลับมา และทำข้อตกลงของตนให้สำเร็จ

ดังนั้นไม่ว่าความเกลียดชังก็ดี การยั่วยุก็ช่าง หวังเป่าเล่อไม่สนใจทั้งสิ้น เขายืนอยู่ตรงนั้นก้มมองไปยังแม่น้ำแห่งความมืดที่กำลังบ้าคลั่งด้านล่าง

เขาเห็นว่าในแม่น้ำแห่งความมืดมีใบหน้าเลือนรางนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่ ใบหน้าเหล่านี้ต่างแสดงความโกรธแค้นและเกลียดชังยามที่มองมาทางพวกเขา

ความเกลียดชังมาจากการถูกสยบ ส่วนความโกรธแค้นมาจากภารกิจของสำนักแห่งความมืดที่ไม่อนุญาตให้พวกเขาฟื้นคืนชีพ

ขณะเดียวกันเปลวไฟสีดำในร่างกายหวังเป่าเล่อก็ไหลเวียน ดวงตาของเขาเผยลำแสงสลัว มองเห็นลางๆ ว่าวิญญาณที่ตายแล้วนับไม่ถ้วนในแม่น้ำแห่งความมืดคล้ายมีเส้นด้ายที่ต่อขยายไปยังส่วนลึกของแม่น้ำ

ดูเหมือนว่าต่อให้พวกมันจะดุร้ายเพียงใดก็ยังเหมือนกับหุ่นเชิดที่ถูกร้อยด้ายเอาไว้ หากผู้ที่ร้อยด้ายอยู่เบื้องหลังไม่ขยับก็ไม่เป็นอะไร หากแต่ทันทีที่ขยับก็ย่อมส่งอิทธิพลต่อการกระทำทั้งหมดของพวกมัน

“ด้ายพวกนี้…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาและจ้องลึกเข้าไปในแม่น้ำแห่งความมืด แต่น่าเสียดายที่เขามองไม่เห็น ทว่าในใจก็มีการคาดเดาและข้อสรุปไว้บ้างแล้ว

“บางทีนี่อาจเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ศิษย์พี่ต้องการซากของจักรพรรดิแห่งความมืด เพราะผู้ที่ร้อยด้ายอยู่เบื้องหลังวิญญาณอาจมีโอกาสที่จะเป็น…จักรพรรดิแห่งความมืดที่ตายไปแล้วผู้นั้น”

“ทว่าการตายของเขา เหตุและผลยังอยู่ ดังนั้นแม้วิญญาณพวกนี้จะไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่พวกเขาล้วนติดอยู่ที่นี่และไม่สามารถจากไปได้” ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิด ร่างของเฉินชิงจื่อก็ได้ปรากฏตัวอยู่ในความว่างเปล่าเหนือแม่น้ำแห่งความมืดและเหนือทุกคน ไม่มีคำพูดใดๆ ในพริบตาที่เขายกมือขวาขึ้นโบก ตราประทับปลาสีดำตรงหว่างคิ้วพลันเปลี่ยนไป จากนั้นพลังแห่งเต๋าสวรรค์ก็ระเบิดออกมาทันที

สุดท้ายก็มารวมตัวที่มือขวาและกดไปยังแม่น้ำแห่งความมืดด้านล่าง รอยมือขนาดมหึมาแหวกอากาศพุ่งไปยังแม่น้ำแห่งความมืด

จักรวาลแผดเสียงคำราม ความว่างเปล่าสั่นสะเทือน พลังแห่งเต๋าสวรรค์ได้ถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุดแล้วในตอนนี้ อานุภาพแห่งมหาเต๋าทำให้หวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ คำราม วิญญาณในแม่น้ำแห่งความมืดเผยความหวาดกลัวและส่งเสียงกรีดร้อง ก่อนจะจมดิ่งลงสู่ส่วนลึกของแม่น้ำแห่งความมืดอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน…เมื่อรอยมือตกลงไป น้ำในแม่น้ำก็บ้าคลั่งและปรากฏเป็นรอยกดรูปฝ่ามือ รอยกดนี้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มันขยายใหญ่ถึงหลายหมื่นจั้งในตอนสุดท้าย จากนั้นจึงไม่ขยายต่อ แต่คลื่นที่ซัดสาดซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่รอยมือยังคงแผ่กระจายไปทั่วบริเวณ ดูแล้วช่างกว้างใหญ่นัก

ทว่า ทุกอย่างยังไม่จบแค่นั้น แม้ขอบเขตจะไม่ได้ขยายต่อไป แต่ความลึก…ยังคงดำเนิน รอยมือนี้จมดิ่งลงไปและในไม่ช้าก็ถึงหลายพันจั้ง หลายหมื่นจั้ง หลายแสนจั้ง…

จนสุดท้ายรอยมือที่ลึกประมาณครึ่งล้านจั้งก็ปรากฏแก่สายตาทุกคน นั่นทำให้ทุกคนตะลึงงัน สิ่งที่พวกเขาเห็นไม่นับเป็นรอยมืออีกแล้ว เพราะมันคือทางผ่าน คือกระแสน้ำวน!

ส่วนปลายของทางผ่านกระแสน้ำวนนี้…ไม่มีอะไรเลย ราวกับก้นแม่น้ำแห่งความมืดยังห่างจากจุดนั้นอีกไกลแสนไกล

“เต๋าสวรรค์มีความแน่นอน แต่มีเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ต่อจากนี้…ต้องพึ่งบุตรแห่งความมืดอย่างพวกเจ้าแบกรับพลังแห่งเต๋าสวรรค์มุ่งไปตามทางผ่านนี้ให้ถึงหนึ่งล้านจั้ง!” เฉินชิงจื่อเก็บมือ กล่าวอย่างนุ่มนวล

“รับบัญชา!” ผู้ฝึกตนและกึ่งบุตรแห่งความมืดคนอื่นรวมถึงเด็กหนุ่มกึ่งบุตรแห่งความมืดที่ยั่วยุหวังเป่าเล่อก่อนหน้าตอบรับเสียงดัง ยังมีผู้ฝึกตนสวมหน้ากากคนนั้นที่ก้มศีรษะให้คำมั่นด้วยความเคารพอยู่ตอนนี้ด้วย

หลังจากนั้นเด็กหนุ่มกึ่งบุตรแห่งความมืดผู้นั้นที่เคยยั่วยุหวังเป่าเล่อและถูกเขาจัดการด้วยจันทร์ข้างแรมก็ก้าวออกมาจากฝูงชน คำนับเฉินชิงจื่อเป็นคนแรก

“โปรดถ่ายทอดพลังเต๋าสวรรค์ด้วยขอรับ!”

เฉินชิงจื่อพยักหน้า ยกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้นตราประทับก็ปรากฏบนหว่างคิ้วเด็กหนุ่ม ทำให้ทั่วร่างของเขาสั่นเทิ้ม เปลวไฟสีดำพลันปะทุรุนแรงราวกับถูกกระตุ้น สีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดเหมือนจะระเบิดออก

แต่เขาก็ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ ขณะนี้เขากำลังฝืนทนความเจ็บปวดรุนแรง ยกสองมือขึ้นกระตุ้นเปลวไฟสีดำในร่างกายและกดมันลงกับรอยมือที่อยู่ลึกกว่าครึ่งล้านจั้งอย่างแรง

ท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง เปลวไฟสีดำในร่างถูกเสริมพลังจนระเบิดออกกลายเป็นรอยมือขนาดเล็กจมลึกเข้าไปในทางผ่าน ทำให้ทางผ่านนี้ยิ่งลึกลงไปอีก!

คราวนี้ลึกลงไปอีกสองหมื่นกว่าจั้ง!

ถึงตอนนี้เด็กหนุ่มกึ่งบุตรแห่งความมืดก็กระอักเลือด ร่างกายอ่อนแอลง แต่กลับยังฝืนทน ก่อนจะเหลือบมองหวังเป่าเล่ออย่างยั่วยุแวบหนึ่ง จากนั้นเขาก็ได้รับการช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว กึ่งบุตรแห่งความมืดคนที่สองรีบพุ่งออกมาและคำนับไปยังเฉินชิงจื่อ

“โปรดถ่ายทอดพลังเต๋าสวรรค์ด้วยขอรับ!”

…………………………………………………………

[1] บ่อน้ำเก่าไม่สร้างคลื่น อุปมาถึงสภาวะจิตใจที่สงบนิ่งและจะไม่ได้รับอิทธิพลจากภายนอก

“เป่าเล่อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเต๋าสวรรค์คืออะไร” เฉินชิงจื่อเบนหน้าหันมองไปยังท้องฟ้าอันมืดมิด น้ำเสียงแฝงอารมณ์เล็กน้อย ยังไม่ทันที่หวังเป่าเล่อจะเอ่ยตอบ เขาก็เอ่ยต่อราวกับกำลังเอ่ยกับตนเอง

“เต๋าสวรรค์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นเผ่าพันธุ์หนึ่ง หรือสำนักหนึ่ง หรือเป็นการรวมตัวกันของความคิดของทุกชีวิตในอำนาจด้านหนึ่ง เมื่อเผ่าพันธุ์นี้กลายเป็นแกนหลักของโลก พวกเขาก็สามารถกำหนดกฎเกณฑ์ทุกสิ่งได้ ใครที่ไม่ปฏิบัติตามย่อมเป็นกบฏและต้องถูกตัดศีรษะ ดังนั้นเมื่อสิ่งมีชีวิตทั้งปวงเชื่อฟังความประสงค์ เผ่าพันธุ์นี้จึงค่อยๆ กลายเป็นเต๋าสวรรค์” เสียงเฉินชิงจื่อลอยเข้าหูหวังเป่าเล่ออย่างเลือนราง

หวังเป่าเล่อเงียบไป ถึงแม้เขาจะไม่ค่อยเข้าใจเต๋าสวรรค์มากนัก แต่หลังผ่านประสบการณ์ในชาติก่อนๆ มา เขาก็ได้ข้อสรุป

“เต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นก็เป็นเช่นนี้ นั่นคือรวมเจตจำนงของสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นจากรุ่นสู่รุ่น แต่ร่างที่แบกรับคือร่างเต๋าอีกร่างของปรมาจารย์ดั้งเดิมไม่รู้สิ้นผู้นั้น”

“ส่วนสำนักแห่งความมืดของเราก็เป็นเช่นนี้แบบเดียวกัน คือรวมเจตจำนงของผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดทุกคนไว้ ร่างเดิมที่เคยแบกรับคือจักรพรรดิแห่งความมืด เขาลึกลับและคาดเดาไม่ได้ นับแต่มีสำนักแห่งความมืดมาก็มีเขา” เฉินชิงจื่อกล่าวเสียงเบา อธิบายถึงสิ่งที่เขาเข้าใจ และความเข้าใจนี้หวังเป่าเล่อก็ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย

“จากที่ข้าสรุปได้ จักรพรรดิแห่งความมืดคงจะเป็นนิ้วชี้ของหลัวเทียนที่แปลงมา ส่วนอีกสี่นิ้ว หนึ่งนิ้วแปลงเป็นกฎ หนึ่งนิ้วแปลงเป็นกฎหมาย หนึ่งนิ้วแปลงเป็นฟ้า หนึ่งนิ้วแปลงเป็นพื้นดิน ส่วนฝ่ามือ…ก็คือจักรวาลผืนนี้”

“นั่นก็คือที่มาของสำนักแห่งความมืดและเป็นภารกิจของเราด้วย ผนึกทุกสิ่งที่นี่ ไม่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตใดออกไป แต่โลกภายนอกจะเห็นเป็นการควบคุมการกลับชาติไปเกิด ทำให้บนโลกมีเกิดมีตาย ไม่มีชีวิตใดอยู่ยงคงกระพัน และไม่มีชีวิตใดหนีรอดไปได้”

“จนกระทั่ง…หลัวเทียนมอบภารกิจให้เราได้สูญเสียร่องรอยชีวิต นับแต่นั้นมาสำนักแห่งความมืดก็เริ่มอ่อนแอ และตระกูลไม่รู้สิ้นก็รุ่งโรจน์ขึ้นมาในตอนนั้นเอง บางทีใช้คำว่าการฟื้นคืนชีพของตระกูลไม่รู้สิ้นคงจะเหมาะกว่า”

“สิ่งที่ตระกูลไม่รู้สิ้นต้องการคือความเป็นอมตะและการหลีกหนีชะตากรรม เพราะนี่คือวิธีทำลายผนึก และทันทีที่ผนึกแตกออก ตระกูลไม่รู้สิ้น…หลังจากฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์แล้วก็จะติดต่อกับโลกไม่รู้สิ้นที่แท้จริงนอกโลกอันไกลโพ้นและ…กลับมา”

“ตระกูลไม่รู้สิ้นกลับมานั้นไม่เป็นอะไรหรอก แต่…มันขัดกับภารกิจของสำนักแห่งความมืดของเรา” เฉินชิงจื่อส่ายหน้าและกำลังจะพูดต่อ แต่กลับตาเป็นประกายเพราะคำพูดของหวังเป่าเล่อ

“เพราะเซียนใช่หรือไม่ ภารกิจของสำนักแห่งความมืดในท้ายที่สุดไม่ใช่ขัดขวางการกลับมาของตระกูลไม่รู้สิ้น แต่ขัดขวางการหลบหนีของเซียน” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงแผ่วเบา

เฉินชิงจื่อเงียบไป จากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แต่พูดคำตอบที่หวังเป่าเล่อถามเขาก่อนหน้านี้แทน

กล่าวจบ เขาก็หมุนตัวเดินจากไปทันที

หวังเป่าเล่อจ้องมองแผ่นหลังของศิษย์พี่และนึกถึงเรื่องหนึ่ง หาก…ตอนนั้นที่ตนยังเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณได้ตามศิษย์พี่ออกจากสหพันธรัฐครั้งแรก ตอนนั้น…หากไม่มีเรื่องจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกเกิดขึ้น ตนนอนอยู่ในโลงศพ เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่ามาถึงดวงดาวแห่งความมืดแล้ว

เช่นนั้น…บางทีผลสุดท้ายของเรื่องราวทั้งหมดอาจต่างออกไป

ศิษย์พี่ในตอนนั้นช่างอ่อนโยน ส่วนตัวเขาในตอนนั้นช่างหยิ่งผยอง

หวังเป่าเล่อคิด หากทุกทางดำเนินไปเช่นนั้นจริงๆ ไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจจะตั้งรกรากมั่นคงอยู่ในสำนักแห่งความมืดไปแล้ว แม้จะมีคนต่อต้านก็ไม่เป็นไร อย่างไรก็ต้องมีวิธีจัดการแน่

ทว่า ตอนนี้…

ศิษย์พี่พูดถูก เพราะตอนนั้นสำนักแห่งความมืดถูกแทนที่ด้วยไม่รู้สิ้น การก่อกบฏของศิษย์พี่ย่อมมีเหตุผลไม่มากก็น้อย และความรู้สึกผิดในใจเขาก็เหมือนกับงูพิษที่คอยกัดกินมานาน

ดังนั้นความคิดของศิษย์พี่คือปรารถนาที่จะชดเชย ปรารถนาที่จะไถ่บาป ปรารถนาที่จะทำให้สำนักแห่งความมืดกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง เพื่อการนี้…เขาจึงไม่เสียดายที่จะสูญเสียตัวตนผนึกกายเข้ากับเต๋าสวรรค์ ไม่เสียดายที่ต้องแลกกับทุกสิ่ง นี่คือสิ่งที่เขาคิด

เขาไม่ได้ทำอะไรผิด

และสำนักแห่งความมืดในตอนนี้ก็ไม่ได้ทำอะไรผิด พวกเขาเป็นเพียงกลุ่มคนที่น่าสงสาร เพราะแทบไม่เคยสัมผัสกับโลกภายนอกเลย สำนักแห่งความมืดที่นี่จึงใช้ชีวิตอยู่ในความรุ่งโรจน์เช่นอดีต ไม่อยากตื่น ไม่อยากรับรู้ แต่ก็โกรธแค้นและไม่พอใจ ความรู้สึกเหล่านี้ผสมปนเปเข้าด้วยกันจนกลายเป็นบ้า

นั่นก็ไม่ผิด เพราะหากคิดจะกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้งก็มีแต่คนบ้าเท่านั้นที่ไม่เกรงกลัวและต่อสู้จนตัวตาย!

ดังนั้นคนของสำนักแห่งความมืดไม่ได้ทำอะไรผิด

หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ผิดเช่นกัน ความรู้สึกพิเศษที่มีต่อสำนักแห่งความมืดถูกความจริงตีแสกหน้า ความเคารพและสนิทสนมต่อศิษย์พี่ถูกเต๋าสวรรค์ไร้ความรู้สึกทำลาย และเขาก็ไม่มีเวลาจัดการสำนักแห่งความมืด เขาอยากแข็งแกร่งขึ้น อยากต่อต้านวิกฤตในอนาคต เขาไม่อยากผูกติดอยู่กับสำนักแห่งความมืดทั้งที่ไม่มีใจจะอยู่ นั่นก็คงไม่ผิดกระมัง

นอกจากนี้แท้จริงแล้ว เขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าตนอาจจะขัดกับสำนักแห่งความมืดมาตั้งแต่ต้น สิ่งที่สำนักแห่งความมืดต้องขัดขวางคือเซียน แต่เซียน…ได้รับการสืบทอดมาจากเขา

บางทีเรื่องนี้ศิษย์พี่คงสัมผัสได้แล้ว

บางทีก่อนที่จะผนึกกายเข้ากับเต๋าสวรรค์ ศิษย์พี่อาจยังไม่รู้ แต่หลังจากผนึกกายเข้ากับเต๋าสวรรค์แล้ว เขาย่อมมีสัมผัสเชื่อมต่อ นั่นคือสาเหตุที่เขาเปลี่ยนไปกะทันหันเช่นนี้

บางทีในใจของศิษย์พี่ก็คงเสียศูนย์ไปเช่นกัน

บางทีหากเขาละทิ้งการสืบทอดเซียน ละทิ้งการไล่ตามอนาคต ละทิ้งไว้ในก้นบึ้งหัวใจ คิดจะลาจากโลกนี้ไปลองดูความคิดของโลกภายนอก อยู่ในสำนักแห่งความมืดอย่างวางใจและรักษาภารกิจของสำนัก เช่นนั้น…ศิษย์พี่ก็ยังเป็นศิษย์พี่

ทุกสิ่งเป็นดั่งใจ

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ เขาถึงนึกคำพูดของอาจารย์ในนิมิตมืด จมอยู่กับความคิดและจ้องมองศิษย์พี่ที่เดินจากไป คำตอบที่ศิษย์พี่เอ่ยกับเขาพลันผุดขึ้นตรงหน้า

“ข้าเคยเป็นศิษย์พี่ของเจ้า แต่ตอนนี้…ข้าคือเต๋าสวรรค์ ทุกอย่างย่อมมีสำนักแห่งความมืดเป็นหลัก เจ้า…ไปซะเถอะ”

หวังเป่าเล่อถอนหายใจยาว ก่อนจะลุกขึ้นมองไปยังศิษย์พี่เฉินชิงจื่อที่เดินจากไปแล้วประสานมือโค้งคำนับ

“ศิษย์พี่ ครั้งนี้เป่าเล่อจะใช้กำลังทั้งหมดนำซากจักรพรรดิแห่งความมืดมาให้ท่าน หลังจากนั้น…โปรดดูแลตัวเองด้วย” หวังเป่าเล่อพึมพำเบาๆ เฉินชิงจื่อที่เดินไกลออกไปชะงักฝีเท้ายืนอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานก่อนจะออกเดินต่อ

นิมิตมืดหนึ่งนิมิต ศิษย์พี่ศิษย์น้องคู่หนึ่ง หนึ่งคนคำนับ หนึ่งคนเดินจาก ค่อยๆ ห่างกันออกไป ทั้งคู่มองไม่เห็นอีกฝ่าย มีเพียงรูปปั้นแกะสลักที่เก้าในสำนัก ผู้อาวุโสเก้าที่สูงใหญ่ที่สุด สายตาของรูปปั้นนั้นราวกับมองเห็นทุกอย่าง เห็นคนผู้นั้นเดินจากไปช้าๆ จนหายลับตา เห็นคนผู้นั้นที่โค้งคำนับอยู่นานค่อยๆ เงยหน้าขึ้น และประตูห้องข้างก็ปิดลง

วิถีต่างกัน

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ความเงียบนี้ดำเนินไปนานกว่าครึ่งเดือน จนกระทั่งยามโพล้เพล้ของนพภูมิวันหนึ่ง ก็มีแตรดังมาจากโลกภายนอก

ไกลออกไป น้ำในแม่น้ำแห่งความมืดพลันปั่นป่วน เสียงคลื่นดังแผ่ไปทั่วนพภูมิและดังมาถึงดวงดาวแห่งความมืด ดังมาถึงในสำนัก ดังมาถึงหูของผู้ฝึกตนทุกคน และดังมาถึงหวังเป่าเล่อ เขาลืมตาขึ้น

“แม่น้ำแห่งความมืด…” แววตาหวังเป่าเล่อไม่สั่นคลอน เมื่อเขาผลักบานประตูและเงยหน้ามอง ก็เห็นร่างนับไม่ถ้วนกำลังเหาะออกมาจากในสำนักและรวมตัวกันบนท้องฟ้า ที่ปลายขอบฟ้านั้นมีใบหน้าใหญ่โตเลือนรางปรากฏ นั่นคือศิษย์พี่

เขามองไปยังพื้นดิน มองไปยังตระกูลแห่งความมืด มองไปยังผู้ฝึกตนทุกคนและมองมายังหวังเป่าเล่อ

“แม่น้ำแห่งความมืดเปิดแล้ว ทุกคน…ความหวังในการกลับมารุ่งโรจน์ของสำนักอยู่ในมือพวกเจ้า”

“สำนักแห่งความมืด!”

“สำนักแห่งความมืด!!”

“สำนักแห่งความมืด!!!” ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดทุกคนด้านล่างต่างแผดเสียงคำรามเป็นหนึ่งเดียวกัน ในเสียงคำรามนั้นแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นและความบ้าคลั่ง!

…………………………………………………………

“ทำไมไม่พูดล่ะ” ขณะที่หวังเป่าเล่อพึมพำในใจ กึ่งบุตรแห่งความมืดผู้นั้นก็ใช้มือขวาผลักประตูห้องเข้ามา เผยยิ้มหยัน ก่อนจะส่งวาจายั่วยุ

เขาสังเกตเห็นแล้วว่าผู้อาวุโสในสำนักจำนวนมากกำลังพุ่งความสนใจมายังที่แห่งนี้ อีกทั้งการมาของเขาครั้งนี้ก็ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อศิษย์พี่ใหญ่คนที่เขาเคารพและชื่นชม

ในการรับรู้ของเขาและเหล่ากึ่งบุตรแห่งความมืด มีเพียงศิษย์พี่ใหญ่ของตระกูลเท่านั้นที่คู่ควรจะเป็นบุตรแห่งความมืด และในอนาคตก็จะนำพาสำนักแห่งความมืดของพวกเขาหวนคืนสู่โลกที่มีชีวิต ทำให้สำนักแห่งความมืดรุ่งโรจน์อีกครั้ง

ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธคนนอกอย่างหวังเป่าเล่อ โดยเฉพาะเมื่ออีกฝ่ายเป็นบุตรแห่งความมืดที่เต๋าสวรรค์ยอมรับ และยังเป็นศิษย์ในนิมิตมืดของอดีตผู้อาวุโสเก้า นั่นทำให้เขายิ่งไม่ชอบใจ

แน่นอนว่าที่นี่ย่อมมีความเกลียดชังผู้ฝึกตนจากโลกที่มีชีวิต ในความคิดของเขาและกึ่งบุตรแห่งความมืดคนอื่น หรือแม้กระทั่งของผู้ฝึกตนในสำนักเกือบทุกคน หวังเป่าเล่อ…มาจากโลกที่มีชีวิต และยังเป็นผู้ฝึกตนภายใต้คำสั่งของตระกูลไม่รู้สิ้น บุคคลเช่นนี้จะมาเป็นบุตรแห่งความมืดได้อย่างไรกัน

นี่เป็นที่มาให้เกิดการยั่วยุและทดสอบครั้งนี้ จุดประสงค์ของเขาคือต้องการยั่วโทสะหวังเป่าเล่อ ทำให้หวังเป่าเล่อลงมือ และทันทีที่อีกฝ่ายลงมือ ไม่ว่าจะมีความชอบธรรมหรือเหตุผลก็ไร้ความหมาย

อย่างไรที่นี่ก็คือสำนักแห่งความมืด และหวังเป่าเล่อเป็นคนนอก

ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ความชอบธรรมใด กฎเกณฑ์ใดล้วนไร้ประโยชน์ ตราบใดที่หวังเป่าเล่อลงมือ เหล่าผู้อาวุโสที่เพ่งเล็งมาที่นี่จะต้องเข้าขัดขวางอย่างแน่นอน

“ข้าแค่จะทำให้เขาเสียหน้าจนไม่อาจอยู่ที่นี่ต่อ แล้วกลิ้งกลับโลกที่มีชีวิตไปซะ!” เด็กหนุ่มกึ่งบุตรแห่งความมืดเผยดวงตามืดมน มองไปยังหวังเป่าเล่อที่กำลังขมวดคิ้ว

หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่ทำท่าทางหยิ่งผยอง ก่อนจะมองไปยังด้านนอก แม้ตาเปล่าจะเห็นว่าตรงนั้นไม่มีอะไรแปลกประหลาด แต่จิตใต้สำนึกของเขากลับสัมผัสได้ถึงสายตานับไม่ถ้วนที่กำลังมองมา จึงได้แต่ถอนหายใจเบาๆ

แท้จริงแล้วเขาสามารถจัดการสำนักแห่งความมืดได้ อีกทั้งระหว่างทางมาที่นี่เขายังมีความคาดหวังบางอย่างอยู่ในใจ สิ่งที่เขาตั้งตารอไม่ใช่ฐานะและตำแหน่ง แต่เป็นความรู้สึกคุ้นเคยต่อสำนักแห่งความมืดเหมือนในนิมิต

แต่…นิมิตก็เป็นเพียงแค่นิมิตเท่านั้น

การล่มสลายของสำนักแห่งความมืดอาจเป็นสาเหตุหลักที่ตระกูลไม่รู้สิ้นได้เปรียบ แต่ในสำนักแห่งความมืดก็มีปัญหามากมายซึ่งนำพาไปสู่จุดจบและถูกแทนที่ด้วยไม่รู้สิ้น

เช่นเดียวกับในตอนนี้ สำนักแห่งความมืดที่ซ่อนตัวอยู่ในนพภูมิทั้งความคิดและการกระทำล้วนเต็มไปด้วยความใจแคบ ไม่ได้สนใจฐานะบุตรแห่งความมืด แต่ในสายตาพวกเขาเองกลับสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด

แท้จริงแล้วด้วยสติปัญญาและเคล็ดวิชาของหวังเป่าเล่อ ให้เวลาเขาสักหน่อยย่อมสามารถสยบสำนักแห่งความมืดและครอบครองที่นี่ได้เป็นแน่ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว หากไม่มีวิกฤตในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า ไม่มีตะขาบสีโลหิตที่จะปรากฏตัวขึ้นอย่างแน่นอนในทศวรรษนี้

เขาคงมีเวลามากพอที่จะจัดการกับสำนักแห่งความมืด นี่อาจเป็นเหตุผลที่ศิษย์พี่เฉินชิงจื่อพาเขามา ให้เขาแข่งขันกับบุตรแห่งความมืดที่ถูกยอมรับมาก่อนผู้นั้น ใครชนะคนนั้นก็คือเจ้าสำนักรุ่นต่อไป และใช้การสนับสนุนจากเขาเริ่มสงคราม

แต่หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาแล้ว สิ่งนี้ต้องใช้พลังงานไม่น้อย และถึงแม้ว่าจะสำเร็จจริงๆ แต่ก็ไม่ใช้เส้นทางที่เขาต้องการ

สิ่งที่หวังเป่าเล่อคิดคือทำอย่างไรให้ฝึกฝนได้เร็วขึ้น ทำอย่างไรให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น ความแข็งแกร่งนี้ไม่ใช่อำนาจ แต่เป็นตัวเขาเอง ทว่า…เขาก็ต้องยอมรับว่าเพราะเหตุและผลในนิมิตมืด จึงทำให้เขาเกิดความรู้สึกพิเศษต่อสำนักแห่งนี้

ดังนั้นในใจเขาจึงยังลังเล

ลังเลว่าจะละทิ้งฐานะบุตรแห่งความมืด หรือ…เข้าสำนักอย่างแท้จริงตามที่ศิษย์พี่คิด

ทว่า การเปลี่ยนแปลงหลังจากศิษย์พี่ผนึกกายเข้ากับเต๋าสวรรค์ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเขาอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่กลับฉับพลันและรวดเร็วมาก นั่นทำให้หวังเป่าเล่อปรับตัวได้ยากในช่วงหนึ่ง

และเป็นสาเหตุที่เขาเอาแต่พึมพำให้ลองดูอีกทีอยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมา

เขากำลังรอ รอคอยคำตอบของศิษย์พี่

ในความเงียบงัน หวังเป่าเล่อส่ายหน้าแล้วยกมือขวาโบกไปข้างหน้า พลังแห่งกายเนื้อและวิญญาณเทพผสานกัน อีกทั้งฐานการฝึกฝนก็ปะทุขึ้น ไม่ได้แฝงเจตนาสังหารแต่อย่างใด เพียงแค่ใช้เคล็ดวิชาจันทร์ข้างแรม

ทันใดนั้นกระแสเต๋าบางเบาพลันแทรกซึม ช่วงเวลาพลันหมุนย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น 20 ลมหายใจ ประตูห้องที่เปิดออกปิดลงอีกครั้ง เด็กหนุ่มกึ่งบุตรแห่งความมืดที่กำลังก้าวเข้ามาในห้องกลับไปปรากฏตัวอยู่นอกห้องเช่นเดิม

ราวกับทุกอย่างก่อนหน้าไม่เคยเกิดขึ้น และมีกฎแห่งเวลาอยู่แปดทิศโดยรอบ ทำให้ในความทรงจำของเด็กหนุ่มไม่มีเรื่องผลักประตู ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ด้านนอกห้องด้วยแววตามึนงง ก่อนที่พริบตาต่อมาจะยิ้มเย้ยหยันและกล่าวเสียงดัง

“ไม่สนหรือไม่กล้ากันแน่ นิสัยเช่นนี้เจ้าคงไม่คู่ควรจะเป็นบุตรแห่งความมืดของสำนักแห่งความมืดในรุ่นนี้หรอก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็อยากจะลองดูสักหน่อยว่าเจ้ามีดีอะไร” เด็กหนุ่มกล่าวคำเดิมซ้ำ และกำลังจะผลักประตู แต่ในตอนนั้นเอง ดวงจิตเทพและสายตารอบด้านที่กำลังมองมากลับทยอยเกิดคลื่นพายุในใจพวกเขา

ผู้เฒ่าคนหนึ่งแผ่ดวงจิตเทพออกมาขัดขวางการกระทำของเด็กหนุ่มกึ่งบุตรแห่งความมืดผู้นั้นทันที แท้จริงแล้ว…เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าทุกคนที่จ้องมองมายังที่แห่งนี้กลับเห็นอย่างชัดเจน

ในหมู่พวกเขา ไม่ว่าจะมองเห็นหรือไม่ล้วนตกตะลึงกันทั้งสิ้น คนที่มองไม่เห็นพลันรู้สึกประหลาด ส่วนคนที่มองเห็นพลันส่งเสียงคำรามอยู่ในหัว

“เวลา?”

“เวลาหมุนย้อนกลับ!!”

“พลังเทพเช่นนี้…ไม่ใช่เคล็ดวิชาแล้ว นี่เป็นการสำแดงตนของเต๋า!”

ในส่วนลึกของสำนักแห่งความมืด บุตรแห่งความมืดที่ทุกคนยอมรับผู้นั้น ไม่ได้เผยโฉมออกมา ทว่าก็ไม่ละสายตาไปจากภาพเบื้องหน้าเลยแม้แต่น้อย รูม่านตาของเขาหดแคบ เผยความเคร่งขรึมจริงจัง

เมื่อเห็นว่าทุกอย่างชะงักงัน ยามที่จันทร์ข้างแรมของหวังเป่าเล่อทำให้เกิดคลื่นในใจทุกคนนั้น เสียงของเฉินชิงจื่อก็ดังขึ้นมาจากความว่างเปล่า

“ถอยไป!”

ทันทีที่เสียงนี้ดังขึ้น สีหน้ากึ่งบุตรแห่งความมืดก็แปรเปลี่ยน เขาก้มศีรษะทำความเคารพและจากไปอย่างรวดเร็ว ส่วนสายตาและดวงจิตเทพรอบด้านก็ทยอยถอนกลับไป ในพริบตาที่แห่งนี้ก็ไม่มีสายตาจ้องมองมาแม้แต่คู่เดียว แม้แต่บุตรแห่งความมืดที่ทุกคนยอมรับผู้นั้นก็ยังไม่กล้ามองมาอีก

ดังนั้นด้านนอกห้องข้างจึงเงียบสงบ มีเพียงสายลมพัดมาจากความว่างเปล่าและรวมตัวกันเป็นร่างคนผู้หนึ่ง ผลักบานประตูห้องข้างของหวังเป่าเล่อแล้วเดินเข้ามา

“ศิษย์พี่” สีหน้าหวังเป่าเล่อเรียบเฉย เขาเอ่ยปากและมองศิษย์พี่ที่เดินเข้ามา

“เป่าเล่อ เจ้าไม่ชอบที่นี่ ใช่หรือไม่” เฉินชิงจื่อมองหวังเป่าเล่อ เอ่ยอย่างสงบ

“ศิษย์พี่ต้องการให้ข้านำอะไรกลับมาจากแม่น้ำแห่งความมืด” หวังเป่าเล่อไม่ตอบ แต่ถามกลับแทน

“ซากจักรพรรดิแห่งความมืด”

“กายเนื้อของข้าในตอนนี้มีเต๋าสวรรค์สนับสนุนอย่างน่าพอใจ แต่ถึงอย่างไรก็ยังขาดรากฐาน ข้าจึงต้องการซากจักรพรรดิแห่งความมืด เปลี่ยนมันเป็นร่างเต๋าของข้าเพื่อที่ข้าจะได้ควบคุมแม่น้ำแห่งความมืดได้ สร้างความรุ่งโรจน์ให้กับสำนักแห่งความมืดอีกครั้งด้วยพลังวิญญาณอันไร้ที่สิ้นสุด” เฉินชิงจื่อเอ่ยเสียงทุ้ม ขณะมองหวังเป่าเล่อ

“คำถามของข้าก่อนหน้านี้ ศิษย์พี่คิดคำตอบได้หรือยังขอรับ” หวังเป่าเล่อพยักหน้าและจ้องมองเฉินชิงจื่อ คำตอบนี้สำคัญกับเขามาก

เฉินชิงจื่อเงียบไป เขาหันหน้ามองไปยังจักรวาลมืดมิดด้านนอก จากนั้นไม่นานก็เอ่ยช้าๆ

“ในแม่น้ำแห่งความมืด นอกจากโอกาสที่เจ้าจะทำให้ฐานการฝึกฝนแข็งแกร่งขึ้นแล้ว ยังมีสมบัติล้ำค่าที่เรียกว่า…แผ่นเลื่อนระดับโลกา!”

“เมื่อหมุนแผ่นเลื่อนนี้ จะดึงดูดแหล่งทรัพยากรของจักรพิภพและยกระดับอารยธรรมได้ หากเจ้าได้รับมันก็จะทำให้สหพันธรัฐบ้านเกิดของเจ้าพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ส่วนเจ้า…ก็จะได้รับของขวัญเป็นฐานการฝึกฝน!”

“ขอบพระคุณศิษย์พี่ แต่ข้ายังอยากรู้ว่า ท่าน…มีคำตอบแล้วใช่ไหม” หวังเป่าเล่อถามขึ้นอีกครั้ง

…………………………………

ศิษย์พี่ต้องการให้เขานำสิ่งใดรออกมาจากในแม่น้ำ หวังเป่าเล่อยังไม่ได้คิด ตอนนี้เขากำลังเดินอยู่ในสำนักแห่งความมืด แม้ที่นี่จะมีข้อห้ามมากมาย แต่ความรู้สึกคุ้นเคยยังทำให้ทุกอย่างตรงหน้าเหมือนกับที่เคยปรากฏในนิมิตมืดไม่มีผิด

เขาเดินผ่านหอใหญ่แต่ละจุดไป เดินผ่านลำธารแต่ละสาย เดินผ่านหน้าผาแต่ละจุดและจ้องมองเงาแห่งการกลับชาติมาเกิดที่ก่อตัวขึ้นระหว่างฟ้าดินไกลๆ ดื่มด่ำกับกระแสเต๋าที่แผ่ขยายไปทั่วในที่แห่งนี้ โดยไม่รู้ตัวหวังเป่าเล่อก็ราวกับมองเห็นร่างอดีตอย่างเลือนราง

ร่างพวกนั้นล้วนเป็นสหายสำนักเดียวกันในนิมิตมืดของเขา แม้ทุกคนจะสวมชุดคลุมสำนักแห่งความมืดและดูเคร่งขรึม ทว่าส่วนใหญ่กลับหัวเราะชอบใจ บ้างออกไปใช้หัตถ์สื่อวิญญาณดึงดูดวิญญาณ บ้างกลับมาส่งวิญญาณเข้ากงล้อ

ขณะทุกอย่างดำเนินซ้ำเป็นวัฏจักรก็มีสหายร่วมสำนักจำนวนมากยิ่งกว่าที่นอกจากฝึกตนแล้วยังรักษาการไหลเวียนของเต๋าสวรรค์ ตรวจสอบการตายของวิญญาณในอดีตชาติและร่างใบหน้าซากศพสำหรับผู้ที่กำลังจะกลับมาเกิดใหม่

“สำนักแห่งความมืด…” หวังเป่าเล่อพึมพำ โดยไม่รู้ตัวเขาก็มาถึงหน้าผาหนึ่ง เมื่อมองไปยังที่ไกลๆ หวังเป่าเล่อราวกับมองเห็นอาจารย์ มองเห็นศิษย์พี่ในตอนนั้นกำลังหันมาทางเขาและพูดถึงความลับเล็กๆ เกี่ยวกับเนื้อคู่แห่งเต๋าในอนาคต

“แม้จะเป็นเพียงความฝัน แต่กลับฝังลึกในจิตวิญญาณ” หวังเป่าเล่อถอนหายใจเบาๆ ยามที่หันหน้ากลับมาก็ไม่พบใครอยู่รอบตัวอีกแล้ว หรือต่อให้มีก็เป็นเพียงศิษย์แปลกหน้าที่กำลังมองเขาอย่างระแวดระวังจากที่ไกลๆ มองเขาเป็นศัตรู

เป็นศัตรูนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่พวกเขาไม่รู้ว่าฐานะบุตรแห่งความมืดที่พวกเขากำลังสนใจกันอยู่นั้นไม่มีค่าอะไรสำหรับหวังเป่าเล่อเลย

“หากไม่มีอาจารย์ ไม่มีศิษย์พี่ สำนักแห่งความมืด…จะมีผลอะไรต่อข้า” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าเบาๆ ในใจเขามีความคิดบางอย่างแล้ว ทว่าความคิดนี้พัวพันกับอารมณ์ ครู่หนึ่งจึงปล่อยวางและถอนหายใจในที่สุด ก่อนจะมองลึกเข้าไปในสำนักแห่งความมืด…

ที่นั่นมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจดจ้องเขาตั้งแต่เริ่มเข้ามาในดวงดาวแห่งความมืด กระทั่งเหยียบเข้ามาในสำนักแห่งความมืด

หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าเจ้าของสายตาคู่นี้เป็นใคร แต่เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของเปลวไฟสีดำอันเข้มข้นบนร่างของอีกฝ่าย ความผันผวนนี้…มาจากปริมาณและคุณภาพที่เหนือกว่าเขามาก

สิ่งเดียวที่ขาดไปอาจเป็น…การยอมรับ

ไม่ใช่การยอมรับจากศิษย์พี่เฉินชิงจื่อ เพราะหวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงการยอมรับจากศิษย์พี่ที่แฝงอยู่ในความผันผวนของเปลวไฟสีดำนั้น สิ่งที่ขาดไปคือการยอมรับจากอนุสาวรีย์บุตรแห่งความมืดของสำนักแห่งความมืด และการยอมรับจากอดีตผู้อาวุโสเก้าผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ของหวังเป่าเล่อนั่นเอง

“ดูเหมือนจะอายุไม่เยอะ…หรือว่าจะเป็นบุตรแห่งความมืดที่ทุกคนเลือกก่อนที่ข้าจะปรากฏตัว” หวังเป่าเล่อถอนสายตา ในใจเริ่มเข้าใจบางอย่างและมุ่งหน้าลึกเข้าไปในสำนักแห่งความมืด

จุดที่หวังเป่าเล่อไปนั้น…คือข้างวังบุตรแห่งความมืดที่เขาเคยอาศัยตอนอยู่ในนิมิตมืดที่ซึ่งมีห้องข้างๆ ตั้งอยู่

ตอนนั้นเขาไม่ได้อาศัยอยู่ที่วังหลัก ทว่าในนิมิตมืด ตรงนั้น…เป็นที่อยู่ของศิษย์พี่ ส่วนตัวเขาอาศัยอยู่ที่ห้องข้าง ตอนนี้บนดวงดาวแห่งความมืดก็เช่นกัน หวังเป่าเล่อเดินทางไปถึงด้านนอกห้องข้างแล้ว

เคล็ดวิชาต้องห้ามทั้งหมดระหว่างทางถูกเขาจัดการเพียงแค่ผนึกมุทราไม่กี่ครั้ง ไม่ใช่เพราะฐานการฝึกฝนของหวังเป่าเล่อถึงระดับที่น่าเหลือเชื่อแต่อย่างใด ความจริงคือ…ข้อห้ามเหล่านี้เหมือนกับในนิมิตมืดทุกประการ

บางทีอาจเป็นเพราะมันเหมือนกันทุกประการจึงทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกคุ้นเคยและไม่คุ้นเคยกับสำนักแห่งความมืดแห่งนี้

คุ้ยเคยกับทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า และไม่คุ้นเคยที่…นิมิตอย่างไรก็เป็นเพียงนิมิต ศิษย์พี่…ดูไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนั้นรวดเร็ว ทว่าในความเป็นจริง…บางทีนี่อาจกำลังค่อยๆ เดินตามแผนที่ศิษย์พี่วางไว้ทีละก้าว

“ผนึกเต๋าสวรรค์ ฟื้นสำนักแห่งความมืด” หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ เขาเดินเข้าไปในห้องข้าง มองดูการตกแต่งอันคุ้นตารอบด้าน ก่อนจะนั่งลงเงียบๆ แล้วหลับตาไม่กล่าวอะไร

เวลาค่อยๆ เคลื่อนผ่าน ไม่นานก็ล่วงเข้ามาเจ็ดวันแล้ว

ในเจ็ดวันนี้หวังเป่าเล่อไม่ออกมานอกห้องข้างเลย ไม่ออกมาพบผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดคนใด แต่กลับหมกมุ่นอยู่กับนิมิตมืดของตน หมกมุ่นอยู่กับความเข้าใจในศาสตร์มืด

ในทำนองเดียวกัน ไม่มีคนของสำนักแห่งความมืดคนใดมาพบเขา แม้ว่า…การมาถึงของเขาและเฉินชิงจื่อ หรือฐานะของเขาจะทำให้ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดทั้งหมดบนดวงดาวแห่งความมืดไม่มีใครไม่รู้จัก

จนกระทั่งสองสามวันถัดไป ห้องข้างที่หวังเป่าเล่ออยู่ก็มีผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดมาเยือนเป็นคนแรก คนผู้นี้เป็นเด็กหนุ่ม สวมชุดคลุมแห่งความมืด ดูเย็นชาและไม่ธรรมดา อีกทั้งความผันผวนของศาสตร์มืดบนร่างยังรุนแรงมาก โดยเฉพาะตรงหว่างคิ้วนั้น…มีตราประทับเปลวไฟสีดำครึ่งหนึ่ง!

ตราประทับนี้บ่งบอกว่าคนผู้นี้ถูกกำหนดให้เป็นกึ่งบุตรแห่งความมืด ตามกฎสำนักแห่งความมืด บุตรแห่งความมืดแต่ละรุ่นจะมีกึ่งบุตรแห่งความมืดหลายคน

พวกเขากับบุตรแห่งความมืดมีความสัมพันธ์แบบอยู่ใต้บังคับบัญชา แต่ก็มีการแข่งขันกัน เพราะสำนักแห่งความมืดมีผู้อาวุโสชั้นสูงเก้าคนซึ่งแบ่งเป็นเก้าสายเลือด ทุกสายเลือดล้วนมีบุตรแห่งความมืดของตน บุตรแห่งความมืดทั้งเก้าต้องแข่งขันกันเองเพื่อให้ได้การยอมรับจากเต๋าสวรรค์ในที่สุด และผู้ที่ถูกสลักไว้บนแผ่นจารึกแห่งความมืดก็จะกลายเป็น…เจ้าสำนักแห่งความมืดคนต่อไป

เพราะเหตุนี้การมาถึงของหวังเป่าเล่อจึงถูกผู้คนที่นี่ปฏิเสธ สำหรับพวกเขา หวังเป่าเล่อเป็นคนนอกและไม่ได้มาจากตระกูลแห่งความมืดดั้งเดิม แต่กลับถูกเลือกให้เป็นบุตรแห่งความมืด นั่นทำให้หลังจากสำนักฟื้นคืนอำนาจและสายเลือดทั้งเก้าที่หลงเหลืออยู่ได้รับการฝึกฝนแล้ว บุตรแห่งความมืดแต่ละคนจึงไม่ยินดีอย่างยิ่ง

ทว่าก็ไม่กล้าเอ่ยกับเฉินชิงจื่อ ถึงอย่างไรเฉินชิงจื่อก็มีฐานะสูงส่ง เขากำลังทำหน้าที่ในนามของเจ้าสำนักแห่งความมืด อีกทั้งยังฟื้นฟูสำนักแห่งความมืดที่ล่มสลายให้กลับคืนมาเองกับมือ

และตอนนี้เฉินชิงจื่อยังผนึกกายเข้ากับเต๋าสวรรค์อีก ทำให้เขาสูงส่งหาใดเทียบเทียม เช่นนั้นแล้ว…พวกเขาจึงไม่กล้าเอ่ยต่อเฉินชิงจื่อ เวลาเดียวกันไม่พอใจหวังเป่าเล่อ และคอยยุยงคนอื่นๆ ไปด้วย

อย่างเช่นตอนนี้ เด็กหนุ่มที่มาเยือน ยืนอยู่ด้านนอกห้องข้างด้วยสายตาเย็นชาครู่ใหญ่แล้ว ตอนนั้นเองเขาก็เอ่ยขึ้น

“ไม่พบผู้ฝึกตนจากโลกที่มีชีวิตมานาน ในเมื่อสหายมาจากโลกที่มีชีวิต เช่นนั้นก็อยากให้ลองประมือกับข้าสักครั้ง ให้ข้าดูหน่อยว่าคนนอกทุกวันนี้พลังต่อสู้เป็นเช่นไร!”

หวังเป่าเล่อนั่งสมาธิ สีหน้าปกติ เขาลืมตาขึ้น ดวงตาราวกับมองเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นที่อยู่ข้างนอก คนผู้นี้ฐานการฝึกฝนไม่ธรรมดา อยู่ระดับดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร พลังปราณมั่นคง หากดูภายนอกแม้จะไม่ถือเป็นกองกำลังลำดับที่หนึ่ง แต่ก็จัดเป็นลำดับต้นๆ ของกองกำลังรองได้

“ไม่สน” หวังเป่าเล่อเอ่ยตอบ และหลับตาลงอีกครั้ง

“หืม?” ดวงตาเด็กหนุ่มด้านนอกฉายประกายแสงดุร้ายเบาบาง เมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ไม่สนหรือไม่กล้ากันแน่ นิสัยเช่นนี้เจ้าคงไม่คู่ควรจะเป็นบุตรแห่งความมืดของสำนักแห่งความมืดในรุ่นนี้หรอก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็อยากจะลองดูสักหน่อยว่าเจ้ามีดีอะไร” เด็กหนุ่มยิ้มหยัน ก่อนจะก้าวเข้ามายังประตูห้องข้าง เมื่อใกล้จะถึงประตูก็ยกมือขวาขึ้นโบกราวกับจะผลักประตูออก ตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินน้ำเสียงราบเรียบดังออกมาจากด้านใน

“เจ้าใช้ส่วนไหนผลักประตูของข้า ข้าจะหักส่วนนั้นออก”

ประโยคนี้ไม่มีอะไรรุนแรง แต่เมื่อมันลอยเข้าหูเด็กหนุ่ม เขาก็ตัวสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ สัญชาตญาณบอกเขาว่าอีกฝ่าย…ทำเช่นนั้นได้จริงๆ จึงชะงักฝีเท้าและเริ่มลังเล

ในตอนที่กำลังลังเลอยู่นั้น ภายในความว่างเปล่าด้านหลัง จู่ๆ ก็มีจิตใต้สำนึกเจ็ดแปดดวงตกลงมา ทุกจิตใต้สำนึกแฝงไปด้วยความผันผวนของจักรพิภพทำให้เด็กหนุ่มพลันฮึกเหิม มุมปากฉีกยิ้มเย้ยหยันอีกครั้งและโบกมือขวาแรงๆ ทันใดนั้นประตูห้องข้างก็ถูกผลักออกด้วยความแรง เผยให้เห็นหวังเป่าเล่อที่นั่งสมาธิอยู่ด้านใน

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะลอบถอนใจเบาๆ เขาย่อมสัมผัสได้ถึงจิตใต้สำนึกจักรพิภพเจ็ดแปดดวงนั้นเช่นกัน และยังสัมผัสได้ถึงอีกสี่ห้าคนที่ซ่อนตัวอยู่ด้านนอกด้วย พลังปราณเปลวไฟสีดำบนร่างและความผันผวนของพวกเขามีพอๆ กับเด็กหนุ่มตรงหน้า

เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้คือกึ่งบุตรแห่งความมืดของสำนักแห่งความมืดในปัจจุบัน

ยิ่งกว่านั้นยังมีสายตาอีกมากจากในสำนักที่จ้องมองมายังที่แห่งนี้ หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าในที่ไกลออกไปมีจิตใต้สำนึกที่แข็งแกร่งหาตัวจับยากและน่าจะระดับใกล้เคียงกับปรมาจารย์แห่งไฟอยู่สามดวง ทั้งหมดล้วนเป็นชายชราและกำลังเพ่งเล็งมาที่นี่ด้วย

อีกอย่าง…สายตาที่จ้องมองเขาหลังจากเพิ่งก้าวเข้ามาในสำนักแห่งความมืดคู่นั้นก็กำลังมองเขาอยู่ด้วยเช่นกัน กระแสความละโมบที่ไม่อาจควบคุมได้แผ่ออกมา ก่อนจะหายไปในชั่วพริบตา

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ในใจพลันรู้สึกไม่ชอบสำนักแห่งความมืดนี้มากขึ้นไปอีก

“ลองอีกที ลองอีกทีสิ” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา

…………………………………………………………

มนุษย์แบ่งเป็นตาย โลกแบ่งหยินหยาง

แม้ความเป็นจริงจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นจะเป็นโลกศิลาที่หลัวเทียนปิดผนึกด้วยฝ่ามือเดียวก็ยังถูกแบ่งออกด้วยวิธีนี้ มิเช่นนั้นทุกสิ่งจะไม่สมบูรณ์ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดข้างในไม่อาจเลี้ยงตนได้ หมื่นเต๋าไม่อาจคงอยู่ ไม่อาจสร้างวัฏจักร และไม่อาจไหลเวียน

ตอนนี้เฉินชิงจื่อพาหวังเป่าเล่อเข้ามาในนรกเก้าโลกันตร์แล้ว สถานที่ที่พวกเขามาคือแดนมรณะของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น

ที่แห่งนี้มีหลายชื่อ เช่น แดนมรณะ โลกันตร์มืด นพภูมิ นรก ในตำนานต่างๆ มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป ทว่าสำหรับสำนักแห่งความมืด พวกเขาชอบเรียกที่นี่ว่า…โลกันตร์!

แต่เมื่อวิเคราะห์จนถึงขั้นสุดท้าย แท้จริงแล้วที่นี่ก็คือด้านตรงข้ามจักรวาลเท่านั้น ข้างในมีกฎเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นเช่นกัน เพียงแค่อ่อนแอกว่าโลกที่มีชีวิตเล็กน้อย กอปรกับสำนักแห่งความมืดที่ไม่เคยสูญสิ้น หลายหมื่นปีมานี้จึงได้ปกป้องที่แห่งนี้ ทำให้เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นที่นี่หายไปไม่น้อย

อีกทั้งยังมีเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดที่แปลงมาจากเฉินชิงจื่อที่เข้าสู่ไม่รู้สิ้นเช่นเดียวกับเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นทำให้จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นมีสองเต๋าสวรรค์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ในโลกันตร์ไม่หลงเหลือพลังปราณไม่รู้สิ้นอีกต่อไป เพราะถูกพลังเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดอันเข้มข้นเข้าปกคลุม

ในโลกันตร์แห่งนี้แม้จะมีขอบเขตเหมือนกับโลกที่มีชีวิต แต่กลับมีดวงดาวและดาราจักรน้อยกว่ามาก มีแม่น้ำแห่งความมืดอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ไม่เห็นจุดเริ่มต้นและไม่รู้จุดสิ้นสุด

แม่น้ำแห่งความมืดสายนี้พาดผ่านทั้งโลกันตร์ ข้างในอัดแน่นด้วยจุดแสงนับไม่ถ้วน แต่ที่มีมากกว่า…คือเมื่อจมลงไปในแม่น้ำแห่งความมืดก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนทั้งหลายรู้สึกตัวเล็กลงได้

ตรงกลางแม่น้ำนั้น…มีดวงดาวอยู่ดวงหนึ่ง และเป็นเพียงดวงเดียวที่มี!

ดาวดวงนั้นใหญ่มาก แต่กลับไม่ลอยอยู่ในอากาศ มันเหมือนเกาะเล็กๆ ตั้งตระหง่านอยู่ในแม่น้ำปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านไป

“ดวงดาวแห่งความมืดนี้เป็นเพียงดวงเดียวที่เหลืออยู่ในหมู่ดาวมหาเต๋าสามพันดวงของสำนักแห่งความมืด” ด้านนอกแม่น้ำแห่งความมืด ร่างของเฉินชิงปรากฏขึ้น หวังเป่าเล่อยืนอยู่ข้างกายเขา ตอนนี้ใบหน้านั้นไม่สามารถปกปิดความตกใจไว้ได้ จิตใจปั่นป่วนรุนแรง

ระหว่างทางเขาเห็นแม่น้ำแห่งความมืดอันน่าทึ่งแล้ว และยังสัมผัสได้ถึงไอมรณะเข้มข้นที่แผ่ออกมาจากในแม่น้ำด้วย ในที่แห่งนี้กฎเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นของเขาถูกสยบลงอย่างสมบูรณ์ กลับกันกฎเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดกลับยิ่งคึกคัก ยามที่มันแผ่ซ่านไปทั่วทั้งกายก็ทำให้เปลวไฟสีดำของเขาลุกโชนจนแผ่ออกมานอกร่างก่อตัวเป็นทะเลเพลิง

“ดวงดาวแห่งความมืด?” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ตอนที่เขาเอ่ยเสียงเบาก็ถอนสายตาจากแม่น้ำแห่งความมืดและมองไปยังดาวเพียงดวงเดียวตรงนั้น เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณโบราณที่แผ่ออกมาจากมัน และยังสัมผัสได้ว่าบนดาวดวงนั้นมีพลังปราณสำนักแห่งความมืดผันผวนอยู่ไม่น้อย

“ไม่รู้สิ้นก่อกบฏและทำสงครามกับสำนักเราในตอนนั้น ดวงดาวมหาเต๋าสามพันดวงของสำนักแห่งความมืดล้วนแตกสลาย แม้แต่เต๋าสวรรค์ก็ยังถูกทำลาย ส่วนข้า…ในปีต่อๆ มาก็ได้ใช้ทุกวิธี และในที่สุดก็ซ่อมมันกลับคืนมาได้หนึ่งดวง คือการเอาเงาจากกาลเวลามาผนึกดาวเพื่อให้มันกลับมา” เฉินชิงจื่อพึมพำเสียงเบา ก่อนจะเดินไปยังแม่น้ำแห่งความมืดและไปยังดวงดาวแห่งความมืดทีละก้าว

เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินชิงจื่อ หวังเป่าเล่อก็ใจสั่นอีกครา เขาเดินตามไปเงียบๆ ทั้งสองกำลังเข้าใกล้แม่น้ำแห่งความมืดและเข้าใกล้ดวงดาวแห่งความมืดมากขึ้นเรื่อยๆ

การมาของพวกเขาดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดบนดวงดาวแห่งความมืดเช่นกัน จิตใต้สำนึกกลุ่มหนึ่งกวาดมาทางนี้ทันที จากนั้นร่างจำนวนมากก็ลอยขึ้นจากดวงดาวแห่งความมืด พุ่งมาทางพวกเขา

“เป่าเล่อ เจ้ารู้ภารกิจของสำนักแห่งความมืดของเราหรือไม่” เฉินชิงจื่อไม่ได้สนใจผู้คนที่กำลังเหาะมาจากดวงดาวแห่งความมืด แต่กลับเอ่ยปากถามเบาๆ

หวังเป่าเล่อพยักหน้า ก่อนจะส่ายหน้า แล้วไม่กล่าวอะไร

“สำนักแห่งความมืดของเรา…แท้จริงแล้วเป็นเพียงผู้ที่ปฏิบัติตามกฎเท่านั้น”

“กฎของใคร” หวังเป่าเล่อถาม

“จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นเป็นเพียงศิลาก้อนหนึ่ง ศิลาก้อนนี้สร้างจากมือผู้เยี่ยมยุทธ์นอกจักรพิภพ สิ่งที่ตระกูลแห่งความมืดของเราปฏิบัติตามก็คือกฎของผู้เยี่ยมยุทธ์ผู้นี้”

“สำนักแห่งความมืดอยู่ที่นี่มาหลายชั่วอายุคนแล้ว เพียงแค่ถูกรวมเข้ากับกฎและถูกควบคุมอย่างลับๆ มีเพียงรุ่นนี้…ที่เพราะกฎคลายลง สำนักแห่งความมืดจึงได้ปรากฏตัวและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก”

“และเพราะเหตุนี้จึงได้เกิดหายนะกับสำนักแห่งความมืด และเพราะเหตุนี้จึงมีไม่รู้สิ้นปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง”

“แต่ไม่ว่าอย่างไรภารกิจของสำนักแห่งความมืดก็คือ…รักษาผนึกให้คงอยู่ตลอดไป และไม่อนุญาตให้สิ่งมีชีวิตใด…หนีออกไปได้!” เฉินชิงจื่อพึมพำ เผยแววตาแห่งความทรงจำแต่ในไม่ช้าก็ถอนหายใจและสงบลง ก่อนจะเอ่ยช้าๆ

“ดูเหมือนเจ้าจะไม่แปลกใจกับเรื่องนี้”

หวังเป่าเล่อมองศิษย์พี่ตรงหน้า ความรู้สึกแปลกหน้ายิ่งทวีความรุนแรง ผ่านไปนานจึงกล่าวขึ้นบ้าง

“ข้าเคยไปดาวชะตาจึงได้รู้ความลับบางอย่างของโลก และข้าก็รู้ด้วยว่า…หลัวเทียนตายแล้ว ดังนั้นภารกิจของสำนักแห่งความมืดยังสำคัญอยู่หรือไม่”

“นั่นคือความหมายของการดำรงอยู่ของสำนักแห่งความมืด” เฉินชิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง ก่อนจะหันหน้ากลับมามองหวังเป่าเล่ออย่างลึกซึ้งแวบหนึ่ง เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ต่อ แต่กลับเอ่ยขึ้นทันทีว่า

“เป่าเล่อ เจ้าอยากแข็งแกร่งขึ้นหรือไม่”

ดวงตาหวังเป่าพลันเล่อแข็งกร้าว แทนที่จะโต้เถียง เขากลับจ้องมองศิษย์พี่เฉินชิงจื่อของตน

“วิธีที่จะทำให้แข็งแกร่งขึ้นจำเป็นต้องดูดซับไอมรณะอย่างไร้ที่สิ้นสุด ขณะเดียวกัน…ก็ยังมีอีกทางหนึ่ง นั่นคือยกระดับอารยธรรมสหพันธรัฐของเจ้า เมื่อยกระดับสหพันธรัฐจะทำให้ฐานการฝึกฝนของเจ้าเพิ่มสูงขึ้นได้ในเวลารวดเร็วที่สุด”

กล่าวจบเฉินชิงจื่อก็ชี้ไปยังแม่น้ำแห่งความมืด

“เจ้ารู้ไหมว่าในแม่น้ำแห่งความมืดสายนี้มีอะไร”

“สิ่งมีชีวิตที่ทับถมกันมาตลอดหลายปี” หลังจากเงียบไป หวังเป่าเล่อก็เอ่ยเสียงเบา

“ไม่ทั้งหมด ในแม่น้ำแห่งความมืดสายนี้ไม่ได้มีเพียงสิ่งมีชีวิตที่ทับถมกันมาตั้งแต่ยุคหิน แต่ยังมีเศษซากปรักหักพังหรือจะกล่าวให้ถูกคือ…ข้างในนั้นเต็มไปด้วยเศษประวัติศาสตร์ที่เคยปรากฏอยู่ในยุคหินจนถึงปัจจุบัน”

“ขณะเดียวกันข้างในยังมีไอมรณะไร้ที่สิ้นสุดซึ่งเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการ นอกจากนี้…ข้างในยังมีเศษซากอารยธรรมในอดีต ทุกชิ้นที่ผนึกรวมเข้ากับดารานิรันดร์สหพันธรัฐของเจ้าล้วนทำให้ดารานิรันดร์ของสหพันธรัฐของเจ้าเติบใหญ่ขึ้น จึงเป็นการยกระดับอารยธรรมสหพันธรัฐไปด้วย”

“เจ้าอยากแข็งแกร่งขึ้น…ที่นี่คือที่ที่มีชะตาของเจ้าอยู่” เฉินชิงจื่อกล่าวเสียงเบา ขณะนี้เหล่าผู้ฝึกตนที่เหาะมาจากดวงดาวแห่งความมืดได้เข้ามาใกล้แล้ว มีคนมากถึงหลายพันคน อีกทั้งในนั้นยังมีผู้ที่มีพลังปราณของจักรพิภพอยู่หลายสิบคนด้วย

หากเป็นเวลาอื่น หวังเป่าเล่อคงจะสนใจคนเหล่านี้อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจจะนั้น เมื่อมองไปยังแม่น้ำแห่งความมืดอันกว้างใหญ่ ดวงตาก็ค่อยๆ หรี่ลง ตอนนั้นเองก็เอ่ยขึ้นว่า

“ศิษย์พี่อยากให้ข้าทำอะไร”

“ข้าอยากให้เจ้าช่วยเข้าไปในแม่น้ำแห่งความมืดและนำของกลับมา” เฉินชิงจื่อไม่ปิดบังจุดประสงค์ของตน เขาจ้องมองหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อก็มองศิษย์พี่เช่นกัน หลังจากสบตากันแล้ว หวังเป่าเล่อก็เอ่ยปาก

“เหตุใดจึงเป็นข้า”

“ในแม่น้ำแห่งความมืดมีอันตรายร้ายแรง มีเพียงเต๋าสวรรค์ที่สยบและทำให้อันตรายนั้นหายไปได้บางส่วน อีกย่างมีเพียงบุตรแห่งความมืดเท่านั้นที่สามารถเปิดผนึกแม่น้ำแห่งความมืดและให้คนเข้ามาได้อย่างราบรื่น”

หวังเป่าเล่อไม่ได้กล่าวตอบ เมื่อเห็นว่าผู้ที่เหาะมาจากดวงดาวแห่งความมืดอยู่ห่างจากพวกเขาไม่ถึง 1,000 จั้งแล้ว เขาก็ถอนหายใจเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำ

“ศิษย์พี่ ท่านขอให้ข้าช่วยในนามของศิษย์พี่ของข้าหรือในนามของเต๋าสวรรค์”

“สำคัญหรือ” เฉินชิงจื่อเอ่ยถาม

“สำคัญมาก” หวังเป่าเล่อยืนกราน

เฉินชิงจื่อเงียบไปและไม่ตอบคำถามนี้ เวลานี้ผู้คนที่เหาะมาจากดวงดาวแห่งความมืดได้เข้ามาในระยะ ร้อยจั้งแล้ว สิบคนแรกล้วนเป็นผู้อาวุโส บนร่างแผ่พลังปราณโบราณตามวัย ทันทีที่เข้ามาใกล้ก็คุกเข่าคำนับเฉินชิงจื่อทันที ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นถูกพวกเขาเพิกเฉย

“คำนับท่านเจ้าสำนัก!”

ไม่ใช่แค่พวกเขาที่ทำเช่นนี้ ผู้ที่เหลือหลังจากเหาะเข้ามาใกล้ก็คุกเข่าคำนับลงทันที ทันใดนั้นขณะที่พวกเขาส่งเสียง ความว่างเปล่าในที่แห่งนี้ก็สั่นสะเทือน บรรดาคนที่คุกเข่าคำนับ หวังเป่าเล่อมองเห็นความเคารพและคลั่งไคล้ในสายตาพวกเขา นอกจากนี้ยังมี…เหล่าคนหนุ่มสาวไม่น้อยที่มองมาทางเขาด้วยความเกลียดชัง!

เมื่อสัมผัสได้ถึงความเกลียดชังเหล่านี้ หวังเป่าเล่อก็ส่ายหัวเล็กน้อย เขาไม่สนใจศิษย์พี่ ไม่สนใจคนของสำนักแห่งความมืด แต่กลับมองไปรอบด้าน ความคิดเดิมในใจพลันสั่นคลอนเล็กน้อย

“ที่นี่อาจไม่ใช่ที่ของข้า”

………………………………………….

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ภาพในสนามรบก่อนหน้านี้ผุดขึ้นในหัว แท้จริงแล้วศิษย์พี่เฉินชิงจื่อสามารถบอกความจริงแก่เขาตั้งแต่แรกได้

แต่ถึงแม้จะไม่บอก หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้โกรธ อย่างไรเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับสำนักแห่งความมืด ศิษย์พี่จะคำนึงถึงความปลอดภัยก็ไม่ผิด

ยิ่งกว่านั้นเขาก็เป็นคนได้รับชะตา แม้การถูกเปิดเผยจะเป็นอันตราย แต่ทุกอย่างก็เป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เว้นแต่ว่าเขาจะไป ไม่เช่นนั้นก็ยากที่จะซ่อนตัว

อีกอย่างคือตั้งแต่ต้นจนจบศิษย์พี่ก็ปกป้องเขาจริงๆ ก่อนจะจากมาก็ยังให้ตนอยู่หลังร่างจริงของเขา

ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่มีปัญหาตรงไหนเลย แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหวังเป่าเล่อถึงมีความรู้สึกแปลกประหลาดอยู่เสมอ ศิษย์พี่ตรงหน้ากับผู้ที่อยู่ในความทรงจำของเขามีบางอย่างไม่เหมือนกัน

ส่วนอะไรที่ทำให้เขามีความคิดแบบนี้ หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจทราบได้ เขาทำได้แค่บอกตัวเองว่า…บางทีการผนึกกายและฟื้นคืนชีพของเต๋าสวรรค์คงทำให้บนร่างของศิษย์พี่ดูน่าเกรงขามขึ้นและมีความรู้สึกลดลง

“บางทีอาจเพราะการเปรียบเทียบกระมัง” หวังเป่าเล่อคิดถึงปรมาจารย์แห่งไฟ บนร่างของอาจารย์ผู้นี้ทุกอย่างดูจริงมาก มองเห็นชัดเจน สัมผัสได้ แต่ในทางกลับกันศิษย์พี่นั้น…ค่อนข้างคลุมเครือ

กระนั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่เคยไม่ไว้ใจศิษย์พี่เฉินชิงจื่อ เขายังคงเชื่อมั่นเมื่อคิดถึงภาพตอนที่ตนอยู่ในสหพันธรัฐ จากนั้นไม่นานหวังเป่าเล่อก็ได้ข้อสรุป เขาหันกลับมามองปรมาจารย์แห่งไฟ

ปรมาจารย์แห่งไฟคิดจะกล่าวบางอย่าง แต่แล้วก็หยุดชะงัก

“อาจารย์” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเบา ไม่ได้ประสานมือคำนับ แต่กลับคุกเข่าและก้มศีรษะลง

แม้ไม่ได้เอ่ย แต่ปรมาจารย์แห่งไฟก็เข้าใจได้ หลังจากเงียบไปจึงถอนหายใจเบาๆ

“จำคำที่ข้าพูดกับเจ้าให้ดี ดาราจักรไฟคือทางหนีของเจ้า”

หวังเป่าเล่อพยักหน้า เขาไม่สามารถอยู่ที่ดาราจักรไฟต่อได้ เพราะหากทำเช่นนั้น เรื่องระหว่างสำนักแห่งความมืดกับตระกูลไม่รู้สิ้นจะดึงตัวอาจารย์เข้ามาเกี่ยว ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

อีกอย่างบนร่างของเขายังมีตราประทับสำนักแห่งความมืดในฐานะบุตรแห่งความมืด นั่นเป็นเหตุผลข้อใหญ่ที่ไม่อาจแยกจากสำนักแห่งความมืดได้ เขาเข้าใจดีว่าตนไม่อาจหนีไปโดยง่าย

แล้วอีกอย่างก็คือ…หวังเป่าเล่ออยากแข็งแกร่งขึ้น!

หากอยู่ที่ดาราจักรไฟ เขาต้องเสียโอกาสที่จะแข็งแกร่งไป ในเมื่อมีเวลาไม่มากแล้ว ตะขาบสีโลหิตจะปรากฏตัวขึ้นมาอีกเมื่อไรก็ได้ หวังเป่าเล่อต้องเผชิญหน้ากับมัน

เหตุผลทั้งหมดทำให้หวังเป่าเล่อตัดสินใจแน่วแน่ หลังจากลุกขึ้นจึงหันไปมองเซี่ยไห่หยางที่กำลังระแวดระวัง และหันไปพูดกับศิษย์พี่เฉินชิงจื่อ

“ศิษย์พี่ เตาหลอมวงแหวนปราณของจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกเป็นตระกูลเซี่ยที่จุดขึ้น เรื่องนี้ขอให้แล้วกันไปได้หรือไม่ขอรับ”

เฉินชิงจื่ออมยิ้มเมื่อได้ยินเช่นนี้ ก่อนจะปรายตามองเซี่ยไห่หยางที่ดูกังวลอย่างเห็นได้ชัดหลังจากได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ เขาพยักหน้า

“ตระกูลเซี่ยไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้”

ทันทีที่เอ่ยออกมา เซี่ยไห่หยางก็ราวกับสูญสิ้นเรี่ยวแรง เขาประสานมือยื่นไปทางหวังเป่าเล่อและเฉินชิงจื่อ ก่อนจะโค้งคำนับสุดตัว ในใจอารมณ์ท่วมท้น แท้จริงแล้วตอนที่เขาติดตามหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้คาดคิดว่าเฉินชิงจื่อจะทำเรื่องใหญ่อย่างแปลงตัวเองเป็นเต๋าสวรรค์เช่นนี้

คนที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ต่อให้เป็นตระกูลเซี่ยของเขาก็ยังต้องเผชิญหน้าอย่างระมัดระวัง อย่างไรในตอนนี้ก็ยังไม่มีฝ่ายไหนอยากเข้าร่วมสงครามระหว่างสำนักแห่งความมืดกับตระกูลไม่รู้สิ้น

“ศิษย์น้อง เราไปกันเถอะ” เมื่อสะสางเรื่องนี้เสร็จแล้ว เฉินชิงจื่อก็เอ่ยอย่างยิ้มแย้ม

หวังเป่าเล่อหมุนตัวหันไปค้อมคำนับปรมาจารย์แห่งไฟอีกครั้ง ก่อนจะก้าวออกจากเทพวัวและเหยียบลงบนทะเลเพลิงที่อยู่รายรอบ ก้าวเข้าไปหาศิษย์พี่ทีละก้าว เมื่อเห็นศิษย์ของตนค่อยๆ จากไป หัวใจปรมาจารย์แห่งไฟก็มืดมนลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงได้คิดถึงศิษย์คนอื่นๆ ที่ตายจากไป

เขากับตระกูลไม่รู้สิ้นเป็นปรปักษ์กัน แต่เขาไม่มีความสามารถพอที่จะล้างแค้น มีเพียงคำสาปที่ขัดขวางมากกว่าความเป็นจริง เขาเคยคิดจะทุ่มกำลังทั้งหมดระเบิดตนเอง ต่อให้ต้องตายก็ต้องฝังรวมกับจักรพรรดิสวรรค์สักคน

แต่…เขายังมีเรื่องให้อาวรณ์อีกมากนัก อาวรณ์แรกคือศิษย์รอง ศิษย์เพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ และตอนนี้…ก็มีหวังเป่าเล่อเพิ่มเข้ามาอีกคน

ดังนั้นความจริงแล้วเขาต้องการปกป้องอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อ หากศิษย์คนนี้ยืนยันที่จะเข้าร่วมสำนักแห่งความมืด ตนก็จะอุทิศช่วยและใช้ชีวิตแลกกับจักรพรรดิสวรรค์ไม่รู้สิ้นสักคน

แต่เขามองออกแล้วว่าหวังเป่าเล่อไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น

ในความเงียบงัน ปรมาจารย์แห่งไฟจดจ้องมองหวังเป่าเล่อที่อยู่ข้างกายเฉินชิงจื่อ ก่อนจะเอ่ยปากกล่าวกับเฉินชิงจื่อ

“เขาปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนกับพี่ชายของเขาจริงๆ ดังนั้น…เฉินชิงจื่อ ไม่ว่าเจ้าจะมีแผนอะไร มีจุดประสงค์อะไร หากศิษย์ของข้าเป็นอะไรไปขึ้นมา แม้ข้าไม่อาจทำอะไรเจ้าได้ แต่จะแลกด้วยชีวิตนำคำสาปผนึกเข้ากับเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น เพิ่มพลังแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น!”

หวังเป่าเล่อไม่ได้ยินประโยคนี้ แต่เขาเห็นศิษย์พี่เฉินชิงจื่อข้างกายชะงักฝีเท้า

“ข้าเองก็เห็นศิษย์น้องเป็นญาติเพียงคนเดียวของข้าเช่นกัน เฉินชิงจื่อจะทำอะไรย่อมมั่นใจ” เขาเอ่ยตอบปรมาจารย์แห่งไฟเบาๆ แล้วจึงหันไปยิ้มให้หวังเป่าเล่อ ก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นหมอกดำก็แผ่ออกมาก่อตัวเป็นปลายักษ์สีดำแผดเสียงคำรามอย่างเงียบงันในจักรวาล ก่อนจะกระโจนพาหวังเป่าเล่อหายเข้าไปในความว่างเปล่าอย่างไร้ร่องรอย

ผ่านไปเนิ่นนานกว่าปรมาจารย์แห่งไฟจะถอนสายตากลับมาได้ สีหน้านั้นมืดมนลง ในใจไร้ความเบิกบาน จู่ๆ เขาก็ดูแก่ชราขึ้นมาก

เซี่ยไห่หยางที่อยู่ข้างกายเห็นปรมาจารย์แห่งไฟเป็นเช่นนี้จึงครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ

“อาจารย์ปู่ อาจารย์อาเป่าเล่อไปแล้ว แต่ข้ายังอยู่…”

“เจ้าหรือ” ปรมาจารย์แห่งไฟหรี่ตามองแล้วพ่นลมหายใจ

“หนวกหู!” พูดจบก็โบกมือขวา ทันใดนั้นเทพวัวใต้ร่างก็แผดเสียงร้องและควบไปข้างหน้า ทิศทางยังคงเป็นดาราจักรไฟ ส่วนเซี่ยไห่หยางบนหลังเทพวัวนั้นกำลังคับข้องใจเสียเต็มประดา

ร่างของปรมาจารย์แห่งไฟค่อยๆ หายลับไปในจักรวาล หวังเป่าเล่อและเฉินชิงจื่อก็จากไปในความว่างเปล่า ผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักก่อนหน้านี้ต่างแยกย้ายและกลับไปยังเขตอำนาจของตน การต่อสู้ระดับจักรพรรดิสวรรค์ครั้งนี้จึงถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว ขณะเดียวกันเรื่องราวการต่อสู้ก็ได้เผยแพร่ออกไปเช่นกัน

เต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดฟื้นคืนชีพในร่างเฉินชิงจื่อ เฉินชิงจื่อ…คือเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืด

เรื่องนี้แพร่สะพัดไปทั่วจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นอย่างรวดเร็วราวกับพายุ ทำให้เหล่าสำนักและตระกูลแทบทั้งหมดหวาดหวั่น ในบรรดาพวกเขาคนที่ไม่รู้จักสำนักแห่งความมืดต่างก็ออกตามหากันอย่างรวดเร็ว ส่วนสำนักและตระกูลที่รู้จักสำนักแห่งความมืดนั้นกลับวิตกกังวลอย่างไร้ที่สิ้นสุดอยู่ในใจ

ราวกับความตึงเครียดก่อนเกิดสงคราม ตระกูลและสำนักน้อยใหญ่ต่างแยกตัวออกไปและไม่เต็มใจที่จะเข้าร่วม ความจริงคือ…จุดจบของสงครามครั้งนี้ทำให้ทุกคนต่างตกตะลึง

เดือนแยกสิ้นชีพ ร่างเต๋าของตี้ซานถูกฟันสะบั้น กวงหมิงและเสวียนหัวไม่สามารถทำอะไรเฉินชิงจื่อได้ ห้าจักรพรรดิสวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ในตระกูลไม่รู้สิ้นไม่สามารถคุกคามเฉินชิงจื่อได้เลย เว้นแต่ปรมาจารย์ดั้งเดิมไม่รู้สิ้นที่ลึกลับที่สุดผู้นั้น

แต่ปรมาจารย์ผู้ลึกลับไม่เผยร่างแท้จริงให้เห็นมานานหลายปีแล้ว สิ่งที่รักษาเมืองตลอดทั้งปีมีเพียงศพนามเต๋าว่าจีเจียซึ่งเป็นตัวแทนของปรมาจารย์

เป็นผลให้ทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นตกอยู่ในความเงียบสงบราวกับช่วงก่อนพายุจะมา…

เวลาเดียวกันในความว่างเปล่า เฉินชิงจื่อที่แปลงร่างเป็นปลาเต๋าสวรรค์ก็กำลังพาหวังเป่าเล่อมุ่งหน้าไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่มุ่งสู่สามยอดจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ในจักรวาล แต่…จมดิ่งลงไปในความว่างเปล่า ลึกลงไป ลึกลงไปเรื่อยๆ…

หากเปรียบจักรวาลเป็นกระดาษ ทุกอย่างบนกระดาษและเหนือขึ้นไปด้านบนคือจักวาล คือสามยอดจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ เช่นนั้นใต้กระดาษ…ก็คือนรกเก้าโลกันตร์

ขณะนี้เฉินชิงจื่อที่แปลงร่างเป็นปลาเต๋าสวรรค์ได้พาหวังเป่าเล่อเข้ามาในนรกเก้าโลกันตร์และว่ายลึกเข้าไป

ค่อยๆ เข้าใกล้…ถิ่นที่ผู้คนที่หลงเหลืออยู่ของสำนักแห่งความมืดอยู่อาศัย!

ดาราจักรโลกันตร์!

………………………………………

ฉับพลันที่หวังเป่าเล่อลืมตาก็ราวกับมีสายฟ้าพาดผ่านดวงตาของเขา อีกทั้งพลังแห่งกฎเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นไร้รูปร่างยังล้อมรอบร่างเอาไว้ ก่อนจะกลายเป็นตราอักขระโบราณผนึกลงบนกายเนื้อ

นี่คือการยอมรับที่เต๋าสวรรค์มอบให้ระดับจักรพิภพ เป็นหนึ่งในกฎของการไหลเวียนเต๋าสวรรค์ แต่ในร่างกายของหวังเป่าเล่อไม่ได้มีแต่พลังปราณเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น มันยังมีเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดด้วย ดังนั้นในพริบตาต่อมาจึงมีกฎที่บรรจุเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดจุติขึ้นมาอีกรอบ และผนึกลงบนร่างเขา

การเสริมพลังทั้งสองประเภทนี้ทำให้กายเนื้อของหวังเป่าเล่อคำราม พลังงานอันแข็งแกร่งปะทุอยู่ในร่างกายไม่หยุดก่อตัวเป็นปราณโลหิตแผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ ความว่างเปล่ารอบด้านพลันเกิดรอยร้าวราวกับว่าการมีอยู่ของเขามีอิทธิพลต่อการหมุนเวียนของทั้งจักรวาล

นี่คือจุดที่น่าสะพรึงกลัวของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพ!

โดยทั่วไปแล้วผู้ฝึกตนจักรพิภพส่วนใหญ่มักจะทะลวงขั้นมาด้วยฐานการฝึกฝนก่อน แล้วตามด้วยวิญญาณเทพ ส่วนกายเนื้อยากที่จะทะลวงขั้นมหาวัฏจักรได้ ดังนั้นแม้จะส่งอิทธิพลต่อการหมุนเวียนจักรวาล แต่ฐานการฝึกฝนก็สามารถสยบอิทธิพลเหล่านั้น

แต่หวังเป่าเล่อกลับตรงกันข้าม ฐานการฝึกฝนของเขาอยู่ในระดับดารานิรันดร์ชั้นปลายเท่านั้น ถึงแม้วิญญาณเทพจะเป็นชั้นมหาวัฏจักร แต่ก็มากกว่าชั้นปลายแค่ไม่กี่ก้าว ยังห่างไกลจากระดับจักรพิภพ มีเพียงกายเนื้อที่ก้าวเข้ามาก่อน นั่นทำให้เกิดจุดที่ไม่ลงรอยขึ้น

ที่สำคัญยิ่งกว่าคือร่างกายหวังเป่าเล่อมีกฎเต๋าสวรรค์ถึงสองอย่างจึงเกิดการขัดแย้ง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงทนรับการขัดแย้งนี้ได้ยาก และระเบิดตัวตายอย่างแน่นอน

ทว่าฝักกระบี่เจ้าชะตาของหวังเป่าเล่อนั้นมีพลังสยบและทำให้เป็นกลางอยู่ มันไหลเวียนในทันที เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นและสยบพลังแห่งเต๋าสวรรค์ทั้งสองลงไปทำให้พวกมันผสานเข้าด้วยกันและอยู่ร่วมกันอย่างช่วยไม่ได้

อันตรายที่ซ่อนอยู่จึงได้รับการแก้ไขอย่างยากลำบาก แต่ว่า…อิทธิพลของจักรวาลและรอยร้าวที่ปรากฏบนความว่างเปล่าโดยรอบนั้นไม่สามารถกำจัดออกไปได้ในระยะเวลาอันสั้น เว้นแต่ว่าฐานการฝึกฝนของหวังเป่าเล่อจะเลื่อนระดับขึ้นหรือมีผู้ที่แข็งแกร่งมาปกปิดมันไว้

และในไม่ช้าผู้ที่แข็งแกร่งคนนั้น…ก็ปรากฏกาย

กล่าวให้ถูกคือในทันทีที่กายเนื้อของหวังเป่าเล่อก้าวเข้าสู้ระดับจักรพิภพ จนเกิดอิทธิฤทธิ์ไปทั่วความว่างเปล่าโดยรอบ ก็ได้มีใครบางคนมาถึงแล้ว นั่นก็คือ…ปรมาจารย์แห่งไฟ!

ปรมาจารย์แห่งไฟใช้ใบไม้ที่มอบให้หวังเป่าเล่อเป็นที่มั่น ถึงแม้จะไม่ได้มาด้วยร่างจริง แต่ดวงจิตเทพก็มาจุติในทันที ห่อหุ้มบริเวณรอบกายหวังเป่าเล่อไว้เพื่อปกปิดเขา ขณะเดียวกันก็หักล้างสิ่งผิดปกติที่เกิดจากการทะลวงขั้นของเขา

ถึงแม้ที่นี่จะมีผู้ฝึกตระกูลหมื่นสำนักอยู่มากมาย แต่ส่วนใหญ่อยู่ห่างไกลออกไป อีกทั้งรัศมีของเฉินชิงจื่อยังยิ่งใหญ่เกินไปจึงไม่มีใครสังเกตเห็นหวังเป่าเล่อที่อยู่ทางนี้ แม้แต่จักรพรรดิสวรรค์ทั้งสองก็เช่นเดียวกัน

เพราะถึงอย่างไร…เฉินชิงจื่อคือผู้ที่มีแสงสว่างมากสุดในที่แห่งนี้ เช่นนี้แล้วความช่วยเหลือจากปรมาจารย์แห่งไฟทำให้การทะลวงขั้นของหวังเป่าเล่อน่าทึ่งเพียงไหนก็ไม่มีใครสนใจ

ในพริบตานั้น ความว่างเปล่ารอบกายหวังเป่าเล่อพลันบิดเบี้ยว ร่างของเขาหายวับ ไร้ร่องรอย…เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งก็ไม่ได้อยู่ในเตาหลอมอีกแล้ว กลับอยู่ข้างกายปรมาจารย์แห่งไฟแทน เซี่ยไห่หยางเองก็อยู่ที่นี่ด้วย เขามองหวังเป่าเล่อ ก่อนจะหันไปทางเฉินชิงจื่อ ดวงตายังทิ้งร่องรอยของความตกใจไว้

ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะไม่เคยสงสัยว่าหวังเป่าเล่อสามารถพูดคุยต่อหน้าเฉินชิงจื่อได้ แต่เขาก็ไม่เคยคาดคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจะไม่ใช่แค่พูดคุยกัน แต่ใกล้ชิดกันมากกว่านั้น

หากตอนนี้เขายังไม่รู้ฐานะของหวังเป่าเล่อในสำนักแห่งความมืดอีก เขาก็คงไม่ใช่เซี่ยไห่หยางแล้ว

ด้านหวังเป่าเล่อนั้น หลังจากถูกย้ายที่กะทันหันก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เข้าใจได้ในทันทีจึงนั่งขัดสมาธิลงอย่างสงบ ขณะเดียวกันผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักบางคนได้ใช้เคล็ดวิชาคล้ายกันเข้ามาในวงแหวนปราณ และพาตัวศิษย์สำนักของตนที่ยังไม่ตายออกไปอย่างลับๆ แต่ละคนถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว ที่นี่เกิดการเปลี่ยนแปลงมากเกินไป อยู่ต่อไปก็ไร้ผลดี ซ้ำยังได้รับผลกระทบง่ายอีกด้วย

“เหล่าหนิว ยังไม่พาพวกข้าออกไปอีก!” เมื่อเห็นศิษย์ผู้ปราดเปรื่องของตนสงบนิ่งมากหลังจากถูกตนพาออกมา ปรมาจารย์แห่งไฟจึงเผยยิ้มบาง ตบแขนใหญ่ของเทพวัวทันที ให้เทพวัวที่อยู่ใต้ร่างรีบถอยหลังวิ่งออกไป

หวังเป่าเล่อถลึงตา เขาอยากจะบอกอาจารย์ของตนว่าไม่ต้องตบหรือกล่าวกับเทพวัว เพราะเทพวัวก็คือตัวท่านเองไม่ใช่หรือ…

“บางทีอาจารย์อาจจะลืมตัวกระมัง” หวังเป่าเล่อกระแอม ขณะที่เทพวัวควบออกไปแล้ว เขาหันไปมองสนามรบที่ไกลออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างสะท้านฟ้าสะเทือนดินของศิษย์พี่เฉินชิงจื่ออยู่ตรงนั้น

“ไม่ต้องมองหรอก คราวนี้ศิษย์พี่ที่ไม่เหมือนมนุษย์ของเจ้าเล่นสนุกเกินไปแล้ว เปลี่ยนตัวเองเป็นเต๋าสวรรค์ ต่อจากนี้…ระหว่างตระกูลไม่รู้สิ้นกับสำนักแห่งความมืดต้องเกิดสงครามยืดเยื้อเป็นแน่!”

“ถึงเจ้าจะเป็นสำนักแห่งความมืด แต่ก็เป็นศิษย์ของข้า เพราะฉะนั้น…แม้จะไม่อาจเลี่ยงการปะทะได้ แต่สิ่งที่อาจารย์ทำได้ก็มีเพียงหาทางหนีให้เจ้า” ขณะที่ปรมาจารย์แห่งไฟเอ่ย หวังเป่าเล่อก็เงียบไป ก่อนจะอ้าปาก

“ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าอยู่มานานขนาดนี้ ได้เห็นความครึกครื้นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน อีกอย่าง…ข้าหวังว่าศิษย์พี่เฉินชิงจื่อของเจ้าจะสามารถพาสำนักแห่งความมืดชนะได้ เช่นนั้นก็จะถือเป็นการระบายความแค้นให้อาจารย์” ปรมาจารย์แห่งไฟส่ายหัวยิ้มๆ แต่พริบตาต่อมาก็ต้องขมวดคิ้ว

“แต่ก็ยังมีความยุ่งยากอยู่ ถึงแม้ข้าจะรู้สึกว่าไม่มีใครสนใจเจ้า แต่หากคิดให้ดีสักหน่อย เรื่องนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ เจ้า…ต้องถูกพบเห็น เพียงแต่ตอนนี้เฉินชิงจื่อกำลังดึงดูดสายตาของทุกคนจึงไม่มีใครสนใจเจ้า”

“หลังกลับไปถึงดาราจักรไฟ เป่าเล่อ เจ้ารีบถือสันโดษเสีย อยู่ในดาราจักรไฟแบบนี้ ข้าจะดูว่าตระกูลไม่รู้สิ้นจะกล้ามาสร้างปัญหาให้เจ้าไหม!”

“อาจารย์…” หวังเป่าเล่อลุกขึ้นคำนับปรมาจารย์แห่งไฟ ความรู้สึกผิดผุดขึ้นจากก้นบึ้งหัวใจ เขาไม่มีสิทธิ์ไปยุ่งเกี่ยวกับการเลือกของศิษย์พี่ และครั้งนี้เขาก็ได้รับชะตามากพอแล้ว หากแต่มันกลับถูกเปิดเผยซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ

แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ในเมื่อถูกเปิดเผยแล้ว หวังเป่าเล่อก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม และเขาก็กำลังรอ…รอเฉินชิงจื่อ!

หวังเป่าเล่อคาดเดาว่าศิษย์พี่จะต้องมาและยุติเรื่องที่เขาถูกเปิดเผยแน่ แต่ความเชื่อมั่นที่เขามีมาตลอดในตอนนี้กลับสั่นคลอนอย่างเลี่ยงไม่ได้

เพราะ…การผนึกกายกับเต๋าสวรรค์หรือจะกล่าวว่าศิษย์พี่ที่แปลงร่างเป็นเต๋าสวรรค์นั้นทำให้หวังเป่าเล่อเกิดความรู้สึกแปลกหน้าอย่างบอกไม่ถูก

ความรู้สึกประหลาดนี้ทำให้หัวใจหวังเป่าเล่อเกิดความซับซ้อน

แต่ความซับซ้อนนั้นก็ไม่ได้คงอยู่นานนัก ขณะที่เทพวัวควบไปครึ่งเดือนหลังออกมาจากสนาบรบ ระหว่างทางกลับไปยังดาราจักรไฟ วันนี้จู่ๆ ปรมาจารย์แห่งไฟที่นั่งหลับตาทำสมาธิก็ลืมตาขึ้น ดวงตาเขาฉายแสงเจิดจ้าทันที เทพวัวใต้ร่างก็หยุดฝีเท้าชะงักกึก ร่างของมันเกิดเสียงคำรามและแผ่ทะเลเพลิงปกคลุมไปทั่วทุกสารทิศ

“เฉินชิงจื่อ”

ในเวลาเดียวกันหวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ เขาเงยหน้ามองไปยังจักรวาลที่อยู่ห่างไกล สัมผัสได้ว่าพลังแห่งกฎในส่วนที่เป็นเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดในร่างกำลังผันผวน ก่อนความว่างเปล่าที่เขาจ้องมองอยู่จะค่อยๆ ปรากฏเงาร่างคุ้นเคยก้าวออกมา และเดินเข้ามาที่ขอบทะเลเพลิงทีละก้าว

ผมยาว ชุดสีคราม น้ำเต้าสุรา กระบี่ไม้

นั่นคือ…เฉินชิงจื่อที่มีตราประทับปลาสีดำตรงหว่างคิ้ว!

“ขอบคุณสหายเพลิงกัลป์ที่ดูแลบุตรแห่งความมืดของข้า” เฉินชิงจื่อยิ้มก่อนจะคำนับปรมาจารย์แห่งไฟ

เพลิงกัลป์ทำหน้าบิดเบี้ยว ไม่ได้กล่าวตอบ เพียงแค่พ่นลมหายใจออกมา

เฉินชิงจื่อเองก็ไม่ได้ใส่ใจ ริมฝีปากผุดยิ้ม เมื่อหันไปมองหวังเป่าเล่อ ดวงตาก็อ่อนโยนลง แล้วเอ่ยเสียงเบา

“เป่าเล่อ เจ้าอยากตามข้ากลับไปสำนักแห่งความมืด และเดินไปบนเส้นทางที่เรายังทำไม่สำเร็จหรือไม่”

………………………..

เรื่องนี้ไม่น่าธรรมดาเช่นนี้แน่!

ศิษย์พี่เฉินชิงจื่อไม่น่าจะสะเพร่าเช่นนี้!

เป็นไปไม่ได้ที่จะพ่ายแพ้เช่นนี้!

หากเป็นแผนชั่วคราวที่คิดขึ้นกะทันหันก็แล้วไป แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ นี่เป็นแผนที่เฉินชิงจื่อคิดไว้นานแล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นศิษย์พี่จะคิดไม่ถึงได้อย่างไรว่าตระกูลไม่รู้สิ้นจะเข้ามาขัดขวาง

เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่า จะไม่ได้มีแค่จักรพรรดิสวรรค์คนเดียวปรากฏตัว

ดังนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังทำให้หวังเป่าเล่อคิดว่า เรื่องนี้มีบางอย่าง…ผิดปกติ!

ในขณะที่หวังเป่าเล่อใจเต้นรัวอยู่นั่นเอง เฉินชิงจื่อด้านนอกก็กำลังร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด เขาคิดจะพุ่งไปที่เตาหลอม แต่กลับถูกเสวียนหัวขวางไว้ ขณะเดียวกันมนุษย์เรืองแสงตระกูลไม่รู้สิ้นกลางจักรวาลผู้นั้นก็ยกมือขวาขึ้นพร้อมรอยยิ้มเย้ยหยันและพุ่งไปสยบเฉินชิงจื่อ

เกิดเสียงดังสนั่น ผู้ที่แข็งแกร่งอย่างเฉินชิงจื่อยังไม่อาจหลบหนีไปได้จึงถูกสยบไว้และพ่นเลือดสดออกมาเป็นครั้งแรก

เวลาเดียวกันกับที่เขากระอักเลือด ภายในเตาหลอมด้วงเกราะสีทองที่แปลงมาจากเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นก็เข้าไปใกล้จักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกพร้อมความดุร้าย ท่าทางละโมบและตื่นเต้น ไม่มีอะไรเกินกว่าที่หวังเป่าเล่อคาดไว้ ในพริบตา…มันก็แทรกซึมเข้าไปในร่างของจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยก!

“ไม่!!” ในจักรวาลอันห่างไกล เฉินชิงจื่อแผดเสียงร้อง หมายจะพุ่งเข้าไปอีกครั้ง ทว่าจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงตระกูลไม่รู้สิ้น และจักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัวลงมือสยบพร้อมกันทำให้เฉินชิงจื่อกระอักเลือดออกมา

ด้านในเตาหลอม พริบตาที่เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นผนึกกายเข้าไปในร่างจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยก ตรงจุดที่ผนังเตาหลอมพังทลาย จักรพรรดิสวรรค์ตี้ซานที่หวาดระแวงมาตั้งแต่ต้นก็ดูโล่งใจขึ้น เขาไม่ได้ไปสู้กับเฉินชิงจื่อ หน้าที่ของเขาคือคอยป้องกันไม่ให้มีอะไรเปลี่ยนแปลง

เมื่อเห็นว่าตอนนี้ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดี จักรพรรดิสวรรค์ตี้ซานก็ก้าวเข้าไปในเตาหลอมพร้อมรอยยิ้มเย็นชา เขาเห็นแล้วว่าเมื่อผนึกกายกับเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น ไอมรณะหนึ่งส่วนสุดท้ายบนร่างจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกก็กำลังสลายไปอย่างรวดเร็ว

พลังแห่งเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดจึงถูกสยบอย่างไร้ขีดจำกัด เมื่อเห็นว่ามันกำลังจะหายไปอย่างสมบูรณ์ ฉับพลันนั้นหวังเป่าเล่อก็นึกบางอย่างขึ้นได้ เขาหันขวับไปมองเฉินชิงจื่อด้านนอกเตาหลอมและห้ามใจตนไม่ให้หันไปมองเดือนแยกตรงหน้า

ในใจเขาผุดคำตอบอันหาญกล้าขึ้นมาข้อหนึ่ง หากเป็นเช่นนั้นจริงก็สามารถอธิบายทุกอย่างก่อนหน้านี้ได้

ชั่วพริบตาที่ในใจหวังเป่าเล่อผุดการคาดเดาขึ้น ไอมรณะบนร่างจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกก็ถูกสยบลงจนเหลือเพียงเล็กน้อย เปลือกตาของเขาหยุดขยับไหว จากนั้นจึงค่อยๆ…เปิดขึ้น!

ทันทีที่กะพริบตา จักรพรรดิสวรรค์ตี้ซานผู้ที่กำลังก้าวเข้ามาดวงตาพลันหดแคบ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ร่างกายกำลังจะถอยหลังแต่ก็สายไปเสียแล้ว

เสียงถอนหายใจดังออกมาจากปากจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยก

“น่าเสียดาย ทำไมปรมาจารย์ดั้งเดิมของไม่รู้สิ้นถึงไม่มากันนะ อีกอย่างน่าเสียดายเสียจริง ตี้ซาน ทำไมเจ้าถึงไม่ใช้ร่างจริงมากัน” ขณะเดียวกันกับที่เปล่งวาจาออกมาก็มีลำแสงกระบี่พุ่งขึ้นฟ้าราวกับจะข้ามระบบสุริยะสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งจักรวาล มันระเบิดออกมาจากร่างจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยก แล้วฟันลงไปยังตี้ซานที่ก้าวถอยหลังด้วยใบหน้าเปลี่ยนสี!

การลงดาบนี้รัศมีเจิดจรัสขั้นสุดราวกับเข้ามาแทนที่แสงทุกอย่างในจักรวาล อีกทั้งยังแฝงไปด้วยกระแสเต๋าและกฎที่อธิบายไม่ได้ เหมือนกับ…กระบี่เล่มนี้ได้รวบรวมพลังของทั้งจักรวาลเอาไว้!

หรือกล่าวให้กระจ่างคือรวบรวม…พลังเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืด!

ลำแสงกระบี่กวาดออกไป ทั้งจักรวาลกำลังสั่นสะเทือน ร่างของตี้ซานสั่นไหวอย่างรุนแรง เขาถลึงตามองจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยก ก่อนจะเอ่ยช้าๆ

“เจ้าไม่ใช่…” ยังไม่ทันได้กล่าวจบ ร่างของเขาก็ส่งเสียงระเบิดและพังทลายแตกสลายเป็นชิ้นๆ

จักรพรรดิสวรรค์ตี้ซานตายแล้ว!

เพียงแต่ร่างที่ตายไม่ใช่ร่างจริง กลับเป็นร่างเต๋าของเขา แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ยังส่งผลกระทบต่อจักรพรรดิสวรรค์ตี้ซานอย่างมากเช่นกัน ขณะที่ร่างเต๋าพังทลาย พลังแห่งกฎจำนวนมากก็แผ่กระจายไปรอบทิศอย่างบ้าคลั่ง ด้านหวังเป่าเล่อตอนนี้ก็กำลังหายใจถี่รัวด้วยความตื่นเต้น ดวงตาเปล่งลำแสงแรงกล้า

ในสายตาเขา ไอมรณะที่เหลือเพียงน้อยนิดบนร่างเดือนแยกพลันระเบิดโพล่ง ต่อต้านเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นในร่างทันที เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นตัวนั้นก็ดูเหมือนจะแผดเสียงกรีดร้องและพยายามหนีออกมาจากร่างเดือนแยก แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้!

หากอยู่ด้านนอก บางทีเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นตัวนี้อาจยังทำอะไรได้บ้าง แต่ในร่างของเดือนแยกนั้น มันไม่มีโอกาสใดเลย เพราะมันกำลังถูก…เดือนแยกดูดซับ!

ใช่ ดูดซับ หรือจะกล่าวให้กระจ่างชัดคือถูก..ดูดกลืน!!

“ข้าเข้าใจแล้ว!” ดวงตาหวังเป่าเล่อเผยความซับซ้อน คลื่นลูกใหญ่ถาโถมเข้ามาในจิตใจ ขณะเดียวกันจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงและจักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัวด้านนอกเตาหลอมต่างก็ตกตะลึงกับภาพตรงหน้า พวกเขาทั้งสองถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว ดวงตามีความตกใจระคนสงสัย แต่ในพริบตาต่อมาก็เข้าใจได้ สีหน้าพลันบิดเบี้ยว ก่อนจะหันไปมองที่เฉินชิงจื่อซึ่งถูกสยบเอาไว้ แล้วหันไปมองเดือนแยกที่กำลังก้าวออกมาจากเตาหลอมทีละก้าว

“เจ้าไม่ใช่เดือนแยก!”

“แน่นอนข้าไม่ใช่เดือนแยก ข้าคือเฉินชิงจื่อ” ภายในเตาหลอม ‘จักรพรรดิสวรรค์เดือนแยก’ ที่กำลังเดินมาเอ่ยปากพูดเสียงเบาพร้อมกับวาจาเหล่านั้น ใบหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปและกลายเป็นใบหน้าของเฉินชิงจื่อ

ส่วน ‘เฉินชิงจื่อ’ ที่ถูกจักรพรรดิสวรรค์กวงหมิงและจักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัวสยบไว้ก็กำลังเปลี่ยนใบหน้าเช่นกัน เขากลายเป็นรูปร่างเหี่ยวแห้งซึ่งก็คือ…เดือนแยก

เพียงแต่ดวงตาไร้แวว ร่างกายเต็มไปด้วยไอมรณะ!

“แล้วข้าก็ยังเป็น…เต๋าสวรรค์!” ฉับพลันที่เฉินชิงจื่อเอ่ยปาก พลังปราณบนร่างของเขาก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง รัศมีของเขากวาดไปทั่วทั้งจักรวาล สยบทั่วทุกสารทิศ หว่างคิ้วปรากฏตราประทับปลาสีดำ!

สีหน้าเสวียนหัวกับกวงหมิงเปลี่ยนไปอีกครั้ง

“เป็นเรื่องหลอกลวงทั้งหมด…ไม่กี่ปีที่ผ่านมาเดือนแยกถูกข้าสยบไว้ แล้วข้าก็เปลี่ยนเขาให้กลายเป็นสำนักแห่งความมืด…ทุกอย่างเป็นแค่การจัดฉากเพื่อล่อให้พวกเจ้ามาช่วยและล่อให้เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นจุติ”

“ส่วนเต๋าสวรรค์ที่ฟื้นคืนชีพ…ก็ไม่ใช่แบบที่พวกเจ้าคาดเดา นั่นเป็นเพียงเศษเสี้ยวความคิดที่ข้าแยกออกมาเท่านั้น การฟื้นคืนชีพที่แท้จริงของเต๋าสวรรค์อยู่ในร่างกายข้า ข้าก็คือเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืด เป็นทูตผนึกของตระกูลไม่รู้สิ้นของพวกเจ้าในโลกนี้”

“แม้หลัวเทียนจะล่มสลาย แต่ภารกิจของตระกูลแห่งความมืดของเรายังอยู่ โลกศิลาแห่งนี้ย่อมต้องถูกสยบไว้”

“เดิมทีข้าอยากจะล่อปรมาจารย์ลึกลับของตระกูลไม่รู้สิ้นผู้นั้นมา ข้าอยากจะรู้นักว่าที่แท้เขาเป็นเซียน…หรือร่างแยกจักรพรรดิกันแน่ น่าเสียดายที่เขาไม่มา” เฉินชิงจื่อเอ่ยเสียงเบา คำพูดที่เปล่งออกมาทำให้กวงหมิงและเสวียนหัวหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง

ทางฝั่งหวังเป่าเล่อก็กำลังร้องคำรามในใจ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย ก่อนจะถอนสายตาออกมาเงียบๆ และไม่สนใจการต่อสู้บนจักรวาลอีก แต่ทุ่มกำลังดูดซับกระแสเต๋าไร้ที่สิ้นสุดที่ปลดปล่อยออกมาหลังจากจักรพรรดิสวรรค์ตี้ซานร่างเต๋าตายลง

ฐานการฝึกฝนของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว กายเนื้อสั่งสมพลังระเบิดอย่างบ้าคลั่ง วิญญาณเทพของเขาก็กำลังเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัด!

สิ่งที่ทะลวงขั้นได้เป็นอย่างแรกคือฐานการฝึกฝน ขณะที่กายเนื้อและวิญญาณเทพกำลังเติบโต การทะลวงขั้นของฐานการฝึกฝนจึงไม่ได้ยากขนาดนั้น ดาวพิเศษจำนวนมากด้านหลังล้วนเลื่อนระดับขึ้นเป็นดารานิรันดร์ ฐานการฝึกฝนของหวังเป่าเล่อก็ระเบิดจากดารานิรันดร์ชั้นกลางเป็นดารานิรันดร์ชั้นปลาย!

สิ่งที่ทะลวงขั้นได้ต่อมาคือวิญญาณเทพ กระแสเต๋าที่ดูดซับเข้าไปและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งก็ได้เลื่อนจากดารานิรันดร์ชั้นปลายเป็นดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร ถึงแม้จะเป็นเพียงสองสามก้าว แต่ก็เป็นมหาวัฏจักร!

และสิ่งสุดท้ายที่ทะลวงขั้นได้…คือกายเนื้อ หลังจากสั่งสมมากพอ ในใจหวังเป่าเล่อก็ราวกับโลกทั้งใบคำรามกู่ก้อง พลังอันแข็งแกร่งที่อธิบายไม่ได้พลันระเบิดขึ้นบนร่างของเขา!

กายเนื้อ…ระดับจักรพิภพ!

ระลอกคลื่นรุนแรงแผ่ออกจากร่างของเขาราวกับจะกวาดภูผาพลิกมหาสมุทร มันพลิกม้วนไม่รู้จบ และจากนั้นหวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น

ดวงวิญญาณเทพเพิ่มขึ้น ฐานการฝึกฝนก้าวกระโดด กายเนื้อแข็งแกร่งขึ้น หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าตนต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้ และเขาก็เข้าใจดีว่าเวลา…มีไม่มาก!

การแปลงสภาพจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกทำไปได้หกส่วนแล้ว แม้จะเชื่องช้า แต่บนท้องฟ้าก็ปรากฏสัญญาณของการแตกร้าว นั่นคือเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นด้านนอกกำลังโจมตีอย่างบ้าคลั่ง

หากไม่ใช่เพราะเตาหลอมนี้ถูกศิษย์พี่เฉินชิงจื่อเสริมความแข็งแกร่งมาไม่รู้กี่ครั้งแล้วล่ะก็…คงถูกเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นทำลายไปแล้ว

“แต่ถึงเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นจะเข้ามาก็คงไม่เล็งเป้ามาที่ข้าเป็นอย่างแรกหรอก…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ก่อนจะควบคุมฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างให้ปรับตัวเล็กน้อย เพื่อให้กฎแห่งเต๋าสวรรค์ทั้งสองในร่างสามารถสยบอีกฝ่ายได้ทุกเวลา ทำให้อีกฝ่ายกลายเป็นผู้นำ จิตใจมั่นคงยิ่งขึ้น

แต่ขณะดูดซับส่วนที่เหลือ เขาก็ครุ่นคิดอีกเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ…เขาจะออกจากที่นี่ได้อย่างไร

จากการสรุปของหวังเป่าเล่อ ก็เหมือนกับที่เขาคาดเดาว่ายังมีคนของสำนักแห่งความมืดมาที่นี่อีก เขาไม่เชื่อว่าตระกูลไม่รู้สิ้นจะมีแค่จักรพรรดิสวรรค์คนเดียวที่มา ดังนั้นสงครามต่อจากนี้อาจรุนแรงขึ้น

ส่วนตัวเขาทางนี้แม้จะมีการบ่มเพาะพิเศษ แต่กลับอยู่ใจกลาง ดังนั้นจะออกไปเมื่อไร จะออกไปอย่างไร เรื่องนี้ยังต้องครุ่นคิดดูก่อน แต่ในตอนที่หวังเป่าเล่อกำลังวิเคราะห์อยู่นั่นเอง จู่ๆ ใบไม้ที่กินพลังไปส่วนหนึ่งในกระเป๋าคลังเก็บของเขาก็ส่งดวงจิตเทพเข้ามาในใจ

“ศิษย์ข้า ชะตานี้หาได้ยาก ไปดูดซับมันซะ อาจารย์จะหาวิธีพาเจ้าออกจากกระแสน้ำวนนี้เอง!”

“ศิษย์พี่ของเจ้าผู้นั้นไม่ใช่มนุษย์แล้ว เพื่อที่จะฟื้นฟูสำนักแห่งความมืดจึงไม่เหลือเรี่ยวแรงพาเจ้าออกมา แต่มีอาจารย์อยู่ อาจารย์คือคนที่เจ้าใกล้ชิดที่สุด” เสียงของปรมาจารย์แห่งไฟดังก้องอยู่ในใจหวังเป่าเล่ออย่างภาคภูมิใจ

ครั้นได้ยินเสียงอาจารย์ ใบหน้าของหวังเป่าเล่อก็เผยรอยยิ้ม เขาไม่ได้สนใจความขุ่นเคืองระหว่างอาจารย์และศิษย์พี่ พยักหน้าตอบเบาๆ จิตใจสงบลง หลังจากสูดหายใจเข้าลึก ก็ดูดซับกฎกระแสเต๋าที่แผ่ออกมาจากเดือนแยกสุดแรง

ขณะที่หวังเป่าเล่อดูดซับต่อไปนั้น สงครามด้านนอกก็ได้ดำเนินมาถึงระดับที่รุนแรงมากแล้ว ถึงแม้จักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัวจะแข็งแกร่ง แต่เทียบกับเฉินชิงจื่อแล้วก็ยังด้อยกว่าเล็กน้อย!

เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเข่นฆ่าอย่างสะเทือนขวัญของเฉินชิงจื่อ และเกี่ยวข้องกับการที่เต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดอยู่ที่นี่ วิชาแห่งศาสตร์มืดจึงได้รับพลังเสริม ทั้งสองต่อสู้กันบนจักรวาลจนความผันผวนกระจายเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ

เป็นผลให้จักรวาลโดยรอบแตกเป็นเสี่ยงๆ และตอนนี้การพลิกกลับของเดือนแยกก็ทำไปได้เจ็ดส่วนแล้ว ทันทีที่ถึงเจ็ดส่วนดวงวิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อพลันแผดเสียงคำราม ทะลวงจากระดับดารานิรันดร์ชั้นปลายไปสู่ดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร!

ในเวลาเดียวกันผนังเตาหลอมก็ไม่สามารถทนความบ้าคลั่งของเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นได้อีกต่อไป จึงถูกกระแทกจนเป็นรูโหว่ เสียงแตกร้าวดังสะท้อน ด้วงเกราะสีทองยักษ์ตัวนั้นแปลงร่างเป็นทะเลแสงพุ่งเข้าไปในรูโหว่นั้น

ทว่าตอนนั้นเอง ก็มีเสียงพ่นลมอย่างเย็นชาดังออกมาจากความว่างเปล่า ท่ามกลางระลอกคลื่นปั่นป่วนสะท้อนไปมา ที่จักรวาลด้านนอกเตาหลอมพลันมีร่างเจ็ดร่างปรากฏขึ้น!

ทั้งเจ็ดคนนี้ล้วนสวมชุดคลุมสีดำ ทั่วร่างแผ่ไอมรณะออกมา ขณะเดียวกันเปลวไฟสีดำก็ปะทุขึ้นบนร่างกายและเผาไหม้เพื่อหยุดยั้งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น

เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นแผดเสียงคำราม แผ่นหลังของมันพลันแตกออก เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกับร่างหนึ่งเดินออกมาจากด้านในแผ่นหลังที่แตกออกของเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น คนผู้นี้เป็นชายวัยกลางคน สวมชุดคลุมจักรพรรดิและมงกุฎจักรพรรดิ ฐานการฝึกฝนบนร่างผันผวนทะยานขึ้นฟ้า มันเหนือกว่าดารานิรันดร์ เหนือกว่าจักรพิภพ แสดงให้เห็นว่า…พลังปราณแข็งแกร่งกว่าเสวียนหัวเสียอีก!

“จักรพรรดิสวรรค์ตี้ซาน!”

แทบจะในทันทีที่คนผู้นี้ปรากฏกายขึ้น คนทั้งเจ็ดในชุดคลุมสีดำต่างส่งเสียงแหบแห้งออกมาทันที ทว่าพวกเขาก็ไม่ได้ถอยหนีและยังคงลงมือสกัดกั้นอย่างเต็มกำลัง

การขัดขวางของพวกเขาทำให้ผนังเตาหลอมที่แตกร้าวผสานกันอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นว่ารูโหว่กำลังจะหายไป เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นที่ถูกขัดขวางพลันแผดเสียงคำรามและแยกอีกร่างที่เล็กกว่าออกมา ก่อนจะพุ่งเข้าไปในรูโหว่ที่กำลังจะหายไปโดยไม่สนสิ่งใด!

คนทั้งเจ็ดในชุดคลุมดำกำลังจะเข้าขัดขวาง แต่กลับถูกจักรพรรดิสวรรค์ตี้ซานหยุดไว้เสียก่อน เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่วสงครามที่โลกด้านนอก ส่วนด้านในเตาหลอมตอนนี้หวังเป่าเล่อก็หัวใจสั่นสะท้านเช่นกัน

แม้เขาจะคาดเดาไว้แล้ว แต่เมื่อได้เห็นเองกับตาว่าจักรพรรดิสวรรค์คนที่สองปรากฏตัวขึ้นก็ยังอดตกตะลึงไม่ได้ ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณสำนักแห่งความมืดอันเข้มข้นและความรู้สึกเก่าแก่โบราณบนร่างของคนชุดดำทั้งเจ็ดนั้น

“ออกมากันหมดแล้วหรือ!” หวังเป่าเล่อลมหายใจถี่กระชั้น แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาให้คิดมาก เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นที่แปลงร่างเป็นด้วงเกราะสีทองตัวเล็กพุ่งเข้ามาในรูโหว่และปรากฏตัวในเตาหลอม หวังเป่าเล่อไม่ลังเลที่จะไหลเวียนฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างทันที รีบสยบกฎทั้งหมดของเต๋าสวรรค์แห่งความมืดของตนลงทำให้ส่วนของเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นกลายเป็นทั้งหมดในร่างกาย

วิธีนี้ทำให้พลังปราณบนร่างของเขาเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน และในชั่วพริบตาที่มันเปลี่ยนไป ด้วงเกราะสีทองที่พุ่งเข้ามาก็ดูสับสนเล็กน้อย แต่ในพริบตาต่อมาก็ระเบิดความเร็วพุ่งเข้าใส่จักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกที่อยู่ตรงหน้าโดยไม่สนใจหวังเป่าเล่อ

ดูเหมือนจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกในตอนนี้จะชัดเจนราวกับดวงอาทิตย์แผดเผาในสายตาของมัน ดังนั้นในชั่วพริบตาด้วงสีทองตัวนี้ก็เข้ามาใกล้จักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกแล้ว

ก่อนจะผสานเข้าไปในร่างของเดือนแยกในพริบตา และปะทะเข้ากับเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดในร่างกาย!

หวังเป่าเล่อหายใจหอบ เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่ตนทำไปเมื่อครู่ได้ผลหรือไม่ แต่ตอนนี้ทุกอย่างยังคงปกติ ดังนั้นหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงรีบคลายฝักกระบี่เจ้าชะตาและดูดซับอีกครั้ง

เพราะ…ในร่างของเดือนแยกนั้น การปะทะกันของเต๋าสวรรค์ทั้งสองทำให้เสียงกรีดร้องของเดือนแยกยิ่งรุนแรงขึ้น กระแสเต๋าและกฎแตกกระจายแผ่ออกมามากกว่าเดิม ถึงอย่างไรหวังเป่าเล่อก็เป็นตระกูลแห่งความมืด เขาจึงเริ่มควบคุมฝักกระบี่เจ้าชะตาให้ดูดซับพลังปราณจากเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นโดยรอบอย่างรวดเร็ว

ท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง การพัฒนาของหวังเป่าเล่อยิ่งเร็วขึ้น พลังแห่งกายเนื้อของเขาขึ้นไปถึงร้อยก้าวของระดับดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรแล้ว และตอนนี้เขาก็สัมผัสได้ว่ากายเนื้อกำลังสั่งสมคลื่นพลังงาน

คลื่น…ทะลวงดารานิรันดร์ และก้าวเข้าสู่พลังแห่งระดับจักรพิภพอย่างแท้จริง!

ในแผนที่ดวงดาวของเขา ดวงดาวทุกดวงกำลังส่องสว่างและวิวัฒนาการ ร่างในชาติก่อนของเขาก็เช่นกัน ทว่าในพริบตาต่อมาหวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ว่า กระแสเต๋าที่แผ่ออกมาจากร่างจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกกำลังลดลง!

เพราะว่าการผสานเข้ากับร่างของเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นและเต๋าสวรรค์ทั้งสองปะทะกันในร่างของจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยก หากมีกำลังเทียบเท่ากันจนยากจะตัดสินแพ้ชนะก็จะรุนแรง ซึ่งนั่นจะทำให้หวังเป่าเล่อดูดซับได้มากที่สุด ทว่าตอนนี้…เต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดเพิ่งฟื้นขึ้นมาได้ไม่นานจึงไม่นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ของมัน!

สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ามันกำลังถูกสยบลง เพราะไอมรณะจากร่างจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกในตอนนี้กำลังถอยกลับอย่างรวดเร็ว จากที่แผ่ขยายไปเจ็ดถึงแปดส่วน ตอนนี้ถอยกลับมาเป็นห้าส่วน และกำลังถอยลงมาเป็นสี่ส่วน สามส่วน สองส่วน…

สุดท้ายเมื่อเหลือเพียงหนึ่งส่วน เต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดก็แทบจะไม่สามารถยึดที่มั่นและต้านทานการพลิกกลับได้ เปลือกตาจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกกำลังขยับราวกับว่าเขากำลังจะฟื้น!

ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อที่มองอยู่หน้าเปลี่ยนสี แต่เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกประหลาด เพราะจากการคาดเดาก่อนหน้า เรื่องนี้เป็นแผนที่ศิษย์พี่คิดมานานแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงนั้นไม่น่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงสิถึงจะถูก

อย่างไรก็ตามสิ่งที่เห็นตรงหน้าก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

โชคดีที่พริบตาต่อมาเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดพลันปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับทุ่มกำลังทั้งหมดโจมตีกลับ ทว่าตอนนั้นเองจู่ๆ ก็มีเสียงแผ่วเบาดังมาจากจักรวาลที่ผู้คนกำลังสู้รบกันอยู่ด้านนอกเตาหลอม

“เฉินชิงจื่อ เจ้าแพ้แล้ว” เสียงพูดดังก้อง มนุษย์เรืองแสงยักษ์สามหัวหกแขนคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในจักรวาล ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้นก็ก่อแรงกดดันกระจายไปทั่ว

“จักรพรรดิสวรรค์กวงหมิง!”

“พวกเจ้าสามคนมาที่นี่จริงๆ น่าสนใจนี่ แบบนี้ดูท่าแล้วปรมาจารย์ดั้งเดิมผู้นั้นของพวกเจ้าก็น่าจะมาด้วยสินะ” ที่ด้านนอกเตาหลอม แม้เฉินชิงจื่อจะยังหัวเราะ แต่สีหน้ากลับบิดเบี้ยวเล็กน้อย

“เหตุใดปรมาจารย์ต้องมาด้วยตัวเอง แค่เราสามคนก็เพียงพอที่จะสยบเศษซากสำนักแห่งความมืดกับเจ้าได้แล้ว” ขณะที่มนุษย์เรืองแสงเอ่ยอย่างนุ่มนวลก็ยกมือขวาขึ้นกดไปทาง…เตาหลอม!

จักรวาลสั่นสะเทือนส่งเสียงคำราม คนชุดดำทั้งเจ็ดของสำนักแห่งความมืดด้านนอกเตาหลอมต่างตัวสั่นเทิ้ม เลือดพุ่งทะลัก ก่อนจะระเบิดแตกเป็นเสี่ยงๆ ขณะเดียวกันผนังเตาหลอมที่เพิ่งกลับมาผสานก็แบกรับไม่ไหวจนพังทลายลง!

“เต๋าสวรรค์ ยังไม่รีบดูดกลืนเต๋าแห่งความมืดในร่างเดือนแยกอีกหรือ ทำให้เดือนแยกฟื้นเดี๋ยวนี้!”

ผนังเตาแตกกระจาย ด้วงเกราะสีทองที่แปลงมาจากเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นส่งเสียงคำรามอย่างปิติยินดี และคำรามออกมาจากร่างของเดือนแยกที่เปลือกตาสั่นไหวอย่างไม่ลังเล!

หวังเป่าเล่อเห็นภาพสถานการณ์ที่พลิกผันนี้แล้วหัวใจพลันเต้นรัว แต่ไม่รู้เหตุใดเขาถึงรู้สึกได้ลางๆ ว่า…มีบางอย่างผิดปกติ!

……………………………

เฉินชิงจื่อหัวเราะพลางสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นพลังมหาศาลก็ม้วนตัวหวังเป่าเล่อไปยังจุดที่เดือนแยกอยู่ ในพริบตาหวังเป่าเล่อก็มายืนอยู่ด้านหลังจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยก!

ตรงนี้แม้แรงกดดันจากเดือนแยกจะน่าหวาดหวั่น แต่ก็เป็นจุดที่ปลอดภัยที่สุด โดยเฉพาะเมื่อถูกพลิกกลับ บนร่างจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกแผ่กฎแตกกระจายของเขาออกมาอย่างต่อเนื่อง

แต่กฎเหล่านี้ดีต่อฝักกระบี่เจ้าชะตาของหวังเป่าเล่ออย่างยิ่ง!

ขณะเดียวกันยังมีไอมรณะจำนวนมากที่สลายไป หวังเป่าเล่อกลั้นหายใจ จ้องมองจักรพรรดิสวรรค์ผู้นี้ถูกพลิกกลับ

สำหรับเขา นี่คือชะตาที่ใหญ่ที่สุด หากเขาได้มันมา วิญญาณเทพและฐานการฝึกฝนจะต้องเพิ่มขึ้นแน่!

จนถึงตอนนี้หวังเป่าเล่อพอจะเข้าใจแผนของศิษย์พี่เฉินชิงจื่อแล้ว!

เขากำลังตกปลาและมันก็คือเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น และจุดประสงค์คือใช้เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นเป็นสารอาหารให้เต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืด ซึ่งทำให้…เต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดสูงขึ้น ถูกยกระดับจนมันยืนตระหง่านอยู่ในจู๋ชิงกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น

แบบนี้ก็จะเท่ากับในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นมีเต๋าสวรรค์สองตัวอยู่ร่วมกัน!

หากทำสำเร็จจริง ก็จะหมายความว่ากฎของสำนักแห่งความมืดจะไม่ถูกสยบไว้เหมือนที่เป็นมาอีกต่อไป และเหล่าชนรุ่นหลังของสำนักแห่งความมืดที่ซ่อนตัวอยู่ก็จะสามารถปรากฏตัวได้อีกครั้งโดยมีเต๋าสวรรค์คุ้มครอง!

แม้จะยังไม่นับว่าเป็นคู่ต่อสู้ของตระกูลไม่รู้สิ้น แต่ตราบใดที่เต๋าสวรรค์ไม่ดับสิ้น สำนักแห่งความมืดก็จะไม่สลายไป และหากคิดจะทำลายเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดที่ผสานเข้ากับเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นก็ไม่ใช่เรื่องที่สามารถทำได้โดยง่าย

แผนการนี้ทำให้จิตใจหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน เขาไม่คาดคิดว่าความคิดของศิษย์พี่จะบ้าคลั่งได้ขนาดนี้ เพราะเห็นได้ชัดว่า หากคิดจะทำให้เต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดกลายเป็นหนึ่งในเต๋าสวรรค์ของจักรพิภพแห่งนี้แล้ว นอกจากดูดซับพลังของเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นแล้ว ยังต้องมีเคล็ดวิชายกเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดขึ้นจมดิ่งสู่ความว่างเปล่า

เรื่องนี้ก็ทำได้ยากมากเช่นกัน ถึงได้มีการ…พลิกจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยก!

ใช้การสังเวยจักรพรรดิสวรรค์เพื่อแลกกับการยกเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืด!

หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป จะต้องเขย่าขวัญผู้คนจนสะเทือนไปทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นเป็นแน่ โดยเฉพาะจากการวิเคราะห์ของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ ศิษย์พี่ของตนคิดจะพลิกเดือนแยกก่อน ซึ่งจะสร้างความเสียหายให้กับเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นทำให้มันเกิดช่องโหว่ จากนั้นก็จะสังเวยเดือนแยกที่ถูกพลิกกลับเพื่อยกระดับเต๋าสรรค์

“เยี่ยมไปเลย!” หวังเป่าเล่อหายใจถี่ขึ้นเล็กน้อย ชั่วขณะหนึ่งเขาไม่เชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นความคิดของศิษย์พี่ จนกระทั่งย้อนคิดกลับไป เขาก็รู้สึกว่า…หรือบางทีนี่อาจเป็นแผนการที่ศิษย์พี่เริ่มทำมานานแล้ว!

ค่อยๆ ทำให้ตระกูลไม่รู้สิ้นอ่อนแอลงเรื่อยๆ จากนั้นจึงมอบโอกาสให้เดือนแยกมารับช่วงต่อแล้วแว้งกัดแต่ไม่สังหารทิ้ง จากนั้นจึงค่อยๆ ดึงดูดความสนใจจากทุกฝ่ายจนกระทั่งตระกูลไม่รู้สิ้นมาช่วยและเต๋าสวรรค์จุติ

“เช่นนั้น…บางทีตอนนี้ผู้ที่ซ่อนตัวอยู่ที่โลกภายนอกคงจะมี…ผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดด้วย!” หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขาคิดว่าการสันนิษฐานข้อนี้น่าจะเป็นจริงแปดถึงเก้าส่วน

แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ใหญ่เกินไปสำหรับสำนักแห่งความมืด แม้ศิษย์พี่จะมั่นใจ หากแต่ที่นี่ก็คือจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นจึงจำเป็นต้องมีการเตรียมการสำรองไว้

หวังเป่าเล่อคิดถึงตรงนี้ก็ได้ยินเสียงคำรามดังมาจากเดือนแยกที่ถูกพลิกกลับ ความคิดถูกขัดจังหวะ ขณะที่ดวงตาเผยแสงเปล่งประกาย บนท้องฟ้าด้วงเกราะสีทองที่แปลงมาจากเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นก็แผดเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุดและปลดปล่อยพลังแห่งเต๋าสวรรค์ออกมาจำนวนมากเพื่อขัดขวางไม่ให้เดือนแยกถูกพลิกกลับ

ในเวลาเดียวกันนั้นเองด้านหลังด้วงเกราะสีทองก็เกิดท้องฟ้าบิดเบี้ยวจนเผยให้เห็นร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่ง ร่างนั้น…ก็คือจักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัว เขายืนจ้องเฉินชิงจื่อจากตรงนั้น

“เฉินชิงจื่อ!”

“ตระกูลไม่รู้สิ้นของข้าดีต่อเจ้าแล้วเหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้!” เสวียนหัวเอ่ยช้าๆ แต่น้ำเสียงกลับดังสะเทือนราวกับฟ้าร้องไปทั่วทุกสารทิศ จักรวาลสั่นสะเทือนราวกับสร้างกฎบังคับใช้ มันก่อตัวขึ้นมาเป็นพลังแห่งกฎจักรวาลและกลายเป็นเส้นไหมพันธนาการร่างของเฉินชิงจื่อเอาไว้ ไอลีนโนเวล

อีกทั้งยังทำให้เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นราวกับได้พลังเสริม พลังปราณสูงขึ้นทำให้เดือนแยกที่ดูเหมือนจะไม่สามารถพลิกกลับมาได้ตัวสั่นเทิ้ม การพลิกนั้นค่อยๆ หยุดลงราวกับมันกำลังจะย้อนกลับ!

“เคยกระทำผิดและอยากกลับใจก็เท่านั้น” เฉินชิงจื่อถอนหายใจเสียงเบา หลังจากยิ้มเยาะกับตัวเองแล้วก็ยกเหล้าขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ จากนั้นก็ผนึกมุทรา ทันใดนั้นกระบี่ไม้ข้างกายพลันเปล่งแสงเจิดจ้าก่อตัวเป็นแสงกระบี่ที่ดูราวกับจะฉีกจักรวาลได้ ก่อนที่มันจะพุ่งเข้าใส่เสวียนหัวพร้อมกับเสียงคำรามราวกับอัสนีบาต

ขณะเดียวกันเสียงหัวเราะของเฉินชิงจื่อก็ดังขึ้นเรื่อยๆ ร่างของเขาเหยียบไปบนความว่างเปล่าทีละก้าว

“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”

“ครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…”

“ครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น…” บทกวีแห่งความมืดเก่าแก่ดังออกมาจากปากเฉินชิงจื่อ เสียงหัวเราะของเขาทำให้หวังเป่าเล่อสับสนอยู่ครู่หนึ่ง นั่นคือเสียงหัวเราะหรือเสียงร้องไห้กันแน่

เขาเห็นเพียงแผ่นหลังของเฉินชิงจื่อที่ก้าวออกไปด้านนอกเตาหลอมที่เสวียนหัวยืนอยู่ทีละก้าว พร้อมกับเอ่ยบทกวี

พริบตาต่อมาบทกวียังคงดังกังวาน และเฉินชิงจื่อก็ออกไปด้านนอกเตาหลอมแล้ว ที่ด้านนอกเตาหลอม กระบี่เล่มหนึ่งตกลงมา ทั่วทั้งจักรวาลสีเทาพลันเกิดเสียงระเบิดราวกับถูกสับแยกจากกัน

เสวียนหัวถอยร่น ใบหน้าบิดเบี้ยว ก่อนจะตีหน้าเคร่งขรึมและเอ่ยเสียงต่ำ

“เฉินชิงจื่อ การล่มสลายของสำนักแห่งความมืดเป็นเรื่องที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ และเรื่องการกลับมาของไม่รู้สิ้น เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่อาจย้อนกลับได้!” เฉินชิงจื่อหยิบเหล้าขึ้นมาดื่มอีกครั้ง จากนั้นจึงสะบัดศีรษะ นัยน์ตาฉายแววบ้าคลั่ง

“หนวกหู!” เฉินชิงจื่อหัวเราะเสียงยาว ก่อนจะส่งกระบี่ไปทางเสวียนหัวอีกครั้ง!

จักรวาลสั่นสะเทือนไปทั่วทิศ ยามนี้ผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักต่างถอยหนี พวกเขาเห็นแสงกระบี่ เห็นจักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัวที่เผยร่างแท้ไม่รู้สิ้นอยู่ตรงหน้าแสงกระบี่ และยังเห็น…ผู้ที่ก้าวเข้ามาทีละก้าวด้านหลังแสงกระบี่นั้น…เฉินชิงจื่อ!

ชุดคลุมโบกสะบัด เสื้อผ้าสีครามทั้งกาย น้ำเต้าสุรา!

แม้เฉินชิงจื่อจะไม่ใช่สตรี แต่ก็สามารถใช้คำว่าดาวจรัสแสงมาบรรยายได้!

ท่ามกลางเสียงคำราม สงครามพลันปะทุ!

ในตอนนี้สงครามปะทุขึ้นที่โลกภายนอก ด้านในเตาหลอมชะตาของหวังเป่าเล่อพลันเปิดออก เมื่อเสวียนหัวถูกขัดขวาง และพลังเสริมของเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นหายไป การพลิกกลับร่างเดือนแยกจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง

แม้จะเชื่องช้า ทว่ากลับต่อเนื่อง ขณะนั้นเองกระแสเต๋าที่แผ่ออกมาจากร่างเดือนแยกก็ถูกหวังเป่าเล่อดูดซับอย่างรวดเร็ว อีกทั้งกฎแตกกระจายเหล่านั้นก็พุ่งตรงมาที่ฝักกระบี่เจ้าชะตาของหวังเป่า

ยิ่งกว่านั้นในระหว่างกระบวนการนี้ยังมีพลังจากเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นซึ่งเดิมเป็นพลังเสริมให้เดือนแยก แต่เพราะตำแหน่งและการดูดซับของหวังเป่าเล่อมันจึงถูกดึงออกไปบางส่วน

ในชั่วพริบตาร่างของหวังเป่าเล่อก็ส่งเสียงคำราม วิญญาณเทพของเขา ฐานการฝึกฝนของเขา และพลังแห่งกายเนื้อพลันระเบิดและพุ่งสูงขึ้นพร้อมกัน!

การบ่มเพาะเช่นนี้เรียกได้ว่าเหนือกว่าชะตาทั่วไป เพราะปกติแล้วไม่มีชะตาใดที่สามารถเทียบกับกระแสเต๋าที่แผ่ออกมาจากการพลิกกลับของจักรพรรดิสวรรค์ผู้หนึ่งได้

และไม่มีชะตาใดที่จะสำคัญไปกว่าพลังของกฎที่เต๋าสวรรค์ทั้งสองกำลังต่อสู้กันเองแผ่ออกมาแล้ว

การต่อสู้ที่มองไม่เห็นระหว่างพวกมันไม่เหมือนกับการปะทะกันของกฎและกฎหมาย และหวังเป่าเล่อซึ่งเป็นคนเดียวที่อยู่ใกล้ ในขณะนี้จึงได้ดูดซับและเรียนรู้กฎในระดับที่น่าเหลือเชื่อเลยทีเดียว

ดังนั้นในช่วงเวลาอันสั้น ดวงวิญญาณเทพของเขาจึงขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของระดับดารานิรันดร์ชั้นปลาย ส่วนฐานการฝึกฝนก็ก้าวกระโดดจากดารานิรันดร์ชั้นกลางเข้าใกล้จุดสูงสุดของขั้นกลางมากขึ้นเรื่อยๆ

ขณะที่ฐานการฝึกฝนและดวงวิญญาณเทพเพิ่มขึ้น แม้ว่ามันจะนำมาซึ่งการเติบโตและความยิ่งใหญ่ของพลังอมตะในร่าง กระทั่งตอนนี้ด้านหลังของเขายังมีดาวเคราะห์เต๋าลอยเด่นและกึ่งเต๋าเก้าดวงก็แปลงเป็นดาวพิเศษนับหมื่น

ยิ่งกว่านั้นด้านหลังแผนที่ดวงดาวยังปรากฏร่างในชาติก่อนของหวังเป่าเล่อและกำลังดูดซับ ท้ายที่สุด…แผ่นไม้สีดำลวงตาแผ่นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเลือนราง!

“ครั้งนี้ดวงวิญญาณเทพ ฐานการฝึกฝน กายเนื้อของข้าจะต้องก้าวไปสู่ระดับจักรพิภพได้แน่ ทั้งสามอย่างก้าวเข้าไป… หากไม่ได้อย่างน้อยก็ควรจะมีสองอย่างที่ก้าวเข้าไปได้!” ดวงตาหวังเป่าเล่อฉายแววดื้อดึง เขาดูดซับอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางการบ่มเพาะที่หาได้ยากครั้งนี้

………………………………………………

ทันทีที่หวังเป่าเล่อตามเฉินชิงจื่อเข้าไปในเตาหลอม สายตาของเขาก็มองเห็นทุกอย่างข้างในนั้น

ในแง่หนึ่งมันก็เหมือนกับโลกอีกใบหนึ่ง

ท้องฟ้าเป็นสีเทา ผืนดินเป็นสีเทา ไร้ภูเขา ไร้แม่น้ำ ไร้พืชพันธุ์ มีเพียง…หมอกสีดำหนาทึบ!

ภายในหมอกนั้นราวกับมีเสียงโซ่เหล็กและเสียงหายใจหืดหาดดังสะท้อนไปทั่วบริเวณ ขณะเดียวกันยังมีแรงกดดันแผ่ออกมาจากกลุ่มหมอกดำอย่างต่อเนื่อง ทำให้หวังเป่าเล่อจิตใจสั่นไหวทันทีหลังจากสัมผัสถึงมันได้

และดูเหมือนว่า มันเองก็สัมผัสได้ถึงการมาของหวังเป่าเล่อและเฉินชิงจื่อ เสียงหายใจในหมอกจึงคำรามอย่างดุดันทันที

“สังหารข้า!”

“สังหารข้า!!”

“สังหารข้า!!!”

ทันทีที่เสียงนี้ดังก้องภายในใจหวังเป่าเล่อ ฐานการฝึกฝนของเขาพลันพังทลายลง ร่างกายสั่นเทิ้มแทบจะยืนไม่มั่นคง เขาเดาได้แทบจะทันทีว่าเจ้าของเสียงคำรามในกลุ่มหมอกนี้เป็นใคร

“จักรพรรดิสวรรค์เดือนแยก!” ดวงตาหวังเป่าเล่อฉายแสงประหลาด เขารู้ว่าในตระกูลไม่รู้สิ้นปัจจุบันเหลือจักรพรรดิสวรรค์เพียงห้าคนเท่านั้น นอกจากปรมาจารย์ไม่รู้สิ้น ส่วนที่เหลืออีกสี่คนนั้น หนึ่งคือเดือนแยกผู้นี้และเสวียนหัวที่อยู่ด้านนอก

คนเหล่านี้ล้วนเป็นยอดฝีมือในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นในปัจจุบัน ใครก็ตามที่ออกไปล้วนสามารถเขย่าขวัญตระกูลหมื่นสำนักได้สมกับเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่

ทว่าตอนนี้…ผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้กลับร้องขอความตาย เห็นได้ชัดว่า…ศิษย์พี่ของตนน่าทึ่งเพียงใด!

ในอดีตหวังเป่าเล่อเคยได้ยินว่าศิษย์พี่นั้นเคยสังหารจักรพรรดิสวรรค์ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไร หากแต่ตอนนี้ระดับฐานการฝึกฝนอย่างเขาได้เข้าใจโลกแห่งจักรพรรดิสวรรค์และความน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว ดังนั้นเมื่อนึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยิน ในใจก็ตกตะลึง

“ศิษย์พี่ ฐานการฝึกฝนของเขาคือระดับใดกันแน่ แค่ระดับจักรพิภพจริงหรือ” หวังเป่าเล่อหันไปมองเฉินชิงจื่อข้างกาย

ทันทีที่เขาหันไปมอง จักรวาลสีเทาด้านนอกเตาหลอมที่พวกเขาอยู่ก็เกิดกลุ่มหมอกพลิกม้วน ก่อนที่พลังปราณอันน่าสะพรึงกลัวจะปะทุขึ้น

การปะทุขึ้นก่อให้เกิดกระแสน้ำวนเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงมุ่งตรงมายังใจกลางจักรวาลสีเทา

ขณะที่กระแสน้ำวนใกล้เข้ามา เส้นไหมสีเขียวทั้งหมดที่เหลืออยู่ในจักรวาลสีเทาก็ราวกับถูกกระตุ้นอย่างแรง พวกมันเข้าใกล้และผสานเข้ากับกระแสน้ำวนอย่างรวดเร็ว

เพียงแต่การผสานตัวของพวกมันกลับนำเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวดังออกมาจากในกระแสน้ำวน ราวกับเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นในกระแสน้ำวนจะสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่ตนสูญเสียไป

ท่ามกลางเสียงคำรามก้อง พลังแห่งกฎและกฎเกณฑ์มหาศาลพลันแผ่ขยายออกมาจากกระแสน้ำวนอัดแน่นเต็มจักรวาลสีเทาราวกับตาข่ายยักษ์ หลังจากปะทะกับไอมรณะในที่แห่งนี้ ไอมรณะจำนวนมากก็ดูเหมือนจะสลายไปอย่างรวดเร็ว

ตอนที่สลายตัวนั้น จักรวาลสีเทาไม่เลือนรางอย่างที่เคยเป็น มันค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ขณะเดียวกันผู้ฝึกตนด้านนอกต่างตื่นตกใจ คิดจะหลบหนี ทว่าความดุดันของเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นในตอนนี้ยากที่จะหลบหลีกได้ หลายครั้งที่ปะทะกับพลังแห่งกฎจักรวาลก็จะถูกพันธนาการและดูดจนแห้งเหี่ยวในทันที

เต๋าสวรรค์ไร้เมตตา!

โดยเฉพาะเมื่อมันกำลังโกรธเกรี้ยวอย่างในตอนนี้ก็ยิ่งโหดเหี้ยม ทุกชีวิตล้วนเป็นอาหารของมัน ผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักที่เหลือล้วนหนีไม่พ้นปากของมัน

แม้แต่เสวียนหัวที่มาจากด้านหลังอย่างรวดเร็ว ถึงจะสบถด่าครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังไม่มีผลอะไร หลังจากร่างกายเสียหายหนักและสัมผัสได้ว่าตรงหน้าคือศัตรูตามธรรมชาติของตน เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นก็โกรธเกรี้ยว ก่อนจะระเบิดความบ้าคลั่งออกมา

นี่เป็นสาเหตุที่เสวียนหัวขัดขวางไม่ให้มันก่อเกิด แต่ถึงอย่างไรมันก็เกี่ยวข้องกับแผนการที่สาม เมื่อเต๋าสวรรค์มาถึงจะเกิดการสังหารจำนวนมาก แม้ตระกูลไม่รู้สิ้นจะรับไหว แต่นั่นก็ยังเสี่ยงต่อแผนการอยู่ดี

ทว่าตอนนี้…ทุกอย่างสายเกินไปแล้ว จักรวาลสีเทาหม่นจางลงอย่างรวดเร็ว ทุกสิ่งทุกอย่างภายในค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ทำให้ผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักด้านนอกเห็นเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นกำลังเข่นฆ่าไม่เลือกหน้าทันที!

ภาพนั้นทำให้ดวงตาทุกคนสว่างจ้า แต่กลับ…ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นิ่งเงียบ

ท่ามกลางความเงียบงันด้านนอก เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นแผดเสียงคำรามกลายเป็นกระแสน้ำวนพุ่งออกไปมาถึงใจกลางเตาหลอม ทันทีที่มาถึงพลังแห่งกฎและกฎเกณฑ์ก็เข้าครอบคลุมไปทั่วบริเวณทันที ขณะที่โอบล้อมเตาหลอม มหาศิษย์แห่งเต๋าที่เป็นรองกลุ่มหนึ่งจากสำนักต่างๆ สลบไสล ก่อนจะล่องลอยไปรอบด้านกระจายเต็มพื้นที่

โชคดีที่เสวียนหัวเร็วมากจนรักษาชีวิตไว้ได้ ไม่เช่นนั้นที่แห่งนี้คงนองเลือดไปมากกว่านี้

“บัดซบ!” เสวียนหัวใบหน้ามืดมนและยุ่งเหยิง แม้วงแหวนปราณของจักรวาลสีเทาแห่งนี้จะแตกสลายไปไม่น้อยแล้ว แต่กลับออกนอกแผนของตระกูลไม่รู้สิ้นมากเกินไป

“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ พลังปราณเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นหายไปได้ยังไง!!” เสวียนหัวขุ่นเคือง สาเหตุที่ออกนอกแผนการจริงๆ เป็นเพราะพลังปราณไม่รู้สิ้นที่หายไปจำนวนมาก

ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ทำให้เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นระเบิดความโกรธจนเกิดร่างแยก!

ในเวลาเดียวกัน ภายในใจกลางเตาหลอมพริบตาที่เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นพุ่งเข้ามา เฉินชิงจื่อพลันหัวเราะดังก้องฟ้า ดวงตาเผยลำแสงเจิดจ้า ก่อนจะโบกมือขวา ทันใดนั้นหวังเป่าเล่อที่อยู่ข้างๆ ก็เห็นกลุ่มหมอกดำเข้มข้นหดตัวลงและพุ่งเข้าไปที่…เจ้าปลาดำ!

ราวกับมันถูกบังคับให้หลั่งไหลเข้าไปในร่างของเจ้าปลาดำ จนทำให้เจ้าปลาดำตัวนั้นพองกายขึ้นอย่างรวดเร็ว พื้นที่ที่กลุ่มหมอกดำเคยปกคลุมอยู่ก็ชัดเจนขึ้นโดยเร็วเช่นกัน เผยให้เห็นร่างหนึ่งที่ถูกโซ่จำนวนมากล่ามไว้

กระทั่งเวลาผ่านไป เมื่อหมอกดำถูกเจ้าปลาดำดูดกลืนไปจนหมดแล้ว ร่างของเจ้าปลาดำจึงแผ่พลังปราณออกไปไกลยิ่งกว่าเดิม ขณะเดียวกันก็มีมวลมากขึ้น บนร่างนั้น…มีเส้นไหมกฎและกฎหมายปรากฏอยู่!

คล้ายกับกฎและกฎหมายของเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น แต่เนื้อแท้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง!

เส้นไหมที่ปรากฏขึ้นพวกนี้สกัดกั้นกฎและกฎหมายจากร่างหวังเป่าเล่อทันที สิ่งเดียวที่ไม่ถูกสกัดกั้นคือกฎแห่งเวลาและพลังแห่งดาวเคราะห์เต๋าที่อยู่ในจันทร์ข้างแรมของเขา

นอกจากนี้กึ่งเต๋าเก้าดวงรวมถึงดาวพิเศษนับหมื่นของเขาต่างมืดมนลง แต่ในขณะเดียวกันเปลวไฟสีดำในร่างหวังเป่าเล่อก็ราวกับได้รับการหล่อเลี้ยง มันปะทุขึ้นทันที ก่อนจะแผ่ขยายไปทั่วทั้งร่าง แทรกซึมไปในกึ่งเต๋าและดาวพิเศษนับหมื่น และในพริบตา…กฎและกฎหมายก็ราวกับถูกแทนที่ด้วยเนื้อแท้และฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง!

ไม่เพียงแค่นั้นหวังเป่าเล่อยังรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า กระบวนเวทพลังเทพทั้งหมดที่เขาได้เรียนรู้ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นเริ่มหลอมละลายไปพร้อมกับการแทนที่นี้ ดูเหมือนว่าเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นและเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดจะเข้ากันไม่ได้ ทำให้บนร่างกายต้องมีเต๋าสวรรค์เพียงหนึ่งเท่านั้น!

การขัดแย้งอย่างรุนแรงทำให้สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อสั่นคลอน กำลังจะตัดสินใจบางอย่าง ทว่าตอนนั้นเอง…จู่ๆ ฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างของเขาก็สั่นไหวรัวเร็วราวกับถูกสยบ พริบตาเดียวเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นและเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดก็ถูกสยบลง ทำให้พวกมันต้องอยู่ร่วมกันในร่างกายหวังเป่าเล่อต่อไป

ทั้งหมดนี้ฟังดูยืดยาวแต่ความจริงคือเกิดขึ้นในเวลาเพียงชั่วพริบตา เฉินชิงจื่อหันมามองหวังเป่าเล่อแวบหนึ่ง ดวงตาฉายแววประหลาด แต่ไม่ได้กล่าวอะไร เขามือขวาขึ้นผนึกมุทราชี้ไปยังเดือนแยกที่ถูกมัดไว้

“กฎเต๋าพลิกกลับ!”

ทันทีที่เอ่ย เดือนแยกก็ยิ่งแผดเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด สีดำปรากฏขึ้นบนร่างกายเขาและแผ่ขยายไปตามร่างของเขาอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ขณะที่มันกำลังขยายออก พลังปราณสำนักแห่งความมืดก็ระเบิดออกมาโดยไม่คาดคิด

“เต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืด บันไดถูกตั้งแล้ว เจ้ายังไม่กลับมาอีก!” เฉินชิงจื่อตะโกนเสียงต่ำอีกครั้ง ทันใดนั้นเจ้าปลาดำที่ถูกขยายร่างขึ้นก็ส่งเสียงชอบใจ ร่างพุ่งตรงไปยังเดือนแยก จากนั้นจึงพุ่งตรงเข้ากลางหว่างคิ้วของเขาในชั่วพริบตา

เสียงกรีดร้องของเดือนแยกรุนแรงขึ้นแทบจะในทันที ร่างกายสั่นเทาบ้าคลั่ง สีดำแผ่ขยายเร็วขึ้น และในตอนนั้นเองท้องฟ้าก็ส่งเสียงคำรามกึกก้อง ก่อนร่างใหญ่ยักษ์ของด้วงสีทองจะโผล่ออกมา

มันไม่ได้เข้ามาจริงๆ แต่คายเส้นไหมสีเขียวออกมาจำนวนมากพร้อมกับส่งเสียงคำรามที่ด้านนอกเตาหลอม เส้นไหมเหล่านั้นเจาะเข้ามาภายในเตาหลอมและหลั่งไหลเข้าสู่…ร่างของจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยก!

เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นยินยอมให้จักรพรรดิสวรรค์ตายได้ แต่ไม่ยอมให้จักรพรรดิสวรรค์ถูกพลิกกลับเพราะจะสร้างความเสียหายให้กับมัน

เมื่อเห็นภาพนี้ เฉินชิงจื่อไม่ได้ร้อนใจ กลับกันยังหัวเราะออกมายกใหญ่

“เป่าเล่อ ชะตาของเจ้ามาแล้ว!”

…………………………………………………….

เมื่อมองศิษย์พี่เฉินชิงจื่อ หวังเป่าเล่อก็คาดเดาไว้ในใจแล้วว่าปลาตัวใหญ่ที่ศิษย์พี่กล่าวถึงคงจะเป็นจักรพรรดิสวรรค์ หรือไม่ก็…

“เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงแผ่ว

ในพริบตาที่เขาเอ่ยออกมา ด้านนอกจักรวาลสีเทาเวลานี้ เรือรบยังคงพังทลายอย่างต่อเนื่อง ความเสียหายมากกว่าเกือบครึ่ง เกิดความโกลาหลขึ้น ณ ที่แห่งนั้น!

สีหน้าผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักแต่ละคนราวกับเห็นศัตรูตัวฉกาจและเริ่มถอยร่นไปด้านหลัง เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการเข้าไปเกี่ยวข้อง อีกทั้งยังพยายามส่งสารไปยังบรรดาศิษย์ที่เข้ามาในจักรวาลสีเทา

ทว่า…ก็เหมือนเช่นวัวโคลนลุยทะเล ไร้การตอบสนองใดๆ แต่นั่นกลับไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะภายในวงแหวนปราณนั้นตัดขาดการเชื่อมต่อ การเปลี่ยนแปลงของตระกูลไม่รู้สิ้นในตอนนั้นยังทำให้ผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักรู้สึกไม่ปลอดภัยเล็กน้อย

ขณะเดียวกันผู้นำตระกูลไม่รู้สิ้นในครั้งนี้อย่างจักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัวก็มีสีหน้าบิดเบี้ยว เมื่อมองลงไปยังจักรวาลสีเทาเบื้องล่าง เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นที่หายไปจำนวนมาก และเห็นเรือรบไม่รู้สิ้นที่พังทลาย ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็ว และทำให้แผนการของเขาหยุดชะงักลง

เดิมทีแผนของเขาคือใช้พลังปราณเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นปะทะกับพลังแห่งวงแหวนปราณ ขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดการสยบเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดที่ฟื้นคืนชีพอยู่ภายใน

เช่นนั้นแล้วด้วยสภาวะของเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นในตอนนี้จะต้องสยบได้แน่ และถึงแม้จะไม่เห็นผลในทันทีก็สามารถทำให้พลังแห่งวงแหวนปราณอ่อนแอลงได้ ขณะเดียวกันการผสานพลังปราณเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นอยู่ภายในก็ช่วยให้จักรพรรดิเดือนแยกที่กำลังต่อสู้กับเฉินชิงจื่อจนอยู่ในสภาวะวิกฤต

นี่เป็นแผนการแรกของตระกูลไม่รู้สิ้นในครั้งนี้

ขณะเดียวกันก็ยังมีอีกแผนหนึ่ง นั่นก็คือการ…จับปลา!

ล้อมจับสถานที่แห่งนี้ ล้อมจับเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดที่ฟื้นคืนกลับมา และล้อมจับเฉินชิงจื่อ ทำให้เศษซากที่เหลือของสำนักแห่งความมืดที่ซ่อนตัวอยู่ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นถูกหาพบและดึงดูดเข้ามา

ตระกูลไม่รู้สิ้นเชื่อว่ายิ่งภัยพิบัติในสถานที่แห่งนี้มากเท่าไร ก็จะยิ่งดึงดูดเศษซากที่เหลือของสำนักแห่งความมืดได้มากเท่านั้น!

นอกจากนี้พวกเขายังมีเป้าหมายที่สาม นั่นคือสร้างความเกลียดชังให้สำนักแห่งความมืดอีกครั้ง สาเหตุที่ไม่ขัดขวางผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักที่เข้ามา และยังแจ้งภัยให้รับรู้เป็นเพราะต้องการให้พวกเขาตายอยู่ที่นี่ ยิ่งตายมากเท่าไร ความเกลียดชังก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น การฟื้นคืนชีพของสำนักแห่งความมืดก็จะไม่มีทางสำเร็จ

ทว่า…เป้าหมายทั้งสามอย่าง นอกจากเป้าหมายสุดท้ายแล้ว อย่างอื่นล้วนพลิกผัน และการพลิกผันทั้งหมดล้วนเป็นเพราะพลังปราณเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นในวงแหวนปราณหายไปจำนวนมาก

“บ้าจริง ข้างในนั่นเกิดอะไรขึ้นกันแน่!” เสวียนหัวขมวดคิ้วมุ่น กำลังจะกล่าวบางอย่าง ทว่าในตอนนั้นเอง…ก็ดูเหมือนว่าจะมีเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวดังออกมาจากส่วนลึกของจักรวาล

การปรากฏของเสียงราวกับกระตุ้นจิตใจให้ผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักทั้งหมดในที่แห่งนี้ ไม่ว่าฐานการฝึกฝนจะอยู่ชั้นใด ดวงวิญญาณเทพล้วนสั่นคลอน

แม้แต่จักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัวก็ยังได้รับผลกระทบไปด้วย เขาสัมผัสได้ถึงพลังปราณอันน่าสะพรึงกลัวบนเรือรบตระกูลไม่รู้สิ้นที่เหลืออยู่กำลังรวมตัวกัน ดังนั้นเขาจึงรีบตะโกนขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่เปลี่ยนไป

“ถอย!”

หลังจากเสวียนหัวเอ่ยปาก เสียงนั่นก็ดังสะท้อนออกมาอีกครั้ง แม้ไม่เต็มใจแต่สุดท้ายก็จากไปช้าๆ อีกทั้งพลังปราณอันน่าสะพรึงกลัวที่รวมตัวอยู่บนเรือรบไม่รู้สิ้นเหล่านั้นก็ค่อยๆ จางหาย

ขณะเดียวกันในจักรวาลสีเทา เฉินชิงจื่อที่เงยหน้าขึ้นพร้อมหวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้นในทันที

“ศิษย์น้อง ยังดูดซับอยู่ได้หรือไม่”

“ได้แน่นอน!” หวังเป่าเล่อคลี่ยิ้ม ร่างพลันวาบไปยังเตาหลอมที่เจ็ดอย่างไม่ลังเล ขณะเดียวกันก็ยกมือชี้ไปยังเตาที่แปด ทันทีที่ดึงดูดเตาหลอมทั้งสองเข้ามา ลำแสงฝักกระบี่เจ้าชะตาตรงหน้าก็กะพริบ ฉับพลันกฎแตกกระจายในเตาทั้งสองพลันปะทุพุ่งเข้าใส่ฝักกระบี่เจ้าชะตาราวกระแสน้ำเชี่ยว

เพราะกายเนื้ออันแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อ เมื่อได้พลังเสริมจึงดูดซับได้เร็วยิ่งขึ้น กระบวนการทั้งหมดกินเวลาสิบกว่าอึดใจ ในฉับพลันที่พลังปราณอันน่าสยดสยองจากโลกภายนอกกำลังจะสลายไปจนหมดสิ้น กฎแตกกระจายในเตาหลอมที่เจ็ดและแปดก็ว่างเปล่า ไอลีนโนเวล

จากนั้นก็กลายเป็นหลุมดำยักษ์สองหลุมแผ่พลังดูดกลืนมหาศาลออกมาทำให้เส้นไหมสีเขียวเส้นบางรอบด้านส่งเสียงคำรามอีกรอบราวกับถูกบีบจนแห้งเหี่ยว เส้นไหมสีเขียวครามเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นที่เหลืออยู่ในจักรวาลสีเทาแห่งนี้ถูกดึงดูดเข้ามาอีกครั้ง

จำนวนทะลุหลักแสนในชั่วพริบตา และในไม่ช้าก็เป็นสองแสน สามแสน สี่แสน ห้าแสน…จนถึงหนึ่งล้านอีกครั้ง!!

และยังถูกบีบจนแห้งเหี่ยว!

ในพริบตาที่เส้นไหมสีเขียวปรากฏขึ้น ก็พุ่งเข้าหาฝักกระบี่เจ้าชะตาของหวังเป่าเล่อ มันดูดซับอย่างบ้าคลั่ง

แม้แต่ผู้แข็งแกร่งอย่างเฉินชิงจื่อก็ยังเหลือบมองฝักกระบี่เจ้าชะตาของหวังเป่าเล่ออย่างชื่นชม ก่อนจะถอนสายตาและเพ่งมองขึ้นไปด้านบน

ราวกับสายตาของเขาสามารถมองทะลุผ่านจักรวาลไปเห็นโลกภายนอกได้

ขณะที่ฝักกระบี่เจ้าชะตาของหวังเป่าเล่อดูดซับพลังปราณเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นอย่างบ้าคลั่งอยู่นั้น ที่โลกภายนอกพลังปราณอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งหายไปแล้วจากคำสั่งของเสวียนหัวพลันปั่นป่วนขึ้นมาใหม่ พร้อมกับแผดเสียงคำรามออกมาจากส่วนลึกของจักรวาล

จากนั้นพลังปราณนี้ก็ปรากฏขึ้นบนเรือรบไม่รู้สิ้นด้านนอกจักรวาลสีเทาอีกครั้ง ภาพนั้นทำให้เสวียนหัวหน้าเปลี่ยนสี เขากำลังจะเอ่ยปาก…ทว่า ตอนนั้นเองภายในจักรวาลสีเทา หวังเป่าเล่อได้โบกมือเรียกเจ้าปลาดำ เจ้าลาน้อยและอู๋น้อยออกมา

ทันทีที่ทั้งสามปรากฏกาย สังเกตเห็นเส้นไหมสีเขียวรอบตัวก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที พวกเขาแบ่งออกไปสามทางราวกับกลายเป็นหลุมดำสามหลุมดูดกลืนมันพร้อมกัน!

นั่นทำให้เส้นไหมสีเขียวในที่แห่งนี้หายไปเร็วขึ้นอีก!

ปริมาณนับล้านลดน้อยลงเหลือแปดแสน เจ็ดแสน ห้าแสนอย่างรวดเร็วจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า…กระทั่งถึงสามแสน ด้านนอกจักรวาลสีเทาพลันเกิดเสียงคำรามสะเทือนฟ้า ไม่ว่าเสวียนหัวจะทำอย่างไรก็ดูไร้ประโยชน์ พลังปราณบนเรือรบไม่รู้สิ้นพลันระเบิดออกมาโดยไม่สนสิ่งใด

อีกทั้งยังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แรงกดดันยิ่งน่าตกใจขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้ฝึกตนทั้งหมเจำต้องถอยร่นออกไปอีกครั้ง ขณะกำลังอกสั่นขวัญแขวน พวกเขาก็เห็น…เรือรบตระกูลไม่รู้สิ้นดูจะมาถึงขีดจำกัดแล้วและไม่อาจทนต่อไปได้อีก ก่อนจะพังทลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันที

ขณะที่มันพังทลาย พลังปราณอันน่าสะพรึงกลัวก็รวมตัวกันถึงระดับหนึ่งและก่อตัวขึ้นเป็นเงาลวงตาอยู่เหนือเรือรบตระกูลไม่รู้สิ้นที่พังทลายลง!

นั่นคือด้วงทองยักษ์!

มันเป็นสีทองทั้งตัวซึ่งเดิมทีควรจะศักดิ์สิทธิ์ แต่รูปลักษณ์อันน่าสยดสยองและดวงตาไร้ความรู้สึกนั้นทำให้มันดูดุร้าย โดยเฉพาะกลิ่นคาวเลือดที่แผ่ออกมาจากตัว ราวกับเพิ่งกินเลือดสดเข้าไปนั้นให้ความรู้สึกไม่น่าเฉียดกรายเข้าไปใกล้เลยสักนิดเดียว

รูปร่างหน้าตาของมันคล้ายกับเรือรบของตระกูลไม่รู้สิ้นมาก ราวกับเกิดมาจากที่แห่งเดียวกัน แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น เรือรบทั้งหมดของตระกูลไม่รู้สิ้นมาจากด้วงทองยักษ์ที่อยู่ตรงหน้า เพราะมันคือ…เต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้น!

มันเกิดจากการกลืนกินเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดในตอนนั้น ปัจจุบันได้สยบทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ควบคุมกฎและกฎหมายไร้ที่สิ้นสุด…เต๋าสวรรค์!

สิ่งที่ปรากฏอยู่ในตอนนี้ไม่ใช่ร่างแท้จริงของมัน แต่เกิดจากการรวมร่างที่แตกสลายออกจากกันขึ้นมาใหม่ ทว่าก็ยังแข็งแกร่งมาก มากจนเพิกเฉยต่อคำสั่งการของเสวียนหัว ด้วงทองยักษ์แผดเสียงกรีดร้องก่อนจะพุ่งไปยังจักรวาลสีเทาและจมหายไปในทันที

เสวียนหัวสีหน้าบิดเบี้ยว ร่างพลันสั่นไหวและก้าวตามเข้าไป

ขณะเดียวกันเฉินชิงจื่อที่อยู่ใจกลางสถานที่แห่งนี้ก็เผยแสงเจิดจ้าในดวงตา

“ติดกับแล้ว เป่าเล่อ ตามข้ามา!” เฉินชิงจื่อหัวเราะ แขนเสื้อสะบัดรับหวังเป่าเล่อ ร่างของเขาถอยตรงไปยังใจกลางเตาหลอมอย่างรวดเร็ว

อู๋น้อยกับเจ้าลาน้อยก็รีบตามมาทันที ด้านเจ้าปลาดำนั้นตัวสั่นเทา ดวงตาเผยความตื่นตระหนก ขณะเดียวกันก็ยังมีความใคร่รู้แฝงอยู่ด้วย แต่แล้วในตอนที่กำลังจะหันไปมองกลับถูกเฉินชิงจื่อคว้าตัวพากลับมา

ตอนนั้นเอง เมื่อเฉินชิงจื่อและหวังเป่าเล่อเข้าไปในใจกลางเตาหลอม จุดที่พวกเขาอยู่ก่อนหน้านี้พลันเกิดเมฆหมอกพลิกไหว แผดเสียงคำรามก้อง!

เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นจุติแล้ว!

…………………………………………………………

แท้จริงแล้วไม่ใช่พลิกจากผู้มาเยือนเป็นเจ้าถิ่น!

แต่ด้านหวังเป่าเล่อนั้น หลังจากฝักกระบี่เจ้าชะตาดูดซับกฎแตกกระจายและเส้นไหมสีเขียวพลังปราณเต๋าสวรรค์จนเพียงพอแล้วก็โปร่งแสงในทันที!

หากไม่สังเกตอย่างถี่ถ้วนก็จะไม่สามารถมองเห็นได้ ขณะเดียวกันหลังจากฝักกระบี่เจ้าชะตาโปร่งแสงก็ดูดซับอีกครั้ง

ทันใดนั้นเส้นไหมสีเขียวเกือบหนึ่งล้านเส้นก็บ้าคลั่งขึ้นมา และในชั่วพริบตาต่อมาพวกมันได้หลั่งไหลเข้าสู่ฝักกระบี่เจ้าชะตาซึ่งอีกรอบ ภาพนี้ยังเป็นสาเหตุของความผันผวนในโลกภายนอกด้วย

แรงดูดมหาศาลที่ดูดเข้าไปในแต่ละครั้งทำให้เรือรบไม่รู้สิ้นภายนอกสั่นคลอนราวกับแข่งชักเย่อ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพิ่มแรงกะทันหัน อีกฝ่ายย่อมถูกดูดกลืนอย่างไม่อาจต้านทานได้

นั่นจึงเป็นสาเหตุของภาพการพังทลาย ขณะเดียวกันฝักกระบี่เจ้าชะตาที่ดูดซับเส้นไหมสีเขียวนับล้านในคราวเดียวก็มอบการหล่อเลี้ยงอันน่าอัศจรรย์กลับคืนให้หวังเป่าเล่อ

พลังแห่งการหล่อเลี้ยงนี้แข็งแกร่งมาก ในพริบตาก็ทำให้หวังเป่าเล่อเปลี่ยนจากเจ็ดสิบกว่าก้าวเป็นเก้าสิบกว่าก้าวและยังยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!

เก้าสิบสาม เก้าสิบสี่ เก้าสิบห้า…

มันเร็วมากจนหวังเป่าเล่อยังไม่ทันได้ตอบสนอง กายเนื้อของเขาส่งเสียงคำรามและหล่อเลี้ยงจนถึงร้อยก้าว!!

ทันทีที่ถึงร้อยก้าว บนกายเนื้อของหวังเป่าเล่อพลันปรากฏอักษรโบราณที่เปล่งพลังปราณโบราณออกมา การปรากฏตัวของมันราวกับมาพร้อมสรรพเสียงแห่งธรรมชาติสะท้อนไปทั่วบริเวณ ขณะเดียวกันอักษรโบราณเหล่านั้นก็กระจายตัวล้อมรอบหวังเป่าเล่อ

หากมองจากระยะไกลแล้ว หวังเป่าเล่อในตอนนี้ราวกับกลายเป็นเทพเซียน!!

พลังปราณโบราณและแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวที่แผ่ออกมาจากร่างของเขาทำให้ความว่างเปล่ารอบด้านบิดเบี้ยว จักรวาลสั่นสะเทือนคล้ายกับรับไม่ไหว

เพราะนี่คือหนึ่งร้อยก้าว!

ในทางทฤษฎีนั้นมีขีดจำกัดของดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรอยู่ หากคิดจะฝึกฝนให้ถึงนั้นยากจนน่าตกใจ กายเนื้อฝึกถึงขีดจำกัดยากยิ่งกว่าสวรรค์ แต่ที่ยากที่สุด…คือวิญญาณเทพ วิญญาณเทพชั้นมหาวัฏจักรนั้น หากไม่มีความช่วยเหลือจากสมบัติสวรรค์ที่ดับสิ้นไปแล้วก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย!!

แม้แต่ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น เหนือตระกูลหมื่นสำนักยังมีสำนักที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณอยู่จำนวนหนึ่ง สำนักเหล่านี้มีไม่มากนัก และตระกูลไม่รู้สิ้นจะให้ความสำคัญกับพวกเขาอย่างเช่นตระกูลเซี่ย

ในสำนักโบราณเช่นนี้ มาตรฐานการประเมินมหาศิษย์แห่งเต๋าชั้นหนึ่งก็คือฐานการฝึกฝน วิญญาณเทพ กายเนื้อต้องมีระดับเดียวกัน เมื่อดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรถึงระดับเก้าสิบก้าวขึ้นไป

อย่างหวังเป่าเล่อที่ตอนนี้กายเนื้อถึงขีดจำกัด…จะต้องทำให้ทุกคนตกตะลึงตาค้างเป็นแน่!

ความจริงตอนนี้เด็กสาวในกับดักใบไม้ตาค้างไปแล้วด้วยซ้ำ นางจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาว่างเปล่า เมื่อเห็นอักษรโบราณบนร่างกายเขาและสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัว ก็ตัวสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้

“ไม่ทันแล้ว…” เด็กสาวพึมพำ ในดวงตาปรากฏรูม่านตาอื่นๆ ขึ้นมาอีกครั้ง สรรพเสียงมากมายแผ่กระจายออกมาจากในร่างของนาง

“กายเนื้อขั้นสุด!!”

“เป็นไปไม่ได้ นับแต่โบราณกาลกายเนื้อขั้นสุดเป็นเพียงตำนาน ไม่มีทางที่ใครจะทำได้!!”

“ใช่ เป็นไปไม่ได้ เพราะหากคิดจะมีกายเนื้อขั้นสุด สมบัติสวรรค์ก็ไม่อาจเสริมพลังให้ แม้พลังปราณเต๋าสวรรค์จะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่มีทางไปถึงก้าวสุดท้ายได้!”

“ในทางทฤษฎีมีเพียงกายเนื้อของตนต้องอยู่เหนือกฎธรรมชาติอยู่แล้วเท่านั้นถึงจะเป็นไปได้ แต่นั่นไม่เรียกว่าการทะลวงขั้น แต่เรียกว่าการหวนคืน!”

ขณะที่ทุกสรรพเสียงดังกังวานไปทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้น เขาสัมผัสได้ว่ากายเนื้อของตนในตอนนี้ได้มาถึงระดับที่น่าเหลือเชื่อแล้ว แต่ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาไม่ใช่การสำรวจกายเนื้อ แต่เป็นการ…ทำลายเด็กสาวคนนั้นและทำลายสถานที่แปลกประหลาดแห่งนี้!

ดังนั้นเวลาต่อมาขณะที่รูม่านตาทั้งหมดของเด็กสาวหดแคบ ดวงตาหวังเป่าเล่อพลันฉายแสงเย็นยะเยือก สายตาจ้องมองเด็กสาวพร้อมกับยกมือซ้ายขึ้นมาจับฝักกระบี่เจ้าชะตา!

ขณะที่มือขวาก็จับความว่างเปล่าเหนือฝักกระบี่ราวกับตรงนั้นมีด้ามกระบี่ที่ไม่มีใครมองเห็นอยู่ หลังจากหวังเป่าเล่อจับมัน ดวงจิตเทพพลันผันผวนก่อนจะเรียกใบไม้กลับมา!

ใบไม้ที่ถึงขีดจำกัดพลันเผาไหม้แตกกระจายออกไป แต่กลับไม่ได้สลายไปไหน นี่คือคำสาปที่ปรมาจารย์แห่งไฟทิ้งเอาไว้ให้ มันกลายเป็นไอหมอกจำนวนมากพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ หลังจากกลับไปอยู่ข้างกายเขาแล้วก็กลับเป็นใบไม้อีกครั้งก่อนจะสลายเข้าไปในกระเป๋าคลังเก็บ

ส่วนเด็กสาวผู้นั้นก็กำลังส่งเสียงกรีดร้อง สีหน้าบิดเบี้ยว หลังจากสัมผัสได้ถึงวิกฤตร้ายแรง นางไม่ได้หนีไป แต่กลับกลายเป็นเงาชั่วร้ายพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อด้วยความเร็วที่ไม่อาจอธิบายได้ หมายจะสังหาร!

ความเร็วของมันช่างน่าประหลาดนัก พลังต่อสู้ล้นหลาม บนร่างปรากฏเงาหลายสิบเงาและยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเกือบหนึ่งร้อยเงา พวกมันก็รวมพลังกันแปลงร่างเป็นปากขนาดใหญ่ที่คล้ายจะกลืนกินทุกสรรพสิ่งมุ่งสู่หวังเป่าเล่อ!

ดวงตาหวังเป่าเล่อเย็นเยียบ เขาจินตนาการว่ามีกระบี่อยู่เล่มหนึ่ง และตอนนี้ตนกำลังจับด้ามกระบี่ ดึงมันออกมาทีละน้อย!

หนึ่งชุ่น!

ดึงออกมาได้แค่หนึ่งชุ่น!

ฟ้าดินแตกร้าว เสียงคำรามแผ่กระจายไปทั่ว แรงกดดันมหาศาลพร้อมกับลำแสงเจิดจ้าพลันระเบิดออกมาในทันที ทำให้เด็กสาวที่กำลังพุ่งเข้ามาส่งเสียงกรีดร้อง ร่างกายราวกับหิมะเจอน้ำเดือด ละลายลงไปในพริบตาเดียว

ทว่า เด็กสาวผู้นั้นก็โหดเหี้ยมเกินใคร แม้ร่างกายกำลังจะละลายหาย นางกลับรวบรวมกำลัง อดทนต่อความเจ็บปวดและยังคงพุ่งเข้ามา ปากยักษ์ขยายออกครอบคลุมบริเวณรอบกายหวังเป่าเล่อ กำลังจะงับลงมา!

หวังเป่าเล่อสีหน้าเรียบเฉย จากนั้นจึงดึงอีกครั้ง…

สองชุ่น!

เสียงระเบิดดังสะท้านฟ้าสะเทือนดินราวกับมีพลังงานที่สามารถสยบทุกสรรพสิ่ง มันฉีกขาดทุกอย่างระเบิดออกมาจากฝักกระบี่ ลำแสงที่แผ่ซ่านทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี จักรวาลบิดเบี้ยว ร่างของเด็กสาวที่อ้าปากอยู่ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป ระเบิดออกดังตู้ม!

ทันทีที่ระเบิด ร่างผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักที่ผนึกกายเข้ากับมันก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่ละคนสลบไสลกระจัดกระจายออกไปทั่ว และเผยให้เห็นองค์ชายไม่รู้สิ้นที่ถูกเด็กสาวครอบงำร่าง

องค์ชายผู้นี้ตัวสั่นเทิ้ม ศีรษะทั้งสองของเขาแตกสลาย แม้แต่ส่วนของร่างกายที่เป็นของเขาก็เช่นกัน มันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เด็กสาวหน้าซีดเผือด หลบหนีปราณกระบี่ ก่อนจะกรีดร้องแล้วควบร่างถอยออกไป

“เจ้าไม่ใช่หวังเป่าเล่อ ไม่ใช่ผู้ฝึกตน ไม่ใช่คนในยุคนี้ ไม่สิ…เจ้าไม่ใช่อะไรทั้งนั้น เจ้าไม่ใช่สิ่งมีชีวิตในโลกแห่งศิลา!!”

“เจ้าเป็นใครกันแน่!!”

หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขากำลังจะดึงกระบี่ที่มองไม่เห็นได้เป็นสามชุ่น ทว่าพริบตานั้นดวงตาของเขาก็จดจ้อง มุมปากเผยรอยยิ้มและไม่ดึงอีกต่อไป

เพราะว่า…ทันทีที่เด็กสาวล่าถอยแล้ว พื้นที่ความว่างเปล่าด้านหลัง จู่ๆ ก็มีพลังปราณกระบี่ฟันขาดเป็นรอยแยก ก่อนมือข้างหนึ่งจะยื่นออกมาคว้าศีรษะของเด็กสาวเอาไว้และดึงออกไปทันที!

“เต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดคืนชีพแล้ว ไม่คิดว่าดวงจิตโบราณนี้จะฟื้นขึ้นมาด้วย!”

“ศิษย์น้อง นี่เป็นความผิดของศิษย์พี่!”

เสียงของเฉินชิงจื่อดังก้อง จักรวาลแปลกประหลาดที่ถูกเด็กสาวใช้พลังเร้นลับแยกออกมาพลันเกิดรอยร้าว และพังทลายลงในทันทีราวกับชั้นปราการที่มองไม่เห็นได้แตกกระจาย เผยให้เห็นจักรวาลสีเทาด้านนอก!

และ…ผู้ที่ยืนอยู่เหนือใจกลางเตาหลอมนั้น เป็นผู้เดียวกับที่หวังเป่าเล่อไม่ได้พบหน้ามาเนิ่นนาน…เฉินชิงจื่อ!

“เป่าเล่อคารวะศิษย์พี่!” สายตายามหวังเป่าเล่อมองเฉินชิงจื่อสื่อไปด้วยอารมณ์ เขาประสานมือโค้งคำนับอย่างสุดซึ้ง!

ตอนนี้ยังมีเตาหลอมอีกสามเตาที่ยังมีแรงกดดันอยู่ เตาอื่นๆ ไม่มีผลใดๆ และถูกทิ้งร้างไปแล้ว ส่วนผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักที่ลอยอยู่รอบด้านล้วนหมดสติ

หากสังเกตอย่างถี่ถ้วน ก็จะพบว่าที่แห่งนี้มีเพียงหวังเป่าเล่อและเฉินชิงจื่อเท่านั้น!

“เจ้าโตแล้ว…” ดวงตาเฉินชิงจื่อทอดแววอาวรณ์ ทว่ากล่าวถึงตรงนี้ จู่ๆ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ก่อนจะเงยหน้ามองโลกภายนอกด้วยดวงตาเปล่งประกายประหลาด แล้วผุดยิ้ม

“เป่าเล่อ ศิษย์พี่จับปลาตัวใหญ่ได้ เจ้ายินดีไปกินกับข้าหรือไม่”

“คำชวนของศิษย์พี่ มีหรือจะปฏิเสธ!” หวังเป่ากล่าวพร้อมรอยยิ้ม

……………………………………

เวลานี้กฎแตกกระจายในเตาหลอมทั้งสามกำลังปะทุ และพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อที่อยู่ใจกลางอย่างบ้าคลั่ง หรือกล่าวให้ชัดเจนคือพุ่งเข้าหาฝักกระบี่เจ้าชะตาเบื้องหน้าเขา!

ตอนนี้ฝักกระบี่เจ้าชะตากึ่งโปร่งแสงไปกว่าหกส่วนแล้ว ความผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวยังคงก่อตัวขึ้นภายในอย่างต่อเนื่อง ทำให้เด็กสาวที่กลายเป็นสัตว์ประหลาดหลังจากผนึกกายเข้ากับผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักในผนึกกับดักใบไม้ยิ่งบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ

ขณะที่เสียงคำรามยังดังออกมาไม่หยุด บริเวณโดยรอบก็ดึงดูดเส้นไหมสีเขียวเข้ามามากขึ้น เนื่องจากกฎแตกกระจายถูกดูดซับ เวลาไม่นานก็มีมากถึงสี่แสนเส้น

และเพราะเส้นไหมสีเขียวรวมตัวกันมากเช่นนี้จึงทำให้จักรวาลอันว่างเปล่าแห่งนี้ค่อยๆ ถูกย้อมจนกลายเป็นสีเขียวคราม นั่นทำให้เด็กสาวผู้ถูกผนึกอยู่ในใบไม้ร้อนรนกว่าเก่า นางส่งเสียงคำรามไม่หยุด ขณะที่กำลังดิ้นรนอยู่ บนกับดักใบไม้พลันปรากฏรอยร้าวอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าใกล้จะปริแตกเต็มทน

หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขารู้ดีว่าหากฝักกระบี่เจ้าชะตายังไม่โปร่งแสงทั้งหมดก่อนที่ผนึกใบไม้จะแตกออก คงเป็นการยากที่จะสำแดงการโจมตีที่เขามั่นใจมากที่สุด หากเป็นเช่นนั้นการต่อสู้ครั้งนี้ หวังเป่าเล่อคงทำได้เพียงคิดหาวิธีอื่นเพื่อถ่วงเวลาต่อไป

ถ่วงเวลาจนกว่าศิษย์พี่จะฝ่าความแปลกประหลาดของสถานที่แห่งนี้ และเข้ามาช่วยเขา

“เจ้าโชคชะตาตัวดี ยุ่งยากเสียจริง!” หวังเป่าเล่อทอดถอนใจ แต่ก็เข้าใจกระจ่างว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคร่ำครวญ สองมือผนึกมุทราอย่างรวดเร็ว ตีตรากระตุ้นฝักกระบี่เจ้าชะตาตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง

ฝักกระบี่เจ้าชะตาส่งเสียงหึ่งออกมาเป็นระยะ และยิ่งกลืนกินมากขึ้นอีกครั้งจนถึงขีดจำกัดที่หวังเป่าเล่อสามารถทำได้ในตอนนี้ เกิดเสียงดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ กฎแตกกระจายในเตาหลอมรอบด้านลดน้อยลงจนสังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ในไม่ช้ากฎแตกกระจายในเตาหลอมที่สามก็ถูกหวังเป่าเล่อดูดซับจนเกลี้ยง เกิดเสียงดังสนั่นและเตาหลอมที่สามก็แผ่แรงดูดออกมาอย่างบ้าคลั่งทำให้เส้นไหมสีเขียวจำนวนมากส่งเสียงหวีดหวิว ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ฝักกระบี่!

พลังตอบรับก่อตัวเป็นรูปร่าง นั่นคือกลุ่มหมอกสีม่วงแผ่ออกมาจากฝักกระบี่เจ้าชะตาแทรกซึมเข้าไปตามรูทวารทั้งเจ็ดและรูขุมขนของหวังเป่าเล่อจนเขาตัวสั่น พลังกายเนื้อระดับดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรพลันพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง!

ดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรนั้นแม้จะมีคำว่ามหาวัฏจักรอยู่ แต่ความจริงแล้วในระดับนี้ก็แบ่งออกเป็นหนึ่งก้าวกับร้อยก้าว เนื่องจากความยากของมัน ดังนั้นเพียงแค่ก้าวเข้าสู่ระดับนี้ได้ก็ล้วนเรียกว่าเป็นชั้นมหาวัฏจักรได้แล้ว ไม่ว่าจะแค่ก้าวเดียวหรือร้อยก้าวก็สามารถยอมแพ้ที่จะก้าวเข้าสู่ระดับจักรพิภพได้ทุกเมื่อ

แต่…โดยทั่วไปหากก้าวไปถึงสิบกว่าก้าวหลังจากทะลวงฐานการฝึกฝนได้ พลังต่อสู้ก็จะแข็งแกร่งขึ้น และในทางทฤษฎียิ่งก้าวไปได้มากเท่าไร พลังต่อสู้หลังทะลวงขั้นได้ก็จะยิ่งสูง

แต่ความยากของมัน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจึงมีน้อยคนที่จะก้าวไปถึงขีดจำกัด ทว่าหวังเป่าเล่อในตอนนี้ ร่างกายที่ได้รับการหล่อเลี้ยงจากเต๋าสวรรค์ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนั้น ในช่วงเวลาอันสั้นก็ก้าวไปถึงก้าวที่สิบได้ และยังคงก้าวต่อไป!

ชั้นกายเนื้อของเขาแผ่แรงกดดันออกมาราวกับจะสามารถสยบทั่วทั้งจักรวาลโดยรอบได้ ความผันผวนอันทรงพลังจนน่าตกใจแผ่กระจายออกมาจากร่างของเขาด้วย

เสียงดังสนั่นยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เส้นไหมสีเขียวจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ามา ด้านหนึ่งก็ช่วยหล่อเลี้ยงกายเนื้อของหวังเป่าเล่อ ขณะเดียวกันก็ช่วยฝักกระบี่เจ้าชะตาดูดซับกฎแตกกระจายจากเตาหลอมอื่นๆ ได้ไม่น้อย

หลังจากผ่านไปสิบกว่าอึดใจ กฎแตกกระจายในเตาหลอมที่สี่ก็ถูกดูดซับจนเกลี้ยง แรงดูดที่ก่อตัวขึ้นพลันแผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ ยิ่งทำให้เส้นไหมเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นพุ่งเข้ามามากขึ้น

เร็วขึ้นเรื่อยๆ!

มากขึ้นเรื่อยๆ!

และกลายเป็นวัฏจักร กายเนื้อของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น จนกระทั่งผนึกกับดักจากใบไม้แตกร้าวมากกว่าเก่า เด็กสาวสัตว์ประหลาดข้างในก็ยิ่งร้อนรนถึงขีดสุด

เห็นได้ชัดว่ามันสัมผัสได้ว่ายิ่งเวลาผ่านไป กายเนื้อหวังเป่าเล่อก็พัฒนาขึ้น ฝักกระบี่ที่ค่อยๆ โปร่งแสงตรงหน้าทำให้มันรับรู้ถึงอันตราย และอันตรายนี้ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงระดับที่ทำให้มันอกสั่นขวัญแขวน ทว่า ด้านหวังเป่าเล่อดูเหมือนจะรู้สึกได้ว่ายังไม่พอ ดังนั้นถึงแม้จิตใจเด็กสาวจะสั่นสะท้านเพียงใด เขาก็ยังดูดซับอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาขึ้นเส้นเลือดจากการพยายามอย่างหนัก!

“ยังไม่พอหรอก!!” หวังเป่าเล่อคำรามเสียงต่ำ ครู่ต่อมากฎแตกกระจายในเตาหลอมที่ห้าก็หมดเกลี้ยง แรงดูดพลันระเบิดขึ้นอีกครั้งทำให้เส้นไหมสีเขียวนับล้านมารวมตัวกัน และหลั่งไหลเข้าไปในฝักกระบี่เจ้าชะตาอย่างต่อเนื่อง!

ฝักกระบี่เจ้าชะตาของหวังเป่าเล่อโปร่งแสงไปเจ็ดส่วนแล้ว และกำลังจะถึงแปดส่วนในไม่ช้า ส่วนกายเนื้อระดับดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรก็ตอบรับอย่างต่อเนื่องจนไปถึงสามสิบก้าวแล้ว!

ผู้ที่ฝึกมาจนถึงระดับนี้ได้มีไม่มากและผู้ที่กายเนื้อจะมาถึงระดับนี้ได้ก็มีน้อยยิ่งกว่า การฝึกฝนกายเนื้อไม่ว่าระดับใดก็ล่าช้ากว่าการฝึกตน อีกทั้งยังยากลำบากกว่าด้วย!

แต่หวังเป่าเล่อไร้ทางเลือก ตอนนี้ดวงตาของเขาแดงก่ำและยังรู้สึกว่าพลังฝักกระบี่เจ้าชะตายังขาดอยู่อีกเล็กน้อย ทว่า…เด็กสาวสัตว์ประหลาดในกับดักใบไม้ ตอนนี้ดวงตาที่เบิกกว้าง และท่าทางดิ้นรนของนาง…ลดน้อยลงกว่าก่อนหน้าแล้ว

ดูเหมือนว่าในความคิดของมัน ผนึกกับดักจากใบไม้นี้…ก็ดูจะปกป้องตัวมันได้เช่นกัน

แต่ในยามที่เด็กสาวสัมผัสได้ถึงอันตรายเป็นครั้งแรก เตาหลอมที่ห้าก็ว่างเปล่าเช่นเดียวกับสี่เตาก่อนหน้าแล้ว และกลายเป็นแรงดูดเส้นไหมสีเขียวจำนวนหลายหมื่นในทุกๆ อึดใจ แรงดูดของฝักกระบี่เจ้าชะตาจึงยิ่งมากขึ้นเช่นกัน กฎแตกกระจายในเตาหลอมสุดท้ายถูกดูดซับจนเกลี้ยงในทันที

เวลาต่อมาเตาหลอมทั้งหกก็กลายเป็นหลุมดำ แรงดูดที่แผ่ออกทำให้เส้นไหมสีเขียวลดน้อยลงเร็วมากจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า

หนึ่งแสน สองแสน สามแสน…จนกระทั่งหกแสน!

ส่วนฝักกระบี่เจ้าชะตาของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็โปร่งแสง จากเจ็ดส่วนเป็นแปดส่วน และเก้าส่วน…

ยังมีพลังกายเนื้อของเขาที่เริ่มจากสามสิบก้าว กระโดดไปจนถึงเจ็ดสิบกว่าก้าวอย่างรวดเร็ว กายเนื้อระดับนี้นับว่าน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง เกรงว่าแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพชั้นต้นก็ยังไม่สามารถทำลายได้

ในแง่หนึ่งหากจะกล่าวว่ากายเนื้อของเขาเปรียบได้กับอาวุธเทพก็ไม่เกินจริง!

ตอนนั้นเองเด็กสาวก็ไม่คิดจะดิ้นรนอีกต่อไป ขณะที่ลมหายใจถี่กระชั้น นางพ่นตราประทับออกมาทีละอันและเริ่มต้นการป้องกันอย่างแท้จริง!

ขณะเดียวกันเนื่องจากเส้นไหมเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นในที่แห่งนี้ถูกหวังเป่าเล่อดูดซับจนกลายเป็นหลุมลึก หลังจากดูดซับไปเกือบหนึ่งล้านเส้น เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นในจักรวาลสีเทาก็ลดลงไปมากกว่าครึ่ง

สำหรับตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นเรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดินเลยทีเดียว ในไม่ช้าเรือรบตระกูลไม่รู้สิ้นที่ยังล่องหนอยู่ภายนอกจักรวาลสีเทาเหล่านั้นก็ไม่สามารถซ่อนตัวได้อีก ท่ามกลางระลอกคลื่นสะท้อนไปมาพวกมันพลันปรากฏสู่สายตาผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักอย่างช่วยไม่ได้

ไม่เพียงแค่นั้น…ยังมีเรือบางลำที่ระเบิดตัวเองจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ภาพนั้นทำให้ผู้คนภายนอกที่มองเห็นต่างตกตะลึงในทันที

เรือรบไม่รู้สิ้นที่ระเบิดตัวเองนั้นมีจำนวนไม่น้อย มันเป็นเรือรบที่ดูเหมือนจะไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้ จึงแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สุดท้ายหลังผ่านไปสิบกว่าอึดใจ สีหน้าจักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัวก็เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า เรือรบไม่รู้สิ้นหลายแสนลำระเบิดไปแล้วมากกว่าสามหมื่นลำ!!

เวลานี้ทุกคนด้านนอกต่างตกตะลึง หน้าเปลี่ยนสี พร้อมกับร้องอุทาน

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น!”

“เกิดเหตุร้ายอะไร!!”

“อาจเป็นการตายของจักรพรรดิเดือนแยก?”

“เฉินชิงจื่อจะออกมาแล้ว!!” ท่ามกลางเสียงร้องของทุกคน สีหน้าจักรพรรดิเสวียนหัวบิดเบี้ยว เขาไม่ได้เห็นการตายของเดือนแยก แต่ก็คาดเดาได้ว่าคงเป็นเฉินชิงจื่อที่ใช้เคล็ดวิชาบางอย่างอยู่ข้างใน บางทีอาจกำลังจะออกมาจริงๆ

ดังนั้นหลังจากเผยแววตาลังเล เสวียนหัวก็กำลังจะเอ่ยปากพูด…

ทว่าในตอนนั้นเอง…เรือรบไม่รู้สิ้นที่เหลือประมาณเจ็ดถึงแปดหมื่นลำ ทุกลำพลันสั่นสะเทือนจนเกิดรอยร้าว!

แรงดูดนั้นมหาศาล ตอนนั้นเองพวกมันจึงระเบิดออกภายใต้จักรวาลสีเทากระจายไปยังโลกภายนอก และพลังปราณเต๋าสวรรค์ในเรือรบไม่รู้สิ้นพวกนั้นก็ถูกดูดซับอย่างบ้าคลั่ง!!

ราวกับพลิกจากผู้มาเยือนเป็นเจ้าถิ่น

……………………………………

ทว่า ในตอนที่หวังเป่าเล่อหยิบใบไม้ออกมานั่นเอง พลังปราณของฝักกระบี่เจ้าชะตาพลันแผ่ซ่าน เด็กสาวที่มาปรากฏตัวอยู่ข้างหวังเป่าเล่ออย่างน่าประหลาดนั้น ร่างพลันเลือนรางในทันทีราวกับถูกดึงถอยหลังไปปรากฏตัวอยู่ในที่ไกลๆ อีกครั้ง ดวงตาแสดงความประหลาดใจจับจ้องตรงมาทางหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อเองก็แหงนหน้ามองเด็กสาว ดวงตาหรี่ลงฉายเจตนาร้าย

“หยั่งเชิงข้าหรือ เช่นนั้นเจ้าก็ต้องผิดหวังแล้วล่ะ ใบไม้ของข้ายังใช้ได้อีกหลายครั้ง” หวังเป่าเล่อเอ่ยขึ้นโดยเร็ว ปราการที่สร้างจากร่างแยกจำนวนมากรอบตัวก็ยังคงถูกผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักระเบิดตัวเองใส่จนเกิดเสียงดังสนั่นไม่หยุด

การทำลายตัวเองในระดับนี้ ถึงแม้กายเนื้อหวังเป่าเล่อจะไปถึงระดับดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรแล้วแต่ก็ยังได้รับผลกระทบอยู่ดี หากไม่มีภัยคุกคามจากเด็กสาว หวังเป่าเล่อก็สามารถใช้มือเท้าสยบทุกคนในที่แห่งนี้ได้

แต่ตอนนี้เขาต้องระแวดระวัง ดังนั้นเมื่อหวังเป่าเล่อหรี่ตามองจึงยังคงรักษาแนวป้องกันและดูดซับเตาหลอมที่สองต่อไป เส้นไหมสีเขียวรอบตัวก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ในไม่ช้ากฎแตกกระจายหนึ่งส่วนสุดท้ายในเตาหลอมที่สองก็ถูกดูดซับจนหมด หลังเกิดกระแสน้ำวน เส้นไหมสีเขียวรอบด้านก็พุ่งเข้าหาเขาทันที

ด้านเด็กสาวฉายแววอาฆาตในดวงตา ก่อนจะหายตัวไปอีกครั้งราวกับผสานร่างเข้ากับเส้นไหมสีเขียวพวกนั้นจนหวังเป่าเล่อไม่สามารถแยกแยะได้

เมื่อเห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เพียงแค่หยิบใบไม้ออกมาและส่งมันให้ลอยอยู่เหนือศีรษะ ก่อนจะกระตุ้นให้มันระเบิดแสงเจิดจ้าครอบคลุมไปทั่วบริเวณ แรงกดดันที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวทำให้เด็กสาวที่ผสานเข้ากับเส้นไหมสีเขียวต้องถอยออกไปอีกครั้ง นางปรากฏตัวขึ้นในที่ไกลๆ พร้อมดวงตาที่ฉายแววบ้าคลั่ง

ขณะเดียวกันฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างกายหวังเป่าเล่อก็ดูดซับเส้นไหมสีเขียวอย่างรวดเร็วจนพื้นที่ครึ่งหนึ่งโปร่งใส

“ยามที่โปร่งใสจนหมด เจตนารมณ์แห่งกระบี่จะสำแดงฤทธิ์!” หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ จึงไม่ได้นั่งดูดซับเส้นไหมสีเขียวต่อ กลับโบกมือพาร่างแยกที่รายล้อมรอบตัวเขาเหาะเข้าไปใกล้เตาหลอมที่สามอย่างรวดเร็ว

ดูดซับเส้นไหมสีเขียวไปพร้อมกับกฎแตกกระจายในเตาที่สาม แม้ระหว่างนั้นร่างแยกของเขาจะแตกสลายไปทีละร่าง แต่การตอบรับจากฝักกระบี่เจ้าชะตาก็ช่วยหล่อเลี้ยงพลังกายเนื้อจนทำให้ร่างแยกที่แตกสลายไปแล้วไม่น้อยกลับมารวมตัวกันได้ใหม่

ถึงแม้จะไม่สมดุลแต่ก็สามารถถ่วงเวลาได้มากพอควร ถึงตอนนี้จิตใจหวังเป่าเล่อจะมั่นคงแล้ว เขารู้ว่าทุกอย่างกำลังพัฒนาไปในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง

ยิ่งนานเข้าก็ยิ่งดูดซับได้มากขึ้น กายเนื้อก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ขณะเดียวกันเขาไม่เชื่อว่าศิษย์พี่เฉินชิงจื่อจะไม่สังเกตเห็น ดังนั้นหากรอต่อไปบางทีอาจไม่จำเป็นต้องคิดหาวิธีเอง ศิษย์พี่คงหาทางออกให้เขาได้

“เพราะฉะนั้น คนที่ต้องร้อนรนคือมัน!” หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย ยอมรับว่าเด็กสาวผู้นั้นแปลกประหลาด อีกทั้งยังมีพลังเทพบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ ทว่าแล้วมันอย่างไรเล่า ในเมื่อจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของอีกฝ่ายคือพลังต่อสู้ไม่เพียงพอ

“ตราบใดที่มันไม่มีพลังพอจะสังหารข้าได้ในพริบตา ไม่ว่าจุดประสงค์ของมันคืออะไรก็ไม่มีทางสำเร็จ!” หวังเป่าเล่อพ่นลมและดูดซับเร็วยิ่งขึ้น

ขณะคำราม กฎแตกกระจายในเตาหลอมที่สามก็ถูกเขาดูดซับไปจำนวนมาก เพียงระยะเวลาสั้นๆ ก็ถูกดูดซับไปกว่าครึ่งแล้ว อีกทั้งหลังจากดูดซับเส้นไหมสีเขียว ร่างกายหวังเป่าเล่อก็ได้รับการบำรุงจนพัฒนาขึ้นไปอีก!

ชั้นมหาวัฏจักรในระดับดารานิรันดร์นั้นไม่มีข้อจำกัดทางร่างกาย ขณะที่พัฒนาขึ้น ร่างกายหวังเป่าเล่อจึงแข็งแกร่งกว่าเดิม และเข้าใกล้…ระดับจักรพิภพมากขึ้นเรื่อยๆ!

ขณะนี้เด็กสาวกำลังจ้องมองหวังเป่าเล่อจากระยะไกล หลังจากสัมผัสได้ถึงอันตรายและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของหวังเป่าเล่อก็ร้อนรนขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด รูม่านตาในดวงตายิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นพร้อมกับเสียงคำรามที่ดังออกมาจากในร่างนาง

“ฆ่าเขาซะ! ค้นหาสิ่งที่เขากลัวที่สุดในก้นบึ้งหัวใจ แปลงเป็นมันแล้วฆ่าเขาซะ!”

“เขาคือบุตรแห่งความมืดรุ่นปัจจุบัน ฆ่าเขาซะ ทำลายความหวังของสำนักแห่งความมืด!”

“ไม่นะ ชะตากรรมสำนักแห่งความมืด เจ้าจะไปยุ่งได้อย่างไร!”

“หาเจอแล้ว ที่แท้เขาก็กลัวสิ่งนี้!”

“ฆ่าๆๆ”

ขณะที่เสียงคำรามดังกังวาน องค์ชายไม่รู้สิ้นที่เด็กสาวครอบงำอยู่และอีกสองหัวก็ระเบิดเสียงกรีดร้องเจ็บปวดจากอารมณ์ที่แปรปรวนของเด็กสาว

จากนั้นรูม่านตาในดวงตาเด็กสาวพลันซ้อนทับ ก่อนจะกลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว นางก็อ้าปากเผยให้เห็นฟันขรุขระที่เต็มไปด้วยเมือกและส่งเสียงกรีดร้องใส่หวังเป่าเล่อ

เสียงกรีดร้องนี้ราวกับก่อตัวเป็นระลอกคลื่นที่มองไม่เห็นระเบิดไปรอบบริเวณ หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม วิญญาณเทพสั่นไหวเล็กน้อย แต่เพียงพริบตาเดียวก็กลับมาเป็นปกติ ทว่าผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักที่โจมตีร่างแยกของเขาอย่างต่อเนื่องกลับตัวสั่นเทิ้มและทยอยถอยออกไปทีละคน

พวกเขาไม่โจมตีร่างแยกที่คอยคุ้มกันหวังเป่าเล่ออีกต่อไป ทว่าถอยกลับไปหาองค์ชายไม่รู้สิ้นผู้ถูกเด็กสาวครอบงำร่าง และในพริบตาต่อมา…ฉากแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้น!

ตอนนี้เหล่าผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักรวมถึงมังกรมายาและชายหนุ่มกระบี่โบราณรวมแล้วยังเหลืออีกสามสิบกว่าคน ผู้ฝึกตนพวกนี้ดูเหมือนจะสูญเสียสติรับรู้หมดสิ้นแล้ว แต่ละคนพุ่งเข้าใส่องค์ชายไม่รู้สิ้นที่ถูกเด็กสาวครอบงำราวกับกำลังผสานร่างเข้ากับเขา

ผสานร่างกาย ผสานวิญญาณเทพ แม้แต่ฐานการฝึกฝนก็ยังผสานเข้ากัน หากมองด้วยตา ผู้ฝึกตนสามสิบกว่าคนนี้ผนึกกายเข้ากับองค์ชายไม่รู้สิ้นภายในไม่กี่อึดใจ!

และทุกครั้งที่ผนึกกายล้วนทำให้บนร่างขององค์ชายไม่รู้สิ้นเกิดเนื้องอกตะปุ่มตะป่ำ พลังปราณเพิ่มสูงและในที่สุด…หลังจากผู้ฝึกตนผนึกกายเข้าไปจนหมด องค์ชายไม่รู้สิ้นที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อก็กลายเป็นสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งไปแล้ว!

สัตว์ประหลาดตัวนี้มีแขนขานับสิบข้าง ร่างกายถูกยืดออกจนดูคล้ายตะขาบร่างมนุษย์ยักษ์!!

อีกทั้งบนตัวมันยังมีเนื้องอกตะปุ่มตะป่ำอยู่นับสิบ พวกมันวิวัฒนาการอย่างรวดเร็ว ดวงตาไร้แวว ทว่าส่วนหัวที่คำรามด้วยความเจ็บปวดกลับบิดกายไปมา และพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์

มันเร็วขึ้นอีก!

พริบตาเดียวก็มาขวางหน้าหวังเป่าเล่อเอาไว้ บรรดาร่างแยกของเขาถูกตะขาบหลายร้อยตัวที่เด็กสาวสร้างขึ้นระเบิดใส่ บางส่วนถูกมันกลืนกินเข้าไป การฉีกกัดไม่ได้ช้าลงกลับกันมันยิ่งเร็วขึ้นไปอีก และในชั่วพริบตา…ก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อที่จิตใจกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง

“ตะขาบรึ?!” หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นมา ใบไม้ที่ปรมาจารย์แห่งไฟมอบให้ถูกใช้งานในทันที มันก่อตัวเป็นม่านแสงบังไว้ด้านหน้า

เกิดเสียงปะทะดังสนั่น ม่านแสงเกิดรอยร้าวใกล้แตก แต่ยังไม่หายไป ส่วนตะขาบที่แปลงมาจากเด็กสาวก็ถูกขัดขวางไว้ได้ในครั้งแรก หวังเป่าเล่อจิตใจสั่นไหว เขาคิดจะคลี่ฝักกระบี่เจ้าชะตา แต่ก็ยอมละทิ้งความคิดไป ก่อนจะถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว สองมือผนึกมุทราและชี้ไปยังใบไม้ที่กลายเป็นม่านแสง!

“ผนึก!”

ทันทีที่เอ่ยออกไป ม่านแสงพลันโค้งงอห่อหุ้มตะขาบตัวนั้นไว้คล้ายผนึกกับดัก แต่เห็นได้ชัดว่ามันอาจทนต่อไปได้อีกไม่นานนัก เพราะตะขาบด้านในร้องคำรามและพุ่งชนไม่หยุด

“มันไม่ใช่ตะขาบสีโลหิตในความทรงจำของข้า!”

“ใช้วิธีที่ข้าไม่รู้สัมผัสถึงสิ่งที่ข้าหวาดกลัวในใจแล้วแปลงกายออกมา…”

ขณะที่หวังเป่าเล่อถอยออกไปก็สัมผัสได้ถึงอันตรายอีกครั้ง เขาไม่มีเวลาให้คิดอะไรมากจึงดูดซับเส้นไหมสีเขียวไปพร้อมกับยกมือขวาขึ้นมา ฉวยโอกาสที่อีกฝ่ายติดอยู่ในกับดักกระตุ้นเตาหลอมที่สาม สี่ ห้า พร้อมกันและดูดซับกฎแตกกระจายข้างในอย่างบ้าคลั่ง

“เร็วเข้า ต้องทำให้ฝักกระบี่เจ้าชะตากึ่งโปร่งแสงให้เร็วที่สุด!”

หวังเป่าเล่อทุ่มกำลังสุดตัว ฐานการฝึกฝนไหลเวียนกระตุ้นฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่าง ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่ายังไม่พอ จึงยกมือขวาขึ้นลูบและตบหน้าอกอย่างแรง แรงกดดันจากทั้งภายในและภายนอกส่งผลให้ฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างถูกผลักออกมาทันที ลำแสงเจิดจ้าแผ่ออกมาจากในร่างของหวังเป่าเล่อ จนในที่สุดตรงเบื้องหน้าของเขาก็ปรากฏ…ฝักกระบี่เจ้าชะตา!

พริบตาที่ฝักกระบี่เจ้าชะตาปรากฏขึ้น กฎแตกกระจายในเตาหลอมพลันปะทุรุนแรงราวกับไม่มีสิ่งกีดขวางจากร่างกายหวังเป่าเล่ออีกแล้ว ฝักกระบี่เจ้าชะตาดูดซับเร็วยิ่งยวดทำให้กฎแตกกระจายพุ่งเข้าหาอย่างบ้าคลั่งกว่าเดิม!

เวลาเดียวกันเส้นไหมสีเขียวก็ถูกดูดเข้ามารวมตัวกันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!

สามหมื่น แปดหมื่น หนึ่งแสน สองแสน สามแสน…จนกระทั่ง…หนาแน่นไร้ขอบเขต!

…………………………………………………………

พลั่ก! พลั่ก!

มหาศิษย์แห่งเต๋าตระกูลหมื่นสำนักทั้งสองต่างเป็นดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร แต่เห็นได้ชัดว่าพลังต่อสู้ของพวกเขาไม่ใช่ระดับเดียวกับหวังเป่าเล่อ พลังกายเนื้อหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งเกินไป วิญญาณเทพก็เช่นกัน ตอนนี้ฐานการฝึกฝนยังเพิ่มขึ้นอีก ต่อให้ไม่ใช้กระบวนเวทพลังเทพ มีเพียงกายเนื้อก็สะเทือนฟ้าดินแล้ว

ร่างมหาศิษย์แห่งเต๋าคู่นั้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ทันที พวกเขาสัมผัสได้เพียงพลังบางอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ปะทะเข้ากับกาย ก่อนจะสูญเสียสติสัมปชัญญะ ไม่ทันได้สัมผัสกับความเจ็บปวดร่างก็แตกกระจายไปเสียแล้ว วิญญาณเทพไร้หนทางหนี ถูกพลังระเบิดจากหวังเป่าเล่อฉีกออกเป็นชิ้นในทันที

ตั้งแต่ต้นจนจบร่างของหวังเป่าเล่อไม่ได้หยุดนิ่ง เคลื่อนย้ายพุ่งเข้ากระแทกมหาศิษย์แห่งเต๋าตระกูลหมื่นสำนักอีกคน คนผู้นี้เป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง แม้ตอนนี้ดวงตาเขาจะดูบ้าคลั่ง ทว่าสัญชาตญาณสั่งให้หลบหนี แต่กลับสายไปแล้ว

หวังเป่าเล่อกระแทกอย่างแรงจนร่างของคนผู้นั้นแตกกระจาย เขากำลังจะโจมตีต่อ แต่แล้วตอนนั้นเององค์ชายไม่รู้สิ้น และสตรีในร่างมังกรเงิน หร้อมทั้งชายหนุ่มกระบี่โบราณห้าธาตุที่ถูกร่างแยกทั้งเก้าของเขาพันธนาการเอาไว้ จู่ๆ ก็ดูพร่าเลือนราวกับมีพลังประหลาดห่อหุ้ม ทั้งสามหลุดจากพันธนาการของร่างแยกและปรากฏขึ้นอีกครั้งด้วยการล้อมรอบตัวหวังเป่าเล่อ

ทันทีที่ปรากฏกาย ทั้งสามพลันระเบิดจิตสังหารและลงมือ!

สตรีผู้แปลงกายเป็นมังกรยักษ์สีเงินผู้นั้นดวงตาอาบด้วยแสงเลือด สองมือผนึกมุทรา ฉับพลันมังกรเงินแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน กู่ร้องขึ้นฟ้า ก่อนจะเข้าพันธนาการหวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มกระบี่โบราณห้าธาตุก็เช่นกัน เส้นเลือดทั่วร่างปูดโปน กระบี่โบราณทั้งห้าเล่มแยกจากกัน จากห้าเป็นสิบ จากสิบเป็นยี่สิบ และเพิ่มเป็นเท่าทวีจนถึงจำนวนหลายพันพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อจากทุกสารทิศ!

ยังมีองค์ชายไม่รู้สิ้นผู้นั้น เขาระเบิดร่างแท้ออกมาโดยไม่ลังเล หลังเสียงระเบิดดังสนั่น สามหัวหกแขนพลันปรากฏ ก่อนจะกระโดดขึ้นและเสียหนึ่งหัวกับสองแขนไป แทนที่ด้วยฝ่ามือยักษ์กดสยบหวังเป่าเล่อจากด้านบน

ทั้งสามคนไม่มีผู้ใดธรรมดาสามัญแม้แต่น้อย หากวางพวกเขาไว้ข้างนอก แต่ละคนล้วนสามารถสยบมหาศิษย์แห่งเต๋าได้ทุกสารทิศ เหนือกว่าเหล่ากองทัพรอง และแม้แต่กองทัพหลักของตระกูลส่วนใหญ่ก็ยังเทียบกับพวกเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ

อีกทั้งความบ้าคลั่งยังทำให้พวกเขาไม่ละความพยายาม ดังนั้นแม้ว่ากายเนื้อของหวังเป่าเล่อในตอนนี้จะเป็นชั้นมหาวัฏจักร หากแต่เมื่อเผชิญหน้ากับทั้งสามคนพร้อมกัน ถึงแม้จะสู้ได้ก็ตาม แต่ว่า…ในพื้นที่แปลกประหลาดแห่งนี้ยังมีเด็กสาวลึกลับที่มาพร้อมความประสงค์ร้ายผู้นั้นอยู่!

ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงหรี่ตาและถอยหลังไปทันที ก่อนทั้งสามจะรีบพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง มังกรแดงพันรัด กระบี่นับพันหวีดหวิว หวังเป่าเล่อที่คล้ายจะถอยหลังไปแล้วดีดตัวพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

การถอยออกและพุ่งเข้านี้รวดเร็วมาก พลังปราณดึงดูดกลายเป็นโอกาสให้หวังเป่าเล่อทันที หากสติรับรู้ของทั้งสามนั้นยังอยู่คงเป็นเรื่องยากที่หวังเป่าเล่อจะทำเช่นนี้ได้

ในพริบตาร่างของเขาจึงระเบิดความเร็วหลบหนีมังกรแดงและกระบี่นับพันไปได้ จากนั้นจึงปรากฏตัวตรงหน้าฝ่ามือที่แปลงกายมาจากองค์ชายไม่รู้สิ้น ก่อนจะชกเข้าไปหนึ่งหมัดโดยไม่ลังเล

พลังกายเนื้อระเบิดทั่วทุกสารทิศ ร่างแยกดารานิรันดร์เต๋ามาตรฐานและร่างแยกดาวพิเศษทั้งหมดพุ่งกลับมาอย่างรวดเร็วทำให้หมัดของหวังเป่าเล่อในครั้งนี้สะเทือนฟ้าดิน

ความว่างเปล่าสั่นสะเทือน จักรวาลล่มสลาย ฝ่ามือขององค์ชายไม่รู้สิ้นแตกเป็นเสี่ยงๆ ร่างของเขากระอักเลือดและถูกหมัดของหวังเป่าเล่อชกจนกระเด็นไปไกลหลายพันจั้ง ก่อนจะกระแทกเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นในอากาศ!

เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ความว่างเปล่ารอบด้าน ร่างขององค์ชายไม่รู้สิ้นพลันเกิดรอยร้าวราวกับมีชั้นบางอย่างกั้นอยู่ และตอนนี้มันกำลังสั่นสะเทือนจนดวงตาหวังเป่าเล่อหดแคบ!

เขากำลังจะพุ่งออกไป ทว่าตอนนั้นเองความระแวดระวังของเขาก็ทำงาน ร่างกายบิดเบี้ยวเอนไปด้านหลังอย่างไม่น่าเชื่อและถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหยิบใบไม้ใบหนึ่งออกมาอย่างไม่ลังเล ก่อนจะกดสยบไปยังจุดที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้

ใบไม้ใบนี้คือสิ่งที่ปรมาจารย์แห่งไฟมอบให้ ข้างในบรรจุคำสาปแช่งเขย่าขวัญเอาไว้

ฉับพลันที่ล่าถอยและหยิบใบไม้ออกมาสยบ จุดที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้พลันปรากฏเส้นผมสีดำก้อนหนึ่งถูกตัดฉับอยู่ตรงนั้น

จากนั้นร่างเด็กสาวผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากความว่างเปล่า ทว่าสิ่งที่ต้อนรับนางคือพลังสยบของใบไม้ที่ปล่อยออกไป เกิดเสียงดังสนั่นก่อนที่ร่างของเด็กสาวจะสั่นไหวอย่างรุนแรง สีหน้าบิดเบี้ยว รูม่านตาทยอยปรากฏขึ้นในดวงตาราวกับกำลังปั่นป่วน ดวงตาของคนทั่วไปจะมีเพียงรูม่านตาเดียว ทว่าดวงตาแต่ละข้างของเด็กสาวผู้นี้กลับมีรูม่านตาอย่างน้อยเจ็ดถึงแปดรู ชวนให้เวียนหัวและน่ากลัวอย่างมาก!

หลังจากรูม่านตาพวกนั้นปรากฏ สีหน้าของเด็กสาวพลันเผยความเจ็บปวดพร้อมกับส่งเสียงคร่ำครวญ อีกทั้งน้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็แตกต่างกันราวกับกำลังคำรามออกมาจากในร่างของนาง

“สำนักแห่งความมืด ได้เวลาฆ่าแล้ว!!”

“สำนักแห่งความมืดต้องพินาศ!”

“สำนักแห่งความมืด สำนักแห่งความมืด แปลงกฎศิลาของตน…ไม่อาจดำรงอยู่ในโลกได้!!”

“ทำไมจะไม่ได้ล่ะ สำนักแห่งความมืดของข้าท่องอยู่ในโลกแห่งศิลา หากไม่มีพวกข้าคงยากที่โลกนี้จะอยู่รอด!”

“สำนักแห่งความมืดไม่พินาศ จักรพรรดิไม่ปรากฏ…โลกนี้จะหวนคืนได้อย่างไร!!”

“หวนคืน! หวนคืน! ! ข้าสัมผัสได้ถึงเสียงเพรียกร้อง ไม่รู้สิ้นหวนคืน หวนคืนไม่รู้สิ้น!!” ไอลีนโนเวล

เสียงเหล่านั้นมาพร้อมความแก่ชราและบ้าคลั่ง ระเบิดออกมาจากร่างของเด็กสาวอย่างต่อเนื่อง สีหน้าของนางบิดเบี้ยวมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายประเดี๋ยวพองตัวประเดี๋ยวหดเล็ก หวังเป่าเล่อกำลังจะโจมตีอีกรอบ แต่ในตอนนั้นเอง รูม่านตาทั้งหมดในดวงตาเด็กสาวก็ผสานเข้าด้วยกันราวกับฟื้นตัวกลับมาจากสภาวะที่ไม่อาจควบคุมได้

ทันทีที่ได้สติกลับมา นางเคลื่อนไหวร่างมาที่ข้างกายองค์ชายไม่รู้สิ้นผู้ที่ถูกหวังเป่าเล่อชกจนบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะพุ่งเข้าร่างของเขาไป

องค์ชายไม่รู้สิ้นพลันส่งเสียงคำรามดังก้อง จุดที่ศีรษะระเบิดออกไปจนเหลือเพียงเลือดเนื้อก่อนหน้านี้…พลันงอกศีรษะใหม่ออกมาอีกครั้ง

ทว่า…ศีรษะนี้ไม่ใช่ศีรษะของเขา แต่เป็นเด็กสาวผู้นั้น!!

แขนสองข้างที่องค์ชายไม่รู้สิ้นระเบิดตัวเองไปก็มีมือทั้งสองข้างของเด็กสาวงอกออกมาด้วย หลังจากสะบัดหัวไปมาแล้ว นางก็ควบคุมร่างขององค์ชายไม่รู้สิ้นให้เดินออกมา พร้อมกับจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเย็นชา

ทว่าในส่วนลึกของแววตากลับมีความหวาดกลัวซุกซ่อน

ขณะเดียวกันจิตใจหวังเป่าเล่อก็สั่นไหวอย่างรุนแรง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินคนเอ่ยถึงโลกแห่งศิลา การคาดเดาต่างๆ นานาผุดขึ้นในใจ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาครุ่นคิด แทบจะในพริบตาที่เด็กสาวได้สติกลับคืน หวังเป่าเล่อก็เรียกใบไม้กลับมาพร้อมกับถอยร่นออกไป หลังจากหลบหนีการปิดล้อมของมังกรแดงและกระบี่นับพันได้อีกครั้ง เขาก็พุ่งตรงไปยังเตาหลอมที่สอง

เมื่อมาถึง หวังเป่าเล่อไม่รอช้ารีบเริ่มต้นการดูดซับทันที เขาสังเกตเห็นแล้วว่าตอนนี้ฝักกระบี่เจ้าชะตาของตนสามารถดึงออกมาได้ แต่เขาไม่มั่นใจว่ามันจะสามารถสังหารเด็กสาวได้หรือไม่ อีกอย่างการทำลายล้างที่นี่ก็ยากมาก

แต่ไม่เป็นไร มีฝักกระบี่เจ้าชะตาอยู่ด้วย ร่วมกับเคล็ดวิชาลับมากมาย หวังเป่าเล่อคิดว่าหากดูดซับต่อไปจนฝักกระบี่เจ้าชะตาโปร่งใสอย่างสมบูรณ์แล้ว อานุภาพของมันจะต้องอัศจรรย์เป็นแน่

ดังนั้นในระหว่างการหลบหนี กฎแตกกระจายของเตาหลอมที่สองจึงพุ่งขึ้นมาและถูกเขาดูดซับอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันร่างแยกต่างๆ ก็กระจายตัวไปรอบด้าน ก่อตัวเป็นปราการอีกครั้ง

ให้ร่างแท้ของเขาดูดซับได้เร็วยิ่งขึ้น!

องค์ชายไม่รู้สิ้นที่ถูกเด็กสาวครอบงำฉายแววลังเลในดวงตา ก่อนจะเอ่ยว่า

“พวกเจ้าไประเบิดตัวเองใส่เขา!”

ทันทีที่เอ่ย ยกเว้นสตรีมังกรเงินและชายหนุ่มกระบี่โบราณ อีกห้าสิบกว่าคนที่เหลือก็พุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อทันที เมื่อเข้าใกล้ร่างแยกของเขาก็ระเบิดตัวเองโดยไม่ลังเล

ท่ามกลางเสียงดังสนั่น สตรีมังกรเงินและชายหนุ่มกระบี่โบราณก็ลงมือ เพียงครู่เดียวร่างแยกของหวังเป่าเล่อก็แตกสลายไปเกือบหมด หวังเป่าเล่อที่ถูกคุ้มกันอยู่ข้างในพลันหรี่ตา

“อย่าขยับ หากขยับเมื่อไร ฝักกระบี่กับใบไม้ของข้าก็จะขยับด้วย!” ดวงตาหวังเป่าเล่อทอประกายเย็นเยือก ไม่ว่าเสียงรอบข้างจะดังไม่หยุด เขาก็ยังดูดซับกฎแตกกระจายในเตาหลอมอย่างบ้าคลั่ง

กฎแตกกระจายในเตาหลอมที่สองลดน้อยลงในชั่วพริบตา ไม่นานก็เหลือเพียงสี่ส่วน สามส่วน สองส่วน…จนกระทั่งเหลือเพียงหนึ่งส่วน เด็กสาวผู้ครอบงำร่างขององค์ชายไม่รู้สิ้นเผยแสงลึกลับในดวงตา ร่างพลันกะพริบและหายวับไป ก่อนจะปรากฏตัวอยู่ข้างหวังเป่าเล่อ

ในตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็เงยหน้า จิตสังหารในดวงตาพลันระเบิดออก เขาหยิบใบไม้ออกมา ขณะเดียวกันฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างกายก็แผ่พลังปราณ!

…………………………………………………………

แต่ว่า…แม้เส้นไหมสีเขียวจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่กฎแตกกระจายในเตาหลอมนั้นหากไม่ดูดซับจนเสร็จสมบูรณ์ก็จะไม่สามารถก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนได้ และเมื่อไม่มีกระแสน้ำวน แรงดูดย่อมไม่เกิดขึ้น

หากไร้แรงดูด การดูดซับเส้นไหมสีเขียวพวกนี้ก็จะใช้เวลานานขึ้น หากเป็นเวลาอื่นคงไม่เป็นอะไร ทว่าตอนนี้หวังเป่าเล่อติดอยู่ในสถานที่ประหลาด อีกทั้งผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักทุกคนต่างก็บ้าคลั่ง

นั่นทำให้ดวงตาหวังเป่าเล่อส่องประกายเย็นเยือก ร่างกะพริบหลบหนีพลังเทพจากทุกคนอีกรอบ การเร่งดูดซับกฎแตกกระจายในเตาหลอมทำให้ฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างเขายิ่งโปร่งใสขึ้นเรื่อยๆ

ทว่า ตอนนั้นเองเสียงแผ่วเบาของเด็กสาวก็ดังก้องในหูหวังเป่าเล่ออีกครั้ง

“ท่านอา ท่านมีเวลาเพียงหนึ่งก้านธูป…สู้ๆ นะ หลังจากหนึ่งก้านธูป การผจญภัยที่ถูกข้าควบคุมไว้นี้ก็จะกลายเป็นฟองอากาศและ…ดับสิ้นไป”

“ถึงตอนนั้นท่านก็จะดับสิ้นเช่นกัน” เด็กสาวพูดจบก็หัวเราะคิกคัก เสียงหัวเราะนั้นแผ่ซ่านไปทั้งจิตใจหวังเป่าเล่อกลายเป็นภัยคุกคามและส่งผลต่อสัญชาตญาณของเขา ทำให้หวังเป่าเล่อมีลางสังหรณ์ว่าหากทำลายสถานที่แห่งนี้ภายในเวลาหนึ่งก้านธูปไม่ได้จริงๆ เช่นนั้นแล้ว…เขาจะต้องเจอกับวิกฤตร้ายแรงเป็นแน่

“ลวงเทพหลอกวิญญาณ!” ดวงตาหวังเป่าเล่อฉายแสงเย็นวาบ ในใจสรุปตัวตนของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้ว่าเด็กสาวผู้นี้เป็นคนเดียวกับที่ตนเคยเจอที่สุสานดวงดาราหรือไม่

แต่ไม่ว่าอย่างไร คนแรกที่เขาตัดออกไปเลยคือจื่อเยว่!

แม้ต้นกำเนิดจื่อเยว่จะยิ่งใหญ่ แต่หวังเป่าเล่อไม่เชื่อว่าหากอีกฝ่ายจะมา ศิษย์พี่เฉินชิงจื่อของตนจะไม่ตรวจพบ ดังนั้นความเป็นไปได้ที่อีกฝ่ายจะเป็นจื่อเยว่จึงมีน้อยมาก

ส่วนตะขาบสีโลหิต หวังเป่าเล่อก็คิดว่าอาจเป็นไปได้ ขณะที่ครุ่นคิดและดูดซับอยู่นั้น ผู้ฝึกตนรอบด้านก็บ้าคลั่งขึ้นอีก โดยเฉพาะหญิงสาวที่แปลงร่างเป็นมังกรเงินผู้นั้น นางโจมตีรุนแรงเกิดเป็นเส้นไหมสีเงินยาวพันธนาการหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มที่ใช้กระบี่โบราณห้าเล่มก็เช่นกัน วิธีโจมตีของเขาคือใช้กระบี่โบราณห้าเล่มพุ่งจากห้าทิศทางตัดผ่านช่องว่างเข้ามา และยังมีองค์ชายตระกูลไม่รู้สิ้นที่ถึงแม้การพันธนาการและเข่นฆ่าจะไม่เท่าสองคนก่อนหน้า แต่กลับโจมตีครอบคลุมทุกด้าน ฐานการฝึกฝนแข็งแกร่งจนเทียบได้กับครึ่งระดับจักรพิภพ

ดังนั้นทุกครั้งที่ทั้งสามโจมตีล้วนทำให้หวังเป่าเล่อต้องรีบถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่ว่าไม่สามารถเข้าไปต่อสู้ได้ แต่ทันทีที่โต้ตอบและไม่อาจจัดการได้ในพริบตา การร่วมกันโจมตีจากดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรหลายสิบคนโดยรอบจะทำให้หวังเป่าเล่อต่อต้านได้ยากอย่างยิ่ง!

“ยังมีอีกวิธีหนึ่ง ศิษย์พี่คงตรวจจับความผิดปกติได้จากสิ่งที่ข้าพูดเมื่อครู่…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ชั่วพริบตาที่ทั้งสามรวมพลังกันเพื่อสังหารเขา มือขวาก็พลันยกขึ้นผนึกมุทรา ทันใดนั้นแผนที่ดวงดาวด้านหลังก็แปลงกายเป็นเงาวัวศักดิ์สิทธิ์พุ่งไปข้างหน้า

ฉับพลันเกิดเสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้า ระลอกคลื่นรุนแรงแผ่กระจายไปทั่วบริเวณอย่างบ้าคลั่งราวกับจะพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร ร่างของทุกคนกระเด็นออกมาและมีจำนวนไม่น้อยที่กระอักเลือด

แต่พลังที่หวังเป่าเล่อใช้ไปก็ไม่น้อยเช่นกัน สีหน้าเขาซีดเล็กน้อย ร่างพลันวาบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว การดูดซับกฎแตกกระจายยังไม่เสร็จสิ้น แต่เขากลับตัดขาดการเชื่อมต่อกับเตาหลอมไปเสียหนึ่งเตา และใส่พลังจิตทั้งหมดลงในเตาหลอมอีกเตาแทน เช่นนี้แรงดูดซับก็จะเพิ่มขึ้นในทันที และฝักกระบี่เจ้าชะตาที่เขากัดฟันใช้นั้นก็มีกฎแตกกระจายหลั่งไหลเข้าไปมากขึ้นในพริบตา

เขาสัมผัสได้ว่ากฎแตกกระจายในเตาหลอมใบนี้ถูกตนดูดซับไปครึ่งหนึ่งแล้ว และหากคิดจะดูดซับทั้งหมด เขาจำเป็นต้องใช้เวลาประมาณสามสิบลมหายใจ!

“สามสิบลมหายใจ!” เส้นเลือดปรากฏในดวงตาหวังเป่าเล่อ เมื่อเห็นทุกคนพุ่งเข้ามาโจมตีอีกครั้ง ด้านหลังหวังเป่าเล่อก็พลันปรากฏดวงเนตรปีศาจขนาดมหึมา ไอลีนโนเวล

“แข็งตัว!” หวังเป่าเล่อคำราม ฉับพลันดวงเนตรปีศาจด้านหลังก็ลืมตา เผยให้เห็นแสงลึกลับซึ่งกลายเป็นพลังอันน่าตกใจหยุดร่างทุกคนที่กำลังพุ่งเข้ามาทันที

ความเจ็บปวดทำให้สัมผัสสวรรค์หวังเป่าเล่อปรากฏ ซึ่งก็เป็นเพราะวิชาดวงเนตรปีศาจถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด อีกทั้งจำนวนผู้คนยังมากเกินไป เพราะความเจ็บปวดนี้ ดวงเนตรปีศาจด้านหลังจึงเกิดรอยร้าวราวกับกำลังจะทนไม่ไหว

ทว่า ตอนนี้หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจอะไรมากนัก แทบจะในทันทีที่ทุกคนถูกแช่แข็ง ร่างของเขาพลันเกิดเงาทับซ้อน ดารานิรันดร์เต๋ามาตรฐานเก้าดวงจำแลงร่างแยกออกมาเก้าร่างด้วยวิชาร่างแยกสารัตถะ เหาะออกจากร่างจริง และสังหารทุกคนอย่างรวดเร็ว

ดาวพิเศษนับหมื่นบนแผนที่ดวงดาวต่างกลายเป็นร่างแยกพุ่งออกมาพร้อมเสียงคำราม แม้จะไม่ดีเท่าร่างแยกดารานิรันดร์เต๋ามาตรฐานและไม่ดีเท่าร่างจริงของหวังเป่าเล่อ แต่ทุกร่างล้วนมีพลังต่อสู้ในระดับหนึ่ง อีกทั้งยังมีจำนวนไม่น้อย ต่อให้ไม่สามารถสยบทุกคนได้ แต่พวกมันก็มาล้อมรอบหวังเป่าเล่อเพื่อสร้างเป็นปราการถ่วงเวลาออกไปอีกหน่อย นั่นก็เพียงพอแล้ว

ดังนั้นทันทีที่เสียงคำรามจากผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักดังขึ้นหลังจากหลุดพ้นจากการแข็งตัวของวิชาดวงเนตรปีศาจ การต่อสู้ครั้งใหญ่ก็ปะทุขึ้นทันที เสียงดังสะเทือนฟ้า หวังเป่าเล่อที่มีร่างแยกของตนล้อมไว้เพื่อถ่วงเวลาสำหรับดูดซับกฎแตกกระจายก็ได้ดูดซับไปมากกว่าเจ็ดส่วนแล้ว

ดวงตาทอประกายเย็นเยือกพร้อมกับจิตสังหารแรงกล้า แม้ทุกคนในที่แห่งนี้จะโจมตีเขาเพราะถูกครอบงำ แต่ตอนนี้จิตสังหารของหวังเป่าเล่อเองก็ปะทุรุนแรงเช่นกัน

เพราะเขาเห็นดารานิรันดร์เต๋ามาตรฐานเก้าดวงของตนกำลังถอยร่นไปเรื่อยๆ ตอนที่พยายามสกัดกั้นมหาศิษย์แห่งเต๋าที่แข็งแกร่งที่สุดสามคนนั้น อีกทั้งร่างแยกยังทยอยถูกฉีกเป็นชิ้นๆ แม้พวกมันจะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ก็เห็นได้ชัดว่าที่ใจกลางดารานิรันดร์เต๋ามาตรฐานเกิดรอยร้าวแล้ว

หากมันระเบิด หวังเป่าเล่อต้องได้รับความเสียหายไม่น้อยเลยทีเดียว

ส่วนดาวพิเศษนับหมื่นก็แตกสลายไปไม่น้อยแล้วในขณะนี้ ผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักเสียสติ ทุกครั้งที่พุ่งเข้ามาโจมตี พวกเขาจะระเบิดตนเองทำให้ร่างแยกของดาวพิเศษบางส่วนแตกสลาย

จิตสังหารในดวงตาหวังเป่าเล่อแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ ฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างกายราวกับสัมผัสได้ถึงอันตรายจึงรีบดูดกลืนเร็วขึ้น

แปดส่วน เก้าส่วน…

ขณะที่หวังเป่าเล่อดูดซับกฎแตกกระจายในเตาหลอมได้เก้าส่วนนั้นเอง เกราะป้องกันที่เกิดจากดาวพิเศษนับหมื่นของเขาก็ถูกผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักเจ็ดแปดคนทำลายด้วยการระเบิดตัวเองพร้อมกันจนเกิดรูโหว่

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ และท่องบทสวดแห่งเต๋าในใจ

พริบตาต่อมาผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักสิบกว่าคนก็กรูเข้ามาทางรูโหว่พร้อมดวงตาแดงก่ำ ยามที่พวกเขากำลังเข้ามาใกล้ พลังของบทสวดแห่งเต๋าก็สำแดงฤทธิ์ก่อตัวเป็นพลังสยบ จนทั้งสิบกว่าคนที่พุ่งเข้ามาตัวสั่นเทิ้ม ผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักข้างนอกก็เช่นกัน

ร่างแยกทั้งหมดฉวยโอกาสนี้ลุกฮือตอบโต้กลับทันที ขณะเดียวกันฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างหวังเป่าเล่อก็…ดูดซับกฎแตกกระจายอีกหนึ่งส่วนสุดท้ายในเตาหลอมจนเกลี้ยง!

แทบจะทันทีที่เขาดูดซับกฎแตกกระจายเสร็จสิ้น กระแสน้ำวนขนาดมหึมาพลันปรากฏขึ้นในเตาหลอมราวกับหลุมดำ แรงดูดมหาศาลพลันระเบิดขึ้นทำให้เส้นไหมสีเขียวหลายแสนเส้นที่รวมตัวกันอยู่รอบๆ พุ่งเข้ามาหาเขา

หนึ่งหมื่น สองหมื่น สามหมื่น…

เส้นไหมสีเขียวจำนวนมากพันเกี่ยวเข้าด้วยกันก่อนจะมาปรากฏตัวในเตาหลอม จากนั้นฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างหวังเป่าเล่อก็ดูดซับอย่างบ้าคลั่ง แล้วป้อนพลังกลับคืนให้กายเนื้อหวังเป่าเล่ออีกครั้ง

เมื่อพลังบทสวดแห่งเต๋าสลายไป หวังเป่าเล่อก็ดูดซับเส้นไหมสีเขียวไปแล้วกว่าแปดหมื่นเส้น ในที่สุดกายเนื้อของเขา…ก็ระเบิดและทะลวงเข้าสู่…ดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร!

พลังกายเนื้อระดับดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรนั้นน่าทึ่งอยู่แล้ว ทว่ากายเนื้อหวังเป่าเล่อได้รับพลังเสริมจากดาวหลายดวง การทะลวงขั้นของเขาจึงน่าตื่นตาตื่นใจ แม้แต่ดารานิรันดร์เต๋ามาตรฐานเก้าดวงก็ยังเปล่งประกาย ดาวพิเศษที่ยังไม่แตกสลายต่างส่องสว่างเจิดจ้า

ดาวพิเศษที่แตกสลายเป็นชิ้นๆ ไปแล้วต่างกลายเป็นจุดแสงลอยมารวมตัวกันราวกับจะถือกำเนิดเป็นดวงดาวอีกครั้ง

“ตอนนี้ตาข้าเอาคืนแล้ว” จิตสังหารในดวงตาหวังเป่าเล่อพลันปะทุ หลังจากกายเนื้อทะลวงขั้นพร้อมกับดูดซับเส้นไหมสีเขียวต่อ ร่างของเขาก็ลุกขึ้นจากการนั่งขัดสมาธิและก้าวออกไปด้วยความแข็งแกร่งอันไร้ขีดจำกัด!

จักรวาลใต้ฝ่าเท้าแตกกระจาย ความว่างเปล่ารอบกายบิดเบี้ยว หวังเป่าเล่อก้าวเพียงก้าวเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าผู้ฝึกตนตระกูลหมื่นสำนักสองคน มือทั้งสองกำหมัดแล้วชกออกไปพร้อมกัน!

…………………………………

หวังเป่าเล่อหรี่ตาทันที เรื่องนี้ประหลาดเสียจนทำเอาเขาหนังศีรษะชา เขายังคงยืนอยู่ที่เดิม กวาดสายตามองรอบด้าน พร้อมกับแผ่จิตใต้สำนึกออกไป ทว่าก็หาเด็กสาวคนนั้นไม่เจออยู่ดี ขณะกำลังครุ่นคิด เขาไม่ได้ส่งเสียงถามศิษย์พี่เฉินชิงจื่อต่อ กลับร้องเรียกแม่นางน้อยในใจแทน

น่าแปลก เพราะไร้เสียงตอบรับจากแม่นางน้อย หากเป็นเวลาอื่นที่นางเงียบงันเช่นนี้ หวังเป่าเล่อคงไม่คิดอะไร แต่วันนี้เขากลับมีความรู้สึกประหลาดที่ไม่สามารถอธิบายได้

โชคดีที่ตอนนี้อู๋น้อย เจ้าลาน้อยและเจ้าปลาดำกลับมาจากการปิดล้อมองค์ชายไม่รู้สิ้นที่เหลือเพียงวิญญาณเทพแล้ว แม้พวกมันจะไม่ได้เข้าใกล้บริเวณเตาหลอม แต่หวังเป่าก็สัมผัสได้

“อู๋น้อย ลาน้อย มานี่!” หลังจากสัมผัสได้ถึงพวกมัน หวังเป่าเล่อก็เอ่ยปากเรียกทันที ไม่นานอู๋น้อยและเจ้าลาน้อยก็เหาะมาอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อ ท่ามกลางความหวาดระแวงของทุกคน

ส่วนเจ้าปลาดำก็มาอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อเช่นเดียวกัน ทว่าคนอื่นนั้นมองไม่เห็น และตอนนี้หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจมัน รีบร้อนกล่าวกับอู๋น้อยและเจ้าลาน้อยทันที

“พวกเจ้าอธิบายการกระทำทุกอย่างที่ข้าทำ หลังจากเข้ามาในเขตเตาหลอมให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้!”

อู๋น้อยแปลกใจ เจ้าลาน้อยเองก็กวาดตามองหวังเป่าเล่ออย่างประหลาดใจ

“รีบพูดมา!” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ในใจหงุดหงิดเล็กน้อยอย่างอธิบายไม่ได้ เห็นดังนั้นอู๋น้อยจึงลนลานกล่าวทันที

“ท่านพ่อ หลังจากท่านมาถึง อันดับแรกก็มีเจ้าคนไม่ลืมหูลืมตาเข้ามาขัดขวาง และถูกท่านตบตายด้วยฝ่ามือเดียว จากนั้นก็ไปแย่งชิงเตาหลอมและถูกปิดล้อมโดยคนสิบกว่าคนที่ไม่รู้ว่ามาดีหรือร้าย แต่พวกเขาไม่รู้ถึงความกล้าหาญอันโดดเด่นของท่านพ่อจึงถูกท่านพ่อฆ่าทิ้งไปไม่น้อย พวกข้าถูกคุกคามจนแตกกระจายกันไป จนท่านพ่อครอบครองเตาหลอมได้ก็ไม่มีใครกล้ายั่วยุ ทั่วหล้าไร้ผู้ต่อต้าน!”

“อียอวว!” เจ้าลาน้อยรีบผงกหัวเป็นการยืนยันคำพูดของอู๋น้อย

“จากนั้นล่ะ?” ดวงตาหวังเป่าเล่อหรี่ลงและถามต่อ

“จากนั้นหรือ องค์ชายไม่รู้สิ้นที่พวกเราจับได้ผู้นั้นไร้หัวคิด กล้ามายั่วยุท่านพ่อ ทำท่านพ่อโกรธจนพุ่งไปสยบเขาอีกครั้ง” อู๋น้อยมองหวังเป่าเล่อด้วยความประหลาดใจ

“เขายั่วยุข้าอย่างไร” หวังเป่าเล่อถามต่อ

“หืม? เขาก็ออกมาจากเตาหลอมแล้วด่าท่านพ่อ” สีหน้าอู๋น้อยยิ่งแปลกเข้าไปอีก สิ่งที่หวังเป่าเล่อถามทำให้เขารู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ

หวังเป่าเล่อเองก็รู้สึกผิดปกติเช่นกัน หลังจากเงียบไป จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้น

“เพราะเด็กสาวคนนั้นหรือ”

“เด็กคนไหน” อู๋น้อยชะงัก เจ้าลาน้อยก็ชะงัก นั่นทำให้ใจหวังเป่าเล่อปั่นป่วน อู๋น้อยอาจโกหกได้ แต่ลาน้อยทำไม่ได้ มันเชื่อมโยงกับสัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่อสามารถอ่านความคิดมันได้

ทั้งหมดเป็นอย่างที่อู๋น้อยพูด

เช่นนั้น…ความจริงคืออะไร หวังเป่าเล่อมีคำตอบอยู่แล้วในใจแล้ว บางที ณ ขณะนั้นทุกคนที่นี่อาจเกิดภาพลวงตา หรือบางที…ก็เป็นแค่ภาพลวงตาของเขา

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีใครเห็นเด็กสาวคนนั้น แม้แต่ศิษย์พี่เฉินชิงจื่อผู้เก่งกาจ ก็ยังมองไม่เห็นเด็กคนนั้น เรื่องนี้มัน…น่ากลัวเกินไปแล้ว

ความรู้สึกอันตรายรุนแรงทำให้หวังเป่าเล่อระแวดระวัง ขณะเดียวกันก็ทำให้เขากระตือรือร้นที่จะพัฒนาฐานการฝึกฝนของตนมากขึ้น ดังนั้นหลังจากเงียบไปไม่กี่อึดใจ หวังเป่าเล่อก็กระโดดขึ้น ก่อนจะดึงให้เตาหลอมที่เขาครอบครองอยู่ระเบิดไปพร้อมกับเตาหลอมที่อยู่ด้านล่างในตอนนี้

ทันใดนั้นกฎแตกกระจายข้างในก็หลั่งไหลเข้าใส่หวังเป่าเล่อราวกับน้ำท่วม มันถูกร่างแท้ของเขาดูดซับอย่างบ้าคลั่งราวกับวาฬกลืนกิน

ในไม่ช้ารอบตัวหวังเป่าเล่อก็เกิดกระแสน้ำวนและใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลกระทบต่อเตาหลอมอีกเจ็ดเตา ทำให้ผู้ฝึกตนรอบเตาหลอมทั้งเจ็ดหน้าเปลี่ยนสี

ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เสียงหัวเราะราวกับกระดิ่งเงินก็ดังขึ้นในหูหวังเป่าเล่อ มันดังก้องไปทั่วจักรวาลโดยรอบ หลังจากได้ยินเสียงหัวเราะนั้น หวังเป่าเล่อพลันลืมตาโพล่ง

เขาไม่เห็นเจ้าของเสียงหัวเราะ แต่ก็เห็นว่าผู้ฝึกตน ณ ที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่เคยต่อสู้แย่งชิงเตาหลอมกันมาก่อนหรือสามคนนั้นที่มีตำแหน่งแล้ว ทุกคน…พลันเกิดแสงบิดเบี้ยวในดวงตาราวกับมีพลังงานประหลาดไร้ตัวตนส่งผลกระทบต่อผู้ฝึกตนทุกคน

แม้แต่อู๋น้อยกับเจ้าลาน้อยก็เช่นกัน ชั่วขณะหนึ่งดวงตาพลันเกิดแสงสีดำ มีเพียงเจ้าปลาดำเท่านั้นที่ยังคงแหวกว่ายไปมาโดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆไอรีนโนเวล

เมื่อเห็นผู้ฝึกตนเปลี่ยนไป หวังเป่าเล่อก็ตกตะลึง ก่อนจะรีบโบกมือเก็บอู๋น้อยกับเจ้าลาน้อยเข้ากระเป๋าคลังเก็บ แล้วร้องเรียกศิษย์พี่

แต่…ดูเหมือนเสียงเรียกของเขาจะถูกปิดกั้น

“ท่านอา ไม่ต้องระแวงขนาดนั้น ข้าไม่ทำร้ายท่านหรอก…”

“แต่ว่า…ที่นี่มีคนตายน้อยเกินไป แบบนี้ไม่สนุกเลย” เสียงเด็กสาวแฝงความหมายบางอย่าง ใจหวังเป่าเล่อกระตุก มหาศิษย์แห่งเต๋าของตระกูลหมื่นสำนักพลันเลือดตาพุ่งกระฉูด ทุกคนมองหวังเป่าเล่อและส่งเสียงกรีดร้องราวกับเจอศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้ ก่อนจะพุ่งเข้ามาหมายสังหารหวังเป่าเล่อ

คนที่แข็งแกร่งที่สุดคือสามคนนั้น!

คนหนึ่งเป็นหญิงสาวที่อยู่ภายใต้ร่างมายามังกรสีเงิน คนหนึ่งคือชายหนุ่มที่พุ่งออกมาจากดาบโบราณห้าธาตุ และคนสุดท้ายคือองค์ชายไม่รู้สิ้นที่เหลืออยู่อีกคน

ผู้ฝึกตนทั้งสามล้วนเป็นชั้นมหาวัฏจักร และยังเป็นดารานิรันดร์ องค์ชายไม่รู้สิ้นเป็นระดับสวรรค์ ถึงแม้อีกสองคนจะไม่ใช่ แต่ดารานิรันดร์ก็มีความพิเศษมากและไม่ด้อยไปกว่าระดับสวรรค์เลย

ทันทีที่ลงมือพลันเกิดเสียงสะเทือนฟ้าดิน สะท้านไปทั้งจักรวาล ส่วนคนที่เหลือต่างระเบิดฐานการฝึกฝน กรีดร้อง เข่นฆ่าราวกับเสียสติไปแล้ว

นี่มันเกิดอะไรขึ้น! ทุกอย่างกะทันหันเกินไป เรียกได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดพลิกผันหลังจากเด็กสาวปรากฏตัว ต่อให้หวังเป่าเล่อจะแข็งแกร่ง แต่ตอนนี้เขากำลังตื่นตกใจ แท้จริงแล้วเขายังไม่ได้แข็งแกร่งมากพอที่จะสยบดารานิรันดร์นับสิบด้วยตัวคนเดียว

โดยทั่วไปทุกคนที่นี่ล้วนเป็นดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร อีกทั้งยังมีถึงสามคน ซึ่งเหนือกว่ามหาศิษย์แห่งเต๋าระดับเดียวกัน ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงถอยร่นไปในทันที

แทบจะพริบตาที่เขาล่าถอย จุดที่เขาอยู่ก่อนหน้านี้ถูกดาบโบราณห้าธาตุฟันฉับลงมา และกรงเล็บร่างมายามังกรเงินฟาดใส่พร้อมกับเสียงคำราม อีกทั้งยังมีกระบวนเวทพลังเทพมหาศาลไหลบ่าเข้ามา

“เจ้าเป็นใครกันแน่” หลังหวังเป่าเล่อหลบเข้าไปใกล้ใจกลางเตาหลอม และคำรามไปรอบๆ ราวกับสายฟ้าฟาดครอบคลุมไปถึงใจกลางเตาหลอมนั้น

แต่…เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าศิษย์พี่ที่อยู่ด้านในไม่ตอบสนองเลยสักนิด

นั่นทำให้หวังเป่าเล่อใจหล่นวูบ

“ท่านอา ที่นี่ไม่มีใครสังเกตเห็นหรอก ท่านฆ่าได้ตามใจชอบเลย ผู้คนตายน้อยไป ไม่สนุก ท่านอาสู้ๆ ล่ะ”

“ส่วนข้าเป็นใครนั้น…ท่านอาก็ลองเดาดูสิ” เสียงของเด็กสาวมาพร้อมเสียงหัวเราะประหลาด ดังก้องไปทั่วบริเวณอย่างต่อเนื่อง ผู้ฝึกตนที่ได้รับผลกระทบจากมันยิ่งบ้าคลั่ง มีบางคนที่เมื่อพุ่งเข้ามาหาหวังเป่าเล่อแล้วก็ระเบิดตัวตาย

หวังเป่าเล่อรีบถอยหนีออกไปเร็วจี๋ สีหน้าบิดเบี้ยว แต่โชคดีที่แม้เขาจะหลบหนีไปได้ แต่การเชื่อมต่อกับเตาหลอมทั้งสองยังคงอยู่ ตอนนี้ยังมีกฎแตกกระจายอีกมากแผ่ออกจากเตาหลอมทั้งสองมาหาเขา ดังนั้นเมื่อเห็นผู้ฝึกตนรอบด้านพุ่งเข้าใส่ด้วยดวงตาแดงก่ำ ดวงตาหวังเป่าเล่อก็ฉายแสงเย็นยะเยือก ฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างพลันกระจายออกมา

ฉับพลันแรงดูดก็เพิ่มขึ้น กฎแตกกระจายไร้ที่สิ้นสุดพุ่งเข้าสู่ฝักกระบี่เจ้าชะตาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้หลังจากฝักกระบี่ขึ้นไปถึงระดับความมืดมิดหาใดเปรียบค่อยๆ โปร่งใส

ฝักกระบี่เจ้าชะตา นี่คือเคล็ดวิชาลับของหวังเป่าเล่อ และเป็นสิ่งเดียวที่หวังเป่าเล่อคิดว่าจะพลิกสถานการณ์ในตอนนี้ได้ เขาสัมผัสได้ว่าเมื่อฝักกระบี่เจ้าชะตาดูดซับ ข้างใน…ราวกับมีปราณกระบี่สายหนึ่งกำลังเติบโตและน่าสะพรึงกลัวขึ้นเรื่อยๆ!

แน่นอนว่านอกจากสิ่งนี้แล้วก็ยังมีบทสวดแห่งเต๋า

เพียงแต่การใช้บทสวดแห่งเต๋าไม่อาจทำได้นานเกินไป อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือสยบที่ไม่เฉียบคมพอ!

หวังเป่าเล่อหรี่ตา ไม่สนใจผู้ฝึกตนที่พุ่งเข้าใส่ เขาเคลื่อนย้ายร่างหลบหลีกครั้งแล้วครั้งเล่า เร่งการดูดซับกฎแตกกระจาย

ขณะเดียวกันในจักรวาลโดยรอบก็มีเส้นไหมสีเขียวที่ดูแตกต่างกันไปตามระดับ คล้ายกับสามารถเพิกเฉยต่อการปิดล้อมนี้ และเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

สามหมื่น ห้าหมื่น หนึ่งแสน สองแสน…

…………………………………………

“ใครโง่กัน…” องค์ชายไม่รู้สิ้นหรี่ตา ยังไม่ทันได้ตอบสนอง แม้แต่อารมณ์ก็ยังไม่ทันได้ปรากฏ แทบจะทันทีที่เปลวไฟจากร่างหวังเป่าเล่อกวาดไปทุกทิศทาง องค์ชายไม่รู้สิ้นพลันส่งเสียงคำรามออกมา

ขณะส่งเสียงคำราม ดารานิรันดร์ของเขา และร่างไม่รู้สิ้นจำแลง ก็ยังไม่สามารถช่วยหยุดยั้งร่างที่กำลังกลายเป็นกระดาษได้ ทำได้เพียงยืดเวลาออกไปเล็กน้อยเท่านั้น ตอนนี้ร่างของเขากลายเป็นกระดาษไปครึ่งหนึ่งแล้ว นั่นคือส่วนศีรษะและแขนทั้งสาม!

ทว่า เขาเองก็เป็นคนโหดเหี้ยมคนหนึ่ง ในสถานการณ์วิกฤตเช่นนี้อีกสองหัวกัดลิ้นตน ก่อนจะพ่นเลือดออกมา เลือดพวกนี้สาดกระเซ็นรวมกันจนกลายเป็นกริชโลหิตเล่มหนึ่ง มันไม่ได้ตวัดไปยังหวังเป่าเล่อ แต่เป็นตัวเขาเอง!

หยาดเลือดทะยานขึ้นฟ้าในพริบตา กริชโลหิตแทงลงบนร่างขององค์ชายไม่รู้สิ้น จากนั้นจึง…ตัดร่างกายส่วนที่กลายเป็นกระดาษทิ้งทั้งหมด!

หนึ่งหัวกับอีกสามแขนแยกออกจากร่างของเขาโดยพลัน!

เลือดสาดกระจาย องค์ชายไม่รู้สิ้นกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด แต่เมื่อร่างตัดส่วนที่เป็นกระดาษออกไปแล้ว เขาก็ผ่อนคลายลงและถอยร่นในทันที ขณะกำลังล่าถอยร่นก็ได้หยิบเอาโอสถบำรุงออกมา ดื่มเข้าไปจำนวนมาก ร่างแท้ที่แห้งเหี่ยวไปอย่างรวดเร็ว และหัวกับแขนอีกสามข้างที่สูญเสียไปงอกออกมาใหม่ จากนั้นจึงฟื้นกลับมาได้ในที่สุด

ทว่า สีหน้ากลับซีดเผือด ร่องรอยพลังงานอ่อนแอ ท้ายที่สุดเขาก็ถือว่ายังรักษาชีวิตไว้ได้ ส่วนคนอื่นๆ…เมื่อไม่มีเคล็ดวิชาและความเด็ดขาดขององค์ชายไม่รู้สิ้น กอปรกับเปลวไฟของหวังเป่าเล่อระเบิดออกมาอย่างรวดเร็ว ในสายตาขององค์ชายไม่รู้สิ้นและผู้คนรอบข้างจึงเห็นเปลวไฟลุกลามใหญ่โต กลายเป็นพายุเศษกระดาษลุกไหม้

ตอนนั้นเองที่ผู้พิทักษ์กฎตระกูลไม่รู้สิ้นสิบกว่าคนล้วนแตกฮือ ทันทีที่ร่างของพวกเขากลายเป็นกระดาษ เปลวไฟก็พุ่งเข้าไปห่อหุ้มร่างกาย จากนั้นจึง…แผดเผาร่างให้กลายเป็นขี้เถ้าลอยฟุ้ง!

ผู้พิทักษ์กฎสิบกว่าคนไม่มีใครรอดพ้นจากการถูกทำลายจนมอดไหม้!

“หวังเป่าเล่อ!!” องค์ชายไม่รู้สิ้นไม่สุขุมเหมือนอย่างเคยแล้ว ผมเผ้ากระเซิงไปหมด อับอายถึงขีดสุด ครั้งนี้มันมากเกินไปสำหรับเขาจริงๆ

ผู้พิทักษ์กฎทั้งหมดสิ้นชีพ ตัวเขาเองก็เกือบจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ ขณะเดียวกันบาดแผลจิตวิญญาณพวกนั้นก็มากขึ้น เขาคิดว่าตนเป็นฝ่ายคิดบัญชีคนอื่น แต่กลับคิดไม่ถึงว่าตนจะเป็นฝ่ายที่ถูกคิดบัญชีเสียเอง

ไร้เหตุผลรึ?ร สะเพร่ารึ? ล้วนโกหกทั้งเพ!

ตั้งแต่ต้นจนจบ หวังเป่าเล่อตรงหน้าก็หลอกล่อเขา วางท่าทีหนักแน่น จุดประสงค์เพื่อทำให้เขาติดกับ

เช่นนี้อีกฝ่ายจึงสามารถบดขยี้เขาได้โดยไม่ต้องออกแรงมากนัก ต่อให้เป็นการจับคู่อย่างเท่าเทียม แต่ทันทีที่เข้าโรมรันก็ทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่อื่นๆ ได้

ฉับพลันองค์ชายไม่รู้สิ้นก็เข้าใจทั้งหมด แต่ยิ่งเข้าใจมากเท่าไร เขาก็ยิ่งขุ่นเคืองและโกรธแค้นมากเท่านั้น

เพราะเขาสูญเสียมากเกินไป ไม่ใช่เสียเพียงผู้พิทักษ์กฎ ร่างกายบาดเจ็บ ร่องรอยพลังงานอ่อนแอลงมาก แม้แต่ฐานการฝึกฝนก็ยังถูกทำร้ายจนลดต่ำ ไม่ใช่ดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรอีกแล้ว แต่กลายเป็นดารานิรันดร์ชั้นปลาย

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะการตัดสินใจพลาดเพียงครั้งเดียว!

ณ เวลานี้ไม่ใช่เขาที่โกรธแค้นและหวาดหวั่น ทว่าผู้ฝึกตนทั้งหมดที่ได้เห็นฉากนี้กับตาตนเองต่างเกิดคลื่นยักษ์ขึ้นในใจ การลงมือของหวังเป่าเล่อโหดร้ายเกินไปจริงๆ!

การแย่งชิงเตาหลอมก่อนหน้านี้เรียกได้เพียงว่าครอบงำ แต่ไม่ถึงขั้นโหดร้าย ทว่าการต่อสู้กับองค์ชายไม่รู้สิ้นนั้นโหดเหี้ยมอำมหิตมาก นั่นทำให้ทุกคนสูดหายใจเข้าลึกๆ ขณะเดียวกันก็เกิดความกลัวต่อหวังเป่าเล่อมากยิ่งขึ้น

“ฐานการฝึกฝนแข็งแกร่ง แผนการล้ำลึก…”

“ครอบงำจนมืดมนและโหดร้าย…”

“จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายถือกำเนิดคนชั่วร้ายเช่นนี้ออกมา!!”

ไม่ใช่แค่คนที่แย่งชิงเตาหลอมเท่านั้นที่ตกตะลึง อีกสามกองกำลังในเตาหลอมหลักต่างมีท่าทีราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจจนจิตใจสั่นสะท้าน

ในกองกำลังที่มีร่างมายาของมังกรเงินนั้น มันกำลังจ้องมองหวังเป่าเล่อ เตาหลอมด้านล่างพลัน ปรากฏเงาร่างของสตรี รูปร่างสูงสง่าคนหนึ่งกำลังมองไปทางหวังเป่าเล่อ

ภายในเตาหลอมที่มีพลังหมุนเวียนธาตุทั้งห้าเป็นกระบี่โบราณห้าเล่มก็เช่นกัน จะเห็นได้ว่าเด็กหนุ่มผู้หนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างใน และตอนนี้เขาได้ลืมตาขึ้นแล้ว

สุดท้ายคือเตาหลอมที่ตระกูลไม่รู้สิ้นครอบครอง ข้างในนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งซึ่งดูจากอารมณ์และร่องรอยพลังงานแล้วคาดว่าจะเป็นองค์ชาย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่สายเลือดเดียวกันกับคนที่ถูกหวังเป่าเล่อทำร้าย

หวังเป่าเล่อไม่สนใจสายตาทุกคนรอบด้าน ตอนนี้ดวงตาของเขากวาดไปยังองค์ชายไม่รู้สิ้นผู้ซึ่งสีหน้าซีดเซียว ดวงตาฉายแววโกรธเกรี้ยวและกัดฟันเรียกชื่อของเขาเบาๆ

“เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงเอ่ยชื่อข้า!” ขณะที่กล่าว ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นไหววูบหนึ่ง ก่อนจะหายวับ สีหน้าองค์ชายไม่รู้สิ้นเปลี่ยนไปอีกครั้ง จากนั้นจึงถอยหลังเร็วจี๋โดยไม่ลังเล เป้าหมายคือจุดที่องค์ชายไม่รู้สิ้นอีกผู้หนึ่งอยู่

แต่เขาก็ยังเร็วไม่เท่าหวังเป่าเล่อ ไม่ทันได้จากไปไหนไกล อากาศข้างกายก็พลันบิดเบี้ยว หวังเป่าเล่อก้าวออกมาแล้วยกเขาด้วยมือขวา!

“เจ้าคิดจะฆ่าข้าหรือ” หวังเป่าเล่อกล่าวเสียงเรียบ ออกหมัดกระแทกองค์ชายไม่รู้สิ้นผู้นี้ด้วยแรงทั้งหมดที่มีจนเกิดรอยแตกบนร่าง เลือดสาดกระเซ็น และไม่รอให้องค์ชายไม่รู้สิ้นส่งเสียงร้อง หวังเป่าเล่อก็เหวี่ยงหมัดชกเข้าอีกครั้ง!

“เจ้ายังจะด่าข้าว่าโง่อีกหรือไม่” หมัดนี้กอปรกับพลังแห่งความเร็วแล้วรุนแรงยิ่งกว่าก่อนหน้า เสียงกระแทกดังขึ้นพร้อมกับร่างองค์ชายไม่รู้สิ้นที่กระเด็นขึ้นไปในอากาศ ร่างกายมีรอยร้าว แม้แต่กระดูกก็แตกละเอียด ทั่วทั้งร่างราวกับกำลังจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ

“เจ้ายังจะกล้าเรียกชื่อข้าอีกหรือไม่” จิตสังหารสว่างวาบในดวงตาหวังเป่าเล่อ ร่างกายไล่ตามไปจนทัน กำลังจะยกเท้าเหยียบองค์ชายไม่รู้สิ้น ไอรีนโนเวล

ทว่า ตอนนั้นเองก็มีเสียงเย็นชาจากองค์ชายไม่รู้สิ้นผู้นั้นที่อยู่ในเตาหลอมดังขึ้น

“สหาย ทำร้ายได้ แต่สังหารไม่ได้”

หวังเป่าเล่อไม่แม้แต่จะเหลือบมอง แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ส่วนคนผู้นั้นก็เพียงแค่เอ่ยปาก ไม่ได้ขัดขวาง เห็นได้ชัดว่า…เพียงแค่กล่าวไปตามหน้าที่ในฐานะเพื่อนร่วมตระกูล หากแต่การลงมือขัดขวางไม่ใช่หน้าที่เขา

เรื่องนี้ย่อมไม่อาจรอดพ้นสายตาหวังเป่าเล่อ ไม่เช่นนั้นอีกฝ่ายก็ควรจะลงมือตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ซึ่งความจริงนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่หวังเป่าเล่อลงมือรุนแรงโดยที่ไม่คิดมากตั้งแต่เริ่ม

ดังนั้นเขายังคงกระแทกเท้าลงไปเสียงดังสนั่น องค์ชายไม่รู้สิ้นถูกโจมตีติดกันจนทั้งร่างกาย เลือดเนื้อ และกระดูกแตกเป็นเสี่ยงๆ ด้านวิญญาณเทพนั้นไม่รู้ว่าใช้เคล็ดวิชาใด ในพริบตาที่กายเนื้อแตกละเอียดก็แผ่พลังรุนแรงออกมา จนร่างของหวังเป่าเล่อกระเด็นออกไปอย่างแรง

วิญญาณเทพขององค์ชายส่งเสียงกรีดร้อง ก่อนจะถูกพลังปราณมืดม้วนตลบพาควบหนีไปไกล ไม่นานก็พุ่งออกจากใจกลางจักรวาลสีเทา หลบหนีไปแล้ว

“หวังเป่าเล่อ!!” เสียงเรียกดังขึ้น วิญญาณเทพขององค์ชายไม่ได้สังเกตเลยสักนิดว่าจุดที่เขาพุ่งไปตอนนี้มีปลาสีดำตัวหนึ่ง ลาตัวหนึ่ง และผู้เยาว์ที่คล้ายกับพวกหัวขโมยกำลังเหาะเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็วด้วยดวงตาที่ไร้ความปรานี

ไม่ใช่แค่เขาที่ไม่ได้สังเกตเห็น ในที่แห่งนี้นอกจากหวังเป่าเล่อและดารานิรันดร์ทุกคนแล้ว ก็ไม่มีใครเห็นฉากนี้ทั้งสิ้น ตอนนี้พวกเขาต่างกำลังตกตะลึงกับการลงมือของหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อเองไม่ได้สนใจผู้ที่หนีอีกต่อไป เขาเคลื่อนย้ายร่างร่างขึ้นไปบนเตาหลอมที่เด็กสาวจากสำนักแห่งความมืดอยู่ มองลงมาก่อนจะโบกมือขวา ทันใดนั้นผนึกก็ปลดออก เด็กสาวที่ติดอยู่ข้างในพลันพุ่งขึ้นมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น ดวงตาฉายแววชื่นชม ก่อนจะส่งเสียงโห่ร้อง

“ท่านอาเก่งที่สุด!”

“ข้าไม่ใช่ท่านอาของเจ้า!” หวังเป่าเล่อกวาดตามองเด็กสาว เขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของสำนักแห่งความมืดบนตัวอีกฝ่าย แต่ในใจยังมีความระแวงอยู่เล็กน้อย และเริ่มร้องเรียกศิษย์พี่ของตนในใจ

“ศิษย์พี่ เจ้าลูกหมีนี่เป็นใครกัน?”

“ลูกอะไร” ไม่นานดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อพลันมีเสียงแปลกใจของเฉินชิงจื่อดังกลับมา

“หืม? เด็กสาวจากสำนักแห่งความมืดตรงหน้าข้าน่ะ” หวังเป่าเล่อชะงัก

“ตรงหน้าเจ้า? ตรงหน้าเจ้าไม่มีอะไร…” ทันทีที่ได้ยิน ดวงตาหวังเป่าเล่อพลันหดแคบ เมื่อหันไปมองเด็กสาวอีกครั้ง นางก็…หายไปแล้ว!

หวังเป่าเล่อใจเต้นแรง หันมองรอบกายอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าทุกคนต่างไม่มีทีท่าประหลาดใจแม้แต่น้อย ราวกับว่า…พวกเขามองไม่เห็นเด็กสาวคนนั้นตั้งแต่แรก ราวกับว่าทุกอย่างก่อนหน้านี้เป็นภาพลวงตาของเขาเอง!

……………………………………………………….

หวังเป่าเล่อหรี่ตาเพ่งมององค์ชายไม่รู้สิ้นผู้นั้น ในยามนี้เท่าที่เขารู้จักตระกูลไม่รู้สิ้นและได้รู้จักราชนิกุลทั้งหมดมา ทุกคนล้วนเป็นลูกหลานสายในของจักรพรรดิสวรรค์ไม่รู้สิ้น

ตระกูลไม่รู้สิ้นในยามนี้ หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่ายังมีองค์ชายอีกหลายองค์ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คนผู้นี้ถูกส่งมายังที่นี่ได้แถมยังมีผู้พิทักษ์คอยติดตาม เห็นได้ชัดว่าองค์ชายผู้นี้คงมีชาติตระกูลไม่น้อย แม้ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งสูงสุดในหมู่องค์ชายแต่ก็ไม่ต่ำต้อยแน่นอน

“บางทีอาจจะเป็นบุตรหลานของจักรพรรดิเดือนแยก หรือบางทีอาจจะเป็นสายโลหิตนอกราชวงศ์ของจักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัว หรือบางทีก็เป็นสายโลหิตของจักรพรรดิสวรรค์องค์อื่นที่ไม่ได้มา?” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว เขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามจากตัวขององค์ชายไม่รู้สิ้นท่านนี้

กระทั่งกล่าวได้ว่า หากไม่ได้เข้ามายังดาวเคราะห์สีเทาดวงนี้ก่อน และไม่ได้รับการบ่มเพาะก่อนหน้า หากต้องสู้กับคนผู้นี้ เกรงว่าบางทีเขาอาจเพลี่ยงพล้ำ

ดารานิรันดร์ระดับสวรรค์ ย่อมสูงกว่าระดับปฐพีมาก แม้ไม่อาจเทียบกับดารานิรันดร์เต๋าของตน แต่พลังฝึกปรือของคนผู้นี้เป็นระดับดารานิรันดร์ขั้นสมบูรณ์แล้ว ส่วนสถานภาพของเขาย่อมทำให้เจ้าตัวได้รับทรัพยากรมากกว่า คิดไปแล้วในยามนี้ระยะห่างจากระดับจักรพิภพ…ก็คงไม่มากนัก

ท่าทางแบบนี้ หวังเป่าเล่อทราบดีแก่ใจ การจะฆ่าอีกฝ่ายนั้นยากอย่างยิ่ง อาจตกสู่กับดักได้ ทั้งอีกฝ่ายคงมีวิชาป้องกันตัวอยู่มากทีเดียว

“หรือว่า จุดมุ่งหมายที่มาที่นี่ ก็เพื่อให้ได้รับการบ่มเพาะนี้ แล้วเข้าสู่ระดับจักรพิภพ?” ความคิดมากมายแล่นผ่านหัวของหวังเป่าเล่อ เขาพลันผุดยิ้ม ฉับพลันดวงตาฉายประกายแวบหนึ่ง

ประกายตาที่วาบผ่านนี้ พริบตานั้นก่อเกิดเจตจำนงที่จะต่อสู้

“กล้าเป็นศัตรูกับเจ้า?” ในยามที่หวังเป่าเล่อเอ่ยปาก ร่างของเขาก็พุ่งทะยานด้วยความรวดเร็ว พริบตาก็เข้าใกล้เตาหลอมขององค์ชายไม่รู้สิ้น!

เขาไม่จำเป็นต้องไปคิดเรื่องว่าจะเป็นศัตรูกับอีกฝ่ายหรือไม่ ในฐานะที่เป็นคนของสำนักแห่งความมืด ศิษย์พี่ของเขากำลังต่อสู้กับจักรพรรดิสวรรค์ เช่นนั้นเขาก็ต้องสู้กับตระกูลไม่รู้สิ้นเช่นกัน อีกทั้งปรมาจารย์แห่งไฟอาจารย์ของเขาก็ไม่เคยคิดอยู่ร่วมโลกกับตระกูลนี้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเช่นไร ความเป็นศัตรู…ถูกกำหนดไว้แต่แรกแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อย่อมไม่ลังเลอะไรอีก อีกทั้งศิษย์พี่ยังอยู่ในเตาหลอม ตนจะสามารถนิ่งเฉยได้อย่างไร หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเขาจำเด็กสาวคนนั้นของสำนักแห่งความมืดได้ไม่ผิดแน่ นางย่อมเป็นคนของสำนักแห่งความมืด

ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดศิษย์พี่ถึงไม่ลงมือ หวังเป่าเล่อไม่สนใจ หากกจะช่วยแล้วผิดอย่างไรกัน

ดังนั้นในพริบตา เขาจึงทะลุมวลอากาศว่างเปล่า ก่อเกิดเสียงดังกังวาน ครู่ถัดมาที่ปรากฏกายอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็กำหมัดขวาแน่นแล้วกระแทกลงไป

ห้วงเวลานั้น ราวกับดาวเคราะห์สะท้านสั่นไหว เหล่าผู้พิทักษ์รอบด้านเตาหลอมแต่ละคนระเบิดพลังปราณแล้วพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ประสานพลังกันเพื่อสยบหวังเป่าเล่อ

อึดใจที่ทั้งสองฝ่ายใช้พลังปะทะกันนั้น ในจังหวะที่พลังปราณต่อประสาน…องค์ชายไม่รู้สิ้นผู้นั้นที่ยืนอยู่บนเตาหลอมพลันยกมือขวาขึ้น ในมือของเขามีไอหมอกสีดำก้อนหนึ่งปรากฏ มันหมุนวนจนก่อรูปเป็นไม้ไผ่สีดำห้าแท่ง!

ในซี่ไม้ไผ่เหล่านี้ ยามที่มันปรากฏร่างก็ถูกองค์ชายไม่รู้สิ้นหักเข้าหนึ่งแท่ง!

จังหวะที่หักนั้นเอง บรรยากาศรอบด้านของหวังเป่าเล่อก็บิดโค้ง พลันปรากฏรูปของแท่งไม้ไผ่นับหมื่นพุ่งเข้ามาหาเขาทันที

หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขาระเบิดพลังกายเนื้อแล้วใช้หนึ่งหมัดเช่นเดิม!

ทว่า ตอนนั้นเอง องค์ชายไม่รู้สิ้นผู้นั้นก็เผยประกายเย็บยะเยียบในแววตา เอ่ยปาก

“ทลาย!”

ระหว่างที่องค์ชายไม่รู้สิ้นเอ่ยปากนั้น ยังไม่ทันที่ไม้ไผ่ทั้งหมื่นแท่งจะเข้าใกล้หวังเป่าเล่อมันก็ระเบิดออก กลายเป็นลมพายุรุนแรงม้วนกวาดหวังเป่าเล่อเข้าไว้ข้างใน เวลาเดียวกันผู้พิทักษ์ทั้งสี่ก็ลงมือระเบิดพลังฝึกปรือของตนพุ่งเข้าโจมตี

เสียงดังสนั่นรุนแรงเกิดขึ้น เหล่าผู้พิทักษ์ที่ลงมือร่างกายสั่นสะท้านบ้าคลั่ง สีหน้าแปรเปลี่ยน ร่างของพวกเขาถูกขุมพลังกล้าแกร่งไร้การควบคุมซัดเข้าจนกระจายหายไปรอบทิศ ภายในพายุหมุนไม้ไผ่นับหมื่น หวังเป่าเล่อยามนี้สภาพดูไม่ได้เล็กน้อย ทว่าก็ยังอาศัยร่างเนื้อที่แข็งแกร่งพุ่งเข้าไปเช่นกัน ดวงตาเจือไปด้วยจิตสังหารเพ่งเล็งไปยังองค์ชายไม่รู้สิ้น เขาเคลื่อนกายครั้งหนึ่งพุ่งเข้าไปสังหารองค์ชายไม่รู้สิ้นที่ไม่มีผู้พิทักษ์รอบด้าน

แววตาขององค์ชายยังเหมือนเดิม ในจังหวะที่หวังเป่าเล่อพุ่งเข้ามา เขาหักไม้ไผ่สีดำอีกครั้ง พริบตานี้…ร่างของหวังเป่าเล่อถูกบังคับให้หยุด รอบด้านล้วนว่างเปล่าไร้เงาคลื่น ไม้ไผ่เหล่านั้นปรากฏออกมาอีกรอบ จำนนมหาศาล…มากกว่าคราวก่อนถึงกับมีประมาณห้าหมื่นแท่ง

ในพริบตาที่ปรากฏตัวออกมาอีกครา เหล่าไม้ไผ่พวกนี้ส่งเสียงระเบิดดึงกึกก้อง กลายเป็นพายุรุนแรงสะท้านขวัญกว่าเก่า ส่วนเหล่าผู้พิทักษ์รอบด้านก็พุ่งเข้ามาสังหารอีกครั้ง ต่างใช้พลังเทพ วิชา สมบัติล้ำค่า ออกมาไม่หยุด

เสียงดังกังวานไปทั่วแปดทิศ ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนรอบด้านหน้าเปลี่ยนสี เวลาเดียวกันกับที่หวาดผวาพลังขององค์ชายไม่รู้สิ้น เสียงคำรามของหวังเป่าเล่อก็ดังออกมาจากภายในพายุ พริบตาถัดมา…เหล่าผู้พิทักษ์ทั้งสี่ล้วนมุมปากอาบเลือด ต้องล่าถอยอีกครั้ง ส่วนหวังเป่าเล่อที่พวกเขาประสานพลังกันมาโจมตีกลับเหมือนอสูรดุร้ายจากบรรพกาล แม้จะสภาพย่ำแย่กว่าเก่า แต่จิตอาฆาตของเขากลับทวีกำลังกว่าเดิม พุ่งตัวเข้าไปอีกครั้ง

“โง่เง่า!”

องค์ชายไม่รู้สิ้นเอ่ยเสียงเรียบ ทว่าในใจกลับผ่อนคลายลง ในความคิดของเขา ถ้าเป็นพวกวิ่งเข้าชนไม่ยั้งก็ไม่น่ากลัวเท่าไร คนพวกนี้แค่หักท่อนไม้ก็จัดการได้แล้ว

ทว่า คนเบื้องหน้า ท่าทีที่แสดงออกตั้งแต่เข้ามาในพื้นที่นี้ช่างยโสโอหังนัก ความอหังการประเภทนี้หากใช้การประเมินของตนแล้ว กลิ่นอายเช่นนั้นคงจะสังหารผู้อื่นมาแล้วนับไม่ถ้วน Aileen-novel

ดังนั้นในยามที่เขาเอ่ยปาก และหวังเป่าเล่อพุ่งตัวเข้ามาอีกครั้ง องค์ชายไม่รู้สิ้นก็เผยยิ้มบาง แล้วจัดการหักไม้ไผ่สีดำในมือทั้งสามท่อนจนสะบั้นลงพร้อมกัน!

พริบตาที่ไม้ไผ่แตกหัก รอบด้านของหวังเป่าเล่อพลันปรากฏไม้ไผ่นับแสนกว่าแท่ง ตอนนั้นเอง พวกมันก็ระเบิดออกมา!

เสียงสะเทือนกัมปนาททลายฟ้า พายุหมุนรุนแรงเสียยิ่งกว่าครั้งก่อนกวาดเข้ารอบตัวหวังเป่าเล่อ ส่วนผู้พิทักษ์นับสิบกว่าคนรอบล้วนเผยยิ้มเหี้ยม พวกมันระเบิดพลังฝึกปรือ เผยให้เห็นร่างแท้ไม่รู้สิ้น ขุมกำลังของพวกมันในยามนี้แข็งแกร่งกว่าเก่าอย่างน้อยหนึ่งเท่า!

เห็นได้ชัดว่า ก่อนหน้านี้พวกมันไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดในการต่อสู้ แต่กลับแอบซ่อนเอาไว้ ยามนี้ระเบิดพลังออกมาก็ราวกับเทพโหดเหี้ยมสิบกว่าองค์ พุ่งมายังพายุคลั่งที่ล้อมตัวหวังเป่าเล่อ แล้วใช้พลังศึกทั้งหมดในการสังหาร!

ในชั่วพริบตา องค์ชายไม่รู้สิ้นพลันขยับกาย ก้าวเท้าออกจากเตาหลอม มือขวาที่ยกขึ้นของเขานั้นมีผนึกหินขนาดยักษ์ มันลอยขึ้นเบื้องหน้าของเขาอย่างรวดเร็ว แล้วพุ่งไปยังหวังเป่าเล่อซึ่งอยู่ในวงล้อมผู้คนและพายุ หวังจะสยบอีกฝ่าย!

“พวกโง่!” พริบตาที่ลงมือ องค์ชายไม่รู้สิ้นเผยประกายเหยียดหยามในแววตา แต่ว่า…ตอนที่เขาเข้ามาใกล้เพื่อลงมือและผู้พิทักษ์รอบด้านระเบิดพลัง พริบตาที่พายุพัดโหมนั่นเอง เสียงเรียบนิ่งเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากใจกลางพายุนั้น

“ในที่สุดเจ้าก็ออกมาแล้ว กฎกระดาษ!” ทันทีที่เขาลงมือ ภายในใจกลางพายุ หวังเป่าเล่อที่ทุกคนคิดว่าอยู่ท่ามกลางพายุได้คลั่งไปเสียแล้ว กลับมีสีหน้าเรียบเฉย ดวงตาฉายประกายประหลาด เขายกมือขวาขึ้นคว้าบางอย่าง พริบตานั้นดาวเคราะห์เต๋าดารานิรันดร์ด้านหลังของเขาก็พลันปรากฏร่าง

กฎแปรสภาพเป็นกระดาษ สำแดงพลังออกมาทันที

นั่นคือกฎแห่งดาวเคราะห์เต๋านิรันดร์ และเป็นแรงเสริมสำหรับดาวเคราะห์เต๋านิรันดร์ทั้งเก้าดวง คือสิ่งเหนี่ยวนำเหล่าดาวเคราะห์พิเศษนับหมื่นดวง ทุกอย่างหลอมรวมกันทำให้กฎแห่งการแปรสภาพเป็นกระดาษในยามนี้สำแดงพลังสุดขีดออกมา

จังหวะนั้นเอง พลังคลื่นที่ยากจะตรวจพบด้วยสัมผัสปรากฏขึ้นโดยมีหวังเป่าเล่อเป็นใจกลาง แผ่ซ่านออกไปทั่วทิศ กวาดล้างทุกสิ่งที่สัมผัสให้กลายเป็นกระดาษ!

พายุร้าย กลายเป็นเพียงเศษกระดาษ!

เหล่าผู้ฝึกตนที่เฝ้าพิทักษ์รอบด้าน ร่างกายสั่นสะท้านบ้าคลั่ง เวลาเดียวกันที่ใบหน้ายังคงอยู่ในความตกตะลึงนั้น ก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นกระดาษรูปมนุษย์!

ผนึกศิลาชิ้นนั้นก็เป็นเช่นเดียวกัน ด้านองค์ชายไม่รู้สิ้นที่เดินเข้ามา ร่างของเขาสั่นสะท้าน ใบหน้าถอดสี คิดจะล่าถอยก็ช้าไปเสียแล้ว เพราะคลื่นพลังกวาดผ่านร่างเข้าพอดี

ร่างกายของเขากลายเป็นกระดาษอย่างรวดเร็ว…เห็นชัดอย่างกระจ่างแจ้ง!

“ใครกันเล่าที่เป็นไอ้โง่?” ท้องฟ้าราวกับกลายเป็นสีขาว ท่ามกลางแผ่นกระดาษนับไม่ถ้วน หวังเป่าเล่อเดินออกมา ไม่ได้มีความโกรธแม้แต่น้อย อารมณ์นิ่งสงบ หันไปกล่าวกับองค์ชายไม่รู้สิ้นผู้นั้นเบาๆ ด้วยท่าทีเหมือนเอ่ยกับสภาพอากาศ

ยามที่เอ่ยปาก หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น เปลวไฟดวงหนึ่งก่อขึ้นมา…ส่งไปยังเศษกระดาษรอบด้าน ปล่อยไฟให้โหมกระจายไปทั่ว!

……………………………………………………………………………..

ที่แท้แล้วไม่พอ!

เส้นทางการฝึกตน แบ่งออกเป็นดวงวิญญาณเทพ ระดับพลัง และกายเนื้อสามเส้นทาง แม้มองไปแล้วไม่เหมือนกัน แต่ล้วนส่งผลกระทบต่อกันทั้งสิ้น หากว่ายกระดับชนิดใดชนิดหนึ่ง อีกสองอย่างย่อมได้รับการบำรุงไปด้วย

แต่ยากนักที่จะมีคนพัฒนาเส้นทางทั้งสามสายนี้ในเวลาเดียวกันได้ ส่วนผู้ที่สามารถทำได้นั้น ทุกคนล้วนถูกขนานนามว่าเก่งกาจเป็นยอดยุทธ์ มีพลังอหังการไร้เทียมทาน

เส้นทางที่หวังเป่าเล่อเดินก็คือเส้นทางนี้ ในยามนี้ดวงวิญญาณเทพของเขาอยู่ในระดับปลายของระดับดารานิรันดร์แล้ว กายเนื้อก็อยู่ระดับยอดสุดของระดับปลาย ห่างจากขั้นสมบูรณ์อีกเพียงนิดเดียว พลังฝึกปรือแม้จะด้อยอยู่บ้าง แต่ก็อยู่ระดับดารานิรันดร์ชั้นกลาง

เมื่อเป็นแบบนี้ พลังต่อสู้ที่แท้จริงของเขาก็เกินเลยระดับในยามที่ต้องประมือกับชงอี้จื่อ ระดับที่เกินเลยมานี้ยังไม่ใช่จำนวนน้อย แต่เป็นถึงระดับสิบกว่าจนกระทั่งถึงระดับหลายสิบทีเดียว!

ดังนั้นแล้ว เขาจึงสามารถทำลายล้างผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ชั้นสมบูรณ์หนึ่งคนได้ด้วยการกระแทกเพียงพริบตาเดียว ด้วยเหตุนี้…เกรงว่าต่อให้จะมีมหาศิษย์แห่งเต๋าสิบกว่าคนรวมตัวกัน แต่คนเหล่านี้ โดยเฉพาะเหล่าผู้ที่มาจากตระกูลสำนักทั้งหลาย แม้จะเป็นระดับมหาศิษย์แห่งเต๋า แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อ พวกเขา…ไม่เพียงพอ!

ในชั่วพริบตา หวังเป่าเล่อแทบไม่ได้หยุดยั้ง เข้าปะทะเข้ากับเหล่าผู้ฝึกตนที่ร่วมมือกันหลายสิบคน แทบจะทันทีที่กระแทกเข้าหา วิชาดวงเนตรปีศาจด้านหลังของหวังเป่าเล่อพลันปรากฏร่าง หลอมรวมกลายเป็นดวงเนตรของดวงวิญญาณเทพ ทำให้ดวงวิญญาณเทพของคนทั้งสิบกว่าคนตรงหน้าพลันเดือดพล่าน

หลังจากนั้นก็คือการปรากฏโฉมของดาวเคราะห์นับหมื่นดวง การโห่คำรามของเงาร่างเทพวัว ตามด้วยการพุ่งไปเบื้องหน้าโดยแรงราวกับจะทำลายภูผาสั่นสะท้านท้องนภา ราวกับเทือกเขาจะพังทลาย ราวกับจะพลิกหมุนผืนฟ้า เหล่าผู้ฝึกตนสิบกว่าคนเริ่มทยอยกันกระอักเลือด พลังเทพเสียหาย วิชาพังทลาย อาวุธล้ำค่าโบยบิน ร่างกายของพวกมันเสมือนว่าวที่ถูกหั่นสายป่าน และระหว่างที่พวกเขากระอักเลือดอยู่นั่นเอง ก็ถูกเทพวัวพุ่งชนจนแตกซ่านไป

เสียงดังทลายฟ้าก้องไปทั่วอาณาบริเวณ ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้ฝึกตนที่เหลือทั้งสี่ด้านล้วนต้องเบิกตากว้าง ภายในใจเกิดคลื่นยักษ์ซัดโหม!

แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะตอบโต้ หวังเป่าเล่อก็เริ่มย่างเท้า กลิ่นปราณพลันปรากฏเบื้องหน้าผู้ฝึกตนรายหนึ่งที่ล่าถอย คนผู้นี้เป็นสตรี หน้าตาพอดูได้ นางเผยแววตาตกตะลึง ความกลัวนั้นฉายชัดถึงขีดสุด กำลังจะเอ่ยปาก

“เจ้า…”

ยังไม่ทันได้กล่าวจบ หวังเป่าเล่อก็ต่อยเข้าไปอย่างเยือกเย็นคราหนึ่ง ทำให้ร่างของสตรีนางนี้แยกเป็นสี่ห้าท่อน หลังจากนั้นเขาขยับกายอีกครั้ง ร่างพลันปรากฏอยู่ข้างผู้ฝึกตนอีกคนและใช้เท้าเตะเข้าไป!

พลังกายภาพของดารานิรันดร์ชั้นปลายสูงสุดนั้น แท้จริงแล้วยังทำไม่ได้ถึงขั้นนี้ แต่หวังเป่าเล่อถือครองดาวเคราะห์มากมาย อีกทั้งยังมีวิชาเด็ดดารา นี่ทำให้กายเนื้อของเขามีพลังเหนือกว่าระดับของผู้ฝึกตนทั่วไปอย่างมาก

ยามที่ลูกเตะมาถึง เสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังขึ้น ผู้ที่ถูกหวังเป่าเล่อเตะเข้านั้น ร่างกายพลันระเบิดออก จิตวิญญาณเทพล้มถอย อีกทั้งยังยากจะหลบหนีได้ยังคงระเบิดออกอยู่ดี!

เท่านี้ยังไม่จบ ดวงตาหวังเป่าเล่อฉายประกายเย็นชา ร่างกายพลันขยับอีกครั้ง ในพริบตาก็กลายเป็นเงาร่างขาดแหว่งสามร่าง ติดตามผู้ฝึกตนจากตระกูลหมื่นสำนักที่มีพลังต่อสู้เหนือชงอี้จื่อไปอีกสามคน หลังจากปรากฏกาย เขาใช้หมัดโจมตี!

ไม่จำเป็นต้องใช้วิชาเทพ ทั้งสามก็กระอักเลือด ร่างเนื้อยากจะรับได้ พริบตานั้นพลันระเบิดออก แต่ในระหว่างที่เลือดเนื้อพังทลายลง ดวงวิญญาณเทพของพวกเขาก็พุ่งตัวไปอย่างเร่งร้อน ดวงวิญญาณเทพของแต่ละคน แท้จริงแล้วภายนอกกลับมีวัตถุประหลาดสถิตอยู่

นั่นคือรูปสลักไม้สีดำชิ้นหนึ่ง ดาบเล็กสีโลหิตและเกล็ดหนึ่งชิ้น

ของประหลาดสามสิ่ง พลันเผยกลิ่นอายระดับจักรพิภพ เป็นของสามชิ้นที่ใช้ปกป้องกายของทั้งสาม แม้ในตระกูลสำนักของตนทั้งสามคนนั้น จะไม่ใช่ลำดับที่หนึ่งแต่ก็นับว่าใกล้เคียง ดังนั้นแล้วจึงได้รับของล้ำค่าเหล่านี้มาพิทักษ์ดวงวิญญาณเทพ

ยามนี้ร่างเนื้อแหลกสลาย ของประหลาดกลับปรากฏกายเพื่อลดทอนพลังสังหารของหวังเป่าเล่อ ทำให้ดวงวิญญาณเทพของทั้งสาม รีบเร่งหลบหนีท่ามกลางความแตกตื่นตกตะลึง พวกเขาพยายามหนีเคราะห์ร้ายที่อาจทำให้ถึงตายในครั้งนี้อย่างรวดเร็ว

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง แค่นเสียงเย็น ตอนนี้สิ่งสำคัญสำหรับเขาคือการเข้าไปดูดกลืนกฎแห่งการทำลายล้างในเตาหลอม จึงขี้เกียจตามไล่ฆ่าคนเหล่านี้ ในส่วนคนอื่นๆ เมื่อถอยห่างออกไปไกลแล้ว หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้สนใจ เขาขยับตัวครั้งหนึ่งก็พุ่งไปยังเตาหลอม

รอบนี้…ผู้ฝึกตนจากตระกูลหมื่นสำนักไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปห้ามเขาสักนิด

แท้จริงแล้ว ตั้งแต่ที่หวังเป่าเล่อบินมาจนถึงตรงนี้ ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นล้วนเกิดในพริบตาเดียว…เร็วเกินไปแล้ว!

การลงมือและล่าถอยของหวังเป่าเล่อนั้นสังหารคนไปทั้งสิ้นสามคน บีบให้มหาศิษย์แห่งเต๋าซึ่งเข้าใกล้ระดับแรกทั้งหมดสามคนนั้นต้องใช้วัตถุระดับจักรพิภพมารักษาชีวิต สิ่งนี้ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนที่เหลือล้วนแต่ศีรษะด้านชา รีบเหาะถอยรวดเร็ว แม้จะเห็นว่าหวังเป่าเล่อพุ่งไปยังเตาหลอมแล้ว แต่ความหวาดเกรงที่ทำให้หัวใจเต้นระรัวก็ไม่ได้ลดถอยลง ตอนนั้นเองใครบางคนก็เอ่ยปากขึ้นมา ไอลีนโนเวล

“ข้าขอถอนตัวจากการชิงเตาหลอม!!”

“ถอนตัว!”

“สหายหวัง อย่าได้เข้าใจผิด ข้าเองก็จะขอถอนตัวจากการชิงเตาเช่นกัน!”

กล่าวจบ เหล่าคนที่เหลือซึ่งถอยหนีไปแล้วต่างทยอยกันเอ่ยปาก เนื่องจากเกรงว่าจะนำพาความเข้าใจผิด ทว่า แท้จริงแล้ว…พวกเขาสัมผัสได้ว่าหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งจนน่าพรั่นพรึงมากเกินไป ไม่ได้อ่อนด้อยไปกว่าบรรดาระดับจักรพิภพหน้าใหม่ทั่วไปแม้แต่น้อย โดยเฉพาะระดับความโหดเหี้ยมนั้น ทำให้พวกเขาสั่นสะท้านสุดขีด

หากไปแย่งชิงกับคนโหดเหี้ยมเช่นนี้ ก็นับเป็นการรนหาที่ตายโดยแท้ ดังนั้นแล้วในเวลาอันรวดเร็ว ผู้ที่หลีกทางล่าถอยให้ก็ไปเข้าร่วมชิงเตาหลอมอื่นๆ เพราะยังไม่อาจยินยอมตัดใจจากไปได้

นั่นทำให้การแย่งชิงเตาหลอมอื่นๆ เวลานี้รุนแรงมากขึ้น ทว่าหวังเป่าเล่อไม่สนใจเรื่องราวเหล่านั้น เขาเหยียบเข้ามาในเตาหลอมที่หมายมั่นเอาไว้ ในส่วนด้านของเตาหลอมเตานี้ นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีผู้อื่นแม้ครึ่งคน แม้จะมีสายตาจำนวนมากจากรอบทิศคอยจับจ้อง แต่ก็ไม่มีใครกล้ากล้ำกรายเข้ามา

อย่างไรเสีย ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่แม้จะหวาดกลัวแต่ก็อิจฉา เห็นได้ชัดว่าการปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อ พลังที่แสดงออกมาทั้งหมดเรียกได้ว่าอหังการเหลือคณานับ สยบทั้งแปดทิศ พละกำลังเต็มเปี่ยม

คนประเภทนี้ คือความปรารถนาของเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าเหล่านั้น ดังนั้นเมื่อตัวพวกเขาเองทำไม่ได้แต่กลับต้องทนมองผู้อื่นทำด้วยตาของตนเอง ย่อมอิจฉาเป็นธรรมดา

แต่ว่าไม่ว่าจะเป็นความกลัวหรือความอิจฉา ตอนนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหวังเป่าเล่อ ที่เขาต้องการที่สุด ก็คือทำให้ร่างเนื้อของตน ทะลุขีดสูงสุดของระดับดารานิรันดร์ชั้นปลาย แล้วเคลื่อนเข้าสู่….ดารานิรันดร์ขั้นสมบูรณ์!

ดังนั้นแล้ว ด้วยความรวดเร็ว หลังจากหวังเป่าเล่อเข้าสู่เตาหลอมแล้ว ไม่ทันได้นั่งขัดสมาธิให้ดี ก็พลันสัมผัสได้ถึงกฎแห่งการทำลายล้างอันหนาแน่นที่อยู่ในนั้น ฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างของเขาประสานเสียงดังออกมา แสดงความปรารถนาอีกครั้ง

“ที่แท้เข้ากันได้!” ดวงตาหวังเป่าเล่อฉายประกายยินดี ขณะที่กำลังจะนั่งลงเพื่อดูดกลืน ทันใดนั้นเองในเตาหลอมห่างออกไปที่ถูกตระกูลไม่รู้สิ้นเข้ายึดครอง พลันก่อเกิดคลื่นพลังรุนแรงออกมา

ในพริบตาที่คลื่นพลังระเบิดออกสู่นอกเตาหลอม ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนที่คอยพิทักษ์อยู่ด้านนอกเตาหลอมของตระกูลไม่รู้สิ้นทยอยกันระเบิดพลังฝึกตนเพื่อช่วยสกัด เวลาเดียวกันภายในเตาหลอมแห่งนั้น ตอนนี้มีเสียงเร่งร้อนดังออกมา

“ท่านอาช่วยข้าที!”

เสียงนี้ดังไปทั่วทุกทิศ เข้าสู่หูของหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกว่าคุ้นกับเสียงนี้มาก ดังนั้นจึงแหงนหน้ามองไปครั้งหนึ่ง พลันเห็นว่าภายในเตาหลอมที่ตระกูลไม่รู้สิ้นยึดครองอยู่นั้น ยามนี้มีเงาร่างของเด็กสาวตัวน้อยที่คุ้นเคยส่องประกายแวบอยู่ในนั้นราวกับต้องการหนีออกจากเตาหลอม ทว่ากลับถูกมือมายาขนาดยักษ์จับศีรษะเอาไว้ สะกดเอาไว้ด้านใน บังคับให้กลับเข้าสู่เตาหลอม

“สหายเต๋าหวัง พวกเราไม่ล่วงเกินซึ่งกัน” ยามนี้เอง ขณะที่กดร่างของเด็กสาวลงไปแล้ว ส่วนบนของเตาหลอม พลันมีเงาร่างหนึ่งหลอมรวมขึ้นมา

เงาร่างนี้ดูไปแล้วคล้ายผู้เยาว์คนหนึ่ง สวมชุดยาวสีทอง หน้าตารูปงาม ดวงตาราวกับมีดวงดาราอยู่ข้างใน แม้จะเหมือนกับคนผู้อื่นล้วนเป็นระดับดารานิรันดร์ขั้นสมบูรณ์ แต่กลิ่นอายบนร่างนั้น เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งกว่าผู้อื่นมากทีเดียว

เพราะว่า เขาคือราชนิกุลของเผ่าไม่รู้สิ้น เพราะว่าดารานิรันดร์ของเขาไม่ใช่ชั้นต่ำ แต่กลับเป็น…ดารานิรันดร์ระดับสวรรค์ที่มีแต่คนในเผ่าเท่านั้นที่จะครอบครองได้!

ในพริบตาที่หวังเป่าเล่อประสานสายตากับคนผู้นี้ เขาพลันรู้สึกเสียดแทงนัยน์ตาอย่างมาก แต่แล้วก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นประกายวาบจึงปรากฏขึ้นในดวงตา เขาขมวดคิ้ว

เพราะ…เขาจำเงาร่างที่ส่องสว่างแวบหนึ่งนั้นได้ นางคือเด็กสาวของสำนักแห่งความมืดที่เคยพบในปีนั้น ในสุสานดวงดารา!

“ศิษย์พี่อยู่ที่นี่ ทำไมถึงไม่ลงมือเล่า?” หวังเป่าเล่อสงสัยเล็กน้อย และยังสงสัยด้วยว่าทำไมอีกฝ่ายถึงเรียกตนว่าท่านอา…ดังนั้นเขาจึงทะยานร่างขึ้นมาจากเตาหลอม มองไปยังผู้เยาว์ของเผ่าไม่รู้สิ้นที่อยู่ในเตาหลอมห่างไกล

“ปล่อยนาง”

ผู้เยาว์ราชนิกุลของตระกูลไม่รู้สิ้นเงียบขรึม ส่วนผู้ฝึกตนที่คอยเฝ้าอยู่ทั้งสี่ต่างขมวดคิ้ว มองหวังเป่าเล่ออย่างไม่เป็นมิตร ก่อนหน้านี้แม้จะกลัวความสามารถที่หวังเป่าเล่อแสดงออกมา แต่ภายในใจของพวกเขานั้น ราชนิกุลของตนก็สามารถทำทั้งหมดได้เช่นเดียวกัน

“เจ้าอยากเป็นศัตรูกับข้าจริงๆ หรือ?” ราชนิกุลตระกูลไม่รู้สิ้นนิ่งเงียบ และถอนหายใจยาวหลายครั้ง เขาหรี่ตามองมายังหวังเป่าเล่อ ก่อนจะเอ่ยปาก

…………………………………………….

พริบตานั้นทั้งสองฝ่ายต่างประสานสายตา!

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ภายใต้การกวาดมองนี้ เขาพบเตาหลอมยักษ์ทั้งแปดด้านนอก ในจำนวนนี้มีแปดเตาที่ถูกผู้ฝึกตนยึดครองไปแล้ว แม้ไม่เห็นลักษณะของผู้เข้ายึดครอง แต่ก็เห็นได้ว่าบริเวณรอบเตายักษ์ทั้งสี่นั้นล้วนมีผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์นับสิบกว่าคนกำลังพิทักษ์อยู่

ในบรรดานั้นมีอยู่สองเตาซึ่งผู้พิทักษ์เป็นคนของตระกูลไม่รู้สิ้น ในส่วนของอีกสองเตาแม้ไม่ใช่ตระกูลไม่รู้สิ้น แต่ในด้านขุมพลังก็ไม่ด้อยกว่ากันเท่าไร

บรรดานั้นมีกลุ่มคนนับสิบกว่าคน ตั้งวงล้อมเป็นค่ายขนาดใหญ่ ทำให้ปราณบริเวณเหนือเตาหลอมแปรสภาพเป็นมังกรยักษ์สีเงินตัวหนึ่ง มันนอนหลับตาขดตัวอยู่ กลิ่นปราณสะท้านสะเทือนขวัญ

ในส่วนของอีกเตานั้น พลังปราณหลอมลักษณ์ออกมาเป็นทรงกระบี่โบราณห้าเล่ม ปราณกระบี่ห้าสายแผ่กระจายโอบล้อมรอบทิศ พาให้จิตใจสั่นสะท้านเช่นกัน

นอกจากเตาทั้งสี่นี้แล้ว บริเวณเตาอีกสี่เตาโดยรอบก็วุ่นวายอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้าที่หวังเป่าเล่อจะมาถึงนี้ พวกเขากำลังต่อสู้แย่งชิง แต่เนื่องจากพละกำลังเสมอกันมากไป อีกทั้งยังเป็นพวกอ่อนแอทั้งสิ้น ดังนั้นแล้วเป็นเวลากว่าชั่วยามเศษๆ จึงยังไม่สามารถตัดสินรู้ผลได้

การมาของหวังเป่าเล่อ แม้จะทำให้บรรดาผู้ฝึกตนเหล่านี้หันไปมอง ทว่าในพริบตาผู้ฝึกตนส่วนมากก็รั้งสายตากลับ ไม่ได้สนใจเขาอีก ส่วนพวกที่อยู่ในระหว่างการต่อสู้ย่อมไม่หันไปพิจารณาหวังเป่าเล่อโดยละเอียด เพียงแค่หันมาสนใจครู่หนึ่ง ครั้นเห็นว่าหวังเป่าเล่อเป็นเพียงระดับดารานิรันดร์ขั้นกลาง พวกเขาก็ไม่ได้สนใจมากนัก

ต่อให้สัมผัสได้ว่าพลังกายของหวังเป่าเล่อจะอยู่ในระดับดารานิรันดร์ขั้นปลายแล้วก็ตาม แต่ผู้คนที่นี่ไม่ว่าจะเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าจากตระกูลใดก็ล้วนมีคุณสมบัติน่าพรั่นพรึงทั้งสิ้น พลังฝึกปรือไม่ด้อย พลังกายยิ่งไม่ธรรมดาเช่นกัน

ดังนั้นแล้ว สำหรับผู้ฝึกตนระดับกลางหนึ่งคน และกายเนื้อที่อยู่ระดับปลายผู้นี้ จึงไม่มีค่าให้พวกเขาหันมาสนใจมากนัก เห็นได้ชัดว่าพลังฝึกปรือและประสบการณ์ของพวกเขายังไม่มากพอที่จะทราบว่า ผู้บุกรุกเบื้องหน้านี้ แม้พลังฝึกปรือจะอยู่ระดับดารานิรันดร์ชั้นปลาย แต่จำนวนดาวเคราะห์ในกายนั้นมีมากจนทำให้คนตกตะลึงได้ ร่างเนื้อแม้จะเป็นแค่ดารานิรันดร์ชั้นปลายก็ตาม แต่นั่นอยู่ภายใต้วิชาเด็ดดารา เป็นพลังที่หลอมรวมมาจากดาวเคราะห์พิเศษนับหมื่นดวง!

ทว่า ก็ยังพอมีคนบางกลุ่มเดาออกถึงจุดซ่อนเร้น ในยามนี้ตรงหม้อหลอมสี่ใบซึ่งมีเหล่าผู้เฝ้าระวังอยู่นั้น มีสองใบที่ส่งกระแสจิตบอกเหล่าผู้พิทักษ์ของตน

“เจ้าหมอนี่มีบางอย่างแปลกประหลาด!”

“อย่าไปหาเรื่องมัน ดูท่าผู้มาใหม่ไม่ใช่คนโง่เง่า คงไม่ลงมือหาเรื่องพวกเรา!”

นอกจากเหล่าผู้เข้ายึดครองภายในหม้อหลอมทั้งสองฝั่งแล้วที่พอจะคาดเดาความผิดปกติได้ ก็ไม่มีใครสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของหวังเป่าเล่ออีก ดังนั้นคนจำนวนมากจึงดึงสายตากลับแล้วหันไปสนใจสู้กันเองต่อ ยามนี้เสียงปะทะดังสนั่นจึงปะทุขึ้นอีกครั้งทั้งสี่ทิศ

เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็หรี่ตา ตอนที่เขามาถึงนั้น เซี่ยไห่หยางก็ได้บอกเล่ารายละเอียดของ เตาหลอมมาให้เขามากมายแล้ว ยามนี้พิจารณาดูตำแหน่งของหม้อหลอม โดยเฉพาะเตาตรงกลางซึ่งหม้อหลอมทั้งแปดโอบล้อมเอาไว้มีกลิ่นปราณของศิษย์พี่ใหญ่ลางๆ เขาเข้าใจทุกสิ่งในทันที

เตาหลอมด้านนอกทั้งแปดนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นสถานที่ตื่นรู้ที่ดีที่สุด ครั้นจักรพรรดิเดือนแยกตายเมื่อไร เหล่าผู้ฝึกตนที่เข้ายึดครองในเตาหลอมทั้งแปดใบก็จะถือว่ามีส่วนยึดโยงกับเตาหลอมใจกลาง ย่อมได้รับพลังกลับไปมากที่สุดด้วย!

เช่นเดียวกัน เหล่าคนที่ไม่อาจเข้ายึดครองเตาหลอมได้ อยู่เพียงแค่บริเวณรอบด้านก็จะได้รับพลังไปด้วย ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว จำนวนของพลังที่ได้รับย่อมแตกต่างมหาศาล

เหล่าผู้ฝึกตนนับร้อยบนพื้นที่นี้ แต่ละคนล้วนมาจากตระกูลหมื่นสำนักทั้งสิ้น เป็นรองแค่มหาศิษย์แห่งเต๋าระดับหนึ่งเท่านั้น กระทั่งยังมีบางคนเป็นไปได้อย่างมากว่าเข้าสู่ระดับที่หนึ่งไปแล้ว ดังนั้นการบ่มเพาะในครั้งนี้จึงสำคัญสำหรับพวกเขามาก หากว่ามีโอกาสได้เพิ่มพูนพลังครั้งสำคัญ ใครก็ไม่อยากส่งมอบโอกาสนี้ให้คนอื่น

ในส่วนของเหล่าผู้ฝึกตนที่เข้ายึดครองหม้อหลอมได้อย่างหมดจดและมีคนเฝ้าพิทักษ์อยู่โดยรอบนั้น เห็นได้ชัดว่าย่อมเป็นผู้ที่มาก่อน ผู้ที่เข้ายึดครองบริเวณภายในเตาหลอมได้ นอกจากจะต้องมีสถานภาพและพลังฝึกปรือที่สามารถสยบคนนอกในสำนักของตนเองได้แล้ว ยังต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างมาก ถึงจะแลกโอกาสนี้มาได้ด้วย

ในส่วนของเตาหลอมที่เหลือทั้งสี่ เห็นได้ชัดว่ายังไม่มีผู้ใดช่วงชิงได้ในระดับนั้น จึงก่อเกิดความโกลาหลเช่นนี้

แต่ในสายตาของหวังเป่าเล่อ ต่อให้เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ก็ไม่เท่าไร ยามนี้สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่รอความตายของจักรพรรดิเดือนแยกแล้วหาโอกาสบ่มเพาะ ทว่าสิ่งที่เขาต้องการคือ…กฎแห่งการทำลายล้าง!

หากว่าดูดกลืนกฎแห่งการทำลายล้างได้เพียงพอแล้ว ก็จะสามารถสร้างแรงดูดกลืนได้มาก ดึงพลังปราณเต๋าสวรรค์มาได้มากกว่าเก่า อย่างไรก็ดี สำหรับเขาแล้วเตาหลอมทั้งแปดนี้ด้านในบรรจุกฎแห่งการทำลายล้างไว้ในปริมาณที่น่าตกใจอย่างเหนือคาด

“ดูท่าข้าจะมาช้าไปหน่อย…” ยามนี้ดวงตาหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ร่างเนื้อของเขานั้นห่างจากระดับดารานิรันดร์ขั้นสมบูรณ์อีกเพียงเล็กน้อย ในใจเริ่มร้อนรนขึ้นมา หลังมองเห็นความวุ่นวายตรงนี้เข้า ดวงตาก็ทอประกายจิตสังหารวูบหนึ่ง เขากวาดตามอง แล้วจับจ้องไปยังเตาหลอมที่มีผู้ฝึกตนนับสิบกำลังแย่งชิงอยู่เตาหนึ่ง พลันขยับร่างพุ่งเข้าไป ไอรีนโนเวล

ความเร็วนั้นรวดเร็วประหนึ่งดาวตกเส้นหนึ่ง ทะยานเข้าไปใกล้ในพริบตา

ทว่า การปรากฏตัวของเขาก็ดึงดูดสายตาของทุกคนตรงนั้นเช่นกัน ดังนั้นแล้วในตอนที่หวังเป่าเล่อทะยานร่าง พริบตานั้นเหล่าผู้ฝึกตนที่รายล้อมเตาหลอมซึ่งเขาเพ่งเล็งไว้ แต่เดิมที่กำลังแก่งแย่งกันอยู่ล้วนสัมผัสได้ถึงเขาทีละน้อย ทั้งหมดต่างหยุดการต่อสู้ลง โทสะในใจเริ่มพวยพุ่ง เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อพุ่งกายตรงมายังที่พวกตนอยู่ ดวงตาก็ทอประกายกร้าว มือขวาพลันยกขึ้นมา เอื้อมไปด้านหลังพร้อมคว้าจับอย่างรุนแรง

“หาที่ตายเองโดยแท้ ประจวบเหมาะนัก ข้าจะได้ยืมปราณและเลือดของเจ้ามาใช้ เสริมสร้างดวงวิญญาณเทพของข้า!” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งกล่าวออกมา ระหว่างที่กล่าวนั้นก็ระเบิดพลังฝึกปรือระดับดารานิรันดร์ขั้นสมบูรณ์อย่างรุนแรง กลายเป็นดาวเคราะห์นิรันดร์ดวงยักษ์ที่ยามนี้ได้หลอมรวมก่อเป็นกรงเล็บงองุ้ม ฉับพลันมีพลังสะกดข่มไร้ขอบเขตเกิดขึ้น กรงเล็บนั้นพุ่งตรงมาทางหวังเป่าเล่อ

ในชั่วพริบตา พลังฝ่ามือขนาดยักษ์นี้ก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อแล้ว ครั้นเห็นว่าตนกำลังจะถูกคว้าได้ หวังเป่าเล่อกลับผุดยิ้มเย็น ไม่หลบซ่อนเลยสักนิด ทั้งร่างเพิ่มความเร็วขึ้น และในชั่วเวลาอันน่าตกตะลึงนั้น ก็พุ่งเข้าชนกับฝ่ามือ

ตอนนั้นเองเกิดเสียงดังก้องฟ้า พลังปราณสะท้านใจผู้คน มองเห็นฝ่ามือที่แข็งกล้าฝ่ามือนั้นปะทะเข้ากับร่างกายของหวังเป่าเล่อ หากมีผู้ใดจับตัวหวังเป่าเล่อได้ ร่างกายของคนผู้นั้นอาจจะไม่อาจต้านทานจนต้องพินาศไปในพริบตา

ยามนี้เสียงโหยหวนเสียงหนึ่งดังขึ้น ดังออกมาจากปากของผู้ฝึกตนวัยกลางคนผู้นั้น ฝ่ามือของเขาแยกออกเป็นสี่ห้าส่วน สีหน้าแปรเปลี่ยนโดยพลัน ดวงตาฉายแววตื่นตะลึง ตอนนี้แม้คิดจะล่าถอยแต่ก็สายไปเสียแล้ว ความเร็วของหวังเป่าเล่อสูงลิ่ว หลังจากทำลายฝ่ามือยักษ์นั่นได้ ก็ปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าผู้ฝึกตนวัยกลางคนนี้ และใช้ฝ่ามือทาบลงไปโดยไม่มองด้วยซ้ำ

ตู้มม!

ฝ่ามือหนึ่งมาถึง ดารานิรันดร์คำรบหนึ่ง ถูกทำลายในพริบตา!

ผู้ฝึกตนวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้ยังโอหัง ตอนนี้แม้จะร้องโหยหวนยังทำไม่ได้ ร่างกายของเขาแหลกสลายเป็นเสี่ยงๆ ดวงวิญญาณเทพพังพินาศ จิตวิญญาณแหลกสลาย!

ฉากนี้ ทำให้เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าจากหลากตระกูลหมื่นสำนักที่กำลังต่อสู้กันอยู่ล้วนจิตใจสั่นไหวไปในพริบตา ในใจบังเกิดคลื่นลมสูงเทียมฟ้า!

“นี่มันเรื่องอะไรกัน!”

“ฝ่ามือหนึ่ง…สังหารดารานิรันดร์ชั้นสมบูรณ์ได้งั้นหรือ?”

“พลังร่างเนื้ออะไรกัน!”

กระทั่งเตาหลอมที่มีผู้ถือครองทั้งสี่ และมีผู้พิทักษ์รอบด้าน เวลานี้ก็แผ่กลิ่นอายสั่นสะท้านออกมา ดวงตารอบด้านจับจ้องมาทางหวังเป่าเล่อ

ตอนนั้นเอง ผู้ฝึกตนที่มาจากจักรพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้ายก็มีบางคนที่จำหวังเป่าเล่อได้ ส่งเสียงร้องออกมาอย่างลืมตัว

“เขาคือ…หวังเป่าเล่อ!”

“ผู้ถือครองดาวเคราะห์เต๋า หวังเป่าเล่อที่เอาชนะชงอี้จื่อได้!!”

หลังจากนั้นเสียงฮือฮาก็ดังขึ้น หวังเป่าเล่อไม่ได้ให้ความสนใจ ตอนนี้เส้นเลือดฝอยในดวงตาเขามีจำนวนมากกว่าเก่า เห็นแค่เพียงเตาหลอมเท่านั้น ดังนั้นแล้วจึงพุ่งไปยังเตาหลอมที่หมายไว้โดยไม่ได้ลดความเร็วลง

เหล่าผู้ฝึกตนที่เห็นว่าหวังเป่าเล่อเข้าใกล้เตาหลอมนั้นล้วนตกตะลึงและรันทดใจสุดขีด ที่รอบด้านเตาหลอมเหล่าผู้ฝึกตนนับสิบกว่าคนซึ่งกำลังต่อสู้กันอยู่ล้วนหน้าเปลี่ยนสีทันที บางคนจิตใจแตกกระเจิง แต่ก็มีบ้างที่ไม่ยินยอม ตอนนั้นเองก็มีผู้เยาว์ที่มาจากจักรพิภพสำนักเสริมรายหนึ่ง ดวงตาฉายประกายดุดันส่งเสียงร้องต่ำ

“หากไปแย่งเตาหลอมอื่นๆ จะยากยิ่งกว่านี้ ไม่สู้ร่วมมือกัน เอาชนะคนผู้นี้ให้ได้!”

หากเปลี่ยนเป็นผู้อ่อนแอคนอื่น บางทีอาจไม่เป็นเช่นนี้ แต่คนเหล่านี้ล้วนเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋า เมื่อได้ยินนัยน์ตาจึงเผยประกายฮึกเหิมอยากสู้ขึ้นในทันที เพราะว่าในตอนนี้ หากเทียบกับสถานการณ์ช่วงชิงเตาหลอมอื่นๆ ให้พวกเขาเข้าไปต่อสู้เกรงว่าจะยากกว่านี้จริงๆ อีกอย่างจำนวนคนก็เพิ่มมากขึ้น แต่ตำแหน่งที่ว่างเหลือน้อยแล้ว

ในเมื่อเป็นแบบนี้ ไม่สู้ร่วมมือกันเสียจะดีกว่า สามัคคีกันเอาชนะ!

พริบตานั้น ในบรรดากลุ่มผู้ฝึกตนสิบกว่าคน นอกจากสามคนที่เหลือซึ่งหน้าถอดสีวิ่งหนีไปแล้วนั้น คนที่เหลือล้วนทะยานตัวด้วยความรวดเร็ว กลายเป็นเส้นรุ้งเหยียดยาวพุ่งเข้ามาลงมือหวังเป่าเล่อที่เคลื่อนเข้าใกล้

ในชั่วอึดใจ พลังปราณของระดับดารานิรันดร์ขั้นสมบูรณ์ก็แผ่สะท้านท่วมท้นไปทั้งแปดทิศ นอกจากนี้ยังมีวิชาเทพ แสงแห่งสมบัติล้ำค่า แสงโชติช่วงกระจายไปทั่ว แล้วยังมีพลังแห่งกฎที่มารวมตัวกัน ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์พุ่งเข้าตรงมายังหวังเป่าเล่อด้วยความรวดเร็ว!

คนเหล่านี้ ไม่ว่าใครก็ตามล้วนเก่งกาจเช่นชงอี้จื่อ กระทั่งบางคนอาจก้าวล้ำชงอี้จื่อไปแล้ว ดังนั้นการร่วมมือกันของพวกเขาจึงก่อเกิดขุมกำลังสะท้านฟ้า!

แต่เห็นได้ชัดว่า…ไม่เพียงพอ!

…………………………………

หลังจากการนำของจักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัว พริบตานั้นกองทัพตระกูลไม่รู้สิ้นนับแสนนับหมื่นก็พลันโห่ร้องคำราม เหล่าผู้ฝึกตนของตระกูลไม่รู้สิ้นทวีกำลังขึ้นไม่หยุด พยายามดึงเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นออกมาให้มาก ทำให้ไอหมอกสีครามที่สร้างขึ้นค่อยๆ ร่วงลงสู่ท้องฟ้าสีเทาทีละก้อน

เวลาเดียวกัน ทางด้านหวังเป่าเล่อก็ทวีความบ้าคลั่ง เส้นไหมสีเขียวจำนวนมากไหลหลั่ง ถูกฝักกระบี่เจ้าชะตาประจำกายของเขาดูดกลืน หลังจากนั้นก็หวนคืนเสริมสร้างพลังกล้ามเนื้อให้แก่เขาจนคล้ายกับเป็นวัฏจักรหนึ่ง ทำให้หวังเป่าเล่อใกล้อยู่ในสภาวะหลงลืมตัวตน

ส่วนอู๋น้อยและเจ้าลาน้อยยามนี้ตื่นเต้นมาก แม้จะไม่กล้าพุ่งเข้าหาทะเลเส้นไหมสีเขียว แต่พวกมันก็พยายามดูดกลืนอยู่ภายนอกอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะเจ้าปลาดำก็กำลังทำเช่นเดียวกัน

ทว่า เมื่อมันเห็นอู๋น้อยและเจ้าลาน้อยแล้ว สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นเหยียดหยามพลางทะยานร่างเข้าไปอยู่ในทะเลเส้นไหมสีเขียวดังกล่าว ก่อนจะอ้าปากกว้าง…กลืนเส้นไหมสีเขียวเข้าไปมากกว่าร้อยเส้น

ฉากนี้ทำให้เจ้าลาน้อยและอู๋น้อยเห็นพลันหยุดชะงัก ในใจที่แต่เดิมก็ไม่ยินยอมอยู่แล้วอยู่แล้ว พลันรู้สึกรุนแรงมากขึ้น แต่ละคนใช้สารพัดวิธี อู๋น้อยไม่รู้หาวิธีใดมา ร่างกายของมันพลันกลายเป็นพายุหมุนขนาดย่อมดูดเส้นไหมสีเขียวเข้าไป

ส่วนเจ้าลาน้อยนั้นน่าทึ่งกว่ามันมากนัก มันไม่มีทางกลายร่างเป็นพายุได้ และก็ไม่ได้มีปากที่ใหญ่ขนาดนั้น หากแต่หลังจากดูดกลืนเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดและเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นแล้ว ท่าทางของมันกลับพิเศษยิ่งกว่าเก่า ยามนี้ร่างกายกว่าครึ่งที่ฟื้นกลับมาพลันขยับขยายกลายร่างเป็นรูปทรงคล้ายขนมโรตียักษ์ ค่อยๆ แผ่ขยายอาณาเขตออกไป หยุดเส้นไหมสีเขียวที่ลอยอย่างรวดเร็วเหล่านั้นเบื้องหน้า เส้นไหมสีเขียวที่ร่วงลงบนแผ่นโรตียักษ์นั้นหายไปอย่างรวดเร็ว

เวลานี้พวกเขาทั้งสี่ กล่าวได้ว่าแต่ละคนล้วนใช้วิชาเทพดูดกลืนอย่างบ้าคลั่งครั้ง แต่หากพูดโดยสรุป การดูดกลืนของหวังเป่าเล่อคนเดียวก็ปาเข้าไปห้าส่วนแล้ว เจ้าปลาดำสามส่วน ส่วนอู๋น้อยและเจ้าลาน้อยนั้นคนละหนึ่งส่วน

แม้ดูไปแล้วจำนวนอาจไม่มากเท่าเจ้าปลาดำหรือหวังเป่าเล่อ แต่เส้นไหมสีเขียวที่นี่มีจำนวนมากอย่างยิ่ง อีกทั้งถ้ำมืดทะมึนที่เป็นจุดก่อเกิดวังวนยักษ์ใหญ่แห่งนี้ พลังดูดกลืนสะท้านสะเทือนยิ่งนัก ทำให้เหล่าเส้นไหมสีเขียวนับแสนนับหมื่นตรงหน้า มีจำนวนน้อยลงจนเห็นได้ชัด

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตระหนก พลังของร่างเนื้อเขาเวลานี้อยู่ในระดับปลายสูงสุดของระดับดารานิรันดร์ ห่างจากระดับสมบูรณ์เพียงแค่ครึ่งก้าวเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วเขาทราบดีว่า ดาวเคราะห์ของตัวเองมีมากเกินไปทำให้เกิดผลกระทบต่อร่างเนื้อ ดังนั้นเมื่อมาถึงช่วงระยะท้ายๆ การยกระดับเกรงว่าจะต้องอาศัยพลังมหาศาล

ดังเช่นตอนนี้ ฝักกระบี่เจ้าชะตาของเขาดูดกลืนเส้นไหมสีเขียวอย่างรวดเร็วนับแสนเส้น อีกทั้งยังมอบพลังปราณในระดับเดียวกันสนองคืนแก่ร่างเนื้อร่างต้น ทว่าระยะห่างจากการฝ่าระดับนั้นยังคงเหลืออีกมาก

โชคดีว่าในพริบตาถัดมา หลังจากถ้ำมืดทะมึนในวังวนระเบิดแล้ว ก็มีเส้นไหมสีเขียวจำนวนมากถูกดูด ด้วยความช่วยเหลือและการเติมเต็มจากจักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัว…มองไประยะไกลนั้น ยังคงเห็นเส้นไหมสีเขียวจำนวนมากกว่าเก่าลอยเข้ามาใกล้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมทำให้พวกหวังเป่าเล่อร่าเริงมากกว่าเดิม

เวลาเดียวกัน นอกดาวเคราะห์สีเทานั้น เหล่ากองทัพตระกูลไม่รู้สิ้นนับแสนนายต่างตื่นตะลึงอีกครั้ง จักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัวลุกขึ้นยืน ดวงตาทอประกายสงสัย แต่หลังจากนั้นเขากลับกัดฟันรุนแรง

“ข้าไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ เพิ่มกำลังให้ข้าอีก!” ท่ามกลางเสียงตวาด เหล่ากองทัพตระกูลไม่รู้สิ้นนับแสนนายก็แผ่พลังอีกครั้ง รอบนี้พลังที่ส่งลงไปมากกว่าเก่า เพียงแต่ว่า…หมอกสีครามที่เข้าปกคลุมดาวเคราะห์สีเทาในยามนี้ หลังจากตกลงสู่ทะเลเส้นไหมสีเขียวแล้วก็จะถูกเหนี่ยวนำให้วิ่งมายังหวังเป่าเล่อทันที

ท่ามกลางเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น รอบด้านของหวังเป่าเล่อ เส้นไหมสีเขียวจำนวนมากกว่าแสนเส้นถูกดึงเข้ามาอีกครั้ง นี่ทำให้อู๋น้อยและเจ้าลาน้อยตื่นเต้นยินดี เจ้าปลาน้อยเองก็ดีใจจนเนื้อเต้นเช่นกัน

เพราะการดูดกลืนอย่างบ้าคลั่งครั้งนี้ แม้วังวนจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ก็ยังต้องอ่อนแรงไปทีละน้อย เพราะแรงดูด ยามนี้เองอู๋น้อยผู้ทนไม่ไหวเป็นคนแรก ต้องการเวลาในการย่อยจึงหยุดการดูดกลืนลง ดวงตามองเส้นไหมสีเขียวที่ลอยห่างออกไปในใจก็รู้สึกไม่ยินยอม ยิ่งเมื่อหันมองเจ้าลาน้อยและเจ้าปลาดำแล้ว ความไม่ยินยอมก็พุ่งพรวดสูงขึ้นทันที

“เจ้าตะกละทั้งสองนี่ กินเก่งไปแล้วนะ!” อู๋น้อยรู้สึกระอา แท้จริงแล้วเจ้าปลาดำตรงนั้นเดิมทีก็เป็นเต๋าสวรรค์ ดังนั้นความสามารถในการกัดกินของมันย่อมเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ทว่าเจ้าลาน้อยนี่…เจ้าหมอนี่กลับยังยืนหยัดต่อ นี่ทำให้อู๋น้อยเริ่มสะพรึงขึ้นมา

ยิ่งได้เห็นเจ้าลาน้อยแปลงร่างเป็นแผ่นโรตียักษ์ กายเนื้อเกิดรูนับพันนับร้อย ราวกับกำลังจะแตกสลาย ทว่ามันก็ยังคงตั้งมั่น ยืนหยัดในการกินต่อไป…

ฉากนี้ แม้แต่เจ้าปลาดำยังอดสั่นสะท้านไม่ได้ ยามที่มันมองไปยังเจ้าลาน้อย ดวงตาก็ฉายแววระแวดระวังและหวาดเกรงถึงขีดสุด

หลังผ่านไปอีกหนึ่งก้านธูป แผ่นโรตีของเจ้าลาน้อยก็พังพินาศ มันร้องโหยหวนก่อนจะหวนคืนกลับมา นี่คือการหยุดกินของมัน ดังนั้นแล้วอู๋น้อยและเจ้าปลาน้อยจึงค่อยๆ ผ่อนคลายความเครียดลง

ส่วนเจ้าปลาดำก็ยืนหยัดมาจนถึงที่สุดแล้ว มันต้องการเวลาในการย่อย การดูดกลืนอันยากจะหยุดตัวเองนี้สุดท้ายจึงต้องปล่อยมือ ทำให้ตอนนี้เหลือเพียงผู้เดียวที่ยังคงดูดกลืนอยู่นั่นคือหวังเป่าเล่อ

หลังจากฝักกระบี่เจ้าชะตาดูดกลืนพลังแล้ว หลังจากหวนคืนพลังกลับเข้าสู่ร่างของเขา กายเนื้อของเขาในยามนี้มีคลื่นพลังอันน่าสะพรึงโผล่ออกมา คลื่นพลังนี้ทวีความแข็งแกร่งมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าร่างเนื้อของหวังเป่าเล่อกำลังจะทะยานระดับพลังจากระดับปลายของดารานิรันดร์ไปสู่ดารานิรันดร์ชั้นสมบูรณ์

“ยังขาดอีกนิด อีกเพียงนิดเดียว!!” ดวงตาหวังเป่าเล่อแดงฉาน เขาเคลื่อนพลังฝึกปรือ หมื่นดาวเคราะห์ด้านหลังปรากฏร่างดวงวิญญาณเทพเองก็ช่วยประคอง พลังของฝักกระบี่เจ้าชะตาทวีกำลังมากยิ่งขึ้น หลังจากเส้นไหมจำนวนนับไม่ถ้วนวิ่งเข้าร่าง พลังหวนคืนก็ยิ่งน่าตระหนก ทว่า…วังวนนั้นดูเหมือนไม่อาจประคองพลังต่อได้ ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม ถ้ำมืดทะมึนที่ก่อขึ้นเพราะหวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ในวังวนก็ค่อยๆ หายไป

พลังดูดกลืนเองก็หายไปเช่นกัน ส่วนเส้นไหมสีเขียวทั้งสี่ทิศ มันกระจายไปรอบด้าน เพราะขาดพลังดูดกลืน จึงกลับเข้าซ่อนตัวอยู่ในความว่างเปล่า ยามนี้หวังเป่าเล่อคำรามเสียงกึกก้อง มองไปยังเส้นไหมสีเขียวที่ค่อยๆ หลบซ่อนตัวในความว่างเปล่า พยายามคว้ากลับมาไม่หยุด

แต่ในด้านความเร็วย่อมไม่อาจเทียบกับก่อนหน้า ดังนั้นต่อให้เขาทุ่มเทหมดกำลังก็ไม่อาจคว้ามาได้มาก

“ขาดอีกนิดเดียวเท่านั้น!” ดวงตาหวังเป่าเล่อแดงฉาน ฉายประกายพรั่นพรึง ในใจของเขาร้อนรน เพราะสัมผัสได้ว่าร่างเนื้ออันแข็งแกร่งของตนในยามนี้ขาดอีกเพียงเล็กน้อยก็จะทะยานเข้าสู่ระดับดารานิรันดร์ชั้นสมบูรณ์

“ขาดเส้นไหมสีครามเจ็ดแปดหมื่นเส้นสุดท้าย!” หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าตนนั้นดูดกลืนไปมากเท่าไรแล้ว แต่เขาเองก็สัมผัสได้ว่าอีกเพียงไม่กี่หมื่นเส้น เขาจะต้องยกระดับได้แน่!

หากไม่สนใจคำของศิษย์พี่ใหญ่ แล้วใช้พลังดูดกลืนกลิ่นปราณความตายล่ะก็ หวังเป่าเล่อเองก็คิดว่าคงจะสามารถดูดกลืนเส้นไหมสีเขียวมจำนวนหลายหมื่นมาได้อย่างรวดเร็ว เพียงแต่เมื่อเขารู้ว่ายามนี้ปราณแห่งความตายคือพลังของเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืด ด้านเจ้าปลาดำก็ยังไม่แข็งแกร่งพอ หากดูดกลืนต่อไปย่อมกระทบตัวมันแน่

ดังนั้นแล้วหลังจากหวังเป่าเล่อพยายามฝืนถึงขีดสุด ในใจเขาก็อดร้อนรนไม่ได้ มองไปยังอู๋น้อยและเจ้าลาน้อย ทั้งร่างของเขาพลันมีกระแสพลังอันน่าหวาดผวาแผ่ซ่านออกมา แววตาทำให้คนตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า จับจ้องไปทางอู๋น้อยและเจ้าลาน้อย แม้แต่เจ้าปลาน้อยเองก็ยังรู้สึกกลัว

ผ่านไปชั่วครู่ หวังเป่าเล่อจึงฝืนเอาชนะได้ ยามนี้เขาหันไปมองส่วนลึกของท้องฟ้าสีเทา เข้าใจอย่างถ่องแท้ นอกจากที่นี่ ด้านนอกก็ไม่มีสถานที่อื่นอีกแล้วที่จะให้ตนได้ดูดกลืนเส้นไหมสีเขียวจำนวนมหาศาล ในส่วนของวังวนเล็กๆ นั้น แม้ว่าจะมีแต่ก็ช้ามาก

ดังนั้นแล้วดวงตาของเขาจึงทอประกายกร้าว คำรามเสียงต่ำ

“ตามข้าไปยังส่วนลึก!” ระหว่างที่กล่าว ร่างของหวังเป่าเล่อก็พลันทะยานไปยังด้านหน้า ท่ามกลางเสียงดังสนั่น ร่างกายอันแข็งแกร่งของเขาในยามนี้ทำให้ความว่างเปล่าบิดเบี้ยว เขาทะยานคราหนึ่งก็กระโจนไปอยู่บนท้องฟ้า ปรากฏอยู่กลางท้องฟ้าสีเทามุ่งไปยังส่วนลึกด้วยความรวดเร็ว เสียงดังลั่น!

อู๋น้อย เจ้าลาน้อย และเจ้าปลาดำลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบตามไปอย่างเร่งร้อนเช่นกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งสี่จึงเร่งความเร็ว ใช้เวลาไม่นาน…ก็เข้าสู่เขตกลางของท้องฟ้าสีเทาดวงนี้!

เพิ่งจะเข้ามาในอาณาเขต หวังเป่าเล่อก็พลันเห็นว่าเบื้องหน้า มี…เตาหลอมทองแดงขนาดยักษ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ลักษณะเป็นเตาหลอมมหึมาไร้ที่สิ้นสุดตั้งอยู่ใบหนึ่งอย่างน่าอัศจรรย์!

ภายในเตาทองแดงนี้ไฟลุกโชติช่วง ทำให้บริเวณโดยรอบอุณหภูมิร้อนอย่างน่าตระหนก และเตาหลอมที่ว่านั่นไม่ได้มีแค่เตาเดียว แต่กลับมีถึง…เก้าเตา!

เตาทั้งแปดอยู่รอบด้าน เตาหนึ่งอยู่ในนั้น!

เตาหลอมรอบด้านทั้งแปด เต็มไปด้วยกองเพลิงทั้งสิ้น ส่วนภายในนั้นมีเตาหนึ่ง…กลับเป็นหมอกสีดำอำมหิต!

แทบจะในพริบตากับที่หวังเป่าเล่อก้าวเท้าเข้ามาในนี้ รอบด้านของเตาหลอมทั้งแปด บรรดาผู้ฝึกตนจากตระกูลหมื่นสำนักนับร้อยคนที่เข้ามาในที่นี้ก่อนหน้าหวังเป่าเล่อ บ้างก็กำลังรู้แจ้ง บ้างก็กำลังต่อสู้แย่งชิง แต่ไม่ว่าจะกระทำการใดอยู่นั้น ยามนี้ทุกสายตาล้วนพุ่งตรงมาทางหวังเป่าเล่อ

ผู้ฝึกตนที่เข้ามาในที่แห่งนี้ได้ล้วนไม่ใช่พวกอ่อนแอ ดังนั้นแล้วพวกมันจึงสนใจผู้ที่มาใหม่ทั้งสิ้น!

เช่นเดียวกัน เพราะที่แห่งนี้ไม่มีผู้อ่อนแอ ดังนั้นยามที่เหล่าผู้ฝึกตนมองมาทางเขา หวังเป่าเล่อเองก็สัมผัสได้ว่าคนนับร้อยในที่แห่งนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าซึ่งอยู่ระดับสูง ขนาดที่ว่าบรรดาสำนักหรือตระกูลทั้งหลายก็ยากจะใกล้ชิดได้!

…………………………………

หวังเป่าเล่อกะพริบตา มองเจ้าปลาดำที่มีท่าทีสบายหลังจากเขาลูบตัวมัน แต่ครั้นมันหันไปมองอู๋น้อยและเจ้าลาน้อยก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันทันที หวังเป่าเล่อนิ่งไปสักพักหนึ่ง ทันใดนั้นก็เรียกขานในใจ

“ศิษย์พี่…”

เฉินชิงจื่อที่อยู่ใจกลางเตาหลอมนั้นไม่คิดอยากพูดจา แต่ศิษย์น้องเล็กเรียกตนจะไม่ตอบก็ไม่ได้ ดังนั้นจึงขานรับอย่างฝืนทน

“มีอะไรหรือ”

ได้ยินศิษย์พี่ตอบกลับมา หวังเป่าเล่อก็สะดุ้ง รีบส่งเสียงกลับ

“ศิษย์พี่ เกรงว่าไม่ถูกต้องกระมัง นี่คือเต๋าสวรรค์ของพวกเราเผ่าความมืดหรือ? เจ้าหมอนี่โง่เง่าไปหรือไม่ รู้จักแต่กิน…แต่สมองกลับมีปัญหา อีกหน่อยจะถูกคนหลอกเอาได้”

เฉินชิงจื่อนวดคิ้ว หลังจากนั้นก็ถอนหายใจ

“มันยังเป็นเด็ก…หากคำนวณอายุตามวิธีของสหพันธรัฐพวกเจ้า น่าจะอายุประมาณสามถึงห้าขวบได้ เจ้าหวังให้เด็กอายุสามขวบห้าขวบฉลาดเท่าไรกัน? มันอายุแค่นี้ แน่นอนว่าต้องรู้จักแค่กิน”

“เอาล่ะ เจ้าก็อย่ารังแกมันอีกเลย…” เฉินชิงจื่อไม่คิดจะต่อความแล้ว เก็บกระแสจิตพลางส่ายหน้า หันมาทุ่มสมาธิกับการหลอมจักรพรรดิเดือนแยกต่อ

ด้านหวังเป่าเล่อนั้น ยามนี้กระแอมไอคราหนึ่ง ในใจนั้นไม่มากน้อยยังคงรู้สึกผิดอยู่บ้าง ความรู้สึกเช่นนี้ราวกับเขาไปรังแกเด็กน้อยที่มีลูกอมอยู่ในมือ

“อู๋น้อยและเจ้าลาน้อย พวกเจ้าทั้งสองทำเกินไปจริงๆ!” หวังเป่าเล่อถลึงตามองก่อนจะรุดเข้าไปเตะคราหนึ่ง ทำให้อู๋น้อยและเจ้าลาน้อยได้รับความไม่เป็นธรรมมากยิ่งกว่าเก่า พวกมันจ้องหวังเป่าเล่อด้วยความกังวล แต่ภายในใจกลับด่าทอตั้งแต่แรกแล้ว ทว่าไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าก็เท่านั้น

ด้านหวังเป่าเล่อเองก็รู้ไส้รู้พุงอย่างดี เขายกมือขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะเก็บทั้งสองลงกระเป๋าคลังเก็บ ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยินก็ไม่ทำให้เขาปวดหัว แม้ว่าหลังจากล่อเจ้าปลาดำสำเร็จแล้วนั้น เขาคือคนที่กินมากที่สุด

ในส่วนของเจ้าปลาดำ เวลานี้ความรู้สึกท่วมท้นเป็นอย่างมาก มันมองหวังเป่าเล่อดวงตาฉายประกายสนิทชิดเชื้อ กระทั่งยังยอมว่ายวนรอบหวังเป่าเล่อถึงสี่ครั้ง ท่าทางดีอกดีใจ

“เจ้าเด็กนี่…” หวังเป่าเล่อสีหน้าพิลึก หลังจากกระแอมไอจึงค่อยเผยรอยยิ้มอบอุ่น ก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว

“ปลาน้อยเป๋าเป่า มา พี่ชายจะพาเจ้าไปหาอะไรอร่อยๆ กิน”

หลังได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ เจ้าปลาดำดีใจอย่างมาก ยิ่งว่ายวนรอบหวังเป่าเล่อถึงสี่ห้ารอบ ท่าทางรวดเร็วกว่าเก่า ส่วนหวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ คราวนี้จึงเอ่ยอีกครั้ง

“ปลาน้อยเป๋าเป่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าวังวนที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ไหน?” หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายย่อมคุ้นเคยพื้นที่แห่งนี้มากกว่าตนเอง อีกทั้งตัวเขาก็เสาะหาของในดาวเคราะห์สีเทามาได้สักพักแล้ว ยังไม่เห็นร่องรอยวังวนอื่น ดังนั้นจึงลองถามออกไป

เงาร่างของเจ้าปลาดำชะงัก ดวงตาฉายแววใคร่ครวญ หลังจากนั้นนัยน์ตามันก็พลันสว่างวาบ พริบตาที่มองหวังเป่าเล่อมันก็ขยายตัวใหญ่ขึ้น เปลี่ยนไปจากร่างเดิมที่เคยเป็นทำให้หวังเป่าเล่อตกตะลึง ผ่านไปชั่วครู่ เขามองดูปลาดำที่เปลี่ยนขนาดเป็นมโหฬาร กระทั่งใหญ่กว่าวังวนทั้งหมดที่เขาเคยพบเจอมาเบื้องหน้า ดวงตามันเผยประกายยินดี

“เจ้าจะบอกข้าว่า เจ้ารู้จักวังวนหนึ่ง ใหญ่ขนาดนี้สินะ ?” Aileen-novel

เจ้าปลาดำตัวยักษ์รีบร้อนพยักหน้า หลังจากนั้นร่างกายมันก็โอนเอนเล็กน้อย ก่อนจะฟื้นกลับดังเดิม ว่ายวนไปยังเส้นทางแห่งหนึ่งคล้ายกำลังจะนำทาง หวังเป่าจึงเล่อตามติดไปด้วยความยินดี

เห็นได้ชัดว่าศิษย์พี่ใหญ่ไม่อยากให้เขากลืนกินปราณแห่งความตายอีก ดังนั้นหากอยากดูดเส้นไหมสีเขียวให้ได้มากกว่าเก่า มีทางเดียวคือต้องหาวังวนที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ร่วงหล่น อีกทั้งกลางวังวนนั้น ฝักกระบี่เจ้าชะตาของเขาก็จะยิ่งแข็งแกร่ง เช่นนั้นแล้วก็จะยิ่งส่งประโยชน์ในการบ่มเพาะความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อให้เขาอีกด้วย

ในส่วนของการกลืนเส้นไหมสดๆ เมื่อครู่นั้น แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะกินเข้าไปไม่น้อย แต่กลับไม่รู้สึกว่ามีผลอะไร อย่างมากก็คือรู้สึกว่ารสชาติไม่เลว อีกทั้งหลังจากกินเข้าไปแล้ว ก็ยังโดนฝักกระบี่เจ้าชะตาดูดไปอีกด้วย

สืบสาวเรื่องราวแล้ว หวังเป่าเล่อยังคงรู้สึกว่า การหาวังวนนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก ในยามนี้เขาจึงเร่งเดินทาง ภายใต้การชี้นำของเจ้าปลาดำ หนึ่งคน หนึ่งปลาพลันเหาะเหินไวว่อง เพียงแต่ว่าบางทีเจ้าวังวนแห่งนั้นคงจะอยู่ไกลอย่างมาก เจ้าปลาดำจึงรู้สึกว่าความเร็วของหวังเป่าเล่อยังช้าเกินไป

ดังนั้นแล้วมันจึงหยุด แล้วหันมาส่งเสียงเรียกหวังเป่าเล่อ เวลาเดียวกันก็หมุนร่างกลับมามองหลายรอบ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นเกรงว่าจะไม่เข้าใจความคิดของมัน แต่หวังเป่าเล่อนั้นคุยกับเจ้าลาน้อยมาหลายปีแล้ว ดังนั้นจึงมีประสบการณ์อยู่บ้าง หากลองคาดเดาจากท่าทาง เขาย่อมเข้าใจ

“เจ้าจะพาข้าบินหรือ?” ครั้นหวังเป่าเล่อเอ่ยปาก เจ้าปลาดำก็รีบบินเข้าใกล้

“เด็กดี!” หวังเป่าเล่อส่งเสียงหัวเราะ ก่อนจะขยับร่างไปอยู่บนหลังของเจ้าปลาดำ ทันใดนั้น มันก็พุ่งตัวไปเบื้องหน้าด้วยความเร็วทันที เป็นความเร็วที่เหนือกว่าก่อนหน้านี้หลายสิบเท่า ทำให้ดวงตาของหวังเป่าเล่อพร่างพราย และพริบตาถัดมา…ราวกับว่าถูกเจ้าปลาดำน้อยพาทะลุมิติอย่างไรอย่างนั้น ไม่นานเขาก็ปรากฏตัวอยู่ในเขตที่กลิ่นอายความตายรุนแรงอย่างยิ่งแห่งหนึ่ง!

เบื้องหน้าของหวังเป่าเล่อ มีวังวนขนาดมหึมาน่าอัศจรรย์ใจแห่งหนึ่ง วังวนนี้เมื่อเทียบกับที่เจ้าปลาดำอธิบายแล้วยังน่าตกใจยิ่งกว่า กระทั่งว่าใหญ่กว่าวังวนที่หวังเป่าเล่อเคยดูดกลืนก่อนหน้าหลายสิบเท่า

โดยรวมแล้ว เมื่อมองสุดลูกหูลูกตา นี่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้นยินดี โดยเฉพาะที่นี่ไม่มีเงาร่างของผู้ใดนอกจากพวกเขา

หวังเป่าเล่อดวงตาทอประกาย สภาวะจิตของเขานั้นกระจายไปรอบด้านทั้งสี่ทิศ ผ่านไปไม่นานดวงตาของเขาก็ฉายแววเข้าใจกระจ่าง

ที่นี่ก็คือท้องฟ้าสีเทา แต่ก็ไม่ใช่ท้องฟ้าสีเทาเสียทีเดียว เพราะแม้มันจะอยู่ในขอบเขตของท้องฟ้าสีเทา แต่เหมือนจะเป็นอีกอาณาเขตหนึ่งคล้ายกำลังทับซ้อนกันอยู่

วังวนที่ทำให้คนตื่นตะลึงเบื้องหน้า หวังเป่าเล่อพอจะคาดเดาได้ว่าเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ตาย ณ ที่แห่งนี้ เกรงว่าจะแข็งแกร่งชนิดพลิกฟ้าคว่ำพิภพ เกินกว่าระดับจักรพิภพทั่วไป ดังนั้นแล้วการตายของคนผู้นี้จึงสะกดทับความว่างเปล่า เบิกสร้างดินแดนที่เป็นอัตลักษณ์นี้ออกมา

เป็นเพราะเหตุนี้มันจึงยากจะถูกพบเห็น ดังนั้นแล้วเหล่าผู้ฝึกตนของตระกูลหมื่นสำนักจึงไม่เข้ามาที่นี่

แท้จริงแล้วหากไม่มีเจ้าปลาดำน้อยนำทาง อาศัยแค่ตัวหวังเป่าเล่อเอง ก็ยากจะหาพบ

“ดีกว่าเก่าแล้ว!”

หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าไปทันทีด้วยความลิงโลด ขยับเข้าใกล้วังวนเบื้องหน้า ตอนนั้นเองเขารู้สึกถึงกระแสพลังขจัดแห่งกฎทำลายล้างที่ค่อยๆ แผ่ออกมาเป็นทีละชั้น ขจรขจายอย่างรุนแรงประหนึ่งจะพลิกฟ้าคว่ำสมุทรพุ่งออกมาจากผืนวังวนข้างใน

ทว่า ยิ่งเป็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อกลับตื่นเต้นยินดีกว่าเก่า ฝักกระบี่เจ้าชะตาของเขาถูกกระตุ้นในชั่วพริบตามันดูดกลืนอย่างรุนแรง หวังเป่าเล่อค่อยๆ สาวเท้าเข้าไป ด้านหนึ่งดูดกลืน อีกด้านหนึ่งพยายามฝืนต้านแรงเอาไว้ ขยับก้าวเข้าสู่วังวนข้างในก่อนจะนั่งขัดสมาธิ ปิดตาทั้งสอง แล้วทุ่มสมาธิทั้งหมดเพื่อผลักดันฝักกระบี่เจ้าชะตา

ด้านฝักกระบี่เจ้าชะตาของเขา ยามนี้ตื่นเต้นระริกระรี้ แสงสีโลหิตแผ่ซ่าน ราวกับว่ามันกำลังสำแดงพลังแห่งความหิวกระหายออกมา เหนี่ยวนำกฎแห่งการทำลายล้างรอบด้านเข้าสู่ร่างกายของมันไม่หยุด

เวลาก็ล่วงเลยไปทีละน้อย เวลานี้ภายในวังวนเต็มไปด้วยกฎแห่งการทำลายอันน่าสะพรึง วิ่งตรงเข้าสู่ฝักดาบเจ้าชะตาของหวังเป่าเล่อ ในเวลาอันรวดเร็วก็มีจำนวนเท่ากับพลังงานในที่นี่จำนวนหนึ่งเท่า สองเท่า สามเท่า…

ในที่สุดสีของฝักกระบี่เจ้าชะตาก็กลายเป็นสีม่วง กระทั่งค่อยๆ ก่อเกิดสีดำขึ้นทีละน้อย ส่วนปราณที่อยู่ภายในนั้น ยามนี้น่าสะพรึงขั้นสยบฟ้าทีเดียว

จนกระทั่งรอบด้านทั่วทั้งสี่ทิศ กฎแห่งการทำลายล้างในวังวนค่อยๆ ลดจำนวนลง จนเริ่มแสดงสัญญาณของการพังทลายระดับหนึ่ง ทำให้เส้นไหมสีเขียวที่ถูกดูดเข้ามาด้วยพลังมหาศาลเพิ่มจำนวนมากขึ้น พริบตานั้นถึงขั้นหลายหมื่นเส้น และไม่มีทีท่าว่าจะจบ มันยังคงทบทวีอย่างต่อเนื่อง

เจ้าปลาดำเองก็ยินดียิ่งนัก มันมองเส้นไหมสีเขียวเหล่านั้น ท่าทางไม่อาจยับยั้งน้ำลายที่ไหลออกมาได้ ส่วนเจ้าลาน้อยและอู๋น้อยในยามนี้ก็ค่อยๆ ย่องออกมา พวกมันเป็นเช่นเดียวกับเจ้าปลาดำ มองเส้นไหมสีเขียวเหล่านั้นแล้วน้ำลายก็ไหลออกมา

………………….

ยามนี้หากมีคนที่สามารถมองออกถึงความในใจของเจ้าปลาดำพิการตัวนี้ได้ คงสัมผัสได้ถึงประโยคไม่กี่ประโยคที่ดังก้องอยู่ในสมองของมันเป็นแน่…

“แล้วที่บอกไว้ว่าจะช่วยข้าเล่า?”

“แล้วที่บอกไว้ว่าจะจับอีกฝ่ายกลับมาให้ข้ากัดเล่า?”

“ไหนว่าโกรธไง?”

เจ้าปลาดำงงงวย…เป็นเวลากว่าชั่วครู่มันถึงค่อยมีปฏิกิริยากลับมา แล้วเริ่มส่งเสียงโหยหวนอีกครั้งก่อนจะกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่นอกหมอก กระทั่งผ่านไปเนิ่นนานมันจึงพบว่าไม่มีคนสนใจแล้วจริงๆ จึงค่อยๆ หยุดลงอย่างปวดร้าวใจ ก่อนจะตะบึงจากไปราวกับต้องการระบายอารมณ์อย่างไรอย่างนั้น เสียงร้องนั่นดังลอดมาจากที่ไกลๆ

ขณะที่เจ้าปลาดำกำลังแผดร้องระบายความอัดอั้นข้างในใจ เฉินชิงจื่อที่กลับเข้าหมอกดำนั้นก็อดปวดหัวไม่ได้ เขาไม่คิดว่าหวังเป่าเล่อจะกินปลาดำน้อยจนเหลือเพียงครึ่งตัว หลังจากเห็นสภาพอนาถนี้ จึงรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเข้าไปไกล่เกลี่ย

“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ศิษย์น้องเล็กคงไม่กินปลาตัวนี้จนหมดหรอกนะ…” เฉินชิงจื่อหนังตากระตุก เขารู้สึกว่ามีโอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างมากทีเดียว ดังนั้นแล้วจึงยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว พลางแผ่สภาวะจิตไปทั่วเขตดาวเคราะห์สีเทาดวงนี้ หลังจากนั้นจึงพบว่า…

ภาพที่เห็นทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีทันที รู้สึกเหนื่อยหน่ายใจอย่างยิ่ง

เขาพบว่าภายในท้องฟ้าสีเทา ตอนนี้หวังเป่าเล่อยังคงดูดกลืนพลังปราณอยู่ ส่วนข้างกายนั้นมีเจ้าลาน้อยและผู้เยาว์รายหนึ่งอยู่ด้วย แม้จะพยายามแอบซ่อนสุดฤทธิ์ ทว่าภายในปากนั้นน้ำลายกลับหยดย้อยลงมาไม่น้อยเลย

โดยเฉพาะตัวของเจ้าลาน้อย เห็นชัดว่าศีรษะของมันเพิ่งจะฟื้นสภาพกลับคืน แต่ริมฝีปากล่างยังแหว่งอยู่ ดังนั้นน้ำลายเลยกระเซ็นหกลงบนดาวเคราะห์…

ส่วนหวังเป่าเล่อทางนั้นแม้น้ำลายจะไม่ได้ไหลย้อย แต่ดวงตากลับทอประกายระยับ อีกทั้งยังมีท่าทีเหมือนคนเพิ่งเช็ดน้ำลายหลังจากตื่นนอน นี่สามารถกล่าวได้ว่า…เจ้าสามคนนี้ ติดใจกับการล่อปลาแล้วยังคิดจะทำอีกครั้ง

“มันควรจะมีสมองอยู่บ้าง ถูกกัดเสียจนสภาพน่าสังเวชเช่นนั้นแล้ว คงไม่คิดกลับไปอีกกระมัง” เฉินชิงจื่อพึมพำ เพิ่งจะกล่าวจบ พริบตาดวงตาของเขาก็เบิกออกกว้าง เหม่อมองไปทางด้านหลังของพวกหวังเป่า เจ้าปลาดำที่เพิ่งจะจากเขาไปเมื่อครู่…ตอนนี้กลับไปปรากฏตัวตรงนั้นแล้ว

มันขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หวังจะลงมืออย่างโง่เง่า

เฉินชิงจื่อนิ่งอึ้ง เขารู้สึกว่าตนควรเก็บการคาดเดาก่อนหน้าเอาไว้ เจ้าปลาดำ…น่าจะโง่อย่างสมบูรณ์แบแล้วจริงๆ

แต่ต่อให้โง่เง่าเพียงใดก็เป็นถึงเต๋าสวรรค์ ในระหว่างที่เฉินชิงจื่อกำลังปวดหัวนั่นเอง เขาก็กระแอมไอไปทางหวังเป่าเล่อโดยผ่านกระแสจิต

ขณะเดียวกันที่ที่เฉินชิงจื่อส่งกระแสจิตมา ทางด้านหวังเป่าเล่อก็กำลังสั่งสอนเจ้าลาน้อยและอู๋น้อยอยู่พอดี

“พวกเจ้าทั้งสองต้องยั้งมือ!”

“เจ้าลาน้อย เก็บน้ำลายของเจ้ากลับไป รอบด้านนี้มีแต่น้ำลายของเจ้าแล้ว หากเป็นแบบนี้ต่อไป เจ้าปลาโง่นั่นยังจะกล้าเข้ามาอีกหรือ!”

“อู๋น้อย เจ้าไปรองน้ำลายของเจ้าลาน้อยเอาไว้สิ รีบเข้า ไม่เช่นนั้นหากตกปลาไม่สำเร็จ ข้าจะใช้เจ้าสองคนเป็นเหยื่อล่อเสีย!”

สีหน้าอู๋น้อยและเจ้าลาน้อยดูไม่ได้รับความเป็นธรรม พวกมันโกรธแต่ไม่กล้าเอ่ย ต่างลอยอยู่ข้างๆ แล้วสบตากัน ทำราวกับแอบพูดจากันว่านี่เป็นสิ่งที่คนควรพูดหรือ หาว่าหวังเป่าเล่อทำเกินไปแต่ถึงอย่างนั้น อู๋น้อยก็ไม่กล้าขัดขืนอยู่ดี ทำได้เพียงวิ่งไปเอาสองมือรองใต้คางของเจ้าลาน้อย มือรับน้ำลาย พลางส่งเสียงถอนหายใจ

หวังเป่าเล่อแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ปากกำลังจะเอ่ยสั่งสอนต่อ ตอนนั้นเองหน้าก็ต้องเปลี่ยนสีทันที เมื่อได้ยินเสียงของเฉินชิงจื่อที่ส่งผ่านกระแสจิตเข้ามา

“ศิษย์น้องเล็ก หยุดดูดกลืนปราณแห่งความตายได้แล้ว และอย่าไปมองหาเจ้าปลาดำอีก นั่นน่ะคือเต๋าสวรรค์ของพวกเราสำนักแห่งความมืด…อีกหน่อยข้าจะพาเจ้ากลับสำนัก ให้เจ้าดูดได้เต็มที่เลย”Aileen-novel

“ศิษย์พี่?” ตอนแรกหวังเป่าเล่อตื่นเต้นยินดี แต่หลังจากได้ฟังคำพูดอย่างกระจ่างแล้ว ในใจก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมา เขารีบพยักหน้า หลังจากนั้นก็หันกลับไปจ้องอู๋น้อยและเจ้าลาน้อยที่กำลังล่อปลาด้วยความโกรธ ก่อนจะใช้เท้าเตะไปคราหนึ่งจนกระทั่งทั้งสองนั้นตัวกระเด็น หวังเป่าเล่อขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแบบไม่ได้ดังใจ

“พวกเจ้าทั้งสองคนทำอะไร ปลาตัวนั้นน่าสงสารจะตาย พวกเจ้ายังคิดจะไปจับมันอีกรึเรอะ?”

“เจ้าไม่มีความเห็นใจหรือความสงสารมันบ้างหรือไง? เกินไปจริงๆ!” หวังเป่าเล่อคำรามเสียงต่ำคล้ายกำลังโมโห สีหน้าและคำพูดของเขาทำให้อู๋น้อยและเจ้าลาน้อยตื่นตกใจและงุนงง

“ในตอนแรกข้าก็ไม่ได้ยินยอมอยากจะทำหรอก แต่พวกเจ้ากลับเอาแต่บังคับข้า บีบคั้นข้า จิตใจอันงดงามของข้าเจ็บปวดนัก ข้ารู้สึกผิดต่อเป๋าเป่าปลาดำยิ่งนัก!”

“ข้าบอกพวกเจ้าไว้เลยนะ ตอนนี้ข้าได้สติแล้ว ไม่อาจอยู่ข้างพวกอันธพาลได้อีก อีกหน่อยเป๋าเป่าปลาดำก็คือพี่น้องของข้า ใครกล้าทำร้ายมัน ก็ไม่อาจอยู่ร่วมกับข้าหวังเป่าเล่อได้ มันย่อมเป็นศัตรูตัวฉกาจของข้าหวังเป่าเล่อ ไม่ตายไม่เลิกรา!” หวังเป่าเล่อเอ่ยวาจาจริงจังกระจายไปทั่วทิศ ทำให้อู๋น้อยและเจ้าลาดำตัวสั่นสะท้าน และที่สั่นสะท้านมากที่สุดคงเป็นเจ้าปลาดำตัวนั้นที่ลอยอยู่ไม่ห่างออกไป…

เจ้าปลาดำตัวนี้ ตอนแรกก็เพียงแค่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างแค้นเคือง ในใจเต็มไปด้วยความคับข้องและเศร้าโศก แต่ในยามที่ได้ยินประโยคนี้ของหวังเป่าเล่อ ร่างของมันกลับสั่นสะท้าน นี่ไม่ใช่ความโกรธแต่เป็นความซาบซึ้ง!

คล้ายกับคนผู้หนึ่งที่ได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างมากและไร้คนเข้าใจ ไม่มีใครออกหน้าให้ ทว่าตอนนี้กลับมีคนออกหน้าปกป้อง ลูบหัวของมัน ให้ความอบอุ่นและเข้าใจ กระทั่งตะโกนบอกมันเสียงดังว่า อีกหน่อยหากใครรังแกเจ้า ข้าจะมาช่วยเจ้า ใครรังแกเจ้า คนผู้นั้นเป็นศัตรูกับเขา ความโศกเศร้าทั้งหมดของเจ้า ข้ารับรู้แล้ว

ในสถานการณ์แบบนี้ เป็นใครก็ย่อมซาบซึ้ง อย่าว่าแต่อีกฝ่ายเป็นศัตรูเลย…โดยเฉพาะกับปลาดำที่สติปัญญายังไม่เป็นผู้ใหญ่เท่าไรนัก จึงซาบซึ้งอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ในพริบตาความโกรธและอารมณ์ปฏิปักษ์ที่มันมีต่อหวังเป่าเล่อก็จางหายไปกว่าครึ่ง ถึงขั้นที่รู้สึกว่าหวังเป่าเล่อผู้นี้ช่างอบอุ่นมาก

หากว่าเป็นเช่นนี้ บางทีผ่านไปสักพักเจ้าปลาน้อยอาจเริ่มคิดได้ แต่หวังเป่าเล่อหรือจะมอบโอกาสให้แก่มัน หลังจากเอ่ยจบ หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นโบก พริบตานั้นเขาก็หยิบสิ่งที่สะสมไว้ก่อนหน้า เส้นไหมสีเขียวที่เตรียมไว้เป็นอาหารสำรองเหล่านั้น หวังเป่าเล่อหยิบมันออกมาครึ่งหนึ่ง แล้วตะโกนเสียงดัง

“เป๋าเป่าปลาน้อย อย่าโกรธเลย มานี่สิ ของเหล่านี้เป็นของขวัญชดเชยจากข้า ต่อไปนี้ทุกคนเป็นพี่น้องกัน ข้าจะไม่กลืนปราณแห่งความมืดแล้ว หากใครทำให้เจ้าโกรธ ข้าจะออกหน้าให้เจ้าเลย”

เมื่อหวังเป่าเล่อกล่าวออกไป เจ้าปลาดำที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลนั้น ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ยังตัดสินใจไม่ได้

หวังเป่าเล่อรออยู่สักพัก มองเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมปรากฏตัว ดังนั้นจึงหยิบเส้นไหมสีเขียวอีกจำนวนหนึ่ง เผยรอยยิ้มอบอุ่นละมุนละไม พยายามตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงเจือความเมตตาอย่างยิ่ง

“ปลาน้อยเป๋าเป่า ข้าผิดไปแล้ว ให้อภัยข้าเถอะ อีกหน่อยข้าจะพาเจ้าไปกินเส้นไหมทั้งหมดที่นี่เลย!”

บางทีการกระทำของหวังเป่าเล่ออาจทำให้ปลาน้อยซาบซึ้งอย่างมาก บางทีก็อาจเป็นเพราะแรงดึงดูดของเส้นไหมสีเขียวรุนแรงไปจริงๆ หรือบางทีสติปัญญาของปลาดำอาจจะมีปัญหาจริง…ดังนั้นไม่นานนัก เงาร่างของปลาดำก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างช้าๆ มองไปทางหวังเป่าเล่อด้วยความระแวดระวัง

ฉากนี้ ในพริบตานั้นทำให้เจ้าลาน้อยและอู๋น้อยเบิกตาถลน มันรีบมองหน้ากันและกัน ต่างมองเห็นแววตาสั่นสะท้านและอดไม่ได้ที่จะเคารพนับถือในสายตาของอีกฝ่าย

“หรือว่าเมื่อครู่ที่เตะพวกข้า ก็เป็นการจงใจเสแสร้ง แท้จริงแล้วเป้าหมายก็คือการล่อปลางั้นหรือ เก่งนัก เก่งกาจจริง!”

“อียอววว! ฮี้! อียอววว!”

ท่ามกลางความตื่นตะลึงของอู๋น้อยและเจ้าลาน้อย ปลาดำก็ลอยเข้ามาใกล้ พริบตานั้นกินเข้าคำหนึ่งก็รีบถอยห่างออกไปอย่างระวัง แต่หลังจากพบว่าไม่มีอันตราย มันก็แล่นเข้ามาก่อนจะหายไปอีกครั้งทันที เป็นเช่นนี้อยู่หลายรอบ ความระแวงของเจ้าปลาจึงลดทอนลงจนเกือบจะหายสิ้น หลังจากที่หวังเป่าเล่อดึงเอาเส้นไหมสีเขียวออกมาจำนวนมาก ในที่สุดเจ้าปลาดำก็ยอมเข้าใกล้และไม่ได้หนีไปอีก มันกัดกินพลางมองหวังเป่าเล่อด้วยความสนิทสนม

ยามนี้อู๋น้อยและเจ้าลาน้อยดวงตากำลังทอประกาย มันอ้าปากกว้างกำลังจะกลืนลงไปสักคำ เจ้าปลาดำน้อยพลันตอบโต้ทันที ความโกรธและตกใจกำลังจะระเบิดออกมา แต่หวังเป่าเล่อเหมือนจะโกรธเสียยิ่งกว่ามัน เขาดันปลาน้อยเอาไว้ด้านหลัง แล้วพุ่งตัวเข้าไปเตะพวกมันคนละที ท่ามกลางเสียงดังสนั่น เขาเตะจนอู๋น้อยและเจ้าลาน้อยลอยไปไกล

“หน้าด้าน หน้าด้านเกินไปแล้วจริงๆ”

“พวกเจ้าไม่มีเมตตาบ้างรึ ข้าบอกพวกเจ้าสองคนไว้เลยนะ ปลาน้อยเป๋าเป่าเป็นพี่น้องของข้า และเป็นผู้อาวุโสของพวกเจ้า อีกหน่อยพวกเจ้าห้ามกินมัน!”

ฉากนี้ทำเอาอู๋น้อยและเจ้าลาน้อยมึนงง ความรู้สึกไม่เป็นธรรมค่อยๆ กระจายไปทั่วร่างทีละนิด ด้านเจ้าปลาดำท่าทางเหม่อลอย หลังจากมันมองหวังเป่าเล่อก็คล้ายจะร้องไห้ออกมา ส่งเสียงร่ำไห้ราวกับพบเจอญาติมิตรอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะพุ่งเข้าไปข้างกายหวังเป่าเล่อ ความโกรธแค้นทั้งหมดสลายหายไปทันที แล้วมุ่งไปยังเจ้าลาน้อยกับอู๋น้อยทางด้านนั้น

ที่แท้ ก็เป็นพวกเจ้าสองคน!

ไม่ผิดแน่ ตอนแรกที่เริ่มกัดข้าก็คือเจ้าสัตว์ดุร้ายที่เหลือเพียงส่วนหัวนั่น!

“เจ้าปลาดำอย่าร้องไห้” หวังเป่าเล่อเผยรอยยิ้มอบอุ่น เขาลูบลำตัวของเจ้าปลาดำ แล้วมองอู๋น้อยและเจ้าลาน้อยอย่างเคืองๆ

“ปลาน้อยน่ารักขนาดนี้ พวกเจ้านี่…อีกหน่อยข้าจะไม่ไว้หน้าแล้ว!”

“…” อู๋น้อยเงียบงัน

“…” เจ้าลาน้อยนิ่งเงียบ

“…” เฉินชิงจื่อยังคงนวดหว่างคิ้วต่อไป

……………………………………

เจ้าลาน้อยไม่กลัวตาย!

มันแค่กลัวตนเองจะต้องหิว ดังนั้นต่อให้ตาย มันก็ต้องกินให้ดี จึงจะพอใจ

ครั้งแรกที่กินปลานี้มันถึงกับท้องระเบิด ทว่าตอนนี้มันก็ยังคงใช้พลังอ้าปากให้กว้างที่สุดแล้วกัดเข้าไปอย่างตะกรุมตะกรามอยู่ดี พริบตานั้นมันรู้สึกว่าหน้าท้องที่เพิ่งจะฟื้นตัวได้ดีระเบิดออกมาอีกรอบ รอบนี้ไม่เพียงแค่ท้องแล้ว ยังมีพวกแขนขาและหางของมันที่กลายเป็นซากไปด้วย

แม้แต่ลำคอก็เช่นเดียวกัน ครึ่งหัวของมันเองก็ด้วย แต่ลาน้อยราวกับไม่รู้จักคำว่าเจ็บปวด ส่วนหัวที่เหลืออีกครึ่งนั้นแม้มีตาเหลือเพียงข้างเดียวแต่กลับหรี่ปรือด้วยความอิ่มเอม

ทว่าการบ่มเพาะนี้…น่าหวาดผวาพอควร ครึ่งศีรษะที่เหลืออยู่พลันมีกระแสปราณที่แผ่ออกมาเหมือนกับปลาดำตัวนั้น!

ในส่วนของอู๋น้อย…แท้จริงแล้วก็ไม่กลัวตายเช่นเดียวกันกับลาน้อย หรือบางทีอาจเคยกลัวมาก่อนทว่าเพราะความหิวโหยอันยาวนาน ทำให้สำหรับอู๋น้อยนั้นไม่ว่าของนี้จะกินได้หรือไม่ เขาล้วนอยากกินทั้งสิ้น

บางที….หากเขารู้สึกว่าตนสามารถกินลาน้อยได้ เขาก็คงคิดจะจับมันกินเช่นกัน

ดังนั้นแล้วเวลานี้ อู๋น้อยจึงใช้พลังทั้งหมดเท่าที่มีอยู่รีบงับลงไปโดยแรง ร่างกายของเขามีความพิเศษเร้นลับแฝงอยู่ ดังนั้นมันจึงไม่ระเบิดแต่กลับพ่นละอองหมอกโลหิตจำนวนมากออกมาแทน ดวงตาของอู๋น้อยทอประกายแสง เจิดจ้า ทำให้ทั้งร่างเหมือนได้รับการฟื้นฟูครั้งใหญ่!

ส่วนทางด้านหวังเป่าเล่อ…แน่นอนว่าย่อมไม่กลัวตายเช่นกัน

หลังจากที่เขาพบว่าอู๋น้อยและเจ้าลาดำกำลังกัดกินเจ้าปลาดำแล้ว ตัวเขาเองก็ชั่งน้ำหนักในใจ และรู้สึกว่าตนก็น่าจะกินได้

โดยเฉพาะร่างกายของเขา เป็นไม้กระดานสีดำที่ไม่ตายไม่มอดไหม้ เพราะฉะนั้นแล้วจะถูกปลาสีดำตัวหนึ่งทำลายได้เช่นไร…ดังนั้นเมื่อรู้ตำแหน่งของปลาสีดำที่ตนมองไม่เห็น หวังเป่าเล่อก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาใช้พลังปราณทั้งหมดของตน พุ่งไปยังจุดที่เจ้าลาน้อยและอู๋น้อยอ้าปากกัดทางนั้น ลงมือกลืนกินเช่นกัน

เป็นเพราะเหล่าดาวเคราะห์กลายร่างของเขา จึงเป็นสาเหตุให้การกินของเขาครั้งนี้มีปริมาณมากกว่าอู๋น้อยและเจ้าลาน้อย…

ระหว่างที่กินเข้าไปและลองสัมผัสถึงรสชาติของมันว่าเป็นเช่นไรอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงรสชาติของไขมัน เขาเบิกตาโพลงทันที ในพริบตารังสีอำมหิตในร่างกายพลันปะทุถึงขีดสุด กระทั่งว่าพลังปราณแห่งความตายอันไม่อาจอธิบายได้ก่อเกิดขึ้น กลิ่นอายนี้แฝงไปด้วยกฎแห่งนิรันดร์ แฝงไปด้วยวิถีเต๋าฟ้าดินนับหมื่น และแฝงไปด้วยเจตจำนงมากมาย

แค่คำเดียวก็สามารถทำให้สมองของหวังเป่าเล่อสะเทือนปานนี้ได้ พลังภายในร่างกายเกิดเสียงดังพลั่กๆ ราวกับเส้นเลือดจะระเบิดออก เส้นโลหิตนั้นหลุดออกจากการควบคุมพลันพุ่งออกจากร่าง ราวกับว่าร่างกายของเขาใกล้จะระเบิดแล้ว!

ไม่เพียงแค่ร่างต้นของเขาที่เป็นเช่นนี้ ตอนนี้ร่างที่กลายมาจากดาวเคราะห์ทั้งหมดเองก็เช่นกัน กระทั่งว่า…มีร่างกลายจำนวนกว่าครึ่งหนึ่งที่ทนไม่ไหวระเบิดออกมาทันที แต่ในพริบตาถัดมาร่างนั้นก็รวมตัวใหม่ รวบรวมส่วนที่กระจายออกไป แล้วกลับมาเพื่อกลืนกินอีกครา

เงาร่างจากชาติก่อนๆ ของเขาเองก็เป็นเช่นกัน ต่างแยกย้ายกันไปช่วยย่อยปลาด้วยความรวดเร็ว พวกมันมาเพื่อช่วยหวังเป่าเล่อกินในครั้งนี้โดยเฉพาะ!

“นี่…ข้ากลืนอะไรเข้าไปเนี่ย !” หวังเป่าเล่อสีหน้าตื่นตะลึง ไม่ทันได้มีเวลาคิด ในตอนที่ร่างแยกนี้ค่อยๆ หลอมรวมตัวกันใหม่ ร่างแยกของเหล่าดาวเคราะห์เต๋าหลักทั้งเก้าภายในร่างตนนั้นไม่ได้แหลกสลายแต่กลับขยายตัวรวดเร็ว กระทั่งว่าในอีกลมหายใจถัดไป ในบรรดาพวกมัน…ในระหว่างเวลาที่ลมปราณกำลังเข้าเสริมบ้าคลั่งนั้น พลันมีดาวเคราะห์เต๋าดวงหนึ่งระเบิดร่างออก ยกระดับเป็น…ดาวเคราะห์เต๋าระดับดารานิรันดร์!

หลังจากนั้นดวงที่สอง ดวงที่สาม ดวงที่สี่ก็ตามมา!

และในระยะเวลาอันสั้น ดาวเคราะห์เต๋าทั้งสี่ดวงล้วนระเบิดร่างกลายเป็นดารานิรันดร์ ทว่าทั้งหมดนี้ยังไม่จบ พริบตาถัดมา ดาวเคราะห์ดวงที่ห้า ดวงที่หกและเจ็ด จนกระทั่งถึงดาวเคราะห์เต๋าหลักดาวที่เก้านั้นล้วนแต่อาศัยจังหวะตีสะท้อนกลับไปมา จนกลายร่างเป็นระดับดารานิรันดร์!

เวลาเดียวกัน เปลวไฟสีดำในร่างของเขาก็ทวีกำลังขึ้น ราวกับว่าได้รับการเติมแต่งในส่วนที่ขาดไปก่อนหน้า ราวกับได้รับวาสนาบ่มเพาะอันสะท้านผืนพิภพ ในพริบตามันแผ่ซ่านออกจากกาย ทำให้ดวงวิญญาณเทพของเขาทะลุฝ่าขีดจำกัดของระดับดารานิรันดร์ขั้นต้น และตอนนี้อยู่ที่ระดับดารานิรันดร์ขั้นกลางแล้ว

สิ่งเหล่านี้ยังยกระดับขึ้นอีกครั้งอย่างไร้ที่สิ้นสุด จนกระทั่งเขาอยู่ที่ระดับดารานิรันดร์ตอนปลาย!!

หวังเป่าเล่อตอนนี้ แม้พลังฝึกตนจะอยู่ที่ดารานิรันดร์ช่วงต้น แต่กายเนื้ออยู่ช่วงปลาย ดวงวิญญาณเทพนั้นอยู่ช่วงปลาย สิ่งเหล่านี้ทำให้พลังฝึกตนของเขานั้นแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อยในชั่วพริบตา ในยามที่ดาวเคราะห์เต๋าทั้งเก้ายกระดับเป็นดารานิรันดร์นั้นเอง พลังของตัวเขาก็ยกระดับพุ่งทะยาน ในช่วงเวลาที่เสียงดังนั้นพลันอยู่ที่ระดับดารานิรันดร์ตอนต้นและเคลื่อนเข้าสู่… ดารานิรันดร์ตอนกลาง!

ในยามนี้ หวังเป่าเล่อตกตะลึง เขารู้ว่าพลังฝึกตนของตัวเองนั้นสามัญนัก แถมยังเติบโตได้ช้ากว่าผู้อื่นทั้งหมด เพราะว่ารากฐานของเขานั้นลึกจนเกินไป การคิดฝ่าระดับต้องยกระดับดาวเคราะห์ภายในร่างกว่าครึ่งให้กลายเป็นดารานิรันดร์เป็นเช่นนี้ถึงจะค่อยๆ กลายเป็นผู้ถือครองระบบดวงดาวได้ และจนกระทั่งหลอมสร้างพลังจักรพิภพฉบับสมบูรณ์อันมีเต๋านิรันดร์เป็นใจกลางได้! ไอรีนโนเวล

เมื่อถึงเวลานั้น เขาก็สามารถยกระดับเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพ อีกทั้งเมื่อยกระดับจนแข็งแกร่งมากพอ หลังจากสะสมพลังแล้วก็จะสามารถกระโจนไปเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพิภพได้!

เพราะรู้เรื่องราวเหล่านี้ดี หวังเป่าเล่อจึงสั่นสะท้านยิ่งกว่าเดิม

เวลาเดียวกันเขาก็คล้ายจะรู้สึกว่าได้ยินเสียงร้องไห้…จึงหันมองกลับไปที่เก่า ท่ามกลางอากาศกว้างรกร้างนั้นราวกับมีเงาภาพมายาพยายามมุ่งหน้าหนีไปให้ไกล

แม้จะเลือนรางเห็นได้เพียงแค่กรอบร่างเท่านั้น แต่ราวกับว่าเงาร่างนั้นเป็น…ปลาตัวหนึ่งที่ร่างกายของมันแหว่งไปกว่าครึ่ง

แม้มีใจคิดไล่ตามไป แต่ปลาตัวนี้กลับวิ่งหนีไปได้เร็วมาก นอกจากนี้แล้วหลังพลังฝึกตนของเขาระเบิดออก บางทีอาจเพราะกลืนกินธาตุพวกนี้เข้าไปจนทำให้รู้สึกเลี่ยน หวังเป่าเล่อจึงคิดอยากหาน้ำดื่มวิญญาณเย็นๆ มากกว่า ในตอนที่เขากำลังจะหยิบขวดออกมานั้น ก็มองไปยังเส้นไหมสีเขียวที่ลอยเข้ามารอบๆ

“เอ๋?” หวังเป่าเล่อกะพริบตา พลันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกหนึ่งลางๆ ว่าของชิ้นนี้ ดูไปแล้วก็สดชื่นไม่น้อย

ดังนั้นในพริบตาถัดมา เขาจึงคว้าเอาเส้นไหมสีเขียวนี้แล้วส่งมันเข้าปาก ดวงตาพลันสว่างวาบ

“อร่อยจัง กรอบแถมยังหวามหอมด้วย !” หวังเป่าเล่อเลียริมฝีปาก เขาไม่วิ่งตามปลาตัวนั้นอีกแล้ว แต่กลับพุ่งไปยังทิศของเส้นไหมสีครามพวกนี้ คว้าหมับจับเข้าปาก

เสียงเคี้ยวนั้นดังออกมาจากปากของเขา รสชาติอันแสนอร่อยทำให้หวังเป่าเล่อยินดีนัก ทว่านี่กลับทำให้เจ้าลาน้อยและอู๋น้อยตื่นตัวขึ้นมาบ้าง อู๋น้อยยังดี กระโจนไปกินมาคำหนึ่ง แต่เจ้าลาน้อยเหลืออยู่แค่ครึ่งศีรษะ ไม่มีปากกินอีกต่อไป มันร้อนใจกระทั่งส่งเสียงร้องเรียกออกมาไม่ได้แล้ว สุดท้ายเมื่อถูกบีบให้ต้องกระวนกระวายอย่างนั้น จึงใช้ศีรษะอีกครึ่งหนึ่งที่เหลืออยู่พุ่งชนไปยังเส้นไหมสีเสียว แล้วม้วนตัวเองเข้าไปข้างใน…

สรุปก็คือ เจ้าสามคนนี้ ในช่วงเวลาที่กำลังคลุ้มคลั่ง พวกเขาพยายามกินเส้นไหมสีเขียวรอบด้าน ระหว่างนั้นฝักกระบี่เจ้าชะตาของหวังเป่าเล่อก็ส่งเสียงไม่พอใจออกมา

“หุบปาก เจ้ากินไปมากแล้ว ถึงตาข้าบ้าง!” หวังเป่าเล่อไม่สนใจ พยายามสะกดมันเอาไว้ หลังจากนั้นดวงตาของเขาก็ทอแสงพยายามคว้าเส้นไหมมาให้มากกว่าเก่า

“ของสิ่งนี้ ดีกว่าน้ำวิญญาณเย็นๆ อีก!”

ในเวลาเดียวกันนี้เอง…ส่วนลึกของท้องฟ้าสีเทา ตรงใจกลางเตาหลอม นอกหมอกดำแห่งการหลอมจักรพรรดิเดือนแยก เจ้าปลาดำที่หนีมาตลอดทางนั้น ราวกับเด็กน้อยที่ออกเผชิญโลกภายนอกแล้วโชคร้ายถูกผู้อื่นรังแกทุบตี มันรีบลอยกลับมาร้องไห้คร่ำครวญ

หลังมาถึงนอกหมอก มันร่อนลงกระแทกพื้นพร้อมกับกลิ้งไปมาทันที ยิ่งร้องก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งดังลอดเข้าไปในใจกลางเตาหลอม ทำให้เฉินชิงจื่อที่หลับตาอยู่ต้องลืมตาขึ้นมาด้วยความใครรู่ หลังกวาดตามองเขาก็ต้องชะงัก ในพริบตาทั้งร่างของเขาก็มาปรากฏอยู่นอกหมอกดำแล้ว

“จักรพรรดิสวรรค์ไม่รู้สิ้นเข้ามาแล้วหรือ? หรือว่าเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นร่วงลงมา? ช่างกล้านัก!! ถึงกับกล้าทำร้ายเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดของข้า!!” เฉินชิงจื่อสีหน้าทะมึน จิตสังหารแผ่กระจาย โดยเฉพาะเมื่อเจ้าปลาดำเบื้องหน้านี้กลิ้งไปกลิ้งมาหลุนๆ ร้องครวญครางเหมือนเด็กน้อยงอแง ท่าทางน่าอนาถยิ่งนัก

ร่างกายกว่าครึ่งของมันหายไปแล้ว รอยแผลนั้นเหมือนถูกกัดด้วยรอยฟันคล้ายกับถูกกิน ทำให้ผู้ที่ได้เห็นตกตะลึงยิ่งนัก เฉินชิงจื่อเห็นแบบนี้ก็ยิ่งโกรธ

“บอกข้ามา ใครเป็นผู้ทำร้ายเจ้า ข้าจะจับมันกลับมา มันทำร้ายเจ้าอย่างไร แล้วเจ้าไปทำอะไรอีกฝ่ายเข้า!”

เจ้าปลาดำเมื่อได้ยินเฉินชิงจื่อเอ่ยก็ซาบซึ้งใจทันที ดวงตาของมันคล้ายมีหยาดน้ำตา ส่งเสียงกรีดร้องราวกับอธิบายอะไรบางอย่าง ในเวลาเดียวกันก็พลิกร่างขึ้น เนื้อหนังในส่วนที่เว้าแหว่งพลันบังเกิดภาพของลาตัวหนึ่ง จากนั้นก็เป็นภาพของผู้เยาว์ และหลังจากนั้นในพริบตาถัดมา ร่างกายก็พลันระเบิดออก กลายเป็นเงาร่างนับไม่ถ้วน ของหวังเป่าเล่อ…

สุดท้ายแล้วจึงค่อยรวมกลับมาเป็นตัวปลาใหม่อีกครั้ง และเริ่มโอดครวญ

ทว่า เจ้าปลาดำกลับไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าของเฉินชิงจื่อที่ในตอนแรกเงียบงันเป็นที่สุด แต่เมื่อเฝ้ามองเรื่อยๆ จนกระทั่งเห็นร่างของหวังเป่าเล่อแล้ว สีหน้าเขาก็เปลี่ยนเป็นพิลึกพิลั่น สุดท้ายจึงได้แต่กลอกตา แล้วกระแอมไอ

“เอาล่ะ ก็แค่ถูกกัดไม่กี่ทีไม่ใช่หรือ ไม่ถึงกับตายน่า!”

“เรียกข้าออกมานี่ก็ควรจะเป็นเรื่องใหญ่หน่อยสิ ไม่พูดต่อแล้ว ข้าจะกลับไปหลอมจักรพรรดิเดือนแยกต่อ!” กล่าวจบร่างของเฉินชิงจื่อก็ขยับตัวหายไปในหมอกสีดำ

เจ้าปลาดำนอกหมอกนี้ถึงกับชะงักนิ่ง สีหน้าของมันแข็งค้างเต็มไปด้วยความงงงวย ราวกับไม่รู้จะต้องมีปฏิกิริยาอย่างไร

“?””

“??” “???”

…………………………………………………

ระหว่างที่ดูดกลืนอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็พยายามควบคุมระดับกำลังไม่ให้ดูดกลืนมากเกินไป เขาพยายามดึงกลิ่นอายแห่งความตายเข้ามา เพื่อฟื้นคืนดวงวิญญาณเทพของตน จนเริ่มรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวขึ้น

ในส่วนของเส้นไหมสีเขียวที่ติดมากับปราณแห่งความตายด้วยนั้น ยามนี้ร่างเนื้อของหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย ในใจก็คิดไปถึงเจ้าลาน้อยและอู๋น้อย ดูท่าสองคนนี้สามารถดูดกลืนเส้นไหมสีเขียวโดยตรงได้ หากว่าถึงเวลาคับขันจริงๆ ก็โยนทั้งสองออกไปก็สิ้นเรื่อง

ดูจากความสามารถของเจ้าสองตัวนี้ เกรงว่าคงไม่ตายหรอก

ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่ได้รีบดูดกลืนด้วยพลังคราใหญ่ และสาเหตุที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ…การล่อปลา ไม่อาจกระทำการอย่างโจ่งแจ้ง ต้องค่อยๆ จุดไฟต้มน้ำ ยืดเวลาให้นานเสียหน่อย ให้อีกฝ่ายเสียชะล่าใจ จึงค่อยลงมือจู่โจมจนตกปลาได้ในที่สุด

“ข้าล่ะอยากจะเห็นนัก ว่าปลาตัวไหนที่ใจกล้าถึงขนาดนี้ บังอาจมาขโมยของของข้า!” หวังเป่าเล่อคำรามในใจ ระหว่างดูดกลืนกลิ่นอายแห่งความตายอยู่นั้น เขาค่อยๆ เพิ่มแรงมากขึ้น ทำให้กลิ่นอายแห่งความตายในบริเวณโดยรอบถูกดูดกลืนมากกว่าเก่า

ส่วนดวงวิญญาณเทพของเขานั้น สั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้นภายใต้การเติมเต็มของปราณแห่งความตายมหาศาล ความรู้สึกสบายปลอดโปร่งแจ่มชัด ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่าดวงวิญญาณเทพนั้นเริ่มคืนพลังฝึกตนกลับให้ระหว่างที่มันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ระดับการฝึกตนของเขาทะยานสูงขึ้น

สำหรับเหล่าผู้ฝึกตนแล้ว พลังฝึกตน ดวงวิญญาณเทพ ร่างเนื้อ ทั้งสามส่วนนี้แม้จะแยกจากกันแต่คือหนึ่งเดียวกัน ดังนั้นแล้วหากดวงวิญญาณเทพและร่างเนื้อพัฒนา ย่อมทำให้พลังฝึกปรือพัฒนาตามขึ้นมาในจังหวะเดียวกัน

เพียงแต่ว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้มุ่งพัฒนาพลังฝึกตนเพียงอย่างเดียว ดังนั้นแล้วการวิวัฒน์ที่ว่าจึงค่อนข้างล่าช้าอยู่บ้าง แต่ก็ดำเนินอย่างต่อเนื่อง และในยามที่หวังเป่าเล่อเพิ่มระดับพลังขึ้นก็ทำให้การโหมเข้ามาของพลังปราณความมืดรอบด้านค่อยๆ ก่อรูปเป็นวังวนปราณแห่งความมืดขึ้นมา ขณะเดียวกันในระยะห่างจากเขาไปไม่ไกลนัก ปลาดำกำลังสับสน

มันคิดหวังจะกินหวังเป่าเล่อนับร้อยครั้งแล้ว แต่การถูกกัดเมื่อครู่ทำให้ในใจของมันหวาดหวั่น ไม่กล้าเข้าใกล้ แต่หากไม่เข้าใกล้…เวลานี้ปราณแห่งความตายรอบทิศก็ถูกหวังเป่าเล่อดูดเข้าไปไม่หยุด ในใจจึงบ้าคลั่งขึ้นมาอีกรอบ

ปราณแห่งความตายเหล่านี้ ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของร่างมัน สำหรับมันแล้วหวังเป่าเล่อในยามนี้ไม่ได้กินปราณแห่งความตาย แต่กำลังกินเลือดเนื้อของมันต่างหาก

เมื่อเป็นเช่นนี้ อารามขัดแย้งในตัวของเจ้าปลาดำยิ่งทวีสูง ราวกับว่าในสมองปรากฏเจตจำนงสองอย่าง ทางหนึ่งบอกให้ตนพุ่งเข้าไป ส่วนอีกทางพยายามปลอบให้ตนอดทน

“ไปไม่ได้นะ ก่อนหน้านี้หมอนี่ดูดปราณของข้า อย่างมากมันก็คงกินไปอีกหน่อยก็หยุดแล้ว อดทนไว้!” สุดท้ายแล้วในสมองของเจ้าปลาดำ ความคิดที่จะอดทนก็เป็นฝ่ายชนะ หยุดความหุนหันของมันลงได้

ด้วยเหตุนี้ท่ามกลางท้องฟ้าสีเทาพลันปรากฏสภาวะคุมเชิงระหว่างหวังเป่าเล่อและปลาดำขึ้น หวังเป่าเล่อรออยู่ตรงนี้ครู่ใหญ่ ก็พบว่าเจ้าปลาดำกลับไม่ยอมปรากฏตัว ส่วนเส้นไหมสีเขียวรอบด้านนั้น ยามนี้หมุนกลับมารวมตัวกันไม่น้อย กระทั่งว่าพวกมันเคลื่อนตัวกลับมาหาตนทั้งหมด

“ท่านพ่อ จะทำอย่างไรดี ไม่เช่นนั้นอีกสักครู่ท่านดูดให้มากกว่านี้หน่อยได้หรือไม่ เกรงว่าปลาตัวนั้นอาจจะไม่ยอมมา!”

“อียอววว!” ทั้งอู๋น้อยและเจ้าลาน้อยเองก็เริ่มกังวลแล้ว โดยเฉพาะเจ้าลาน้อยมันน้ำลายไหลแบบควบคุมตัวไม่ได้

“พวกโง่ จะตกปลาน่ะห้ามรีบร้อน!” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเย็น เขาไม่สนใจอู๋น้อยและเจ้าลาน้อย กลับหันกายเคลื่อนไปยังที่ห่างไกลรวดเร็ว พลางหลีกหนีเหล่าเส้นไหมสีเขียว เวลาเดียวกันก็เริ่มดูดกลืนปราณแห่งความมืดจำนวนมากอีกครั้ง

ในพริบตานั้นปราณแห่งความมืดรอบด้านถูกดูดเพิ่มเข้ามาบางส่วน ส่วนตัวหวังเป่าเล่อเองก็รีบเร่งเดินทางไปไกล ทำให้เส้นไหมสีเขียวจำนวนมากลอยตามเขาไปด้วย เขาพลันเอ่ยขึ้นในใจอย่างรวดเร็ว

“พวกเจ้าทั้งสองคน จับได้ไหมว่าปลาตัวนั้นตามมา?”

“ท่านพ่อ ปลาตัวนั้นยังอยู่ ข้ารู้สึกได้ว่ามันอยู่รอบๆ พวกเรา!” อู๋น้อยรีบเอ่ยปาก เจ้าลาน้อยเองพยักหน้ารัวเร็ว ทันใดนั้นหวังเป่าเล่อก็ตั้งจิตให้สงบ ในใจนิ่งคิด เจ้าปลาหน้าเหม็นตัวนี้ช่างขี้ระแสงเสียจริง

“ข้าไม่กลัวว่าเจ้าระแวดระวังตัวหรอก กลัวแต่เจ้าจะหนีไป!” หวังเป่าเล่อยิ้มบางพลางเร่งจังหวะมากขึ้น เขาตั้งหน้าดูดกลืนปราณแห่งความตายต่ออีกทั้งอาณาเขตการดูดกลืนของเขาก็ยิ่งทวีความกว้างและรวดเร็วมากขึ้น ทำให้ปลาดำที่ตามมาข้างหลังนั้น เกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมากว่าเก่า

“ยังไม่เสร็จอีกหรือ?!” ไอรีนโนเวล

“สมควรตาย ยังไม่จบสักที!!” ดวงตาของเจ้าปลาดำกลายเป็นสีแดง ในสมองปรากฏความคิดสองอย่างขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นความคิดนี้ก็ตีกันบ้าคลั่งไปมาส่งผลให้ตัวของมันสะท้านไม่หยุด คราวนี้ดูท่าจะทนไม่ไหวอีกแล้ว เจ้าหัวขโมยชั่วช้าเบื้องหน้าตัวน้อยไม่ได้ดูดกลืนเป็นพักๆ แล้วหยุดเหมือนก่อนหน้า แต่กลับดูดกลืนอย่างต่อเนื่อง…

ตอนนี้เกรงว่าคงดูดกลืนไปได้ไม่น้อยแล้ว ไร้ท่าทีว่าจะจบโดยง่ายด้วย นี่ทำให้มันคลั่งกว่าเก่า มันคิดกลับไปหาเฉินชิงจื่อ แต่เฉินชิงจื่อที่อยู่ตรงนั้นไม่ได้สนใจที่มันแวะเวียนไปหาเลยสักนิด ดวงตาของเจ้าปลาดำพลันทอประกายสีแดงฉานเผยแววโหดเหี้ยม

“กินอีกสิ ข้าจะกินเจ้าเสีย!!” ในเวลาเดียวกันที่มันกรีดร้องอยู่ในใจนั้น ร่างก็พุ่งทะยานเข้าหาหวังเป่าเล่อที่ตอนนี้ด้านหลังมีเส้นไหมสีเขียวจำนวนมากรวมตัวกัน และยังดูดกลืนปราณแห่งความมืดไม่หยุดหย่อน

เพียงแต่ว่า…หน้าผากของเขามีเหงื่อท่วมแล้ว ในใจของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน กระทั่งตัวอู๋น้อยและเจ้าลาน้อยยังเริ่มขวัญกระเจิง เพราะว่าเส้นไหมสีเขียมที่ไล่ตามพวกเขามีจำนวนมากเกินไป มันมากเกินไปจริงๆ ส่วนเจ้าปลาดำก็ยังไม่ปรากฏตัว กระทั่งตัวอู๋น้อยและเจ้าลาน้อยยังคิดว่าตนตัดสินใจผิดเสียแล้ว

ในใจหวังเป่าเล่อกำลังก่นด่า จะให้มายอมแพ้เอาตอนนี้เขาไม่ค่อยยินดีเท่าไรนัก อีกอย่าง…แม้ว่าเส้นไหมสีเขียวด้านหลังจะมากขึ้น แต่เพราะดูดกลืนปราณแห่งความมืดไปมาก ดวงวิญญาณเทพของเขาจึงทวีความแข็งแกร่งขึ้น

กล่าวได้ว่า ตัวเขาในยามนี้ กำลังขัดแย้งระหว่างความปวดร้าวและสุขใจอย่างไรชอบกล

“ยังไม่มาอีกหรือ? ยังไม่มาอีก!!”

ระหว่างที่หวังเป่าเล่อเป็นกังวล ดวงตาของเขาก็เผยแววบ้าคลั่ง เขาคิดว่าเจ้าปลาดำอาจจะถึงขีดจำกัดแล้วเหมือนกัน และสาเหตุที่มันยังไม่โผล่มาเสียที เพราะกำลังรอจังหวะอยู่

ทว่า ขืนปล่อยให้รอต่อไป อาจเป็นเขาเองที่จะทนได้ไม่นานดังนั้นแล้ว…ยามนี้ตนควรจะสร้างโอกาสให้อีกฝ่ายสิถึงจะถูก

คิดถึงตรงนี้แล้ว หวังเป่าเล่อก็พลันตะโกนดุเสียงดังขึ้นมาในใจ เขาใช้มือทั้งสองประสานท่ามุทราเปิดออก เปลวไฟสีดำภายในร่างพลันแผดเผากลายเป็นพลังดูดกลืนขนาดมหึมา แล้วกลืนกินปราณแห่งความตายรอบด้านไปภายในคำเดียว!

คราวนี้ เขาใช้เปลวไฟสีดำทั้งหมดที่มีในร่างและปล่อยพลังฝึกตนทั้งหมดพยายามกลืนกินให้หมดสิ้น ตอนนั้นเองก่อเกิดเสียงดังสนั่น ทำให้เหล่าปราณสีดำที่อยู่รอบด้านระเบิดออกแล้วตรงเข้ามาหาเขาด้วยความรวดเร็วรุนแรง

มองจากระยะไกล ปริมาณทั้งหมดของปราณสีดำซึ่งหวังเป่าเล่อดูดกลืนในครั้งนี้ยังมีจำนวนมากกว่าทั้งหมดก่อนหน้าที่เขาดูดด้วยซ้ำ ครั้นเห็นเช่นนี้ก็สมควรแล้วที่เจ้าปลาดำจะเจ็บแค้นและบ้าคลั่งกว่าเก่า มันส่งเสียงร้องทันที ราวกับควบคุมตัวเองไม่ได้ ความคิดหุนหันพลันแล่นเข้าครอบงำจิตใจหมดสิ้น

ในพริบตาราวกับว่าแรงดึงดูดนี้ยังคงไม่มากพอ หลังจากดูดกลืนปราณแห่งความตายแล้ว และหลังจากเส้นไหมสีเขียวรอบด้านทวีจำนวนจนถึงเจ็ดแปดหมื่นเส้น หวังเป่าเล่อก็คล้ายกับกำลังเล่นกับไฟ ท่ามกลางอาการอกสั่นขวัญแขวนของอู๋น้อยและเจ้าลาน้อย ฉับพลันร่างของเขาระเบิดออก กรีดร้องทรมานและกระอักเลือดออกมากองโต

ท่าทางราวกับว่า…ดูดกลืนจนสำลัก

การหยุดชะงักของเขากระทบต่อความเร็ว ดังนั้นเส้นไหมทั้งหมดจึงค่อยๆ ล่าช้าลงในพริบตา ดวงหน้าของหวังเป่าเล่อยามนี้เปลี่ยนสีครั้งใหญ่ คล้ายกับคิดจะหนีให้เร็ว…

ตอนนั้นเอง ดวงตาของเจ้าปลาดำก็เผยประกายโหดเหี้ยมทะลุฟ้า มันขยับร่างหายไปในพริบตา แล้วพลันปรากฏตัวอยู่ข้างหลังหวังเป่าเล่อ กำลังจะอ้าปากเตรียมกินคำโต!

ทว่า แทบจะทันทีที่มันปรากฏตัวและเตรียมอ้าปากนั่นเอง อู๋น้อยและเจ้าลาน้อยที่อยู่ในจิตใจของหวังเป่าเล่อพลันตะโกนอย่างตื่นเต้น

“ท่านพ่อ มันอยู่ข้างหลัง!”

“ฮี้! อียอวว!!”

หลังจากคำพูดนี้ดังก้องในสมอง พริบตานั้น…ในดวงตาของเจ้าปลาดำ ก็เห็นเงาร่างของลาน้อยตัวหนึ่ง แล้วยังมองเห็นผู้เยาว์ท่าทางต่ำช้าคนหนึ่ง รวมถึงเจ้าหัวขโมยตัวจ้อยที่สำลักเมื่อครู่นี้ด้วย

ทั้งสาม ดวงตาเป็นประกายทันทีด้วยความดีใจ ล้วนแต่อ้าปากกัดมาที่เขา!

กระทั่งเจ้าลาน้อยที่เคยลิ้มรสชาติหวานล้ำมาแล้ว ในยามนี้มันอ้าปากกว้าง ราวกับว่าใช้พลังทั้งหมดเข้าไปควบคุมรูปร่างของปากให้กลายเป็นเสมือนถ้ำดำมิด ส่วนอู๋น้อยกลับใหญ่กว่านั้น ร่างกายหายไปแล้วเหลือเพียงแค่ปากที่มีน้ำลายไหลย้อยอยู่ อ้าปากกินเข้าไปเหมือนกัน

และที่เล่นใหญ่ที่สุด…คงเป็นเจ้าหัวขโมยนั่น เจ้าหมอนี่คล้ายกับเปลี่ยนร่าง ในพริบตาพลันปรากฏเงาร่างนับหมื่นสาย ทุกร่างอ้าปากคำโตเข้ามาเพื่อกินมัน กระทั่งเจ้าปลาดำถึงขั้นมองเห็นผีดิบตนหนึ่ง ดาบเล่มหนึ่ง เงาร่างที่เต็มไปด้วยความแค้น และเงาร่างของกวางสีขาวที่มีปากใหญ่ยักษ์อ้าเข้ามา

ฉากนี้ ทำให้เจ้าปลาดำถึงกับเหม่อลอยไปในชั่วเวลานั้น มันผงะ ท่าทางตกตะลึง ร่างกายเริ่มสั่นสะท้าน

หรือว่าแท้จริงแล้ว…เจ้าหมอนี่ที่อยู่เบื้องหน้า โหดเหี้ยมกว่ามันมากนัก!

………………………………………………….

และในพริบตาที่เสียงนี้ดังขึ้น นอกกระเป๋าคลังเก็บของหวังเป่าเล่อก็มีศีรษะของเจ้าลาน้อยโผล่ออกมา มันยังคงปิดตาเหมือนเก่าคล้ายกับหลับอยู่ แต่จมูกกลับขยุกขยิกไม่หยุด และด้วยความเร็วอันน่าตื่นตะลึงมันกัดเข้าไปยังพื้นที่ว่างเปล่าด้านหลังของหวังเป่าเล่ออย่างรุนแรงทันที!

การกัดคำนี้ ไม่อาจรู้ได้ว่ากัดสิ่งใด ทว่าฟันของเจ้าลาน้อยถึงขั้นหัก แถมยังส่งผลให้ร่างกายของมันระเบิดไปกว่าครึ่งจนต้องส่งเสียงร้องโหยหวนแล้วมุดกลับเข้ากระเป๋าคลังเก็บไปในพริบตา

การกรีดร้องของมันทำให้หวังเป่าเล่อเบิกตาโพลงทันที ในพริบตานั้นร่างกายของเขาหายวับ ก่อนจะไปปรากฏตัวอยู่ในที่ไกลๆ แห่งหนึ่ง กวาดตามองรอบด้าน ดวงตาฉายแววสงสัย พริบตานั้นหวังเป่าเล่อแผ่จิตสัมผัสออกไป แต่เขาก็ไม่พบจุดน่าสงสัยอะไรในละแวกนั้น

“นี่มันเรื่องอะไรกัน…” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ทางด้านหนึ่งเขายังดูดเส้นไหมสีเขียวต่อเนื่อง อีกด้านหนึ่งก็ลองส่งจิตสำรวจเข้าไปภายในกระเป๋าคลังเก็บ ก็พบว่าเจ้าลาน้อยเหลือร่างกายเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น

เจ้าหมอนี่ยังคงหลับเหมือนเก่า…แม้หน้าท้องของมันจะระเบิดไปแล้ว แต่กลับยังไม่ยอมตื่น

อย่างไรก็ดีในร่างของมัน หวังเป่าเล่อเห็นพลังปราณสีดำและสีเขียวครามกำลังเคลื่อนไหวต่อสู้กันไปมา คล้ายกับว่ากำลังแย่งกันซ่อมแซม ขณะเดียวกันก็กำลังสร้างร่างเนื้อขึ้นใหม่

ในส่วนของอู๋น้อย…ตอนนี้ยังคงหลับใหล มองไม่เห็นว่าเกิดเรื่องผิดปกติอะไรกับเขาบ้าง

“เจ้าลาน้อยกินอะไรเข้าไปหรือ? คล้ายกลิ่นอายความตายแล้วก็คล้ายเส้นไหมสีเขียว…” ระหว่างที่หวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิด เมื่อครู่เขากำลังดูดกลืนพลังปราณแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นจากภายนอกจึงไม่อาจแบ่งความสนใจมาได้ และเพราะตัวเขาไม่มีเวลารั้งอยู่ตรงนี้นานนัก หวังเป่าเล่อจึงต้องละทิ้งความสนใจนี้ แล้วหันไปทุ่มเทกายใจดูดกลืนเส้นไหมสีเขียวเพิ่ม เพื่อสร้างพลังกล้ามเนื้อให้กับตนเอง

แต่หลังจากเขาดึงกระแสจิตกลับไปแล้ว อู๋น้อยที่หลับอยู่ก็พลันลืมตา เจ้าลาน้อยที่อยู่ตรงนั้นเองก็เช่นกัน หนึ่งคน หนึ่งวานร ตาเล็กใหญ่ประสาน

“วิธีที่ข้าสอนเจ้า มีประโยชน์หรือไม่เล่า? ถูกแล้ว เจ้าปลาข้างนอกนั่นอร่อยหรือไม่…” อู๋น้อยลูบท้องเอ่ยเสียงเบา

“ฮี้!” เจ้าลาน้อยส่งเสียงร้องเกียจคร้านคราหนึ่ง ไม่สนใจหน้าท้องที่ระเบิดไปแล้วของตนเอง มันแลบลิ้นขึ้นเลียริมฝีปาก

“เจ้าหมอนี่ ใจกล้ายิ่งนัก ของแบบนี้ยังกล้ากิน…นี่มันของเล่นอะไรกันแน่…ขนาดพลังเต๋าสวรรค์ยังกล้ากิน…” อู๋น้อยนิ่งเงียบ แล้วมองหน้าท้องของเจ้าลาน้อย จากนั้นมองท่าทางเลียริมฝีปากของมัน หลังจากเขาพึมพำเสียงเบาก็ลูบส่วนท้องของตัวเองอีกครั้ง…

เขาเองก็หิว

“หรือว่านี่ไม่ใช่เต๋าสวรรค์ สามารถกินได้จริงๆ…” ครู่ใหญ่ให้หลัง อู๋น้อยขี้สงสัยหลังจากใช้ดวงตาที่มองทะลุกระเป๋าคลังเก็บสำรวจโลกภายนอกแล้ว ก็เห็นเงาร่างเลือนรางหนึ่งกำลังตะบึงหนีอยู่ในระยะไกล คราวนี้เขาเป็นฝ่ายเลียริมฝีปากบ้างแล้ว

ขณะนั้นที่อู๋น้อยใช้วิชาพิเศษส่องทิศทางอันห่างไกลอยู่ เจ้าปลาดำกลับกรีดร้องโหยหวน ด้านหนึ่งมันเร่งล่าถอย เพราะหากมองหางของมันให้ชัดๆ ล่ะก็ จะเห็นว่าแหว่งไปส่วนหนึ่ง

“เรื่องบ้าบออะไรกัน นี่มันผีสางอะไร มีคนเห็นข้าด้วยแถมยังกัดข้าได้อีก อ๊ากๆๆๆ มันไม่กลัวตายหรือไง” เจ้าปลาดำเจ็บจนอยากร้องไห้ มันบินกลับไปยังใจกลางเตาหลอม และส่งเสียงครวญครางนอกหมอกนั้นอีกรอบ หลังไม่ได้รับเสียงตอบกลับ ความรู้สึกไม่เป็นธรรมของมันก็ทะยานถึงขีดสุด ว่ายวนไปมาอีกหลายรอบแต่ทำได้แค่ยอมจากไปเท่านั้นและกลับไปยังที่ที่หวังเป่าเล่ออยู่

ทว่ารอบนี้มันไม่กล้าเข้าใกล้หวังเป่าเล่อแล้ว ด้านหนึ่งเพราะอีกฝ่ายเพิ่งกัดมันเข้าไป ส่วนอีกด้านหนึ่งมันเองรู้สึกว่า มีดวงตากระหายเลือดจับจ้องมันมาจากตรงนั้น

ดังนั้นเจ้าปลาดำจึงได้แต่วนอยู่รอบนอก คอยกินเส้นไหมสีเขียวต่อไปเป็นการระบายความคับแค้นใส่เส้นไหมพวกนี้แทน ด้วยความรวดเร็ว เส้นไหมพวกนี้ล้วนถูกมันและหวังเป่าเล่อกินจนจำนวนลดน้อยลง

“ถัดไป!” หวังเป่อเล่อขยับกายอย่างอารมณ์ดี มุ่งหน้าไปยังที่ถัดไป แต่ในใจกลับระแวดระวัง เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทำให้เขารู้สึกว่ารอบด้านต้องมีอะไรสักอย่างคอยจ้องตัวเองอยู่เป็นแน่

“ดูท่าแล้วไม่อาจประมาทมหาศิษย์แห่งเต๋าของตระกูลหมื่นสำนักได้…คงต้องค่อยๆ กลืนกลิ่นอายความมืด เพราะถ้าหากถูกพบเข้าคงไม่ดี” หวังเป่าเล่อนิ่งคิดอย่างรวดเร็ว

เรื่องก็เป็นแบบนี้ ในอีกหลายชั่วยามต่อมา เงาร่างของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏอยู่ภายในวังวนขนาดยักษ์อันแล้วอันเล่า ครั้นเข้าไปก็ลงมือรุนแรงบ้าคลั่ง ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนทั้งหมดต้องหลบหนี ขณะเดียวกันชื่อเสียงของเขาก็กระจายผ่านทางมหาศิษย์แห่งเต๋าของสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้ายที่เคยเห็นภาพเขามาก่อนแล้วด้วยความรวดเร็ว

“หวังเป่าเล่อ?!”

“เจ้าคนวิปริตนี่ มันเป็นไอ้บ้าคนหนึ่ง ดาวเคราะห์เต๋าของมันอยู่ระดับดารานิรันดร์ไปแล้ว มันสังหารได้กระทั่งชงอี้จื่อ จู่ๆ มารังแกพวกเราทำไมกัน!”

“ข้าได้ยินมาว่าวังวนพวกนี้ล้วนเป็นของเขา ทำไมเขาไม่พูดเลยล่ะว่าจักรพรรดิสวรรค์กับเฉินชิงจื่อเป็นญาติเขาไปเลย!”

“สมควรตาย มันมาอีกแล้ว ทุกคนไปเร็ว!”

บนท้องฟ้าสีเทา หลังจากที่หวังเป่าเล่อกวาดล้างและโจมตีอย่างป่าเถื่อน ก็ก่อเกิดความวุ่นวายขนาดใหญ่ เขาค่อยๆ เข้ายึดครองวังวนแต่ละที่แล้วดูดกลืนมัน ดูดกลืนเส้นไหมสีเขียวจำนวนมากขึ้นกว่าเก่าเข้าสู่ร่าง แม้มองผิวเผินจะคล้ายว่า เขากระทำการมุทะลุ แต่ยามที่ดูดกลืนเส้นไหมสีเขียวนั้นยังคงใช้ความตั้งใจอยู่บ้าง

พลังเช่นนี้กระจายไปทั่วทั้งสี่ทิศ แน่นอนว่าเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าระดับที่สองตรงนี้ไม่อาจสังเกตเห็น แต่สุดท้ายแล้วก็ยังพอมีผู้ฝึกตนเหมือนเช่นเต่ายักษ์และผู้ฝึกตนกึ่งรูปงามกึ่งอัปลักษณ์ที่มองออกเงื่อนงำนี้ออก ไอรีนโนเวล

ยามนี้ หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะเรื่องนี้ยากจะเก็บเป็นความลับ อีกทั้งโอกาสในการบ่มเพาะเช่นนี้ก็หาได้ยากอย่างยิ่ง หวังเป่าเล่อพลันนึกได้ว่าตนมีศิษย์พี่เฉินชิงจื่อเป็นที่พึ่งพิง เขาจึงไม่คิดมากอีกต่อไป

เพราะว่าหากเทียบกับความกังวลและการถูกจำกัดการเคลื่อนไหวแล้ว ยังไม่สู้การได้โอกาสดูดกลืนอย่างสุขใจตรงนี้ พัฒนากายเนื้อของตนให้ถึงระดับขั้นดารานิรันดร์และเข้าสู่ระดับจักรพิภพ!

กอปรกับนิสัยชั่วร้ายของหวังเป่าเล่อเป็นทุนเดิมอยู่แล้วด้วย ตัวเขาย่อมถูกชักพาด้วยเรื่องนี้ได้ง่าย สุดท้ายแล้วหวังเป่าเล่อก็ไปถึงวังวนขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง ในขณะที่เขาเพิ่งเคลื่อนเข้าใกล้ คนในนั้นก็พลันแตกฮือกันออกมา ทำให้เขาได้โอกาสดูดกลืนเร็วกว่าเดิม

ดังนั้นแล้วร่างเนื้อของเขาจึงพัฒนาสูงยิ่งขึ้นท่ามกลางการดูดกลืนนี้ จากระดับดารานิรันดร์ชั้นปลาย ตอนนี้ค่อยๆ เข้าสู่ระดับดารานิรันดร์ชั้นสมบูรณ์ และยังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น บางทีอาจจะยกระดับพลังด้วยความรวดเร็วแล้ว แต่เคล็ดวิชาเด็ดดาราของหวังเป่าเล่อนั้นคือการหลอมดาวเคราะห์เข้าสู่ร่างปฐมอย่างไร้รูปลักษณ์ ดาวเคราะห์ทุกดวงเปรียบเหมือนร่างแยกหนึ่งร่าง ดังนั้นร่างเนื้อของเขาจึงมีการพัฒนาที่ค่อนข้างช้า ทว่าการพัฒนาในแต่ละระดับขั้นย่อมก่อเกิดผลสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน

ในส่วนของการดูดกลืนกลิ่นอายแห่งความตาย หลังจากที่หวังเป่าเล่อหยุดไปช่วงหนึ่ง เขาก็อดดูดกลืนไม่ได้อีกหลายครั้ง เป็นการเติมเต็มดวงวิญญาณเทพ ในขณะเดียวกันก็ทำให้เจ้าปลาดำตัวนั้นบ้าคลั่งยิ่งกว่าเก่า

แต่สิ่งที่ได้รับพลังมากที่สุด ไม่ใช่ร่างเนื้อและดวงวิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อ กลับเป็น…ฝักกระบี่เจ้าชะตา ในยามนี้ฝักกระบี่ไม่ได้เป็นสีแดงธรรมดาอีกแล้ว มันกลับทอแสงแดงชาดจนถึงขีดสุด กระทั่งเริ่มเปล่งประกายสีม่วงเจือดำ

กลิ่นอายที่ปล่อยออกมา หวังเป่าเล่อสัมผัสได้เพียงเล็กน้อยก็ยังต้องตกใจจนสะสะท้าน เพราะนับเป็นระดับพลังที่น่าตื่นตะลึงและแข็งแกร่ง ชวนให้ผู้คนพรั่นพรึงนัก

แล้วก็ยังมี…อู๋น้อยกับเจ้าลาน้อย หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าทั้งสองตื่นขึ้นจากการหลับใหลแล้ว แท้จริงแล้วทั้งสองเอาแต่บ่นไม่หยุดอยู่ในกระเป๋าคลังเก็บของหวังเป่าเล่อ ในขณะที่เขากระโจนไปดูดกลืนตามวังวนแล้ววังวนเล่า เสียงบ่นนั้นก็ดังมาก จะไม่ให้หวังเป่าเล่อฟังก็กระไรอยู่

“เจ้าลาโง่ เจ้ากลืนให้มันน้อยลงหน่อยได้ไหม เจ้ากลืนไปบ่อยขนาดนี้ ของเล่นชิ้นนี้มันจะกล้ามาได้อย่างไร!”

“อียอวว”

“อียอวว หามารดาเจ้าเถอะ เก็บท่าทีหน่อย สำรวมสักนิด ไม่เช่นนั้นมันก็ไม่มาแล้ว!”

ตอนที่ได้ยินคำพูดของทั้งสอง หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าพวกเขาแอบกินเส้นไหมสีเขียวอยู่เงียบๆ เช่นกัน เขาไม่ได้ถือสาเรื่องนี้มากนัก เพราะตนเป็นสาเหตุให้ทั้งสองต้องทนหิวมานาน เขาลืมไปแล้วว่ามีเจ้าสองคนนี้อยู่ด้วยซ้ำ

เพื่อเป็นการชดเชย จะกินก็กินไปเถอะ กลับกันเส้นไหมสีเขียวพวกนี้ก็มีมากอยู่ เขาไม่มีทางกินหมด แต่ถึงอย่างนั้นหวังเป่าเล่อก็แอบประหลาดใจกับคำว่า “มัน” ที่ทั้งสองเอ่ยถึง คืออะไรกัน…นี่ทำให้หวังเป่าเล่อต้องเอ่ยปากถามออกไป

“พวกเจ้ากำลังทำอะไร พูดถึงใครกัน?”

หลังจากได้ยินเสียงของหวังเป่าเล่อ เจ้าลาน้อยและอู๋น้อยพลันตัวแข็งทื่อ ผ่านไปชั่วครู่เจ้าลาน้อยจึงค่อยเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง

“อียอว”

“ปลาที่อร่อยมากงั้นหรือ?” หวังเป่าเล่อกะพริบตา เขาส่งสภาวะจิตสำรวจอู๋น้อย ร่างของอู๋น้อยสั่นระริก ทำหน้าประจบสอพลอ พร้อมกับพยายามประจบประแจง

“ท่านพ่อ ปลาที่พวกเรากำลังตก…”

หวังเป่าเล่อหรี่ตา หวนคิดถึงสภาพก่อนหน้าที่เจ้าลาน้อยพุงระเบิด หรือจะมีปลาตัวหนึ่งว่ายวนอยู่ในความมืด ก่อนหน้านี้แอบซ่อนตัวอยู่ แล้วประสงค์ร้ายต่อเขา อีกทั้งยังตามติดมาตลอด…

“ต้องให้ข้าช่วยหรือไม่?” หวังเป่าเล่อพลันเอ่ยถาม

“ท่านพ่อ ท่านดูดกลืนกลิ่นอายความตายที่นี่ให้มากหน่อย เจ้าปลาขยะนั่นข้าคิดว่าคงจะรับไม่ไหวหรอก” อู๋น้อยประหลาดใจปนยินดี รีบเอ่ยปาก

“อียอวว!” เจ้าลาน้อยเองก็สายตาเป็นประกาย มันรีบเห็นด้วย

“หลังตกได้แล้ว พวกเจ้าสองคนแบ่งกันคนสองละส่วน เหลือไว้แปดส่วน ถือเป็นค่าครูของพวกเจ้า!” หวังเป่าเล่อรีบเอ่ยทันทีอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“…” อู๋น้อยและเจ้าลาน้อยนิ่งเงียบ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงพยักหน้าอย่างคับแค้นใจ

หวังเป่าเล่อหรี่ตา คิดว่าตนต้องดูสักหน่อยแล้ว ปลาอะไรช่างใจกล้าขนาดนี้ ถึงกับแอบติดตามตนมาตลอดทาง แล้วยังประสงค์ร้าย ในเวลาเดียวกันเขาก็เพิ่งรู้สึกได้ว่าก่อนหน้า แม้เส้นไหมสีเขียวเบื้องหน้าตนจะมีมาก แต่พอดูดกลืนเข้าไปกลับไม่ได้มากขนาดนั้น เหตุใดมันจึงหายไปเสียได้ ยามนี้หากคิดให้ถี่ถ้วน…เกรงว่าคงถูกเจ้าปลาตัวนั้นแอบแย่งชิงไปแน่นอน

“กล้ากินการบ่มเพาะของข้า?!” หวังเป่าเล่อถลึงตา ในใจหงุดหงิด แต่เมื่อคิดจะล่อปลาแล้วไม่อาจทำตัวชัดเจนเกินไปได้ ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นเดินทางต่อภายใต้ท้องฟ้าสีเทาแบบไม่รู้เรื่องราวและดูดกลืนไม่หยุด เพื่อให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น วังวนขนาดยักษ์ในท้องฟ้าสีเทาค่อยๆ หายไปเรื่อยๆ ทีละอันๆ จนกระทั่งหวังเป่าเล่อกวาดสายตามองอีกก็หาไม่เจอ เขาจึงทำท่าราวกับอิ่มหนำสำราญและคิดอยากดื่มน้ำดับกระหาย อ้าปากกว้างดูดเข้าคราหนึ่ง พริบตานั้นกลิ่นอายแห่งความตายรอบด้านก็พุ่งมาทางเขาด้วยความรวดเร็ว!

……………………………………..

หลังจากที่จักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัวเอ่ยปากอย่างไม่สะทกสะท้านแล้ว กองกำลังของกองทัพไม่รู้สิ้นจำนวนนับแสนเบื้องล่าง ขณะนั้นค่อยๆ ทวีกำลังขึ้น พวกเขาใช้พลังวิเศษเร้นลับบางอย่างเพื่อดึงพลังปราณมาจากพลังเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น ก่อนจะหลอมกลายเป็นกลุ่มควันสีเขียวครามขนาดมโหฬาร กลุ่มควันแต่ละก้อนร่วงหล่นทะลุเข้าสู่ท้องฟ้าพร่างดาราสีเทาเบื้องล่าง

หลังจากการร่วงหล่น พลังปราณแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นที่กลายเป็นก้อนควันก็แผ่กระจายออกอย่างไร้สุ้มเสียง ก่อเกิดกลิ่นอายของเส้นไหมเล็กละเอียดสีเขียวซึ่งไม่อาจนับจำนวนให้รู้ชัด กระจายไปทั่วแปดทิศ

หลังจากเส้นไหมล่วงล้ำดินแดนแล้วนั้น เขตแดนท้องฟ้าของที่นี่ซึ่งเดิมทีเป็นสีเทา ยามนี้จึงเริ่มเปลี่ยนแปลง ราวกับว่าเริ่มมีสีเขียวครามเข้าไปเจือปนในพลังงานสีเทาเหล่านี้ด้วย พวกมันเริ่มเชื่อมประสาน ค่อยๆ แสดงสัญญาณว่าท้องฟ้านี้กำลังจะกลายเป็นสีเขียวครามเต็มที

ฉากนี้ เหล่าคนจากต่างดาวมองเห็นแล้วล้วนตกตะลึงไปตามๆ กัน เพียงแต่ว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นมีเพียงแค่ท้องฟ้าสีเทาของสถานที่นี้ซึ่งกำลังเปลี่ยนสีเท่านั้น พวกเขาไม่อาจมองเห็นหมอกสีเขียวครามจากเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นที่ปล่อยออกมาจากกองทัพไม่รู้สิ้นได้ ไม่เช่นนั้นคงพากันตื่นตะลึงหนักกว่าเก่าเป็นแน่ เพราะว่าเหล่าหมอกควันสีเขียวครามพวกนี้ แต่ละก้อนล้วนแฝงไปด้วยพลังกฎแห่งเขตพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น

เว้นเสียแต่ว่าผู้มองจะอยู่ในระดับจักรพรรดิสวรรค์เท่านั้น จึงจะสามารถหยิบยืมพลังปราณแห่งเต๋าสวรรค์ไปฝึกปรือได้ ผู้อื่นย่อมไม่มีทางได้รับมัน เพราะจะถูกพลังสะท้อนกลับ นี่แสดงให้เห็นว่ามันมีค่าเพียงใด

“ท่าไม่ค่อยดีแล้ว…” ปรมาจารย์แห่งไฟที่อยู่นอกเขตสีเทาพลันขมวดคิ้วเล็กน้อย เพ่งมองท้องฟ้าสีเทาที่ค่อยๆ เปลี่ยนสีสัน จากนั้นจึงแหงนหน้ามองไปยังทิศที่เผ่าไม่รู้สิ้นซ่อนตัวอยู่ ดวงตาฉายแววเคร่งขรึม

เขาไม่รู้สถานการณ์ภายในเขตน่านฟ้าสีเทานี้ แต่ว่าหากมองจากโลกภายนอกเข้าไป ครั้นท้องฟ้าของดาวสีเทาเปลี่ยนเป็นสีเขียวคราม วงแหวนปราณจะถูกทำลายทิ้ง

ผลลัพธ์ของการที่วงแหวนปราณถูกทำลาย ก็คือเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดจะถูกสับเปลี่ยน อีกทั้งจักรพรรดิเดือนแยกที่กำลังประลองกับเฉินชิงจื่อก็จะได้รับแรงหนุนระดับมหาศาล จนอาจส่งผลให้จุดจบของศึกนี้ต้องเปลี่ยนไป

“เฉินชิงจื่อกำลังคิดอะไรอยู่…” ปรมาจารย์แห่งไฟพึมพำในใจ แท้จริงแล้วไม่ได้มีเขาคนเดียวที่คิดเช่นนี้ นอกเขตท้องฟ้าสีเทานั้น เหล่าผู้พิทักษ์แห่งเต๋าในสำนักและตระกูลนับหมื่นด้านนอก มีจำนวนไม่น้อยที่มองเงื่อนงำเหล่านี้ออก และล้วนพากันคาดเดา

เวลาเดียวกัน ขณะที่เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายคาดเดากันอยู่นี้เอง ในส่วนลึกของท้องฟ้าสีเทาที่กำลังเปลี่ยนสีอยู่นั้น ในใจกลางแห่งการหลอม จักรพรรดิเดือนแยกที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มหมอกกำลังส่งเสียงร้องเวทนา หรือเรียกได้ว่ากำลังกรีดร้อง

“เฉินชิงจื่อ เจ้าไม่สังหารข้า แต่กลับทรมานข้าเช่นนี้ แถมยังย้อนวงแหวนปราณ ปนเปื้อนเตาหลอมแห่งเต๋าศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าจนกลายเป็นเตาหลอมศักดิ์สิทธิ์แห่งความมืดเก้าใบ ทุกสิ่งไม่ได้เพียงต้องการแผดเผาข้า แต่ต้องการเปลี่ยนให้ข้ากลายเป็นเผ่าแห่งความมืดอย่างนั้นรึ? เรื่องนี้ไม่มีทางเกิดขึ้น!”

“จักรพรรดิเดือนแยก เจ้าคิดมากไปแล้ว” เฉินชิงจื่อยิ้มบาง เขานั่งขัดสมาธิอยู่กลางหมอกสีดำ มือขวาประสานมุทรา ชี้นิ้วไปยังจักรพรรดิเดือนแยกไม่หยุด ทำให้ทั้งร่างก่อเกิดเสียงดังกระหน่ำต่อเนื่อง

และทุกครั้งที่เสียงนั้นดังขึ้น ร่างของจักรพรรดิเดือนแยกก็หลุดลอยเข้าสู่ไอหมอกดำอย่างชัดเจนมากขึ้น เห็นได้ว่า…กำลังบังคับให้อีกฝ่ายเปลี่ยนสภาพจริงๆ

“ปลาที่ข้าต้องการตก ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น” เฉินชิงจื่อหรี่ตา ดวงตามันทอประกายแสงทะมึนคราหนึ่ง แต่ในพริบตาถัดมาก็กลับเป็นดังเดิม ยังคงเผยรอยยิ้มบางเหมือนเก่า ก่อนจะใช้นิ้วประสานชี้ต่อ

เสียงกรีดร้องยังคงดังอย่างต่อเนื่อง!

เวลาเดียวกัน นอกใจกลางหม้อหลอม ภายในอาณาบริเวณของท้องฟ้าสีเทา ตำแหน่งของวังวนยักษ์ที่หวังเป่าเล่ออยู่นั้นค่อยๆ เริ่มสลายไป ส่วนเส้นสีเขียวจำนวนมากรอบด้านเขา ตอนนี้มันซึมซับเข้าสู่ร่างกายหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว ทำให้พลังร่างเนื้อของเขายกระดับขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ชั่วอึดใจให้หลัง หวังเป่าเล่อถึงค่อยลืมตา ดวงตาของเขาพลันเกิดแสงสว่าง ขณะเดียวกันก็สัมผัสได้ว่านอกจากร่างกายของตนจะแกร่งกล้าขึ้นแล้ว ฝักดาบประจำตัวที่อยู่ในร่างตนนั้น ยามนี้เผยกลิ่นอายที่ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงออกมา ไอลีนโนเวล

“ที่แท้แล้วเป็นสถานที่บ่มเพาะหรือนี่!” หวังเป่าเล่อตื่นเต้นจนต้องเลียริมฝีปาก หลังจากมองไปรอบด้านแล้วก็พลันอ้าปากขึ้น ทันใดนั้นเปลวไฟสีดำในร่างก็ทะยานออกมาด้านนอกทันที ดูดกลืนอย่างบ้าคลั่ง

ราวกับอัสนีบาตระเบิด เสียงดังลั่นนั้นกระจายออกไปทั่วทุกทิศราวกับจะพลิกภูเขาทำลายมหาสมุทร กลิ่นอายแห่งความตายขยาดยักษ์ในท้องฟ้าพลันหลั่งไหลเข้ามาสู่ตัวเขาในชั่วพริบตา แล้วถูกดูดกลืนเข้าไปภายในร่าง กระทั่งดวงวิญญาณเทพก็สั่นสะท้าน พลังยกระดับอย่างรวดเร็ว เจ้าปลาสีดำที่หวังเป่าเล่อมองไม่เห็นนั้นในยามนี้เองก็ร่างกายสะท้านเช่นกัน มันส่งเสียงคำรามที่หวังเป่าเล่อไม่ได้ยินออกมา

ก่อนหน้านี้ปลาสีดำรู้สึกว่าตรงที่หวังเป่าเล่ออยู่นี้ดีนัก แต่ตอนนี้ความร้อนใจกลับพุ่งสูงอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับตอนแรก เห็นได้ชัดว่าการดูดกลืนกลิ่นอายแห่งความตายของหวังเป่าเล่อตรงนี้ทำให้มันรู้สึกว่า หวังเป่าเล่อจะกินร่างเนื้อของมัน…

นี่ทำให้มันกังวลอย่างยิ่ง รีบรี่พาร่างจากไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงปรากฏตัวอยู่นอกหมอกสีดำของเฉินชิงจื่อ มันกู่ร้องต่อเนื่อง ทว่าเฉินชิงจื่อที่อยู่ด้านในนั้น ตอนนี้ไม่ได้สนใจมันแม้แต่น้อย เพราะเขากำลังทุ่มเททั้งกายใจไปกับการรุกรานและหลอมจักรพรรดิเดือนแยก

สิ่งนี้ทำให้ปลาสีดำรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมมากกว่าเดิม

อีกด้าน…หวังเป่าเล่อเองก็ไม่กล้าดูดกลืนมากนัก เพราะหลังจากดูดกลืนครั้งแรกแล้ว เส้นไหมสีเขียวรอบตัวเขานั้นถูกทยอยดูดเข้ามาพร้อมกันทีเดียว อีกทั้งจำนวนของพวกมันเกรงว่าจะมีมากมายเกินหลายหมื่นเส้น

มองเห็นเส้นไหมสีเขียวจำนวนมากเท่านี้ ดวงตาของหวังเป่าเล่อทอแววกระหาย หมายจะพุ่งร่างตรงไปยังทิศห่างไกล เพื่อไล่ตามเส้นไหมสีเขียวเหล่านั้น แต่เมื่อหวังเป่าเล่อเก็บเปลวไฟสีดำไปแล้ว เหล่าเส้นไหมสีเขียวก็ทำเหมือนว่าเป้าหมายของพวกมันได้หายไปด้วย จึงค่อยๆ จางหายไป

เห็นได้ชัดว่าการเคลื่อนไหวของหวังเป่าเล่อคล่องแคล่วยิ่งขึ้น ยามนี้เขาตามหาวังวนขนาดยักษ์อันถัดไปที่อยู่ภายในท้องฟ้าสีเทาอย่างกระตือรือร้น ใช้เวลาไม่นาน ท่ามกลางการค้นหาอย่างรวดเร็วของหวังเป่าเล่อ หลังจากมองข้ามวังวนขนาดเล็กกลางหลายอันแล้ว ในที่สุดเขาก็หาวังวนระดับจักรพรรดิสวรรค์ร่วงหล่นเป็นแห่งที่สองได้

วังวนที่มีขนาดไม่ต่างจากอันก่อนมากนัก พลันปรากฏเบื้องหน้าหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว เขามองเห็นผู้ฝึกตนจำนวนสิบกว่าคนจากตระกูลหมื่นสำนักนั่งขัดสมาธิอยู่กลางวังวนนั้น

“ช่างกล้านัก กล้ามาขโมยโอกาสบ่มเพาะของข้า!” ร่างของหวังเป่าเล่อไม่หยุดนิ่งสักแวบเดียว ทะยานกายพุ่งเข้าไปทันที แม้พลังฝึกปรือของเหล่าผู้ฝึกตนสิบกว่าคนนี้จะไม่ธรรมดา แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว พวกเขาก็ไม่ต่างจากเด็กน้อย ไม่อาจนับได้ว่าเป็นระดับเดียวกับตน

การอธิบายเช่นนี้ก็ไม่แย่นักเพราะว่าสภาวะของหวังเป่าเล่อในปัจจุบัน หากมองด้วยความเห็นของเหล่าตระกูลหมื่นสำนักแล้ว ระดับของเขานับว่าเลยกลุ่มชั้นที่สองไปแล้ว แม้กระทั่งว่าในหมู่ระดับชั้นที่หนึ่งนั้น เขาก็อาจจะอยู่ในกลุ่มสูงสุดเลยด้วยซ้ำ

ยามที่พุ่งตัวออกไปถึงขั้นทำให้ภายในหมอกเกิดพลังระเบิด พลังร่างกล้ามเนื้อหวังเป่าเล่อดังกึกก้อง และในระหว่างที่หัวใจของเหล่าผู้ฝึกตนสิบกว่าคนกำลังเต้นระรัว หวังเป่าเล่อก็ลงมือท่ามกลางความตกตะลึงนั้นทันที กระบวนการทั้งหมดยังไม่ถึงครึ่งก้านธูปดี เหล่าผู้ฝึกตนสิบกว่าคนนี้ก็ถูกเขาอัดไปกว่าหกคนแล้ว!

ส่วนที่เหลือนั้น ท่ามกลางความแตกตื่นหวาดกลัว พวกเขาพากันหลบหนี

หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจพวกผู้ฝึกตนที่หนีไปเหล่านั้น เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางวังวนด้วยความมีชีวิตชีวา หลังจากใช้พลังดูดกลืนรุนแรงคราหนึ่ง กฎของวังวนที่ถูกเขาทำลายทิ้งก็ตรงเข้ามาหา ในพริบตาไหลหลั่งเข้าสู่พลังภายในของเขาและเข้าสู่ฝักกระบี่เจ้าชะตานั้น

สีของฝักกระบี่เจ้าชะตาในตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นแดงฉาน ราวกับว่ากำลังมีโลหิตสดๆ ไหลมารวมกัน กระทั่งว่าพลังแสงเองก็กระจายทะลุผ่านร่างของหวังเป่าเล่อ เมื่อใช้สายตามองจากระยะไกลไปนั้นจะเห็นว่าแสงโลหิตของเขาสูงทะลุฟ้า

หลังจากนั้นก็คือเส้นไหมสีเขียวพวกนั้น…ตัวเขาดูดมันเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ และเพราะระดับความหนาแน่นของพวกมันมีเพิ่มขึ้น ดังนั้นเมื่อปรากฏออกมา ก็เกินกว่าหมื่นเส้นแล้ว พวกมันตรงเข้าหาหวังเป่าเล่อทันที!

“ข้าจะดูด ข้าดูด ข้าจะดูดกลืนๆๆ!” หวังเป่าเล่อดวงตาเบิกกว้าง ไม่หลบหลีกแม้แต่น้อย ร่างกายคล้ายกับได้กลายเป็นหลุมดำ จัดการดูดเอาเส้นไหมสีเขียวเหล่านั้นเข้ามาจนสิ้น ส่วนปลาสีดำเองก็เคลื่อนเข้ามาใกล้ด้วยความรวดเร็ว ตัวมันอ้าปากกว้างเตรียมพร้อมจะกลืนกินเช่นกัน ความเร็วของมันไม่นับว่าด้อย สรุปแล้วก็คือ มันกินไปประมาณคนละครึ่งกับหวังเป่าเล่อเลยทีเดียว ขณะปลาสีดำกลืนกินไป ดวงตาก็แอบมองหวังเป่าเล่ออย่างโกรธๆ และเพราะความพิเศษของตัวมันหวังเป่าเล่อใช้เวลาเนิ่นนานก็ยังจับสังเกตอะไรไม่ได้

ขณะที่มันจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยความโกรธและพยายามแย่งชิงเส้นไหมสีเขียวอยู่นั้น ร่างของหวังเป่าเล่อพลันระเบิดรุนแรง พลังกล้ามเนื้อของเขายกระดับแล้ว!

ในพริบตานั้น หวังเป่าเล่อทะยานจากระดับกลางของระดับดารานิรันดร์เข้าสู่ระดับปลายของดารานิรันดร์!

ขณะเดียวกันกับที่ฝ่าระดับได้ ฝักกระบี่เจ้าชะตาของเขาก็เปลี่ยนแปลง แรงดูดกลืนทวีกำลังขึ้นทำให้เส้นไหมสีครามทั้งสี่ทิศนั้นถูกชักนำเข้ามามหาศาล ในตอนแรกหวังเป่าเล่อดูดกลืนกับปลาสีดำคนละครึ่ง ทว่าพลังดูดกลืนของเขากลับยกระดับในพริบตา และค่อยๆ กลายเป็นถือครองส่วนแบ่งหกส่วน!

นี่ทำให้ดวงตาของปลาสีดำแทบจะถลนออกมา ดวงตาของมันแฝงแววแข็งกร้าวไม่ยินยอมอย่างมาก อีกทั้งยังโมโหด้วย

“กินเนื้อของข้า แย่งอาหารข้ายังพอทำเนา แต่กลับแย่งได้มากกว่าข้าอีกงั้นหรือ ย๊ากกกก!” เจ้าปลาสีดำเริ่มบ้าคลั่งขึ้นมาแล้ว เวลาเดียวกันดวงตามันก็กลายเป็นสีแดง เผยประกายเหี้ยมโหด มันไม่สนกฎที่เฉินชิงจื่อตั้งไว้ให้อีกต่อไป ร่างกายพลันขยับ จากนั้นก็เคลื่อนเข้ามาอยู่ด้านหลังของหวังเป่าเล่อ และในยามที่หวังเป่าเล่อไม่รู้เนื้อรู้ตัวเลยแม้แต่น้อย มันก็อ้าปากกว้าง!

การอ้าปากกว้างในครั้งนี้ของมัน ฉับพลันก็ครอบคลุมทั้งสี่ทิศ ครอบอยู่รอบตัวของหวังเป่าเล่อ หากงับลงมาแล้ว มันก็จะสามารถกินหวังเป่าเล่อ…ลงไปในคำเดียว!

ทว่า ในพริบตาที่มันกำลังจะกลืนหวังเป่าเล่อลงท้องนั้น เสียงประหลาดเร้นลับก็ดังขึ้นมา

“อียอออ!”

……………………………………………………….

“แต่… ช้าก่อน!” เจ้าเต่ายักษ์สูดหายใจเข้า มองดูสีเขียวรอบๆ กาย ก่อนจะเผยสีหน้าเคร่งขรึม

“เกิดอะไรขึ้น!” ผู้ฝึกตนกึ่งรูปงามกึ่งอัปลักษณ์สั่นรุนแรงไปทั้งกาย มองไปยังพื้นที่ว่างเปล่านอกวังวน พลันสังเกตเห็นเส้นไหมสีเขียวเหล่านั้น

“เส้นไหมแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น!” ในชั่วพริบตา พวกเขาก็จำสิ่งนี้ได้ แววตาต่างเผยให้เห็นถึงความหวาดหวั่น พวกเขารู้ว่าในจักรวาลสีเทาแห่งนี้ ของตกแต่งบางอย่างของตระกูลไม่รู้สิ้นนั้น ก็สัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเส้นไหมสีเขียวในบางสถานการณ์ที่พิเศษ และมีการสัมผัสในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

ดังนั้นจึงเข้าใจได้ว่าเส้นไหมสีเขียวนี้แข็งแกร่งมาก ทุกเส้นต่างมีอานุภาพทำให้พวกเขาบาดเจ็บสาหัสได้ แลหากมันมีมากเกินไป พวกเขาจำต้องย่อยยับ

ทว่ายังโชคดี ตราบใดที่พวกเขาไม่ริเริ่มคิดจะไปยั่วยุมัน เส้นไหมสีเขียวแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นเหล่านี้ก็จะไม่คุกคาม ดังนั้นมหาศิษย์แห่งเต๋าที่อยู่ ณ สถานที่แห่งนี้จึงค่อยๆ คุ้นชินกับการดำรงอยู่ของเส้นไหมสีเขียว

แต่ฉากตรงหน้าที่เส้นไหมปรากฏขึ้นพร้อมกันนับร้อยเส้นนั้น ผู้ฝึกตนทั้งสองเพิ่งเคยประสบเป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้มากสุดที่พบเจอมีเพียงสายสองสายเท่านั้น ดังนั้นหัวใจจึงสั่นไหว ต่างลุกขึ้นยืนทันที

ระหว่างที่ยังคงตื่นตกใจ ปราณกระบี่เจ้าชะตาในวังวนแห่งก็แดงก่ำขึ้นตามการดูดซับของหวังเป่าเล่อ ฝักกระบี่เจ้าชะตาที่ไหลเข้าสู่ร่างของหวังเป่าเล่อจำนวนมากตามกฎแตกกระจาย ส่งเสียงฟู่ฟ่าไม่หยุด และมีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน

ร่องรอยพลังงานจำนวนมากที่ส่งกลับ ทำให้ชั้นกายเนื้อของหวังเป่าเล่อตอนนี้ปริออกอย่างต่อเนื่อง ระหว่างนั้น… จำนวนเส้นไหมสีเขียวที่รวมตัวมาจากทั่วสารทิศก็ทะลุหลักพันจากหลักร้อยก่อนหน้า!

ฉากนี้ทำให้เจ้าเต่ายักษ์และผู้ฝึกตนกึ่งรูปงามกึ่งอัปลักษณ์ตกอยู่ความหวั่นวิตกทันที แววตาไม่เพียงเผยความสับสน แต่ยังเต็มไปด้วยความหวาดผวา

“นี่มันอะไรกันแน่!”

“หลักพัน…” ทั้งสองรหวาดกลัวอย่างยิ่ง อยากจะเดินจากไป ทว่าเส้นไหมสีเขียวที่อยู่บริเวณรอบ หนาแน่นมากเสียจนพวกเขาไม่กล้าขยับ แต่ไม่นานพวกเขาก็ต้องเสียใจภายหลัง…

เพราะเส้นไหมสีเขียวพวกนั้น ในระยะเวลาอันสั้น จากหลักร้อยทบทวีกลายเป็นหลักพัน และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดวงวิญจิตเทพของทั้งสองสั่นสะท้าน หันมองไปทางหวังเป่าเล่อทันที เห็นชัดว่าได้ตระหนักรู้แล้วว่าคนผู้นี้ต่างหาก…ที่เป็นต้นเหตุ

“เจ้านี่ทำอะไรลงไป!”

“บ้าไปแล้วหรือ ไม่กลัวตายรึ!” ร่างของเจ้าเต่ายักษ์สั่นเทิ้ม พลันร่างกายหดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดก็กลายเป็นลำแสงสายหนึ่ง พุ่งออกนอกเขตวังวนไป เขาคิดดีแล้ว หากยังไม่รีบจากไปตอนนี้ เกรงว่าเส้นไหมสีเขียวที่นี่จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น อีกอย่างเขายังสัมผัสได้ว่าเส้นไหมสีเขียวแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นเหล่านั้น คล้ายจะหงุดหงิดมาก

ราวกับว่า… พร้อมจะกระโจนเข้าใส่ในพริบตาเดียว นั่นน่ากลัวนัก…

ผู้ฝึกตนกึ่งรูปงามกึ่งอัปลักษณ์ก็รู้สึกหวั่นกลัวเช่นกัน เขากระอักเลือด แปลงกายเป็นไอหมอกโลหิต หลังจากลดขนาดลงอย่างต่อเนื่องก็จากไปอย่างรวดเร็ว

ด้วยเหตุนี้ ผู้ฝึกตนกึ่งรูปงามกึ่งอัปลักษณ์และเจ้าเต่ายักษ์ที่ใช้วิธีแตกต่างกันก็ลอดผ่านเส้นไหมสีเขียวเหล่านั้นออกไปอย่างระแวดระวัง โชคดีที่เป้าหมายของเส้นไหมสีเขียวเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นคือหวังเป่าเล่อ ทำให้ทั้งสองสามารถหลบหนีออกไปได้อย่างราบรื่นภายใต้ความรู้สึกประหม่า เวลาเดียวกันกับที่ทั้งสองหลบหนีออกไป จำนวนเส้นไหมสีเขียวในสถานที่แห่งนี้ก็ได้เพิ่มขึ้นถึงห้าพันกว่าเส้นแล้ว

หลังจากหนีออกไปได้ ผู้ฝึกตนทั้งสองไม่ได้จากไปทันที ทว่ากลับทอดสายตามองจากระยะไกลด้วยใจหวาดหวั่น อยากรู้ว่าเจ้าบ้านั่นจะทำอะไรกันแน่ และจะถูกกำจัดโดยตรงหรือไม่

จังหวะที่พวกเขามองกลับไปนั่นเอง ภายในวังวนที่หวังเป่าเล่ออยู่นั้นก็เปล่งเสียงคำรามก้องกังวานไปทั่วทุกหนทุกแห่ง วังวนขนาดใหญ่แห่งนี้ หลังจากถูกหวังเป่าเล่อดูดซับอยู่นาน ในที่สุดก็ถูกสูบพลังงานจนหมดสิ้นแล้ว กฎแตกกระจายทั้งหมด ล้วนถูกดูดซึมเข้าสู่ฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างกายของหวังเป่าเล่อ

ฝักกระบี่เจ้าชะตานั้น หลังจากดูดซับอย่างต่อเนื่อง ก็เป็นเสมือนดินแห้งกร้าน ต้องถ่วงสมดุลเอาไว้จึงจะสามารถดูดซับได้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นในชั่วพริบตาถัดมา ขณะที่วังวนส่งเสียงคำรามจนกลายเป็นหลุมดำ เส้นไหมสีเขียวเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นนับพันรอบด้านก็ระเบิดขึ้นโดยพลัน พุ่งตรงไปวังวนท่ามกลางเสียงคำราม และเสียงกรีดร้อง

มองจากระยะไกล ฉากนี้ทำเอาอกสั่นขวัญหายและสะท้านฟ้าสะเทือนดินมากทีเดียว เพราะหลุมดำในวังวนนี้มีขนาดใหญ่มาก ดังนั้นในทางที่ไกลออกไปก็มีเส้นไหมสีเขียวเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นถูกดึงดูดมาอย่างรวดเร็ว ทำให้เจ้าเต่ายักษ์และผู้ฝึกตนกึ่งรูปงามกึ่งอัปลักษณ์ใจสั่นสะท้านยิ่งกว่าเดิม

ทันใดนั้นเอง… ฉากที่ทำให้พวกเขาต้องตะลึงยิ่งกว่าก็ปรากฏ!

เส้นไหมสีเขียวนับพันพุ่งลงไปท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ล้วนเจาะเข้าไปในร่างกายของหวังเป่าเล่อ ทว่าหวังเป่าเล่อกลับไม่ได้แตกสลายเหมือนที่ผู้ฝึกตนทั้งสองคิด ตรงกันข้าม… กลับมีร่องรอยพลังงานอันแรงกล้าสายหนึ่งระเบิดออกมาตามการซึมซับเข้าไปของเส้นไหมสีเขียว ทำให้ร่างกายสั่นสะท้าน!

นั่นคือพลังแห่งชั้นกายเนื้อ!

ฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างของหวังเป่าเล่อ ปล่อยร่องรอยพลังงานจำนวนมากกลับคืนมาตามการดูดซับเส้นไหมสีเขียว ความรู้สึกแห้งกร้านได้รับการแก้ไข ผสมผสานไปกับความชุ่มชื้น ทำให้ขณะที่ชั้นกายเนื้อของหวังเป่าเล่อแผดเสียงคำราม ก็ได้ทะลุระดับการฝึกฝนไปสู่ดารานิรันดร์ชั้นกลางโดยตรง

ยังไม่จบ ระดับขั้นยังคงสูงขึ้นเรื่อยๆ เส้นไหมสีเขียวโดยรอบซึมซับเข้าไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเอง เส้นไหมสีเขียวห้าพันเส้นก็ถูกหวังเป่าเล่อดูดซับ จากนั้นเส้นไหมจำนวนมากขึ้น ก็เข้ามาพร้อมเสียงคำรามจากรอบด้าน จำนวนมากจนอาจถึงหลักหมื่นเลยทีเดียว

เวลานี้ เจ้าเต่ายักษ์และผู้ฝึกตนกึ่งรูปงามกึ่งอัปลักษณ์ต่างตกตะลึง แววตาเผยความงุนงง ทั้งสองชะงักไปชั่วครู่ หันสบตากัน ราวกับว่าไม่เชื่อในสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

“ข้าตาฝาดไปหรือไม่ เจ้านี่… กำลังดูดซับพลังแห่งเต๋าสวรรค์?”

“น่าจะเป็นภาพลวงตา ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามนุษย์สามารถดูดซับพลังแห่งเต๋าสวรรค์ได้ ต้องถึงระดับจักรพรรดิสวรรค์ก่อน จึงจะสามารถดูดซับเพื่อให้ไปช่วยในการฝึกฝน นี่เป็นความรู้ทั่วไป… อะไรกัน… หรือเขาจะเป็นร่างจำแลงของจักรพรรดิสวรรค์?”

ทั้งสองสั่นสะท้าน แววตาที่มองหวังเป่าเล่อไม่ใช่ความเฉยชาอีกต่อไป ทว่ากลับเปลี่ยนแปลงราวกับเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น โดยเฉพาะหลังจากสังเกตเห็นว่าแรงดึงดูดของวังวนลดลง และเส้นไหมสีเขียวเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นในระยะไกลก็ไม่ถูกลากมาแล้ว เจ้าเต่ายักษ์ก็ตัวสั่นยิ่งกว่าเดิม ก่อนจะหนีไปอย่างรวดเร็ว

เขากลัวแล้วจริงๆ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะดูดซับด้วยวิธีการพิเศษหรือเป็นร่างจำแลงของจักรพรรดิสวรรค์หรือไม่ ก็ไม่ใช่คนที่เขาสามารถยั่วยุได้ และหากยังอยู่ดูต่อไป เกรงว่าจะถูกกำจัด ไอรีนโนเวล

ผู้ฝึกตนกึ่งรูปงามกึ่งอัปลักษณ์ก็เช่นเดียวกัน รีบหนีไปทันทีโดยไม่หันกลับมามอง

ขณะที่ทั้งสองหนีไปอย่างรวดเร็ว… ปลาสีดำก็ปรากฏร่างจำแลงขึ้นข้างๆ บริเวณที่พวกเขาอยู่ก่อนหน้านี้อีกครั้ง ร่างกายของมันบวมเป่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แววตาเผยความกังวล ปากส่งเสียงฟ่อๆ ราวกับ… ลูกสุนัขที่กำลังกระวนกระวายใจเมื่อเห็นอาหารของตัวเองถูกแย่งชิง

ดูเหมือนท้ายที่สุดมันจะทนไม่ไหวอีกแล้ว ขยับตัวพุ่งออกไปทันที กัดกินเส้นไหมสีเขียวเหล่านั้นนอกวังวน กัดกินคำละเส้นด้วยความบ้าคลั่ง ราวกับว่ากำลังแข่งขันกับหวังเป่าเล่อ

ขณะกำลังกัดกินอยู่นั่นเอง จู่ๆ ปลาสีดำตัวนี้ก็กะพริบตา มันกินพลางมองเข้าไปในวังวน เวลานี้เส้นไหมสีเขียวเจาะเข้าไปในร่างกายของหวังเป่าเล่ออย่างต่อเนื่อง ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร แต่มันเองก็รู้สึกว่าแบบนี้ดีแล้ว

ก่อนหน้านี้เส้นไหมสีเขียวเหล่านี้เป็นเหมือนแมลง คล่องแคล่วมาก ทันทีที่สัมผัสถึงตัวมันก็รวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ราวกับต้องการกลับมาแว้งกัด เพราะตัวมันเองก็หวาดกลัวเช่นกัน ดังนั้นจึงทำได้เพียงแอบกินทีละน้อย และต้องเอาใจคนไร้ยางอายอย่างเฉินชิงจื่อด้วย เพราะเฉินชิงจื่อสามารถจับเส้นไหมสีเขียวเหล่านี้ให้ตนได้

แต่ตอนนี้… เส้นไหมสีเขียวต่างไม่สนใจมันอีก ในเวลาอันสั้น มันจึงกินเข้าไปได้หลายร้อยเส้น

“ดูเหมือนว่า… เจ้าหัวขโมยคนนี้จะดีกว่าเฉินชิงจื่อเสียอีก?” เมื่อปลาสีดำคิดแบบนี้ ก็มีความสุขขึ้นมาทันที ปากก็พลันกัดกินได้เร็วกว่าเดิม

ขณะที่กำลังกลืนกินเส้นไหมสีเขียวขนาดเล็กใหญ่อย่างต่อเนื่อง ภายนอกจักรวาลสีเทาแห่งนี้ที่ถูกปกคลุม ตระกูลหมื่นสำนักมองไม่เห็นท้องฟ้าของจักรวาลสีเทา เรือรบของตระกูลไม่รู้สิ้นนับแสนที่ลอยอยู่บนท้องนภาต่างสั่นสะท้าน ปราณหมอกแห่งเส้นไหมสีเขียวที่ปล่อยออกมาบางเบาลง

ฉากนี้ดึงดูดความสนใจของจักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัวอีกครั้ง เขานั่งขัดสมาธิอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่า พลันลืมตาขึ้น ก่อนจะมองไปทางจักรวาลสีเทา ที่แห่งนั้นเต๋าสวรรค์วุ่นวาย จึงทำให้มองเห็นไม่ชัด สัมผัสได้เพียงว่าภายในวังวนแห่งหนึ่งกำลังกลืนกินเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นอย่างต่อเนื่อง

“เต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืด… กล้ากลืนกินอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้เชียว… ดีเหมือนกัน หากสามารถกินจนจุกตายได้ ค่ายกลที่นี่ก็จะแตกออกในทันที”

“น่าสนใจ แค่เต๋าสวรรค์อ่อนหัด ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะสูบได้เท่าไรกันเชียว!”

“ทุกคนฟังคำสั่ง เพิ่มการไหลเข้าของร่องรอยพลังงานเต๋าสวรรค์ ทำให้สำนักแห่งความมืดนี้จุกตายไปเสีย!” เสวียนหัวสีหน้านิ่งสงบ กล่าวอย่างเรียบเฉย

…………………………………….

ในขณะที่ปลาสีดำตัวนี้กำลังก่นด่า ภายในจักรวาลสีเทา หวังเป่าเล่อตอนนี้กำลังรู้สึกตื่นเต้น แววตาทอประกาย เขากลายเป็นสายรุ้งที่ลุกไหม้ ความเร็วเพิ่มขึ้นถึงขีดสุด เปล่งเสียงคำรามและพุ่งตรงไปยังวังวนขนาดใหญ่

แต่เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้ไม่ราบรื่นเหมือนเช่นก่อนหน้า ภายในจักรวาลสีเทา วังวนที่มีขนาดใหญ่เท่ากับที่หวังเป่าเล่อเห็นในตอนนี้มีจำนวนน้อยมาก มันแปลงมาจากการล่มสลายของราชันสวรรค์แห่งตระกูลไม่รู้สิ้น และราชันสวรรค์ที่เป็นกองกำลังในบังคับบัญชาของจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกที่เข้าร่วมการฆ่าเฉินชิงจื่อ มีเพียง 17 คนเท่านั้น!

นั่นหมายความว่า ภายในจักรวาลสีเทา อย่างมากที่สุด… ก็จะมีวังวนขนาดใหญ่เช่นนี้เพียง 17 แห่ง ขณะเดียวกัน เนื่องจากมีคนจำนวนน้อยที่จะได้ครอบครอง มหาศิษย์แห่งเต๋าที่ตระหนักรู้ในที่แห่งนี้ ล้วนเป็นบุคคลไม่ธรรมดาของแต่ละตระกูลในสำนัก

แม้ว่าอันดับต้นๆ ในระดับแรกจะไม่ได้มา แต่คนเหล่านี้ ก็ล้วนอยู่ในระดับรอง ซึ่งใกล้เคียงกับระดับแรกอย่างมาก

ดังนั้น ในตอนที่หวังเป่าเล่อพุ่งมาจากระยะไกลนั้น ภายในวังวนขนาดใหญ่ ผู้ฝึกตนทั้งแปดที่กำลังดูดซับอย่างต่อเนื่องอย่างใจเย็น ก็ลืมตาขึ้นพร้อมกันในทันที

ในบรรดาแปดผู้ฝึกตนนี้ มีผู้ฝึกตนสองคนมาจากตระกูลไม่รู้สิ้น ชายหนึ่ง หญิงหนึ่ง อายุไม่มากนัก หว่างคิ้วมีตราอัคคี ยามที่ลืมตาขึ้นมา พลันเผยให้เห็นความทรงพลังของเทพ

นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีเต่าขนาดยักษ์ เต่าตัวนี้ไม่ได้กลายร่างเป็นมนุษย์ ทว่ามันหมอบอยู่ใจกลางวังวน ท่าทางราวกับกำลังฝึกวิชาอยู่เช่นกัน ดวงตาที่ลืมขึ้นเผยให้เห็นรูม่านตาในแนวตั้งดุจตางู แผ่ความเยือกเย็นและเหี้ยมโหดออกมา

ส่วนห้าผู้ฝึกตนนั้น เป็นชายสาม หญิงสอง ผู้ฝึกตนชายสองและหญิงหนึ่งในนั้นสวมชุดกี่เพ้ายาวงดงาม รูปร่างคล้ายมนุษย์ ทว่ากลับมีปีกอยู่ข้างหลัง ผู้หนึ่งมีปีกขนนก ผู้หนึ่งมีปีกทะเลแห่งความมืด และคนสุดท้ายคล้ายกับค้างคาว แม้รูปลักษณ์จะแตกต่าง แต่กลับมีรัศมีตื่นตะลึง!

และชายหนึ่ง หญิงหนึ่งสุดท้าย นับว่ายิ่งไม่ธรรมดา ผู้ฝึกตนหญิงมีเขาสีขาวเล็กๆ ใบหน้าหมดจด รูปร่างงามสง่า หว่างคิ้วมีเกล็ดสีทอง

สำหรับผู้ฝึกตนชายนั้น ท่อนบนเป็นมนุษย์ ใบหน้ารูปงามไม่ธรรมดา ราวกับเทพเจ้า ทว่าท่อนล่างกลับเต็มไปด้วยเมือก และหนวดตะปุ่มตะป่ำ ดูแล้วน่าเกลียดขยะแขยงถึงขีดสุด การผสานกันอย่างลงตัวของความสวยงามและความอัปลักษณ์นี้ ทำให้ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ทำให้ใจสั่นไหว!

เวลานี้ ทั้งแปดคนต่างมองตรงมาทางหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาของผู้ฝึกตนที่มีปีกขนนกข้างหลังซึ่งอยู่ใกล้กับทิศทางที่หวังเป่าเล่อกำลังมาที่สุดนั้นฉายแววเย็นเยือก เขากล่าวเสียงเรียบ

“ไสหัวไป!”

“ไสหัวไปอะไรกัน!” ทันทีที่เสียงพูดของคนผู้นั้นดังขึ้น หวังเป่าเล่อก็เปล่งเสียงคำราม ราวกับอัสนีสวรรค์ระเบิด หายนะบังเกิด พลันแตกออกโดยตรงขณะเปล่งเสียงคำราม ทำให้จักรวาลโดยรอบผันผวนและบิดเบี้ยว ผู้ฝึกตนที่มีปีกขนนกหน้าเปลี่ยนสีทันที กำลังจะหยัดกายลุกขึ้น…

แต่กลับไม่ทัน เงาร่างที่พุ่งเข้ามาของหวังเป่าเล่อส่งเสียงแตกร้าวกลางอากาศ พริบตาร่างของเขาพลันหายวับ ก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้งเบื้องหน้าผู้ฝึกตนปีกขนนก ส่งหมัดออกไปทันที!

ท่ามกลางเสียงคำราม ผู้ฝึกตนปีกขนนกยกมือทั้งสองข้างขึ้นต้านทานอย่างสุดกำลัง ฐานบ่มเพาะระดับดารานิรันดร์ชั้นปลายพลันระเบิด ปีกที่อยู่ข้างหลังกางออก ปกคลุมร่างเอาไว้ ต้านหมัดอันน่าพิศวงของหวังเป่าเล่อด้วยสองมือ

เสียงดังก้องกังวาน ผู้ฝึกตนปีกขนนกมีพรสวรรค์และทรงพลังอยู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่ร่วงเพราะหมัดของหวังเป่าเล่อ หากแต่กลับสั่นไปทั้งร่าง พลันปรากฏสัญลักษณ์ที่ดูเหมือนจะหักล้างพลังอันรุนแรงของหวังเป่าเล่อได้

แต่แล้วในพริบตา… หวังเป่าเล่อยกขาขวาขึ้น เตะเข้าไปที่เป้าของผู้ฝึกตนปีกขนนกโดยตรงราวกับจะสามารถทำลายความว่างเปล่าด้วยความเร็วที่มากขึ้นและกำลังที่เพิ่มขึ้น

ลูกเตะอย่างฉับพลัน ราวกับเป็นการกระทำโดยสัญชาตญาณ ทำให้สีหน้าของผู้ฝึกตนปีกขนนกเปลี่ยนไป ร่างกายสั่นสะท้าน เลือดไหลทะลัก ก่อนจะถอยร่นไปด้วยความเจ็บปวด

“ข้าคือซ่างอวี๋จื่อแห่งสำนักเต๋าขนคราม เจ้าเป็นใครกัน กล้าทำร้ายข้า!”

เมื่อเห็นว่าผู้ฝึกตนปีกขนนกล่าถอย เจ็ดคนที่เหลือพลันมีสีหน้าเคร่งขรึมทันที บ้างหยัดกายลุกขึ้นแล้ว การฝึกฝนภายในวังวนเริ่มผันผวน

“หืม?” นัยน์ตาหวังเป่าเล่อฉายแววงุนงง เขาไม่ได้ใช้กระบวนท่านี้นานมากแล้ว จำไม่ได้ว่าเมื่อครู่เตะไปกี่ครา ทว่าก็ยังพอมีประสบการณ์ด้านสัมผัสอยู่บ้าง การเตะนั้น แม้ผู้ฝึกตนผู้นี้จะบาดเจ็บสาหัส แต่ก็มีบางอย่างผิดแปลกไป ไอลีนโนเวล

“โครงสร้างต่างกัน!” หวังเป่าเล่อไม่รอช้า เขาขยับร่างและพุ่งออกไปอีกรอบ กลอกตาและเปล่งเสียงคำรามที่ดังกว่าเดิม

“ซ่างอวี๋จื่อ ก่อนหน้านี้เจ้าฉวยโอกาสแย่งสมบัติของข้าไป แต่ข้ายังหนีรอดมาได้ และโชคดียิ่งขึ้น วันนี้เจอกันที่นี่ ข้าเองก็จะแย่งโชคลาภของเจ้า และโจมตีเจ้า!” หลังจากหวังเป่าเล่อเปล่งเสียงคำราม ในวังวนแห่งนี้ ผู้ฝึกตยที่ยืนฝึกฝนและแยกย้ายกันไปนั้น ต่างชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะหันมองหวังเป่าเล่อสลับไปมากับร่างของซ่างอวี๋จื่อ ต่างยืนนิ่งมองอยู่เช่นนั้น ไม่ลงมือ

“ข้าแย่งสมบัติของเจ้าไป?” ซ่างอวี๋จื่อเองตกตะลึงเช่นกัน เป็นความจริงที่เขาทำเรื่องดังกล่าวมาไม่น้อย และแม้ว่าตอนนี้หวังเป่าเล่อจะดูแปลกหน้า แต่ก็อดย้อนคิดไม่ได้

ขณะที่กำลังล่าถอย และใช้ความคิด เงาร่างของหวังเป่าเล่อก็พุ่งเข้ามาแล้ว ประชิดใกล้ก่อนจะซัดเข้ามาอีกหนึ่งหมัด ท่ามกลางเสียงคำราม ทั้งสองต่อสู้กันในวังวนจากด้านหนึ่งไปจนถึงอีกด้านหนึ่ง เกิดเสียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซ่างอวี๋จื่อถูกโจมตีกระอักเลือดไม่หยุด ภายในใจยิ่งรู้สึกคับข้อง แม้จะต้องการโต้กลับขณะเปล่งเสียงคำราม แต่ก็ไม่มีประโยชน์แม้แต่น้อย เขาถูกหวังเป่าเล่อกดขี่ตลอดทาง

กระทั่งถึงจุดที่ผู้ฝึกตนชายหญิงแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นอยู่ ซ่างอวี๋จื่อจึงรีบเอ่ยปาก

“ข้ายอมมอบน้ำอมฤตสกุณาให้สิบหยด ทุกท่านโปรดช่วยข้าด้วย เจ้าบ้านี่สมองมีปัญหา!”

ทันทีที่ซ่างอวี๋จื่อเอ่ยปาก ทุกคนต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ทว่าผู้ที่ตอบโต้ได้เร็วที่สุด ยังคงเป็นผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ข้างๆ ยามนี้ดวงตาของเขาเป็นประกาย ร้องเสียงต่ำ

“เจ้ารีบไสหัวออกไปเสีย ไม่เช่นนั้นข้าจะปราบเจ้า!”

“ปราบอะไรของเจ้า!” หวังเป่าเล่อถลึงตา หลังจากซัดร่างของซ่างอวี๋จื่อให้กระเด็นออกไป ไม่รอช้ารีบโบกมือให้เทพวัวจำแลงพุ่งตรงไปยังตระกูลไม่รู้สิ้นที่ปริปากพูด!

เดิมทีเขาตั้งใจจัดการเพียงคนเดียว แย่งมาแค่ตำแหน่งเดียวก็เพียงพอแล้ว แต่กลับมีคนเข้ามาแทรก เช่นนั้นก็กำจัดทั้งหมดแล้วกัน

ท่ามกลางเสียงคำราม ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นผู้นั้นผนึกฝ่ามือเพื่อต้านทาน แต่แล้วในพริบตา สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ร่างกายถอยกลับทันที เผยร่างแท้ออกมาทั้งหมด ทว่าก็พังทลายไปหนึ่งกะโหลกและแขนสามข้าง ก่อนความหวาดผวาจะปรากฏขึ้นในแววตาของเขา

ผู้ฝึกตนหญิงตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ข้างๆ ก็ยืนกะพริบตาปริบๆ อยู่เช่นเดียวกัน หลังจากตอบโต้ นางลงมือโจมตีหวังเป่าเล่อทันที แต่แล้วก็หันไปร่วมมือกับซ่างอวี๋จื่อ รวมพลังกันสามคนเพื่อต่อสู้กับหวังเป่าเล่อ

ผู้ฝึกตนคนอื่นนั้น สีหน้าของพวกเขาเวลานี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย มีสามคนขมวดคิ้ว และถอยห่างอย่างรวดเร็ว ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วม ในเวลาเดียวกันเนื่องจากเกิดการต่อสู้ภายในสถานที่แห่งนี้ จึงทำให้ร่องรอยพลังงานเกิดความอลหม่าน ยากที่จะฝึกฝนต่อ ดังนั้นในระหว่างถอยกลับก็ได้แยกย้าย

สามคนนี้นับว่าฉลาด ไม่ต้องการที่จะเสียระดับฝึกที่นี่ แต่ก็มีอีกสอง ที่แม้ว่าสีหน้าจะเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วก็ตาม หลังจากเฝ้ามองอยู่ครู่หนึ่งก็ไม่ได้สนใจ หันกลับไปฝึกฝนอีกรอบ วางตนราวกับว่าถ้าไม่มารบกวนข้า ข้าก็ไม่อยากเข้าไปมีส่วนร่วม

ในผู้ฝึกตนทั้งสองนี้ ผู้หนึ่งคือเจ้าเต่ายักษ์ อีกผู้หนึ่งคือคนที่มีท่อนบนรูปงามและท่อนล่างอัปลักษณ์

ด้วยเหตุนี้ เสียงคำรามจึงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ทั้งกระบวนการใช้เวลาดำเนินได้ไม่นานนัก เพียงเวลาสามสิบกว่าลมหายใจเท่านั้น ซ่างอวี๋จื่อก็กรีดร้อง ปีกทั้งสองที่อยู่ข้างหลังถูกหวังเป่าเล่อฉีกออก เขาหนีไปอย่างรวดเร็ว ด้านผู้ฝึกตนจาดตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งสองคนต่างก็กระอักเลือดเช่นกัน ก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว

“กล้ามาแย่งจุดบ่มเพาะของข้า!” เมื่อขับไล่ทั้งสามไปได้ หวังเป่าเล่อไม่ได้ไล่ตามไปแต่อย่างใด หลังจากส่งเสียง ‘หึ’ อย่างเย็นชาก็หาที่นั่งขัดสมาธิในวังวน สำหรับผู้ฝึกตนทั้งสองคน เนื่องจากไม่ได้มีส่วนร่วมกับการปะทะเมื่อครู่ หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้ขับไล่พวกเขา

“อย่างไรเสียอีกสักประเดี๋ยวพวกเขาก็ต้องไปเอง” หวังเป่าเล่อพึมพำ ขณะโบกมือรอบข้างของเขาก็เกิดความคลุมเครือที่สามารถปกปิดเงาร่างของเขาเอาไว้ เพื่อไม่ให้ความลับของตนเปิดเผย ภายในร่างกายของหวังเป่าเล่อก็เริ่มหมุนและดูดกลืนอย่างแรง!

ทันใดนั้น ฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างกายก็สั่นสะท้าน แรงดูดเพิ่มขึ้นในฉับพลัน ยึดหวังเป่าเล่อเป็นศูนย์กลาง และปกคลุมไปตามวังวน ชั่วพริบตา ทั่วทุกแห่งในวังวนต่างสั่นไหว กฎแตกกระจายทั้งหมดที่อยู่ข้างในล้วนโดนดูดกลืนไปบรรจบที่หวังเป่าเล่อ

ฉากนี้ทำให้เจ้าเต่ายักษ์และผู้ฝึกตนอีกคนลืมตาขึ้นอีกครั้ง แววตาเผยให้เห็นความตื่นตะลึง

“เกิดอะไรขึ้น!”

“พละกำลังใช้ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องกล้าหาญถึงเพียงนี้ สหายเต๋าสวรรค์ สู้เราร่วมมือกันขับไล่เขาออกไปดีกว่า” ผู้ฝึกตนกึ่งรูปงามกึ่งอัปลักษณ์กล่าวเสียงเบา

“ได้!” แววตาของเจ้าเต่ายักษ์เผยแสงเย็นเยือก แต่ขณะที่กำลังกล่าวตอบนั่นเอง ด้านนอกวังวน… ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน!

เส้นไหมสีเขียวปรากฏขึ้น จำนวนของมันอาจมากถึงหลายร้อยเส้นเลยทีเดียว!

…………………….

ปลาสีดำตัวนี้ไม่ได้สังเกตเลยว่า ในกระเป๋าคลังเก็บของของหวังเป่าเล่อนั้น มีเจ้าลาน้อยที่ไม่รู้หลับใหลไปนานเท่าไร แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่ตื่น แต่จมูกของมันกลับกระตุกตามสัญชาตญาณหนึ่งที ราวกับว่าได้กลิ่นบางอย่างที่ทำให้มันรู้สึกว่าอร่อยไร้ใดเปรียบ…

สำหรับสิ่งนี้ หวังเป่าเล่อยังไม่กระจ่างนัก เขาในตอนนี้กำลังหมกมุ่นอยู่กับความสุขที่ฝักกระบี่เจ้าชะตากลืนเส้นไหมแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นเหล่านั้น

เขามองดูฝักกระบี่เจ้าชะตาของตัวเองดูดซับเส้นไหมแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นที่เข้าสู่ร่างกายของตนอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน ก็ถึงเวลาที่ฝักกระบี่เจ้าชะตาระเบิด เสมือนเป็นการตอบสนอง มันปล่อยร่องรอยพลังงานที่สามารถเสริมความแข็งแกร่งให้กับชั้นกายเนื้อของตนเองออกมาอีกครั้งและเข้าสู่ทั้งกาย

ความรู้สึกสดชื่นแบบนี้ทำให้หวังเป่าเล่อกระปรี้กระเปร่ายิ่งขึ้น โดยเฉพาะหลังจากที่สังเกตเห็นว่าชั้นกายเนื้อของตัวเองแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย

“ข้าเข้าใจแล้ว ฝักกระบี่เจ้าชะตาของข้า ต้องดูดซับกฎแตกกระจายก่อน จากนั้นจึงจะสามารถดูดซับเส้นไหมเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นได้ ในนี้อาจมีสัดส่วนอยู่… ยิ่งกลืนกฎแตกกระจายเข้าไปมากเท่าไร คาดว่าปริมาณเส้นไหมที่สามารถดูดซับได้ก็มากขึ้นเท่านั้น”

“มันสมบูรณ์แบบมากแล้ว แต่สิ่งเดียวที่เสียใจก็คือไอมรณะที่นี่…” หวังเป่าเล่อกะพริบตาและมองไปรอบๆ จากนั้นสลายเพลิงดำอย่างรุนแรง และสูบเต็มกำลัง

ทันใดนั้น ไอมรณะรอบด้านก็เดือดพล่านขึ้นมา ราวกับว่าหวังเป่าเล่อในตอนนี้ได้กลายเป็นหลุมดำเล็กๆ และกลืนไอมรณะจำนวนไม่น้อยรอบๆ เข้าไปในร่างกายในพริบตา หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจเส้นไหมเกือบ 200 เส้นที่ถูกดึงดูดมาจากการกลืนอย่างบ้าคลั่งเกินไป ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หนีไปอย่างไว หยุดหายใจ และระงับเพลิงดำ

ด้วยวิธีนี้ แม้จะถูกเส้นไหมเกือบ 200 เส้นนั้นไล่ตามอยู่พักหนึ่ง แต่ไม่นานหวังเป่าเล่อก็สลัดมันทิ้งได้ และหลังจากที่ปลอดภัยโดยแล้ว หวังเป่าเล่อที่ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในจักรวาลสีเทานั้นไม่สามารถปกปิดสีหน้าภาคภูมิใจของตนได้เลย

“ถือว่าข้าฉลาด ข้ากินแล้วก็วิ่งหนี เจ้าจะทำอะไรข้าได้!” หวังเป่าเล่อหัวเราะฮ่าๆ ดวงตาเป็นประกาย และเริ่มมองหาวังวนต่อไป เพียงแต่พื้นที่ว่างเปล่าด้านหลังเขาได้ปรากฏร่างจำแลงของปลาสีดำตัวนั้นในตอนนี้ ความคับข้องใจในดวงตาเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง มันจับจ้องไปที่หวังเป่าเล่อราวกับกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน หากสามารถอ่านริมฝีปากของมันออก ตอนนี้จำต้องเป็นคำจำพวกหัวขโมย ไร้ยางอาย โจร อะไรทำนองนั้น

ในเวลาเดียวกัน… ภายในกระเป๋าคลังเก็บของหวังเป่าเล่อ เจ้าลาน้อยที่ยังคงหลับตาเงียบๆ มาจนถึงตอนนี้ จมูกของมันกระตุกบ่อยขึ้น…

ด้วยเหตุนี้ การเดินทางแห่งการเสาะหาจุดบ่มเพาะของหวังเป่าเล่อ ได้เริ่มขึ้นแล้ว

เขารวดเร็วมาก เดินทางไปยังวังวนแห่งแล้วแห่งเล่า โดยพื้นฐานหลังจากไปถึงเขาไม่ได้สนใจขนาดของวังวน ล้วนแต่พุ่งเข้าไปโดยตรง ปราบด้วยวิชาดวงเนตรปีศาจก่อน จากนั้นโจมตีด้วยเงาแห่งเทพวัว ฆ่าได้ฆ่า ฆ่าไม่ได้ก็ล้วนแต่ถูกขับไล่ออกไป น่าสะพรึงกลัวเสียจนไม่กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้า

แค่นี้ยังไม่พอ เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นว่าคนที่ถูกตัวเองขับไล่ ยังไปวนเวียนอยู่รอบๆ ก็ออกไปไล่สังหาร ดังนั้นจึงมีเสียงดังมาอย่างต่อเนื่อง แต่วังวนทุกแห่งที่เขาเคยไปนั้น ล้วนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้

จึงทำให้เขาสามารถดูดซับกฎแตกกระจายและเส้นไหมสีเขียวแห่งเต๋าสวรรค์ในวังวนได้อย่างรวดเร็ว และในขณะที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับชั้นกายเนื้อของตัวเองนั้น หวังเป่าเล่อก็ดูดซับไอมรณะเป็นครั้งคราว

ดังนั้น ในไม่ช้าภายในจักรวาลสีเทาแห่งนี้ หวังเป่าเล่อก็เป็นเหมือนปลาดุกตัวหนึ่ง เคลื่อนไหวตลอดเวลา ดูดซับอย่างไม่หยุดหย่อนและก่อความวุ่นวายอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขอบเขตก็กระจายกว้างขึ้นเรื่อยๆ

แต่ท้ายที่สุดแล้วก็มีมหาศิษย์แห่งเต๋าบางส่วนที่หัวแข็งดื้อรั้น ต่อให้ถูกขับไล่ ก็ร่วมมือกันและกลับมา แม้พวกเขาจะไม่เคยเข้าไปใกล้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการเห็นว่าหวังเป่าเล่อดูดซับอย่างไรกันแน่ เพราะว่าวังวนที่เขาเคยครอบครอง ล้วนแต่จะหายไปหลังจากเขาจากไป

สำหรับคนเหล่านี้ หวังเป่าเล่อไม่มีอารมณ์ที่จะไปให้ความสนใจมากนัก จึงแสดงพลังแห่งดาวเคราะห์เต๋าออกมาโดยตรง หลังจากครอบครองวังวนก็ปิดล้อมทันที และปิดทุกอย่างเอาไว้

แม้ว่าหากต้องการที่จะปกปิดมันยิ่งกระจ่างชัด แต่ก็สามารถปิดกั้นแนวสายตาได้ โดยมากก็แค่ทำให้เกิดการคาดเดาต่างๆ นานา ด้วยเหตุนี้… หวังเป่าเล่อจึงไม่สนใจอีกต่อไป

“ข้างนอกมีท่านอาจารย์ที่อดทนกับคำสาปแช่งมานานหมื่นปี และข้างในยังมีศิษย์พี่ที่แม้แต่จักรพรรดิสวรรค์ก็ยังสังหารไม่ได้ ข้าจะกลัวใครอีก?”

“ที่นี่ ก็คือจุดบ่มเพาะที่ศิษย์พี่ของข้าเตรียมไว้ให้ข้าเป็นพิเศษ คนอื่นๆ ที่มาที่นี่ ล้วนถือว่ามาแย่งของข้า!” ในขณะที่หวังเป่าเล่อดูภาคภูมิใจและมั่นใจ ท่าทางดังกล่าว ก็ยิ่งทำให้เขาสูงส่งยิ่งขึ้น

สำหรับมหาศิษย์แห่งเต๋าที่ต่างสำนักต่างตระกูลเหล่านั้น แม้ว่าพวกเขาต่างโกรธและสงสัย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อยู่ที่นี่พวกเขาล้วนถูกไอมรณะกดขี่ ทำให้ยิ่งอ่อนแอลง ส่วนหวังเป่าเล่อที่เดิมทีก็แข็งแกร่งอยู่แล้ว ก็ยังดูเหมือนถูกกดขี่ด้วย แต่ก็ดีกว่าพวกเขาอยู่มาก

สิ่งหนึ่งดับลงอีกสิ่งหนึ่งก็เกิดขึ้นมา ยิ่งไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหวังเป่าเล่อ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงหยิ่งผยองมากขึ้นในจักรวาลสีเทาแห่งนี้ ในเวลาเดียวกันนั้น พลังแห่งชั้นกายเนื้อของเขาก็แข็งแกร่งกว่าเดิมหลังจากที่ฝักกระบี่เจ้าชะตาดูดซับเส้นไหมสีเขียวแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น ซึ่งได้ค่อยๆ พุ่งสูงขึ้นทะลุระดับฝึกฝน ทะลุดารานิรันดร์ชั้นกลางแล้ว

และในการดูดซับไอมรณะนั้นก็นำประโยชน์มากมายมาสู่หวังเป่าเล่อ แม้ระดับดวงจิตจะเท่าเดิม แต่วิญญาณเทพของเขากลับแข็งแกร่งกว่าเดิมและสูงกว่าผู้ที่อยู่ระดับเดียวกันไปมากทีเดียว

ด้วยโอกาสและวาสนานี้ ทำให้หวังเป่าเล่อตาร้อนตาไฟยิ่งขึ้นไปอีก ไม่นานวังวนขนาดเล็กเหล่านั้นก็ไม่เข้าตาเขาอีกต่อไป และเริ่มมองหาวังวนขนาดใหญ่

วังวนในจักรวาลสีเทานี้ ล้วนแปลงมาจากผู้เสียชีวิตที่เป็นกองกำลังในบังคับบัญชาของจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยก และกองกำลังในบังคับบัญชาที่แข็งแกร่งที่สุด ก็คือราชันสวรรค์!

“ต้องดูดซับวังวนขนาดใหญ่ ขนาดใหญ่อร่อยกว่า!”

ขณะหวังเป่าเล่อกำลังตื่นเต้น ก็ไปยังส่วนลึกของจักรวาลสีเทาอย่างรวดเร็ว ตลอดระหว่างทาง วังวนขนาดเล็กไม่เข้าตาเขาเลย วังวนขนาดกลางเขาจึงจะชายตามองสักครั้งสองครั้ง และในขณะที่ทำการดูดซับ ก็มองหาวังวนขนาดใหญ่

ส่วนข้างหลังของเขานั้น ปลาสีดำยังคงแอบไล่ตามมา ประหนึ่งสะใภ้น้อยที่เจอกับขโมย ขณะรู้สึกคับข้องใจก็ไม่กล้าที่จะลงมือจริงๆ แต่จะให้เดินจากไป ก็ไม่เต็มใจ ดังนั้นจึงทำได้เพียงไล่ตามอยู่ข้างหลัง แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างต่อเนื่อง

และในทางด้านของเจ้าลาน้อย เห็นได้ชัดว่ามีการขยับจมูกเร็วกว่าเดิม แม้แต่ตาที่ปิดอยู่ก็เริ่มสั่นเล็กน้อย ราวกับพยายามตื่นขึ้นตามสัญชาตญาณ… ไอรีนโนเวล

ด้วยเหตุนี้ ตามการล่วงผ่านของกาลเวลา ภายในจักรวาลสีเทาก็วุ่นวายมากขึ้นเรื่อยๆ จากการปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อ ไอมรณะสูญหายไปมาก เส้นไหมสีเขียวแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นก็สูญสิ้นไปเร็วกว่าเดิม

ขณะไม่ทันสังเกต ตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ภายนอกก็ได้รับรู้แล้ว แต่เนื่องจากสูญสิ้นไปไม่มากนักเมื่อเทียบกับจำนวนทั้งหมด ดังนั้นถึงแม้จะสังเกตเห็นก็ไม่ได้ใส่ใจ

จนกระทั่ง… หลายชั่วยามต่อมา หวังเป่าเล่อซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในจักรวาลสีเทาที่เข้าถึงส่วนหวงห้ามด้านใน มองเห็นวังวนหนึ่ง… ทำให้ร่างกายของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง ดวงตาเปล่งแสงจ้า!

ขนาดของวังวนนั้น ใหญ่กว่าวังวนก่อนหน้านี้ที่หวังเป่าเล่อเคยดูดซับทั้งหมดรวมกันด้วยซ้ำ และไม่สามารถมองเห็นระยะขอบด้วยตาเปล่า เพียงกวาดตา เขาก็ได้เห็นภายในวังวนนี้ มีผู้ฝึกตนอย่างน้อยสามสิบคนกำลังดูดซับความตระหนักรู้ในตำแหน่งที่แตกต่างกัน

และภายใต้การแบกรับความตระหนักรู้ของผู้คนมากมายของวังวนนี้ ยังคงทรงพลังมีพลานุภาพเช่นเดิม จะเห็นได้ว่าสถานะและระดับดวงจิตของผู้ตกอับในสถานที่แห่งนี้มีความพิเศษอย่างยิ่ง!

“ต้องเป็นราชันสวรรค์ผู้เป็นกองกำลังในบังคับบัญชาของเดือนแยก และไม่ใช่ราชันสวรรค์ธรรมดาเสียด้วย!” หวังเป่าเล่อตื่นเต้นขึ้นมาทีเดียว ฝักกระบี่ในร่างกายต่างก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงในเวลานี้ ราวกับแสดงความปรารถนา

หลังจากที่ฝักกระบี่นี้ได้ดูดซับเส้นไหมสีเขียวแห่งเต๋าสวรรค์และกฎแตกกระจายจำนวนมาก ตอนนี้มีด้ายเลือดกระจัดกระจายอยู่ทั่วร่างกาย เมื่อมองไปเหมือนว่าได้กลายเป็นสีแดงก่ำไปเสียส่วนใหญ่ รัศมีก็ได้ต่างไปจากเดิม ครั้นเจตนาฆ่าถูกปลดปล่อยออกมา จะต้องสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

“ของข้า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นของข้า!” หลังจากที่รับรู้ถึงความปรารถนาของฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างกายของตนเองแล้ว หวังเป่าเล่อเองก็เริ่มโหยหาเช่นกัน เขารู้สึกว่าผู้คนที่อยู่ในวังวนตอนนี้ ล้วนแต่เป็นโจรทั้งสิ้น!

“ไร้ยางอาย โจร หัวขโมย ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ศิษย์พี่ของข้าเก็บไว้ให้ข้า!” หวังเป่าเล่อตะโกนในใจและพุ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง ปลาสีดำที่แอบไล่ตามอยู่ข้างหลังเขานั้น ในเวลานี้ก็เริ่มสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด ราวกับว่ากำลังตะโกนคำว่าไร้ยางอาย โจร หัวขโมยอยู่เช่นกัน ในขณะเดียวกันก็เป็นกังวลมากด้วย จากนั้นก็หายตัวไป เมื่อปรากฏตัวอีกครั้ง… ก็อยู่ในเตาหลอมศูนย์กลางของจักรวาลสีเทา ข้างๆ เฉินชิงจื่อ

ทันทีที่ปรากฏตัว ปลาสีดำก็ส่งเสียงคำรามอันคับข้องใจ ราวกับกำลังฟ้องร้อง ในเวลาเดียวกันร่างกายของมันก็ขยายใหญ่ขึ้นและเล็กลงอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่าขณะร้องทุกข์นั้น ก็ได้บรรยายถึงขนาดของวังวนแต่ละแห่งที่หวังเป่าเล่อดูดซับด้วย…

เฉินชิงจื่อในเวลานี้ กำลังเตรียมจะหยัดกายขึ้น และเดินไปยังที่ที่จักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกถูกทะเลแห่งความมืดปกคลุม การปรากฏตัวของปลาสีดำ ทำให้เขาประหลาดใจเล็กน้อย หลังจากฟังไปครู่หนึ่ง เขาก็หัวเราะออกมาอย่างไม่เห็นด้วย

“ศิษย์น้องคนนั้นของข้า ข้ารู้จักเขาดี วางใจเถอะ เรื่องแค่ไหนกันเชียว การดูดซับของเขามีจำกัด”

ปลาสีดำยังคงเปล่งเสียงคำรามอย่างต่อเนื่อง ขณะเศร้าสลดอย่างมากนั้น ก็มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว คราวนี้ดูเหมือนว่าต้องการบรรยายถึงวังวนขนาดมหึมาที่หวังเป่าเล่อไปในตอนนี้

เฉินชิงจื่อถอนหายใจและแอบพึมพำว่าเต๋าสวรรค์น้อยแห่งสำนักแห่งความมืดนี้ขี้เหนียวเกินไปแล้ว ก็แค่กลืนร่องรอยพลังงานไปเพียงเล็กน้อยไม่ใช่หรอกหรือ เรื่องแค่ไหนกันเชียว ดังนั้นจึงไม่ได้รออีกฝ่ายขยายตัวไปตามเรื่องราวจนจบ ก็ตรงไปยังผนึกกด และส่งเสียงพูดในเวลาเดียวกัน

“เอาล่ะๆ ข้าไปเพิ่มผนึกกดให้กับเดือนแยกก่อน ออกมาแล้วจะบอกให้เขาหยุด พอใจหรือไม่”

ปลาสีดำที่มีขนาดร่างกายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ มองไปยังพื้นที่หมอกที่เดือนแยกอยู่อย่างคับข้องใจ และมองไปยังทิศทางที่หวังเป่าเล่ออยู่อย่างโกรธเกรี้ยว พร้อมกับเปล่งเสียงคำราม คล้ายกับกำลังก่นด่าคน…

………………………

“ข้านี่มันปากอะไรกัน!” หวังเป่าเล่อเบิกตากว้างทันที ร่างกายของเขาพุ่งออกไปพร้อมกับเสียงคร่ำครวญเพื่อที่จะหนี แท้จริงแล้วเขารู้สึกเหมือนว่าตนเองจะปากเสียไปหน่อย ก่อนหน้านี้ยังร้องเรียก 30 – 50 เส้น แต่ไม่นาน กลับมากันเป็นโขยง…

นี่ทำให้เขาหวาดหวั่นใจ สามสี่เส้นก่อนหน้านี้ก็ทำให้เขาอกสั่นขวัญหายแล้ว แม้จะสามารถต้านทานได้ แต่ก็รู้สึกได้ถึงภัยคุกคามอันรุนแรงที่มีต่อตัวเอง

อย่างไรเสียนี่คือพลังแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น เช่นเดียวกับกฎไม่รู้สิ้น และเคล็ดวิชาเด็ดดาราของเขาเองเดิมทีก็ถูกมองว่าเป็นการละเมิดกฎอยู่แล้ว กอปรกับที่เขาเป็นบุตรแห่งความมืด หากพลังแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นนี้ไม่เข้าสู่ร่างกาย คาดว่าจะรู้ตัวในทันที และตั้งตนเป็นเศษซากแห่งความเลวของราชวงศ์ก่อน

เศษซากแห่งความเลว เป็นชื่อที่ได้จากหวังเป่าเล่อในมุมมองของตระกูลไม่รู้สิ้น

“ผู้กระทำผิดและเศษซากแห่งความเลวของราชวงศ์ก่อน…” เมื่อหวังเป่าเล่อคิดถึงจุดนี้ เหงื่อก็ไหลเต็มหน้าผาก ความเร็วในการหลบหนีเพิ่มขึ้น และได้พุ่งออกไปจากวังวนขณะเปล่งเสียงคำราม แม้ว่าเขาจะว่องไวมาก แต่เนื่องจากสุญญากาศในวังวน ทำให้เส้นไหมเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นเหล่านั้นที่ถูกดึงดูดมามีความเร็วมากกว่าหวังเป่าเล่อเสียอีก และตอนที่เขาพุ่งออกมาจากวังวนนั่นเอง ก็ได้ปกคลุมมันไว้ โดยไม่ให้โอกาสเขาได้ตอบโต้แม้แต่น้อย มาพร้อมกับเจตนาโจมตีขับไล่และทำลายล้าง

หวังเป่าเล่อหลับตาลง ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ขณะที่กำลังจะร้องเรียกศิษย์พี่และท่านอาจารย์มาช่วย ทันใดนั้นเอง… ภายในของเขาก็ได้ซึมซับฝักกระบี่เจ้าชะตาแห่งกฎแตกกระจายและส่องแสงระยิบระยับขึ้นมาทันที จู่ๆ ก็ปล่อยแรงสูบ ทำให้เส้นไหมเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นเหล่านั้นที่อยู่ใกล้ๆ หวังเป่าเล่อมีความเร็วเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ไม่รอให้หวังเป่าเล่อได้ร้องขอความช่วยเหลือ ก็เจาะเข้าไปตามส่วนต่างๆ ของร่างกายของเขาแล้ว

“ให้ตายเถอะ ข้าต้องจบเห่เช่นนี้จริงหรือ!” หวังเป่าเล่อใจสั่นและกรีดร้องออกมาโดยสัญชาตญาณจากการที่อยากจะร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา แต่ทันทีที่เสียงกรีดร้องนี้ดังขึ้น ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็เบิกกว้างขึ้นมาทันที เผยให้เห็นความหวาดหวั่นใจ และเริ่มสังเกตตนเองจากภายใน

เขาเห็นเส้นไหมเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นเหล่านั้นที่เจาะเข้าไปในร่างกายของตน เวลานี้ ขณะที่กำลังฉีกเลือดเนื้อบางส่วนของเขาเอง มันก็ได้ตรงไปยังฝักกระบี่เจ้าชะตาด้วย แต่ก็ถูกฝักกระบี่ดูดเข้าไปทันทีราวกับกลืนกิน

เส้นไหมกว่า 40 เส้น หายไปอย่างรวดเร็วในร่างกายของหวังเป่าเล่อในพริบตา หากไม่ใช่เพราะเลือดเนื้อที่ถูกฉีกขาดที่เส้นไหมสีเขียวเหล่านั้นไหลผ่านรู้สึกเจ็บแปลบ เกรงว่าหวังเป่าเล่อเองก็คงคิดว่าเมื่อครู่เป็นภาพลวงตา

“หมดแล้ว?” หวังเป่าเล่อกะพริบตา และมองไปที่ฝักกระบี่เจ้าชะตาของตัวเองทันที และขณะจิตใต้สำนึกของเขากวาดผ่าน ทันใดนั้น ก็มีพลังอันแรงกล้าแผ่ออกมาจากฝักกระบี่เจ้าชะตา

การแผ่ออกมาของพลังนี้ ไม่เพียงแต่มีเกียรติแห่งฝักกระบี่เท่านั้น ยังมีกระแสแห่งกฎแตกกระจายและพลังแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นด้วย ทั้งสามผนึกกายเข้าด้วยกันอย่างน่าประหลาด ในการระเบิดขณะนี้ ได้ยึดส่วนที่ฝักกระบี่เจ้าชะตาอยู่เป็นศูนย์กลาง แล้วกระจายไปทั่วชั้นกายเนื้อของหวังเป่าเล่อ

ด้วยการแพร่กระจาย ส่วนที่เขาได้รับบาดเจ็บก่อนหน้านี้ก็หายดีทันที และในขณะเดียวกัน ชั้นกายเนื้อของเขาก็เป็นเหมือนพื้นดินที่แห้งกร้านที่จู่ๆ ก็ได้รับหยาดน้ำค้างรสหวานและดูดซึม

ฉากนี้ทำให้สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อสั่นไหวอย่างรุนแรง เขาไม่ได้ทำอะไรบุ่มบ่าม แต่สังเกตอย่างระมัดระวัง ในที่สุดดวงตาของเขาก็เผยความโคลงเคลง

“ฝักกระบี่เจ้าชะตาของข้า กำลังวิวัฒนาการ… กฎแตกกระจายที่นี่ และพลังแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น กระตุ้นการวิวัฒนาการของฝักกระบี่เจ้าชะตาได้”

“นอกจากวิวัฒนาการแล้ว ร่องรอยพลังงานที่ฝักกระบี่เจ้าชะตานี้แผ่ออกมา ยังมีประโยชน์ต่อชั้นกายเนื้อของข้าอย่างมากด้วย ทำให้ชั้นกายเนื้อแข็งแกร่งยิ่งขึ้น!”

“ที่นี่… สำหรับข้าแล้ว ก็คือดินแดนอันล้ำค่านั่นเอง!”

“ข้าเข้าใจแล้ว ศิษย์พี่เรียกข้ามา ไม่เพียงแต่มอบโอกาสดูดซับพลังแห่งจักรพรรดิสวรรค์ให้ข้า ปราณแห่งความมืดของสถานที่แห่งนี้ก็มอบให้ข้าด้วยเช่นกัน ในเวลาเดียวกัน… ศิษย์พี่คำนวณไว้แล้วว่าตระกูลไม่รู้สิ้นจะจุติพลังแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น ฉะนั้น… เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นเหล่านี้ ก็ล้วนแล้วแต่ถูกศิษย์พี่ดึงดูดมาเพื่อล่อเหยื่อ!” หวังเป่าเล่อตระหนักรู้ในทันที และตื่นเต้นอย่างมาก

“ต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน ฮ่าๆ ข้าฉลาดมากจริงๆ ศิษย์พี่ ขอบใจล่ะ!” ขณะหวังเป่าเล่อหัวเราะเสียงดัง นอกจากซาบซึ้งใจแล้วก็ภาคภูมิใจด้วย แทนที่จะมองหาวังวน แต่เขากลับยืนนิ่งอยู่กับที่ และเรียกใช้เพลิงดำเพื่อดูดซับไอมรณะรอบๆ

ในชั่วพริบตา ไอมรณะรอบด้านก็เดือดพล่านและไหลเข้ามาตามทวารทั้งเจ็ด ทำให้เพลิงดำของเขายิ่งลุกโชนมากขึ้น การฝึกฝนของเขาก็เกลี้ยงเกลามากขึ้น แม้จะเป็นดารานิรันดร์ชั้นต้น แต่ในแง่ของพลังต่อสู้นั้น หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าเดิมเล็กน้อย!

ในเวลาเดียวกัน ส่วนลึกของจักรวาลสีเทาแห่งนี้ ภายในเตาหลอมศูนย์กลางที่ถูกล้อมรอบด้วยเตาหลอมอีกแปดเตา เฉินชิงจื่อที่กำลังดื่มสุราอยู่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาทำการสังเกตไอมรณะที่อยู่รอบตัวและบ่นพึมพำ

“มีคนกำลังดูดซับ… ผู้ที่สามารถดูดซับพลังจากสำนักแห่งความมืดเต๋าสวรรค์นี้ได้ นอกจากข้าแล้ว ก็มีเพียงศิษย์น้องเล็กเท่านั้น”

ในระหว่างที่พูด ทันใดนั้นเอง ข้างกายอันว่างเปล่าของเฉินชิงจื่อก็เกลือกกลิ้ง ปลาสีดำที่ดูเหมือนจะมีขนาดเท่าฝ่ามือ แต่อันที่จริงเหมือนมีอีกจักรภพหนึ่งแสดงร่างจำแลงที่นั่นและส่งเสียงคำรามใส่เฉินชิงจื่อ

“รู้แล้วๆ ก็แค่ถูกดูดร่องรอยพลังงานไปเล็กน้อยไม่ใช่หรือ ศิษย์น้องเล็กไม่ใช่คนอื่นไกลที่ไหน อีกอย่าง เขาดูดซับได้มากแค่ไหนเชียว วางใจเถอะๆ” เฉินชิงจื่อปลอบโยนเล็กน้อย ไอลีนโนเวล

ปลาสีดำนั่นดูไม่พอใจเท่าไรนัก จึงเปล่งเสียงคำรามอีกครั้ง

“แม้แต่อาหารของเจ้าก็ถูกเขากินไปเล็กน้อยอย่างนั้นหรือ? ไม่เป็นไรๆ เจ้าอย่าตระหนี่ไป เจ้าชอบกินพลังแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น ไม่ได้หมายความว่าศิษย์น้องเล็กเองก็ชอบด้วย เขาอาจจะแค่สงสัย อีกอย่าง เขาเองก็กินสิ่งนั้นได้ไม่มากนักหรอก”

ภายใต้การปลอบโยนของเฉินชิงจื่อ ปลาสีดำนี้ก็ได้ระงับความไม่พอใจของมัน และค่อยๆ สลายไป ในเวลาเดียวกันนั้น ด้านนอกเตาหลอมนี้ ภายในจักรวาลสีเทา หวังเป่าเล่อในตอนนี้ รอบด้านของเขามีเส้นไหมสีเขียวปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าสิบเส้นจากการดูดซับไอมรณะ ทันทีที่พวกมันปรากฏตัวก็ล็อกเป้าหมาย พุ่งตรงไปหาหวังเป่าเล่อด้วยเจตนาฆ่า

“มาได้เวลาพอดี! ดูด!” หวังเป่าเล่อดูภาคภูมิใจและไม่คิดที่จะหลบหลีก ปล่อยให้เส้นไหมสีเขียวกว่าสิบสายนั้นเข้าใกล้ ทันใดนั้น เส้นไหมสีเขียวสามเส้นที่อยู่ใกล้เขามากที่สุด ได้เจาะเข้าไปในร่างกายของเขาก่อน แล้วระเบิดในร่างกายของเขา!

ร่างกายของหวังเป่าเล่อสั่นสะเทือน เขากระอักเลือดออกมา สายตาชะงัก

“ทำไมไม่ดูดแล้วล่ะ!” ฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างกายของเขาเสมือนมีอารมณ์ความรู้สึกของตัวเอง เมื่อครู่ยังดูดซับอยู่ แต่ตอนนี้กลับนิ่งเฉย และไม่แม้แต่จะมองเส้นไหมสีเขียวเหล่านั้นที่เจาะเข้าไปในร่างกายของหวังเป่าเล่อ

นี่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตกใจ ครั้นเห็นเส้นไหมสีเขียวแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นกำลังใกล้เข้ามา เขากรีดร้องและถอยหลังอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หนีไปอย่างไว และไม่กล้าที่จะดูดซับไอมรณะอีก หลังจากใช้กำลังอย่างมากในการทิ้งระยะห่าง จึงทำให้เส้นไหมสีเขียวแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นที่ไล่ตามมาด้านหลังค่อยๆ สลายหายไป

“นี่มันอย่างไรกันแน่!” หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี มองไปที่เส้นไหมสีเขียวแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นที่ค่อยๆ สลายไป ก็สัมผัสกับไอมรณะของสถานที่แห่งนี้และสังเกตชั้นกายเนื้อของตนเองอีกครั้ง

ก่อนหน้านี้ร่องรอยพลังงานเสริมความแข็งแกร่งชั้นกายเนื้อที่ถูกปล่อยออกมาหลังจากที่ฝักกระบี่เจ้าชะตาดูดซับเส้นไหมสีเขียวกว่า 40 เส้นนั้น แม้ไม่ได้เพิ่มระดับให้เขา แต่ทำให้ชั้นกายเนื้อละเอียดยิ่งขึ้น เป็นเหมือนสัญญาณในการทะลุผ่าน

“ไอมรณะสามารถเพิ่มระดับดวงจิต เส้นไหมสีเขียวสามารถเสริมความแข็งแกร่งให้ชั้นกายเนื้อ…” หวังเป่าเล่อดวงตาเป็นประกาย สำหรับเขาแล้ว บริเวณรอบนี้ล้วนแต่เป็นสมบัติ ดังนั้นหลังจากได้หวนคิดฉากที่เขาดูดซึมก่อนหน้านี้ ร่างกายของเขาส่ายอย่างแรงและค้นหาดินแดนแห่งวังวนรอบๆ ด้วยความเร็วสูง

ในไม่ช้า หวังเป่าเล่อก็พบวังวนอีกแห่งหนึ่ง วังวนแห่งนี้มีขนาดใหญ่กว่าวังวนก่อนหน้านี้เล็กน้อย ด้านในมีคนกำลังนั่งสมาธิ แต่ในตอนนี้ หวังเป่าเล่อที่ดวงตาเป็นประกาย ไม่สนใจว่าใครจะอยู่ในวังวน เขาเข้าใกล้ด้วยความเร็วสูง ผู้ที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ในวังวนคือผู้ฝึกตนในวัยกลางคน ดูเหมือนจะอยู่ในระดับดารานิรันดร์ชั้นปลาย เขาสังเกตเห็นทันทีและลืมตาขึ้นทันใด กำลังจะโมโห

แต่ในพริบตา การฝึกฝนของหวังเป่าเล่อก็ระเบิด วิชาดวงเนตรปีศาจจุติ กฎเส้นไหมหลอมรวม ร่างจำแลงของเงาแห่งเทพวัวกระโจนเข้าไปทันที!

ท่ามกลางเสียงคำราม สีหน้าของผู้ฝึกตนวัยกลางคนเปลี่ยนไปอย่างมาก เลือดซึมออกจากมุมปาก แววตาเผยความหวาดผวา ร่างกายม้วนลงทันที หลังจากลังเลก็ไม่ได้พัวพันกันอีก แต่จากไปด้วยความคับข้องใจอย่างรวดเร็ว

“เจ้านี่เป็นใคร!” เขาไม่รู้จักหวังเป่าเล่อ แต่สัมผัสได้ถึงความเฉียบแหลมของอีกฝ่าย รู้สึกหวาดหวั่นใจ และสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยจุดบ่มเพาะ เขาไม่อยากเสียเวลา ดังนั้น หลังจากได้มองหวังเป่าเล่ออย่างลึกซึ้ง ก็หันหลังอย่างรวดเร็วและหายไปในพริบตา

หลังจากขับไล่บุคคลนี้ออกไป หวังเป่าเล่อเองก็ไม่มีอารมณ์ที่จะไล่ตาม แต่นั่งลงด้วยท่าขัดสมาธิด้วยความหวังและความกังวล รีบดูดซับกฎแตกกระจายที่นี่ ทันใดนั้น ฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างกายของเขาก็ระเบิดอีกครั้ง และหลังจากกลืนกฎแตกกระจายที่อยู่โดยรอบทั้งหมดลงไป ภายในระยะแปดทิศ ก็ปรากฏเส้นไหมสีเขียวกว่า 70 เส้น พุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ

เมื่อเห็นเส้นไหมสีเขียวจำนวนมากเช่นนี้ หวังเป่าเล่อรู้สึกผวาเล็กน้อย แต่เขายืนหยัดไม่หลบเลี่ยง เขาอยากจะลองว่า มีเพียงวิธีนี้ที่จะสามารถดูดซับเส้นไหมสีเขียวเหล่านี้ใช่หรือไม่

แม้จะเป็นอันตราย แต่หากไม่ลอง หวังเป่าเล่อก็จะไม่สบายใจแน่ ดังนั้นภายใต้ความหนักแน่นนี้ เส้นไหมสีเขียวเหล่านั้นก็เพิ่มขึ้นเป็นเจ็ดแปดสาย มันเจาะเข้าไปในร่างกายของหวังเป่าเล่อก่อน พริบตาถัดมา… ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็สว่างขึ้นทันที

“ตามที่คิดไม่มีผิด!”

ฝักกระบี่เจ้าชะตาของเขา ตอนนี้กำลังกลืนกินเส้นไหมสีเขียวที่เจาะเข้าไปในร่างกายด้วยความเร็วสูง ส่วนหวังเป่าเล่อที่กำลังตกอยู่ในความตื่นตะลึงนั้น ไม่ได้สังเกตเลยว่า พื้นที่ว่างเปล่าข้างกายของเขา มีร่างจำแลงของปลาสีดำตัวหนึ่งปรากฏขึ้น มันมาพร้อมกับความอัดอั้นใจ ราวกับถูกแย่งอาหารอย่างไรอย่างนั้น และกำลังจ้องเขาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

…………………………………..

“ข้ารีบน่ะ!” ทันทีที่หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าไปในจักรวาลสีเทาก็รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา เขารีบร้อนที่จะไปหาศิษย์พี่ และตอนนี้เขาก็เข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า การตัดสินใจก่อนหน้านี้ของตัวเองนั้นถูกต้องแล้ว

ศิษย์พี่เฉินชิงจื่อ จงใจปล่อยข่าวการตกอับของจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกออกไปเพื่อตกเหยื่อ ในเวลาเดียวกันก็เป็นการบอกเป็นนัยให้เขารีบมาโดยเร็ว

“ศิษย์พี่นะศิษย์พี่ ครั้งหน้าช่วยส่งสัญญาณให้ชัดเจนกว่านี้เสียหน่อยได้หรือไม่ หากไม่ใช่เพราะข้าฉลาดไร้ใดเปรียบแล้วล่ะก็ คราวนี้รู้ตัวไม่ทันแน่” หวังเป่าเล่อรู้สึกมีความสุขอย่างยิ่ง หลังจากเข้าไปในจักรวาลสีเทาแล้วความเร็วก็เพิ่มขึ้นจากเดิม

เขารู้สึกว่ามีจุดบ่มเพาะไร้เทียมทานกำลังรอเขาอยู่ข้างหน้า ดังนั้นจึงปรารถนาที่จะเพิ่มความเร็วขึ้นอีก เพื่อรีบไปรับของขวัญชิ้นใหญ่จากศิษย์พี่

“จักรพรรดิสวรรค์…” หวังเป่าเล่อแววตาเป็นประกาย และอดเลียริมฝีปากไม่ได้

“ลืมถามท่านอาจารย์ไปเลย ภายในร่างกายของจักรพรรดิสวรรค์ มีจักรพิภพกี่แห่ง ดารานิรันดร์กี่ดวง และดาวพระเคราะห์กี่ดวงกันแน่… คิดว่าต้องมีไม่น้อย บางทีอาจเทียบได้กับจักรวาลขนาดเล็กแห่งหนึ่ง” เมื่อหวังเป่าเล่อคิดถึงจุดนี้ ก็รู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก หากเปลี่ยนไปเป็นคนอื่น บางทีอาจดูดซับได้เพียงกฎแห่งกระแสเต๋าหลังจากจักรพรรดิสวรรค์ดับสลาย แล้วเกิดแรงบันดาลใจและเข้าใจตระหนักในชะตาชีวิต

แต่เขาแตกต่างออกไป ตอนนี้เขากำลังฝึกเคล็ดวิชาเด็ดดารา ซึ่งนั่นเป็นเคล็ดวิชาต้องห้ามที่สามารถเปลี่ยนดวงดาราทุกดวงให้เป็นดาวของตัวเองได้ แม้ว่าการฝึกเคล็ดวิชานี้จะได้รับความเดือดร้อนโดยไม่คาดคิด แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่กลัว

“ข้าดูด ข้ากลืน ข้าแต้ม!” หวังเป่าเล่อยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น เขาคิดว่าคราวนี้ บางทีตนอาจได้เลื่อนขั้นไปในระดับจักรพิภพเลยก็ได้

“เกินความเป็นจริงไปหน่อย… แต่น่าจะไม่มีปัญหามากนักในการทะลวงเขตแดนเล็กๆ” หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย และในขณะที่กำลังบินอยู่นี้ ก็ได้ค่อยๆ เข้าไปใกล้เขตแดนของจักรวาลสีเทา

เพียงแต่จักรวาลสีเทานี้กว้างเกินไป แม้แต่ความเร็วปัจจุบันของหวังเป่าเล่อ บินในระยะทางตรง ก็อาจต้องใช้เวลานานกว่าจะสามารถเข้าสู่พื้นที่ศูนย์กลางที่แท้จริงได้

ดังนั้น หลังจากบินได้สักพัก หวังเป่าเล่อก็สงบลง รู้ว่าเรื่องนี้รีบร้อนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากความรีบร้อนของตัวเอง

“ค่อยเป็นค่อยไป อย่างไรเสียก็มีศิษย์พี่ และท่านอาจารย์ จุดบ่มเพาะไม่มีทางไปไหนได้ ข้าเองก็ไม่มีทางตายเช่นกัน” เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อกระแอมไอ ปล่อยวางอย่างสมบูรณ์ และกระจายสติสัมปชัญญะไปกับการสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบ

แท้จริงแล้วตลอดระยะทางที่เขาบินผ่านมา ก็ได้เห็นถึงความแตกต่างบางอย่างของที่นี่ด้วย

อันดับแรกคือผู้คน

ที่นี่มีผู้ฝึกตนจำนวนมากและส่วนใหญ่ดูลึกลับ ซึ่งหวังเป่าเล่อพบเห็นในจักรวาลสีเทาแห่งนี้ไม่น้อย ต่างสังเกตเห็นกันและกันในระยะไกล พวกเขาแยกย้ายกันอย่างรวดเร็ว ไม่มีการสื่อสาร ราวกับว่ากำลังรีบร้อนเดินทางหรือตรวจหาบางสิ่ง

คนเหล่านี้ ล้วนเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าที่มาจากต่างสำนักต่างตระกูล กำลังมองหาจุดบ่มเพาะชะตาที่นี่

“มีคนจำนวนมาก น่าจะมีมากถึงหลายสิบล้านเลยทีเดียว…” หวังเป่าเล่อหยีตา ก็ได้เห็นร่างเงาอีกเจ็ดแปดร่างผ่านวับไปในระยะไกล ในบรรดาคนเหล่านั้นมีหลายคนหยุดชั่วคราวหลังจากสังเกตเห็นเขา คล้ายกับพิจารณา แล้วจากไปอย่างรวดเร็ว

จากนั้นเป็นความรู้สึกถูกแบ่งแยกและกดขี่ เมื่อเข้าสู่จักรวาลสีเทา ความรู้สึกนี้ก็รุนแรงมากขึ้น ในความรู้สึกของหวังเป่าเล่อนั้น หากไม่มีวิธีอื่นในการลบล้างการกดขี่และแบ่งแยกนี้ได้ เช่นนั้น ตนจะหยุดอยู่ที่นี่ประมาณห้าวัน แล้วออกไปปรับอารมณ์ตัวเอง

เพราะที่นี่ไม่เพียงแต่มีการแบ่งแยกและกดขี่เท่านั้น แต่ยังมี… ร่องรอยพลังงานแห่งความตายอันแรงกล้า ร่องรอยพลังงานนี้มาพร้อมกับพลังแห่งการแบ่งแยกและเจตนาแห่งการกดขี่ มันจะบุกเข้าไปภายในร่างกายของผู้ฝึกตนอย่างไม่ทันตั้งตัว และกัดเซาะวิญญาณเทพและชั้นเนื้อกาย หากถูกกัดเซาะเป็นเวลานาน ก็จำต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!

ทว่า… ร่องรอยพลังงานแห่งความตายนี้ หากเปลี่ยนไปเป็นคนอื่น ต้องเป็นเช่นนี้ แม้แต่สำนักบรรพชนสายตระกูลลึกลับที่มีวิธียับยั้ง ทำให้สามารถรับมือได้นานขึ้น ก็ไม่สามารถหักล้างกันได้โดยสิ้นเชิง

แม้แต่ความแข็งแกร่งของตระกูลไม่รู้สิ้น ก็ยากที่จะมีอำนาจบาตรใหญ่ที่นี่ได้ อาจกล่าวได้ว่าในทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น หนึ่งเดียวหรือผู้เดียว… ที่สามารถทำตัวเหมือนปลาได้น้ำที่นี่ได้ ก็มีเพียง… คนของสำนักแห่งความมืด!

เพราะการแบ่งแยกและการกดขี่ของที่นี่มาจากวงแหวนปราณ แต่ร่องรอยพลังงานแห่งความตายอันแรงกล้าในนั้น กลับมาจาก… เต๋าสวรรค์แห่งสำนักแห่งความมืดที่ได้รับการกู้คืนจากเฉินชิงจื่อ

ดังนั้น ยามที่ไอมรณะเข้าสู่ร่างกาย และเมื่อหวังเป่าเล่อสังเกตเห็นว่าไอมรณะได้กระจายไปทั่วร่างกายของตัวเองแล้ว เขากะพริบตา และมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที เขาไม่เพียงแต่ไม่ได้รับอันตรายใดๆ แต่กลับ… ได้รับการเพิ่มพลังขึ้นในระดับหนึ่ง!

และหลังจากที่เขาแอบดูดซับไปบางส่วน ภายในร่างกายก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา เพลิงดำในดวงตากลายเป็นภาพลวงตาไปเอง ราวกับกำลังโห่ร้องด้วยความดีใจ ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเบาสบายไปทั้งกาย

“ช่างเป็นสถานที่ที่ดีเสียจริง!” หวังเป่าเล่อรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและกำลังจะดูดซับต่อไป แต่ไม่นานนัก สีหน้าของเขาก็ผันเปลี่ยน และรู้สึกถึงวิกฤตการณ์อันรุนแรง เขาเห็นว่าภายในจักรวาลสีเทานั้น มีเส้นสีเขียวเป็นเส้นสาย ปรากฏรางๆ ดูเหมือนอยู่ระหว่างภาพลวงตาและความเป็นจริง เดิมทีเพียงแค่แพร่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ เพื่อต่อต้านไอมรณะและหักล้างกัน

แต่หลังจากที่หวังเป่าเล่อดูดซับไอมรณะที่นี่ จู่ๆ เส้นสีเขียวเหล่านี้ก็เพิ่มขึ้นเป็นสามสี่เส้น พุ่งมาหาเขา และกระจายมากขึ้น คล้ายว่าสามารถข่มขู่ดวงวิญญาณเทพได้ ทำให้หลังจากที่หวังเป่าเล่อสังเกตเห็น ก็พลันถอยกลับ สีหน้าของเขาเองก็เคร่งขรึมขึ้นมา

“เส้นไหมสีเขียวเหล่านี้… น่าจะเป็นควันสีเขียวที่ตกลงมาจากเรือรบตระกูลไม่รู้สิ้น ตามที่ท่านอาจารย์บอก นี่คือ… ส่วนหนึ่งของเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นอย่างนั้นหรือ?”

“เหตุใดจึงแสดงความเป็นศัตรูกับข้าเท่านั้น มหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นที่เข้ามาในสถานที่แห่งนี้ ก็ล้วนถูกไอมรณะโจมตี…” ขณะก้าวถอยหลัง หวังเป่าเล่อสังเกตรอบๆ และมีคำตอบในใจแล้ว คนอื่นๆ ต่างถูกโจมตีในฐานะผู้ถูกกระทำ ฉะนั้นเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นจึงไม่ได้สนใจ ในระดับใดระดับหนึ่งนี้ น่าจะถูกประเมินว่าเป็นการแบ่งเบากันและกัน

แต่ตนนั้นแตกต่างออกไป เขาไม่ใช่ผู้ถูกกระทำ แต่ดูดซับด้วยตัวเอง นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นแสดงความเป็นศัตรูออกมา

และยังมีอีกสาเหตุหนึ่ง หวังเป่าเล่อรู้สึกว่ามันเกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาเด็ดดาราที่ตัวเองฝึกด้วย

หวังเป่าเล่อปวดหัวเล็กน้อย หลังจากชั่งน้ำหนักแล้ว เขารู้สึกว่าหากสามสี่เส้นล่ะก็ เขาเองก็สามารถรับมือได้ แต่หากมีมากกว่านี้ ตัวเองอาจตกอยู่ในอันตราย ไอรีนโนเวล

“ถ้าเก่งนักก็ปล่อยมาสัก 30 – 50 เส้นเลย!” หวังเป่าเล่อส่งเสียง ‘หึ’ และเลือกที่จะเลิกดูดซับไอมรณะ จึงทำให้เส้นสีเขียวสามสีเส้นที่ตามมาสลายตัวไป เขามองไอมรณะอันแรงกล้าที่นี่ หากทำการดูดซับก็จะทำให้ระดับการบำเพ็ญของเขาเพิ่มขึ้น เพลิงดำแข็งแกร่งมากขึ้น แต่เขาทำได้แค่มอง ไม่สามารถทำการดูดซับอย่างมีความสุข ความรู้สึกนี้ ทำให้เขาหดหู่เล็กน้อย

“ต้องหาวิธี…” ขณะหวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิด เขาเดินไปจนสุดทาง และได้เห็นภายในของจักรวาลสีเทานี้ นอกจากผู้คนและร่องรอยพลังงานเต๋าสวรรค์แล้ว ยังมีความแปลกประหลาดอื่นๆ

ซึ่งก็คือ… วังวนเล็กใหญ่แต่ละแห่ง!

วังวนเหล่านี้ดึงดูดความสนใจของหวังเป่าเล่อ และในวังวนส่วนใหญ่ โดยพื้นฐานแล้วจะมีผู้ฝึกตนหนึ่งคนหรือหลายคนกำลังนั่งสมาธิ นอกจากนี้ ก็มีผู้ฝึกตนจำนวนแตกต่างกันไปกำลังต่อสู้กัน

หลังจากสังเกตอย่างถี่ถ้วน หวังเป่าเล่อก็ตาเป็นประกาย เขารู้ที่มาของวังวนเหล่านี้แล้ว ในนั้นมีทั้งไอมรณะอันแรงกล้า และเต็มไปด้วยกฎแตกกระจายแห่งเจตจำนงแห่งเต๋าที่มีความแข็งแกร่งแตกต่างกันไป

“ที่ซึ่งผู้แข็งแกร่งตกอับ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาและบ่นพึมพำ เขาไม่รู้ว่าภายในจักรวาลสีเทานี้ มีวังวนกี่แห่งกันแน่ แต่ก็ประเมินได้ว่า วังวนเหล่านี้ น่าจะเป็นกองกำลังในบังคับบัญชาของจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกทั้งสิ้น!

เลือกที่จะถูกศิษย์พี่สังหาร หรือไม่ก็ถูกไอมรณะที่นี่บุกโจมตีจนเสียชีวิต

“กองทหารจำนวนมากภายใต้จักรพรรดิสวรรค์ผู้หนึ่ง…” หวังเป่าเล่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง ขยับร่างกายเล็กน้อย และเข้าใกล้วังวนเล็กๆ แห่งหนึ่งที่มีผู้ฝึกตนเจ็ดแปดคนกำลังต่อสู้กันดุเดือดอย่างรวดเร็ว

ความเร็วนั้นนำเขาเข้าไปใกล้ในทันที เขายกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้น เสียงคำรามก็ดังขึ้นรอบๆ ผู้ฝึกตนเจ็ดแปดคนนั้นราวกับพายุ ทำให้ผู้ฝึกตนเจ็ดแปดคนนั้นสั่นสะท้านอย่างรุนแรง แต่ละคนต่างกระอักเลือด ขณะที่มองหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าตื่นตะลึง ต่างก็ถอยหลังอย่างรวดเร็วไม่กล้าที่จะอยู่ต่อ

เมื่อเห็นว่าคนเหล่านี้จัดการง่ายดาย หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้ไล่ตามไป และเข้าไปในวังวนเล็กๆ แห่งนี้ทันทีที่ขยับตัว หลังจากนั่งลงด้วยท่าขัดสมาธิ ก็พยายามลิ้มรส

ทว่า ทันทีที่เขานั่งลงและยังไม่ทันได้ลิ้มรส ฝักกระบี่เจ้าชะตาที่ไม่เคยเคลื่อนไหวในร่างกาย จู่ๆ ก็เกิดการสั่นไหว ทันใดนั้น กฎแตกกระจายแห่งเจตจำนงแห่งเต๋าที่กระจายอยู่ภายในวังวนเล็กๆ แห่งนี้ก็พุ่งตรงมาหาเขา เข้าสู่ร่างกายและเจาะเข้าไปในฝักกระบี่!

ฝักกระบี่พลันสว่างวาบขึ้นมา ประหนึ่งว่าได้กลืนกินกฎแตกกระจายเหล่านั้นไปแล้ว

“เอ๊ะ?” หวังเป่าเล่อชะงักไปครู่หนึ่ง กำลังจะทำการตรวจดู แต่หลังจากนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันใด เนื่องจากกฎหลงเหลือแห่งเจตจำนงแห่งเต๋าภายในวังวนแห่งนี้ที่หลังจากถูกดูดซับจนหมด ก็เป็นเหมือนสุญญากาศและดึงดูดไอมรณะรอบๆ จำนวนมาก หากเพียงไอมรณะเท่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่มีเส้นไหมสีเขียวจำนวนมากตามมาด้วย

จำนวนไม่น้อย น่าจะมีมากกว่า 40 เส้นเลยทีเดียว!

………………………………………………………

“นี่มันจิ้งจอกเฒ่า!!” หลังจากได้ยินเสียงของปรมาจารย์แห่งไฟ แม้หวังเป่าเล่อจะรู้สึกว่าการบรรยายอาจารย์ของตนเช่นนี้ไม่เหมาะสม แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าคนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ที่สามารถให้ตัวเองขี่หลังตัวเองได้ คิดแล้วเขาก็คงไม่สนใจเรื่องพวกนี้นักหรอก

ความจริงแล้วตอนที่หวังเป่าเล่อลงมือก่อนหน้านี้ยังคิดจริงๆ ว่าอาจารย์ต้องการให้ตนวางอำนาจ ถึงแม้ในใจจะรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเป้าหมายการมาที่นี่ของอาจารย์คือสิ่งนี้

“พอคิดดูดีๆ ก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ตระกูลไม่รู้สิ้นปกปิดตัวเองก็เพราะไม่อยากให้คนอื่นสังเกตเห็น แต่การก่อกวนของอาจารย์ได้ทำให้ตระกูลไม่รู้สิ้นจำต้องออกหน้า และจากนั้นก็ทำให้การจัดเตรียมสถานที่ของพวกเขาเผยออกมาเล็กน้อย”

เมื่อหวังเป่าเล่อคิดถึงตรงนี้ สายตาที่มองไปยังปรมาจารย์แห่งไฟก็แสดงความเคารพเลื่อมใสออกมา เขารู้ดีว่าอาจารย์ของตนต้องการอะไร และมันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาเลื่อมใสของหวังเป่าเล่อ ปรมาจารย์แห่งไฟก็กระแอมไอเล็กน้อย เงยหน้าอย่างภาคภูมิใจ ในใจเป็นสุขยิ่งนัก

เทพวัวที่นั่งลงของเขาก็หรี่ตาลง แสดงท่าทางพึงพอใจ

“ศิษย์รัก ตอนนี้รู้ความร้ายกาจของอาจารย์แล้วสินะ” ปรมาจารย์แห่งไฟเชิดคางขึ้น กล่าวกับหวังเป่าเล่อ

“พลังเทพของอาจารย์ เทียบได้กับการสะเทือนสวรรค์ ความฝันของศิษย์ในชีวิตนี้ก็คือประสบความสำเร็จให้ได้สักหนึ่งในหมื่นของอาจารย์ขอรับ เดิมคิดว่าทำได้แล้ว แต่ดูตอนนี้แล้วยังขาดอยู่มากนัก อาจารย์ได้โปรดรับการคำนับด้วยความเคารพจากใจจริงของศิษย์ด้วยขอรับ!” แววตาของหวังเป่าเล่อยังคงเคารพเลื่อมใสเช่นเดิม น้ำเสียงทอดถอนใจ ก่อนโค้งคำนับไปยังปรมาจารย์แห่งไฟอย่างล้ำลึก

ปรมาจารย์แห่งไฟยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ เทพวัวก็ตัวสั่นอยู่หลายครั้ง

“อย่าได้ท้อแท้ ตราบใดที่เจ้าทุ่มเทฝึกฝน สุดท้ายก็จะมีวันนี้เอง” เพลิงกัลป์หันหน้ามามองหวังเป่าเล่อแล้วตบบ่าของเขา สายตาทอดมองไปยังอวกาศสีเทาที่อยู่ไกลๆ

“เจ้าเห็นอวกาศสีเทานั่นแล้วสินะ แผ่สัมผัสสวรรค์ของเจ้าออกมาแล้วสัมผัสดูให้ดีๆ จากนั้นบอกข้าว่าเจ้ามองเห็นอะไร” ปรมาจารย์แห่งไฟมีความสุขจึงคิดชี้แนะหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อได้ยินแล้วก็กวาดตามองอวกาศสีเทา ความจริงก่อนหน้านี้ตอนที่มาถึง เขาได้สังเกตเห็นเงาร่างที่เทียวไปเทียวมาในอวกาศสีเทาแล้ว ในใจมีการคาดเดาอยู่บ้าง รู้แล้วว่าภายในอวกาศสีเทาจะต้องมีบางอย่างแปลกประหลาดที่ทำให้ผู้ฝึกตนทั่วไปไม่อาจอยู่ในนั้นได้นาน หลังจากผ่านไปพักหนึ่งก็จำเป็นต้องกลับมาฟื้นตัว แล้วค่อยเข้าไปใหม่

ดังนั้นจึงเกิดภาพเงาร่างมากมายเข้าๆ ออกๆ แบบนี้

ตัวอย่างเช่นศิษย์พี่สามของสำนักฉันปราณที่พวกเขาพูดถึงก็เช่นกัน ตอนนี้เขาเข้าไปในอวกาศสีเทาและยังอยู่ไม่ถึงขีดจำกัด ดังนั้นจึงยังไม่ได้ออกมาในเวลาอันสั้น

ขณะเดียวกันถ้าหากมองดูอวกาศสีเทาผืนนี้นานๆ แล้วจะพบได้ว่า เมื่อมีคนเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ สีของมันก็จะค่อยๆ เข้มขึ้นเช่นกัน

ถึงแม้ในใจจะมีการวิเคราะห์และการคาดเดาอยู่บ้างแล้ว แต่หวังเป่าเล่อก็ยังแผ่สัมผัสสวรรค์ออกไปยังอวกาศสีเทา ไม่นานก็สัมผัสกับมัน และในพริบตาที่สัมผัสสวรรค์ของเขาแตะเขตแดนอวกาศสีเทา หวังเป่าเล่อก็ตัวสั่นระริก เขาสัมผัสได้ถึงพลังกดดันขับไล่สายหนึ่ง

“หือ” ดวงตาของหวังเป่าเล่อแข็งขึ้น เขาสัมผัสอย่างละเอียดรอบหนึ่ง

พลันพบว่าพลังขับไล่นี้ไม่ได้ทรงพลังมากนัก แต่คงอยู่เสมอ และเมื่อสัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อแผ่กระจายเข้าไป ความรู้สึกถึงการกดดันขับไล่ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันเมื่อคนอื่นๆ เข้าไปในพื้นที่อวกาศสีเทา เขาก็มองเห็นความแตกต่างได้ทันที

ถึงแม้ยิ่งเข้าไปลึกก็ยิ่งทรงพลัง แต่พลังขับไล่ที่ตัวของผู้ฝึกตนแต่ละคนกลับมีระดับความเข้มข้นแตกต่างกัน ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์บางคนคล้ายไม่โดนการตอบโต้จากพลังขับไล่อย่างรุนแรงนัก แต่ดารานิรันดร์บางคนกลับเหนื่อยจนอ่อนระโหยโรยแรงอย่างเห็นได้ชัดตอนออกมา ราวกับใช้พลังมหาศาล

“มันเพิ่มขึ้นตามระดับการฝึกตน ยิ่งพลังฝึกปรือสูงเท่าไร แรงกดดันและการขับไล่ที่ต้องเจอหลังเข้าไปก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น หรือก็คือ…ที่นี่มีข้อจำกัดอยู่ จำกัดการเข้ามาของผู้ฝึกตนที่มีระดับสูงกว่าขอบเขตหนึ่ง!” หวังเป่าเล่อเข้าใจในทันที หลังจากสังเกตดูอีกครั้งเขาก็เอ่ยขึ้นกะทันหัน

“ที่แห่งนี้ระดับจักรพิภพไม่อาจเข้าไปได้ ส่วนดาวพระเคราะห์…ถึงแม้จะสามารถเข้าไปได้อย่างราบรื่น แต่กลับอันตรายเกินไป มีเพียงดารานิรันดร์…เป็นระดับเดียวที่เหมาะจะเข้าไปยังที่แห่งนี้มากที่สุด!”

ปรมาจารย์แห่งไฟได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมา เขามองไปยังอวกาศสีเทาเช่นกัน แววตาฉายแววล้ำลึก ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ เอ่ยเสียงเบา

“เจ้าพูดถูก ที่แห่งนี้มีพลังกดดันสยบอยู่ ไม่ใช่ว่าระดับจักรพิภพเข้าไปไม่ได้ แต่หลังจากเข้าไปแล้ว…ยากจะขยับได้แม้เพียงครึ่งก้าว!”

“และก็เพราะเหตุนี้ หลังจากหมื่นสำนักและตระกูลรู้ข้อมูลของที่แห่งนี้แล้ว จึงได้จัดมหาศิษย์ของสำนักและตระกูลของตนมาฝึกฝนเพื่อรับโชค ตระกูลไม่รู้สิ้นดูคล้ายจะไม่เต็มใจ แต่ความจริงแล้ว…พวกเขาเต็มใจ” ไอรีนโนเวล

“เพราะยิ่งมีคนเข้าไปในนั้นมากเท่าไร ก็จะทำให้พลังแห่งเหตุต้นผลกรรมภายในพื้นที่อวกาศสีเทาผืนนี้วุ่นวายมากยิ่งขึ้น และเมื่อเหตุต้นผลกรรมวุ่นวายโกลาหลโดยสมบูรณ์แล้ว ก็จะทำให้พิธีกรรมสังเวยของพวกเขาราบรื่นยิ่งกว่าเดิม!”

“เพียงแต่ที่นี่มีอันตรายต่อชีวิตอยู่ ดังนั้นตระกูลไม่รู้สิ้นจึงไม่ได้เป็นคนเชิญชวนก่อน แต่ให้เลือกจากความสมัครใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ การที่มหาศิษย์ของแต่ละสำนักตระกูลเสียชีวิตจำนวนมากอยู่ในที่แห่งนี้ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับตระกูลไม่รู้สิ้นแล้ว”

“แต่สำนักกับตระกูลเหล่านี้ก็ไม่ใช่พวกโง่เง่า เรื่องนี้พวกเขารู้อยู่แก่ใจ แต่มีโอกาสวาสนาอยู่ใหญ่โตนัก ยากจะละทิ้งได้ ดังนั้นจึงเกิดภาพเช่นในตอนนี้ขึ้น” ปรมาจารย์แห่งไฟเอ่ยช้าๆ บอกถึงเหตุผลที่หมื่นสำนักตระกูลมารวมตัวกันที่นี่ครั้งนี้

“พลังแห่งเหตุต้นผลกรรมหรือขอรับ” หวังเป่าเล่อได้ยินแล้วก็ตกใจ มองไปยังปรมาจารย์แห่งไฟ

“เจ้าคิดว่าจุดประสงค์ที่ตระกูลไม่รู้สิ้นส่งพลังกดดันอยู่ภายนอกคืออะไร” ปรมาจารย์แห่งไฟหัวเราะ

“จุดประสงค์ย่อมไม่ใช่การช่วยเหลือจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยก เพราะทำได้ยากเกินไป เว้นเสียแต่เสวียนหัวจะเข้าร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย แต่เขาจะกล้าหรือ ดังนั้นเป้าหมายของพวกเขาก็คือต้องการให้จักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกตาย ซึ่งมีคุณค่าและมีความหมายยิ่งกว่า”

“ตัวอย่างเช่น…การระเบิดตัวเอง!” ปรมาจารย์แห่งไฟหรี่ตาลง หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเคร่งขรึมอยู่ข้างๆ

“ขณะเดียวกัน…ถึงแม้ตระกูลไม่รู้สิ้นจะหวาดกลัวเฉินชิงจื่อ แต่ก็แค่หวาดกลัวเท่านั้น ไม่ว่าเฉินชิงจื่อจะเป็นอันตรายแค่ไหนก็มีแค่ตัวคนเดียว ทว่าวันนี้ไม่เหมือนกันแล้ว เพราะเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดได้ฟื้นคืน!”

“หมอกควันสีฟ้าที่แผ่ลงมาจากภายในเรือรบของไม่รู้สิ้นเหล่านั้นที่เจ้าได้เห็นเป็นของดี มันคือพลังแห่งเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้น ต้องใช้เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นเพื่อมาสยบเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืด”

“แบบนี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยเหลือเดือนแยกและทำให้อยู่ได้นานขึ้น แต่ยังทำให้เขามีพลังระเบิดตัวเองเมื่อถึงช่วงเวลาวิกฤตต่อชีวิต ขณะเดียวกันก็ยังขัดขวางไม่ให้เต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดฟื้นคืนชีพ ถึงขั้นไม่มีโอกาสด้วยซ้ำ…เพื่อทำให้เฉินชิงจื่อบาดเจ็บสาหัส”

“แต่…ข้ามักจะรู้สึกว่าเฉินชิงจื่อกำลังตกเหยื่ออยู่!” ปรมาจารย์แห่งไฟพึมพำ คำพูดที่เอ่ยออกมาทำให้หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ตอนนี้หลังจากสัมผัสสวรรค์ของเขาวนเวียนอยู่ที่ชายขอบของอวกาศสีเทาพักหนึ่ง กำลังจะถอนออกมา แต่พริบตาเดียวก็สัมผัสได้ถึงเสียงเพรียกที่ดังมาจากส่วนลึกของอวกาศสีเทา

ขณะที่เขาสัมผัสได้ถึงเสียงเพรียกนี้ ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ส่องสว่าง ไม่ได้ถอนสัมผัสสวรรค์กลับ แต่แผ่เข้าไปยังด้านในต่อ ปรมาจารย์แห่งไฟสังเกตเห็นแล้วแต่ไม่ได้ขัดขวาง

ไม่นานสัมผัสของหวังเป่าเล่อก็แพร่กระจายผ่านเส้นขอบของอวกาศสีเทา เพียงแต่ไม่มีร่างกายเป็นตัวแบกรับจึงยากจะแผ่ไปไกลกว่านี้ แค่มาถึงยังระยะไม่กี่ร้อยจั้งเท่านั้น แต่นั่นก็เพียงพอแล้ว

พริบตาที่แผ่มาถึงระยะไม่กี่ร้อยจั้ง เสียงเพรียกนั้นก็แรงกล้าขึ้นทันที มีเสียงอันคุ้นเคยรางๆ ดังก้องอยู่ในจิตใจของหวังเป่าเล่อ

“มา…ศิษย์น้องเล็ก มาหาข้า”

ดวงตาของหวังเป่าเล่อส่องสว่างอีกครั้งแล้วมองไปยังปรมาจารย์แห่งไฟ

“ในเมื่อคิดจะไป เช่นนั้นก็ไปเถอะ” ปรมาจารย์แห่งไฟครุ่นคิดอยู่สองสามอึดใจก่อนจะหัวเราะ แววตาฉายประกายให้กำลังใจออกมา

“ไม่ต้องห่วง ถ้ารู้สึกผิดปกติแล้วก็จุดไฟเผาใบไม้ที่อาจารย์มอบให้เจ้าเสีย มีอาจารย์คอยอยู่ตรงนี้ จะต้องปกป้องเจ้าให้ปลอดภัยได้แน่!” ปรมาจารย์แห่งไฟลูบศีรษะของหวังเป่าเล่อ

“ขอบคุณท่านอาจารย์ขอรับ!” หวังเป่าเล่อซาบซึ้งและอบอุ่นใจมาก หลังจากประสานหมัดคำนับปรมาจารย์แห่งไฟแล้ว ร่างกายก็สั่นสะเทือนแล้วพุ่งออกมาทันที เขาทะยานตรงไปยังอวกาศสีเทา เซี่ยไห่หยางที่อยู่บนเทพวัวด้านหลังของเขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่ก็ไม่ได้ตามไปด้วย ทว่าเอ่ยอย่างรวดเร็ว

“อาจารย์อา อย่าลืมช่วยพูดอะไรดีๆ แทนบิดาของข้าด้วยนะ”

หวังเป่าเล่อหัวเราะลั่น เงาร่างเหยียบย่างเข้าไปในอวกาศสีเทาทันที และในชั่วขณะที่เขาเข้าไปในอวกาศสีเทา ที่ส่วนลึกที่สุดของอวกาศสีเทาซึ่งมีเตาหลอมขนาดใหญ่เก้าเตาอยู่

มีแปดเตาห้อมล้อม หนึ่งเตาเป็นใจกลาง ตอนนี้ในเตาหลอมที่อยู่ใจกลางคล้ายมีโลกหนึ่งใบ และภายในโลกใบนี้ก็มีร่างของชายหนุ่มสวมชุดขาว ผมยาว ในมือถือกาสุรา ข้างๆ มีดาบไม้สีฟ้าโฉบไปมา เขาเงยหน้าดื่มสุราในกา มองไปยังที่ไกลๆ จากนั้นก็หัวเราะ

“ศิษย์น้องเล็กมาแล้ว”

แทบจะในทันทีที่เขาเอ่ยออกมา ที่ไกลๆ ของโลกใบนี้ก็มีเสียงคำรามโหยหวนดังขึ้น มองเห็นว่าสถานที่ที่เสียงคำรามดังออกมามีหมอกปราณสีดำแผ่กระจาย ปกคลุมเงาร่างของคนในตระกูลไม่รู้สิ้นขนาดใหญ่เอาไว้ข้างใน กัดกร่อนอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เหลือเพียงเลือดและเนื้ออยู่สามส่วนเท่านั้น

“เฉินชิงจื่อ ฆ่าข้าสิ ฆ่าข้าสิ!!!”

“ไม่ต้องรีบ” เฉินชิงจื่อจิบสุราอีกครั้ง เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม

…………………………

หนึ่งคำเมื่อเอ่ยออกมาก็สะเทือนฟ้าสะเทือนสวรรค์!

ดวงดาวล้อมรอบร่างของหวังเป่าเล่อโดยไม่ต้องใช้กระบวนเวทพลังเทพใดๆ เพียงแค่กำหมัดธรรมดาเท่านั้น ก็ทำให้ดวงดาราพิเศษนับหมื่นและกึ่งดาวเคราะห์เต๋าทั้งเก้าดวงไปจนถึงพลังของดาวเต๋านิรันดร์หนึ่งดวงมารวมกันบนกำปั้น ก่อนระเบิดออกไป!

เมื่อพลังปะทุออกมาในชั่วขณะนี้ เพราะเคล็ดวิชาเด็ดดาราจึงทำให้มันเป็นของหวังเป่าเล่อโดยสมบูรณ์ ดังนั้นจึงสามารถบีบอัดมันได้อย่างแทบจะไร้ข้อจำกัด พริบตาเดียวก็พุ่งถึงจุดสูงสุด และเมื่อกำปั้นต่อยลงมาก็ราวกับมีดาราจักรทุบใส่ผู้คน!

พริบตาเดียว ผู้ฝึกตนดารานิรันดร์ของสำนักฉันปราณคนหนึ่งที่อยู่ด้านหน้าก็ต้องรับพลังของมันเป็นคนแรก เสียงกรีดร้องโหยหวนดังขึ้น ร่างกายพังทลายและระเบิดออกทันที ดวงวิญญาณเทพก็ไม่อาจหลบหนี มันถูกสะเทือนจนแตกเป็นเสี่ยงๆ โดยตรง ร่างวิญญาณถูกทำลายสิ้น!

ยังไม่จบ ตอนนี้หวังเป่าเล่อมีพลานุภาพเทียมฟ้า ขณะที่ย่างก้าวเขาก็ต่อยออกไปเป็นหมัดที่สอง หมัดที่สาม หมัดที่สี่!

หนึ่งหมัดสังหารหนึ่งคน!

พริบตาเดียวก็มีผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ชั้นต้นของสำนักฉันปราณสามคนถูกระเบิดร่างแล้วกลายเป็นหมอกเลือดหลายกลุ่มโดยตรงพร้อมกับสั่นสะเทือนไปทั่วทุกทิศ ผู้ฝึกตนสำนักฉันปราณที่เหลืออีกสามคนตกตะลึงถึงขีดสุด สูญสิ้นความตั้งใจจะต่อสู้ไปนานแล้ว ตอนนี้จึงถอยกลับเพื่อหนีทันที คนหนึ่งในนั้นตะโกนขึ้นอย่างรวดเร็ว

“หวังเป่าเล่อ พวกเราล้วนเป็นผู้อ่อนแอ เจ้ามีความสามารถก็เข้าไปสังหารศิษย์พี่สามของข้าข้างในสิ ศิษย์พี่สามของข้าเป็นดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักร เจ้ากล้าฆ่าหรือไม่เล่า!”

ดวงตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลง เขากระจ่างแจ้งดีว่าสถานที่ประจำการของสำนักและตระกูลที่อยู่รอบเขตแดนอวกาศสีเทาแห่งนี้ล้วนมีไว้ให้มหาศิษย์ของฝ่ายตนได้มาพักผ่อน อวกาศสีเทาใหญ่มาก เมื่อทำการสำรวจย่อมต้องเดินทางไปกลับเพื่อเติมเสบียง ดังนั้นการที่สำนักฉันปราณมีศิษย์อยู่ในนั้นก็เป็นเรื่องปกติ

“ดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรหรือ” หวังเป่าเล่อยิ้มบาง กำลังจะตามไป แต่ในตอนนี้เอง ทางฝั่งปรมาจารย์แห่งไฟอาจารย์ของเขาเริ่มทนไม่ไหวแล้ว ถึงแม้ปรมาจารย์แห่งไฟจะแข็งแกร่ง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการกดดันของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพสิบกว่าคนพร้อมกัน เขาจึงพอจะฝืนทนได้เล็กน้อย รวมกับมือยักษ์ของเทพวัวที่กางออกมาด้วย ตอนนี้จึงมีวี่แววว่าจะแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ

ถึงอย่างไร…เขาในตอนนี้ก็ไม่ได้มีพลังเต็มทุกส่วนอย่างแท้จริง เขายังทิ้งพลังอย่างน้อยสามส่วนไว้ในดาราจักรไฟซึ่งถูกแปลงให้เป็นบรรดาศิษย์เหล่านั้นและต้นไม้ใบหญ้า

ตอนนี้ เมื่อเห็นว่าตนไม่แข็งแกร่งพอ ปรมาจารย์แห่งไฟและเทพวัวที่นั่งอยู่ก็กะพริบตาพร้อมกันอย่างรวดเร็ว จากนั้นปรมาจารย์แห่งไฟก็เงยหน้าโดยพลัน ทำท่าว่าต้องการจะตายไปพร้อมกันแล้วก็ตะโกนออกมา

“ถึงกับกล้าร่วมมือกันมารังแกข้าเชียวหรือ ดี เช่นนั้นก็กินคำสาปอัดอั้นหนึ่งหมื่นปีของข้าสักหม้อหนึ่งดีไหมเล่า”

“ผู้เฒ่าอย่างข้ากลัวตายหรือไม่ ตัวข้าไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ในเมื่อพวกเจ้าอยากจะกิน ย่าเจ้าเถอะ ข้าจะระเบิดมันให้พวกเจ้าดูแล้ว!” ปรมาจารย์แห่งไฟร้องคำรามลั่นฟ้า จักรพิภพจากแต่ละสำนักที่ร่วมมือกันมาสยบเขาเหล่านั้น ตอนนี้ต่างก็ปวดหัวขึ้นมา ต้องเก็บพลังกลับอย่างไม่เต็มใจ

เมื่อเห็นอีกฝ่ายเก็บพลังกลับแล้ว ปรมาจารย์แห่งไฟก็ยิ่งโอหัง คำรามดังลั่นยิ่งกว่าเดิม

“การระเบิดของข้าไม่เพียงทำลายพวกเจ้า แต่ยังทำลายสำนักและตระกูลทั้งหมดทั้งแปดทิศในที่นี้ด้วย แล้วข้าจะกลัวเจ้าหรือ ย่าเจ้าน่ะสิ ข้าจะระเบิด!” ท่ามกลางเสียงตะโกนลั่นของปรมาจารย์แห่งไฟ กลิ่นอายคำสาปก็ปรากฏออกมาด้านนอกร่างกายในพริบตา ทันทีที่กลิ่นอายนี้แผ่ขยาย ท้องฟ้าก็เปลี่ยนสี เมฆลมพัดม้วน อวกาศยิ่งสะเทือนเลื่อนลั่น

ตอนนี้สีหน้าของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพที่ร่วมมือกันมาบดขยี้ปรมาจารย์แห่งไฟเหล่านั้นเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ตระกูลและสำนักทั้งหมดรอบด้าน ล้วนหน้าเปลี่ยนสีกันหมด หวังเป่าเล่อก็ตกใจจนสะดุ้ง แอบคิดว่าอาจารย์คงไม่จริงจังหรอก แค่ขู่คนเท่านั้น…

ในขณะที่กลิ่นอายคำสาปของปรมาจารย์แห่งไฟแผ่ออกมาจนอวกาศส่งเสียงดังสนั่นนั้น เสียงกระแอมไอแฝงความจนใจก็ดังขึ้นมาเบาๆ จากอวกาศสีเทาด้านบน

“เพลิงกัลป์ โวยวายพอแล้วกระมัง รีบเก็บคำสาปอัดอั้นหมื่นปีของเจ้าไปเสีย เรื่องใหญ่อะไรนักหนา”

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้นมา อวกาศสีเทาด้านบนที่เดิมทีเป็นความว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุดกว้างใหญ่ไพศาลก็บิดเบี้ยว คล้ายผ้าม่านที่แขวนอยู่ถูกยกขึ้น จนเผยให้เห็นด้านใน…

เรือรบเกือบแสนลำอัดแน่นไปทั่วทั้งเขตแดนอวกาศสีเทา! ไอลีนโนเวล

เรือรบเหล่านี้แตกต่างจากหมื่นสำนักตระกูลโดยสิ้นเชิง มันคือด้วงทองคำตัวแล้วตัวเล่า มองจากไกลๆ ดูคล้ายกับทะเลด้วงสีทองมืดฟ้ามัวดิน ครอบคลุมทั่วทั้งสี่ทิศ

“ตระกูลไม่รู้สิ้น!”

ชั่วพริบตาก็มีเสียงร้องตกใจดังมาจากภายในหมื่นสำนักและตระกูล ตอนนี้เองหวังเป่าเล่อก็จำที่มาของด้วงสีทองเหล่านี้ได้แล้ว พวกมัน…เป็นของตระกูลไม่รู้สิ้นจริงๆ!

มันเหมือนกับที่เขาเห็นในกระบี่สำริดโบราณไม่มีผิด แต่กลิ่นอายแตกต่างกัน กลิ่นอายของด้วงทองแต่ละตัวในที่นี้ล้วนสั่นคลอนจิตใจเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันทำให้เขารู้สึกกลัว ถึงขั้นรู้สึกแสบตา และบนทะเลด้วงทองผืนนี้ก็มีเงาร่างสีทองสามร่างลอยอยู่!

เงาร่างทั้งสามถูกแสงสีทองปกคลุมโดยสมบูรณ์จึงไม่เป็นรูปเป็นร่าง มองเห็นเพียงโครงร่างเลือนรางเท่านั้น รวมไปถึง…สิ่งที่แผ่ออกมาจากร่างของพวกเขาก็ราวกับสามารถส่งอิทธิพลต่อความผันผวนมหาศาลของทั้งจักรวาลได้

แต่ถ้าหากมองดูดีๆ ก็จะเห็นว่าถึงแม้ทั้งสามท่านนี้จะมีแสงทองส่องไสว แต่มีแค่คนที่อยู่หน้าสุดเท่านั้นที่เป็นจุดกำเนิดแสงนี้ ส่วนอีกสองคน เมื่อเทียบดูแล้ว แสงค่อนข้างจะริบหรี่เล็กน้อย เพียงแต่ถูกสะท้อนลงมา จึงมีแสงเหมือนๆ กันก็เท่านั้น

พลังผันผวนก็เช่นเดียวกัน พลังผันผวนของคนด้านหน้าสุดน่าจะสั่นสะเทือนสวรรค์ได้เลย ราวกับสามารถทำลายสิ้นซึ่งทุกกฎเกณฑ์ สามารถปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ สามารถส่งผลต่อกาลอวกาศ สามารถสยบหมื่นสำนักหมื่นตระกูลในจักรวาลได้ ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพคล้ายกับเด็กทารกแรกเกิดเมื่อเทียบกับเขา ทั้งสองฝ่ายไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน!

ส่วนสองคนด้านหลัง เห็นได้ชัดว่าพลังอ่อนกว่ามาก ไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันเช่นกัน

และการปรากฏตัวของคนทั้งสามก็ทำให้จักรพิภพเหล่านั้นที่ร่วมมือกันโจมตีปรมาจารย์แห่งไฟ ในพริบตาก็ถอยร่นโดยสิ้นเชิง ก่อนจะคำนับให้อย่างพร้อมเพรียง

ตระกูลและสำนักแทบจะทั้งหมดที่อยู่รอบด้านก็ทำเช่นเดียวกัน ค้อมคำนับคารวะในทันที

“คารวะจักรพรรดิสวรรค์! คารวะราชาแห่งแสงฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา!”

“จักรพรรดิสวรรค์!” สมองของหวังเป่าเล่อมีคลื่นพุ่งขึ้นมาในพริบตานี้เอง ขณะเดียวกันจิตใจก็สั่นไหวรุนแรงเพราะการกวาดมองของสายตาคู่นั้น ยังไม่ทันได้สังหารศิษย์สำนักฉันปราณที่เหลืออยู่ ร่างของหวังเป่าเล่อก็ถอยหลังไปอยู่บนหลังของเทพวัวทันที ความรู้สึกใจสั่นหวั่นไหวยังคงมีอยู่

ขณะเดียวกันเขาก็มองเห็นว่าภายในด้วงเกราะสีทองจำนวนมากมายนั่น มีกลุ่มควันสีฟ้าหลายสายตกลงมาไม่หยุดแล้วผสานเข้าไปในอวกาศสีเทาด้านล่าง

เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว เดิมทีตระกูลไม่รู้สิ้นก็ไม่คิดจะให้ทุกคนเห็น แต่เพราะคำสาปปรมาจารย์แห่งไฟอาจารย์ของตนจึงทำให้ตระกูลไม่รู้สิ้นจำต้องออกหน้ามาไกล่เกลี่ย

“หรือว่าทุกอย่างเมื่อครู่เป็นความตั้งใจของอาจารย์ ที่ทำไปก็เพื่อให้ได้เห็นฉากตรงหน้า” ขณะที่จิตใจของหวังเป่าเล่อสั่นไหว ปรมาจารย์แห่งไฟก็มองทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ในดวงตามีประกายแสงจางๆ ส่องวาบจนมองไม่เห็น สีหน้ายังคงไม่หวั่นเกรงความตายเช่นเดิม มีท่าทางแบบที่ว่าใครกล้ายั่วยุข้า ข้าก็จะเล่นงานคนผู้นั้น แล้วแค่นเสียงออกมา

“จักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัว ข้าจะไว้หน้าเจ้า คำสาปที่กักไว้หนึ่งหมื่นปีของข้าก็จะไม่ปล่อยออกมาแล้ว แต่สำนักฉันปราณนี้จะต้องไสหัวไปจากที่นี่ ข้าเห็นหน้าพวกเขาแล้วหงุดหงิด!”

หวังเป่าเล่ออยู่ด้านหลังปรมาจารย์แห่งไฟ เมื่อได้ยินประโยคนี้ เขาก็ปาดเหงื่อแทนอาจารย์ของตน ลอบคิดว่าอาจารย์ช่างเป็นคนเถื่อนเสียจริง ตัวเป็นถึงระดับจักรพิภพ แต่กลับกล้าพูดเช่นนี้กับจักรพรรดิสวรรค์ ดูท่าว่าก่อนหน้านี้จะไม่ได้ตั้งใจปกปิดตัวตนจริงๆ เขามีความสามารถจะตายไปพร้อมกันกับจักรพรรดิสวรรค์ระดับจักรวาลผู้นี้เป็นแน่แท้

จักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัวที่อยู่ไกลๆ เมื่อได้ยินก็ส่ายศีรษะเบาๆ ในใจเบื่อหน่ายนัก เขาเป็นคนรับผิดชอบแผนการของตระกูลไม่รู้สิ้นครั้งนี้ ความจริงก่อนที่ปรมาจารย์แห่งไฟจะมาถึง เขาก็จัดตั้งวงแหวนปราณแล้ว ตนจะปรากฏตัวหรือไม่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ แต่หลังจากที่เห็นปรมาจารย์แห่งไฟ เขาก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาจึงได้ล้มเลิกความคิดจะปรากฏตัวเสีย

แต่กลับคาดไม่ถึงว่าวันนี้ปรมาจารย์แห่งไฟจะอารมณ์รุนแรงนัก เขาแผ่คำสาปออกมาเล็กน้อยแล้ว ทันทีที่สมองของอีกฝ่ายมีปัญหาแล้วระเบิดออกมาวันนี้จริงๆ ต่อให้เป็นเขาก็ยังได้รับผลกระทบไปด้วยเพราะอยู่ใกล้เกินไป

อีกทั้งผลกระทบนี้…ตัวเขาก็บอกได้ไม่ชัดว่าจะทำให้ตนแตกดับหรือไม่

ความจริงคำสาปของปรมาจารย์แห่งไฟทั้งแปลกประหลาดทั้งสุดโต่ง ดังนั้นสุดท้ายเขาจึงต้องออกหน้าเพื่อหยุด ขณะเดียวกัน ในใจก็รู้สึกไม่พอใจสำนักฉันปราณอย่างมาก

พวกเจ้าไม่มีอะไรทำหรือยังไง หาเรื่องใครไม่หา กลับไปหาเรื่องเจ้าบ้าเพลิงกัลป์เสียได้!

รู้อยู่ชัดๆ ว่าอีกฝ่ายกับพวกเจ้ามีความแค้นต่อกัน แล้วเหตุใดถึงยังไปตอบโต้ อีกฝ่ายด่ามากี่คำก็ปล่อยให้เขาด่าไปสิ บอกให้พวกเจ้าไปพวกเจ้าก็ไปเสียสิ เหตุใดจะต้องร้องหาถูกผิดให้เปล่าประโยชน์ด้วย

เมื่อคิดถึงตรงนี้ จักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัวก็เอ่ยเสียงเรียบ

“สำนักฉันปราณ รีบออกไปเดี๋ยวนี้!”

ทันทีที่เอ่ยออกมา ชายชราผู้นั้นของสำนักฉันปราณก็อัดอั้นใจ ขณะเดียวกันก็นับว่าโล่งอกแล้ว จึงก้มหน้ารับคำโดยเร็ว แล้วพาศิษย์ที่เหลือสองสามคนที่กำลังตกใจจนตัวสั่นเร่งรีบจากไป ไม่สนใจศิษย์สองสามคนที่เข้าไปในอวกาศสีเทาและยังไม่ออกมาด้วยซ้ำ

เมื่อพวกเขาจากไปแล้ว จักรพรรดิสวรรค์เสวียนหัวก็ชำเลืองมองปรมาจารย์แห่งไฟอย่างล้ำลึกคราหนึ่งแล้วโบกแขนเสื้อ ทันใดนั้นรอบด้านก็บิดพลิ้วราวกับมีผ้าม่านปรากฏขึ้นมาใหม่ ก่อนจะปกคลุมทุกสิ่งอย่างเอาไว้อีกรอบ

ขณะเดียวกัน ดวงตาของปรมาจารย์แห่งไฟก็หรี่ลง ทันใดนั้นก็หันไปเอ่ยกับหวังเป่าเล่อที่อยู่ด้านหลัง

“หลังเจอศิษย์พี่ของเจ้าแล้วจำไว้ว่าให้บอกเขาว่า เขาเป็นหนี้น้ำใจข้าหนึ่งอย่าง ข้าพยายามช่วยเขาจัดการลูกไล่ของตระกูลไม่รู้สิ้น และตัวตนของจักรพรรดิสวรรค์ที่มาทั้งหมดแล้ว!”

………………………

พลังต่อสู้ที่หวังเป่าเล่อใช้ออกมาเมื่อครู่สามารถสังหารลั่วจือผู้มีพลังฝึกตนอยู่ในดารานิรันดร์ระดับกลางที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาได้ภายในสามอึดใจ ความแข็งแกร่งเช่นนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ทุกคนตื่นตัว

ถึงแม้ตอนนี้พวกเขาจะมีกันหลายสิบคน แต่หากให้โจมตีพร้อมกันจริงๆ ก็ไม่แน่ว่าจะไม่มีโอกาสสังหารเขาได้ เห็นได้ชัดมากว่า…ถึงจะสังหารได้จริงๆ ก็คงมีพวกเขาบางส่วนต้องตกตายอยู่ที่นี่

แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่มหาศิษย์ชั้นยอดสุดของสำนักฉันปราณ ทว่าแต่ละคนก็มีโอกาสวาสนาและโชคแตกต่างกันไป ยิ่งกว่านั้นคือมีความกระหายและคาดหวังต่ออนาคต แล้วจะยินดีวางเดิมพันชีวิตไว้ที่นี่ได้อย่างไร

ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ…แม้ว่าจะวางเดิมพันแล้วก็อาจสังหารหวังเป่าเล่อไม่ได้ อย่างไรเสียชื่อเสียงด้านการเข้าข้างคนของตัวเองของปรมาจารย์แห่งไฟก็แพร่ไปทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น และท้ายที่สุด ผู้อาวุโสของสำนักที่คุ้มกันพวกเขามาที่นี่ครั้งนี้ก็มีพลังต่อสู้ไม่เพียงพอ ไม่อาจเอาชนะปรมาจารย์แห่งไฟได้

ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ พวกเขาคงไม่อัดอั้นขนาดนี้หรอก ดังนั้นตอนนี้ความโกรธเกรี้ยวจึงได้แผ่ซ่านออกมา ถึงแม้คำยั่วยุของหวังเป่าเล่อจะดังเข้าหู แต่ทุกคนก็ไม่ได้ลงมือ

“ทำไม เข้ามาพร้อมกันก็ไม่กล้าหรือ” เมื่อเห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็เลิกคิ้วแล้วผุดยิ้ม เขามีความคิดจะให้อีกฝ่ายลงมือพร้อมกันจริงๆ ในเมื่อตนได้สังหารศิษย์คนหนึ่งของอีกฝ่ายไปแล้ว เช่นนั้นถ้าจะให้ดีที่สุด…ก็ตัดรากถอนโคนไปเลย อย่าให้อีกฝ่ายมีโอกาสลอบโจมตีตนตอนอยู่ในบริเวณอวกาศสีเทาได้

ขณะเดียวกัน สำนักและตระกูลจากจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นในที่นี้ก็มีอยู่มากมาย ถึงแม้การวางอำนาจของตนจะทำให้เผยพลังและไพ่ลับส่วนหนึ่งออกมา แต่ข้อดีก็มีมากเช่นกัน มันใช้สยบผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ได้ ทำให้เมื่อตนเข้าไปในบริเวณสีเทาแล้วจะราบรื่นอย่างที่สุด

ส่วนที่ว่าจะชนะหรือไม่ จุดนี้หวังเป่าเล่อไม่กังวล เขามั่นใจในตนเอง ต่อให้จำนวนของฝ่ายตรงหน้าจะไม่น้อย แต่ก็ยังมั่นใจว่าสามารถสังหารครึ่งหนึ่งได้ และสามารถทำให้บาดเจ็บสาหัสทั้งหมดได้เช่นกัน

“อย่างไรเสียข้างหลังของข้าก็มีอาจารย์ ข้างในมีศิษย์พี่ผู้ไร้พ่าย แล้วข้าจะกลัวอะไร” เมื่อคิดถึงตรงนี้ พลานุภาพของเขาก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ยกมือขวาคว้าจับอากาศ ทันใดนั้นอาวุธเทพก็ปรากฏ มันถูกเขาจับเอาไว้ในมือแล้วยกขึ้นชี้ไปยังเหล่าศิษย์บนระฆังสีดำของสำนักฉันปราณ

“สำนักฉันปราณเป็นไก่กระเบื้องสุนัขดินเผาเช่นนี้หรอกหรือ อยากสู้ก็ไม่กล้าสู้ เจ้าหนูทั้งหลาย รีบพูดจาดีๆ กับพ่อเจ้าหน่อยเร็ว”

เมื่อหวังเป่าเล่อเอ่ยคำพูดออกไป เส้นเลือดบนหน้าผากศิษย์ของสำนักฉันปราณเหล่านี้ก็ปูดโปน ส่วนชายชราผู้นั้นที่ถูกปรมาจารย์แห่งไฟบีบให้ล่าถอยก็มีจิตสังหารส่องวาบอยู่ในตาทันที จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นโดยพลัน

“โอหังนัก ในเมื่อขอให้เข้าไปพร้อมกัน เช่นนั้นพวกเจ้ายังรออะไรอยู่เล่า!” เมื่อเอ่ยออกไป สองมือของชายชราผู้นี้ก็ผนึกมุทรา ทันใดนั้นระฆังหมอกดำก็สั่นไหวขึ้นมาแล้วหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมีขนาดเท่ากับฝ่ามือ จากนั้นก็พุ่งไปยังท้องฟ้าด้านบนแล้วแผ่พลังกดดันออกมา

นี่คือการขัดขวางการต่อสู้ เมื่อหวังเป่าเล่อไม่อาจสู้ได้ ปรมาจารย์แห่งไฟย่อมยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ พร้อมกันนั้นศิษย์สำนักฉันปราณพวกนั้นก็พากันคำรามเสียงต่ำหลังจากจบคำพูดของชายชรา พริบตาเดียวก็กลายเป็นสายรุ้งยาวหลายสายส่งเสียงหวีดร้องไปหาหวังเป่าเล่อ

ในบรรคนเหล่านี้ ถึงแม้ครึ่งหนึ่งจะเป็นดาวพระเคราะห์ แต่ก็เป็นดาวพระเคราะห์ชั้นมหาวัฏจักร อีกทั้งไม่ใช่พวกธรรมดาสามัญ ล้วนแต่มีพลังที่สามารถต่อสู้กับระดับสูงกว่านี้ได้ พวกที่เหลือก็เป็นดารานิรันดร์ ถึงจะไม่มีระดับดารานิรันดร์ชั้นกลางขั้นสูงแบบลั่วจือผู้นั้น แต่ก็อยู่ห่างจากชั้นปลายเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น และยังมีดารานิรันดร์ชั้นกลางอีกสองสามคน กับดารานิรันดร์ชั้นต้นอีกหกคน

พลังดังกล่าวเพียงพอจะทำลายสำนักและตระกูลที่อยู่ต่ำกว่าระดับกลางได้แล้ว ถึงขั้นที่ถ้าหากเปลี่ยนให้ลั่วจือมาเผชิญหน้ากับพลังเช่นนี้ ร่างวิญญาณก็จะถูกทำลายสิ้นเช่นกัน

ตอนนี้เมื่อพวกเขาลงมือพร้อมกัน ทันใดนั้นก็ทำให้สำนักและตระกูลรอบๆ พากันจดจ้อง และยิ่งทำให้พวกมหาศิษย์เหล่านั้นสังเกตการณ์อย่างจดจ่อ ก่อนหน้านี้พลังที่หวังเป่าเล่อเผยออกมาตอนสังหารสามอึดใจก็ทำให้พวกเขาให้ความสนใจแล้ว ตอนนี้จึงอยากจะเห็นนักว่าหวังเป่าเล่อที่นิสัยโอหังเอาแต่ใจผู้นี้มีเคล็ดวิชาลับอื่นๆ อีกหรือไม่

ท่ามกลางสายตาของทุกคน พริบตาที่ศิษย์ทุกคนของสำนักฉันปราณพุ่งเข้าไปโจมตี หวังเป่าเล่อก็ยกยิ้มขึ้นฟ้า ร่างกายไม่ถอยหลังแต่กลับเข้าใกล้ ทันใดนั้นก็พุ่งเข้าหา ร่างส่องวาบแล้วหายไปทันที ก่อนจะปรากฏตัวข้างๆ ศิษย์สำนักฉันปราณระดับดาวพระเคราะห์ชั้นมหาวัฏจักรคนหนึ่งอย่างน่าตกตะลึง อาวุธเทพที่มือขวาฟันผ่านไปราวกับผ่าแยกผิวน้ำจนเกิดระลอกคลื่นอวกาศ

ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องโหยหวนก็ดังออกมา ศีรษะและลำตัวของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ชั้นมหาวัฏจักรขาดออกจากกันทันที เลือดพุ่งกระฉูด ศีรษะกระเด็นออกไป ร่างกายถูกเปลวเพลิงลุกโหมทันใด ศีรษะที่กระเด็นก็ยากจะหลบเลี่ยงเคราะห์ร้ายได้ มันประสบชะตากรรมเหมือนกับลำตัว เพียงชั่วพริบตาก็เผาไม้กลายเป็นเถ้าถ่าน รวมไปถึงวิญญาณเทพของเขาด้วยเช่นกัน

อึดใจเดียวก็สังหารไปแล้วหนึ่งคน!

เพียงแต่ศิษย์สำนักฉันปราณก็ไม่ใช่ธรรมดาสามัญ ขณะที่หวังเป่าเล่อสังหารไปคนหนึ่ง คนอื่นๆ ก็ลงมือพร้อมกันภายใต้การชี้นำของดารานิรันดร์สองสามคนนั้น พริบตาเดียวกระบวนเทพและอาวุธเวทแต่ละอย่างก็ระเบิดออกมาทันที ก่อนก่อตัวเป็นประกายแสงเจิดจรัสราวกับคลื่นยักษ์มโหฬารแล้วเข้าไปห่อหุ้มตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้

พลังของทุกคนรวมกัน ทันทีที่การโจมตีครั้งนี้แสดงอานุภาพออกมา แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ตาย แต่ก็ต้องบาดเจ็บสาหัสแน่ ทว่าท่ามกลางสายตาจดจ้องไม่หันเหของทุกคน และขณะที่แสงจากพลังเทพอันเจิดจรัสเหล่านั้นกำลังจะปกคลุมร่างกายของหวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่อที่เหมือนจะไม่มีทางถอยหนีและคล้ายไม่อาจหนีพ้นได้ ก็หัวเราะเบาๆ ออกมาในตอนนั้น

เมื่อเสียงหัวเราะนี้ดังขึ้น ร่างกายของเขาก็สะเทือนเลื่อนลั่นขึ้นมาเองแล้วระเบิด นี่ไม่ใช่การระเบิดตัวเอง แต่เขาแยกเป็นสิบร่าง ก่อเกิดเป็นร่างแยกทั้งสิบ กระจัดกระจายพุ่งไปยังทั่วทั้งสี่ทิศ

ถ้าเพียงเท่านั้นอาจจะไม่ทำให้คนที่เฝ้ามองอยู่รอบๆ ตกตะลึงได้ แต่ไม่นาน…พริบตาที่หวังเป่าเล่อกลายเป็นร่างแยกสิบร่าง ร่างแยกทั้งสิบของเขาก็ระเบิดออกมาอีกครั้ง แต่ละร่างกลายเป็นไอหมอกพุ่งกระจายไปยังทั่วทุกทิศทางด้วยความเร็วสูงและขอบเขตกว้างขวางยิ่งกว่าเดิม

เมื่อเป็นเช่นนี้ มันจึงดูคล้ายกับตาข่ายยักษ์ที่ทำให้พลังของกระบวนเวทที่ก่อตัวขึ้นมาจากพลังเทพของศิษย์สำนักฉันปราณทุกคนเป็นเสมือนกับคลื่นยักษ์มหึมาซัดผ่านช่องว่างของตาข่ายยักษ์นี้ไปตรงๆ

ภาพนี้ทำให้ดวงตาของทุกคนหดเกร็ง ศิษย์เหล่านั้นของสำนักฉันปราณก็หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ในหมู่พวกเขา ดารานิรันดร์ชั้นกลางสองสามคนที่มีพลังฝึกปรือสูงที่สุดรีบคำรามเสียงต่ำทันที

“ทุกคนระวัง!”

เขาเพิ่งจะเอ่ยออกมาคำพูดก็ดังไปทั่วทุกทิศแล้ว ไอหมอกที่ระเบิดมาจากร่างแยกของหวังเป่าเล่อสั่นไหวแล้วพลิกม้วนทันที มันหวีดร้องมายังศิษย์สำนักฉันปราณ ความเร็วของมันทำให้แม้ว่าทุกคนในสำนักฉันปราณจะพยายามหลบหลีก แต่ดาวพระเคราะห์ชั้นมหาวัฏจักรเหล่านั้นกลับหลบไม่ทันแล้ว

พริบตาเดียว ไอหมอกจากหวังเป่าเล่อก็แทรกเข้าไปในร่างของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ชั้นมหาวัฏจักรเหล่านี้ผ่านทางทวารทั้งเจ็ด จากนั้นเสียงร้องโหยหวนและร่างกายก็เหี่ยวเฉาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีเสียงปริแตกพังทลายดังตามมาเป็นชุดๆ!

ราวกับมีดอกไม้โลหิตสิบกว่าดอกผลิบานอยู่ในอวกาศ!

ศิษย์สำนักฉันปราณที่ถูกไอหมอกของหวังเป่าเล่อแทรกซึมเข้าไปร่างแตกเป็นเสี่ยงๆ ท่ามกลางเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นจนหมด ภายในเศษเลือดเนื้อที่กระจัดกระจายไปทั่วนั้น ไอหมอกได้รวมตัวกันอย่างรวดเร็วแล้วก่อตัวเป็นร่างกายทั้งสิบร่างของหวังเป่าเล่อ เงาร่างทั้งสิบหัวเราะลั่นออกมาพร้อมกัน ก่อนแผ่ประกายแสงแห่งกฎเกณฑ์ของแต่ละตนออกมา เมื่อร่างกายสั่นไหวก็พุ่งโจมตีไปยังคนที่เหลือ!

ทั้งหมดนี้ทำให้สำนักและตระกูลที่เฝ้ามองดูอยู่รอบๆ พากันตกตะลึง มหาศิษย์จำนวนไม่น้อยยิ่งผุดลุกขึ้นมาทันที แววตาเผยความหวาดหวั่นและตกใจขั้นรุนแรง ส่วนชายชราผู้นั้นของสำนักฉันปราณก็หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป การลงมือของหวังเป่าเล่อก็แปลกประหลาดเหลือเกิน ช่างทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตะลึงได้ แข็งแกร่งโดยธรรมชาติ

ถึงขั้นที่ชายชราผู้นี้ยังรู้สึกว่าศิษย์สำนักตนที่เหลืออยู่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหวังเป่าเล่อโดยสิ้นเชิง ตอนนี้เขาคิดอะไรไม่ทันแล้ว สองมือจึงผนึกมุทราต้องการจะเข้าไปขัดขวาง

ทว่า ปรมาจารย์แห่งไฟก็ลงมือเช่นเดียวกันพร้อมหัวเราะยกใหญ่ เสียงดังกึกก้องและทำลายการช่วยเหลือของผู้อาวุโสสำนักฉันปราณ เงาร่างทั้งสิบของหวังเป่าเล่อจึงปะทะกับผู้ฝึกตนสำนักฉันปราณที่เหลืออยู่ทันที เสียงสะเทือนดังก้องกังวาน การสังหารเกิดขึ้นอีกครั้ง!

เสียงร้องโหยหวนและเสียงดังสนั่นระเบิดขึ้นฉับพลัน ร่างวิญญาณของศิษย์สำนักฉันปราณคนแล้วคนเล่าถูกทำลายสิ้น ภาพนี้ทำให้ผู้อาวุโสของสำนักฉันปราณระเบิดอารมณ์โดยสมบูรณ์ เขาคำรามลั่น

“ทุกท่าน ไม่ช่วยข้าตอนนี้แล้วจะรอให้เจ้าเพลิงกัลป์ที่โหดเหี้ยมผู้นี้ไปอาละวาดไล่ที่พวกท่านหรือ!”

เมื่อเสียงของผู้อาวุโสท่านนี้ดังออกมา ทันใดนั้นรอบด้านก็มีกลิ่นอายของระดับจักรพิภพสิบกว่าร่างระเบิดขึ้นกะทันหัน ก่อนก่อตัวเป็นเงาร่างหลายร่างอยู่บนฟ้าเหนือปรมาจารย์แห่งไฟ แต่ละคนต่างก็แสดงฝีมือมือออกมา แผ่พลังกดดันปกคลุมไปที่ปรมาจารย์แห่งไฟโดยพร้อมเพรียง ทั้งยังมีเสียงดังก้องกังวาน

“เพลิงกัลป์ หยุดแค่ตรงนี้เถอะ”

“แค่แลกเปลี่ยนความรู้เท่านั้น เหตุใดต้องบีบคั้นคนด้วย!”

“กล้าข่มขู่ข้าหรือ ศิษย์ข้า สังหารต่อไปเลย สังหารให้เจ้าเฒ่านี้เห็นถึงความร้ายกาจ สังหารจนระดับเดียวกันยังไร้คนต่อต้าน!” ปรมาจารย์แห่งไฟเบิกตาโพลงแล้วร้องตะโกนออกมา เทพวัวใต้ร่างก็คำรามคลั่งเช่นเดียวกัน พลานุภาพระเบิดออกมาอีกครั้ง ทะเลเพลิงมโหฬารปรากฏขึ้นนอกร่างแล้วกลายเป็นฝ่ามือเพลิงขนาดยักษ์กระแทกไปยังอวกาศด้านบน!

อวกาศส่งเสียงดังสนั่น ระลอกคลื่นแผ่กระจายอย่างบ้าคลั่ง ร่างแยกทั้งสิบของหวังเป่าเล่อแต่ละร่างสังหารศิษย์สำนักฉันปราณแต่ละคน จากนั้นก็กลับมารวมตัวกันทันทีแล้วกลายเป็นร่างจริง ก่อนจะพุ่งโจมตีไปยังสิบแปดคนที่เหลืออย่างรวดเร็ว!

ดารานิรันดร์เผยโฉมออกมา ล้อมรอบด้วยกึ่งเต๋า ดาราหมื่นดวงแผ่กระจาย ตอนนี้เงาร่างของหวังเป่าเล่อดูคล้ายกับเทพมารยิ่ง!

“ฆ่า!”

……………

ผู้ฝึกตนวัยกลางคนที่ชื่อว่าลั่วจือผู้นี้รวดเร็วมากจนเหมือนกับสายฟ้าฟาด พริบตาเดียวก็กระโจนข้ามระฆังหมอกดำ กลายเป็นภาพเงาติดตาพุ่งเข้ามาหาหวังเป่าเล่อแล้ว ในขณะที่เขาพุ่งเข้ามา ดารานิรันดร์ชั้นกลางขั้นสูงสุดของเขาก็ระเบิดโพล่งออกมาทันที

ทั่วทั้งร่างคล้ายจะกลายเป็นดารานิรันดร์ ทั้งยังแผ่ปราณออกมาเป็นกลุ่มๆ ทำให้อวกาศโดยรอบบิดเบี้ยว ส่งเสียงดังสะเทือนไปทั่วทั้งแปดทิศ สองมือของเขาผนึกมุทราอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กลายเป็นรอยประทับทับซ้อนกันรอยแล้วรอยเล่า ทำให้พลานุภาพของตัวเขาระเบิดออกมาอีกครั้ง เห็นได้รางๆ ว่าภายในดารานิรันดร์ที่อยู่ด้านหลังของเขามีเงามายาปรากฏขึ้น

นั่นคืออสูรยักษ์ราวกับกิ้งก่าตัวหนึ่ง มันเงยหน้าขึ้นฟ้าราวกับจะร้องคำรามคล้ายจะกลืนกินปราณฟ้าดิน พลานุภาพของมันราวกับสายรุ้งที่คล้ายจะกลืนกินอวกาศลงไปได้

สัตว์อสูรตนนี้คืออสูรฉันปราณ หนึ่งในสัตว์อสูรบรรพกาลที่แข็งแกร่ง ปัจจุบันได้หายสาบสูญไปแล้ว

ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์และรูปสลักประจำสำนักฉันปราณ ทุกๆ อย่างของสำนักนี้ล้วนมาจากสัตว์อสูรตนนี้!

สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาของสำนักฉันปราณจนถึงระดับที่ทำให้เงามายาของอสูรฉันปราณปรากฎขึ้นได้ ก็เห็นแล้วว่าพรสวรรค์ของผู้ฝึกตนวัยกลางคนผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย แม้จะไม่ใช่มหาศิษย์ระดับสูงสุดของสำนักฉันปราณ แต่ก็เป็นบุคคลสถานะระดับหนึ่ง

เมื่อกลิ่นอายระเบิดออกมาและสั่นสะเทือนไปทั่วอวกาศ เงาร่างของผู้ฝึกตนวัยกลางคนก็เสมือนเป็นดารานิรันดร์และเสมือนเป็นอสูรฉันปราณบรรพกาล เขาคำรามร้องสะเทือนขวัญทุกคนออกมา แล้วเข้าใกล้หวังเป่าเล่อที่หันกายจะกลับไปยังเทพวัว

ภาพนี้ดึงดูดความสนใจของสำนักและตระกูลที่อยู่รอบด้านแทบจะทั้งหมดทันที แต่ขณะที่ทุกคนกำลังจดจ่ออยู่นั้น พริบตาที่ผู้ฝึกตนวัยกลางคนเข้ามาใกล้หวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่อก็หยุดฝีเท้าไว้แล้วหันหน้ากลับมาพร้อมประกายแสงเย็นเยียบส่องวาบในตา ก่อนยกมือขวาชี้ไป

“อึดใจแรก!”

เมื่อเอ่ยออกมา ด้านหลังของหวังเป่าเล่อพลันเกิดเสียงดังสนั่น ดวงตามหึมาดวงหนึ่งปรากฏขึ้นกะทันหันด้วยอานุภาพสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน สั่นสะท้านไปทั้งสี่ทิศ ดวงตาดวงนั้นเป็นสีดำ เดิมทีปิดตาอยู่ แต่เพียงอึดใจที่มันปรากฏขึ้นมาก็เบิกตาโพลงทันใด เผยให้เห็นนัยน์ตาที่แทบจะแปลกพิสดารอยู่ภายใน มันทอดมองไปยังร่างของผู้ฝึกตนวัยกลางคน

นี่ก็คือ…วิชาดวงเนตรปีศาจ!

ทันทีที่ใช้วิชานี้ออกมา พริบตาที่ดวงตาปิดและเปิด สายตาก็เปลี่ยนเป็นพันธนาการ มันสยบจิตใจของผู้ฝึกตนวัยกลางคนโดยพลัน ทำให้ร่างกายของคนผู้นี้สั่นสะท้าน สีหน้ายิ่งย่ำแย่ จิตใจกู่ร้องก้อง ในความรู้สึกของเขา สายตานี้ราวกับจะกลายเป็นของจริง มันควบรวมกับการแช่แข็ง ทำให้ในชั่วขณะนี้ วิญญาณเทพของตนราวกับถูกแช่เอาไว้

และทำให้ตอนนี้สมองของเขาตกอยู่ในความว่างเปล่าราวกับสูญเสียสติสัมปชัญญะ

“ไม่ดีแล้ว!” พริบตาที่สูญเสียสติ สีหน้าของผู้ฝึกตนวัยกลางคนก็เปลี่ยนไปโดยพลัน ไม่ทันได้คิดอะไรมาก ก็ใช้สติที่ยังเหลืออยู่ระเบิดพลังเทพของตนจนทำให้เงามายาอสูรฉันปราณที่อยู่ในดารานิรันดร์ด้านหลังตัวเขาระเบิดออกมาเองในพริบตา ขณะที่เกิดเสียงดังสนั่น มันก็ก่อตัวกันเป็นคลื่นซัดสาดรุนแรงพุ่งเข้ามาโจมตี ทำให้จิตใจที่สูญเสียสติสัมปชัญญะในชั่วพริบตาฟื้นตัวกลับมา

คนผู้นี้จะฟื้นสติได้หรือไม่ หวังเป่าเล่อไม่สนใจ และไม่ได้สังเกตดูด้วย แต่หลังจากที่เปิดใช้วิชาดวงเนตรปีศาจแล้ว แววตาของเขาก็มีประกายความเยือกเย็น จากนั้นก็ชี้นิ้วลงไปอีกครั้ง

“อึดใจที่สอง!”

เมื่อนิ้วชี้ลงไป ดวงดาวเต๋านิรันดร์ด้านหลังของหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนแปลงกะทันหัน ยิ่งกว่านั้นคือมีกึ่งดาวเคราะห์เต๋าทั้งเก้าดวงปรากฏขึ้น รวมถึงดวงดาราพิเศษนับหมื่นล้วนส่งเสียงดังสนั่นสะเทือนขวัญปรากฏออกมา เมื่อมันระเบิดพร้อมกัน กฎเกณฑ์ไร้รูปนับไม่ถ้วนก็กลายเป็นเส้นใยราวกับจับต้องได้ แล้วไปปรากฏอยู่ข้างกายผู้ฝึกตนวัยกลางคนทันที ก่อนจะสยบร่างของเขาเอาไว้โดยพลัน!

วิชาดวงเนตรปีศาจสะเทือนจิตใจสยบวิญญาณ กฎเกณฑ์หมื่นดารากลายเป็นเส้นใยสยบกายเนื้อ!

ตอนนี้ได้สยบไว้ทั้งสองด้านแล้ว ผู้ฝึกตนวัยกลางคนไม่อาจต่อต้านได้เลย ถึงแม้จิตใจจะฝืนฟื้นฟูขึ้นมาได้ แต่กายเนื้อยังถูกพันธนาการสยบไว้อยู่ ภาพนี้ทำให้ดวงตาของสำนักและตระกูลที่อยู่รอบๆ หดเกร็ง ชายชราด้านนอกระฆังหมอกดำก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป

ไม่แปลกที่ตอนนี้เขาจะตกใจ ความจริงแล้วจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นใหญ่มากนัก ยังนับว่าพอรู้เรื่องราวในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายหรือจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้สิ้นอยู่บ้าง แม้ข่าวจะล่าช้าไปหน่อยก็ตาม แต่ตอนนี้ขณะที่สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปและกายเนื้อของผู้ฝึกตนวัยกลางคนถูกกฎเกณฑ์นับหมื่นเข้ามาพัวพัน นิ้วมือของหวังเป่าเล่อก็ชี้ลงไปเป็นครั้งที่สาม!

“อึดใจที่สาม!”

เมื่อเอ่ยออกมาพร้อมชี้นิ้วลง ดวงดาราพิเศษนับหมื่นในแผนที่ดวงดาวด้านหลังของหวังเป่าเล่อก็เรียงตัวกันในพริบตาโดยมีดาวเต๋านิรันดร์เป็นใจกลาง มีกึ่งเต๋าเก้าดวงรองลงมา พริบตาก็รวมตัวกันกลายเป็นรูปลักษณ์ของเทพวัว เทพวัวตัวนี้เงยหน้าขึ้นทันใดแล้วส่งเสียงคำรามสะเทือนขวัญผู้คนทั้งหมดออกมา จากนั้นก็เคลื่อนไหวฉับพลัน พุ่งเข้าไปอยู่เหนือร่างของหวังเป่าเล่อทันที

รวดเร็วเหนือล้ำ สั่นคลอนฟ้าดิน มองจากไกลๆ เทพวัวที่กลายมาจากแผนที่ดวงดาวนั้นไม่ได้แตกต่างจากตัวจริงนัก พลานุภาพยิ่งบรรลุไปถึงขีดสุดของดารานิรันดร์ เปลวไฟทั่วร่างพวยพุ่งราวกับสามารถเผาผลาญทุกสิ่งอย่างได้ มันพุ่งเข้าไป ใช้หัวจู่โจมผู้ฝึกตนวัยกลางคนทันที!

ภาพนี้ทำให้ผู้ที่มองเห็นทั้งหมดหน้าเปลี่ยนสีไปตามๆ กันอีกครั้ง สีหน้าของชายชราที่อยู่นอกระฆังหมอกดำยิ่งเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ตัวสั่นไหวคิดจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่ตอนนี้ทางฝั่งปรมาจารย์แห่งไฟกลับหัวเราะยาวออกมา มือขวาพลันยกขึ้นโบก

ทันใดนั้น พลังไร้รูปก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าชายชราที่แปลงมาจากระฆังหมอกดำโดยตรง มันก่อตัวเป็นฝ่ามือขนาดยักษ์และตบลงไปที่ชายชรา ทั่วร่างของชายชราสั่นสะท้าน กระอักเลือดออกมาแล้วถอยหลังทันใด

การถอยหลังของเขาทำให้การช่วยเหลือไม่อาจดำเนินต่อไปได้ ดังนั้นในสายตาของทุกคนที่อยู่รอบด้านจึงมองเห็นเทพวัวที่แปลงมาจากแผนที่ดวงดาวของหวังเป่าเล่อได้อย่างชัดเจน ขณะที่เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นในตอนนี้เอง บนร่างของผู้ฝึกตนวัยกลางคนของสำนักฉันปราณที่มีนามว่าลั่วจือก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมา

ร่างของผู้ฝึกตนวัยกลางคนไม่อาจมีแรงต่อต้านใดๆ ได้ ภายใต้การถูกสยบทั้งจิตใจและกายเนื้อซ้ำแล้วซ้ำเล่านี้ กายเนื้อของเขาก็ถูกเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน วิญญาณยากจะหลีกหนีเคราะห์ตาย พริบตาเดียวก็ถูกเปลวไฟลบหายไปด้วย

ร่างวิญญาณถูกทำลายสิ้น! Aileen-novel

สำนักและตระกูลรอบด้านตะลึงงัน ตอนนี้สายตาทั้งหมดล้วนรวมกันอยู่ที่ร่างของหวังเป่าเล่อพร้อมกัน ความจริงการลงมือของหวังเป่าเล่อสะอาดปราดเปรียวยิ่ง ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนสังหาร รวมสิ้นแล้วเป็นเวลาสามอึดใจเต็มๆ!

สามอึดใจ ด้วยพลังฝึกปรือระดับดารานิรันดร์ชั้นต้นก็สังหารดารานิรันดร์ชั้นกลางได้ เรื่องนี้ย่อมสั่นคลอนจิตใจของคนทุกผู้คน ถึงแม้ตระกูลและสำนักในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายจะเคยได้ยินเรื่องการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อกับชงอี้จื่อ แต่ก็ยังตกใจเพราะภาพตรงหน้าอยู่ดี

ถึงอย่างไร…การได้เห็นกับตาตัวเองและการได้ยินมาก็ไม่เหมือนกัน และการเอาชนะชงอี้จื่อกับการสังหารดารานิรันดร์ชั้นกลางเพียงสามอึดใจก็ย่อมไม่เหมือนกันด้วย!

“เป็นศัตรูแกร่ง!”

“ดาวเคราะห์เต๋าหรือ…ข้าเหมือนจะเคยได้ยินว่าในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายมีผู้ที่เลื่อนขั้นดาวเคราะห์เต๋าคนหนึ่ง คล้ายจะชื่อว่า…หวังเป่าเล่อ”

“ดาวเคราะห์เต๋าดารารานิรันดร์…น่าสนใจ น่าสนใจ!”

ขณะเดียวกัน มหาศิษย์ของตระกูลและสำนักระดับสูงเหล่านั้นที่อยู่ตรงขอบเขตของอวกาศสีเทาต่างก็จดจ่อตั้งสมาธิแล้วจดจำเงาร่างของหวังเป่าเล่อเอาไว้ในใจอย่างล้ำลึก

ในบรรดาผู้คนเหล่านี้ มีคนที่ร่างกายแผ่กลิ่นอายของธาตุทั้งห้าอยู่ และมีคนที่ทั่วร่างสวมเกราะน่าสะพรึงอยู่ ยิ่งกว่านั้นก็คือผู้ฝึกตนที่มุกโลหิตและปราณโลหิตลอยอวดโอ่อยู่รอบกาย

และยังมีผู้ที่มีรูปร่างเดี๋ยวจริงเดี๋ยวมายายากจะแยกแยะชัดเจน ขณะเดียวกันก็มีผู้ฝึกตนคนหนึ่งคล้ายจะครอบครองรัศมีแบบจิตเทพอยู่ด้วย แค่คนนอกชำเลืองมองคราหนึ่งก็แสบตาแล้ว

สำนักและตระกูลที่อยู่รอบๆ มีมากยิ่งนัก มหาศิษย์แต่ละคนก็ยิ่งมีจำนวนไม่แน่ชัด แต่มองเห็นได้ชัดว่าผู้ใดก็ตามในที่นี้ที่ถูกเรียกว่ามหาศิษย์ได้ล้วนไม่ใช่ผู้อ่อนแอ ไม่มากก็น้อยย่อมมีพลังต่อสู้ที่เหนือล้ำ

แต่ตอนนี้เงาร่างของหวังเป่าเล่อนับว่าได้เข้ามาอยู่ในสายตาของพวกเขาอย่างแท้จริงโดยสมบูรณ์ ทำให้พวกเขาทุกคนรู้สึกหวาดกลัว

เพราะหวังเป่าเล่อเอาชนะได้อย่างง่ายดายเกินไป ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วเขามีเคล็ดวิชาลับมากมายแค่ไหนกันแน่

ท่ามกลางสายตาจดจ้องของทุกคน สีหน้าของหวังเป่าเล่อเป็นปกติ เขาหันไปมองอาจารย์ปรมาจารย์แห่งไฟของตนแล้วประสานหมัดคำนับ

“อาจารย์ ศิษย์ทำภารกิจสำเร็จลุล่วงขอรับ”

“ศิษย์ดี สังหารได้เยี่ยมยอด ปีนั้นศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเจ้าก็ถูกผู้เฒ่าสำนักฉันปราณหมารับใช้แห่งตระกูลไม่รู้สิ้น…ทำให้บาดเจ็บหนัก” สายตาของปรมาจารย์แห่งไฟเย็นเยือก กล่าวช้าๆ

หวังเป่าเล่อได้ยินแล้วก็เงยหน้า ดวงตาสาดประกายเย็นเย็ยบ เขารู้ดียิ่ง ที่บอกว่าบาดเจ็บหนัก น่าจะเป็น…ถูกสังหาร

ดังนั้นท่ามกลางความเงียบงัน หวังเป่าเล่อก็หันกายกลับอีกครั้งแล้วมองไปยังชายชรานอกระฆังหมอกดำที่มีสีหน้าย่ำแย่ ผู้ฝึกตนที่เหลืออยู่บนระฆังด้านหลังของเขาเขาล้วนมีสีหน้าซีดขาวและกรุ่นโกรธ หวังเป่าเล่อกวาดตามอง แล้วหยุดอยู่ที่ชายหนุ่มผู้มีพลังฝึกตนระดับดารานิรันดร์อีกคน ก่อนยกมือชี้หน้า

“ข้าก็ไม่ชอบสายตาของเจ้าด้วย มานี่ สองอึดใจ ข้าจะสังหารเจ้า”

ชายหนุ่มที่ถูกหวังเป่าเล่อชี้หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่

“ผู้น้อย เจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอกนะ!” ชายชรานอกระฆังหมอกดำตะโกนเกรี้ยวกราด

“อาจารย์ เจ้าเฒ่าผู้นี้ข่มขู่ข้า” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วพร้อมเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง ปรมาจารย์แห่งไฟกระแอมไอแล้วยกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้นเสียงลมพายุก็ดังสนั่น ร่างของชายชราผู้นั้นล้มลงไปอีกครั้ง ตัวสั่นเทา ดวงตาแดงก่ำแล้ว

หวังเป่าเล่อไม่สนใจชายชราตาแดงผู้นั้น ในเมื่ออาจารย์ไม่กลัว อีกอย่างความแค้นก็จะได้ถูกปลดปล่อยออกมา เช่นนั้นตนก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวแล้ว อย่างมาก…แค่เข้าไปหาศิษย์พี่ก็แค่นั้น

ดังนั้นเขาจึงยกมือชี้ไปยังศิษย์สำนักฉันปราณบนระฆังหมอกดำ

“ไม่กล้าหรือ เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งหมดก็เข้ามาพร้อมกัน แบบนี้ข้าจะได้สังหารง่ายๆ หน่อย”

“เจ้า!!” ผู้ฝึกตนหลายสิบคนบนระฆังหมอกดำพากันลุกขึ้นยืน โทสะแผ่ซ่าน แต่ก็แค่มีโทสะเท่านั้น ทว่าไม่กล้าเข้าไป!

……………………………

หวังเป่าเล่อรู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย

ชวนให้นึกถึงภาพสิ่งต่างๆ ตอนที่ตนอยู่ในดาราจักรไฟยิ่งนัก ทั้งศิษย์พี่ทั้งหลายของตน…ถึงขั้นมองเห็นพวกดอกไม้ใบหญ้าและนกบินถลาอยู่บนท้องฟ้า หลักๆ แล้วล้วนเป็นท่านอาจารย์

เทพวัวยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเลย เรื่องที่ตัวเองไปเป็นพาหนะให้ตัวเองแบบนี้ อาจารย์ทำได้อย่างมีความสุขนัก ดังนั้นการให้ตัวเองไปเฝ้าสำนักแทนตัวเองจึงเป็นเรื่องเล็กน้อยโดยสิ้นเชิง

“โชคดีที่ในบรรดาศิษย์ในสำนักอาจารย์ไม่มีเนื้อคู่แห่งเต๋า ไม่อย่างนั้นล่ะก็…” ไม่รู้เพราะอะไร จู่ๆ ก็มีความคิดร้ายกาจนี้ลอยขึ้นมาในหัวของหวังเป่าเล่อ ขณะที่ความคิดนี้ปรากฏขึ้นมา เทพวัวข้างหน้าก็หันหัวกลับมาจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างลึกล้ำคราหนึ่ง แล้วยังมีปรมาจารย์แห่งไฟที่อยู่บนหลังของเทพวัวอีก เขาก็หันหน้ามาจ้องมองอย่างลึกล้ำเช่นเดียวกัน

หวังเป่าเล่อตัวสั่นขึ้นมาทันที กำลังจะเอ่ยปาก แต่เสียงแผ่วเบาของปรมาจารย์แห่งไฟกลับดังสะท้อนออกมาก่อน

“เป่าเล่อ ช่วงนี้เจ้าเกียจคร้านการฝึกตนไปแล้ว ครั้งนี้ถ้าไม่ก้าวหน้าล่ะก็…เฮ้อ ช่วงนี้เทพวัวที่น่าเคารพของอาจารย์ลำไส้ไม่ค่อยดีนัก กลับไปเจ้าก็เข้าไปในท้องของมันแล้วทำความสะอาดลำไส้ให้สักหน่อยเถอะ”

“อาจารย์…” หวังเป่าเล่อโอดครวญ เห็นชัดๆ ว่านี่คือการลงโทษ

ปรมาจารย์แห่งไฟไม่ได้สนใจหวังเป่าเล่ออีก ตอนนี้เขาหันไปตบหลังเทพวัว ทันใดนั้นเทพวัวก็ส่งเสียงร้องคำราม แล้วพุ่งทะยานไปข้างหน้า ตลอดทางไม่หลบเลี่ยงผู้คน ทำให้อาวุธเวทขนาดใหญ่และสัตว์อสูรพาหนะของตระกูล และสำนักที่มาถึงก่อนนานแล้วข้างหน้าต้องรีบหลบหลีกกันจ้าละหวั่น ทั้งๆ ที่ในใจแต่ละคนก่นด่าอยู่เงียบๆ

ดังนั้นเทพวัวจึงผ่านไปอย่างราบรื่นไร้สิ่งกีดขวาง การควบทะยานครั้งนี้ทำให้มันพุ่งจากรอบนอกสุดเข้าไปยังบริเวณขอบของอวกาศสีเทาทันที สำนักและตระกูลที่ประจำการอยู่ตรงนี้ หลักๆ แล้วล้วนเป็นผู้มีชื่อเสียงในสามยอดจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้สิ้นทั้งนั้น พวกเต๋าเก้ารัฐและสำนักเจ็ดวิญญาณล้วนรวมอยู่ในนี้ด้วย

เมื่อกวาดสายตามองไป แค่เพียงบริเวณรอบๆ ที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็มีสำนักและตระกูลแข็งแกร่งหลายร้อยแห่งแล้ว ส่วนอาวุธเวทที่ประจำการของพวกเขาก็เหนือล้ำยิ่งกว่าสำนักที่อยู่รอบนอกอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังมีพลานุภาพสะเทือนฟ้ามาก

หวังเป่าเล่อเพียงกวาดตามองหนึ่งรอบก็มองเห็นว่ามีของสร้างขึ้นจากหินหยก แล้วยังมีระฆังขนาดยักษ์ที่แผ่ปราณมืดออกมา แล้วยังมีวัตถุทำจากโลหะรูปทรงคล้ายกล่องด้วย ในแต่ละชิ้นล้วนมีผู้ฝึกตนจำนวนมากนั่งขัดสมาธิทำสมาธิอยู่ ขณะที่พลังฝึกปรือของแต่ละคนว่าไม่เลวแล้ว ยังมีผู้แข็งแกร่งระดับจักรพิภพนั่งบัญชาอยู่ด้วย

จนถึงตอนนี้ นี่เป็นสถานที่ที่หวังเป่าเล่อได้เห็นระดับจักรพิภพมากที่สุดเลยก็ว่าได้ แต่ละสำนักแต่ละตระกูลล้วนมีระดับจักรพิภพอยู่ ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเป็นจักรพิภพชั้นต้น ไม่อาจเทียบได้กับปรมาจารย์แห่งไฟ แต่พลานุภาพที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของพวกเขาก็ทำให้หวังเป่าเล่อที่สัมผัสได้ใจสั่นสะเทือน

ไม่ใช่แค่หวังเป่าเล่อที่มีอาการเช่นนี้ เซี่ยไห่หยางก็เช่นกัน แต่ขณะที่พวกเขาสองคนกำลังตกตะลึงอยู่นั้น ปรมาจารย์แห่งไฟก็แค่นเสียงออกมา เทพวัวใต้ร่างพลันพุ่งไปยังระฆังหมอกดำขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ที่สุด

“หลีกไป ข้าชอบที่ตรงนี้ ไสหัวไปให้หมด!”

ผู้ฝึกตนหลายสิบคนที่นั่งทำสมาธิอยู่บนระฆังแผ่หมอกดำพลันลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาส่วนใหญ่ล้วนเป็นดาวพระเคราะห์ มีระดับดารานิรันดร์อยู่เพียงห้าหกคน ตอนนี้เมื่อมองเห็นเทพวัวของปรมาจารย์แห่งไฟ สีหน้าของแต่ละคนก็เปลี่ยนไป

มีคนแค่นเสียงเย็นดังออกมาจากภายในระฆังหมอกดำใบนี้ ไม่นานระฆังก็แปรผันแล้วมีเงาร่างหนึ่งผุดออกมารวมกันเป็นร่างของชายชราผู้หนึ่ง ชายชราผู้นี้มีรอยไฟไหม้สีดำที่คิ้ว เขาจดจ้องปรมาจารย์แห่งไฟอย่างโกรธเกรี้ยว ก่อนคำรามเสียงต่ำ

“เพลิงกัลป์ เจ้าคิดจะทำอะไร!”

“กล้าเรียกนามของข้า ข้าคิดจะทำอะไรหรือ ก็ทำเจ้าน่ะสิ!” ปรมาจารย์แห่งไฟเบิกตากว้าง ดวงตาของเทพวัวที่นั่งลงยิ่งมีไฟลุกโชนยิ่งกว่า มันร้องเสียงคำรามรวดเร็วยิ่งขึ้น แล้วพุ่งตรงไปยังระฆังสีดำกะทันหัน!

“เจ้ากล้า!!” ชายชราผู้มาจากระฆังหมอกดำหน้าเปลี่ยนสี เขายกมือผนึกมุทราพร้อมคำรามเสียงต่ำ ระฆังหมอกดำที่ด้านหลังสั่นสะเทือนรุนแรง เสียงที่ดังออกมาไม่ใช่เสียงเบาสบายหู แต่เป็นเสียงที่คล้ายกับเสียงร้องคำรามอื้ออึงของสัตว์ตัวใหญ่

“ข้าไม่กล้าหรือ แม่เจ้าน่ะสิ เชื่อไหมว่าท่านปู่คนนี้จะไปสำนักฉันปราณของเจ้าแล้วเอาคำสาปที่เก็บไว้หลายพันปีมาให้พวกเจ้ากินหม้อหนึ่งเลย!”

เมื่อตระกูลและสำนักอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ เห็นฉากนี้เข้า ก็ควบคุมอาวุธเวทหรือสัตว์อสูรของสำนักตนให้ออกห่าง ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพที่อยู่ด้านในต่างขมวดคิ้ว

“เหตุใดเจ้าโจรเฒ่าเพลิงกัลป์ผู้นี้ถึงมาได้ล่ะ!”

“มาถึงก็วางท่าเช่นนี้แล้ว ทุกครั้งล้วนเป็นประโยคนี้ตลอด!”

“จนปัญญาแล้ว มีเรื่องด้วยไม่ได้!” ไอลีนโนเวล

เมื่อสำนักและตระกูลที่อยู่รอบๆ พากันหลบหลีก ชายชราที่มาจากระฆังหมอกดำก็มีสีหน้าย่ำแย่ ยิ่งกว่านั้นคือจนปัญญา เมื่อเห็นว่าปรมาจารย์แห่งไฟพุ่งเข้ามาหาโดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ชายชราผู้นี้ก็กระทืบเท้า สะบัดแขนเสื้อ แล้วพาอาวุธเวทที่ประจำการอยู่ของสำนักตนให้ล่าถอยทันที จนกระทั่งถอยไปได้หลายหมื่นจั้งจึงกัดฟันเอ่ย

“เพลิงกัลป์ พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อโชคของชนรุ่นหลังทั้งหลาย เหตุใดเจ้ามาถึงแล้วต้องทำท่าทางวางอำนาจด้วย เจ้าไม่คิดเพื่อตนเองก็ต้องคิดเพื่อศิษย์ของเจ้าสิ ถึงอย่างไรหลังจากเข้าไปแล้วจะเป็นหรือตายก็ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะคอยปกป้องได้!” ชายชราที่อยู่นอกระฆังหมอกดำเอ่ยอย่างนุ่มนวล ดวงตาเคลื่อนผ่านปรมาจารย์แห่งไฟแล้วมองไปยังหวังเป่าเล่อและเซี่ยไห่หยาง สายตานั้นมาพร้อมกับเจตนาร้าย ในหมู่ผู้ฝึกตนซึ่งนั่งสมาธิอยู่บนระฆังหมอกดำที่ด้านหลังเหล่านั้นก็มีคนหนึ่งที่ดวงตาเปล่งประกายขึ้นมาทันที

คนผู้นี้ดูเหมือนอยู่ในวัยกลางคน พลังฝึกปรืออยู่ที่ดารานิรันดร์ชั้นกลางขั้นสูงสุด ห่างจากชั้นปลายเพียงครึ่งก้าว ตอนนี้ดวงตาคู่นั้นของเขามีความชั่วร้ายและยั่วยุพร้อมกวาดมองหวังเป่าเล่อและเซี่ยไห่หยาง

“ขู่กันหรือ” ปรมาจารย์แห่งไฟแสยะยิ้ม ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายอันตรายออกมาแล้วหันไปมองหวังเป่าเล่อและเซี่ยไห่หยาง

“พวกเจ้าสองคนถูกคนข่มขู่แล้ว คิดจะทำอย่างไร”

หวังเป่าเล่อกลอกตา กำลังจะเอ่ยปากแต่เซี่ยไห่หยางที่อยู่ข้างกายกระแอมไอเสียก่อน แล้วประสานหมัดไปทางปรมาจารย์แห่งไฟก่อนหันมาประสานหมัดให้หวังเป่าเล่อ สุดท้ายก็มองไปยังชายชราที่อยู่ด้านนอกระฆังหมอกดำ เอ่ยพลางยิ้มบางๆ

“ผู้อาวุโส ข้าผู้แซ่เซี่ย อาจารย์ปู่ของข้าบอกว่าเมื่อครู่ท่านข่มขู่ข้าหรือ”

“เซี่ย?” ชายชราที่อยู่ด้านนอกระฆังหมอกดำได้ยินแล้วก็ตกใจ พวกเขาสำนักฉันปราณไม่ได้อยู่ในเต๋าฝั่งซ้าย แต่มาจากจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้สิ้น ดังนั้นจึงไม่ค่อยรู้จักคนในสำนักของปรมาจารย์แห่งไฟ

“ใช่ เซี่ยของตระกูลเซี่ย เตาหลอมเก้าเต๋าที่จักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกใช้กักขังผู้อาวุโสเฉินชิงจื่อก็เป็นสิ่งที่บิดาของข้าหลอมขึ้นมาเองกับมือ” เซี่ยไห่หยางยิ้มบาง ชี้ไปยังอวกาศสีเทา

ทันทีที่เอ่ยคำนี้ออกมา ดวงตาของผู้ฝึกตนจากสำนักและตระกูลทั้งหมดที่ให้ความสนใจเรื่องนี้อยู่รอบๆ ล้วนหดเกร็ง ส่วนสีหน้าของชายชราที่อยู่นอกระฆังหมอกดำก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย

เมื่อเห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก รู้สึกอิจฉาการโอ้อวดครั้งนี้ของเซี่ยไห่หยางเล็กน้อย สงสัยว่าตนใจไม่กล้าพอหรือ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เขาคงยืนพูดเสียงเรียบนิ่ง บอกว่าเฉินชิงจื่อที่อยู่ในนั้นเป็นศิษย์พี่ของข้าเอง…

กลัวก็แต่ว่าประโยคนี้จะทำให้คนทั้งหมดตกใจจนขวัญสะเทือนน่ะสิ แต่คาดว่าหากทำเช่นนี้จริงๆ วันนี้อาจารย์คงได้ระเบิดคำสาปที่กักเก็บมานานหลายพันหมื่นปีออกมาแน่

เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็สนใจผู้คนที่อยู่โดยรอบ เป็นเพราะคำพูดของเซี่ยไห่หยางจึงได้เคร่งเครียดกันมาก อีกทั้งยังมีคนไม่น้อยที่มองมาทางตนแล้ว หวังเป่าเล่อก็ลอบถอนหายใจ

“เห็นได้ชัดว่าท่านอาจารย์อยากให้พวกเราวางอำนาจ ช่างเถอะๆ…” เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็ส่ายหน้า ร่างกายสั่นไหวแล้วเดินออกมาจากเทพวัวทันที เขายืนอยู่บนอากาศ ยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังดารานิรันดร์วัยกลางคนที่เพิ่งจะมองยั่วยุมาทางตนในระฆังหมอกดำ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง

“ข้าไม่ชอบสายตาของเจ้า ออกมา ข้าฆ่าเจ้าได้…เพียงแค่สามอึดใจ”

ทันทีที่เอ่ย ความสงบนิ่งและความร้ายกาจก็มารวมกันบนร่างของหวังเป่าเล่อ ทำให้เขาที่ยืนอยู่ตรงนั้นมีท่าทางไม่เหมือนกับเมื่อสักครู่ ปรมาจารย์แห่งไฟเมื่อได้ยินก็ยิ่งหัวเราะลั่น ส่วนชายชราด้านนอกระฆังหมอกดำกลับหรี่ตาลง และผู้ที่อยู่ในระฆังที่ถูกหวังเป่าเล่อชี้หน้าก็ยืนขึ้นทันที ก่อนแค่นเสียงเย็น

“สามอึดใจก็ฆ่าข้าได้หรือ น่าขำ!” ว่าพลาง ชายวัยกลางคนผู้นี้ก็หันไปประสานหมัดคำนับผู้อาวุโสจักรพิภพของตน

“ขออนุญาตผู้อาวุโสโจว ให้ศิษย์ลงมือสับเจ้าคนเย่อหยิ่งผู้นี้ด้วยเถอะขอรับ!”

ชายชราที่อยู่นอกระฆังหมอกดำหรี่ตาลง มองดูปรมาจารย์แห่งไฟที่ยังคงแย้มยิ้ม แล้วมองดูหวังเป่าเล่อ ก่อนค่อยๆ เอ่ยขึ้นมา

“แลกเปลี่ยนความรู้กันได้ แต่ห้ามถึงชีวิต!”

“แลกเปลี่ยนความรู้หรือ ข้าไม่สนใจหรอก” เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหน้า หันกายทำท่าจะกลับไป ปรมาจารย์แห่งไฟก็หัวเราะออกมาอีกรอบ

“สำนักฉันปราณ เปลี่ยนชื่อเป็นสำนักฉันตาขาวแล้ว!”

“เพลิงกัลป์!” ประกายแสงเย็นวาบขึ้นในดวงตาของชายชรานอกระฆังหมอกดำ เขาเอ่ยเสียงเบาออกมา

“เจ้าอยากให้คนในสำนักของเจ้ามาวางอำนาจอยู่ที่นี่ ข่มขู่คนอื่นๆ แล้วรวบรวมปราณแข็งแกร่งไปก่อน จากนั้นเมื่อเข้าไปในสมรภูมิอวกาศสีเทาแล้วก็ไม่มีใครกล้าต่อสู้ด้วย ประหยัดเวลาเพื่อเอาไปใช้ตระหนักรู้…ในเมื่อเจ้ามั่นใจในตัวคนในสำนักของเจ้าเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็อยากจะเห็นนักว่า คนในสำนักของเจ้าที่เพิ่งจะเป็นดารานิรันดร์ชั้นต้นมีความสามารถอะไร!”

“ลั่วจือ ถ้าขยี้คนผู้นี้ไม่ได้ สิทธิ์การตระหนักรู้ครั้งนี้ของเจ้าจะถูกยกเลิก!” ชายชราหันหน้าไปเอ่ยเสียงดัง ทันใดนั้นผู้ฝึกตนวัยกลางคนที่ขออนุญาตต่อสู้ก็กระโจนขึ้นมาแล้วพุ่งไปยังหวังเป่าเล่อราวกับดาวตกดวงหนึ่ง จนเกิดเสียงสะเทือนกึกก้อง!

…………………

เคล็ดวิชาเด็ดดารา เปลี่ยนดาวใดๆ ให้กลายเป็นดาวของตนเอง อยู่เหนือกฎเกณฑ์ของเต๋าสวรรค์ ปล้นชิงจากแหล่งกำเนิดและความเป็นเจ้าของโดยตรง ทันทีที่ถูกเด็ดเปลี่ยนแล้ว ก็เท่ากับว่าได้ลบรากเหง้าของดาวที่ถูกเด็ดดวงนั้นออกไปจากภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ทำให้มันไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับจักรวาลจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นโดยสมบูรณ์

เมื่อเป็นเช่นนี้…หากหวังเป่าเล่อแตกดับ เช่นนั้นดาวที่ถูกดึงมาก็ไม่อาจกลับไปได้!

เว้นเสียแต่…หวังเป่าเล่อจะไม่ได้แตกดับแค่ดวงวิญญาณเทพ แต่ร่างจริงก็แตกดับด้วย หรือก็คือกระดานไม้ดำที่สยบจักรพิภพเต๋าไพศาลในตอนนั้นนั่นเอง แต่เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้

ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร ทันทีที่หวังเป่าเล่อใช้เคล็ดวิชาเด็ดดาราออกมา ผู้ที่ชนะก็ยังเป็นเขาทั้งนั้น!!

จุดนี้แตกต่างจากจากผู้ที่แอบฝึกฝนเคล็ดวิชานี้อย่างลับๆ ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ถึงแม้คนอื่นๆ ที่ฝึกวิชานี้จะปล้นชิงมาเช่นกัน แต่หลังจากร่างวิญญาณถูกทำลาย หากเต๋าสวรรค์ต้องการล่ะก็ เต๋าสวรรค์ก็สามารถชิงดาวกลับมาใหม่ได้ เพียงแต่จะยุ่งยากเล็กน้อยเท่านั้น

แต่ของหวังเป่าเล่อ…ไม่เหมือนกัน

และขณะที่หวังเป่าเล่อตัดสินใจได้และเริ่มฝึกเคล็ดวิชาเด็ดดาราเพื่อเปลี่ยนอำนาจการเป็นเจ้าของของดวงดาวของตนอยู่นั้น ท่ามกลางการสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นของดาราจักรไฟและโลกภายนอก ปรมาจารย์แห่งไฟและศิษย์ร่างแยกเหล่านั้นของเขาที่อยู่บนดาวเอกเพลิงล้วนตัวสั่นเทากันหมด

รวมไปถึงเทพวัวด้วย พวกเขาเงยหน้าขึ้นมามองไปทางที่พักของหวังเป่าเล่อพร้อมกัน

“กลิ่นอายแบบเมื่อครู่นี้…”

“เหมือนกับมีความรู้สึกว่าจะฉีกขาด คล้ายมีบางอย่างกำลังขุดหลุมออกไปจากจักรวาลของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น…”

ความรู้สึกนี้ลึกลับยิ่งนัก ผู้ที่ไม่มีพลังฝึกปรือจนถึงระดับหนึ่งยากจะสังเกตได้ ทั่วทั้งดาราจักรไฟก็มีเพียงปรมาจารย์แห่งไฟที่สัมผัสถึง ส่วนคนอื่นๆ ถึงแม้ตอนนี้จะตกใจกับการสั่นสะเทือนภายในดาราจักรไฟ แต่กลับไม่รู้เหตุผลของมัน

ขณะเดียวกัน ท่ามกลางอวกาศนอกดาราจักรไฟ ในตอนที่เกิดความบิดเบี้ยวและการเปลี่ยนแปลงของกฎเกณฑ์ ทั่วทั้งจักรวาลไม่รู้สิ้นก็ได้รับผลกระทบเล็กน้อยเพราะเหตุนี้เช่นกัน เพียงแต่ดาวที่หวังเป่าเล่อชิงไปนั้นก็คือดาวที่เขาหล่อหลอมเข้ามาเอง ขณะเดียวกัน จำนวนที่ดูเหมือนจะมาก แต่หากเทียบกับทั่วทั้งจักรวาลแล้ว มันกลับเล็กน้อยไม่สำคัญ เหมือนขนเส้นหนึ่งของวัวเก้าตัว

ดังนั้นถึงแม้ว่าจะส่งผลกระทบ แต่ก็ไม่ต่างกับความรู้สึกตอนดึงผมหนึ่งเส้นออกจากศีรษะด้วยซ้ำ ทั้งยังหายไปอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นถึงความอัศจรรย์ของเวทเด็ดดาราแล้ว เขารออยู่เนิ่นนาน ไม่สนว่าโลกภายนอกจะมีปฏิกิริยาอย่างไร เขาแอบโล่งอก หลังจากสังเกตดูภายในร่างของตนอย่างละเอียด เขาก็สัมผัสได้ชัดถึง…ดวงดาราพิเศษนับหมื่นและกึ่งดาวเคราะห์เต๋าทั้งเก้าดวง แล้วยังมีดวงดาวเต๋านิรันดร์ดวงนั้น พวกมันเริ่มไม่เหมือนกับเมื่อก่อนอยู่อย่างเลือนราง

ความรู้สึกใกล้ชิดยิ่งกว่าเดิมแพร่กระจายอยู่ในใจของเขา ถ้าหากบอกว่าความรู้สึกก่อนหน้านี้คือการหลอมรวมระหว่างดวงดาราเหล่านี้กับตัวเขาซึ่งเหมือนกับการอยู่ร่วมกันมากกว่า เช่นนั้นความรู้สึกของหวังเป่าเล่อในตอนนี้…เหมือนว่าดาวพวกนี้ก็คือส่วนหนึ่งของร่างกายเขาที่ไม่อาจตัดแยกประดุจเลือดเนื้อไปแล้ว

ถึงแม้การเพิ่มขึ้นด้านพลังจะไม่ชัดเจนนัก แต่ในแง่ของความยืดหยุ่นทนทานกลับแตกต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง

ทั้งหมดทำให้หวังเป่าเล่อครุ่นคิดจนตกอยู่ในภวังค์ความคิด และอีกสองวันต่อมาเขาก็หมกมุ่นอยู่กับเรื่องการฝึกฝนและการศึกษาเคล็ดวิชาเด็ดดารา เมื่อเป็นเช่นนี้ เวลาสามวันจึงผ่านพ้นไป

ไม่นานก็ถึงเวลานัดหมายกับปรมาจารย์แห่งไฟเพื่อไปยังสนามรบระหว่างเฉินชิงจื่อและเดือนแยกแล้ว การออกเดินทางครั้งนี้ ปรมาจารย์แห่งไฟเป็นคนพาหวังเป่าเล่อไปด้วยตัวเอง ดังนั้นในเช้าตรู่ของวันที่สาม หวังเป่าเล่อที่นั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ก็ได้ยินเสียงของอาจารย์ปรมาจารย์แห่งไฟดังเข้ามาในหัว

“เป่าเล่อ เตรียมตัวเดินทาง!”

หวังเป่าเล่อพลันลืมตาขึ้น หลังจากสูดลมหายใจลึก เขาก็ลุกขึ้นเดินหนึ่งก้าว ก่อนที่เงาร่างจะเลือนราง จากนั้นเมื่อเขาปรากฏตัวอีกครั้งก็อยู่บนท้องฟ้าของดาวเอกเพลิงแล้วมองเห็นอาจารย์ยืนรอตนอยู่ที่นั่นแล้ว

“รบกวนท่านอาจารย์แล้ว”

ปรมาจารย์แห่งไฟมองหวังเป่าเล่ออย่างล้ำลึกคราหนึ่ง ไม่ได้ถามเหตุผลของเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อน แต่ยกมือขวาขึ้นมาคว้าจับ ทันใดนั้นเขาก็คว้าจับเซี่ยไห่หยางออกมาจากภายในดาวเอกเพลิงแล้ว

ทันทีที่เซี่ยไห่หยางปรากฏตัว เขาก็หันไปคำนับปรมาจารย์แห่งไฟและหวังเป่าเล่อทันที ในดวงตามีความประหม่าและตื่นเต้นปนเป

“ไห่หยาง บอกหลักการของเตาหลอมเทพและโครงสร้างภายในที่พ่อเจ้าทำขึ้นให้อาจารย์อาของเจ้าเสีย หลังจากเฉินชิงจื่อออกจากด่านแล้ว เรื่องนี้สามารถแก้ไขความผิดของพ่อเจ้าได้”

หลายวันมานี้ ความจริงแล้วเซี่ยไห่หยางก็กังวลอยู่กับเรื่องนี้จริงๆ ถึงอย่างไรตอนนี้เรื่องของเฉินชิงจื่อก็ได้รับความสนใจจากจักรวาลไม่รู้สิ้นแล้ว เขาอยากจะไปปรึกษากับหวังเป่าเล่อ แต่หลังจากหวังเป่าเล่อกลับมาก็กักตน ตอนนี้เมื่อได้ยินประโยคนี้เข้า เซี่ยไห่หยางก็สูดลมหายใจลึกแล้วประสานหมัดคำนับอย่างลึกซึ้งให้กับหวังเป่าเล่อ

“อาจารย์อา เรื่องโครงสร้างและหลักการของเตาหลอมเทพ ไห่หยางรู้แล้วจะต้องไม่เก็บงำอย่างแน่นอน และจะบอกท่านโดยไม่ปิดบังสักนิด”

หวังเป่าเล่อได้ยินดังนั้นก็คิดจะเอ่ยปาก แต่ปรมาจารย์แห่งไฟกลับหัวเราะลั่นออกมาก่อน

“ระหว่างทางใช้เวลาไม่น้อย พวกเจ้าทั้งสองคุยกันภายหลังเถอะ” กล่าวพลาง ปรมาจารย์แห่งไฟก็สะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นเปลวเพลิงมโหฬารพลันระเบิดพวยพุ่ง เทพวัวที่อยู่ไกลๆ เงยหน้าขึ้นร้องคำรามแล้วก้าวตรงไปยังอวกาศ

จากนั้นปรมาจารย์แห่งไฟก็ม้วนตัวหวังเป่าเล่อและเซี่ยไห่หยางก้าวเดินตามไปเหยียบอยู่บนหลังของเทพวัว

เทพวัวแผดเสียงร้องอีกครั้ง เปลวเพลิงนอกร่างระเบิดทันใด มันแพร่กระจายอย่างต่อเนื่องราวกับสามารถ ไอรีนโนเวลครอบคลุมดาราจักรทั้งผืนได้ จากนั้นก็พาหวังเป่าเล่อ เซี่ยไห่หยาง และปรมาจารย์แห่งไฟเคลื่อนตัวออกจากดาราจักรไฟทันที หนึ่งก้าวราวกับข้ามผ่านกาลอวกาศ ส่งเสียงร้องหวีดหวิวตรงไปยังสถานที่ต่อสู้ของเฉินชิงจื่อและเดือนแยก

ระหว่างทางที่เดินทาง ดาราจักรทั้งหมดล้วนสั่นสะท้าน สำนักทั้งหมดที่พวกเขาข้ามผ่านไม่มีใครไม่ตกตะลึง ถึงขั้นยังมีตระกูลอีกมากมายที่บินออกมาจากสถานที่ที่พวกเขาอยู่อย่างรวดเร็วแล้วก้มคารวะให้จากที่ไกลๆ ไม่กล้าไม่แสดงความเคารพ

นี่ก็คือความน่าเกรงขามของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพ ระหว่างทาง เทพวัวแทบจะพุ่งทะยานอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าด้านหน้าจะมีสายธารดวงดาวอยู่ แต่ก็ล้วนถูกมันพุ่งชนผ่านไปทั้งสิ้น

หวังเป่าเล่อทอดถอนใจออกมา มีความกระหายอยากให้ตนแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมมากขึ้นไปอีก เซี่ยไห่หยางที่อยู่ข้างๆ ดีกว่าหน่อย อย่างไรเสียในตระกูลเซี่ยก็มีผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพอยู่บ้าง เขาจึงได้ประสบมาหลายครั้งแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนนี้เขามีเรื่องอื่นอยู่ในใจ ดังนั้นจึงใช้เวลาส่วนใหญ่บอกเรื่องเกี่ยวกับเตาหลอมที่ข้างกายหวังเป่าเล่อเสียงเบา

เตาหลอมที่บิดาของเขาสร้างให้กับจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกเรียกได้ว่าเป็นสุดยอดสมบัติ สามารถสยบได้ทั่วทุกสารทิศ แต่มากน้อยอย่างไรในนั้นก็ยังมีกลเม็ดอยู่เล็กน้อย สิ่งที่เซี่ยไห่หยางบอกกับหวังเป่าเล่อก็คือจุดที่กลเม็ดเหล่านี้อยู่

เมื่อรู้เรื่องพวกนี้แล้ว หวังเป่าเล่อก็เข้าใจเตาหลอมดียิ่งกว่าคนอื่นๆ บางทีอาจจะไม่มีประโยชน์ แต่บางที…ก็มีประโยชน์มหาศาล

เป็นเช่นนี้ ท่ามกลางการบอกเล่าของเซี่ยไห่หยางและการควบทะยานของเทพวัว เวลาก็เคลื่อนผ่านไปช้าๆ การเดินทางครั้งนี้ไกลยิ่งกว่าดาวเคราะห์ชะตาไปจนถึงสุสานดวงดาราเสียอีก

แทบจะเคลื่อนผ่านทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย หากดูจากขอบเขตก็เปรียบได้กับจักรวาลไม่รู้สิ้นที่เล็กกว่าครึ่งหนึ่ง ถ้าหากเปลี่ยนให้หวังเป่าเล่อเดินทางไปเอง เกรงว่าคงต้องใช้เวลาหลายปีหรือนานกว่านั้นถึงจะข้ามผ่านได้ แต่เมื่อมีเทพวัวควบทะยานอยู่ เวลาที่ใช้ก็ลดลงมาเป็นครึ่งเดือน!

ดังนั้นหลังจากครึ่งเดือนแล้ว นี่จึงเป็นครั้งแรกในชีวิตของหวังเป่าเล่อที่…ออกมาจากขอบเขตของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย แล้วมาปรากฏตัวขึ้นบนเขตแดนกว้างขวางระหว่างจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายและจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้สิ้น!

เขตแดนนี้ไม่ได้ใหญ่มาก มีรอยฉีกขาดของอวกาศกระจัดกระจายอยู่นับไม่ถ้วน ยิ่งกว่านั้นคือมีกลิ่นอายรุนแรง ไม่เหมาะเป็นที่พักอาศัย ยิ่งไม่เหมาะสำหรับการฝึกตน ดังนั้นมันจึงกลายเป็นชายขอบ

แต่วันนี้…สนามรบระหว่างเฉินชิงจื่อและจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกตั้งอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงดึงดูดความสนใจจากตระกูลและสำนักมากมายหลายฝ่าย ทำให้ยามที่พวกหวังเป่าเล่อมาถึงก็มีเงาร่างคนไม่น้อยรีบเร่งมาจากทั้งสี่ทิศแล้ว

ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่รู้จักปรมาจารย์แห่งไฟ เมื่อมองเห็นพวกเขาจึงพากันหลบหลีก ทำให้เทพวัวที่ปรมาจารย์แห่งไฟนั่งอยู่ทะยานไปยังขอบสนามรบโดยไม่เจออุปสรรคใดๆ!

เพิ่งจะเข้ามาใกล้ ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็หดเกร็ง เขามองเห็นว่ามีไอหมอกสีเทาขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้า ไอหมอกหนาอย่างยิ่ง มันกลิ้งไปปกคลุมทั่วทุกทิศทาง ครอบคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่เอาไว้ภายในโดยสมบูรณ์

และด้านนอกอวกาศสีเทานี้ก็มีอาวุธเวทขนาดยักษ์และสัตว์อสูรพาหนะตัวมหึมาจำนวนมากรายล้อมอยู่ ในบรรดาอาวุธเวทเหล่านี้ มีทั้งยอดเขากลับด้าน รูปปั้นมหึมา ถึงขั้นมีดาวเคราะห์ที่เหมือนกับดาววารีอยู่ด้วย

ส่วนพวกสัตว์อสูรก็ยิ่งมีรูปร่างมากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นเต่ายักษ์หรือสัตว์ประเภทก้อนขน มันมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง และบนอาวุธเวทกับบนร่างของสัตว์อสูรทุกตัวก็มีเงาร่างของผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยอยู่แน่นขนัด เกรงว่าจำนวนของผู้ฝึกตนที่มารวมกันอยู่ที่นี่จะเกินกว่าหลายสิบล้านคนแล้ว

ขณะเดียวกันก็ยังมีสายรุ้งหลายสายทอดไปยังอวกาศที่มีไอหมอกสีเทาปกคลุมอย่างต่อเนื่อง บางคราวก็มีคนเดินเข้าไป บางคราวก็มีคนเดินออกมา

ทั้งหมดนี้ทำให้สถานที่แห่งนี้ครึกครื้นมีชีวิตชีวา นอกจากนั้นเมื่อปรมาจารย์แห่งไฟมาถึง ก็ยังมีพวกอาวุธเวทและสัตว์อสูรมหึมาพาผู้ฝึกตนแต่ละคนมารวมตัวกันจากทั้งสี่ทิศ หลังจากลอยอยู่ด้านนอกอวกาศสีเทา ผู้ฝึกตนพวกนี้ก็บินออกมาจากพาหนะทันทีแล้วตรงไปยังภายในอวกาศไอหมอกสีเทา

“ผู้ฝึกตนเยอะขนาดนี้เลย!” หวังเป่าเล่อยืนขึ้น ทอดมองไปทั่วทุกทิศ เกรงว่าสำนักและตระกูลที่อยู่ในที่นี้คงไม่ต่ำกว่าหลายพันแน่นอน แค่มองจากตรงหน้าก็มีอยู่มากมายหลากหลายแล้ว ถึงขั้นที่ยังมีคนที่ไม่ใช่ผู้ฝึกตนอยู่ด้วย

“มากเกินไปหน่อยจริงๆ ยึดที่ดีๆ ไปหมด แต่ไม่เป็นไร ในเมื่ออาจารย์มาแล้ว ถ้าเห็นตำแหน่งของใครดีๆ ก็จะต้องหลีกทางให้อาจารย์นั่ง!” ปรมาจารย์แห่งไฟนั่งอยู่บนหลังเทพวัว เอ่ยปากเสียงเรียบนิ่ง

ขณะที่ส่งเสียงดังออกไป วัวแก่ใต้ร่างของปรมาจารย์แห่งไฟก็คล้ายจะตอบสนองบ้าง มันแผดเสียงคำรามสั่นสะเทือนไปทั้งแปดทิศ อานุภาพไม่ธรรมดาสามัญ พลังแห่งจักรพิภพแผ่ออกไปจนทำให้หลังจากสำนักและตระกูลจำนวนไม่น้อยมองเห็นพวกเขา ก็พากันขมวดคิ้ว

“เจ้าปรมาจารย์เพลิงคนบ้านั่นมาแล้ว!”

“ไม่ใช่ว่าใช้แต่คำสาปหรือ เห็นใครก็ตะโกนร้องจะเอาคำสาปที่เก็บเอาไว้หลายพันปีออกมาอยู่ได้ หน้าไม่อาย!”

“เฮงซวย ข้าละอายจริงๆ ที่ได้คลุกคลีกับเขา!”

ขณะที่เกิดการสนทนา สำนักและตระกูลมากมายรอบด้านก็หลีกทางให้ทันที

เมื่อเห็นอานุภาพเช่นนี้ของปรมาจารย์แห่งไฟและวัวเฒ่า เซี่ยไห่หยางก็มีแรงบันดาลใจอย่างมาก ส่วนสีหน้าของหวังเป่าเล่อแปลกพิกล ความจริงระหว่างทางมานี้เขาได้ครุ่นคิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง…

“ท่านอาจารย์เล่นมากเกินไปหรือไม่…บางครั้งให้ตัวเองไปเป็นสัตว์พาหนะของตัวเองก็ช่างเถอะ แต่เร่งเดินทางมาครึ่งเดือน ตอนนี้พอร่างจริงตะโกนร้องเสร็จแล้ว ก็จะให้ร่างสัตว์พาหนะคำรามต่อด้วย นี่มัน…ไม่เหนื่อยหรือ”

………………………………..

หวังเป่าเล่อไม่ทราบถึงการคาดเดาของปรมาจารย์แห่งไฟ เขาไม่เหมือนกับปรมาจารย์แห่งไฟ ไม่ได้สงสัยอะไรในตัวศิษย์พี่เฉินชิงจื่อเลยสักนิด ในใจของหวังเป่าเล่อ ภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นแห่งนี้ นอกจากผู้อาวุโสและสหายเหล่านั้นที่โลกสหพันธรัฐแล้ว คนที่เขาไว้วางใจที่สุดก็คือปรมาจารย์แห่งไฟผู้เป็นอาจารย์และศิษย์พี่เฉินชิงจื่อนี่เอง

“หากข้ายังไม่เชื่อใจแม้แต่ศิษย์พี่ที่ดูแลปกป้องข้ามาตลอดทาง เช่นนั้นข้าจะไปเชื่อใจใครได้” หวังเป่าเล่อที่ออกมาจากตำหนักใหญ่ของปรมาจารย์แห่งไฟแย้มยิ้มบาง

สิ่งที่เขาพูดกับปรมาจารย์แห่งไฟล้วนมาจากใจจริงของเขา เรื่องนี้เขาสัมผัสได้ถึงเจตนาของศิษย์พี่ที่ส่งมาให้อย่างลับๆ เขาไม่คิดว่าตนคิดมากไปหรอก อีกทั้งต่อให้คิดมากไปจริงๆ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องไปสนามรบระหว่างศิษย์พี่กับเดือนแยกอยู่ดี

“เวลาไม่มากแล้ว ข้าต้องยกระดับการฝึกตนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ดวงตาฉายประกายล้ำลึก เรื่องเกี่ยวกับตะขาบสีโลหิต เกี่ยวกับการตระหนักรู้อดีตชาติ เกี่ยวกับความเป็นจริงของโลก ปรมาจารย์แห่งไฟไม่ได้ถาม และหวังเป่าเล่อก็ไม่คิดจะพูดก่อน

เรื่องเหล่านี้ เมื่อรู้แล้ว…ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องดี

หวังเป่าเล่อไม่อยากจะทำให้เกิดภัยพิบัติและหายนะอื่นๆ ขึ้นในดาราจักรไฟเพราะตัวเขาเอง

“อาจารย์ทุกข์ใจมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มความทุกข์ใจเรื่องของข้ามากกว่าเดิมอีก…” หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึก ไม่ได้กลับที่พัก แต่ตรงไปยังที่ที่เทพวัวอยู่

เขาจำเป็นต้องสังเกตและคัดลอกภาพต่อเพื่อทำให้เวทผนึกดาวของตนสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

การมาถึงของหวังเป่าเล่อทำให้เทพวัวลืมตาขึ้นมองแล้วก็หลับตาลงอีกครั้งเพื่อให้หวังเป่าเล่อเฝ้าสังเกตร่างกายด้านนอกของตนต่อไป จนกระทั่งหนึ่งวันต่อมา เมื่อหวังเป่าเล่อเข้าใจกระจ่างและจากไปแล้ว เทพวัวจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองไปยังทิศที่หวังเป่าเล่อจากไป ก่อนพึมพำเสียงเบา

“เจ้าเด็กนี่มองเห็นอะไรในดาวเคราะห์ชะตากันแน่…เหตุใดพอกลับมาแล้ว ดูเหมือนจะปกติ แต่ความจริงกลับรีบร้อนจะยกระดับพลังฝึกปรือของตนเช่นนี้ล่ะ”

ขณะที่เทพวัวกำลังครุ่นคิดอยู่ตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็กลับไปยังที่พัก

หลังจากกลับมาถึงเขาก็นั่งขัดสมาธิทำสมาธิทันที เพื่อให้จิต ปราณ วิญญาณของตนบรรลุถึงจุดสูงสุด จากนั้นหวังเป่าเล่อก็ลืมตา เผยความคิดตรึกตรองออกมา

การฝึกตนเลื่อนระดับเป็นดารานิรันดร์ อีกทั้งการต่อสู้กับชงอี้จื่อทำให้เขาร่างของเขามั่นคงแล้ว

“ข้าในตอนนี้ หากระเบิดพลังออกมาทั้งหมดก็สามารถสยบดารานิรันดร์ระดับพิภพชั้นปลายได้ พลังน่าจะเหมือนกับดารานิรันดร์ระดับพิภพชั้นมหาวัฏจักร ส่วนดารานิรันดร์ระดับสวรรค์ที่มีอยู่แค่ในราชวงศ์ไม่รู้สิ้นนั้น…ถ้าเป็นชั้นมหาวัฏจักร ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ มากที่สุดก็พอจะเทียบกับชั้นปลายได้”

หลังจากหวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบากับตนเอง เขาก็ก้มหน้ามองดูร่างกายของตน ดวงตาหรี่ลงช้าๆ

“แต่ถ้าต่ำกว่าระดับพิภพล่ะก็ ตราบใดที่เป็นดารานิรันดร์ ล้วนแต่ถูกข้าบดขยี้ทั้งสิ้น!”

“ต่อไปก็ไปที่สนามรบของศิษย์พี่กับเดือนแยก ที่นั่นมีมหาศิษย์จากสำนักและตระกูลต่างๆ ของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นอยู่ไม่น้อยเลย…” หวังเป่าเล่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วแจกแจงเคล็ดวิชาลับที่ตนในตอนนี้สามารถใช้ได้ออกมา

พลังบทสวดแห่งเต๋าต้องใช้ออกมาในช่วงเวลาสำคัญ นอกจากนี้แล้วก็ยังมีแผนที่ดวงดาวเทพวัว แม้ว่าจนถึงตอนนี้หวังเป่าเล่อจะยังไม่ได้ใช้มันออกมาแม้กระทั่งในการต่อสู้กับชงอี้จื่อก็ตาม แต่เขาเชื่อว่า ทันทีที่แผนที่ดวงดาวกลายเป็นเทพวัวแล้ว จะต้องสะเทือนฟ้าสะเทือนดินอย่างแน่นอน

“ยังมีเงาร่างจากห้าชาติ…แล้วก็ดัชนีศักดิ์สิทธิ์กับวิชาดวงเนตรปีศาจ”

“ยังมีเพลิงดำ…เพลิงนี้อาจจะให้ผลลัพธ์อัศจรรย์ในการต่อสู้ต่อจากนี้ก็ได้!”

“ส่วนเกราะจักรพรรดิ…จำเป็นต้องหลอมใหม่แล้ว” หลังจากหวังเป่าเล่อคำนวณดู เขาก็เปิดกระเป๋าคลังเก็บของตนออก ตรวจดูอาวุธเวทต่างๆ

“วัตถุเวทแห่งความมืดไม่อาจหยิบออกมาใช้ง่ายๆ…แล้วยังมีอาวุธเทพเกราะจักรพรรดิ สามารถเอามาเป็นเวทป้องกันทั่วไปได้ ยังมีคันธนูจักรพิภพอีก…ส่วนของอื่นๆ…ล้วนแต่เป็นของสิ้นเปลืองเท่านั้น” ขณะที่หวังเป่าเล่อใคร่ครวญดู เขาก็ยกมือขวาขึ้นโบก หยิบคันธนูใหญ่ออกมา ลูบเบาๆ แล้วเก็บเอาไว้

“แล้วยังมีขวดปรารถนาด้วย…ของสิ่งนี้ชั่วร้ายเกินไป” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า สุดท้ายก็สูดหายใจลึก ส่งสัมผัสสวรรค์มองเข้าไปข้างใน ทอดมองไปยังฝักกระบี่เจ้าชะตาในร่างของตน!

ฝักกระบี่นี้แฝงอยู่ในร่างของเขามานานแล้ว ตอนนี้มองดูแล้วปกติดี แต่หวังเป่าเล่อมีความรู้สึกว่าถ้าหากดึงมันออกมา พลังที่อยู่ในนั้นจะสามารถฟาดฟันได้ทุกทิศทางเลยทีเดียว

“นอกจากของเหล่านี้แล้ว สิ่งที่ข้าจำเป็นต้องทำที่สุดในตอนนี้ก็คือ…เคล็ดวิชาดารานิรันดร์!” หลังจากเก็บประสาทสัมผัสกลับมาจากฝักกระบี่เจ้าชะตา หวังเป่าเล่อก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงร้องเรียกหาแม่นางน้อย แต่แม่นางน้อยคล้ายหลับไปอีกแล้ว จึงไม่ได้ตอบกลับ

“ช่างเถอะ เรื่องนี้ข้าเลือกเองได้!” ดวงตาของหวังเป่าเล่อมีแสงส่องวาบ เคล็ดวิชาดารานิรันดร์ หวังเป่าเล่อไม่จำเป็นต้องได้รับมาเพิ่มเติม เพราะตัวเขามีอยู่สองเคล็ดวิชาแล้ว! ไอลีนโนเวล

เคล็ดวิชาหนึ่งก็คือ วิชาที่ปรมาจารย์แห่งไฟเคยสอนให้ก่อนหน้านี้…เวทวิญญาณเพลิง!

เวทนี้ไม่เพียงแต่เป็นวิชาเทพของคำสาปเท่านั้น แต่ยังเป็นเคล็ดวิชาดารานิรันดร์เช่นกัน อีกทั้งตามวิถีการฝึกตนของมัน หากสามารถฝึกไปถึงระดับจักรพิภพได้ อานุภาพที่ใช้ยิ่งน่าสะพรึง

แต่จุดเด่นของการยกระดับกระบวนเวทนี้คือพลังชีวิตและปราณอาฆาต พลังชีวิตและปราณอาฆาตของชาติก่อนทำได้เพียงเป็นฐานเท่านั้น คิดจะทำให้ระเบิดพลังออกมารุนแรงกว่านี้ก็จำเป็นต้องมีการตกตะกอนจากชาตินี้ด้วย

นอกจากนี้แล้ว เคล็ดวิชาอีกอย่างก็มาจากนิมิตมืดของหวังเป่าเล่อเมื่อหลายปีก่อน เขาเคยเห็นวิชาศาสตร์มืดอย่างหนึ่งในตำรามากมายภายในสำนักแห่งความมืด!

วิชานี้มีชื่อว่าเคล็ดวิชาเด็ดดารา!

นี่ไม่ใช่วิชาสายตรงที่สุดในบรรดาเคล็ดวิชาดารานิรันดร์ของสำนักแห่งความมืด แม้จะถูกจัดให้เป็นข้อห้าม ไม่แนะนำผู้ฝึกตนสายหลัก ส่วนใหญ่จะแนะนำให้ศิษย์ของสำนักแห่งความมืด จากความเข้าใจและการตระหนักรู้เกี่ยวกับกระบวนเวทนี้ หากเปรียบเทียบดูแล้วมันจะทำให้เคล็ดวิชาสายตรงของตนยกระดับได้

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะเคล็ดวิชาเด็ดดารานั้นชั่วร้ายเกินไป อีกทั้งยามที่ฝึกฝนก็จะมีโชคร้ายไม่คาดฝันมาเยือน เพราะเคล็ดวิชานี้รุนแรงเกินไป ผู้ที่ฝึกฝนจะถูกเต๋าสวรรค์ผลักไส ยิ่งกว่านั้นคือจะถูกอวกาศสยบไว้ และการสยบนี้ก็อาจจะทำให้ถูกลบรากเดิมทั้งหมดที่มีอยู่ได้

เหตุผลของทั้งหมดนี้ เป็นเพราะวิชาเวทนี้…สามารถเด็ดดึงดวงดาราดวงใดก็ได้มาเป็นดาวของตน และเมื่อเด็ดมาแล้ว ดาวที่ถูกทำเครื่องหมายก็จะกลายเป็นลูกปัดที่หลอมรวมเข้าไปภายในสัมผัสสวรรค์ของผู้ฝึก ก่อนกลายเป็นดวงดาวของตน

โดยไม่สนว่าดาวดวงนี้จะมีชีวิตหรือไม่ ไม่สนว่า…ดาวดวงนี้จะถูกคนอื่นหลอมกลั่นแล้วหรือไม่ ถึงขั้นที่แม้แต่ดาวพระเคราะห์และดารานิรันดร์ของตัวผู้ฝึกตนก็สามารถถูกคนอื่นใช้วิธีการนี้ปล้นชิงไปได้

และด้วยเหตุนี้ เคล็ดวิชาเด็ดดาราจึงถูกจัดเป็นข้อห้าม

อย่างไรเสียในทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นก็มีกฎการอนุรักษ์อยู่ ความเป็นความตายล้วนอยู่ในขอบเขตของจักรพิภพเต๋า มากที่สุดก็แบ่งสรรมากน้อยไม่เท่ากัน แต่ถึงแม้พวกที่มีการแบ่งสรรมากที่สุดจะสามารถมีชีวิตใหม่ได้ไม่จำกัด แต่ทุกสิ่งที่พวกเขามีล้วนเป็นของจักรพิภพเต๋าทั้งสิ้น

ในแง่หนึ่ง สิ่งที่ผู้ฝึกตนครอบครองก็ไม่พ้นสิทธิ์การใช้งานเท่านั้น ส่วนเต๋าสวรรค์กลับเป็นกฎหมายที่สร้างขึ้นภายใต้การถูกผู้คนส่วนรวมตระหนักถึง จนทำให้พฤติกรรมของตระกูลไม่รู้สิ้นกลายเป็นมาถ่องแท้เที่ยงตรง

“เต๋าสวรรค์เป็นเหมือนกฎหมาย เต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดคือกฎของยุคก่อน ส่วนเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นคือกฎของยุคนี้…” ดวงตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลง ฉายแววล้ำลึก เขาเข้าใจดีว่าเคล็ดวิชาเด็ดดารา…สามารถมองว่าเป็นดวงดาวที่ไม่ปฏิบัติตามกฎของเต๋าสวรรค์จนถูกขัดเกลาก็ได้ สิ่งที่มันครอบครองไม่ใช่การใช้สิทธิ์ในการใช้งาน แต่เป็นสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของ

เมื่อเป็นเช่นนี้ มันจึงเหมือนกับการปล้นชิง ดังนั้นย่อมมีเหตุร้ายไม่คาดฝันอยู่แล้ว อีกทั้งยังถูกปฏิเสธ ต้องถูกลบร่องรอยการมีอยู่ทั้งหมดราวกับสูญสลายอย่างแท้จริง ร่างวิญญาณก็จะถูกทำลายด้วย

แต่ข้อดีของมัน…ก็คือรวดเร็ว!

การเติบโตของความเร็วและพลังต่อสู้ในการฝึกตนจะรวดเร็วจนไม่อยากเชื่อ หากเปลี่ยนเป็นเขาที่ไม่ได้ตระหนักรู้อดีตชาติ หวังเป่าเล่อย่อมไม่เลือกกระบวนเวทนี้ แต่ตอนนี้…ด้านหนึ่งเขาคิดว่าไม่ทันการณ์แล้ว ตนจะต้องแข็งแกร่งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ส่วนอีกด้าน หลังจากเขาระลึกอดีตชาติแล้ว ก็คิดว่าเคล็ดวิชานี้อาจจะเหมาะสมกับตนก็ได้

“ร่างวิญญาณพังทลาย สูญสลายโดยแท้จริง…แต่…กระดานไม้สีดำร่างจริงของข้าใช่สิ่งที่จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นจะสามารถทำลายได้หรือ ส่วนการลบดวงจิตของข้า จุดนี้ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ถ้าหากข้าไม่ยกระดับโดยเร็วล่ะก็ ต่อให้ข้าไม่ถูกจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นลบจิตสัมผัสทิ้ง ก็ต้องถูกตะขาบสีโลหิตนั้นกลืนกิน…” หลังจากหวังเป่าเล่อใคร่ครวญ จู่ๆ เขาก็ยิ้มออกมา

“ฝึก!” ประกายแสงในดวงตาของเขาสว่างวาบ เลือกเคล็ดวิชาเด็ดดารามาฝึกเป็นเคล็ดวิชาหลักดารานิรันดร์โดยไม่มีความลังเลสักนิด และในชั่วขณะที่เขาตัดสินใจแล้วนั้น ขณะที่เริ่มโคจรเคล็ดวิชาเด็ดดารา ภายในร่างของเขาก็เกิดเสียงสะเทือนกึกก้องทันที

ดวงดาราพิเศษนับหมื่นของเขาและกึ่งดาวเคราะห์เต๋าทั้งเก้าดวง ทั้งยังมีดาวเต๋านิรันดร์ดวงนั้น ขณะนี้ต่างก็สั่นสะเทือนขึ้นมาทั้งหมดราวกับมีจิตคิดแยกจากแผ่ออกมาจากรอบตัวพวกมัน ราวกับมีมือไร้รูปกำลังครอบคลุมพวกมันเอาไว้ และกำลังลบที่มาที่ไปของพวกมัน…ลบความสัมพันธ์ที่ไม่อาจแยกจากกันกับจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นทิ้งไป!

อำนาจการเป็นเจ้าของ ถูกเปลี่ยนแล้ว!

เมื่อมันถูกลบออกมา ดาวเอกเพลิงก็สั่นสะเทือน ดาราจักรไฟส่งเสียงกู่ก้อง โลกภายนอกยิ่งเป็นเช่นนี้ ราวกับมีเสียงคำรามหลายเสียงดังมาจากส่วนลึกของอวกาศอย่างเลือนราง แล้วสะท้อนไปทั่วทั้งแปดทิศ

………………………

“โอกาสถึงฆาตมีมากนัก…โอกาสยิ่งใหญ่…” หวังเป่าเล่อไม่ได้ตอบกลับในทันที แต่หยัดกายขึ้น เอ่ยพึมพำเสียงเบาพลางยกมือไพล่หลังตามสัญชาตญาณ ก่อนเงยหน้าขึ้น ท่าทางสงบนิ่งเผยรอยยิ้มแบบท่าทางของผู้สูงส่ง จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเรียบ

“เรื่องในโลก เมื่อร้องขอก็ย่อมต้องมีการจ่าย ความเป็นความตายและโอกาสอยู่ด้วยกัน นี่เป็นเรื่องที่ดีมาก”

ปรมาจารย์แห่งไฟกะพริบตา กวาดตามองหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกว่าหวังเป่าเล่อในตอนนี้มีบางอย่างแปลกตาไป อยู่ต่อหน้าอาจารย์กลับยกมือไพล่หลัง ทั้งยังทำท่าทางสูงส่งเช่นนี้อีก

เพราะอย่างนั้นปรมาจารย์แห่งไฟจึงแค่นเสียงอยู่ในใจ เขานั่งตัวตรง ปรับเปลวเพลิงด้านหลังของตนเล็กน้อยเพื่อให้ครอบคลุมไปทั่วทั้งดาราจักรไฟ ขณะเดียวกัน บุคลิกของตัวเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในชั่วขณะนี้เองจนเหมือนกับสัตว์ร้ายบรรพกาลตัวหนึ่ง แล้วสยบท่วงท่าสูงส่งของหวังเป่าเล่อลงไปทันที

“พูดได้ดี”

เมื่อถูกสยบเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาแล้ว ทันใดนั้นที่หน้าผากก็มีเหงื่อไหลซึมเล็กน้อย เห็นได้ชัดอย่างยิ่งว่าช่วงนี้เขาทำท่าทางสูงส่งจนชินไปแล้ว ตอนนี้จึงรีบเก็บกลับมา ใบหน้าเผยรอยยิ้มประจบ แล้วเอ่ยเสียงเบา

“อาจารย์ ความจริงแล้ว…ข้าคิดว่านี่เป็นสัญญาณที่ศิษย์พี่เฉินชิงจื่อมอบให้ข้า”

“สัญญาณหรือ” ปรมาจารย์แห่งไฟหรี่ตา ร่างกายกำลังจะเอนไปด้านหน้าเล็กน้อยตามสัญชาตญาณ แต่ไม่นานก็นึกถึงท่าทางเมื่อครู่ของหวังเป่าเล่อ ดังนั้นจึงควบคุมให้ตนนั่งตัวตรง ความสง่างามเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ทั่วร่างแผ่แสงออกมา ดูแล้วคล้ายกับเทพเจ้าผู้ทรงอานุภาพ

หวังเป่าเล่ออดขยี้ตาไม่ได้ เขารู้สึกแสบตาเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเสียงต่ำ

“ใช่ขอรับ เป็นสัญญาณ ถึงแม้ข้าจะไม่แน่ใจมากนัก แต่ข้าคิดว่าถ้าหากศิษย์พี่เฉินชิงจื่อสังหารจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกจริงๆ ก็น่าจะไม่ปล่อยให้โลกภายนอกได้โอกาส กอปรกับหากจักรพรรดิสวรรค์แตกดับแล้ว ผู้คนทั่วทุกทิศย่อมได้รับโอกาสทั้งสิ้น ดังนั้นข้าเลยคิดว่า…ศิษย์พี่กำลังส่งสัญญาณลับให้ข้าไปหาหรือเปล่า”

“แม้จะไม่ใช่สัญญาณลับ แต่ถึงข้าไปก็มีอันตรายน้อยมาก มีอาจารย์อยู่ ผู้ที่กล้ามาหาเรื่องข้าย่อมมีไม่มาก อีกทั้งศิษย์พี่ก็ยังเป็นคนกันเองอีก…ดังนั้นข้าจึงคิดว่า โดยพื้นฐานแล้ว นี่คือสถานที่แห่งโชคซึ่งเตรียมไว้ให้ข้าขอรับ” หวังเป่าเล่อวิเคราะห์ทันที เขาบอกความคิดที่ตนได้ระหว่างขากลับออกมา

แน่นอนว่าเขายังมีเพลิงดำ ยังมีวัตถุเวทแห่งความมืด และตัวเขาเองยังเป็นบุตรแห่งความมืด เมื่ออยู่ในเต๋าสวรรค์ สำนักแห่งความมืด ไม่เพียงไม่อ่อนแอลง กลับกันยังเหมือนปลาได้น้ำ ต่อให้สำนักแห่งความมืดจะปรากฏตัวออกมา เขาก็น่าจะปลอดภัย

เรื่องเหล่านี้หวังเป่าเล่อไม่ได้กล่าวออกไป แต่ปรมาจารย์แห่งไฟก็เดาออก ดังนั้นเมื่อใคร่ครวญไปพักหนึ่ง ในใจลอบคิดว่ามีความเป็นไปได้มากจริงๆ ที่จะเป็นเช่นนี้

“เขาใช้วิธีการนี้มาบอกศิษย์รักของข้าให้ไปรับโชคอย่างนั้นหรือ”

“เฉินชิงจื่อเจ้าคนผู้นี้ร้ายกาจเกินไป นี่มันต้องการขุดมุมกำแพงข้านี่ ข้าเพิ่งจะมอบโชคแห่งดาวเคราะห์ชะตาให้ศิษย์รักของข้า แล้วเฉินชิงจื่อมาทำเช่นนี้ ไม่ได้ๆ…ข้าจะหาวิธีไม่ให้สำนักแห่งความมืดมาแย่งศิษย์กับข้า!” ปรมาจารย์แห่งไฟไม่รู้คิดอย่างไรถึงคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ ดวงตาหรี่ลง กวาดมองหวังเป่าเล่อแล้วเอ่ยเสียงเรียบ

“เป่าเล่อ เรื่องนี้เป็นเพียงการคาดเดาของเจ้า ถ้าหากเป็นเรื่องจริงก็แล้วไป แต่ถ้าหากไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด ก็อันตรายมาก”

“อาจารย์สงสัยว่าตระกูลไม่รู้สิ้นน่าจะทำพิธีกรรมสังเวยยังสถานที่ต่อสู้ของเฉินชิงจื่อกับจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยก หรือแอบช่วยเหลือเดือนแยกอย่างลับๆ ไม่ก็ทำการผนึก หรือไม่ก็ทำวิธีอื่นๆ แต่ไม่ว่าอย่างไร จะต้องมีแผนแน่นอน”

“ส่วนที่ว่าท่าทางเหมือนไม่เต็มใจ แต่กลับไม่อาจขัดขวางให้มหาศิษย์ของทุกสำนักทุกตระกูลเดินทางไปที่นั่น ข้าสงสัยว่าน่าจะเป็นหนึ่งในแผนการ ถ้าหากคนเหล่านี้ตายอยู่ในเงื้อมมือศิษย์พี่ของเจ้า เช่นนั้นศิษย์พี่ของเจ้า…ก็จะเป็นศัตรูของหมื่นสำนัก!”

“ตอนนี้เจ้าไปที่นั่นจึงไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง!” ปรมาจารย์แห่งไฟค่อยๆ เอ่ย พูดมาแล้วก็มีเหตุผลจริงๆ แต่หลังจากหวังเป่าเล่อใคร่ครวญดูแล้วก็ยังแน่วแน่ในความคิดตน กำลังจะเอ่ยออกไป ปรมาจารย์แห่งไฟก็มองเห็นความคิดของหวังเป่าเล่ออย่างชัดเจน ดังนั้นจึงกระแอมไอแล้วเอ่ยต่อ

“แน่นอนว่าอาจารย์ก็รู้ว่าผู้ฝึกตนเช่นเรา ยิ่งพลังฝึกปรือสูงก็ยิ่งเลื่อนขั้นได้ช้า แต่เป่าเล่อ หากอยากจะเลื่อนขั้นเร็วๆ ไม่ใช่แค่ไปยังสถานที่ที่จักรพรรดิสวรรค์แตกดับเท่านั้น มันยังมีวิธีจัดการแบบอื่นอยู่อีก อย่างเช่นการยกระดับอารยธรรมระดับชั้นของสหพันธรัฐที่เจ้าอยู่ก็สามารถมอบกำไรคืนให้เจ้าได้ ทำให้พลังฝึกปรือของเจ้าเพิ่มพูนขึ้น”

“เช่นการที่ดาวพระเคราะห์ชั้นต้นของเจ้าเลื่อนขั้นเป็นชั้นกลาง นั่นไม่ใช่เพราะยกระดับชั้นสหพันธรัฐของระบบสุริยะจนได้กำไรกลับคืนมาหรอกหรือ” ปรมาจารย์แห่งไฟกล่าวพลางแย้มยิ้ม เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อครุ่นคิด เขาก็กะพริบตาแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ดาราจักรไฟมีอาจารย์คอยขัดเกลาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจถ่ายโอนไปให้ระบบสุริยะได้ แต่จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นยิ่งใหญ่ขนาดนี้ ด้วยพลังฝึกปรือของเจ้า ย่อมมีวิธีการมากมายมาทำให้ระบบสุริยะมีดารานิรันดร์เยอะกว่าเดิม ทำให้อารยธรรมระดับขั้นที่บ้านเกิดของเจ้ายกระดับขึ้น” ไอรีนโนเวล

ความคิดของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไป นี่เป็นวิธีการหนึ่งจริงๆ ดังนั้นเขาจึงรีบเอ่ยถาม

“อาจารย์ การเลื่อนขั้นทางอารยธรรมของระบบสุริยะบ้านเกิดข้าไม่มีจำกัดใช่หรือไม่ หรือว่ายังมีข้อจำกัดบางอย่างอยู่ขอรับ”

“จะบอกว่าไร้ข้อจำกัดก็ได้ และจะบอกว่ามีข้อจำกัดก็ได้เช่นกัน การผสานกับดารานิรันดร์ที่มาจากภายนอกจำเป็นต้องใช้เวลา….ผสานเสร็จแล้วขยายเป็นดาราจักรใหญ่ก็จำเป็นต้องใช้เวลา จนกระทั่งสุดท้ายกลายเป็นจักรพิภพ พลังฝึกปรือของเจ้าก็จะทะลวงเพราะเหตุนี้” ปรมาจารย์แห่งไฟลังเลครู่หนึ่ง แล้วค่อยเอ่ยช้าๆ

“อาจารย์ มีวิธีเร่งความเร็วหรือไม่ขอรับ” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว มองดูปรมาจารย์แห่งไฟ

ปรมาจารย์แห่งไฟเงียบงัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถอนหายใจ

“ไปหาศิษย์พี่เฉินชิงจื่อของเจ้าเถอะ วิธีที่จะให้ดาราจักรแห่งหนึ่งรีบผสานกับดารานิรันดร์แล้วกลายเป็นจักรพิภพเร็วๆ ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี แต่นี่จำเป็นต้องมีการสนับสนุนของเต๋าสวรรค์ แต่เต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นย่อมไม่ยอมสนับสนุนเจ้าแน่ ตอนนี้ดูแล้ว ทางเดียวก็มีเพียงเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดเท่านั้น” ปรมาจารย์แห่งไฟรู้สึกอับจนเล็กน้อย รู้สึกเหมือนว่าถูกเอาไปเปรียบเทียบกับเฉินชิงจื่อ

ความรู้สึกนี้ทำให้เขาอึดอัดใจมาก ดังนั้นหลังจากกะพริบตาแล้วก็ยกมือขวาคว้าจับอากาศ ทันใดนั้นก็มีกลุ่มแสงปรากฏขึ้นมาจากอากาศแล้วตรงไปหาหวังเป่าเล่อ

ภายในกลุ่มแสงนี้คือใบไม้ใบหนึ่ง!

ใบไม้ใบนี้เป็นสีเขียวและมีแถบสีดำอยู่ ดูแล้วไม่ได้แปลกพิสดารเป็นพิเศษ แต่เมื่อมันลอยมาอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ เขาเพียงมองแวบเดียวจิตใจก็สั่นสะท้านรุนแรงแล้ว วิญญาณเทพส่งความรู้สึกอันตรายที่ร้ายแรงจนถึงที่สุดมาให้ ราวกับว่าถ้าหากใบไม้ใบนี้ระเบิดออกมา มันจะทำลายวิญญาณเทพจนสิ้นซาก

ความรู้สึกนี้ทำให้สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไป เขามองดูอย่างละเอียด มองเห็นได้รางๆ ว่าบนใบไม้ใบนั้นมีปราณมืดนับไม่ถ้วนสถิตอยู่ มองเห็นเสียงร้องคำรามบ้าคลั่งนับไม่ถ้วน ทั้งหมดนี้ทำให้เขานึกได้ทันทีว่าใบไม้ใบนี้คืออะไร

มันคือ…คำสาป!

มันมีต้นกำเนิดเดียวกับเขา แต่ระดับขั้นของมันสูงยิ่งกว่าคำสาปวิญญาณเพลิงมากมายนัก เห็นได้ชัดว่านี่คือส่วนหนึ่งของพลังฝึกตนของปรมาจารย์แห่งไฟ หรือกล่าวอีกอย่างก็คือ สิ่งนี้คือส่วนหนึ่งของคำสาปที่กักเก็บเอาไว้หลายพันปีและสามารถทำให้จักรพรรดิสวรรค์ตกตายไปพร้อมกันได้

“อาจารย์…” หวังเป่าเล่อหายใจเร็วรี่ มองไปยังปรมาจารย์แห่งไฟ

“ในเมื่อเจ้าจะไปยังที่ที่มีทั้งถูกและผิด นอกจากอาจารย์จะคุ้มกันเจ้าไปยังที่นั่นแล้วรอเจ้าอยู่ข้างนอก ก็มีแต่มอบของป้องกันตัวให้เจ้าอีกอย่างเท่านั้น”

“ในใบไม้นี้แฝงคำสาปของตัวข้าเอาไว้ สามารถสาปแช่งสังหารผู้เยี่ยมยุทธ์ในจักรพิภพทุกระดับได้ เดิมทีสามารถมอบให้เจ้าสักหลายร้อยหลายพันใบได้ แต่กลัวว่าความเย่อหยิ่งในใจเจ้าจะก่อให้เกิดหายนะใหญ่ ดังนั้นจึงมอบให้แค่ใบเดียว จำเอาไว้…เรียนรู้จากอาจารย์ของเจ้า ไม่ใช้ของสิ่งนี้มีประโยชน์กว่าใช้ออกมา!” ปรมาจารย์แห่งไฟเอ่ยเสียงเรียบ สีหน้าเป็นปกติ ราวกับทั้งหมดนี้เป็นอย่างที่เขาเอ่ยมาจริงๆ ว่าสามารถหยิบออกมาหลายพันหลายร้อยใบได้ตามใจชอบ…

จิตใจหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน คิดเพียงแต่อาจารย์ของตนผู้นี้มีพลังฝึกปรือสะเทือนฟ้าสะเทือนดินจริงๆ เขายกมือรับมาแล้วคำนับอย่างล้ำลึกให้กับปรมาจารย์แห่งไฟ

“ขอบคุณท่านอาจารย์ขอรับ!”

“ไปพักผ่อนเถอะ สามวันหลังจากนี้อาจารย์จะพาเจ้าออกเดินทาง!” ปรมาจารย์แห่งไฟโบกมือ พลังอ่อนโยนสายหนึ่งแผ่ออกมาพาตัวหวังเป่าเล่อออกจากตำหนักใหญ่ เมื่อหวังเป่าเล่อจากไป ปรมาจารย์แห่งไฟก็รีบหอบหายใจสองสามที แล้วมองเข้าไปในวิญญาณเทพของตนอย่างเจ็บปวดเล็กน้อย ข้างในวิญญาณเทพ ต้นไม้สีดำที่เดิมมีใบไม้อยู่สิบใบ ตอนนี้เหลือเพียงเก้าใบแล้ว

“หนึ่งใบคือคำสาปพันปี ข้าเป็นอาจารย์ ต้องเสียเลือดเนื้อให้กับศิษย์จริงๆ” ขณะที่เอ่ยพึมพำ ปรมาจารย์แห่งไฟก็ถอนหายใจ แต่ไม่นานก็รู้สึกสงสัย

“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง” จู่ๆ เขาก็คิดว่าทั้งหมดนี้ราวกับประจวบเหมาะไปสักหน่อย ศิษย์ของตนเพิ่งจะเลื่อนขั้น เฉินชิงจื่อก็จะสังหารเดือนแยกแล้ว ขณะเดียวกันการสนับสนุนจากเต๋าสวรรค์ก็เป็นวิธีเดียวที่สามารถเร่งให้ดาราจักรเลื่อนขั้นได้

“ไม่หรอก ต่อให้เฉินชิงจื่อสังหารจักรพรรดิสวรรค์ได้ แต่ก็ไม่มีทางคาดการณ์ได้ไกลขนาดนี้…อีกอย่างเขายังต่อสู้กับเดือนแยกอยู่เลย” ปรมาจารย์แห่งไฟเกาหัว รู้สึกอยู่ตลอดว่าเรื่องนี้คล้ายมีปัญหาบางอย่าง

“เจ้าคนนี้คงไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรกับศิษย์ของข้าใช่ไหม” ผ่านไปครู่หนึ่ง ปรมาจารย์แห่งไฟก็เงยหน้าขึ้นกะทันหัน พริบตาเดียวในดวงตาก็มีประกายแสงเจิดจ้า ทั่วทั้งดาราจักรไฟสั่นสะเทือนรุนแรงในพริบตา

“หวังว่าข้าจะคิดมากไปเอง…ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ข้าจะไม่สนใจสำนักแห่งความมืดของเจ้าแล้ว กล้ามาแตะต้องศิษย์ของข้า เฉินชิงจื่อแล้วอย่างไร ข้าจะหยิบเอาคำสาปที่อัดอั้นเอาไว้หลายพันหมื่นปีออกมาแล้วสาปแช่งเจ้า!”

……………………

ขณะที่ศึกระหว่างเฉินชิงจื่อและจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุด และดึงดูดความสนใจจากทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น หวังเป่าเล่อก็กลับมาถึงชายแดนของดาราจักรไฟโดยมีเซี่ยไห่หยางและเฉินหานติดตามมาด้วย

การเดินทางราบรื่นมาก ไม่ได้พบอันตรายใดๆ ขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อก็ได้รู้เรื่องภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นผ่านทางเซี่ยไห่หยางและเฉินหานมาไม่น้อย

เขารู้ว่าปรมาจารย์แห่งไฟอาจารย์ของตนไปยังเต๋าเก้ารัฐ และต่อสู้กับผู้อาวุโสทั้งสี่ของเต๋าเก้ารัฐก็เพราะตน ขณะที่อาจารย์ไปขอคำอธิบายจากทางนั้นก็ได้ช่วยกำจัดข้อพิพาทที่ตามมาให้กับตนด้วย

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อซาบซึ้งมาก เขายอมรับอาจารย์ผู้นี้โดยสมบูรณ์จากก้นบึ้งของหัวใจเลยทีเดียว

แล้วยังมีเรื่องศึกระหว่างเฉินชิงจื่อและเดือนแยกที่คล้ายจะมาถึงตอนจบซึ่งหวังเป่าเล่อก็รู้เรื่องแล้ว ขณะที่มีความคิดมากมายเกิดขึ้นในหัวใจ เฉินหานก็บอกลากับหวังเป่าเล่อที่ชายขอบของดาราจักรไฟ

เฉินหานไม่อยากจากไปสุดหัวใจ แต่ระหว่างทางสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณของเขาได้ออกคำสั่งสำนักหลายฉบับมาให้อย่างต่อเนื่อง บอกให้เขารีบกลับไปทันที ดังนั้นหลังจากที่หวังเป่าเล่อมาถึงพรมแดนของดาราจักรไฟแล้ว เฉินหานจึงกอดขาหวังเป่าเล่อเอาไว้แน่น สีหน้ามีแต่ความไม่ยินยอม พร้อมตะโกนเสียงดัง

“ท่านพ่อ ข้าจำเป็นต้องกลับสำนัก ช่วงที่ข้าไม่อยู่ข้างกายท่าน ท่านพ่อต้องรักษาตัวให้ดีนะขอรับ ห้ามลืมข้าเด็ดขาด ยังมีเซี่ยไห่หยางผู้นี้ แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนดี ท่านพ่อต้องระมัดระวังนะขอรับ!”

“แล้วก็ ต่อไปถ้าท่านพ่อเจอท่านตาข้า ให้ทักทายเขาแทนข้าด้วย เมื่อพลังฝึกตนของข้าแข็งแกร่งขึ้นอีกหน่อยแล้วจะไปเป็นองครักษ์เต๋าให้ท่านและรักษาความสงบให้ท่านตาด้วยตัวเองขอรับ!” เมื่อเฉินหานเอ่ยจบ เขาก็ไม่หันไปมองหน้าดำมืดของเซี่ยไห่หยาง แต่ถอยหลังไปสองสามก้าวก่อนคุกเข่าโขกหัวคำนับเต็มพิธีการให้กับหวังเป่าเล่อ จากนั้นจึงค่อยๆ จากไปไกลด้วยท่าทีอาลัยอาวรณ์ท่ามกลางสายตารักใคร่ของหวังเป่าเล่อ

“อาจารย์อา เฉินหานผู้นี้มีจิตใจไม่ซื่อ เจ้าเล่ห์หลายเหลี่ยม เป็นถึงมหาศิษย์แต่กลับไม่สนใจหน้าตาของตนเช่นนี้…คนแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เคารพรักอาจารย์อาดุจฟ้าดินและเห็นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดจริงๆ ก็คง…เป็นคนร้ายกาจที่ต่อหน้าบอกรักลับหลังเอามีดแทงนะขอรับ!” เมื่อเซี่ยไห่หยางเห็นเฉินหานจากไป ในใจก็แค่นเสียงออกมาแล้วเอ่ยเสียงเบากับหวังเป่าเล่อ

เขารู้ว่าเฉินหานมองเขาอย่างขัดหูขัดตา เช่นเดียวกัน เขาก็ขัดหูขัดตาเฉินหานด้วย ที่ก้นบึ้งจิตใจของเซี่ยไห่หยาง คนที่เป็นภัยคุกคามต่อสถานะในใจอาจารย์อาของเขาล้วนแต่เป็นศัตรูทั้งสิ้น โดยเฉพาะเมื่อศึกระหว่างเฉินชิงจื่อและจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกใกล้จะจบลง มันทำให้เซี่ยไห่หยางเอาใจใส่หวังเป่าเล่ออย่างยิ่ง!

หวังเป่าเล่อกระแอมไอ มองไปยังทิศที่เฉินหานจากไป เขาก็ทอดถอนใจเช่นกัน สำหรับลูกชายที่ได้มาอย่างง่ายดายเช่นนี้ ในช่วงนี้เขารู้สึกคุ้นเคยด้วยแล้ว ตอนนี้เมื่ออีกฝ่ายจากไป จึงไม่มีใครมาเรียกขานเขาว่าท่านพ่ออีก ดังนั้นจึงรู้สึกปรับตัวไม่ค่อยได้เล็กน้อย

“เมื่อลูกเติบใหญ่ สุดท้ายก็จะบินจากไปเอง” หวังเป่าเล่อทอดถอนใจพลางลูบคางที่ไร้เครา แล้วหันไปมองเซี่ยไห่หยาง เอ่ยบางอย่างปลอบใจเขา ก่อนจะก้าวอาดๆ พาทุกคนเข้าไปยังดาราจักรไฟ

อุณหภูมิร้อนระอุแผ่กระจายและอวกาศที่คุ้นเคย ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อมึนงงเล็กน้อย เห็นอยู่ชัดๆ ว่าตั้งแต่จากไปจนกระทั่งกลับมาไม่ได้ใช้เวลานานนัก แต่ในความรู้สึกของเขากลับคล้ายว่าวันเวลาผ่านไปไม่รู้จบ

ก่อนที่จะจากไป เขาเป็นดาวพระเคราะห์ เมื่อกลับมา ก็กลายเป็นดารานิรันดร์แล้ว!

ก่อนจากไป เขายังมึนๆ งงๆ เรื่องจักรพิภพไม่รู้สิ้น เมื่อกลับมา เขากลับเข้าใจจักรพิภพไม่รู้สิ้นอย่างถ่องแท้

ก่อนจากไป เขาคิดว่าตัวเขาก็คือตัวเขา เมื่อกลับมา เขากลับระลึกอดีตชาติทั้งหมดได้และรู้ที่มาที่ไปของตนเอง

กล่าวได้ว่าการเดินทางครั้งนี้ได้ส่งอิทธิพลและมีความหมายต่อหวังเป่าเล่อมากมายเหลือเกิน จนทำให้ตอนนี้เขาตกอยู่ในความมึนงง กระทั่งมาถึงดาวเอกเพลิง หลังจากมองเห็นเทพวัวจากที่ไกลๆ เขาก็ฟื้นสติคืนมาอย่างช้าๆ ก่อนประสานหมัดคำนับ

“คารวะผู้อาวุโสเหยียนหลิง!” ไอลีนโนเวล

เทพวัวพ่นลมออกจากปาก ค่อยๆ พยักหน้า สายตากวาดมองหวังเป่าเล่อ ก่อนส่งเสียงหัวเราะออกมา

“เปลี่ยนไปมาก กลับมาแล้วก็ดี”

หวังเป่าเล่อคลี่ยิ้ม กำลังจะกล่าวบางอย่าง แต่เงาร่างร่างหนึ่งก็แล่นมาหาจากภายในดาวเอกเพลิงอย่างรวดเร็ว ยังไม่ทันได้เข้ามาใกล้ ก็มีเสียงดังมาก่อนแล้ว

“เจ้าสิบหกน้อย เจ้ากลับมาได้สักที ศิษย์พี่คิดถึงจะตายแล้ว” ผู้พูดก็คือศิษย์พี่ลำดับสิบห้าหน้าตาเหมือนถั่วงอกผู้นั้นของหวังเป่าเล่อ

“คารวะศิษย์พี่สิบห้า!” หวังเป่าเล่อก็ยิ้มออกมาเช่นกัน ขณะเดียวกันก็กวาดตามอง เขาเห็นว่าด้านหลังของศิษย์พี่สิบห้ายังมีศิษย์พี่คนอื่นๆ อยู่ด้วย

ถึงแม้ศิษย์พี่หญิงใหญ่จะไม่ได้มา แต่ในรอยยิ้มของศิษย์พี่ที่มาเหล่านี้ล้วนมีความห่วงใยดังเดิม ทำให้ภายในใจของหวังเป่าเล่อมีความอบอุ่นแพร่กระจาย ไม่นานก็หลอมรวมเข้าไปในกลุ่มอย่างรวดเร็วแล้วเข้าไปยังดาราจักรไฟ พูดคุยหัวเราะกับเหล่าศิษย์พี่ไปตลอดทาง

หลังจากคุยเรื่องอดีตพักหนึ่งแล้ว หวังเป่าเล่อก็น้อมส่งศิษย์พี่ที่มารับเขา จากนั้นจึงไปคารวะศิษย์พี่หญิงใหญ่ ในถ้ำที่พักของศิษย์พี่ใหญ่นั้น สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคารพนอบน้อม ใบหน้าของศิษย์พี่ใหญ่ก็มีรอยยิ้มประดับอยู่ เอ่ยชี้แนะการฝึกตนระดับดารานิรันดร์เล็กน้อย จากนั้นหวังเป่าเล่อก็เอ่ยขอตัว แล้วไปหา…ศิษย์พี่รอง

แต่น่าเสียดาย ศิษย์พี่รองที่ฝึกฝนวิชาเต๋าเครื่องหอมคล้ายจะหลับอยู่ หวังเป่าเล่อรออยู่ด้านนอกถ้ำที่พักของเขาครู่หนึ่ง ครั้นไม่มีเสียงตอบรับ เขาก็คำนับแล้วจากมา สุดท้าย…ก็เข้าไปคารวะปรมาจารย์แห่งไฟ

ภายในตำหนักหลักของปรมาจารย์แห่งไฟ เมื่อเห็นปรมาจารย์แห่งไฟนั่งขัดสมาธิ นอกร่างคล้ายมีทะเลเพลิงพวยพุ่งอยู่ พลานุภาพของคนทั้งคนราวกับจะปกคลุมทั่วทั้งจักรพิภพได้ หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจลึก ยกชุดคลุมขึ้นแล้วคุกเข่าคำนับ

“ศิษย์คารวะท่านอาจารย์!”

ขณะที่หวังเป่าเล่อกล่าว ปรมาจารย์แห่งไฟที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็ลืมตาขึ้นมาช้าๆ พริบตาที่ดวงตาของเขาปิดและเปิดขึ้นมา ทั่วทั้งดาราจักรไฟก็สะเทือนกึกก้อง ราวกับดวงจิตเทพเปิดดวงตา!

“โชคชะตามีความรู้สึก ดาวเคราะห์เต๋าเลื่อนเป็นนิรันดร์ ไม่เลว เป่าเล่อ…เจ้าไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวัง ดีมาก!” เสียงนั้นดังสนั่นราวกับสายฟ้า ก้องกังวานไปทั่วทุกสารทิศและตกอยู่ในจิตใจของหวังเป่าเล่อ ทำให้จิตใจของเขาสั่นไหว อาการบาดเจ็บทางวิญญาณเทพที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้กับซงอี้จื่อหายเป็นปลิดทิ้งในพริบตา!

ขณะเดียวกับที่ร่างกายของเขาสั่นสะท้าน ก็มีเสียงแตกร้าวดังขึ้น ปราณสีม่วงจำนวนน้อยแผ่ซ่านออกมาทั่วร่างของเขา นี่คือร่องรอยคำสาปที่เหลืออยู่ของชงอี้จื่อ และตอนนี้ก็ได้สลายหายไปจนหมดสิ้นพร้อมกับเสียงของปรมาจารย์แห่งไฟแล้ว

ถ้าหากเขาไม่ลงมือ หวังเป่าเล่อก็สามารถฟื้นฟูได้ด้วยตนเอง แต่ก็ต้องเสียเวลานานสักหน่อย ทว่าตอนนี้เขาหายเป็นปลิดทิ้งในทันที ความรู้สึกแจ่มจัดชัดเจนแพร่กระจายไปทั่วร่าง ทำให้หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ขอบคุณท่านอาจารย์ขอรับ! อาจารย์…ทางด้านเต๋าเก้ารัฐ…”

“ไม่ต้องกังวล เต๋าเก้ารัฐไม่กล้ามาพัวพันอีกต่อไปแล้ว! เรื่องนี้เจ้าทำได้ไม่เลว ต่อไปเมื่อพบเจอคนที่ชอบมาแส่หาเรื่องเช่นนี้ให้ฟันมันทิ้งทันที กลุ่มอัคคีของข้าแต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยกลัวสิ่งใด คำสาปอยู่ในมืออาจารย์มาโดยตลอด ข้าจะดูซิว่าจักรพรรดิสวรรค์ระดับจักรวาลหน้าไหนกล้ามาฆ่าตัวตายไปพร้อมข้าบ้าง!” ปรมาจารย์แห่งไฟเอ่ยเสียงเรียบ สีหน้าเผยความหยิ่งยโสออกมา

ความรู้สึกมีที่พึ่งพาทำให้หัวใจของหวังเป่าเล่ออบอุ่นยิ่งนัก ดังนั้นเขาจึงยกมือขวาขึ้นโบกแล้วนำวิญญาณที่เหลืออยู่ของชงอี้จื่อออกมา

“อาจารย์ วิญญาณนี้…”

“นี่เป็นเรื่องเล็ก ตัวเจ้าจะจัดการอย่างไรก็ให้จัดการตามนั้นเถอะ” ปรมาจารย์แห่งไฟไม่ได้ให้ความสนใจ แต่หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว ดวงตาของเขาก็ฉายแววล้ำลึก ก่อนมองไปยังหวังเป่าเล่อ

“ได้ยินเรื่องของศิษย์พี่เฉินชิงจื่อของเจ้าหรือไม่ เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อ”

หวังเป่าเล่อเงียบงัน ความจริงหลังจากได้ยินเรื่องเกี่ยวกับศิษย์พี่ระหว่างทางกลับ ในใจก็มีความคิดอยู่แล้ว หลังจากครุ่นคิดดู หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าตอบ

“ศิษย์ตั้งใจจะไปสนามรบระหว่างศิษย์พี่กับจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกขอรับ”

“ไปดูศิษย์พี่ของเจ้าหรือ” ปรมาจารย์แห่งไฟเลิกคิ้ว

“ในเมื่อไปต้อนรับการออกมาของศิษย์พี่ ก็ต้องไปดูดซับการตระหนักรู้ที่นั่นด้วยขอรับ พยายามทำให้พลังฝึกปรือของตนก้าวหน้าอีกครั้งให้ได้!” หวังเป่าเล่อกล่าวเสียงเบา นี่คือความคิดที่แท้จริงของเขา

“เจ้าเพิ่งจะทะลวงระดับมา…รีบร้อนขนาดนี้เชียวหรือ” ปรมาจารย์แห่งไฟครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วจึงเอ่ยเสียงต่ำ

“อาจารย์ ศิษย์เห็นเรื่องบางอย่างตอนที่ระลึกอดีตชาติ…จึงต้องการแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมให้เร็วที่สุดขอรับ!” หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึกแล้วเอ่ยเสียงเบา

ปรมาจารย์แห่งไฟเงียบงัน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถอนหายใจ

“สนามรบระหว่างเฉินชิงจื่อและจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกแปรปรวนเกินไป ถึงแม้ความเห็นของสายเลือดราชวงศ์ภายในตระกูลไม่รู้สิ้นจะยังไม่เป็นเอกฉันท์โดยสมบูรณ์ แต่ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็ไม่อาจปล่อยให้จักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกแตกดับเช่นนั้นได้”

“หรือพูดให้ชัดเจนกว่านี้ก็คือ ไม่อาจให้แตกดับโดยที่ไม่ได้ทุ่มเทก่อนได้”

“ในตระกูลไม่รู้สิ้น มีคนต้องการให้เดือนแยกตาย และก็มีคนต้องการให้เดือนแยกรอด แต่ส่วนใหญ่นั้น…ต้องการให้เขากับเฉินชิงจื่อตายไปด้วยกัน”

“ขณะเดียวกัน สำนักแห่งความมืดที่ซ่อนตัวมานานหลายปีก็ไม่อาจนิ่งดูดาย จะต้องลงมือแน่นอน”

“ดังนั้น ถึงแม้ที่นั่นจะมีโอกาสยิ่งใหญ่สะเทือนสวรรค์อยู่ แต่ก็อันตรายและวุ่นวายนัก แม้ตระกูลและสำนักทุกแห่งจะเคยส่งมหาศิษย์ไปแล้ว แต่ผู้ที่ไป…ล้วนไม่ใช่ศิษย์คนสำคัญในสำนัก”

“ที่แห่งนั้น…มีโอกาสยิ่งใหญ่อยู่ และก็มีโอกาสถึงฆาตอย่างมาก เป่าเล่อ เจ้าคิดจะไปจริงๆ หรือ”

………………

เซี่ยไห่หยางมึนงงเล็กน้อย ครู่หนึ่งจึงยังไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับ ด้านเฉินหานตอนนี้ก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด ขณะกำลังพิจารณาว่าควรจะใช้คำเรียกอย่างไรดีและทุกคนเริ่มจากไปไกลแล้วนั้น อวกาศทั้งสี่ทิศของสนามรบแห่งนี้ก็มีกลิ่นอายหลายสายมาเยือนทันที

การต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อและชงอี้จื่อนั้น ถ้าหากรบเร็วจบเร็วคงจะไม่ดึงดูดความสนใจ แต่การต่อสู้ระหว่างพวกเขากินเวลายืดเยื้อเล็กน้อย ขณะเดียวกัน กระบวนเวทเทพที่ใช้ออกมาในตอนท้ายก็ยังน่าสะพรึงเกินไป ดังนั้นจึงดึงดูดความสนใจของผู้เยี่ยมยุทธ์อาวุโสบางส่วนได้เป็นธรรมดา

แม้ว่าการลงมือของชงอี้จื่อจะมีการแทรกแซงเหตุต้นผลกรรมจากจื่อเยว่ แต่ก็ไม่อาจส่งผลต่อเหตุที่เกิดทั้งหมด ดังนั้นตอนนี้เมื่อกลิ่นอายเหล่านั้นตกลงมา ร่องรอยทั้งหมดบนสนามรบจึงถูกกลิ่นอายที่มาถึงเหล่านี้กวาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ระหว่างพวกเขาไม่ได้มีบทสนทนาอะไรกัน มีเพียงความตื่นตะลึงของกันและกันและความหวาดกลัวเมื่อมองไปยังทิศทางที่หวังเป่าเล่อจากไป!

สิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวคือทวนกระแสเวลาอันแปลกประหลาดของหวังเป่าเล่อ ยิ่งกว่านั้นคือ…ดวงจิตที่มาจากส่วนลึกของจักรวาลราวกับไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น!

นั่นเป็นการมีอยู่อันน่าสะพรึงที่สามารถทำให้ภาพฉายของระดับจักรวาลผู้หนึ่งเงียบงันไปแล้วไม่กล้าหันหน้ามา และการมีอยู่เช่นนี้…พวกเขาได้ยินจากคำพูดของหวังเป่าเล่อแล้ว นั่นคือพ่อตาของเขา…

ดังนั้นหลังจากเงียบงันไป ถึงแม้กลิ่นอายที่มาเยือนเหล่านี้จะจากไปทีละคนๆ แต่เรื่องเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อและชงอี้จื่อก็แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว

เป็นเพราะความสะเทือนฟ้าสะเทือนดินของการต่อสู้ ข่าวจึงแพร่กระจายอย่างรวดเร็วมาก เพียงเวลาเจ็ดแปดวัน ขณะที่หวังเป่าเล่อและคณะยังอยู่ระหว่างทางกลับดาราจักรไฟ ภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย สำนักใหญ่และตระกูลระดับสูงแทบจะทั้งหมดก็ทราบข่าวนี้

ทันใดนั้น เสียงอุทานตกใจก็ดังขึ้นจากที่ต่างๆ ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย!

“เซียนเต๋าลำดับสองแห่งเต๋าเก้ารัฐ ชงอี้จื่อ พ่ายแพ้ให้หวังเป่าเล่อและถูกจับกุมหรือ!”

“หวังเป่าเล่อเลื่อนขั้นเป็นดารานิรันดร์หรือ!”

“ได้ยินว่าการต่อสู้ครั้งนี้ยังมีภาพฉายของระดับจักรวาลและพลังนอกจักรพิภพด้วย!”

ชื่อเสียงของหวังเป่าเล่อเดิมก็เป็นเพราะได้รับดาวเคราะห์เต๋าและเรื่องที่ดาวเคราะห์ชะตา เขาจึงได้รับความสนใจจากขั้วอำนาจมากมายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย เมื่อได้รับความสนใจแบบในปัจจุบันแล้วยังมาเกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก ดังนั้นไม่นานชื่อเสียงของเขาก็ระบือไปทั่วทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายแล้ว

ขณะเดียวกัน คณะหวังเป่าเล่อยังอยู่ระหว่างทางกลับดาราจักรไฟ เมื่อการต่อสู้ของเขากับชงอี้จื่อถูกพูดต่อไปเรื่อยๆ ชื่อเสียงเขาก็แพร่หลายยิ่งขึ้นไปอีก ถึงขั้นที่จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้สิ้นและจักรพิภพสำนักเสริมก็ยังรู้เรื่องกันแล้ว แต่ยังมีอีกเรื่องที่สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย!

ปรมาจารย์แห่งไฟนั่งอยู่บนหลังของเทพวัว ได้เดินทางมาเยือนภายในประตูภูเขาเต๋าเก้ารัฐของสำนักอันดับหนึ่งแห่งเต๋าฝั่งซ้ายแล้ว!

ทันทีที่มาถึง ประโยคแรกที่เขาเอ่ยก็คือ…

“เต๋าเก้ารัฐ กล้ามาลงมือกับศิษย์ของข้า พวกเจ้า…รังแกกันมากเกินไปแล้ว!” หลังจากเอ่ยจบ เขาก็ระเบิดพลังฝึกปรือทั้งหมดออกมา ลงมือไปยังผู้อาวุโสสองสามคนของเต๋าเก้ารัฐด้วยท่าทางหยาบคายไร้เหตุผลและใช้วิธีการรุนแรงเอาแต่ใจทันที ใช้กำลังของคนคนเดียว แต่กลับสยบผู้อาวุโสทั้งสี่คนของเต๋าเก้ารัฐได้!

ผู้อาวุโสสี่คนนี้ล้วนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพ แต่ด้วยน้ำมือของปรมาจารย์แห่งไฟ ทั้งสี่ต่างบาดเจ็บ พอร่วมมือกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปรมาจารย์แห่งไฟ แค่ฝ่ามือเดียวของท่านเพลิงกัลป์ก็ทุบทำลายป้ายประตูภูเขาของเต๋าเก้ารัฐแล้ว!

เรื่องนี้สะเทือนไปทั่วทั้งแปดทิศ จนกระทั่งในที่สุดบรรพบุรุษระดับจักรวาลเพียงคนเดียวของเต๋าเก้ารัฐที่กักตนมาตลอดปีก็ปรากฏตัว ต้องใช้หนึ่งนิ้วชี้ลงไป ถึงพอจะบีบให้ปรมาจารย์แห่งไฟล่าถอยได้

แต่ขณะที่ถูกบีบให้ถอย ปรมาจารย์แห่งไฟที่อยู่บนฟ้าเหนือประตูภูเขาเต๋าเก้ารัฐก็มีเปลวเพลิงลุกโชนมหึมาไปทั่วร่าง พลังคำสาปปะทุออกมาในตอนนี้เอง แต่กลับไม่ได้มีความหวาดกลัวใดๆ เลย กลับกันยังคำรามด้วยความบ้าคลั่งเล็กน้อยออกมาอีก

“ผีเฒ่าเก้าเต๋า เจ้าลองชนนิ้วใส่ข้าอีกทีสิ!”

“คนอื่นกลัวเจ้า แต่ข้าไม่ เจ้าชนนิ้วใส่ข้าอีกสิ เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะสาปเจ้า คำสาปของข้าผู้เฒ่าอัดอั้นเอาไว้มาหลายพันปีแล้ว เจ้าอยากจะลองหรือไม่!”

เมื่อเผชิญหน้ากับความยโสโอหังของปรมาจารย์แห่งไฟ บรรบุรุษเต๋าเก้ารัฐผู้นั้นก็เงียบงัน แม้ว่าในใจจะแช่งด่าไปทั่ว แต่ก็อับจนปัญญาอย่างยิ่ง…หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น เมื่อเจอกับคนบ้าที่มีพลังสามารถตกตายไปพร้อมกับตนได้เช่นนี้ก็คงจะรู้สึกปวดหัว

เป็นเพราะคำสาปของปรมาจารย์แห่งไฟมีชื่อเสียงไปทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นจริงๆ หากบีบคั้นเขาหนักเกินไปจนต้องใช้คำสาปออกมา…เกรงว่าจะเป็นหายนะที่ไม่เคยมีมาก่อนของเต๋าเก้ารัฐแน่ๆ

ดังนั้น สุดท้ายแล้ว…บรรพบุรุษท่านนี้ของเต๋าเก้ารัฐก็ไม่ได้ทำร้ายปรมาจารย์แห่งไฟเนื่องจากความหวาดหวั่น เพียงแต่บีบให้ล่าถอยเท่านั้น ถึงอย่างไรการระเบิดอารมณ์ครั้งนี้ของปรมาจารย์แห่งไฟก็มีเหตุผลอยู่ เป็นเพราะชงอี้จื่อจะลงมือสังหารศิษย์ของเขาก่อน ถึงแม้ตัวของชงอี้จื่อจะถูกหวังเป่าเล่อจับกุมไว้ แต่ในฐานะอาจารย์ ก็มีเหตุผลให้มาขอคำอธิบายเรื่องนี้ ไอลีนโนเวล

เรื่องนี้สั่นสะเทือนจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ทำให้คนมากมายต่างรู้เรื่อง พร้อมกันนั้น พวกเขาต่างก็สัมผัสได้ถึงการเข้าข้างของปรมาจารย์แห่งไฟที่มีอยู่แต่ในตำนาน จึงจำเป็นต้องตัดความคิดทุกประการที่เกี่ยวกับศิษย์ของเขาหวังเป่าเล่อไปเสียครึ่งหนึ่ง ถึงอย่างไรหากแตะต้องหวังเป่าเล่อ ก็ต้องเตรียมตัวเผชิญหน้ากับการแก้แค้นของปรมาจารย์แห่งไฟที่บ้าคลั่งและสามารถลากระดับจักรวาลให้พังพินาศไปพร้อมกันได้

ขณะเดียวกัน ทางฝั่งเต๋าเก้ารัฐทำได้เพียงอดกลั้น จำต้องละทิ้งการไล่ตามวิญญาณเทพของเซียนเต๋าลำดับสองของตนกลับมา ทำให้ข้อพิพาทสุดท้ายของการต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อและชงอี้จื่อถูกระงับเอาไว้

ส่วนปรมาจารย์แห่งไฟ เมื่อเห็นด้วยแล้วก็เก็บพลังกลับ ไม่ได้พัวพันต่ออีก หลังจากเบ่งอำนาจเรียบร้อยก็จากไปทันที เพียงแต่…บางทีปีนี้คงเป็นปีที่มีเรื่องมากของทั้งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย เพราะหลังจากหวังเป่าเล่อสยบชงอี้จื่อและปรมาจารย์แห่งไฟมาโวยวายอยู่ที่เต๋าเก้ารัฐ ไม่นานหลังจากนั้น…ก็เกิดเรื่องที่สามขึ้น

ความสะเทือนเลื่อนลั่นของเรื่องนี้เกินกว่าการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อกับชงอี้จื่อ และเกินกว่าการโวยวายของปรมาจารย์แห่งไฟที่เต๋าเก้ารัฐเสียอีก ถึงขั้นที่ไม่ได้เกิดระลอกคลื่นเพียงแค่กับจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายเท่านั้น แต่ยังส่งผลไปยังตระกูลไม่รู้สิ้นที่สูงส่งที่สุด…ในจักรวาลแห่งนี้ด้วย!

เรื่องที่ว่านี้ก็คือ…เฉินชิงจื่อ คล้ายกำลังจะกลับมาจากสภาวะปิดผนึกแล้ว!

หลายปีก่อน จักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นได้วางแผนต่อต้านเฉินชิงจื่อ ใช้เตาหลอมแปดขามาเป็นตาวงแหวน รวบรวมพลังดาราจักรนับแสนมาเป็นวงแหวนปราณใหญ่ แล้วสยบเขาเอาไว้ข้างใน ต้องการจะสังหารเฉินชิงจื่อ

เรื่องนี้เกี่ยวพันกับความแค้นของคนสองคน ขณะเดียวกันเบื้องหลังก็ยังมีการสนับสนุนจากราชวงศ์ส่วนหนึ่งของตระกูลไม่รู้สิ้น แต่ถึงแม้จักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกจะเตรียมตัวมานานมาก ทว่าก็ยังคิดไม่ถึงว่าเฉินชิงจื่อจะระเบิดพลังออกมาในยามที่เสียเปรียบอย่างที่สุด เขารวบรวมเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดและเปลี่ยนร่างจนหลุดพ้นจากวงแหวนปราณ ยังไม่ทันได้จากไป วงแหวนปราณก็ย้อนกลับไปล้อมจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกกับแม่ทัพทหารสวรรค์จำนวนมากใต้บัญชาเอาไว้แทน

การต่อสู้เริ่มต้นขึ้น ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ผู้ใต้บังคับบัญชาของจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกจำนวนมากก็หายตัวไปจากความทรงจำของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทีละคนๆ นี่เป็นสัญญาณว่าพวกเขาถูกสำนักมืดทำลายแล้ว และเป็นเพราะเหตุนี้ ท่ามกลางความหวาดกลัวจึงทำให้ตระกูลไม่รู้สิ้น และสำนักแต่ละแห่งให้ความสนใจสูงสุดกับศึกเทพครั้งนี้ที่เกิดขึ้นยังบริเวณระหว่างจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย และจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้สิ้น

แต่ในการพยากรณ์จากสำนักใหญ่เหล่านั้น และตระกูลไม่รู้สิ้นต่างก็บอกว่าศึกครั้งนี้อาจจะต้องใช้เวลาอีกพักหนึ่งถึงจะจบ อีกทั้งถึงอย่างไรจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกก็เป็นถึงระดับจักรวาล แม้ว่าจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แต่บางทีศึกครั้งนี้ก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ดังนั้นพวกเขาจึงมีเวลาพอให้เตรียมตัว ตัดสิน และชั่งน้ำหนักว่าควรจะทำอย่างไร

แต่หลังจากที่ปรมาจารย์แห่งไฟมาโวยวายยังเต๋าเก้ารัฐ ภัยพิบัติก็เกิดขึ้นแล้ว

ภายในตระกูลไม่รู้สิ้น ตะเกียงเจ้าชะตาของจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกก็เริ่มริบหรี่และมีวี่แววจะดับลง และในความทรงจำของผู้คนมากมาย ภาพจำเกี่ยวกับจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกก็เริ่มจะสลายหายไปแล้ว!

ถึงแม้จะไม่ได้หายไปจนหมด แต่ทั้งหมดนี้ก็พอจะอธิบายได้แล้วว่าจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกนั้น…ตกอยู่ในสภาพที่ใกล้จะแตกดับ เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ตระกูลไม่รู้สิ้นจะยังเตรียมการได้ไม่เต็มที่ แม้ราชวงศ์หลายตระกูลจะยังมีเสียงค้านและยังไม่มีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แต่ก็จำเป็นต้องรีบหาวิธีจัดการโดยเร็ว

ขณะเดียวกัน…สำนักและตระกูลระดับสูงทั้งหมดภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นก็มุ่งความสนใจไปที่ศึกระหว่างเฉินชิงจื่อและเดือนแยก ไม่เพียงเท่านี้ ตระกูลและสำนักเหล่านี้ก็ยังส่งมหาศิษย์ของตนเคลื่อนพลไปยังขอบสนามรบพร้อมกัน

เพราะว่า…ทันทีที่จักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกแตกดับ ด้วยพลังฝึกตนอันกว้างใหญ่ไพศาลตลอดช่วงชีวิตของเขา จะทำให้หลังจากตายไป เขาก็จะระเบิดเจตจำนงเต๋าและกฎเกณฑ์ที่ยากจะจินตนาการออกมา แล้วยังมีปราณวิญญาณผันผวนที่น่าสะพรึงอีก

และเรื่องเหล่านี้…สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ล้วนเป็นโอกาสและโชค ยิ่งพรสวรรค์ดีเท่าไร ประโยชน์ที่จะได้รับก็ยิ่งมากเท่านั้น!

ขณะเดียวกันนอกจากจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกแล้ว เหล่าแม่ทัพสวรรค์ใต้บังคับบัญชาของเขาเหล่านั้นก็ยังเป็นของบำรุงที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย ถึงแม้ตระกูลไม่รู้สิ้นจะไม่ยินดีกับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่สามารถทนต่อความโลภของสำนักใหญ่และตระกูลทั้งหมดได้

เมื่อเทียบกับสิ่งนี้แล้ว การต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อและชงอี้จื่อจึงไม่สลักสำคัญอะไรเลย ไม่มีใครพูดถึงมันอีกต่อไป ความสนใจทั้งหมดล้วนอยู่ที่…สมรภูมิศึกเทพของเฉินชิงจื่อและจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยก!

……………………

แทบจะในพริบตาที่หวังเป่าเล่อพึมพำบทสวดแห่งเต๋าที่ก้นบึ้งหัวใจ เงาหลังในภาพวาดของชงอี้จื่อที่เป็นม้วนกระดาษก็หันหน้ามาครึ่งร่าง เมื่อมองไปก็จะเห็นหน้าด้านข้างขนาดเล็ก

นั้นคือชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง สันจมูกโด่ง คิ้วยาว แม้แต่พวกเซี่ยไห่หยางที่อยู่ไกลๆ เพียงกวาดตามองก็พากันกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ใจสั่นจนแทบจะพังทลายลงมา

ส่วนชายวัยกลางคนในม้วนกระดาษผู้นี้ ประกายแสงในดวงตาด้านข้างของเขาราวกับมีพลังสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน ทำให้ขณะนี้อวกาศด้านนอกม้วนภาพเกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นไม่หยุด

พร้อมกันนั้น ตอนนี้เองพลังกดดันสยบที่ทรงพลังยิ่งกว่าก็ระเบิดออกมาอย่างรุนแรงเหลือล้ำ ถึงแม้พลังนี้จะมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่คล้ายจะเป็นระลอกคลื่นไร้รูป เมื่อมันแผ่กระจาย อวกาศที่เดิมทรุดลงอยู่แล้วกลับพังทลายอย่างสมบูรณ์!

อวกาศเสมือนกระจกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ กลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยนับไม่ถ้วนกระเด็นว่อน ท่ามกลางเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น เรือรบที่พวกเซี่ยไห่หยางอยู่ก็พังทลายในพริบตา โชคดีที่พวกเขาถอยออกมาเรื่อยๆ ตอนที่หวังเป่าเล่อกับชงอี้จื่อประมือกัน ดังนั้นเมื่อเรือรบถูกทำลายตอนนี้ ถึงแม้พวกเขาจะกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง แต่ก็ยังนับว่าพอจะทรงตัวให้มั่นได้ ขณะเดียวกันก็ใช้เคล็ดวิชาลับของแต่ละคนโจมตีออกมาเพื่อส่งร่างของตนให้ถอยหลังอย่างรวดเร็ว

กระทั่งถอยไปยังบริเวณที่ห่างไกลอย่างยิ่งแล้วจึงหยุดลง ทั้งประหลาดใจและสับสน สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น

สำหรับหวังเป่าเล่อ…เพราะเขาอยู่ใกล้กับม้วนกระดาษมากเกินไป ดังนั้นผลกระทบที่ได้รับย่อมมีมากที่สุด เมื่อพลังกดดันสยบกลายเป็นคลื่นไร้รูปพุ่งเข้ามา ทั่วร่างของหวังเป่าเล่อก็สั่นสะเทือนรุนแรง ถึงแม้แสงดำของดาวเคราะห์เต๋าด้านหลังจะส่องวูบวาบคล้ายกำลังต่อต้าน ถึงแม้กายเนื้อของเขาจะทนรับได้เพราะเป็นกระดานไม้ดำ แต่สุดท้ายวิญญาณเทพของเขาก็ยากจะต่อต้านพลังกดดันที่มาจากผู้ฝึกตนระดับจักรวาล

ถึงแม้…นี่จะเป็นภาพฉายของระดับจักรวาลก็ตาม แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว มันยังยิ่งใหญ่ราวสรวงสวรรค์!

และพลังของบทสวดแห่งเต๋าก็ไม่อาจใช้ออกมาได้ในทันที มีความล่าช้าเล็กน้อย ถึงจะล่าช้าอยู่ไม่นาน แต่ก็ยังเป็นบททดสอบที่รุนแรงสำหรับหวังเป่าเล่ออยู่ดี

ถึงขั้นที่อาจกล่าวได้ว่าพลังเทพเช่นที่ชงอี้จื่อใช้ออกมาได้นั้น เหนือยิ่งกว่าระดับขั้นดารานิรันดร์ไปแล้ว ต่อให้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพก็เกรงว่าจะได้รับผลกระทบด้วย แค่คิดก็รู้แล้วว่าการใช้เคล็ดวิชานี้ออกมา จะต้องแลกด้วยสิ่งที่ยากจะบรรยายของชงอี้จื่ออย่างแน่นอน!

อย่างไรเสีย หากบอกว่าเคล็ดวิชานี้สามารถบดขยี้สังหารดารานิรันดร์ทั้งหมดได้ก็ไม่เกินจริงเลยสักนิด

แต่…ในแง่นี้ไม่นับรวมหวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่อในตอนนี้ถึงแม้จะตัวสั่นระริก ถึงแม้แผนที่ดวงดาวกำลังจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ถึงแม้วิญญาณเทพดูคล้ายจะพังทลายได้ทุกเมื่อท่ามกลางคลื่นโหมกระหน่ำ แต่ในดวงตาของเขากลับเผยจิตวิญญาณการต่อสู้อันน่าตะลึงออกมา

ถึงแม้เคล็ดวิชาที่ชอี้จื่อใช้ออกมาเป็นครั้งสุดท้ายนี้จะเกินกว่าที่หวังเป่าเล่อจินตนาการเอาไว้ แต่เคล็ดวิชาลับของเขามีอยู่มากมาย นอกจากบทสวดแห่งเต๋าแล้ว เขายังมี…การระลึกอดีตชาติที่ดาวเคราะห์ชะตาอยู่ และได้เรียนรู้…วิถีแท้จริง!

“จันทร์ข้างแรม!” แทบจะในพริบตาที่แผ่นหลังในม้วนภาพวาดหันมาครึ่งเล็กๆ และระเบิดพลังสยบยั้งมหาศาลออกมานั้น หวังเป่าเล่อก็คำรามเสียงแหบแห้ง

สองมือยกขึ้นผนึกมุทราแล้วชี้ไปยังม้วนกระดาษ…ในทันใด!

ภายใต้นิ้วที่ชี้ไปนี้ อวกาศที่แตกสลายทั้งสี่ทิศก็สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นกะทันหัน พลังแปลกประหลาดสายหนึ่งราวกับเข้ามาบรรจบกับกฎเกณฑ์อันไร้ที่สิ้นสุดของห้วงจักรวาล และชักนำ…กฎแห่งกาลเวลา

กาลเวลามาสถิต!

ทวนกระแส…ยี่สิบอึดใจ!!

ถ้าหากเปลี่ยนเป็นระดับจักรวาลที่แท้จริงล่ะก็ ต่อให้หวังเป่าเล่อจะมีกฎกาลเวลาจันทร์ข้างแรมก็เกรงว่าคงยากจะส่งผลใดๆ ต่อระดับจักรวาลแน่ แค่สายตาและลมหายใจเดียวของอีกฝ่ายก็พอจะทำให้กระบวนเวทของเขาพังทลาย ร่างและจิตบุบสลายแล้ว

แต่ตอนนี้เป็นเพียงภาพฉายเท่านั้น…แม้ว่าเขายังไปไม่ถึงระดับที่จะใช้ทวนกระแสยี่สิบลมหายใจของเคล็ดวิชาจันทร์ข้างแรมออกมาได้ทั้งหมด แต่…ก็ยังสามารถทวนกระแสสามถึงห้าลมหายใจได้อยู่

ดังนั้นขณะที่เคล็ดวิชาจันทร์ข้างแรมถูกใช้ออกมา อวกาศที่พังทลายจนแตกเป็นเสี่ยงๆ รอบด้านก็วกกลับในพริบตา ราวกับสมานบาดแผล เลือดที่พวกเซี่ยไห่หยางที่อยู่ไกลๆ กระอักออกมาไหลกลับเข้าไปในปาก ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างไม่อาจควบคุมได้

เรื่องเหล่านี้ยังไม่นับเป็นอะไร แต่สิ่งที่ทำให้ตกตะลึงอย่างแท้จริงคือการโจมตีสยบที่จู่โจมมาหาหวังเป่าเล่อจนทำให้วิญญาณเทพของเขาเกือบจะแตกสลาย ตอนนี้มันดันไหลกลับจากด้านหน้าของเขาเข้าสู่ภายในม้วนภาพวาดที่คลี่ออกมาทันที เงาร่างที่หันมาครึ่งหนึ่งจึงหันกลับไปอย่างรวดเร็ว

เพียงแต่…จันทร์ข้างแรมของหวังเป่าเล่อก็ทำได้เพียงเท่านั้น สามารถส่งผลต่ออวกาศโดยรอบได้ สามารถส่งผลต่อทุกคนทั่วทั้งแปดทิศได้ สามารถส่งผลต่อกฎเกณฑ์ กฎเวท และพลังสยบยั้งได้ แต่กลับ…ไม่อาจส่งผลต่อเงาร่างในม้วนภาพวาด!

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นดารานิรันดร์ แต่เงาร่างในภาพกลับเป็นภาพฉายจากระดับจักรวาล แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ ถ้าหากมีผู้เยี่ยมยุทธ์อาวุโสมาอยู่ที่นี่แล้วมองเห็นภาพตรงหน้าด้วยตาตนเอง ในใจก็จะต้องกู่ร้องลั่นด้วยความหวาดผวาจนหน้าถอดสี

เพราะ…ทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น มันแทบจะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนที่ดารานิรันดร์จะสามารถสั่นคลอนภาพฉายของระดับจักรวาลได้ หากว่าสั่นคลอนได้เพียงเล็กน้อยก็นับเป็นปาฏิหาริย์แล้ว!

นี่ไม่อาจแสดงถึงความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อได้ แต่กลับแสดงถึง…เคล็ดวิชาที่หวังเป่าเล่อใช้ ในด้านระดับชั้น วิชานี้เหนือกว่า…เหนือกว่าพลังเทพของระดับจักรวาลเสียอีก!

เรื่องนี้ถ้าหากคิดอย่างดีแล้วจะต้องรู้สึกหวาดกลัวอย่างแน่นอน!

ตอนนี้ ขณะที่เกิดเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ถึงแม้เงาร่างด้านในม้วนภาพวาดจะไม่ได้รับผลกระทบ แต่ก็ส่งเสียงอุทานออกมาแล้วหันกายอย่างรวดเร็วราวกับต้องการจะมองมายังหวังเป่าเล่ออย่างแท้จริง

แต่…ยังช้าไปในเรื่องของเวลา ถึงแม้จันทร์ข้างแรมของหวังเป่าเล่อจะทำให้เวลาไหลทวนกระแส ทว่าไม่ได้ส่งผลต่อทั่วทั้งจักรวาล ส่งผลเพียงแค่ในอวกาศผืนนี้เท่านั้น ดังนั้น…การไหลของเวลาที่อยู่นอกบริเวณนี้ยังคงเป็นปกติ ดังนั้น…ชั่วขณะที่เงาร่างในม้วนภาพวาดกำลังจะหันหน้ามาเต็มๆ…พลังของบทสวดแห่งเต๋าก็ปะทุออกมาหลังจากล่าช้าไปทันที! ไอลีนโนเวล

กลิ่นอายที่ไม่ได้เป็นของอวกาศผืนนี้และไม่ได้เป็นของจักรวาลแห่งนี้ คล้ายออกมาจากนอกอวกาศอันไกลโพ้นในชั่วพริบตา ขณะที่มันมาเยือน…ก็เหมือนกับเทพสวรรค์ที่กำลังหลับใหล ตอนนี้เอง…มันพลันลืมตาขึ้นที่ด้านนอกอวกาศ มองไปยังจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น มองไปยังทางออกของดาวเคราะห์ชะตา มองไปยังสนามรบแห่งนี้ มองไปยัง…ชงอี้จื่อในร่างม้วนกระดาษ จนกระทั่งมองเห็นเงาร่างด้านในม้วนภาพวาดที่พยายามหันหน้ามา!

อวกาศสะเทือนเลื่อนลั่น สั่นไหวไปทั่วทุกสารทิศ ทั้งสนามรบราวกับถูกแช่แข็งในชั่วขณะนี้เอง พวกเซี่ยไห่หยางยิ่งสูญเสียสติสัมปชัญญะไป ส่วนเงาร่างด้านในม้วนภาพวาดก็หยุดชะงักกะทันหัน!

เขากลับไม่กล้าหันหน้าต่ออีกแล้ว!

ราวกับตกตะลึง ราวกับถูกติดตรึงไว้ ราวกับเกิดวิกฤตถึงชีวิตร้ายแรงขึ้นมา ทำให้เงาร่างนี้มีอาการสั่นไหวและมีสัญชาตญาณบอกว่าถ้าหากหันหน้าต่อไปจนเสร็จสมบูรณ์ก็จะเป็นเวลาตายของตน!

ภาพนี้ทำให้ความตื่นเต้นของหวังเป่าเล่อพุ่งสูงขึ้นท่ามกลางความประหม่า สายตาของเขาฉายแสงแปลกประหลาด จดจ้องไปยังเงาร่างในม้วนภาพวาดราวกับอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ไม่นานหวังเป่าเล่อก็มองเห็นเงาร่างในม้วนภาพวาดเงียบงันไปสองสามอึดใจแล้วค่อยๆ หันร่างที่หันมาครึ่งหนึ่งของตน…กลับไปช้าๆ!!

“แบบนี้ก็ได้หรือ” หวังเป่าเล่อกะพริบตา มองเงาร่างในม้วนภาพวาดกลายเป็นเงาแผ่นหลังอีกครั้ง มันไม่ได้หยุดแค่นั้น แต่กลับวิ่งไปยังที่ไกลๆ ในภาพวาด จนกระทั่งวิ่งไปถึงท้ายภาพวาดสุดท้าย…แล้วก็หายไป!

“หนีไปแล้วหรือ”

หวังเป่าเล่อชะงักงัน จากนั้นก็สังเกตเห็นว่าม้วนกระดาษที่ไม่มีภาพวาดอยู่คล้ายต้องแบกรับแรงสะท้อนกลับจนพังทลายอย่างกะทันหัน ก่อนจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ในทันที ยิ่งกว่านั้นคือมีเสียงกรีดร้องน่าเวทนาจากวิญญาณเทพที่ดังขึ้นมาพร้อมการพังทลายนี้ด้วย

จากนั้น หวังเป่าเล่อก็มองเห็น…วิญญาณเทพของชงอี้จื่อ!

ดวงวิญญาณเทพในตอนนี้เล็กกว่าก่อนหน้านี้ถึงเก้าเท่า อ่อนแอเปราะบางถึงขีดสุด เมื่อมันปรากฏตัว แม้ไม่อาจคงสติไว้ได้จนเป็นลมไปท่ามกลางเสียงกรีดร้องแล้วถูกมือขวาของหวังเป่าเล่อยกจับเอาไว้ทันที ก่อนจะบีบอยู่ในมือโดยตรง

หลังจากโยนมันลงไปในกระเป๋าคลังเก็บแล้ว หน้าอกของหวังเป่าเล่อก็กระเพื่อมขึ้นลง สัมผัสได้ว่าตอนนี้กลิ่นอายที่มาจากบทสวดแห่งเต๋าได้สลายหายไปอย่างรวดเร็ว และยังสัมผัสได้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ได้ดึงดูดกลิ่นอายที่อยู่รอบด้านมาไม่น้อย ราวกับกำลังสังเกตการณ์ที่นี่อยู่ เขากะพริบตาสองสามครั้งแล้วหันกายประสานหมัดคารวะอย่างล้ำลึกไปยังอวกาศที่ไกลๆ ในทันที

“ขอบคุณท่านพ่อตาอย่างยิ่งขอรับ!”

เสียงของเขาดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ จนแพร่ไปถึงหูของพวกเซี่ยไห่หยางที่ตอนนี้ค่อยๆ กลับมามีสติทีละน้อย ทำให้สีหน้าของพวกเซี่ยไห่หยางเปลี่ยนไปหลังจากตกตะลึง

ยังไม่ทันที่ความหวาดกลัวในใจของพวกเขาจะเงียบสงบ หวังเป่าเล่อก็จัดระเบียบเสื้อผ้าของตนแล้วลอบกลืนยารักษา จากนั้นจึงสวมท่าทางสูงส่งเช่นเคย ก่อนจะหันกายเดินไปหาพวกเขา แค่สามก้าวก็มาถึงด้านหน้าใกล้กับพวกเซี่ยไห่หยาง เฉินหาน และองครักษ์เต๋าดารานิรันดร์เหล่านั้น ก้มหน้ากวาดตามองพวกเขาแล้วเอ่ยเสียงเรียบ

“เรื่องพ่อตาของข้า อย่าได้แพร่งพรายไปทั่ว ไปกันเถอะ กลับดาราจักรไฟกัน” กล่าวพลาง หวังเป่าเล่อก็นำมือไพล่หลัง แล้วเดินไปข้างหน้า

เซี่ยไห่หยางและเฉินหานมองหน้ากันและกัน ล้วนแต่มองเห็นความตะลึงงันในสายตาของอีกฝ่าย พวกเขารีบตามไปโดยเร็ว ส่วนองครักษ์เต๋าที่อยู่รอบๆ ตอนนี้ก็ยิ่งมีอาการแบบเดียวกัน สายตาที่พวกเขามองไปยังหวังเป่าเล่อดูหวาดกลัวเหลือคณา จากนั้นก็พากันติดตามไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ตามไปนั้น เฉินหานก็หันหน้าไปมองเซี่ยไห่หยางที่ยังอยู่ในความตกตะลึงทันที ก่อนเร่งรีบเอ่ย

“เจ้าว่า…ข้าควรเรียกพ่อตาของท่านพ่อว่าอะไรดี”

………………

กริชทั้งสามเล่มก่อตัวขึ้นจากพลังปราณมืด กะโหลกใหญ่เล็กจำนวนนับไม่ถ้วนรอบๆ ใบมีดกริชดูเหมือนของจริง ตอนนี้กำลังแผดเสียงร้องอยู่

คนนอกไม่ได้ยินเสียงแผดร้องนี้ มีเพียงชงอี้จื่อเท่านั้นที่ได้ยิน มันจึงโจมตีจิตใจของเขาอย่างมหาศาล แม้ว่าเขาจะเป็นดารานิรันดร์ชั้นปลาย แต่เมื่อโดนเสียงแผดร้องเหล่านี้โจมตีก็ยังมีเลือดออกมาจากทวารทั้งเจ็ด ร่างกายถอยหลังสั่นเทิ้มอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้!

พริบตาเดียว กริชเล่มแรกก็แทงเข้าไปในทรวงอกของชงอี้จื่อด้วยความเร็วที่ไม่อาจบรรยาย เมื่อมันแทงลงไป กริชเล่มนี้ก็กลายเป็นปราณมืดอีกครั้ง แล้วแทรกซึมเข้าไปในร่างกายอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่ปราณมืดเข้าสู่ร่าง ชงอี้จื่อกรีดร้องเจ็บปวดเหลือแสนออกมา เลือดเนื้อทั่วร่างของเขาคล้ายถูกกัดกร่อนในชั่วขณะ มันแห้งเหี่ยวทันที ถ้าแค่แห้งเหี่ยวอย่างเดียวก็แล้วไปเถอะ แต่หลังจากแห้งเหี่ยว เลือดและเนื้อเหล่านี้กลับ…ละลาย!!

ละลายกลายเป็นเลือดสีดำหยดแล้วหยดเล่า ขณะที่ชงอี้จื่อถอยหลัง มันก็ไหลหลั่งออกมาจากร่างของเขาไม่หยุด พร้อมกับล่องลอยไปทั่วอวกาศ สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสายตาของหวังเป่าเล่อจึงไม่ใช่ชงอี้จื่ออย่างก่อนหน้านี้แล้ว แต่เป็น…โครงกระดูก!

ภาพนี้ทั้งเซี่ยไห่หยางและเฉินหานที่มองดูจากที่ไกลๆ ต่างก็รู้สึกชาหนังศีรษะ หายใจหอบถี่ จิตใจเกิดคลื่นยักษ์มหึมาซัดสาดเพราะคำสาปนี้ของหวังเป่าเล่อโหดร้ายเกินไป เหี้ยมถึงขีดสุด อีกทั้งอานุภาพก็ยังทำให้คนใจสั่นสะเทือนด้วยเช่นกัน

ควรรู้ว่าชงอี้จื่อนั้นเป็นดารานิรันดร์ชั้นปลาย อีกทั้งยังเป็นเซียนเต๋าลำดับสองแห่งเต๋าเก้ารัฐ เขาไม่เพียงแต่มีพลังฝึกปรืออยู่ระดับชั้นสูงสุด แต่กายเนื้อของเขาก็อยู่ระดับแบบเดียวกันด้วย ดังนั้นแม้จะบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้กับหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ แต่ก็บาดเจ็บที่ร่างเยอะเท่านั้นเอง

แต่ตอนนี้…นี่ไม่ใช่อาการบาดเจ็บแล้ว นี่มันไม่มีเลือดไม่มีเนื้อเลยสักนิด เมื่อเทียบได้เช่นนี้ ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของคำสาปของหวังเป่าเล่อ!

นั่นคือความร้ายกาจแบบที่ไม่สนใจความแข็งแกร่งของกายเนื้อ แต่ใช้แรงอาฆาตกับพลังชีวิตของตนเพื่อสังหาร!

เห็นได้ชัดว่าคำสาปวิญญาณเพลิงของหวังเป่าเล่อยังไม่จบสิ้น ถึงแม้เสียงกรีดร้องของชงอี้จื่อจะหยุดลงพร้อมกับเลือดเนื้อที่สลายหายไป แต่กริชเล่มที่สองกลับพุ่งเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วแล้วแทงลงทันทีโดยไม่ให้โอกาสเขาได้ต่อต้านหรือหลบหลีกเลยสักนิดเดียว!

ขณะที่แทงลงมา กริชเล่มนี้ก็กลายเป็นปราณมืดเช่นเดียวกัน ชั่วขณะที่มันแพร่กระจายไปยังกระดูกทั่วร่างของชงอี้จื่อ ก็ทำให้โครงกระดูกกลายเป็นสีดำสนิทในชั่วพริบตา จากนั้น…จากนั้นก็ละลาย!

ความเจ็บปวดที่เกิดจากกระดูกละลายทำให้ดวงวิญญาณเทพของชงอี้จื่อเกิดผันผวนรุนแรง ถ้าหากตอนนี้เปิดสัมผัสสวรรค์แล้วเข้าไปสัมผัสวิญญาณเทพของเขาล่ะก็ จะได้ยินเสียงกรีดร้องคำรามแบบที่บรรยายไม่ได้

กระบวนการนี้กล่าวไปแล้วคล้ายจะยาว แต่ความจริงล้วนเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ชั่วขณะต่อมา…ลำตัวของชงอี้จื่อก็สลายหายไปโดยสิ้นเชิง สิ่งที่เหลืออยู่ในอวกาศมีเพียงวิญญาณเทพเท่านั้น

กายเนื้อถูกทำลาย วิญญาณเทพจึงไม่มีที่อยู่อาศัย ช่างน่าเวทนาอย่างยิ่ง แต่คำสาป…ยังคงดำเนินต่อไป กริชเล่มที่สามพาปราณมืดไร้ที่สิ้นสุดแทงตรงไปยังวิญญาณเทพของชงอี้จื่อทันทีท่ามกลางเสียงร้องคำรามของหัวกะโหลกนับไม่ถ้วน!

โชคดีที่ชงอี้จื่อเองก็ไม่ธรรมดาสามัญ ขณะที่วิกฤตถึงแก่ชีวิตระเบิดออกมาอย่างรุนแรง วิญญาณเทพของเขากลับไม่เกรงกลัวว่าตนจะแตกสลาย มันแบ่งตัวเป็นสิบกว่าส่วนพร้อมกับเกิดเสียงดังลั่น หลบหลีกกริชเล่มที่สามได้พร้อมกับพลิกตัวอย่างรวดเร็ว แล้วหลอมรวมเข้าไปในดารานิรันดร์ที่สั่นไหวริบหรี่อยู่ด้านนอก

ขณะที่ผสานเข้าด้วยกัน ประกายแสงของดารานิรันดร์ก็สว่างวาบ ราวกับจะหายไปจากที่เดิม แต่กริชเล่มที่สามจากคำสาปวิญญาณเพลิงยังคงไล่ตามมา มันแทงลงไปพร้อมเสียงหวีดหวิวขณะที่ดารานิรันดร์ดวงนี้กำลังจะเคลื่อนตัวจากจร

การแทงครั้งนี้ทำให้การเคลื่อนที่ของดารานิรันดร์ถูกขัดขวางทันที ทั้งดารานิรันดร์ดวงนี้ก็ไม่อาจสกัดกั้นไม่ให้กริชแทงเข้ามาได้เลย ดูจากตาเปล่าก็จะเห็นว่าทั่วทั้งดารานิรันดร์ได้กลายเป็นสีดำอย่างรวดเร็ว ราวกับก่อตัวเป็นกริชจำนวนนับไม่ถ้วน แล้วพุ่งตรงไปยังวิญญาณเทพของชงอี้จื่อที่หลบซ่อนอยู่ข้างใน

วิกฤตชีวิตระเบิดออกมาทันที วิญญาณเทพของชงอี้จื่อสั่นสะท้าน ดวงตาฉายแววสิ้นหวังบ้าคลั่ง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าหวังเป่าเล่อจะแข็งแกร่งขนาดนี้

ไม่เพียงมีกฎเกณฑ์อันทรงพลัง กฎกระบวนเวททรงพลัง กายเนื้อทรงพลัง พลังเทพทรงพลัง แม้แต่คำสาป…ก็ยังน่าสะพรึง ในที่สุดเขาในตอนนี้ก็เข้าใจแล้วว่า วิชาคำสาปในเคล็ดวิชาลับเก้าเต๋าของสำนักมีอันดับสูง แต่ทำไมจึงไม่เป็นที่รู้จักในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น

เพราะว่าเหนือคำสาปของเต๋าเก้ารัฐของพวกเขา ยังมีคำสาปที่ทรงพลังยิ่งกว่าอยู่ นั่นก็คือ…วิชาของกลุ่มอัคคี!

บางทีอาจเป็นเพราะปรมาจารย์แห่งไฟไม่ได้ลงมือมานาน หรืออาจเป็นเพราะเผ่าอัคคีแทบจะไม่ออกจากดาราจักรไฟ ดังนั้นถึงแม้ชงอี้จื่อจะรู้จักคำสาปของเผ่าอัคคี แต่กลับไม่ได้สนใจนัก แต่วันนี้…เขาต้องแลกมาซึ่งความเจ็บปวดทรมานเพื่อรับรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าคำสาป!

“ข้าไม่อยากตาย”

“ข้าตายไม่ได้” วิญญาณเทพของชงอี้จื่อแทบจะเป็นบ้าไปแล้ว ภายในดารานิรันดร์ของเขา เขาเห็นว่ากริชสีดำนับไม่ถ้วนกำลังจะปกคลุมตนเอง อีกทั้งเขายังสัมผัสได้ว่าคำสาปนี้…สามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างของเขาได้ ทันทีที่มันแทงลงมา ต่อให้ในอนาคตสำนักจะชุบชีวิตเขาได้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว

เพราะคำสาป…จะสถิตตลอดไปทุกภพทุกชาติ มันไม่ได้ติดตรึงอยู่ที่ตัวเขา แต่ประทับตราอยู่ที่ชะตาชีวิตของเขา เว้นเสียแต่ว่า…จะสามารถหักล้างคำสาปจากที่นี่ได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีวิธีอื่นแล้ว!

“หวังเป่าเล่อ!!” ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายนี้ วิญญาณเทพของชงอี้จื่อร้องคำราม ขณะที่แววตาบ้าคลั่งจนถึงขีดสุด เขาก็คล้ายจะตัดสินใจบางอย่างได้ วิญญาณเทพของเขาหดเล็ก แล้วกลายเป็นรูปร่างม้วนกระดาษทันที Aileen-novel

ภาพนี้หวังเป่าเล่อเคยเห็นเป็นครั้งแรก แต่ชั่วครู่เดียวเขาก็นึกได้ว่าเคยเห็นข้อมูลบางอย่างในตำราตอนที่ตนอยู่ในดาราจักรไฟ

“เคล็ดวิชาวิญญาณเทพหรือ” ดวงตาของหวังเป่าเล่อหดเกร็ง เขานึกออกแล้ว ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นมีเคล็ดวิชาลับอย่างหนึ่งอยู่ เคล็ดวิชานี้มีเพียงตอนอยู่ในสภาวะวิญญาณเทพเท่านั้นที่จะใช้ออกมาได้ และเคล็ดวิชาวิญญาณเทพแต่ละอย่างก็เต็มไปด้วยพลังแปลกพิสดาร

ตอนนี้สิ่งที่ปรากฏอยู่บนร่างของชงอี้จื่อก็คือเคล็ดวิชาวิญญาณเทพ

ท่ามกลางการระมัดระวังของหวังเป่าเล่อ ดวงวิญญาณเทพของชงอี้จื่อกลายเป็นม้วนกระดาษ ประกายแสงส่องสว่าง จากนั้นมันก็คลี่ออกมาคล้ายกับได้กลายเป็นม้วนกระดาษจริงๆ

เมื่อมันแผ่กางออกก็เผยให้เห็นภาพที่อยู่ในม้วนกระดาษ

ในภาพนั้นคือแผนที่จักรวาล ขณะที่ดวงดาวนับไม่ถ้วนส่องประกายเจิดจรัส ที่ตรงนั้นก็มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ คนผู้นี้สวมชุดยาวสีเทา คล้ายกำลังชมจักรวาล ดังนั้นเขาจึงเหมือนกับหันหลังให้โลกภายนอก

ถึงจะหันหลัง แต่เมื่อม้วนกระดาษแผ่ออกและเผยให้เห็นภาพวาดนี้ พลังสยบยั้งที่ไม่อาจบรรยายได้ก็ระเบิดออกมาจากภายในม้วนกระดาษทันที!

สยบฝุ่นผงทั้งสองด้าน สยบกฎเวททั้งหมดในสี่ทาง สยบกฎเกณฑ์ไร้ที่สิ้นสุดทั้งแปดทิศ สยบสรรพชีวิต สยบจักรวาล!

“หวังเป่าเล่อ แม้ว่าข้าจะต้องสู้ด้วยวิญญาณเทพครึ่งหนึ่งแล้วแตกสลาย ก็จะต้องบดขยี้เจ้าให้ได้!” ภายในม้วนภาพ มีเสียงดวงจิตเทพของวิญญาณเทพชงอี้จื่อที่บ้าคลั่งดังออกมา

พวกเซี่ยไห่หยางกระอักเลือดกันหมด ร่างกายถูกพลังสยบยั้งกดเอาไว้บนพื้นเรือรบทันที เฉินหานก็เช่นเดียวกัน ดารานิรันดร์คนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน

แม้แต่เรือรบก็ยังบิดเบี้ยว สูญเสียพลังวิญญาณไปทั้งหมดแล้วร่วงตกลงไปด้านล่าง นี่เป็นเพราะพวกเขาอยู่ห่างไปไกล ดังนั้นจึงได้รับผลกระทบไม่มาก ส่วนทางหวังเป่าเล่อที่ต้องรับแรงพุ่งโจมตีเป็นคนแรก ทั้งร่างของเขาเกิดเสียงดังกึกก้อง ร่างกายคล้ายจะระเบิดแล้วพังทลายเพราะแรงสยบในครั้งนี้ แต่กลับไม่ถูกแรงนี้สยบไว้ได้อย่างสมบูรณ์

เพราะในแผนที่ดวงดาวของเขามีกึ่งดาวเคราะห์เต๋าเก้าดวง และมีดาวเคราะห์เต๋านิรันดร์อีกหนึ่งดวง!

อัตตาของดาวเคราะห์เต๋าจะยอมจำนนได้อย่างไร!

พริบตาต่อมา แม้ว่ากึ่งเต๋าเก้าดวงจะริบหรี่ แต่เต๋านิรันดร์กลับมีแสงสีดำมโหฬารราวกับมีหลุมดำส่องอยู่ แม้หวังเป่าเล่อจะตัวสั่นเทิ้ม แต่เขาก็เงยหน้าขึ้นช้าๆ จ้องเขม็งไปยังม้วนภาพที่คลี่ออก!

“เงาแห่งจักรพรรดิสวรรค์หรือ”

พลังสยบยั้งเช่นนี้ ความน่าสะพรึงเช่นนี้ มันเกินกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์ในจักรพิภพทั้งหมดที่หวังเป่าเล่อเคยเห็นมาแล้ว มีเพียง…ระดับจักรวาลที่อยู่บนจักรพิภพเท่านั้นถึงจะมีอานุภาพเช่นนี้!

และในชั่วขณะที่หวังเป่าเล่อมองไป เงาร่างที่หันหลังให้กับโลกภายนอกข้างในม้วนภาพนั้นก็หันหน้ามาช้าๆ ราวกับอยากจะหันมามองหวังเป่าเล่อ

ขณะที่หันหน้ามา พลังสยบยั้งก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง อวกาศทั้งสี่ด้านก็เริ่มพังทลายเป็นวงกว้างท่ามกลางเสียงดังสนั่น!

“น่าสนใจ ตลอดมาล้วนเป็นข้าที่ใช้วิธีการแบบนี้มาบดขยี้คนอื่น นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นว่ามีคนจะมาบดขยี้ข้า เช่นนั้นมาดูซิว่าจักรพรรดิสวรรค์ของเจ้าแข็งแกร่ง หรือเป็นพ่อตาของข้าที่แข็งแกร่งกันแน่!” ถึงแม้ร่างกายของหวังเป่าเล่อจะสั่นระรัว แต่ดวงตากลับส่องสว่างเป็นที่สุด ขณะที่เอ่ยพูด เขาก็พึมพำเงียบๆ อยู่ในใจถึง…บทสวดแห่งเต๋า!

“ตื่นเถิด…

ผู้ถูกจองจำในเต๋าสวรรค์ สรรพชีวิตย่อมต้องเผชิญภัยพิบัตินับไม่ถ้วนเป็นสรณะ…

เพียงคิดเท่านั้นก็จะปลดปล่อยเจ้าจากคุกจองจำอันล้ำลึกนี้ได้…

จงน้อมตนสู่เส้นทางแห่งเต๋าเสีย!!”

…………………

แทบจะในชั่วขณะที่ชงอี้จื่อเอ่ยออกมา กลิ่นอายสะเทือนฟ้าสะเทือนดินสายหนึ่งก็ระเบิดจากร่างของเขาทันที ท่ามกลางการระเบิดนี้ ชงอี้จื่อยืนอยู่ในอวกาศ ดวงตาฉายประกายแสงจางๆ ออกมา

ตอนนี้ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง บาดเจ็บสาหัส ลมหายใจอ่อนแรง สีหน้าซีดขาว ถึงขั้นที่ดารานิรันดร์ด้านหลังก็ยังเลือนรางไปด้วย แต่ภายในร่างของเขามีสภาพแย่ยิ่งกว่า

อวัยวะภายในปริแตกอยู่ตลอด กระดูกทั่วร่างสั่นระริก เลือดเนื้อฉีกขาดอยู่ทุกขณะ

อาการบาดเจ็บเช่นนี้หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น น่ากลัวว่าจะทนไม่ไหวไปนานแล้ว แต่ชงอี้จื่อกลับฝืนอดทน ถึงขั้นที่ยามเอ่ยปากพูด มุมปากของเขาก็ยังมีรอยยิ้ม

“เจ้าคิดว่าเหตุใดข้าจึงต่อสู้กับเจ้าโดยไม่กลัวบาดเจ็บล่ะ” ชงอี้จื่อเอ่ยปากแล้วเดินไปหาหวังเป่าเล่อหนึ่งก้าว เมื่อก้าวนี้เหยียบลงพื้น อาการบาดเจ็บทั้งหมดด้านนอกร่างกายของเขาก็มีร่องรอยพลังงานสีม่วงแผ่ออกมาในพริบตา แล้วก่อตัวเป็นอักขระโบราณตัวแล้วตัวเล่า แผ่แสงจางๆ แปลกประหลาดแบบดวงตาของเขา

ครั้นเห็นเช่นนี้ ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ หรี่ลง เขาสัมผัสได้ในทันทีว่ามีหลายจุดบนร่างของเขาที่รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา ถึงขนาดไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบ แค่เพียงดูด้วยตาเปล่าก็มองเห็นว่า…บริเวณที่เขารู้สึกเจ็บปวดนั้นคือจุดเดียวกับบาดแผลบนร่างของชงอี้จื่อทุกประการ!

“เจ้าคิดว่า เหตุใดหลังจากกระบวนวิชาของข้าถูกทำลาย ถึงยังสามารถใช้กระบวนเวทที่อาศัยอาการบาดเจ็บรุนแรงยิ่งกว่าเป็นเครื่องแลกเปลี่ยนได้อีกล่ะ” ชงอี้จื่อหัวเราะขึ้นมาแล้วก้าวเข้าไปอีกก้าว ครั้งนี้ไม่ใช่แค่บาดแผลด้านนอกเท่านั้นที่แผ่ไอสีม่วงออกมา แต่ยังมีไอสีม่วงแผ่ออกมาจากทวารทั้งเจ็ดและรูขุมขนอีกมากมาย พวกนี้…มาจากอวัยวะภายในร่าง มาจากกระดูก และมาจากเลือดเนื้อของเขา!

ไอสีม่วงที่แผ่จากภายในสู่ภายนอก ขณะที่มันกำลังแพร่กระจาย ก็แผ่ไปรอบตัวของชงอี้จื่อแล้ว ทำให้อวกาศรอบกายเขามีไอสีม่วงน่าตื่นตะลึงปรากฏอยู่ในพริบตา

ขณะเดียวกันนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นทันทีว่าอาการเจ็บปวดด้านนอกร่างของตนรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งอวัยวะภายในกับกระดูกและเลือดเนื้อของตนก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

“เจ้าคิดว่าเจ้าชนะจริงๆ หรือ”

“เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถสยบข้าได้จริงๆ หรือ” ชงอี้จื่อหัวเราะลั่นพลางก้าวเดินเป็นก้าวที่สาม เมื่อก้าวนี้เหยียบลง ดารานิรันดร์ที่สั่นไหวและหม่นแสงเลือนรางอยู่ด้านหลังของเขาก็เปลี่ยนสีสันในพริบตาอย่างคาดไม่ถึง มันกลายเป็นสีม่วงกว่าครึ่ง อีกทั้งยังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปยังบริเวณที่ยังไม่เปลี่ยนสี!

ทั้งหมดนี้นำพาวิกฤตอันตรายอย่างยิ่งมาสู่หวังเป่าเล่อ ทำให้ในดวงตาที่หรี่ลงของหวังเป่าเล่อฉายแววแปลกประหลาด เขาสัมผัสได้ว่าแผนที่ดวงดาวของตนในตอนนี้ก็สั่นสะเทือนเหมือนกัน ทั้งยังมีรอยแตกร้าวเล็กๆ หลายเส้นกำลังปรากฏขึ้นรวดเร็วราวกับมีชีวิตขึ้นมา!

“ชงอี้จื่อ…อุบายล้ำลึกนัก!” สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึม ตั้งแต่ปีนั้นที่เขาตามศิษย์พี่เฉินชิงจื่อออกมาจากโลก ตลอดทางก็ได้ผ่านเรื่องราวมากมายหลายประการ ผ่านการต่อสู้เล็กใหญ่มานับไม่ถ้วน

แต่กลับมีเพียงคนไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำให้เขาประทับใจอย่างล้ำลึกสุดๆ อย่างวันนี้ก็มีเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง

นั่นก็คือชงอี้จื่อที่อยู่ตรงหน้า

เมื่อครู่ยามที่คนผู้นี้ลงมือกับตนก็ได้คำนวณเอาไว้แล้ว ไม่ระวังเพียงแค่นิดเดียวก็จะตกอยู่ในการคำนวณของอีกฝ่าย ขณะเดียวกันบุคลิกของคนผู้นี้ก็ยังเปลี่ยนแปลงมากมาย ดูคล้ายจะมีความเย่อหยิ่งในฐานะที่เป็นผู้แข็งแกร่ง แต่ความจริงเมื่อลดท่าทางลงก็ไม่มีความรู้สึกว่าไม่คล่องแคล่วสง่างามเลยสักนิด

อุบายเช่นนี้เมื่อรวมกับพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่ง เดิมก็ทำให้ชงอี้จื่อผู้นี้ไม่ธรรมดาสามัญอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อให้ความสำคัญยิ่งกว่าก็คือ หลังจากการคำนวณครั้งแรกของคนผู้นี้ล้มเหลว เขากลับวางแผนคำนวณครั้งที่สองเอาไว้

การคำนวณครั้งที่สองนี้ก็คือ สิ่งที่เรียกว่า…คำสาปร่วมชะตา!

คำสาปนี้…หากอธิบายง่ายๆ ก็เหมือนกับกระจกแผ่นหนึ่ง ทันทีที่ใช้ออกมาจะสามารถสะท้อนสภาพร่างกายของตนไปยังร่างของศัตรูได้ หรือหมายความว่า…ยิ่งตนบาดเจ็บหนักมากเท่าไร เช่นนั้นทันทีที่คำสาปนี้ถูกใช้งาน อาการบาดเจ็บของศัตรูก็จะหนักหนาในแบบเดียวกัน!

ดังนั้นหากคิดจะใช้งาน ตนจะต้องบาดเจ็บถึงขีดสุดก่อน มีเพียงอย่างนี้เท่านั้นถึงจะทำได้สำเร็จ เมื่อดูจากผิวเผินแล้ว มันคล้ายกับกระบวนเวทตายพร้อมกัน แต่ความจริงแล้วคำสาปนี้ยังมีวิธีการใช้งานแบบอื่นอยู่อีก มันสามารถทำให้อาการบาดเจ็บหายดีได้ในระยะสั้นๆ หลังจากเวทคำสาปจบสิ้น แล้วพลิกกระดานจากแพ้มาเป็นชนะได้!

‘ดังนั้นการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ถึงแม้จะเกิดการต่อสู้ขึ้นจริงๆ แต่ก็คงจะเป็นความตั้งใจของชงอี้จื่อ ถ้าหากสามารถเอาชนะได้ย่อมดีที่สุด แต่ถ้าทำไม่ได้…เช่นนั้นในช่วงเวลาสำคัญก็ใช้คำสาปนี้เสีย ทำพฤติกรรมเช่นนี้ออกมาเพราะเกรงกลัวเต๋านิรันดร์ของข้าหรือ หรืออาจจะกลัวพลังกฎเกณฑ์ข้าด้วย…’

หวังเป่าเล่อหรี่ตาครุ่นคิด ร่างกายของเขามีเสียงกึกก้องดังออกมา บาดแผลมากมายปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า ทั้งยังมีเลือดไหลออกมาพร้อมกัน อวัยวะภายในร่างเริ่มปริแตก แผนที่ดวงดาวด้านหลังยิ่งหม่นแสงและเลือนราง ทั้งหมดนี้ล้วนเหมือนกับสภาพของชงอี้จื่อในตอนนี้ไม่มีผิด

“น่าสนใจ รู้ว่ากลุ่มเพลิงอัคคีของข้าเชี่ยวชาญด้านการสาป และยิ่งรู้ดีว่าคำสาปสายเลือดใช้พลังชีวิตเป็นเครื่องแลกเปลี่ยน แล้วยังกล้าสู้กับข้าด้วยเวทคำสาปอีก”

“ดูท่าเจ้าจะมั่นใจมากว่าพลังชีวิตของข้าแซ่หวังผู้นี้…ไม่พอเอามาสาปแช่งเจ้าได้” หวังเป่าเล่อเพิกเฉยต่ออาการบาดเจ็บทั้งภายในและภายนอกร่างของตน ยิ่งไม่สนใจการหม่นแสงของแผนที่ดวงดาวด้านหลังด้วย ต่อสู้มาจนถึงตอนนี้ ความจริงเขายังมีเคล็ดวิชาลับอีกมากมายที่ยังไม่ได้ใช้ออกมา

ถึงแม้จะไม่ใช่พลังต่อสู้สองสามส่วนอย่างที่พูดไว้ก่อนหน้านี้จริงๆ แต่ก็ไม่ใช่พลังทั้งหมดของเขาด้วยเช่นกัน

ภาพฉายของเทพวัว บทสวดแห่งเต๋า แล้วยังมีฝักกระบี่เนื้อแท้ของหวังเป่าเล่ออีก ซึ่งพวกนี้เขายังไม่ได้ใช้ออกมาเลย

ถึงอย่างไรก็เพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นดารานิรันดร์ หวังเป่าเล่อไม่เพียงจำเป็นต้องใช้การต่อสู้มาทำให้พลังต่อสู้ของตนมั่นคง แต่ยิ่งกว่านั้นคือต้องการหินลับมีดที่ดีมากๆ ชิ้นหนึ่งมาลับดาบของตนให้แหลมคมขึ้นไปอีก

และชงอี้จื่อก็คือหินลับมีดที่เหมาะสมที่สุดในสายตาของหวังเป่าเล่อ!

แม้ว่าเขาจะรู้สึกรางๆ ว่าอาจารย์ปรมาจารย์แห่งไฟย่อมรู้สึกถึงการต่อสู้ครั้งนี้ แต่คงตั้งใจและต้องการให้อีกฝ่ายมาลับคมมีดให้ตัวเขา!

“ก็ดี…นานมากแล้วที่ไม่ได้ใช้เวทคำสาป ข้าแทบจะไม่เหมือนศิษย์ของกลุ่มเพลิงอัคคีแล้ว” จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็หัวเราะ คำสาปของกลุ่มอัคคีมีชื่อว่าคำสาปวิญญาณเพลิง!

พื้นฐานของคำสาปนี้ก็คือพลังชีวิต พลังชีวิตอันไร้ขอบเขต ขณะเดียวกันสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็ยังมี…ความอาฆาต ความอาฆาตแค้นมหาศาลไร้ที่สิ้นสุด!

ดังนั้นภายใต้รอยยิ้มนี้ หวังเป่าเล่อจึงยกมือซ้ายขึ้นมา รอบๆ มือซ้ายพลันมีเส้นสีดำปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็แผ่ไปทั่วฝ่ามือแล้ว เหมือนกับรอยย่นและเส้นเลือดที่มีมากขึ้น ทำให้มือซ้ายกลายเป็นสีดำสนิทไปโดยปริยาย!

และในความดำมืดนี้ แรงอาฆาตไร้ที่สิ้นสุดก็แพร่กระจายอย่างบ้าคลั่งมาจากภายใน มันแผ่ซ่านอยู่ในอวกาศทั่วทุกทิศ ทำให้อวกาศรอบๆ บิดเบี้ยวและทำให้พวกเซี่ยไห่หยางแต่ละคนที่อยู่ไกลๆ หน้าเปลี่ยนสีกันยกใหญ่ ในสายตาของพวกเขาคล้ายกับมองไม่เห็นหวังเป่าเล่อ เพราะสิ่งที่พวกเขาเห็นมีเพียงมือซ้ายที่มีความอาฆาตแค้นมาบรรจบ…อย่างไม่มีหยุดยั้ง!

นี่ไม่ใช่แค่พลังของทหารอาฆาตเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงความบ้าคลั่งของเผ่าเทพอัคคีด้วย และยังมีผีดิบกับความยึดมั่นเกลียดชังโลกาและความมุ่งมั่นที่จะบดขยี้ความว่างเปล่า!

ความอาฆาตแค้นที่ก่อตัวและรวบรวมมาจากอดีตชาติ ถึงแม้จะไม่ได้รวมมาไว้ที่ชาตินี้ทั้งหมด แต่เกรงว่าแค่เพียงส่วนเดียวก็พอแล้ว และเมื่อมือซ้ายแรงอาฆาตนี้ปรากฏขึ้น ก็ทำให้ชงอี้จื่อหน้าเปลี่ยนสีทันที!

ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบสนอง พลังชีวิตของหวังเป่าเล่อก็ระเบิดออกมากะทันหัน!

สิ่งที่หวังเป่าเล่อไม่ขาดแคลนมากที่สุดก็คือพลังชีวิต เพราะธาตุไม้หมายถึงพลังชีวิต และร่างจริงของหวังเป่าเล่อก็คือกระดานไม้ดำสามฉื่อแผ่นหนึ่ง!

ดังนั้นตอนนี้ ขณะที่สัมผัสสวรรค์ของเขาเคลื่อนไหว ภายในแผนที่ดวงดาวหม่นแสงด้านหลังของเขาก็มีกระดานไม้ดำเลือนรางปรากฏขึ้นทันใด เมื่อมันปรากฏขึ้นมา พลังชีวิตไร้ขีดจำกัดก็ปะทุออกมาอย่างมหาศาลจากภายในร่างของหวังเป่าเล่อพร้อมเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

มือขวาของเขายกขึ้นมาพร้อมกับการระเบิดครั้งนี้ ทำให้พลังชีวิตทั้งหมดผสานเข้ามาในพริบตาแล้วกลายเป็นแหล่งพลัง ตอนนี้เมื่อเขายกมือขึ้น มือซ้ายของหวังเป่าเล่อก็เป็นแรงอาฆาต มือขวาเป็นพลังชีวิต พริบตาที่นิ้วทั้งสิบตรงหน้าสัมผัสกัน เขาก็เงยหน้าขึ้นกะทันหัน มองไปยังชงอี้จื่อที่ตอนนี้หน้าเปลี่ยนสีครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างสงบนิ่ง ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ

“คำสาปวิญญาณเพลิง!”

ทันทีที่เปล่งเสียง อวกาศก็สะเทือนเลื่อนลั่น แรงอาฆาตและพลังชีวิตของหวังเป่าเล่อลดลงไปเล็กน้อยทันที ส่วนทางชงอี้จื่อ ตอนนี้เขาตกใจมากจนร้องคำรามไม่อยากจะเชื่อออกมา

“แรงอาฆาตนี้ พลังชีวิตนี้….เป็นไปไม่ได้!” เขาร้องคำรามพลางถอยหลังรวดเร็ว แต่ก็สายไปแล้ว ไอสีม่วงทั้งหมดด้านนอกร่างของเขาเดือดพล่านในพริบตา มันกลับหลุดออกจากการควบคุมของชงอี้จื่อ แล้วกลายเป็นกริชสีดำสามเล่มที่เต็มไปด้วยหัวกะโหลกจำนวนมากทันที แผดคำรามไร้เสียง จากนั้นจึงพุ่งเข้าหาชงอี้จื่อพร้อมแทงเข้าไปในร่างของเขาอย่างแรง!

…………………

เมื่อเอ่ยออกมา ทันใดนั้นอักขระวงแหวนปราณที่กลายเป็นทะเลกระดาษก็มีคลื่นยักษ์สะเทือนสวรรค์โหมซัดขึ้นมา อักขระกระดาษจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งชนกันอย่างรุนแรงจนสะเทือนเลื่อนลั่น!

จากตาเปล่าก็มองเห็นได้ว่า เมื่ออักขระกระดาษเหล่านั้นพุ่งเข้ามาชนกันก็พังทลายลง แล้วกลายเป็นเศษกระดาษ กระบวนการนี้กินพลังของหวังเป่าเล่ออย่างมหาศาล อย่างไรเสียนี่ก็เป็นเคล็ดวิชาลับของชงอี้จื่อ ถึงแม้เขาจะเป็นดารานิรันดร์ระดับพิภพ เทียบกับระดับเต๋าของหวังเป่าเล่อแล้วยังมีช่องว่างอยู่สองขั้น แต่…พลังฝึกปรือระดับดารานิรันดร์ชั้นปลายก็ยังสามารถลดช่องว่างนี้ได้อย่างต่อเนื่อง แม้จะไม่อาจอยู่เหนือกว่า แต่ความยิ่งใหญ่ที่แสดงออกมาก็ยังทำให้หวังเป่าเล่อต้องเปลืองแรงอย่างมาก!

ดังนั้นเมื่อหวังเป่าเล่อโคจรพลังฝึกปรือทั้งหมด ดาวเต๋านิรันดร์ในแผนที่ดวงดาวด้านหลังของเขาก็ดำมืดยิ่งขึ้น เขาอยากรู้มากว่าดาวเคราะห์เต๋าของตนที่เข้าสู่นิรันดร์นั้น แท้จริงแล้วในจักรพิภพไม่รู้สิ้นนี้ มันอยู่ระดับไหนในบรรดาพวกที่อยู่ขั้นเดียวกัน!

“สยบให้ข้า!” ท่ามกลางการพุ่งชนกันของอักขระกระดาษนับไม่ถ้วนรอบด้าน จนมีเศษกระดาษกระจัดกระจาย สองมือของหวังเป่าเล่อก็ผนึกมุทราแล้วโบกขึ้นอีกครั้งพร้อมคำรามเสียงต่ำออกมา

เหมือนกับว่าเอ่ยแล้วเป็นจริงตามนั้น พริบตาที่ทั่วทั้งทะเลกระดาษสะเทือนเลื่อนลั่น เศษกระดาษนับไม่ถ้วนก็รวมเข้าด้วยกันแล้วก่อตัวเป็นดาบกระดาษเล่มแล้วเล่มเล่าทันที ก่อนจะพุ่งไปหาชงอี้จื่อที่ตอนนี้หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่พร้อมเสียงแผดร้องลั่น!

มองจากที่ไกลๆ ภาพนี้ช่างสะเทือนฟ้า สะเทือนดิน สะเทือนขวัญนัก ดาบกระดาษนับไม่ถ้วนครอบครองทั้งอวกาศ เสียงแผดร้องตอนนี้คล้ายจะแฝงอานุภาพยิ่งใหญ่เอาไว้ มันกำลังจะเข้าใกล้ชงอี้จื่อแล้ว

และในตอนนี้เอง สายตาของชงอี้จื่อก็ฉายประกายแสงแรงกล้าออกมา ขณะที่สองมือผนึกมุทรา ดารานิรันดร์ด้านหลังก็ระเบิดลั่นในพริบตา ราวกับหัวใจดวงใหญ่ดวงหนึ่ง ทำให้ทุกคนรู้สึกใจเต้นหนักหน่วง ขณะที่ทุกคนใจสั่นไหว ดาบกระดาษนับไม่ถ้วนรอบๆ ที่เข้ามาถึงแล้วก็ถูกมันโจมตีทันที ดาบแถวแรกที่เข้าใกล้พลันแตกสลาย แล้วเปลี่ยนจากกระดาษกลับมาเป็นปกติ!

กลายเป็นอักขระวงแหวนอีกครั้ง เพียงแต่เพราะว่าก่อนหน้านี้มันพังทลายภายใต้สภาวะกระดาษ ถึงแม้ตอนนี้จะกลับมาเป็นปกติ แต่ก็เสียพลังไปแล้ว!

ดวงตาของหวังเป่าเล่อหดเกร็งอย่างรวดเร็ว เขาสะกดกลั้นแรงสะท้อนกลับที่โหมซัดอยู่ในร่าง แสงในดวงตาแรงกล้าฉับพลัน เขายกมือขวาขึ้นมากดลงไปอีกครั้ง ทันใดนั้นแสงของแผนที่ดวงดาวด้านหลังของเขาก็เจิดจ้าขึ้นอีกรอบ ดาบกระดาษจำนวนมหาศาลกลุ่มที่สองและกลุ่มที่สามพุ่งไปหาชงอี้จื่อด้วยความเร็วและอานุภาพที่ทรงพลังยิ่งกว่าเดิม

ถึงแม้จะเป็นดารานิรันดร์อย่างชงอี้จื่อก็ยังใจสั่นรุนแรง เขาทำลายดาบกระดาษแต่ละกลุ่ม แต่ดาบกระดาษที่นี่มีมากเกินไปจริงๆ ทั้งยังใส่พลังของดารานิรันดร์เพิ่มไปด้วย จึงยิ่งร้ายกาจหาใดเปรียบ ทำให้ในที่สุดก็มีดาบกระดาษจำนวนไม่น้อยพุ่งเข้ามาใกล้ในช่วงที่ชงอี้จื่อใจสั่นสะเทือนได้!

“หวังเป่าเล่อ!!” ดวงตาของซงอี้จื่อแดงก่ำขึ้นมาในตอนนี้เอง เขาไม่สนใจการคุยโวและการทำท่าทางเหมือนก่อนหน้าอีก แต่ละครั้งความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อทำให้เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายอย่างแรงกล้า โดยเฉพาะกระบวนเวทแปลงกระดาษ นั่นยิ่งยุ่งยากเป็นที่สุด

ดังนั้นในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของวิกฤตนี้ ชงอี้จื่อก็พลันคำรามลั่น ร่างกายถอยร่นพร้อมยกมือขวาขึ้น ในดวงตามีความบ้าคลั่งส่องวาบ เขายกมือขวา ตัดผ่านความว่างเปล่าไปยังดารานิรันดร์ด้านหลังตน แล้วคว้าจับเอาไว้!

“เก้าเต๋า นิรันดร์เปลี่ยน!” ขณะร้องคำราม ดารานิรันดร์ด้านหลังของชงอี้จื่อก็บิดเบี้ยวอยู่ภายใต้การคว้าจับของเขาทันที ดูจากตาเปล่าก็จะเห็นว่ามันเปลี่ยนรูปทรงอย่างรวดเร็ว เหมือนกับว่าตอนนี้มือขวาของชงอี้จื่อได้กลายเป็นหลุมดำจริงๆ ก่อนดูดกลืนดารานิรันดร์เข้ามาหาโดยตรง!

ภาพนี้พูดแล้วยาว แต่ความจริงล้วนเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตา ขณะที่ชงอี้จื่อร้องคำราม ดารานิรันดร์ของเขาพลันบิดเบี้ยว พร้อมกับเข้ามารวมตัวกันบนมือขวาของชงอี้จื่อโดยตรง เพียงชั่วพริบตา…มันก็กลายเป็นขวานศึกสีแดงชาด!

ขวานศึกด้ามนี้เมื่อเทียบกับหอกยาวสีทองที่เขาใช้ในตอนแรก ไม่ว่าจะเป็นด้านพลานุภาพหรือกลิ่นอายก็ล้วนเหนือกว่า ยิ่งในพริบตาที่ถูกชงอี้จื่อจับเอาไว้ก็คล้ายกับจับเอาดารานิรันดร์มาไว้ในมือ ดวงตาของเขาสาดประกายบ้าคลั่งออกมา แล้วพุ่งตรงไปยังดาบกระดาษนับไม่ถ้วนที่เข้ามาใกล้ตรงหน้า ก่อนจะ…ขว้างขวานลงมาอย่างแรง!

ขวานนี้รวบรวมดารานิรันดร์ทั้งดวง พลังฝึกปรือทั้งมวล และพลังต่อสู้ทั้งหมดของเขาเอาไว้ จึงเหมือนกับว่าทั้งหมดของเขาถูกบีบอัดจนเหลือเพียงจุดเดียว เมื่อมันพุ่งออกมาตอนนี้ก็ราวกับก้อนหินสั่นสะเทือนสวรรค์ ทำให้อวกาศแตกร้าว ส่งเสียงกึกก้องดังไปทั่ว ราวกับมีคลื่นยักษ์แยกฟ้า มีเทพมารต้องการจะฉีกทำลายทุกสิ่งอย่าง!

ถึงขั้นที่หากดูจากพลานุภาพแล้ว มันไม่ด้อยไปกว่าอานุภาพทหารอาฆาตที่หวังเป่าเล่อใช้ออกมาก่อนหน้านั้นเลย ชั่วขณะที่มันร่วงตกลงมา ดาบกระดาษทั้งหมดที่อยู่ข้างหน้าก็สั่นสะเทือนกะทันหันแล้วแตกเป็นเสี่ยงๆ พร้อมกัน ก่อนกลายเป็นควันเถ้าสลายหายไปราวกับกวาดใบไม้แห้ง!

ไม่เพียงแค่ด้านหน้าเท่านั้น ยังมีรอบตัวของเขาด้วย ดาบกระดาษในทุกทิศทางคล้ายจะทนรับไม่ไหว ชั่วขณะที่ขวานศึกตกลงมา แต่ละชั้นก็พังทลาย ทำให้อวกาศสั่นสะเทือนและบิดเบี้ยวรุนแรงยิ่งกว่าเดิม จนกระทั่งดาบกระดาษทั้งหมดพังทลายลงแล้ว สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็ซีดขาว จ้องเขม็งไปยังชงอี้จื่อ โดยเฉพาะขวานศึกด้ามนั้นในมือ!

ขวานศึกที่รวมตัวขึ้นจากดารานิรันดร์ของตัวเขา เห็นได้ชัดว่ากระบวนวิชานี้เป็นกระบวนเวทขั้นสูงของชงอี้จื่อ ทำให้ร่างกายของเขากำลังสั่นไหว แต่ต่อสู้มาจนถึงบัดนี้ เขาไม่อาจถอยกลับได้แล้ว จำเป็นต้องสู้ต่อ ทั้งต้องตัดหัวหวังเป่าเล่อให้ได้ ครั้งสุดท้าย…ต้องทำให้เขาบาดเจ็บสาหัส!

ไม่อย่างนั้นล่ะก็ หากดารานิรันดร์ชั้นปลายพ่ายแพ้ให้กับดารานิรันดร์ชั้นต้น ถึงแม้ระหว่างทั้งคู่ คนหนึ่งจะเป็นระดับพิภพ อีกคนเป็นระดับเต๋า แต่ในฐานะที่เป็นเซียนเต๋าของเต๋าเก้ารัฐ เขาก็ยังรับไม่ได้อยู่ดี มันจะต้องทิ้งปมในใจแล้วกระทบไปถึงการทะลวงระดับของเขาแน่!

ดังนั้นเมื่อขวานแรกตกลงไปแล้วทำลายดาบกระดาษในอวกาศแล้ว เส้นเลือดในแววตาของชงอี้จื่อก็ยิ่งมีมากกว่าเดิม เขากระโจนขึ้นอย่างคลุ้มคลั่งยิ่งกว่าเดิมแล้วยกขวานศึกในมือขึ้นฟันไปยังหวังเป่าเล่อเป็นขวานที่สอง!

ความเร็วสูงมาก ไม่ปล่อยโอกาสให้หวังเป่าเล่อโจมตีกลับใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อขวานที่สองตกลงมากะทันหัน ท้องฟ้าก็ฉีกขาด ร่างแยกกึ่งดาวเคราะห์เต๋ารอบตัวหวังเป่าเล่อล้วนสั่นสะท้านกันหมด ประคองต่อไปไม่ได้นาน เมื่อไม่อาจรักษาร่างแยกไว้ได้ พวกมันจึงกลายเป็นกึ่งดาวเคราะห์เต๋าอีกครั้งแล้วถอยหลังไปพร้อมกัน ก่อนจะผสานเข้าไปในร่างแท้ของหวังเป่าเล่อ

ส่วนร่างแท้ของเขา ตอนนี้ต้องแบกรับพลังของขวานศึกไปเสียครึ่งหนึ่ง ขณะที่เสียงดังสนั่นหวั่นไหว มุมปากก็มีเลือดไหลออกมา เขาถอยอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถอยหลังไปได้หลายพันจั้งจึงหยุดลง ร่างกายและอวัยวะภายในคล้ายจะฉีกขาดให้ได้ แผนที่ดวงดาวด้านหลังยิ่งสั่นไหว แต่แทนที่สีหน้าจะย่ำแย่ หวังเป่าเล่อกลับเผยความตื่นเต้นออกมาเสียอย่างนั้น!

“ชงอี้จื่อ แบบนี้สิถึงค่อยดูมีอะไรหน่อย คุ้มให้ข้าใช้พลังต่อสู้สี่ส่วนแล้ว!”

“หวังเป่าเล่อ เจ้าเงียบปาก จนถึงตอนนี้เจ้ายังทำเป็นเล่นอยู่อีกหรือ คุยโวแบบแม่เจ้าใครจะทำไม่ได้บ้าง ดูข้านี่ ไม่ต้องใช้พลังฝึกปรือเลย แค่ขวานลอยไปก็ฟันเจ้าได้แล้ว!” ในใจของชงอี้จื่อทนไม่ไหวแล้วจึงโพล่งออกมา และในตอนนี้เองกลิ่นอายทั่วร่างของเขาก็ระเบิดออก ทันทีที่เปล่งเสียง…เขาก็เหมือนกับบอลลูนที่มีลมรั่ว มือยกขวานขึ้น หยุดเล็กน้อย จากนั้นประกายแสงก็อ่อนลงทีละนิด

เมื่อหวังเป่าเล่อมองเห็นเช่นนี้ ประกายแสงในดวงตาก็ส่องวาบ ฉวยโอกาสโคจรพลังฝึกปรือ พร้อมกับที่มีเงาร่างขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นมาตรงหน้ากะทันหัน เงาร่างนี้มีอานุภาพพลังมหาศาล ในมือถือเปลวเพลิง นั่นก็คือ…เงาร่างในอดีตชาติของเขา เผ่าเทพอัคคี

เงาร่างสูงใหญ่ของเผ่าเทพอัคคีพุ่งตรงไปยังชงอี้จื่อในพริบตาที่เขาปรากฏตัว ส่วนตอนนี้ชงอี้จื่อก็สะกดกลั้นแรงสะท้อนกลับของร่างกายตนเอาไว้ หน้าผากผุดเหงื่อชุ่ม เขากระตุ้นพลังที่เหลือในร่างของตนฟันขวานที่สามไปทางหวังเป่าเล่อ!

พริบตาเดียว ขวานที่สามก็ปะทะเข้ากับเผ่าเทพอัคคีของหวังเป่าเล่อ เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ขวานศึกสั่นไหว เงาร่างเผ่าเทพอัคคีถูกฉีกกระชากโดยพลัน ความเกลียดชังมหาศาลระเบิดออกมาอย่างกะทันหันจากภายในนั้น มันคือเงาร่างอดีตชาติอีกร่างหนึ่งของหวังเป่าเล่อ เขาโจมตีขวานโดยไม่หยุดชะงักเลยสักนิด

ขวานศึกสั่นสะเทือนอีกครั้ง ชงอี้จื่อกระอักเลือดออกมา แต่ภายใต้การระเบิดอย่างบ้าคลั่งนี้ เงาร่างอดีตชาติร่างที่สองของหวังเป่าเล่อก็ฉีกเป็นชิ้นๆ เช่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้ชงอี้จื่อคิดไม่ถึงก็คือ ภายในเงาร่างอดีตชาติร่างที่สองนี้ กลับยังมีเงาร่างอดีตชาติร่างที่สาม!

นั่นก็คือ…กวางขาวน้อย!

พริบตาที่มันปรากฏตัวขึ้น กวางขาวน้อยก็พุ่งหัวไปชนกับขวานศึกของชงอี้จื่ออย่างแรงในทันที!

พริบตาเดียวก็ปะทะเข้ากับขวานศึก!

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป เงาร่างอดีตชาติของหวังเป่าเล่อปรากฏขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้ในใจของชงอี้จื่อสั่นสะท้าน โดยเฉพาะเมื่อกวางขาวน้อยพุ่งเข้ามาปะทะ ถึงขั้นทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่าไม่อาจต้านทานได้ ส่วนขวานศึกของเขา ในที่สุดตอนนี้ก็มาถึงขีดสุดของมันแล้ว ดังนั้นเมื่อเสียงอึกทึกเลื่อนลั่นไปทั่วด้าน ขวานศึกกับกวางขาวน้อย…ก็พังทลายไปด้วยกัน กระจัดกระจายไปทั่วทุกทิศ!

ส่วนชงอี้จื่อก็กรีดร้องออกมา ขณะที่กระอักเลือด พลังฝึกปรือและกลิ่นอายในร่างพลันลดลง ร่างกายราวกับว่าวสายขาด พลังโจมตีจากทุกสารทิศม้วนขึ้นมาแล้วโยนตัวเขาไปยังที่ไกลๆ แต่ถึงแม้เขาจะบาดเจ็บสาหัส แต่หลังจากกรีดร้องลั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้แล้ว เขากลับยกยิ้มออกมา

“หวังเป่าเล่อ ข้ารู้ว่าเคล็ดวิชาลับของกลุ่มเพลิงอัคคีของเจ้าเป็นคำสาปที่ต้องใช้พลังชีวิตแลกเปลี่ยน แต่เต๋าเก้ารัฐของข้า…ก็สาปเก่งพอกัน วันนี้ดูท่าแล้ว เจ้ากล้าเดิมพันด้วยชีวิตหรือไม่ ข้าบาดเจ็บแลกกับเจ้าบาดเจ็บ เก้าเต๋า…สาปร่วมชะตา!!”

…………………………

“นี่มัน…” สีหน้าของชงอี้จื่อเปลี่ยนผันยกใหญ่ ความรู้สึกอันตรายอย่างแรงกล้าระเบิดขึ้นในใจของเขา แม้แต่ร่างแยกทั้งหมดที่ก่อตัวขึ้นจากวิชาลับของเขาก็ยังได้รับผลกระทบ แต่ละตนต่างตัวสั่นเทิ้มเช่นกัน

ตอนนี้ในหัวของชงอี้จื่อมีความคิดหนึ่งเดียวปรากฏขึ้น นั่นก็คือหลบหนี ถึงแม้ใจเขาจะไม่ยินยอม เพราะถึงอย่างไรเขาก็เป็นดารานิรันดร์ชั้นปลาย แต่ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกตื่นตระหนกในใจหรือการตระหนักรู้ทางสัมผัสสวรรค์ ก็ทำให้สัญชาตญาณเข้าครอบงำสติปัญญาได้แล้ว ร่างกายจึงล่าถอยเพียงชั่วพริบตา

ขณะที่ล่าถอยมา หอกยาวสีทองในมือของเขาก็ขว้างปาไปทางหวังเป่าเล่อด้วยแรงทั้งหมด ทันใดนั้นหอกยาวสีทองก็กลายเป็นสายฟ้าสีทองพุ่งตรงไปหาหวังเป่าเล่อ พยายามจะสกัดกั้นเขาให้ได้

แต่ต่อให้เขาตอบสนองอย่างรวดเร็ว แทบจะไม่มีความเชื่องช้าสักนิด แต่เขาก็ยัง…ช้าไป!

หรือควรกล่าวว่า ขณะที่ทหารอาฆาตของหวังเป่าเล่อปรากฏและฟันดาบลงมา ก็กำหนดเป้าหมายเอาไว้แล้ว ตัวมันฟันลงมาเรียบร้อย ดังนั้นจึงไม่อาจถอยหนีและไม่อาจหลบเลี่ยงได้!

ดังนั้น…ขณะที่หอกยาวสีทองที่กลายเป็นสายฟ้าด้ามนั้นเพิ่งจะมาปรากฏอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ มันก็พังทลายไปเองทันที เพียงชั่วพริบตาก็แตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วกลายเป็นเศษสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายไปทั่ว

“ถึงแม้ตัวข้าเพิ่งจะเลื่อนขั้นเป็นดารานิรันดร์ชั้นต้น ทั้งยังใช้พลังต่อสู้แค่สามส่วน แต่…ชงอี้จื่อ ถ้าหากเจ้ามีกำลังรบแค่นี้ ข้าก็ผิดหวังนัก” ในใจของหวังเป่าเล่อเต็มกลืนอย่างมาก การต่อสู้ครั้งนี้ นอกจากเคล็ดวิชาลับสองสามอย่างที่ยังไม่ได้ใช้ เขาก็ได้ระเบิดพลังออกมาทั้งหมดแล้ว

แต่ท่าทางสูงส่งก็ซึมลึกถึงสัญชาตญาณ ดังนั้นจึงเอ่ยคำพูดนี้ออกมาทันที สีหน้าท่าทางก็ยิ่งฉายแววผิดหวังอย่างยากจะปกปิด

แต่ความจริงแล้วตอนนี้อวัยวะภายในของเขาปั่นป่วนไปหมด พลังของดารานิรันดร์กำลังพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่องแล้วทำลายหอกยาวสีทอง ไม่ได้สบายอย่างที่แสดงให้เห็นเช่นภายนอก ไม่ใช่เพราะมีอุปสรรคแข็งแกร่งอยู่ตรงหน้า แต่เป็น…ทหารอาฆาตของหวังเป่าเล่อได้ฟันผ่านหอกยาวสีทองโดยพลันด้วยความเร็วและพลานุภาพที่ไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

มันรวบรวมความคับแค้นในชาติก่อนและความเฉียบคมของทหารอาฆาต ทั้งยังมีเต๋านิรันดร์และกลุ่มดาวสนับสนุน จึงทำให้เขาดูราวกับมีท่าทางแข็งแกร่งไร้พ่าย!

ยิ่งชั่วพริบตาต่อมา ทหารอาฆาตผู้นี้ได้ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าชงอี้จื่อที่กำลังล่าถอย โดยไม่ให้โอกาสชงอี้จื่อได้ต่อต้านสักนิด ขณะที่ชงอี้จื่อหน้าเปลี่ยนสีจนสิ้นในชั่วพริบตา ทันใดนั้น…ลำตัวมหึมาของเขาก็ล้มลงราวกับภูเขาถูกผ่าแยกทันที

ตอนนี้อวกาศถล่มทลาย เสียงดังสนั่นไปทั่วทั้งแปดทิศ ร่างกายใหญ่ยักษ์ของชงอี้จื่อถูกผ่าครึ่งตรงๆ ท่ามกลางสายตาของทุกคน ครึ่งหนึ่งกลายเป็นเถ้าถ่าน ส่วนอีกครั้งก็แห้งเหี่ยวในพริบตา แต่ไม่ได้สลายหายไปในจักรวาล ทว่าควบรวมกันเป็นเงาร่างร่างหนึ่งขึ้นมาใหม่

แต่ทันทีที่เงาร่างนี้ปรากฏขึ้น มันกลับกระอักเลือดออกมาสามครั้งแล้วถอยหลังโดยพลัน ขณะเดียวกัน สิ่งที่ระเบิดไปด้วยกันก็ยังมีร่างแยกจากเก้าเต๋าของหวังเป่าเล่อ กึ่งดาวเคราะห์เต๋าทั้งเก้าดวงระเบิดออกมาในตอนนี้เอง แต่ละดวงล้วนแสดงวิถีกฎเกณฑ์กึกก้องกังวานจนแทบจะทะลุขีดสุดของตนออกมา

มองจากไกลๆ จะเห็นโลหิตแดงน่าตกตะลึง บทเพลงสีแสดดังก้องทั่วฟ้า เปลวไฟสีเหลืองปะทุขึ้นมา พืชพรรณสีเขียวไร้ที่สิ้นสุด เมฆครามข่มดวงดารา ลมสีฟ้าราวกับพายุ สีม่วงกัดกินท้องฟ้า!

แล้วยังมีไอมรณะจากทะเลแห่งความมืดและประกายแสงอันไร้ที่สิ้นสุด!

การระเบิดของร่างแยกที่มาจากกึ่งดาวเคราะห์เต๋าทั้งเก้า ทำให้ร่างแยกของชงอี้จื่อสั่นเทิ้มแล้วถอยร่นไปพร้อมๆ กันในพริบตา พวกมันกระอักเลือดออกมาแล้วแตกสลายทีละตนๆ แต่ถึงอย่างนั้น พลังฝึกปรือของชงอี้จื่อก็ล้ำลึกยิ่ง ดังนั้นแม้ว่ากระบวนวิชาเทพจะถูกทำลาย แต่เห็นได้ชัดว่าแกนกลางไม่ได้รับบาดเจ็บง่ายๆ ตอนนี้เมื่อร่างกายพังทลายลง แกนกลางของพวกมันก็ถอยกลับมาผสานรวมกับร่างยักษ์ที่ถูกฟันแยกของชงอี้จื่อ ซึ่งเป็นร่างจริงที่กำลังล่าถอย

เดิมทีกลิ่นอายร่างจริงที่กำลังถอยหลังก็สั่นไหวเล็กน้อยอยู่แล้ว แต่เมื่อมีพวกมันเข้ามาผสาน กลิ่นอายก็เสถียรขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ท่าทางยังคงบอบช้ำ จนกระทั่งถอยออกมาจากขอบเขตการโจมตีของทหารอาฆาต สีหน้าท่าทางของเขาจึงชะงักกะทันหัน เขาจดจ้องไปยังหวังเป่าเล่อ ในใจร้องคำรามเสียงต่ำ

‘นี่มันดารานิรันดร์ชั้นต้นอะไรกัน แล้วยังจะใช้พลังแค่สามส่วน แม่เจ้าน่ะสิ…เจ้าหลอกผีหรือยังไง!’

ถึงแม้ในใจจะกู่ร้องบ้าคลั่งเช่นนี้ แต่สีหน้าของชงอี้จื่อก็ฟื้นกลับมาเป็นปกติในชั่วพริบตา ถึงขั้นที่มุมปากยังมีรอยยิ้มแต้มอยู่ด้วยซ้ำ คล้ายกับว่าความสะบักสะบอมก่อนหน้านี้และการที่ร่างแยกร่างจริงถูกฟันนั้นเป็นเพียงการทดสอบสำหรับเขา จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเรียบ

“น่าสนใจ หวังเป่าเล่อ ในเมื่อเจ้าสามารถเอาตัวรอดจากช่วงอุ่นเครื่องของข้ามาได้ เช่นนั้นก็คู่ควรให้ตัวข้าใช้พลังต่อสู้สองส่วนมาทำให้เจ้ารู้ว่าความแข็งแกร่งคืออะไรเถอะ”

“พลังต่อสู้สองส่วนอะไร แล้วยังมีอุ่นเครื่องอีก กระอักเลือดออกมาตั้งหลายครั้งแล้ว ช่างจอมปลอมเสียจริง!” หวังเป่าเล่อยิ้มเย็นอยู่ในใจ แต่สีหน้ายังพยายามทำให้ตนดูสงบ เขายิ้มเรียบๆ ออกมา

“ข้าไม่รังแกเจ้าหรอก ต่อไปจะเก็บพลังต่อสู้สองส่วน และใช้เพียงหนึ่งส่วนมาสยบเจ้า!” ขณะที่กล่าว พลังฝึกปรือในร่างของหวังเป่าเล่อก็พลุ่งพล่านทันใด พลังต่อสู้สิบสองส่วนทะยานขึ้นมา

‘เจ้าตัวน่าไม่อาย แม้แต่แผนที่ดวงดาวก็ยังปรากฏขึ้นมาแล้ว กลับยังทำหน้าหนาบอกว่าจะใช้พลังแค่สามส่วน ผิวหน้าของเจ้าหวังเป่าเล่อคนนี้คงไม่ได้หนาเป็นดารานิรันดร์ไปแล้วหรอกนะ!’ ชงอี้จื่อสบประมาทอยู่ในใจ ใครเขาจะโอ้อวดบ้างไม่ได้ล่ะ ดังนั้นเขาจึงระเบิดพลังฝึกปรือในร่างทั้งหมดออกมา ปากก็เอ่ยอย่างราบเรียบ

“หนึ่งส่วนหรือ เอาเถอะ ข้าจะใช้แค่ครึ่งส่วนมารับกระบวนเทพของเจ้า!”

บทสนทนาในตอนนี้ของทั้งสองคนดังเข้าหูของพวกเซี่ยไห่หยางและเฉินหาน ถึงแม้ว่าพวกเขาแต่ละคนจะถูกการประมือเมื่อครู่ของทั้งคู่ทำให้ตกใจ แต่สีหน้าของแต่ละคนก็ยังแปลกประหลาดอยู่ดี

แม้แต่เฉินหานที่ประจบสอพลออยู่บ่อยครั้ง ตอนนี้ก็ยังลังเลไปครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวคำใด ส่วนทางฝั่งเซี่ยไห่หยางยิ่งกะพริบตาปริบๆ ไม่หยุด เก็บซ่อนความอับจนปัญญาในดวงตาเอาไว้ เขารู้สึกเหนื่อยใจมาก

ดารานิรันดร์คนอื่นๆ ต่างก็เงียบงันไปหมด แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วย…

“สองคนนี้…ไม่ใช่กำลังต่อสู้ แต่กำลังแข่งว่าใครหนาหน้ากว่ากันหรอกหรือ”

ขณะที่ในใจของทุกคนเต็มไปด้วยความคิดมากมาย ชงอี้จื่อที่เอ่ยออกมาแล้วก็โคจรพลังฝึกปรือทั้งหมดของตน ดารานิรันดร์ปรากฏขึ้นด้านหลังชงอี้จื่ออีกครั้ง ทั้งยังใหญ่มโหฬารยิ่งกว่าเดิม ถึงขั้นที่มองเห็นอักขระโบราณจำนวนนับไม่ถ้วนด้านใน และอักขระเหล่านี้ก็คือพลังของวงแหวนปราณ!

อักขระทุกตัวล้วนมีพลังที่ไม่สามัญ ทำให้ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ถูดบดขยี้ทันทีที่ได้สัมผัส เขารู้ว่ากฎเกณฑ์ของหวังเป่าเล่อมีเยอะมาก อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวและความแข็งแกร่งของกฎเกณฑ์เหล่านี้ด้วย ดังนั้นจึงไม่ไปต่อสู้ในด้านกฎเกณฑ์ที่คนเขาคุ้นเคย แต่วางแผนจะใช้พลังวงแหวนปราณอันมหาศาลนี้มาสยบอีกฝ่ายแทน

ตอนนี้เอง ขณะที่สองมือของเขายกขึ้นโบกโดยพลัน ทันใดนั้นอักขระวงแหวนปราณนับไม่ถ้วนด้านในดารานิรันดร์ด้านหลังก็ระเบิดออกมากะทันหัน พริบตาเดียวก็แพร่กระจายอยู่ในอวกาศไร้จุดจบ ดูคล้ายกับทะเลของวงแหวนปราณ ก่อนตรงไปเข้าไปล้อมสังหารหวังเป่าเล่อกับร่างกายของเขา!

“กระบวนเวทเล็ก วงแหวนสังหาร!” ขณะที่ทะเลวงแหวนปราณกว้างใหญ่ไพศาลแผ่กระจายอยู่ในอวกาศและกู่ก้องไปหาหวังเป่าเล่อ ชงอี้จื่อก็ยังไม่ลืมเอ่ยบอก ราวกับเคล็ดวิชาลับที่เขาระเบิดออกมาเต็มกำลังเป็นเพียงแค่กระบวนเวทเล็กๆ ในบรรดาเคล็ดวิชานับไม่ถ้วนของเขาเท่านั้น

“ยังมีหน้าอีกหรือ” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ขณะที่ดูถูกอยู่ในใจ ดวงตาของเขาก็หรี่ลงแล้วเอ่ยเสียงเรียบ

“วงแหวนปราณหรือ” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า สองมือผนึกมุทรา พลังฝึกปรือในร่างโคจรขึ้นแล้วพลันสะบัดไปข้างนอก ขณะที่เสียงดังอึกทึกกึกก้อง แสงของแผนที่ดวงดาวที่ด้านหลังของเขาก็เจิดจรัส แต่แสงสว่างทั้งหมดนี้ ตอนนี้ล้วนกลายเป็นเครื่องมือขับหนุนดวงดาวเต๋านิรันดร์ในแผนที่ดวงดาว!

ยิ่งพวกมันสว่างไสวมากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้ดวงดาวเต๋านิรันดร์ที่ดำมืดราวกับหลุมดำตรงใจกลางชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น สุดท้าย ขณะที่หวังเป่าเล่อโบกมือและพลังฝึกปรือระเบิดออกมา กฎที่แฝงอยู่ในดวงดาวเต๋านิรันดร์ก็ปะทุขึ้นทันที!

“แค่กระดาษแปลงซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนเวทเล็กๆ ทั้งสามพันของตัวข้าก็เพียงพอจะสยบเจ้าแล้ว!”

ตอนนี้ผิวหน้าของเซี่ยไห่หยางและเฉินหาน รวมถึงองครักษ์เต๋าดารานิรันดร์เหล่านั้นกระตุกอีกครั้ง ความรู้สึกเหนื่อยใจรุนแรงมากยิ่งขึ้น…ขณะที่พวกเขาเหนื่อยใจอยู่ กฎกระดาษของหวังเป่าเล่อก็ปะทุขึ้นมา

สิ่งแรกที่ได้รับผลกระทบก็คือดวงดาวทั้งหมดนอกเต๋านิรันดร์ พริบตาเดียวก็กลายเป็นแถบกระดาษ จากนั้นภายใต้การเพิ่มพลังอย่างเต็มที่ของเขา มันก็พลันแผ่กระจายไปปะทะกับทะเลวงแหวนปราณไร้ที่สิ้นสุดของชงอี้จื่อตรงๆ!

เสียงกึกก้องดังสะท้อนไปทั่วจักรวาล เพียงตาเปล่าก็มองเห็นว่าอักขระวงแหวนปราณรอบด้านที่มีจำนวนนับไม่ถ้วนคล้ายจะถูกอาบย้อมตรงๆ ในชั่วพริบตา แค่อึดใจเดียว…ก็กลายเป็นแผ่นกระดาษ!

กวาดตามองไป ตอนนี้ในอวกาศก็ราวกับเป็นทะเลกระดาษไปแล้ว!

และท่ามกลางทะเลกระดาษนี้ มีเงาร่างอันเฉยเมยของหวังเป่าเล่ออยู่ ตอนนี้เขาสะกดกลั้นไม่ให้ร่างกายสั่นสะท้านแล้วยกมือขวาขึ้น ท่าทางเฉยชา ทว่าในใจกลับปั่นป่วนตะโกนชื่อชงอี้จื่อจนดังไปถึงสวรรค์ชั้นเก้า จากนั้นจึงค่อยๆ ชี้

“สยบ!”

……………………………

ดังนั้นระหว่างที่ล่าถอย ประกายแสงในดวงตาของชงอี้จื่อก็ส่องวาบ ยกสองมือขึ้นโบกโดยพลัน ทันใดนั้น ดารานิรันดร์ด้านหลังของเขาก็เปลี่ยนแปลงทันที!

พลังฝึกตนของชงอี้จื่อคือระดับดารานิรันดร์ชั้นปลาย ดารานิรันดร์ของเขาก็ยังเป็นระดับพิภพที่หายาก นี่หมายความว่าปริมาณความจุในระดับดารานิรันดร์ของเขามีมากถึงระดับที่น่าตกใจ

ถ้าเปลี่ยนเป็นสำนักเล็กๆ หรือฝ่ายเล็กๆ แห่งอื่น ต่อให้มีดารานิรันดร์ระดับพิภพ แต่ก็ไม่สามารถสนับสนุนทรัพยากรและการกินพลังยุทธ์อันมหาศาลของการฝึกตนได้ แต่ในฐานะที่เป็นเซียนเต๋าแห่งเต๋าเก้ารัฐ ชงอี้จื่อจึงไม่ขาดแคลนทรัพยากร เขาเติมเต็มระดับพิภพของตนจนบรรลุระดับสูงสุดของดารานิรันดร์ชั้นปลาย ดังนั้นดารานิรันดร์ที่เขาแสดงออกมาจึงใหญ่มโหฬาร ทำให้คนทั้งหมดที่เคยเห็นล้วนใจสั่นสะท้าน!

ถ้าหากเปรียบเทียบดารานิรันดร์ทั่วไปเป็นทะเลสาบ เช่นนั้นดารานิรันดร์ของชงอี้จื่อในตอนนี้ก็คล้ายกับมหาสมุทรที่ถึงแม้ไม่อาจเรียกได้ว่ากว้างใหญ่ไพศาล แต่ก็ยิ่งใหญ่กว่าทะเลสาบแล้ว!

ขณะเดียวกัน กระบวนเทพของชงอี้จื่อก็ไม่ได้สิ้นสุดลงเพราะการเปลี่ยนแปลงของดารานิรันดร์ของตน แทบจะภายในพริบตาที่ดารานิรันดร์ของเขาปรากฏขึ้น ร่างกายก็พลันถอยหลัง คิดไม่ถึงว่าคนทั้งคนกลับผสานรวมเข้าไปในดารานิรันดร์ที่น่าสะพรึงด้านหลังเสียแล้ว

ขณะที่หลอมรวมเข้าไป ภายในดารานิรันดร์นั่นก็แผดเสียงคำรามสะเทือนฟ้าออกมา รูปร่างเปลี่ยนไปกะทันหัน มันหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว คล้ายมีพลังเข้ามาบรรจบกันไม่หยุด จนกระทั่งในพริบตาก็มีหัวกระโหลกปรากฏขึ้น มีแขนขาปรากฏขึ้น ไปจนถึงลำตัวก็ปรากฏขึ้นด้วย สิ่งที่อยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ กลับเป็นยักษ์ตัวสูงหมื่นจั้งตัวหนึ่ง!

ยักษ์ตัวนี้มีใบหน้าของชงอี้จื่อ ทั่วร่างแผ่แสงสว่างเจิดจ้า แสงและความร้อนแผ่ออกมาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้อวกาศบิดเบี้ยวไปหมด อุณหภูมิสูงแผ่กระจายจนการมีอยู่ของมันคล้ายกับดวงจิตเทพ ดัชนีเมฆหมอกชี้ไปด้านหน้ามันจึงเหมือนกับหยดน้ำ ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็ระเหยหายไปในพริบตาเดียว!

พวกเซี่ยไห่หยางล้วนอยู่ภายใต้การคุ้มครองขององครักษ์เต๋า ทั้งหมดจึงจะหลบหนีออกมาไกลๆ ได้ แต่ละคนใจสั่นสะท้าน ต่างก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง

มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ยังอยู่ที่เดิม เขามองดัชนีเมฆหมอกของตนที่แตกกระจายอยู่ตรงหน้าชงอี้จื่อ นัยน์ตาแสดงความสนใจแรงกล้ายิ่งกว่าเดิม และในพริบตาที่จิตวิญญาณการต่อสู้ของเขาพุ่งสูงขึ้น ชงอี้จื่อที่กลายร่างเป็นยักษ์ก็คำรามขึ้นฟ้า แล้วก้าวหนักๆ ไปทางหวังเป่าเล่อ มือขวายกขึ้นมา หมัดพุ่งไปยังจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่ราวกับดาวตก!

อวกาศแตกร้าว ทั่วทุกทิศสั่นสะเทือน พลังทำลายล้างยากจะบรรยายปะทุขึ้นมาอย่างต่อเนื่องในตอนนี้เอง ขณะที่มันแพร่กระจายไปในอวกาศทั่วทุกทิศ หวังเป่าเล่อก็เงยหน้ายิ้ม เกราะจักรพรรดินอกร่างกายของเขาเปลี่ยนไปในพริบตา และในชั่วขณะที่มันเกิดการเปลี่ยนแปลงก็ถูกพลังฝึกปรือระดับดารานิรันดร์เข้ามาเติมเต็ม ทำให้เพียงพริบตาก็ครอบครองพลังระดับดารานิรันดร์แล้ว

ขณะเดียวกันพลังกายเนื้อของเขาก็ระเบิดออกมาตามการสั่นสะเทือนอย่างมีกฎเกณฑ์ ถึงแม้ขนาดร่างกายของเขาจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ตอนนี้พลังที่แฝงอยู่ในนั้นได้บรรลุถึงระดับอันน่าตกตะลึง ชั่วอึดใจที่ยักษ์ตนนั้นก้าวเท้าเข้ามา ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็กระโจนขึ้น หลบพ้นทันที ความเร็วปะทุออกมาทั้งหมด จากนั้นจึงต่อยไปยัง…หมัดของเจ้ายักษ์ที่พุ่งเข้ามาหา!

ทั้งหมดนี้เล่าแล้วยาว แต่ล้วนเกิดขึ้นในชั่วแวบเดียว พริบตาต่อมา หมัดของหวังเป่าเล่อก็ปะทะกับหมัดขวาของชงอี้จื่อที่แปลงเป็นยักษ์ หนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่ ปะทะกันกลางอวกาศ!

เห็นชัดๆ ว่าดูจากมุมมองต่างๆ หวังเป่าเล่อเหมือนกับมดที่พยายามจะเป็นตั๊กแตนห้ามรถ[1] แต่ความจริงแล้วในพริบตาที่พวกเขาปะทะกัน ขณะที่เกิดเสียงดังอื้ออึงและระลอกคลื่นสั่นกระเพื่อมราวกับโกรธเกรี้ยวนั้น ผู้ที่ถอยร่นกลับ…ไม่ใช่หวังเป่าเล่อ แต่เป็น…ชงอี้จื่อผู้กลายร่างเป็นยักษ์หมื่นจั้ง!

ทั่วร่างของชงอี้จื่อสั่นสะท้านรุนแรง ดวงตาเผยแววไม่อยากเชื่อออกมา เขารู้ว่าหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งมาก ดังนั้นแรกเริ่มจึงเตรียมจะทำร้ายวิญญาณเทพของเขาโดยไม่ไปเทียบเรื่องพลังฝึกปรือกับอีกฝ่าย หลังจากเรื่องนี้ล้มเหลว ถึงแม้เขาจะแสดงดารานิรันดร์ออกมา แต่ก็เลี่ยงหนักให้เป็นเบาได้ ไม่แข่งขันแพ้ชนะในเรื่องพลังฝึกปรือ แต่เพิ่มชั้นกายเนื้อของตน ทำให้การป้องกันกายเนื้อและพละกำลังบรรลุถึงขีดสุดเพื่อพยายามสยบหวังเป่าเล่อ ไอรีนโนเวล

ตามความคิดของเขา หวังเป่าเล่อจะต้องแสดงกระบวนเวทเทพของตนออกมาแน่นอน เช่นในการต่อสู้ตอนนี้ ทั้งสองฝ่ายสามารถกลายเป็นแบบที่เขาต้องการได้ การป้องกันร่างกายของเขาสามารถต้านทานกระบวนเวทเทพของอีกฝ่ายได้ช่วงหนึ่ง และพละกำลังของเขาก็เพียงพอจะทำให้หวังเป่าเล่อได้รับบาดเจ็บ เพียงแค่ตนโจมตีโดน

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คิดไม่ถึงเลยว่า หวังเป่าเล่อจะแสดงพลังกายเนื้อของตนออกมาเช่นเดียวกัน อีกทั้งในด้านระดับ…ก็ยังทรงพลังยิ่งกว่าของตนมาก ท่ามกลางเสียงอึกทึกในชั่วขณะนี้ ร่างของชงอี้จื่อถอยร่นกะทันหัน รู้สึกเสียใจภายหลังอย่างหาที่สุดไม่ได้ว่าทำไมจะต้องไล่ล่าหวังเป่าเล่อด้วย

แต่ตอนนี้ลูกธนูอยู่บนคันศรแล้ว เขาจำต้องยิงออกไป เขาเข้าใจดีว่าต่อให้ตนคิดอยากจะหยุดการต่อสู้ หวังเป่าเล่อก็คงไม่เห็นด้วยแน่ ดังนั้นสีหน้าของเขาจึงฉายแววดุดัน ขณะที่ถอยร่น สองมือก็ผนึกมุทรา แล้วตบลงบนร่างของตนติดต่อกันเก้าจุด ทุกครั้งที่ตบลงไปก็จะมีเสียงดังสนั่นออกมา และทุกครั้งก็จะทำให้เขากระอักเลือด

“เคล็ดวิชาลับ วิชาลำดับสามของเก้าเต๋า”

เมื่อเอ่ยออกมา ขณะที่เขาตบร่างตอนถอยหลัง ชงอี้จื่อก็กระอักเลือดออกมาเก้าครั้ง พวกมันกลับดิ้นรนอย่างรวดเร็วอยู่ตรงหน้าเขา พริบตาเดียวก็กลายเป็นร่างกายของเขาร่างแล้วร่างเล่า!

ตัวเขาเก้าตน เก้าร่างแยก!

และร่างแยกทั้งเก้าตนนี้ พลังการต่อสู้ของแต่ละตนต่างก็เหมือนกับร่างจริงของเขาไม่มีผิด นี่ก็คือหนึ่งในวิชาลับทั้งเก้าของเต๋าเก้ารัฐ เป็นตัวเขาเองที่สามารถใช้พลังเกินตัวได้ในระยะสั้นๆ เป็นเก้าร่างทั้งยังเหมือนกับมีชีวิตขึ้นมาจากความว่างเปล่าและหลอมรวมพลังต่อสู้แบบเดียวกัน!

เมื่อมันปรากฏขึ้นในตอนนี้ ทันใดนั้นจักรวาลก็สั่นสะเทือนและผันผวนรุนแรง ยิ่งร่างจริงของชงอี้จื่อส่งเสียงคำรามแบบที่เต็มไปด้วยจิตสังหารออกมา เขากับร่างแยกทั้งเก้าก็พุ่งไปพร้อมกัน ตรงไปยังหวังเป่าเล่อ

“ตาย!!”

“น่าสนใจ!” ดวงตาของหวังเป่าเล่อสว่างไสว แทนที่จะหลีกเลี่ยง ในชั่วขณะนี้จิตวิญญาณการต่อสู้ของเขากลับรุนแรงขึ้น สองมือยกขึ้นโบกอย่างฉับพลัน ทันใดนั้นด้านหลังของเขาก็มีดาวดวงแล้วดวงเล่าปรากฏขึ้นมาทันที!

พริบตาเดียว ดวงดาราพิเศษนับหมื่นก็เปลี่ยนแปลงอยู่ที่ด้านหลังของเขาทั้งหมด ขณะที่มันกลายเป็นแผนที่ดวงดาว ก็จะมองเห็นว่าใจกลางของแผนที่ดวงดาวนี้มีหลุมดำปรากฏขึ้นอย่างน่าตกตะลึง และรอบๆ หลุมดำนี้ก็มีดวงดาราเก้าดวงที่ส่องสว่างราวกับดารานิรันดร์อยู่!

“เก้าเต๋า!” หวังเป่าเล่อยกมือโบก ทันใดนั้นดวงดารานับหมื่นบนแผนที่ดวงดาวด้านหลังเขาก็หม่นแสง มีเพียงดารานิรันดร์เก้าดวงเท่านั้นที่ยังอยู่ พริบตาเดียวแสงสว่างก็ระเบิดออกมาแล้วหลุดพ้นจากแผนที่ดวงดาว ตรงไปรวมตัวกันอยู่รอบกายของหวังเป่าเล่อ แล้วกลายเป็นเงาแสงรูปมนุษย์เก้าคน!

ดวงดาราทั้งเก้าดวงก็คือดาวบรรพกาลของหวังเป่าเล่อ หลังจากเขาเลื่อนขั้นเป็นดารานิรันดร์ พวกมัน…ก็เลื่อนเป็นดารานิรันดร์จากการปลุกเสกของดาวเคราะห์เต๋าเช่นกัน เมื่อมันปรากฏขึ้นในตอนนี้ ไม่เพียงแผ่แสงกระจัดกระจาย แต่พลังแห่งกฎเกณฑ์ก็ยังมาบรรจบกันอย่างบ้าคลั่งแล้วกลายเป็นเงาร่างเต๋าทั้งเก้า นี่ก็คือร่างกฎเกณฑ์นั่นเอง!

พริบตาที่มันปรากฏขึ้นมา พวกมันก็คล้ายจะมีสติปัญญาของตนเอง มันเข้าไปคำนับหวังเป่าเล่อเป็นอันดับแรก จากนั้นก็พุ่งตรงไปยังร่างแยกทั้งเก้าของชงอี้จื่อทันที พริบตาเดียวพวกเขาก็ต่อสู้กันเองแล้ว!

ท่ามกลางเสียงอึกทึกและระลอกคลื่นมหึมาที่ซัดสาด ร่างจริงของชงอี้จื่อก็พุ่งมาแล้ว ครั้งนี้เขาไม่ได้มือเปล่าอีกต่อไป แต่สองมือของเขาเข้ามาผสานกันอยู่ตรงหน้าแล้วแยกออกจากกันกะทันหัน หอกยาวทองคำด้ามหนึ่งพลันปรากฏขึ้น เมื่อเขาจับมันไว้ในมือ พลานุภาพที่ทรงพลังยิ่งกว่าเดิมก็ระเบิดออกมา

และในพริบตาที่เขาพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาอันว่างเปล่าของตนขึ้น สิ่งที่ปรากฏขึ้นในมือของเขาไม่ใช่อาวุธเทพอย่างคราวนั้นอีกแล้ว มันเป็นดาบยาวที่เหมือนจะเลือนราง…แต่กลับรวดเร็วแข็งแรง!

ดาบเล่มนี้ก็คือ…อาวุธที่ทหารอาฆาตในชาติก่อนของหวังเป่าเล่อใช้เข่นฆ่าสรรพชีวิต ความอาฆาตแค้นพุ่งสูงถึงฟ้า ตอนนี้ทันทีที่ถูกหวังเป่าเล่อจับเอาไว้ ดาบทหารอาฆาตเล่มนี้ก็คล้ายจะมีชีวิตขึ้นมา บนนั้นมีดวงตาดวงหนึ่งปรากฏขึ้น!

ดวงตาสีแดงข้างหนึ่ง หากสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่าแววตามีจุดที่คล้ายคลึงกับหวังเป่าเล่ออยู่ ตอนนี้มันเต็มไปด้วยจิตวิญญาณการต่อสู้ ยิ่งกว่านั้นคือมีความแน่วแน่ในการกระหายอยากพิสูจน์พลังต่อสู้ของตนเอง เมื่อหวังเป่าเล่อคำรามเสียงยาว และพริบตาที่ชงอี้จื่อที่ถือหอกยาวทองคำพุ่งเข้ามา ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็ทะยานขึ้นแล้วพุ่งไปยังชงอี้จื่อ เขายกดาบทหารอาฆาตแล้วฟันลงไปทันที!

คมดาบฟันอวกาศ แรงอาฆาตสะเทือนท้องฟ้า!

เขามองเห็นคมดาบของทหารอาฆาตพุ่งเข้ามาหาตนแล้วทำให้จักรวาลเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อคล้ายจะฉีกขาด มันถูกฟันออกมาเป็นรอยแยกขนาดใหญ่ กวาดม้วนทุกสิ่งอย่าง แล้วพุ่งตรงไปหาชงอี้จื่อ!

ขณะเดียวกันก็ยังมีแรงอาฆาตมหาศาลคล้ายแปรเปลี่ยนเป็นเสียงคร่ำครวญของสรรพชีวิต เมื่อจักรวาลระเบิดออกมา ร่างจริงของชงอี้จื่อก็ต้องแบกรับพลังเป็นสิ่งแรก ทั่วร่างจึงสั่นสะท้านรุนแรง สีหน้าเปลี่ยนไปไม่คงที่ วิกฤตถึงชีวิตเกิดขึ้นในจิตใจของเขาราวกับพายุ มันระเบิดอย่างรุนแรงแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน!

………………………………..

[1] ตั๊กแตนห้ามรถ หมายถึง คนที่ทำอะไรจนเกินตัวและเดือดร้อน คล้ายกับสำนวนไทยว่า เอาไม้ซีดไปงัดไม้ซุง

ในชั่วพริบตา สายตาของทั้งสองก็จ้องมองกันโดยมีอวกาศระยะสั้นๆ กั้นอยู่

“หวังเป่าเล่อหรือ” ชงอี้จื่อเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ ท่าทางไม่แน่ใจ ความจริงแล้วในข้อมูลที่เขาได้รับมา หวังเป่าเล่อเป็นแค่ดาวพระเคราะห์ ต่อให้เลื่อนขั้นทะลวงระดับแล้ว ก็เป็นเพียงดารานิรันดร์ชั้นต้นเท่านั้น

หรือถึงแม้จะมีระดับพิภพแบบเขา ตราบใดที่ไม่ใช่ดารานิรันดร์ชั้นปลาย เขาก็ไม่สนใจ แต่คนผู้นี้ที่ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าตน…กลับทำให้เขารู้สึกอกสั่นขวัญแขวน คล้ายจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าศัตรูทั้งหมดที่เขาเคยเจอในชีวิตนี้มากนัก

โดยเฉพาะอาการใจสั่นสะท้านเล็กน้อยยามที่มองสบตากัน สำหรับตัวเขาแล้ว มีเพียงเซียนเต๋าลำดับหนึ่งเท่านั้นที่ทำให้เกิดความรู้สึกประเภทนี้ แต่ก็ไม่ได้รุนแรงมากเช่นตอนนี้

และเป็นเพราะเหตุผลเหล่านี้ จึงทำให้ตอนนี้ชงอี้จื่อเกิดความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อและไม่น่าเชื่อขึ้นในใจ ดังนั้นในชั่วแวบแรก เขาจึงเดาได้ยากว่า…คนตรงหน้าผู้นี้คือหวังเป่าเล่อ

“ชงอี้จื่อหรือ” หวังเป่าเล่อเอ่ยช้าๆ สาเหตุที่จำได้ในแวบแรกเป็นเพราะเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแบบเดียวกันกับร่างแยกที่ถูกตนสังหารก่อนหน้านี้บนร่างของอีกฝ่าย

ถึงแม้กลิ่นอายนี้คล้ายจะเบาบาง แต่ในความรู้สึกของหวังเป่าเล่อ มันกลับชัดเจนอย่างยิ่ง

ส่วนตอนนี้พวกเซี่ยไห่หยางก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าที่แท้ข้างกายตนกลับมีอีกคนซ่อนตัวอยู่ สีหน้าของแต่ละคนจึงเปลี่ยนไปในทันที เมื่อพวกเขามองเห็นเงาร่างสูงใหญ่ของชงอี้จื่อ ดวงตาก็หดเกร็ง!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนวงในที่เคยได้ยินหรือรู้ว่านี่คือร่างต้นแบบของชงอี้จื่อ จิตใจก็เต้นรุนแรง แท้จริงแล้วในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ชงอี้จื่อนั้นเลื่องชื่อลือนามมาก!

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเซียนเต๋าลำดับสองแห่งเต๋าเก้ารัฐ และในฐานะที่เป็นสำนักอันดับหนึ่งแห่งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ผู้เยี่ยมยุทธ์ในจักรพิภพนั้นก็มีมากถึงสิบกว่าคน สามารถสยบสำนักทั้งหมดในเต๋าฝั่งซ้ายได้เลย!

ถึงขนาดที่มีข่าวลือว่า ผู้อาวุโสสูงสุดในสำนักนั้นได้ฝึกตนจนทะลวงจักรพิภพแล้วก้าวเข้าสู่ระดับจักรวาลแล้ว…ซึ่งเปรียบได้กับจักรพรรดิสวรรค์ทั้งเก้าของตระกูลไม่รู้สิ้น!

สำนักเช่นนี้ ขณะที่เป็นหัวหน้าของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ก็เลื่องชื่อลือนามในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นเช่นกัน ดังนั้นเมื่อเป็นเซียนเต๋าลำดับสองของยุคในสำนักเช่นนี้ ชื่อเสียงของเขาไม่เพียงแต่สามารถสยบคนในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายได้เท่านั้น ทว่าแม้แต่จักรพิภพสำนักเสริมและราชวงศ์ของตระกูลที่อยู่ใจกลางจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นก็ยังเคยได้ยินชื่อ

ใช้คำว่า ‘บุตรแห่งสวรรค์’ มาบรรยายตัวเขาก็เป็นเรื่องสมควรแล้ว อีกอย่างชงอี้จื่อยังเป็นบุตรแห่งสวรรค์ประเภทที่เติบโตขึ้นมาเองอีกด้วย ตั้งแต่เล็กจนโต ตลอดชีวิตเขาผ่านการต่อสู้มานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งยังไม่ใช่ดอกไม้ในเรือนกระจก แต่อาศัยความสำเร็จจากการรบ สังหารหลายชีวิตเพื่อตำแหน่งเซียนเต๋าของตน

เพียงแต่ชงอี้จื่อมักจะออกไปข้างนอกด้วยร่างแยกหลายครั้ง ดังนั้นคนที่เห็นร่างต้นแบบจึงมีไม่มาก ตอนนี้เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้จำผิด ภายในใจของชงอี้จื่อก็พลันหนักอึ้ง

แม้ว่าเขาจะไม่อยากเชื่อ แต่ก็ต้องยอมรับว่าคนตรงหน้าผู้นี้ก็คือหวังเป่าเล่อ ขณะเดียวกันก็เกิดความโกรธและความเข้าใจขึ้นมาในก้นบึ้งจิตใจ ที่โกรธก็เพราะโกรธคนผู้นั้นที่ให้ตนมาสังหารหวังเป่าเล่อ เห็นได้ชัดว่าให้ข้อมูลมาไม่รอบด้าน

นี่ทำให้เขากลายเป็นฝ่ายถูกกระทำ ขณะเดียวกัน เขาก็ไม่มีเหตุผลจะไปผูกความแค้นกับคนแข็งแกร่งเช่นนี้ ส่วนที่เข้าใจก็คือการตายของร่างแยก…เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ถูกผู้อื่นฆ่า แต่เป็นหวังเป่าเล่อตรงหน้าผู้นี้นั่นเอง
ไอรีนโนเวล
และเป็นเพราะการแตกดับของร่างแยก เขาที่มาที่นี่ในตอนนี้จึงไม่อาจถอยกลับได้แล้ว การต่อสู้ครั้งนี้…เขาต้องสู้ ไม่อย่างนั้นถ้าไม่สู้แล้วถอย จะส่งผลต่อแก่นเต๋าของเขาแน่นอน

“จื่อเยว่ เจ้าสมควรตาย!” ชงอี้จื่อคำรามเสียงต่ำอยู่ในใจ แต่เบื้องหน้ากลับนิ่งงันอย่างเห็นได้ชัด ไม่เผยความรู้สึกใดมากเกินไป ถึงขนาดหลังจากหวังเป่าเล่อตะโกนชื่อของตนออกมา เขายังประสานหมัดคำนับหวังเป่าเล่ออีกด้วย

“สหายเต๋าเป่าเล่อ เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ไม่รู้ว่าเจ้าจำคนที่ชื่อว่าจื่อเยว่ได้หรือไม่…” เขาเอ่ยช้าๆ อย่างจริงใจ เมื่อเสียงสะท้อนออกไปก็ยังแฝงพลังแห่งกฎเกณฑ์เล็กน้อย ทำให้ทุกคนที่ได้ยินคำพูดนี้ตั้งใจฟังโดยธรรมชาติ

แต่ทันทีที่ชื่อจื่อเยว่หลุดออกมาจากปาก กลับทำให้ทุกคนรู้สึกว่าชงอี้จื่อที่ยังพูดไม่จบและอยากจะเอ่ยต่อมีเจตนาสังหารเย็นวาบขึ้นมาทันที เขาพลันเงยหน้าขึ้น ร่างกายพุ่งออกมาท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง

เขารวดเร็วราวกับก้อนหินสะเทือนท้องฟ้า พริบตาเดียวก็ร่นระยะห่างระหว่างเขากับหวังเป่าเล่อแล้ว ปรากฏตัวอีกทีก็มาอยู่ด้านข้างของหวังเป่าเล่อ มือขวายกขึ้นมาพร้อมส่องแสงสว่างไสว กลายเป็นกระบี่ยักษ์สีขาวเล่มหนึ่ง กวาดไปหาหวังเป่าเล่ออย่างดุดัน!

ทุกอย่างนี้รวดเร็วมาก อึดใจก่อนหน้าชงอี้จื่อยังเอ่ยอย่างจริงใจจากที่ไกลๆ อยู่เลย แต่พริบตาต่อมาจิตสังหารของเขากลับระเบิดกะทันหัน หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น บางทีอาจประมาทเลินเล่ออย่างเลี่ยงไม่ได้ หรืออาจจะรู้ตัวแต่หลบหนีไม่ได้ แม้ว่าการโจมตีครั้งนี้จะไม่ถึงชีวิต แต่ก็ยากจะหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บ

แต่ชงอี้จื่อดูถูกหวังเป่าเล่อเกินไปแล้ว ถึงแม้เขาจะเข่นฆ่าเพื่อความเป็นความตายมามาก แต่ก็ไม่มากไปกว่าหวังเป่าเล่อที่ระลึกอดีตชาติทั้งหมดได้ ในแง่หนึ่ง หวังเป่าเล่อมีประสบการณ์ด้านนี้มากจนถึงขีดสุดต่างหาก

ดังนั้น ชั่วพริบตาที่ชงอี้จื่อเข้ามาใกล้ มือขวาของหวังเป่าเล่อก็ยกขึ้นมา เมื่อพลังดารานิรันดร์ในร่างปรากฏขึ้นกะทันหัน ไอหมอกนับไม่ถ้วนก็เปลี่ยนแปลงในทันที มันรวมตัวกลายเป็นนิ้วมือหนึ่งนิ้วอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว

หากมองชัดๆ ก็จะเห็นว่านิ้วนี้คล้ายคลึงกับนิ้วมือของทัณฑ์อัสนีเล็กน้อย นี่ก็คือดัชนีเมฆหมอกที่ทรงพลังยิ่งกว่าซึ่งหวังเป่าเล่ออ้างอิงมาจากทัณฑ์อัสนีและปรับเปลี่ยนแล้ว ทั้งยังมีพลังของดารานิรันดร์

ตอนนี้เมื่อมันปรากฏขึ้นมา ฟ้าดินก็แปรผันทันใด ขณะที่ลมและเมฆพัดม้วน มันก็ร่วงลงมาตรงหน้าของชงอี้จื่อที่อาศัยความคิดฉับพลันเพื่อชิงโอกาสเปิดการต่อสู้

พริบตาเดียวก็เกิดเสียงดังสนั่น ยามนิ้วของหวังเป่าเล่อปะทะกับหมัดของชงอี้จื่อ มันสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วทุกทิศ ทั้งยังมีพลังโจมตีรุนแรงยิ่งกว่าเดิม มันแผ่กระจายดังสนั่นราวกับคลื่นมหาสมุทรไปทั้งสี่ทิศ ร่างกายของชงอี้จื่อสั่นสะท้านแล้วถอยหลังโซเซในทันที สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็แดงก่ำเล็กน้อย ยามมองไปยังชงอี้จื่อ ดวงตาก็เผยประกายความคึกคักออกมา

“ไม่เลวนี่!”

แสงสว่างในดวงตาของหวังเป่าเล่อเจิดจรัส เขากำลังกังวลเพราะไม่รู้ว่าพลังต่อสู้ของตนเป็นเช่นไรกันแน่ ส่วนชงอี้จื่อตรงหน้าก็มีระดับไม่เลว พลังฝึกปรือไม่เลว แม้แต่ความกระหายต่อสู้ก็ยังไม่เลว กล่าวได้ว่าบนตัวของเขาแทบจะมองหาจุดอ่อนใหญ่ๆ ไม่เจอ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนผู้นี้จึงเป็นเครื่องมือทดสอบที่ดีที่สุดอย่างเห็นได้ชัด

ดังนั้นตอนนี้หวังเป่าเล่อจึงรู้สึกสนใจการต่อสู้ครั้งนี้มาก ร่างของเขาสั่นไหวแล้วไล่ตามไปทันที แต่ขณะที่เขากำลังจะเข้าใกล้ชงอี้จื่อซึ่งยังถอยร่นอยู่นั้น ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็หรี่ลง สัมผัสได้รางๆ ว่าการล่าถอยของชงอี้จื่อเหมือนจะไม่ถูกต้อง ถึงร่างของเขาจะยังรวดเร็วเช่นเดิม แต่พริบตาเดียวเขากลับถอยหลังอย่างกะทันหัน จากนั้นจึงทิ้งร่องรอยเงาเอาไว้บนที่ที่เขาเคยอยู่ เพราะมีความเร็วสูงมากจึงถอยกลับเร็วมากเช่นกัน

พริบตาที่เขาล่าถอย ชงอี้จื่อที่ดูเหมือนจะโซเซคล้ายถูกกระแทกก็พลันเงยหน้าขึ้นแล้วร้องคำรามเสียงต่ำลั่นฟ้า จากนั้นด้านหลังของเขาก็มีเงากิ้งก่าสีดำตัวเขื่องปรากฏขึ้นพร้อมเสียงคำราม เงากิ้งก่านี้ตัวใหญ่หลายร้อยจั้ง มันอ้าปากออกมาพร้อมกับเสียงร้องคำรามของชงอี้จื่อ แล้วพุ่งไปยังเงาที่เหลือเอาไว้ ซึ่งเป็นจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่ในขณะนี้ ก่อนจะอ้าปากกลืนลงไปทันทีด้วยวิธีการที่รวดเร็วรุนแรงเหลือล้ำ!

เสียงร้องคำรามดังก้อง ท้องฟ้าโดยรอบผันผวนรุนแรง ตอนนี้ท้องฟ้าบริเวณที่ถูกกิ้งก่าตัวนั้นกลืนกิน กลับคล้ายจะขาดหายไปชิ้นหนึ่งจนทำให้ทรุดตัวลง

“มีกลโกงจริงๆ ด้วย!” ประกายแสงในดวงตาของหวังเป่าเล่อรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าเขาอ่อนแอ เขาจะชอบคู่ต่อสู้ที่ไร้สมอง ถึงแม้การต่อสู้จะไม่น่าสนใจ แต่โอกาสชนะของตนก็จะเพิ่มขึ้นมาหน่อย ทว่ากลับกัน สิ่งที่เขาชอบจริงๆ นั้นเป็นแบบชงอี้จื่อตรงหน้าที่มีวิธีการต่อสู้พลิกแพลงได้มากมาย!

เหมือนกับเมื่อครู่นี้ ถ้าไม่ใช่เพราะความสงสัยของหวังเป่าเล่อถึงได้หลบพ้นแล้วล่ะก็ เกรงว่าตอนนี้เขาคงถูกกิ้งก่าตัวนั้นกลืนเข้าไปแล้ว แม้จะไม่ถึงตาย แต่การโจมตีที่อีกฝ่ายเตรียมมานานก็ยังมีพลังสั่นคลอนเขาได้ ทันทีที่ถูกกลืนกิน มากน้อยก็ต้องบาดเจ็บแน่ๆ และจะกระทบไปถึงท่าทางสูงส่งของตนด้วย

ตอนนี้เมื่อหลบพ้นแล้ว สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็นิ่งสงบ มือขวาพลันยกขึ้นโบก ทันใดนั้นดัชนีเมฆหมอกก็ชี้ออกมาอีกครั้งแล้วพุ่งตรงไปยังชงอี้จื่อ!

ด้านชงอี้จื่อ ตอนนี้สีหน้าของเขาย่ำแย่มาก การโจมตีนี้เขาเตรียมเอาไว้นานแล้ว ขณะที่มันใช้ทำร้ายดวงวิญญาณเทพโดยเฉพาะ มันยังแฝงพิษแปลกประหลาดที่ไม่อาจมองเห็นชนิดหนึ่งด้วย!

จุดนี้แม้แต่หวังเป่าเล่อก็ยังสังเกตไม่เห็น ดังนั้นพิษจึงถูกซ่อนไว้ ถึงแม้โดนพิษแล้วก็ยากจะพบเห็น แต่เมื่อผสานกับกระบวนเวทเทพของชงอี้จื่อ มันจะเพิ่มระดับอีกหลายขั้น ทำให้พิษชนิดนี้ระเบิดออกมาในช่วงเวลาสำคัญ

นี่คือกระบวนท่าของชงอี้จื่อที่มีไม่กี่คนจะสามารถเทียบความแข็งแกร่งได้ ยากที่จะใช้ออกมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งในการต่อสู้หลายครั้งของเขาก็ยังทำให้เกิดความพลิกผันไม่คาดคิด ทำให้คู่ต่อสู้ที่ได้เปรียบด้านพลังฝึกปรือแข็งแกร่งล้วนต้องหน้าชื่นอกตรม แต่ตอนนี้เขากลับโดนหวังเป่าเล่อสังเกตพบล่วงหน้าและหลบหลีกได้ ทำให้เขารู้ในทันที่ว่าหวังเป่าเล่อตรงหน้าเขาคนนี้…ยากจะต่อกร!

………………………………….

ขณะที่ตัวสั่นเทิ้ม จิตวิญญาณก็คล้ายจะถูกแช่แข็งในพริบตา นี่เป็นเพราะดวงตาซึ่งก่อเกิดมาจากกลิ่นอายที่รวมอยู่ภายในวังน้ำวนของผนึกนั่น ไม่เพียงแฝงเร้นความเยือกเย็น ยิ่งกว่านั้นยังมีปราณพิฆาตมหาศาลอีกด้วย!

ความแข็งแกร่งของปราณพิฆาตนี้ แม้หวังเป่าเล่อจะผ่านการระลึกอดีตชาติมาแล้ว แต่จิตใจของเขาก็ยังสั่นสะท้าน เพราะไม่ว่าจะเป็นหลัว หรือว่ากู่ หรือบิดาของหวังอีอีก็ตาม ในด้านระดับพลังปราณพิฆาต…ล้วนอ่อนด้อยกว่าสิ่งที่อยู่ภายในวังน้ำวนนี้เสียอีก!!

และเป็นเพราะความน่าสะพรึงของปราณพิฆาต ดังนั้นแม้จะเป็นเพียงแค่สายตา ทั้งยังมีวังน้ำวนและรอยผนึกขวางไว้ แต่ก็ยังสามารถส่งผลต่อหวังเป่าเล่อได้ ทำให้ร่างกายของเขาสั่นระริก ไม่กล้าก้าวไปข้างหน้าอีก แต่กลับหันกายช้าๆ แล้วมองไปยังผนึกด้านล่าง

ขณะที่เขามองลงไป ในวังน้ำวนใต้ผนึกก็มีไอหมอกสีม่วงแผ่ออกมา ถึงแม้จะไม่ได้เอ่อล้นออกมาจากผนึก แต่เมื่อไอหมอกแพร่กระจายอยู่ใต้ผนึก ดวงตาคู่นั้นก็ยิ่งแจ่มชัดมากขึ้น หวังเป่าเล่อคล้ายได้ยินเสียงฝีเท้าค่อยๆ ดังออกมาจากด้านในวังน้ำวนใต้ผนึกรางๆ

“ผู้อาวุโส…” หวังเป่าเล่อรู้สึกประหม่า เขาสวดบทสวดเต๋าอีกสองสามรอบ แต่ก็ยังไม่เห็นบิดาของหวังอีอีปรากฏตัว ขณะที่กำลังร้อนใจ เขาก็มองดูดวงตาสีม่วงคู่นั้นและฟังเสียงฝีเท้าที่ดังมาจากภายในไอหมอก จากนั้นก็เอ่ยขึ้นฉับพลัน

“ผู้อาวุโสสวี่ ข้าแซ่หวัง!”

ทันทีที่หวังเป่าเล่อเอ่ยออกไป เสียงฝีเท้าก็หยุดลง ครู่หนึ่ง เสียงทุ้มต่ำแสนเย็นชาก็ดังออกมาจากวังน้ำวนด้านในผนึก

“เจ้ารู้จักข้าหรือ”

“ก่อนหน้านี้ข้าเคยมาที่นี่กับท่านพ่อตา และเคยพบผู้อาวุโสสวี่ขอรับ” สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึม ประโยคนี้เอ่ยได้อย่างไหลรื่นไม่มีสะดุด หน้าก็ยิ่งไม่แดง ราวกับแม้แต่ตัวเขาเองก็คิดว่าตอนนี้เขาได้เข้าสู่สถานะลูกเขยโดยสมบูรณ์แล้ว พอเอ่ยจบก็ประสานหมัดคำนับหนึ่งครั้ง

เสียงฝีเท้าไม่ได้ดังต่อ แต่ในดวงตาที่ควบแน่นขึ้นมาภายในวังน้ำวนกลับฉายแววประหลาด

“ผู้ฝึกตนของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นล้วนหน้าไม่อายอย่างเจ้าทั้งนั้นหรือ แม้แต่สถานที่ที่เจ้าอยู่ก็เป็นเพียงแค่จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นบริเวณหนึ่งเท่านั้น” ขณะที่ถ้อยคำเหล่านั้นถูกเอ่ยออกมา แววตาก็ถูกเก็บกลับไป เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีก แต่กลับไม่ได้เข้ามาใกล้ ทว่าห่างไปไกลแทน แต่หลังจากหวังเป่าเล่อได้ยินประโยคนี้แล้ว ดวงตาของเขาก็หดเกร็ง จิตใจสั่นสะท้านเสียยิ่งกว่า เขารีบเอ่ยออกมาทันที

“เมื่อครู่ผู้อาวุโสบอกว่าสถานที่ที่ผู้น้อยอยู่เป็นเพียงบริเวณหนึ่งของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นหรือ เขตหมายความว่าอะไร หรือว่าจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นจะไม่รู้สิ้นจริงๆ”

“เจ้าหนุ่มไม่ต้องมาหลอกถามข้าแซ่สวี่หรอก เรื่องพวกนี้ พอข้าเห็นเจ้าก็รู้ว่าตัวเจ้ารู้อยู่แล้ว แต่บอกเจ้าไปก็ไม่เป็นไร”

“จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น นอกจากจักรพิภพหลักแล้ว ยังมีเขตแดนอีกนับไม่ถ้วน เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ที่ถูกหว่านไปทั่วจักรวาลทุกระดับชั้น และสถานที่ที่เจ้าอยู่ ก็คือเมล็ดพันธุ์หนึ่งในนั้น”

ประโยคนี้ดังเข้าหูหวังเป่าเล่อ หลังจากนำไปผสานกับความทรงจำของการระลึกอดีตชาติแล้ว มันก็กลายเป็นอัสนีสวรรค์ส่งเสียงอึกทึกดังก้องขึ้นมา ทรวงอกของหวังเป่าเล่อขยับขึ้นลง เขาเอ่ยอย่างรวดเร็ว

“ท่านผู้อาวุโสโปรดบอกทีเถิดว่าจะเดินทางไปยังจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่แท้จริงได้เช่นไร”

เสียงฝีเท้าดังไกลออกไปเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อรอคอยอย่างร้อนใจอยู่นานมาก จนกระทั่งไอหมอกในวังน้ำวนล้วนสลายไปหมด ก็คล้ายจะมีเสียงจากที่ไกลๆ ดังสะท้อนเข้ามาในใจของเขา

“ยามที่ร่างแยกของมหาเทพในเขตแดนไม่รู้สิ้นที่เจ้าอาศัยอยู่ตื่นขึ้น”

“มหาเทพคือใคร” หวังเป่าเล่อใจสั่นรุนแรงอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกรอบ

ครู่ใหญ่ เขาก็คล้ายจะได้ยินเสียงตอบกลับรางๆ แต่ไม่แน่ใจว่ามาจากจินตนาการของตัวเองหรือเปล่า

“ประมุขแห่งไม่รู้สิ้น!” หวังเป่าเล่อพึมพำ นี่เป็นคำสุดท้ายที่เขาได้ยิน จากคำคำนี้ สมองของหวังเป่าเล่อก็เกิดความคิดนับไม่ถ้วนขึ้นมา

“ไม่รู้สิ้นมีหลายเขตแดน เช่นนั้นก็หมายความว่าจุดเริ่มต้นของวงแหวนที่สองที่โลกใบแรกถือกำเนิด แท้จริงแล้วเป็นเพียงเขตแดนหนึ่งของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นเท่านั้น…” ไอรีนโนเวล

“ส่วนจักรวาลหลายระดับชั้นที่ผู้อาวุโสสวี่ท่านนี้พูดถึง หากวิเคราะห์กันตามนี้ หรือว่าจักรวาลที่วงแหวนที่หนึ่งและวงแหวนที่สองอยู่จะเป็นแค่หนึ่งในจักรวาลจำนวนมาก…”

“ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ แล้วไม่รู้สิ้น…แข็งแกร่งขนาดไหนกัน มหาเทพคือประมุขแห่งไม่รู้สิ้น แล้วจะทรงพลังขนาดไหน…ยังมีร่างแยกมหาเทพที่เขาพูดถึงอีก หรือว่าเขตแดนหลายแห่งของไม่รู้สิ้นจะเกี่ยวพันกับการฝึกตนของเขา จึงต้องแบ่งร่างแยกออกมามากมายเพื่อทำให้ร่างกายเติบโตทีละร่าง”

“แล้วยังมี…ถ้าหากสิ่งที่ผู้อาวุโสสวี่ท่านนี้พูดเป็นความจริง เช่นนั้นร่างแยกมหาเทพในโลกแผ่นหินนี้…คือใครกัน” หัวสมองของหวังเป่าเล่อมีความคิดมากมายเกินไป ค่อนข้างจะวุ่นวายเล็กน้อย ความจริงข้อมูลที่เขาได้รับครั้งนี้มันใหญ่มาก ใหญ่มากเกินไปจริงๆ!

หลังจากใคร่ครวญความคิดเหล่านี้อยู่ในใจรอบหนึ่งแล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจตัดสินได้ว่ามีส่วนที่เป็นความจริงมากขนาดไหน แต่สัญชาตญาณได้บอกกับเขาเองว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดมาทั้งหมด แปดเก้าไม่พ้นสิบล้วนเป็นเรื่องจริง

ท่ามกลางความเงียบงัน หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาคิดว่าโลกที่เขาอยู่ใบนี้เต็มไปด้วยความเร้นลับไร้ที่สิ้นสุด ตะขาบสีโลหิต พ่อลูกหวังอีอี ซากปรักหักพังโบราณ ผนึกของหลัว และร่างจริงของตัวเขา…กระดานไม้ดำที่มาจากวังน้ำวนอีกอัน

เขาในตอนนี้มั่นใจได้อย่างหนึ่ง วังน้ำวนที่กระดานไม้ดำออกมานั้นไม่เหมือนกับวังน้ำวนที่นี่!

“ยังมีวันที่หลังปี 68 อีก” หวังเป่าเล่อพึมพำเงียบๆ เนิ่นนานเขาถึงเงยหน้าขึ้น ฝังความสงสัยทั้งหมดไว้ที่ก้นบึ้งของหัวใจ เพราะเหตุนี้ความรู้สึกบีบคั้นลึกล้ำสายหนึ่งจึงแผ่ซ่านรุนแรงอยู่ภายในใจเขายิ่งกว่าเดิม

“ถึงแม้ว่าข้าจะบรรลุระดับดารานิรันดร์ ก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี…ต้องแข็งแกร่งกว่านี้ให้เร็วยิ่งขึ้นอีก!” เมื่อคิดถึงตรงนี้ แววตาของหวังเป่าเล่อก็เปล่งแสงวาบ ร่างกายเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วกลายเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งท่ามกลางเสียงดังสนั่น จากนั้นจึงทะยานพุ่งจากใต้ทะเลไปยังผิวน้ำของทะเลกระดาษ ก่อนจะกระโจนขึ้นมาพร้อมเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น!

ขณะที่บินออกมาจากทะเลกระดาษ หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่กลางอากาศก็มองเห็นสายตาที่จ้องมองมาของจักรพรรดิองค์แรกและจักรพรรดิดาวตก รวมถึงกระดาษรูปมนุษย์ที่อยู่รอบๆ ทันที

“ขอบพระคุณผู้อาวุโส ขอบพระทัยฝ่าบาท!” หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก ประสานหมัดคำนับอย่างล้ำลึกไปยังจักรพรรดิรุ่นแรกและจักรพรรดิดาวตก ไม่ได้เอ่ยคำพูดซาบซึ้งอะไรมากมาย เพราะความรู้สึกซาบซึ้งทั้งหมดล้วนถูกจดจำไว้ในจิตวิญญาณเรียบร้อยแล้ว

หวังเป่าเล่อรู้ดีว่า ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะตนมาเลื่อนขั้นที่สุสานดวงดารา เกรงว่าคงยากที่จะสำเร็จได้อย่างราบรื่น ทั้งยังมีวิกฤตอันตรายพิฆาตกายสลายเต๋าอีก ดังนั้นน้ำใจนี้จึงยิ่งใหญ่นัก

เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อไม่เป็นอะไร จักรพรรดิองค์แรกและจักรพรรดิดาวตกต่างก็โล่งอก หลังจากก้าวเข้าไปถามไถ่สารทุกข์กัน หวังเป่าเล่อก็ขอตัวลา เขาไม่ต้องการเรือเพื่อคุ้มกันอีกแล้ว ตัวเขาพุ่งขึ้นฟ้าในทันทีภายใต้สายตาของทั้งสอง ที่ปลายท้องฟ้า ณ เส้นขอบของวงแหวนปราณดาวตก หวังเป่าเล่อหันกลับมามองทุกคนที่อยู่ด้านล่าง แล้วคำนับอีกครั้ง

“หากในอนาคตมีความจำเป็นใดๆ ข้าแซ่หวังจะต้องช่วยเหลือเต็มกำลังแน่นอน!” ว่าพลาง หวังเป่าเล่อก็หันกายไปยังปลายขอบฟ้า เพียงย่างก้าวออกไป เงาร่างของเขาก็กลายเป็นหลุมดำทันที ชั่วพริบตา…ก็หายวับไปแล้ว!

“ข้าคล้ายจะมองเห็นว่า อีกไม่นานโลกภายนอกจะมีตำนานปรากฏขึ้น!” จักรพรรดิดาวตกทอดมองจุดที่หวังเป่าเล่อหายตัวไป แววตามีความคาดหวังและเอ่ยพึมพำกับตัวเอง

“นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับข้าแล้ว หวังเป่าเล่อได้รับดาวเคราะห์เต๋าที่นี่ ทั้งยังเลื่อนขั้นดารานิรันดร์ที่นี่ด้วย บุญคุณจากดาวตกนั้นเพียงพอแล้ว ภายหลังถ้าหากเขาประสบความสำเร็จโดยสมบูรณ์ สัมพันธ์วาสนาของข้าก็จะจบลง ถ้าหากไม่ได้ประสบความสำเร็จ คาดหวังไปก็ไร้ประโยชน์” จักรพรรดิรุ่นแรกส่ายศีรษะ เก็บสายตาที่มองไปบนฟ้ากลับมา

ขณะเดียวกัน เมื่อพลังฝึกปรือเพิ่มพูน หลังจากเงาร่างหายวับ หวังเป่าเล่อที่คล้ายกับหลุมดำก็เหมือนจะหลอมรวมไปกับความว่างเปล่า พอปรากฏตัวในพริบตาต่อมา เขาก็มาอยู่ในอวกาศด้านนอกสุสานดวงดาราแล้ว

ในอวกาศ สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นมาคือแถบกระดาษที่เปิดออกอย่างต่อเนื่องหลังจากพับทบนับครั้งไม่ถ้วน พริบตาเดียวอวกาศก็ปกคลุมไปด้วยกระดาษขาว ส่วนใจกลางของกระดาษขาวนั้น เพียงพริบตาพวกเซี่ยไห่หยางกับเฉินหานก็มองเห็น…เงาร่างของหวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นตรงนั้น!

ร่างสวมชุดขาว ผมสีดำขลับ ดวงตาราวดารา เงาร่างคล้ายจันทร์กระจ่าง ร่างราวตะวันฉาย!

แทบจะทันทีที่เขาปรากฏตัว ผู้ฝึกตนทุกคนที่มองเห็นเขาต่างตกตะลึง ในดวงตามีความหวั่นเกรงที่ไม่อาจควบคุมได้ และเสียงเยินยอของเฉินหานก็ดังขึ้นมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางความตื่นตะลึงนั้น

“ยินดีและปรีดาด้วยกับท่านพ่อ ท่านเลื่อนขั้นเป็นระดับดารานิรันดร์แล้ว!”

“ขอแสงความยินดีกับอาจารย์อา อาจารย์อาเลื่อนขั้นดารานิรันดร์ได้ในคราวเดียวเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากบนโลกนี้ จากนี้ไปมหาสมุทรไพศาลท้องนภากว้างใหญ่ ไม่มีที่ใดที่อาจารย์อาไปไม่ได้!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเฉินหานและเซี่ยไห่หยางที่เอ่ยตามกันมาติดๆ ใบหน้าของหวังเป่าเล่อก็เผยรอยยิ้มบางเบาราวผู้สูงส่งออกมาโดยไม่รู้ตัว หลังจากใช้สายตากวาดมอง สายตาของเขาก็ไปตกอยู่ที่ไกลๆ…ณ อวกาศกว้างใหญ่ว่างเปล่าในสายตาของคนนอก จากนั้นจึงค่อยๆ เอ่ยออกมา

“ปล่อยให้เจ้ารอนานแล้ว”

แทบจะชั่วพริบตาที่หวังเป่าเล่อเอ่ยขึ้นมา จุดที่สายตาของเขามองไปก็คล้ายจะมีม่านผืนหนึ่งถูกฉีกขาดกะทันหัน แล้วเผยให้เห็น…เงาร่างสูงใหญ่…ผู้มีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างที่สุด นัยน์ตาแฝงความหวาดหวั่น!

นั่นก็คือชงอี้จื่อ!

…………………

สีหน้าของหวังเป่าเล่อพลันเปลี่ยนไป เขามองดูนิ้วอัสนีมหึมาที่ปรากฏขึ้นบนฟ้าและกินพื้นที่ไปกว่าครึ่งนั่น ขณะตกใจจนเนื้อกระตุก ก็ยังมีความรู้สึกถึงวิกฤตชีวิตอันแรงกล้า

หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าร่างจริงของตนเป็นไม้ดำสามฉื่อท่อนหนึ่งที่เหมือนจะเป็นอมตะไม่ดับสลาย จากภาพที่เขาเห็นตอนระลึกอดีตชาติ นิ้วอัสนีเล็กๆ นี่ไม่อาจสั่นคลอนร่างจริงของตนได้แม้แต่นิด

แต่…สั่นคลอนกระดานไม้ดำไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่ามันจะสั่นคลอนจิตที่ถือกำเนิดบนนั้นไม่ได้!

นี่เป็นสองความคิดที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง และวิกฤตถึงชีวิตในขณะนั้นก็ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่า…นิ้วอัสนีที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของตนในตอนนี้สามารถทำลายตัวเขาจนหมดสิ้นได้เลย!

ทันทีที่เขาถูกทำลาย บางทีอีกไม่กี่ปีต่อมา กระดานไม้ดำอาจจะยังให้กำเนิดดวงจิตดวงใหม่ขึ้นมาได้ บางทีอาจจะเป็นตัวเขาเอง แต่ในแง่หนึ่งก็ไม่ใช่ตัวเขาอีกแล้ว

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตระหนกมาก เขาคิดว่าอาจเป็นเพราะเมื่อครู่เขาทำตัวหยิ่งยโสเกินไป ไม่อย่างนั้นเหตุใดการที่ตนเลื่อนขั้นเป็นดารานิรันดร์ถึงได้มีทัณฑ์สายฟ้าที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเช่นนี้ปรากฏขึ้นด้วยล่ะ!

“บางทีอาจจะเกี่ยวกับผลข้างเคียงของขวดปรารถนา…” หวังเป่าเล่อนึกถึงคำอธิษฐานของตนที่ดาวเคราะห์ชะตา แต่ต่อมาผลข้างเคียงก็ไม่เคยปรากฏขึ้น ภาพตรงหน้าทำให้เขาคาดเดาได้โดยไม่ตั้งใจ

แต่การคาดเดาที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้นคือ เป็นเพราะดาวเคราะห์เต๋าของตนเลื่อนขั้นเป็นนิรันดร์ เรื่องนี้กวาดมองไปทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นแล้วล้วนเป็นเรื่องที่มีอยู่แต่ในตำนาน หรือแม้แต่ในการคาดเดาถึงตัวเองของหวังเป่าเล่อ แม้ว่าดาวเคราะห์เต๋าของบรรพบุรุษผู้ก่อตั้งตระกูลไม่รู้สิ้นท่านนั้นจะเลื่อนขั้นเป็นนิรันดร์เช่นกัน แต่ก็ไม่แน่ว่าจะเหมือนกับกรณีของเขาที่ทะลวงผ่านสิ่งกีดขวางเป็นล้านได้!

ถึงอย่างไร…การทะลวงไปถึงชั้นที่เจ็ดแปดหมื่นก็เป็นสิ่งที่ต้องใช้พลังทั้งหมดซึ่งสั่งสมจากตัวหวังเป่าเล่อในชาตินี้และสิบชาติก่อนถึงจะทำได้ ในแง่หนึ่ง นี่เป็นขีดสุดของสิ่งมีชีวิตแล้ว

ต่อให้มีคนครอบครองโอกาสวาสนาที่ดียิ่งกว่าเขา ก็ไม่มีวันจะทำได้เกินหนึ่งแสนชั้น สาเหตุที่หวังเป่าเล่อทำได้นั้น เป็นเพราะตัวกระดานไม้ดำอันน่าสะพรึงจนยากจะพรรณนานั่นต่างหาก

ดังนั้น…หากดูจากความน่าจะเป็นที่สูงยิ่งแล้ว หวังเป่าเล่อคิดว่าบางทีตนอาจจะเป็น…คนเดียวในโลกแผ่นหินที่ทะลวงฝ่าการกดดันสยบของโลกแผ่นหินระหว่างที่ดาวเคราะห์เต๋าเลื่อนเป็นนิรันดร์!

“เหมือนกับว่าข้างในของแผ่นหินมีพละกำลังจนทำให้แผ่นหินเกิดรอยร้าวขึ้นมา…และขวดปรารถนาก็ต้องมีส่วนผลักดันเรื่องนี้ด้วยแน่ๆ…ดังนั้นจึงทำให้ทัณฑ์อัสนีมาจนถึงระดับเช่นนี้!” หวังเป่าเล่อหายใจถี่ ความคิดในหัวหมุนวนเร็วรี่ เขาไม่สนใจท่วงท่าสูงส่งอะไรแล้ว

“แม่นางน้อย ช่วยข้าด้วย!”

ขณะที่ร่างกายถอยหลังฉับพลัน หวังเป่าเล่อก็ตะโกนร้องลั่น

“จักรพรรดิองค์แรก โปรดยื้อเวลาให้ข้าหน่อย!!” เมื่อเขาเอ่ยออกมา ก้นบึ้งจิตใจของหวังเป่าเล่อก็ท่องบทสวดเต๋าเงียบๆ ทันที

กระดาษรูปมนุษย์เหล่านั้นที่อยู่รอบๆ ตอนนี้ หลังจากมองเห็นนิ้วมือน่าตะลึงแล้ว พวกเขาก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง จักรพรรดิดาวตกและจักรพรรดิองค์แรกท่านนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างยิ่ง

บุญคุณที่หวังเป่าเล่อมีต่อสุสานดวงดาราและความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย ทำให้พวกเขาไม่อาจเห็นคนจะตายต่อหน้าแล้วไม่ช่วยได้ อีกทั้งต่อให้พวกเขาสามารถชั่งน้ำหนักตัดสินใจได้ แต่ดวงจิตของสุสานดวงดาราที่เห็นชัดว่ามารวมตัวกันระหว่างฟ้าดินในตอนนี้กลับตัดสินใจแทนพวกเขาไปแล้ว

ถึงขนาดที่วงแหวนปราณบนฟ้ายังส่งเสียงครืนครางออกมา แล้วเริ่มปิดผนึกเพื่อต่อต้านนิ้วมือ!

ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิองค์แรกหรือว่าจักรพรรดิดาวตกก็ล้วนเข้าใจดีอย่างยิ่งว่าทันทีที่พวกเขาเข้าร่วมด้วย กลัวแต่ว่าทั่วทั้งสุสานดวงดาราจะต้องเกี่ยวโยงกับเหตุต้นผลกรรมขนาดใหญ่กับหวังเป่าเล่อ ทำให้เป้าหมายของทัณฑ์อัสนีขยายมาถึงสรรพชีวิตที่อยู่ในโลกของพวกเขา

เรื่องเช่นนี้ นอกจากจะเป็นทางเลือกสุดท้าย ไม่อย่างนั้นพวกเขาสองคนก็ไม่ยินยอมหรอก แต่เมื่อเห็นว่าไม่ช่วยเหลือไม่ได้ ก็ทำให้ภายในใจของพวกเขาทั้งสองร้อนรน ทว่าแทบจะภายในชั่วพริบตา ดวงตาของจักรพรรดิองค์แรกก็พลันสว่างวาบ เขาตะโกนลั่นทันที

“เป่าเล่อ ไปที่ทะเลกระดาษ ไปสถานที่ปิดผนึกวังน้ำวนนั่น!!”

ขณะที่เสียงของจักรพรรดิองค์แรกดังก้อง หวังเป่าเล่อก็กำลังทะยานถอยหลัง เมื่อได้ยินคำพูดนี้ การปิดผนึกของวงแหวนปราณบนฟ้าก็ต่อต้านกับนิ้วมือจนเกิดเสียงดังก้องกัมปนาท วงแหวนปราณ…ไม่อาจปิดลงได้ ส่วนนิ้วมือนั่นก็ตกลงมาอย่างกะทันหันท่ามกลางเสียงดังสนั่น ราวกับเป็นตัวแทนท้องฟ้าที่กดลงมาเพื่อบีบคั้นหวังเป่าเล่อ

ช่วงเวลาวิกฤต หวังเป่าเล่อคิดมากไม่ได้แล้ว บทสวดเต๋ายังท่องต่อไป เงาร่างก็หันหลังทันใด แล้วตรงไปยัง…ทะเลกระดาษเบื้องล่างจนเกิดเสียงหวีดหวิว ความเร็วว่องไวเสียจนแทบจะเข้าไปในทะเลกระดาษภายในพริบตา

ขณะเดียวกัน เมื่อเงาร่างของหวังเป่าเล่อเข้ามาในทะเลกระดาษ นิ้วมือยักษ์ที่ตกลงมาจากฟ้าก็ไม่ได้ลดความเร็วลง แต่ระยะของมันกลับหดลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายก็บรรจบกันกลายเป็นขนาดร้อยจั้ง และเป็นร่องรอยสายฟ้าที่มองไม่เห็นอีกต่อไปจนเหมือนกับนิ้วมือจริงๆ หนึ่งนิ้ว ก่อนจะพุ่งลงไปในทะเลกระดาษทันที!

เพิ่งจะตกลงมามันก็มีประกายสายฟ้าสัมผัสอยู่ตามขอบนิ้วแล้ว มันแพร่กระจายไปทั่วทั้งทะเลกระดาษโดยพลัน ขณะที่เสียงดังสนั่น ทั่วทั้งทะเลกระดาษก็คล้ายจะลุกเป็นไฟขึ้นมาเพราะสายฟ้าฟาด

จากไกลๆ จะเห็นทะเลกระดาษโหมซัด สีฟ้าดินเปลี่ยนผัน จนทำให้กระดาษรูปมนุษย์ทั้งหมดในที่นั้นรู้สึกหวาดผวาขึ้นมาอีกครั้ง ไม่กล้าเข้ามาใกล้ ส่วนหวังเป่าเล่อที่ตอนนี้ดำดิ่งอยู่ในทะเลกระดาษก็สัมผัสได้ถึงพลังของสายฟ้าที่แผ่มาจากผิวน้ำด้านหลังของตนเช่นกัน ร่างกายสั่นระริกเบาๆ โคจรพลังฝึกปรือเร็วยิ่งขึ้น

เพียงแต่…ถึงแม้เขาจะรวดเร็ว แต่นิ้วอัสนีที่ตามมาจากด้านหลังก็ยังไล่ตามมาอย่างไม่ลดละพร้อมความเร็วที่เพิ่มขึ้น เข้ามาใกล้กับหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว

จากแรกเริ่มที่อยู่ในระยะร้อยจั้งก็ลดมาถึงห้าสิบจั้งทันที จนกระทั่งลดมาถึงสามสิบจั้ง จิตใจของหวังเป่าเล่อก็หวาดผวาจนถึงขีดสุด เขาสวดบทสวดเต๋าในใจไปมากมาย แต่บิดาของหวังอีอีก็ยังไม่ปรากฏกายออกมา

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อร้อนใจยิ่งขึ้นไปอีก ขณะที่เขากำลังว่ายอยู่ในทะเล ตอนนั้นเองก็มองเห็นผนึกราวกับกระจกอยู่ที่ก้นบึ้งของทะเลกระดาษแล้ว เขามองเห็นศพหญิงสาวบนนั้น และมองเห็นทางเข้าวังน้ำวนที่อยู่ใต้ผนึกนั่นด้วย!

“จักรพรรดิองค์แรกให้ข้ามาที่นี่ จะต้องมีเหตุผล!” แววตาของหวังเป่าเล่อร้อนรน เขากัดฟันแน่น ขณะที่นิ้วมือข้างหลังเข้ามาใกล้สิบจั้งและแผ่เส้นสายฟ้าผันผวนคล้ายจะฉีกร่างของเขาออกมา ในใจของหวังเป่าเล่อก็ร้องคำราม ความเร็วเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เขาทะยานเข้าไปใกล้กับผนึกทันที แล้วปรากฏตัวขึ้นที่…ผนึกราวกับกระจก

พริบตาที่มายืนอยู่ตรงนี้ เขาก็หันกายกลับทันใด มองไปยังนิ้วมืออัสนีมหึมาที่ตอนนี้เข้ามาแทนที่ภาพทั้งหมดในสายตาของเขาแล้ว ดวงตาของเขาเห็นเพียงภาพนิ้วมือที่กรีดร้องมาหา

ชั่วพริบตา…นิ้วมือก็เข้ามาใกล้กับผนึก พุ่งตรงมายังหวังเป่าเล่อโดยไม่หยุดชะงักแม้แต่นิดเดียว

แต่ขณะที่เห็นว่านิ้วมือจะสัมผัสกับหวังเป่าเล่ออยู่แล้ว ทันใดนั้น…แรงดึงดูดมหาศาลสายหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาจากวังน้ำวนใต้ผนึกฉับพลันทันใด แรงดึงดูดนี้มีมหาศาลนัก ต่อให้ผ่านตัวผนึกออกมาก็ยังส่งผลกระทบถึงโลกภายนอก

ทำให้นิ้วอัสนีที่เข้ามาใกล้เขาสั่นสะเทือนรุนแรง มองด้วยตาเปล่าก็เห็นว่ามันเริ่มบิดเบี้ยวแล้ว สายฟ้าจำนวนมากถูกดึงออกมาจากนิ้วมืออย่างไม่อาจควบคุมได้ แล้วหลอมรวมกับผนึก ก่อนจะเข้าไปในวังน้ำวนที่อยู่ใต้ผนึก!

ภาพนี้คล้ายกับว่านิ้วอัสนีเป็นการฝุ่นผงที่รวมตัวกัน และตอนนี้กำลังปลิวว่อนอยู่กลางสายลม!

หวังเป่าเล่อเบิกตาโต มองเห็นนิ้วมือที่ก่อนหน้านี้ยังทรงพลังไร้ใดเปรียบ แต่ตอนนี้กลับถูกดูดออกไปอย่างรวดเร็วจนควบคุมไม่ได้ หัวใจของเขาก็เต้นกระหน่ำเร็วรี่ทันที

“ความอุดมสมบูรณ์มาพร้อมอันตราย!!” ดวงตาเป็นสีแดงก่ำในพริบตา มือของหวังเป่าเล่อผนึกมุทราสะบัดออกไปโดยแรง ทันใดนั้นหลุมดำดารานิรันดร์ที่อยู่ด้านหลังของเขาก็ปรากฏขึ้นกะทันหัน มันแผ่แรงดึงดูดแบบเดียวกันออกมา

เสียงอึกทึกกึกก้องดังสนั่นโดยพลัน นิ้วมือที่กำลังถูกผนึกดูดก็กระจายออกมาบางส่วน แล้วถูกแรงดึงดูดของหวังเป่าเล่อดูดกลืนไปทันที

ภายในพลังของทัณฑ์สวรรค์แฝงไว้ซึ่งกฎเกณฑ์จำนวนนับไม่ถ้วน ทั้งยังมีกลิ่นอายของฟ้าดิน เพียงแค่ดูดซับเข้าไปนิดเดียว หวังเป่าเล่อก็ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้าแล้วดูดกลืนต่ออย่างรวดเร็ว เช่นนี้…การสลายตัวของนิ้วมือทัณฑ์อัสนียังคงอยู่ประมาณสิบกว่าลมหายใจ แล้วเลือนรางจนเล็กลงภายใต้การดูดกลืนร่วมกันของหวังเป่าเล่อและผนึก จากนั้นค่อยสลายวับประดุจเถ้าและควัน หายไปโดยสมบูรณ์!

เพียงแต่เมื่อเทียบปริมาณทั้งหมดกับปริมาณที่ผนึกดูดไปได้ ส่วนใหญ่ทางหวังเป่าเล่อดูดซับได้ไม่ถึงหนึ่งส่วน แต่แม้ว่าจะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ก็ยังทำให้เขาผ่านช่วงบ่มเพาะหลังจากเพิ่งก้าวสู่ระดับดารานิรันดร์ได้อย่างรวดเร็ว แล้วยืนอย่างมั่นคงอยู่ที่ระดับนี้ได้โดยสมบูรณ์!

“นี่มันของบำรุงนี่!” หวังเป่าเล่อดีใจอย่างยิ่ง เมื่อเห็นวิกฤตคลี่คลายก็กำลังจะจากไป แต่ในตอนนี้เอง…เหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกะทันหัน!

กลิ่นอายเข้มข้นสายหนึ่งจู่ๆ ก็ควบแน่นจากวังน้ำวนใต้ผนึก คล้ายกับกลายเป็นดวงตาเย็นชาคู่หนึ่ง หลุดออกมาจากวังน้ำวน แล้วหลุดจากผนึก มองตรงมายังหวังเป่าเล่อ!

หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม

…………………

ดารานิรันดร์เป็นระดับขั้นอย่างหนึ่งของร่าง ขั้นของผู้เยี่ยมยุทธ์ที่แม้ก้าวเข้าไปครึ่งก้าวก็มีระดับอมตะแล้ว ถึงแม้ดารานิรันดร์ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นจะมีอยู่ค่อนข้างมาก แต่นี่ก็เป็นเพราะระดับพื้นฐานมีจำนวนมาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นระดับสามัญหรืออำพันสองระดับนี้ แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้…ระดับดารานิรันดร์ก็ยังเป็นการมีอยู่อันน่าสะพรึงที่ทำให้คนคนหนึ่งสามารถค้ำจุนหนึ่งดาราจักรได้เลย

แล้วนับประสาอะไรกับดารานิรันดร์ขั้นสูง

ตัวอย่างเช่นชงอี้จื่อ เขาเป็นดารานิรันดร์ระดับพิภพ สถานะของเขาก็คือเซียนเต๋าลำดับสองของสำนักอันดับหนึ่งของเต๋าเก้ารัฐแห่งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้าย จากตรงนี้จะเห็นได้ถึงพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งหายากของดารานิรันดร์ระดับสูงได้!

ส่วนระดับสวรรค์…นั่นมีเพียงตระกูลไม่รู้สิ้นเท่านั้นที่ครอบครองวิธีการเลื่อนขั้น ดารานิรันดร์ระดับสวรรค์คนหนึ่ง ถึงแม้จะมีพลังฝึกปรือจะอยู่เพียงดารานิรันดร์ชั้นกลาง แต่กับการสังหารชงอี้จื่อ…แม้จะไม่ได้ง่ายดาย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้พลังมากเกินไป

นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลพื้นฐานที่รักษาให้ตระกูลไม่รู้สิ้นแข็งแกร่งจากรุ่นสู่รุ่น

ส่วนทางหวังเป่าเล่อ ดารานิรันดร์ของเขาไม่อาจใช้กฎเกณฑ์ทั่วไปมาตัดสินแล้ว หากดูจากระดับ เขาเหนือยิ่งกว่าระดับสวรรค์ บรรลุถึงระดับเต๋านิรันดร์ที่มีอยู่ในตำนาน หากดูจากปริมาณ…เขาทำลายสิ่งกีดขวางนับล้าน รั้นให้ดาวเคราะห์เต๋าของตน…เลื่อนขั้นถึงระดับหลุมดำ!

ดังนั้นจึงยากจะตัดสินพลังต่อสู้ในตอนนี้ของเขาอย่างมาก ตัวหวังเป่าเล่อเองก็ไม่อาจเปรียบเทียบพลังได้ชัดเจน เขารู้แค่ว่า…ดารานิรันดร์ระดับแบบร่างแยกของชงอี้จื่อก่อนหน้านี้ ใช้แค่นิ้วเดียวก็สามารถจิ้มให้ตายหลายคนแล้ว!

“ข้าในตอนนี้ ถึงไม่อาจพูดได้ว่าใต้หล้าไร้พ่าย แต่อย่างน้อยผู้ที่สามารถสังหารข้าได้ก็มีน้อยนิด” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้น เต็มไปด้วยความทอดถอนใจ ยิ่งกว่านั้นคือมีความภาคภูมิใจแบบหนึ่งผุดขึ้นมาในใจเขาด้วย

ขณะที่หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่บนฟ้า กระดาษรูปมนุษย์ทั้งหมดที่สุสานดวงดาราด้านล่างก็ใจสั่นสะเทือน วังน้ำวนที่เกิดจากร่องรอยพลังหายนะซึ่งขดวนอยู่ด้านนอกทางเข้าสุสานดวงดาราและถูกดึงดูดมาเพราะการเลื่อนระดับของหวังเป่าเล่อ ตอนนี้มันหมุนวนทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นกะทันหัน สายฟ้าหลายสายก็เพิ่มมากขึ้นพร้อมกับการหมุนวนอย่างรวดเร็วของวังน้ำวนนี้ทันที!

พริบตาที่มันแผ่กระจาย สายฟ้าเหล่านี้ก็พลันพุ่งออกมา ราวกับสามารถตามหาทางเข้าที่ถูกต้องของสุสานดวงดาราได้ ชั่วแวบเดียวที่มันบินออกมา มองไปก็จะเห็นว่าจำนวนของสายฟ้าเหล่านี้มีมากเกินไปจนไม่อาจนับจำนวนได้ มันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจากภายในวังน้ำวน แล้วพุ่งไปข้างในสุสานดวงดาราไม่หยุดยั้ง!

ภาพนี้ทำให้ชงอี้จื่อที่มองเห็นทั้งตกใจ ประหลาดใจ และสงสัย

ส่วนสิ่งมีชีวิตในสุสานดวงดาราก็มีอาการเช่นนี้ พวกเขาเห็นสายฟ้าสายแล้วสายเล่าพุ่งมาจากบนฟ้า ทุกสายคล้ายจะนำพากลิ่นอายแห่งการทำลายล้างมาด้วย เมื่อมันปรากฏขึ้นก็พุ่งไปยังแนวป้องกันวงแหวนปราณของสุสานดวงดาราทันที

เสียงดังกึกก้องระเบิดดังถึงขีดสุดทันทีตั้งแต่เริ่ม จนทำให้ท้องฟ้าไร้สีสัน วงแหวนปราณบิดเบี้ยว ฟ้าดินคล้ายจะพังทลายลงมา หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองไปยังสายฟ้าเหล่านั้น

“หวังเป่าเล่อ นี่คือทัณฑ์สวรรค์ เจ้ารีบเตรียมตัวเร็ว วงแหวนปราณของจักรวรรดิดาวตกของข้าขวางไว้ได้ไม่นาน!!” ผู้อาวุโสรุ่นแรกคำรามเสียงต่ำ จักรพรรดิดาวตกที่อยู่ข้างกายก็ผนึกมุทราอย่างรวดเร็วเพื่อเสริมกำลังให้กับวงแหวนปราณ

พวกเขาไม่อาจให้ความช่วยเหลือโดยตรงได้ เพราะการทำเช่นนี้ไม่เป็นไปตามกฎและจะส่งผลต่อทั้งจักรวรรดิดาวตก ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาทำได้จึงมีเพียงอาศัยวงแหวนปราณซื้อเวลาครู่หนึ่งให้กับหวังเป่าเล่อ

“ไม่จำเป็นต้องขวาง ข้าในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเรียบนิ่ง ท่วงท่าสง่าสูงส่งปรากฏขึ้นมาให้เห็นบนร่างอีกครั้ง ขณะที่กล่าวก็นำสองมือไพล่หลัง สีหน้าราบเรียบ เผยท่าทางของผู้แข็งแกร่งออกมา Aileen-novel

ภาพนี้ทำให้จักรพรรดิองค์แรกและจักรพรรดิองค์ปัจจุบันมีสีหน้าแปลกประหลาด หลังจากหันมาสบตากัน ทั้งสองจึงเก็บพลังเทพไปพร้อมกันแล้วเปิดช่องว่างของวงแหวนปราณ เพียงชั่วอึดใจ…สายฟ้าที่ส่งเสียงกึกก้องมาจากด้านนอกวงแหวนปราณก็คล้ายจะมีสติปัญญา มันพุ่งเข้ามาตามช่องว่างทันที!

เป้าหมายของสายฟ้าเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับสุสานดวงดารา หลังจากมันเข้ามาในชั่วขณะนี้แล้ว ก็พุ่งตรงมายังหวังเป่าเล่อดังสะเทือนฟ้าดิน ความเร็วของมันทำให้พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้ และจำนวนมหาศาลของมันนั้น เพียงแค่ระลอกเดียวก็มีตั้งหลายหมื่นสายแล้ว!

มุมปากของหวังเป่าเล่อยกยิ้มจางๆ ขึ้นมา พริบตาที่สายฟ้าเหล่านี้มาถึง เขาก็ยกมือขวาชี้ไปข้างหน้า ทันใดนั้นดวงดาวเต๋านิรันดร์ด้านหลังตนก็เปลี่ยนแปลงทันที มันไม่ได้แผ่แสงและความร้อนออกมา มองไปมีเพียงหลุมดำขนาดมหึมาหลุมหนึ่งเท่านั้น

เสียงดังกึกก้อง ขณะที่สายฟ้าทุกสายพุ่งเข้ามาใกล้ด้านหน้าของเขา พวกมันก็บิดเบี้ยวพังทลายในพริบตา เฉียดผ่านข้างกายเขาแล้วถูกชักนำเข้าไปในหลุมดำทีละสาย จนโดนกลืนกิน

“แค่นี้หรือ” หวังเป่าเล่อเงยหน้า เอ่ยเสียงราบเรียบ

พริบตาต่อมาก็มีสายฟ้าหลายหมื่นสายกู่ก้องเข้ามาจากรอยแยก แต่ทั้งหมดล้วนพังทลายบิดเบี้ยวเมื่อเข้าใกล้หวังเป่าเล่อ ก่อนจะถูกหลุมดำด้านหลังดูดกิน เมื่อเห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจเบาๆ ท่าทางเบื่อหน่ายเล็กน้อย จากนั้นเขาก็มองไปยังจักรพรรดิรุ่นแรก

“มีเหล้าไหม”

ผิวหน้าของจักรพรรดิรุ่นแรกกระตุก เขาคิดว่าการพบหวังเป่าเล่อครั้งนี้ อีกฝ่ายดูแตกต่างจากเมื่อก่อนมากนัก กลายเป็นว่า…ท่ามาก ทำให้เขาเกิดความรู้สึกอยากจะพุ่งเข้าไปต่อยสักหมัดอย่างอธิบายไม่ได้ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงฝืนสะกดอาการอยากพุ่งเข้าใส่ลงได้ จากนั้นก็เอ่ยเสียงเรียบ

“นี่เป็นแค่ทัณฑ์อัสนีส่วนหน้าเท่านั้น ยิ่งมาหลังๆ ก็ยิ่งรุนแรง”

“งั้นหรือ” หวังเป่าเล่อแย้มยิ้มบางเบา ดูเหมือนว่าแม้แต่ทัณฑ์อัสนีที่อยู่นอกฟากฟ้าก็ยังรู้สึกว่าถูกดูหมิ่น เพียงพริบตาก็มีสายฟ้าเพิ่มมากเป็นหลายแสนเส้นพุ่งเข้ามาหาพร้อมกัน อีกทั้งสีสันก็เปลี่ยนไป อานุภาพน่ายำเกรงยิ่งกว่าเดิม ขณะที่มันฟาดลงมาก็ระเบิดอยู่รอบตัวของหวังเป่าเล่อจนหมด สุดท้ายก็แตกสลาย แล้วโดนหลุมดำของเขาดูดกลืน

หวังเป่าเล่อส่ายศีรษะ ก่อนสะบัดนิ้วมือที่เริ่มดำของตนในแขนเสื้อเงียบๆ สะกดกลั้นท่าทางเจ็บจนยิงฟัน แล้วเอ่ยช้าๆ

“ก็ยังไม่น่าสนใจ”

ทว่า ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ออกมา เสียงกึกก้องก็ดังสนั่นทั่วฟ้าทันที ที่นอกท้องฟ้า เพียงพริบตาก็มีสายฟ้าหลายแสนสายส่งเสียงอึกทึกเข้ามา ถ้าหากเป็นแค่การเพิ่มจำนวนก็แล้วไปเถอะ แต่สายฟ้าที่ปรากฏขึ้นมาตอนนี้กลับมีรูปร่างเป็นคมดาบ มองดูแล้วมีอานุภาพน่าตะลึง ท่ามกลางเสียงอึกทึก ชั่วพริบตามันก็หวีดร้องเข้ามาหาทางหวังเป่าเล่อผ่านทางรอยแยกเสียแล้ว

แววตาหวังเป่าเล่อแน่วแน่ขึ้นมาเล็กน้อย อดรู้สึกชาหนังศีรษะไม่ได้ ยังไม่ทันที่เขาจะได้ตอบสนอง สายฟ้าเหล่านี้ก็ระเบิดขึ้นรอบตัวของเขาจนหมดสิ้น

เสียงตูมตามดังก้องทั่วฟ้า คมดาบสายฟ้าที่พังทลายจำนวนมากถูกหลุมดำดูดกลืนไป จนกระทั่งผ่านไปประมาณเจ็ดแปดอึดใจ เมื่อคมดาบสายฟ้าทั้งหมดสลายหายไป ก็เผยให้เห็นหวังเป่าเล่อที่ตอนนี้ยืนอยู่บนฟ้า เส้นผมตั้งตรงเล็กน้อย บนร่างมีจุดที่ชุดขาดรุ่งริ่งมากมาย

แต่สีหน้าราบเรียบของเขาและรอยยิ้มดุจเดิมก็ทำให้ท่าทางน่าสังเวชนอกกายคล้ายไม่ถือเป็นอะไร โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าตอนนี้ท้องฟ้าค่อยๆ สงบลงแล้ว แม้อวัยวะภายในของหวังเป่าเล่อจะปวดร้าวไปหมด แต่เขาก็รู้สึกว่าเวลาแบบนี้ควรคงท่วงท่าสูงส่งเอาไว้อย่างยิ่ง ดังนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าจึงเป็นเช่นเดิม เขาเงยหน้ามองทางเข้าด้านนอกรอยแตก และยังคงเอ่ยเสียงเรียบเหมือนเดิม

“ทัณฑ์อัสนีพวกนี้ไม่เลวเลย ฟาดจนข้ารู้สึกคันนิดหน่อย ยังมีอีกไหม”

จักรพรรดิรุ่นแรกคร้านจะเอ่ยแล้ว จักรพรรดิองค์ปัจจุบันที่อยู่ข้างกายก็มีสีหน้าแปลกประหลาด พวกเขาสองคนย่อมมองเห็นถึงอาการฝืนของหวังเป่าเล่อ แต่กระดาษรูปมนุษย์ตนอื่นๆ มองไม่เห็น ตอนนี้แต่ละคนจิตใจสั่นสะท้าน ยามมองไปที่หวังเป่าเล่อ ก็จะมีความคาดไม่ถึงออกมา แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้โห่ร้อง บนท้องฟ้าพลันมีเสียงฟ้าร้องดังกึกก้องสั่นสะเทือนไปทั่วโลกา!

ขณะที่เสียงก้องกังวานของฟ้าร้องดังขึ้นด้านนอกสุสานดวงดารา จุดที่หวังเป่าเล่อมองไม่เห็นก็มีวังน้ำวนแห่งความหายนะลอยไปรอบๆ คล้ายถูกยั่วโทสะเข้าให้ มันหดตัวอย่างรวดเร็ว และสุดท้ายก็กลายเป็นนิ้วอัสนีขนาดใหญ่หนึ่งนิ้ว

ทั้งกระบวนการนี้ แม้แต่พวกเซี่ยไห่หยางที่ไม่ได้รับผลกระทบก็ยังรู้สึกรับไม่ไหว ตัวสั่นสะท้านจนต้องพากันหลีกหนีโดยเร็ว แม้แต่ชงอี้จื่อก็ยังหนังศีรษะชาจนต้องถอยหลังทันที ตอนที่หันกลับมาด้วยความหวาดผวา เขาก็มองเห็นนิ้วอัสนีที่น่าตกตะลึงนิ้วนั่นพุ่งเข้าไปยังทางเข้าของสุสานดวงดาราครึ่งซีกแล้ว!

“ที่แท้แล้วข้างในเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทัณฑ์อัสนีก็ปรากฏขึ้นมาแล้ว ถึงขั้นยังมีร่างจริงอีก…” ชงอี้จื่อตกใจจนเนื้อกระตุก มองดูนิ้วอัสนีมหึมานั่นหายลับไปในทางเข้าสุสานดวงดารา คิดอยากจะไปดูสักหน่อย แต่เมื่อนึกถึงพลังผันผวนของนิ้วมือนั่น ชงอี้จื่อจึงล้มเลิกความคิดแสนอันตรายของตน

ส่วนตอนนี้ ภายในสุสานดวงดารา หวังเป่าเล่อที่เพิ่งจะวางท่าสูงส่งเมื่อครู่ก็เงยหน้าขึ้นไปมองด้วยท่าทางที่สูงส่งลึกล้ำ…ครั้นเห็นนิ้วอัสนีมหึมายื่นเข้ามาจากโลกภายนอก นิ้วมือนี้…แทบจะกินพื้นที่ท้องฟ้าไปครึ่งใหญ่ๆ ได้ แค่ชำเลืองมองแวบเดียว เขาก็ตัวสั่นงันงกรุนแรง วิกฤตถึงชีวิตอย่างแรงกล้าปะทุขึ้นมาในใจทันที

“บัดซบ…ไม่ถึงขนาดนี้กระมัง…” หวังเป่าเล่อตาตั้งโดยสมบูรณ์แล้ว

………………………………….

ร่างของเทพองค์นี้สูงตระหง่าน บนร่างของเขามองไม่เห็นร่องรอยความอ้วนแม้แต่น้อย สิ่งเดียวที่มองเห็นคือร่างกายที่เหมือนขุนเขาและต้นสน ตั้งตระหง่านอยู่หว่างฟ้าดิน!

เสื้อผ้าพลิ้วไสว เท้าเหยียบอยู่บนดาววัว เหนือหัวมีดาวเคราะห์เต๋าที่กลายเป็นสายรุ้งยาวเส้นหนึ่งราวกับเป็นนิรันดร์อยู่บนท้องฟ้าท่ามกลางสายตาของทุกคน พลังของเทพวัวได้ช่วยหนุนนำดาวเคราะห์เต๋า…ให้พุ่งทะยานไปยังท้องนภา!

พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ!

ชั่วขณะนี้ท้องฟ้าเปลี่ยนแปลง เมฆลมพลิกม้วน เสียงสั่นสะเทือนรอบทิศก็ยิ่งกลายเป็นอัสนีสวรรค์สายแล้วสายเล่า ระเบิดลั่นดังต่อเนื่องทั่วทั้งสุสานดวงดารา!

ขณะที่เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น เทพวัวก็ร้องคำราม มองด้วยตาเปล่าก็เห็นว่าดาวเคราะห์เต๋าที่ถูกมันหนุนนำอยู่เปลี่ยนสีเป็นสีแดงชาดอย่างรวดเร็ว ราวกับด้านในมีเตาหลอมขนาดยักษ์ที่แผ่เปลวไฟไร้ที่สิ้นสุดออกมา ทำให้อุณหภูมิของดาวเคราะห์เต๋าราวกับพุ่งถึงจุดสูงสุดมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังแผ่ขยายออกไปด้านนอกจนทำให้ทุกคนที่มองอยู่คล้ายจะเห็น…พระอาทิตย์ดวงหนึ่ง!

ชั่วขณะนี้ทุกคนในสุสานดวงดาราต่างพากันกลั้นหายใจ ผู้ฝึกตนทุกคนที่มองเห็นภาพนี้ เวลานี้ต่างพากันสะเทือนขวัญอยู่ภายในใจ!

ขณะที่ในใจสั่นสะเทือน เทพวัวก็เร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ แสงของดาวเคราะห์เต๋าเจิดจ้ามากยิ่งขึ้น เปลวไฟภายในนั้นร้อนแรงขึ้นทุกที จนกระทั่งในที่สุด…ณ ปลายขอบฟ้า เทพวัวที่พุ่งไปอย่างทรงพลังไร้ใดเปรียบก็พลันหยุดชะงัก!

ราวกับมีสิ่งกีดขวางไร้รูปหนึ่งชั้นขวางอยู่ข้างหน้ามัน กั้นไม่ให้ดาวเคราะห์เต๋าเลื่อนขั้นและไม่ให้เทพวัวกระโจนข้ามไป เมื่อมันหยุดชะงัก หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่บนหลังของเทพวัวพลันมีประกายแสงเฉียบคมวาบขึ้นในดวงตา

เขาสัมผัสถึงสิ่งกีดขวางแล้ว ถึงขั้นคล้ายจะมองเห็นได้ด้วย ยิ่งรู้สึกได้ถึงการขับไล่ผลักไสหลายแบบที่แผ่ออกมาจากสิ่งกีดขวางไร้รูปนี้ มันคล้ายกับผนึก และคล้ายกับการสยบกดดัน

“สวรรค์ไม่ต้องการให้เต๋าเป็นนิรันดร์ จึงมีข้อจำกัดตั้งอยู่…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตัวเอง เหมือนกับการตระหนักรู้ก่อนหน้านี้ของเขาทุกประการ

“แต่…ข้าเตรียมการทุกอย่างก็เพื่อทำลายข้อกำจัดนี้!” ดวงตาของหวังเป่าเล่อส่องสว่างเจิดจ้า สองมือของเขายกขึ้นโบกอย่างแรง!

ทันใดนั้น พลังมหาศาลที่อยู่ในร่างของเทพวัวที่ราวกับเก็บสะสมเอาไว้ก็กดดันลงมาจากทั้งแปดทิศ ทำให้ขาหน้าทั้งสองข้างของเทพวัวบิดงอเล็กน้อยอยู่บนผืนฟ้าราวกับไม่มีอะไรอยู่ในขาของมัน กระทั่งเป็นเหมือนผืนดิน และกำลังจะเตรียมการขั้นสุดท้าย!

“ช่วงเวลาสำคัญที่สุดมาถึงแล้ว!”

“ในตำนานเล่าว่าดาวเคราะห์เต๋าราวกับเป็นนิรันดร์ เหมือนปลากระโดดข้ามประตูมังกร ต้องทะลวงไปสุดขอบจักรวาลถึงจะทำได้!”

ผู้อาวุโสองค์แรกของสุสานดวงดาราและจักรพรรดิองค์ปัจจุบันมองหน้ากันด้วยความเคร่งเครียด ถึงแม้พลังฝึกปรือของพวกเขาจะสูงส่ง แต่ภาพที่ดาวเคราะห์เต๋าราวกับเป็นนิรันดร์เช่นนี้ แม้แต่พวกเขาก็ยังเคยได้ยินแค่ในตำนานเท่านั้น การได้เห็นด้วยตาตนเองถือเป็นครั้งแรกในชีวิต!

ตอนนี้ ขณะที่พวกเขามองดูอยู่ ทางด้านหวังเป่าเล่อก็ยกมือขึ้นแล้วปล่อยลงทันที ก่อนตะโกนเสียงต่ำออกมา!

“ขึ้น!”

ขณะที่เขาเอ่ยออกมา เทพวัวที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าก็สั่นไหวไปทั้งร่าง มันคำรามกึกก้องสะท้านฟ้ายิ่งกว่าเดิม ท่ามกลางเสียงคำรามนี้ ร่างกายที่สง่างามของมันก็ถลันพุ่งไปข้างหน้าอย่างรุนแรง จนกระแทกเข้ากับสิ่งกีดขวางไร้รูปบนท้องฟ้าตรงๆ!

ความตกตะลึงอันเงียบงันเกิดขึ้นในใจของทุกคนทั่วทั้งสุสานดวงดารา ขณะที่มันระเบิดลั่นอย่างบ้าคลั่ง สิ่งกีดขวางก็ส่งเสียงแตกร้าว พริบตาต่อมาก็พังทลายแล้วกลายเป็นระลอกคลื่นสั่นกระเพื่อมไร้จุดจบอยู่บนฟ้าทันที ที่ใจกลางของระลอกคลื่นนี้ ร่างมหึมาของเทพวัวได้ผลักดุนดาวเคราะห์เต๋าให้ทะยานขึ้นไป!

แต่ทุกอย่างนี้ยังไม่จบสิ้น ขณะที่มันพุ่งขึ้นไปพร้อมกับที่แสงและความร้อนของดาวเคราะห์เต๋ารุนแรงขึ้นกว่าเดิม ก็คล้ายจะมีสิ่งกีดขวางอีกแห่งปรากฏขึ้นมาอย่างฉับพลัน!

หรือก็คือ…สิ่งที่อยู่ตรงนี้ เดิมทีก็ไม่ใช่สิ่งกีดขวางแค่หนึ่งชั้น แต่มีจำนวนหลายชั้นจนน่าตะลึง!

ตอนนี้เมื่อชั้นแรกพังทลายและแผ่กระจายระลอกคลื่นออกมา สิ่งกีดขวางที่เดิมไร้รูปจนมองไม่เห็นก็ปรากฏขึ้นในที่สุดมันสะท้อนเข้าไปในสายตาของทุกคน รวมถึงสะท้อนเข้าไปในสายตาของหวังเป่าเล่อด้วย!

“ไม่ใช่แค่ชั้นเดียว…” ดวงตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลง อานุภาพของเทพวัวทำให้สัมผัสสวรรค์ของเขาแผ่กระจายไปยังจุดที่สิ่งกีดขวางตั้งอยู่ทันที ขณะที่สัมผัสสวรรค์แผ่ออก เขาก็ค่อยๆ รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งกีดขวางที่จำกัดไม่ให้ดาวเคราะห์เต๋าเลื่อนขั้นนี้ น่ากลัวว่าจะมีจำนวนมากถึงหลายล้าน!

สิ่งกีดขวางหนึ่งล้านชั้น ปิดกั้นสรรพชีวิต ขัดขวางจักรวาล ราวกับกฎเกณฑ์นับล้านรวมกันกลายเป็นผนึกขนาดมโหฬาร ปิดผนึกทุกสิ่งอย่าง!

แต่…ไม่นานหวังเป่าเล่อก็จิตใจเป็นสุข เนื่องจากการตอบสนองของดาวเคราะห์เต๋าและสภาวะของมัน เขาจึงได้รู้ว่าการเลื่อนขั้นดาวเคราะห์เต๋า…แท้จริงแล้วขอเพียงทะลวงสิ่งกีดขวางชั้นแรกได้ก็นับว่าทำสำเร็จ ไม่จำเป็นต้องทำลายสิ่งกีดขวางนับล้านทั้งหมด

ตอนนี้เพียงแค่คิด เขาก็สามารถทำให้ดาวเคราะห์เต๋าที่มีเทพวัวซึ่งแปลงมาจากกระบวนเวทเทพของตนคอยหนุนนำอยู่เลื่อนขั้นกลายเป็นเต๋านิรันดร์ได้ในพริบตา!

เพียงแต่ถึงแม้เต๋านิรันดร์เช่นนี้จะนับว่าอยู่เหนือล้ำแล้ว แต่สุดท้าย…ก็ไม่ใช่สุดยอด!

เพราะตามการตระหนักรู้ของหวังเป่าเล่อ ก่อนเลื่อนขั้น ทุกครั้งที่ดาวเคราะห์เต๋าทำลายสิ่งกีดขวางหนึ่งชั้นแล้วเลื่อนขั้นเป็นเต๋านิรันดร์ อานุภาพและความสามารถก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น!

“เช่นนั้นก็มาดูกันว่าขีดจำกัดของข้าอยู่ตรงไหน!” แววตาของหวังเป่าเล่อเผยความแน่วแน่ออกมา ยิ่งกว่านั้นคือ ความกระหายการต่อสู้อันมากมาย ตอนนี้เมื่อความคิดชัดเจนแล้ว เขาก็ไม่ได้ครุ่นคิดต่อ ทว่าสูดหายใจเข้าลึก พลังฝึกปรือในร่างราวกับจะระเบิดออก มันผสานเข้าไปในเทพวัวท่ามกลางเสียงกึกก้องดังสนั่น ทำให้ทั่วร่างของเทพวัวส่องแสงสว่าง ร้องคำรามราวกับบ้าคลั่ง ดุนดันดาวเคราะห์เต๋า….ให้ทะลวงผ่านไปอีกครั้ง!

เสียงตูมดังก้องกังวานสนั่นหวั่นไหว เสียงพังทลายของสิ่งกีดขวางชั้นแล้วชั้นเล่าดังลั่นไปทั่วสารทิศ จากไกลๆ จะเห็นว่าเทพวัวกลายเป็นรุ้งยาว คอยส่งดาวเคราะห์เต๋าให้ทะลวงกระแทกจนสิ่งกีดขวางพังทลายไปทีละชั้น ราวกับกวาดเศษใบไม้แห้ง

สามชั้น สิบชั้น สามสิบชั้น ห้าสิบชั้น หนึ่งร้อยชั้น…

สามร้อยชั้น เก้าร้อยชั้น หนึ่งพันห้าร้อยชั้น! ไอลีนโนเวล

ยังไม่จบ สามพันชั้น ห้าพันชั้น…

ขณะที่เกิดเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นและเสียงแตกหัก พร้อมกับที่เทพวัวได้ส่งดาวเคราะห์เต๋าให้ทำลายสิ่งกีดขวางไปถึงชั้นที่ 5974 ความเร็วของมันก็ลดลง หลังจากสะสมกำลังครู่หนึ่ง มันก็คำรามออกมาแล้วพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง ครั้งนี้ทำลายตรงไปถึงชั้นที่ 9397 ทันที!

ตอนนี้ก็คล้ายจะมาถึงขีดจำกัดแล้ว เงาร่างของเทพวัวระเบิดพลังเฮือกสุดท้ายออกมาขณะที่มันเริ่มหม่นแสง มันดุนดันดาวเคราะห์เต๋าให้ทำลายสิ่งกีดขวางอีกหลายร้อยชั้น จนถึงหนึ่งหมื่นชั้น มันก็สูญเสียอานุภาพทั้งหมดแล้วสลายตัว!

“หนึ่งหมื่นชั้นจะไปพอได้ยังไง!” หวังเป่าเล่อคำรามเสียงยาวขึ้นฟ้า ยกมือซ้ายขึ้นมาถือดาวเคราะห์เต๋าขนาดมหึมาที่ไม่ต่างอะไรกับดารานิรันดร์และถึงขั้นทำให้ดารานิรันดร์ดวงอื่นๆ ด้อยกว่าได้ จากนั้นมือขวาก็ผนึกมุทรา ชี้หนึ่งนิ้วทันที!

ทันใดนั้นเงาเลือนรางของผีดิบในชาติก่อนก็ตกลงมาตามนิ้วนี้ พลันเปลี่ยนเป็นแสงสายหนึ่ง มันทะลวงพร้อมเสียงดังสนั่นไปยังสิ่งกีดขวางตรงหน้า ความเร็วและความรุนแรงของการทำลายล้างทำให้ทุกคนที่มองเห็นใจสั่นสะท้านบ้าคลั่ง เพียงแค่แสงนี้ พริบตาเดียว…ก็ทำลายระดับหนึ่งหมื่นชั้น!

พอแสงนี้สลายไป ร่างของหวังเป่าเล่อก็ถือดาวเคราะห์เต๋าก้าวไปสู่สองหมื่นชั้น ยังไม่จบ ดาบวิเศษและเผ่าเทพอัคคีก็ปรากฏตัวขึ้นจากร่างของเขา และยังมีเงาร่างที่แปลงมาจากความเกลียดชังอันน่าสะพรึงนั่นก็เดินออกมาด้วย ทำให้การพังทลายของสิ่งกีดขวางส่งเสียงสะเทือนลั่นน่าตื่นตะลึง!

สามหมื่นชั้น สี่หมื่นชั้น ห้าหมื่นชั้น…

ชั่วขณะต่อมา ขณะที่สิ่งกีดขวางทั้งสามหมื่นชั้นต่อจากนั้นพังทลาย เงาร่างของกวางขาวน้อยก็กระแทกศีรษะเข้าไปพร้อมประกายแสงสดใสเจิดจ้าจนบาดตา การกระแทกครั้งนี้ทำลายไปสามหมื่นชั้นทันที!

ทำให้ร่างของหวังเป่าเล่อที่ถือดาวเคราะห์เต๋ายืนตระหง่านอยู่บนสิ่งกีดขวางชั้นที่แปดหมื่น ส่วนดาวเคราะห์เต๋าของเขา…ก็ขยายใหญ่ขึ้นตามการพังทลายของสิ่งกีดขวางชั้นแล้วชั้นเล่า มองดูแล้วไม่เหมือนกับดารานิรันดร์ แต่เหมือนกับวัตถุสวรรค์แปลกประปลาดที่มีดารานิรันดร์จำนวนมากมาบรรจบกัน!

“ยังมี…การโจมตีขั้นสุดท้าย!” หวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน แววตาเผยความบ้าคลั่งออกมา มือขวายกขึ้นมาเป็นภาพฉายของกระดานไม้สีดำ พริบตาเดียวก็เกิดการเปลี่ยนแปลง หลังจากที่อดีตชาติของกระดานไม้ดำปรากฏขึ้นในหัว มันก็ร่วงลงมาทันที!

การร่วงหล่นครั้งนี้ทำให้ท้องฟ้าส่งเสียงอึกทึกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สิ่งกีดขวางที่เหลืออยู่เก้าแสนกว่าชั้นสั่นสะท้านราวกับมีพลังงานอธิบายไม่ได้ระเบิดออกมาในชั่วขณะนี้ ทำให้สิ่งกีดขวางชั้นแล้วชั้นเล่าแตกกระจายราวกับกระดาษ!

ชั้นที่หนึ่งแสน ชั้นที่สามแสน ชั้นที่สี่แสน ชั้นที่หกแสน…

“ทำต่อไป!!” ดวงตาของหวังเป่าเล่อแดงก่ำ ร่างกายทะลวงข้ามไปทันที ทำให้พลังที่แผ่ออกมาจากภายในกระดานไม้ดำราวกับเป็นคมมีดที่สามารถฟาดฟันทุกสิ่งทุกอย่างได้ พริบตาเดียว…ก็พังไปจนถึงชั้นที่เจ็ดแสน แปดแสน จนถึงชั้นที่เก้าแสนเก้าหมื่น ในที่สุดก็ถึงขีดสุด!

ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่พลังที่เหลือก็ระเบิดออกมาทำลายอีกหนึ่งหมื่นชั้นที่ขีดสุดเช่นกัน ทำให้รอยผนึกไร้รูปที่กลายมาจากกฎเกณฑ์นับล้าน พังทลายเสียงดังสนั่น…ทันที!

ขณะที่มันพังทลาย การตระหนักรู้ก็ปรากฏขึ้นในใจของหวังเป่าเล่อในชั่วพริบตา ราวกับตอนนี้ยากจะมีอะไรมาปกปิดดวงตาของเขาได้ ทุกสรรพสิ่งก็ยิ่งไม่อาจปิดกั้นจิตใจของเขา!

ส่วนดาวเคราะห์เต๋าของเขา ในที่สุดตอนนี้…ทั้งแสงและความร้อนก็ระเบิดออกมาจนถึงขีดสุด จนกระทั่งไร้ซึ่งประกายแสง!

มันกลายเป็น…หลุมดำที่สามารถกลืนกินดารานิรันดร์!

พลังฝึกปรือของเขาเพิ่มพูนขึ้นกะทันหันในตอนนี้เอง มันทะลวงจากดาวพระเคราะห์ก้าวไปสู่ขั้นดารานิรันดร์!

ดารานิรันดร์ที่พิเศษอย่างที่สุด…และไม่เคยมีมาก่อน!

…………………………………

แทบจะในชั่วพริบตาที่หวังเป่าเล่อเอ่ยออกมา…

ดวงดาราพิเศษนับหมื่นก็เข้าประจำที่ทีละดวงและผสานแสงดาวทั้งหมดเข้ากับดาวเคราะห์เต๋า!

เมื่อหวังเป่าเล่อหยัดตัวยื่นแขนทั้งสองข้างออกไป แผนที่ดวงดาวขนาดมหึมาที่ด้านหลังของเขาก็เปลี่ยนแปลงทันที!

แผนที่ดวงดาวแห่งนี้เป็นรูปวัวตัวหนึ่ง แรกเริ่มยังเล็กมาก แต่พอมันขยายตัวก็ใหญ่ขึ้นทันที ทุกคนที่ได้เห็นต่างก็พากันตะลึงงัน สุดท้ายท่ามกลางเสียงแผดร้องคำราม ขอบเขตของแผนที่ดวงดาวก็แผ่ปกคลุมท้องฟ้าไปกว่าครึ่ง ทำให้นอกจากดวงดาราพิเศษนับหมื่นที่ผสานเข้าไปแล้ว กลุ่มดาวที่เหลือก็จำต้องล่าถอยเพื่อเหลือพื้นที่ว่างให้พวกมัน จนทุกคนที่มองอยู่ถึงขนาดรู้สึกว่าแผนที่ดวงดาวได้เข้าแทนที่ท้องฟ้าไปแล้ว

มีเพียงดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่เป็นแกนกลางของแผนที่ดวงดาว เหมือนกับเตาหลอมขนาดยักษ์ที่กำลังเผาไหม้ลุกโชน!

เมื่อแผนที่ดวงดาวเริ่มหลอมรวมดวงดาราพิเศษนับหมื่น มันก็ได้ฉุดดึงดวงดาราพิเศษเข้ามาในแผนที่ดวงดาวคล้ายกลับมาประจำที่ พวกมันจัดเรียงกันตามกฎเกณฑ์บางอย่างจนทำให้วัวตัวนี้ส่องประกายเจิดจรัสในชั่วพริบตา คล้ายพ้นจากสามัญสู่ความศักดิ์สิทธิ์ กลายเป็นเทพวัว เพียงแต่มองเห็นไม่ชัดเจน ทว่าเลือนรางเล็กน้อย!

เทพวัวตัวนี้หลับตาอยู่ ไม่ได้ลืมตาขึ้นมา คล้ายกำลังหลับใหล แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ บนร่างของมันก็ยังแผ่กลิ่นอายที่ทำให้ทั่วทั้งสุสานดวงดาราสั่นสะเทือน!

นั่นคืออำนาจยิ่งใหญ่ นั่นคือความห้าวหาญของเทพเจ้า ยิ่งกว่านั้นคือทันทีที่ลืมตาขึ้นมาก็ทรงพลังจนน่าตกใจ!

“นี่คือ…” ดวงตาของจักรพรรดิดาวตกองค์แรกหดเกร็ง จักรพรรดิองค์ปัจจุบันของดาวตกที่อยู่ข้างกายเขาก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเมื่อเห็นแผนที่ดวงดาวรูปเทพวัวนี่

“พลานุภาพทรงพลังเช่นนี้…นี่คือร่างฉายของระดับจักรพิภพหรือ!” ทั้งสองมองหน้ากันและกัน ต่างก็มองเห็นความตกใจในแววตาของอีกคนได้

แต่ความตกใจของพวกเขายังไม่สิ้นสุด การเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่เกิดขึ้นอีกครั้ง ขณะที่สายตาของหวังเป่าเล่อฉายแววคาดหวังแรงกล้า เวทผนึกดาวในร่างของเขาก็เคลื่อนไหวขึ้นมากะทันหัน จากชั้นแรกไปเป็นชั้นสามอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เป็นชั้นสี่ หลังหยุดไปครู่หนึ่ง ก็ทะลวงไปถึงชั้นที่ห้าในทันที!

ทุกครั้งที่ทะลวงหนึ่งชั้น ประกายแสงของเทพวัวก็จะเจิดจ้าขึ้นสามส่วน!

ทั้งกระบวนการนี้ แผนที่ดวงดาวเทพวัวขนาดใหญ่ก็เปลี่ยนจากเลือนรางเป็นชัดเจนอย่างรวดเร็ว เมื่อเวทผนึกดาวของหวังเป่าเล่อเคลื่อนมาจนถึงขีดสุด ดวงดาราพิเศษนับหมื่นก็เข้าแทนที่สะเก็ดดาวที่เดิมมีอยู่ในแผนที่ดวงดาวเทพวัว มันเข้าแทนที่ดาวเคราะห์ทั่วไปและเข้าครอบคลุมดาวเคราะห์อมตะทั้งหมดที่อยู่ในนั้น ทำให้แผนที่ดวงดาวเทพวัวเปล่งประกายแสงบาดตาน่าตะลึงออกมาในชั่วขณะนี้เอง

แสงนี้ทำให้จักรวาลสิ้นสีสัน ทำให้สรรพสิ่งหม่นหมอง ทำให้ทุกสายตาที่จ้องมองคล้ายจะเปลี่ยนเป็นนิรันดร์ ถึงขั้นปกคลุมแสงของดาวเคราะห์เต๋าที่เหมือนกับเตาหลอมข้างในนั้นไปด้วย!

ทำให้ทั่วทั้งสุสานดวงดาราล้วนถูกห่อหุ้มอยู่ในประกายแสงของมัน!

หวังเป่าเล่อตัวสั่นสะท้าน สำหรับเขาแล้วการผลักดันเวทผนึกดาวเทพวัวที่เกิดมาจากดวงดาราพิเศษนับหมื่นด้วยกำลังของคนคนเดียวไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะตอนนี้เวทผนึกดาวได้ถูกเขาใช้โอกาสนี้ทะลวงไปถึงชั้นที่ห้าได้สำเร็จแล้ว

แต่หลังจากสัมผัสดู หวังเป่าเล่อยังคิดว่าเพียงเท่านี้ยังไม่พอหนุนนำดาวเคราะห์เต๋าที่มีน้ำหนักหนักมากยิ่งกว่าเดิมของตนได้ อยากจะเลื่อนขั้น….ยังต้องไปต่ออีกก้าว!

“ตามการคาดการณ์ของข้า เวทผนึกดาวยังมีชั้นที่หกอยู่!!” แววตาของหวังเป่าเล่อฉายประกายแปลกประหลาด หลังจากสูดหายใจเข้าลึกอยู่บนฟ้า เขาก็เคลื่อนไหวดาวเคราะห์เต๋าที่กลายเป็นแกนกลางของแผนที่ดวงดาวทันที ทำให้ตอนนี้ ดาวเคราะห์เต๋าสะเทือนเสียงดังสนั่น พลังแห่งกฎจักรวาลที่อยู่ในนั้นแผ่กระจาย ดาวบริวารรอบๆ ก็ยิ่งระเบิดกฎเกณฑ์ออกมารวมกัน

การเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ สุดท้ายก็ทำให้แสงของดาวเคราะห์เต๋าส่องแสงเจิดจรัสขึ้นอีกครั้ง มันสว่างยิ่งกว่าแผนที่ดวงดาวเทพวัวทันที เหมือนเพิ่มแหล่งกำเนิดแสงแห่งใหม่ลงไปในแผนที่ดวงดาว ทำให้ประกายแสงของแผนที่ดวงดาวเพิ่มพูนเจิดจ้าขึ้นมาด้วย

มันผลักดันให้เวทผนึกดาวเคลื่อนไหวอีกครั้งในทางอ้อม!

เวทผนึกดาวลอยขึ้นสูงอีกครั้งท่ามกลางสภาวะบาดตาน่าตะลึงดั้งเดิม ยืมพลังจากดวงดาราพิเศษนับหมื่นและดาวเคราะห์เต๋าของตนมาบรรจบกันทั้งหมดราวกับจะบุกโจมตี ทำให้ประกายแสงของแผนที่ดวงดาวเทพวัวส่องสว่างจนถึงที่สุด และสุดท้ายก็ระเบิดออกมาทันที!

ทะลวงขีดสุด บรรลุไปถึงระดับชั้นที่ไม่เคยมีมาก่อน…ชั้นที่หก!

เสียงดังสนั่นราวกับอัสนีสวรรค์ระเบิดอย่างต่อเนื่องราวกับจะระเบิดสายธารดวงดาวให้ได้ บริเวณระหว่างฟ้าดิน ในใจของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในสุสานดวงดาราส่งเสียงกู่ก้องอย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นหนึ่งเดียว

แทบจะในชั่วพริบตาที่เวทผนึกดาวเลื่อนขั้นถึงชั้นที่หก เทพวัวก็สั่นสะเทือนรุนแรง ดวงตาพลันเบิกโพลงขึ้นมาท่ามกลางการโจมตีครั้งนี้ เผยให้เห็นแสงเจิดจ้าถึงขีดสุดสองดวงที่เกิดจากแสงดาวนับไม่ถ้วนมาบรรจบกัน

แสงนี้สะท้อนเข้าไปในดวงตาของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในสุสานดวงดาราทุกตน ทำให้กระดาษรูปมนุษย์ทั้งหมดตัวสั่นเทิ้ม และขณะที่พวกเขาตัวสั่นสะท้านอยู่ตรงนี้ เทพวัวที่ลืมตาขึ้นมาก็เงยหน้าส่งเสียงคำรามกู่ก้องไปทั่วโลกา!

มอ!!

ราวกับ…มีชีวิต!

ขณะเดียวกันนั้น ด้านนอกสุสานดวงดารา ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ในดาราจักรไฟ ที่ร่างดั้งเดิมของเทพวัวซึ่งหลับใหลอยู่ในจักรวาลนอกดาวเอกเพลิง เมื่อเทพวัวในสุสานดวงดาราร้องคำราม ร่างกายของมันก็สั่นไหวรุนแรง มันเบิกตามองไปยังจักรวาลอันไกลโพ้น แววตาฉายแสงแปลกประหลาดออกมาพร้อมกัน ส่วนข้างกายของเขา ปรมาจารย์แห่งไฟก็ปรากฏตัวขึ้นในพริบตา แล้วมองไปยังที่ไกลๆ เช่นกัน

“คิดไม่ถึงเลยว่าลูกศิษย์คนนี้ของข้าจะเลื่อนระดับเร็วขนาดนี้!” เสียงแปรปรวนที่ไม่รู้ว่ามาจากปรมาจารย์แห่งไฟหรือเทพวัวดังสะท้อนไปทั่วทุกทิศทางพร้อมกัน ศิษย์พี่เหล่านั้นของหวังเป่าเล่อบนดาวเอกเพลิงก็เงยหน้าทอดมองไปยังจักรวาล ราวกับสายตาสามารถทะลุผ่านความว่างเปล่าไปยังวังน้ำวนยิ่งใหญ่ที่มาบรรจบกันนอกสุสานดวงดาราในตอนนี้ได้

วังน้ำวนนั่นถูกการเลื่อนขั้นของหวังเป่าเล่อดึงดูดมา ควบแน่นขึ้นจากความว่างเปล่า แล้วพันวนรอบท้องฟ้าอย่างไร้สุ้มเสียง ทำให้พวกเซี่ยไห่หยางใจสั่นสะท้าน ถึงจะไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ แต่ก็เดาได้ว่าฉากนี้อาจเกี่ยวข้องกับหวังเป่าเล่อ

“แค่เลื่อนขั้นเป็นดารานิรันดร์ ไม่จำเป็นต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ก็ได้…” เซี่ยไห่หยางสูดลมหายใจพึมพำ

“หุบปาก พลังเทพของท่านพ่อใช่สิ่งที่พวกเจ้ามนุษย์ธรรมดาจะรู้จักได้หรือ ฮึ มนุษย์ เดิมทีเจ้าก็ไม่รู้ที่มาของท่านพ่ออยู่แล้ว พูดออกมาก็กลัวว่าเจ้าจะตกใจตาย เพราะท่านพ่อของข้าน่ะ…เป็นบิดาของสิ่งมีชีวิตทั้งมวล!” ถึงแม้เฉินหานจะตัวสั่นสะท้านเช่นกัน แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยไห่หยาง ยามนั้นเขาก็ไม่สนใจอีกต่อไป เขาเอ่ยปากอย่างภาคภูมิใจ องครักษ์เต๋าเหล่านั้นด้านหลังของเขาก้มหน้าลงทีละคน ราวกับคิดว่าหลังจากนายน้อยกลับมาจากดาวเคราะห์ชะตาก็คล้ายจะเปลี่ยนเป็นคนละคน คำพูดคำจามักจะทำให้คนรู้สึกละอาย…

“พ่อของเจ้าไม่ได้อยู่ที่นี่ เจ้ามาประสบสอพลอเช่นนี้มีประโยชน์อะไร!” เซี่ยไห่หยางจับจ้องเฉินหานด้วยความไม่พอใจ

“มนุษย์นี่นะ!” เฉินหานกอดอก แค่นเสียงออกมา ราวกับไม่สนใจจะอธิบายอีก

ส่วนตอนนี้ชงอี้จื่อที่รออยู่ที่เดิมโดยที่ทุกคนไม่รู้ก็ตกตะลึงจากไกลๆ เขารีบหันหน้ามองไปทางวังน้ำวนที่ขยายตัวไปทั่วอย่างช้าๆ และมองทางเข้าสุสานดวงดาราที่หวังเป่าเล่อหายไปก่อนหน้านี้ สีหน้าเผยความประหลาดใจ และมีความรู้สึกว่าท่าไม่ดีอยู่รางๆ

“นี่มันกลิ่นอายของหายนะ…เกิดอะไรขึ้น!”

โลกภายนอกสั่นสะเทือนพร้อมๆ กัน และภายในสุสานดวงดาราก็เป็นเช่นเดียวกัน ฟ้าดินแปรผัน เมฆลมม้วนกลับ ท่ามกลางเสียงกู่ร้องรอบทิศ จักรพรรดิดาวตกองค์แรกหายใจติดขัด

“การทะลวงดาวพระเคราะห์ ก็สามารถดึงดูดปราณหายนะได้หรือ…เร็ว ตั้งขบวน!”

เมื่อคำพูดของเขาดังออกมา จักรพรรดิดาวตกและขุนนางทั้งหมดต่างปล่อยพลังฝึกปรือออกมาด้วยใจสั่นไหว ยิ่งกว่านั้น วงแหวนปราณของจักรวรรดิก็เคลื่อนไหวในทันทีเช่นกัน ทำให้ทั่วทั้งสุสานดวงดารามีม่านแสงสีขาวหลายชั้นเพิ่มขึ้นมาปกคลุมอยู่นอกท้องฟ้า

ส่วนหวังเป่าเล่อ ตอนนี้พลานุภาพทั้งร่างของเขามาถึงขีดสุดแล้ว การเตรียมการทั้งหมดก็พร้อมแล้ว ดังนั้นหลังจากเงียบงันไปหลายอึดใจ หวังเป่าเล่อก็พลันเงยหน้าขึ้น แล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำออกมา

“หนุนนำดาวเคราะห์เต๋าของข้า…ทลายความว่างเปล่า เลื่อนขั้นเป็นดาวแห่งดารานิรันดร์!!”

ทันทีที่เอ่ยออกมา มือของหวังเป่าเล่อก็โบกขึ้นโดยแรง ทันใดนั้นดาวเคราะห์เต๋าและดาวบริวารทั้งเก้าดวงของเขาก็พุ่งออกมาจากภายในร่างของเทพวัวทันที สุดท้ายก็มาลอยอยู่บนศีรษะของเทพวัว!

ส่วนเทพวัวก็เงยหน้าขึ้น แววตาส่องแสงเจิดจรัส มันคำรามขึ้นฟ้าด้วยพลานุภาพมหาศาลจนดังก้องไปทั่วทุกทิศอีกครั้ง ในเสียงคำรามนี้มีความองอาจทรงพลังอันดุเดือดไร้ใดเปรียบ หลังจากร่างกายสั่นสะท้าน มันก็ผลักดันดาวเคราะห์เต๋า หนุนนำตัวหวังเป่าเล่อให้เคลื่อนไปยังนภากาศ ไปยังระดับขั้นที่มองไม่เห็น ราวกับปลากระโดดข้ามประตูมังกร…พุ่งไปอย่างห้าวหาญ!

จากที่ไกลๆ ภาพนี้ได้สะท้อนเข้าไปในดวงตาของทุกคนในสุสานดวงดารา ชั่วชีวิตนี้ของพวกเขาล้วนไม่มีวันลืม!

ภาพนี้…ความองอาจของเทพวัว พลานุภาพใหญ่โตโอฬาร ทรงพลังไร้ขอบเขต ดาวเคราะห์เต๋าน่าตะลึงที่อยู่บนหัวคล้ายจะกลายเป็นดวงอาทิตย์สีแดงชาด พุ่งทะยานอย่างบ้าคลั่งไปยังสุดขอบฟ้าในคราวเดียว!

และที่หลังของมัน หวังเป่าเล่อในชุดขาว ผมยาวปลิวไสว สีหน้าราบเรียบ แววตานิ่งสงบ มือไพล่หลัง ช่างเหมือนกับ…เทพ!

…………………………………

“เฮ้อ ถ้าหากสาวๆ เป็นเช่นดวงดาวพวกนี้ที่แค่ประโยคเดียวของข้าก็ตื่นเต้นแล้ว แบบนั้นก็ดีน่ะสิ” หวังเป่าเล่ออยู่ในอวกาศ ทอดมองความตื่นเต้นและแสงสว่างของดวงดารานับล้านรอบกาย ไม่รู้ทำไมในใจถึงมีความคิดแปลกประหลาดเช่นนี้ออกมา

แต่เพื่อรักษาท่าทางสูงส่งหลังจากระลึกอดีตชาติของตนเอาไว้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงเก็บอารมณ์ทอดถอนใจเหล่านี้เอาไว้ก้นบึ้งหัวใจ ใบหน้าเรียบนิ่งดุจสายน้ำ สงบเยือกเย็นไม่สะทกสะท้าน แสดงท่าทางหลุดพ้นจากโลกีย์ที่ได้รับจากการระลึกอดีตชาติออกมาอย่างถี่ถ้วน

แต่เขาลืมไปว่า…แม่นางน้อยชอบสอดแทรกเข้ามาในความคิดของเขาเป็นงานอดิเรก ดังนั้นแทบจะทันทีที่หวังเป่าเล่อเพิ่งจะทอดถอนใจออกมา เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะเย็นๆ

“นี่คือเหตุผลที่เจ้าฝันอยากจะเป็นผู้นำสหพันธรัฐหรือ”

หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทา เกือบจะรักษาท่าทางสูงส่งของตนไม่ได้แล้ว ดังนั้นจึงหันเหความคิด ถอนหายใจเบาๆ ออกมา แล้วเอ่ยกับส่วนลึกในใจของเขา

“ถึงแม้ความคลั่งไคล้ของสาวน้อยนับล้านคนจะดี แต่ก็เป็นดาวเคราะห์เต๋าที่เสริมให้ข้าเด่นขึ้นทั้งสิ้น แม่นางน้อย เจ้า…คือดาวเคราะห์เต๋านิรันดร์ในใจของข้า ทำให้สายตาของดวงใจข้าล้วนเป็นเจ้า!”

“ถุย!” สิ่งที่ตอบกลับหวังเป่าเล่อคือเสียงโกรธขึ้งของแม่นางน้อย แต่ในน้ำเสียงนั่น หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของอีกฝ่ายได้ ดังนั้นจึงกระแอมไอ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม หลังจากนั่งขัดสมาธิ ทั่วทั้งร่างกายและจิตใจนิ่งสงบขณะโคจรพลังฝึกตน ภายในดวงตาฉาวแววแปลกประหลาดออกมา

แม่นางน้อยก็รู้ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของหวังเป่าเล่อ ดังนั้นหลังจากส่งเสียง ‘‘ถุย’ ออกมาก็ไม่เอ่ยอะไรอีก แต่สังเกตการณ์อยู่เงียบๆ การโคจรพลังฝึกตนของหวังเป่าเล่อก็รวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางการสังเกตการณ์ของนาง

แรกเริ่มจำเป็นต้องใช้สี่ลมหายใจเพื่อโคจรพลังฝึกตนทั่วร่างหนึ่งสัปดาห์ จนกระทั่งเพิ่มเป็นหนึ่งลมหายใจต่อหนึ่งสัปดาห์ ขณะที่ความเร็วเพิ่มขึ้น ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็แผ่ความร้อนสูงออกมาคล้ายกับเตาหลอมขนาดใหญ่ แล้วถูกดาวเคราะห์เต๋านอกร่างดูดซับ ทำให้แสงของดาวเคราะห์เต๋าเจิดจรัสมากยิ่งขึ้น แม้แต่ดาวเคราะห์บรรพกาลเก้าดวงรอบๆ ก็ยังดูดซับไปส่วนหนึ่ง แสงแบบเดียวกันเปล่งประกายเจิดจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ

“ยังไม่พอ…” ในแววตาของหวังเป่าเล่อฉายแววเฉียบคม ยิ่งกว่านั้นคือความคาดหวังล้ำลึก เขาไม่ได้ไปที่ดาราจักรไฟก่อน ถึงจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับระดับดารานิรันดร์ แต่ก็ไม่ได้ครอบคลุมรอบด้าน แต่การฝึกตนตามปรมาจารย์แห่งไฟและตำราจำนวนมากที่ได้ตรวจสอบมาแล้วก็ทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับระดับดารานิรันดร์ของเขาเพิ่มพูนขึ้นไม่น้อย

เขากระจ่างแจ้งดีว่า ระดับดารานิรันดร์แบ่งเป็นระดับสวรรค์ พิภพ นิลดำ อำพัน และทั่วไป ระดับทั้งห้านี้ การบรรลุระดับนิลดำก็ยากจะหาเจอแล้ว มันต้องมีโอกาสและโชคชะตาในระดับหนึ่งถึงจะทำได้ อย่างเช่นในบรรดาองครักษ์เต๋าของเขา ก็มีระดับนิลดำอยู่คนหนึ่ง คนผู้นี้ยังมีสถานะพิเศษในบรรดาผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ของดาราจักรไฟด้วย

ในการโจมตีก่อนหน้านี้ของชงอี้จื่อ คนผู้นี้คล้ายจะพ่ายแพ้เช่นกัน แต่ความจริงแล้วอาการบาดเจ็บกลับเล็กน้อยที่สุด นี่คือจุดที่แข็งแกร่งของดารานิรันดร์ระดับนิลดำ ส่วนระดับพิภพ…ทำได้เพียงใช้คำว่าหายากมาบรรยายเท่านั้น อย่างเช่นชงอี้จื่อ เขาก็คือระดับพิภพ!

แต่ถึงอย่างไรสถานะของเขาก็เป็นเซียนเต๋าลำดับสองของสำนักอันดับหนึ่งของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย แสดงให้เห็นถึงความหายากของระดับพิภพ มองไปทั่วทั้งดาราจักรไฟ บางทีอาจจะเคยมีดารานิรันดร์ระดับพิภพอยู่ แต่ตอนนี้…

“ไม่มีแล้ว” หวังเป่าเล่อพึมพำ ถอนความคิดเกี่ยวกับดาราจักรไฟกลับมา ในหัวของเขามีข้อมูลเกี่ยวกับดารานิรันดร์ระดับสวรรค์ปรากฏขึ้น

ดารานิรันดร์ระดับสวรรค์ ทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นล้วนเป็นเช่นขนวิหคเพลิงเขากิเลน ในแง่นี้ดูคล้ายจะเกี่ยวข้องกับความลับบางอย่าง เพราะอย่างนั้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงมีเพียงในคนในราชวงศ์ไม่รู้สิ้นเท่านั้นที่จะมีดารานิรันดร์ระดับสวรรค์ปรากฏออกมา!

แต่ไม่ว่าจะเป็นระดับสวรรค์หรือระดับทั่วไป วิธีการเลื่อนขั้นดารานิรันดร์ก็คล้ายคลึงกัน ล้วนแต่ต้องหาดวงดาราที่มีระดับชั้นเพียงพอมาผสานเข้าไปภายในร่าง หลังจากหลอมเข้ากับร่างแล้ว จะทำให้ร่างกายทะลวงสำเร็จระดับดารานิรันดร์ภายในร่างด้วยตัวเอง

ดังนั้นในระดับดารานิรันดร์จึงมีอีกชื่อเรียกหนึ่ง คือระดับดาราจักร!

ส่วนดาวพระเคราะห์เดิม หลังจากทะลวงแล้ว ตัวมันก็จะกลายเป็นดาวพระเคราะห์ดวงแรกภายในดาราจักร

แต่ตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นระดับสวรรค์หรือระดับทั่วไป แท้จริงแม้จะมีช่องว่างอยู่ แต่ก็ไม่ได้กว้างใหญ่ถึงขั้นฟ้ากับเหว ระดับความแข็งแกร่งของพวกมัน หลักๆ จะปรากฏอยู่ที่การฝึกตนและบรรจุพลังต่อจากนั้น เหมือนกับภาชนะ ถ้าหากระดับทั่วไปเป็นเพียงแค่แก้วใบหนึ่ง เช่นนั้นระดับพิภพก็เป็นถังเก็บน้ำขนาดใหญ่หนึ่งใบ ส่วนระดับสวรรค์ก็เป็นแอ่งน้ำ!

ยิ่งระดับสูงเท่าไร จำนวนดารานิรันดร์ที่สามารถบรรจุไว้ในยามฝึกตนต่อจากนั้นก็จะยิ่งมากเท่านั้น เมื่ออยู่ในระดับหนึ่ง นอกเหนือจากเคล็ดวิชาของตนแล้ว การฝึกตนของผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ก็คือการกลืนกินและผสานกับดวงดาวหลายดวงเพื่อทำให้การเปลี่ยนแปลงของตนสมบูรณ์

หลังจากกลืนกินจนถึงขีดสุดแล้ว ดาราจักรของตนก็จะกลายเป็นจักรพิภพผืนใหญ่ท่ามกลางความทรงพลานุภาพไร้ที่สิ้นสุด เมื่อถึงตอนนั้นก็จะเป็นช่วงเวลาที่ได้กลายเป็นผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ ทะลวงขั้นการฝึกตนของตนเองได้

“แต่สิ่งที่ข้าต้องการ…ไม่ใช่ห้าระดับนี้ แต่เป็นเหนือกว่าระดับทั้งห้า…หายากยิ่งกว่าขนวิหคเพลิงเขากิเลน มีอยู่แต่ในตำนาน…ดารานิรันดร์ระดับเต๋า!” ประกายแสงในแววตาของหวังเป่าเล่อแรงกล้า ‘ระดับเต๋า’ คือระดับที่มีเพียงหลังจากครอบครองดาวเคราะห์เต๋าและมีโอกาสวาสนาเท่านั้นจึงพอจะไปถึงได้!

โอกาสที่ว่าคือการเลื่อนขั้นดาวเคราะห์เต๋าไปเป็นเต๋านิรันดร์!

เรื่องนี้มีเพียงผู้อาวุโสรุ่นแรกของตระกูลไม่รู้สิ้นเมื่อสมัยก่อนเท่านั้นที่ไปถึง หลังจากเขาก็ไม่มีใครทำได้เลย อย่างไรเสียดาวเคราะห์เต๋าก็เล็กเกินไป ส่วนโอกาสวาสนาที่จะเป็นเต๋านิรันดร์ยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วจึงไม่มีวิธีเลื่อนขั้นตกทอดออกมา ทั้งหมดล้วนต้องพึ่งการเสาะหาของตัวเอง

และระหว่างทางที่หวังเป่าเล่อมาที่นี่ เขาก็เสาะพบวิธีการหนึ่งแล้ว อย่างเช่นในตอนนี้ สาเหตุที่เขาโคจรพลังฝึกตนของตนไม่หยุดก็เพราะว่ามันคือวิธีที่เขาพบว่าเป็นไปได้มากที่สุด หลังจากคัดกรองบรรดาวิธีการมากมายที่เขาวิเคราะห์ได้เรียบร้อย

การโคจรพลังฝึกตนอย่างรวดเร็วทำให้ร่างกายของเขาแผ่ความร้อนระอุออกมาราวกับลูกไฟอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดาวพระเคราะห์ของตนผันผวนจนถึงขีดสุด จากนั้นจะสัมผัสถึง…โอกาสทะลวง

ขณะที่ความคิดไหลเคลื่อน หวังเป่าเล่อก็ไม่มีความลังเลแม้เพียงนิด พลังฝึกปรือภายในร่างโคจรรวดเร็วยิ่งขึ้นอีกครั้งราวกับบ้าคลั่ง ค่อยๆ เปลี่ยนจากหนึ่งลมหายใจต่อหนึ่งสัปดาห์เป็นหนึ่งลมหายใจต่อสามสัปดาห์ ห้าสัปดาห์ จนถึงสิบสัปดาห์ ก่อนที่เขาจะสัมผัสถึงจุดสูงสุด

ส่วนดาวเคราะห์เต๋าของเขา ตอนนี้ก็ร้อนระอุอย่างยิ่งภายใต้การโคจรอันบ้าคลั่งของพลังฝึกปรือของตน ทำให้ท้องฟ้าของสุสานดวงดาราคล้ายกับถูกเผาไหม้ ปรากฏเป็นสีแดงเพลิง มองไปที่กระดาษรูปมนุษย์บนทะเลกระดาษ ก็เห็นแต่ละคนหน้าเปลี่ยนสี

แต่ขณะที่สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป ทางหวังเป่าเล่อก็ร้อนใจนิดหน่อยแล้ว เพราะเขามาถึงจุดสูงสุดที่หนึ่งลมหายใจต่อสิบสัปดาห์แล้ว สภาวะเช่นนี้เขาไม่อาจประคองต่อไปได้นานนัก แต่…เขายังคงสัมผัสไม่พบความผันผวนของการเลื่อนขั้นสักนิด

“สัญชาตญาณบอกข้าว่า ขอเพียงข้าเผาดาวเคราะห์เต๋าของตน กินพลังของดาวเคราะห์เต๋า จากนั้นก็จะสามารถเลื่อนขั้นได้ แต่ข้าไม่อยากเผาผลาญเพื่อกินพลังนี่!” ประกายแสงในแววตาของหวังเป่าเล่อสว่างวาบ ทันใดนั้นนอกร่างของเขาก็มีเงาผีดิบปรากฏขึ้น ทั้งมีเงาเลือนรางของทหารอาฆาต ยิ่งกว่านั้นยังมีเงาเลือนรางของอดีตชาติอื่นๆ อีกสองสามร่างปรากฏขึ้นพร้อมกัน กวางขาวน้อยก็อยู่ในนั้นด้วย ขณะเดียวกันพวกเขาก็กระจัดกระจายไปผสานเข้าสู่ดาวเคราะห์เต๋าของเขา ทำให้ชั่วขณะนี้ ดาวเคราะห์เต๋าเกิดสั่นสะเทือนเสียงดังลั่น ราวกับได้แรงผลักดันเสริม แสงและความร้อนระเบิดออกมาอย่างมหาศาล

ทำให้ท้องฟ้าทั้งผืนของสุสานดวงดาราสว่างจ้าในพริบตา ค่ำคืนมืดมิดกลายเป็นสีขาวโพลน ขณะที่เกิดการระเบิดขนาดมหึมาขึ้น ในที่สุดหวังเป่าเล่อที่ผสานเข้าด้วยกันกับดาวเคราะห์เต๋าโดยไม่แยกจากกันก็สัมผัสได้ถึงปราการคล้ายมีคล้ายไม่มีหนึ่งชั้น!

ปราการนี้คล้ายเป็นการจำกัดบางอย่างที่ทำให้ดาวเคราะห์เต๋าไม่อาจเลื่อนขั้นได้ เหมือนกับขีดจำกัดสายหนึ่งที่อยู่ในจักรวาลผืนนี้ ราวกับเป็นเพียงปลากระโดดข้ามประตูมังกร ต้องให้ดาวเคราะห์เต๋ากระโดดข้ามผ่านและพังทลายขีดจำกัดสายนี้ถึงจะเลื่อนขั้นได้อย่างราบรื่น!

สัญชาตญาณของเขาก่อนหน้านี้สัมผัสได้ว่าตราบใดที่ปล่อยให้ดาวเคราะห์เต๋าเผาไหม้จนสูญพลัง มันก็จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกัน เพราะการแผดเผาสามารถแลกมาซึ่งแรงผลักดันที่ทำให้กระโดดข้ามได้ง่ายยิ่งกว่า เพราะการสูญเสียพลังจะลดขนาดของดาวเคราะห์เต๋าทำให้มันสามารถกระโดดข้ามไปได้ง่ายขึ้น!

แต่เขาไม่ยอม!

ตอนนี้หวังเป่าเล่อพลันเงยหน้าขึ้น เอ่ยเสียงเคร่งขรึมจริงจังไปทั่วฟ้า

“ดวงดาราทั่วท้องนภา…ผู้ใดยินดีติดตามข้าเดินไปยังสุดสายธารดารา เยี่ยมชมจักรวาลที่แท้จริงบ้าง!”

ทันทีที่เขาเอ่ยออกมา ดวงดาวนับล้านที่เดิมแผ่ประกายแสงตื่นเต้นเหล่านั้นก็บ้าคลั่งขึ้นมาหมดโดยพลัน ประกายแสงปะทุแรงกล้าในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ท้องฟ้ามีแสงดารานับไม่ถ้วน กว้างใหญ่ไพศาลจนน่าตะลึง

ด้านในนั้นมีดวงดาวนับหมื่น พวกที่ส่องแสงแรงกล้าที่สุดก็คือ…ดวงดาราพิเศษ ตอนนี้ หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นท่ามกลางแสงสว่างอันแรงกล้า แววตาแน่วแน่ จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเบา

“สู่ร่าง!”

แทบจะพริบตาที่คำพูดดังก้องขึ้นมา ดวงดาราล้านดวงก็ส่งเสียงดังสนั่น แล้วพุ่งมายังหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว แต่ดวงดาราพิเศษนับหมื่นในจำนวนนั้นรวดเร็วที่สุด แทบจะชั่วพริบตาก็ทะยานขึ้นนำดาวดวงอื่นมาอยู่รอบกายของหวังเป่าเล่อแล้วพันวนรอบตัวเขาทันที ราวกับพวกมันได้สร้างตำแหน่งของตัวเองและขับไล่พวกที่ไม่ใช่ดวงดาราพิเศษดวงอื่นๆ ออกไป พร้อมรวบรวมกำลังทั้งหมดแผ่แสงดาวเข้าไปผสานข้างในดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อด้วย!

แทบจะชั่วพริบตาที่แสงของดวงดาราพิเศษนับหมื่นเหล่านี้ผสานเข้าไป พลานุภาพดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อก็เพิ่มสูงขึ้นในพริบตา ขอบเขตขยายใหญ่อีกครั้ง รัศมีพุ่งถึงระดับที่ทำให้กระดาษรูปมนุษย์ส่วนใหญ่หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง

ส่วนหวังเป่าเล่อก็คล้ายจะรับพวกมันไว้ได้ทันที เขาหายใจเร็ว สองมือจีบเข้า ทั้งร่างเปลี่ยนจากนั่งขัดสมาธิเป็นหยัดยืนขึ้นมาตรงๆ แล้วคำรามเสียงต่ำ

“ผนึกดาว!”

…………………………

ภายในอวกาศ ขณะที่ดาราจักรกระดาษพับทบอย่างต่อเนื่อง และหายลับไปจากสายตาของทุกคนโดยสมบูรณ์แล้ว ณ อีกแห่งภายในความว่างเปล่า โลกเบื้องหน้าของหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างฉับพลัน

มันยังคงเป็นทะเลกระดาษกว้างใหญ่ไพศาลผืนเดิม เพียงแต่ไม่ได้เป็นสีดำอีกต่อไป แต่เป็นสีขาว ส่วนท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ ไปจนถึงมวลวิหคนกนางนวล ทั้งหมดล้วนแต่แปลงมาจากกระดาษอันคุ้นเคย

ความปรารถนาดีจากความตั้งมั่นของทั่วโลกแผ่ออกมาระหว่างฟ้าดินและภายในทุกสรรพสิ่ง ก่อนกระจายไปยังรอบตัวของหวังเป่าเล่อ ราวกับกำลังเบิกบาน ราวกับกำลังต้อนรับ

ทะเลกระดาษรอบด้านก็มีคลื่นซัดสาดกระเซ็น ราวกับกำลังคารวะเขา ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกสบายทั้งภายในและภายนอกอย่างยิ่ง ยิ่งกว่านั้นคือความใกล้ชิดสนิทสนม

“ยินดีต้อนรับกลับมายังสุสานดวงดารา” หวังเป่าเล่อหันหน้า จุดที่เขาอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ความว่างเปล่าอีกต่อไป แต่มีเรือลำหนึ่งอยู่ตรงนั้น กระดาษรูปมนุษย์ที่พายเรืออยู่ด้านหน้าเป็นคนคุ้นเคยเมื่อคราวนั้น ตอนนี้กระดาษรูปมนุษย์ผู้นี้กำลังหันหน้ามาหาหวังเป่าเล่อ

“ผู้อาวุโสสบายดีหรือไม่ขอรับ” หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วประสานหมัดคำนับ

กระดาษรูปมนุษย์แย้มยิ้มแล้วประสานหมัดไปทางหวังเป่าเล่อเช่นกัน จากนั้นก็พายเรือกระดาษฝ่าคลื่นไปข้างหน้า ลมที่พัดโบกมาพัดผ่านปอยผมของหวังเป่าเล่อ แต่กลับไม่ได้พัดจากไป ทว่ากลายเป็นความอ่อนโยนตามติดอยู่รอบกายเขา ราวกับกำลังเริงระบำ

หวังเป่าเล่อยิ้ม เขาที่กลับมายังสุสานดวงดาราสัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีของโลกใบนี้ สัมผัสได้ถึงความอิสระไร้สิ่งผูกมัดและความปลอดภัย จึงนั่งลงบนดาดฟ้าเรือ ยกมือขวาขึ้นหยิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณมาหนึ่งขวด ทอดมองไปยังผืนฟ้าและแผ่นดินทั้งสี่ทิศ ดื่มทีละคำๆ อย่างสุขสบายใจราวกับร่ำสุรา

“แขกผู้มีเกียรติมาเยี่ยมเยียน แล้วจะปล่อยให้แขกดื่มเพียงลำพังได้อย่างไร” หวังเป่าเล่อยังไม่ทันดื่มได้หลายคำ รอบกายของเขาก็มีเสียงดังสะท้อนขึ้นมา ขณะที่ฟองคลื่นสาดซัดอีกครั้ง กระดาษรูปมนุษย์ตนหนึ่งก็ผุดขึ้นมาจากผิวน้ำแล้วเดินมายังเรือทีละก้าว จนกระทั่งหยุดอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อ ก่อนจะยกมือขวายื่นมาหาเขา

แม้ว่ากระดาษรูปมนุษย์ส่วนใหญ่จะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ตอนนี้หวังเป่าเล่อแยกแยะได้ตั้งนานแล้ว เพียงแค่ชำเลืองตามองก็รู้ว่ากระดาษรูปมนุษย์ที่เดินมาหาเขาตนนี้ก็คือจักรพรรดิองค์แรกแห่งจักรวรรดิดาวตกที่อยู่ในกระเป๋าคลังเก็บของของตนนั่นเอง

ตอนนั้นหลังจากหวังเป่าเล่อได้รับดาวเคราะห์เต๋าแล้วจากจักรวรรดิดาวตกไป จักรพรรดิองค์แรกผู้นี้เลือกที่จะอยู่ต่อ เขาสถิตอยู่ที่ปากกระแสวนผืนกระจกที่ถูกปิดผนึกไว้

หวังเป่าเล่อมองมือที่ยื่นออกมาของจักรพรรดิองค์แรก เขายกยิ้มแล้วลุกขึ้นมาคำนับ จากนั้นก็หยิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณหนึ่งขวดส่งไปให้ ส่วนอีกฝ่ายจะดื่มได้หรือไม่ หวังเป่าเล่อไม่กังวล สำหรับผู้เยี่ยมยุทธ์เช่นอีกฝ่าย ร่างกายราวกับเป็นเพียงเสื้อผ้า ทั้งสำคัญ และไม่สำคัญ

ความจริงเป็นเช่นนั้นแหละ หลังจากที่รับน้ำเย็นหล่อวิญญาณมาแล้ว กระดาษรูปมนุษย์จักรพรรดิองค์แรกก็เงยหน้าดื่มลงไปอึกใหญ่ ขณะที่กำลังเตรียมจะทอดถอนใจหลังดื่มสุราตามปกติ สีหน้าเขากลับแปลกประหลาด เขาก้มหน้ามองน้ำเย็นหล่อวิญญาณในมืออย่างละเอียดแล้วหันไปมองหวังเป่าเล่อ

“นี่มันของอะไรกัน หวานขนาดนี้เชียว”

“อร่อยไหม นี่คือเครื่องดื่มที่ข้าชอบที่สุด ทั่วทั้งจักรวาลมีเพียงสหพันธรัฐเท่านั้นที่ผลิตออกมาได้ มันชื่อว่าน้ำเย็นหล่อวิญญาณ” หวังเป่าเล่อกะพริบตามองกระดาษรูปมนุษย์

กระดาษรูปมนุษย์เงียบไปหลายอึดใจ แล้วลิ้มชิมน้ำเย็นหล่อวิญญาณในมือเงียบๆ ครู่ต่อมาก็เบ้ปากแล้ววางมันไว้ข้างๆ ก่อนจะหันไปหาหวังเป่าเล่อ

“เจ้ามาเร็วไปแล้ว”

“ผู้อาวุโสเหมือนจะไม่แปลกใจที่ข้ามานะขอรับ” หวังเป่าเล่อได้ยินอย่างนั้นก็คลี่ยิ้มออกมา

“วันนั้นที่เจ้าจากไป ข้าก็สังหรณ์แล้วว่าสักวันเจ้าจะต้องกลับมาที่นี่เพื่อตามหาวังน้ำวนในทะเลกระดาษ”

หวังเป่าเล่อไม่ได้ตอบทันที แต่ก้มหน้ามองทะเลกระดาษ ก้นบึ้งของทะเลกระดาษมีวังน้ำวนแห่งนั้นอยู่ และเป็นเป้าหมายที่เขามาที่นี่ในครั้งนี้เช่นกัน

เขาคิดจะไปตรวจสอบดูสักหน่อยว่าวังน้ำวนนั่นใช่สิ่งเดียวกับวังน้ำวนที่ไม้ดำสามฉื่อปรากฏออกมาในชาติที่หนึ่งของตนหรือไม่ แต่เขาไม่ได้ตั้งใจจะไปตอนนี้ ทุกอย่างต้องรอให้ตนทะลวงถึงระดับดารานิรันดร์ก่อนแล้วค่อยไปตามหา

ดังนั้นหลังจากเงียบไป หวังเป่าเล่อก็มองไปที่จักรพรรดิองค์แรกตรงหน้าแล้วประสานหมัดให้เบาๆ

“ผู้น้อยมาที่นี่ครั้งนี้เพราะต้องการขออนุญาตท่านจักรพรรดิและจักรวรรดิดาวตก ให้ข้าเรียกใช้ดวงดาราพิเศษ แล้วเลื่อนขั้นเป็นดารานิรันดร์…ที่นี่!” สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึม เขามองกระดาษรูปมนุษย์ผู้เป็นจักรพรรดิองค์แรก Aileen-novel

“เรื่องเล็กน้อย เจ้าต้องการกี่ดวงล่ะ” น้ำเสียงของกระดาษรูปมนุษย์จักรพรรดิองค์แรกผ่อนคลาย ด้านหนึ่งหวังเป่าเล่อตรงหน้านี้มีบุญคุณต่อจักรวรรดิดาวตก อีกด้านภูมิหลังของตัวเขาก็น่าตะลึง ดังนั้นสำหรับคำขอเช่นนี้ เขาย่อมไม่ปฏิเสธ ถึงอย่างไรในจักรวรรดิดาวตกก็มีดวงดาราพิเศษมากเป็นหมื่นๆ ดวง ให้ออกไปสักหน่อยก็ไม่เป็นอะไร

“นี่ก็…ต้องใช้ราวๆ หนึ่งหมื่นน่ะ” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเบาด้วยความเกรงใจ

“…” กระดาษรูปมนุษย์จักรพรรดิองค์แรกนิ่งเงียบ นำน้ำเย็นหล่อวิญญาณที่เดิมวางไว้ข้างๆ ยกขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากดื่มลงไปอึกใหญ่ก็เอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้

“เจ้าแน่ใจหรือว่าจะเลื่อนระดับเป็นดารานิรันดร์”

“ข้าตั้งใจจะใช้ดวงดาราพิเศษนับหมื่นดวงมาตกแต่งและแปลงเป็นจักรวาลพร้อมกัน ส่งเสริมและยกระดับดาวเคราะห์เต๋าของข้าให้ทะลวงจากระดับดาวพระเคราะห์และพัฒนาเป็นดารานิรันดร์” หวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าโดยพื้นฐานแล้วคำขอของตนก็คือการขุดเอารากเดิมของจักรวรรดิดาวตกออกไปจนเกลี้ยงประมาณเก้าส่วน ดังนั้นหลังจากเอ่ยจบ เขาก็เสริมอีกประโยค

“มีสิ่งใดต้องการให้ข้าทำท่านพูดมาได้เลย อีกอย่าง…ถ้าไม่อาจให้ได้มากขนาดนั้น ลดน้อยลงหน่อย…ย่อมได้…”

“ถ้าต่ำกว่าพันดวง ข้าสามารถให้ได้ทันที แต่ถ้าเป็นหมื่นดวง…จักรวรรดิดาวตกตอนนี้ไม่ได้อยู่ในความดูแลของข้า…ดังนั้นถึงข้าอยากจะให้ แต่ก็ตัดสินใจไม่ได้หรอก จักรพรรดิมาโน่นแล้ว เจ้าถามเอาเองเถอะ” กระดาษรูปมนุษย์จักรพรรดิองค์แรกกระแอมออกมา มองไปที่ไกลๆ เหมือนจะโยนหม้อ[1] หวังเป่าเล่อย่อมเห็นถึงปัญหา จึงรู้สึกปวดหัวนิดหน่อย ขณะที่ครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้อีกฝ่ายเห็นด้วย เขาก็เงยหน้ามอง ไม่นานพวกเขาก็เห็นพื้นที่ระหว่างผืนฟ้าและแผ่นดินที่ไกลๆ มีกระดาษรูปมนุษย์นับร้อยคนกู่ร้องเข้ามาหา

กระดาษรูปมนุษย์ที่เป็นผู้นำด้านหน้าก็คือจักรพรรดิองค์ปัจจุบันของจักรวรรดิดาวตก คลื่นจักรพิภพบนร่างแข็งแกร่งมหาศาล เขาก้าวมาอยู่บนเรือโดยตรง มองหวังเป่าเล่อแล้วยิ้มแผ่วเบา

หวังเป่าเล่อแย้มยิ้มเข้าคารวะ จากนั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยคำพูดแบบเดียวกับเมื่อครู่ออกมา ส่วนจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิดาวตกก็ลังเลเมื่อได้ยินดังนั้น หลังจากแลกเปลี่ยนสายตากับผู้อาวุโสองค์แรก แต่ละคนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องลำบากใจเล็กน้อย และกำลังจะเอ่ยปฏิเสธอย่างสุภาพ

แต่ตอนนั้นเอง…ท้องฟ้าที่เดิมเป็นยามกลางวันก็เกิดเสียงดังลั่นขึ้นมาในพริบตา ระลอกคลื่นบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเดิมกระเพื่อมอยู่บนฟ้า ราวกับม่านสีขาวถูกยกขึ้นจนเผยให้เห็นนภาสีดำ!

ยิ่งกว่านั้น แสงดาวแต่ละดวงบนท้องฟ้าก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งดวงดาราทุกระดับชั้นรวมเข้าด้วยกัน เป็นจำนวนเกินกว่าหนึ่งล้าน ก่อนแผ่ไปทั่วทั้งจักรวาล ในความเลือนรางเจตจำนงที่มาจากทั่วทั้งสุสานดวงดาราก็คล้ายจะกลายเป็นสุ้มเสียงดังสะท้อนอยู่ในจิตใจของหวังเป่าเล่อและกระดาษรูปมนุษย์จักรพรรดิทั้งสององค์ว่า

“ได้!”

เสียงสะท้อนของเจตจำนงนี้ทำให้จักรพรรดิกระดาษรูปมนุษย์ทั้งสองตนหันมามองหน้ากันอีกครั้ง ในบรรดาคนทั้งคู่ จักรพรรดิองค์ปัจจุบันมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย

“เป่าเล่อ อย่าโทษที่ก่อนหน้านี้เราลังเล ความจริง…”

“ลังเลอะไร ข้าก็บอกแล้วว่าเรื่องนี้ไม่มีปัญหา หวังเป่าเล่อเป็นผู้มีพระคุณของจักรวรรดิดาวตกของข้า คำขอของเขา อย่าว่าแต่หนึ่งหมื่น ต่อให้เป็นหนึ่งแสน พวกข้าก็ยินดีให้ เป็นคนต้องรู้จักตอบแทนคุณ!” เห็นได้ชัดว่าผิวหน้าของผู้อาวุโสองค์แรกของกระดาษรูปมนุษย์นั้นหนาพอๆ กับอายุของเขา ดังนั้นหลังจากสัมผัสได้ถึงความยินยอมจากเจตจำนงของทั้งโลก เขาก็เอ่ยอย่างเคร่งขรึมราวกับเพิ่งจะมีปฏิกิริยา และถือโอกาสตำหนิชนรุ่นหลังผู้นั้นของตนอีก

“ต้องให้ผู้อาวุโสสั่งสอนแล้ว” จักรพรรดิองค์ปัจจุบันของจักรวรรดิดาวตกได้ยินแล้วก็ยิ้มขำ โค้งคำนับจักรพรรดิองค์แรกด้วยธรรมเนียมของผู้น้อย ส่วนทางฝั่งจักรพรรดิองค์แรก ตอนนี้เขากระแอมไอแล้วโบกมือใหญ่ของตน

“เป่าเล่อ อวกาศผืนนี้ ข้าผู้เฒ่ามอบให้เจ้าแล้ว ไม่ร้องขอสิ่งใด เพียงหวังว่าถ้าหากวันหนึ่งเจ้ามีพลังและโอกาสเข้าไปในวังน้ำวนนั่นได้จริงๆ ก็ให้พาข้าผู้เฒ่าไปด้วย!” คำพูดรื่นหูยิ่ง หลังจากหวังเป่าเล่อกะพริบตา เขาก็กลั้นยิ้มเอาไว้แล้วรีบคำนับขอบคุณ ขณะเดียวกันก็พยักหน้าอย่างจริงจัง หลังจากเห็นด้วยกับเรื่องนี้แล้ว เขาก็สูดหายใจเข้าลึก ไม่รีรออีกต่อไป ร่างกระโจนขึ้นตรงไปยังอวกาศทันที!

ในสายตาของกระดาษรูปมนุษย์ที่อยู่รอบๆ ตอนนี้หวังเป่าเล่อคล้ายกับดาวตกดวงหนึ่ง บินขึ้นไปยังอวกาศไม่หยุดยั้ง ด้านนอกร่างกายของเขามีดาวเคราะห์เต๋าปรากฏออกมา

ดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ใหญ่ถึงระดับที่พอจะทำให้รู้สึกสะพรึงกลัวแล้ว ดาวบรรพกาลเก้าดวงรอบๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปคล้ายกำลังกู่ร้อง และคล้ายกำลังปรารถนา มันหลอมรวมเข้าไปในอวกาศตามตัวหวังเป่าเล่อ

ในอวกาศ ตอนนี้เองแสงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนก็หรี่แสงลงด้วยตัวเอง ราวกับไม่กล้าสู้ความสว่าง ราวกับกำลังคารวะ แต่ก็เหมือนกับสะกดความตื่นเต้นของตนเอาไว้ คล้ายกับว่าพวกมันมีปัญญาและจิตวิญญาณอยู่ระดับหนึ่ง คล้ายกับสัมผัสได้ว่า…โอกาสนี้ สำหรับพวกมันแล้ว เป็นโอกาสเปลี่ยนรูปดวงดารา!

จนกระทั่งเงาร่างของหวังเป่าเล่อหลอมรวมเข้าไปในอวกาศโดยสมบูรณ์ เสียงของเขาก็ดังสะท้อนออกมาทันที

“ขอให้ทุกท่านเป็นพยานด้วย วันนี้ข้าแซ่หวัง เลื่อนขั้นเป็นดารานิรันดร์ ณ ที่แห่งนี้!”

ทันทีที่เอ่ยออกมา ดวงดาวนับล้านบนจักรวาลก็สาดประกายแสงออกมาคล้ายจะตื่นเต้นยินดี!

…………………………………

[1] โยนหม้อ หมายถึง โยนความผิดไปให้ผู้อื่น

แทบจะขณะเดียวกับที่ดาวพระเคราะห์ของหวังเป่าเล่อกลายเป็นมือใหญ่แล้วทำลายร่างแยกของชงอี้จื่อซึ่งเปลี่ยนท่าทีไปหลายรอบแต่ก็ยังไม่ได้ช่วยอะไรนั้น ณ สำนักอันดับหนึ่งของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ภายในประตูภูเขาของเต๋าเก้ารัฐ ร่างจริงของชงอี้จื่อที่ลอยอยู่ในอวกาศราวกับดาวฤกษ์อันกว้างใหญ่ไพศาลพลันลืมตาขึ้นมา!

ขณะที่ลืมตาขึ้นมา แววตาของเขาพลันเผยให้เห็นทะเลเพลิงลุกโหม เพลิงนี้ลุกลามออกมาจนครอบคลุมความว่างเปล่าทั้งสี่ทิศในทันที ทำให้พื้นที่ขนาดใหญ่ถูกเปลวเพลิงห่อหุ้มกะทันหัน

ขณะที่ความว่างเปล่าถูกแผดเผาและอวกาศบิดเบี้ยว แขนซ้ายของชงอี้จื่อที่นั่งอยู่ตรงนั้นแห้งลีบโดยพลัน ทั่วร่างและใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย ถึงแม้จะไม่ได้กระอักเลือดออกมา แต่กลิ่นอายบนร่างกลับอ่อนแอลงไปไม่น้อยเลย

ภายในดวงตาของเขาที่เบิกขึ้นมาฉายแววตกตะลึง ยิ่งกว่านั้นคือมีความอึมครึมอยู่บนใบหน้า คิ้วขมวดมุ่นช้าๆ

“ร่างแยกแตกดับแล้วหรือ” สีหน้าของชงอี้จื่อย่ำแย่ แต่เขาไม่รู้รายละเอียด เพราะว่าผนึกได้ขัดขวางเหตุต้นผลกรรมและป้องกันผู้เยี่ยมยุทธ์ของจักรพิภพเอาไว้ เพราะแบบนั้น เขาที่อยู่ข้างในนี้จึงได้รับการจำกัดแบบเดียวกัน

ดังนั้น ความทรงจำที่ร่างแยกส่งคืนมาจึงหยุดไว้เพียงตอนที่มองเห็นเรือรบที่หวังเป่าเล่ออยู่บินออกมาและเงาร่างขององครักษ์เต๋าระดับดารานิรันดร์เจ็ดแปดคนนั้นเท่านั้น ส่วนเรื่องหลังจากนั้นล้วนว่างเปล่า

“หรือว่าภายในเรือรบของหวังเป่าเล่อจะซ่อนผู้แข็งแกร่งเอาไว้ หรือว่าในบรรดาองครักษ์เต๋าเหล่านั้นของเขาจะมีคนที่ไม่ธรรมดาสามัญ…หรือว่าประมุขกฎสวรรค์จะช่วยเหลือ” ชงอี้จื่อคิดไม่ออก แต่กลับรู้สึกว่าแบบสุดท้ายเป็นไปได้น้อยที่สุด ส่วนสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุด…ก็คือในบรรดาองครักษ์เต๋ามีคนที่ไม่อ่อนด้อยอยู่คนหนึ่ง

ส่วนเรื่องที่ว่าหวังเป่าเล่อเป็นคนลงมือการฆ่าร่างแยกของตนด้วยตัวเอง ในหัวของชงอี้จื่อไม่มีความคิดนี้อยู่เลย เรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นย่อมไม่ปรากฏอยู่ในความคิดของเขา

“ปรมาจารย์แห่งไฟรักลูกศิษย์ผู้นี้จริงๆ…” ชงอี้จื่อแค่นเสียงเย็น หลังจากหรี่ตาลงและก้มหน้ามองแขนซ้ายแห้งลีบของตน เจตนาฆ่าในแววตาส่องวาบทันที

“กล้าทำลายร่างแยกของข้า เรื่องจะไม่จบเพียงเท่านี้ ถึงปรมาจารย์แห่งไฟจะแข็งแกร่ง แต่ก็ใช่ว่าข้าไม่มีอาจารย์!” คิดถึงตรงนี้ ชงอี้จื่อก็หรี่ตาลงแล้วค่อยๆ ยืนขึ้น ขณะที่เขายืนขึ้นมา อวกาศรอบด้านก็ส่งเสียงสนั่นหวั่นไหวราวกับมีพลังกดดันมหาศาลสายหนึ่งแผ่ออกมาจากร่างของเขา ทำให้จักรวาลทั่วทุกทิศแบกรับไม่ไหว จนเกิดร่องรอยการแตกร้าว

ถึงขั้นสามารถมองเห็นเส้นสายของกฎเกณฑ์จำนวนมากได้ มันเปลี่ยนจากสภาพไร้รูปเป็นบิดเบี้ยวอยู่รอบกายเขาคล้ายกับจะขับดุนให้เด่นจนทำให้พลานุภาพของชงอี้จื่อน่าตะลึงมาก

แท้จริงแล้วมันก็เป็นเช่นนั้น ชงอี้จื่อเป็นดารานิรันดร์ชั้นปลาย เนื่องจากเป็นดารานิรันดร์ระดับพิภพ ดังนั้นพลังต่อสู้ของร่างแยกจึงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรระดับนิลดำอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว พวกนั้นล้วนไม่ใช่คู่ต่อสู้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาปิดประตูทะลวงระดับชั้นมหาวัฏจักรมาหลายปี ถึงแม้วันนี้จะยังไม่บรรลุ แต่ก็เหลืออีกเพียงเสี้ยวเดียว

และทันทีที่บรรลุชั้นมหาวัฏจักร สิ่งที่แขวนอยู่ตรงหน้าเขาก็จะเป็นการทดสอบแบบปลากระโดดข้ามประตูมังกร[1] ถ้าหากเขาทำสำเร็จ…ภายในเต๋าเก้ารัฐก็จะมีผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งจักรพิภพเพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่ง!

ขณะเดียวกัน นี่ยิ่งเกี่ยวข้องกับการแข่งขันของมรรควิธีเต๋าในเต๋าเก้ารัฐ นั่นเป็นการแข่งขันระหว่างเขากับเซียนเต๋าลำดับหนึ่งเฟยหลิงจื่อ ใครกลายเป็นจักรพิภพก่อน คนนั้นก็สามารถครอบครองเต๋าเก้ารัฐได้ก่อน

“ดันมาทำลายร่างแยกของข้าในช่วงสำคัญเช่นนี้…” แววตาของชงอี้จื่อส่องประกายเยือกเย็น เขาหงุดหงิดมาก ถ้าหากเขาไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณคน เขาก็คงไม่ลงมือในตอนนี้หรอก แต่ร่างแยกถูกทำลายอยู่ตำตา ถ้าเขาไม่ไปจัดการแล้วแก่นเต๋าไม่สมบูรณ์ ก็จะส่งผลต่อการเลื่อนขั้นบำเพ็ญแล้ว

“ก็ดี เอาดาวเคราะห์เต๋าดวงหนึ่งกลับมา ดูซิว่าจะช่วยอะไรข้าเพิ่มไหม” เมื่อคิดถึงตรงนี้ ชงอี้จื่อที่หยัดตัวขึ้นจนทำให้อวกาศแปดทิศสั่นสะเทือนร่างก็สั่นไหว พริบตาเดียวก็ออกจากดาราจักรประตูภูเขาของเต๋าเก้ารัฐ แล้วมาปรากฏตัวอีกครั้งที่จักรวาลเวิ้งว้าง ยกมือขวาขึ้นมานับนิ้ว แล้วเงยหน้าขึ้น ก่อนจะเดินก้าวใหญ่ หนึ่งก้าวผ่านหนึ่งดาราจักร ส่งเสียงกู่ก้องไปยังทิศที่ร่างแยกถูกสังหาร!

ขณะเดียวกันนั้น ภายในบริเวณดวงดาวที่อยู่ห่างจากชงอี้จื่อไปไกลโพ้น บนเรือรบที่หวังเป่าเล่ออยู่ก็มีความเร็วน่าตะลึงเช่นกัน มันเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายชัดเจนยิ่ง นั่นก็คือทางเข้าสุสานดวงดารา

ถึงแม้จากที่นี่ไปถึงทางเข้าสุสานดวงดาราจะมีพื้นที่กว้างใหญ่อย่างยิ่งขวางกั้นอยู่ แต่ก็ยังสั้นกว่าระยะห่างระหว่างชงอี้จื่อมาก ดังนั้นแม้ว่าคนข้างหลังจะรวดเร็วกว่า แต่ด้วยความเร็วของเรือรบ เรือรบกับทางเข้าสุสานดวงดาราก็เข้ามาใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ

จนถึงครึ่งเดือนหลังจากนั้น ขณะที่เรือรบพุ่งทะยาน หวังเป่าเล่อก็มองเห็นได้รางๆ จากที่ไกลๆ…นั่นคือดาราจักรสีขาวว่างเปล่าผืนหนึ่ง

มองจากไกลๆ ดาราจักรสีขาวผืนนี้สอดคล้องกับรูปลักษณ์ในความทรงจำของหวังเป่าเล่อดี นั่นคือ…ดาราจักรกระดาษ หรืออีกชื่อคือ จักรวาลกระดาษ

เรือรบจอดลงที่ตำแหน่งชายขอบ หวังเป่าเล่อเดินออกจากเรือรบท่ามกลางความสงสัยของเซี่ยไห่หยางและเฉินหาน เขาทอดมองไปยังดาราจักรกระดาษ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งเพื่อแสดงความเคารพ เขาก็ไม่ได้ขึ้นเรือรบต่อ แต่ปล่อยเรือรบและทุกคนข้างในไว้ด้านนอก ส่วนตัวเขาก้าวตรงไปข้างหน้า เข้าสู่ภายในดาราจักรกระดาษ

แทบจะชั่วพริบตาที่เขาเข้าไป ระลอกคลื่นก็แผ่กระจายจากใต้เท้าของเขา ทำให้จักรวาลกระดาษผืนนี้ราวกับกับมีคลื่นกระเพื่อม ลักษณะคล้ายกับทะเลกระดาษ

สีหน้าของหวังเป่าเล่อเป็นปกติ เขายังคงเดินหน้าต่อไป จนกระทั่งหลายวันต่อมา เขาก็มาถึงใจกลางของดาราจักรกระดาษ หรือก็คือสถานที่ที่เรือสุสานดาราหยุดลงในตอนนั้น เขายืนอยู่ตรงนั้น ทอดมองไปยังความว่างเปล่ารอบกาย หวังเป่าเล่อประสานหมัดแล้วคำนับไปด้านหน้า

“สหายเก่ามาเยี่ยมเยียน ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสดาวสุสานดาราจะอนุญาตหรือไม่”

ถึงแม้ตลอดทางมาจะมีท่าทางสูงส่งเพราะหลังจากระลึกอดีตชาติได้ ในใจจึงมีดวงวิญญาณเทพและสภาพจิตใจที่สามารถก้มมองลงมายังทั่วทั้งพื้นพิภพโลกา แต่หวังเป่าเล่อกระจ่างแจ้งดีว่าควรจะแสดงท่าทางแบบนี้ออกมาตอนไหนถึงจะมีประโยชน์กับตน และตอนไหนถึงจะเป็นผลเสียกับตัวเขา

ณ เวลานี้ เขาจำเป็นต้องวางท่าทางนั้นลงไปก่อน ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เกรงว่าจะได้รับการต่อต้าน

หลังจากคำนับ หวังเป่าเล่อไม่ได้รีบร้อน เขารอคอยเงียบๆ ผ่านไปราวๆ สิบกว่าอึดใจ เสียงผันผวนก็ดังก้องออกมาจากจักรวาลกระดาษ

“เชิญ!”

ขณะที่คำพูดดังออกมา ทันใดนั้นทั่วทั้งจักรวาลกระดาษก็ผันผวนรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ขณะที่ความผันผวนแผ่ขยาย จักรวาลกระดาษผืนนี้ก็เริ่มพับลง พับลง และพับทบลงอีกเหมือนกับกระดาษแผ่นหนึ่ง

หลังจากพับทบอย่างไม่รู้จบ ขอบเขตของจักรวาลกระดาษก็เล็กลงเรื่อยๆ แต่ความสูงกลับเพิ่มขึ้นไม่หยุด สิ่งนี้ไม่สอดคล้องกับตรรกะเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น แต่กลับเกิดขึ้นจริง และในสายตาของพวกเซี่ยไห่หยางและเฉินหานที่อยู่ด้านนอกจักรวาลกระดาษ ภาพนี้ทำให้ในใจของพวกเขาสั่นสะเทือนชั่วขณะ อีกทั้งพวกเขาก็เกิดความรู้สึกว่าหวังเป่าเล่อนั้นลึกลับยิ่งกว่าเดิม

เพราะพวกเขารู้ว่า นอกจากจะได้คำเชิญที่ระบุไว้แล้ว สุสานดวงดาราก็เพิกเฉยต่อโลกภายนอก ต่อให้มีผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งจักรพิภพมา หากไม่ให้เข้า ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพก็ทำได้เพียงจากไปอย่างจนใจ

แต่กับหวังเป่าเล่อ…เขามาที่นี่ กลับเข้าไปได้อย่างราบรื่น เรื่องนี้ทำให้เซี่ยไห่หยางยึดมั่นในตัวหวังเป่าเล่อยิ่งกว่าเดิม และทำให้เฉินหานยิ่งภาคภูมิใจเรื่องที่ตนเป็นบุตรของเขาเข้าไปใหญ่

ท่ามกลางความยึดมั่นและความภาคภูมิใจในตัวเอง สายตาของทั้งคู่จึงสบตากันตามจิตใต้สำนึก

“ฮึ!”

“เฮอะๆ!”

แต่ละคนหันหน้าหนีอย่างรวดเร็ว…

และผู้ที่มองเห็นภาพจักรวาลกระดาษที่หวังเป่าเล่ออยู่กำลังพับทบอย่างไร้จุดจบก็ยังมี…ร่างจริงของชงอี้จื่อที่อยู่ในจักรวาลห่างไกล และเดินออกมาจากความว่างเปล่า เขายืนอยู่ตรงนั้น มองเห็นได้ชัดเจนยิ่ง แต่พวกเซี่ยไห่หยางกลับไม่ได้สังเกตเห็น

ทอดมองไปยังจักรวาลกระดาษที่พับทบไม่หยุดจนกระทั่งมีความสูงที่ยิ่งนานยิ่งชวนตะลึง แล้วกลายเป็นรัศมีสีขาวสายหนึ่งก่อนจะสลายหายไปในจักรวาล ดวงตาของชงอี้จื่อก็หรี่ลงอย่างเคร่งเครียด

เพราะเขามองเห็นเรือรบของพวกเซี่ยไห่หยางแล้ว และด้านในนั้น เขาไม่เห็นผู้ฝึกตนที่สามารถเป็นภัยต่อร่างแยกของตนเลยสักคน นี่ทำให้ก้นบึ้งจิตใจของเขาเกิดความคาดเดาไปต่างๆ นานา

“ผู้ที่สังหารร่างแยกของข้าหนีไปแล้วหรือ”

“หรือว่า อีกฝ่ายมาจากสุสานดวงดารา”

“น่าสนใจ…” ขณะพึมพำ ชงอี้จื่อก็กวาดมองเรือรบของพวกเซี่ยไห่หยางและเฉินหาน จากนั้นก็เก็บสายตากลับและไม่ได้ให้ความสนใจอีก ไม่มีความคิดจะเข้าไปจับหรือค้นวิญญาณอะไรทั้งสิ้น เขามั่นใจในตัวเองมากเกินไปจนรังเกียจที่จะรู้คำตอบล่วงหน้า

เขาชอบความรู้สึกที่ไม่รู้เช่นนี้ เพราะมันทำให้ชีวิตที่ไม่น่าสนใจมีสีสันมากยิ่งขึ้น ดังนั้นหลังจากหัวเราะเบาๆ ชงอี้จื่อก็นั่งขัดสมาธิอยู่ในจักรวาลเสียเลย

เขาเชื่อว่า หวังเป่าเล่อที่เข้าไปในสุสานดวงดารา สุดท้ายแล้วจะต้องปรากฏตัว และคำตอบทุกอย่างจะถูกเปิดเผยในที่สุดหลังจากอีกฝ่ายออกมาและถูกตนสังหาร

“หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ”

………………………………………

[1] ปลากระโดดข้ามประตูมังกร หมายถึง ปลาที่กระโดดข้ามประตูจะกลายเป็นมังกร หมายถึงเลื่อนระดับจากระดับเล็กๆ ไประดับใหญ่ๆ

“ระยำเอ๊ย!!”

“ใครมันบอกข้าว่านี่เป็นดาวพระเคราะห์!!”

“ข้าเคยเห็นดาวพระเคราะห์ที่วิปริตขนาดนี้ที่ไหนเล่า!!”

ชงอี้จื่อเร่งความเร็วขึ้นจนเหมือนแสง พริบตาเดียวก็ถอยหลังจากตรงหน้าหวังเป่าเล่อไปหลายร้อยจั้งโดยไม่หยุด และไม่สนใจปัญหาเรื่องสีหน้าแต่อย่างใด แม้ว่าตอนที่เขาปรากฏตัวก่อนหน้านี้จะพูดจายโสโอหังเอาไว้ ถึงขั้นมีท่าทางดูถูกเหยียดหยามระหว่างที่เข้ามาใกล้หวังเป่าเล่ออีกด้วย

แต่เขาก็จนปัญญา ร่างแยกก็เป็นส่วนหนึ่งของร่างจริง ทันทีที่เกิดเรื่องขึ้น ร่างจริงก็จะได้รับผลกระทบส่วนหนึ่งด้วย ส่วนอาการสั่นเทาที่มาจากภายในใจและความรู้สึกวิกฤติจนขนหัวลุกนั่นทำให้ตอนนี้ชงอี้จื่อได้แต่เกลียดตัวเองที่ช้าเกินไป

เขากำลังหงุดหงิดแทบบ้า รู้สึกแค่ว่าตนเป็นคนที่ดวงซวยที่สุดในจักรวาล เหมือนกับสาวน้อยที่ตนถูกใจ ครั้นเขาวิ่งเข้าไปในห้องของนางแล้วลงกลอนประตูอย่างตื่นเต้น ทำให้นางยากที่จะหนีพ้นเงื้อมมือมารของตน แต่ชั่วพริบตาที่ตนพุ่งเข้าไปหา แวบเดียวสาวน้อยคนนั้นก็กลายเป็นชายร่างใหญ่ที่น่ากลัวยิ่งกว่าตนเสียอย่างนั้น…

“จะต้องมีปัญหาตรงไหนสักที่แน่ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้…” ชงอี้จื่อคร่ำครวญอยู่ในใจ มากกว่านั้นคือเสียใจภายหลัง เขาคิดว่าถ้าหากร่างจริงมาที่นี่ก็ดีน่ะสิ สังหารหวังเป่าเล่อย่อมไม่เปลืองแรง แต่ร่างแยกที่มีพลังเพียงสามส่วนของร่างจริงในตอนนี้ จะเอาอะไรไปตัดหัวดาวพระเคราะห์ที่ไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อนนี่ได้…

สิ่งนี้กำลังทำให้เขาโมโหแทบเสียสติ สำหรับคนผู้นั้นที่บอกกับตนว่าหวังเป่าเล่อเป็นแค่ดาวพระเคราะห์ เขาก็สาปแช่งอย่างไม่รู้จบใส่ไปแล้ว เมื่อความเร็วของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความบ้าคลั่งก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน พริบตาเดียวก็ไปไกลแล้ว

เมื่อเห็นสถานการณ์พลิกผัน องครักษ์เต๋าดารานิรันดร์เหล่านั้นที่อยู่รอบๆ ก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไร แท้จริงแล้วตอนที่พวกเขาเห็นชงอี้จื่อปรากฏตัวขึ้น โดยพื้นฐานพวกเขาก็คาดการณ์ถึงฉากนี้ไว้แล้ว

ส่วนแววตาของเฉินหานก็ยิ่งฉายประกายเย่อหยิ่ง เขาแค่นเสียงเย็นออกมา

“กล้ามาตีกับท่านพ่อ สมองของเจ้าหนูนี่ต้องโดนดูดกลืนไปแล้วแน่ๆ เขาไม่รู้ว่าท่านพ่อ ก็คือท่านพ่อตลอดไป!”

คำพวกนี้ดังเข้ามาในหูของเซี่ยไห่หยางที่อยู่ข้างๆ ฟังอย่างไรเซี่ยไห่หยางก็รู้สึกอึดอัด ความอึดอัดของเขาไม่ได้มาจากหวังเป่าเล่อ แต่มาจากการดูถูกเฉินหาน ในความคิดของเขา เจ้าเฉินหานผู้นี้หน้าไม่อายยิ่งนัก ไม่เคยยอมปล่อยโอกาสประจบสอพลอไป เสียศักดิ์ศรีของการเป็นผู้ฝึกตนหมด คนประเภทนี้ทำให้ตนผู้มีความชอบธรรมและเย่อหยิ่งใต้หล้ารู้สึกดูแคลนที่ได้ร่วมทางด้วย

ดังนั้นหลังจากแค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง ใบหน้าของเซี่ยไห่หยางก็เผยรอยยิ้มเคารพและคลั่งไคล้ไปยังหวังเป่าเล่อพร้อมคำนับอย่างลึกซึ้ง ก่อนตะโกนเสียงดังดุเดือด

“ขอแสดงความยินดีกับอาจารย์อา กระบวนเวทเทพประสบความสำเร็จอย่างสูง นับจากนี้ยิ่งใหญ่ไปทั่วทั้งจักรพิภพไม่รู้สิ้น ใต้หล้าไร้ใดเทียม ชีวิตนี้ของข้าเซี่ยไห่หยาง โชคอันประเสริฐที่สุดก็คือได้รู้จักกับอาจารย์อา ขอให้อาจารย์อาอนุญาตให้เซี่ยไห่หยางติดตามอยู่ข้างกายอาจารย์อาและรับฟังคำสั่งสอนของอาจารย์อาไปตลอดชีวิตที่เหลือต่อจากนี้ด้วยเถอะขอรับ!”

เมื่อได้ยินเสียงเร่าร้อนของเซี่ยไห่หยาง เฉินหานก็ตื่นตัวในทันที ขณะเดียวกันก็หรี่ตาลงแล้วกวาดมองเซี่ยไห่หยางอย่างเย็นชา คิดว่าคนผู้นี้น่ารังเกียจเสียจริง เป็นคนเพศเดียวกัน แต่กลับเอาอกเอาใจท่านพ่อของเขา จุดประสงค์ต้องไม่บริสุทธิ์แน่นอน ดังนั้นเขาจึงแค่นเสียงเย็น กำลังจะประจบหวังเป่าเล่อต่อ

แต่ตอนนั้นเอง กลับเกิดเสียงปังดังสนั่นขึ้นมาทางชงอี้จื่อที่กำลังหนีไปจนสุดสายตาของทุกคนราวกับศีรษะของเขากระแทกกับผนังล่องหน

เสียงดังสนั่นแผ่กระจายไปทั่วด้าน แล้วกลายเป็นระลอกคลื่นอยู่ในอวกาศ ขณะที่เสียงนี้แผ่วเบาลง ชงอี้จื่อยืนร้องไห้ไม่มีน้ำตาอยู่ตรงนั้น อาการเวียนหัวทำให้แววตาของเขาทึ่มทื่อเล็กน้อย เขามองความว่างเปล่าตรงหน้าอย่างมึนงง ตาเปล่ามองเห็นชัดว่าไม่มีอะไร แต่ถ้าหากใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบอย่างละเอียด ก็มองเห็น…ม่านแสงสีม่วงที่อยู่รอบๆ…

ปิดผนึกสี่ด้าน ปกปิดเหตุต้นผลกรรม ทำให้ที่นี่ราวกับโดดเดี่ยว…

เดิมทีเป็นผนึกที่มีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้หวังเป่าเล่อหลบหนี ขณะเดียวกันก็ป้องกันการถูกปรมาจารย์แห่งไฟตรวจสอบพบ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นอุปสรรคขวางกั้นชงอี้จื่อไปแล้ว

เห็นได้ชัดว่าการคลายผนึกนี้ต้องใช้เวลา…กลัวว่าแม้แต่เงาร่างสีม่วงร่างนั้นที่ประทับผนึกมาก็คิดไม่ถึงว่าจะเกิดเหตุพลิกผันเช่นนี้ขึ้น ดังนั้น ผนึกนี้จึงยังคงอยู่ในช่วงสั้นๆ

และสิ่งนี้…ก็ทำให้ชงอี้จื่อโมโหแทบบ้าเข้าไปใหญ่ ขณะที่เขาหยุดอยู่ตรงนี้ หวังเป่าเล่อที่แสดงดาวเคราะห์เต๋าของเขาออกมา ก็เข้ามาจ้องมองเงาร่างของชงอี้จื่อที่หยุดนิ่งจากที่ไกลๆ ด้วยความสนอกสนใจ แล้วเอ่ยเสียงเรียบ

“ตัวเองเป็นคนปิดประตู แต่กลับไม่มีลูกกุญแจมาเปิดอย่างนั้นหรือ”

ชงอี้จื่อตัวสั่นพักหนึ่ง เขาหันกายไปมองดาวพระเคราะห์มหึมานั่น มองเห็นเงาร่างของหวังเป่าเล่อด้านในดาวพระเคราะห์ได้ไม่ชัดเจน เห็นแค่รูปร่างเลือนรางร่างหนึ่ง ดังนั้นหลังจากเงียบงันไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาก็ฉายแสงวาบในพริบตา

ทำให้ท่าทีของเขาตรงกันข้ามกับท่าทีหลบหนีก่อนหน้านี้ เขากลายเป็นเหมือนกระบี่คมที่กำลังจะหลุดจากฝัก ทั่วร่างเกิดเสียงสะท้อนก้องดังอึกทึก จิตวิญญาณต่อสู้ปะทุเพิ่มขึ้นมาในพริบตา มันพุ่งทะยานไปทั่วทุกทิศ ทำให้องครักษ์เต๋าดารานิรันดร์รอบๆ หน้าเปลี่ยนสีไปทีละคน

เห็นได้ชัดอย่างยิ่งว่าชงอี้จื่อในตอนนี้แตกต่างจากก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง เขาไม่ได้หลบหนีอย่างรวดเร็ว ไม่ได้เย่อหยิ่งโอหัง แต่เงียบสงบพร้อมกับแผ่ท่าทีของผู้แข็งแกร่งออกมา

เขายืนอยู่ตรงนั้น หันหลังให้กับปราการผนึก จ้องเขม็งไปยังดาวพระเคราะห์ที่หวังเป่าเล่ออยู่ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ

“เรื่องนี้ข้าประมาทไปแล้วจริงๆ หวังเป่าเล่อ ข้าต้องการจากไป ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้าอีก เจ้ายอมหรือไม่!”

ท่าทางที่เปลี่ยนแปลงพร้อมกับเสียงทุ้มต่ำทำให้เกิดความรู้สึกว่าไม่ควรจะไปยั่วยุชงอี้จื่อต่อในทันที องครักษ์เต๋าดารานิรันดร์เหล่านั้นที่อยู่รอบๆ ล้วนรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ มองดูหวังเป่าเล่อที่กลายเป็นดาวพระเคราะห์

หวังเป่าเล่อไม่ได้กล่าวอะไร เพียงยกมือขวาขึ้นกดไปยังจุดที่ชงอี้จื่ออยู่ การกดครั้งนี้ทำให้ดาวพระเคราะห์ของเขาสั่นไหวเบาๆ แล้วแผ่กลุ่มแสงออกมาคล้ายจะเป็นฝ่ามือเลือนรางขนาดใหญ่ ส่วนกึ่งดาวเคราะห์เต๋าเก้าดวงที่อยู่รอบๆ ก็สาดแสงออกมาจนหมด มันแผ่แสงออกไปด้านนอกแล้วผสานเข้าไปในฝ่ามือเลือนรางอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดเป็นนิ้วห้านิ้ว!

ท้ายที่สุด ฝ่ามือนี้ก็คล้ายสามารถพลิกท้องฟ้าได้ มันแผดเสียงดังลั่นไปทางชงอี้จื่อพร้อมพลังแห่งกฎจักรวาลและกฎเกณฑ์

ขนคิ้วชงอี้จื่อกระตุก ร่างกายขยับไปอีกข้างทันที ท่าทางก็เปลี่ยนไปอีกครั้งในชั่วพริบตา มันไม่ได้นิ่งสงบอย่างก่อนหน้านี้ แต่ทั่วร่างแผ่เจตนาเย่อหยิ่งฟ้าดินออกมา ดวงตาก็หรี่ลงแล้วสาดแสงน่าสะพรึงและดุดัน

“น่าสนใจ ดูท่าข้าไม่ควรส่งแค่ร่างแยกที่มีพลังต่อสู้ส่วนหนึ่งมาเลย คู่ต่อสู้อย่างเจ้า คุ้มค่าให้ร่างจริงของข้ามาเอง ส่วนเจ้า…แน่ใจแล้วหรือว่าจะสู้กับข้าแบบไม่ตายไม่เลิกราน่ะ!” ขณะที่เสียงของชงอี้จื่อดังออกมา เขาก็จับกระบี่ในอ้อมแขนแน่น จิตวิญญาณการต่อสู้ในแววตาพุ่งพรวดขึ้นมาในตอนนี้!

ขณะที่ฝ่ามือเลือนรางพุ่งเข้ามาข้างหน้า ชงอี้จื่อก็ดึงกระบี่ในอ้อมแขนออกมาอย่างดุดัน แล้วฟันไปยังฝ่ามือที่กำลังจะมาถึงพร้อมเสียงคำรามต่ำ!

การฟันครั้งนี้ ทำให้ร่างดารานิรันดร์ของเขาปรากฏออกมาแล้วผสานเข้าไปในกระบี่ ด้วยพลานุภาพรุนแรงไร้ใดเปรียบ เพียงพริบตาก็เข้าปะทะกับฝ่ามือแล้ว!

แต่กลับ…ไม่มีเสียงดังสะเทือน ชั่วพริบตาที่ปราณกระบี่น่าตะลึงนั่นปะทะเข้ากับฝ่ามือ ก็คล้ายกับกดน้ำแข็งก้อนหนึ่งลงไปในน้ำอย่างไรอย่างนั้น มันจมลงไปในน้ำเพียงพริบตาแล้วละลายหายไป…

“แค่นี้หรือ” หวังเป่าเล่อผิดหวังเล็กน้อย มองไปยังชงอี้จื่อ

ภาพนี้ทำให้ท่าทีของชงอี้จื่อเปลี่ยนไปอีกครั้ง เขาฝืนยิ้มน่าเกลียดยิ่งกว่าร่ำไห้ออกมา ก่อนเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน

“สหายเต๋าหวัง ข้าว่าระหว่างพวกเราจะต้องมีเรื่องเข้าใจผิด…”

ยังไม่ทันเอ่ยคำว่า ‘เรื่องเข้าใจผิด’ ให้จบ หวังเป่าเล่อก็ส่ายหน้า ฝ่ามือเลือนรางที่เขาสร้างออกมาก็เข้ามาใกล้ทันที ไม่ให้โอกาสชงอี้จื่อใดๆ ทั้งสิ้น ถึงขั้นไม่สนใจว่าคนผู้นี้จะต่อต้านหรือจะดิ้นรนอย่างไร พริบตาเดียวมันก็ปกคลุมเขาแล้ว แค่ฝ่ามือเดียวจับชงอี้จื่อไว้ในกำมือได้

เขาไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นบีบเบาๆ ทันใดนั้นมือใหญ่เลือนรางที่เขาสร้างออกมาก็ทำแบบเดียวกัน ท่ามกลางเสียงกึกก้อง…ร่างกายของชงอี้จื่อก็แตกสลายทันทีโดยไม่มีแม้แต่เสียงร้อง

ขณะที่หวังเป่าเล่อคลายฝ่ามืออีกครั้ง ทุกอย่างที่อยู่ภายในมือใหญ่เลือนรางก็กลายเป็นควันลอยขี้เถ้าสลาย

“อ่อนเกินไปแล้ว!” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าเบาๆ ทุกคนรอบด้านไม่มีใครไม่ตกตะลึง ยามที่มองไปยังหวังเป่าเล่อก็เผยความตะลึงงันออกมา หวังเป่าเล่อไม่ได้สังเกตเห็นสักนิด สีหน้ายังคงเรียบนิ่ง เผยความผิดหวังออกมาพลางเก็บฝ่ามือกลับไป ก่อนจะสะบัดเบาๆ…

ชานิดหน่อย แล้วก็ปวดเล็กน้อย

แต่หวังเป่าเล่อไม่เผยให้เห็นความรู้สึกใดๆ เพราะหลังจากกลับมาจากดาวเคราะห์ชะตา เขาก็พบว่าตนชื่นชอบทำท่าทางสูงส่งเหนือใครเหมือนผู้ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทว่าตอนนี้กลับรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่คนดูรอบๆ มีน้อยเกินไป แต่ท่าทางที่สมควรมีก็จำต้องทำให้มันหลอมรวมเข้ากับในชีวิตประจำวัน ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงคงท่าทางนิ่งสงบไม่หวั่นไหว หลังจากเก็บดาวพระเคราะห์แล้วกลับมายังเรือรบ ก็กล่าวเสียงเรียบราวกับไม่เคยเปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย

“ออกเดินทางเถอะ”

…………………………

ผู้ที่กล่าวขึ้นมาก็คือร่างแยกที่สร้างขึ้นโดยชงอี้จื่อ ความจริงแล้วร่างแยกร่างนี้มาถึงตั้งนานแล้ว แต่ไม่กล้าเข้าไปสร้างความวุ่นวายในดาวเคราะห์ชะตา ดังนั้นจึงเลือกมารออยู่ที่นี่

ถึงแม้ดาวเคราะห์ชะตาจะกว้างใหญ่ แต่ด้วยเหตุผลพิเศษบางอย่าง ทางเข้าออกจึงมีเพียงทางเดียว ดังนั้นการอยู่ตรงนี้ย่อมสามารถรอจนหวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นได้

ถึงแม้ในความคิดของเขา โดยพื้นฐาน การตัดหัวครั้งนี้ไม่จำต้องเปลืองพลังอะไรเลย สิ่งเดียวที่ต้องใส่ใจก็คือทางฝั่งปรมาจารย์แห่งไฟนั่นต่างหาก แต่เขาเชื่อคำพูดของคนที่สั่งให้เขามาตัดหัวหวังเป่าเล่อว่าอีกฝ่ายสามารถปกปิดเหตุต้นผลกรรมได้

ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้ก็คือ…ฆ่าปิดปากทุกคนในที่นี้ทั้งหมด

ส่วนที่ว่าด้านในจะมีมหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นๆ หรือไม่ เขาไม่สนใจ และพวกที่เรียกว่าองครักษ์เต๋าเหล่านั้น เขาเห็นว่าล้วนเป็นเศษสวะชั้นธรรมดาสามัญ ถ้าเอาชนะได้ด้วยจำนวนคน แล้วทุกคนจะฝึกตนไปทำไมกัน

ดังนั้น ทันทีที่เอ่ยคำพูดนี้ออกมา ก็แสดงความโอหังเกินจะพรรณนาแล้ว

ส่วนประโยคนั้นของเขาก็ยโสโอหังจริงๆ!

ภายในเรือรบตอนนี้ แทบจะทันทีที่ทุกคนได้ยินประโยคนี้ ก็เกิดความรู้สึกนึกคิดคล้ายกันขึ้นมาโดยไม่ได้นัดหมาย ยิ่งไปกระตุ้นความไม่พอใจของพวกองครักษ์เต๋าทั้งหมดด้วย

พวกเขาเห็นแล้วว่าผู้ที่มามีระดับบำเพ็ญอยู่ที่ขั้นดารานิรันดร์เช่นกัน ถึงแม้จะมองไม่เห็นอย่างละเอียด แต่…ดารานิรันดร์ทั้งหมดสามสิบกว่าคน แต่อีกฝ่ายมีเพียงแค่คนเดียว ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นฝั่งตนที่มีจำนวนคนมากกว่า จึงควบคุมความได้เปรียบมหาศาล

นอกจากนั้น…ยังมีสิ่งมีชีวิตน่าสะพรึงอย่างหวังเป่าเล่ออยู่ ดังนั้นปฏิกิริยาส่วนใหญ่ของทุกคนในตอนนี้คือความไม่พอใจ ไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย เซี่ยไห่หยางที่อยู่ด้านข้างกำลังจะเอ่ยปาก แต่ก็มีคนเร็วกว่าเขาก้าวหนึ่งแล้ว

“ท่านพ่อ เจ้านี่โอหังเกินไปแล้ว เดี๋ยวข้าจะจับคนผู้นี้มาให้ท่านพ่อเอง!” หลังจากได้ยินคำพูดที่ดังมาจากผู้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนสะเก็ดดาวด้านนอกเรือรบ คนแรกที่แสดงท่าทีโมโหไม่ใช่ตัวของหวังเป่าเล่อ แต่เป็นลูกชายของเขา…เฉินหาน

เฉินหานโกรธจนผมตั้งทั่วร่างเลยก็ว่าได้ ยังไม่ทันที่หวังเป่าเล่อจะอ้าปาก เขาก็โบกมือแล้วตะโกนออกคำสั่งซ้ายขวาทันที

“ให้องครักษ์สองสามคนไปจับตัวคนผู้นั้นมาให้ท่านพ่อไต่สวนด้วย!”

ในฐานะที่เป็นศิษย์ของสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ ถึงแม้องครักษ์ข้างกายของเฉินหานจะอยู่ระดับทั่วไป แต่ก็มีทักษะเวท ที่ไม่ธรรมดา เมื่อคำสั่งของเขาแพร่ออกมา องครักษ์เต๋าระดับดารานิรันดร์เจ็ดคนที่ติดตามเขาอยู่ก็รับคำสั่งทันที ก่อนบินออกไปในชั่วพริบตา ทะยานตรงไปยังร่างแยกของชงอี้จื่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางอวกาศนอกเรือรบตรงนั้น

แต่ชั่วพริบตาที่พวกเขาทั้งเจ็ดพุ่งออกมา มุมปากของชงอี้จื่อก็แสยะยิ้ม เขาเงยหน้ามองไปยังอวกาศด้านบน แทบจะในชั่วพริบตาที่เขามองขึ้นไป แสงสีม่วงสายหนึ่งพร้อมอานุภาพเทพอันยิ่งใหญ่ก็สาดออกมาจากอวกาศทันที มันกลายเป็นม่านแสงสีม่วง ห้อมล้อมบริเวณที่ทุกคนอยู่ แม้แต่เรือรบทั้งหมดและร่างแยกของชงอี้จื่อก็ถูกครอบคลุมเอาไว้ข้างใน!

มันเหมือนกับวงแหวนปราณ และเหมือนผนึกเสียยิ่งกว่า ตัดขาดทุกกลิ่นอายทั้งหมดและส่วนหนึ่งของเหตุต้นผลกรรม ตัดขาดการรับรู้ทั้งหมดจากภายนอก เหมือนกับทำให้ที่นี่…โดดเดี่ยวจากจักรวาลในชั่วขณะนี้เอง

ยังไม่ทันที่คนทั้งเจ็ดที่พุ่งออกไปจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบ ชงอี้จื่อที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็หัวเราะยกใหญ่ขึ้นมา ครั้นเห็นที่แห่งนี้ถูกม่านแสงสีม่วงปกคลุมเอาไว้ เจตนาสังหารในดวงตาระเบิดออกมาโดยพลัน คนทั้งคนกระโดดลงมา พร้อมกับที่สะเก็ดดาวใต้ร่างแตกกระจายกลายเป็นเศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งตรงไปยังกองเรือรบด้วยเสียงหวีดหวิวและพลังอันชวนตะลึง ตัวของเขาทะยานเข้ามาหาทันทีอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด

เพียงพริบตาก็ปะทะกับดารานิรันดร์ทั้งเจ็ดแล้ว สองฝ่ายแค่เคลื่อนตัวผ่านกันธรรมดาเท่านั้น แต่องครักษ์เต๋าทั้งเจ็ดของเฉินหานกลับกระอักเลือดออกมาทีละคน ร่างกายพลันม้วนกลิ้ง ราวกับเปราะบางจนทนไม่ไหว!

“อ่อนแอเกินไปแล้ว!” ขณะที่ชงอี้จื่อแสยะยิ้ม เขาก็พลันพุ่งมายังเรือรบที่หวังเป่าเล่ออยู่ เจตนาฆ่าในแววตาแรงกล้า ปราณพิฆาตบนร่างระเบิดออกมา สำหรับเขา การโจมตีครั้งนี้ง่ายดายยิ่งนัก แต่เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่คาดคิด เขายังต้องสังหารหวังเป่าเล่อเพื่อให้เสร็จสิ้นภารกิจก่อน แล้วค่อยสังหารปิดปากคนอื่นๆ แบบนี้จึงจะปลอดภัย

สีหน้าของหวังเป่าเล่อเป็นปกติ เขายืนอยู่ในเรือรบ มองไปยังชงอี้จื่อที่พุ่งเข้ามาอย่างเย็นชา ถึงแม้เขาจะไม่ได้เคลื่อนไหว แต่องครักษ์เต๋าดารานิรันดร์ที่อยู่ข้างกายเขาเหล่านั้น ตอนนี้หน้าเปลี่ยนสีกันหมด ก่อนพุ่งตรงไปยังชงอี้จื่อในพริบตา

แต่ความแข็งแกร่งของชงอี้จื่อก็ปรากฏออกมาอย่างสมบูรณ์ในเวลานี้เอง ถึงแม้การฝึกตนของร่างแยกจะอยู่เพียงระดับดารานิรันดร์ขั้นต้น แต่เมื่อเผชิญหน้ากับการมาถึงของดารานิรันดร์สิบกว่าคน เขาก็ทำเพียงแค่ยกดาบในอ้อมแขนขึ้น แล้วฟันลงไปทันที พลังผันผวนน่าสะพรึงสายหนึ่งระเบิดออกมาจากร่างของเขาเสียงดังสนั่น ทำให้ดารานิรันดร์สิบกว่าคนพวกนั้นร่างกายสั่นเทา แล้วถอยหลังมาทั้งหมด

“ดารานิรันดร์ขั้นทั่วไปแตกต่างอะไรกับไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา[1]กันเล่า” ชงอี้จื่อหัวเราะขึ้นฟ้า ดารานิรันดร์ที่ถอยออกมาพร้อมหน้าเปลี่ยนสีเหล่านี้ก็ตะโกนร้องอย่างตื่นตระหนก

“ดารานิรันดร์ระดับพิภพ!!”

ดารานิรันดร์แบ่งออกเป็น สวรรค์ พิภพ นิลดำ อำพัน และทั่วไป ระดับขั้นทั้งห้านี้ หากอยู่ในขั้นต้นเหมือนกัน ระดับทั่วไปจะอ่อนที่สุด รองลงมาเป็นระดับอำพัน ระดับนิลดำจะพบเห็นได้น้อย แต่ระดับพิภพกลับหายากยิ่งกว่า ส่วนระดับสวรรค์…มีแต่ต้องใช้คำว่าหาตัวจับยากเหมือนขนวิหคเพลิงเขากิเลนมาบรรยายเท่านั้น!

ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้ว เมื่อระดับพิภพปรากฏตัว ก็สามารถกวาดล้างดารานิรันดร์ที่อยู่ระดับเดียวกันได้ ตอนนี้ชงอี้จื่อผู้นี้ก็ราวกับกวาดล้างทั่วทุกทิศ เขาย่างก้าวพร้อมหัวเราะเสียงดัง ทะยานมาทางเรือรบที่หวังเป่าเล่ออยู่แล้วก็หัวเราะบ้าคลั่งออกมาหนักกว่าเดิม

“หวังเป่าเล่อ ไม่มีใครช่วยเจ้าได้แล้ว ข้าอยากจะดูนักว่าดาวเคราะห์เต๋าที่ถูกบดขยี้มันเป็นแบบไหน!” ขณะที่ชงอี้จื่อ กล่าว เขาก็เข้ามาใกล้กับเรือรบที่หวังเป่าเล่ออยู่ร้อยจั้ง

ภายในเรือรบ ตอนนี้สีหน้าของเซี่ยไห่หยางเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่พริบตาเดียวก็กลับมาเป็นปกติ ส่วนเฉินหานก็คล้ายจะไร้ความกังวลมาโดยตลอด เขากลับกอดอก แววตาเผยความดูถูกเหยียดหยามออกมา

สำหรับหวังเป่าเล่อ ในแววตาของเขามีความอยากรู้อยากเห็นอยู่ เขาอยากรู้มากว่าตนในตอนนี้มีพลังยุทธ์อยู่ในระดับใดกันแน่ ถ้าหากให้ลองทดสอบ สุดท้ายก็จะยั้งมือเท้าไม่ค่อยได้ ตอนนี้เมื่อเห็นว่าดันมีคนพุ่งเข้ามาหาก่อน ความสนใจของเขาก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย

แน่นอนว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือเขาเคยเห็นม่านแสงสีม่วงผืนนั้น และ…เงาของอนาคตบนสมุดแห่งโชคชะตา ในนั้นมีฉากหนึ่ง ถึงแม้จะไม่เหมือนกับตรงหน้าทุกประการ แต่ก็แตกต่างกันไม่เท่าไร

“จื่อเยว่หรือ…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา นำดาวเคราะห์เต๋าที่เก็บเอาไว้ในร่างออกมา ชั่วพริบตาดาวเคราะห์เต๋าของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้น แล้วไปปรากฏอยู่ด้านนอกเรือรบอย่างน่าอัศจรรย์!

ตอนแรกเป็นเพียงจุดแสงจุดเดียวเท่านั้น จากนั้นก็ขยายตัวอย่างรวดเร็วจนมีขนาดเท่าดาวพระเคราะห์ทั่วไป ทำให้ชงอี้จื่อที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็วและอยู่ห่างไปเจ็ดสิบจั้งหัวเราะออกมา

“แค่นี้หรือ” ชงอี้จื่อเหมือนจะผิดหวังเล็กน้อย ขณะที่ส่ายหน้าก็เข้าไปใกล้อีก จนกระทั่งอยู่ห่างไปห้าสิบจั้ง ฝีเท้าของเขาก็ชะงักเป็นครั้งแรก เพราะตอนนี้ดาวเคราะห์เต๋าตรงหน้าของเขาไม่ได้มีขนาดแบบก่อนหน้านี้ แต่ขยายใหญ่จนถึงระดับครึ่งดารานิรันดร์แล้ว

“น่าสนใจดีนี่” ดวงตาของชงอี้จื่อสว่างไสว ขณะที่เสียงหัวเราะดังขึ้น ความเร็วก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน กระทั่งเข้ามาใกล้สามสิบจั้ง ทว่าชั่วพริบตาต่อจากนั้น ฝีเท้าของเขาก็ชะงักลงอีกครั้ง สายตาตื่นตะลึง จ้องมองดาวเคราะห์เต๋าที่ขยายใหญ่จนมีขนาดเท่าดารานิรันดร์ทั่วไปตรงหน้า

“ไม่เลว ไม่เลว นี่สิถึงจะน่าสนใจ!” ดาวเคราะห์เต๋าเช่นนี้ไม่ได้ทำชงอี้จื่อก้าวถอย แต่หลังจากหยุดชะงัก สีหน้าของเขาก็เผยให้เห็นความตื่นเต้นของจิตวิญญาณต่อสู้อันแรงกล้าออกมา เขาหัวเราะดังยิ่งกว่าเดิม ขณะที่ก้าวเท้าอีกครั้งและอยู่ห่างไปยี่สิบจั้ง ฝีเท้าของเขา…ก็หยุดชะงักเป็นครั้งที่สาม

สิ่งที่ตามมาคือการกะพริบตาอย่างรวดเร็ว ความตื่นเต้นในแววตาแตกสลายกลายเป็นความงุนงง

“นี่มันอะไร” ชงอี้จื่อพึมพำกับตัวเอง เขามองดวงดาวอันน่าสะพรึงตรงหน้าของตนนิ่งงัน ตอนนี้มันใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ จนมีขนาดเป็นสามเท่าของดารานิรันดร์ทั่วไปแล้ว ทั้งยังขยายต่อไปไม่หยุด

ตาเปล่าของเขามองเห็นได้ว่า ท่ามกลางเสียงดังอึกทึก ดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้ขยายตัวต่อไปจนใหญ่เป็นห้าเท่า สิบเท่า…กระทั่งถึงขนาดอันน่าสะพรึง ใหญ่เป็นร้อยเท่าของดารานิรันดร์ทั่วไป

มันเหมือนกับกลายเป็นครึ่งหนึ่งของดาราจักรเล็กๆ และตอนนี้ ทั้งสี่ทิศรอบดาวเคราะห์เต๋ามหึมาดวงนี้ก็มีดาวเคราะห์บรรพกาลเก้าดวงที่เหมือนกับดาวบริวารปรากฏขึ้น มันแผ่กฎเกณฑ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดินเขย่าจักรวาลออกมา

มองจากระยะไกล ดาวเคราะห์เต๋าทรงอานุภาพดวงนี้เหมือนดวงตาแห่งจักรวาล ตอนนี้กำลังจดจ้องมายังชงอี้จื่อที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งขณะนี้เขามีขนาดเล็กอย่างถึงที่สุด ร่างกายสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ ความตื่นเต้นและจิตวิญญาณต่อสู้ทั้งหมดสลายหายไปในพริบตา

ชงอี้จื่อไม่อยากตัวสั่น แต่เขาควบคุมร่างกายไม่ได้ พลังแห่งกฎจักรวาลและกฎเกณฑ์อันน่าสะพรึงของดาวเคราะห์เต๋าและดาวบริวารส่งผลให้รอบด้านบิดเบี้ยว ทำให้เลือดเนื้อทั้งหมดทั่วร่างของเขาสั่นเทิ้มตามสัญชาตญาณ

“นี่คือ…นี่คือดาวพระเคราะห์หรือ” ขณะที่ชงอี้จื่อพึมพำ สุดท้ายความงุนงงในดวงตาก็กลายเป็นความตื่นตะลึง เขาเงียบงันไปครู่หนึ่ง…

จากนั้นก็หันกายกลับโดยพลันแล้วพุ่งไปทางด้านหลัง แทบจะใช้พลังฝึกตนทั้งหมดเพื่อเร่งความเร็ว แล้ววิ่งหนีอย่างบ้าคลั่งโดยไม่หันกลับมามอง!

…………………………………

[1] ไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา คำสุภาษิตเปรียบเปรย หมายถึง อ่อนแอแตกหักง่าย

พายุนอกดาวเคราะห์ชะตาสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ทุกคนจะใจสั่นสะท้าน แต่สุดท้ายก็ยอมรับความจริงข้อนี้ได้ สายตาที่มองไปยังหวังเป่าเล่อก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว

ก่อนหน้านี้แม้องครักษ์เต๋าเหล่านั้นที่มาจากดาราจักรไฟจะให้ความเคารพ แต่ส่วนใหญ่เป็นเพราะปรมาจารย์แห่งไฟ ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว หวังเป่าเล่อใช้พลังยุทธ์และพลานุภาพของตนทำให้ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์เหล่านี้พากันรู้สึกหวั่นเกรง

ชีวิตนี้ของพวกเขาไม่เคยเห็นดาวพระเคราะห์ที่ไหนแผ่กลิ่นอายน่าสะพรึงเหมือนของหวังเป่าเล่อเช่นนี้มาก่อน ทั้งยังมี…สภาวะที่ไม่อาจมองเห็นชัดแบบนั้นอีก ทำให้ก้นบึ้งจิตใจของดารานิรันดร์ทั้งหมดบนเรือรบพากันคาดเดาไปต่างๆ นานา

เพราะโดยทั่วไปแล้ว เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อช่องว่างระหว่างระดับมีมากเกินไป ตัวอย่างเช่นไม่อาจมองเห็นดวงจิตเทพได้โดยตรง เพราะกฎทั้งหมดรอบดวงจิตเทพนั้นบิดเบี้ยว ทันทีที่ผู้มีระดับไม่เพียงพอมองเข้าไป ก็จะได้รับผลกระทบรุนแรง ไม่สามารถทนรับกฎอันบิดเบี้ยวนั้นได้ ถูกการรับรู้ขนาบซ้ายขวา จากนั้นร่างกายก็จะแตกสลาย

หวังเป่าเล่อเมื่อครู่ก็คือสภาวะนั้น ถึงแม้จะไม่ได้บรรลุถึงระดับเกินจริงขนาดนั้น แต่กลับมีลักษณะเช่นนี้อยู่ และ…นี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ดารานิรันดร์ทั้งหมดใจสั่นสะท้าน

ผู้ที่สั่นสะเทือนเหมือนกันก็คือเซี่ยไห่หยาง แต่เขาก็ฟื้นตัวกลับมาเร็วมาก ข้างกายของหวังเป่าเล่อครึกครื้นยิ่งกว่าขามาเสียอีก เพียงแต่ขากลับในตอนนี้ ข้างกายของเขากลับมีคนที่กระตือรือร้นยิ่งกว่าเพิ่มขึ้นหนึ่งคน

คนผู้นี้ก็คือเฉินหาน เขาแทบจะคืนสติได้เร็วที่สุด ร้องเรียกคำว่าท่านพ่อออกไปโดยไม่สนใจสีหน้าแปลกพิกลขององครักษ์เต๋าเหล่านั้นและการขมวดคิ้วไม่พอใจของเซี่ยไห่หยาง

สำหรับเรื่องเหล่านี้ หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจ เพราะเมื่อเท้าแตะบนเรือรบแล้ว เขาก็ครุ่นคิดถึงปัญหาข้อหนึ่ง

ตนจะไปที่ไหน!

ตามแผนตอนมา หลังจากร่วมงานวันอวยพรฉลองอายุเสร็จแล้ว เขาจะกลับไปดาราจักรไฟเพื่อรายงานภารกิจ ขณะเดียวกันก็วางแผนจะกลับไปโลกสหพันธรัฐสักรอบเพื่อเยี่ยมบิดา มารดา และสหาย

แต่หลังจากทดสอบพลังฝึกปรือระลึกอดีตชาติและรับรู้ความจริงกว่าครึ่งแล้ว ความคิดของหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนไป โดยเฉพาะ…เมื่อประสบกับวิกฤตเกือบถูกยึดครอง

แม้จะรู้ว่าชาติก่อนตนเป็นกระดานไม้ดำที่มีต้นกำเนิดลึกลับ สุดท้ายปัญญาแท้จริงก็ถือกำเนิดขึ้น เป็นของแถมจากซุนเต๋อ แต่หวังเป่าเล่อไม่คิดว่าจะไม่มีใครมายึดครองเขาได้

พร้อมกันนั้น เขายังมีการคาดเดาอย่างหนึ่ง

“ข้าเป็นกระดานไม้ดำ แต่กระดานไม้ดำ…กลับไม่จำเป็นต้องเป็นข้าทั้งหมด!”

“กระดานไม้ดำสามารถเวียนว่ายตายเกิดไม่แตกสลาย แต่ข้ากลับไม่แน่…นั่นก็หมายความว่า ข้าเป็นจิตวิญญาณที่กำเนิดมาจากมัน ข้าสามารถถูกลบล้างไปได้ แบบเดียวกับวิญญาณวุธบนวัตถุเวท”

“เมื่อวิญญาณวุธถูกลบไป ถึงแม้วัตถุเวทจะเสียหาย แต่กลับส่งผลไม่มาก เปลี่ยนวิญญาณวุธใหม่ให้ค่อยๆ หลอมรวมเข้ามาก็ได้แล้ว หรือถ้าจะไม่เปลี่ยน เมื่อให้ความร้อนแก่มัน วัตถุเวทก็ยังสามารถให้กำเนิดวิญญาณวุธใหม่ออกมาได้ภายใต้สภาพแวดล้อมพิเศษบางอย่างด้วยตัวเอง”

“ส่วนวิญญาณวุธที่กำเนิดขึ้นมาใหม่ ทั้งเป็นข้า และก็ไม่ใช่ข้า” หวังเป่าเล่อเงียบงัน บางทีอาจจะเป็นเพราะแรกเริ่มก็ได้สัมผัสกับการหลอมอาวุธแล้ว สำหรับประเด็นนี้ หวังเป่าเล่อมีเหตุผลและการคาดเดาของตัวเองอยู่แล้ว

เขารู้ดีว่าความโลภและความอาฆาตแค้นที่ตะขาบสีโลหิตมีต่อเขานั้นแรงกล้ามาก บางทีอีกไม่นาน เขาอาจจะได้เผชิญหน้ากับการปรากฏตัวและการยึดครองจากอีกฝ่าย เหมือนกับที่วัตถุเวทเปลี่ยนวิญญาณวุธนั่นเอง

“ถ้าหากมองว่ากระดานไม้ดำเป็นวัตถุเวทและอดีตชาติของข้าก็เป็นวิญญาณวุธล่ะก็ เช่นนั้น…ตรงนี้ก็จะมีคำถามที่เกี่ยวข้องกันขึ้นมาว่า ข้าน่าจะแสดงอานุภาพเทพของไม้ดำสามฉื่อนั่นออกมาได้!”

“ออกมาเพียงสามฉื่อก็สามารถบดขยี้สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในจักรพิภพเต๋าไพศาลได้แล้ว…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาตระหนักในข้อนี้ดี แต่เขาก็เข้าใจดีว่า…ตัวเขาในตอนนี้ยังไปไม่ถึงระดับที่จะควบคุมกระดานไม้ดำได้

ประเด็นนี้เกี่ยวข้องกับเหตุผลสองประการ หนึ่งคือมีเพียงตนในชาตินี้เท่านั้นที่สามารถผสานความทรงจำทั้งหมดได้อย่างแท้จริง เขาในอดีตชาติ ไม่ว่าจะเป็นผีดิบหรือทหารอาฆาต หรือแม้แต่กวางขาวน้อยก็ตาม ล้วนแล้วแต่ไม่อาจมาถึงขั้นนี้

ดังนั้น ภายใต้การวิเคราะห์ของหวังเป่าเล่อ เขาคิดว่านี่อาจจะเป็นโอกาสที่สามารถเริ่มควบคุมกระดานไม้ดำได้

ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ ถึงแม้จะดูเหมือนว่าปัญญาของเขาถือกำเนิดมานานมากและผ่านมาหลายชาติ แต่เมื่อเทียบกับวันเวลาอันมากมายนับไม่ถ้วนของกระดานไม้ดำแล้ว ตนก็เป็นเพียงร่างแรกเกิดของมันเท่านั้น อาจไม่ใช่แม้แต่ทารกด้วยซ้ำ

ดังนั้นการคิดจะควบคุมกระดานไม้ดำจึงยากลำบากอย่างยิ่ง

เพราะฉะนั้น…สิ่งสำคัญที่สุดตรงหน้าของเขาในตอนนี้ ไม่ใช่แค่ควบคุมกระดานไม้ดำ แต่เป็นการป้องกันการยึดครองของตะขาบสีโลหิตอย่างไร เขาคิดไปคิดมา อย่างเดียวที่ทำได้ก็คือยกระดับการบำเพ็ญ!

มีเพียงตัวเขาแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้นจึงจะจัดการทุกอย่างได้

“ระดับดารานิรันดร์ไม่ใช่เรื่องยากลำบากสำหรับข้าแล้ว ถึงขั้นที่ว่าหากข้าต้องการเลื่อนขั้นตอนนี้ก็สามารทำได้ทันที…แต่การเลื่อนขั้นเช่นนี้แม้จะไม่เลว แต่ก็ยังขาดอะไรอยู่นิดหน่อย” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ระดับดารานิรันดร์ที่เขาต้องการคือแสงเจิดจรัสของดวงดาวนับหมื่นที่คอยเชิดชูดารานิรันดร์ของตัวเขาเอง

คิดจะบรรลุถึงจุดนี้ เขาต้องมีดวงดาวมากกว่านี้!

ต้องเป็นดวงดาวแบบพิเศษด้วย!

“ยังต้องไปสักรอบ…ไปที่สุสานดวงดารา!” หลังจากหวังเป่าเล่อครุ่นคิด นัยน์ตาก็ฉายแววตัดสินใจได้ เขาส่งจิตเทพไปให้เซี่ยไห่หยางเพื่อแจ้งพิกัดดวงดาวแห่งหนึ่งทันที

พิกัดนี้ก็คือทางเข้าสุสานดวงดาราที่เขาเคยไปเมื่อตอนนั้น

เมื่อไปถึงที่นั่น ถึงไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องยืนยัน หวังเป่าเล่อก็เชื่อว่ากระดาษรูปมนุษย์ในสุสานดวงดาราจะสัมผัสถึงตัวเขาได้ สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะตอนที่หวังเป่าเล่อออกจากสหพันธรัฐครั้งนั้น เขาทิ้งเครื่องยืนยันไว้ที่เจ้าเยี่ยเหมิงไว้เป็นหนึ่งในรากฐานของสหพันธรัฐแล้ว

ตอนนี้เมื่อเขาแผ่จิตเทพออกไป เซี่ยไห่หยางก็รับคำสั่ง ไม่นาน กลุ่มเรือรบที่อยู่นอกดาวเคราะห์ชะตาก็เร่งเครื่องเสียงดังสนั่นแล้วตรงไปยังพิกัดที่หวังเป่าเล่อให้มา เสียงแผดร้องดังขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ ออกมาจากขอบเขตของดาราจักรชะตา

ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็ยังครุ่นคิดต่อ ครั้งนี้สิ่งที่เขาคิดอยู่ก็คือ…หลัว!

“ข้าชอบโลกวงที่สองนี้ มันเป็นของข้า…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ย้อนนึกถึงคำพูดของหลัว ยากจะจินตนาการว่าผู้ยิ่งใหญ่แววตาเย็นชาราวกับไร้สีหน้าไร้อารมณ์จะพูดคำว่า ‘ชอบ’ ออกมาได้

แต่ถึงอย่างนั้น ความทรงจำในสมองของเขาก็รับรู้ได้ชัดเจนว่าประโยคที่หลัวพูดออกมานี้เป็นความจริง

หวังเป่าเล่อเงียบงัน เพราะเขาคิดถึงบิดาของหวังอีอีและเรื่องเล่าเกี่ยวกับมาร ปีศาจ ครึ่งเทพครึ่งเซียนที่ซุนเต๋อเล่าออกมา บทสรุปของเรื่องนั้นคือการตัดนิ้วทุกนิ้วของหลัว ไปจนถึงทุกคนรวมพลังกันสังหารหลัว!

เรื่องราวเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าเกิดขึ้นหลังจากช่วงเวลาที่ตนเห็นในชาติแรก

“ยังมีผนึกของหลัวบนกระดานไม้ดำ แรกเริ่มเป็นผนึกทั่วไป จนกระทั่งเป็นผนึกหนึ่งดัชนี สุดท้ายก็ใช้แขนซ้ายมาผนึกโดยไม่เสียดาย…”

“เหตุใดเขาต้องทำเช่นนี้ เพราะหวาดกลัวกระดานไม้ดำ หรือว่า…เพื่อปกป้องโลกที่เขาชื่นชอบหรือ” หวังเป่าเล่อคิดไม่ออก แต่เขาก็คิดถึงประโยคสุดท้ายที่หลัวถามตัวเองว่ารู้หรือไม่ว่าความชื่นชอบเป็นความรู้สึกเช่นไร

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเงียบงันเข้าไปอีก และตอนนี้เอง เสียงของแม่นางน้อยก็ดังก้องอยู่ในหัวของหวังเป่าเล่อ

“เจ้าอ้วน เจ้าได้รับผลกรรมแล้ว ชอบทำตัวเป็นเจ้าของบ่อยๆ”

“ถ้าเจ้าชอบผีเสื้อ เจ้าว่าจะดูมันโบยบินเริงระบำอย่างอิสรเสรีหรือเปลี่ยนให้เป็นตัวอย่างแล้วนำไปติดบนสมุดดี”

จิตใจของหวังเป่าเล่อสั่นคลอน หลังจากได้ลิ้มรสคำพูดของแม่นางน้อย เขาก็เอ่ยเสียงเบา

“ล้วนไม่ดีทั้งสิ้น เพราะข้าไม่ชอบผีเสื้อ ข้าชอบเจ้า”

“เจ้าอ้วนบัดซบ ข้ากำลังคุยเรื่องจริงจังกับเจ้านะ!” แม่นางน้อยแค่นเสียงออกมา

“ข้าก็พูดเรื่องจริงจังนะ!” หวังเป่าเล่อกลอกตา กระแอมไอออกมาหนึ่งเสียง เขาพบว่าแม่นางน้อยคือสิ่งที่ปรับอารมณ์เขาได้ดีที่สุด สามารถทำให้เขาผ่อนคลายได้อย่างมาก แต่ขณะที่เขากำลังจะปรับสมองและผ่อนคลายอารมณ์ต่อนั้น กลุ่มเรือรบที่เขาอยู่ก็ออกมาจากดาราจักรชะตา…

ชั่วขณะที่ออกจากที่นั่น ความรู้สึกถึงอันตรายก็ปรากฏขึ้นเล็กๆ ในใจของหวังเป่าเล่อ ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังที่ไกลๆ และได้เห็น…ในจักรวาลอันไกลโพ้น บนสะเก็ดดาวที่ถูกสยบจนไม่อาจขยับเขยื้อนได้ก้อนหนึ่งมีชายวัยกลางคนสวมชุดดำนั่งขัดสมาธิกำลังกอดกระบี่ยาวเล่มหนึ่งเอาไว้

บนร่างของชายผู้นี้แผ่ความผันผวนอันแข็งแกร่งออกมา ตอนนี้กำลังลืมตาโพลง มองมาทางกลุ่มเรือรบที่หวังเป่าเล่ออยู่ แต่เขาคล้ายจะไม่รู้สึกถึงหวังเป่าเล่อ ดังนั้นที่มุมปากในตอนนี้จึงยังมีรอยยิ้มยกสูง ปากก็เอ่ยเสียงนิ่งสงบแฝงความเย่อหยิ่งออกมา

“หวังเป่าเล่อ ขอบคุณเจ้าที่รักษาหัวตัวเองไว้ให้ข้ามานานขนาดนี้ ตอนนี้เจ้าส่งมาให้ข้าได้แล้ว”

ผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว” แววตาของหวังเป่าเล่อเลื่อนลอยเล็กน้อย ผ่านไปนานเขาถึงค่อยมองไปยังประมุขกฎสวรรค์

“เจ็ดสิบเก้าวัน” แววตาของประมุขกฎสวรรค์ยากจะปกปิดความอ่อนล้า ขณะที่เลือดเจิ่งนอง กลิ่นอายบนร่างก็สั่นไหวไม่แน่นอน บวกกับใบหน้าซีดขาว ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่าการให้หวังเป่าเล่อตระหนักรู้ถึงอดีตชาติครั้งนี้กินพลังเขาไปมากเพียงใด

ผู้รับใช้เฒ่าของประมุขกฎสวรรค์ที่อยู่ด้านข้างอ่อนแรงยิ่งกว่า ตอนนี้เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นแล้วหลับตาลงบำเพ็ญตน เห็นได้ชัดว่าการอาศัยแค่ประมุขกฎสวรรค์ผู้เดียวไม่อาจทำให้หวังเป่าเล่อตกอยู่ในภวังค์ได้โดยสมบูรณ์ การระลึกอดีตชาติครั้งนี้พวกเขาสองคนต้องทุ่มพลังร่วมกัน

ยังมีสมุดแห่งโชคชะตานั่นอีก มันหรี่แสงลงจนถึงขีดสุด ดูแล้วไม่ได้สว่างไสวอย่างที่เคย กลายเป็นของธรรมดาสามัญ จำต้องใช้เวลานานมากจึงจะฟื้นฟูอย่างช้าๆ

แม้ว่า…การระลึกอดีตชาติเช่นนี้ เขาจะใช้เพียงสมุดแห่งโชคชะตาเป็นสื่อกลาง และใช้กำลังของตนเป็นแรงผลักดันแรกเริ่ม ดังนั้นส่วนใหญ่จึงเป็นพลังจากตัวของหวังเป่าเล่อเอง แต่ก็ยังทำให้เขาแทบจะประคองต่อไปไม่ไหว

อดีตชาติครั้งที่สองถึงครั้งที่เจ็ดสิบเก้ายังไม่เท่าไร แต่ชาติแรกนั้น…เพราะเกี่ยวพันกับการมีอยู่ของบางอย่างที่ไม่อาจคาดคิด ดังนั้นการที่มันยังดำเนินไปจนกระทั่งหวังเป่าเล่อตื่นขึ้นมาก็เป็นปาฏิหาริย์แล้ว

ทั้งหมดนี้ ถึงแม้หวังเป่าเล่อจะไม่รู้รายละเอียด แต่ก็เข้าใจได้พอประมาณ ชั่วขณะต่อมาดวงตาของเขาจึงแสดงความซาบซึ้งใจ เขาสูดลมหายใจแล้วยืดตัวขึ้น มองไปยังประมุขกฎสวรรค์ มองไปยังผู้รับใช้เฒ่าที่นั่งหลับตาอยู่ข้างๆ มองไปยังสมุดแห่งโชคชะตา ก่อนจะประสานหมัดคารวะสามครั้ง!

การคารวะสามครั้งนี้ไม่อาจแสดงความซาบซึ้งทั้งหมดของเขาได้ เพราะการระลึกอดีตชาติครั้งนี้ให้กำไรกับหวังเป่าเล่อมากเหลือเกิน ทำให้ความทรงจำทั้งหมดของเขาหลอมรวมเข้าด้วยกัน รับรู้อดีต รับรู้ปัจจุบัน และยิ่งรับรู้ถึงความจริงมากกว่าครึ่ง

สิ่งนี้ทำให้กลิ่นอายทั่วร่างของเขาเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิม แทบจะในชั่วขณะที่หวังเป่าเล่อหยัดตัวคำนับสามครั้ง พลังฝึกปรือบนร่างของเขาก็ผันผวนและระเบิดออก

การระลึกอดีตชาติทั้งหมดและการตกตะกอนทางวันเวลาแผ่ซ่านอยู่ในร่างของหวังเป่าเล่อในชั่วขณะนี้เอง ส่งเสริมให้การบำเพ็ญของเขาเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งทะลวงระดับดาวพระเคราะห์สูงสุดไปยัง…ระดับพิเศษที่ไม่เคยมีมาก่อนเลยก็ว่าได้!

สาเหตุที่บอกว่าพิเศษก็เพราะก่อนหน้าเขา ไม่เคยมีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์คนใดสามารถบรรลุถึงระดับสูงเช่นนี้มาก่อน ระดับสูงเช่นนี้ปรากฏอยู่บนเก้าดาวเคราะห์บรรพกาลของหวังเป่าเล่อและยิ่งปรากฏอยู่บนดาวเคราะห์เต๋าของเขาด้วย!

ดาวเคราะห์บรรพกาลส่งเสียงก้องกังวาน ขณะที่การรับรู้อดีตชาติหวนกลับมา เก้าดาวเคราะห์บรรพกาลและเก้ากฎเกณฑ์ก็บรรลุถึงระดับก้องกังวานทันที มันเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ท้ายที่สุดก็หยุดลงที่ระดับเก้าสู่เก้า!

ระดับเช่นนี้ใช้คำว่าดาวเคราะห์บรรพกาลมาอธิบายคงไม่เหมาะนัก พวกมัน…สมควรจะถูกเรียกว่า กึ่งดาวเคราะห์เต๋า!

การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เบิกเนตรหวังเป่าเล่อให้บรรลุถึงระดับที่ไม่มีใครเทียบได้ ทำให้พลังยุทธ์ของเขายกระดับจากระดับสูงสุดแบบเดิมเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง และการเปลี่ยนแปลงอันน่าตะลึงนี้ก็อยู่ที่ดาวเคราะห์เต๋าของเขา!

ดาวเคราะห์เต๋าดวงนั้น ตอนนี้ส่องสว่างเจิดจรัสอยู่ในดวงวิญญาณเทพของหวังเป่าเล่อ การเปลี่ยนแปลงที่แสดงให้เห็นชัดมากที่สุดก็คือขนาดของมิติ!

ดาวเคราะห์เต๋าดั้งเดิมนั้นถึงแม้ตำแหน่งของมันจะสูงอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นเพียงดาวพระเคราะห์เท่านั้น ทว่าตอนนี้…ถึงจะเป็นดาวพระเคราะห์เหมือนกัน แต่ขนาดของมันกลับใหญ่ยิ่งกว่าดารานิรันดร์ทั่วไปแล้ว!

อย่างน้อยดารานิรันดร์ทั้งหมดที่หวังเป่าเล่อเคยเห็นมาจนถึงตอนนี้ก็เทียบกับดาวเคราะห์เต๋าของตนดวงนี้ไม่ได้เลย พลังทั้งหมดที่แฝงอยู่ในภายในดาวพระเคราะห์ขนาดมหึมาเช่นนี้ ทำให้จิตใจของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้านเมื่อได้สัมผัสกับมัน

ถ้าหากเทียบการฝึกฝนดาวพระเคราะห์เป็นทะเลสาบผืนหนึ่ง หลังจากบรรลุถึงระดับดารานิรันดร์และเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพแล้ว น้ำในทะเลสาบจะกลายเป็นน้ำแข็ง และพลังยุทธ์ก็ทะลวงระดับเพราะเหตุนั้นด้วย เช่นนั้นหวังเป่าเล่อในตอนนี้ แม้จะยังอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ แต่น้ำในนั้นของเขาก็ไม่ใช่ทะเลสาบแล้ว แต่เป็น…มหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาลผืนหนึ่ง!

มหาสมุทรนี้กว้างใหญ่กว่าทะเลสาบของดารานิรันดร์ แม้คุณภาพจะไม่เท่ากัน แต่ความน่ากลัวด้านปริมาณก็ได้เสริมทั้งหมดแล้ว การปะทะกับมหาสมุทรกว้างใหญ่ แม้ว่าทะเลสาบน้ำแข็งจะแข็งแรง แต่ก็ต้องถูกทำลายล้างอย่างเลี่ยงไม่ได้!

แท้จริงแล้วตัวเขาแข็งแกร่งขนาดไหน หวังเป่าเล่อวิเคราะห์ได้ไม่ง่าย แต่เขารู้ว่า…การบำเพ็ญ ไม่ใช่ไม้ตายของเขา ไม้ตายของเขาคือความรู้เกี่ยวกับโลก และ…เงาของอดีตชาติ!

ดังนั้นถึงได้บอกว่าภายในโลกแผ่นหินของเขาคือระดับดาวพระเคราะห์ที่พิเศษที่สุดเท่าที่เคยมีมา!

และสิ่งที่ได้รับทั้งหมดนี้จะขาดการช่วยเหลือจากประมุขกฎสวรรค์ไม่ได้เลย ดังนั้นหลังจากคำนับสามครั้งแล้ว หวังเป่าเล่อก็เงยหน้ามองประมุขกฎสวรรค์ผู้อ่อนล้า แล้วเอ่ยเสียงเบา

“ขอบคุณ”

เขาไม่ได้ให้สัญญาอะไร แต่ประโยคขอบคุณจากก้นบึ้งหัวใจก็เพียงพอจะแสดงใจจริงของเขาได้แล้ว ประมุขกฎสวรรค์ย่อมเข้าใจ ใบหน้าจึงเผยรอยยิ้มบางออกมา

“รักษาตัวด้วย”

หวังเป่าเล่อพยักหน้า เขาเงยหน้ามองไปรอบๆ สัมผัสสวรรค์ของเขาแผ่ครอบคลุมดาวเคราะห์ชะตา หลังจากมองดูที่นี่อยู่พักหนึ่ง นัยน์ตาของเขาก็เผยความสนใจต่ออนาคต หลังจากคำนับให้ประมุขกฎสวรรค์อีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็ตัวสั่น คนทั้งคนกลายเป็นสายรุ้งยาวทอดไปยังท้องฟ้าแล้วระเบิดพุ่งไป!

เมื่อร่างของเขาพุ่งขึ้นฟ้า ก็มีเก้ากฎเกณฑ์เลือนรางจากกึ่งดาวเคราะห์เต๋าห้อมล้อมทันที ขณะเดียวกับที่รอบข้างเปลี่ยนแปลง ทั่วร่างของเขาส่องสว่างจากอิทธิพลของพลังดาวเคราะห์เต๋าอันกว้างใหญ่ไพศาล ความว่างเปล่าก่อตัวเป็นลวดลายปริศนามงคลสายแล้วสายเล่าอยู่ตรงหน้าเขา ทำให้เขาที่บินขึ้นไปบนฟ้าดูคล้ายเป็นจุดศูนย์กลางของท้องนภา

จนกระทั่งห่างไกลออกไปเรื่อยๆ แววตาของประมุขกฎสวรรค์ก็ฉายแววยินดี เอ่ยพึมพำเสียงเบากับตัวเอง

“อันที่จริง ควรเป็นข้าที่ต้องขอบคุณเจ้า เจ้าก็ทำให้ข้า…เข้าใจที่มาที่ไปของโลกใบนี้ด้วย”

ประโยคนี้บินขึ้นไปยังหวังเป่าเล่อบนท้องฟ้า เขาได้ยินเช่นกันจึงชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็เร่งความเร็วขึ้น ขณะที่พุ่งตรงไปยังจักรวาล สมองของเขาก็กำลังใคร่ครวญถึงปัญหาข้อหนึ่ง

“ข้า แท้จริงแล้วข้ามาจากที่ไหน…” ด้านหน้าของหวังเป่าเล่อมีวังน้ำวนที่นำไปสู่สถานที่ปริศนาในความทรงจำผุดขึ้นมา เขาอยากรู้มากจริงๆ ถึงขั้นมีความรู้สึกเลือนรางบางอย่างว่า สถานที่ปริศนาในวังน้ำวนคล้ายจะมีอะไรบางอย่างร้องเรียกหาตนอยู่ตลอด

ครู่ใหญ่ เมื่อบินมายังจักรวาลและมองเห็นเรือรบที่จอดทิ้งไว้ตรงนั้น หวังเป่าเล่อจึงระงับความคิดนี้ลงไป ร่างกายสั่นไหว แล้วตรงไปยังเรือรบที่อยู่ด้านหน้าสุดทันที

สัมผัสสวรรค์ของเขาเข้าปกคลุมโดยไม่สนใจการป้องกันของเรือรบ มองเห็นเซี่ยไห่หยางและพวกเฉินหานแล้ว ทั้งยังมองเห็นองครักษ์เต๋าระดับดารานิรันดร์เหล่านั้นจากดาราจักรไฟด้วย หลังจากนั้นประมาณไม่กี่อึดใจที่สัมผัสสวรรค์ของเขากวาดไป สีหน้าของแต่ละคนก็เปลี่ยนแปลงยกใหญ่

“นั่นใคร!” เสียงตะโกนดังเป็นทอดๆ ทันใดนั้นองครักษ์เต๋าดารานิรันดร์ที่คุ้มครองหวังเป่าเล่อและเซี่ยไห่หยาง และยังมีองครักษ์ที่ติดตามเฉินหานต่างก็รีบออกมาจากภายในเรือรบ พวกเขามองไปยังหวังเป่าเล่อที่มาถึงด้านนอกเรือรบราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

ดารานิรันดร์ทั้งหมดสามสิบกว่าคน ที่นี่นอกจากสองคนที่เป็นดารานิรันดร์ระดับอำพันแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นดารานิรันดร์ระดับทั่วไป ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ตอนนี้เมื่อดารานิรันดร์เหล่านี้ปรากฏตัวขึ้น พลานุภาพบนร่างและความผันผวนที่แผ่ออกมายังคงมีมหาศาล

ทว่าถึงแม้จะมีพลานุภาพมหาศาล แต่พวกเขากลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปทีละคนๆ แล้วจดจ้องไปยัง…เงาน่าสะพรึงที่พุ่งออกมาจากภายในดาวเคราะห์ชะตา ไอรีนโนเวล

สิ่งที่พวกเขาเห็นในสายตาไม่ใช่ร่างจริงของหวังเป่าเล่อ ราวกับว่าเป็นเพราะอุปสรรคทางปัญญาของทั้งสองฝ่าย ทำให้ดวงตาของพวกเขามองเห็นทุกอย่างของหวังเป่าเล่อได้ไม่ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอายหรือร่างกาย ก็ล้วนมองไม่ชัดทั้งนั้น

สิ่งที่มองเห็น…มีเพียงดวงดาราเลือนรางที่เหนือล้ำเกินกว่าดารานิรันดร์ไปแล้ว มันปรากฏตัวกะทันหันอยู่ด้านนอกดาวเคราะห์ชะตาด้วยพลานุภาพที่ทรงพลังอย่างที่สุด ก่อนจะเคลื่อนเข้ามาใกล้พวกเขาที่นี่

เห็นชัดว่ามันไม่ใช่ดารานิรันดร์ แต่เป็นดาวพระเคราะห์ ทว่าอานุภาพที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวกลับทำให้พวกเขาผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ล้วนตื่นตระหนกและตกตะลึง โดยเฉพาะเมื่อพวกเขามองเห็นว่าด้านนอกดวงดาวเลือนรางขนาดมหึมานี้กลับยังมีดวงดาวเก้าดวงล้อมรอบเหมือนกับดาวบริวาร ทำให้พลานุภาพของมันน่าสะพรึงขึ้นไปอีก นี่จึงทำให้ดารานิรันดร์เหล่านี้ต่างก็เริ่มแสดงพลังเทพออกมาตามสัญชาตญาณ

และตอนนี้ แววตาของเซี่ยไห่หยางและเฉินหานก็เผยความเคร่งเครียด โชคดีที่หวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นสภาพของตนในทันทีซึ่งคล้ายจะทำให้คนคุ้นเคยเหล่านี้ล้วนมองตนไม่ชัด ดังนั้นหลังจากร่างกายหยุดชะงักชั่วครู่ เขาก็เอ่ยออกมา

“ข้าเอง”

ขณะที่คำพูดของเขาดังก้อง ดาวเคราะห์เต๋าและกึ่งดาวเคราะห์เต๋าด้านนอกร่างกายของเขาก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็วจากการกดข่มโดยเจตนาของหวังเป่าเล่อ จนกระทั่งสุดท้ายก็ถูกเก็บเอาไว้ภายในร่างทั้งหมด ทั้งยังใช้ประโยชน์จากมายากลดั้งเดิมมาทำให้รูปลักษณ์ของตนหักเหแสงเข้าไปในสายตาของคนอื่นๆ เงาร่างของเขา…ในที่สุดก็ปรากฏขึ้นในสายตาของทุกคน

“นายน้อย!”

“อาจารย์อาเป่าเล่อ!”

“ท่านพ่อ!”

ผู้ฝึกตนดารานิรันดร์จากดาราจักรไฟ และยังมีเซี่ยไห่หยางกับเฉินหาน ตอนนี้แต่ละคนต่างเบิกตากว้าง เผยความไม่อยากเชื่อออกมา พวกเขามองจ้องไปยังหวังเป่าเล่อที่ปรากฏอยู่ในสายตาแน่นิ่ง

ถึงแม้จะรู้ว่าหวังเป่าเล่อกำลังทดสอบพลังฝึกปรืออยู่ในดาวเคราะห์ชะตา ได้ผลประโยชน์มากมาย และจะแสดงออกมายามงานเลี้ยงวันอวยพรฉลองอายุ แต่เมื่อเห็นดวงดาราไร้ที่สิ้นสุดเมื่อครู่กับตาตัวเองอย่างวันนี้ และสภาวะแปลกประหลาดที่คล้ายจะไม่อาจมองเห็นได้ชัดเช่นนั้น ในใจของพวกเขาก็เกิดคลื่นลูกใหญ่ซัดสาดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

……………………………………..

หวังเป่าเล่อเห็นกับตา บนพิภพไพศาลภายในร่างสัตว์อสูรยักษ์นั้น ขณะที่ผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนทำการสักการะอยู่ ก็มองเห็นได้จากตาเปล่าว่า รูปปั้นชายชราที่ตั้งอยู่กลางแผ่นดินใหญ่เปลี่ยนจากสถานะรูปปั้นกลายเป็นมีเลือดเนื้อ กระทั่งลืมตาขึ้นมาแล้ว

ขณะเดียวกัน ความรู้สึกใจสั่นรุนแรงยิ่งกว่าก็มาพร้อมกับเสียงดังก้องซึ่งทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นสะท้าน ทันใดนั้นเสียงอึกทึกก็แผ่กระจายออกมาจากจักรวาลทะเลแสงของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น!

“ความรู้สึกนี้…” หวังเป่าเล่อพลันหันหน้าไป ชั่วขณะนั้น สายตาของเขาก็มองผ่านอวกาศ ตัดจักรวาลทะเลแสง จนเห็นว่าตอนนี้ภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นมีผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนเช่นเดียวกัน แต่ละคนล้วนคุกเข่าสักการะอยู่ด้วย!

และสิ่งที่พวกเขากำลังสักการะอยู่ก็คือ…วังน้ำวนแห่งหนึ่ง!

เป็นวังน้ำวนที่ไม่รู้ว่าเชื่อมต่อกับสถานที่ใด ขณะที่ทุกคนพากันสักการะบูชา ภายใต้การจ้องมองของผู้อาวุโสไพศาลซึ่งแปลงมาจากรูปปั้นในร่างของสัตว์อสูรสีขาวซีด ภายในวังวนแห่งนั้น…ก็มีท่อนไม้ปรากฏขึ้น!

การปรากฏของท่อนไม้นี้ทำให้ผู้ฝึกตนทั้งหมดในจักรภพเต๋าไม่รู้สิ้นตื่นเต้นกันถ้วนหน้า ถึงขั้นมีความบ้าคลั่งฉายอยู่ในแววตา แม้แต่จอมพลังผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านั้นก็ยังมีอาการเช่นเดียวกัน พวกเขาคลุ้มคลั่งยิ่งกว่า!

มันคือท่อนไม้สีดำท่อนหนึ่ง ซึ่งคล้ายกับโลงศพไม้ดำโลงหนึ่งมากกว่า ตอนนี้มันยื่นยาวออกมาหนึ่งฉื่อครึ่งจากข้างในวังน้ำวน…แม้จะมีเพียงหนึ่งฉื่อครึ่ง แต่มันกลับสั่นสะเทือนไปทั้งพิภพไพศาลในทันที สัตว์อสูรยักษ์ไพศาลกู่ร้องออกมา ร่างกายกำลังจะพังทลาย ปรมาจารย์ไพศาลที่อยู่ข้างในก็ตัวสั่นเทิ้มแล้วกระอักเลือดออกมาด้วย

จากนั้น… โลงศพโลงนี้ก็ยื่นออกมาอีกหนึ่งฉื่อครึ่งจากภายในวังน้ำวน คราวนี้…สัตว์อสูรไพศาลพังทลายทันที เสียงคำรามน่าสะพรึงดังสะท้อนกึกก้องอยู่ในห้วงจักรวาล เผยให้เห็นพิภพไพศาลที่อยู่ภายใน และบนผืนพิภพในตอนนี้ ผู้ฝึกตนทั้งหมดก็พากันวิ่งออกมาจากเงาร่างที่กำลังจะพังพินาศไปพร้อมกันท่ามกลางเสียงกรีดร้องบ้าคลั่ง

ส่วนผู้ฝึกตนที่สักการะโลงศพโลงนี้อยู่ภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นก็เห็นชัดว่าไม่ได้ผ่อนคลายขึ้นเลย ถึงแม้พวกเขาจะยังคงคลุ้มคลั่ง แต่พลังชีวิตที่ยังเหลืออยู่ทั้งหมดล้วนลดลงไปครึ่งหนึ่ง ราวกับสูญสิ้นโอกาสรอดไปเสียเจ็ดส่วน เหมือนกับว่าพลังที่ค้ำจุนโลงศพไม้ดำนี้ก็คือชีวิตของพวกเขาเอง

ตอนนี้พวกเขามาถึงขีดจำกัดขั้นสุดแล้ว ยากจะประคองต่อไปได้อีก ทำได้เพียงให้โลงศพไม้ดำยื่นออกมาจากวังน้ำวนอีกสามฉื่อก็ต้องยุติการสักการะบูชาแล้ว

และเมื่อการสักการะสิ้นสุดลง วังน้ำวนนั่นหายไป แท่งไม้ก็ยาวเพียงสามฉื่อเท่านั้น เห็นได้ชัดว่ามันเป็นเพียงไม้ดำส่วนหนึ่งของทั้งโลง พริบตาที่วังน้ำวนสลายไปราวกับทำลายตัวเอง มันก็ตกลงมา

ขณะที่ตกลงมา อานุภาพทั้งหมดบนนั้นคล้ายจะเลือนหาย เหลือเพียงความไม่ยินยอมพร้อมใจที่ต้องออกมาจากสถานที่ปริศนาในวังน้ำวน จากนั้นก็ค่อยๆ กลายเป็นสิ่งของธรรมดาเรียบง่าย ราวกับท่อนไม้ทั่วไป

หวังเป่าเล่อยามนี้ตัวสั่นเทา เขาจับจ้องไม้ดำยาวสามฉื่อนั่นตาไม่กะพริบ จากนั้นเงยหน้าขึ้นช้าๆ มองไปยังจุดที่วังน้ำวนหายไป ในสมองราวกับมีอัสนีสวรรค์นับไม่ถ้วนผ่าลงมาพร้อมกัน ท่ามกลางเสียงดังก้องกัมปนาท ความไม่ยินยอมที่คล้ายจะฝังอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณก็ปรากฏขึ้นในจิตใจเช่นเดียวกัน

สงครามปะทุจนถึงขั้นท้ายสุดพร้อมกับความบ้าคลั่งของผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนในจักรพิภพเต๋าไพศาล ผู้ฝึกตนของทั้งสองฝ่ายเริ่มปะทะกันด้วยชีวิต สนามรบอันดุเดือดราวกับจานบดเนื้อขาดมหึมา กลิ้งไม่หยุด บดไม่หยุด…

ถึงขั้นที่ทุกคนในจักรพิภพเต๋าไพศาลตายสิ้นกันหมดแล้วเหลือเพียงซากปรักหักพัง ปรมาจารย์ไพศาลก็กลายเป็นรูปปั้นพังๆ หลังจากการล่มสลายพังทลายหลายต่อหลายครั้ง ส่วนหนึ่งของพิภพที่ลักษณะคล้ายกับภูตผีก็ลอยไปยังส่วนลึกของจักรวาล สงครามจึงถือว่าจบสิ้นลงแล้ว

แม้จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นจะชนะ แต่ก็มีสภาพย่ำแย่อย่างยิ่ง ทะเลแสงแตกเป็นเสี่ยงๆ จักรวาลที่อยู่ในนั้นก็ล้วนพังทลายเช่นกัน แต่ตราบใดที่ให้เวลาสักพัก จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่ดูดซับทรัพยากรของจักรพิภพเต๋าไพศาลแล้วจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิมได้แน่ แต่ขณะที่จะลองไล่ตามเศษพิภพชิ้นสุดท้ายของจักรพิภพไพศาลซึ่งหลบหนีไปได้จากเงื้อมมือของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น…คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะปรากฏตัว!

นั่นคือแสงสายหนึ่ง แสงที่มีสีดำแดงล้อมรอบแล้วก่อตัวกลายเป็นสีม่วง อีกทั้งแสงนั่นยังริบหรี่อยู่ตลอด!

แสงสายนี้อยู่ที่ส่วนลึกของจักรวาลอันไกลโพ้น มันบินเข้ามาโดยพลัน รวดเร็วยิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด แม้ว่าหวังเป่าเล่อยังคงจมอยู่กับความอาลัยอาวรณ์ของท่อนไม้ดำ แต่เขาก็ยังมองเห็นว่าภายในแสงสายนี้มีเงาร่างเลือนรางอยู่ด้วย

ท่าทางแบบนี้…นั่นคือซุนเต๋อ!

ชั่วพริบตา ทันทีที่หวังเป่าเล่อมองเห็นชัดเจน แสงสายนั้นก็พุ่งตรงมายังภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่เพิ่งจะได้รับชัยชนะอนาถมาและเกือบจะแตกสลายอยู่รอมร่อ แสงสายนี้คล้ายมีพิกัดแม่นยำ ในชั่วพริบตาที่จักรพิภพกำลังสลายตัวอย่างรวดเร็วและใกล้จะหายไปจนหมดนั้น มันก็…ร่วงลงไปที่โลงศพไม้ดำสามฉื่อทันที!

ช่วงเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว มันจมลงไปในไม้ดำแล้วสลายหายไป

จิตใจของหวังเป่าเล่อสั่นสะเทือนรุนแรง เบื้องลึกของจักรวาล ณ จุดที่แสงสีม่วงสายนั้นปรากฏตัวขึ้น ตอนนี้เอง จักรวาลก็ถล่มลงมาทันที จากนั้นเงาร่างมหึมาร่างหนึ่งก้าวเดินออกมาจากภายในจักรวาลที่พังลง

เงาร่างนี้สูงใหญ่หาใดเปรียบ รูปร่างเลือนราง มองได้ไม่ชัดเจน ราวกับใบหน้าของมันคือจักรวาลผืนหนึ่ง เห็นเพียงแค่ดวงตาของเขาเท่านั้น ภายในดวงตานั่นเย็นชา ราวกับไม่มีร่องรอยผันผวนของอารมณ์ใดๆ

นอกจากนี้ สิ่งที่เด่นชัดที่สุดก็ยังมีสองแขนสองเขา ถึงแม้เขาจะมีรูปร่างเป็นมนุษย์ แต่แขนกลับยาวกว่าคนปกติมากราวกับสามารถแตะเข่าได้เมื่อยืนขึ้น!

เขายืนอยู่ตรงนั้น มองดูจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นแตกสลายไปอย่างเฉยเมยเหมือนกับมองดูรังมด กระทั่งสายตาตกอยู่ที่ไม้ดำยาวสามฉื่อ จากนั้นดวงตาที่นิ่งไม่ไหวติงก็หดเกร็งทันที!

ตอนนี้ในแววตาของเขามีความไม่เข้าใจ ความตกตะลึง และยิ่งมีความไม่อยากเชื่อฉายอยู่ ทำให้เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่เคลื่อนไหวไปพักใหญ่ สุดท้ายก็ยกมือขึ้น คล้ายจะคว้าจับไม้ดำที่อยู่ภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แต่หลังจากยกมือขึ้นมาแล้ว สายตาของเขาก็เผยความลังเล ก่อนค่อยๆ ปล่อยมือลง

เงียบงันอยู่นาน เขาก็ยกมือขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ได้เอื้อมจับ แต่สะบัดนิ้วไปทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ปากเอ่ยเสียงต่ำออกมา

“ผนึก!”

ทันทีที่เสียงเปล่งออกมา หวังเป่าเล่อก็มองเห็นระลอกคลื่นปรากฏขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียงทั่วทุกทิศภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่พังทลาย หลังจากระลอกคลื่นเหล่านี้มาบรรจบกันก็ราวกับก่อตัวเป็นฟองอากาศ ครอบคลุมจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นเอาไว้โดยสมบูรณ์ จากนั้นก็ค่อยๆ เลือนรางราวกับจมอยู่ในกาลเวลา ถูกปิดผนึกไว้ชั่วนิรันดร์

แต่เมื่อเงาร่างสูงใหญ่นั่นมองเห็นฟองอากาศปิดผนึกแล้วก็คล้ายยังไม่วางใจ เขายกมือซ้ายขึ้นมาอีกครั้ง แล้วชี้ลงไปอีกรอบ

“ด้วยหนึ่งดัชนี ณ หัตถ์ซ้ายของข้า จงผนึก!” นิ้วชี้ที่มือซ้ายของเขาขาดทันที ก่อนจะกลายเป็นแสงสีเทาสายหนึ่งพุ่งไปยังฟองอากาศโดยตรง หลังจากชั่วพริบตาที่มันหลั่งไหลเข้ามา ทั้งฟองอากาศก็ขุ่นมัวราวกับกลายเป็นก้อนดิน

แต่เงาร่างสูงใหญ่ยังไม่ได้จากไป เขายืนครุ่นคิดอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“ด้วยดัชนีที่สองของข้า…” ร่างสูงใหญ่ยกมือขึ้นครู่หนึ่ง หลังจากเงียบไปนาน แววตาของเขาก็ฉายแววเด็ดขาดราวกับตัดสินใจได้ เขายกมือซ้ายขึ้น แล้วค่อยๆ เปล่งเสียงต่ำราวกับจะสะท้อนอยู่หลายปีไม่รู้จบ

“ด้วยหัตถ์ซ้ายของข้า จงผนึก!” ทันทีที่เอ่ยออกมา ทั้งแขนซ้ายของเขาก็หายไปโดยพลัน มันกลายเป็นแสงสีเทาที่ราวกับสามารถปกคลุมทั่วทั้งจักรวาลได้ ห่อหุ้มจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่ถูกผนึกได้โดยสมบูรณ์ ทำให้ทันทีที่แสงสีเทาหล่อหลอมเข้าไป รูปทรงก้อนดินก็เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งแสงสีเทาทั้งหมดในจักรวาลล้วนควบแน่นจนหมดแล้ว ก้อนดินก็กลายเป็น…ศิลาขนาดยักษ์!

ภายในใจของหวังเป่าเล่อก่อเกิดคลื่นลูกยักษ์ขึ้น เขามองดูพลังกดดันสะเทือนฟ้าดินที่แผ่ออกมาจากศิลายักษ์ซึ่งจมลงไปในจักรวาลช้าๆ จมลงไปอย่างต่อเนื่อง ร่วงลงไปไม่หยุด ราวกับถูกฝังอยู่ในห้วงลึกไร้ที่สิ้นสุด

ส่วนเงาร่างสูงใหญ่ที่เสียแขนซ้ายไปก็มองดูศิลายักษ์ค่อยๆ ถูกฝังหาย ในแววตาเขาเผยความอ้างว้างล้ำลึกออกมา เขาค่อยๆ หันกายแล้วเดินไปจากจักรวาล แต่ขณะที่เงาร่างของเขาสลายไปในจักรวาลอย่างช้าๆ ทันใดนั้นข้างหูของหวังเป่าเล่อก็ได้ยิน…เสียงทุ้มต่ำของเขาดังขึ้น

“ข้าชอบจักรวาลวงที่สอง มันเป็นของข้า”

“เจ้ารู้ไหม….ความชอบมันเป็นความรู้สึกอย่างไร”

เงาร่างสูงใหญ่เอ่ยเพียงสองประโยคนี้ก็สลายหายไปช้าๆ ทั่วทั้งจักรวาลเหลือเพียงหวังเป่าเล่อ เขายืนอยู่ตรงนั้น มองดูจุดที่ศิลายักษ์จมลงไป แล้วมองไปทิศทางที่หลัวเดินจากไปไกลๆ เงียบงันอยู่เนิ่นนาน จึงค่อยเอ่ยพึมพำกับตนเอง

“ที่แท้แล้ว…ข้ามาจากไหน”

ขณะที่เสียงพึมพำของเขาดังก้อง จักรวาลที่อยู่ในดวงตาของเขาก็ค่อยๆ พร่าเลือน กระทั่ง…หายวับไปจนหมด แล้วแทนที่ด้วยดาวเคราะห์ชะตา สมุดแห่งโชคชะตา และร่างอ่อนล้าของประมุขกฎสวรรค์เบื้องหน้าของเขา

“ข้าคิดว่าเจ้าจะกลับมาไม่ได้เสียแล้ว”

……………

เสียงชรานี้ คล้ายกับได้ถึงขีดสุดแล้ว ราวกับผู้อ่อนแรงใช้พลังเฮือกสุดท้ายออกมา ผ่านจักรวาลที่ไม่สิ้นสุด ทะลุผ่านกาลเวลายาวนาน ดำดิ่งอยู่ท่ามกลางการเวียนว่าย สะท้อนก้องอยู่ในความว่างเปล่าที่มืดมิด ก่อนจะแผ่กระจายอยู่ข้างหูหวังเป่าเล่อ

ดูเหมือนว่าจะสัมผัสถึงจิตวิญญาณของเขา ทำให้จิตสำนึกของหวังเป่าเล่อปรากฏความผันผวน ในความผันผวนนี้ยังคงอ่อนแรง แต่ด้วยเสียงที่แว่วมา ความผันผวนในจิตสำนึกเขา ก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งสุดท้าย หวังเป่าเล่อสะดุ้งทั้งร่าง จิตสำนึกของเขาตื่นฟื้น ดวงตาของเขา…

ลืมขึ้นแล้ว

สิ่งที่เห็นไม่ใช่ดาวชะตา และไม่ใช่สมุดแห่งโชคชะตา ไม่มีประมุขกฎสวรรค์ แต่เป็นท้องนภาผืนหนึ่ง

แสงดาวพร่างพราย ดวงดารานับไม่ถ้วน ยังมีที่ดูเหมือนจะไกลจนสุดสายตา ไม่รู้กี่ปีที่ดวงดารานับไม่ถ้วนตกสู่ที่นี่รวมตัวกันเป็นสาย…กลายเป็นแม่น้ำที่เต็มไปด้วยดวงดารา

ทุกสิ่งดูเหมือนไม่มีสิ่งใดอัศจรรย์ แม้ว่ามันจะงดงาม แต่ภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ตอนที่หวังเป่าเล่อควบไปในท้องฟ้า ก็เคยเห็นท้องฟ้าเช่นเดียวกัน

แต่…คล้ายกับมีบางสิ่งที่แตกต่าง ท้องฟ้าผืนนี้ แม้จะมีเมฆครึ้ม แต่ก็กว้างใหญ่ไพศาล ทุกสรรพสิ่งเผยให้เห็นความปรวนแปรที่ไม่อาจกล่าวได้ชัดเจน ราวกับเมื่อเห็นท้องฟ้า ก่อเกิดความรู้สึกยิ่งใหญ่ล่วงเลยไปชั่วนิจนิรันดร์ ร่างหดเล็กราวผงธุลีจนไม่อยู่ในสายตา

หวังเป่าเล่อเฝ้ามองทั้งหมดนี้ นัยน์ตาแฝงความงงงัน ภายใต้เสียงสะท้อนนั้นจิตสำนึกของเขาได้ตื่นขึ้นแล้ว แต่ความทรงจำยังไม่ปรากฏขึ้นทั้งหมด เขาจำได้เพียงได้ระลึกชาติของตนด้วยความช่วยเหลือของประมุขกฎสวรรค์ ดูเหมือนกระบวนการทั้งหมดก่อนตนจะเข้าไปเป็นแค่ชั่วขณะ ในชั่วอึดใจก็ลืมตาตื่น และสิ่งที่เห็นก็คือท้องฟ้าผืนนี้

ในขณะที่หวังเป่าเล่องงงัน ทันใดนั้นความทรงจำที่เวียนว่ายทั้งเจ็ดสิบแปดชาติก่อนหน้า ก็ได้ปรากฏภายในใจของเขา ความทรงจำแต่ละชาติราวกับอสนีบาตระเบิดก้องอยู่ภายในจิตใจ จากนั้นก็กลายเป็นข้อมูลและภาพมากมาย ท่วมท้นอยู่ภายในใจเขา

ซ้ำแล้วซ้ำเล่า…จนกระทั่่งครบทั้งเจ็ดสิบแปดชาติ หลังจากที่ปรากฏทั้งหมดแล้ว ร่างทั้งร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้ม สีหน้าเจ็บปวด ความเจ็บปวดนี้ไม่ได้มาจากอารมณ์ แต่การหลอมรวมของความทรงจำทั้งหมดโดยฉับพลัน ทำให้จิตใจของเขาคล้ายกับโดนระเบิด และสมองถูกฉีกเป็นชิ้นๆ

“ซุนเต๋อ!”

“ซุนเต๋อ!”

“ซุนเต๋อ!!!” หวังเป่าเล่อตะโกนร้องเรียกชื่อนี้ซ้ำๆ ผู้เดียวที่ปรากฏอยู่ในความทรงจำทั้งเจ็ดสิบแปดชาติ

ในเจ็ดสิบแปดชาตินี้ กล่าวให้แน่ชัดก็คือ นอกจากตัวหวังเป่าเล่อแล้ว ก็มีเพียงซุนเต๋อผู้เดียว เป็นเขาที่เปลี่ยนไปชาติแล้วชาติเล่า ประสบกับชีวิตที่แตกต่างของซุนเต๋อไม่หยุดหย่อน ราวกับแสวงหาทิศทาง แสวงหาโอกาส

“ด้วยสัญชาตญาณ ให้โอกาสซากวิญญาณฟื้นตื่น…” หวังเป่าเล่อแตะไปยังคิ้วที่กระตุก ดวงตาพลันปรากฏเส้นเลือดขึ้น เพราะเกิดความทรงจำมากมาย แต่เมื่อเขาหลอมรวมความทรงจำทั้งหมด ดูดซับและเผาผลาญ สติสัมปชัญญะของเขาฟื้นคืนทีละน้อย ดวงตาก็ค่อยๆ หรี่ลง ภายในส่องแสงเจิดจ้า

ดูเหมือนจะเข้าใจทุกสิ่งอย่างถ่องแท้แล้ว

ซุนเต๋อที่เป็นซากวิญญาณแห่งบรรพกาล เริ่มจากชาติที่สอง ก็พยายามจะให้ตนเองรู้ตื่น แต่ที่น่าเสียดายก็คือ จนถึงชาติที่เจ็ดสิบเก้า ซากวิญญาณไม่ได้รอคอยให้โอกาสมาถึง แม้รอกระทั่งหวังอีอีและบิดามาถึงแล้ว แต่ซากวิญญาณนี้ สุดท้ายก็ยังไม่ได้ตื่นขึ้น สูญสลายไปชั่วนิจนิรันดร์

และการเวียนว่ายเปลี่ยนชาติของซุนเต๋อ ก็สิ้นสุดลงด้วยเหตุนี้

โลกในกาลต่อมา บางทีอาจตกอยู่ในความมืดมิด จึงไม่มีชีวิตหลงเหลืออยู่ กลายเป็นความเงียบสงัดในนพภูมิ แต่ทั้งหมดนี้เปลี่ยนไปแล้ว ด้วยอาการบาดเจ็บของหวังอีอี และด้วยการมาถึงของสองพ่อลูก

ดังนั้นชาติที่แปดสิบของจักรวาลนี้ หวังเป่าเล่อยืมสัมผัสของสวี่อินหลิง มองเห็นฟองอากาศของมิติมายาฟองแล้วฟองเล่า ความทรงจำในเวลานี้ นั่นอาจจะเป็นการถือกำเนิดแรกของชีวิต

และตำรา รูปภาพ ผีเสื้อ ฯลฯ ล้วนเป็นกระบวนการแห่งชีวิตที่เติบโตและสมบูรณ์ในตัวเอง…

“สิบภพหลังของจักรวาลนี้ เป็นหวังอีอีและบิดาสร้างออกมา…” หวังเป่าเล่อพึมพำ เขาคิดถึงประโยคหนึ่ง เหนือศีรษะมีเทพเทวา เวลานี้เขาเข้าใจแล้ว

หวังเป่าเล่อรู้เป้าหมายของบิดาหวังอีอี นั่นก็คือรักษาหวังอีอี และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ทั้งสองพ่อลูก สามารถสร้างสรรพชีวิตในจักรวาล คิดขึ้นมาแล้ว…ในชาติที่เจ็ดสิบเก้า ก่อนที่ซุนเต๋อจะสิ้นชีวิต ก็ได้กล่าวประโยคที่เกี่ยวโยงนั้น

เขารับคำบิดาของหวังอีอี ที่จะไปช่วยบุตรสาวของเขา

ในยามนี้ตัวหวังเป่าเล่อเอง ด้วยการทะลวงผ่านการหลอมรวมความทรงจำตั้งแต่ชาติที่สองจนถึงชาติที่แปดสิบเก้า เขารู้ดีว่าท้ายที่สุด เขายังคงเป็นหนี้บุญคุณซุนเต๋อ

ด้วยเพราะหากไม่มีซุนเต๋อในภพที่เจ็ดสิบเก้า ขณะที่ซากวิญญาณสูญสลาย วิชาที่สืบทอดของเขา เช่นนั้นบางทีตนคงยังเป็นแผ่นไม้สีดำล่องลอยอยู่ในท้องฟ้า แม้จะเกิดสัญชาตญาณ ก็จะไม่มีชีวิตที่แท้จริง

ยังมีที่มาของตะขาบสีโลหิต หวังเป่าเล่อก็คาดเดาไว้สองคำตอบ แม้เขาจะไม่รู้คำตอบที่ถูกต้อง แต่ความจริง…ก็อยู่ในนั้น

“ความเป็นไปได้อย่างแรก ก็คือเมื่อหลัวและกู่แย่งชิงตำแหน่งเซียน ด้วยชีวิตที่นับไม่ถ้วน ด้วยเหตุและผล จึงพัวพันต่อสู้ไม่จบสิ้น สุดท้ายหลัวได้รับชัยชนะ แต่กู่กลับหลบหนีซากวิญญาณ ทำให้ตำแหน่งเซียนของหลัวไม่สมบูรณ์ มีจุดอ่อน แต่เขาไม่รู้ ความเป็นจริงภายในซากวิญญาณของเขา…ยังคงมีใยแห่งจิตสำนึกของหลัว และจิตสำนึกนี้…ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด สุดท้ายก็เกิดปัญญาวิญญาณ” ไอรีนโนเวล

“ส่วนความเป็นไปได้อย่างที่สอง…” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ขณะเดียวกันก็แยกแยะความคิด เขานึกถึงชาติที่สอง ระหว่างการปราบปรามที่ไม่ชอบด้วยสัญชาตญาณ เสียงคำรามที่ส่งออกมาจากเส้นใยโลหิตนั้น

“เจ้ากล้าปราบเซียน…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ในการคาดเดาของเขา ประโยคนี้เป็นต้นกำเนิดของความเป็นไปได้อย่างที่สอง

“ความเป็นไปได้อย่างที่สองคือ…เส้นใยสีโลหิตนั่น ไม่ใช่ใยจิตสำนึกของหลัว ร่างที่แท้จริงคือ…หลัวและกู่ ที่ช่วงชิงตำแหน่งเซียนหนึ่งรอบเต็มๆ บางทีตำแหน่งเซียนเองมีดวงวิญญาณ หรือบางทีอาจไม่มีดวงวิญญาณ แต่ในที่นี้ ภายใต้สภาพแวดล้อมและเงื่อนไขที่พิเศษอย่างหนึ่ง มันได้กำเนิดปัญญาวิญญาณ ส่วนตะขาบที่ข้าเห็น ไม่ใช่รูปร่างที่แท้จริงของมัน นั่นเป็นเพียงสัญลักษณ์!”

หวังเป่าเล่อนิ่งงัน การคาดเดาทั้งสองแบบ อันใดอันหนึ่งอาจถูกต้องและสมเหตุสมผล ดังนั้นหวังเป่าเล่อไม่มีทางตัดสินใจด้วยตนเอง และในขณะที่เขาไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนอยู่ ทันใดนั้น…เขาก็สัมผัสได้ถึงความหวาดผวา เมื่อเงยหน้าขึ้น ก็เห็นทะเลแสงในท้องฟ้าที่ขุ่นมัวนี้แต่ไกล

แสงนี้ครอบคลุมอย่างไร้ขอบเขต แฝงไปด้วยอำนาจแรงกล้า เสียงกรีดร้องแผ่มาจากท้องฟ้าอันไกลโพ้น เมื่อมองให้ถี่ถ้วน ก็จะเห็นว่าภายในทะเลแสง คืออีกหนึ่งจักรวาล

จักรวาลนี้ใหญ่ไร้ขีดจำกัด เต็มไปด้วยดวงดารานับไม่ถ้วน และยังมีความผันผวนที่น่าตระหนกระเบิดอยู่ภายใน เมื่อหวังเป่าเล่อหันหลังกลับมา เขาก็เห็นท้องฟ้าที่อยู่เบื้องหลัง มีอสูรยักษ์ซีดขาวไปทั้งร่างตนหนึ่ง ซึ่งจำแลงออกมาระหว่างร้องคำราม

อสูรยักษ์นี้ราวกับปลาวาฬ ขนาดใกล้เคียงกับลูกแสงนั้น หากมองให้ชัดเจนแล้ว ก็จะเห็นผืนแผ่นดินอยู่ในร่างมัน ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนเหาะออกมาจากภายในแผ่นดิน กลายเป็นเลือดเนื้อของร่างอสูรยักษ์นี้ ทำให้อสูรยักษ์พร้อมไปด้วยพลังสะเทือนทวยเทพ

ชั่วอึดใจ เมื่ออสูรยักษ์ปะทะทะเลแสง สงครามที่แผ่ขยายไปทั่วทั้งจักรวาล ได้ปะทุขึ้นอย่างรุนแรงต่อหน้าหวังเป่าเล่อ และในเวลานี้ เขาก็ตระหนักถึงตนเองได้ในทันที ในชาติที่หนึ่ง เขาได้เห็นถึงสิ่งใด

นั่นคือจุดเริ่มต้นของวงแหวนที่สอง สงครามแห่งการทำลายล้างระหว่างจักรวาลที่หนึ่งและจักรวาลที่สองถือกำเนิด นั่นคือ…เกิดการต่อสู้ระหว่างจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นและจักรพิภพไพศาลก่อนหน้านั้น ชั่วกัปชั่วกัลป์

หวังเป่าเล่อที่อยู่ในสนามรบ เฝ้าดูสงครามระหว่างสองจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ เขาเห็นความตายนับไม่ถ้วน เห็นความบ้าคลั่งและโศกนาฏกรรม และเห็นกระบวนการทั้งหมดของสงครามครั้งนี้

ไม่ว่าจะเป็นจักรพิภพไพศาลหรือจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น พลังขั้นสุดยอดที่สำแดงออกมาทั้งหมด แข็งแกร่งถึงขนาดทำให้ภายในใจของหวังเป่าเล่อสั่นไหวอย่างรุนแรง ด้วยเพราะเขาคิดถึงความลับที่บิดาของหวังอีอีบอกแก่ซากวิญญาณแห่งกู่

โลกนี้ กลับไม่ใช่โลกที่แท้จริง

ประโยคนั้น ยามนี้สะท้อนอยู่ภายในใจของหวังเป่าเล่อ เขาเห็นถึงข้อเสียเปรียบภายในร่างของอสูรยักษ์ซีดขาว บนแผ่นดินผืนนั้น ผู้ฝึกตนทั้งหมดดูเหมือนต่างคุกเข่าลงคำนับ พวกเขากำลังทำพิธีกรรมสังเวย

และวัตถุที่พวกเขาทำพิธีกรรมสังเวยอยู่ ก็คือรูปสลักรูปหนึ่ง

รูปสลักของผู้เฒ่า

นั่นคือ…ภายในจักรพิภพไพศาล ผู้ฝึกตนคนแรกถือกำเนิด และเป็นดวงจิตที่สูงที่สุดในพิภพไพศาลทั้งหมด เขาไม่มีชื่อ มีเพียงสมญานาม

ปรมาจารย์ไพศาล

……………………………………..

ซุนเต๋อในชาติที่สาม ทำให้ข้ารู้สึกสนใจมาก แม้เขาจะเล่านิทานเรื่องการแย่งตำแหน่งเซียนของหลัวและกู่ กลายเป็นตัวละครยอดนิยมในเมืองเล็กๆ แต่กลับบังเอิญถูกผู้ฝึกตนที่ผ่านทางมาชื่นชอบ และเข้าสู่สำนักตั้งแต่นั้น เริ่มต้นชีวิตลุ่มๆ ดอนๆ แต่มีความหมาย

ในชีวิตแห่งการฝึกตนนี้ ข้าเฝ้ามองเขาที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติ ดูเหมือนมีระลอกคลื่นแฝงอยู่ในจิตวิญญาณ ผุดขึ้นอยู่ตลอดทาง กระตุ้นโลกนี้ไม่หยุด ทำให้ซุนเต๋อที่อยู่ท่ามกลางการผุดขึ้นนี้ลำบากลำบนยิ่งนัก

ความสำคัญอยู่ที่…สำนักของเขา จากที่ข้าเห็น ข้าเห็นซุนเต๋อในชาตินี้ เข้าคำนับทั้งหมด 97 สำนัก และแต่ละสำนัก…หลังจากที่เขาเข้าไปได้ไม่นาน ก็จะถูกทำลายโดยศัตรูผู้แข็งแกร่ง ระยะเวลานานที่สุดคือสามเดือน และสั้นที่สุดคือเพียงวันเดียว

จนในที่สุด ซุนเต๋อซึ่งมีระดับการฝึกตนไม่สูงมาก ก็กลายเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในโลกการฝึกตน กระทั่งถูกปีศาจลักพาตัวไปหลายครั้ง หลังจากที่เขาเปลี่ยนรูปลักษณ์และเพิ่มการควบคุม ก็ถูกส่งไปสำนักฝ่ายศัตรูอย่างรวดเร็ว..และกลายเป็นสุดยอดสมบัติไว้ใช้งาน!

ในระหว่างขั้นตอนนี้ ปรากฏว่ามีหลายครั้งที่เกิดความผิดพลาด สำนักที่ลักพาเขาไปควบคุมชะตากรรมสวรรค์ของเขาไม่ได้ เช่นนั้นสำนักจึงถูกทำลาย

แต่โดยรวมแล้ว ชื่อเสียงของซุนเต๋อ โด่งดังในโลกการฝึกตนอย่างแท้จริง โดยเฉพาะในเรื่องที่ชะตากรรมสวรรค์ของเขา นำพาโชคร้ายมาให้กับสำนัก ทันทีที่เขาเข้าสำนัก ที่แห่งนั้นก็จะเผชิญกับภัยพิบัติ ซุนเต๋อจึงกลายเป็นผู้ที่ทุกคนต่างกล่าวขวัญถึง สำนักน้อยใหญ่ต่างเฝ้าระแวดระวังกันทั้งคืน

ใช่ว่าไม่มีผู้คิดที่จะทำลายเขา แต่… สิ่งที่น่าหวาดหวั่นก็คือผู้ที่ลงมือทุกคน ล้วนตกตายด้วยอุบัติเหตุประหลาด ก่อนลงมือ

เรื่องที่กล่าวขานกันมากที่สุดครั้งหนึ่ง คือผู้เยี่ยมยุทธ์ผู้หนึ่งที่เตรียมการมาแล้วเป็นเวลานาน ถึงขั้นแสดงอาวุธเวทหลายอย่างที่สามารถต้านทานเคราะห์ร้าย ยังไม่ทันได้ลงมือ จู่ๆ ก็ถูกดาวตกนับพันดวงที่ทิ้งลงมาจากฟ้า โจมตีลงมาโดยตรงจนบาดเจ็บสาหัส

ส่วนผู้อื่นที่ต้องการทำร้ายเขา ล้วนมีวิธีการตายพิสดาร อย่างเช่น บางคนถูกฟ้าผ่าตาย บางคนเพิ่งจะพุ่งเข้ามา กลับล้มศีรษะกระแทกลงไปตาย

เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการว่าในฐานะผู้ฝึกตน แค่สะดุดล้มนั่นก็ช่างปะไร แต่ถึงกับกระแทกจนตาย…เรื่องนี้ ซุนเต๋อเองก็ยังตระหนก

ข้าเองก็ตกใจเช่นกัน

ครั้นเป็นเช่นนี้ เวลาล่วงผ่าน ซุนเต๋อจึงค่อยๆ จบชีวิตอันแสนวิเศษของเขา และเมื่อเขาตายอย่างธรรมชาติด้วยความชรา ข้าก็แว่วเสียงโห่ร้องยินดีจากคนทั่วหล้า แม้ว่าเสียงโห่ร้องยินดีนั้นจะเป็นชั่วขณะเดียว ก่อนโลกจะสลายเป็นเถ้าลอยไปตามลมหายใจสุดท้ายของซุนเต๋อ กลายเป็นความว่างเปล่า

แต่ข้าพอใจนัก คอยเฝ้ามองอย่างมีรสชาติ แม้ข้าจะรับรู้ว่าการระลึกครั้งต่อไป ข้าคงลืมทุกสิ่ง แต่ข้าก็ยังตั้งตารอคอย

ในการรอคอยนั้น ข้าได้ยินเสียงชราก้องอยู่ข้างหู

“สอง”

คราวนี้ เสียงนี้อ่อนล้าลงมาก ราวกับต้องใช้ความพยายามยิ่ง จึงจะกล่าวคำนี้ออกมาได้ แต่ข้าไม่มีเวลาไตร่ตรองมากนัก จิตสำนึกของข้าถูกลากเข้าไปในความว่างเปล่าอันมืดมิดอีกครั้ง

“ข้าเป็นใคร…ข้าอยู่ที่ใด…” ข้าพึมพำ เอ่ยถามความว่างเปล่า ไร้คำตอบกลับ แต่ข้ามีความอดทน เพราะอีกไม่นาน… ข้าก็จะเห็นแสงสว่าง เห็นโลกเบื้องหน้าและเห็นซุนเต๋อ

นี่เป็นชาติที่สองของซุนเด๋อ

ชาตินี้ของเขา ใช้คำว่าสดใสมาบรรยายดูเหมือนจะยังไม่พอ หลังจากที่ข้าเฝ้ามองมาทั้งชีวิตของเขาแล้ว ก็สรุปได้ที่คำเดียว

“ปาฎิหาริย์!”

มีเพียงปาฏิหาริย์เท่านั้น ที่จะอธิบายชีวิตของซุนเต๋อในชาตินี้ได้ หากไม่ใช่ปาฏิหาริย์แล้วเหตุใดซุนเต๋อมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง จู่ๆ ก็เกิดมีฐานการฝึกตนที่สะเทือนฟ้าดินขึ้นภายในร่าง ทันทีที่เล่าเรื่องหลัวและกู่แย่งตำแหน่งเซียนจบ

ระดับความน่าสะพรึงกลัวของฐานการฝึกตนนี้ เป็นเพียงความคิดที่ทำให้ได้เห็น ไม่ว่าชีวิตจะอยู่ชนชั้นใด ต่างก็หวาดผวาจนดับสูญในทันที!

หากไม่ใช่ปาฏิหาริย์ เหตุใดอยู่ๆ ฐานการฝึกตนของเขาจึงปรากฏขึ้น หลังจากออกจากเมืองเล็กๆ แทบจะทุกวันที่เขาสามารถรับอาวุธเวทที่อยู่ต่อหน้าเขาได้ในทันที เพียงแค่คิดเท่านั้น ก็ดูเหมือนว่าหลายสิ่งจะเกิดขึ้นได้

ข้าเห็นด้วยตาตนเองว่า เมื่อเขาต้องการมีเนื้อคู่แห่งเต๋า วันเดียวกันนั้นก็มีผู้ฝึกตนสาวนับแสนปรากฏขึ้นอย่างลึกลับ และหลงรักเขาอย่างหัวปักหัวปำ…

ข้าเห็นด้วยตาตนเองว่า เมื่อเขาต้องการมีสหาย ในวันเดียวกันนั้นก็ปรากฏผู้ฝึกตนนับล้าน เหาะมาจากดวงดาวต่างๆ ครั้นเห็นเขาแล้วก็เกิดความกระตือรือร้น ลากไปคำนับร่วมสาบาน

ข้ายังได้เห็น เมื่อเขาพึมพำถามตนเองว่าเหตุใดจึงไม่มีศัตรู ตอนนั้นเองทั่วใต้หล้า ทั้งจักรวาล และทุกสรรพสิ่งก็เป็นศัตรูกับเขาจนถึงที่สุด ทันทีที่เห็นหน้าก็บ้าคลั่งไม่ขออยู่ร่วมฟ้าเดียวกัน

ชีวิตที่ไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้ ขอเพียงกล้าคิดก็สามารถเป็นจริงได้ ทำให้ข้าอิจฉาเสียเหลือเกิน

เป็นผลให้ข้าอดไม่ได้ที่จะแอบถ่ายทอดจิตสำนึก และนำทางความคิดของซุนเด๋อ จนกระทั่งในวันหนึ่ง อยู่ๆ เขาก็มีความคิดว่าอยากมีทายาท

ดังนั้น… ทั้งโลก ทั้งจักรวาล และสรรพสัตว์ในยามนี้ ต่างปรากฏกลิ่นไอและเลือดเนื้อที่เป็นของเขาภายในร่างกาย…ความน่ากลัวของเหตุการณ์นี้ เหนือจินตนาการ ซุนเต๋อจ้องมองต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าเขาเป็นเวลาเนิ่นนาน

ต้นไม้ต้นนี้ก็มีสายเลือดของเขาผันผวนอยู่ภายใน ไม่ว่าจะในความหมายใด ต้นไม้นี้ก็คือทายาทของเขา

ดูเหมือนเขาจะตกใจกับเหตุการณ์นี้ ซุนเต๋อก้มศีรษะลงและเริ่มมองมาที่ข้า และข้า… ก็ต้องเผยตัว

ร่างกายของข้าย่อมไม่ได้มีกลิ่นไอของสายเลือด ดังนั้นข้าจึงกลายเป็นจุดสนใจของเขา วันเวลาต่อจากนั้น ซุนเต๋อผู้ทำลายล้างทั้งจักรวาล ได้เริ่มต้นศึกษาข้า

ไม่ว่าจะเป็นเวทปราบปราม หรือสายฟ้าฟาด หรือว่าจะเป็นการฟาดฟันด้วยมีดดาบ การผนึกรวมทั้งการหลอมไหม้ ยังรวบรวมพลังของจักรวาลทั้งมวลเพื่อสังหาร ด้วยวิธีการต่างๆ ถูกเขาสำแดงออกมาอย่างต่อเนื่อง

มันทำให้ข้าไม่พอใจอย่างยิ่ง!

เห็นได้ชัดว่าซุนเต๋อไม่ประสบผล ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีใดหรือทำอะไร ทุกอย่างก็ยังคงไร้ผล และในกระบวนการนี้ ข้าเห็นภายในร่างของซุนเต๋อ ดูเหมือนว่าจะมีซากวิญญาณที่อ่อนแอกำลังหลับใหล วิญญาณนี้หลับใหลอยู่ตลอดเวลา และขณะที่กำลังจะสลาย มันต้องการโอกาสบางอย่าง เพื่อที่จะตื่นขึ้น ทว่าโอกาสนี้ ช่างยากเย็น

ภายในซากวิญญาณ ข้าเห็นเส้นใยสองเส้นสีดำและสีแดง เมื่อเทียบกับสีแดงแล้ว แม้สีดำจะกระจายไปในความว่างเปล่า และไม่รู้จะเชื่อมโยงกันที่ใด แต่กลับอ่อนแออย่างมาก หากข้าต้องการจะตัดขาด แค่ความคิดก็เพียงพอ

มันเป็นเหมือนคำสาปมากกว่า และข้าก็ไม่รู้ว่าตนรู้ได้อย่างไร

แต่สิ่งที่เตือนข้า ก็คือเส้นใยสีแดงนั่น มันไม่ใช่คำสาปอย่างแน่นอน และเส้นใยนี้ก็ไม่ได้รวมเข้ากับวิญญาณอย่างสมบูรณ์ แม้แต่ร่างของมัน ก็ดูเหมือนไม่สมบูรณ์แบบ และก็ไม่เหมือนผนึกกับดักที่มาจากด้านนอก เหมือนซากวิญญาณนี้พยายามเก็บเกี่ยว พยายามบังคับหลอมรวมเข้าภายในร่าง

บุคลิกสูงส่ง สูงส่ง!

นี่คือสิ่งใดกัน

ข้าไม่รู้ แต่ราวกับว่ารู้สึกคุ้นตา ข้าคิดว่าน่าจะเคยเห็นมาก่อน?

แต่ข้าเข้าใจกระจ่าง ในตอนที่ข้าเห็นเส้นใยนี้ ข้าไม่มีความสุขเอาเสียเลย เพราะบนเส้นใย ข้าสัมผัสได้ถึงความโลภ และมันอาจจะก่อเกิดพลังที่คุกคามข้าดังนั้นข้าจึงรู้สึกไม่มีความสุข และหลังจากไตร่ตรองแล้ว จึงกล่าวกับซุนเต๋อ

“เส้นใยนี้ จะถูกกำราบตลอดกาล!”

เกือบจะทันทีที่ข้ากล่าวมันออกไป เส้นใยสีแดงในซากวิญญาณภายในร่างซุนเต๋อก็สั่นไหวทันที มันบิดเป็นเกลียวอย่างรุนแรง มองไปคล้ายตะขาบตัวหนึ่ง จากนั้นจึงกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“เจ้ากล้าปราบเซียนหรือ!”

ท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเส้นใยสีโลหิตนี้ เวลานั้นทั่วใต้หล้าก็พังทลาย หลังจากแหลกสลาย กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วน ก็ม้วนกลับในทันที ก่อตัวเป็นวังวน ดูดกลืนทุกสิ่ง และจิตสำนึกของข้าก็คืนสู่ความว่างเปล่าอีกครั้ง ก่อนจะได้ยินเสียงชราแหบแห้งที่อ่อนระโหยโรยแรงส่งออกมาด้วยพลังทั้งหมด คล้ายกับได้มาถึงขีดสุดแล้ว

“หนึ่ง!”

………………………………………

โลกนี้เวียนว่ายมากี่ครั้งกันแน่

จักรวาลนี้เริ่มต้นใหม่กี่รอบแล้ว

ในการเวียนว่ายที่แตกต่าง การเริ่มต้นที่แตกต่าง แต่ละคนจะอยู่ในสถานะเช่นไร

ในโลกที่แตกต่าง ตายเกิดที่แตกต่าง วิญญาณแต่ละดวงจะอยู่ในสภาพเช่นไร

ขณะที่ยังไม่ระลึกชาติ หวังเป่าเล่อไม่เข้าใจทั้งหมดนี้ กระทั่งในความตระหนักรู้ก็ไม่มีข้อสงสัยเช่นนั้น แต่หลังจากระลึกชาติแล้ว เขาจึงเริ่มครุ่นคิด

เขาต้องการรู้คำตอบ เขาไม่ต้องการมีอยู่มาก่อน แต่เขาต้องการมีอยู่

เขาต้องการรู้ข้อเท็จจริง เขาไม่ต้องการเป็นเพียงสิ่งหนึ่งในจักรวาลที่แตกต่าง และก้อนอิฐในการเวียนว่ายกลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ต้องการปรากฏในตำแหน่งที่ต่างกันครั้งแล้วครั้งเล่า เขาต้องการอยู่อย่างรู้แจ้ง

การระลึกถึงสิบชาติก่อน ทำให้เขารู้อะไรมากมาย แต่ความเป็นมา ยังมีความสงสัยอยู่ลึกๆ และความสงสัยทั้งหมดนี้ เวลานี้ไม่สำคัญอีกแล้ว เพราะด้วยการดำดิ่งของดวงวิญญาณเทพ และด้วยสมุดแห่งโชคชะตาที่อยู่เบื้องหลังประมุขกฎสวรรค์ การพลิกกลับแต่ละหน้า อดีตชาติของหวังเป่าเล่อ ก็ปรากฏต่อหน้าเขาไปทีละหน้า แต่…จิตสำนึกของเขา ก็ค่อยๆ ลืมเลือนตัวตน กลายเป็นความผุดผ่อง จนกระทั่งเได้ยินเสียงของประมุขกฎสวรรค์

“เจ็ดสิบเก้า…”

……

“ข้าเป็นใคร… ข้าอยู่ที่ใด…” ในความว่างเปล่าอันมืดมิด ข้าได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างหู

คล้ายกับส่งมาจากที่ไกลแสนไกล และคล้ายกับมันดังก้องอยู่ข้างกายข้า ข้าไม่รู้ว่าแท้จริงเสียงนี้มาจากไหน ไม่รู้ว่าเสียงนั้นเหตุใดจึงถามสองประโยคนี้

เสียงนั้นก้องกังวานไปอย่างไร้ขอบเขต ราวกับจะดังอยู่ชั่วนิรันดร์ แต่ข้ากลับไม่ได้ยินคำตอบรับใดๆ ดูเหมือนจะไม่มีผู้สนใจเสียงนี้ และข้าก็ไม่รู้จะกล่าวเช่นไร ดังนั้นอย่างเนิบช้า ภายในความว่างเปล่าอันแสนมืดมิด ราวกับจะมีเพียงเสียงนี้เท่านั้น

ไม่มีร่องรอยการไหลผ่านใดๆ ของกาลเวลา ในความว่างเปล่านี้

บางที อาจเป็นเพราะเสียงนี้ ที่ทำให้ข้าเริ่มคิดว่า ข้า…คือผู้ใด ข้าอยู่ที่ไหน

ข้าครุ่นคิดอยู่นานก็ยังไร้คำตอบ และยิ่งคิดก็ยิ่งงงงัน จนครู่หนึ่ง ข้าก็ส่งเสียงออกไป

“ข้าคือผู้ใด…ข้าอยู่ที่ไหน…”

เสียงนี้ฟังดูคุ้นมาก หลังจากถามออกไป ข้ารอสักพัก ก็ได้ยินเสียงตอบกลับ

ข้าจึงได้เข้าใจ แท้จริงแล้วเสียงที่ข้าได้ยินในตอนแรก ก็คือเสียงของข้าเอง และข้า…ดูเหมือนจะเอ่ยถามประโยคนี้ ซ้ำแล้วซ้ำเล่ามานานนับหลายปี

การค้นพบนี้ ทำให้อารมณ์ของข้าแปรปรวน ข้าไม่รู้ว่าจะเรียกความแปรปรวนนี้เช่นไร ดังนั้นข้าจึงคิดต่อไป กระทั่งผ่านไปนานแสนนาน ข้าก็คิดขึ้นมาได้คำหนึ่ง

ความสุข!

ใช่สิ อารมณ์นี้ควรเรียกว่าความสุข ข้ามีความสุขมาก เพราะข้าพบที่มาของเสียง แต่ข้าจะรู้จักคำว่าความสุขนี้ได้เช่นไรกันเล่า..

ข้าสับสน ดังนั้นจึงได้คิดต่อไป แต่คราวนี้ ข้ายังไม่ทันคิดถึงคำตอบ ความว่างเปล่าที่มืดมิดไม่ได้อยู่ในสายตา ฉับพลัน…ก็ปรากฏแสงสว่างขึ้นในทันที!

แสงนี้ดูเหมือนจะส่องมาจากโลกภายนอก สะท้อนในความว่างเปล่าทั้งหมด แล้วก็… ไม่เคยจางหายไป ความว่างเปล่าทั้งหมด ในเวลานั้นพลันเกิดการเปลี่ยนแปลง ข้าเห็นนิ้วหนึ่ง มันรวมตัวออกมาอย่างรวดเร็ว กลายเป็นมือข้างหนึ่ง

ดูเหมือนมันจะคว้ามือของข้าไว้ จากนั้นข้าก็เห็นแขน ร่างกาย และร่างทั้งร่าง ปรากฏออกมาต่อหน้าข้า นั่นเป็นชายหนุ่ม เขาหลับตาอยู่ ยังไม่ได้ลืมตาขึ้น

ข้าประหลาดใจมาก เพราะข้ารู้สึกคุ้นเคยกับชายหนุ่มผู้นี้ แต่ก็แปลกหน้าเช่นกัน หากแต่ความว่างเปล่านี้ไม่ปล่อยให้ข้าครุ่นคิดต่อไป หลังจากปรากฏคนแรกแล้ว ระลอกคลื่นก็สะท้อนกลับมารอบด้าน

เมื่อคลื่นกระจายออกไป ข้าเห็นโต๊ะตัวหนึ่ง และเห็นโต๊ะเก้าอี้อื่นๆ ปรากฏขึ้นรอบด้าน จนกระทั่งโรงน้ำชาปรากฏขึ้นตรงหน้าข้า จากนั้นระลอกคลื่นก็แผ่กระจายอีกครั้ง ด้านนอกโรงน้ำชาปรากฏสิ่งก่อสร้างอื่นๆ แม่น้ำ ต้นไม้ และในไม่ช้าก็เป็นเมืองเล็กๆ ราวกับถูกวาดขึ้น

จากนั้น… ระลอกคลื่นกระจายเป็นวงกว้าง ข้าเห็นแผ่นดิน เห็นท้องฟ้า เห็นเมืองอื่นๆ และเห็นดวงดาราเปลี่ยนจากความพร่ามัวสู่ความเป็นจริง

ยังไม่จบ ข้ายังเห็นท้องฟ้าที่ด้านนอกดวงดารานี้ ท่ามกลางการสะท้อนของระลอกคลื่น ปรากฏดวงดาราอื่นมากมาย ขณะปรากฏการณ์อย่างต่อเนื่องนี้ หนี่งจักรวาล หนึ่งพิภพ ก็ได้ปรากฏอยู่ต่อหน้าข้า

จากนั้น ชีวิตก็ปรากฏขึ้นแล้ว

สรรพสัตว์ทั้งหลาย สิ่งมีชีวิตทั้งหมด ต่างก็ดูเหมือนกับไม่เคยมีมาก่อน ปรากฏอยู่ในทุกตำแหน่งที่พวกเขาต้องการในขณะนี้ มีชายมีหญิง มีเด็กมีแก่ ต่างสายพันธุ์ ต่างกลิ่นไอ แต่กลับยังคงนิ่งเงียบไม่ไหวติง

และชายหนุ่มที่จับข้าเอาไว้ เขาคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะ ไม่ขยับเขยื้อน แต่กลับจับข้าไว้แน่น ราวกับจะไม่ยอมปล่อยมือ แม้ชีวิตจะหาไม่

แต่ข้าไม่ได้ชอบเขามากนัก

ขณะที่ข้าครุ่นคิดว่าเหตุใดข้าจึงไม่ชอบเขา ทันใดนั้นดูเหมือนทั้งโลกจะถูกเติมพลังและความมีชีวิตชีวา ในยามนั้น…สรรพสัตว์ก็เคลื่อนไหว

ลมปรากฏขึ้นแล้ว แสงแดดอบอุ่นแล้ว ใบไม้สั่นไหวแล้ว แม่น้ำไหลแล้ว ต่างส่งเสียงร้องและคำรามไปทั่วทุกมุมโลก

ภายในโรงน้ำชา อยู่ๆ ก็ส่งเสียงครึกครื้น เวลานี้ชายหนุ่มที่จับข้าไว้แน่น ร่างกายของเขาค่อยๆ ขยับ ก่อนจะลืมตาและเงยหน้าขึ้น

ทันทีที่เขาเงยหน้า ข้าก็เห็นดวงตาของเขา

ข้าเห็นตนเองสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา

นั่นคือแผ่นไม้สีดำชิ้นหนึ่ง แผ่นไม้สีดำที่เขาจับแน่นไว้ในมือ จากนั้น…ข้าถูกยกขึ้นและเคาะอยู่บนโต๊ะ ส่งสียงดังคมชัด

ภายใต้เสียงนี้ โลกเบื้องหน้าข้าเริ่มดำเนินต่อไป ข้าเห็นชีวิตนี้ที่เรียกว่าซุนเต๋อ เขากลายเป็นนักเล่านิทานที่น่าจับตามองที่สุดในเมืองนี้ แต่งงานกับบุตรสาวของครอบครัวใหญ่ สืบทอดมรดก และมั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ มีอาหารและเสื้อผ้าเพียงพอ ครองรักกับภรรยาไปตลอดชีวิต จนกระทั่งอายุ 89 ปี ก็จากไปด้วยรอยยิ้ม

และข้า ด้วยเพราะชนรุ่นหลังของเขาจะอย่างไรก็แกะนิ้วซุนเต๋อไม่ออก ดังนั้นจึงถูกฝังไปพร้อมกับเขา

แม้จะไม่ชอบเขา แต่ก็ต้องยอมรับว่า การแสดงตลอดชีวิตนี้ของเขาน่าสนใจเลยทีเดียว ส่วนการถูกฝังร่วมกับเขา ก็ไม่เป็นไร เพราะหลังจากที่เขาตาย โลกนี้ทั้งหมดก็สูญสลายกลายเป็นความมืดมิดอีกครั้ง และจิตสำนึกของข้า ก็กลับคืนสู่ความมืดมิดอีกครา

จนกระทั่งได้ยินเสียงหนึ่ง

“78”

การปรากฏของเสียงนี้ ดูเหมือนจะกลายเป็นวังวน กระชากข้าเข้าไป…ในความว่างเปล่าที่ไร้แสง ข้าคิดไม่ออกว่าตนคือใคร ข้าคิดไม่ออกสักอย่างเดียว ข้ากำลังใคร่ครวญปัญหาหนึ่งอยู่

“ข้าคือผู้ใด…ข้าอยู่ที่ไหน…”

เสียงของข้าสะท้อนก้อง จนข้าใคร่ครวญอยู่นาน ความว่างเปล่าปรากฏแสงแล้ว และโลกปรากฏอยู่ต่อหน้าข้า สิ่งแรกที่ปรากฏ คือนิ้วหนึ่งหลังจากที่แผ่ขยายไปอย่างช้าๆ ก่อรูปก่อร่างเป็นชายหนุ่ม เขาคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะ และจับข้าไว้แน่นในมือ

นามของเขาคือซุนเด๋อ ข้ารู้สึกคุ้นตา แต่ก็แปลกหน้า ชีวิตของเขาไม่เลว เป็นนักเล่านิทาน แม้จะไม่ได้แต่งกับสตรีในครอบครัวใหญ่ของเมืองเล็กๆ แต่เขากลับมาเมืองหลวง สอบได้เป็นขุนนาง แม้ในบั้นปลายชีวิตจะติดคุก แต่โดยรวมแล้ว ยังมีความโดดเด่น ส่วนข้า…ถูกเขาจับอยู่ในมือตลอดเวลา ไม่เคยห่างไปไหน

น่าเสียดายที่หลังจากการตายของเขา โลกก็สูญสลาย จากนั้นข้าก็ได้ยินเสียงหนึ่ง

“เจ็ดสิบเจ็ด”

เสียงนี้ลากข้ากลับไปสู่ความว่างเปล่า ข้าลืมสิ้นไปหมดทุกสิ่ง เห็นแสง เห็นโลก เห็นซุนเต๋อ

“เจ็ดสิบหก”

……

“สามสิบเอ็ด”

……

“สิบสี่”

……

“สาม”

ประสบการณ์ครั้งแล้วครั้งเล่า การหลงลืมครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่มีสติจนไม่มีสติ กระทั่งข้าไม่เปลกใจ เพราะข้าตระหนักแล้ว ข้ากำลังดำเนินชีวิต ผ่านชาตินี้ไป ก็จะลืมอีกชาติหนึ่ง และจะลืมความทรงจำพิเศษของอดีตและอนาคต…

น่าแปลก ข้ารู้สึกเช่นนี้ได้อย่างไร เหตุใดจึงรู้ว่ากำลังระลึกอยู่

หากไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ขอเพียงมีนิทานให้ดูก็พอ แม้ในนิทานนี้ล้วนเป็นชีวิตที่แตกต่างของซุนเต๋อ

ทว่า ข้าสงสัยนัก ครั้งแรกที่เราพบกัน จะปรากฏภาพที่แตกต่างหรือไม่

………………………………………………..

ใดๆ ในโลกย่อมมีเหตุและผล

สิ่งใดที่ได้รับมา ย่อมมีค่าตอบแทน แม้ค่าตอบแทนจะมากน้อยแตกต่างกันไป แต่สุดท้ายย่อมเป็นเช่นนี้ เหตุผลนี้หวังเป่าเล่อเข้าใจดี

ก็เหมือนกับคราวนี้ที่เขาอยู่ในงานวันฉลองอายุของประมุขกฎสวรรค์ ตั้งแต่เริ่มทดสอบ จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ สิ่งที่เขาได้รับมากมายมหาศาลนัก ระดับปฏิบัติจากดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง จนถึงชั้นมหาวัฏจักร

การสร้างสรรค์ที่เรียกได้ว่าเหนือธรรมชาติเช่นนี้ ย่อมต้องมีค่าตอบแทน และหวังเป่าเล่อพยายามพุ่งออกจากโลก เพื่อมองความเป็นจริงจากภายนอก เรื่องนี้ต้องมีเหตุและผลอันใหญ่หลวงที่คงอยู่

ดังนั้นในท้ายที่สุด แม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จไปเพียงกึ่งเดียว ที่เห็นความเป็นจริงส่วนที่อยู่นอกโลก แต่ก็เห็น…ตะขาบสีโลหิตที่คว่ำหน้าอยู่บนโลงศพแก้วผลึก

บางทีอาจเป็นการจ้องมองในครั้งนั้น ที่ก่อให้เกิดเหตุและผลระหว่างพวกมัน จึงเกิดจุดจบของเผ่าเทพอัคคีในชาติก่อน มือที่ปรากฏขึ้น และคำพูดประโยคนั้น

บางทีทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไร อดีตชาติของเขา…ล้วนเป็นเพราะการปรากฏตัวและการขัดจังหวะของตะขาบสีโลหิต มีตัวแปรบางอย่างที่ไม่อาจคาดเดาได้

แต่โดยรวมแล้ว ประโยชน์ที่เขาได้รับนั้นมหาศาล ดังนั้นค่าตอบแทนที่ตามมาย่อมสูงถึงระดับที่น่าตกใจ ความประมาทเพียงเล็กน้อยก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะร่วงหล่น

และหากเป็นเพียงแค่ร่วงหล่นก็ยังพอว่า แต่เห็นได้ชัดว่า…อีกฝ่ายต้องการครอบครองร่างตน

ดังนั้นงานวันฉลองอายุนี้จึงสิ้นสุดหลังจากที่หวังเป่าเล่อเห็นเบาะแสแห่งอนาคตจบแล้ว ครั้นผู้ฝึกตนจำนวนมากค่อยๆ จากไป ทว่าหวังเป่าเล่อ…ยังคงอยู่ที่นี่

เขายังอยู่รักษาตัวบนดาวชะตา

การต่อสู้ครอบครองร่างในเบาะแสแห่งอนาคต แม้หวังเป่าเล่อจะคลี่คลายวิกฤตตได้ แต่ค่าตอบแทนที่จ่ายไปก็น่าตกใจ นั่นคือ…บาดแผลจากห้าชาติ!

ชาติเผ่าเทพอัคคี ชาติผีดิบ ชาติทหารอาฆาต ชาติแห่งความชิงชังของมหาศิษย์แห่งเต๋า และชาติกวางขาวน้อย…เงาแห่งห้าชาตินี้ ล้วนมีอาการบาดเจ็บสาหัส หากไม่ได้รับการเยียวยา แล้วออกจากดาวชะตาไปทั้งอย่างนั้น จะไม่เป็นผลดีต่อหวังเป่าเล่อ

ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาต้องอยู่ต่อ นั่นก็คือ… อาจารย์ของเขาปรมาจารย์แห่งไฟ ได้แลกมาซึ่งโอกาส ด้วยการนำแก้วผลึกติดตัวเข้าสู่การระลึกชาติ เพื่อให้ขอบเขตโอกาสในการรอดชีวิตสูงขึ้น

แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ต้องการสิ่งนี้แล้ว แต่เขาก็ยังจำสิ่งที่ตนเอ่ยกับตะขาบสีโลหิตก่อนที่จะหายไปได้เป็นอย่างดี!

“ที่มาของข้า…” หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่งบนดาวชะตา หลังจากสูดหายใจแห่งฟ้าดิน เขาจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น มีประกายล้ำลึกอยู่ในแววตา

เขาได้ไตร่ตรองปัญหานี้มาก่อนหน้าแล้ว ตนปรากฏอยู่ในมือซุนเต๋อซากวิญญาณแห่งกู่ตั้งแต่เมื่อใด น่าเสียดายที่ไม่ว่าเขาจะระลึกเช่นไร ก็ล้วนไร้คำตอบ

หลังจากนั้น ใบหน้าของตะขาบสีโลหิต ก็กล่าวคำที่คล้ายคลึงกัน สงสัยที่มาของเขา นี่ทำให้หวังเป่าเล่อครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะอยู่ต่อ ทางหนึ่งเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ และอีกทางหนึ่งก็เพื่อวางแผน…หลังจากรักษาอาการบาดเจ็บแล้ว จะขอให้ประมุขกฎสวรรค์เปิดให้เขาได้ระลึกชาติอีกครั้งเพียงลำพัง

สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่สิบชาติที่แล้ว เขาต้องการจะดูว่าเขามีอยู่จริงในเจ็ดสิบเก้าชาติครั้งก่อน ในการเริ่มต้นใหม่ แปดสิบเก้าครั้งของจักรวาลนี้หรือไม่ รวมทั้ง…ดูความเป็นมาแต่แรกของตนด้วย!

นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะมีเพียงรู้ความเป็นมาของตนเอง ต่อไปหากพบกับวิกฤตครอบครองร่างที่มาจากตะขาบสีโลหิตก็จะสามารถรับมือได้ตรงประเด็น

หวังเป่าเล่อยอมรับว่า ด้วยสายตาของตะขาบสีโลหิต ได้ก่อวิกฤตรุนแรงบนร่างกายของเขา วิกฤตนี้ทำให้เขาวิตกกังวลอยู่บ้าง สิ่งที่เขากังวลคือระดับการฝึกตนของเขายังไม่เพียงพอ สิ่งที่เขากังวลคือต้องการที่จะแก้ไขทั้งหมดนี้

“เมื่อรู้ความเป็นมาของตนเอง ก็จะพบหนทาง พุ่งเป้าไปตามทิศทางนี้ เพื่อยกระดับตนเองอย่างต่อเนื่อง มีเพียงไปถึงระดับสูงสุดของการฝึกตนให้เร็วที่สุด จึงจะสามารถต่อต้านอันตรายจากการครอบครองร่างของตะขาบสีโลหิตนั้นได้!”

หวังเป่าเล่อเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วหลับตาลง เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของตนต่อไป

เซี่ยไห่หยางรวมทั้งผู้พิทักษ์ที่มาจากดาราจักรไฟเหล่านั้น ยังไม่ได้จากไปเช่นเดียวกัน เพียงแต่พวกเขาไม่อาจอยู่บนดาวชะตา ได้แต่รอหวังเป่าเล่อในเรือรบนอกดาวชะตาเท่านั้น

สำหรับหลี่หว่านเอ๋อร์ เดิมทีนางวางแผนจะรอหวังเป่าเล่อ แต่ในที่สุดนางก็เลือกที่จะจากไป ด้านสวี่อินหลิง หลังจากลังเลอยู่ครู่ใหญ่ก็จากไปเช่นเดียวกัน ไอรีนโนเวล

ทว่า เฉินหานยังคงอยู่ เขาติดตามเซี่ยไห่หยางอย่างขันแข็ง จึงรอหวังเป่าเล่ออยู่ในเรือรบ

ก็เป็นเช่นนี้ เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า จนกระทั่งสามเดือนต่อมา ด้วยปราณวิญญาณของตนภายในดาวชะตา รวมทั้งความช่วยเหลือของประมุขกฎสวรรค์ อาการบาดเจ็บของหวังเป่าเล่อก็ฟื้นตัวในที่สุด!

เมื่อฟื้นตัว ระดับการฝึกตนของเขาก็ยิ่งพัฒนาขึ้น จากนั้น…หวังเป่าเล่อก็มาที่ปากปล่องภูเขาไฟที่ประมุขกฎสวรรค์อยู่ เขานั่งลงบนเกาะที่ว่างเปล่าเบื้องหน้าประมุขกฎสวรรค์

ผู้รับใช้เฒ่ายืนอยู่อีกด้านหนึ่ง ดวงตาแฝงความงงงัน มองไปทางหวังเป่าเล่อเป็นครั้งคราว

แต่ไม่ว่าจะเป็นหวังเป่าเล่อหรือประมุขกฎสวรรค์ ดูเหมือนว่าจะไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ทั้งสองประสานสายตากัน

“อาการบาดเจ็บหายดีแล้ว ครานี้คงมาบอกลาใช่หรือไม่” ประมุขกฎสวรรค์เอ่ยเสียงเบา

“เป็นการบอกลา พร้อมกันนี้ก็มีคำร้องขอด้วย” แววตาหวังเป่าเล่อสดใส มองไปทางประมุขกฎสวรรค์

ราวกับกำลังเดาออกว่าหวังเป่าเล่อต้องการขออะไร ประมุขกฎสวรรค์จึงเงียบไป

หวังเป่าเล่อไม่ได้กล่าวต่อ และไม่ได้เร่งเร้า เขาเงียบไปเช่นเดียวกัน

เวลานี้ผู้รับใช้เฒ่าก็มีความอยากรู้อยู่บ้าง พยายามใคร่ครวญไปมา ก็คิดไม่ออกว่าคำร้องขอของหวังเป่าเล่อคือสิ่งใด ตอนนี้รู้สึกเพียงสองคนตรงหน้า ดูเหมือนว่าคำสนทนาของทั้งคู่ยากที่จะคาดเดาได้

ผ่านไปครู่ใหญ่ ประมุขกฎสวรรค์ก็ทอดถอนใจ สบตาหวังเป่าเล่อ กล่าวอย่างจริงจัง

“ชาตินี้ต่างจากชาติก่อนๆ แท้จริงแล้วเจ้าไม่จำเป็นต้องจากไป อยู่ที่นี่ปลอดภัยที่สุด”

“ข้าตัดสินใจแล้ว ขอให้ท่านประมุขยินยอมกับคำร้องขอของข้าด้วย” หวังเป่าเล่อลุกขึ้น ยกกำปั้นของเขาไปทางประมุขกฎสวรรค์ คำนับอย่างจริงใจ

ในดวงตาประมุขกฎสวรรค์สับสน มองไปทางหวังเป่าเล่อ ในความเลือนราง ดูเหมือนเขาจะเห็นกวางขาวน้อยตัวหนึ่ง เดินออกมาจากลานบ้านอย่างระแวดระวัง หลังจากเห็นตนเอง ก็มองด้วยความสงสัย

“ข้าไม่รับรองว่าเจ้าจะได้เห็นอดีตชาติทั้งหมด ได้แต่เพียงรวบรวมแสงแห่งการดึงทั้งหมดของสมุดแห่งโชคชะตา และส่งจิตสำนึกของเจ้ากลับไป สามารถเห็นได้เท่าไร สามารถเห็นสิ่งใด แล้วจะเกิดอันตรายหรือไม่ ข้าไม่รับรอง”

“ยังมีสิ่งที่ข้าต้องเตือนเจ้า อันตรายที่คงอยู่ในอดีตชาติ เป็นปริศนาของการตระหนักรู้อย่างหนึ่ง หรือกล่าวได้ว่า…หากเจ้าไม่เห็น บางทีอันตรายบางอย่างก็จะไม่ปรากฏขึ้นตลอดกาล มิฉะนั้น…เจ้าน่าจะเข้าใจ”

ครั้นได้ยินคำพูดนั้นหวังเป่าเล่อก็นิ่งเงียบ เขาย่อมเข้าใจ เพราะเขาก็ได้คิดไว้ก่อนแล้ว หากตนไม่พุ่งออกจากชาตินั้นโดยกำลัง และเห็นตะขาบสีโลหิต เช่นนั้นอีกฝ่ายก็จะไม่ปรากฏตัว

คำตอบคือสิ่งใด หวังเป่าเล่อไม่อาจรู้ได้

แต่เขารู้ว่า เขาเข้าใจถึงการมีอยู่ของความเสียใจมาก่อน และก็ไม่ต้องการให้ความไม่รู้และความสับสนมีอยู่

“ได้โปรดช่วยข้าด้วย!” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก และคำนับอีกครั้ง

ประมุขกฎสวรรค์หลับตาลง ครู่ต่อมาก็ลืมตาขึ้นทันที แล้วยกมือขวาขึ้นครู่หนึ่ง ทันใดนั้นแก้วผลึกที่เขามอบให้หวังเป่าเล่อก่อนหน้านั้น ก็บินออกไป ลอยอยู่ตรงหน้าพวกเขาทั้งสอง แก้วผลึกเปล่งแสงออกมา ชั่วพริบตาเดียว แสงนี้ก็ระเบิดขึ้น แล้วแผ่กระจายเป็นระลอกคลื่นออกไปรอบด้าน

ยิ่งกว่านั้นในการแพร่กระจายนี้ มือขวาของท่านประมุขกฎสวรรค์ผนึกมุทรา สมุดแห่งโชคชะตาด้านหลังเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง แสงที่อบอุ่นส่องประกายบนหน้าสมุด จากหลังไปหน้า…และเริ่มพลิกกลับ!

ทุกครั้งที่มีการพลิกหน้า ร่างของประมุขกฎสวรรค์จะสั่นไหว ด้านหวังเป่าเล่อวิญญาณเทพก็สั่นไหวไปตามหน้าสมุดที่ค่อยๆ พลิกย้อนเช่นกัน จนกระทั่งย้อนไปยังหน้าที่สิบเอ็ดหน้ากระดาษถูกเปิดออก เมื่อพลิกไป ร่างของหวังเป่าเล่อก็สั่นขึ้นทันที สติของเขาเริ่มดำดิ่งลง

มันจมลงเรื่อยๆ จนกระทั่งชั่วขณะหนึ่งก็หายไป

เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ดูเหมือนจะเหลือเพียงร่าง วิญญาณเทพของเขาไร้ร่องรอยเสาะหา ประมุขกฎสวรรค์ที่อยู่ตรงหน้าก็หลับตาลงเช่นกัน บนร่างส่องประกายเจิดจ้า ฟ้าดินรอบด้านและทั่วทั้งดาวชะตา คล้ายกำลังสั่นสะเทือน

ภายในใจผู้รับใช้เฒ่ายิ่งสั่นสะท้าน เขาเพิ่งจะเคยเห็นเหตุการณ์นี้เป็นครั้งแรก เวลานี้เฝ้ามองหวังเป่าเล่อ แล้วก็หันไปมองประมุขกฎสวรรค์ สุดท้ายสายตา..ก็ตกไปบนสมุดแห่งโชคชะตาที่อยู่ด้านหลังประมุขกฎสวรรค์

มองดูสมุดเล่มนี้ ค่อยๆ พลิกย้อนหน้า!

หน้าเจ็ดสิบเก้า หน้าเจ็ดสิบแปด หน้าเจ็ดสิบเจ็ด…

ทุกครั้งที่พลิกหน้ากระดาษ ประมุขกฎสวรรค์ ก็จะกล่าวขึ้น

“เจ็ดสิบเก้า”

“เจ็ดสิบแปด”

“เจ็ดสิบเจ็ด”

……………………

ทั้งหมดนี้ใช้คำพูดมาอธิบายก็ยังช้าไป แท้จริงแล้ว ทุกสิ่งในภาพเป็นเพียงชั่วขณะหนึ่งของการสอดสลับเท่านั้น

ในตอนที่เขาตัดสินใจจะเฝ้าดูเบาะแสที่ไม่เหมือนเดิมของตัวเองในอนาคต หวังเป่าเล่อก็ได้เตรียมพร้อมแล้ว เขาย่อมรู้ว่าจิตสำนึกของสมุดแห่งโชคชะตาถูกควบคุม และสิ่งที่มาจากอนาคตและเป็นจิตสำนึกของตะขาบสีโลหิต มันมาแล้ว เห็นได้ชัดว่ามาพร้อมกับเป้าหมายอันแข็งกล้า

เมื่อเป็นเช่นนี้ ตนจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ความจริงย่อมไม่แตกต่าง สิ่งเดียวที่แตกต่าง…ก็คืออีกฝ่ายมั่นใจเกินไปแล้ว ท่าทางที่ดูเหมือนจะอยู่เหนือทุกสิ่งนั้น นำโชคชะตาของตนเองมาเล่น ก็คือจุดอ่อนเดียวของฝ่ายตรงข้าม

เมื่อจับจุดอ่อนนี้ได้ บางทีอาจสามารถไขปมเรื่องนี้!

แต่หากแก้ไขไม่ได้…ผลที่ตามมาจะเป็นเช่นไร หวังเป่าเล่อไม่อยากจะคิด เวลามีไม่พอ จิตใจของเขาไม่ยินยอมกังวลให้กับความล้มเหลว และการปรากฏของกฎจันทร์ข้างแรม ก็ได้ช่วงชิง…โอกาสชีวิตสายหนึ่งไว้ให้เขา!

ถึงอย่างไร.. นี่มาจากมหาเต๋าของบิดาหวังอีอี ถึงอย่างไร มันไม่ใช่ขีดจำกัดพลังเทพของจักรวาลนี้ และถึงอย่างไร ในการระลึกชาตินี้ หวังเป่าเล่อเคยยืมการรับรู้ของผู้อื่นออกจากโลกมาแล้ว!

ดังนั้นแม้ว่าจันทร์ข้างแรมของเขาไม่อาจเทียบได้กับจันทร์คล้อย แต่ในจักรวาลนี้ เป็นการดำรงอยู่ของพลังเทพเหนือชั้น อันดับสูงสุด ดังนั้นเวลานี้ แม้ว่ามือข้างนั้นจะมีที่มาลึกลับ แต่ก็ยังคงส่งผลกระทบบ้าง

และในช่วงเวลาที่ได้รับผลกระทบ เงาผีดิบที่ปรากฏขึ้นบนร่างของหวังเป่าเล่อ คำรามอักษรแห่งแสงออกมา ทำให้รอบตัวเขาขณะนั้น ถูกครอบคลุมด้วยทะเลแสงอันกว้างใหญ่ทันที แทรกซึมความว่างเปล่ารอบๆ ชะล้างความพร่ามัวทั้งหมด รวมตัวกันเข้าไปเผชิญกับการมาของนิ้ว ปะทะเข้าไป

ดูเหมือนว่ามันจะล้างความมืดมิด ชะล้างทุกสิ่งภายในแสงที่ไร้ที่สิ้นสุดนี้ เพียงแต่ความหมายเต๋าที่แฝงอยู่กับมือ ได้เข้าสู่สภาวะความน่าสะพรึงกลัว ดังนั้นจึงเป็นเพียงความพยายามของชาติผีดิบ แม้ว่าชาตินั้น ได้นำตนเองบรรลุจนกลายเป็นทางแห่งแสงมาทั้งชีวิต แต่ก็ยังคงไม่เท่าที่เป็นอยู่

อย่างมากที่สุด มันก็แค่ทำให้มือนั้นโปร่งใสขึ้นเล็กน้อย แต่นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุด หลังจากแสงสว่าง ยอดทหารอาฆาตจากร่างหวังเป่าเล่อ ก็นำพลังทั้งหมดที่มีในชาตินี้ ราวกับจะปลุกมันขึ้นมา รวบรวมไว้ที่นี่ แล้วฟันฉับลงไป!

ด้วยการฟันนี้ ทะเลแสงพัดผันผวนอย่างรุนแรงและฉีกออก มือที่อยู่ในแสงนั้น ก็ถูกเงาแห่งทหารอาฆาตตัดไปที่ปลายนิ้วโดยตรง

ท่ามกลางเสียงก้องกังวาน ปลายนิ้วของมันสั่นเล็กน้อย และเกิดรอยแตก!

เกือบจะในเวลาเดียวกับที่รอยแตกปรากฏขึ้น ร่างมหาศิษย์แห่งเต๋าชั่ว ชาติที่จำแลงจากร่างหวังเป่าเล่อ ก่อให้เกิดพลังปราณมืดอันไร้ขอบเขต และระเบิดออกทันที พลังปราณมืดนี้คือความเกลียดชังในชาตินั้น!

ชิงชังสวรรค์ ชิงชังผืนแผ่นดิน ชิงชังทุกสรรพสิ่ง ชิงชังจักรวาลและท้องฟ้า ชิงชังขีดจำกัดของประกายตาทั้งหมด ชิงชังจุดจบของทุกสิ่งที่ตระหนักรู้!

แต่ภายในทะเลแห่งแสงสว่าง พลังปราณมืดเห็นได้ชัดว่าแฝงไปด้วยความเกลียดชัง ดูเหมือนมืดมนไม่สิ้นสุด ทว่า…ด้วยแสงของมัน ร่วมกับฝุ่นของมัน รัศมีและฝุ่นผงร่วมกัน ไม่แยกเป็นเอกเทศ ส่งเสียงร้องตรงไปที่ปลายนิ้วที่ถูกทหารแค้นฟันลง จนปรากฏรอยแยก!

ขณะที่ปะทะกัน ไม่มีเสียงก้องกังวาน แต่พลังปราณมืดทั้งหมด ล้วนแทรกซึมไปตามรอยแยก เข้าสู่ภายในมือข้างนี้ และระเบิดอย่างบ้าคลั่งภายในร่างของมัน!

ทำให้มือกึ่งโปร่งแสง อยู่ๆ ก็ขุ่นขึ้น และทั้งหมดนี้…ยังไม่สิ้นสุด การปรากฏตัวของเผ่าเทพอัคคี ท่ามกลางเสียงคำรามก้องฟ้านั้น ทะลวงออกไปอย่างบ้าคลั่ง ราวกับจะรวมร่างตนเองไว้ในหมัดนี้ นำความสงสัยต่อฟ้าดิน นำคำถามจริงเท็จต่อพิภพ นำความปวดหัวรุนแรงไม่รู้จบจนไม่อาจอธิบาย นำความบ้าคลั่ง การส่งไปของหมัด สอดคล้องกับพลังเทพของเงาลวงหลายชาติก่อนหน้า จึงทำให้เวลานี้รอยแตกของปลายนิ้วมือนั้นขยายใหญ่ขึ้นทันที!

ครอบคลุมทั้งนิ้ว ครอบคลุมไปครึ่งมือ!

ขณะที่รอยแตกแผ่กระจาย ร่างกวางขาวน้อยของหวังเป่าเล่อ พุ่งออกมากะทันหัน ด้วยความสับสนที่แปรเปลี่ยนจากความเพียรต่อฟ้าดิน ด้วยความเพียรที่แปรแปลี่ยนจากความสับสนต่อพิภพ ความหลงใหลของเจ้ากวางขาวน้อยในการพุ่งชนท้องฟ้าจนดับสลายในชาตินั้น เมื่อเผชิญกับนิ้ว ท่ามกลางเสียงร้องของกวาง พุ่งศีรษะชนเข้าไป…

อย่างดุเดือด!

เสียงร้องก้องนี้อยู่ภายในความว่างเปล่าที่ห่อหุ้มด้วยทะเลแห่งแสง ความแค้น ความเกลียดชัง และความบ้าคลั่ง ระเบิดก้องกังวาน เขากวางของเจ้ากวางขาวน้อยทลายลงทันที ร่างกายของมันแหลกละเอียด แต่มือข้างนั้น…มือที่เต็มไปด้วยรอยแตก ดูเหมือนจะมาถึงขีดสุดแล้ว มันเริ่มแตกออกเป็นเสี่ยงๆ!

แต่น่าเสียดาย…แค่เพียงแตกเป็นเสี่ยงๆ เท่านั้น ไม่ได้พังทลาย!

มือแยกออกกลายเป็นห้านิ้ว และฝ่ามือถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนต่อหน้าหวังเป่าเล่อ ท่ามกลางเสียงร้องที่แผ่กระจาย มันไม่ได้หายไปไหน หากแต่เป็นเช่นเดียวกับตะขาบที่ถูกตัดขาด ยังคงสามารถยืนหยัดสู้ได้ เพียรพยายามเข้ามาจากทุกสารทิศ มุ่งตรงเข้ามาหาหวังเป่าเล่ออีกครั้ง

ดวงตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายคมวาบ มือที่แยกเป็นแปดส่วนนี้พุ่งตรงเข้ามาหาตนเองทันที เขาหลับตาลง ทันใดนั้น แผ่นไม้สีดำแผ่นหนึ่ง…ก็ปรากฏออกมานอกร่างของเขา!

ทันทีที่ปรากฏ มันขยายออกอย่างไม่สิ้นสุด ชั่วอึดใจเดียวแผ่นไม้สีดำที่ถือได้ด้วยมือเดียวแต่เดิม ก็มีขนาดเท่าร่างคน และดูเหมือนโลงศพ!

ปรากฏอยู่ท่ามกลางความว่างเปล่า สีดำเข้ม กลิ่นอายของความผันแปร การปรากฏตัวของมัน ทำให้ความว่างเปล่าสั่นสะเทือน นิ้วมือและฝ่ามือที่กลายจากมือที่ใกล้เข้ามา ยามนี้ต่างก็สั่นไหว คล้ายเกิดความลังเล

ในขณะที่มันลังเลอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็หลอมรวมเข้ากับแผ่นไม้สีดำ ด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียว แผ่นไม้สีดำที่ราวกับโลงศพ พลันทะยานขึ้นฟ้า ดุจยักษ์ที่มองไม่เห็นตนหนึ่ง หยิบแผ่นไม้สีดำนี้ขึ้น หล่นลงไปทางมือที่กลายเป็นแปดส่วนนั้นทันที!

โครม!

เสียงใสหนึ่งสายที่ทำให้ความว่างเปล่าทั้งหมดพังทลายลงดังขึ้น สะท้อนก้องทันที ระลอกคลื่นที่ก่อตัว ยิ่งทำให้ความว่างเปล่าพังทลายรุนแรง กระทั่งสามารถมองเห็นรอบๆ ที่ดูคล้ายกับกระจกค่อยๆ แตกออกเป็นเสี่ยงๆ

ยังมีมือที่แยกออกเป็นแปดส่วนนั้น ก็แตกละเอียดไปด้วย!

ฝ่ามือทั้งสามส่วนแตกสลายในทันที และนิ้วทั้งสี่ก็ดูเหมือนจะยืนหยัดไม่ไหว สลายตามไป มีเพียงนิ้วชี้เท่านั้น ที่เวลานี้แม้จะเต็มไปด้วยรอยแตก แต่ยังคงสามารถยืนหยัดอยู่ได้ ท่ามกลางปลายนิ้วอันพร่ามัว ด้านบนปรากฏใบหน้าขึ้น คล้ายภาพลวงตา ปรากฏร่างตะขาบอย่างเลือนราง!

มันจ้องไปที่หวังเป่าเล่อด้วยดวงตาที่เป็นประกายเจิดจ้า ใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มที่ดูเหมือนตื่นเต้นยินดี ราวกับความพ่ายแพ้และพังทลายในคราวนี้ สำหรับมัน ไม่เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย แต่กลับเป็นเรื่องที่น่ายินดีเช่นนั้น

“ดีมาก ในที่สุดเจ้าก็ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง…”

“แม้ว่าสิ่งที่ปรากฏตอนนี้เป็นเพียงหนึ่งในความคิดนับไม่ถ้วนของข้า แต่สามารถทำให้มันสลายไปได้… เจ้าทำให้ข้าตื่นเต้นนัก”

“แผ่นไม้สีดำ…ข้ายิ่งสนใจเจ้าขึ้นเรื่อยๆ และที่ข้ายิ่งสงสัย…นั่นคือที่มาของเจ้า…”

“น่าสนใจ น่าสนใจมาก ข้ากำลังจะรู้สึกตัวแล้ว เมื่อตื่นขึ้นมา ก็จะเป็นเวลาที่ได้พบกันอีก และวันนั้น…ก็อยู่ไม่ไกลแล้ว”ในเสียงหัวเราะแปลกประหลาด นิ้วของตะขาบก็หายไปในความพร่ามัว และเกือบจะในเวลาเดียวกันกับที่มันหายไป ความว่างเปล่านี้ก็ถูกฉีกกระชากออกเป็นชิ้นๆ

เวลาต่อมา เมื่อหวังเป่าเล่อลืมตา เขาก็ยืนอยู่บนเกาะเหนือปากปล่องภูเขาไฟในดาวชะตา เบื้องหน้าคือประมุขกฎสวรรค์ รวมทั้ง…สมุดแห่งโชคชะตาใต้ฝ่ามือของเขาที่อ่อนแสงลงอย่างเห็นได้ชัด

หวังเป่าเล่อไม่สนใจเสียงสูดหายใจรอบๆ และสายตาตกตะลึงจากผู้รับใช้เฒ่า หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็ตรวจสมุดแห่งโชคชะตาก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าจิตสำนึกภายในสมุดแห่งโชคชะตา ตอนนี้ก็ได้ฟื้นขึ้นแล้ว จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น มองด้วยความสงสัย และมองไปทางประมุขกฎสวรรค์ด้วยสายตาเดียวกัน

“คราวนี้ข้าระลึกชาตินานเท่าไรแล้ว” หวังเป่าเล่อถามขึ้นหลังจากเงียบไป

“เจ็ดวันเต็มๆ!” ประมุขกฎสวรรค์ตอบเสียงแผ่ว

“เจ็ดวัน…” หวังเป่าเล่อพึมพำ จากนั้นร่างกายของเขาก็สัมผัสได้ถึงความอ่อนล้า เรี่ยวแรงหดหาย ต้องพยายามที่จะประคองตัวยืนให้มั่นคง

ทว่า ในดวงตาของเขากลับส่องประกาย เพราะหวังเป่าเล่อรู้ดีว่า คราวนี้เขาหลีกเลี่ยงวิกฤตได้แล้ว และเมื่อเขาล้มเหลวผลคืออาจถูกครอบครองร่าง แต่ว่ายังมีเรื่องของนายน้อยลำดับเก้า เซียนเต๋าเก้ารัฐ ซิงจิงจื่อและเซี่ยไห่หยางพวกเขาอีกสี่คน ในเบาะแสแห่งอนาคตที่พวกเขาเห็น นั่นไม่ใช่ตัวของเขาเลย!

……………………………

งานวันฉลองอายุของประมุขกฎสวรรค์ในครั้งนี้ ผู้ฝึกตนทั้งหมดที่มาร่วมงาน ต่างก็รู้สึกถึงการบุกเบิกรูปแบบใหม่

และที่มาของทั้งหมดก็เป็นเพราะ…หวังเป่าเล่อ!

สำหรับจุดของช่วงเวลานั้น คือหลังจากการทดสอบการรับรู้อดีตชาติ ไม่ว่าจะเป็นการปรากฏตัวครั้งแรกของหวังเป่าเล่อที่ทำร้ายผู้สืบทอดของจักรพรรดิสวรรค์ ทำให้เซียนแห่งเต๋าเก้ารัฐต้องทำร้ายตนเองเป็นการชดใช้ ยังมีกลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์ฉายเงาที่นั่งอยู่เบื้องหลังเขาซึ่งดูไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย ราวกับสมควรเป็นเช่นนี้ หรือแม้กระทั่งการตบเบาๆ ที่ทำให้ชายชุดคลุมดำสลายหายไป

ยังมีผู้อื่นที่มีท่าทีที่เปลี่ยนไปหลังจากได้เห็นภาพในอนาคต รวมทั้ง…หวังเป่าเล่อและการดูอนาคตของเขาที่ไม่เคยมีมาก่อน อีกอย่าง…ท่าทางของสมุดแห่งโชคชะตา ก็ดูมีความกระตือรือร้นแปลกประหลาด ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้งานวันฉลองอายุตราตรึงอยู่ในจิตวิญญาณของผู้คน

ผู้รับใช้เฒ่าของประมุขกฎสวรรค์ก็รู้สึกอย่างนั้นด้วยเช่นกัน เรื่องนี้ทำให้เขาตกตะลึง โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นท่าทางกระตือรือร้นที่มาพร้อมกับการประจบประแจงของสมุดแห่งโชคชะตา เขารู้สึกว่าศรัทธาของตนที่มีต่อสมุดแห่งโชคชะตานี้มานานนับหลายปีออกจะสั่นคลอนเล็กน้อย

“คิดไม่ถึงว่า ที่แท้เจ้าก็เป็นสมุดแห่งโชคชะตาเช่นนี้…” ในใจของผู้รับใช้เฒ่าอดคร่ำครวญไม่ได้ ด้วยระลอกคลื่นที่กระจายออก โลกตรงหน้าหวังเป่าเล่อก็ปรากฏการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง

บางทีอาจเป็นความแตกต่างระหว่างการถูกให้ทำและการทำเอง คราวนี้สมุดแห่งโชคชะตาจึงไม่ต้องมีคำสั่งของหวังเป่าเล่อ แม้ภาพจะไม่ชัดเจนนักในตอนแรก แต่ความพร่ามัวนี้ก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนสมุดแห่งโชคชะตากำลังบ้าคลั่ง ดังนั้นไม่นาน จึงปรากฏภาพอนาคตออกมาตรงหน้าหวังเป่าเล่ออย่างต่อเนื่อง…

แต่ละภาพมีความวิจิตรงดงามอย่างยิ่ง ละเอียดยิ่งขึ้น และชัดเจนแม้กระทั่งเส้นขนบนใบหน้า ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงพื้นหลังเลย ทั้งหมดชัดเจนจนถึงขีดสุด

สมุดแห่งโชคชะตายังกังวลว่าหวังเป่าเล่อจะไม่เข้าใจ… มันยังแสดงอักษรเหนือศีรษะผู้ที่ปรากฏอยู่ในภาพ อธิบายว่าคนผู้นี้คือผู้ใด ที่มา และระดับฝึกตนรวมทั้งอาวุธเวท…

นี่ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตกใจมากที่สุด สิ่งที่ทำให้เขาตกใจคือ การแนะนำตัวเหล่านี้ยังรวมถึงความสัมพันธ์ทางสายเลือดและความลับของอีกฝ่ายด้วย และหากหวังเป่าเล่อจ้องมองบุคคลหนึ่งเป็นเวลานาน นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นวิถีชีวิตของอีกฝ่าย!

เหตุการณ์นี้หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้คาดคิด จิตใจอดนึกถึงการดำรงอยู่แบบพิเศษภายในสหพันธรัฐ การดำรงอยู่แบบนี้ ความพากเพียรของมันสะเทือนฟ้าดิน และความกระตือรือร้นของมันสามารถละลายธารน้ำแข็งได้…

ดังนั้นในท่าทีที่แปลกประหลาด หวังเป่าเล่อจึงลองตรวจสอบ แต่เห็นได้ชัดว่าการตรวจสอบเช่นนี้ ตัวสมุดแห่งโชคชะตาเองก็มีการสูญเสียไปมาก ดังนั้นหลังจากดูไปบางส่วนแล้ว ก็เห็นว่าภาพเริ่มจะไม่สวยงามดังเดิม จนถึงขั้นพร่ามัวอยู่บ้าง หวังเป่าเล่อจึงหยุดตรวจวิถีชีวิตของผู้อื่น แต่พลิกดูภาพอนาคตของตนเองอย่างรวดเร็ว

เขาเห็นถึงกำเนิดสำนักแห่งความมืด เห็นการต่อสู้ที่ไม่สิ้นสุด เห็นระดับการฝึกตนของตนเองถึงระดับดารานิรันดร์ ถึงระดับจักรพิภพ แต่สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นช่วงเวลาหนึ่ง ไม่มีช่วงระหว่างขั้นตอนและความต่อเนื่อง และแม้แต่ภาพก็ปรากฏเป็นภาพลวงตา สิ่งนี้อธิบายได้ว่าช่วงเวลานี้ เป็นเพียงความเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่เท่านั้น

จนกระทั่งมีสองภาพ ที่ทำให้หวังเป่าเล่อจ้องอยู่เป็นเวลานาน ในภาพแรกมีอาจารย์ปรมาจารย์แห่งไฟ มีศิษย์พี่เฉินชิงจื่อ และยังมีตัวเขาเอง

ในภาพ ร่างของศิษย์พี่เฉินชิงจื่อและอาจารย์ปรมาจารย์แห่งไฟได้รับบาดเจ็บ แต่พวกเขากลับไม่สนใจ ดั้นด้นบุกสังหารไปข้างหน้า เพื่อช่วยตนที่ตกอยู่ในอันตราย สีหน้าของพวกเขาร้อนรน ทำให้ใจของหวังเป่าเล่อ เปี่ยมล้นไปด้วยความอบอุ่น

ภาพที่สอง ศิษย์พี่เฉินชิงจื่อมอบหินผลึกสีดำก้อนหนึ่งให้กับตน ในภาพเขากล่าวขึ้นประโยคหนึ่ง

“ศิษย์น้อง สำนักแห่งความมืด มอบให้เจ้าแล้ว”

ภาพเหตุการณ์สิ้นสุด หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบเชียบ มองความพร่ามัวรอบด้านแปรเปลี่ยนอีกครั้ง ภาพของศิษย์พี่เฉินชิงจื่อปรากฏขึ้นในใจ และเขาคิดถึงศิษย์พี่ขึ้นบ้างแล้ว

แม้เบาะแสในครั้งนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต แต่หวังเป่าเล่อก็พอใจแล้ว ขณะที่กำลังจะจากไป เขาพลันนึกถึงนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าและเซียนเต๋าเก้ารัฐหลังจากได้มองภาพอนาคต ท่าทางของทั้งสองที่มีต่อตนก็เปลี่ยนไป

“ขอข้าดูเบาะแสอนาคตของนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้า และเซียนเต๋าเก้ารัฐ”.ไอลีนโนเวล.

หากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่น สมุดแห่งโชคชะตาจะต้องปฏิเสธคำขอเช่นนี้ของหวังเป่าเล่ออย่างแน่นอน แต่ในตอนนี้…ทันทีที่หวังเป่าเล่อกล่าวจบ ก็ปรากฏภาพนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าขึ้นตรงหน้าเขา

ในภาพนั้น นายน้อยลำดับเก้าเสียชีวิตในสนามต่อสู้ภายในตระกูลไม่รู้สิ้น ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตนเอง แต่การที่ได้เห็น นายน้อยลำดับเก้าผู้นั้น มีความเป็นไปได้อย่างแน่นอนที่จะคลี่คลายวิกฤตได้

“เจ้าหมอนี่ที่แท้ก็กำลังหลอกข้า แสร้งทำเป็นเหมือนว่าอนาคตของข้าน่าหวาดกลัวเพียงใด เพื่อดึงดูดความสนใจ จากนั้นก็สร้างศัตรูมากมายให้ข้า” หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะ ดวงตาฉายแววเย็นชา และมองไปที่ภาพของเซียนเต๋าลำดับเจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐ

ภาพนี้ก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขามากมายเช่นกัน สุดท้ายผู้ที่สังหารเซียนผู้นี้ ก็ไม่ใช่ตนเอง แต่เป็นศิษย์พี่สำนักเดียวกับเขา!

“ยังจะมาหลอกข้าอีก!” หวังเป่าเล่อพลิกมือขวา และมองเบาะแสของซิงจิงจื่อและเซี่ยไห่หยางอีกครั้งด้วยความอยากรู้ ทว่าหลังจากการรับรู้ สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนไป

เพราะเบาะแสอนาคตของซิงจิงจื่อ ไม่เกี่ยวข้องกับตน ส่วนเซี่ยไห่หยางก็ไม่ได้เชื่อมโยงกับตนมากนัก ห่างไกลจากสิ่งที่เขากล่าว ดูเหมือนเขาจะไม่เป็นตัวของตัวเอง

นายน้อยลำดับเก้าและเซียนเต๋าเก้ารัฐหลอกตน เขาย่อมเข้าใจได้ แต่ซิงจิงจื่อมีความเป็นไปได้น้อยมาก และภาพเบาะแสของเซี่ยไห่หยาง ก็ยิ่งไม่มีความจำเป็นที่เขาต้องทำ

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ เรื่องนี้แปลกประหลาด เขาตัดสินใจไม่ได้ชั่วขณะ ไตร่ตรองได้ครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อมองดูความพร่ามัวรอบตัว เกิดอาการใจสั่นอย่างไม่อาจอธิบายได้

“ไปกันเถอะ!” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ค่อยๆ เอ่ยปาก

ทว่าตอนนั้นเอง จิตสำนึกของสมุดแห่งโชคชะตากลับผันผวนอย่างรุนแรงและส่งความคิดไปยังหวังเป่าเล่อได้ทันเวลา ก่อนจะหายไปในทันที ดูเหมือนว่ามีจิตสำนึกอื่นที่ไม่รู้แหล่งที่มา เข้ากำราบสมุดแห่งโชคชะตาโดยตรง ทำให้มันตกลงบนพื้น!

จากนั้นเสียงแผ่วเบาก็ดังขึ้น ในพื้นที่เบาะแสแห่งอนาคตอันพร่ามัว พลันเกิดการสะท้อนกลับ

“มีอีกภาพหนึ่ง จิตวิญญาณของคนผู้นี้มีไม่เพียงพอ จึงแสดงออกมาไม่ได้ แต่ข้ากลับทำได้… เจ้าต้องการดูหรือไม่”

ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา หวังเป่าเล่อก็ขนลุกชัน สีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไป หายใจถี่รัว ด้วยเพราะจิตสำนึกของสมุดแห่งโชคชะตาเมื่อครู่ ความคิดที่ถ่ายทอดมาบอกเขา มีวูบหนึ่งมาจากจิตสำนึกในอนาคต จุติลงตรงนี่

แต่นี่ไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือ… เสียงของคำกล่าวนี้ หวังเป่าเล่อรู้สึกคุ้นเคย!

มันคือ… เสียงแห่งใบหน้าที่กลายมาจากตะขาบสีโลหิต ในตอนที่เขาระลึกชาติ!

“เจ้าคือผู้ใด!” หวังเป่าเล่อกล่าวตอบ หลังจากเงียบไป

“ไม่ใช่ว่าข้าเคยบอกแล้วเจ้าหรือ ข้าจะไม่กล่าวคำซ้ำสอง ดังนั้น…คำตอบของเจ้าคืออะไร”

หวังเป่าเล่อหรี่ตา หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย

“ดู!”

ทันทีที่คำพูดของหวังเป่าเล่อส่งออกมา ความพร่ามัวรอบด้านก็หายวับ ถูกแทนที่ด้วยท้องฟ้า ต่างจากภาพที่เขาเคยเห็นมาก่อน คราวนี้เขาไม่ได้มองภาพ แต่ถูกหลอมรวมเข้ากับ ท้องฟ้าผืนนี้ หลอมรวมเข้าสู่ภาพ กลายเป็นคนในภาพ!

เขายืนอยู่บนท้องฟ้า ขณะที่มองไปรอบๆ ก็เห็น…มือข้างหนึ่ง ที่อยู่ในความทรงจำของอดีตชาติ มันเคยปรากฏมาก่อน มือนั้นที่สังหาร ในฐานะที่เขาเป็นเผ่าเทพอัคคี

มือข้างนี้ก่อเกิดมาจากความว่างเปล่า แตะเบาๆ ลงไปบนหน้าผากของเขา ในความเลือนราง ยังมีเสียงบางเบา สะท้อนอยู่บนท้องฟ้า

“ข้าควรเรียกเจ้าเช่นไร แผ่นไม้สีดำหรือ นี่คือพรหมลิขิตของเจ้า… ที่จะถูกข้าสิงสู่!”

หัวใจของหวังเป่าเล่อคำรามก้อง ขณะที่มือตกลงไปนั้น เขาเตรียมพร้อมมาก่อนหน้าแล้ว นัยน์ตาปรากฏแสงแรงกล้า สำแดงเคล็ดวิชาจันทร์ข้างแรมออกมาทันที กาลเวลาจุติ ด้วยความอัศจรรย์แห่งกฎนี้ ดังนั้นจึงส่งผลต่อมือข้างนั้นเล็กน้อย ไม่ได้ไหลย้อนกลับ แต่เป็นการสะดุ้ง!

เพียงแค่สะดุ้ง เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว!

เงาของผีดิบที่ภายในร่างของเขา คำรามเสียงต่ำให้นิ้วที่คืบคลานเข้ามา

“แสง!”

ยังมีเงาของดาบมารแห่งความแค้นปรากฏขึ้นในทันที คำรามออกมาเช่นกัน

“ฟัน!”

ฉับพลันเงาของเผ่าเทพอัคคีก็ปรากฏออกมาอย่างน่าพรั่นพรึง!

“ฉีก!”

และความเกลียดชังมากมายอันน่าสะพรึงกลัว จากเงามหาศิษย์แห่งเต๋าในชาตินั้น ก็คำรามหลังจากกลายร่าง

“สังหาร!”

รวมทั้งเจ้ากวางขาวน้อยที่พุ่งออกไป ด้วยเขาบนหัวที่มันสามารถทลายสิ่งกีดขวางทุกอย่างในโลกหล้า พุ่งกระแทกเข้าใส่นิ้วที่กำลังเข้ามา!

“แยก!”

……………………

ในขณะที่ภาพเหตุการณ์ยังคงดำเนินต่อไป หวังเป่าเล่อจ้องมองอย่างละเอียดตาไม่กะพริบ ภาพนี้ก็เหมือนกับเหตุการณ์ที่กำลังโลดแล่นไปในท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว

เขาสามารถมองเห็นดวงดาราที่ส่องประกายนับไม่ถ้วน ดาราจักรที่ผ่านไปมากมาย และเงาของสรรพสิ่งจำนวนมากผ่านภาพ ราวกับกำลังดูประวัติศาสตร์ของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น

เพียงแต่ว่าภาพเคลื่อนตัวเร็วเกินไป ดังนั้นภาพเหล่านี้จึงผ่านไปเพียงวูบเดียว กระทั่งรอเป็นเวลานาน อยู่ๆ…ภาพก็เปลี่ยนไป ไม่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วอีก แล้วหยุดนิ่งอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีเทา!

ท้องฟ้าสีเทานี้ไร้ดวงดารา และดูเหมือนจะไร้อารยธรรม บางส่วนเป็นเพียงซากปรักหักพังโบราณ และซากปรักหักพังเหล่านั้นก็ไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงภาพลวงตาครั้งคราว ทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกประหลาด

และที่ประหลาดยิ่งไปกว่านั้นคือ ในซากแต่ละชิ้นนี้ มีหลากหลายรูปแบบแตกต่างกัน หากไม่มีการรับรู้ในอดีตชาติมาก่อน หลังจากหวังเป่าเล่อเห็นซากที่ไม่เหมือนกันเหล่านี้ ความคิดแรกก็คือจักรวาลดาราใหญ่ หลากหลายเผ่าพันธุ์ อารยธรรมนับไม่ถ้วนที่นี่ย่อมมีรูปแบบแตกต่าง และไม่มีสิ่งใดน่าประหลาดใจ

แต่หลังจากได้สัมผัสประสบการณ์จากอดีตชาติแล้ว ยามนี้ที่หวังเป่าเล่อกำลังมองอยู่ ดวงตาของเขาพลันหดตัวลง เพราะสิ่งที่เขาเห็นในซากปรักหักพังเหล่านั้น กระจ่างชัดว่ามีหลายอัน ที่มีรูปแบบการก่อสร้างที่เขาได้เห็นในอดีตชาติ!

เมื่อเป็นเช่นนี้ ท้องฟ้าสีเทาผืนนี้ จึงไม่เหมือนปกติ!

หลังจากหวังเป่าเล่อมองดูบริเวณนี้อย่างถี่ถ้วน เขาก็เห็นเส้นใยสีม่วงซึ่งลึกเข้าไปในใจกลางของพื้นที่ แต่ระยะทางนั้นไกลเกินกว่าจะมองเห็นได้ชัดเจน

“เข้าไป!” หวังเป่าเล่อกล่าวเสียงเรียบ แต่เมื่อคำพูดของเขาออกไป แม้ภาพจะดำเนินไปตามคำสั่ง แต่เพิ่งจะได้เข้าไปในขอบเขตของพื้นที่ ก็ถูกขัดขวางไม่ให้เข้าไปทันที!

หวังเป่าเล่อถอนหายใจเบาๆ หลังจากลองไตร่ตรองดูแล้ว จึงถามขึ้น

“ที่นี่คือที่ใด…”

จิตสำนึกแผ่ซ่านด้วยความคับข้องใจไม่รู้จบ เข้าไปในจิตใจที่อ่อนแอของหวังเป่าเล่อ

“ลบออกไหม” หวังเป่าเล่อตะลึง จิตสำนึกของสมุดแห่งโชคชะตาบอกความนัยนี้แก่เขา บางทีอีกฝ่ายก็อาจไม่รู้จะเรียกสถานที่นี้เช่นไร ดังนั้นจึงอธิบายสิ่งที่ตนรู้ให้สอดคล้องกับสมุดแห่งโชคชะตาไปตามสัญชาตญาณ

หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตระหนักในสิ่งที่เรียกว่าการลบออกสำหรับสมุด คือการแก้ไขโดยการลบอักษรและภาพที่เขียนไว้ทิ้ง เนื่องจากข้อผิดพลาดบางอย่าง…

เมื่อเป็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อพลันเข้าใจบางสิ่ง แต่ก็ยังแปลกใจอยู่บ้าง เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีพื้นที่เช่นนี้คงอยู่ในท้องฟ้า

และเห็นชัดว่า จื่อเยว่ซ่อนตัวอยู่ที่นี่

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็กล่าวขึ้น

“ค่อยๆ วนบริเวณรอบนอกของสถานที่นี้”

คราวนี้ค่อนข้างราบรื่น ภาพเคลื่อนไหวทันที เคลื่อนไปรอบๆ บริเวณนี้อย่างช้าๆ ทำให้หวังเป่าเล่อสามารถกำหนดขนาดพื้นที่คร่าวๆ ในใจได้ แต่กระบวนการทั้งหมดผ่านไปได้ไม่นาน ประมาณครึ่งวงรอบ ภาพก็ไม่ขยับและดูเหมือนถูกปิดกั้นอีกครั้ง

“ถูกปิดกั้นอีกแล้ว…” หวังเป่าเล่อยิ่งรู้สึกว่าสถานที่นี้ประหลาด เพราะคราวนี้ที่ปิดกั้นภาพไม่ให้เคลื่อนไหว ไม่ใช่พื้นที่สีเทา แต่เป็นท้องฟ้าว่างเปล่าไร้ซึ่งสรรพสิ่ง

“วนต่อไปอีกทางหนึ่ง!” หวังเป่าเล่อจ้องมองผืนฟ้านั้น กล่าวขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นจึงเดินหน้าต่อไปอีกทาง ภาพถอยกลับ แต่ไม่นาน…ก็ถูกท้องฟ้าว่างเปล่าปิดกั้นอีก

และจุดที่ปิดกั้นทั้งสอง ดูเหมือนจะอยู่บนระดับเดียวกัน ราวกับมีสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็น กลายเป็นกำแพงขนาดใหญ่ขวางกั้นทุกสิ่งไว้

พื้นที่ท้องฟ้าสีเทามีตำแหน่งที่เชื่อมต่อกับกำแพง ดังนั้นจึงไม่สามารถมองทั้งหมดได้อย่างแท้จริง

กำแพงที่มองไม่เห็นนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อคิดถึงชาติกวางขาวน้อยท่ามกลางความเงียบ ความว่างเปล่าที่แหลกละเอียดของตน เขาหรี่ตา ไม่นานก็มองพื้นที่สีเทาอย่างแน่วแน่

“กลับกันเถอะ”

ทันทีที่เขาเอ่ยวาจานี้ ชั่วอึดใจราวจิตสำนึกที่แผ่ซ่านความคับข้องใจ ปรากฏความตื่นเต้น ภาพย้อนกลับทันที เร็วกว่าตอนที่มามากโข ตลอดขั้นตอนใช้เวลาประมาณหนึ่งก้านธูป ภาพก็กลับไปยังจุดเดิมแล้วสลายไป

โลกเบื้องหน้าของหวังเป่าเล่อ ไม่ใช่เป็นภาพอีกแล้ว ตอนนี้เขาอยู่บนดาวชะตา ขณะที่ทุกสิ่งในสายตากลับมา สมุดแห่งโชคชะตาที่อยู่ใต้ฝ่ามือของเขา ก็ระเบิดขึ้นอย่างฉับพลันด้วยพลังต่อต้านรุนแรง

พลังนี้ยิ่งใหญ่กว่าครั้งก่อนมาก ดูเหมือนมันจะสั่งสมพลังเอาไว้เรื่อยๆ ในพริบตาหลังจากการระเบิดออกของขุมพลัง มือของหวังเป่าเล่อกระดอนขึ้นสูงกว่าหนึ่งฉื่อ ออกห่างจากสมุดแห่งโชคชะตาไปอย่างสมบูรณ์

หลังจากที่มือของหวังเป่าเล่อยกขึ้นสูง สมุดแห่งโชคชะตาก็ราวกับส่งเสียงตื่นเต้นอย่างเป็นสุข ในช่วงเวลามึนงงนั้นเอง ก่อนจะหลบหนีหายไป…เสียงหวีดสายหนึ่งก็ส่งออกมา

เสียงหวีดนี้คล้ายเสียงลมมาก แต่กลับไม่ใช่… เพราะเสียงที่ทุกคนรอบด้านได้ยิน ต่างก็รับรู้ในสิ่งเดียวกันได้ว่า…สมุดแห่งโชคชะตากำลังก่นด่า

เสียงหวีดนี้คือเสียงก่นด่า!

ส่วนจะก่นด่าผู้ใด ไม่ต้องเอ่ยก็รู้ได้

ผู้คนที่เฝ้าดูอยู่รอบด้านต่างนิ่งเงียบ และผู้รับใช้เฒ่าข้างประมุขกฎสวรรค์เองก็นิ่งเงียบเช่นกัน เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็น…สมุดแห่งโชคชะตาเผยความเป็นมนุษย์ออกมา

“นี่ต้องเป็นเพราะมันถูกข่มเหงมาก จึงหนีไปในทันที…”

แต่ในไม่ช้า… สีหน้าของผู้คนรอบๆ ก็ประหลาดใจอีกครั้ง ส่วนใหญ่เผยความเห็นอกเห็นใจ เพราะเกือบจะในทันทีที่สมุดแห่งโชคชะตาอันตรธานไป มือของหวังเป่าเล่อก็ตกลงมา

เห็นได้ชัดว่ามันตกลงมาตรงพื้นที่ว่าง ไม่มีวัตถุใด แต่ในขณะที่มันตกลงไป สมุดแห่งโชคชะตาที่หลบหนีไปแล้ว กลับปรากฏขึ้นตรงนั้น ทำให้มือของหวังเป่าเล่อย่อมตกลงบนตัวมันเป็นธรรมดา

สมุดโชคชะตาตกตะลึง หลังจากที่สมุดทั้งเล่มหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง มันก็สั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรงทันที ตัวสั่นเทิ้ม เสียงคร่ำครวญดังก้อง แต่ละคนที่เฝ้ามองอยู่รอบๆ ต่างก็ไม่สามารถบรรยายอารมณ์ของตนเองออกมาได้

ผู้รับใช้เฒ่าที่อยู่ข้างกายประมุขกฎสวรรค์ท่าทางอึกอัก สุดท้ายก็ได้แต่ถอนหายใจ

ส่วนประมุขกฎสวรรค์ เวลานี้ก็ชักสีหน้า มองไปทางหวังเป่าเล่ออย่างอดไม่ได้

หวังเป่าเล่อยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับมองไม่เห็นสายตาแสดงความเห็นใจของทุกคน นัยน์ตาเผยแววครุ่นคิด เขาระลึกไปถึงเส้นทางของท้องฟ้าสีเทา สุดท้ายดวงตาทั้งคู่ก็ทอประกาย มองไปทางประมุขกฎสวรรค์ กล่าวอย่างจริงใจ

“ข้ายังเห็นไม่ชัดเจนนัก เลยต้องทำอีกครั้ง”

ทันทีที่คำนี้ออกมา ทุกคนที่อยู่รอบๆ ก็อดกลั้นไม่ได้อีก เสียงอื้ออึงปะทุขึ้นในทันที

“ยังจะทำอีกครั้งหรือ”

“เคยเห็นแต่รังแกคน ไม่เคยเห็นรังแกสมุดมาก่อน!”

“พวกเจ้าดูสิ สมุดแห่งโชคชะตาศักดิ์สิทธิ์เพียงใด มันถูกรังแกจนเป็นอะไรไปแล้ว!”

“พิสดาร ปาฏิหาริย์ ข้าไม่เคยคิดเลยว่า การมองเบาะแสในอนาคต สามารถทำเช่นนี้ได้!”

ท่ามกลางความโกลาหลของฝูงชน สมุดแห่งโชคชะตาใต้ฝ่ามือของหวังเป่าเล่อ ดูเหมือนจะคร่ำครวญรุนแรงขึ้น ความคับข้องใจถึงขีดสุด ไม่อาจประนีประนอมครั้งแล้วครั้งเล่า ดังนั้นเวลานี้จึงระเบิดความเด็ดเดี่ยวออกมา ยอมกลายเป็นหยกแหลก แต่ไม่ยอมเป็นกระเบื้องที่สมบูรณ์

หวังเป่าเล่อรับรู้ได้ถึงท่าทีนี้ของสมุดแห่งโชคชะตา ดังนั้นจึงร่ำร้องออกมาจากใจ

“อีอี หนังสือเล่มนี้ไม่เชื่อฟัง หรือไม่ก็ฉีกออกเถอะ ข้าจะเปลี่ยนอีกเล่มให้เจ้า”

เศษหน้ากากในอ้อมแขนของหวังเป่าเล่อ ส่งเสียงฮึดฮัดของแม่นางน้อยดังขึ้น

เมื่อเสียงดังขึ้น สมุดแห่งโชคชะตาก็เงียบไปทันที ครู่ต่อมา ขณะที่ประมุขกฎสวรรค์กำลังจะกล่าวโน้มน้าวบางอย่าง สมุดแห่งโชคชะตาก็ยกขึ้นเองจากใต้มือของหวังเป่าเล่อ กระทบกับฝ่ามือของเขาเองอย่างขยันขันแข็ง เกิดเสียงกระทบกัน

ดูเหมือนว่ายังไม่เพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าตนเองเชื่อฟัง มันยังขึ้นๆ ลงๆอยู่หลายครั้ง เกิดเสียงดังออกมาอย่างต่อเนื่อง กระทั่งยังเคล้าเคลียออดอ้อนอยู่หลายครั้งด้วย จนเกิดเป็นระลอกคลื่นขนาดใหญ่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน…ดังก้องอยู่บนดาวชะตาจนถึงทั่วดาราจักรชะตาทันที

ประมุขกฎสวรรค์สงบปาก

ดวงตาของผู้รับใช้เฒ่าข้างกายประมุขแทบจะถลน ผู้คนรอบข้างต่างปากอ้าตาค้าง…

“ศักดิ์ศรีเล่า!”

“โอ้สวรรค์ ข้าต้องดูพลาดไปแน่ หวังเป่าเล่อ เจ้าทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของสมุดแห่งโชคชะตาในใจของข้าสิ้นแล้ว”

“เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่า…รูปแบบภาพนี้ค่อนข้างประหลาด ทำให้ข้าคิดโยงไปถึงเรื่องอื่น…” สีหน้าของหลี่หว่านเอ๋อร์ดูแปลกไป นางอดไม่ได้ที่จะเหลือบดูหวังเป่าเล่อจากที่ไกลๆ

……………

ดวงตาของร่างยักษ์ค่อยๆ เปิดออก ดูคล้ายดารานิรันดร์สองดวง แสงที่ราวกับเปลวเพลิงระเบิดออกไปทั่วท้องนภา ทั้งดาราจักรกลายเป็นเป็นสีแดง ขณะเดียวกันก็สั่นไหว ก่อนร่างนี้จะเอ่ยเสียงเบา ส่งเสียงราบเรียบ

“สังหารผู้ใด!”

“ชื่อคนผู้นี้คือหวังเป่าเล่อ แม้ว่าจะมีระดับการฝึกตนขั้นดาวพระเคราะห์ แต่มีพลังต่อสู้ขั้นดารานิรันดร์” ร่างงดงามที่จำแลงจากจันทร์เสี้ยวสีม่วงในความว่างเปล่ายิ้มอย่างนุ่มนวล แล้วกล่าวเสียงแผ่ว ดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจกับพลังที่แผ่ออกมาจากร่างยักษ์ที่กำลังเผชิญอยู่แม้แต่น้อย

“อยู่ที่ใด” ร่างยักษ์ที่นั่งขัดสมาธิบนท้องฟ้ามีสีหน้าสงบ ไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย หลังจากจ้องมองไปทางหญิงสาวที่งดงามตรงหน้าเป็นเวลานาน จึงกล่าวเสียงเบา

“ตอนนี้อยู่บนดาวชะตา ข้าไม่สะดวกที่จะลงมือกับเขา เจ้าอาจสังหารเขาหลังจากที่เขาออกไปแล้ว แต่จำไว้ว่า…ทุกอย่างต้องรวดเร็ว เพราะอาจารย์ของเขาคือปรมาจารย์แห่งไฟ!”

เซียนเต๋าลำดับสองแห่งเต๋าเก้ารัฐที่เดิมทีสงบนิ่ง หลังจากได้ยินชื่อปรมาจารย์แห่งไฟ ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ข้าจะร่ายคาถา ขัดขวางที่มา เพื่อไม่ให้ปรมาจารย์แห่งไฟสัมผัสได้ถึงเรื่องนี้” หญิงงามกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ได้!” เห็นได้ชัดว่าชงอี้จื่อเชื่อใจหญิงสาวผู้นี้มาก หลังจากได้ยินและไตร่ตรองแล้ว จึงพยักหน้า ไม่กล่าวสิ่งใดอีก

“อย่าได้ประมาทคนผู้นี้ ทำให้เต็มกำลัง” หญิงสาวผู้นั้นมองชงอี้จื่อที่อยู่ตรงหน้าอย่างลึกซึ้ง ร่างของนางค่อยๆ หายไป และหลังจากนางจากไปแล้ว ชงอี้จื่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนท้องฟ้า ดวงตาก็ทอประกายแวววาว

“อย่าได้ประมาทหรือ… ก็แค่ดาวพระเคราะห์ผู้หนึ่ง ถึงกับต้องให้ข้าลงมือเองเชียวรึ ไม่จำเป็น พลังต่อสู้เพียงส่วนเดียวของข้า ก็สามารถสังหารดารานิรันดร์ขั้นต้นได้ทั้งหมด ครั้งนี้…ก็ใช้ร่างอวตารพลังต่อสู้สามส่วนแล้วกัน” หลังจากไตร่ตรองแล้ว ชงอี้จื่อก็ยกมือขวาขึ้น และคว้าความว่างเปล่าไว้ทันที ทันใดนั้นเสียงคลิ๊กก็พลันส่งออกมาจากภายในฝ่ามือ ชั่วอึดใจ แขนขวาทั้งแขนก็แยกออกจากร่าง หลังจากบินออกไปไกลขณะที่บิดตัว ก็จำแลงเป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปลักษณ์สง่างามผู้หนึ่ง สีหน้าเย็นชา ก่อนจะหันกายจากไป มุ่งตรงไปยัง…ดาวชะตา!

ในเวลาเดียวกัน บนดาวเคราะห์ดาวชะตา หวังเป่าเล่อที่มือแตะสมุดแห่งโชคชะตาอยู่ พลันลืมตาขึ้น เขาไม่ได้สนใจขจัดพลังระเบิดในสมุดแห่งโชคชะตา หากแต่ดวงตากลับส่องประกายล้ำลึก คิ้วยังคงขมวดอยู่

“เป็นเช่นไร” ประมุขกฎสวรรค์กล่าวอย่างอ่อนโยน

“ยังเห็นได้ไม่ชัดเจน คงต้องทำมันอีกครั้ง” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นและกล่าวอย่างจริงจัง

ประมุขกฎสวรรค์นิ่งเงียบ ผู้รับใช้เฒ่าที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ใบหน้ากระตุกอย่างอดไม่ได้ หลังจากผู้สังเกตการณ์ที่อยู่โดยรอบได้ยินวาจานี้ ต่างก็มีสีหน้าประหลาด หากแต่ผู้ที่มีการตอบสนองมากที่สุด…ไม่ใช่พวกเขา แต่เป็น…สมุดแห่งโชคชะตาเล่มนั้น.Aileen-novel.

หนังสือเล่มนี้ยังคงพยายามที่จะขัดขืน ปรารถนาให้หวังเป่าเล่อนำมือออกไป แต่เห็นได้ชัดว่ามันมีดวงจิต พอได้ยินว่าหวังเป่าเล่อจะทำมันอีกครั้งหนึ่ง ก็คล้ายกับคลุ้มคลั่ง มีเสียงแผดร้องออกมาจากสมุด ราวกับเป็นเสียงคำรามเพราะโดนคุกคามและไม่พอใจ แม้กระทั่งแสงเจิดจ้าก็กระจายออกมาจากสมุดเล่มนั้น คล้ายต้องการก่อรูปก่อร่างเป็นคมมีด เพื่อโจมตีหวังเป่าเล่อ

มันไม่พอใจและไม่ยินยอม เวลานี้ด้วยเสียงร้องกังวานและแสงที่กระจายออกมา บนสมุดแห่งโชคชะตาดูเหมือนจะมีกลิ่นอายบางอย่างขจรขจาย ราวกับในสายตาของทุกคนมันขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัด ใหญ่จนกระทั่งหวังเป่าเล่อที่อยู่ตรงหน้ามัน แทบจะกลายเป็นมด ดูแล้วเหมือนจะถูกมันกำราบโดยตรง

แม้แต่อสูรยักษ์สามสิบเก้าตัวที่อยู่รอบด้าน ก็ยังได้รับผลกระทบจากมัน ขณะนี้ พวกมันคำรามและดวงตาปรากฏความชั่วร้าย ทำให้ผู้คนต่างโกลาหล อุทานอย่างไร้เสียง

“หวังเป่าเล่อยโสเกินไป ท่านประมุขมีเมตตา แต่เขาก็ไม่ควรยั่วยุสมุดแห่งโชคชะตาอันล้ำค่านี้!”

“ในอดีตต่อหน้าสมุดแห่งโชคชะตานี้ จะมีผู้ใดไม่เคารพและให้เกียรติ หวังเป่าเล่อผู้นี้ช่างไร้มารยาท!”

“ละโมบโลภมาก ดูแค่ครั้งเดียวก็พอแล้ว สมุดแห่งโชคชะตายินยอมให้เขาดูเป็นครั้งที่สอง ที่จริงก็น่าจะคุกเข่าลงกราบไหว้ แต่เขายังจะดูครั้งที่สาม…”

คำพูดอิจฉาส่งออกมาจากฝูงชน ทว่าดังก้องได้ไม่นาน ในพริบตาก็ปรากฏเหตุการณ์ไม่คาดคิด หวังเป่าเล่อและสมุดแห่งโชคชะตา ทำให้คนเอ่ยปากขี้อิจฉาเหล่านั้นต่างตื่นตระหนก สีหน้าปรากฏความประหลาดใจยิ่งขึ้น

เพราะ… ขณะที่สมุดแห่งโชคชะตาระเบิดออก ในเวลาเดียวกันกับที่พยายามกดดันหวังเป่าเล่อ สีหน้าของเขายังเรียบเฉย คล้ายกับมองไม่เห็นการระเบิดออกของสมุดแห่งโชคชะตา มือขวายกขึ้นเล็กน้อย และตบลงไป…อีกครั้ง

ยามที่ฝ่ามือตบลงไป สมุดแห่งโชคชะตาที่มีท่าทีโกรธเกรี้ยวเมื่อครู่ ก็คล้ายกับหญิงสาวท่าทางเศร้าโศก แม้จะขัดขืนนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังคงถูกบังคับให้อยู่ตรงนั้น ไร้ทางต่อต้าน ราวกับมือของหวังเป่าเล่อมีพลังมหาศาล จนมันไม่สามารถต้านทานได้ จึงทำได้แค่เพียงไม่ให้ความร่วมมือ!

ถึงแม้ว่ามือของหวังเป่าเล่อ จะกดอยู่บนสมุดแห่งโชคชะตา แต่ระลอกคลื่นกลับไม่ปรากฏออกมา หากสมุดแห่งโชคชะตาสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ เช่นนั้นเวลานี้มันคงจ้องหวังเป่าเล่อด้วยความโกรธแค้น และกล่าวคำพูดประเภทว่าถึงตายก็ไม่ยอมร่วมมือกับเจ้า

สีหน้าหวังเป่าเล่อยังคงเรียบเฉย เพียงแค่ปล่อยกลิ่นอายความโกรธในอดีตชาติออกไปบ้าง แม้จะเป็นบางส่วน แต่ท่าทีชั่วร้ายสะท้านฟ้าสะเทือนดินนั้นก็มีพลังมหาศาล แม้คนภายนอกจะไม่สังเกตเห็น เพราะหวังเป่าเล่อปล่อยแล้วรีบเก็บมันกลับมา แต่ด้านสมุดแห่งโชคชะตานั้นกลับตื่นตระหนกมาก เพราะความตกใจนี้เอง มันจึงไม่ลังเลที่จะทำความดีความชอบ ปล่อยระลอกคลื่นออกไปอย่างรวดเร็ว ระลอกคลื่นนี้แผ่กระจายออกไปทั่วดาวชะตาในทันที

ครั้นประมุขกฎสวรรค์เห็นเหตุการณ์นี้เข้า ก็มีท่าทีกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใด ทำเพียงส่งสายตามองสมุดแห่งโชคชะตาด้วยความเห็นใจ

ระลอกคลื่นกระจายออก โลกเบื้องหน้าของหวังเป่าเล่อ ก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง

ภาพเบื้องหน้า ไม่ใช่แผ่นดินไร้ขอบเขตอย่างคราวก่อนอีก แต่เป็นสิ่งที่ไม่ชัดเจน ทั้งหมดตรงหน้าล้วนไม่ชัดเจน นี่ทำให้หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วขึ้นอีกครั้ง แต่ในขณะที่เขาไม่ค่อยพอใจ จิตสำนึกอ่อนวูบก็ส่งมาจากทุกด้าน สะท้อนอยู่ภายในใจของหวังเป่าเล่อ

ไม่ใช่คำพูด เป็นเพียงจิตสำนึกวูบหนึ่ง แฝงด้วยความเศร้าโศกอันแรงกล้า กล่าวกับหวังเป่าเล่อ ไม่ใช่มันไม่พยายาม แต่แท้จริงแล้วความเปลี่ยนแปลงในภายหน้า ล้วนอนุมานได้จากวิถีที่เคยเป็นมา ก่อนหน้านี้ที่หลงเหลือบนดาวชะตาเป็นภาพกระจ่างชัด จึงมีร่องรอยให้ติดตามได้ แต่ความคลุมเครือในตอนนี้ เป็นอีกเส้นทางที่หวังเป่าเล่อเลือกแล้ว เช่นนั้นสมุดแห่งโชคชะตา ก็ยากที่จะอนุมานได้อย่างสมบูรณ์

“พยายาม!” หวังเป่าเล่อกล่าวช้าๆ

จิตสำนึกนั้นช่างทุกข์ระทม บริเวณโดยรอบก็ยิ่งพร่ามัว จนหลังจากนั้นครู่ใหญ่ จึงชัดเจนขึ้นมาบ้าง แล้วกลายเป็นท้องฟ้า ในท้องฟ้า หวังเป่าเล่อเห็นเรือรบลำแล้วลำเล่ากำลังแล่นเข้ามา และตัวเขาอีกคน เวลานี้อยู่ภายในเรือรบลำหนึ่ง กำลังสนทนาอยู่กับเซี่ยไห่หยาง

แต่ในขณะที่ท้องฟ้าเบื้องหน้าเรือรบ สะท้อนเป็นระลอกคลื่น ร่างหนึ่งที่เห็นได้ไม่ชัดเจนนักก็เดินออกมาจากด้านใน หลังจากร่างนี้ปรากฏกาย ก็ลงมือกับเรือรบโดยพลัน เกิดเสียงก้องกังวาน และภาพเบื้องหน้าก็พร่ามัวอีกครั้ง

หวังเป่าเล่อมองเหตุการณ์ตรงหน้า ดวงตาพลันหรี่ลง ก่อนจะกล่าวขึ้น

“ดูอีกครั้ง!”

จิตสำนึกอันทุกข์ระทม คล้ายจะกระตุ้นให้สาปแช่ง แต่ก็ยังนำภาพก่อนหน้ามาอย่างเชื่อฟัง ภาพจึงปรากฏตรงหน้าหวังเป่าเล่ออีกครั้ง ครั้งนี้หวังเป่าเล่อตาไม่กระพริบ จนขณะที่ร่างไม่ชัดเจนนั้นปรากฏขึ้นอีก เขาจึงกล่าวออกมา

“หยุดก่อน!”

ภาพหยุดนิ่ง

“ขยายใหญ่!”

ภาพขยายใหญ่ขึ้นทันที ทำให้ร่างที่เดินออกมาจากความว่างเปล่า หลังจากเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย เขาก็เห็นมันแล้ว เบื้องหลังของร่างนี้มีเส้นใยสีม่วงเส้นหนึ่ง เชื่อมโยงกับเขาอย่างน่าประทับใจ!

เส้นใยสีม่วงนี้ แผ่กระจายเข้าไปในส่วนลึกของความว่างเปล่า ราวกับไร้ที่สิ้นสุด

หวังเป่าเล่อมองไปที่เส้นใยสีม่วง แล้วกล่าวช้าๆ

“ตามหาเส้นใยนี้ ประเมินต่อไป”

รอบด้านเงียบสงัด ภาพไม่เคลื่อนไหว จิตสำนึกทุกข์ระทมนั้นราวกับจะหายไปแล้ว ความโกรธเกรี้ยวที่ดูเหมือนจะก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกำลังรวบรวมจากรอบด้าน และกำลังจะระเบิดออก ทว่าหวังเป่าเล่อกลับระงับความโกรธของตนไว้ไม่แสดงออกมา กระจายมันออกไป แล้วรับกลับมาอีก

ในเวลาต่อมา ความโกรธก็หายลับ ภาพเคลื่อนไหว ตามคำกำชับของหวังเป่าเล่อก่อนหน้า ภาพนี้เคลื่อนไหวอย่างว่างเปล่าไปตามเส้นใยสีม่วงไม่หยุด ราวกับกำลังติดตาม

หวังเป่าเล่อพอใจมาก เขารู้สึกว่าในที่สุดเขาก็พบวิธีในการใช้สมุดแห่งโชคชะตาอย่างถูกต้อง

…………………

ท้องนภาสว่างสดใส แสงสุริยันส่องกระทบลงบนผืนดิน ยอดเขา สันเขา แม่น้ำ และทะเล โลกทั้งใบไร้ซึ่งขอบเขต ไม่ว่าจะยืนอยู่ที่มุมใด ก็ไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุดได้

ราวกับขนาดของโลกใบนี้ เป็นไปตามการรับรู้และไร้ขีดจำกัด หากคิดว่าเล็กมาก บางทีมันก็อาจจะเล็กมากจริงๆ หากคิดว่าใหญ่ ถ้าเช่นนั้น…มันก็จะกว้างใหญ่ไร้จุดสิ้นสุด

“ที่นี่ประหลาดมาก!” ตอนที่หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาก็พบว่าจุดที่ตนเองยืนอยู่ ไม่ใช่เกาะที่อยู่บนปล่องภูเขาไฟของดาวชะตาอีกต่อไป ภาพตรงหน้าไม่มีสมุดแห่งโชคชะตา แต่กลับยืนอยู่บนยอดเขาที่มีความสูงทะลุหมู่เมฆ ราวกับกำลังแข่งขันความสูงกับท้องฟ้า

ที่นี่ถูกห้อมล้อมด้วยทะเลหมอก ลมกระโชกแรงแผ่ขยายออกไปโดยรอบ ยอดเขาที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าไปจนถึงเชิงเขามีหิมะปกคลุมทั่วบริเวณ เนื่องจากความแตกต่างของอุณหภูมิ

ทว่าหิมะเหล่านี้กลับเป็นสีฟ้าแทนที่จะเป็นสีขาว

หิมะสีฟ้า ลมกระโชกอย่างบ้าคลั่ง ทะเลหมอกไร้ขอบเขต เมื่อมองข้ามทะเลหมอกออกไป ก็ยังไม่อาจมองเห็นจุดสิ้นสุดของผืนปฐพีได้ นี่เป็นภาพที่สะท้อนอยู่นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อ

หากไม่ใช่เพราะจิตสำนึกที่แจ่มชัดของเขา หวังเป่าเล่อคงคิดว่าตนเองติดอยู่ในความรู้สึกของอดีตชาติอีกครั้ง และเป็นเพราะสติที่ยังคงชัดเจน เขาจึงค้นพบความน่าสนใจของภาพในอนาคตนี้ เพราะ…ทั้งหมดที่อยู่รอบตัว ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น ความรู้สึกจากร่างกาย หรือแม้กระทั่งการยืนยันด้วยวิญญาณ ต่างก็กำลังส่งข้อมูลหนึ่งมาหาเขา

สิ่งเหล่านี้…ล้วนแต่เป็นเรื่องจริง

ลมเป็นของจริง หิมะเป็นของจริง ทะเลหมอกและผืนปฐพีต่างก็เป็นของจริงทั้งหมด โลกใบนี้ทั้งใบอยู่ในความรู้สึกของหวังเป่าเล่อ ไม่มีปราณของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ราวกับที่นี่คือจักรวาลไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิต

เรื่องนี้ก็เป็นความจริงเช่นกัน

คิ้วของหวังเป่าเล่อพลันเลิกขึ้นเล็กน้อย เขากวาดตามองทะเลหมอก จนกระทั่งผ่านไปประมาณ 7-8 อึดใจ จู่ๆ เขาก็มองไปทางด้านขวามือของตน ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป

ยามที่เขามองไปทางนั้น ก็พบกับด้านบนหลังคาสวรรค์ที่อยู่ทางด้านขวา กลางทะเลหมอกไร้ขอบเขตนั้น ปรากฏเงาขึ้นสองเงา เงาหนึ่งคือประมุขกฎสวรรค์ ส่วนอีกเงาหนึ่ง…ก็คือตัวของหวังเป่าเล่อเอง!

“หกสิบแปดปีแล้ว” ประมุขกฎสวรรค์ที่อยู่บนทะเลหมอกเปล่งเสียงพึมพำ

ประโยคนี้หวังเป่าเล่อได้ยินแล้ว จากการมองเห็นของเขา ตัวของเขาอีกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ประมุขกฎสวรรค์ก็ได้ยินเช่นกัน

“ถึงเวลาแล้วรึ?” หลังจากหวังเป่าเล่ออีกคนเงียบไป เสียงแหบพร่าพลันดังขึ้น หากมีคนอื่นอยู่ที่นี่ บางทีอาจจะไม่ได้ยินความหมายที่ซ่อนอยู่ในน้ำเสียงนี้ แต่คนที่เข้าใจตัวเราได้มากที่สุดก็คือตัวเราเอง

ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงเข้าใจความหมายที่อยู่ในน้ำเสียงของตัวเองที่เป็นอีกคน มันคือ…ความรู้สึกเสียดายและงงงวย

ยังไม่ทันที่หวังเป่าเล่อได้สังเกตอย่างถี่ถ้วน บนท้องนภา…หรือจะพูดให้ถูกก็คือกลางดาวจักรวาล ปรากฏแสงสว่างขึ้นหนึ่งสาย แสงที่มีสีสันสดใสหนึ่งสาย ราวกับสามารถละลายทุกสรรพสิ่งได้ ปกคลุมจักรพิภพไม่รู้สิ้นทั้งหมด และปกคลุมบนดาวชะตาด้วย…

หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น หวังเป่าเล่อก็ไม่ทราบแล้ว เพราะในตอนที่เขามองเห็นแสงสายนั้น ภาพทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าพลันหายไป ตอนที่เขาลืมตาขึ้น ก็ได้ยินเสียงหายใจของคนที่อยู่รอบตัว รู้สึกได้ว่าสายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจ้องมองมาทางนี้ และเห็นสมุดแห่งโชคชะตาที่อยู่ตรงหน้ากระจายพลังต่อต้านออกมา นอกจากนี้เขายังเห็นประมุขกฎสวรรค์ที่ยืนอยู่ด้านหลังสมุดแห่งโชคชะตากำลังมองมาที่เขา

“ผ่านไปนานแค่ไหน?” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยถามหนึ่งประโยค

“แปดอึดใจ” ประมุขกฎสวรรค์ตอบด้วยท่าทางนิ่งสงบ

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วมากกว่าเดิม เขาเงยหน้ากวาดตามองไปรอบๆ ก็สังเกตเห็นผู้ฝึกตนจำนวนมากที่อยู่บนหลังของอสูรดึกดำบรรพ์ทั้งสามสิบเก้าตัวด้านนอกเกาะ แต่ละคนมีสีหน้าใคร่รู้อันแรงกล้า และเขาก็เห็นเซี่ยไห่หยางกำลังมองมาทางนี้ตาไม่กะพริบ ราวกับอยากรู้ว่าเขาเห็นอะไร

แต่หวังเป่าเล่อไม่อาจบรรยายถึงภาพอนาคตที่เขาเห็นทั้งหมดได้ ฉากนั้นเรียบง่ายมาก แต่มันก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากครุ่นคิด ในที่สุดเขาก็คิดว่าสิ่งที่ตนเองเห็นช่างน้อยนิด

หวังเป่าเล่อก้มหน้าลง สายตาจ้องมองไปบนสมุดแห่งโชคชะตาที่อยู่ตรงหน้า เขารู้สึกได้ว่าสมุดเล่มนี้ กระจายพลังต่อต้านอันแรงกล้าออกมาอย่างต่อเนื่อง ราวกับมันกำลังใช้พลังทั้งหมดที่มี พยายามผลักมือของหวังเป่าเล่อที่วางอยู่บนตัวมันออกไป

และมันก็ทำได้จริงๆ ยามที่เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง พลังต่อต้านระเบิดความแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มือของหวังเป่าเล่อค่อยๆ ยกขึ้น

ผู้รับใช้เฒ่าที่อยู่ด้านข้างประมุขกฎสวรรค์เห็นฉากนี้ ตอนที่กำลังอ้าปากพูดเพื่อยุติการชมภาพในอนาคต จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็เอ่ยแทรกขึ้น

“เมื่อครู่ไม่นับ ข้ายังเห็นไม่ชัดเจน ขอใหม่อีกครั้ง”

เมื่อเขาลั่นวาจาออกไป มือขวาพลันกดลงบนสมุดแห่งโชคชะตาอีกครั้ง สมุดเกิดการสั่นสะเทือน เพื่อแสดงออกถึงการต่อต้านและดิ้นรนอย่างรุนแรง ราวกับไม่ยินดีที่จะให้หวังเป่าเล่อสัมผัสมันอีก ผู้รับใช้เฒ่าที่ยืนอยู่ข้างๆ แอบลังเล ใจหนึ่งก็อยากห้าม แต่เมื่อเห็นประมุขกฎสวรรค์หลับตาลง ไม่ได้เอ่ยวาจาใดออกมา ตนจึงแกล้งทำเป็นไม่เห็นเช่นกัน

ทว่าทุกคนที่อยู่รอบๆ เห็นทุกสิ่งแจ่มชัด พวกเขาเห็นสมุดแห่งโชคชะตากำลังดิ้นรน เห็นพลังต่อต้านของมัน ความประหลาดใจพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าของพวกเขาคนแล้วคนเล่า แต่ฉากต่อจากนี้กลับทำให้ความประหลาดใจบนใบหน้าของพวกเขา เปลี่ยนเป็นความแปลกประหลาด

เพราะหลังจากที่หวังเป่าเล่อรับรู้ได้ถึงการดิ้นรนของสมุดแห่งโชคชะตา เงาของแผ่นไม้สีดำในมือขวาเปลี่ยนไปในทันที พลังที่แข็งแกร่งราวกับสามารถทำลายทุกสรรพสิ่ง การต่อต้านทั้งหมดของสมุดแห่งโชคชะตาถูกทำลายลงโดยตรง มีความรุนแรงเป็นอย่างมาก…ก่อนจะร่วงโรย

แปะ!

ฝ่ามือของหวังเป่าเล่อ วางลงบนสมุดแห่งโชคชะตา

สมุดแห่งโชคชะตาสั่นระริกอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับไม่ได้เต็มใจที่จะทำแม้แต่น้อย แต่เป็นเพราะไม่มีทางเลือกอื่นจึงทำได้เพียงแค่กระจายความผันผวนออกมาอีกครั้ง ก่อนจะกระจายทั่วดาวชะตา…

โลกที่อยู่ตรงหน้าของหวังเป่าเล่อ เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง…ครั้งนี้แตกต่างจากก่อนหน้า ภาพที่เขาเห็นไม่ได้มีแค่ภาพเดียว แต่เป็น…ภาพที่เกิดขึ้นติดต่อกัน

ราวกับว่าสมุดแห่งโชคชะตาไม่คิดจะซ่อนอีกแล้ว ทั้งยังปล่อยออกมาทั้งหมดภายในลมหายใจเดียว ราวกับว่าหากมันพูดได้ ก็คงจะบอกหวังเป่าเล่อว่า เจ้าอยากดูอะไรก็ดู ดูเสร็จแล้วก็เชิญออกไป…

จากนั้น หวังเป่าเล่อก็มองเห็นตนเอง…

เขาที่อยู่ในภาพ หลังจากงานฉลองวันอวยพรอายุของประมุขกฎสวรรค์จบลง ไม่ได้เลือกที่จะเดินทางกลับ แต่ยังคงอยู่บนดาวชะตาต่อ มองพระอาทิตย์และพระจันทร์สลับสับเปลี่ยนกัน มองดูดวงดาราหลากหลาย มองดูโลกที่เปลี่ยนไป

เขาเห็นการตายของปรมาจารย์แห่งไฟ เห็นการล่มสลายของสหพันธรัฐดาวโลก เห็นการจุติของสำนักแห่งความมืด เห็นการยกทัพจับศึกของศิษย์พี่เฉินชิงจื่อ และเห็นราชันเทวะไกก้าของเผ่าไม่รู้สิ้น

ชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน ดับสิ้นอย่างต่อเนื่องในปีหกสิบเก้าหลังจากนี้ และได้มาเกิดทีละคน ดวงดาวแต่ละดวง อารยธรรมแต่ละอย่าง ก็เป็นเช่นนี้

ในขั้นตอนนี้ มีคนจำนวนมากเดินทางมาที่ดาวชะตา มาที่นี่เพื่อเข้าคารวะประมุขกฎสวรรค์ และมาพบตนเอง ใบหน้าที่คุ้นเคยของปรมาจารย์แห่งไฟกำลังจะตาย หลี่หว่านเอ๋อร์ที่คุกเข่าอ้อนวอนไม่ยอมลุกขึ้นยืน จ้าวเยี่ยเหมิงและตน ได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง และเขาก็จมอยู่ในผงธุลี เรื่องนี้…ไม่ได้มีอารมณ์ที่ผันผวนแต่อย่างใด

หลังจากหกสิบแปดปี แสงที่มีสีสันสดใสก็ปรากฏขึ้นกลางจักรวาล ตอนที่ทุกอย่างหลอมละลาย และถูกกลืนกิน หวังเป่าเล่อเห็นตนเองและประมุขกฎสวรรค์มาที่ด้านบนทะเลหมอกของหลังคาสวรรค์ จ้องมองจักรวาล

“หกสิบแปดปีแล้ว”

“ถึงเวลาแล้วรึ?”

“มันคือจุดเริ่มต้น และเป็นจุดสิ้นสุด”

“ถ้าเช่นนั้น…ไว้เจอกัน ชาติต่อไปนะ”

“ไว้เจอกัน ชาติต่อไป”

ด้านบนทะเลหมอก เงาของประมุขกฎสวรรค์ และหวังเป่าเล่ออีกคน ยกมือคารวะกันและกัน ร่างกายค่อยๆ กลายเป็นความว่างเปล่า ประกอบกับแสงที่มีสีสันสดใสผสมผสานรวมเข้ากับความว่างเปล่า

ภาพได้หายไปแล้ว

ร่างของหวังเป่าเล่อกระตุกวูบหนึ่ง เขาค่อยๆ ลืมตา

ตอนที่เขาลืมตา กลางจักรวาลของจักรพิภพไม่รู้สิ้น ด้านในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย เต๋าเก้ารัฐถูกจัดเป็นสำนักอันดับหนึ่ง ครอบคลุมประตูภูเขาอันกว้างใหญ่ของดาราจักรแห่งอารยธรรมแสนกว่าบาน สถานที่แห่งหนึ่งในดาราจักรที่มีนามว่าธาราสวรรค์ มีเงาหนึ่งราวกับยักษ์กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่

ขนาดของเงานี้ เหมือนกับดารานิรันดร์!

เมื่อมองอย่างถี่ถ้วน ก็จะพบว่า…บุคคลผู้นี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นดารานิรันดร์ที่อยู่ในดาราจักร

แสงและความร้อนไม่สิ้นสุดแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย น่ากลัวถึงขีดสุด ส่วนเรื่องความแข็งแกร่ง เหนือกว่าผู้พิทักษ์เหล่านั้นที่อยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อ ราวกับแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเป็นดารานิรันดร์เช่นเดียวกัน แต่คนหนึ่งดูเหมือนคบเพลิง ส่วนอีกคนเป็นดวงอาทิตย์ที่แท้จริง

เขาคือเซียนเต๋าลำดับสองของเซียนเก้ารัฐผู้มีพลังการต่อสู้อันแรงกล้า ได้ละลายดารานิรันดร์จำนวนมากซึ่งเป็นวิธีต้องห้ามเพื่อตนเอง การบ่มเพาะอยู่ในขั้นปลายของระดับดารานิรันดร์แล้ว!

เซียนเต๋าลำดับสองกำลังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่กลางจักรวาล ความว่างเปล่าปรากฏอยู่ตรงหน้า ทุกอย่างเงียบสงัด มีเงาพระจันทร์เสี้ยวสีม่วงหนึ่งสายปรากฏออกมา ท้ายที่สุดก็ได้กลายเป็นภาพลวงตาซึ่งเป็นเงาของหญิงสาว แม้ว่าจะเลือนราง แต่ก็ทำให้คนรู้สึกได้ถึงความงามขั้นสุด

“ชงอี้จื่อ ตอนที่ข้าถ่ายทอดทักษะเวทให้แก่เจ้า เจ้าเคยพูดไว้ว่าจะรับปากข้าหนึ่งเรื่องอย่างไม่มีเงื่อนไข ตอนนี้ข้าต้องการให้เจ้าช่วยสังหารใครบางคน!”

………………………..

“เจ้าอ้วน อย่ามาเรียกข้าว่าอีอี พวกเราไม่ได้สนิทสนมกันถึงขั้นนั้น!” ภายในโสตประสาทของหวังเป่าเล่อ มีเสียงของแม่นางน้อยดังขึ้นหลังจากหายไปนาน

เมื่อได้ยินเสียงนี้ หวังเป่าเล่อก็ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เสียงนี้ทำให้เขารู้สึกว่า โลกใบนี้ช่างวิเศษเสียเหลือเกิน และดูเหมือนจะเปลี่ยนเป็นความจริงด้วย

“ก็ได้ งั้นข้าเรียกเจ้าว่าเถียนเถียนน้อยเป็นไง?”

“ไร้สาระ!” หวังอีอีที่อยู่ด้านในหน้ากากเปล่งเสียง ‘หึ’ หนึ่งเสียง ไม่ได้กล่าวอะไรอีก ทว่าเสียงที่เปล่งออกมากลับทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกมีความสุขไม่น้อย ขณะที่เงยหน้าขึ้นจึงมองไปทางฝั่งประมุขกฎสวรรค์

ประมุขกฎสวรรค์ก็กำลังมองมาที่เขาเช่นกัน นัยน์ตาคู่นั้นแอบแฝงด้วยความหมายสุดลึกล้ำ

หลังจากที่ทั้งคู่สบตากัน ต่างฝ่ายต่างดึงสายตากลับไป งานเลี้ยงวันอวยพรฉลองอายุยังคงดำเนินต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเสียงเทพธิดา หรือจะเป็นเสียงอวยพรฉลองอายุที่ดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า บนดาวเคราะห์ชะตาแห่งนี้ เสียงดังก้องกังวานยังคงดำเนินไปเรื่อยๆ และในตอนที่พระจันทร์ลอยสูงขึ้นประมุขกฎสวรรค์จึงแสดงธรรม สิ่งที่เขาพูดถึงคือโชคชะตา

ทุกคนที่อยู่ทั่วทั้งจตุรทิศกำลังฟัง ภาพเงาทั้งหมดที่อยู่บนเกาะกำลังฟัง มีเพียงหวังเป่าเล่อ…ที่ไม่ได้ฟัง เพราะข้างหูของเขา หลังจากที่แม่นางน้อยเงียบไปครู่หนึ่ง จู่ๆ นางก็เอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง

ครานี้ เสียงของนางค่อนข้างทุ้มต่ำ และดูมั่นใจมากยิ่งขึ้น

“เจ้าอ้วน เจ้าคิดดีแล้วจริงๆ รึ?”

“คิดดีแล้ว” หวังเป่าเล่อตอบกลับ

“เจ้ายังไม่ถามข้าเลยนะ ว่าข้าถามเจ้าเรื่องอะไร จู่ๆ ก็ตอบมาว่าคิดดีแล้วเนี่ยนะ? ไม่มีความจริงใจเอาเสียเลย!”

“พันธนาการของข้าล้ำลึกเกินไป สิ่งที่รบกวนความคิดข้าก็มากมายเกินไปเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่อาจเป็นเทพเจ้าที่ไม่แยแสทางโลกได้” หวังเป่าเล่อยิ้ม รอยยิ้มของเขาดูสดใสมาก ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นความบริสุทธิ์เกินกว่าจะหาสิ่งใดเทียบเทียม ดุจดั่งกวางขาว

“ทำไมล่ะ?”

“เพื่อตัวข้าเอง รวมถึงตัวเจ้าด้วย” หวังเป่าเล่อกะพริบตาขณะกระซิบบอก

แม่นางน้อยเงียบเสียง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ก็มีเสียงแผ่วเบาที่หวังเป่าเล่อแทบจะไม่ได้ยินดังขึ้น

“ขอบใจ”

หวังเป่าเล่อไม่ได้เอ่ยอะไร รู้ตัวอีกทีการแสดงธรรมเรื่องโชคชะตาของประมุขกฎสวรรค์ก็สิ้นสุดลง แสงอาทิตย์แรกเริ่มปรากฏขึ้นแล้ว ดวงอาทิตย์แรกของหลังคาสวรรค์ได้ปรากฏขึ้นแล้ว เมื่อช่วงกลางดึกผ่านพ้น งานเลี้ยง…จึงเข้าสู่ช่วงสุดท้าย

“ขอให้สหายน้อย เข้าร่วมการตระหนักรู้สมุดแห่งโชคชะตา เพื่อดูภาพในอนาคตของเจ้า!” ผู้รับใช้เฒ่าที่อยู่ข้างกายประมุขกฎสวรรค์ก้าวเท้าเดินออกมา หลังจากขอคำชี้แนะจากประมุขกฎสวรรค์ จึงหันมามองหวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ

ตอนที่สายตากวาดมองมาที่หวังเป่าเล่อ ก็รีบมองไปทางอื่นโดยไม่รู้ตัว สหายน้อยที่เอ่ยถึง เห็นได้ชัดว่าไม่ได้รวมหวังเป่าเล่ออยู่ในนั้น ในฐานะที่เป็นผู้ติดตามข้างกายของประมุขกฎสวรรค์ เขาย่อมเคารพประมุขกฎสวรรค์ถึงขั้นสุด และด้วยเหตุนี้ เขาจึงรู้สึกได้อย่างแจ่มชัดว่า…ประมุขกฎสวรรค์ปฏิบัติต่อหวังเป่าเล่อแตกต่างจากผู้อื่น

ราวกับว่า สถานะของพวกเขา ไม่ได้มีใครสูงกว่าใคร แต่อยู่ในระดับที่เท่าเทียมกัน

เป็นเพราะความเท่าเทียมกันนี้ ทำให้ผู้รับใช้เฒ่าแอบตกตะลึงอยู่ภายในใจ ดังนั้นตามสัญชาตญาณแล้ว ย่อมไม่กล้าเรียกอีกฝ่ายว่าสหายน้อย

ครั้นคำพูดนี้ถูกเปล่งออกมา สีหน้าของนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าและเซียนเต๋าเก้ารัฐก็แสดงออกถึงความตื่นเต้น รวมถึงเซี่ยไห่หยางและซิงจิงจื่อด้วย

สำหรับพวกเขา แม้การรำลึกอดีตชาติจะทำให้กอบโกยได้อย่างมหาศาล แต่เมื่อเทียบกับการที่จะได้เห็นภาพในอนาคต สิ่งหลังเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งกว่า เรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว ไม่อาจแก้ไขได้ แต่อนาคตสามารถไขว่คว้าไว้ได้!

เซี่ยไห่หยางและซิงจิงจื่อก็คิดเช่นนี้ ดวงตาของทั้งคู่เป็นประกาย ขณะมองไปยังประมุขกฎสวรรค์

มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ใบหน้ายังคงเรียบเฉย ไม่ได้มีความผันผวนแม้แต่น้อย เขาได้ทราบประวัติของสมุดแห่งโชคชะตาเล่มนี้ และเข้าใจถึงภาพอนาคตทั้งหมดแล้ว มันก็เป็นเพียงแค่วิถีโชคชะตาเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตในชาตินี้ตามที่มีการบันทึกไว้ รวมถึงวิธีการบางอย่างในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

กล่าวตามความเป็นจริง มันก็มีด้านที่เป็นความจริง แต่ถ้าหากให้กล่าวถึงเรื่องเท็จ ก็มีเหตุผลด้วยเช่นเดียวกัน เพียงแต่สำหรับคนส่วนใหญ่ พวกเขาอาจไม่มีสิทธิ์เปลี่ยนวิถีแห่งโชคชะตาของตนเอง ดังนั้นการมองเห็นภาพในอนาคตก็สามารถเปลี่ยนให้เป็นเรื่องจริงได้

ความแตกต่างในการรับรู้ ทำให้อารมณ์ของหวังเป่าเล่อเป็นปกติ เขามองไปยังผู้คนรอบตัวที่กำลังตื่นเต้น ได้แต่ยิ้มแต่ก็ไม่ได้เอ่ยวาจาใดออกมา เพียงไม่นาน นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าผู้นั้น หลังจากที่ผู้รับใช้เฒ่าของประมุขกฎสวรรค์เอ่ยปากเชื้อเชิญ เขาก็ลุกขึ้นยืนเป็นคนแรก และรีบบึ่งเข้าไปหาประมุขกฎสวรรค์ทันที

เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าประมุขกฎสวรรค์ นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าผู้นี้ยกมือคารวะด้วยความตื่นเต้น หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ ประมุขกฎสวรรค์พลันโบกมือ ประกอบกับปราณแห่งความผันผวนโบราณ สมุดแห่งโชคชะตาที่มีพลานุภาพขั้นสูงสุดก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้ายกมือขึ้น และกดลงบนสมุดแห่งโชคชะตา!

ยามที่วางฝ่ามือลงไป ร่างของนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าพลันกระตุกอย่างรุนแรง นัยน์ตาของเขาเผยให้เห็นความน่าเหลือเชื่อและตกตะลึง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นติดต่อกันสามอึดใจ ในที่สุดร่างของเขาก็ถอยผงะออกไปเพราะไม่อาจรับไหว กระทั่งถอยออกไปสิบกว่าจั้ง ร่างก็ยังสั่นเทิ้มไม่หยุด ดวงตายังคงประกายด้วยความตื่นตระหนก เขารีบหมุนตัวหันมามองหวังเป่าเล่อโดยพลัน!

“เจ้า…” เมื่อนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าหันมองมาที่หวังเป่าเล่อ สายตาของเขาฉายความตื่นตระหนกราวกับเห็นผี ฉากนี้ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นโดยรอบ หวังเป่าเล่อที่เดิมทีไม่ได้คาดหวังและสนใจอะไร หรี่ตาลงเล็กน้อย

แต่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อเสียดายก็คือ นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าผู้นี้ ยังเอ่ยไม่ทันจบประโยค ก็หายใจเข้าอย่างต่อเนื่อง และหันไปยกมือคารวะให้กับประมุขกฎสวรรค์ ก่อนจะหยิบกระดาษสีทองหนึ่งใบออกมาอย่างไม่ลังเล ยามที่ฉีกกระดาษจนขาด ร่างกายของเขาก็ถูกปกคลุมด้วยหมอกที่กระจายออกมาจากกระดาษฉีกขาดใบนั้น ก่อนจะหายวับไปกับตา!

สิ่งนี้ทำให้ผู้คนที่อยู่โดยรอบประหลาดใจ และเกิดความโกลาหลมากยิ่งขึ้น

“นี่มันเรื่องอะไรกัน!”

“เคลื่อนย้ายไปแล้วหรือ?”

“เหตุใดสายตาที่จ้องมองหวังเป่าเล่อถึงได้แฝงด้วยความตื่นตระหนก!!!”

“เงียบเสียง!” ความโกลาหลของทุกคนสิ้นสุดลง เมื่อเสียงของผู้รับใช้เฒ่าของประมุขกฎสวรรค์ดังขึ้น แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่เปล่งเสียงพูดออกมา ตอนนี้สายตาก็ได้จ้องมองไปที่หวังเป่าเล่อเป็นตาเดียว

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย เขารู้สึกว่าเรื่องนี้มีบางอย่างผิดปกติ แม้ว่าทั้งหมดนี้จะดูเหมือนว่านายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าผู้นั้นเห็นเรื่องราวของตนเอง แต่ก็มีความเป็นไปได้อีกสิ่งหนึ่ง

“หมอนี่คงไม่ได้จงใจทำเช่นนี้ เพื่อหลอกข้าใช่ไหม?” ระหว่างที่หวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิด เซียนเต๋าเก้ารัฐพลันสูดหายใจเข้าลึกๆ และย้ายไปหยุดอยู่ตรงหน้าสมุดแห่งโชคชะตา หลังจากคารวะประมุขกฎสวรรค์แล้ว เขาจึงกดฝ่ามือลงบนสมุดแห่งโชคชะตา

เวลาของเขาไม่ได้ต่างจากนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้า ใช้เวลาไปทั้งสิ้นสามอึดใจ ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มขณะถอยผงะออกไป ใบหน้าขาวซีดไร้สีเลือดฝาดขณะหันมามองหวังเป่าเล่อ ครั้งนี้ไม่รอให้อีกฝ่ายเอ่ยวาจาใด เสียงของหวังเป่าเล่อพลันถูกส่งออกไปทั่วด้าน

“เจ้าเห็นอะไร?”

เซียนเต๋าเก้ารัฐเงียบไปไม่กี่อึดใจ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“ข้าเห็นตนตายด้วยเงื้อมมือของเจ้า” กล่าวจบ เขาก็หมุนตัวลอยออกจากเกาะ พุ่งตรงไปยังหลังคาสวรรค์โดยไม่หันกลับมา ทุกคนต่างเกิดความประหลาดใจขึ้นอีกครั้ง และหันมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาแปลกประหลาด

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วโดยไม่ได้ลั่นวาจาใดออกมา ซิงจิงจื่อที่อยู่ข้างๆ ลุกขึ้นยืน เขาเดินไปที่ด้านข้างของสมุดแห่งโชคชะตา หลังจากกดฝ่ามือลงบนนั้น เวลาของเขาดำเนินต่อไปเป็นเวลาห้าอึดใจ

หลังจากผ่านไปห้าอึดใจ เขายกฝ่ามือขึ้นด้วยใบหน้านิ่งสงบ แหงนหน้ามองท้องนภาเพื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงสัมผัสเข้ากับใบมีดวิเศษที่อยู่ด้านหลัง และชำเลืองมองมาที่หวังเป่าเล่อ เขาทำท่าราวกับจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ท้ายที่สุดก็ทำแค่เพียงยกมือขึ้นคารวะประมุขกฎสวรรค์และหวังเป่าเล่อ ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป

ครั้งนี้ หวังเป่าเล่อรู้สึกประหลาดใจจริงๆ เขาอาจจะไม่เชื่อท่าทางของนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าและเซียนเต๋าเก้ารัฐได้ แต่เห็นได้ชัดว่าซิงจิงจื่อไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ก่อนจะหันไปมองเซี่ยไห่หยาง

เซี่ยไห่หยางเองก็ใคร่รู้เช่นกัน หลังจากพยักหน้าให้หวังเป่าเล่อแล้ว จึงลุกขึ้นและเดินตรงเข้าไป เมื่อกดฝ่ามือลงบนสมุดแห่งโชคชะตา เวลาของเขาแตกต่างจากซิงจิงจื่อ เพราะใช้เวลาเพียงแค่สองอึดใจก็ถอยผงะออกมาแล้ว ความประหลาดใจพลันฉายชัดอยู่นัยน์ตาคู่นั้น ท่ามกลางสายตาของทุกคนโดยรอบที่มองมาโดยไม่กะพริบตา เขาเองก็มองไปที่หวังเป่าเล่อ และส่งดวงจิตเทพออกมา

“อาจารย์อาเป่าเล่อ มีบางอย่างไม่ถูกต้อง…ข้าไม่รู้ว่าควรจะอธิบายภาพที่ข้าเห็นอย่างไร มันดูเหมือนกับไม่ใช่ภาพ แต่เป็นการรับรู้บางอย่าง วันหนึ่งในภายภาคหน้า ท่าน…ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ท่านอีกต่อไป”

“ชักน่าสนใจแล้วสิ…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง นัยน์ตาพลันเกิดแสงสว่างกะพริบวูบหนึ่ง เขาลุกขึ้นยืน เดินตรงไปที่สมุด แห่งโชคชะตา หลังจากขยับเข้าใกล้สมุดแห่งโชคชะตา หวังเป่าเล่อไม่ได้ยกมือกดลงบนนั้นในทันที แต่กลับมองไปทางประมุขกฎสวรรค์ ยกมือขึ้นคารวะหนึ่งครั้ง เมื่อเงยหน้าขึ้นจึงเอ่ยถามอย่างจริงจังว่า

“ท่านประมุข พวกเขาเห็นอะไรรึ?”

“ข้าเองก็ไม่รู้” ประมุขกฎสวรรค์ส่ายหน้า เขาไม่ได้โกหก เพราะเขาไม่อาจรู้อนาคตของทุกคนได้

“แบบนี้เองรึ…” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด แสงสว่างภายในดวงตาคู่นี้เป็นประกายมากขึ้นเรื่อยๆ เขายกมือขวาขึ้นและกดลงบนสมุดแห่งโชคชะตา ยามที่กดฝ่ามือลงไป มือขวาของเขาพลันปรากฏเงาเลือนรางของแผ่นไม้สีดำก่อนจะหายไป

แปะ!

สมุดแห่งโชคชะตา สั่นสะเทือนครั้งแรกในประวัติศาสตร์ราวกับทนไม่ไหว ความผันผวนกระจายทั่วทั้งจตุรทิศ และดาวชะตา โดยยึดหวังเป่าเล่อเป็นจุดศูนย์กลาง!

เวลานี้ เงาในอนาคตได้แสดงขึ้นในตาของหวังเป่าเล่อแล้ว!

………………………………………………

“ขอบคุณสหายเต๋าที่ช่วยเหลือ!”

ในตอนที่สวี่อินหลิงคารวะกล่าวขอบคุณ ผู้ฝึกตนทั้งหมดที่อยู่บนอสูรดึกดำบรรพ์ทั้งสามสิบเก้าตัวที่อยู่รอบๆ ต่างพากันหน้าถอดสี ขณะมองมาทางหวังเป่าเล่อเป็นตาเดียว

ความแปลกใจพลันฉายชัดอยู่บนใบหน้าของพวกเขา มีคนจำนวนไม่น้อยที่ถึงขั้นตกอยู่ในภวังค์ ความเป็นจริงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เสียงที่หวังเป่าเล่อเคาะลงบนโต๊ะเปี่ยมล้นด้วยพลังที่ไม่อาจบรรยายได้ ราวกับส่งผลกระทบต่อกฎ จึงมีพลังที่ทำให้จิตวิญญาณของผู้คนสั่นสะท้าน

ดังนั้นดวงวิญญาณเทพของผู้ที่ได้ยินต่างพากันสั่นคลอน กอปรกับดวงตาที่จ้องมองไปยังผู้อยู่ใต้เสื้อคลุมสีดำที่แสนลึกลับผู้นั้น ภายใต้เสียงนี้ ร่างนั้นได้มลายหายไป ฉากนี้ทำให้ผู้คนเกิดความหวาดกลัวภายในก้นบึ้งของหัวใจ ในเวลาเดียวกันความสงสัยอันแรงกล้าก็ลอยขึ้นมาในหัวอย่างไม่อาจควบคุมได้

“หวังเป่าเล่อผู้นี้…มีบางอย่างผิดปกติ!”

“เหตุใดข้าจึงรู้สึกได้ว่า หลังจากที่เขาออกมาจากการทดสอบครานี้ ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับเขาโดยที่ไม่อาจบรรยายได้ บนร่างของเขามีบุคลิกที่แปลกประหลาดบางอย่าง”

“แม้ว่าก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อจะมีความแข็งแกร่ง แต่ก็เหนือกว่าข้าไม่มาก แต่ตอนนี้ข้ากลับรู้สึกว่า…ยามที่มองไปที่เขา ราวกับเห็นภาพลวงตาที่ดูเหมือนผู้เยี่ยมยุทธ์อาวุโสประตูบรรพชน แต่เห็นได้ชัดว่าการบ่มเพาะของเขายังไปไม่ถึง!”

“ไม่ว่าจะเป็นหมัดเพียงหมัดเดียวเมื่อครู่ที่ทำให้นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้ผู้ฝึกตนลำดับสิบเจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐยอมก้มหัวให้ ทำให้ประมุขกฎสวรรค์ลุกขึ้นคารวะตอบ และทำให้เกิดเสียงประหลาดใจ แต่ก็มีเพียงคำตอบเดียว…ในการระลึกชาติของหวังเป่าเล่อผู้นี้ ย่อมได้รับสิ่งที่เหนือความคาดหมายอย่างแน่นอน!”

ขณะสัมผัสสวรรค์ของทุกคนเกิดคลื่นลูกใหญ่ถาโถม ราวกับสัมผัสสวรรค์ถูกกระทบจากเสียงนั้น หวังเป่าเล่อก้มหน้ามองมือที่เคาะโต๊ะ อดีตชาติที่อยู่ในสมองของเขาได้เปลี่ยนภาพแบบฉากต่อฉาก

ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ถึงบางสิ่ง

ตนในตอนนี้ คาดว่าคงอยู่ในสถานะพิเศษเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่ระลึกถึงอดีตชาติที่ห้าแล้ว ก็สามารถได้ว่าวิญญาณได้กลับไปอย่างสมบูรณ์ครั้งหนึ่งแล้ว หากใช้คำว่าเป็นอมตะก็คงไม่ใช่คำพูดเกินกว่าเหตุ

เป็นเพราะการตาย ไม่ใช่จุดจบของเขา ในชาติหน้าก็ยังมีชีวิตต่อไป เพียงแต่ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวจะเปลี่ยนบทบาททั้งหมดก็เท่านั้น โลกทั้งใบคล้ายกับสวรรค์ที่เป็นตัวต่อไม้ทับซ้อนกัน แต่ละชาติก็แค่เป็นการถล่มของตัวต่อไม้ ตัวต่อไม้ที่แตกต่างกัน วางในตำแหน่งที่ไม่เหมือนกัน และทับซ้อนในรูปทรงที่แตกต่างกัน

ต่อให้การบ่มเพาะไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุด แต่ภายในชาตินี้ ตราบใดที่เขาเลือกที่จะไม่แปดเปื้อนกับเหตุต้นผลกรรม ก็ไม่มีใครสามารถสังหารเขาได้ เพียงแต่ข้อแลกเปลี่ยนก็คือการเฉยเมยต่อทุกสิ่ง มองดูสวรรค์และพิภพขึ้นสูงลงต่ำ มองจักรวาลที่สลัว มองโลกที่เกิดการเปลี่ยนแปลง

มองดูจุดจบของชาตินี้อย่างเงียบๆ มองดูผู้คนหายไป ราวกับดวงจิตของเทพที่มองจากเบื้องบน!

นี่คือถนนสายหนึ่ง และเป็นทางเลือกของชีวิต หลังจากเสียงก้องกังวานจากการเคาะได้ปรากฏขึ้นในจิตใต้สำนึกของหวังเป่าเล่อ ทำให้เขาเข้าใจถึงทุกสิ่ง

“ถนนเส้นนี้…เหมาะสมกับข้าหรือเปล่านะ?” หวังเป่าเล่อหลับตาลง.ไอรีนโนเวล.

ในเวลานี้ทุกคนที่อยู่รอบด้านต่างมองมาทางหวังเป่าเล่อ ทั้งยังมีเงาภาพเหล่านั้นที่อยู่กลางเกาะบนภูเขาไฟ และ…ประมุขกฎสวรรค์

ทั้งแปดสิบเก้าคนล้วนดวงตาเป็นประกายด้วยความฉงน เมื่อครู่ร่างกายของพวกเขาพร่ามัวไปชั่วขณะหนึ่ง ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป ดังนั้นคนนอกจึงไม่ทันได้สังเกตเห็น

ทว่าประมุขกฎสวรรค์กลับสังเกตเห็น เขาหรี่ตาลง ความฉงนแอบซ่อนอยู่ในแววตาของเขา ครั้นพินิจหวังเป่าเล่ออย่างถี่ถ้วนแล้ว ริมฝีปากของเขาไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่กลับมีดวงจิตเทพที่ส่งเสียงผันผวนดังสะท้อนอยู่ในโสตประสาทของหวังเป่าเล่อ

“เจ้ารู้หรือไม่ หลังจากที่เจ้ากลับมา การเรียกเจ้าว่าเทพเจ้าก็ไม่ใช่คำพูดเกินจริง เพราะเจ้าแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง”

“ข้าทราบ วิญญาณเป็นอมตะ เทพเจ้ากลับชาติมาเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า” หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้น และตอบกลับด้วยท่าทางนิ่งสงบ

“ในเมื่อเจ้าทราบแล้ว ก็คงจะรู้คำตอบบางส่วนด้วย เหตุใดเจ้าจึงอยากปนเปื้อนเหตุต้นผลกรรม? ไม่แยแสต่อโลกเช่นข้า ไม่แปดเปื้อนเหตุต้นผลกรรม มองดูโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง หลังจากผ่านไปหกสิบแปดปี ชาตินี้ก็จะเข้าสู่การเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง นี่เป็นตัวเลือกที่ดีและสมควรที่สุดไม่ใช่หรอกรึ?”

หวังเป่าเล่อเข้าสู่ความเงียบเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ประโยคนี้ หากพูดให้ผู้อื่นฟัง คงไม่มีใครเข้าใจความหมาย มีเพียงเขาเท่านั้นที่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไร

ทว่าเขาไม่เต็มใจให้เป็นเช่นนี้ เช่นเดียวกับตอนที่เขาอยู่ในชาติที่หก ชาติที่เจ็ด ชาติที่แปด และชาติที่เก้า การระลึกชาติของคนอื่นๆ ที่คิดอยากจะออกไปดูนอกโลก แท้จริงแล้วเป็นความคิดอย่างไรกันแน่

เขาไม่อยากวุ่นวายแบบนี้ไปทุกชาติ ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในขอบเขตตลอด อดีตชาติผ่านพ้นไปแล้ว เขาไม่สามารถตัดสินใจได้ แต่ในชาตินี้…เขาสามารถไขว่คว้าได้

แม้ว่า…มันจะเป็นลางสังหรณ์ของเขา หากไม่เลือกเส้นทางที่เฉยเมยต่อทุกสิ่ง เปลี่ยนจากเทพกลับสู่มนุษย์ เดินอยู่บนเส้นทางอื่น เขาก็ต้องแลกกับบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก

“วานรเฒ่า ท่านใช้ชีวิตมาคราแล้วคราเล่า เพื่อพิสูจน์การมีอยู่ที่แท้จริงของท่าน หรือการมีอยู่ที่ผ่านมา?” หวังเป่าเล่อมองไปยังประมุขกฎสวรรค์ และส่งดวงจิตเทพออกไปเช่นเดียวกัน

ประมุขกฎสวรรค์เงียบขรึม หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า

“เจ้าเองก็น่าจะทราบดี ชาตินี้ไม่เหมือนกับแปดสิบเก้าชาติก่อนหน้านี้…ข้ามีลางสังหรณ์ว่า หากชาตินี้ดับสิ้นลง มันก็จะ…หายวับไปกับตาและไม่มีอีกต่อไป หากไม่แปดเปื้อนกับเหตุต้นผลกรรม เจ้าก็จะมีชาติหน้าอีก”

“เมื่อเทียบกับการมีตัวตนด้วยการเฝ้ามองอย่างเงียบๆ ข้าอยากอยู่อย่างมีความสุขโดยไม่รู้สึกเสียใจมากกว่า!” หลังจากหวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ เขาจึงแสดงความคิดออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว

“ข้าไม่เข้าใจ ก็เหมือนกับที่ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดชาตินั้นเจ้าจึงคิดอยากจะชนจักรวาลให้แตก…เจ้ามีอิทธิพลต่อเสือน้อย และจิ้งจอกน้อย พวกมันต่างก็เหมือนกับเจ้า เลือกที่จะออกไป แต่ข้าจะไม่ห้ามเจ้า” ประมุขกฎสวรรค์ทอดถอนใจเบาๆ

“ขอบคุณ” หลังจากหวังเป่าเล่อพยักหน้าส่งสัญญาณ ประมุขกฎสวรรค์พลันดึงสายตากลับไป

นอกจากตอบกลับประมุขกฎสวรรค์แล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้คิดจะใส่ใจคนอื่นๆ ที่อยู่โดยรอบ เขาหยิบแก้วสุราขึ้นมาด้วยท่าทางปกติ ยกแก้วแตะริมฝีปากเพื่อดื่มลงคอ จากนั้นจึงเอ่ยกับสวี่อินหลิงที่เข้ามาหาเขาอีกครั้งว่า

“ถอยออกไปเถอะ”

คำพูดเบาๆ ลอยออกไป ทว่าคำพูดที่ออกมาจากปากของหวังเป่าเล่อ ประกอบกับพลังเทพของเขาก่อนหน้านี้ หลังจากที่ได้ยินเขาเอ่ย สวี่อินหลิงที่ค้อมคำนับอีกครั้งด้วยความเคารพ ก็รู้สึกได้ถึงความลึกลับบนตัวของหวังเป่าเล่อที่รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

เขานั่งอยู่ตรงหน้า แม้ว่าการบ่มเพาะจะไม่ได้มากมายอะไรเมื่อเทียบกับเงาภาพอื่นๆ แม้แต่ดารานิรันดร์ก็ไม่ใช่ เพียงแต่…ท่ามกลางสายตาของทุกคน แม้ว่าเขาจะนั่งอยู่ตรงนั้น แต่เมื่อความรู้สึกแปลกประหลาดถูกส่งออกมา ภายในใจของทุกคนที่อยู่รอบตัวต่างเกิดเป็นความหวาดกลัวที่ไม่อาจอธิบายได้

หวังเป่าเล่อไม่ได้ตั้งใจให้เป็นเช่นนี้ หลังจากระลึกถึงประสบการณ์ของทั้งสิบชาติแล้ว เขาได้ผ่านการเปลี่ยนแปลงมามากมาย ด้านหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงคือการบ่มเพาะที่สูงขึ้น แต่ยิ่งกว่านั้นก็คือความแตกต่างของความรู้ความเข้าใจ!

ไม่ว่าเผ่าเทพจะพิชิตจักรวาลอย่างบ้าคลั่ง หรือจะเป็นความริษยาร้ายแรงของทหารที่คับแค้นใจ ทั้งหมดต่างก็ทำให้อารมณ์ของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น โดยเฉพาะชีวิตนั้นของกวางขาวน้อย และการกระโดดออกนอกโลก จนได้ไปเห็นผลกระทบการรับรู้ที่มาพร้อมกับโลง สิ่งนี้มีอิทธิพลต่อเขาเป็นอย่างมาก

แต่ผลกระทบทั้งหมดนี้ ก็ยังสู้ตอนที่เขาอยู่ในมือของซุนเต๋อเศษวิญญาณแห่งกู่ไม่ได้ ทั้งหมดที่เห็นรวมถึงประสบการณ์ต่างก็นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง นอกจากนี้…หลังจากที่ได้พูดคุยกับประมุขกฎสวรรค์เกี่ยวกับการเลือกของหวังเป่าเล่อ

ไม่เป็นเทพเจ้าจอมปลอมที่กลับชาติมาเกิด ก็ต้องเป็นความรุ่งโรจน์ของโลกนี้!

ส่วนสาเหตุที่สังหารคนสวมเสื้อคลุมดำ เพื่อช่วยสวี่อินหลิงก็เป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น เป้าหมายที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อ คือการตามหาจื่อเยว่ หรือไม่ก็ให้จื่อเยว่มาหาเขา!

“ข้าไม่เชื่อ ในชาติที่เก้าที่สวี่อินหลิงกลายเป็นปลาน้อย ท้ายที่สุดก็ถูกจื่อเยว่บีบคอจนตาย ทำให้ข้าไม่ได้รับฟังคำตอบ เป็นการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นเกี่ยวกับเบาะแสเดียวของตะขาบสีโลหิตในตอนนี้ บางทีอาจจะเป็น…จื่อเยว่!” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเกิดแสงสว่างวาบ การระลึกถึงอดีตชาติ สิ่งที่ทำให้เขาระมัดระวังมากที่สุด ตั้งแต่ต้นจนจบก็คือตะขาบสีโลหิต!

ตะขาบตัวนี้อาจเป็นตัวแทนของวัตถุ แต่มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะเป็นมนุษย์ หวังเป่าเล่อไม่มีเบาะแส แม่นางน้อยที่อยู่หลังหน้ากากก็เงียบขรึมตลอดเวลา ดังนั้นหากอยากเข้าใจถึงตัวตนของตะขาบยักษ์สีโลหิต หวังเป่าเล่อคิดว่า…จื่อเยว่อาจแก้ปัญหานี้ได้

ส่วนการบ่มเพาะของจื่อเยว่ รวมถึงวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้นจากฝีมือของนาง หวังเป่าเล่อก็พอจะคาดเดาได้ แม้ว่าจะอันตราย แต่หากพลาดโอกาสนี้ไป เขาเองก็ไม่รู้ว่าเมื่อไรจึงจะตามหาจื่อเยว่ได้จริงๆ เสียที

เมื่อเทียบกับอนาคตที่ไม่อาจควบคุมได้ อย่างน้อยเส้นสาย การบ่มเพาะ และภูมิหลังที่เขามีในตอนนี้ ก็สามารถทำให้วิกฤตลดน้อยลงได้ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงคิดว่านี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว

“จื่อเยว่ เจ้า…จะปรากฏตัวออกมาหรือไม่!” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจ จากนั้นจึงก้มมองหน้าอกตนเอง ด้านในเสื้อมีชิ้นส่วนหน้ากากเสียบอยู่

“อีอี เจ้าคิดว่าไง”

………………………..

เมื่อหวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ นั่งลงแล้ว บรรยากาศภายในงานอวยพรฉลองอายุแห่งนี้พลันเกิดความประหลาดขึ้นเล็กน้อย ทั้งๆ ที่ประมุขกฎสวรรค์ควรเป็นศูนย์รวมสายตาเพียงหนึ่งเดียวของทุกคน ทว่าบัดนี้ผู้ฝึกตนมากกว่าครึ่งต่างพากันจ้องมองไปยังหวังเป่าเล่อที่อยู่บนตัวของอสูรดึกดำบรรพ์ที่อยู่ตรงปล่องภูเขาไฟ

คนที่อยู่ที่นี่ มีทั้งคนที่เคยเข้าร่วมการทดสอบและคนที่ไม่ได้เข้าร่วม สวี่อินหลิงและเฉินหานที่ร่างกายได้รับการฟื้นฟูแล้วก็อยู่ในกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย เพียงแต่เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ทั้งสองต่างรับรู้ความจริงอย่างเห็นได้ชัด

“สมกับที่เป็นท่านพ่อ แข็งแรง สุดยอด!” เฉินหานลอบถอนใจอยู่ภายในใจ ทั้งยังรู้สึกว่าการได้รับโอกาสมีชีวิตอีกครั้งในครานี้ ก็เพื่อได้เจอกับบิดา

ทางฝั่งสวี่อินหลิง ร่างกายสั่นเทาไปทั่วทั้งตัว ความรู้สึกเมื่อได้เห็นหวังเป่าเล่อระลึกถึงชาติที่สิบอันเปรียบเสมือนแก่นแท้ของโลกพลันผุดขึ้นมาอีกครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ ลมหายใจหอบถี่โดยไม่รู้ตัว ใบหน้าก็แดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย…

ยิ่งประหม่า ก็ยิ่งตกใจ นางรู้สึกตื่นเต้นมากอย่างไม่สามารถอธิบายได้…

ผู้ที่มองหวังเป่าเล่อในเวลานี้ ไม่เพียงแต่ผู้ฝึกตนที่อยู่บนตัวของอสูรดึกดำบรรพ์รอบปล่องภูเขาไฟเท่านั้น ยังมีเซี่ยไห่หยางและซิงจิงจื่อที่อยู่ในเกาะว่างเปล่าบนภูเขาไฟด้วย

เซี่ยไห่หยางใจสั่นสะท้านเช่นเดียวกัน แต่เขาเข้าใจหวังเป่าเล่อมากกว่าใคร ดังนั้นต่อให้เห็นว่าอีกฝ่ายนั่งอยู่ตรงนั้น ก็ยังเป็นดั่งศัตรูตัวฉกาจอยู่ดี ด้านนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าและเซียนลำดับเจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐ แม้จะไม่ทราบความจริง แต่ก็พอจะเดาคำตอบได้

เหตุผลที่เขาระลึกชาติได้สำเร็จ แม้จะเกี่ยวข้องกับตนเอง แต่ที่มากไปกว่านั้นก็เป็นเพราะระยะทางอันห่างไกลของดินแดนแห่งการทดสอบ ทำให้เขาได้รับผลกระทบไม่มาก ความโชคดีนี้ต่างหากเล่าที่เป็นสิ่งสำคัญ

“แต่เมื่อเทียบกับอาจารย์อาเป่าเล่อแล้ว…ข้าก็ยังสู้ไม่ได้อยู่ดี เขาเป็นคนดุร้าย เมื่อครู่ครั้นได้เห็นเขาลงมือ ความแข็งแกร่งจากพลังต่อสู้หากเทียบกับการทดสอบก่อนหน้านี้ ช่างเป็นการเติบโตที่น่าเหลือเชื่อเสียจริง!” เซี่ยไห่หยางสูดลมหายใจเข้าลึก ภายในใจก็คิดว่าต้องทำดีกับอีกฝ่ายต่อไป หากเป็นเช่นนี้ วิกฤตของบิดาทางฝั่งนั้น ย่อมแก้ไขได้

ส่วนซิงจิงจื่อที่สวมใส่ด้วยชุดคลุมดำ แบกกระบี่เล่มโตไว้ด้านหลังและมีวิญญาณชั่วร้ายที่แข็งแกร่งผู้นั้น หน้าตาของเขาดูเคร่งขรึมยิ่งนัก ขณะที่สายตากวาดมองไปยังหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาก็แอบซ่อนด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ ไม่ได้คิดจะเป็นศัตรู เพียงแต่มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เท่านั้น

ดูเหมือนว่าจะรับรู้ได้ถึงจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขา กระบี่เล่มโตที่อยู่ด้านหลังซึ่งเป็นใบมีดวิเศษที่ถูกเล่าลือสั่นเล็กน้อย ทว่าการสั่นสะเทือนนี้กลับทำให้เกิดความผันผวนขึ้นภายในใจของซิงจิงจื่อ

เป็นเพราะเขามีความรู้สึกต่อจิตวิญญาณของใบมีดวิเศษเล่มนี้ ดังนั้นเขาจึงตระหนักได้โดยพลันว่า การสั่นสะเทือนเช่นนี้ไม่ใช่เพราะความตื่นเต้นที่จะถูกดึงออกจากฝัก แต่เป็นเพราะ…สั่นเทาต่างหากเล่า!

“สั่นเทา? ใบมีดวิเศษของข้า ดูเหมือนว่ากำลังหวาดกลัว…” บทสรุปนี้ทำให้ซิงจิงจื่อชะงัก และตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด

ไม่เพียงแค่พวกเขาที่กำลังเฝ้าสังเกตหวังเป่าเล่อ แต่ยังมี…เงาภาพที่ดูเหมือนจะไม่มีตัวตนอยู่บนเกาะแห่งนี้ด้วย เงาภาพเหล่านี้ หลังจากที่ประมุขกฎสวรรค์คารวะตอบหวังเป่าเล่อ ต่างก็ค่อยๆ หันหน้ากลับมา สายตาของแต่ละคนจับจ้องไปที่ร่างของหวังเป่าเล่อ

สำหรับเงาภาพเหล่านี้ คราที่หวังเป่าเล่อยังไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบ เขารู้สึกได้ว่าคนเหล่านี้ยากแท้หยั่งถึง ทว่าบัดนี้ความคิดนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว

นอกจากสิ่งนี้ ยังมีผู้รับใช้เฒ่าที่อยู่ข้างกายประมุขกฎสวรรค์ สายตาที่จ้องมองมายังหวังเป่าเล่อฉายความฉงน บัดนี้การอวยพรวันฉลองอายุกำลังเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว ดังนั้นผู้รับใช้เฒ่าจึงไม่ได้มีเวลาให้ครุ่นคิดมากนัก เขาสะบัดแขนเสื้อ เสียงที่ฟังดูผันผวนพลันกระจายทั่วทั้งแปดทิศ

“เริ่มพิธี!”.Aileen-novel.

เสียงเซียนพราวเสน่ห์ ดังลงมาจากเบื้องบน ด้วยท่วงทำนองที่สง่างาม ดวงจิตแห่งความว่างเปล่า ก้องกังวานไปทั่วดาวชะตา ผู้ที่ได้ยินต่างก็รู้สึกถึงความคิดฟุ้งซ่านภายในใจ ก่อนจะค่อยๆ มลายหายไป พวกเขาดื่มด่ำอยู่กับเสียงธรรมชาติ ทั้งยังมีเงาของเทพธิดาที่ดูราวกับกำเนิดขึ้นจากบทเพลงมายาร่างแล้วร่างเล่า พวกนางเดินออกมาจากพิภพเชื่อมสวรรค์ มาพร้อมกับสุราเซียนท้อชั้นดี เมื่อลงมาถึงเกาะ ก็เริ่มยกกาน้ำลงบนโต๊ะน้ำชาแต่ละโต๊ะด้วยความนอบน้อม

ส่วนผู้ฝึกตนที่อยู่บนตัวของอสูรดึกดำบรรพ์เหล่านั้นก็ไม่ได้ถูกละเลย ขณะที่ลมบางเบาและเสียงเทพธิดาพัดผ่าน พวกเขาต่างได้รับสุราเซียนท้อชั้นดีเช่นเดียวกัน เมื่อภาพมายาปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกเขาได้ไม่นาน บรรยากาศอึมครึมเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นความครื้นเครง มีผู้ฝึกตนบินเข้ามาคนแล้วคนเล่า พวกเขายกมือคารวะประมุขกฎสวรรค์พร้อมมอบคำอวยพรและของขวัญ

แต่ละครั้งประมุขกฎสวรรค์จะมอบรอยยิ้มให้ เงาภาพที่อยู่บนเกาะต่างก็ลุกขึ้นยืนเพื่อดื่มอวยพรให้กับประมุขกฎสวรรค์เป็นครั้งคราว หากไม่ทราบตั้งแต่แรก เกรงว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะมองออกว่า ผู้ที่ดื่มอวยพรเหล่านี้ล้วนเป็นภาพเงาลวงตาทั้งสิ้น

“แต่ก็อาจจะไม่ใช่ภาพเงาลวงตาจริงๆ…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขากวาดตามองรอบด้าน รู้สึกได้ถึงความครึกครื้น ครั้นสายตาเหลือบมองไปยังเงาภาพเหล่านั้น เงาภาพก็หันมาที่เขาพร้อมกับยกแก้วด้วยรอยยิ้ม

หวังเป่าเล่อยกแก้วตอบกลับไปอย่างมีมารยาท จากนั้นจึงค่อยๆ ชิมสุรา จนกระทั่งสายตามองมายังประมุขกฎสวรรค์ ราวกับตระหนักได้ถึงสายตาของหวังเป่าเล่อ ประมุขกฎสวรรค์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่นั่นพลันหันหน้ากลับมามองหวังเป่าเล่อเช่นเดียวกัน

เมื่อทั้งคู่สบตากัน ต่างก็มองเห็นถึงปรีชาญาณผ่านนัยน์ตาคู่นั้น หวังเป่าเล่อตกอยู่ในภวังค์กับภาพที่อยู่ตรงหน้า ราวกับเดินทางกลับไปยังโลกของกวางขาวตัวน้อย ภายในลานด้านหลังของเจ้าเมืองนั้น วานรเฒ่านั่งอยู่ด้านบนภูเขาเทียม และมีฉากที่อสูรกลายพันธุ์จำนวนมากกำลังกราบอวยพรทั่วทั้งจตุรทิศ

“ไม่เจอกันนานเลยนะ” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึกๆ ความมึนงงที่อยู่ตรงหน้าได้หายไปแล้ว เขาจึงเปล่งเสียงพูดออกมาเบาๆ เสียงนั้นแผ่วเบาเสียจนคนข้างๆ ไม่อาจได้ยิน แต่ประมุขกฎสวรรค์กลับได้ยินอย่างแจ่มชัด ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น ริมฝีปากขยับเล็กน้อย ขณะเปล่งเสียงผันผวนที่มีเพียงหวังเล่อเป่าได้ยิน

“ยินดีต้อนรับกลับ”

หวังเป่าเล่อยิ้มตอบโดยไม่ได้กล่าวคำใดออกไป ส่วนประมุขกฎสวรรค์ก็ส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะดึงสายตากลับไปที่งานต่อ…จนกระทั่งงานวันอวยพรฉลองอายุที่ถูกจัดตลอดทั้งวันได้เดินทางมาจนเกือบถึงช่วงสุดท้าย ครั้นอาทิตย์อัสดงท้องฟ้าเริ่มกลายเป็นสีแดงจากจุดที่อยู่ห่างไกลออกไป จู่ๆ…เงาหนึ่งที่คุ้นตาก็ลอยขึ้นจากร่างของงูยักษ์ตัวนั้นที่นำหวังเป่าเล่อมา

“หลี่หว่านเอ๋อร์ศิษย์สำนักดาราจันทร์ ข้าเป็นตัวแทนของปรมาจารย์สำนักขอกล่าวคำอวยพรให้กับท่านประมุข วสันตฤดูและสารทฤดูหมุนเปลี่ยน เดือนปีวนมาบรรจบ ขอให้ประมุขนิรันดร์ดุจดั่งจันทรา รุ่งโรจน์ดุจดั่งสุริยน อายุยืนดุจดั่งจักรวาลไม่มีวันเสื่อมคลาย เป็นดั่งหน้ากระดาษสมุดแห่งโชคชะตา เป็นที่ยอมรับอย่างไม่มีข้อยกเว้น!”

ผู้ที่กล่าวคือหลี่หว่านเอ๋อร์ นางสวมชุดกระโปรงพลิ้วสีฟ้า แม้จะสวมใส่หน้ากาก และไม่มีใครมองเห็นใบหน้าของนางได้ แต่น้ำเสียงที่ฟังดูกระฉับกระเฉงก็ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความงดงาม โดยเฉพาะเส้นผมยาวสลวยที่กำลังพลิ้วไหวนั้น ความสง่างามบนเรือนร่างทำให้ผู้ที่พบเห็นยากจะลืมเลือน

คำพูดของนางไม่ธรรมดาเช่นกัน น้ำเสียงแฝงด้วยนัยยะสุดลึกล้ำ โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย หลังจากหวังเป่าเล่อได้ยิน สีหน้าพลันแปรเปลี่ยน

หน้ากระดาษสมุดแห่งโชคชะตา สมุดที่กล่าวคือหนึ่งชาติมีหนึ่งหน้า ส่วนเป็นที่ยอมรับอย่างไม่มีข้อยกเว้น ก็คือการสืบทอด

ประโยคนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้น สายตาของเขาแอบแฝงด้วยความประหลาดใจ หลังจากชำเลืองมองไปยังร่างของหลี่หว่านเอ๋อร์ เขาก็หันไปมองประมุขกฎสวรรค์อีกครั้ง จึงได้พบว่าทางฝั่งประมุขกฎสวรรค์กำลังส่งมอบรอยยิ้มเมื่อได้ยินสิ่งนี้

รอยยิ้มแตกต่างจากก่อนหน้า เพราะเป็นเสียงหัวเราะดังก้อง ไม่ทราบแน่ชัดว่าแท้จริงแล้วเขามีความสุขกับคำอวยพร หรือมีความสุขเพราะหลี่หว่านเอ๋อร์เป็นผู้กล่าวคำอวยพรกันแน่

“เหตุใดปรมาจารย์ของเจ้าจึงไม่มา?” หลังจากส่งเสียงหัวเราะ ประมุขกฎสวรรค์จึงเอ่ยถาม

“ปรมาจารย์กำลังเก็บตัว หลังจากหกสิบแปดปีจึงจะออกจากการเก็บตัว” หลี่หว่านเอ๋อร์ก้มหน้า ขณะกล่าวอย่างนอบน้อม

“เหตุใดต้องทำให้ตัวเองลำบากด้วย” ประมุขกฎสวรรค์ส่ายหน้า เขายกแก้วสุราขึ้นมาพร้อมกับดื่มอึกใหญ่ ส่วนหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ลอยตัวอยู่กลางอากาศเพื่อทำความเคารพอีกครั้ง นางเงยหน้ากวาดตามองมาทางฝั่งหวังเป่าเล่อ ก่อนจะกลับไปนั่งลงบนร่างของอสูรดึกดำบรรพ์

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เมื่อได้สัมผัสถึงความหมายของบทสนทนานี้ ห่างออกไปบนร่างของอสูรดึกดำบรรพ์อีกตัวหนึ่ง ก็ปรากฏร่างของใครอีกคนหนึ่งลอยออกมา บุคคลผู้นี้ถูกปกคลุมด้วยเสื้อคลุมสีดำจึงไม่อาจแยกแยะได้ว่าเป็นบุรุษหรือสตรี แต่เมื่อได้ยินเสียงที่ดังออกมา หวังเป่าเล่อพลันหันไปมอง ทางฝั่งสวี่อินหลิงเองก็ร่างสั่นเทิ้ม

“ทาสนิรนาม เป็นตัวแทนของผู้นำตระกูลจันทรากล้วยไม้ เดินทางมาอวยพรให้กับประมุข เนื่องจากผู้นำตระกูลไม่อาจเดินทางมาด้วยตนเองได้ จึงได้ฝากคำอวยพรมามอบให้กับท่าน…”

“ผู้นำตระกูลกล่าวว่า ความทรงจำของนางได้รับการฟื้นฟูมาส่วนหนึ่งเมื่อไม่นานนี้ จึงอยากถามไถ่ท่านว่า เมื่อใดจะคืนความทรงจำส่วนอื่นๆ กลับคืนมา!”

“หลังจากนี้อีกหกสิบแปดปี!” ประมุขกฎสวรรค์กล่าวเสียงเรียบด้วยใบหน้าปกติ

“ขอบคุณท่านประมุข นอกจากนี้ผู้นำตระกูลยังสั่งให้ข้า นำคนผู้หนึ่งกลับไปด้วย” หลังจากคนที่สวมใส่เสื้อคลุมพยักหน้า เขาจึงหมุนตัวหันไปมองสวี่อินหลิงที่อยู่ในกลุ่มฝูงชน

สวี่อินหลิงหายใจผิดปกติ ร่างกายสั่นเทิ้มรุนแรงยิ่งขึ้น ทั้งยังลุกขึ้นยืนโดยไม่ได้ตั้งใจ นางเดินเข้าไปหาโดยไม่อาจควบคุมตนเองได้ สายตาเต็มไปด้วยความดิ้นรน พยายามมองไปยังหวังเป่าเล่อที่อยู่บนเกาะ ด้วยสายตาวิงวอนขอความช่วยเหลือ

สิ่งนี้ทำให้คนที่พบเห็นขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่กลับไม่อาจหยุดยั้งได้

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง หลังจากหยุดครุ่นคิด เขาจึงหยิบแก้วสุราและวางเบาๆ ลงบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้า ในตอนที่แก้วถูกวางลง มือขวาของเขาพลันปรากฏแผ่นไม้สีดำคล้ายกับภาพลวงตาเข้ามาแทนที่ แม้ภาพลวงตาจะเกิดขึ้นเพียงแค่พริบตาเดียว แต่ตอนที่มันถูกวางลงบนโต๊ะ กลับเกิดเสียงดังฟังชัดท่ามกลางความว่างเปล่า

แปะ!

ร่างของผู้สวมชุดคลุมสีดำสั่นสะท้าน ร่างกายเกิดเสียง ‘ปัง’ ดังขึ้นก่อนจะกลายเป็นหมอก กระจายหายเข้าไปในพิภพเชื่อมสวรรค์ ส่วนสวี่อินหลิงที่ลอยอยู่กลางอากาศกระอักเลือดออกมาหนึ่งคำพร้อมกับร่างสั่นเทา นางกลับมาควบคุมร่างกายได้อีกครั้ง ขณะหันมายกมือคารวะเพื่อกล่าวขอบคุณหวังเป่าเล่อ

……………………………….

เงาของพวกเขาทั้งห้ารวดเร็วและชัดเจนท่ามกลางความคลุมเครือ ทำให้คนจำนวนไม่น้อยมองเห็นตัวตนของพวกเขาได้อย่างแจ่มชัด

“คือพวกเขา!”

“นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้า…บุคคลผู้นี้เป็นคนเย่อหยิ่งเกินกว่าหาสิ่งใดเปรียบ ทั้งยังเป็นคนที่ยึดแสงแห่งการดึงของข้าไป น่ารังเกียจ แต่เขาแข็งแกร่งนัก จึงเห็นข้าเป็นดั่งมด และทำให้ข้าจนปัญญา!”

“ซิงจิงจื่อ…บุคคลผู้นี้ก็โหดเหี้ยมมาก คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะประสบความสำเร็จ!”

“หวังเป่าเล่อผู้นั้นก็อยู่ในนั้นด้วย!”

เสียงอึกทึกดังขึ้น ตามมาติดๆ ด้วยตัวตนของทั้งห้าที่กลายเป็นความชัดเจน ก่อนจะกระจายทั่วจตุรทิศอย่างฉับพลัน ก่อตัวเป็นคลื่นเสียงที่แพร่กระจายออกไป

ในบรรดาห้าคนของหลังคาสวรรค์ มีนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้า เซียนลำดับเจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐ นอกจากพวกเขาทั้งสองคนแล้ว อีกสามคนที่เหลือก็นับว่าเป็นผู้มีชื่อเสียง แต่ก็อาจจะด้อยกว่าเพียงเล็กน้อย ในบรรดาพวกเขาเหล่านั้นหวังเป่าเล่อก็มีความสะดุดตาไม่แพ้กัน ทว่าภายในใจของทุกคน ต่างคิดว่าถึงอย่างไรก็คงสู้นายน้อยลำดับเก้าผู้นั้นไม่ได้ มากสุดก็คงเทียบเคียงได้กับเซียนลำดับเจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐ

ส่วนสองคนสุดท้าย คนหนึ่งหวังเป่าเล่อเคยเสวนาด้วยที่สุสานดวงดารา ซิงจิงจื่อผู้มีวิญญาณชั่วร้ายทั่วทั้งร่างกาย ทั้งยังแบกกระบี่เล่มโตไว้ด้านหลัง ส่วนอีกคนหนึ่ง…เซี่ยไห่หยาง!

การปรากฏตัวของพวกเขาในเวลานี้ ทำให้ผู้รับใช้เฒ่าที่ยืนอยู่ข้างๆ ประมุขกฎสวรรค์ที่อยู่ในเกาะว่างเปล่าบนปล่องภูเขาไฟเปล่งเสียงพูด เหล่าผู้ฝึกตนทั้งหมดที่อยู่บนตัวของอสูรดึกดำบรรพ์ทั้งสามสิบเก้าตัวที่อยู่รอบๆ ปล่องภูเขาไฟ จ้องมองด้วยสายตาแฝงความอิจฉา ริษยา เคียดแค้นและสับสน สามารถระลึกได้ถึงสิบชาติ ย่อมได้รับโอกาสและโชค ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกคนจะรู้สึกอิจฉา ส่วนตัวเองที่ยังไม่พร้อมก็ทำได้เพียงแค่มองผู้อื่นได้รับคุณสมบัติ ดังนั้นความอิจฉาจึงเป็นสิ่งที่เข้าใจได้

ส่วนความเคียดแค้น…แท้จริงแล้วในกลุ่มผู้ฝึกตนจำนวนหลักแสนคนนี้ ไม่มีทางที่จะมีแค่ห้าคนที่ระลึกถึงชาติที่สิบ เพียงแต่ในการทดลองมีผู้คนจำนวนมากที่ยึดแสงแห่งการดึงไป จึงต้องล้มเลิกการทดสอบ ดังนั้นเมื่อได้เห็นทั้งห้าคนนี้ ความเคียดแค้นย่อมปะทุออกมา

บนหลังคาสวรรค์ ทั้งห้าคนถูกสายตานับไม่ถ้วนจ้องมองมา นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าคือผู้ที่มีความแพรวพราวมากที่สุด เขาในฐานะที่เป็นคนของตระกูลไม่รู้สิ้น ย่อมเหนือกว่าคนอื่นๆ หนึ่งระดับ ประกอบกับอาจารย์นามต้องห้าม จึงทำให้ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใดก็กลายเป็นจุดสนใจ และดึงดูดสายตาจากผู้อื่น

ส่วนคนอื่นๆ นอกจากเซียนลำดับเจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐและหวังเป่าเล่อที่สามารถแย่งชิงความเจิดจรัสอย่างไม่เต็มใจ สำหรับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ พวกเขาทั้งสองต่างก็ไม่ได้มีพลังมากพอที่จะอยู่เหนือกว่านายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าได้

ทั้งหมดนี้ดูเหมือนจะใช้เวลานาน แต่แท้จริงแล้วกลับรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ฉากที่ทุกคนไม่คาดคิดปรากฏขึ้นอย่างฉับพลัน เมื่อร่างของทั้งห้าเกิดความกระจ่างชัด และได้สติกลับคืนมาต่างก็ได้เห็นใบหน้าของกันและกัน ยามนั้น…ก็ได้เห็นบุคคลผู้นั้นที่ดูคล้ายกับผู้นำอัจฉริยะ แม้แต่นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าซึ่งมีความหยิ่งผยองก็หน้าเปลี่ยนสีอย่างฉับพลัน!

เขาพบว่าตนเองยืนอยู่ข้างๆ หวังเป่าเล่อ และหวังเป่าเล่อก็กำลังหัวเราะเขา

“…” สิ่งที่เห็นนี้ทำให้เขาเกิดอาการใจสั่นสะท้าน จนเกือบปริปากก่นด่าออกมา แท้จริงแล้วความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อก็ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก เขายังไม่ลืมว่าในตอนนั้นทุกคนต่างพากันหลบหนี เพราะไม่อยากเจอฉากที่ถูกหวังเป่าเล่อจ้องมอง ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่าหนังศีรษะแทบจะระเบิด สีหน้าก็เปลี่ยนไปขณะถอยห่างออกจากหวังเป่าเล่อตามสัญชาตญาณ

เซียนเต๋าลำดับเจ็ดก็เป็นอีกคนที่หน้าถอดสีอย่างเห็นได้ชัด เขาถอยหลังออกไปภายในพริบตาเดียวเพื่อออกห่างจากหวังเป่าเล่อ ราวกับว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เขารู้สึกปลอดภัย

แม้ว่าซิงจิงจื่อและเซี่ยไห่หยางจะไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ แต่การกระทำและสีหน้าของนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าและเซียนเต๋าลำดับเจ็ด ทำให้ผู้ฝึกตนจำนวนนับแสนที่อยู่ด้านล่างตะลึงงัน

“เกิดอะไรขึ้น?”

“ข้าไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไหม นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าและเซียนเต๋าลำดับเจ็ด กำลังหลบหลีกหวังเป่าเล่อ?”

“หรือว่าพวกเขาจะเสียเปรียบหลังจากประมือกับหวังเป่าเล่อตอนที่อยู่ด้านใน?”

ตอนที่ทุกคนเริ่มเกิดความสงสัย หวังเป่าเล่อพลันหรี่ตาลง เห็นได้ชัดว่านายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าและเซียนเต๋าลำดับเจ็ดต่างก็กำลังประหม่า สำหรับการระลึกถึงชาติที่สิบของพวกเขาทั้งสอง หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย ส่วนซิงจิงจื่อก็ไม่ธรรมดา ดังนั้นจึงเป็นไปตามคาดเช่นกัน แต่ทางฝั่งเซี่ยไห่หยาง หวังเป่าเล่อกลับคิดไม่ถึง

หลังจากหันไปพยักหน้าให้เซี่ยไห่หยางและซิงจิงจื่อเพื่อส่งสัญญาณแล้ว หวังเป่าเล่อพลันหมุนตัวและเดินไปทางฝั่งนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าขณะหรี่ตาลง

การก้าวเดินของเขาไม่ได้รวดเร็ว แต่กลับทำให้สีหน้าของผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าเปลี่ยนไป เขาถอยหลังออกไปอีกครั้งพร้อมกับเปล่งเสียงคำรามทุ้มต่ำออกมา

“หวังเป่าเล่อ…”

ยังไม่ทันที่อีกฝ่ายจะพูดจบประโยค หวังเป่าเล่อที่แม้ว่าจะดูเหมือนย่างก้าวอย่างเชื่องช้า แต่การก้าวเดินของเขาเพียงไม่กี่ก้าว กลับคล้ายก้าวข้ามความว่างเปล่า บัดนี้ร่างของเขาได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าของนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าแล้ว

ในเวลาเดียวกัน ผู้รับใช้เฒ่าผู้นั้นที่ยืนอยู่ข้างกายประมุขกฎสวรรค์พลันขมวดคิ้ว ครั้นกำลังจะเข้าไปห้าม จู่ๆ ก็มีเสียงกระแอมเบาๆ ของประมุขกฎสวรรค์ดังขึ้นจากทางด้านหลัง

เมื่อได้ยินเสียงกระแอมนี้ ผู้รับใช้เฒ่าที่บ่มเพาะจักรพิภพพลันก้มหน้าลง และไม่คิดจะเข้าไปห้ามอีก

ไม่มีใครหยุดได้ ไม่ว่านายน้อยลำดับเก้าจะคำรามอย่างไร หรือพยายามจะต่อต้านด้วยวิธีไหน ก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ ครั้นหวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้น เขาจึงกำหมัดขวาและซัดออกไปโดยตรง!

หมัดนี้ดูธรรมดาไร้ความพิเศษ ทว่ากลับเต็มเปี่ยมด้วยพลังสะท้านโลกา เสียงดังสะเทือนทั่วท้องนภาและผืนปฐพี ระลอกคลื่นแหวกความว่างเปล่าจนเกิดการฉีกขาด ประหนึ่งพายุที่กวาดล้างทุกสรรพสิ่ง พลังงานหลอมรวมเข้าด้วยกันตรงหน้าของนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าผู้นี้ก่อนจะระเบิดออก

เสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหว นายน้อยลำดับเก้าผู้นั้นเดิมทีไม่ได้มีพลังที่จะต่อต้านแม้เพียงครึ่งหนึ่ง ดังนั้นการต้านทานทั้งหมดจึงคล้ายกับกระดาษที่ถูกหมัดของหวังเป่าเล่อทำลาย หลังจากถูกหมัดปะทะเข้าใส่ ร่างของอีกฝ่ายพลันเกิดการสั่นสะเทือนอย่างหนัก ทั้งยังกระอักเลือดออกมา เขาถอยหลังออกไปไกลถึงร้อยจั้งก่อนจะกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง เส้นใยกฎจำนวนมากที่อยู่บนร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลง นี่ไม่ใช่กฎของเขา แต่เป็นสิ่งที่มาจากด้านในหมัดของหวังเป่าเล่อที่อัดแน่นด้วยพลังแห่งเก้ากฎ

เส้นใยกฎเหล่านี้ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างแล้ว มันหมุนเวียนอยู่ที่ภายในและภายนอกร่างกายของเขาไม่หยุด ทำให้อาการบาดเจ็บรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่รากฐานดาวเคราะห์ก็เกิดการสั่นคลอน ดาวเคราะห์ทั้งหมดที่เขามีริบหรี่ลงอย่างรวดเร็ว และเกิดเป็นรอยแตกหลายสาย

สิ่งนี้ทำให้นายน้อยลำดับเก้าใจสั่นสะท้าน ใบหน้าขาวโพลนเกินกว่าจะหาสิ่งใดเทียบเทียม นัยน์ตานั้นไม่อาจปกปิดความหวาดกลัวได้ แต่ก็ไม่อาจระงับความโกรธที่ระเบิดออกมาขณะแผดเสียงคำรามออกมาได้เช่นกัน

“เจ้า…”

“หมัดนี้ สำหรับเจ้าที่ลอบโจมตีข้าขณะทดสอบ ดังนั้นนี่เป็นสิ่งที่เจ้าต้องจ่าย และข้าจะพูดอีกหนึ่งประโยค วันนี้…ข้าจะฆ่าเจ้าซะ!” หวังเป่าเล่อเปล่งเสียงเรียบเฉย ดวงตาเย็นยะเยือกคู่นั้นจ้องมองไปยังนายน้อยลำดับเก้า นายน้อยลำดับเก้าราชันเทวะไกก้าที่ถูกจ้องมองรู้สึกราวกับมีน้ำเย็นสาดลงบนศีรษะ ยามนั้นร่างกายของเขาพลันสั่นระริก เมื่อรู้สึกได้ถึงแรงสังหารจึงรีบสงบปากสงบคำโดยพลัน

หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าผู้นี้อีกต่อไป เขาหันกลับไปมองเซียนลำดับเจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐ

เซียนเต๋าผู้นี้เป็นคนเด็ดเดี่ยว หลังจากเห็นหวังเป่าเล่อลงมือเช่นนี้ เขาจึงมั่นใจได้ว่าตนเองไม่อาจหลบหลีกได้อีกต่อไป และคงเป็นเรื่องยากที่จะต่อต้าน ดังนั้นจึงยกมือขึ้นมาทุบหน้าอกตัวเองแรงๆ จนเกิดเสียงดังแกรก ราวกับกระดูกแตกหัก อาการบาดเจ็บดูไม่น้อย เขากระอักเลือดออกมาไม่หยุด แต่กลับเงยหน้ามองหวังเป่าเล่อราวกับไม่ใส่ใจ

“ก่อนหน้านี้ถูกคนสะกดจิตใจ จึงกระทำความผิดไปมากมาย หวังว่าสหายเต๋าจะให้อภัย!”

อาการบาดเจ็บของเขารุนแรงไม่น้อย แต่ในความเป็นจริงกลับไม่โดนรากฐานใดๆ โอสถเพียงพอที่จะทำให้ฟื้นฟูกลับมาได้ นี่คือความชาญฉลาดของเขา เพราะเขารู้ดีว่า หากหวังเป่าเล่อลงมือ มีโอกาสแปดถึงเก้าส่วนที่ดาวพระเคราะห์จะแตกสลาย หากเป็นเช่นนั้น ต่อให้เป็นโอสถก็ไม่อาจฟื้นฟูได้ง่ายๆ

เมื่อเห็นว่าเซียนลำดับเจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐมีความเด็ดขาดถึงขั้นนี้ หวังเป่าเล่อพลันหรี่ตาลง หลังจากสบตากับอีกฝ่ายอย่างล้ำลึก จึงดึงสายตากลับมา และมองไปยังเหล่าผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านล่าง พวกเขาต่างแสดงท่าทางตื่นตระหนกออกมาให้เห็น เขาเดินไปยังหมู่เกาะบนปล่องภูเขาไฟ หลังจากขยับเข้าไปใกล้ หวังเป่าเล่อจึงเลือกเดินเข้าไปหน้าโต๊ะหนึ่งในสิบที่ไม่มีเงาภาพ เขาไม่ได้นั่งลงในทันที แต่หมุนตัวไปยังจุดกึ่งกลาง และยกมือขึ้นคารวะประมุขกฎสวรรค์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่

“ขอให้รูปลักษณ์ภายนอกของท่านประมุขยังคงเดิมไม่เสื่อมคลาย และมีความสุขเปรมปรีดิ์”

คำอวยพรนี้ทำให้ผู้รับใช้เฒ่าของประมุขกฎสวรรค์ถึงกับขมวดคิ้วอีกครั้ง ตอนที่กำลังจะตำหนิออกไป จู่ๆ ฉากที่ทำให้เขาเกิดอาการตกตะลึงก็ปรากฏขึ้น!

เขาพบว่าประมุขกฎสวรรค์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ทางนั้น ลุกขึ้นยืนและกำลังคารวะตอบหวังเป่าเล่อ!

ฉากนี้ทำให้ผู้รับใช้เฒ่าผู้นั้นและผู้ฝึกตนทั้งหมดที่ยืนอยู่ทั่วจตุรทิศ รูม่านตาหดเล็กลง!

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ยกมือคารวะตอบกลับ เมื่อได้นั่งลงแล้ว ภาพก็เริ่มเลือนรางและมีแสงอันทรงพลังหนึ่งสายทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆา พร้อมกับแสงที่กระจายฉายออกมาอีกแปดสิบเก้าสาย ในเวลาเดียวกันขณะที่ฉายแสง เซี่ยไห่หยางและซิงจิงจื่อก็ข่มความรู้สึกตกตะลึงภายในใจ และรีบเดินตรงเข้ามาที่โต๊ะของตนเอง ยกมือคารวะกล่าวคำอวยพร

เมื่อแสงสว่างของพวกเขาทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ศิษย์แห่งเต๋าเก้ารัฐและนายน้อยลำดับเก้าราชันเทวะไกก้าที่ใบหน้าขาวซีด ต่างก็ขยับเดินเข้ามาใกล้อย่างเงียบเชียบ ก่อนจะเลือกตำแหน่งที่นั่งเพื่ออวยพรวันฉลองอายุ

ทว่า…การอวยพรวันฉลองอายุของพวกเขาทั้งสี่ กลับได้รับแค่การพยักหน้าตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มจากประมุขกฎสวรรค์ที่นั่งลงอีกครั้ง การปฏิบัติเช่นนี้แตกต่างจากการลุกขึ้นยืนเพื่อตอบรับการคารวะเมื่อสักครู่อย่างสิ้นเชิง!

………………………………

หวังเป่าเล่อหน้าถอดสี การระเบิดของการบ่มเพาะภายในร่างกายไต่ระดับขึ้น ความคิดของเขาดูเหมือนฉับไวมากขึ้นไม่น้อย ถึงกระนั้นฉับไวแล้วอย่างไรเล่า ไม่ว่าจะกลับไประลึกอดีตชาติที่สิบของตัวเองอย่างไร เขาก็ไม่อาจพบเบาะแสว่าตนและซุนเต๋อพบกันได้อย่างไรอยู่ดี!

ราวกับว่า…ในตอนที่ระลึกชาติที่สิบ เขาได้ปรากฏตัวอยู่ในมือของซุนเต๋อแล้ว!

เรื่องนี้ สำหรับหวังเป่าเล่อ บางที…อาจมีสองคำตอบ คำตอบแรกคือเป็นเพราะชาติที่แล้วตนเองธรรมดาเกินไป ไม่ได้มีรัศมีที่จะกลายเป็นวิญญาณวุธ และไม่ได้มีจิตใต้สำนึกใดๆ ดังนั้นจึงจำอะไรไม่ได้

แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่ง…

“ข้ากับซุนเต๋อ หรืออาจจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ข้ากับเศษวิญญาณแห่งกู่ หรือว่า…จะมีต้นเหตุปลายผลที่ใหญ่ยิ่งกว่า? นี่ก็อธิบายได้แล้วว่า เพราะเหตุใดซุนเต๋อจึงหายไป เหลือเพียงข้า…ที่ได้รับการสืบทอดเจตนารมณ์!!!” หวังเป่าเล่อคิดเช่นนี้ ความผันผวนพลันปะทุขึ้นภายในใจ เขาไม่รู้ว่าคำตอบคืออะไร ยามที่เกิดการระเบิดของการบ่มเพาะ เขาไม่สามารถคิดฟุ้งซ่านต่อไปได้

เวลาต่อมา การบ่มเพาะที่อยู่ภายในร่างกายของเขาพลันเกิดเสียงดังกระหึ่ม ไต่ระดับสูงขึ้นอย่างไม่หยุด จนกระทั่ง…ดาวเคราะห์สมบูรณ์!

นี่คือความสมบูรณ์อย่างแท้จริง อยู่ห่างจากเขตดารานิรันดร์เพียงหนึ่งก้าว เมื่อมีทิศทางแล้ว ย่อมมีพิธี และจะได้รับสิ่งจำเป็นในการเลื่อนขั้น ถ้าเช่นนั้นหวังเป่าเล่อก็สามารถเลื่อนขั้นดารานิรันดร์ และกลายเป็นผู้อาวุโสแห่งผู้เยี่ยมยุทธ์!

ภายในจักรภพเต๋าไม่รู้สิ้น แม้ว่าดาวเคราะห์จะแข็งแกร่ง แต่เมื่อถึงดารานิรันดร์ จึงจะสามารถเรียกว่าเป็นผู้แข็งแกร่งได้ ส่วนอารยธรรมส่วนใหญ่ ดารานิรันดร์คือปรมาจารย์ขั้นสูงสุด ที่สามารถสร้างการดำรงอยู่ที่มีอารยธรรมได้

เริ่มแรกอารยธรรมครามทองคำที่มีเจตนาร้ายต่อหวังเป่าเล่อ ในฐานะที่พวกเขาเป็นสำนักอันดับหนึ่งที่ตั้งอยู่บนขอบเขตกว้างใหญ่บนโลก และมีเพียงสามดารานิรันดร์เท่านั้น

ครั้นหวังเป่าเล่อเลื่อนขั้นดารานิรันดร์ เขามีดาวเคราะห์เต๋า ทั้งยังมีกฎเก้าข้อใหญ่ที่เกือบจะก้องกังวานถึงขีดสุด ความแข็งแกร่งด้านการต่อสู้ จะไม่ทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์ที่เป็นระดับอาวุโสเหล่านั้นอ่อนแอลง

ส่วนเขตดาราจักร…ไม่ว่าใคร ต่างก็มีฉายาเป็นของตนเอง ไม่ว่าใคร ต่างก็คือผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าใคร ต่างก็ทำให้อารยธรรมครามทองคำตัวสั่นด้วยความหวาดผวา และต้องก้มหน้าคุกเข่าคารวะ

แต่ในเวลานี้ เวทผนึกดาวของหวังเป่าเล่อ ก็กำลังโคจรด้วยตนเอง จนกระทั่งทะลวงชั้นที่สอง มาจนถึงชั้นที่สาม ชั้นที่สามกำลังจะเสร็จสมบูรณ์ สามารถเข้าสู่ขอบเขตชั้นที่สี่ได้ทุกเมื่อ!

ชั้นที่สาม สามารถปิดผนึกดาวอมตะ ทั้งยังมีดาวอมตะมากกว่าหมื่นดวงที่กลายเป็นเงาแห่งวัวเทพ หากสำเร็จก็จะทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง เพียงพอที่จะทำให้แปดทิศสั่นสะเทือน ทว่าการทดสอบของหวังเป่าเล่อครานี้ กำไรที่ได้รับเพียงพอที่จะใช้คำว่าปาฏิหาริย์อธิบายได้แล้ว ดังนั้นชั้นที่สามจึงไม่ได้มีประโยชน์สำหรับเขา เพียงไม่นานเขาก็สามารถก้าวผ่าน และแสดงถึงพลังแห่งชั้นที่สี่!

ส่วนชั้นที่สี่…เป็นถนนแห่งการเลื่อนขั้นดารานิรันดร์โดยตรง แม้เคล็ดวิชานี้จะไม่สามารถปิดผนึกดวงดาราพิเศษตามทฤษฎีได้ แต่ภายใต้พรดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อ ทั้งหมดกลับไม่ได้มีความคงที่

นี่ก็เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ปรมาจารย์แห่งไฟมอบเวทผนึกดาบให้หวังเป่าเล่อ

หากหวังเป่าเล่อประสบผลสำเร็จจริงๆ ปิดผนึกดวงดาราพิเศษนับหมื่นได้ รวมถึงกลายร่างเป็นเงามายาวัวเทพ สุดท้ายแล้วจะทรงพลังถึงเพียงใด แม้แต่หวังเป่าเล่อเอง ก็ไม่อาจคาดการณ์!

ในเวลาเดียวกันหวังเป่าเล่อได้ตระหนักถึงพรของดาวเคราะห์เต๋ามาเนิ่นนานแล้ว เรื่องที่สามารถปิดผนึกดวงดาราพิเศษนี้ได้ ภายในใจของเขามีทิศทางดารานิรันดร์เป็นของตนเองมานานแล้วเช่นกัน นั่นก็คือ…ใช้ดวงดาราพิเศษจำนวนมากให้เป็นตัวเสริม แบกรับดาวเคราะห์เต๋าของตนเอง ทำให้…เลื่อนขั้นจากดาวเคราะห์สู่ดารานิรันดร์

กลายเป็น…ดวงดาวแห่งเต๋านิรันดร์!

ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน เป็นเพราะดาวเคราะห์เต๋าหาได้ยากมาก ดังนั้นนอกจากปรมาจารย์ขั้นสูงสุดผู้นั้นที่สร้างตระกูลไม่รู้สิ้นที่เคยทำได้แล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน แม้ว่าก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อจะมีความทะเยอทะยาน แต่ก็ไม่ได้มีความมั่นใจเท่าไรนัก ทว่าวันนี้…หลังจากระลึกถึงอดีตชาติของตนเองมาหลายชาติ จู่ๆ เขาก็รู้สึกได้ว่า…ใช่ว่าจะทำไม่ได้!

เพราะดวงดาราพิเศษ…จากความสัมพันธ์ของเขาและสุสานดวงดารา การระลึกถึงและได้รับดวงดาราพิเศษนับหมื่น กลับไม่ใช่เรื่องยากเย็นแสนเข็ญอะไร

ความคิดนี้ ทำให้ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายมากยิ่งขึ้น แม้เขาจะไม่เข้าใจว่าอดีตชาติที่สิบของตนเอง เจอกับซุนเต๋อได้อย่างไร แต่เขาก็พอจะทราบถึงความเป็นจริงของโลกใบนี้ได้ส่วนหนึ่ง ในเวลาเดียวกันภายในใจก็เกิดความสับสนลอยอยู่ในนั้นมากยิ่งขึ้น และมันไม่ได้เปลี่ยนไปจากตอนแรกเลยแม้แต่น้อย.ไอรีนโนเวล.

“เพียงแค่ทำให้ตนเองแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง จึงจะสามารถปักหลักอยู่บนพื้นฐานของสวรรค์และโลกได้ สนใจอนาคต และอดีตว่าเป็นอย่างไรไปทำไมกัน ชาตินี้ยอดเยี่ยมก็นับว่าดีแล้ว ชาติต่อไป ไม่ว่าจะมีหรือไม่ ข้าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี!”

ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายประกายแสงประหลาด พลังครอบงำที่มาจากการบ่มเพาะเวทผนึกดวงดาว ยามนี้ได้ระเบิดออกที่กลางใจของเขา สวรรค์และพิภพเป็นเท็จแล้วอย่างไรเล่า จักรวาลคือศิลาแล้วจะทำไม ไม่รู้สิ้นของจริงและของปลอมจะทำอะไรข้าได้!

ข้าคือวิญญาณวุธ ข้าคือกวางขาว ข้าคือที่มาของความคับแค้นใจ ข้าคือดาบมาร ข้าคือผีดิบ ข้าคือเผ่าเทพ แต่ข้าก็คือ…หวังเป่าเล่อ!

ความคิดที่ฟุ้งซ่านนี้ ราวกับดังกึกก้องทั่วสวรรค์และพิภพ มีเสียงฟ้าร้องอันทุ้มต่ำระเบิดอยู่บนดาวชะตา ส่วนจักรวาลที่อยู่นอกดาวชะตา บัดนี้ก็เกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นเช่นเดียวกัน

ผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนบนดาวชะตาต่างจิตใจสั่นสะท้าน ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อใด ประมุขกฎสวรรค์ที่นั่งอยู่บนเกาะบนปล่องภูเขาไฟลืมตาขึ้น มุมปากพลันเผยให้เห็นรอยยิ้มปลื้มปริ่ม มีความประหลาดใจปรากฏอยู่นัยน์ตาที่ไม่อาจปิดบังได้

โลกภายนอกเป็นอย่างไร หวังเป่าเล่อไม่อาจทราบ เขารู้เพียงแค่ว่าตนในตอนนี้ มีความคิดแน่วแน่ พลังพลันระเบิดออกจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ส่งผลให้หลังจากที่การบ่มเพาะและเวทผนึกดาราเลื่อนขั้นแล้ว วิชาแห่งเทพอีกหนึ่งวิชาที่เขามีอยู่ก็ยกระดับสูงตามไปด้วย!

วิชาแกนหลักของปรมาจารย์แห่งไฟ ซึ่งก็คือ…ทักษะต้องคำสาป เวทวิญญาณเพลิง!

ก่อนหน้านี้เวทวิญญาณเพลิง ถือได้ว่าเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น แม้ว่าจะสามารถใช้งานได้ แต่กลับจำเป็นต้องยับยั้งชั่งใจ เพราะชีวิตของเขายังไม่เพียงพอ แต่บัดนี้…เขาได้ระลึกถึงอดีตชาติทั้งสิบชาติแล้ว สิ่งนี้ได้ถูกเติมเต็ม ทำให้ชีวิตเพียงพอ ความทรงจำเพียงพอ ในที่สุดคำสาปวิญญาณเพลิงของเขา ก็ก้าวออกมาได้อีกก้าวหนึ่ง และเข้าสู่ขอบเขตความสำเร็จเล็กๆ ได้อย่างแท้จริง!

แม้จะเป็นแค่ความสำเร็จเล็กๆ…แต่ก็ต้องทราบด้วยว่า แม้แต่ปรมาจารย์แห่งไฟ ก็ยังไม่อาจก้าวเข้าสู่ความสำเร็จครั้งใหญ่ได้ ทำได้เพียงแค่ขยับเข้าใกล้มัน เพราะหากใช้ออกไป ก็จะสูญเสียชีวิตทั้งหมดของตน

ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นแค่ความสำเร็จอันน้อยนิด แต่เมื่ออาศัยวิธีนี้ก็เพียงพอที่จะทำให้หวังเป่าเล่ออยู่ในขอบเขตเดียวกันได้แล้ว ทั้งยังเพิ่มเคล็ดวิชาลับที่น่าสะพรึงกลัวเข้ามาอีกหนึ่งวิชา ดังนั้น วิชานี้…ไม่จำกัดการบ่มเพาะสำหรับศัตรูและการบ่มเพาะสำหรับตนเอง!

มนุษย์ธรรมดาก็สามารถสาปเทพอมตะได้ ตราบใดที่สามารถจ่ายได้!

ค่าใช้จ่ายนี้ แลกด้วยชีวิตและความขุ่นเคือง แม้ว่าอย่างหลังของหวังเป่าเล่อจะมีไม่มาก แต่อย่างแรก…เขามีเพียงพอแล้ว!

ทั้งยังเป็นวิชาแห่งเทพที่มีความแข็งแกร่งจนน่ากลัว ในเวลาเดียวกันก็เป็นที่มาชื่อเสียงของปรมาจารย์แห่งไฟด้วย!

สามารถพูดได้ว่า หวังเป่าเล่อในตอนนี้ มีพลังการต่อสู้ที่ครอบคลุม…เป็นดารานิรันดร์ แม้แต่ดารานิรันดร์ช่วงแรก ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา สถานการณ์ที่ดาวเคราะห์เต็มดวงเช่นนี้ มองดูประวัติศาสตร์อันยาวนานของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แม้ว่าจะไม่ได้เป็นเพียงหนึ่งเดียว แต่มองจากประวัติศาสตร์แล้ว จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นสิ่งล้ำค่าที่หาได้ยาก!

แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกประหลาดใจกับความแข็งแกร่งของตน เพราะชาติก่อนของเขา ในแต่ละชาติต่างก็มีความมหัศจรรย์ทั้งหมด ดังนั้นในชาตินี้ มีความมหัศจรรย์เพิ่มอีกสักหน่อย จะเป็นไรไป!

“เรื่องเล่าทั้งหมดที่บิดาของหวังอีอีกล่าว มารมัวเมากับการเกิดใหม่น้อยลง ผู้อาวุโสคนนั้นเกิดความมัวเมาอย่างบ้าคลั่ง จนหลุดพ้นออกมาจากความตาย ถ้าเช่นนั้นข้าเองก็สามารถเปลี่ยนจากไม่มี…ให้กลายเป็นมีได้!”

“ต้องได้แน่นอน!” หวังเป่าเล่อดวงตาเป็นประกาย ร่างกายของเขาจากที่นั่งขัดสมาธิพลันลุกพรวด ในตอนที่เขาลุกขึ้นยืน ก็คือในวันที่สิบ ช่วงเวลาสิบสองชั่วยาม

เสียงกัมปนาทดังสนั่นหวั่นไหว ไอหมอกทั้งหมดพลิกตลบอย่างรุนแรง ท่ามกลางการพลิกตลบนี้ ได้ถอยหลังออกไปเรื่อยๆ ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลา 7-8 ชั่วอึดใจ พริบตาต่อมาหมอกทั้งหมดที่อยู่รอบกาย…ก็มลายสิ้น หลอมรวมเข้าไปอยู่ในขวดน้ำเต้า ขวดน้ำเต้านี้พลันปรากฏขึ้นในมือของประมุขกฎสวรรค์!

ดินแดนทดสอบก็ได้หายไปพร้อมกับหมอกด้วย ขนาดหดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง ภาพรอบด้านเกิดความชัดเจนขึ้นทั้งหมด ทั้งยังปรากฏอสูรดึกดำบรรพ์หลายตัวที่ลอยอยู่ คนอื่นๆ แหงนหน้ามอง ส่วนภูเขาไฟที่อยู่ด้านล่างก็เกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ตอนที่เงาภาพทั้งแปดสิบเก้าเงาที่อยู่ภายในเกาะบนยอดเขาแหงนหน้ามองกลางอากาศ…

หวังเป่าเล่อและอัจฉริยะคนอื่นๆ ที่ระลึกถึงชาติที่สิบก็ทยอยปรากฏตัวขึ้น!

“ขอแสดงความยินดีกับสหายเต๋าทั้งห้าที่ได้รับคุณสมบัติ โปรดกลับไปยังที่นั่งของตน งานฉลองกำลังจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว!” ผู้รับใช้เฒ่าที่อยู่ข้างๆ ประมุขกฎสวรรค์เอ่ยปากพูด ขณะแหงนหน้ามองหวังเป่าเล่อและอีกสี่คนที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยดวงตาเป็นประกาย

ผู้ที่ได้รับคุณสมบัติ เริ่มแรกมีสิบคน แต่บัดนี้เหลือเพียงแค่ห้าคนแล้ว!

…………………………………..

เวลาล่วงผ่าน ไม่แน่ชัดว่าผ่านไปนานเพียงใด สติของหวังเป่าเล่อในเริ่มแรกยังไม่ฟื้นคืนกลับมา สิ่งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน แต่แท้จริงแล้วภายในการทดสอบของดาวชะตา กลับใช้เวลาไปไม่ถึงหนึ่งวัน

นี่เป็นเวลาสิบสองชั่วยามของวันที่สิบ ตอนนี้ผ่านไปสิบเอ็ดชั่วยามแล้ว ห่างจากช่วงเวลาสิ้นสุดอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม

เทียบกับหวังเป่าเล่อแล้ว ในบรรดาผู้ทดสอบคนอื่นๆ มีหลายคนที่ประสบความสำเร็จในการระลึกถึงชาติที่สิบ และการทดสอบของพวกเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว เพียงแต่เป็นเพราะหวังเป่าเล่อยังอยู่ที่นี่และยังไม่ตื่นขึ้นมา ดังนั้นภายในสนามทดสอบแห่งนี้ จึงดำเนินต่อไป หมอกรอบด้านก็ยังไม่หายไปเช่นเดียวกัน

เขา เป็นเพียงคนเดียวที่ยังไม่ตื่น ท่ามกลางการทดสอบที่ปกคลุมด้วยไอหมอกแห่งนี้

นอกจากเขาที่ระลึกชาติแล้ว สวี่อินหลิงที่นั่งอยู่ด้านหน้า บัดนี้ภายในใจเกิดคลื่นลูกใหญ่กำลังซัดโหมกระหน่ำ สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ทุกสิ่งที่นางเห็นตลอดสิบเอ็ดชั่วยามนี้ ทำให้ภายในใจของนางเปลี่ยนจากความประหลาดใจเป็นตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นอัศจรรย์ใจ จนท้ายที่สุดก็กลายเป็นการสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว

นางระลึกถึงชาติที่สิบไม่สำเร็จ ดังนั้นจึงเห็นขั้นตอนทั้งหมดในการระลึกชาติของหวังเป่าเล่อได้อย่างชัดเจน นางไม่ได้เห็นภาพอดีตชาติของอีกฝ่าย เพียงแต่เห็นหวังเป่าเล่อที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ทั้งยังเกิดความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงของร่องรอยพลังงานบนร่างกายของเขา!

แรกเริ่ม ร่องรอยพลังงานบนร่างกายของหวังเป่าเล่อเบาบางจนแทบไม่มี กระทั่งตอนนี้สวี่อินหลิงรู้สึกว่าตนเองอาจจะตาฝาดไป เพราะนางรู้สึกว่าคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นศพ

การใช้คำว่าศพมาบรรยายเกรงว่าอาจจะไม่เหมาะสมเท่าไรนัก ควรใช้ว่าเป็นวัตถุไร้ชีวิตจึงจะเหมาะสมที่สุด

ในสายตาของนาง หวังเป่าเล่อในตอนนั้น ราวกับไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นแค่เพียงวัตถุชิ้นหนึ่ง ความรู้สึกนี้ชัดเจนมาก แม้แต่สวี่อินหลิงก็ตกใจเช่นกัน

นางไม่รู้ว่าชาติที่สิบของหวังเป่าเล่อคืออะไร ดังนั้นจึงเกิดการคาดเดาครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าคาดเดาได้ไม่นาน ดูเหมือนความผันผวนบนร่างกายของหวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิดั่งวัตถุไร้ชีวิต เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่อีกครั้ง

การเปลี่ยนแปลงนี้แม้จะเล็กน้อย แต่กลับชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ราวกับวัตถุไร้ชีวิตที่ก่อเกิดแสงรัศมี ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแสงสว่างจ้าจนแสบตา ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงนี้ ไอหมอกรอบด้านก็เริ่มเกิดเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น ประหนึ่งเสียงกัมปนาทของอสนีบาตดังสนั่นหวั่นไหว และได้เริ่มเกิดการหมุนวนอย่างแท้จริง หากสังเกตอย่างถี่ถ้วน ก็จะพบว่าการหมุนวนของหมอกนี้ได้ยึดร่างของหวังเป่าเล่อเป็นจุดศูนย์กลาง

ราวกับว่ารัศมีที่ปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา ส่งผลกระทบต่อหมอกทั้งหมดที่อยู่บริเวณโดยรอบ ทั้งยังส่งผลกระทบต่อดาวชะตาด้วย ส่วนผลกระทบนี้กินพื้นที่เพียงใด สวี่อินหลิงเองก็ไม่อาจทราบได้ ทว่านางกลับรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของพื้นดิน!

ภายในใจของสวี่อินหลิงยามนี้ เปลี่ยนจากความประหลาดใจเป็นตื่นตะลึง นางไม่ทราบว่าอดีตชาติที่ระลึกถึงเป็นอย่างไร ถึงได้สร้างปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจถึงเพียงนี้ ความตกตะลึงใช้เวลาเพียงไม่นาน จากนั้นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง นางรู้สึกได้ถึงคลื่นที่พัดโหมกระหน่ำอยู่ภายในใจ ความคิดยกระดับขึ้นจนเข้าสู่ความอัศจรรย์ใจ

เนื่องจาก…แสงจากร่างกายของหวังเป่าเล่อ ขณะที่ยังคงเพิ่มระดับความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พื้นดินและหมอกยังคงเกิดการสั่นสะเทือน สีหน้าของหวังเป่าเล่อเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง องค์ประกอบทั้งห้าบนใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก ราวกับกำลังแบกรับความทุกข์ทรมานที่ไม่อาจจินตนาการได้ ร่างกายของเขากำลังสั่นเทิ้ม

นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ จุดสำคัญคือหลังจากที่ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว สวี่อินหลิงได้เห็นกับตาตัวเองว่าเกิดรอยแยกหลายเส้น มันเกิดขึ้นบนร่างกายของหวังเป่าเล่อ…ราวกับเป็นเส้นใยแมงมุมก็ไม่ปาน

ประหนึ่ง…ร่างกายของเขากำลังถูกพลังที่มองไม่เห็นกดทับและกำลังจะถูกบดขยี้!

วินาทีที่เกิดรอยร้าวนี้ แสงบนร่างกายของหวังเป่าเล่อ ก็ยิ่งสว่างมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งร่างกายของเขาดูเหมือนเป็นแหล่งกำเนิดแสงขนาดมหึมา ตอนที่สวี่อินหลิงจ้องมองก็รู้สึกแสบตาเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งนี้ทำให้ความตกตะลึงที่อยู่ภายในใจเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น ระยะเวลาไม่นาน รอยร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ ตามมาติดๆ ด้วยแสงสว่างที่แสบตามากขึ้น บนร่างกายของหวังเป่าเล่อเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่แล้ว!

วินาทีนั้น…ทำให้สวี่อินหลิงตกตะลึงอีกครั้ง ร่องรอยพลังงานของร่างกายที่กำลังสั่นสะท้าน ซึมเข้าสู่ด้านในร่างกายของหวังเป่าเล่อ ครั้นระเบิดออก สมองของสวี่อินหลิงก็กลายเป็นความว่างเปล่าโดยพลัน ราวกับได้สูญเสียสติทั้งหมดที่มี เหลือเพียงร่องรอยพลังที่ทำให้นางกลายเป็นความว่างเปล่าไร้ตัวตน!

ท่ามกลางความว่างเปล่านี้ สัญชาตญาณของนางสั่งให้นางค้อมกายคารวะ ราวกับมนุษย์ธรรมดาได้พบกับเทพอมตะ!

โชคดีที่ร่องรอยพลังนี้ใช้เวลาไม่นาน มันดำรงอยู่เพียงชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป ก่อนจะค่อยๆ หดขนาดกลับเข้าไปราวกับเก็บตัวเอง และทั้งหมดก็กลับคืนสู่สภาพปกติอีกครั้ง ร่างกายของหวังเป่าเล่อกลับมามีชีวิตชีวา รอยแตกทั้งหมดก็มลายหายไปเช่นเดียวกัน.ไอลีนโนเวล.

สวี่อินหลิงค่อยๆ ตื่นขึ้นจากสภาวะวิญญาณว่างเปล่า ทว่าในตอนที่ตื่น นางกลับรู้สึกชาไปทั่วหนังศีรษะ ราวกับว่ากำลังจะระเบิดออก ร่างสั่นเทิ้มจนไม่อาจควบคุมได้ ครั้นก้มหน้าลงก็ได้พบว่า ตนเองกำลังคุกเข่าคารวะอยู่โดยที่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด

“นะ…นี่…” สวี่อินหลิงตัวสั่นระริก สาเหตุและคำตอบของเรื่องนี้ นางไม่กล้าแม้แต่จะไตร่ตรอง บอกตนเองไปว่า ขณะนั้นทั้งหมดที่นางเห็น ต้องฝังอยู่ในก้นบึ้งของหัวใจเป็นแน่

เป็นเพราะนางเข้าใจอย่างแจ่มชัด ดาวเคราะห์เต๋าของนางอยู่ในตำแหน่งที่สูงมาก ต่อให้เป็นดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อ หากพูดตามตำแหน่งแล้ว ก็คงห่างจากตนเองไม่มากนัก ทว่าตำแหน่งดาวเคราะห์เต๋าในระดับนี้ เมื่อเทียบกับร่องรอยพลังที่อยู่บนตัวของหวังเป่าเล่อเมื่อครู่ ยังห่างไกลจากกันอยู่มากโข ราวกับเมื่อครู่ร่างกายทั้งหมดของหวังเป่าเล่อได้หลอมรวมปณิธานของทั้งโลกไว้ด้วยกัน

ความรู้สึกนี้ประหลาดมาก เป็นความรู้สึกจากสัญชาตญาณทั้งสิ้น ทว่ากลับทำให้นางรู้สึกตกใจไปจนถึงความหวาดกลัว คล้ายกับมองเห็น…ใจกลางของจักรวาล!

“ไม่กล้าคิด ไม่อาจคิดได้…” ระหว่างที่สวี่อินหลิงพึมพำ ร่างกายที่สั่นเทิ้มก็รุนแรงมากขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า และในเวลานี้เอง…

หวังเป่าเล่อ ก็ตื่นแล้ว

ความรู้สึกของหวังเป่าเล่อ ราวกับว่าจักรวาลเกิดรอยแตก ราวกับความว่างเปล่าที่คลุมเครือ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด ในยามนั้น…สติของเขากลับคืนมา และได้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง

นัยน์ตาแฝงด้วยความมึนงง ราวกับมองไม่เห็นไอหมอกที่อยู่ตรงหน้า และไม่เห็นสวี่อินหลิงที่กำลังระมัดระวังตัว เขามองเห็น…ซุนเต๋อนักเล่าเรื่อง รวมถึง…ความมืดมิดที่แสนว่างเปล่าไร้จุดสิ้นสุด

มันไม่ใช่มุมมองการมองเห็นของซุนเต๋อ แต่เป็นมุมมองการมองเห็นของแผ่นไม้สีดำคู่ชีวิตที่อยู่ในมือของเขา เขาเห็นฝ่ามือที่กำลังจับตัวเขาไว้ มองเห็นซุนเต๋อที่แสดงสีหน้าอย่างมีชัย เขาเห็นตนเองถูกยกขึ้นมาและถูกเคาะลงบนโต๊ะ จนเกิดเสียงดังก้องกังวาน

เสียงนี้ ควบคู่กับเรื่องเล่าทั้งหมดของหลัวและกู่

ในเวลาเดียวกัน เขาก็ได้พบว่าซุนเต๋อถูกตีจนขาหักท่ามกลางพายุฝน กำลังร้องไห้ขณะดิ้นรนท่ามกลางสายฝน ทั้งยังได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญนั้น

ซุนเต๋อในปีนั้น กลายเป็นคนบ้าที่จมดิ่งอยู่ในเรื่องเล่า รวมถึงหน้าตาครั้งสุดท้าย…

จนกระทั่งสองพ่อลูกคู่นั้นปรากฏตัว จนกระทั่งกำลังจะเล่าเรื่องราวในช่วงหลัง จนกระทั่ง…ร่างกายถูกบดขยี้ ได้เห็นว่า…เศษวิญญาณของกู่ท้ายที่สุดสลายหายไป

วินาทีที่ซุนเต๋อมลายหายไป ตนเองก็แตกสลายเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าจะได้รับการถ่ายทอดบางอย่าง…หวังเป่าเล่อเงียบขรึม หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ก็เกิดเสียงถอนหายใจลากยาว การมองเห็นของเขากลับมาชัดเจนทีละน้อย

“สิ่งที่ถ่ายทอด คือมัวเมาที่น่าเสียดายและไม่เต็มใจที่กู่ไม่ได้กล่าว…มารมัวเมากับการเกิดใหม่น้อยลง ชะตากรรมของปีศาจถูกปิดผนึกระหว่างสวรรค์เทือกเขาและท้องทะเล ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ริเริ่มความคิดเรื่องนิรันดร์ ครึ่งเทพครึ่งอมตะกลับตาลปัตร” หวังเป่าเล่อกล่าวพึมพำ ตอนที่เขากลับมาได้สติแจ่มชัด จึงตระหนักได้ว่าชาติที่สิบของตน ไม่ใช่ซุนเต๋อนักเล่าเรื่อง แต่เป็นแผ่นไม้สีดำที่อยู่ในมือของซุนเต๋อต่างหากเล่า

ในเวลาเดียวกันเขาก็เข้าใจแล้วว่า โลกใบนี้ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร จะเป็นหนังสือก็ดี บทเพลงกล่อมเด็กก็ดี ในความเป็นจริง…ทุกสรรพสิ่งล้วนอยู่ด้านในศิลา

เขาตระหนักได้ว่า ไม่รู้สิ้นของที่นี่ ไม่ใช่ไม่รู้สิ้นอย่างแท้จริง

แม้ว่าจะรับรู้ความจริงมามากมาย แต่ก็ยังมีความสงสัยใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีกมาก ยกตัวอย่างเช่นไม่รู้สิ้นที่แท้จริงอยู่ที่ใด และการมีส่วนร่วมของหวังอีอีและภพชาติหลังจากนี้ของตนเองจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับชาตินี้หรือไม่

และยังมี…ตะขาบสีแดงฉานตัวนั้น มันคืออะไร…

รวมถึง…อนาคตของตนเอง

ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเงียบขรึม ภายในใจรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก ด้านหนึ่งตนเองก็พอจะทราบเกี่ยวกับคำตอบของโลกแล้ว แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะชาติก่อนของตนเองด้วย

“แผ่นไม้สีดำงั้นหรือ…” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงทุ้มต่ำ เขาเยาะเย้ยตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง เพราะรู้สึกว่าบางทีอาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญ วิญญาณวุธที่ถือกำเนิดขึ้น ไม่ใช่บุตรแห่งโลกที่เคยคิดไว้

“แล้วจะยังไงล่ะ!” หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อพลันปรากฏแสงสว่าง เขาไม่สนใจอดีตชาติ เขารู้เพียงแค่ว่าชาตินี้ เขา…ชื่อหวังเป่าเล่อ!

สติสัมปชัญญะนี้ปรากฏอยู่ในใจเขาชั่วขณะหนึ่ง ดวงตาของหวังเป่าเล่อปรากฏแสงสว่างจ้า ราวกับว่าการบ่มเพาะของเขาสอดคล้องกับเจตจำนง ภายในร่างกายเกิดเสียงก้องกังวาน ของขวัญที่ได้รับจากการระลึกถึงอดีตชาติพลันระเบิดออก!

แต่ยามที่การบ่มเพาะระเบิดออก จู่ๆ คำถามหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวของหวังเป่าเล่อ!

“ไม่ใช่สิ!!!”

“เหตุใดข้าถึงคิดไม่ออก ข้าปรากฏตัวอยู่ในมือของซุนเต๋อตั้งแต่เมื่อใดกัน?”

………………………………….

ชายวัยกลางคนผมขาวโพลนผู้นั้นแสดงออกถึงความจริงใจขั้นสุด ครั้นกวาดตามองอย่างละเอียดถี่ถ้วน จึงได้พบว่านอกจากความโศกเศร้าที่มากล้นผ่านนัยน์ตาคู่นั้น ยังแฝงด้วยความวิงวอนที่มากยิ่งกว่า

ความวิงวอนนี้ เหมือนกับคำพูดของเขา เพื่อบุตรสาว เขายอมจ่ายด้วยทุกอย่างที่มีโดยไม่คิดแม้แต่จะเสียดาย ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขใด ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด เขายินดีที่จะทำมันให้สำเร็จโดยไม่รอช้าและไม่ลังเล!

ยอมแม้กระทั่ง…ให้เขาแลกด้วยชีวิต!

เด็กหญิงข้างๆ ที่สวมใส่ด้วยชุดสีแดง ใบหน้าขาวซีด ดวงตาไร้แวว ทั้งยังมีร่างกายเดี๋ยวชัดเดี๋ยวลวงตา นอกจากนี้กลิ่นอายแห่งความตายก็กระจายทั่วกาย หากบรรยายเทียบกับภูตผีวิญญาณ เห็นทีจะถูกต้องยิ่งกว่า

ทั้งหมดนี้ทำให้ซุนเต๋อในฐานะที่เป็นขอทานเกิดอาการมึนงง ชีวิตเศร้าหมองของเขา เขาไม่เข้าใจเลยว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงขอร้องให้เขาช่วยเหลือ

“ข้าทำไม่ได้หรอก” ซุนเต๋อรู้สึกเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาของเขาเริ่มลืมไม่ขึ้นแล้ว ความหนาวเหน็บกัดกินร่างกายมากขึ้น ทำให้ร่างกายของเขาเกิดอาการหนาวสั่น ราวกับพลังทั้งหมดที่มีกำลังลอยหายไป แม้แต่เสียงที่เปล่งออกมาก็แผ่วเบาเกินกว่าจะหาสิ่งใดเทียบเทียม

ชายผมขาวเงียบขรึม เขาค่อยๆ เงยหน้ามองขอทานเฒ่า หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งจึงหันไปมองบุตรสาวที่ยืนอยู่ข้างกายด้วยความขมขื่น ก่อนจะหันกลับมามองซุนเต๋อ ราวกับตัดสินใจขึ้นได้ จึงกล่าวเสียงเบาว่า

“ผู้อาวุโส หวังผู้นี้ขอเล่าเรื่องราวกับท่านสักสองสามเรื่อง จะได้หรือไม่?”

“เรื่องราว?” ซุนเต๋อชะงัก ครั้นได้ยินสองประโยคหลังนี้ เขาพลันฝืนตัวเองให้กลับมากระปรี้กระเป่าอีกครั้ง ใช้มือจับแผ่นไม้สีดำไว้ ขณะมองไปยังชายกลางคนเส้นผมขาวโพลน นัยน์ตาขุ่นมัวทั้งคู่เผยให้เห็นถึงการรอคอย

“เรื่องนี้ เป็นหายนะนับครั้งไม่ถ้วนที่เกิดขึ้นภายในวงแหวนที่สอง เรื่องแรกคือเรื่องราวอันแสนโหดร้าย และมีเรื่องราวของโชคชะตา…”

“จุดเริ่มต้นของเรื่องราว คือชนเผ่าอนารยชน ในนั้นมีอากงและเสี่ยวหง กำลังเดินลงไปตามถนนท่ามกลางพายุหิมะ เพื่อมาตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับป๋ายโถว…”

ซุนเต๋อนั่งฟังเงียบๆ ชายวัยกลางคนผมขาวค่อยๆ เล่าเรื่อง ภายในเรื่องเล่านี้ ซุนเต๋อรู้สึกราวกับมองเห็นคนคนหนึ่งที่กำลังตามหาข้อเท็จจริงอยู่ตลอดเวลา เรื่องเล่าดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่อง เป็นช่วงเวลาแห่งการดิ้นรนจากความตายเพื่อเข้าสู่การมีชีวิต จนกระทั่งได้เกิดใหม่ขึ้นอีกครา…แต่ก็มีคนหายไปหนึ่งคน

“ทุกคนมึนเมาข้าได้สติ กับทุกคนได้สติแต่ข้ามึนเมา ความแตกต่างของสองสิ่งนี้…คืออะไร? หนทางแห่งความสุดโต่ง เหลือข้าเพียงผู้เดียว กับหนทางแห่งความสุดโต่งมีข้าเพียงผู้เดียวที่หายไป ระหว่างสองสิ่งนี้ล่ะ คืออะไร?”

“อะไรคือจริง อะไรคือเท็จ ทั้งหมดนี้…ล้วนเป็นขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงทางใจ ทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นเพราะความหมกมุ่น! เมื่อความหมกมุ่นเดินทางไปถึงขีดสุด ก็จะเหลือเพียงคำว่า ‘มาร’ เพียงคำเดียว ที่สามารถเรียกได้!”

“ดังนั้น ข้าจะขอเรียกเรื่องราวนี้ว่า…เรื่องราวของมาร ส่วนบทสรุปของเรื่อง คือเขาตัดนิ้วของหลัวเทียนไปหนึ่งนิ้ว!”

“มารเมามัวกับการเกิดใหม่น้อยลง!” ร่างของซุนเต๋อพลันสั่นสะท้าน ดวงตาของเขาเปล่งประกายแวววาว ครั้นนำเรื่องราวนี้มาเทียบกับเรื่องราวเกี่ยวกับมารที่เขาลองเปลี่ยนรูปแบบหลายต่อหลายครั้งในปีนั้น เรื่องนี้น่าตื่นเต้นกว่ามาก

ชายวัยกลางคนผมขาวเงียบขรึม ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งจึงเปล่งเสียงแผ่วเบา

“เรื่องที่สองภายในเรื่องเล่า เป็นเรื่องราวของความมัวเมา จุดเริ่มต้นของเรื่องราว…เกิดขึ้นที่สถานที่แห่งหนึ่งมีชื่อว่าดาราปักษามุก ที่นั่นมีจ้าวกว๋อผู้หนึ่ง…”

ชายวัยกลางคนผมขาวเล่าเรื่องที่สองจนจบ เมื่อเทียบกับเรื่องแรก เรื่องนี้มีรายละเอียดมากกว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนคนหนึ่งที่สั่งให้ร่างอวตารของตนเองไปเกิดใหม่เรื่อยๆ ทำให้ร่างกายของตนได้ซึมซับเข้ากับชีวิตเดียวกันครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อหาโอกาสฟื้นคืนชีพให้ภรรยา!

นั่นเป็นการต่อสู้กับเทพ แย่งชิงกับอมตะ สวรรค์สั่งให้เจ้าตาย ข้าก็จะขอเป็นคนบ้าคลั่งที่แย่งเจ้ากลับมา

“ลื่นไหลไปตามทางคือสามัญ​ชน ก้าวข้ามอุปสรรค​คืออมตะ…”

“ครึ่งเทพครึ่งอมตะกลับตาลปัตร!” ยังไม่รอให้ชายวัยกลางคนผมขาวพูดจบ ซุนเต๋อพลันรับช่วงต่อ ดวงตาของเขาเป็นประกายแวววาวมากยิ่งขึ้น เรื่องเล่านี้ทำให้เขารู้สึกชาไปทั้งศีรษะเมื่อได้ยิน ระดับความน่าตื่นเต้นนี้ คงเป็นเพราะมีรายละเอียดเจาะลึก จึงทำให้ผู้ฟังรู้สึกสะเทือนอารมณ์มากยิ่งขึ้น

“บุคคลผู้นี้ ก็ตัดนิ้วของหลัวเทียนไปหนึ่งนิ้วเช่นเดียวกัน!” ชายวัยกลางคนผมขาวพูดอย่างเนิบช้า จากนั้นก็พูดต่อไปอีกว่า

“เรื่องที่สามของเรื่องเล่า เกิดขึ้นระหว่างเก้าภูเขาและเก้าทะเล มีนักปราชญ์ผู้หนึ่ง หลังจากโยนขวดอธิษฐานทิ้งไป ก็ได้เดินออกจากชะตาชีวิตของปีศาจ!”

คำอธิบายเรื่องราว ชั่วชีวิตของนักปราชญ์ผู้นี้ ได้เดินทางข้ามภูเขาและทะเล ดิ้นรนท่ามกลางความสิ้นหวัง เปลี่ยนเป็นปีศาจท่ามกลางความบ้าคลั่ง เสียงหัวเราะแปลกประหลาดที่ดังออกมาทำให้ดวงวิญญาณเทพสั่นระรัว ทั้งยังลอยอยู่ด้านในจักรพิภพเต๋าไพศาลที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนั้น เหลือทิ้งไว้เพียงความโศกเศร้าและความขุ่นเคือง!

“เขาเคยกล่าวว่า ชีวิตของข้าดุจดั่งปีศาจปรารถนาผนึกฟ้า เขาเองก็…ตัดนิ้วมือของหลัวเทียนเช่นกัน ครั้นก้าวเข้าไปอีกหนึ่งก้าว ร่างเดิมก็ได้กลายเป็นหลัวเทียน หลังจากเข้าใจถึงชีวิต ท้ายที่สุดก็ร่วมมือกับคนอื่นๆ สังหาร…หลัวเทียน!” ชายวัยกลางคนผมขาวเล่าเกี่ยวกับเรื่องราวของปีศาจ ครั้นเทียบกับเรื่องที่สอง เรื่องนี้รายละเอียดน้อยกว่า แต่นี่กลับไม่กระทบต่อความเข้าใจของซุนเต๋อ ดวงตาทั้งคู่มีพลังมากยิ่งขึ้น ในเวลานี้เขาได้ส่งเสียงพึมพำด้วยความตกตะลึง

“ที่แท้นี่ก็คือปีศาจปรารถนาผนึกสวรรค์ภูเขาและทะเล!”.ไอลีนโนเวล.

“ถ้าเช่นนั้นใครเป็นผู้ริเริ่มความคิดนิรันดร์ขึ้นมาล่ะ? แล้วเรื่องราวเป็นอย่างไร?” ซุนเต๋อหายใจเร็วขึ้น ขณะมองชายวัยกลางคนผมขาวด้วยความกระตือรือร้น

“ผู้อาวุโส เรื่องนี้…ข้าพูดไม่ได้” ชายวัยกลางคนผมขาวเงียบขรึมอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยปากกระซิบออกมา

ซุนเต๋อไม่ได้เอ่ยวาจาใดออกมา แผ่นไม้สีดำในมือจากเดิมที่ถูกกุมจนแน่นได้คลายลงแล้ว แต่หลังจากนั้นก็กลับมากำแน่นอีกครั้ง ครั้นครุ่นคิดอยู่นาน ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจได้ถึงบางสิ่ง พลันพยักหน้าตอบกลับไป

“เรื่องที่เจ้าพูดได้ ยังมีอีกไหม?”

“ลูกสาวของข้า ได้รับบาดเจ็บ ต่อให้เป็นข้า…ก็ไม่อาจช่วยได้ ข้าออกตามหามาหลายคนแล้ว…ท้ายที่สุดมีคนบอกข้าว่า บาดแผลเช่นนี้…มีแค่อมตะที่สามารถช่วยเหลือได้!”

“ข้าได้เสาะหาหายนะจำนวนนับครั้งไม่ถ้วนของวงแหวนที่สอง ตามหาทุกตารางนิ้วของกาลเวลา และตามหาร่องรอยของอมตะ จนกระทั่งวันหนึ่ง ข้าได้เจอกับศิลาชิ้นหนึ่ง!”

“ข้านำศิลาชิ้นนี้ไปหลอม เปิดคำสาปหายนะจำนวนนับไม่ถ้วนโดยไม่หวั่นเกรงว่าจะเป็นปฏิปักษ์กับผู้อื่น ท้ายที่สุดก็ได้เข้าสู่จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่เป็นแหล่งปิดผนึกอมตะในตำนาน จากนั้น…ข้าก็ได้พบกับความลับหนึ่ง!”

“อย่างแรกเป็นความลับเกี่ยวกับจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น และอีกอย่างเป็นความลับเกี่ยวกับอมตะ หวังผู้นี้ขอใช้ความลับนี้เพื่อแลกกับการที่ผู้อาวุโสจะช่วยเหลือลูกสาวของข้า!” สายตาของชายวัยกลางคนผมขาวเผยประกายแปลกประหลาด ขณะมองมาทางฝั่งซุนเต๋อ

ซุนเต๋อในเวลานี้ก็เงยหน้าขึ้นเช่นกัน นัยน์ตาขุ่นมัวเผยแสงประหลาดออกมา หลังจากเงียบอยู่นาน จึงเอ่ยปากพูดอย่างขมขื่น

“ข้าอยากรู้เป็นอย่างยิ่ง แต่…ข้าช่วยใครไม่ได้จริงๆ และข้าก็ไม่ใช่ผู้อาวุโสด้วย ข้าเป็นแค่คุณชายเล่าเรื่องคนหนึ่ง…”

“ขอเพียงท่านอาวุโสตอบตกลง ย่อมทำได้!” ชายวัยกลางคนผมขาวยืนกรานผ่านสายตาคู่นั้น

ซุนเต๋อทอดถอนใจ

“ก็ได้ ข้าตอบตกลง!”

ชายวัยกลางคนผมขาวสูดหายใจเข้าลึกๆ แม้แต่เขา บัดนี้ดวงตาก็เป็นประกายความตื่นเต้นเช่นกัน เขายกมือขึ้นคารวะซุนเต๋ออีกครั้ง!

“ขอบคุณผู้อาวุโสเป็นอย่างยิ่ง ความลับที่ข้าเจอ ก็คือสถานที่แห่งนี้…ไม่ใช่จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่แท้จริง!”

“ช่วงเริ่มแรกของวงแหวนที่สอง เกิดหายนะจำนวนนับครั้งไม่ถ้วนครั้งที่หนึ่ง ซึ่งก็คือไม่รู้สิ้น แต่มันกลับไม่ใช่ไม่รู้สิ้นที่แท้จริง ไม่รู้สิ้นนั้น แท้จริงแล้วอยู่ด้านนอกวงแหวนต่างหากเล่า!”

ครั้นพูดออกมาเช่นนี้ ร่างของซุนเต๋อพลันสั่นสะท้าน เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดร่างกายจึงสั่นถึงเพียงนี้ แต่เขากลับไม่อาจควบคุมได้ ราวกับว่าความตื่นรู้ที่อยู่ภายในร่างกายรวมถึงจิตวิญญาณได้ระเบิดออก โลกที่อยู่ตรงหน้าของเขาเริ่มพร่าเลือน และแตกเป็นเสี่ยงๆ เงาของชายวัยกลางคนผมขาวและเด็กหญิงตัวน้อยบิดเบี้ยว ประหนึ่งทุกสรรพสิ่งที่อยู่ภายในพิภพเชื่อมสวรรค์นี้กำลังพังทลายลง!

สิ่งนี้ทำให้เขากำแผ่นไม้สีดำที่อยู่ข้างกายมาทั้งชีวิตแน่นตามสัญชาตญาณ บางทีอาจเป็นเพราะเขาในเวลานี้มีพลังมากเกินไป ทำให้แผ่นไม้สีดำเกิดรอยร้าวหลายเส้น หากเปลี่ยนเป็นมนุษย์ เกรงว่าร่างคงแตกสลายในเวลานี้ คงเจ็บ เจ็บมาก เจ็บมากแน่ๆ!

ส่วนซุนเต๋อ น่าเสียดายตรงที่…โลกที่อยู่ตรงหน้าเขา พังทลายลงอย่างสมบูรณ์ ความผันผวนด้านในวิญญาณของเขาที่กำลังถูกปลุกให้ตื่น ดูเหมือนว่าจะมาถึงขีดสุดแล้ว ยังไม่ทันที่การปลุกให้ตื่นจะสำเร็จลุล่วง ก็เริ่มกระจัดกระจายออกจากกันเสียแล้ว

นี่คือ…การกระจัดกระจายอย่างแท้จริง

แต่กลับไม่ใช่ความตาย มันคือการหลอมรวมเข้ามาอยู่ในสวรรค์เชื่อมพิภพอย่างถาวร ทว่าก่อนที่สติของซุนเต๋อจะหายไป จู่ๆ เขาก็ตระหนักขึ้นได้ว่า สติที่กระจายไปเช่นนี้ บางทีอาจเป็นเศษวิญญาณกู่ที่อยู่ในเรื่องเล่า ส่วนเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดก็คือคำสาปของวงแหวนที่สอง คาดว่าคงใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว ส่วนสตินี้ก็ไม่มีวันได้ตื่นขึ้นมาจริงๆ

กู่พ่ายแพ้แล้ว เป็นเพราะเศษวิญญาณเริ่มยุ่งเหยิง จวบจนตอนนี้ก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา

และชนะแล้ว เพราะชายวัยกลางคนผมขาวกล่าวว่า หลัวเทียนถูกสังหาร

ทว่าเขายังนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่อีกฝ่ายไม่ได้เอ่ย เรื่องราวของความคิดนิรันดร์ แต่เขาไม่อยากจะคิดถึงมันแล้ว

“ไม่คิดถึงเรื่องนั้นแล้ว คิดถึงตัวเองเถอะ เรื่องเล่าทั้งชีวิตที่ข้าเล่าไป แท้จริงแล้ว…ข้ากำลังพูดถึงตัวเอง” ซุนเต๋อยิ้ม ร่างกายของเขาได้ทรุดลงและแตกกระจาย แผ่นไม้สีดำที่ร่วมเป็นสักขีพยานชีวิตในมือของเขา หลังจากที่เขาหายไป มันก็เกิด รอยร้าวจำนวนนับไม่ถ้วน ราวกับพร้อมที่จะแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ ได้ตลอดเวลา ก่อนจะร่วงหล่นลงสู่ความว่างเปล่า

ภายในความว่างเปล่า ท่ามกลางความมืดและหนาวเหน็บ มันร่วงหล่นลงเรื่อยๆ หล่นลงไป…หล่นลงไป…หล่นลงไปอีก…

ราวกับว่าผ่านไปแล้วหนึ่งชาติ…หนึ่งชาติ…หนึ่งชาติ…และอีกหนึ่งชาติ จากนั้นรอยร้าวที่อยู่ด้านบน ก็ค่อยๆ ผสานเข้าด้วยกัน…

จนกระทั่งความว่างเปล่าได้เปลี่ยนจากความมืดมิดเป็นแสงสว่าง จักรวาลเปลี่ยนจากความโดดเดี่ยวกลับมามีชีวิต ภายในโลกใบใหม่นี้ มันได้กลายเป็นลำแสงหนึ่งสาย ร่วงหล่นลงสู่ดวงดาราสามัญดวงหนึ่ง ท่ามกลางป่าแห่งหนึ่ง ภายในท้องของกวางตัวเมียที่กำลังจะคลอด…

………………………………………………………….

เวลาล่วงผ่าน นี่ก็ผ่านไปสามสิบปีแล้ว นับแต่ซุนเต๋อเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อตำแหน่งอมตะระหว่างหลัวและกู่

สามสิบปี เทียบเท่ากับครึ่งค่อนชีวิตของมนุษย์โดยทั่วไป เพียงพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรวมถึงจุดพลิกผันได้มากมายสำหรับมณฑลเล็กๆ แม้ว่าจะมีเด็กกำเนิดออกใหม่ เติบโต แต่งงาน จนกระทั่งคลอดบุตรกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า

แต่ก็มีกลุ่มคนที่ต้องตกต่ำ ผิดหวัง แก่ชรา จวบจนสิ้นลมหายใจครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นเดียวกัน

ทว่าสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือตัวมณฑลแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้าง กำแพงเมือง จวนใหญ่ที่ว่าการมณฑล รวมไปถึง…โรงน้ำชาในปีนั้น

ทุกอย่างยังคงอยู่ในสภาพเดิม ต่อให้ได้รับความเสียหาย แต่ภาพรวมดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนแปลงไม่มากเท่าไรนัก เพียงแต่มีพื้นกระเบื้องที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ บางจุด อิฐบนกำแพงหายไปเล็กน้อย ป้ายของจวนใหญ่ที่ว่าการมณฑลหายไป รวมถึง…นักเล่าเรื่องภายในโรงน้ำชาในตอนนั้นก็หายไป

แต่ภายในมณฑล มีบุคคลและวัตถุเพิ่มขึ้นไม่น้อยเช่นกัน มีร้านค้ามากขึ้น บนกำแพงเมืองมีหอคอยเพิ่มขึ้น มีกลองเพิ่มขึ้นที่จวนของที่ว่าการอำเภอ ภายในโรงน้ำชายังมีผู้ช่วยเพิ่มขึ้น รวมไปถึง…ด้านล่างสะพานเมืองตะวันออก มีขอทานเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน

ขอทานผู้นี้มีเส้นผมขาวโพลนทั่วศีรษะ เสื้อผ้าที่สวมใส่ดูสกปรกมอมแมม มือทั้งสองข้างคล้ายกับมีสิ่งสกปรกลามทั่วบนผิวหนัง เขากำลังนั่งพิงกำแพง ตรงหน้ามีโต๊ะไม้ผุๆ หนึ่งตัว บนโต๊ะมีแผ่นไม้สีดำหนึ่งแท่ง บัดนี้ขอทานเฒ่ากำลังแหงนหน้ามองท้องนภากว้างใหญ่ ดวงตาขุ่นมัวเจียนจะบอดของเขากำลังเหม่อลอย แม้เนื้อตัวจะมอมแมม ทว่าใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยกลับเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยังสะอาด…สะอาดมาก

ดูเหมือนว่านี่คงเป็นสิ่งเดียว ที่ยังเป็นหน้าเป็นตาให้กับเขาได้

เพียงแต่ใบหน้าสะอาดสะอ้านนี้ ไม่เข้ากับขอทานคนอื่นที่อยู่รอบด้านเลย และไม่ได้สอดคล้องกับเสียงอึกทึกกึกก้องของฝูงชนที่เดินขวักไขว่ไปมา

ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ใส่ใจ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ท่ามกลางท้องฟ้าอันหมองหม่น ขอทานเฒ่าเปล่งเสียงออกมาจากลำคอ คล้ายกับกำลังยิ้ม และคล้ายกับกำลังก้มหน้าร้องไห้ เขาหยิบแผ่นไม้สีดำที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา และกระทบมันลงบนโต๊ะจนเกิดเสียงดังฟังชัดเหมือนกับในปีนั้น

“กล่าวถึงคราวที่แล้ว ก่อนที่จักรพิภพเต๋าไพศาลจะล่มสลาย และก่อนที่จะเกิดเก้าพันหมื่นหายนะนับครั้งไม่ถ้วน นอกจากท้องฟ้าสีดำทะมึนพื้นดินสีเหลืองอร่ามแล้ว ในส่วนลึกของจักรวาลไกลโพ้นที่ไร้จุดสิ้นสุดและไม่เป็นที่รู้จัก มีสองผู้อาวุโสแห่งผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ดำรงอยู่นับตั้งแต่แรกเริ่ม ต่างกำลังแย่งชิงตำแหน่งอมตะ!”

“ผู้เยี่ยมยุทธ์ผู้มีนามว่าหลัว ได้ยกมือขวาขึ้น จับเต๋าสวรรค์ไว้ในมือ และกำลังจะบดขยี้ให้แหลก…”

“ทว่ากู่กลับเหนือชั้นกว่า เขาหมุนตัวและย้อนเวลากลับไป…” ขอทานเฒ่าเล่นโทนเสียงสูงต่ำ ทั้งยังสะบัดหน้าไปมา คล้ายกับจมดิ่งอยู่ในเรื่องราว นัยน์ตาขุ่นมัวของเขาราวกับมองไม่เห็นผู้คนที่กำลังเดินขวักไขว่ไปมา แต่กลับลืมตัวท่าทางราวกับตอนที่อยู่ในโรงน้ำชาในปีนั้น

ครั้นเอ่ยปากพูด ขอทานคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่รอบตัวต่างไม่พอใจ แต่เขายังคงใช้แผ่นไม้สีดำในมือเคาะลงบนโต๊ะ สะบัดศีรษะไปมา เล่าเรื่องต่อไป

“ตาเฒ่า เรื่องนี้เจ้าพูดมาสามสิบปีแล้ว เปลี่ยนเรื่องอื่นได้ไหม?”

“ไอ้แซ่ซุน เจ้ารีบหุบปากเดี๋ยวนี้ รบกวนฝันอันงดงามของนายท่านอย่างข้า เจ้าคงอยากถูกอัดอีกรอบสินะ!” น้ำเสียงไม่พอใจนั้น ยิ่งพูดก็ยิ่งดุดันมากขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดขอทานวัยกลางคนที่ดูโหดเหี้ยมก็พุ่งตัวเข้ามาคว้าเสื้อของชราเฒ่าไว้ พร้อมถลึงตาใส่ด้วยความดุดัน

“ตาเฒ่าซุน เจ้ายังคิดว่าตัวเองเป็นคุณชายซุนในตอนนั้นอีกหรือ ข้าขอเตือนเจ้าไว้ก่อนเลย หากยังรบกวนเวลานอนหลับฝันดีของข้าอีกครั้ง เจ้าก็ไสหัวย้ายออกไปที่อื่นได้เลย!”

ขอทานเฒ่าแม้ว่าดวงตาจะหมองมัว ทว่าเขากลับเบิกตากว้าง และจ้องมองไปยังขอทานวัยกลางคนที่กระชากคอเสื้อตัวเองด้วยความเกรี้ยวกราด

“เหิมเกริม ข้าคือคุณชายซุน ข้าคือจวี่เหริน ชื่อเสียงของข้าเกรียงไกรในใต้หล้า ข้า…”

“เจ้ามันคนบ้า!” ขอทานวัยกลางคนยกมือขวาขึ้น เตรียมจะตบฉาดเข้าที่หน้าของอีกฝ่าย แต่จู่ๆ กลับมีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นจากที่ไกลๆ

“หยุด!”

ครั้นมองไปตามต้นเสียง ก็พบว่าข้างๆ สะพานมีชายชราผู้หนึ่งอุ้มอุ้มเด็กอายุ 5-6 ขวบไว้ในมือกำลังเดินตรงเข้ามา

เมื่อเห็นชายชราเดินเข้ามา ขอทานวัยกลางคนผู้นั้นจึงรีบวางมือลง ใบหน้าเหี้ยมโหดเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นประจบสอพลอ ขณะรีบเอ่ยวาจา

“ที่แท้ก็เป็นโจวหยวนว่ายนี่เอง ข้าน้อยกล่าวทักทายท่าน”

“ถอยออกไปเถอะ” โจวหยวนว่ายผู้นั้นขมวดคิ้ว จากนั้นโยนเหรียญออกมาจากกระเป๋า ขอทานวัยกลางคนรีบเก็บเหรียญ และถอยหลังออกไปด้วยรอยยิ้ม

โจวหยวนว่ายไม่ได้สนใจอีกฝ่าย สายตาของเขาแฝงด้วยอารมณ์ความรู้สึกและความสับสน ขณะมองขอทานเฒ่าจัดระเบียบเสื้อผ้าตนเอง หลังจากกลับนั่งที่ตามเดิม เขาจึงยกแผ่นไม้สีดำเคาะลงบนโต๊ะอีกครั้ง.Aileen-novel.

“คุณชายซุน หากมีเวลา โปรดเล่าใหม่อีกสักครั้งเถิด ข้าอยากฟังเรื่องการเตรียมการของเก้าพันหมื่นหายนะนับครั้งไม่ถ้วนของหลัว รวมถึงฉากสุดท้ายในการต่อสู้กับกู่ด้วย” โจวหยวนว่ายเอ่ยปากพูดเสียงเบา

ขอทานเฒ่าเหลือบตามอง เขากวาดตามองโจวหยวนว่ายอยู่ครู่หนึ่ง พลันกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า

“ที่แท้ก็เป็นเสี่ยวเอ้อร์นี่เอง คนมากันครบรึยังล่ะ”

โจวหยวนว่ายได้ยินก็แย้มยิ้มออกมา ราวกับว่าได้จมดิ่งลงไปในห้วงแห่งความทรงจำอีกครั้ง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงตอบกลับมาว่า

“คุณชายซุน คนมากันครบแล้ว ทุกคนกำลังรอท่านอยู่” ระหว่างที่กล่าว เขาจึงวางเด็กน้อยที่กำลังเกิดความฉงนลง และใช้แขนเสื้อเช็ดไปที่โต๊ะ

ขอทานเฒ่ายิ้มด้วยความภูมิใจ เขาหยิบแผ่นไม้สีดำขึ้นมา เคาะลงบนโต๊ะหนึ่งครั้ง จนเกิดเสียง “แปะ”

“พูดถึงคราวที่แล้ว…” เสียงของชายชราเฒ่าดังท่ามกลางเสียงจอแจของฝูงชน ราวกับว่าได้นำเขากลับไปยังปีนั้นอีกครั้ง โจวหยวนว่ายที่อยู่ตรงข้ามเขาก็มีท่าทีเช่นเดียวกัน พวกเขาทั้งสองคน หนึ่งคนเล่า หนึ่งคนฟัง จวนจบเวลาพลบค่ำ ขอทานเฒ่าก็ผล็อยหลับไป โจวหยวนว่ายสูดหายใจเข้าลึกๆ มองท้องฟ้าที่แสนมืดครึ้ม จากนั้นถอดเสื้อนำมาคลุมบนร่างของขอทานเฒ่า หลังจากโค้งคำนับ เขาจึงทิ้งเงินไว้ส่วนหนึ่งและนำเด็กเล็กเดินจากไป

ห่างออกไป เสียงของเด็กดังขึ้นด้วยความสงสัยใคร่รู้

“ท่านปู่ ขอทานคนนั้นคือใครหรือ”

“เขาน่ะรึ คุณชายซุน ตอนที่ปู่ยังเป็นผู้ช่วยที่โรงน้ำชา เขาคือคุณชายที่ปู่เคารพมากที่สุดเลยล่ะ”

“แล้วทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ ไม่กลับบ้านรึ?”

“ความฝันของคุณชายซุน คือการเดินข้ามพันภูเขาหมื่นธารา เพื่อดูชีวิตของมนุษย์ บางทีท่านอาจจะเหนื่อย จึงแวะพักผ่อนที่นี่” เสียงถอนหายใจของชายชราผสมผสานกับเสียงคมชัดของเด็ก ห่างไกลออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ

ทว่าเขากลับไม่เห็นว่า ขอทานเฒ่าที่ดูเหมือนกำลังนอนหลับผู้นั้น แท้จริงแล้วในเวลานี้ร่างกายกำลังสั่นเทา ดวงตาที่ปิดลงไม่อาจห้ามน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม ครั้นน้ำตาหยดลงสู่พื้น ท้องนภาก็มืดหม่นลง หยาดฝนอันหนาวเหน็บที่ตกลงมาได้กระทบลงสู่ผืนพิภพ

หยาดฝนนี้ช่างหนาวเหน็บ ขอทานเฒ่าค่อยๆ ลืมตาอันขุ่นมัว เขาหยิบแผ่นไม้สีดำที่วางอยู่บนโต๊ะมากอดไว้ นี่เป็นวัตถุเพียงชิ้นเดียวที่อยู่กับเขาตั้งแต่แรกเริ่มจวบจนปัจจุบัน

ระหว่างลูบแผ่นไม้สีดำ ขอทานเฒ่าพลันแหงนหน้ามองท้องฟ้า เขานึกถึงฉากหยาดฝนตอนที่เรื่องเล่านั้นได้สิ้นสุดลง

ฉากหยาดฝนเมื่อสามสิบปีก่อน ช่างหนาวเหน็บ ไร้ซึ่งความอบอุ่น เช่นเดียวกับโชคชะตาของเขา หลังจากที่เล่าเรื่องของกู่และหลัวจบลงแล้ว เขาก็ไม่มีความฝันอีกต่อไป เรื่องเกี่ยวกับปีศาจ มาร นิรันดร์ ครึ่งเทพครึ่งอมตะที่เขาเสริมเติมแต่งขึ้นมา เป็นเพราะยังขาดความน่าสนใจ แรกเริ่มทุกคนต่างพากันเฝ้ารอ ทว่าหลังจากความอดทนสิ้นสุดลง ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครสนใจเรื่องนี้อีก

เขาพยายามมาหลากหลายรูปแบบ แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า ความล้มเหลวจากการเล่าเรื่อง ส่งผลให้ฐานะในบ้านของเขาต้อยต่ำลงเรื่อยๆ พ่อตาเกิดความไม่พอใจ ภรรยาก็ดูถูกและรังเกียจเดียดฉันท์ เขารู้สึกอับอายจนแทบซุกแผ่นดินหนี จึงเหลือเพียงความหวังเดียวคือผลสอบเข้ารับราชการ

แต่แล้ว…เขาก็ยังล้มเหลว

ปัญหาถาโถมเข้าใส่เขาคราแล้วคราเล่า ทำให้ซุนเต๋ออับจนหนทาง ท่ามกลางความจนปัญญานี้ เขาจึงทำได้เพียงแค่เล่าเรื่องกู่และอมตะอีกครั้ง ภายในระยะเวลาสั้นๆ ชีวิตเดิมของเขาฟื้นกลับคืนมา แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปเจ็ดปีให้หลัง เรื่องราวที่น่าตื่นเต้น ก็ไม่อาจเอาชนะความซ้ำซากจำเจได้อีกต่อไป ครั้นทุกคนได้ฟังเรื่องนี้จนครบ ก็เริ่มมีผู้คนเลียนแบบมากขึ้นเรื่อยๆ จนเส้นทางของซุนเต๋อพลันถูกตัดขาด

เขาไม่มีช่องทางหารายได้อีก ชื่อเสียงค่อยๆ จางหาย จนทำให้ไม่หลงเหลือหน้าตาประดับบารมี แม้แต่ภรรยาก็แสดงท่าทีขยะแขยงออกมาให้เห็น ทั้งยังทำดีกับคนอื่นต่อหน้าเขา ตอนที่เขาบันดาลโทสะ นางจึงตัดสินใจหย่าขาดกับเขา และแต่งงานกับคนอื่นภายใต้การสนับสนุนของพ่อตา

ซุนเต๋อทนทุกข์ทรมานกับการถูกหลอกในช่วงแรก เขาโดนรุมกระทืบจนขาหักทั้งสองข้าง ก่อนจะถูกโยนออกมานอกประตูบ้าน ในวันนั้นเป็นช่วงที่ฝนตกโปรยปราย และหนาวเหน็บเช่นเดียวกัน

ไร้บ้าน ไร้งาน ไร้หน้าตา สูญเสียทุกสิ่ง แม้กระทั่งขาทั้งสองข้าง เขานอนร้องโอดครวญท่ามกลางสายฝน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวกับการทุบตีเช่นนี้ จึงเป็นบ้าเสียสติไป

หรืออาจจะกล่าวได้ว่า เขาจำใจต้องเป็นบ้า เพราะในตอนแรกเขามีชื่อเสียงมาก แต่ในตอนนี้กลับหมดตัวสูญเสียทุกสิ่ง ความตกต่ำเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปจะยอมรับได้

ซุนเต๋อที่เป็นบ้า อาศัยผู้ฟังหน้าเก่าและบางครั้งก็ถอนหายใจหวนนึกถึงอดีตเพื่อขออาหาร ก่อนจะค่อยๆ กลายเป็นขอทาน ขอทานที่อยู่ในโลกของตัวเองและยังคงเล่าเรื่องต่อไป

มีหลายครั้ง ที่เขาคิดว่าตนเองกำลังจะตาย แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ยอมรับต่อชะตานี้ เขาดิ้นรนสุดชีวิตเพื่ออยู่รอดต่อไป ต่อให้…สิ่งที่อยู่ข้างกายเขา จะมีแค่แผ่นไม้สีดำเพียงสิ่งเดียวก็ตาม

เขาลูบแผ่นไม้สีดำเบาๆ ขณะมองหยาดฝนที่ตกโปรยปราย รู้สึกว่าวันนี้หนาวเหน็บกว่าทุกวันที่ผ่านมา ราวกับว่าโลกทั้งใบเหลือเขาเพียงคนเดียว ทุกสรรพสิ่งเปลี่ยนเป็นความเลือนราง มืดหม่น เขารู้สึกราวกับได้ยินเสียงของผู้คนจำนวนมาก และเห็นเงาอีกมากมาย

“คุณชายซุน เล่าอีกตอนเถอะ”

“นั่นสิคุณชายซุน พวกเราฟังจนใจคันยุบยิบไปหมดแล้ว คุณชายอย่าอุบไว้สิ”

“คุณชายซุน คุณชายซุนของพวกเรา ท่านปล่อยให้พวกเรารอมานาน แต่ก็นับว่าคุ้มค่า!”

ครั้นได้ยินเสียงดังขึ้นจากรอบด้าน และเงาของผู้คนที่กระตือรือร้น ซุนเต๋อจึงคลี่ยิ้มออกมา เพียงแต่รอยยิ้มของเขา กลับค่อยๆ เย็นชาไปพร้อมกับร่างกาย และกลายเป็นนิรันดร์อย่างเนิบช้า

ทว่าในเวลานี้…จู่ๆ เขาก็เห็นคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน มีเงาสองคนที่มีความชัดเจน นั่นคือชายวัยกลางคนผมขาวโพลน ดวงตาของเขาแฝงความโศกเศร้า ข้างกายของเขาคือเด็กหญิงสวมใส่ชุดสีแดง แม้เสื้อผ้าของเด็กคนนี้จะมีสีสันสดใส ทว่าใบหน้ากลับขาวโพลนอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายค่อนข้างเลือนราง ราวกับพร้อมมลายหายไปได้ทุกเมื่อ

พวกเขาทั้งสองคนนั่งลงตรงนั้น และกำลังมองมาที่ตนเอง

“ผู้อาวุโสโปรดช่วยบุตรีของข้าด้วย หวังผู้นี้ยินดีทำทุกอย่าง ยอมแลกด้วยทุกสิ่งที่มี!” ตอนที่ซุนเต๋อมองไป ก็พบว่าชายวัยกลางคนเส้นผมขาวโพลนผู้นั้นกำลังลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับให้เขา

………………………………..

ความจริงก็เป็นเช่นนั้น รวมทั้งการแต่งงาน ทำให้เรื่องราวจากการเล่าเรื่องของซุนเต๋อแพร่สะพัดอย่างต่อเนื่อง และท้ายที่สุดเบื้องหลังของเขาก็ถูกสืบเสาะจนกระจ่างชัดโดยครอบครัวร่ำรวยนั้น ชื่อเสียงของซุนเต๋อไม่เพียงแต่ได้รับความนิยมในมณฑลเล็กๆ แห่งนี้ ทว่าลามไปถึงมณฑลอื่นๆ โดยรอบด้วย

ดังนั้นครอบครัวร่ำรวยจึงทำได้เพียงแค่อดกลั้น และใช้วิธีบางอย่างซึ่งต้องเสียเงินจำนวนมาก เพื่อช่วยซุนเต๋อปกปิดตัวตนจอมปลอม

แม้เงินที่เสียไปจะทำให้ซุนเต๋อได้รับความนับหน้าถือตาจากผู้คนภายนอก หากแต่ฐานะของครอบครัวกลับตกต่ำลง แต่ถึงอย่างนั้นเขากลับยินยอมถูกตำหนิเพราะความผิดพลาด แม้กระทั่งภรรยาที่แสนอ่อนหวานก็ยังเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อเขาเป็นการดุด่าอยู่บ่อยครั้ง ทว่านางก็ยังงดงามเช่นเดิม

ซุนเต๋อรักภรรยาสุดขั้วหัวใจ เขารู้ว่าตลอดชีวิตของตน การได้แต่งงานกับภรรยาผู้นี้นับเป็นความโชคดีตลอดชั่วชีวิตของเขา

ดังนั้นซุนเต๋อจึงคอยปรนนิบัติพ่อตาไปพร้อมๆ กับภรรยาอย่างดี รวมถึงตั้งใจกลับเนื้อกลับตัว เขาเลิกนิสัยเสพติดการพนัน พร้อมสาบานกับตัวเองว่าหลังจากนี้จะไม่ไปข้องเกี่ยวกับการพนันขันต่อและหอนางโลมอีก

ซุนเต๋อหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ตั้งใจว่าจะเล่าเรื่องของตนเอง และทุ่มเทให้กับการเข้าร่วมเดินทางสำรวจอีกสักครา พยายามทำตัวให้คู่ควรกับชื่อเสียงที่มี แม้วิธีการนี้จะทำให้พ่อตาของเขาไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก แต่ภรรยาของเขากลับไม่สนใจไยดี ขณะเดียวกันอารมณ์หงุดหงิดของนางนับวันก็โหดร้ายมากขึ้น การดูถูกเหยียดหยามที่อยู่ในแววตาของนางล้วนแฝงไว้ด้วยความเกลียดชัง

เขาไม่ได้ใส่ใจ รู้เพียงแค่ตราบใดที่ตนจริงใจ ย่อมทำให้ภรรยากลับมามีคุณธรรมเสมือนตอนที่ได้แต่งงานกันใหม่ๆ ทว่าในยามนี้…ดูเหมือนโชควาสนาจะเมินเฉยซุนเต๋อไปเสียแล้ว

ในที่สุดเรื่องเล่าของเขาก็เดินทางมาถึงวันสุดท้าย เรื่องเล่าได้สิ้นสุดลงแล้ว

“เก้าพันหมื่นหายนะนับครั้งไม่ถ้วนถือเป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ทุกสรรพสิ่งในจักรวาลล้วนเกิดขึ้นและดับไป ส่วนดาวตกที่หายไป…มันคือวงแหวนวงแรก!”

“ครั้งล่าสุดที่กล่าวถึงการแย่งชิงวงแหวนทั้งหมดของผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสองท่านนั้น หลังจากวงแหวนแรกหายไป ก็ตามมาติดๆ ด้วยการเริ่มต้นของวงแหวนที่สอง สุดท้ายการแย่งชิงของพวกเขาก็จบลง ภายในโลกเก้าพันหมื่น ร่างอวตารอันมหาศาลของหลัวได้สลายไป ทำให้ความเป็นอมตะเอนเอียงไปสู่อีกคนหนึ่งอย่างสมบูรณ์ ท่านผู้นี้…ท้ายที่สุดก็มีสมญานามของตนเอง เขาเรียกตัวเองว่าเป็น…อมตะกู่!”

ภายในโรงน้ำชา ซุนเต๋อวางแผ่นไม้สีดำในมือลงบนโต๊ะ จนได้ยินเสียงดังฟังชัดออกไปถึงนอกโรงน้ำชา

แม้จะเนืองแน่นไปด้วยผู้คน แต่เพราะทุกคนกำลังตั้งใจฟัง ทำให้เสียงของแผ่นไม้ที่ตกลงบนโต๊ะดังสะท้อนออกมา

“ตอนแรกเริ่มของวงแหวนที่สอง หายนะนับครั้งไม่ถ้วนรอบแรกคือจักรพิภพเต๋าของตระกูลไม่รู้สิ้น ส่วนหายนะนับครั้งไม่ถ้วนรอบสองก็คือจักรพิภพของเต๋าไพศาล การเปิดฉากสงครามระหว่างจักรพิภพใหญ่ๆ ทั้งสองได้เกิดขึ้นครั้งแรกบนวงแหวนที่สอง!”

“แม้ว่าจุดเริ่มต้นสงครามระหว่างสองจักรพิภพที่ยิ่งใหญ่จะไม่เกี่ยวกับผู้เยี่ยมยุทธ์สองท่านนั้น แต่จุดจบของพวกมันเกี่ยวข้องกับผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งสองโดยตรง เพราะจุดนี้เป็นช่วงที่การแย่งชิงความเป็นอมตะเกิดการพลิกผัน!”

“ดูเหมือนอมตะกู่จะชนะ แต่เขาประเมินหลัวต่ำเกินไป!”

“หลัวกำลังเตรียมการ ตั้งแต่เวลานั้นที่พวกเขาทั้งสองคนเริ่มต้นการแย่งชิง เก้าพันหมื่นหายนะนับครั้งไม่ถ้วนถูกตระเตรียมไว้ การเตรียมการที่มีระยะเวลายาวนานนี้ เป็นเหตุให้ความว่างเปล่ากลายเป็นคุกกักขัง เพื่อตัดสินโทษเต๋าสวรรค์แก่อมตะกู่ จึงทำให้โลกเก้าพันหมื่นล่มสลาย ส่งผลให้การแย่งชิงของพวกเขาเข้าสู่ขั้นแปลงร่างเก้าพันหมื่นนี้”

“ดูเหมือนว่าภายในโลกเก้าพันหมื่น การกลายร่างเก้าพันหมื่นของหลัว ได้พ่ายแพ้ไปท่ามกลางกาลเวลา และตำแหน่งอมตะก็เอนเอียงมาทางฝั่งกู่ ทว่าสิ่งเหล่านี้…ก็เป็นการเตรียมการของหลัวเช่นเดียวกัน!”

“หลัวกำลังรอคอย…การสิ้นสุดของวงแหวนที่หนึ่ง เพราะทันทีที่มันสิ้นสุดลง ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงที่อมตะกู่กำลังคิดว่าตนเองจะได้รับชัยชนะ นั่นเป็นโอกาสเดียวที่เขารอคอยว่าวงแหวนจะสมบูรณ์!”

“โอกาสนี้ เมื่อวงแหวนแรกแตกสลาย สงครามเขตมหาเต๋าทั้งสองก็จะเริ่มต้นขึ้นภายในวงแหวนที่สอง! หลัวพังพินาศ ส่วนอมตะกู่ได้รับชัยชนะ ร่างอวตารเก้าพันหมื่นก็จะเปลี่ยนเป็นดวงจิตกลับคืนมา!”

“ยามที่หวนคืนกลับมาและยังไม่ควบแน่น ก็ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน!”

“หลัว…ยังไม่ดับสิ้น แม้ว่าร่างอวตารเก้าพันหมื่นของเขาจะดับไปแล้ว แต่เหตุต้นผลกรรมยังคงอยู่ นั่นคือภราดรภาพ ความรักระหว่างชายหญิง ความรักระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์ ความรักของบุพการี…ด้วยความช่วยเหลือของเหตุต้นผลกรรมระหว่างร่างกลายเก้าพันหมื่นและกู่ ด้วยความช่วยเหลือจากสายสัมพันธ์ที่ทั้งสองไม่อาจพรากจากกันในเรื่องของระยะเวลา หลัวจึงบุกรุกและเข้าครอบครอง!”

“เป็นเพราะเก้าพันหมื่นหายนะนับครั้งไม่ถ้วนที่ยืดขยายออกไปของหลัว วัตถุประสงค์ของการจัดวางวงแหวนทั้งวง จากเดิมไม่ใช่เพราะตำแหน่งอมตะ เป้าหมายของเขามีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือ…ดวงจิตเทพและร่างกายของอมตะกู่!”

“เป้าหมายของทั้งสองคนแตกต่างกัน ประกอบกับมีแผนการอยู่ภายในใจ และการจัดวางของวงแหวนทั้งวง ดังนั้นกู่…จะไร้พ่ายได้อย่างไรกัน ขั้นตอนการกลับคืนของดวงจิตเทพ คือขั้นตอนที่หลัวยืมเพื่อใช้ฟื้นคืนชีพ!”

“แต่กู่ก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แม้จะพ่ายแพ้อย่างย่อยยับ แต่ภายใต้การแทรกแซงของหลัว ดวงจิตเทพที่ไม่อาจกลับคืนสู่สภาพเดิมและไม่อาจควบคุมได้กลับมารวมเข้าด้วยกัน จนทำให้หลัวยึดครองวิญญาณและร่างกายเขา ฟื้นคืนชีพกลับคืนมาอีกครั้ง แต่กู่ยังคงหลบหนีดวงจิตเทพ ไม่ได้กลับคืนไป แตกสลายกลายเป็นความว่างเปล่า เขาได้บินไปจนถึง…สนามรบของเขตเต๋าไพศาลและเขตเต๋าไม่รู้สิ้น!”

“การหลบหนีของกู่ แม้ว่าหลัวจะได้ร่างของเขาไป และขโมยดวงวิญญาณเทพได้สำเร็จ แต่ดวงวิญญาณเทพก็ยังไม่สมบูรณ์ ตำแหน่งอมตะก็เช่นเดียวกัน จึงยังไม่นับว่าเป็นอมตะ และเป็นเพราะความคล้ายคลึงกัน ดังนั้นเศษวิญญาณของอมตะกู่ จึงกลายเป็น…ข้อบกพร่องเพียงสิ่งเดียวของหลัว!”

“แต่เศษวิญญาณนี้ เป็นเพราะไร้ซึ่งความสมบูรณ์ จึงก่อให้เกิดความยุ่งเหยิง ยกตัวอย่างเช่นสูญเสียสติไป แต่กู่ในฐานะที่เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ แม้ว่าจะมีข้อด้อย และเป็นเพียงเศษวิญญาณที่เหลืออยู่ แต่ก่อนที่จะเกิดความยุ่งเหยิงนี้ ในช่วงเวลาที่กำลังตื่นขึ้น เขาได้เปิดใช้เวทสะท้านฟ้า โดยใช้จุดเริ่มต้นของวงแหวนที่สอง และจุดสิ้นสุดที่กำหนดไว้ของวงแหวนที่สอง ตกผนึกเป็นคำสาป!”

“คำสาปนี้…ก็คือหลัวดุจร่วงโรย กู่ยังคงอยู่ กู่ดับสิ้น หลัวทำลายตนเอง!”

“ก่อนวงแหวนที่สองจะสิ้นสุดลง คำสาปพลันเกิดผล นับแต่นั้นเป็นต้นมา จึงมีคำพูดประโยคหนึ่งแพร่กระจายออกไป…สวรรค์หลัวพรั่นพรึงอมตะ ส่วนตำแหน่งอมตะที่แท้จริง…ยังคงว่างเปล่าจวบจนทุกวันนี้!” ซุนเต๋อเอ่ยถึงตรงนี้ แผ่นไม้สีดำพลันกระทบลงบนโต๊ะอีกคราส่งเสียงดังกึกก้อง ทำให้ผู้คนที่อยู่ทั่วบริเวณที่กำลังมึนงง ทยอยสูดลมหายใจเข้า.ไอลีนโนเวล.

“ถึงกระนั้นเรื่องนี้…ก็ยังไม่ได้สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้!” ซุนเต๋อเองพลันทอดถอนใจออกมา ตอนที่เขาเห็นสิ่งเหล่านี้ภายในฝัน ร่างของเขาได้จมดิ่งลงไปในนั้น ราวกับว่าเขาได้ผ่านเรื่องราวมานับไม่ถ้วนภายในเรื่องราวนี้

“หายนะนับไม่ถ้วนครั้งแรกในวงแหวนที่สอง ก็คือจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น เป็นเพราะมีความแข็งแกร่ง สามารถทำสงครามดับสิ้นภายในเขตเต๋าไพศาลได้ ย่อมมีความมั่นใจ!”

“สงครามก็เป็นเช่นนี้ เขตเต๋าไพศาลอันเฟื่องฟู ได้รับความพ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ สิ่งมีชีวิตที่อยู่ในนั้นต่างสิ้นชีพ และล่องลอยไปในขอบเขตที่ไม่มีที่สิ้นสุดนับตั้งแต่นั้น ดุจดั่งภูตผีวิญญาณ มีผู้บุกรุกแอบเข้าไปที่นั่น และได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญจำนวนนับไม่ถ้วน!”

“จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แม้ว่าจะได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ แต่ก็ไม่มีอนาคตเช่นเดียวกัน เนื่องจากการหนีไปของเศษวิญญาณของอมตะกู่ ทั้งจักรพิภพถูกหลัวเหยียบย่ำขณะไล่ตามหา ก่อนจะถูกปิดผนึกพร้อมกับเศษวิญญาณอมตะกู่ กลายเป็นศิลาโบราณนิรันดร์ เมืองนิรันดร์ถูกกดอยู่ในส่วนลึกของจักรวาล และกลายเป็นตำนาน!”

“หลัวไม่อาจทำลายกู่ได้ และไม่กล้าหลอมรวมเศษวิญญาณต้องคำสาป แต่เขาสามารถรอ…รอการสิ้นสุดของวงแหวนที่สอง เมื่อถึงเวลานั้น…เขาก็จะกลืนกินเศษวิญญาณ เพื่อให้ร่างกายของตนเองสมบูรณ์ และกลายเป็นอมตะเพียงหนึ่งเดียว!”

“วงแหวนที่สองนี้…ในภายหลังมีคนปรากฏตัวขึ้น มารหมกมุ่นกับการเกิดใหม่น้อยลง ชะตากรรมของปีศาจถูกปิดผนึกระหว่างสวรรค์เทือกเขาและท้องทะเล ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ริเริ่มความคิดเรื่องนิรันดร์ ครึ่งเทพครึ่งอมตะกลับตาลปัตร!” ซุนเต๋อเอ่ยปากกระซิบ ภาพเรื่องราวในความฝันหยุดชะงักลง

เรื่องราวที่เขาเล่าได้สิ้นสุดไปนานแล้ว ภายในโรงน้ำชายังคงเงียบสงัด ราวกับเมฆาบนท้องนภาก็ไม่ปาน มีบางคนถึงขั้นจิตตก หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ซุนเต๋อพลันถอนหายใจออกมา เขาลูบแผ่นไม้สีดำในมือ ก่อนจะยกขึ้นและวางลงบนโต๊ะอีกคราหนึ่ง

แปะ!

เสียงดังก้องกังวานทั่วทิศ ทั้งยังชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้คนที่กำลังนั่งฟังเหล่านั้น ค่อยๆ ฟื้นสติกลับคืนมาจากเรื่องเล่า เพียงแต่ความมึนงงที่ยังคงหลงเหลืออยู่นัยน์ตา ราวกับว่าต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะเดินออกจากเรื่องราวของหลัวและกู่ได้อย่างแท้จริง

ส่วนซุนเต๋อในเวลานี้ ก็อยู่ในสภาพหมดแรงเช่นกัน เขาลุกขึ้นยืนอย่างเงียบๆ โค้งคารวะผู้ฟังรอบด้าน ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกจากโรงน้ำชาไป…

บนถนนของมณฑลเล็กๆ สายตาของซุนเต๋อเลื่อนลอยเกินบรรยาย เรื่องราวได้จบลงแล้ว แต่เรื่องของเขาเพิ่งเริ่มต้นขึ้น เขาไม่รู้ว่าหลังจากนี้ตนจะพึ่งพาสิ่งใดเพื่อหารายได้ รักษาหน้าตา และรักษาทัศนคติของภรรยาที่มีต่อเขา ที่แม้ว่าจะมีเพียงน้อยนิดก็ตาม

เป็นเพราะ…เมื่อครึ่งเดือนก่อน หลังจากเรื่องราวในฝันสิ้นสุดลง กระทั่งตอนนี้ก็ไม่ปรากฏออกมาให้เห็นอีกเลย

ท่ามกลางความเงียบสงัด ในความงุนงงของซุนเต๋อแฝงไว้ด้วยความตื่นตระหนก เขากระสับกระส่าย ขณะลูบร่างกายตนเองตามสัญชาตญาณ ท้ายที่สุดจึงหยิบแผ่นไม้สีดำออกมา และลูบมันอย่างแผ่วเบา…

“ไม่มีความฝันแล้ว ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะสร้างเรื่องขึ้นด้วยตนเอง ข้ายังคงได้รับชื่อเสียง และใช้ชีวิตในแต่ละวันได้เป็นอย่างดี ซุนเต๋อ เจ้าทำได้!!!” ซุนเต๋อสูดหายใจเข้าลึก ความหวังและความปรารถนาฉายชัดอยู่ในดวงตาคู่นี้

ทว่าท้องนภาอันหมองหม่น บัดนี้มีหยาดฝนโปรยปรายลงมาแล้ว หยดน้ำฝนหนาวเหน็บกระทบลงบนร่างกายของซุนเต๋อ หนาว ช่างหนาวจับใจ…ราวกับดับสิ้นความหวังและความปรารถนาทั้งหมดที่มี

…………………………………………………

เงาร่างชายหนุ่มค่อยๆ กลืนหายไปในฝูงชน ผู้ฟังเรื่องเล่าในโรงน้ำชาต่างถอนหายใจกันยกใหญ่ ถกเถียงเรื่องราวระหว่างกัน แม้จะไม่มีเรื่องราวต่อจากนั้น แต่บรรยากาศที่นี่กลับคึกคักยิ่งกว่า

“ข้าว่าผู้เยี่ยมยุทธ์แซ่หลัวจะต้องชนะแน่นอน พวกเจ้าคิดดูสิ สามารถใช้พื้นที่ว่างเปล่าให้เป็นคุกได้ แค่ลองคิดดูก็รู้แล้วว่าพลังเทพนี้เยี่ยมยอดแค่ไหน”

“เป็นไปไม่ได้ คนเลวต้องตายแน่นอน ผู้แซ่หลัวนี่ดูแล้วก็ไม่ใช่คนดีอะไร อีกคนต่างหากถึงจะเป็นผู้ชนะในตอนสุดท้าย!”

“แต่คุณชายซุนก็เล่าเรื่องนี้มาครึ่งเดือนแล้ว จนตอนนี้ก็ยังไม่พูดถึงอีกคนเสียทีว่าชื่ออะไร”

“เมื่อเทียบกับอีกคนชื่อแซ่อะไร ข้ากลับอยากรู้มากกว่าว่าในหัวของเขานั้นมีอะไรถึงได้เล่าเรื่องที่ชวนให้ผู้คนติดหนึบเช่นนี้”

“ใช่แล้ว หลงจู๊ คุณชายซุนผู้นี้เป็นใครกันแน่”

ผู้คนถกเถียงกัน น้ำชาก็ขายดีขึ้น ทำให้เสี่ยวเอ้อร์ยิ่งยุ่ง ส่วนหลงจู๊กลับระบายยิ้มเต็มใบหน้า ยามได้ยินคนถามจึงกระแอมทีหนึ่งพลางรินชาให้ตนเอง

“พูดถึงคุณชายซุน นับว่าเป็นคนแปลกผู้หนึ่ง ได้ยินเขาพูดว่าเดิมสอบจวี่เหริน[1]ได้ แต่ไม่สนใจอาชีพราชการ ปรารถนาจะเดินท่องภูเขาแม่น้ำ ดูชีวิตประชาราษฎร์ เป็นสักขีพยานการเปลี่ยนแปลงของคืนวันและเป็นผู้จดบันทึกประวัติศาสตร์ร้อยปีของยุค และด้วยเขาผ่านทางนี้ข้าจึงขอร้องเขาอยู่นานถึงจะยอมพักอยู่ที่นี่สักระยะ พวกเจ้าโชคดีได้ฟังเรื่องของเขา เรื่องนี้ก็นับว่าพอจะเล่าไปต่อได้ชั่วชีวิตแล้ว”

ผู้ฟังเรื่องเล่าทั้งหลายต่างมีสีหน้านับถือเมื่อได้ยินคำพูดของหลงจู๊ ก่อนถกเรื่องราวกันอีกครั้ง กระทั่งถึงพลบค่ำ เมื่อแขกใหม่มา พวกเขาถึงทยอยกันจากไป

ยามที่พวกเขาจากไป คุณชายซุนที่พวกเขานับถือผู้นั้นก็กลับถึงโรงเตี๊ยม ระหว่างทางมีคนไม่น้อยยิ้มทักทายเมื่อเห็นเขา แม้แต่เด็กรับใช้ที่โรงเตี๊ยม เมื่อเห็นเขากลับมาก็กุลีกุจอวิ่งมาหา

“คุณชายซุนกลับมาแล้ว วันนี้อยากกินอะไรขอรับ”

“ซันเป่าอาหารขึ้นชื่อของร้านเจ้าก็แล้วกัน” ชายหนุ่มแซ่ซุนวางท่าที ยิ้มน้อยๆ พลางผงกศีรษะให้เด็กรับใช้ ก่อนโคลงศีรษะเข้าห้องของตนเอง เมื่อปิดประตูก็ได้ยินเสียงเด็กรับใช้สั่งอาหารเสียงดัง

หลังจากเข้าห้อง ท่าทีของเขาพลันหายไป จนดูเหมือนเด็กมีปัญหา นั่งเอียงอยู่บนเก้าอี้ ยกขาขึ้นข้างหนึ่ง วางแผ่นไม้สีดำลงบนโต๊ะ ก่อนหยิบเงินออกมาจากหน้าอกอย่างรวดเร็ว กำมันอย่างตื่นเต้น จากนั้นจึงหยิบขึ้นมากัดดู เมื่อแน่ใจว่าเงินไม่มีปัญหา ท่าทางก็ยิ่งตื่นเต้นยกใหญ่

“คิดไม่ถึงว่าการเล่าเรื่องจะหาเงินได้เช่นนี้ ผู้คนที่นี่ซื่อๆ เป็นทำเลที่ดีโดยแท้!” คุณชายซุนยิ้มกริ่ม ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นและลำพองใจ นัยน์ตาเป็นประกาย ในใจเริ่มคำนวณว่าจะหาเงินจากที่นี่ให้มากกว่าเดิมอย่างไร

แท้จริงแล้ว ผู้แซ่ซุนนี้มีนามว่าซุนเต๋อ ไม่ใช่จวี่เหรินอย่างที่หลงจู๊โรงน้ำชาพูดแต่อย่างใด เขาเป็นคนในเมือง แม้จะเล่าเรียน หากแต่ความคิดกลับซับซ้อน แม้จะไม่ลักเล็กขโมยน้อยแต่กลับลุ่มหลงในการพนันและหอนางโลม ครอบครัวที่เดิมทียังนับว่ามั่งคั่งก็ถูกเขาผลาญจนหมด สอบเข้ารับราชการก็สอบตกหลายครั้งหลายครา ไม่ต้องพูดถึงจวี่เหริน แม้กระทั่งซิ่วไฉก็ไม่ผ่าน จวบจนตอนนี้ก็ยังคงเป็นเพียงถงเซิง[2].ไอลีนโนเวล.

สุดท้ายติดหนี้พนันก้อนโต อยู่ในเมืองต่อไปไม่ได้อีกจึงจากบ้านเกิดด้วยความจนใจ ตลอดทางได้แต่ใช้ฝีปากหลอกลวง ก่อนจะถึงที่นี่ก็มีแต่เสื้อผ้าบนตัวชุดเดียวเท่านั้น ถุงเงินก็แทบจะว่างเปล่า

แต่ตั้งแต่เขามาถึงอำเภอเล็กๆ ในชนบทอันห่างไกลนี้ โชคชะตาก็ดีขึ้นไม่น้อย วันแรกที่มาถึงที่นี่เขาก็ฝัน ในความฝันนั้นเห็นโลกที่ราวกับเทพนิยาย เมื่อตื่นขึ้นก็ครุ่นคิดอยู่นาน ว่าจะลองหาโรงน้ำชาเล่าความฝันตัวเองสักตอน

กลับคิดไม่ถึงว่า…เรื่องนี้เดิมทีก็เป็นตำนานสุดยอด เมื่อบวกกับฝีปากของเขาก็โด่งดังขึ้นมาทันที หลงจู๊โรงน้ำชาเห็นช่องทางค้าขาย จึงรีบเข้ามาผูกสัมพันธ์ ทั้งสองร่วมมือกัน และเขาก็ใช้โอกาสสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ ดังนั้นหลงจู๊โรงน้ำชาผู้นั้นไม่เพียงตระเตรียมที่พัก ทั้งยังเชิญเขาไปเล่าเรื่องทุกวี่ทุกวันด้วย

จนตอนนี้ก็ปาไปครึ่งเดือนกว่าแล้ว ในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ ชื่อเสียงของเขาเลื่องลืออย่างรวดเร็วตามเนื้อเรื่องที่ดำเนินไป เรียกว่ามีทั้งชื่อเสียงเงินทองทำให้เขาใช้ชีวิตในแต่ละวันอย่างสุขสบาย

“ไม่รู้ว่าเรื่องราวในความฝันนั้นยาวแค่ไหน คราวหน้าต้องพูดให้ช้ากว่านี้หน่อย แบบนี้ถึงจะเป็นน้ำน้อยไหลนาน” ซุนเต๋อกะพริบตา ครุ่นคิดเรื่องนี้ในใจ ผ่านไปไม่นาน เมื่อเสียงเคาะประตูดังขึ้นเขาก็รีบเก็บเงิน ก่อนจัดท่านั่ง ใบหน้าวางมาดอีกครั้งพลางเอ่ยเสียงเรียบ

“เข้ามาได้”

ประตูห้องเปิดออก เด็กรับใช้ยกอาหารและกาสุราเข้ามาด้วยท่าทางกระตือรือร้น หลังจากวางลงบนโต๊ะอย่างว่องไว ก็ถามอย่างเอาอกเอาใจ เมื่อรู้ว่าเจ้านายตรงหน้าไร้ความต้องการอื่น จึงถอยออกไปจากห้อง หลังจากเด็กรับใช้จากไปแล้ว ท่าทางของซุนเต๋อพลันผ่อนคลาย กินดื่มจนอิ่มหนำก่อนตบหน้าท้องอย่างอิ่มเอม

“เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ผู้คนใสซื่อไม่พอ ตลอดทางที่ผ่าน สตรีที่นี่ก็งดงามอย่างยิ่ง เอวบางอ้อนแอ้น งดงามปานจะกลืนกิน ทว่าน่าเสียดาย…ตอนที่เพิ่งจะมาถึงยังไม่ได้แวะเวียนไปหอนางโลม ทั้งเรื่องพนันขันต่อ…” ซุนเต๋อถูมือไปมา อดทนครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจพักเรื่องการพนันไว้ก่อน

“สิ่งที่สำคัญตอนนี้ คือต้องรีบดูเรื่องราวใหม่” คิดได้ดังนั้น ซุนเต๋อก็ถอดชุดและพับวางไว้ด้านข้างอย่างระมัดระวัง ปัดฝุ่นบนชุดเสร็จจึงนอนลงบนเตียงและค่อยๆ หลับไป

ยามหลับใหล ความฝันเทพนิยายก็เผยขึ้นต่อหน้าเขาอีกครั้ง

เป็นเช่นนี้ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า เรื่องราวในความฝันของเขาก็ค่อยๆ ถึงจุดตื่นเต้นบีบคั้นตามเรื่องราวที่เขาเล่าในแต่ละวัน…

“การแย่งชิงของทั้งสอง ทำให้คุกไร้รูปพังทลาย เก้าพันหมื่นเต๋าสวรรค์ล่มสลาย พายุกลุ่มนี้กวาดม้วนจักรวาลจนสิ้น…”

“จากนั้นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ตัดสินโทษเต๋าสวรรค์ เกิดใหม่เก้าพันหมื่น พร้อมใช้กฎแห่งสวรรค์ในโลกเก้าพันหมื่นเหมือนกับหลัวที่เกิดเป็นเก้าพันหมื่น กำเนิดขึ้นเป็นวนเวียนไม่รู้จบ ล้วนตื่นจากความว่างเปล่าในทุกชาติและเข้าสู่การต่อสู้ที่ไม่มีที่สิ้นสุด!”

“ในห้วงเวลาอันยาวนาน เงาร่างคนทั้งสองอยู่ในทุกหนทุกแห่ง การต่อสู้ของพวกเขาราวกับไม่มีที่สิ้นสุด บางครั้งก็ตายลงเหมือนมนุษย์ธรรมดา บางครั้งก็กลายเป็นสัตว์ร้ายดูดกลืนชีวิตอย่างสุดกำลัง บางครั้งก็กลายเป็นเซียนออกรบเพื่อโลกอีกครั้ง!”

“มหาศิษย์แห่งเต๋าจำนวนมหาศาลก็คือพวกเขาทั้งสองที่กลับชาติมา ตำนานเรื่องเล่าอันนับไม่ถ้วนก็เกิดจากพวกเขาทั้งสอง…อีกทั้งการกลับชาติมาเกิดของทั้งสองล้วนมีเหตุและผล ในขณะที่ยังไม่รู้ตื่น บ้างก็เป็นชายกับหญิง บ้างก็เป็นบิดากับลูกชาย บ้างก็เป็นอาจารย์กับศิษย์ บ้างก็เป็นเพื่อนพ้อง…จวบจนเก้าพันหมื่นปีกัป ดินแดนกว้างใหญ่รวมทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นได้ปรากฏขึ้น จึงนับเป็นช่วงเวลาที่สำคัญ เพราะการต่อสู้ของทั้งสอง ในเวลานี้ได้ผ่านมาหลายภพชาติ หลายกัปกัลป์ จนถึงนาทีแห่งการตัดสินชัย”

เรื่องราวของซุนเต๋อ เมื่อเล่ามาถึงจุดสุดยอด ชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังขั้นสุดในเขตชนบทนี้ ไม่เพียงที่นั่งในโรงน้ำชาจะเต็มแน่นในทุกวัน ด้านนอกก็เป็นเช่นเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาจากผู้ติดการพนันในหลายเดือนก่อน นับว่าขึ้นสู่จุดสูงสุดในพริบตา

สิ่งที่ตามมาคือคำเชิญจากครอบครัวมั่งคั่งในเขตอำเภอ ทำให้ในระยะเวลาอันสั้น ซุนเต๋อได้สัมผัสความรู้สึกของผู้มีชื่อเสียง และที่ทำให้เขาตื่นเต้นไปกว่านั้นก็คือครอบครัวร่ำรวยที่ไม่มีลูกชายสืบทอดสกุลครอบครัวหนึ่ง บางทีอาจเป็นเพราะถูกใจในชื่อเสียงของซุนเต๋อ หรือบางทีอาจเป็นเพราะถูกใจในตัวตนจวี่เหรินของเขา เมื่อทราบว่าซุนเต๋อยังไม่แต่งงาน จึงเสนอความคิดจะยกลูกสาวตนให้ตบแต่งพร้อมสอบถามเวลาตกฟากและบันทึกทะเบียนบ้านปลอม

หญิงสาวผู้นั้นผิวขาวเนียน หน้าตางดงาม รูปร่างอรชร นับว่าเป็นกุลสตรีเพียบพร้อมในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ ซุนเต๋อจ้องนางจนตาแทบจะหลุด ใจเต้นระส่ำ

แต่เขารู้ดีว่าตนเองไม่ใช่จวี่เหริน หากใครคิดอยากตรวจสอบ ใช้เวลาไม่นานก็สามารถรู้ความจริงได้ ดังนั้นซุนเต๋อจึงทบทวนใหม่ ปล่อยข่าวว่าตนกำลังจะจากไป ต้องกลับบ้านเกิดไปแต่งงาน

เมื่อข่าวแพร่สะพัด เพราะเรื่องราวยังเล่าไม่จบ ด้วยเหตุนี้ผู้ฟังทั้งหลายต่างร้อนใจ ครอบครัวมั่งคั่งที่คิดอยากแต่งงานด้วยนั้นก็ยิ่งร้อนรน จากการเร่งเร้าของญาติสนิทมิตรสหายและความต้องการของตนเอง ด้วยไม่อยากเสียโอกาสนี้ไป จึงไม่รอตรวจสอบข้อมูลก็จัดการเรื่องการแต่งงานทันที

เมื่อข่าวการแต่งงานกระจายออกไป ในอำเภอเล็กๆ แห่งนี้ ซุนเต๋อก็ยิ่งเหมือนปลาได้น้ำ ในวันแต่งงาน เขาดื่มจนเมามาย เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาว มองใบหน้าหมดจดที่ชวนให้ใจสั่น ในใจซุนเต๋อรุ่มร้อน รู้สึกเพียงว่าชีวิตนี้ของตนเอง การเลือกที่ถูกต้องที่สุดก็คือการมายังที่แห่งนี้

ซุนเต๋อกระโจนเข้าไปพร้อมความมึนเมา…ส่วนเรื่องที่อาจโดนเปิดโปงในภายหลัง แม้เขาจะเป็นกังวล ทว่าด้วยนิสัยเสพติดการพนัน จึงอยากลองเสี่ยง ขอเพียงเรื่องเล่าของตนเองยอดเยี่ยมพอ เช่นนั้นต่อให้ถูกเปิดโปงก็ไม่เสียหายเท่าไร

……………………………………….

[1] ระบบการสอบรับราชการจีนสมัยก่อน จัดการแบ่งสอบสามรอบคือซิ่วไฉ จวี่เหริน ก่งเซิ่งตามลำดับ

[2] ถงเซิง คือผู้เล่าเรียนที่ยังสอบไม่ผ่านซิ่วไฉ

เมื่อน้ำเย็นไหลรด รสชาตินี้ไม่จำเป็นต้องบรรยายก็สัมผัสได้ ความสั่นสะท้านที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของความร้อนความเย็น พริบตาก็ทำให้สวี่อินหลิงที่นัยน์ตาลุ่มหลงส่งเสียงกรีดร้องออกมา ร่างกายสั่นเทิ้มและได้สติในทันที

ร่างของนางสั่นเทา ขณะมองหวังเป่าเล่อโดยไม่ได้ใส่ใจหยดน้ำที่ไหลลงมาจากศีรษะ นัยน์ตาซับซ้อนยากจะอธิบาย ชะงักงันพูดไม่ออก

“ถ้ามีสติแล้วก็รีบปรับพลังปราณเสียที อีกไม่นานก็ถึงวันที่สิบแล้ว รีบไประลึกชาติของเจ้าซะ” หวังเป่าเล่อกล่าวเสียงเบา สวี่อินหลิงไม่กล้าขัดขืน ทำได้เพียงก้มหน้ารับคำ

ตอนที่น้ำเย็นเฉียบราดลงมา หวังเป่าเล่อก็ได้คลายผนึกบนร่างนางไปแล้วบางส่วน แม้จะยังมีข้อจำกัดอยู่ แต่ไม่มีผลต่อการระลึกชาติแต่อย่างใด

ดังนั้นสถานที่ที่ทั้งสองอยู่จึงตกอยู่ในความเงียบอย่างรวดเร็ว สวี่อินหลิงเงียบเฉย หวังเป่าเล่อก็จมดิ่งอยู่ในความคิด ถึงแม้จะเป็นเพราะจิ้งจอกน้อยตัวนั้นทำให้เขาไม่ได้ยินคำพูดของใบหน้าที่กลายมาจากตะขาบ ทว่าคำพูดก่อนหน้านั้นของใบหน้าจากตะขาบนั่นก็ยังคงเผยข้อมูลออกมาไม่น้อยอยู่ดี

“มีความเป็นไปได้สองประการ ประการแรกแม้จะถูกแทรกแซงจากอีกฝ่าย แต่ลำดับอดีตชาติของข้ายังคงถูกต้อง เพราะมีประสบการณ์จากอดีตชาติที่เก้า ดังนั้นจึงมีมือของอีกฝ่ายในอดีตชาติที่หนึ่ง หลังจากที่ฆ่าข้าแล้ว พูดคำพูดนั้น…”

“และประการที่สองก็คือ…การแทรกแซงของใบหน้าตะขาบได้บิดเบือนเหตุผลทั้งหมดและสวมทับในความทรงจำของข้า ทำให้ข้าคิดว่า คำพูดพวกนั้นมาจากร่างที่กลายมาของมัน แต่ความจริงแล้ว…มีเหตุผลอื่นอยู่ในนั้น!”

ความจริงเป็นเช่นไร หวังเป่าเล่อยากจะตัดสิน ความเป็นไปได้ทั้งสองอย่างนี้นับว่ามีครึ่งหนึ่ง แต่เมื่อเทียบกับสิ่งนี้ สิ่งที่หวังเป่าเล่อสนใจมากกว่านั้นก็คือคำพูดแรกที่อีกฝ่ายเอ่ยออกมา

“ซ่อนอยู่ในตัวข้า? เขาหมายถึงอะไร แม่นางน้อย? หรือขวดปรารถนา? หรือว่าเป็นอย่างอื่นที่ข้าไม่รู้?” หวังเป่าเล่อคิดไปคิดมาก็ยังไม่ได้คำตอบเช่นเดิม

แต่ว่าไม่ว่าอย่างไร จากการอาศัยสวี่อินหลิงมองทุกอย่างในครั้งนี้ก็ทำให้เขาเห็นความจริงของโลกนี้มากขึ้นอยู่บ้าง ราวกับม่านบังตาใกล้จะถูกเปิดออกแล้ว

“ยังมีโอกาสอีกครั้ง…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขารู้ว่าการทดสอบฝึกพลังมีวันจบ และตอนนี้ก็เหลือแค่เพียงวันที่สิบชาติที่สิบเท่านั้น

บางทีเขาอาจจะมีอดีตชาติที่สิบเอ็ดสิบสองจนถึงแปดสิบเก้าสิบ แต่เห็นได้ชัดว่าในการทดสอบพลังฝึกปรือไม่สามารถจะไประลึกชาติได้ทุกชาติ ดังนั้นในบางคราโอกาสครั้งนี้อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายก็ได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อจึงก้มหน้ามองร่างกายตนเอง ขณะที่มือขวายกขึ้น ในมือพลันปรากฏผลึกแก้ว สิ่งนี้…เป็นสิ่งที่เหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์เคยมอบให้ คือโอกาสที่ปรมาจารย์แห่งไฟแลกมาให้ตน

“บางทีสำหรับข้าแล้วอาจจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา จากคำเรียกขานว่าวานรเฒ่าก่อนหน้านี้ ทำให้ข้อจำกัดของที่นี่ไร้ผลต่อเขา นี่ทำให้เขาพลันรู้สึกว่าโอกาสที่อาจารย์มอบให้ตน บางทีอาจเป็นเพราะเหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ตั้งใจจะให้

“วานรเฒ่าเป็นเหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ จิ้งจอกน้อยคือจื่อเยว่ เช่นนั้นเสือน้อย…เป็นใคร?” หลังจากงึมงำ ในใจก็มีตัวเลือกแล้ว แต่ยังไม่แน่ชัด ต้องพิสูจน์ต่อไปถึงจะได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึกสะกดความคิดฟุ้งซ่าน ขณะที่หลับตาเคลื่อนพลังปราณ เตรียมร่างกายให้อยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด

คงไว้เช่นนี้ หนึ่งชั่วยามต่อมา…เสียงแหบพร่าที่เคยดังขึ้นหลายคราก็ได้ลอยขึ้นในการทดสอบพลังฝึกปรือซึ่งเหลือผู้ฝึกตนเพียงน้อยนิดเป็นครั้งสุดท้าย

“วันที่สิบ ชาติที่สิบ!”

สิ้นเสียง ไอหมอกรอบด้านในสายตาหวังเป่าเล่อยังคงปกติ ครั้งนี้กระทั่งความรู้สึกดำดิ่งก็ไม่เหลือแล้ว กลับเป็นทางสวี่อินหลิง แสงนำทางบนร่างของนางเรืองรอง ดำดิ่งเข้าไปในการระลึกชาติอย่างราบรื่น

“นางทำได้ ทำไมข้าไม่ได้!” หวังเป่าเล่อมุ่นคิ้วเข้าหากัน หากแต่ระลึกชาติไม่ได้ก็คือระลึกชาติไม่ได้ ยากที่จะฝืน ดังนั้นหลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นแสงนำทางบนร่างตนเองแม้จะยังเรืองรองอยู่ แต่กลับค่อยๆ หม่นแสงลง หวังเป่าเล่อจึงถอนหายใจ มือขวายกขึ้นผนึกฝ่ามือ ขณะที่กำลังจะใช้นิมิตมืดลองเข้าไปในการระลึกชาติของสวี่อินหลิงอีกครั้ง

ทว่าเวลานี้…ผลึกแก้วที่เหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์มอบให้เขาก็เปล่งแสงเรืองรองขึ้นอย่างกะทันหัน แสงเรืองรองนี้ได้ส่งผลต่อแสงนำทาง ทำให้แสงที่หม่นลงมีพลังไหลเข้าไปแล้วเปล่งแสงเรืองรองออกมาอีกรอบ ถึงขั้นที่ว่าแสงที่เปล่งออกมานั้นเรืองรองกว่าที่เคยมี จนกลายเป็นทะเลแสงกลืนกินหวังเป่าเล่อไว้ด้านใน

เมื่อแสงคลุมครอบร่าง หวังเป่าเล่อหัวใจสั่นสะท้าน ไอหมอกรอบด้าน ในที่สุดก็เริ่มหมุนเคลื่อน ความรู้สึกดำดิ่ง…และแล้วก็มาเสียที!

และสิ่งที่ทำให้หัวใจของเขารัวเร็วกว่านั้น ก็คือความรู้สึกดำดิ่งที่รุนแรงมากกว่าคราวก่อนๆ จวบจนไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เสียงดังกังวานขึ้นในหัว สติสัมปชัญญะของเขา…ก็หายไปแล้ว.Aileen-novel.

ไร้ความเย็นเยียบ

ไร้ความมืดมิด

ไร้ความเจ็บปวดรุนแรง

แสงแดดเจิดจ้า สายลมอ่อนๆ พัดต้นหลิวริมแม่น้ำ พาให้กิ่งหลิวระผิวน้ำจนเกิดริ้วคลื่นเป็นวง ก่อนจะกระจายหายไป แต่ไม่นานก็ถูกคลื่นจากเรือที่พายมาแต่ไกลกระทบเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นคลื่นเล็กๆ แล้วกระจายหายไปอีกครั้ง

หลังจากคลื่นกระจายไปพร้อมกันก็ตามมาด้วยเสียงเพลงกังวานใส ยังไม่ทันฟังเนื้อเพลงอย่างชัดเจน เพียงทำนองก็สะท้อนความครึกครื้นของชาวประมง และสอดประสานเข้ากับเสียงเซ็งแซ่ของผู้คน ถ่ายทอดไปยังผู้คนที่ขวักไขว่อยู่ริมน้ำทั้งสองฟาก

เสียงเรียกลูกค้า เสียงทักทายปราศรัย เสียงตะโกนของการแสดง ยังมีเสียงพูดคุยของชายหญิงทั้งหลาย รวมทั้งเสียงอื้ออึงและเสียงสุนัขเห่าที่ลอยมาเป็นระยะ เสียงเหล่านี้ราวกับผสานเข้าด้วยกันเป็นการเปิดฉากของโลกใบนี้

เสียงเหล่านั้นได้ปลุกชายหนุ่มที่แต่งกายราวกับบัณฑิตผู้หนึ่ง ขณะกำลังงีบหลับกลางวันอยู่บนโต๊ะในโรงน้ำชาริมแม่น้ำให้ตื่นขึ้น

ชายหนุ่มผู้นี้ร่างกายผอมแห้ง หน้าตาดูไม่ได้ มีเพียงดวงตาทั้งสองที่เปิดขึ้นจากการนอนที่ยังนับว่าแจ่มใส เมื่อบิดขี้เกียจเสร็จก็ยื่นแผ่นป้ายไม้สีดำในมือชิ้นหนึ่งวางบนโต๊ะ พร้อมเสียงดังกังวานใสที่ส่งออกมา

“เสี่ยวเอ้อร์ คนมาครบหรือยัง” ชายหนุ่มแสร้งกระแอม โรงน้ำชากึ่งกลางแจ่งแห่งนี้เดิมไม่ได้ใหญ่มาก เพียงกวาดตามองรอบหนึ่งก็สามารถเห็นได้ทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเวลานี้แทบจะไร้ที่นั่งว่าง ทว่าชายหนุ่มยังคงวางท่าตะโกนเรียก

“ครบแล้วๆ ในที่สุดคุณชายซุนก็ตื่นเสียที ทุกคนมารอกันครู่ใหญ่แล้ว แต่ก็ไม่กล้ารบกวนท่านจึงคิดจะรออีกสักพัก” เสี่ยวเอ้อร์ของโรงน้ำชาเป็นหนุ่มน้อยดูเฉลียวฉลาด เมื่อได้ยินก็รีบวิ่งฉิวมาพร้อมกับกาน้ำชาและผ้าขนหนูบนบ่า มาถึงแล้วก็ใช้ผ้าเช็ดโต๊ะก่อนเติมน้ำชาให้ชายหนุ่มผู้นั้นจนเต็มถ้วยด้วยรอยยิ้มประจบประแจงบนใบหน้า

บริเวณรอบร้าน โต๊ะมีผู้คนที่มาถึงนานแล้ว ยามเห็นชายหนุ่มตื่นขึ้นก็ส่งเสียงหัวเราะยิ้มแย้มออกมา

“คุณชายซุน พวกเรามากันได้สักพักแล้ว ท่านก็ตื่นแล้ว เช่นนี้อีกสักตอนไหม?”

“คุณชายซุนขออีกตอน!”

“ใช่แล้วคุณชายซุน รอบที่แล้วพูดถึงมีผู้ฝึกอะไรทั้งสองนั่นชิงตำแหน่งเซียน พอข้ากลับไปแล้วในใจก็คันยุบยิบ อยากจะฟังอีกทันที”

ผู้คนรอบๆ ต่างเอ่ยปากกันอย่างต่อเนื่อง ทำให้โรงน้ำชายิ่งครึกครื้น เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ชายหนุ่มผู้นั้นจึงกระแอมอีกทีหนึ่งก่อนจะชี้ไปยังคนที่เอ่ยเมื่อครู่

“ผู้ฝึกอะไร นั่นเรียกว่าผู้เยี่ยมยุทธ์!”

“ใช่ๆๆ ผู้เยี่ยมยุทธ์ คุณชายซุนท่านรีบเล่าต่อเถิด ทุกคนต่างร้อนใจกันแย่แล้ว!”

ชายหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบๆ ในใจรู้สึกลำพองอย่างอดไม่ได้ ดังนั้นจึงตบแผ่นไม้สีดำในมือลงบนโต๊ะอีกครั้งหนักๆ เมื่อเกิดเสียงดังก้องกังวาน จึงเริ่มโคลงศีรษะ ส่งเสียงเป็นจังหวะจะโคน

“คราวก่อนพูดถึง เก้าพันหมื่นปีและก่อนที่อาณาจักรเต๋าไพศาลซึ่งอยู่นอกผืนดินท้องฟ้าแห่งนี้จะล่มสลาย ณ อวกาศอันแสนไกลไร้ขอบเขตและไม่คุ้นเคย ในช่วงกำเนิดจักรวาลได้มีสองคนที่เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์กำลังแย่งชิงตำแหน่งเซียน!”

“ต้องรู้ก่อนว่าเต๋ามีกฎ จักรวาลมีกฎ อวกาศมีกฎ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเซียน เทพ ปีศาจ มาร ผีต่างๆ ล้วนมีกฎปฏิบัติ อีกทั้ง…เซียนเป็นอันดับหนึ่ง มีอำนาจเหนือทั้งปวง!”

“ดังนั้น…”

“การแย่งชิงของทั้งสอง เรียกได้ว่าฟ้าดินสะเทือน จักรวาลเลือนลั่น!”

“ด้วยเหตุนี้จึงมีดวงดาวถูกทำลายลงจำนวนมาก กฎต่างๆ มากมายพังทลาย สูงต่ำเก้าพันหมื่น ไม่มีที่ใดไม่ช่วงชิง พังทลายและเริ่มใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า!”

ชายหนุ่มโคลงศีรษะ กล่าวอย่างลื่นไหล เล่าขานตำนานที่ผู้คนไม่เคยได้ฟัง ด้วยน้ำเสียงพิเศษและเสียงแผ่นไม้สีดำที่ตบโต๊ะ ราวกับเกิดมโนภาพขึ้นในหัวของผู้คนรอบๆ ซึ่งกำลังฟังตำนานที่เขาเอื้อนเอ่ย จนอดดื่มด่ำไม่ได้ และโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เวลาก็ล่วงเลยมาถึงพลบค่ำแล้ว

“…กลับเห็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เรียกตนเองว่าหลัวใช้กลยุทธ์คุกไร้รูป แต่กลับคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะใช้กฎที่ลี้ลับลึกล้ำยิ่งกว่า สุดท้าย…ตัดสินเต๋าสวรรค์ทั้งเก้าพันหมื่นมีความผิด ให้เต๋าทั้งหลายตัดสินโทษ…”

เล่าถึงตรงนี้ ชายหนุ่มเห็นผู้คนต่างจมจ่ออยู่ในห้วงความคิด จึงใช้แผ่นไม้สีดำในมือตบลงบนโต๊ะให้เกิดเสียงดังอีกครั้งอย่างย่ามใจ

“ถ้าอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ จะเล่าต่อในคราวหน้า สหายทุกท่าน ผู้แซ่ซุนหิวแล้ว ขอไปดื่มสุราก่อน พรุ่งนี้ตอนบ่ายจะรออยู่ที่นี่” กล่าวจบ ชายหนุ่มก็หัวเราะยิ้มแย้มพลางลุกขึ้นอย่างภาคภูมิใจ เก็บเงินที่เสี่ยวเอ้อร์ส่งให้ ก่อนจะประสานมือคารวะให้แก่ผู้ชมทั้งหลายที่ในใจคันยุบยิบ ซึ่งได้แต่ส่งสายตามองมาอย่างจำยอมอยู่รอบๆ จากนั้นจึงผันกายเดินเอ้อระเหยฮัมเพลงออกไปจากโรงน้ำชา

เสียงเพลงลอยมาจากที่ไกลๆ ลอยละล่องอยู่นอกโรงน้ำชาไกลออกไปเรื่อยๆ

“มารไม่หลุดพ้นไม่กลับชาติ เป็นราชาปีศาจในโลกหล้า มิรู้ใครริเริ่มคำเยินยอ ครึ่งเทพครึ่งเซียนแปรผันเปลี่ยน!”

……………

เมื่อเสียงสะท้อนดังขึ้น จิตสำนึกของหวังเป่าเล่อก็สั่นสะเทือนรุนแรงอย่างสุดขีด!

ยามนี้ราวกับเขาจะเข้าใจอะไรบางอย่าง แต่ก็เหมือนจะมีความสงสัยเพิ่มขึ้นลอยอยู่ในจิตใจ ความสงสัยและสับสนเหล่านี้ รวมถึงความคิดต่างๆ มากมาย เวลานี้ต่างลอยเข้าสู่ดวงจิตของเขาก่อนจะกลายเป็นดวงจิตเทพในตอนท้ายแล้วพุ่งไปยังตะขาบยักษ์สีแดงฉานนั่นทันที!

“เจ้า…เป็นใครกันแน่!!” ในดวงจิตนี้ได้ผนวกรวมความสงสัยทั้งเก้าชาติของหวังเป่าเล่อ ผนวกรวมความไม่เข้าใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใจของเขาตอนนี้ ทว่าเขากลับมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่ง สถานการณ์นี้ขอเพียงตนถามออกไป อีกฝ่ายก็จะตอบอย่างแน่นอน!

ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นอย่างประหลาด ราวกับเป็นสัญชาตญาณหนึ่ง!

แท้จริงก็เป็นเช่นนั้น หลังจากที่ดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อถ่ายทอดออกไป ใบหน้าที่เกิดจากตะขาบยักษ์สีแดงฉานตัวนั้นก็จับจ้องหวังเป่าเล่อด้วยสายตาประหลาด สีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มเผยความพิลึกทั้งยังแฝงความสนุกเอาไว้ ก่อนเอ่ยขึ้นช้าๆ

“หากเป็นคนอื่นถามข้า ข้าอาจจะไม่ตอบ แต่ในเมื่อเจ้าเอ่ยถาม…บอกเจ้าไปก็ไม่เป็นไร ข้าคือ…”

หวังเป่าเล่อจิตใจจดจ่อ สัมผัสว่ากำลังจะได้คำตอบที่เขาต้องการทั้งหมดแล้ว แต่ในยามนั้นที่ใบหน้าซึ่งเกิดจากตะขาบยักษ์สีแดงฉานเอ่ยถึงตรงนี้

ฉับพลันก็มีพลังแข็งแกร่งขุมหนึ่งจากความว่างเปล่าด้านหลังเข้าโอบรัดเขาไว้ในพริบตา ทำให้จิตสำนึกของเขาถูกดึงรั้งอย่างกะทันหันไปทางด้านหลัง!

แรงฉุดดึงนี้ไม่สามารถต้านทานได้ และไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะขัดขืนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์ ทำได้เพียงมองตะขาบยักษ์สีแดงฉานตรงหน้าห่างออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ และเสียงนั้นก็เบาลงจนหวังเป่าเล่อฟังไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย!

“น่าตายนัก!!!” น้อยนักที่เขาจะโมโหจนแทบเสียสติเช่นนี้ ความรู้สึกที่ทุกอย่างกำลังจะเปิดเผย แต่กลับถูกพลังภายนอกขัดจังหวะ ทำให้จิตสำนึกของเขาเกิดระลอกคลื่นรุนแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

แต่เมื่อเทียบกับแรงฉุดดึงที่โอบรัดเขาอยู่ ความโกรธของเขา ความบ้าคลั่งของเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย ทำได้เพียงแต่มองตัวเองไกลห่างออกมาในพริบตา มองฟองอากาศมหาศาลผ่านหน้าตัวเอง กระทั่งพริบตาต่อมา จิตสำนึกของเขาก็ถูกดึงเข้าสู่มิติมายาของสวี่อินหลิง

หลอมรวมเข้ากับ…ร่างปลาน้อยที่เกิดมาจากสวี่อินหลิง

ส่วนสวี่อินหลิงที่เกิดเป็นปลาน้อย ในเวลานี้ได้เสียชีวิตลงแล้ว เพราะ…ร่างกายของมันถูกกรงเล็บจิ้งจอกตัวหนึ่งตะปบ ใช้แรงขย้ำเพียงน้อยนิด ชีวิตก็ดับสูญ!

นี่คือสาเหตุที่จิตสำนึกของหวังเป่าเล่อกลับมา!

ก่อนที่จิตสำนึกของหวังเป่าเล่อจะสลายไป ภาพสุดท้ายที่เห็นคือจิ้งจอกตัวนั้นที่จากไปก่อนหน้าได้ย้อนกลับมาใหม่และขย้ำสวี่อินหลิงในร่างปลาน้อยจนตาย จากนั้นก็มองปลาน้อยหรือก็คือจิตสำนึกของหวังเป่าเล่อที่มาเข้าร่างปลาน้อยด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง

ครู่ต่อมา หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิเบื้องหน้าสวี่อินหลิงในไอหมอกทดสอบพลังฝึกปรือที่ดาวชะตาก็ลืมตาขึ้นทันที นัยน์ตาของเขาเผยความคลุ้มคลั่งและเส้นเลือดสีแดง สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้นัยน์ตาเขาเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น อีกทั้งความเหี้ยมโหดบนใบหน้าก็ทำให้เขาดูราวกับจะระเบิดไอร้ายออกมา!

ด้านสวี่อินหลิงที่เพิ่งฟื้นขึ้นได้เห็นแววตาและอารมณ์นี้เข้าพอดี ขณะเพิ่งฟื้นยังคงมึนงงอยู่ ครั้นเจอแววตาและอารมณ์นี้ก็สั่นเทิ้มราวกับตกอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง หวาดผวาในฉับพลัน ขณะที่หัวใจสั่นสะท้านคิดจะถอยหลังตามจิตใต้สำนึก ทว่าในพริบตา ใบหน้าของนางก็ซีดเผือด.ไอลีนโนเวล.

นางกลับพบว่าร่างของตนถูกผนึกไว้ ไม่สามารถลุกขึ้นได้ พลังปราณทั้งหมดก็ถูกผนึกเช่นเดียวกัน ในใจพลันเกิดความหวาดกลัวรุนแรง กระทั่งคิดจะใช้เคล็ดวิชาลับเรียกผู้ฝึกตนที่ถูกนางควบคุมไว้มา แต่กลับพบว่า ภายในเขตของวิชาลับเป็นที่เปิดโล่ง!

สิ่งที่ตนตระเตรียมไว้ ไม่ว่าจะทั้งที่เปิดเผยหรือเป็นความลับ ตอนนี้กลับไร้การตอบสนองทั้งสิ้น!

ขณะที่จิตใจของนางยิ่งดำดิ่ง ความหวาดกลัวก็กลายเป็นความลนลาน!

สวี่อินหลิงไม่รู้ว่าเหตุใดหวังเป่าเล่อถึงหานางพบ แต่รู้ว่าสถานการณ์นี้เป็นหายนะที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับนาง!

เพราะนางพบว่า แม้แต่ดาวเคราะห์เต๋าของตน ณ เวลานี้ก็ยังไร้การตอบสนอง และแรงกดดันบริเวณรอบที่มาจากดาวเคราะห์เต๋าที่เหมือนกับของตน ทำให้นางทราบกระจ่างว่าตน…ไม่มีพลังใดที่จะต่อต้านได้เลย!

ในขณะที่จิตใจสั่นเทิ้มและคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากความสิ้นหวังนี้ สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็อึมครึมอย่างยิ่ง สายตาของเขาราวกับจะกลืนกินทุกสิ่ง ราวกับไม่สามารถข่มกลั้นความอาฆาตและกลิ่นอายชั่วร้ายที่เต็มเปี่ยมอยู่ในร่างได้ ราวกับหากสะกิดก็พร้อมที่จะระเบิดออกมาได้ทันที

จวบจนครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อจึงค่อยๆ ฝืนข่มความอาฆาตในใจลงไป หากแต่ก็สาบานขึ้นโดยไม่ลังเล ความแค้นที่ขัดจังหวะการรับรู้ความจริงของเขาในครั้งนี้ เขาจะต้องเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่าอย่างแน่นอน!

“เจ้าจิ้งจอกน้อย…ตัวตนของเจ้า ข้าพอจะรู้แล้ว…จื่อเยว่!!!” หวังเป่าเล่อไม่ได้โง่เง่า ด้วยเบาะแสต่างๆ หากเขายังเดาตัวตนของจื่อเยว่ไม่ได้ เช่นนั้นก็เกรงว่าสติปัญญาของเขาระหว่างฝึกตนคงตายไปนานแล้ว ไม่สามารถเดินมาถึงขนาดนี้

ทว่า แม้จะข่มความแค้นเคืองไว้ได้แล้ว แต่กลิ่นอายชั่วร้ายที่หลงเหลืออยู่ในนัยน์ตายังคงคุกรุ่น ทำให้จิตใจของสวี่อินหลิงสั่นสะท้านยิ่งกว่าเก่า และสิ่งที่ทำให้นางหวั่นกลัวก็คือคำพูดนั้นของหวังเป่าเล่อ!

ในคำพูดนั้นมีสองคำที่ทำให้จิตใจของนางราวกับเกิดคลื่นยักษ์ซัดสาด หนึ่งคือจิ้งจอกน้อย มันคือฆาตกรที่ฆ่าตนในตอนท้ายสุดของการระลึกชาติ และคำที่สองก็คือ…ชื่อของอาจารย์ลึกลับของนางผู้นั้น!

เรื่องตกใจทั้งสองนี้ทำให้สวี่อินหลิงฟื้นฟูประสาทสัมผัสทั้งห้าขึ้นอย่างยากลำบาก

“ศิษย์..ศิษย์พี่หวัง…” ขณะที่กายสั่นเทิ้ม สวี่อินหลิงก็ฝืนยิ้มออกมา พยายามอย่างมากให้ตนเองดูมีเสน่ห์ เพื่อให้ผู้คนเมตตา

“หุบปาก!” แต่สวี่อินหลิงยังไม่ทันกล่าวจบ หวังเป่าเล่อพลันเงยหน้าปราดมองนางด้วยแววตาเย็นชา

เสียงของสวี่อินหลิงหยุดชะงัก ไม่กล้าเอ่ยอีกแม้แต่ครึ่งคำ เวลานี้ร่างกายยังคงสั่นเทิ้ม แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไม…ในช่วงที่กำลังสั่นสะท้ายนี้ ในใจลึกๆ ของนางกลับมีความตื่นเต้นลอยขึ้นมาด้วย!

เหมือนกับ…ยิ่งอันตราย ยิ่งประสบกับสถานการณ์ที่ไม่อาจควบคุมชีวิตของตนเองได้ การดุด่าเช่นนี้ กลับยิ่งทำให้นางตื่นเต้นอย่างอดไม่อยู่ แม้อารมณ์ทั้งสองจะขัดแย้งกัน แต่ดันเกิดขึ้นเวลาเดียวกันในร่างของนาง ถึงขนาดมีปฏิกิริยาบางอย่างต่อร่างกาย

ยิ่งภายใต้ความขัดแย้งของอารมณ์ทั้งสอง ก็มีภาพขณะระลึกชาติลอยขึ้นมาในหัวของสวี่อินหลิง นางมองสิ่งที่ช่วยชีวิตนางจากใต้น้ำ ตอนนี้ก็เหมือนจะได้คำตอบแล้ว

เดิมทีสวี่อินหลิงก็เป็นคนฉลาดหลักแหลม จากคำพูดและท่าทางที่แสดงออกของหวังเป่าเล่อ ในใจนางก็มีคำตอบคร่าวๆ อยู่บ้างแล้ว อีกฝ่าย…คงใช้วิธีที่เหนือจินตนาการของตน เข้ามาในการระลึกชาติของตน มิหนำซ้ำยังสามารถส่งผลกระทบต่อมันได้อีกด้วย!

คำตอบนี้ทำให้สวี่อินหลิงตะลึงพรึงเพริดกว่าเดิม ขณะที่ความหวาดกลัวเพิ่มสูง ความตื่นเต้นก็มากขึ้นด้วยเช่นกัน แม้แต่ใบหน้าก็ยังขึ้นสีเลือดฝาด จนหวังเป่าเล่อสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของนางได้โดยเร็ว

หวังเป่าเล่อมุ่นคิ้ว เวลานี้เขาอารมณ์ไม่ดีถึงขีดสุด เมื่อเห็นท่าทางของสวี่อินหลิง นัยน์ตาก็ฉายแววชิงชัง ขณะที่มือขวาชูขึ้นคิดจะตัดบุญคุณความแค้น ตอนนั้นเองสวี่อินหลิงที่สัมผัสได้ถึงความตายที่กำลังมาเยือน ก็อดทนต่อความตื่นเต้นและหวาดกลัวในใจ รีบเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

“ศิษย์พี่หวัง ข้าสามารถช่วยเจ้าหาอาจารย์จื่อเยว่ของข้าได้!!”

“แน่ใจ?” หวังเป่าเล่อหรี่ตาพลางเอ่ยถามเสียงเบา

แม้เสียงจะไม่ดังมาก แต่เมื่อผ่านการกลับชาติมาเก้าครั้ง เขาที่แทบจะเห็นสัจธรรมของโลก ถึงจะเป็นเพียงคำพูดธรรมดาทั่วไป แต่แรงกดดันในนั้นกลับต่างจากเมื่อก่อน

กล่าวให้กระจ่างก็คือ ในคำพูดของหวังเป่าเล่อแฝงกลิ่นอายแห่งเต๋าเอาไว้ เป็นเต๋าของเผ่าเทพ เป็นเต๋าของผีดิบ เป็นเต๋าของดาบปีศาจ เป็นเต๋าแห่งความแค้น และเป็น…เต๋าของกวางขาวน้อย!

ในเวลาเดียวกัน ก็เป็นเต๋าระดับลึกที่ได้ในช่วงที่ออกจากโลกทั้งใบ

ดังนั้นเวลานี้เมื่อคำพูดของหวังเป่าเล่อลอยเข้าโสตประสาทการรับรู้ของสวี่อินหลิง ร่างกายของนางก็สั่นสะท้านอีกครั้ง นางมีความรู้สึกบางอย่าง คล้ายกับหากตนหลอกหวังเป่าเล่อ ไม่ต้องรอให้เขาลงมือ ตัวเองก็จะดับสลายในพริบตา!

มันเป็นเพียงสัญชาตญาณหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องจริง ทว่าสวี่อินหลิงกลับไม่กล้าเดิมพัน เพราะ…หากมันสามารถสะกิดสัญชาตญาณของนางขึ้นมาได้ ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าหวังเป่าเล่อได้เก็บเกี่ยวจากเก้าวันเก้าชาติไปอย่างน่าสะพรึงแค่ไหน

“ข้าไม่โกหกศิษย์พี่หวังแน่นอน!”

ฟังคำพูดของนาง หวังเป่าเล่อก็มองสวี่อินหลังอย่างเยียบเย็นครู่หนึ่ง จนกระทั่งเห็นว่าร่างของนางสั่นมากขึ้นจึงเก็บสายตากลับมา หลับตาลงไม่ใส่ใจอีก

เมื่อเห็นว่ารอดแล้ว สวี่อินหลิงจึงถอนหายใจยาว ร่างกายและจิตใจอ่อนแรงถึงขีดสุด ในเวลาเดียวกันครั้นผ่านวิกฤตรอดตายมาได้ ความตื่นเต้นก็ไม่ได้ถูกระงับอีกต่อไป มันลอยละล่องขึ้นในพริบตา ทำให้นางที่ถูกผนึกเผลอไผลดำดิ่งเข้าไปในนั้น นัยน์ตาฉายความลุ่มหลง

“เจ้าป่วยหรือไง!” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว มือขวายกโบก ฉับพลันนั้นก็รวบรวมน้ำเย็นเฉียบขุมหนึ่งขึ้นบนศีรษะสวี่อินหลิง แล้วสาดลงไป…

…………………

ทันทีที่คำพูดของหวังเป่าเล่อลอยออกมา พลังยับยั้งที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในบริเวณไอหมอกพลันหยุดลง หลังจากหยุดนิ่งไปหลายอึดใจ การยับยั้งในไอหมอกนี้ก็คล้ายกับลดลงและจางหายไปทีละน้อย

แม้ไม่ได้หายไปทั้งหมด แต่ก็เป็นการเปิดทางให้หวังเป่าเล่อเพียงคนเดียว เพื่อให้ดวงจิตของเขาสามารถกวาดดูทั้งผืนหมอกได้ชั่วเวลานี้!

เหตุการณ์นี้ทำให้หวังเป่าเล่อตะลึงงัน ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นอีกครั้ง เมื่อครู่เขาเพียงแค่ลองเอ่ยปากดูเท่านั้น หากไม่มีอะไรเปลี่ยน เขาก็ยังมีหนทางอื่นในการตามหาผู้ทดสอบพลังฝึกปรือเหล่านั้นอยู่ดี

แต่ไม่คิดว่าจะได้ผลขนาดนี้…

สิ่งที่แฝงอยู่ในเรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตะลึงงัน หลังจากนั้นก็นิ่งเงียบไป เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาครุ่นคิด หลังจากประสานหมัดคารวะไปทางไอหมอก เมื่อปล่อยดวงจิตออกไปก็เลือกได้สองสามเป้าหมายในทันที

เวลานี้ผู้ที่กำลังดำดิ่งในการระลึกชาติที่เก้ามีทั้งหมดสามสิบกว่าคน ผู้ที่อยู่ใกล้หวังเป่าเล่อที่สุด เขาไม่รู้จัก แต่ที่อยู่ห่างออกไปอีกหน่อยนั้น หวังเป่าเล่อคุ้นเคยดี

นั่นก็คือ…สวี่อินหลิง!

ดังนั้นหวังเป่าเล่อต้องเลือกเส้นทางที่ไกลกว่าอยู่แล้ว แม้จะไกลกว่าเดิมเล็กน้อยแต่ก็เสียเวลาเพิ่มไม่กี่อึดใจเท่านั้น พริบตาเดียว เงาร่างเขาก็ราวกับแสงสีแดงยาวมุ่งไปทางสวี่อินหลิงพร้อมเสียงหวีดหวิว

ทว่า สวี่อินหลิงนั้นเจ้าเล่ห์นัก สถานที่ระลึกชาติของนางยังแตกต่างจากของผู้อื่น ไม่ใช่สถานที่เปิดโล่ง แต่ใช้วิธีการพิเศษบางอย่างเลือกระลึกชาติอยู่ในไอหมอก

หากไม่ใช่เพราะดวงจิตของหวังเป่าเล่อสามารถกวาดสำรวจได้บริเวณกว้าง หรือหากมุ่งมั่นไปยังพื้นที่เปิดโล่งพวกนั้นเพียงอย่างเดียวก็เกรงว่าคงไม่มีทางหาสวี่อินหลิงเจอ ในเวลาเดียวกันนี้ทางด้านสวี่อินหลิงยังได้เตรียมการอื่นๆ ที่ทำให้สภาพแวดล้อมของตนปลอดภัยขึ้นอีกในระดับหนึ่ง

แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว ภายใต้การสำรวจของดวงจิต การเตรียมการเหล่านี้ก็ราวกับไม้ซีกงัดไม้ซุงที่ไม่สามารถกั้นขวางเขาได้เลยแม้แต่น้อย ในไม่ช้าเขาก็เข้าใกล้บริเวณที่สวี่อินหลิงอยู่ด้วยความรวดเร็ว มือขวายกขึ้นโบกไปรอบๆ ทุกครั้งที่ตกลงก็มีเสียงร่วงหล่นลอยแว่วมาจากในไอหมอก

เมื่อเสียงแตกหักของวงแหวนปราณลอยออกมา ภายในไอหมอกหากมีคนที่สามารถขยายดวงจิตออกเป็นวงกว้างได้อย่างหวังเป่าเล่อก็จะสามารถเห็นผู้ฝึกตนแต่ละตนที่ถูกสวี่อินหลิงควบคุมไว้ได้อย่างชัดเจน เวลานี้ร่างกายต่างสั่นเทิ้มล้มกองกับพื้น และยังมีเส้นใยวงแหวนปราณที่ขาดออกจากกันอยู่เรื่อยๆ

เหตุการณ์ทั้งหมดกินเวลาประมาณสามสิบกว่าลมหายใจเท่านั้น แผนการที่สวี่อินหลิงคิดว่าตนตระเตรียมได้อย่างสมบูรณ์แบบพลันมลายหายไป หวังเป่าเล่อไหวร่างทีหนึ่งก่อนปรากฏตัวขึ้นหน้าสวี่อินหลิงที่นั่งขัดสมาธิระลึกชาติอยู่

มองหญิงสาวหน้าตาสะสวยรูปร่างอรชรตรงหน้า นัยน์ตาหวังเป่าเล่อไม่มีคลื่นอารมณ์อย่างที่ชายหนุ่มควรจะมีแม้แต่น้อย ขณะที่ผนึกฝ่ามือก็มีผนึกหลายสายตกลงรอบด้านสวี่อินหลิงในทันที ผนึกร่างของนางไว้หลายชั้นและกดดันบริเวณรอบในเวลาเดียวกัน ยิ่งกว่านั้นก็เพื่อจัดการดาวเคราะห์เต๋าของนาง หลังจากเปลี่ยนตัวเองเป็นดาวเคราะห์เต๋าและแผ่แรงกดดันขึ้นอีกครั้ง จึงนั่งขัดสมาธิพร้อมใช้วิชาแยกร่างคอยป้องกันอยู่ข้างๆ

หลังจากนั้นเปลวไฟสีดำลุกโหมในดวงตา เมื่อเปิดปากพ่นเปลวเพลิงสีดำให้ปะทุออกมา ขณะที่ห่อหุ้มทั้งสองไว้ภายใน จิตวิญญาณของหวังเป่าเล่อก็อาศัยการชักนำของเปลวไฟสีดำคล้ายกับนิมิตมืด เริ่มต้นไปพร้อมกับสวี่อินหลิง

สำหรับหวังเป่าเล่อเรื่องพวกนี้เหมือนเช่นการคร่ำหวอดมานาน ดังนั้นผ่านไปเพียงสามสิบกว่าลมหายใจเมื่อร่างกายเขากระตุก เบื้องหน้าก็ปรากฏ…โลกพิสดารขึ้น!

โลกแห่งนี้ไร้ท้องฟ้า ไร้ผืนดิน มีแต่ฟองอากาศที่กำลังลอยล่องอยู่ในความว่างเปล่าเท่านั้น ฟองอากาศเหล่านี้มีขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกัน บ้างมีหลากสี บ้างมีน้อยสี บ้างก็โปร่งใส และบ้างก็กำลังแตกกระจาย

ฟองอากาศจำนวนมาก แน่นขนัดจนมองไม่เห็นที่สิ้นสุด

พวกมันไม่ได้นิ่งเฉยแต่ขยับเคลื่อนไปพร้อมกับกฎบางอย่าง ในเวลาเดียวกันฟองอากาศทุกอันแม้จะมีความพร่ามัวไม่เท่ากัน แต่หากพินิจอย่างละเอียดแล้วก็จะเห็นว่าพวกมันล้วนมีเงามายาสลับสับเปลี่ยน

เงามายาเหล่านั้นก็แตกต่างกัน บางอันมีผู้ฝึกตน บางอันมีคนธรรมดา บางอันมีสัตว์ร้าย บางอันมีต้นไม้ใบหญ้า กระทั่งบางอันก็มีสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาด และขณะที่ดำเนินอยู่บ้างก็ธรรมดาทั่วไป บ้างก็ไม่ธรรมดา มีทั้งบุญคุณความแค้นจนถึงเรื่องราวพิสดาร ฟองแต่ละฟองราวกับเป็นเรื่องราวเรื่องหนึ่ง เป็นโลกใบหนึ่ง

“พวกนี้…” จิตสำนึกหวังเป่าเล่อสั่นไหว เมื่อมองฟองอากาศเท่าที่เห็นได้ เขาพลันมีความรู้สึกคุ้นเคยบางอย่างจากฟองอากาศเหล่านี้

นั่นคือ…มิติมายา!

เนื่องจากเคยศึกษานิมิตมืดมาก่อน อีกทั้งการเข้าไปในการระลึกชาติของผู้อื่นก็เป็นเพราะอาศัยนิมิตมืด ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงคุ้นเคยมิติมายาอยู่บ้าง ในตอนนี้หลังจากที่มั่นอกมั่นใจ เขาก็ได้คำตอบคร่าวๆ แล้ว

“พวกนี้…คือมิติมายา!”

“ชาติที่เก้าคือฝันอันไม่รู้จบหรือนี่ แต่ก็ไม่รู้ว่าความฝันในฟองอากาศเหล่านี้เป็นมิติมายาของทุกคนบนโลก หรือ…เป็นฝันที่ไม่รู้จบของคนคนเดียวทั้งหมด!” หวังเป่าเล่อก็นับว่าเห็นมากว้างขวางแล้ว ดังนั้นหลังตกตะลึงไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ แวบแรกเขาสัมผัสได้ถึงฟองอากาศที่ตนเองอยู่

นั่นก็คือมิติมายาของสวี่อินหลิง

ในมิติมายาสวี่อินหลิงเป็นปลาธรรมดาตัวหนึ่ง แหวกว่ายอยู่ในแม่น้ำ ไม่มีคลื่นหรือกระแสน้ำทวน ทว่าสิ่งที่พิเศษเพียงอย่างเดียวคือนางชอบเข้ามาใกล้ผิวน้ำราวกับอยากจะดูโลกข้างบนผิวน้ำนั้น.Aileen-novel.

แต่ก็คล้ายกับนางไม่เคยทำสำเร็จ ไม่หยุดเพียรพยายาม ล้มเหลวต่อเนื่อง แต่ก็ยังคงดื้อดึง

เมื่อเห็นสวี่อินหลิงที่เกิดเป็นปลา หวังเป่าเล่อเงียบงันพลางคิดจะจากไป ทว่าในเวลานี้เอง…เขาเห็นในมิติมายาของสวี่อินหลิงมีจิ้งจอกตัวหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ริมฝั่ง!

หวังเป่าเล่อรู้จักจิ้งจอกตัวนี้ มันคือจิ้งจอกตัวนั้นในชาติที่เขาเป็นกวางขาวตัวน้อย และขณะเดียวกันก็เป็น…ตุ๊กตาจิ้งจอกตัวนั้นที่หล่นลงบนหัวของหวังอีอี

การปรากฏตัวของจิ้งจอกทำให้หวังเป่าเล่อที่กำลังจะจากไปหยุดชะงัก เขาเห็นจิ้งจอกนั่งอยู่ข้างฝั่งจับจ้องปลาที่อยู่ใต้ผิวน้ำ ก่อนจะค่อยๆ ยื่นอุ้งเท้าออกมา นัยน์ตาแฝงแววสนใจ อุ้งเท้าเหยียดออก…ตะปบสวี่อินหลิงที่เป็นปลาตัวน้อยขึ้นมาจากในน้ำทันที

ไม่ว่าปลาน้อยตัวนี้จะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่เกิดประโยชน์ ขณะที่ปลากำลังจะเข้าปากของจิ้งจอกน้อยที่กำลังเลียปาก ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็เอ่ยขึ้น

“ปล่อยนางกลับลงไป”

เสียงนี้แว่วมา ร่างกายของจิ้งจอกน้อยก็ชะงักกึก เงยหน้ามองไปทางหวังเป่าเล่อในทันที

หนึ่งคน หนึ่งจิ้งจอก สบตากันเช่นนี้

ครู่ถัดมา นัยน์ตาจิ้งจอกน้อยก็ค่อยๆ เผยความไม่พอใจ อุ้งเท้าที่จับปลาอยู่ก็เพิ่มแรงขึ้นเล็กน้อย

“หืม?” หวังเป่าเล่อส่งเสียงคำหนึ่งเบาๆ

เมื่อเสียงนี้ลอยล่องขึ้น วิชาจันทร์ข้างแรมที่ผสานกฎกาลเวลาก็โอบล้อมไปทั่วอย่างว่องไวจนทำให้จิ้งจอกน้อยสั่นเทิ้มไปทั้งตัว แววตาไม่พอใจถูกแทนที่ด้วยความหวาดกลัวในพริบตา รีบปล่อยปลาในอุ้งเท้ากลับลงน้ำก่อนหมุนตัววิ่งตาลีตาเหลือกกลับไป

เมื่อเห็นปลาน้อยที่ได้กลับลงน้ำใหม่ บนตัวมีบาดแผลจากกรงเล็บของจิ้งจอกหลงเหลืออยู่ หวังเป่าเล่อจึงส่ายหน้าไปมา ที่เขาเอ่ยปากเช่นนั้นก็เป็นเพราะเขาอาศัยสวี่อินหลิงถึงได้เข้ามาในการระลึกชาตินี้ หากสวี่อินหลิงตายไปก็หมายความว่าการระลึกชาติต้องจบลง หากนางฟื้นขึ้นมา ตัวเขาก็ต้องฟื้นตามขึ้นมาด้วย

เวลานี้เขาไม่ได้สนใจสวี่อินหลิงที่กลายเป็นปลา จิตสำนึกหวังเป่าเล่อกระโดดทีหนึ่งก็แวบออกจากมิติมายาของสวี่อินหลิงในพริบตา ในความว่างเปล่านั้น เขาเดินหน้าไปตามฟองอากาศมหาศาลรอบตัวด้วยความรวดเร็ว

เขาต้องการหาต้นกำเนิดของฟองอากาศพวกนี้!

หวังเป่าเล่อที่ออกจากมิติมายาที่สวี่อินหลิงอยู่จึงไม่ได้เห็นเหตุการณ์ในมิติมายานั้นอีก ปลาน้อยที่ได้กลับลงน้ำใหม่ เวลานี้แม้จะยังไม่คลายความตกใจแต่ก็ยังอดทนต่อความเจ็บปวด ว่ายเข้าใกล้ผิวน้ำอีกครั้ง ก่อนจะมองไปยัง…ทางที่หวังเป่าเล่อจากไป

ราวกับมันรู้ว่าผู้ที่จากไปได้ช่วยชีวิตมันเอาไว้

สำหรับเรื่องพวกนี้แม้หวังเป่าเล่อจะรับรู้ก็ไม่สนใจอยู่ดี ความคิดเดียวในใจเขาตอนนี้ก็คือหาต้นกำเนิด ดูว่าต้นกำเนิดของโลกนี้จะยังเป็นห้องของหวังอีอีอีกหรือไม่

แต่คำตอบ คือไม่!

ในความว่างเปล่าที่ฟองอากาศมหาศาลนี้อยู่ หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าบินมาไกลแค่ไหน ในที่สุดก็เห็นโครงสร้างของโลกนี้อย่างชัดเจน…ฟองอากาศมิติมายาที่นี่ล้วนหมุนวนอยู่ในวังวนหนึ่ง

และส่วนลึกของวังวน…ไม่ใช่ห้องของหวังอีอี แต่เป็น…

โลงศพผลึกใสโลงหนึ่ง!

บนโลงศพนี้ยังคงมีตะขาบยักษ์สีแดงฉานคลานอยู่เช่นเดิม และในตอนนั้นเองที่หวังเป่าเล่อจ้องมองมัน ตะขาบยักษ์สีแดงฉานก็พลันบิดตัวขึ้นเป็นใบหน้านั้นที่เขาเคยเห็น พลางมองมาทางหวังเป่าเล่อคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม

“ซ่อนอยู่ที่เจ้า ถูกไหม…”

“ข้าจะ…หาเจ้า เฝ้าดูเจ้า ถ้าเจ้าเหมาะสม…ข้าจะเลือกเจ้าเอง!”

เสียงนี้ราวกับสายฟ้าฟาดลงในจิตสำนึกของหวังเป่าเล่ออย่างรุนแรง เพราะเสียงนี้…เคยดังขึ้นในขณะที่มือนั้นทำให้ตนแตกสลายในโลกเผ่าเทพอัคคี!

“คราวหน้าจะเลือกเจ้า!”

…………………………

“ท่านพ่อ ดวงตาท่าน!!” แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่หวังเป่าเล่อมองมายังเขา นัยน์ตาเฉินหานพลันหดลง เส้นผมราวกับจะตั้งขึ้น ร้องเรียกด้วยความตกใจ

“หืม?” หวังเป่าเล่อท่าทางอ่อนล้า แม้ระยะเวลาในการระลึกชาติก่อนหน้าจะไม่นาน แต่กลับใช้พลังงานไปเยอะมาก เวลานี้เมื่อเห็นท่าทางของเฉินหาน หวังเป่าเล่อก็ชะงักไปเช่นกัน ก่อนยกมือขวาขึ้นโบกคราหนึ่ง ปรากฏภาพผิวน้ำขึ้นตรงหน้า สะท้อนใบหน้าตัวเองออกมา

ใบหน้าที่สะท้อนออกมานี้ ในพริบตาหวังเป่าเล่อก็เห็นดวงตาทั้งสองข้างของตัวเอง เวลานี้มีเงาร่างตะขาบสีแดงฉานลอยเด่นอย่างชัดเจน!

“นี่…” ภาพพวกนี้ทำให้หวังเป่าเล่อปิดตาทั้งสองข้างลงอย่างรวดเร็ว ผ่านไปครู่หนึ่งจึงลืมตาขึ้นอีกครั้ง ตะขาบในดวงตาของเขาค่อยๆ เลือนหายไปแล้ว

เฉินหานยังคงหวาดหวั่น เมื่อครู่ที่เขาเห็นตะขาบสีแดงฉานในดวงตาหวังเป่าเล่อก็เกิดความสั่นกลัว รู้สึกคล้ายในส่วนลึกของจิตวิญญาณได้เจอกับศัตรูตามธรรมชาติ ราวกับพริบตานั้นทุกส่วนของตนกำลังจะพังทลาย

ในเวลานี้แม้จะเห็นหวังเป่าเล่อกลับเป็นปกติแล้ว แต่ความรู้สึกเมื่อครู่ยังคงหลงเหลืออยู่ในใจ ดังนั้นผ่านไปอึดใจหนึ่งเฉินหานถึงทำใจเอ่ยออกมาได้ ก่อนจะลองเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“ท่านพ่อ แสงนำทางของข้ามากพอ แต่ก็ยังระลึกชาติไม่สำเร็จอยู่ดี” คำพูดของเฉินหายลอยมา แต่หวังเป่าเล่อในเวลานี้ไม่มีอารมณ์จะพูดคุย ในหัวยังคงมีภาพผิดปกติของดวงตาที่เห็นเมื่อครู่อยู่ รวมทั้งภาพระลึกชาติเหล่านั้น ดังนั้นจึงทำเพียงผงกศีรษะให้เฉินหาน ไม่พูดอะไร ก่อนปิดตาลงอีกครั้ง

เมื่อเห็นเช่นนี้เฉินหานจึงไม่กล้ารบกวนต่อพลางถอยหลังไปเล็กน้อย ขณะที่มองไปยังหวังเป่าเล่อด้วยความอกสั่นขวัญแขวน เขามีความรู้สึกว่าหวังเป่าเล่อคล้ายจะแปลกไป

ทางด้านหวังเป่าเล่อ หลังจากหลับตาลง เขากำลังพยายามสงบสติ ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงทำได้สำเร็จ จึงเริ่มหวนคิดขึ้นอีกครั้ง จากการระลึกชาติในครั้งก่อน ชิ้นส่วนความทรงจำที่ล่องลอยเหล่านั้น ถึงแม้จะมีภาพที่ชัดเจนเพียงแปดส่วนแต่กลับให้ความรู้สึกสั่นสะท้านแก่หวังเป่าเล่อที่ในตอนนี้มีสติแจ่มชัด ไม่เพียงเพราะภาพเหล่านั้นมีตะขาบสีแดงฉาน ทว่ามันยังมี…สาเหตุอื่นด้วย!

ภาพแรกคือจักรวาลอันกว้างใหญ่ ภายในจักรวาลเต็มไปด้วยดวงดาวและสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วน สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ประกอบด้วยเผ่าหลายเผ่า และเผ่าที่ครอบครองตำแหน่งการควบคุมจัดการต่างๆ ก็คือเผ่าที่มีอำนาจที่เรียกว่าเผ่าเทพ!

เผ่าเทพครอบครองวิญญาณเทพจำนวนมหาศาล สิ่งที่ฉายอยู่ในนั้นคือภาพการไล่ฆ่าอย่างบ้าระห่ำของคนเผ่าเทพที่เรียกกันว่าเผ่าเทพอัคคี!

ในภาพยังมีตะขาบสีแดงฉานที่มองเผ่าเทพอัคคีอยู่ไกลๆ จากบนดาวดวงหนึ่ง

ฉากนี้ทำให้จิตใจหวังเป่าเล่อสั่นไหวรุนแรง จากนั้นฉากที่สองก็ทำให้เขาตกตะลึงเช่นกัน เป็นโลกที่มีผีดิบเป็นผู้นำ ในนั้นหวังเป่าเล่อเห็นผีดิบตนหนึ่งที่ชอบมองท้องฟ้า และยังมีสตรีคนหนึ่งที่นั่งเป็นเพื่อนผีดิบอยู่เงียบๆ

เดิมทีนี่ควรจะเป็นภาพความทรงจำที่อบอุ่นจากชาติก่อนของเขา แต่ตอนนี้…ในแผ่นชิ้นส่วนความทรงจำที่สอง บนท้องฟ้า…กลับมีตะขาบสีแดงฉานตัวยักษ์ที่ก้มมองมายังพวกเขาด้วยความดุร้าย!

“นี่…นี่…” ขณะที่หน้าอกหวังเป่าเล่อสะท้อนขึ้นลงมองชิ้นส่วนความทรงจำที่สาม ภาพที่ปรากฏอยู่คืออดีตชาติดาบปีศาจ เขาที่เป็นดาบปีศาจคอยเข่นฆ่าเจ้าของ จวบจนได้เจอกับเด็กสาวผู้หนึ่ง และสิ่งที่ฉายอยู่ในภาพก็คือดาบปีศาจกำลังฟันเด็กสาวผู้นั้น!

หวังเป่าเล่าเห็นภาพขณะที่ดาบปีศาจแทงทะลุร่างเด็กสาวอย่างชัดเจน รอบกายพวกเขาพลันเต็มไปด้วยสีแดงสดและอยู่ภายใต้ร่างของตะขาบยักษ์สีแดงฉาน

ภาพที่สี่ก็เช่นเดียวกัน ในความเศร้าโศกและบ้าคลั่งไม่รู้จบ เฉินหยางผู้เป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าของตระกูล ท่ามกลางความรู้สึกที่เกลียดชังโลกเกลียดชังทุกสิ่ง ในโลกใบนั้นก็มีตะขาบสีแดงฉานกำลังเฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ด้วย!

จากนั้นก็เป็นชิ้นส่วนความทรงจำที่ห้า สิ่งปรากฏในนั้นทั้งหมดคืออดีตชาติที่ห้าของหวังเป่าเล่อ ในนั้นเขาเป็นกวางขาวตัวน้อยที่กำลังแบกเด็กหญิงตัวน้อยเดินอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว และตะขาบสีแดงฉานก็ยังคงอยู่ตรงสุดขอบฟ้าดังเดิม ขณะที่เฝ้ามองมา ราวกับกำลังอดทนข่มกลั้น…

เมื่อหวังเป่าเล่อดูถึงตรงนี้ก็พอเข้าใจแล้วว่า เหตุใดตะขาบสีแดงฉานถึงต้องควบคุมตนเอง นั่นเป็นเพราะ…บิดาของเด็กหญิงตัวน้อยก็อยู่ข้างๆ!.ไอลีนโนเวล.

“ตะขาบสีแดงฉาน สื่อถึงอะไรกันแน่…” หวังเป่าเล่อลมหายใจถี่กระชั้น มองดูชิ้นส่วนความทรงจำที่หกอย่างรวดเร็ว เขาจำได้ชัดเจนว่าระลึกชาติที่หกไม่สำเร็จ มีเพียงความหนาวเหน็บและมืดมิด

ด้วยเหตุนี้เขาจึงอยากรู้อย่างมากว่าในแผ่นชิ้นส่วนความทรงจำที่หก สิ่งที่ปรากฏ…จะเป็นโลกผีเสื้อหรือไม่…

ทว่า…จิตใจของหวังเป่าเล่อกลับเกิดเสียงดังขึ้นอีกครั้งในเวลาอันสั้น เพราะภาพที่เขาเห็นในแผ่นชิ้นส่วนความทรงจำที่หก สิ่งที่ปรากฏไม่ใช่โลกผีเสื้อแต่เป็นจักรวาล!

ในจักรวาลมีดวงดาวพิเศษดวงหนึ่ง มันพิเศษเพราะดาวดวงนี้ไม่ได้มีสภาพคงตัว ทว่ามันกลับหดตัวและขยายออกอยู่ตลอดเวลาราวกับหัวใจดวงหนึ่ง

ตะขาบยักษ์ตัวหนึ่งนอนอยู่บนนั้น กำลังกลืนกินดาวดวงนี้อย่างไม่หยุดหย่อนพร้อมเสียงฟ่อๆ และเมื่อเสียงนี้ลอยเข้ากระทบจิตใจของหวังเป่าเล่อ นั่นทำให้เขารู้สึกว่าหัวใจของตนราวกับส่งผ่านความเจ็บปวดออกมา

ความเจ็บปวดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อร่างกายชักเกร็ง ไม่รู้จะทำอย่างไร ในขณะที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ เขาก็กัดฟันดูภาพความทรงจำชิ้นที่เจ็ดต่อไป

ในภาพเป็นมหาสมุทรผืนหนึ่ง ทะเลสีครามมองแล้วให้ความรู้สึกใสสะอาด ทว่าในเวลาอันสั้น…ก็ปรากฏสีโลหิตกระจายออกไปในพริบตา ก่อนแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วทั้งมหาสมุทรทันที จากนั้นก็ค่อยๆ ลดลง กระทั่งมหาสมุทรแห้งขอดจนปรากฏส่วนลึกของก้นมหาสมุทรพร้อมตะขาบสีแดงฉานที่ดุร้ายตัวหนึ่ง!

“ทำไมถึงเป็นภาพแบบนี้…” หวังเป่าเล่อจิตใจสั่นไหว หันดูชิ้นส่วนความทรงจำที่เจ็ดในทันที สิ่งที่ปรากฏ…ในแผ่นชิ้นส่วนความทรงจำกลับเป็นภาพที่ตนเห็นหลังจากพุ่งออกจากห้องในตอนนั้น!

ก่อนที่เขาจะพุ่งออกมาจากห้อง เขาเห็นตะขาบสีแดงฉาน แต่ภาพในตอนนี้…คล้ายกับมุมมองได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะเขายืนอยู่บนโลงศพ และมองเห็น…ตนเอง!

ภาพเรื่องราวตัดจบลงตรงนี้ ขณะที่หวังเป่าเล่อพลันลืมตาตื่น ภายในร่างทุรนทุราย กระอักเลือดออกมาคำโต ร่างกายเอนเอียง สีหน้าซีดขาว นัยน์ตาฉายแววไม่คาดคิด

“ทำไม…ภาพชิ้นส่วนสุดท้าย เป็นข้าที่ยืนอยู่บนโลงศพ…มองดูตนเอง ต้องเป็นตะขาบสีแดงฉานตัวนั้นสิถึงจะถูก ไม่ใช่แบบนี้!”

“และที่ประหลาดกว่านั้นคือ อดีตชาติที่เก้า ดูจากช่วงเวลาเห็นได้ชัดว่าเกิดในอดีตแสนไกล แต่ทำไมในชิ้นส่วนความทรงจำกลับเป็นภาพอดีตหลังจากนั้นของข้า!” เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาเป็นประกาย

“ข้าโดนก่อกวน!” นี่เป็นเหตุผลที่เขาคิดได้ และก็มีเพียงเหตุผลเดียวเท่านั้นที่จะสามารถอธิบายเรื่องเวลาได้ หากไล่เรียงไปถึงต้นตอ ทุกสิ่งทุกอย่างต้องเริ่มจากอดีตชาติที่แปดของเขาที่เห็นตะขาบสีแดงฉานตัวนั้น!

หวังเป่าเล่อหอบหายใจหนัก จากการขุดค้นหาอดีตชาติอย่างต่อเนื่อง ความลับและคำตอบของทุกอย่างเผยออกมาตรงหน้าเขาทีละเล็กทีละน้อย ดังนั้นเขาในเวลานี้ที่ดูแผ่นภาพชิ้นส่วนความทรงจำครบทั้งหมดแล้วจึงต้องไปดูชาติที่เก้าของผู้อื่นต่อ!

“น่าเสียดายที่เฉินหานรับรู้ชาติที่เก้าไม่ได้…แต่ไม่เป็นไร ในการทดสอบพลังฝึกปรือนี่จะต้องมีคนทำสำเร็จแน่นอน!” คิดได้ดังนี้ นัยน์ตาเขาก็ฉายความเยียบเย็นวาบผ่าน ลุกขึ้นในทันที ไม่ทันให้เฉินหานเอ่ยถาม หวังเป่าเล่อก็ไหวร่างก่อนเข้าสู่ไอหมอกในพริบตาอย่างรวดเร็ว

“ก่อนจะถึงวันที่สิบน่าจะเหลืออีกเจ็ดแปดชั่วยาม เรื่องเวลาน่าจะไม่มีปัญหา!”

หวังเป่าเล่อคิดเช่นนี้พลางเร่งความเร็ว เมื่อเสียงดังสนั่นดังขึ้น ดวงจิตแผ่กระจายในไอหมอกเริ่มต้นค้นหา แม้ที่แห่งนี้จะมีขีดจำกัดต่อดวงจิต ทว่าก็มีผลต่อดาวพระเคราะห์ทั่วๆ ไปเท่านั้น หวังเป่าเล่อในเวลานี้ แม้ปราณของเขาจะห่างจากจุดสูงสุดของดาวพระเคราะห์ชั้นมหาวัฏจักรอยู่เล็กน้อย ทว่าพลังต่อสู้ของเขานั้นนำหน้าไปนานแล้ว

โดยเฉพาะการระลึกชาติหลายชาติก่อน การเกื้อหนุนของกฎและกฎเกณฑ์ อีกทั้งอิทธิพลของกฎกาลเวลา ทำให้หวังเป่าเล่อสามารถต้านทานพลังยับยั้งของที่แห่งนี้ได้มาโดยตลอด

เพียงแต่ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นสถานที่ทดสอบพลังฝึกปรือของดาวชะตา ดังนั้นพลังยับยั้งจึงคล้ายไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อหวังเป่าเล่อปลดปล่อยดวงจิต แม้เวลานั้นจะปลดปล่อยพลังออกไปมาก ทว่าในตอนนั้นเองไอหมอกก็เริ่มโจมตีกลับราวกับได้เพิ่มแรงขัดขวางขึ้น เพื่อจะควบคุมให้หวังเป่าเล่ออยู่ในระดับเดิม

เมื่อเห็นพลังยับยั้งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่เสียงดังสนั่นมาพร้อมกับแรงบีบคั้น ดวงจิตของหวังเป่าเล่อก็ได้รับแรงกดดันจนทำให้เขามุ่นคิ้วขึ้นน้อยๆ นัยน์ตาวาววับ จึงเอ่ยหลังครุ่นคิดว่า

“วานรเฒ่า ข้ากำลังรีบ!”

…………………………………

เฉินหานที่เพิ่งฟื้น หลังจากงุนงงอยู่ครู่หนึ่งก็หันขวับมองหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว ในใจเตรียมตัวไว้อย่างดีแล้วว่าเจ้าโรคจิตนี่จะเข้ามาถามตนเองเหมือนกับก่อนหน้า

จากที่เขาเห็น เจ้าหวังเป่าเล่อคนนี้ชอบแอบสอดส่องเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นเป็นที่สุด และการระลึกชาติของตนในครั้งนี้ นับว่าเป็นพรสวรรค์ระดับหนึ่งจากกลุ่มเดียวกัน เพียงแต่เขารออยู่สักพักก็ยังไม่เห็นหวังเป่าเล่อเอ่ยถาม นี่ทำให้เฉินหานรู้สึกไม่คุ้นชินเท่าไร

ดังนั้นจึงรอต่อไปอีกสักพัก แต่หวังเป่าเล่อก็ยังนิ่งเงียบ เฉินหานจึงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้นเอง

“ท่านพ่อ!”

“มีอะไร!” หวังเป่าเล่อลืมตามองเฉินหาน

“ข้าตื่นแล้ว”

“อืม!” หวังเป่าเล่อรู้อยู่แล้วว่าเฉินหานฟื้น เพียงแต่หลังจากที่ตอนนี้จิตใจแน่วแน่ เขาจึงไม่ได้สนใจเรื่องราวต่อจากนี้ของโลกกระดาษสีขาวแล้ว แต่กำลังจดจ่ออยู่กับกฎจันทร์ข้างแรมที่ก้าวหน้าขึ้นของตนเอง

ทว่า การนิ่งเงียบไม่ไต่ถามของเขา กลับทำให้เฉินหานรู้สึกยุบยิบในใจ หลังจากอดทนได้ครู่หนึ่ง เฉินหานก็กระแอมทีหนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น

“ท่านพ่อ การระลึกชาติครั้งนี้ของข้ามันพิเศษมาก ท่านต้องคิดไม่ถึงแน่นอนว่ามันเป็นโลกแบบไหน แม้แต่ตัวข้าเองก็เพิ่งรู้ในตอนนี้ว่าที่แท้…มันเป็นโลกที่สร้างขึ้น และตัวข้าที่อยู่ตรงนั้นก็พิเศษไม่เหมือนใคร!”

หวังเป่าเล่อไม่สนใจเฉินหาน เขาหลับตาจดจ่ออยู่กับจันทร์ข้างแรมของตนต่อไป

เมื่อเห็นว่าคำพูดของตนดึงดูดความสนใจจากหวังเป่าเล่อไม่ได้ เฉินหานก็กะพริบตาไปมาก่อนกล่าวขึ้นอีกครั้ง

“ข้าลืมไปว่าท่านพ่อก็อยู่ที่นั่นด้วย ไม่แปลกใจก็ไม่แปลก แต่ท่านต้องไม่รู้แน่ๆ ว่าในมือของผู้สร้างข้ามีพรสวรรค์มากแค่ไหน ไม่มีใครเหมือน พวกพ้องประเภทข้าทั้งหมด ทุกครั้งที่เห็นข้าก็แสดงท่าทางตกอกตกใจถึงขั้นหวาดกลัวก็มี”

“น่าเสียดายที่ข้าในตอนนั้น สติปัญญายังไม่ทำงานดี ถ้าหากเป็นข้าในตอนนี้จะต้องใช้พรสวรรค์อันโดดเด่นไม่เหมือนใคร เป็นผู้นำสั่งการใต้หล้า ให้…”

“ขาข้างหนึ่งยาว ข้างหนึ่งสั้นหรือ” หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเฉินหานพูดมากเกินไปแล้ว และกำลังรบกวนการฝึกของตน ดังนั้นจึงเอ่ยกลับไปด้วยความรำคาญเล็กน้อย

ประโยคนี้ของเขาพูดออกมาอย่างปกติ แต่เมื่อลอยเข้าหูเฉินหานกลับยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด ทำให้พริบตานั้นในหัวเขาพลันเกิดเสียงดังสนั่น นัยน์ตาเผยแววตระหนกและยากจะเชื่อออกมาอย่างไม่เคยเป็น

‘เป็นไปไม่ได้ นี่ไม่มีทางเป็นไปได้!’

‘สวรรค์ ทำไมเจ้าโรคจิตนี่ถึงได้รู้ไปซะทุกอย่าง!’

ครั้งเดียวก็แล้วไปเถอะ สองครัังก็ยังพอทำเนา แต่ครั้งที่สามนี่ยังจะพูดตรงเผงในรอบเดียวอีก นี่ทำให้หนังศีรษะเฉินหานชาหนึบในทันที ราวกับเจอผีอย่างไรอย่างนั้น เขามองหวังเป่าเล่ออย่างอึ้งๆ ไร้คำพูดไปขณะหนึ่ง

ถึงแม้เวลาจะผ่านไปหนึ่งก้านธูป และเฉินหานจะพ่นลมหายใจออกมา แต่ในหัวยังคงหมุนตลบอย่างรุนแรง เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด ทำไมเจ้าหวังเป่าเล่อตรงหน้านี่ถึงได้รู้ความลับในใจเขา ถึงขั้นดูเหมือนว่าเห็นอดีตชาติของตนด้วยตาเขาเอง

นี่ทำให้หวังเป่าเล่อในสายตาเขายิ่งดูลึกลับกว่าเดิม ความลึกลับนี้ถึงขั้นสูงสุดจนกลายเป็นความหวาดกลัว

‘มีบางอย่างผิดปกติ!’ ถึงอย่างไรเฉินหานก็เป็นมหาศิษย์แห่งเต๋า ทั้งยังเกิดใหม่หลายต่อหลายครั้ง ดังนั้นเขาก็รู้สึกได้โดยเร็วว่าในนั้นมีสิ่งแปลกประหลาด เพียงแต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าหวังเป่าเล่อสามารถเชื่อมโยงจิตวิญญาณเข้ากับตน เข้ามายังการระลึกชาติของตนได้ ดังนั้นจากความคิดของเขาแล้ว ในอดีตชาติพวกนั้น หวังเป่าเล่อจะต้องมีสถานะที่แตกต่างไปจากผู้อื่นอย่างแน่นอน

“ข้ารู้แล้ว!”

“ท่านพ่อ ในโลกที่ข้าเป็นผีเสื้อท่านเป็นต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นใช่หรือไม่!” ประโยคนี้ของเฉินหาน แทบจะเป็นการพูดออกมาแบบไม่ยั้งคิด หลังจากโพล่งออกมาเขาก็เห็นท่าทางของหวังเป่าเล่อที่เปลี่ยนไปทันที ยิ่งทำให้เขาเชื่อมั่นในความคิดของตนเอง จากนั้นก็พลันคิดถึงเรื่องน่าหวาดกลัวเรื่องหนึ่ง ดวงตาเบิกกว้าง น้ำเสียงขาดห้วง

“ยังมีโลกเห็ดนั่น ท่าน…ท่านเป็นแม่มดสาวบนฟ้านั่น! สวรรค์ นี่ท่านเป็นแม่มดสาวหรือ!!!” เฉินหานสั่นสะท้านไปทั้งศีรษะ ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกถูกต้อง ส่วนสีหน้าของหวังเป่าเล่อกลับอึมครึมลง นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกว่าตนเองได้พูดความลับในใจของอีกฝ่ายออกมา

นี่ทำให้เฉินหานรู้สึกคลื่นไส้ทันที กลับกันเขายิ่งรู้สึกเศร้า เมื่อคิดว่าตนยังต้องไปรับเจ้าสาวแม่มด เพื่อก้าวสู่ชีวิตเห็ดอันรุ่งโรจน์ มิน่าล่ะหลังจากที่ฟื้นขึ้นมาครั้งก่อน เจ้าโรคจิตนี่ถึงได้สั่งสอนตน เพราะแบบนี้นี่เอง…

“ยังมีโลกที่สร้างขึ้นอีก ข้าเข้าใจแล้ว ท่าน…ท่านต้องเป็นพู่กันจีนเล่มนั้นแน่ๆ!”

“หุบปาก เจ้าสิเป็นพู่กัน!” หวังเป่าเล่อถลึงตาใส่เฉินหานอย่างเหลืออด และคิดว่าก่อนที่จะถูกเขาจับได้อีกฝ่ายก็ดูปกติดี แล้วทำไมหลังจากถูกตนจับได้แล้วถึงได้กลายเป็นแบบนี้

“หรือว่าระเบิดตัวเองเยอะไป ก็เลยโง่เง่าไปแล้ว?” หวังเป่าเล่อมองเฉินหาน ขณะกำลังไตร่ตรองว่าจะให้อีกฝ่ายฟื้นฟูร่างกายดีหรือไม่ ทางด้านเฉินหานกลับสูดหายใจลึก เข้าใจว่าความรำคาญของหวังเป่าเล่อคือการอับอายจนพาลโกรธ ดังนั้นขณะที่พล่ามบ่นอยู่ในใจก็ยิ่งมั่นใจกับคำตอบของตนเอง

‘เป็นโรคจิตจริงๆ เสียด้วย มิน่าถึงเป็นกวางขาวที่พุ่งชนจักรวาลจนแตกได้ เจ้านี่…อยู่คนละระดับกับข้าเลย ข้า ข้า ข้า…ข้าเป็นคนที่เขาสร้างขึ้นมาหรือนี่ สวรรค์ ในที่สุดข้าก็รู้เสียทีว่าทำไมเจ้านี่ชอบให้ข้าเรียกเขาว่าท่านพ่อนัก!’ เฉินหานยิ่งคิดก็ยิ่งตระหนก โดยเฉพาะคำเรียกขานว่าท่านพ่อเรื่องสุดท้ายนั่น ทำให้เขาราวกับเข้าใจอย่างถ่องแท้ในพริบตา

คิดได้ดังนั้นความยำเกรงก็เพิ่มมากขึ้น รวมทั้ง…ก็ดูเหมือนจะมีเหตุผลอยู่ที่เรียกหวังเป่าเล่อว่าท่านพ่อ เพียงแต่เมื่อคิดได้ว่าตนเกิดมาจากคนตรงหน้าที่เรียกว่าท่านพ่อ นัยน์ตาของเฉินหานก็แฝงแววประหลาดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สายตานี้ก็ชวนให้หวังเป่าเล่อมีความรู้สึกพิลึกที่ยากจะบอกขึ้นมา ยิ่งสุดท้ายแล้วที่เฉินหานดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง สายตานั้นไม่ได้ดูพิลึกพิลั่นอีก แต่ระหว่างที่ทอดถอนใจกลับเกิดความรู้สึกเคารพยำเกรง จนเขารู้สึกตะหงิดๆ.ไอรีนโนเวล.

จนต้องถลึงตาใส่เฉินหานอย่างดุๆ ตัดสินใจว่ายังไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายฟื้นคืนร่างจะดีกว่า เขากังวลว่าหากฟื้นคืนสภาพกลับมา ทั้งยังติดนิสัยระเบิดตัวเองเช่นนี้ สุดท้ายจะระเบิดตัวเองจนกลายเป็นคนปัญญาอ่อนเข้าจริงๆ

ทว่า การดำรงอยู่ของเฉินหาน ทำให้หวังเป่าเล่อค่อยๆ เดินออกจากจิตใจที่สั่นสะท้านนั่นได้อย่างไม่รู้ตัว อารมณ์ก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย ดังนั้นถึงจะคิดว่าเฉินหานดูโง่งมอยู่บ้าง แต่ดูเหมือนมีเจ้าซื่อบื้อนี่อยู่ด้วยก็ดีเหมือนกัน หลังจากคิดได้ดังนี้หวังเป่าเล่อจึงเอ่ยขึ้น

“อีกสองวัน การทดสอบพลังฝึกปรือก็จะจบลงแล้ว หลังจากคารวะอวยพรฉลองอายุ เจ้าจะทำอะไรต่อ?”

“ท่านพ่อไปไหน ข้าก็จะติดตามท่านไป นับจากนี้ไป เฉินหานจะไม่แยกจากท่านพ่ออีก!” เฉินหานกล่าวอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังพูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่าควรเป็นเช่นนี้

“แต่ว่าท่านพ่อ ข้าคิดว่า…ก่อนที่เราจะจากไป ต้องจับพี่น้องทั้งหลายเหล่านั้นให้หมด ให้พวกเขาได้รับรู้ถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ในครอบครัวบ้าง ถึงอย่างไรท่านพ่อก็เป็นคนให้กำเนิดพวกเขา ตอนนี้ก็ควรให้พวกเขาแสดงความกตัญญูได้แล้ว!” เฉินหานพูดเสริม

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ

“อีกอย่าง ข้าคิดมาถี่ถ้วนแล้ว ครอบครัวของเราใหญ่มากเหลือเกิน ในโลกนี้ข้าควรจะพยายามทำให้พี่น้องทั้งหลายกลับมาอยู่เคียงข้างท่านพ่อ เฮ้อ…ตอนนี้คิดๆ ดู ที่แท้ทุกอย่างล้วนมีเหตุและผล พรหมลิขิตถูกกำหนดไว้แล้ว” เฉินหานยิ่งพูดก็ยิ่งทอดถอนใจ จนหวังเป่าเล่อที่ฟังอยู่อดขนลุกไม่ได้

ความจริงแล้วเขามองออกว่าคำพูดของเฉินหานเหล่านี้ถ่ายทอดออกมาจากใจจริง และในขณะที่หวังเป่าเล่อกระอักกระอ่วนอย่างยากที่จะได้เห็นนั้น น้ำเสียงเจนโลกก็ดังขึ้นในจิตใจของผู้ที่ยังอยู่ในสถานที่ทดสอบพลังฝึกปรือ

“วันที่เก้า ชาติที่เก้า!”

อึดใจหนึ่ง ไอหมอกรอบด้านหมุนวน สติสัมปชัญญะของหวังเป่าเล่อดำดิ่งอีกครั้งเหมือนกับครั้งก่อนๆ การดำดิ่งในครั้งนี้เขาสูญเสียสติสัมปชัญญะไปอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกเจ็บปวดผุดขึ้นมาอย่างรุนแรงอีกทั้งยังหนักหน่วงกว่าครั้งไหนๆ

ราวกับบาดแผลในชาตินี้เพิ่งจะเกิดขึ้น ไม่เพียงแค่ความรู้สึกเจ็บปวดบนร่างกายเท่านั้น จิตวิญญาณก็ดูเหมือนถูกฉีกทึ้ง กระทั่งความทรงจำยังเริ่มสับสนไม่สามารถรวบรวมได้เลย จนกลายเป็นชิ้นส่วนจำนวนมากวาบวับขึ้นในหัวอย่างรวดเร็ว

เก้าในสิบส่วนของชิ้นส่วนล้วนขาดแหว่งเป็นอย่างมาก จนมองไม่ชัดว่าเป็นอะไร มีเพียงบางส่วนที่นับว่าสมบูรณ์แต่ราวกับถูกพลังบางอย่างปิดทับไว้ทำให้มองเห็นไม่ชัดเช่นเดียวกัน…

มีเพียง…เจ็ดแปดชิ้นส่วนท่ามกลางเศษชิ้นส่วนจำนวนมหาศาลนี้ที่ยังพอชัดเจนอยู่บ้าง หวังเป่าเล่อกวาดมองอย่างว่องไว ก็พบว่าในชิ้นส่วนเหล่านั้นต่างมี…เงาร่างของตะขาบสีแดงฉานขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง!

หวังเป่าเล่อที่ลืมเลือนว่าตนเป็นใคร พริบตาที่กำลังมองเห็นตะขาบสีแดงฉานนั้นด้วยความงุนงง สติสัมปชัญญะของเขาพลันสั่นไหวเสียงดัง คล้ายขัดกับความทรงจำช่วงที่ชัดเจน ความขัดแย้งนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ และหลังจากเกิดเสียงดังสนั่นในหัว ในตอนที่หวังเป่าเล่อร่างกายสั่นเทา ลมหายใจหนักหน่วง ดวงตาของเขาก็พลันเบิกกว้าง!

ไอหมอกรอบด้านลอยเอื่อยเฉื่อย ที่นี่ไม่ใช่การระลึกชาติแล้วแต่เป็นดาวชะตา

“ภาพเมื่อครู่…” จิตใจของหวังเป่าเล่อยังคงร่ำร้อง แต่ยังไม่ทันจะหวนคิดอย่างลึกซึ้งก็มีเสียงสอบถามประหลาดลอยมาจากข้างกาย

“ท่านพ่อ เป็นอะไรไป? หรือว่าท่านก็ไม่มีอดีตชาติที่เก้าเหมือนกัน?”

เสียงที่ลอยมาทำให้หวังเป่าเล่อตะลึงงัน เมื่อแหงนหน้ามองก็เห็นเฉินหานลอยอยู่ตรงนั้น แสงนำทางบนร่างกระจายหายไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางแฝงความจนใจ คิดไม่ถึงว่าการระลึกชาติของเขาจะล้มเหลว!

…………………………………

ในตอนที่หวังเป่าเล่อหันหน้าไป สิ่งที่เห็นไม่ใช่ห้องก่อนหน้านั้น แต่เป็น…โลงศพขนาดใหญ่ยักษ์โลงหนึ่ง!

โลงศพนี้ไม่ใช่เนื้อไม้ หากแต่สร้างขึ้นจากผลึกใส มันดูกระจ่างใสแต่ก็ส่องแสงระยิบระยับออกมาด้วยในเวลาเดียวกัน แม้ในความว่างเปล่าที่มืดมิดนี้ก็ยังส่องแสงพร่างพราวดุจดวงดารา

บางทีอาจเป็นเพราะแสงแวววาวของมัน ดังนั้นจึงทำให้หวังเป่าเล่อที่หันไป มองเห็นร่างที่นอนอยู่ในโลงไม่ชัดเจน มั่นใจเพียงว่า…ในนั้นมีร่างคนนอนอยู่จริงๆ!

มองไม่ชัดว่าเป็นชายหรือหญิง รูปร่างเป็นอย่างไร แต่ในยามที่มองเห็นโลงศพนี้ ในใจหวังเป่าเล่อที่ยังคงตระหนกและสั่นสะท้านอย่างรุนแรงก็กลับกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่ทะยานขึ้นฟ้า

ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงเลย เดิมคิดว่าหลังจากออกมาจากห้องจะได้เห็นโลกที่แท้จริง สุดท้ายสิ่งที่เห็นกลับเป็นซากปรักหักพัง และเดิมที่คิดว่าหลังออกมาจากโลกกระดาษสีขาวแล้ว สิ่งที่เห็นจะเป็นห้องของหวังอีอี แต่ในความเป็นจริง…สิ่งที่เห็นกลับเป็นโลงศพโลงหนึ่ง!

ทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ส่งผลต่อหวังเป่าเล่อมากจริงๆ ทำให้ดวงจิตเทพของเขาที่กำลังสั่นไหวอย่างรุนแรงนี้เริ่มเกิดอาการใกล้แตกสลายลงอย่างไม่คาดคิด ราวกับความคิดมากมายถาโถมเข้ามาในชั่วพริบตาจนเขารับไม่ไหว

แต่ทุกสิ่งที่เขาเห็นกลับไม่ยั่งยืน ทั้งยังเกิดการเปลี่ยนแปลงตลอด อย่างความว่างเปล่าด้านหลังโลงศพ เวลานี้พลันเกิดระลอกคลื่นแผ่ขยายออกมา ในระลอกคลื่นนั้นมีตะขาบสีแดงฉานขนาดประมาณร้อยจั้งโผล่ออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง กระโจนทีหนึ่งก็พุ่งไปบนฝาโลงศพ

ลำตัวครึ่งบนของมันยืดสูง เมื่อขาอันน่าสะพรึงจำนวนนับไม่ถ้วนและหนวดบนหัวที่กวัดแกว่งไปมา ดวงตาสีเหลืองขุ่นของตะขาบสีแดงฉานตัวยักษ์นี้ก็หันมองมาทางหวังเป่าเล่อ

แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่สายตาหวังเป่าเล่อสบเข้ากับตะขาบสีแดงฉานตัวนี้ เมื่อเสียงดังก้องขึ้นในหัวของมัน ร่างของตะขาบก็พลันล้มลงในทันทีและกลายเป็นตะขาบตัวเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนปิดโลงศพจนมิด จากนั้นตะขาบจำนวนมหาศาลนี้ก็ผนึกรวมกันอีกครั้ง เกิดเป็นก้อนนูนขึ้นอย่างรวดเร็วและสุดท้ายก่อตัวเป็นใบหน้าคน!

ใบหน้านี้ประหลาดพิลึก มองไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิงทั้งยังทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกแปลกตา แต่ก็ราวกับในเบื้องลึกของจิตวิญญาณมีความคุ้นเคยประหลาด มัน…ส่งยิ้มแฝงความหมายมาทางหวังเป่าเล่อ

“นี่…นี่..” หวังเป่าเล่อจิตใจสั่นสะท้าน สมองแทบจะระเบิด ดวงจิตราวกับจะแตกสลาย และในชั่วขณะ เสียงทอดถอนใจเบาๆ ก็ดังก้องขึ้นในหัวเขา

“เป่าเล่อ สิ่งที่เจ้าเห็น…อาจไม่ใช่เรื่องจริง…” เสียงนี้ไม่ได้มาจากบิดาของหวังอีอี และก็ไม่ได้มาจากสตรีผู้อ่อนโยนก่อนหน้านั้น ยิ่งไม่ได้มาจากใบหน้าพิลึกที่เกิดจากตะขาบตรงหน้านี้ด้วย แต่กลับเป็นแม่นางน้อยในแผ่นชิ้นส่วนหน้ากากของหวังเป่าเล่อ

หรือก็คือ…หวังอีอีในตอนโต!

เสียงที่ล่องลอยมานี้เปรียบเสมือนโอสถชั้นดีที่เลิศที่สุดในปฐพี ในพริบตานั้นจิตใจของหวังเป่าเล่อสงบลงมาก ทำให้สติเริ่มกลับคืนมาเล็กน้อย ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากถาม เหตุเพราะกฎและกฎเกณฑ์ของโลกภายนอกกับโลกกระดาษสีขาวไม่เหมือนกัน ก่อนหน้านั้นหวังเป่าเล่อได้ฝืนพยายามควบคุม ทว่าตอนนี้ดำเนินมาจนถึงขีดสุดแล้ว ไม่ต้องให้ใครลงมือ แรงดูดมหาศาลขุมหนึ่งก็แผ่ออกมาจากโลงศพ พริบตาก็ฉุดดึงดวงจิตของหวังเป่าเล่อ

แรงดูดนี้รุนแรงมาก หวังเป่าเล่อไร้แรงขัดขืน พริบตานั้นก็ถูกลากไปทางโลงศพ โชคดีที่เมื่อเขากำลังเข้าไปใกล้ โลงศพรวมทั้งใบหน้าคนของตะขาบที่นูนออกมาได้เปลี่ยนไปอีกครั้งต่อหน้าเขา มันก็กลับมาเป็นห้องที่เปิดประตูของหวังอีอีอีกครั้ง แค่เพียงพริบตาสติสัมปชัญญะของเขาก็กลับเข้าไปในห้อง กลับไปยังหน้ากระดาษสีขาวเล่มนั้นที่เปิดกางอยู่บนพื้น

ในขณะที่หลอมรวมเข้าไปในกระดาษ สติสัมปชัญญะของหวังเป่าเล่อราวกับสูญเสียพลังไปจำนวนมาก ยืนหยัดต่อไม่ไหว ค่อยๆ สลายหายไปอย่างช้าๆ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เมื่อหวังเป่าเล่อเรี่ยวแรงฟื้นคืนกลับมาและลืมตาขึ้น เขาก็ไม่ได้อยู่ในโลกกระดาษสีขาวแล้ว แต่กลับมายังที่ฝึกตนในไอหมอกบนดาวชะตา

ไอหมอกที่คุ้นตาตรงหน้าทำให้ความสับสนในแววตาค่อยๆ จางหายไป เฉินหานที่ลอยอยู่เบื้องหน้าก็มีประโยชน์ในทำนองเดียวกัน ทำให้สภาพหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ค่อยๆ ฟื้นคืนกลับมาทีละน้อย

หลังจากฟื้นตัวแล้ว ภาพเหตุการณ์ต่างๆ ในโลกกระดาษสีขาวก็ผุดขึ้นในความทรงจำของหวังเป่าเล่อ ร่างกายเขาค่อยๆ สั่นเทิ้ม ในเวลานี้เขามืดแปดด้านจริงๆ

เพราะเขาพบว่า การสัมผัสรับรู้ในแต่ละครั้งรวมทั้งการใช้มุมมองของเฉินหานในการมองอดีตชาติ ทุกครั้งที่ตัวเองคิดว่าทุกอย่างเริ่มชัดเจนขึ้นมากแล้วและเริ่มจะได้คำตอบ ในพริบตาก็จะเกิดปริศนาลึกลับเพิ่มขึ้นมา สั่นคลอนคำตอบที่เขาเคยได้

เป็นอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เดิมคิดว่าโลกนี้เป็นของจริง แต่เบาะแสทั้งหมดต่างชี้ไปยังสมุดเล่มหนึ่ง

เดิมที่คิดว่าบางทีตัวเองอาจจะมีชีวิตอยู่ในสมุดจริงๆ แต่ในเวลาอันสั้นก็พบว่า ตำแหน่งที่สมุดเล่มนี้อยู่ก็คือห้องของเด็กน้อยคนหนึ่ง

เดิมที่คิดว่าเมื่อถึงห้องแล้วก็คือโลกที่แท้จริง แต่กลับพบว่ามีกฎข้อห้ามในห้องนั้นที่แยกทุกสิ่งทุกอย่างออกจากกัน

และเดิมทีที่คิดว่าออกมาจากห้องด้วยความยากลำบากได้แล้วก็จะมีความสามารถเห็นความจริง แต่สิ่งที่เห็นกลับเป็นความว่างเปล่า.ไอลีนโนเวล.

เดิมที่คิดว่าว่างเปล่าก็ช่างประไร แต่เมื่อมองย้อนกลับไปกลับพบว่าโลกของตนเองดันเป็นโลงศพ

เดิมที่คิดว่าโลงศพก็คือคำตอบ ทว่ากลับมีตะขาบสีแดงฉานโผล่ออกมา ซ้ำยังก่อตัวขึ้นเป็นใบหน้าแปลกประหลาด

ทุกสิ่งทุกอย่างนี้ได้ทำลายความเข้าใจของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า และในตอนสุดท้าย คำพูดของแม่นางน้อยก็ราวกับชี้บอกว่าทุกสิ่งที่ตนเห็น…ไม่ใช่ความจริง

“แท้จริงแล้ว…แท้จริงแล้ว…มันเกิดอะไรขึ้น!”

“อีกอย่าง…เมื่อครู่ที่บินออกมา…ราวกับ…ราบรื่นเกินไป ราบรื่นเสียจนไม่น่าเชื่อ ราวกับจงใจปล่อยออกมาเพื่อให้ข้าเห็นเรื่องราวเหล่านั้น!”

“แล้วก็…สิ่งสุดท้ายที่ข้าเห็นก็ดูเหมือนไม่ใช่ความจริงทั้งหมด ราวกับเป็นการ…บอกเป็นนัย!”

“ซากปรักหักพังหมายถึงอะไร โลงศพหมายถึงอะไร ตะขาบสีแดงฉานหมายถึงอะไร และใบหน้าแปลกประหลาดที่เกิดจากตะขาบในตอนท้ายคืออะไรกัน…” หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ผ่านไปครูหนึ่งก็มองไปรอบๆ นัยน์ตาปรากฏความเคลือบแคลงขึ้นทีละน้อย

เขาเกิดความสงสัยต่อสิ่งที่เรียกว่าการรับรู้อดีตชาติ ดังนั้นจึงหยิบแผ่นชิ้นส่วนหน้ากากออกมาก้มมอง นันย์ตาฉายแววซับซ้อน

“แม่นางน้อย เจ้าควรจะให้คำตอบข้าได้แล้ว!”

คราวนี้ แม่นางน้อยไม่ได้เงียบงันเหมือนก่อน ผ่านไปอึดใจหนึ่งก็มีเสียงถอนหายใจเบาๆ ถ่ายทอดคำพูดออกมา

“ความทรงจำของข้าหายไปเยอะมาก แต่ข้ามั่นใจว่าอีก 68 ปีเจ้าจะมีโอกาสได้รู้ความจริงบางส่วน!”

“68?” หวังเป่าเล่อตกตะลึง เพราะช่วงเวลาที่ว่านี้ก็คือวันที่หลี่หว่านเอ๋อร์บอกกับเขา เป็นวันที่เจ้าสำนักของนางนัดพบเขา

“แต่ว่า…”

“ไม่ต้องถามข้าอีกแล้ว เป่าเล่อ ขอร้องล่ะ อย่าถามข้าอีกเลย ข้าปวดหัวมาก…” หวังเป่าเล่อกำลังจะถามต่อ แต่น้ำเสียงที่เจือไว้ด้วยความเจ็บปวดของแม่นางน้อยทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้าน

เขานึกถึงเด็กหญิงตัวน้อยตอนตนเป็นกวางขาว นึกถึงเด็กสาวชุดขาวตอนที่ตนเป็นดาบปีศาจ นึกถึงสหายที่นั่งเป็นเพื่อนมองท้องฟ้าตอนตนเป็นผีดิบ…สุดท้ายหวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจ ไม่ซักถามต่ออีก

แต่กลับนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ปิดตาลง หวนคิดถึงวันเวลาเหล่านี้ สัมผัสรับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง กระทั่งครู่ต่อมา…

เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง นัยน์ตาก็ปรากฏความแน่วแน่เด็ดเดี่ยว!

“จริงแล้วอย่างไร เท็จแล้วอย่างไร และความนัยที่ว่านั่นด้วย…จะเป็นเพราะรับรู้เรื่องราวเหล่านี้แล้วเป็นบ้าฆ่าตัวตายหรือไม่สนใจชีวิตจนตรอมใจตายหรือไง”

“ไม่ว่าอย่างไร เจตนารมณ์ของข้าก็ไม่เปลี่ยนแปลง”

“ปราณของข้าอ่อนแอ แขนของข้าเรียวเล็กเกินไป ความแข็งแกร่งของข้าไม่มากพอ ดังนั้น…เรี่องใหญ่หลวงเกี่ยวกับอาณาจักรเต๋าย่อมมีเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์คอยกังวลอยู่แล้ว คนตัวเล็กๆ อย่างข้าไม่มีปัญญาทำขนาดนั้น และก็อย่าได้มาเรียกข้าไปสนใจความนัยอะไรนั่น…ข้าเปลี่ยนมันไม่ได้!”

“ดังนั้น ไม่ว่าสิ่งที่ข้าเห็นจะเป็นจริงก็ดีหรือจะเป็นของปลอมก็ช่าง จะเกี่ยวข้องกับข้าอย่างใกล้ชิดก็ดีหรือห่างไกลก็ช่าง ล้วนไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะควบคุมได้”

“แทนที่จิตใจจะสั่นสะท้านอย่างบ้าระห่ำ มิสู้อยู่บนความเป็นจริงสร้างความแข็งแกร่งให้ตนเอง มีทางนี้ทางเดียว…ถึงจะยืนหยัดได้อย่างมั่นคง ก้าวเดินได้ไกลขึ้น ส่วนเรื่องในภายภาคหน้า…ใครเล่าจะรู้”

หวังเป่าเล่อนัยน์ตาฉายแววเด็ดเดี่ยว แม้การสัมผัสรับรู้ในครั้งนี้ไม่ได้เพิ่มพลังปราณแก่เขา แต่ความแน่วแน่บางอย่างในจิตวิญญาณยังคงทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าร่างกายตอนนี้ปลอดโปร่งขึ้นไม่น้อย

ในช่วงเวลาที่ปลอดโปร่ง เขารู้สึกได้ว่ากฎจันทร์ข้างแรมของตนดูเหมือนจะก้าวหน้าขึ้น ราวกับว่าการออกไปครั้งนี้ส่งผลดีต่อกฎแห่งกาลเวลาไม่น้อยเลย หลังจากได้ลองดู หวังเป่าเล่อก็มั่นใจในเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว

ความรู้สึกของเขาถูกต้อง กฎจันทร์ข้างแรม ก้าวหน้าขึ้นจริงๆ จากที่ย้อนเวลากลับไปได้สิบลมหายใจได้เพิ่มเป็นยี่สิบลมหายใจ!

และในเวลานี้เอง เฉินหาน…ก็ฟื้นแล้ว…

…………………………

ทันทีที่เขาออกจากโลกกระดาษสีขาว ความรู้สึกโล่งใจก็ผุดขึ้นในจิตสำนึกของหวังเป่าเล่ออย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนทันที ความรู้สึกนี้ราวกับโซ่ตรวนบนร่างกายได้ถูกปลดออกและคล้ายกับภูเขาสูงที่กดทับจิตวิญญาณอยู่ในตอนแรกได้ถูกย้ายออกไป

ความรู้สึกสุขสบาย รู้สึกปลดปล่อยเช่นนี้ทำให้จิตใจหวังเป่าเล่อสั่นไหวอย่างรุนแรง เขาโล่งใจมากจนไม่สามารถพรรณนาได้

“ความรู้สึกโล่งแบบนี้…”

ขณะที่ในใจหวังเป่าเล่อสั่นไหวอีกรอบ ขณะที่ความรู้สึกผ่อนคลายผุดขึ้นมาไม่หยุด กระทั่งสติสัมปชัญญะก็ปลอดโปร่งขึ้นมาก เวลาเดียวกันก็มีแรงสั่นไหวของกฎและกฎเกณฑ์กระเพื่อมขึ้นเรื่อยๆ ลอยลงมาในทันที

ชั่วพริบตา สติสัมปชัญญะของหวังเป่าเล่อก็สั่นไหวอย่างรุนแรง กฎต่างๆ ในร่างเขาพลันปรากฏความสั่นคลอนราวกับจะถูกลบไป!

ราวกับกฎและกฎเกณฑ์ในโลกกระดาษสีขาวต่างจากโลกภายนอก หรือกล่าวได้ว่ากฎและกฎเกณฑ์ของโลกภายนอกนั้นสมบูรณ์กว่า ทำให้ขณะที่สติสัมปชัญญะของหวังเป่าเล่อพุ่งพรวดออกมา กฎและกฎเกณฑ์ในร่างกายได้รับการโจมตีอย่างรุนแรง

การโจมตีดุจสายฟ้านี้ระเบิดลงในสติสัมปชัญญะของหวังเป่าเล่ออย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้สติสัมปชัญญะของเขาฟุ้งซ่าน จิตใจสั่นคลอน โชคดีที่มีดาวเคราะห์บรรพกาลเก้าดวงอีกทั้งยังมีดาวเคราะห์เต๋า ดังนั้นแม้การโจมตีจะรุนแรงแต่ก็ยังพอจะยืดเวลาออกไปได้อยู่บ้าง แต่เขารู้ดี…ว่าการโจมตีของกฎและกฎเกณฑ์นี้ ตัวเขาไม่สามารถยืนหยัดได้นานนัก

และด้วยการยืดเวลาในระยะสั้นๆ หวังเป่าเล่อกวาดตามองรอบด้านอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านั้นเขาเคยสำรวจดูแล้ว รู้ว่าที่นี่มีห้องหนึ่งและความรู้สึกคุ้นเคยที่เคยได้รับก็มาจากห้องนี้ กล่าวให้ถูกคือเขาได้มองห้องนี้ผ่านสายตาของเฉินหานเมื่อสองชาติที่แล้ว

ที่นี่…ก็คือห้องของหวังอีอี!

การตกแต่งแม้จะมีรายละเอียดบางอย่างต่างไปจากความทรงจำในสองชาติก่อนที่เคยเห็น แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไร ทว่าครั้งนี้เขาไม่ได้อยู่ในโลกที่เคยอยู่ ดังนั้นหลังจากใช้ดวงจิตกวาดมองก็ยิ่งเห็นได้ชัดขึ้น ยิ่งละเอียดขึ้น

สิ่งที่เขาเห็น…นอกจากของใช้ประจำวันและของเล่นจำนวนมาก รอบๆ นั้นยังมีชั้นวางอีกมากมายที่มีลูกปัดขนาดเล็กใหญ่วางอยู่และปล่อยแสงนวลตลอดเวลา ไม่รู้ว่าลูกปัดพวกนี้เตรียมไว้ทำอะไร

นอกจากนี้…ก็เป็นขวดยาต่างๆ บางทีเป็นเพราะขวดยาที่เยอะเกินไป จึงทำให้มีกลิ่นยาลอยอบอวลอยู่ทั่วห้อง อีกทั้งผนังทั้งสี่ด้านก็ไม่มีหน้าต่าง มองไม่เห็นทิวทัศน์ด้านนอก ทางออกเดียวที่มีคือประตูทางออก

เมื่อภาพเหล่านี้สะท้อนเข้าในสายตาหวังเป่าเล่อ ดวงจิตเทพของเขาก็แผ่ซ่านออกอย่างรวดเร็ว และพยายามจะลองดูทิวทัศน์ข้างนอกจากห้องนี้ แต่ราวกับว่ามีบางอย่างขวางกั้น เมื่อดวงจิตเทพของเขาสัมผัสโดนก็ราวกับวัวเดินลงทะเล แตกกระจายออกไป ไม่มีแม้แต่ระลอกคลื่น

จิตใจของหวังเป่าเล่อจมดิ่ง ไม่กล้าทดลองมากเกินไปนัก เพราะเกรงว่าจะเป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสองชาติก่อน ดังนั้นเขาจึงก้มหน้าอย่างรวดเร็วมองไปยังโลกกระดาษสีขาวแห่งนั้นที่ตนจากมา ขณะที่มองก็พลันเห็น…สมุดเล่มหนึ่งที่จู่ๆ ก็วางอยู่บนพื้น!

เวลานี้ในหน้าสมุดมีคนตัวเล็กจำนวนมาก และในหน้าสมุดนั้น…ก็คือโลกที่เขาจากมา!

“ใช่สมุดเล่มนั้นหรือ…” จิตสำนึกของเขาสั่นสะท้าน ขณะที่กำลังจะพินิจอย่างละเอียด ตอนนั้นเอง…ก็มีเสียงลอยแว่วมาจากข้างตัวเขา

“ทำไมเจ้าถึงออกมาล่ะ?”

เสียงลอยดังออกมา หวังเป่าเล่อหันมองตามสัญชาตญาณ ก็เห็นว่าเป็นหวังอีอีที่ถือพู่กันอยู่ข้างๆ ร่างของนางเล็กกว่าชาติก่อนที่เห็น นางนั่งอยู่ตรงนั้นมองปลายพู่กันจีนด้วยความสงสัยใคร่รู้

นางมองปลายพู่กันจีน ทว่าในความรู้สึกของหวังเป่าเล่อกลับคิดว่านางกำลังมองตนอยู่ ราวกับในเวลานี้พวกเขากำลังสบตากันในความว่างเปล่า

เมื่อถูกสายตาหวังอีอีจับจ้อง สติสัมปชัญญะของเขาพลันชะงักกึก จิตใจสับสน อยากจะเอ่ยอะไรบางอย่างแต่กลับไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน.ไอรีนโนเวล.

“ทำไมเจ้าไม่พูดล่ะ? แปลกจัง ทำไมเจ้าถึงออกมาจากข้างในได้นะ…เจ้าชื่ออะไร ออกมาเพราะจะเล่นกับอีอีหรือ?” ในแววตาใคร่รู้ของเด็กสาวฉายแววไร้เดียงสาและความคาดหวัง

“ข้า…อยากออกมาดูข้างนอก” หลังจากนิ่งเงียบ หวังเป่าเล่อก็เอ่ยขึ้นมาเบาๆ

“ข้างนอก? ที่นี่? หรือที่ไหน?” เด็กสาวตัวน้อยตกตะลึงพลางชี้ไปยังประตูห้อง

“ตรงนั้น…” หวังเป่าเล่อจ้องมองหวังอีอี ดวงจิตเทพถ่ายทอดสื่อถึงตำแหน่งของประตูห้อง

“แต่ว่า…ท่านแม่บอกว่าข้างนอกมีสัตว์ประหลาดกินเด็กอยู่ เจ้าตัวเล็กอ่อนแอแบบนี้ ขืนออกไปก็กลับมาไม่ได้หรอก” เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวด้วยความจริงจังก่อนหันมองดูรอบๆ แล้วหยิบตุ๊กตาลิงตัวหนึ่งออกมา

“เอางี้ไหม เจ้าอย่าออกไปข้างนอกเลย ข้าให้ตุ๊กตาตัวนี้เจ้า เจ้าเล่นกับมันสิ”

ยามเห็นตุ๊กตาลิง หวังเป่าเล่อก็รู้สึกคุ้นตา พลันนึกขึ้นได้ว่าลิงตัวนี้ดูคล้ายกับวานรเฒ่าที่เขาเคยเห็นในหลายชาติก่อน

เพียงแต่การโจมตีของกฎและกฎเกณฑ์ในเวลานี้ ราวกับได้ถึงจุดที่หวังเป่าเล่อรับไหวแล้ว เขารู้ดีว่าตนเองยืนหยัดได้อีกไม่นาน ดังนั้นจึงรีบถอนสายตากลับแล้วถ่ายทอดดวงจิตเทพทันที

“แต่ข้ายังอยากออกไปข้างนอกอยู่…ออกไปดูโลกใบนี้”

“อ่า งั้นหรือ…” เด็กสาวตัวน้อยกลัดกลุ้มและสับสน ขณะมองไปยังบานประตูพลางมองพู่กันอีกครั้ง ก่อนเอ่ยเสียงเบา

“แค่ครู่เดียวนะ?”

“แค่ครู่เดียว!”

“ตกลง ใครโกหกเป็นลูกหมา!” เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวพลางก็ลุกขึ้นจากพื้น หยิบพู่กันจีนเดินโงนเงน ไปยังประตูห้อง และเพียงไม่นาน ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังตื่นเต้น เด็กหญิงตัวน้อยก็ถึงข้างประตูห้องแล้ว ขณะที่กำลังเอื้อมมือไปผลัก คล้ายร่างของนางจะยืนไม่มั่นคง จึงล้มลงไปโดนชั้นวางด้านข้าง ทำให้ตุ๊กตาจิ้งจอกน้อยที่วางอยู่บนนั้นหล่นลงมา

มันหล่นลงโดนศีรษะของเด็กหญิงตัวน้อย ก่อนจะหล่นลงบนพื้น

เมื่อเห็นตุ๊กตาจิ้งจอกน้อยตัวนั้น จิตใจหวังเป่าเล่อก็พลันสั่นไหวขึ้นอีกครา ยังไม่ทันได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วน เด็กหญิงตัวน้อยก็หยิบตุ๊กตาขึ้นมาแล้ว

“จิ้งจอกน้อย เจ้าไม่เชื่อฟัง กล้าชนข้า…แต่ว่าข้าก็ยังชอบเจ้า” เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวพลางวางตุ๊กตาจิ้งจอกไว้ด้านหน้า จุ๊บหนึ่งครั้ง ท่าทางมีความสุขมาก ส่งเสียงหัวเราะเอิ้กอ้าก ลืมเรื่องที่จะเปิดประตูพาหวังเป่าเล่อออกไปข้างนอกเสียแล้ว

หวังเป่าเล่อรู้สึกปวดหัว ขณะที่กำลังจะกล่าวบางอย่าง ในตอนนั้นเอง…

ก็มีเสียงอ่อนโยนของสตรีผู้หนึ่งแว่วมาจากนอกประตู

“อีอี มีเรื่องดีใจอะไรขนาดนี้หรือ บอกแม่หน่อยสิ”

เวลานั้น ประตูที่ปิดแน่นถูกเปิดเข้ามาจากภายนอก ในยามที่แสงแดดสาดส่องเข้ามาในห้อง หญิงสาวงดงามวัยกลางคนสวมกระโปรงยาวสีฟ้าที่ดูอ่อนโยนก็นั่งลงเบื้องหน้าเด็กหญิงตัวน้อยด้วยสายตาเอ็นดูพลางลูบศีรษะของนางเบาๆ

“ท่านแม่ เมื่อครู่จิ้งจอกน้อยดื้อ ชนข้าทีหนึ่ง แต่ว่าข้าสั่งสอนมันแล้ว ใช่แล้วท่านแม่ ข้าออกไปเล่นข้างนอกสักประเดี๋ยวได้หรือไม่” เด็กหญิงยิ้มออดอ้อน

สตรีผู้นี้งามหมดจด ท่าทางอ่อนโยน ราวกับมีกลิ่นอายพิเศษอยู่บนร่างที่ชวนให้ผู้คนรู้สึกสงบเมื่อเจอ เพียงแต่ว่าเมื่อนางได้ยินคำขอของเด็กหญิง ลึกลงไปในดวงตากลับฉายแววปวดร้าวและมือที่ลูบผมของหวังอีอีอยู่ก็ยิ่งอ่อนโยนขึ้น

ความปวดร้าวนี้ เด็กหญิงตัวน้อยไม่อาจสังเกตได้ ทว่าหวังเป่าเล่อกลับรู้สึก หากแต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาให้คิดมากนัก จิตใจทั้งหมดถูกโลกภายนอกดึงดูดไปหมดแล้ว

ขณะที่สตรีผู้นั้นเปิดประตู ยอบกายลงลูบศีรษะเด็กหญิงตัวน้อย หวังเป่าเล่อที่อยู่บนปลายพู่กันก็ได้เห็นโลกด้านนอกขณะที่ประตูแง้มเปิดพอดี

ด้านนอกเป็นทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง ท้องฟ้าสีคราม ดวงอาทิตย์สาดส่อง เป็นโลกที่สดใสสวยงาม ทว่าเวลาเดียวกันแม้จะงดงามไร้ที่ติก็เปี่ยมไปด้วยแรงดึงดูดล่อตาล่อใจบางอย่างยากจะพรรณนา ทำให้สติสัมปชัญญะของหวังเป่าเล่อที่กำลังสั่นไหวอยู่นั้น พลันรู้สึกคึกคะนองขึ้นมาอย่างรุนแรง ในพริบตาสติทั้งหมดล้วนพุ่งทะยาน!

พุ่งไปยัง…นอกประตูที่เปิดออก!

ในตอนที่ผ่านประตูบานนั้นออกมา คล้ายกับว่าเห็นท่านแม่ของหวังอีอีที่อยู่ข้างๆ หันหน้ามองมายังตน แต่หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาให้ใส่ใจ ขณะนี้สติสัมปชัญญะของเขากำลังพุ่งทะยาน และพริบตาต่อมา…เขาก็ได้ผ่านเขตประตูห้อง ออกสู่…โลกภายนอกอย่างแท้จริง!

ทว่าในตอนที่สติสัมปชัญญะทะยานถึงโลกภายนอก…ทุ่งหญ้าเบื้องหน้าพลันหายวับ กลายเป็นสถานที่รกร้าง ดวงอาทิตย์ที่สาดแสงหายลับกลายเป็นความมืดมิด เช่นเดียวกันกับท้องฟ้าสีครามแปรเปลี่ยนเป็นสีเทา ทั้งโลก ทั้งผืนดิน สีสันสดใสสวยงามล้วนกลายเป็นซากปรักหักพังในพริบตา

“นี่…นี่…” จิตสำนึกหวังเป่าเล่อร้องคำราม หันหน้าตามสัญชาตญาณเพื่อมองดูห้องที่ตัวเองเพิ่งทะยานออกมาเมื่อครู่ แต่ภาพที่เห็นกลับทำให้เกิดความปั่นป่วนอย่างรุนแรงในสติสัมปชัญญะอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน!!!

……………………………………

หลังเสียงแหบพร่าดังขึ้น หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นก็สูดลมหายใจยาว

เขาอยากรู้เป็นอย่างมากว่าเหตุใดเฉินหานถึงสามารถมีชาติต่อไปได้อีกหลายชาติแต่ตัวเองไม่มี ความสงสัยนี้ก่อตัวขึ้นในใจของหวังเป่าเล่อมาได้สักพักแล้ว ยามนี้ เมื่อมาถึงชาติที่แปด หวังเป่าเล่อมองไอหมอกที่หมุนวนอยู่รอบกาย รับรู้ถึงสติของตนที่กำลังจมดิ่ง พึมพำแผ่วเบา

“หวังว่าครั้งนี้จะไม่เหมือนก่อนหน้านี้อีก ที่มองไม่เห็นสิ่งใด…” เขาปิดตา สัมผัสได้ว่าสติของตนเองจมดิ่งลงเรื่อยๆ ราวกับตกลงไปในวังวน

จากนั้น…ก็กลายเป็นความเย็นยะเยือกที่คุ้นเคย

ความเยียบเย็นนี้ทำให้จิตใจหวังเป่าเล่อจมดิ่ง สติสัมปชัญญะที่ยังคงอยู่ทำให้จิตใจที่ดำดิ่งของเขายิ่งหดหู่ หลังจากปลดปล่อยดวงจิตใช้มันสำรวจบริเวณรอบๆ ก็เห็นความมืดมิดอันคุ้นเคยอีกครั้ง หวังเป่าเล่อทอดถอนใจออกมา

“ไม่มีอะไรอีกแล้ว…” เขารู้สึกไม่อยากยอมแพ้จึงลองเพิ่มอาณาเขตการรับรู้ให้กว้างขึ้น แต่ไม่ว่าเขาจะใช้พลังมากมายเท่าไร สุดท้ายแล้วก็ยังคงเป็นเช่นเดิม

เย็นเยียบ มืดมิด โดดเดี่ยว

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ในขณะที่กำลังจะล้มเลิก ตอนนั้นเองสติสัมปชัญญะของเขาพลันสั่นไหวอย่างรุนแรง ภายใต้การสั่นไหวนี้ความรู้สึกที่จมดิ่งลงนั้นก็ลอยขึ้นมาใหม่อีกครั้งอย่างไม่คาดคิด!

“ความรู้สึกนี้…”

หวังเป่าเล่อยังไม่ทันได้ตั้งตัว ก็มีเสียงดังสนั่นขึ้นในสติสัมปชัญญะดุจฟ้าร้องฟ้าผ่า เมื่อมันระเบิดออก เวลานั้นสติสัมปชัญญะของเขาก็สลายหายไปทันที

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร เมื่อหวังเป่าเล่อรวบรวมสติอีกครั้ง เขาก็ลืมชื่อของตนเอง ลืมว่าเขากำลังระลึกอดีตชาติ ลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง

เขาลืมตาไม่ขึ้น ขยับตัวไม่ได้ ไม่รู้ว่าตนอยู่ที่ใด ไม่รู้ที่มาของตน สิ่งที่เขารับรู้คือบริเวณรอบนั้นเย็นมาก ความเย็นเยียบเช่นนี้สามารถผ่านเข้าร่างกายแช่แข็งจิตวิญญาณ และสิ่งที่เขาเห็นมีเพียงความมืดมิดไม่รู้จบ

นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกที่รุนแรงอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ…ความเจ็บปวด!

ความเจ็บปวดท่วมท้นดุจคลื่นยักษ์โถมซัดครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับมีดคมกริบเล่มหนึ่งที่หั่นแล่สติสัมปชัญญะของเขาไม่หยุดหย่อน หวังเป่าเล่ออยากจะกรีดร้องแต่กลับไม่สามารถทำได้ อยากดิ้นรนแต่ก็ทำไม่ได้เช่นกัน อยากสลบเพื่อจะหลบหลีกความเจ็บปวดแต่ก็ทำไม่ได้เช่นเดิม

เขาทำได้เพียงรับรู้ความเจ็บปวดขีดสุดอย่างแจ่มชัดในความมืดและความเยียบเย็น ราวกับทั้งหมดนั้นทำให้สติสัมปชัญญะของเขาสั่นสะท้าน ทว่า แม้ความเจ็บจะยังคงอยู่ตั้งแต่ต้นเหมือนกับความมืดและความเยียบเย็น คล้ายกับจะคงอยู่อีกเนิ่นนานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ก็ยังโชคดีที่ระดับความสั่นไหวของมันกลับไม่สูงขึ้น

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ภายใต้ความเจ็บปวดที่เคี่ยวกรำหวังเป่าเล่อ ขณะที่จิตใจเหนื่อยล้า เขาพลันพบว่าความเจ็บปวดดูเหมือนจะลดลงไปบ้างแล้ว เขาไม่ได้คิดไปเอง ความเจ็บนั้นลดลงทีละน้อยจริงๆ

เมื่อความเจ็บปวดบรรเทาลง พร้อมกับสติสัมปชัญญะของเขาที่ค่อยๆ ถดถอย ภายใต้ความรู้สึกเจ็บปวดที่มลายหายไป ความรู้สึกง่วงงุนก็คืบคลานเข้ามาภายในจิตใจมากขึ้นเรื่อยๆ

จนกระทั่งในตอนที่ความรู้สึกเจ็บหายไปจนหมด สติสัมปชัญญะของเขาก็ค่อยๆ จมเข้าสู่ห้วงนิทรา หลับใหลไปราวกับทุกสิ่งจบสิ้นแล้ว หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ในไอหมอก ณ ดาวชะตา ร่างกายเขาสั่นไหวรุนแรง ค่อยๆ เปิดเปลือกตา

ครานี้นัยน์ตานั้นไร้ประกายหลงเหลือไว้เพียงความลุ่มลึก หลังจากนั่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง ลมหายใจของเขาก็เริ่มถี่กระชั้นขึ้น เขามั่นใจ ช่วงเวลาดำดิ่งที่รู้สึกได้ก่อนหน้านั้น สติสัมปชัญญะของตนได้แตกซ่าน เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นกับห้าชาติก่อนไม่มีผิด

“นี่หมายความว่า…ตอนนี้ข้าประสบความสำเร็จในการระลึกอดีตชาติที่แปดได้จริงๆ แล้วสินะ!”

“แต่ว่าชาติที่แปดของข้าค่อนข้างพิเศษ…” หวังเป่าเล่อก้มหน้า นัยน์ตาฉาวแววประหลาด เวลานี้เมื่อนึกถึงความเจ็บปวดในตอนนั้น ร่างกายก็ยังคงสั่นสะท้านเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นเพราะประสบการณ์พิเศษจากชาติที่แปด ทำให้ในใจหวังเป่าเล่อเกิดการคาดเดาบางอย่าง.ไอรีนโนเวล.

“ไม่ใช่ว่าข้าไม่มีชาติที่หกหรือชาติที่เจ็ด แต่ด้วยสาเหตุบางอย่าง ในสองชาตินั้นข้ากลับหลับลึก…การหลับลึกแบบนี้เป็นการสลบไสลอย่างไร้สิ้นสติสัมปชัญญะ ดังนั้นสิ่งที่ข้าสัมผัสได้จึงมีเพียงความเย็นเยียบและความมืดมิด!”

“และที่สลบไสลในทั้งสองชาตินี้ก็เกี่ยวข้องกับความเจ็บปวดที่เมื่อครู่ได้รับจากการระลึกชาติที่แปด ความเจ็บเช่นนี้…หรือว่าจะเป็นอาการบาดเจ็บ? และการสลบไปในตอนท้ายคือการเยียวยารักษา? จวบจนอาการบาดเจ็บหายดีแล้ว ดังนั้นจึงมีชาติที่ห้า ข้ากลับชาติไปเกิดเป็นกวางขาว?” นัยน์ตาหวังเป่าเล่อฉายแววครุ่นคิด ครู่ถัดมาก็ยกมือขึ้นนวดคลึงบริเวณหว่างคิ้วของตน รู้สึกว่าปริศนาต่างๆ ที่เกี่ยวกับอดีตชาติ เกี่ยวกับโลกนี้ และเกี่ยวกับหวังอีอี ไม่ได้กระจ่างขึ้นเพราะเบาะแสต่างๆ เลย หนำซ้ำ…กลับยิ่งคลุมเครือ

ระหว่างงึมงำ เขาเงยหน้ามองเฉินหาน แววตาเด็ดเดี่ยวปรากฏ สองมือรีบผนึกมุทรา เปลวไฟสีดำแผ่ปกคลุมขึ้นในพริบตาพร้อมด้วยจิตวิญญาณ และพริบตาต่อมาโลกพิสดารใบหนี่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อ!

ท้องฟ้า…อยู่ไกลออกไป ไกลจนมองเห็นไม่ชัดกลายเป็นภาพพร่ามัว เห็นเพียงสีของมันคล้ายกับสีไม้ที่ไม่จืดชืดอีกทั้งยังแฝงความอบอุ่น ทำให้ผู้ที่มองอยู่รู้สึกผ่อนคลาย

ส่วนพระอาทิตย์ก็อยู่ห่างออกไปไกลโพ้นเช่นเดียวกัน พร่ามัวจนมองแทบไม่เห็น เห็นแต่เพียงแหล่งกำเนิดแสงที่เปล่งประกายและความร้อนออกมาทำให้โลกทั้งใบอบอุ่น ส่วนพื้นดินนั้นแจ่มชัดดี มันเป็นสีขาว สีขาวอันไร้ขอบเขต

บริเวณรอบด้าน บางทีอาจเป็นเพราะระยะทางที่ไกลเกินไปจึงพร่ามัว แต่หวังเป่าเล่อก็ยังมองเห็นได้อย่างเลือนราง ราวกับมีสิ่งที่สูงใหญ่จำนวนมหาศาลและกลิ่นอายที่ทำให้เขาสะพรึงกลัวแผ่ออกมาเรื่อยๆ น่าเสียดายที่มองเห็นไม่ชัด

เขาไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไร แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดสิ่งเหล่านี้กลับให้ความรู้สึกราวกับเขาเคยพบเจอมาก่อน แต่ถึงอย่างนั้นหวังเป่าเล่อกลับรู้สึกว่าตัวเองไม่เคยเห็นมัน

“โลกภายนอกของสองชาติก่อนหน้านี้คือห้องส่วนตัวของหวังอีอี เช่นนั้นคราวนี้…นี่คือที่ไหน?” ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังสำรวจอย่างเงียบเชียบ สายตาก็มองหาเฉินหาน…

ใช่แล้ว เขากำลังมองหาเฉินหาน เพราะหลังจากที่มาถึงที่นี่แม้เขาจะมองเห็นบริเวณโดยรอบ ทว่ากลับไร้เงาร่างของเฉินหาน

เห็นได้ชัดว่านี่ไม่สมเหตุสมผล จนหวังเป่าเล่อรู้สึกเหลือเชื่อ แต่ไม่ว่าเขาจะหาอย่างไรก็ไม่เจอร่องรอยของเฉินหานในโลกประหลาดนี้แม้แต่น้อย ราวกับเฉินหานไม่มีอยู่จริงและโลกที่พร่ามัวก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัด

ความรู้สึกราวกับตรงหน้าถูกผ้าคลุมไว้ และต่อให้เขาจะพยายามมากแค่ไหนก็ไม่สามารถมองเห็นโลกนี้ได้อย่างชัดเจน เช่นเดียวกับคนที่สายตาสั้นมากๆ เมื่อถอดแว่นสายตาออก ทุกสิ่งที่เห็นแทบจะเหมือนกับที่หวังเป่าเล่อมองเห็นในเวลานี้

สภาพเช่นนี้ดำรงอยู่เป็นเวลาเนิ่นนาน จนกระทั่งวันหนึ่งหวังเป่าเล่อมองเห็นเสาขนาดมหึมาต้นหนึ่งหล่นลงมาจากฟ้า เมื่อใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เขาก็เห็นว่าเสาต้นนี้ดูคล้ายกับพู่กันจีนเล่มหนึ่ง!

อีกทั้งยังมีน้ำหมึกอยู่ด้วย ขณะที่ภาพนี้สั่นคลอนสติสัมปชัญญะของหวังเป่าเล่อ ก็มีมือหนึ่งกำลังจับพู่กันจีนเล่มนี้อยู่ มันเป็นมือเล็กๆ ข้างหนึ่ง หวังเป่าเล่อยังไม่ทันมองให้ชัด พู่กันจีนเล่มนั้นก็ร่วงลงบนพื้นกว้างสีขาว และด้วยทักษะการวาดอันเงอะงะ ก็ได้ภาพวาดคนตัวเล็กที่เงอะงะยิ่งกว่าออกมา

เมื่อภาพคนตัวเล็กวาดเสร็จเรียบร้อย เสียงหัวเราะเอิ้กอ้ากก็ดังแว่วมาจากฟากฟ้า ในเวลาเดียวกันนั้นคนตัวเล็กที่ถูกวาด ก็ลุกขึ้นจากพื้นราวกับได้รับชีวิต

ขณะที่สติสัมปชัญญะของหวังเป่าเล่อสั่นไหวอีกครั้ง พู่กันจีนนั่นก็จรดลงมาอีกหน หลังจากนั้นไม่นานคนตัวเล็กก็ถูกวาดขึ้นเช่นนี้เรื่อยๆ ส่วนเจ้าของพู่กันจีนก็ราวกับพบเจอความสุขจากการวาดภาพ วันเวลาต่อจากนั้นก็มีคนตัวเล็กถูกวาดขึ้นมาอีก จนกระทั่งวันหนึ่งในขณะที่จิตใจหวังเป่าเล่อกำลังสั่นสะท้าน เขาก็เห็นพู่กันจีนนั้นสั่นไหวราวกับเจอเรื่องไม่คาดคิด ภาพคนตัวเล็กที่วาดออกมาก็ต่างไปจากเดิม

เป็นคนตัวเล็กที่ขาข้างหนึ่งยาว ข้างหนึ่งสั้น และในพริบตาที่คนตัวเล็กถูกวาดขึ้น หวังเป่าเล่อก็พลันรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของเฉินหาน เมื่อคนตัวเล็กตะเกียกตะกายลุกขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างบริเวณรอบ จากพร่ามัวก็กลับกลายเป็นชัดเจนต่อหน้าหวังเป่าเล่อในทันที!

เขามองเห็นท้องฟ้ากระจ่างชัด ที่มันเป็นสีไม้ก็เพราะท้องฟ้านั้นแต่เดิมคือหลังคา ส่วนสีขาวที่พื้นดินก็คือกระดาษขาวแผ่นหนึ่ง ความว่างเปล่ารอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นตึกสูงหรือเงาร่างล้วนเป็นของเล่นทั้งหมด ดวงตะวันนั้นคือแหล่งกำเนิดแสงซึ่งมาจากผลึกเม็ดหนึ่งที่กระจายแสงส่องสว่างให้กับห้อง

และมือที่กุมพู่กันจีน…ก็เป็นของเด็กหญิงผู้หนึ่งที่ดูเหมือนอายุจะน้อยกว่าสามขวบ!

หวังเป่าเล่อใช้ดวงจิตกวาดดูคร่าวๆ อย่างไม่มีเวลาพิจารณาอย่างละเอียด เพราะสมาธิของเขาในตอนนี้ได้รวมอยู่ที่พู่กันจีนซึ่งยกสูงขึ้น กำลังใช้มันวาดรูปเฉินหาน ในพริบตาที่มันได้รับชีวิต ด้วยความสัมพันธ์บางอย่างที่เกิดขึ้นทำให้สติสัมปชัญญะของหวังเป่าเล่อพุ่งพรวดอย่างรุนแรง เบนสมาธิจากร่างเฉินหานไปยังน้ำหมึกในพู่กันจีนนั่นแทน!

ยามที่พู่กันยกสูงขึ้นเรื่อยๆ สติของของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งเคลื่อนไหวรุนแรงขึ้น จวบจนพู่กันจีนออกไปจากพื้นดินและพาเขาออกจากโลกใบนี้ด้วย!

‘ออกมาได้แล้ว!’ หวังเป่าเล่อจิตใจสั่นสะท้าน ความรู้สึกคาดหวังที่ไม่เคยมีได้ผุดขึ้นเต็มความคิดของเขา!

………………………

“วันเวลาล่วงผ่านดุจเดือนกับตะวันสับเปลี่ยนแทนที่ เดินหน้าอย่างไร้จุดสิ้นสุด แปรเปลี่ยนตลอดเวลา ไม่มีวันหวนกลับไปจุดเดิม” หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น พึมพำเสียงเบา ในหัวคิดแต่กฎแห่งจันทร์คล้อยที่หวังอีอีแสดงออกมาให้เห็นก่อนหน้านี้

แต่…ความยากของกฎกาลเวลานั้นมีมาก อีกทั้งจันทร์คล้อยที่หวังอีอีแสดงออกมาก็ไม่ใช่พลังเทพอย่างสมบูรณ์ นับว่าเป็นเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ถึงอย่างไรตอนนั้นนางก็ยังไม่ได้เรียนรู้วิธีใช้กฎแห่งจันทร์คล้อยอย่างแท้จริง

อีกอย่าง หวังเป่าเล่อก็เห็นแค่เพียงวันนั้นที่หวังอีอีแสดงออกมา แม้ในวันนี้จะทดลองไปหลายครั้งแล้ว แต่สุดท้ายก็เรียนรู้ไปได้ไม่เท่าไร

เหตุผลทั้งหลายนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเข้าถึงกฎแห่งจันทร์คล้อยได้ไม่สมบูรณ์ ยังห่างชั้นกับกฎแห่งจันทร์คล้อยแท้จริงอยู่มากโข แต่ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นกฎกาลเวลา หากวัดจากระดับขั้นแล้ว นี่นับเป็นพลังเวทสูงที่สุดที่หวังเป่าเล่อเคยเห็นมา!

แม้แต่อาจารย์ของตนหรือเฉินชิงจื่อ พวกเขาก็ไม่เคยครอบครองกระบวนเวทที่เรียกว่าเป็นระดับสูงสุดแห่งเต๋าเช่นนี้มาก่อน ยิ่งกว่านั้นหากมองทั้งจักรภพเต๋าไม่รู้สิ้นแล้ว ก็อาจไม่มีแม้แต่คนเดียวที่สามารถแสดงพลังเฉกเช่นกฎแห่งจันทร์คล้อยที่แท้จริงออกมาได้

จุดนี้หวังเป่าเล่อมั่นใจเต็มร้อย ถึงเขาจะรู้จักจักรพรรดิสวรรค์ไม่ดีเท่าไร แต่ในขณะที่ได้สัมผัสกับกฎแห่งจันทร์คล้อยนั้น เขาก็มีลางสังหรณ์บางอย่าง นั่นคือหากกฎนี้ถูกใช้ขึ้นอย่างสุดพลังก็สามารถทำให้จักรภพเต๋าไม่รู้สิ้น ดาราจักร ดวงดาราทั้งหลาย สรรพสิ่งทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นปราณระดับไหนขั้นที่เท่าไรต้องย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นได้ในพริบตา

กฎนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเริ่มต้นดาวโลกใหม่

และพลังเวทเช่นนี้หากมีใครในจักรภพเต๋าไม่รู้สิ้นครอบครองอยู่จริง เช่นนั้นโลกใบนี้ก็คงไม่มีอดีตชาติเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าแบบนี้

ลองสมมติ หากกฎแห่งจันทร์คล้อยเป็นเหมือนกฎที่อยู่จุดสูงสุดของกฎทั้งปวง และก็เป็นเพราะว่าระดับขั้นสูงเกินไป ดังนั้นแม้หวังเป่าเล่อจะรับรู้สัมผัสได้บางส่วนก็ยังเข้าไม่ถึงแก่นแท้ แต่ถึงอย่างนั้นมันกลับส่งผลต่อเขาอย่างมหาศาล

ด้วยการสัมผัสและรับรู้นี้จึงทำให้ปราณของเขาเข้าสู่ระดับดารานิรันดร์ชั้นมหาวัฏจักรแทบจะในทันที แม้จะยังไม่ถึงขั้นสุดยอดมหาวัฏจักรแต่ก็สูสีคู่คี่ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือในพริบตานั้น ล้วนส่งผลต่อกฎที่เขามีทั้งหมด

อันดับแรกคือเต๋าโลหิตแดง เต๋าเมฆาฟ้า เต๋าลมคราม เต๋ากลืนกินม่วง รวมทั้งเต๋าสีขาวแห่งแสงสว่างที่สัมพันธ์กันถึงร้อยละเก้าสิบแปด กฎทั้งห้านี้เดิมทีก็เกือบจะถึงขีดสุดแล้ว ทว่าด้วยเหตุนี้ เวลานี้จึงพัฒนาขึ้นอีกครั้ง ไต่ระดับสูงสุดถึงร้อยละเก้าสิบเก้า!

ส่วนเต๋าดนตรีส้ม เต๋าพืชเขียวและเต๋าสีดำแห่งความตายก็ก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนกันกับเต๋าเปลวไฟเหลืองที่อยู่ร้อยละเก้าสิบ ดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าดวงนี้ล้วนไต่ระดับสูงขึ้นและส่งผลคุณภาพให้แก่เขา!

พลังต่อสู้ของเขาได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของพลังปราณไปเรียบร้อยแล้ว ไม่สามารถใช้ดาวพระเคราะห์เป็นเกณฑ์วัดได้อีก เพราะในระดับดาวพระเคราะห์ กฎทั้งเก้านี้ได้สร้างเกราะคุ้มกันให้เขาแล้ว หรือพูดอีกอย่างคือไม่ว่าคู่ต่อสู้จะใช้กฎทั้งเก้าดวงไหน ใช้พลังต่อสู้จนหมด เมื่อลอยมาถึงตัวหวังเป่าเล่อ พลังเกินกว่าเก้าส่วนล้วนไร้ประโยชน์

และในทางกลับกัน หากหวังเป่าเล่อใช้กฎทั้งเก้าลงมือก็จะยิ่งมีพลัง ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งร้ายกาจ!

เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาในเวลานี้ถึงแม้ไม่ใช่ดารานิรันดร์ แต่ในสนามต่อสู้ก็คือดารานิรันดร์! แม้กฎอื่นๆ จะมีพลังเท่าเดิม แต่ดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อคือการเลียนแบบ กฎที่เหนือธรรมชาติเช่นนี้ก็ได้ชดเชยให้กับข้อบกพร่องสุดท้ายของหวังเป่าเล่อ!

กระทั่งบางคนที่เพิ่งก้าวสู่ระดับดารานิรันดร์ หากเผชิญหน้ากับเขาก็เกรงว่าต้องตกใจจนตัวสั่นเช่นกัน แม้ระดับปราณจะคนละขั้น แต่การควบคุมใช้กฎและเกราะป้องกันก็เพียงพอที่จะทดแทนสิ่งเหล่านี้!

แต่ความก้าวหน้าเหล่านี้ยังไม่ใช่ผลประโยชน์สูงสุดที่หวังเป่าเล่อได้รับในครั้งนี้ สิ่งที่สำคัญสุดคือการสัมผัสได้ถึงกฎกาลเวลา ถึงแม้จะเข้าใจกฎนี้ได้ไม่มากเท่าไร แต่ในระดับขั้นก็ถือว่ายืนยันได้แล้วว่าแก่นแท้มันโดดเด่นไม่เหมือนใคร

นี่ทำให้หว่างคิ้วของหวังเป่าเล่อปรากฏรอยประทับสีม่วงขนาดประมาณเล็บขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ขณะเกิดขึ้นรอยประทับนี้ดูคล้ายจริงคล้ายภาพลวงตา หากเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ก็สามารถมองเห็นได้ ทุกครั้งที่รอยประทับนี้เด่นชัดเลือนหายสลับไปมาก็มีกฎกาลเวลาไหลวนกระจายออกมา

เพียงแต่ ในการไหลวนนี้มีกาลเวลาอยู่ภายใน ไม่นานเพียงแค่สิบลมหายใจเท่านั้นและคล้ายกลับจะเดินถอยหลังอยู่ตลอดเวลาไม่สามารถเดินหน้าได้

และนี่ก็คือสิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเสียดาย เพราะตามความเข้าใจของเขาหากสามารถฝึกฝนจันทร์คล้อยที่แท้จริงได้ เกรงว่าทุกครั้งที่รอยประทับลอยเด่นและจางหายสลับกันก็คือการเริ่มต้นใหม่ครั้งหนึ่งของจักรวาล

แต่ว่าเขามีเพียงสิบลมหายใจ

หรือก็คือเขาสามารถแก้ไขเวลาได้ สามารถทำให้สรรพสิ่งโดยรอบ ย้อนกลับไปได้ในสิบลมหายใจ ความน่ากลัวของกฎนี้อยู่ที่ระดับ สามารถส่งผลต่อระดับพลังปราณได้ถึงขั้นสูง หากใช้ได้เหมาะสมพลังนั้นยากจะเอื้อนเอ่ย!

แม้เขาจะรู้สึกเสียดาย แต่ก็เป็นเพราะเมื่อนำไปเปรียบกับจันทร์คล้อยที่แท้จริง แต่สำหรับผู้ฝึกตนในจักรภพเต๋าไม่รู้สิ้น หากรู้เรื่องนี้เข้าต้องตกตะลึงกันสุดขีดแน่นอน ถึงขั้นสามารถสร้างความเคลื่อนไหวให้แก่ตระกูลและสำนักต่างๆ ในจักรภพเต๋าไม่รู้สิ้นได้ทั้งหมด

นี่ถึงจะเป็นรางวัลที่ใหญ่ที่สุดที่หวังเป่าเล่อได้รับ.ไอรีนโนเวล.

“ดารานิรันดร์ต้องได้รับผลกระทบแน่นอน แต่ไม่รู้ว่ากระบวนเวทของข้าจะส่งผลต่อผู้เยี่ยมยุทธ์บ้างหรือไม่…” หวังเป่าเล่อดวงตาเป็นประกาย มือขวาราวกับค่อยๆ ยกสูงขึ้น ทว่าในพริบตาถัดไปมือขวาก็เลือนลางลงก่อนจะหายไปทั้งแขนและปรากฏขึ้นอีกครั้งในตำแหน่งไกลออกไป นั่นก็คือสิบลมหายใจก่อนหน้า จุดที่แขนเขาเคยอยู่

หวังเป่าเล่อหรี่ตา พริบตาต่อมา ก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะไปปรากฏกายที่ข้างเฉินหาน เพียงมือขวายกขึ้นจับ เฉินหานก็ไม่สามารถควบคุมศีรษะได้ในทันที

“ท่านพ่อ!” เฉินหานตื่นตระหนก ขณะที่เสียงหวีดร้องดังขึ้น รอยประทับตรงหว่างคิ้วหวังเป่าเล่อพลันหมุนเคลื่อน ร่างกายเขาหายไปในพริบตา เฉินหานก็หายไปเช่นกัน จวบจนชั่วพริบตาต่อมา เฉินหานก็ยังคงตกอยู่ในภวังค์ตรงนั้น และหวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม!

เหตุการณ์นี้ทำให้หวังเป่าเล่อลมหายใจกระชั้น นัยน์ตาฉายแววประหลาด

“กฎนี่…แกร่งกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก!!”

ส่วนเฉินหาน เวลานี้กำลังโคลงศีรษะอย่างหนักหน่วง นัยน์ตาฉายแววงงงัน ลอบเบนหน้ามองหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกว่าเมื่อครู่เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นแต่กลับจำอะไรไม่ได้เลย นั่นทำให้เขาประหลาดใจมาก ทว่าหลังจากที่แอบมองหวังเป่าเล่อก็พบว่าอีกฝ่ายไม่มีอะไรผิดปกติจึงไม่คิดสิ่งใดต่อ

ทว่าความฉงนของเฉินหานกลับกลายเป็นสิ่งยืนยันของความน่ากลัวจากกฎกาลเวลาให้แก่หวังเป่าเล่อแล้ว ดังนั้นหลังจากพึมพำ หวังเป่าเล่อพลันยกมือขวาขึ้นสูงปรากฏกระบี่บินเล่มหนึ่ง ทำเอาเฉินหานสะดุ้งเฮือก

ตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อหักกระบี่ออก นั่นทำให้เฉินหานงงงันยิ่งขึ้น จนรู้สึกว่าหวังเป่าเล่อตรงหน้านี้ดูคล้ายผิดปกติไป!

ชั่วอึดใจ เมื่อรอยประทับที่หว่างคิ้วของหวังเป่าเล่อสว่างวาบขึ้น กระบี่บินที่หักท่อนพลันหายไป หวังเป่าเล่อนิ่งอึ้ง หลังจากมองไปรอบด้าน ก็รู้สึกถึงปัญหา รีบตรวจสอบถุงสัมภาระอย่างว่องไว หยิบกระบี่บินเล่มก่อนหน้าออกมาในสภาพสมบูรณ์ไร้รอยขีดข่วน!

“หากสิ่งของทำได้ ไม่แน่ว่าบาดแผล…อาจได้เหมือนกัน” หวังเป่าเล่อดวงตาทอประกาย เฉินหานรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่านี่ไม่ถูกต้อง หรือตอนที่ระลึกชาติหวังเป่าเล่อโดนตีหัว พอกลับมาก็เลยกลายเป็นคนโง่เง่า หักกระบี่เสร็จแล้วเก็บกลับถุงสัมภาระทั้งยังแสดงท่าทางประหลาดแล้วหยิบอันใหม่ออกมาอีกเล่ม

‘แม่เจ้าโว้ย แสดงกายกรรมอยู่รึ? หรือว่าจะเสียสติไปแล้ว?’ แม้ในใจของเฉินหานจะด่าทอเช่นนั้น แต่ปากกลับตะโกนว่า

“ท่านพ่อเก่งมาก!”

หากเขาไม่ตะโกนออกมาก็ช่างเถอะ หวังเป่าเล่อคงไม่ได้คิดสนใจ แต่เมื่อร้องตะโกนออกมาแบบนี้แล้วก็ทำให้หวังเป่าเล่ออดเงยหน้ามองไม่ได้ ขณะที่มองไปยังเฉินหานและไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัวใดๆ กระบี่บินในมือหวังเป่าเล่อก็ฟาดลงไปยังใบหูข้างหนึ่งของเฉินหานและตัดมันขาดในทันที

บางทีอาจเป็นเพราะกระบี่นั้นรวดเร็ว หรือบางทีปัญหาอาจอยู่ที่ความเร็วของเฉินหาน จวบจนผ่านไปสองสาม ลมหายใจ เฉินหานจึงเบิกตากว้างหวีดร้องออกมา คิดจะเอื้อมมือขึ้นลูบคลำแต่ก็คิดได้ว่าตัวเองไม่มีมือ

“ท่านพ่อข้าผิดไปแล้ว ท่านพ่อไว้ชีวิตด้วย!”

“หนวกหู!” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเรียบ ใช้กฎกาลเวลาอีกครั้ง รอยประทับที่หว่างคิ้วพลันส่องแสง แต่…คล้ายกับขาดแรงส่ง นี่ทำให้หวังเป่าเล่อตระหนก รีบเคลื่อนพลังปราณ ดาวเคราะห์บรรพกาลเก้าดวงต่างสั่นไหว นี่ถึงทำให้กฎกาลเวลาเปิดใช้ได้อย่างราบรื่นในลมหายใจที่สิบ

และในช่วงที่ใช้ขึ้นนั้น ใบหูของเฉินหานก็กลับขึ้นมาใหม่ กระบี่บินยังคงอยู่เบื้องหน้าเขาดังเดิมแต่กลับเลี้ยวโค้งกลับมายังมือเขา

มือถือกระบี่ หวังเป่าเล่อไม่ใส่ใจเฉินหานที่กำลังงงงวย เขาพึมพำ

“น่าจะเป็นเพราะข้าเพิ่งสัมผัสรับรู้กฎกาลเวลา เลยยังไม่คล่องดีกระมัง ไม่อย่างนั้น เมื่อครู่ถึงขาดแรงส่ง…แต่ก็เหมือนจะไม่ใช่ ถึงอย่างไรพลังแห่งกฎก็มีอยู่ทุกแห่ง ที่ข้าทำก็แค่ขยับเขยื้อนมันเท่านั้นเอง”

หวังเป่าเล่อมุ่นคิ้ว พึมพำอย่างไร้ประโยชน์ แต่นี่ก็ไม่ส่งผลต่อความตื่นเต้นในการได้สัมผัสรับรู้กฎกาลเวลา

“กฎนี้ไม่มากพอที่จะเปรียบเทียบกับกฎกาลเวลาที่แท้จริง เช่นนั้นก็เรียกมันว่า…จันทร์ข้างแรมแล้วกัน!!”

“ต่อจากนี้ ก็เป็นชาติที่แปด…ไม่รู้ว่าชาตินี้ข้าจะสัมผัสได้แต่ความเย็นเยือกกับความมืดมิดอีกหรือไม่ ส่วนทางด้านเฉินหาน ยังไงข้าก็ต้องไปเสียหน่อย” ขณะที่หวังเป่าเล่อพึมพำ กาลเวลาเลยผ่านอีกครา ในเวลาอันสั้น…ขณะที่เฉินหานกำลังบ่นงึมงำอยู่ในใจ น้ำเสียงแหบพร่าก็ดังขึ้นในหัวของทั้งสอง

“วันที่แปด ชาติที่แปด!”

………………………………

ขณะที่เสียงของหวังเป่าเล่อก้องกังวาน ทันใดนั้นขวดปรารถนาในมือของเขาก็ร้อนขึ้น ขวดปรารถนาที่เดิมทีมีอัตราความสำเร็จไม่มากนัก เวลานี้โอกาสเดียวอันน้อยนิดกลับประสบผลสำเร็จ หากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่น หวังเป่าเล่อคงยินดีเป็นแน่

ทว่า ตอนนี้สติของเขาหายลับ กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่รู้ว่าพรที่ขอสำเร็จแล้ว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความปรารถนานั้นสัมฤทธิ์ผล แม้จะถูกบิดาของหวังอีอีกวาดข้ามกาลเวลาที่ปิดกั้นไว้ด้วยแรงอันแผ่วเบา หากแต่นี่กลับเปรียบเสมือนหายนะแก่เขาอย่างไม่ต้องสงสัย

นี่เป็นเพราะขอบเขตของระยะเวลา…แตกต่างกันเกินไป!

ดีที่ขวดปรารถนามีพลังประหลาด ตอนนี้ขณะที่พลังจากด้านในกระจายออก ไหลตามความร้อนที่เกิดขึ้น เข้าห่อหุ้มพื้นที่ว่างในไอหมอกที่หวังเป่าเล่ออยู่ จากนั้นก็หดลงทันที โดยมีหวังเป่าเล่ออยู่ตรงกลาง

ดูเหมือนว่าด้านในนั้นจะแฝงไว้ซึ่งพลังบางอย่างที่สามารถใช้ต้านกับพลังของบิดาหวังอีอีได้ ทำให้ที่ว่างผืนนี้ราวกับถูกคุมขัง ก่อเป็นพลังกดทับอันแข็งกล้า และด้วยพลังกดทับนี้เอง ทำให้เลือดของหวังเป่าเล่อที่กระอักออกมาในภายแรก และเวลานี้ได้กลายเป็นคนตัวน้อยไปแล้ว ต่างค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ทางหวังเป่าเล่อใหม่อีกครั้ง

ในพริบตา มันก็ตรงกลับเข้าไปในปากของเขา เวลาเดียวกันก้อนเนื้อเหล่านั้นที่แกว่งอยู่บนร่างของหวังเป่าเล่อ ต่างหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ภายใต้พลังกดทับ ดูเหมือนว่าก้อนเนื้อได้กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมแล้ว

แขนขา ร่างกาย และอวัยวะภายในทั้งหมดรวมถึงเลือดเนื้อ ล้วนอยู่ภายใต้พลังกดทับทั้งสิ้น ความรู้สึกของการแยกจากอ่อนแรงลง คล้ายกับมนุษย์หินที่ใกล้จะแตกสลาย ทว่าด้วยพลังกดดันรุนแรงจากภายนอก จึงไม่พังทลาย กลับสมานใหม่อีกครั้ง เพราะการรักษาและฟื้นฟู

ชั่วพริบตาต่อมา เมื่อสุดท้ายก้อนเนื้อบนร่างหวังเป่าเล่อหายไปแล้ว ระดับความร้อนของขวดปรารถนาก็เย็นลงอย่างรวดเร็ว พลังกดทับรอบด้านหายวับ หวังเป่าเล่อตัวสั่น เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ในนั้นฉายแววงุนงง จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นความหวาดผวาทันที รีบก้มลงสำรวจร่างกาย ก่อนจะถอนหายใจโล่งอก

“เกือบไปแล้ว…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ในขณะที่ยังคงตกอยู่ในความหวาดหวั่น สั่นกลัวต่อบิดาของหวังอีอี เขาก็รับรู้ได้อย่างลึกซึ้ง

“ผู้ที่สามารถสร้างบทสวดแห่งเต๋าได้…” เขาจมอยู่ในความคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบหันหน้าไปทางเฉินหาน มองอีกฝ่ายด้วยความตกใจ ราวกับวิญญาณหลุดจากร่าง

ขณะที่หวังเปาเล่อขอพรอยู่ที่นี่ เฉินหานก็คืนสติแล้ว เพียงแต่การรับรู้อดีตชาติในครั้งนี้ ต่างไปจากก่อนหน้า ดังนั้นจึงดูเหมือนวิญญาณยังไม่กลับมา ใบหน้าว่างเปล่า

หวังเป่าเล่อมองไปทางเฉินหานที่กำลังงงงวย เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน แท้จริงแล้วมันเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่สำคัญมาก หากคนผู้นี้ไม่โผล่พรวดออกไป ร่ำร้องจะแต่งงานกับหวังอีอี ก้าวขึ้นสู่จุดสุดยอดชีวิตเห็ดคงไม่ตกเป็นจุดสนใจ เกรงว่านั่นอาจเป็นโอกาสอันน้อยนิดที่จะได้พุ่งออกจากท้องฟ้าที่เปิดออก เพื่อสำรวจโลกภายนอก

ทว่า… แม้เฉินหานจะไม่ร่ำร้อง บิดาของหวังอีอีก็ย่อมปรากฏตัวอยู่ดี แต่ถึงอย่างนั้นหวังเป่าเล่อก็ยังหงุดหงิดเมื่อคิดถึงเรื่องนี้

แม้ว่า… สาเหตุที่เฉินหานกลายเป็นเช่นนี้ จะมาจากการทดสอบของหวังเป่าเล่อ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเหตุการณ์ในอดีตชาติ ทำให้การทดสอบอย่างต่อเนื่องในจิตใจของเฉินหานส่งพลังผันผวนออกมาราวกับถูกสะกดจิต

ความผันผวนนี้ เดิมทีเขาคิดว่าเป็นความล้มเหลว แต่เมื่อพิจารณาจากผลสุดท้าย ดูเหมือนว่า…มันจะสมบูรณ์แบบมาก

แต่แม้จะด้วยเหตุผลสองประการนี้ หวังเป่าเล่อก็รู้อยู่แก่ใจว่าความรับผิดชอบของเขานั้นมีไม่น้อย แต่ก็ยังเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ดี ยามนี้เขาจ้องมองด้วยความแค้น และเฉินหานดูเหมือนจะสังเกตได้ ร่างกายของเขาสั่นเทา หลังจากตื่นเต็มตา เขาก็เห็นสายตาที่ไม่พอใจของหวังเป่าเล่อในทันที

“ท่านพ่อ?”

“เล่ามา ชาตินี้ของเจ้า สภาพการณ์เป็นเช่นไร” หวังเป่าเล่อละสายตา กล่าวเสียงเบา เขาลองถามเพื่อให้แน่ใจว่าการทดสอบของตนสำเร็จจริงหรือไม่ และเพื่อตรวจสอบว่าอีกฝ่ายโดนลบความทรงจำทิ้งเหมือนคราวที่แล้วด้วยหรือไม่

แต่ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้ เฉินหานก็ยิ่งประหม่ามากขึ้น เพิ่งจะฟื้นคืนได้สติ จิตใจยังคงหมกมุ่นอยู่กับความรุ่งโรจน์ในชาติก่อน ตอนนี้เมื่อถูกหวังเป่าเล่อตั้งคำถาม เขากะพริบตาปริบๆ ไม่เข้าใจในเจตนาของอีกฝ่าย แต่ในไม่ช้าก็คิดขึ้นได้ว่าหวังเป่าเล่อตรงหน้า ดูเหมือนจะชอบสอดรู้เรื่องส่วนตัวของผู้อื่น ดังนั้นจึงเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง

“ท่านพ่อ ชาติที่เจ็ดของข้า… กล่าวไปแล้วท่านอย่าได้เคือง เรื่องนั้น…ท่านพ่อก็น่าจะอยู่ที่นั่นด้วย ไม่ทราบว่าได้ยินที่กล่าวว่าวีรบุรุษหรือไม่…” เฉินหานระแวดระวังมาก เกรงว่าจะไปกระตุ้นอารมณ์ของหวังเป่าเล่อ แต่กลับอดโอ้อวดอย่างภาคภูมิใจไม่ได้ ตามความคิดของเขา คาดว่าหวังเป่าเล่อก็เป็นหนึ่งในเห็ดที่อยู่ในนั้น ดังนั้นต้องได้ยินสิ่งที่ตนกล่าว

เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินคำว่าวีรบุรุษ ใบหน้าของเขาก็กระตุก

‘เป็นไปได้ว่าเจ้าหมอนี่เป็นพวกรุ่นหลานที่อยู่รอบตัวข้า…’ เฉินหานคิดในใจ กระนั้น ก็ยังสังเกตท่าทีของหวังเป่าเล่อ หลังจากเห็นว่าหวังเป่าเล่อขยับใบหน้าแล้ว เขาก็ภาคภูมิใจยิ่งกว่าเดิม

“ท่านพ่อ นั่น… ชาติที่เจ็ดที่ข้ารับรู้ กล่าวง่ายๆ ก็มีเพียงประโยคเดียว แต่งงานกับแม่มด แทนที่เทพเซียน แล้วก้าวขึ้นสู่จุดสุดยอดของชีวิต!”

ประโยคนี้ หากไม่เอ่ยออกมาก็แล้วไปเถอะ แต่เมื่อเอ่ยแล้ว ทันทีที่หวังเป่าเล่อได้ยิน ความคุกรุ่นรุนแรงภายในใจก็ลุกโชนขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ ทว่าเฉินหานที่ยังคงหมกมุ่นอยู่กับความภาคภูมิใจของตน ชัดว่าไม่ได้สังเกตเห็นเรื่องนี้

“นี่คือภารกิจของข้า เพราะข้าพบว่าตั้งแต่กำเนิดข้าก็แตกต่างจากผู้คนทั่วไป ทุกคนชื่นชอบข้า ต่างสนับสนุนข้า ในใจของข้า มีเสียงหนึ่งที่บอกข้าอย่างไม่หยุดหย่อน ว่าข้าเกิดมาพร้อมกับโชคลาภ ข้าถูกลิขิตให้เป็นผู้นำตระกูลของข้า ให้หลุดพ้นจากห้วงระทม และมีอำนาจสูงสุด!”.ไอรีนโนเวล.

หลังจากได้ยินวาจาโอ้อวดเหล่านี้ หวังเป่าเล่อก็เดือดดาลขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ท่าทางของเขาแข็งทื่อ สีหน้าแสดงความโมโห วาจาเหล่านั้น เป็นเขาที่ชักนำในจิตใจของอีกฝ่ายครั้งแล้วครั้งเล่า

“เพื่อเป้าหมายนี้ ข้าพยายามเล่าเรียน พยายามฝึกฝน จนกระทั่งสุดท้าย เมื่อวันสิ้นโลกมาถึง ข้าตะโกนร้องออกไปบนท้องฟ้า เสียงของข้าสะเทือนฟ้าดิน แม้สุดท้ายข้าจะแต่งงานกับแม่มดไม่สำเร็จ แต่…ข้าก็กลายเป็นวีรบุรุษตลอดกาลของตระกูลเรา และก้าวถึงจุดสุดยอดของชีวิตเช่นกัน!”

“เป็นสุดยอดของชีวิตเห็ดกระมัง!” หวังเป่าเล่อตอบกลับอย่างหงุดหงิด คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่เฉินหานได้ยินกลับหัวเราะออกมา

“ท่านพ่อ ที่แท้ท่านก็เป็นเห็ด เมื่อครู่ข้ากำลังคิด ชาติก่อนหน้านั้น ไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่แล้ว ล้วนเป็นเห็ดทั้งสิ้น ฮ่าๆ คิดไปแล้วท่านก็คงเคยได้ยินคำเล่าลือเกี่ยวกับข้า มาๆ บอกข้าที ท่านเป็นเห็ดตระกูลเหลือง หรือเห็ดตระกูลแดง หรือว่าจะเป็นเห็ดฟ้าม่วงเขียว”

หวังเป่าเล่อคำรามเสียงเย็น พลันยกมือขวาขึ้นคว้าอากาศ ยามนี้เฉินหานที่กำลังส่งเสียงหัวเราะ ก็รีบหยุดในทันที หลังจากศีรษะถูกหวังเป่าเล่อคว้าเอาไว้ เขาก็รีบกรีดร้องขอความเมตตา

“เจ้าบอกสิ ว่าข้าเป็นตระกูลใด?”

“ท่านพ่อข้าผิดไปแล้ว ท่านพ่อ ท่านคือเทพเซียน เทพเซียน!”

“เทพเซียนหรือ?” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ถามอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“ก็คือผู้อาวุโสของแม่มดไงเล่า ภายหลังท่านไม่เห็นหรอกหรือ เทพเซียนจุติบนโลก ดูเหมือนกำลังหาสิ่งใดอยู่ จากนั้นไม่นาน ก็มีเทพเซียนมาอีก ทั้งสองต่อสู้กัน จากนั้น…โลกตระกูลเห็ดของเราก็ล่มสลาย”

เฉินหานลนลานกล่าว กล่าวพลางก็สังเกตหวังเป่าเล่อไปพลาง หลังจากเห็นว่าหวังเป่าเล่อตกอยู่ในภวังค์แห่งการใคร่ครวญ เขาแอบคิดในใจ ‘เจ้าหวังเป่าเล่อนี่ คาดว่าคงเป็นเห็ดน้อยที่อายุสั้น ตายไปก่อนกระมัง ดังนั้นจึงไม่รู้เรื่องในภายหลัง เทียบกับวีรบุรุษเห็ดเช่นข้าไม่ได้เลยสักนิด’ คิดได้เช่นนี้ เฉินหานก็รู้สึกว่าตนเหนือกว่าทันที

‘หึ เป็นเพราะหวังเป่าเล่อโชคดีหรอก ส่วนข้าในชาตินี้โชคร้ายไปหน่อย หากเป็นข้าในชาติที่เจ็ด คำกล่าวของข้าเพียงประโยคเดียว ก็ทำให้เจ้าเด็กน้อยนี่สามารถคุกเข่าร้องขอชีวิต เรียกท่านพ่อไปแล้ว’

เฉินหานคิดในใจ ตอนนั้นเองดวงตาหวังเป่าเล่อก็ฉายแววครุ่นคิด ความหมายในวาจาเหล่านั้นของเฉินหาน แม้จะมีบางส่วนที่โดนลบความทรงจำออกไปบ้าง แต่โดยรวมก็ยังคงรักษาเอาไว้ได้ แม้กระทั่งบิดาของหวังอีอีกำลังค้นหาสิ่งใด หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ว่าว่าอาจเป็นตัวเอง หรืออาจจะเป็นขวดปรารถนาใบนั้น

แต่นี่ค่อนข้างไร้เหตุผล

อีกอย่างการมาของเทพเซียน ทั้งสองต่อสู้กันจนโลกล่มสลาย นี่ทำให้หวังเป่าเล่อคิดถึงคำกล่าวของหวังอีอี ‘การมาของท่านอาผู้ดุร้าย…’

ในความเงียบ หวังเป่าเล่อหยิบชิ้นส่วนหน้ากากออกมาอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว จ้องไปที่ชิ้นส่วนนั้น เขาส่งเสียงเรียก

“แม่นางน้อย อยู่หรือไม่”

ไร้การตอบกลับ

หวังเป่าเล่อรออยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายจึงเก็บชิ้นส่วนหน้ากากนั้นกลับไปอย่างเงียบๆ เขาตระหนักได้ถึงปัญหาอีกอย่างหนึ่ง

“ก่อนหน้านั้นข้าเคยค้นหาในสหพันธรัฐ ชิ้นส่วนอื่นของหน้ากากที่หายไป นี่จะเป็น…เงื่อนงำได้หรือไม่”

เขาครุ่นคิด หวังเป่าเล่อนำเงื่อนงำทั้งหมด กลบฝังมันไว้ในใจ คำตอบของเรื่องนี้ แม้ว่าจะได้รับการเฉลยบ้างแล้ว หากแต่เขากลับจำได้ว่าในอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมีคำกล่าวอยู่ประโยคหนึ่ง …

‘มีบางเรื่อง เมื่อเจ้าเข้าใจว่ารู้ทุกอย่างกระจ่างแล้ว บ่อยครั้ง…นั่นเป็นเพียงสิ่งที่ผู้อื่นต้องการให้เจ้าเห็น!’

ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องที่จะสรุปได้โดยง่าย การยืนยันและแสดงให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นวิธีเดียวที่จะพิสูจน์ความจริง!

คิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจเข้าลึก เพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเอง กฎแห่งจันทร์คล้อย…สิ่งที่ได้รับรู้ก่อนหน้านั้นผุดขึ้นในจิตใจ!

“เทียบกับการตั้งข้อสงสัยในโลกนี้แล้ว ข้าเชื่อใน… พลังของข้าเอง!”

……………………………………….

“ไม่สิ ในโลกนี้หากมีผู้เรียนรู้จันทร์คล้อยและคืนพินาศได้จริง เช่นนั้นต้องเป็นข้าหวังอีอีอย่างแน่นอน!” นอกท้องฟ้า หวังอีอีไม่ละความพยายาม ท้ายที่สุดแววตาเผยความแน่วแน่ กัดฟันแน่น

“พรุ่งนี้ข้าจะฝึกต่อ!”

กล่าวพลาง นางก็วางฝาครอบในมือลงบนท้องฟ้าในโลกที่หวังเป่าเล่ออยู่อีกครั้ง ทั้งโลกเข้าสู่ความมืดทันที เสียงผ่อนลมหายใจดังตามมาพร้อมกับความมืดที่แผ่ออกไปอย่างรวดเร็ว

“ในที่สุดแม่มดก็ไปแล้ว!”

“น่ากลัวเกินไปแล้ว น่ากลัวเกินไปแล้ว ข้าต้องบันทึกเรื่องนี้ลงไป มันแย่มาก แย่มาก ข้าอยากจะบันทึกเหตุการณ์นี้ วันใดวันหนึ่งแม่มดของตระกูลกินเห็ดจุติบนโลก นางก็จะกินพี่น้องเรานับไม่ถ้วนภายในพริบตา”

“ไม่เป็นไร ข้ามีลางสังหรณ์ ตระกูลของเราจะต้องปรากฏวีรบุรุษที่จะสืบทอดเทพเซียน ต่อจากพระเจ้าเป็นแน่ แต่งงานกับแม่มด และไปสู่จุดสุดยอดของชีวิตเห็ด!”

“ฮ่าๆ เรื่องนี้จะดีหรือ แต่ในเมื่อทุกคนคิดว่าข้าทำได้ ข้าเสี่ยวหวงจะพยายามดูหน่อย!” เวลานี้เห็ดเฉินหานก็หัวเราะร่าขึ้นมา เพียงแต่มีเห็ดมากมายที่กล่าวเช่นเดียวกับเขา ดังนั้นในไม่ช้า…เห็ดกลุ่มนี้ก็เริ่มโต้เถียงกัน ว่าผู้ใดจะสามารถเป็นวีรบุรุษได้

หวังเป่าเล่อเวลานี้ไม่ได้สนใจเฉินหาน เขาสูญเสียการรับรู้ต่อโลกภายนอก หมกมุ่นอยู่ในสัมผัสกฎกาลเวลา

แม้ความผันผวนรอบตัวจะอ่อนลง แต่ก็ไม่ได้สลายไปอีกเป็นเวลานาน การรับรู้ของเขายังคงเกิดขึ้นตลอดเวลา เพียงแต่ว่า…เมื่อหวังอีอีไปแล้ว จึงไม่สามารถสำรวจที่มาได้ ไร้ซึ่งความคืบหน้าเช่นเดียวกับก่อนหน้านั้น

กฎแห่งการสลักผนึกดาวเคราะห์เต๋า แม้จะมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่เมื่อเผชิญเข้ากับกฎกาลเวลา ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องยากที่จะสลักผนึกทั้งหมดตามปกติได้อย่างแต่ก่อน

ผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากหวังเป่าเล่อจบสิ้นการรับรู้ เขาก็เฝ้ารอคอยอีกครั้ง รอคอยการปรากฏตัวของแม่นางน้อย

ทว่าการเฝ้าคอยครั้งนี้…กลับเนิ่นนานนัก ราวกับหวังอีอีลืมเลือนการฝึกฝน จนกระทั่งเฉินหานและเห็ดที่อยู่รอบด้าน เริ่มเหี่ยวเฉาและตายจากไป กระทั่งเห็ดผุดดอกยืนต้นใหม่แล้ว หวังอีอีก็ยังไม่มา

เฉินหานนั้น หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าชะตากรรมเดิมทีของเขาเป็นเช่นไร ทว่าเขาในตอนนี้ ราวกับอยู่ภายใต้อิทธิพลกฎกาลเวลาของตน ร่างกายกลับไม่ร่วงโรยเหมือนเช่นเห็ดดอกอื่นๆ

สิ่งนี้ทำให้อารมณ์ของหวังเป่าเล่อสับสนอย่างรุนแรง เพราะหากมีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาจริง ก็แสดงให้เห็นชัดว่า…กฎกาลเวลาสามารถแก้ไขเรื่องที่เกิดขึ้นในชาติก่อนได้!

เขาไม่รู้ว่ามันหมายถึงอะไร และเขาก็ไม่เข้าใจความหมายโดยนัยของมันมากนัก แต่หวังเป่าเล่อเข้าใจสิ่งหนึ่ง… นี่อาจเป็นพลังที่สามารถเคลื่อนย้ายทั้งพิภพ

เมื่อเข้าใจกระจ่าง หวังเป่าเล่อก็ยิ่งตั้งตารอการปรากฏตัวของหวังอีอีอีกรอบ กระทั่งเห็ดที่อยู่ข้างกายเฉินหาน เห็ดรุ่นเหลนเติบโตขึ้น ในที่สุดหวังอีอีที่หวังเป่าเล่อตั้งตารอก็มาถึง

ทางด้านเฉินหาน เมื่อชื่อเสียงความเป็นอมตะของเขาขจรขจายออกไป ก็กลายเป็นลูกพี่เห็ดที่รู้จักกันดีในละแวกนั้น กระทั่งถูกยกย่องให้เป็นวีรบุรุษ แม้แต่ตัวเขาเองก็คิดเช่นนั้น…

แน่นอนว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับเสียงกระซิบที่มักจะก้องอยู่ภายในใจ ดังนั้นเมื่อท้องฟ้าถูกยกขึ้นอีกครั้งในวันนี้ แม้เฉินหานจะไม่ขยับเขยื้อน แต่ด้วยสัญชาตญาณกลับลืมตาขึ้นมองไปทางท้องฟ้า

หวังเป่าเล่อรีบใช้จังหวะนี้มองภาพหวังอีอีผ่านสายตาเฉินหานทันที!

หากแต่หวังอีอีในวันนี้ ไม่ได้ฝึกฝนกฎแห่งจันทร์คล้อย ทว่าดวงตาแดงก่ำนั้นกลับมองนิ่งมาทางโลกดอกเห็ดด้านล่าง ครู่ต่อมา นางก็ส่งเสียงพึมพำเบาๆ

“ไม่กี่วันก่อนมีท่านอาที่ดุร้ายมากมาที่นี่ เขาทะเลาะกับท่านพ่อของข้า ข้าแอบได้ยินว่าเขาอาจจะไม่เข้าใจการกระทำของท่านพ่อ…”

“เขาต้องการจะสังหารพวกเจ้า…”

“แต่พวกเจ้าวางใจ ท่านพ่อตีจนเขาหนีไปแล้ว ข้าจะปกป้องพวกเจ้าเอง!” หวังอีอีกัดฟันเมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ก่อนจะหันร่างเดินไปยังที่ที่นางวางของเล่นเหล่านั้นเอาไว้ ท่าทางราวกับกำลังมองหาบางอย่าง

เวลานี้ภายในใจของหวังเป่าเล่อกลับสั่นสะท้าน เห็ดดอกอื่นอาจไม่เข้าใจ และไม่แน่ว่าถูกลบความทรงจำออกไปด้วย ดังนั้นจะได้ยินหรือไม่นั้น ก็ไร้ความหมาย.Aileen-novel.

ทว่าเขากลับแตกต่าง หลังจากได้ยินคำพูดของหวังอีอี จิตใจของหวังเป่าเล่อก็สั่นสะท้าน จากวาจาของนาง เขาเข้าใจความหมายที่แฝงอยู่ชัดเจน นี่ขัดแย้งกับการตัดสินใจของเขาในตอนแรก

“มันเกิดอะไรขึ้นในชาตินี้!” ภายในใจของหวังเป่าเล่อสั่นไหว หวังอีอีดูเหมือนจะพบสิ่งที่ต้องการแล้ว นางเดินกลับมาอีกครั้ง ในมือน้อยๆ ถือขวดใบเล็กเอาไว้

หวังเป่าเล่อเฝ้ามองหวังอีอีอยู่ตลอดเวลา ขณะที่มองไปด้วยความสงสัย ใจก็โลดแล่นขึ้นในทันที

“นี่มัน …” เขาตะโกนก้องอยู่ในใจ เพราะคุ้นตากับขวดนี้มาก แต่การปรากฏตัวของมันกลับช่างน่าตื่นตะลึง แม้หวังเป่าเล่อจะนึกออกในทันที แต่เขาก็ยังไม่อยากเชื่อ

เพราะขวดใบเล็กใบนี้… เวลานี้ก็อยู่ในกระเป๋าคลังเก็บบนชั้นกายเนื้อของเขาเช่นกัน มันคือ…ขวดปรารถนา!

ขณะที่ยังคงตกตะลึงนั่นเอง หวังอีอีที่ถือขวดปรารถนาอยู่นั้น สายตาพลันฉายแววมุ่งมั่น ดูเหมือนว่าได้ตัดสินใจบางอย่างแล้ว

“นี่คือของขวัญที่ท่านอารูปงามมอบให้ข้า เวลานั้นท่านอาบอกข้าว่า ข้าสามารถใช้มันขอพรได้ เพราะฉะนั้นข้าจะขอพร…ขอให้พวกเจ้าต่างอยู่ดี ไม่มีผู้ใดสามารถทำร้ายพวกเจ้าได้!” กล่าวพลาง หวังอีอีก็ยกมือขึ้น!

นางโยนขวดปรารถนาในมือเข้ามา!

ท้องฟ้าเปิดออก กลิ่นอายของโลกภายนอกบรรจบเข้ามาด้านในทันที ทำให้ทั้งผืนดืนสั่นสะเทือน เวลานี้ขวดปรารถนาที่โยนเข้ามาหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกลายเป็นสายรุ้งดิ่งลงบนโลก

สำหรับหวังเป่าเล่อ แม้เขาจะได้รับรู้มากขึ้นแล้ว แต่จิตใจยังคงผันผวนไม่หยุด กลับแรงขึ้นเรื่อยๆ ทว่าในตอนที่ท้องฟ้าเปิดออก ยามกลิ่นอายภายนอกบรรจบเข้ามา จิตสำนึกที่ต้องการพุ่งออกไปยังช่องว่างนั้นก็เกิดขึ้นโดยสัญชาตญาณ เขาต้องการไปชมโลกภายนอก

แต่… เรื่องไม่เป็นอย่างที่คิด ขณะที่หวังเป่าเล่อคิดจะพุ่งออกไปนั้น เฉินหานที่เขาอาศัยร่างอยู่ เวลานี้ก็แหงนหน้าขึ้นเช่นกัน เจ้าหมอนี่ไม่รู้คิดสิ่งใด ราวกับสมองถูกล้างจนหมดสิ้น ยามนี้คิดว่าตนเป็นวีรบุรุษโดยแท้จริง ดังนั้นหลังจากแหงนหน้าขึ้น เขาก็ส่งเสียงคำราม

“แม่มด แต่งงานกับข้าเถอะ ข้าคือวีรบุรุษของตระกูลเห็ด ถูกลิขิตให้แต่งกับแม่มด เพื่อสืบทอดเทพเซียน ไปสู่จุดสุดยอดของชีวิตเห็ด…”

เสียงนี้ ทำให้เห็ดรอบด้านทั้งหมดพลันตื่นเต้นขึ้นมา หวังเป่าเล่อเองก็ตกตะลึง ส่วนหวังอีอีที่อยู่นอกท้องฟ้า งงงันไปชั่วขณะ นางมองไปทางเฉินหานด้วยสายตาโง่งม

ไม่รอการตอบสนองใด ทันใดนั้นเอง… บิดาที่อยู่ข้างกายหวังอีอี ชายวัยกลางคนผมขาวผู้นั้น คาดว่าคงสังเกตเห็นขวดปรารถนา รวมทั้งความผันผวนของโลกที่ถูกเปิดออก จึงปรากฏตัวขึ้นทันที

เขาเห็นขวดปรารถนาที่ถูกโยนเข้ามาในโลก และเฉินหานที่เวลานี้ยังคงคำรามไม่หยุด และยังเห็น…หวังเป่าเล่อที่หลบซ่อนอยู่ในร่างของเฉินหานอีกด้วย

“เป็นเจ้าอีกแล้ว!” จังหวะนั้นเอง พลังไร้รูปวูบหนึ่ง รวมตัวกันจากรอบด้านทันที ราวกับลมที่สามารถลบล้างสรรพสิ่ง มุ่งตรงมาทางหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าหากเวลานี้ตนมีหนังศีรษะแล้วล่ะก็ มันคงระเบิดออกไปแล้ว วิกฤตเป็นตายรุนแรงทำให้สติสัมปชัญญะทั้งหมดพังทลาย เวลานั้นหวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร ใช้จิตสำนึกสุดท้าย ส่งดวงจิตเทพออกไป

“ตื่นเถิด…

ผู้ถูกจองจำในที่แห่งสวรรค์ สรรพชีวิตย่อมต้องเผชิญภัยพิบัตินับไม่ถ้วนเป็นสรณะ…

เพียงความคิดเดียวเท่านั้นก็จะปลดปล่อยเจ้าจากคุกจองจำอันล้ำลึกนี้ได้…

จงน้อมตนสู่เส้นทางแห่งเต๋า!”

มันคือบทสวดแห่งเต๋า!

ขณะที่บทสวดแห่งเต๋าแผ่กระจายออกมา สายลมที่อยู่รอบด้านหวังเป่าเล่อลบล้างทุกสรรพสิ่ง หยุดลงในทันที ด้วยความช่วยเหลือของพลังนี้ หวังเป่าเล่อที่รอดจากความตายอย่างหวุดหวิดตัดขาดการเชื่อมต่อกับเฉินหานโดยไม่ลังเล ในพริบตา…เขาที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนดาวชะตาท่ามกลางไอหมอกสีขาว ร่างก็สั่นเทา พลันลืมตาตื่นขึ้น

หวังเป่าเล่อกระอักเลือด เวลานี้ฐานการฝึกตนในร่างของเขากำลังจะพังทลาย แม้แต่ร่างกายก็เริ่มแตกออก ดูเหมือนว่าแขนขาและแม้แต่อวัยวะทั้งหมดในร่าง ต่างก็มีจิตสำนึกของตัวเอง และต้องการที่จะแยกออกจากร่างไป!

ก้อนเนื้อจำนวนมาก ยืดออกมาจากร่างกายอย่างไม่อาจควบคุมได้!

เลือดที่ไหลทะลัก เวลานี้กลายเป็นคนตัวเล็กๆ กำลังวิ่งไปรอบๆ

หวังเป่าเล่อเพิ่งเคยประสบเรื่องเช่นนี้เป็นคราวแรก แต่เขาเข้าใจดีว่า สุดท้ายแล้วชายวัยกลางคนผมขาวไม่ได้ลงมือ เพียงแต่ตนเองถูกเขากวาดข้ามผ่านกาลเวลาที่ปิดกั้นเท่านั้น

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ตัวเขาก็ไม่สามารถทนรับไหว เห็นได้ชัดว่าโอสถบำรุงไม่อาจแก้ไขปัญหาของตนได้ เมื่อเห็นว่าร่างกายกำลังจะแหลกสลายจนหมดสิ้น หวังเป่าเล่อจึงรีบหยิบขวดปรารถนาออกมาโดยไม่ลังเล

“ข้าขอพร ขอให้อาการบาดเจ็บหายไปเป็นปลิดทิ้ง!” หวังเป่าเล่อฝืนใช้สติในเฮือกสุดท้ายยับยั้งร่างที่กำลังจะแยกจากกันของตน คำรามเสียงต่ำออกมาทันที

………………

ท้องฟ้าปลอดโปร่งสามารถเห็นได้ถึงชั้นฟ้าภายนอก คล้ายกับมีฝาครอบอยู่ชั้นหนึ่ง มันกระจ่างใสมากขนาดที่ว่า สามารถมองเห็นภาพปักบนฝาครอบนั้นได้

ภาพนั้น…คือดวงตะวันไร้รูปแบบ

เห็นได้ชัดว่าความสามารถในการปักนั้นแย่มาก ดวงอาทิตย์ที่ควรจะเป็นทรงกลมแต่เดิม กลับกลายเป็นรูปวงรี ดูเหมือนผลฟักขนาดใหญ่ บนนั้นยังมีร่องรอยการแก้ไขฝีเข็มนับไม่ถ้วน ราวกับผู้ปักดวงอาทิตย์นี้ มีความพยายามอย่างมากที่จะแก้ไขมัน แต่เห็นได้ชัดว่า…ก็ยังล้มเหลว

อย่างไรก็ตาม ดวงอาทิตย์ที่คล้ายกับผลฟักนี้ กลับมีพลังประหลาดสามารถเปล่งแสงและความร้อน ทะลุผ่านท้องฟ้าโปร่งใส แลัวตกลงสู่พื้นแผ่นดินได้

แผ่นดิน…ซึ่งครอบคลุมไปด้วยเห็ด

เห็ดหลากสีแผ่กระจายไปทั่วพื้นอย่างไร้ขอบเขต หากกวาดตามองจากที่สูง บางทีอาจเห็นเป็นผืนทะเลเห็ดอันกว้างใหญ่ ราวกับโลกใบนี้ ไร้ภูเขาสูง ไร้ทะเลกว้าง มีเพียงพื้นราบ และเห็ดหลากสีสันนับไม่ถ้วน

อาจเป็นเพราะในยามนี้โลกยังไร้เงาจันทร์ แต่หากเมื่อใดก็ตามที่ความมืดย่ำกราย รอบด้านมืดสนิท ในห้วงเวลาอันมืดมิด เห็ดหลากสีจำนวนนับไม่ถ้วนในพื้นที่ไม่รู้จบแห่งนี้ต่างค่อยๆ ลืมตา

“ฟ้ามืดแล้ว!”

“เทพเซียนหลับใหล!”

“ฮ่าๆ เรามาเล่นกันเถอะ!”

“เงียบหน่อย หากทำให้แม่มดตื่น ทุกคนต้องตายแน่!”

“ใช่ๆ แม่มดน่ากลัวมาก หลายวันก่อนข้าเห็นเสี่ยวหวงถูกแม่มดจับตัวไปด้วยตาตนเอง…”

“เสี่ยวหวงไหน ที่นี่มีเสี่ยวหวงมากมาย เจ้าหมายถึงใครกัน”

เห็ดแต่ละดอกส่งเสียงพูด ท่าทางราวกับกำลังสนทนากันอยู่ ทว่าหากพินิจอย่างถี่ถ้วนแล้ว พวกมันล้วนพูดกับตนเอง ทำให้ทั้งผืนแผ่นดินอึกทึกขึ้นทันที ขณะเดียวกันเห็ดเหล่านี้ต่างก็ยืนขึ้น จนเกิดเสียงสะท้อนตามเสียงอึกทึกนั้น

พวกมันมีสองขางอกออกมา และสองแขนก็ยืดออกมาเช่นกัน บนยอดศีรษะตาดวงเดียวเบิกกว้าง หยอกเย้ากันและกันอย่างสนุกสนานทำให้แผ่นดินคึกโครมโกลาหลไปหมด

เฉินหานเป็นหนึ่งในดอกเห็ดพวกนั้น!

เมื่อเทียบกับเห็ดดอกอื่นแล้ว สีสันของเขาธรรมดามาก ส่วนหัวเป็นสีเหลืองหม่นคล้ายดิน ไร้ความโดดเด่น จนหวังเป่าเล่อและจิตวิญญาณปราณกังวานของเขาต้องทอดถอนใจ

“แม้ชีวิตในอดีตชาติของเฉินหาน จะธรรมดากว่าครั้งที่แล้ว แต่คนผู้นี้ดูเหมือนจะมีโชคอยู่บ้าง อย่างไรก็ตามธรรมดาจนถึงที่สุด ก็คือไม่ธรรมดา!”

ขณะที่หวังเป่าเล่อถอนหายใจ เฉินหานก็ส่งเสียงออกมา

“ไม่มีทางเป็นเสี่ยวหวงแน่ ข้าก็เห็น เป็นต้าหงต่างหาก ที่นางแม่มดจับไปคือต้าหง ข้าจะเป็นพยานให้เสี่ยวหวงของเรา ไม่ใช่พวกเรา!”

ราวกับรู้สึกว่าเสียงยังไม่ดังพอ เฉินหานกระโดดขึ้นและยืนบนหัวของเห็ดดอกอื่นๆ พยายามดึงดูดสายตาของเหล่าสหาย สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อปวดหัวเล็กน้อย เขามองผ่านสายตาของเฉินหาน กวาดตามองเห็ดตัวน้อยที่อยู่มากมายรอบด้าน และในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่าที่นี่อึกทึกเกินไป จึงพยายามแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า

แต่น่าเสียดายที่ความสนใจของเฉินหานไม่ได้อยู่บนท้องฟ้าเลย ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่อาจมองเห็นได้ ความอดทนของเขาค่อยๆ หมดลง ด้านเฉินหานก็คำรามไม่หยุด กระทั่งปีนขึ้นไปบนเห็ดที่เรียงตัวซ้อนกัน ฉับพลันในโลกยามราตรี ก็ปราฏแสงสายหนึ่งขึ้นมา

ลำแสงนี้ตกลงจากฟ้า ขณะที่แสงปรากฏขึ้นนั้น เห็ดทั้งหมดบนพื้นดินสั่นสะท้าน ทรุดตัวลงทันที แขนขาของพวกมันหายไป กลายเป็นเห็ดธรรมดา

เฉินหานและเห็ดน้อยจอมโอหังตัวอื่นๆ ดูเหมือนจะกลายเป็นหินไปทีละตัว ทั้งหมดแข็งทื่อและไม่ขยับเขยื้อน เวลานี้ทั้งผืนดินตกอยู่ในความเงียบสงบ

โชคดีที่เฉินหานกลายเป็นหิน และสายตาสุดท้ายคล้ายจะมองไปยังท้องฟ้า ดังนั้นหวังเป่าเล่อที่ใช้สายตาของเฉินหานในการมองจึงได้เห็นท้องฟ้าแล้ว ดูเหมือนว่ามุมของฝานั้นจะเปิดออก เผยให้เห็นดวงตาข้างหนึ่ง

“วันนี้จะกินอันไหนดี…ให้ข้าดูซิ ใครไม่เชื่อฟัง…” ทันทีที่เสียงเปล่งออกมา หวังเป่าเล่อก็รู้สึกคุ้นหู สัมผัสได้ว่าเห็ดรอบๆ แต่ละดอกกำลังสั่นเทา ท่าทางหวาดกลัว

ถึงแม้จิตสำนึกของหวังเป่าเล่อจะผันผวน แต่กลับไม่ได้ตกใจเพราะดวงตาคู่นั้นรวมถึงเสียงที่ดังมาจากท้องฟ้า เขารู้สึกว่าตนเองคุ้นชินกับมันแล้ว…เพราะในแต่ละชาติ ก็จะได้พบกับอีกฝ่าย

ดวงตาบนท้องฟ้ามาจากเด็กหญิงตัวเล็กๆ ผู้หนึ่ง และเสียงนั้นก็เป็นของหวังอีอีในความทรงจำของหวังเป่าเล่อ แต่ฟังดูแล้ว น่าจะเป็นหวังอีอีในยามเด็ก

เสียงไม่ได้น่ากลัว ให้ความรู้สึกคล้ายเด็กน้อย และเห็นได้ชัดว่ามันคือคำขู่ แต่สำหรับเห็ดที่มีสติปัญญาเพียงเท่านี้ นี่เปรียบเสมือนหายนะแห่งความเป็นความตายเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าหวังอีอีในวันนี้จะไม่สนใจจับเห็ดมากนัก แต่ฝาครอบบนท้องฟ้าที่ถูกยกขึ้น ทำให้ทั้งโลกสว่างขึ้นในทันที และยังทำให้หวังเป่าเล่อได้เห็นโลกภายนอกในเวลานี้ด้วย!.ไอลีนโนเวล.

ทว่า… มันยังคงเป็นห้องเดียวกับที่เขาสังเกตเห็นเมื่อคราวที่แล้ว!

การตกแต่งภายในไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด สิ่งเดียวที่เปลี่ยนแปลง คือยามนี้ไม่มีบิดาของหวังอีอีหรือชายวัยกลางคนผมขาวผู้นั้น ตอนนี้มีเพียงหวังอีอีผู้เดียวอยู่ที่นั่น และจากท่าทางของนาง เด็กกว่าในความทรงจำของหวังเป่าเล่อมาก

ผมของนางถูกมัดเป็นสองก้อนกลมเล็กๆ ขณะเดียวกันก็ดูน่ารัก นางถือฝาครอบแล้วเบ้ปาก

“ก็แค่ปักดวงจันทร์เอง ไม่เห็นจะยาก ท่านพ่อบอกว่าข้าทำไม่ได้ เชอะ ไม่มีอะไรที่อีอีทำไม่ได้!”

“พวกเจ้าว่าจริงหรือไม่” พูดจบ เด็กหญิงน้อยก็ก้มหน้า และมองไปยังเห็ดทั้งหมด เห็ดที่ไม่กล้าขยับเขยื้อนเหล่านี้ รีบเอ่ยปากอย่างมีชีวิตชีวาทันที ชั่วอึดใจ เสียงอึกทึกก็ดังขึ้นอีกครั้ง ล้วนเป็นคำยกยอปอปั้น แต่กลับไร้ชั้นเชิง ส่วนใหญ่ต่างกล่าวออกมาอย่างทื่อตรง

หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจเห็ดที่ประจบสอพลอเหล่านี้ และไม่ได้มองไปทางหวังอีอีที่ดูเหมือนจะพอใจ แต่เพ่งสติไปทางท้องฟ้า เพื่อสำรวจห้องนั้น

เขาต้องการออกไป!

นี่เป็นความคิดที่อยู่ในจิตใจของหวังเป่าเล่อเวลานี้ หลังจากผ่านประสบการณ์ชาติที่หกของเฉินหานมา

แต่เห็นได้ชัดว่าความคิดนี้ไม่อาจเกิดขึ้น ตอนนี้เขาทำไม่ได้ แต่มันไม่ส่งผลต่อการสำรวจของเขา ห้องนี้เรียบง่าย เต็มไปด้วยของเล่น ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจ

ขณะที่หวังเป่าเล่อสำรวจอยู่นั้น เสียงของหวังอีอี ก็ดังขึ้นอีกรอบ

“ตะวันเพลิง จันทร์คล้อย คืนพินาศ…ยากจังเลย ตะวันเพลิง ข้าเรียนแล้ว แต่จันทร์คล้อยนี่สิต้องทำอย่างไร จะวาดเช่นไรดี…ยังมีคืนพินาศอีก นี่มันไม่ได้นี่นา นอกจากท่านพ่อแล้ว คนวิปริตผู้นั้น ข้าไม่เชื่อว่าบนโลกนี้ ยังมีผู้วิปริตใดสามารถเรียนรู้จันทร์คล้อยและคืนพินาศได้อีก!” ดูเหมือนหวังอีอีจะรู้สึกหงุดหงิด เสียงของนางดึงดูดความสนใจของหวังเป่าเล่อ เขาเลิกกวาดสายตามองภายในห้อง ได้แต่เกิดความสับสนอยู่ในจิตใจ มองไปทางหวังอีอี

“แม่นางน้อย…เกิดอะไรขึ้นกับร่างของเจ้ากันแน่…” หวังเป่าเล่อพึมพำ จ้องมองไปทางหวังอีอี แต่ในไม่ช้าความสับสนของเขาก็หายไป จิตใจผันผวนขึ้นอีกครั้ง เพราะหลังจากเห็นหวังอีอีหงุดหงิด จึงลองใช้กระบวนเวทขึ้นใหม่…

กระบวนเวทนั้น คล้ายจะเรียกว่าจันทร์คล้อย ในมือของหวังอีอีราวกับมีเส้นใยไร้รูปหลายสายรวมตัว ถักทอไว้ด้วยกัน เหมือนการบังคับเปลี่ยนกฎเวท ทำให้ความว่างเปล่าในขณะนี้ จากมีรูปเปลี่ยนเป็นไร้รูป กลายเป็นลวดลายแผ่กระจายออกไป

ยามระลอกคลื่นไหลผ่าน ดูเหมือนว่าเวลาจะผ่านไปเร็วขึ้น เมื่อมันกระจายไปยังโลกที่เต็มไปด้วยเห็ด ความรู้สึกของกระแสเวลาก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ชั่วขณะเดียวก็ราวกับผ่านไปนับสิบปี!

“นี่คือ… กฎกาลเวลา!” จิตใจของหวังเป่าเล่อร่ำร้อง เขารู้ดีว่าในกฎของโลกนี้ เวลาและช่องว่างเป็นสิ่งดำรงอยู่ที่ลึกลับที่สุด มีผู้ครอบครองน้อยนัก และมีเพียงผู้เยี่ยมยุทธ์ที่สามารถคลำหาได้!

สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ทั้งชีวิตต่างไม่มีโอกาสสัมผัสกับกฎเวททั้งสอง เพราะผู้เชี่ยวชาญน้อยเกินไป เพราะลำบากเกินไป และด้วยเพราะในระดับหนึ่งนี่นับเป็นกฎต้องห้าม ขณะเดียวกัน…มีดวงดาราพิเศษของกฎกาลเวลาและช่องว่าง ซึ่งดูเหมือนจะพบได้ยากกว่าดาวเคราะห์เต๋า!

ชั่วชีวิตที่หวังเป่าเล่อเคยสัมผัสมา มีเพียงนิมิตมืดที่สามารถบังคับให้สอดคล้องกับกฎกาลเวลาได้บ้าง

ดังนั้น ณ เวลานี้หวังเป่าเล่อ ราวกับวิญญาณที่ได้รับประสาทพรเพิกเฉยต่อทุกสิ่งรอบตัว เพิกเฉยทุกสิ่งที่อยู่นอกห้อง ในจิตสำนึกของเขาเหลือแต่เพียง…เส้นใยกฎแห่งกาลเวลาในมือของหวังอีอี!

หวังอีอีปรากฏตัวครั้งแล้วครั้งเล่า ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า หวังเป่าเล่อเฝ้าสังเกตอยู่ตลอดเวลา ทอดถอนใจไม่หยุด ตัวเขาเองไม่ได้สังเกตเลยว่า รอบตัวเขาค่อยๆ…ปรากฏความคล้ายคลึงจากการผันผวนของเส้นใยปราณกังวานในมือของหวังอีอี!

“อ๊ะๆ ไม่เข้าใจเลยประหลาดเกินไป ประหลาดเกินไปแล้ว นี่มันเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะเรียนให้ได้!” หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่า เวลานี้หวังอีอีที่อยู่ด้านนอกท้องฟ้ากำลังส่งเสียงหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม

…………………………

การปรากฏของเสียงนี้ ทำให้สติของหวังเป่าเล่อสั่นผวา และยังทำให้ผีเสื้อเฉินหานจำแลง รวมถึงผีเสื้อทั้งหมด คล้ายจะตื่นตระหนกด้วย ทั้งหมดกระจายตัวออกจากกันอย่างรวดเร็ว ในตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อที่มองโลกผ่านสายตาของเฉินหานอยู่ก็ได้เห็น…ลำแสงท่วมท้นเหนือท้องฟ้าแผ่ขยายออกมารอบด้าน ปรากฏใบหน้ามนุษย์ขนาดใหญ่ยักษ์ขึ้น!

ใบหน้านี้แผ่ขยายเกือบจะครอบคลุมไปทั่วฟ้า!

มันเป็นใบหน้าซีดขาวราวกับคนป่วยของเด็กหญิง กำลังมองผีเสื้อด้วยความสงสัย ด้านข้างนางยังมีชายวัยกลางคนผมขาวยืนมองอยู่เช่นกัน

ท้องฟ้า… มันไม่ใช่ท้องฟ้าเสียทีเดียว หากแต่เป็นกรงขนาดใหญ่ ขณะเดียวกันที่ร่างทั้งสองทำให้หวังเป่าเล่อตกใจอย่างรุนแรง หวังเป่าเล่อก็ได้เห็นอีกสิ่งหนึ่ง… ที่ด้านหลังของสองร่างนั่น มันคือ…ห้อง!

ห้องที่มีสตรีเป็นเจ้าของ!

“นี่…” เวลานี้หวังเป่าเล่อตื่นตกใจอย่างยิ่ง เมื่อชายวัยกลางคนผมขาวผู้นั้นกวาดสายตามองไปทั่ว พลันบางอย่างก็คมชัดในดวงตา

“หืม?”

เสียงคำรามเย็นเฉียบตรงเข้าภายในจิตสำนึกของหวังเป่าเล่อ ราวสายฟ้าระเบิดก้อง!

ยามนี้จิตสำนึกของเขาถูกสะบัดสลายไปตามแรงระเบิด ในพริบตา หวังเป่าเล่อที่นั่งสมาธิในไอหมอกบนดาวชะตา ลืมตาตื่นขึ้นทันที หอบหายใจถี่รัว ไม่อาจปกปิดความตระหนกภายในใจไว้ได้

“ข้าเพียงเฝ้ามองเท่านั้น ไม่ได้เข้าร่วม ไม่ได้แก้ไขสิ่งใด…แต่ทั้งหมด ล้วนเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นในชาติที่หก เช่นนั้นเหตุใด…ข้าจึงถูกพบ”

“นี่มันไม่ถูกต้อง!”

“แท้จริงแล้ว… สิ่งใดคืออดีต หรือว่านี่จะเป็นภาพในชาตินั้นจริงๆ!” ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อข่มกลั้นความสงสัยเอาไว้ ไม่ปรารถนาที่จะไตร่ตรองให้ลึกซึ้ง ทว่ายามนี้ไม่อาจควบคุมได้ วนเวียนอยู่ในความคิดไม่หยุด

เขาไม่รู้ว่าเหตุใด ชาติที่หกของตนจึงกลายเป็นความดำมืด และไม่รู้คำตอบของข้อสงสัยที่วนเวียนอยู่ในตอนนี้ว่ามันคือสิ่งใด แต่สิ่งหนึ่งที่เขารู้

“ก่อนจะมีหลักฐานมากกว่านี้ อย่าได้ไปคิด เพราะหากคิดผิด…เช่นนั้นคงไม่ต่างจากคนเสียสติ!”

เวลานี้ หวังเป่าเล่อพยายามอย่างหนักที่จะควบคุมความคิดของตน ทว่าจิตใจของเขากลับไม่เป็นตัวของตัวเอง นึกถึงสิ่งที่เซี่ยไห่หยางเคยกล่าวเอาไว้ ในครอบครัวของเขามีหนังสือโบราณเล่มหนึ่ง ในนั้นได้บันทึกไว้ว่ามีผู้เยี่ยมยุทธ์ผู้หนึ่ง กล่าวว่าโลกใบนี้…เป็นสิ่งจอมปลอม!

“โลกนี้…มีปัญหาใหญ่แล้ว!” หวังเป่าเล่อใจสั่น อยู่ๆ เขาก็ไม่กล้าเงยหน้าขึ้น… ไม่กล้ามองเหนือศีรษะสามฉื่อ กระทั่งหลังจากพยายามแล้วในที่สุด เขาก็รวบรวมความคิดทั้งหมด พยายามอย่างยิ่งที่จะกลบฝังมันไว้ในใจ สูดหายใจเข้าลึก เงยศีรษะขึ้นอย่างไม่รู้ตัว และมองไปด้านบนนั้น

ที่นั่น…มีเพียงไอหมอก ไร้สิ่งอื่น

หวังเป่าเล่อถอนสายตา หลังจากจ้องเขม็งได้สักพัก เขาก้มหน้ามองเศษหน้ากากที่หยิบออกมา ไม่ได้เอ่ยปาก จ้องไปครู่หนึ่งก็เก็บมันเข้าไป สายตาฉายแววล้ำลึก

รอกระทั่งหนึ่งชั่วยามต่อมา เฉินหานก็ส่ายศีรษะและลืมตาขึ้นอย่างงงงัน เพราะเพิ่งตื่น ดังนั้นจึงไม่ทันสังเกตเห็นสายตาที่มองมาอย่างรวดเร็วของหวังเป่าเล่อ ทว่าไม่นานหลังจากขยับศีรษะ เขาก็เห็นสายตาของหวังเป่าเล่อที่กำลังจดจ้องอยู่

“อา ท่านพ่อตื่นแล้ว ข้าเพิ่งฟื้น ยังไม่…”

เฉินหานรีบเอ่ยปาก แต่ยังไม่ทันกล่าวจบ หวังเป่าเล่อกลับโบกมือ กล่าวเบาๆ

“สุดท้ายแล้วเจ้าเห็นสิ่งใดในชาติที่หก”

“อ่า” เฉินหานชะงัก หลังจากกะพริบตา ใบหน้าเขาแสดงความเขินอาย

“นั่น… ท่านพ่อ ชาติที่หกของข้าครั้งนี้ต่างออกไปเล็กน้อย… เมื่อข้าเพิ่งเกิด ก็พิเศษมาก มีพลังไร้ขีดจำกัด และสามารถรับรู้ถึงความผันผวนของโลกได้!”.ไอลีนโนเวล.

“มีเสียงในใจบอกข้าว่า อนาคตของข้าอยู่ข้างหน้า แม้ว่ามันจะถูกกำหนดให้ลุ่มๆ ดอนๆ แต่ตราบใดที่ยังคงยืนหยัดเดินต่อไป ต้องพบกับความรุ่งโรจน์!”

“ดังนั้น ในครึ่งแรกของช่วงชีวิต ก็ดิ้นรนเดินหน้าในเส้นทางแห่งชีวิตต่อไปไม่หยุด ประสบกับบุญคุณและความแค้น และประสบกับการเปลี่ยนแปรของพิภพ…” เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นสิ่งที่เฉินหานกล่าวก็รู้สึกสะท้อนใจ จึงขมวดคิ้ว แน่นอนเขาย่อมรู้ว่าเฉินหานก้าวไปข้างหน้าตลอด เพียงแต่ไม่ใช่การดิ้นรน ทว่าเป็นการคลานไม่หยุด…

ส่วนบุญคุณความแค้น หวังเป่าเล่อเดาว่าอาจจะเป็นลมที่พัดเขา ทำให้เฉินหานเจ็บแค้น ส่วนความรัก…เขาคิดถึงประสบการณ์เช่นนี้ไม่ออก

ยังมีสาเหตุที่โลกเปลี่ยนแปร เรื่องนี้หวังเป่าเล่อก็เข้าใจ นั่นคือการเปลี่ยนของใบไม้ในแต่ละครั้ง ด้วยการกล่าวเกินจริงของเฉินหาน คิดว่าแต่ละครั้งต่างก็คือการเปลี่ยนย้ายหนึ่งครั้ง

“เป็นหนอนหรือ” หวังเป่าเล่อถามกลับ

“จะเป็นไปได้เช่นไร!” เฉินหานตัวสั่นเทิ้ม ท่าทางตื่นเต้นอยู่บ้าง

“ท่านพ่อ อดีตชาติของข้าเป็นอสูรประหลาดตัวหนึ่ง และสุดท้ายก็ลอกคราบเป็นแสงสีบินทะยานใน 9 วัน!” กล่าวถึงตรงนี้ เฉินหานก็แสดงความภาคภูมิใจบนใบหน้า

“เอ่ยความจริงมา” หวังเป่าเล่อมองไปทางเฉินหาน สายตาของเขาทำให้เฉินหานหนาวสั่น

“ท่านพ่อ ท่านเข้าใจข้าผิดใหญ่แล้ว ข้า…”

เฉินหานแสดงความเศร้าโศก แต่กลับตระหนกอยู่ภายในใจ คิดในใจว่าหวังเป่าเล่อผู้นี้รู้ได้อย่างไรว่าชาติก่อนของตนเป็นหนอน เรื่องนี้ประหลาดเกินไปแล้ว ขณะที่กำลังจะอธิบาย หวังเป่าเล่อกลับหลับตาแล้วกล่าวต่อ

“โอกาสครั้งสุดท้าย”

ทันทีที่เอ่ย เฉินหานก็รีบตะโกนด้วยความตระหนก

“ท่านพ่อเลิศล้ำ! ถึงอย่างไรเสี่ยวหานก็ปิดบังท่านพ่อไม่ได้ ท่านพ่อ การรับรู้ของข้าในครั้งนี้ ชาติที่หกของข้า เป็นหนอนตัวหนึ่งจริงๆ!” เห็นได้ชัดว่าเฉินหานรู้สึกกังวล แต่ก็ยังพยายามทำตัวให้น่าเอ็นดู

“มันยังเป็นหนอนผีเสื้อด้วย สุดท้ายข้าก็พยายามไม่หยุด ในที่สุดก็กลายเป็นผีเสื้อ มีชีวิตอย่างเป็นสุขกับสหายผีเสื้อของข้า…จนสุดท้ายข้าก็ตายด้วยความชรา”

หวังเป่าเล่อฟังมาถึงตรงนี้ ดวงตาก็ค่อยๆ หรี่ลง

“ไม่มีแล้วหรือ? ภายนอกท้องฟ้า เจ้าเห็นสิ่งใด?”

“นอกท้องฟ้าหรือ” เฉินหานตกตะลึง

“ท่านพ่อ ข้าไม่ได้บินถึงนอกท้องฟ้า จึงไม่ได้สังเกตเห็นสิ่งใดเลย สถานที่ที่ข้าอยู่ เป็นผืนป่าทึบ…” หลังจากคำพูดของเฉินหาน หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้กล่าวสิ่งใดอีก แต่ในใจกลับเริ่มสั่นไหวอีกครั้ง

เขาสัมผัสได้ว่าเฉินหานไม่ได้กล่าวเท็จ แต่จากการสังเกตนั้น เขามองผ่านสายตาของเฉินหานจึงได้เห็น ดังนั้นอาจเป็นไปได้ว่าเฉินหานและเขา ไม่ได้เห็นในสิ่งเดียวกัน หรืออาจเป็นไปได้ว่า…เฉินหานและผีเสื้อตัวอื่น หรือสรรพสัตว์อื่น ในจิตใจของพวกเขา ต่างถูกลบความทรงจำเกี่ยวกับท้องฟ้าภายนอกออกไป

“ชาติที่หกที่แปลกประหลาดเช่นนี้…ทำให้ข้ายิ่งรู้สึกสนใจครั้งต่อไปมากขึ้น!” หวังเป่าเล่อหลับตา ไม่ได้ต่อความกับเฉินหานอีก แต่รอคอยอย่างเงียบๆ

เวลาผ่านไป ขณะที่เฝ้ารอคอย เฉินหานตกใจจนเนื้อเต้น เขารู้สึกว่าหวังเป่าเล่อเก่งกาจเกินไปแล้ว เหตุใดจึงได้ล่วงรู้สถานะในอดีตชาติของตนในครั้งที่แล้ว นี่ทำให้เขาอดนึกถึงข่าวลือกวางขาวตัวน้อยของอีกฝ่ายไม่ได้ ในใจเกิดความเคารพอย่างแรงกล้า ทว่าเมื่อคิดไปแล้ว ก็ยังสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ

“มันต้องเป็นเพราะความโง่งมแน่ คำพูดของข้าก่อนหน้านี้อาจมีข้อบกพร่อง!”

“แม้ชายผู้นี้จะวิปริตบ้าอำนาจ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะล่วงรู้อดีตชาติของข้า เขาต้องล่อลวงข้าแน่ เพื่อที่จะได้สอดรู้เรื่องส่วนตัวของผู้อื่น!”

“ข้าไม่เชื่อว่า คราวหน้าเขายังจะรู้ได้อีก!”

เฉินหานแอบครุ่นคิด ในที่สุดวันที่หกก็ผ่านพ้น ล่วงเข้าสู่วันที่เจ็ด…ด้วยเสียงเดิมของคนรับใช้ชรา ไอหมอกรอบด้านยังคงหมุนวน แสงแห่งการดึงยังคงส่องประกาย

เมื่อความรู้สึกของการดำดิ่งปรากฏขึ้น ความหนาวเหน็บ ความดำมืด…ก็ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งในจิตสำนึกที่ไม่เลือนหายของหวังเป่าเล่อ แม้เขาจะเตรียมใจมาแล้ว แต่จิตใจก็ยังคงสั่นไหวอย่างรุนแรง

“ยังไม่มีหรือ” ในความมืดมิดและหนาวเหน็บนั้น ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง มองดูหมอกขาว มองดูเฉินหานที่เข้าสู่ชาติก่อนไปแล้ว นัยน์ตาแสดงความสงสัยอย่างลึกซึ้ง

“ข้ามีเพียงห้าชาติหรอกหรือ” หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่นาน มองไปทางเฉินหานที่ดำดิ่งลงไปอีกครั้ง นัยน์ตาแสดงความสงสัย แต่ในไม่ช้าสีหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นเด็ดเดี่ยว

“แม้จะถูกพบอีกครั้ง แล้วมันอย่างไรเล่า!” หลังจากหวังเป่าเล่อตัดสินใจ สองมือรีบผนึกมุทราทันที ทันใดนั้นเพลิงดำกระจายออก ห่อหุ้มเฉินหานเอาไว้ เวลาเดียวกับที่มันกระจายตัว หวังเป่าเล่อก็ได้ปรับความผันผวนกับปราณกังวานของตน ยามทั้งสองสิ่งหลอมรวมเข้าด้วยกัน ตอนนั้นเองภาพตรงหน้าก็ประจักษ์แก่สายตา…โลกแปลกประหลาดราวกับไม่มีอยู่จริงปรากฏขึ้นเบื้องหน้า

……………………………………….

ความเย็นยะเยือกนี้ เปรียบเสมือนการนอนเปลือยร่างบนเกล็ดหิมะ ในสายลมหนาวไม่รู้จบ ร่างกายและจิตวิญญาณ ราวกับเหี่ยวเฉาลงทีละน้อย แม้ยามนี้จะเป็นเพียงการตระหนักรู้ของหวังเป่าเล่อ แต่สัมผัสในความหนาวเหน็บกลับชัดเจนมาก

สิ่งที่มาพร้อมกับความหนาวยะเยือก ยังมีความโดดเดี่ยว ความรู้สึกนี้ทวีมากขึ้นเนื่องจากความมืดรอบด้าน แม้หวังเป่าเล่อจะครองสติอยู่ ทว่าเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ความรู้สึกอ้างว้างกลับรุนแรงขึ้น

ไร้เสียง ไร้แสง ไร้ภาพ ปราศจากทุกสิ่ง คล้ายกับความว่างเปล่าทั้งหมด เหลือเพียงหวังเป่าเล่อผู้เดียว

หนึ่งวัน หนึ่งเดือน หนึ่งปี หนึ่งร้อยปี หนึ่งพันปี…ยังคงหนาวเหน็บ ยังคงมืดมิด ยังคงโดดเดี่ยว

หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไรแล้ว บางที…ที่นี่อาจไม่มีกรอบแห่งเวลา และเขาก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือควบคุมมันได้ ทำได้เพียงแค่เฝ้ารอคอย สิ่งที่จะเกิดขึ้นตรงหน้าเท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ในสภาวะแห่งความว่างเปล่า ความคิดของหวังเป่าเล่อค่อยๆ หยุดลง ราวกับสงบนิ่งอย่างแท้จริง คล้ายกับเข้าสู่ภวังค์ของการหลับลึก

กระทั่งอยู่ๆ ในวันหนึ่ง พลังแข็งแกร่งก็ส่งผ่านมาจากความมืด พลังนี้เต็มไปด้วยแรงดึงดูด และชั่วพริบตาก็ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นวังวน ลากสติของหวังเป่าเล่อออกไปทันที

หวังเป่าเล่อตกใจและตื่นขึ้นจากการหลับสนิทโดยพลัน หลังจากลืมตา สิ่งที่เขาเห็น…คือหมอกขาวไม่สิ้นสุดรอบด้าน กำลังล้อมรอบร่างอวตารของตน เหลือเพียงศีรษะของเฉินหานที่ลอยอยู่ไม่ไกล ทั้งกายล้อมไว้ด้วยแสงแห่งการดึง

ที่นี่…คือดาวชะตา สถานที่ทดสอบ

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายประหลาด หลังจากระลึกถึงแต่ละฉากก่อนหน้านี้อย่างละเอียด เขาก็ค่อยๆ ขมวดคิ้ว แท้จริงแล้วชาติที่หกค่อนข้างแปลก ร่างของเขาอยู่ในสถานที่มืดมิด และสุดท้ายชีวิตก็หยุดนิ่ง ทว่าสติของเขาแจ่มชัดมาก นี่หมายความว่า…เขาอาจไม่ได้เข้าสู่ชาติที่หก

“เป็นไปได้ไหมว่า… ข้าไม่มีชาติที่หกอย่างนั้นหรือ”

หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา ใบหน้าเผยความงุนงง คิดไม่ตกว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เพราะตามความเข้าใจของเขา เรื่องนี้ดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ เว้นเสียแต่ว่าจะมีคำอธิบายอีกอย่างหนึ่ง…

“หรือว่า แสงแห่งการดึงไม่พอ” หวังเป่าเล่อครุ่นคิด มองลงไปที่ร่างของตน เห็นได้ชัดว่ามีแสงแห่งการดึงจำนวนมากอยู่บนร่าง ซึ่งนั่นมากกว่าของเฉินหานหลายเท่า

ดังนั้น… ความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ น่าจะไม่มากนัก.ไอลีนโนเวล.

“ยังมีคำอธิบายอีกอย่าง นั่นคือยิ่งสัมผัสอดีตมากเท่าไร ความลำบากก็จะยิ่งมากขึ้น ขีดจำกัดของข้า…หรือว่าจะหยุดที่ชาติที่หก” หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขาไม่เชื่อ เวลานี้ไม่มีเบาะแสมากนัก ทว่าไม่นานเมื่อความคิดของเขาสงบลง ยามที่มองไปยังเฉินหาน ดวงตาก็ฉายแววประหลาด

เขานึกถึงตนเองในกระบวนเวทของสำนักแห่งความมืด พลังเทพ นิมิตมืดที่เขาเคยเห็น พลังเทพนี้สามารถดึงผู้อื่นเข้าสู่ฝันเสมือนจริงได้ แต่อย่างไรก็ตามแม้วันนี้หวังเป่าเล่อต้องการจะทำเช่นนี้จริงๆ ก็ยังยากเกินไป นี่พัวพันถึงกรอบเขตความฝันและการควบคุมกฎเกณฑ์

ทว่า…ถ้าไม่ได้เข้าไปในกรอบมิติมายาด้วยตนเอง หากแต่เป็นผู้ชม มองภาพในจิตใจของผู้อื่น ไม่ไปควบคุม ไม่ไปรบกวน เพียงแค่มอง ด้วยฐานฝึกตนของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ ร่วมกับกฎพิเศษของดาวเคราะห์เต๋าตนเอง ด้วยเวทสู่ฝันก็ยังสามารถทำได้ หากเปลี่ยนเป็นเป้าหมายอื่น ถ้าหวังเป่าเล่อคิดจะทำจริงๆ อาจต้องเสียแรงใช้ความคิด แต่เฉินหานไม่ต้อง ถึงอย่างไร…บนร่างเฉินหาน ก็มีตราประทับของเขา

ดังนั้นหลังจากพิจารณาเฉินหานอยู่ครู่ใหญ่ ความคิดนี้ก็มีน้ำหนักต่อใจของหวังเป่าเล่อยิ่งขึ้น สุดท้ายเขายกมือทั้งสองขึ้นรีบผนึกมุทรา ฉับพลันเพลิงดำภายในร่างระเบิดออกไปรอบด้าน ภายใต้คำสั่งเดียวแหวกม่านฟ้า เพลิงดำรวมตัวกันเป็นสาย พุ่งตรงไปที่เฉินหาน ชั่วอึดใจก็ห่อหุ้มศีรษะของเฉินหานไว้ในเพลิงดำนั้น

“สู่ฝัน…” ทันทีที่ถูกห่อหุ้ม หวังเป่าเล่อกล่าวเสียงเบา ชั่วพริบตาร่างของเขาก็แปรเปลี่ยน การเปลี่ยนแปลงนี้อยู่บนชั้นจิตวิญญาณมากกว่า ไม่ได้เปลี่ยนทั้งหมดแต่เป็นวิชาเลียนแบบ หรือกล่าวให้แน่ชัดก็คือการคัดลอก!

การคัดลอกไม่ใช่กฎแห่งกฎเวท แต่เป็น… จิตวิญญาณของเฉินหาน!

คล้ายกับอยู่นอกร่าง ถูกชุดคลุมจิตวิญญาณที่ความถี่เดียวกันกับเฉินหานคลุมไว้ชั้นหนึ่ง ทำให้ขณะนี้ร่างของตนและเฉินหานถึงขั้นเชื่อมต่อกับปราณกังวาน!

นี่เป็นการรวมตัวกันครั้งแรกของดาวเคราะห์เต๋าและศาสตร์มืด แม้กระบวนการจะล่าช้า และล้มเหลวอยู่หลายครั้ง แต่ด้วยการปรับเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องของหวังเป่าเล่อ ยามนี้จิตใจของเขากำลังร้องก้อง ในการขยายผลครั้งที่เจ็ด

เวลาต่อมา…โลกตรงหน้าของหวังเป่าเล่อพลันเปลี่ยนไป เขาเห็นผืนดินสีเขียว…และเฉินหาน…กำลังคลานอยู่บนพื้นราบสีเขียวไม่หยุด คำรามเสียงต่ำออกมา

“สืบพันธุ์! สืบพันธุ์! สืบพันธุ์! สืบพันธุ์!”

เหตุการณ์นี้ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตกใจ แต่ด้วยการมองเห็นของเขาที่ทำได้เพียงมองโลกตรงหน้าผ่านสายตาของเฉินหานเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าเฉินหานหน้าตาเป็นอย่างไร จึงได้แต่มองดูพื้นแผ่นดินสีเขียว แล้วค่อยๆ เคลื่อนไปตามความเร็วของเฉินหาน…

ทว่าหวังเป่าเล่อกลับรู้สึกปวดหัว หลังจากตัดสินใจทำอย่างนั้น

“ชาตินี้ของเฉินหานคืออะไรกันแน่ เหตุใดจึงคลานช้าเช่นนั้น แล้วยังมีการร้องคำว่าสืบพันธุ์นั่นอีก…” ความคิดประหลาดของหวังเป่าเล่ออยู่ไม่นาน ทันใดนั้นแผ่นดินสีเขียวก็สั่นสะเทือน คล้ายกับการสะเทือนของระลอกคลื่น ทั้งยังมีลมกระโชกแรง ในพริบตา…แผ่นดินก็ถูกยกขึ้น และขณะที่กำลังร้องเรียกอยู่นั่นเอง กลับถูกพายุพัดม้วนร่างไปตกอยู่ที่ไกลๆ

เฉินหานที่กำลังดำดิ่งอยู่ในความตระหนก ไม่ได้สนใจการหมุนคว้าง ในโลกที่ตนเห็น หากแต่หวังเป่าเล่อกลับเห็นมันอย่างกระจ่าง…นี่ไม่ใช่ผืนดินสีเขียว กลับเป็นใบไม้ขนาดมหึมา…ใบหนึ่ง!

คาดว่าใบไม้นี้มีขนาดประมาณสิบจั้ง ลำต้นของมันมีเพียงคำว่าเสียดฟ้าเท่านั้นที่อธิบายได้ ดูเหมือนจะสูงเทียมสวรรค์ ไม่อาจเห็นจุดสิ้นสุด

เพราะท้องฟ้าอยู่ไกลออกไป ไม่อาจมองให้กระจ่างชัด จึงเห็นเพียงลำแสงกระจายท่วมท้นจากรอบด้าน ส่วนพื้นที่อื่นในบริเวณนี้ ก็มองเห็นเพียงพืชพรรณขนาดมหึมานับไม่ถ้วน เวลาเดียวกัน แม้ต้นไม้แต่ละต้นจะเติบโตสูงใหญ่ไพศาล ทว่าสถานที่แห่งนี้กลับปราศจากผืนดิน มีเพียงความว่างเปล่า

ราวกับทั่วท้องนภา เป็นผืนป่าพิสดารผืนหนึ่ง

ท่าทางของเฉินหาน หวังเป่าเล่อมองจากเงาสะท้อนบนหยดน้ำค้างขนาดยักษ์ เขาเห็นรูปร่างนั่น…นั่นเป็น…หนอนผีเสื้อตัวหนึ่ง!

หากมีหลากสีสันยังพอว่า หรืออย่างมากที่สุดควรมีพิษบ้าง แต่หนอนผีเสื้อที่เฉินหานจำแลง ทั้งร่างเป็นสีเขียวเหลือง มองดูน่าขยะแขยง ทั้งยังตัวเล็กและอ่อนแอมาก

“อดีตชาติของเฉินหาน แปลกประหลาดเช่นนี้เชียวหรือ…” หวังเป่าเล่อตื่นตระหนก หลังจากระลึกถึงชาติเหล่านั้นของตน อยู่ๆ เขาก็รู้สึกเห็นใจเฉินหานขึ้นมา

ดูเหมือนความเห็นใจของเขาจะมอบพรให้ เฉินหานที่ถูกพายุพัดไป ไม่ได้ตกพื้นลงมาตาย แต่ตกลงบนใบไม้อีกใบ ดังนั้นในไม่ช้าเขาจึงเริ่มคลานต่อไป และร้องตะโกนต่อไป…

หวังเป่าเล่อเฝ้าสังเกตได้ครู่ใหญ่ แท้จริงแล้วมันน่าเบื่อมาก แต่ไม่อาจตัดใจจากไปได้ จึงต้องอดทนรอต่อไปด้วยวิธีนี้ เขามองหนอนผีเสื้อร่างของเฉินหานคืบคลานไปทีละน้อย หลังจากคลานอืดอาดหาอาหารมาได้พักหนึ่งแล้ว ก็เกิดเหตุการณ์ตื่นเต้นขึ้น มันค่อยๆ กลายเป็นดักแด้ตัวหนึ่ง

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเกิดความสนใจ เฝ้าสังเกตอยู่นาน และในขณะที่ความอดทนสุดท้ายกำลังจะหมดไป ในที่สุดดักแด้ก็แตกออกกลายเป็น…ผีเสื้อแสนสวยตัวหนึ่ง พยายามสยายปีกบินออกมาจากภายในนั้น

ราวกับนี่เป็นจุดแห่งเวลา ขณะที่เฉินหานบินออกไป รอบด้านก็มีผีเสื้อมากมาย สยายปีกบินออกมาพร้อมกันอย่างหนาแน่น คาดว่าคงมีมากมายนับแสนตัว ทำให้โลกทั้งใบในเวลานี้ราวกับถูกแต่งแต้ม!

งดงามไร้ขีดจำกัด!

ผีเสื้อเหล่านี้มีสีสันงดงาม ต่างแผ่รัศมีสีฟ้าออกมา หลังจากบินออกมาแล้ว เฉินหานเข้าร่วมกลุ่มผีเสื้อด้วยท่าทีตื่นเต้น ร้องเสียงดัง

“สืบพันธุ์ สืบพันธุ์ สืบพันธุ์!” ในระหว่างที่ผีเสื้อเฉินหานกำลังบินร่วมกับฝูงผีเสื้อด้วยความตื่นเต้น บินข้ามใบไม้ใบแล้วใบเล่า บินหึ่งไปบนยอด แม้หวังเป่าเล่อจะรู้สึกอึดอัด แต่เขาก็ยินยอมที่จะสังเกตโลกนี้ต่อไปด้วยการยืมมุมมองของเฉินหาน ทันใดนั้น…เสียงหนึ่งที่คุ้นเคย ก็ส่งมาจากด้านบน

“ท่านพ่อ ผีเสื้อพวกนี้สวยจังเลย”

……………………………….

หวังเป่าเล่อดวงตาเลื่อนลอย ทุกครั้งที่จมดิ่งสู่ชาติก่อนเขาก็มักจะเป็นเช่นนี้ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งเดียวที่…เขาใช้เวลาในการจมดิ่งลอยเนิ่นนาน เนิ่นนานอย่างยิ่ง

หนึ่งชั่วยาม สองชั่วยาม สามชั่วยาม…

ระหว่างที่หวังเป่าเล่อจมดิ่ง ไม่มีใครมารบกวนเขา ภายในหมอกรอบด้านนั้น ได้กลายเป็นแดนต้องห้ามไปนานแล้ว ยามนี้เหล่าผู้ฝึกตนที่เหลืออยู่ บ้างก็อยู่ห่างเกินไป บ้างก็เสียคุณสมบัติไป ในส่วนคนที่เหลือย่อมไม่กล้าเข้าใกล้เขา

โดยเฉพาะก่อนหน้านี้เกิดการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่นี่ กระแสพลังอันองอาจบนร่างหวังเป่าเล่อได้แผ่ออกมาอย่างจับต้องไม่ได้ ทำให้เหล่าผู้ได้สัมผัสใกล้ๆ นั้น ล้วนต้องรู้สึกหวาดผวา ใจเต้นแรงและพากันหลีกหนีไปไกลทุกคน

ในเมื่อคนอื่นๆ ไม่กล้ารบกวน ด้านหวังเป่าเล่อเองก็เงียบเชียบ เฉินหานที่เหลือเพียงส่วนศีรษะลอยอยู่ข้างๆ นั้นก็ยิ่งไม่กล้ารบกวนหวังเป่าเล่อแม้เพียงเล็กน้อย

เขาก็เหมือนกับหวังเป่าเล่อ เมื่อครู่เข้าสู่ภวังค์แห่งการระลึกชาติก่อน แต่สิ่งที่ทำให้เขาสิ้นหวังและเจ็บปวดก็คือ ในชาติก่อนของเขานี้ ยังคงโชคไม่ดีนัก…

เขาเป็นเพียงแค่เห็บตัวหนึ่ง ซึ่งมีชีวิตอยู่บนตัวของเสือตัวหนึ่ง

แต่เขาก็พอใจอย่างมากแล้ว เพราะหากเทียบกับพวกสิ่งมีชีวิตในชาติก่อนอย่างเช่นแบคทีเรียในลำไส้ คราวนี้แม้เขาจะเป็นเพียงแค่เห็บ แต่เห็นชัดว่าไม่ว่าจะเป็นด้านขนาดตัวหรือความสามารถในการต่อสู้ ล้วนแต่พุ่งทะยานก้าวกระโดด!

เฉินหานรู้สึกว่าการพัฒนาประเภทนี้ เห็นชัดว่าทุกสิ่งกำลังพัฒนาไปในทางที่ดีแล้ว และสิ่งที่ทำให้เขาภูมิใจที่สุด…ก็คือเห็บในชาตินี้ของตนนั้นสุดท้ายดับสลายไปพร้อมกับทั้งจักรวาล…

ยามนี้ตื่นแล้วหลังจากความทรงจำกลับมาและเฉินหานนั่งพออกพอใจอยู่นั้น เขาก็สัมผัสได้ว่าตนเองได้รับทักษะการกระโดดและดูดเลือดนั้นมาพอประมาณเช่นกัน เพียงแต่ว่า…เขา ผู้มีความมั่นใจในตัวเอง ยามนี้มองไปเห็นหวังเป่าเล่อ กลับต้องจิตใจว้าวุ่นอย่างไม่รู้สาเหตุ

“กลิ่นอายนี้…เหมือนว่า…คล้ายว่าจะเป็น…” เฉินหายลมหายใจติดขัด ในชาติก่อนหน้านี้ของเขา แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงแค่เห็บบนตัวของเสือ แต่ก็มีความคิดเป็นของตนเอง เขาจำได้ว่าตนเองติดอยู่บนตัวเสือนั้นในสวนขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง ในนั้นมีสัตว์วิเศษตัวอื่นๆ อีกมากมาย

ในบรรดานั้นมีสัตว์วิเศษตนหนึ่ง ได้มีชีวิตซึ่งกลายเป็นตำนาน!

นั่นก็คือกวางน้อยสีขาวตัวหนึ่ง มันได้ติดตามเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่ง หลังจากเดินทางออกจากสวนไปได้หลายขวบปีนั้น ก็มีตำนานมากมายเล่าขานผ่านทางลิงชรา ในเมื่อเจ้าเสือได้ยิน ตัวเขาที่อยู่บนเจ้าเสือก็ย่อมได้ยินเช่นกัน ในตำนานนี้กล่าวว่า เจ้ากวางน้อยสีขาวเดินทางไปยังดาวเคราะห์นับไม่ถ้วน เดินทางไปรอบจักรพิภพ กระทั่งว่าชื่อและกฎแห่งจักรวาลทั้งหมดผันเปลี่ยนก็เพราะตัวมันนี่เอง

สุดท้ายแล้ว กวางสีขาวตนนั้นก็เริ่มวิ่งเตลิด วิ่งไปยังจุดสิ้นสุดของจักรวาล วิ่งอย่างไม่หยุดยั้ง ไม่มีใครรู้ว่ามันวิ่งไปกี่ปี จนกระทั่งมันชนทำลายจักรวาลนี้แล้วหายไปท่ามกลางทะเลดารา หลังจากการพุ่งเข้าชนของมัน ทั้งจักรวาลก็เริ่มพังทลาย ปรากฏพายุคลั่งขึ้น…

ส่วนตัวมันเอง ก็ตายอยู่ใจกลางพายุร้ายที่พัดม้วนทั้งจักรวาลนั่นเอง

“เป็นไปไม่ได้…” เฉินหานร่างกายสั่นเทิ้ม มองไปยังหวังเป่าเล่อ ดวงตาเขาตกตะลึงถึงที่สุด พลันเข้าใจได้ทันทีว่าหลังจากอีกฝ่ายระลึกชาติที่แล้วได้นั้นจะแข็งแกร่งขนาดไหน…เพราะหากสิ่งที่ตนเองคาดเดาไว้ถูกต้อง ไม่แข็งแกร่งสิจะแปลกมาก!

ดังนั้นแล้วเขาจึงไม่กล้ารบกวนหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ยามนี้มองอีกฝ่ายเหมือนเทพเจ้าไม่ปาน นั่งอยู่ข้างๆ จับจ้องหวังเป่าเล่อ ในดวงตานั้นเผยแววตาระแวดระวัง ขณะที่เวลาเดียวกันก็สงสัยใครรู่

เขาสงสัยนัก หากว่าเจ้ากวางสีขาวตัวเล็กนั่นคือชาติก่อนของหวังเป่าเล่อจริง เช่นนั้น…คนเช่นนี้ ในชาตินี้จะไปได้ถึงระดับใด….ไอรีนโนเวล.

“รู้สึกอยู่ตลอดว่าว่างเปล่าเล็กน้อย…” ขณะที่ประหลาดใจอยู่นั้น เฉินหานก็เกิดความรู้สึกเชื่อมต่ออย่างอธิบายไม่ได้บางอย่าง เขารู้สึกว่ามุมมองโลกของตนเองนั้น คล้ายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าพลิกดินหลังจากผ่านการทดสอบของชาติที่แล้ว หลังจากความคิดนี้ เขาพลันรู้สึกว่าบางทีการกลับชาติมาเกิดของตนครั้งนี้ บิดาที่ตนได้รับในยามอายุสามสิบห้า…เป็นไปได้อย่างยิ่งว่า เขาคือวาสนาแห่งการบ่มเพาะอันเร้นลับหนึ่งเดียว ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งตนเองได้พบพานในการกลับชาติมาเกิดหลายครั้ง

ท่ามกลางความเคารพยำเกรงและถอนใจของเฉินหาน แววตาสับสนของหวังเป่าเล่อค่อยๆ เบิกกว้าง สิ่งที่ติดตามมานั้นก็คือเต๋าลมคราม กฎของดาวเคราะห์บรรพกาลนี้ของเขา…พลันระเบิดขึ้น!

การระเบิดในลักษณะนี้พลันก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ กลิ่นอายกลบทับทุกสิ่งของหวังเป่าเล่อ เต๋าลมครามนั้นเด่นด้านการใช้ความเร็ว และในพริบตามันก็แสดงพลังทั้งหมดออกมา!

ยามที่เขากลายร่างเป็นกวางน้อยสีขาว ยามที่กำลังวิ่งอย่างไร้ที่สิ้นสุด ในการไล่ตามอย่างไม่ลดละนั้น ความเร็วของเขาก็เร่งถึงที่สุดเช่นกัน เวลานี้หลังจากตื่นขึ้นแล้ว ความทรงจำที่กลับมาจากชาติก่อนแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง แต่ก็ยังเพียงพอที่จะทำให้เต๋าลมครามของเขาคำรามและยกระดับขึ้นอย่างบ้าคลั่ง กระบวนการนี้ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ก็ทะยานระดับไปจนถึงขั้นแปดเก้าส่วนของระดับสูงสุดแล้ว
แต่ทั้งหมด…กลับยังไม่จบ!

พริบตาถัดมา หวังเป่าเล่อค่อยๆ แหงนหน้าขึ้น แม้ว่าดวงตาจะใสกระจ่าง แต่ในสมองของเขายังมีแต่เรื่องการระลึกชาติลอยวนอยู่ โดยเฉพาะ…สุดท้ายแล้วหลังจากเขาทำลายผ่านกำแพงกั้น เขามองเห็นทุกสิ่งที่อยู่เหนือศีรษะตนเองไปสามฉื่อ!

นั่นเป็นมือข้างหนึ่ง…มือข้างหนึ่ง ในคราแรกที่เขาระลึกชาติแรกนั้น ยามที่ตนเองยังเป็นตระกูลเทพอัคคีอยู่ นี่คือมือที่กดลงบนหว่างคิ้วของตนครั้งสุดท้าย!

มือข้างนี้ ยามที่เขาเห็นเป็นครั้งแรก สะท้านกายยิ่งนัก ยามนี้เมื่อได้เห็นเป็นครั้งที่สองก็ยังคงทำให้เขาสั่นสะท้านเช่นเก่า ดังนั้นเขาจึงต้องถือโอกาสมองให้ชัด นั่นคือภาพมือมายาข้างหนึ่งซึ่งให้ความรู้สึกคลุมเครือ ราวกับว่าเป็นวิชาเร้นลับในช่องว่างฟ้าดิน ทำให้คนยากจะมองแยกแยะจริงเท็จได้ ทำได้เพียงเห็นอย่างพร่าเลือนเท่านั้น

นี่เป็นแค่การมองเพียงคราเดียวเท่านั้น…แต่กลับทำให้สติของกวางน้อยสีขาวแหลกสลาย สิ่งที่เป็นหลักฐานอันดียิ่งกว่าก็คือการเหลือบตามองในครั้งนี้ ทำให้เต๋าเมฆาฟ้าที่อยู่ในร่างของหวังเป่าเล่อเปล่งเสียงระเบิดพลังคำรามลั่นตามเต๋าลมครามมาติดๆ!

เมฆพลันเปลี่ยนรูป ดังภาพมายา!

พริบตานี้เอง เต๋าเมฆาฟ้าก็พลันหลอมรวมพลังได้เก้าส่วนแล้ว!

และในครานี้…เป็นครั้งแรกในการระลึกชาติก่อนๆ ของเขาที่กฎสองชนิดได้รับการหลอมประสานที่รุนแรง!

ส่วนพลังฝึกปรือของเขาก็ทะยานลิ่ว ภายใต้การประสานกฎในครานี้ พลังฝึกปรือระเบิดขึ้นจากเดิมที่ตัวเขาอยู่ระดับดาวพระเคราะห์ชั้นปลายก็พุ่งทะยานอีกระลอก แม้ตัวเขายังมีระดับไม่ถึงขั้นดาวพระเคราะห์สมบูรณ์ แต่พลังในตอนนี้ไม่ต่างกันสักเท่าไรแล้ว!

สามารถกล่าวได้ว่า การยกระดับในครั้งนี้เหนือกว่าครั้งก่อนๆ ของเขามาก อีกทั้งหลังจากเห็นมือข้างนี้แล้ว หวังเป่าเล่อก็ราวกับสัมผัสถึงภาพมายาไร้ลักษณ์ซึ่งเชื่อมต่อเข้ากันกับการระลึกชาติครั้งแรกสุดได้

ห้าชาติ เป็นวัฏจักรหนึ่ง ราวกับเป็นเหตุผลของมัน!

เหตุของทุกสิ่งนี้…ก็คือเด็กสาวนามว่าหวังอีอี อยากจะเขียนหนังสือสักเล่ม ดังนั้นจึงให้ตัวเองเป็นนางเอก จนกระทั่งชาติถัดมา ตนเองที่ควรจะกำเนิดเพื่อเริ่มต้นใหม่ ได้กลายเป็นผู้ถูกทอดทิ้งของแผนการสังหารเทพ นำพาความโกรธแค้นนานัปการมาพบเข้ากับนางอีกครั้ง…

ยามนั้น บางทีนางเองก็คงจะจำเจ้ากวางน้อยสีขาวไม่ได้แล้ว ต่อมาตนก็ได้กลายเป็นดาบที่ไม่เหมือนใครในชาติถัดมา ก็เพราะคำพูดสุดท้ายของนาง อยู่ท่ามกลางคาวโลหิตอย่างเลอะเลือนชาติหนึ่ง ในส่วนชาติถัดมาก็กลายเป็นผีดิบตนหนึ่งท่ามกลางความมืดมิด แหงนหน้ามองฟ้าพร่างดาว เพื่อตามหาแสงสว่าง…

การอยู่เคียงข้างของนางตั้งแต่เริ่มจนจบ จวบจนกระทั่งตนเองสามารถบรรลุความปรารถนาได้ หากใช้ตัวเขาในยามนี้มองกลับไปนั้น เกรงว่าก็คงจะเป็นชาติก่อนที่เป็นมนุษย์ ซึ่งตนได้กลายเป็นผู้สืบทอดแสงสว่างแห่งเผ่าอัคคีเทพ

ในโลกใบนี้ไม่มีนาง แต่มือในยามสุดท้ายนั้น…ช่วยนำพาทุกสิ่งให้ก่อเกิดผลลัพธ์

ท่ามกลางภวังค์ หวังเป่าเล่อค้อมศีรษะลงหยิบชิ้นส่วนหน้ากาก เหม่อมองเนิ่นนาน ในสมองของเขาปรากฏภาพของหลี่หว่านเอ๋อร์ ประโยคที่นางบอกเขา

“แหงนหน้าสามฉื่อมีเทพอยู่งั้นหรือ…” หวังเป่าเล่อปิดตาลง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ประกายตาดูมีความผิดปกติอยู่บ้าง สำหรับสิ่งที่ตนมองเห็นทั้งหมด และได้ประสบทั้งหมดนี้ ะสิ่งที่ได้ยิน เขาไม่ได้เชื่อมันทุกส่วน!

เขาเชื่อเพียงการตัดสินใจของตนเองเท่านั้น!

ทว่าในยามนี้ หลักฐานในการพิเคราะห์นั้นมีที่มาจากสิ่งเดียว ดังนั้นจึงยังไม่พอ

“เช่นนั้นไม่รู้ว่าหลังจากข้าระลึกชาติถัดไปแล้ว จะเป็นเช่นไร…” ดวงตาหวังเป่าเล่อเผยประกายตาแปลกประหลาด เขาเกิดความรู้สึกรอคอยอย่างเงียบๆ เวลารอคอยนั้นไม่นานมาก

เพราะหลังจากเขาตื่นขึ้นมา ใช้เวลาเหม่อลอยไปนานเกินไป ผ่านไปอีกเพียงชั่วยามสุดท้าย หวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงอันแหบพร่านั้นดังก้องในสมองของตนอีกครั้ง

“วันที่หก ชาติที่หก!”

สัมผัสถึงพลังนำทางเหมือนคราก่อน ความรู้สึกที่จมดิ่งนั้นไม่ได้ต่างจากยามก่อนเลยแม้แต่น้อย หมอกรอบด้านเริ่มหมุนวน ทว่า…ยามที่ความรู้สึกนี้ยังคงอยู่และดำเนินไปไม่หยุด สติของหวังเป่าเล่อกลับไม่ได้หายไปเหมือนครั้งก่อนๆ…

สติของเขาแจ่มกระจ่างตั้งแต่เริ่มจนจบ แต่ชาติที่หกซึ่งควรจะปรากฏนั้น ไม่รู้เพราะสาเหตุใดจึงไม่เกิดขึ้น ยามนี้ในหัวของหวังเป่าเล่อปรากฏเพียงความดำมืด…

เป็นความมืดสนิทไร้ที่สิ้นสุด…

เย็นเยียบ มืดไร้เสียง

………………………………………..

ข้าไม่ได้ชอบชื่อนี้นัก

แต่ข้าชอบยามที่นางเอ่ยชื่อของข้า รอยยิ้มบนใบหน้าของนางและนัยน์ตาทรงจันทร์เสี้ยวคู่นั้น หลังจากนั้นวันเวลาถัดมาของข้าก็มีอยู่เพื่อติดตามนางรวมถึงบิดาของนางออกเดินทางท่องโลกใบนี้

หากจะพูดให้ชัดกว่านั้น ที่นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งของโลก ตามที่เด็กหญิงตัวน้อยบอก ที่นี่คือดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ส่วนนอกดาวเคราะห์ไปจะเป็นจักรพิภพ และจักรพิภพนี้มีนามว่า ‘ไท่เฮ่า’

ในส่วนที่ว่าเหตุใดถึงต้องเป็น ‘ไท่เฮ่า’ นั้น เด็กหญิงตัวน้อยตอบข้าว่า…นางคิดว่า บางทีไท่เฮ่าอาจเป็นจิตรกรรายหนึ่ง ดังนั้นนางจึงมายังที่นี่เพื่อหาวัตถุดิบสำหรับเขียนหนังสือ

คำตอบนี้ ทำให้ข้ารู้สึกว่าตรรกะของนางราวกับมีปัญหาอยู่บ้าง แต่ไม่เป็นไร ขอเพียงนางเบิกบานใจก็พอแล้ว ดังนั้นพวกเราจึงเดินทางข้ามเทือกเขา เดินทางข้ามมหาสมุทร มองดูอาทิตย์ขึ้นและลับขอบฟ้า มองดูการสับเปลี่ยนของกลางวันกลางคืน

นางเอ่ยกับข้าถึงความฝันของนาง

“เป๋าเป่า ข้าอยากจะเป็นจิตรกรแหละ”

ข้ามองนางอย่างสงสัยใคร่รู้ ในความทรงจำของข้า ช่วงเริ่มแรกนางเคยบอกไว้ว่า นางอยากเขียนหนังสือ…

“ข้าอยากจะวาดทั้งจักรวาลนี้ลงไป ทุกสิ่งในที่นี้เป็นสิ่งที่ข้าวาดขึ้นมา ดังนั้นข้าอยากจะเดินไปทุกมุมของโลกใบนี้แล้วจดจำทัศนียภาพของมันเอาไว้”

“เป๋าเป่า เจ้ารู้สึกว่าความฝันของข้าเป็นเช่นไร ได้ยินแล้วรู้สึกว่างดงามหรือไม่” เด็กหญิงตัวน้อยคว้าลำคอของข้า แล้วส่งเสียงหัวเราะที่คล้ายกับกระพรวนก็ไม่ปาน ห่างออกไปตะวันยามเช้าเริ่มทอแสงช้าๆ ข้ามองตะวันนั้นแล้วมองเด็กหญิงตัวน้อย ฟังคำพูดของนาง ค่อยๆ สัมผัสได้ว่าฉากนี้งดงามนัก

ข้าคิดว่า หากสามารถวาดภาพทั้งหมดนี้ออกมาได้จะต้องงดงามมากแน่

ดังนั้นข้าจึงพยักหน้าเห็นด้วย แล้วติดตามนางและบิดาต่อไป หลังจากเดินครบทุกมุมของโลกใบนี้แล้ว ข้าก็มองเห็นการต่อสู้ มองเห็นสิ่งอัปลักษณ์ และเรื่องงดงามทั้งหลาย

จนกระทั่งวันหนึ่ง นางพาข้าไปจากดาวเคราะห์ดวงนี้ ในตอนที่จะไป…ข้ากลับขอร้องนางเรื่องเล็กๆ อยู่เรื่องหนึ่ง ข้าอยากจะไปพบพวกสหายเก่าเหล่านั้นของข้าสักครั้ง

ดังนั้นแล้ว ข้าจึงกลับสู่เมืองที่ทุกสิ่งเริ่มต้น ทว่าน่าเสียดาย…ที่นี่ ข้าไม่ได้พบลิงชรา ข้าไม่ได้พบเสือน้อย และไม่เห็นจิ้งจอกอีก

เพราะว่าเมืองนั้นกลายเป็นซากปรักหักพังไปเสียแล้ว หลายปีก่อนหน้านี้ ถูกสงครามทำลายจนราบเป็นหน้ากลอง

ข้ารู้สึกเศร้าเล็กน้อย ข้าคิดว่า…บางทีข้าอาจจะไม่ได้พบเจ้าเสือน้อยอีก และไม่ได้พบลิงชราอีกแล้ว บางทีนางคงมองออกถึงความเศร้าของข้า เด็กหญิงตัวน้อยหันหน้าไปมองบิดาของนาง ชายวัยกลางคนที่ทำให้ข้ารู้สึกกลัวเล็กน้อยมาตลอดคนนั้น

เขาเหมือนชั่งใจคิด หลังจากนั้นก็พาพวกเราไปยังป่าลึกใกล้ๆ แห่งหนึ่ง ข้าจำได้อย่างชัดเจน นั่นก็คือป่าที่ข้าถือกำเนิดในตอนแรก เนิ่นนานมาแล้วมันว่างเปล่า แต่ในยามนี้ ข้าไม่ได้คิดย้อนอะไรมากมายแล้ว เพราะว่าในป่าแห่งนี้ ข้าได้พบกับสหายเหล่านั้นของข้า

ข้ามองเห็นเสือน้อย มันได้กลายเป็นราชาแห่งสัตว์นับร้อยในป่าแล้ว ถือครองบ่อน้ำและน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในป่านั้น มันนั่งอย่างสง่างาม ขัดสมาธิราวกับมนุษย์อยู่ตรงนั้น

ข้ามองเห็นจิ้งจอกเช่นกัน นั่นทำให้ข้าต้องผ่อนลมหายใจ เพราะนางยังไม่โล้นเลี่ยน กลับกันขนบนตัวของนางสีสันสดใสกว่าเก่า ราวกับว่านางจะทำความฝันสำเร็จแล้ว แม้อสูรนับร้อยจะนับถือเจ้าเสือน้อยเป็นราชา แต่บนร่างของอสูรทุกตัวจะมีขนของจิ้งจอกน้อยอยู่ด้วย

สุดท้ายนั้นข้าได้เห็นลิงชรา มันอยู่ในส่วนลึกที่สุดของป่า ที่นั่นเป็นภูเขาไฟลูกหนึ่ง ข้าเห็นมันนั่งขัดสมาธิอยู่บนปล่องภูเขาไฟ รอบด้านนั้นมีเงาร่างพร่าเลือนจำนวนมาก ราวกับกำลังมาอวยพรวันฉลองอายุให้มัน

ข้าไม่ได้ไปรบกวนชีวิตของพวกเขาอีก ข้าได้แต่มองทักทายพวกเขาเงียบๆ จากระยะไกล แล้วก็หันไปมองเด็กหญิงตัวน้อยด้วยความเบิกบาน จากนั้นพวกเราก็ออกจากดาวดวงนี้ไปสู่จักรวาล

หลายวันหลังจากนั้น สำหรับข้าแล้วก็เหมือนเป็นการเดินทางอีกรอบหนึ่ง ข้ากับเด็กหญิงตัวน้อย แล้วยังมีบิดาของนาง พวกเราเดินทางอยู่ในจักรวาล เดินทางจากดาวดวงหนึ่งไปสู่อีกดวงหนึ่ง ธรรมเนียมของแต่ละดวงที่แตกต่าง เผ่าพันธุ์ที่ไม่เหมือนกัน กล่าวได้ว่าพบเห็นดาวเคราะห์ประหลาดนับร้อยพันดวง

ข้าเหลือรอยประทับเอาไว้ในทุกๆ ดาวเคราะห์ ทิ้งร่องรอยแห่งเสียงหัวใจ ความเบิกบานใจของเด็กหญิงตัวน้อย และทิ้งความทรงจำของพวกเราเอาไว้ ราวกับว่าเวลาที่เคลื่อนผ่านนั้นเป็นนิจนิรันดร์สำหรับพวกเรา นางก็ยังคงรูปลักษณ์เป็นเด็กหญิงตัวน้อย นิสัยเองก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้น ตัวข้าเองก็เหมือนกัน

มีบางเวลาในช่วงกลางคืน นางจะเอ่ยถึงความฝันของนางกับข้า ทุกครั้งความฝันของนางต้องเปลี่ยนไปอย่างหนึ่ง…

“ข้าไม่อยากเป็นจิตรกรแล้ว ข้าอยากเป็นนักแสดง!”.ไอรีนโนเวล.

“นักแสดงเองก็ไม่ดี เป๋าเป่า ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะเป็นหมอ ข้าจะช่วยรักษาคนบาดเจ็บล้มตาย!”

“เป็นหมอเหนื่อยเกินไป เอาแบบนี้เป๋าเป่า พวกเราเปลี่ยนสักหน่อย ข้าจะกลายเป็นบัณฑิต บัณฑิตที่รู้ทุกสิ่ง เจ้ารู้สึกว่าอย่างไร?”

ก็เป็นเช่นนี้ ท่ามกลางความฝันที่เปลี่ยนไปไม่หยุดของนาง ไม่อาจทราบได้ว่าเวลาไหลผ่านไปนานเท่าไร พวกเราเหมือนจะเดินทางไปยังดวงดาวในอาณาจักรนี้ได้ประมาณเก้าส่วนแล้ว ราวกับว่าจักรพิภพนี้ในสายตานาง ไม่เหลือความลับอีกต่อไป ความฝันของนางก็เริ่มเปลี่ยนอีกครั้ง

“เป๋าเป่า ครั้งนี้ข้าตั้งใจจริงแล้วนะ!”

“ข้าจะทำความตั้งใจดั้งเดิม ข้าจะกลายเป็นนักเขียน จะเขียนหนังสือ…ตัวเอกของหนังสือก็เป็นเจ้าไง!”

“ข้า?” ข้าเหม่อมองเด็กหญิงตัวน้อย

“ถูกแล้ว เป็นเจ้า ชื่อของจักรวาลนี้ก็ต้องเปลี่ยนแล้ว ไม่เรียกว่าไท่เฮ่าอีก ชื่อนี้ไม่น่าฟังเลย ควรจะเป็นชื่อ…เป๋าเป่า โลกของเป๋าเป่า จักรพิภพเป๋าเป่า” กล่าวถึงตรงนี้ เด็กหญิงตัวน้อยโอบรอบลำคอของข้าอย่างตื่นเต้นยินดี เผยเสียงหัวเราะเบิกบานออกมา

“ก็เป็นแบบนี้ นี่คือโลกของเป๋าเป่า และเป็นเพลงกล่อมเด็กของข้าหวังอีอี!”

ข้าใช้ลิ้นเลียแก้มของนาง ไม่ได้สนใจคำพูดของนาง ในความคิดของข้านั้น บางทีในอีกหลายปีนี้ ความฝันของนางก็จะเปลี่ยนอีก

แต่ข้ากลับไม่คิดเลยว่า ช่วงเวลาหลังจากนั้นจนกระทั่งพวกเราท่องเที่ยวในเขตสุดท้ายของจักรพิภพเสร็จสิ้น ความฝันของนางกลับไม่ได้เปลี่ยน นางกลับเล่าให้ข้าฟังถึงเรื่องที่นางกำลังจะแต่ง

เรื่องราวนี้เรียบง่ายนัก ก็คือหลังจากข้าพบกับนางแล้วพวกเราก็เดินทางไปดูทุกสิ่ง บางทีเพราะว่าข้าเป็นตัวเอกของเรื่อง ดังนั้นข้าจึงฟังนางอย่างสนุกสนาน

และเมื่อถึงตอนนั้น บิดาของนาง ชายวัยกลางคนผมขาวจะยืนอย่างอ่อนโยนอยู่ข้างๆ เสมอ เขาลูบศีรษะของเด็กหญิงตัวน้อย สายตาและบรรยากาศนั้นเต็มไปด้วยความรักถนอมลึกซึ้ง ราวกับว่าเพื่อความสุขของบุตรสาวนี้เขาไม่เสียดายทุกสิ่ง

ข้าเองก็คิดว่า ชีวิตเช่นนี้ก็คงจะเป็นชีวิตของข้าไปจนวาระสุดท้าย แต่กระทั่งวันหนึ่ง…นางขึ้นขี่บนหลังของข้า ในยามที่ข้าทะยานอยู่กลางอวกาศนั้น ข้าพลันสัมผัสได้ว่าร่างอันเล็กจ้อยของนางค่อยๆ เย็นลงทีละน้อย

ความเย็นเยียบนี้ ทำให้ข้าตื่นตระหนก เพราะความเย็นเยียบเช่นนี้ ตอนข้าเป็นเด็กเคยสัมผัสผ่านร่างอสูรวิเศษตนอื่นมาก่อน ตามที่ลิงชราอธิบายเอาไว้ในปีนั้น ข้าทราบดีว่านี่คือการจากไป การกลับสู่ความว่างเปล่า หรือที่เรียกกันว่าความตาย

ดังนั้นข้าจึงหยุดฝีเท้าด้วยความกลัว ร่างของนางเหมือนจะสิ้นลมหายใจแล้วไถลลื่นลงมาจากตัวข้า

ข้าหันกายไปอย่างหวาดผวาแล้วมองดูเด็กหญิงตัวน้อยใบหน้าซีดขาว ข้าใช้ลิ้นเลียแก้มของนางหลายครั้ง คิดจะปลุกนางแต่กลับไม่มีประโยชน์อันใด และในยามที่ข้าเงยหน้าขึ้นมองบิดาของนางอย่างร้อนใจนั้น ดวงตาของชายวัยกลางคนดังกล่าวเผยความเจ็บปวดเสียใจ

ความเจ็บปวดนี้ทำให้ร่างของข้าสั่นสะท้าน

ทว่าในยามที่…เขายกมือขึ้นลูบหัวของเด็กหญิงตัวน้อยนั้น ดวงตาของนางก็ค่อยๆ เปิดออก ราวกับตื่นขึ้นมาแล้วนางยังมีอาการง่วงงุนเล็กน้อย นางเอ่ยพึมพำเสียงเบา

“เป๋าเป่าอย่าวุ่นวาย ข้าง่วงนิดหน่อย รอข้าตื่นแล้ว ข้าจะเล่นกับเจ้า ให้ข้า…นอนสักหน่อย นอนสักงีบก็คงดีแล้ว”

เสียงของนางแผ่วเบามาก จนกระทั่งสัมผัสเย็นเยียบนั้นกลับมาอีกครั้ง บิดาของนางอุ้มนางขึ้นมาเบาๆ เขามองไปยังทิศทางไกลแสนไกล แล้วค่อยๆ เดินจากไป

ข้ามองดูเงาร่างของเขา มองดูเงาหลังนี้หลอมเข้ากับเงาร่างของเด็กหญิง ความรู้สึกที่ไม่อาจบรรยายได้ขุมหนึ่งก็พลันปรากฏในหัวใจของข้า ราวกับว่า…ข้าได้สูญเสียบางอย่าง

“ป่วยอย่างนั้นหรือ…” ข้าพึมพำไร้จุดหมาย ก้มหน้ามองทรวงอกของตนเอง ดวงตาของข้าพลันทอประกายอีกครั้ง ข้าคิดออกแล้ว…ที่เผ่าของข้าถูกตามล่านั้นมีเหตุผลหนึ่งอยู่ เหมือนกับว่าเลือดหัวใจของพวกข้า สามารถรักษาอาการป่วยได้

“ถูกแล้ว เลือดหัวใจของข้า รักษาโรคได้!” คิดถึงตรงจุดนี้ ข้าก็รีบเงยหน้าขึ้น มองดูเงาร่างที่ค่อยๆ ห่างออกไป ข้าพยายามห้อตะบึง คิดจะตามไป…

เพียงแต่ว่า ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ก้าวเท้ากว้างและไม่ได้เดินเร็วมากนัก แต่ข้ากลับตามไม่ทัน ข้าเพียงเห็นเขาค่อยๆ เดินจากไปไกล นั่นทำให้ข้ากังวลมาก ข้าพยายามวิ่งไล่ตาม ข้าคิดถึงยามที่เกิดมา คิดไปถึงฉากที่ฝูงของข้าทอดทิ้ง ข้าในเวลานั้นไม่กล้าห้อตะบึงสุดแรงเพราะเกรงว่าข้าเสียงฝีเท้าของข้าจะไปล่อความสนใจจากพวกนักล่า

แต่ในยามนี้ ข้าไม่อ่อนแออีกแล้ว ในยามนี้ ข้าไม่ขลาดเขลาอีกแล้ว ในยามนี้ ข้าไม่กลัวอีกแล้ว เพราะว่าเลือดหัวใจของข้าสามารถรักษาโรคได้ เพราะว่าข้าไม่อยากสูญเสีย…เสียงหัวเราะของนางที่อยู่เคียงข้างข้ามาทั้งชีวิต

ดังนั้นแล้ว ความเร็วของข้าก็ยิ่งทวีมากขึ้น ในสมองของข้าก็ยิ่งขาวโพลน ในนั้นมีความคิดเดียว ข้าต้องตามให้ทัน!

ข้ากระโจนข้ามดาวเคราะห์แต่ละดวง ข้าแหวกว่ายข้ามธาราดวงดาว มุ่งหน้าไปยังเงาหลังห่างไกลนั้น วิ่งไม่หยุด ข้าไม่รู้ว่าวิ่งมานานเท่าไร จนกระทั่งรอบด้านไร้ดวงดาว จนกระทั่งทั้งจักรวาลเริ่มดูพร่าเลือน จนกระทั่งเบื้องหน้าของข้า คล้ายกับว่าจะมีทางสิ้นสุด!

ข้าไม่ได้ลังเล ข้าใช้แรงกำลังทั้งหมด ต่อให้สติจะเริ่มแตกซ่าน ต่อให้ร่างกายข้าเริ่มสูญสลายไป แต่ข้าก็ยัง…มุ่งหน้าไปหาจุดสิ้นสุดนั้น แล้วชนเข้าไป!

เสียงนั้นเป็นเสียงที่ข้าไม่รู้จะอธิบายเช่นไร แต่มันกังวานอยู่ในหูของข้า ร่างกายของข้าพังทลายแล้ว สติของข้าก็ดับสูญ แต่ในชั่วพริบตานั้น ราวกับว่าข้าผ่านพ้นกำแพงนั้นมา ราวกับว่าข้าพบโลกอันแสนอัศจรรย์ ข้าราวกับว่า…แหงนหน้าขึ้นไปสามฉื่อ แล้วเห็นอะไรบางอย่าง…

“ข้ามองเห็นอะไรนะ…” จักรพิภพดาราไม่รู้สิ้น ท่ามกลางหมอกของดาวชะตา หวังเป่าเล่อเปิดตาทั้งสองขึ้นอย่างมึนงง พึมพำเสียงเบา

………………………………………………………………

ข้าถือกำเนิดในวันที่เมฆาบนท้องนภาร่วงหล่น

ท่านแม่ของข้าบอกข้าว่า ในวันนั้นท้องนภามีเพลิงลุกท่วมเผาเหล่าเมฆ เปลี่ยนท้องฟ้าให้กลายเป็นดั่งทะเลเพลิงก็ไม่ปาน

ในวันนั้นเผ่าของข้าล้วนตายไปกว่าครึ่ง นั่นคือวันที่ข้าเกิดมา

ข้าไม่มีชื่อ ในฝูงของข้านั้น ชื่อเป็นเสมือนสิ่งที่ไร้ประโยชน์ เพราะที่มีประโยชน์…มีเพียงว่าจะอยู่รอดในโลกอันโหดร้ายนี้ต่อไปอย่างไรเท่านั้น!

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด พวกข้าที่ไม่ฆ่าสิ่งมีชีวิต กลับกลายเป็นเหยื่อที่ถูกล่าโดยผู้อื่นเสียแทน เผ่ามนุษย์ชอบล่าพวกข้า ถลกหนังของพวกข้าแล้วเอาไปทำเสื้อผ้าของพวกมัน

เลือดที่ติดอยู่บนหนังนั้นล้างออกได้ แต่กลิ่นอายความตายใต้ร่มผ้าจะชะล้างได้หรือ…

พวกมันหักเขาของพวกข้า แล้วเอาไปทำสิ่งที่เรียกว่าของที่ระลึก

แต่พวกข้าที่อ่อนแอและเล็กกระจ้อยร้อยจะมีคุณสมบัติกลายเป็นของที่ระลึกได้เช่นไร?

พวกมันดื่มกินเลือดของพวกข้าราวกับว่าสิ่งนั้นจะสามารถรักษาอาการเจ็บไข้ของพวกมันได้

กริชที่ใช้แทงทะลุหัวใจของพวกข้าจนปล่อยให้โลหิตอุ่นร้อนไหลออกมาเพื่อแลกกับการรักษาชีวิตพวกมัน ทั้งหมดนี้แลกมาด้วยชีวิตของพวกข้า!

ดังนั้นตั้งแต่ที่เกิดมา ข้าก็กลัวมาตลอด หลบซ่อนมาตลอด บางครั้งยังต้องอยู่อย่างระแวดระวัง แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่เพียงพอ…เพราะว่าบนโลกนี้เป็นของความแข็งแกร่ง เป็นของเหล่ามนุษย์ และเป็นของเหล่าปราการแห่งเมืองซึ่งถูกต่อขยายออกไปอย่างยิ่งใหญ่เหล่านั้น

และเป็นเพราะว่าตัวข้าค่อนข้างจะพิเศษอยู่บ้าง ขนบนตัวของข้าเป็นสีขาวไม่เหมือนกับขนของตัวอื่นๆ ในเผ่า เขาของข้าก็เป็นสีขาว กระทั่งดวงตาของข้าเองก็เป็นเช่นเดียวกัน!

ส่วนที่ไม่เหมือนกันเหล่านี้ หลังจากสังเกตพบเป็นคราแรก นั่นก็นำพาเคราะห์ร้ายมาให้ข้าไม่หยุดหย่อน…

เพราะคราวเคราะห์ครั้งแรกทำให้ข้าได้เข้าใจ วันที่ข้าเกิดมานั้น สาเหตุของเพลิงบนท้องฟ้าที่ท่านแม่เล่าให้ข้าฟังก็คืออาวุธชิ้นหนึ่ง ตามที่เล่ามา…สิ่งนั้นเป็นอาวุธที่สามารถทำลายโลกใบนี้ได้

การได้ล่วงรู้เรื่องนี้ หนึ่งเป็นเพราะข้าไม่อาจหลีกหนีการจัดสรรของชะตาได้ คราวเคราะห์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ก็คือทั้งฝูงตัดสินใจละทิ้งข้า ท่านแม่ละทิ้งข้าเพราะการมีอยู่ของข้าคล้ายจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งเผ่าสิ้นสูญ

ข้าคิดอยากวิ่งตะบึงไล่ตามพวกเขากลับไปแต่ข้าก็ไม่กล้า…เพราะตั้งแต่ที่เกิดมาข้าก็ระมัดระวังตัวมาตลอด ดังนั้นข้าจึงไม่กล้าตะโกนเสียงดัง และไม่กล้าวิ่งด้วยความเร็วนัก ด้วยเกรงว่าเสียงห้อตะบึงของข้าอาจทำให้ข้าตกสู่อันตรายมากกว่าเก่า

กระทั่งหลังจากถูกทอดทิ้งแล้ว ข้าก็ได้กลายเป็นของรางวัลชนะศึกของผู้ที่ไม่รู้จักชื่อคนหนึ่ง

สิ่งที่เขาต้องการไม่ใช่หนังที่มีกลิ่นอายความตาย ไม่ต้องการเลือดอุ่นๆ จากข้า ทว่าเป็นตัวข้า ตัวเป็นๆ ในฐานะของขวัญชิ้นหนึ่งซึ่งเขาหมายจะส่งมอบให้แก่เจ้าเมือง

ดังนั้น…หลังจากหิวโหยอยู่เนิ่นนาน ข้าก็ถูกส่งเข้าใจกลางเมือง ได้กลายเป็นหนึ่งในอสูรวิเศษที่อยู่หลังจวนเจ้าเมือง

บางครั้งข้าก็คิดว่าข้าโชคดีแล้ว แม้ข้าจะสิ้นไร้อิสรภาพสูญเสียฝูงไปแล้วถูกชุบเลี้ยงอยู่ที่นี่ แต่ข้าในที่นี้ไม่ต้องหลบซ่อน ไม่ต้องหวาดกลัว และไม่ต้องหาเวลาหลบหนี นอกจากนี้แล้ว…ข้าในที่นี้ยังมีสหายอยู่อีกกลุ่มหนึ่งด้วย

ในบรรดาสหายของข้า มีลิงชราแสนฉลาด เสือน้อยที่ยั่วยุง่าย แล้วยังมีจิ้งจอกเปี่ยมเสน่ห์ ส่วนตัวอื่นๆ นั้น…ข้าไม่ชอบเพราะพวกมันดุเกินไป

ลิงชรานั้นประหลาดอย่างยิ่ง มันแก่มาก แก่จนกระทั่งทั้งตัวมีแต่รอยยับย่น มันชอบนั่งขัดสมาธิอยู่บนภูเขาจำลอง ชอบเหวี่ยงหินไปรอบด้าน ในทุกๆ วัน แน่นอนวันหนึ่งในแต่ละปี จะชอบเรียกให้พวกเราฉลองวันเกิดให้มัน

มันบอกว่า นี่คือการฉลองอายุ

แต่เหมือนกับว่ามันอยู่ที่นี่มานานมาก มากจริงๆ ราวกับว่ามันรู้เรื่องราวต่างๆ มากมาย มันกลายเป็นผู้ที่รู้ทุกสิ่งในสวนหลังจวนนี้

ทว่าเสือน้อยไม่เหมือนกับมัน เสือน้อยชอบวิวาท ชอบทำตัวราวกับอยากจะเป็นผู้ปกครองหลังจวน แต่เพราะการมีอยู่ของมันทำให้ข้าอยู่ที่นี่ได้โดยไม่มีคนรังแก ในเวลาเดียวกันตัวมันก็มีงานอดิเรกอยู่อย่างหนึ่ง มันชอบน้ำมาก มันเคยบอกไว้ว่า หากมันแก่แล้วสามารถฝังร่างเอาไว้ใต้ตาน้ำพุล่ะก็…เช่นนั้นคงไม่เลวทีเดียว

ในส่วนของเจ้าจิ้งจอก…แม้ว่าจะเป็นสหาย แต่ข้าก็ไม่ชอบบางอย่างในตัวนาง นางเป็นผู้ที่มาที่นี่หลังจากข้า มาที่นี่แล้ว นางชอบเอาขนของตนเองส่งให้อสูรวิเศษตนอื่น และทุกครั้งนั้นเหล่าอสูรที่ได้ขนของนางไปก็ดูดีใจมาก.ไอรีนโนเวล.

แต่ข้าเป็นกังวลเพราะสักวันนางคงจะโล้นเลี่ยนทั้งตัว นอกจากนั้นข้ายังพบความลับของนางอีกอย่าง เจ้าพวกที่ได้ขนของนางไปมากที่สุด กลับตายไปอย่างไร้ร่องรอยหลังจากนั้นไม่นาน

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเราเป็นสหายกัน ดังนั้นหากนางส่งขนของนางให้ข้า ข้าก็ไม่ต้องการล่ะ

ตอนแรกข้าเคยคิดว่า ในชีวิตนี้ของข้าบางทีอาจจะอยู่ในจวนนี้จนกว่าจะดับสลายและอาจจะมีสักวันหนึ่ง ข้าก็จะได้กลายเป็นผู้รอบรู้เหมือนเจ้าลิงชรา จนกระทั่งข้าพบกับ…นาง

นั่นคือเด็กผู้หญิงตัวน้อย อายุประมาณสามขวบห้าขวบเห็นจะได้ สีหน้าท่าทางน่ารักอยู่บ้าง นางชอบวางท่าราวผู้ใหญ่ เพียงแค่ว่า…มันดูน่ารักน่าชังนัก

อีกทั้งดวงตาของนางส่องสว่างนัก ราวกับดวงดาว

ข้างกายนางมีชายวัยกลางคนที่ผมขาวเต็มศีรษะผู้หนึ่ง พวกเขาสวมเสื้อผ้าไม่เหมือนกับคนบนโลกนี้ ข้าไม่รู้ว่าควรจะบรรยายเช่นไร แต่ลิงชราที่ฉลาดที่สุดในหลังจวนบอกแก่ข้าว่า คนพวกนี้เรียกว่า ‘เซียน’

ข้าไม่รู้ว่าอะไรคือเซียน แต่ข้าทราบว่า หลังจากที่ชายวัยกลางคนนั้นมาถึง เจ้าเมืองที่ในสายตาข้าเป็นเหมือนดังฟ้าก็ไม่ปาน พลันคุกเข่าลงตัวสั่นสะท้าน กระทำตนเยี่ยงทาส

นี่ก็อาจไม่นับว่าเท่าไร แต่หากเขายอมนั่งคุกเข่าอยู่ตรงนั้น เช่นนั้นสถานภาพของเหล่าเจ้าเมืองที่เหลือทั้งหมดบนโลกนี้…ก็จะเปลี่ยนไป

“บุตรสาวของข้า อยากจะเขียนหนังสือเล่มหนึ่ง ดังนั้นข้าจึงพานางมาที่นี่ ลองหาวัตถุดิบดู” นี่คือคำพูดที่ชายผมขาวผู้นั้นกล่าวกับเจ้าเมืองที่โค้งคำนับไม่หยุด

ข้าเข้าใจว่าหนังสือคือสิ่งใด แต่วัตถุดิบนี่หมายความว่าอะไรกัน ข้าไม่เข้าใจแต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ลิงชราผู้รอบรู้อธิบายทุกสิ่งแก่ข้าได้ แต่น่าเสียดาย…ไม่ว่าจะข้าจะพยายามมองไปยังเด็กหญิงตัวน้อยมากขนาดไหน ทว่านางที่เดินผ่านสวนนี้ ไม่สนใจการมีตัวตนของข้าเลยสักนิด

นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราได้พบกัน และเป็นจุดเริ่มต้นของการเคียงข้างกันหนึ่งชีวิต เพราะว่าเด็กหญิงตัวน้อยที่ข้าคิดว่าหายไปจากสายตาข้าแล้วนั้น กลับล้มลงระหว่างที่กระโดดโลดเต้นและวิ่งอย่างร่าเริงคราหนึ่ง

บิดาของนางไม่ได้เข้ามาช่วยพยุง แต่กลับจ้องมองนางอย่างอบอุ่น มองดูเด็กสาวตัวน้อยลุกขึ้นมาด้วยตนเอง แต่ข้าในยามนั้นไม่รู้เพราะพลังอะไรผลักดันหรือบางทีเพราะกายของเด็กหญิงตัวน้อยบริสุทธ์มาก หรืออาจเพราะเห็นน้ำตาของนางที่ฝืนกลั้นเอาไว้หลังจากลุกขึ้นมา แต่ก็ไม่สำเร็จ

ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเดินเข้าไปท่ามกลางความตกใจของเหล่าสหายและท่ามกลางความตื่นตะลึงของเจ้าเมือง ข้าเดินมาข้างกายนางแล้วเลียน้ำตาจากหางตาของนาง

ราวกับว่าลิ้นของข้าทำให้นางรู้สึกจั๊กจี้ ดังนั้นเด็กหญิงตัวน้อยจึงส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ดวงตาเผยประกายสงสัย นางใช้มือเล็กๆ นั่นคว้าเอาขนบนศีรษะของข้าเอาไว้

นี่ช่างสบายยิ่งนัก

“ท่านพ่อ กวางน้อยสีขาวตัวนี้มอบให้ข้าได้หรือไม่?” เด็กหญิงหันหน้ามองไปยังชายผมขาวนั้น ข้าเองก็หันไปมองเช่นกัน

จากสายตาของชายกลางคนผมขาว ข้าเห็นเงาร่างของตนเอง กวางเยาว์วัยสีขาวตัวหนึ่ง

นี่ก็คือข้า บางทีการที่เกิดมาในยามนั้นตัวข้าคงได้รับผลกระทบจากอาวุธ ตัวข้า…หลังจากเติบโตระยะหนึ่งแล้ว ก็หยุดการเจริญเติบโตและคงอยู่ในรูปลักษณ์เยาว์วัยเช่นนี้ตลอดมา

แต่ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใด นัยน์ตาของชายวัยกลางคนผมขาวราวกับแฝงด้วยความคิดอย่างอื่นอยู่ ข้าไม่รู้ว่าคือสิ่งใด แต่ไม่สำคัญ เพราะเขาพยักหน้าแล้ว

และนี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ที่ข้าเข้ามาในจวนแห่งนี้ ข้าได้ออกจากที่นี่

ตอนที่จากไป ข้าบอกลาลิงชรา ข้าบอกเขาว่า งานฉลองอายุคราวหน้าข้าอาจจะไม่กลับมา ลิงชราเอ่ยว่าไม่เป็นไร พวกเรายังจะได้พบกันอีก

ถึงแม้ว่าลิงชราจะกล่าวเช่นนี้ แต่ประกายตาของมันลึกล้ำนัก ราวกับว่ามันมองเห็นอนาคต อันไกลแสนไกล…ทว่าข้าไม่ได้สนใจ เพราะข้ารู้ว่าสายตาของมันไม่ค่อยดีนัก

ในส่วนของเสือน้อย เจ้านี่ไปสู้กับผู้อื่นอีกแล้ว ดังนั้นข้าจึงไม่อาจบอกลามันได้สำเร็จ แต่ทางจิ้งจอกนั้นกลับร่ำไห้ ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่ข้ากำลังจะจากไป นางมอบขนของนางแก่ข้าแต่ข้ากลับไม่รับไว้ ดังนั้นนางจึงยิ่งร้องไห้เสียใจยกใหญ่

แต่ข้าไม่ปวดใจ เพราะว่าตอนออกจากจวนเจ้าเมืองได้ติดตามเด็กหญิงตัวน้อยและบิดาของนาง ข้าที่ได้เดินทางออกท่องโลก ตอนนี้มีชื่อแล้ว

“เจ้ากวางขาวตัวน้อย ข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าแล้วกัน เจ้าจงชื่อ…เสี่ยวป๋ายป๋าย!”

ข้าชอบชื่อนี้อย่างมาก กำลังจะพยักหน้า แต่บิดาของนางที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็เอ่ยขัด

“ไม่ได้”

“ทำไมเล่าท่านพ่อ”

“…” ชายวัยกลางคนไม่ได้เอ่ยอะไร แต่เด็กหญิงตัวน้อยถามไม่หยุด จนสุดท้ายเขาก็เอ่ยอย่างเสียไม่ได้คราหนึ่ง

“เพราะว่าพ่อไม่ชอบคำว่า ‘ป๋าย’ คำนี้”

“งั้นชื่อเป๋าเป่าเถอะ” เด็กหญิงทำปากยื่น แต่ไม่นานก็คิดชื่อใหม่ทันที นางจับหัวของข้าแล้วปากของนางก็พูดไม่หยุด

ดังนั้น ข้าก็เลยมีชื่อ ชื่อของข้าคือ ‘เป๋าเป่า’

………………………………………………………………….

“ทำไมข้าถึงได้ซวยนัก!” ในใจเฉินหานแทบคลั่ง เขาหนีหัวซุกหัวซุนเร็วกว่าเก่า ความเร็วของเขาแม้จะมากแต่หวังเป่าเล่อที่ไล่หลังมานั้นกลับมีความเร็วที่สูงกว่า การไล่ตามซึ่งดำเนินต่อเนื่องไม่หยุดยั้งทำให้หมอกรอบด้านหมุนคว้างรุนแรงขึ้น เพราะเครื่องสังหารกำหนดเป้าหมายแล้ว เหตุการณ์นี้ทำให้ไอสังหารของเฉินหานที่แผ่ออกมานี้กำลังจะระเบิดร่างของตนเอง

“เจ้านี่…วิปลาสไปแล้ว!!” เฉินหานหนังศีรษะชาดิก เขารู้สึกเพียงว่าร่างกายของตนเองเจ็บแปลบ แรงสังหารยังกระทบจิตวิญญาณของเขากลายๆ กระทั่งเขามีความรู้สึกว่า สิ่งที่โจมตีใส่ตนเองอยู่นี้มิใช่มนุษย์ธรรมดา แต่เจ้านี่คือแสง โลหิต และพลังกลืนกินที่ไร้ขีดจำกัด

ไม่เช่นนั้นล่ะก็ ทำไมร่างกายของตนจึงเจ็บปวดเหมือนถูกแสงหลอมร่าง ทำไมเขาไม่อาจคุมโลหิตในร่างตนเองได้ ราวกับว่าโลหิตในร่างถูกปราณด้านหลังชักนำ และราวกับว่าเส้นเลือดทั้งหมดของเขาจะกลับย้อนเป็นเนื้อเดียวกัน เห็นได้ชัดว่า…เขาและหวังเป่าเล่อนั้นมาจากคนละเผ่าพันธุ์จริงๆ

ไม่เช่นนั้นล่ะก็ นอกจากความรู้สึกทางโลหิตและลำแสงที่ว่าแล้ว เขายังสัมผัสถึงขุมพลังกลืนกินอีกอย่างที่สำแดงพลังไม่หยุดขนาดว่าเขาใช้ความเร็วระดับยอดของตนแล้วก็ตาม ก็ยังไม่อาจสลัดหวังเป่าเล่อได้พ้น

“ว๊ากกกกก!! มองเห็นเครื่องสังหารด้านหลังยิ่งเคลื่อนที่เข้ามาใกล้เท่าไร ในใจของเฉินหานก็รู้สึกทุกข์ระทมเท่านั้น

“สวี่อินหลินเป็นคนต้นคิด ทำไมเจ้าไม่ไปตามนาง! เจ้าหนูจากเต๋าเก้ารัฐนั่นเป็นคนลงมือคนแรก ทำไมเจ้าไม่ไปตามเขา แล้วยังมีเจ้าชายอันธพาล นายน้อยลำดับเก้าของราชันเทวะไกก้านั่นด้วย ไอ้หมอนั่นยโสโอหัง เจ้าไปเล่นงานมันสิ!”

“ทำไมมาไล่ตามข้าเล่า ตามข้ามาทำไม เจ้าคิดจะรังแกคนซื่อๆ อย่างนั้นหรือ!!”

“หนวกหู!” หวังเป่าเล่อเสียงเย็นชาตอบกลับ อีกทั้งยังเพิ่มพลังปราณถึงขีดสุด ในชั่วพริบตาแห่งเสียงคำราม ภายในหมอกคนทั้งสองซึ่งไล่กวดหน้าหลังต่างใช้ความเร็วของตนถึงขีดสุด เสียงลมหวีดหวิวดังกระจายทั่ว ลมเหล่านี้ไม่ได้หอบกระจายไปยังสถานที่ห่างไกลใด เพียงแต่พากันพัดหมุนอยู่รอบด้านทั้งสองด้วยความรวดเร็วมากขึ้น

เสมือนกับว่าไอหมอกทั้งหลายเหล่านี้ก็ไม่อาจจะหยุดเงาร่างของทั้งสองคนนี้ได้ แม้กระทั่งพวกผู้เข้าทดสอบที่เหลือซึ่งยืนอยู่ใกล้กับสถานที่ที่พวกเขาวิ่งผ่าน เมื่อพบเห็นพวกเขาเข้า คนเหล่านี้ก็แสดงสีหน้าแข็งค้าง พร้อมใจกันหลีกทางให้

แท้จริงแล้วเป็นเพราะพวกเขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังที่ส่งมาในหมอก คลื่นพลังนั้นน่าหวาดผวาอย่างยิ่ง!

ถัดมาหลังจากชั่วเสียงคำราม แว่วเสียงร้องของเฉินหานดังลอดมาจากในหมอก เสียงกรีดร้องนี้น่าเวทนาสุดขีด ทำให้เหล่าคนรอบด้านที่ได้ยินล้วนทยอยกันวิ่งหนี ตัวเฉินหานในยามนี้มือพิการไปข้างหนึ่งแล้ว…

เขาเลือกใช้วิชาระเบิดอวัยวะตนเอง แม้วิชานี้จะแลกมาด้วยการเพิ่มความแข็งแกร่งอย่างรวดเร็ว แต่ภายหลังใช้จะก่อสภาวะอ่อนแรงหนักให้แก่ผู้ใช้ ยิ่งไปกว่านั้นคือความเจ็บปวดระดับสูงสุด เช่นนี้ทำให้เฉินหานต้องกรีดร้องโหยหวน

ยามนี้หลังจากเขาเสียแขนไปหนึ่งข้าง เขาก็ทวีความเร็วเพิ่มขึ้นอีกจนสุดท้ายแล้วจึงฝืนทำระยะห่างออกมาได้ส่วนหนึ่ง เฉินหานเกือบจะร้องไห้แล้วจริงๆ เขารู้สึกว่าตนเองโชคดีมาตลอดแต่คล้ายว่าหลังจากเจอหวังเป่าเล่อทุกอย่างก็กลับตาลปัตร

“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…ทุกคนล้วนระลึกชาติก่อนได้ แล้วทำไมเจ้าวิปริตมันถึงแข็งแกร่งปานนี้ ชาติก่อนของมันคืออะไรกันแน่!” เฉินหานเริ่มรู้สึกสงสัยต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องมีตรงไหนสักที่ที่มีปัญหาแน่ ไม่เช่นนั้นล่ะก็ ผู้ที่ดวงชะตาดีเลิศเช่นเขา เหตุใดถึงพ่ายแพ้ได้ เมื่อเฉินหานหวนคิดถึงตัวเขาเองในโลกก่อนหน้า เขาก็ยิ่งอยากร้องไห้

“ชาติที่หนึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ถูกเผ่าเทพเหยียบตาย ชาติที่สองเป็นคนธรรมดาถูกผีดิบกัดตาย ชาติที่สามคนก็ไม่ใช่ เป็นดอกไม้ดอกหนึ่ง ชาติที่สี่ยิ่งแล้วใหญ่ ข้ากลายเป็นแบคทีเรียในลำไส้ของคนอื่น!!!”

“คนอย่างข้าเฉินหาน ตอนเจ็ดขวบก็ได้รับการการอวยยศจากผู้อาวุโส ยามเริ่มแรกข้าก็ได้รับฐานะมหาศิษย์แห่งเต๋าจากสวรรค์ บากบั่นจนได้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพ เพื่อจะโจมตีเขตจักรพิภพที่สามข้าก็ยอมเกิดใหม่อีกครั้ง หลังจากนั้นพออายุสิบสี่วิถีเต๋าสวรรค์แต่ละชิ้นส่วนก็หลอมรวมสู่ร่างของข้า…และหลังจากเกิดใหม่ครั้งที่สาม พอข้าอายุยี่สิบเอ็ดปีก็จับเส้นทางแห่งกฎได้ ทำให้ตนเองแข็งแกร่งกว่าเก่า…”

“เพื่อที่จะทลายเขตจักรพิภพ ข้าก็ยอมเกิดใหม่อีกหน คราวนี้พออายุยี่สิบแปดปีก็พบเข้ากับโลหิตศักดิ์สิทธิ์เหมันต์ที่หาได้ยาก ทำให้คุณสมบัติวิญญาณเปลี่ยน…ส่วนการเกิดใหม่ยามนี้ ข้าเคยคาดเดาว่า ในตอนที่ข้าอายุสามสิบห้าปี ก็จะได้ถือครองมหาวิถีเต๋าของชาติก่อน ข้าในปีนี้อายุสามสิบห้า…” เฉินหานยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ใจ ยิ่งไขว่คว้า ไม่ว่าเขาจะทุกข์ใจหรือดิ้นรนมากแค่ไหน ก็ไม่ได้ช่วยเรื่องที่อยู่ตรงหน้าเขาเลย…

เพียงเวลาไม่นาน เสียงคำรามก็ดังอีกครั้ง!

ในครานี้ เฉินหานเสียแขนอีกข้างไป…

การโจมตียังคงดำเนินต่อ…ครึ่งก้านธูปให้หลัง หลังจากเสียงดังก้องนั้นสะท้อนไปมา เสียงกรีดร้องของเฉินหานก็ยิ่งดังกว่าเก่า เพราะว่าในครั้งนี้…เขาระเบิดขาขวาของตนเอง

หลังจากนั้นก็เป็นขาซ้าย หลังจากนั้นก็เป็นส่วนเอว หลังจากนั้นก็เป็นครึ่งท่อนบน…

หนึ่งชั่วยามให้หลัง เหลือเพียงแค่ส่วนศีรษะของเฉินหาน ดวงตาของเขาเศร้าหมอง และจำต้องยินยอมหยุดในที่สุด เขาเหลือบตาไปด้านหน้าเพียงชั่วแวบหนึ่ง ก็ปรากฏหวังเป่าเล่ออยู่เบื้องหน้า

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ…” เฉินหานที่เหลือแต่เพียงหัวกะโหลก เอ่ยปากอย่างน่าสงสาร

“ระเบิดตัวเองสิ เจ้าวิ่งหนีเก่งนักหรือ มาเลยๆ ข้าจะรอเจ้า” หวังเป่าเล่อนั้นจ้องเขม็งไปที่ศีรษะของเฉินหาน ต่อให้เป็นเขาในยามนี้พลังฝึกตนก็ยังปรวนแปรเช่นกัน เพราะว่าอีกฝ่ายหนีด้วยความเร็วสูงเกินไปทั้งยังยอมถึงขั้นระเบิดตนเองเพื่อสกัดกั้นเขา ทำให้ตัวเขาเสียเวลาต้องไล่ตามอย่างเหนื่อยล้า

ฉะนั้นในยามนี้หลังจากที่ไล่ตามอีกฝ่ายสำเร็จ หวังเป่าเล่อกลับไม่รีบร้อนเหมือนเดิมแล้ว เขามองดูเฉินหานแล้วเอ่ยเสียงเย็น

“ศิษย์พี่…ไม่อาจระเบิดได้อีกแล้ว…” เฉินหานน้ำตาหลั่งริน

“เพราะอะไร?” หวังเป่าเล่อถามทั้งที่รู้
.ไอรีนโนเวล.
“ศิษย์พี่ ข้า ข้าเหลือแค่หัวแล้ว…”

“ข้าเห็นแล้ว มาสิ พูดอะไรสักอย่างที่ข้าอยากฟัง ไม่งั้นเจ้าก็ควรระเบิดส่วนที่เหลือเสีย”

“ศิษย์พี่ อาจารย์ลุง อาจารย์พ่อ…ท่านปรมาจารย์ ท่านปู่ นายท่าน ข้าผิดไปแล้วขอรับ!!” เฉินหานโอดครวญ เขาอยากใช้การสารภาพนี้มาแลกโอกาสรอดชีวิต แต่หวังเป่าเล่อเหมือนไม่เห็นใจการโอดครวญของเฉินหานเลย ยามนี้หวังเป่าเล่อถลึงตา

“พูดจาไม่น่าฟังนัก เอาล่ะ ทำไมยังไม่ฆ่าตัวตายอีก? หรือจะให้ข้าช่วยเจ้า!” พูดแล้ว หวังเป่าเล่อก็ขยับร่าง เคลื่อนกายเข้าใกล้ในทันที จากนั้นก็ยกมือขวาให้กฎแห่งโลหิตขึ้นมา ในฝ่ามือนั้นพลันปรากฏเงาร่างสาดสู่สายตาของเฉินหาน ราวกับว่าเบื้องหน้าบังเกิดทะเลโลหิตแห่งหนึ่ง ในนั้นอัดแน่นด้วยปราณแค้นจำนวนเหลือคณานับ หวังเป่าเล่อบังคับให้เฉินหานจมดิ่งลงไป

“พี่ชาย ท่านลุง ท่านพ่อ…” ในช่วงเวลาวิกฤติของชีวิต เฉินหานเองก็ไม่ต้องการศักดิ์ศรีอีกแล้ว เขารีบส่งเสียงโหยหวน ดวงตาเหลือเพียงความสิ้นหวัง เฉินหานเห็นเหล่าผู้คนที่ตนสังหารไปและสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า หากตนเองถูกทะเลโลหิตโอบล้อมเมื่อใด เขาก็จะกลายเป็นหนึ่งในผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมเหมือนคนเหล่านั้น

การตายอยู่ที่นี่ต่างไปจากการตายอยู่ข้างนอก เพราะด้านนอกตนเองยังสามารถกลับมาเกิดใหม่ได้ในอีกหลายปีให้หลังหรือไม่ก็ไม่ทราบ แต่สัญชาตญาณบอกกับเขาว่า…หากเขาฆ่าตัวตายอยู่ที่นี่ เกรงว่าตนเองจะไม่อาจกลับชาติมาเกิดได้อีกแล้ว นี่จะไม่ให้เขาร้อนรนมากได้อย่างไร แต่ว่าในตอนที่เขาโศกเศร้าว่าจบสิ้นแล้วแน่ มือของหวังเป่าเล่อก็พลันหยุดชะงักเบื้องหน้าหน้าผากของเขา

“เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ?”

เฉินหานที่สิ้นหวังไปแล้ว ในยามนี้ตะลึงไปครู่หนึ่ง ราวกับคว้าเชือกช่วยชีวิตเส้นสุดท้ายเอาไว้ได้ เขารีบเอ่ยปาก

“พี่ชาย? ท่านลุง? ท่านพ่อ?! ท่านพ่อ ท่านพ่อ ท่านพ่อ!!” เฉินหานตอบโต้ได้ไวนัก เขารีบตัดคำทั้งสองก่อนหน้าออก แล้วร้องท่านพ่อเสียงดัง

การเรียกขานที่เหมือนหายไปนานเช่นนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อราวกับระลึกบางอย่างได้ พร้อมถอนหายใจ หลังจากย้อนระลึกไปหลายชาติ เขาก็เกือบจะลืมเสียแล้วว่าตนนั้นชอบบังคับให้ผู้อื่นเรียกตนว่าบิดา

“ท่านพ่อข้าผิดไปแล้ว เสี่ยวหานผิดไปแล้ว!!” หลังสัมผัสได้ถึงการถอนหายใจของหวังเป่าเล่อ เฉินหานก็พลันตื่นเต้นขึ้นมา มันรีบเอ่ยปากรวดเร็ว น้ำเสียงจริงใจอย่างยิ่ง สุดท้ายแล้วถึงกับเป็นฝ่ายยื่นพลังสารัตถะของตนเองไปให้ และยินยอมรับตราประทับของหวังเป่าเล่อมาสลักลงในสภาวะจิตของตน

เมื่อทั้งหมดเสร็จสิ้น เฉินหานก็ได้มอบความเป็นตายของตนไว้ในกำมือหวังเป่าเล่อแล้ว ยามนี้เฉินหานจึงค่อยผ่อนลมหายใจ แต่ความปวดร้าวและเศร้าระทมยังคงลอยอยู่ในสมองของเขา

“คนอย่างข้าเฉินหาน หนึ่งชาติชื่อเสียงระบือไกล ดวงโชคดีระดับสวรรค์ แต่ไม่คิดเลยว่าหลังเกิดใหม่ครั้งนี้ที่อายุสามสิบห้าปี สิ่งที่ได้กลับไม่ใช่สมบัติฟ้าดิน แต่เป็น…บิดาคนหนึ่ง…” พอคิดถึงจุดนี้ เฉินหานที่เหลือแต่เพียงศีรษะก็ลอยตามหวังเป่าเล่อมาอยู่ข้างกายเขา เมื่อถึงเขตว่างเปล่าอีกแห่งหนึ่งก็คิดอยากร้องไห้ออกมาดังๆ…

หากแต่ตอนนี้หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจเขาอีกแล้ว อีกฝ่ายนั่งสมาธิคล้ายกับจะรอให้วันที่ห้ามาถึง เฉินหานที่ลอยไปมาในอากาศพลันรู้สึกว่ากลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่ได้

“เฉินหานเช่นข้า ผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพดีๆ นั้นไม่ยอมเป็น…ข้า ข้า ทำไมคิดไม่ตก ต้องกลับชาติมาเกิดด้วย…”

“ไม่ได้การข้าไม่ยอม มารดามันเถอะ เหตุใดเจ้าเด็กเต๋าเก้ารัฐนั่นถึงหนีไป นายน้อยลำดับเก้าราชันเทวะไกก้านั่นก็ปลอดภัยไร้กังวล ข้าต้องหาวิธี ให้พวกมันมีบิดาเพิ่มบ้างแล้ว!!” ดวงตาของเฉินหานทอประกายบ้าคลั่ง เขารู้สึกว่าหากสุดท้ายตนต้องกลายเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วผู้อื่นก็อย่าได้คิดว่าจะอยู่อย่างเป็นสุขเลย!

ระหว่างที่กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่นั้นเอง เวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่าน ด้วยความรวดเร็ว…เสียงแหบชราที่ดังมาแต่แรกนั้นก็สะท้อนก้องในหมอกอีกครั้ง เสียงกังวานดังขึ้นในใจของเหล่าผู้เข้าทดสอบทุกคน

“วันที่ห้า ชาติที่ห้า!”

……………………………………………..

“ไปตายเสีย!!” หลังจากเสียงคลุ้มคลั่งนี้ดังขึ้น กระแสดวงจิตเทพคลั่งแล่นออกจากกำลังภายในของหวังเป่าเล่อ ครั้นเมื่อดวงจิตเทพนี้ระเบิดออก มันก็แผ่กระจายไปทั่วจตุรทิศ!

“เจ้า” ชายฉกรรจ์ที่ถือขวานยักษ์สีขาวไว้ในมือซึ่งกำลังพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อพลันหน้าเปลี่ยนสี แม้จะรู้สึกมึนงงอยู่บ้าง แต่เนื่องจากความแข็งแกร่งของตน อีกทั้งยังมีสวี่อินหลินคอยเฝ้ามอง สติของเขาจึงกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ว่าในพริบตานั้นเขาก็สัมผัสได้ถึงพลังซึ่งไม่อาจพรรณนาได้ มันนำพาความรู้สึกคุกคามรุนแรงพุ่งตรงมายังตน

ราวกับว่า ผู้ที่ตนเองเผชิญหน้าอยู่นี้ได้กลายเป็นขุมพลังแค้นที่ไม่อาจคาดฝันได้ในชั่วพริบตา ความแค้นอันลึกซึ้ง เข้มข้นเป็นที่สุด ภายในนั้นยังแฝงด้วยความบ้าคลั่งถึงขีดสูงสุดและเจือความโหดร้าย จากนั้นทุกสิ่งรอบด้านก็กลายเป็นสีโลหิต คล้ายกับว่าหมอกโดยรอบนั้น ถูกอาบย้อมไปด้วยสีเลือดเช่นกัน

นั่นย่อมรวมไปถึง…ขวานศึกของเขาเล่มนี้ด้วย!

ขวานศึกสีขาวนี้ ในพริบตาก็ถูกย้อมด้วยเลือดจนกลายเป็นสีแดงฉาน เวลาเดียวกันกลิ่นอายแห่งความแค้นและบ้าคลั่งก็หมุนวน สีแดงกระจายเต็มไปหมด ทำให้ชายฉกรรจ์ซึ่งอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์สมบูรณ์ผู้นี้ ร่างสะท้านไหวรุนแรง สูญเสียกำลังควบคุม แม้เขาจะอยู่กลางอากาศ แต่เลือดก็เริ่มไหลออกทั้งเจ็ดทวาร

สติถูกรุกราน จิตวิญญาณถูกกัดกร่อน ทุกสิ่งของเขากำลังจมดิ่ง ภาพโลกสีโลหิตนั้นปรากฏต่อสายตาของเขา ในเวลาอันสั้นนี้ เขาได้ผ่านประสบการณ์ชีวิตของเฉินหยาง เห็นได้ชัดว่าชายฉกรรจ์ไร้กำลังยืนหยัดเท่าอีกฝ่าย หรือจะกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ…บนโลกใบนี้มีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถยืนหยัดจนถึงวาระสุดท้ายได้เช่นเฉินหยาง!

หลังจากภาพนี้ปรากฏ ในหัวของเขาก็ได้ยินเสียงหนึ่ง

เสียงนั้นสั่งให้เขา…ไปตาย!

อย่างเนิบช้า เสียงนั้นกลายเป็นทุกสิ่งของเขา บีบให้เขาต้องยกมือซึ่งถือดาบขนาดยักษ์อยู่ขึ้น ก่อนจะเค้นพลังปราณให้ขยายถึงขีดสุด แล้วตวัดมันลงมาที่คอ…ของตนเอง!

พริบตานั้น…เลือดสดสาดกระจาย ศีรษะชายฉกรรจ์หลุดลอย ร่างกายของเขาพลันเอนหล่น เลือดสาดกระจายไปทั่ว ส่วนวิญญาณเทพของเขานั้นก็ถูกตนเองตัดขาดจนดับสูญเช่นกัน!

พวกที่ตายเหมือนกับชายผู้นี้…ก็คือเหล่าผู้ฝึกตนที่ถูกสวี่อินหลินควบคุมแต่ยังไม่ทันได้ระเบิดตัวเอง บริเวณรอบด้าน ทุกคนล้วนร่วงหล่นสู่โลกสีโลหิต หลังผ่านความเจ็บปวดไร้ที่สิ้นสุดและการทรมานทั้งหลาย พวกเขาก็ตัวสั่นสะท้านพลางยกมือขึ้นเช่นกัน แม้พวกเขาจะไม่เหลือสติ แม้สัมปชัญญะส่วนสุดท้ายจะหลุดลอยไปแล้ว แต่การตื่นขึ้นมาของหวังเป่าเล่อในพริบตานั้นพลันปล่อยแรงแค้นของชาติก่อน สิ่งนี้มากพอจะทำให้พวกเขาเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด บีบคั้นให้พวกเขาใช้มือของตนยกขึ้นกระแทกหน้าผากตนเองจนตาย!

พริบตานั้น…จำนวนผู้ฝึกตนหลายสิบคนที่ยังรอดอยู่ กะโหลกศีรษะเริ่มแตกร้าว ค่อยๆ ทรุดลงทีละร่าง เลือดแดงฉานไหลออกจากร่างพวกเขาเต็มพื้นที่ ฉากนี้ดูน่าพิศวงอย่างยิ่ง ส่วนพลังปราณแห่งแรงแค้นที่สำแดงเดชนี้ก็ยังขยายอาณาเขตต่อเนื่องทำให้ตรงพื้นที่นอกสายหมอกนั้น แม้เหล่าผู้ฝึกตนกลุ่มที่สองซึ่งสวี่อินหลินจัดเตรียมเอาไว้ยังไม่ทันพุ่งเข้ามาข้างในหมอก แต่ผลกระทบจากการกวาดล้างของแรงแค้นนี้ เหล่าผู้ฝึกตนกลุ่มที่สองต่างค่อยๆ ยกมือขึ้นอย่างสั่นสะท้านแล้วฆ่าตัวตาย!

ไม่เพียงแค่เท่านี้ พริบตานั้นผู้สมคบคิดหลักทั้งสี่ล้วนแต่สีหน้าตกตะลึงถึงขีดสุด ผู้ฝึกตนลำดับที่เจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐซึ่งอยู่ด้านหน้าสุดตัวสั่นสะท้านก่อนจะกระอักเลือดออกมา เขาอาศัยพลังวัตถุปกปักษ์ชีพที่สำนักให้มาถึงค่อยฝืนประคองสติตนเองไว้ได้ ดวงตาฉายแววหวาดผวา พลันถอยร่างหนีไปรวดเร็ว

“นี่มันตัวประหลาดอะไรกัน!!”

นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าก็กระอักเลือดและถอยห่างอย่างรวดเร็วเช่นกัน ใบหน้าของเขาตอนนี้ซีดขาว ดวงตานั้นมีความหวาดกลัวฉายชัด พร้อมกับร้องเสียงหลง

“จู่ๆ มันก็แข็งแกร่งขึ้น!!”

“สมควรตายนัก!!” ศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณยามนี้เช็ดเลือดของตนออก แววตาของเขาเผยความเสียใจขึ้นเป็นคราแรก เพราะรู้สึกว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมาของตนราบรื่นมากกระมัง… ยามนี้เลยรนหาที่ตาย เข้ามาหาเรื่องชาวบ้านแล้วกลับกลายเป็นว่าสู้ไม่ได้ พาตนมาอยู่ในสถานการณ์ลำบากที่อาจถูกไล่ฆ่าอย่างอเนจอนาถ ตอนนี้เขาอาจถูกหวังเป่าเล่อทำลายสภาวะตัวตนจนทำให้พลังฝึกปรือของตนสูญหายไปแล้วก็ได้ ซึ่งนี่อาจส่งผลกระทบต่อการยกระดับของตนในภายหลังด้วย ในฐานะผู้เฒ่าซึ่งกลับชาติมาเกิดใหม่กำลังจะถูกหวังเป่าเล่อไล่ฆ่าอย่างไร้ศักดิ์ศรี ตนที่อยู่ที่ตรงนี้ อีกเพียงนิดเดียวเท่านั้น… ก็อาจโดนหวังเป่าเล่อสังหาร

เรื่องเหล่านี้สิถึงเป็นเรื่องใหญ่ ส่วนเรื่องเล็กน้อยเบื้องหน้าตนมีค่าอะไรเล่า…เรื่องพวกนี้มันจะมีค่าอะไร ตนในเมื่อยังไม่ตาย เหตุใดต้องหาเรื่องมาลุยน้ำขุ่นตรงนี้ด้วย อีกทั้งยังเลือกไปแหย่เจ้าคนวิปริตผู้นี้ได้

แท้จริงแล้ว…การระเบิดพลังของหวังเป่าเล่อในครั้งนี้ทำให้เขาตื่นตกใจอย่างยิ่ง ปราณแค้นแฝงไปด้วยพลังคลั่ง ฉับพลันสามารถสั่นสะเทือนผู้ฝึกปรือระดับดาวพระเคราะห์ และทำให้เหล่าดาวพระเคราะห์ฆ่าตัวตายได้ เรื่องนี้ใครได้ยินก็ต้องตกตะลึงกันทั้งสิ้น

ในเวลาที่พวกเขาทั้งสามคนถอยหนีนั้น สวี่อินหลันกลับเผ่นไปไวที่สุด ใบหน้าของนางซีดขาว ความสับสนมากมายผุดขึ้นในจิตใจ ยามนี้ในหัวของนางคิดได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ก็คือรีบหนีให้เร็วที่สุด! แม้กฎของที่นี่จะห้ามมิให้มีการสังหารเกิดขึ้น ทว่าก็ยังมีวิธีมากมายในการหลบเลี่ยง!

นางเองไม่คาดคิดเลยว่าเรื่องจะออกมาเป็นเช่นนี้ได้ ครานี้พาเหล่าผู้ฝึกปรือดาวพระเคราะห์นับร้อยมา และยังมีผู้เยี่ยมยุทธ์อีกสามคน หมายมาดไว้แล้วว่าแผนจะสำเร็จ แต่เพียงประโยคเดียวที่อีกฝ่ายเอ่ยตอนตื่นขึ้น…กลับทำลายแผนการทั้งหมดในทันที!!

“เป็นไปได้อย่างไรกัน!!”

พริบตาที่พวกเขาทั้งสี่ล่าถอย นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็กลายเป็นสีแดงฉาน ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว พลังของมันทั้งหมดถูกกฎแห่งโลหิตของดาวเคราะห์บรรพกาลของตัวเขาหลอมรวมเข้าไป พลังดังกล่าวผลักดันกฎนี้ในเวลานั้น มันเข้ากันได้ประมาณเจ็ดถึงแปดส่วนทีเดียว

ส่วนพลังฝึกปรือของเขายกระดับขึ้นมาอีกหนึ่งระดับด้วย ยามนี้เขาฝ่าระดับท้าย..ของระดับดาวพระเคราะห์สำเร็จแล้ว!.Aileen-novel.

พลังฝึกปรือยกระดับ กฎเองก็หลอมเข้าได้ดี ทั้งหมดนี้มิใช่เพราะหวังเป่าเล่อจงใจเอ่ยคำพูดที่ทำให้คนนับร้อยกระทำอัตวินิบาตกรรม แท้จริงแล้ว…เป็นเพราะโชคร้ายของพวกสวี่อินหลินเองที่ดันเลือกมาจังหวะพอดีกับที่หวังเป่าเล่อตื่นขึ้น

หากว่าคนพวกนี้มาภายหลังจากที่เขาตื่นแล้ว บางทีพวกเขาก็อาจจะทำร้ายหวังเป่าเล่อได้บ้าง แต่ในพริบตาที่เขาตื่นขึ้นมานั้น ดวงตาเผยประกายความแค้นซึ่งเขาระลึกได้จากชาติก่อน นั่นเป็นความแค้นที่มุ่งตรงไปยังทั้งโลกหล้า ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือสีแดงชาดที่ซ่อนลึกในแววตาของเขากลับแฝงไปด้วยเงาร่างของเฉินหยาง!

หากมิใช่เขานำพลังกลับมาไม่ได้มาก…อย่าว่าแต่ดาวพระเคราะห์หลายคนนี้เลย ต่อให้เป็นระดับดารานิรันดร์ หรือผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพ ก็ล้วนจะได้รับผลกระทบทางจิตจากเขาอย่างรุนแรง!

อาจกล่าวได้ว่าในพริบตานั้นที่เหล่าดาวพระเคราะห์จำนวนมากมายปลิดชีพตนเอง หวังเป่าเล่อไม่ได้เป็นคนบงการ แต่เป็นเงาสะท้อนจากชาติที่แล้วของเขานั่นก็คือ…เฉินหยาง!

เขายังไม่สามารถควบรวมพลังจากก่อนหน้าได้ จนกระทั่งตอนนี้…หลังจากสติของหวังเป่าเล่อฟื้นกลับมาหมดและตื่นเต็มตาหลังเรื่องของชาติที่แล้วจางหาย ประกายตาของหวังเป่าเล่อจึงค่อยกลับมาชัดเจน กลับคืนสู่ตำแหน่ง

“พวกเจ้า…” หลังจากตื่นขึ้นแล้ว นัยน์ตาหวังเป่าเล่อทอประกายเย็นเยียบ เขาพลันรู้สึกได้ว่าการระลึกถึงชาติที่แล้วในครานี้ ส่งผลกระทบต่อตนเองใหญ่หลวงนักและสิ่งที่กระทบมากที่สุดก็คือแรงกดดันทางจิตวิญญาณ!

แม้หลังจากตื่นแล้ว เรื่องราวในชาติก่อนของเขาก็ถือว่าไม่มีอยู่อีก แต่ความเดือดดาลภายในใจกลับถูกกระตุ้นให้ระเบิดออกเพราะมีคนลอบโจมตี

“ไปตายเสีย!!” หวังเป่าเล่อตะคอกเสียงต่ำ รอบด้านนั้นร่างแยกที่บาดเจ็บอยู่รีบกลับมาประจำทั้งแปดทิศ หลังจากร่างเหล่านี้เหาะมารวมกันด้วยความรวดเร็ว หวังเป่าเล่อก็ระเบิดพลังปราณอาฆาตขุมหนึ่ง พลังราวกับสายน้ำเชี่ยวไม่ปาน หลังจากลุกขึ้นยืน หวังเป่าเล่อก็พุ่งตัวออกไป พลังรุนแรงสั่นสะเทือนทั้งแปดทิศ พาให้ทั้งสี่คนที่กำลังวิ่งหนีอยู่ด้านหน้านั้น สีหน้าเปลี่ยนแปลงในทันที!

พวกเขาทั้งสี่แยกตัวออกจากกันไปคนละทิศทางโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย แต่ละคนล้วนใช้วิชาเร้นลับส่วนบุคคล พาให้ตัวเองเพิ่มระดับความเร็วนับสิบเท่าในชั่วยามนี้ เพื่อตะบึงหนีบ้าคลั่ง

ที่พวกเขาทั้งสี่ไม่อยู่ร่วมมือกันอีก มิใช่เพราะพวกเขาไม่อยากทำ ทว่า…พวกเขาทั้งสี่ล้วนไม่เชื่อใจกันและกัน ยามนี้ เทียบกับโอกาสที่พวกเขาจะร่วมมือกันมีน้อยอย่างยิ่ง คะเนแล้วสำหรับพวกเขาโอกาสที่จะเกิดขึ้นมากกว่าก็คือ…ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจฉวยจังหวะคิดบัญชีกับตน

ในเมื่อเป็นแบบนี้ ไม่สู้แยกกันหนีจะดีกว่า อีกอย่างแต่ละคนก็มองออกว่าเหล่าร่างแยกของหวังเป่าเล่อนั้นบาดเจ็บอยู่ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่อาจส่งร่างแยกมาไล่ตามพวกเขาทันเวลา โอกาสที่จะเป็นไปได้มากที่สุด…ก็คือในบรรดาทั้งสี่นี้ จะมีคนหนึ่งดวงซวย!

ส่วนจะเป็นใครนั้น…ทุกคนล้วนรู้สึกว่าอาจเป็นตนเองก็ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คนที่ความเร็วช้าที่สุด ผู้นั้นก็มีโอกาสมากสุดนั่นแหละ!

เรื่องก็เป็นเช่นนี้..ยามนี้ทั้งสี่จึงเร่งความเร็วไม่คิดชีวิต ในพริบตาก็ทิ้งระยะห่างออกไปแสนไกลจากตำแหน่งเก่า

หวังเป่าเล่อตอนนี้ เป็นเพราะร่างแยกบาดเจ็บ เขาจึงไม่เลือกส่งพวกมันไป ตัวเขาผู้ไล่ตามด้วยตนเอง…แต่เขาไล่ตามได้เพียงแค่หนึ่งคนเท่านั้น หลังลองส่งสัมผัสดูแล้วหวังเป่าเล่อก็มองเห็นสวี่อินหลินก่อน หลังจากนั้นก็เป็นผู้ฝึกตนลำดับที่สิบเจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐ และนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้า สุดท้ายนั้นจึงเห็นเป็นภาพศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ

ในพริบตาที่มองเห็นศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ หวังเป่าเล่อก็คิดถึงภัยก่อนหน้าที่ทำให้คนเหล่านี้คิดหนี ไม่รู้ว่าคิดสิ่งใดอยู่ เขาพลันเปลี่ยนทิศทางวิ่งกวดตามศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ!

“ย๊ากกก ทำไมมาตามข้านี่ ทำไมต้องมาตามข้าด้วย!!” ศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณหนาวสะท้าน พลันรู้สึกว่าฉากนี้ช่างน่าสะพรึงสะท้านขวัญ คิดแล้วอยากร้องไห้โหยหวนเสียจริงๆ

……………………………………………………………..

ดาราจักรดวงดาราไม่รู้สิ้น ระบบดาวเคราะห์ชะตา บนดาวเคราะห์ชะตา

ท่ามกลางหมอกในการทดสอบ อาณาเขตภายในซึ่งในตอนแรกแบ่งแยกออกเป็นแสนกว่าอาณาเขตเล็กๆ ทุกอาณาเขตนั้นมีผู้ฝึกตนอยู่ แต่ในยามนี้…กว่าครึ่งของสถานที่ เหลือเพียงความว่างเปล่า

ราวกับว่าครึ่งหนึ่งของเหล่าผู้เข้าทดสอบ หลังจากระลึกชาติที่หนึ่งแล้วก็ไม่มีโอกาสในการเข้าสู่ชาติที่สองอีก และเพราะเหตุทางโชคชะตาทำนองนี้จำต้องละทิ้งวาสนาอย่างเสียไม่ได้

แล้วก็ยังมีบางคนซึ่งร่างกายไม่อาจรับสภาพการระลึกชาติหลายครั้งได้ สูญเสียพลังงานบนร่างไปมาก แม้จะได้รับพลังงานฟื้นกลับมาไม่น้อย แต่จิตวิญญาณก็ยังมีจำกัดอยู่ไม่อาจย้อนได้อีก

บางกรณีนั้น แม้ว่าร่างกายของบางคนยังทนรับไหว แต่กลับถูกผู้อื่นคุกคาม ถูกคนอื่นๆ ที่มีจิตใจชั่วร้ายอาศัยเบื้องหลังของวงศ์ตระกูลหรือพลังการต่อสู้ของพวกเขาเอง หรือกระทั่งบางคนยอมใช้เงินเข้าช่วงชิงแสง เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นแล้วพวกเขาได้แต่ยินยอมส่งมอบแสงชี้นำที่เหลืออยู่กับตัวออกไป หากไม่มีแสงชี้นำพวกเขาจะถูกเวทเคลื่อนย้ายส่งออกนอกสถานที่ทดสอบเมื่อเวลาของอีกวันย่างมาถึง

เหล่าผู้เข้าทดสอบกว่าครึ่งที่เหลือนั้นหนีไม่พ้นชะตากรรมสองเส้นทางที่ว่า ดังนั้นแล้วช่วงหลังของวันที่สองและวันที่สามก็มีคนมากมายที่ทยอยเสียสิทธิ์ไป กล่าวคือ ในยามนี้แม้ว่าชาติที่สี่ยังคงดำเนินต่อไปได้ แต่กว่าเก้าส่วนของจำนวนผู้ฝึกตนนั้นต่างกลับโลกภายนอกไปแล้ว

โลกภายนอกยามนี้ บนร่างของอสูรดึกดำบรรพ์ทั้ง 39 ตัวนั้นจึงมีเหล่าผู้ฝึกตนแน่นขนัดตา บ้างก็กำลังถกเถียงเสียงเบา บ้างก็อดขบเขี้ยวเคี้ยวฟันไม่ได้ บ้างก็ราวกับมีความคิดบางอย่างพยายามดูดกลืนสิ่งที่ตนได้รับมา

แต่ทุกคนต่างแยกสมาธิส่วนหนึ่งจับจ้องไปทางเกาะภูเขาไฟ และหมอกสีขาวที่ยังคงไหลวนอยู่อย่างไม่มีข้อยกเว้น

เนื่องจากเวลาไหลผ่านแตกต่างกัน สำหรับสี่วันในหมอกขาวนั้น ด้านนอกหมอกขาวกลับเป็นระยะเวลาไม่นานเท่าไร ดังนั้นทุกคนจึงเฝ้ารอ…ว่าสุดท้ายแล้วจะมีคนกลุ่มไหน ที่สามารถระลึกได้สิบชาติบ้าง!

ท่ามกลางการรอคอยของทุกคน บนเกาะในปากปล่องภูเขาไฟ ประมุขกฎสวรรค์ซึ่งนั่งอยู่ตรงใจกลาง ในยามนี้ลืมตาขึ้นแล้วมองไปยังทิศทางของหมอก ดวงตาลึกล้ำราวกับว่าผ่านวันเวลาอันไม่มีทางสิ้นสุด มันแฝงไปด้วยริ้วรอยทับซ้อนจนยากจะหายไป

“วันที่เท่าไรแล้ว” หลังจากลมหายใจหลายครา ประมุขกฎสวรรค์ก็เอ่ยเสียงเบา

“นายท่าน เป็นวันที่สี่แล้ว” ผู้มีพลังฝึกตนอันแข็งกล้าด้านข้าง และคนรับใช้เฒ่าผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพตอบเสียงเบา

“วันที่สี่เช่นนั้นหรือ…” ประมุขกฎสวรรค์พึมพำ หลังจากนิ่งไป ก็ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก ในเวลาเดียวกัน… ภายในหมอกนั้น ท่ามกลางเขตที่ว่างเปล่ามากมาย รอบทิศซึ่งหวังเป่าเล่อนั้นอยู่ มีเงาร่างหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามาอย่างเร่งร้อน

เงาร่างเหล่านี้ก็คือผู้เข้าร่วมทดสอบจำนวนมากกว่าหนึ่งร้อยคน พวกเขาทุกคนดวงตาไร้ประกายราวกับเป็นหุ่นเชิดไม่ปาน สิ่งที่น่าประหลาดก็คือแม้พวกเขาเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูงล้ำแต่กลับไร้กลิ่นปราณ ไร้เสียง

ด้านหลังของผู้ฝึกตนนับร้อย ท่ามกลางหมอกนั้นมีเงาร่างสองเงาห่างกันประมาณสิบกว่าจั้ง กำลังจับจ้องกันอยู่โดยมองเห็นอีกฝ่ายแต่เพียงเลาๆ เท่านั้น

“ในเมื่อเจ้าหาตำแหน่งของเขาเจอแล้ว เหตุใดจึงยินยอมละทิ้งดาวเคราะห์เต๋าของเขา แล้วให้ข้าสังหารเขาเท่านั้นเล่า?” เงาร่างหนึ่งในนั้นเอ่ยปากเสียงเบา น้ำเสียงเย็นชา แถมยังแฝงด้วยความยโสเต็มเปี่ยม

“อวี่หลินรู้ว่า ตัวเองมีดาวเคราะห์เต๋าแล้ว อวี่หลินไม่ต้องการมากไปกว่านี้อีก อีกทั้งอวี่หลินรู้ค่าของตนเองดี รู้จักหนักเบา ไม่โลภมากเกินตัว ข้าจึงไม่ต้องการดาวเคราะห์เต๋าของเขา!”

“ดังนั้นแล้วข้าต้องการแค่สังหารเขาเท่านั้น นั่นคือเหตุผลส่วนตัวของข้า ทำไมเล่า…ในฐานะที่เป็นเต๋าลำดับเจ็ดแห่งสำนักเต๋าที่หนึ่ง เต๋าเก้ารัฐ สำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้าย ท่านกลัวแผนร้ายนี้เช่นนั้นหรือเจ้าคะ? หรือจะพูดอีกที ท่านกลัวหวังเป่าเล่อ?” หญิงสาวที่เอ่ยคำพูดนี้ นั่นก็คือสวี่อวี่หลิน

“เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดเด็กน้อยเช่นนี้มากระตุ้นข้า ดาวเคราะห์เต๋าของเขา ข้าต้องชิงมาแน่ พวกเจ้าเล่า มีเงื่อนไขอะไรอีก?” ผู้ฝึกตนลำดับที่เจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐค่อยๆ เอ่ยปาก ดวงตากวาดมองไปยังอีกด้านหนึ่งของหมอก

หลังจากที่ดวงตาของเขาเพ่งมอง พลันปรากฏเงาร่างหนึ่งอยู่กลางหมอกอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเงาร่างของคนผู้หนึ่งกลับค่อนข้างเด่นชัดขึ้น นั่นก็คือ…ศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ!

“แล้วยังมีฝ่าบาท ในเมื่อมาแล้ว ทำไมถึงไม่ออกมาเล่า!” ดวงตาเย็นเยียบกวาดมองศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ ผู้ฝึกตนลำดับที่เจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐหันศีรษะแล้วมองไปยังอีกด้านหนึ่งของหมอก

ในชั่วพริบตานี้ หมอกทางด้านนั้นหมุนวน นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าก็เดินออกมาจากในนั้น ดวงตาสะท้อนจิตสังหาร มันเอ่ยปากเสียงต่ำ

“ข้าเพียงแค่อยากสังหารเขา!”

“ข้าก็เช่นกัน” ศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ ดวงตาทอแสงวาวโรจน์เช่นกัน เอ่ยออกมาเสียงหนัก

ในยามนี้…พวกเขาทั้งสามคนปรากฏตัวอยู่ที่นี่พร้อมกัน ก็เพราะไม่รู้ว่าสวี่อินหลินสรรหาวิธีใดควานหาตัวพวกเขาพบ อีกทั้งยังบอกพวกเขาถึงสถานที่กักตัวระลึกชาติของหวังเป่าเล่อ หากเปลี่ยนเป็นเวลาที่เพิ่งเข้ามานั้น ศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณและนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าคงไม่สนใจจะร่วมมือกันอย่างแน่นอน

แต่ในตอนนี้ทุกคนต่างเคยปะทะกับหวังเป่าเล่อมาก่อนแล้ว พวกเขาตกใจอย่างยิ่งกับพลังอันแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อ เข้าใจดีว่าหากอยู่เพียงคนเดียว พวกเขาย่อมไม่ใช่คู่มือของหวังเป่าเล่อเป็นแน่

ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงตัดสินใจร่วมมือกันคราหนึ่งเป็นเวลาสั้นๆ เพราะว่า…พวกเขาสองคนรู้ชัด หากตอนนี้ไม่เอาชนะหวังเป่าเล่อแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายระลึกชาติเข้าไปได้มากกว่าเก่า ตนเองและคนอื่นๆ ในยามนี้สุดท้ายจะกลายเป็นดั่งมดปลวกในสายตาของอีกฝ่าย

หากสืบเสาะต้นเรื่องก็คือ พวกเขาพบว่าหวังเป่าเล่อเติบโตรวดเร็วยิ่ง ทำให้บังเกิดความหวาดกลัวสุดขีด

ส่วนผู้ฝึกตนลำดับที่เจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐนั้น แม้ไม่เข้าใจเรื่องราวมากนักแต่เขาก็ไม่ได้โง่เง่า พอจะเดาคำตอบพวกนี้ได้อยู่ แม้ครานี้ยากจะเลี่ยงการถูกหลอกใช้ แต่ก็ไม่สนใจ สิ่งที่เขาต้องการก็คือดาวเคราะห์เต๋า! ส่วนกฎนั้น เขามีวิธีหลบหลีก!

“ไปเถอะ!” หลังจากเห็นสองคนนี้ปรากฏกาย ร่างของเขาก็ขยับคราหนึ่ง ตามติดอยู่หลังร้อยคนนั้นมุ่งหน้าไปยังที่ที่หวังเป่าเล่ออยู่โดยพลัน

หลังจากนั้นศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณและนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้า รวมถึงสวี่อินหลิน ทั้งสามคนพลันพุ่งตัวมุ่งไปยังสถานที่ที่หวังเป่าเล่อกักตัวอยู่

ในชั่วเวลาหลายสิบอึดใจให้หลัง เหล่าผู้ฝึกตนที่ดวงตาไร้ประกายและทะยานไปหาหวังเป่าเล่อก่อนเป็นพวกแรกๆ นั้น ท่าทางพวกเขาราวกับว่าขาดสติสัมปชัญญะไปแล้ว โดยที่ไม่ได้หยุดแม้แต่น้อย พวกเขาเข้าไปใกล้หวังเป่าเล่อ พริบตานั้นก็พากันพุ่งตัวออกจากหมอก ในยามปรากฏกายอีกครั้ง…พลันเห็นหวังเป่าเล่อที่หลับตานั่งขัดสมาธิอยู่กลางสถานที่ว่างเปล่านี้ในทันที

อีกทั้ง…รอบด้านหวังเป่าเล่อนั้น เงาร่างสิบกว่าร่างที่นั่งขัดสมาธิอยู่รายล้อมยามนี้พลันเบิกตาขึ้นเพราะการปรากฏกายของพวกเขา

โดยไม่ต้องเอ่ยคำกล่าวใดแม้แต่น้อย รังสีฆ่าฟันฉายโชนออกมาจากดวงตาของทั้งสองฝ่าย จิตสังหารพลันระอุขึ้นมา บรรดาผู้เข้าสอบนับร้อยแต่ละคนพุ่งเข้าหาร่างแยกของหวังเป่าเล่อ เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แทบจะสะท้อนฉีกท้องฟ้ากระหน่ำไปทั่วทิศ พาให้หมอกรอบด้านสั่นคลอนตามไปด้วย

ดูไปแล้วแนวโน้มเช่นนี้ ผู้ได้เปรียบย่อมเป็นฝั่งหวังเป่าเล่อ แม้จำนวนผู้มาจะมีนับร้อย แต่สรุปรวมแล้วพละกำลังไม่มากเท่าไร แม้พวกเขาจะแยกกันโจมตี หลายคนรุมหนึ่งร่าง ทว่าความสามารถในการต่อสู้กลับแตกต่างเกินไป ยังคงทำให้การซุ่มโจมตีนี้ไม่ก่อเกิดผลกระทบมากนัก

โดยเฉพาะ พวกผู้ฝึกตนเหล่านี้อยู่ในสภาพไร้สติ แต่ก็เพราะเหตุนี้เช่นกันเหล่าผู้เข้าร่วมทดสอบเลยหาญกล้าไม่กลัวตาย กระทั่งในการปะทะครั้งหนึ่งถึงกับมีคนยอมระเบิดตนเอง!

แต่ต่อให้พวกเขาแข็งแกร่ง ก็ยังเป็นระดับดาวพระเคราะห์ อีกทั้งผู้ที่สามารถมางานฉลองอวยพรอายุของประมุขสวรรค์ได้นั้น ย่อมไม่ใช่พวกอ่อนแออยู่แล้ว ดังนั้นการระเบิดตนเองของพวกเขาจึงสร้างแรงสะเทือนอันน่าครั่นคร้าม

โดยเฉพาะ…ที่นี่คือสถานที่ซึ่งหวังเป่าเล่อปิดด่านระลึกชาติ การระเบิดตนเองในที่นี้ หากยังอยู่ในสภาวะระลึกชาติก็จะได้รับแรงกระทบใหญ่หลวง และนี่…ก็คือหนึ่งในแผนการของสวี่อินหลิน

ท่ามกลางเสียงกึกก้อง ตามมาด้วยการระเบิดตนเองของผู้เข้าร่วมทดสอบหลายคน ร่างแยกของหวังเป่าเล่อย่อมถูกบีบให้ล่าถอยไปเล็กน้อย ส่วนร่างจริงของเขานั้นคล้ายกับว่าจะได้รับคลื่นกระแทกจากการระเบิด จึงเริ่มสั่นสะท้านอยู่บ้าง…และในระหว่างที่สถานการณ์ทวีความรุนแรงและร่างจริงของหวังเป่าเล่อกำลังสั่นสะท้านอยู่นั้น เงาร่างหนึ่งก็กระโจนลงมาจากหมอกด้านบนด้วยความรวดเร็ว

เงาร่างนี้เป็นชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง…เขามิใช่หนึ่งในสี่ผู้สมคบคิด แต่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของสวี่อินหลิน ภายในสถานที่ทดสอบนี้ ชายฉกรรจ์ผู้นี้นับว่าเป็นพวกที่แข็งแกร่งที่สุด แม้ชื่อเสียงไม่อาจเทียบเท่าสามคนนั้น ทว่าความสามารถในการต่อสู้ก็ถึงระดับดาวพระเคราะห์ชั้นสมบูรณ์ เมื่อรวมกับสมบัติที่สวี่อินหลินส่งให้ ทำให้ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่…เป็นราวกับเทพสวรรค์เสด็จเยือนโลก!

“ตาย!!”

หลังจากเสียงคำรามต่ำ ชายฉกรรจ์ผู้นี้ใช้มือหนึ่งหยิบเอาขวานศึกที่มีแสงสีขาว จัดการกวาดมันเข้าไปยังตำแหน่งศีรษะของหวังเป่าเล่อซึ่งนั่งอยู่ ขวานดังกล่าวกวาดเข้าผ่านราวกับเส้นรุ้ง สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน กระทั่งว่าก่อให้เกิดการโจมตีอันรุนแรงพาให้เหล่าผู้ฝึกตนรอบด้านเงาร่างชะงัก

จังหวะที่พวกมันชะงักนี้ เป็นจังหวะเดียวกับที่ชายฉกรรจ์ร้องตะโกน และในพริบตาที่ขวานนั้นมาถึง…ร่างกายที่สั่นสะท้านของหวังเป่าเล่อพลันลืมตาตื่นขึ้นมา!

ภาพที่ได้เห็นยามนี้คือแววตาที่ไม่อาจพรรณนาได้ ลูกตาสีแดงฉานเกือบจะกลืนกินเนื้อดวงตาทั้งหมด สีหน้าที่แสดงถึงความบ้าคลั่งบิดเบี้ยว เมื่อทุกอย่างนี้หลอมรวมกัน ทำให้เหล่าผู้ที่ได้เห็นล้วนแต่ปรากฏคำหนึ่งขึ้นมาในใจ!

เคียดแค้นชิงชัง!

นี่เป็นความแค้นลึกล้ำสุดขีด ความเกลียดชังโหดเหี้ยม แล้วยังมีโลหิตอันบ้าคลั่ง!

ภาพเหตุการณ์นี้คือ…การระเบิดพลังแค้นบ้าคลั่งถึงที่สุด ต่อโลก ต่อจักรพิภพ ต่อสรรพสัตว์ในฟ้าดิน อย่างไร้ขีดจำกัด!

…………………………………………………..

ความใจดีมีคุณธรรมของเฉินหยางนี้ ส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องกับนิสัยดั้งเดิมของตน อีกส่วนหนึ่งมาจากการสั่งสอนของตระกูลตั้งแต่วัยเยาว์ บิดาของเขาแม้พลังฝึกตนจะไม่สูงล้ำ ทว่าด้านวิชาความรู้และคุณธรรมนั้นเป็นที่ยอมรับจากวงศ์ตระกูลและสังคมทั่วไป

ส่วนมารดาของเขาเองก็เป็นที่ชื่นชอบของผู้คนเช่นกัน นางรู้ทั้งอักษรและวิชาต่างๆ ในเวลาเดียวกันก็พร่ำสอนเฉินหยางให้รู้จักเก็บงำประกาย ทำให้เขาแตกต่างจากสหายในวัยเดียวกัน แม้จะรู้ว่าตนเองสถานภาพเหนือกว่าผู้อื่นแต่เขาก็ถ่อมตนและมีนิสัยอบอุ่น

สิ่งเหล่านี้เมื่อรวมกับรูปร่างที่ไม่ธรรมดาทำให้วัยเด็กของเฉินหยางล้วนมีแต่ความสุขสำราญ และทำให้ตัวเขานั้นมั่นคงในความใฝ่ฝันของตัวเองอย่างยิ่ง

ค้ำจุนคุณธรรมโลกหล้า ไล่สังหารเหล่ามารปีศาจ!

และภายหลังตัวเขาก็กระทำตนเช่นนี้จริงๆ หลังกราบเข้าสำนักศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่นาน เขาที่พลังฝึกปรือทะลุระดับธุลีแล้ว ก็เริ่มออกหาประสบการณ์ที่โลกภายนอก ทุกครั้งที่ออกหาประสบการณ์นั้น ก็ได้พบความชั่วร้ายรวมไปถึงความวุ่นวายของโลกด้านนอก เฉินหยางใช้พลังฝึกตนและกระบี่ในมือ ทุ่มเทพลังก้าวข้ามโลกใบนี้ไป ตัวเขาอุทิศเพื่อพิทักษ์คุณธรรมทั่วหล้า

คนธรรมดาที่เขาช่วยชีวิตเอาไว้นั้นมีมากมาย เหล่ามารปีศาจที่ตายเพราะเงื้อมมือเขานั้นก็มีจำนวนมากเช่นกัน ในขณะเดียวกัน เนื่องด้วยสถานภาพที่ไม่ธรรมดา จำนวนสหายจากสำนักเดียวกันหรือสหายในเส้นทางเต๋าที่ชมชอบนิสัยอบอุ่นและช่วยเหลือผู้อื่นของเขานั้นก็มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ

คนบางประเภท ตั้งแต่เริ่มแรกก็ถูกกำหนดแล้วว่าไม่ธรรมดา สำหรับตัวเฉินหยางเองก็เช่นกัน

เขานั้น ตรงไปตรงมา รักความยุติธรรม อบอุ่น เป็นดั่งแสงสว่าง เขาถ่อมตน…คำพูดดีงามทั้งหลาย ถูกนำมาใช้อธิบายตัวตนของเขาได้

คนประเภทเฉินหยางนี้ยังถือครองพลังแห่งรากฐานที่ไม่ธรรมดาอีกด้วย ในระดับหนึ่งก็อาจถือได้ว่าเขาคือผู้ชนะในชีวิตของมนุษย์แล้ว

ดังนั้นแล้วปีที่สิบให้หลัง จากการกราบเข้าสู่สำนักสาขาแห่งนี้ คนเกือบทั้งรุ่นและผู้อาวุโสเกือบทุกคนก็ให้การยอมรับตัวเขา เฉินหยางผู้มีระดับการฝึกตนขั้นธุลีสมบูรณ์ว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของคนรุ่นนี้

ตัวเขาในยามนั้น รอยยิ้มของเขายังคงแฝงด้วยความสมบูรณ์แบบ แฝงไปด้วยความวาดหวังแห่งอนาคต ใครเล่าจะรู้ ต่อให้พบกับเงามืดบนโลกนี้มากแค่ไหน รอยยิ้มของเขาก็ไม่เคยแปรเปลี่ยน

ตัวเขาในยามนั้นคือความหวังอันสูงส่งแห่งสำนัก คือความภาคภูมิใจของตระกูล คือตัวอย่างของคนในพรรค และคือจุดรวมแห่งแสงสว่างทั้งมวล

“ข้าไม่อาจทำถึงขั้นเปลี่ยนแปลงโลกก็จริง แต่สิ่งที่ข้าทำได้ ก็คือกระทำตนเองให้ดี มีเพียงแค่นี้ ชีวิตนี้ของข้าจึงจะไม่นับว่าผิดต่อเจ้า!” ประโยคนี้ในยามที่หมั้นกับศิษย์น้องหญิงที่ตนหลงรักมาตลอด เฉินหยางกล่าวประโยคนี้ออกมาให้ตนเองและนางฟัง

เขาในยามนั้น ในใจมีปณิธานสูงส่งนัก หวังจะทำให้ญาติเบิกบานใจ หวังจะทำให้ชีวิตของวงศ์ตระกูลดีขึ้น หวังจะทำให้คนที่ตนรักมีรอยยิ้มกว้างมากขึ้น หวังจะทำให้สหายและตนเองเติบโต หวังจะลดจำนวนผู้มีน้ำตาอาบหน้า หวังให้ผู้คนมีความสุขมากขึ้นในชีวิต และหวังให้ตนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างช้าๆ…

หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร อาศัยเส้นทางเดินของเขานี้ บางทีเฉินหยางคงจะไปได้ไกลกว่านี้จริงๆ และไปได้ไกลกว่าเก่า ญาติของเขาย่อมเบิกบานใจ คนในตระกูลของเขาย่อมมีชีวิตที่ดีขึ้น รอยยิ้มของศิษย์น้องหญิงก็คงจะอยู่เช่นนั้นไปตลอดกาล กับสหายก็เป็นเช่นนี้ หรือบางทีคนที่น้ำตาอาบหน้าก็อาจจะมีน้อยลงจริงๆ หรือบางครั้งโชคดีเข้าก็อาจจะช่วยเติมเต็มชีวิตของคนได้มากกว่านี้จริงๆ ก็เป็นได้

แต่ว่ายามนั้น ไม่มีใครรู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดสิ่งใด ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ เมื่อการตัดสินใจเลือกสิ่งหนึ่งอาจจะเปลี่ยนแปลงและพลิกโฉมทุกๆ สิ่งไป!

ทางเลือกที่ว่านี้มาถึงในยามที่เขาฝ่าระดับธุลีเข้าสู่ระดับดาราแล้ว

สำนักหลักแห่งสำนักศักดิ์สิทธิ์ให้ความสำคัญกับเขา จึงมอบโอกาสเข้าสู่สำนักหลักให้

ในฐานะที่เป็นนักพรตแห่งสำนักสาขาคนหนึ่ง หลังจากเฉินหยางได้รับข่าวนี้แล้วก็ตื่นเต้นดีใจมาก ตระกูลของเขาเองก็เช่นกัน สิ่งเดียวที่ทำให้เขาเสียใจก็คือ สำนักหลักแจ้งเขามาได้กระชั้นยิ่งทำให้งานแต่งงานระหว่างเขาและศิษย์น้องหญิง ไม่อาจดำเนินต่อไปได้

“รอข้ารายงานตัวกับสำนักหลักแล้ว ข้าจะยื่นขอวันลาช่วงหนึ่งกลับมาแต่งงานกับเจ้าให้เรียบร้อย” นี่คือคำสัญญาที่เฉินหยางมอบให้แก่ศิษย์น้องหญิงระหว่างจุมพิตหน้าผากของนางเพื่อบอกลา

ทว่า ความตั้งใจนี้…คำสัญญานี้ ไม่มีทางสำเร็จ

เพราะเฉินหยางไม่ทันได้คาดคิดเลยแม้สักนิดว่า สิ่งที่รอเขาอยู่ในสำนักหลักนั้น คือฝันร้ายที่จะตามหลอกหลอนเขาไปตลอดชั่วชีวิตสั้นๆ ให้หลัง

ในเวลาที่มาถึงสำนักหลัก เขาก็เหมือนกับมหาศิษย์แห่งเต๋าที่มาจากสำนักสาขาอื่นๆ อีก 99 ราย ถูกขานนาม และโดยไม่มีเหตุผลใดๆ พวกเขาก็โดนคุมขังอยู่ด้วยกัน!

สถานที่กักขังพวกเขาทั้งหนึ่งร้อยคนเอาไว้นี้ เรียกว่าคุกโลหิต!

ที่นี่คือคุกแห่งหนึ่ง คุกที่เต็มไปด้วยความชั่วร้ายและหดหู่ วันแรกที่เข้ามานั้น พวกเขาก็ถูกผนึกพลังฝึกตนเอาไว้ มีเพียงเสียงเย็นชาต่ำช้าเสียงหนึ่งบอกพวกเขาว่า กฎของที่นี่ก็คือการฆ่า!

ระหว่างพวกเขานั้นต้องฆ่ากันเอง อีกทั้งทุกวันจำต้องมีคนตายหนึ่งคน หากทำได้ตามนั้นก็จะมอบอาหาร ศิลาวิญญาณทำให้พลังของคนผู้นั้นกลับคืนมา อีกทั้งฟื้นพลังฝึกปรือนั้นกลับมาได้เล็กน้อยด้วย

ส่วนคนที่ทำไม่ได้ย่อมต้องกลายเป็นศพ อีกทั้งญาติและสหายของพวกเขา ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเขาทุกคนนั้นจะต้องถูกสังหารเช่นเดียวกันทั้งสิ้น!

ส่วนผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่รอดแต่ทำภารกิจไม่สำเร็จ พวกเขาก็จะได้เห็นภาพของญาติและสหายของตนตายต่อหน้าต่อตา

จนกว่าจะถึงยามสุดท้าย ในเวลาที่ประตูคุกโลหิตเปิดออกอีกครั้งก็คือยามที่เหลือคนเพียงคนเดียวเหลือรอด

หลังจากเสียงนี้ดังกังวาน สะเทือนอยู่ในหัวใจของพวกเขาทั้งร้อยคนแล้ว เฉินหยางรู้สึกว่านี่มันไร้สาระสิ้นดี แต่ไม่ว่าพวกเขาจะช่วยกันพูดเช่นไร หรือว่าหาทางออก คิดวิธีการอย่างไร ทุกอย่างก็ล้มเหลว…

กระทั่งหลังผ่านไปหนึ่งวัน นอกจากคนอื่นที่ทำภารกิจเสร็จสิ้นไปแล้ว ผู้ฝึกตนจำนวนมากรวมทั้งเฉินหยาง นั้นกลับไม่ได้ฆ่าผู้ใด รอจนระฆังยามเที่ยงคืนดังก้อง ฉากที่ทำให้เฉินหยางเป็นบ้านั้นก็ปรากฏแก่สายตาเขา.Aileen-novel.

นั่นคือวิชาเทพขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ปรากฏอยู่ในสมองของเหล่าคนที่ไม่ได้ทำภารกิจให้เสร็จในตอนนี้ ส่งผลให้พวกเขาได้เห็นภาพที่แตกต่างกันออกไป

สิ่งที่เฉินหยางได้เห็นก็คือ บิดา มารดาของตนนั้น…ผู้ที่มีรอยยิ้มมาตลอด ผู้ที่ปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความอ่อนโยน ทั้งชีวิตไม่มีด่างพร้อยคู่นี้ ค่อยๆ ถูกคนเหยียบกระดูกจนแหลกทั้งร่าง พวกเขากรีดร้องสุดเสียงอีกทั้งยังถูกฉีกกระชากเลือดเนื้อบนร่างจนกายวิญญาณเองยังดับสูญ!

เฉินหยางไม่เชื่อ เขารู้สึกว่าภาพนี้ไม่ใช่ความจริง ตนเป็นศิษย์ของสำนักศักดิ์สิทธิ์ ตนไม่ได้กระทำเรื่องผิดต่อสำนัก ตนไม่เคยมีเจตนาร้าย ดังนั้นแล้วเรื่องเหล่านี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ เรื่องพวกนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับตน!

“นี่ต้องเป็นบททดสอบเข้าสำนักหลักแน่ นี่เป็นภาพมายา!”

เฉินหยางพึมพำ บอกกับตนเองมาตลอดว่านี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เขาบอกกับตนเองไม่หยุด และบอกกับผู้อื่น หลังจากมั่นใจเช่นนี้แล้ว แม้ว่าจะมีบางส่วนเลือกที่จะเชื่อเขา แต่จำนวนมากกว่านั้นกลับเงียบขรึม ในเวลาเดียวกันเหล่าผู้คนก็เริ่มแตกแยกกันเอง แววตาของพวกเขาปรากฏความดุดันและการดิ้นรน ความเครียดเช่นนี้เมื่อบังเกิดขึ้นมาในใจก็พาลทำให้จิตใจเต้นระรัวและทำให้แตกแยก แต่ละคนต่างเริ่มเสาะหาที่ซ่อนตัว

ตัวเฉินหยางเองก็เป็นเช่นนี้เพราะว่าในวันที่สอง ผู้ที่เลือกลงมือสังหารผู้อื่นเริ่มมีมากขึ้น แต่พวกที่เลือกจะนิ่งเฉยนั้นกลับยังมีมากกว่า อย่างไรก็ดีในยามที่เวลาเที่ยงคืนมาถึง หลังจากที่ภาพเหตุการณ์วนมาอีกครั้ง มีคนบางคนส่งเสียงโหยหวนและกรีดร้องบ้าคลั่ง

“เพราะอะไร เพราะอะไร เพราะอะไร!!”

“ข้ามีใจภักดีต่อสำนักมาตลอด เห็นสำนักเป็นดังครอบครัว ทำไมทำกับข้าเช่นนี้!!”

คนรอบทิศแหกปากร้อง เฉินหยางร่างกายสั่นเทา สมองของเขาปรากฏภาพขึ้นมา นั่นคือท่านลุงของเขาถูกคนทำร้ายทารุณ ส่งเสียงกรีดร้องจนตายเช่นกัน!

“ไม่จริง…ไม่จริง…นี่เป็นภาพมายา…” เฉินหยางตัวสั่น เขาบอกกับตนเองไม่หยุด นี่คือการทดสอบของสำนัก ต้องใช่แน่ๆ

และด้วยความรวดเร็ว วันที่สาม ที่สี่ และวันที่ห้าก็ผ่านพ้นไป เฉินหยางสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง หลบกายอยู่ในที่ซ่อน ในเวลาสามวันนี้ เขามองเห็นญาติของตนตายอย่างทุกข์ทรมาน ในเวลาเดียวกันเขาก็พบว่าบรรดาคนที่เลือกจะสังหารล้วนเงียบขรึมขึ้น และในเวลาเดียวกันพวกเขาเองก็แตกแยกออกเป็นสองฝ่าย

ฝ่ายหนึ่งก็เหมือนกับเฉินหยาง พวกนี้เป็นพวกที่ไม่เคยสังหารใครมาก่อน ส่วนอีกฝ่ายย่อมเป็นพวกที่เลือกจะสังหาร อีกทั้งในวันที่สองยังลงมือรวดเร็วรุนแรง

จำนวนของคนกลุ่มที่สองนี้ นับวันก็ยิ่งมีจำนวนมากขึ้นทุกที ไม่ว่าจะเพราะเชื่อในภาพนั้น หรือว่าเพราะต้องการอาหาร หรือเพราะบางคนต้องการศิลาวิญญาณมาเพื่อฟื้นฟูพลังฝึกตนก็ตามที เหตุผลมากมายทำให้ผู้ที่เลือกสังหารนั้นมีจำนวนมากขึ้น!

จนกระทั่งเข้าสู่วันที่เก้า เหล่าคนที่เชื่อตั้งแต่แรกเช่นเดียวกับเฉินหยางว่านี่คือภาพมายาของสำนัก บัดนี้ไม่เชื่ออีกต่อไป

“เฉินหยาง เจ้าคิดมาตลอดว่านี่คือภาพมายา คือการทดสอบของสำนัก เช่นนั้นก็ให้ข้าฆ่าเจ้าเสีย ปลดปล่อยเจ้าเถอะนะ ให้เจ้าได้ไปพบกับคำตอบด้วยตนเอง”

“หรือบางที หากตายจากที่นี่ไปแล้ว เจ้าจะได้ตาสว่างจากสำนักนี้เสียที หรืออย่างมากที่สุด ก็คือสอบไม่ผ่านที่นี่เท่านั้นแหละ” ผู้เยาว์รายหนึ่งค่อยๆ เอ่ยปาก ก้าวเข้ามาหาเขา ใกล้ขึ้นทุกที ทุกที…

……………………………………………………………………

เกือบจะในเวลาเดียวกันกับที่นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าล่าถอยนั้น ในสถานที่ห่างออกไป พลังหมอกสายหนึ่งม้วนตัวรุนแรงแผ่กระจายออกทั่วจตุรทิศด้วยความเร็วและผิดปกติราวกับสัตว์ร้ายตัวหนึ่ง ขุมพลังหนึ่งที่เจือด้วยจิตสังหารอันเย็นเยียบสุดประมาณระเบิดออกท่ามกลางหมอกนี้

ในจังหวะที่ระเบิดพลังนั้น มีเงาร่างหนึ่งอาบจิตสังหารพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็วเหนือชั้น แม้มองไม่เห็นรูปร่างที่แท้จริงชัดเจน แต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังโหดเหี้ยมที่ราวจะบดขยี้ทุกสิ่งได้ พลังที่เหมือนจะคว่ำภูผาพลิกมหาสมุทรได้นั้นเคลื่อนเข้าใกล้นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้า จนสุดท้ายกลายเป็นมือข้างหนึ่ง ปรากฏอยู่เบื้องหน้านายน้อยลำดับเก้า มือข้างนี้เล็งไปยังหว่างคิ้วของเขา จากนั้นกระแทกพลังลงไปรุนแรง!

นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าดวงตาหดลีบ สีหน้าของเขาตกตะลึงสุดขีด เขาคิดอยากเห็นคนผู้นี้แต่ไม่ว่าจะพยายามเช่นไรก็มองเห็นเงาร่างของอีกฝ่ายไม่ชัด เมื่อคิดจะหลบหลีก หากแต่ความคิดและร่างกายนั้นในพริบตากลับเคลื่อนไหวไม่สอดคล้องกัน ไม่ว่าเขาจะพยายามควบคุมอย่างไร ร่างกายกลับช้าเช่นเดิม ไม่อาจหลบฝ่ามือที่พุ่งเข้ามานี้ได้เลย!

ในพริบตา เขาสัมผัสได้ถึงวิกฤติแห่งชีวิตอย่างรุนแรงภายในใจของตน ดรรชนีของฝ่ามือนั้นแตะเข้าที่กลางคิ้วของเขา ในพริบตาที่สัมผัสกันนั้น เสียงกัมปนาทซึ่งทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนผัน หมอกทั้งแปดทิศหมุนคว้าง ก็พลันระเบิดรุนแรงกว่าเก่าไปทั่วด้าน

นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้านั้นแผดร้องโหยหวนสุดเสียง ในพริบตานั้น หว่างคิ้วของเขาบังเกิดรอยแยกแตกออก ส่วนดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าดวงเบื้องหลังเขานั้นแม้จะปรากฏร่างกลางอากาศ แต่ก็ไม่อาจต้านพลังแห่งดรรชนีได้สักนิด ดังนั้นรอยร้าวจึงปรากฏบนร่างของพวกมันในพริบตา!

ว่ากันตามจริงแล้ว…ดรรชนีนี้ไม่เพียงแต่แฝงซึ่งพลังปราณโลหิตที่ซึ่งมีพลังรุนแรงระดับสูงสุด ในเวลาเดียวกันยังแฝงด้วยแรงแค้นอันหนักแน่น และพลังแห่งแสงอันไร้ขีดจำกัด พลังที่ว่าคล้ายจะสามารถชำระล้างทุกสิ่งได้ เมื่อมารวมกันจะพบว่าพลังที่ขัดกันทั้งสองประเภทกลับเข้ากันได้อย่างเร้นลับ และสิ่งสำคัญที่ทำให้พลังเหล่านี้ประสานกันได้นั้น กลับเป็นพลังจากเจตจำนงแห่งการกลืนกินและจิตสังหารอันดุดันขุมหนึ่ง

ราวกับว่าดาบเล่มนี้ได้หลอมรวมพลังทุกสิ่งเอาไว้ อีกทั้งประกายความเฉียบคมของดาบก็เพียงพอที่จะฟันระดับดาวพระเคราะห์ได้…หากว่าในเวลานี้ผู้ที่ประจันหน้ากับหวังเป่าเล่ออยู่นั้นมิใช่ผู้สืบทอดของราชันเทวะไกก้าแต่เป็นศัตรูอื่นละก็… เกรงว่าทั้งกายและร่างวิญญาณของศัตรูผู้นั้นคงจะแหลกลาญไปแล้ว!

อย่างไรก็ตาม…นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าผู้นี้ก็ยังมีไพ่สำรองอยู่ ในช่วงเวลาเป็นตายนี้เอง ผิวเนื้อของเขาพลันปรากฏผลึกอักขราจำนวนมากขึ้น ผนึกเหล่านี้มีพลังคลื่นอันแข็งกล้าแฝงอยู่ พลังนี้มิใช่ของของเขาแต่เป็นของอาจารย์ที่มอบให้ กำชับให้ใช้เพื่อรักษาชีวิตในยามคับขัน

เวลานี้เขากระตุ้นพลังแห่งอักขราทั้งหมดก่อเกิดขุมพลังกำลังป้องกัน ส่งผลให้พลังดรรชนีของหวังเป่าเล่อเกิดชะงัก นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าอาศัยช่วงหยุดชะงักนี้ล่าถอยอย่างรวดเร็วด้วยใบหน้าขาวซีด จนกระทั่งตัวเขาเองร่นถอยไปอยู่นอกระยะ 100 จั้ง ก็กระอักโลหิตออกมากองโต แม้ดวงตาจะแฝงความตกตะลึง ทว่าร่างกายกลับไม่หยุดเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย อีกทั้งจังหวะที่กระอักเลือดนี้ใช้วิชาเร้นลับหลบหนีรวดเร็วไปอีกส่วนด้วย

นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าไม่แม้จะเสียดายพลังชีวิตที่มอดไหม้ไปส่วนนั้น เขาอาศัยจังหวะเวลาที่ระเบิดพลัง รีบเร่งความเร็วเพิ่มขึ้น ในชั่วพริบตาถัดมาก็หายจากจุดเก่าพุ่งเข้าสู่ส่วนลึกของหมอกไปแล้ว

ในระหว่างที่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุนนั่นเอง ในใจของเขาพลันกระเพื่อมรุนแรง

“ทั้งที่ระลึกชาติได้เช่นกัน สมควรตายเอ้ย เหตุไฉนเขาถึงแข็งแกร่งเช่นนี้!!” นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้านั้น ยามนี้ในใจเหมือนมีคลื่นไร้ลักษณ์ขุมใหญ่บังเกิดขึ้น เขาเข้าใจดีว่าผนึกรักษาชีวิตที่อาจารย์มอบให้ตน เป็นพลังที่จะสำแดงต่อเมื่อปะทะกับขุมพลังระดับดารานิรันดร์เท่านั้น แต่เขากลับไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จะสามารถสร้างกระแสคุกคามระดับเดียวกับดารานิรันดร์ได้!

เมื่อชั่วครู่นั้น ฝ่ามือที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าของตนให้ความรู้สึกคล้ายกับว่าไม่ใช่พลังระดับดาวพระเคราะห์ แต่เป็นระดับเดียวกับดารานิรันดร์แล้ว โดยเฉพาะกับกฎแห่งการกลืนกินและกฎแห่งแสงที่แฝงอยู่ในนั้น พลังของพวกมันน่ากลัวสุดขีด ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาตกตะลึงยิ่งกว่านั้นกลับเป็นนิ้วมือที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับดาบของปีศาจร้ายชั้นสูงสุด ราวกับว่าดรรชนีนี้จะกลืนกินเขาลงไปทั้งตัวแบบนั้นแหละ

ตัวเขาเข้าใจกระจ่าง ตราประทับที่อาจารย์มอบให้เขานี้แม้มองผิวเผินจะแข็งแกร่ง แต่กลับเป็นอุปสรรคต่อการฝึกตนของเขา ดังนั้นแล้วการใช้งานจึงมีข้อจำกัดอยู่บ้าง หากว่าถูกโจมตีหลายครั้งเข้าตนเองคงต้องตายอนาถอยู่ที่นี่แน่

ดังนั้นแล้วเขาจึงเลือกหนีแบบไม่คิดชีวิต ในเวลาเดียวกันตรงสถานที่ต่อสู้เมื่อครู่ หลังจากที่นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าวิ่งหนีไป ด้านหลังฝ่ามือตรงที่ว่างเปล่าพลันบิดเบี้ยว แขน ไหล่ ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา!

ร่างซึ่งสวมชุดคลุมยาวสีม่วง เส้นผมยาวสีดำ.ไอรีนโนเวล. เรือนร่างตั้งตรงประดุจกระบี่เล่มหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าของหวังเป่าเล่อไม่แสดงอารมณ์ใด ทว่าดวงตากลับเย็นเยียบ ในเวลาเดียวกันบนร่างของเขา พลังแห่งกฎของแสงและการกลืนกินยังคงหมุนวนไม่หยุด ด้านหลังนั้นท่ามกลางดาวเคราะห์บรรพกาลเก้าดวง จะสังเกตเห็นเงาร่างของดาบมารคล้ายปรากฏคล้ายซ่อนตัว

สีหน้าเรียกได้ว่านิ่งสงบเหมือนผีดิบ ร่างแข็งแกร่งประหนึ่งเหมือนเผ่าเทพ จิตวิญญาณเฉียบคมดุจดาบมาร!

ทั้งหมดนี้ก็คือตัวหวังเป่าเล่อหลังจากดูดกลืนพลังซึ่งตนได้จากการระลึกชาติทั้งสามครั้งก่อนหน้า เขาได้ให้กำเนิดเงาร่างที่เป็นเอกลักษณ์ของตน ยามนี้เขายืนอยู่ตรงที่เก่านั้น มวลอากาศรอบด้านบิดเบี้ยวไม่หยุดค่อยๆ กรุยทางสร้างอาณาเขตกว้างขวางทั้งแปดทิศ

“คงทำลายเกราะป้องกันของมันไปได้หลายรอบอยู่…” หวังเป่าเล่อมองไปยังทิศทางที่นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าวิ่งหนีไป เขาแค่นเสียงเย็นแต่ไม่ได้ตามไล่จับ ด้านหนึ่งเนื่องด้วยเวลาจำกัด ส่วนอีกด้านหากคิดจะไล่ตามอีกฝ่ายไปจริง ในที่นี้ก็คงไม่เหมาะนักกับการสังหารใครสักคน

ดังนั้นแล้ว หวังเป่าเล่อจึงเห็นว่าการเสียเวลาอยู่ตรงนี้เป็นเรื่องไร้ประโยชน์ ไม่สู้เอาเวลาในจังหวะนี้มารวบรวมลำแสงชี้นำให้มากขึ้นดีกว่า หลังจากหวังเป่าเล่อเหม่ออยู่ชั่วครู่ เขาจึงละสายตาแล้วยืนอยู่ตรงจุดเดิมพลางให้ร่างแยกทั้งหลายที่ส่งออกไปนั้นรวบรวมลำแสงต่อ

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไปเช่นนี้ สถานที่ที่เขายืนอยู่ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นเขตต้องห้าม เหล่าผู้ฝึกตนที่ผ่านทางมานั้น ย่อมไม่อาจเข้าใกล้ พวกเขาทยอยกันตกตะลึงก่อนจะพากันหนีไปเสียไกล

ส่วนร่างแยกที่ส่งออกไปข้างนอกนั้น ก็ยังคงควานหาไม่ลดละ ส่งผลให้ลำแสงชี้ทางของหวังเป่าเล่อตรงนี้ทวีความสว่างมากขึ้น กระทั่งว่าช่วงจังหวะที่เวลาเคลื่อนเข้าใกล้ หวังเป่าเล่อก็จัดการเชื่อมกระแสจิตแล้วดึงร่างแยกพวกนี้กลับมาทั้งหมด และในยามนี้เมื่อมาถึงวันที่สี่ซึ่งหวังเป่าเล่ออยู่ที่นี่แล้ว น้ำเสียงชราแหบแห้งก็ลอยมาจากโลกนอกอันห่างไกล เสียงนั้นดังกังวานขึ้นภายในหมอกอีกครั้ง ก้องอยู่ในใจของเหล่าผู้เข้าทดสอบ

“วันที่สี่ ชาติที่สี่!”

“บางทีในชาตินี้ ข้าอาจจะได้คำตอบที่ข้าต้องการ!” ลำแสงชี้นำพลันส่องสว่างขึ้น จากนั้นก็หลอมเงาร่างของเขาทั้งหมดเอาไว้ เขาสัมผัสได้ว่ารอบด้านมีพลังหมุนวนไม่หยุด ตัวหวังเป่าเล่อที่ยังคงอยู่ในภวังค์เนิ่นนานนั้นพยายามรั้งเอาสัมปชัญญะเสี้ยวหนึ่งเอาไว้ พึมพำเสียงเบา

หลังจากเสียงนั้น สติของหวังเป่าเล่อ…ก็สูญสิ้น

“สำนักศักดิ์สิทธิ์ของข้า เป็นท่านเซียนผู้บุกเบิกท่านที่หกสร้างขึ้นหลังจากที่หกเซียนเบิกฟ้าผ่าแผ่นดิน เป็นผู้ถือสิทธิ์ปกครองทั้งจักรวาลนี้ร่วมกับสำนักแห่งเซียนผู้บุกเบิกทั้งห้าร่วมกัน!”

“พวกเจ้าทั้งห้าคนนั้นโชคดีที่ได้กราบเข้าสำนักข้า นี่คือโชคดีครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตของพวกเจ้าแล้ว!”

“ทั้งจักรพิภพนี้ มีดวงดาวมากมาย สำนักเต๋านับไม่ถ้วน สามัญ ธุลี วิญญาณ ดารา ผู้ฝึกตน ในระดับทั้งห้านี้ มีเพียงวิชาของสำนักเต๋าที่หกของเราเท่านั้นที่เหยียบย่างสวรรค์ได้ มีเพียงสำนักเต๋าที่หกเท่านั้นที่สามารถไปได้ไกลที่สุดและกลายเป็นผู้ฝึกตนได้…”

น้ำเสียงแหบแห้งแต่ก็แฝงความน่าเกรงขามนั้นดังกังวานสะท้อนไปมาทั่วลาน ในยามนี้กลางลานนั้นมีหนุ่มสาวประมาณ 100,000 คนยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้าล้วนตื่นเต้นและอิจฉา มองไปทางชายหญิงเยาว์วัยทั้ง 5 คนที่อยู่หน้าสุด

ห้าคนนี้ ชายสามหญิงหนึ่ง อายุประมาณสิบกว่าปีเห็นจะได้ ยามนี้พวกเขาล้วนฟังเสียงที่ไม่รู้ที่มานี้ด้วยความเคารพยิ่ง

เฉินหยาง คือหนึ่งในนั้น วันนี้คือวันที่เขากราบเข้าสำนักอย่างเป็นทางการ

ในฐานะที่เป็นผู้มีพรสวรรค์มากที่สุดในตระกูลเฉินรุ่นนี้ เขาถูกตั้งความหวังไว้สูงตลอดมา และเพราะตระกูลเฉินเป็นหนึ่งในตระกูลเต๋ามากมาย เป็นหนึ่งแห่งพรรคสาขาจำนวน 197,081 พรรค ทั้งยังได้รับจัดอันดับอยู่ใน 500 พรรคแรก ตระกูลเขาจึงมีทรัพยากรมากล้น และนับแต่เวลานั้นที่เฉินหยางถูกวัดคุณสมบัติออกมาได้อย่างน่าตกใจ ทั้งตระกูลก็ทุ่มทรัพยากรมาหล่อหลอมเขาตั้งแต่เด็กจนโต

ในวันนี้แม้เฉินหยางอายุเพียงสิบสามปี แต่พลังฝึกตนของเขานั้นก็อยู่ระดับสูงชั้นที่เก้าของระดับสามัญแล้ว ครั้นเมื่อเขาฝ่าระดับกลายเป็นระดับธุลีเมื่อใด ก็จะสามารถเลือกกราบอาจารย์ระดับวิญญาณเข้าสำนักได้

ทว่าเรื่องเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้อาวุโสประจำตระกูล อาศัยพลังพื้นฐานของเฉินหยางแล้วบวกกับความช่วยเหลือของตระกูล อนาคตของเขาย่อมไม่หยุดอยู่ที่ระดับวิญญาณแน่ บางทีอาจมีความน่าจะเป็นไม่น้อยที่เขาจะกลายเป็นระดับ…ดารา!

ต้องทราบว่าสำหรับจักรพิภพนี้แล้ว ระดับดาราถือเป็นตัวตนสูงสุด ระดับเดียวที่ยังคงสูงกว่าก็คือระดับเซียน แต่ว่าระดับเซียนนั้น…ตั้งแต่ปัจจุบันมา มีเพียงแค่หกคนเท่านั้น!

ดังนั้นแล้ว ผู้ที่มีทรัพยากรพร้อมสรรพอย่างเฉินหยางย่อมถูกคัดสรรออกมาจากบรรดาคนนับแสนตั้งแต่แรก และได้รับโอกาสกราบเข้าเป็นศิษย์ทางการในวันนี้!

ถึงแม้ว่า พรรคที่เขากราบเข้านี้ เป็นเพียงแค่หนึ่งในบรรดาสาขานับไม่ถ้วนของสำนักศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม

ในเมื่อสำนักศักดิ์สิทธิ์นั้นมีขนาดใหญ่มาก ต่อให้สำนักที่กราบเข้าไปนั้นเป็นเพียงแค่สำนักสาขา สำหรับเฉินหยางแล้ว เขาก็รู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง!

แม้เขาจะตื่นเต้นมากก็ตาม ทว่าในใจก็ยังฟูฟ่อง เต็มไปด้วยความวาดหวังต่ออนาคต ความรู้สึกนี้ยังแฝงความแน่วแน่ที่จะทำให้วงศ์ตระกูลยิ่งใหญ่ และนำพาบรรดาญาติให้มีชีวิตที่ดีขึ้นอีกระดับด้วย แล้วก็ยังมีความวาดหวังว่า…ศิษย์น้องหญิงข้างกายตนนี้จะได้กลายเป็นคู่เต๋าบำเพ็ญของตน

นอกจากนี้แล้ว…เฉินหยางก็ยังมีสิ่งที่ผู้เยาว์ส่วนใหญ่นั้นมี นั่นคือปณิธานอันสวยงามที่จะพิทักษ์ความถูกต้องเป็นธรรม!

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบพลางจ้องดาบมารเล่มนี้ สมองของเขาปรากฏภาพในชาติที่ตนเคยเป็นอาวุธและภาพฟ้าพร่างดวงดาวที่ตนเห็นครั้งสุดท้ายครานั้น

เรื่องนี้เขาไม่ได้ถามแม่นางน้อยอีก ทั้งๆ ที่จุดนี้อาจจะเป็นข้อมูลที่สำคัญยิ่ง หรือบางทีก็อาจจะไม่สำคัญเลยก็ได้ เพราะหากแม่นางน้อยอยากบอกเล่าเรื่องนี้แก่เขาแล้ว นางย่อมเป็นฝ่ายเอ่ยออกมา ทว่าในยามนี้ จากเจตนาของแม่นางน้อยที่เขาสัมผัสได้คล้ายกับว่านางยังคงต้องการเลี่ยงคำถามจากตนอยู่

แท้จริงแล้ว หวังเป่าเล่อก็พอจะเดาคำตอบได้ลางๆ แต่เขาไม่ต้องการสืบค้นให้ลึกเกินไป คำตอบที่ว่านี้ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกสุดในสมองของเขา

ท่ามกลางความสับสนและอาการจมดิ่งอยู่ในภวังค์ขั้นลึกสุดนั้น เขากลับอยากรู้อย่างยิ่งว่า หากตนระลึกชาติต่อๆ มาได้ จะพบคำตอบที่แตกต่างจากเดิมหรือไม่ หรือบางทีอาจจะหาหลักฐานเจอได้มากขึ้นจากการระลึกชาติเก่าๆ

ความสับสนนี้ ทำให้ดวงตาของหวังเป่าเล่อทอประกายลึกล้ำยิ่งขึ้น ในเวลาเดียวกันเขาก็ค่อยๆ เบนสายตาออกจากดาบมารซึ่งตนถืออยู่ในมือขวาพลางแหงนหน้าขึ้น ก่อนจะจ้องไปยังไอหมอกสีขาวเบื้องหน้าแล้วจมดิ่งกับความคิดต่อ

ณ จุดนี้ ความคิดที่จะตามหาศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณได้หายสิ้นแล้ว การล่องลอยเข้าสู่ชาติก่อนครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้จิตใจและร่างกายของเขาอยู่ในสภาวะอ่อนล้า

“ก่อนจะเข้าวันที่สี่ ยังมีเวลาหกชั่วยาม” เนิ่นนานหลังจากหวังเป่าเล่อคำนวณเวลาเสร็จสรรพ ก็เอ่ยขึ้นมาเสียงเบา ในใจบังเกิดความยึดมั่นอย่างหนึ่ง ความยึดมั่นนี้เปรียบเหมือนเปลวไฟที่แผดเผาชัชวาลอยู่ในก้นบึ้งหัวใจเขา

“บางที หลังระลึกชาติถัดไปแล้ว ข้าอาจจะเข้าใจทุกสิ่ง” ครั้นยึดมั่นกับความคิดนั้น หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจยาวคราหนึ่ง เขาก้มหน้าลงสำรวจร่างกายตนเอง สัมผัสได้ถึงพลังการฝึกตนที่สูงขึ้น ตัวเขาในตอนนี้ เหลือเพียงระยะห่างเล็กน้อยก็จะเข้าสู่ช่วงปลายของระดับดาวพระเคราะห์แล้ว

เต๋ากลืนกินสำแดงพลังจนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเกือบสูงสุดส่งผลให้ระดับวิชาพลังเทพของเขานั้นยกระดับเพิ่มพูนขึ้นมากเช่นกัน ส่วนความสามารถในการต่อสู้ยามนี้ของตนเองอยู่ที่เท่าไร เรื่องนี้หวังเป่าเล่อก็ยังทราบไม่กระจ่างนัก

แต่หวังเป่าเล่อทราบดี…ดาบมารที่บางครั้งชัดเจนและบางครั้งเลื่อนลอยอยู่ในมือของตนนี้ หากระเบิดพลังออกมา พลังของมันก็จะบ้าคลั่งอย่างไร้ขอบเขต พลังงานแผ่ซ่านไร้จุดสิ้นสุด ปัญหาอย่างเดียวก็คือตนในยามนี้กำลังอ่อนด้อย ตนในยามนี้ไม่อาจสำแดงพลังทั้งหมดของดาบมารได้

นี่มิใช่สิ้นไร้หนทาง แต่เกิดจากปัญหาว่าตัวหวังเป่าเล่อทำเรื่องนี้ไม่ได้ต่างหาก แม้จะสามารถสำแดงพลังทั้งหมดของตัวดาบออกมาได้ หากแต่หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจควบคุมพลังของมัน เช่นนั้นจุดจบเดียวที่รอเขาอยู่…อาจจะเป็นตัวเขาที่ไม่สามารถแยกแยะได้ ว่าตนคือหวังเป่าเล่อ หรือว่าดาบมารกันแน่

หลังจากสัมผัสได้ถึงพลังภายในดาบมาร และกลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวของมันแล้ว หวังเป่าเล่อก็พลันสังเกตว่า แสงที่นำพาให้เขาจมดิ่งเข้าสู่โลกก่อนๆ นั้น คล้ายจะหม่นลงทันตา

แสงนี้เป็นสิ่งสำคัญที่พาให้เขาเข้าสู่ชาติก่อนๆ ทุกครั้งที่ตนจมเข้าสู่ชาติก่อนได้แล้ว แสงที่อยู่เบื้องหน้าตนก็จะขยายระดับขึ้นก่อนจางหายไป ทว่ายามนี้เมื่อเขามองไปยังลำแสงเบาบาง คาดว่ามันคงได้รับผลกระทบจากการระลึกชาติที่ผ่านมาบางส่วน

หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าผู้อื่นนั้นใช้แสงไปมากเพียงใด หรือมีแค่แสงของตนเองที่เป็นเช่นนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาลองกะประมาณดูแล้ว แสงที่ชี้นำตนเองที่เหลืออยู่ตอนนี้ ต่อให้สามารถลากเขาเข้าสู่การระลึกชาติได้อีก คงฝืนทนอย่างมาก

“ในเมื่อเป็นแบบนี้…” ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแววเย็นชา เขากลับมานั่งขัดสมาธิอีกครั้ง เคลื่อนกระแสจิต หลังจากนั้นร่างแยกของเขาที่อยู่รอบด้าน ในพริบตาก็กลายเป็นเงาร่างแยกส่วนมุ่งไปยังทิศทางไม่ซ้ำกัน พุ่งตัวหายเข้าไปในหมอก

ส่วนหวังเป่าเล่อในเวลานี้ แม้จะยังไม่ทันรู้ตัว หากแต่การระลึกหลายชาติก่อนหน้า ภาพความทรงจำแต่ละฉากที่ย้อนกลับเข้ามาหาเขาพร้อมทั้งประสบการณ์จากแต่ละชาตินั้น ได้ก่อเกิดผลกระทบเข้าสู่ตัวเขาอยู่ดี

บางที…อาจจะไม่ใช่ผลกระทบ แต่เป็นเสมือนสิ่งที่ค่อยๆ แหวกร่างของเขาออกทีละชั้น ค่อยๆ เผยให้เห็นถึงเนื้อแท้ของร่างวิญญาณตัวเขาเอง!

อย่างไรก็ดีร่างหลักของเขาก็ยังคงเป็นร่างของชาตินี้อยู่ หวังเป่าเล่อยามนี้เผยแววตาเย็นยะเยียบ แต่ร่างแยกของเขาเหล่านั้นกลับไม่ได้มุ่งทำร้ายเหล่าผู้ฝึกตนที่ตั้งท่าป้องกันตนเอง ทว่าร่างแยกเหล่านั้นกลับพุ่งเป้าหมายไปยังบรรดาผู้เข้าทดสอบคนอื่นๆ ที่อาศัยกรรมวิธีหลากหลายในการช่วงชิงลำแสงชี้นำของผู้อื่นไม่หยุดภายในหมอกนี้แทน

ผู้ที่ทำเช่นนี้ ในการทดสอบมีจำนวนไม่น้อย!

เหตุก็เพราะว่ามีคนค้นพบตั้งแต่แรกว่า หากลำแสงบนร่างยิ่งมีจำนวนมากเข้า เช่นนั้นโอกาสที่จะระลึกชาติก่อนๆ ได้ ก็จะง่ายดายและแจ่มชัดขึ้น ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น…ยังสามารถนำพลังของตนเองกลับมาจากชาติก่อนๆ ได้มากขึ้นด้วย

ดังนั้นด้วยความรวดเร็ว หลังจากที่ร่างแยกของหวังเป่าเล่อลอยเข้าไปในหมอกไม่หยุด เขาก็พบกับเหล่าผู้ท้าชิง ร่างแยกพวกนี้ของเขาลงมือทันทีด้วยความเร็วสูงและพลังการต่อสู้อันแข็งแกร่ง ซึ่งเหมือนว่าจะเหนือกว่าระดับดาวพระเคราะห์ไปแล้ว กุมชัยชนะเหนือบรรดาผู้ฝึกตนได้อย่างหมดจด!.ไอรีนโนเวล.

คนพวกนี้ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา

เพราะความแข็งแกร่งของร่างจริงนั้นส่งผลต่อจุดอ่อนจุดแข็งของร่างแยก อีกทั้งร่างแยกของหวังเป่าเล่อยังพิเศษมาก เนื่องจากร่างแยกของเขาเป็นร่างธรรม ดังนั้นแล้วพลังจึงไม่ค่อยต่างจากร่างจริงเท่าไรนัก

แม้ยามนี้ร่างของเขาจะแยกออกเป็นจำนวนมาก ทำให้พลังของแต่ละร่างอ่อนลงไปบ้าง แต่หากเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ นั้น ก็สามารถบอกได้ว่าเพราะหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งกว่า ดังนั้นแล้วต่อให้เป็นร่างแยกของเขาที่กระจายตัวออกไปก็ยังมีความสามารถเพียงพอที่จะกวาดล้างผู้ฝึกตนโดยรอบได้หมดอยู่ดี

หลังจากเสียงกัมปนาทดังต่อเนื่องภายในหมอก ลำแสงชี้นำที่อยู่บนร่างหวังเป่าเล่อจึงส่องสว่างขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว ภายในเวลาสองชั่วยาม ร่างกายของเขาก็ได้กลายเป็นร่างเปล่งแสงขนาดยักษ์ กล่าวได้ว่าลำแสงของเขาอาบท่วมพื้นที่มิติตรงนี้ทั้งสิ้นแล้ว

ฉากที่เห็นนี้ ราวกับจะเปลี่ยนให้กายเขาเป็นเสมือนแม่เหล็ก สิ่งนี้ดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกตนที่เข้ามาใกล้ จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า เหล่าผู้ฝึกตนพวกนี้หลังจากจับจ้องหวังเป่าเล่อแล้ว เหตุใดพวกเขาจำต้องเพ่งมองด้วยความระวังกังขา

เพราะเห็นชัดว่าบนร่างของหวังเป่าเล่อในยามนี้ มีกลิ่นอายบางอย่างที่ทำให้ผู้สัมผัสถึงเกิดความรู้สึกพรั่นพรึงจนจิตใจเต้นรัว พวกเขาพากันถอยห่าง

อย่างไรก็ดี…ในการทดสอบครานี้ ยังมีคนแข็งแกร่งอยู่บ้าง อาทิเช่นตอนนี้ ยามที่ห่างจากวันที่สี่อยู่อีกครึ่งชั่วยามนั้น หวังเป่าเล่อที่หลับตาขัดสมาธิก็พลันลืมตาขึ้น

ร่างแยกหนึ่งของเขาถูกทำลาย อีกทั้งพลังต้นกำเนิดที่อยู่ในนั้นยังถูกตัดขาดเสมือนถูกคนช่วงชิงเอาไปหลอมรวม

พลังแห่งร่างธรรมนี้แข็งแกร่งกว่าร่างแยกที่กำเนิดจากวิชาเทพของเขารูปแบบอื่น แต่ก็ยังมีข้อด้อย นั่นคือเมื่อโดนโจมตีจะสร้างความเสียหายให้กับร่างจริงของหวังเป่าเล่อมากกว่าร่างแยกจากวิชาเทพประเภทอื่น

อย่างไรก็ดี ร่างที่ถูกทำลายในยามนี้เป็นเพียงแค่ร่างแยกระดับสองของร่างธรรมแยกส่วนเท่านั้น แม้พลังปราณที่อยู่ในนั้นจะไม่มาก แต่ก็ไม่ควรเสียไปอยู่ดี

ดังนั้นเวลานี้หวังเป่าเล่อที่เบิกตาจึงขยับร่างทันที เขาหายไปจากที่เก่าในพริบตาก่อนจะทะยานร่างไปเบื้องหน้าดุจสายฟ้า กระโจนไปยังสถานที่ที่ร่างแยกของตนถูกทำลาย

ระหว่างที่เร่งจังหวะอยู่นั้น หวังเป่าเล่อใบหน้าเย็นชา ยกมือขวาขึ้นทำท่าอย่างรวดเร็วก่อนจะเอ่ยปาก

“สาปแช่ง!”

เกือบจะในพริบตาที่หวังเป่าเล่อเอ่ย ในตำแหน่งของหมอกแห่งหนึ่งซึ่งห่างจากร่างจริงระยะหนึ่งนั้น นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้า ผู้เยาว์ซึ่งถือครองดาวเคราะห์บรรพกาลเก้าดวงเช่นเดียวกับหวังเป่าเล่อทอประกายแสงพิลึกในแววตา มองดูลำแสงทั้งเก้าสีที่อยู่กลางฝ่ามือของตน

“ร่างแยกนี้แข็งแกร่งนัก ควรจะเป็นพลังส่วนใหญ่ของร่างหลักหวังเป่าเล่อแล้ว เจ้าพวกนี้เลยมีของดีอยู่…หากหลอมพลังนี้เข้าไป อาจจะทำให้ข้าพบความลับว่าหวังเป่าเล่อเปลี่ยนดาวเคราะห์บรรพกาลเป็นเต๋าอย่างไรก็ได้…” ในฐานะที่เป็นนายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้า เขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเชื่อมั่นมาตลอด ความสามารถของเขาเองก็อยู่ในระดับสูงสุดของระดับดาวพระเคราะห์แล้ว แม้ว่าร่างแยกของหวังเป่าเล่อจะแกร่งกล้าแต่ก็ยังสู้เขาไม่ได้อยู่ดี

อย่างไรเสีย พวกมันก็สร้างความลำบากให้เขาได้อยู่บ้าง จนกระทั่งหลังเขาจับร่างแยกนี้มาได้ เขาได้ชั่งใจดู เขารู้สึกคล้ายกับว่าตนเองคาดการณ์ความสามารถที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อได้แล้ว ยามนี้ตนตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะรั้งรอ ยังคงยืนหลอมพลังอยู่ตรงที่เดิม ในเวลาเดียวกันก็เฝ้าสงสัยว่าหวังเป่าเล่อจะกล้ามาหรือไม่

นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้า มีความเชื่อมั่นว่าต่อให้หวังเป่าเล่อมาแล้ว ตนเองก็ยังได้เปรียบ

แต่เขากลับไม่รู้เสียเลยว่า นี่เป็นเพียงแค่หนึ่งในร่างแยกหลายร่างของร่างธรรมหวังเป่าเล่อ พูดได้ว่าเป็นร่างแยกชั้นรองหรืออะไรทำนองนั้น หากเทียบกับร่างจริงของหวังเป่าเล่อแล้ว…ความสามารถในการต่อสู้นั้นแตกต่างยิ่ง!

การตัดสินใจที่ผิดพลาดครานี้ ทำให้พริบตานั้น พลังแสงเบื้องหน้านายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้ารายนี้แปรเปลี่ยนเป็นพลังเพลิงอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นพลังปราณที่สะท้านขวัญผู้คน ควบรวมเป็นตราประทับคำสาปพุ่งเข้าสู่หว่างคิ้วของเขา

ฉากนี้มาได้กะทันหันนัก ทว่านายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้ามีประสบการณ์ในการต่อสู้มาเป็นเวลาเนิ่นนาน ย่อมตั้งตัวได้เร็ว เขาถอยเท้าในพริบตา หลบหลีกตราประทับไฟ พลันเผยสายตาเย็นยะเยือก เตรียมท่าเพื่อทำการโต้กลับ แต่ในเวลานี้…

หลังจากลำแสงนั้นกลายเป็นเปลวเพลิง ก็พลันระเบิดพลังปราณรุนแรงออกมา สะเทือนฟ้าสะเทือนดินในชั่วพริบตาเช่นกัน นี่เป็นพลังคลื่นที่น่ากลัวสุดขีด และในที่ห่างไกลนั้นภายในหมอกก็มีพลังบางอย่างหมุนวนพุ่งเข้ามาตรงนี้ทันที

ตัวหวังเป่าเล่อเองนั้นยังมาไม่ถึง ทว่ากลับมีเสียงที่พุ่งเข้ามาพร้อมกับลำแสงแห่งเพลิงนั้น

“ชิงร่างธรรมของข้า เจ้า…รนหาที่ตายแล้ว!” น้ำเสียงหวังเป่าเล่อเย็นชาอย่างมาก ในระหว่างที่นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้ากำลังโงนเงน เขาก็พลันเห็นใบหน้าของหวังเป่าเล่อ ใบหน้าดวงนี้เหมือนผีดิบไม่ปาน ในเวลาเดียวกันก็คล้ายเทพ และดาบมารซึ่งทับซ้อนกันอยู่ ก่อเกิดพลังเร้นลับกระแสหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้าหน้าเปลี่ยนสี ลอบกลืนน้ำลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

มันไม่ลังเลเลยสักนิดที่จะถอยห่างอย่างรวดเร็ว

แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว…

…………………………………………

เจ้าช่างร้ายกาจนัก

นี่เป็นประโยคที่เจ้านายสาวคนนั้นชอบพูด

แต่ข้าคิดว่าข้าไม่ผิดเพราะชีวิตของข้าต่างจากพวกเขา ในฐานะอาวุธ ข้ารู้สึกว่าโชคชะตาของข้าไม่ควรกลายเป็นเครื่องประดับ

หากแต่เจ้านายสาวกลับบอกว่าข้ากำลังตลบตะแลง

ไม่เป็นไร ในฐานะตาแก่อย่างข้าย่อมไม่สนใจความคิดเห็นของเด็กหญิงตัวเล็กๆ หรอก แต่ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อนางบอกว่าข้าร้ายกาจ ข้าถึงไม่มีความสุขแม้แต่น้อย ข้าจึงคิดว่า…อย่าเพิ่งกินนางเลย ข้าอยากเห็นนางถือข้าไว้ในมือและก้าวไปสู่ความชั่วร้ายแบบเดียวกับข้าทีละก้าว

ข้าต้องทำได้แน่

แต่…เทียบกับนางที่บอกว่าข้าร้ายกาจ สิ่งที่ข้าไม่ชอบยิ่งกว่าคือแววตาของนาง แววตาที่บริสุทธิ์ดุจกระจกเงา ทำให้ข้าเห็นตัวเองในนั้น…ขณะเดียวกันในแววตาคู่นั้นยังมีความเมตตาที่ทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว ข้าเกลียดความเมตตา เกลียดความบริสุทธิ์ ข้าอยากกินนาง

แต่ข้าก็อดกลั้นไว้ ข้าอยากเห็นวันที่นางกลายเป็นเหมือนข้า ดวงตาคู่นั้นยังจะมีความเมตตาอยู่ไหม ดวงตาคู่นั้นยังจะมีความบริสุทธิ์ราวกับดวงดาราเช่นนี้หรือไม่

ปีแรกข้าล้มเหลว

ข้าไม่คิดว่าหลังจากที่นางกลายเป็นเจ้านายของข้าแล้ว นางกลับไม่ได้ใช้พลังของข้าเลย นับประสาอะไรกับการคร่าชีวิต แม้ว่าในปีนั้นนางจะไม่มีความสุข

ปีที่สองก็เช่นกัน จนถึงปีที่ห้า ข้าไม่สามารถแบกรับคืนวันที่ไม่มีอาหารตกถึงท้องได้อีกแล้ว ข้างในกายข้ามีความกระหายเลือดสุดจะพรรณนา มันกลายเป็นความหิวโหยและทำให้ข้าบ้าคลั่งทำลายทุกอย่าง ข้ามองเห็นความเมตตา ความบริสุทธิ์ในดวงตานางอีกครั้งและไม่อาจลืมคำพูดที่นางพูดกับข้าในตอนนั้นได้เลย

“จำเป็นต้องฆ่าหรือ”

“ข้าหิว!”

“ข้าเข้าใจแล้ว”

หลังจากการสนทนาระหว่างเรา เจ้านายของข้าคนนี้ก็กรีดข้อมือตนและชโลมร่างกายของข้าให้เป็นสีแดงด้วยเลือดของนาง ข้าดูดเลือดนางอย่างตะกละตะกลาม ความหอมหวานของมันทำให้ข้าหมกมุ่น จนกระทั่งข้าเห็นใบหน้าที่เหี่ยวเฉาขึ้นเรื่อยๆ ของนาง เห็นดวงตาที่ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยคู่นั้น ตอนนั้นเองข้าก็รู้สึกกลัว

กลัวอะไร…ข้าไม่รู้ แต่ข้าก็ได้ข่มกลั้นสัญชาตญาณของตนเป็นครั้งแรกในชีวิต ข้าเงียบไปและยิ่งเกลียดชังความบริสุทธิ์เช่นนี้มากขึ้น ข้าบอกตัวเองว่าจะต้องมีวันที่ได้เห็นแววตาของนางเปลี่ยนไป

วันนั้นข้าคิดว่าจะมาถึงในเร็ววัน เพราะในปีที่เก้าที่นางกลายเป็นเจ้านายของข้า สำนักของนางถูกรุกรานโดยกลุ่มผู้ฝึกตนปีศาจและสังหารคนทั้งสำนัก

เมื่อนางพาข้ากลับมา นางมองดูซากปรักหักพังและซากศพของคนคุ้นเคยนับไม่ถ้วนอย่างสั่นสะท้าน นางร่ำไห้ ในตอนนั้นข้าบอกนางว่าข้าสามารถช่วยนางแก้แค้นได้ เพียงแค่นางอนุญาตให้ข้าระเบิดพลังของตน ข้าก็สามารถช่วยนางฆ่าทุกสิ่ง แม้แต่ไปที่โลกใบเล็กๆ ของอีกฝ่ายเพื่อฝังมันทั้งเป็น

ข้าทั้งล่อลวงและชี้นำไม่หยุด แต่ข้าไม่เข้าใจว่าสาเหตุใดข้าถึงยังล้มเหลว

นางไม่เลือกใช้ข้า แต่จากไปอย่างเงียบเชียบ ทว่าข้ากลับสัมผัสได้ว่าในยามนั้นร่างกายของนางมีความผันผวนทางอารมณ์อย่างรุนแรง

วันต่อๆ มาก็เหมือนเดิม ในปีที่ 37 สัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งของนางถูกฆ่าตายอย่างไร้ความปรานี นางยังคงนิ่งเงียบ ในปีที่ 65 สหายเก่าของนางเสียชีวิตอย่างน่าอนาถ ทว่านางก็ยังคงเหมือนเดิม

จากเป็นจากตายครั้งแล้วครั้งเล่า ความอยุติธรรมครั้งแล้วครั้งเล่า ความมืดมนครั้งแล้วครั้งเล่า นางเดินไปตามเส้นทางนี้ด้วยความอ่อนระโหยโรยแรง แต่ดวงตาของนางไม่เคยเปลี่ยน

ในช่วงหลายปีมานี้ หากไม่ใช่เพราะสนามพลังของข้าแผ่ออกมาเองตามสัญชาตญาณและช่วยให้นางรอดพ้นจากอันตรายบางอย่าง เกรงว่านางคงจะตายไปแล้ว

ข้าไม่เข้าใจจึงอดไม่ได้ที่จะถามนางในที่สุด

“ทำไมเจ้าถึงต้องทำเช่นนี้”

“เพราะข้าติดหนี้บุญคุณเจ้า ข้าไม่ต้องการให้เจ้าฆ่าใครอีก ต่อให้ข้าจะเจ็บปวด ต่อให้ข้าอยากแก้แค้น ต่อให้ข้าจะรู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่คือความทรมาน แต่สำหรับข้า สิ่งที่สำคัญที่สุด…คือเจ้า” คำตอบของนาง ข้าไม่เชื่อ

แต่ความปรารถนาที่จะได้เห็นแววตาของนางเปลี่ยนไปนั้นแข็งแกร่งกล้าขึ้น ดังนั้นข้าจึงข่มกลั้นความหิวของตนและปล่อยให้นางชโลมเลือดให้ข้าทุกสิบปี ด้วยวิธีนี้ข้ากับนางจึงท่องจักรวาลไปด้วยกัน

บางทีอาจเป็นเรื่องบังเอิญ บางทีอาจเป็นการชี้นำของข้า หรืออาจเป็นชะตากรรมของนาง ในปีต่อๆ มา ชีวิตนางช่างน่าสังเวช ไร้ความช่วยเหลือซ้ำแล้วซ้ำเล่า สูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่า ทุกครั้งที่เกิดเรื่องข้าจะบอกนางเสมอว่าขอเพียงอนุญาตให้ข้าลงมือ ข้าจะเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่างของนางได้

แต่จนกระทั่งผมของนางเปลี่ยนเป็นผมขาว ความปรารถนาของข้าก็ยังไม่สำเร็จ

กระทั่งวันหนึ่งที่นางเสียชีวิตลง

ข้ามองดูศพของนาง ควรจะมีความสุข ควรจะยินดี เพราะจากนี้ไปข้าก็เป็นอิสระและเข่นฆ่าต่อไปได้ กลืนกินต่อไปได้ ไม่มีใครรั้งข้าไว้อีก และจะไม่ต้องเห็นแววตาและความเมตตาที่น่าสะอิดสะเอียนนั่นอีกแล้ว.Aileen-novel.

แต่…ทำไมข้าต้องปิดผนึกความทรงจำในวันนั้นด้วยนะ

ข้าไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ แต่หลังจากที่นางตาย ข้าก็นิ่งเงียบ ในใจดูเหมือนจะมีห้วงอารมณ์ที่ไม่สามารถปิดผนึกไว้ได้ มันหนักหนาสาหัสและบีบคั้นข้า

ในห้วงอารมณ์นี้ ข้ารู้สึกไม่สบายเนื้อตัวกับการเข่นฆ่า ข้าไม่อยากยอมรับ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการอยู่กับเด็กสาวคนนั้นมาเพียงไม่กี่ร้อยปีกลับมีอิทธิพลต่อข้า และถึงแม้จะได้พบกับเจ้านายอีกมากมาย แต่กลับมีเจ้านายหลายคนที่เป็นฝ่ายละทิ้งข้า

เพราะข้าไม่เข่นฆ่าอีกแล้ว เพราะคมดาบของข้านั้นทื่อ เพราะอารมณ์ของข้าจมดิ่ง เพราะพลังของข้า…ค่อยๆ สลายไปตามอารมณ์ที่แผ่กระจายออกมา

หมื่นปีต่อมาข้าก็ไม่ใช่ทหารปีศาจอีกต่อไป กลับกลายเป็นเหล็กธรรมดา

ร่างกายของข้าเริ่มขึ้นสนิม ความยิ่งใหญ่ของข้ากลายเป็นอดีต ร่างกายของข้าทรุดโทรม และชีวิตของข้า…ก็ดูเหมือนจะค่อยๆ หายไป

ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดสิ่งนี้ถึงเกิดขึ้นจนกระทั่งช่วงเวลาที่ชีวิตข้าสลายไปอย่างสมบูรณ์ ความทรงจำในวันนั้นที่ข้าปิดผนึกและทำให้ตัวเองลืมไปก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า

บนยอดเขาสีแดง นางนอนอยู่ตรงนั้น และกำลังลูบไล้ข้าขณะมองดูจักรวาล แม้ว่านางจะมีผมสีขาวและรอยยับย่นกระจายเต็มทั่วใบหน้า แต่ดวงตาของนางก็ยังคงบริสุทธิ์

“เจ้ากำลังมองอะไร” ข้าเอ่ยถาม

“มองจักรวาล”

“มืดสนิทไปหมด มีอะไรน่ามองกัน”

“ในใจข้า ความมืดคือโลกใบนี้ ส่วนจักรวาลนั้นสว่างเจิดจ้าที่สุด”

“ข้าไม่เข้าใจ”

“เช่นนั้นก็มองให้มากกว่านี้ มองไปอีกพันปี…ชีวิตนี้มองไม่สำเร็จก็มองต่อในชาติหน้า ต้องมีสักวันที่เจ้าจะเข้าใจ”

“ข้ามีชาติหน้าด้วยหรือ ไม่รู้ว่าชาติหน้าของข้าจะได้เป็นทหารที่แข็งแกร่งกว่านี้หรือไม่”

“เจ้ารู้จักผีดิบไหม…เกิดจากความอาฆาตแค้น ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดมิดชั่วนิรันดร์ ข้าจะอยู่กับเจ้า นี่คือการชดใช้ของข้า”

“ชดใช้หรือ…ทำไมเจ้าถึงบอกว่าเจ้าติดหนี้บุญคุณข้าเสมอเลย” ข้าเงียบไปนานแล้วเอ่ยถาม

แต่ไร้ซึ่งคำตอบ เลือดของนางชโลมร่างข้า ครั้งนี้นางไม่เก็บไว้อีกแล้ว หรือบางที… อาจเป็นข้าเองที่ลืมข่มใจ

บางที…ไม่ใช่บางทีสิ

เป็นข้าที่ฆ่านาง

ข้ามองดูร่างของนางและเงียบไปนาน…ในที่สุดข้าก็รู้ว่าสิ่งที่ข้าปิดผนึกนั้นไม่ใช่นาง แต่เป็นคำพูดนั้น

“ข้าจะอยู่กับเจ้า”

ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่าที่แท้ข้า…โดดเดี่ยวมาโดยตลอด ตั้งแต่เกิดจวบจนปัจจุบัน

และในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้วว่านางก็คือคนที่ข้ารอคอยมาตลอด ยามที่ข้าสังหารนาง ชีวิตของข้าก็จบสิ้นแล้วเช่นกัน

เมื่อความทรงจำผุดขึ้นมา ข้าพยายามยกดาบเน่าๆ ขึ้น และพยายามมองดูจักรวาล…

น้ำตารินไหลลงมาโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่บนดาบปีศาจที่ปรากฏในความทรงจำ แต่เป็นในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ไม่รู้ว่าเขาลืมตาขึ้นตั้งแต่เมื่อไร

ทว่าเมื่อมันเปิดออก ความอยากกลืนกินไม่รู้จบก็ระเบิดขึ้นในจิตวิญญาณของเขา ทำให้เมล็ดพันธุ์กลืนกินในร่างกายเขาถูกกดข่มอย่างสมบูรณ์ในยามนี้ เต๋ากลืนกินในกฎเก้าข้อเพิ่มขึ้นทันทีในระดับปราณกังวาน จนกระทั่งขึ้นไปถึงระดับเก้าจุดแปดเจ็ดเช่นเดียวกับเต๋าแห่งแสง!

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกอะไรเลย ตอนนี้เขาก้มศีรษะลงอย่างว่างเปล่า มองที่มือของตนแล้วพึมพำ…

“ชาติก่อน…ทั้งหมดนี้มีอยู่จริงหรือ ทำไมชาติก่อนของข้า…มีเหตุและผลสัมพันธ์กัน…และยังมีนางอยู่ด้วยเสมอ…”

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ทันใดนั้นก็ยกมือขวาขึ้นโบกสะบัด ฉับพลันก็มีเงาดำเลือนรางปรากฏขึ้นที่มือขวาของเขา ที่ตรงนั้นดาบปีศาจของชาติก่อน…ปรากฏขึ้น!

…………………………

ท้องฟ้า…ชิ้นส่วนของความว่างเปล่า สายฟ้าไม่ทราบจำนวนดูเหมือนจะส่องแสงอยู่ตลอดเวลา บางครั้งก็เชื่อมต่อกันเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ ทำให้โลกทั้งใบสั่นสะเทือน

แผ่นดิน…ก็เช่นกัน!

ไร้ดิน ไร้ภูเขา ไร้พืชพันธุ์ มีแต่ความว่างเปล่าไม่มีที่สิ้นสุด!

ไม่ว่าด้านบน ด้านล่าง สภาพแวดล้อม จุดใดก็ตามที่สายตามองไปล้วนมีแต่สายฟ้าและความว่างเปล่าราวกับขุมนรกไปทุกหนแห่ง

แต่ข้า…ยังคงชอบเรียกที่แห่งนี้ว่าสุสาน และครั้งเดียวที่เจ้านายคนที่สามผู้โง่เขลาของข้าฉลาดก็คือเรื่องที่ทำให้ข้าได้รู้จักคำๆ นี้

ในมุมมองนี้ถึงแม้เขาจะโง่เขลา แต่ข้าก็ยังมอบพลังให้แก่เขา แต่เขาไม่อาจรู้ เหตุผลที่ข้าคิดว่าที่นี่คือสุสานเพราะข้าถูกฝังไว้ในที่แห่งนี้ หรือพูดให้ถูกคือ ข้า…ถือกำเนิดขึ้นที่นี่!

จำไม่ได้แล้วว่าเมื่อไรที่ข้ามีสติรับรู้ และไม่รู้ว่าเวลาใดที่ข้าสามารถรับรู้สิ่งรอบกายได้ ในสุสานที่ว่างเปล่านี้อาจยังมีชีวิตอื่นที่เหมือนกับข้า แต่ดูเหมือนว่ายามที่ข้าถือกำเนิดขึ้น พวกมันต่างสั่นกลัว

บางทีพวกมันอาจจะกลัวข้ากระมัง

แต่พวกมันไม่ควรกลัว เพราะอาหาร…ไม่จำเป็นต้องมีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ จุดประสงค์ของการมีอยู่ของพวกมันอาจเป็นอาหารให้ข้าเวลาหิว

หิวก็ต้องกิน นี่คือสิ่งที่เจ้านายคนที่สี่ของข้าพูดบ่อยครั้ง และข้าก็คิดว่ามันสมเหตุสมผลทุกครั้งที่ข้าหวนนึกถึง

ถึงแม้พวกมันจะกินยาก ร่างกายแข็งมากทำให้ข้ากินลำบาก แต่สุดท้ายข้าก็หาวิธีที่ชอบได้ นั่นก็คือหลังจากบดขยี้พวกมันให้ละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ ลิ้มรส

วิธีการกินนี้ยังคงดำเนินต่อไปจนถึงเจ้านายคนที่แปด แต่เขาไม่ชอบและหยุดข้าอยู่หลายครั้ง ข้าก็เลยกินเขาเข้าไป

เวลาผันผ่าน…ดังนั้นความทรงจำมักถูกนำทางโดยกิ่งไม้ เช่นนั้นกลับไปพูดเรื่องอาหารที่ข้าโปรดปรานเถอะ

สิ่งที่ข้าชอบกินที่สุดคือวิญญาณของพวกมัน มันอร่อยมาก ข้าหมกมุ่นกับมันจนบางครั้งก็ลืมนอนและจมอยู่ในสภาวะกลืนกิน แม้จะไม่หิวแล้วก็ยังอดไม่ได้ที่จะเพลิดเพลินไปกับความสุขสมหลังจากกลืนกินวิญญาณเข้าไป

ในความทรงจำของข้านับตั้งแต่เกิด หลายปีที่ผ่านมานี้ในอาหารจะมีพวกกบฏปรากฏขึ้นบ้างเป็นบางครั้ง ดูเหมือนพวกมันจะไม่อยากถูกข้ากิน ทุกครั้งที่พบอาหารเช่นนี้ ข้าจะมีความสุขเป็นพิเศษ…จากที่เจ้านายคนที่เจ็ดของข้าบอก นั่นไม่ได้เรียกว่าความสุข แต่เป็นความกระหายเลือดและความโหดร้าย

เพราะข้าชอบข่มเหงพวกมันอย่างสุดจิตสุดใจ ปล่อยให้พวกมันดิ้นรนซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ้นหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งส่งกลิ่นชวนให้หมกมุ่นไปทั้งตัวแล้วจึงกัดทีละคำให้พวกมันสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่ร่างกายถูกฉีกจนตายไปในที่สุด

แต่น่าเสียดาย ก่อนที่จะได้พบกับเจ้านายคนที่สิบสาม ข้าไม่เคยเจอใครที่ทนได้นานกว่าสามวันเลย นั่นทำให้ข้าคิดถึงเจ้านายคนที่สิบสามมาก และเสียใจด้วยที่ครั้งหนึ่งเคยบ้าคลั่งจนดูดกินนางจนแห้งเหี่ยว

แต่ไม่เป็นไร การที่ข้าสามารถดูดกินจนแห้งเหี่ยวได้ แสดงว่านางไม่ใช่เจ้านายที่ข้ารอคอย

จำไม่ได้ว่าเมื่อไร บางทีอาจจะเป็นช่วงที่ข้าถือกำเนิด ดูเหมือนจะมีเสียงหนึ่งบอกให้ข้ารอใครสักคน คนๆ นั้นเป็นใคร ข้าไม่อาจทราบ รู้แต่เพียงว่า…นั่นคงจะเป็นโชคชะตาของข้ากระมัง

แต่การรอคอยไม่ใช่นิสัยของข้าเลย ดังนั้นวันหนึ่งที่ข้าเกือบจะกินอาหารในหลุมศพจนหมด ข้าก็คิดจะออกไปจากที่นี่ อยากตามหาอาหารใหม่ๆ ในโลกภายนอก…พูดให้ถูกคือตามหาผู้ดิ้นรนต่อต้านคนใหม่ แต่ข้าไม่สามารถพูดออกมาตรงๆ ได้ หากในอนาคตมีคนถาม ข้าจะบอกเขาว่าเหตุผลที่ข้าไปจากสุสานเป็นเพราะข้าอยากออกไปตามหาเจ้านายของข้า

เจ้านายที่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร

ดังนั้นข้าจึงแผ่ร่องรอยพลังงานดึงดูดดวงจิตภายนอกเข้ามานับไม่ถ้วนและทำให้พวกเขาสัมผัสถึงข้าได้ และแล้ววันหนึ่ง…ก็มีคนมาที่สุสาน.ไอรีนโนเวล.

เขาเป็นชายชราที่แผ่ความรู้สึกเสื่อมโทรมผุพังออกมา ข้าไม่ชอบเขาเพราะข้าคิดว่าเขาเป็นคนบ้า มิเช่นนั้น…เหตุใดเมื่อเห็นข้าและจับข้า เขาถึงได้ตกใจและหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง หัวเราะจนน้ำตาไหล หัวเราะจนตัวสั่นราวกับตื่นเต้นถึงขีดสุด และยังตะโกนอะไรที่เข้าใจได้ยาก

“ในที่สุดข้าก็หาเจอแล้ว ความทรมานและความอยุติธรรมที่ข้าได้รับมาตลอดชีวิตของข้าถูหลิง ข้าจะตอบแทนให้พวกเจ้าเป็นร้อยเป็นพันเท่าแน่นอน ข้า…”

ข้ารำคาญมาก ก็เลย…กินเจ้าคนบ้านั่นเข้าไป

ดังนั้นเจ้านายคนแรกของข้าจึงไม่มีแล้ว

ข้ามักจะสงสัยว่าที่เจ้านายคนอื่นๆ ถูกข้ากินด้วยเหตุผลต่างๆ เป็นเพราะเมื่อข้ากินเจ้านายคนแรกลงไปถึงได้รู้ว่าวิญญาณของอีกฝ่ายอร่อยกว่าอาหารอื่นๆ มากหรือไม่

ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอะไร ไม่นานข้าก็ดึงดูดมาได้อีกคนหนึ่ง เป็นเด็กสาวตัวหอม ข้าชอบนางมาก ข้าตั้งใจที่จะไปกับนาง แต่หลังจากที่นางเห็นข้า นางก็ทำสีหน้าตกใจและหันหลังวิ่ง…

ดังนั้นข้าที่ได้รับความอับอายจึงจับนางกินไปเช่นกัน

ตอนนี้เมื่อนึกขึ้นได้ ข้าในตอนนั้นวิตกกังวลเกินไปและไม่ควรกินพวกเขาเร็วขนาดนั้น เพราะหลังจากนั้นก็ไม่มีใครมาอีกเป็นเวลานานจนข้าหิวโหยนับปี

กระทั่งข้าเกือบจะหมดสติเพราะความหิวโหย ในที่สุดก็มีคนมา เขาเป็นชายวัยกลางคน ร่างกายเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและความเย็นชา อีกทั้งยังมีพลังงานแห่งความตายแผ่ออกมา หลังจากที่เขามาหาข้า เขาก็ทั้งตกตะลึง ปีติยินดี และดูเสียสติ ข้าจึงคิดว่าเขาเป็นคนบ้าเช่นกัน ตอนที่ข้าอยากจะกินเขาด้วยความหิวโหย เขาก็พูดคำหนึ่ง

“มิน่าล่ะ…ที่สถานที่แห่งนี้ถูกระบุว่าเป็นหนึ่งในสามสถานที่ต้องห้าม ในความว่างเปล่าที่เหมือนสุสานแห่งนี้… มีทหารต้องห้ามถือกำเนิดขึ้น!”

ข้าก็ได้รู้จักคำว่าสุสานในตอนนั้นเอง แล้วก็ชอบมันด้วย บางทีอาจเป็นเพราะสิ่งนี้หรืออาจเป็นเพราะข้ากลัวที่จะต้องรอต่อไปจนต้องอดอาหารตายจึงยอมปล่อยให้เจ้านายคนที่สามผู้โง่เขลาคนนี้ดึงข้าออกจากขุมนรกอย่างไม่เต็มใจ!!

ใช่ ข้า…เป็นทหารต้องห้ามที่ถือกำเนิดในขุมนรกว่างเปล่า สามสถานที่ต้องห้ามของจักรวาลนี้

รูปร่างหน้าตาของข้าคือดาบสีดำที่ดูเหมือนเขี้ยวมังกร!

และหลังจากที่ข้าถูกพาออกจากขุมนรก ชีวิตของข้า…ก็เริ่มพลิกผัน เพราะเจ้านายของข้าคนนี้กระหายเลือด ดังนั้นหลังจากช่วยเขาเข่นฆ่าและกลืนกินไปนับครั้งไม่ถ้วน ข้ารู้สึกว่าเขาไร้พลังเล็กน้อย ดังนั้นเพื่อที่จะช่วยเหลือเขาให้ดีขึ้น ข้าจึงได้ขอร้องเขา

“ใช้ข้าฆ่าสิ่งมีชีวิตสิบล้านตัวทุกวัน!”

วันรุ่งขึ้นเจ้านายคนที่สามผู้โง่เขลาของข้าไม่สามารถทำตามที่ข้าร้องขอได้สำเร็จ เขาจึงถูกข้ากิน

จากนั้นไม่นานเจ้านายคนที่สี่ก็ปรากฏตัวขึ้น จุดที่ทำให้ข้ายอมรับเขาคือเขาชอบกินและกินทุกอย่าง ข้าคิดว่าเราจะเข้ากันได้อย่างมีความสุขมาก แต่กระทั่งวันหนึ่งตอนที่ข้ากำลังงีบหลับ เขาก็เกิดความคิดที่จะกินข้า อีกทั้งยังลงมือทำด้วย หลังจากที่ถูกข้ากินกลับตามสัญชาตญาณ ข้าก็เสียใจมากที่เสียเขาไป

แต่ไม่เป็นไร สิ่งที่ข้าขาดแคลนน้อยที่สุดคือเจ้านาย ขณะที่ข้ารอคอย เจ้านายคนที่ห้า หก เจ็ด จนกระทั่งคนที่ 7546…ก็ปรากฏขึ้นทีละคนในระยะเวลาหมื่นปี

พวกเขามีทั้งชายและหญิง คนแก่และเด็ก หลากหลายชนเผ่า แต่ในที่สุดพวกเขาก็ถูกข้ากินเหมือนกันหมด เหตุนี้เองข้าจึงมีอีกชื่อหนึ่ง

ทหารอาฆาตไร้ที่มา!

ดูเหมือนจะเป็นเพราะเจ้านายของข้าทุกคนถูกข้ากลืนกิน ดูเหมือนเป็นเพราะข้าได้คร่าชีวิตไปมากเกินควร ร่างกายข้ามีชีวิตนับไม่ถ้วนและความโกรธแค้นไร้ที่สิ้นสุดจากทุกเผ่าพันธุ์…ดังนั้นชื่อใหม่ของข้าจึงได้รับการยอมรับจากสิ่งมีชีวิตทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

แต่ข้าไม่ชอบชื่อนี้เพราะข้าคิดเสมอว่าข้าเป็นเพียงดาบที่ต้องการตามหาเจ้าแห่งชีวิตที่แท้จริงเท่านั้น หากอีกฝ่ายไม่มาหาข้า ก็มีแต่ข้าต้องออกไปตามหา ในกระบวนการตามหา อดีตเจ้านายที่เคยหลอกหลวงและชักจูงข้าพวกนั้นถูกข้ากินไปก็เป็นเพียงการแสดงความเคารพต่อเจ้านายที่แท้จริงของข้าเท่านั้น

ข้าบริสุทธิ์มาก

สี่คำนี้เป็นคำที่ข้าพูดเมื่อได้พบเจ้านายคนใหม่ในอีกไม่กี่ปีต่อมาหลังจากอีกฝ่ายเอ่ยถาม

เจ้านายคนใหม่ของข้าเป็นเด็กสาวหน้าตาสะสวย สวมชุดในวัง ตอนที่นางเดินเข้ามา กลิ่นของนางทั้งหอมทั้งหวานเป็นที่สุด

ข้าแอบคิดเอาเองว่านางคงจะอร่อยมาก

…………………………………………………

เพียงแต่…เขาไม่ได้เสียใจนานนัก ในพริบตาความผันผวนที่น่าประหลาดก็ส่งมาจากระยะไกล และเข้ามาใกล้ในทันที ก่อนที่เฉินหานจะได้ต่อต้าน คลื่นยักษ์ก็อัดเข้าใส่ราวกับยอดภูเขา

มันคือฝ่ามือยักษ์ราวกับจะบดบังฟ้าดินได้มิดตรงเข้าปกคลุมบริเวณโดยรอบ เฉินหานล็อคพื้นที่ที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ทั้งหมด และตบลงไปโดยไม่เปิดโอกาสให้เขาต่อสู้แม้แต่น้อย!

แผ่นดินสั่นสะเทือน หมอกพลิกม้วนกระจายไปทั่วบริเวณจนพื้นที่ที่ถูกหมอกปกคลุมอยู่เปิดออกเป็นบริเวณกว้าง

บนผืนดินที่ว่างเปล่านี้มีฝ่ามือที่สลายไปอย่างรวดเร็ว ใต้ฝ่ามือนั้นพื้นดินเต็มไปด้วยรอยแตกนับไม่ถ้วนราวกับใยแมงมุม ในรอยแตกนั้นยังมีเศษซากเลือดเนื้อที่ถูกบดขยี้

“ยังไม่ใช่ร่างจริงอีกหรือ” น้ำเสียงเย็นเยียบดังก้องไปทั่วบริเวณพร้อมกับฝ่ามือที่สลายไป สิ่งที่ตาเปล่ามองเห็นคือฝ่ามือที่สลายไปนั้นรวมตัวกันกลายเป็นร่างคนร่างหนึ่ง

นั่นคือหวังเป่าเล่อ!

“สมแล้วที่เป็นตาแก่หนังเหนียว!” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง และหลังจากสัมผัสได้อีกครั้ง เขาก็สังเกตเห็นความผันผวนของคำสาปตนเอง เพียงแต่ครั้งนี้อ่อนแรงกว่าครั้งก่อนเล็กน้อย แต่ก็ยังช่วยให้หวังเป่าเล่อระบุตำแหน่งได้ในทันที

“ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะแยกร่างไปได้อีกสักกี่ครั้ง!” หวังเป่าเล่อพ่นลมอย่างเย็นชา ตอนนี้เขามีเวลาเพียงพอ ดังนั้นสำหรับเฉินหานผู้นี้ที่กล้าลอบโจมตีเขาถึงสองครา จิตสังหารเขาจึงแรงกล้าและออกไล่ล่ามันอีกครั้ง!

ในเวลาเดียวกันภายในหมอกที่ห่างจากหวังเป่าเล่อประมาณหนึ่ง เฉินหานที่ถูกหวังเป่าเล่อล็อกเป้าหมายกำลังควบหนี ใบหน้าซีดขาว ดวงตาหวาดผวา ลมหายใจกระสับกระส่าย ร่างกายสั่นเทิ้มและกระอักเลือดออกมาเต็มปาก

“นี่มันเร็วเกินไปแล้ว หากเป็นเช่นนี้ไม่ช้าก็เร็วมันต้องพบร่างจริงของข้าแน่ ไอ้เวรนี่!” เฉินหานร้อนใจ แต่เขากลับเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ไม่ว่าจะชั่งน้ำหนักอย่างไร ตนก็ไม่สามารถต่อสู้กับศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวนี้ได้

ร่างแยกของเขามีพลังต่อสู้ของดาวพระเคราะห์ชั้นมหาวัฏจักรแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อกลับถูกตบตายในฝ่ามือเดียว สิ่งที่ทำให้เขายิ่งตกใจคือความเร็วของมัน…

ความคิดหลากหลายยังคงวนเวียนอยู่ในหัว และก่อนที่เขาจะคิดหาวิธีตอบโต้ได้ ภายในหมอกด้านหลังพลันมีพลังบีบเค้นสะเทือนฟ้าดินส่งมาอีกครั้ง

“บ้าเอ้ย เร็วกว่าเดิมอีก!!” เฉินหานกรีดร้อง ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นอีกรอบ แต่ยังไม่ทันได้หลบ ชั่วอึดใจต่อมา…ก็ถูกร่างที่พุ่งออกมาจากหมอกข้างหลังอย่างรวดเร็วกระแทกเสียงดังสนั่น และร่างของเขาก็แตกสลาย

แต่เห็นได้ชัดว่าร่างที่แตกสลายไปนี้ยังไม่ใช่ร่างจริง หลังจากร่างแยกนี้ตาย หวังเป่าก็สัมผัสได้ถึงทิศทางที่ร่างของอีกฝ่ายอีกร่างหนึ่งอยู่ได้อย่างรวดเร็วและไล่ล่าต่อไป!

ในเวลาเพียงสามชั่วยาม ผู้หนึ่งหนี ผู้หนึ่งล่าอยู่ในสายหมอก ร่างแยกของเฉินหานแตกสลายอย่างต่อเนื่อง กระทั่งหวังเป่าเล่อกำจัดไปมากกว่า 50 ร่าง เฉินหานก็ใกล้จะร่ำไห้อยู่รอมร่อ

“บ้าไปแล้ว!”

“วิปริตสุดๆ!!”

“อ๊ากกกกก ข้านี่มันดวงซวยสุดในแปดชั่วอายุคน ดันมายั่วโมโหเจ้าบ้านี่ได้ยังไง!!”

“หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่จำเป็นต้องตามหาให้พบ ร่างแยกถูกทำลายมากเกินกว่าครึ่ง ร่างจริงของข้าก็จะหายไปด้วย!!” เฉินหานกระวนกระวาย แต่ไม่มีทางอื่นนอกจากต้องหลบหนีต่อไปเพื่อยืดเวลา

ส่วนหวังเป่าเล่อก็เริ่มหมดความอดทนในการไล่ล่าครั้งนี้ แม้วิธีการของอีกฝ่ายจะไม่ซับซ้อน แต่ร่างแยกพวกนี้ก็ยังคงถ่วงเวลาของเขามาก ตอนนี้เหลือเวลาอีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก่อนที่ประตูวันที่สาม ชาติที่สามจะเปิดออกแล้ว

“ข้าไม่เชื่อแล้ว!” ดวงตาหวังเป่าเล่อส่องประกายเย็นยะเยือก ทันใดนั้นในร่างกายก็ปรากฏเงาซ้อนทับกัน ร่างแยกแต่ละร่างเดินออกมาจากร่างกายเขาอย่างรวดเร็วและวิ่งไปทุกทิศทาง ขณะเดียวกันร่างจริงของเขาก็ไล่ตามร่างแยกเฉินหานอีกร่างหนึ่งไปทางด้านหน้า

หลังจากร่างแยกนั้นสลายไป หวังเป่าเล่อก็ล็อกเป้าอีกครั้งและไล่ตามอย่างรวดเร็ว ขณะที่ร่างแยกสลายอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ก็ค่อยๆ ผันเปลี่ยน แม้ร่างแยกของเขาจะเดินไปรอบด้านอย่างไร้จุดหมายโดยรักษาระยะห่างจากร่างจริงไว้ แต่ทุกครั้งที่เขาสัมผัสได้ว่าเฉินหานอยู่ตรงไหนก็มักจะมีร่างแยกที่ปรากฏตัวอยู่ใกล้ร่างจริงของเขามากกว่า

ฉะนั้นยิ่งฆ่าได้เร็วก็จะยิ่งทำให้เฉินหานสูญเสียมากขึ้น!

“บัดซบเอ้ย เจ้าบ้านี่ก็มีวิชาแยกร่าง แล้วร่างแยกยังน่ากลัวขนาดนี้อีก!” เฉินหานร้อนใจถึงขีดสุด ตอนนี้เขาสูญเสียร่างแยกไปหลายสิบตัวแล้ว ซึ่งจากที่คำนวณแล้วทุกๆ 100 ลมหายใจจะมีร่างแยกถูกทำลายหนึ่งตัว ความเร็วนี้ทำให้เขาแทบสิ้นหวัง

ร่างกายเขาได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง วิญญาณเทพเริ่มอ่อนแอ ในใจรีบตรวจสอบเวลาที่เหลือก่อนวันที่สามจะมาถึงอย่างกังวล ขณะที่ร้อนใจขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้นเองดวงตาของเขาก็ฉายความปิติยินดี

“สวรรค์ทรงโปรด!”.Aileen-novel.

ขณะที่เฉินหานตกใจระคนยินดี ร่างจริงของหวังเป่าเล่อก็เพิ่มความเร็วขึ้น ครั้งนี้เขาสัมผัสได้ว่าวิญญาณสารัตถะของเฉินหานอยู่ใกล้กับร่างจริงมากที่สุด อีกทั้งยังสัมผัสได้ว่าวิญญาณสารัตถะนั้นกำลังตายและอ่อนแอลงเรื่อยๆ ตามการคำนวณของเขา เขาสามารถค้นหาตำแหน่งที่แท้จริงของคู่ต่อสู้ได้มากที่สุดสามถึงห้าครั้ง ดังนั้นหลังจากตรวจพบแล้ว หวังเป่าเล่อก็รีบพุ่งออกไปจนเกิดเสียงหวีดหวิวในหมอก จนกระทั่งในหมอกไกลๆ เขาก็เห็นเงาร่างเจ็ดแปดร่าง!

เงาร่างเจ็ดแปดร่างนี้คือกลุ่มของผู้ทดสอบพลังฝึกปรือกลุ่มหนึ่ง แสงแห่งการดึงบนร่างพวกเขาแต่ละคนแข็งแกร่งมาก เห็นได้ชัดว่าฉกฉวยสิทธิ์ของผู้ทดสอบพลังฝึกปรือมาไม่รู้กี่คนแล้ว และแม้ว่าแต่ละคนจะไม่ใช่มหาศิษย์แห่งเต๋าชั้นยอด แต่ก็ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน มีสามคนเป็นดาวพระเคราะห์ชั้นมหาวัฏจักร ส่วนที่เหลือเป็นดาวพระเคราะห์ชั้นปลาย และหนึ่งในพวกเขาก็คือเป้าหมายของหวังเป่าเล่อ!

เพียงแต่คราวนี้ร่างแยกของเฉินหานค่อนข้างพิเศษ ไม่เหมือนกับที่เห็นก่อนหน้านี้ มันเหมือนกับอาศัยอยู่ในร่างของคนอื่นชั่วคราว ซึ่งคนผู้นั้นเป็นผู้หญิงสาวนางหนึ่ง รูปร่างหน้าตางดงาม ยามที่หวังเป่าเล่อพุ่งเข้ามา นางสังเกตเห็นมาก่อนแล้ว ดวงตาเผยความหวาดกลัว รีบถอยร่นไปและเอ่ยขึ้น

“ศิษย์พี่ทุกท่าน คนผู้นี้ไง คนผู้นี้คิดจะทำให้ข้ากลายเป็นเตาหลอมของเขา หากไม่ยินยอมก็จะใช้กำลังบังคับข้า!”

“ผู้มาเยือนหยุดเดี๋ยวนี้!” เมื่อได้ยินสหายของคนกลุ่มนั้นพูด แม้ทั้งเจ็ดแปดคนเหล่านี้จะรู้สึกว่าหวังเป่าเล่อที่กำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วดูคุ้นตาเล็กน้อย แต่เพราะเร็วเกินไป พวกเขาจึงไม่ทันได้พิจารณา ดาวพระเคราะห์ชั้นมหาวัฏจักรคนหนึ่งในกลุ่มรีบก้าวไปข้างหน้าและพยายามจะหยุดเขา

“ข้าคือหวังเป่าเล่อ กำลังไล่ล่าคนผู้นี้ ผู้อื่นที่ไม่เกี่ยวข้องหลีกไป!!” หวังเป่าเล่อไล่ฆ่าเฉินหานมาเป็นเวลานาน และตอนนี้ก็ใกล้จะได้เวลาของวันที่สามชาติที่สามแล้ว เขาไม่อาจเสียเวลาได้อีก ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามดังขึ้น คลื่นเสียงจากเสียงคำรามนั้นเหมือนกับคลื่นยักษ์โถมไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง

ราวกับพายุใหญ่กวาดล้าง สายฟ้าระเบิดออก ดาวพระเคราะห์ชั้นมหาวัฏจักรผู้นั้นเป็นคนแรกที่ได้รับผลกระทบ เลือดสดพุ่งทะลัก สีหน้าสหายข้างกายแปรเปลี่ยน พวกเขาต่อต้านตามสัญชาตญาณโดยเฉพาะชายหนุ่มที่อยู่ข้างใน หลังจากได้ยินชื่อหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาเขาก็ฉายแสงเย็นยะเยือก

“ที่แท้ก็เป็นเจ้า ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!” พูดจบเขาก็หยิบไม้แกะสลักออกมา ก่อนจะกระตุ้นมันอย่างรวดเร็ว ทำให้ไม้แกะสลักเปล่งแสงคล้ายกับดารานิรันดร์ ก่อนที่แสงแห่งดารานิรันดร์นั้นจะพุ่งมาด้านหน้า

เสียงดังสนั่นหวั่นไหว คนที่ร่างกายแข็งแกร่งอย่างหวังเป่าเล่อก็ยังถูกสกัดไว้ชั่วครู่ ทว่าในพริบตาต่อมาเสียงของหวังเป่าเล่อก็ดังก้องไปทั่วทุกสารทิศ

“แสงสว่าง!”

พร้อมกันนั้นร่างของหวังเป่าเล่อก็ระเบิดเป็นทะเลแสงสุกสกาวบาดตา ราวกับว่าทั้งร่างได้กลายเป็นแสงสว่างสยบทุกสิ่งทุกอย่าง

เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวอีกครา เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากทั่วบริเวณ คนที่เข้ามาขวางทั้งหมดต่างกระอักเลือดและล้มกลิ้งกลับไป ชายหนุ่มที่ถือไม้แกะสลักก็เช่นกัน ไม้แกะสลักของเขาแตกกระจายไปในพริบตา ส่วนร่างของเขาก็กระเด็นออกไปพร้อมกับเลือดไหลทะลัก ก่อนจะตกลงพื้นและหมดสติ

ผู้อื่นที่ไม่ได้หมดสติไปต่างตกตะลึง ดวงตาของพวกเขาเผยให้เห็นความตื่นตระหนกอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

เมื่อทะเลแสงสลายไปแล้ว ร่างของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นมองไปไกลๆ ก่อนหน้านี้ที่เขาถูกสกัดไว้ หญิงสาวที่เฉินหานอาศัยร่างชั่วคราวได้ถอยหนีหายไปในหมอกอันไกลโพ้นแล้ว จากการคำนวณเวลา ดวงตาหวังเป่าเล่อฉายแสงเย็นยะเยือก เขารู้แล้วว่าคงไม่ทัน

แต่ก็ไม่ได้ผิดหวังอะไรมาก เวลาหลังจากนี้ยังอีกยาวไกล

อย่างไรก็ตามหวังเป่าเล่อไม่คิดจะปล่อยคนเหล่านี้ หากไม่รู้ว่าเขาเป็นใครก็แล้วไป แต่หลังจากที่เขาเอ่ยชื่อตนออกไปแล้ว คนพวกนี้กลับเริ่มสกัดเขา แม้จะเป็นเพราะกฎเกณฑ์ทำให้เขาสังหารอีกฝ่ายไม่ได้ แต่ก็ยังมีราคาที่จะต้องจ่าย

คนเหล่านี้กำลังตกตะลึง รับรู้ว่าสร้างปัญหาใหญ่เข้าแล้ว ดังนั้นไม่ต้องให้หวังเป่าเล่อเอ่ยปาก พวกเขาแต่ละคนก็รีบขอโทษทันที และเสนอที่จะมอบแสงแห่งการดึงของตนให้

สิ่งนี้ทำให้สีหน้าหวังเป่าเล่อดีขึ้นเล็กน้อย หลังจากเก็บแสงแห่งการดึงของพวกเขามาแล้ว เขาก็เหยียบชายหนุ่มถือไม้แกะสลักที่หมดสติ กระทืบกระดูกขาทั้งสองข้างทำให้อีกฝ่ายตื่นขึ้นด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะมอบแสงแห่งการดึงให้อย่างสั่นกลัว

หวังเป่าเล่อไม่เอ่ยอะไร เขาหันหลังเดินจากไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของคนเหล่านั้น ก่อนจะมองหาที่โล่งและเก็บร่างแยกทั้งหมดกลับมา ปล่อยให้พวกมันคุ้มกันตนอยู่รอบๆ และหลังจากที่เขานั่งขัดสมาธิลง ในหัวก็พลันมีเสียงแก่ชราดังขึ้น

“วันที่สาม ชาติที่สาม!”

…………………………………………….

ตอนที่หวังเป่าเล่ออยู่ที่สหพันธรัฐ เขาเคยได้ยินมาว่าคำพูดบางประเภท คนพูดบางประเภทสามารถทำลายบรรยากาศทั้งหมดได้ในประโยคเดียว

หลังจากได้ยินคำกล่าวนี้ หวังเป่าเล่อในตอนนั้นรู้สึกตื่นเต้นและเคยพยายามลองอยู่หลายครั้ง ท้ายที่สุดก็ถึงจุดที่ถือว่าสูงมาก ก่อนที่เขาจะออกจากถนนสายนี้อย่างโดดเดี่ยวในฐานะยอดฝีมือ

ทว่า ตอนนี้…ในที่สุดเขาก็เข้าใจความรู้สึกของคนรอบข้างเวลานั้นแล้ว ยามนี้เขากำลังจมอยู่กับความคิดและความอ่อนโยนไม่มีที่สิ้นสุดของชาติก่อน คำพูดที่พูดไว้กับเศษหน้ากากได้รับการตอบรับจากแม่นางน้อยแล้ว

เพียงแต่การตอบกลับนั้น…เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน!

“หญิงนางนั้นขนดกทั้งตัว ตัวเหม็น หน้าเน่าเฟะ น่าขยะแขยงที่สุด เจ้าอ้วน อย่าได้คิดว่านั่นเป็นข้าเชียวนะ มิเช่นนั้นข้ากับเจ้าจบกัน!!” แม่นางน้อยทำน้ำเสียงขยะแขยง ท่าทางขนลุกขนพองสวนกลับมาอย่างรวดเร็วด้วยความไม่พอใจอย่างแรง

“ไม่คิดเลยว่ารสนิยมเจ้าจะเป็นเช่นนี้ ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริงๆ ข้าคิดว่าเจ้าแค่ชอบถ้ำมองแล้วแอบคิดสกปรกในใจ ไม่ได้คิดเลยว่าเจ้าจะรสนิยมแปลกประหลาด ข้าจะบอกหลี่หว่านเอ๋อร์ บอกโจวเสี่ยวหยา บอกเจ้าเยี่ยเหมิง ให้พวกนางได้รู้ธาตุแท้ของเจ้า!”

“โอ้ สวรรค์ แท้จริงแล้วเจ้าชอบผีดิบสาว ไม่ไหวแล้ว ข้าจะอ้วก ข้าอยากจะหนีไปจากเจ้าให้เร็วที่สุดเลย สิ่งที่ให้อภัยไม่ได้ที่สุดคือเจ้าเอาข้าผู้ที่หน้าตางดงามยิ่งกว่าเทพเทวดา กิริยามารยาทงามเหนือเทพเซียน นิสัยอ่อนโยน ไม่เคยแปดเปื้อนคาวโลกีย์ ความดีงามทั้งหมดรวมอยู่ในกายไปเปรียบเป็นผีดิบ!”

วาจาของแม่นางน้อยแต่ละประโยคเฉียบคม จนร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทาขึ้นทีละน้อย ราวกับน้ำเย็นซัดสาดทำให้เขาตื่นขึ้นจากความทรงจำในชาติก่อนอย่างสมบูรณ์ เมื่อเห็นว่าแม่นางน้อยกำลังจะอ้าปากพูดอีก หวังเป่าเล่อจึงรีบตะโกนขึ้น

“หยุด หยุด ข้าผิดไปแล้ว ตกลงไหม!”

“ผิด? เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามา ชาติก่อนข้าเป็นอะไร” เห็นได้ชัดว่าแม่นางน้อยยังคงขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย

“นางฟ้าตัวน้อย!” หวังเป่าเล่อรีบพูดโดยไม่คิด

“อืม เช่นนั้นชาติ…” แม่นางน้อยอารมณ์ดีขึ้นทันที แต่ดูเหมือนยังติดใจอะไรบางอย่าง ทว่าก่อนที่จะพูดจบ หวังเป่าเล่อก็ตอบให้แล้ว

“ชาติก่อนเป็นน้องสาวของนางฟ้าตัวใหญ่ ชาติก่อนๆ เป็นพี่สาวของนางฟ้าตัวน้อยๆ ชาติก่อนๆๆๆ เป็นลูกสาวคนสุดท้องของจักรพรรดินางฟ้าและราชินีนางฟ้า!”

“…” แม่นางน้อยตกตะลึง แม้นางจะรู้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นพวกเจ้าเล่ห์ แต่ก็ไม่คิดว่าความเจ้าเล่ห์ของอีกฝ่ายจะมากเพียงนี้ น้องสาวของนางฟ้าตัวใหญ่นั้นย่อมต้องเป็นนางฟ้าตัวน้อย ส่วนพี่สาวของนางฟ้าตัวน้อยๆ ก็ย่อมเป็นนางฟ้าตัวน้อย พ่อแม่เป็นจักรพรรดิและราชินี ลูกสาวก็ย่อมต้องเป็นนางฟ้าตัวน้อยเช่นกัน

เรื่องนี้ทำให้แม่นางน้อยไม่รู้จะเอ่ยคำใดอยู่ครู่ใหญ่ แม้นางมักจะเรียกตนเองว่าเปิ่นกง[1]…แต่ชื่อนางฟ้าตัวน้อยนั้นเป็นชื่อที่นางชื่นชอบที่สุดจริงๆ

ดังนั้นนางจึงพ่นลมหายใจและปล่อยหวังเป่าเล่อไปอย่างอารมณ์ดี

เมื่อเห็นว่าแม่นางน้อยไม่ถือสาแล้ว หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขณะเดียวกันเขาก็อดภูมิใจไม่ได้ คำกล่าวที่ว่าไม่มีสตรีคนใดในโลกนี้ที่ไม่ชอบถูกเรียกว่านางฟ้าตัวน้อย เรื่องนี้เขาได้พิสูจน์ในการต่อสู้จริงมาตั้งแต่ห้าขวบแล้ว

ทว่าขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังภาคภูมิใจก็ดูเหมือนว่าแม่นางน้อยจะคิดอะไรขึ้นได้ ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา

“เจ้าอ้วน เจ้าพูดจาตลบตะแลงเช่นนี้กับหญิงสาวมากี่คนแล้ว”

สีหน้าหวังเป่าเล่อพลันเคร่งขรึม ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงเบา

“แม่นางน้อย ไม่ว่าข้าจะเคยพูดมากี่คนแล้ว แต่ข้าหวังว่าหลังจากเจ้า ข้าจะไม่พูดเช่นนี้กับใครอีก!”

“…” แม่นางน้อยที่อยู่ในหน้ากากนั้น แม้นางจะรู้สึกถึงความเสแสร้งในคำพูด แต่ก็ยังคงสุขใจ นางพ่นลมหายใจและไม่ได้ติดใจเอาความอะไรอีก

หวังเป่าเล่อหัวเราะ และยิ่งภาคภูมิใจมากขึ้น เขาจำไม่ได้แล้วว่าเมื่อไรที่ตนได้รู้ถึงข้อคิดหนึ่ง ตราบใดที่เขาเป็นคนดี เด็กผู้หญิงมักไม่สนใจว่าก่อนหน้านาง ผู้ชายจะพบเจออะไรมาบ้าง แต่สนใจว่าหลังจากพบนางแล้วยังจะได้พบเจออะไรอีกบ้างต่างหาก

อดีตเรียกว่าคนเสเพล ตอนนี้เรียกคนเสเพลกลับใจ!

“โอ้ ข้าว่ามันเสียเวลาไปหน่อยที่จะไปฝึกฝน ไม่รู้ว่าชาติก่อนมีความรักอันศักดิ์สิทธิ์หรือไม่” หวังเป่าเล่อไอแห้งๆ แต่เขาไม่ได้สังเกตว่าขณะที่พูดจาเกี้ยวแม่นางน้อย ตัวเขาเองก็กลับมาจากประสบการณ์ของฮุยซานอย่างสมบูรณ์แล้ว

ไม่เพียงเท่านั้นเพราะหญิงสาวใส่หน้ากากในความทรงจำของฮุยซาน ทำให้ความรู้สึกคุ้นเคยกับแม่นางน้อยเพิ่มมากขึ้น สถานการณ์เช่นนี้ดูจะไม่ค่อยสมเหตุสมผลเอาเสียเลย แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ฉุกคิดเลยสักนิด ณ เวลานี้ภายในเศษหน้ากาก นัยน์ตาของแม่นางน้อยที่ดูมีความสุขเผยแววตาแห่งความทรงจำอันล้ำลึก

ขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อที่แยกออกจากความทรงจำของฮุยซานอย่างสิ้นเชิงก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของฐานการฝึกฝนและพลังต่อสู้ของตนในทันที ฐานการฝึกฝนของเขาพัฒนาขึ้นเล็กน้อย และดูเหมือนว่าจะทะลวงระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลางได้อีกไม่ไกลแล้ว

การเพิ่มอายุขัยจะเพิ่มพลังต่อสู้ทางกายภาพ ที่สำคัญกว่านั้นคือมันทำให้คำสาปวิญญาณเพลิงของเขาสำแดงพลังขั้นที่สองได้ นี่เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับการพัฒนาพลังการต่อสู้ของเขา

นอกจากนี้ยังมีปราณกังวานของกฎแห่งแสง หลังจากหวังเป่าเล่อสังเกตเห็น หัวใจของเขาก็สั่นสะท้าน ลมหายใจถี่กระชั้นขึ้นเล็กน้อย เขาสรุปได้คร่าวๆ ว่าถึงแม้ผลกำไรของชาติที่สองจะไม่ได้มากมายเท่าชาติแรก แต่ก็ไม่น้อยแล้ว

“ข้าในตอนนี้… ไม่รู้ว่าสามารถสู้กับดารานิรันดร์ได้หรือไม่? ถึงจะสู้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แย่ไปกว่ากันนักหรอก!” ดวงตาหวังเป่าเล่อเปล่งประกาย หลังจากตรวจดูเวลาก็พบว่ายังเหลืออีกสี่ชั่วยามกว่าวันที่สองจะหมดลง

ทันใดนั้นประกายสังหารวาบก็ปรากฏขึ้นในดวงตา ก่อนที่ร่างของเขาจะเหาะพุ่งเข้าไปในหมอกทันที

เป้าหมายของเขาคือศิษย์คนที่สิบเจ็ดของสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณที่ถูกคำสาปวิญญาณเพลิงขั้นแรกของตนโจมตี อีกฝ่ายลอบโจมตีเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เรื่องนี้หวังเป่าเล่อทนไม่ได้ ขณะนี้หลังจากที่เขาจมอยู่ในหมอก ฐานการฝึกฝนของเขาก็ไหลเวียน ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาระเบิดถึงจุดสูงสุด ก่อนจะคำรามเสียงดังราวกับสายฟ้าฟาดพร้อมกับพุ่งตรงไปยังจุดที่คำสาปของตนอยู่อย่างรวดเร็ว

หวังเป่าเล่อเคลื่อนกายเร็วมากจนภายในหมอกเกิดการผันผวนอย่างรุนแรง ทำให้พื้นที่ของผู้ทดสอบพลังฝึกปรือโดยรอบรวมถึงจิตใจของผู้ทดสอบพลังฝึกปรือแต่ละคนสั่นไหวไม่หยุด กระบวนการทั้งหมดกินเวลา 60 กว่าอึดใจ หวังเป่าเล่อพุ่งไปทุกทิศทุกทางแล้วรีบกระโดดออกจากหมอกทันที เมื่อเขาปรากฏกาย ก็มาอยู่ในที่ที่คำสาปวิญญาณเพลิงของเขาประทับอยู่แล้ว

ทันทีที่มาถึง เขาก็เห็นชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่ตรงใจกลางของพื้นที่นี้ คนผู้นี้คือศิษย์คนที่สิบเจ็ดของสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ หวังเป่าเล่อก้าวเท้าเข้าไปหาโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ด้วยรัศมีรุนแรงอย่างน่าอัศจรรย์ เขาก็มาปรากฏตัวต่อหน้าคู่ต่อสู้ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นเพื่อจะคว้ามันไว้

“หือ” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วขึ้น สังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่มือที่ยกขึ้นมาก็ไม่ได้หยุดลง ทันทีที่จับมัน หมอกสีดำจำนวนมากก็พุ่งออกมาจากรูทวารทั้งเจ็ดของศิษย์คนที่สิบเจ็ดก่อตัวขึ้นเป็นหัวจระเข้ขนาดใหญ่ แผ่รัศมีอันน่าสยดสยองออกมาและกัดมือขวาของหวังเป่าเล่อ!

หัวจระเข้กัดโดนมือหวังเป่าเล่อจนเกิดเสียงดัง ทว่าในเวลาถัดมามือขวาของหวังเป่าเล่อกลับไม่เป็นอะไรแม้แต่น้อย ส่วนหัวจระเข้นั้นเห็นได้ชัดว่าสีหน้านิ่งค้างไป ก่อนที่ฟันจะแตกกระจายในทันที ร่างกายถูกแรงสะท้อนกลับจนระเบิดออกเสียงดังสนั่น แผ่นดินเกิดเสียงดังสะเทือน ความผันผวนแพร่กระจายไปทั่วบริเวณ ตั้งแต่ต้นจนจบมือขวาของหวังเป่าเล่อไม่ได้หยุดนิ่ง มันคว้าร่างของศิษย์คนที่สิบเจ็ดของสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณไว้ หากแต่ตอนนี้ร่างกายนี้คล้ายกับลูกบอลที่ถูกปล่อยลม แห้งเหี่ยวไปโดยพลันหลังจากหวังเป่าเล่อจับมา สิ่งที่ปรากฏในมือของเขาคือชิ้นหนังมนุษย์ผืนหนึ่ง!

เมื่อมองดูหนังมนุษย์ในมือ สีหน้าหวังเป่าเล่อก็มืดมน ผิวหนังมนุษย์นี้มีร่องรอยคำสาปของเขา แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้าสิบเจ็ดคนนั้นได้คาดการณ์วิกฤตนี้ไว้แล้วจึงได้พัฒนาวิธีลับบางอย่าง ใช้วิธีจั๊กจั่นลอกคราบทิ้งรอยประทับทั้งหมดไว้ ส่วนตัวเองก็หนีไปก่อนแล้ว

“คำสาปวิญญาณเพลิงของข้าใช่ว่าจะลบล้างได้ง่ายดายเช่นนั้น!” หวังเป่าเล่อพ่นลมอย่างเย็นชา ก่อนที่เปลวไฟจะลุกโชนขึ้นในมือขวา ฉับพลันหนังมนุษย์ก็ไหม้เกรียม จากนั้นเขาก็ทำผนึกมุทรา อักษรโบราณวาบขึ้นที่กึ่งกลางคิ้วของเขาทันที คำสาปวิญญาณเพลิงถูกใช้อีกครั้งด้วยสัมผัสเชื่อมต่อลึกลับ หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นได้อย่างรวดเร็วว่าห่างออกไปทางทิศใต้มีคลื่นคำสาปจางๆ แผ่ออกมา

“ตรงนั้น!” ดวงตาหวังเป่าเล่อฉายประกายเย็นยะเยือก ก่อนที่ร่างจะพุ่งออกไปทันที พริบตาเดียวก็เหยียบเข้าไปในหมอก รีบไล่ตามไปยังสถานที่ที่คลื่นผันผวนลอยมา

เวลานี้ ณ สถานที่ซึ่งถูกล็อกเป้าหมายโดยหวังเป่าเล่อ ศิษย์คนที่สิบเจ็ดของสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณกำลังหลบหนีอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาของเขาแสดงความสยดสยองและหวาดหวั่น ส่งเสียงคำรามอย่างไม่อยากเชื่อ

“เจ้านี่…นี่มันร่างอะไรกันแน่ เจ้าอสูรกาย!”

“บัดซบ หากรู้เช่นนี้ ข้าจะยั่วโมโหเจ้าอสูรกายนี่ทำไมเนี่ย!!” เฉินหานรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง ขณะนี้จิตใจเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง หลังจากกัดฟัน เขาก็แลกทุกอย่างเพื่อใช้วิธีลับอย่างไม่เสียดายและรีบหนีไปอย่างรวดเร็ว!

แม้จะกำหนดไว้แล้วว่าห้ามมีการสังหารเกิดขึ้น แต่ก็บอกเพียงว่าสังหารไม่ได้…หากแต่ที่นี่มีวิธีมากมายที่สามารถคร่าชีวิตได้ทางอ้อม โดยเฉพาะถ้าหากอีกฝ่ายใช้คำสาปได้อย่างเชี่ยวชาญ นั่นทำให้เฉินหานไม่กล้าเสี่ยง!

………………………………………………………….

[1] เปิ่นกงคือคำเรียกแทนตัวเองของพระราชธิดา

หญิงสาวจากไปแล้ว

จนกระทั่งนางจากไป ฮุยซานถึงเพิ่งนึกขึ้นได้ ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้ชื่ออีกฝ่าย แต่นั่นไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือฮุยซานรู้สึกว่าเขากำลังจะหาคำตอบได้แล้ว

คำตอบนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดแรกสุดว่าเหตุใดท้องฟ้าถึงไม่ใช่สีขาว แต่เป็นคำถามที่หญิงสาวเคยถามตนเอง

“หากท้องฟ้าไม่มีวันเป็นสีขาว เจ้าจะทำอย่างไร นั่งมองต่อไป รอคอยต่อไปจนเน่าเปื่อยหรือ”

ฮุยซานครุ่นคิดถึงคำถามนี้มาเป็นเวลานาน เดิมทีเขากำลังจะได้คำตอบแล้ว เขาคิดว่าคงใช้เวลาไม่นานเกินไป บางทีเขาอาจจะได้คำตอบจริงๆ

ทว่าในปีต่อๆ มา เมื่อเวลาผันผ่าน หนึ่งร้อยปี สองร้อยปี สามร้อยปี… เขาพบว่าในใจตนนั้นไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไรที่เงาของหญิงสาวผู้นั้นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นความคิดคะนึงแปลกประหลาด ทั้งหนักหนาและจมดิ่ง ทำให้เขารู้สึกหดหู่

ฮุยซานไม่เคยมีอารมณ์เช่นนี้มาก่อน เขาไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด รู้เพียงว่าหลังจากที่ตนมีอารมณ์เช่นนี้ เวลาก็กลับกลายเป็นเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนที่ฮุยเอ้อร์มาหา

ฮุยเอ้อร์ที่มีขนสีดำทั้งกายมาคนเดียวและทรุดนั่งลงข้างฮุยซาน เขาอ่อนแอและไอมรณะก็เจือจางมากเช่นกัน หลังจากนั่งลงตรงนั้นแล้ว ฮุยเอ้อร์พยายามจะไม่หลับตาและมองฮุยซานด้วยสายตาประหลาด ก่อนจะเล่าเรื่องเรื่องหนึ่งให้เขาฟัง

เรื่องนี้เรียบง่ายและธรรมดามาก มันเป็นเพียงเรื่องราวของชีวิตที่กลายเป็นผีดิบ โจมตีไปจนสุดทาง ไปถึงจุดสูงสุด และกลายเป็นมหาอำนาจสูงสุด

เพียงแต่ตัวเอกของเรื่องเป็นสตรี

ฮุยเอ้อร์เล่าอย่างจริงจัง ฮุยซานก็ฟังอย่างตั้งใจ จนกระทั่งไม่นานเมื่อฮุยเอ้อร์เล่าจบ ฮุยซานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเล่าให้เขาฟังเกี่ยวกับอารมณ์ประหลาดของตนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บนยอดเขาแห่งนี้นอกจากหญิงสาวผู้นั้น คนตรงหน้าคือสหายคนแรกของเขา

หรือในระดับหนึ่ง ฮุยเอ้อร์ก็คือพี่ชายของเขาเช่นกัน พวกเขาสองคนเป็นกลุ่มเดียวกันที่ตื่นขึ้นมาห่างกันเพียงไม่กี่ลมหายใจ

เมื่อได้ยินคำพูดของฮุยซาน ฮุยเอ้อร์ก็เงียบไป นานทีเดียวกว่าเสียงแก่ชราระคนความอ่อนระโหยโรยแรงของเขาจะดังขึ้นเบาๆ

“ฮุยซาน เจ้าคิดถึงนาง”

ฮุยซานตกตะลึง ก่อนจะเงียบไป

ฮุยเอ้อร์ก็เงียบเช่นกัน เขาเพียงแค่มองเข้าไปในดวงตาฮุยซาน ความรู้สึกประหลาดค่อยๆ กลายเป็นความเวทนาและทอดถอนใจ เพราะภูเขาลูกนี้เมื่อหลายปีก่อนได้ถูกหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งถูกฆ่าตายอย่างสะเทือนฟ้าดินทำให้กลายเป็นเขตต้องห้าม ไม่อนุญาตให้ผู้อื่นมารบกวน และต่อให้นางจากโลกนี้ไปแล้วทุกอย่างก็ยังคงเป็นเช่นนั้น

จนกระทั่งเมื่อร้อยปีก่อน โลงศพขนาดใหญ่นับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนจักรวาลนอกโลกใบนี้ โลงศพเหล่านี้สามารถทำให้โลกสั่นสะเทือนได้ แต่พวกมัน…เพียงแค่ล้อมไว้ราวกับกำลังปกป้องอะไรบางอย่าง

ทั้งหมดนี้เขาไม่ได้บอกฮุยซานเพราะเขาไร้เรี่ยวแรง แม้จะเป็นผีดิบก็ยากที่จะหนีจากความตาย ชีวิตหลังความตายของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่เขาไม่แปลกใจว่าเหตุใดฮุยซานยังคงเหมือนในตอนนั้นไม่เปลี่ยนแปลง

ขณะที่ฮุยซานกำลังครุ่นคิด ฮุยเอ้อร์ก็ค่อยๆ หลับตาลงและผล็อยหลับไปตลอดกาล

เวลาหมุนผ่านอีกครา อาจเป็นพันปีหรือสามพันปี…หรือเรียกง่ายๆ ว่าเวลาผ่านไปนานแสนนาน สิ่งรอบกายเปลี่ยนไปราวกับพลิกฝ่ามือ ลมและเมฆพัดผ่านไปครั้งแล้วครั้งเล่า หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลง ทว่ามีเพียงภูเขาลูกนี้ที่ยังคงเดิม.Aileen-novel.

เพียงแต่ฮุยซานบนภูเขานั้นแก่ชราแล้ว หากแต่ขนของเขายังคงเป็นสีเขียวอ่อน ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย หลายครั้งที่ดวงตาของเขาลืมขึ้นอย่างยากลำบาก ทว่าเขาก็ยังพยายามอย่างหนักเพราะต้องการมองท้องฟ้าต่อไป

นอกจากนี้ยังมี…ในที่สุดเขาก็ได้คำตอบสำหรับคำถามของหญิงสาวในตอนนั้นแล้ว แต่เขาไม่รู้ว่าตนยังมีเวลารออีกฝ่ายและบอกกับอีกฝ่ายหรือไม่

“แบบนี้…ก็ดี” ฮุยซานก้มศีรษะลง พยายามลืมตา แต่กลับมีเพียงรอยแยกเล็กๆ เท่านั้นที่เปิดออกมา เขามองไปที่มือของตนด้วยความเลือนราง แต่ในความเลือนรางนี้ เขากลับเห็นฝ่ามือแห้งเหี่ยวของตนคล้ายจะมีเลือดเนื้ออีกครั้ง

แม้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง แต่เขาก็ยังมีความสุขมาก

เปลือกตาของเขาเริ่มหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ความรู้สึกเลือนรางจะลามไปทั่วกาย เมื่อร่างกำลังจะจมดิ่ง ทันใดนั้นเองความรู้สึกแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้นในหัวใจ ทำให้ในร่างกายของฮุยซานคล้ายมีแสงระยิบระยับและร่องรอยของเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายก็พุ่งขึ้น เขาค่อยๆ เปิดเปลือกตาหนักอึ้งของตน จากที่ไกลๆ ดวงตาชรานั้นเห็น…ร่างสง่างามและน่าหลงใหลค่อยๆ ย่างก้าวเข้ามาทีละก้าว

ผมยาวสีแดง สวมหน้ากากสีดำสนิท เครื่องแต่งกายในวังผุดขึ้นในความทรงจำ และข้างหลังนาง…ในทะเลโลหิตลวงตามีร่างนับไม่ถ้วนกำลังคุกเข่าลง

“เจ้ามาแล้ว” ฮุยซานยิ้ม

“ข้ามาแล้ว” หญิงสาวนั่งลงข้างฮุยซาน ทุกครั้งที่นางกลับมา นางจะนั่งประจำที่และเอ่ยอย่างใจเย็น

“ข้าได้คำตอบแล้ว” ฮุยซานยังคงยิ้ม รอยยิ้มนั้นมีความสุขสุดขั้วหัวใจ

“อะไร?” หญิงสาวหันมามองฮุยซาน

“ไม่ว่าท้องฟ้าจะเป็นสีใด ในใจข้ามันก็เป็นสีขาวแล้ว” รอยยิ้มของฮุยซานสดใสขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมีแสงสีขาวบนร่างกายของเขาสะท้อนทุกสิ่งรอบตัว

เหมือนกับเขาที่ชีวิตนี้เกิดในความมืดมิด แต่มองแสงสว่างด้วยความหวัง

หญิงสาวเงียบและมองขึ้นไปบนท้องฟ้าไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ กระทั่งพลังงานของฮุยซานค่อยๆ หายไป เปลือกตาของเขาก็หนักขึ้นอีกครั้ง ทว่าในตอนที่มันค่อยๆ ปิดลง หญิงสาวก็เอ่ยขึ้น

“ฮุยซาน หากชาติหน้ามีจริง เจ้าคิดจะทำอะไร?”

“ข้าต้องการให้แสงสว่างส่องไปยังทุกมุมโลก เพื่อให้สิ่งมีชีวิตได้มองเห็นเหมือนข้ามากขึ้น…” ฮุยซานพึมพำ ลมหายใจสุดท้ายของชีวิตหายไประหว่างสวรรค์และโลก ร่างกายกลายเป็นฝุ่นนับไม่ถ้วนและหายไปในที่เดียวกัน สิ่งที่หายไปยังมีภูเขาลูกนี้ที่ตลอดการเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมามันไม่ควรมีอยู่ตั้งนานแล้ว

หญิงสาวเงยศีรษะขึ้นมองขึ้นไปบนท้องฟ้า นางมองดูฝุ่นผงของฮุยซานที่ค่อยๆ สลายไปบนนั้น ก่อนที่คำกระซิบจะดังลอดออกมาจากปาก

“ข้าจะทำให้เจ้า!”

ณ ดาวเคราะห์ชะตา ภายในหมอกสีขาว หวังเป่าเล่อซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในพื้นที่ว่างค่อยๆ ลืมตาขึ้น ชั่ววินาทีที่เขากะพริบตา ในดวงตาของเขาเปล่งแสงจนสุดขั้ว และแสงนี้เข้ามาแทนที่รูม่านตาและแทนที่ทุกสิ่งในดวงตาของเขา

ขณะเดียวกันก่อนที่สติของเขาจะตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ ดาวเคราะห์โบราณสีขาวของกฎแห่งแสงในร่างกายเขาก็ได้ระเบิดแสงจ้าออกมาเช่นกัน แสงนี้ครอบคลุมไปทั่วจตุรทิศ และปราณกังวานของหวังเป่าเล่อก็เพิ่มขึ้นรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ!

พร้อมกันนั้นยังมีพละกำลังที่อัศจรรย์ยิ่งกว่า ซึ่งมาจากความมืดมิดและผนึกกายเข้ากับร่างกายของหวังเป่าเล่อได้อย่างลงตัวโดยไม่รู้สึกถึงการต่อต้านใดๆ!

นั่นคือ… พลังที่สะสมมาตลอดชีวิตหลังความตาย 7,600 ปี นั่นคือ…การหยั่งรู้ในช่วงเวลา 7,600 ปี ได้ก่อตัวเป็นกฎแห่งแสง!

แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะรับไม่ได้ทั้งหมด ถึงแม้จะได้เพียงเล็กน้อย แต่ในแง่ของระดับปราณกังวานก็ทำให้กฎแห่งแสงของเขาเกินขีดจำกัดไปถึงระดับเก้าจุดเจ็ดแปดส่วน!

ระดับนี้ใกล้เคียงกับดาวเคราะห์เต๋าแห่งแสงที่แท้จริงแล้ว เพราะถึงแม้จะเป็นดาวเคราะห์เต๋าแห่งแสงก็มีเพียงสิบส่วนเท่านั้น

และ…ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น มีคนคำนวณไว้นานแล้วว่ายิ่งกฎธรรมดามากเท่าไร โอกาสที่ดาวเคราะห์เต๋าจะปรากฏขึ้นก็จะยิ่งน้อยลงเท่านั้น ดังนั้นหวังเป่าเล่อในตอนนี้ กฎแห่งแสงของเขาจึงเป็นที่สุดแล้ว!

แม้ว่าเขาจะไม่สามารถนำแสงสว่างของโลกกลับมาได้ แต่ตัวเขาเอง… สามารถกลายเป็นแสงสว่างได้แล้ว และสามารถยับยั้งเต๋าแห่งแสงหมื่นจักรวาลได้!

นอกจากนี้ยังมีพละกำลังซึ่งทำให้ความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง และที่สำคัญกว่านั้นยังต่ออายุขัยให้เขา ทำให้ตอนนี้หวังเป่าเล่อสามารถใช้คำสาปวิญญาณเพลิงระดับที่สองได้แล้ว ใช้อายุที่ยืนยาวแลกกับคำสาปที่รุนแรงขึ้น!

ขณะที่พลังการต่อสู้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดวงตาของหวังเป่าเล่อค่อยๆ กลับมาเป็นดังเดิม หากแต่เขาที่ตื่นขึ้นมานั้น แม้จะจำชื่อของตนได้หรือแม้จะรู้ว่าชีวิตของฮุยซานเป็นเพียงชีวิตในชาติก่อนของตน ทว่าร่างของหญิงสาวในความทรงจำผู้นั้นกลับไม่อาจเลือนหายไป

โดยเฉพาะ…หน้ากากนั่น

“แม่นางน้อย ใช่เจ้าหรือไม่…” หวังเป่าเล่อ พึมพำเบาๆ ก้มศีรษะลง หยิบหน้ากากของแม่นางน้อยออกมาจากอก ก่อนจะวางไว้บนฝ่ามือและจ้องมองมันอย่างเงียบงัน

…………………………………………

“ผีดิบถือกำเนิดมาจากการรวมตัวของไอมรณะ อีกทั้งก่อนตายพวกมันมักจะแบกรับความคับข้องใจมากมาย เช่นนั้นจึงฟื้นจากความตาย เพราะกฎของจักรวาลนี้เปลี่ยนเป็นวิญญาณศพ เมื่อกวาดสายตาไปครั้งแรกเป็นการทำเครื่องหมายไว้ ครั้งที่สองจึงกลายเป็นผีดิบ!”

“ยิ่งกว่านั้นตัวเองยังไม่ถือว่าตาย แต่ร่างกายที่ยังมีชีวิตแปรสภาพเป็นไอมรณะแล้ว ศพเหล่านี้มักมีพรสวรรค์ที่น่าอัศจรรย์ ใครก็ตามที่ไม่ถูกกำจัดทิ้งจะสามารถกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งได้!”

ฮุยซานนั่งเงียบๆ บนสุสาน ในมือถือแผ่นหินสีดำอยู่แผ่นหนึ่ง เหลือบมองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆทะมึน ก่อนจะก้มศีรษะลงอ่านทุกอย่างที่บันทึกไว้บนแผ่นหินสีดำ

ชื่อฮุยซานนี้เขาไม่ใช่คนตั้ง แต่เป็นชื่อที่หัวหน้าตั้งให้ ดูเหมือนว่าในวันที่เขาตื่นขึ้นมาจะมีสหายศพทั้งหมดด้วยกันสามคนที่ตื่นขึ้น และเขาเป็นคนที่สามจึงมีคำว่าซาน (สาม) ในชื่อ

ส่วนฮุย (สีเทา)…เป็นความใฝ่ฝันของหัวหน้าที่อยากจะกลายเป็นผีดิบสีเทา

ฮุยซานไม่ชอบชื่อนี้ ช่วงหนึ่งเขาเคยคิดอยู่ตลอดว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่นั้นตนชื่ออะไร แต่น่าเสียดายที่เขาจำไม่ได้ เขาจึงค่อยๆ ยอมรับชื่อฮุยซาน

อีกทั้งเวลาในร่างกายของเขาดูเหมือนจะผ่านไปเร็วเกินไป ความเร็วนี้…ไม่ได้แสดงออกมาให้เห็นทางร่างกาย ขนของเขายังเป็นสีเขียวอ่อนและไม่มีการพัฒนาใด

หากแต่ความเร็วนี้สะท้อนอยู่ในความคิดของเขา บ่อยครั้งเมื่อเขาคิดถึงปัญหาหนึ่ง มันก็จะผ่านไปเนิ่นนาน และแม้จะไม่ได้คิดสิ่งใดให้ชัดเจน ทว่าเวลาก็ผ่านไปหลายปีแล้ว

ตัวอย่างเช่นอสูรเฒ่าลี่หลิงข้างบ้าน ขณะที่ตนกำลังครุ่นคิดว่าเหตุใดถึงได้ถูกสกัดน้ำมันศพ อสูรเฒ่าลี่หลิงก็ได้กลายเป็นนายหญิงและฐานการฝึกฝนเพิ่มเป็นสองเท่าของหัวหน้าแล้ว

อีกตัวอย่างหนึ่งคือเขามีความคิดบางอย่างในใจ จนปัจจุบันเขาเป็นผีดิบมากว่า 30 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังครุ่นคิดไม่เสร็จ

และในฐานะผีดิบที่อ่อนแอที่สุดเช่นนี้จึงย่อมไม่มีสถานะใดๆ หากไม่ใช่เพราะความดูแลของฮุยเอ้อร์ เขาคงจะแตกสลายไปนานแล้ว และคงไม่ใช่อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้ที่ต้องรับผิดชอบเรื่องการเรียกและให้ความกระจ่างแก่สหายศพที่เพิ่งตื่นขึ้นใหม่

ขณะนี้ตรงหน้าเขามีศพอยู่ 8 ศพ และเขาต้องสวดมนต์เป็นเวลาหนึ่งเดือนจนกว่าจะดึงดูดสายตาของวิญญาณศพ เพื่อทำให้พวกเขาลุกขึ้นอีกครั้ง

ศพเหล่านี้มีทั้งชายและหญิง ทั้งคนแก่และเด็ก พวกเขาตายมานานแล้ว ทว่าน่าประหลาด เพราะศพกลับไม่เน่าเปื่อย จนกระทั่งตอนที่ฮุยซานอ่านคำพูดที่จารึกอยู่ในหินสีดำ ไอมรณะของศพเหล่านี้ก็ปั่นป่วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ทว่าความสนใจของเขาไม่ได้อยู่ที่ซากศพเหล่านี้ หากแต่ไปอยู่ที่ด้านข้างซากศพเป็นครั้งคราว ตรงนั้นมีหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังนั่งจ้องตนด้วยดวงตาเบิกกว้าง

หญิงสาวนางนี้สวยมาก สวมชุดในวัง แม้ว่านางจะอายุเพียง 16-17 ปีเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นใบหน้าขาวผ่องหรือดวงตาดำขลับที่ไร้รูม่านตาล้วนทำให้ร่างของนางดูราวกับกลายเป็นกระแสน้ำวนดึงดูดทุกสิ่งของฮุยซาน

นั่นทำให้หลังจากที่เขาก้มหน้าลง ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวอีกครั้ง

“สวยไหม?” เสียงของหญิงสาวเย็นชา

“สวย” ฮุยซานก้มศีรษะลงอีกครา ทว่าไม่ทันได้สังเกตเห็นการเสียดสีและการดูถูกที่ปรากฏบนใบหน้าของหญิงสาว บางทีแม้ว่าเขาจะเห็นมัน แต่ด้วยสติปัญญาของฮุยซานในตอนนี้ก็คงมองไม่ออกอยู่ดี

“บอกข้าที วิญญาณศพคืออะไร” ความเย้ยหยันบนใบหน้าของหญิงสาวจางหาย ก่อนจะเอ่ยช้าๆ

“วิญญาณศพคือกฎสูงสุดของจักรวาลที่เปลี่ยนไป และสิ่งมีชีวิตที่สายตามองเห็นจะถูกเปลี่ยนเป็นเผ่าศพ” ฮุยซานก้มศีรษะลงและพูดพึมพำ

“แล้ววิญญาณศพจะมองเห็นที่นี่เมื่อไร” หญิงสาวถามต่อ

“วิญญาณศพไม่สามารถคิดวิเคราะห์เองได้ ทำได้เพียงสวดมนต์ต่อไปและนำทางด้วยความจริงใจเท่านั้นถึงจะทำให้วิญญาณศพมาได้ หากภายในสามเดือนยังไม่มีสายตาลงมา ซากศพก็จะเน่าเปื่อย” ฮุยซานพึมพำ สิ่งที่เขาพูดนั้นล้วนเป็นสิ่งที่จารึกอยู่ในแผ่นหินสีดำ เขาเพียงแค่อ่านข้อความเหล่านี้และตัวเขาเองไม่รู้ว่าใน 30 ปีที่ผ่านมา ตนได้อ่านไปทั้งหมดกี่รอบแล้ว

“น่าเบื่อ!” สิ่งที่ตอบสนองเขาคือน้ำเสียงไร้ความอดทนของหญิงสาว รวมถึงภาพที่ฮุยซานไม่อาจลืมได้เป็นเวลานาน

หญิงสาวยืนขึ้น แหงนมองท้องนภามืดมิด ก่อนจะกางแขนออกแล้วเอ่ย

“วิญญาณศพ เวลาของข้ามีจำกัด รอนานขนาดนั้นไม่ไหวหรอกนะ!”

หลังจากประโยคนี้ ฮุยซานก็เห็นท้องฟ้าในขณะนั้นพลันม้วนกลิ้งมาบรรจบกันเป็นดวงตาขนาดใหญ่ ดวงตานี้เต็มไปด้วยเส้นไหมสีดำ จ้องมองลงมา ปกคลุม…ร่างของหญิงสาวผู้นั้น

ในสายตาของฮุยซาน ร่างกายของหญิงสาวมีขนงอกออกมาอย่างรวดเร็ว จากสีเขียวในตอนแรกเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน แล้วก็เป็นสีดำ แม้ว่าจะไม่ถึงระดับทั้งหมด แต่ก็เป็นสีน้ำเงินดำอย่างละครึ่ง

ส่วนศพอื่นๆ ตอนนี้ได้สลายกลายเป็นเถ้าลอยฟุ้งอย่างรวดเร็วไปแล้ว ส่วนหญิงสาว…นางหันหลังจากไป ฮุยซานจ้องมองนางหายวับไปกับตา

กระทั่งผ่านไปเป็นเวลานาน ฮุยซานจึงพึมพำออกมาพร้อมสายตาว่างเปล่า

“ที่แท้วิญญาณศพก็สามารถเรียกได้”

หญิงสาวจากไปแล้ว ชีวิตของฮุยซานยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เขายังคงสวดมนต์เพื่อซากศพและเฝ้าดูพวกเขา บางส่วนเน่าเปื่อย บางส่วนฟื้นคืนชีพและกลายเป็นเผ่าศพ

กาลเวลาวนเวียนซ้ำซ้อน ผ่านไปอย่างเนิบช้า จะนานเพียงใด ฮุยซานก็ไม่สนใจ เขายังคงชอบครุ่นคิดคำตอบที่ไม่เคยมีอยู่ในใจ ยังคงชอบแหงนมองดูท้องนภาอันมืดมิดอย่างนิ่งงันโดยไม่กะพริบตา

และหญิงสาวที่เขาจดจำฝังลึกอยู่ในความทรงจำ กลับมาที่นี่ 5 ครั้งในรอบหลายปีมานี้

ครั้งแรกที่มา นางได้รับบาดเจ็บ แต่ขนของนางกลายเป็นสีดำแล้ว นางนั่งบนหลุมฝังศพไม่ไกลจากฮุยซานโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำราวกับกำลังพักผ่อน ก่อนจากไปนางถึงได้หันมาถามหวังเป่าเล่ออยู่คำถามหนึ่ง

“ดูเหมือนเจ้าจะครุ่นคิดอะไรอยู่ทุกวัน บอกข้าหน่อยได้ไหมว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ และทำไมเจ้าถึงเอาแต่มองท้องฟ้าอยู่ตลอดเวลา”

นี่เป็นสหายศพคนแรกที่ถามเขาว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ฮุยซานจึงตอบอย่างจริงจัง

“ข้ากำลังคิดว่าทำไมท้องฟ้าถึงเป็นสีดำ ข้าชอบสีขาว ข้าเลยคิดว่าจะมีสักวันไหมที่ข้าจะได้เห็นท้องฟ้าสีขาว”

“โง่เง่า!” หญิงสาวเงียบเสียง หลังจากนั้นไม่นานนางก็พ่นลมหายใจ แล้วหันหลังเดินจากไป

เมื่อหญิงสาวมาครั้งที่สอง นางได้รับบาดเจ็บเช่นเดิม แต่สีบนตัวนางเริ่มกลายเป็นสีเทาแล้ว นางยังนั่งอยู่ที่เดิมที่เคยนั่ง ครั้งนี้นางไม่เงียบ แต่กำลังเอ่ยบางสิ่งมากมายราวกับเอ่ยกับตัวเอง

ในวาจาเหล่านั้น นางบอกฮุยซานว่านางได้ฆ่าหัวหน้า ฆ่านายหญิง และเนินเขาทั่วทุกสารทิศและรวมทุกเขาเข้าด้วยกัน

ฮุยซานพยักหน้าและยังคงมองท้องฟ้า ยังคงครุ่นคิด ส่วนหญิงสาวก็ไม่ใส่ใจ หลังจากพูดเสร็จ นางก็นั่งพักครู่หนึ่ง ทว่าก่อนจะจากไป ตอนนั้นเองก็เอ่ยถามขึ้น

“หากท้องฟ้าไม่มีวันเป็นสีขาว เจ้าจะทำอย่างไร นั่งมองต่อไป รอคอยต่อไปจนเน่าเปื่อยหรือ”

ฮุยซานเงียบ เขาไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อน หญิงสาวเองก็ไม่รอคำตอบและจากไป ครั้งที่สามและสี่ที่นางมาก็ไม่ได้ถามคำถามหรือคำตอบ นางเพียงแค่พูดกับตนเองและบอกฮุยซานว่านางพิชิตภูเขาทั้ง 7-8 ลูกในแถบนี้ได้แล้ว นางวางแผนที่จะจัดระเบียบกองกำลังนี้และเปิดสงครามล้างแค้นกับสถานที่ที่เรียกว่าบ่อเมฆา!

การจากไปครั้งนี้กินเวลานานมาก กว่านางจะมาปรากฏตัวต่อหน้าฮุยซานอีกรอบ ฮุยซานก็เห็นว่าขนบนตัวของนางเปลี่ยนเป็นสีม่วงแล้ว และยังเห็นว่าใบหน้าของนางเน่าเปื่อยไปแล้วเสียครึ่งหนึ่ง ทั่วทั้งร่างของนางแผ่ไอมรณะเข้มข้นออกมา เผยให้เห็นถึงความอัปลักษณ์

หลังจากมาถึง นางยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ราวกับสังเกตเห็นสายตาของฮุยซาน นางจึงยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้าเน่าเปื่อยของตน ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะ เสียงนั้นแหบพร่าเล็กน้อย

“ฮุยซาน ข้ายังสวยอยู่ไหม?”

“สวย” ฮุยซานตอบกลับจริงจัง

นางคลี่ยิ้ม ยิ้มด้วยอารมณ์ที่ไม่อาจพรรณาได้ จากนั้นก็เงียบเสียงไปอีกครา ไม่กล่าวสิ่งใดจนกระทั่งในท้องฟ้าอันไกลโพ้นมีเสียงคร่ำครวญสะเทือนฟ้าดินดังมา นางจึงลุกขึ้นและมองฮุยซานเงียบๆ

“เจ้าคือเผ่าศพที่แปลกประหลาดที่สุดที่ข้าเคยพบเจอ…ข้าไปก่อนนะ บางที…อาจไม่กลับมาแล้ว”

ฮุยซานชะงักไปชั่วขณะ มองไปยังหญิงสาวในความทรงจำ ความรู้สึกสูญเสียที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนปรากฏขึ้นในร่างกาย เขาไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยอะไร

กระทั่งครู่ต่อมา หญิงสาวแหงนหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า นางเห็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนนั้น ในกระแสน้ำวนมีดวงตาข้างหนึ่งปรากฏขึ้นราวกับกำลังร้องเรียกนาง

“ลาก่อน” หญิงสาวกล่าวเสียงแผ่ว และเมื่อมือขวาของนางยกขึ้น หน้ากากสีดำก็ปรากฏขึ้นในมือของนางมือนั้นค่อยๆ สวมหน้ากากลงบนใบหน้า ก่อนจะบินขึ้นไปบนท้องฟ้า!

ฮุยซานมองแผ่นหลังของหญิงสาว ยามนี้แม้นางจะเต็มไปด้วยไอมรณะ แม้ขนสีม่วงของนางจะกลายเป็นคลื่น ทว่านางก็ยัง…สง่างามและน่าหลงใหลอย่างมาก ขณะที่มองดูภาพนั้นครั้งสุดท้าย ฮุยซานก็พึมพำ

“ลาก่อน”

………………………………………………………………..

“ก็แค่ดาวพระเคราะห์ชั้นกลางคนเดียว ต่อให้เจ้ามีดาวเคราะห์เต๋าก็ใช่ว่าจะบดขยี้ข้าได้ในคราเดียว!” นิ้วที่มือขวาของหวังเป่าเล่อจับไว้แผดเสียงร้อง ก่อนจะปล่อยแสงสีดำออกมาราวกับจะต้านทานด้วยกำลังทั้งหมด

“หากเจ้าไม่ไปชาติก่อนก็ไม่ต้องไปแล้ว ข้า…” เสียงจากในนิ้วมือยังพูดอยู่ เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจแน่วแน่แล้ว ต่อให้ตนจะตกหลุมพราง แต่หวังเป่าเล่อก็ยังลังเล

เพราะในเวลานี้แสงแห่งการดึงกำลังจะหยุดลง หากยังไม่เข้าไปก็ไม่มีโอกาสแล้วจริงๆ พลาดไปครั้งเดียวก็เท่ากับเสียสิทธิ์ 10 ชาติสุดท้ายไป

ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจ เมื่อหวังเป่าเล่อไม่ทำลายเขาในทันทีก็จะต้องปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน ด้วยวิธีนี้แม้ว่าการโจมตีของเขาจะล้มเหลว แต่การล้มเหลวก็แทบจะไม่มีผลใดเลย อีกทั้งร่างกายของเขาก็จมดิ่งลงสู่ชาติก่อนด้วย ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้ถือว่าล้มเหลว

แม้จะคิดมาดีแล้ว เจ้าหวังเป่าเล่อผู้นี้ก็ร้ายกาจเกินไป ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงไม่ไขว้เขวและก่อกวนอีกฝ่ายเพื่อไม่ให้เข้าไปสู่ชาติก่อน แค่พยายามต่อไปเพียง 10 กว่าอึดใจก็เพียงพอแล้ว

“ทำไมเจ้าถึงได้แพ้ตลอดเลย!” ทุกความคิดของนิ้วล้วนอยู่ในแผนทั้งหมดอีกทั้งยังเล่นได้ดี แต่เขาก็ยังคำนวณผิดไปจุดหนึ่ง!

นั่นก็คือ…สิ่งที่หวังเป่าเล่อได้รับจากในชาติแรกนั้นเหนือจินตนาการและน่าอัศจรรย์ยิ่ง!

ดังนั้นไม่ว่าสิ่งที่เจ้าของนิ้วมือนี้จะพยายามทำให้ไขว้เขว อย่างไรก็…เป็นเรื่องผิดพลาดครั้งใหญ่

ชั่วพริบตาต่อมาหวังเป่าเล่อพลันระเบิดพลังของร่างกายออกมาด้วยท่าทางที่น่าสะพรึงกลัว พร้อมกับสายตาเยาะเย้ย

กระทั่งก่อตัวเป็นหลุมดำทำให้หมอกโดยรอบถูกดูดเข้าไปจนพื้นที่ลดลงบางส่วน และท่ามกลางเสียงระเบิดสะเทือนฟ้าของพลังอันน่าสะพรึงกลัวนี้ นิ้วมือนั้นยังไม่ทันได้ตอบสนองก็ถูกหวังเป่าเล่อบีบดังกร๊อบ!

เสียงคร่ำครวญดังมาพร้อมกับที่นิ้วมือพังทลาย หมอกแตกกระจายไหลไปตามช่องว่างระหว่างนิ้วมือขวาของหวังเป่าเล่อ แต่เมื่อหวังเป่าเล่อสูดปาก หมอกพวกนี้ก็ไร้แรงต่อต้านและถูกหวังเป่าเล่อกลืนกิน!

การกลืนกินเช่นนี้ ไม่ใช่พลังเทพของวิชาดวงเนตรปีศาจ แต่เป็นพลังเทพทางกายภาพของชาติก่อนของเผ่าเทพอัคคีของหวังเป่าเล่อ เป็นการกลืนกินสารอาหารและเปลี่ยนเป็นพลังทางกายภาพที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

หลังจากกลืนกินเข้าไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็ฉายแสงเย็นเยียบในดวงตา ก่อนจะพ่นลมอย่างเย็นชา

“มาแล้วก็ไม่ไป มารยาทมีหรือไม่!” พูดจบก็ยกมือขวาขึ้นและเหยียดออก เผยให้เห็นฝ่ามือที่เปื้อนเลือดของตน รวมถึงดาบเล่มเล็กในฝ่ามือที่แทงเข้าไปในเนื้อครึ่งหนึ่ง

ฝ่ามือนี้เจือด้วยเหตุต้นผลกรรมของการสังหารนิ้วมือหมอกดำ อีกทั้งยังเชื่อมโยงกับเลือดในกายตนมากยิ่งขึ้น ทั้งหมดนี้อยู่ในการคำนวณของหวังเป่าเล่อ ยามนี้ดวงตาของเขาเผยประกายแปลกประหลาด อักขระโบราณตรงหว่างคิ้วกะพริบ ก่อนที่เขาจะเอ่ยเสียงเบา

“คำสาปวิญญาณเพลิง!”

ทันทีที่เอ่ยออกไป ดาบเล่มเล็กที่แทงเข้าที่ฝ่ามือของเขาก็เปล่งแสงพุ่งออกไปกลายเป็นลูกไฟในพริบตา มันทะลุค่ายกลพุ่งเข้าไปในหมอกสีขาวและหายวับไปในทันที

คำสาปวิญญาณเพลิงเป็นวิธีการพื้นฐานของการสาปแช่งที่แข็งแกร่งที่สุดของปรมาจารย์แห่งไฟเล่อที่เชี่ยวชาญถึงระดับความสำเร็จเล็กๆ แล้วสามารถใช้มันสาปแช่งศัตรูได้ และไม่ว่าจะเป็นเหตุต้นผลกรรมหรือเลือดก็ล้วนทำให้คำสาปนี้รุนแรงถึงขีดสุด พลังบนดาบเล่มเล็กทำให้มันมีพลังในการล็อคเป้าหมาย และแทบจะในทันที ดาบเล่มเล็กนั้นก็มาปรากฏอยู่ในพื้นที่หนึ่งราวกับหายตัวได้

ในพื้นที่นี้มีชายหนุ่มนั่งขัดสมาธิอยู่ผู้หนึ่ง ชายหนุ่มผู้นี้คือ…ศิษย์คนที่สิบเจ็ดของสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ เขาดูว่างเปล่าโดยสิ้นเชิง เห็นได้ชัดว่ากำลังจมดิ่งอยู่ในชาติก่อน ไม่ได้สังเกตเห็นดาบเล่มเล็กที่มาถึงแม้แต่น้อย ทันใดนั้นดาบเล่มเล็กก็พุ่งตรงมาที่กึ่งกลางคิ้วของเขา!

แต่ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ผ่านการพัฒนาจากการไปชาติก่อนมาแล้วชาติหนึ่ง การปกป้องรอบตัวเขานั้นน่าอัศจรรย์ แม้แต่ดารานิรันดร์ก็ยังต้านทานได้ เพียงแต่…คำสาปวิญญาณเพลิงของหวังเป่าเล่อ ไม่ได้อยู่ในขอบเขตนี้ มันคือคำสาปที่ล็อคเหตุต้นผลกรรม คือพลังเทพที่ส่งผลโดยตรงต่อจิตวิญญาณและมันยังฆ่าเหตุต้นผลกรรมรวมถึงเลือดด้วย ดังนั้นดาบเล่มเล็กจึงพุ่งชนการปกป้องโดยรอบของศิษย์คนที่สิบเจ็ดแทบในทันที

ท่ามกลางเสียงดังสนั่น ดาบเล่มเล็กแตกสลาย แต่คำสาปวิญญาณเพลิงที่อยู่ข้างในกลับพุ่งทะลุผ่านทุกสิ่งและระเบิดใส่ร่างของศิษย์คนที่สิบเจ็ด

ร่างของศิษย์คนที่สิบเจ็ดตัวสั่นอย่างรุนแรง ก่อนจะกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ชั่วพริบตาหนึ่งก็มีสัญญาณของการตื่นขึ้นในดวงตาของเขา แต่รากฐานของเขาลึกเกินไป หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ตอนนี้คงจะถูกโยนออกมาจากชาติก่อนแล้ว ทว่าเขายังคงอาศัยรากฐานอันลึกล้ำของตนฝืนทนและยังไม่ตื่นจากชาติก่อน

ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น…ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงพอๆ กัน ไม่เพียงแต่ตัวเองจะบาดเจ็บเท่านั้น แต่ผลที่ใหญ่ที่สุดสะท้อนให้เห็นในการรับรู้ถึงชาติก่อนของเขา ในชาติก่อนการโจมตีครั้งนี้เป็นเหมือนพายุมหึมาซึ่งทำให้สติรับรู้ของเขาพังทลายไปกว่าเก้าส่วน.Aileen-novel.

แม้จะมีรากฐานที่มั่นคงและยังฝืนยืนหยัดอยู่ในชาติก่อนได้ แต่ไม่ว่าจะเป็นการหลอมรวมหรือสิ่งที่ได้รับในครั้งนี้ล้วนลดน้อยลงไปมาก เหลือไม่ถึงหนึ่งในสิบ!

ส่วนหวังเป่าเล่อก็ทำสิ่งที่สอดคล้องกับที่ศิษย์คนที่สิบเจ็ดพยายามทำให้เขาไขว้เขว ขณะที่ทางฝั่งเขาได้รับบาดเจ็บหนัก ขณะเดียวกันทางฝั่งหวังเป่าเล่อก็เลิกต่อต้านในตอนที่แสงแห่งการดึงกำลังจะสลายไปพอดีและพาตัวเองจมดิ่งลงสู่ชาติก่อน

สิ่งรอบตัวหมุนคว้างไปพร้อมกับร่างกายที่ดูเหมือนจะจมดิ่งลง และเมื่อกระแสน้ำวนหมุนไป สติรับรู้ของหวังเป่าเล่อก็สลายไปอีกครา

เมื่อสติรับรู้กลับมาอีกครั้ง เขายังคงลืมว่าตนเป็นใคร ลืมสิ้นทุกสิ่งอย่าง เขายืนอยู่บนเนินเขาเล็กๆ อย่างว่างเปล่าและกำลังมองดูร่างที่อยู่ห่างออกไปเพียงห้าฉื่อ ร่างของเขาผอมบาง มีขนยาวสีเขียวราวกับลิง แต่สองขากลับยืนขึ้นและเงยหน้าขึ้นไปด้านบน ส่งเสียงร้อง

ร่างแบบนี้มีอยู่ทั่วหนแห่งรอบบริเวณนี้ ทุกคนล้อมวงอยู่ด้วยกันและดูเหมือนไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ บ้างกำลังยืน บ้างกำลังนั่ง และบ้างกำลังกินอาหาร

ร่างที่อยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อก็มองขึ้นไปด้านบน…เป็นเก้าอี้มังกรที่ดูหรูหรามาก แต่กลับไม่เข้ากับสิ่งแวดล้อมรอบข้าง บนเก้าอี้มีร่างหนึ่งที่ศีรษะใหญ่กว่าและมีขนดกดำทั่วทั้งกายนั่งอยู่ ร่างนั้นกำลังหลับตา หากแต่บนร่างกลับมีไอสังหารเข้มข้นแผ่ออกมาครอบคลุมไปทั่วบริเวณ

“หัวหน้า อสูรเฒ่าลี่หลิงหลอกลวงผู้คนมากเกินไป ช่วงนี้เขาได้จับเพื่อนศพของเราไปหลายคนและกลั่นน้ำมันศพของเราอย่างต่อเนื่อง การกระทำนี้ปราศจากมโนธรรมอย่างสิ้นเชิง โปรดท่านช่วยพวกเราด้วย!!”

ร่างขนสีดำที่นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรนิ่งสนิท ดูเหมือนกำลังส่งเสียงพึมพำ เมื่อเห็นเช่นนั้น ร่างขนเขียวที่กำลังรายงานอยู่ตรงนั้นก็ชี้มาที่หวังเป่าเล่อท่ามกลางความงุนงงของเขา

“หัวหน้า จะลังเลไม่ได้นะขอรับ ท่านดูฮุยซานสิ เขากลายเป็นเผ่าศพของเรา หลังจากตื่นขึ้นมาไม่กี่เดือน เขาก็ถูกจับเมื่อไม่นานมานี้ก็ถูกกลั่นน้ำมันศพไปสามถัง หากไม่ใช่เพราะเราไปช่วยได้ทันเวลา เขาคงกลายเป็นศพแห้งเหี่ยวไปแล้ว!”

ขณะที่คำพูดของเขาแพร่กระจาย หวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นว่าร่างขนสีเขียวรอบตัวเขาจำนวนมากต่างมองมาที่เขา แม้แต่ร่างขนสีดำที่นั่งอยู่ด้านบนก็ยังปรายตามาทางตนด้วยแสงสลัวในดวงตา

เมื่อถูกทุกสายตาจับจ้อง หวังเป่าเล่อก็ก้มมองตัวเองอย่างว่างเปล่า เขาเห็นขนปุยสีเขียวอ่อนบนตัวเอง หลังจากยกมือขึ้นมาตามสัญชาตญาณ ก็เห็นได้ชัดว่าฝ่ามือของตนนั้นผอมบางกว่าผู้อื่น อีกทั้งยังใหญ่กว่าครึ่งหนึ่งของร่างกาย

แม้ศีรษะของเขาจะคล้ายกับขนสีเขียวเช่นเดียวกับตัวอื่นๆ แต่สีผมกลับจางกว่า ร่างกายราวกับโครงกระดูก กระทั่งในตอนนี้ก็ยังมีความรู้สึกอ่อนแอที่ทำให้เขารู้สึกราวกับจะเป็นลม

หลังจากที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ ชิ้นส่วนความทรงจำก็ผุดขึ้นมาในหัว

จักรวาลนี้ชื่อว่าอะไร เขาไม่อาจทราบ รู้แต่เพียงว่าก่อนหน้านี้ตนเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง ไร้พรสวรรค์ ไร้ทรัพย์สมบัติ ไร้ลูกสะใภ้ กระทั่งตายอย่างเจ็บปวดด้วยโรคระบาด ศพก็ดูเหมือนถูกไฟไหม้ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ศพจึงยังคงอยู่ และเมื่อตื่นขึ้นมา เขาก็มาอยู่บนภูเขาลูกนี้แล้ว ถูกร่างที่ดูดุร้ายนั่นบอกว่าตนเป็นพวกเดียวกับพวกเขา ตั้งแต่นั้นมาก็เป็นผีดิบ!

เขียว น้ำเงิน ดำ เทา ขาว ม่วง แดง!

นี่คือระดับความแข็งแกร่งของการเป็นผีดิบ แบ่งสีตามวิวัฒนาการและการฝึกฝน จึงมีพลังต่างกันไป ตอนนี้เขาไม่นับว่าเป็นขนสีเขียวด้วยซ้ำ แม้แต่ผู้นำของเขาลูกนี้ก็ยังเป็นแค่สีดำ!

ตามคำบอกเล่าของสหายศพข้างกาย หวังเป่าเล่อจึงรู้ว่าหัวหน้าเคยเป็นพ่อค้าเนื้อและเขาชั่วร้ายมาก ดังนั้นเมื่อถูกทุกคนจ้องมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อถูกผีดิบสีดำจ้องมอง ร่างของหวังเป่าเล่อก็สั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้…

………………………………………………………………..

คราวหน้า เลือกข้า? หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง พิจารณาประโยคนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน ยิ่งเขาคิดมากเท่าไร ความกังวลที่อธิบายไม่ได้ก็เกิดขึ้นในหัวใจของเขามากขึ้นเท่านั้น

เพราะตามความเข้าใจทั่วไป สิ่งที่เรียกว่าคราวหน้าอาจเป็นการกลับชาติมาเกิดหลังจากตัวเองตายในชาติที่แล้ว แต่ก็เป็นไปได้เช่นกัน…ว่าบางทีอาจจะเป็นยุคต่อไป นั่นคือ…ตอนนี้!

ขณะเดียวกันก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นพลังเทพวิเศษบางอย่างหรือบางทีประโยคนี้อาจไม่ได้มีความหมายจริงๆ

เป็นเพราะขอบเขตของความเข้าใจนั้นใหญ่และกว้างเกินไป หวังเป่าเล่อจึงคิดไม่ออก ท้ายที่สุดเขาทำได้เพียงฝังมันไว้ในหัวใจของเขา ทว่าภาพมือนั้นได้ประทับอยู่ในใจของเขาอย่างแน่นหนาและไม่สามารถลบล้างได้

ไม่นานหลังจากนั้น หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจเข้าลึกๆ เมื่อกวาดสายตามองไปโดยรอบ ดวงตาของเขาก็พลันหดตัว

เขาสังเกตเห็นว่าค่ายกลที่เขาวางไว้นอกร่างกายถูกกระตุ้น ในขณะเดียวกันเขาก็นึกถึงวิกฤติที่เขาสัมผัสได้ก่อนที่จะจมเข้าสู่ชาติก่อน

“มีคนมา…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขายืนขึ้นและยกมือขึ้นดันไปข้างหน้า ม่านแสงป้องกันซึ่งเดิมโปร่งใสและมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาในทันที หลังจากเขารับรู้ ถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นว่าใครมา แต่เขาก็สามารถเข้าใจฐานการฝึกฝนของผู้ที่มาได้ ขณะเดียวกันก็ตรวจสอบได้ว่าเวลาที่เขาจมดิ่งสู่ชาติก่อนน่าจะประมาณ 10 ชั่วยาม

“ดาวพระเคราะห์ชั้นมหาวัฏจักร…พยายามโจมตีข้า? แต่โดนค่ายกลของข้าสกัดไว้…” หวังเป่าเล่อครุ่นคิดและมองเห็นความแปลกประหลาดในเรื่องนี้

เพราะการจมดิ่งสู่ชาติก่อนมาพร้อมกับคำพูดนั้นที่ผุดขึ้นในทันใด หากมีเพียงเขาที่ได้ยินก็ดี แต่เห็นได้ชัดว่าคำพูดนั้นไม่ได้พูดกับเขาแค่คนเดียว ผู้ทดสอบพลังฝึกปรือในหมอกทุกคนต่างได้ยินและจมดิ่งเข้าไป

แต่ในตอนนั้นเองใครบางคนสามารถต้านทานพลังนี้และออกไปฉวยโอกาสลงมือได้ ถึงแม้จะเป็นไปไม่ได้ที่จะสังหาร แต่ก็ชัดเจนว่าจุดประสงค์ของอีกฝ่ายไม่ใช่การฆ่า แต่เป็นการปล้นชิงแสงแห่งการดึง

“พวกที่ใช้วิธีนี้ได้…ต้องระวังไว้ ตำแหน่งของข้าถูกเปิดเผย หากอีกฝ่ายมีความคิดอื่น ข้าก็ไม่ปลอดภัยแล้ว” ดวงตาของหวังเป่าเล่อทอประกายเย็นยะเยือก โดยปกติด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในปัจจุบัน เขาไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องนี้

แต่หากครั้งหน้าเขาจมลงสู่ชาติก่อนและคู่ต่อสู้มาถึง เขาทำได้แค่พึ่งพาค่ายกลเพื่อป้องกันเท่านั้น หากมีบางอย่างผิดพลาด ผลที่ตามมาก็ไม่อาจมองข้ามได้

“ออกไปตามหาอย่างนั้นหรือ? ความเป็นไปได้ที่จะสังหารอีกฝ่ายได้นั้น… เพราะข้าไม่รู้ว่ามันคือใคร ดังนั้นข้าควรเปลี่ยนที่และรับรู้ชาติก่อนต่อไปหรือไม่นะ” หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ร่างของเขาเคลื่อนตัวตรงไปยังขอบไอหมอกและไม่ได้หยุดลง เขาเคลื่อนตัวไปรอบๆ พื้นที่อย่างรวดเร็ว

ระหว่างทางแม้ว่าเขาจะไม่ได้ออกไปไกลเกินไป แต่เขาก็ยังเห็นผู้ทดสอบอยู่บ้าง บ้างยังไม่ตื่นจากชาติก่อน บ้างอยู่ในสายหมอกและต่างรับรู้ถึงกันและกัน จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ยังมีพื้นที่ว่างซึ่งควรจะมีผู้ทดสอบอยู่ แต่ตอนนี้กลับว่างเปล่า เห็นได้ชัดว่าพวกเขาออกไปทำแบบเดียวกันหรือเกิดเรื่องไม่คาดฝันและสูญเสียสิทธิ์ไป.ไอรีนโนเวล.

ขณะเดียวกันก็มีเสียงคำรามของการต่อสู้ดังมาจากที่ไกลๆ เป็นที่แน่ชัดว่าคนที่จมดิ่งสู่ชาติแรกได้ตื่นขึ้นแล้ว และพวกเขาคงจะได้รับมามากและเริ่มต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงแสงแห่งการดึง

แท้จริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น ระยะที่หวังเป่าเล่อกำลังค้นหาอยู่ในขณะนี้เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเมื่อเทียบกับหมอกขาวทั้งหมด ภายในระยะหมอกที่ไกลออกไปกำลังเกิดการต่อสู้อยู่ แทบทุกๆ เวลาหนึ่งก้านธูปจะมีผู้ทดสอบจำนวนมากที่สูญเสียแสงแห่งการดึงไปและสูญเสียสิทธิที่จะทดสอบต่อไป ร่างของพวกเขาถูกส่งออกไปในชั่วพริบตา

แม้ว่าเขาจะไม่เห็นการแข่งขันด้วยตาของเขาเอง แต่ตลอดทางที่ผ่านมาในใจหวังเป่าเล่อก็คาดเดาได้ถึงเรื่องนี้อยู่บ้างแล้ว

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…” หลังจากหวังเป่าเล่อครุ่นคิด เขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะเปลี่ยนพื้นที่ หลังจากกลับมายังพื้นที่ของตัวเอง เขายังคงนั่งขัดสมาธิเงียบๆ รอเวลาให้ชาติที่สองเริ่มต้นขึ้น ขณะเดียวกันก็ปรับตัวให้เข้ากับความแข็งแกร่งทางกายภาพที่พุ่งทะยาน

นอกจากนี้ในมือขวาของเขายังมีดาบเล่มเล็กยาวหนึ่งชุ่น แม้ว่าดาบเล่มนี้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็ไม่ใช่ของทั่วไป มันเป็นของขวัญจากศิษย์พี่ของหวังเป่าเล่อ มีความคมมากและสามารถเปลี่ยนแปลงขนาดได้ด้วยการใช้เคล็ดเวทผนึก

เมื่อถูกหวังเป่าเล่อกำไว้ในมือเช่นนี้ บุคคลภายนอกจึงไม่อาจมองเห็นได้ หวังเป่าเล่อค่อยๆ ปรับตัวให้เข้ากับความแข็งแกร่งทางกายภาพ เวลาผ่านไปเนิบช้า และสองชั่วยามก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

จากนั้นเมื่อถึงเวลาหนึ่ง เสียงของคนรับใช้เฒ่าที่อยู่ถัดจากเหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ก็ดังก้องขึ้นในหมอกสีขาวทันที

“วันที่สอง ชาติที่สอง!”

ทันทีที่เสียงดังขึ้น แรงฉุดดึงแบบเดิมก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง และแสงสีขาวบนร่างของหวังเป่าเล่อก็พลันส่องสว่าง ขณะเดียวกัน หมอกโดยรอบก็หมุนเวียนรอบตัวเขา ทำให้หวังเป่าเล่อราวกับจมดิ่งลงไปอย่างต่อเนื่องและรุนแรงยิ่งกว่าก่อนหน้า

หวังเป่าเล่อหายใจถี่กระชั้นและจิตใจของเขาก็ยกระดับขึ้นอย่างเต็มที่ ฐานการฝึกฝนของเขาไหลเวียนต่อต้านความรู้สึกที่กำลังจมดิ่งลง ถึงแม้จะได้ผล แต่ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบ เมื่อเห็นว่าตนไม่สามารถต้านทานได้ เขาก็สะบัดมือขวาอย่างแรง!

จู่ๆ ก็มีความรู้สึกเจ็บออกมาจากฝ่ามือนั้น แต่สีหน้าเขาไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ในตอนนั้นเองหากเป็นไปตามที่คาดไว้ หากเขาไม่เตรียมตัวไว้ก็คงจมดิ่งสู่ชาติก่อนไปแล้ว รอบตัวเขายังปกติ ไม่ได้มีเงาร่างอะไรปรากฏขึ้น

อันที่จริงนี่คือแผนของหวังเป่าเล่อ ในเมื่อเขาไม่พบอันตรายที่คุกคามความปลอดภัยของเขาตอนที่ออกไปตามหา เขาจึงตื่นขึ้นและใช้กลยุทธ์รอซ้ำยามเปลี้ย ทำเหมือนจมดิ่งสู่ชาติก่อน แต่ความจริงกำลังรอให้ใครสักคนปรากฏกาย

ทว่า จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีเงาร่างใดปรากฏขึ้น กลับกันพลังดึงเข้าชาติก่อนก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ นั่นทำให้หวังเป่าเล่อลังเลใจ แต่ในไม่ช้าเขาก็สะบัดมือขวาอีกครั้งเพื่อแทงดาบเล่มเล็กในฝ่ามือให้เสียดลึกขึ้น ใช้ความเจ็บปวดรุนแรงนี้หลอมรวมเข้ากับฐานการฝึกฝนของตน หลังจากที่ความแข็งแกร่งทางกายภาพพุ่งสูง การควบคุมเล็กน้อยของร่างกายได้บิดเบือนอวัยวะภายในทั้งห้าเพื่อแลกกับความเจ็บปวดที่มากกว่าเดิม ทำให้เขายังมีสติสัมปชัญญะ และต่อต้านพลังดึงให้จมลงสู่ชาติก่อน

เวลา… ผันผ่านอีกครา และผ่านไปมากกว่า 30 อึดใจอย่างรวดเร็ว พลังดึงเข้าสู่ชาติก่อนก็ดูเหมือนจะเกินขีดจำกัดไปแล้ว มันอ่อนกำลังลงโดยพลัน หวังเป่าเล่อมีลางสังหรณ์ว่าเมื่อแรงดึงหายไปอย่างสมบูรณ์ และหากเขายังต่อต้านก็จะพลาดการเข้าสู่ชาติก่อนในครั้งนี้!

ตอนนั้นเองที่เขาลังเลอีกครั้ง ในสายหมอกโดยรอบก็มีเงาทั้งเก้าเงาพุ่งทะยานเข้ามาด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์ ถึงแม้ว่าจะเป็นเงาเดิมแต่กลับมีพลังมากกว่าเดิมหลายเท่า

อีกทั้งยังมีถึงเก้าเงาซึ่งเห็นได้ชัดว่าเตรียมการมาอย่างดี เงาทั้งเก้าพุ่งออกมาจากหมอกตรงไปยังหวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางจากทั้งเก้าทิศทางพร้อมกับเสียงดังสนั่น

มันเร็วมาก พริบตาเดียวก็ใกล้เข้ามาแล้ว อีกทั้งยังมีเสียงทุ้มลึกดังออกมาจากเงามืดทั้งเก้านี้พร้อมกัน

“กระแทก!”

ทันทีที่เอ่ย เงาทั้งเก้าก็กลายเป็นชายชุดดำเก้าคน ขณะเดียวกันพวกเขาก็ยกมือขวาขึ้นและกดลงไปรอบๆ หวังเป่าเล่อ ทันใดนั้นค่ายกลก็ส่องแสง

ชายชุดดำทั้งเก้าคาดการณ์ถึงม่านแสงนี้มาก่อนจึงยังคงพุ่งเข้าไป ม่านแสงพลันบิดเบี้ยว ร่างสีดำทั้งเก้ากระเด็นออกไปอีกครั้ง ทว่า…พลังเทพที่ร่างสีดำทั้งเก้าใช้ สัมพันธ์กับการกระแทกจึงผ่านค่ายกลเข้าไปได้บางส่วน!

ดังนั้นถึงแม้พวกมันจะกระเด็นออกไป แต่เงาดำทุกเงาล้วนมีพลังบางส่วนเจาะเข้าไปได้กลายเป็นหมอกดำ สุดท้ายเมื่อเงาดำทั้งเก้าแตกสลาย ในค่ายกลหมอกดำที่เจาะทะลุเข้ามาพลันรวมตัวกันอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อกลายเป็นนิ้วมือและทิ่มไปยังหว่างคิ้วของเขาอย่างแรง!

“หวังเป่าเล่อ ดาวเคราะห์เต๋าของเจ้า…ข้าต้องการมัน!”

เสียงของความโลภดังก้องกังวานอยู่ในความมืดมิด จู่ๆ หวังเป่าเล่อที่หลับตานั่งขัดสมาธิคล้ายกำลังจมลงสู่ชาติก่อนก็พลันลืมตาขึ้น นัยน์ตาเผยความเยือกเย็นและเจตนาฆ่า มือขวาของเขายกขึ้นคว้านิ้วมือตรงหน้า!

ต่อให้นิ้วนั่นจะดิ้นรนสักแค่ไหนก็ไม่สามารถสลัดออกไปได้!

“เจ้า…” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเบา เมื่อมีเสียงที่ไม่น่าเชื่อ อีกทั้งยังคมชัดดังออกมาจากนิ้วนั่น

“รอเจ้ามานาน!” ทันทีที่เอ่ย หวังเป่าเล่อก็คว้ามือขวาของนิ้วนั้นไว้และบีบมันอย่างดุเดือด!

………………………………………………………….

“ปวดหัว!”

“หยุดพูด ข้าอยากอยู่เงียบๆ…” หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นมาทุบหัวตัวเองแรงๆ จนเกิดเสียง แต่ท่ามกลางเสียงนั้น เสียงของน้องชายจากในแหล่งกำเนิดแสงใต้เท้าเขาก็ยังดังมาไม่หยุด

“ยมทูตกำลังมา ท่านพี่ ท่านมีสภาพเช่นนี้เกรงว่าคงไม่ผ่านการตรวจสอบ!”

“เช่นนั้น…ก็ปล่อยข้าออกไปเถอะ ให้ข้าแก้อาการปวดหัวของท่านและแบกรับความเจ็บนี้เอง ท่านพูดเสมอว่าโลกนี้จอมปลอม ถ้าอย่างนั้น…ให้ข้าออกไปจะเป็นอะไรไปล่ะ”

“ดูสิข้าดีกับท่านขนาดไหน เพื่อพิสูจน์สิ่งที่ท่านเคยพูดไว้ ข้าช่วยท่านฆ่าพ่อที่เข้าสู่ช่วงเสื่อมโทรมของเทพ จากนั้นก็ใช้ร่างกายของท่านสังหารทั้งดาวโลก เพื่อปลุกใจสายเลือดสุดท้ายของเผ่าเทพอัคคีของพวกเรา ขณะเดียวกันข้าอยากจบความเจ็บปวดของท่านเพราะความรักที่มีต่อท่าน แต่ทำไมท่านถึงต่อต้านล่ะ ข้ากำลังช่วยท่านนะ!”

“ท่านพี่ อย่าฝืนเลย ให้ข้าออกมา ให้ข้าแบกรับทั้งหมดแทนท่าน!”

“หุบปาก!!” หวังเป่าเล่อส่งเสียงคำราม ความดังของเสียงก่อตัวขึ้นเป็นคลื่นเสียงแพร่กระจายไปทั่วบริเวณอย่างต่อเนื่องและวิหารเทพที่อยู่ก็พังทลายลงในพริบตา ทุกๆ ที่ที่คลื่นเสียงนั้นผ่านไปถูกทำลายกลายเป็นผุยผง

และเมื่อวิหารเทพหายไป โลกภายนอกก็ถูกเปิดเผย… มันมืดมิด!

ไร้ซึ่งสิ่งปลูกสร้าง ไร้ภูเขา ไร้สิ่งมีชีวิต ไร้พืชพันธุ์ มีเพียงไอมรณะอันแรงกล้าที่โอบล้อมโลกทั้งใบให้กลายเป็นเมฆสีดำหนาทึบปกคลุมท้องฟ้า แต่ดูเหมือนว่ามีแรงกดดันอย่างแรงมาจากภายนอก กระทบกับก้อนเมฆจนเกิดฟ้าแลบดังก้องกังวาน

เมื่อฟ้าแลบเหล่านี้ผ่าลงมา ในที่สุดโลกอันมืดมิดก็สว่างไสวในชั่วพริบตาเผยให้เห็น…ภาพ!

สีเขียวชอุ่มประกอบด้วยพลังอันไร้ขีดจำกัด เป็นดาวเคราะห์ที่มีเผ่าพันธุ์นับหมื่นซึ่งตอนนี้มันได้กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว!

ฝุ่นนับไม่ถ้วน เศษซากนับไม่ถ้วน กระดูกนับไม่ถ้วน… ทุกชีวิตกลายเป็นฝุ่นผง ซากศพแห้งเหี่ยว กระดูกที่กองทับถมกลายเป็นภูเขาลูกใหม่!

โลกทั้งใบมีแต่ความตาย!

แม้แต่วิหารเทพก็สร้างด้วยกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วน ยามนี้หวังเป่าเล่อกำลังสวมเกราะหนาและยืนอยู่บนกองกระดูก สีหน้าบิดเบี้ยว เขาที่อยู่บนหัวกะพริบแสงสีดำ มือของเขายกขึ้นโจมตีหัวตัวเองอย่างต่อเนื่อง

“ปวดหัว ปวดหัว!!”

“ท่านพี่ ในเมื่อเจ็บมากแล้วทำไมไม่เอาร่างให้ข้าล่ะ!!”

“ในฐานะร่างกายที่แข็งแกร่งที่สุดของสายเลือดเผ่าเทพอัคคี ขอเพียงมอบให้ข้า ข้าสามารถนำเผ่าเทพอัคคีกลับสู่ความรุ่งเรืองได้อีกครั้ง”

“ให้ข้า!!” เสียงตะโกนสุดท้ายดังขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มันระเบิดออกมาจากแหล่งกำเนิดแสงก่อตัวขึ้นเป็นพลังโจมตีและกำลังจะส่งผลกระทบต่อสมองหวังเป่าเล่อ ทว่าในตอนนั้นเองสีหน้าหวังเป่าเล่อก็ดูชั่วร้าย มือขวายกขึ้นคว้าความว่างเปล่า ทันใดนั้นแหล่งกำเนิดแสงก็พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วและถูกเขาจับไว้

“ถ้าเจ้าไม่หุบปาก ข้าจะฆ่าเจ้า!”

“ฆ่าข้าหรือ?” เสียงหัวเราะบ้าคลั่งดังออกมาจากในแหล่งกำเนิดแสง ในเสียงหัวเราะนั้นยังแฝงไปด้วยการเหน็บแนม ยิ่งมันดังออกมาไม่หยุด หวังเป่าเล่อก็ยิ่งปวดหัวมากขึ้นกว่าเดิม เส้นเลือดสีน้ำเงินบนหน้าผากปูดโปน ทั่วทั้งร่างปวดร้าวจนแทบเสียสติ แต่ในตอนนั้นเอง สายฟ้าก็ฟาดลงมาบริเวณรอบตัวเขา

จากนั้นสายฟ้าก็กระหน่ำฟาดลงมาอย่างต่อเนื่อง และเมฆบนท้องฟ้าก็ม้วนกลิ้งไปมาอย่างบ้าคลั่งกระจายไปทั่วบริเวณเผยให้เห็นท่องฟ้าที่ถูกบดบัง รวมถึง…ใบหน้ายักษ์บนท้องฟ้า!

ร่างของยักษ์ตัวนี้ใหญ่โตไม่มีที่สิ้นสุด เขายืนอยู่บนจักรวาลและมองลงมายังดาวโลกซึ่งทำให้ใบหน้าของเขาครอบครองท้องฟ้าทั้งหมด

“เจ้ารู้ความผิดแล้ว!” ใบหน้าบนท้องฟ้าเผยเจตนาฆ่าในดวงตา แล้วเอ่ยออกมา

“ปวดหัว!” หวังเป่าเล่อเปล่งเสียงคำรามต่ำอยู่ในปาก ร่างกายสั่นเทิ้ม ดวงตาแผ่ขยายเส้นเลือดในฉับพลัน

“ตามคำสั่งของทวยเทพ บรรดาผู้ที่ตกสู่ทวยเทพจะถูกทำลายทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ และจะถูกลบทิ้งไป…” ยักษ์บนท้องฟ้าส่ายหัว เสียงของเขาดังก้อง แต่ก่อนที่คำพูดของเขาจะจบ จู่ๆ หวังเป่าเล่อที่อยู่บนพื้นโลกก็เงยหน้าขึ้น นัยน์ตาพลันระเบิดแสงสีแดงออกมา และเสียงคำรามที่ดังยิ่งกว่าฟ้าร้องก็ดังออกมาจากปากของเขา

“หุบปาก! หุบปาก! หุบปาก! ข้าบอกให้หุบปาก!!!” หวังเป่าเล่อคำราม ร่างของเขาทะยานขึ้นทันที ทั้งร่างของเขาราวกับดาวตกพุ่งตรงขึ้นไปบนฟ้า ก่อนจะพุ่งชนยักษ์ที่กำลังยกมือขึ้นมาจับ.Aileen-novel.

ท่ามกลางเสียงดังสนั่น ฝ่ามือของยักษ์ก็ร่วงลงไป เผยให้เห็นใบหน้าตื่นตกใจและไม่อยากจะเชื่อของยักษ์บนท้องฟ้า หลังจากนั้นในชั่วพริบตา หวังเป่าเล่อก็แปลงร่างเป็นสายรุ้งพุ่งตรงไปที่ปลายฟ้าและชนเข้ากับคิ้วของยักษ์ตนนี้

เสียงดังสะเทือนไปถึงจักรวาล ยักษ์ที่ก่อนหน้านี้ยังสง่างามตัวนั้นกำลังตัวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ส่วนหัวระเบิดกระจุยกระจาย ร่างกายที่ไร้ศีรษะดูเหมือนจะสูญเสียคุณสมบัติที่จะยืนในจักรวาลไปแล้วจึงร่วงลงมากระแทกพื้นไกลๆ

“ในที่สุด…ก็เงียบ…” พร้อมกับการตายของยักษ์ หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่บนจักรวาลบ่นพึมพำ แต่ไม่นานก็มีคลื่นแสงกว้างใหญ่แผ่กระจายมาจากที่ไกลๆ ยิ่งกว่านั้นยังมาพร้อมเสียงคำรามโกรธเกรี้ยวดังสะท้อนกลับมาที่จักรวาล

“เจ้าบ้าไปแล้ว!!”

การปรากฏตัวของเสียงนี้ทำให้หัวของ หวังเป่าเล่อปวดขึ้นอีกครั้ง ดวงตาของเขาเผยความบ้าคลั่ง ทันใดนั้นเขาก็รีบตรงไปที่ทิศทางของเสียง ฆ่า…ยังคงดำเนินต่อไปในเศษเสี้ยวความทรงจำ

เศษความทรงจำนี้บ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ และแต่ละครั้งก็ทำให้เขาปวดหัวมากขึ้น เขาจำไม่ได้มากเกินไป เขาลืมไปมากกว่าครึ่งแล้ว เขาจำได้เพียงการเข่นฆ่า การเข่นฆ่าไม่หยุด เมื่อใดก็ตามที่มีเสียง เขาก็จะไปฆ่ามัน

ไม่รู้ว่าเขาฆ่าไปนานแค่ไหน ฆ่าไปเท่าไร จนกระทั่งเขาเห็นมือข้างหนึ่ง…

มีมือหนึ่งยื่นออกมาจากความว่างเปล่าไปที่คิ้วของเขา กดเบาๆ ตามด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งที่คุ้นเคยแต่ก็ดูไม่คุ้นเคย

“คราวหน้าข้าจะเลือกเจ้า!”

เมื่อเขากดลงไป ร่างของหวังเป่าเล่อก็สั่นอย่างรุนแรง และรอยร้าวจากคิ้วของเขาก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งตัว จนกระทั่งทั้งร่างเริ่มพังทลายในชั่วพริบตา และในระหว่างการพังทลายนี้ หัวของเขา…ก็ไม่ปวดอีกต่อไป

เมื่อความเจ็บปวดจางหาย ความทรงจำก็หลั่งไหลเข้าสู่สมองอย่างรวดเร็ว เขาเห็นว่าเส้นทางการเข่นฆ่านั้นบางครั้งเขาก็หันไปพูดกับด้านที่ว่างเปล่า และเขาเห็นตัวเองนั่งอยู่ในวิหารเทพบนโลกที่เต็มไปด้วยซากศพและก้มลงพูดกับเท้าตัวเอง

ใต้เท้าของเขาไม่มีแหล่งกำเนิดแสงในความทรงจำ ตรงนั้น…ไม่มีอะไรเลย

ต่อมาเขาเห็นตัวเองนั่งอยู่บนไหล่ของยักษ์ในตอนแรกสุด ตอนนั้น ร่างกายของเขายังเล็กอยู่ เมื่อยักษ์ยกแหล่งกำเนิดแสงให้สูงขึ้น เขาก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองไปที่แหล่งกำเนิดแสง

และน้องชายในความทรงจำของเขาคนนั้นที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งของไหล่ยักษ์ ที่แท้แล้วไม่มีร่างนี้มาตั้งแต่ต้น!

“ข้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเขากลายเป็นสีดำสนิท และเมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้งในเวลาต่อมา เขาก็มานั่งอยู่ในพื้นที่โล่งกว้างกว่า 10 จั้ง บริเวณรอบนอกกว่า 10 จั้งนี้เต็มไปด้วยหมอกสีขาวไร้ที่สิ้นสุด…

เขามองดูหมอกตรงหน้าอย่างว่างเปล่า แล้วก้มหน้าลงช้าๆ ความทรงจำในหัวกระจัดกระจาย เขาจำไม่ได้ว่าตนเป็นใคร และจำไม่ได้ว่าที่นี่คือที่ไหน กระทั่งผ่านไปเนิ่นนาน…หน้าอกของเขาค่อยๆ กระเพื่อมขึ้นลงและในที่สุดเมื่อมันรุนแรงหาใดเปรียบ ดวงตาก็เผยความดิ้นรนต่อสู้

หลังจากหายใจไม่กี่ครั้ง หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้นอย่างดุดันราวกับเสียงของกระจกที่แตกสลาย ในขณะที่ในหัวสะท้อนไปมา ดวงตาของเขาก็เผยความชัดเจนในที่สุด

“ข้าคือ…หวังเป่าเล่อ!”

ทันทีที่ประโยคนี้ดังขึ้น พลังแห่งชีวิตที่ดูเหมือนจะหลับใหลอยู่ในร่างกายของเขาก็พลันระเบิดออกทันที และไข่มุกที่เหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์มอบให้ก็ระเบิดพลังชีวิตอันน่าอัศจรรย์ออกมา แพร่กระจายไปในร่างกายของเขาอย่างดุเดือด มันถูกเขาดูดซับอย่างต่อเนื่อง

ร่างกายของเขาควบแน่นและแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ พลังปราณที่รวมตัวกันก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก

แต่เห็นได้ชัดว่าทุกสิ่งในชาติก่อนไม่สามารถนำออกมาได้แม้จะใช้ไข่มุกช่วยก็ตาม พลังที่รวบรวมในร่างกายหวังเป่าเล่อ ขณะนี้เป็นเพียงหนึ่งในหมื่นชาติเท่านั้น

แต่ถึงกระนั้นก็ยังทำให้ร่างกายของเขาเข้าใกล้ระดับดารานิรันดร์แล้ว!

แต่นี่ไม่ใช่กำไรที่ใหญ่ที่สุดของเขา กำไรที่ใหญ่ที่สุดของเขาคือประสบการณ์การต่อสู้นับไม่ถ้วนที่เขาได้รับหลังจากได้รับรู้ชีวิตในชาติก่อนรวมถึงความเชี่ยวชาญต่อกฎแห่งจักรวาลก่อนหน้า แม้ว่ามันจะแตกต่างจากปัจจุบัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็จะสามารถเข้าใจสิ่งใหม่ได้โดยการเปรียบเทียบกับสิ่งเก่า นอกจากนี้ยังมี…ความทรงจำของสัญชาตญาณเกี่ยวกับร่างกายของเขาจากชาติที่แล้ว!

ทุกการเคลื่อนไหวคือความทรงจำจากการเข่นฆ่าทางร่างกายเหมือนกับขุนศึกเทพ

หวังเป่าเล่อในตอนนี้อาจจะดูเหมือนฐานการฝึกฝนเพิ่มขึ้นไม่มากและยังคงเป็นดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง ทว่าพลังทำลายล้างของเขานั้น…เพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่า!

“มือนั่น…ประโยคนั่น หมายความว่าอย่างไรกันแน่!” แต่สำหรับหวังเป่าเล่อ การพัฒนาพลังต่อสู้ไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจในตอนนี้ เขาสนใจแค่มือนั้นเท่านั้น รวมถึง…ประโยคนั้นด้วย!

……………………………………………………

ในพริบตาที่เสียงดังขึ้น หวังเป่าเล่อก็เห็นแสงสีขาวภายนอกร่างกายทันที มันกะพริบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตามมาด้วยเสียงระเบิดในหัว

เสียงระเบิดทำให้เขารู้สึกวิงเวียนสุดจะพรรณนา มันแผ่ขยายไปทั่วศีรษะราวกับโลกกำลังหมุนคว้าง อีกทั้งยังหมุนเร็วขึ้นเรื่อยๆ และในไม่กี่อึดใจสั้นๆ ขณะที่หวังเป่าเล่อฝืนลืมตาอย่างยากลำบาก หมอกรอบตัวก็กลายเป็นกระแสน้ำวนโดยมีเขาอยู่ข้างในและกำลังจมลง!

แม้พื้นดินจะไม่ได้ทรุดตัว แต่ความรู้สึกจมดิ่งนี้ก็ยังคงรุนแรง

“นี่คือแสงแห่งการดึง กำลังดึงข้าเข้าสู่ชาติที่แล้วหรือ” หลังจากหวังเป่าเล่อเข้าใจแล้วก็รีบกดมือขวาลงบนกระเป๋าคลังเก็บ ในมือเกิดแสงสว่างวาบและปรากฏขึ้นมาเป็นจานค่ายกล

จานค่ายกลนี้เป็นหนึ่งในของที่ศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงมอบให้เขา มันบรรจุพลังแห่งค่ายกลอันทรงพลัง แม้จะได้รับผลกระทบจากหมอกพวกนี้ แต่อานุภาพก็ไม่ธรรมดา

หวังเป่าเล่อนำมันออกมา เขาฝืนอดกลั้นอาการวิงเวียนและวางมันไว้ตรงหน้าอย่างไม่ลังเล ก่อนจะกดแรงๆ ทันใดนั้นรอบกายก็ก่อตัวเป็นม่านแสงห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ ด้านในเป็นเครื่องป้องกัน จากนั้นก็หายไป

หลังจากทำเสร็จ หวังเป่าเล่อไม่อาจฝืนทนอาการวิงเวียนศีรษะได้อีกต่อไป เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ และปล่อยให้ความรู้สึกนี้ปะทุขึ้นมา ทว่า…เมื่อความรู้สึกนี้ถึงขีดสุด สติการรับรู้ของหวังเป่าเล่อก็จมดิ่งลง…

ทันใดนั้นที่ด้านขวาของจุดที่เขานั่งขัดสมาธิอยู่ซึ่งเดิมไม่มีหมอกที่หมุนวนแต่อย่างใด จู่ๆ ก็พลิกม้วนในฉับพลัน ข้างในมีเงาดำร่างหนึ่ง มันสว่างวาบจากหมอกที่หวังเป่าเล่ออยู่แล้ววาบกลับมาในพริบตาราวกับสังเกตเห็นบางอย่าง ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางตรงมายังหวังเป่าเล่อ

ความรู้สึกวิกฤตรุนแรงปรากฏขึ้นในใจหวังเป่าเล่อ แต่ความรู้สึกวิงเวียนและจิตวิญญาณจมดิ่งก็ได้มาถึงขีดสุดแล้ว หากแต่ตอนนี้ไม่อาจย้อนกลับได้ ถึงแม้หวังเป่าเล่อจะสัมผัสได้ถึงอันตราย ทว่าเขาก็หมดสติไปพร้อมกับเสียงระเบิดในหัว.ไอลีนโนเวล.

ในเวลาที่หมดสติไป เงาสีดำก็พุ่งออกจากหมอกมาปรากฏตัวตรงจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่ เงาสีดำยกมือขวาขึ้นปล่อยแสงสีดำออกมาอย่างไม่ลังเล ก่อนจะสำรวจหว่างคิ้วหวังเป่าเล่อด้วยสายตาละโมบ

“โชคดีจริงๆ เจอปลาตัวใหญ่เช่นนี้!” เงาสีดำนี้เลือนรางไม่ชัดเจนราวกับแสงสีดำ เขากำลังหัวเราะ ฝ่ามือกำลังจะแตะตัวหวังเป่าเล่อ แต่เมื่ออยู่ห่างจากหว่างคิ้วหวังเป่าเล่อสามฉื่อ จู่ๆ ก็มีม่านแสงปรากฏขึ้นและสัมผัสกับมือของคนผู้นี้

เกิดแรงสะท้อนกลับระเบิดออกมาเสียงดังสนั่น เงาสีดำนั่นสั่นสะท้านและทรุดลงกับพื้นทันทีกลับกลายเป็นมวลแสงสีดำนับไม่ถ้วนและมารวมตัวกันอีกครั้ง เขารีบพุ่งกลับเข้าไปในหมอกโดยไม่หันกลับมามองอีกเลย

ขณะเดียวกันภายในโลกที่เต็มไปด้วยหมอกนี้ บริเวณโดยรอบจุดที่หวังเป่าเล่ออยู่มีผู้ฝึกตนที่ทดสอบพลังฝึกปรือมากกว่า 100 คนที่เป็นเหมือนหวังเป่าเล่อได้ประสบกับเงาสีดำ แต่ถึงแม้พวกเขาจะมีเคล็ดวิชาของตัวเอง แต่ก็ยังมีอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่ไร้พลังป้องกันอย่างหวังเป่าเล่อ ดังนั้นสิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่คือ ในทันทีที่จมลงไปในกระแสน้ำวน ร่างกายก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส เลือดไหลทะลักและหมดสติ แสงแห่งการดึงบนร่างพวกเขาก็หายวับไปในทันที จากนั้นจึงถูกเงาดำพาตัวไป!

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิดนี้ ในหมอกก็ไม่เกิดคลื่นลูกใหญ่และด้านนอกหมอกก็ไม่มีใครเข้ามา มีเพียงเหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์และคนรับใช้ที่ดูเหมือนจะสังเกตเห็น บรรดาคนรับใช้ต่างอ้าปากค้าง แต่หลังจากมองดูนายของตนแล้วก็ถอนหายใจและไม่พูดอะไร

เพราะถึงแม้ผู้ฝึกตนที่ได้รับบาดเจ็บเหล่านั้นจะถูกขโมยแสงแห่งการดึงไปแล้วและได้รับบาดเจ็บจนสลบ แต่ไม่ตาย!

และสามารถเปิดประตูชาติที่แล้วได้ด้วยการระเบิดแสงแห่งการดึง ในการเปิดฉากจู่โจมดังกล่าว สามารถมองเห็นความพร้อมของคนลงมือรวมถึงความไม่ธรรมดาของร่างกายได้!

ทว่าทั้งหมดนี้หวังเป่าเล่อไม่รับรู้แล้ว ตอนนี้เขาเสียสติไปแล้ว หรือพูดให้ถูกก็คือเขาไม่รับรู้แล้วว่าตนเองคือใคร เพราะตอนนี้เขาได้กลายเป็น…ยักษ์!

ท้องนภาเป็นสีม่วง ผืนดินเป็นสีขาว ไร้ตะวัน ไร้จันทรา มีเพียงท้องฟ้าเท่านั้น และยังมียักษ์ตนหนึ่งถือแหล่งกำเนิดแสงขนาดใหญ่อยู่ในมือ ก่อนจะยกขึ้นสูงและก้าวเดินช้าๆ ทำให้แสงสามารถครอบคลุมไปทั่วทั้งโลก และเมื่อเขาเคลื่อนไปข้างหน้า พื้นที่ภายในระยะของแหล่งกำเนิดแสงจะค่อยๆ เปลี่ยนจากแสงเป็นความมืด

ยักษ์ตนนี้เปลือยกาย ปลายศีรษะโค้งงอ ผิวหนังทั่วทั้งร่างเป็นสีม่วง ลำตัวตะปุ่มตะป่ำ และถึงแม้บนร่างจะไม่มีความผันผวนของฐานการฝึกฝน แต่เลือดเนื้อและพลังชีวิตเข้มข้นอย่างน่าเหลือเชื่อทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงความแข็งแกร่ง

ส่วนหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็นั่งอยู่บนไหล่ซ้ายของยักษ์ตนนั้น ขณะที่ยักษ์ก้าวไปข้างหน้า เขาก็มองดูโลกทั้งใบ ขณะเดียวกันเขาก็เห็นว่าบนไหล่ขวาของยักษ์มียักษ์ตัวเล็กที่คล้ายกับตนนั่งอยู่ด้วย ในเวลานี้เขากำลังตั้งตารอและจ้องมองแหล่งกำเนิดแสงที่ยักษ์ถืออยู่

“เจ้าสองคนจำเส้นทางให้ดี วันหน้าเมื่อพวกเจ้าโตขึ้นก็ต้องเดินทางไปทั่วโลกตามเส้นทางนี้”

“นี่คือภารกิจของเผ่าเทพอัคคีของเรา!”

หลังจากเสียงพึมพำดังออกจากปากยักษ์มาเข้าหูหวังเป่าเล่อ สมองของเขาก็พลันกรีดร้องคำราม ก่อนที่เสี้ยวหนึ่งของความทรงจำจะปรากฏขึ้นมาในวินาทีนั้น

เขาคือเผ่าเทพอัคคีเพียงสามคนที่หลงเหลืออยู่บนดาวโลกแห่งนี้ ภารกิจของพวกเขาคือส่งแสงให้ดาวโลกดวงนี้ทำให้ตระกูลอื่นอีกนับหมื่นบนดาวโลกได้อาบไล้แสงแห่งเทพ

และเผ่าเทพอัคคีอยู่ในสายเลือดเต๋าเทพโลกาเก้าพันชั้นต่ำ แม้จะไม่ได้ต่ำที่สุด แต่ก็ถูกจัดเป็นเผ่าเทพระดับล่างเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากเผ่าเทพระดับสูงที่ปกครองทั้งจักรวาล พวกเขาที่เป็นเผ่าเทพชั้นต่ำ อีกทั้งยังไม่มีพลังเทพพิเศษใดๆ จึงทำหน้าที่เป็นผู้ส่งแสงเทพเท่านั้น และถูกจัดให้มาอยู่ที่ดาวโลกแห่งนี้หลายชั่วอายุคนสลับสับเปลี่ยนไประหว่างแสงสว่างและความมืด

แม้ในบรรดาเผ่าเทพจะมีฐานะต่ำต้อย แต่ในดาวโลกดวงนี้กลับอยู่ในจุดสูงสุดและได้รับการบูชาจากชนเผ่านับไม่ถ้วนบนดาวโลก ถูกเรียกขานว่าเทพเจ้า

“จักรวาลเผ่าเทพ…” หวังเป่าเล่อพึมพำก่อนจะเงยหน้ามองแหล่งกำเนิดแสงที่ยักษ์ตนนี้ยกขึ้นสูง เขารู้สึกปวดหัวเล็กน้อย คิ้วขมวดเผยแววครุ่นคิดในดวงตา หากแต่ก็ไม่รู้ว่าตนกำลังครุ่นคิดอะไร มันเป็นเพียงสัญชาตญาณว่าอยากคิด ทว่ายิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว

ขณะจมดิ่งอยู่กับความคิด สติของเขาก็ค่อยๆ พัดไปราวกับมีแรงขับไล่มหาศาลจากฟากฟ้า ก่อนที่เสียงคำรามจะมารวมตัวกันบนร่างจนหวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มราวกับทั้งร่างกำลังจะลอย ขณะเดียวกันอาการปวดหัวก็รุนแรงขึ้น

เมื่อเห็นว่าเขาต้านทานไม่ได้ ความเจ็บปวดทำให้เขาสั่นสะท้านราวกับกลายเป็นการทรมาน แต่ในตอนนั้นเอง กระแสน้ำอุ่นอ่อนโยนก็แผ่ออกมาจากร่างของหวังเป่าเล่อ หลังจากแผ่ขยายไปทั่วทั้งร่างก็ทำให้เขาฟื้นตัวจากสภาวะที่ไม่มั่นคงและถูกขับไล่อย่างรวดเร็ว จนอาการปวดหัวของเขาคลายลงไป

ระหว่างที่กำลังฟื้นตัว…ก็มีเสียงหนึ่งดังเข้าหูของเขา

“พี่ชาย ยมทูตกำลังมา เจ้ายังจะนอนต่ออีกหรือ!” เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น ความคิดของหวังเป่าเล่อก็พัดปลิว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นราวกับเพิ่งตื่น ภาพตรงหน้าเขาเปลี่ยนไป เขาไม่ได้นั่งบนไหล่ยักษ์ขณะที่มันเดินไปในโลกอีกต่อไป แต่กลับนั่งอยู่ในวิหารขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ร่างกายก็ไม่ได้เล็กจิ๋วอย่างก่อนหน้านี้ แต่เติบโตสูงถึง 1,000 จั้ง ตั้งแต่หัวจรดเท้ากำลังแผ่พลังแห่งเลือดอันน่าสะพรึงกลัวออกมา แม้แต่ลมหายใจก็ยังสร้างเสียงคำรามดังราวกับฟ้าร้องไปทั่วบริเวณโดยรอบ

พลังแห่งเลือดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับสามารถทุบท้องฟ้าได้ด้วยหมัดเดียว ขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นว่าที่หน้าอกตนมีไข่มุกห้อยอยู่เม็ดหนึ่งดูคุ้นตามาก แต่เขากลับนึกไม่ออกว่ามันคืออะไร

ส่วนเสียงร้องเรียกพี่ชายของตน…อยู่ที่เท้าของเขาในขณะนี้

นั่นคือแหล่งกำเนิดแสงที่เต็มไปด้วยความร้อนและแสงสว่างไร้ที่สิ้นสุด แหล่งกำเนิดแสงที่แทรกซึมไปด้วยพลังแห่งเทพเจ้าเปล่งพลังมหาศาลออกไป ในแหล่งกำเนิดแสงนี้มีเงาร่างมากมายนับไม่ถ้วน พวกเขากำลังคร่ำครวญอย่างเงียบงันราวกับถูกทรมานอยู่ตลอดเวลา และความเจ็บปวดของพวกเขาก็เหมือนกับเป็นพลังขับเคลื่อนต่อเนื่องให้แหล่งกำเนิดแสงนี้

คนที่พูดก็คือหนึ่งในจำนวนร่างมากมายในแหล่งกำเนิดแสง

นั่นคือน้องชายของเขาซึ่งนั่งอยู่บนไหล่อีกข้างของพ่อในตอนนั้นและเติบโตมากับเขา แต่เมื่อหลายปีก่อนกลับถูกฆ่าทิ้งด้วยมือของเขาเอง

“น้องชาย…” หวังเป่าเล่อพึมพำกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ทันใดนั้นเอง ศีรษะของเขาก็เจ็บปวดขึ้นมาอีกครั้ง ความเจ็บปวดนี้รุนแรงกว่าที่ผ่านมามากจนทำให้ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้ม ปากร้องคร่ำครวญเสียงต่ำ

…………………………………………………

ภายนอกลูกแสง ชายชราร่างงองุ้ม ดวงตาสงบนิ่ง จ้องมองไปยังผู้ฝึกตนนับแสนบนร่างอสูรดึกดำบรรพ์ 39 ตัวที่อยู่รอบด้าน

“อีกอย่างหนึ่ง หวังว่าพวกเจ้าจะรู้ไว้ ไม่ใช่ว่ามีอดีตชาติก็จะสามารถตระหนักรู้สิ่งที่ปรากฏได้ ทั้งหมดต้องอาศัยศักยภาพรวมทั้งปัญญาของตน สิ่งที่ท่านประมุขทำได้ เป็นแต่เพียงการช่วยเหลือพวกเจ้า นำความตระหนักรู้และศักยภาพของพวกเจ้า ขยายผลในการทดสอบเท่านั้น”

“ดังนั้นจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับตัวพวกเจ้าเอง และอีกสักครู่ ตาเฒ่าจะเริ่มการทดสอบ และในพื้นที่ทดสอบ กระแสของเวลาแตกต่างจากโลกภายนอก สิบวันภายในนั้น เทียบกับโลกภายนอกก็เป็นเพียงเวลาหนึ่งก้านธูป”

“วิธีการเช่นนี้ การสร้างสรรค์เช่นนี้ ท่านประมุขไม่เคยใช้มาก่อน ดังนั้นในครั้งนี้…ขอให้ทุกคนรักษามันไว้ และขอให้พวกเจ้าสามารถตระหนักรู้อดีตชาติของตน และได้เพิ่มระดับพลังแห่งตน แต่มีอีกอย่างหนึ่งเช่นเดียวกับก่อนหน้านั้น มีเพียงระดับดาวพระเคราะห์ที่จะสามารถเข้าร่วมการทดสอบ ดารานิรันดร์นั้นไม่ได้!” “คำพูดของชายชราดังก้อง ผู้คนรอบด้านรับฟัง ทำให้ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ของที่แห่งนี้ต่างมีท่าทีเปลี่ยนไป

เห็นได้ชัดว่าบททดสอบในครั้งนี้ ต่างจากที่พวกเขาคิดไว้ก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิง และยังแตกต่างอย่างยิ่งจากบันทึกในอดีต การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ในระดับหนึ่งทำให้สิ่งที่พวกเขาเตรียมไว้ล่วงหน้าล้วนสูญเปล่า

แม้จะเป็นเช่นนี้แล้ว หากแต่ในคำพูดของชายชรายังแฝงความหมายเอาไว้ ทำให้จิตใจของทุกคนล้วนสั่นไหว ในเวลาเดียวกันก็หายใจไม่ทั่วท้อง อีกทั้งในส่วนลึกของใจต่างรู้สึกสั่นสะท้าน

มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่มีท่าทางเป็นปกติ เรื่องนี้ไม่ได้เหนือความคาดหมาย เพียงแต่นัยน์ตาเป็นประกาย เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้ข่าวเกี่ยวกับบททดสอบครั้งนี้มาก่อน ไม่มากก็น้อยจากช่องทางต่างๆ ดังนั้นเวลานี้ในใจจึงเต็มไปด้วยการรอคอย

ในหมู่พวกเขา ศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดของเต๋าเจ็ดวิญญาณผู้นั้น เวลานี้อยู่ๆ ร่างก็เหาะไปกลางอากาศประสานหมัดคำนับ กล่าวคำพูดออกมา

“ผู้อาวุโส ข้าผู้ฝึกตนที่ฝึกฝนมาทั้งชีวิต แม้จะเป็นเรื่องของโอกาส แต่หากกล่าวถึงการคัดสรรตามธรรมชาติ เกรงว่าผู้ที่มาทดสอบในครานี้จะมีมากกว่าแสนคน เมื่อเป็นเช่นนี้…แม้จะสามารถเห็นได้ว่าผู้ใดมีอดีตชาติมากกว่า แต่ในระดับหนึ่ง…ก็สูญสิ้นความหมายในการแข่งขันต่อกัน!”

“ไม่ผิด ท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยก็มีความสงสัยเช่นนี้ หากพวกเรานับแสนคนทดสอบด้วยกัน เช่นนั้นก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการเกิดความขัดแย้งขึ้นได้ เกิดการรบกวนการตระหนักรู้กันและกัน พฤติกรรมเช่นนี้อนุญาตหรือไม่”

“แล้วหากทุกคนมีโอกาสตระหนักรู้อดีตชาติ เช่นนั้นโอกาสนี้…สามารถส่งต่อให้ผู้อื่นได้หรือไม่” ต่อจากนั้น ผู้ฝึกตนที่ทราบการทดสอบล่วงหน้าจำนวนหนึ่งต่างเหาะออกมา เอ่ยถามข้อสงสัย

คนเหล่านี้ แต่ละคนมีระดับการฝึกตนที่ไม่ธรรมดา วาจาเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ชัดเจนว่าจุดประสงค์ของพวกเขาคือนำการตระหนักรู้ครั้งนี้เพื่อให้ได้รับการเปลี่ยนแปลงที่สูงสุด ดังนั้นจึงต้องถามรายละเอียดของกฎต่างๆ ล่วงหน้าไว้ก่อน

หวังเป่าเล่อก็เช่นกัน คำถามเหล่านั้นผุดขึ้นในใจเขา เมื่อเห็นผู้อื่นซักถาม เขาจึงมองไปทางชายชราที่ด้านนอกลูกแสงในทันที

“สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเท่าเทียมกัน และโอกาสก็เช่นกัน จะสำเร็จหรือไม่ มิได้ขึ้นกับผู้อื่น ล้วนขึ้นอยู่กับตนเอง ไม่ดีหรอกหรือ หรือว่าพวกเจ้าต้องการแย่งชิงโอกาสกันให้ได้” ชายชราที่อยู่นอกลูกแสงเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวช้าๆ

“ท่านผู้อาวุโส เดิมทีผู้ฝึกตนเช่นข้าก็มิได้ปฏิบัติตามกฎ หากทุกอย่างเป็นไปตามกฎ ชีวิตจะมีสีสันได้เช่นไร!”

“สิ่งที่เรียกว่าความเท่าเทียมนั้น ก็เป็นเพียงแต่พื้นผิว หากตัวข้าโดดเด่น พยายามให้มากขึ้น ความโดดเด่นก็จะเพิ่มขึ้น เช่นนั้นจะไปเท่าเทียมกับผู้ไม่โดดเด่น ไม่มีข้อได้เปรียบ และไม่พยายามเพื่อสิ่งใด”.ไอรีนโนเวล.

“ยังขอให้ท่านผู้อาวุโสได้อนุญาตให้การทดสอบในครั้งนี้ โอกาสทั้งหมดต้องมีการแย่งชิง เช่นนั้น..จึงนับว่ายุติธรรม!” ผู้ที่เอ่ยตอบชายชรา คือศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดของเต๋าเจ็ดวิญญาณ ยังมีเต๋าลำดับที่เจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐ และยังมีศิษย์ลำดับเก้าของราชันเทวะไกก้าผู้นั้น

แม้หวังเป่าเล่อไม่ได้พูด แต่เขาก็เห็นด้วยต่อเรื่องนี้ เวลานี้จึงจ้องไปทางชายชราที่ด้านนอกลูกแสงเงียบๆ

ชายชราเงียบเสียง สุดท้ายจึงหันไปมองทางประมุขกฎสวรรค์ที่อยู่บนแท่นบูชาภายในลูกไฟ ค้อมคำนับกายลงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากำลังรอการตัดสินใจของท่านประมุข

ประมุขกฎสวรรค์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นบูชา เวลานี้นัยน์ตาฉายแววลึกซึ้ง หลับตาลงครู่หนึ่ง หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ ก็ส่งคำพูดเก่าแก่ออกมา

“ผู้เฒ่าเองไม่ขอสิ่งใดตอบแทน เพียงเพื่อความสมบูรณ์พูนสุขของสรรพสัตว์…แต่ก็เพิกเฉยต่อความต้องการแข่งขันของพวกเจ้าไปจริงๆ เอาเถอะ…การตระหนักอดีตภพ ต้องการความช่วยเหลือจากแสงแห่งการดึงดูด ผู้ทดสอบที่เข้าร่วมแต่ละคน ต่างมีแสงแห่งการดึงดูด ยิ่งแสงนี้มีมาก พลังดึงดูดก็ยิ่งมาก สัดส่วนความสำเร็จของการตระหนักรู้ก็จะยิ่งสูงขึ้น!”

“ท่านประมุขเลิศล้ำ!” ทันทีที่เขากล่าวออกมา พวกมหาศิษย์แห่งเต๋าที่ออกปากก่อนหน้า ต่างประสานหมัดคำนับในทันที

“แต่มีอย่างหนึ่ง” ท่านประมุขไม่ได้กล่าวต่อไปอีก ผู้ที่กล่าวคือชายชราที่อยู่นอกลูกแสง เขากวาดตามองฝูงชนและกล่าวช้าๆ

“งานฉลองวันอวยพรอายุท่านประมุข ไม่ชมชอบการนองเลือด ดังนั้นการทดสอบในครานี้…ผู้สังหาร ต้องชดใช้ด้วยชีวิต”

ทันทีที่คำพูดนี้ดังออกมา ผู้คนรอบด้านต่างมีท่าทีเปลี่ยนไป บ้างขมวดคิ้ว บ้างถอนหายใจ และบ้างก็เก็บความปราถนาในการสังหารเอาไวเ

“ช่างแตกต่างจากการทดสอบที่ข้าเคยประสบมาก่อน…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เมื่อได้ฟังคำพูดของชายชราที่อยู่นอกลูกแสง การทดสอบครั้งก่อนๆ ก็ปรากฏขึ้นในใจ หากทุกอย่างที่อีกฝ่ายแสดงนั้นเป็นจริงแล้ว นี่เป็นโอกาสอันเป็นสิริมงคลแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างแท้จริง

เพราะเขามองจุดประสงค์ของอีกฝ่ายไม่ออก แท้จริงแล้วตั้งแต่พวกตนเองมา กระทั่งถึงเวลานี้ อาจกล่าวได้ว่าต่างก็ได้รับของขวัญ

ไม่ว่าจะเป็นการตระหนักรู้ร่องรอยเต๋าก่อนหน้า หรือการทดสอบในวันนี้ แม้จะมีวิกฤตอยู่บ้าง แต่ผลที่ได้ก็ยิ่งใหญ่นัก และเห็นได้ชัดว่าอย่างหลังเหนือกว่าครั้งก่อน

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเมื่อตระหนักถึงภพที่สิบแล้ว ก็จะได้พลิกสมุดแห่งโชคชะตา มีสิทธิ์ได้เห็นถึงภาพอนาคต ทุกอย่างทั้งหมดนี้ ทำให้ใสายตาของหวังเป่าเล่อฉายประกายความเลื่อมใส น้อมศีรษะรับคำ

ขณะที่ทุกคนต่างก็ทำเช่นนี้ ชายชราร่างงองุ้มด้านนอกลูกแสงก็เอ่ยเสียงก้องราวสายฟ้า เกิดพลังแผ่ขยายไปทั่วสารทิศในทันที

“การทดสอบอดีตชาติ เริ่มได้!”

ทันทีที่คำพูดดังออกมา เขายกมือขวาขึ้นโบกสะบัด ทันใดนั้นเกิดเสียงดังก้องขึ้นภายในปากปล่องภูเขาไฟใต้ลูกแสง และไอหมอกจำนวนมากลอยขึ้นมาจากภายใน สุดท้ายที่ช่องว่างระหว่างใต้ลูกไฟและปล่องภูเขาไฟ กระแสวนขนาดใหญ่ได้ก่อตัวขึ้น หมุนวนขึ้นมาไม่หยุด

“พวกเจ้า ยังไม่เข้าไปอีก!” คำพูดที่แผ่วเบาของชายชราหลังค่อม ดังก้องอยู่ในใจทุกคน ทันใดนั้นเงาแต่ละสายจากบนร่างสัตว์ดึกดำบรรพ์ของตนก็พุ่งออกมาอย่างรีบเร่ง ในบรรดาคนเหล่านั้นศิษย์คนที่เก้าของราชันเทวะไกก้า มีระดับความเร็วสูงสุด พุ่งออกมาเป็นผู้แรก แล้วหายไปในกระแสวนทันที

สำหรับผู้ฝึกตนเต๋าอันดับเจ็ดของเต๋าเก้ารัฐ รวมทั้งศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ ต่างก็เข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว ยังมีเจ้าอ้วนน้อยรวมทั้งมหาศิษย์แห่งเต๋าอื่นๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนี้ ล้วนหายเข้าไปในกระแสวนทีละคน

ในบรรดาคนเหล่านั้น ซิงจิงจื่อที่สวมชุดคลุมยาวสีดำ แบกกระบี่ด้ามใหญ่เอาไว้ ทั้งร่างเต็มไปด้วยไอเย็นยะเยือก ก็เป็นเช่นนี้ ยังมีสวี่อินหลิงและคนอื่นๆ ตามหลังไป

ภายในเวลาชั่วครู่ อย่างน้อยมีเงากว่าแสนร่างรวมเข้าสู่กระแสวน เมื่อเห็นว่าส่วนใหญ่เข้าไปแล้ว เซี่ยไห่หยางที่อยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อ ดวงตาก็เกิดประกายแวววาว

“อาจารย์อา พวกเราก็ไปกันเถอะ?”

หวังเป่าเล่อคลำกระเป๋าคลังเก็บ ในนั้นมีลูกปัดที่ประมุขกฎสวรรค์มอบให้ ขณะนี้แววตาส่องประกาย หลังจากได้ฟังคำก็พยักหน้า เพียงชั่วแวบเดียวก็จากไป เซี่ยไห่หยางติดตามอย่างใกล้ชิด สองคนพุ่งตรงไปยังกระแสวน และหายเข้าไปในทันที

ทันทีที่เขาเข้าไปได้ ภายในขอบเขตจิตสำนึกของหวังเป่าเล่อ ไร้ร่องรอยของเซี่ยไห่หยาง ตัวเขาเองถูกพลังมหาศาลที่ไม่อาจต้านทานได้ ดึงดูดเข้าไปภายในนั้น ราวกับโดนเคลื่อนย้ายถ่ายเท ลากตรงเข้าไป

โชคดีที่กระบวนการทั้งหมดนั้นสั้นมาก ในชั่วพริบตาจิตสำนึกและร่างกายของหวังเป่าเล่อก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ปรากฏอยู่ในหมอกทึบ ยามนี้สถานที่ที่เขาอยู่นั้นมีอาณาบริเวณเพียง 10 จั้ง

ภายใน 10 จั้ง ไร้ไอหมอก ทว่าระยะ 10 จั้ง ด้านนอกกลับมีไอหมอกพลุ่งพล่าน ขวางกั้นจิตสำนึกไว้ แต่ร่างของหวังเป่าเล่อทดลองก้าวเข้าไปกลับพบว่า ไอหมอกนี้ไม่ได้ขวางกั้นร่างของผู้ฝึกตน

เพียงแต่ว่าไร้สัมผัสของทิศทางภายในนั้น จิตสำนึกก็ไม่อาจกระจายออกได้

หวังเป่าเล่อไม่ได้เข้าลึกต่อไปอีก หลังจากล่าถอยไปเป็นบริเวณ 10 จั้งอย่างรวดเร็ว ขณะนี้เองเขาก็เห็นว่าภายนอกร่างของตน ถูกปกคลุมไปด้วยชั้นแสงสีขาวจางๆ

หลังจากที่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ ท่าทีก็เปลี่ยนไป ในแสงสีขาวนี้ เขาสังเกตได้ถึงร่องรอยของกลิ่นอายที่ทำให้จิตวิญญาณสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นและปลอดภัย

“แสงแห่งการดึงหรือ?”

หวังเป่าเล่อสังเกตได้เช่นนั้น จึงพึมพำออกมาแผ่วเบา ตอนนั้นเองที่เสียงน่าเกรงขามหนึ่ง ดังก้องขึ้นมาภายในจิตใจของผู้ฝึกตนทั้งหมดที่อยู่ในพื้นที่กว่าแสนแห่งในพิภพไอหมอกนี้

“วันที่หนึ่ง ชาติที่หนึ่ง!”

……………………………………….

ไม่ใช่เพียงหวังเป่าเล่อที่มีความคิดเช่นนี้ แท้จริงแล้วยามนี้ท่ามกลางจุดไฟมากมาย มหาศิษย์แห่งเต๋าบนระดับอีกแปดปราณกังวานที่ได้รับประโยชน์มหาศาลกจากการรู้แจ้งเช่นเดียวกับเขา ยังมีอีกสามคน จากการสังเกตเมื่อโอกาสในครานี้กำลังจะสิ้นสุดลง ล้วนตั้งเป้าหมายไว้ที่แหล่งกำเนิดของกฎเกณฑ์ใยตะกอนทั้งหมดนั้น…บนแหล่งแสงทั้ง 91 กลุ่ม!

แหล่งแสง 91 กลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม 89 ที่อยู่ด้านนอก หรือกลุ่มที่อยู่พื้นที่ตรงกลาง ล้วนกว้างใหญ่เหมือนทะเลดาราย่อส่วน กฎเกณฑ์นั้นยิ่งใหญ่ถึงขีดสุด ถึงขั้นสะท้านฟ้าสะเทือนดิน

เพียงแต่… หากเปรียบกับแหล่งแสงตรงส่วนกลางที่เป็นของประมุขกฎสวรรค์ พวกมันทั้งหมดล้วนเรียกได้ว่าเป็นดาราแห่งค่ำคืน มีเพียงแหล่งแสงที่ประมุขกฎสวรรค์เสกสรร จึงจะเป็นดั่งดวงจันทร์ที่สว่างไสว และหากมองดูให้ดี จะสามารถเห็นได้ว่าภายในแหล่งแสงของประมุขกฎสวรรค์ ยังมีหนังสือเล่มหนึ่งส่องประกายอยู่!

แม้ไม่อาจเห็นได้อย่างชัดเจน สามารถเห็นได้เพียงโครงร่าง แต่ทันทีที่ได้เห็นหนังสือเล่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นหวังเป่าเล่อหรือผู้อื่น ต่างก็รู้ได้โดยพลันว่านี่คือ…สมุดแห่งโชคชะตา!

สัญชาตญาณที่ราวกับมาจากส่วนลึกของจิตวิญญาณโดนดึงดูด ทำให้ทุกคนรวมทั้งหวังเป่าเล่อ ยามที่ได้เห็นสมุดเล่มนั้น ต่างเกิดความต้องการที่จะพลิกดูอย่างแรงกล้า แต่ก็เป็นได้เพียงความคิด เพราะความรู้สึกวิกฤตที่ยิ่งรุนแรง ก็จะยิ่งแผ่ออกจากแหล่งแสงของประมุขกฎสวรรค์ไม่หยุด ทำให้ผู้ที่ปรารถนาจะเข้าใกล้ทั้งหมด ต่างต้องละทิ้งความต้องการ

“ไม่มีสิทธิ์ ก็ไม่ได้รับอนุญาตหรอกหรือ…” หวังเป่าเล่อใคร่ครวญ จากนั้นจึงเรียกสติคืนมองไปทางแหล่งแสงประมุขกฎสวรรค์ หลังจากกวาดตามองไปด้านข้างรวมทั้งแหล่งแสงอื่นที่อยู่ภายนอก ฉับพลันจิตสำนึกเทพของเขาก็หยุดนิ่งอยู่บนแหล่งแสงกลุ่มหนึ่ง

ภายในแหล่งแสงนี้มีกฎแห่งไฟที่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ซึ่งคล้ายคลึงกับกับกฎเวท ทำให้จิตใจของหวังเป่าเล่อสั่นไหว จุดไฟจำแลงเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และพุ่งตรงไปยังแหล่งแสงนี้

ในเวลาเดียวกัน จุดแสงจำแลงของอีกสามมหาศิษย์แห่งเต๋าก็เป็นเช่นเดียวกัน เข้าใกล้ไปยังแหล่งแสงที่ต่างเลือกไว้อย่างรวดเร็ว ยามที่พวกเขาทั้งสี่ใกล้เข้ามา ก็รับรู้ถึงสถานะของกันและกัน!

หนึ่งในนั้นคือสวี่อินหลิง!

และยังมีอีกผู้หนึ่ง คือศิษย์อันดับเก้าของราชันเทวะไกก้า หลิงหลัน!

คนสุดท้ายไม่ใช่เฉินหานที่กลับชาติสร้างใหม่ของเต๋าเจ็ดวิญญาณผู้นั้น แต่เป็น…สำนักแรกที่มาจากจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย ผู้ฝึกตนเต๋าลำดับเจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐ คนผู้นี้มิใช่คนรูปงาม แม้ดูแล้วแสนจะธรรมดา แต่ดวงตาของเขากลับพิเศษยิ่ง ไร้รูม่านตา มีเพียงพื้นสีดำสนิท

พวกเขาทั้งสี่ร่วมกับหวังเป่าเล่อกลายเป็นจุดแสงบินออกไปอย่างรวดเร็ว บินไปนอกแหล่งแสงที่แต่ละคนเลือกทันที ระเบิดศักยภาพทั้งหมดที่นั่น ดูดรับพลังแห่งกฎอย่างบ้าคลั่ง

จุดไฟจำแลงของหวังเป่าเล่อสั่นอย่างรุนแรง แม้ในเวลานี้ร่างจะนั่งขัดสมาธิอยู่บนอสูรร้าย ทว่ากลับสั่นอย่างรุนแรงตามกฎแห่งไฟที่ดูดรับมา เป็นเหมือนไฟสวรรค์ดวงหย่อมๆ หล่นใส่ร่างของตนไม่หยุด จนทำให้ตนค่อยๆ จมลง

วิกฤตแห่งความตายเพิ่มขึ้นอย่างมากตามการจมดิ่งลงในจิตใจของหวังเป่าเล่อ เปลวเพลิงที่อยู่รอบด้านสูงกว่าอุณหภูมิทั้งหมดที่หวังเป่าเล่อเผชิญ แม้แต่ดาราจักรไฟก็ยังไม่เทียบเท่า

แต่ข้อดีก็ชัดเจนเช่นกัน เพราะในชั่วอึดใจนี้ เขาและปราณกังวานเพลิงก็เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งจากหกส่วนก่อนหน้า ขึ้นไปจนถึงเจ็ดส่วน และหากสามารถยืนหยัดต่อไปได้ ปราณกังวานก็จะยังเพิ่มขึ้นอีก ทว่ายามนี้ หวังเป่าเล่อรับไม่ไหวแล้ว เขารู้ดีว่าตนได้มาถึงขีดสุดแล้ว และหากยังไม่กลับไป เกรงว่าวิญญาณเทพของตนคงจะสลายไปในเปลวเพลิง

แท้จริงแล้วย่อมเป็นเช่นนั้น ไม่เพียงแต่เขา ทว่าสามคนนั้นก็ถึงขีดสุดของตนด้วยเช่นกัน ขณะนี้พวกเขาต่างล่าถอยกำลังจะจากไป ทางด้านหวังเป่าเล่อเองก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย จุดแสงจำแลงกำลังจะล่าถอย…

ทว่าในเวลานี้เอง จู่ๆ ก็มีเสียงชราดังเข้ามาในหูของหวังเป่าเล่อ!

“เจ้ารู้ไหมว่า เพลิงคือสิ่งใด”

คำพูดนั้นก้องอยู่ในใจของหวังเป่าเล่อราวกับไม่ต้องการคำตอบกลับ และทันทีที่กล่าวจบ เสียงนี้ก็ยังคงดังต่อไป

“ให้โอกาสเจ้าผู้เดียวได้เห็นแก่นแท้ของเปลวไฟ…”

เมื่อเสียงดังขึ้น ไฟสวรรค์นับไม่ถ้วนแผ่ซ่านเข้าไปในจิตสำนึกของหวังเป่าเล่อ ในประสาทสัมผัสของเขา เพียงอึดใจทั้งหมดก็โปร่งแสงไปกึ่งหนึ่ง และโปร่งแสงไปทั้งหมดทันทีหลังจากนั้นราวกับพวกมันได้สลายไป!

“นี่…” หวังเป่าเล่อตกตะลึง

แต่ในทางตรงข้าม หลังจากทะเลเพลิงสลายไปแล้ว สัมผัสวิกฤตที่อุณหภูมินำมากลับรุนแรงขึ้นไม่รู้กี่เท่า ระเบิดก้องอยู่ในจิตสำนึกหวังเป่าเล่อ ภายใต้การระเบิดนี้เขาได้ปราณกังวานไปถึงแปดส่วน…นี่คือขีดสูงสุดของดาวบรรพกาล ภายใต้พรดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อ ปราณกังวานนี้ยังคงสามารถเพิ่มขึ้นได้

ทันทีที่ถึงเก้าส่วนแล้ว มันจึงหยุดลง แรงผลักมหาศาลก็เพิ่มตามขึ้นด้วย นำสติของหวังเป่าเล่อออกจากทะเลเพลิงไร้สี เมื่อมองจากภายนอกพิภพ จุดแสงจำแลงของหวังเป่าเล่อ เวลานี้ได้ม้วนกลับ สว่างมืดไม่แน่นอน เหมือนเส้นขอบพังทลาย เคลื่อนออกจากแหล่งแสงอย่างรวดเร็ว

และในเวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงเมื่อครู่ก็ดังก้องขึ้นภายในจิตของเขาอีกครั้ง

“หินหล่นสู่ผิวน้ำ แล้วเกิดระลอกขึ้น ไฟ…ก็คือระลอกนั้น เป็นเพียงรูปลักษณ์ สิ่งที่เจ้าจะเสาะหา คือผิวน้ำหรือจะเป็นหิน หรือที่ลึกซึ้งกว่านั้นเล่า?”

การปรากฏของเสียงนี้ ทำให้จิตใจของหวังเป่าเล่อเกิดเสียงร้องอย่างรุนแรง ความคิดเห็นในด้านนี้ เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลย!

ขณะที่หวังเป่าเล่อรู้สึกประหลาดอยู่ในใจ จุดแสงจำแลงของเขาก็ล่าถอยอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงแต่เขาที่เป็นเช่นนี้ จุดแสงอีกสามดวงก็เป็นเช่นกัน ต่างราวกับจะเป็นเช่นเดียวกับเขา ได้ยินเสียงในทำนองเดียวกันภายในแหล่งแสงที่แต่ละคนเข้าใกล้ และรู้สึกตระหนกในแบบเดียวกัน

เวลาเดียวกันนั้น เมื่อจุดแสงจำแลงทั้งสี่ของพวกเขาม้วนกลับ กฎใยตะกอนทั้งหมดภายในอาณาบริเวณแห่งนี้ ก็คืนกลับในทันที หลังจากหลอมรวมกับแหล่งแสงของตนแล้ว โลกการรับรู้ที่แปลกประหลาดนี้ก็ดูเหมือนจะปิดลง แล้วสลายไปโดยพลัน

ขณะที่สลายหายไป คนทั้งหมดบนร่าง 39 อสูรร้าย สะดุ้งไปทั่วกาย ล้วนพากันลืมตาตื่นขึ้น มีสี่คนในบรรดาเหล่านั้น ทันทีที่ตื่นขึ้นต่างก็กระอักเลือดสดๆ ออกมา ร่างกายโซเซถอยหลังไปหลายก้าว ใบหน้าซีดขาว

หวังเป่าเล่อคือหนึ่งในนั้น!

“กฎแห่งไฟ!” หลังจากที่กระอักเลือดออกมา หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้นทันทีและมองไปที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ฉายเงาภายในลูกแสงเหล่านั้น เขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่าผู้ใดที่เขาเพิ่งสัมผัสไป แต่อีกฝ่ายไม่ได้สื่อสาร คล้ายกับเสียงที่ตั้งใจถ่ายทอดออกมา ยังคงทำให้สั่นสะเทือนราวทะเลอยู่ภายในใจเขา!

ความสั่นสะเทือนนี้พลิกผันอย่างรุนแรง ยังไม่ทันที่หวังเป่าเล่อจะกดมันลง การสนทนาเต๋าภายในลูกแสงก็ได้สิ้นสุดลงแล้ว เสียงที่มาจากประมุขกฎสวรรค์ส่งออกมาอีกครั้งและกระจายออกไปทั่ว

“สหายน้อยทุกท่านมาอวยพรวันฉลองอายุให้ตาเฒ่า ช่างมีน้ำใจแล้ว ร่องรอยเต๋าเมื่อครู่ พวกเจ้าเองสามารถเก็บเกี่ยวได้เท่าใด ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาของแต่ละคน”

เสียงนี้ดูเหมือนจะใช้เพื่อความสงบ เมื่อมันได้ถูกถ่ายทอดสู่ทุกคน ก็หลอมละลายความผันผวนที่เกิดขึ้นในจิตใจพวกเขาทั้งหมดอย่างรวดเร็วในทันที บาดแผลที่เกิดขึ้นในสติของหวังเป่าเล่อ เวลานี้ได้รับการเยียวยาโดยตรง เขาตอบสนองอย่างรวดเร็วในเวลาเดียวกัน ประสานหมัดเพื่อขอบคุณ

“ขอบคุณท่านประมุข!”

“การตระหนักรู้ในคราวนี้ อาจเรียกได้ว่าสร้างโอกาสสวรรค์ ขอบคุณท่านประมุข!”

“ท่านประมุขจิตใจกว้างใหญ่ไพศาล สนับสนุนพวกเราผู้น้อย บุญคุณในคราวนี้ ยากจะลืมไปตลอดชีวิต!”

ในการขอบคุณอย่างต่อเนื่อง หวังเป่าเล่อยังสูดหายใจเข้าลึกๆ และประสานหมัดคำนับ จากนั้นแต่ละคนก็มอบของขวัญวันอวยพรฉลองอายุที่เตรียมไว้ ของขวัญวันอวยพรฉลองอายุของหวังเป่าเล่อ ล้วนเป็นการจัดเตรียมของเซี่ยไห่หยาง หลังจากต่างก็ส่งมอบแล้ว เสียงอันพิศวงจากฟากฟ้าก็ดังขึ้น มองเห็นภาพลวงตาที่ไม่ชัดเจนปรากฏอยู่บนท้องนภา ขณะร่ายรำมีเสียงเพลงโบราณก้องกังวาน

เสียงเพลงนี้หมายถึงความเป็นสิริมงคล เมื่อกระจายไปทั่วทุกสารทิศต่อหน้าทุกคน ก็มีลูกท้อที่รวบรวมประกอบขึ้นจากทำนองเพลงนับไม่ถ้วน จากมายาสู่ความเป็นจริง จนทำให้สีหน้าของทุกคนตื่นตะลึงอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าถูกกระตุ้นด้วยพลังเทพที่น่าประหลาด

หวังเป่าเล่อก็เป็นเช่นนี้ การเดินทางมาดาวชะตาในครั้งนี้ มีเรื่องน่าตระหนกมากเกินไป แปลกประหลาดมากเกินไป และกว้างใหญ่เกินไป ทำให้เขาคล้ายกับได้เปิดโลกใหม่บนความรู้และประสบการณ์ของตน

ยามที่ลูกท้อวันอวยพรฉลองอายุกำลังเปลี่ยนแปลง ในการพลิ้วไหวของเสียงดนตรี ดูเหมือนประมุขกฎสวรรค์จะกล่าวบางอย่างกับคนรับใช้เฒ่าที่อยู่ข้างกาย จากนั้นผู้เฒ่าร่างงองุ้มจึงพยักหน้าแล้วเดินออกมา เพียงก้าวเดียวก็ถึงภายนอกลูกแสง สายตากวาดไปรอบทิศ ก่อนจะถ่ายทอดเสียงอ่อนโยน

“เต๋าสวรรค์สลับเปลี่ยน เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของอำนาจเก่าใหม่ การสลับกันของสวรรค์เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของความเป็นเจ้าของเก่าและความเป็นเจ้าของใหม่ มิใช่เป็นการเริ่มหรือสิ้นสุดของยุคสมัย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นสำนักแห่งความมืดในอดีต หรือว่าจะเป็นตระกูลไม่สิ้นสุดในตอนนี้ ต่างก็เป็นเพียงสิ่งที่ดำรงอยู่ในยุคสมัยนี้”

“และทั้งจักรวาลก่อนยุคนี้ อย่างน้อยก็ยุคที่ 89 ก็มีอยู่มาก่อน ส่วนจะมีมากเท่าใด ท่านประมุขก็ไม่ทราบได้”

“แต่ที่อาจยืนยันได้ ก็คือวิญญาณระดับข้า มีบางคนที่แท้จริงแล้วถือกำเนิดในยุคใหม่ และมีบางคน…กลับดำรงอยู่ในยุคก่อน ปรากฏการณ์นี้ ถูกเรียกว่า…อดีตชาติ!”

“ยิ่งเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋า ความเป็นไปได้ในการมีอดีตชาติก็ยิ่งมาก ดังนั้นในคราวนี้ท่านประมุขตัดสินใจ…มอบโอกาสให้ทุกท่านได้ตระหนักถึงภพก่อน ในงานฉลองวันอวยพรอายุนี้ สิบวัน สิบชาติ!”

“สุดท้ายผู้ที่ตระหนักรู้ถึงชาติที่ 10 จะได้รับสิทธิ์พลิกสมุดแห่งโชคชะตา!”

“หากไม่มี ก็ไร้ผู้มีสิทธิ์ หากทุกคนต่างก็มี เช่นนั้นทุกคนล้วนได้รับสิทธิ์!”

จุดยอด

……………………………………….

ได้ฟังเสียงที่ส่งมาของเซี่ยไห่หยาง แล้วดูเกาะภายในลูกแสงที่อยู่เบื้องหน้า เงาหลายสายตกลงมา ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ส่องประกายประหลาด

เขานึกถึงสุสานดวงดารา เมื่อเทียบกับที่แห่งนี้แล้ว สุสานดวงดาราแปลกประหลาดกว่านัก กระดาษรูปมนุษย์จำนวนไม่แน่ชัดรวมทั้งภาพทั้งหมดระหว่างฟ้าดินล้วนเป็นภาพที่กลายจากกระดาษ เป็นฉากที่แปลกประหลาดที่สุดที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต

และที่นี่…แม้จะไม่แปลกเท่าดาวตก แต่ในความเวิ้งว้างและความลี้ลับนั้นกลับเกินกว่าดาวตกเหลือคณา กล่าวได้เลยว่า ตั้งแต่ก้าวเท้าเหยียบดาวชะตา ความลี้ลับของที่แห่งนี้ก็แผ่ซ่านไปทั่ว จนถึงเวลานี้นี้ได้มาถึงระดับสูงสุดแล้ว

“ผู้เยี่ยมยุทธ์ดาราจักร 89 ท่าน…จำนวนนี้ เกรงว่าจะสามารถเทียบได้กับจักรพิภพใดในจักรพิภพเต๋าฝั่งซ้ายแล้ว โดยเฉพาะคนเหล่านี้เห็นได้ว่าไม่ใช่ระดับจักรพิภพทั่วไปอย่างแน่นอน แต่ละท่านต่างทำให้ข้ารู้สึกเทียบเท่ากับท่านอาจารย์” หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่ในใจ ขณะเดียวกันความรู้สึกตื่นตระหนกก็กลายเป็นระลอกคลื่นลูกใหญ่ในทะเลใจ

แท้จริงเขารู้ดีว่า แม้ว่าอาจารย์ปรมาจารย์แห่งไฟเทียบไม่ได้กับศิษย์พี่เฉินชิงจื่อ แต่ก็ยืนอยู่ระดับสุดยอดของโลกระดับจักรพิภพ ต่างก็นับได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งเหนือชั้นที่เลื่องชื่อ ภายในทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ส่วนศิษย์พี่เฉินชิงจื่อของตน เขาไม่อาจนับเป็นจักรพิภพแล้ว

บางทีอาจมีความลับบางอย่างในตัวเขา ที่ทำให้เขาสามารถสังหารราชันเทวะของจักรวาลภายในจักรพิภพได้!

และผู้แข็งแกร่งเหนือชั้นระดับท่านอาจารย์นี้ ทั้งหมดมี 89 ท่าน ระดับความน่ากลัวของพลัง เพียงพอที่จะเขย่าจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แม้พวกนี้จะเป็นเพียงการฉายเงา แต่เกรงว่าภายในยังหลงเหลือเรื่องที่ตนยังไม่รู้ พร้อมกันนั้นก็เป็นสาเหตุที่ดาวชะตาได้รับการยอมรับจากจักรพิภพไม่รู้สิ้น

ท่ามกลางความเงียบงัน หวังเป่าเล่อกวาดตามองไปทั้ง 89 ร่าง แต่เมื่อเขามองอย่างพิจารณา ฉับพลันก็เกิดความสงสัยขึ้นในดวงตา สายตามองไปบนหนึ่งในร่างฉายเงาของผู้เยี่ยมยุทธ์

ร่างฉายเงานี้ดูเหมือนปกติ แต่โดยรอบเต็มไปด้วยความบิดเบี้ยว ดูเหมือนทั้งร่างกำลังควบคุมและกดยั้งร่างตนไว้อย่างเต็มกำลัง ราวกับร่างเดิมของเขาใหญ่มหึมา ตอนนี้เพื่อมาให้ถึงที่นี่ จึงต้องรวมร่างไว้อย่างหนัก เพื่อให้รักษาขนาดของการฉายเงาตามที่ต้องการได้

และด้วยการรวมตัวของเขา ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการกระจายแรงผันผวน ส่งผลไปรอบทิศในเวลาเดียวกัน และทำให้ร่างเขาคลุมเครือและชัดเจนเป็นบางเวลา ส่วนที่เรียกความสนใจของหวังเป่าเล่อ ก็คือส่วนบนศีรษะของคนผู้นี้มีเขาเหมือนยักษ์ที่ชั้นสามของแท่นบูชา

นอกจากนี้ บนร่างของเงา คล้ายกับกระจายบางสิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อแอบรู้สึกราวกับคุ้นเคยอยู่บ้าง นี่ทำให้เขารู้สึกประหลาดอยู่ในใจ จนต้องครุ่นคิด ทว่าไม่นานก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงที่ส่งผ่านมาของเซี่ยไห่หยางที่อยู่ข้างๆ

“เกาะที่อยู่รอบๆ แท่นบูชาของท่านประมุข เวลานี้เหลืออยู่ 10 เกาะ ตามที่ปฏิบัติต่อกันมาในอดีต เพื่อเหลือไว้ให้มหาศิษย์แห่งเต๋า 10 คนที่ได้รับสิทธิ์ในบททดสอบ”.Aileen-novel.

“กล่าวคือ การทดสอบในอีกสักครู่ 10 อันดับแรกที่ทำสำเร็จและได้รับสิทธิ์ จะได้รับการเชิญให้ก้าวเข้าสู่ภายในลูกไฟ นั่งอยู่บนเกาะด้วยกันกับผู้เยี่ยมยุทธ์อื่นๆ และอวยพรวันฉลองอายุต่อท่านประมุข!”

“นอกจากนี้… อีกสักครู่อาจารย์อาจะได้เข้าใจเคล็ดวิชาพลังเทพของตนได้อย่างถ่องแท้ เพราะก่อนทดสอบ ตามวิธีที่ปฏิบัติมาแต่อดีต จะมีการสนทนาเต๋า!”

หวังเป่าเล่อเมื่อได้ฟังจึงพยักหน้า ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก กลับมีเสียงหัวเราะจากภายในลูกแสงดังออกมาจากปากประมุขกฎสวรรค์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นบูชา เสียงหัวเราะนี้แฝงไว้ด้วยความสงบสะท้อนไปทั่วทิศ ทำให้เมฆหมอกบนฟ้ากระจายออก แผ่นดินไม่สั่นไหวอีกต่อไป ดูเหมือนมีสายลมพัดบางเบาไปทั่ว ทำให้ภายในใจของทุกคน เวลานี้ต่างรู้สึกถึงความสงบอย่างยิ่ง

ขณะที่เสียงหัวเราะเปล่งออกมา ร่างของประมุขกฎสวรรค์บนแท่นบูชา ก็ปรากฏอย่างชัดเจนในสายตาคนทั้งมวล เสื้อคลุมยาวสีเทา ผมยาวสีเทาทั้งศีรษะ ดวงตาทั้งคู่เหมือนบ่อน้ำที่ไร้คลื่น บางคราวก็ปรากฏปัญญาล้ำลึกราวทะเลดาว เวลานี้กำลังยิ้มแย้ม คล้ายกับกำลังจะสนทนาอยู่กับผู้เยี่ยมยุทธ์บนเกาะรอบๆ ที่มาเพื่ออวยพรวันฉลองอายุ

ร่างชายชราผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ข้างๆ เขา ชายชราสวมเสื้อสีเขียว ขณะนี้ร่างงองุ้มก้มหน้าลงและเอามือวางอยู่ด้านหน้า เขาดูเหมือนทาสแก่ๆ แต่พลังผันผวนดาราจักรกระจายออกมาจากร่าง เมื่อเปรียบกับภาพฉายอื่นที่อยู่รอบด้าน ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเลย

ฉากนี้ หวังเป่าเล่อที่มองอยู่เริ่มหรี่ตาลงอีกครั้ง เฝ้ามองอย่างเงียบเชียบ แม้จะไม่ได้ยินคำสนทนาของกลุ่มคนภายในลูกแสงอย่างละเอียด แต่เสียงหัวเราะและพลังผันผวนที่ส่งออกมาเป็นครั้งคราว ยังทำให้จิตใจเขาเหมือนได้รับการล้างบาป ราวกับว่าการสนทนาของผู้เยี่ยมยุทธ์ภายในลูกแสงเหล่านี้ ส่งผลกระทบต่อฟ้าดินรอบด้าน เป็นเหตุให้ที่นี่เต็มไปด้วยร่องรอยแห่งเต๋า และทำให้ทุกคนในบริเวณนี้ทั้งหมดถูกครอบงำ

แม้กระทั่งหวังเป่าเล่อ ทั้งร่างค่อยๆ จมลึกสู่สภาวะจิตใจว่างเปล่า

ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น เวลานี้ที่ด้านนอกลูกไฟ ผู้ฝึกตนทั้งหมดที่อยู่บนอสูรยักษ์ 39 ตน ต่างก็มีจิตใจสงบนิ่ง เข้าสู่สภาวะเดียวกันทั้งหมด

สภาวะเช่นนี้ ในระดับนี้ก็เหมือนกับการขยายผล ขยายการตระหนักรู้และความลึกซึ้งของผู้ฝึกตน ทำให้พวกเขาสามารถเห็นร่องรอยกฎเกณฑ์ที่ไม่เห็นยามปกติท่ามกลางการเข้าสู่ฌาน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายในบริเวณรอบด้าน ด้วยเสียงสนทนาและหัวเราะภายในลูกแสง ด้วยเงาฉายที่ตกลงมากมายเกินไป ด้วยกฎเกณฑ์และกฎเวทที่บรรจบมีพลานุภาพ ดังนั้นหลังจากขยายผลการตระหนักรู้ของตนแล้ว ก็จะติดตามร่องรอยแห่งกฎรอบด้านได้ง่ายดายขึ้น

ดังเช่นหวังเป่าเล่อที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ขณะที่จิตใจดำดิ่งสู่ความว่างเปล่า แม้เขาจะหลับตาแล้ว แต่ในใจกลับปรากฏภาพรอบด้านทั้งหมด ในภาพนี้ไม่มีผู้ฝึกตน มีแต่เพียงแหล่งแสงขนาดมโหฬาร 91ดวง

ที่ตรงกลางของแหล่งแสง ดูเหมือนเป็นแหล่งกำเนิดสรรพสิ่งที่กว้างใหญ่ไพศาล แหล่งแสงเล็กๆ ที่อยู่ข้างเขา ราวกับจะเต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ กระจายออกเป็นเส้นใยตะกอนนับไม่ถ้วน แต่ละเส้นเชื่อมต่อกับความว่างเปล่า ก่อเป็นแสงประหลาดต่างๆ

และนอกจากแหล่งแสงขนาดใหญ่นี้ยังมีอีก 89 แหล่งแสงล้อมรอบ แต่ละอันต่างกระจายใยออกมา ต่างมีกฎเกณฑ์ที่ไม่สิ้นสุด ในการกระจายลำแสงนี้พวกเขาส่งผลกระทบไปรอบทิศ ทำให้มีกฎนับไม่ถ้วนในอาณาบริเวณ

ส่วนหวังเป่าเล่อรวมทั้งผู้ฝึกตนอื่นๆ เปรียบได้กับแต่ละจุดแสงที่อยู่รอบนอกสุด เมื่อใยตะกอนที่อยู่รอบด้านพลิ้วไหว ก็ราวกับหลุมดำเล็กๆ แต่ละอัน ร่องรอยแห่งกฎเกณฑ์ที่อยู่โดยรอบกำลังดูดรับเร็วบ้างช้าบ้างไปตามคุณสมบัติของตน และตามระดับฝึกตนของแต่ละคน!

ในบรรดากลุ่มจุดแสงมากมายเหล่านี้ มีเก้าจุดแสงที่เด่นชัดที่สุด แต่ละจุดก่อเป็นหลุมดำที่ดูดรับได้เร็วที่สุด และดูดเอาใยตะกอนกฎเกณฑ์ที่ลอยอยู่รอบด้านมาไม่หยุด หลังจากหลอมรวมความแข็งแกร่งให้ตน ทำให้จุดแสงของตนยิ่งสว่างไสว

หวังเป่าเล่อก็เป็นหนึ่งในจุดแสงเหล่านั้น เขาสังเกตเห็นของตนเองแตกต่างจากผู้อื่น และยังเห็นถึงความพิเศษของอีกแปดจุดแสง ในทำนองเดียวกัน ผู้อื่นก็สังเกตเห็นของเขาเช่นกัน

ไม่มีเวลาที่จะไปไตร่ตรองว่าอีกแปดจุดแสงเป็นผู้ใด หลังจากกวาดตามอง ส่วนใหญ่มีความเข้าใจแล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่ไปคิดเรื่องนี้อีก แต่วางจิตใจทั้งหมดดำดิ่งลงบนความตระหนักรู้ต่อกฎเกณฑ์

สิ่งแรกที่เขาตระหนักรู้ก่อน ก็คือกฎแห่งไฟของตนเอง และในกฎใยตะกอนนับไม่ถ้วนรอบด้านนี้ มีจำนวนกฎแห่งไฟไม่น้อยล้วนถูกเขาดูดรับมา หลังจากหลอมรวมกับร่างตน กระบวนเวทพลังเทพได้กลายเป็นกฎออกมาเป็นฉากๆ ในห้วงความคิด

กระบวนเวทพลังเทพเหล่านี้ ล้วนมีความสัมพันธ์กับไฟ เพียงแวบผ่าน หลังจากถูกหวังเป่าเล่อตระหนักรู้แล้ว เขาก็สังเกตได้ทันทีว่าการควบคุมกฎแห่งไฟของตน กำลังเพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว การเพิ่มระดับเช่นนี้แม้จะไม่เพิ่มระดับการฝึกตนอย่างลึกซึ้ง แต่กลับปรากฎในพลังต่อสู้รวมทั้งต่อปราณกังวานของกฎแห่งไฟ

ในช่วงเวลาอันสั้น หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ว่าคำสาปวิญญาณเพลิงภายใต้กฎแห่งไฟของตน ได้แข็งแกร่งขึ้นกว่าก่อนแล้วอย่างน้อยหนึ่งเท่าตัว

ในเวลาเดียวกันพลังเทพอัคคีทั้งหมด ต่างก็เป็นเช่นนี้ คล้ายกับได้รับพร!

นี่ก็เป็นประโยชน์ที่ปรากฏกับปราณกังวานแห่งกฎ แม้จะเป็นกฎเดียวกัน อันดับของดาวเคราะห์ที่หลอมรวมยิ่งสูง พลังก็จะยิ่งมากขึ้น และปราณกังวานก็เป็นเหมือนกันเช่นนี้

ระดับยิ่งสูงขึ้น ขีดจำกัดของปราณกังวานก็จะยิ่งไกลขึ้นเท่านั้น ดังเช่นกฎแห่งไฟที่มีอยู่ในดาวเคราะห์ชั้นต่ำสุด ปราณกังวานได้เพียงหนึ่งส่วนเท่านั้นถือเป็นจุดสิ้นสุด

และกฎแห่งไฟของดาวบรรพกาล สามารถไปได้ถึงแปดส่วน สำหรับกฎแห่งไฟของดาวเคราะห์เต๋า เป็นเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถถึงระดับความเป็นเอกภาพ!

นั่นถือเป็นที่สุดของปราณกังวาน เมื่อถึงเวลานั้น จึงจะนับได้ว่าควบคุมกฎนั้นได้ทั้งหมดอย่างแท้จริง และพลังที่ก่อขึ้น ก็ย่อมเพิ่มระดับขึ้นเป็นธรรมดา

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อจิตใจฮึกเหิม ภายในระยะเวลาอันสั้น เขาได้สังเกตเห็นถึงปราณกังวานของกฎแห่งไฟของตนถึงประมาณหกส่วนแล้ว ทำให้ต้องการที่จะตระหนักรู้ต่อไป ทว่าในไม่ช้าก็พบว่า ใยตะกอนรอบด้าน กำลังค่อยๆ หดกลับเข้าไปในแหล่งแสง และเมื่อมันหดกลับไปหมดแล้ว ก็แสดงว่าโอกาสครั้งนี้กำลังจะสิ้นสุดลง

จุดแสงของหวังเป่าเล่อเริ่มเปลี่ยนแปลง ส่องประกายวิบวับ เขาไม่ยินดีกับการดูดรับใยตะกอนรอบด้านอีกต่อไป เพราะหมายจะได้รับปราณกังวานมากยิ่งขึ้นในช่วงเวลาอันสั้น จึงมีเพียงวิธีเดียวเท่านั้น!

โดยฉับพลันเป้าหมายของหวังเป่าเล่อ จึงมุ่งไปที่แหล่งแสงขนาดใหญ่ของทั้ง 91กลุ่มทันที!

จุดยอด

…………………………………………….

เสียงอ่อนโยนที่ส่งออกมาจากในลูกแสงเจือรอยยิ้ม หวังเป่าเล่อก้าวถอยไปด้วยความพอใจ เดิมทีเขาเข้าใจว่าคำอวยพรของตนนับได้ว่าไม่เลวเลย แต่คิดไม่ถึงว่าผู้ที่กล่าวอวยพรตามหลังเขาเจ็ดแปดคน กลับกล่าวได้ดีขึ้นเรื่อยๆ

โดยเฉพาะคนคุ้นเคยผู้หนึ่ง สามารถกล่าวคำอวยพรได้นานถึงหนึ่งก้านธูปพอดิบพอดี และกล่าวไม่ซ้ำคำตั้งแต่ต้นจนจบ กระทั่งสุดท้าย แม้แต่เสียงอ่อนโยนภายในลูกไฟนั้น ก็ยังไอขัดจังหวะ หลังจากบอกเวลางานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้แล้ว ก็ไม่ได้กล่าวออกมาอีก

คนรู้จักผู้นี้ ก็คือเจ้าอ้วนน้อยนั่นเอง…

“เจ้าเด็กผู้นี้ มีฝีมือ!” หวังเป่าเล่อหรี่ตา มองออกไปไกลที่เจ้าอ้วนน้อยบนยอดเขา นั่งอยู่บนร่างเต่ายักษ์สีเขียวดำ เมื่อเขามองไป เจ้าอ้วนน้อยนั่นก็กวาดตามองหวังเป่าเล่อเหมือนจะตรวจตรา แต่ก็รีบเมินหนีไปในทันที เห็นได้ชัดว่าหวังเป่าเล่อทิ้งเงามืดไว้ให้เขาซึ่งยากจะลบเลือนในช่วงเวลาอันสั้น

เมื่อเห็นว่าเป็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อจึงรีบละสายตาและนั่งขัดสมาธิรออย่างเงียบๆ เวลาผ่านเคลื่อนผ่านเชื่องช้า ไม่นานก็มาถึงยามดึก ท้องนภาบนดาวชะตา แม้จะสว่างไสว ทว่าเสียงร้องแหลมที่ส่งออกมาบางครั้งคราวจากอสูรยักษ์เหล่านั้น กระจายมาตามสายลม ทำให้สภาพแวดล้อมที่สง่างามขาดความเงียบสงบ

กระทั่งดึกดื่น เสียงร้องนี้จึงเบาบางลง หลังจากรอบด้านค่อยๆ เงียบสงบแล้ว หวังเป่าเล่อแหงนมองไปบนท้องฟ้า สายตาฉายแววไตร่ตรอง สิ่งที่เขาคิดยังคงเป็นข้อสงสัยในแบบทดสอบ

ทว่าขณะที่เขากำลังขบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทันใดนั้นเองหวังเป่าเล่อก็สะดุ้งโหยง เมื่อมีเสียงแหบแห้งดังขึ้นในหัวของเขา

“อาจารย์ของเจ้ามาที่นี่ เพื่อแลกกับโอกาสให้เจ้า”

ทันทีที่คำพูดดังออกมา หวังเป่าเล่อพลันเบิกตากว้างและกวาดมองไปโดยรอบ ไม่ช้าเขาก็เห็นว่าเดิมทีด้านซ้ายของตนที่เคยว่างเปล่า บัดนี้ปรากฏแสงสีเทานับไม่ถ้วน จุดแสงเหล่านั้นสุดท้ายก็รวมตัวกัน ก่อเป็นลูกปัดลูกหนึ่งขึ้นมา!

“โอกาสนี้แบ่งออกเป็นสองส่วน ลูกปัดนี้เจ้าเก็บไว้ให้ดี สามารถรวบรวมเงาในอดีตภพ หลอมรวมกันได้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็จะเป็นกุญแจไขโอกาสในครั้งที่สอง”

เสียงยังคงดังก้องอยู่ในใจหวังเป่าเล่อ ยามนี้ลูกปัดเม็ดนั้นก็ลอยเข้ามาหาเขา และในที่สุดมันก็ลอยอยู่ตรงหน้า เปล่งแสงอันนุ่มนวล ไม่ไหวติง

“ผู้น้อยคำนับท่านประมุข ขอบคุณท่านประมุข!” หน้าอกของหวังเป่าเล่อไหวกระเพื่อม เมื่อได้รู้ถึงสถานะของผู้ที่กล่าวกับตน รีบลุกขึ้นคำนับไปทางเบื้องหน้า

“ไม่ต้องคำนับข้า และยิ่งไม่ต้องขอบคุณ หากจะขอบคุณ…ก็ขอบคุณอาจารย์ของเจ้าเถอะ” น้ำเสียงนั้นราบเรียบ ไม่มีความผันผวนใดๆ กระจายอยู่ในจิตใจของหวังเป่าเล่อ และค่อยๆ เบาบางลงเรื่อยๆ จนกระทั่งจางหายไปอย่างสมบูรณ์

ความรู้สึกของหวังเป่าเล่อ ก็คล้ายกับที่อีกฝ่ายค่อยๆ ไกลออกไป จนกระทั่งหลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เงยหน้าขึ้น และเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหยิบลูกปัดตรงหน้าไปพินิจอย่างถี่ถ้วน

ลูกปัดนี้ดูไปแล้วก็ธรรมดามาก ไม่มีสิ่งใดพิเศษ ยกเว้นพื้นผิวที่แวววาวละเอียดราวไข่มุก ขณะเดียวกันก็แผ่ขจรกลิ่นหอมออกมา เมื่อสูดดมก็จะทำให้จิตตกอยู่ในภวังค์ แต่ไม่นานภวังค์นี้ก็จะถูกกดลง

“ลูกปัดนี้…” หวังเป่าเล่อไม่เห็นความพิเศษของสิ่งนี้ แต่เขายังคงเก็บมันไว้ และขณะที่พินิจลูกปัดอยู่นั้น ภายในลูกไฟขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เหนือปล่องภูเขาไฟตรงหน้า แท่นบูชาก็ถูกยักษ์ทั้งสี่ตนยกขึ้นไปชั้นบนสุด ยามนี้ไม่มีใครสังเกตเห็น ว่าที่นั่นปรากฏเงาอยู่สายหนึ่ง

เงานี้ราวกับอยู่ระหว่างความจริงและลวง บางคราก็ชัดเจน บางคราก็คลุมเครือ เห็นได้ว่าเป็นชายชราสวมชุดคลุมยาวสีเทา ผมของเขาก็เป็นสีเทาเช่นเดียวกัน แผ่จากศีรษะลามลงมาจนถึงน่อง ดูแล้วพิลึกพิลั่น และที่คางของชายชรายังมีเคราสีเทาห้อยยาวลงมาถึงส่วนท้อง

เมื่อมองแวบแรก คนผู้นี้ดูชรามาก แต่หากพินิจอย่างถี่ถ้วน จะเห็นว่าผิวข้างเคราของเขาดูราวเด็กทารก มีสีแดงในความขาว เต็มไปด้วยชีวิตชีวา ทว่าในความมีชีวิตชีวานั้น ดวงตาทั้งคู่กลับนิ่งสนิท ไร้ชีวิตและแววตาแม้แต่น้อย ราวกับดวงตาของคนตาย

โดยเฉพาะ…เมื่อร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงคล้ายความจริงและลวง จึงสามารถเห็นได้ถึงส่วนลึกในดวงตาของเขา ราวกับม่านได้ถูกยกขึ้น เผยให้เห็นแสงแห่งปัญญาราวกับทะเลดาว

“มาถึงจุดนี้อีกแล้ว…คราวนี้จะเกิดอะไรขึ้น” ชายชราบ่นเบาๆ และนั่งขัดสมาธิอยู่บนชั้นยอดสุดของแท่นบูชา เขาค่อยๆ แหงนหน้าขึ้น มองไปทางด้านบนเหนือศีรษะของตน

สายตาของเขา แวบแรกเหมือนมองไกลไปในท้องฟ้า ทอดมองอย่างไร้ขอบเขต แต่หากคนมีคุณสมบัติ และมีความสามารถมาใกล้เขา เช่นนั้นอาจเฉลียวฉลาดพอ ที่จะสามารถรับรู้ได้ถึง…สิ่งที่ชายชราได้เห็น กลับไม่ใช่ท้องฟ้า ไม่ใช่จักรวาล ยิ่งไม่ใช่ทางไกล แต่เป็น…สิ่งที่อยู่เหนือศีรษะของเขาไปเพียงสามฉื่อ!

แม้ที่ตรงนั้นจะว่างเปล่า แต่สายตาของเขายังคงอยู่ที่ตำแหน่งสามฉื่อ ราวกับสายตคู่นั้นสามารถเห็นโลกที่ผู้อื่นไม่เห็น ก็เหมือนกับยามนี้ เห็นได้ชัดว่าเขานั่งอยู่บนแท่นบูชา แต่ไม่ว่าหวังเป่าเล่อหรือผู้ฝึกตนที่อยู่บนอสูรจะกวาดสายตามาที่นี่ สิ่งที่เห็นกลับเป็นเพียงความว่างเปล่า

แน่นอนว่าเขาย่อมเป็นประมุขแห่งดาวชะตา ว่ากันว่าเขาเป็นวิญญาณวุธของสมุดแห่งโชคชะตา… ประมุขกฎสวรรค์!

เขานั่งอยู่ที่นี่จนรุ่งสาง…ในยามรุ่งสาง เสียงระฆังก็ดังขึ้น มีเสียงคำรามจากท้องฟ้า แผ่นดินสั่นสะเทือน เมฆหมอกล้อมรอบไปทั่วอย่างรวดเร็ว ผู้ฝึกตนทั้งหมดบนร่างอสูรยักษ์ทั้ง 39 ตน รวมทั้งหวังเป่าเล่อ ขณะที่ทุกคนต่างมองดูลูกแสงที่ปล่องภูเขาไฟตามการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน เสียงหัวเราะก็ลอยดังขึ้นมาจากความว่างเปล่า

“สหายเต๋าแห่งกฎสวรรค์ เพลิดเพลินกับเต๋าอมตะตลอดกาล!”

“สหายเต๋าแห่งกฎสวรรค์ เพื่อที่จะอวยพรวันฉลองอายุให้ท่าน ข้าต้องรีบมาจากดาราจักรเหนือ ครั้งนี้เจ้าต้องเตรียมสุราชั้นดีมามากหน่อยล่ะ”

“พริบตาเดียวร้อยล้านปี สหายแห่งกฎสวรรค์ อย่าได้เจ็บไข้”

ขณะที่เสียงหัวเราะดังก้อง ระลอกพลังกดดันยิ่งแผ่ขยายออกไปในทันที ทั่วทั้งดาวชะตาถูกปกคลุมอยู่ภายในพายุจิตสำนึกที่น่าสะพรึงกลัวโดยพลัน

ในยามที่พายุก่อตัวขึ้น เสียงคำรามก้องกระจายไปทั่วสารทิศ สายรุ้งเป็นริ้วๆ ทอดลงมาจากท้องฟ้า และพุ่งตรงเข้าหาภายในลูกแสง พุ่งไปยังเกาะเหล่านั้นที่อยู่โดยรอบแท่นบูชา!

ทันใดนั้น รุ้งหนึ่งสายตกไปที่เกาะแห่งหนึ่ง สายรุ้งเหล่านี้กลายร่างเป็นเงา ราวกับจะหลอมรวมเข้ากับเกาะที่มีอยู่ ก่อตัวเป็นคุณเวทย์อันยิ่งใหญ่ราวกับเทพเจ้าที่มีพลังไม่สิ้นสุด

บางตัวมีปีกและใบหน้าราวนกอินทรี บางตัวมีขนาดใหญ่ดั่งโย่วซาน บางตัวก็เป็นกระดูกนับไม่ถ้วนกองรวมกันกลายเป็นร่าง และยังมีวิถีเต๋าเรืองรอง มีพลังที่ไม่อาจรุกล้ำ

และมีความคลุมเครือราวกับผู้ฝึกตน และมีเสียงผู้ฝึกตนสะท้อนโดยรอบ ภายหลังจากการปรากฏกาย…

รอบๆ แท่นบูชานี้ มีทั้งหมด 99 เกาะ ขณะนี้ได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมาไม่หยุด สายรุ้งตกลงบนเกาะที่ว่างเปล่ามากขึ้น กระทั่งสุดท้ายทั้ง 99 เกาะ มี 89 เกาะที่กลายเป็นคุณเวทย์ หลงเหลือเพียง 10 เกาะ เท่านั้น

การปรากฏกายของพวกเขา ทำให้พวกหวังเป่าเล่อต่างตื่นตระหนก ด้วยเขามองออกว่า พวกนี้…ไม่ว่าผู้ใด ระดับฝึกตนที่อ่อนแอที่สุดก็ยังเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพ!

แม้จะปรากฏอยู่ในที่แห่งนี้แล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ร่างจริง เป็นเพียงการฉายเงา ทว่าพลังกลับสะท้านฟ้าสะเทือนดิน โดยเฉพาะเซี่ยไห่หยางที่อยู่ข้างเขา เวลานี้หายใจถี่รัว รีบถ่ายทอดเสียงให้เขาอย่างรวดเร็ว

“ปรากฏอีกแล้ว!”

“ทุกครั้งที่มีการฉลองวันอวยพรอายุของประมุขกฏสวรรค์บนดาวชะตา ล้วนมีเหตุการณ์แปลกประหลาดปรากฏ ท่านดูผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพเหล่านี้…แต่ละคนล้วนมีพลังเหนือธรรมชาติ แต่ไม่มีผู้ใดรู้ตัวตนของพวกเขา กระทั่งไม่เคยมีอยู่ในบันทึกมาก่อน!”

“หรือกล่าวได้ว่า ผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านี้…ไม่มีผู้ที่อยู่ภายนอกเคยพบเห็นมาก่อน และไม่มีผู้ใดรู้จัก ขณะเดียวกันทุกครั้งชื่อสถานที่ที่พวกเขากล่าวขึ้นมา ก็ไม่ได้อยู่ภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น อย่างเช่นดาราจักรเหนือนั่น ไม่ว่าจะเป็นจักรพิภพหรือเต๋าฝั่งซ้าย หรือจะเป็นเต๋าไม่รู้สิ้น ต่างก็ไม่มีสถานที่นี้อย่างแน่นอน!”

“นอกจากนี้ จากที่บ้านเซี่ยของข้าสืบเสาะมาหลายครั้งรวมทั้งการตรวจสอบกองกำลังอื่นๆ การปรากฏตัวหรือการจากไปของคนเหล่านี้ เป็นไปอย่างฉับพลัน ราวกับทั้งหมดคือความว่างเปล่า แม้กระทั่งในปีนั้นราชันเทวะท่านหนึ่งของตระกูลไม่รู้สิ้นยังลงมือด้วยตนเอง แต่ก็เหมือนเผชิญหน้ากับความว่างเปล่า ข้ามผ่านพวกเขา ไม่อาจสัมผัสกันได้ และต่างก็ไม่เห็นกันและกัน ไม่มีการสื่อสารกันแต่อย่างใด!”

“การตัดสินเบื้องต้นคือพวกมันไม่มีอยู่จริง หรือมีมาก่อนหลายปีก่อนหน้านั้น หรือกระทั่งเก่าแก่ขนาดที่มีมาก่อนที่จะมีสำนักแห่งความมืด!”

“ขณะเดียวกัน ก็เป็นเพราะการหยั่งเชิงของราชันเทวะในครั้งนั้น ทำให้งานฉลองวันอวยพรอายุของประมุขกฎสวรรค์ ออกกฎออกมา กฎนี้ก็คือ…เมื่อถึงงานฉลองวันอวยพรอายุ ระดับดารานิรันดร์มาได้ แต่ผู้ที่มีระดับดารานิรันดร์ขึ้นไปไม่อาจมาร่วมงาน!”

……………………………………………..

เมื่อเห็นว่าเข้าใกล้ยอดเขาเข้าไปทุกที ผู้ฝึกตนทั้งหมดบนร่างงูยักษ์ ไม่ว่าจะทำอะไรอยู่ก่อนหน้านั้น เวลานี้ต่างก็ใจจดใจจ่อและจ้องไปทางยอดเขา

เซี่ยไห่หยางและพวกอาจารย์ปู่เหยียนหลิง ต่างก็มาถึงข้างกายหวังเป่าเล่อ ดวงตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายลุ่มลึก สายตาทอดมองออกไปไกลทางเบื้องบน

เวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมานี้ นอกจากการฝึกสมาธิแล้ว ยังไตร่ตรองปัญหาหนึ่งอยู่

ปัญหานี้มาจากข้อมูลบททดสอบที่ท่านพี่ผู้สูงส่งให้มา ภายในสิบวันสิบชาติ ดูเหมือนปกติ แต่กลับยังคงไว้ซึ่งความขัดแย้งของตระกูลไม่รู้สิ้น

เต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืด กฎมีทั้งเป็นและตาย เวียนว่ายตายเกิด ดังนั้นจึงแบ่งแยกหยินหยาง ตายดับไม่สิ้นสุด แต่ไม่ใช่สำหรับตระกูลไม่รู้สิ้น หลังจากพวกเขาปราบปรามสำนักแห่งความมืด เปิดศักราชเต๋าสวรรค์ของตนแล้ว ไม่มีความตายที่แท้จริง อย่างมากที่สุดก็คือการหลับสนิทของจิตวิญญาณ รอการฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง

ระหว่างทั้งสอง สำนักแห่งความมืดได้ตายเกิดมาหลายชาติภพ และลืมอดีตในแต่ละชาติ ราวกับมีจิตวิญญาณที่เวียนว่ายอยู่ในนทีแห่งวัฏสงสาร จนกระทั่งจิตวิญาณสลายไป ไม่หลงเหลือร่องรอยใดๆ สำหรับทั้งจักรวาลแล้ว นี่ก็เป็นวัฏจักรคุณธรรมแบบหนึ่ง ที่ทำให้จักรวาลมีอายุยืนยาวยิ่งขึ้น แต่ด้วยการแผ่ขยายของวัฏจักร คล้ายคลื่นทรายลูกยักษ์ แม้จิตวิญญาณส่วนใหญ่จะสลายไป แต่หากมีผู้ทะลวงขีดจำกัดบางอย่าง จนสามารถนึกถึงความทรงจำทั้งหมดบนพิภพได้ และสุดท้ายหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นวิญญาณไม่รู้ดับ

วิญญาณไม่รู้ดับ หรือที่เรียกกันภายในสำนักแห่งความมืดว่าราชันวิกาล ก็เป็นประหนึ่งราชันเทวะของตระกูลไม่รู้สิ้นในวันนี้

และเต๋าของตระกูลไม่รู้สิ้น แตกต่างจากสำนักแห่งความมืดโดยสิ้นเชิง กล่าวไปแล้วพวกเขาก็โดดเดี่ยวไปทั้งชาติ ไร้ซึ่งภพที่แล้ว ไร้ซึ่งภพหน้า เพียงเพื่อสามารถอยู่ชั่วกาลนานในภพนี้ เต๋านี้เป็นเต๋าทรงอำนาจ ไม่ย้อนกลับจักรวาล เพียงไขว่คว้าและช่วงชิงไม่หยุดหย่อน ในการขุดแต่ฝ่ายเดียว ในการเวียนว่ายตายเกิดครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้ฝึกตนที่เดินทางมาถึงขั้นวิญญาณไม่รู้ดับ ย่อมเหนือกว่ายุคของสำนักแห่งความมืดเป็นธรรมดา

แต่กลับมีเงื่อนงำที่ซ่อนอยู่มากมาย อายุขัยของทั้งจักรวาล สุดท้ายด้วยไม่อาจก่อเป็นวัฏจักรได้ จึงเสื่อมสลายไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อได้คาดเดาไว้ก่อนหน้าแล้ว พวกที่ตายแล้วเกิดใหม่เหล่านั้น อาจซ่อนเรื่องราวภายในบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ ความคิดของหวังเป่าเล่อยังไม่ชัดเจนนักว่ามันคืออะไร

แต่นี่ไม่กระทบต่อการกำหนดบททดสอบสิบวันสิบชาตินี้ของเขา

“ยุคของตระกูลไม่รู้สิ้น ไม่มีชาติก่อน!” หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่ในใจ สายตาแสดงความสงสัย เพราะตามการกำหนด บททดสอบนี้ไม่มีคุณค่าแต่อย่างใด และก็จะไม่มีผู้มาเข้าร่วม ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะมีศิษย์ของราชันเทวะตระกูลไม่รู้สิ้นมาอวยพรวันฉลองอายุ

“เว้นแต่…เรื่องนี้จะมีคำอธิบายอื่น ท่านพี่ผู้สูงส่งอาจไม่รู้กฎโดยละเอียด เพียงแค่คิดขึ้นมาแล้วรอวันอวยพรฉลองอายุ หลังจากประกาศบททดสอบแล้ว ย่อมมีผู้เสนอเรื่องสงสัยและคำอธิบาย” ขณะหวังเป่าเล่อไตร่ตรองอยู่ในใจ งูยักษ์ที่อยู่ใต้ร่าง ก็กำลังปีนลง เข้าสู่ภายในเมฆหมอกบริเวณยอดเขา สายฟ้าฟาดผ่านทั่วสารทิศ เสียงฟ้าร้องก้องกังวาน ในที่สุดงูตัวนี้ก็ได้นำคนทั้งหมดมาถึงยอดเขาดารานิรันดร์

สถานที่แห่งนี้คือวงแหวนปากปล่องภูเขาไฟขนาดมหึมา ภายในปากปล่องภูเขาไฟมีไอร้อนสูงกระจายออกมา ขณะเดียวกันก็ก่อความผันผวน และมีเสียงดังก้องราวเสียงคำรามของอสูรร้ายสะท้อนอยู่ภายในภูเขา

และเมื่องูยักษ์มาถึงปล่องภูเขาไฟ ที่รอบด้านของมัน อสูรยักษ์ที่มีลักษณะประหลาดแตกต่างกันอีก 38 ตัว ต่างก็ปรากฏขึ้นทั้งหมด ในนั้นมีมังกรเผือกยักษ์ มีเต่ามังกรสลับสีเขียวดำ และยังมีนกฟีนิกซ์หลากสีสันไปทั่วร่าง ตอนนี้ได้ปรากฏออกมาทั้งหมด ล้อมรอบปล่องภูเขาไฟ ส่งเสียงร้องคำรามอยู่เหนือปล่องภูเขาไฟอย่างพร้อมเพรียง

เสียงร้องคำรามนี้สะท้านฟ้าสะเทือนดิน ทำให้ชั้นเมฆแตกกระจายออกไปท่ามกลางความผันผวน หวังเป่าเล่อรวมทั้งอสูรยักษ์ทั้งหมด และผู้ที่มาอวยพรวันฉลองอายุ ณ ที่แห่งนี้ ต่างเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้า ท่ามกลางสายตาของพวกเขา เมื่อเมฆกระจายออกไปก็สะท้อนให้เห็นลูกปัดขนาดใหญ่ลูกหนึ่งออกมาอย่างชัดเจน

ขนาดของลูกปัดนี้เทียบได้กับจันทร์เต็มดวง ภายนอกดูแวววาวสดใส และอยู่ในสภาพกึ่งโปร่งใส ลอยอยู่เหนือปล่องภูเขาไฟ ขณะที่ถูกคนนับหมื่นจับตามอง ทุกคนเห็นว่าภายในลูกแสงมีเกาะมากมายนับไม่ถ้วนลอยอยู่

เกาะเหล่านี้ล้อมรอบไปทุกทิศทาง ตรงกลางของพวกมัน… มีแท่นบูชาขนาดใหญ่ลอยอยู่ แท่นบูชามีลักษณะเป็นรูปหอคอย มีทั้งหมด 19 ชั้น แต่ละชั้นแกะสลักเป็นอสูรวิหคมากมายนับไม่ถ้วน รวมทั้งภาพวาดสัญลักษณ์ที่แปลกประหลาดเป็นฉากๆ!

หากดูให้ละเอียด ก็จะเห็นว่าภายในภาพวาดเหล่านี้ ที่ชั้นล่างสุด สลักภาพตระกูลไม่รู้สิ้นที่มีสามหัวหกแขน และในชั้นต่อไป ภาพสลักเป็นร่างสวมชุดยาวสีดำคลุมร่าง เหยียบอยู่บนเรือ มีเงาของวิญญาณที่ดับสูญนับไม่ถ้วนลอยอยู่เบื้องหลัง

ชั้นต่อไป มีความคลุมเครืออยู่บ้าง หวังเป่าเล่อเห็นเพียงภายในคล้ายมีภาพวาดเหล่ายักษ์ ยักษ์เหล่านี้ดูดุร้าย มีเขาบนศีรษะ มีสิ่งก่อสร้างและอสูรร้ายนับไม่ถ้วนราวกับมดอยู่ต่อหน้าพวกเขา

นอกจากนี้ยังมีรูปภาพอีกมากมาย แต่บางทีอาจเป็นเพราะปัญหาเหลี่ยมมุมหรือสาเหตุของระดับการฝึกตน ทำให้หวังเป่าเล่อมองเห็นไม่ชัดเจนนัก เขาเห็นเพียงแท่นบูชาที่ขจรขจายกลิ่นอายเก่าแก่ที่มียักษ์สี่ตนยกมันขึ้นสูง

ยักษ์ทั้งสี่นี้ เป็นผู้ที่อยู่ในภาพวาดที่นับย้อนไปชั้นที่สามนั้น เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าแต่ละตนไม่เหมือนกัน แต่หวังเป่าเล่อกลับรู้สึกว่ามันเกือบจะคล้ายคลึงกันเลยทีเดียว

ฉากนี้ทำให้จิตใจของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน มีเสียงอันน่าเกรงขามส่งมาจากลูกปัดขนาดเท่าดวงจันทร์ และก้องอยู่ในหูของเหล่าผู้ฝึกตนบนอสูรยักษ์ทั้ง 39 ตนที่อยู่โดยรอบ

“ยินดีต้อนรับสู่ดาวชะตา!”

“ทุกท่านล้วนเป็นรุ่นของมหาศิษย์แห่งเต๋าของจักรวาล งานวันเกิดของท่านอาจารย์ครานี้ ขอขอบคุณการมาของพวกท่าน งานฉลองวันอวยพรฉลองอายุจะเริ่มเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ขอให้อดใจรอก่อน”

เมื่อเสียงนั้นเปล่งออกมา ผู้ฝึกตนบนสัตว์ยักษ์ทั้งหมดที่อยู่โดยรอบ ต่างค้อมศีรษะลง ขณะเดียวกันก็ตอบรับอย่างสุภาพ หลายเสียงแฝงความสดใส กังวานไปทั่วทิศ
.Aileen-novel.
“แต่ผู้อาวุโสคุนหลิงจื่อ? ผู้น้อยหลิงหลัน อาจารย์ทราบกฎของท่านประมุข เป็นการไม่ดีหากมาด้วยตนเอง ดังนั้นจึงสั่งให้ผู้น้อยล่วงหน้ามาอวยพรฉลองอายุ เคยได้ยินมาว่าชื่อของผู้อาวุโส ก็เป็นประมุขกฎสวรรค์ตั้งให้ ยังขอให้ผู้อาวุโสคุนหลิงจื่อ ฝากความห่วงใยไปถึงท่านประมุขแทนผู้น้อยด้วย ขอให้ท่านประมุขอายุยืนหมื่นปี โชควาสนานิจนิรันดร์” หวังเป่าเล่อหันมองตามเสียงทันที ทันใดนั้นก็เห็นผู้ฝึกตนอายุน้อยสวมชุดขาว อยู่บนหลังอสูรมังกรขาวจากไกลๆ

เนื่องจากเป็นระยะทางไกล และความบิดเบือนของความว่างเปล่าโดยรอบ จึงทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก ทว่าร่างที่มีพลังผันผวนของดาวพระเคราะห์ขั้นมหาวัฏจักร รวมทั้งแรงดึงของดาวบรรพกาล ทำให้หวังเป่าเล่อเข้าใจสถานะของคนผู้นี้ในทันที

“ที่แท้เป็นศิษย์คนที่เก้าของราชันเทวะไกก้า ตาเฒ่าจะนำคำอวยพรของเจ้าส่งไปยังอาจารย์” ภายในลูกแสง เสียงอันอ่อนโยนเมื่อครู่ ดังก้องกังวานขึ้นอีกครั้ง

“ผู้อาวุโสคุนหลิงจื่อ ผู้น้อยเฉินหันรบกวนผู้อาวุโสฝากความห่วงใยไปให้ท่านประมุข ขอให้ท่านประมุขเป็นอมตะนิรันดร์ สุขภาพสมบูรณ์”

“สหายเต๋าเฉินเกรงใจไปแล้ว ตาเฒ่าจะบอกแทนให้ อย่างไรก็ตามระหว่างข้าและสหายเต๋า เป็นรุ่นเดียวกัน มิต้องเรียกขานเช่นนั้น” เสียงอ่อนโยนดังขึ้นอีกภายในลูกแสง

“หลังจากคืนชีพและปฏิบัติใหม่ หากยังคงยึดติดกับอดีต จะออกมาเส้นทางใหม่ได้เช่นไร ผู้แซ่เฉินเริ่มต้นอีกครั้ง ย่อมเป็นผู้น้อยเป็นธรรมดา!” ผู้พูดด้วยอยู่ไกลเกินไป หวังเป่าเล่อมองไม่เห็น ได้ยินเพียงแต่เสียงเท่านั้น แต่จากการสนทนานี้ เขาพอเดาได้ถึงตัวตนของคนผู้นี้

“สหายเต๋าเฉินมีจิตใจเช่นนี้ ช่างมีน้ำใจ!” เสียงที่อ่อนโยนคล้ายจะเจือด้วยรอยยิ้ม และหลังจากคำพูดนั้น ยังมีอีกหลายคนที่ทักทายต่อไป

ผู้ที่มากล่าวคำทักทาย ล้วนเป็นผู้โดดเด่นที่มาอวยพรในครานี้ นอกจากผู้ฝึกตนลำดับที่สิบเจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนสำนักอื่น แม้กระทั่งหลังจากหวังเป่าเล่อ เซี่ยอวิ๋นเถิงพร้อมด้วยเหล่าอสูรยักษ์ที่มาก่อนหน้า ก็รวมอยู่ในนั้นด้วย

เมื่อเห็นว่าต่างกล่าวคำอวยพรกันไปเจ็ดแปดคนแล้ว และยิ่งนานขึ้นง คำกล่าวก็ยิ่งเกินจริง แต่ละคนแสดงฟ้าดินของตนอย่างสุดความสามารถ หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ ยืดร่างขึ้นตรง ก่อนจะประสานหมัดไปทางลูกแสง กล่าวเสียงดัง

“ผู้น้อยหวังเป่าเล่อ มาในนามอาจารย์ปรมาจารย์แห่งไฟ กล่าวทักทายต่อผู้อาวุโสคุนหลิงจื่อ และถามสารทุกข์ท่านประมุข รบกวนท่านผู้อาวุโสถ่ายทอดแทนด้วย ผู้น้อยคำนับท่านประมุขครั้งที่หนึ่ง ขอให้ท่านประมุขสมบูรณ์ดั่งทะเลดาว รุ่งเรืองราวจักรวาล”

“คำนับท่านประมุขครั้งที่สอง ขอให้ท่านประมุขมีโชควาสนายาวนาน จิตเต๋าสุขนิรันดร์!”

“คำนับท่านประมุขครั้งที่สาม ขอให้ท่านประมุข มีความสุขตลอดกาลนาน!”

หวังเป่าเล่อเสียงดังกังวาน และคำพูดของเขาก็ได้คำนับ 3 ครั้งในคราเดียว การกระทำและวาจาของเขานั้น ยามนี้ได้กลบเจ็ดแปดคนก่อนหน้าไปแล้วทั้งสิ้น ถูกสายตารอบด้านจับตามองทันที

เสียงที่อ่อนโยนภายในลูกแสง เวลานี้ได้ยินเสียงหัวเราะดังออกมา

“ที่แท้ก็เป็นศิษย์ของสหายเก่า หลานที่ดีมีน้ำใจแล้ว ตาเฒ่าต้องบอกท่านประมุขให้อย่างแน่นอน”

“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส และขอให้การเดินทางของท่านผู้อาวุโสในโลกอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยดวงดารานี้ สมดังตั้งใจ ไร้ซึ่งอุปสรรค!” หวังเป่าเล่อกล่าวพลาง โค้งต่ำคำนับอีกครั้ง!

……………………………………….

“ผู้ที่ระลึกชาติได้…จึงมีสิทธิ์ได้พลิกดูหน้าสมุดแห่งโชคชะตา สามารถเห็นเคราะห์ร้ายในอนาคตได้…ไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะช่วยให้ข้าสามารถดูเหตุการณ์ในอีกหกสิบแปดปีได้หรือไม่!” หวังเป่าเล่อเผยแววตาแวววามประหลาด ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็สนใจวาสนาที่ท่านอาจารย์เล่าเอาไว้อย่างยิ่ง

“ไม่รู้ว่า…ชาติก่อนของข้าเป็นเช่นใด? ข้าเกิดมากี่ชาติแล้ว?” หวังเป่าเล่อในใจสงสัย ก่อนหน้ากราบเข้าสำนักแห่งความมืด เขาไม่เชื่อเรื่องโลกหน้าแม้แต่น้อย แต่ประสบการณ์ที่สำนักแห่งความมืดกลับทำให้เขาเข้าใจ สรรพชีวิตบนโลกนี้ล้วนมีชาติก่อนทั้งสิ้น

โดยเฉพาะในฝันอนธการยามเริ่มแรก ที่เขาได้เป็นผู้นำส่งวิญญาณผู้วายชนม์มากมาย มีแม้กระทั่งยังเคยแต่งหน้าผีให้แก่วิญญาณใหม่อีกด้วย แต่น่าเสียดายที่ในห้วงฝันอนธการนั้น เขาไม่มีโอกาสได้เสาะหาวิชาเทพในชาติที่แล้วของตนเองเลย

ในตอนที่หวังเป่าเล่อกำลังจมอยู่กับความคิด พี่ชายเกาที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกพอใจในความมีเมตตาของตนเองอย่างมาก ทว่าเขาก็คิดออกอีกเรื่องด้วยความรวดเร็ว จึงรีบเอ่ยปากเสียงเบา

“แต่ว่าพี่ต้าลู่ งานอวยพรฉลองอายุในครั้งนี้ ท่านต้องระวังคนพวกนี้สักหน่อย…”

“เอ๋?” หวังเป่าเล่อมองพี่ชายเกา

“งูยักษ์ลอกคราบตัวที่พวกเราอยู่นี้ เป็นเพียงแค่หนึ่งในสามสิบเก้าอสูรดึกดำบรรพ์เท่านั้น หมายความว่าในเวลาเดียวกัน บนดาวเคราะห์ชะตาดวงนี้ ยังมีอสูรดึกดำบรรพ์อีก 38 ตัวที่กำลังมุ่งไปยังเขตกลาง”

“เห็นได้ว่าผู้ที่มางานอวยพรฉลองอายุในครั้งนี้มีจำนวนมากนัก อีกทั้ง…บนตัวของอสูรดึกดำบรรพ์อีก 38 ตัวก็มีเหล่าผู้คนซึ่งมีพลังปราณสะท้านสะะเทือน คนพวกที่มีพลังน่าหวาดหวั่นอีกด้วย!”

“แม้ว่าพี่ต้าลู่จะหลอมรวมดาวเคราะห์เต๋าแล้วก็ตาม การต่อสู้กับสวี่อินหลินบนท้องฟ้าท่านก็เผยให้เห็นพละกำลังที่ไม่ด้อย แต่ท่านยังต้องระวังคนอยู่อีก 4 คน!”

“4 คนที่ว่านี้ ในบรรดานั้น ก็คือนายน้อยลำดับเก้า สายเลือดลำดับแรกของราชันเทวะไกก้าจากตระกูลไม่รู้สิ้น คนนี้ดูเพียงผิวเผิน เหมือนจะมีพลังฝึกปรือระดับดาวพระเคราะห์สมบูรณ์ อีกทั้งดาวเคราะห์ที่เขาหลอมรวมเองก็ไม่ใช่ดาวเคราะห์เต๋า แต่เป็นดาวเคราะห์บรรพกาล ทว่าในเรื่องจำนวน…ก็เป็นเก้าดวงเช่นเดียวกัน เก้านั้นคือจำนวนสูงสุด และเส้นทางที่เขาเลือกใช้ในยามนั้นว่ากันว่าเหมือนเส้นทางเต๋าของพี่ต้าลู่ไม่ผิดเพี้ยน น่าเสียดาย…เขากลับทำไม่สำเร็จ!”

“ดังนั้นแล้วในครั้งนี้ ไม่ว่าเขาจะมาลองเชิง หรือว่าจะมาแย่งดาวเคราะห์เต๋าของท่าน เขาจะต้องมาหาท่านเพื่อสู้กันสักคราเป็นแน่!” ในเวลาที่พี่ชายเกาเอ่ยถึงนายน้อยที่เก้านั้น แววตาไม่อาจปิดบังความจริงจัง เห็นได้ชัดว่าต่อให้เป็นขุมกำลังของตระกูลเขาก็หวั่นเกรงคนผู้นี้

“ตระกูลไม่รู้สิ้น…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา

“แล้วอีกสามคนเล่า?”

“สำนักต้นกำเนิดของสวี่อินหลิน จักรพิภพสำนักเสริมเก้าวิหคเพลิง สำนักนี้ถูกจัดให้อยู่ที่สามของลำดับสำนักในจักรพิภพ ในส่วนของลำดับสองนั้นก็คือสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ สำนักนี้ไม่เหมือนกับสำนักอื่น เพราะมีกันแค่ 77 คน ส่วนลำดับชั้นนั้นวุ่นวายนัก เพราะเปลี่ยนตามพลังฝึกปรือ อีกทั้งทุกคนในนั้น…ล้วนเป็นสัตว์ประหลาดที่กลับชาติมาฝึกปรือใหม่ทั้งสิ้น ส่วนผู้ที่มาในงานอวยพรฉลองอายุครั้งนี้ ก็คือศิษย์คนที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ!”

“คนผู้นี้เคยเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ลำดับหนึ่งแห่งจักรพิภพ หลังเขากลับชาติมาเกิดใหม่ แม้ว่าร่างใหม่ในยามนี้อยู่ระดับดาวพระเคราะห์ แต่ฝีมือกลับฉกาจฉกรรจ์ อีกทั้งยังเก่งกล้าด้านการต่อสู้จนน่าตื่นตะลึง ว่ากันว่าในบรรดาระดับดาวพระเคราะห์ ไม่มีใครเทียบเคียงเขาได้!”

“กลับชาติมาฝึกใหม่หลายต่อหลายครั้ง? สำนักที่มีคนแค่เจ็ดสิบเจ็ดคน? แล้วสำนักลำดับแรกเล่าเป็นใคร?” หวังเป่าเล่อได้ฟังก็สงสัยอย่างยิ่ง ถามขึ้นมา

“ไม่มีสำนักอันดับหนึ่ง สำนักศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ประหลาดยิ่งนัก เพราะไม่มีสำนักลำดับแรก เห็นได้ชัดว่าสำนักเจ็ดวิญญาณคือสำนักลำดับแรกแล้ว แต่พวกเขากลับถูกจัดให้อยู่ลำดับสอง ส่วนตัวของสำนักเก้าวิหคเองก็เช่นกัน พวกเขายินยอมถูกจัดเป็นที่สาม”

“ดังนั้นหากสำนักลำดับหนึ่งมีอยู่จริง ก็คงจะเร้นลับมาก บางทีต้นตระกูลเกาของพวกข้าอาจจะรู้ แต่เขาก็ไม่ยอมบอกข้า” พี่ชายเกาโบกมือ ในเรื่องนี้ เขาเองก็อัศจรรย์ใจจริงๆ

“ท่านเคยได้ยินเรื่องสำนักดาราจันทร์หรือไม่?” หวังเป่าเล่อพลันถามขึ้น

“ข้าเคยได้ยิน หลี่หว่านเอ๋อร์เป็นคนของสำนักนี้มิใช่หรือ แต่ว่าสำนักนี้มีลำดับในบรรดาสำนักทั้งหลายลำดับค่อนข้างต่ำไป ไม่ติดหนึ่งในร้อยอันดับด้วยซ้ำ ไม่ได้รับการจัดอันดับ” พี่ชายเกานำสิ่งที่ตนรู้บอกแก่หวังเป่าเล่อหมดแล้ว หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขามองออกว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะโกหก แต่เท่าที่เขาทราบมานั้นเหมือนจะมีบางอย่างที่ไม่ตรงกัน

ท่ามกลางความเงียบ พี่ชายเกาก็เอ่ยรายนามคนอีกสองคนซึ่งหวังเป่าเล่อต้องระวังออกมา

“ในบรรดาเต๋าเก้ารัฐแห่งสำนักที่หนึ่ง จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้าย เฉินหรูซิวยังไม่มีสถานภาพเป็นผู้ฝึกตนเต๋า เพราะในจักรวรรดิดาวตกเขาได้รับแค่ดาวเคราะห์พิเศษ ดังนั้นแล้วจึงไม่ได้รับการเลื่อนลำดับ แต่ข้าว่าเขาก็ยังเป็นผู้ฝึกตนเต๋าอยู่ดี อย่างไรก็ดีคนที่มางานอวยพรฉลองอายุในครั้งนี้ กลับเป็นผู้ฝึกตนเต๋าลำดับเจ็ดของเต๋าเก้ารัฐ!”

“ผู้ฝึกตนเต๋าลำดับเจ็ดผู้นี้ ระดับพลังฝึกปรือดาวพระเคราะห์ขั้นสมบูรณ์ แม้ว่าดาวที่หลอมรวมจะเป็นดาวเคราะห์พิเศษ แต่ว่าพลังแห่งกฎนั้นสะท้านผู้คนยิ่งนัก นั่นก็คือพลังกลืนกิน กลืนกินทุกสิ่ง และเพราะกฎนี้ ทำให้ผู้ฝึกตนเต๋าลำดับเจ็ดผู้นี้ นิสัยโหดเหี้ยมเป็นที่สุด!”

“คนสุดท้าย เจ้าเองก็เคยพบ นั่นก็คือ…ในจักรวรรดิดาวตก คนที่สวมชุดคลุมสีดำผู้นั้น สหายที่สะพายกระบี่เต๋าอันยักษ์!”

“เจ้าหมอนี่มีชื่อว่าซิงจิงจื่อ ไม่สังกัดสำนัก เป็นผู้ฝึกตนฝึกปรืออิสระ แต่หลังเกิดเรื่องในจักรวรรดิดาวตก เขาได้หลอมรวมดาวเคราะห์พิเศษแล้ว แต่ตนเองเนื่องด้วยไม่มีขุมอำนาจใดๆ หนุนหลัง ดังนั้นจึงถูกขุมกำลังน้อยใหญ่ตามฆ่า วางแผนช่วงชิงดาวพระเคราะห์ของเขา ทว่าจนถึงบัดนี้ก็หลายปีแล้ว ผู้ฝึกปรือดาวพระเคราะห์ที่ถูกเขาสังหารกลับมีหลายร้อย ขุมกำลังระดับเล็กที่แหลกสลายก็นับเป็นสิบ กล่าวได้ว่าเขาฆ่าล้างเบิกทางให้ตัวเองมหาศาล แม้ว่าระดับดาวพระเคราะห์จะอยู่เพียงระดับกลาง แต่ฝีมือฆ่าฟันของเขานั้นเกินระดับดาวพระเคราะห์สมบูรณ์ไปแล้ว!”..ไอรีนโนเวล

“หลังๆ มานี้มีคนมองออก กระบี่เล่มนั้นของเขาเป็นดาบมารเล่มหนึ่ง เป็นดาบมารที่ทำให้ผู้คนหวาดผวาไม่น้อย เพราะในอาณาเขตดาราไม่สิ้นสุด ดาบมารทั้งหมดกลับมาจากสถานที่เดียวกันนั่นคือ…สำนักมารสูงสุด!”

“สำนักมารสูงสุด ไม่มีที่ตั้งสำนักถาวร มันเพียงแต่ลอยไปมาทั่วอาณาจักรดาราไม่รู้สิ้น แต่ขุมกำลังของสำนักนั้นกล้าแกร่งนัก ไม่แพ้…สำนักศักดิ์สิทธิ์ใดๆ แห่งสำนักเต๋าฝั่งซ้าย หรือเหล่าสำนักสามลำดับแรก บางทีพวกเขาอาจแข็งแกร่งกว่าด้วยซ้ำ!”

“นายน้อยลำดับเก้าผู้สืบทอดราชันเทวะไกก้า ศิษย์ลำดับที่สิบเจ็ดแห่งสำนักเต๋าเจ็ดวิญญาณ สำนักลำดับที่สอง ผู้ฝึกตนลำดับที่สิบเจ็ดแห่งเต๋าเก้ารัฐ และซิงจิงจื่อ!” เมื่อได้ยินพี่ชายเกาอธิบาย หวังเป่าเล่อก็เริ่มรู้จักเหล่าผู้เยี่ยมยุทธิ์ที่มาจากขุมกำลังต่างๆ ในงานฉลองอายุครั้งนี้บ้างแล้ว

“ในส่วนของสวี่อินหลิน ก่อนหน้านี้นางปิดบังตัวตนได้ดี คนอื่นกลบแสงนางเสียมิด แต่หลังจากข้าสู้กับนางแล้ว นางถึงค่อยเผยพลังออกมาทั้งหมด ข้าถือว่านางเป็นศัตรูตัวฉกาจและเป็นเป้าหมายของคนอื่นเช่นกัน”

“แล้วก็ยังมี…หลี่หว่านเอ๋อร์ แม้ว่าพลังดาวพระเคราะห์ของนางจะธรรมดา แต่ข้าก็รู้สึกได้ว่า นางน่าจะเป็นคนที่มีไพ่ตายเยอะที่สุด!” หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขานิ่งเงียบฟังคำพูดทั้งหมดของพี่ชายเกาจนกระทั่งท้องนภาเปลี่ยนเป็นสีดำสนิทและแสงจันทร์สว่างถูกเมฆดำกลบมิดไป พี่ชายเกาถึงค่อยบอกลา

หลังจากมองส่งอีกฝ่ายไปไกลแล้ว หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่นั้น เมื่อเข้าใจเรื่องราวแล้วก็หลับตารอให้เวลาผันผ่าน ในส่วนของเซี่ยไห่หยางและผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงและคนอื่นๆ แม้ไม่ได้อยู่ใกล้เขานักแต่ก็ไม่ได้ไปไหนกัน ยังคงเฝ้าพิทักษ์เขาอยู่

เรื่องก็เป็นเช่นนี้ หลังจากผ่านไปหลายวันหวังเป่าเล่อจึงค่อยๆ สงบจิตใจลง แม้จะมีคนแวะเข้ามาทักทายบ้าง แต่ก็ถูกเซี่ยไห่หยางปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม ในส่วนของคนรู้จักที่จักรวรรดิดาวตกนั้น แม้จะมีอยู่ส่วนหนึ่งบนงูยักษ์นี้เช่นกัน แต่ส่วนมากพวกเขาก็สนิทกับหวังเป่าเล่อเพียงเล็กน้อย จึงไม่ได้แวะมา

เวลาหมุนผ่าน งูยักษ์ที่พวกเขาอยู่ตรงนี้ ก็เคลื่อนผ่านแผ่นทวีปไปไม่หยุดหย่อน ยิ่งเข้าใกล้ศูนย์กลางมากขึ้นทุกที ทัศนียภาพรอบด้านเปลี่ยนไปหลายครั้ง สถานที่และสรรพสัตว์แปลกประหลาดล้วนค่อยๆ โผล่มาให้หวังเป่าเล่อได้ยลกาย เขาจึงไม่ได้ตื่นตาตื่นใจแบบครั้งแรกแล้ว

ครึ่งเดือนให้หลังใกล้จะผ่านพ้น งูยักษ์ที่พวกเขาโดยสารนี้ ในที่สุดก็พาพวกเขามาถึงยังศูนย์กลางของดาวเคราะห์ชะตา ห่างออกไปนั้นแลเห็นภูเขาไฟขนาดยักษ์แห่งหนึ่งซึ่งสะท้อนภาพเข้าสู่ดวงตาของหวังเป่าเล่อ

ภูเขาไฟลูกนี้ใหญ่เกินไปจริงๆ แทบจะมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด หากเทียบไปแล้วเจ้างูยักษ์ใต้เท้าของพวกเขาดูเล็กไปถนัดตา ในเวลานี้หากทอดสายตามองจะเห็นเมฆหมอกสีดำปกคลุมบริเวณยอดเขาครึ่งหนึ่ง อีกทั้งยังสามารถมองเห็นได้เล็กน้อย ถึงสายฟ้าจำนวนมากและแสงเพลิงในนั้น ใจกลางเมฆมีแสงสว่างวาบ ทั้งยังมีเสียงดังกัมปนาทลอยออกมา ราวกับว่าด้านในภูเขากำลังโห่คำราม แล้วก็ยังมี….สิ่งที่ออกมาจากใจกลางภูเขานี้ คลื่นพลังสะท้านฟ้าสะท้านดิน!

แม้ว่าคลื่นพลังดังกล่าวจะถูกกักเก็บอยู่ภายใน แต่หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ ดวงตาของเขาหรี่เล็ก นี่มันเป็นภูเขาไฟเสียที่ไหนเล่า เห็นได้ชัดว่านี่คือยอดเขาดาราอมตะที่นำพลังดาราอมตะจำนวนมากมารวมกันต่างหาก!

หลังจากที่งูยักษ์เคลื่อนตัวเข้าใกล้ยอดเขานี้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าขนาดของภูเขาใหญ่มาก กระทั่งว่าตอนสุดท้ายที่ส่วนหางของเจ้างูยักษ์ปีนป่ายขึ้นภูเขานั้น แรงกดดันที่มาจากตัวภูเขานี้ก็ยิ่งแผ่ขยายไปทั่วทุกสารทิศอย่างรุนแรง!

และหากว่าในยามนี้ใครก็ตามที่สามารถยืนอยู่บนยอดเขาและมองลงไปเห็นสภาพโดยรอบทั้งหมด ย่อมมองเห็นเจ้างูยักษ์และอสูรดึกดำบรรพ์ทั้ง 39 ตัวกระจายอยู่แต่ละตำแหน่งในภูเขาพร้อมภาพของเหล่าผู้ฝึกตน ผู้เยี่ยมยุทธ์ซึ่งขี่พวกมันและปีนป่ายขึ้นมา เป้าหมายของพวกเขานั้น…ก็คือยอดเขาแห่งนี้!

ยอดเขาสูงสุด

……………………………………….

เมื่อเอ่ยประโยคนี้แล้ว หลี่หว่านเอ๋อร์ก็หันกายจากไป ร่างของนางค่อยๆ หายลับไปจากแนวสายตาของหวังเป่าเล่อ ทว่า แม้นางจะจากไปแล้ว แต่เสียงนั้นยังคงสะท้อนอยู่ในสมองของเขา ส่งผลให้แววตาเฉลียวฉลาดของหวังเป่าเล่อมีอันต้องชะงัก ทั้งร่างจมดิ่งอยู่ในภวังค์เงียบสนิท

ประโยคนี้เมื่อรวมเข้ากับท่าทางของหลี่หว่านเอ๋อร์กลายเป็นแรงโจมตีใหญ่ปานคลื่นยักษ์แก่หวังเป่าเล่อจริงๆ ราวกับมีฟ้าผ่าจำนวนนับไม่ถ้วนฟาดกระหน่ำลงในสมองของเขา

หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หนังตาของหวังเป่าเล่อก็กระตุกเบาๆ

“แหงนศีรษะสามฉื่อมีเทพอยู่…” หวังเป่าเล่อพึมพำ เขาแหงนหน้ามองท้องฟ้า ภาพที่ปรากฏในสายตานั้นย่อมไม่ใช่แค่ระยะสามฉื่อ อาศัยพลังฝึกปรือของตัวเขาในยามนี้ ย่อมสามารถมองระยะทะลุผ่านฟากฟ้าและเห็นกระทั่งหมู่ดาวด้านนอกด้วยซ้ำ

ไม่รู้เพราะเหตุใด เขาพลันคิดถึงส่วนหนึ่งของบันทึกที่เซี่ยไห่หยางเอ่ยถึง เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อจมอยู่กับภวังค์อีกครั้ง จากนั้นจึงถอนหายใจเบาๆ

“พี่สาว ท่านอยู่หรือไม่”

ไร้คำตอบกลับ

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาส่งกระแสจิตสัมผัสดูภายใต้ชิ้นส่วนหน้ากากหักแต่กลับไม่พบพี่สาวตัวน้อย ราวกับว่านางกำลังหลบซ่อนกาย เพื่อไม่ให้ใครมารบกวน

หวังเป่าเล่อไม่ได้ตามหาต่อ เขาเก็บกระแสจิตกลับมาก่อนจะนั่งสมาธิอยู่บนยอดเขามองดูท้องฟ้าค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีดำ สัมผัสความเคลื่อนไหวและการโยกเอนเบาๆ ของร่างงูยักษ์และผืนทวีปด้านล่าง ปล่อยให้สภาวะจิตของตนค่อยๆ หลุดจากสิ่งที่หลี่หว่านเอ๋อร์บอกในยามแรก

ในเมื่อตอนนี้เขาคิดไม่ออก เช่นนั้นก็ยังไม่ต้องไปคิดมันแล้วกัน!

หวังเป่าเล่อเข้าใจดีว่าตนในวันนี้เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกปรือระดับดาวพระเคราะห์ เรื่องราวมากมายนั้นเขาจะรับรู้หรือไม่ แท้จริงแล้วก็ไม่ได้มีความสำคัญกับเขาแต่อย่างใด เพราะที่สำคัญกว่าคือปัจจุบันขณะ!

จะทำเช่นใดให้เวลานี้ ตนสามารถแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ นี่สิคือจุดสำคัญแห่งชีวิต ส่วนเรื่องที่ว่าผู้อาวุโสหนึ่งเดียวแห่งสำนักดาราจันทร์เหตุไฉนจึงส่งคำเชิญให้ตนนั้น หวังเป่าเล่อก็คาดเดาได้เล็กน้อย แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามทั้งสองฝ่ายก็นับว่ามาจากพื้นเพเดียวกัน อีกทั้งหากถือเอาเวลาที่เขาออกจากสำนักดาราจันทร์เป็นจุดเชื่อมโยงทุกสิ่ง หากเป็นเช่นนั้นนับตั้งแต่จุดเชื่อมโยงนั้นมาจนถึงบัดนี้ เขาก็นับเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์คนแรกของทั้งระบบสุริยะ

“บางทีอาจเพราะเหตุนี้ แต่เพราะอะไรถึงต้องกำหนดวันเจาะจงเช่นนั้นกันนะ?” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า เขาปัดเรื่องนี้ออกจากใจ เวลาเดียวกันบรรยากาศรอบตัวค่อยๆ แปรเปลี่ยน เขาแหงนหน้ามองดูแนวเขาห่างไกลนั้น พลันเห็นเงาร่างหนึ่งซึ่งไม่ได้กำลังเหาะ หากแต่กำลังค่อยๆ ปีนป่ายตามภูผาเข้ามา คนผู้นี้สาวเท้ามุ่งตรงมาหาตนด้วยความรวดเร็ว

แม้ท้องนภาจะมืดดับ แต่ยังมีแสงจันทราสาดส่องทั่วจตุรทิศ ผู้มานี้แม้จะอยู่ไกลพอควร แต่ทรงผมอันตั้งตรงของคนผู้นี้รวมถึงแสงของมันที่สะท้อนสีสัน หวังเป่าเล่อเพียงปราดมองก็จำได้ทันทีว่าเป็นใคร

คนผู้นี้ก็ถือได้เป็นคนรู้จักเก่าแก่ ในตอนที่อยู่จักรวรรดิดาวตกนั้นคนผู้นี้หัวแข็งอย่างยิ่ง อีกทั้งมักจะมีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่องตลอดเวลา…เขาก็คือพี่ชายเกาผู้สูงส่ง เกาฉวี่

เห็นหน้าหมอนี่แล้ว หวังเป่าเล่อที่เดิมทีเคร่งเครียดก็ผ่อนคลายลง สีหน้าพลันมีรอยยิ้มประดับและในพริบตาที่อีกฝ่ายเหาะเข้ามาใกล้นั้น หวังเป่าเล่อก็ลุกขึ้นแล้วประสานมือคำนับ

“พี่ชายเกา!”

“พี่ต้าลู่!” น้ำเสียงนั้นดังมาแต่ไกลแถมด้วยรอยยิ้มแสนเปิดเผย ในเวลาอันรวดเร็วพี่ชายเกาก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ สีหน้าของเขาเป็นมิตร หลังจากมาถึงแล้วก็ยกมือซ้ายต่อยหมัดหนึ่งเข้ามาที่หัวไหล่ของหวังเป่าเล่อทันที..Aileen-novel

พริบตานั้นแววตาหวังเป่าเล่อเผยประกายหนึ่งที่ไม่อาจตรวจพบได้ อย่างไรก็ดีเขาเห็นว่าอีกฝ่ายดูไม่มีเจตนาร้าย นี่เป็นเพียงการกระทำตามความเคยชินเท่านั้น การที่เกาฉวี่ต่อยเข้ามาเช่นนี้ กล่าวไปแล้วย่อมก่ออันตรายได้ แท้จริงแล้วโดยเฉพาะด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลนั้น ทั้งสองฝ่ายไม่ได้สนิทสนมกันถึงระดับนี้ หากอีกฝ่ายบังเกิดความประสงค์ร้ายเข้า ตนเองคงตกเป็นฝ่ายถูกกระทำแน่

แต่หากเขาเบี่ยงกายหลบ เช่นนั้นคงได้เกิดฉากความไม่เชื่อใจประการหนึ่งขึ้น และจากที่หวังเป่าเล่อเข้าใจในตัวพี่ชายเกานั้น หากอีกฝ่ายไม่ได้มีเจตนาร้ายจริงๆ แต่ตนกลับเบี่ยงหลบ คงจะทำให้ความสนิทสนมนี้จางหายไป

เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านสมองของหวังเป่าเล่อในชั่วพริบตาแล้ว เขาก็ไม่ต้องคิดอะไรมากความอีก หวังเป่าเล่อหัวเราะฮ่าๆ ในเวลาเดียวกันก็ยกมือขวาขึ้นกำหมัดหนึ่งต่อยสวนเข้าไปที่หมัดของพี่ชายเกา สองหมัดประสาน

ในจังหวะนี้เองที่ทั้งสองประสานหมัดกันนั้น ต่างฝ่ายต่างพบว่าอีกฝ่ายไม่ได้ใช้พลังภายในสักนิดเดียว นี่เป็นเพียงการทักทายกันประสาคนธรรมดา เป็นเหตุให้รอยยิ้มของพี่ชายเกาแย้มกว้างขึ้น

“เซี่ยต้าลู่ ข้าโจมตีเจ้าเช่นนี้เจ้ากลับไม่หลบ เจ้าเชื่อใจข้าขนาดนี้ นับว่าให้เกียรติพี่ชายเกานัก เช่นนั้นข้าก็ไม่สนแล้วว่าข้างในเจ้าจะเป็นหวังเป่าเล่อหรือเซี่ยต้าลู่” กล่าวจบแล้ว พี่ชายเกาก็เก็บหมัด พลันหยิบแผ่นหยกขึ้นมาชิ้นหนึ่ง โยนให้หวังเป่าเล่อ

“พี่ต้าลู่ หยกแผ่นนี้ เป็นของที่ข้าทุ่มเทกำลังไม่น้อยกว่าจะได้มา ข้าไม่อาจมอบให้ผู้อื่นได้ แต่ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าท่านมา ข้าน่ะมอบให้ท่านคนเดียวนะ”

เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินก็รับแผ่นหยกนั้นมา เขาไม่ปิดบังความอยากรู้บนใบหน้า จากนั้นเมื่อกวาดตามอง เพียงแค่มองแวบเดียวเท่านั้น ก็ต้องเบิกตากว้างทันทีเผยประกายตื่นตกใจ

พี่ชายเกาแอบสำรวจท่าทีของหวังเป่าเล่ออยู่ตั้งแต่แรก เมื่อเห็นความใครรู่และอาการตื่นตะลึงของอีกฝ่ายแล้ว เขาก็ส่งเสียงหัวเราะ ดูแล้วพึงพอใจอย่างยิ่ง

“เป็นเช่นไร!”

“ข่าวเช่นนี้ ท่านได้มาได้อย่างไร? ข้าจำได้ว่าการตระเตรียมพิธีฉลองอายุให้ผู้อื่นนั้น ล้วนไม่ประกาศบอกล่วงหน้า คนรอบข้างไม่มีทางรู้แน่” หวังเป่าเล่อตกตะลึงจริงๆ เพราะว่าในแผ่นหยกนั้นบันทึกเนื้อหาของพิธีฉลองอายุในครั้งนี้เอาไว้

เขาได้ทราบระหว่างทางที่มาที่นี่แล้ว ทุกครั้งที่มีพิธีฉลองอายุของเหล่าผู้ศักดิ์สิทธิ์บนสวรรค์ จะมีการทดสอบพลังก่อนรอบหนึ่งเพื่อให้เหล่าอนุชนที่มาอวยพรได้มีโอกาสถูกคัดเลือกเข้าสู่ข้างใน และในรอบทดสอบนี้ หากว่าผู้ใดมีคุณสมบัติพอจะคว้าชัยได้ ผู้นั้นก็จะได้รับโอกาสประสาทพรและได้รับสิทธิ์พลิกสมุดแห่งโชคชะตาคราหนึ่ง

และเป็นเพราะเหตุนี้ เนื้อหาในการทดสอบจึงมักเปลี่ยนไปนับหมื่นพันแบบ ทุกคนจะได้รู้ก็ต่อเมื่อประกาศออกมาแล้วเท่านั้น จึงเป็นการยากนักที่จะเตรียมตัวก่อนล่วงหน้าได้ หวังเป่าเล่อถามเซี่ยต้าลู่มาก่อนหน้านี้แล้ว ต่อให้เป็นตัวเซี่ยต้าลู่ ผู้ซึ่งมีช่องทางและทรัพยากรมากล้นเองก็ไม่ทราบเนื้อหาของพิธีซักซ้อมนี้

ทว่า พี่ชายเกาที่อยู่เบื้องหน้าตนในยามนี้กลับล่วงรู้ได้ โดยเฉพาะเนื้อหาในแผ่นหยกนี้ เมื่อหวังเป่าเล่อได้อ่าน ก็สัมผัสได้ว่าอาจเป็นความจริงสักแปดเก้าส่วน

“บอกแล้วว่าข้าทุ่มเทกำลังไปมากนัก เป็นเช่นไรเล่าพี่ต้าลู่ ผู้แซ่เกาผู้นี้จริงใจต่อสหายหรือไม่ ข้าให้เจ้าดูคนเดียวนะ!” พี่ชายเกายิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่ เขาโบกมือลูบไล้เส้นผมตั้งตรงของตนเอง

“ขอบคุณพี่ชายเกามาก!” หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึก จากนั้นก็ประสานมือโค้งคำนับ

“จะเกรงใจข้าไปไย อีกอย่างพวกเราแม้จะรู้จักกันมาก่อน แต่งานซักซ้อมครั้งนี้มีความประหลาดนัก ไม่เหมือนกับที่เคยจัดมาเลย จุดนี้น่าพิศวงอย่างยิ่ง เพราะเป็นเช่นนี้แหละทำให้พวกเราเตรียมตัวยากกว่าเดิม แต่ว่าข้าขอถือโอกาสนี้ใช้ข้อมูลนี้แสดงสานสัมพันธ์กับท่าน หวังว่าในงานทดสอบพวกเราจะสามารถช่วยเหลือปกป้องกันได้ก็พอ” พี่ชายเกาไม่ได้ปกปิดเจตนาของตน เขาเอ่ยปากอย่างอารมณ์ดี

ความตรงไปตรงมาเช่นนี้ หวังเป่าเล่อเองก็รับไว้ด้วยความยินดี ดังนั้นแล้วเขาจึงพยักหน้าจากนั้นเพ่งไปยังแผ่นหยกที่อยู่ในมือ แล้วกวาดตาอ่านอีกครั้ง

“ใช้มิติมายาเป็นสถานที่ทดสอบ ให้แบ่งออกเป็นเขตจำนวนมาก ทุกคนที่เข้าไปนั้นจะถูกส่งไปยังสถานที่อันเป็นเอกเทศ ให้ผ่านการทดสอบเป็นระยะเวลาสิบวัน ระหว่างนั้นแต่ละคนอาจจะอยู่ในสถานที่ที่ตนถูกส่งไปหรือว่าจะไปยังสถานที่ของบุคคลอื่นก็ได้…นี่ก็ไม่น่าจะมีอะไร!” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากเสียงเบา

“ก็ใช่ หากว่าเป็นแค่นี้ การทดสอบก็คงจะไม่พิเศษนัก แต่เนื้อหาของการทดสอบนั้นคือการดึงเอาชิ้นส่วนจากชาติก่อนมาทดสอบ!” พี่ชายเกาดวงตาทอประกายแสงประหลาด

“สิบวัน สิบชาติ นี่คือการเผยให้เห็นหนึ่งวันหนึ่งชาติภพ!”

“ให้ระลึกถึงตัวตนในชาติก่อนของตน จากนั้นก็มีโอกาสหยิบยืมพลังของชาติก่อนผ่านวัฏสงสาร แม้ว่าแต่ละคนอาจจะหลอมรวมพลังทั้งหมดมาไม่ได้ แต่ผู้ที่ทำได้แค่เพียงบางส่วนก็นับว่ามีวาสนาแล้ว วาสนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็คือชาติก่อนของพวกเรานี่แหละ แต่สุดท้ายแล้วยังต้องดูว่าอยู่หรือไม่ด้วย เพราะหากว่าไม่มี เช่นนั้นวาสนาของเจ้าก็ว่างเปล่า หากว่ามี เช่นนั้นชาติก่อนของพวกเราเป็นใครกันเล่า?” พี่ชายเกาสูดลมหายใจลึก เห็นชัดว่าหลังจากเขาได้ล่วงรู้เนื้อหาการทดสอบครานี้ ก็ครุ่นคิดเกี่ยวกับมันมานานมากเช่นกัน

“ไม่ได้มีกฎว่าห้ามแทรกแซงหรือช่วยเหลือกัน รวมถึงการเข้าแทรกแซงสภาวะตระหนักรู้ของอีกฝ่าย เงื่อนไขในการชนะนั้นมีอย่างเดียว ก็คือใครที่ตระหนักรู้ได้ก่อนในชาติที่สิบ…ผู้ที่ตระหนักรู้ก่อนสิบคนแรกนั้น ก็จะมีคุณสมบัติในการพลิกสมุดแห่งโชคชะตา!” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาคิดไปถึงสิ่งที่อาจารย์เคยกล่าวกับตนเอง ให้ตนเองหาโอกาสจากผู้ศักดิ์สิทธิ์สวรรค์เหล่านี้แลกโอกาสในการมองเงาร่างตนเองในชาติก่อนๆ เพื่อหลอมรวมวาสนา

แต่วาสนานั้นครั้นมองไปจากปัจจุบันก็เห็นได้ชัดว่าซ้อนทับกับงานทดสอบในครานี้ ทว่าเขาก็สัมผัสได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น งานทดสอบครานี้คล้ายจะเป็นการเตรียมการ…เป็นการกรุยทางให้ตนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนวาสนาที่อาจารย์เคยกล่าวเอาไว้

“พี่ชายเกา ท่านรู้ไหมว่างานพิธีฉลองอายุคราก่อน การทดสอบคือสิ่งใด?” เมื่อคิดถึงจุดนี้ เพื่อทดสอบว่าตนเองคาดเดาได้ถูก หวังเป่าเล่อมองดูพี่ชายเกาเบื้องหน้าก่อนจะเอ่ยถามออกมา

“ครั้งก่อนคือให้เด็ดผลท้ออายุขัยจากต้นไม้โบราณหมื่นปี ครั้งก่อนหน้าให้แสดงพลังเทพสร้างดอกไม้ไฟบนท้องฟ้า ครั้งก่อนหน้าๆ นั้นอีกก็ให้แต่ละคนสู้กันเอง…ดังนั้นแล้ว ครั้งนี้ข้าว่าประหลาดนัก!” พี่ชายเกาพูดรวดเดียวหมด กล่าวมาตั้งมาก เมื่อหวังเป่าเล่อได้ฟังแล้ว เขาก็ยิ่งมั่นใจกว่าเก่า ดวงตาค่อยๆ เผยประกายแห่งความหวังออกมา!”

……………………………………….

“ที่แท้เจ้าก็สังเกตเห็นเช่นกัน!” เมื่อได้ยินคำพูดนี้ หวังเป่าเล่อก็ทำท่าเคร่งขรึมเป็นที่สุด เขายังทำกระทั่งเหลียวมองไปรอบทิศเบื้องล่าง ราวกับเกรงว่าจะมีใครได้ยินคำพูดนี้ของเขาเข้า

ทว่าการกระทำของเขาทำให้ไห่หยางที่ตอนแรกดูจะไม่ได้คัดค้านบันทึกนี้ผงะไปเล็กน้อย เห็นชัดว่าคำพูดนี้ของหวังเป่าเล่อค่อนข้างเหนือคาดอยู่บ้าง

“อาจารย์อา ท่าน…”

“ไห่หยาง คำพูดที่เจ้าเอ่ยกับข้าเมื่อครู่ จำไว้ว่าห้ามพูดถึงต่อหน้าคนอื่นๆ เด็ดขาด เพราะว่าบันทึกที่เจ้าว่านี้คือสุดยอดแห่งความเร้นลับระดับโลก และเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจักรวาลเต๋าของพวกเรา!!” หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นเขาก็ตบบ่าเซี่ยไห่หยาง ในระหว่างที่เซี่ยไห่หยางมีสีหน้าแข็งค้างและดวงตาตะลึงนั้น หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจเหยียดยาว ก่อนจะเผยท่าทีลุ่มลึก

“จริงๆ แล้ว ตอนที่ข้าอายุสามขวบ ข้าก็พบความลับสุดยอดของโลกใบนี้เข้า ข้าในเวลานั้นมักจะคิดอยู่เสมอว่าข้าเป็นใคร ใครคือข้า ข้าอยู่ที่ใด สถานที่ตั้งอยู่ที่ใด ปัญหาทำนองนี้แหละ”

“จนกระทั่งตอนที่ข้าอายุได้ห้าขวบ สุดท้ายข้าก็ได้เข้าใจ ทุกสิ่งบนโลกใบนี้และในฟ้าดินนี้ทั้งหมด หมื่นสรรพสิ่งในจักรวาล จริงๆ แล้วก็คือความว่างเปล่าแห่งหนึ่ง ทุกสิ่งของทุกสิ่งตั้งอยู่ล้วนแต่เป็นเพราะพวกเราอยากให้มันมีอยู่ ดังนั้นพวกเราจึงมีตัวตน ข้าคิดอยากเห็นสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นข้าจึงเห็น”

“นี่มัน…” เซี่ยไห่หยางในคราแรกก็ตื่นตกใจเพราะคำพูดของหวังเป่าเล่ออยู่บ้าง แต่หลังจากฟังๆ ไปแล้ว เขาก็รู้สึกว่ามีบางจุดไม่ถูกต้องนัก

“เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเข้าใจ สิ่งนี้…คือความลำบากใจในฐานะผู้ที่สวรรค์เลือก” หวังเป่าเล่อแหงนมองไปบนท้องฟ้า ทำท่าทางปลีกวิเวกจากโลก แล้วมองเซี่ยไห่หยางแบบหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

“อาจารย์อา พวกเราจริงจังกันหน่อยได้หรือไม่…”

หวังเป่าเล่อเมื่อได้ยินก็ถลึงตาใส่

“ตั้งใจสักหน่อยงั้นหรือ? บันทึกที่เจ้าว่านั่นเกือบจะหลอกให้ข้าจ่ายค่าโง่แล้ว!”

“หากว่าทุกสิ่งไม่ได้ตั้งอยู่จริง เช่นนั้นเราตอนนี้คือสิ่งใด?” หวังเป่าเล่อก้มหน้ามองมือของตน เขาบีบๆ มือแล้วมองไปยังเซี่ยไห่หยาง

เซี่ยไห่หยางได้แต่เพียงยิ้มขื่น

“ข้าก็รู้สึกว่าเรื่องนี้พิลึกอย่างมาก อีกทั้งบันทึกนี้ก็มีประวัติเป็นมายาวนานจนไม่อาจไปค้นต้นตอของมันได้ กระทั่งบรรพบุรุษตระกูลเซี่ยของเราหลังจากอ่านมันแล้ว ก็บอกได้เพียงว่านี่เป็นคำพูดเพ้อพกของคนบ้าเท่านั้น”

“เอาล่ะ อย่ามามัวแต่คิดเพ้อเจ้ออยู่เลย” หวังเป่าเล่อตบบ่าของเซี่ยไห่หยาง ขณะกำลังจะเอ่ยคำพูดต่อ เขาพลันเปลี่ยนสีหน้าแหงนหน้ามองไปยังที่ว่างด้านหลังกายเซี่ยไห่หยางเข้า เขาเห็นสายรุ้งเหยียดยาวพุ่งเข้ามาจากระยะไกล

ภายในสายรุ้งนั้น มีเงาร่างคุ้นเคยสายหนึ่ง

“ไห่หยาง ข้ามีธุระส่วนตัวตรงนี้” เมื่อมองเห็นเงาร่างที่เคลื่อนเข้ามายิ่งใกล้นั้น หวังเป่าเล่อก็พลันเอ่ยปาก เซี่ยไห่หยางจงใจทำเป็นมองไม่เห็นผู้ที่มา เขาเข้าใจว่ายามใดควรวางตัวโดดเด่น ยามใดควรทำตัวเป็นคนตาบอดเสีย อย่างเช่นในเวลานี้ ในเมื่อหวังเป่าเล่อพูดเองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เช่นนั้นเขาก็รู้ว่าควรทำเช่นใด

ดังนั้นแล้วแม้สัมผัสได้ว่าด้านหลังมีคนมา แต่เขาก็ไม่หันศีรษะสักนิด เขามองหวังเป่าเล่อแล้วประสานมือ แล้วเดินจากไปตรงๆ ยังทิศที่ตนเองหันหน้าอยู่ ระหว่างนั้นเขาไม่หันศีรษะแม้แต่น้อย กระทั่งยังไม่ส่งประสาทไปลองสัมผัสดู

ทว่าทั้งตัวเขาที่จากไปแล้ว และหวังเป่าเล่อซึ่งยังคงยืนรอคนอยู่ตรงที่เดิมนั้น ล้วนไม่ทราบเลยว่า บทสนทนาอันเกี่ยวกับบันทึกพิลึกนั่นของพวกตนถูกพี่สาวตัวน้อยผู้อยู่ในชิ้นส่วนหน้ากากซึ่งลอยตัวอยู่เหนือหวังเป่าเล่อแอบได้ยินคำพูดพวกนี้ทั้งหมด ร่างกายนางสั่นสะท้านเล็กน้อย ดวงตาเผยประกายวาววามลึกล้ำ

“เหมือนกับว่า…ข้าคิดอะไรบางอย่างออกแล้ว ยังมีหกสิบแปดปี…แถมยังลืมไปส่วนหนึ่ง…”

ระหว่างที่พึมพำ พี่สาวตัวน้อยนั่งกอดหัวเข่าอยู่ตรงนั้น นางก้มหน้ามุดลงกลางเข่า เงาร่างของนางเผยกลิ่นอายเดียวดายและหลงทาง ความรู้สึกพวกนี้เข้มข้นนัก

ความสับสนไม่รู้เรื่องราวของพี่สาวตัวน้อยตรงนี้ หวังเป่าเล่อไม่เข้าใจนัก เขาในยามนี้แหงนหน้ามองเงาร่างที่กำลังเหาะเข้าใกล้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา

ผู้ที่มานั้นคือหญิงสาวคนหนึ่ง หลี่หว่านเอ๋อร์ซึ่งสวมหน้ากาก!

นางสวมชุดกระโปรงยางสีฟ้าลายเมฆาเคลื่อนคล้อย ผมสีดำประบ่า แม้ว่านางกำลังรีบมาแต่กระโปรงยาวของนางก็ไม่มีฝุ่นสักนิดและไร้รอยยับ นางยังคงดูสง่างามเหมือนเก่า ในเวลาที่นางเข้ามาใกล้หน่อยนั้น หวังเป่าเล่อก็มองเห็นดวงตางดงามของหลี่หว่านเอ๋อร์กำลังจ้องตัวเขาเช่นกัน เมื่อนางมาถึงเบื้องหน้าและยืนอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อ นางก็เอ่ยถามเสียงเบา “เจ้าน่าจะรู้แล้วใช่หรือไม่?”

“ข้ารู้แล้ว” คำพูดของหลี่หว่านเอ๋อร์ ผู้อื่นอาจจะฟังไม่เข้าใจ แต่ครั้นเมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที นี่คือการพูดว่า ตนเองทราบสถานะภาพของอีกฝ่ายแล้ว

“ท่านลุงหลี่สบายดี คนอื่นๆ เองก็สบายดียิ่ง ไม่ต้องกังวลไป” หวังเป่าเล่อคิดๆ แล้วก็เอ่ยปากเสียงเบา ในใจเขาซาบซึ้งนัก พูดให้ถูกต้องก็คือ ผู้หญิงตรงหน้าเขานี้คือผู้หญิงคนแรกในชีวิตแรกของเขา

เขาจำได้เสมอมาถึงยามแรกเริ่มซึ่งตนเองนั้นถูกอีกฝ่ายผลักดันในทุกๆ วิถีทาง…

ย้อนนึกถึงจุดนี้หวังเป่าเล่อก็อดคิดถึงภาพเมื่อขวบปีนั้นไม่ได้ นี่ทำให้เขาไอแห้งๆ เสียงหนึ่ง อดไม่ได้ที่จะมองดูหลี่หว่านเอ๋อร์

หลี่หว่านเอ๋อร์สังเกตเห็นชัด แต่ทำเป็นไม่ทราบ ได้แต่ยิ้มมองหวังเป่าเล่อแล้วกะพริบตา

“จั่วอี้ฟานเองดียิ่ง กงเต๋าเองก็สบายดีเช่นกัน”

หวังเป่าเล่อนิ่งไปครู่ ก่อนหน้านี้เขาสงสัยว่าจั่วอี้ฟานและกงเต๋าที่ไม่ได้กลับโลกนั้น บางทีอาจจะเหมือนหลี่หว่านเอ๋อร์ อาศัยสถานที่ที่ไม่รู้จักแห่งหนึ่งเดินทางไปยังสำนักดาราจันทร์

แต่ต่อให้ไม่ได้รับคำตอบ และต่อให้หลินโยวไม่ทราบเรื่อง ในเวลานี้ได้ฟังจากปากคำของหลี่หว่านเอ๋อร์แล้ว เขาก็เหมือนปลดหินก้อนยักษ์ที่ถ่วงใจลงได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นสิ่งร้ายหรือดีต่อสำนักดาราจันทร์

มองเห็นว่าหวังเป่าเล่อกำลังคิด หลี่หว่านเอ๋อร์เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปาก

“สำนักดาราจันทร์นั้นน่าจะไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อสหพันธรัฐ เพียงแต่พวกเขาค้นหาเรื่องหนึ่งมาตลอด เรื่องนี้สัมพันธ์กับระบบสุริยะอย่างยิ่งยวด ส่วนรายละเอียดข้าไม่รู้มากนัก รู้เพียงแค่ว่า…หลายปียากจะนับแล้ว ที่สำนักดาราจันทร์กำลังพิสูจน์คำตอบเรื่องหนึ่ง”

“คำตอบเรื่องใด?” หวังเป่าเล่อตะลึงไป

“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าคือสิ่งใด…แต่ว่าครั้งนี้ที่ข้ามานั้น นอกจากจะมาเพื่ออวยพรวันฉลองอายุแล้ว ยังมีอีกเรื่อง ผู้อาวุโสเพียงหนึ่งเดียวของสำนักดาราจันทร์นั้น ผู้อาวุโสดาราจันทร์ฝากให้ข้าถ่ายทอดคำพูดแก่เจ้าเรื่องหนึ่ง” หลี่หว่านเอ๋อร์มองหวังเป่าเล่อ ดวงตานางปิดความเร้นลับพิสดารนี้ไม่มิด

มองเห็นคำพูดนี้และสายตาเช่นนี้ หวังเป่าเล่อไม่ค่อยเข้าใจหลี่หว่านเอ๋อร์เท่าไร แต่สัญชาตญาณบอกเขาว่า อีกฝ่าย…แม้จะเป็นคนคนเดียวกับหลี่หว่านเอ๋อร์ในความทรงจำของตนเองแน่ๆ แต่ก็เหมือนมีบางอย่างไม่เหมือนกัน

“มีเรื่องจะบอกข้า? เรื่องอันใด?” ในใจหวังเป่าเล่อสังหรณ์ประหลาด เขาเงียบไปครู่ก่อนจะเอ่ยถาม

“ท่านผู้อาวุโสเชิญเจ้า ให้เจ้าไปพบเขาบนหน้าผาชมสวรรค์ ในวันที่สิบเก้าเดือนเจ็ดอีกหกสิบแปดปีให้หลัง!” หลี่หว่านเอ๋อร์เผยประกายลึกล้ำสายหนึ่งในดวงตา คำพูดที่เอ่ยมานี้แม้ฟังดูธรรมดา แต่เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยิน กลับก่อให้เกิดความสงสัยขุมหนึ่งซึ่งไม่จากหายไป

“เป็นเวลาอันเจาะจงเช่นนี้…” หวังเป่าเล่อค่อยๆ ขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าสิ่งนี้เหมือนจะมีปัญหา แต่ก็คิดไม่ออก เห็นชัดว่าหลี่หว่านเอ๋อร์คงไม่อธิบาย เช่นนี้เขาจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบ

“เป่าเล่อ มีบางเรื่องข้าเองก็ไม่เข้าใจ ดังนั้นแล้วจึงไม่อาจบอกเจ้าได้ แต่ข้าเชื่ออย่างหนึ่ง…ผู้อาวุโสไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อเจ้า เพียงแค่บางสิ่งนั้น เนื่องด้วยโชคชะตาอันพิเศษ จึงต้องมีคำเชิญอันแสนพิเศษเกิดขึ้น”

“ผู้อาวุโสเอ่ยว่า คำเชิญนี้ ไม่ว่าเจ้าจะยินยอมหรือไม่ ก็ไม่มีปัญหา” หลี่หว่านเอ๋อร์ลังเลนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปาก

“ข้ารู้แล้ว” หวังเป่าเล่อค่อยๆ ยิ้ม จากนั้นก็เก็บเรื่องนี้ไว้ในก้นบึ้งหัวใจ เขาสะกดความสงสัยลงไปเสียแล้วมองหลี่หว่านเอ๋อร์น่าเสียดายที่มีหน้ากากอยู่ เขาจึงมองไม่เห็นหน้าตาในความทรงจำนั้น เขาทำได้เพียงจดจำดวงตาของนาง หาความรู้สึกคุ้นเคยสายนั้น

แต่น่าเสียดาย การหาความรู้สึกคุ้นเคยนี้ เหมือนว่าจะค่อยๆ สลายไป

“เจ้าเหมือนจะเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนมากทีเดียว” หลังเงียบไปครู่ใหญ่ หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจ

เมื่อหลี่หว่านเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็นิ่งเงียบ นางไม่ได้เอ่ยคำใดกระทั่งหลังจากครู่หนึ่งผ่านไป งูยักษ์ใต้ฝ่าเท้าพวกเขาขยับเคลื่อน ท้องฟ้าเริ่มมืดลงและหลังจากที่ดวงจันทร์ฉายแสง เสียงของหลี่หว่านเอ๋อร์ก็ดังมาตามสายลม

“บางทีอาจเพราะโตขึ้นแล้ว ดังนั้นจึงมีบางสิ่งไม่เหมือนเดิม แต่ข้า…ก็ยังคงเป็นข้านะ” กล่าวจบ หลี่หว่านเอ๋อร์ก็โค้งกายคำนับให้หวังเป่าเล่อ หมุนกายจากไปเงียบๆ

และในบางทีอาจจะเป็นเพราะแสงจันทร์ หรืออาจจะเพราะบรรยากาศรอบๆ ตัว ในสายตาของหวังเป่าเล่อนี้ เงาร่างของนางดูเหงาหงอย และคล้ายจมอยู่กับภาระหนัก

“สำนักดาราจันทร์…” มองดูเงาหลังของนางแล้ว หวังเป่าเล่อก็พลันหรี่ตาเอ่ยเสียงเบา หลี่หว่านเอ๋อร์ที่เดินห่างออกไปแล้วชะงักกายครู่หนึ่ง นางพลันหันมามองหวังเป่าเล่อ ในดวงตานั้น หวังเป่าเล่อพบว่าประกายความคุ้นเคยที่สลายไปแล้วนั้นพลันย้อนกลับมาเจือความเข้มข้นอีกครั้ง ราวกับว่าในก้นบึ้งหัวใจนางและท่ามกลางก้าวย่างที่หันกายจากไปนี้ ตัวนางได้ทำการตัดสินใจบางสิ่งแล้ว ดังนี้ในจังหวะที่นางมองหวังเป่าเล่อนางก็ขยับริมฝีปากแล้วใช้น้ำเสียงเร้นลับถ่ายทอดประโยคหนึ่ง!

“เป่าเล่อ ประตูเขาของสำนักดาราจันทร์ มีคำพูดหนึ่งสลักอยู่ คำพูดนั้นก็คือ…แหงนศีรษะสามฉื่อมีเทพอยู่!”

……………………………………………..

ยามนี้ซึ่งสวี่อินหลินตัดสินใจทุกเรื่องได้แล้วนั้น ในเขตพิเศษแห่งหนึ่งของจักรพิภพดาราไม่รู้สิ้น สถานที่แห่งนี้ลักษณะเปรียบเสมือนทะเลมายาแห่งความว่างเปล่า ด้านในปรากฏแสงเรืองรอง งดงามเกินสิ่งใด

และในส่วนที่ลึกที่สุด มีลูกบอลแสงลูกหนึ่งลอยตามกระแสแห่งทะเลอยู่

หากมองไปจะพบว่าในลูกบอลแสงลูกนี้มีโครงกระดูกที่สวมชุดคลุมยาวเป็นสีรุ้งเจ็ดสีนั่งขัดสมาธิอยู่ แม้ร่างนี้จะเหี่ยวแห้งไปแล้วก็ยังพอมองออกว่าเป็นสตรี ในยามนี้หนังตาของสตรีโครงกระดูกผู้นี้พลันขยับและลืมขึ้นช้าๆ!

“นี่ถูกแล้ว…” เสียบแหบแห้งดังออกมาจากปากนั้น ร่างโครงกระดูกพลันส่องแสงสีดำขุมหนึ่ง

จังหวะนี้เอง บนท้องฟ้าแห่งดาวเคราะห์ชะตาบังเกิดเส้นรุ้งยาวสายหนึ่ง นั่นคือหวังเป่าเล่อผู้ที่เหาะนำอยู่และอยู่ตำแหน่งหน้าสุด ด้านหลังเขาตามติดมาด้วยเซี่ยไห่หยางและผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิง ในจังหวะที่พวกเขาเข้าสู่ดาวเคราะห์ชะตาและหวังเป่าเล่อมองเห็นภาพท้องฟ้าผืนดินนั้น เขาก็เห็นภาพของฟองอากาศลอยอยู่จำนวนมาก!

ฟองอากาศเหล่านี้กึ่งโปร่งแสง ดูไม่ออกว่ารูปลักษณ์พื้นผิวของพวกมันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ในตอนที่หวังเป่าเล่อมองเห็นผิวชั้นนอกของพวกมันนั้น ฟองอากาศสิบเจ็ดฟองพลันลอยเข้ามา ขยายขนาดตามระยะทางที่ใกล้ขึ้น พวกมันพุ่งมายังพวกหวังเป่าเล่อไม่หยุด ท่าทางคล้ายจะเข้าชน

“อาจารย์อา นี่คือหนึ่งในธรรมเนียมของดาวชะตา ทุกคนที่มาที่นี่จำต้องนั่งฟองอากาศของแผ่นดินนี้ถึงจะเข้าสู่เขตศูนย์กลางได้” เซี่ยไห่หยางรีบเอ่ยปาก เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินแล้วก็พยักหน้า แม้จะเคลื่อนพลังฝึกปรือเตรียมไว้แต่เขาก็ไม่ได้หลบ เขาปล่อยให้ฟองอากาศชนเข้ามาตรงๆ และในพริบตานั้นเอง กลุ่มของพวกเขาแต่ละคนถูกครอบอยู่ในฟองอากาศคนละใบ

หลังจากที่ฟองอากาศครอบตัวพวกหวังเป่าเล่อแล้ว มันก็เหมือนถูกลากด้วยพลังเร้นลับ พวกมันเปลี่ยนจุดหมายมุ่งไปยังเขตศูนย์กลางของดาวเคราะห์ชะตา จังหวะเดียวกันนี้ หวังเป่าเล่อเองก็มองเห็นเหล่าผู้ฝึกตนที่มาถึงดาวชะตาถูกฟองอากาศครอบไว้เหมือนกับตนเอง

หากว่าแหงนหน้ามองขึ้นมาจากบนพื้น ก็จะมองเห็นฟองอากาศจำนวนนับไม่ถ้วนราวกับดอกปุยฝ้ายไม่ปาน ค่อยๆ ลอยเคลื่อน เมื่ออยู่ในฟองอากาศหวังเป่าเล่อก็พบว่าตนไม่จำต้องเคลื่อนพลังฝึกปรืออีกต่อไป เขาสามารถยืนอยู่ในฟองอากาศเหมือนยืนอยู่บนผืนทวีปไม่ปาน ดังนั้นแล้วเขาจึงนั่งขัดสมาธิลงแล้วมองลงไปยังข้างล่าง

เขตพื้นที่ทั้งหมดของดาวชะตานี้ไม่ค่อยเหมือนกับสหพันธรัฐเท่าไร พื้นที่ส่วนมากนั้นเป็นสีแดง สสารดังกล่าวไม่ใช่ทั้งโคลนเลนหรือเนื้อศิลา แต่เหมือนทั้งผืนดินนี้เหมือนมีใครเอาสีแดงมาทาไว้ เมื่อทอดสายตาจะเห็นแต่สีแดงฉานไร้ที่สิ้นสุด

นอกจากนี้แล้ว กระทั่งพืชพรรณของที่นี่ยังเป็นสีแดง ลักษณะของพวกมันพิสดารยิ่ง บ้างก็เหมือนมนุษย์ บ้างก็มีขนาดใหญ่โตไม่สมกับขนาดของดาว แล้วยังมีพวกไม้เดี่ยวลำต้นเล็กยาวที่กิ่งก้านของมันใหญ่ประมาณพันจ้างได้ ทำให้คนที่เห็นรู้สึกว่าขนาดไม่เหมาะสมกันสักนิด

นอกจากนี้ยังแล้วสามารถเห็นชนเผ่าบางกลุ่ม ชนเผ่าที่ว่านี้เกรงว่าจะเป็นคนพื้นเมือง เหล่าผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ล้วนแต่ประหลาดเช่นเดียวกัน พวกเขานั้นมีดวงตาดวงเดียวแต่กลับมีสี่ขา

ส่วนบนท้องฟ้านั้นยังคงเป็นสีฟ้าที่หวังเป่าเล่อคุ้นเคย แต่สีของก้อนเมฆที่นี่กลับเป็นสีดำ สีดำนี้ไม่คล้ายกับสีของเมฆครึ้มฝนแต่เป็นสีดำสนิทซึ่งแต่งแต้มบนท้องฟ้า พอมองไปแล้วให้ความรู้สึกประหลาดและหดหู่อย่างมาก

แล้วยังมีเหล่าอสูรบินที่เหมือนรูปร่างเหมือนค้างคาวไม่ปานบินผ่านท้องฟ้ามาด้วยความรวดเร็วราวกับสายฟ้าแล่บ เมื่อมองดูคร่าวๆ ก็จะคิดว่าพวกมันเป็นสายฟ้าสีดำ

เหล่าอสูรบินที่รูปร่างคล้ายค้างคาวดำเหล่านี้ค่อนข้างจะกลัวฟองอากาศพวกนี้มาก ดังนั้นแล้วเมื่อเห็นฟองอากาศของหวังเป่าเล่อพวกมันจึงบินหลบอย่างรวดเร็ว

หากเป็นเช่นนี้ยังพอทำเนา แต่ในยามที่ฟองอากาศของพวกหวังเป่าเล่อกำลังลอยผ่านน่านฟ้าอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็เห็นชัดกับตาว่าในชั้นเมฆสีดำขนาดยักษ์ก้อนหนึ่ง พลันมีอุ้งมือยาวเต็มไปด้วยเกล็ดยื่นออกมาจากก้อนเมฆนั้นก่อนจะคว้าอสูรบินที่รูปร่างเหมือนค้างคาวฝูงหนึ่งเอาไว้ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องแหลมของเหล่าอสูรบิน พวกมันก็ถูกลากเข้าไปในชั้นเมฆไม่นานก็มีเสียงเคี้ยวดังออกมาอย่างรวดเร็ว

ฉากนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อมองแล้วลูกตาหดลีบ แม้ความสามารถของพวกอสูรบินจะไม่สูง แต่อุ้งมือในชั้นเมฆนี้ แค่มองพริบตาเดียว หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ทันทีว่าอีกฝ่ายมีพลังเหนือกว่าระดับดารานิรันดร์!

สิ่งที่เห็นทำให้หวังเป่าเล่อเกิดความยำเกรงในดาวชะตาและในเวลาเดียวกันก็รู้สึกพิลึกมากกว่าเก่า โดยเฉพาะหลายวันถัดมาที่ฟองอากาศลอยไปเรื่อยๆ และเขาได้เห็นอสูรยักษ์ดุร้ายจำนวนนับสิบตัวปรากฏบนผืนแผ่นดินนั้น ความรู้สึกยิ่งทวีความรุนแรง

เหล่าอสูรดุร้ายพวกนี้มีขนาดตัวใหญ่มาก แต่ว่าจมูกของพวกมันกลับสั้น ยามที่พวกมันยืนอยู่บนพื้น จะเห็นพวกมันเอาแต่แหงนหน้าคำรามสู่ฟากฟ้าไม่หยุด น้ำเสียงนี้เหมือนกำลังโหยไห้และในระหว่างที่พวกมันส่งเสียงครวญครางนี้ ฟองอากาศก็หลุดออกมาจากโพรงจมูกของพวกมัน ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าไปทั่วทิศ

เมื่อเห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อเองก็กะพริบตา เขารู้สึกว่าฟองอากาศเหล่านั้นเหมือนกับฟองอากาศที่ตนกำลังโดยสารอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว…

ในเวลาเดียวกัน เขาก็ยิ่งประจักษ์ถึงสาเหตุที่ทำให้เจ้าอสูรพวกนี้โหยหวน นั่นก็คือมีจุดพื้นที่หนึ่งบนผิวของอสูรร้ายพวกนี้กำลังหดตัวและขยายออกบางเวลา เมื่อมองให้ละเอียด ก็จะพบว่าปานดำเหล่านี้กลับเป็นเหล่าแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน พวกมันพากันกัดอสูรพวกนี้อย่างต่อเนื่องเป็นเหตุให้เหล่าอสูรร้ายกรีดร้องไม่หยุด

ตอนที่มองภาพนี้ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ หรี่ลง เขาไม่ได้เอ่ยสิ่งใด แล้วยิ่งคนอื่นๆ ก็ล้วนอยู่ในฟองอากาศจึงไม่อาจสนทนากันได้อยู่แล้ว ประกอบกับคนจำนวนมากเองก็เคยได้ยินความประหลาดเร้นลับของดาวชะตามาบ้าง ดังนั้นแล้วคนส่วนใหญ่จึงมีสีหน้าเป็นปกติ แต่ก็มีบ้างที่เป็นเหมือนหวังเป่าเล่อคือเป็นผู้ที่มาเยือนครั้งแรก คนเหล่านี้สีหน้าเปลี่ยนอยู่บ้าง

จนกระทั่งผ่านไปอีกสองวันให้หลัง ผืนทวีปด้านล่างนั้นก็พลันเปลี่ยนแปลง มันไม่เป็นสีแดงฉานอีกต่อไป แต่กลับผืนทวีปกลับกลายเป็นผืนทรายสีทอง ณ ตรงเขตแดนที่ทั้งสองสีตัดกันนี้ หวังเป่าเล่อก็ยิ่งได้เห็นภาพอันอัศจรรย์กว่าเก่า

ตรงเขตพื้นทรายระหว่างสีทองและสีแดงนั้น พื้นผิวกลับไม่ได้อยู่นิ่งๆ ผิวทวีปตรงนี้เคลื่อนไหวราวกับคลื่นทะเลไม่ปาน มีบางครั้งพื้นที่สีแดงจะมีขนาดใหญ่กว่าและในบางครั้งพื้นที่สีทองจะขยายได้มากกว่า เมื่อมองให้ละเอียดไปนั้น ผู้มองจะมองเห็นชัดว่านี่ผืนดินตรงนี้มิใช่ลักษณะคล้ายทะเลแต่เป็นเหล่ากองทรายพวกนี้กลับมีมือเท้าโผล่ออกมาได้เฉยๆ และทั้งสองฟากแผ่นดินกำลังฆ่าฟันกัน

ในกรณีที่ฝ่ายสีแดงกำชัยเหนือกว่า มันก็จะบุกรุกเข้าพื้นที่สีทอง เรื่องนี้เป็นเช่นเดียวกันกับอีกฝ่าย และเห็นชัดว่าการศึกของพวกมันตรงนี้ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดราวกับพวกมันต้องสู้กันไปจนนิรันดร์ พวกมันพยายามรุกคืบเข้าไปผลัดกันช่วงชิงผืนแผ่นดินทั้งสองฝ่าย…

“ดาวชะตานี่น่าสนใจ…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ตอนนี้ฟองอากาศเคลื่อนผ่านพื้นที่สีทอง เคลื่อนเข้าไปไกลในท้องฟ้า หวังเป่าเล่อก็มองเห็นงูยักษ์ซึ่งกำลังคืบคลานอยู่!

ขนาดของงูตัวนี้ พูดไปแล้วเกรงว่าจะมีขนาดหลายหมื่นจั้ง ร่างกายใหญ่โตของมันน่าตื่นตะลึงจนเหมือนกับผืนทวีปหนึ่ง แถมบนร่างของมันนั้นยังมีผืนแผ่นดิน ยอดเขา กระทั่งทะเลสาบขนาดเล็กอีกด้วย ในเวลาเดียวกันก็เห็นสิ่งก่อสร้างอยู่บนตัวมันจำนวนไม่น้อย

นอกจากนี้ยังสามารถพบเห็นเงาร่างของเหล่าผู้ฝึกตนปรากฏอยู่บนแผ่นหลังของเจ้างูตัวนี้ ในยามที่ฟองอากาศเข้าใกล้นั้น ผู้ฝึกตนบนหลังงูยักษ์เองที่มองเห็นภาพนี้ต่างก็ค่อยๆ หันมามอง

หวังเป่าเล่อที่อยู่กลางอากาศเองก็ก้มหน้าลงไปเช่นกัน เขากวาดตามองแล้วพลันเพ่งสายตาไปยังจุดหนึ่ง เขาสังเกตว่าบนหลังของงูยักษ์ด้านล่างนี้ ในบรรดาเหล่าผู้ฝึกตนถึงกับมีเงาร่างของผู้หญิงที่เขาคุ้นเคยอยู่!

สตรีผู้นี้สวมชุดยาวสีฟ้า อีกทั้งยังสวมหน้ากากสาวงามและในเวลานี้นางก็มองหวังเป่าเล่อเช่นกัน!

ในพริบตาที่สายตาทั้งสองสอดประสาน ฟองอากาศที่ห่อหุ้มตัวหวังเป่าเล่ออยู่นั้นก็เพิ่มความเร็วพุ่งมายังตัวงูยักษ์ ระดับความเร็วนี้เพิ่มขึ้นทุกที จนกระทั่งในพริบตานั้นก็ตามทันตัวงูยักษ์นี้ ในเวลาที่มันร่อนลงจอดนั้นฟองอากาศก็แตกออกทำให้เหล่าผู้ฝึกตนด้านในนั้นต่างก็ค่อยๆ ร่วงลงบนหลังงู!

หวังเป่าเล่อร่างกายโงนเงน ในพริบตาที่ฟองอากาศแตกนั้น หวังเป่าเล่อกำลังลอยอยู่บนยอดเขาสูงชันแห่งหนึ่งบนหลังงู เซี่ยไห่หยางที่ตามมาถึงติดๆ นั้นรีบเอ่ย

“อาจารย์อา ก่อนหน้านี้ข้าไม่อาจส่งกระแสจิตผ่านทางฟองอากาศได้เลย งูยักษ์ตนนี้ชื่อว่าเจี๋ยหลิน นับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตชั้นเดียวกับเทพวัวของอาณาจักรไฟ เป็นหนึ่งในสัตวอสูรดึกดำบรรพ์จำนวนสามสิบเก้าตัวของดาวเคราะห์ชะตา เส้นทางต่อแต่นี้ พวกเราจะโดยสารไปบนหลังงูยักษ์ ส่วนสถานที่ที่มันมุ่งไปนั้นก็คือสถานที่ฉลองอายุของผู้ศักดิ์สิทธิ์แดนสวรรค์นั้น”

“วันที่งูยักษ์ไปถึงก็คือวันที่พิธีฉลองอายุจะเริ่มพอดี ตามกฎที่มีมาแต่เดิม น่าจะประมาณครึ่งเดือนเห็นจะได้ พวกเราก็จะถึงยังงานพิธีแล้ว”

หวังเป่าเล่อได้ยินถึงตรงนี้ก็สูดลมหายใจยาว สัมผัสได้ว่าฝ่าเท้าด้านล่างนี้ ผืนดินเคลื่อนไปตามตัวงูยักษ์ หลังจากเขาสังเกตเห็นคลื่นความเคลื่อนไหวที่งูยักษ์แผ่ออกมาแล้ว ก็ยากจะปิดบังคามตะลึงบนหน้าได้

“เป็นตัวตนเช่นเดียวกับเทพวัว แถมยังมีตั้งสามสิบเก้าตัว? หากว่าผู้ศักดิ์สิทธิ์แดนสวรรค์ท่านนี้เป็นผู้หลอมวัตถุวิญญาณอย่างสมุดแห่งชะตาจริง เช่นนั้นสมุดแห่งชะตามีที่มาอย่างไรกันแน่?”

“บ้านตระกูลเซี่ยของข้า เนื้อหาในบันทึกโบราณท่อนหนึ่ง บันทึกไว้ได้คลุมเครือนัก อีกทั้งกระทั่งต้นตระกูลเราเองยังคิดว่าเชื่อบันทึกไม่ได้…” เซี่ยไห่หยางลังเลเล็กน้อย เขาเข้าใกล้หวังเป่าเล่อก่อนจะเอ่ย

“บันทึกนี้เล่าเอาไว้ว่า จักรวาลที่พวกเราอยู่นี้ ไม่ว่าจะเป็นสำนักแห่งความมืดในสมัยก่อนหรืออาณาจักรดาราไม่รู้สิ้นในปัจจุบัน จริงๆ แล้วเกิดขึ้นในอดีตกาล และถูกสมุดแห่งชะตาจดบันทึกไว้เท่านั้น”

“ซึ่งก็หมายความว่า พวกเรา…ล้วนไม่มีตัวตนอยู่ ท่านว่านี่มันน่าฉงนไหมเล่า” เซี่ยไห่หยางส่ายหน้า

……………………………………………..

“สวี่อินหลิงเก็บงำไว้ลึกเสียจริง!”

“หึ นังงูพิษ ใช้หน้าตาหลอกล่อให้คนคิดว่าอ่อนแอ ข้าเกลียดคนประเภทนี้ที่สุด!”

“เจ้าเล่ห์เสียจริง คิดๆ ดูแล้ว การกระทำก่อนหน้าทั้งหมดของสวี่อินหลิงก็เพื่อที่จะผลักหวังเป่าเล่อออกมาให้เป็นเป้าสายตาของพวกที่ละโมบดาวเคราะห์เต๋าให้เบนไปทางเขาให้หมด ส่วนตัวเองก็แอบพัฒนา…”

ภายใต้การบีบคั้นของหวังเป่าเล่อ สวี่อินหลิงไม่สามารถเก็บซ่อนพลังปราณต่อไปได้ ผู้ชมทั้งสี่ด้านล้วนเข้าใจเหตุผลในทันที ไม่เพียงพวกเขาเท่านั้น ผู้คนที่เฝ้ามองอยู่ที่ดาวชะตาต่างก็รับรู้ด้วยเช่นกัน

อันที่จริงกลอุบายของสวี่อินหลิงไม่ได้ฉลาดสักเท่าไร ไม่ใช่ว่าไม่มีใครมองออก เพียงแต่หากจะลงมือกับสวี่อินหลิงหรือหวังเป่าเล่อก็ต้องมีเหตุผลที่เพียงพอ

ดังนั้นผู้ที่มองออกจึงยอมให้สวี่อินหลิงเป็นคนปูทาง ทว่าตอนนี้ความแตกแล้วและเหตุผลนี้ก็ไม่ใช้ไม่ได้อีก จุดนี้สวี่อินหลิงเองก็รู้อยู่แก่ใจ ดังนั้นความโกรธเกลียดในใจนางตอนนี้จึงทะยานสูง ท่ามกลางเสียงดังสนั่นกับหวังเป่าเล่อในที่นี้ การต่อสู้จึงยิ่งรุนแรงขึ้น

ส่วนซุนหยางสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

แม้เขาจะต้องการเหตุผลในการลงมือต่อหวังเป่าเล่อ แต่ในใจกลับไม่ใด้ใส่ใจพลังต่อสู้ของสวี่อินหลิงสักเท่าไร เวลานี้สวี่อินหลิงลงมือโหดเหี้ยมไร้ผู้เปรียบ เขารู้สึกเพียงตอนนี้ใบหน้าแสบร้อน ความรู้สึกที่ถูกคนหลอกใช้ได้ทิ่มแทงจิตใจเขาอยู่ตลอดเวลา

“หวังเป่าเล่อพูดไว้ไม่มีผิด นี่มันคนต่ำช้า!” ในขณะที่ซุนหยางกำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เสียงดังสนั่นก็ได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ การลงมือของหวังเป่าเล่อกับสวี่อินหลิงได้ทำให้มวลคลื่นดาวเคราะห์เต๋ายิ่งขยายวงกว้าง ทำให้เขาต้องถอยหลังอย่างห้ามไม่ได้

จวบจนเสียงดังสั่นรุนแรงลอยออกมา สวี่อินหลิงกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ท่ามกลางเศษกระดาษปลิวว่อนจำนวนมากที่เกิดจากพลังเทพ ร่างกายเซถอยหลายก้าว แววตาฆ่าฟันวาบวับ มือขวายกวาดขึ้น เมื่อเสียงกระพรวนลอยแว่ว ดาวเคราะห์เต๋าด้านหลังพลันเด่นชัดขึ้น กฎพลังระเบิดขึ้นอีกครั้งเกิดเป็นระลอกคลื่นจำนวนมาก ในขณะที่กำลังกระจายไปรอบๆ เสียงสวี่อินหลิงพลันดังขึ้น

“วิถีกระดาษ”

หลังจากเสียงสะท้อน หลังจากกฎดาวเคราะห์เต๋าระเบิดขึ้น ร่างกายของสวี่อินหลิงก็ค่อยๆ กลายเป็นกระดาษ ส่วนที่เริ่มเปลี่ยนเป็นกระดาษส่วนแรกคือมือทั้งสองของนาง หลังการเปลี่ยนแปลงเป็นกระดาษมวลพลังของนางก็ทวีความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

เพียงพริบตาก็ราวกับขึ้นสู่ระดับสูง กลิ่นอายกล้าแกร่ง สั่นสะเทือนไปทั่ว นัยน์ตาหวังเป่าเล่อวาววับ ตั้งแต่เขาเป็นดาวพระเคราะห์ก็ต่อสู้กับคนอื่นมาไม่น้อย แต่เมื่อเทียบกับสวี่อินหลิงตรงหน้านี้ คู่ต่อสู้เหล่านั้นต่างเทียบไม่ติด!

ท้ายที่สุดก็เป็นเพราะสวี่อินหลิงนั้นเหมือนตัวเอง ต่างก็เป็นดาวเคราะห์เต๋าอีกทั้งการฝึกตนก็พัฒนาอย่างรวดเร็วราวกับอยู่ขั้นเดียวกับตน คือดาวพระเคราะห์ระดับกลาง

ดาวเคราะห์ระดับกลางที่ได้พลังหนุนจากดาวเคราะห์เต๋าสามารถบดขยี้ผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ได้เกินกว่าครึ่ง โดยเฉพาะตอนนี้ทื่สวี่อินหลิงได้แสดงเคล็ดวิชาลับสุดยอดออกมา นาทีนี้เมื่อมวลพลังระเบิดออกหวังเป่าเล่อท่าทีเคร่งขรึมขึ้น ขณะที่มือขวาเคลื่อนสูง เวทผนึกดาราอยู่ในร่างเคลื่อนที่ด้วยความเร็วทำให้แผนที่ดาวเทพวัวที่ด้านหลังเกิดเงาร่างมายาขึ้น

อีกทั้งยังมีบทสวดแห่งเต๋าไหลวนอยู่ภายใน เมื่อเห็นทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดใกล้ได้เวลาปลดปล่อย ทว่าในเวลานี้พลันมีเสียงราบเรียบลอยแว่วมาจากดาวชะตา

“พอได้แล้ว พวกเจ้าผู้เยาว์ทั้งสองหากจะสู้กันก็ไปสู้กันที่นอกดาวชะตา ไม่ต้องมาอวยพรวันเกิดประมุกฎสวรรค์แล้ว”

คำพูดนี้ราวกับบัญญัติกฎใหม่ เพียงพริบตาก็ทำให้อวกาศนอกดาวชะตาพลันสะท้าน มวลพลังอันน่าสะพรึงเข้ามาเยือนได้กลายเป็นการคุกคามล่องลงสู่สนามต่อสู้

ผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงดารานิรันดร์ทั้งหลายที่กำลังต่อสู้กันอยู่รอบๆ สีหน้าเปลี่ยนไป ภายใต้กลิ่นอายอันน่าสะพรึงกลัวต่างก้าวถอยอย่างอดไม่อยู่ไม่กล้าสู้กันต่อ ทางสวี่อินหลิงกับหวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน เมื่อถูกกลิ่นอายนี้กดดันเงาร่างเทพวัวที่ด้านหลังพลันสั่นคลอน แต่ดาวเคราะห์เต๋าที่เกิดจากดาวบรรพกาลเก้าดวงกลับทะเล้นลองดีคล้ายกับลอยขึ้นตามสัญชาตญาณไม่ยอมถูกกดขี่ อยากจะระเบิดพลังต่อต้านพิชิตชัย

เพียงแต่หวังเป่าเล่อเป็นนายของดาวเคราะห์เต๋าควบคุมการเคลื่อนไหว ดังนั้นภายใต้ความนึกคิดดาวเคราะห์เต๋าก็หายวาบไปในทันที เวทผนึกดาวก็กระจายหายไปเช่นกัน ยืนกำหมัดประสานมือจากตำแหน่งเดิมหันคารวะไปทางที่มาของกลิ่นอายและถ้อยคำจากดาวชะตา

“เป็นผู้เยาว์ที่หุนหันล่วงเกิน ผู้อาวุโสโปรดอภัย!” กล่าวจบ หวังเป่าเล่อก้มศีรษะลงแต่หางตากลับปรายมองสวี่อินหลิงฉายแววลุ่มลึก เขารู้ดีว่าจะฆ่าสวี่อินหลิงที่นี่นั้นเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นก่อนหน้าดูเหมือนลงมือรุนแรงแต่ความจริงคือกำลังเฝ้าสังเกตดาวเคราะห์เต๋าของอีกฝ่าย

เขาจำได้ว่าดาวเคราะห์เต๋าของสวี่อินหลิงไม่เหมือนกับของตัวเองเป็นการอัญเชิญที่มาจากการละทิ้งอำนาจการควบคุมของตัวเอง ดังนั้นจะควบคุมให้สงบลงตามต้องการได้หรือไม่ นั่นเป็นอีกเรื่อง

และความจริงก็เป็นเช่นนี้ แทบเป็นเวลาเดียวกับที่หวังเป่าเล่อถอนพลังกลับสลายดาวเคราะห์เต๋า ด้านสวี่อินหลิงร่างกายสั่นเทารุนแรง นางกำลังกดพลังลงทว่ารู้สึกยากจะรับไหว นางอยากจะสลายดาวเคราะห์เต๋าไปเช่นกัน แต่ดาวเคราะห์เต๋าของนางช่างหยิ่งทะนงเหลือเกิน

ความทะนงตนเช่นนี้มีหรือจะยอมให้ผู้อื่นบีบบังคับ ดังนั้นไม่เพียงไม่สลายตัวตามความต้องการของสวี่อินหลิง แสงสว่างกลับเรืองรองยิ่งกว่าเก่า

นี่ทำให้สวี่อินหลิงสีหน้าเปลี่ยนไป ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงพ่มลมเย็นชาแว่วมาจากทางดาวชะตา ในขณะที่เสียงลอยแว่วมา ระหว่างที่อวกาศบิดหมุนก็เกิดฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งที่เกิดจากดาวชะตาพุ่งมามายังสวี่อินหลิงก่อนคว้าจับไป!

การปรากฏของมือนี้ทำให้ผู้คนนอกอวกาศไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนระดับใดต่างสั่นสะท้านใจราวกับหัวใจถูกบางอย่างคว้าไว้ สูญสิ้นเรี่ยวแรงต่อสู้

“ผู้อาวุโส!!” เป็นครั้งแรกที่สวี่อินหลิงเผยแววตาหวาดกลัวอย่างรุนแรง นางรู้ดีว่าการลงมือนี้ดาวเคราะห์เต๋าอาจไม่เป็นอะไร แต่ตัวนางเองไม่มีทางทนไหว อันตรายอยู่ตรงหน้านางกัดลิ้นอย่างรุนแรงพ่นเลือดออกมาคำหนึ่ง ไม่ลังเลที่จะใช้วิชาลับเพื่อบังคับเก็บดาวเคราะห์เต๋า

บางทีอาจเป็นเพราะวิชาลับของนางได้ผลอยู่บ้างหรือบางทีอาจเป็นเพราะดาวเคราะห์เต๋าที่หยิ่งทะนงของนางก็ไม่ยินยอมที่จะให้ร่างที่ใช้นี้ตายด้วยเหตุนี้ ดังนั้นภายใต้ความไม่เต็มใจที่ตีกันอยู่ ดาวเคราะห์เต๋าจึงสลายไป!

เมื่อสลายหายไป มือใหญ่ที่มาจับนั้นก็ค่อยๆ เลือนลางก่อนหายไปท่ามกลางสายตาของผู้คน แรงกดดันที่นอกอวกาศก็มลายหายตามไป

หวังเป่าเล่อหรี่ตามองสวี่อินหลิงทีใบหน้าซีดขาวก่อนส่ายหน้าน้อยๆ

“เดิมทีก็ถูกควบคุมอยู่แล้วกอรปกับเป็นทาสของดาวเคราะห์เต๋า มีดาวเคราะห์เต๋าเป็นนาย เผชิญหน้ากับการควบคุมไม่ได้ตลอดเวลาอีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะถูกทิ้งเปลี่ยนคนรับใช้ใหม่ สวี่อินหลิงเอ๋ยสวี่อินหลิง เจ้าใช้ชีวิตให้ดีเถอะ อย่าได้มาหาเรื่องข้าอีก!” หวังเป่าเล่อเอ่ยเรียบๆ ไม่สนใจสวี่อินหลิงอีก ไหวร่างกายเคลื่อนไปยังดาวชะตา เซี่ยไห่หยางตามอยู่ด้านหลังเบนหน้ามองสวี่อินหลิงไม่พูดอะไร

เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงทั้งหลายก็เช่นกัน ตรงเข้าสู่ดาวชะตาด้วยความรวดเร็ว ส่วนดารานิรันดร์คนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปอยู่ช้างนายน้อยของตน ทางด้านซุนหยางก่อนที่จะไปก็ได้หันมองมาทางสวี่อินหลิงเช่นกัน เพียงแต่นัยน์ตาเขาได้ฉายแววเยียบเย็น เห็นได้ชัดว่าได้เกลียดสวี่อินหลิงเข้ากระดูกดำแล้ว

สำหรับคนอื่นๆ จากนอกอวกาศที่เฝ้ามองฉากต่อสู้นี้ก็ทยอยกลายเป็นลำแสงแดงยาวบินไปยังดาวชะตา มีเพียงสวี่อินหลิงและผู้คุ้มครองนางที่รวมตัวกันมาจากทุกสารทิศ แต่ละคนนิ่งเงียบไม่พูดจามองสวี่อินหลิงที่ตอนนี้สีหน้าเบี้ยวบูด ยืนอยู่ด้านหลังนางไม่รู้จะพูดอะไรดี

“หวังเป่าเล่อ!!” สิ้นเสียง สีหน้าสวีอินหลิงค่อยๆ กลับคืนเป็นปกติ นัยน์ตาปรากฎความโกรธเกลียดวาบผ่าน

นางเกลียดที่หวังเป่าเล่อมองตัวเองออกทะลุปรุโปร่งรวมทั้งที่ตนถูกดาวเคราะห์เต๋าควบคุม ตัวเองมีสภาพที่ไม่มั่นคง ที่นางอิจฉาคือเพราะเหตุใดดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อถึงยอมตามใจเจ้านาย ส่วนดาวเคราะห์เต๋าของตัวเองกลับต้องการให้ตัวเองสละละทิ้งทุกอย่างวิงวอนถึงยอมหลอมรวมเข้ากับตน

“อาจารย์จื่อเยว่กล่าวไว้ไม่ผิด บนโลกนี้มีสิ่งไม่ยุติธรรมอยู่เยอะมาก หากอยากหลุดพ้น อยากบงการชีวิตของตน ทางเดียวคือการฝังเมล็ดพันธุ์!” สวี่อินหลิงปิดตาลงหยิบแผ่นหยกสีม่วงออกมาจากกำไลเก็บของ ลูบคลำอยู่ในมือ

“แม้ข้าอาจจะมีอันตรายใหญ่หลวง แต่ว่าข้ายังต้องการปลูกเมล็ดพันธุ์ต่อไป!”

……………………………………….

หวังเป่าเล่อนัยน์ตาวาบวับ ตามติดไปทันควัน ซุนหยางกับคนอื่นๆ สีหน้าเปลี่ยนไป คิดจะขึ้นขวางแต่เซี่ยไห่หยางไหวร่างไปปรากฏตรงหน้าซุนหยางในทันใด มือขวายกขึ้นกดลงกลางอากาศ

“อาจารย์อาสิบหกกำลังลงมือ สหายซุน ยังไม่ถึงตาเจ้านะ”

“เซี่ยไห่หยาง!” ซุนหยางแววตากรุ่นโกรธ แต่สิ่งที่ตอบกลับกลับเป็นสายตาเยียบเย็นของเซี่ยไห่หยาง

และในขณะที่ทั้งสองกำลังเผชิญหน้ากัน ผู้คุ้มครองของกลุ่มซุนหยางก็รีบตามมาด้วยความรวดเร็วก่อนถูกเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงเข้าขัดขวาง ต่างเข้าปะทะกันเกิดเสียงดังกัมปนาทขึ้นรอบๆ บริเวณ

ส่วนหวังเป่าเล่อในเวลานี้ก็ตามทันเจ้าหนุ่มหน้าม้าที่กระอักเลือดนั่นได้แล้ว ระเบิดพลังฆ่าฟันขึ้นข่มขวัญ ขณะที่ตั้งท่าจะลงมืออีกครั้ง หนุ่มหน้าม้าในใจเต็มไปด้วยความโกรธและคับแค้นใจ

อารมณ์ทั้งสองนี้ไม่ได้มีต่อหวังเป่าเล่อแต่เป็นซุนหยาง เพราะเขารู้สึกไม่เป็นธรรม เนื่องจากคนตัวตั้งตัวตีคือซุนหยาง แต่ตอนนี้คนที่โดนกลับเป็นตัวเอง ดังนั้นเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อฉายแววฆ่าฟัน หนุ่มหน้าม้าก็ตะโกนออกมาทันควัน

“ข้าขอโทษ!!”

“แบบนี้สิถึงจะน่ารัก” เมื่อเสียงหวังเป่าเล่อลอยขึ้นมา เงาร่างเขาก็หายวับไปจากหนุ่มหน้าม้าทันที ก่อนปรากฏตัวขึ้นที่ข้างกายมหาศิษย์แห่งเต๋าอีกคน พร้อมเสียงหมัดรุนแรง

และก็กระอักพ่นเลือดออกมาเช่นกัน ร่างกายหมุนตลบไปเช่นกัน สำหรับพวกเขาแล้วความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อได้เกินขีดที่พวกเขาจะรับไหวแล้ว แต่ละคนล้วนรีบเปิดปากเอ่ยขอโทษขึ้นฉับพลัน

แม้จะรักษาหน้าตาจะเป็นเรื่องใหญ่แต่เมื่อเผชิญกับความโหดของหวังเป่าเล่อ อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้นำของเรื่องนี้ ดังนั้นเรื่องการขอโทษสำหรับพวกเขาแล้วไม่ใช่เรื่องที่จะรับไม่ได้

และการเอ่ยปากของพวกเขาแต่ละคนก็ทำให้สีหน้าซุนหยางยิ่งอึมครึมจนถึงขีดสุด ปราณระเบิดหมุนวน สายตาจ้องมองเซี่ยไห่หยางตรงหน้าก่อนเคลื่อนมองไปยังหวังเป่าเล่อ

“หวังเป่าเล่อ เช่นนี้ก็ดี ข้ากับเจ้า…”

“เสียงดังวุ่นวายจริงๆ ใช่ไหม เสี่ยวหลิงหลิง?” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว มองไปยังสวี่อินหลิงที่ประมือกันก่อนหน้า ตอนนี้ยังถอยหลังไม่หยุด

เมื่อถูกเขาปรายตามอง สวี่อินหลิงพลันชะงักเท้า ใบหน้าซีดขาว สายตาที่จับจ้องหวังเป่อฉายแววซับซ้อน

“ข้าว่านะ สวี่อินหลิง เจ้าเสแสร้งแบบนี้ไม่เหนื่อยหรือไง? คนอื่นไม่รู้จักเจ้าดี แต่ข้าคิดว่าข้ารู้นะ” ระหว่างมองสวี่อินหลิงที่ท่าทางอ่อนแอเปราะบาง หวังเป่าเล่อก็เผยยิ้มเย็นขึ้นบนใบหน้า ไหวร่างคราหนึ่ง เมินซุนหยางอีกครั้งพุ่งหาสวี่อินหลิง รวดเร็วฉับไว ในพริบตาที่เข้าใกล้ หวังเป่าเล่อไม่ยั้งมือเผยดาวเคราะห์บรรพกาลเก้าดวงขึ้นด้านหลัง ในขณะที่กลายเป็นดาวเคราะห์เต๋า กฎเก้าประการก็ได้ปะทุขึ้น!

ผสานเป็นแสงทะเลเก้าสี คลื่นยักษ์เคลื่อนซัดไปยังสวี่อินหลิง

ซุนหยางที่เดิมทีเตรียมตั้งรับจะสู้กับหวังเป่าเล่อสักครา ในเวลานี้ได้ถูกละเลยอีกครั้ง เขาร่างกายสั่นเทาขึ้นทันใด สีหน้ายิ่งดูย่ำแย่ การถูกเมินเช่นนี้เป็นการเหยียดหยามมหาศิษย์แห่งเต๋าอย่างเขาที่สุด

“หวังเป่าเล่อ!!” ซุนหยางตะโกนโกรธจะบุกเข้าไป แต่เซี่ยไห่หยางกลับยิ้มน้อยๆ เข้าขวางอีกครั้ง ทำให้ซุนหยางราวกับเป็นตัวตลก ทำได้แค่กระโดดไปมา ในขณะที่เขากำลังลุกลี้ลุกลนอยู่ตรงนี้ เมื่อหวังเป่าเล่อลงมือ ตามด้วยระเบิดแสงทะเลเก้าสี เสียงกัมปนาททะยานขึ้นสูงจากกลางแสงทะเล

แสงทะเลผืนนั้นได้กลายสภาพเป็นกระดาษในทันตา พลังเทพทั้งหมดล้วนมลายหายไป ในขณะที่กำลังแผ่ไปทั่วบริเวณ ด้านในก็ปรากฏร่างสวี่อินหลิงที่ราวกับหลอมรวมกับนกยูงที่นั่งอยู่ขึ้น!

ใบหน้านางราวกับสักลวดลายนกยูง นกยูงนี้ได้ขึ้นเต็มทั่วร่าง ทำให้สวี่อินหลิงในเวลานี้ดูพิลึกพิสดารที่สุด และด้านหลังนางยังปรากฏดาวเคราะห์เต๋าขึ้นเพื่อบีบคั้นหวังเป่าเล่อ เผชิญหน้ากับดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อ!

ท่ามกลางเสียงดังสนั่น ระลอกคลื่นที่เกิดจากทั้งสองระเบิดดาวเคราะห์เต๋าขึ้นก็ได้ปะทะชนกัน ในขณะที่เกิดเสียงกัมปนาทขึ้น สวี่อินหลิงกระอักเลือดคำโต ถอยหลังซวนเซ สีหน้ากล้ำกลืน

“หวังเป่าเล่อ ข้าผิดไปแล้ว ระหว่างข้ากับเจ้าไม่จำเป็นต้องทำขนาดนี้…”

“ยังจะแสดงต่ออีกรึ?” หวังเป่าเล่อประกายอาฆาตวาบวับ พุ่งออกไปอีกครั้ง ภายใต้แรงเสริมจากดาวเคราะห์เต๋า กฎดาวเคราะห์เต๋าเก้าดวงผสานกลายเป็นมือขนาดใหญ่ พุ่งออกไปอย่างรุนแรงอีกครั้ง

ขณะที่เสียงดังสนั่นสะท้อนก้อง สวี่อินหลิงพยายามหลบหลีก ขณะที่กระอักเลือด ดูน่าเวทนา

“ข้าไม่ได้หลอกเจ้า หวังเป่าเล่อ ข้ารู้ว่าแต่ไหนแต่ไรเจ้าต้องการชิงดาวเคราะห์เต๋าข้าให้ดาวเคราะห์เต๋าเจ้าสมบูรณ์แล้วจะได้เข้าสู่ระดับดารานิรันดร์และกลายเป็นดารานิรันดร์เต๋าสวรรค์ที่หาตัวจับได้ยาก แต่ข้าสู้เจ้าไม่ได้จริงๆ และก็ไม่มีทางชนะเจ้าได้ แต่เจ้าไม่ต้องฆ่าข้า ข้าสามารถผสานปราณแห่งเต๋าช่วยเจ้าได้เหมือนกันนะ!”

“ข้ายอมรับว่าที่ข้าทำไปก่อนหน้าทั้งหมดก็เพื่อจะจัดการเจ้า แต่ข้าก็ทำไปเพื่อปกป้องตัวเองเพื่อที่ระหว่างเราจะได้ไม่มีเรื่องเช่นนี้ เพื่อหลีกหนีการเข่นฆ่า”

“เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจของข้า ข้ายินดีมอบโลหิตวิญญาณให้ แบบนี้เจ้าจะยอมเชื่อข้าสักครั้งได้ไหม” ในขณะที่สวี่อินหลิงคร่ำครวญ ในระหว่างที่กระอักเลือดเซถอย มือขวายกขึ้นกรีดลงหว่างคิ้ว ของเหลวสีทองหยดหนึ่งที่คล้ายจริงคล้ายภาพจำลองพลันลอยออกมากในพริบตา แผ่พลังวิญญาณไปยังหวังเป่าเล่อ

นี่ก็คือโลหิตวิญญาณ หากวันใดถูกควบคุมเข้า ถ้าโดนทำลายก็จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเจ้าของ สำหรับเหล่าผู้ฝึกตนหากไม่ถึงทางเลือกสุดท้ายจริงๆ ก็ไม่มีใครยอมมอบให้ เพราะสำหรับผู้ที่มีโลหิตวิญญาณอยู่ในกำมือก็เท่ากับได้อำนาจควบคุมเบ็ดเสร็จทั้งหมดแล้ว

และโลหิตวิญญาณนี้ก็มีพลังแห่งเต๋าของสวี่อินหลิงรวมอยู่ด้วยเป็นของจริงแน่นอน ในเวลาเดียวกันก็ทำให้ผู้ชมทั้งหลายจำนวนไม่น้อยจิตใจสั่นไหวเกิดความละโมบขึ้น แม้จะถูกการต่อสู้ระหว่างดารานิรันดร์กันไว้ให้อยู่รอบนอก แต่ก็ยังคงค่อยๆ เข้าใกล้..Aileen-novel

ทางด้านซุนหยางยิ่งนัยน์ตาลุกโชน แม้ดาวเคราะห์เต๋าของสวี่อินหลิงจะสู้ของหวังเป่าเล่อไม่ได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ยังเป็นดาวเคราะห์เต๋า!

แม้แต่หวังเป่าเล่อเองตอนนี้ก็สีหน้าเคร่งขรึมราวกับถูกการกระทำของสวี่อินหลิงทำให้สั่นคลอน เกิดความลังเลลงมือไม่เหมือนก่อนหน้า ยกมือขวาขึ้นคว้าโลหิตวิญญาณ

เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อคว้าโลหิตวิญญาณไป สวี่อินหลิงก็โล่งอก นัยน์ตาฉายแววรอดตาย แต่ความขมขื่นกลับแสดงออกชัดขึ้นกว่าเดิม ขณะที่กำลังจะเอ่ยพูด

ในวินาทีนั้นหวังเป่าเล่อพลันยิ้มออกมา มือขวาที่คว้าจับโลหิตวิญญาณพลันออกแรงเต็มที่ เสียงดังสนั่นขณะบดขยี้โลหิตวิญญาณ!

สวี่อินหลิงตกตะลึงอย่างชัดเจน ก่อนกรีดร้องโหยหวนขึ้น กระอักเลือดก่อนร่างกายเซถอยอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อนัยน์ตาเย็นเยียบ

“สวี่อินหลิงเอ๋ยสวี่อินหลิง ถึงตอนนี้แล้วเจ้ายังจะแสดงต่อไปอีกล่ะก็ เจ้าอาจจะตายด้วยมือข้าจริงๆ แล้วนะ!” หวังเป่าเล่อกล่าวพลางระเบิดพลังอย่างรวดเร็ว ขณะที่ดาวเคราะห์เต๋าเป็นแรงหนุนก็ลงมืออีกครั้ง ครั้งนี้เฉียบขาดยิ่งกว่า ผสานเป็นนิ้วหมอกเมฆากดไปยังสวี่อินหลิงในทันที

“หวังเป่าเล่อ!!” เมื่อเห็นเช่นนี้ ขณะที่สวี่อินหลิงสีหน้าย่ำแย่ ในพริบตานั้นสายตาอาฆาตก็เผยขึ้นในดวงตา มวลพลังพลันระเบิดปะทุขึ้นในพริบตา ไม่ใช่แค่จำนวนเล็กน้อยแต่ระเบิดขึ้นหลายเท่าตัวสูงกว่าพลังของซุนหยางและก็สูงกว่าผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ ณ ที่แห่งนี้ทุกคน ทุกคนยกเว้นหวังเป่าเล่อ!

กระทั่งในบางคราก็พอฟัดพอเหวี่ยงกับหวังเป่าเล่ออยู่เช่นกัน ดาวเคราะห์เต๋าด้านหลังนางก็ได้เปล่งแสงเรืองรอง

“ต้องแบบนี้สิ แบบนี้ถึงจะเป็นแม่นางกระพรวนที่อยู่ในความทรงจำข้า!” หวังเป่าเล่อหัวเราะ ในช่วงที่กำลังเข้าใกล้นั้นทั้งสองไม่รีรอ เข้ามาปะทะกันทันที เกิดระลอกคลื่นอันน่าสะพรึงและสิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจที่สุดก็คือในระลอกคลื่นนี้มีกฎแห่งกระดาษแผ่กระจายออกมา!

ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่มีถึงสอง!

ดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อในเวลานี้เมื่อโคจรรอบหนึ่ง นอกจากกฎเก้าประการแล้ว ในดาวเคราะห์เต๋าก็พลันปลดปล่อยกฎแห่งกระดาษ หลังการลงมือสิ่งที่ตามมาคือบริเวณโดยรอบของเขากับสวี่อินหลิงไม่ว่าจะเป็นพลังเวทหรือกระบวนเวทล้วนแปรสภาพเป็นกระดาษในทันตา ระเบิดขึ้นไม่หยุดหย่อน กระจัดกระจายไปทั่วจนทำให้รอบด้านเต็มไปด้วยเศษกระดาษที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ!

ภาพพิสดารเช่นนี้ทำให้ทุกคนตาค้าง ในขณะที่จ้องมองพลังแห่งดาวเคราะห์เต๋า ในใจก็อกสั่นขวัญแขวน สวี่อินหลิงในเวลานี้แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้าเยอะมาก เยอะมากจริงๆ !

ซุนหยางก็ตะลึงตาค้าง ในใจสั่นไหว ในความทรงจำของเขาแม้จะมีดาวเคราะห์เต๋าแต่ไม่ว่าอย่างไรสวี่อินหลิงก็เพิ่งจะเข้ามายังดาวพระเคราะห์ได้ไม่นาน ไม่น่าจะแข็งแกร่งได้ขนาดนี้!

แต่ดูจากตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าความคิดก่อนหน้านั้นถือว่าไม่จริง แม้กระทั้งโลหิตวิญญาณเมื่อครู่นั่นก็ไม่ใช่ของจริง!

ความจริงก็เป็นเช่นนี้ สวี่อินหลิงได้ใช้ความอ่อนแอปกปิดมาโดยตลอด แอบพัฒนากฎแห่งเต๋าต่างๆ ของตน ในเวลาเดียวกันก็คอยชักจูงให้ผู้คนเบนความสนใจไปที่หวังเป่าเล่อ ตัวเองกลับเผยความอ่อนแอ

ทว่าตอนนี้ แผนการณ์ทุกอย่างของนางปกปิดต่อไปไม่ได้แล้ว และนี่ก็เป็นจุดประสงค์ของหวังเป่าเล่อ แทนที่จะแบกรับความโลภและความฝังใจของคนภายนอกทั้งหลายคนเดียวมิสู้สองคนช่วยกันแบกรับจะดีเสียกว่า

……………………………………….

“ทุกคนชื่นชอบข้าขนาดนี้เชียว” หวังเป่าเล่อมองซุนหยางที่อยู่เบื้องหน้า มองเรือบินที่เฝ้าชมอยู่รอบๆ รับรู้ได้ถึงสายตาจำนวนมากที่จ้องมองมาจากจิตวิญญาณดาวชะตาอีกครั้ง ใบหน้าระเรื่อสีขึ้นทีละน้อย ฉายแววขวยเขินพลางมองไปยังสวี่อินหลิง

สวี่อินหลิงที่เดิมทีพึงพอใจกับการกระทำครั้งนี้ของตัวเองไม่น้อย นางรู้ดีว่าตัวเองกำลังทำอะไร เป้าหมายก็เพื่อหยิบยื่นข้ออ้างให้แก่ผู้ที่ละโมบดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อเท่านั้น

สำหรับตัวนาง แม้จะเป็นดาวเคราะห์เต๋าและเสี่ยงที่จะถูกผู้คนเพ่งเล็งด้วยเหมือนกัน นี่จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ช่วงนี้นางจงใจหาเรื่องหวังเป่าเล่ออย่างเต็มที่ จากโอกาสหนแล้วหนเล่านางก็ไม่พลาดที่จะบอกใบ้ว่าดาวเคราะห์เต๋าของตนนั้นถูกหวังเป่าเล่อควบคุมไว้หมดแล้ว

ของที่ตนมีนั้นไม่ได้ดีที่สุด ที่ดีที่สุดนั้นอยู่ที่หวังเป่าเล่อ ดังนั้นต่อให้ได้ดาวเคราะห์เต๋าของตนไปแต่ก็ต้องเผชิญหน้ากับหวังเป่าเล่ออยู่ดี ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไม่สู้ตั้งเป้าไว้ที่หวังเป่าเล่อจะดีเสียกว่า

ซึ่งก็ได้ผลจริงๆ สายตาที่เพ่งเล็งมาที่นางลดน้อยลงไปมาก นับว่าประสบความสำเสร็จให้ผู้อื่นรับกรรมแทน ตอนนี้เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อกลายเป็นเป้าหมายของผู้คนและไม่ว่าเขาจะผ่านพ้นมันไปได้หรือไม่ ก็ถือว่าจุดประสงค์ของตนสำเร็จลุล่วงเรียบร้อยแล้ว แต่หลังจากที่ได้เห็นแววตาที่ฉายแววขวยเขินของหวังเป่าเล่อเข้า สวี่อินหลิงพลันรู้สึกไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไร

ไม่รอนางเอ่ยช่วย หวังเป่าเล่อพลันถอนหายใจยาว

“ช่างเถอะๆ ในเมื่อทุกคนเห็นดีเห็นงามข้ากับอินหลิงขนาดนี้ งั้น…” หวังเป่าเล่อกระแอมไอเสียงดัง ประสานมือคารวะแก่เรือบินของตระกูลต่างๆ ก่อนหันคารวะไปยังดาวชะตา

“สหายเต๋าทุกท่าน ผู้อาวุโสดาวชะตาทุกท่าน วันนี้รบกวนทุกท่านเป็นพยาน ข้าและอินหลิง เหตุเพราะดาวเคราะห์เต๋านำพา ต่างพึงใจกันเป็นเวลานาน”

คำพูดนี้ลอยออกมา สีหน้าสวี่อินหลิงก็เปลี่ยนไปทันใด ซุนหยางก็อึ้งไปเช่นกัน มหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นๆ สีหน้าล้วนค่อยๆ แปรเปลี่ยนตาม ส่วนเสียงของหวังเป่าเล่อยังคงลอยก้องอยู่เช่นเดิม

“เพียงแต่ข้ายอมรับว่าเป็นคนลอยไปลอยมา ทนไม่ได้ที่จะทำร้ายจิตใจของอินหลิงให้นางขื่นขมจมอยู่กับรักข้างเดียว ดังนั้นจึงได้ปฏิเสธไป แต่ดูจากตอนนี้เป็นข้าเองที่ประมาทความเพียรของผู้ฝึกตนร่วมรุ่นไป วันนี้ข้าขอโทษอินหลิง อินหลิงข้าไม่ควรปฏิเสธใจที่เจ้ามอบให้ ข้าตกลงแล้ว!” หวังเป่าเล่อสีหน้าจริงจังราวกับเป็นลูกผู้ชายที่กลับตัวได้แล้ว ทว่าคำพูดเหล่านี้กลับทำให้สีหน้าสวี่อินหลิงเปลี่ยนไปจนถึงที่สุด หากก่อนหน้านี้ผู้คนไม่ได้ให้ความสนใจ หวังเป่าเล่อพูดแบบนี้ถือว่าตรงกับแผนการณ์ของตนอยู่

สามารถสร้างความแคลงใจให้แก่คนอื่นๆ จากนั้นก็ใช้ความหึงหวงเป็นข้ออ้างได้ ทว่าตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป อีกทั้งนางยังมีลางสังหรณ์ว่าสิ่งที่หวังเป่าเล่อจะพูดไม่ได้มีเพียงเท่านี้แน่นอน

เป็นไปตามคาดจริงๆ เมื่อหวังเป่าเล่อพูดถึงตรงนี้ เสียงลมหวีดหวิวเผยกลิ่นอายวางอำนาจจางๆ

“อินหลิง นับแต่นี้ไป ใครกล้าคิดจะยุ่งดาวเคราะห์เต๋าในตัวเจ้าก็ต้องถามข้าหวังเป่าเล่อว่ายินยอมหรือไม่ หากข้าไม่ยอมต่อให้เง็กเซียนก็แตะดาวเคราะห์เต๋าของเจ้าไม่ได้แม้แต่ปลายนิ้ว!”

“นอกเสียจากว่าข้ายินยอม…แค่กๆ เสี่ยวหลิง มา ให้พี่เป่าเล่อกอดเสียหน่อย ดูซิว่าช่วงนี้เจ้าอ้วนขึ้นหรือไม่” สีหน้าทอดถอน พูดพลางก้าวไปยังสวี่อินหลิง

สวี่อินหลิงสีหน้าพลันย่ำแย่ ก้าวถอยไปทางซุนหยางตามสัญชาตญาณ

ภาพฉากนี้ทำให้เหล่าผู้คนสีหน้าพิลึกไปตามๆ กัน มีเพียงเซี่ยไห่หลางที่อยู่ข้างๆ ผู้เดียวที่ยังคงปกติ เขาเข้าใจหวังเป่าเล่ออย่างแจ่มแจ้ง ในใจพูดขึ้นว่า ซุนหยางเอ๋ยซุนหยาง เจ้าผิดก็ผิดที่สู้กับคนหน้าหนาหน้าทนคนนี้ เจ้าแพ้แน่แล้ว

ซุนหยางเวลานี้สีหน้าอึมครึม คิ้วขมวดมุ่น บ่งบอกว่าคาดไม่ถึงว่าบนโลกนี้จะมีคนที่เป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าทั้งยังมีชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่แบบนี้อยู่ด้วย หน้าหนาเสียจนไร้ยางอายได้ขนาดนี้ ในสถานการณ์ที่ถูกตนบีบคั้นต่อหน้าสายตานับหมื่นยังเลือกที่จะขอโทษ ทำให้เขารู้สึกราวกับตัวเองปล่อยหมัดทว่าต่อยอยู่ในอากาศ

หากเพียงเท่านี้ก็ช่างเถอะ แต่การขอโทษของอีกฝ่ายกลับยังมีกลิ่นอายวางอำนาจอยู่ ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายถูกบีบบังคับ ทั้งๆ ที่เอ่ยขอโทษแล้ว แต่เขากลับรู้สึกว่าผู้ที่เสียเปรียบดันเป็นฝ่ายตัวเอง

เมื่อเห็นสวี่อินหลิงสีหน้าเปลี่ยนถอยหลังไป หวังเป่าเล่อใบหน้าเปื้อนยิ้มพยักพเยิดไปทางนาง

“เจ้าอิสตรี ทำไมเขินอายแล้วเล่า”

หวังเป่าเล่อพูดพลางมองซุนหยางที่สีหน้าย่ำแย่ ประสานมือคารวะด้วยทีท่าสัตย์จริง

“สหายซุน ขอบใจเจ้ามาก เป็นเจ้าที่ทำให้ข้ารู้ว่าไม่สามารถผิดต่อคนที่ดีที่สุด ข้าตัดสินใจแล้ว ในอนาคตมีลูกกับเสี่ยวหลิงหลิงก็จะตั้งชื่อว่าหวังเซี่ยหยาง! ใช้รำลึกความซาบซึ้งที่พวกเราสามีภรรยามีต่อเจ้า! แต่ว่าตอนนี้ รบกวนหลีกทางหน่อย ข้าจะรับภรรยาข้าไปดาวชะตาด้วยกัน ”

“หวังเป่าเล่อ เจ้า…” ซุนหยางสีหน้ายิ่งย่ำแย่ ขณะที่กำลังพูดกลับถูกหวังเป่าเล่อขัดขึ้น

“สหายซุน พวกเราสองคนสามีภรรยารู้สึกขอบคุณที่เจ้าเป็นพ่อสื่อ ดังนั้นข้าให้เกียรติเจ้า จะขอพูดเป็นครั้งที่สอง รบกวนเจ้าหลีกทาง ข้าจะรับภรรยาข้าไปดาวชะตาด้วยกัน!” ใบหน้าหวังเป่าเล่อยังคงเปื้อนยิ้มมองซุนหยาง

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผู้ที่รอชมเรื่องคึกคักรอบๆ รวมทั้งจิตวิญญาณมากมายที่ชมจากดาวชะตาก็ได้รวบรวมจุดสนใจมาที่นี่อีกครั้ง ยิ่งกว่านั้นผู้คนที่เป็นมิตรกับดาราจักรไฟก็รู้สึกแอบชื่นชมอยู่ในใจ

อันที่จริงสิ่งที่หวังเป่าเล่อทำไปเหล่านี้ดูเหมือนเรียบง่ายแต่กลับกลับตาลปัตรไปหมด กลายเป็นฝ่ายรุก จากที่ถูกคนบีบบังคับกระทั่งตอนนี้ที่ทุกอย่างเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือไปบีบบังคับฝ่ายตรงข้าม แค่ปอกกล้วยเข้าปากเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง

วิธีการเช่นนี้ เรียบง่ายธรรมดา เมื่อเทียบกับของซุนหยางทางนั้นก็กลายเป็นสุดยอด

“เจ้า…” ซุนหยางกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาไม่ได้ไร้ยางอายเหมือนหวังเป่าเล่อ ต่อสายตาคนมากมายที่มองมาตอนนี้ หากเขาถอยก็กลายเป็นว่าแผนการณ์ของตัวเองครั้งนี้ล้มเหลวทั้งหมดเท่ากับยิ่งเสียหน้า แต่หากไม่ถอยก็จะเกิดความขัดแย้งขึ้นแน่นอน

ถึงแม้จะบอกว่าจุดประสงค์เริ่มแรกของเขาก็เพื่อก่อเรื่องแล้วปัดให้เป็นเรื่องทะเลาะหึงหวง ในตอนนี้แม้จะนับว่าสำเร็จแล้วแต่มันกลับหัวกลับหางไปหมด

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องทะเลาะหึงหวงเท่านั้น แต่กลายเป็นตัวเองเป็นผู้เริ่มเป็นพ่อสื่อ เมื่ออีกฝ่ายตกลงแล้วตัวเองกลับเข้ามายุ่มย่าม เรื่องแบบนี้เขาไม่ยอมเสียหน้า อีกทั้งเหตุผลก็ไม่หนักแน่นพอ

ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้ สวี่อินหลิงที่อยู่ด้านหลังขณะที่ในใจกรุ่นโกรธแต่ก็รู้สึกหวาดหวั่นร่วมด้วย ที่จริงแล้วความหวาดกลัวที่นางมีต่อหวังเป่าเล่อนั้นมากกว่าคนรอบข้างหลายเท่าตัว อีกฝ่ายได้กลายเป็นเงามืดในเบื้องลึกของใจนางไปแล้ว โดยเฉพาะคำพูดของหวังเป่าเล่อเมื่อครู่ที่ว่าหากมีคนคิดจะแย่งชิงดาวเคราะห์เต๋าของนาง ต้องถามความเห็นของเขาก่อนว่ายินยอมหรือไม่ ประโยคนี้ยิ่งทำให้สวี่อินหลิงหวั่นกลัวอยู่ในใจ

หากตอนนี้นางเอ่ยปากกลับคำเรื่องนี้ เช่นนั้นหวังเป่าเล่อก็จะสลัดพ้นแผนการณ์ทั้งหมดที่นางเคยวางไว้ทุกอย่างและก็ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่จะลงมือกับเขาได้อีก ถึงอย่างไรเมื่อมีปรมาจารย์แห่งไฟอยู่ตรงนั้นทั้งคน น้อยคนนักที่จะกล้าไปหาเรื่องตรงๆ

แต่หากไม่พูดสถานการณ์ก็ไม่เป็นผลดีแก่นางอย่างมาก และในขณะที่นางและซุนหยางกำลังกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่นั้น รอยยิ้มบนใบหน้าหวังเป่าเล่อค่อยๆ เลือนหาย สีหน้าอึมครึมลงเรื่อยๆ เมินซุนหยางเดินตรงไปยังสวี่อินหลิง

เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อเข้าใกล้ซุนหยางก็ยื่นแขนขึ้นขวางตามสัญชาตญาณ ทว่าในวินาทีที่เขายกมือขึ้น หวังเป่าเล่อนัยน์ตาเยียบเย็น มือขวาประสานอินปล่อยออกหนึ่งหมัดด้วยความรุนแรง

หมัดนี้ต่อยไปเบื้องหน้าซุนหยางและกลายเป็นพายุในทันที ส่งผลให้ในขณะที่ซุนหยางเซถอย มหาศิษย์แห่งเต๋าที่อยู่ข้างๆ เหล่านั้นก็ได้ระเบิดพลังปราณขึ้นล้อมรอบหวังเป่าเล่อ

“สหายซุนตอนแรกเป็นพ่อสื่อตอนหลังเข้าขัดขวาง นี่เจ้าดูถูกดาราจักรไฟข้าหรือดูถูกข้าหวังเป่าเล่อ? ถึงต้องเหยียดหยามกันขนาดนี้ เห็นแก่บุญคุณที่เจ้าเป็นพ่อสื่อจับคู่ให้ก่อนหน้า ข้าจะไม่สาวความยาว แต่ข้าต้องการคำขอโทษ!!” หวังเป่าเล่อเลียริมฝีปากยิ้มเย็น ร่างกายเคลื่อนขยับพลันระเบิดพลังอัคคีพุ่งตรงใส่ซุนหยาง เสียงเย็นเยียบก้องขึ้นบริเวณรอบๆ ในเวลาเดียวกัน

“ผู้อาวุโสวิญญาณเพลิง ผนึกปิดรอบๆ กล้าดูถูกดาราจักรไฟข้า กล้าแย่งศิษย์สะใภ้ของอาจารย์ข้า เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องของข้าแต่ผู้เดียวแล้ว หากไม่ขอโทษอย่างจริงใจ ข้าก็จะปกป้องรักษาเกียรติของดาราจักรไฟข้า!”

“รับคำสั่ง!” ผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงทั้งแปดต่างแสดงท่าทีโมโห แค่นเสียงกรุ่นโกรธ พลันระเบิดพลังปราณดารานิรันดร์แผ่กระจายออกในพริบตา ผนึกปิดบริเวณโดยรอบ ทำให้ผู้คุ้มครองทั้งหลายของซุนหยางและสหายแม้เวลานี้จะเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่ในเวลาสั้นๆ ก็ยากที่จะเข้ามาได้

สำหรับบริเวณภายในผนึก หวังเป่าเล่อในเวลานี้ท่าทางคับฟ้า ขยับเข้าใกล้ในพริบตา ราวกับจะฆ่าฟันซุนหยางที่นัยน์ตาฉายแววพร้อมสู้จนตัวตาย ทว่าในวินาทีที่เข้าใกล้ เงาร่างเขากลับแวบหายไป ก่อนปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ด้านหลังสหายคนหนึ่งของซุนหยาง

“ขอโทษเสีย!” หวังเป่าเล่อประกายตาอาฆาต ปล่อยหมัดรุนแรง

นี่เป็นชายหนุ่มหน้ายาวเหมือนม้าแต่งกายเรียบหรูคนหนึ่ง อยู่ระดับปราณดาวพระเคราะห์ขั้นปลาย แต่หมัดนี้ของหวังเป่าเล่อ ไม่ว่าคนผู้นี้จะฝืนทนอย่างไรในขณะที่เสียงดังกัมปนาทสีหน้าพลันแปรเปลี่ยน กระอักเลือดคำโต ราวกับเป็นว่าวที่สายป่านขาด หมุนตลบในพริบตา

……………………………………….

แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่สวี่อินหลิงปรากฏตัว ภายในดาวเคราะห์ชะตาด้านล่างก็พลันปรากฏจิตวิญญาณขึ้นเจ็ดแปดสาย เห็นได้ชัดว่ารับรู้การมาถึงของสวี่อินหลิงจึงมาเพื่อต้อนรับ

และจิตวิญญาณเจ็ดแปดสายนี้ถึงแม้จะเป็นเพียงดาวพระเคราะห์แต่กลับไม่ธรรมดาทั้งดูร้ายกาจและมีกลิ่นอายบ้าอำนาจในเวลาเดียวกัน ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับสายรุ้ง

เมื่อเห็นเช่นนี้ ในใจหวังเป่าเล่อก็พอเดาได้แล้วเจ็ดแปดส่วน เขารู้ดีว่าการปรากฏตัวของสวี่อินหลิงนั้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน เพราะรู้ว่าตนจะมาจึงมารออยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว จุดประสงค์ก็เพื่อจะหยิบยืมใช้ความสนิทสนมกับตนเพื่อให้บางคนบางกลุ่มเข้าใจผิด

ในขณะที่สร้างศัตรูให้ตน อีกฝ่ายก็จะมีโอกาสบรรลุจุดประสงค์

ถึงอย่างไรช่วงที่ทั้งสองอยู่ที่สุสานดวงดารา แม้จะพูดอย่างเต็มปากไม่ได้ว่ามีบุญคุณความแค้นกันมากมาย ทว่าเหตุระหว่างดาวเคราะห์เต๋า ซ้ำยังมีกฎสลักผนึกของตน นั่นก็พอที่จะให้ด้านสวี่อินหลิงนั้นเกิดความอาฆาตอย่างรุนแรงต่อตน

และในเวลานี้ที่หวังเป่าเล่อมั่นใจในพลังเทพของสวี่อินหลิงแล้ว บ่อเกิดอันคุ้นเคย ดังนั้นนี่ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นสาเหตุจากผู้หญิงแห่งดวงดาวทำนองนั้น

แต่ว่าหวังเป่าเล่อไม่ใส่ใจเรื่องนี้ ตากลับเป็นประกาย มุมปากเผยรอยยิ้ม

“ไม่ทราบว่าหากปราบรุ่นหนึ่งได้ จะให้เวทผนึกดาราของข้าเจ๋งกว่าเดิมได้หรือไม่!”

ในขณะที่ความคิดนี้ผุดขึ้นมา หวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงแค่นเย็นชาของแม่นางน้อย รวมทั้งคำเรียกขานว่าคนต่ำช้า ช่างสบายอกสบายใจ เขารู้สึกว่าช่วงนี้อารมณ์ของแม่นางน้อยมีปัญหานิดหน่อย เมื่อคำนึงถึงมิตรภาพที่มาหลายปีอีกทั้งยังมีพ่อตาที่ตนเสนอหน้าเรียก ดังนั้นเขาจึงหาโอกาสหยอกล้อให้แม่นางน้อยอารมณ์ดี

เพียงแต่ถึงโอกาสแบบนี้จะมีมาก หนำซ้ำหวังเป่าเล่อยังเก่งเรื่องหยอกล้อคน แต่เมื่อก่อนเขาใช้กับแม่นางน้อยมากเกินไป เกรงว่าคงมีภูมิคุ้มกันแล้ว ดังนั้นคราวนี้เขาจะใช้วิธีอื่น ดูจากสวี่อินหลิงที่ตอนนี้เลือกใช้อารมณ์ของแม่นางน้อยระบายอารมณ์ ดูท่าเหมือนจะได้ผลอยู่บ้าง

และด้วยเหตุนี้ เขาจึงต่างไปจากปกติ เลือกหยิบระเบิดเคลือบน้ำตาลที่เต็มไปด้วยอุบายของสวี่อินหลิงกลืนลงไป ถึงอย่างไรแต่ไหนแต่ไรมานิสัยของเขาก็กินแค่น้ำตาล ระเบิดโยนกลับไป

ดังนั้นเมื่อกระแอมไอหนึ่งที หวังเป่าเล่อก็มองไปยังสวี่อินหลิงที่ใบหน้าเปื้อนยิ้ม โคลงศีรษะเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก สวี่อินหลิงกลับป้องปากหัวเราะพลางเอ่ยพูดก่อน

“พี่เป่าเล่อ ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้อเสนอที่เจ้าให้ไว้ที่สุสานดวงดาราตอนนั้น เรื่องที่อยากให้อินหลิงเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋าของเจ้า อินหลิงได้คิดดูแล้ว พวกเราลองคบกันดู เจ้าว่าดีหรือไม่?”

คำพูดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อสัมผัสถึงจิตวิญญาณเจ็ดแปดดวงนั้นที่พุ่งมาจากดาวเคราะห์ชะตาอย่างรวดเร็วได้ทันที ภายในพริบตาก็เกิดความสั่นไหวต่างกันออกไป ทว่าเขายังคงส่ายหน้าไปมา

“ขอโทษที สิ่งที่ข้าจะพูดไม่ใช่เรื่องนี้ เอ่อคือ…เจ้ามาช้าไปก้าวนึง มีคนที่ชีวิตข้านี้เคารพยิ่ง ทั้งทำให้ข้าละอายใจนัก พี่สาวที่ข้าชมชอบอยู่เต็มอกแต่ไม่กล้าพูดออกมา เตือนข้าว่า เจ้าเป็นคนชั่วช้า!”

สวี่อินหลิงดวงตาวาบวับ ทว่าพริบตาต่อมากลับกัดริมฝีปากก่อนถอนหายใจเบาๆ

“เป่าเล่อ ต่อให้ไร้พรหมลิขิตได้แต่โทษชะตาฟ้าลิขิต แต่เหตุใดเจ้าต้องดูหมิ่นข้าเช่นนี้ด้วย?” ระหว่างพูด สวี่อินหลิงก้มหน้าลงคล้ายกับผิดหวัง นกยูงยักษ์ที่นั่งอยู่นั่นบินผ่านหวังเป่าเล่อไป

หวังเป่าเล่อได้ฟังดวงตาหรี่เล็ก ตระหนักได้ว่าความเจ้าเล่ห์ของสวี่อินหลิงล้ำลึกมากกว่าตอนที่อยู่สุสานดวงดารา เดิมทีเขาคิดว่าอีกฝ่ายจงใจสร้างความคลุมเครือกับตนเพื่อที่ใช้ประโยชน์จากผู้ที่ไล่จีบนางจัดการตน

ดังนั้นจึงตั้งใจพูดแบบนั้นออกไปสกัดความคิดที่จะหลอกใช้ของอีกฝ่าย แต่ก็เห็นๆ กันอยู่ว่าสวี่อินหลิงโต้กลับอย่างว่องไวแสดงท่าทางราวกับถูกดูหมิ่นขึ้นทันควัน หากเป็นเช่นนี้ก็จะมีโอกาสให้ผู้ที่ไล่ตามจีบนางทั้งหลายมีข้ออ้างในการสร้างความวุ่นวายแก่ตน

“เจ้าช่างน่ารำคาญเสียจริง” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว ขี้เกียจเสแสร้งอ้อมค้อมอีก สีหน้าเผยแววรำคาญ

“ข้าไม่ชอบเจ้า หวังว่าต่อไปเจ้าจะไม่มารังควาญข้าอีก สวี่อินหลิง โปรดสำรวมด้วย!”

“เจ้า…” เมื่อสวี่อินหลิงที่นั่งอยู่บนนกยูงได้ยินเข้าก็พลันชะงัก หันมองหวังเป่าเล่อ

และในจังหวะที่นางหันมองพลันมีเสียงระเบิดแว่วมาจากทางดาวเคราะห์ชะตาในฉับพลัน จิตวิญญาณเจ็ดแปดดวงนั้นก็มาถึงในเวลาอันสั้น กลายเป็นร่างเจ็ดแปดคนบริเวณรอบๆ แต่ละคนล้วนทะมัดทะแมงและน่ายำเกรง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายหรือกลิ่นอายล้วนแผ่กลิ่นอายมหาศิษย์แห่งเต๋า..Aileen-novel

โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ตรงกลาง เรือนผมยาวสีทอง สวมชุดยาวสีทอง เปล่งแสงตลอดร่างราวกับบุตรของตะวัน เมื่อเขายืนตรงนั้นอุณหภูมิรอบๆ ก็สูงขึ้นไม่น้อย ดุจกำเนิดขึ้นจากเปลวเพลิง ยิ่งกว่านั้นคือนัยน์ตาที่ร้อนแรงของเขาที่มองสวี่อินหลิง รอยยิ้มบนในหน้าสว่างไสว

“ศิษย์น้องอินหลิง ศิษย์พี่รอเจ้ามาหลายวันแล้ว ในที่สุดก็ได้เจอเสียที”

“ศิษย์พี่ซุนหยาง ขอบคุณศิษย์พี่ที่มารับ พวกเรา…ไปกันเถอะ”

สวี่อินหลิงท่าทางอ่อนแอไร้ชีวิตชีวา ก้มหน้าเอ่ยเบาๆ

ท่าทางที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสงสารจับใจเช่นนี้เข้าสู่สายตาผู้คนรอบๆ หลายคนในกลุ่มเจ็ดแปดคนนั้นนัยน์ตาร้อนแรง ซุนหยางคนนั้นก็เช่นกัน หลังจากมองสวี่อินหลิง เขาก็มองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง เมื่อครู่ก่อนที่จะมาเขาก็ได้ยินบทสนทนาของทั้งคู่แล้ว เวลานี้นัยน์ตาวาววับน้อยๆ อากัปกิริยาของเขาค่อยๆ เย็นลงเรื่อยๆ เอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า

“หวังเป่าเล่อสินะ ชมชอบหญิงงาม เจ้าไม่รู้จักทะนุถนอมก็ช่างเถอะ แต่คำพูดคำจาที่ชั่วร้ายนั่นเป็นเจ้าที่ผิด วันนี้เวลานี้พวกเราไม่พูดถึงอดีต พูดกันเรื่องเหตุและผล ข้ากับสหายเต๋าทุกคนต้องการให้เจ้าขอโทษศิษย์น้องอินหลิง!”

เมื่อประโยคนี้จบลงก็มีมวลพลังร้ายกาจแผ่กระจายออกจาร่าวเขาในทันที ขณะที่พุ่งเป้ามาที่หวังเป่าเล่อ ในเวลาเดียวกันผู้ที่มาพร้อมกับเขารอบๆ นี้ก็ร่วมวงด้วยเช่นกัน แต่ละคนปลดปล่อยพลังปราณ ประสานรวมอยู่ที่หวังเป่าเล่อ

และสถานที่ที่ระเบิดพลังนี้ก็ได้ชักจูงความสนใจของผู้คนที่ได้เดินทางมาถึงดาวเคราะห์ชะตาเพื่อร่วมอวยพรวันเกิดเป็นจำนวนมาก ต่างถอดจิตวิญญาณรับชม ณ ที่แห่งนี้

ดวงตาหวังเป่าเล่อค่อยๆ หรี่ลง มองสวี่อินหลิงรูปร่างอรชรที่น่าสงสาร ก่อนมองซุนหยางที่ราวกับผดุงความยุติธรรมเข้าช่วยสาวงาม มุมปากเผยยิ้มบาง วันนี้เขาเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว ไม่ใช่มหาศิษย์แห่งเต๋าเหล่านี้โง่งมไม่เข้าใจเรื่องราวจึงถูกสวี่อินหลิงหลอกใช้ แต่เป็นเพราะพวกเขามองเรื่องนี้ทะลุปรุโปร่ง เพียงแต่สาเหตุคือปรมาจารย์แห่งไฟอาจารย์ผู้อยู่เบื้องหลังของตน ดังนั้น…

ในขณะที่ฝังใจเรื่องดาวเคราะห์เต๋าของตน ในเวลาเดียวกันก็เกรงกลัวอาจารย์ของตนด้วย ดังนั้นจึงใช้ความขัดแย้งและการลงมือทั้งหมดรวบใส่เป็นเรื่องหึงหวง เช่นนี้แล้วก็จะทำให้ผู้อาวุโสไม่สะดวกก้าวก่ายและก็เป็นโอกาสให้พวกเขาได้ลงมือ

ดังนั้นจึงมีคนพวกนี้รวมตัวกันมาขึ้นมา หนำซ้ำยังยินยอมพร้อมใจ

ถึงอย่างไรจะต่อกรกับหวังเป่าเล่อในตอนนี้พวกเขาต้องการเหตุผลสักข้อที่ทำให้ผู้อาวุโสไม่สามารถหาทางเข้าข้างได้

“อวดฉลาด จากนิสัยอาจารย์และเหตุการณ์บนดาวเอกเพลิง เรื่องเข้าข้างน่ะไม่จำเป็นต้องมีเหตุผล” หวังเป่าเล่อยิ้มเย็น ดวงตากลับเป็นประกาย วิธีการของอีกฝ่ายดูเหมือนจะฉลาด แต่ความเป็นจริงก็ยังอยู่ในเงื้อมมือของผู้อาวุโสพวกเขาวันวันยังค่ำ

“การเดินทางครั้งนี้ ช่างน่าสนใจเสียจริง” ขณะที่หวังป่าเล่อพึมพำในใจ รอยยิ้มก็ยิ่งสว่างไสว ไม่สนใจสวี่อินหลิงยิ่งไม่เหลือบแลซุนหยาง ทำเพียงเอ่ยปากพูดกับผู้ฝึกตนข้างกาย เซี่ยไห่หยางที่ตั้งท่ารอลงมือเรียบๆ ว่า

“พวกเราไปกันเถอะ” พูดจบ หวังเป่าเล่อไม่สนใจผู้คน บินมุ่งไปดาวเคราะห์ชะตา แต่ในวินาทีที่เขาบินออกไป ทางด้านซุนหยางนัยน์ตาเย็นเยียบ ขยับร่างเข้าขวางหน้าทันที มหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นๆ ข้างกายที่มาพร้อมกับเขาก็ทยอยกันเข้ามาขวางกั้นเส้นทางหวังเป่าเล่อ

และในเวลาเดียวกันบนดาวเคราะห์ชะตาก็ยังมีจิตวิญญาณหลายสายที่เป็นผู้คุ้มครองของพวกเขา ในเวลานี้ก็ได้กระจายตัวออกอยู่ ณ ที่แห่งนี้

“ขอความกรุณาผู้คุ้มครองอาวุโสอย่าได้เข้าร่วม นี่เป็นเรื่องระหว่างพวกเรา!” เมื่อซุนหยางพูดจบ ผู้คุ้มครองพวกเขาเหล่านี้พลันเคลื่อนจิตวิญญาณไปยังเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงที่อยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อทันที

จำนวนคนนับว่าได้เปรียบ ทำให้เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงสีหน้าพลันอึมครึมลง และในเวลาเดียวกันนี้ซุนหยางที่ขวางทางหวังเป่าเล่ออยู่ จ้องไปยังหวังเป่าเล่อพลางพูดช้าๆ ว่า

“ขอโทษศิษย์น้องอินหลิง!”

แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่เขาเอ่ยปาก มหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ก็เอ่ยพูดขึ้นมาแทบจะพร้อมเพรียงกัน

“ขอโทษ!”

เสียงสอดประสานได้กลายเป็นมวลพลังอันน่าตกใจพุ่งกดดันไปยังหวังเป่าเล่อ ในช่วงเดียวกันก็ยังมีเรือบินของตระกูลมีอำนาจทั้งหลายที่เพิ่งถึงจากแดนไกลก็มารับชมหลังจากที่ใกล้ถึงแล้วเช่นกัน

และยังมีจิตวิญญาณอีกมากมายที่ปลดปล่อยมาจากดาวเคราะห์ชะตาที่กำลังจับตามองที่นี่ ณ ที่แห่งนี้ที่ทุกคนแทบจะจับตามอง ถือว่าซุนหยางได้เล็งเป้ามาที่หวังเป่าเล่อตรงหน้านี้แล้ว จะต้องเกิดความขัดแย้งกับตนที่นี่ต่อหน้าสายตาทั้งหลายที่จ้องมองมา

ไม่ว่าอย่างไรถ้าเป็นตัวเขาเองก็จะทำแบบนี้เช่นกัน สำหรับมหาศิษย์แห่งเต๋าพวกนี้ หน้าตานับว่าสำคัญยิ่ง!

เพียงแต่ เขาคือหวังเป่าเล่อ รู้จักเขาน้อยไปนิด

……………………………………….

ภายในเรือบินอวกาศตระกูลเซี่ย หลังจากวันนั้นมีแต่คนเข้ามาทักทายหวังเป่าเล่อไม่หยุดหย่อน ไม่ว่าจะเป็นผู้ดูแลที่นี่ของตระกูลเซี่ยหรือผู้ฝึกตนบนเรือบินลำนี้ที่มุ่งหน้าไปดาวชะตาเพื่ออวยพรวันฉลองอายุประมุขกฎสวรรค์ต่างก็แสดงความเป็นมิตรมีน้ำใจต่อหวังเป่าเล่อ

นี่เป็นผลพวงมาจากภูมิหลังของหวังเป่าเล่อและแน่นอนว่าเป็นเพราะความสามารถที่แท้จริงของเขาด้วย ไม่ว่าอย่างไรพลังของเทพวัวก็ได้สั่นสะเทือนไปทั่วแล้วทั้งยังมีเคล็ดวิชากฎแห่งใยไหม วิชากลายเป็นกระดาษก่อนหน้านั้น รวมทั้งกระบวนท่าต่างๆ ที่เขาใช้กฎแห่งบรรพกาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนล้วนทำให้ผู้คนแตกตื่นได้

ทุกอย่างรวมอยู่ในตัวคนคนเดียวยิ่งทำให้คนผู้นี้เป็นที่ยำเกรงเป็นที่จับตามองของผู้คน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้คุ้มครองที่ไม่ธรรมดาของเขาเลย นี่ถือเป็นการสะท้อนให้เห็นว่าปรมาจารย์แห่งไฟให้ความสำคัญและหวงแหนลูกศิษย์คนนี้ขนาดไหน

ในเวลาเดียวกัน แม้สิ่งที่คนส่วนใหญ่เห็นจากหวังเป่าเล่อคือความแข็งแกร่งและวางอำนาจแต่ก็ยังฉลาดและมีไหวพริบ จากเรื่องเหล่านี้ก็สามารถรับรู้ได้คร่าวๆ แม้จะไม่ชัดเจนเท่าเซี่ยไห่หยางที่เป็นคนในเหตุการณ์ แต่ก็สามารถรับรู้ถึงความคิดแยบยลของหวังเป่าเล่อได้ไม่มากก็น้อย

และในเวลาเดียวกัน ขณะที่หวังเป่าเล่อมีคนแวะเวียนมาไม่ขาดสาย เซี่ยอวิ๋นเถิงที่อยู่บนเรือบิน หลังจากที่กลับไปแล้วก็แทบจะไร้คนเยี่ยมเยือน แม้จะพูดไม่ได้ว่าไร้คนเยี่ยมเยียนเลยแต่ก็มีน้อยมากจริงๆ กระทั่งครึ่งเดือนต่อมา เมื่อเรือบินตระกูลเซี่ยแล่นมาใกล้ดาวชะตา เซี่ยอวิ๋นเถิงไม่รอเรือบินจอดสนิทก็รีบแจ้นออกไปทันที ตรงดิ่งเข้าดาราบัญชาสวรรค์ไปก่อน

“เดินเร็วจริงนะเนี่ย!” บนเรือบิน ตระกูลเซี่ยได้จัดเตรียมที่พักให้แก่หวังเป่าเล่อใหม่ บนระเบียงที่ใหญ่กว่าเดิมหลายเท่านั้น หวังเป่าเล่อและเซี่ยไห่หยางกำลังยืนอยู่ที่นั่น ที่พักแห่งใหม่นี้อยู่ตำแหน่งสูงสุดของเรือบินลำนี้ เมื่อยืนมองจากจุดนี้จะสามารถมองเห็นเรือบินลำนี้ได้เกินครึ่ง เมื่อแหงนหน้าขึ้นก็สามารถมองเห็นอวกาศสุดลูกหูลูกตาได้

หวังเป่าเล่อและเซี่ยไห่หยางยืนตรงนี้ยิ่งทำให้มองเห็นกลุ่มเซี่ยอวิ๋นเถิงที่จากไปได้ชัดเจนขึ้นกว่าเดิม เวลานี้เซี่ยไห่หยางที่มองเงาร่างเซี่ยอวิ๋นเถิงเหยียดยิ้มเย็นชาพลางเอ่ยว่า

“อาจารย์อา ข้าได้รับข่าวจากตระกูลแล้ว เป็นเพราะเมื่อก่อนพ่อข้าได้ล่วงเกินท่านเฉินชิงจื่อเข้า ดังนั้นคนส่วนใหญ่ในตระกูลจึงตัดสัมพันธ์กับเขาหนำซ้ำยังมีคนคอยรอเหยียบให้จม ถือโอกาสที่ปรมาจารย์เก็บตัวผนึกพ่อข้าไว้ให้ไม่ให้ออกมาเพื่อเตรียมส่งตัวเขาให้ท่านเฉินชิงจื่อจัดการต่อ”

“ส่วนข้า ก็อย่างที่เห็น ถูกกลุ่มผู้อาวุโสของตระกูลยึดคุ้มครองสายเลือดคืนแล้วก็ตัดออกจากรายชื่อนายน้อย ถึงแม้เป็นเพราะอาจารย์อายื่นมือช่วย ข้าถึงได้กลับมาใหม่อีกครั้ง แต่ว่า…” เซี่ยไห่หยางพูดถึงตรงนี้ พูดยังไม่ทันจบพลันมีเสียงราวกับระฆังล่องหนแว่วมาจากทางอวกาศเบื้องหน้า!

เสียงนี้คล้ายกับระฆังและละม้ายคล้ายกระดิ่ง เสียงกังวานใสแว่วยาว กลายเป็นคลื่นเสียงที่ทำให้อวกาศดูราวกับผิวน้ำ เกิดระลอกคลื่นอันไร้ขอบเขต

เมื่อเสียงนี้แว่วเข้ามา หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นขัดการพูดของเซี่ยไห่หยางในฉับพลัน

เซี่ยไห่หยางหยุดชะงักไม่พูดต่อ ส่วนหวังเป่าเล่อจ้องมองไปยังอวกาศที่ราวกับผิวน้ำ เส้นทางที่กลุ่มเซี่ยอวิ๋นเถิงเดินไป ที่นั่น…เป็นดาวที่ประหลาดมากดวงหนึ่ง

ที่ว่าประหลาดก็เพราะรอบนอกของดาวดวงนี้ มีวงแหวนที่ปล่อยแสงสีม่วงอยู่เป็นชั้นๆ ออกมา วงแหวนเหล่านี้หมุนวนเป็นชั้นๆ ชั้นล่างมีขนาดใหญ่สุด ยิ่งขยับขึ้นสูงขนาดก็ยิ่งเล็กลง เมื่อมองพิจารณาดีๆ จะเห็นว่ารูปร่างมันคล้ายกับระฆังขนาดมหึมา!

และดวงดาวที่แท้จริงก็คือลูกกลมๆ ที่อยู่ในระฆังนั่น!!

เจ้าลูกนี้ได้เคลื่อนไหว หมุนวนอยู่ภายในตัวระฆังตามความถี่บางอย่าง บางคราก็กระทบโดนผิวภายในระฆังส่งเสียงกังวานใสกระจายไปทั่วทิศ ทำให้ผู้ที่ได้ยินพลันนิ่งสงบลงในพริบตา

“ดาวชะตา” หวังเป่าเล่อดวงตาทอประกาย ในระหว่างที่พึมพำ ขณะที่เสียงระฆังกำลังเลือนหาย ผู้คนบนเรือบินก็เริ่มทยอยได้สติกลับคืนก่อนตามด้วยเสียงถกเถียงกันต่างๆ นาๆ

“ดาวชะตา!”

“ในที่สุดก็ถึงแล้ว!”

“ดาราจักรที่ประมุขกฎสวรรค์อยู่ประหลาดดังคาด!”

ในขณะที่ผู้คนบนเรือกำลังใจชื้น เซี่ยไห่หยางก็จิตใจสงบนิ่งลงไปไม่น้อย ถึงเขาจะรู้ความลับต่างๆ มากกว่าหวังเป่าเล่อ แต่ก็เป็นครั้งแรกที่มาดาวชะตาแห่งนี้ ขณะที่กำลังมองดูดาววงแหวนที่คล้ายระฆัง นัยน์ตาเขาก็ค่อยๆ เผยร่อยรอยแห่งความหวัง

“ไห่หยาง เรื่องที่ตระกูลเจ้าผนึกพ่อเจ้าไว้เพื่อรอส่งให้เฉินจื่อชิงจัดการ ก่อนหน้าไม่ดำเนินการ มาลงมือเอาตอนนี้ ดูท่าเฉิงชิงจื่อจะหมดปัญหาแล้วล่ะ ”หวังเป่าเล่อพูดยิ้มๆ ในใจรู้สึกรอคอย สำหรับศิษย์พี่ก็ไม่ได้เจอกันนาน เขารู้สึกคิดถึงอยู่เหมือนกัน

เพียงแต่เพราะเซี่ยไห่หยางอยู่ตรงนี้ จึงไม่แสดงออกชัดเจนว่ารอคอย คำเรียกขานแน่นอนว่าก็ไม่ใช้ศิษย์พี่สองคำนี้ให้คนเกิดความสงสัย

“รบกวนอาจารย์อาสิบหกช่วยข้าด้วย!” สิ่งที่เซี่ยไห่หยางรอคอยก็คือประโยคนี้ รีบดึงสายจากออกจากดาวชะตา ขณะที่หันมองหวังเป่าเล่อ ความจริงใจของเขาแทบจะคุกเข่าลงแล้ว

“ทำไมเจ้าเป็นแบบนี้อีกแล้ว” หวังเป่าเล่อไม่รับคำนับของเซี่ยไห่หยาง ยื่นมือประคองแขนเขาลุกขึ้นก่อน

“เรื่องนี้ ข้าเคยบอกไปแล้วว่าจะช่วยเจ้า เอาอย่างนี้ละกัน เจ้าไปบอกพ่อเจ้า หากเฉินชิงจื่อไปหา ช่วยถ่ายทอดคำพูดข้าให้เฉินชิงจื่อสักประโยค”

“อะไรหรือ?” เซี่ยไห่หยางรีบถามกลับ

“บอกว่า…” หวังเป่าเล่อกะพริบตาไปมา หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่านี่ถึงเวลาเหมาะสมที่จะขู่เซี่ยไห่หยางแล้ว เพื่อที่ต่อไปเขาจะได้จงรักภักดีไม่มีโอกาสให้กล้าคิดเป็นอื่นอีก

“ก็บอกไปว่าข้าเตรียมสุราดีไว้กาหนึ่ง ให้เขารีบมาชิมเร็วๆ ถ้าเกิดมาช้าข้าจะดื่มเองหมด” หวังเป่าเล่อมือไพล่หลัง วางท่าทางสบายๆ พูดขึ้นเรียบๆ

ประโยคนี้ลอยเข้าโสตประสาทเซี่ยไห่หยางพลันทำให้จิตใจเขาสั่นสะท้านอีกครั้ง จากน้ำเสียงประโยคนี้เขารับรู้ได้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหวังเป่าเล่อและเฉิงชิงจื่อว่าต้องไม่อยู่ในระดับธรรมดาแน่นอน และในเวลาเดียวกันความรู้สึกยากจะหยั่งที่แผ่มาจากตัวหวังเป่าเล่อก็ได้ลอยเข้าไปในจิตใจเขาอีกครั้ง หลังจากที่เขากำมือคาราวะขอบคุณแล้วก็รีบควักป้ายหยกออกมา ถ่ายทอดเสียงไปยังตระกูลให้พวกพ้องในตระกูลถ่ายทอดประโยคนี้ให้แก่บิดา

และเมื่อถ่ายทอดเสร็จสิ้น เซี่ยไห่หยางมองหวังเป่าเล่อ ในหัวไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ เปิดปากราวกับมีผีบังคับให้ทำ

“อาจารย์อาสิบหก ข้ามีน้องสาวคนหนึ่ง ชื่อเซี่ยเถาเถา หน้าตาสะสวย งดงามเปล่งปลั่ง…”

หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ ขณะที่กำลังจะตั้งใจฟัง ในหัวพลันมีเสียงพ่นลมเย็นชาของแม่นางน้อยลอยแว่วมา หลังจากที่ได้ยินเสียงเย็นชานี้หัวคิ้วก็พลันขมวด ปรายตามองเซี่ยไห่หยางคล้ายไม่สบอารมณ์

“ไห่หยาง ข้าหวังเป่าเล่อไม่ใช่คนแบบนั้นอย่างที่เจ้าคิด เรื่องพรรค์นี้ต่อไปอย่าได้พูดถึงอีก จะทำให้ข้าดูถูกเจ้า!”

เซี่ยไห่หยางหัวใจกระตุก ท่าทางไม่พอใจของหวังเป่าเล่อนี้ไม่เหมือนการแสดง ความคิดของตัวเองก่อนหน้านี้ผิดพลาดไปจริงๆ หวังเป่าเล่อตรงหน้านี้ไม่ใช่คนอย่างที่ตนคิดแน่นอน ดังนั้นสูดลมหายใจเข้าลึก คาราวะอีกครั้ง ในใจตั้งมั่นต่อไปจะไม่เอ่ยถึงเรื่องพรรค์นี้อีกเด็ดขาด

ทว่าหวังเป่าเล่อกลับกระแอมไอทีหนึ่ง เมื่อเรือบินเข้าใกล้ดาวชะตามากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงนอกดาวชะตาและจอดนิ่งสนิท เขาขยับร่างกายเหาะออกไปก่อน

เซี่ยไห่หยางตามติดไป ผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงและคนอื่นๆ ก็ตามมาด้วยเช่นกัน เส้นทางของแต่ละคนกลายเป็นแสงทางยาวออกจากเรือบินไป มุ่งหน้าสู่ดาวชะตา!

เมื่อเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ในครรลองตาก็เห็นวงแหวนก็มีขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามความเร็วของพวกเขา และเมื่อย่างเข้าสู่บริเวณวงแหวน ณ นาทีนี้บางทีอาจเป็นความบังเอิญหรืออาจเป็นเตรียมการไว้ล่วงหน้า ไม่ว่าเพราะเหตุใด แต่ในวินาทีนี้อวกาศเบื้องหน้าพลันบิดเบี้ยว นกยูงขนาดยักษ์ตัวหนึ่งโผล่ออกมาจากอากาศกะทันหัน พุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็ว

นกยูงตัวนี้มีขนาดประมาณสามเมตรได้ ท่าทางองอาจ สีเขียวมรกตทั่วร่าง สยายปีกไปมา ส่วนหลังมีขนนกกระจัดกระจายอยู่นับไม่ถ้วน ขนนกเหล่านี้สีสันหลากหลายสะท้อนไปทั่วอวกาศ ระยิบระยับตระการตา

ยิ่งในนาทีที่มันปรากฏตัว มวลอากาศเย็นเยียบที่น่าตกตะลึงได้แผ่กระจายไปทั่วทิศในชั่วพริบตาและจุดที่กลุ่มของหวังเป่าเล่ออยู่ก็เป็นเส้นทางของเจ้านกยูงตัวนี้พอดี ในวินาทีที่ความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุมนั้นราวกับถูกแช่แข็งเลยทีเดียว

เหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงนัยน์ตาวาววับปล่อยพลังปราณขึ้นตามๆ กัน ขยายพลังดารานิรันดร์แผ่ปกป้องหวังเป่าเล่อ ทางด้านหวังเป่าเล่อ เขาหรี่ตาลงไม่ใส่ใจความหนาวเย็นรอบกายและก็ไม่ได้ให้ความสนใจนกยูงนี่เท่าไรนัก สายตาจับจ้องบนหัวนกยูง ผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น

หญิงผู้นี้สวมชุดสีแดง ศีรษะประดับมงกุฎหงส์ หว่างคิ้วแต้มชาดรูปข้าวหลามตัด ดูงดงามยิ่งนัก เครื่องประดับต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสร้อยคอ ต่างหูหรือสร้อยข้อมือล้วนมีกระพรวนประดับอยู่ มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดาทั่วๆ ไป

และในบางครั้งก็ส่งเสียงคล้ายกับดาวชะตา!

แทบจะเป็นวินาทีเดียวกับที่หวังเป่าเล่อมองขึ้นไป ผู้หญิงคนนี้ก็ลืมตาขึ้นมา ในขณะที่มองหวังเป่าเล่อนัยน์ตาเขาปรากฏแววอาฆาตวาบผ่าน ด้านหลังผุดดาวดวงหนึ่งขึ้นราวกับมีเครื่องเป่าลม…ดาวกระดาษ!

นางก็คือธิดาศักดิ์สิทธิ์เก้าวิหกเพลิงที่สามแห่งจักรพิภพสำนักเสริม ผู้ที่ได้รับดาวเคราะห์เต๋าดวงหนึ่งจากสุสานดวงดารา แม่นางกระพรวน สวี่อินหลิง!

“พี่เป่าเล่อ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน” หลังจากเห็นหวังเป่าเล่อ สวี่อินหลิงพลันหัวเราะร่าราวกับดอกไม้บาน น้ำเสียงไพเราะเสนาะหูผนวกกับรูปลักษณ์พลันส่งผลให้เสน่ห์เปล่งประกายออกมาทั่วเรือนร่าง

“แม่นางน้อย มีคนยั่วยวนข้า!” หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ ในใจรีบฟ้องแม่นางน้อยทันที

“คนต่ำช้า” สิ่งที่ตอบกลับเขาคือภายในหัว แม่นางน้อยดูคล้ายแค่นเสียงเย็นเบาๆ

……………………………………….

ผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงดารานิรันดร์ผู้นี้ก็อยู่ขั้นดารานิรันดร์ระดับกลางเช่นกัน เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาดารานิรันดร์ทั้งแปดผู้คุ้มครองหวังเป่าเล่อ ตอนนี้กำลังยืนด้านหลังหวังเป่าเล่อร่วมกับทุกคน จ้องมองผู้เฒ่าคุ้มครองนั่นด้วยแววตาเยือกเย็น

ยิ่งมองก็ยิ่งเหม็นขี้หน้า

และการปรากฏตัวออกเขาได้ทำให้ผู้เฒ่าคุ้มครองตระกูลเซี่ยนั้นนัยน์ตาหรี่ลง ผู้คุ้มครองข้างๆ ที่เหลือแววตาล้วนเปลี่ยนไป ต่างเดินขึ้นหน้า จ้องผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงรวมทั้งดารานิรันดร์ข้างๆ ราวกับเจอศัตรูที่แข็งแกร่ง

หลังจากกวาดตามองจนครบทุกคน นัยน์ตาพวกเขาต่างฉายแววเคร่งเครียด

“ดาราจักรไฟช่างฟุ่มเฟือยเสียจริง คาดไม่ถึงว่าเลือกระดับดารานิรันดร์เป็นผู้คุ้มครอง! ทุกท่านไม่รู้สึกขุ่นเคืองสักนิดเลยหรือ?” ผู้เฒ่าชุดดำกล่าวเนิบๆ

“ขุ่นเคือง? ระดับข้าได้คุ้มครองนายน้อยถือเป็นสิ่งที่เป็นเกียรติอย่างสูง ทั้งสามารถคุ้มครองนายน้อยให้ปลอดภัย ทั้งยังสามารถตอบแทนบุญคุณนายท่าน นี่ใช่สิ่งที่เจ้าระดับดารานิรันดร์ทั่วไป เต๋าเหลืองทำได้งั้นหรือ!” ผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงหัวเราะร่วน ผู้อาวุโสที่เหลือต่างร่วมวงหัวเราะตาม

สถานการณ์นี้ทำให้ผู้คุ้มครองตระกูลเซี่ยเหล่านั้นพลันหน้าเปลี่ยนสีไปตามๆ กัน พวกเขาระดับดารานิรันดร์ย่อมรู้ดีว่าระดับดารานิรันดร์แบ่งเป็นห้าระดับ คล้ายกับการแบ่งระดับเซียน ระดับวิญญาณ ระดับทั่วไปของดาวพระเคราะห์ ส่วนระดับดารานิรันดร์แบ่งเป็นสวรรค์ พิภพ นิลดำ อำพัน ทั่วไป!

ในโลกของผู้ฝึกตนระดับเดียวกัน ระดับขั้นที่แตกต่างกันความแข็งแกร่งก็ต่างกันลิบลับ

ปกติแล้วสถานะของผู้คุ้มครองถึงแม้ต้องเป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจถึงจะเป็นได้ ทว่าในอีกมุมก็คือการอารักขา ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ต่างมีความหยิ่งทะนงในตัว ต่อให้เป็นตระกูลใหญ่มีอำนาจก็ไม่สามารถดูหมิ่นหยามเหยียดกันง่ายๆ ได้ จะให้คุ้มครองผู้น้อยก็ยิ่งต้องเคารพให้เกียรติ

ทว่าต่อให้เป็นแบบนี้ ผู้ที่มีระดับสูงกว่านิลดำก็จะไม่เลือกเป็นผู้คุ้มครอง แม้จะเป็นขั้นอำพันที่ต่ำลงมาอีกขั้นก็น้อยมากที่จะเป็นผู้คุ้มครอง โดยทั่วไปมักจะเป็นดารานิรันดร์ขั้นทั่วไปเสียมาก เพราะคุณสมบัติและโอกาสไม่มากไปกว่านี้แล้ว ยากที่จะไต่ขึ้นสูงได้อีกจึงต้องเลือกเป็นผู้คุ้มครอง ใช้ความภักดีและผลงานแลกกับโอกาสที่นายท่านมอบให้

ก็เหมือนกับผู้คุ้มครองตระกูลเซี่ยอวิ๋นเถิงเหล่านั้น นอกจากผู้เฒ่าชุดดำที่อยู่ขั้นอำพัน ที่เหลือล้วนเป็นขั้นทั่วไป ทว่าเมื่อกลับมาทางด้านหวังเป่าเล่อ นอกจากผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงที่เหลือล้วนเป็นดารานิรันดร์ขั้นอำพัน ส่วนผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงนั้นกลับสูงกว่าอีกขั้นคือดารานิรันดร์นิลดำ!

ดังนั้นวินาทีที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นจึงทำให้ผู้เฒ่าชุดดำสีหน้าเปลี่ยนไป ในขณะที่แอบตื่นตระหนก เขาพลางนึกถึงคำเล่าลือของโลกภายนอกเรื่องความลำเอียงของผู้อาวุโสอารยธรรมวิญญาณเพลิง

ดังนั้น ผู้เฒ่าชุดดำสีหน้าอึมครึม สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่งพร้อมแค่นเสียงต่ำ

“กลับ!”

เขาเอ่ยพลางถอยกลับ ทว่าเซี่ยอวิ๋นเถิงเวลานี้ท่าทางแลผิดปกติราวกับอยู่ในภวังค์ตามการชักจูงของผู้คุ้มครองข้างกาย เมื่อเห็นเขาถอยหลังเตรียมจากไป หวังเป่าเล่อหรี่ตาเอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า

“คำอธิบายเล่า?”

เมื่อประโยคนี้ลอยมา ผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงก็ราวกับมีแกนนำ หัวเราะลั่นพร้อมระเบิดพลังปราณขึ้นทันที แยกตัวจากผู้คุ้มครองดาราจักรไฟระดับดารานิรันดร์ในกลุ่มพุ่งตรงเข้าขวางเซี่ยอวิ๋นเถิงในทันใด ..ไอรีนโนเวล

“ที่นี่คือตลาดอวกาศของตระกูลเซี่ย!!” ผู้เฒ่าชุดดำตะคอกกลับ

“แล้วอย่างไร? พวกข้าคือดาราจักรไฟ!” ผู้ที่ตอกกลับอย่างภาคภูมิคือผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิง น้ำเสียงที่มั่นอกมั่นใจแบบนี้ทำให้ผู้เฒ่าชุดดำถึงกับสะอึก

“เจ้า…”

ผู้ชมรอบๆ ล้วนมีสีหน้าต่างกันออกไป ยกระดับความอยากรู้อยากเห็น

“เจ้า เจ้า อะไร นายน้อยต่อสู้กัน เจ้าจะมาร่วมวงทำไม แถมยังคิดจะทำลายพลังเทพของนายน้อยตระกูลข้า ถือเป็นการไม่เคารพนายท่านแห่งดาราจักรไฟ หากวันนี้ไม่มีคำอธิบาย ข้าคงต้องจับเจ้าไปรับผิดต่อดาราจักรไฟ!” ผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงแววตาเย็นเยียบ กล่าวอย่างเนิบช้า

ความเผด็จการเช่นนี้ทำให้ผู้เฒ่าชุดดำลมหายใจกระชั้น เมื่อคำนึงถึงความแกร่งกล้าและเบื้องหลังของฝ่ายตรงข้าม เขาทำได้เพียงอดกลั้น มองไปทางนายน้อยของตัวเอง เมื่อเห็นเซี่ยอวิ๋นเถิงที่ในเวลานี้จิตใจยังคงไม่เข้าร่องเข้ารอยก็อดทอดถอนใจไม่ได้

“พวกเจ้าต้องการคำอธิบายอย่างไร?”

หวังเป่าเล่อหรี่ตาพลางกระซิบกับผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิง ผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงเลิกคิ้วหัวเราะขึ้นก่อนหันไปทางผู้เฒ่าชุดดำแล้วเอ่ยว่า

“นายน้อยเมตตา พวกเจ้าจัดการจ่ายบัญชีที่ช่วงนี้นายน้อยเซี่ยติดไว้ก็พอ”

เซี่ยไห่หยางกะพริบตาปริบๆ ควักแผ่นหยกออกมาอย่างว่องไว หลังจากประทับลงไปอีกหลายรายการก็รีบโยนออกไปทันที แผ่นหยกลอยออกไป เมื่อผู้เฒ่าชุดดำใช้จิตวิญญาณกวาดดู สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที

“หนึ่งร้อยดาราวิญญาณ? ไม่มีทาง บนเรือบินลำนี้เดิมทีก็ไม่มีดาราวิญญาณหนึ่งร้อยดวง พวกเจ้า…”

“ตกลง แต่ต้องให้คำตอบข้าข้อหนึ่ง!” ไม่รอผู้เฒ่าพูดจบ เซี่ยอวิ๋นเถิงที่อยู่ข้างๆ ในที่สุดก็หลุดออกจากภวังค์เป็นปกติแล้ว หลังจากพูดด้วยสีหน้าบึ้งตึง เขาไม่เหลือบมองแผ่นหยกในมือผู้เฒ่าชุดดำแต่พูดกับหวังเป่าเล่อ

“ที่เจ้าใช้เมื่อครู่ คือกฎแห่งใยไหม?”

“เจ้าคิดว่าไงล่ะ” หวังเป่าเล่อยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ยอมรับและก็ไม่ได้ปฏิเสธ ความลับของกฎดาวเคราะห์เต๋าของเขา เดิมทีก็คงปกปิดไม่ได้นานอยู่แล้ว ถึงอย่างไรในช่วงแรกที่อยู่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์กับตอนสู้กับอารยธรรมครามทองคำเขาก็เคยใช้กฎแห่งกระดาษไปแล้ว หากมีคนใส่ใจอยากรู้แค่เพียงตรวจสอบก็พอจะเข้าใจได้

และหากเมื่อครู่นี้ไม่ใช้กฎแห่งกระดาษให้เทพวัวสลายร่างกลายเป็นใยไหมก็เสียหายคงไม่น้อย ดังนั้นวินาทีที่ลงมือ หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ใส่ใจอีกว่าจะเผยความลับออกไปหรือไม่

ดังนั้นเมื่อคำตอบเขาลอยเข้าหูเซี่ยอวิ๋นเถิง เขาก็ได้รับคำตอบแล้ว นัยน์ตาเผยความหวาดกลัว นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนหันมองหวังเป่าเล่ออย่างลึกล้ำก่อนหมุนกายพาคนจากไป

ทางด้านเซี่ยไห่หยางเวลานี้สีหน้ากลับไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เพราะในนาทีที่หวังเป่าเล่อแสดงกฎแห่งใยไหม เขาก็ตะลึงนำไปเรียบร้อยแล้ว เวลานั้นราวกับมีคลื่นยักษ์ซัดอยู่ในใจซึ่ง ณ ตอนนี้ได้ถูกเขากดลงมาอย่างสุดความสามารถ ทว่าหลังจากในใจเขาได้คำตอบแล้ว เขาก็ไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดที่เลือกกราบเข้าดาราจักรไฟและพยายามผูกมิตรกับหวังเป่าเล่อ

“กฎแห่งการคัดลอกงั้นหรือ…กฎเหนือธรรมาชาติแบบนี้ หวังเป่าเล่อไม่จำเป็นต้องไประดับจักรพิภพแล้ว ขอแค่เขาถึงระดับดารานิรันดร์ก็ยากที่จะบดบังความโดดเด่นของเขา!”

“แถมเขายังมีปรมาจารย์แห่งไฟคอยออกหน้าปกป้อง ทั้งยังสนิทสนมกับเฉินชิงจื่อ ถ้าคิดจะลงมือกับเขาต่อให้เป็นตระกูลไม่รู้สิ้นก็ยังต้องคิดแล้วคิดอีก!”พอคิดถึงตรงนี้ เซี่ยไห่หยางสูดลมหายใจลึก ลุกขึ้นออกจากระเบียงไปอย่างไว ก่อนก้มคำนับหวังเป่าเล่อ

“ขอบพระคุณอาจารย์อาสิบหก!”

“สำนักเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจ” หวังเป่าเล่อเบิกบานใจ รอบนี้เขาประเมินพลังต่อสู้ของตัวเองได้ ซ้ำยังคัดลอกฎที่พิเศษมากอีกอัน รู้สึกสดชื่นจึงพูดด้วยรอยยิ้ม

ทว่าปฏิกิริยาของตระกูลเซี่ยคนอื่นบนเรือบินก็เร็วสุดๆ หลังจากเซี่ยอวิ๋นเถิงจากไปได้ไม่นาน ผู้ฝึกตนดารานิรันดร์ตระกูลเซี่ยหลายคนรวามทั้งผู้อาวุโสโอสถก็ปรี่เข้ามาทักทายด้วยตนเอง

คำพูดที่ใช้กับหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความเกรงใจ ในเวลาเดียวกันก็เป็นการบอกกล่าวเซี่ยไห่หยางว่าตระกูลเซี่ยได้ลบความเข้าใจผิดที่มีต่อเขาแล้วและได้สลักชื่อเขากลับเข้าในตระกูลอีกครั้ง การคุ้มครองสายเลือดของเขาฟื้นฟูเป็นปกติแล้ว

ภาพฉากนี้ทำให้เซี่ยไห่หยางรู้สึกทอดถอนใจแต่ก็ไม่ได้ผิดคาดเลยสักนิด การต่อสู้ของหวังเป่าเล่อกับเซี่ยอวิ๋นเถิงถือเป็นการแสดงคุณค่าต่อตระกูลเซี่ยพอแล้ว ตระกูลเซี่ยที่เขารู้จักสำหรับมหาศิษย์แห่งเต๋าแบบนี้ เป็นที่ต้องการและลงทุนของตระกูลเขาตลอดมา

อีกทั้งความสัมพันธ์ของตนกับหวังเป่าเล่อก็เป็นตัวกำหนดตนเองในครั้งนี้เป็นตัวเชื่อมระหว่างตระกูลกับหวังเป่าเล่อ และนี่ก็ถือเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ต่อตัวเขาอย่างมาก ถึงขนาดส่งผลต่อส่วนแบ่งและสถานะของเขาในตระกูลเซี่ยสายตรง

สิ่งเหล่านี้ยิ่งทำให้เซี่ยไห่หยางยิ่งแน่วแน่ที่จะผูกติดตัวเองไว้กับหวังเป่าเล่อให้ได้ เพราะเรื่องเหล่านี้ก็ทำให้เขาลงเรือลำเดียวกับหวังเป่าเล่อเรียบร้อยแล้ว จะรุ่งจะร่วงก็ขึ้นอยู่กับหวังเป่าเล่อ

แม้ว่านี่จะไม่สอดคล้องกับแนวการลงทุน แต่ ณ เวลานี้เซี่ยไห่หยางก็ไม่สนใจแล้ว

“การลงมือสู้ตอนนั้นไม่ได้ เพราะเขามีแผนหรือว่าเป็นเพราะพลาดไปจริงๆ กันนะ?” เซี่ยไห่หยางก้มหน้าพลางปรายตามองหวังเป่าเล่อที่กำลังพูดคุยหัวเราะอยู่กับผู้อาวุโสตระกูลเซี่ยอย่างว่องไว ในใจเกิดความรู้สึกยากจะเข้าใจ

หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นสายตาของเซี่ยไห่หยาง ยังคงอากัปกิริยาพูดคุยกับผู้อาวุโสตระกูลเซี่ยตามปกติ ทว่านัยน์ตากลับปรากฏแววตาลึกซึ้งที่ยากจะเข้าใจเพิ่มขึ้นมา

ครู่ถัดมา ตระกูลเซี่ยทั้งหลายจึงร่ำลากลับไป ในขณะที่กำลังจะไปนั้น พวกเขาบอกหวังเป่าเล่อเรื่องบัญชีที่เซี่ยไห่หยางค้างไว้ทั้งหมดนั้น เซี่ยอวิ๋นเถิงได้ชำระให้ครบหมดแล้ว รวมทั้งดาราวิญญาณหนึ่งร้อยดวงนั่นด้วย

เพียงแต่ดาราวิญญาณราคาสูงมากอีกทั้งจำนวนก็ไม่น้อยเลย บนเรือบินนี้ก็ไม่ได้ตุนของไว้มากขนาดนั้น แต่ได้สั่งการลงไปแล้วจะรีบจัดส่งให้เขาโดยเร็วที่สุด

สำหรับเรื่องนี้ หวังเป่าเล่อพอใจมาก มองเซี่ยไห่หยางอย่างชื่นชม เซี่ยไห่หยางรีบข่มความสงสัยไว้ในใจก่อนยิ้มตาหยีส่งให้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาให้ความร่วมมือกับหวังเป่าเล่อ เมื่อเขาได้ยินคำพูดของผู้เยี่ยมยุทธ์วิญญาณเพลิงครั้งก่อนก็เข้าใจทันทีว่าตนควรปฏิบัติตนเช่นไร

และในเวลาเดียวกันเขาก็เข้าใจดีว่าความสงสัยไม่สำคัญอีกต่อไป ความจริงจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน เพราะหากบอกว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้จงใจ ถ้างั้นก็แปลว่าโชคดีจนเหลือเชื่อและถ้าบอกว่าจงใจนั่นก็แปลว่าระดับความเจ้าเล่ห์นั้นถึงขั้นน่ากลัวแล้ว ข้อสันนิษฐานทั้งสองข้อนี้ ไม่ว่าจะเป็นข้อไหนก็ทำให้เขาซูฮกอยู่ดี

เมื่อประโยคนี้ลอยมา เซี่ยอวิ๋นเถิงที่ท่าทางขึงขังจากการประสานเงาบรรพชนเพิ่มพลังให้ตัวเองนั้นพลันชะงัก มวลพลังอ่อนลงในพริบตา

เห็นได้ชัดว่าความโหดเหี้ยมของอาจารย์หวังเป่าเล่อ ปรมาจารย์แห่งไฟนั้นยิ่งใหญ่เพียงไร ยิ่งเรื่องออกตัวปกป้องลำเอียงศิษย์ตัวเองอย่างสุดโต่งด้วยแล้ว ต่อให้ลูกศิษย์ตัวเองผิดนั่นก็เป็นความผิดของอีกฝ่าย หากศิษย์ตัวเองไม่ผิดนั่นยิ่งเป็นความผิดของอีกฝ่าย สรุปแล้ว ลูกศิษย์ของเขาไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ผิด คนที่ผิดต้องเป็นฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น

เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่แค่ข่าวลือแต่มีตัวอย่างให้เห็นกันจริงๆ ผ่านไปพักหนึ่งก็จะมีเรื่องทำนองนี้ลือกันออกมาเรื่อยๆ ดังนั้นต่อให้เป็นเซี่ยอวิ๋นเถิง นายน้อยที่ห้าของตระกูลเซี่ยก็อดผวาไม่ได้เช่นกัน

เพราะเขานั้นรู้ดี อย่าว่าแต่ตัวเองเลย ต่อให้เป็นศิษย์แห่งเต๋าอันดับหนึ่งของตระกูลเซี่ยรุ่นนี้ หากลงมือฆ่าหวังเป่าเล่อจริงๆ ก็ไม่มีปัญญาแบกรับเหมือนกัน

ในเมื่อรู้แบบนี้แล้วเขาจะไม่ลดมาดลงได้เหรอ ทว่าในวินาทีต่อมา นัยน์ตาเซี่ยอวิ๋นเถิงก็ฉายแววอำมหิต เขาทราบดีว่าตอนนี้ไม่มีเวลาคิดขนาดนั้น อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามก็ไม่มีทางตายด้วยน้ำมือเขาอยู่ดี ฉะนั้นอึดใจนี้อย่างไรก็ต้องลุย!

ดูเหมือนะจะใช้เวลาตรึกตรองนาน อันที่จริงเพียงแวบขึ้นในหัวเขาวาบเดียวเท่านั้น พริบตาต่อมามวลพลังที่เคยอ่อนลงก็พวยพุ่งกลับคืนมาก่อนระเบิดเข้าใส่หวังเป่าเล่อด้วยเสียงดังสนั่น

ทว่าเกือบสำเร็จ ไม่สามารถทำได้ดีเท่ารอบแรกพลังเสริมก็หยุดลงตามไปด้วย ในเวลาเดียวกันนี้ ทางด้านหวังเป่าเล่อหลังจากที่ประกายตาระยับวาบผ่านไป มือขวายกขึ้นโบกอย่างรุนแรงเล็งมุ่งไปเบื้องหน้า พร้อมเสียงทุ้มต่ำที่ลอยมาว่า

“เวทผนึกดารา!!”

เมื่อสิ้นสุดคำพูด แสงสีดำสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศลอยมายังเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ และนั่นคือเห็บวัวนับหมื่นตัว!

พวกมันเรียงตัวก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่างวัว เกิดพลังอันน่าตกใจแผ่เสียงกึกก้องไปรอบด้าน แผ่แรงกดดันกระจายไปทั่ว ท่าทางแข็งแกร่ง แม้จะเทียบกับเงาบรรพชนของเซี่ยอวิ๋นเถิงไม่ได้แต่ก็ไม่น้อยหน้า!

เซี่ยไห่หยางตาค้าง ผู้คนรอบๆ ที่เห็นล้วนเกิดอาการเดียวกัน แม้เซี่ยอวิ๋นเถิงเองก็ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ

“นี่มัน…”

“เทพวัวอัคคี!!”

“เทพวัวคุ้มครองแห่งดาราจักรไฟ!!”

ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของผู้คนรอบๆ หวังเป่าเล่อยังคงท่าทีเช่นเดิม แม้เทพวัวจะเทียบกับของอีกฝ่ายไม่ได้ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของเวทผนึกดาราเท่านั้น วินาทีต่อมา เปลือกนอกของเห็บวัวเหล่านี้เริ่มบิดเบี้ยวเกิดเป็นสะเก็ดดาวขึ้นมาแทนที่ทีละอันๆ ขณะที่กำลังเข้าแทนที่นั้นก็เกิดพลังกดดันที่รุนแรงกว่าเดิมโหมกระหน่ำขึ้น จนทำให้จักรวาลลือลั่น เรือบินสั่นสะเทือน ผู้ฝึกตนทั้งหลายล้วนขวัญผวา

ในนาทีนี้แม้จะเป็นผู้ฝึกตนดารานิรันดร์ต่างก็หวั่นไหวนัยน์ตาทอแสงไปด้วยเช่นกัน เพราะตอนนี้กลิ่นอายของเทพวัวอัคคีได้กำจรกระจายและผนึกเข้ากับดาวเคราะห์พิเศษเป็นที่เรียบร้อย ไม่ด้อยไปกว่าเงาบรรพชนที่ผู้ฝึกตนระดับมหาวัฏจักรดาวเคราะห์เซี่ยอวิ๋นเถิงแสดงออกมา

แต่…มันไม่จบแค่เท่านี้!

สะเก็ดดาวทั้งหมดบิดเบี้ยวและพองขยายอย่างรุนแรงภายในพริบตา ขมุกขมัวชั่วครู่ก่อนกลับมาชัดเป็นปกติอีกครั้ง เมื่อทัศนวิสัยกลับมา ดาวเคราะห์ทั่วไปก็ได้เข้าแทนที่สะเก็ดดาวทีละดวงๆ ในขณะที่กำลังหดเล็กหลายเท่าตัวก็เห็นหวังเป่าเล่อปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้า!

เมื่อดาวเคราะห์ทั่วไปสามพันดวงเข้าแทนที่สะเก็ดดาวสามพันดวง เทพวัวกู่ร้องก้องฟ้า มวลพลังสูงขึ้นอีกครา เหนือกว่าเงาบรรพชนของเซี่ยอวิ๋นเถิงและยิ่งในวินาทีต่อมา เมื่อดาวเคราะห์ทั่วไปหกพันดวงเข้าแทนที่สะเก็ดดาว มวลพลังของเทพวัวก็บรรลุขั้นฟ้าดินสะเทือน ทำให้จักรวาลปริแตก เรือบินสั่นสะเทือน

ทางด้านเซี่ยอวิ๋นเถิงสีหน้าก็ไม่สู้ดีเช่นกัน เงาหมอกที่ปล่อยไปนั้นพลันหยุดชะงักอีกครา ไม่กล้าลุยต่อ กระทั่งเมื่อสะเก็ดดาวทั้งหมดได้เปลี่ยนเป็นดาวเคราะห์ เทพวัวที่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึงก็มาเยือนเรือบินอย่างแท้จริง!!

ในเวลาสั้นๆ ก็เกิดเพลิงปะทุขึ้นท่วมเทพวัว หลังจากเงยหน้าส่งเสียงคำราม มวลพลังแข็งแกร่งขึ้นอย่างน่าตกใจ กระทั่งดารานิรันดร์ทั้งแปดด้านหลังเซี่ยอวิ๋นเถิงยังหน้าเปลี่ยนสี พุ่งเข้าไปหมายจะช่วยเหลืออย่างว่องไว

แต่ก็ยังสายไป นัยน์ตาหวังเป่าเล่อฉาวแววต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง ขณะที่เทพวัวปรากฏขึ้น มือขวาวาดไปทางเซี่ยอวิ่นเถิง

“ลุย!”

เทพวัวคำรามลั่นก่อนพุ่งออกไปราวกับทะเลเพลิงปะทุ ดั่งดารานิรันดร์ที่สามารถแผดเผาสรรพสิ่งให้เป็นจุล แผดเสียงคำรามพุ่งใส่เซี่ยอวิ๋นเถิง!

เซี่ยอวิ๋นเถิงหน้าเปลี่ยนสีไปมา รังสีอันตรายที่รุนแรงนี้ทำให้เขาลืมเลือนเรื่องความหมายของการต่อสู้ไปจนหมดสิ้น เพราะเทพวัวตรงหน้านี้ทำให้เขารู้สึกว่ามันไม่ใช่กระบวนเวทเลยสักนิด เป็นเพราะเจ้าเทพวัวตัวเป็นๆ ในตำนานที่สามารถบดขยี้จักรวาล ทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางหน้าตัวนี้

เมื่อมองจากไกลๆ เทพวัวที่บ้าคลั่ง เงาร่างอันน่าสะพรึง หนึ่งพุ่งชน หนึ่งลังเลถอยหนี เรื่องแพ้ชนะ แข็งแกร่งหรืออ่อนแอก็ไม่จำเป็นต้องขบคิดอีกต่อไป!

วินาทีถัดมา เทพวัวที่บ้าคลั่งและจองหองก็พุ่งประสานกับเงาบรรพชนที่เซี่ยอวิ๋นเถิงสร้างขึ้น เรือบินสั่นสะเทือนถึงขั้นเกิดรอยร้าว เกิดหลุมกินบริเวณกว้างในจักรวาล มวลพลังบ้าคลั่งนี้แผ่กระจายออกมาพร้อมกับเสียงกัมปนาท เสียงระเบิดที่ไม่มีที่สิ้นสุด

เงาบรรพชนของเซี่ยอวิ๋นเถิงไม่สามารถยืนหยัดต่อได้แม้เพียงอึดใจ ระเบิดแตกออกในพริบตา เผยร่างเซี่ยอวิ๋นเถิงที่สีหน้าซีดขาวอยู่ด้านในตามด้วยเลือดสดๆ ที่พุ่งออกมา นัยน์ตาฉายแววหวาดกลัวและหวาดผวาอย่างไม่เคยเป็น และในขณะที่ขวัญผวาอยู่นี้ดันปรากฏร่างเทพวัวขึ้นเต็มตา!

“ไม่!!”

เซี่ยอวิ๋นเถิงโหยหวน คิดจะถอยหนี ทว่าภายใต้การจู่โจมของเทพวัวราวกับว่าเขาได้สูญเสียเรี่ยวแรงไปหมดแล้ว ในช่วงที่ดูคล้ายกำลังจะโดนตัว ในขณะที่กำลังจะสลายเป็นเถ้าถ่าน และในเวลานี้ดารานิรันดร์ผู้พิทักษ์ทั้งแปดได้เคลื่อนเข้ามาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าเขา หนึ่งในผู้เฒ่าที่สีหน้าย่ำแย่แต่แววตากลับมั่นคงพลันวาดมือใส่เทพวัวที่พุ่งเข้ามา

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เดิมทีเมื่อเห็นเซี่ยอวิ๋นเถิงอ่อนกำลังลงก็คิดจะเก็บพลังเทพกลับคืน ถึงอย่างไรพวกเขาก็แค่ไม่ถูกขี้หน้ากันเพราะเซี่ยไห่หยาง ไม่ได้มีความแค้นอาฆาตต่อกัน

ทว่าในเวลานี้ดารานิรันดร์กลับยื่นมือเข้ามา หวังเป่าเล่อประกายตาวาววับปล่อยพลังเทพไว้เช่นเดิม ในขณะที่ระเบิดพลังปราณ ดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าด้านหลังก็เคลื่อนหมุนกลายเป็นดาวเคราะห์เต๋าเป็นพลังเสริมหนุนให้แก่เทพวัว ทำให้หว่างคิ้วของเทพวัวพลันปรากฏเงาดาวเคราะห์เต๋าขึ้น พลังเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงกึกก้องก็พุ่งประสานเข้ากับผู้เฒ่าดารานิรันดร์

ขณะที่กำลังโจมตีกัน ผู้เฒ่าชุดดำดวงตาวาววับพลันปลดปล่อยมวลพลังดารานิรันดร์ออกมาจากร่าง วินาทีนี้ราวกับร่างกายเขาได้กลายสภาพเป็นดารานิรันดร์จริงๆ พลังดารานิรันดร์รับมือกับการโจมตีของเทพวัว เสียงคำรนต่ำ บุกจับอย่างคลุ้มคลั่งราวกับจะบดขยี้เทพวัวให้แหลก!

ฉับพลันนั้น ดาวเคราะห์ทั่วไปนับหมื่นที่หลอมรวมเป็นเทพวัวก็ส่งเสียงเปรี๊ยะออกมา ท้ายที่สุดก็ยังคงเป็นดารานิรันดร์!

ทางด้านหวังเป่าเล่อนี้ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ใบหน้าแดดก่ำ ร่างกายเซถอย ในขณะที่มือขวายกขึ้น เทพวัวที่สร้างจากพลังเทพนั้นก็เปล่งแสงเรืองรองทั่วร่าง แหลกละเอียดกลายเป็นใยไหมจำนวนนับไม่ถ้วน ใยไหมเหล่านี้ก็เป็นพลังแห่งกฎเช่นกัน กฎแห่งไหมของเซี่ยอวิ๋นเถิง!

สถานการณ์นี้เกินกว่าใครจะคาดคิด ผู้เฒ่าดารานิรันดร์ก็อึ้งไปเช่นกัน สายตาจับจ้องอยู่ที่เทพวัวใยไหมที่หลบหลีกฝ่ามือของตนอย่างว่องไว นี่ทำให้เขารู้สึกเสียหน้าอย่างมาก ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงดารานิรันดร์อีกทั้งไม่ใช่แค่ดารานิรันดร์ระดับต้นแต่เป็นขั้นดารานิรันดร์ระดับกลาง

พลังปราณระดับนี้กลับปล่อยให้สัตว์พลังเทพจากระดับดาวพระเคราะห์หลุดรอดไปได้ ดวงตาเขาเผยแววกรุ่นโกรธ แค่นเสียงอย่างเย็นชาพร้อมวาดมือขวาขึ้นเตรียมจับอีกครั้ง ส่วนดารานิรันดร์คนอื่นๆ ที่เหลือก็ไม่ได้ลงมือแต่อย่างใด อย่างไรก็เป็นถึงระดับดารานิรันดร์ ประมือกับระดับดาวพระเคราะห์ แค่คนเดียวก็พอแล้ว ยิ่งลงมือหลายคนก็ยิ่งเสียหน้าเข้าไปใหญ่ ไม่ว่าอย่างไร…หวังเป่าเล่อตรงหน้านี้ก็ไม่ใช่คนไร้ที่มาที่ไป

ทว่าพริบตาต่อมา ผู้เฒ่าที่กำลังลงมือผู้นี้สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ชักมือขวากลับอย่างรวดเร็ว เมื่อมองดูก็สังเกตเห็นว่าในเวลานี้มือขวาของตนได้กลายเป็นกระดาษในพริบตา

แม้เขาจะใช้พลังปราณจัดการสถานการณ์อย่างเต็มที่ แต่เมื่อชะงักไปชั่วครู่ก็ทำให้เทพวัวใยไหมของหวังเป่าเล่อกลับมาอย่างปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว หลอมรวมเข้าร่างอย่างรวดเร็ว!

ภาพนี้ทำให้ผู้ที่เฝ้าชมทั้งหลายต่างสูดลมหายใจลึกรวมทั้งเซี่ยไห่หยางก็เช่นกัน ไร้ข้อกังขา…การประมือง่ายๆ ของหวังเป่าเล่อกับผู้เฒ่าดารานิรันดร์ผู้นั้นจนล่าถอย นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อพอแล้ว

ณ จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ความแตกต่างระหว่างผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์กับระดับดาวพระเคราะห์นั้นราวกับหุบเหว ไม่เคยมีผู้ใดก้าวข้ามมาก่อน เพราะมันคนละระดับกันน่ะสิ

กระทั่งผู้เฒ่าดารานิรันดร์ผู้นั้นยังหรี่ตาลง จ้องหวังเป่าเล่อไม่วางตา ในช่วงที่จิตใจกำลังสั่นไหวอยู่นั้นก็เห็นด้านหลังของหวังเป่าเล่อที่ ณ เวลานี้จู่ๆ ก็ปรากฏเงาร่างระดับดารานิรันดร์แปดคนออกมา!

“ข้ารับใช้เฒ่าตระกูลเซี่ย การต่อสู้ระหว่างนายน้อย เจ้าจะยื่นมือช่วยก็พอทำเนา แต่คิดจะทำลายเทพวัวของนายน้อยข้าแบบนี้ นับว่าเกินกว่าเหตุ เจ้าต้องมีคำอธิบายให้ดาราจักรไฟของข้า!” ผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งอารยธรรมวิญญาณเพลิง หนึ่งในแปดดารานิรันดร์พูดเรียบๆ

……………………………………….

หวังเป่าเล่อที่กำลังฝึกฝนอยู่ที่สาขาดาวเพลิงช่วงนี้ไม่ค่อยรับรู้เรื่องชื่อเสียงตัวเองในโลกภายนอกเท่าไรนัก อันที่จริงหลังจากสุสานดวงดาราได้ประกาศรายชื่อออกมา นามของเขาก็ลือลั่นไปทั่วจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นดุจพายุโหมกระหน่ำ

ถูกตระกูลแข็งแกร่งและมีอำนาจมากมายจับตามองด้วยความละโมบ แม้ในเวลานั้นจะสนใจเขาแต่ส่วนใหญ่ล้วนมีจุดประสงค์แอบแฝง ต่างยึดติดในเรื่องดาวเคราะห์เต๋าของเขา ส่วนตัวตนของเขาเองนั้น…ไม่ได้ส่งผลสักเท่าไร ถึงอย่างไรก็ยังไม่เติบโตทั้งยังถูกจับตามองตั้งแต่ช่วงแรกๆ ถือว่าไม่ใช่เรื่องดี

ทว่าในระยะเวลาสั้นๆ หลังจากสาขาดาวเพลิงปล่อยข่าวออกมาว่าปรมาจารย์แห่งไฟรับหวังเป่าเล่อเป็นศิษย์อีกทั้งยังออกหน้าจัดการอารยธรรมครามทองคำจนตัวสั่นออกมาขอโทษ เหตุการณ์นี้ราวกับพายุโหมพัดกวาดไปทั่วจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ทำให้ตระกูลแข็งแกร่งและมีอำนาจทั้งหลายที่จับตามองหวังเป่าเล่อรู้สึกหวาดผวาไปตามๆ กัน

ต่างต้องเก็บซ่อนเจตนาร้ายเอาไว้อย่างห้ามไม่ได้ อันที่จริงชื่อเสียงปรมาจารย์แห่งไฟเรื่องความเหี้ยมโหดและถือหางศิษย์ตัวเองนั้นทำให้ผู้คนหวาดกลัวอย่างมาก และด้วยเหตุนี้เองชื่อของหวังเป่าเล่อก็ได้เดินทางเข้าสู่สายตาของผู้มีอำนาจทั้งหลายอีกครั้งทั้งยังแตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง

เพราะเขามีปรมาจารย์แห่งไฟอยู่เบื้องหลัง ในฐานะศิษย์ของปรมาจารย์แห่งไฟอีกทั้งยังมีดาวเคราะห์เต๋า นี่ก็เพียงพอที่จะได้รับการยอมรับว่าเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าแล้ว

ในเวลานี้ แม่นางกระพรวนสวี่อินหลิงยิ่งทำให้ชื่อเสียงของหวังเป่าเล่อกระพือลั่นไปกว้างกว่าเดิม คาดว่าผู้ฝึกตนมหาศิษย์แห่งเต๋าทุกตระกูลล้วนคงได้ยินข่าวว่าเขามีเก้าดาวเคราะห์บรรพกาลบรรจบเป็นดาวเคราะห์เต๋า

ดังนั้นเมื่อเห็นคู่แข่งตัวฉกาจตรงหน้านี้แสดงกฎดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งสองข้อจึงทำให้นึกถึงเซี่ยไห่หยางที่กราบอาจารย์เข้าสาขาดาวเพลิง ฉะนั้นในความคิดของเซี่ยอวิ๋นเถิงสถานะของคนตรงหน้านี้นั้นชัดเจนมากพอแล้ว

“หวังเป่าเล่อ!”

ในขณะที่เซี่ยอวิ๋นเถิงเอ่ยปาก หวังเป่าเล่อระเบิดพลังโลหิตและพลังดนตรีออกมาทั้งหมด กลายเป็นแรงฉีกทึ้งส่งผลให้ตาข่ายใหญ่สั่นสะเทือนจนเริ่มปริขาด

แค่ปริขาดเท่านั้น หวังเป่าเล่อยังไม่พอใจ เขาก้าวเท้าออกไปอีกครั้ง หมัดที่สาม หมัดที่สี่ หมัดที่ห้า ใส่ตามไปติดๆ

เต๋าพืชเขียว เต๋าเมฆาฟ้า เต๋าลมคราม!

แสงทั้งสามระเบิดบึ้มในพริบตา หลอมรวมเข้าในกำปั้นของหวังเป่าเล่อราวกับคลื่นทะเลที่คลุ้มคลั่ง ก่อเกิดภาพมายาต้นไม้สูงเสียดฟ้าขนาดใหญ่ กลุ่มก้อนเมฆที่เคลื่อนคล้อยอยู่เต็มฟ้าและพายุโหมกระหน่ำที่ก่อตัวขึ้นกลางอากาศ สิ่งเหล่านี้คือพลังมายา หลังจากทะเลโลหิตและคลื่นเสียง พุ่งไปยังตาข่ายไหมที่เดิมทีก็แทบพังอยู่แล้วให้แหลกละเอียด

เสียงดังสนั่นขึ้น แม้ตาข่ายไหมยักษ์จะเป็นดาวเคราะห์บรรพกาลทว่าก็เป็นแค่ดาวเคราะห์บรรพกาลดวงหนึ่งของหวังเป่าเล่อเท่านั้น สำหรับเขาที่มีดาวเคราะห์บรรพกาลถึงเก้าดวง แน่นอนว่าลงมือทั้งทีก็ต้องยิ่งใหญ่อย่างนี้ พลังเส้นไหมที่มีพลังดาวเคราะห์บรรพกาลของเซี่ยอวิ๋นเถิงรับไม่ได้อยู่แล้ว

ในขณะที่กำลังแตกสลายลงเรื่อยๆ ราวกับไข่ไก่ที่กระทบก้อนหิน ผู้คนที่เห็นล้วนตะลึงงัน เซี่ยอวิ๋นเถิงเองก็กระอักเลือดสดๆ ออกมาไม่หยุด แค่ในระยะสั้นๆ นี้ก็กระอักเลือดออกมาห้ารอบแล้ว

โจมตีหนึ่งครั้ง กระอักเลือดหนึ่งที และในทุกครั้งที่หวังเป่าเล่อลงมือร่างของเขาก็ถอยเซอย่างควบคุมไม่ได้เช่นกัน เงามายาดาวเคราะห์บรรพกาลที่ปรากฏอยู่ด้านหลังก็เริ่มบิดเบี้ยวขึ้นทุกขณะ

แต่…นี่ยังไม่จบ หวังเป่าเล่อออกหมัดต่ออย่างว่องไว หมัดที่หก หมัดที่เจ็ด หมัดที่แปด!

แยกเป็น…เต๋ากลืนกินม่วง เต๋าแห่งความตาย สุดท้ายคือเต๋าแห่งแสงสว่าง!

วินาทีที่พลังทั้งสามนี้ปรากฏขึ้น เมล็ดหลุมดำแห่งการดูดกลืนในร่างของหวังเป่าเล่อถูกดึงออกมา กำปั้นของเขาราวกับหลุมดำที่สามารถดูดกลืนทุกสิ่งอย่าง ปลดปล่อยแรงกดดันอันน่าสะพรึงสุดขีด ยิ่งกว่านั้นคือกลิ่นอายแห่งความตายและการสอดประสานของแสงอันไร้ขอบเขตที่กระจายไปทั่วสารทิศราวกับกวาดล้าง ระเบิดอย่างบ้าคลั่ง

เสียงกัมปนาทดังขึ้นอีกครั้ง ต้นตอนั้นมาจากตาข่ายไหมที่เวลานี้ได้พังทลายลงหมดแล้ว ฝุ่นควันคละคลุ้งก่อนสลายไปอย่างไร้ร่องรอย เซี่ยอวิ๋นเถิงกระอักเลือดออกมาอีกสามครา ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง เงามายาดาวเคราะห์บรรพกาลด้านหลังนั้นก็รับต่อไม่ไหว เกิดรอยปริแตกไปทั่วสุดท้ายจึงแตกสลายไป

หวังเป่าเล่อไม่ได้ลงมือต่อ ปรายตามองเซี่ยอวิ๋นเถิงที่เซถอยอย่างเยียบเย็น โคลงหัวเบาๆ รอบนี้ที่ลงมือเขายังไม่ได้แสดงฤทธิ์ดาวเคราะห์เต๋าที่เสริมเวทเลย ไม่ว่าจะเป็นเวทผนึกดารา คำสาปเพลิงวิญญาณ เคล็ดวิชาลับอื่นๆ ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่ได้ใช้เลยสักนิด

แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็ยังบดขยี้ผู้นี้ที่ได้ชื่อว่าเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าได้อยู่ดี ทำให้หวังเป่าเล่อหมดความสนุกไปในทันที ผู้ที่อ่อนแอแบบนี้ไม่มีค่าพอที่จะให้เขาใช้พิสูจน์ตัวเองอีกต่อไป

“อย่ามาวอแวข้าอีก” หวังเป่าเล่อพูดเรียบๆ ละสายตากจากเซี่ยอวิ๋นเถิงและมุ่งหน้าไปยังตำหนักรับรองสถานที่แห่งเดียวในเวลานี้ที่ยังไม่เป็นซากปรักหักพัง..Aileen-novel

“เจ้า!!” ชีวิตนี้ของเขาแทบจะไม่เคยถูกคนมองข้ามแบบนี้มาก่อน ศักดิ์ศรีและความเย่อหยิ่งทำให้เซี่ยอวิ๋นเถิงแผดเสียงโกรธเกรี้ยวอย่างทนไม่ได้

แม้ดาวเคราะห์บรรพกาลของเขาจะยังไม่พังทลายจนย่อยยับ แต่สำหรับเขาแล้วการโจมตีแบบนี้ก็ทำลายไปถึงแก่นแล้ว ในขณะที่ถอยหลัง ดารานิรันดร์ทั้งแปดที่เคยถูกเขารั้งไว้ก็ปรากฏตัวขึ้นรอบกายเขาในพริบตา แต่ละคนท่าทางเยียบเย็น พลันยกมือขวาใส่เซี่ยอวิ๋นเถิง

เพียงเท่านี้ก็ทำให้เซี่ยวอวิ๋นเถิงรวมทั้งมายาดาวเคราะห์บรรพกาลด้านหลังฟื้นตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เดิมที่บาดเจ็บถึงแก่นแท้กลับฟื้นคืนอย่างรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ!

“นายน้อยห้า พวกเราลงมือกันเถอะ” เมื่อรักษาเซี่ยอวิ๋นเถิงเสร็จ ผู้เฒ่าหนึ่งในกลุ่มนั้นเอ่ยขึ้นเรียบๆ

“ไม่ต้อง พวกเจ้าถอยไปให้หมด กับแค่เศษขยะ ข้าคนเดียวก็ขยี้ให้แหลกได้!” เซี่ยอวิ๋นเถิงร่างกายสั่นเทา แม้สีหน้าเป็นปกติแล้วแต่นัยน์ตากลับวาววับอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายแผ่กลิ่นอายมืดดำเป็นสาย ขณะที่คำรามทุ้ม สองมือวาดขึ้นเต็มกำลังพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่ออีกครั้งอย่างรวดเร็ว

“หวังเป่าเล่อ!” ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง ฉับพลันนั้นกลิ่นอายมืดดำที่แผ่ออกมาจากตัวของเซี่ยอวิ๋นเถิงก็ได้เพิ่มจำนวนและรุนแรงขึ้นในเสี้ยววิพร้อมแผ่กระจายออกมานอกร่าง ทำให้เขาดูเหมือนได้กลายร่างเป็นกลุ่มหมอกไปแล้ว

กลุ่มหมอกดำขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะที่พัดหมุน พลังก็ยิ่งเพิ่มสูง ในขณะที่มันยิ่งเข้าใกล้หวังเป่าเล่อเรื่อยๆ ในขณะที่ขนาดของมันยิ่งขยายใหญ่ ระเบิดดังสนั่น

พลังที่รุนแรงนี้พริบตาเดียวก็ก้าวล้ำการฝึกตนที่ผ่านมาทั้งหมดของเซี่ยอวิ๋นเถิง ความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หนึ่งเท่า สองเท่า สามเท่า… ยิ่งใกล้พลังก็ยิ่งเพิ่มขึ้น!

หวังเป่าเล่อที่เดิมทีจะเดินเข้าระเบียงพลันชะงักเท้า ความสนุกที่หายไปพลันพุ่งทะยานขึ้นในช่วงจังหวะนี้เอง ประสานพลังอีกครั้งก่อนหันไปมอง

และนาทีที่เขาหันกลับไป น้ำเสียงร้อนรนของเซี่ยไห่หยางพลันลอยมา

“เป่าเล่อระวัง นี่เป็น…วิชาลับของตระกูลเซี่ยสายตรง เงาบรรพชน!! ไม่มีผลต่อคนในตระกูล แต่จะเพิ่มพลังให้ภายนอกให้ตัวเองได้ ยกระดับพลังต่อสู้ในเวลาอันสั้น!!”

ขณะเซี่ยไห่หยางเอ่ยพูด สายตาของหวังเป่าเล่อก็เบนไปยังกลุ่มหมอกรอบกายของเซี่ยอวิ๋นเถิงอย่างว่องไว มันเคลื่อนหมุนราวกับเปลวไฟ ระเบิดอย่างรุนแรงก่อนไอหมอกหลอมรวมขึ้นเป็นเค้าร่างคน

เงาร่างนี้สูงประมาณสามร้อยเมตร เมื่อโผล่มาก็ทำให้เรือบินโคลงเคลงไปหมด ทั้งส่งผลให้จักรวาลนอกโลกเกิดแรงสั่นสะเทือนทำให้เรือบินต้องหยุดจอดอย่างเสียไม่ได้

ในช่วงที่ก่อตัวเป็นร่างมนุษย์นี้ก็ได้แผ่กลิ่นอายโบราณที่ราวกับสั่งสมอายุอันยาวนานออกมาจากไอหมอกมหึมานี้อย่างไม่หยุดยั้ง ขณะกลายเป็นแรงพลังมหาศาลห่อหุ้มไปทั่วสารทิศอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็เห็นใบหน้าของเงาหมอกนี้อย่างชัดเจนแล้วเช่นกัน เป็นผู้อาวุโสที่น่ายำเกรงผู้หนึ่ง แววตาลึกล้ำและพลังพิสดารที่ยากจะบรรยายคล้ายกับจะสามารถทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างเลือนหายไป!

“เงาบรรพชนรึ?” หวังเป่าเล่อนัยน์ตาหรี่เล็ก ความรู้สึกอันตรายพวยพุ่งอยู่ในร่างกาย และในขณะที่พลังหลั่งไหลออกมาไม่หยุดจากเงาหมอกนั้นก็ส่งเสียงกึกก้องไปยังหวังเป่าเล่อว่า

“หวังเป่าเล่อ ตายซะ!!”

สมกับเป็นตระกูลเซี่ย…นึกไม่ถึงว่ายังมีพลังเทพแบบนี้อยู่ด้วย ให้ลูกหลานยืมใช้เงาร่าง ถึงจะให้แค่เงาร่างไม่ใช่พลัง แต่ก็เป็นการเพิ่มพลังให้ตัวเองอย่างน่าตื่นตาตื่นใจเช่นกัน คิดๆ ดูแล้วเงาบรรพชนที่ว่านี่…คงเป็นตระกูลเซี่ยผู้นั้นที่ทุ่มทุนให้ตระกูลคงกระพันสร้างบรรพบุรุษตระกูล! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึก ถึงแม้ความรู้สึกอันตรายในร่างกายจะยังรุนแรงแต่ว่าสิ่งที่รุนแรงกว่านั้นคือความหมายของการต่อสู้ที่แท้จริง ความรู้สึกนี้ได้กระจายไปทั่วร่างถึงขั้นที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นเลยทีเดียว ในวินาทีที่เงาหมอกนั้นมาถึง หวังเป่าเล่อหัวเราะร่วน พลางยกมือขวาขึ้น แววตาระยับ!

“จะให้ข้าตาย ก็ต้องถามอาจารย์ข้าก่อนว่ายินยอมหรือไม่!”

……………………………………….

หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่บนระเบียง ในขณะที่พูด มือขวาก็ยกขึ้นมา แล้วโบกไปทางมือยักษ์สีทองพันจั้งที่กำลังมาถึงนี้ ภายใต้การโบกนี้ก็เกิดเสียงดังไปรอบทิศ รอยมือขนาดใหญ่เท่ากัน ก็โผล่ออกมาต่อหน้าหวังเป่าเล่อในทันใด!

มันมรขนาดพันจั้ง สีสันเก้าสี ชั่วขณะที่ปรากฎออกมา ก็ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนรอบข้างตกตะลึง แม้แต่บนตัวคนจำนวนมากก็มีแสงหลากสีปรากฎออกมาโดยที่ควบคุมไม่ได้!

นี่เป็นเพราะว่าการโบกมือที่ดูเหมือนง่ายนี้ รอยมือที่ก่อตัวขึ้นประกอบด้วยกฎเก้าอย่างของดาวเคราะห์บรรพกาลเก้าดวง!

ส่วนกฎเก้าอย่างนี้ โดยพื้นฐานแล้วครอบคลุมคุณลักษณะพลังเทพของผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ บวกกับการสะกดชั้นยอด จึงทำให้มือขวาที่โบกไปของหวังเป่าเล่อซึ่งยืนขึ้นที่นี่ ไม่เพียงแต่สามารถสะกดพลังของเหล่าผู้ฝึกตนรอบข้างไว้ได้ ทำให้ผู้ฝึกตนที่มีกฎพวกนี้ ในขณะที่พลังสั่นคลอนก็ถูกดึงดูดด้วย โดยมีแสงส่องประกายระยิบระยับบนตัวของแต่ละคน ทำให้ถูกดึงเอาพลังของตัวเองออกมาส่วนหนึ่ง!

นี่คือระดับการฝึกฝนและตกตะกอนในช่วงที่ผ่านมานี้บนดาราจักรไฟ ตามความคุ้นเคยของดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าดวงของตัวเอง ทำให้ถูกหวังเป่าเล่อเข้าใจวิธีการใช้อย่างลึกซึ้ง และการเข้าใจถึงวิธีการนี้ โดยพื้นฐานแล้วการต่อสู้แบบกลุ่มสำหรับหวังเป่าเล่อกลับได้เปรียบกว่า!

ในเวลานี้สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่า หลังจากที่ร่างของผู้ฝึกตนจำนวนมากในตลาดมีแสงหลากสีปรากฎออกมา แสงพวกนี้กลายเป็นสำแสงพุ่งตรงไปยังรอยมือด้านหน้าหวังเป่าเล่อ ในชั่วขณะที่รวมตัวกันก็ทำให้รอยมือนี้ขยายตัวอีกครั้ง ขนาดขยายออกหลายพันจั้งพุ่งไปยังมือยักษ์สีทองที่กำลังกดลงมาในทันใด!

มองดูไกลๆ แม้ว่ามือยักษ์สีทองจะสูงพันจั้งและท่าทางทรงพลัง แต่อยู่ต่อหน้ารอยมือของหวังเป่าเล่อ ก็ยังเล็กเกินไปมากนัก และฉากนี้ก็ทำให้สีหน้าของเซี่ยอวิ๋นเถิงเปลี่ยนไปในทันที

และในขณะสีหน้าของเขาเปลี่ยนแปลงไป รอยมือทั้งสองนี้ก็สัมผัสถึงกันแล้ว เกิดเสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าดิน เสียงคำรามดังก้องไปทั่วทุกที่ ซึ่งระเบิดออกมาบนเรือเหาะในทันใด ท่าทางยิ่งใหญ่มาก ผลกระทบนั้นใหญ่มากจนกลายเป็นชั้นของระลอกคลื่น เสียงดังกระจายไปยังรอบข้างไม่หยุด

ชั่วพริบตาเดียว ตลาดที่ทั้งคู่ต่อสู้กันต่างก็ทยอยพังทลายลงมา อาคารจำนวนนับไม่ถ้วนก็พังทลายลง และผู้ฝึกตนในตลาดก็มีไม่น้อยที่กระอักเลือดออกมา ทุกคนต่างถอยหนีอย่างรวดเร็ว

เมื่อมองดูไปแล้ว โดยรอบตลาดรัศมีสามกิโลเมตร ในขณะนี้ แทบจะหายไปหมดแล้ว เว้นเพียง…ตำหนักหรูรับรองแขกที่หวังเป่าเล่ออาศัยอยู่ ยังตั้งตระหง่านอยู่กลางซากอาคาร ไร้ซึ่งความเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น เขาที่ยืนอยู่บนระเบียง ดวงตาในขณะนี้มีเจตจำนงในการต่อสู้ จ้องมองไปยังเซี่ยอวิ๋นเถิงที่อยู่กลางอากาศ โดยที่ร่างกายถอยหลังไม่หยุด จนกระทั่งไปห่างไปไกลกว่าร้อยจั้ง!

“เจ้า…” สีหน้าเซี่ยอวิ๋นเถิงแย่จนถึงที่สุด เขากำลังจะพูด แต่ในเวลาต่อมาหวังเป่าเล่อที่อยู่บนระเบียงก็ได้หัวเราะขึ้นมา

“น่าสนใจ!” ระหว่างที่พูด เงาร่างของเขาก็ก้าวออกไปและพุ่งขึ้นไปในอากาศแล้ว มันเร็วมากจนกลายเป็นเงาภาพชุดหนึ่ง ดูเหมือนว่ายังอยู่ห่างไกล แต่จริงๆ แล้วเขาไปถึงด้านหน้าเซี่ยอวิ๋นเถิงแล้ว มือขวายกขึ้นชี้นิ้วลงไป!

นิ้วนี้ชี้ออกไป โดยรอบก็บิดเบี้ยวในทันใด กลายเป็นกลุ่มหมอก มันก็คือ…นิ้วเมฆา!

เดิมทีการชี้นี้ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว เป็นหนึ่งในไม่กี่กระบวนเวทที่ใช้เป็นเคล็ดวิชาลับได้ในบรรดาพลังเทพของหวังเป่าเล่อ ในขณะนี้ถูกใช้ออกมาด้วยพลังระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง และได้รับการสนับสนุนด้วยดาวเคราะห์บรรพกาลอีก ประสิทธิภาพนี้ใหญ่เกินกว่าระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลางคนอื่นมาก

ในความเป็นจริงนั้น จนถึงตอนนี้ นอกจากลงมือช่วยเซี่ยไห่หยางไว้ในครั้งนั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ใช้พลังแห่งดาวเคราะห์เต๋าเลย เพราะเขาเองก็อยากเห็นเช่นกันว่า ตัวเองในตอนนี้ ภายใต้การไม่ใช้พลังดาวเคราะห์เต๋า จะมีพลังในการต่อสู้ขนาดไหน

ดังนั้นนิ้วเมฆาในตอนนี้ ไม่ใช่พลังเต็มที่ของเขา แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ ก็ยังคงทำให้เซี่ยอวิ๋นเถิงหน้าเปลี่ยนสี ดวงตาเบิกกว้าง ผู้คุ้มกันระดับดารานิรันทร์ด้านหลังแปดคนนั้นกำลังจะก้าวไปข้างหน้า

“ถอยไป! ” อยู่ๆ เซี่ยอวิ๋นเถิงก็ตะโกนขึ้น

” ข้าจัดการเอง! ” ขณะที่เขาพูด ร่างกายก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ถอย และยิ่งชั่วขณะที่เข้าใกล้หวังเป่าเล่อ สองมือผนึกมุทรา เสียงอันเย็นชาดังออกมาจากปาก

“เวทดวงดาว! ”

ขณะที่เสียงดังออกมา ก็มีเส้นใยจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากทุกตำแหน่งบนตัวเขา รวมถึงทวารทั้งเจ็ดและรูขุมขนทั่วทั้งร่างกาย

เส้นใยพวกนี้เป็นสีดำทั้งหมด ในขณะที่ปล่อยพิษออกมา ก็ให้ความรู้สึกเหมือนถูกเฉือน แม้แต่ตอนที่ปรากฏขึ้น อากาศโดยรอบก็บิดเบือนไป และยังมีรอยฉีกขาดปรากฏออกมาไม่หยุดอีก

เพียงแค่ชั่วพริบตา เส้นใยเหล่านี้ก็มากมายจนล้อมรอบเซี่ยอวิ๋นเถิงเอาไว้ หลังจากห้อมล้อมตัวเองแล้ว รังไหมสีดำขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์!

รังไหมนี้ มีร่องรอยพลังงานโบราณ และยังคลื่นดวงดาวแผ่ออกมา หากสังเกตดีๆ จะเห็นว่านี่มันคือ…ดาวพระเคราะห์พิเศษดวงหนึ่ง!!..Aileen-novel

นี่ก็คือดาวพระเคราะห์ที่เซี่ยอวิ๋นเถิงลูกหลานสายตรงลำดับที่ห้าของตระกูลเซี่ยผนึกกาย ซึ่งเป็นดาวพระเคราะห์พิเศษจริงๆ ยิ่งกว่านั้นยังเป็น…ดาวเคราะห์บรรกาลดวงหนึ่งที่พัฒนาเป็นดาวเคราะห์เต๋าล้มเหลว!

และกฎมันยิ่งประหลาดเข้าไปอีก ไมใช่พวกกฎน้ำ ไฟ สายฟ้า แต่เป็น…เส้นใย!

ดาวพระเคราะห์แห่งเส้นใย!

ซึ่งกฎนี้แม้แต่ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นก็หาเจอได้ยาก จะเห็นถึงความแข็งแกร่งของภูมิหลังของตระกูลเซี่ย

ปรากฎขึ้นในชั่วขณะนี้ ตอนที่กลายเป็นรังไหมสีดำ นัยน์ตาหวังเป่าเล่อฉายแววแปลกใจ แต่นิ้วเมฆาที่กางออกก็ตกลงบนนั้นโดยตรงโดยไม่หยุดแม้สักนิด

เสียงดังกระจายไปทั่วทุกทิศ รังไหมสีดำที่ประกอบขึ้นจากเส้นใยก็พังทลายลงเรื่อยๆ แต่…นิ้วเมฆาของหวังเป่าเล่อก็สลายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน กระทั่งรังไหมสีดำแตกสลายไปกว่าร้อยละแปดสิบ ในที่สุดนิ้วเมฆาก็ถูกสลายจนหมดสิ้น หายไปกลางอากาศ

“บิดเกลียว! ” ในขณะที่เมฆสลายไป ดวงตาของเซี่ยอวิ๋นเถิงที่อยู่ภายในรังไหมสีดำก็ฉายแววโหดเหี้ยมออกมา ทันที่ที่เอ่ยปากออก เส้นใยที่สลายไปโดยรอบ ก็ฟื้นฟูดังเดิมและแพร่กระจายออกไปในทันที พุ่งไปหาหวังเป่าเล่ออย่างเร็วจากทุกทิศทาง

ราวกับตาข่ายใหญ่ ปิดล้อมทั้งสี่ทิศ!

มองจากไกลๆ เซี่ยอวิ๋นเถิงดูเหมือนแมงมุมขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง กระจายตาข่ายเส้นใย ปกคลุมตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้ภายใน!

และเส้นใยของตาข่ายนี้มีนับพันนับหมื่น ไม่ว่าเส้นไหนต่างก็มีพลังอันน่าตกใจ ทำให้ผู้ฝึกตนที่ยืนดูรอบๆ ต่างถอยห่างออกไป ไม่มีใครที่ไม่รู้สึกตกตะลึง

“แกร่งเกินไปแล้ว! ”

“พลังแห่งกฎเกณฑ์นี้…”

“สมเป็นท่านชายห้าแห่งตระกูลเซี่ย!!”

ในเวลาเดียวกันกับที่มีเสียงความโกลาหล เซี่ยไห่หยางบนระเบียงก็มีสีหน้าตกใจแบบเดียวกัน เขาไม่แปลกใจที่ในความแข็งแกร่งของเซี่ยอวิ๋นเถิง อีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนในตระกูล เดิมทีก็ชอบต่อสู้อยู่แล้ว เขาก็ไม่ได้แปลกใจในดาวเคราะห์บรรพกาลของอีกฝ่าย เพราะเขาเอง… ก็เป็นดาวเคราะห์บรรพกาลเหมือนกัน!

เพียงแค่กฎนั้นต่างกัน ที่เขาตกใจคือหวังเป่าเล่อ!

สามารถกล่าวได้ว่าตลอดเส้นทางของหวังเป่าเล่อ ในหลายๆ ช่วงเวลา เซี่ยไห่หยางล้วนเห็นกับตาตัวเอง ดังนั้นถึงแม้ว่าจะมีการประเมินความสามารถของหวังเป่าเล่อไว้คร่าวๆ แล้ว แต่ในตอนนี้ความคิดภายในหัวของเขาก็ยังคงสั่นไหว

เพราะเขารู้ว่าความแข็งแกร่งที่หวังเป่าเล่อแสดงออกมาในตอนนี้ ยังไม่ได้ใช้เวทผนึกดารา ดาวเคราะห์เต๋าเองก็ยังไม่แสดง!

“ยังมีดาวเคราะห์บรรพกาลเก้าดวงของเขา…” ชั่วขณะที่เซี่ยไห่หยางบ่นในใจ หวังเป่าเล่อที่อยู่กลางอากาศ บนใบหน้ามีรอยยิ้มเผยออกมา

“น่าสนใจแล้วสิ ” หวังเป่าเล่อพอใจกับการออกมือครั้งนี้มาก สามารถเจอเข้ากับกฎที่แปลกเช่นนี้ ขณะที่รอยยิ้มปรากฏขึ้น จิตวิญญาณการต่อสู้ในนัยน์ตาของเขาก็เข้มข้นขึ้นเช่นกัน เขาไม่ได้ถอยหลังหรือหลบเลย เขาก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ตอนที่ยกมือขวาขึ้นแล้วกำหมัด ใช้วิธีที่ตรงที่สุดปล่อยหมัดออกไป!

หมัดนี้มีสีแดงแผ่ออกมา!

มันก็คือ… หนึ่งในกฎดาวเคราะห์บรรพกาล เต๋าโลหิตแดง!

เมื่อชกออกไปก็เกิดระลอกคลื่นดั่งคลื่นมหาสมุทรในทุกทิศทุกทาง มีสีแดงฉานดั่งเลือดของผู้ฝึกตนบรรพกาลพุ่งสู่ตาข่ายเส้นใยที่ปกคลุมลงมา แล้วระเบิดออกไปทันที!

“ดาวเคราะห์บรรพกาลรึ? ” เซี่ยอวิ๋นเถิงตะลึง

ไม่มีที่สิ้นสุด สีหน้าหวังเป่าเล่อแผ่ความเผด็จการออกมา ชกไปอีกครั้งในขณะที่ก้าวเท้าออกไป!

หมัดนี้ สีส้ม มันก็คือเต๋าดนตรีส้ม ทันทีที่มันปรากฏขึ้น รอบข้างก็มีเสียงอันไพเราะนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น ก่อตัวเป็นคลื่นเสียง ส่งเสียงดังกึกก้องไปทุกทิศทางอีกครั้ง!

ฉากนี้ ทำให้เซี่ยอวิ๋นเถิงหน้าเสียอีกครั้ง!

“ดาวเคราะห์บรรพกาลอีกแล้ว!!”

ก่อนหน้านี้ เพราะเขามาอย่างรีบร้อน ดังนั้นไม่รู้ว่าคนที่อยู่ข้างๆ เซี่ยไห่หยางเป็นใคร แต่ตอนนี้ อยู่ๆ ในหัวของเขาก็มีชื่อหนึ่งปรากฏขึ้นมา คนที่กำลังมีชื่อเสียงในช่วงนี้!

“หวังเป่าเล่อ!!”

มองไปที่หวังเป่าเล่อ เซี่ยไห่หยางก็ตกใจเช่นกัน หวังเป่าเล่อในขณะนี้ ทำให้เขารู้สึกต่างไปจากในความทรงจำ ในความทรงจำของเขาหวังเป่าเล่อที่ยังไม่ได้ออกจากสหพันธ์ในตอนนั้น เป็นคนที่เข้มงวดมากคนหนึ่ง ดข้มงวดกับตัวเอง และยิ่งโหดกับศัตรู

แต่ไม่เพียงแค่เท่านี้ แม้จะพบกันที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อีกครั้ง ความรู้สึกของเซี่ยไห่หยางที่มีต่อหวังเป่าเล้อก็ยังคงคิดว่าอีกฝ่ายมีจิตใจที่ไม่ธรรมดาและโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง แต่ท้ายที่สุดก็ขาดราศีบางอย่างไป แม้จะคุ้มค่าที่จะลงทุนมากแต่เมื่อได้ผลประโยชน์เพียงพอแล้ว ก็ใช่ว่าจะทิ้งไม่ได้

แต่ว่าตอนนี้…มันไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่ใช่เพียงเพราะการเปลี่ยนแปลงทางภูมิหลังของหวังเป่าเล่อ ที่สำคัญกว่านั้นคือราศีความเผด็จการที่แสดงออกมานั้น ซึ่งเซี่ยไห่หยางเห็นได้จากบนตัวคนไม่กี่คนเท่านั้น แต่ไม่มีข้อยกเว้น ผู้ที่มีราศีเหล่านี้ หากไม่ตายไปตั้งแต่เด็ก ความสำเร็จนั้นก็คงไม่ธรรมดา และความสำเร็จของแต่ละคนก็ทำให้เขาต้องแหงนหน้าขึ้นมองเท่านั้น

ในความเป็นจริงหวังเป่าเล่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของตัวเองนานแล้ว เขาก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของความคิดแบบนี้ ไม่ใช่เพราะตัวเองมีอาจารย์เพิ่มมาคนหนึ่ง แต่เป็นเพราะการฝึกฝนเวทผนึกดารา!

ในขณะที่เขาสกัดรวมแผนที่ดวงดาวเก่า มันก็ค่อยๆ ส่งผลกระทบต่อตัวเขาเองด้วย ทำให้ความโหดเหี้ยมของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลง กลั่นความเผด็จการออกมา การแสดงออกของความเผด็จการนี้คือการก้าวไปข้างหน้า เมื่อเผชิญหน้ากับความยากลำบากและอุปสรรคใดๆ ก็ตาม ก็จะไหลทวนกระแส ฆ่ากำจัดไปทุกทิศทาง!

ดาราจักรแห่งไฟในช่วงนี้ ราวกับว่ากำลังสะสมพลัง ในขณะที่เขาออกไป หากไม่มีใครมาหาเรื่องก็ไม่เป็นไร แต่หากมีคนมาหาเรื่อง ถ้างั้นพลังนี้ของเขาก็จะระเบิดออกมา

การเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ หวังเป่าเล่อไม่ได้ปฏิเสธ แต่กลับเต็มไปด้วยความคาดหวังต่อชะตากรรมต่อจากนี้ และการรอคอยของเขาก็ไม่นานเกินไป ผ่านไปอีกครึ่งเดือน หลังตลาดอวกาศตระกูลเซี่ยข้ามผ่านท้องฟ้าก็ปรากฎดาราจักรที่ไม่คุ้นเคย ระหว่างที่เหล่าผู้ฝึกตนทั้งหลายต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง เรือเหาะอันดับหนึ่งที่เขาอยู่ก็นำพาผู้คนที่จะไปร่วมพิธีฉลองอายุเข้าสู่ดาราจักรที่ไม่คุ้นเคยที่มีชื่อว่าดาวชะตาท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง

และในชั่วขณะที่เรือเหาะเดินทางเข้าสู่ดาราจักรดาวชะตา เรือเหาะอันดับหนึ่งที่พวกเขาอยู่ก็สั่นไหวอย่างรุนแรง บริเวณด้านหลังเรือเหาะมีประกายแสงส่องสว่างออกมา แล้วก็มีพลังวงแหวนเคลื่อนย้ายแผ่ขยายไปทั่วทั้งเรือเหาะกะทันหัน

นี่ไม่ได้เกิดจากปัจจัยภายนอกและไม่ได้ถูกโจมตี แต่มีใครบางคนทำการเปิดวงแหวนเคลื่อนย้ายบนเรือเหาะตระกูลเซี่ย มันกำลังเคลื่อนย้ายโดยตรงจากจุดที่ห่างไกลมาที่นี่

ฉากนี้ดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกตนทั้งหมดบนเรือเหาะในทันที หลังจากที่หวังเป่าเล่อสังเกตเห็น เขาก็ไปที่ระเบียงและมองไปไกลๆ ขณะที่รับรู้ความผันผวนโดยรอบ จิตสำนึกของเขาก็ขยายออกไปทำการสังเกตทันที ในเวลาเดียวกันก็สังเกตเห็นสีหน้าของเซี่ยไห่หยาง ซึ่งเวลานี้มีการเปลี่ยนแปลง

“มีปัญหาอะไรหรือ?” เมื่อเห็นว่าสีหน้าของเซี่ยไห่หยางดูแย่ขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อเอ่ยปากถามขึ้นว่า

“ตระกูลของข้าได้สร้างวงแหวนเคลื่อนย้ายไว้บนเรือเหาะทุกลำ แต่วงแหวนนี้ไม่ได้เปิดเผยต่อคนนอก…เฉพาะคนในตระกูลเท่านั้นที่จะสามารถใช้งานได้ และทุกครั้งที่มีการใช้งานก็จะต้องใช้เงินของตระกูลปริมาณมาก ”

“นอกจากนี้… ยิ่งระยะการเคลื่อนย้ายอยู่ไกลออกไปเท่าใดค่าใช้จ่ายก็ยิ่งสูง คลื่นการเคลื่อนย้ายและแสงสว่างก็จะยิ่งคงอยู่นานมากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้วงแหวนเคลื่อนย้ายถูกเปิดมานานกว่าสามสิบวินาทีแล้วแต่ก็ยังไม่สิ้นสุด แสดงว่าคนคนนี้…สถานที่ที่อยูห่างไกลจากที่นี่เป็นอย่างมาก! ”

“ซึ่งเลือกมาในเวลานี้ เห็นได้ชัดว่ามาเข้าร่วมพิธีฉลองอายุของประมุขกฏสวรรค์ ข้าว่าข้ารู้แล้วว่าคนที่มาเป็นใคร!” สีหน้าของเซี่ยไห่หยางมืดมน นัยน์ตามีเส้นเลือดปรากฏ พูดด้วยเสียงต่ำว่า

“เป็นพี่ชายในตระกูลข้า สมาชิกสายหลักของตระกูล เซี่ยอวิ๋นเถิง ที่จัดอยู่ในลำดับที่ห้าของรุ่นนี้! ”

“ส่วนข้าอยู่ในลำดับที่เก้า ระหว่างข้ากับเขามีความแค้นที่ไม่อาจสลายได้!!” เซี่ยไห่หยางพูดถึงตรงนี้ คลื่นการเคลื่อนย้ายที่อยู่ห่างออกไปก็รุนแรงขึ้น ราวกับแสงอันสว่างจ้านั้นจะครอบคลุมไปทั่วทั้งเรือเหาะ และสมาชิกตระกูลเซี่ยจำนวนมากบนเรือเหาะต่างเหาะออกไป และตรงดิ่งไปยังวงแหวนเคลื่อนย้าย พวกเขาไม่ได้เข้าใกล้ แต่ก้มศีรษะลงด้วยความเคารพอยู่รอบนอก

มีเพียงเฒ่าโอสถและผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์คนอื่นๆ ถึงสามารถข้ามผ่านคลื่นการเคลื่อนย้ายเข้าไปถึงด้านใน รอคอยอยู่ที่นั่นได้!…ไอลีนโนเวล

ในเวลาต่อมา เสียงคำรามดังกึกก้องทั่วท้องฟ้าเสียงหนึ่ง ในแสงนั่นเงาร่างเก้าร่างก็ปรากฏขึ้นตรงแกนกลางของคลื่นการเคลื่อนย้าย!

มีคนอยู่ด้านหน้า แปดคนอยู่ด้านหลัง เงาร่างของพวกเขารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว กลุ่มเฒ่าโอสถที่อยู่ด้านนอกวงแหวนปราณโค้งคำนับด้วยท่าทางเคร่งขรึมในทันที

“คำนับท่านชายห้า!”

เสียงของพวกเขาแผ่ขยายออกไป คนของตระกูลเซี่ยที่อยู่รอบนอกต่างก้มโค้งคำนับ เสียงของพวกเขาประสานกัน แพร่กระจายออกไป

“คำนับท่านชายห้า!”

ภายใต้การคำนับของเหล่าผู้คน ในที่สุดเงาร่างทั้งเก้าในวงแหวนเคลื่อนย้ายก็รวมตัวโดยสมบูรณ์ และปรากฏต่อหน้าทุกคน แปดคนด้านหลังสวมชุดคลุมยาวสีดำ มีทั้งชายและหญิง ทั้งแก่และหนุ่มสาว แต่ละคนต่างก็มีปราณระดับดารานิรันดร์ที่น่าสะพรึงกลัวแผ่ซ่านออกมา บนตัวยิ่งเต็มไปด้วยไอพิฆาต เห็นชัดว่าระดับของแต่ละคนไม่ธรรมดา แต่ก็เป็นมือสังหารพร้อมกันด้วย

และที่อยู่แปดคนที่อยู่ด้านหน้าของพวกเขา มีชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีทองยืนอยู่ คนคนนี้เป็นชายหนุ่มผู้มีผมดำพริ้วไหว ใบหน้าหล่อเหลาไม่ธรรมดา มีความคล้ายคลึงกับเซี่ยไห่หยางอยู่บ้าง แต่หากเทียบกันแล้วก็จะให้ความรู้สึกราวฟ้ากับเหว เพราะโดยรวมแล้วละก็เซี่ยไห่หยางก็ยังธรรมดาเกินไปหน่อย

ชายหนุ่มในชุดคลุมสีทองนี้ ระดับการฝึกฝนอยู่แค่ระดับชั้นมหาวัฎจักรดาวพระเคราะห์เท่านั้นแท้ๆ แต่คนทั้งคนกลับเปล่งประกาย ให้ความกดดันบางอย่างที่มองไม่เห็นออกมา

ในขณะเดียวกันก็มีร่องรอยของรัศมีความชั่วร้ายซึ่งดูเหมือนจะซ่อนอยู่ระหว่างคิ้วของเขา หลอมเข้ากับใบหน้าที่หล่อเหลาแล้วกลายเป็นความดุร้าย และการเปลี่ยนแปลงที่แปลกประหลาดนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้ทุกคนที่เห็นคนคนนี้แล้วจะไม่มีวันลืม

“อีกนิดเดียว ก็จะมาสายแล้ว ” ชายหนุ่มใช้นิ้วก้อยกดนวดกลางคิ้ว น้ำเสียงมีความรู้สึกออดอ้อนบางอย่าง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น ดวงตาค่อยๆ หรี่ลง สายตาของเขาราวกับสายฟ้าแลบตัดผ่านท้องฟ้า พริบตาก็เคลื่อนย้ายไปตรงที่เซี่ยไห่หยางที่ยืนอยู่ข้างๆ หวังเป่าเล่อ บนระเบียงบนหอรับรองพิเศษในตลาดทันที!

“น้องเก้า ยังไม่มาโค้งคำนับข้าอีก!”

อยู่ห่างกันมากแท้ๆ อีกอย่างเป็นเพียงเสียง แต่ในขณะที่คำพูดของเขาถูกส่งออกมา เสียงนั้นดูเหมือนจะมีพลังที่น่าตกใจ ดังกึกก้องบนระเบียงที่หวังเป่าเล่อและเซี่ยไห่หยางอยู่ในทันที

พลังนี้ร้ายกาจเป็นอย่างมาก ราวกับว่าสามารถบิดเบือนได้ทุกสิ่ง ยิ่งส่งผลต่อจิตวิญญาณ ในชั่วขณะที่ระเบิดออกมา มันกลายเป็นสายฟ้าสีทองจำนวนมากปกคลุมเซี่ยไห่หยางในทันที ราวกับมีมือยักษ์กำลังจะจับตัวเซี่ยไห่หยางไว้ และดึงลากไป!

เซี่ยไห่หยางกำลังจะขัดขืน แต่ตามที่สีหน้าของเขาปรากฏเป็นสีแดงเข้ม ร่างกายก็สั่นราวกับว่าเขาถูกกดทับไว้ ไม่สามารถต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย และในขณะนี้เสียงจากชายหนุ่มที่สวมชุดทองก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“ตระกูลได้เอาพลังการปกป้องสายเลือดของเจ้ากลับมาแล้ว เจ้าในตอนนี้เผชิญหน้าผู้ที่มีคุณสมบัติเป็นผู้รักษากฎอย่างข้า ภายใต้ความกดดันของสายเลือดก็ไร้ซึ่งความสามารถในการต่อต้านแล้ว มาหาข้าซะดีๆ !!” ตามเสียงถูกส่งมา มือยักษ์ที่สร้างมาจากสายฟ้าสีทองบนตัวของเซี่ยไห่หยางกำลังจะดึงเซี่ยไห่หยางขึ้นมา แต่ในเวลานี้ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อฉายแววเย็นชา เท้าขวายกขึ้น ก้าวไปข้างหน้าเบาๆ ก้าวหนึ่ง!

ภายใต้การก้าวขานี้ อยู่ๆ ก็มีกระแสคลื่นแผ่ขยายออกไปจากเท้าของเขา และเกิดเสียงดังกรุบๆ มือยักษ์สายฟ้าสีทองที่อยู่บนร่างกายของเซี่ยไห่หยาง ก็กลายเป็นแผ่นกระดาษในทันที มันสูญเสียพลังเทพทั้งหมดไป ร่วงหล่นลงมาราวกับเกล็ดหิมะ

ร่างกายเซี่ยไห่หยางสั่นไหว หลังจากถูกปลดพันธนาการออกก็ถอยหลังหลายก้าว เอ่ยพูดอย่างเร่งรีบว่า

“เป่าเล่อ ข้าทำให้เจ้าลำบากแล้ว เห็นทีว่าในตระกูลจะเกิดเรื่องขึ้น เขามีการเตรียมพร้อมมาและได้ควบคุมเรือเหาะแล้ว เราอยู่ที่นี่จะเสียเปรียบมาก จำเป็นต้องจากไปทันที! ”

“จะไปไหนรึ?” แทบจะในทันทีที่เซี่ยไห่หยางพูดออกมา ชายหนุ่มในชุดคลุมสีทองในวงแหวนปราณก็ปรากฏตัว แววตาฉายแววความโหดเหี้ยม ร่างกายเขาสั่นทันที กลายเป็นสายรุ้งยาวคำรามขึ้นไปบนท้องฟ้าและตรงมาสู่ตลาด

เงาร่างระดับดารานิรันทร์ทั้งแปดคนด้านหลังก็พร่ามัวในทันที หลังจากนั้นเมื่อมองจากระยะไกลก็เห็นว่าพวกเขาสั่นไหวไปทั่วทุกทิศทาง คนทั้งเก้านี้เปรียบเสมือนมีดคมเก้าเล่มที่ใกล้เข้ามาชั่วพริบตา!

ส่วนเซี่ยอวิ๋นเถิงที่อยู่ด้านหน้าสุด ชั่วขณะที่เข้าใกล้ เงาร่างของเขาอยู่กลางอากาศ ยกมือขวาขึ้นชี้ไปทางระเบียง และกดลงทันใด พริบตานั้นสายฟ้าสีทองนับไม่ถ้วนก็คำรามรวมตัวกันจากทุกทิศทาง อึดใจเดียวก็สร้างมือยักษ์สีทองขนาดกว่าพันจั้งขึ้นมาแล้วประทับลงมา!

“ใครบอกว่าข้าจะไปกัน?” หวังเป่าเล่อหรี่ตา มองดูมือยักษ์ที่กำลังจุติลงมาแล้วพูดขึ้นเรียบๆ

…………………………………………………

ฟังที่หวังเป่าเล่อพูด แล้วเห็นถึงสายตาของหวังเป่าเล่อ สังเกตเห็นว่าเขาเลียริมฝีปาก เจ้าอ้วนน้อยก็รู้สึกท่าไม่ดี ย้อนนึกถึงประสบการณ์การถูกเล่นงานหลายครั้งในสุสานดวงดาราในทันที

“ใครบอกว่าข้าต้องการดาบเล่มนี้กัน? ข้าไม่ต้องการ!” เขาส่ายหัวในทันที แสดงท่าทีอย่างไม่ใส่ใจ ยกมือขวาขึ้นโบก แล้วหยิบบัตรผลึกสีชาดที่มีมูลค่าหนึ่งหมื่นผลึกสีชาดออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ แล้วโยนให้กับหวังเป่าเล่อ

“สิ่งที่ข้าพูดเมื่อครู่นี้หมายถึงกระบี่บินเล่มนี้ไม่เลว คุ้มค่าที่ข้าจะจ่ายผลึกสีชาดหนึ่งหมื่นแต้มเพื่อดูมัน!” พูดจบ เจ้าอ้วนน้อยก็โยนบัตรออกไปและหันหลังจากไปโดยไม่เหลียวมองแม้แต่น้อย

ฉากนี้ ทำให้ชายชราสามคนด้านหน้าเขาอึ้งไปในทันที พวกเขาไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ เพราะความจริงแล้วในความคิดของพวกเขา นายน้อยของพวกเขาก็เป็นเหมือนพ่อไก่เหล็ก ใช้คำว่าตระหนี่ขี้เหนียวก็ไม่ค่อยจะแม่นยำนัก ในบางมุม การให้เขาจ่ายเงินก็เหมือนกับการควักหัวใจเฉือนไต ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

แต่ตอนนี้…ทั้งสามคนเห็นกับตาตัวเองจริงๆ ว่านายน้อยโยนหนึ่งหมื่นผลึกสีชาดออกไปด้วยตัวเอง ขณะนี้มีแต่ความสงสัย ชายชราทั้งสามต่างมองหน้ากัน จากนั้นก็มองไปทางหวังเป่าเล่อแล้วจึงจากไปพร้อมกับเจ้าอ้วนน้อย

และคนที่มีความสงสัยเหมือนกันยังมีเซี่ยไห่หยาง เขารู้สึกว่าฉากนี้มันแปลกเกินไปแล้ว อดไม่ได้ที่มองไปทางหวังเป่าเล่อ ส่วนด้านของหวังเป่าเล่อนั้น หลังจากรับบัตรผลึกไว้เขาก็แปลกใจเหมือนกัน

“เจ้าอ้วนน้อยให้เงินข้าทำไมกัน? ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ก็แค่ถามเขาว่าเขาแน่ใจว่าจะซื้อกระบี่บินเล่มนี้ใช่หรือไม่ เท่านั้นเอง“ หวังเป่าเล่อเองก็นึกไม่ออกว่าเจ้าอ้วนน้อยคิดอะไรอยู่ เขาแค่ถามจริงๆ ไม่มีความคิดอื่นใดเลย ส่วนการเลียริมฝีปาก นั่นเป็นเพียงการแสดงออกโดยจิตใต้สำนึกอย่างหนึ่ง เวลาเห็นคนที่ตัวเองเคยเล่นงานหลายครั้งเท่านั้น

“หรือว่าเสน่ห์ของข้า แม้แต่ผู้ชายก็ทนไม่ได้หรือ?” หวังเป่าเล่อคิดมาถึงตรงนี้ก็หายใจเข้า ส่วนเซี่ยไห่หยางที่อยู่ข้างๆ สับสนอยู่ในใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าหวังเป่าเล่อนั้นยากจะคาดเดาขึ้นไปอีก

ในเวลาเดียวกัน ภายในร้าน เจ้าอ้วนน้อยที่จากไปอย่างรวดเร็วก็เดินเร็วขึ้นหลังจากที่เดินออกมาจากร้านแล้ว กระทั่งวิ่งไปหลายซอยเขาถึงได้โล่งใจ เช็ดเหงื่อบนหน้าผากออก

ชายชราทั้งสามคนที่อยู่ด้านหลังเขา ในขณะนี้ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ หนึ่งในนั้นถามขึ้นมาว่า

“นายน้อย เหตุใดถึงต้องให้ผลึกสีชาดกับอีกฝ่ายด้วย?”

“พวกท่านไม่เข้าใจ!” เจ้าอ้วนน้อยหันไปมองยังทิศทางของร้านที่หวังเป่าเล่ออยู่

“เจ้าหมอนั่นไม่ใช่คนดีอะไร ชอบที่จะขุดหลุมให้คนอื่น เก่งเรื่องขู่กรรโชก หลอกลวง เป็นคนไร้ยางอายที่สามารถทำทุกอย่างได้เพื่อรีดทรัพย์คนอื่น!”

“หากข้าบอกว่าจะซื้อละก็ เขาจะต้องทำอะไรอย่างแน่นอน อย่างเช่นชั่วขณะที่ส่งกระบี่เล่มนั้นให้ข้า มันก็จะหัก จากนั้นข้าก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายหรือไม่กระบี่นั่นอาจจะเป็นแค่ตัวล่อ หากข้าซื้อไปแล้วเกิดโดนพิษขึ้นมา เขาก็จะมาขายยาแก้พิษ หรือแค่ข้าพยักหน้าก็จะมีผู้แข็งแกร่งจำนวนมากปรากฏขึ้นรอบๆ แล้วบอกกับข้าว่าป้ายราคาของกระบี่เล่มนี้แสดงผิดไป!” เจ้าอ้วนน้อยยืนอยู่ที่นั่น ท่าทางเหมือนเข้าใจทุกอย่างทะลุปรุโปร่ง ทำเอาชายชราทั้งสามฟังแล้วก็ต่างมองหน้ากัน

“อืมๆ เมื่อครู่มันอันตรายมากนะ หากข้าไม่ได้ตอบสนองอย่างรวดเร็ว ยอมเสียทรัพย์เพื่อเลี่ยงภัยละก็ คงจะถูกเซี่ยต้าลู่เล่นงานอีกครั้งแน่นอน เซี่ยต้าลู่เอ๋ยเซี่ยต้าลู่ ความชั่วในท้องของเจ้า อย่าคิดว่าข้าจะไม่รู้ เจ้าจะต้องมีกลอีกมากมายรอข้าอยู่ จนสุดท้ายต้องยอมจ่ายผลึกสีชาดนับแสนหรือมากกว่านั้นเป็นแน่!” เมื่อโจวหลินเฟิงคิดถึงเรื่องนี้ก็รู้สึกว่าตัวเองฉลาดมากจริงๆ ในทันใด

“อีกหน่อยพวกเจ้าก็จะรู้เอง เจ้าหมอนี่…น่ากลัวมาก!” เจ้าอ้วนน้อยสูดหายใจเข้าลึกๆ เขารู้สึกว่าห่างขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ค่อยปลอดภัยอยู่ดี ดังนั้นจึงเร่งความเร็วและวิ่งหนีต่อไปอีก แต่ก็ไปได้ไม่ไกลนัก อยู่ๆ เจ้าอ้วนน้อยก็หยุดลงแล้วตบต้นขาไปทีหนึ่ง..ไอรีนโนเวล

“ข้ารู้แล้ว สิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้มันไม่ใช่สไตล์ของเขา เซี่ยต้าลู่จะต้องใช้วิธีอะไรสักอย่างทำให้กระบี่บินระเบิดในทันทีที่ส่งกระบี่ให้ข้า ซึ่งทำให้เขาโดนลูกหลงไปด้วย และแสร้งทำเป็นว่าข้าแอบลงมือกับเขา ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส และที่นี่คือตลาดของตระกูลเซี่ย เขาจะต้องเล่นงานข้า ให้ข้าต้องจ่ายชดเชยผลึกสีชาดนับล้านอย่างแน่นอน!”

“ร้ายกาจ ช่างร้ายกาจนัก!” เจ้าอ้วนน้อยคิดแล้วก็กลัว หันกลับไปมองยังที่ตั้งของร้านที่หวังเป่าเล่ออยู่ ก่อนจะหันหลังแล้ววิ่งหนีเร็วขึ้นอีก

แน่นอนว่าทั้งหมดนี้หวังเป่าเล่อไม่ทราบแต่อย่างใด ในขณะนี้เขาถือกระบี่บิน ข่มความประหลาดใจไว้ แล้วเดินเล่นบนเรือเหาะต่อพร้อมกับเซี่ยไห่หยาง

ระหว่างทางนี้ สิ่งของที่ซื้อเยอะจนกระเป๋าคลังเก็บหวังเป่าเล่อไม่พอใส่ สุดท้ายเซี่ยไห่หยางก็ต้องซื้อกระเป๋าคลังเก็บขนาดใหญ่ขึ้นให้เขาอันหนึ่ง

กระทั่งผ่านไปครึ่งเดือน เมื่อตลาดอวกาศเข้าใกล้ดาวชะตามากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างทางก็หยุดพักหลายครั้ง มีผู้ฝึกตนมากมายไปๆ มาๆ ทำให้เรือเหาะนี้ยิ่งคึกคักขึ้นไปอีก แล้วหวังเป่าเล่อและเซี่ยไห่หยางก็มาถึงเรือเหาะอันดับหนึ่ง

เรือเหาะอันดับหนึ่งนี้ เป็นเรือลำแรกในตลาดอวกาศตระกูลเซี่ย ซึ่งแยกตัวออกจากดาราจักรชะตา มีไว้ขนส่งผู้ฝึกตนทั้งหมดที่จะไปดาวชะตาโดยเฉพาะ ส่วนเรืออื่นๆ จะอยู่นอกดาราจักรชะตา เมื่อถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ตลาดที่จะไปต่อจากนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของตลาดอวกาศ

ในขณะนี้ ในห้องรับรองพิเศษบนเรือเหาะอันดับหนึ่ง หวังเป่าเล่อยืนอยู่บนระเบียง มองไปที่ยังตลาดเบื้องล่าง เซี่ยไห่หยางยืนข้างๆ เขา และพูดด้วยเสียงต่ำ

“ตรวจสอบชัดเจนแล้ว บนเรือเหาะอันดับหนึ่งมีผู้ฝึกตนประมาณสองหมื่นคนที่เดินทางไปยังดาวชะตา นอกจากคนที่ไปพิธีฉลองอายุจำนวนหนึ่งแล้ว ยังมีอีกหลายคนที่เปลี่ยนเรือเหาะที่ดาวชะตา ในบรรดาคนที่ไปพิธีฉลองอายุ มีทั้งหมดเจ็ดคนที่เคยผ่านสุสานดวงดารากับอาจารย์อาสิบหก” เซี่ยไห่หยางพูดมาถึงตรงนี้ มองดูหวังเป่าเล่อแล้วจึงพูดชื่อคนทั้งเจ็ดออกมา นอกจากหวังเป่าเล่อแล้ว ชื่อส่วนใหญ่หวังเป่าเล่อฟังแล้วไม่คุ้น แต่เขาเชื่อว่าขอแค่ให้เขาได้เจอ เขาก็จะรู้จักเป็นแน่ เพราะที่สุสานดารา แทบทุกคนต่างเคยถูกเขาเล่นงานมาก่อนทั้งสิ้น

“สำหรับหลี่หว่านเอ๋อร์ ตรวจสอบไม่พบ”

“และยังมีสวี่อินหลิงจากสำนักเก้าวิหคเพลิง หลังจากผู้หญิงคนนี้ผนึกกายเข้ากับดาวเคราะห์เต๋าแล้ว ตำแหน่งของนางในสำนักเก้าวิหคเพลิงก็ไต่ขึ้นสูงเรื่อยๆ ตอนนี้นางเป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่ง แน่นอนว่านางไม่มีทางมานั่งเรือเหาะอวกาศตระกูลเซี่ยเป็นธรรมดา”

“แต่ว่า…” เซี่ยไห่หยางพูดหยุดชั่วคราว

“อะไร?” หวังเป่าเล่อมองไปยังเซี่ยไห่หยาง

“ถึงแม้สำนักวิหคเพลิงจะไม่พูดอะไร แต่ได้ยินว่าเมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ สวี่อินหลิงเคยแสดงออกถึงความชื่นชมต่ออาจารย์อาสิบหกต่อหน้าคนรุ่นเดียวกันมากมายในหลายสถานการณ์ และยังได้เอ่ยว่าเพราะท่านได้รับพลังจากดาวเคราะห์เต๋า แม้ว่าจะยังไม่ได้ผนึกกายเข้ากับดาวเคราะห์เต๋าโดยสมบูรณ์ แต่ท่านก็ยังคงเป็นคนที่อยู่ในสามอันดับแรกในบรรดามหาศิษย์แห่งเต๋าของรุ่นนี้ และตัวนางมีผู้รักใคร่มากมาย ดังนั้น… ” เซี่ยไห่หยางสีหน้าแปลกไป

“สร้างศัตรูให้ข้าและบอกใบ้ให้คนอื่น ดาวเคราะห์เต๋าของข้ายังไม่ได้ถูกผนึกเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นมันจึงสามารถถูกชิงไปได้ และในขณะเดียวกันก็ผลักให้ข้ากลายเป็นศัตรูของทุกคน ผู้หญิงแห่งสำนักเก้าวิหคเพลิงคนนี้ค่อนข้างปัญญาอ่อนนะ ดูเหมือนว่าในสุสานดวงดารา นางยังถูกเล่นงานไม่พอ” หวังเป่าเล่อยิ้มด้วยแววตาที่เย็นชา เห็นร่างที่ค่อนข้างคุ้นเคยในตลาดด้านล่าง

ซึ่งก็คือหลี่หลินจื่อ คนที่ไม่ถูกกับหวังเป่าเล่อในตอนเริ่มต้นที่สุสานดวงดารา เป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าชั้นปลายที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียง ตอนนี้เขากำลังเดินผ่านไปพร้อมกับผู้ติดตาม เห็นชัดว่าการฝึกฝนถึงชั้นดาวเคราะห์แล้ว แม้จะไม่ใช่ดาวเคราะห์พิเศษแต่ก็เป็นขั้นดาวเคราะห์อมตะ ในขณะที่หวังเป่าเล่อมองไป อีกฝ่ายรู้สึกได้รางๆ จึงเงยหน้ามองไปยังหวังเป่าเล่อตามสัมผัสความรู้สึก

เมื่อมองขึ้นไปหลี่หลินจื่อก็หรี่ตาลงทันที หลังจากหยุดยืนอยู่ที่นั่น เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ยกมือขึ้นคำนับช้าๆ ไปทางหวังเป่าเล่อที่อยู่บนระเบียง ถึงได้จากไป

ฉากนี้ ถูกเซี่ยไห่หยางมองเห็นเป็นธรรมดา ทำให้ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย เกี่ยวกับเรื่องราวในสุสานดวงดาราของหวังเป่าเล่อ ข้อมูลที่เขารวบรวมมาต่างก็เป็นคำบอกเล่าจากคนรอบข้าง เขาไม่ได้ประสบด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงไม่ได้มีภาพทรงจำอะไรพิเศษ มีความรู้สึกบางอย่างรางๆ ดูเหมือนพูดเกินจริงไปหน่อย แต่ตอนนี้แม้พลังของตระกูลจะไม่ใหญ่มาก แต่ก็ไม่เล็กอย่างโจวหลินเฟิงและหลี่หลินจื่อที่กลัวหวังเป่าเล่อมาก และสามารถเห็นได้จากสิ่งนี้ว่า สิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับอีกฝ่ายในสุสานดวงดาราไม่ใช่แค่ไม่เกินจริง แต่มันเกินกว่าสิ่งที่ตัวเองรู้ด้วยซ้ำไป

“อาจารย์อาสิบหกต้องระวัง การเดินทางไปยังดาวชะตาครานี้… เกรงว่าจะมีเหตุพลิกผันบ้าง คนรู้จักพวกนั้นของท่านในสุสานดวงดาราอาจจะมากันหมด และบางคนที่ไม่ได้ไปสุสานดวงดารา เดิมทีเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าของดาวเคราะห์อยู่แล้ว ก็ปรากฎบนดาวชะตานั้นด้วย ”

“ดังนั้นท่านที่มีดาวเคราะห์เต๋าจึงมีโอกาสสูงที่จะถูกเล่นงาน! ”

“แบบนี้ น่าสนใจมากไม่ใช่หรือ?” หวังเป่าเล่อหัวเราะ ในขณะนี้จิตแห่งสงครามลุกขึ้นในดวงตาของเขา เขารู้สึกว่าตัวเองสงบเสงี่ยมนานเกินไปแล้วหลังกลับมาจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ในเมื่อตอนนี้ได้เจอคนรู้จักแล้ว ก็ถึงเวลาแล้วที่จะกลับมาสร้างบารมีใหม่อีกครั้ง

และนี่ก็สอดคล้องกับความเด็ดขาดที่เกิดจากการฝึกฝนเวทผนึกดาราของเขา!

“บางที นี่อาจเป็นสิ่งที่อาจารย์ต้องการ!”

…………………………………………………

ฉากนี้ทำให้ศิษย์สาวสองคนมีความกระตือรือร้นขึ้น หนึ่งในนั้นเปลี่ยนแนวคิดและเริ่มเข้าใกล้หวังเป่าเล่อ หลายครั้งในระหว่างการแนะนำก็ได้ใช้หน้าอกอันอวบอิ่มถูๆ ไถๆ แขนของหวังเป่าเล่อเหมือนไม่ตั้งใจ

“คุณชาย ขวดโอสถน้ำที่ท่านชมอยู่เรียกว่าน้ำแร่ฟ้าคราม เพียงหยดเดียวสามารถทำให้วิญญาณที่ได้รับความเสียหายหายได้เองอย่างรวดเร็ว”

“นอกจากนี้ยังมีโอสถบำรุงนี้เรียกว่ายาเม็ดตี้หวง ซึ่งช่วยบำรุงร่างกาย การใช้ในระยะยาวสามารถเพิ่มพลังชีวิตและมีประโยชน์บางประการสำหรับการฝึกฝนชั้นกายเนื้อ” ศิษย์สาวกล่าวพลางหยิบเม็ดโอสถบำรุงแล้ววางไว้ในมือหวังเป่าเล่อ ขณะที่นางวางไป ก็ใช้นิ้วของนางสะกิดลงบนฝ่ามือของหวังเป่าเล่ออย่างชำนาญ

การกระทำต่างๆ ของผู้ฝึกตนหญิงนั้นไม่โจ่งแจ้ง และคงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้อื่นที่จะรู้ได้หากพวกเขาไม่เคยประสบกับตัวมาก่อน สิ่งนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าการกระทำของสตรีผู้นี้มิได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ซึ่งสามารถสะกิดใจผู้อื่นให้ปั่นป่วนโดยไร้เสียงและสีหน้า เมื่อถูกกระตุ้นก็จะไม่สนใจซึ่งเหตุผล

อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมของผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่ใช้กับทุกคนที่พบ ส่วนใหญ่ใช้สำหรับผู้ที่มีที่มาที่ไปและอายุน้อยที่เพิ่งเข้าสู่การฝึกตน วันนี้เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อ นางจึงตัดสินว่าอีกฝ่ายก็เป็นบุคคลประเภทนี้ ดังนั้นจึงพยายามอย่างสุดความสามารถ

หวังเป่าเล่อกะพริบตา เขาเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้อย่างชัดแจ้ง อดที่จะสุขใจไม่ได้ ทั้งยังทอดถอนใจ เขาไม่ไปพิจารณาถึงปัจจัยอื่น รู้สึกราวกับรูปลักษณ์ของตนนั้นไม่ว่าจะอยู่ที่ใดล้วนนำมาซึ่งเรื่องน่าปวดหัว

“เอาล่ะๆ มันเป็นเพราะข้ามีเสน่ห์มากเกินไป ไม่ใช่ความผิดของพวกนาง” หวังเป่าเล่อส่งเสียงไอ และให้อภัยต่อการกระทำของผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ข้างกาย เขาเลือกที่จะเข้าใจและทำเหมือนไม่เห็นสิ่งใด

และทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของเซี่ยไห่หยาง เซี่ยไห่หยางกะพริบตาปริบๆ ยิ่งมั่นใจในการตัดสินใจของตนเอง

“ที่แท้เจ้าอ้วนนี่ก็เจ้าสำราญ นี่ย่อมเป็นการดีแล้ว…”

แต่เซี่ยไห่หยางเพิ่งจะเริ่มคิด ด้านหวังเป่าเล่อฉับพลันก็มีเสียงแม่นางน้อยดังเข้ามาในหัว

“เจ้าอ้วน เจ้าชมชอบมากนี่นา เหตุใดไม่กอดไว้ในอ้อมอกสักหน่อยเล่า”

หลังจากได้ยินเสียงเย็นชานี้ อยู่ๆ หวังเป่าเล่อรู้สึกผิดอยู่บ้าง เขามองผู้ฝึกตนหญิงที่อยู่ข้างตนด้วยสายตาเย็นชาตามสัญชาตญาณ แม้มิได้เอ่ยปากโดยตรงแต่กลับกล่าวขึ้นในใจอย่างรวดเร็ว

“หญิงไร้การอบรมเช่นนี้ จะสามารถเข้ามาในดวงเนตรเทพของข้าแซ่หวังได้อย่างไร!” ด้วยคำพูดที่กล่าวอยู่ในใจ รวมทั้งความเย็นชาจากแววตา ผู้ฝึกตนหญิงผู้นั้นสังเกตได้ทันที ดังนั้นจึงหลบไปอยู่ด้านหลังอย่างเงียบๆ

“รบกวนเจ้าอย่าได้เรียกตนเองว่าผู้แซ่หวัง…ยังมี เหตุใดเจ้าไม่ชมชอบแล้วหรือ” ในความคิดของหวังเป่าเล่อ น้ำเสียงของแม่นางน้อยฟังดูประหลาด..Aileen-novel

“หญิงไร้การอบรมเหล่านี้ ข้าหวังเป่าเล่อเป็นสุภาพบุรุษ จะให้โอกาสพวกนางเอาเปรียบข้าได้เช่นไร แม่นางน้อยเจ้าประเมินข้าต่ำไปแล้ว!” หลังจากที่หวังเป่าเล่อตอบกลับอยู่ในใจแล้ว ก็มองโอสถบำรุงอื่นด้วยท่าทีปกติ

และทั้งหมดนี้ เซี่ยไห่หยางผู้ไม่รู้ความนัย สิ่งที่เขาเห็นคือในตอนเริ่มต้นหวังเป่าเล่อดูเหมือนจะปล่อยตามใจศิษย์หญิงนั้น แต่กลับเปลี่ยนเป็นไม่พอใจอย่างรวดเร็ว นี่ทำให้เขาสงสัย รู้สึกว่าสิ่งที่ตนตัดสินในตอนแรกดูเหมือนจะไม่ถูกต้องเสียทีเดียว และหลังจากเฝ้าสังเกตอย่างระวัง เหมือนหวังเป่าเล่อในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นท่าทางหรือการกระทำก็ราวกับจะรังเกียจพฤติกรรมของผู้ฝึกตนหญิงนั้นจริงๆ

อย่างไรก็ตามเซี่ยไห่หยางมั่นใจมากว่าหวังเป่าเล่อไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน การเปลี่ยนแปลงที่ขัดแย้งกันนี้ทำให้เซี่ยไห่หยางรู้สึกยากที่จะคาดเดา และตัดสินใจที่จะสังเกตให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามเรื่องการลงทุนซื้อใจแบบนี้ หากเป็นการตัดสินผิดพลาดตั้งแต่แรก เช่นนั้นก็สมควรเปลี่ยนแล้ว

ในระหว่างการสังเกตของเซี่ยไห่หยาง หวังเป่าเล่อได้เดินจนทั่วชั้นหนึ่งของร้านแล้ว แล้วจึงเดินขึ้นชั้นสอง จนกระทั่งสุดท้ายเซี่ยไห่หยางซื้อโอสถบำรุงทั้งหมดที่เขามอง และตอนที่คิดจะจากไป หวังเป่าเล่อก็พลันเอ่ยปากขึ้นเบาๆ

“ไม่ทราบว่าที่นี่มีโอสถพิศวงที่มีประโยชน์ต่อซากวิญญาณหรือไม่”

นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อบอกความต้องการของเขาหลังจากเข้ามาในร้าน เซี่ยไห่หยางรีบร้อนจัดการให้ทันที ในไม่ช้าโอสถบำรุงกว่าสิบชนิดที่สามารถหล่อเลี้ยงซากวิญญาณได้ก็ถูกนำออกมา

หวังเป่าเล่อกวาดตามองแล้วพยักหน้า ด้านเซี่ยไห่หยางหอบไปหมดอย่างไม่ลังเล และซื้อโอสถบำรุงซากวิญญาณเหล่านี้ทั้งหมด และออกจากร้านไปพร้อมกับหวังเป่าเล่อเพื่อไปร้านต่อไป…

ก็เป็นเช่นนี้ หลายวันต่อมาเรือเหาะอวกาศเดินหน้าต่อไปไม่หยุด หวังเป่าเล่อเดินเข้าร้านรวงนับสิบไม่ซ้ำประเภทภายในตลาดอวกาศของตระกูลเซี่ยนี้ แม้จะไม่ใช่ร้านค้าทั้งหมด แต่หลังจากที่หวังเป่าเล่อเข้าไปต่างก็ปิดร้านเพื่อต้อนรับเขาแต่ผู้เดียวทันที แต่ในร้านนับสิบนี้มีมากกว่าครึ่งที่เป็นเช่นนี้

การต้อนรับเช่นนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อมีความสุขมาก การซื้อของเซี่ยไห่หยางทำให้เขารู้สึกสะดวกสบายขึ้น แต่หวังเป่าเล่อรู้ว่าเขาไม่ควรโลภมากเกินไปและจำเป็นต้องควบคุมในระดับหนึ่ง ดังนั้นแม้ว่าเขาจะไปร้านค้าหลายแห่ง แต่ที่เขายอมให้เซี่ยไห่หยางซื้อ ยกเว้นโอสถบำรุงแล้ว นอกนั้นก็ไม่ได้มากมายอะไร

ดังนั้นในท้ายที่สุด แม้เซี่ยไห่หยางปรารถนาที่จะทำให้หวังเป่าเล่อพอใจก็ยังต้องทอดถอนใจ เขารู้สึกว่าหวังเป่าเล่อสามารถมาถึงจุดนี้ได้ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

ที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าผู้ใดต่างก็สามารถยับยั้งความโลภในสถานการณ์เช่นนี้ได้ ต้องเข้าใจว่าตอนนี้ตนมีเรื่องขอร้องกับคนผู้นี้อยู่ กล่าวได้ว่าแม้หวังเป่าเล่อต้องการมากกว่านี้เขาก็จะกัดฟันตอบแทนให้

แต่ในทางตรงข้าม หวังป่าเล่อควบคุมความพอดีของตนไว้ดีมาก มีอยู่หลายคราที่เซี่ยไห่หยางได้แสดงตัวกับร้านค้าเพื่อซื้อสินค้าแต่กลับถูกหวังเป่าเล่อยั้งไว้

“สหายไห่หยาง ข้ารู้ในน้ำใจของเจ้า แต่ระหว่างเจ้ากับข้าไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้ ต่างก็ไม่มีผู้ใดได้เงินมาเปล่าๆ โดยเฉพาะคนตระกูลเซี่ยของพวกเจ้า เกรงว่าจะมีหลายคนจ้องมองเจ้าอยู่”

ภายในร้านอาวุธเวทที่ไม่ปิดร้านร้านหนึ่งที่มีไม่มากและผู้ฝึกตนก็ไม่เคยมาทำการค้าที่นี่มาก่อน หวังเป่าเล่อมองไปทางเซี่ยไห่หยางแล้วกล่าวอย่างจริงใจ แม้เซี่ยไห่หยางจะได้รับการฝึกแนวคิดในทางการค้ามาตั้งแต่เด็กจนโต แต่เมื่อได้ฟังคำกล่าวนี้ หลังจากเห็นการแสดงออกของหวังเป่าเล่อก็เกิดความซาบซึ้งใจ

สุดท้ายจึงกล่าวออกไปอย่างแจ้งชัด

“อาจารย์อาสิบหก ในจัตุรัสของตระกูลข้าคราวนี้ สิ่งที่ใช้ไปที่จริงแล้วเป็นน้ำใจ รวมทั้งการแบ่งปันของกลุ่มคนของข้า ทว่า…ในเมื่อล้วนใช้ไปแล้ว เช่นนั้นมากหรือน้อย ที่จริงไม่มีสิ่งใดน่ากังวล” ระหว่างที่กล่าว เซี่ยไห่หยางได้แสดงให้ร้านค้าทราบว่าต้องการซื้อกระบี่บินสีชาดเล่มหนึ่งที่หวังเป่าเล่อเหลือบมองดูอยู่หลายครั้งก่อนหน้านั้น

และกระบี่บินนี้ไม่ธรรมดา บนกระบี่แนบด้วยวิญญาณมังกรหนุ่มส่องประกาย ร้านนี้ไม่ได้เป็นของตระกูลเซี่ย แต่เป็นร้านที่เปิดโดยกลุ่มอิทธิพลอื่น กระบี่นี้นับเป็นสินค้าชั้นยอดและราคาย่อมไม่ถูก

แม้จะไม่ใช่ร้านค้าของตระกูลเซี่ย แต่หากร้านเปิดภายในจัตุรัสอวกาศของตระกูลเซี่ยแล้ว เซี่ยไห่หยางก็มีสิทธิ์ลงบัญชีไว้

เมื่อเห็นเซี่ยไห่หยางไม่ใส่ใจเรื่องนี้ หวังเป่าเล่อก็มองเขานิ่งๆ และกำลังจะเอ่ยปาก แต่ในขณะนี้ก็มีเสียงที่โอหังดังขึ้นจากด้านหลังพวกเขา

“กระบี่บินนี้ไม่เลว ข้า…หือ?” เสียงนั้นแค่เริ่มก็ยังเย่อหยิ่งนัก แต่ก่อนที่จะกล่าวจบมันก็เปลี่ยนเป็นเสียงสูดหายใจ หลังจากหวังเป่าเล่อและเซี่ยไห่หยางได้ฟังต่างก็หันกลับไปมอง

พวกเขาได้เห็นเจ้าอ้วนน้อยที่เพิ่งเดินเข้ามาในร้านมองมาทางพวกเขา ใบหน้าแฝงไปด้วยความตื่นตระหนก เจ้าอ้วนน้อยผู้นี้แต่งกายหรูหรา ฐานฝึกตนอยู่ดาวพระเคราะห์ขั้นต้น ด้านหลังยังมีผู้เฒ่าสามคนติดตาม เห็นได้ชัดว่าเป็นลักษณะของศิษย์เอกสายตรงของกลุ่มอิทธิพลหนึ่ง แต่ตอนนี้สายตาที่มองมาทางหวังเป่าเล่อแฝงไว้ด้วยความตื่นตระหนก ยิ่งหลังจากมองเข้าไปในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เจ้าอ้วนน้อยนี้ก็หายใจหอบ ร่างราวลูกบอลก็ถอยหลังไปเจ็ดแปดก้าวอย่างรวดเร็ว

“เอ๊ะ” หวังเป่าเล่อยิ้มที่มุมปากของเขา เจ้าอ้วนที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ก็คือหนึ่งในมหาศิษย์แห่งเต๋าที่เขาพบในสุสานดวงดารา และถูกเขาเล่นงานไปหลายครั้ง

“นี่ไม่ใช่เจ้าอ้วนน้อยหรอกหรือ ฮ่าๆ พวกเราไม่ได้เจอกันนานเลยนะ” หวังเป่าเล่อเดินเข้าไปหาเจ้าอ้วนน้อยพร้อมด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าอย่าได้เข้ามานะ!” เจ้าอ้วนน้อยร้องเสียงดัง ทันใดนั้นผู้เฒ่าทั้งสามที่อยู่ด้านหลัง เพียงพริบตาก็ก้าวไปด้านหน้าเจ้าอ้วนน้อยเพื่อขวางหวังเป่าเล่อไม่ให้เข้าใกล้

บางทีอาจเพราะมีผู้พิทักษ์ยืนอยู่ข้างหน้า เจ้าอ้วนน้อยผู้นี้จึงหายจากการตื่นตระหนกก่อนหน้านี้และเดินออกจากเงามืด จ้องหวังเป่าเล่อด้วยความโกรธ

“ข้าชื่อโจวหลินเฟิง ไม่ใช่เจ้าอ้วนน้อย! ไม่ว่าเจ้าจะเป็นเซี่ยต้าลู่หรือหวังเป่าเล่อก็ตาม อย่าได้รังแกกันเกินไป!”

“เช่นนี้เถอะ” หวังเป่าเล่อขยิบตา และมองไปที่เซี่ยไห่หยางที่อยู่ข้างเขา

“ไห่หยาง ให้กระบี่บินเล่มนี้แก่เจ้าอ้วนน้อยเถอะ” กล่าวพลาง หวังเป่าเล่อก็หันไปมองเจ้าอ้วนน้อยแล้วเลียริมฝีปาก

“เจ้าแน่ใจว่าต้องการซื้อกระบี่บินเล่มนี้ใช่ไหม?”

…………………………………………………

*****

เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นด้วย รอยยิ้มบนใบหน้าเซี่ยไห่หยางก็ยิ่งสดใสขึ้น ตามที่หวังเป่าเล่อคิด การที่มาเจอจัตุรัสอวกาศของตระกูลเซี่ย เป็นการเตรียมการณ์ล่วงหน้าของเซี่ยไห่หยาง

สถานะของเซี่ยไห่หยางในตระกูลนั้นมีผลไม่เพียงพอต่อการขับเคลื่อนจัตุรัสอวกาศ อย่างไรก็ตาม จัตุรัสประเภทนี้น่าจะใช้สำหรับขนส่งคนระหว่างสถานที่สองแห่งที่กำหนดไว้มากกว่า ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในการค้าหลักของตระกูลเซี่ย ภายในจัตุรัสอวกาศแต่ละลำ ล้วนเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ของตระกูลที่สั่งการมานานปี และจะปฏิบัติตามคำสั่งจากผู้นำตระกูลเซี่ยยุคนี้เท่านั้น

แต่…ด้วยอิทธิพลของบิดาของเขา แม้จะไม่อาจขับเคลื่อนจัตุรัสได้ แต่พอจะนัดแนะจุดใดจุดหนึ่งในระหว่างเส้นทางของจัตุรัสอวกาศนี้ในช่วงเวลาที่กำหนดได้สักสองสาม

อย่างไรก็ตาม ในจัตุรัสอวกาศของตระกูลเซี่ยไม่ได้รักษาหรือตรงต่อเวลาอะไร เดิมทีการเดินทางในอวกาศก็เนิ่นนาน และมีตัวแปรมากมาย ดังนั้นด้วยความพยายามของเซี่ยไห่หยาง จึงย่อมเป็นไปได้ที่จัตุรัสอวกาศซึ่งแต่เดิมเดินทางไปดาวชะตานี้ จะปรากฏบนเส้นทางที่หวังเป่าเล่อต้องผ่าน

และการเตรียมการเช่นนี้เป็นสิ่งที่เซี่ยไห่หยางต้องการแสดงให้เห็นว่า เขารู้ซึ้งถึงข้อได้เปรียบซึ่งก็คือสถานะของตนในตระกูลเซี่ยรวมทั้งทรัพยากรนับไม่ถ้วนที่สามารถซื้อขายได้

เขามีอำนาจในการควบคุมทรัพยากรเหล่านี้ส่วนหนึ่ง ที่สามารถนำมาแลกเปลี่ยนมูลค่าให้แก่ตระกูล และยกสถานะของตนเอง และยังสามารถลงนามบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายของตนภายในขอบเขตอำนาจได้ และหักล้างกันผ่านทางส่วนแบ่งระยะยาวของตระกูลที่ให้คนภายในตระกูล

หากหักล้างไม่ไหวเขายังสามารถใช้ส่วนแบ่งของท่านพ่อได้ หรือกระทั่งสุดท้ายก็ทำให้เป็นหนี้สูญได้ ภายในมีช่องว่างมากมายในระหว่างปฏิบัติงาน นี่เป็นหลังจากที่ตระกูลเซี่ยได้พัฒนามาจนถึงทุกวันนี้ด้วยขั้นตอนที่แน่นอน ตระกูลก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามด้วยการค้าที่มากขึ้นเรื่อยๆ ก็ย่อมปรากฏความฟุ่มเฟือยรวมทั้งปัญหาทางการเงินที่ไม่ชัดเจนเป็นธรรมดา

ไม่ใช่ว่าตระกูลเซี่ยไม่ต้องการแก้ปัญหานี้ แต่ไม่สามารถทำสิ่งใดได้ หากแก้ไขแล้วเกรงว่าทั้งตระกูลเซี่ยคงแตกสลาย และแก้ไขไม่ได้ ตราบใดที่รายได้มีการเติบโตอย่างเพียงพอ และมีกระแสไหลเวียน เช่นนั้นก็ยังอยู่ต่อไปได้

เซี่ยไห่หยาง ในฐานะคนของตระกูลเซี่ยเขาย่อมรับรู้ในปัญหาเหล่านี้ แต่ก่อนเขาก็ไม่ได้ทำเช่นนี้ แต่ตอนนี้ทางด้านท่านพ่อเกิดเงื่อนงำ ขาดผู้ดูแลตระกูล ทั้งยังมีผู้แอบเฝ้าดูอยู่ลับๆ ไม่น้อย ดังนั้นเซี่ยไห่หยางจึงเต็มไปด้วยความไม่พอใจ นอกจากนี้ยังต้องการที่จะเอาใจหวังเป่าเล่อรวมทั้งดาราจักรไฟ ดังนั้นครั้งนี้จึงต้องมีการเสียเลือดกันบ้าง

“มันก็แค่ทรัพยากร ข้าไม่มีสิ่งใดนอกจากเงิน!” เมื่อมองไปที่จัตุรัสอวกาศที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ นัยน์ตาของเซี่ยไห่หยางก็เป็นประกาย เขารู้สึกว่าแม้ใช้เงินไปยิ่งมาก แต่ขอเพียงได้สร้างความสัมพันธ์กับดาราจักรไฟและเฉินชิงจื่อ ทุกอย่างก็คุ้มค่า

ด้วยความคิดเช่นนี้ หลังจากที่หวังเป่าเล่อก้าวเข้าสู่จัตุรัสอวกาศของตระกูลเซี่ย เขาก็ย่อมไม่รู้สึกอึดอัด

เรือขนาดใหญ่กว่าสิบลำเหล่านี้เทียบได้กับดวงดารา ในจัตุรัสประกอบด้วยร้านรวงต่างๆ ซึ่งเป็นครึ่งหนึ่งของพื้นที่ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเต็มไปด้วยผู้ฝึกตนที่ซื้อตั๋วเรือ เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทำให้จัตุรัสอวกาศเป็นที่นิยมกันอย่างมาก และครึกครื้้นราวกับเป็นอารยธรรมพิเศษอย่างหนึ่ง

ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากจุดหมายปลายทางของมันคือดาวชะตา ดังนั้นนอกจากตระกูลและสำนักชั้นสูงที่เดินทางด้วยวิธีของตนเองแล้ว ผู้ฝึกตนที่ไปร่วมพิธีฉลองอายุจำนวนหนึ่งในคราวนี้ ส่วนมากก็จะเดินทางโดยเรือชนิดเดียวกัน ดังนั้นภายในจัตุรัสอวกาศของตระกูลเซี่ยครั้งนี้จึงได้จัดเรือลำใหญ่ขึ้นโดยเฉพาะ และค้าขายของหายากหลายชนิด ทำให้หลังจากที่ซื้อแล้วสามารถใช้เป็นของขวัญฉลองอายุได้เลย

เมื่อเห็นว่าที่นี่มีผู้คนมากมาย ไม่เพียงแต่ผู้ฝึกตนจำนวนมาก แต่ยังมีที่มาที่ไปที่หลากหลาย นอกจากผู้ฝึกตนที่เป็นมนุษย์แล้ว ยังมีจำพวกสัตว์และรวมทั้งพฤกษาที่บำเพ็ญตนด้วย อย่างเช่นทันทีที่หวังเป่าเล่อขึ้นเรือก็เห็นดอกทานตะวันช่อหนึ่งเดินผ่านหน้าไป…ขณะเดียวกันก็ยังมีร่างต่างๆ ที่ดูเหมือนประกอบขึ้นมาเป็นมนุษย์ เช่นมนุษย์ศิลา มนุษย์เพลิง เขาเห็นแม้กระทั่งร่างกายที่คล้ายมนุษย์ แต่กลับเป็นผู้ฝึกตนที่มีหัวเป็นปลา

ในหมู่นั้นยังมีพวกที่มีปีก หรือหลายหัว และพวกมีหลายแขนอยู่ทุกหนทุกแห่ง และที่ยิ่งประหลาดกว่านั้นก็ยังมีเสื้อคลุมสีดำทั้งร่าง แต่ถ้ามองให้ดี ภายในเสื้อคลุมดำนั้นว่างเปล่า แต่กลับลอยผ่านข้างๆ เขาไป และส่งระลอกความผันผวนทำให้หวังเป่าเล่อใจสั่น

“นี่คือผู้ฝึกตนของดาวซากมรณะ พวกมันมิใช่ไร้ร่างกาย แต่เนื่องจากความแตกต่างของคลื่นปราณ ระดับข้ามองไม่เห็น นอกจากจะมีฐานฝึกตนถึงขั้นดารานิรันดร์ จึงจะเห็นร่างแท้จริงของพวกมัน ”..Aileen-novel

“นี่คือผู้ฝึกตนแห่งเซอร์รอตติ ที่บ้านเกิดของพวกเขา มีทะเลที่กล่าวกันว่าสามารถกัดกร่อนได้ทุกสิ่ง พวกมันถือกำเนิดที่นั่น และสามารถควบคุมกฎแห่งน้ำได้แต่กำเนิด และแต่ละคนก็ไม่อ่อนแอเลย!” เซี่ยไห่หยางแนะนำเขาเสียงเบา ตามสายตาหวังเป่าเล่อที่กวาดผ่านไป

“สำหรับพวกที่มีหลายหัวและหลายแขน ส่วนใหญ่มีสายเลือดสัมพันธ์กับตระกูลไม่รู้สิ้น ดังที่ท่านทราบ ตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่ในฐานะจ้าวแห่งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ด้วยตระกูลของเขามีผู้คนมากมายและมีอีกหลายเผ่าพันธุ์ ในหลายปีมานี้ล้วนมีการขยายพันธุ์มากขึ้น ดังนั้นจึงปรากฏชนรุ่นหลังที่แปลกประหลาดเหล่านี้ …”

หวังเป่าเล่อฟังการแนะนำของเซี่ยไห่หยาง รู้สึกว่าตนเองนับว่าได้เปิดหูเปิดตา อันที่จริงหลายปีมานี้เขาใช้ชีวิตอยู่จักรวาลนอกสหพันธรัฐ ความรู้ก็นับว่าไม่น้อยแล้ว แต่หลังจากที่ได้มาถึงจัตุรัสอวกาศตระกูลเซี่ยนี้แล้ว ยังคงรู้สึกว่าได้เปิดหูเปิดตากว้างขึ้นบ้างแล้ว

ในไม่ช้าสายตาของหวังเป่าเล่อก็ละออกจากร่างผู้ฝึกตนแต่ละชนิด ด้วยการร่วมทางของเซี่ยไห่หยางรวมทั้งดารานิรันดร์แปดท่านที่ติดตามคุ้มกันอยู่ด้านหลัง เดินเตร่อยู่ในจัตุรัสนี้แล้วเข้าไปในร้านค้าร้านหนึ่ง

นี่เป็นร้านที่จำหน่ายโอสถบำรุงโดยเฉพาะ มีทั้งหมดสองชั้น มีโอสถบำรุงหลายชนิดอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดารานิรันดร์ต้องการ หรือใช้เพื่อควบแน่นลมหายใจ มีมากมายหลากหลายชนิด และยังมีของล้ำค่าบางอย่างที่หาได้ยากจากภายนอก และสิ่งที่ยิ่งทำให้รู้สึกฟุ่มเฟือยก็คือที่ใจกลางห้องโถงชั้นหนึ่งวางหม้อหลอมโอสถขนาดห้าคนโอบไว้ ภายในมีควันสีเขียวลอยตลบอบอวนออกมา

เมื่อสูดควันนี้เข้าไปก็สามารถกระตุ้นปราณอมตะภายในร่างได้ หากอบร่างอยู่ในนั้นเป็นเวลานาน ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อการฝึกตน กำยานเช่นนี้เป็นของราคาสูง แต่ที่นี่กลับมีให้โดยไร้ค่าตอบแทน ด้วยเหตุนี้จึงสามารถเห็นได้ว่าเส้นสนกลในของร้านนี้ลึกล้ำ เวลาเดียวกันอาจเป็นด้วยเหตุนี้ ภายในร้านนี้จึงมีผู้ฝึกตนมากมาย โดยทั่วไปแล้วก็มีการซื้อขายกันอยู่ตลอดเวลา

ไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อหรือคนงาน ก็ดูเหมือนยุ่งไปหมด

แต่เช่นนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ธรรมดาและเป็นร้านที่การค้าเฟื่องฟู หลังจากหวังเป่าเล่อเข้าไป ด้วยเสียงกระแอมของเซี่ยไห่หยาง ชายชราผู้หนึ่งก็รีบเดินออกมาจากข้างในร้านทันที ฐานฝึกตนของชายชราผู้นี้เป็นระดับดารานิรันดร์ หลังจากเห็นเซี่ยไห่หยาง เขาก็ยิ้มน้อยๆ และเมื่อเซี่ยไห่หยางเห็นตาเฒ่าก็เข้ามาโค้งคำนับ

“คารวะผู้เฒ่าโอสถ”

ชายชราพยักหน้าและมองไปที่หวังเป่าเล่ออีกครั้ง หวังเป่าเล่อมองไปด้วยรอยยิ้ม หลังจากประสานหมัดคำนับแล้ว ชายชราก็รีบคำนับกลับทันที จากนั้นเขาก็กวาดตามองไปยังดาวนิรันดร์ทั้งแปดที่อยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม แล้วเขาก็หันไปพูดกับคนรอบข้าง…

“สหายเต๋าทุกท่าน โปรดออกไปก่อน ร้านของเราจะต้อนรับแขกผู้มีเกียรติและปิดร้านเป็นเวลาครึ่งชั่วยาม!”

ทันทีที่กล่าวออกมา ผู้ฝึกตนทั้งหมดในร้านก็เปลี่ยนท่าที เมื่อพวกเขามองไปยังกลุ่มของหวังเป่าเล่อ คนงานภายในร้านก็ทำตามคำสั่งของชายชราและเชิญทุกคนออกไปอย่างสุภาพทันที

แม้จะมีผู้ฝึกตนบางคนไม่พอใจแต่ก็มิอาจทำสิ่งใดได้ ไม่นานก็ไม่เหลือลูกค้ารายอื่นในร้านนี้ ยกเว้นกลุ่มของหวังเป่าเล่อ เมื่อประตูปิดลงหวังเป่าเล่อก็รู้สึกใจสั่น

อันที่จริงเขาเพิ่งได้รับการต้อนรับเช่นนี้เป็นครั้งแรก รู้สึกจิตใจอิ่มเอิบ แต่ภายนอกเขายังคงขมวดคิ้ว จ้องไปที่เซี่ยไห่หยาง

“หยางเอ๋อร์ ไม่ต้องทำถึงเช่นนี้”

“อาจารย์อาสิบหกที่เคารพอย่างสูง ข้ากังวลว่าจะถูกรบกวน จึงได้ตัดสินใจด้วยตนเอง ขออาจารย์อาลงโทษด้วย!” ไม่ว่าเซี่ยไห่หยางจะคิดอย่างไรในใจแต่ใบหน้าเขาดูจริงใจ

“เจ้าอย่าได้ทำเช่นนี้อีก” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า และหลังจากพูดเบาๆ เขาก็หันไปหาผู้ดูแลของร้านนี้ ก็คือผู้เฒ่าโอสถผู้นั้น แล้วกำหมัดคำนับ

“ขอบคุณผู้อาวุโสเฒ่าโอสถ”

แม้ว่าเฒ่าโอสถจะทำเพื่อเห็นแก่หน้าของเซี่ยไห่หยางด้วยการมอบการต้อนรับเช่นนี้ แต่เวลานี้เมื่อเห็นอย่างชัดเจนว่าหวังเป่าเล่อที่มีฐานะสูงส่งแต่กลับสุภาพต่อตนเองก็รู้สึกยินดี ดังนั้นหลังจากยิ้มและพยักหน้าแล้วจึงเรียกศิษย์หญิงที่ไม่ว่าจะเป็นท่าทางหรือรูปลักษณ์ก็ล้วนเป็นเลิศ ให้พวกนางมาแนะนำโอสถบำรุง

ศิษย์หญิงสองคนนี้เห็นได้ชัดว่าอยากรู้เกี่ยวกับหวังเป่าเล่อ ถึงกับสามารถทำให้เซี่ยไห่หยางที่เป็นนายน้อยผู้หนึ่งมาดูแลได้ และยังปิดร้านต้อนรับ ทั้งหมดนี้ล้วนแสดงถึงความสูงส่งของหวังเป่าเล่อ

ดังนั้นโฉมงาม อีกทั้งคำพูดก็อ่อนหวานยิ่ง หอมแม้แต่ลมหายใจขณะที่กล่าวแนะนำ ในไม่ช้าพวกนางก็พบว่าขอเพียงให้อีกฝ่ายมองโอสถบำรุงนานสักหน่อยก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ยสิ่งใด นายน้อยที่อยู่ข้างๆ ก็จะรีบหยิบโอสถนั้นลงกระเป๋าคลังเก็บในทันที…

…………………………………………………

“สุดท้ายยังเป็นขิงแก่ที่เผ็ด” หวังเป่าเล่อที่เห็นฉากนี้ด้วยตาตัวเองกลับมาถึงหอคอย รู้สึกว่าครั้งนี้ตนนับว่าได้เปิดประสบการณ์แล้ว

จากเหตุการณ์ต่างๆ ของปรมาจารย์แห่งไฟ และบทบาทต่างๆ ของร่างอวตารของท่าน ได้ขังเซี่ยไห่หยางในดาราจักรไฟไว้แล้วอย่างไม่รู้ตัว สำหรับตัวเซี่ยไห่หยางเองแล้ว แม้เขาจะยังไม่เข้าใจสาเหตุ แต่บนความเป็นจริงก็ไม่ได้เสียหายอะไร และในระดับหนึ่งก็กลับมีประโยชน์มหาศาล

เพียงแต่ปรมาจารย์แห่งไฟนำความสัมพันธ์ในทางการค้าที่เซี่ยไห่หยางเข้าใจ เปลี่ยนให้กลายเป็นความจงรักภักดีต่อสำนักอย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามความจงรักภักดีก็เป็นอารมณ์ที่ซับซ้อน ซาบซึ้ง ขัดแย้ง เย็นชา และสนิทสนมเป็นต้น ต่างก็เพิ่มความจงรักภักดีในระดับที่ต่างกัน และหากอารมณ์ครอบคลุมแล้ว ก็จะก่อให้เกิดสายใยนับพันหมื่นที่รัดพันจนยากจะแยกจากกันได้

“เบื้องหลังน่าจะเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่หรือท่านอาจารย์ หรืออาจจะเป็นศิษย์พี่เจ็ดและศิษย์สิบห้าลงมือช่วยเหลือ ในขณะที่เซี่ยไห่หยางประสบกับอันตราย จากนั้นความสัมพันธ์ทั้งหมดก็จะประทับลงมาอย่างสมบูรณ์…จนกระทั่งวันหนึ่ง แม้ความจริงจะถูกไขออก แต่จะไม่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ชนิดนี้ แต่กลับทำให้ความจงรักภักดีของเซี่ยไห่หยางแข็งแกร่งยิ่งขึ้น”

ในขณะที่หวังเป่าเล่อทอดถอนใจ ในใจของเขาก็เกิดความซาบซึ้ง เพราะเขาตระหนักว่าสิ่งที่อาจารย์ทำทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพื่อตัวท่านเอง เห็นได้ชัดว่าทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพื่อเขา!

“ถ่ายทอดคำสาปวิญญาณเพลิง แลัวยังจัดศิษย์หลานให้ผู้หนึ่ง อาจารย์นะอาจารย์ เหตุใดท่านจึงเตรียมไว้” หวังเป่าเล่ออยู่เงียบๆ ในฐานะผู้ดู หลังจากที่เห็นทั้งหมดนี้แล้ว ไม่รู้เพราะเหตุใดจึงมีความรู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอด

ความวิตกกังวลนี้ไม่ได้มาจากตนเอง แต่มาจากปรมาจารย์แห่งไฟ

แต่เห็นได้ชัดว่าจนถึงตอนนี้หวังเป่าเล่อก็ไม่มีคำตอบ ดังนั้นเขาจึงถอนใจเบาๆ เขาทำได้เพียงกดความสงสัยไว้ในใจ แล้วเริ่มดำดิ่งในการฝึกคำสาปวิญญาณเพลิง เพื่อศึกษารายละเอียดของเวทคำสาปนี้

ก็เป็นเช่นนี้ เวลาค่อยๆ ผ่านไปสามเดือน ในสามเดือนนี้หวังเป่าเล่อนับว่าได้ศึกษาคำสาปวิญญาณเพลิงจนเข้าใจในเบื้องต้นแล้ว ส่วนเซี่ยไห่หยางก็เรียนที่จะฉลาดแล้ว ไม่ว่าผู้ใดจะพยายามชักจูง เขาก็จะสรรเสริญอาจารย์ปู่อย่างเต็มปากเต็มคำ ขณะเดียวกันก็พยายามอย่างหนักเพื่อจะเป็นผู้ติดตามหวังเป่าเล่อ

สิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการในการฝึกตน แทบจะไม่ต้องไปรวบรวมด้วยตนเอง ขอเพียงเอ่ยปากเซี่ยไห่หยางเป็นต้องส่งมาให้ และการพูดคำเยินยอก็ยิ่งช่ำชองขึ้น ทุกครั้งล้วนทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเบิกบานใจ ดังนั้นด้วยอารมณ์ที่เป็นสุขของเขา จึงได้ไปขอกับท่านอาจารย์ให้เซี่ยไห่หยางติดตามตนไปอวยพรวันเกิดด้วย

หลังจากที่ปรมาจารย์แห่งไฟอนุญาตแล้ว ทั้งสองเตรียมตัวอยู่หลายวัน จากนั้นจึงนั่งเรือบินของดาราจักรไฟออกจากดาวเอกเพลิง โดยมีสายตาของศิษย์พี่หญิงใหญ่และคนอื่นๆ ตามส่งไป

ในฐานะที่เป็นนายน้อยของดาราจักรไฟ การเดินทางของหวังเป่าเล่อย่อมแตกต่างไปจากเดิม ด้านหลังเขายังมีผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์ในอารยธรรมอื่นภายในดาราจักรไฟติดตามมาเพื่อร่วมเดินทางไปคุ้มกัน

ทั้งหมดมีผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์แปดคนที่ออกเดินทางพร้อมหวังเป่าเล่อ หน้าที่ของพวกเขาคือดูแลความปลอดภัยของหวังเป่าเล่อตลอดทาง และมีดารานิรันดร์ของอารยธรรมวิญญาณเพลิงผู้นั้นเป็นหนึ่งในนั้น

อีกทั้งพลังป้องกันจากเซี่ยไห่หยาง อาจกล่าวได้ว่าพลังที่อยู่รอบๆ หวังเป่าเล่อ เปรียบได้กับกำลังที่มหาศาลแล้ว

ไม่มีใครคิดว่าการโอ้อวดแบบนี้เกินจริง เพราะหวังเป่าเล่อในวันนี้เป็นตัวแทนของดาราจักรไฟ ในฐานะที่เขาเป็นนายน้อยดาราจักรไฟก็ต้องเป็นเช่นนี้

ดังนั้นเมื่อพวกเขาออกจากดาราจักรไฟ แล่นไปในจักรวาล จำนวนเรือบินก็มีนับร้อย ภายในไม่ได้มีเพียงดารานิรันดร์แปดคน ยังมีผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ไม่น้อย ซึ่งเป็นขบวนที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ทำให้เกิดความผันผวนในจักรวาลขึ้นอย่างรุนแรงแล่นไปทางดาวชะตา ที่ที่ประมุขกฏสวรรค์สถิตอยู่..ไอลีนโนเวล

ภายในเรือหลักที่อยู่ตรงกลาง หวังเป่าเล่อสวมชุดคลุมยาวงดงามสีแดงและรองเท้ารบยาวสีทอง ทั้งร่างดูสง่างามและสูงส่ง ขณะนี้เขาถือแผ่นหยกอยู่ ดวงตาส่อแววครุ่นคิด

เซี่ยไห่หยางสวมชุดในแบบเดียวกัน แต่เครื่องแต่งกายมีสีสันที่อ่อนกว่า เขายืนอยู่ข้างหวังเป่าเล่อ เอ่ยเสียงเบา

“อาจารย์อา ประมุขแห่งชะตาผู้นี้ก็เป็นเช่นเดียวกับอาจารย์ปู่ภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ต่างก็เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ตระกูลไม่รู้สิ้นไม่อยากตอแยด้วย กระทั่งประมุขแห่งชะตาด้วยเพิ่มเติมความชำนาญ แต่ช่วยผู้คนเปลี่ยนแปลงวิถีแห่งฟ้าดิน ดังนั้นจึงมีสหายผู้สูงส่งไปทั่วทั้งจักรพิภพ ได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพ ”

“ฐานการฝึกตนของเขาเป็นเช่นเดียวกับอาจารย์ปู่ มีสมบัติลับชิ้นหนึ่งที่เรียกว่าร่องรอยแห่งชะตา ประมุขแห่งชะตาที่ครอบครองสมบัติลับนี้มีฐานการฝึกตนและพลังต่อสู้ที่ไร้ขอบเขต…มีผู้คาดเดาว่าถึงขั้นเปรียบได้กับระดับจักรพิภพ!”

“ดังนั้นสำนักทั้งหมดจะส่งคนไปงานฉลองวันเกิดของท่านผู้เฒ่า นอกจากจะเป็นพิธีการที่จำต้องมีแล้ว ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งนั่นคืองานฉลองของประมุขกฎสวรรค์ในแต่ละครั้งจะจัดให้มีบททดสอบขึ้น บททดสอบนี้จะแตกต่างกันในทุกปี แต่ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบครั้งใด ผู้ที่ได้รับการยอมรับจากท่านจะได้รับคุณสมบัติให้พลิกสมุดแห่งโชคชะตาได้หนึ่งครั้ง!”

“สมุดแห่งโชคชะตาหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนที่เขาจะออกเดินทาง ปรมาจารย์แห่งไฟได้เรียกเขามาพบ แจ้งให้ทราบว่าเขาได้ฝากโอกาสที่หวังเป่าเล่อจะได้สัมผัสร่องรอยแห่งชะตาไว้กับประมุขกฎสวรรค์!

เขาได้รู้จากปรมาจารย์แห่งไฟมาก่อนหน้านั้นแล้ว และเข้าใจที่เรียกว่าการรับรู้ร่องรอยแห่งชะตา ที่สามารถทำให้ตนเองก้าวข้ามนทีแห่งกาลเวลา รวบรวมภาพที่ผ่านไปในช่วงเวลานับไม่ถ้วนของตนเอง และรวบรวมในนาทีที่สัมผัส ทำให้พลังแห่งชีวิตของตนได้เพิ่มพูนและปะทุออกของบทสรุป!

การรับรู้ประเภทนี้ขึ้นอยู่กับต้นทุนธรรมชาติและศักยภาพ เป็นตัวกำหนดระยะเวลาที่จะติดตาม นี่คือพลังเทพสูงสุดของประมุขแห่งกฏสวรรค์ แต่ละครั้งที่สำแดง มันจะทำลายตัวเองอย่างไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้

หากสามารถให้ประมุขแห่งกฏสวรรค์สำแดงเพื่อเขาสักครั้ง แม้จะไม่รู้ว่าปรมาจารย์แห่งไฟทุ่มเทสิ่งใดเป็นค่าตอบแทน แต่ก็อาจคาดได้ว่าต้องสูงนัก

เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ คำตอบของเซี่ยไห่หยางก็ขัดจังหวะความคิดของหวังเป่าเล่อที่มีต่ออาจารย์

“สมุดแห่งโชคชะตา เป็นของวิเศษที่ไม่มีใครรู้ที่มาของมัน ของสิ่งนี้ถือกำเนิดบนดาวชะตา และแม้แต่จักรพรรดิสวรรค์ก็ไม่สามารถเอามันไปได้ มีเพียงประมุขแห่งกฎสวรรค์ที่สามารถควบคุมสมุดเล่มนี้ได้อย่างจำกัด มีข่าวลือว่า…ประมุขแห่งกฎสวรรค์เองก็เป็นวิญญาณวุธของสมุดเล่มนี้ แต่ก็ไม่ทราบว่าจริงเท็จอย่างไร”

“เมื่อเปิดสมุดเล่มนี้ แต่ละหน้าหมายถึงห้าร้อยปี ที่จะสามารถเห็นภาพที่ไม่สมบูรณ์ของอนาคตของตนเอง… พลังเทพแห่งการพยากรณ์อันยิ่งใหญ่เช่นนี้ยากที่จะอธิบายได้ หากไม่มีผู้ใดยืนยันภาพที่ปรากฏก็เป็นหนึ่งในความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัดของอนาคต ไม่เป็นการแน่นอน และไม่อาจยืนยันเนื้อหาที่ระบุหรือตรวจพบ เพียงสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ในเวลาเดียวกันแต่ละหน้าที่เปิด สิ่งที่สูญเสียล้วนเป็นพลังชีวิตของตน ดังนั้นจึงไม่อาจพลิกหามากเกินไปได้ ด้วยเกรงว่าพลังของตนจะยิ่งน่าเป็นห่วงกว่านี้!”

“ตรวจดูอนาคตหรือ” หวังเป่าเล่อลืมตากว้าง และการหายใจก็ไม่เป็นจังหวะมองไปทางเซี่ยไห่หยาง

เซี่ยไห่หยางพยักหน้า

“ผู้ฝึกตนอาวุโสของข้าล้วนเต็มไปด้วยความสับสนต่ออนาคต ด้วยไม่รู้ว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร ไม่รู้แตกดับเมื่อใดจุติเมื่อใด ไม่รู้ฐานฝึกตนจะสามารถทะลวงผ่านได้หรือไม่ในอนาคต ไม่รู้เรื่องราวมากมาย และเพราะเป็นเช่นนี้ ดังนั้นบททดสอบของงานฉลองวันเกิดของประมุขแห่งกฎสวรรค์ ก็ยิ่งทำให้พวกเขามีความกระตือรือร้น ต่างก็หวังอยากได้รับคุณสมบัติเพื่อไปพลิกสมุดแห่งโชคชะตาให้เห็นอนาคตของตน…”

“แม้ว่าเงาแห่งอนาคตจะสำแดงไม่เลือกโอกาส แม้ว่ามันจะเป็นเพียงหนึ่งในความเป็นไปได้นับพันนับหมื่น แต่มันก็สามารถก่อให้เกิดประโยชน์ในการชี้นำที่ยิ่งใหญ่ได้!”

หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า เขาตื่นเต้นกับสมุดแห่งโชคชะตานี้มาก เขาก็ต้องการเห็นอนาคตของตนเองว่าจะเป็นเช่นไร

“อดีต อนาคต…” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจ สำหรับการเดินทางไปยังดาวชะตาในครั้งนี้ เขามีความคาดหวัง จนกระทั่งหลายวันต่อมา ขณะที่เรือเหาะแล่นไปในจักรวาล ขณะที่เดินทางไปยังดาวชะตาได้ร้อยละสามสิบ เรือสีน้ำเงินขนาดใหญ่หลายสิบลำได้ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของพวกเขา!

เรือขนาดใหญ่แต่ละลำเหล่านี้ต่างเปรียบได้กับดวงดารา และดูน่าตื่นตระหนกในเวลาเดียวกัน เรือหลายสิบลำถูกจัดเรียงไว้ด้วยกัน ทุกที่ที่พวกมันผ่านไปทำให้ผู้คนตระหนกมากขึ้น จักรวาลก็แปรปรวน

ยิ่งไปกว่านั้นบนเรือเหาะยังเห็นได้ว่ามีผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างเรือเหาะ ดูครึกครื้นมากในขณะเดียวกัน เรือเหาะแต่ละลำมีธงผืนใหญ่ บนนั้นมีอักษรเขียนว่า… เซี่ย!

“นี่เป็นตลาดอวกาศของตระกูลข้า ซึ่งใช้สำหรับการขนส่ง บรรทุกคนเดินทางรวมทั้งสินค้า!” เซี่ยไห่หยางหรี่ตาทันที ขณะที่เขาเห็นเรือเหาะเหล่านี้ หลังจากที่เขาค่อยๆ เอ่ยปากก็รีบนำแผ่นหยกออกมา หลังจากถ่ายทอดเสียงไปแล้วเขาก็หัวเราะขึ้นมา มองไปทางหวังเป่าเล่อ

“อาจารย์อาสิบหก จุดหมายปลายทางของตลาดอวกาศนี้ห่างจากดาวชะตาไปไม่ไกล พวกเราขึ้นไปเดินเล่นดีหรือไม่ พวกมันเร็วกว่า และยังให้โอกาสศิษย์หลานได้แสดงความกตัญญูด้วย”

หวังเป่าเล่อเหลือบมองเซี่ยไห่หยางด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม นี่ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ หากกล่าวว่าไม่ใช่เซี่ยไห่หยางเตรียมการณ์ไว้ล่วงหน้า หวังเป่าเล่อย่อมไม่เชื่อ แต่เรื่องนี้ทำให้เขาสบายใจมาก ดังนั้นเขาจึงพยักหน้า

“ไปกันเถอะ!”

…………………………………………………

หวังเป่าเล่อที่กำลังศึกษาคำสาปวิญญาณเพลิงอยู่ในหอคอย ไม่รู้ว่าหลังจากที่เซี่ยไห่หยางตามออกไปจะสนทนากับศิษย์พี่เจ็ดเช่นไร สรุปคือในวันที่สองหลังจากที่เซี่ยไห่หยางคุยกับพี่เจ็ด…

หลังจากที่เซี่ยไห่หยางมาทักทายอย่างกระปรี้กระเปร่าในตอนเช้าตรู่ หวังเป่าเล่อเห็นด้วยตาตัวเองว่าเพิ่งเดินออกจากหอคอยห่างไปยังไม่ถึงสิบจั้ง มีเงาดำสายหนึ่งตกลงมาจากท้องฟ้าที่ไร้ขอบเขตอย่างไร้สาเหตุ

ความเร็วของเงาดำนี้ ด้วยฐานการฝึกตนดาวพระเคราะห์ขั้นกลางของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ยังเห็นได้ไม่ชัดเจน ตรวจจับได้เพียงแต่เงา จะเห็นว่ามันเร็วจนน่าอัศจรรย์ ส่วนเซี่ยไห่หยาง แม้การฝึกตนจะสูงกว่าหวังเป่าเล่อ แต่ก็ยังไม่ถึงระดับดารานิรันดร์ จึงไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน นาทีนั้นเองก็ถูกเงาดำที่ร่วงลงมาจากฟ้าพุ่งลงมาปะทะบนร่างโดยตรง

เสียงคำรามก้องกังวาน แม้แผ่นดินยังสะเทือน และมีฝุ่นตลบไปรอบด้าน เสียงกรีดร้องโหยหวนของเซี่ยไห่หยางดังก้องไปทั่วทิศ…

หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง หลังจากที่ฝุ่นสลายไปจนเขาสามารถมองเห็นสิ่งที่หล่นลงมาได้ เขาสูดลมหายใจ อดที่จะมีสีหน้าประหลาดไม่ได้

เงาดำที่ตกลงมาจากฟากฟ้าคือเห็บวัวตัวหนึ่ง และพลังของมันก็ควบคุมได้ดีมาก ดูเหมือนว่าจะรวดเร็วและทรงพลัง แต่มันตกลงมาบนร่างเซี่ยไห่หยาง เพียงแค่ทำให้เขาเวียนหัวตาลายแต่ไม่ได้รับบาดเจ็บ บนศีรษะกลับมีซาลาเปาลูกใหญ่ปูดขึ้นมา

ซาลาเปานี้แดงก่ำ หวังเปาเล่อเหลือบมองดูมันก็รับรู้ได้ทันทีถึงความเจ็บปวดที่ซาลาเปาลูกนี้นำมา บนความเป็นจริงมันเป็นเช่นนี้จริงๆ เซี่ยไห่หยางกำลังร้องคร่ำครวญ

“เรื่องอะไร นี่มันเรื่องอะไรกัน!”

“ข้า… ทำไมอยู่ๆ ของแบบนี้ก็ตกลงมาจากฟ้า!” ขณะที่เซี่ยไห่หยางโอดโอยก็ยกมือขึ้นลูบไปตรงหัวปูด น้ำตาแทบจะไหลรินออกมา

หวังเป่าเล่อยิ่งรู้สึกประหลาดใจ ในเวลาเดียวกันความนับถือที่เขามีต่ออาจารย์ก็ยิ่งมากขึ้น เป็นความจริงที่ตอนนี้เขาได้ตระหนักแล้วว่าท่านอาจารย์เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น…

เขาคิดว่าต้องเป็นที่เมื่อวานหลังจากที่เซี่ยไห่หยางไล่ตามพี่เจ็ดไป ต้องถูกพี่เจ็ดหลอกล่อให้พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมา…ดังนั้นจึงได้มีกลอุบายใหม่ที่สั่งโดยความสนุกอันโหดร้ายของท่านอาจารย์

เมื่อคิดได้เช่นนี้ นอกจากหวังเป่าเล่อจะเห็นใจเซี่ยไห่หยางแล้วในใจก็รู้สึกยินดียิ่งนัก เขารู้สึกว่าหากไม่ใช่เพราะมีเซี่ยไห่หยางมาเป็นเป้าหมายอันชั่วร้ายของอาจารย์แล้ว เช่นนั้นคิดขึ้นมาแล้วความทุกข์ในเวลานี้ก็คงเป็นตนเองแน่

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ หวังเป่าเล่อก็ถอยหลังไปหลายก้าวทันที เขารู้สึกว่าในเมื่อเป้าหมายในตอนนี้ของอาจารย์คือเซี่ยไห่หยาง เช่นนั้นเขาควรจะออกห่างจะดีกว่า ขณะที่หวังเป่าเล่อจะกลับเข้าไปในหอคอย และเซี่ยไห่หยางคร่ำครวญและโศกเศร้า อยู่ๆ ท้องฟ้าก็แปรปรวน ใบหน้าขนาดใหญ่ก็ปรากฏออกมาทันที

ใบหน้านี้แผ่เปลวเพลิง มันคือปรมาจารย์แห่งไฟ หลังจากปรากฏออกมา เขามองเซี่ยไห่หยางที่อยู่บนพื้นด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมและเงยหน้าขึ้นมองไปทางจักรวาลก่อนเอ่ยเบาๆ

“เหยียนหลิง!”

หลังจากคำพูดของปรมาจารย์แห่งไฟ ท้องฟ้าก็แปรปรวนอีกครั้ง ร่างของวัวเฒ่าก็ปรากฏออกมาด้วยความเศร้า

“อาจารย์ปู่ โปรดเป็นพยานให้ศิษย์ด้วย ศิษย์ทำสิ่งใดผิดใยจึงเป็นเช่นนี้ หัวของข้า…” เซี่ยไห่หยางเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ก็คุกเข่าลงในทันที ใบหน้าเต็มไปด้วยความคับแค้นใจไม่สิ้นสุด ซาลาเปาที่ปูดอยู่บนศีรษะก็ผันแปรไปตามอารมณ์ของเขา เวลานี้ก็ยิ่งแดงขึ้น ดูไปแล้วเหมือนจะมีเขางออกออกมาจากซาลาเปา

“ท่านประมุข อย่าได้โทษข้าเลย ข้าก็แค่เกาที่คัน…” วัวเฒ่าถอนหายใจ ปรมาจารย์แห่งไฟยังคงขมวดคิ้ว ถลึงตามองวัวเฒ่า

“คราวหน้าระวังด้วย..” พูดจบ ปรมาจารย์แห่งไฟก็มองเซี่ยไห่หยาง แล้วจึงส่ายหน้าน้อยๆ

“เจ้าก็เช่นกัน เวลาเดินระวังด้วย ปกติก็ดูเป็นผู้เฉลียวฉลาด เหตุใดจึงถูกชนได้” ปรมาจารย์แห่งไฟกล่าวแล้วก็มิได้ไปสนใจเซี่ยไห่หยางที่คับแค้นอีก เพียงแวบเดียวใบหน้าก็หายไปในอากาศ ส่วนวัวเฒ่าก็ขยิบตาอยู่บนท้องฟ้า ส่งเสียงไอ มิได้กล่าวสิ่งใดเช่นกัน ร่างเริ่มเลือนรางเหมือนกำลังจะจากไป

เมื่อเซี่ยไห่หยางเห็นว่าเรื่องนี้กำลังจะผ่านไป เรื่องใหญ่เช่นนี้กลายเป็นเรื่องเล็ก ความคับข้องใจภายในใจของเขาก็พุ่งขึ้นจนถึงขีดสุด ร่างสั่นไปทั้งร่างด้วยความโกรธแค้น เสียงคำรามด้วยความโกรธเสียงหนึ่งลอยมาแต่ไกล ถึงขั้นทำให้ร่างเขาสั่นสะท้าน

“ท่านวัวอาวุโส ท่านกล้ารังแกศิษย์รักข้า!”

หวังเป่าเล่อเดิมทีกำลังจะกลับไปที่หอคอย เมื่อได้ยินเข้าก็หยุดเดิน ยืนดูเหตุการณ์วุ่นวายนั้น แล้วกล่าวอยู่ในใจอาจารย์เอ๋ยอาจารย์ ท่านวันๆ เปลี่ยนหัวโขนไปมา ไม่เหนื่อยหรอกหรือ…

ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ร่างหนึ่งก็เหาะมาจากท้องฟ้าไกลพร้อมกับเสียงคำรามที่ส่งมา ตามด้วยเซี่ยไห่หยางที่สะเทือนใจจนน้ำตาแทบไหลริน นั่นเป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ของหวังเป่าเล่อ หรืออาจารย์ของเซี่ยไห่หยางนั่นเอง…ไอรีนโนเวล

หลังจากที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่มาถึง นางมองไปที่เซี่ยไห่หยางด้วยความปวดใจ และจากนั้นความโกรธก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าแล้วทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ในไม่ช้าก็ส่งเสียงดังก้องอยู่บนฟ้า

“ท่านวัวอาวุโส ก่อนหน้านั้นอาจารย์ให้ศิษย์รักของข้าอาบน้ำให้ท่าน นี่เป็นธรรมเนียมของกลุ่มอัคคี แม้ข้าจะปวดใจ แต่ก็ได้แต่ดูแลอยู่เงียบๆ แต่วันนี้…ท่านกล้ามารังแกกันเช่นนี้ หยางเอ๋อร์ยังเป็นเด็ก ท่านรังแกกันเกินไปแล้ว!” ขณะที่ท้องฟ้าแปรปรวน เสียงกราดเกรี้ยวของศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็ส่งมา

“ตงเอ๋อร์ ตาข้างไหนของเจ้าที่เห็นว่าข้ารังแกศิษยที่รักของเจ้า!” พร้อมกับเสียงคำรามของศิษย์พี่หญิงใหญ่ ยังมีเสียงคำรามแสดงความไม่พอใจของวัวเฒ่าอีกด้วย

“ไม่ว่าอย่างไร วัวเฒ่า ท่านรังแกศิษย์รักของข้า ท่านรังแกหยางเอ๋อร์น้อยไม่ได้!” ดูเหมือนศิษย์พี่หญิงใหญ่จะห่วงใยมากเกินไป คำพูดในเวลานี้ ไม่ได้เรียกวัวเฒ่าด้วยความเคารพเหมือนก่อนแล้ว

“เจ้ารักศิษย์ในทางที่ผิดเช่นนี้จะมีประโยชน์อะไร ศิษย์รักของเจ้าผู้นี้ หากถือว่าเจ้าเป็นอาจารย์จริงๆ เหตุใดจึงไม่รู้ว่าเวลานี้เจ้ายังขาดดวงดารามาศ หากมี…”

“วัวเฒ่าหุบปาก เรื่องของข้าข้าจัดการเองได้ วันนี้ไม่ว่าอย่างไรจะขอความยุติธรรมให้ศิษย์รักของข้า”

เสียงของศิษย์พี่หญิงใหญ่และเฒ่าวัวดังไปทั่วทิศ ทำให้ศิษย์พี่ชายหญิงของหวังเป่าเล่อต่างออกมานอกหอคอยของตนกันเซ็งแซ่ มองไปบนท้องฟ้า ในไม่ช้าเสียงที่ดังก้องอยู่ฟ้าก็ยิ่งน่าตกใจ ความปรวนแปรยิ่งรุนแรง อารมณ์ของเซี่ยไห่หยางที่มองอยู่ทั้งตื่นเต้นและตกใจจนอธิบายไม่ถูก ความรู้สึกที่มีผู้หนุนหลัง มีผู้ออกหน้าให้ ทำให้เขารู้สึกสำนึกในบุญคุณอย่างที่สุด

ในทางกลับกัน หวังเป่าเล่อเบิกตาโต หายใจถี่ขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนจะมีแสงวาบผ่านไปทั่วจิตใจ และดวงตาของเขาก็แสดงถึงความตระหนักรู้ในทันที และความชื่นชมก็มีอยู่เต็มหัวใจ

“ยังคงเป็นวิถีอาจารย์เต๋าลึกซึ้งนัก…”

ขณะที่หวังเป่าเล่อทอดถอนใจ เสียงคำรามอันเย็นชาที่ส่งมาของปรมาจารย์แห่งไฟ ศิษย์พี่หญิงใหญ่และวัวเฒ่าจึงต้องหยุดการต่อสู้ วัวเฒ่าคำรามอย่างเย็นชา และหลังจากจากไปอย่างไม่พอใจ ศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็เหาะลงมา เห็นได้ชัดว่าร่างกายดูอ่อนล้า น่าจะเป็นเพราะการต่อสู้ก่อนหน้านี้ สำหรับนางแล้วไม่ใช่เรื่องง่าย แต่หลังจากได้เห็นเซี่ยไห่หยาง ศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็ยิ้มอย่างอ่อนโยน ลูบไปที่ซาลาเปาบนศีรษะเซี่ยไห่หยางเบาๆ ด้วยความเวทนายิ่ง

“หยางเอ๋อร์ อาจารย์มาช้าไปแล้ว เจ้าเจ็บหรือไม่”

หัวใจของหวังเป่าเล่อมึนชาไปเมื่อได้ยินคำเหล่านี้ แต่น้ำตาของเซี่ยไห่หยางไหลริน และคุกเข่าลงตรงหน้าอาจารย์

“ท่านอาจารย์!”

“เด็กคนนี้ ร้องไห้ทำไม” ท่าทีที่อ่อนโยนของศิษย์พี่หญิงใหญ่แสดงถึงความเมตตา ตามด้วยส่งสายตาเย็นชาไปรอบๆ และเอ่ยขึ้นเบาๆ

“ศิษย์น้องชายหญิงทุกท่าน หยางเอ๋อร์เป็นศิษย์ของข้า ดังนั้นต่อไปหากข้าได้ยินเรื่องใครปากโป้ง พวกเจ้าคงรู้ผลที่จะตามมา!” ทันทีที่นางกล่าวออกมา พี่เจ็ดและศิย์สิบห้าก็มีสีหน้าอับอาย เซี่ยไห่หยางที่เห็นเหตุการณ์นี้ก็ยิ่งซาบซึ้ง รู้สึกเพียงแต่ว่าอาจารย์ที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ดีต่อตนเองอย่างที่สุด จนชีวิตนี้ไม่อาจตอบแทนได้

“อาจารย์…”

“พอแล้ว ไม่ต้องร้องไห้แล้ว อาจารย์จะกลับไปถือสันโดษก่อน ช่วงเวลานี้เจ้าดูแลตัวเองให้ดี” กล่าวพลาง ท่าทีศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่เหนื่อยล้ากำลังจะหันกายจากไป เซี่ยไห่หยางก็รีบเอ่ยปาก

“อาจารย์ต้องการดวงดารามาศเท่าไหร่? ศิษย์มีตรงนี้แล้ว!”

“ไม่ต้อง อาจารย์จัดการเองได้!” ศิษย์พี่หญิงใหญ่ส่ายหน้า เพียงแวบเดียวก็เหาะขึ้นฟ้าไป เซี่ยไห่หยางเมื่อเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกร้อนรนทันที

“ศิษย์รู้ว่าอาจารย์รักศิษย์ ไม่ยินยอมให้ศิษย์ทุ่มเทมากเกินไป แต่นี่เป็นความกตัญญูของศิษย์ นี่คือดวงดารามาศ หากอาจารย์ไม่ต้องการ ศิษย์จะคุกเข่าอยู่เช่นนี้!” กล่าวพลาง เซี่ยไห่หยางก็คุกเข่าลง วิงวอนอย่างน่าเวทนาไม่หยุด

ฉากนี้ หวังเป่าเล่อรู้สึกตระหนกไม่อยากจะเชื่อ ในใจตอนนี้มีมีประโยคเดียว นั่นก็คือสูงส่ง…สูงส่งจริงๆ! เขาเข้าใจเรื่องนี้แล้วจริงๆ เห็นได้ชัดว่าเซี่ยไห่หยางไม่ได้ถือว่าดาราจักรไฟเป็นสังกัดของตนอย่างแท้จริง จุดประสงค์ที่มาที่นี่ก็เพื่อให้ตนเองได้รับความช่วยเหลือ

แต่ตอนนี้ หลังจากประสบกับสิ่งต่างๆ เหล่านี้แล้ว การปากโป้ง ความขัดแย้ง ความเย็นชาของอาจารย์ ความรักของศิษย์พี่หญิงใหญ่ ดูเหมือนชีวิตในบทบาทต่างๆ ราวกับเส้นไหมแต่ละเส้นได้มัดเซี่ยไห่หยางไว้แล้วอย่างสมบูรณ์…

แต่ในที่สุดศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็ถอนใจราวกับจนด้วยหนทาง

“เจ้าจะลำบากทำไม…” ขณะถอนหายใจนี้ นางต้องยอมรับความกตัญญูของเซี่ยไห่หยาง จากนั้นนางก็ใคร่ครวญ และถ่ายทอดเสียงไปยังเซี่ยไห่หยาง

“อย่าได้สนใจอาจารย์อาท่านอื่นของเจ้าให้มากนัก แต่อาจารย์อาสิบหกของเจ้าเพียงผู้เดียว ที่เจ้าต้องทำให้เขาพอใจ เขาอาจเป็นศิษย์ที่อาจารย์ปู่โปรดปรานมากที่สุด คำพูดเพียงประโยคเดียวของเขา มีผลต่อการตัดสินใจของอาจารย์ปู่ ไม่ว่าอย่างไร เจ้าอาจถือได้ว่าเขาเป็นนายน้อยของดาราจักรไฟที่แท้จริง!”

เสียงที่ส่งมาจากก้นบึ้งของหัวใจนี้ ทำให้เซี่ยไห่หยางยิ่งซาบซึ้งใจ เขาตัดสินใจแล้ว ต่อไปจะยิ่งเยินยอหวังเป่าเล่อให้มากขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็จะมีสองหลักใหญ่ให้พึ่งพิง จึงจะยืนหยัดได้อย่างแท้จริง ต่อไปต้องทำให้ศิษย์สิบห้าและพี่เจ็ดได้เห็นดีกัน!

“เจ้าสิบห้า พี่เจ็ด ข้าจะให้พวกท่านรู้ว่าข้าเซี่ยไห่หยางไม่ได้รังแกง่าย แม้พวกท่านจะเป็นอาจารย์อา แต่ต้องมีวันหนึ่งที่ข้าจะให้พวกท่านขอโทษข้าด้วยตัวเอง!” เซี่ยไห่หยางแอบสาบานกับตัวเอง!

……………………………………………………..

ในขณะที่ชีวิตที่น่าสังเวชของเซี่ยไห่หยางยังคงดำเนินต่อไป การฝึกเวทผนึกดาราของหวังเป่าเล่อก็มีความก้าวหน้าไม่หยุด ตอนนี้สะเก็ดดาวทั้งหมดที่เขาใช้ก่อแผนที่ดวงดาวเทพวัวได้ถูกแทนที่ด้วยดาวเคราะห์ทั่วไป

ขณะเดียวกันก็ทำให้มันมีพลังจนน่าตระหนก และทำให้หวังเป่าเล่อเริ่มลงมือฝึกฝนเวทผนึกดาราขั้นที่สาม เพียงแต่ด้วยระดับการฝึกตนของเขาเป็นเพียงดาวพระเคราะห์ขั้นกลาง จึงไม่อาจฝึกได้รวดเร็วเท่าสองขั้นก่อนหน้า และค่อยๆ ช้าลง จุดสนใจของเขาจึงค่อยๆ ย้ายจากเวทผนึกดารามาเป็นคำสาปวิญญาณเพลิง

“วิญญาณเพลิง เหยียนหลิง…” ภายในหอคอยของตนเอง หลังจากสัมผัสคำสาปวิญญาณเพลิงแล้ว หวังเป่าเล่อก็ตบหน้าผากตนเอง กล่าวอยู่ในใจว่าอาจารย์นะอาจารย์ นี่ท่านตั้งชื่อตามอำเภอใจนี่นา ยังตั้งชื่อร่างอวตารตามอำเภอใจหรือว่าคำสาปนี้ที่แท้เกี่ยวข้องกับเทพวัว

ความจริงก็คือชื่อของเทพวัวคือเหยียนหลิง

หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก พักเรื่องชื่อไว้ก่อนและเริ่มศึกษาคำสาปวิญญาณเพลิง คำสาปนี้มีพื้นฐานมาจากพลังแห่งเปลวเพลิง เป็นโครงของภาษาโบราณเล็กๆ นับไม่ถ้วน โดยใช้พลังชีวิตของตนเป็นแรงฉุดและก่อเป็นเวทคำสาป!

มันแตกต่างจากเวทคำสาปที่หวังเป่าเล่อเคยเข้าใจมาก่อน เวทคำสาปทั่วไปส่วนใหญ่ยืมพลังแห่งฟ้าดิน หรือความสามารถลึกลับที่ไม่อาจคาดเดา เพื่อที่จะส่งผลไปสาปแช่งศัตรู

แม้ว่าพลังของเวทคำสาปนี้จะไม่เลว แต่ในท้ายที่สุดก็ยืมพลังจากภายนอกเท่านั้น ร่างของตนก็เป็นเพียงสื่อกลาง ใช้เพื่อดึงดูดและโอนย้ายพลังที่ยืมมา

หากต้องการจะหลุดพ้นก็ไม่ยาก และถึงจะแก้คำสาปก็ใช่ว่าจะไร้วิธี และหากมีความเตรียมพร้อม ทำให้ผู้ที่ร่ายเวทคำสาปถูกแรงสะท้อนกลับก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

สรุปแล้วมันมีพลังปานกลางแต่ข้อเสียมากเกินไป แม้จะง่ายในตอนเริ่มต้นแต่ข้อจำกัดก็มากเกินไป และพลังแห่งฟ้าดินดูเหมือนจะไม่สิ้นสุด แต่จริงๆ แล้วจุดจบยังมีอยู่ ร่างที่เป็นสื่อกลางก็มีขีดจำกัดเช่นกัน ด้วยเหตุผลทั้งหมดนี้ จึงนำไปสู่เส้นทางสายเวทคำสาปด้วยเพียงช่องทางเล็กๆ เท่านั้น

นี่แทบจะเป็นข้อดีและข้อเสียของเวทคำสาปเกือบทั้งหมดในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ดังนั้นแม้จะมีผู้เชี่ยวชาญเวทคำสาปเป็นจำนวนมากภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แต่กลับแทบจะไม่มีรุ่นที่มีชื่อเสียงเลย

อย่างไรก็ตาม หากไม่สามารถทำร้ายผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับดาราจักรจนถึงระดับจักรพิภพได้แล้ว เช่นนั้นมีหมื่นเวทก็สูญเปล่า!

แต่เวทคำสาปของปรมาจารย์แห่งไฟ โดยมากใช้ชีวิตและดวงจิตมาเป็นคำสาปแห่งความแค้น ไม่ว่าจะในระดับใด กล่าวได้ว่าทั้งสองฝ่ายสูญเสียไม่ต่างกันนัก นี่ก็เป็นสาเหตุที่หากปรมาจารย์แห่งไฟสำแดงสามคำสาปหลัก ค่าตอบแทนที่เกิดขึ้นก็คือความล่มสลายของตนเอง

แต่ข้อดีก็น่าตระหนกเช่นกัน ข้อแรกความปรารถนาไม่มีที่สิ้นสุด ความแค้นก็ไม่สิ้นสุดเช่นกัน ความเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้นี้ บางระดับก็ไร้ขอบเขตยากที่จะไปวัดขนาดได้ ดังนั้นจึงทำให้เวทนี้แทบจะไม่มีที่สิ้นสุด

อีกประการหนึ่งคือเมื่อสำแดงออกไปแล้ว ก็ยากมากที่จะป้องกันและไร้ทางหลุดพ้น ส่วนการแก้ไข…เพราะพลังแห่งคำสาปมาจากความแค้นและความปรารถนาที่ยากจะสงบของผู้ร่ายเวท ไม่ใช่พลังแห่งฟ้าดิน ดังนั้นคำสาปเฉพาะจึงก่อตัวขึ้น มีเพียงผู้ร่ายเวทเท่านั้นจึงจะสามารถทำลายได้!

หลังจากศึกษาคำสาปวิญญาณเพลิงอย่างรอบคอบแล้ว ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏประกายลึกล้ำ ตกอยู่ในภวังค์ หลังจากนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดพึมพำ

“เวทนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่อยู่ในภาวะสงบ… เหมาะสำหรับการฝึกฝนในภาวะทุกข์ยาก ยิ่งทุกข์ยาก ยิ่งอนาถ ยิ่งไม่สงบ ความแค้นก็ยากจะดับ…ชีวิตนี้ของท่านอาจารย์ แม้มีประสบการณ์ล้มลุกคลุกคลานมานับไม่ถ้วน ผ่านเสียงกรีดร้องมามากมาย สุดท้ายก็กลายแต่ละย่างก้าว สร้างเวทคำสาปที่เพียงพอจะทำให้จักรพรรดิสวรรค์หวาดผวา”

“และหากยังคงฝึกฝนเวทนี้ต่อไป อุปนิสัยจะดุร้ายรุนแรงขึ้นในเวลาเดียวกัน ตนเองก็จะเปลี่ยนเป็นมืดมน ดังนั้น… อาจารย์ให้ข้าฝึกเวทผนึกดาราก่อน เพื่อสร้างพลังอำนาจและใช้สิ่งนี้ลดผลกระทบ แล้วยังสามารถขจัดความมืดมนและความดุร้ายออกไปได้…”

“แต่ยังมีข้อเสียข้อหนึ่ง ก็คือการฝึกเวทคำสาปนี้ต้องเพียบพร้อมด้วยพลังชีวิตที่ไม่สิ้นสุด มีเพียงวิธีนี้จึงจะสามารถลดความสูญเสียลงอย่างไร้ขีดจำกัดได้ จนถึงขั้นไม่เกิดการสูญเสีย”..Aileen-novel

หวังเป่าเล่อระลึกถึงสิ่งที่อาจารย์กล่าวในความเงียบ หลังจากครึ่งปี เขาจะไปอวยพรวันเกิดกับเจ้าแห่งสวรรค์ ที่นั่น อาจารย์ได้เปลี่ยนชะตาฟ้าลิขิตให้กับตัวเอง

แม้ว่าจะไม่ทราบความเฉพาะเจาะจงของสิ่งที่เรียกว่าชะตา แต่ในขณะนี้ หลังจากหวังเป่าเล่อไตร่ตรองแล้วก็ได้คาดเดาอยู่ในใจ

“อย่างมากที่สุดพลังชีวิตทำได้เพียงใช้สวรรค์มาอธิบาย…” ขณะที่หวังเป่าเล่อพึมพำ ดวงตาก็ค่อยๆ เผยให้เห็นถึงความลังเลวูบหนึ่ง ความลังเลนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และครอบงำดวงตาทั้งคู่ ในไม่ช้าก็แทรกซึมเข้าสู่ภายในใจ

“แต่เวทคำสาปนี้ได้บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าทั้งชีวิตต้องพบกับความไม่สมปรารถนาอย่างรุนแรง แค้นที่ยากจะดับ จึงจะสามารถฝึกฝนได้สำเร็จยิ่งขึ้น เหตุใดท่านอาจารย์จึงถ่ายทอดให้แก่ข้า” หวังเปาเล่อเงียบไปสักพัก ในชีวิตของเขาจนถึงตอนนี้ ถึงแม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าราบรื่น แต่ก็ยังห่างไกลจากทุกข์ยาก ตามเหตุผลแล้วเขาไม่เหมาะที่จะฝึกฝนคำสาปนี้ั

“อาจเป็นเพราะอาจารย์เห็นอะไรบางอย่าง…ที่ไม่อาจบอกข้าได้? บางทีข้าอาจคิดมากเกินไป” หวังเป่าเล่อส่ายศีรษะ เขารับรู้ได้ว่าอาจารย์มีความจริงใจต่อตนเอง ดังนั้นความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวสำหรับเรื่องนี้ก็คือชีวิตของคนคนหนึ่งมักจะผันแปรอยู่เสมอ อาจารย์หวังให้เขาสามารถได้รับพลังที่ผุดขึ้นหลังจากพบกับความผันแปรเหล่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ ในภาวะราบรื่นของตนเติบโตได้ ภาวะทุกข์ยากเป็นครั้งคราวของตนก็สามารถเติบโตได้เช่นกัน

“ไม่ว่าระดับใด ก็นับเป็นหลักประกัน” หลังจากหวังเป่าเล่อใคร่ครวญแล้ว รู้สึกว่าความคิดของตนเองนั้นน่าจะถูกต้อง ดังนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึก ตั้งสติ และเริ่มฝึกคำสาปวิญญาณเพลิง

ด้วยเหตุจากอุปนิสัยและเพราะเขาไม่มีความคับข้องใจและความเกลียดแค้นมากนัก ดังนั้นในการฝึกฝนนี้หวังเป่าเล่อจึงไปได้ช้ามาก แต่เขามีความเพียรพยายาม หลังจากที่เขาตระหนักว่าคำสาปนี้เท่ากับเป็นหลักประกัน เขาก็ยิ่งใส่ใจมากขึ้น ในเวลาต่อมา แม้จะคืบหน้าไปได้ช้ามากแต่เขาก็ยังคงทุ่มเทจิตใจทั้งหมดอยู่กับมัน ทำความคุ้นเคยกับเวทคาถาครั้งแล้วครั้งเล่า และครั้งแล้วครั้งเล่าที่นำพลังชีวิตมาหลอมรวมภาษาโบราณตัวเล็กที่ก่อจากเปลวเพลิงเหล่านั้น

ด้วยวิธีนี้ ในไม่ช้าสามเดือนก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเหลือเวลาอีกเพียงครึ่งเดียวก่อนจะถึงวันออกเดินทางไปอวยพรวันเกิด การอาบน้ำให้เทพวัวของเซี่ยไห่หยางก็จบลงในที่สุด

เป็นเพราะใช้เวลาน้อยกว่าที่หวังเป่าเล่อคาดการณ์ไว้มากนัก ด้วยเซี่ยไห่หยางดูเหมือนจะมีความเข้าใจแล้ว เขาสรรเสริญเยินยอทั้งวัน หลอกล่อให้วัวเฒ่าสบายอกสบายใจ ดังนั้นเดิมทีที่วางแผนให้เซี่ยไห่หยางเจอกับร่างกายที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างอาบน้ำจึงล่มไป ด้วยคำเยินยอของเซี่ยไห่หยางที่ทำให้ร่างวัวเฒ่าค่อยๆ หดเล็กลง

และหลังจากอาบน้ำให้วัวเฒ่าเรียบร้อยแล้ว เซี่ยไห่หยางก็กลับมาอย่างอ่อนระโหยโรยแรง เมื่อมาคารวะหวังเป่าเล่อ สายตาของเขาก็ปรากฏแววน้อยเนื้อต่ำใจ

“อาจารย์อาสิบหก บอกข้าที อาจารย์ปู่ลงโทษข้าเช่นนี้ เป็นเพราะอาจารย์อาสิบห้าปากโป้งหรือ!”

หวังเป่าเล่อส่งเสียงไอ แอบเห็นใจเซี่ยไห่หยางอยู่ในใจ แต่ใบหน้ากลับดูจริงจัง

“เจ้าไม่ควรคลางแคลงใจอาจารย์อาสิบห้าของเจ้า ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นเพราะเจ้ามีความคับข้องใจ”

“ข้า…ต้องเป็นเจ้าสิบห้า เขาพูดคุยกับข้ามากมาย ตั้งใจหลอกให้ข้าพูด พอคล้อยหลังก็เอาไปฟ้อง!” ใบหน้าเซี่ยไห่หยางเต็มไปด้วยความเศร้าและขุ่นเคือง ตอนนี้เขารู้สึกว่าทั่วทั้งดาราจักรไฟนั้น ผู้ที่ดีต่อเขาอย่างแท้จริงก็มีเพียงอาจารย์ของเขาและหวังเป่าเล่อแล้ว ขณะที่กำลังคิดเช่นนี้ก็มีผู้มาถึงภายในหอคอยของหวังเป่าเล่อ

ผู้ที่มาคือศิษย์พี่เจ็ดของหวังเป่าเล่อ ใบหน้าของเขาบวมช้ำ มีเลือดคั่งเต็มใบหน้า ท่าทีตะลีตะลาน หลังจากเข้ามาก็ไม่ได้สนใจเซี่ยไห่หยาง แต่ร้องคร่ำครวญเรียกหวังเป่าเล่อ

“เจ้าสิบหกน้อย ศิษย์พี่มาโดยไม่บอกกล่าว จะมาขอร้องเจ้าเรื่องหนึ่ง”

เมื่อเห็นศิษย์พี่เจ็ดย่ำแย่เช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ปวดหัว แอบคิดว่าอาจารย์ท่านเล่นซนอีกแล้ว แต่เซี่ยไห่หยางที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ถูกสภาพย่ำแย่ของพี่เจ็ดทำให้ตกใจในทันที

“อาจารย์อาเจ็ด ท่านเป็นอะไร?”

“เป็นอะไรได้ถ้าไม่ใช่ถูกอาจารย์ปู่เจ้าตี!” นัยน์ตาศิษย์พี่เจ็ดส่อแววเดือดดาล หลังจากตอบเซี่ยไห่หยางก็มองไปทางหวังเป่าเล่อ

“เจ้าสิบหก ข้ามีจดหมายลาตายฝากไว้ที่เจ้า ภายภาคหน้าหากมีวันใดข้าถูกอาจารย์ตีตายแล้ว เจ้าจำไว้ว่าจงเอาจดหมายลาตายส่งกลับไปบ้านเกิดข้า” พูดพลาง ศิษย์พี่เจ็ดก็ถอนหายใจอย่างหนักอก ให้แผ่นหยกแก่หวังเป่าเล่อ หันร่างออกจากหอคอยไป

เมื่อหวังเป่าเล่อถือแผ่นหยกก็ไม่รู้ควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เซี่ยไห่หยางที่อยู่ด้านข้างกะพริบตาปริบๆ รีบเหาะตามออกไป…แม้หวังเป่าเล่อจะตะโกนเรียก เซี่ยไห่หยางก็ไม่ฟัง…

“ไห่หยางเอ๋ยไห่หยาง นั่นเป็นหลุมพรางไว้ดักเจ้า หวังว่าครานี้เจ้าอย่าได้ตกลงไป…” หวังเป่าเล่อหมดคำพูด มองไม่เห็นเงาของเซี่ยไห่หยางแล้ว ได้แต่เพียงถอนหายใจ วางแผ่นหยกไว้ด้านหนึ่ง แล้วนั่งสมาธิต่อไป ขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจความโหดร้ายของอาจารย์ที่มีอยู่ แต่ก็ไม่สามารถหาเหตุลงที่เขาได้ ดังนั้นเป้าหมายจึงไปอยู่ที่เซี่ยไห่หยาง

ที่ด้านนอกหอคอย ขณะที่เขากำลังนั่งสมาธิอยู่ เซี่ยไห่หยางก็รีบตามอาจารย์อาเจ็ดที่เดินโซเซไป

“อาจารย์อาเจ็ดช้าก่อน ท่านถูกทำโทษด้วยเรื่องใด?”

ศิษย์พี่เจ็ดชะงักฝีเท้า หันมามองเซี่ยไห่หยางอย่างไม่พอใจ

“ทำไม ไห่หยางน้อย เจ้าก็อยากเรียนจากเจ้าสิบห้ามาหลอกให้ข้าพูด จากนั้นก็ไปฟ้องอาจารย์ปู่ว่าข้าว่าร้ายท่านสินะ!”

เซี่ยไห่หยางสะดุ้ง มองอาจารย์อาเจ็ดที่สภาพย่ำแย่ เวลานี้รู้สึกถึงความเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมเดียวกัน

………………………………………………..

หวังเป่าเล่ออยู่ด้านหนึ่ง มองดูทั้งสองคนตรงหน้าเขา เขาแค่รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย ทุกวันนี้เขาได้เห็นความจริงภายในดาราจักรไฟทั้งหมดได้อย่างชัดเจนมานานแล้ว

รู้ว่าศิษย์พี่สิบห้าที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ ที่จริงแล้วก็คือร่างอวตารของอาจารย์ ในตอนแรก ไม่ใช่เพียงครั้งเดียวที่ร่างอวตารนี้ชักจูงตนเองให้ตนพูดถึงอาจารย์ในทางไม่ดี แต่ก็ถูกตนเลี่ยงไป หลังจากรู้ความจริง ทุกครั้งที่อีกฝ่ายชักจูงเขาก็จะยิ่งรีบเอ่ยปากสรรเสริญทันที

ดังนั้นตั้งแต่ต้นจนจบเขาจึงไม่ได้ตกหลุมพราง แต่ตอนนี้…เห็นเซี่ยไห่หยางกำลังจะตกลงไปต่อหน้าต่อตา หวังเป่าเล่อก็รู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่ง

“อาจารย์รู้วิธีเล่นจริงๆ… ตีตัวเองก็ช่างเถอะ คำนับตนเองก็ยังพอเข้าใจได้ แต่นี่ขุดหลุมพรางดักศิษย์ ให้ศิษย์พูดถึงตนในทางไม่ดี นี่มันนิสัยของสำนักไหนกัน…” นอกจากหวังเป่าเล่อจะปวดหัวแล้ว ในช่วงเวลานี้เซี่ยไห่หยางก็ทำให้ตนพอใจเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงทนเห็นอีกฝ่ายติดกับดักไม่ได้ เขาจึงส่งเสียงไอขึ้น

“ไห่หยางเอ๋ย เจ้าดื่มมากไปแล้ว”

“มากหรือ เหล้าน้อยเท่านี้ข้าจะดื่มมากได้เท่าใด” เซี่ยไห่หยางได้ฟังก็เงยหน้าขึ้นทันที และความแค้นที่สะสมอยู่ในใจช่วงเวลานี้ดูเหมือนจะระเบิดออกแล้ว

“ดี!” เจ้าสิบห้าตบโต๊ะ ใบหน้าแสดงความชื่นชม ดวงตามีแววเพลิดเพลิน มองไปที่เซี่ยไห่หยาง แล้วเอ่ยปากชื่นชม

“ไห่หยาง ข้าชอบท่าทีของเจ้าเช่นนี้ ต้องรู้ว่าธรรมเนียมของดาราจักรไฟของพวกเรา คิดเช่นไรก็กล่าวเช่นนั้น ข้าจะบอกเจ้า ข้าไม่พอใจอาจารย์มานานแล้ว ที่นี่ไม่มีคนนอก เจ้าคิดจะกล่าวสิ่งใดก็กล่าวออกมาได้เลย”

“อาจารย์ปู่ผู้เฒ่า เขาก็หลอกข้า ลึกลับเกินไปแล้ว” เซี่ยไห่หยางอดทนมานานในที่สุดเวลานี้เขาก็กล่าวออกมาแล้ว หลังจากกล่าวจบ ดูเหมือนเขาจะโล่งใจไม่น้อย แล้วหยิบเหล้าขึ้นดื่มอึกใหญ่

เมื่อเห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็จนด้วยหนทาง ได้แต่หลับตาและทำสมาธิอยู่ด้านข้าง และไม่สนใจคนทั้งสองอีก ก็เป็นเช่นนี้ ภายใต้การชักนำของศิษย์สิบห้า คำต่อว่าในใจของเซี่ยไห่หยางที่มีต่อปรมาจารย์แห่งไฟราวกับการเปิดประตู พรั่งพรูออกมาไม่หยุด ไม่ได้สังเกตในดวงตาของศิษย์สิบห้าเลยแม้แต่น้อยว่ากำลังส่องแสงเป็นประกาย

จนถึงวันรุ่งขึ้น…เป็นไปตามที่หวังเป่าเล่อคาดไว้ เซี่ยไห่หยางผู้ซึ่งตื่นจากอาการเมาค้างก็ได้รับคำสั่งจากปรมาจารย์แห่งไฟในทันที

เขาถูกให้ไปอาบน้ำให้เทพวัว… เรื่องนี้สำหรับหวังเป่าเล่อถือเป็นโอกาสในการฝึกฝนเวทผนึกดารา และเป็นวาสนา แต่หากไม่ได้ฝึกเวทผนึกดารา เช่นนั้นก็นับเป็นการลงโทษแล้ว

อย่างไรก็ตาม ร่างของวัวเฒ่าจะใหญ่โตมากเพียงใดขึ้นอยู่กับอารมณ์ของวัวเฒ่า และเห็นได้ชัดว่าวัวเฒ่านั้นอารมณ์ไม่ดี ดังนั้นเมื่อเซี่ยไห่หยางไปอาบน้ำให้ สิ่งที่เขาเห็นคือร่างที่ใหญ่กว่าที่หวังเป่าเล่อเคยเห็นมาก่อนถึงสิบเท่า

ร่างนี้ โดยพื้นฐานแม้เซี่ยไห่หยางจะมีฐานการฝึกตนที่ดี และถึงจะอาบน้ำให้ทั้งวันทั้งคืนอย่างไรก็ต้องใช้เวลามากกว่าครึ่งปีจึงจะเสร็จ

ดังนั้นภายใต้ความสับสนของเซี่ยไห่หยาง เขาเริ่มทำงานที่หนักหนาสาหัส…และเมื่อหวังเป่าเล่อได้เห็นทั้งหมดนี้ก็ได้แต่ทอดถอนใจ

“เซี่ยไห่หยางเอ๋ยเซี่ยไห่หยาง ข้าบอกเป็นนัยเจ้าไปแล้ว เรื่องนี้เจ้าจะโทษข้าไม่ได้…” ขณะที่หวังเป่าเล่อส่ายหน้า ก็เริ่มฝึกเวทผนึกดาราขั้นที่สอง

ในเวลาเดียวกันดาวเคราะห์ทั่วไปที่เซี่ยไห่หยางขอให้ลูกน้องจัดซื้อมาได้ส่งมาในภายหลัง ถูกหวังเป่าเล่อหลอมรวมเข้าสู่แผนที่ดวงดาวของตน ทำให้แผนที่ดวงดาวมีพลังเพิ่มมากขึ้น

สามเดือนผ่านไป ภายใต้การสนับสนุนของเซี่ยไห่หยาง ในที่สุดแผนที่ดวงดาวของหวังเป่าเล่อก็หลอมรวมดาวเคราะห์ทั่วไปกว่าหมื่นดวงอยู่ภายใน ในเวลาเดียวกันเวทผนึกดาราก็ฝึกฝนไปถึงขั้นที่สองได้อย่างราบรื่น

ขณะเดียวกันสิ่งที่เข้าคู่กันได้กับฐานการฝึกตนดาวพระเคราะห์ขั้นกลาง กฎพลังเทพดาวบรรพกาลเก้าดวงของหวังเป่าเล่อก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยหลังมาถึงดาราจักรไฟและทบทวนคัมภีร์โบราณจำนวนมากของปรมาจารย์แห่งไฟ

กฎแห่งเพลิงเพิ่มขึ้นสูงที่สุดในบรรดาทั้งหมด และเป็นสิ่งที่ปรมาจารย์แห่งไฟต้องการให้เป็นเช่นนั้น ดังนั้นหลังจากทดสอบการฝึกตนของหวังเป่าเล่อแล้ว ขณะที่เซี่ยไห่หยางอาบน้ำให้เทพวัวต่อไป เขาจึงสอนพลังเทพเฉพาะกลุ่มอัคคีให้แก่หวังเป่าเล่อ

ชื่อของมันคือ… คำสาปวิญญาณเพลิง!

การฝึกตนของปรมาจารย์แห่งไฟที่มีพื้นฐานมาจากกฎแห่งไฟได้มาถึงขั้นสุดยอดแล้ว และได้แตกแขนงออกไปหลายสำนักสาขาและประเภทเวทคำสาป มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น

เช่นในปีนั้น หน้ากากที่หวังเป่าเล่อได้รับจากการปฏิบัติภารกิจ สามารถลดระดับดาวเพระคราะห์ลงไป แต่เป็นเพียงช่องทางเวทคำสาปเท่านั้น

“เวทคำสาปที่แท้จริง ข้าจะให้มันชื่อว่า…สวรรค์บันดาลตามปรารถนา!” ปรมาจารย์แห่งไฟจ้องไปที่หวังเป่าเล่อที่อยู่ตรงหน้า กล่าวเสียงทุ้มลึก

หวังเป่าเล่อจิตใจสดชื่น อันที่จริงสิ่งที่ดึงดูดเขามากที่สุดในตอนเริ่มต้นคือคาถาแห่งคำสาปของปรมาจารย์แห่งไฟ เพียงแต่หลังจากมาถึง อาจารย์ไม่เคยกล่าวถึง แม้หวังเป่าเล่อจะเคยถามถึงแต่ปรมาจารย์แห่งไฟก็ไม่มีคำตอบ

ตอนนี้ เมื่ออาจารย์เอ่ยปาก จึงทำให้ดวงตาหวังเป่าเล่อสว่างขึ้นทันที

“โดยรวมแล้ว ข้าแบ่งมันออกเป็นสามระดับ ระดับที่หนึ่งคือ ปรารถนามิอาจสงบ” เมื่อเขาสังเกตเห็นแสงในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ปรมาจารย์แห่งไฟมีสีหน้าอ่อนโยน แต่ในไม่ช้าสายตาก็ส่อแววเคร่งขรึม

“ระดับที่สอง คือแค้นมิอาจดับ!”

“สำหรับระดับสุดท้าย เพราะความปรารถนาของข้าไม่สงบยากที่จะดับแค้น ทำได้แต่ให้สวรรค์บันดาลให้ข้าสมปรารถนา สรรพสิ่งบนโลกทั้งหมดในจักรวาล ไม่ว่าจะเป็นกฎเกณฑ์หรือข้อกำหนด ดวงจิตนับไม่ถ้วนล้วนเคลื่อนไหวไปตามที่ข้าสวดท่อง ตามปรารถนาของข้าจึงสงบ!”

“เป่าเล่อ นี่คือวิถีของการเป็นอาจารย์ ด้วยมีไฟเป็นพื้นฐาน และในที่สุดก็พัฒนาออกมาเป็น… วิถีแห่งเวทคำสาป!” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ แม้คำพูดของปรมาจารย์แห่งไฟจะสงบ แต่หัวใจของหวังเป่าเล่อก็สั่นอย่างรุนแรง

“ใจมิอาจสงบ แค้นมิอาจดับ…” หวังเป่าเล่อเงียบไปครู่หนึ่ง เขาคิดถึงสิ่งที่แม่นางน้อยกล่าวเกี่ยวกับอดีตของอาจารย์ คิดถึงวีรกรรมบนดาวเอกเพลิงนี้

ความปรารถนามิอาจสงบ!

ความแค้นมิอาจดับ!

“แม้ว่าทั้งสามระดับนี้ อาจารย์ก็ยังไม่ถึงขั้นสวรรค์บันดาลปรารถนา ยังอยู่ระดับแค้นมิอาจดับมานานเหลือเกิน แต่…แม้ศิษย์พี่สำนักแห่งความมืดของเจ้าเฉินชิงจื่อ หากไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่ยินยอมหยอกล้อกับตาเฒ่า ก็เพราะ…”

“ข้ามีสามคำสาปใหญ่ หากสำแดงออกมา ไม่กลัวการร่วมมือ ก็สามารถทำลายจักรพรรดิสวรรค์ได้ นี่ก็เป็นสาเหตุที่ตระกูลไม่รู้สิ้นรู้ว่าข้าเป็นผู้สังหาร แต่สาเหตุที่มีอยู่กลับนิ่งเงียบ เพียงแต่ว่าสามคำสาปใหญ่มีค่าตอบแทนที่ต้องเสียเมื่อสำแดง…คือร่างของข้าพินาศอย่างสมบูรณ์ในภพชาติ ไม่อาจกลับมาอีกในภพนี้!”

“ดังนั้นตราบใดที่ข้าไม่รุกล้ำเส้นของพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่รุกรานทั้งหมด และควบคุมสถานการณ์ให้ดี เช่นนั้นก็จะไม่มีจักรพรรดิสวรรค์ผู้นั้นกล้ามาแลกชีวิตกับข้า!”

“ดังนั้นอาจารย์ปกป้อง อาจารย์บ้าคลั่ง เพราะอาจารย์ไม่เกรงกลัวสิ่งใด!” ในขณะที่ปรมาจารย์แห่งไฟกล่าว ก็ระเบิดพลังโครมใหญ่สะเทือนไปทั่วดาราจักรไฟ ทำให้หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว เวลานี้จึงได้รู้จักปรมาจารย์แห่งไฟอย่างแท้จริง

“เป่าเล่อ สิ่งที่สอนเจ้าในวันนี้ ก็คือพื้นฐานของระดับที่หนึ่ง คำสาปวิญญาณเพลิง!” พูดพลาง ปรมาจารย์แห่งไฟก็ยกมือขวาขึ้น สัมผัสไปที่หว่างคิ้วของหวังเป่าเล่อทันที

เวลานี้วิชาสืบทอดส่วนใหญ่เกี่ยวกับคำสาปนี้ก็ถ่ายทอดสู่สมองของหวังเป่าเล่อในทันที ทำให้เกิดเสียงดังขึ้นในส่วนศีรษะของเขา สมองเหมือนถูกเฉือนออกและข้อมูลมากมายก็ปรากฏขึ้น

อีกนานกว่าที่หวังเป่าเล่อจะฟื้นคืนสติแล้วจึงหายใจถี่รัว เมื่อเงยหน้าขึ้นมา เขาก็มองไม่เห็นแม้แต่เงาของปรมาจารย์แห่งไฟแล้ว มีเพียงคำพูดของอาจารย์ที่ดังอยู่ข้างหูซึ่งส่งมาจากความว่างเปล่า

“เป่าเล่อ เจ้ามีเวลาเพียงครึ่งปี หลังจากครึ่งปีเจ้าจงไปสักการะประมุขกฏสวรรค์ ในฐานะนายน้อยดาราจักรไฟ ที่นั่น ข้าได้แลกมาให้เจ้าส่วนหนึ่งแล้ว นั่นคือชะตาวาสนา!”

หวังเป่าเล่อร่างสั่นเทิ้ม ประสานหมัดคำนับไปยังเบื้องหน้าที่ว่างเปล่า

“ขอบคุณท่านอาจารย์”

ไม่มีการตอบรับใดๆ หวังเป่าเล่อรอเป็นเวลานาน จากนั้นเขาก็ออกจากหอคอยของอาจารย์ด้วยความตกใจที่เกิดจากความเข้าใจก่อนหน้านี้ของเขาเกี่ยวกับเวทคำสาป และในขณะเดียวกับที่เขาจากไปท่ามกลางท้องฟ้า เทพวัวที่เซี่ยไห่หยางกำลังอาบน้ำให้ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ลึกลงไปในดวงตากลับแฝงแววเศร้าโศก

“อาจารย์นั้นขี้ขลาด…เพราะไม่อาจตัดใจแสวงหาการร่วมเป็นร่วมตายด้วยได้ ด้วยเพราะแค้นยากดับ ด้วยเพราะข้าทำได้เพียงล้มจักรพรรดิสวรรค์ผู้เดียว แต่ไม่อาจล้มทั้งตระกูลไม่รู้สิ้น!”

วัวเฒ่าพึมพำ พูดคำที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน แม้เซี่ยไห่หยางที่อาบน้ำให้เขาอยู่ใกล้ๆ แต่ก็ไม่อาจได้ยิน ได้แต่อาบน้ำไปพลาง รู้สึกว่าดูเหมือนอีกฝ่ายกำลังกล่าวอะไรอยู่

“ท่านวัวอาวุโส ท่านกล่าวสิ่งใดหรือ?”

“ข้าพูดว่าเจ้าเด็กเวร ยังไม่ล้างก้นให้ข้าวัวเฒ่าอีก ไม่เห็นหรือว่าตรงนั้นมันสกปรก! ”

……………………………………………………..

ด้านหนึ่งหลังใคร่ครวญจากการเปรียบเทียบนี้ ก็ยิ่งเห็นความเมตตาของอาจารย์อย่างเด่นขัด อีกด้านหนึ่งนอกจากการใคร่ครวญแล้ว ก็ได้กำหนดเป้าหมายเป็นระยะเวลาหนึ่งในกาลข้างหน้าของตนไว้แล้ว

เป้าหมายก็คือ…เขาต้องทำให้หวังเป่าเล่อที่อยู่ตรงหน้ามีความสุขและสบายใจ ด้วยวิธีนี้เท่านั้นเขาจึงจะสามารถรับรองได้ว่าเรื่องจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้

หรือกระทั่งหากจะวัดผลแล้ว ในใจของเซี่ยไห่หยาง ศีรษะของหวังเป่าเล่อน่าจะมีแถบวัดระดับจากหนึ่งถึงร้อยอยู่ แถบนี้หากถึงหนึ่งร้อยก็หมายถึงวิกฤติของพ่อเขา ไม่เพียงแต่สามารถแก้ไขได้แต่ยังเป็นไปได้อย่างมากว่าจะเผชิญชะตาชีวิตใหม่อีกครั้ง

แม้แต่ตนเองที่นี่ก็เช่นกัน

ด้วยมาตรวัดเช่นนี้ ในใจเซี่ยไห่หยางก็ยิ่งยึดมั่น ด้วยเพราะหลังจากที่เขาแอบคำนวณไว้ในใจก็รู้สึกว่าเวลานี้แถบวัดระดับของหวังเป่าเล่อกับตนเอง เกรงว่าจะมีเพียงประมาณ 30 คิดมาถึงตรงนี้ใบหน้าของเซี่ยไห่หยางก็ปรากฏรอยยิ้ม เขาพลิกมือขวาขึ้น แล้วหยิบกล่องน้ำเย็นหล่อวิญญาณออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ

“อาจารย์อาสิบหก ข้ามาครั้งนี้ ได้ให้คนจากสหพันธรัฐซื้อเครื่องดื่มที่ท่านชื่นชอบที่สุดมาให้เป็นพิเศษ วางไว้ให้ท่านตรงนี้แล้ว” พูดพลาง เซี่ยไห่หยางก็วางน้ำเย็นหล่อวิญญาณลง

“อีกอย่างข้ารู้สึกว่า จำนวนดาวเคราะห์ทั่วไปแปดพันดวง ในความเข้าใจของสหพันธรัฐ เป็นตัวเลชที่เป็นมงคล แต่ยังขาดไปเล็กน้อย เช่นนี้เถอะอาจารย์อาสิบหก ข้าจะคิดหาวิธีใช้เวลาให้เร็วที่สุดหาดาวเคราะห์ทั่วไป 8,888 ดวงมาให้ท่าน” พอกล่าวจบ หลังจากสังเกตได้ชัดว่าหวังเป่าเล่อมีความยินดี เซี่ยไห่หยางก็กล่าวบางอย่างอยู่ข้างๆ คำพูดเต็มไปด้วยถ้อยคำเยินยอ

พวกรูปงามที่หนึ่ง ลูกผู้สูงศักดิ์ สง่างามหาใดเสมอเป็นต้น…ฟังไปฟังมา ล้วนเป็นคำกล่าวเหล่านี้ ฟังจนหวังเป่าเล่อก็แทบจะทนไม่ไหว

เห็นได้ชัดว่าเซี่ยไห่หยางออกจะไม่คุ้นเคยในด้านนี้อยู่บ้าง ไม่ต้องเทียบกับหวังเป่าเล่อ แม้แต่เป็นหลิวต้าวปินเขาก็เทียบไม่ได้ สุดท้ายตนเองก็รู้สึกอับอาย เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อหาวจึงได้เอ่ยปากลา

เซี่ยไห่หยางเดินออกจากหอคอย ทันทีที่จากมาก็กัดฟันแน่น รีบหยิบแผ่นหยกออกมา ด้านหนึ่งให้ลูกน้องของตนจัดซื้อดาวเคราะห์ทั่วไปส่งมา อีกด้านหนึ่งหลังจากลังเลก็สั่งการลงไปให้รวบรวมผู้ที่มีความสามารถในด้านการประจบสอพลอ เตรียมพร้อมที่จะเรียนรู้ทักษะในด้านนี้

“ทำอย่างไรได้ เจ้าหวังเป่าเล่อนั่นเก่งในการพูด…” ขณะเดียวกันก็เซี่ยไห่หยางทอดถอนใจ หลังจากไตร่ตรองแล้วก็ระลึกถึงครั้งที่อยู่สหพันธรัฐ ดูเหมือนข้างกายหวังเป่าเล่อตลอดเวลาไม่ขาดหญิงสาว และแต่ละนางต่างก็ดูไม่เลว ดังนั้นจึงได้สั่งการอีกครั้ง ให้ลูกน้องค้นหาสาวงามจากภายนอก…

ในขณะที่เซี่ยไห่หยางพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อทำให้หวังเป่าเล่อพอใจ เวลาเดียวกับที่หวังเป่าเล่อที่เมื่อเห็นอีกฝ่ายจากไปแล้ว เพียงพริบตาก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก

“อาจารย์ท่านช่างดีต่อข้า…” หวังเป่าเล่อกระแอม คิดถึงว่าหลังจากที่เขามาดาราจักรไฟ ฝึกฝนเวทผนึกดาราโดยมีเทพวัวเฝ้าดูอย่างใกล้ชิด หลังจากฝึกจนสำเร็จแล้วก็มีของกำนัลจากอารยธรรมครามทองคำส่งมา ทำให้ได้เสริมการฝึกฝนของได้มาก ตอนนี้ต้องการดาวเคราะห์ทั่วไป อาจารย์ก็ส่งเซี่ยไห่หยางมาให้อีก

แต่ละขั้นตอนนี้ หากจะกล่าวว่าไม่ได้เตรียมการไว้ล่วงหน้า หวังเป่าเล่อย่อมไม่เชื่อ ดังนั้นก็ยิ่งยอมรับดาราจักรไฟยิ่งขึ้น สำหรับอาจารย์ท่านนี้ของตน ก็ยิ่งเกิดความเคารพจากก้นบึ้งของหัวใจ

แต่ละวันก็ผ่านไปเช่นนี้ เพียงพริบตาก็ผ่านไปครึ่งเดือน ด้วยการมาของเซี่ยไห่หยาง ภายในดาราจักรไฟก็ยิ่งครึกครื้นขึ้น โดยปกติแล้วเซี่ยไห่หยางจะมาหาหวังเป่าเล่อเพื่อทักทายทุกวัน หากหวังเป่าเล่อออกนอกหอคอย เช่นนั้นโดยทั่วไปหลังจากเขาออกจากหอคอยภายในเวลาไม่ถึงครึ่งธูป ก็จะต้องมีร่างของเซี่ยไห่หยางวิ่งมาด้วยความกระตือรือร้นมาตลอดทาง

คำพูดของเขาในแต่ละวันก็ก้าวหน้าอย่างไม่หยุด ด้วยวิธีที่น่าทึ่ง จากคำเยินยอในตอนเริ่มต้นที่น่าอับอาย จนเปลี่ยนเป็นลื่นไหล ในขณะเดียวกันจากการสอพลอโดยตรงก็เปลี่ยนเป็นคำพูดสัพเพเหระในไม่ช้า กลับทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเป็นสุขมาก การปรับปรุงทั้งหมดนี้แม้แต่หวังเป่าเล่อก็ยังต้องชื่นชมความสามารถในการเรียนรู้ของเซี่ยไห่หยาง..Aileen-novel

อีกอย่างนอกจากการเปลี่ยนแปลงคำพูด ความเฉลียวฉลาดของเซี่ยไห่หยางก็ยังทำให้หวังเป่าเล่อพึงพอใจอย่างยิ่ง โดยทั่วไปเขาเพียงมองตาอีกฝ่ายก็สามารถเข้าใจได้ในทันที และสามารถจัดการเรื่องที่สั่งการได้อย่างเข้าใจ

เหมือนเช่นหวังเปาเล่อเพียงแค่ไอเล็กน้อย เซี่ยไห่หยางที่ติดตามเขาอยู่ทางด้านหลังก็จะรีบนำขวดที่แช่เย็นด้วยพลังเวท เติมสารน้ำวิญญาณและน้ำเย็นหล่อวิญญาณเข้าไปทันที

หรือหากหวังเป่าเล่อเหยียดแขนออกไป เซี่ยไห่หยางก็จะรีบเข้ามานวดให้เขาด้วยแรงที่กำลังพอดี ซึ่งทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกสบายเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากสิ่งเหล่านี้แล้ว ทุกวันในเวลาที่ไม่แน่นอน เซี่ยไห่หยางก็ส่งของขวัญมาให้มิได้ขาด วันนี้ทหารเวท พรุ่งนี้โอสถบำรุง วันมะรืนเชื้อเชิญหวังเป่าเล่อไปเที่ยวดวงดาวแหล่งท่องเที่ยวที่เพิ่งเปิดใหม่ของตระกูลเซี่ย…

กล่าวได้ว่าเซี่ยไห่หยางทำหน้าที่ด้านผู้ช่วยได้ไม่เลวแล้ว ในขณะเดียวกันสำหรับอาจารย์ หรือก็คือศิษย์พี่หญิงใหญ่ของหวังเป่าเล่อนั้นเองก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ หรือกระทั่งใส่ใจมากขึ้น สำหรับอาจารย์อาท่านอื่น เซี่ยไห่หยางก็ส่งของขวัญให้หมดไม่ตกหล่น ด้วยครอบครัวที่มีอำนาจของเขา การส่งของขวัญจึงทำได้ไม่สิ้นสุด จนกองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับดาวเอกอัคคี…

หวังเป่าเล่อย่อมพอใจกับสิ่งนี้มาก อย่างไรก็ตามเขายังได้แนะนำเซี่ยไห่หยางไปหลายครั้ง

“สหายไห่หยาง เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้ ข้าบอกแล้วว่าจะช่วยเจ้า ก็จะช่วยอย่างแน่นอน”

“อาจารย์อาสิบหก ต่อไปโปรดเรียกด้วยชื่อเล่นของข้า มีเพียงเช่นนี้ข้าจึงจะรู้สึกได้ถึงความสนิทสนม!” ใบหน้าเซี่ยไห่หยางดูจริงจัง

“เรื่องนี้… เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนี้จริงๆ…”

“อาจารย์อาสิบหก! นี่คือการกระทำจากใจของหยางเอ๋อร์เอง ขอให้อาจารย์อาสิบหกอย่าได้ห้ามปรามความกตัญญูของศิษย์!”

หลังจากที่หวังเป่าเล่อได้แนะนำแต่ไร้ผลมาหลายครั้งก็ไม่เอ่ยปากอีก แต่เขาก็พอมองออกว่าเซี่ยไห่หยางทำทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นความตั้งใจจริง การแสดงออกที่ไม่เป็นธรรมชาติในบางครั้ง เห็นชัดว่าเซี่ยไห่หยางคอยปลอบตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า

ที่จริงแล้วหวังเป่าเล่อก็มองไม่ผิด เซี่ยไห่หยางเป็นเช่นนั้นจริงๆ ในฐานะที่เป็นคนของตระกูลเซี่ย ก่อนที่จะมาดาราจักรไฟ เขาก็ยโสโอหังยิ่ง ต่อมาหลังจากมาถึงที่นี่ ด้วยเรื่องราวต่างๆ จึงต้องเป็นเช่นนี้ ในใจส่วนลึกของเขาย่อมยังไม่ยินยอม

ดังนั้นทุกครั้งหลังจากที่กลับมาถึงหอคอยของตนเอง เซี่ยไห่หยางจึงนำสิ่งทั้งหมดนี้มาตำหนิตนเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย แม้หวังเป่าเล่อจะแนะนำให้เขาไม่ต้องทำเช่นนี้ อาจารย์ของเขาก็บอกเป็นนัยว่าไม่ต้องเป็นเช่นนี้ แต่เซี่ยไห่หยางก็ยังไม่วางใจ เขารู้สึกว่าในโลกนี้นอกจากความสัมพันธ์ทางสายเลือดแล้ว ความสัมพันธ์อื่นใดทั้งหมด หากต้องการรักษาไว้ ล้วนต้องใช้ผลประโยชน์ในการนำทาง

แนวคิดของตระกูลเซี่ยที่มีมาแต่เดิมนี้ ทำให้เขาจัดการกับความสัมพันธ์ไปตามแนวคิดของตนเองในวันข้างหน้า หวังเป่าเล่อมองอยู่ในสายตา และค่อยๆ ปล่อยไปตามแต่เขาแล้ว อีกอย่างในระหว่างนี้เขายังรู้สึกสบายมาก และในขณะเดียวกันก็ไม่อาจปฏิเสธว่าวิธีการของเซี่ยไห่หยางสามารถทำให้ความสัมพันธ์ใกล้ชิดได้อย่างรวดเร็วจริง

อย่างน้อยที่สุด ตอนนี้เพียงเดือนเดียวหวังเปาเล่อก็ยิ่งถูกชะตากับเซี่ยไห่หยางมากขึ้นเรื่อยๆ เตรียมที่จะเกลี้ยกล่อมศิษย์พี่เฉินชิงจื่อให้มากขึ้น…หากเรื่องราวราบรื่นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าอีกไม่นานเซี่ยไห่หยางก็จะสามารถยืนหยัดภายในดาราจักรไฟได้อย่างมั่นคง แต่ฟ้ากลับไม่เป็นใจ

เซี่ยไห่หยางไม่ควรเลยจริงๆ…นอกเหนือจากประจบหวังเป่าเล่อและให้ความเคารพอาจารย์ท่านอื่นแล้ว ยังสมคบกับอาจารย์อาสิบห้าค่อยๆ เป็นพวกเดียวกัน

บางทีอาจเป็นพฤติกรรมของเซี่ยไห่หยางเอง หรืออาจเป็นเจตนาของอาจารย์อาสิบห้าสิบห้าที่จะเข้าใกล้ เกิดเป็นความเห็นใจในโชคชะตาเดียวกัน สรุปแล้วหลังจากหนึ่งเดือนนี้ผ่านไป ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองเกือบจะถึงขั้นที่ว่าคุยกันได้ทุกเรื่อง

และอาจารย์อาสิบห้าสิบห้าก็ไม่ได้ถือตัวแต่อย่างไร ทำให้เซี่ยไห่หยางดูเหมือนฟื้นฟูสู่สถานะที่เคยเป็น การคบหารุ่นเดียวกันของทั้งสองยิ่งทำให้เขารู้สึกสนิทสนม

เหตุการณ์นี้อยู่ในสายตาของหวังเป่าเล่อ สีหน้าของเขาดูแปลกๆ แอบคิดว่าอาจารย์ท่านก็สนุกเกินไปแล้ว…

“นี่เป็นจังหวะที่จะให้เซี่ยไห่หยางเล่นเป็นตัวร้ายสินะ…” หวังเป่าเล่อลูบคิ้ว และเขาสามารถคาดเดาตอนจบได้ในทันที เห็นแก่ความสัมพันธ์ที่มีต่อเซี่ยไห่หยาง เขาก็เคยแอบบอกเป็นนัยกับเซี่ยไห่หยาง แต่เห็นได้ชัดว่าเซี่ยไห่หยางฟังไม่เข้าใจ

ดังนั้น ในขณะที่ความสัมพันธ์กับอาจารย์อาสิบห้ากำลังดีขึ้นเรื่อยๆ และเจ้าสิบห้าเป็นผู้เริ่มพูดสิ่งไม่ดีเกี่ยวกับปรมาจารย์แห่งไฟครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกันนั้นก็ชี้นำเซี่ยไห่หยางซ้ำแล้วซ้ำเล่า…ในที่สุดมีอยู่วันหนึ่ง ภายในหอคอยของหวังเป่าเล่อ เจ้าสิบห้าก็นำเหล้ามาด้วยขวดหนึ่ง หลังจากที่เซี่ยไห่หยางดื่มจนได้ที่ เมื่อเจ้าสิบห้าเริ่มค่อนแคะปรมาจารย์แห่งไฟอยู่นั้น ในที่สุดเซี่ยไห่หยางก็เริ่มระบายความในที่ไม่พอใจปรมาจารย์แห่งไฟ บอกแก่อาจารย์อาสิบห้าของเขา

“เจ้าสิบห้า ที่เจ้าพูดถูกต้องที่สุด ปรมาจารย์ผู้นี้ลึกลับเกินไปแล้ว ข้ามาถึงที่นี่ถูกเขาหลอกมาไม่จบสิ้น ข้าก็ไม่กล้าบอกผู้ใด กล่าวกับเจ้าได้เท่านั้น…แต่ก่อนข้าก็เคยได้ยินผู้พูดถึงปรมาจารย์มาก่อนว่าเป็นผู้มีจิตใจคับแคบ ชอบขุดหลุมพลางล่อผู้อื่น ข้าก็ไม่เชื่อ…”

เจ้าสิบห้านั่งอยู่ตรงข้ามเซี่ยไห่หยาง หรี่ตาลง ส่วนลึกในดวงตามีความหมายลึกซึ้งวูบหนึ่งที่เซี่ยไห่หยางมองไม่เห็น เขาเทเหล้าใส่จอกให้เซี่ยไห่หยาง หลังจากยื่นมันไปให้ ก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม

“แล้วตอนนี้เล่า…”

……………………………………………………..

หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ในหอคอย รอการมาถึงของเซี่ยไห่หยาง เมื่อได้ยินก็ลืมตาพร้อมเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆ ใบหน้าแสดงความพึงพอใจจนปิดไม่อยู่

ส่วนหนึ่งของความพึงพอใจนี้มาจากที่เซี่่ยไห่หยางมาตามที่คาดไว้ อีกส่วนมาจากคำพูดของอีกฝ่ายที่ว่ารูปงามที่หนึ่งในสหพันธรัฐ

“นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้ยินผู้เรียกข้าเช่นนี้…” หวังเป่าเล่อทอดถอนใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกแปลกใจที่เซี่ยไห่หยางเรียกตนว่าอาจารย์อา ขณะที่กำลังจะเรียกเซี่่ยไห่หยางให้เข้ามา ในสมองกลับมีเสียงที่เหนื่อยหน่ายของแม่นางน้อยที่ส่งมา

“ไม่อายหรือ”

“หืม” หวังเป่าเล่อรู้สึกไม่พอใจแล้ว

“หมายความว่าอะไร!”

“ข้าถามเจ้าว่าไม่อายหรือ เจ้าอ้วน ข้าตามเจ้ามาตั้งแต่เจ้ายังเด็ก หลายปีมานี้เพิ่งเคยได้ยินคนเรียกเจ้ารูปงามที่หนึ่งในสหพันธรัฐ และไม่เคยได้ยินผู้อื่นเรียกเจ้าเช่นนี้มาก่อน เจ้ากลับกล่าวว่าไม่ได้ยินผู้อื่นเรียกเจ้าเช่นนี้มานานแล้ว…ไม่อายหรือ”

หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง หากเป็นผู้อื่นได้ฟังคำพูดขวานผ่าซากเช่นนี้ หากไม่อับอายก็จะกระอักกระอ่วน แต่หวังเป่าเล่อมิใช่คนธรรมดาสามัญ เวลานี้เบิกตาขึ้น สีหน้ายากที่จะอธิบาย

“แม่นางน้อย เหตุใดเจ้าจึงไร้ความมั่นใจเช่นนี้ ข้าคงต้องแก้ให้เจ้าคิดให้ถูกต้อง ไม่ใช่สนใจความเห็นของผู้อื่นเสมอ ผู้ฝึกตนรุ่นข้าถือความมั่นใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ขอเพียงตัวเราคิดว่าเรานั้นสามารถ เช่นนั้นสรรพสัตว์ทั้งหลาย ย่อมดำเนินไปตามความคิด เจ้านี่…” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าทอดถอนใจ

“เจ้าอ้วนนี่ พูดให้ชัดเจ้าก็คือหน้าด้าน”

“แม่นางน้อย ร่างไร้วิญญาณก็มีระดูด้วยหรือ” หวังเป่าเล่อสีหน้าเป็นปกติ พูดเบาๆ ประโยคนี้ก็ทำให้แม่นางน้อยสำลักในทันที และนางก็ทำได้แต่เพียงส่งเสียงเชอะและหยุดโต้เถียง แต่ตนเองก็ยังคงคิดหาเหตุผล

อันที่จริงนางก็สังเกตเห็นว่าอารมณ์ของตนในช่วงเวลานี้ดูแปลกๆ อยู่บ้าง ปกตินางใส่หน้ากาก แม้จะสังเกตได้แต่ก็ไม่ชัดเจนเช่นนั้น วันนี้ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด จึงดูเหมือนควบคุมมันไม่ได้

“มีบางอย่างผิดปกติ…” แม่นางน้อยภายในหน้ากากนั่งขัดสมาธิเท้าคางอยู่ตรงนั้น สายตาส่อแววครุ่นคิด

และในขณะที่นางครุ่นคิดว่าเหตุใดช่วงเวลานี้จึงอารมณ์เสียง่ายขึ้น หวังเป่าเล่อก็ได้เรียกให้เซี่ยไห่หยางที่รออยู่ด้านนอกเข้ามา ประตูใหญ่หอคอยเปิดออก หวังเป่าเล่อเดินออกไปด้วยรอยยิ้ม ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น

เมื่อเซี่ยไห่หยางเห็นหวังเป่าเล่อก็สูดหายใจเข้าลึกทันที ใบหน้าแสดงถึงความเคารพและโค้งคำนับลงอีกครั้ง

“ศิษย์เซี่ยไห่หยาง ขอคำนับอาจารย์อาสิบหก”

“สหายไห่หยาง นี่เจ้าหมายความว่าอะไร” หวังเป่าเล่อสีหน้าแสดงความประหลาดใจ เดินตรงเข้าไปพยุงเซี่ยไห่หยางขึ้น ถามด้วยความประหลาดใจ

“พวกเราเป็นสหายกัน เหตุใดหลังจากไปพบอาจารย์ข้าแล้ว เจ้าจึงเรียกข้าว่าอาจารย์อา สหายไห่หยางหยอกข้าเล่นแล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ เซี่ยไห่หยางก็อับอายอยู่บ้าง อย่างไรหน้าเขาก็ไม่ทนเท่าหวังเป่าเล่อ เวลานี้ถูกหวังเป่าเล่อกล่าวเช่นนี้ ในใจของเขาก็อดคิดไม่ได้ว่าเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกด้อยไปชั่วชีวิต แต่เขาก็ปรับอารมณ์ได้ในไม่ช้า บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่หมายถึงความภาคภูมิใจ

“อาจารย์อา ท่านอาจารย์ใหญ่เห็นว่าข้ามีความจริงใจ ดังนั้นจึงให้ศิษย์คนโตของท่านเป็นอาจารย์ข้า รับข้าไว้เป็นศิษย์ จากนี้ต่อไปข้าเซี่ยไห่หยางก็เป็นศิษย์หลานของท่านอาจารย์อา ดังนั้นอาจารย์อาอย่างไรก็อย่าได้เรียกสหายอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเราอาจลึกซึ้งกว่าสหายมากนัก” เซี่ยไห่หยางกล่าวอย่างจริงใจและเต็มภาคภูมิ แต่หวังเป่าเล่อกลับมีสีหน้าแปลกๆ

เขาแอบร้องอยู่ในใจว่าอาจารย์ก็ใจร้ายเกินไปแล้ว ประโยชน์ก็ได้รับแล้วยังจะผูกเขาไว้ในกลุ่มอัคคี ทำให้เซี่ยไห่หยางไม่เพียงถูกรั้งไว้ จากนี้ไปก็ต้องเป็นคนของที่นี่ด้วย

นี่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่การดึงประโยชน์เพียงครั้งเดียว แต่เป็นทั้งชีวิต

“ที่แท้ก็เป็นเพราะท่านอาจารย์!” หวังเป่าเล่อชื่นชมอยู่ในใจ เมื่อมองเซี่ยไห่หยางก็ทำได้แค่ทอดถอนใจ เขาอดไม่ได้ที่จะยกมือขวาขึ้นลูบศีรษะเซี่ยไห่หยาง…

เซี่ยไห่หยางตัวแข็งทื่อแต่ก็จนปัญญา ตอนนี้เขาถือเป็นผู้น้อยรุ่นหลัง ได้แต่ปลอบตนเองอยู่ภายในใจว่าทั้งหมดนี้ล้วนสมควรแล้ว นี่เป็นกฎของกลุ่มอัคคี ในเมื่อตนเองเป็นผู้น้อย เช่นนั้นผู้อาวุโสลูบศีรษะจะเป็นอะไรกัน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เซี่ยไห่หยางก็ไม่ถือเป็นอารมณ์ บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มตามสัญชาตญาณขณะที่หวังเป่าเล่อลูบศีรษะ เพียงแต่รอยยิ้มนี้หายไปจากใบหน้าแข็งทื่อ พร้อมกับการเรียกขานของหวังเป่าเล่อ

“หยางเอ๋อร์ อาจารย์อารู้สึกว่าสิ่งที่เจ้ากล่าวนั้นมีเหตุผล มาเถอะ เข้ามาคุยกัน” หวังเป่าเล่อส่งเสียกระแอม ยอมรับสถานะของตนในทันที ก่อนจะเอามือไพล่หลังเดินเข้าหอคอยไป

เซี่ยไห่หยางสูดหายใจเข้าลึก หลังจากปลอบและสะกดตนเองอยู่ในใจอีกครั้งก็รีบเดินตามเข้าไป ซ้ำยังปิดประตูหอคอยด้วย ท่าทางดูอ่อนน้อม โดยที่ไม่ต้องมีอาจารย์คอยสั่งสอน หลังจากเข้าไปในหอคอย เขากวาดตามองไปรอบด้าน แล้วพับแขนเสื้อก่อนเอ่ยปากเสียงดัง

“อาจารย์อาสิบหก ศิษย์เห็นสถานที่นี้มีฝุ่นเล็กน้อย ให้ข้าช่วยท่านเช็ดเถิด” กล่าวพลาง เขาก็ตรงเข้าไปเช็ดโต๊ะ

เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นเช่นนี้ ในใจก็ชื่นชมความร้ายกาจของท่านอาจารย์อีกครั้ง อย่างไรก็ตามเขาไม่อาจปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ได้ ดังนั้นจึงรั้งเซี่ยไห่หยางไว้ แล้วกล่าวอย่างหนักแน่น

“หยางเอ๋อร์ เจ้าไม่ต้องทำเช่นนี้ เฮ้อ พูดก็พูดเถอะ เจ้าต้องการให้ข้าช่วยแนะนำอาจารย์อาท่านใดให้เจ้า”

เมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อเรียกตนอีกครั้ง ใบหน้าของเซี่ยไห่หยางก็กระตุก เขามองไปทางหวังเป่าเล่อแล้วฝืนยิ้ม

“อาจารย์อา ท่านอย่าได้ล้อเลียนข้าเลย ผู้ที่ข้าต้องการหามิใช่ท่านหรอกหรือ”

“ข้าหรือ” หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ

เซี่ยไห่หยางถอนหายใจ แล้วเล่าเรื่องระหว่างท่านพ่อของตนและเฉินชิงจื่อออกมาอย่างละเอียด เริ่มตั้งแต่ท่านพ่อช่วยจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกฝึกสร้างเทพวัตถุ จนถึงเฉินชิงจื่อนำเต๋าสวรรค์สำนักแห่งความมืดมา ต่อต้านวงแหวนปราณ เกิดการทำลายล้าง ตอนนี้ห่างจากพิภพปัจจุบันไม่ไกลแล้ว ด้วยเหตุผลต่างๆ ต้องมาระบายโทสะกับผู้ที่ช่วยเหลือเป็นแน่ ล้วนมีกล่าวไว้อย่างชัดเจนแล้ว

และโดยไม่มีการปกปิด เมื่อพ่อของเขาผิดก็คือผิด ขณะเดียวกันเซี่ยไห่หยางก็เสนอที่จะชดใช้ ขอเพียงเฉินชิงจื่อสามารถปล่อยเรื่องนี้ไป

หวังเป่าเล่อที่ดูปกติในตอนแรก แต่หลังจากฟังไปแล้ว การหายใจของเขาก็เปลี่ยนไป จนกระทั่งเขาฟังจบ เขานั่งหลับตาอยู่ตรงนั้น เกิดระลอกคลื่นในใจขึ้น แล้วจึงค่อยๆ สงบลง

ในที่สุดเขาก็รู้ว่าเหตุใดศิษย์พี่เฉินชิงจื่อจึงทิ้งเขาไว้ที่อารยธรรมดวงเนตรสววรค์ เห็นได้ว่าถูกล้อมสังหารขณะพาตนเองไปหลบซ่อนที่สำนักแห่งความมืด ดังนั้นจึงทำได้เพียงส่งตนออกไปก่อน

ขณะเดียวกันเขาก็ถอนหายใจโล่งอก เพราะท่าทีของเซี่ยไห่หยางได้แสดงอย่างชัดเจนแล้วว่า ครั้งนี้ศิษย์พี่ไม่เพียงแต่ไร้อุปสรรคแต่กลับมีชื่อเสียงยิ่งขึ้น สั่นสะเทือนไปทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น อย่างไรก็ตามนั่นคนที่ถูกเขาทำให้ได้รับความยากลำบากก็เป็นถึงจักรพรรดิสวรรค์ ทุกวันนี้เป็นตายก็หารู้ไม่

และตระกูลไม่รู้สิ้น บางทีอาจมีอุปสรรค แต่โดยทั่วไปศิษย์พี่ย่อมปลอดภัย มิเช่นนั้นเซี่ยไห่หยางผู้นี้ก็คงไม่มาหาเขาถึงที่

ดังนั้นหลังจากหวังเป่าเล่อโล่งใจแล้วจึงลืมตาขึ้นกวาดตาไปยังเซี่ยไห่หยาง จิตใจก็มีความสุขขึ้นมา ในเมื่อเรื่องนี้อาจารย์เป็นผู้แนะนำมา อีกอย่างเซี่ยไห่หยางก็g8pช่วยเหลือเขาไว้ไม่น้อย ดังนั้นตนเองเข้าช่วยเหลือบ้างก็เป็นการสมควรแล้ว

แต่…ความสัมพันธ์ของพวกเขาที่ผ่านมาคือการลงทุนและการค้า เช่นนั้นตอนนี้ก็ย่อมเป็นเช่นนั้น ดังนั้นบนใบหน้าหวังเป่าเล่อจึงปรากฏความลำบากใจ

“เรื่องนี้…ข้าและเฉินชิงจื่อก็มิได้สนิทสนมกันเช่นนั้น…”

“อาจารย์อา ศิษย์ยินยอมมอบดาวเคราะห์ทั่วไปร้อยดวงเพื่อเป็นการตอบแทนความช่วยเหลือของอาจารย์อา” เซี่ยไห่หยางรีบเอ่ยปาก

“ที่จริงข้าและเฉินชิงจื่อสนิทกันเพียงเล็กน้อย…” หวังเป่าเล่อส่งเสียงกระแอม แล้วยกมือขวาขึ้นนิ้วชี้ และนิ้วหัวแม่มือดูเหมือนถูกันไปมาอย่างไม่ตั้งใจแล้วก็ลูบศีรษะ

“ศิษย์ยอมเพิ่มอีกพันดวง!” เซี่ยไห่หยางกัดฟันแน่น แต่ในใจกลับไม่เป็นเช่นนั้น เขารู้ว่าเบี้ยต่อรองต้องเพิ่มทีละน้อย จากน้อยไปหามาก ไม่ควรให้ก้อนใหญ่ในทันที มีเพียงวิธีนี้จึงจะสามารถใช้ค่าตอบแทนน้อยที่สุดเพื่อแลกกับประโยชน์ที่สูงสุดได้

“ข้าเคยกินข้าวกับเฉินชิงจื่อ!” หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ

“สามพันดวง!”

“ฉันเคยดื่มเหล้ากับเฉินชิงจื่อ!”

“ห้าพันดวง!”

“ข้าและเฉินชิงจื่อร่วมน้ำสาบานกัน!”

“แปดพันดวง อาจารย์อา นี่มันถึงที่สุดแล้ว…” เซี่ยไห่หยางกำลังจะร้องไห้แล้ว แต่ในความเป็นจริง ทั้งหมดเป็นเพียงแค่เปลือกนอก แปดพันดวงไม่ใช่ขีดจำกัดทั้งหมดของเขา หวังเป่าเล่อก็พอมองออก แต่เขาก็รู้ดีว่าผลประโยชน์ต้องค่อยๆ ดึงให้ไม่รู้ตัว ไม่อาจสำเร็จได้ภายในขั้นตอนดียว

เขาจึงจำใจพยักหน้า

“ช่างเถอะ หยางเอ๋อร์ ในเมื่อเจ้ามีความกตัญญูเช่นนี้ อาจารย์อาจะช่วยเจ้าสักครั้ง รอให้พบเฉินชิงจื่อก่อนแล้วข้าจะช่วยพูดให้เจ้า”

เซี่ยไห่หยางเมื่อได้ยินก็แววตาเป็นประกาย รีบรับคำในทันที คำพูดของอีกฝ่ายแฝงความนัย อย่างไรก็ตามคำพูดยังแบ่งทั้งจำนวนรวมทั้งน้ำหนักหนักเบาของคำพูด ดังนั้นเขาจึงเข้าใจได้ในทันที หากต้องการให้หวังเป่าเล่อช่วยอย่างเต็มกำลัง ต่อไปตนเองต้องคอยเอาใจเขาบ่อยๆ เป็นดี

อย่างน้อยที่สุด ก่อนที่จะแก้ปัญหานี้ได้ต้องทำให้อีกฝ่ายมีความสุขสบายใจ…

“หวังเป่าเล่อผู้นี้ช่างเจ้าเล่ห์ เจ้าเล่ห์พอๆ กับปรมาจารย์แห่งไฟ…ยังมีท่านอาจารย์ที่จริงใจ จิตใจดี ไม่ใจร้ายเช่นนั้น” เซี่ยไห่หยางร้องคร่ำครวญอยู่ใจ และเมื่อเปรียบเทียบกันไปแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าอาจารย์ของตนนั้นดีที่สุดแล้ว

……………………………………………………..

“ข้าก็รู้จัก…” เซี่ยไห่หยางหายใจถี่กระชั้น ตามองตรง และรู้สึกว่าสติปัญญาของเขาดูเหมือนจะไม่เพียงพอแล้วในขณะนี้ ด้วยสัญชาตญาณร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในความคิด แต่ขณะต่อมาเขาก็สลัดทิ้งไป และบอกตนเองตลอดว่าเป็นไปไม่ได้…

“ไม่ผิด เจ้าก็รู้จัก” ศิษย์พี่หญิงใหญ่ส่งเสียงกระแอม และท่าทางประหลาดใจก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น เพียงแต่สายตาส่งประกายสมใจที่เซี่ยไห่หยางมองไม่ออก นางฝืนทำหน้านิ่งและเอ่ยปากเบาๆ

“เขาก็คือ…อาจารย์อาสิบหกของเจ้า หวังเป่าเล่อ”

ร่างของเซี่ยไห่หยางกระตุกวูบ รู้สึกราวกับสายฟ้าฟาดอยู่ในศีรษะนับล้านครั้ง หลังจากนำเสียงที่ตนได้หมิ่นอาจารย์ไว้มาแยกแยะ ก็กลายเป็นเสียงสะท้อนที่ก้องอยู่ในหูไม่ขาดสาย

“อาจารย์อา…”

“สิบหก…ของเจ้า…”

“หวังเป่าเล่อ…”

เซี่ยไห่หยางรู้สึกมึนงง อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นเคาะศีรษะ สติเหม่อลอย มองไปยังอาจารย์และปรมาจารย์ที่เคร่งขรึมอย่างงงงัน และเวลานี้คำพูดของอาจารย์ยังไม่จบ

“หยางเอ๋อร์ ข้าได้ยินอาจารย์ใหญ่ของเจ้าพูดถึงเจ้าว่าปกติเป็นผู้เฉลียวฉลาด เจ้าคุ้นเคยกับหวังเป่าเล่อ เจ้าไม่รู้ว่าในหมู่พวกเรา ความสัมพันธ์ของเขากับเฉินชิงจื่อถึงขั้นแน่นแฟ้นเลยเชียวหรือ” ศิษย์พี่หญิงใหญ่เอ่ยอย่างทอดถอนใจ ทั้งยังส่ายหน้าถอนหายใจไปพร้อมกับคำพูดของตน ดูท่าทางราวหมดความอดทน

“อาจารย์…ปรมาจารย์…ท่านไม่ได้กล่าวว่า…ท่านมีศิษย์ผู้หนึ่งที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเฉินชิงจื่อหรอกหรือ…แต่ แต่ว่า…เวลานั้น หวังเป่าเล่อยังมิได้คราวะท่านเป็นอาจารย์เลย!” เวลานี้เซี่ยไห่หยางสับสนไปหมดแล้ว มองไปทางปรมาจารย์แห่งไฟ พูดจาตะกุกตะกัก

“ไม่ผิดหรอก หวังเป่าเล่อเป็นศิษย์ของข้าอย่างแน่นอน แม้ว่าในเวลานั้นเขายังไม่ได้คำนับข้าเป็นอาจารย์ แต่ในใจตาเฒ่าอย่างข้า เขาได้เป็นศิษย์ของข้าแล้วอย่างไรเล่า เจ้าผิดเองยังมาตำหนิข้าอีกหรือ” ปรมาจารย์แห่งไฟสีหน้าไม่พอใจ ท่าทางว่าข้าไม่ได้หลอกเจ้า เป็นเจ้าเด็กน้อยเองไม่ตอบกลับ

“ข้า…ท่าน…” เซี่ยไห่หยางยืนขึ้นทันที เขาหายใจแรง ดวงตาเบิกกว้าง ร่างสั่นเทิ้มอยู่ตลอดเวลา และเริ่มร้องคร่ำครวญอยู่ภายในใจ เขารู้สึกพลาดไป พลาดอย่างมหันต์

เหตุใดเขาจึงคิดไม่ถึง เขาวนหาอย่างลำบากลำบน ที่แท้แล้วผู้ที่สามารถทำได้จริงๆ กลับเป็นคนใกล้ตัวเขาเอง!

หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ วันนั้นที่ตลาดตลาดตระกูลเซี่ยคงไม่จากไปอย่างร้อนรน และคงไม่ต้องกังวลคิดหาวิธีแก้ปัญหา ทุกวันนี้ก็ไม่ต้องกังวลอย่างที่สุด ไม่ต้องห่วงการได้เปรียบเสียเปรียบ และไม่ต้องคิดจนแทบล้มประดาตายเพื่อเสาะหาคนสนิทกับเฉินชิงจื่อ

หรือแม้กระทั้งในขณะนี้เขารู้สึกว่า วันนั้นที่ตลาดตระกูลเซี่ย หากตนเองได้ช่วยหวังเป่าเล่อก่อน เวลานั้นเขาคาดว่าเพียงกล่าวประโยคเดียวอีกฝ่ายต้องพิจารณาอย่างแน่นอน หากตนเองลงทุนอีกหน่อยเรื่องนี้คงแก้ไขได้สำเร็จไปนานแล้ว

เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้…

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคิดได้ว่าเมื่อไม่นานมานี้หวังเป่าเล่อถามตนว่าตามหาเฉินชิงจื่อด้วยเหตุใด ตอนนี้เมื่อคิดขึ้นมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายหมายถึงต้องการจะช่วยตน

แต่เมื่อครู่ตนเองกลับไม่ใส่ใจ…

“สวรรค์… ข้า…” ขณะที่เซี่ยไห่หยางร้องไห้โดยไร้น้ำตา ทันใดนั้นความไม่ยินยอมอย่างยิ่งยวดก็ระเบิดออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้ว เป็นเพราะปรมาจารย์แห่งไฟตรงหน้านี้ที่ทำให้ตนเข้าใจผิด

“เจ้าอะไรของเจ้า ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ ไร้มารยาท” ปรมาจารย์แห่งไฟขมวดคิ้ว คำรามเสียงเย็นชา สายตาส่งประกายเย็นชา และแผ่พลังกดดันออกไป

ภาพตรงหน้านี้ ปลุกให้เขาตื่นขึ้นมาจากภวังค์ในทันที รู้สึกเพียงแต่ว่าปรมาจารย์แห่งไฟที่อยู่ตรงหน้านี้ดูเหมือนว่าขณะนี้จะกลายเป็นภูเขาไฟลูกหนึ่งที่กำลังจะปะทุ และหากปะทุขึ้นมาฟ้าคงจะถล่มดินจะทะลาย

ศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่อยู่ด้านข้างก็หน้าเปลี่ยนสี รีบลากร่างเซี่ยไห่หยางที่สั่นไปทั้งร่างไปข้างหน้า ยืนอยู่ด้านหน้าของเขาแล้วคำนับไปที่ปรมาจารย์แห่งไฟที่เห็นได้ชัดว่ากำลังโกรธ

“อาจารย์ได้โปรดระงับโทสะ!”

“ระงับโทสะหรือ? ตงเอ๋อร์ อาจารย์ผิดไปแล้ว ไม่ควรให้เจ้ารับศิษย์ผู้นี้ ไม่เป็นไร วันนี้ก็ถอนสถานะของเขาเสีย กลุ่มอัคคีของข้าไม่มีผู้กระทำผิดเช่นนี้มาก่อน” พูดพลาง มือขวาของปรมาจารย์แห่งไฟก็จะยกขึ้น แต่ศิษย์พี่หญิงใหญ่สีหน้าร้อนรนอย่างที่สุด คุกเข่าลงคำนับในทันที

“ท่านอาจารย์!”

“ศิษย์ไม่เคยรับศิษย์มาก่อนในชีวิต และตอนนี้ได้ตกลงยอมรับหยางเอ๋อร์ด้วยตนเอง เช่นนั้นเขาก็เป็นศิษย์ของข้าแล้ว ขอท่านอาจารย์ได้โปรดเห็นแก่ความไม่รู้ประสาของเขา มองข้ามเรื่องนี้ เขา…เขายังเด็ก”

“เจ้า…” สีหน้าปรมาจารย์แห่งไฟดูไม่ได้ สายตามองไปที่ร่างลูกศิษย์คนโตที่อยู่ตรงหน้า และมองไปที่เซี่ยไห่หยางที่เห็นได้ชัดว่าถูกเขาทำให้ตกใจ ก่อนส่งเสียงคำรามเสียวสันหลังวูบ..ไอลีนโนเวล

“เซี่ยไห่หยาง หากไม่ใช่เป็นเพราะอาจารย์ของเจ้าร้องขอให้เจ้า วันนี้ข้าจะจัดการเจ้าตามกฎสำนัก…เอาล่ะ ศิษย์ของเจ้า เจ้าก็จัดการเอาเองเถอะ” พูดพลาง ปรมาจารย์แห่งไฟก็สะบัดปลายแขนเสื้อ เพียงแวบเดียวร่างของเขาก็จากไป ท่าทางดูโกรธมาก

เมื่อเขาจากไป พลังกดดันภายในหอคอยนี้ก็หายไปและกลับสู่สภาวะปกติ

หากเวลานี้หวังเป่าเล่ออยู่ที่นี่ เห็นฉากนี้แล้วคงต้องตะโกนว่าเยี่ยมยอดอยู่ในใจ รู้สึกว่าทั้งตัวท่านอาจารย์และตนถึงกับแล่เนื้อถือหนังเล่นกันสมจริงสมจังกันเกินไปแล้ว…

แต่เซี่ยไห่หยางไม่รู้ เขาเห็นตนเองทำให้ปรมาจารย์แห่งไฟเกิดโทสะ และเห็นปรมาจารย์แห่งไฟระเบิดพลัง เห็นอาจารย์ที่เพิ่งจะรับตนร้องขอความเมตตาเพื่อช่วยตน จิตใจก็สั่นสะท้านขึ้นทันที

“อาจารย์…”

ศิษย์พี่หญิงใหญ่ถอนหายใจ ยืนขึ้นและมองไปที่เซี่ยไห่หยาง

“หยางเอ๋อร์ ในเมื่อเข้าสู่กลุ่มอัคคีของข้าก็ต้องปฏิบัติตามกฎของสำนัก วันนี้เจ้าล่วงเกินอาจารย์ใหญ่ของเจ้า เรื่องเกิดขึ้นเพราะมีเหตุก็ช่างเถอะ แต่หากเกิดขึ้นอีก…อาจารย์ก็ช่วยเจ้าไม่ได้แล้ว”

“อีกอย่างเรื่องนี้เจ้าลองไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน ว่าเจ้าผิดพลาดหรือไม่” ศิษย์พี่หญิงใหญ่เหลือบมองเซี่ยไห่หยางอย่างมีความหมาย สายตานี้ทำให้ร่างเซี่ยไห่หยางสั่นเทิ้ม นับว่าได้ตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์แล้ว

เขารู้ว่าอาจารย์พูดถูก แม้ว่าอาจารย์ใหญ่จะทำให้เข้าใจผิด แต่ท้ายที่สุดยังคงเป็นตนเองที่พลาดไป…

เขาตระหนักในทันที ว่าก่อนหน้านั้นตนขาดสติ และความคิดก็ผิดเพื้ยน ในเมื่อก้าวเข้าสู่กลุ่มอัคคี ก็ย่อมนับว่าเป็นคนของดาราจักรไฟแล้ว ในเวลาเดียวกันเขาก็ไม่ได้สูญเสียสิ่งใดไปจริงๆ หรือแม้กระทั่งการได้อยู่สำนักเดียวกับหวังเป่าเล่อ การขอความช่วยเหลือจากเขาก็จะยิ่งราบรื่นและง่ายดายขึ้น

นอกจากนี้การเข้าสู่กลุ่มอัคคี ที่ตั้งตระกูลเซี่ยของตนอยู่ห่างออกไปไกล การค้าในภายภาคหน้าก็จะยิ่งสะดวกราบรื่น ท้ายที่สุดภูมิหลังของตนเองก็จะยิ่งใหญ่กว่าแต่ก่อน ที่สำคัญที่สุดก็คือ…ตนเองเป็นเพียงผู้หนึ่งในตระกูลเซี่ย หากเกิดปัญหา ปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยก็ไม่แน่ว่าจะออกหน้าเพื่อตน แต่ที่ดาราจักรไฟ ตนเองเป็นศิษย์รุ่นที่สามแต่เพียงผู้เดียว หากเกิดปัญหา ด้วยท่านปรมาจารย์แห่งไฟที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วดาราจักร ต้องออกหน้าให้อย่างแน่นอน

เมื่อคิดเช่นนี้ ดวงตาของเซี่ยไห่หยางก็สว่างขึ้นในทันที และเขารู้สึกว่ามันคุ้มค่ามาก แม้ว่าเขาจะต้องเรียกหวังเป่าเล่อว่าอาจารย์อา เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกแทบจะทนไม่ได้ แต่เมื่อมาคิดดูแล้วก็ทำได้เพียงเท่านี้

ดังนั้นเซี่ยไห่หยางจึงสูดหายใจเข้าลึกและคุกเข่าลงคำนับอาจารย์ของตน

“ขอบคุณคำชี้แนะของท่านอาจารย์!”

ศิษย์พี่หญิงใหญ่มองเซี่ยไห่หยางตรงหน้าอย่างอ่อนโยน สายตาที่ทำให้อีกฝ่ายเห็นถึงความเมตตา แล้วยกมือขึ้นลูบไปที่ศีรษะของเซี่ยไห่หยางแต่ก็รีบชักกลับอย่างรวดเร็ว และเช็ดมือบนเสื้อผ้าด้านหลังอย่างเงียบๆ ที่จริงคือ…น้ำมันใส่ผมบนศีรษะของเซี่ยไห่หยางเหนียวเกินไป อย่างไรก็ตามบนใบหน้ากลับยังแสดงความปลอบประโลม

“เด็กดี ยังไม่รีบไปหาอาจารย์อาสิบหกเจ้าอีก จำไว้อ้อนวอนเขาให้มากไว้ หากเขาสบายใจแล้ว เรื่องของเจ้า…ยังจะเป็นปัญหาอีกหรือ”

“ศิษย์เข้าใจแล้ว!” เซี่ยไห่หยางเงยหน้าขึ้นกล่าวเสียงดัง แววตาเป็นประกาย พอลุกขึ้นก็จะรีบจากไป แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว อาจารย์ทางเบื้องหลังของเขา หรือก็คือศิษย์พี่หญิงใหญ่ของหวังเป่าเล่อ ยังอดเอ่ยปากออกมาไม่ได้

“หยางเอ๋อร์ น้ำมันใส่ผมหรืออะไรก็ตาม ทาให้น้อยลงหน่อย ติดมืออาจารย์แล้ว…”

เซี่ยไห่หยางเมื่อได้ฟังก็รู้สึกอับอาย รีบพยักหน้ารับคำ หลังจากนั้นรีบจากไปอย่างรวดเร็ว เขายืนอยู่ด้านนอก มองออกไปไกล ลมพัดปะทะบนใบหน้า รำลึกถึงช่วงเวลานี้ออกมาเป็นฉากๆ รู้สึกเหมือนความฝันอันยิ่งใหญ่

“อาจารย์พูดถูก ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ก็เพียงเรียกอีกฝ่ายว่าอาจารย์อา สามารถเข้าสู่กลุ่มอัคคีได้ ข้าเซี่ยไห่หยางแห่งตระกูลเซี่ย สถานภาพก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว” หลังจากให้กำลังใจตัวเองอย่างต่อเนื่องราวกับสะกดจิต เซี่ยไห่หยางก็เต็มไปด้วยพลัง เหาะมุ่งหน้าไปที่หอคอยของหวังเป่าเล่อ ทันทีที่เข้าไปใกล้ก็ไม่รอให้เข้าประตูเสียก่อน เซี่ยไห่หยางก็ตะโกนอยู่ด้านนอก

“ผู้น้อยเซี่ยไห่หยาง ขอเข้าพบอาจารย์อาสิบหกผู้รูปงามอันดับหนึ่งในสหพันธรัฐ”

……………………………………………………..

เซี่ยไห่หยางไม่ใช่ไม่รู้ว่าความจริงใจของเขายังไม่เพียงพอ แต่เขารู้สึกว่าดาวเคราะห์ทั่วไปสองดวงก็พอแล้วสำหรับผู้ที่เขาจะลงทุนด้วย เขาไม่อยากเพาะความโลภให้อีกฝ่ายและก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าต้องการอะไรจากตนก็ย่อมได้

นี่ไม่ใช่เพราะเขามองหวังเป่าเล่อขัดตาแต่มันคือคุณสมบัติของพ่อค้า เขามักคิดว่าทำเท่าไหร่ก็ให้เท่านั้น ทั้งสองฝ่ายเท่าเทียมไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกัน

ในขณะเดียวกัน…นี่ก็เป็นสิ่งที่เซี่ยไห่หยางในฐานะผู้ลงทุนควรมี เซี่ยไห่หยางมองว่าเขามีทรัพยากรมากมาย ตนเป็นเซียนนักลงทุนที่เป็นอีกหนึ่งสถานะเพิ่มเติม ไม่ว่าจะในระดับใด ในเมื่อทั้งสองฝ่ายร่วมมือกัน พร้อมกันนั้นตนก็ต้องกำหนดแนวคิดที่แน่นอน

ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะไม่เกิดสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ และอีกอย่างก็ยังสามารถปกป้องสถานะของตนได้ในระดับสูงสุด ทั้งยังทำให้อีกฝ่ายเกิดความคุ้นเคยและพึ่งพา และไม่อาจขาดทรัพยากรของตนได้ในที่สุด

มีเพียงวิธีนี้ จึงจะเป็นการรับผลประโยชน์จากการลงทุนที่สมบูรณ์แบบ!

ดังนั้นดาวเคราะห์ทั่วไปที่เป็นของกำนัลและคำสัญญา ที่จริงแล้วก็เป็นวิธีทางการค้าของเขา หรือกระทั่งเขาล้วนคิดไว้ดีแล้ว ต่อไปมูลค่าในเรื่องนี้ก็เป็นไปตามหวังเป่าเล่อก็เหมือนกับการล่อเหยื่อ ให้ดาวเคราะห์ทั่วไปต่อไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ทำให้อีกฝ่ายเดินไปตามทางที่ตนเองได้วางไว้

จนกว่าจะถึงเป้าหมายของตน

ด้วยความคิดดังกล่าว เซี่ยไห่หยางก็ยิ้มน้อยๆ หลังจากได้ฟังคำถามของหวังเป่าเล่อ

“สหายเป่าเล่อ รอให้ข้าได้คารวะปรมาจารย์แห่งไฟแล้ว ข้าค่อยบอกเจ้า ถึงเวลานั้นยังหวังว่าสหายเป่าเล่อจะช่วยเหลือบางอย่าง” เซี่ยไห่หยางรักสันโดษ แต่ความประพฤตินั้นกลับอ่อนน้อมถ่อมตนมาก ระหว่างที่พูดยังประสานหมัดคำนับไปทางหวังเป่าเล่อ

แววตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายอย่างไร้สาเหตุ ด้วยสติปัญญาและประสบการณ์ก็มองเซี่ยไห่หยางออก แต่ก็มิได้ใส่ใจ สำหรับเขาแล้วไม่ว่าเซี่ยไห่หยางจะคิดเช่นไร เรื่องเช่นนี้สำหรับตนเองก็เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนเท่านั้น

“ดาวเคราะห์สองดวงแลกกับคำแนะนำยังพอเป็นไปได้ ส่วนเรื่องการให้พูดชื่นชม…อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปศิษย์พี่ชายหญิงทั้งหมดต่างก็เป็นอาจารย์ คงไม่เป็นไรหรอก” หวังเป่าเล่อส่งเสียงกระแอมไอ หลังจากตัดสินใจได้แล้วก็สนทนาเรื่องสัพเพเหระกับเซี่ยไห่หยาง จนกระทั่งเงาร่างของทั้งสองกลายเป็นสายรุ้งเข้าสู่ภายในดาวเอกเพลิง จึงส่งเสียงร้องเสียดฟ้า เหาะพุ่งตรงไปยังหอคอยที่ปรมาจารย์แห่งไฟ รวมทั้งหวังเป่าเล่อและเหล่าศิษย์อาศัยอยู่

เมื่อเห็นว่าใกล้เข้าไปแล้ว เซี่ยไห่หยางก็รู้สึกประหม่าอยู่บ้าง การเดินทางครั้งนี้ก็ยังเป็นกังวล แม้ในใจเขาจะคิดว่าแผนการไม่น่ามีปัญหา แต่ก็อดที่จะกระซิบถามหวังเป่าเล่อไม่ได้

“สหายเป่าเล่อ เจ้ารู้ไหมว่าในศิษย์พี่ชายหญิงเหล่านั้น ผู้ใดมีความสัมพันธ์อันดีกับเฉินชิงจื่อ”

“เฉินชิงจื่อหรือ” หวังเป่าเล่อถึงกับตะลึงไปจริงๆ และมองไปทางเซี่ยไห่หยางด้วยความประหลาดใจ

“ก็คือราชันสวรรค์คนแรกของตระกูลไม่รู้สิ้น ผู้ที่สามารถต่อสู้จักรพรรดิสวรรค์ได้ราวกับเป็นเทพมารที่น่าหวาดผวายิ่งนัก ผู้ที่เคยเป็นศิษย์สำนักแห่งความมืด…เฉินชิงจื่อ!” เซี่ยไห่หยางอธิบายเสียงเบา พูดจบเขาก็ถอนหายใจ

“เจ้าคงไม่รู้จักคนผู้นี้สินะ…”

หวังเป่าเล่อมีสีหน้าประหลาด แอบพูดว่าถ้าข้าไม่รู้ก็ไม่มีผู้ใดรู้แล้ว แต่กลับไม่ได้แสดงสิ่งใดออกมาแม้แต่น้อย ได้แต่ทำหน้าประหลาดใจ

“ตกลงเจ้าต้องการหาเฉินชิงจื่อผู้นี้ หรือศิษย์พี่ขายหญิงของข้ากันแน่”

“เจ้าก็บอกข้าว่า รู้จักคนที่สนิทสนมกับเขาผู้นั้นหรือไม่ก็พอแล้ว” เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับท่านพ่อของเขา เซี่ยไห่หยางก็หงุดหงิดขึ้นมาและอดไม่ได้ที่จะตอบกลับ

หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แต่ก็ยังตอบกลับอีกฝ่ายอย่างอดทน

“พูดตามตรง ข้ามาที่ดาราจักรไฟได้ไม่นาน ไม่เคยได้ยินว่าศิษย์พี่ชายหญิงเหล่านั้นของข้า มีผู้ใดมีความสัมพันธ์อันดีกับเฉินชิงจื่อเลย…แต่…” ระหว่างที่หวังเป่าเล่อครุ่นคิดยังไม่ทันได้กล่าวออกมา เซี่ยไห่หยางก็ส่ายหน้าถอนหายใจแล้ว

“ช่างมันเถอะ เรื่องนี้ข้าจัดการเอง” เดิมทีเซี่ยไห่หยางก็ไม่ได้ฝากความหวังไว้กับหวังเป่าเล่อ เมื่อครู่ก็เป็นเพราะมีความกังวลจึงได้สอบถาม เขายังหงุดหงิดอยู่ในใจ เมื่อเห็นหอคอยที่ตั้งอยู่ข้างหน้า ดังนั้นหลังจากได้ฟังคำพูดในส่วนแรกของหวังเป่าเล่อก็ไม่มีอารมณ์ที่จะฟังส่วนหลังแล้ว เขาประสานหมัดคำนับไปทางหวังเป่าเล่อ แล้วออกล่วงหน้าไปก่อน

หวังเป่าเล่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองเซี่ยไห่หยางที่พุ่งตรงไปที่หอคอยของปรมาจารย์แห่งไฟ อดที่จะกล่าวไม่ได้

“เซี่ยไห่หยาง เจ้าหาเฉินชิงจื่อด้วยเหตุใด”

หากเปลี่ยนเป็นเวลาอื่น ด้วยความเฉลียวฉลาดของเซี่ยไห่หยาง บางทีอาจเข้าใจความหมายพิเศษจากคำพูดนี้ แต่เวลานี้ในใจของเขาหวาดวิตกจึงได้ละเลย โดยเฉพาะเมื่อถูกหวังเป่าเล่อถามเรื่องส่วนตัวไม่หยุด เขาเกิดความรู้สึกหมดความอดทนอยู่บ้าง

“เป่าเล่อ เรื่องนี้บอกเจ้าไปก็ไร้ประโยชน์ เจ้าช่วยไม่ได้หรอก รอให้ข้าคารวะท่านปรมาจารย์แห่งไฟแล้ว หลังจากได้รับคำตอบรับ จะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าด้วยตัวเอง” พูดพลาง เซี่ยไห่หยางก็ไม่หันกลับมามอง รีบเหาะใกล้เข้าไปหอคอยของปรมาจารย์แห่งไฟ หลังจากหยุดอยู่ด้านนอก เขาประสานหมัดคำนับอย่างนอบน้อมไปทางหอคอย สีหน้าแสดงความเคารพอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พร้อมเอ่ยปากเสียงดัง

“ผู้น้อยเซี่ยไห่หยาง ขอพบท่านปรมาจารย์แห่งไฟ!”

“เข้ามา!” “การมาถึงของเซี่ยไห่หยาง ย่อมไม่พ้นสัมผัสเทพของปรมาจารย์แห่งไฟ อันที่จริงตั้งแต่เขาย่างก้าวสู่ดาราจักรไฟ ปรมาจารย์แห่งไฟก็รู้แล้ว เวลานี้ประตูใหญ่หอคอยค่อยๆ เปิดออก ตามเสียงที่ส่งออกไป เซี่ยไห่หยางสูดหายใจเข้าลึก ก้าวเข้าสู่ภายในด้วยสีหน้าเคร่งขรึม.ไอรีนโนเวล

หวังเป่าเล่อมองดูเซี่ยไห่หยางเข้าสู่หอคอยของท่านอาจารย์ด้วยความไม่พอใจ แอบคิดว่าจากคำกล่าวของเจ้าเซี่ยไห่หยางนี้เห็นชัดว่าตนเองไม่มีประโยชน์มากนักในเรื่องนี้ นี่ทำให้หวังเป่าเล่อไม่พอใจนัก แอบคิดว่าเดิมทีตนคิดจะช่วย ตอนนี้ไม่แล้ว หันกายแล้วบินมุ่งไปทางหอคอยของตนไป

หลังจากกลับมาถึงหอคอย หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิลง ดวงตาก็หรี่ลงช้าๆ เขายังคงอดคิดถึงคำสนทนากับเซี่ยไห่หยางระหว่างทางที่มาไม่ได้ ดวงตาค่อยๆ ปรากฏแววครุ่นคิด

“การกระทำของเซี่ยไห่หยางเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องอะไรบางอย่างจะขอความช่วยเหลือจากศิษย์พี่เฉินชิงจื่อ…แต่ด้วยอำนาจของตระกูลเซี่ยที่ไม่ได้ขาดแคลนผู้เยี่ยมยุทธ์ ดังนั้นโดยพื้นฐานแล้วไม่น่าจะมีสิ่งใดที่ไม่อาจแก้ไขได้ เว้นแต่…เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับศิษย์พี่ ขณะเดียวกันเซี่ยไห่หยางร้อนรนเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องอย่างแน่นแฟ้นกับเขาเป็นการส่วนตัว และอาจไปไกลถึงตระกูลของเขา”

“และเซี่ยไห่หยางมาถึงที่นี่…น่าจะเป็นเพราะไม่อาจติดต่อเฉินชิงจื่อได้ ดังนั้นจึงถามศิษย์พี่ชายหญิงของข้าคนใดมีความสัมพันธ์อันดีกับเฉินชิงจื่่อ…ภายในนี้ต้องเป็นอาจารย์เคยกล่าวอะไรกับเขาแล้ว ดังนั้นจึงได้ทำให้เกิดข้อผิดพลาดเช่นนี้…” หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้าก็พอคาดเดาเรื่องนี้ได้เจ็ดแปดส่วนจากการแสดงออกของเซี่ยไห่หย่าง

จากนั้นก็แสดงสีหน้าประหลาด เงยหน้ามองออกไปที่หอคอยของท่านอาจารย์

“นี่เป็นหลุมพรางที่อาจารย์ขุดให้เซี่ยไห่หยาง เขาน่าจะบอกเซี่ยไห่หยางอย่างคร่าวๆ ว่าตนเองมีศิษย์ผู้หนึ่ง มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับเฉินชิงจื่อ…” พอคิดมาถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่ออดส่งเสียงกระแอมไอออกมา จิตใจก็แจ่มใสขึ้นมา ดวงตาค่อยๆ เป็นประกาย

“หากคาดไม่ผิด ในไม่ช้าเจ้าเซี่ยไห่หยางนี้ก็จะมาหาข้าแล้ว…สหายไห่หยาง ข้าเห็นใจเจ้าจริงๆ” หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ ความคาดหวังที่ไม่สามารถควบคุมได้เกิดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ แทบจะตั้งตารอไม่ไหว

“นอกจากนี้เขาพอจะรู้แล้วว่าศิษย์พี่ไปที่ใดผ่านทางเซี่ยไห่หยาง…คนผู้นี้ทิ้งข้าไว้ที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แล้วก็หายตัวไป…” หวังเป่าเล่อลูบคิ้ว รู้ว่าตนจะรู้คำตอบเรื่องเหล่านี้ได้ในไม่ช้า ดังนั้นจึงสูดหายใจเข้าลึก หลับตาเข้าสมาธิ รอคอยการมาของเซี่ยไห่หยาง

และเขาตัดสินใจไม่ผิด เวลานี้ภายในหอคอยของปรมาจารย์แห่งไฟ เซี่ยไห่หยางกำลังคุกเข่าอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าศรัทธา และมีกระเป๋าคลังเก็บสีทองสามใบวางอยู่ตรงหน้า

ส่วนปรมาจารย์แห่งไฟนั่งอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้ามีเลศนัย ที่ด้านข้างยังมีศิษย์พี่หญิงใหญ่ของหวังเป่าเล่อ เวลานี้ยืนเคร่งขรึมอยู่ข้างๆ ขณะที่มองประเมินเซี่ยไห่หยางอยู่ ปรมาจารย์แห่งไฟกล่าวขึ้นเบาๆ

“เจ้าต้องการคำนับข้าเป็นอาจารย์หรือ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ผู้เฒ่าไม่รับศิษย์อีกแล้ว หากเจ้ามีใจจริงก็คำนับศิษย์คนโตของข้านี้เป็นอาจารย์ก็แล้วกัน”

เซี่ยไห่หยางได้ฟังก็ลังเลไป แต่ในไม่ช้าก็แอบกัดฟัน คุกเข่าคำนับไปทางศิษย์คนโตที่อยู่ข้างปรมาจารย์แห่งไฟแล้วกล่าวเสียงดัง

“ยังขอให้อาจารย์ยินยอม รับไห่หยางไว้ ไห่หยางจะสำนึกบุญคุณอาจารย์อย่างแน่นอน”

“เรื่องนี้…” สีหน้าศิษย์พี่หญิงใหญ่เกิดความลังเล มองไปทางปรมาจารย์แห่งไฟ ปรมาจารย์แห่งไฟลูบเคราเป็นทีว่าแล้วแต่ตัวเจ้า

เมื่อเซี่ยไห่หยางได้เห็นเหตุการณ์นี้ ในใจเขาก็ร้อนรน หลังจากคุกเข่าคำนับอีกครั้งก็หยิบกระเป๋าคลังเก็บออกมาอีกหลายอัน วางไว้ตรงหน้าแล้วอ้อนวอนขึ้นอีกครั้ง

ท้ายที่สุดศิษย์พี่หญิงใหญ่พยักหน้าอย่างลำบากใจ จึงหมายถึงได้รับเซี่ยไห่หยางเป็นศิษย์ในสำนักแล้ว เมื่อเห็นว่าแผนสำเร็จ ในใจเซี่ยไห่หยางยินดียิ่งนัก และไม่คำนึงถึงลำดับอาวุโสเลย เขารีบเอ่ยปากอย่างร้อนรน ต่อหน้าปรมาจารย์แห่งไฟ

“ท่านอาจารย์ ศิษย์พี่หญิง ท่านช่วยบอกศิษย์ได้หรือไม่ ในหมู่พวกเรา อาจารย์อาท่านใดมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเฉินชิงจื่อ”

เมื่อได้ฟังเซี่ยไห่หยางกล่าว ปรมาจารย์แห่งไฟก็หรี่ตาแต่ไม่พูด และสีหน้าศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่อยู่ข้างท่านก็เปลี่ยนสีหน้าจากเคร่งขรึมเป็นประหลาดใจ หลังจากส่งเสียงกระแอมไอก็กล่าวขึ้น

“หากกล่าวถึงศิษย์อาเหล่านั้นของเจ้าที่สนิทสนมกับเฉินชิงจื่อดั่งพี่น้อง ที่จริงแล้ว…เจ้าก็รู้จัก”

ทันทีที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ของหวังเป่าเล่อกล่าวออกมา ยังไม่รอให้กล่าวจบ เซี่ยไห่หยางก็รู้สึกตระหนก รู้สึกถึงสิ่งผิดปกติจากคำกล่าวนี้…

……………………………………………………..

หลังจากคำสั่งของหวังเป่าเล่อที่ถ่ายทอดออกไป เขาก็รอไปเป็นเวลาเจ็ดวันเต็มๆ … เซี่ยไห่หยางจึงได้รีบมาถึง นี่ไม่ใช่เพราะเซี่ยไห่หยางเถลไหล เป็นเพราะที่ที่เขาอยู่ห่างจากหวังเป่าเล่อพอสมควร เวลาเจ็ดวันเขาได้ใช้ไปอย่างเต็มกำลังแล้ว อีกทั้งยังมีความช่วยเหลือจากดารานิรันดร์ มิฉะนั้นแล้วเกรงว่าจะใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนหรือกระทั่งนานกว่านั้น

โชคดีที่หวังเป่าเล่อไม่ได้รีบร้อน ในช่วงเจ็ดวันนี้เขานั่งขัดสมาธิอยู่นอกดารานิรันดร์ของอารยธรรมวิญญาณเพลิง และรวบรวมพลังเทพของตน ในเวลาเดียวกันก็ทำความคุ้นเคยกับวิธีสำแดงและถ่ายทอดเวทผนึกดารา

ในที่สุด หวังเป่าเล่อก็เชี่ยวชาญเวทผนึกดาราโดยสมบูรณ์แล้ว เขาสามารถกระจายมันออกไปได้ในทันที ก่อเป็นพลังเทพแข็งแกร่ง ยังสามารถหดมันให้เล็กลงเพื่อห่อหุ้มทั่วร่าง กลายเป็นปราการป้องกัน แล้วเซี่ยไห่หยางก็มาถึง

เซี่ยไห่หยางที่มาจากแดนไกล ได้ย่างเข้าสู่อารยธรรมวิญญาณเพลิง พอมองเห็นทั้งร่างของหวังเป่าเล่อกระจายพลังผันผวนที่น่าตระหนกออกมา ภายในใจเขาก็สั่นขึ้นอย่างรุนแรง

ด้านหนึ่งคือไม่ได้พบกันมานานแล้ว ฐานการฝึกตนของหวังเป่าเล่อได้แตกต่างจากในตอนแรกราวฟ้ากับดินจนน่าตื่นตระหนก อีกด้านหนึ่งคือเหล่าผู้ฝึกตนดารานิรันดร์ที่ห้อมล้อมหวังเป่าเล่อด้วยความเคารพ ราวกับขอให้หวังเป่าเล่อกล่าวเพียงประโยคเดียวก็พร้อมจะสู้เพื่อเขาได้ สะท้อนให้เห็นว่าสถานะของอีกฝ่ายในเวลานี้แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิงแล้ว!

ทั้งหมดนี้ ทำให้หลังจากที่เซี่ยไห่หยางสูดหายใจเข้าลึกแล้วก็รีบปรับความคิดในใจทันที ดังนั้นในขณะที่ได้พบกัน เขาจึงรีบส่งเสียงดังออกมา

“เซี่ยไห่หยางขอเข้าพบนายน้อยสิบหกแห่งดาราจักรไฟ” พูดพลาง เซี่ยไห่หยางประสานหมัดคารวะอย่างจริงใจ

เกือบจะในทันทีที่เซี่ยไห่หยางเอ่ยปาก หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ทันทีที่เห็นเซี่ยไห่หยาง เขาก็รีบลุกขึ้นยืน ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม เข้าไปต้อนรับในทันที พร้อมกันนั้นเสียงหัวเราะก็ดังไปทั่ว

“สหายไห่หยาง เหตุใดจึงเกรงใจเช่นนี้ พวกเราคบค้ากันมานาน ไม่ต้องถึงขนาดนี้หรอก” ท่ามกลางเสียงหัวเราะของหวังเป่าเล่อที่ใกล้เข้ามา สายตาแสดงความจริงใจ แล้วพยุงเซี่ยไห่หยางขึ้น

“หลายปีมานี้หากไม่มีสหายไห่หยางช่วยไว้หลายครั้ง ข้าแซ่หวังก็ไม่อาจมาถึงวันนี้ได้ สหายไห่หยาง ข้าไม่ได้คำนับเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องคำนับข้าแล้ว”

เซี่ยไห่หยางเมื่อได้ยินก็รู้สึกซาบซึ้งใจ จับไปที่แขนหวังเป่าเล่ออย่างหนักแน่น

“เจ้าสามารถมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ความช่วยเหลือของข้าแซ่เซี่ยเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ทั้งหมดล้วนเป็นความสามารถของตัวเจ้าเอง สหายเป่าเล่ออย่าได้ถ่อมตนไป”

“สหายไห่หยาง!”

“สหายเป่าเล่อ!”

เสียงของทั้งคนทั้งคู่ดังมาก แสดงความกระตือรือร้นเฉกเช่นผู้ที่ไม่ได้พบกันมานาน ท่ามกลางเสียงสนทนาและหัวเราะเต็มไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง ผู้คนที่มองอยู่รอบด้านรับรู้ได้ถึงมิตรภาพของคนทั้งสองต้องเป็นราวผู้สูงส่ง ที่ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เคารพกันและกัน และต่างก็ไม่ถือตน

แต่ที่จริงแล้ว… ผู้มองดูอยู่เหล่านี้ยังไม่เข้าใจเซี่ยไห่หยางและหวังเป่าเล่อ เซี่ยไห่หยางแม้จะดูกระตือรือร้นแต่ส่วนลึกในใจก็มีความอิจฉา อาจจะเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของหวังเป่าเล่อมีมากเกินไป ก่อนหน้านั้นยังเป็นเพียงจิตวิญญาณอมตะ ตอนนี้กลับเป็นดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง โดยเฉพาะบนร่างมีพลังผันผวนแผ่ออกมา แม้เขาจะมีการคุ้มกันที่ท่านปรมาจารย์มอบให้ก็ยังคงตระหนกอยู่ในใจ…Aileen-novel

และทั้งหมดนี้ นอกจากจะมีสถานะเป็นถึงศิษย์ปรมาจารย์แห่งไฟแล้ว กุญแจสำคัญที่จะทำให้การฝึกตนของตนเปลี่ยนแปลงได้ เห็นชัดว่าคงมีเพียงสุสานดวงดารา

สิ่งที่ทำให้เซี่ยไห่หยางอิจฉาอยู่ในใจก็คือสุสานดวงดารานี้เอง!

เพราะหากไม่ใช่เพราะเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับท่านพ่ออย่างกะทันหันแล้ว ทำให้เขาไม่อาจมีสิทธิ์เข้าสุสานดวงดาราเพราะต้องกลับไปจัดการในทันที เช่นนั้น…ตามแผนการของเขาก่อนหน้าและตามขั้นตอนแล้ว สุดท้ายรายชื่อของที่อารยธรรมครามทองคำส่งมาน่าจะเป็นสิ่งที่เขาควรได้รับ

หลังจากนั้นไม่ว่าจะขายออกหรือมอบให้ก็ล้วนทำให้เขาได้รับประโยชน์มหาศาล แต่ตอนนี้…ทุกอย่างได้ผ่านไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในฐานะพ่อค้าเขาสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นบนรอยยิ้มทางการค้าคนภายนอกจึงยากที่จะดูออก

ในเวลาเดียวกัน เขากำลังใคร่ครวญอยู่ในใจว่าจะใช้ความสัมพันธ์ทางการค้าครั้งก่อนระหว่างตนเองและหวังเป่าเล่อเช่นไรจึงจะบรรลุเป้าหมายของตนได้

สำหรับหวังเป่าเล่อ เขาย่อมมองรอยยิ้มที่คุ้นเคยนี้ออกแต่ก็ไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย เพราะรอยยิ้มของเขาแม้จะไม่ใช่ในเชิงการค้าแต่จุดสำคัญของความกระตือรือร้นนั้น อยู่ที่ผลประโยชน์ที่เซี่ยไห่หยางสามารถนำมา ตอนนี้สิ่งที่เขาขาดอยู่ก็คือดาวเคราะห์ทั่วไป และการมาของอีกฝ่ายก็ทำให้หวังเป่าเล่อเกิดความหวัง

ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองเดิมทีก็เป็นเช่นนี้ ในสายตาของเซี่ยไห่หยาง เมื่อความอิจฉาสลายไป สติปัญญาก็ฟื้นตามมา คุณค่าของหวังเป่าเล่อก็แตกต่างไปตามกาลเวลา ยิ่งลึกซึ้งขึ้นมาก ทำให้ต้นทุนของเขาในครั้งก่อนมีคุณค่ามากขึ้น

แต่ในสายตาของหวังเป่าเล่อ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาชนิดนี้ แม้จะไม่มีทางสนิทสนมกันได้แต่ต่างก็มีคุณค่าซึ่งกันและกัน จึงจะเป็นความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นที่สุด ดังนั้นในระหว่างการสนทนาหลังจากได้รู้ว่าเซี่ยไห่หยางมาในครั้งนี้เพื่อมาคารวะท่านอาจารย์ของตน หวังเป่าเล่อจึงเชิญอีกฝ่ายร่วมเดินทางไปยังดาวเอกเพลิงในทันที

“สหายเป่าเล่อเชิญด้วยน้ำใจ ข้าแซ่เซี่ยก็ไม่เกรงใจแล้ว” เซี่ยไห่หยางหัวเราะร่า ในขณะที่พูดคุยอย่างสนุกสนานกับหวังเป่าเล่อ ภายใต้การคุ้มกันของผู้ฝึกตนดาราจักรไฟจำนวนมากอยู่ทางเบื้องหลังก็เหาะไปทางดาวเอกเพลิง ระหว่างทางทั้งสองสนทนาเรื่องราวในอดีต แล้วกล่าวถึงสุสานดวงดาราขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

“สหายเป่าเล่อ มีเรื่องน่าสนใจ เมื่อหลายวันก่อนมีคนมาถามข้าว่าข้ามีพี่ชายชื่อเซี่ยต้าลู่หรือไม่ ข้าตอบว่าไม่มีพี่ชื่อเซี่ยต้าลู่แต่ข้ามีน้องชายชื่อนี้” ระหว่างที่เซี่ยไห่หยางกล่าว เขามองไปทางหวังเป่าเล่อเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม คำกล่าวนี้ไม่ได้ต้องการให้ลำบากใจ แต่เพื่อบอกเป็นนัยว่าข้ารู้เรื่องที่เจ้าใช้ชื่อบ้านสกุลเซี่ยของข้า ดังนั้นเจ้าติดค้างข้า

หวังเป่าเล่อพอได้ฟังก็หัวเราะร่า

“สหายไห่หยางจับข้าได้แล้ว เวลานั้นเรื่องเกิดย่อมมีสาเหตุ หลังจากกลับมาแล้วก็พบเรื่องด่วนอีกจึงไม่ได้อธิบายให้เจ้าฟังในทันที แต่คิดขึ้นมาแล้วสหายไห่หยางคงไม่ว่ากระไร อย่างไรก็ตามที่ข้าได้สิทธิ์ในสุสานดวงดารา สหายไห่หยางก็ออกแรงช่วยเหลือไว้ไม่ใช่น้อย” หวังเป่าเล่อเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้มเช่นกัน เขาพยักหน้าไปทางเซี่ยไห่หยาง คำกล่าวเป็นทั้งคำอธิบายและแฝงนัยยะให้อีกฝ่าย บนรายชื่อสุสานดวงดารา การจัดวางเรียงลำดับของอีกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นที่เริ่มแรกราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ หรือต่อมาการช่วยชีวิตภายใต้การร้องขอของตน ส่อให้เห็นถึงการปกปิดซ่อนเร้น และใช้ตนเองเพื่อให้ได้ส่วนที่กำหนดไว้ เรื่องนี้ตนมองออก ดังนั้นเรื่องน้ำใจจึงไม่มีติดค้าง

เซี่ยไห่หยางเมื่อได้ฟังก็หัวเราะขึ้น สีหน้าเป็นปกติราวกับฟังไม่ออกถึงความหมายที่แฝงอยู่ แต่กลับไม่กล่าวถึงสุสานดวงดาราอีก แต่สนทนากับหวังเป่าเล่อเรื่องเก่าเกี่ยวกับสหพันธรัฐ

หวังเป่าเล่อก็ยังยิ้มเป็นปกติและสนทนาเรื่องที่ผ่านมาไปตลอดทาง ทั้งสองคนเข้าใกล้ดาวเอกเพลิงไปทุกที สุดท้ายหลังจากที่ดาวเอกเพลิงลอยอยู่ตรงหน้า เซี่ยไห่หยางดูเหมือนจะพูดถึงการฝึกฝนของหวังเป่าเล่ออย่างไม่ตั้งใจ หวังเป่าเล่อเมื่อได้ฟังก็กะพริบตาปริบๆ แล้วทอดถอนใจขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ

“หลังจากที่ข้ามาถึงดาราจักรไฟ ข้าจึงได้รู้อย่างแท้จริงว่าที่แท้แล้วค่าตอบแทนของการฝึกตนมันสูงเช่นนี้ แค่เพียงเวทผนึกดารา กลับต้องใช้ดาวเคราะห์ทั่วไปนับหมื่นดวง” หวังเป่าเล่อก็พอมองออกว่าอีกฝ่ายมาถึงดาราจักรไฟ ก็เพราะมีเรื่องต้องการมาร้องขอ แม้จะไม่รู้ความต้องการนั้นคือสิ่งใด แต่กลับไม่รั้งรอที่จะกล่าวเรื่องที่ตนต้องการออกมา

“สูงเช่นนี้เชียวหรือ” เซี่ยไห่หยางก็แอบกล่าวขึ้นในใจ เจ้าราชสีห์หวังเป่าเล่อผู้นี้ช่างกล้าเอ่ยปาก ตนเองยังไม่ทันได้บอกว่าต้องการให้เขาทำสิ่งใด กลับเอ่ยปากต้องการดาวเคราะห์ทั่วไปนับหมื่นดวง ใบหน้าจึงปรากฏความลำบากใจ

“สหายเป่าเล่อ ไว้ข้ากลับไปจะช่วยดูให้เจ้า แต่ดาวเคราะห์ทั่วไปนับหมื่นดวงย่อมมีราคาสูง แต่พวกเราเป็นสหายกัน เรื่องนี้ข้าย่อมต้องช่วยจนสุดความสามารถ อีกอย่างในเมื่อเจ้าต้องการดาวเคราะห์ทั่วไป…ข้าก็มีบางส่วนมอบให้เจ้า ก็ถือเสียว่าเป็นของขวัญที่ได้พบหน้ากันอีกครั้งหลังจากจากกันไปนาน” พูดพลาง เซี่ยไห่หยางก็หยิบกระเป๋าคลังเก็บออกมาจากอ้อมแขนอย่างภาคภูมิใจแล้วส่งให้หวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อก็ไม่เกรงใจ หลังจากรับไปก็กวาดตามอง เห็นว่าภายในมีดาวเคราะห์ทั่วไปหนึ่งดวงส่องประกาย เขาหรี่ตาลงทันที ของขวัญพบหน้าของอีกฝ่ายนี้ดูเหมือนจะมีเพียงดวงเดียว แต่คุณค่าดาวเคราะห์ทั่วไปน่าตะลึง ดังนั้นของกำนัลพบหน้านี้แม้จะไม่ได้สำคัญมากแต่ก็ไม่น้อยแล้ว

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็พอมองออกว่าการมาดาราจักรไฟของเซี่ยไห่หยางในคราวนี้ สิ่งที่ร้องขอก็คงไม่น้อยเช่นกัน ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงลูบกระเป๋าคลังเก็บอยู่ ไม่ได้รีบเก็บไปแต่มองไปยังเซี่ยไห่หยาง

“สหายไห่หยาง มีสิ่งใดก็บอกมาได้เลย ไม่ทราบว่าต้องการให้ข้าแซ่หวังทำสิ่งใด”

เซี่ยไห่หยางหัวเราะ หลังจากไตร่ตรองแล้วจึงกล่าวขึ้นเบาๆ

“สหายเป่าเล่อ ข้าคิดอยากให้เจ้าช่วยแนะนำข้าต่อศิษย์พี่หรือปรมาจารย์ของท่าน…หากจำเป็นก็ช่วยพูดให้ข้าด้วย หลังจากสำเร็จ ข้าจะให้ดาวเคราะห์ทั่วไปกับเจ้าอีกหนึ่งดวง”

หวังเป่าเล่อเมื่อได้ฟังก็ชะงักไป เขาเลิกคิ้วขึ้น กล่าวในใจว่าศิษย์พี่ชายหญิงของตนล้วนแล้วแต่เป็นอาจารย์ แต่คำกล่าวนี้เขาย่อมไม่อาจบอกอีกฝ่ายได้ อีกอย่างดาวเคราะห์ทั่วไปดวงสองดวงมูลค่าไม่ใช่น้อย แต่ให้ตนไปแนะนำแล้วให้ชื่นชมด้วย แม้ตนจะมีน้ำใจไปช่วยก็ออกจะน้อยไปอยู่บ้าง ด้านความจริงใจก็ยังไม่เพียงพอ…แต่หลังจากไตร่ตรองแล้วเขายังคงถามต่อไปอีก

“ไม่ทราบว่าเจ้าคิดจะพบศิษย์พี่ท่านใดของข้าหรือ”

……………………………………………………..

ภาพลวงตาเทพวัวแทบจะอยู่นอกร่างหวังเป่าเล่อ ปรากฏตัวนอกดารานิรันดร์อารยธรรมวิญญาณเพลิง แหงนฟ้าคำรามอย่างไร้เสียง เวลาเดียวกับพายุที่ระเบิดกระจายออกมาทุกทิศทุกทาง บนดาวเอกเพลิง ศิษย์พี่ทั้งสิบสี่คนของเขากำลังเอนร่างอยู่บนหินที่แปลงมา สองมือหนุนอยู่หลังศีรษะ ศิษย์สิบห้ากำลังร้องเพลงในลำคออยู่ก็พลันสะดุ้งขึ้น แล้วมองออกไปทางอารยธรรมวิญญาณเพลิงที่ไกลออกไป

สีหน้าของพวกเขาแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ในขณะนี้รอยยิ้มเผยขึ้นที่มุมปากของเขาและดวงตาปรากฏความปลาบปลื้มใจ ก็เหมือนกับภายในร่างเยาว์วัยนี้ปรากฏวิญญาณชราอยู่ภายใน!

ไม่เพียงแต่เขาที่เป็นเช่นนี้ เวลานี้หินอื่นที่อยู่ใต้ร่างก็ปรากฏใบหน้าลอยออกมา มีอารมณ์เช่นเดียวกับศิษย์สิบห้า ยังมีต้นไม้ใหญ่สิบสามต้นที่แปลงมา ยังมีศิษย์พี่หญิงสิบสองที่อ่อนโยนและศิษย์พี่หญิงสิบเอ็ดที่เผด็จการเป็นต้น ในขณะนี้ต่างก็มีสีหน้าเช่นเดียวกัน!

ไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่เจ็ดที่หน้าตาบวมช้ำ ยังมีศิษย์พี่สามที่อาบน้ำอยู่ในหินละลาย ยังมีศิษย์พี่รองที่อยู่ในหอคอย และศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่เล่นหมากรุกกับเขา รวมกระทั่งวัวเฒ่าที่เดิมทีหลับไหลอยู่ก็ตาม ต่างก็มีอารมณ์ยิ้มแย้มเช่นเดียวกัน!

ด้วยความโล่งอก ด้วยความห่วงใย และด้วยความคาดหวัง

“เจ้าเด็กผู้นี้เริ่มมีพลังแล้ว” ศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่อยู่ในหอคอยศิษย์พี่รองหัวเราะร่าแล้ววางหมากในมือลงไป

“สามารถฝึกฝนถึงระดับพลังนี้ได้อย่างรวดเร็วด้วยระยะเวลาสั้นๆ นอกจากการที่ท่านอาจารย์จัดให้สรงน้ำแล้ว การที่เวทผนึกดาราเข้ากันได้กับต้นทุนธรรมชาติของเขาอย่างลงตัวก็เป็นสิ่งสำคัญ” ศิษย์พี่รองแหงนหน้าขึ้นกล่าวอย่างอ่อนโยน เขารู้ดีว่าเคล็ดวิชาที่เหมาะสมมีความสำคัญต่อผู้ฝึกตนอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเคล็ดวิชาระดับนี้อย่างเวทผนึกดารา จะยิ่งสามารถทำให้ผู้นั้นตรงขึ้นสู่สวรรค์ชั้นเก้าได้โดยไม่เปลืองแรง!

ที่จริงแล้วนี่คือเส้นปราณเพลิงของพวกเขา เคล็ดวิชาที่เสริมพลังที่สุด!

“ท่านอาจารย์ไม่อยู่ ถึงกับไปขอประมุขกฎสวรรค์ด้วยตนเอง ด้วยศิษย์น้องกำลังศึกษาและฝึกฝนเต๋าสวรรค์บรรพกาล เพื่อทำให้เวทผนึกดาราแก้ไขปรับปรุงด้วยตนเองให้เหมาะกับต้นทุนธรรมชาติของศิษย์น้องสิบหก ด้วยความสามารถของเขา สามารถทำได้ถึงจุดนี้ท่านอาจารย์ต้องทุ่มเทไปมาก…” ขณะที่ศิษย์พี่รองกล่าวเสียงเบา ศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าก็หัวเราะขึ้นมา

“ค่าตอบแทนแม้จะไม่น้อยแต่กลับคุ้มค่า ชั่วชีวิตการฝึกตนของข้า คิดจะแสวงหามหาเต๋าที่แท้จริง เคล็ดวิชาแม้จะสำคัญ ต้นทุนธรรมชาติแม้จะสำคัญ โชคชะตาแม้จะสำคัญ อาวุธเวทแม้จะสำตัญ…แต่บนความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นรอง สิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรกอย่างแท้จริงก็คือพลัง!”

“จากระดับดาวพระเคราะห์ ก็ต้องเริ่มบ่มเพาะพลังไร้ความกลัว!”

“ขอเพียงมีปณิธานเช่นนี้ จึงจะสามารถมีความก้าวหน้าไม่หยุดยั้ง มวลสรรพสิ่ง เต๋าสวรรค์ทั้งจักรวาล ล้านวิธีหมื่นช่องทางก็ไม่มีพลังใดมาหยุดยั้งได้!”

“หากกระแสพลังนี้ไม่ดับ ลิขิตให้ไปถึงจุดสูงสุด และสำเร็จเป็นไร้พ่ายทั่วหล้า!” ศิษย์พี่หญิงใหญ่แหงนหน้าหัวเราะ สายตามีความคาดหวังอย่างแรงกล้า ปากพึมพำคำพูดที่มีเพียงนางเท่านั้นที่ได้ยิน

“ลมปราณเพลิงไม่แน่นอน ศิษย์ทั้งหมดต่างมีพลังชนิดนี้ แต่กฎสวรรค์ไร้เมตตา ร่วงหล่นไม่ขาดสาย…แต่ข้าเชื่อว่า หากยังคงเดินหน้าต่อไป พลังนี้จึงจะเป็นทางสู่มหาเต๋า!”

ภายในดาวเอกเพลิงนี้ เมื่อสายตาของทุกคนจับจ้องไปที่อารยธรรมวิญญาณเพลิง เวลานี้นอกดารานิรันดร์แห่งอารยธรรมวิญญาณเพลิง ที่ใจกลางหว่างคิ้วของเงาแห่งเทพวัวที่กำลังแหงนหน้าคำราม หวังเป่าเล่อที่อยู่ภายในดาวเคราะห์เต๋า ในสีหน้ามีความมุ่งมั่นกำลังค่อยๆ ถือกำเนิด!..ไอรีนโนเวล

“ตอนนี้ดูไปแล้วระดับดาวพระเคราะห์…เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลง!” หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงความผันผวนของระดับฝึกฝนภายในร่าง เห็นๆ อยู่ว่าเป็นเพียงดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง แต่ให้ความรู้สึกว่า หากตนใช้อย่างเต็มกำลัง เช่นนั้นก็สามารถใช้การฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ถึงจะเอาชนะตนเองได้ แต่หากคิดจะสังหารตนเองในเขตแดนนี้ เกรงว่ามองไปทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แม้จะมีก็แทบจะเหมือนงมเข็มในมหาสมุทรแล้ว”

“กฎสลักเพียงหนึ่งเดียวของดาวเคราะห์เต๋า กฎเก้าดาวบรรพกาล วิชาดวงเนตรปีศาจช่วยกลไกสังหาร เวทผนึกดาราระเบิดพลัง…” หวังเป่าเล่อพึมพำเบาๆ ความมุ่งมั่นภายในใจ นับวันยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ราวกับทั้งเขาและเงาแห่งเทพวัวนี้ได้รับการชี้แนะที่ไร้รูปในระหว่างการผนึกกาย ในเวลานี้ทำให้พลังยิ่งแข็งแกร่งขึ้น

กฎเกณฑ์จักรวาลส่งผลไปทั่วทิศ ทำให้พลังของแต่ละกฎรอบด้านเปลี่ยนไป ท่ามกลางเสียงคำรามแห่งจักรวาล ผู้ฝึกตนดารานิรันดร์ไม่น้อยที่อยู่รอบอารยธรรมวิญญาณเพลิง รวมทั้งอารยธรรมที่อยู่ใกล้เคียง ภายใต้การน้อมคำนับอย่างเซ็งแซ่ เขายกมือขวาขึ้นโบก

ตอนนี้ดาวเคราะห์ทั่วไปร้อยดวงที่อารยธรรมครามทองคำนำมากำนัลถูกเขานำออกมาทั้งหมด ดาวเคราะห์ทั่วไปเหล่านี้ได้ถูกขัดเกลาและถูกผนึกเอาไว้ ดังนั้นดูไปแล้วก็เป็นเพียงลูกปัดที่มีขนาดและสีสันที่แตกต่างกันเท่านั้น

แต่หากปลดผนึกออก พวกมันก็จะกลายเป็นดาวพระเคราะห์แต่ละดวงในทันที และกระจายไปในจักรวาล กลายเป็นดวงดาราขึ้นมาใหม่

“แม้ว่าข้าจะเพียงฝึกเวทผนึกดาราขั้นแรกถึงชั้นมหาวัฏจักร…ยังไม่ได้ฝึกถึงขั้นที่สอง แต่ข้ารู้สึกว่า…ดาวเคราะห์ทั่วไปเหล่านี้ ข้าน่าจะสามารถผนึกกายได้!” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ทันใดนั้นแสงดาวเคราะห์เต๋าที่อยู่นอกร่างเขาส่องประกาย ดาวเคราะห์เต๋าแผ่กระจายไปทั่วแผนที่ดวงดาวเทพวัว ทำให้ระหว่างที่เทพวัวสั่นเสียงดังก้อง แม้พลังจะไม่เพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ แต่ในด้านระดับขั้น พลังแห่งดาวเคราะห์เต๋าที่ยืมมาก็มีความแตกต่าง

ในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อยกสองมือขึ้นและบีบลงทันที เวลานี้เงาของเทพวัวที่อยู่นอกร่างเขาคำรามขึ้นอีกครั้ง มันอ้าปากดูดเอาดาวเคราะห์ทั่วไปร้อยดวงที่กลายเป็นลูกปัดแสงนั้นเข้าไปอย่างแรง

ภายใต้การดูดนี้ ทันใดนั้นลูกปัดแสงดาวเคราะห์ทั่วไปร้อยดวงก็ฉายแสงและพุ่งไปที่เทพวัวทนัที ขณะนี้ก็ถูกเทพวัวดูดกลืน กระจายไปทั่วร่าง เกิดการผนึกกายเข้ากับสะเก็ดดาวในตำแหน่งต่างๆ ขั้นตอนนี้ไม่ได้กินเวลานานจนเกินไป เพียงกว่าสิบอึดใจ ตามการสะบัดแขนของหวังเป่าเล่อ เงาแห่งเทพวัวที่อยู่นอกร่างก็คำรามออกมาอีกครั้ง

คราวนี้เสียงดังยิ่งขึ้นและพลังก็แข็งแกร่งขึ้น ด้วยเพราะในแผนที่ดวงดาวเทพวัวนี้ หนึ่งร้อยตำแหน่งที่ส่องประกายของ สะเก็ดดาวถูกดาวเคราะห์ทั่วไปผนึกกาย กลายเป็นดวงดารา!

แม้ว่าจะเปรียบเทียบกับดาวทั้งหมดแล้ว ดาวเคราะห์ทั่วไปร้อยดวงเป็นเพียงหนึ่งในร้อย แต่สำหรับเทพวัวที่เพิ่มระดับโดยรวมขึ้นมามาก จึงทำให้แสงในแววตาของหวังเป่าเล่อยิ่งสุกสกาวขึ้น

“ผลที่สุดด้วยพลังของดาวเคราะห์เต๋า ตอนที่ข้าอยู่เวทผนึกดาราขั้นแรก ก็สามารถทำการฝึกตามกฎปกติ มีเพียงไปถึงขั้นที่สองเท่านั้น จึงจะสามารถผนึกกายดาวเคราะห์ทั่วไปได้!”

“ด้วยวิธีนี้ ข้าก็มั่นใจว่าหลังจากฝึกตนไปถึงขั้นที่สองแล้ว ก็จะไปหลอมรวมดวงเคราะห์วิญญาณอมตะ เช่นนี้…เมื่อถึงขั้นที่สาม การหลอมรับกับดาวเคราะห์พิเศษ ก็ไม่น่าเป็นปัญหา!”

“หากมีวันหนึ่ง ข้าสามารถหลอมรวมดาวเคราะห์พิเศษนับหมื่น กลายเป็นเงาแห่งเทพวัว พลังของมันจะมีมากเท่าไหร่” สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อสั่นคลอน และเขาไม่อาจจะจินตนาการได้ แต่ความคาดหวังแบบนี้กลับหยั่งรากลึกในหัวใจของเขาและปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง

“ดาวเคราะห์เต๋าเปรียบเสมือนการทำให้เคล็ดวิชาของข้ารวมเป็นหนึ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ หากข้าฝึกจนถึงขั้นที่สี่ เช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นระดับใด ก็จะเป็นขั้นที่ห้าที่ไม่เคยมีมาก่อน!”

“เช่นนี้… วิธีการที่ข้าทะลวงผ่านดาวพระเคราะห์ เป็นไปได้อย่างมากว่าจะไม่หลอมรวมดารานิรันดร์อีก…” หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ในใจ ขณะที่จิตวิญญาณสุขสม ความคิดบ้าระห่ำก็เกิดขึ้นในใจ

“เป็นไปได้หรือไม่ที่จะใช้เวทผนึกดารามาทำให้ดาวเคราะห์เต๋าขั้นธรรมดาของข้า จากดาวพระเคราะห์ของข้ากลายเป็นดารานิรันดร์ หากทำได้แล้ว เช่นนั้นระดับการฝึกตนของข้าก็ย่อมทะลวงผ่านจากดาวพระเคราะห์ก้าวขึ้นสู่ระดับดารานิรันดร์เป็นธรรมดา!” ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายประหลาด ไม่ว่าจะเป็นนิมิตมืดในตอนแรก หรือว่าช่วงเวลาบนดาวเอกเพลิงนี้ ตนได้สอบถามเทพวัว อีกทั้งเขายังเคยตรวจดูคัมภีร์มาก่อน

ทั้งหมดนี้ทำให้เขากระจ่างว่ามีหลายวิธีที่ผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์จะไต่ขึ้นดารานิรันดร์ และเนื่องจากระดับชีวิตที่เปลี่ยนแปลงำแ ดังนั้นจึงไม่ถูกจำกัดอีกต่อไป และยังมีทางเลือกมากมายที่สามารถไต่ระดับได้

แต่โดยพื้นฐานแล้วไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ล้วนไม่สามารถรับประกันความสำเร็จได้ โดยทั่วไปอัตราการล้มเหลวก็มีมาก แต่เวลาและค่าตอบแทนที่จำเป็นต้องเตรียมการก็ถึงขั้นเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ อย่างเช่น…หากอารยธรรมที่มีอยู่ไม่เคยมีดารานิรันดร์ปรากฏมาก่อน เช่นนั้นขอเพียงทำให้อารยธรรมของตนไต่ระดับก็จะเป็นเช่นเดียวกับโชคชะตาตอบแทน ทำให้ระดับชีวิตของผู้ฝึกตนโชติช่วงขึ้น ก็จะก้าวสู่ระดับดารานิรันดร์ได้อย่างราบรื่น

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลงและไม่ได้ครุ่นคิดอีกต่อไป อาจเป็นเพราะเขายังห่างไกลจากการทะลวงผ่านอยู่มาก เวลานี้กระบวนเวทเทพที่บังเกิดอยู่ต่อหน้านี้สำคัญที่สุด ยังคงต้องหาวิธีทำให้ได้ดาวเคราะห์ทั่วไปอย่างพอเพียง นำดาวเคราะห์ทั่วไปนับหมื่นทดแทนให้เพียงพอก่อนนั่นจึงเป็นสิ่งสำคัญ ดังนั้นหลังจากหวังเป่าเล่อตระหนักจึงเงยหน้าขึ้น สัมผัสสวรรค์เคลื่อนไหว เงาร่างแห่งเทพวัวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังเปลี่ยนแปลงอยู่ด้านนอก ทันใดนั้นก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็วท่ามกลางแสงที่ส่องประกาย ราวกับม้วนตัว ท้ายที่สุดหลังจากย้อนกลับมาในร่างตนเอง หวังเป่าเล่อก้าวออกไปหนึ่งก้าว ในชั่วพริบตาร่างของเขาก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าผู้ฝึกตนดารานิรันดร์จากอารยธรรมวิญญาณเพลิงและอารยธรรมใกล้เคียงที่มาเพื่อคุ้มครองเหล่านั้น

“คารวะนายน้อย!” ผู้ฝึกตนดารานิรันดร์เหล่านี้ต่างพากันก้มศีรษะ คำนับด้วยความเคารพ

“ขอบคุณมาก!” ด้วยสถานะที่แตกต่าง เพียงคำพูดเดียวก็สามารถชี้เป็นตายคนในดาราจักรไฟได้ แต่หวังเป่าเล่อรู้ดีว่านี่เป็นเพราะท่านอาจารย์ ซึ่งเป็นอำนาจของผู้อื่น มิใช่เป็นเพราะตนเอง ดังนั้นเขาจึงยังคงคารวะกลับอย่างสุภาพ ขณะที่กำลังจะกลับดาวเอกเพลิง ผู้ฝึกตนดารานิรันดร์อารยธรรมวิญญาณเพลิงที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าลังเล ก่อนเอ่ยปากเสียงเบา

“นายน้อย มีผู้ฝึกตนที่ชื่อเซี่ยไห่หยางอ้างว่าเป็นสหายเก่าของท่าน ได้รออยู่ด้านนอกมานานแล้ว…”

“เซี่ยไห่หยาง?” หวังเป่าเล่อผงะไป กะพริบตาปริบๆ ในขณะนี้ ดวงตาของเขามีประกายตื่นเต้นยินดี เขากำลังกังวลว่าไม่มีดาวเคราะห์ทั่วไปเพียงพอ … ดังนั้นหลังจากส่งเสียงกระแอมไอ เขาก็เอ่ยปากขึ้นทันที

“รีบเชิญ!”

ที่ที่ห่างจากสถานที่หวังเป่าเล่อกำลังฝึกอยู่นี้เป็นจักรวาลที่อยู่ไกลออกไป และผู้ที่ไปยับยั้งเซี่ยไห่หยางไม่ใช่ผู้ฝึกตนดารานิรันดร์ของอารยธรรมที่อยู่ใกล้เคียง แต่เป็นผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ผู้หนึ่ง

ร่างนี้ใกล้เคียงกับมนุษย์ แต่เลือดภายในร่างกลับแตกต่าง และก่อขึ้นจากหินละลาย อัจฉริยะผู้มีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับกฎธาตุไฟมาแต่กำเนิด พลังการต่อสู้ของเขาภายในดาราจักรไฟสูงกว่าโลกภายนอกไม่น้อย แม้จะเป็นผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันก็ไม่อาจทำอะไรเขาได้

ดังนั้นแม้ว่าเขาจะสัมผัสได้ถึงกระสวยบินของเซี่ยไห่หยางนั้นไม่ธรรมดา และตรวจสอบถึงการฝึกตนภายในของเซี่ยไห่หยางไม่อาจวัดได้ แต่เขาก็ยังคงแสดงความหยิ่งผยองเย็นชา

เพราะเขาไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะคิดเช่นไร แต่ตอนนี้เขากำลังทำงานให้นายน้อย หากอีกฝ่ายมีผู้หนุนหลังก็ย่อมแจ้งชัดได้เอง หากไม่มีที่มาที่ไปยังกล้าแข็งขืน เช่นนั้นเขาก็จะได้โอกาสสร้างผลงานให้ประจักษ์แล้ว

หลังจากกล่าวจบ เขาก็ยืนอยู่ที่นั่น มองตรวจตราไปที่กระสวยด้วยสายตาเย็นชา

“นายน้อยหรือ” หลังจากเซี่ยไห่หยางได้ยินคำกล่าวของอีกฝ่ายก็รู้สึกตระหนก คำเรียกขานของอีกฝ่าย เขาย่อมเข้าใจได้เองว่านี่เป็นเหล่าสานุศิษย์ของปรมาจารย์แห่งไฟที่ปรากฏอยู่ในบริเวณนั้น และกำลังดำเนินการบางอย่างที่ค่อนข้างสำคัญ ดังนั้นจึงมีคำสั่งให้ผนึกจักรวาลรอบด้าน ทำให้คนนอกทั้งหมดไม่อาจเข้าใกล้

“ไม่ทราบว่าเป็นศิษย์ท่านใดของท่านปรมาจารย์แห่งไฟ…หรือว่านี่อาจเป็นโอกาส!” ความลังเลใจของเซี่ยไห่หยางตกอยู่ในสายตาของผู้ฝึกตนตรงหน้าที่ขัดขวางเขาทันที แต่หลังจากตรวจตราการปรากฏตัวของเซี่ยไห่หยาง ผู้ฝึกตนคนนี้ก็ถอนหายใจด้วยความเสียดาย และรู้ว่าตนเองไม่มีโอกาสสร้างผลงานแล้ว ผู้ที่อยู่ตรงหน้าแม้เป็นผู้มีภูมิหลัง แต่เห็นชัดว่าไม่กล้าฝ่าฝืน

เมื่อคิดว่าไม่มีโอกาสได้สร้างผลงานแล้ว ผู้ฝึกตนนี้ก็โบกมืออย่างเหลืออด

“ยังไม่ถอยไปอีก!” พูดพลาง พร้อมกับที่เขาสะบัดมือพายุเพลิงก็ระเบิดขึ้นไปบนท้องฟ้า กลายเป็นทะเลเพลิงที่ด้านหน้าเขา ตรงที่กระสวยของเซี่ยไห่หยางอยู่ มันดันตัวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะผลักอีกฝ่ายให้พ้นไปจากที่แห่งนี้

หากเป็นเวลาอื่นและสถานที่อื่น ด้วยสถานะของเซี่ยไห่หยางคงไม่ถูกอีกฝ่ายทำการป่าเถื่อนเช่นนี้ต่อหน้าตนเองเป็นแน่ แต่ตอนนี้เขามาขอความช่วยเหลือในดาราจักรไฟ ดังนั้นเขาทำได้เพียงเก็บอารมณ์และควบคุมกระสวยถอยหนีจากเปลวเพลิง ในเวลาเดียวกันเขาก็ปรากฏร่างขึ้นนอกกระสวยและยืนอยู่ด้านบน กำหมัดคารวะไปเบื้องหน้า

“สหายเต๋าผู้นี้ ไม่ทราบว่าข้างหน้าเป็นศิษย์ท่านใดของปรมาจารย์แห่งไฟหรือ? ผู้น้อยเซี่ยไห่หยางแห่งตระกูลเซี่ย มาที่นี่เพื่อคารวะท่านปรมาจารย์แห่งไฟ!”

เมื่อผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์นั้นได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไป เก็บพลังเทพและประเมินเซี่ยไห่หยางอย่างถี่ถ้วน แล้วจึงยกมือขึ้นเพื่อคารวะตอบ

“ที่แท้เป็นสหายเต๋าเซี่ย หากสหายเต๋าจะไปคารวะท่านปรมาจารย์ก็ยังคงต้องอ้อมไปแล้ว เพราะว่าเป็นนายน้อยสิบหกกำลังฝึกอยู่เบื้องหน้า เรามีหน้าที่รับผิดชอบ มิอาจให้คนภายนอกเขาไปได้ ขออภัยด้วย!”

“นายน้อยสิบหกหรือ” เซี่ยไห่หยางถึงกับตะลึง อิงจากข้อมูลที่เขารวบรวมมาได้ เขารีบถามกลับในทันที

“นายน้อยสิบหกใช่หวังเป่าเล่อหรือไม่”..ไอลีนโนเวล

“บังอาจ ไม่ว่าเจ้าจะมาจากไหน สำหรับภายในดาราจักรไฟของข้า กล้าดีเช่นไรมาเรียกชื่อนายน้อย” “ผู้ฝึกตนดาวเพระคราะห์นั้นขณะนี้สีหน้าน่าเกรงขาม เขาส่งเสียงดัง ระเบิดพลังฝึกตนออกมาราวกับเจ้านายได้รับความอัปยศ ในขณะที่เซี่ยไห่หยางก็แอบด่าสุนัขรับใช้อยู่ในใจแต่ภายนอกกลับร้องเสียงดังขึ้นมา

“เข้าใจผิดแล้วสหายเต๋า นี่เป็นการเข้าใจผิด ข้าแซ่เซี่ยเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกับเป่าเล่อ ในขณะที่ข้ามาที่นี่เพื่อคารวะท่านปรมาจารย์ก็ตั้งใจมาเยี่ยมเพื่อนเก่าด้วย รบกวนท่านช่วยไปบอกว่า…เซี่ยไห่หยางมาแล้ว หวังจะมาพบสหายเป่าเล่อ!” เซี่ยไห่หยางหัวเราะร่า ตอนนี้สีหน้าสงบเยือกเย็นมาก ทำให้คำพูดของเขาเต็มไปด้วยพลังโน้มน้าวใจ

สิ่งนี้จึงทำให้ผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ลังเล หลังจากมองเซี่ยไห่หยางอย่างถี่ถ้วน ก็ไม่ได้ขับไล่เขาต่อไป แต่ให้เขารออยู่ที่นี่ ตนเองนำแผ่นหยกออกมา ส่งเสียงไปทางปรมาจารย์ดารานิรันดร์สำนักตน

แต่แม้แต่ปรมาจารย์ของผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์นี้ ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะติดต่อหวังเป่าเล่อได้โดยตรง ด้วยอารยธรรมของพวกเขา ห่างจากที่ที่หวังเป่าเล่อกำลังฝึกอยู่ ห่างไกลเกินไปแล้ว ดังนั้นข่าวการมาของเซี่ยไห่หยาง ทำได้เพียงส่งต่อไปเป็นขั้นๆ แม้จะถึงภายในอารยธรรมวิญญาณเพลิง ก็ยังคงไม่อาจบอกต่อหวังเป่าเล่อได้ในทันที

อย่างไรก็ตามเวลานี้หวังเป่าเล่อกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในสายธารแห่งสะเก็ดดาว แยกตัวจากการติดต่อโลกภายนอกทั้งหมด ดำดิ่งทั้งร่างกายและจิตใจไปท่ามกลางการโคจรเวทผนึกดาราขั้นที่หนึ่ง

ด้วยการดำเนินการฝึกตนของเขา และด้วยการโคจรเวทผนึกดารา ความผันผวนบนร่างของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ในท้ายที่สุดเก้าดาวบรรพกาลข้างกายก็เปลี่ยนไปอย่างอัศจรรย์ ก่อตัวเป็นดาวเคราะห์เต๋า พลังกดดันส่งออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อสายธารแห่งสะเก็ดดาว ทำให้ส่งเสียงคำรามออกไปทั่วทุกทิศทางเป็นระยะๆ

ในขณะเดียวกัน ภายใต้การโคจรเวทผนึกดาราของหวังเป่าเล่อที่ค่อยๆ กระจายออกไป จนกระทั่งครึ่งเดือนต่อมา เมื่อระลอกคลื่นกระจายออกบนร่างหวังเป่าเล่อ ครอบคลุมไปทั่วสายธารแห่งสะเก็ดดาวอย่างไร้ขอบเขต เขาลืมตาขึ้นทันที

“ใกล้จะสำเร็จแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการหาสะเก็ดดาวที่เหมาะสมเพื่อทำให้เวทผนึกดาราชั้นแรกของข้า..สำเร็จอย่างสมบูรณ์ที่สุด!” ระหว่างที่พึมพำ หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นและกระแทกไปทางด้านหน้า ท่ามกลางสะเก็ดดาวจำนวนมากที่อยู่เบื้องหน้าเขา อยู่ๆ ก็มีดารานิรันดร์สลัดออกจากแรงดูดดวงหนึ่ง พุ่งตรงมาทางหวังเป่าเล่อ

ในขณะที่มันใกล้เข้ามา หวังเป่าเล่อส่อแววตาแปลกประหลาด รีบยกมือหนีบไว้ ดาวเคราะห์เต๋าที่ก่อจากเก้าดาวบรรพกาลที่อยู่รายรอบนั้นเป็นแกนหลัก แผนที่ดวงดาวขนาดมหึมาปรากฏออกมาจากรอบตัวเขาโดยตรง

แผนที่ดวงดาวนี้ประกอบด้วยประกายไฟที่แปลงจากดาวหมื่นดวง แลดาวแต่ละดวงดูราวประกายไฟจากดวงดารา แท้ที่จริงล้วนเป็นเพียงเห็บวัวที่หดเป็นทรงกลมเรียงต่อกันไป ก่อเป็นโครงร่างของเทพวัว และที่หว่างคิ้วของโครงร่างส่วนศีรษะเทพวัวนี้ก็เป็นที่ดาวเคราะห์เต๋าสถิตอยู่ ภายในดาวเคราะห์เต๋านี้จึงเป็น…หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่

ในขณะที่โครงร่างของแผนที่ดวงดาวปรากฏขึ้น ภายใต้แรงดึงของพลังแห่งแผนที่ดวงดาว สะเก็ดดาวที่ถูกเขาดูดซับมาแต่ละดวงหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่ง แทรกเข้าไปภายในแผนที่ดวงดาวของหวังเป่าเล่อโดยตรง เข้าไปผนึกกายรวมกับหนึ่งในประกายไฟอย่างรวดเร็ว

จนกระทั่งมันถูกรวมเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ เห็บวัวที่เดิมทีอยู่ภายในประกายไฟนั้น ก็เข้าสู่ภายในสะเก็ดดาวอย่างราบรื่นแล้ว และทันทีที่หลอมรวมกันเป็นหนึ่ง พลังกดดันที่กระจายออกจากแผนที่ดวงดาวของหวังเป่าเล่อนี้ เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด!

หลังจากสัมผัสอย่างระมัดระวังแล้ว หวังเป่าเล่อก็รู้สึกเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และเริ่มหนีบสะเก็ดดาวขึ้นมาอีกครั้งจากสายธารทันที เขาเลือกสะเก็ดดาวทีละดวง เสียงร้องมาจากทุกทิศทุกทางพุ่งตรงเข้ามาที่หวังเป่าเล่อ ทั้งหมดกำลังใกล้เข้ามา ผลกระทบที่ได้รับจากแรงดูดดาวไฟก็น้อยลงเรื่อยๆ สุดท้ายกลายเป็นสายรุ้งและหลอมรวมเข้ากับประกายไฟภายในแผนที่ดวงดาวเทพวัวของหวังเป่าเล่อ

ก็เป็นเช่นนี้ เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ และการฝึกตนของหวังเป่าเล่อก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว สะเก็ดดาวที่ผนึกกายสองสามดวงจากตอนเริ่มต้น ก็ไปถึงนับร้อยนับพันอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งผ่านไปอีกครึ่งเดือน จำนวนสะเก็ดดาวก็เกินกว่าหกพันแล้ว

พลังกดดันของแผนที่ดวงดาวเทพวัวก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถึงตอนนี้ความผันผวนที่แผนที่ดวงดาวแผ่ออกมาทั้งหมด แม้แต่ปรมาจารย์ดารานิรันดร์อารยธรรมวิญญาณเพลิงที่ด้านนอกสายธารแห่งสะเก็ดดาวก็ยังต้องตื่นตะลึง

แม้ว่าเขาในฐานะผู้ฝึกตนดารานิรันดร์ แต่เขาก็ยังรู้สึกได้ว่าเวลานี้ในสายธารแห่งสะเก็ตดาวมีพลังหนึ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เขารับรู้ได้ถึงอันตราย ที่กำลังกระจายออกมาอย่างบ้าคลั่ง

ผ่านไปอีกครึ่งเดือน ภายใต้การรอคอยของเซี่ยไห่หยาง ร่างหวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็สะดุ้งขึ้น เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง สายรุ้งที่กลายมาจากสะเก็ดดาวสิบสายบินมาจากรอบด้าน ทำให้ในโครงแผนที่ดวงดาวของตนเอง สิบประกายไฟสุดท้ายเข้ามาเติมเต็มในทันที ทำให้เวทผนึกดาราขั้นแรก…เป็นชั้นมหาวัฏจักรอย่างสมบูรณ์!

ในเสียงคำราม เงาร่างเทพวัวที่ก่อจากสะเก็ดดาวนับหมื่นดวงนั้นดูราวกับมีชีวิต ขณะที่หวังเป่าเล่อลุกขึ้นยืน เช่นเดียวกับยืนอยู่ท่ามกลางจักรวาล เขาแหงนหน้าส่งเสียงคำรามสะเทือนไปทั่วทิศ

เพียงคำรามก็ก่อเกิดเป็นคลื่นไร้รูปกระจายออกไปรอบๆ ราวกับพายุที่ระเบิดกวาดไปทั่วทิศ ทำให้ผู้ฝึกตนนอกพิภพภายใต้ดารานิรันดร์ทั้งหมดสะเทือนไปทั่ว จนต้องถอยห่างออกมาไม่อาจเข้าใกล้ แม้จะเป็นดารานิรันดร์ สัมผัสสวรรค์ของแต่ละคนสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เมื่อมองไปในสายธารแห่งสะเก็ดดาวที่เวลานี้ก็ปรากฏเงาแห่งเทพวัวร่างมหึมาซึ่งกำลังแหงนหน้าคำราม ทุกคนเห็นก็ต่างก็ก้มศีรษะกันเซ็งแซ่

“ขอแสดงความยินดีกับนายน้อย กระบวนเวทเทพบังเกิดแล้ว!”

…………………………………………………

อาณาบริเวณของดาราจักรไฟกว้างใหญ่เกินไป และแม้กระสวยของเซี่ยไห่หยางจะรวดเร็ว แต่หลังจากเข้าสู่ดาราจักรไฟแล้ว เขาก็เกิดความวิตก และกังวลว่าความเร็วจะถูกเข้าใจเป็นความโอหัง เป็นเหตุให้ปรมาจารย์แห่งไฟไม่พอใจ

ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะควบเร็วเกินไป แต่ยังคงเดินหน้าต่อไปด้วยความเร็วคงที่ ถึงกระนั้น ความเร็วโดยรวมก็ยังไม่ช้า ตามกำหนดการของเขา อย่างมากสี่เดือน ตนเองก็สามารถไปถึงดาวเอกเพลิงได้

“ปรมาจารย์แห่งไฟเคยเกิดเหตุกลียุค มีความแค้นคร้้งใหญ่ถึงเป็นถึงตายกับตระกูลไม่รู้สิ้น นิสัยจึงเปลี่ยนไปจนแปลกประหลาดและเจ้าอารมณ์…แม้ข้าจะเคยติดต่อกับเขาหลายครั้ง แต่เฒ่าประหลาดเช่นนี้ ไม่สามารถกำหนดได้ด้วยเหตุผลหรอก” เซี่ยไห่หยางที่ยืนอยู่ในกระสวยสูดหายใจเข้าลึก เขาเตรียมของกำนัลชิ้นใหญ่สำหรับการคารวะอาจารย์ในครั้งนี้ แม้ว่าเขาจะรู้สึกความเป็นไปได้ที่จะสำเร็จมีไม่น้อย แต่ก็ยังเป็นทุกข์เป็นร้อน

ถึงอย่างไรความสำเร็จในครั้งนี้เกี่ยวพันถึงชีวิตของบิดา ทำให้เขาวิตกกังวล ในช่วงเวลานี้ เขาได้หยุดเรื่องการค้าทั้งหมดของตนไว้ก่อน

“ข่าวลือเกี่ยวกับปรมาจารย์แห่งไฟมากเกินไปแล้ว แต่จากการคาดการณ์ของข้า สานุศิษย์ในปีนั้นของปรมาจารย์แห่งไฟก็พ่ายแพ้จริง แต่ยังไม่ตายสิ้น ยังหลงเหลือซากวิญญาณไว้…เวลานี้ถูกปรมาจารย์แห่งไฟกำบังไว้ภายในดาราจักรนี้…”

“ผู้สูงส่งที่ข้าต้องการเสาะหาน่าจะเป็นหนึ่งในนั้น และมีความเป็นไปได้มากว่าคงเป็นศิษย์รองของเขาหลิงเสินจื่อ!” เซี่ยไห่หยางจิตใจล่องลอยครุ่นคิด หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ถอนหายใจ

“แม้แต่ละก้าวจะยากลำบากแต่ก็ไม่ใช่ว่าข้าจะไม่มีผู้ช่วย ได้ยินว่าหวังเป่าเล่อได้คำนับปรมาจารย์แห่งไฟเป็นอาจารย์แล้ว เจ้าอ้วนนั่นโลภโมโทสันน่าจะพอซื้อตัวได้ ไม่แน่ว่าอาจได้รู้ข้อมูลภายในบ้าง” เซี่ยไห่หยางคิดมาถึงตรงนี้ ก็รู้สึกดีขึ้น รู้สึกว่าแผนการของตนเองมีความเป็นไปได้มาก

และในขณะที่เซี่ยไห่หยางคิดถึงหวังเป่าเล่ออยู่ ด้านดาวเอกเพลิงที่อยู่ห่างจากเขาไปเป็นระยะทางนับเดือน หวังเป่าเล่อที่เคลื่อนมาจากสายรุ้งบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ได้จามออกมาจนร่างสั่น

“มีคนกำลังคิดถึงข้า!” หวังเป่าเล่อหยุดและมองไปรอบๆ อย่างสงสัย หลังจากที่เขาไม่พบเห็นสิ่งใดผิดปกติ เขาก็เกาศีรษะ และครุ่นคิดว่าที่นี่คือดาราจักรไฟ เป็นถิ่นของอาจารย์ตน ไม่น่าจะมีผู้กล้ามารังควานตน

“มีผู้ไม่ลืมตามองเลยจริงๆ เหอะๆ ฝ่ายตรงข้ามอาจไม่รู้ว่าที่นี่มีท่านอาจารย์ข้าอยู่!” หวังเป่าเล่อส่งเสียงไอออกมา และไม่ไปสนใจความรู้สึกในตอนนั้นอีก ร่างที่กลายเป็นสายรุ้งเพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้งและส่งเสียงก้องไปไกล

เป้าหมายของเขาคือสายธารแห่งสะเก็ดดาวที่อยู่ถัดจากดารานิรันดร์ ภายในอารยธรรมวิญญาณเพลิงที่ถูกแบ่งเป็นเขตเพลิงที่ 137 ที่ตั้งอยู่ทางด้านอาคเนย์ของดาราจักรไฟ นอกดาวเอกเพลิง สายธารแห่งสะเก็ดดาวข้างดารานิรันดร์นั้น

ตามแผ่นหยกของดาราจักรไฟที่เขาเชี่ยวชาญ จำนวนสะเก็ดดาวที่นั่นมีมหาศาล เพียงพอที่เขาจะเลือกมาทำการผนึกได้อย่างเหมาะสม”

“เขต 137 ดาราจักรไฟ…” ระหว่างที่หวังเป่าเล่อเคลื่อนมาอย่างเร็ว ในช่วงเวลานี้สาขาดาวเพลิงที่เขารู้จักในความคิด ที่นี่มีดารานิรันดร์ทั้งหมด 449 ดวง

ดารานิรันดร์แต่ละดวง ต่างเป็นหนึ่งอารยธรรมและมีสิ่งมีชีวิตอยู่ภายใน อาศัยการดำรงอยู่ของปรมาจารย์แห่งไฟ ในขณะที่ปรมาจารย์แห่งไฟที่ถูกเคารพเป็นใหญ่ก็ได้ถูกทำการสักการะบูชามาทุกปี เพื่อแลกกับความคุ้มครองของปรมาจารย์แห่งไฟ

และอารยธรรมวิญญญาณเพลิงในเขตที่ 137 นี้เป็นหนึ่งในนั้น ผู้แข็งแกร่งที่สุดในนั้นได้ฝึกตนมาถึงขั้นดารานิรันดร์ขั้นปลาย และผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ก็มีหลายท่าน พลังโดยรวมภายในดาราจักรไฟ ถือว่าสูงกว่าขั้นกลางขึ้นไป ในเวลาปกติไม่มีคุณสมบัติไปคารวะดาวเอกเพลิง เฉพาะเพียงวันเกิดของปรมาจารย์แห่งไฟร้อยปีมีครั้ง จึงจะได้รับอนุญาตให้เข้าไปดาวเอก..ไอรีนโนเวล

และสำหรับอารยธรรมย่อยเหล่านี้ ทำให้ดาวเอกเพลิงเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ปรมาจารย์แห่งไฟก็เป็นราวกับเทพเจ้า และศิษย์ของปรมาจารย์แห่งไฟก็นับเป็นไม่กล้าที่จะมีใครเพิกเฉยแม้แต่น้อย เพราะภายในดาราจักรไฟ คำพูดเพียงประโยคเดียวของคนใดคนหนึ่งในศิษย์ 16 คน ก็สามารถกำหนดความอยู่รอดของทั้งอารยธรรมของพวกเขา

ถึงอย่างไร… การปกป้องของปรมาจารย์แห่งไฟ ไม่ได้เป็นเพียงชื่อเสียงภายนอก แม้แต่ภายในดาราจักรไฟก็ยิ่งไม่มีผู้ใดไม่รู้จัก

ดังนั้น… แม้ว่าหวังเป่าเล่อมาที่ดาราจักรไฟได้ไม่นาน แต่การออกไปข้างนอกครั้งนี้ก็ไม่ได้แจ้งไว้ แต่เมื่อเขาเคลื่อนไปข้างหน้า ทุกครั้งที่ผ่านเข้าไปอารยธรรมหนึ่ง ผู้กล้าของอารยธรรมเหล่านั้น ต่างก็บินออกมาส่งการคำนับมาแต่ไกลด้วยความนับถืออย่างที่สุด

ผู้เยี่ยมยุทธ์ของอารยธรรมเหล่านี้แทบจะเป็นระดับดารานิรันดร์ทั้งหมด รูปร่างหน้าตาต่างกัน พลังเทพและพื้นฐานชีวิตส่วนใหญ่ก็เกี่ยวข้องกับกฏแห่งไฟ แม้หวังเป่าเล่อจะไม่รู้จักพวกเขา แต่พวกเขากลับรู้จักรูปร่างหน้าตาของหวังเป่าเล่อผ่านช่องทางต่างๆ และเวลานี้ก็ทำการคำนับจนศีรษะค้อมต่ำราวกับทาส

ในตอนแรกหวังเป่าเล่อก็ถึงกับตกตะลึง

หลังจากได้รับคำบอกเล่าของแม่นางน้อย และหลังจากที่เขาคุ้นเคยกับอาจารย์ทั้งหมดแล้ว วันนี้เขาที่เพิ่งออกมานอกดาวเอกเพลิงเป็นครั้งแรก และเมื่อเห็นผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์ที่คำนับตนเองคนแรก ปฏิกิริยาแรกที่เกิดขึ้นในใจคือการสงสัยว่าหวังเป่าเล่อเป็นร่างอวตารของอาจารย์

แม้จะรู้สึกว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้น้อย แต่อย่างไรอาจารย์ก็ไม่น่ากระจายร่างอวตารครอบคลุมอารยธรรมนับร้อย เพื่อไปแสดงเป็นทุกบทบาทในนั้น

แต่หวังเป่าเล่อกำลังถูกทำจนสติเลอะเลือนแล้ว แต่หลังจากที่เขาสังเกตเห็นถึงความเคารพที่อีกฝ่ายคำนับตนแล้ว ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

“ไม่ใช่ท่านอาจารย์ เพราะลักษณะของท่านอาจารย์เป็นผู้รักษาหน้ามาก ไม่มีทางมาคำนับข้า…อย่างมากที่สุดที่เขาก็คำนับตนเอง”

เมื่อตัดสินเรื่องเหล่านี้ ได้แล้ว อารมณ์ของหวังเป่าเล่อก็ผ่อนคลายลง อย่างไรก็ยังรู้สึกรับไม่ได้เรื่องที่ดารานิรันดร์มาคำนับตน แต่อารยธรรมระหว่างทางมีมาก ผู้เยี่ยมยุทธ์เช่นนี้ปรากกฏออกมาก็มาก เขาก็ไม่อาจไม่ยอมรับและปรับตัวได้ ขณะเดียวกันก็รู้สึกผิดในใจลึกๆ

“แม้ว่าความรู้สึกนี้จะทำให้คนปลาบปลื้ม… แต่ทั้งหมดนี้เกิดจากความแข็งแกร่งของท่านอาจารย์ ดังนั้นหากยังดื่มด่ำท่ามกลางความรู้สึกถูกกราบไหว้เช่นนี้ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อตน”

“มีเพียงได้รับการกราบไหว้ด้วยความแข็งแกร่งของตนเท่านั้น จึงจะเป็นความมั่นใจของตนเองอย่างแท้จริง!” หวังเป่าเล่อแววตาเป็นประกาย คิดได้ถึงคำกล่าวที่คล้ายกันของขุนนางระดับสูงที่เขาเคยอ่านมา

“จุดประสงค์ในการแสวงหาผลประโยชน์ไม่ใช่เพื่อกดขี่ และก็ไม่ใช่เพื่อความเพลิดเพลิน ยิ่งไม่ใช่ไปครอบครอง แต่เป็น…การสร้างสภาพแวดล้อมให้สามารถเลื่อนขั้นได้อย่างรวดเร็ว ทำให้ตัวเองเติบโตได้ราบรื่นขึ้นและเร็วขึ้น” หวังเป่าเล่อบ่นพึมพำ ในใจก็ค่อยๆ สงบลงมา และเข้าใกล้เขตที่ 137 อย่างรวดเร็ว

ในที่สุดครึ่งเดือนต่อมา เขาก็มาถึงเขตเปลวเพลิงที่ 137 และเห็นดารานิรันดร์ที่นี่ลุกไหม้ราวกับลูกไฟ รวมทั้งหมู่สะเก็ดดาวเพลิงที่รายล้อมภายนอกดารานิรันดร์!

นอกจากนี้ยังมี… เปลวไฟหกร่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้านั้นแตกต่างจากมนุษย์ และดูเหมือนร่างเพลิงของวิญญาณอัคคี ผู้เป็นหัวหน้ายังมีตราสีม่วงตรงหว่างคิ้ว ทันทีที่เห็นหวังเป่าเล่อ ร่างผู้ฝึกตนดารานิรันดร์ร่างหนึ่งก็กดร่างตนเองลงอย่างแรงและคุกเข่าลงคำนับโดยตรง!

ยังมีอีกห้าท่านที่อยู่ด้านหลังร่างมันก็คุกเข่าลงคำนับด้วยกัน และในขณะที่คำนับยังมีดวงจิตเทพส่งความเคารพมาถึงหวังเป่าเล่อด้วย

“คารวะนายน้อยสิบหก!”

หวังเป่าเล่อหยุดชะงัก กวาดตามองบนร่างวิญญาณอัคคีเหล่านี้ และมองไปที่สะเก็ดดาวที่ภายนอกดารานิรันดร์ที่ห่างไกลทางด้านหลังของพวกมัน แล้วจึงเอ่ยปากเบาๆ

“ป้องกันข้า!”

หวังเป่าเล่อไม่กล่าวอะไรมาก หลังจากกล่าวเพียงประโยคเดียว ก็สะบัดร่างไป กระโดดข้ามร่างทั้งหก และพุ่งตรงไปดารานิรันดร์ หลังจากเข้าไปใกล้อย่างรวดเร็ว เงาร่างก็หายไปภายในสายธารแห่งสะเก็ดดาวที่อยู่นอกดารานิรันดร์อย่างไร้ร่องรอย

อย่างไรก็ตาม คำพูดของเขาที่มีต่ออารยธรรมวิญญาณเพลิง เป็นเหมือนเจตจำนงแห่งสวรรค์ ดังนั้นในไม่ช้าภายใต้การจัดการของผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์นั้น อารยธรรมวิญญาณเพลิงทั้งหมดถูกผนึก แม้กระทั่งอารยธรรมอื่นที่อยู่โดยรอบก็ไล่ผนึกไปแต่ละอารยธรรมอย่างไม่ละโอกาส ยิ่งมีผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์หลายคนมาถึงด้วยกัน ขณะที่ผนึกกว่ายี่สิบอารยธรรมก็นั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางดวงดาว เพื่อพิทักษ์หวังเป่าเล่อ

ในเวลาเดียวกัน มีดาวพระคราะห์หลายสิบดวง รวมทั้งเรือบินจากต่างอารยธรรมจำนวนมาก บินออกมาจากแต่ละอารยธรรมอย่างหนาแน่นเพื่อรายล้อมพื้นที่นี้ไว้ ทำให้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวภายในบริเวณนี้ ได้รับการปกป้องเหมือนถังเหล็ก และนี่ยังไม่หมด…ในไม่ช้าอารยธรรมที่อยู่ใกล้เคียงต่างก็ได้รู้เรื่องนี้มากขึ้น แต่ละอารยธรรมก็สำแดงอย่างเต็มพลังทันที หลังจากที่ผนึกไว้ทั้งหมดแล้วก็เคลื่อนตัวทั้งหมด ดังนั้น…บริเวณที่ป้องกันนี้ก็ยิ่งขยายขึ้นเรื่อยๆ…จนหนึ่งเดือนให้หลังก็แผ่ขยายออกไปเกือบครึ่งดาราจักรไฟแล้ว!

เขาก็ไม่โทษความกระตือรือร้นของอารยธรรมเหล่านี้ ที่จริงหลายปีมานี้ นายน้อยเหล่านั้นบนดาวเอกเพลิงแทบจะไม่ได้ออกมาให้พวกเขาได้พบ วันนี้โอกาสที่ยากจะหาได้และไม่ได้มีบ่อยนัก ฉะนั้นจะไม่มาแสดงตัวได้อย่างไร

จนแม้กระทั่ง…เซี่ยไห่หยางซึ่งกำลังบินไปยังดาวเอกเพลิง กระสวยของเขาก็ยังอยู่ห่างจากสถานที่ที่หวังเป่าเล่อฝึกอยู่มากก็ถูกขวางกั้นไว้!

“ตามคำสั่งของนายน้อย ปิดกั้นทุกทิศทุกทาง ผู้ไม่กระทำตามสังหารไม่เว้น ผู้มาเยือนยังไม่รีบหยุดอีก!”

……………………………………………………..

เวลาของหวังเป่าเล่อในการศึกษาเวทผนึกดาราค่อยๆ ผ่านไป ไม่นานก็ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน

ในเดือนที่สอง หวังเป่าเล่อศึกษาเวทผนึกดาราไปพลาง อาบน้ำให้วัวเฒ่าต่อไปพลาง ในระหว่างนั้นก็สรรเสริญเยินยอไม่หยุด ในช่วงเวลานี้ทำให้วัวเฒ่ามีความสุขสบายใจทุกวัน และเสียงหัวเราะก็มักดังก้องมายังดาวเอกเพลิง

ในขณะเดียวกัน สิ่งที่หวังเป่าเล่อได้รับก็ไม่ใช่มีเพียงเท่านี้ ภายใต้การตั้งใจเตือนของวัวเฒ่า หวังเป่าเล่อก็เริ่มหาเห็บบนร่างวัวเฒ่า…

“เจ้าสิบหกน้อย เห็บบนร่างข้าเหล่านี้ล้วนไม่ธรรมดา ดูความขยันของเจ้าในช่วงเวลานี้สิ เจ้าจะได้รางวัลหากหาคุณสมบัติของพวกมันได้”

ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น หวังเป่าเล่อที่ยังคงไม่เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งของวัวเฒ่าก็แอบทำหน้ามุ่ย

เพราะเรียกว่าเป็นเห็บ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นด้วงเกราะดำชนิดหนึ่ง แมลงชนิดนี้มีสีแดงและเปลวไฟทั้งตัว ขณะเดียวกันก็ดูดุร้ายและมีปากที่แหลมคม ชอบดูดเลือด และพลังต่อสู้ของแต่ละตัวก็เทียบได้กับขั้นเชื่อมวิญญาณ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังป้องกันนั้นน่าทึ่งมาก เมื่อร่างกายหดตัวเข้าหากันและกลายเป็นก้อนกลม หวังเป่าเล่อใช้พลังเต็มที่ก็ไม่สามารถทำลายมันได้มากนัก และพลังฟื้นฟูก็แข็งแกร่ง แม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่หลังจากที่ดูดเลือดก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนหัวก็เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด สามารถเปลี่ยนขนาดได้ เมื่อร่างของวัวเฒ่าขยายตัวเต็มที่ เห็บแต่ละตัวก็ใหญ่ราวอสูรยักษ์ และหลังจากที่วัวเฒ่าหดตัวลง พวกมันก็จะหดตัวเล็กลงตามไปด้วย

ไม่ว่าจะระดับใด เห็บเหล่านี้ล้วนดูเหมือนจะเป็นกาฝาก แต่ก็เหมือนกับทำตามความปราถนาของวัวเฒ่า เรื่องนี้ไม่ยากจะเข้าใจ มิฉะนั้นแล้วด้วยระดับการฝึกตนของวัวเฒ่า คิดจะกำจัดพวกมัน เกรงว่าแค่คิดก็ทำได้แล้ว

และบนร่างของวัวเฒ่าก็มีเห็บเหล่านี้เป็นจำนวนมาก หวังเป่าเล่อคำนวณคร่าวๆ พบว่ามีจำนวนไม่ต่ำกว่าสิบล้าน นี่ทำให้เขาตื่นตระหนก ในขณะเดียวกันก็ถึงกับถอนหายใจเมื่อบอกคุณสมบัติของพวกมันต่อวัวเฒ่า

แต่ในไม่ช้า หวังเป่าเล่อก็เข้าใจความหมายอันลึกซึ้งของวัวเฒ่า

เนื่องจากหวังเป่าเล่อพบได้ในทันทีว่าการที่จะจับเห็บเหล่านี้ด้วยวิธีปกตินั้นเป็นเรื่องยาก แต่หากเขาใช้เวทผนึกดาราที่ตนเองศึกษาและทดลองฝึกฝนไปผนึก ก็จะรวดเร็วขึ้นอย่างมาก

เขาสามารถเพิ่มความชำนาญเวทผนึกดาราของตนได้อย่างรวดเร็ว แม้จักรวาลจะมีสะเก็ดดาวไม่น้อย แต่ก็ใหญ่เกินไปสำหรับเขาที่เพิ่งลองฝึกเวทผนึกดารา การสูญเสียมากเกินไปในการผนึกสะเก็ดดาวดวงหนึ่ง ไม่เร็วเท่ากับการผนึกเห็บเหล่านี้

ในแง่ความคุ้มค่า การผนึกเห็บก็เห็นท่าจะคุ้มกว่า การค้นพบนี้ได้มาจากประสบการณ์และการตระหนักถึงความเร็วอันน่าทึ่งในการฝึกฝนเวทผนึกดาราของตนเอง ซึ่งหวังเป่าเล่อรู้สึกตื่นเต้นยินดีเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้นเขาจึงทำงานหนักขึ้นในการจับเห็บเหล่านี้เพราะเหมาะสำหรับที่จะใช้เป็นก้าวแรกในการฝึกฝนเวทผนึกดารามาก

หลายวันหลังจากนั้น หวังเป่าเล่อว่างจากการอาบน้ำให้วัวเฒ่า เวทผนึกดาราจากการศึกษาก่อนน่านั้น เวทวิชาผนึกดาราของเขาได้ผ่านถึงระดับขั้นตอนในการฝึกตนแล้ว..Aileen-novel

ก็เป็นเช่นนี้ หลังจากสามเดือนผ่านไป ในขณะที่หวังเป่าเล่ออาบน้ำไปทั่วร่างวัวเฒ่าแทบจะทั้งตัวแล้ว เห็บที่เขาจับได้ทั้งหมดมีจำนวนหลายหมื่นตัว และเขาก็ได้ทดสอบเวทผนึกดาราอยู่อย่างต่อเนื่อง ยิ่งทำให้ชำนาญขึ้นเรื่อยๆ ห่างจากระดับวัฏจักรของขั้นต้นอยู่ไม่ไกลแล้ว

และหลายเดือนมานี้ ด้วยเพราะวัวเฒ่าได้รับคำสรรเสริญเยินยอของหวังเป่าเล่อจึงรู้สึกสบายอกสบายใจอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อเองก็ฉลาดนัก ทุกครั้งที่กลับไปพักผ่อนที่หอคอย ขอเพียงพบเหล่าศิษย์พี่น้อง ก็จะรีบสรรหาหัวข้อที่สามารถไปประจบประแจงได้ทันที

ทำถึงขั้นที่ว่าพบใครก็ชื่นชมอาจารย์ให้คนนั้นฟัง อาจเป็นเพราะอยู่ร่วมกันมาตลอด ทำให้ร่างกายวัวเฒ่าค่อยๆ หดเล็กลง ภาระงานของหวังเป่าเล่อก็ลดลงไปด้วย ทำให้เขาทำภารกิจธรรมเนียมของดาราจักรไฟได้เสร็จสิ้น

และสิ่งเหล่านี้ก็ค่อยๆ ทำให้มุมมองของหวังเป่าเล่อต่อคำพูดของแม่นางน้อยเปลี่ยนไปจากที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งกลายเป็นเกือบจะมั่นใจ หลายเดือนมานี้ มีหลายครั้งที่เขาเห็นศิษย์พี่เจ็ดถูกตี และเห็นเจ้าสิบห้าเหมือนถูกลงโทษ แต่ยังคงมั่นใจในความคิดและทำการสรรเสริญเยินยอต่อไป

ด้วยความอุตสาหะของเขา หลายเดือนมานี้ โดยพื้นฐานแล้วผู้คนทั้งหมดที่ดาราจักรแห่งไฟต่างก็สมัครสามัคคีกัน…และตัวหวังเป่าเล่อเองก็ค่อยๆ คุ้นเคยในการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในดาราจักรไฟ

ในเวลาเดียวกันของขอโทษของอารยธรรมครามทองคำก็ถูกส่งมาในระหว่างที่เขาทำความสะอาดร่างให้วัวเฒ่า ของขอโทษนี้นับว่ามากมาย แค่เพียงผลึกสีชาดที่ใช้ในการฝึกฝนก็มีจำนวนมหาศาลแล้ว ยังมีโอสถบำรุงรวมทั้งวัตถุเทพจำนวนมาก ที่สำคัญคือยังมีดาวเคราะห์อมตะสิบดวงรวมทั้งดาวเคราะห์ทั่วไปอีกร้อยดวง

ดวงดาราเหล่านี้ได้รับการปรับเปลี่ยนแล้ว บนนั้นนอกจากดวงดาราเองแล้ว ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ ดังนั้นสามารถทำให้ผู้ฝึกตนจิตวิญญาณอมตะขั้นมหาวัฏจักรหลอมรวมได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีคุณค่ามหาศาล เห็นได้ว่าอารยธรรมครามทองคำหมายมั่นที่จะแสดงความจริงใจต่อปรมาจารย์แห่งไฟ

สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วของกำนัลนี้เป็นเหมือนฝนที่มาทันเวลา มันมีความหมายไม่น้อยต่อการฝึกเวทผนึกดาราของเขา ขอเพียงเขาสามารถฝึกเวทผนึกดาราได้ถึงขั้นที่สอง ดาวเคราะห์ร้อยดวงนั่นก็จะถูกเขาผนึก กลายเป็นส่วนหนึ่งของพลังเทพ ช่วยให้เขาไม่ต้องเสียเวลาออกไปเสาะหาและจัดการเอง

ในขณะเดียวกัน หากเขาฝึกไปถึงขั้นที่สาม ยิ่งมีดาวเคราะห์อมตะสิบดวงได้เลย ทำให้พลังเวทผนึกดาราของเขามีพลังมากขึ้น ดังนั้นเกือบจะทันทีได้รับของขอขมา หวังเป่าเล่อก็ตระหนักได้ในทันทีว่านี่ต้องเป็นการจัดการของท่านอาจารย์อย่างแน่นอน อารยธรรมครามทองคำจึงได้ส่งในสิ่งที่เขาต้องการมาให้

“ทุกอย่างเตรียมไว้พร้อมแล้ว ขั้นตอนต่อไป… คือการฝึกฝนเวทผนึกดาราขั้นแรกอย่างเต็มที่ เพื่อสำเร็จให้เร็ว” หลังจากรับของขอขมาจากอารยธรรมครามทองคำแล้ว หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจเข้าลึก และเริ่มกักตัวฝึกตนเป็นครั้งแรกหลังจากเขามาถึงดาราจักรไฟ

การกักตัวฝึกตนครั้งนี้ใช้เวลาสามเดือน!

ในช่วงสามเดือนนี้ หวังเป่าเล่อไม่ได้ออกจากหอคอยเลย และด้วยการฝึกฝนอย่างเต็มที่ ในที่สุดเขาก็ฝึกฝนเวทผนึกดาราขั้นแรกไปจนถึงขั้นมหาวัฏจักรได้แล้ว

ในห้องฝึกวิทยายุทธ์ของหอคอย ระหว่างที่หวังเป่าเล่อโบกมือ ภายใต้อิทธิพลของวงแหวนปราณ อาณาบริเวณของห้องฝึกวิทยายุทธ์ได้ขยายอย่างไร้ขีดจำกัด ทำให้เห็บวัวนับหมื่นที่กลายเป็นลูกกลมเล็กส่งเสียงร้องออกมา พวกมันบินมารวมตัวกันตรงหน้าเขา แล้วก่อตัวกันเป็นร่างของวัวเฒ่า

ภาพมายาวัวนี้เหมือนจริงอย่างไร้ที่ติ มันรายล้อมด้วยเปลวไฟไปทั่วร่างราวกับมีชีวิต หลังจากที่ปรากฏกายก็เกิดเสียงคำรามขึ้น และระเบิดร่องรอยพลังงานที่น่าตระหนกออกมา พลังกดดันก็กระจายไปทั่วทุกทิศทุกทาง

หลังจากที่หวังเป่าเล่อรับรู้ เขาก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน

“ท่าทางและพลังกดดันนี้…สามารถกำราบผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ดาวพระเคราะห์วิญญาณอมตะทั้งหมดได้แล้ว!” สาเหตุที่หวังเป่าเล่อเคลื่อนไหว ก็เพราะภาพมายาวัวนี้เป็นเพียงก่อขึ้นจากเห็บ ไม่ใช่สะเก็ดดาว ขณะเดียวกันก็ยังไม่ได้รวมกับดาวเคราะห์เต๋าของเขา และระดับการฝึกตนก็ยากที่จะนับเป็นอะไรได้

“ขั้นต่อไปข้าจะเพิ่มสะเก็ดดาวเข้าไป ให้เห็บวัวแต่ละตัวซ่อนอยู่ภายใน ด้วยวิธีนี้…ภาพมายาของเทพวัวที่ก่อขึ้นจากสะเก็ดดาวนับหมื่นก็จะมีพลังเพิ่มขึ้น ผู้ที่มีดาวเคราะห์พิเศษ หากยิ่งเพิ่มพลังดาวเคราะห์เต๋าของข้า…” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่อแววประหลาด เขารู้สึกว่ามาถึงขั้นนี้ พื้นฐานของตนได้มาถึงระดับดาวพระเคราะห์แล้ว และสามารถไม่ใยดีกับต่อผู้ฝึกตนขั้นสูงได้แล้ว

เว้นแต่จะได้พบผู้ฝึกตนที่หลอมรวมกับดาวเคราะห์บรรพกาล และเป็นถึงระดับดาวพระเคราะห์ชั้นมหาวัฏจักรแล้ว จึงจะสามารถต่อสู้กับตนได้

“นี่ยังไม่นับว่าเป็นอะไร…หลังจากสะเก็ดดาวหมื่นดวง ข้ายังต้องผนึกดาวพระเคราะห์ลงไปด้วย ทำให้พลังเวทผนึกดาราของข้า เพิ่มระดับขึ้นอีกครั้ง…แต่น่าเสียดายที่ค่าตอบแทนสูงเกินไป หากต้องการทดแทนทั้งหมดด้วยดาวเคราะห์ทั่วไป” หวังเป่าเล่อหรี่ตาบ่นพึมพำ

แม้ปากจะบอกว่าค่าตอบแทนสูงเกินไป แต่เขาก็ยังอยากที่จะลอง เพราะเขาพบว่าเวทผนึกดาราที่ฝึกฝนนี้ไม่เหมือนกับที่อธิบายไว้บนกระบวนเวทอยู่บ้าง

เดิมทีการฝึกฝนถึงขั้นที่หนึ่ง สามารถทำได้เพียงผนึกสะเก็ดดาว เมื่อถึงขั้นที่สองเท่านั้นจึงจะสามารถผนึกดาวเคราะห์ทั่วไป แต่เวลานี้หวังเป่าเล่อแอบรู้สึกราวกับตนแม้สำเร็จเพียงขั้นแรก แต่ด้วยพลังของดาวเคราะห์เต๋า ก็มีความเป็นไปได้ที่จะลองผนึกดาวเคราะห์ทั่วไป

หลังจากมีความคิดเช่นนี้ ในหัวของเขาก็ยิ่งปั่นป่วน หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เพียงพริบตาเดียวก็ออกจากห้องฝึกวิทยายุทธ์ ระหว่างที่ก้าวออกจากหอคอย หลังจากส่งเสียงไปถึงศิษย์พี่หญิ่งใหญ่แล้ว ทั้งร่างก็กลายเป็นสายรุ้ง ทะยานสู่ท้องฟ้า

เขาต้องการที่จะออกจากดาวเอกเพลิง เพื่อไปเสาะหาสะเก็ดดาวภายในดาราจักรไฟ ทำให้ระดับเวทผนึกดาราของตนเพิ่มระดับขึ้น เมื่อมาถึงทุกวันนี้สามารถเพิ่มระดับได้สูงสุด และเมื่อเขาออกไปจากที่นี่ นอกชายแดนของดาราจักรไฟ มีกระสวยที่สำแดงกระบวนเวทผันผวน กำลังพุ่งมาทางดาราจักรไฟอย่างรวดเร็ว

ภายในกระสวย เซี่ยไห่หยางยืนอยู่ข้างใน สายตามุ่งมั่นและดึงดัน

“ตราบเท่าที่ข้าสามารถเป็นศิษย์ของปรมาจารย์แห่งไฟได้ แม้จะเป็นศิษย์แต่เพียงในนามก็เพียงพอแล้ว เช่นนี้ข้าก็จะเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับผู้สูงส่งที่ไม่รู้จักผู้นั้น…เรื่องขอความช่วยเหลือจากเขาก็จะง่ายขึ้นมากแล้ว”

……………………………………………………..

หวังเป่าเล่ออึ้งไปบ้าง แต่ไม่ว่าจะทบทวนแต่ละฉากของความทรงจำก่อนหน้านี้อย่างไร เขาก็ไม่พบข้อบกพร่องใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นท่านอาจารย์หรือศิษย์พี่ชายหญิง คำพูดและพฤติกรรมล้วนเป็นไปอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้เขายากที่จะแยกแยะจริงเท็จได้

แม้กระทั่งตอนนี้เขาก็รู้สึกว่านี่ดูเหมือนจะสอดคล้องกับคำกล่าวของแม่นางน้อยที่ว่าอาจารย์ตนเจ้าคิดเจ้าแค้น ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงได้รับโทษเพราะคำพูดของตนก่อนหน้านี้ และในขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าบางทีนี่อาจเป็นธรรมเนียมจริงๆ…

สรุปแล้วตอนนี้ในใจเขารู้สึกสับสนมาก หากไม่มีคำพูดเหล่านั้นของแม่นางน้อยก็อาจไม่เป็นไร แต่พอมีคำพูดเหล่านั้น เขาก็ไม่อาจแยกแยะได้ นี่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกหนักใจ

“พอแล้วๆ หากข้ายังลังเลเช่นนี้ต่อไปเกรงว่าจะมีเรื่องวุ่นวายกว่านี้ เช่นนี้ข้าก็จะนับศิษย์พี่ชายหญิงทั้งหมดเป็นอาจารย์ เต่าทองเพลิงกับวัวแก่ตรงหน้านี้ก็เป็นเช่นเดียว” เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็กัดฟันกรอด เขาตัดสินใจแล้วแล้วก็มองไปที่วัวแก่ร่างใหญ่โต และเขาก็เกิดความคิดที่ต่างออกไป

“ถือว่าวัวแก่ตรงหน้านี้เป็นท่านอาจารย์ เป็นเพราะท่านอาจารย์ได้ยินที่ข้าพูดจึงลงโทษให้ข้ามาอาบน้ำให้เขา” หวังเป่าเล่อหายใจเข้าลึก บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มใส่ใจ เขาเหาะไปข้างร่างมหึมาของวัวแก่ แล้วเริ่มล้างจากกีบของมันขึ้นมา

“ไม่เลว เจ้าสิบหกน้อย ล้างเล็บให้ข้าด้วย”

“แรงน้อยไปหน่อยนะ เจ้าสิบหก ออกแรงหน่อย”

“ใช่แล้ว อย่างนี้ถึงจะสบายหน่อย”

ด้วยความพยายามในการทำความสะอาดของหวังเป่าเล่อ เสียงของผู้เฒ่าวัวก็สะท้อนความรู้สึกสบายไม่หยุด ขณะที่มือกำลังทำงาน ปากของเขาก็ไม่ได้ว่างเว้น พูดคำเยินยอได้ไม่ซ้ำ

ภายใต้คำเยินยออย่างไม่หยุดของหวังเป่าเล่อ เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ไม่นานก็ผ่านไปครึ่งเดือน ในช่วงครึ่งเดือนนี้ หวังเป่าเล่อทำงานหนักมาก และในทุกวันก็มีเวลาพักผ่อนน้อยนัก พลังส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้กับร่างวัวเฒ่า ทำให้วัวเฒ่าสุขสบายทั้งร่างกายและจิตใจ

ในระหว่างเวลานั้นปรมาจารย์แห่งไฟก็เคยมาอยู่ครั้งหนึ่ง หลังจากพบหน้าหวังเป่าเล่อและวัวเฒ่า เขาก็กลายเป็นสายรุ้งสายยาวแล้วออกจากดาราจักรไฟไป บอกว่าจะออกไปรำลึกความหลังกับเพื่อนเก่า

หลังจากที่ปรมาจารย์แห่งไฟจากไป วัวเฒ่าก็จะถามเป็นครั้งคราวราวกับจะเป็นการหยั่งเชิง

“เจ้าสิบหก แม้อาจารย์ของเจ้าให้เจ้าสรงน้ำให้ข้าผู้เฒ่าวัว แต่ทำพอเป็นพิธีก็พอแล้ว อันที่จริงข้าวัวเฒ่าก็ไม่ได้ต้องการให้เจ้าทำความสะอาดทั้งหมด”

“ท่านวัวอาวุโสท่านผิดแล้ว อยู่ในใจข้าอาจารย์ก็เป็นราวบิดา ข้าพร้อมจะปฏิบัติตามคำพูดของท่านผู้อาวุโสอย่างไม่ลังเลเลย ให้ข้าทำความสะอาดทั่วร่างท่านเถอะ ข้าย่อมไม่ยอมให้มีการตกหล่นไปแม้แต่น้อย” หวังเป่าเล่อพูดอย่างจริงจังหนักแน่น

“อย่าได้กล่าวเท็จเลย อาจารย์ของเจ้าไม่อยู่ที่ดาราจักรไฟ เขาออกไปข้างนอกแล้ว ไม่ได้ยินหรอก” วัวเฒ่าหัวเราะขึ้นมา ทำท่าราวกับเข้าใจหวังเป่าเล่อเป็นอย่างยิ่ง

เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินดังนั้นก็กะพริบตาปริบๆ และแสดงความเคารพในทันที

“ท่านวัวอาวุโสท่านเข้าใจผิดอีกแล้ว คำสั่งของอาจารย์และธรรมเนียมของดาราจักรไฟของข้าเป็นเพียงแค่เหตุผลหนึ่ง ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งก็คือข้ารู้ว่าผู้อาวุโสที่เป็นพาหนะให้ท่านอาจารย์มาหลายปี ทุ่มเทและภักดีต่อท่านอาจารย์ ก่อนหน้านี้ข้าไม่อยู่ก็ช่างเถอะ แต่ตอนนี้ข้าอยู่ในดาราจักรไฟแล้วย่อมต้องกตัญญูต่อท่าน”..ไอลีนโนเวล

“มาเถอะ ท่านวัวอาวุโสท่านอย่าเพิ่งขยับ ตรงนี้มีเห็บอยู่ ให้ข้าได้จัดการเจ้าเห็บนี่ที่กล้ามากัดท่านวัวอาวุโสของข้าได้ ข้ากับมันอยู่ร่วมกันไม่ได้แล้ว”

“ท่านวัวอาวุโส ยกเท้าขึ้นด้วย…ข้าจะล้างฝ่าเท้าให้ท่าน”

เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อเป็นเช่นนี้ ผู้เฒ่าวัวก็มีความสุขขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในช่วงเวลานี้เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นหลายครั้ง ขณะเดียวกันมันก็เปลี่ยนวิธีการทดสอบวังเป่าเล่อไปต่างๆ ไม่หยุด แต่ด้วยความตั้งใจของหวังเป่าเล่อ แต่ละครั้งคำพูดที่ตอบกลับมาล้วนจริงใจ แทบจะทุกประโยคแสดงถึงความเคารพที่มีต่ออาจารย์

อีกอย่างนอกจากผู้เฒ่าวัวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สิบห้าก็ดี ยังมีศิษย์พี่ชายหญิงคนอื่นแวะเวียนกันมาเป็นครั้งคราว แต่ละครั้งที่มาไม่ว่าพวกเขาจะพูดเช่นไร คำตอบของหวังเป่าเล่อล้วนแฝงด้วยความเคารพรักต่ออาจารย์ จนทำให้ศิษย์สิบห้าแทบจะอาเจียนอยู่หลายครั้ง แต่หวังเป่าเล่อยังคงสรรเสริญเยินยออย่างไม่ลดละ

ก็เป็นเช่นนี้ เวลาผ่านไปอีกครั้ง หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในหนึ่งเดือนนี้หวังเป่าเล่ออาศัยอยู่บนร่างวัวเฒ่า นอกจากอาบน้ำให้เขาแล้ว พลังส่วนหนึ่งก็ใช้ไปกับการศึกษาเวทผนึกดาราที่ปรมาจารย์แห่งไฟมอบให้

เวทผนึกดารานี้ประหลาดมาก ความเขลาในตอนต้นของเขาค่อยๆ ลึกซึ้งขึ้นไปตามความเข้าใจที่มากขึ้นตาม และยังมีการชี้แนะจากวัวเฒ่า สุดท้ายหลังจากที่เขาศึกษาเวทผนึกดาราจนถ่องแท้ทั้งหมดแล้ว วิชานี้ก็เป็นดังคลื่นลูกใหญ่ภายในใจเขา

อันที่จริงเวทผนึกดารานี้ หากใช้คำว่าลึกจนยากแท้หยั่งถึงก็ไม่เกินจริงเลยแม้แต่น้อย

หลักการง่ายๆ ของมันก็คือผนึกกับดัก!

วิชาทั้งหมดแบ่งออกเป็นสี่ระดับ ซึ่งจะแบ่งตามดาวพระเคราะห์ชั้นต้น ชั้นกลาง ชั้นปลาย รวมทั้งชั้นมหาวัฏจักร ระดับหนึ่งในดาวพระเคราะห์ชั้นต้นเรียกว่าทักษะผนึกสะเก็ดดาว โดยรวมคือการผนึกสะเก็ดดาวและสะเก็ดดาวจำนวนมากมาสร้างผนึก ก่อเป็นภาพลวงตามแต่จินตนาการ

ภาพลวงตานี้สามารถเป็นได้ทุกสิ่ง แต่เมื่อกำหนดแล้วก็ไม่อาจเปลี่ยนได้อีก ในขณะเดียวกันยิ่งเสมือนจริงมากพลังของมันก็ยิ่งมาก และหากมีสะเก็ดดาวที่ก่อเป็นภาพลวงตานี้มากเท่าไรพลังก็จะมากตามไปด้วยเท่านั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ มันจึงพัวพันไปถึงปัญหาสองข้อ ข้อแรกคือจำเป็นต้องผนึกสะเก็ดดาวจำนวนมาก อีกข้อก็คือ…ต้องเลือกภาพลวงตาที่จะสร้าง และต้องเลือกสิ่งที่ตนเองเข้าใจมากที่สุด ดังนั้นขณะที่อยู่ในขั้นตอนอาบร่างวัวเฒ่า ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่หวังเป่าเล่อ…จะเลือกร่างของวัวเฒ่าเป็นร่างที่ก่อขึ้นด้วยทักษะผนึกสะเก็ดดาวของตน

อย่างไรก็ตามระดับความเข้าใจของเขาก็เพิ่มขึ้นไปตามการอาบร่างทั่วทุกตารางนิ้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ระดับความเสมือนจริงของภาพลวงตาที่ก่อขึ้นก็ย่อมไปถึงขีดสุดโดยปริยาย

ดังนั้นสิ่งนี้จึงกลายเป็นแรงจูงใจของหวังเป่าเล่อ เขาจะไม่ทำงานหนักในการทำความสะอาดและอาบน้ำให้วัวเฒ่าได้อย่างไร… ในเมื่อเวทผนึกดารานี้ส่งเสริมให้พลังระดับสองของดาวพระเคราะห์ขั้นกลางแข็งแกร่งขึ้น

มันไม่ใช่การผนึกสะเก็ดดาวอีกต่อไป แต่เป็นการผนึกดาวเคราะห์ทั่วไปในดาวพระเคราะห์ โดยใช้ดวงดาวก่อเป็นภาพลวงตาของเทพวัว ตามการคาดการณ์ของหวังเป่าเล่อ เรียกได้ว่ามีพลังน่าสะพรึงกลัวทีเดียว!

ส่วนระดับที่สามดูเหมือนจะต่างกันเล็กน้อย มันเป็นการผนึกดาราสองประเภท ดาราวิญญาณและดาราอมตะ ซึ่งก่อตัวเป็นเงาของเทพวัวแต่พลังต่างกันมากนัก ตามคำอธิบายของเคล็ดวิชาก็คือหากสามารถดึงดาราวิญญาณและดาราอมตะมาได้ เช่นนั้นแม้ต้องเผชิญกับดาวพระเคราะห์ขั้นสูงก็สามารถต่อสู้และพิชิตได้อย่างเท่าเทียมกัน!

ก่อนหน้านั้นในเชิงปฏิบัติก็ได้อธิบายถึงขีดจำกัดของวิธีนี้ไว้ ซึ่งก็คือการผนึกดาวเคราะห์อมตะ แต่ดวงดาวพิเศษนั้นไม่สามารถผนึกได้ แต่เมื่อได้วัวเฒ่าชี้แนะ บอกกับหวังเป่าเล่อว่าตามการคำนวณของมันนั้น ด้วยความชำนาญของหวังเป่าเล่อและดาวเคราะห์เต๋าที่มี เมื่อฝึกวิชานี้ก็อาจสามารถทะลวงผ่านขีดจำกัดไปถึงระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนได้

หวังเป่าเล่อเได้หลอมรวมกับดาวเคราะห์เต๋า ดังนั้นสภาพกายจึงแตกต่างจากผู้ฝึกตนทั่วไป

นี่ยังไม่หมด วิชาระดับที่สี่ของเวทผนึกดาราเป็นการชี้ทางในการเลื่อนสู่ระดับดารานิรันดร์ หากฝึกไปตามเคล็ดวิชาผนึกดาวนี้ทีละขั้น การเลื่อนระดับจากดาวพระเคราะห์สู่ดารานิรันดร์ก็จะยิ่งง่ายขึ้น

และสิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตระหนกที่สุดก็คือวิชานี้อาจดูเหมือนมีเพียงเท่านี้ ซึ่งเป็นทักษะวิชาแห่งเทพของระดับดาวพระเคราะห์ แต่ตามที่เขาคาดการณ์แล้ว ดวงดาวที่ใช้ก่อร่างเทพวัวยังสามารถใช้ดารานิรันดร์แทนได้ด้วย…

เมื่อนึกถึงภาพลวงตาเทพวัวที่ก่อขึ้นจากดารานิรันดร์จำนวนมาก ระดับความน่าสะพรึงของมัน แม้จะมีความแตกต่างจากวัวเฒ่าตัวจริงอยู่ แต่ขอเพียงมีดารานิรันดร์ที่เพียงพอก็จะแตกต่างกันไม่มาก หลังจากนั้นหวังเป่าเล่อก็ยังถึงกับตะลึงจนพูดไม่ออก

และเมื่อเข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างถ่องแท้แล้ว หวังเป่าเล่อก็เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความตั้งใจของปรมาจารย์แห่งไฟที่ให้เขามาสรงน้ำให้เทพวัว ว่าแท้จริงมีความนัยที่ลึกซึ้งแฝงอยู่

ไม่ว่าเทพวัวที่อยู่ตรงหน้าจะเป็นร่างอวตารของอาจารย์หรือไม่ก็ตาม ความหมายของอาจารย์ก็ชัดเจนแล้ว กล่าวคือในระหว่างที่อาบน้ำให้เทพวัว ตัวหวังเป่าเล่อเองก็จะได้พินิจพิเคราะห์ ทำความคุ้นเคยไปถึงขนและผมแต่ละเส้นของเทพวัว และเมื่อเขาใช้ความชำนาญนี้ฝึกเวทผนึกดารา ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะทำให้เขาฝึกได้อย่างราบรื่นขึ้น แลพลังก็มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรเสีย วัวเฒ่าเองก็เป็นถึงผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพ

และผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้หนึ่งก็ปล่อยกายและใจให้เขาได้เข้าใจ โอกาสและโชคเช่นนี้โดยพื้นฐานแล้วหาได้ยากนัก แม้แต่พวกสำนักใหญ่ตระกูลใหญ่เหล่านั้นก็ยากที่จะให้ศิษย์หรือคนในตระกูลทำได้ถึงระดับนี้

ดังนั้นในช่วงเวลาหนึ่งเดือน แม้หวังเป่าเล่อจะไม่มีความก้าวหน้าในการฝึกตน แต่ในด้านเวทผนึกดารากลับรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว กล่าวเช่นนี้ก็ไม่นับว่าเกินเลยไป

……………………………………………………..

“อารยธรรมครามทองคำคงไม่กล้าที่จะมาพัวพันอี ต่อไปคงจัดส่งของขอขมามาให้ในไม่ช้า เจ้าก็แค่รับไว้ก็พอ” ปรมาจารย์แห่งไฟยิ้ม ดวงตาของเขาไม่ได้ปิดบังความชื่นชมที่มีต่อหวังเป่าเล่อ และน้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยน

“ขอบคุณท่านอาจารย์” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก เขารู้สึกสำนึกในความเอาใจใส่รวมทั้งความช่วยเหลือของปรมาจารย์แห่งไฟ จึงได้กำหมัดแน่นแล้วคารวะอีกครั้ง

“ระหว่างเราศิษย์อาจารย์ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้” ท่านปรมาจารย์แห่งไฟยิ้ม ยกมือขวาขึ้นสบัดเพื่อพยุงหวังเป่าเล่อให้ลุกขึ้นอย่างอ่อนโยน แล้วหันไปทางศิษย์พี่หญิงใหญ่ของหวังเป่าเล่อ

“ตงเอ๋อร์ อาจารย์มักจะถือสันโดษและออกไปภายนอกบ่อยครั้ง ดังนั้นต่อไปหากข้าไม่อยู่ เจ้าต้องช่วยสั่งสอนศิษย์น้องผู้นี้ของเจ้าให้ดี ”

ศิษย์พี่หญิงใหญ่รับฟังด้วยสีหน้าจริงใจ แล้วพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเหลือบไปมองเหวังเป่าเล่อสายตาเคร่งขรึม

“ศิษย์น้องสิบหก ไม่ว่าจะเป็นการฝึกตนหรือด้านอื่นๆ หากเจ้ามีปัญหาสามารถมาหาข้าได้ทันที ”

“ขอบคุณศิษย์พี่หญิง” หวังเป่าเล่อมองศิษย์พี่หญิงใหญ่ตรงหน้า แววตาฝ่ายตรงข้ามดูเคร่งขรึม แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่อยู่ภายใน จึงอดไม่ได้ที่จะกำหมัดขึ้นคำนับ ขณะเดียวกันที่ก้นบึ้งจิตใจก็อดที่จะสงสัยในคำพูดของแม่นางน้อยขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้

ขณะที่หวังเป่าเล่อทำการคำนับอยู่นั้น อีกสิบห้าคนที่อยู่ด้านข้างก็เบะปาก พึมพำออกมาประโยคหนึ่ง

“เจ้าสิบหกเจ้าโชคร้ายแล้ว…”

“เจ้าสิบห้า!” เกือบจะทันทีที่ศิษย์สิบห้าพูดจบ ศิษย์พี่หญิงสิบสองที่อยู่ข้างๆ ก็ถลึงตามองและดุเสียงเบา

ศิษย์สิบห้าหน้ามุ่ยขมวดคิ้วทันที เขาเหมือนจะอ้าปากพูด แต่ทันทีที่เงยหน้าขึ้นก็เห็นท่าทีเคร่งขรึมของศิษย์พี่หญิงใหญ่ และยิ่งเห็นท่านอาจารย์ยกมือขวาขึ้นลูบเครา ก็หดหัวไม่กล้าพูดสิ่งใดแล้ว

“ท่านอาจารย์ แม้ว่าเจ้าสิบห้าจะดื้อรั้นแต่ช่วงเวลานี้ถือว่าขยันและดีกว่าเมื่อก่อนมากนัก” เมื่อเห็นศิษย์สิบห้าเป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่หญิงสิบสองคนก็ใจอ่อน จากนั้นจึงคำนับไปทางท่านอาจารย์แล้วกล่าวอย่างอ่อนโยน คำพูดที่ออกมาทำให้ศิษย์สิบห้าถึงกับเงยหน้าขึ้น พร้อมส่งสายตาขอบคุณออกไป

ทั้งหมดนี้อยู่ในสายตาของหวังเป่าเล่อ ความลังเลที่อยู่ในใจก็มีไม่มากแล้ว แม้จะเป็นจริงตามที่แม่นางน้อยกล่าว แต่ตอนนี้คนทั้งหมดที่ยืนอยู่ต่อหน้าตนเอง ในความเป็นจริงก็ล้วนแล้วแต่เป็นอาจารย์ของตน…

แต่การปฏิบัติระหว่างกันและกันของพวกเขาก็จริงจังต่อกันเหลือเกิน… ขณะที่หวังเป่าเล่อสับสนอยู่ในใจ ศิษย์พี่เจ็ดที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็หัวเราะขึ้นมา

“ท่านอาจารย์ หากให้ข้าพูด น้องสิบห้านับว่าขาดการอบรมแล้ว เมื่อไม่กี่วันก่อนเขาพาศิษย์น้องสิบหกมาหาข้าที่นี่ ข้าได้ยินเขากล่าวถึงท่านผู้เฒ่าในทางไม่ดี ”

“ศิษย์พี่เจ็ด เจ้า!!” ศิษย์สิบห้าร้องแบบไร้น้ำตา พลันรีบเข้ามาคำนับท่านอาจารย์

“ท่านอาจารย์ข้าถูกปรักปรำแล้ว ข้า…”

“ท่านอาจารย์ ข้าก็ได้ยินเช่นกัน” ไม่รอให้ศิษย์สิบห้าพูดจบ ศิษย์พี่สามที่ดูเหมือนกระทิงน้อยก็ส่งเสียงพึมพำมาจากอีกด้านหนึ่ง

“ถูกต้อง ท่านอาจารย์ เจ้าสิบห้าพูดจริงๆ ”

“ใช่ๆ ข้าสาบานได้ ข้าก็ได้ยิน” ศิษย์พี่คนอื่นๆ เริ่มพูดต่อในตอนนี้ แต่ละคนมีสีหน้าที่แตกต่างกัน บางคนแฝงรอยยิ้ม และบางคนหลังจากกระแอมไอก็จงใจเพิ่มน้ำมันในกองเพลิง สรุปก็คือทุกคนในห้องโถงนั้นฉลาดมาก โดยเฉพาะศิษย์พี่รองที่เวลานี้ส่งเสียงไอและพูดขึ้นเบาๆ..ไอรีนโนเวล

“ท่านอาจารย์ น้องสิบห้าอาจไม่ได้ตั้งใจ”

“ศิษย์พี่รอง ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้นะ… เจ้าสิบหกเจ้าพูดสิ ข้าได้พูดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับอาจารย์หรือ!”ศิษย์สิบห้าร้อนรนแล้ว จึงดึงตัวหวังเป่าเล่อไว้

หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ เขาสับสนยิ่งกว่าเดิม ด้วยทั้งหมดนี้เขาดูอย่างไรก็ไม่รู้สึกว่าเป็นละครฉากหนึ่ง เวลานีถูกศิษย์สิบห้าดึงทึ้ง เขาไม่รู้จริงๆ ว่าจะพูดเช่นไร ได้แต่ฝืนยิ้ม

“พอแล้ว” ปรมาจารย์แห่งไฟลูบคิ้ว ดูเหมือนจะปวดหัวกับสานุศิษย์เหล่านี้ หลังจากพูดเบาๆ แล้วก็จ้องไปที่เจ้าสิบห้า แสร้งทำเป็นไม่พอใจ ก่อนจะหันกลับหันมามองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง

“เป่าเล่อ เจ้าเพิ่งมาถึง ส่วนเรื่องที่เจ้ายังไม่คุ้นเคยกับดาราจักรไฟ ต่อไปก็ค่อยๆ ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมของที่นี่เสีย อีกอย่างอาจารย์ออกไปข้างนอกคราวนี้ ก็พบวิชาที่เหมาะสมกับเจ้าแล้ว…” พูดพลาง ปรมาจารย์แห่งไฟก็ยกมือขวาขึ้นสบัด แผ่นหยกสองแผ่นบินออกมาทันที อันหนึ่งลอยไปหาหวังเป่าเล่อ อีกอันพุ่งไปที่ศิษย์สิบห้า

หวังเป่าเล่อรีบรับไว้ และยังไม่ทันจะได้ตรวจดู เขาก็เห็นศิษย์สิบห้าส่งสายตามาทางตน ความหมายในสายตานี้ง่ายมาก มันหมายถึง “เจ้าดูสิ ข้าพูดถูกหรือไม่”

“วิชานี้เรียกว่าเวทผนึกดารา ในด้านพลังนั้น…อาจารย์ดูไปแล้วก็อาจเรียกได้สี่คำว่ายากแท้หยั่งถึง เจ้าและเจ้าสิบห้าก็ฝึกวิชานี้เถอะ” ปรมาจารย์แห่งไฟกล่าวจบก็ลูบเคราและไม่ได้กล่าวถึงเคล็ดวิชานี้อีกต่อไป แต่กลับถามถึงความคืบหน้าในการฝึกฝนกับเหล่าสานุศิษย์

ทั้งห้องโถงค่อย ๆ กลมกลืนเข้าด้วยกัน ศิษย์แต่ละคนหลังจากถูกถาม ต่างก็พูดจาประจบประแจง ไม่ยกเว้นแม้แต่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ นี่เท่ากับเป็นการเปิดหูเปิดตาให้กับหวังเป่าเล่อ และนี่ทำให้เขาเริ่มเข้าใจถึงบรรยากาศของดาราจักรไฟได้ลึกซึ้งขึ้น ขณะเดียวกันความลังเลสงสัยและความสับสนภายในใจก็หยั่งลึกขึ้นตามไปด้วย

“ไม่เห็นเป็นเช่นนั้นเลย ไม่ว่าจะเป็นท่านอาจารย์หรือเหล่าศิษย์พี่ต่างก็ดูปกติดี… นอกจากนี้แม่นางน้อยยังบอกว่าท่านอาจารย์จิตใจคับแคบ จะต้องโกรธคำพูดประโยคนั้นของข้า แต่การเข้าคารวะในครั้งนี้ ตั้งแต่ต้นจนจบก็ดูอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง…” หวังเป่าเล่อแอบโล่งใจ พร้อมแอบรู้สึกว่าแม่นางน้อยอาจไม่ได้บอกความจริงกับตน

“หรือว่าเรื่องที่แม่นางน้อยรู้เป็นเพียงเรื่องในอดีต ตอนนี้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว” ในขณะที่หวังเป่าเล่อไตร่ตรองอยู่ในใจ ปรมาจารย์แห่งไฟก็ได้เสร็จสิ้นการซักถามเหล่าสานุศิษย์แล้ว เขาสายตากวาดมองไปที่หวังเป่าเล่อ ใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มที่อ่อนโยนไว้ ก่อนจะกล่าวออกมา

“เป่าเล่อ ลูกศิษย์ที่อาจารย์รับม ไม่ต้องมีพิธีรีตรองใดๆ ทุกอย่างเป็นไปตามใจ แต่มีธรรมเนียมที่ต้องปฏิบัติอย่างหนึ่ง”

“เทพวัวอุปถัมภ์ของดาราจักรไฟ ครั้งหนึ่งเคยเป็นพาหนะของอาจารย์ และจงรักภักดีต่ออาจารย์ หลายปีมานี้อาจารย์ได้ถือมันเป็นเพื่อนร่วมทางนานแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจะต้องเคารพมัน”

“ศิษย์ของข้าทุกคน หลังจากที่คารวะข้าเป็นอาจารย์แล้ว จะต้องไปสรงน้ำให้เทพวัวเพื่อแสดงความเคารพ ศิษย์พี่ชายหญิงของเจ้าต่างก็เคยทำสิ่งนี้มาแล้ว บัดนี้ถึงคราวของเจ้าแล้ว” ปรมาจารย์แห่งไฟออกปากอย่างอ่อนโยนและเป็นมิตร เมื่อหวังเป่าเล่อได้ฟังเช่นนี้ เขาก็รีบประสานหมัดรับคำทันที

เหล่าสานุศิษย์ทางด้านข้างต่างก็เผยหลายหลากอารมณ์ เมื่อได้ฟังปรมาจารย์แห่งไฟกล่าวถึงเรื่องนี้

“ท่านเทพวัวอาวุโสทุ่มเทให้ดาราจักรไฟของข้ามามาก เวลานี้พอคิดขึ้นมา ตอนนั้นที่ข้าสรงน้ำให้ผู้อาวุโสเทพวัวยังคงปรากฏร่างให้เห็นอย่างชัดเจนอยู่เลย”

“จริงสิ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าตกอยู่ในอันตราย ก็ได้ท่านเทพวัวอาวุโสช่วยไว้…”

“พริบตาเดียวก็ผ่านมาหลายปีแล้ว ครั้งนั้นท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่าหากสรงน้ำให้ท่านเทพวัวอาวุโส ยิ่งหมดจดก็ยิ่งแสดงถึงความเคารพ ท่านอาจารย์ ขอให้ข้าได้มีโอกาสสรงน้ำให้ท่านเทพวัวอาวุโสอีกครั้งหลังจากศิษย์น้องสิบหกด้วยเถิด” ศิษย์พี่ชายหญิงแต่ละคนมีความทรงจำที่แตกต่างกัน ดูอย่างไรก็ดูจริงจัง โดยเฉพาะศิษย์สิบห้า ทั้งเสียงที่ดังที่สุดและอารมณ์ก็หลากหลายยิ่งนัก

เมื่อเห็นเช่นนี้ แม้หวังเป่าเล่อจะรู้สึกว่าเรื่องนี้ฟังดูผิดปกติไปบ้างแต่ก็ไม่ได้คิดมาก หลังจากตอบรับเรื่องนั้นแล้ว เขาก็สนทนากับเพื่อนร่วมสำนักและปรมาจารย์แห่งไฟในห้องโถงต่อ สุดท้ายต่างก็แยกย้ายกันไปท่ามกลางรอยยิ้มของปรมาจารย์แห่งไฟ

แต่ทันทีที่เดินออกจากประตูห้องโถง สีหน้าของศิษย์สิบห้าก็เปลี่ยนเป็นมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น เขาตบไหล่หวังเป่าเล่อและส่งเสียงไอแต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด ศิษย์พี่ชายหญิงคนอื่นแม้ไม่ได้มาตบไหล่เขาแต่ก็มีทีท่าแปลกๆ หลังจากยิ้มให้หวังเป่าเล่อแล้วต่างก็แยกย้ายกันจากไป

เมื่อมองดูเงาร่างที่จากไปของศิษย์พี่ชายหญิง หวังเป่าเล่อแอบรู้สึกไม่ดีอยู่บ้าง และความรู้สึกไม่ดีนี้ก็ระเบิดขึ้นในใจเขาอย่างสมบูรณ์ เมื่อเขาออกมาจากอาณาบริเวณหอคอยและเหาะไปในอากาศเพื่อไปไหว้คำนับวัวอัคคี ตอนนั้นเขาจึงได้รู้ถึงสาเหตุในการที่ส่งมาในครั้งนี้

ด้วยเพราะ… หลังจากที่ได้ยินว่าหวังเป่าเล่อได้รับคำสั่งให้สรงน้ำให้ตน วัวอัคคีที่แต่เดิมมีขนาดปกติก็แหงนหน้าหัวเราะขึ้น ร่างกายของมันขยายออกอย่างไร้ขีดจำกัดทันที เพียงชั่วไม่กี่อึดใจ ขนาดของมันก็ไม่ด้อยไปกว่าดาวพระเคราะห์แล้ว มันลอยอยู่ในอากาศส่งเสียงอื้ออึง

“มาๆ เจ้าสิบหกน้อย มาอาบน้ำให้ข้าวัวเฒ่า จำไว้ว่าต้องอาบให้สะอาดหมดจดเลยนะ ข้าไม่ได้อาบน้ำมานานแล้ว”

หวังเป่าเล่อมองไปที่วัวแก่ร่างมหึมา เขารู้สึกเวียนหัวอยู่บ้าง เพราะฝ่ายตรงข้ามร่างกายใหญ่โตเช่นนี้ ด้วยกำลังของเขาเกรงว่าแม้จะอาบทั้งวันทั้งคืน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาหลายเดือนจึงจะสามารถอาบได้อย่างหมดจด

“นี่… นี่หรือคือธรรมเนียมที่ว่า” ใบหน้าหวังเป่าเล่อมึนงง เขารู้สึกราวกับกำลังถูกทำโทษก็ไม่ปาน

……………………………………………………..

“ตีตัวเองก็พอแล้ว นี่ยังจะให้คุกเข่าอีก” หวังเป่าเล่อสีหน้าสงสัย มองไปทางแม่นางน้อย เขาไม่ใช่ไม่เชื่อสิ่งที่อีกฝ่ายพูด แต่เขายังรู้สึกว่าน่าจะมีปัญหาอื่นแฝงอยู่

เช่นวัวแก่และศิษย์สิบห้า หวังเป่าเล่อรู้สึกเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะเขาเคยเห็นตอนที่ศิษย์สิบห้าคราวะวัวแก่มาก่อน และเขาโค้งคำนับจนตัวแทบจะแตะพื้น…เรื่องที่ตัวเองคำนับตัวเองเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็มีร่างอวตาร ดังนั้นหลังจากประมวลความคิดแล้วรู้สึกว่าปรมาจารย์แห่งไฟไม่น่าจะทำได้หรอก

เมื่อเผชิญกับความสงสัยของหวังเป่าเล่อ แม่นางน้อยก็หัวเราะร่า แต่ก็ไม่ได้อธิบายมากมาย หลังจากอ้าปากหาว เพียงชั่วแวบเดียวก็กลับเข้าไปอยู่ภายใต้หน้ากาก เพียงแต่นางได้ทิ้งคำพูดไว้ก่อนที่จะหายตัวไป

“ใช่หรือไม่ใช่ รอเจ้าพบปรมาจารย์แห่งไฟ ดูซิว่าเขาทำให้เจ้าลำบากหรือไม่ก็รู้แล้ว…”

เมื่อได้ฟังคำพูดของแม่นางน้อย และเห็นร่างนางหายไป หวังเป่าเล่อครุ่นคิดแต่ยังรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และตัดสินใจรอพบปรมาจารย์แห่งไฟด้วยตนเองแล้วค่อยตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้ง คิดได้ดังนี้ เขาจึงมองไปที่แผนผังภายในหอคอยอย่างถี่ถ้วน

หอคอยแบ่งเป็นสี่ชั้น ชั้นล่างสุดถือเป็นห้องรับแขก จัดวางแบบเรียบง่าย แต่ได้บรรยากาศ แม้แต่ที่นั่งก็ทำจากไม้พิเศษคุณภาพดี ทำให้ร่างสามารถเปล่งปราณวิญญาณออกมาได้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่ามีวงแหวนปราณรวบรวมจิตอยู่ในหอคอยนี้ ทำให้ปราณวิญญาณที่หนาแน่นจากโลกภายนอกมารวมกันที่นี่ ทำให้ความหนาแน่นของปราณวิญญาณภายในหอคอยมีมากถึงระดับที่น่าตระหนก

ตามเหตุผลแล้ว ปราณวิญญาณในระดับนี้น่าจะแปลงเป็นพลังเหลวได้และกระจายไปทุกทิศทุกทาง แต่การออกแบบของหอคอยนี้เห็นได้ชัดว่ามีการพิจารณาถึงเรื่องนี้ไว้แล้ว หลังจากผ่านวิธีการที่ไร้ที่มาที่ไป ก่อเป็นธารน้ำตกที่ล้อมรอบด้วยบันไดวิ่งผ่านทั้งสี่ชั้น น้ำของน้ำตกนี้สามารถนำมาใช้ได้จริง เพราะโดยพื้นฐานแล้วมันเป็นกระแสปราณวิญญาณที่กลายเป็นของเหลวแล้ว

ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าภายในหอคอยจะไม่เงียบสนิท แต่เสียงกระแสน้ำก็เป็นไปอย่างธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับความร้อนภายนอก ความเย็นภายในหอคอยทำให้ผู้คนที่ฝึกฝนอยู่ด้านในต่างก็เบิกบานใจขึ้น

ส่วนชั้นสองเป็นห้องยาและห้องอุปกรณ์ นอกจากนี้ยังมีห้องว่างอยู่สามห้องที่สามารถใช้ได้ตามความต้องการ และที่ชั้นสามเป็นจุดสำคัญ ชั้นสามทั้งชั้นแบ่งออกเป็นสองส่วน หนึ่งเป็นห้องลับปิดตาย อีกห้องหนึ่งเป็นห้องโถงสำแดงวิทยายุทธ์ที่สามารถทดสอบกระบวนเวทพลังเทพของตนเองได้

หลังจากเดินผ่านสามชั้นแรกแล้ว หวังเป่าเล่อก็พอใจกับสถานที่นี้มาก เขาสัมผัสได้ถึงความเย็นสบายของสถานที่ และความสบายของปราณวิญญาณที่เข้าสู่ร่างด้วยตัวมันเอง เขาจึงเดินขึ้นไปบนยอดหอคอยซึ่งเป็นกึ่งเปิดโล่งเหมือนห้องใต้หลังคา รอบๆ นั้นว่างเปล่า และสามารถมองดูฟ้าจรดดินอันไกลโพ้นได้เมื่อยืนอยู่ตรงนั้น

เวลานี้ฟ้าด้านนอกเริ่มมืดแล้ว ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าแต่เดิมก็ถูกแทนที่ด้วยดวงจันทร์สว่างไสว แต่สิ่งที่ต่างจากสหพันธรัฐก็คือดวงจันทร์ที่นี่มีมากกว่าสิบดวง และแต่ละดวงที่แขวนอยู่บนฟากฟ้าก็มีรูปร่างที่แตกต่างกัน มันดูแปลกตาและในขณะเดียวกันก็สะท้อนแสงบนพื้นพิภพ ทำให้ดาวเอกเพลิงขนาดมหึมานี้ดูสว่างสดใส

ขณะเดียวกัน เมื่อตกกลางคืน ความร้อนในตอนกลางวันก็หายไปอย่างรวดเร็ว และหนาวขึ้นเรื่อยๆ จนอาจจินตนาการได้ว่าเมื่อถึงยามเที่ยงคืน เกรงว่าอุณหภูมิภายนอกจะลดลงอย่างมาก

ภูมิอากาศที่แตกต่างกันอย่างมากนี้อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิต แต่สำหรับผู้ฝึกตนแล้วกลับมีประโยชน์มหาศาล สามารถทำให้การฝึกตนหยินหยางผสมผสานกัน ซึ่งไม่เพียงแต่จะฝึกฝนได้เร็วขึ้น แต่ยังทำให้มีเสถียรภาพขึ้นอีกด้วย

“สรุปแล้ว พื้นฐานของสถานที่นี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการฝึกตนแห่งหนึ่ง” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึก ยิ่งเกิดความพึงพอใจ เขานั่งลงขัดสมาธิบนยอดหอคอยแห่งนี้ เขาไม่ได้ครุ่นคิดถึงความแปลกประหลาดของที่นี่ และไม่ได้นึกถึงเรื่องเกี่ยวกับปรมาจารย์แห่งไฟที่แม่นางน้อยกล่าว แต่เขาสงบสติอารมณ์แล้วกำหนดลมหายใจ และเริ่มฝึกตน

ขณะที่ฝึกตนอยู่ เขาก็ได้บรรลุถึงระดับดาวพระเคราะห์ขั้นกลางแล้ว หวังเป่าเล่อค่อยๆ เดินลมปราณภายในร่าง และดาวเคราะห์ที่อยู่ด้านหลังเขาก็ค่อยๆ ปรากฎขึ้น เมื่อมองแวบแรกเป็นดาวเคราะห์เต๋า หากมองให้ดีแล้วจะเห็นว่าเป็นดาวบรรพกาลเก้าดวงอยู่ด้านในที่ตอนนี้กำลังสั่นน้อยๆ ราวหายใจดูดซับปราณวิญญาณที่อยู่รอบๆ เข้ามา

ในตอนแรกที่อยู่ท่ามกลางจักรวาล ขณะที่หวังเป่าเล่อฝึกจะก่อให้เกิดกระแสน้ำวนขึ้น แต่เนื่องจากที่นี่มีปราณวิญญาณเพียงพอและตัวหอคอยเองก็มีความพิเศษ ดังนั้นกระแสน้ำวนจึงไม่ได้ปรากฏออกมา แต่ก็สามารถเห็นกระแสปราณวิญญาณ โผล่มาจากทั่วสารทิศและเข้าสู่ร่างกาย

ก็เป็นเช่นนี้ เวลาจึงผ่านไปอย่างช้าๆ และไม่นานก็ผ่านไปสามวัน ในช่วงสามวันนี้หวังเป่าเล่อไม่ลืมตา ไม่ออกไปไหน และยังคงนั่งสมาธิอยู่ตลอด ด้วยปราณวิญญาณที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง การฝึกตนของเขาแม้จะไม่ได้คืบหน้ามากนัก แต่ก็ค่อยๆ มีเสถียรภาพมากขึ้นจากการเข้าสู่ขั้นกลาง

“ฝึกวันเดียว ราวกับฝึกตนในสหพันธรัฐครึ่งปี…” หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้น ไม่สามารถปิดบังความรู้สึกบนใบหน้าได้ ภายใต้การคาดเดาของเขา เขาเพียงต้องถือสันโดษอยู่ที่นี่ร้อยปีโดยไม่ต้องอาศัยยาและโชควาสนา การฝึกตนก็สามารถเลื่อนจากขั้นกลางถึงขั้นปลายได้

ร้อยปีแม้จะยาวนาน แต่ความเร็วระดับนี้ก็นับว่าน่าทึ่งแล้ว อันที่จริงเขารู้ดีว่าหากเป็นที่สหพันธรัฐ เกรงว่าชาตินี้ก็ยากที่จะเข้าสู่ดาวพระเคราะห์ขั้นปลาย

“เพียงแต่ตอนนี้ข้ายังขาดเคล็ดวิชาระดับดาวพระเคราะห์…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เขามาที่ดาราจักรไฟ สำหรับประตูบรรพชนใดก็ตาม วิชาดาวพระเคราะห์เป็นเคล็ดวิชาชนิดหนึ่ง แม้หวังเป่าเล่อจะเชี่ยวชาญวิชาบางอย่างของสำนักแห่งความมืด แต่ส่วนมากจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก ดังนั้นเขาจึงคิดมาที่นี่เพื่อเก็บเกี่ยวจากปรมาจารย์แห่งไฟ

ด้วยความคิดเช่นนี้ หวังเป่าเล่อจึงฝึกฝนอยู่สี่วัน กระทั่งมาถึงตอนรุ่งอรุณของวันที่แปดที่สาขาดาวเพลิง เสียงระฆังดังมาแต่ไกล ใจของหวังเป่าเล่อสั่นรัว แล้วเสียงชราเสียงหนึ่งก็ดังก้องในจิตสำนึกของเขา

“ศิษย์ทั้งหลายอาจารย์กลับมาแล้ว รีบมาพบเร็ว”

หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นทันที ฟังออกว่าเป็นเสียงของปรมาจารย์แห่งไฟ ความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งที่ฝังอยู่ในใจปรากฏขึ้นอีกครั้ง แต่เขารีบสงบมันลง หลังจากลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าแล้วก็รีบรุดออกจากหอคอยไป

ในขณะที่เขาจากไปก็มีเงาร่างอื่นภายในหอคอยเหาะตามออกมา มุ่งตรงไปยังหอสูงของปรมาจารย์แห่งไฟที่อยู่ตรงศูนย์กลาง เดิมทีก็ห่างไปไม่ไกล ดังนั้นหวังเป่าเล่อพร้อมด้วยเหล่าศิษย์น้องพี่ของเขาก็มาถึงที่ด้านนอกหอปรมาจารย์แห่งไฟตามเสียงอึกทึกที่เข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว

หวังเป่าเล่อเห็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ทรงอำนาจ ศิษย์พี่รองที่เป็นดั่งเทพเจ้า ศิษย์พี่สามและศิษย์พี่หญิงห้า ศิษย์พี่หก ศิษย์พี่เจ็ดที่มุทะลุ จนถึงศิษย์พี่หญิงสิบสองและศิษย์พี่สิบห้า

นอกจากศิษย์พี่สิบสามและสิบสี่ รวมทั้งศิษย์พี่สี่ที่ไม่ปรากฏตัวแล้ว ทั้งหมดสิบสามคนรวมหวังเป่าเล่อ ทั้งหมดก็อยู่ครบ แต่ละคนอยู่หน้าหอคอยแสดงความเคารพและมีท่าทีปกติ

หวังเป่าเล่ออดกวาดตามองไม่ได้ ในใจก็นึกถึงคำพูดของแม่นางน้อยขึ้นมา

“พวกนี้…ล้วนเป็นร่างอวตารของอาจารย์หรือ” หวังเป่าเล่อเกิดความลังเลขึ้นในใจอีกครั้ง เขาเห็นศิษย์สิบห้าขยิบตาให้ตน นอกจากนี้ยังเห็นรอยยิ้มของศิษย์พี่และศิษย์พี่หญิงคนอื่นๆ เขาประสานมือคำนับด้วยสัญชาติญาณ ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากก็ได้ยินเสียงผ่านโลกของปรมาจารย์แห่งไฟออกมาจากภายในหอคอย

“เข้ามาให้หมดเถอะ” ขณะที่คำพูดดังก้อง ประตูของหอคอยก็เปิดออกอย่างเงียบ ๆ เผยให้เห็นปรมาจารย์แห่งไฟนั่งอยู่ที่ตำแหน่งประธาน ร่างสวมเสื้อคลุมเพลิง ผมปลิวได้เองโดยไร้ลม และภายในดวงตาที่เปิดอยู่ราวจะเต็มไปด้วยเปลวเพลิง เพียงกลิ่นอายก็สร้างแรงกดดันให้แก่หวังเป่าเล่อเป็นอย่างมาก ขณะที่ถูกทำให้จิตใจสั่นคลอน เขารีบเก็บความคิดทั้งหมดและเดินตามศิษย์พี่ทั้งหลายเข้าไปในห้องโถงอย่างรวดเร็ว

ทันทีที่เข้าไป ศิษย์พี่เหล่านั้นก็คุกเข่าคำนับปรมาจารย์แห่งไฟทันทีพร้อมกับพูดเสียงดัง

“คารวะท่านอาจารย์!”

หวังเป่าเล่อก็รีบคุกเข่าลงและพูดแบบเดียวกัน ในขณะเดียวกัน เขาก็อดไม่ได้ที่จะเหลือบมองไปที่ปรมาจารย์แห่งไฟ จากนั้นก็กวาดตามองศิษย์พี่ชายหญิงคนอื่นๆ รอบตัวเขา ส่วนลึกในดวงตาส่อแววสงสัย

“ตามที่แม่นางน้อยพูดไว้ ทุกสิ่งที่อยู่ภายในดาราจักรไฟ ล้วนเป็นร่างอวตารของท่านอาจารย์ ดังนั้นเจ้าเต่าทองเพลิงก็ใช่ หลังได้ยินคำพูดข้าแล้ว แม้ข้าจะไร้ข้อซักถาม แต่จากปากของแม่นางน้อย ท่านอาจารย์เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ต้องทำให้ข้าลำบากแน่” หวังเป่าเล่อรู้สึกปวดหัวอยู่บ้าง ด้านหนึ่งเขาแอบถอนหายใจ และอีกด้านหนึ่งก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง และตอนที่เขามองปรมาจารย์แห่งไฟ อีกฝ่ายที่นั่งอยู่ตำแหน่งประธานก็กวาดสายตาผ่านร่างกลุ่มศิษย์ สุดท้ายก็มองมาที่หวังเป่าเล่อ รอยยิ้มที่อบอุ่นค่อยๆ ปรากฏบนใบหน้า

“เป่าเล่อ เรื่องครอบครัวเจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วหรือ หากเจ้าต้องการความช่วยเหลือจากอาจารย์ เจ้าสามารถบอกอาจารย์ได้”

“ขอบคุณท่านอาจารย์ เรียนท่านอาจารย์ เรื่องที่บ้านของศิษย์ได้จัดการเรียบร้อยแล้ว” หวังเป่าเล่อได้ยินที่ถามก็รีบตอบกลับด้วยความเคารพทันที และรู้สึกโล่งใจในเวลาเดียวกัน ดูไปเหมือนท่านอาจารย์จะไม่ได้โกรธ หรือว่าคำพูดของแม่นางน้อยจะไม่ใช่เรื่องจริง

……………………………………………………..

ก่อนหน้านี้แม่นางน้อยแทนตนเองว่าข้า นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้ยินนางเรียกตัวเองว่าแม่เฒ่า…คำเรียกนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกแย่ยิ่งกว่า

เขาพอจะจินตนาการได้ว่าการที่สตรีผู้เห็นความสำคัญของตนเองเป็นอย่างมาก แต่กลับไม่สนใจแม้แต่ภาพลักษณ์ของตนเองเช่นนี้ เพียงแค่นี้ก็มากพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นและความสุขซึ่งแตะถึงขีดสุดแล้ว ทั้งยังขยับไม้ขยับมือเต้น จนลืมเรื่องภาพลักษณ์ไปเสียสนิท

นอกจากนี้ทางฝั่งนั้นก็กำลังจะฉลองกันแล้วด้วย…

ประกอบกับคำพูดประโยคนั้นของอีกฝ่ายที่กล่าวว่า ‘ในที่สุดเจ้าก็มีวันนี้’ หวังเป่าเล่อจึงเริ่มหายใจติดขัด และรีบเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

“แม่นางน้อยผู้งดงาม ใจดี อ่อนโยน มีคุณธรรม ทั้งยังมีความซื่อตรง คือว่า…พอจะบอกข้าได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น?” หวังเป่าเล่อมองแม่นางน้อยที่กระโดดโหยงเหยงออกมาจากหน้ากากด้วยความตื่นเต้น นางระงับอารมณ์ภายในใจของตนเอง ทั้งยังกล่าวด้วยใบหน้าจริงใจ

“อยากรู้งั้นรึ?” เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ และได้เห็นใบหน้าของหวังเป่าเล่อที่แม้ว่าจะแสดงความจริงใจออกมา แต่ก็ยังมีความกังวลที่ไม่อาจปกปิดได้ แม่นางน้อยจึงรู้สึกสบายใจเป็นอย่างยิ่ง ในความเป็นจริงหลังจากที่นางติดตามหวังเป่าเล่อ นอกจากความภูมิใจที่เกิดขึ้นในช่วงแรกเริ่ม ในภายหลังต่างก็ต้องรับการโจมตีของอีกฝ่ายทุกครั้ง

หากการโจมตีเป็นเพราะความตั้งใจก็คงไม่เป็นไร นางยังสามารถกู้หน้าได้ แต่นี่กลับเป็นการโจมตีที่มองไม่เห็นทุกครั้ง สิ่งนี้ทำให้นางแทบจะเป็นบ้าอยู่หลายคราว ในที่สุดนางก็ได้เห็นอีกฝ่ายตกหลุมด้วยตาตัวเอง นอกจากความตื่นเต้นแล้ว นางยังรู้สึกราวกับได้เห็นของดี ครั้นเห็นหวังเป่าเล่อรีบพยักหน้าตอบกลับมา แม่นางน้อยจึงกะพริบตาปริบๆ

“ข้าไม่บอกเจ้าหรอก!”

หวังเป่าเล่อได้ยินเช่นนี้พลันเลิกคิ้วขึ้น เขามีความคิดอยากจะหลอกอีกฝ่ายให้ตายใจแล้วจึงจัดการเสียเหลือเกิน แต่จากความเข้าใจที่เขามีต่อแม่นางน้อยผู้นี้ วิธีหลอกให้ตายใจแล้วจัดการ หากคิดจะใช้มันจำเป็นต้องมีเทคนิคอีกเล็กน้อยด้วย เขาจึงได้แต่ถอนหายใจอย่างเงียบๆ และรำพึงในใจว่าเห็นทีคงต้องใช้กลอุบายหนุ่มรูปงามแล้วสิ

เมื่อคิดเช่นนี้ อารมณ์ความรู้สึกจึงค่อยๆ ลอยขึ้นบนใบหน้าของเขา เขาจ้องมองแม่นางน้อยด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง ขณะเอ่ยกระซิบว่า

“แม่นางน้อย เจ้ารู้หรือไม่ ภายในจักรพิภพที่เต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว การหลอกลวง และไร้ความปราณี แต่ข้าก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะที่แสนน่ารักบริสุทธิ์ ปราศจากซึ่งความกังวลใดๆ สำหรับข้านับว่าเป็นความโชคดียิ่งนัก”

“ดังนั้น แม่นางน้อยช่วยบอกข้าได้หรือไม่ เป่าเล่อมีเพียงคำขอเดียว เจ้าช่วยยิ้มให้มากกว่านี้อีกสักหน่อย เพื่อให้ชีวิตต่อจากนี้เต็มเปี่ยมด้วยรอยยิ้มเฉกเช่นวันนี้…” หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงนัยยะ เขาค่อยๆ ขยับเข้าใกล้แม่นางน้อย คำพูดแต่ละประโยคที่เปล่งออกมา ราวกับมีพลังประหลาดแฝงอยู่ ครั้นแม่นางน้อยได้ยิน นางจึงเกิดอาการประหม่าอย่างห้ามไม่อยู่

ความประหม่าเช่นนี้ ทำให้แม่นางน้อยรู้สึกอึดอัด ขณะใช้ดวงตาจ้องมอง

“เจ้าอ้วนน้อย เจ้าคิดว่าข้าจะใจอ่อนได้ง่ายๆ เพียงเพราะคำพูดไม่กี่ประโยคนี้งั้นรึ ไม่มีทาง!”

หวังเล่อเป่ายิ้มด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน เขาก้าวเท้าเดินมาหยุดตรงหน้าแม่นางน้อย ตอนที่อีกฝ่ายหลบตา เขาจึงจับเส้นผมที่เป็นภาพมายาของแม่นางน้อยเบา ๆ และพึมพำว่า

“แม่นางน้อย เจ้ารู้ไหม บนโลกใบนี้ในสายตาของข้า เดิมทีไม่ได้มีดวงดาราดวงใดเลย แต่ทุกครั้งที่ข้าคิดถึงเจ้า ก็จะปรากฎดวงดาราออกมาหนึ่งดวง จึงทำให้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาว…”

เมื่อคำพูดนี้ถูกเปล่งออกมา ร่างของแม่นางน้อยพลันสั่นวูบหนึ่ง นางถอยหลังออกไปด้วยความประหม่าเกินกว่าจะหาสิ่งใดเทียบเทียม ทว่าบนใบหน้าของนางกลับแสดงออกถึงความขยะแขยง นางรีบโบกมือพัลวัน

“หยุด หยุดเดี๋ยวนี้!”

“เจ้าอ้วนน้อย ข้าไม่เคยพบเคยเจอ คนที่มีความอยากรู้อยากเห็นมากเท่าเจ้ามาก่อน” แม่นางน้อยไอกระแอมหนึ่งเสียง หลังจากจัดการกับอาการประหม่าของตนเองได้แล้ว นางจึงกวาดตามองหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อแอบรำพึงภายในใจว่าสิ่งนี้ไม่ใช่หรอกเหรอที่นางอยากเห็น ทำให้เขาต้องใช้กลอุบายหนุ่มรูปงามที่มักจะราบรื่นเสมอ ทว่าใบหน้าของเขากลับเผยรอยยิ้มข่มขื่นออกมาให้เห็น ขณะยกมือขึ้นคารวะแม่นางน้อย

“แม่นางน้อยโปรดคลายความสงสัยด้วย”

หลังจากหายจากความประหม่าภายในใจ และได้เห็นท่าทางของหวังเป่าเล่อที่ดูจริงใจ แม่นางน้อยจึงนั่งลงข้าง ๆ จากนั้นโบกมือหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นน้ำเย็นหล่อวิญญาณก็ปรากฏขึ้นซึ่งมาจากที่ใดไม่อาจทราบได้ เมื่อได้กลืนน้ำลงคอ นางจึงกะพริบตาปริบๆ ทั้งยังแสดงท่าทีรู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่นอย่างไม่ปิดซ่อน หลังจากกวาดตามองหวังเป่าเล่อ นางจึงวางน้ำเย็นหล่อวิญญาณลง ก่อนไอกระแอมหนึ่งเสียง

“เฮ้อ เมื่อยไหล่จัง…” เมื่อพูดเช่นนี้ หวังเป่าเล่อที่กำลังตกตะลึงอยู่กับฉากที่แม่นางน้อยหยิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณออกมา ก็เกิดอาการใบหน้ากระตุก ร่างกายหายไปภายในพริบตาเดียว จากนั้นจึงปรากฏขึ้นอีกครั้งด้านหลังของแม่นางน้อย และเริ่มบีบนวดอย่างแผ่วเบา

ครั้นได้รับการบริการจากหวังเป่าเล่อ และได้ดื่มน้ำเย็นหล่อวิญญาณ แม่นางน้อยจึงบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดด้วยความรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง

“เจ้าอ้วนน้อย หลังจากที่เจ้าเดินทางมาถึงดาราจักรไฟแห่งนี้ เจ้ารู้สึกใช่ไหมว่าที่นี่เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด ทั้งยังทำให้สับสนเป็นอย่างมาก”

“เจ้าเองก็เห็นศิษย์พี่ชายและศิษย์พี่หญิงของเจ้าเหล่านั้นแล้ว แม้ว่าภายในจะดูปกติ แต่ส่วนใหญ่ก็ทำให้เจ้ารู้สึกได้ถึงบุคลิกที่ดูผิดแผกราวกับสมองมีปัญหา ใช่หรือเปล่าล่ะ?”

“แม้แต่วัวแก่ตัวนั้น เจ้าเองก็แอบรู้สึกถึงความแปลกประหลาดเช่นกัน ที่ข้าพูดถูกต้องใช่ไหม?” แม่นางน้อยพูดด้วยรอยยิ้ม

หลังจากหวังเป่าเล่อเคร่งขรึมครู่หนึ่ง เขาจึงถอนหายใจพร้อมกับพยักหน้า

“ข้าจะบอกอะไรเจ้าให้นะเจ้าอ้วนน้อย ชื่อเสียงปรมาจารย์แห่งไฟภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นมีไม่น้อยเลย เรื่องของเขาถูกเล่าขานไว้มากมาย มีคนเคยกล่าวว่าบ้านเกิดของเขาถูกกำจัดโดยตระกูลไม่รู้สิ้น ลูกศิษย์ก็ถูกสังหารทั้งหมด แต่ก็ยังมีคนเล่าว่าลูกศิษย์ของเขายังไม่ตาย เพียงแต่หลับใหลเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัส และมีคนพูดอีกว่าในภายหลังปรมาจารย์แห่งไฟได้รับลูกศิษย์มาส่วนหนึ่ง”

“นอกจากนี้ยังมีคนพูดว่าลูกศิษย์ของปรมาจารย์แห่งไฟตายไปแล้วจริงๆ เพียงแต่เขาได้ใช้เคล็ดวิชาเพื่อดึงเศษวิญญาณกลับมา ดาราจักรไฟที่ถูกจัดตั้งไว้ แท้จริงแล้วคือวงแหวนปราณวิญญาณหลับใหลขนาดมหึมา สถานที่ที่เตรียมไว้สำหรับลูกศิษย์ของเขาโดยเฉพาะ ทำให้พวกเขาอาศัยที่นี่และดำเนินชีวิตต่อไปได้”

คำพูดเหล่านี้ดังเข้ามาในหูของหวังเป่าเล่อ มือที่กำลังบีบไหล่ศิษย์พี่หญิงจึงชะงักไป

“มีคำพูดหลากหลาย ความคิดเห็นก็แตกต่างกันออกไป แต่เรื่องใดคือเรื่องจริง นอกจากผู้ที่บ่มเพาะได้ถึงระดับเดียวกับศิษย์พี่เฉินชิงจื่อของเจ้าแล้ว ก็ไม่มีใครมองออก แม้แต่บุคลิกแปลกประหลาดของปรมาจารย์แห่งไฟก็ยังถูกปกปิดไว้ คนที่สามารถมองเห็นได้ ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครแพร่งพรายออกไป”

“แต่…ข้าคงเป็นผู้ที่อยู่นอกเหนือจากผู้เยี่ยมยุทธ์เหล่านั้น และเป็นผู้เดียวที่ล่วงรู้ความจริง!” แม่นางน้อยพูดถึงตรงนี้ ความซับซ้อนและอารมณ์พลันฉายขึ้นบนใบหน้า นางวางน้ำเย็นหล่อวิญญาณลง และปฏิเสธที่จะให้หวังเป่าเล่อบีบนวดไหล่ของนางต่อ นางทำท่าทางราวกับนึกถึงอะไรบางอย่าง ความทรงจำปรากฏขึ้นนัยน์ตา ขณะพึมพำด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“เป่าเล่อ แท้จริงแล้วปรมาจารย์แห่งไฟน่าสงสารมาก…ข้าเคยได้ยินเรื่องราวของเขา ตอนที่ท่านพ่อของข้าพึมพำกับตัวเองระหว่างเดินทางผ่านจักรพิภพนี้”

“อันที่จริงเรื่องเล่าทั้งหมดที่พูดกันภายนอก ต่างก็ไม่มีเรื่องใดเป็นความจริง ศิษย์พี่ชายและพี่หญิงของเจ้าที่อยู่ภายในดาราจักรไฟเหล่านั้น ไม่ได้หลับใหลเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัส ไม่ได้ถูกเก็บเศษวิญญาณไว้ และไม่ใช่ภาพลวงตา…คำตอบที่แท้จริงก็คือทุกคนที่อยู่ที่นี่ ล้วนเป็นร่างอวตารของปรมาจารย์แห่งไฟ!!!”

“นอกจากลูกศิษย์คนที่สองของเขา ลูกศิษย์ทั้งหมดคือร่างอวตาร แม้แต่วัวแก่ที่ไปรับเจ้าตัวนั้น ก็เป็นร่างอวตารเช่นเดียวกัน”

“พ่อของข้าเคยพูดว่า ปรมาจารย์แห่งไฟเป็นคนโดดเดี่ยว เขาจึงสะสมร่างอวตารจำนวนนับไม่ถ้วนไว้บนโลก เพื่อให้อยู่เป็นเพื่อนตัวเอง…”

หวังเป่าเล่อได้ยินถึงตรงนี้ เขาก็เกิดอาการใจสั่นสะท้าน ความแปลกประหลาดและความสับสนที่อยู่ภายในใจพลันกระจายออก มันได้กลายเป็นระลอกคลื่นในใจ และส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณ

ความเป็นจริงไม่สามารถทำให้จิตใจของเขานิ่งสงบได้ คิดไม่ถึงเลยว่า ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ภาพลวงตา และไม่ใช่เศษวิญญาณที่เหลืออยู่ แต่เป็นฉาก…การแสดงเดี่ยว

“ไม่เพียงแค่ศิษย์พี่ชายและพี่หญิงของเจ้าเท่านั้นที่เป็นร่างอวตารของปรมาจารย์แห่งไฟ ภายในดาราจักรไฟแห่งนี้ ทั้งหญ้าและไม้ ต่างก็ไม่มีชีวิต โดยทั่วไปแล้ว…มันคือร่างอวตารของเขาทั้งหมด ต้นไม้และเต่าทองไฟที่อยู่ด้านนอก หากข้าเดาไม่ผิด ก็น่าจะเป็นหนึ่งในร่างอวตารของอาจารย์ที่เจ้าเคารพเช่นกัน”

แม่นางน้อยพูดมาจนถึงตรงนี้ ราวกับอารมณ์ที่จมดิ่งในช่วงระยะเวลาสั้นๆ จะได้รับการฟื้นฟูกลับมา นัยน์ตาของนางจึงปรากฎความปราดเปรื่องและเจ้าเล่ห์อีกครั้ง ขณะมองมาที่หวังเป่าเล่อ

“ดังนั้น เจ้าอ้วนน้อยเจ้าจบเห่แล้วล่ะ เจ้าน่ะฉลาดเกินไปจึงเสียรู้เข้าแล้ว จึงจงใจเอ่ยปากพูดออกไป หากมีคนแอบฟังอยู่ข้างๆ ก็ยิ่งทำให้เห็นความซื่อตรงของเจ้าชัดเจนยิ่งขึ้น ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าอยู่ที่วังเต๋าไพศาลก็เคยได้ยินเจ้าคณะพูดเช่นกัน เขาบอกว่าแม้ว่าปรมาจารย์แห่งไฟจะมีการบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง แต่ก็เป็นคนจิตใจคับแคบ ต่อให้ครึ่งประโยคหลังเจ้าจะพูดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่แค่มีครึ่งประโยคแรกมันก็เพียงพอแล้วล่ะ”

หวังเป่าเล่อเกิดความงุนงง ก้นบึ้งหัวใจของเขายังคงจมดิ่งอยู่กับเรื่องที่แม่นางน้อยพูดถึงความเศร้าโศกของปรมาจารย์แห่งไฟ ส่วนอีกด้านหนึ่งก็กำลังครุ่นคิดว่าตนเองฉลาดเกินไปจนเสียรู้ใช่หรือไม่

หนึ่งใจถูกแบ่งใช้งานถึงสองเรื่อง สิ่งนี้ทำให้เขาค่อนข้างปวดหัว ในขณะที่เงยหน้าขึ้นก็ใช้มือคลึงหว่างคิ้ว ตอนที่กำลังครุ่นคิดว่าจะจัดการอย่างไร เพียงไม่นานคิ้วของเขาพลันเลิกขึ้น

“ไม่ใช่สิ ศิษย์พี่เจ็ดถูกทุบตีอย่างน่าเวทนา นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องโกหก หรือว่าอาจารย์อยู่ที่นั่นไม่มีอะไรทำจึงทุบตีตัวเองแก้เบื่อ? ทั้งยังทุบตีเดือนละครั้งด้วย?”

………………………………………………

หวังเป่าเล่อไม่รู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นภายในหอคอยของศิษย์พี่สอง ในใจของเขาตอนนี้สับสนมากขึ้นเกี่ยวกับดาราจักรไฟแห่งนี้ เขามักจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่แย่ตรงที่ยังไม่สามารถจับประเด็นความคิดพวกนั้นได้

ไม่ว่าเขาจะนึกอย่างไร ก็ไม่พบความรู้สึกที่แม่นยำนัก โชคดีที่หลังจากได้เข้าคารวะศิษย์พี่สอง ยังได้พบกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ด้วย หวังเป่าเล่อรุ้สึกว่าบรรดาศิษย์พี่หญิงศิษย์พี่ชายในดาราจักรไฟของตัวเองนั้น มีบางอย่างเหมือนกับศิษย์พี่หญิงสิบสอง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีความรู้สึกที่น่าไว้วางใจมากขึ้นกว่าเดิม

ไม่ว่าจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่หรือศิษย์พี่สองต่างก็สร้างความประทับใจให้กับหวังเป่าเล่อได้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะศิษย์พี่สอง หลายปีมานี้แม้เขาจะได้รับความรู้ที่กว้างไกลขึ้นกว่าเดิม แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นร่างยามมีชีวิตแบบนั้นของศิษย์พี่สอง

“เกิดจากในธูป เป็นเทพอมตะ…” แววตาหวังเป่าเล่อเผยความชื่นชมออกมา พร้อมกับร่างของศิษย์พี่ใหญ่ฉายชัดขึ้นมาในหัวของเขา ความเด็ดเดี่ยวและความเฉียบขาดแบบนั้นที่อีกฝ่ายเผยให้เห็นพร้อมกับคำพูดเพียงไม่กี่คำ ไม่ใช่เพราะได้รับการขนานนามว่าศิษย์พี่ใหญ่ แต่เกี่ยวข้องกันเป็นอย่างยิ่งกับระดับการฝึกตนของเขาอย่างแน่นอน

“ในดาราจักรไฟ นอกจากท่านอาจารย์แล้ว กลับยังมีระดับจักรพิภพอีกสามท่าน!” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าเต็มปอด ความรู้สึกที่ได้รับจากศิษย์พี่สองนั้นยังไม่ชัดเจนนัก แต่ก็ทำให้เขาคาดการณ์ได้พอประมาณ ทว่าการแปรปรวนของจักรพิภพในร่างกายของศิษย์พี่ใหญ่รวมถึงศิษย์พี่สามนั้นทำให้เขาสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาล

“ยังมีศิษย์พี่สี่ที่มีประสบการณ์ฝึกตนจากภายนอก ไม่รู้ว่าเขาอยู่ในระดับจักรพิภพด้วยหรือเปล่า…” ในใจหวังเป่าเล่อรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เขาคิดว่าถึงแม้ภายในดาราจักรไฟจะแปลกประหลาดไปหน่อย แต่พลังที่แข็งแกร่งแบบนี้เพียงพอที่จะทำให้เขาฮึกเหิมเมื่อได้ออกไปจากที่นี่ เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา คาดว่าผู้แกร่งกล้าอาจมีนิสัยเฉพาะตัวบางอย่าง…ที่ไม่ใช่ว่าจะไม่อาจเข้าได้

ทว่าเมื่อหวังเป่าเล่อกำลังปลอบใจตัวเองอยู่นั้น ศิษย์สิบห้าที่นำทางอยู่ข้างๆ ก็ขมวดคิ้วพร้อมกับถอนหายใจ เขาหันกลับมากวาดตามองหวังเป่าเล่อ แล้วกระซิบออกมา

“โชคร้ายจริงๆ ทำไมถึงเห็นศิษย์พี่ใหญ่อยู่ในหอคอยของศิษย์พี่สองได้ล่ะเนี่ย…เฮ้อ ข้าจะบอกให้นะน้องสิบหก ศิษย์พี่ใหญ่น่ะ…นางก็เป็นคนสติเฟื่องคนนึงนั่นแหละ”

หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว ตลอดทางมานี้เขาพบว่าศิษย์พี่สิบห้าของตนผู้นี้ โดยพื้นฐานเป็นคนขี้นินทา ซ้ำยังขี้บ่นเป็นชีวิตจิตใจ แต่หวังเป่าเล่อไม่สามารถพูดอะไรได้มากนักเพราะได้มาเยือนที่นี่เป็นครั้งแรก จึงทำเพียงยิ้มแหยๆ ออกมา

“เจ้ายังจะยิ้มอีกหรือ?” เมื่อศิษย์สิบห้าเห็นรอยยิ้มของหวังเป่าเล่อก็ไม่ค่อยพอใจนัก เหมือนเขาจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่เชื่อใจเขา เขาจึงขาดความมั่นใจ หลังจากมองไปรอบๆ เขาจึงเอ่ยขึ้นมาเบาๆ

“เจ้าสิบหก ที่ศิษย์พี่เล่าทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผลดีกับตัวเจ้าเอง ศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนสติเฟื่องอย่างแน่นอน ถ้าข้าบอกเจ้าว่านางสติแตกไปแล้วหนหนึ่ง แต่ท่านอาจารย์ไม่ทราบเรื่องนี้ เจ้าจะเชื่อหรือไม่เชื่อ?”

“เอ่อ…” หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าท่านอาจารย์ทราบหรือเปล่า แต่ในตอนนี้เขารู้เพียงแค่ว่าเขาตอบไม่ได้จริงๆ ถ้าบอกว่าเชื่อเท่ากับว่าดูหมิ่นท่านอาจารย์และศิษย์พี่ใหญ่ แต่ถ้าไม่เชื่อ ศิษย์พี่สิบห้าถั่วงอกขี้นินทาผู้นี้ก็คงจะไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที

โชคดีที่หวังเป่าเล่อไม่จำเป็นต้องตอบ หลังจากที่ศิษย์สิบห้าพูดจบเขาก็เงียบไป ราวกับกำลังคิดเรื่องอะไรบางอย่างอยู่ แต่จู่ๆ เขาก็ตีอกชกหัวตรงหน้าหวังเป่าเล่อ แล้วถอนหายใจออกมาด้วยสีหน้าเหลืออดเหลือทน

“เรื่องนี้จะโทษศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้ ทั้งหมดเป็นความคิดของท่านอาจารย์ ศิษย์น้องสิบหกเอ๋ย ข้าขอเตือนอะไรเจ้าหน่อยเถอะ ท่านอาจารย์ผู้นั้นของพวกเราน่ะ…ไม่น่าไว้ใจเลยจริงๆ!”

“เจ้าก็ได้เห็นมาตลอดทางแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าไม่มีความคิดแบบนี้อยู่ในใจเจ้าเลย ศิษย์น้องสิบหก ขนบธรรมเนียมในดาราจักรไฟของพวกเราคือพูดทุกอย่างออกไปตามความเป็นจริง ถ้าเจ้ากับข้าพูดความจริงออกมา เจ้าคิดว่าท่านอาจารย์จะเชื่อหรือไม่เชื่อ?” ศิษย์สิบห้ามองหวังเป่าเล่ออย่างคาดหวัง ใบหน้าของเขาราวกับเขียนคำห้าคำไว้ว่า ‘รีบเห็นด้วยกับข้า’

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วจนเป็นร่องลึกอย่างคิดไม่ตก อีกฝ่ายพูดแบบนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนทำให้เขายากที่จะตอบจริงๆ ถ้าเขายังไม่พูดอะไรออกมา เห็นทีว่าศิษย์สิบห้าผู้นี้ก็คงจะไม่ล้มเลิกความพยายาม ดังนั้นเขาจึงทำเพียงทอดถอนใจ

“ศิษย์พี่สิบห้าขอรับ เป่าเล่อเพิ่งมาถึงที่นี่จึงมีเรื่องราวมากมายที่ยังไม่เข้าใจ แต่ข้ายังคงรู้สึกว่าทั้งหมดนี้จะต้องเป็นความเมตตากรุณาของท่านอาจารย์ที่มีแฝงความนัยอันลึกซึ้งไว้อยู่” ระหว่างที่หวังเป่าเล่อบอกกล่าวด้วยไหวพริบแพรวพราว ศิษย์สิบห้าก็นำเขามาถึงหน้าหอคอยของเขา

ด้านนอกหอคอยแห่งนี้มีต้นไม้ยักษ์ที่มีใบสีแดงเต็มต้นปลูกอยู่ ทำให้หอคอยที่ซ่อนเร้นอยู่ในนั้น ให้อารมณ์ราวกับความงามของงานศิลปะ ที่มีฉากหลังเป็นแสงตะวันลาลับขอบฟ้า ในขณะเดียวกันที่แห่งนี้ก็อบอวลไปด้วยความมีชีวิตชีวา นอกจากต้นไม้เหล่านั้นแล้ว ยังมีแมลงเต่าทองเพลิงบินว่อนไปทั่ว บางทีอาจเป็นเพราะรับรู้ว่ามีคนมา มันจึงกระพือปีกบินกันกระเจิดกระเจิง บางตัวก็บินหนีไป บางตัวก็ร่วงตกลงบนใบไม้สีแดง

หลังจากมาถึงที่นี่ เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อยังไม่เห็นด้วยกับตัวเอง สีหน้าของเขาจึงเผยความโกรธเคือง

“สิบหกน้อย เจ้าน่ะ…จะให้ข้าพูดอย่างไรกับเจ้าดี พอแค่นี้แหละ หลังจากนี้เจ้าก็จะได้รู้เอง ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยนะ…ครั้งนี้ท่านอาจารย์ได้พูดก่อนจะจากไปว่าเขาจะไปหาเคล็ดวิชาในจุดค้นพบ หากสำเร็จล่ะก็…เคล็ดวิชาที่นำกลับมาไม่ใช่แค่ข้าหรอกนะที่จะได้ฝึกฝน แต่รวมถึงเจ้าด้วย…”

“เจ้าน่ะ พอถึงตอนนั้นก็จะได้รู้เองว่าน่าเชื่อถือหรือเปล่า” เมื่อพูดจบ ศิษย์สิบห้าก็ถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้าด้วยความเศร้าสร้อย เขาไม่สนใจหวังเป่าเล่ออีกต่อไป ระหว่างที่หวังเป่าเล่อโค้งคำนับอำลา เขาสะบัดมือก่อนหันหลังเดินจากไป

หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ หวังเป่าเล่อโน้มตัวขึ้นแล้วมองไปยังด้านหลังที่ห่างไกลออกไปของศิษย์พี่สิบห้า เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ หวนนึกถึงเรื่องทุกอย่างตั้งแต่ที่ตัวเองมาถึงที่นี่ อดไม่ได้ที่จะยกมือขึ้นนวดตรงหว่างคิ้ว ความคับข้องใจและความเหนื่อยล้าฉายชัดบนใบหน้าของเขา สุดท้ายดวงตาก็ไม่ปิดบังความคิดอันซับซ้อนซึ่งเก็บซ่อนไว้อีกต่อไป

เขารู้สึกว่ายกเว้นได้เพียงไม่กี่คนที่ยังปกติ เพราะบรรดาศิษย์พี่ชายหญิงของตัวเองนั้นส่วนใหญ่มีความแปลกประหลาดมากทั้งนั้น โดยเฉพาะศิษย์พี่สิบห้าผู้นี้ยิ่งแล้วใหญ่ ดูเหมือนว่าเขามักจะอยากให้หวังเป่าเล่อเห็นด้วยกับสมมติฐานของตัวเองและคำพูดที่ไม่น่าเชื่อถือของท่านอาจารย์

ตรงจุดนี้แปลกประหลาดมาก เพราะทำเอาหวังเป่าเล่อที่ไม่ใช่คนโง่มัวระแวดระวังอยู่นาน แน่นอนว่าเขาไม่คล้อยตามคำพูดของอีกฝ่าย ทว่าการกระทำของอีกฝ่ายตลอดทางรวมถึงคำพูดก่อนจากไป กลับสร้างผลกระทบนิดหน่อยให้กับหวังเป่าเล่อ

“ค้นหาเคล็ดวิชาจากจุดค้นพบ…” หวังเปาเล่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง นึกถึงรูปร่างของต้นไม้ยักษ์และก้อนหินของศิษย์พี่สิบสามและสิบสี่ เนื่องจากมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างที่แสนคลุมเครือ

เพราะลางสังหณ์เช่นนี้ หวังเป่าเล่อจึงยืนอยู่ใต้ต้นไม้หน้าหอคอย นัยน์ตาวูบไหวอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็ถอนหายใจและบ่นพึมพำออกมา

“อาจารย์ไม่น่าเชื่อถือจริงหรือ? เป็นไปไม่ได้หรอก!”

หลังจากพูดจบ เขาก็นวดหว่างคิ้วอีกครั้ง ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะเลิกคิดถึงปัญหานี้ไปก่อน ต่อไปนี้เขาวางแผนที่จะเฝ้าสังเกตดาราจักรไฟให้มากกว่านี้ก่อนที่ท่านอาจารย์จะกลับมา แล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้ง

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หวังเป่าเล่อจึงหันกลับไปตามทางเดินเล็กๆ ระหว่างต้นไม้จนสุดทางเดิน เขาเปิดประตูหอคอยและก้าวข้าวไปด้านในที่พักของตัวเองที่อยู่ในดาราจักรไฟ หลังจากที่เขาเดินลับไป ใบไม้สีแดงที่อยู่หน้าหอคอยกลับมีแมลงเต่าทองเพลิงตัวหนึ่งกระพือปีกโผบินขึ้นจากใบไม้ ดูเหมือนว่ามันจะเหลือบมองหอคอยของหวังเป่าเล่อ พร้อมกับลอยวนเวียนอยู่กลางอากาศ ก่อนจะโบยบินจากไป…

หลังจากที่มันจากไป แมลงเต่าทองเพลิงตัวอื่นๆ ทั้งหมดพลันเลือนหายวับไปไม่เหลือแม้แต่เงา ราวกับว่าพวกมันไม่เคยมีอยู่จริง แต่กลับมีแค่ตัวเดียวที่บินออกไปเท่านั้นที่เป็นตัวที่มีชีวิตอยู่จริง

ทว่าในขณะที่แมลงเต่าทองเพลิงเหล่านี้หายวับไป ประตูของหอคอยพลันเปิดออก ร่างของหวังเป่าเล่อโผล่ขึ้นตรงนั้น ก่อนจ้องมองไปที่ใบไม้พวกนั้นที่มีแมลงเต่าทองเพลิงเคยเกาะอยู่บนต้นไม้มาก่อน นัยน์ตาโชนแสงซับซ้อนเกินจะคาดเดา

“ดาราจักรไฟแห่งนี้…จะต้องมีปัญหาเป็นแน่!”

สิ่งที่หวังเป่าเล่อได้พูดไปก่อนหน้านี้ ดูเหมือนไม่ได้ตั้งใจ แต่แท้จริงแล้วเขาทำมันไปโดยเจตนา หลังจากเห็นว่าต้นไม้ยักษ์และก้อนหินต่างก็เป็นศิษย์พี่ด้วยกันทั้งคู่ ตอนก่อนจะมาถึงหอคอย เขาจึงสังหรณ์ใจว่าในบรรดาต้นไม้เหล่านี้หรือในหมู่แมลงเต่าทองพวกนั้น มีศิษย์พี่ของตัวเองอยู่ด้วยหรือเปล่า…

ท้ายที่สุดแม้จะบอกว่าศิษย์พี่สี่มีประสบการณ์ออกไปฝึกตนภายนอก แต่เนื่องด้วยนิสัยแปลกๆ ของบรรดาศิษย์พี่ชายพี่หญิงนั้น การกลายร่างเป็นต้นไม้สักต้นหรือแมลงเต่าทองสักตัวหน้าบ้านคนอื่น ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ฝึกตนได้เช่นกัน…

เมื่อเห็นแมลงเต่าทองเพลิงพวกนั้นหายไป หวังเป่าเล่อก็กระพริบตาอยู่ชั่วครู่ หลังจากไตร่ตรองเสร็จเขาก็หันหลังเดินกลับเข้าไปในหอคอย แต่ทันทีที่เข้าไปในนั้น ความคิดของเขากลับปรากฏภาพแม่นางน้อยที่กลับมาก่อนที่ตัวเองจะไปจากที่นี่ นางมีความสุขเป็นอย่างมากจนถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความเบิกบานสุดขีด

“หวังเป่าเล่อๆ แม่เฒ่าอย่างข้าหงอยเหงามาครึ่งค่อนวันแล้ว ครานี้เจ้าฉลาดเกินไปจนเสียรู้เข้าแล้วล่ะ สุดท้ายเจ้าก็ตกหลุมพรางจนได้ ฮ่าๆๆๆ ในที่สุดเจ้าก็มีวันนี้!”

“ไม่ได้การแล้ว แบบนี้ข้าต้องฉลองสักหน่อย!!”

“เกิดอะไรขึ้น?” หวังเป่าเล่อตะลึงงัน เนื่องจากมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างที่แสนคลุมเครือ

………………………………………………..

ไม่แน่ว่าตัวตนของศิษย์พี่สองเป็นช่วงอายุที่หวังเป่าเล่อได้เห็น หรืออาจเป็นเพราะเหตุผลอื่นที่หวังเป่าเล่อไม่ทราบทำให้ไม่ทันได้สังเกต ขณะศิษย์สิบห้าที่อยู่ข้างๆ พูดประโยคนี้ออกมา ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงหรือสีหน้าก็เต็มไปด้วยความเศร้าบางอย่างที่ไม่สามารถเก็บงำไว้ได้

อันที่จริงการดำรงอยู่ของศิษย์พี่สองที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นดูเหมือนมีแรงดึงดูดแปลกๆ ทำให้สถานที่ที่เขาอยู่และสรรพสิ่งทั้งหมดหม่นหมอง

เมื่อรวมชุดสีขาวทรงสง่าและผมสีดำขลับอันเงางามเข้าด้วยกัน ดูเหมือนได้สรรค์สร้างรัศมีของเทพเซียนที่เปล่งประกาย โดยเฉพาะชุดและผมที่สง่างาม ยามไม่ได้ผูกหรือมัดไว้ก็ยังพลิ้วไหวแม้ไร้ลม เมื่อมาพร้อมกับร่างที่ลอยอยู่กลางเวหา ก็ประหนึ่งเป็นเทพเจ้าลงมาเยือนพื้นพิภพ

แม้แต่ผิวพรรณก็เปล่งประกายแวววาว ดวงตาทอแสงเรืองรองนับพันเฉดสี เมื่อจ้องมองมาที่หวังเป่าเล่อ จึงเผยให้เห็นความเป็นมิตรแฝงอยู่ในแววตาของศิษย์พี่สอง

“ศิษย์น้องสิบหก…”

“ขอคารวะศิษย์พี่สอง” หลังจากที่หวังเป่าเล่อและศิษย์พี่สองสบตากัน ตัวของพวกเขาก็สั่นระริกด้วยสัญชาตญาณบางอย่าง ไม่รู้ว่าทำไมในใจเหมือนจะรู้สึกได้ถึงจิตใจที่เป็นมิตรในแววตาของอีกฝ่าย ที่เจือความเศร้าอยู่ประปราย พลอยทำให้เขารู้สึกเศร้าโดยไม่มีสาเหตุ ก่อนจะคารวะออกมาเบาๆ

“ศิษย์น้องสิบหก จงอยู่ในดาราจักรไฟด้วยสบายใจและทำเหมือนที่นี่เป็นบ้านของเจ้า…” ศิษย์พี่สองจ้องมองไปที่หวังเป่าเล่อพร้อมพูดประโยคนี้ออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว จนศิษย์น้องอย่างหวังเป่าเล่อมึนงง ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก ศิษย์สิบห้าที่อยู่ด้านข้างดันถอนหายใจออกมาเสียก่อน

“ศิษย์พี่สอง สมัยตอนที่ข้ามาท่านก็บอกข้าแบบนี้เช่นกัน ส่วนผลลัพธ์น่ะเหรอ…” ใบหน้าของศิษย์สิบห้าเผยความหดหู่ใจ พลันทำให้ความคิดของหวังเป่าเล่อชะงักงัน ศิษย์พี่สองที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศเผยสีหน้าแฝงความเศร้าหมองและยุ่งยากอยู่ชั่วพริบตาหนึ่ง แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาเพียงโน้มตัวแล้วพยักหน้าเบาๆ ให้กับศิษย์สิบห้า

ทว่าน่าประหลาดตรงที่ทางหวังเป่าเล่อเอง กลับไม่เห็นศิษย์พี่สองที่ทำท่าโน้มตัวลง มิฉะนั้น เขาคงจะตกตะลึงในทันที พร้อมทั้งคลื่นอารมรณ์ลูกใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นในใจของเขา

แน่นอนว่า…ในฐานะที่เป็นศิษย์พี่สอง การโน้มตัวลงให้ศิษย์น้องของตัวเอง เป็นการกระทำที่มีความไม่สมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง แต่หวังเป่าเล่อนั้นกลับไม่ได้เห็นมันแม้แต่น้อย

ทางด้านศิษย์สิบห้าที่ไม่รู้ว่าเห็นหรือไม่เห็นการกระทำเหล่านั้น หลังจากพูดจบ เขาทำหน้ามุ่ยก่อนจะบ่นพึมพำออกมา

“ศิษย์พี่สอง ท่านอาจารย์ออกจากสำนักไปอีกแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าเคยแอบตามไปดู คิดว่าท่านอาจารย์ต้องออกไปหาเคล็ดวิชาที่ไม่น่าไว้วางใจอีกเป็นแน่ คราวนี้ข้ารู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในหายนะ!” ศิษย์สิบห้ากล่าวมาถึงตรงนี้ แล้วทำหน้าสลดใจออกมา ก่อนจะถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“เพราะท่านอาวุโสได้บอกไว้ก่อนออกเดินทางว่า กลับมารอบนี้เขาจะทำให้ข้าประหลาดใจ…”

ศิษย์พี่สองเพียงขำออกมาและไม่กล่าวอะไรเมื่อได้ยินเรื่องนี้ หวังเป่าเล่อเห็นเช่นนั้นก็เข้าไปสอดไม่ได้ ได้แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจ บางทีอาจเป็นเพราะเรื่องนี้ จึงทำให้ศิษย์สิบห้าบ่นไม่หยุดมาตลอดทาง ซ้ำยังหวังว่าตัวเองจะได้บ่นกับศิษย์พี่สองด้วย

ท้ายที่สุด ตัวอย่างที่ได้เรียนรู้จากศิษย์พี่สิบสามและสิบสี่ ทำให้เวลานี้หวังเป่าเล่อได้แต่ลังเลเกี่ยวกับเคล็ดวิชาของปรมาจารย์แห่งไฟ แม้เขาจะไม่ได้พูดอะไรแต่ก็ยังมีความรู้สึกบางอย่างว่าอีกฝ่ายไม่น่าเชื่อถือ

ความรู้สึกนี้เพิ่งจะเพิ่มขึ้นมา พอดีกับศิษย์สิบห้าที่เพิ่งจะบ่นจบ ทว่าเวลานี้…จู่ๆ ก็มีเสียงคำรามอันเยือกเย็นออกมาจากความว่างเปล่าโดยรอบ และดังกึกก้องอยู่ในหูหวังเป่าเล่อ ทำให้ตัวของเขาสั่นสะท้าน เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาจึงเห็นทันทีว่าด้านหลังของศิษย์สิบห้ามีร่างของแม่นางผู้หนึ่งก่อตัวขึ้นในความว่างเปล่าที่บิดเบี้ยว!

แม่นางผู้นี้สวมชุดกระโปรงสีม่วง แม้ว่ารูปร่างหน้าตาจะไม่ได้สวยสดงดงาม แต่กลับชวนให้รู้สึกถึงความมุ่งมั่นเฉียบขาดแฝงอยู่ ราวกับกำดาบปลายแหลมที่ไม่มีฝัก พร้อมๆ กับท่าทีนิ่งสงบแต่ไม่ต้องการที่จะคุกคาม

หากบอกว่าการคุกคามของศิษย์พี่หญิงสิบเอ็ดโผล่ออกมาด้านนอก การคุกคามขอแม่นางตรงหน้านั้นก็คงมาจากในกระดูกของนางและคงไม่โผล่ให้เห็นได้ง่ายๆ แต่เมื่อถูกปลดปล่อยออกมาแล้ว นางจะไม่มีวันหันหลังกลับ!

ด้วยเสียงคำรามอันเยือกเย็นและท่าทีที่แสดงออกมา ทำให้ศิษย์สิบห้าที่อยู่ทางนั้นสั่นสะท้านขึ้นมาทันที ก่อนจะหันไปแม่นางที่อยู่ข้างหลังของเขาอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งโค้งคำนับสุดตัว

“ขอคารวะศิษย์พี่หญิงใหญ่!”

“ขอคารวะ…ศิษย์พี่หญิงใหญ่” ศิษย์พี่สองที่อยู่ตรงนั้นเผยท่าทีที่แสนซับซ้อนที่หวังเป่าเล่อมองไม่ออก ก่อนถอนหายใจในระหว่างก้มหัวคารวะ อีกทั้งระดับที่เขาแสดงความเคารพของนั้น ก็โค้งตัวลงเกือบเก้าสิบองศา ซึ่งสามารถมองออกถึงความหมายที่แฝงอยู่ในการแสดงความเคารพ

ทว่าในสายตาของหวังเป่าเล่อ มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้เขาจึงใจคอไม่ดีกับเหตุไม่คาดคิดตรงหน้า ก่อนจะทำการคารวะเหมือนกับผู้อื่นต่อศิษย์คนแรกของปรมาจารย์แห่งไฟที่อยู่ตรงหน้า

“ศิษย์สิบห้า ท่านอาจารย์ขอให้เจ้าทำการต้อนรับศิษย์น้องสิบหก แต่เจ้ากลับพร่ำบ่นมาตลอดทาง แล้วตอนนี้มาใส่ร้ายท่านอาจารย์อีก สมควรโดนลงโทษอีกสักทีแล้วใช่ไหม!” ร่างของแม่นางที่ทำการผสานกันได้ปรากฏขึ้นภายในหอคอย ก่อนจะตะโกนใส่ศิษย์สิบห้า จากนั้นจึงมองไปที่หวังเป่าเล่อ ท่าทีของนางไม่ส่อความเข้มงวดอีกต่อไป ทว่าแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยน

“ศิษย์น้องสิบหกลุกขึ้นเถิด ข้าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า แม้ว่าท่านอาจารย์จะไม่ได้อยู่ที่นี่ตลอดเวลา แต่อนาคตไม่ว่าเจ้ามีปัญหาอะไรสามารถมาถามข้าได้ คิดเสียว่าที่นี่เป็นบ้านของเจ้า”

พอหวังเป่าเล่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็ตอบตกลงทันที เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองดูศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า เขาก็แสดงความเคารพออกมาจากใจ ด้วยความจริงที่ว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่ปกติที่สุดที่ในบรรดาคนที่เขาเห็นมาตลอดทาง

ศิษย์สิบห้าที่อยู่ด้านข้างเบะปากออกมาเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น ก่อนจะบ่นพึมพำออกมาอย่างไม่ค่อยมั่นใจกับคำตำหนิ

“ศิษย์พี่ใหญ่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ทำไมกัน ท่านอาจารย์ก็ไม่อยู่ ไม่ได้ยินคำพูดพวกนั้นที่ข้าพูดหรอก…”

ศิษย์พี่หญิงใหญ่หันหน้าไปถลึงตาดุใส่ศิษย์สิบห้า จนศิษย์สิบห้าหดคอลงแล้วไม่กล้าพูดอะไรมาอีก ศิษย์พี่หญิงใหญ่หันกลับมากำชับกับหวังเป่าเล่อ ก่อนจะโบกมือปัดตอบ

“น้องสิบห้าสิบหก พวกเจ้ากลับไปเถอะ ข้ายังมีเรื่องอื่นๆ ต้องหารือกับศิษย์พี่สองของพวกเจ้าอีก”

“ทราบแล้วขอรับ…” ศิษย์สิบห้าตอบด้วยน้ำเสียงหดหู่ ก่อนจะขอตัวลาพวกเขาทั้งสอง แล้วออกจากหอคอยไปพร้อมกับหวังเป่าเล่อ แต่ก่อนจะจากไป ศิษย์พี่สองที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศราวกับเทพตนหนึ่ง ได้มอบธูปหนึ่งดอกแทนของขวัญในการพบปะให้แก่หวังเป่าเล่อ

ซ้ำยังบอกด้วยว่าหลังจากจุดธูปขณะที่ฝึกปราณจะทำให้การฝึกฝนมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากนั้นหวังเป่าเล่อจึงได้กล่าวขอบคุณก่อนจะจากไป เขาจ้องมองไปที่หลังของหวังเป่าเล่อก่อนจะพลั้งพูดออกมาเบาๆ ประโยคที่พูดออกมานั้นทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นระริก

“เป่าเล่อ ไม่ว่าท่านอาจารย์จะเป็นคนอย่างไร ในความคิดของข้า ท่านอาวุโสเป็นคนที่โดดเดี่ยวคนนึง…”

หวังเป่าเล่อตะลึงงัน เมื่อได้ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ ก่อนที่ศิษย์สิบห้าที่อยู่ข้างกันจะพึมพำออกมา

“ชายชราผู้โดดเดี่ยวนั่นทรมานเหล่าลูกศิษย์อย่างพวกเราทุกวี่ทุกวัน…ไปกันเถอะศิษย์สิบหก ข้าจะส่งเจ้ากลับหอคอยของเจ้าเอง” ขณะพูด ดูเหมือนศิษย์สิบห้าจะเผลอขัดจังหวะความคิดของหวังเป่าเล่อ แล้วพาเขาออกจากหอคอย

ในหอคอยเวลานี้เหลือเพียงศิษย์พี่สองและศิษย์พี่หญิงใหญ่

ศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่มองย้อนกลับไป ราวกับว่าสายตาของนางมองทะลุหอคอยได้ จนสามารถเห็นหวังเป่าเล่อที่อยู่กับศิษย์สิบห้าที่พูดพล่ามไม่หยุด เดินออกไปไกลเรื่อยๆ

ศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่จ้องมองภาพตรงหน้า ที่มีคนฝึกฝนเคล็ดธูปศักดิ์สิทธิ์ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ตราบใดที่ยังมีควันธูปของเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ ศิษย์พี่สองก็ไม่มีวันตาย แววตาเผยความเศร้าหมองเหลือคณา ยิ่งทุกข์ระทม ก็ยิ่งก้มหัวโค้งคำนับต่ำลงให้แก่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ตรงหน้าที่แสดงสีหน้าไร้อารมณ์

“ศิษย์ขอคารวะท่านอาจารย์ขอรับ”

หากหวังเป่าเล่อยังอยู่ที่นี่ ได้ยินประโยคนี้คงจะตกอกตกใจน่าดู ในใจคงจะเกิดความตกตะลึงครั้งใหญ่และความสับสนวุ่นวายไม่รู้จบอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แต่น่าเสียดายที่ผู้ที่ออกจากที่นี่ไปจะไม่ได้รับรู้เรื่องทั้งหมดนี้อย่างแน่นอน

หลังจากศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ถูกศิษย์พี่สองเรียกว่าท่านอาจารย์ ตอนนี้จึงหันหน้าไปมองศิษย์พี่สองอย่างจริงจัง

“ศิษย์น้องสอง เจ้าฝึกฝนเคล็ดศักดิ์สิทธิ์จนสติเลอะเลือนไปแล้วหรือ? ข้าคือศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเจ้า หาใช่ท่านอาจารย์ไม่!”

ศิษย์พี่สองเงียบลงเมื่อได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าของเขาดูขมขื่น สุดท้ายจึงถอนหายใจออกมา ก่อนจะโค้งคำนับอีกครั้ง แต่กลับไม่กล่าวอะไรออกมา

ดังนั้นศิษย์พี่ใหญ่จึงเงียบไปเช่นกัน เมื่อมองย้อนกลับไปในทิศทางที่หวังเป่าเล่อได้จากไป นางก็แย้มยิ้มออกมาครู่หนึ่ง

“ท่านสองรู้สึกว่าดาราจักรไฟในตอนนี้คึกคักขึ้นมาบ้างไหม? หากไม่มีเคราะห์ภัย อีกไม่นานเจ้าเด็กนั่นต้องมาที่นี่ เมื่อถึงตอนนั้นดาราจักรของพวกเราคงจะมีชีวิตชีวามากกว่านี้” ขณะพูด รอยยิ้มของศิษย์พี่ใหญ่ก็ดูมีความสุขมากยิ่งขึ้น ศิษย์พี่สองที่อยู่ข้างๆ จ้องมองรอยยิ้มของอีกฝ่าย ก่อนสีหน้าจะค่อยๆ สงบนิ่งขึ้น นานมากแล้วที่เขาไม่ได้เห็นคนที่เขาเคารพมากที่สุดในชีวิตมีรอยยิ้มที่มีความสุขอย่างแท้จริง พลอยทำให้เขาแย้มรอยยิ้มตามออกมาด้วย

เมื่อรอยยิ้มของเขาเผยออกมา จึงได้ยินคนที่เขาเคารพนับถือที่สุดในชีวิตผู้นั้นส่งเสียงพึมพำเบาๆ ออกมา

“ครั้งนี้ ข้าต้องปกป้องพวกเจ้าได้แน่นอน…ได้แน่นอน!”

………………………………………………..

เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินเช่นนั้น จึงตื่นตระหนกขึ้นมาทันที ในขณะเดียวกัน สิ่งที่วัวแก่เคยเล่าให้เขาฟังพลันผุดขึ้นมาในหัว ที่ดาราจักรไฟแห่งนี้ จำไว้ว่าต้องพูดตามความเป็นจริง อย่าได้คิดที่จะหลอกลวง

ทว่าเวลานี้ สีหน้าเขายิ่งเคร่งขรึมยิ่งขึ้น ก่อนกล่าวออกมาด้วยความหนักแน่น

“ศิษย์พี่สิบห้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าคิดว่าท่านอาจารย์มีความฉลาดหลักแหลม ข้าไม่กล้าคิดหรอกว่าที่เขาทำเช่นนั้นจะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝง”

เมื่อศิษย์สิบห้าที่อยู่ด้านข้างได้ฟังเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะเบะปาก

“น้องสิบหกไม่จริงใจเอาเสียเลย คิดสิ่งใดกลับไม่พูดออกมาตามจริงเช่นนี้ อีกไม่นานพอได้พบกับศิษย์พี่เจ็ด เจ้าจะได้รู้ถึงผลลัพธ์ของคำพูดที่ไม่จริงใจ”

ดูเหมือนว่าหวังเป่าเล่อจะงุนงงเล็กน้อย ศิษย์สิบห้าจึงไม่กล่าวอะไรอีก แม้ว่าเขาจะกระโดดเด้งดึ๋งเหมือนเห็ดเข็มทองไปตลอดทาง แต่กลับไม่พูดจากับหวังเป่าเล่อ ก่อนจะพาเขาไปทำความเคารพศิษย์พี่หญิงสิบเอ็ดและสิบสอง

หลังจากที่หวังเป่าเล่อได้ไปคารวะศิษย์พี่หญิงสิบสอง ในที่สุดจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ตั้งแต่มาถึงดาราจักรไฟอีกฝ่ายเป็นคนเดียวที่เขาเห็นว่าดูเหมือนคนปกติ ระดับการฝึกตนไปถึงระดับดารานิรันดร์แล้ว ศิษย์พี่หญิงสิบสองไม่เพียงแต่มีรูปโฉมงดงามเลอค่า กิริยามารยาทก็สง่างามไร้ที่ติ ตอนอยู่ในหอคอยนางยังสุภาพอ่อนโยนกับหวังเป่าเล่อ หลังจากได้ซักถามเล็กน้อยเกี่ยวกับสถานการณ์ของหวังเป่าเล่อ อีกทั้งยังกำชับบางอย่างในเรื่องของการฝึกตน สุดท้ายจึงได้ลุกขึ้นฝากฝังเขาไว้กับศิษย์สิบห้าด้วยตัวเอง

นอกจากการฝากฝังแล้ว นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบโอสถบำรุงขวดหนึ่งออกมายื่นให้แก่หวังเป่าเล่อ

“ศิษย์น้องสิบหก โอสถนี้มีนามว่ายาผสานวิญญาณ มีทั้งหมดเจ็ดเม็ด เจ้าสามารถใช้มันได้ก็ต่อเมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัส มันสามารถทำให้กายและจิตของเจ้าฟื้นตัวได้เร็วเป็นอย่างมากภายในเวลาหนึ่งก้านธูป”

ศิษย์พี่สิบสองดูปกติกว่าศิษย์พี่สิบสามและสิบสี่เป็นอย่างมาก นอกจากบุคลิกของพวกเขาดูเหมือนจะตรงกันข้ามกับศิษย์พี่สิบสอง ไม่ใช่แค่ไม่อ่อนโยนหรือสง่างาม แต่กลับเอาแต่ใจตัวเองสุดๆ โดยเฉพาะร่างกายที่พร้อมปล่อยพลังรุนแรงราวกับภูเขาไฟที่พร้อมปะทุได้ทุกเมื่อ เนื่องด้วยระดับการฝึกตนขั้นดารานิรันดร์ของพวกเขา ก็สามารถจินตนาการได้ถึงยามที่มันระเบิดจนสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นอย่างไม่อาจหลบเลี่ยง!

วาจาสอดคล้องกับบุคลิกของเขา หลังจากเห็นหวังเป่าเล่อ ประโยคแรกที่เอ่ยถามก็ตรงไปตรงมาอย่างอย่างไม่น่าเชื่อ

“ศิษย์น้องสิบหก เนื่องจากเจ้าได้เห็นหน้าค่าตาศิษย์พี่ศิษย์น้องพวกนั้นแล้ว อีกทั้งยังอยากที่จะทำความเข้าใจบางสิ่งเกี่ยวกับดาราจักรไฟของข้า ถ้าอย่างนั้นบอกข้าทีว่าหลังจากเห็นสิ่งเหล่านี้แล้วเจ้ารู้สึกอย่างไรต่อการกระทำของท่านอาจารย์อาวุโส?”

คำถามนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตอบได้ยากเย็นนัก แม้ศิษย์สิบห้าจะเคยถามคำพูดคล้ายๆ กันมาก่อน แต่ด้วยบุคลิกของศิษย์พี่หญิงสิบเอ็ดอีกทั้งระดับการฝึกตน ล้วนสร้างความกดดันให้แก่หวังเป่าเล่อเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดขึ้นในตอนนี้ได้ทวีความรุนแรงขึ้น ทำเอาหวังเป่าเล่อลังเล เขาจึงทำเพียงยกมือคารวะขณะพูดด้วยความกระอักกระอ่วนใจ

“ข้าขอตอบศิษย์พี่สิบเอ็ดว่า ท่านอาจารย์นั้นซับซ้อนจนยากที่จะคาดเดา ระดับการฝึกตนของข้ายังไม่เพียงพอจึงไม่สามารถมองได้ทะลุปรุโปร่ง แต่ข้าพอจะสัมผัสได้ถึงความรักและความหวังดีที่ท่านอาจารย์มีต่อลูกศิษย์ของท่าน”

หวังเป่าเล่อพูดไปตามมารยาท ไม่ใช่ความคิดที่แท้จริงจากใจ ถึงแม้วัวแก่จะเตือนเขามาล่วงหน้าแล้วว่าอยู่ที่นี่ไม่ต้องประจบสอพลออะไรมาก ให้พูดไปตามความเป็นจริง แต่เขารู้สึกว่าไม่มีใครบนโลกนี้ที่ไม่ชอบฟังคำพูดเยินยอ จะจริงหรือไม่จริงก็ขึ้นอยู่กับระดับปัญหาของคนที่พูด

ตั้งแต่หวังเป่าเล่อได้เดินทางมาถึงดาราจักรไฟแห่งนี้ มันทำให้เขาคลางแคลงใจกับเรื่องไร้สาระอยู่เรื่อยๆ เพราะมักจะรู้สึกว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่ตนเห็น และด้านในดูเหมือนว่าจะมีกลิ่นไม่ชอบมาพากลบางอย่างที่ตัวเองปะติดปะต่อได้ในตอนนี้

เสมือนมีผ้าบางๆ ที่มองไม่เห็นบดบังทุกอย่างไว้ ทำให้ตัวเขามองไม่เห็นและไม่เข้าใจเสียที ดังนั้นภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขาจึงต้องระวังคำพูดของตัวเองสักหน่อย

เมื่อศิษย์พี่หญิงที่สิบเอ็ดได้ฟังคำตอบของหวังเป่าเล่อ ท่าทีของนางยังคงเหมือนเดิม ไม่แสดงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ที่ชัดเจนแต่อย่างใด นางเพียงมองลึกเข้าไปในตาของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะส่ายหน้าแล้วพูดเบาๆ

“นิสัยแบบเจ้าไม่ควรมาที่ดาราจักรไฟเลยนะ” ศิษย์พี่สิบเอ็ดพูดพลางโบกมือ ทันใดนั้นหวังเป่าเล่อและศิษย์สิบห้าที่ไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่มาถึง ได้ถูกคลื่นความร้อนม้วนตัวเขาออกจากหอคอยของศิษย์พี่สิบเอ็ดอย่างรวดเร็ว

หลังจากมาถึงด้านนอก ศิษย์สิบห้าเหลือบมองหวังเป่าเล่อก่อนจะถอนหายใจแล้วบ่นพึมพำกับตัวเอง

“สิ่งที่ศิษย์พี่สิบเอ็ดเกลียดที่สุดคือคำพูดไม่จริงใจ”

หวังเป่าเล่อยิ้มอย่างขมขื่นเมื่อได้ยินคำพูดนั้น พลันหันหน้ากลับไปมองหอคอยศิษย์พี่สิบเอ็ด ได้แต่ส่ายหัวโดยที่ไม่กล่าวอะไร หลังจากศิษย์สิบห้าพูดกับตัวเองแบบนั้น เขาก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก แล้วพาหวังเป่าเล่อไปทำความเคารพศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ อาจเป็นเพราะไม่ได้สนทนากันมากนัก ด้วยเหตุนั้นขั้นตอนการพบปะจึงเร็วขึ้นไปโดยปริยาย

หนึ่งชั่วโมงต่อมา ศิษย์สิบห้าก็พาหวังเป่าเล่อไปทำความเคารพศิษย์พี่สิบจนถึงศิษย์พี่สามเสร็จสิ้น ในบรรดาแปดคนนี้มีคนปกติอยู่มาก ซึ่งช่วยลดความรู้สึกแปลกๆ ในใจของหวังเป่าเล่อที่มีต่อดาราจักรไฟได้ไม่น้อย

เนื่องจากศิษย์พี่สิบเป็นชายร่างใหญ่ราวกับยักษ์ อีกทั้งพลังในร่างกายก็แกร่งกล้า จนเลือดไหลเวียนได้อย่างดีเยี่ยม การเข้าหาเขาก็เหมือนกับการเข้าใกล้เตาไฟ แม้หวังเป่าเล่อจะสัมผัสได้ว่าศิษย์พี่สิบผู้นี้พูดไม่เก่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นระดับการฝึกตนและพลังการต่อสู้นั้นก็ดูเหมือนจะสูงกว่าศิษย์พี่สิบเอ็ดมาก

เขาใจดีกับหวังเป่าเล่อมาก เพราะก่อนที่หวังเป่าเล่อจะคารวะเสร็จแล้วจากไป เขายังได้มอบเลือดอสูรขวดหนึ่งตามที่ได้แนะนำ ซึ่งนี่เป็นเลือดของอสูรร้ายระดับดารานิรันดร์ หากทาให้ทั่วร่าง มันก็จะสามารถช่วยเพิ่มพลังของชั้นกายเนื้อให้เป็นอมตะได้

ส่วนศิษย์พี่เก้านั้นก็ดูปกติเช่นกัน แม้ร่างกายของนางจะสูญเสียพละกำลังมากไปหน่อย แต่สำหรับศิษย์พี่หญิงห้าและศิษย์พี่ชายหก หวังเป่าเล่อก็ยังเห็นว่าสองคนนี้เป็นศิษย์ร่วมสำนักที่ปกติที่สุดเช่นเดียวกับศิษย์พี่หญิงสิบสอง ระดับการฝึกตนก็ยังอยู่ในขั้นดารานิรันดร์ อีกทั้งยังแสดงความโอบอ้อมอารีต่อหวังเป่าเล่อด้วยการมอบของขวัญในการพบปะกัน

สำหรับศิษย์พี่ชายสี่ที่ไม่ได้อยู่ในดาราจักรไฟ เพราะไปทดสอบพลังฝึกปรืออยู่ต่างดาว ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้พบเขา ทว่านอกจากพวกเขาเหล่านี้แล้ว ยังมีอีกสองสามคนที่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกประหลาดใจไม่แพ้กัน

อย่างเช่นศิษย์พี่ชายแปดเป็นคนแคระ ส่วนสูงของเขาอยู่แค่ระดับเอวของหวังเป่าเล่อเท่านั้น ประกอบกับร่ายกายที่อาจสร้างความปั่นป่วนต่อจิตใจของผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยยิ้มของเขารวมถึงฟันสีดำเต็มปาก ตอนที่เห็นเช่นนั้นหวังเป่าเล่อรู้สึกขนลุกเกรียว สัญชาตญาณร้องเตือนถึงปัญหารุนแรงที่อาจเกิดขึ้น

นอกจากนี้ยังมีศิษย์พี่ชายเจ็ดที่ได้กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้…

ศิษย์พี่ผู้นี้จะบอกว่าปกติหรือไม่ปกติก็ได้เช่นกัน ที่บอกว่าปกตินั่นเพราะว่าเขาเป็นคนสุภาพอ่อนโยนทั้งคำพูดและการกระทำ ราวกับสุภาพบุรุษทั่วไป เขายังชงชาบำรุงวิญญาณให้แก่หวังเป่าเล่ออีกด้วย คำพูดก็อธิบายได้ครอบคลุมทุกอย่าง แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจของเขาต่อทุกสรรพสิ่งบนโลก

ส่วนที่บอกว่าไม่ปกตินั้นคือร่างกายของเขาบวมไปทั้งตัว รวมถึงจมูกและใบหน้าที่ปูดบวม ดูแล้วน่าอับอาย หลังจากได้ทำการคารวะแล้วจึงรีบเดินทางออกมา ศิษย์สิบห้าไม่ได้สนทนาอะไรกับหวังเป่าเล่อมาตลอดทาง ก่อนจะส่งเสียงฮึดฮัดแล้วเอ่ยพูดกับหวังเป่าเล่อพูด

“ศิษย์น้องสิบหกเห็นแล้วใช่ไหมล่ะ ศิษย์พี่เจ็ดเป็นบุรุษรูปงามเพียงใด นั่นเพราะเขาชอบประจบสอพลอท่านอาจารย์ ไม่พูดตามความเป็นจริง หลังจากนั่นน่ะเหรอ…เจ้ารู้ไว้ว่า ท่านอาจารย์ไม่ชอบใจก็เลยทุบตีเขา…เป็นกิจวัตรเลยล่ะ ศิษย์พี่เจ็ดถูกทุบตีทุกเดือน จนตอนนี้ข้าเองก็ลืมรูปลักษณ์เดิมของเขาไปแล้ว”

“นี่มัน…” หวังเป่าเล่อถอนหายใจหลังจากได้ยินเรื่องนี้

“ข้าบอกเจ้าไว้นะน้องสิบหก เจ้าต้องพึงระลึกไว้เสมอ สิ่งสุดท้ายที่ไม่ควรทำก็คือความไม่จริงใจ ต้องพูดทุกอย่างตามความจริง”

ใจหวังเป่าเล่อรู้สึกสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ต่อมาศิษย์สิบหกได้พาเขาไปที่หอคอยของศิษย์พี่ชายที่สาม ศิษย์พี่สาม…ไม่อาจกล่าวได้ว่าไม่ปกติ พูดได้เพียงว่าภาพลักษณ์ดูฉุนเฉียวเกินไป

รูปลักษณ์ดูเมือนวัวไฟ ดูอย่างไรก็คล้ายกับวัวแก่เหยียนหลิง หวังเป่าเล่อไม่เชื่อว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือด เหนือสิ่งอื่นใด มารยาทของศิษย์สิบห้าขณะได้เห็นศิษย์พี่สิบสามรวมไปถึงโทนเสียงตอนทำความเคารพ ยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อมั่นใจในการคาดการณ์ของตัวเองมากขึ้น

ศิษย์พี่สามมีท่าทีนิ่งเฉย ไม่พูดอะไรกับหวังเป่าเล่อสักคำ ซ้ำยังผลุนผลันออกไป ทำให้หวังเป่าเล่อไม่มีโอกาสที่จะเข้าใจอะไรได้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น จึงทำเพียงตามศิษย์สิบห้าไปทำความเคารพศิษย์พี่ชายที่สอง

หลังจากได้เห็นศิษย์พี่สอง ตลอดทางที่หวังเป่าเล่อได้ผ่านมา การที่ได้ประสบพบเจอศิษย์พี่ชายศิษย์พี่หญิงมากมายมาก่อนหน้านี้ล้วนทำให้รู้สึกประหลาดใจ อีกด้านหนึ่งคือหวังเป่าเล่อไม่สามารถมองออกถึงระดับการฝึกตนของศิษย์พี่สอง อีกฝ่ายดูไม่เหมือนกับดารานิรันดร์ และไม่เหมือนผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพที่ตัวเขาเคยพบเจอมา ไม่เหมือนแม้กระทั่งผู้ฝึกตน!

ในทางกลับกัน แม้ว่าศิษย์พี่สองจะดูเหมือนชายวัยกลางคนที่หล่อเหลาเป็นพิเศษ อีกทั้งดวงตาของเขาเปรียบเสมือนดวงดารา ชวนให้ผู้คนรู้สึกถึงกระบวนเวทที่ไม่ธรรมดา ทว่าหวังเป่าเล่อมีความรู้สึกแปลกๆ ที่อีกฝ่ายดูราวกับไม่มีชีวิตอยู่จริง

ดูเหมือนว่ามีความแตกต่างในการรับรู้ระหว่างสิ่งที่ตาและดวงจิตมองเห็นอยู่นั้นคือศิษย์พี่สองตัวจริง ราวกับว่า…สิ่งที่เขาเห็นคือรูปลักษณ์ที่ศิษย์พี่สองต้องการให้เห็นด้วยตัวเขาเอง

ความรู้สึกนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกอึดอัดมาก หลังจากศิษย์สิบห้าที่อยู่ข้างกันรับรู้สถานการณ์นี้ แม้เขาจะอยู่ต่อหน้าศิษย์พี่สอง แต่ก็ยังกระซิบออกมา

“ศิษย์น้องสิบหก การฝึกตนของศิษย์พี่สองนั้นแตกต่างกับข้า สิ่งที่เขาฝึกคือเคล็ดวิชาธูปศักดิ์สิทธิ์ จะกล่าวได้ว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่ในโลกก็ย่อมได้ เพราะเกิดมาจากในธูป…ส่วนหนึ่ง ศิษย์พี่สองจึงเสมือนเป็นเทพที่เป็นอมตะตนหนึ่งมากกว่า!”

………………………………………………..

หวังเป่าเล่อตามติดศิษย์พี่สิบห้าที่เดินนำอยู่ข้างหน้าด้วยความสับสน ตอนแรกศิษย์พี่สิบห้าก็ยังเดินดูปกติดี แต่ไปๆ มาๆ กลับกระโดดโลดเต้นไปข้างหน้า ด้วยท่าทางการกระโดดแบบนั้นประกอบกับรูปร่างที่เหมือนถั่วงอก ทำให้ศิษย์พี่สิบห้าเด้งดึ๋งเหมือนกับเห็ดเข็มทอง

อีกทั้งยังร้องรำทำเพลงที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นออกมา….

“ดาราจักรไฟช่างดี ดาราจักรไฟช่างวิเศษ ดาราจักรไฟช่างน่ายกย่อง…”

เพลงนี้มีแต่มนต์สะกดเต็มไปหมด ซึ่งทำให้ความคิดของหวังเป่าเล่อสับสนวุ่นวายมากขึ้น เขาเริ่มรู้สึกว่ามีเรื่องบ้าบอคอแตกเหนือคำบรรยายอยู่ที่โลกใบนี้…อีกทั้งใจยังเผลอด่วนสรุปจากความรู้สึกทั้งหมดตอนที่ตัวเองเห็นวัวแก่ จนกระทั่งได้มาถึงที่นี่

“ในดาราจักรไฟ มีวัวแก่ตัวหนึ่งที่แกร่งกล้าจนท่านอาจารย์ยังต้องให้ความยำเกรง…เห็นๆ กันอยู่ว่าวัวแก่นั่นโมโหง่าย พูดได้เลยว่าดาราจักรไฟไม่ชอบความรู้สึกที่ต้องมาประจบสอพลอ แต่ตัวเขาเองดันอยากได้ยินคำสรรเสริญเยินยอพวกนั้นมากกว่าใครๆ น่ะสิ…”

“ในดาราจักรไฟ ข้ามีศิษย์พี่สิบห้าที่ดูเจ้าเล่ห์ ซ้ำยังดูเหมือนพวกสมองมีปัญหาด้วย ศิษย์พี่ผู้นี้พูดจาบ้าๆ บอๆ อย่างวลีเด็ดที่ว่า ‘เจ้ารู้ไว้ว่า’…ซึ่งเขามักจะชอบมองไปรอบก่อนกระซิบกระซาบ ทั้งๆ ที่เขาพูดออกมาโต้งๆ ได้เลย แล้วทำไมถึงพูดตรงๆ ออกมาได้ยาก แม้ว่าบริเวณโดยรอบจะไม่มีใคร แต่การโพล่งออกมากลับมีโอกาสที่จะโดนสอดแนม…”

“ในดาราจักรไฟ ข้ายังมีศิษย์พี่สิบสี่อีกคน ที่ดูเหมือนพวกสมองมีปัญหาเช่นกัน เขากลายร่างเป็นภูเขาจำลองเพราะการฝึกภาพมายา ทว่าดันกลายร่างกลับมาไม่ได้…” หวังเป่าเล่อได้แต่คิดไม่ตกจนปวดหัวขึ้นมาแล้วเผลอยกมือนวด แต่ว่า…เมื่อเขาตามศิษย์พี่สิบห้ามายังหอคอยที่มีศิษย์พี่สิบสามอยู่ หวังเป่าเล่อกลับรู้สึกปวดหัวมากขึ้น

ถึงแม้ว่าเขาได้เตรียมตัวมาแล้วตั้งแต่มาถึง ทว่ายังเพ่งดูว่ามีหินหรือวัตถุอื่นใดนอกหอคอยของศิษย์พี่สิบสามหรือเปล่า หลังจากที่เห็นแค่ต้นไม้ที่ตายแล้วสามถึงห้าต้น ไม่เห็นก้อนหินอื่นใด เขาก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เพียงชั่วครู่หัวใจเขาพลันสั่นสะท้าน รีบมองดูต้นไม้ที่ตายแล้วซ้ำอีกครั้ง…

“เป็นไปไม่ได้หรอก…” หวังเป่าเล่อพึมพำออกมายามที่มองไปยังต้นไม้ที่ตายแล้วเหล่านั้น ศิษย์พี่สิบห้าที่อยู่ด้านข้างรีบเดินไปข้างหน้าต้นไม้ที่ตายแล้วต้นหนึ่ง ก่อนจะโค้งคำนับด้วยความเคารพ

ครั้นเห็นฉากนี้ หวังเป่าเล่อตบหน้าผากฉาดใหญ่ ก่อนจะก้าวไปทำความเคารพด้วยกันทันที

“ขอคารวะศิษย์พี่สิบสาม!”

ต้นไม้ที่ตายแล้วไร้ซึ่งการตอบสนอง ทว่าศิษย์พี่สิบห้ากลับแย้มรอยยิ้มพิมพ์ใจออกมา ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยปาก หวังเป่าเล่อก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน

“ข้ารู้แล้วล่ะศิษย์พี่สิบห้า ต้นไม้ต้นนี้คือศิษย์พี่สิบสาม เขาก็ฝึกภาพมายาของศิษย์พี่สิบสี่ด้วยใช่หรือไม่ พอมีอุบัติเหตุนั้นเกิดขึ้น ทำให้หลังจากกลายเป็นต้นไม้ที่ตายแล้ว กลับไม่สามารถแปลงร่างกลับมาได้เช่นกัน”

“เจ้าสิบหกช่างฉลาดล้ำเสียจริง สามารถวิเคราะห์จากเรื่องที่ข้าเล่าไปก่อนหน้านี้ได้ ปฏิภาณไหวพริบก็ยิ่งไร้ที่ติอีกด้วย” แววตาของศิษย์สิบห้าเผยความพอใจยิ่งขึ้น พลางหันไปมองดูต้นไม้ตายแล้วต้นนั้นที่พวกเขาได้ทำความเคารพ ก่อนที่จะถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

“เจ้ากล่าวถูกต้องแล้ว แม้มิตรภาพของศิษย์พี่สิบสามและศิษย์พี่สิบสี่แน่นแฟ้น แต่กลับชอบที่จะแข่งขันกันเอง ดังนั้นหลังจากศิษย์พี่สิบสี่ได้ฝึกภาพมายา ศิษย์พี่สิบสามจึงริเริ่มตามหาท่านอาจารย์และขอวิธีฝึกแบบเดียวกัน ผลลัพธ์ก็คือ…เจ้ารู้ว่า เขาไม่สามารถแปลงร่างกลับได้ แต่สำหรับศิษย์พี่สิบสามนั้น นี่เป็นความยินดีของเขาที่จะอยู่แบบนี้ ตอนนี้ทั้งสองกำลังแข่งกันเพื่อดูว่าใครจะแปลงร่างกลับมาได้ก่อน”

หวังเป่าเล่อขำไม่ออก ซ้ำยังรู้สึกปวดหัวยิ่งกว่าเดิม ขณะที่กำลังจะเอ่ยปาก ทว่ายังไม่ทันที่จะกล่าวอะไรออกมา กลับมีต้นต้นหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าข้างๆ ต้นไม้ตายแล้วที่ทั้งสองได้ทำความเคารพ เอ่ยพูดออกมาไม่มีปี่มีขลุ่ย

“เจ้าสิบห้าวอนหาเรื่องเสียแล้ว นอกจากจะยังไม่เลิกคารวะแบบผิดๆ ยังจะพูดจาสามหาวถึงข้าอีก”

ทันทีที่คำพูดของต้นไม้ที่ตายแล้วหลุดออกมา หวังเป่าเล่อก็หันไปมองต้นไม้ตายแล้วพูดได้ต้นนั้น อดไม่ได้ที่จะมองแล้วมองอีกต้นไม้ที่ตัวเขาทำความเคารพไปก่อนหน้านี้

“ไม่ต้องมองแล้ว ต้นไม้ที่พวกเจ้าคารวะไปนั้นเป็นต้นไม้จริงๆ…” เมื่อเสียงนิ่งๆ ของศิษย์พี่สิบสามดังออกมา ศิษย์สิบห้าที่อยู่ตรงนั้นก็รีบทำความเคารพซ้ำอีกครั้ง

“ขอแสดงความยินดีกับศิษย์พี่สิบสามด้วยขอรับที่สามารถเอาชนะศิษย์พี่สิบสี่ได้สำเร็จ กระบวนเวทอันไม่มีที่ติของศิษย์พี่นั้นช่างไร้เทียมทาน!”

หวังเป่าเล่อหายใจได้เต็มปอด ความคิดอันสับสนวุ่นวายดีขึ้นเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็รู้สึกว่าได้พบกับศิษย์ร่วมสำนักที่ยังพูดจาปกติเสียที จึงรีบทำความเคารพซ้ำอีกรอบ

“ศิษย์สิบหกขอคารวะศิษย์พี่สิบสามขอรับ!”

“เจ้านี่เองศิษย์สิบหก ข้าบอกเจ้าไว้เลยนะว่าอย่าไปฟังคำพูดประจบประแจงไร้แก่นสารพวกนั้นของศิษย์สิบห้า ข้ากับศิษย์สิบสี่แข่งกันกลายร่างกลับก่อนอะไรกัน ไร้สาระสิ้นดี!” เสียงของต้นไม้ตายแล้วช่างน่าเกรงขาม แฝงไปด้วยคำสั่งสอน จนใจของหวังเป่าเล่อเองก็ได้แต่เคารพยกย่อง ครั้นกำลังจะรับปาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้น…

“เศษสวะอย่างศิษย์สิบสี่นั่นจะเทียบกับข้าได้อย่างไรกัน ดวงจิตของเขาหลับใหลอยู่ ส่วนข้าน่ะ แข็งแกร่งกว่าเขามาก ข้าสามารถแผ่กระจายดวงจิต ข้ายังสามารถเชยชมการเปลี่ยนแปลงของท้องนภา และสัมผัสสายลมพัดพาผ่านกิ่งก้านใบของข้าด้วยความรื่นรมย์” ครั้นต้นไม้ที่ตายแล้วพูดถึงจุดนี้ด้วยความทะนงตน ทั่วทั้งต้นสั่นระริกอยู่สองสามครั้ง

เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นเช่นนั้น จึงอดไม่ได้ที่นิ่งเงียบ

“เจ้าสิบหกน้อยใช้ได้ทีเดียวนะเนี่ย ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ศิษย์พี่ขอให้ของขวัญต้อนรับแก่เจ้าก็แล้วกัน” ขณะกล่าว ทั่วทั้งต้นไม้ที่ตายแล้วพลันสั่นระริกขึ้นเรื่อยๆ พาลทำให้ผู้คนรู้สึกว่ามันกำลังจะพังครืนลงมาเอง หวังเป่าเล่อดูแล้วรู้สึกหวาดหวั่น รู้สึกได้ลางๆ ถ้าอีกฝ่ายได้กระทำการเปลี่ยนร่างกลับมาเป็นคนแล้วล่ะก็ คงจะใช้พลังเต็มพิกัด มิหนำซ้ำตอนที่หน้าแดง ต้นไม้ที่ตายแล้วก็ส่งเสียงครางเบาๆ อย่างมีความสุข ใบไม้แห้งจุกหนึ่งได้เกาะตัวกันเป็นกระจุกบนกิ่งไม้ท่อนหนึ่ง

ตอนที่มันทิ้งตัวลงมา แล้วหล่นลงตรงหน้าหวังเป่าเล่อนั้น ยังมีไอร้อนๆ ลอยละล่องอยู่บนใบไม้พวกนั้นด้วย

หวังเป่าเล่อตะลึงงันอีกครั้งขณะมองไปยังใบไม้ โชคดีที่เขาสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณที่แปรปรวนของอันน่าประหลาดบนใบไม้นั่น ถึงจะไม่ได้เข้าใจผิดแต่อย่างใด…แต่ความรู้สึกแปลกๆ ในใจกลับยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดจึงทำได้เพียงจำใจรับใบไม้นั่นมา ก่อนจะคารวะขอบคุณต้นไม้ที่ตายแล้ว

“เจ้าสิบห้า ถึงศิษย์พี่สิบสี่จะออกนอกลู่นอกทาง แต่นี่ก็เป็นชะตากรรมของศิษย์พี่สิบสี่ หากเจ้าเผชิญกับภยันตรายในภายภาคหน้า เพียงนำใบไม้แห้งออกมา ก็จะสามารถอัญเชิญร่างมายาของศิษย์พี่สิบสามมาเพื่อการต่อสู้ได้ทันที!” หลังศิษย์สิบห้าสูดหายใจเข้าออกเสียงดังอยู่ด้านข้าง ต้นไม้ที่ตายแล้วจึงหัวเราะร่าออกมาอย่างพอใจ

“เอาล่ะ พวกเจ้าไปคารวะศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ เถอะ”

เมื่อกล่าวจบ ต้นไม้ที่ตายแล้วไม่สั่นไหวอีกต่อไป ก่อนจะนิ่งสงบอีกครา ศิษย์สิบห้าจึงดึงหวังเป่าเออกไปอย่างว่องไว เมื่อเดินไปถึงครึ่งทาง หวังเป่าเล่อก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกมา

“ศิษย์พี่สิบห้าขอรับ…เอ่อ…ศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ ของพวกเราได้ฝึกตนด้วยภาพมายานั่นด้วยหรือไม่…”

“ชู่!” ทันทีที่ศิษย์สิบห้าได้ยินคำถามนั้น เขาพลันหันขวับก่อนยกนิ้วชี้มาที่ปากของเขา แล้วส่งสัญญาณให้หวังเป่าเล่อหยุดพูด เมื่อเดินห่างออกมาได้พอสมควร ศิษย์สิบห้ามองไปรอบๆ จึงกระซิบกระซาบความลับออกมา

“ศิษย์น้องสิบหกคิดมากเกินไปแล้ว ในบรรดาศิษย์ร่วมสำนักของพวกเรา เจ้ารู้ไว้ว่า…มีศิษย์พี่สิบสามและสิบสี่แค่สองคนที่สมองมีปัญหา มันไม่ยากที่พวกเขาเชื่อมั่นท่านอาจารย์จนฝึกตนด้วยภาพมายานั่น ส่วนคนอื่นๆ นั้นจะไปฝึกตนด้วยวิธีนั้นได้อย่างไรกันล่ะ”

ครั้นคำพูดของศิษย์สิบห้าหลุดออกมา แววตาของหวังเป่าเล่อเปล่งประกาย ก่อนจะกระซิบถามหลังจากลังเล

“ศิษย์พี่สิบห้าขอรับ เหตุใดถึงบอกว่ามันไม่ยากที่จะเชื่อมั่นท่านอาจารย์ล่ะ? ท่านอาจารย์ไม่น่าเชื่อถือหรอกหรือ?”

“ข้าไม่ได้พูดนะ เจ้านั่นแหละพูด!” ศิษย์สิบห้าได้ยินเช่นนั้น สีหน้าพลันเปลี่ยนไป เขารีบหันไปมองรอบๆ ก่อนจะรีบปฏิเสธออกมาทันควัน ไม่รีรอที่จะลากหวังเป่าเล่อออกมาจากบริเวณนั้น เมื่อหวังเป่าเล่อประหลาดใจและสงสัยมากยิ่งขึ้น ศิษย์สิบห้าจึงดึงเขาไปในมุมถนนแห่งหนึ่ง แล้วกระซิบออกมาด้วยสีหน้าน่าสงสัย

“น้องสิบหกจะกล่าวสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้นะ ข้าจะบอกเจ้าไว้…ท่านอาจารย์เป็นคนโอบอ้อมอารีและใจกว้างมาก ซ้ำยังรักและห่วงใยลูกศิษย์ประหนึ่งลูกในไส้ ด้วยเหตุนี้ท่านอาวุโสจึงมักจะชอบค้นหาเคล็ดวิชาพิสดารบางอย่าง ซึ่งอยู่ในจุดค้นพบบางจุดที่อยู่ตามอวกาศ มาให้พวกเราฝึกฝน เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน และให้ข้ามีพัฒนาการที่รวดเร็วเหมือนมังกรและวิหคท่ามกลางผู้คน”

เมื่อหวังเป่าเล่อได้ฟังเช่นนั้น สีหน้าพลันเผยความเลื่อมใสออกมา ก่อนจะพูดด้วยเสียงดังลั่น

“ท่านอาจารย์ผู้มีเมตตา!”

“ใช่ ท่านอาจารย์ผู้มีเมตตา!” ศิษย์สิบห้าขยิบตา แล้วพูดออกมาด้วยเสียงที่เบาลง

“แต่ข้าขอแนะนำเจ้าว่า…หากท่านอาจารย์มอบเคล็ดวิชาที่คล้ายกันให้กับเจ้า เจ้าต้องรอจนกว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ ฝึกตนเสร็จเสียก่อน ถ้าแน่ใจว่าไม่มีอะไรแล้วก็ค่อยฝึกตนอีกครั้ง…” เมื่อฟังถึงตรงนี้ สีหน้าหวังเป่าเล่อก็ยากที่จะปกปิดความผิดปกติที่ซ่อนเร้นไว้ได้ อีกทั้งหลังจากที่ศิษย์สิบห้าพูดจบ เขาได้มองเข้าไปยังนัยน์ตาของหวังเป่าเล่ออย่างกะทันหัน พร้อมทั้งเอ่ยถามอย่างมีนัยสำคัญ

“หลังจากศิษย์น้องสิบหกมาถึงดาราจักรไฟแล้วได้เห็นศิษย์พี่สิบสามและสิบสี่ และได้ฟังเรื่องที่ข้าบอก ข้ารู้เลยว่าในใจเจ้าตอนนี้ต้องรู้สึกได้ว่าท่านอาจารย์ไม่ค่อยน่าเชื่อถือ ใช่หรือไม่?”

………………………………………………..

เมื่อเสียงนั้นดังขึ้น ร่างของผู้พูดก็ทะยานเข้ามาใกล้ๆ จนมาโผล่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อและวัวแก่อย่างรวดเร็ว เขาดูเหมือนเด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้น มาพร้อมกับร่างกายผอมแห้ง แต่ศีรษะกลับใหญ่เกินควร ทั่วทั้งตัวเหมือนคนที่ขาดสารอาหารอย่างรุนแรง ราวกับถั่วงอกที่หัวของมันจะโน้มตัวลงมายามที่ถูกลมพัด

ถ้าเท่านั้นว่าแย่ยังไม่พอ ชายหนุ่มยังมีคิ้วกับตาที่เหมือนพวกตัวโกง ดูอย่างไรก็ไม่ใช่รูปลักษณ์ของคนดี ตั้งแต่มาถึงจนบัดนี้ นัยน์ตาของเขาวาววับอย่างน่าประหลาด ยามมองมายังหวังเป่าเล่อซึ่งนั่งอยู่บนหลังของวัวแก่

“ท่านนี้คงเป็นหวังเป่าเล่อ ศิษย์น้องที่สิบหกที่ท่านอาจารย์อาวุโสเคยเล่าไว้เมื่อนานมาแล้วสินะ ฮ่าๆ สวัสดีนะ ศิษย์น้องที่สิบหก ข้าคือศิษย์ลำดับที่สิบห้า”

เมื่อได้ยินดังนั้น หวังเป่าเล่อจึงลงจากหลังของวัวแก่ ก่อนคารวะให้เด็กหนุ่มผู้นี้ที่อยู่ข้างหน้าเขา แม้อีกฝ่ายจะดูอายุไม่เยอะ แต่หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าในบรรดาผู้ฝึกตนไม่สามารถประเมินอายุได้ชัดเจนจากรูปลักษณ์ที่เห็นภายนอก มีตาเฒ่าประหลาดมากมายที่ชอบทำตัวอ่อนกว่าวัย…

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเคลื่อนไหวของดาวพระเคราะห์จากชายหนุ่มคนนี้ก็ช่วยยืนยันการประเมินของหวังเป่าเล่อ ดังนั้นในขณะที่พบปะผู้อาวุโส เขาจึงพูดจานอบน้อม

“ขอคารวะศิษย์พี่สิบห้า!”

“เจ้าสิบหก ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นหรอก ต่อไปเราก็เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว” ถึงจะเห็นว่าเขาพูดด้วยรอยยิ้มและน้ำเสียงที่อ่อนโยน แต่ด้วยลักษณะของคิ้วและตาที่เหมือนพวกตัวโกง คำพูดที่เอ่ยออกมากลับทำให้ผู้คนรู้สึกไม่เป็นมิตรอยู่เสมอ

สิ่งนี้ส่งผลให้ภายในใจของหวังเป่าเล่อหวาดระแวงขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่วัวแก่ที่อยู่ด้านข้างดันหาวออกมา

“เอาล่ะ คนก็พามาถึงแล้ว วัวแก่อย่างข้าคงต้องขอตัวก่อน” วัวแก่กล่าวก่อนหันหลังจากไป แล้วพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ในตอนที่มันกำลังจะจากไป หวังเป่าเล่อรีบหันกลับไปกล่าวคำอำลา ขณะที่กำลังจะอ้าปาก ศิษย์สิบห้าที่อยู่ด้านข้างก็โน้มตัวกลางเวหา ก่อนตะโกนออกมาดังๆ

“ขอให้ศิษย์พี่ผู้เก่งกาจอยู่ยงคงกระพัน สามารถต่อสู้และชนะสงครามจากทุกทิศทุกทางบนจักรวาลขอรับ!!!”

เสียงนั้นดังก้องกังวาลไปทั่ว หวังเป่าเล่อเองก็ตกใจเล็กน้อยตอนที่ได้ยินเขาแสดงความเคารพต่อวัวแก่เป็นครั้งแรก แต่ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เมื่อมองดูตอนนี้ ศิษย์สิบห้าผู้นี้เป็นคนที่พูดจาประจบสบพลอได้อย่างลื่นไหลแน่นอน

นี่ดูแตกต่างกับที่วัวแก่เล่าเขาไว้ก่อนหน้านี้นิดหน่อย…หวังเป่าเล่อได้แต่ลังเลอยู่ในใจ เสียงฟึดฟัดออกทางจมูกของวัวแก่หายลับไปในท้องฟ้าอย่างไร้ร่องรอย

ศิษย์สิบห้ายังคงโน้มตัวอยู่ตรงนั้นแม้กระทั่งยามที่วัวแก่จากไป จนเวลาผ่านไปหลายอึดใจ หวังเป่าเล่อจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมา ศิษย์สิบห้าลุกขึ้นช้าๆ ก่อนเอามือไพล่หลังแล้วมองมายังหวังเป่าเล่อ

“ศิษย์สิบหกเอ๋ย ศิษย์พี่ไม่ได้อยากจะตำหนิเจ้าหรอกนะ หลังจากนี้เจ้าต้องเรียนรู้จากศิษย์พี่อย่างข้าอีกมาก ต้องรู้ด้วยว่าท่านวัวอาวุโสเป็นอสูรเทพผู้คุ้มครองดาราจักรไฟของข้า สัตว์อาวุโสถือกำเนิดจากทะเลเพลิง ผสานเข้ากับจักรพิภพ ปกปักษ์รักษาทุกๆ ด้าน…แม้แต่ท่านอาจารย์เองก็สุภาพกับวัวอาวุโสอยู่ตลอด”

“ฉะนั้นแล้ว เจ้าจงรู้ไว้ว่า…หากเจอท่านวัวอาวุโสในอนาคต ต้องสุภาพและให้เกียรติด้วย การโน้มตัวลงเหมือนเมื่อครู่ดูเหมือนไม่จริงใจและไม่ค่อยไม่เหมาะสมเอาเสียเลย”

หวังเป่าเล่อตะลึงงันเมื่อได้ฟัง ซ้ำยังจงใจพูดบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจ แต่กลับบอกไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงเงยหน้ามองไปยังบริเวณที่วัวแก่หายไป แล้วมองดูถั่วงอกสิบห้าที่ดูจริงจัง ก่อนจะตอบกลับหลังจากลังเล

“ศิษย์พี่สิบห้า…ต้องการให้เป็นแบบนี้จริงหรือ? ข้าอายุยังน้อย ท่านอย่าโกหกข้าเลย…”

“เจ้าเด็กน้อยนี่ ศิษย์พี่อย่างข้าโตพอที่จะเป็นปู่ของเจ้าแล้ว จะโกหกเจ้าเพื่ออะไรล่ะ!” ถั่วงอกสิบห้าพูดพลางมองไปรอบๆ ก่อนจะขยับเข้าไปใกล้หวังเป่าเล่อและกระซิบกระซาบความลับอยู่ข้างๆ เขา

“ข้าจะบอกอะไรเจ้านะน้องสิบหก การฟังคำพูดของศิษย์พี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ท่านวัวอาวุโสนั่นน่ะ…เจ้าจงรู้ไว้ว่า…ไม่ควรเข้าไปยุ่งด้วย วัวนั่นจิตใจคับแคบขนาดที่ว่าหาได้ยากเลยทีเดียว แค่สบตาก็อาจทำให้เขาโกรธได้ บางเวลาท่านอาจารย์ไม่เพียงแต่ต้องทำตัวสุภาพกับเขาเท่านั้นนะ ซ้ำยังต้องคอยอดทนอดกลั้น ข้าเลยสงสัยมาตลอดว่า…”

“วัวแก่นั่นเป็นพี่ใหญ่ของดาราจักรไฟของพวกเรา!” ศิษย์สิบห้าพูดอย่างจริงจัง พอได้ฟังหวังเป่าเล่อก็ยิ่งสับสนมากขึ้น ได้แต่แอบบ่นว่านี่มันเรื่องบ้าบออะไรกัน…เป็นไปได้ไหมว่าสมองศิษย์พี่สิบห้าจะมีปัญหา…

แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นวัวแก่หรือศิษย์พี่สิบห้าตรงหน้าที่อยู่ในดาราจักไฟ ต่างก็ทำให้เขารู้สึกแปลกๆ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงได้แต่พยักหน้า ทำทีเป็นคล้อยไปตามคำแนะนำดีๆ ที่ได้รับ

“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ตักเตือน!”

เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อเห็นด้วยกับตัวเอง ศิษย์สิบห้าที่รูปลักษณ์เหมือนถั่วงอกก็ดีใจมาก เขากระแอมไอออกมาก่อนจะพูดขึ้น

“ศิษย์สิบหกเอ๋ย ท่านอาจารย์อาวุโสมีธุระต้องออกไปข้างนอกเมื่อวานนี้ ก่อนจะไปท่านจึงได้สั่งให้ข้าเตรียมต้อนรับเจ้า เจ้าจงรู้ไว้ว่าเมื่ออาจารย์กลับมาคงจะเรียกหาเจ้า เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ให้ข้าพาเจ้าไปทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่นี่ก่อน พร้อมกับไปทำความเคารพศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ สักหน่อย”

“ต้องรบกวนศิษย์พี่สิบห้าแล้ว” กับคำพูดที่ว่า ‘เจ้าจงรู้ไว้ว่า’ ที่อีกฝ่ายพ่นออกมาบ่อยครั้ง ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกพะอืดพะอม ทำได้แต่ยกมือขึ้นขอบคุณอย่างว่องไว โดยไม่คัดค้านอะไรทั้งนั้น เมื่อมาเยือนครั้งแรก แน่นอนว่าต้องทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมและพบปะเพื่อนร่วมสำนักคนอื่นๆ สักหน่อย

อีกทั้งถ้าศิษย์พี่ศิษย์น้องเหล่านั้นของให้การยอมรับเขา หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าตัวเขาสามารถตัดสินใจอะไรได้ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับปรมาจารย์แห่งไฟผู้นั้น ไม่ว่ายังไงที่นี่…ก็จะเป็นบ้านหลังที่สองของเขาเองในอีกไม่นานนี้

ดังนั้นเขาจึงอยากที่เข้ากันได้ดีกับบรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องของเขา สำหรับศิษย์พี่สิบห้าที่อยู่ตรงหน้าเขานี้ ถึงแม้ว่าเขาจะเหมือนคนที่มีปัญหาทางสมองและดูแปลกๆ ก็ตาม แต่สัญชาตญาณบางอย่างของหวังเป่าเล่อกลับบอกว่าอีกฝ่ายไม่ได้คิดร้าย

ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่หวังเป่าเล่อตอบตกลง ศิษย์ถั่วงอกสิบห้าก็เดินวางมาดเพื่อพาหวังเป่าเล่อไปทางด้านล่าง พร้อมๆ กับเริ่มแนะนำอาคารที่อยู่ในบริเวณนี้

“สำนักเพลิงของพวกเรานั้น เจ้าจงรู้ไว้ว่า…จริงๆ แล้วแสนเรียบง่ายจนไม่มีอะไรจะแนะนำ เจ้าแค่ต้องรับรู้ก็พอว่าหอคอยที่ใหญ่ที่สุดคือสถานที่ที่ท่านอาจารย์ถือสันโดษและพำนักอยู่รวมไปถึงเอาไว้เรียกหาข้า”

“ส่วนหอคอยสิบหกแห่งที่อยู่รอบๆ นั้น มันเป็นที่พักของพวกเรา หอคอยลำดับที่สิบหกที่เพิ่งสร้างขึ้นตรงนั้นจะเป็นที่ให้เจ้าใช้ฝึกในอนาคต” ศิษย์สิบห้าพูดพลางชี้นิ้วไปที่หอคอยสูงที่อยู่ไกลออกไป หวังเป่าเล่อเคยเห็นมาแล้วในอดีตจึงจำตำแหน่งที่ตั้งของมันได้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นเขาก็ถูกศิษย์สิบห้าพาไปที่หอคอยลำดับสิบสี่อย่างรวดเร็ว

“ข้าจะพาเจ้าไปพบศิษย์พี่สิบสี่ก่อน ศิษย์พี่สิบสี่นั้นดีมาก และจิตใจของเขาสงบนิ่งสุดๆ โดยส่วนใหญ่จะเป็นคนประเภทตีไปก็ไม่ตีกลับ ด่าไปก็ไม่ด่ากลับ เจ้าจงรู้ไว้ว่า…นั่นน่ะคือแบบอย่างของพวกเราเลยนะ” ศิษย์สิบห้าส่ายหัวไปมาเบาๆ ระหว่างโอดครวญ

หวังเป่าเล่อเริ่มค่อนข้างชินกับวิธีการพูดของอีกฝ่าย ความแปลกประหลาดในใจถูกกดทับไว้ หลังจากที่อีกฝ่ายมาถึงด้านหน้าของหอคอยที่สิบสี่ เขากลับพบว่าประตูของหอคอยที่สิบสี่ปิดอยู่ นอกจากหินที่ประดับประดาอยู่รอบๆ ก็ไม่มีสิ่งอื่น ในเวลาเดียวกันความแปรปรวนในหอคอยถูกบดบังเอาไว้จนไม่สามารถสัมผัสได้ ขณะที่กำลังจะมุ่งหน้าไปทำความเคารพด้านหน้าหอคอยนั้น…

ทว่ายังไม่ทันจะได้เข้าไปคารวะ ศิษย์สิบห้าที่อยู่ข้างๆ รีบเดินไปข้างหน้าสองสามก้าว มุ่งตรงไปยังภูเขาจำลองที่อยู่ด้านหน้าหอคอยที่สิบสี่ ก่อนจะโค้งคำนับพร้อมกับอ้าปากตะโกนออกมา

“ศิษย์สิบห้าขอคารวะศิษย์พี่สิบสี่ขอรับ!” เมื่อโน้มตัวลง ศิษย์สิบห้าก็ขยิบตาส่งสัญญาณมาที่หวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อตะลึงงันอีกครั้งตอนที่มองภูเขาจำลองนั้น จากนั้นศิษย์สิบห้าก็ขยิบตาให้เขา จนจำใจก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับโค้งคำนับ

“ศิษย์สิบหกขอคารวะศิษย์พี่สิบสี่ขอรับ!”

การทักทายของคนสองคนไม่ได้รับการตอบรับจากภูเขาจำลองแม้แต่น้อย หลังจากรอเป็นเวลานาน ศิษย์สิบห้าจึงถอนหายใจก่อนจะลุกขึ้นกระซิบบอกกับหวังเป่าเล่อ

“เป็นอย่างที่ข้าพูดไว้ไม่มีผิด ศิษย์พี่สิบสี่เป็นแบบอย่างของพวกเรา เขาไม่เพียงเป็นคนตีไปก็ไม่ตีกลับ ด่าไปก็ไม่ด่ากลับเท่านั้น แต่ยังไม่สนใจแม้กระทั่งการมาแสดงความเคารพของพวกเรา”

หวังเป่าเล่อร้องพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ในขณะที่เมียงมองภูเขาจำลองตรงนั้นอย่างระมัดระวัง แล้วกระซิบถามขึ้นมาหลังจากลังเล

“ศิษย์พี่สิบห้าขอรับ ศิษย์พี่สิบสี่เป็นกองหินมีชีวิตอย่างนั้นหรือ?”

“กองหินมีชีวิตอะไรกัน?” ศิษย์สิบห้าทำหน้าประหลาดใจขณะมองไปที่หวังเป่าเล่อ

“ศิษย์สิบหก ข้าอยากจะตำหนิเจ้าเสียจริง พูดถึงศิษย์พี่สิบสี่แบบนั้นได้เยี่ยงไรกัน ข้าขอบอกเจ้าไว้เลยนะ ศิษย์พี่สิบสี่มีพรสวรรค์อันน่าทึ่งเช่นเดียวกับข้า และมีเนื้อหนังมังสาเหมือนกับข้าด้วย”

“แต่ว่า…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ศิษย์สิบห้าชะงักไปชั่วครู่ หลังจากมองไปรอบๆ เขาดึงหวังเป่าเล่อที่กำลังสับสนออกไปข้างๆ ก่อนจะกระซิบบอกความลับ

“เขาเป็นแค่คนที่ว่านอนสอนง่ายเกินไป วันหนึ่งเมื่อ 137 ปีก่อน เขาเชื่อฟังคำสั่งของท่านอาจารย์และฝึกฝนด้วยวิธีพิศดารที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหน จนทำให้ตัวเองกลายร่างเป็นก้อนหิน…ผลลัพธ์ก็ออกมาอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด เขาไม่สามารถกลายร่างกลับมาได้…และเขายังดื้อรั้น เจ้ารู้ไหมว่า…เขาปฏิเสธความช่วยเหลือจากท่านอาจารย์และต้องการเปลี่ยนร่างกลับด้วยความพยายามของเขาเอง…”

“137 ปีแล้วหรือนี่…” ศิษย์สิบห้าถอนหายใจให้กับดวงตาที่เบิกกว้างของหวังเป่าเล่อ

“จากการคาดการณ์ของข้า ก็คงอีกห้าร้อยปีกระมัง ที่ศิษย์พี่สิบสี่อาจจะทำสำเร็จ”

ครั้นได้ฟังคำพูดของศิษย์สิบห้า ทำให้หวนนึกถึงท่าทีของอีกฝ่ายหลังจากที่เขามาถึง เขามองไปที่ภูเขาจำลองนั้นอีกครั้ง ใบหน้าของหวังเป่าเล่อเผยเห็นถึงความงุนงงอย่างไม่อาจควบคุมได้ และมีคำถามเกิดขึ้นในใจของเขา

“นี่ข้า…มาอยู่ที่ดินแดนแบบไหนกันล่ะเนี่ย…”

………………………………………………..

“พูดไปตามความเป็นจริงงั้นหรือ?” หวังเป่าเล่อชะงักไปครู่หนึ่ง

“ใช่แล้ว!” วัวแก่พยักหน้าด้วยความมั่นใจขณะกำลังวิ่ง

“ไม่ได้บิดเบือนแน่นะ?” หวังเป่าเล่อสับสนเล็กน้อย เขาจึงถามย้ำออกไปด้วยความไม่มั่นใจ

“ไม่ผิดแน่!” วัวแก่กระแอมไอและพยักหน้าอีกครั้ง

“ไม่ได้ประจบประแจงแน่หรือ?” หลังจากหวังเป่าเล่อลังเล เขาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามซ้ำอีกครั้ง

“ถูกต้อง!” วัวแก่ยังคงพยักหน้าตอบ น้อยครั้งมากที่เขาจะอดทนได้ดีมากขนาดนี้

จนกระทั่งตอนนี้ หวังเป่าเล่อคิดว่าคงต้องจำใจเชื่อสักหน่อย แต่ก็ยังมีข้อสงสัยอยู่บ้าง ดังนั้นในช่วงเวลาที่น่าสงสัยนี้ ความเร็วของวัวแก่ก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ครึ่งเดือนผ่านพ้นไป พร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของจักรวาลทั่วทุกสารทิศ อารยธรรมขนาดน้อยใหญ่จำนวนนับไม่ถ้วนค่อยๆ ไหลผ่านตาหวังเป่าเล่อ จนมาโผล่ที่เขตหวงห้ามสีแดงแห่งหนึ่ง!

“เจ้าเล่อจื่อ พวกเรามาถึงแล้วล่ะ!” วัวแก่ระเบิดหัวเราะ พ่นลมฟึดฟัดออกมาทางจมูกสองรอบ ทำให้ห้วงจักรวาลโดยรอบบิดเบี้ยวราวกับจะถูกพายุพัดถล่ม หวังเป่าเล่อถูกขัดจังหวะด้วยเสียงของวัวแก่ เขาไม่ได้หวนนึกถึงลักษณะของปรมาจารย์แห่งไฟอีก เขารู้สึกว่าหากปรมาจารย์แห่งไฟเป็นเช่นนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขา และจะทำให้เขาสบายได้มากขึ้นในภายภาคหน้า

ดังนั้นหลังจากเห็นเขตหวงห้ามสีแดงก็รู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นทันที

จากการจ้องมอง เขตหวงห้ามสีแดงนั้นเหมือนเปลวเพลิงขนาดมหึมากลุ่มหนึ่งที่พวยพุ่งขึ้นไปยังจักรวาลที่อยู่รอบนอกเปลวเพลิง ซ้ำยังปล่อยเศษซากที่คล้ายกับกากยาเส้นออกมานับไม่ถ้วน

ฉากนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับมองเห็นเพลิงแห่งดารานิรันดร์บนดาราจักรกลุ่มหนึ่ง อีกทั้งความเร็วของวัวแก่ในตอนนี้ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน จนพาร่างของหวังเป่าเล่อที่กำลังผิวปากเข้าใกล้เขตหวงห้ามเพลิงมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อใกล้จะถึงชายขอบ ทำให้สายตาหวังเป่าเล่อมองไม่เห็นเค้าโครงทั้งหมดของเปลวไฟ สิ่งที่มองเห็นได้เป็นแค่เพียงทะเลเพลิงอันกว้างใหญ่ไพศาลที่อยู่ตรงหน้า

ท่ามกลางคลื่นความร้อนระอุ จักรวาลรอบๆ บิดเบี้ยว ยิ่งเข้าใกล้มากเท่าไร ก็ยิ่งบิดเบี้ยวอย่างรุนแรงขึ้น สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกตกตะลึงระคนประหลาดใจก็คือ เขาเพิ่งพบว่าผลที่ตามมาจากความบิดเบี้ยวของจักรวาลนั้น นอกจากอวกาศแล้ว ยังมีเวลา กฎทฤษฎี และหลักการที่ได้รับผลกระทบไปพร้อมๆ กัน!

ดูเหมือนว่าพื้นที่ด้านนอกดาราจักรของเปลวเพลิงที่บิดเบี้ยวอยู่นี้ เวลาได้ถูกยืดให้นานขึ้นพร้อมกับถ่วงให้เดินช้าลงนอกจากกฎทฤษฎีทั้งหมดของกฎทฤษฎีแห่งเปลวเพลิงที่อยู่นี่แล้วนั้น ทุกอย่างต่างก็ถูกกดทับจนสุดโต่ง

แม้กระทั่งกฎทฤษฎีของจักรวาล ณ ที่แห่งนี้ ก็ดูเหมือนว่าต้องยอมรับกับการครอบงำของเปลวเพลิงนี้เช่นเดียวกัน

“ปรมาจารย์แห่งไฟทรงพลังขนาดนี้เชียว!” หวังเป่าเล่อเองก็หวาดหวั่นเช่นกัน แม้ก่อนหน้านี้จะรู้สึกว่าเปลวเพลิงมีความแข็งแกร่ง แต่เมื่อเทียบกับศิษย์พี่อย่างเฉินชิงจือแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขายังด้อยกว่าอยู่ดี จนถึงตอนนี้เขาตระหนักได้อย่างแจ่มชัดว่าความคิดของตนเองมีทั้งถูกและผิด!

จุดที่ถูกต้องก็คือนี่คือความจริง ส่วนจุดที่ผิดก็คือ…ไม่ใช่ว่าปรมาจารย์แห่งนั้นอ่อนแอ แต่ศิษย์พี่อย่างเฉินชิงจือของเขาต่างหากที่แข็งแกร่งจนถึงขั้นผิดปกติ นั่นเป็นสาเหตุให้บรรพบุรุษเปลวไฟดูเหมือนจะไม่ได้ทรงพลังมากอย่างที่เห็น

“ข้อมูลอ้างอิงแตกต่างกัน…”

เนื่องด้วยความคิดและการโอดครวญดังกล่าว วัวแก่ที่อยู่แทบเท้าหวังเป่าเล่อพลันเปล่งเสียงคำรามขึ้นไปบนฟ้า ทันทีที่เสียงก้องกังวาลออกไปรอบด้าน ส่งผลให้ทะเลเพลิงที่อยู่ตรงหน้าแยกออกในชั่วพริบตา เผยให้เห็นถนนเส้นหนึ่ง

ความเร็วของวัวแก่ไม่ได้ลดลงขณะพุ่งตรงเข้าสู่ถนนสายนี้ ก่อนก้าวไปในดาราจักรเปลวเพลิง เมื่อมันเข้ามาก็ดูตื่นเต้นมาก ด้วยการกระโดดเพียงครั้งเดียวก็ไม่ได้ย่างเท้าออกจากถนนของทะเลเพลิงอีกต่อไป อีกทั้งยังกระโจนเข้ามาอยู่กลางทะเลเพลิง ย่างก้าวเข้าไปหน้ากองเพลิง

ฉากนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหวาดหวั่น เขากำเส้นขนบนหลังของวัวแก่ไว้แน่น เพราะสิ่งที่เขามองเห็นทั้งหมดตอนนี้คือทะเลเพลิง ในขณะเดียวกันอุณหภูมิความร้อนจากบริเวณโดยรอบรวมถึงแรงอัดภายในทะเลเพลิงทำให้เขาอกสั่นขวัญหาย หากถูกเหวี่ยงออกไปเมื่อใด เกรงว่าต่อให้ร่างกายของเขาจะเข้าใจกฎทฤษฎีแห่งเพลิงของดาวเคราะห์บรรพกาล หรือได้รับพรจากดาวพระเคราะห์เต๋า แต่ก็คงจะยืนหยัดได้ไม่นานและอาจรู้สึกเหมือนถูกทะเลเพลิงแผดเผากลายเป็นเถ้าถ่าน

โชคดีที่ความรู้สึกเหล่านี้อยู่ได้ไม่นานนัก ด้วยความที่วัวแก่วิ่งถลาด้วยความเริงร่า นำพาพวกเขาจากชายขอบของดาราจักรไฟมาถึงจุดศูนย์กลางภายในเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง

ในไม่ช้า หวังเป่าเล่อที่นั่งหน้าซีดเผือดบนหลังวัวแก่ก็มองเห็นดวงดาราขนาดมหึมาดวงหนึ่งปรากฏขึ้นในทะเลเพลิงตรงหน้า ดวงดารานี้เกือบจะใหญ่เท่ากับระบบสุริยะทั้งหมด รูปร่างของมันดูเหมือนเตาอบขนาดยักษ์อันหนึ่ง…

นี่คือดาวเอกเพลิงนั่นเอง!

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีดารานิรันดร์นับน้อยโคจรอยู่รอบๆ ดาวเอกเพลิงด้วย!

ดารานิรันดร์เหล่านี้พร้อมกับหมุนรอบตัวเองช้าๆ ราวกับถูกตรึงไว้ ซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ที่ดาวเอกเพลิง ในขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็เห็นว่าดาวเคราะห์ที่อยู่รอบๆ ดารานิรันดร์แต่ละดวงมีจำนวนแตกต่างกัน

ในความรู้สึกของหวังเป่าเล่อ หากเทียบความใหญ่โตมโหฬารของดาวเอกกับดวงดาราดวงอื่น แน่นอนว่าพวกมันไม่มีค่าเท่าไรนัก แต่เมื่อเขาใจเย็นลงมาหน่อย พอมองอย่างละเอียดถี่ถ้วน ความหวั่นวิตกสาดซัดเข้ามาในใจอย่างไม่ทันตั้งตัว

“ดารานิรันดร์นับร้อยและดาวพระเคราะห์นับพันทั้งหลายที่โคจรอยู่รอบดาวเอกเพลิง จนก่อตัวเป็นพลังงานแบบนี้…ของดาราจักรไฟ ทำให้สหพันธรัฐของระบบสุริยะที่อยู่ข้างหน้าของมันช่างเปราะบางเป็นอย่างยิ่ง…”

“ตะลึงไปเลยหรือ? นี่เพิ่งจะเริ่มต้นเองนะ ข้าจะบอกให้นะเจ้าเล่อจื่อน้อย นี่คงเป็นเพราะท่านผู้นำเป็นคนเจียมเนื้อเจียมตัว จึงไม่อยากโอ้อวด เจ้าต้องรู้ว่าในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ไม่ว่าใครก็ตามที่สามารถเป็นคนที่ทัดเทียมกับพวกผู้นำในด้านพลังและการฝึกตน โดยปกติแล้วจะมีดารานิรันดร์อย่างน้อยหลายหมื่นดวงเลยล่ะ..รวมไปถึงผู้คนอีกหลายแสนหลายล้านคนด้วย”

“ยังมีอีกมากที่ยังด้อยกว่าพวกผู้นำ และทั้งหมดก็มีระดับเหนือกว่าดาราจักรไฟ ซึ่งนี่ทำให้ท่านผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของเราไม่มีอะไรให้โอ้อวดอย่างไรเล่า” วัวแก่กล่าวชื่นชมพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่จนทำให้เสียงแผ่กระจายไปรอบๆ อาณาเขตที่กว้างใหญ่

“ต่อให้เป็นระดับปกติ แต่ว่า…ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋านี้ ดาราจักรไฟของข้าก็วางตัวแปลกแยก แถมยังมีเอกลักษณ์และเป็นที่รู้จักว่าเป็นหนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ จริงๆ แล้วก็สามารถยึดครองในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายได้ เพราะแม้แต่ไปที่จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ด้านข้าง เราก็มีเอกลักษณ์ของตัวเอง”

เมื่อฟังคำพูดของวัวแก่แล้ว อารมณ์ของหวังเป่าเล่อพลันพลุ่งพล่านขึ้น ตอนที่เขาคุยกับวัวแก่ก่อนหน้านี้ วัวแก่ไม่ได้เล่าอย่างชัดเจน แต่พอมีการเปิดเผยข้อมูลบางอย่างเล็กๆ น้อยๆ ในคำพูดเหล่านั้นออกมา ทำให้หวังเป่าเล่อตระหนักได้ว่า แท้จริงแล้วดาราจักรไฟอยู่ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย เนื่องจากการวางตัวแปลกแยกออกมา ประหนึ่งผู้มีอิทธิพลอีกฝั่ง ทำให้แม้แต่สำนักใหญ่ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายก็ล้วนมาไม่กล้ายุ่งวุ่นวายด้วย

หลังจากได้เห็นด้วยตาตัวเองไปเมื่อครู่ อีกทั้งเป็นครั้งแรกที่ได้ฟังคำบอกเล่าที่ชัดเจนของวัวแก่ จึงมีอารมณ์ร่วมตามไปด้วย

“ไม่พูดแล้วล่ะ เจ้าเล่อจื่อน้อยเข้าใจก็ดี เราเข้าสู่ดาวเอกแล้ว สำหรับสถานะของดาราจักรไฟนั้น เจ้าจะสามารถเข้าใจมันได้อย่างลึกซึ้งเองเมื่อเจ้าออกไปทดสอบดูหลังจากนี้” ขณะที่วัวแก่กล่าว ร่างของมันก็กระโจนอีกครั้งจนกลายเป็นสายธารสีรุ้ง มันส่งเสียงดังสนั่นลั่นฟ้า ข้ามผ่านดารานิรันดร์ดวงแล้วดวงเล่า ก่อนจะพุ่งทะยานตรงไปยังดาวเอกเพลิงของระบบสุริยะที่เปรียบเสมือนเตาอบในทันที

ด้วยระดับความเร็วที่ว่องไวทำให้ตรงหน้าหวังเป่าเล่อพร่าเบลอ เวลาต่อมา…ภาพที่ปรากฏตรงหน้าเขาก็ไม่ใช่ดาราจักรอีกต่อไป แต่เป็นท้องฟ้าและพื้นพสุธา ร่างของวัวแก่ที่เหาะเหินอยู่กลางเวหากำลังทะยานเข้าสู่ด้านในดาวเอกเพลิง!

ท้องนภาเป็นสีแดงที่มีความคล้ายคลึงกับแผ่นฟิล์มถ่ายรูปที่โปร่งใส ซึ่งห่อหุ้มเปลวเพลิงไว้ด้านนอกเพื่อไม่ให้ตกลงมาเหมือนห่าฝน ทว่าการยับยั้งที่ออกมาจากท้องนภากลับกลายเป็นรุนแรงมากยิ่งขึ้น

บนแผ่นดินใหญ่กลับแตกต่างออกไป ไร้ซึ่งทะเลเพลิง มีเพียงดินแดนที่งดงามซึ่งมีเนินเขาและต้นไม้สลับกันเป็นลูกคลื่น และยังมีมหาสมุทรอีกหลายๆ แห่ง

บางครั้งสามารถมองเห็นนกและสัตว์บางอย่างใดบนพื้นดิน และมีสัตว์ร้ายที่คล้ายกับมังกรอยู่ในทะเล พวกมันก็สามารถลอยตัวเหนือน้ำได้ด้วย

สำหรับปราณวิญญาณนั้น ความสมบูรณ์ของมันอยู่ในระดับสูงสุดเท่าที่หวังเป่าเล่อเคยพบมา แม้แต่ปราณวิญญาณที่อยู่ในท้องฟ้าและพื้นพสุธาแห่งนี้ก็ยังกลายเป็นก้อนเมฆที่ดำรงอยู่ได้ตลอดทั้งปี โดยไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวเอง ปราณวิญญาณได้แทรกซึมเข้าสู่ร่างกายจนทำให้เขารู้สึกสบายตัวเป็นอย่างมาก

ส่วนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของโลกแห่งนี้ มีหอคอยสูงตระหง่านกว่าหนึ่งหมื่นจั้งสร้างขึ้นตรงนั้น หอคอยนี้มีความน่าทึ่งตรงที่รายล้อมด้วยรูปปั้นหินแกะสลักสัตว์มงคล พร้อมๆ กับครอบคลุมพื้นที่อันกว้างใหญ่นี้ไว้ อีกทั้งยังมีปราณวิญญาณที่คอยป้องกันอยู่ทั่วทั้งจักรพิภพ ซึ่งบรรจุอยู่ในหอคอยที่สูงเสียดฟ้าแห่งนี้!

แม้กระทั่งรอบๆ หอคอยที่สูงเสียดฟ้าแห่งนี้ ก็มีหอคอยเล็กๆ กว่า 16 แห่งกระจายห่างกันอยู่ภายในอาณาเขตที่กำหนด อีกทั้งแต่ละแห่งมีรูปร่างเหมือนกัน ที่นี่คือที่อยู่ของปรมาจารย์แห่งไฟและบรรดาสานุศิษย์ของเขา

รูปแบบที่ตั้งกระจายตัวกันแตกต่างกับสำนักอื่นๆ บนดาวเอกเพลิงแห่งนี้ ปรมาจารย์แห่งไฟและสาวกของเขาอาศัยอยู่ไม่ไกลกัน เนื้อที่ที่ครอบคลุมโดยรวม เมื่อเทียบกับดาวเอกเพลิงทั้งหมดแล้ว เกรงว่าคงไม่ถึงหนึ่งในพันล้านส่วนด้วยซ้ำ!

หวังเป่าเล่อกำลังทอดมองดูทั้งหมดนี้กลางอากาศ เมื่อส่งดวงจิตไปยังด้านในหอคอย ก็มีร่างร่างหนึ่งรีบบินออกมาจากหอคอยที่สิบห้า แล้วพุ่งผ่านเวหาตรงมายังวัวแก่และหวังเป่าเล่อ

เสียงกลับนำมาก่อนตัวเสียอีก!

“ศิษย์น้องสิบห้า ขอคารวะท่านวัวอาวุโสศักดิ์สิทธิ์ในตำนานที่มีความเฉลียวฉลาดเหนือกว่าผู้ใด!”

………………………………………………..

ในพริบตาที่มองเห็นวัวชรานี้ หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ตรงนั้นอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายสักหน่อยพร้อมกับเบิกตากว้างเพราะแท้จริงแล้วพลังปราณซึ่งวัวชรานี้แผ่ออกมาช่างน่าตกตะลึงอย่างมาก

ต่อให้เป็นตัวผู้อาวุโสระดับจักรพิภพแห่งวังเต๋าไพศาลเองก็ไม่อาจเทียบกับมันได้ หากจะให้เทียบกันจริงๆ บางทีพลังฝึกปรืออาจไม่ต่างจากจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิดาวตกมากนัก

ทว่ายามที่จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิดาวตกอยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อ อีกฝ่ายไม่ได้เผยกลิ่นอายยิ่งใหญ่ปานนี้ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่สะดวกเปรียบเทียบ ยามนี้มองไปวัวชราเบื้องหน้าไม่สามัญจริงๆ แม้อีกฝ่ายมองๆ ไปแล้วเหมือนเป็นอสูร แต่พลังเพลิงทั้งร่างนั้นอีกทั้งผนึกอักขระที่ส่องแสงเป็นระยะ ทำให้หวังเป่าเล่อที่ได้เห็นคราแรกนี้รู้สึกเหมือนว่ามีพลังแห่งกฎจำนวนมากไหลวนอยู่รอบกายของมัน เป็นกฎจำนวนนับไม่ถ้วน

หากเป็นเพียงแค่นี้ก็ยังไม่เท่าไร ทว่าในจังหวะที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัวและมองไปยังอีกฝ่ายนั้น วัวชราตนนี้ก็พยักหน้าคราหนึ่ง ใช้ดวงตาสีแดงชาดของมันจับจ้องมาบนร่างหวังเป่าเล่อ

และในพริบตาที่ประสานสายตากันนั้น ในสมองของหวังเป่าเล่อพลันบังเกิดเสียงกระหน่ำราวสายฟ้าฟาด ความรู้สึกนี้เสียดแทงนัยน์ตาทั้งสองข้างของเขาจนปวดแสบ สภาวะจิตสะเทือนหนัก เขานึกในใจว่าไม่ถูกสิ วัวชราตนนี้คล้ายว่าจะไม่พอใจตนอยู่ ไม่เช่นนั้นทำไมในยามที่ตนปรากฏตัวถึงได้ทำท่าคุกคามกันเช่นนี้…ความคิดนี้แว่บเข้ามาในหัวหวังเป่าเล่อเพียงชั่วครู่ แต่เขารีบปรับท่าทีแสดงความเคารพ ประสานหมัดโค้งลงต่ำคราหนึ่ง

“ผู้เยาว์หวังเป่าเล่อ น้อมพบผู้อาวุโส ผู้อาวุโสเยี่ยมยุทธ์ไม่ธรรมดา เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ที่ผู้เยาว์เช่นข้ายากจะพบ ให้ผู้ใหญ่เช่นท่านต้องลำบากฝ่าฟันมาไม่รู้กี่แสนปีแสงเพื่อมารับข้า ผู้เยาว์ทั้งหวั่นไหวทั้งซาบซึ้งและตระหนักในพระคุณยิ่งนัก!”

หลังจากเอ่ยวาจานี้ออกไป แววตาของวัวชรามีการเปลี่ยนแปลงบ้าง มันมองหวังเป่าเล่อเหมือนพิเคราะห์ขึ้นๆ ลงๆ แล้วค่อยๆ เอ่ยปากนิ่งๆ

“นายน้อยสิบหกมิต้องเกรงใจ ใต้เท้ามีคำสั่ง บ่าวชราย่อมต้องปฏิบัติตาม ท่านมาขึ้นหลังข้าเถอะ ผู้ชราจะพาท่าน…กลับดาราจักรไฟ!”

ระหว่างที่กล่าว วัวชราก็พ่นจมูกคราหนึ่ง ก่อให้เกิดพายุรุนแรงสองขุม สาดกระจายไปทั่วแปดทิศในเวลาเดียวกันก็แหวกทะเลเพลิงเบื้องหน้าให้เปิดออกอย่างรวดเร็วเผยให้เห็นเส้นทางสายหนึ่ง

หวังเป่าเล่อในใจลังเลยิ่งแต่อาศัยจังหวะที่ประสานมือก้มโค้งอีกครานั้น ชั่งน้ำหนักดูอีกครั้งด้วยความรวดเร็วก่อนสีหน้าจะกลับเป็นปกติ เขาขยับร่างมุ่งไปยังเส้นทางที่ทะเลเพลิงนั้นถูกแหวกออกเพื่อเข้าไปหาวัวชรา

และยิ่งเขาเข้าใกล้นั้น พลังกดดันอันไร้ลักษณ์ที่แผ่ออกมาจากร่างอีกฝ่ายยิ่งรุนแรง จนถึงเวลาสุดท้าย หวังเป่าเล่อก็ร่างกายสั่นเทา บนศรีษะของเขามีเหงื่อผุดพราย ถึงกับต้องเคลื่อนพลังของดาวเคราะห์เต๋าเพื่อยับยั้งแรงกดดันจากอีกฝ่าย เขากระโจนคราหนึ่งก็ลุถึงแผ่นหลังของวัวชรา!

เมื่อหย่อนขาลงแล้ว เขาก็ได้ยันวัวชราเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ

“นั่งให้ดีเล่า!” พูดแล้ว วัวชราก็แหงนหน้าส่งเสียงคราหนึ่ง พลันยกกีบหน้าสองข้างขึ้นแล้วกระโจนไปยังหมู่ดาราเบื้องหน้าอย่างรุนแรง พริบตานั้นพลังอำนาจสะเทือนฟ้าก็สะท้อนก้อง ทะเลเพลิงรอบด้านพลันโหมขึ้น พัดเข้ามาจากทั้งแปดทิศก่อนจะโอบร่างวัวชราเอาไว้ข้างใน

และเพียงชั่วกะพริบตาทะเลเพลิงก็หายไป ไม่ปรากฎร่องรอยของวัวชราและหวังเป่าเล่อบนหลังของอีกฝ่ายอีก!

และในจังหวะถัดมา ณ สถานที่ห่างไกลเหลือแสนจากระบบสุริยะ บนดวงดาวซึ่งไม่เป็นที่รู้จัก กลุ่มเพลิงพลันสว่างโรจน์ เผยให้เห็นเงาร่างของวัวชรา หลังจากมันสะบัดหัวเล็กน้อยแล้วก็ไม่ได้เคลื่อนย้ายต่อ แต่ยกกีบเท้าทั้งสี่ขึ้นก่อนจะวิ่งตะบึงข้ามหมู่ดารา

ความเร็วของการควบตะบึงนี้สูงส่งยิ่งจนก่อให้เกิดเสียงสะท้อนดังไปทั่วแปดทิศ และทำให้เหล่าอารยธรรมโดยรอบนั้นต้องตื่นตกใจ ทุกผู้คนล้วนหัวใจสั่นเทา ส่วนหวังเป่าเล่อซึ่งอยู่บนหลังวัวชรานั้นยิ่งกว่าตื่นตะลึงใจสั่นระรัว

ด้านหนึ่งก็ตกตะลึงเพราะความเร็ว ส่วนอีกด้าน…เขารู้สึกว่าวัวชราที่ตนควบขี่อยู่นี้ เป็นวัวคลั่งตนหนึ่งแท้ๆ คล้ายจะเป็นพวกมุทะลุ ราวกับว่าอีกฝ่ายทำได้แต่พุ่งไปข้างหน้าเท่านั้นไม่เคยไถลออกนอกหนทาง…และต่อให้เบื้องหน้าเป็นดารานิรันดร์ มันก็คงเลือกที่จะพุ่งเข้าชน

จริงๆ แล้ว…ก็ถูกต้องตามความคิดนี้นั่นแหละ หลายวันให้หลัง หวังเป่าเล่อประจักษ์แก่สายตาว่าวัวบ้าตนนี้ชนดารานิรันดร์เจ็ดดวงจนพังราบ ในระหว่างที่พุ่งชนนนั้นวัวชราจะหอบหายใจเข้าคราหนึ่งแล้วดูดเอาพลังวิญญาณของดารานิรันดร์นั้นทั้งหมดไว้ในปากมันอีกด้วย

ภาพนี้ทำให้หนังศีรษะของหวังเป่าเล่อชาดิก แม้ว่าการอยู่บนหลังของอีกฝ่ายจะไม่ได้รับกระทบรุนแรงนัก แต่ว่า…ตัวหวังเป่าเล่อเองก็ต้องโคจรพลังฝึกปรือจนสูงสุดระหว่างนั้นเช่นกัน แถมยังต้องกำขนบนหลังของวัวชราเอาไว้ให้แน่นสุดๆ ด้วย ไม่อย่างนั้นล่ะก็…เขากลัวว่าตัวเขาเองจะถูกสลัดร่วงลงไปได้

ดังนั้นเพื่อให้ตนเองมีชีวิตรอดราบรื่นไปถึงดาราจักรไฟได้ หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนเองต้องหาหนทางมาเพิ่มอัตราการรอดชีวิต ฉะนั้นแล้ว…ตอนที่วัวชรากำลังพุ่งทะลายดารานิรันดร์ดวงที่สาม จังหวะที่มันกำลังกู่ร้องพออกพอใจนั้น หวังเป่าเล่อก็รีบเอ่ยปากเสียงดังทันที

“ท่านปู่วัวน่าเกรงขามนัก!!”

วัวชราได้ยินเสียงของหวังเป่าเล่อนี้แล้วก็ผงะไปเล็กน้อย แต่มันไม่ได้สนใจเท่าไหร่ยังคงควบตะบึงไปเบื้องหน้าต่อ ในเวลาไม่นานก็ทำลายดารานิรันดร์ดวงแล้วดวงเล่า ส่วนหวังเป่าเล่อทางด้านนี้ก็ยังพูดไม่หยุด

“ท่านปู่วัวสง่ามาก!!”

“ท่านปู่วัวกล้าหาญยิ่ง!!”

“ท่านปู่วัวไร้เทียมทาน!!”

ก็เป็นเช่นนี้ ในจังหวะที่มันกระแทกดารานิรันดร์ดวงที่สามสิบกว่าจนพินาศ ได้ยินประโยคประจบของหวังเป่าเล่อไปสิบกว่าครั้ง วัวชราก็อารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย มันฉีกยิ้มกว้างขึ้นมาเป็นครั้งแรก

“เจ้าตุ๊กตาตัวน้อยนี้รู้จักพูดเสียจริง ประจบได้ไม่เลว หากว่าเจ้าสามารถเอ่ยประโยคที่ทำให้วัวชราเช่นข้าอารมณ์ดีอีกล่ะก็ เช่นนั้นวัวชราจะให้โอกาสเจ้าได้ถามหนึ่งสิ่ง!”

“ท่านปู่วัว ข้านี้จะไปกล้าประจบท่านได้เช่นไร สิ่งมีชีวิตประเภทม้านี้สามารถเทียบกับท่านได้อย่างนั้นเหรอ ในชีวิตของข้าหวังเป่าเล่อนี้ไม่เคยเอ่ยชมผู้ใดมาก่อน ทุกประโยคที่ข้าเอ่ยนี้ย่อมมาจากใจจริงแท้ล้วนๆ ดังนั้นคำขอของท่านนี้ ตัวข้าค่อนข้างลำบากใจจริงๆ” หวังเป่าเล่อถอนหายใจยาว ตบๆ บนหลังวัวชรา พลางเอ่ยปากเสียงเบา.ไอรีนโนเวล

“ท่านปู่วัว ผู้ชราเช่นท่านเคยได้กลิ่นอะไรประหลาดๆ หรือไม่?”

“ไม่มี กลิ่นอะไรหรือ?” วัวชราชะงักก่อนจะขยับจมูกเล็กน้อย ทดลองดมดูรอบด้าน ก่อนจะตอบอย่างประหลาดใจ

“ช่างเป็นกลิ่นที่หอมหวนอะไรเช่นนี้!”

“หลังจากข้าเห็นท่านปู่วัวแล้ว ข้าก็รู้สึกว่าในจักรวาลนี้เองก็ส่งกลิ่นหอมเหล่านี้มาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเคารพที่ข้ามีต่อท่านปู่วัว” เมื่อหวังเป่าเล่อเอ่ยออกไปแล้ว วัวชราถึงกับหยุดชะงัก มันพลันขนลุกทั่วร่างหนังไก่ผุดขึ้นมาเป็นตุ่มๆ

“ท่านปู่วัว..”

“พอแล้ว บ้านเจ้าสิ…เลิกพูดสักที ข้าหนังชาไปหมดแล้ว!!” วัวชรารีบร้องเสียงดัง หวังเป่าเล่อถึงเองหัวเราะฮ่าๆ คำโต บรรยากาศระหว่างเขาและวัวชรานี้ ก็แน่นแฟ้นขึ้นไม่น้อยหลังคำพูดเหล่านี้

ต้องกล่าวสักหน่อยว่า ด้านการเจรจาและคบหาผู้คนของหวังเป่าเล่อเป็นสิ่งที่เขาถนัดอยู่แล้ว ในยามนี้หลังจากล้อเล่นกับวัวชราแล้วคราหนึ่ง วัวชราอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปาก

“เจ้าหนู คำพูดพวกนี้เจ้าไปเรียนมาจากที่ใดกัน?”

“ท่านปู่วัว นี่มิใช่ข้าเป่าเล่อพูดเพ้อเจ้อ ตั้งแต่สามขวบข้าก็เรียนรู้วิธีเจรจาพาทีต่างๆ แล้ว คอยฝึกปรือกับผู้คนมาตลอดจนถึงวันนี้ กล่าวได้ว่าไม่มีเรื่องใดที่ข้าเจรจาไม่ได้ ไม่มีสาวใดที่ข้าจีบไม่ได้ หากท่านปู่วัวสนใจข้าจะสอนท่าน รับรองว่าอีกหน่อยทั้งจักรพิภพดาราไม่รู้สิ้นนี้ แม่วัวน้อยตัวใดที่ท่านสนใจล้วนไม่มีทางรอดมือท่านไปได้!”

วัวชราลังเลครู่หนึ่ง นี่ทำให้มันสนใจแท้จริง แต่เนื่องด้วยศักดิ์ศรีจึงไม่อาจถามได้ตรงๆ หวังเป่าเล่อราวกับมีตามองทะลุ หลังสัมผัสได้แล้วก็รีบถ่ายทอดวิชาความรักของเขาในทันที และก็เป็นเช่นนี้ ระหว่างทางที่วัวชรามุ่งหน้าไป พวกเขาก็ยิ่งเข้ากันได้มากขึ้นเรื่อยๆ

จนสุดท้ายแล้ว วัวชราพอใจยิ่งนัก หรืออาจกล่าวได้ว่ามีจิตใจฮึกเหิมยิ่ง…สรุปก็คือยินดีจะเสวนากับหวังเป่าเล่ออย่างมาก

“ผู้ชราเห็นเจ้าแล้วสบายตาดีนัก เจ้าหนูเล่อจื่อ หากว่ามีสิ่งใดอยากถามในดาราจักรแห่งไฟล่ะก็ ถามมาได้เลย”

ที่หวังเป่าเล่อรออยู่ก็คือประโยคนี้ เมื่อได้ยินแล้วแววตาเขาก็เผยประกายประหลาด รีบเอ่ยปาก

“ท่านปู่วัว ที่นี่ไม่มีคนนอก ท่านช่วยบอกข้าสักหน่อยได้ไหม อาจารย์ของข้าปรมาจารย์แห่งไฟ มีนิสัยเช่นไรกันแน่? มีของที่ชอบและเรื่องที่รังเกียจหรือไม่?”

หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าในเมื่อตนเองในยามนี้ต้องไปดาราจักรแห่งไฟ เช่นนั้นตัวเองก็ควรเข้าใจปรมาจารย์แห่งไฟเอาไว้ให้มาก โดยเฉพาะอีกฝ่ายอยากรับตนเป็นศิษย์แน่แท้ แต่หากตนเองอยากให้อีกฝ่ายชอบมากขึ้น เช่นนั้นย่อมเป็นประโยชน์กว่ามาก

“ปรมาจารย์แห่งไฟหรือ…” วัวชราได้ยินคำนี้ของหวังเป่าเล่อแล้ว ส่วนลึกในดวงตานั้นมีประกายเจ้าเล่ห์วาบผ่านอย่างจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน หลังจากกระแอมไปหลายที ก็ค่อยๆ เอ่ยเสียงแหบแห้ง

“เจ้าหนูเล่อจื่อ ผู้ชรานี้ยังต้องวิจารณ์เจ้าสักหน่อย ความคิดของเจ้าจุดนี้ผู้ชราเข้าใจอย่างยิ่ง อยากบอกว่าเจ้าคิดมากไปแล้ว!”

“ใต้เท้ามีจิตใจกว้างขวาง น้อมรับความคิดเห็นทุกคน พูดจากระทำการล้วนรักอิสระ บรรดาศิษย์ในจักรพิภพนี้ทั้งหมดใต้อาณัติของเขาล้วนสามารถพูดจาได้ตามใจ คิดสิ่งใดกล่าวสิ่งนั้น” กล่าวถึงจุดนี้ วัวชราก็ถอนหายใจคราหนึ่ง

“ดังนั้นแล้วในภายหลัง หากว่าเจ้าไม่พอใจอะไรใต้เท้าล่ะก็ อย่าได้คิดปิดบัง คิดอะไรก็พูดไปแบบนั้นเลย เอาให้ตรงไปตรงมาที่สุด เพราะว่าใต้เท้าเป็นคนไม่คิดเล็กคิดน้อย ความใจกว้างของใต้เท้านั้นเกรงว่าจะสามารถรับคำพูดได้นับหมื่นพันคำ มากยิ่งกว่าพื้นที่ในจักรวาลนี้เสียอีก!”

“แต่เจ้าต้องจำไว้อย่างหนึ่ง ห้ามแสร้งกระทำเด็ดขาด เพราะว่าสิ่งที่ใต้เท้าเกลียดที่สุด แล้วยิ่งเป็นคำพูดพวกประจบสอพลอ คำพูดลวงๆ คำพูดไม่จริงใจทั้งหลาย”

“สรุปก็คือ เจ้าก็แค่คิดสิ่งใดพูดสิ่งนั้นก็พอแล้ว ท่านใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่นั้นเป็นปรมาจารย์ผู้ตื่นรู้อันยากจะหาได้ในพิภพแห่งนี้!”

………………………………………………..

หวังเป่าเล่อรอไม่นานนัก ในวันที่สามหลังจากกลับถึงนครดาวอังคาร ขนาดของระบบสุริยะนี้เปลี่ยนไปใหญ่กว่าเก่าประมาณสองเท่าเห็นจะได้ และบนท้องฟ้านั้นก็เริ่มปรากฏเพลิงกระเพื่อมสีแดงฉานสายหนึ่ง

คลื่นกระเพื่อมนี้ปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหันราวกับร่วงหล่นมาจากฟากฟ้า อีกทั้งระหว่างที่มันกระเพื่อมนี้ ตัวคลื่นยังแตกกระจายออกเป็นสายด้วยตัวมันเอง หากเพ่งมองจะเห็นว่าคลื่นนี้กระจายออกเป็นชั้นๆ ไม่หยุด ครั้งแรกที่มองไปยังท้องฟ้านั้นจะเห็นคลื่นพวกนี้เหมือนผิวน้ำทะเลสาบที่มีคนโยนหินลงไปไม่ปาน ทว่าองค์ประกอบของผืนน้ำนั้นกลับเป็นเปลวเพลิง สรุปรวมแล้วนี่จึงเหมือนคลื่นทะเลเพลิงที่ขยายออกไม่หยุด ทว่าต่อมาในอีกหลายสิบลมหายใจให้หลัง ทะเลเพลิงที่ขยายตัวนี้กลับเริ่มพลิกหมุน ค่อยๆ ควบรวมกันเข้าสู่จุดกึ่งกลาง จากนั้นก็กลายเป็นเงามายารูปหนึ่ง

หลังจากเงาร่างนี้ปรากฏ พลังปราณสายหนึ่งที่สะเทือนฟ้าสะเทือนดินและจนกระทั่งขั้นสะเทือนหมู่ดาวได้ก็พลันปรากฏออกมา เป็นจังหวะเดียวกับที่ทะเลเพลิงนั้นแผดเผารุนแรงขึ้นกว่าเก่า บีบให้ดวงดาวรอบด้านของมันเผยร่างออกมาคล้ายส่งสัญญาณว่ารับแรงบีบอัดนี้ไม่ไหว

และราวกับว่า…เงาร่างที่กำลังควบรวมนี้สูงส่งเกินไป ดังนั้นยามที่มันปรากฏตัวจึงก่อให้เกิดคลื่นสะเทือนดารา จนกระทั่งว่าตัวระบบสุริยะเองยังบิดเบี้ยว หากตัวตนนี้มีประสงค์ร้ายสักหน่อยล่ะก็ บางทีมันสามารถทำให้ระบบสุริยะหายไปในชั่วแล่นความคิดเท่านั้น!

แต่เห็นได้ชัดว่าเงาร่างที่กำลังควบรวมนี้มีพยายามยั้งพลัง มันระงับพลังปราณอย่างรวดเร็ว พยายามไม่ส่งคลื่นไปกระทบระบบสุริยะอีก ทำเพียงแค่บีบอัดอยู่ภายใน จากนั้นเมื่อร่างนี้ควบรวมกันเสร็จแล้วมันก็ค่อยๆ แสดงตัว

เผยให้เห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริง!

สิ่งที่ปรากฏออกมาท่ามกลางทะเลเพลิงดารานี้ กลับเป็นวัวชราซึ่งแผ่พลังเพลิงออกมาจากร่างอย่างยิ่งใหญ่ ร่างวัวเทพตัวนี้เป็นสีแดงชาด เพลิงใต้ฝ่าเท้าของมันหมุนวน มองดูแล้วขนาดของวัวเทพตัวนี้มีขนาดประมาณหมื่นจั้งเห็นจะได้ แต่นี่…คือสภาพที่ย่อขนาดลงมาแล้วและไม่ได้เผยให้เห็นร่างเดิมที่แท้จริงทั้งหมด

ต่อให้เป็นเช่นนี้ การปรากฎตัวของมันก็ยังคงทำให้เหล่าดารารอบด้านเสียหายอยู่ดี บารมีอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งแผ่ออกมาจากร่างมันนั้น เกรงว่าจะเหนือชั้นยิ่งกว่าระดับดารานิรันดร์ แต่หากนำไปเทียบกับผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพแล้วก็อาจไม่แตกต่างมากนัก

ตัวตนอันน่าหวาดกลัวนี้หาพบได้ยากในจักรวาล จริงๆ แล้วหากตัวมันปรารถนา ตัวมันยังสามารถคานพลังกับสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้ายหรือกระทั่งเหล่าสำนักเต๋าศักดิ์สิทธิ์เสริมได้ด้วยซ้ำ พูดไปแล้ว อารยธรรมส่วนใหญ่นั้นต่อให้มาอยู่เบื้องหน้ามันก็นับว่าอ่อนแอจนไม่คะนามือมันแม้แต่น้อย

และตั้งแต่วินาทีแรกที่มันปรากฏตัวในระบบสุริยะนี้ ผู้อาวุโสซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งที่สามในแท่นบูชาของวังเต๋าไพศาลตำแหน่งปลายสุดยอดของกระบี่สำริดโบราณก็สังเกตเห็นมันทันที ดวงตาของผู้อาวุโสรายนี้เบิกกว้างขึ้น เขาแสดงท่าทีพรั่นพรึงในเวลาเดียวกันก็หอบหายใจกระชั้น ทรวงอกกระเพื่อม ในระหว่างนั้นเขาก็มองไปยังทิศของเทพวัว สีหน้าแปรเปลี่ยนครั้งแล้วครั้งเล่า จนค่อยๆ ขยับกายลุกขึ้น ในจังหวะที่คิดจะเอ่ยคำพูดนั้นเอง…

วัวชราที่มาจากนอกระบบสุริยะตัวนี้เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นก่อน การพูดของมันนี้มันไม่ได้พูดกับคนเพียงคนเดียว แต่ส่งกระแสจิตกระเทือนไปทั้งระบบสุริยะ ในพริบตานั้น ทุกตัวตนที่อยู่ในระบบสุริยะ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดอยู่ สมองของพวกเขาพลันปรากฎเสียงอันน่าเกรงขามนี้ทับซ้อนอยู่ข้างใน

“บ่าวชราเหยียนหลิง รับบัญชาปรมาจารย์แห่งไฟ น้อมรับนายน้อยสิบหกหวังเป่าเล่อกลับดาราจักรไฟ!”

กระแสจิตนี้เปรียบเหมือนพายุคลั่ง ในพริบตานั้นก็กระจายทั่วระบบสุริยะ แล่นเข้าสู่สมองของสรรพสัตว์ ที่สุดปลายกระบี่สำริดโบราณ เหล่าผู้ฝึกตนในวังเต๋านั้นล้วนแต่สภาวะจิตบ้าคลั่ง และต่อให้เป็นผู้บาดเจ็บที่เจ็บจนหมดสติเหล่านั้นก็ยังอดตัวสั่นอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวไม่ได้ กระทั่งตัวของผู้อาวุโสระดับจักรพิภพบนตำแหน่งที่สามของแท่นบูชานั้นเองก็ต้องหรี่ตาลงทันที ท่ามกลางลมหายใจของตัวเขาที่หอบกระชั้นค่อยคลายลงบ้างหลังทราบเหตุการณ์มาของอีกฝ่าย ทว่าหัวใจเขาก็ต้องเต้นรัวขึ้นมาอีกครั้ง

แม้เขาจะรู้ว่าหวังเป่าเล่อไม่มีทางโกหกตน ในเมื่อกล่าวว่าเป็นศิษย์ของปรมาจารย์แห่งไฟ เช่นนั้นหวังเป่าเล่อก็ต้องเป็นแน่ แต่เขาไม่ทันคิดเลยว่าสถานะศิษย์ของอีกฝ่ายนี้ยังคงน่าตกตะลึงกว่าที่ตนเองคิดเอาไว้มาก

“ศิษย์ประเภทใดกัน…ถึงกับทำให้ปรมาจารย์แห่งไฟส่งผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพมารับด้วยตนเอง?”

“เกรงว่านอกจากจะให้มารับแล้ว คงต้องการข่มขู่จิตแห่งวังเต๋าของข้ากระมัง…แสดงแสนยานุภาพเพื่อให้ทุกฝ่ายที่สนใจการควบรวมอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ของระบบสุริยะนี้ จำต้องรามือเสีย…”

“และทุกอย่างนี้สืบค้นสาเหตุกลับไปได้อย่างเดียวก็คือเขาให้ความสำคัญกับหวังเป่าเล่อคนนี้…” ผู้อาวุโสวังเต๋าจมอยู่ในภวังค์ ในใจนั้นมันเพิ่มความสำคัญของหวังเป่าเล่อขึ้นมากทันที

ในเวลาเดียวกันนั้น ประชาชนและผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วนของสหพันธรัฐ แล้วยังมีพวกที่คุ้นเคยกับหวังเป่าเล่อเช่นหลินเทียนหาวและหลินต้าวปิน เมื่อได้ยินเสียงนี้ในสมองพวกเขาตกตะลึงนัก

“นายน้อยสิบหก?”

“หวังเป่าเล่อ…”

“แม้ข้าไม่รู้ว่าสถานะนี้คืออะไร แต่ฟังแล้วเห็นได้ชัดว่าสุดยอด ต้องไม่ธรรมดาแน่!”

“ไม่เสียแรงที่เป็นผู้พิทักษ์สหพันธรัฐของเรา! ในฐานะผู้บุกเบิกนครดาวอังคาร!! ข้าหลินต้าวปินขอติดตามท่านหัวหน้าตลอดชีวิต!!!”

ท่ามกลางเสียงโห่ร้องรอบด้านนี้ มารดาของจ้าวเยี่ยเหมิง แล้วยังมีหลี่ซิงเหวิน เจ้าสำนักสวีของสำนักรุ่งสางจักรพิภพ รวมถึงหลินโย่วทั้งหลายต่างก็สูดหายใจลึกในทันใด ต่างคนต่างมองดาวอังคารจากตำแหน่งที่แตกต่างกัน

ก่อนหน้านี้ หวังเป่าเล่อเคยบอกพวกเขาแล้วว่าจะจากไป อีกทั้งยังบอกจุดหมายแล้วคร่าวๆ แต่ต่อให้ทำใจเอาไว้แล้ว ในหัวใจของพวกเขายังอดสะเทือนรุนแรงไม่ได้

ความน่าเกรงขามของวัวชราตนนี้และคำพูดที่อยู่ในกระแสจิต ทำให้พวกเขาเข้าใจถึงสถานะภาพของหวังเป่าเล่ออย่างกระจ่างแจ้งรวมถึงอนาคตที่ยากจะประเมินขึ้นมาทันที จิตใจของทุกคนที่ไม่ค่อยมั่นคงเพราะความเปลี่ยนแปลงตลอดมานี้ค่อยสงบนิ่งมากขึ้น

กระทั่งมารดาของจ้าวเยี่ยเหมิงตรงนั้น ในพริบตาที่สมองของนางรับรู้กระแสจิตนี้ นางก็วางแผนรอให้จ้าวเยี่ยเหมิง กลับมาจากนั้นค่อยคุยให้ละเอียดถึงอนาคตของลูกสาวและหวังเป่าเล่อ

ในเวลาเดียวกันนางก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องดูแลโจวเสี่ยวหยาทางด้านนั้นเป็นพิเศษ เพราะในใจของนางมีความกังวลยิ่งยวด นางกังวลว่า…หวังเป่าเล่อที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไปคนนี้ ไม่แน่ว่าวันหนึ่งจะยิ่งก้าวเดินออกไปได้ไกลขึ้นเร็วขึ้น จนกระทั่งเหินห่างกับสหพันธรัฐ

แม้ว่านางจะรู้สึกว่าความเป็นไปได้นี้มันน้อยยิ่งนัก แต่ในฐานะผู้นำสหพันธรัฐแล้วนางย่อมต้องคิดให้รอบคอบ เช่นนั้นวิธีการที่ดีที่สุดก็คือหาห่วงผูกอีกฝ่ายเอาไว้ นอกจากบิดามารดาแล้ว ผู้ที่สามารถเป็นบ่วงคล้องได้แน่นหนาย่อมเป็นผู้หญิงของเขานี่เอง

คนทั้งหมดนั้นในใจสะเทือนยิ่ง ในเวลาเดียวกันก็บังเกิดความคิดมากมาย ส่วนหวังเป่าเล่อในดาวอังคารนั้นก็วางชามตะเกียบในมือของตนลง ลุกขึ้นมองบิดามารดาที่มองตนเองอย่างอาลัยอาวรณ์ เขาโค้งกายลงต่ำ

“ท่านพ่อ ท่านแม่…จากไปคราวนี้ไม่รู้นานเท่าไหร่ แต่คิดว่าคงจะไม่นานเกินไปมากนัก พวกท่าน…ดูแลตัวเองให้ดีๆ”

“ไปเถอะ เป่าเล่อเอ๋ย เจ้าเองก็ดูแลตัวเองดีๆ นะ…” มารดาของหวังเป่าเล่อสะกดความรู้สึกขมขื่น นางเอ่ยปากเสียงเบา ส่วนบิดาของเขานั้นพยักหน้าอยู่ข้างๆ มองส่งเงาร่างบิดโค้งของหวังเป่าเล่อที่ค่อยๆ หายไปจากตรงนั้น

จนกระทั่งหลังจากที่ร่างเขาหายไปโดยสมบูรณ์ แม่ของหวังเป่าเล่อก็ทนต่อไปไม่ไหว ร้องไห้ออกมา

เสียงถอนหายใจเบาๆ เองก็ดังออกมาจากใจของหวังเป่าเล่อซึ่งอยู่ในท้องนภา เขาเองก็ไม่อยากจากไปเช่นกัน แต่เขารู้ดีว่าเมื่อเหยียบย่างเข้าสู่เส้นทางผู้ฝึกตนแล้ว เส้นทางนี้ก็เปรียบเหมือนการพายเรือทวนกระแสน้ำ ได้แต่เดินหน้ามิฉะนั้นจะถดถอย ดังนั้นแล้วทางเดียวที่เหลือคือการไปข้างหน้าเท่านั้น มีเพียงเช่นนี้เขาถึงจะสามารถปกป้องสิ่งที่ตนปรารถนาทั้งหมด และมองเห็นผืนฟ้าแผ่นดินที่กว้างขึ้นได้

ในเวลาเดียวกันหวังเป่าเล่อเองก็รู้สึกซาบซึ้งปรมาจารย์แห่งไฟทางด้านนั้นมาก เขาเข้าใจดีว่ากระแสจิตที่ส่งมาในระบบสุริยะนี้ เป็นความรักถนอมของตัวท่านเอง ความรักถนอมนี้ไม่เพียงแต่ข่มขวัญพวกคิดร้าย แต่ยังปลอบประโลมเหล่าเพื่อนและครอบครัวที่บ้านเกิดของตนด้วย

น้ำใจของท่านอาจารย์นี้ หวังเป่าเล่อก็ไม่หวังอะไรเพิ่มเติมแล้ว จากนั้นจังหวะที่เขายืนอยู่กลางจักรวาลมองดูระบบสุริยะ มองดูดาวโลก และคล้ายกับว่าในจังหวะอันหาได้ยากนี้ตรงภาพเลือนรางบนยอดเขาแห่งสำนักเต๋าที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เขามองเห็นเงาของสตรีคนหนึ่งยืนอยู่

เส้นผมพัดขึ้นตามกระแสลม ปิดบังดวงหน้านั้นแต่ไม่อาจปิดบังแววตาอ่อนโยนที่จ้องมาได้

แม้คั่นกลางด้วยผืนดารา แต่ก็ราวกับสายตาของพวกเขานี้จะเชื่อมถึงกันได้ หวังเป่าเล่อมองอยู่เนิ่นนาน เขาพยักหน้าให้ก่อนจะหันกายมุ่งไปยัง…นอกระบบสุริยะ!

การจากลาในครั้งนี้ เขาไม่กังวลเรื่องในสหพันธรัฐอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นพันธะสัญญาในวังเต๋าไพศาลหรือว่าเหล่าประชาชนที่ยกระดับหลังหลอมรวมอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ในครั้งนี้ ทุกสิ่งเพียงพอที่จะทำให้สถานภาพของสหพันธรัฐในยามนี้แตกต่างจากเมื่อก่อนแล้ว

นอกจากสหพันธรัฐจะแข็งแกร่งกว่าเดิมแล้ว ในเวลาเดียวกันก็ได้รับการปกป้องจากปรมาจารย์แห่งไฟ ทุกสิ่งนี้ทำให้อนาคตของสหพันธรัฐในช่วงเวลาเบื้องหน้าย่อมมีโอกาสพัฒนาไปอย่างสงบสุขมั่นคง!

“ถ้าอย่างนั้นหลังจากนี้…ข้าก็ควรไปดูสักหน่อย ว่าในจักรพิภพนี้ที่แท้แล้วเจิดจรัสและยิ่งใหญ่มากแค่ไหน!” หวังเป่าเล่อจิตใจฮึกโหม แววตาทอแสงแรงกล้า ร่างของเขานั้นพลันเปลี่ยนเป็นเส้นรุ้งสายหนึ่ง จากนั้นก็เหาะผ่านระบบสุริยะด้วยความเร็วอันน่าตื่นตระหนกจนกระทั่งออกมา…นอกระบบสุริยะ จากนั้นเขาได้มองเห็นทะเลเพลิงอันยิ่งใหญ่และร่างของวัวชราที่อาบด้วยพลังปราณอันน่าหวาดหวั่นซึ่งยืนอยู่…ณ กลางทะเลเพลิงนั้น!

………………………………………………..

ในอาณาเขตดาราไม่สิ้นสุด อารยธรรมมีจำนวนเท่าไหร่ไม่รู้ชัด การจะยกระดับอารยธรรมหนึ่งนั้นใช้เวลานานมาก เพราะต้องเป็นการเลื่อนระดับทั้งระบบหรือทั้งเผ่าพันธุ์ ถึงจะทำให้อารยธรรมเลื่อนขั้นไปจุดสูงกว่าได้

ทว่ามันก็มีทางลัดอยู่!

ทางลัดที่ว่าก็คือการกลืนกินอารยธรรมของดารานิรันดร์ดวงอื่นๆ แล้วบังคับให้ทุกสิ่งมีชีวิตและวิญญาณของอารยธรรมในดาวดวงนั้นตกเป็นทาสเสีย เช่นนี้ก็จะสามารถยกระดับอารยธรรมของตนเองได้แล้ว

และเมื่อใดที่ยกระดับไปถึงขั้นดารานิรันดร์ ก็จะเกิดสภาวะเหมือนกับน้ำเต็มอ่างที่เริ่มไหลออก บังเกิดปรากฏการณ์หนึ่งอันเรียกว่าวิญญาณสนองคุณ ปรากฎการณ์นี้ก็คือการที่ทุกชีวิตซึ่งกำเนิดในอารยธรรมนั้นสามารถยกระดับสมรรถภาพของชีวิตได้ในพริบตา ส่งผลให้ระดับการฝึกปรือเปลี่ยนแปลงและอาจทำให้พลังฝึกปรือของคนกลุ่มหนึ่งทะยานขึ้นสูง หรือสามารถทำให้เหล่าผู้ฝึกตนที่ฝึกปรืออยู่ในมิติต่างๆ นั้น ได้โอกาสยกระดับได้ขึ้นเช่นกัน

เพราะปรากฎการณ์ที่ว่านี้ค่อนข้างยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังไม่มีผลร้ายภายหลังใดๆ คนจำนวนมากมายจึงคลั่งไคล้มัน และในเวลาเดียวกันก็ก่อให้เกิดศึกภายในอาณาจักรดาราไม่สิ้นสุดอย่างต่อเนื่อง

สิ่งนี้…บางทีอาจจะเป็นสิ่งที่ประชาชนทั้งดาราไม่สิ้นสุดต้องการอยู่แล้วก็ได้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ หลังจากกำจัดสำนักแห่งความมืดและประกาศใช้กฎแห่งเต๋าสวรรค์แล้ว ไฉนพวกเขาจึงกลับเข้าสู่วิถีทางลัดในการยกระดับอารยธรรมในจักรวาลนี้

อย่างไรก็ตาม เพราะกฎนี้ สงครามจึงเกิดขึ้นต่อเนื่องแบบไม่มีวันสิ้นสุด สิ่งที่เรียกว่าแข็งแกร่งอยู่รอดอ่อนแอสิ้นสูญ หรือสภาวะผู้แข็งแกร่งเป็นผู้ล่านี้ก็กลายเป็นเรื่องสามัญไป ไม่ว่าจะยินยอมหรือไม่ เหล่าคนในอาณาเขตดาราไม่สิ้นสุดนี้หากไม่ยกระดับก็จะไม่อาจควบคุมชีวิตตนเองได้ เป็นเหตุให้ทุกสิ่งที่หมุนวนรอบระบบสุริยะนี้ พยายามยกระดับอย่างต่อเนื่อง

ส่วนในเวลานี้ หลังจากปรากฏการณ์สนองคุณทางวิญญาณปรากฏ ดาวเคราะห์นิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์ถูกหลอมรวมไปแล้ว มันก็กลายสภาพเป็นดวงอาทิตย์เจิดจ้าซึ่งแผ่แสงทรงพลานุภาพออกมา ทั้งสหพันธรัฐเกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดพลิกฟ้าพลิกดิน!

ยอดเขาแต่ละลูกเริ่มแทงสูงเสียดฟ้า เหมืองแร่วิญญาณพลันปรากฏในหลายแห่ง แม่น้ำหลายสายแผ่อานุภาพไหลบ่าไร้ที่สิ้นสุด ที่นาแต่ละที่กลายเป็นผืนนาวิญญาณ สัตว์ธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไปก็พลันมีพลังเทพประหลาด!

เหล่าอสูรปักษาเริ่มกู่ร้อง ผืนเมฆพลันปรากฏฝนวิญญาณ หมื่นสรรพชีวิตเริ่มแปรสภาพ พืชพรรณเติบโตบ้าคลั่ง เหมือนมีใครหว่านบำรุงฟ้าดิน และบำรุงเหล่าสรรพสิ่ง ในเวลาเดียวกัน เหล่ามนุษย์เองก็เป็นหนึ่งในนั้น ภายใต้การชี้นำของหวังเป่าเล่อ การเปลี่ยนแปลงครานี้ใหญ่หลวงนัก!

สิ่งแรกที่ถูกปรับเปลี่ยน ก็คือคุณสมบัติ จู่ๆ ความสามารถของประชาชนทุกคนก็ยกระดับ ทำให้ตอนแรกเหล่าผู้คนที่ไม่มีพลังฝึกปรือนั้นพลันมีความสามารถขึ้นมา!

ในเวลาเดียวกันด้านรูปลักษณ์นั้น ก็เหมือนถูกแก้ไขตามไปด้วย ภายใต้การเปลี่ยนแปลงแห่งชีวิตนี้ ทุกสิ่งเปลี่ยนไปหมด แม้กระทั่งอายุขัยเอง…ก็เช่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้ประชาชนในสหพันธรัฐนั้นมีการยืดระดับอายุขัยระหว่างช่วงศักราชวิญญาณมาก่อนแล้ว แต่ก็เทียบกับตอนนี้ไม่ได้เลย!

ประชาชนในสหพันธรัฐยามนี้ เนื่องด้วยการยกระดับชีวิต ต่อให้ไม่ได้ฝึกปรือ ก็มีอายุขัยได้ถึงสองร้อยกว่าปี และไม่เพียงแค่อายุขัยเท่านั้น แต่ระดับความแข็งแกร่งทางกายภาพของพวกเขาก็เป็นเช่นเดียวกัน

นอกจากนี้แล้ว ยังมีอาวุธแต่ละชิ้น ในสภาวะวิญญาณสนองคุณนี้ต่างก็พากันยกระดับขึ้นเช่นกัน ในบรรดานี้บุคคลที่เลื่อนระดับได้มากที่สุด…ก็คือเหล่าผู้ฝึกตน!

ตั้งแต่ระดับวิญญาณการต่อสู้ยกระดับไปจนถึงการหลอมรวมวิญญาณ พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้วัตถุพิเศษอีก สามารถยกระดับได้ด้วยตนเอง อย่างไรก็ดี หากพวกเขาฝึกปราณได้ถึงระดับฐานรากแล้วยังคงต้องการวัตถุพิเศษอยู่ การที่ปรากฎการณ์สนองคุณทางวิญญาณเกิดขึ้นย่อมทำให้เงื่อนไขต่างๆ สมบูรณ์พร้อมได้มากขึ้น กระทั่งว่าเหล่าผู้ฝึกตนบางกลุ่มซึ่งเตรียมพลังฝึกปรือถึงระดับสมบูรณ์ไว้ก่อนหน้าแล้ว ในยามนี้พอหลอมรวมเข้ากับวัตถุอันเป็นรากฐาน พลังฝึกปรือก็เลื่อนระดับได้อย่างง่ายดาย!

กล่าวได้ว่า สภาวะสนองคุณวิญญาณนี้ทำให้ผู้ฝึกตนแทบทุกคนได้โอกาสยกระดับการฝึกปรือกันทั้งสิ้น ยิ่งพลังต่ำเท่าไหร่ก็ยิ่งเลื่อนระดับได้มากเท่านั้น!

ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณก็เช่นกัน เหล่าผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณที่พยายามเลื่อนระดับกว่าร้อยคนในช่วงระยะหลายปีในสหพันธรัฐนี้ ก็ได้โอกาสระเบิดพลังปราณเพราะสภาวะดับกระหายวิญญาณ หลายคนในนั้นเป็นระดับจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์ก็ได้เลื่อนระดับเป็นขั้นเชื่อมวิญญาณ!

ไม่เพียงแค่พวกเขาเท่านั้น ยังมีหลี่ซิงเหวิน แล้วยังแม่ของเจ้าเยี่ยเหมิง รวมถึงผู้อยู่ในระดับสูงคนอื่นๆ ก็เป็นเช่นเดียวกัน ในบรรดาทั้งหมดนี้ผู้ที่มีเลื่อนระดับได้มากที่สุดก็คือตัวหลี่ซิงเหวินเอง

ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตนผู้บุกเบิกศักราชวิญญาณ และเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในขั้นจุติวิญญาณคนแรก นอกจากหวังเป่าเล่อผู้เป็นขั้นเชื่อมวิญญาณคนแรกแล้ว คุณสมบัติของหลี่ซิงเหวินแข็งกล้าที่สุดจนถึงขั้นน่าตกใจ แต่เพราะว่าถูกระดับชั้นทางชีวิตจำกัดเอาไว้ เขาจึงไม่ได้ผ่านประสบการณ์ด้านวาสนาเช่นหวังเป่าเล่อ ดังนั้นจึงเติบโตช้ากว่า

ในยามนี้…ภายใต้สภาวะวิญญาณสนองคุณ ความสามารถและระดับชั้นชีวิตของเขานั้นเลื่อนระดับเอง ในพริบตานั้นพลังฝึกปรือของเขาเหมือนปลดเบรกล้อรถไม่ปาน เขาพลันระเบิดพลังรุนแรง ยกระดับจากขั้นเชื่อมวิญญาณรวดเดียวกลายเป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะ!

ไม่เพียงแค่เขาที่เป็นเช่นนี้ ยังมีหลินโยว รวมถึงมารดาของเจ้าเยี่ยเหมิงที่พลังฝึกปรือทะลุสูงเช่นกัน หลังจากพวกเขาเข้าสู่ระดับชั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว สหพันธรัฐก็ปรากฏผู้เหยียบย่างเข้าชั้นจิตวิญญาณอมตะคนที่สี่

ผู้นี้ก็คือ ต้นไม้ยักษ์!

และก็ปรากฏคนที่ห้าด้วยความรวดเร็ว ในส่วนคนที่ห้านี้ก็คือเจ้าสำนักสวีแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพ เขาทำตัวติดดินตลอดมา มาวันนี้พลังฝึกปรือพลันทะลุทะลวง กลายเป็นระดับสูงสุดแห่งสหพันธรัฐอีกครั้ง!

เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้ว อนุชนตัวน้อยอย่างเช่นหลินเทียนหาวและโจวเสี่ยวหยานั้น ต่างก็ยกระดับเช่นเดียวกัน แต่มากสุดกลับอยู่แค่ระดับเชื่อมวิญญาณเท่านั้น พวกเขายังคงมีระยะห่างอยู่มาก แต่หากให้เวลาพวกเขาสักหน่อย ภายใต้สภาวะวิญญาณสนองคุณของสหพันธรัฐใหม่นี้ ระดับการฝึกปรือของพวกเขาจะยกระดับเมื่อไหร่ก็แค่ช้าเร็วเท่านั้น!

และในเวลาเดียวกัน สำนักวังเต๋าไพศาลก็ได้ประโยชน์มหาศาลเช่นกัน แม้ว่าคนในวังเต๋าอย่างเช่นเฝิงชิวหรานจะไม่ได้สัมผัสถึงวิญญาณสนองคุณ แต่ในฐานะสถานที่สังเวยที่อยู่บนปลายยอดกระบี่แล้ว พริบตานั้นเองจากการระเบิดยกระดับของทั้งระบบสุริยะ เป็นเหตุให้ผู้อาวุโสจักรพิภพท่านนั้นพลันเบิกตาโพลง และเหล่าผู้ที่บาดเจ็บทั้งหมดที่ภายในนั้นฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บเร็วขึ้นเท่าตัว!..ไอลีนโนเวล

เรื่องในครั้งนี้ทำให้ผู้อาวุโสแห่งจักรพิภพท่านนั้นซาบซึ้งใจอย่างมาก เพราะว่าหวังเป่าเล่อทางนั้นได้ใช้การกระทำพิสูจน์คำพูดของเขาก่อนหน้าอย่างแท้จริง อีกทั้งยังยืนหยัดที่จะทำตามคำสัญญา หลังจากเพ่งมองระยะไกลเห็นหวังเป่าเล่อที่ทรุดนั่งขัดสมาธิเบื้องหน้าดารานิรันดร์ บรรพบุรุษแห่งจักรพิภพท่านนี้ก็ก้มหัวลงมองหญิงสาวในชุดวังเต๋าที่อยู่เบื้องหน้าตนเอง

“ชายแก่ผู้นี้เห็นด้วยกับคำแนะนำของธิดาศักดิ์สิทธิ์แล้ว บางทีเขาอาจจะเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด”

แม่นางน้อยสวมหน้ากากที่เดินทางร่วมกับหวังเป่าเล่อมาจนบัดนี้ เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้เข้า ก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้า หลังจากคำนับแล้วก็หันกายจากไป

ในเวลานี้ พลังวิญญาณสนองคุณที่มาจากดารานิรันดร์นั้นยังคงดำเนินต่อ หลังจากที่ระดับชีวิตและพลังฝึกตนของทุกคนเพิ่มพูน ยังมีอีกสองคนที่เลื่อนระดับได้อย่างน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก!

รายแรกก็คือหวังเป่าเล่อ ส่วนคนที่สองนั้นก็คือ…เจ้าเยี่ยเหมิง!

การหลอมรวมดารานิรันดร์ในครั้งนี้ ระดับต่างๆ ของการวิญญาณสนองคุณที่มาจากดวงอาทิตย์ ไม่ว่าจะเป็นคำขอบคุณหรือการอวยพร อย่างหลังนั้นมอบให้แก่สรรพสิ่งในสหพันธรัฐ ส่วนสิ่งแรกนั้น…มอบให้แก่หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงโดยตรง!

ดังนั้นในส่วนของเจ้าเยี่ยเหมิงตรงนี้จึงได้รับการเลื่อนระดับสูงที่สุด เรียกได้ว่าน่ากลัวเลยทีเดียว ระดับของนางนั้นถูกยกระดับขึ้นเหนือคนทั่วไป ในเวลาเดียวกันพลังฝึกปรือของนางก็อยู่ในระดับชั้นจิตวิญญาณอมตะสมบูรณ์ในพริบตา เนื่องเพราะมีพลังวิญญาณมารวมตัวกันแบบนับไม่ถ้วน!

ในส่วนของหวังเป่าเล่อ…ในฐานะที่เป็นผู้ริเริ่มการณ์นี้ โดยเฉพาะในส่วนดารานิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์ซึ่งถูกดวงอาทิตย์หลอมรวมไปยิ่งเกี่ยวข้องกับเขาอย่างแยกไม่ได้ ดังนั้นในจังหวะที่เขาได้รับพลังวิญญาณสนองคุณ ย่อมช่วยให้เขาเลื่อนระดับได้สูงสุด พลังฝึกปรือที่เดิมอยู่ระดับต้นของระดับดาวพระเคราะห์ หลังได้รับพลังวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนถาโถมเข้ามา เขาก็พลันยกระดับไปถึงขั้นกลางของระดับดาวพระเคราะห์!

แม้ว่าจะยกระดับเพียงแค่ชั้นเดียว แต่ว่าเมื่อถึงระดับดาวพระเคราะห์แล้ว จำนวนระยะเวลาและปริมาณพลังวิญญาณที่ระดับนี้ต้องการสำหรับการยกระดับนั้น เป็นสิ่งที่ทั้งดวงดาวและตัวผู้ฝึกตนเองนึกไม่ถึงเลยทีเดียว

การที่สามารถยกระดับได้หนึ่งชั้นในขั้นของดาวพระเคราะห์จึงนับเป็นการแทนพระคุณครั้งใหญ่หลวงที่สุดเท่าที่ระบบสุริยะนี้จะมอบให้ได้แล้ว หวังเป่าเล่อเองก็พอใจยิ่งนัก เพราะว่าเขารู้ดีว่าการหลอมรวมนี้…เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น!

เพราะปรากฎการณ์วิญญาณสนองคุณนี้จะดำเนินไปต่อเนื่องทั้งสิ้นหนึ่งเดือนด้วยกัน เมื่อปรากฎการณ์สิ้นสุดแล้ว ในระบบสุริยะที่มีดาวบริวารทั้งสิ้นสิบหกดวงนี้ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และสหพันธรัฐก็จะเริ่มติดต่อกัน

การติดต่อกันนี้กลับไม่มีเรื่องเหนือคาดหรือแรงยับยั้งใดๆ ทุกสิ่งเป็นไปด้วยความราบรื่น อีกทั้งในเวลาเดียวกัน ต่อให้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะผนวกเข้ากับสหพันธรัฐแล้ว มันก็ยังยอมรับให้สหพันธรัฐเป็นผู้นำด้วย

เมื่อมาถึงเวลานี้ หวังเป่าเล่อก็เข้าใจ สถานการณ์ของสหพันธรัฐได้คลี่คลายลงแล้ว เมื่อมีวังเต๋าไพศาลรวมถึงพลังสนับสนุนแห่งสหพันธรัฐอยู่ นอกจากนี้แล้วยังมีปรมาจารย์มหาทัณฑ์เป็นผู้ปกป้องคุ้มครอง บวกกับภูมิหลังของตนเอง สามารถกล่าวได้ว่าสหพันธรัฐในยามนี้และช่วงเวลานี้สงบสุข

ต่อมา เขาก็ได้รับกระแสถ่ายทอดจากปรมาจารย์แห่งไฟ แจ้งเขาว่าทูตที่จะมารับตัวเขาไปดาราจักรไฟนั้นใกล้จะมาถึงแล้ว

“ต้องไปแล้วหรือ…” หวังเป่าเล่อพึมพำ เขาใช้สัมผัสเทพกวาดมองรอบๆ ระบบสุริยะ เมื่อสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ทรงพลังแล้ว เขาก็หยิบกระดาษออกมาแผ่นหนึ่ง

กระดาษแผ่นนี้ มาจากจักรวรรดิดาวตก ก่อนหน้าจะจากมานั้นหวังเป่าเล่อร้องขอเรื่องหนึ่งจากจักรพรรดิ เขาต้องการสิทธิ์ในการเข้าจักรวรรดิดาวตกทั้งหมดสามสิบครั้ง!

กระดาษแผ่นนี้ ก็คือหลักฐานการเข้าสู่จักรวรรดิดาวตก สามารถใช้ได้สามสิบครั้ง อีกทั้งภายใต้การอนุญาตของจักรพรรดิดาวตก มันไม่กำจัดระยะเวลา ขอเพียงถือกระดาษแผ่นนี้ไว้ ก็จะสามารถอัญเชิญเรือดาวตกให้มารับ เพื่อพาไปยังสถานที่ฝึกปรืออันเป็นเอกเทศแห่งหนึ่งได้

นี่ก็คือทรัพยากรที่เขาเตรียมไว้ให้แก่สหพันธรัฐ และผู้ที่ใช้กระดาษแผ่นนี้เป็นคนแรกก็คือ เจ้าเยี่ยเหมิง

เขายื่นมันให้แก่เจ้าเยี่ยเหมิง หลังมองส่งอีกฝ่ายขึ้นเรือจากไปแล้ว หวังเป่าเล่อก็กลับสู่ดาวอังคารเพื่อไปอยู่เป็นเพื่อนพ่อแม่ ในเวลาเดียวกันก็แอบเฝ้ารอฑูตซึ่งปรมาจารย์กล่าวว่าจะส่งให้มารับตนคนนั้น!

“ดาราจักรไฟ…” ระหว่างที่รออยู่นั้น หวังเป่าเล่อเองก็แหงนหน้าขึ้นบางคราว มองไปยังท้องฟ้าพร่างดาวนั้น ดวงตาค่อยๆ เผยประกายแวววับแห่งการเฝ้ารอคอย!

ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ไม่มีอะไรวุ่นวาย แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาก่อนหน้านั้น มีปราณวิญญาณอุบัติขึ้นบนโลก ด้วยสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การรับการฝึกตน จึงมีผู้ฝึกตนปรากฏตัวขึ้นมาไปโดยปริยาย

แต่เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป เนื่องจากเหตุไม่คาดฝันบางอย่างที่ไม่ได้อธิบายเอาไว้ ปราณวิญญาณของโลกก็ถดถอยลง ด้วยเหตุนั้นผู้ฝึกตนบนโลกจึงรวมตัวกัน นำโดยกองกำลังที่เรียกว่าสำนักดาราจันทร์ ก่อนทำการอพยพครั้งใหญ่โดยอาศัยทรัพยากรในเวลานั้น

สถานที่ที่พวกเขาไปไม่ใช่จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายอีกต่อไป กลับกลายเป็นที่จักรภพศักดิ์สิทธิ์สำนักเสริม หลายปีให้หลัง วิวัฒนาการก้าวหน้าอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จนหยั่งรากลึกลงไปในและเติบโตเป็นต้นไม้ยักษ์ที่สูงเทียมฟ้า

ทว่า…สำนักดาราจันทร์ของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายนั้นให้ความสนใจกับการสืบสายโลหิตโดยตรง ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าจะวงแหวนปราณที่ถูกทิ้งไว้ก่อนการอพยพในตอนนั้น หรือการกลับมายังโลกอีกครั้งหลังผ่านกระบวนการย้ายถิ่นฐาน ล้วนยังเหลือข้อมูลสำรองไว้บางส่วน

จุดประสงค์หลักของพวกเขาไม่ใช่การคบค้าสมาคมกับสหพันธรัฐ แต่เพื่อเปิดรับสายโลหิตแล้วรวบรวมไว้ในสำนักดาราจันทร์ อย่างน้อยที่สุด…ดูจากแผ่นหยกนี้ก็เหมือนจะเป็นเช่นนั้น

หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่ามีความลับอะไรอยู่อีกหรือเปล่า ทว่าหลังจากที่เขาตรวจดูแผ่นหยกนี้จบ ดวงตาเขากลับหรี่ลงมา

“หรือว่าข้าจะเป็นวายร้ายไปแล้ว แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าสำนักดาราจันทร์ทิ้งวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายไว้บนโลก เกี่ยวกับเรื่องการเปิดรับสายโลหิต…แต่มันคงไม่ได้ง่ายดายเหมือนฉากนอกหรอก!”

แววตาของหวังเป่าเล่อวาววับ เขาบอกเหตุผลทั้งหมดไม่ได้เหมือนกันเพราะเป็นเพียงการคาดเดาของตัวเอง ในท้ายที่สุด หวังเป่าเล่อก็เชื่อว่าสักวันหนึ่งตัวเขาเองจะได้รู้

ถึงอย่างนั้น หากมองจากสถานการณ์ตรงหน้า สำนักดาราจันทร์ก็ไม่ได้แสดงเจตนาร้ายต่อสหพันธรัฐแต่อย่างใด

“หลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น ก็ค่อยว่ากัน” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าก่อนมองลึกเข้าไปในเนินเขาก้นทะเลที่มีวิหารถ้ำที่ถูกปิดทึบไปแล้ว หลังจากหายตัว เขาก็ออกจากบริเวณพื้นที่ทะเลแถบนี้ มาโผล่อีกทีที่นอกดารานิรันดร์ของระบบสุริยะ

เขานั่งลงขัดสมาธิ พร้อมกับทอดมองไกลออกไป ก่อนจะเริ่มเตรียมการขั้นสุดท้ายสำหรับการเคลื่อนย้ายและผนึกกายอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เวลาล่วงเลยไปอย่างช้าๆ จนวันแห่งการผนึกอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์กำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

สหพันธรัฐยังอยู่ภายใต้การสั่งการของผู้นำคนใหม่อย่างมารดาของเจ้าเยี่ยเหมิง ดวงดาราทั้งหลายต่างเตรียมพร้อมรับยุคสมัยใหม่ที่มาถึง นอกจากนี้ประชาชนยังได้รับทราบเรื่องราวในช่วงนี้อีกด้วย แม้จะมีความตื่นตระหนกอยู่บ้าง แต่โดยทั่วไปก็ยังสงบสุข

ความตื่นตระหนกเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตามการมาถึงของอารยธรรมต่างดาวหนึ่งแห่ง ต่อให้จะมีการควบรวมเข้าด้วยกัน แต่ก็ยังมีผลกระทบกับสหพันธรัฐ และสิ่งแปลกใหม่แบบนี้ โดยปกติแล้วอาจถูกใช้ประโยชน์ในการยุยงโดยคนบางคนเพื่อจุดประสงค์อื่น

ไม่เพียงแต่สหพันธรัฐในตอนนี้ได้แตกต่างไปจากเดิม ผู้คนอื่นๆ ที่มีจุดมุ่งหมายต่างกันก็ไม่กล้าที่จะกระโตกกระตากมากเกินไป ด้วยเหตุนี้ แม้จะมีการก่อความวุ่นวายเล็กน้อย แต่ก็ถูกระงับไว้อย่างรวดเร็วโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหพันธรัฐ

หลายวันต่อมา…ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนดารานิรันดร์ของระบบสุริยะได้ลืมตาขึ้นพร้อมๆ กับร่างต้นแบบของเขาที่นั่งสมาธิอยู่ในดารานิรันดร์แห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ การเคลื่อนย้าย…เริ่มต้นอย่างเป็นทางการ!

เกิดเสียงอึกทึกครึกโครมภายในอาณาเขตของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ และแผ่กระจายออกจากดารานิรันดร์ โหมสะพัดไปทั่วอาณาเขตทั้งหมดของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ราวกับพายุ ทำให้ดาวพระเคราะห์ทั้งแปดที่อยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ในตอนนี้สั่นสะเทือน ซ้ำร้ายยังทำให้ผู้คนของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทั้งหมดที่อยู่บนดาวพระเคราะห์ทั้งแปดหวั่นวิตกกันไปตามๆ กัน

ทว่าความหวั่นวิตกนั้นอยู่ได้ไม่นาน ด้วยอาณาเขตทั้งหมดของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ถูกรัศมีที่สาดส่องออกมาจากดารานิรันดร์แผ่คลุมไว้อย่างสมบูรณ์ เมื่อทั่วทั้งอารยธรรมในตอนนี้กลายเป็นทะเลจรัสแสง จิตใจของทุกๆ คนจึงว่างเปล่าในทันที

มีเพียงปรมาจารย์มหาทัณฑ์เท่านั้น ที่เป็นผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์คนสุดท้ายในหมู่คนท้องถิ่นของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เขาแทบจะไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงของจักรพิภพ ในสายตาของเขา เขาเห็นสิ่งที่เรียกว่าทะเลจรัสแสงเป็นความแปรปรวนของการเคลื่อนย้าย

โดยมีอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นแกนกลาง ทะเลจรัสแสงกลายเป็นรัศมีการเคลื่อนย้ายที่ส่องแสงพร้อมกับแผ่คลุมพื้นที่ทั้งหมดนั้น หลอมรวมเข้ากับสรรพสิ่งทั้งหมดที่อยู่ภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์

“วงแหวนเคลื่อนย้ายอารยธรรม…” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ใจสั่นไหวอย่างรุนแรง เขามีชีวิตอยู่มานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นความกว้างใหญ่ของวงแหวนเคลื่อนย้ายอารยธรรมด้วยตาตัวเองโดยไม่ได้ตั้งใจ เขาหันไปมองหญิงสาวที่กำลังนั่งขัดสมาธิด้วยใบหน้าไร้อารมณ์อยู่ด้านข้างซึ่งห่างออกไปไม่ไกล

สำหรับจ้าวเยี่ยเหมิงคนนี้ ทำให้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งในขณะนี้ แม้ว่าความกวาดกลัวนี้จะเกี่ยวข้องกับการที่ถูกหวังเป่าเล่อควบคุม ทำให้ชีวิตนี้ไม่สามารถต่อต้านได้ แต่ก็เกี่ยวข้องกับวิธีการต่างๆ ของจ้าวเยี่ยเหมิงจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ด้วย

ภายในระยะเวลาสั้นๆ จ้าวเยี่ยเหมิงได้ทำการควบรวมอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่เพียงแต่แต่งตั้งให้หวังเป่าเล่อขึ้นเป็นจักรพรรดิดวงเนตรสวรรค์ ทั้งยังใช้วิธีที่เด็ดเดี่ยวมาก จนปราบปรามผู้ไม่เห็นด้วยทั้งหมดได้ ท่ามกลางการสังหารนองเลือดครั้งแล้วครั้งเล่าเหล่านั้น ส่งผลให้ผู้ฝึกตนอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ต่างพากันหวาดกลัวเกินกว่าจะพรรณนาได้

หากมีเพียงแค่นี้ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์คงไม่รู้สึกหวาดกลัว เพราะนอกจากนี้ ทางฝั่งจ้าวเยี่ยเหมิงยังได้มีการกำหนดกฎหนึ่งชุดสำหรับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ด้วย กฎนี้แม้ว่าในทางทฤษฎีจะหนีไม่พ้นปลาใหญ่กินปลาเล็ก แต่เมื่อพูดโดยรวมแล้ว สำหรับผู้ฝึกตนโดยทั่วไป ก็ยังสามารถปกป้องสิทธิและชีวิตของตัวเองได้ ถึงเป็นเช่นนั้นแม้ว่าจะจัดการดีอย่างไร แต่การเปลี่ยนผู้ที่อ่อนแอให้กลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้!

หากมองในมุมของอารยธรรมเนตรสวรรค์ก็เหมือนกับพายุห่าใหญ่ เพราะก่อนหน้านี้ได้เกิดการล่มสลายของระบบอารยธรรมเนตรสวรรค์ ทำให้ต้องมีชีวิตอยู่โดยการปล้นสะดม ราชวงศ์ไม่มีการแทรกแซงใดๆ อารยธรรมเนตรสวรรค์จึงเกิดความโกลาหล และทำให้คนจำนวนนับไม่ถ้วนเจอกับความทุกข์ยาก

ดังนั้นเมื่อกฎนี้ถูกปล่อยออกไป ผู้ฝึกตนชั้นล่างจำนวนมากก็จะได้รับเกียรติกับเขาบ้าง ทำให้พวกเขาเต็มใจที่จะผูกกฎนี้ไว้บนตัวเอง ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นก็คงต้องยอมรับ นอกจากนี้จ้าวเยี่ยเหมิงยังประกาศระบบการให้รางวัล เพื่อให้ความพยายามทั้งหมดได้รับการตอบแทนและปลอบประโลมหัวใจของผู้คน

ทั้งหมดนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งในวิธีของจ้าวเยี่ยเหมิงเท่านั้น แต่เพียงแค่นี้ก็ทำให้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ตระหนักได้แล้วว่า หากยังปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วอายุคน อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ไม่ต้องให้ใครมาคอยข่มเหงเพราะสามารถทำทุกอย่างขึ้นมาได้ด้วยตัวเอง

แต่ทั้งหมดนี้ล้วนต้องขึ้นอยู่กับฝ่ายบริหารสหพันธรัฐ สหพันธรัฐจะกลายเป็นผู้บังคับใช้กฏหมาย และกลายเป็นฝ่ายที่ได้รับความไว้วางใจจากสาธารณะชนอีกด้วย

เรื่องนี้มีทั้งด้านดีและไม่ดี ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่มั่นใจนัก ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วมองทะเลจรัสแสงที่แผ่คลุมจักรวาลของอารยธรรมทั้งหมด จนกระทั่ง…ได้เปิดใช้การเคลื่อนย้าย เพียงชั่วพริบตา ทั้งหมดที่อยู่รอบตัวเริ่มกลายเป็นความพร่ามัว!

คล้ายกับมีฝ่ามือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นข้างหนึ่งลบอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ออกจากจักรวาล วินาทีนั้นมันได้หายไปไม่เหลือให้เห็นแม้แต่เงา ดารานิรันดร์ ดาวพระเคราะห์ สิ่งมีชีวิต ล้วนหายไป

พื้นที่ที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ก่อเกิดเป็นหลุมดำหมุนวนบนพื้นที่โล่ง ดึงดูดจักรพิภพที่อยู่ห่างไกลออกไปเข้ามารอบด้าน หลังจากมันได้แทนที่สำเร็จแล้วจึงค่อยๆ นิ่งขึ้น เพียงแต่ระลอกคลื่นที่เพิ่มขึ้นภายในบริเวณนี้ กลับไม่เคยจางหายไปอีกเลย

วินาทีต่อมา อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ได้เคลื่อนย้ายมาสู่ด้านในระบบสุริยะ ขณะที่ร่างอวตารหวังเป่าเล่อลืมตา เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นโบกไปยังทั้งสองฝั่ง ระบบสุริยะพลันเกิดเสียงดังโครมคราม จักรพิภพเกิดการสั่นสะเทือน ภายในใจของทุกสรรพสิ่งสั่นคลอน และแล้วอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…ก็ได้ปรากฎขึ้นด้านในระบบสุริยะ!

อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ที่เพิ่งปรากฏขึ้นเมื่อสักครู่ไม่ได้เป็นสสาร แต่อยู่ในสถานะโปร่งแสง ดาวพระเคราะห์ทั้งแปดแบ่งแยกออกจากกันภายในจักรวาลของระบบสุริยะ โคจรรอบดวงอาทิตย์พร้อมกับดาวเคราะห์ใหญ่ทั้งแปด ฉากนี้ทำให้ผู้ที่พบเห็นทั้งหมดถึงกับตกตะลึง

ในเวลาเดียวกัน วินาทีที่การเคลื่อนย้ายเงามายาของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มาถึง ดารานิรันดร์ทั้งหมดก็อยู่ระนาบเดียวกับดวงอาทิตย์สหพันธรัฐพอดี

ทั้งสองฝ่ายผสานเข้าด้วยกันภายในชั่วพริบตาราวกับไม่ใช่ความจริง ในขณะที่กำลังทับซ้อนกัน ด้านในดวงอาทิตย์ก็เกิดเสียงดังกึกก้อง เสมือนกลืนตัวเสริมพลังเข้าไปขนานใหญ่ ภายในดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐเกิดทะเลเพลิงม้วนโหมกระหน่ำ รัศมียิ่งพุ่งขึ้นถึงขีดสุดในทันที อีกทั้งขนาดของมันยังขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว!

เสียงดังโครมครามอย่างต่อเนื่อง ด้วยปริมาตรความจุของดวงอาทิตย์ที่ขยายใหญ่ขึ้น ประกอบกับรัศมีภายในที่แผ่ขยายเป็นวงกว้าง จักรวาลที่เต็มไปด้วยอารยธรรมระบบสุริยะจึงดูราวกับถูกยืดออกไป จนขยายออกมาด้านนอก!

อาณาเขตใหญ่ขึ้น จักรพิภพกว้างขึ้น!

ท้ายที่สุดหลังจากขยายใหญ่ขึ้นสองเท่า ดารานิรันดร์ที่อยู่ด้านในระบบสุริยะโฉมใหม่ได้ปรากฏขึ้น ในที่สุดก็ผสานเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ ขนาดของมันเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า ส่วนกระบี่สำริดโบราณเล่มนั้น แต่เดิมได้ปักทะลุดวงอาทิตย์ ทว่าบัดนี้ด้วยการหลอมรวมของดารานิรันดร์ทั้งสอง กลับทำให้มันถูกดีดออกมา ในที่สุดดวงอาทิตย์ก็กลับคืนสภาพที่สมบูรณ์!

ส่วนกระบี่สำริดโบราณ มันเหมือนเป็นเรือรบลำหนึ่งที่ถูกแรงดึงดูดจากดารานิรันดร์ จนเริ่มโคจรรอบๆ เหมือนกับดวงดาราที่อยู่รอบตัว ในเวลาเดียวกัน…ที่รอบนอกมีดาวเคราะห์ทั้งหมดสิบหกดวงกระจายอยู่รอบๆ ดารานิรันดร์ ดาวเคราะห์แปดดวงได้เปลี่ยนจากภาพมายาก่อนหน้านี้ เป็นใจกลางด้านในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ได้อย่างรวดเร็ว!

การเปลี่ยนแปลงนี้ใช้ระยะเวลาสามวันเต็มๆ ภายใต้การควบคุมการหลอมรวมระหว่างร่างต้นแบบและร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ ในตอนที่เสร็จสมบูรณ์ ผู้ฝึกตนของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็รู้สึกได้ว่าท่ามกลางความกลัวก็มีความอ่อนโยนอยู่บ้าง ไหนจะมีความรู้สึกแปลกๆ ราวกับมีบางสิ่งได้เปลี่ยนแปลงไปนับตั้งแต่นี้เป็นต้นมา

แต่สำหรับสิ่งมีชีวิตที่เกิดในอารยธรรมสหพันธรัฐแห่งนี้ ล้วนแล้วแต่ยินดีต้อนรับพวกเขา ด้วยรัศมีที่ปะทุขึ้นของดารานิรันดร์ ของล้ำค่าที่จะมาฝังรากลึกในชีวิต…เป็นพรแก่ทุกสรรพสิ่ง!

……………………………………………….

หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติง แววตาค่อยๆ เผยความหนักใจออกมา ขณะจ้องมองไปยังรูปปั้นหินนั้น

แม้ใบหน้าของรูปปั้นหินจะไม่ชัดเจนจนมองไม่เห็นรูปพรรณสัณฐานที่จริงแท้ แต่ดูจากภายนอกคร่าวๆ ก็พอจะมองออกว่านี่คือผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่เป็นมนุษย์ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังลมปราณที่สั่งสมมา เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ดูโบราณเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกระบี่เล่มนั้นที่อยู่บนหลัง แม้ว่าจะทำมาจากหิน ทว่ากลับแสดงเจตนารมณ์แห่งกระบี่อันแรงกล้าออกมา ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงภัยอันตรายที่รุนแรง

ราวกับเพียงแค่เขาขยับเท้าเข้าไปใกล้ไม่กี่ก้าว ปราณกระบี่ที่อยู่ในกระบี่ศิลาก็พร้อมที่จะปะทุขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้วพุ่งตรงมาทางนี้

จุดนี้สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนจากซากสัตว์ทะเลที่อยู่รอบๆ ซึ่งไม่ทราบแน่ชัดว่าตายไปนานเพียงใด

เหตุการณ์นี้ ทำให้ดวงตาอันเงียบขรึมคู่นั้นของหวังเป่าเล่อเกิดความลังเล หากไม่จำเป็น เขาเองก็คงไม่อยากเข้าไปรบกวนการจัดวางของวิหารแห่งนี้ ท้ายที่สุดรูปปั้นหินและกระบี่ศิลานั้นดูเหมือนจะมีพลังสังหารเขาได้ด้วย

หลังจากวันเวลาล่วงเลยผ่านไป เห็นได้ชัดว่าพลังที่เหลืออยู่ได้กระจัดกระจายไปครึ่งหนึ่งแล้ว ลองนึกภาพว่าถ้าหลายปีก่อนรูปปั้นแกะสลักหินและกระบี่ศิลานี้ยังอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ไปเรื่อยๆ เกรงว่าเพียงแค่กระบี่เล่มเดียว ก็สามารถสะท้านฟ้าสะเทือนดินได้!

หากร่างต้นแบบอยู่ที่นี่ ก็ยังสามารถใช้พลังที่สั่งสมมาได้ ส่วนอีกฝ่ายมีเพียงสถานะของพลังที่เหลือในการพยายามฟันฝ่า ทว่าร่างอวตารและร่างต้นแบบมีความแตกต่างกัน เมื่อหวังเป่าเล่อเลื่อนสายตาจากรูปปั้นแกะสลักหิน ไปมองวิหารนั้นที่ปกคลุมด้วยสาหร่ายทะเล นัยน์ตาของเขาค่อยๆ เปล่งประกาย

วิหารแห่งนี้ไม่มีประตู ดังนั้นยืนจากตรงนี้ก็สามารถมองเห็นด้านในวิหารได้อย่างชัดเจนว่าไม่มีภูตผีตนใดสถิตอยู่ ซ้ำยังเป็นที่ตั้งของวงแหวนปราณสำหรับเคลื่อนย้ายหนึ่งจุดที่ยังใช้งานได้อยู่เช่นกัน ทว่ากลับแตกต่างกับวงแหวนปราณซากวาฬ ตรงที่บนวงแหวนปราณนี้มีเส้นใยที่ผสมผสานกันจนแผ่ขยายไปถึงพื้นน้ำทะเล ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลก

สิ่งที่เชื่อมโยงกันไว้ไม่ใช่สิ่งมีชีวิต แต่เป็นจุดรวมปราณวิญญาณทุกแห่งบนโลก ซึ่งมันดึงปราณวิญญาณนิดๆ หน่อยๆ จากภายในของมันออกมาอย่างต่อเนื่อง และหลอมรวมเข้ากับวงแหวนปราณ

หากหวังเป่าเล่อไม่มีแผนที่จะให้ระบบสุริยะรวมเข้ากับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หลังจากพินิจพิเคราะห์ เขาคงเลือกที่จะเมินเฉยต่อการจัดวางของที่นี่แล้วเลือกที่จะจากไป ทว่าตอนนี้กลับทำเช่นนั้นไม่ได้แล้ว

เมื่อได้วิเคราะห์และประเมินผล หลังจากที่ระบบสุริยะรวมเข้ากับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ จะมีปราณวิญญาณขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นมากอย่างรวดเร็ว วงแหวนปราณของที่นี่จะสูบปราณวิญญาณเข้ามามากเกินกว่าจะบรรยายได้ในตอนนี้ ถึงเวลานั้น…หวังเป่าเล่อก็ไม่กล้าเสี่ยงว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น

นี่เป็นเหตุผลที่เขาปิดผนึกจุดค้นพบทั้งหลายแห่งบนโลกในคราวนี้ ดังนั้นหลังจากตั้งสติ หวังเป่าเล่อจึงนวดคลึงหว่างคิ้วแล้วคารวะไปทางฝั่งรูปปั้นหินแกะสลัก

“ท่านผู้ฝึกตน ข้าไม่ทราบว่าแท้จริงแล้วที่แห่งนี้จะเป็นสิ่งดีๆ หรือสิ่งชั่วร้ายต่อสหพันธรัฐของข้า เพื่อป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้น จึงได้ปิดผนึกวงแหวนปราณ ตัดการเกี่ยวข้องกับโลกภายนอกอย่างห้ามใจไม่ไหว ท่านผู้อาวุโสโปรดอภัยให้ข้าด้วย” ระหว่างที่พูด หวังเป่าเล่อจึงยกเท้าก้าวไปข้างหน้า ก้าวที่หนึ่ง ก้าวที่สอง…

ทว่าวินาทีที่ก้าวที่สามกำลังจะแตะลงบนพื้น กระบี่ศิลาที่อยู่บนหลังของรูปปั้นแกะสลักหินพลันเกิดเสียงดังกระหึ่ม ปราณกระบี่ระเบิดออกทันที กลายเป็นสายธารสีรุ้งพุ่งตรงเข้าใส่หวังเป่าเล่อจนเกิดเสียงดังฉวัดเฉวียนตามมา

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงถอยหลังออกไปถึงเจ็ดก้าวภายในรวดเดียว หลังจากออกจากเขตต้องห้ามของวิหารแล้ว ปราณกระบี่เล่มนั้นดูเหมือนจะไม่สามารถระงับเจตนาสังหารได้ ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะถอยออกไปไกลเพียงใด ปราณชั่วร้ายก็ยังคงไล่ตามมาอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าต่อให้จะไกลสุดขอบฟ้าก็จะต้องฆ่าเขาให้ได้ เมื่อเห็นว่ากำลังจะมาถึงตรงหน้าหวังเป่าเล่อ แววตาเขากลับฉายความเยือกเย็นออกมา

“ดูเหมือนจะเป็นสิ่งชั่วร้ายแล้วล่ะ!” ขณะที่พูด หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นกะทันหัน วินาทีนั้นคันธนูขนาดมหึมาพลันปรากฎขึ้นกลางฝ่ามือของเขา ครั้นเอาคันธนูออกมา ก้นทะเลพลันเกิดเสียงดังสนั่น ระบบสุริยะยังสั่นสะเทือนไปทั่ว ดวงอาทิตย์เริ่มมืดมัว ตัวแม่นางน้อยที่สวมหน้ากากที่กำลังรำลึกความหลังกับปรมาจารย์จักรพิภพผู้นั้นอยู่บนกระบี่สำริดโบราณก็สีหน้าแปรเปลี่ยน จ้องมองมายังทิศทางของโลกเป็นตาเดียวกัน

“นั่นมัน…”

“คันธนูจักรพิภพ!” นัยน์ตาแม่นางน้อยเผยความเครียดขรึมออกมาขณะเอ่ยออกมาเบาๆ ที่ก้นทะเลลึกใต้พิภพตรงข้ามกับรูปปั้นหินของวิหาร หวังเป่าเล่อง้างสายธนูด้วยมือขวา พร้อมคำรามออกมา พลังบ่มเพาะทั่วทั้งร่างกายปะทุออกมาเต็มที่ เก้าดาวเคราะห์บรรพกาลที่อยู่ด้านหลังเกิดส่องแสงเจิดจ้า ดาวเคราะห์เต๋าที่ก่อตัวขึ้นก็เกิดเปล่งประกาย ภายใต้การหลอมรวมของพลังบ่มเพาะทั้งหมด ท้ายที่สุดหวังเป่าเล่อจึงได้ง้างสายธนูออก!

แม้จะไม่ใช่พระจันทร์เต็มดวง แต่ก็ง้างออกได้ประมาณเจ็ดในสิบส่วน ส่วนอัญมณีที่มีลักษณะคล้ายดารานิรันดร์ที่ฝังอยู่บนคันธนูนั้นก็จรัสแสงอย่างรวดเร็วเช่นกัน หนึ่งเม็ดในนั้น…สว่างไสวขึ้นทันตา!

แม้ว่าจะไม่ได้สว่างไสวไปเสียทั้งหมด แต่มันก็ยังเปล่งแสงอ่อนๆ ทำให้รอบตัวหวังเป่าเล่อสาดซัดเปลวเพลิงแห่งดารานิรันดร์ออกมา ต้นกำเนิดของเปลวเพลิงนี้ก็คือคันธนูนี้!

เป็นอย่างที่แม่นางน้อยได้พูดไว้ คันธนูคันนี้…เป็นคันธนูจักรพิภพจำลองคันนั้นที่หวังเป่าเล่อพบในแหวนคลังเวทที่ใส่ขวดจิ๋วลึกลับและกระดาษรูปมนุษย์ไว้ด้วยกัน!

แม้จะเป็นของจำลอง แต่อานุภาพของมันก็ยังสะเทือนฟ้าสะเทือนดินได้ ต่อให้เป็นหวังเป่าเล่อในตอนนี้ ก็อาจประสบความสำเร็จได้เพียงครั้งเดียว คือตอนที่อยู่ในสถานะทรงพลังที่สุดภายใต้การรวมกับร่างต้นแบบ

ร่างอวตารในตอนนี้ทำได้เพียงเจ็ดในสิบส่วนเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น…แรงกดดันที่แผ่กระจายออกมา ก็ทำให้ปราณกระบี่ที่ลอยเข้ามาใกล้หยุดชะงักลงตรงหน้าหวังเป่าเล่ออย่างฉับพลัน ราวกับกำลังลังเล

“ข้าแค่กำจัดพลังที่กระจัดกระจายออกมารอบนอกวงแหวนปราณเท่านั้น เพื่อไม่ให้วงแหวนปราณเปิดใช้งานอยู่ตลอดเวลา ไม่ทำอะไรอย่างอื่นหรอก!”

หวังเป่าเล่อจ้องมองไปที่สายธารสีรุ้งที่กลายเป็นปราณกระบี่ แต่ยังไม่ปล่อยสายธนู ความดุดันในตาได้สะท้อนความมุ่งมั่นตั้งใจของเขา ไม่กี่อึดใจต่อมา สารธารสีรุ้งพลันหันกลับแล้วพุ่งตรงไปยังกระบี่ศิลา ความกดดันที่แผ่ออกมาจากกระบี่ก็หายไปเช่นกัน

แม้ปราณกระบี่จะหายไป ทว่าหวังเป่าเล่อยังไม่อาจมองข้ามได้ เขายังคงถือธนูแล้วเดินไปยังรูปปั้นหินทีละก้าว เมื่อเขาเข้าใกล้ รูปปั้นหินยังคงไม่ขยับเขยื้อน จนหวังเป่าเล่อก้าวเข้าไปในวิหาร รูปปั้นหินก็ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่มัวรีรอ ก่อนจะยกเท้าขวาไปทางวงแหวนปราณแล้วกระทืบเท้าลงอย่างแรง ทำให้เกิดเสียงอึกทึกดังกึกก้องในระหว่างพลังบ่มเพาะทำงาน วงแหวนปราณของวิหารพังทลายลงทันใด เส้นใยเหล่านั้นที่หลุดออกมาทั้งหมดก็ขาดไปในเวลาเดียวกัน หลังจากตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่า หวังเป่าเล่อจึงค่อยออกจากบริเวณวิหาร เขาไม่ได้ปล่อยคันธนูจักรพิภพไปจนกระทั่งถอยห่างออกไปหลายร้อยจั้ง

เขาลังเลที่จะใช้คันธนูนี้อยู่ไม่น้อย เขายิงมันออกมาแค่ครั้งเดียวก็ทำให้ตัวเองอ่อนแอลงมาก ดังนั้นหากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายหรือไม่มีตัวเลือกอื่น เขาก็ไม่เต็มใจที่จะยิงมัน

ตอนนี้เขาก็สามารถแก้ไขปัญหาให้สงบลงได้ แม้จะไม่ได้ทำลายวิหารเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาในภายภาคหน้า ทว่าผลที่ได้ก็เป็นไปตามที่เขาต้องการ ดังนั้นก่อนหวังเป่าเล่อจะจากไป เขามองย้อนกลับไปที่วิหารด้วยสายตาอันล้ำลึก แล้วหันหลังหายตัวลาจากไป

เขามาโผล่อีกทีที่นอกจุดค้นพบแห่งสุดท้ายของก้นทะเล จุดค้นพบแห่งนี้เป็นเนินเขาที่มีประตูหิน ขณะมองดูอักขระบนประตูหินซึ่งหมายถึงทะเลมหานคร ดวงตาของหวังเป่าก็ค่อยๆ หรี่ลง

แต่ทว่ามันต่างไปจากที่เขาคิด หรือประจันหน้ากับรูปปั้นหินและกระบี่ศิลานอกวิหารก่อนหน้านี้ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นบนภูเขาของทะเลมหานครแห่งนี้ด้วย เมื่อหวังเป่าเล่อปรากฎกายอยู่ที่หน้าเนินเขา ประตูหินบนนั้นพลันเปิดออกด้วยตัวเอง!

ร่างร่างหนึ่งเดินออกมาจากในโถงประตูหน้าที่เปิดออก!

ครั้นหวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนที่เดินออกมาไม่ใช่มนุษย์จริงๆ เขาดูเหมือนชายชราในชุดคลุมสีเขียว แต่แท้ที่จริงเขาเป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่งที่ทำจากไม้

หุ่นเชิดนั้นถือของสองชิ้นไว้ในมือ อันหนึ่งเป็นแผ่นหยกโบราณธรรมดา ส่วนอีกอันเป็นถาดวงแหวนปราณ ด้วยความระแวงระวังของหวังเป่าเล่อ หุ่นเชิดจึงวางของสิ่งชิ้นนั้นไว้ตรงหน้าของเขา แล้วหันกลับไปในโถงประตูหน้าพร้อมสะบัดมือ โถงประตูหน้าที่อยู่บนเนินเขาโปร่งใสทันใด ทำให้หวังเป่าเล่อมองเห็นทุกสิ่งที่อยู่ในนั้น

น่าประหลาดใจที่เนินเขานี้เป็นวิหารในถ้ำ ด้านในแทบจะไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากโต๊ะเก้าอี้หินเท่านั้น อีกอย่างหนึ่งก็คือแท่นสังเวยที่ด้านบนว่างเปล่า เมื่อพิจารณาจากตำแหน่งของแท่นสังเวยแล้วนั้น ก็เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างถูกตั้งอยู่บนแท่นสังเวย

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง หลังจากไตร่ตรองและมองไปยังถาดวงแหวนปราณที่หุ่นเชิดส่งมาให้ คำตอบได้กระจ่างชัดในตัวมันเอง เพราะถาดวงแหวนปราณนี้ควรตั้งอยู่บนแท่นสังเวย อีกทั้งอีกฝ่ายได้บอกเขาด้วยตัวเองอย่างตรงไปตรงมาว่าในวิหารถ้ำไม่มีวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายแล้ว

เรื่องนี้ช่างน่าพิศวงเสียจริง หลังจากหุ่นเชิดทำให้โถงประตูหน้าโปร่งใส มันจึงคารวะให้แก่หวังเป่าเล่อ ก่อนเดินเข้าไปในโถงประตูหน้า ต่อมาเนินเขานั้นก็ค่อยๆ กลับมาทึบอีกครั้ง

หลังจากมองดูทั้งหมดนี้ หวังเป่าเล่อจึงนิ่งเงียบอยู่นาน ก่อนจะยกมือขวาขึ้นสะบัด แผ่นหยกและถาดวงแหวนปราณก็มาอยู่ในมือ เขากวาดดูถาดวงแหวนปราณก่อน ทันใดนั้นรัศมีหลายร้อยจุดก็ปรากฏขึ้นในสมองของเขา รัศมีเหล่านี้ครอบคลุมไปทั่วโลก และทุกแห่งเป็นวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายทั้งสิ้น

เพียงแต่ว่าตอนนี้ รัศมีส่วนใหญ่ล้วนส่องแสงริบหรี่ราวกับจะสูญเสียประสิทธิภาพไป อีกทั้งถาดวงแหวนปราณก็ดูเหมือนจะเป็นแกนหลักในการควบคุมวงแหวนปราณเหล่านี้ด้วย

“มอบของพวกนี้ให้กับข้าเหรอ?” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วพลางมองดูแผ่นหยกอีกครั้ง ขณะที่ดวงจิตของเขากวาดมองเพื่อตรวจสอบ บันทึกประวัติศาสตร์ท่อนหนึ่งพลันปรากฏขึ้นในใจของเขา!

……………………………………………….

“ซากวาฬ วิหาร ทะเลมหานคร?” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ยามหวนนึกถึงตำนานบนโลกทั้งหมดที่ตนรู้จัก แม้จะมีการดำรงชีวิตคล้ายกัน ครั้นนำมาเทียบเคียงกันแล้วเขาก็มั่นใจได้ว่าในตำนานเหล่านั้นไม่มีการบันทึกเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้

ไม่เพียงแต่สหพันธรัฐที่ไม่มีการบันทึกเอาไว้ แม้กระทั่งตำนานที่สืบทอดมาช้านานก็ไม่มีเช่นกัน

“ชักน่าสนใจแล้วสิ…” หวังเป่าเล่อพึมพำก่อนร่างจะหายวับไปทันที แล้วมาโผล่ที่บริเวณใต้ท้องทะเลลึกที่มีซากวาฬอยู่ การมองเห็นของเขาพลันมืดมน กลิ่นอายแห่งความตายลอยวนท้องทะเลบริเวณนี้ ประหนึ่งอัดแน่นด้วยพลังกัดกร่อนที่น่าพิศวง

ไม่เพียงแต่สัตว์ทะเลที่ไม่อาจเข้าใกล้ได้ หวังเป่าเล่อที่อยู่ที่นี่ก็รู้สึกอึดอัดไม่น้อยเช่นกัน ถึงจะรู้ว่าตอนนี้เขาคือร่างอวตาร ทว่าก็ยังอยู่ในระดับของดาวพระเคราะห์ เนื่องจากมีดาวเคราะห์เต๋าอยู่ แม้กระบวนท่าสารัตถะของเขาอาจจะมีพลังการต่อสู้ไม่ดีเท่าร่างต้นแบบ แต่ก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไรนัก

แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับระดับดาวพระเคราะห์ชั้นปลายที่ต่ำกว่าดาวเคราะห์อมตะ เขาก็สู้ได้ ถึงกระนั้นเมื่อมาอยู่ที่นี่เขากลับตระหนักได้อย่างแจ่มชัดว่าหากไม่ใช้วิธีการบางอย่าง เกรงว่าหากอยู่ที่นี่เป็นเวลานานร่างต้นแบบจะได้รับความเสียหาย

ดังนั้นแม้ที่นี่จะมีความพิศวง แต่กลับมาพร้อมกับพลังอันน่าอัศจรรย์ หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ต่อให้เป็นดาวพระเคราะห์เหมือนๆ กัน ถ้ายังมัวลังเลอยู่แบบนี้ เห็นทีอาจจะพบจุดจบอยู่ที่นี่อย่างน่าคับแค้นใจ

“ซากวาฬ…” หวังเป่าเล่อดวงตาทอแสงวาววับ เก้าดาวเคราะห์บรรพกาลที่อยู่ด้านหลังพลันแปรเปลี่ยนเป็นดาวเคราะห์เต๋า ส่งผลให้แสงเจิดจ้าของดวงดาราอาบไล้อยู่รอบตัวทันที ประหนึ่งคบเพลิงในยามรัตติกาลก็มิปาน วินาทีนั้นท้องทะเลลึกอันมืดสงัดสว่างเรืองรองขึ้นมาทันตา ในเวลาเดียวกันแสงเจิดจ้าจากดวงดาราบนร่างกายก็กระจายสาดส่องทั่วทั้งสี่ทิศ ทำให้หวังเป่าเล่อพิศดูรายละเอียดโครงกระดูกซากวาฬที่อยู่ด้านล่างได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น!

กระดูกที่เผยให้เห็นทั้งหมดถูกสลักด้วยอักขระ ขณะเดียวกันก็ยังมีแมลงจำนวนมากที่กำลังหลับอยู่ในเนื้อหนังเน่าๆ แมลงแต่ละตัวพวกนั้นดูเหมือนเกิดขึ้นจากกลิ่นอายแห่งความตาย จำนวนของมันมากเสียจน…น่าตกใจพอสมควร

สถานการณ์นี้แทบจะทำให้ดาวพระเคราะห์ส่วนใหญ่สั่นคลอน แม้แต่อัจฉริยะแห่งดาวพระเคราะห์ที่มีกฎหลอมรวมวิญญาณดวงดาราพิเศษ หากมาอยู่ที่นี่ใบหน้าย่อมถอดสีแน่นอน ปฏิกิริยาแรกคือล่าถอยออกจากไป แล้วค่อยมาชั่งน้ำหนักอีกครั้งหลังจากวางแผน

สำหรับหวังเป่าเล่อ มันทำให้สีหน้าของเขาแปลกไปเล็กน้อย แม้ว่าดวงตาจะหรี่ลง แต่ดาวสีดำดวงหนึ่งในเก้าดาวเคราะห์บรรพกาลในเวลานี้กลับแผ่รัศมีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลบรัศมีของดาวเคราะห์บรรพกาลดวงอื่น ภายใต้การอำนาจการสั่งการดาวเคราะห์เต๋า ด้านหลังของหวังเป่าเล่อพลันเปล่งแสงออกมา

คำสั่งที่ซ่อนอยู่ของดาวเคราะห์บรรพกาลสีดำดวงนี้คือความตาย!

ขณะเดียวกัน ในฐานะที่หวังเป่าเล่อคือบุตรแห่งความมืด พลังเทพที่อยู่ในตัวทำให้เขาไม่หวั่นเกรงต่อภูตผีปีศาจตนใด ด้วยสองสิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อยังสามารถมองข้ามกลิ่นอายแห่งความตายทั้งหมดได้อยู่ หลังจากกวาดตามองชั่วครู่ ร่างของเขาพลันพุ่งเข้าหาซากวาฬโดยไม่ลังเล จากนั้นจึงปรี่เข้าไปในช่องว่างระหว่างซี่โครงบนร่างซากวาฬ

ภายในร่างกายของซากวาฬมีของครอบจักรวาล อย่างเช่นเรือรบชีวภาพหนึ่งลำ ในระหว่างขั้นตอนการค้นหาของหวังเป่าเล่อ เขามองเห็นห้องโดยสารหลายๆ ห้อง ด้วยกาลเวลาที่ล่วงเลยไป ส่วนใหญ่จึงทรุดโทรม ภายในห้องโดยสารเหล่านี้เขายังได้พบศพด้วย!

มีศพอยู่มากมาย เกรงว่าจะมีอีกเป็นพันๆ ศพ แม้ร่างกายจะเน่าเปื่อยไปตามกาลเวลาจนไม่อาจมองเห็นสภาพที่สมบูรณ์ได้ แต่โดยทั่วไปก็สามารถมองเห็นได้ว่าพวกมัน…ไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่เป็นมนุษย์

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเข้าหากัน อ้างอิงตามคำพูดของหลินโยว ถ้าสำนักดาราจันทร์ได้เดินทางออกจากโลก เช่นนั้นก็ควรจะเป็นร่างมนุษย์ถึงจะถูก ทว่าที่นี่กลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น หลังจากหวังเป่าเล่อตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ก็ได้หยุดอยู่ในห้องโดยสารแห่งหนึ่ง เขาก้มมองซากศพหนึ่งที่อยู่บนพื้น ครั้นจ้องมองอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงหยุดครุ่นคิด

“ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ ดูเหมือนว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ภายในวาฬนี้ได้ตายอย่างเฉียบพลัน…หรืออาจจะหมดแรงต่อต้านกะทันหัน?” ระหว่างที่หวังเล่อเป่ากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ ดวงตาก็โชนแสงวูบหนึ่ง พลังบ่มเพาะที่ผันผวนภายในกายปะทุออกแล้วแผ่ซ่านไปรอบๆ ทันที มีเส้นโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนผุดอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา วินาทีที่มันปรากฏขึ้นมาก็ได้ห่อหุ้มร่างกายเขาไว้อย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม กลับสัมผัสได้ถึงพลังบ่มเพาะที่ผันผวนซึ่งแผ่ซ่านอยู่รอบกายของหวังเป่าเล่อ ท่ามกลางการปะทะที่มองไม่เห็น ยังมีเสียงห้ำหั่นดังอย่างต่อเนื่อง

จากนั้นเส้นโลหิตก็ผุดขึ้นมาจากในตัวของซากวาฬมากยิ่งขึ้น ซ้ำยังพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่ออย่างบ้าคลั่ง ราวกับจะกลืนกินเขาเข้าไป ด้วยประสาทสัมผัสของหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกได้ถึงด้านในของเส้นโลหิตที่แปลกประหลาดเหล่านั้น ราวกับประกอบด้วยพลังเทพที่สามารถกักขังชีวิตไว้ได้ หากโดนสัมผัสเข้าเมื่อใดก็จะสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวทั้งหมด

“กระจอก!” หวังเป่าเล่อส่งเสียงเยาะเย้ย พลางยกมือขวาขึ้นโดยไม่สนใจต่อเส้นโลหิตผุดออกมาอย่างบ้าคลั่ง แล้วคว้ามันไว้ทันที จู่ๆ กฎโลหิตก็ทำการก่อตัวเป็นวงแหวนโลหิต ไหลบ่าไปทั่วบริเวณ เส้นโลหิตเหล่านั้นที่กระจายออกมาพลันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง สถานการณ์ราวกับพลิกผัน จบลงด้วยสัญญาณการล่าถอยที่เกิดขึ้น ทว่าระหว่างที่หวังเป่าเล่อกำลังเย้ยหยัน ดูเหมือนว่าพวกมันโดนสะกดเอาไว้ทำให้พุ่งเข้ามารวมตัวกันที่หวังเป่าเล่ออีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันรวมกันอยู่บนฝ่ามือของเขา

เพียงพริบตาเดียว เส้นโลหิตทั้งหมดที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดจึงหลอมรวมเป็นลิ่มเลือดอยู่บนฝ่ามือของหวังเป่าเล่อ ระหว่างที่ลิ่มเลือดกำลังดิ้นอยู่ มันได้กลายเป็นวายร้ายตัวจิ๋วในร่างคน ซ้ำยังดิ้นรนอย่างต่อเนื่องขณะแผดเสียงคำรามอันไร้ค่าใส่หวังเป่าเล่อ ราวกับต้องการโจมตีวิญญาณเทพ

“วิญญาณวุธ?” ผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวทอย่างหวังเป่าเล่อมองแค่ปราดเดียวก็รู้ที่มาของวายร้ายตัวจิ๋วนี้แล้ว บัดนี้เขาจับวายร้ายตัวจิ๋วสีเลือดด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายกดไปที่ผนังด้านในของซากวาฬพร้อมเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“กล้าไม่เบานี่ วิญญาณที่ดับสูญและศพที่สิ้นชีพล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า!”

“จงตื่น!”

ขณะที่เสียงของหวังเป่าเล่อได้เปล่งออกไป ด้วยการกระจายกําลังคำสั่งของดาวเคราะห์บรรพกาลสีดำ ร่างของซากวาฬที่ตั้งตระหง่านพลันสั่นท้าน พลังแปลกประหลาดจึงแผ่ขยายไปทั่วทั้งร่างของวาฬ ทำให้หลุมดำในดวงตาที่เน่าเปื่อยของมันบังเกิดไฟโลกันตร์โชติช่วง ร่างกายของมันกำลังสั่นระริก เสมือนกลับมามีชีวิตอีกครั้ง!

แม้ว่าร่างครึ่งหนึ่งจะถูกฝังอยู่ใต้โคลน แต่ด้วยชีวิตที่โยนให้ ร่างกายของมันจึงสั่นไหวอย่างรุนแรง ท่ามกลางเสียงดังก้องกังวาล ระหว่างที่หางและครีบของมันกวัดแกว่งไปมา ร่างกายส่วนอื่นๆ ก็ดิ้นไปมาจนหลุดออกจากโคลน เผยให้เห็นใต้ท้องของมันที่มีเส้นโลหิตโยงใยกันนับไม่ถ้วน!

อีกทั้งส่วนปลายอีกด้านหนึ่งของเส้นโลหิต…ด้านล่างสุดของโคลนที่เผยให้เห็นหลุมลึก กลับมีวงแหวนปราณขนาดมหึมาอยู่!

เส้นโลหิตที่อยู่บนวงแหวนปราณเชื่อมต่อกับซากวาฬ ซ้ำยังเชื่อมโยงเข้ากับวายร้ายสีเลือดที่อยู่ในมือของหวังเป่าเล่อ เหตุการณ์นี้ทำให้วายร้ายตัวจิ๋วที่กำลังดิ้นไปมาและแผดเสียงคำรามเงียบลงไป จากนั้นก็ตัวสั่นขึ้นมา ยามที่หันมองหวังเป่าเล่อสายตาพลันฉาบความตื่นกลัวอย่างไม่อาจควบคุมได้

หวังเป่าเล่อไม่ใยดีความหวาดกลัวของวายร้ายตัวจิ๋ว เขาหายตัวมาโผล่ตรงด้านนอกของซากวาฬ เขาก้มหน้ามองวงแหวนปราณที่อยู่ในโคลนตมก้นทะเล รับรู้ได้ว่าวงแหวนปราณนี้ล้วนมีไว้เคลื่อนย้ายเหมือนกับวงแหวนปราณที่อยู่ในจุดค้นพบทั้งหมดที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ทุกประการ ขณะเดียวกันก็มองออกถึงความแตกต่างของมันด้วย

วงแหวนปราณของจุดค้นพบแห่งอื่นล้วนถูกทิ้งร้าง แม้ว่าจะมีความผันผวนซ่อนอยู่ แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคลุมเครือ เห็นได้ชัดว่ามีอยู่มานานเกินไป หากไม่มีการเพิ่มพลังงานสักหน่อยก็จะไม่สามารถเปิดได้ตลอดเวลา เฉกเช่นแบตเตอรี่ที่อยู่ในสถานะไฟอ่อนกำลัง

ทว่าวงแหวนปราณที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น มันเปิดใช้งานด้วยสถานะไฟเต็มเปี่ยม ทั้งหมดนี้พลันทำให้หวังเป่าเล่อพอจะคาดเดาคำตอบได้ลางๆ ซากวาฬนั้นเป็นเรือรบชีวภาพ และไม่ใช่ของสำนักดาราจันทร์ แต่อาจจะโดนสำนักนี้หรือด้วยเหตุผลอื่น สะกดให้ติดกับวงแหวนปราณเพื่อเสริมพลังให้กับวงแหวนปราณนี้

ด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้วงแหวนปราณแห่งนี้ ยังคงอยู่ในสถานะที่สามารถเปิดใช้งานได้ตลอดเวลา แม้จะผลิตวิญญาณวุธทั้งหมด หรือจะเรียกมันว่าวิญญาณวงแหวนคงจะเหมาะสมยิ่งกว่า

ขณะที่หวังเป่าเล่อคาดเดาทุกอย่างนี้อยู่ในใจ วงแหวนปราณนั้นก็เริ่มส่องแสงสว่าง ราวกับว่าภายใต้การปลุกเร้านี้จะทำให้วงแหวนคลื่อนย้ายเปิดใช้งานได้ด้วยตัวมันเอง

ดวงตาของหวังเป่าเล่อวาววับ วินาทีที่รัศมีวงแหวนปราณยังคงส่องสว่างอย่างต่อเนื่อง เท้าขวาของเขาจึงหวดไปกลางอากาศอย่างรุนแรงด้วยเสียงที่ดังสนั่น วงแหวนปราณนั้นเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงโพล้งเพล้งแตกร้าวออกมาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แสงที่ส่องสว่างอยู่นั้นจึงค่อยๆ ริบหรี่

วายร้ายจิ๋วสีเลือดที่อยู่ในมือแผดเสียงกรีดร้องออกมาอย่างน่าอนาถ หลังจากถูกหวังเป่าเล่อปิดผนึก เขาก็เก็บมันและซากวาฬเอาไว้เพื่อไม่ให้เป็นการสูญเปล่า เขาหายตัวออกจากพื้นที่ทะเลแห่งนี้ แล้วมาโผล่ที่ก้นทะเลอีกแห่งหนึ่งแล้ว ด้านหน้าของเขาเต็มไปด้วยสาหร่าย ซ้ำยังมีรูปปั้นหินถือกระบี่ศิลาที่ปรากฏอยู่ข้างหน้า…วิหาร!

วินาทีที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้น ร่างของหินแกะสลักนั้นสั่นเล็กน้อย ปราณกระบี่ของกระบี่ศิลาที่อยู่ด้านหลังพลันกระโจนขึ้นมาแล้วตวัดมาที่หวังเป่าเล่อ!

……………………………………………….

การมาเยือนในคราวนี้ใช้เวลาเพียงไม่นาน ในที่สุดหวังเป่าเล่อจึงเดินทางออกจากบ้านพักของหัวหน้าเสนาบดีโดยมีหัวหน้าเสนาบดีเดินออกมาส่งด้วยตนเอง เวลานี้ด้านนอกเป็นช่วงกลางดึกแล้ว ขณะแหงนหน้ามองดวงจันทร์สว่างกระจ่างกลางท้องนภาก็รู้สึกได้ถึงลมอ่อนๆ พัดมากระทบใบหน้า หวังเป่าเล่อย่ำก้าวบนท้องถนนด้วยอารมณ์ความรู้สึกซับซ้อนที่ฉายชัดอยู่บนใบหน้า

ไม่ได้มีแค่เขาเพียงคนเดียวบนท้องถนน เพราะยังสามารถมองเห็นคนสองสามคนที่เดินผ่านหน้าเขาไป ทว่าทุกคนที่ผ่านไปดูเหมือนจะไม่เห็นหวังเป่าเล่ออยู่ในสายตาพวกเขาเลย นี่ทำให้เขามาที่นี่อย่างกะทันหัน ในขณะเดียวกันมันก็คลุมเครือเหมือนกับความรู้สึกของเขาที่กำลังดำดิ่ง

เขาคิดถึงเจ้าเยี่ยเหมิง เขาคิดถึงโจวเสี่ยวหยา

เขาได้ทราบเรื่องการหายตัวไปของหลี่หว่านเอ๋อร์จากหัวหน้าเสนาบดีแล้ว เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุบางอย่างทำให้ท้ายที่สุดอีกฝ่ายจึงไม่ได้เข้าร่วมภารกิจนกนางแอ่นดำ เรื่องนี้ทำให้หลี่หว่านเอ๋อร์กล่าวโทษตนเองและรู้สึกไม่เต็มใจอย่างยิ่งยวด ด้วยเหตุนี้…นางจึงสามารถเข้าถึงความลับบางอย่างของสหพันธรัฐได้ และเดินทางไปยังจุดค้นพบบางอย่างที่อยู่บนดาวโลก

ในที่สุดนางจึงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

หลังจากที่ทราบเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ หวังเป่าเล่อก็ย้อนนึกถึงฉากแต่ละฉากของสุสานดวงดารา จึงได้รับหลักฐานเพิ่มเติมในการคาดเดาของตนเองมากขึ้น เงาหญิงสวมหน้ากากที่ฝังลึกอยู่ภายในใจ ได้ซ้อนทับกับร่างกายของหลี่หว่านเอ๋อร์ที่เขาคุ้นเคยอย่างสมบูรณ์

“ทำไมเจ้าไม่บอกข้า? เป็นเพราะมีอะไรที่พูดไม่ได้หรือเป็นเพราะไม่เต็มใจจะพูดกันแน่?” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า ข่มความรู้สึกที่อยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจ เขารู้สึกได้ว่าไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร อนาคตข้างหน้าในจักรวาลนี้พวกเขาย่อมได้เจอกันอีกแน่นอน หลังจากที่หวังเป่าเล่อครุ่นคิดมาก่อนแล้ว เพื่อให้หัวหน้าเสนาบดีสบายใจ เขาจึงบอกเรื่องเกี่ยวกับหลี่หว่านเอ๋อร์ให้กับอีกฝ่าย

ในเวลาเดียวกันหวังเป่าเล่อก็ได้ทราบจากหัวหน้าเสนาบดีว่าภายในภารกิจนกนางแอ่นดำ ไม่ได้มีแค่กงเต๋าที่ไม่ได้กลับมา ทว่ายังมีหลี่อู๋เฉินที่ยังไม่กลับมาจนถึงวันนี้ด้วย

อย่างไรก็ตาม เหมือนกับไฟแห่งชีวิตของกงเต๋ายังไม่มอดดับ ดังนั้นจึงทึกทักได้ง่ายๆ ว่าคงไม่ได้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงจนถึงแก่ชีวิต แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะอาลัยอาวรณ์ แต่เขารู้ว่าตั้งแต่เขาก้าวเท้าลงบนเส้นทางแห่งการฝึกตน ก็ทำได้เพียงอวยพรให้ทุกคนโชคดี

“ส่วนจุดค้นพบเหล่านั้น…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เรื่องนี้มีอันตรายซ่อนอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักดาราจันทร์และโลกไม่มีความแน่นอน แต่ไม่ว่าอย่างไรฝ่ายตรงข้ามก็ทรงพลัง เมื่อเทียบกับสหพันธรัฐในปัจจุบันก็ยังอ่อนแอเกินกว่าจะหาสิ่งใดมาเทียบ ส่งผลให้ความแข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันเป็นอย่างมาก

ด้วยความเหลี่ยมล้ำเช่นนี้ส่งผลให้สหพันธรัฐไม่มีข้อได้เปรียบแต่อย่างใด

“หากเป็นเช่นนี้…ปิดผนึกจุดค้นพบเหล่านั้นน่าจะดีกว่า!” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อทอแสงวาววับ ก่อนจะหลับตาลงอย่างช้าๆ ดวงจิตจึงแผ่ขยายออกไปปกคลุมทั่วทั้งโลกเพื่อเสาะหาจุดค้นพบทั้งหมด

ด้วยการแผ่ขยายของดวงจิต ทุกสรรพสิ่งบนโลกพลันกระจ่างชัดภายในจิตใจของเขาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เขามองเห็นแสงไฟนับหมื่นดาษดื่นตามบ้านที่มาจากเมืองต่างๆ รวมทั้งความทุกข์ความสุขของการอยู่ร่วมกันจนลาจากที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตนานาพันธุ์ในเวลานี้

ภาพของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในช่วงเวลาหนึ่งแสดงถึงชีวิตที่แตกต่างกัน ทำให้หวังเป่าเล่อได้ดื่มด่ำล้ำลึกไปกับความรู้สึกที่กำลังสั่นไหวอยู่ภายในใจของเขา ต่อมาเขามองเห็นดินแดนรกร้างไร้ที่สิ้นสุด นั่นเคยเป็นแหล่งรวมตัวของอสูรร้าย ทว่าตอนนี้เขากลับมองว่าไม่ได้มีอสูรร้ายมากมายเท่าไรนัก

แม้ว่าจะมีอยู่บ้าง แต่เพราะอยู่ภายใต้การปราบปรามในช่วงระยะเวลาหลายปีมานี้ มันค่อยๆ เปลี่ยนนิสัย กลายเป็นสิ่งที่ไม่เป็นอันตราย เพราะมีแค่วิธีนี้เท่านั้นพวกมันจึงจะอยู่รอดต่อไปได้

นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังมองเห็นท้องทะเลอันกว้างใหญ่และก้นทะเลอันลึกลับ ขณะที่มองพื้นที่กว้างไกลทอดยาวสุดสายตา สัตว์ทะเลขนาดมหึมาที่อยู่ก้นทะเลเหล่านั้นต่างพากันสั่นสะท้าน ในยามที่ดวงจิตของหวังเป่าเล่อกวาดมองไปรอบๆ

“ไม่มีความลับอะไรเลย” หวังเป่าเล่อบ่นพึมพำ ขณะที่เห็นปราณวิญญาณค่อยๆ แพร่พันธุ์ไปทั่วโลก

ปราณวิญญาณเหล่านี้แม้ว่าจะอ่อนแอ ทว่ากลับกระจายออกไปอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ยุคกำเนิดวิญญาณจวบจนตอนนี้ ปราณวิญญาณของโลกไม่ได้มาจากเศษชิ้นส่วนของกระบี่สำริดโบราณไปเสียทั้งหมด แต่ค่อยๆ หลอมรวมตัวเองไปตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่มันอยู่อย่างต่อเนื่อง

เป็นไปได้ว่าต่อให้ไม่มีการช่วยเหลือจากปัจจัยภายนอก เกรงว่าอีกหลายหมื่นปีต่อมา สภาพแวดล้อมของโลกก็คงจะมีปราณวิญญาณเพิ่มมากขึ้น

ครั้นกวาดตามองทุกสรรพสิ่งเหล่านี้ ในที่สุดพื้นที่หวงห้ามเก้าจุดก็ลอยขึ้นมาอยู่ในใจของหวังเป่าเล่อ

นั่นคือจุดค้นพบทั้งเก้าแห่ง!

จุดค้นพบทั้งเก้าแห่งนี้กระจัดกระจายอยู่บนโลก ระยะห่างระหว่างกันดูเหมือนจะไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว ทว่าในความรู้สึกโดยรวมของหวังเป่าเล่อ เขากลับมองเห็นร่องรอยของวงแหวนปราณต้องห้ามได้เลือนราง

มีเฉพาะสามแห่งอยู่ด้านในนั้น…หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นบันทึกแต่อย่างใด ในบันทึกลับของสหพันธรัฐ ซึ่งหมายความว่าจุดค้นพบทั้งสามแห่งนี้…สหพันธรัฐไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน!

ตำแหน่งของพวกมันทั้งหมด อยู่ใต้ท้องทะเลลึก

ในเวลาเดียวกันจากการฝึกตนของหวังเป่าเล่อมาจนถึงตอนนี้ เขาไม่เห็นถึงความเคลื่อนไหวพิเศษเลยสักนิด ในจุดค้นพบทั้งเก้าแห่งนี้ ทุกสรรพสิ่งดูเหมือนจะไม่ได้ต่างอะไรจากซากปรักหักพังเลย

ทว่านี่ดูเหมือนจะไม่ใช่ร่องรอยของความผิดปกติแม้แต่น้อย ตั้งแต่ยุคกำเนิดวิญญาณเป็นต้นมา กลับมีเรื่องผู้บุกรุกหายสาบสูญมากเกินไป

“สำนักดาราจันทร์…แท้จริงแล้วเป็นศัตรูหรือมิตรกันแน่?” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง พลางก้าวเท้าไปด้านหน้า ก่อนจะหายตัวกลางถนน จนมาโผล่ที่ด้านนอกจุดค้นพบที่หนึ่ง!

จุดค้นพบแห่งนี้ฝังลึกอยู่ใต้ดิน ด้านบนเป็นเทือกเขาทั้งผืนซึ่งเป็นสถานที่ที่อสูรร้ายเคยมารวมตัวกัน ตอนที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัว สิ่งที่เห็นได้ชัดคือแผ่นดินรกร้าง แม้ว่ายอดเขาจะเป็นสีเขียวชอุ่ม แต่ก็ยากที่จะปิดบังลมปราณแห่งความตายที่แผ่ซ่านภายในสถานที่แห่งนี้

เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ที่นี่เคยเป็นสถานที่ทำสงครามระหว่างอสูรร้ายและผู้ฝึกตน ทางเข้าสู่จุดค้นพบแห่งนั้นเป็นลำธารภูเขา แม้ว่าจะถล่มลงมาเกือบหมด แต่มันก็ยังสามารถผ่านได้ บริเวณทางเข้ายังคงมีพลังแห่งวงแหวนปราณ เพียงแค่มองด้วยตาเปล่า หวังเป่าเล่อก็แยกแยะได้ในทันทีว่าวงแหวนปราณนี้มาจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ บนนั้นมีไอหมอกที่หนาทึบปกคลุมอยู่เหนือสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์

“ผู้อาวุโสสูงสุดผนึกไว้ตั้งแต่แรกแล้วหรือ…” ร่างของหวังเป่าเล่อแกว่งวูบหนึ่ง เขาก้าวเข้าสู่ลำธารภูเขาโดยไม่สนใจวงแหวนปราณ พุ่งทะยานมาจนถึงด้านในสุดของจุดค้นพบนี้ ที่แห่งนี้ว่างเปล่า เฉพาะบนพื้นดินที่อยู่ด้านในสุดเท่านั้นที่ปรากฎร่องรอยของวงแหวนปราณโบราณที่ถูกทำลายไปอย่างเห็นได้ชัด

วงแหวนปราณนี้น่าจะมีอายุยาวนานมากแล้ว สลักที่อยู่บนพื้นเกิดการผุกร่อนไปบางส่วน ในฐานะที่หวังเป่าเล่อเป็นผู้ฝึกตน แค่มองปราดเดียวก็ดูออกว่าประโยชน์ของวงแหวนนี้ใช้เพื่อเคลื่อนย้าย และขอบเขตยังใหญ่พอที่จะครอบคลุมจุดค้นพบทั้งหมด จนถึงตอนนี้แม้จะดูเหมือนถูกทำลายไปจนหมดสิ้น แต่แท้จริงแล้วยังคงเหลือพลังอยู่ เพียงแค่ลดขอบเขตลงก็เท่านั้น

หลังจากจ้องมองวงแหวนนี้และจดจำโครงสร้างของมันได้อย่างแม่นยำแล้ว ดวงตาของหวังเป่าทอแสงวาบ พร้อมกันนั้นภาพมายาเก้าดาวเคราะห์บรรพกาลที่อยู่ด้านหลังเปลี่ยนเป็นดาวเคราะห์เต๋า มือข้างขวาจึงยกขึ้นและกดไปยังวงแหวนปราณเบาๆ

เมื่อกดลงไปครั้งหนึ่ง พื้นดินก็สั่นสะเทือนขึ้นอย่างฉับพลัน วงแหวนปราณเกิดรอยแตกขึ้นเส้นแล้วเส้นเล่าขณะที่เกิดการสั่นสะเทือน รอยแตกเหล่านี้เกิดขึ้นมาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดจึงเกิดเสียงดังดั่งสายฟ้าฟาด วงแหวนปราณถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนราวกับมีฝ่ามือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นฉีกออกจากกัน

ปราณวิญญาณจำนวนมหาศาลที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าได้เคลื่อนออกจากจุดที่แตกกระจายแผ่ออกไปทั่วทั้งสี่ทิศ หลังจากแผ่คลุมทั่วทุกสารทิศ มันจึงหลอมรวมเข้ากับสวรรค์และพื้นพิภพ

ณ จุดนี้พลังของวงแหวนปราณนี้เป็นอันถูกกำจัดออกไปอย่างสมบูรณ์!

การตรวจสอบที่นี่เกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากมั่นใจว่าไม่มีอะไรตกหล่น หวังเป่าเล่อจึงหมุนตัวย้ายไปยังจุดที่สอง ที่สาม จนถึงจุดที่หก!

จุดค้นพบแหล่งที่ห้าที่อยู่ด้านหลัง กระจายอยู่บนพื้นที่ต่างๆ ของโลก มีทั้งที่อยู่ในแม่น้ำ บางจุดอยู่ใต้ดินลึก และมีที่อยู่ในป่าฝนยุคดึกดำบรรพ์ ลักษณะของพวกมันแตกต่างกันออกไป จุดที่อยู่ภายในแม่น้ำดูไม่ใหญ่เท่าไรนัก ทว่าแท้จริงแล้วมีคาถาเวทที่ดูสง่าดุจดั่งวัวหินที่อยู่ในโลกเทพนิยายเล็กๆ

จุดที่อยู่ใต้ดินลึกเป็นเมืองใต้ดิน ส่วนที่อยู่ในป่าฝนยุคดึกดำบรรพ์เป็นแท่นสังเวยที่มีไว้สังเวยเทพเจ้าที่ไม่รู้จัก

จุดค้นพบเหล่านี้ล้วนอยู่ในบันทึกของสหพันธรัฐโดยไม่ได้รับการละเว้น ดังนั้นจึงมีร่องรอยของการถูกปิดผนึก แต่จากการมองเห็นของหวังเป่าเล่อ ผนึกเหล่านี้ยังไม่สมบูรณ์ เมื่อเขาผ่านไปจึงฉีกวงแหวนปราณทั้งหมดที่อยู่ด้านในจุดค้นพบทั้งห้าแห่งนี้

สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเสียดายก็คือจุดค้นพบทั้งห้าแห่งนี้ดูเหมือนจะลึกลับ แต่ด้านในกลับไม่พบร่องรอยอะไรเลย ราวกับทุกอย่างได้พังทลายลงเองตอนที่จุดค้นพบเคยถูกเปิดออก

ท้ายที่สุดหวังเป่าเล่อมุ่งเน้นไปที่ใต้ท้องทะเลลึก ทั้งสามแห่งนั้นไม่มีการจดบันทึกโดยสหพันธรัฐ ยิ่งไปกว่านั้นสถานที่ตั้งของจุดค้นพบไม่เคยถูกมนุษย์คนใดล่วงรู้มาก่อน!

พวกมันถูกแบ่งออกเป็น…ร่างของซากวาฬขนาดยักษ์ที่มีลำตัวขนาดหลายหมื่นฟุต ศพครึ่งหนึ่งถูกฝังอยู่ในโคลนใต้พื้นทะเล ส่วนที่โผล่มาด้านนอก คละคลุ้งไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ส่งผลให้พื้นที่ทะเลโดยรอบมืดมน

มีอีกแห่งหนึ่งที่ปกคลุมไปด้วยสาหร่ายทะเล ดูเหมือนจะเป็นวิหารที่ทรุดโทรมภายใต้พลังอันยิ่งใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงที่อุบัติขึ้น!

ด้านหน้าวิหารมีรูปปั้นของผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ใบหน้าดูเลือนลาง แต่กระบี่หินที่อยู่ด้านหลังกลับแผ่ซ่านพลังปราณอันแสนดุร้ายออกมา ทำให้สัตว์ทะเลทั้งหมดที่เข้ามาใกล้กองกันเป็นกระดูกผุพังรายรอบเป็นวงกลม

ที่สุดท้ายคือภูเขาลูกหนึ่ง!

ด้านล่างของภูเขามีประตูหิน บนประตูสลักด้วยอักขระ อักขระนี้ควบคุมด้วยพลังที่ไม่ธรรมดา ทำให้ผู้ฝึกตนที่มองเห็นมัน พลันปรากฏความหมายของอักขระลอยขึ้นมาในใจ

ความหมายของอักขระนั้นคือ…

ทะเลมหานคร!

“อ่อ?” หวังเป่าเล่อสีหน้าดูปกติ ระหว่างฟังคำพูดของต้นไม้ยักษ์ ใบหน้ายังคงเจือด้วยรอยยิ้ม สายตากวาดมองผู้คนไปรอบๆ พยักหน้าอย่างสุภาพให้กับผู้ฝึกตนสองสามคนที่หันมาทำความเคารพเขา แล้วก็พบว่าหลินโยวที่กำลังถูกผู้คนห้อมล้อมอยู่ภายในงานมงคลสมรสมองมายังตนเอง

หวังเป่าเล่อคลี่ยิ้มจางๆ และพยักหน้าให้กับหลินโยวที่อยู่ทางฝั่งนั้นด้วยเช่นกัน เมื่อเทียบกับรูปลักษณ์เดิมของเขา ดูเหมือนว่ารูปลักษณ์ของหลินโยวจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเท่าไรนัก หลังจากที่ฝึกตนจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ร่องรอยอายุขัยบนร่างกายจึงบางเบาลง นอกจากพลังลมปราณแล้ว ก็ไม่สามารถตัดสินจากรูปลักษณ์ภายนอกได้ง่ายๆ

เขาพุ่งความสนใจมาที่หวังเป่าเล่อตั้งแต่ต้น จวบจนได้รับความสนใจผ่านสายตาของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ สีหน้าของหลินโยวพลันเคร่งขรึม เขาโค้งคำนับให้หวังเป่าเล่อท่ามกลางฝูงชน หลังจากยืดตัวขึ้นดวงตาของเขาพลันฉายแววความลังเล ทว่าเพียงไม่นานความลังเลนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นความแน่วแน่ ก่อนตัดสินใจเดินตรงมาทางฝั่งหวังเป่าเล่อ

ยามเห็นหลินโยวที่ตนเองเพิ่งกล่าวถึงเมื่อครู่เดินตรงเข้ามา สีหน้าของต้นไม้ยักษ์ไม่ได้เผยความผิดปกติออกมาให้เห็นแม้แต่น้อย เขายังคงแสดงท่าทีเคารพเช่นเดิม เพียงแต่เปลี่ยนคำพูดเป็นการรายงานงานของดาวอังคารช่วงหลายปีที่ผ่านมาของตนเอง น้ำเสียงไม่ได้ดังเท่าไรนัก ทว่าก็มากพอที่จะทำให้หลินโยวที่เดินเข้ามาได้ยินบางส่วน เมื่อหลินโยวเดินเข้ามาใกล้และมีเสียงหัวเราะดังออกมา ต้นไม้ยักษ์จึงหันไปคารวะหลินโยวด้วยรอยยิ้ม

“สหายกุ้ยต้าว หลินโหม่วไม่ได้รบกวนพวกเจ้าใช่ไหม ข้าขอเวลาของเป่าเล่อสักประเดี๋ยวได้หรือไม่?” หลินโยวพูดหยอกเย้า เคล้าแววตาที่พกพาความปรารถนาดีมาด้วย

“ผู้นำหลินพูดเป็นเล่นไปได้ ข้าน้อยรายงานจบแล้ว คงไม่กล้ารบกวนต่อแล้วขอรับ” สีหน้าของต้นไม้ยักษ์ยังคงดูเรียบนิ่ง พร้อมแย้มยิ้มก่อนทำการคารวะอีกครั้ง จากนั้นจึงขอปลีกตัวไปอย่างนอบน้อม

หลังจากมองดูต้นไม้ยักษ์จากไป สายตาของหลินโยวจึงกวาดมองอย่างลวกๆ ตอนที่หันกลับมามองหวังเป่าเล่อ สีหน้าที่เผยออกมาแฝงความโหยหาและอาวรณ์ ต่อให้ไม่ได้เอ่ยปากพูดกับหวังเป่าเล่อในทันที ทว่าสีหน้าเช่นนี้ก็ได้แสดงออกถึงสิ่งที่อยากจะพูดได้อย่างชัดเจนแล้ว

แม้ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา แต่สีหน้าก็ทำให้เข้าใจได้ไม่ยาก ด้วยเหตุนี้ ท่ามกลางผู้อาวุโสชั้นสูงของสหพันธรัฐ หวังเป่าเล่อได้เห็นความสามารถในการยึดเหนี่ยวเช่นนี้จากต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินเท่านั้น

“หลายปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว…” หลินโยวทอดถอนใจเบาๆ ก่อนสีหน้าของเขาจะกลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง เขาถอยหลังไปหนึ่งก้าว โค้งคำนับต่อหน้าหวังเป่าเล่อ

“หลินโยว ศิษย์ในนามสำนักดาราจันทร์ ขอคารวะศิษย์พี่!”

หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เขามองหลินโยวด้วยสีหน้าจะยิ้มก็ไม่ใช่จะบึ้งตึงก็ไม่เชิง แล้วถามออกไปหนึ่งประโยค

“สำนักดาราจันทร์? สหพันธรัฐของข้ามีสำนักนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ สหายหลินต้าวนี่มันหมายความว่าอะไรกัน?”

“เป่าเล่อเจ้าหยุดล้อข้าเล่นได้แล้ว” หลินโยวยิ้มอย่างขมขื่นขณะคารวะอีกครั้ง

“เป่าเล่อ ข้าไม่รู้หรอกนะว่าสหายกุ้ยต้าวพูดอะไรกับเจ้า แต่เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดโดยไม่จำเป็น คงต้องอธิบายเพื่อตัวข้าเองสักหน่อย”

“ตอนนั้นที่ข้าหายเข้าไปในซากปรักหักพังแห่งหนึ่งบนโลก และกลับมาในอีกหลายปีต่อมา แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ระหว่างที่หายตัวไปจะแจ้งกับสหพันธรัฐให้ลงบันทึกไว้แล้ว แต่ยังมีความลับบางอย่างที่ข้าไม่เคยปริปาก…” หลินโยวเคร่งขรึมไปชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นจึงกระซิบขึ้นว่า

“สถานที่ที่ข้าหายตัวไปมีชื่อว่าสำนักดาราจันทร์ สำนักนี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับโลกโบราณ ดังนั้นข้าจึงไม่ใช่คนแรก หรือคนสุดท้ายที่ถูกเคลื่อนย้ายไปที่นั่น หลังจากที่ข้าถูกเฝ้าติดตามดูอย่างต่อเนื่อง จึงได้เป็นศิษย์ในนาม ได้รับการถ่ายทอดเคล็ดวิชา…ท้ายที่สุดจึงถูกเคลื่อนย้ายกลับมาพร้อมกับภารกิจ”

“ภารกิจอะไร?” หวังเป่าเล่อหรี่ตาเอ่ยถามช้า ๆ

“บันทึกวิวัฒนาการของโลกตั้งแต่ยุคกำเนิดวิญญาณ การมีส่วนร่วมของมัน เมื่อมีอันตรายที่จะกระทบถึงความเป็นความตายของทั้งสหพันธรัฐ จึงส่งข้า ที่เรียกได้ว่าเป็นพันธุ์กล้าคนนี้เข้าไปในจุดค้นพบ” นัยน์ตาซื่อตรงของหลินโยวไร้ซึ่งการเก็บซ่อนความจริง

“ข้าไม่รู้ว่าวัตถุประสงค์ของสำนักดาราจันทร์คืออะไร แต่ก็พอจะทราบมาบ้าง สหพันธรัฐคือบ้านเกิดของข้า ดังนั้นหลังจากกลับมาข้าจึงไม่ได้ส่งใครไปอีก แถมยังรายงานความคืบหน้าตลอด ทำให้เรื่องการหายไปของจุดค้นพบในช่วงหลายปีมานี้ค่อยๆ ทุเลาลง”

“แต่ว่า…เป่าเล่อ ถ้าหากสหพันธรัฐเกิดวิกฤติความเป็นความตายจนไม่อาจย้อนกลับมาได้จริงๆ สุดท้ายข้าอาจจะต้องไปทำภารกิจนั้น เพื่อทิ้งชนวนไว้ให้สหพันธรัฐของข้าให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”

“เหตุผลที่บอกในตอนนี้ก็เป็นเพราะหลินโยวผู้นี้ ไม่อยากละอายใจในภายหลัง!” พูดจบ หลินโยวจึงโค้งคำนับให้หวังเป่าเล่ออีกครั้ง เขาเงยหน้าขึ้นโดยไม่หลบตาหวังเป่าเล่อ เพื่อให้อีกฝ่ายเห็นความจริงใจตนเอง

หลังจ้องมองหลินโยวเป็นเวลานาน หวังเป่าเล่อจึงพยักหน้าช้าๆ พร้อมแววตาฉายแววครุ่นคิด พลันเอ่ยถามออกมาประโยคหนึ่ง

“เจ้าลองพูดถึงสำนักดาราจันทร์นี้มาซิ”

“ข้าไม่ทราบว่าสำนักดาราจันทร์อยู่ที่ไหน และไม่ทราบว่ามีพลังมากมายเพียงใด แต่ข้าทราบว่า… ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์แบบเจ้าน่ะ คงจะมีแบบนี้ไม่ต่ำกว่าร้อยเชียว”

“ส่วนดารานิรันดร์…เพียงแค่ข้าแหงนหน้ามองจากสำนักดาราจันทร์ก็สามารถมองเห็นได้ว่ามีจักรพิภพคงอยู่อีกหลายสิบแห่ง! ในขณะเดียวกันสำนักนี้จะต้องมีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับโลกโบราณเป็นแน่ ซ้ำยังเป็นไปได้ว่าคนโบราณที่เคยอยู่บนโลกจะย้ายออกไปแล้ว นอกจากนี้…ข้าก็เคยเห็นต้นไม้บนดวงจันทร์ที่เหมือนกับร่างสหายกุ้ยต้าวอยู่ภายในสำนักดาราจันทร์มาไม่น้อย…” เมื่อความทรงจำผุดขึ้นในใจของหลินโยว เขายิ่งใจสั่นมากขึ้น พอพูดจนถึงตรงนี้ ดูเหมือนว่าเขาจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้จึงเอ่ยปากอีกครั้ง

“จริงด้วย ภายในสำนักดาราจันทร์นี้ ทุกคนที่ระดับการฝึกตนถึงขั้นหนึ่งล้วนสวมใส่หน้ากาก…รูปทรงของหน้ากากก็แตกต่างกันออกไป ส่วนใหญ่ไม่เหมือนกันเลย”

“หน้ากาก?” หวังเป่าเล่อผงะไปครู่หนึ่ง ก่อนจมอยู่ในห้วงความคิด หลินโยวโล่งใจที่ได้เล่าทุกอย่างจนหมดเปลือก เขาไม่ได้พูดโกหก เพราะไม่อยากให้หวังเป่าเล่อเข้าใจผิด และยิ่งไม่เต็มใจให้อีกฝ่ายกลายเป็นศัตรูเพราะเรื่องนี้

ที่นี่คือบ้านเกิดของเขา ทุกอย่างที่เขามีล้วนอยู่ในสหพันธรัฐ ตอนนี้ลูกชายเขาแต่งงานเสียใหญ่โต ยิ่งทำให้เขาผูกพันกับที่นี่อย่างลึกซึ้ง ดังนั้นก่อนหน้านี้เมื่อเห็นต้นไม้ยักษ์พูดคุยกับหวังเป่าเล่อ แม้ว่าเขาจะไม่ทราบรายละเอียด แต่เพราะสัญชาตญาณบางอย่าง หลังจากมัวลังเลเขาจึงตัดสินใจเปิดเผยความลับทั้งหมดที่ซ่อนอยู่ก้นบึ้งของหัวใจออกมา เขาเชื่อว่าด้วยจิตใจและประสบการณ์ของหวังเป่าเล่อ ย่อมมองออกว่าสิ่งที่เขาพูดคือเรื่องจริง

หลังจากเล่าจบ หลินโยวก็รู้สึกโล่งอกอย่างมาก เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิด เขาจึงไม่ขอรบกวนต่อไป เขาทำการคารวะและถอยจากไป

มีคนมากมายที่เห็นว่าหวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิดอยู่ อย่างไรก็ตามผู้ที่มาร่วมงานมงคลสมรสส่วนใหญ่คือเจ้าพนักงานระดับสูงของสหพันธรัฐที่มองออกถึงความเหมาะสม ดังนั้นในเวลานี้จึงไม่มีใครเข้ามารบกวนการใช้ความคิดของหวังเป่าเล่อ

และมันก็เป็นเช่นนี้ หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป หวังเป่าเล่อจึงพึมพำเสียงเบา

“ดูเหมือนว่าข้าจะมองข้ามไปเรื่องหนึ่ง…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง หลังจากใช้ความคิดตอนที่ได้ยินคำว่าหน้ากาก หญิงสวมหน้ากากที่อยู่ในสุสานดวงดาราผู้นั้นพลันโผล่มาในความคิดของเขา!

ร่างนั้นไม่เคยเลือนหายไป หลังจากได้ฝังลึกอยู่ในใจของเขา สุดท้ายก็ได้แต่จับจ้องหน้ากากของแม่นางผู้งดงามในความทรงจำ ดวงตาของอีกฝ่ายที่อยู่หน้ากากในความคิดพลันกระจ่างชัดขึ้นเรื่อยๆ

หลังจากครุ่นคิด ท้ายที่สุดหวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นเอาแผ่นหยกที่สามารถติดต่อกับปรมาจารย์แห่งไฟได้ออกมา ก่อนส่งเสียงเรียกด้วยความเคารพ

“ท่านอาจารย์อยู่หรือไม่? เหล่าผู้อาวุโสที่นั่น มีรายชื่อทั้งหมดของผู้ที่ได้เลื่อนขั้นเป็นระดับดาวพระเคราะห์ของตระกูลไม่รู้สิ้น ก่อนที่จะถูกส่งไปยังสุสานดวงดาราบ้างหรือเปล่า?”

รายชื่อนี้ หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะมองเห็น เฉพาะผู้มีคุณสมบัติบางอย่างในเขตตระกูลไร้สิ้นสุดเท่านั้นที่จะได้รับมัน และในสุสานดวงดารา เขาสามารถมองเห็นได้แค่ตัวเอง ไม่มีทางมองเห็นสิ่งอื่น ทว่าเขาไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก แต่ ณ เวลานี้ ด้วยความสงสัยประกอบกับร่างของหญิงสวมหน้ากากในความคิดของเขา หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจตรวจสอบรายชื่อทั้งหมด

หลังจากนั้นไม่นาน ปรมาจารย์แห่งไฟที่ได้รับเสียงที่ส่งไปของหวังเป่าเล่อ ก็ได้ส่งรายชื่อพร้อมกับมาให้คำตอบกับหวังเป่าเล่อโดยตรง

“ศิษย์เอก ข้าได้จัดเตรียมคนไปรับเจ้าแล้ว รอธุระของเจ้าเสร็จสิ้น ข้าจะไปรอเจ้าที่ดาราจักรไฟ!”

“น้อมรับขอรับท่านอาจารย์!” หวังเป่าเล่อตอบกลับด้วยความเคารพ ก่อนจะเปิดรายชื่อทั้งหมดที่ได้มาจากปรมาจารย์แห่งไฟทันที หลังจากกวาดตามอง ลมหายใจเขาพลันสะดุด พร้อมกับดวงตาที่หรี่ลงในยามที่จ้องมองรายชื่อข้างใน!

หลี่หว่านเอ๋อร์ สำนักดาราจันทร์!

“หลี่หว่านเอ๋อร์…เป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า?” ในความคิดของหวังเป่าเล่อ หลังจากที่ร่างของหลี่หว่านเอ๋อร์ซ้อนทับกับหญิงสวมหน้ากากอยู่ชั่วครู่ ความร้อนรนพลันพรั่งพรูขึ้นในใจของเขา ดังนั้นเขาจึงส่งสัญญาณไปยังหลินเทียนหาวที่กำลังดื่มอวยพรกับตู้หมิน แล้วรีบออกจากโถงจัดงานแต่ง หลังจากที่เดินออกจากห้องโถง เขาก็ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับหายตัวไปทันที

เมื่อโผล่มาอีกที เขาไม่ได้อยู่บนดาวอังคารอีกต่อไป แต่กำลังทะยานอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว หลังจากร่อนลงสู่พื้นโลกในเวลาต่อมา ก็มาโผล่ที่…นอกบ้านพักของหัวหน้าเสนาบดี!

หวังเป่าเล่อสูดหายใจเขาลึกๆ ขณะที่ยืนคารวะอยู่ภายนอกบ้านพักแห่งนี้

“ศิษย์น้องหวังเป่าเล่อ ขอพบท่านลุงหลี่ขอรับ!”

แม้ว่าระดับการฝึกตนของเสนาบดีจะเหลือเพียงคนธรรมดา ทว่าการอุทิศตนของเขาต่อสหพันธรัฐ โดยเฉพาะสถานะบิดาของหลี่หว่านเอ๋อร์นั้น ทำให้หวังเป่าเล่อที่อยู่ตรงหน้าเขา จำเป็นต้องทำตามมารยาทของรุ่นน้อง!

……………………………………………….

เนื่องจากสถานะของหลินโยวรวมถึงตัวตนของหลินเทียนหาว ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมืองนครศักดิ์สิทธิ์ ประกอบกับความสัมพันธ์ที่มีกับหวังเป่าเล่อ อีกทั้งการมาถึงของเขา ทำเอาพิธีมงคลสมรสที่จัดบนดาวอังคารครั้งนี้แสนยิ่งใหญ่

หวังเป่าเล่อได้เตรียมของขวัญอันประณีตมาชิ้นหนึ่งเช่นกัน หลังจากพิธีมงคลสมรสดำเนินมาถึงช่วงสำคัญ ครั้นเริ่มงานเลี้ยงฉลองภายใน หวังเป่าเล่อทอดมองบ่าวสาวคู่ใหม่ที่อยู่ตรงหน้า พร้อมทั้งถือแก้วสุราอยู่ภายในโถงจัดงานแต่งงาน ภายในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ผสมปนเปกัน

“ต้าวปิน เจ้าว่าทำไมเทียนหาวยังคิดไม่ได้ล่ะ ทำไมอยากแต่งงานเร็วนัก…” หวังเป่าเล่อดื่มสุราพลางเดินไปยังหลิวต้าวปินที่เดินตามมายืนข้างๆ ตั้งแต่คราแรกที่ตัวเองมาถึง เขาเอ่ยคำพูดติดตลก รอยยิ้มที่ยกขึ้นมุมปากนำพาความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ

“พี่ใหญ่พูดถูกแล้วล่ะ หลังจากนี้หากออกไปเที่ยวเล่นคงขาดสหายที่แสนดีไปอีกคน” หลิวต้าวปินก็หัวเราะขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดนี้ หลังจากกระแอมไอแล้วเอ่ยปากกระซิบว่า

“พี่ใหญ่ หลายปีมานี้ขณะที่ท่านไม่อยู่ ภายในเขตพิเศษดาวอังคารมีผู้อพยพเข้ามากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า เป็นเพราะต้องสร้างเขตนครใหม่ของดาวอังคารจึงต้องทำงานอย่างหนัก ข้าเตรียมที่จะคัดสรรผู้ที่มีทั้งรูปพรรณสัณฐานและมีลักษณะพิเศษไม่เหมือนใครมาสักสองสามคน แล้ววางแผนจัดตั้งกลุ่มสาวดาราจักรขึ้นมาแสดงให้ทั้งสหพันธรัฐได้ส่งเสริมความงดงามภายในเขตพิเศษดาวอังคารของข้า!”

“เรื่องนี้สำคัญต่อเขตพิเศษดาวอังคารเป็นอย่างยิ่ง พี่ใหญ่เป็นผู้นำของข้า ข้าขอวิงวอนให้ท่านช่วยชี้แนะสักหน่อยขอรับ…” สีหน้าหลิวต้าวปินเคร่งขรึม ซ้ำยังแฝงความจริงใจ ดูเหมือนว่าวาจาที่เอ่ยออกมา ทำให้ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะฟังอย่างไรก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างที่หลิวต้าวปินหยิบแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง บอกว่าด้านในนี้คือข้อมูลของผู้สมัคร ความแปลกใจจึงฉายชัดบนสีหน้าหวังเป่าเล่อ ยามที่เขาขอให้หวังเป่าเล่อช่วยชี้แนะ

“ต้าวปินเอ๋ยต้าวปิน เจ้า…” หวังเป่าเล่อยิ้มไม่ได้ร้องไม่ออก ตอนที่กำลังเขกหัวอีกฝ่าย แต่จู่ๆ ก็มีน้ำเสียงอันอ่อนโยนดังขึ้นจากด้านหลังของพวกเขา

“กลุ่มสาวอะไรหรือ? หลิวต้าวปิน ขอข้าดูหน่อยสิ”

หวังเป่าเล่อหันกลับไปมองจึงพบร่างที่คุ้นเคยเดินตรงเข้ามา แววตาส่อความคิดถึง พร้อมพูดออกมาเบาๆ

“เสี่ยวหยา”

ผู้มาเยือนคือโจวเสี่ยวหยา ในวันนี้นางมีการเปลี่ยนแปลงจากในปีนั้นเล็กน้อย นางไม่ได้มีท่าทางเขินอายเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ความอ่อนโยนและความสง่างามมาพร้อมกับความรู้สึกที่มั่นคง ความนุ่มนวลจากภายนอกและความแข็งแกร่งจากภายในปรากฏออกมาให้เห็นอย่างเด่นชัด

การปรากฏตัวของนางทำให้หลิวต้าวปินถึงขั้นกะพริบตาปริบๆ เขาเก็บแผ่นหยกในมืออย่างเงียบๆ พลางหันไปยกมือคารวะโจวเสี่ยวหยาด้วยรอยยิ้ม

“คารวะท่านเจ้าสำนักโจว!” พูดจบเขาจึงหันมาทำความเคารพหวังเป่าเล่อ

“ท่านผู้นำ ข้าไม่รบกวนท่านรำลึกความหลังกับประมุขโจวแล้วล่ะ ข้าจะมารายงานท่านอีกครั้งในภายหลัง” เมื่อกล่าวเช่นนั้น หลิวเต้าปินก็โค้งคำนับทั้งสองอีกครั้งแล้วถอยกลับ

โจวเสี่ยวหยากวาดตามองหลิวต้าวปินที่จากไป ท้ายที่สุดดวงตาอันงดงามจึงหยุดลงบนใบหน้าของหวังเป่าเล่อก่อนจะถอนสายตากลับ นางยืนข้างเขาโดยไม่ได้ปริปากพูดอันใดออกมา ซ้ำยังมองไปยังหลินเทียนหาวและตู้หมินที่กำลังเข้าสู่พิธีมงคลสมรส ด้วยสายตาที่แฝงความยินดีและความอิจฉาเล็กๆ

“หลิวต้าวปินผู้นี้วุ่นวายเกินไปแล้ว กลับไปเห็นทีคงต้องอบรบสั่งสอนเสียหน่อย” เมื่อเห็นว่าโจวเสี่ยวหยาไม่ได้พูดอะไรหลังจากเดินมาถึง หวังเป่าเล่อพลันกระแอมไอหนึ่งทีพลางหาหัวข้อสนทนา

แท้จริงแล้วใจเขาเองก็รู้สึกผิดและซาบซึ้งต่อโจวเสี่ยวหยา ช่วงหลายวันมานี้บิดาและมารดาของเขามักจะพูดถึงโจวเสี่ยวหยาอยู่บ่อยๆ พลอยทำให้หวังเป่าเล่อทราบว่าหลายปีมานี้ขณะที่เขาไม่อยู่ ก็มีโจวเสี่ยวหยาคอยมาอยู่เป็นเพื่อน ทำให้บิดามารดาของตัวเองรู้สึกอบอุ่นมาก

เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่เหมือนกับเมื่อก่อนอีกต่อไป เขาทราบดีว่าตนเองไม่สามารถอยู่ในสหพันธรัฐนานๆ ได้อีกแล้ว ดังนั้นความผูกพันทางอารมณ์ใดๆ กับเพื่อนเก่า สุดท้ายคงทำได้เพียงปล่อยให้อีกฝ่ายรอคอยอย่างโดดเดี่ยวต่อไป

เรื่องนี้หวังเป่าเล่อไม่อยากคิดและทำไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นหลังจากเขากลับมาจึงไม่ได้ไปหาโจวเสี่ยวหยา ส่วนอีกฝ่ายแม้จะทราบถึงการกลับมาของเขาก็ไม่ได้เดินทางมาหาเช่นกันAileen-novel

ระหว่างทั้งสองคนดูเหมือนจะมีระยะห่างที่รู้ดีอยู่แก่ใจ ทำให้นี่กลายเป็นครั้งแรกที่ได้เจอกันหลังจากที่กลับมา

“ต้องอบรมสั่งสอนสักหน่อยจริงๆ นั่นแหละ” โจวเสี่ยวหยาพูดเสียงเรียบโดยไม่มองหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบๆ เขากระแอมไอหนึ่งครั้งพลางลอบมองโจวเสี่ยวหยา แล้วแอบถอนหายใจเงียบๆ เขารับรู้ถึงความรู้สึกภายในใจของอีกฝ่าย ทว่าเขากลับไม่สามารถพูดสิ่งที่อีกฝ่ายกำลังรอให้เขาพูดออกมาได้ ดังนั้นหลังจากที่เงียบงันไปคำพูดมากมายก็ถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นคำสองพยางค์

“ขอบใจ”

เมื่อได้ยินคำพูดสองพยางค์นี้ โจวเสี่ยวหยาจึงหันกลับมามอง ดวงตาคู่งามจ้องมองหวังเป่าเล่อ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงคลี่ยิ้มออกมาเบาๆ ดวงตาคู่นั้นกลายเป็นเส้นโค้งราวกับพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวเพราะรอยยิ้ม ซ้ำยังเผยให้เห็นถึงความงามของนาง ส่งผลให้มองเห็นความอ่อนโยนในตัวนางชัดเจนมากยิ่งขึ้น หลังจากยกฝ่ามือดุจหยกขึ้นมาช่วยจัดระเบียบเสื้อผ้าให้หวังเป่าเล่อครู่หนึ่ง นางจึงทอดถอนใจข้างหูของเขาด้วยลมหายใจหอมละมุนดุจบุปผาและกระซิบเสียงแผ่วเบาว่า

“เป็นเพราะชาติที่แล้วข้าติดหนี้บุญคุณเจ้าสินะ ชาตินี้เจ้าจึงเข้ามาเล่นกับหัวใจของข้า ตอนที่ข้าเพิ่งจะเข้าสู่สำนักศึกษาเต๋า ซ้ำยังได้ยินเรื่องราวของเจ้าจากปากคนรอบตัวครั้งแล้วครั้งเล่าจนทำให้ข้าลืมเจ้าไม่ได้ ทำให้ข้าไม่อาจปล่อยให้คนอื่นเข้ามาอยู่ในใจของข้าได้อีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้…กระต่ายน้อยสีขาวของเจ้า ก็จะขอรอเจ้าต่อไป” ระหว่างที่พูด โจวเสี่ยวหยาจึงเป่าลมข้างหูหวังเป่าเล่อหนึ่งครั้ง นางเดินห่างไกลออกไปจากข้างกายเขาโดยไม่หันกลับมาอีก มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังคงวนเวียนอยู่ที่จมูกของเขาคือความหอมดุจบุปผา สิ่งนี้ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองร่างของโจวเสี่ยวหยาที่เดินหายเข้าไปในกลุ่มผู้คน

ระหว่างที่จ้องมอง รู้ตัวอีกทีพิธีสมรสในครั้งนี้ก็เดินทางมาถึงตอนท้ายแล้ว ในที่สุดหลินเทียนหาวจึงปลีกตัวออกมาหาหวังเป่าเล่อพร้อมกับตู้หมิน ระหว่างมองผู้มาใหม่ทั้งคู่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า หวังเป่าเล่อจึงกดเงาของโจวเสี่ยวหยาที่อัดแน่นเต็มหัวใจให้หายไป หลังจากอวยพรด้วยรอยยิ้มแล้ว หลินเทียนหาวจึงแจ้งเขาว่าคนที่ไม่ได้กลับมาและไม่มีข่าวคราวเพียงคนเดียวภายในภารกิจนกนางแอ่นดำในช่วงแรกคือกงเต๋า

“แสงสว่างแห่งชีวิตที่กงเต๋าเหลือทิ้งไว้ยังไม่ดับสิ้น แต่สีกลับแปรเปลี่ยน…” หลินเทียนหาวอยากพูดอะไรมากกว่านี้อีกสักสองสามประโยค แต่เนื่องจากวันนี้เขาคือตัวหลักของงาน ดังนั้นเพียงไม่นานจึงถูกดึงตัวไป เหลือทิ้งไว้เพียงหวังเป่าเล่อที่ยังคงจมดิ่งอยู่ในห้วงความคิด

เขาใช้เวลาคิดไตร่ตรองเพียงไม่นาน หลังจากสิ้นสุดงานมงคลสมรส เหล่าผู้คนภายในงานก็จับกลุ่มสามถึงห้าคนพูดคุยกันด้วยรอยยิ้ม ท่ามกลางความครึกครื้นนี้มีผู้คนเข้ามาหาหวังเป่าเล่อไม่ขาดสาย

โชคดีที่บัดนี้ฐานะทางสังคมของเขาช่างสูงส่ง ตำแหน่งของเขาเป็นที่น่ายกย่องไร้จุดสิ้นสุด ดังนั้นผู้ที่เข้ามาพบปะตรงหน้าจึงไม่กล้าเข้ามารบกวนมากเกินไป หลังจากเข้ามาคำนับแล้วจึงกล่าวลาและถอยออกไปอย่างรู้งาน จนมีอดีตเพื่อนเก่าคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ด้วยสายตาที่มาพร้อมกับความรู้สึกที่ผสมปนเปกันและคร่ำครวญขณะโค้งคำนับอย่างสุดซึ้งให้อีกฝ่าย

“คารวะ…นายท่าน” ผู้มาเยือนคือเจ้านครดาวศุกร์คนปัจจุบัน ต้นไม้ในคราบมนุษย์ที่ฝึกตนบนดวงจันทร์ซึ่งเคยเกี่ยวพันกับความเป่าเล่อมาก่อน ต้นไม้ยักษ์ผู้นี้ไม่รู้ว่าควรเรียกหวังเป่าเล่อว่าอย่างไร ดังนั้นหลังจากลังเลใจ เขาจึงกล่าวว่านายท่านออกมาสองพยางค์

การฝึกตนของเขาได้ก้าวกระโดดในช่วงหลายปีมานี้ เลื่อนจากขั้นจุติวิญญาณชั้นมหาวัฏจักรมามาจนถึงขอบเขตขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลหรืออยู่ที่นี่ในตอนนี้ ความรู้สึกคร่ำครวญและความรู้สึกที่ผสมปนเปกันภายในใจนั้นหนักหน่วงมาก ในขณะเดียวกันก็ไม่กล้าเมินเฉยทางฝั่งหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ทั้งหมดนี้พูดได้ว่าเป็นความเคารพ

“สหายกุ้ยเต๋าไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากพูดด้วยรอยยิ้ม เขาประคองต้นไม้ยักษ์ที่โค้งคำนับตนเองให้ลุกขึ้น เมื่อเห็นความแปรปรวนภายในร่างกายที่ผ่านการฝึกตน ใบหน้าของหวังเป่าเล่อพลันแต่งแต้มรอยยิ้มที่จริงใจ

“หลายปีมานี้ สหายกุ้ยต้าวมีบุญคุณต่อสหพันธรัฐนัก!”

เมื่อต้นไม้ยักษ์ได้ยินคำพูดประโยคนี้ เขารู้สึกได้ว่าเป็นคำพูดที่หนักแน่นเสียยิ่งกว่าคำพูดที่คนอื่นพูดยอมรับเขานับหมื่นครั้ง ร่างกายของเขาเกิดอาการสั่นเทาเล็กน้อย เพราะช่วงหลายปีมานี้ต่อให้เป็นตอนที่เส้นปราณของหลี่ซิงเหวินเข้าขั้นวิกฤต เขาก็ไม่เคยคิดที่จะละเลย ตอนนี้สถานการณ์ดีขึ้น ซ้ำยังได้รับการยอมรับจากหวังเป่าเล่อ แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา

“นายท่านกล่าวเกินจริงแล้ว ที่นี่ก็เป็นบ้านของข้านะ” ต้นไม้ยักษ์สูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากโค้งคำนับอีกครั้ง เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยปากพูดแผ่วเบา

“ด้วยการฝึกตนของนายท่าน หากมีเวลาก็ลองออกสำรวจจุดค้นพบที่อยู่บนโลกดูสักหน่อย…บางทีอาจพบกับความลับบางอย่างเกี่ยวกับระบบสุริยะก็เป็นได้”

“หืม?” ดวงตาหวังเป่าเล่อวาวโรจน์ขณะมองไปยังต้นไม้ยักษ์

“นายท่าน ร่างที่แท้จริงของข้าก็คือต้นหอมหมื่นลี้ที่อยู่บนดวงจันทร์ ดำรงอยู่มาเป็นเวลานานแล้ว ในความคิดอันคลุมเครือของข้ามีความทรงจำช่วงหนึ่ง…”

“ข้าไม่ทราบว่าความทรงจำนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่…ดูเหมือนว่าเมื่อนานมาแล้ว ภายในระบบสุริยะมีพลังฝึกตนที่ทรงพลัง และข้า…ก็คือผู้ฝึกตนคนหนึ่งในตอนนั้นที่บ่มเพาะพลังนั้นอยู่บนดวงจันทร์ด้วยตัวเอง”

“แม้ว่าพลังการฝึกตนนั้นจะจากไปนานแล้ว แต่ข้าก็ยังมีความรู้สึกบางอย่างที่คลุมเครือ ดูเหมือนว่าพวกเขา…ยังคงอยู่ในจักรวาลนี้ ตั้งแต่ยุคกำเนิดวิญญาณของสหพันธรัฐเป็นต้นมา การหายตัวไปกลับเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า อาจมีความเกี่ยวข้องเป็นอย่างมากกับพลังการฝึกตนนี้!”

“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะใช้วิธีนี้ เฟ้นหาสานุศิษย์ภายในระบบสุริยะตั้งแต่แรกจวบจนปัจจุบัน!”

“ยกตัวอย่างเช่น…หลินโยว!” ต้นไม้ยักษ์กระซิบพูดแฝงนัยยะ

……………………………………………….

ขณะที่หวังเป่าเล่อคารวะอยู่ แม่นางน้อยข้างกายจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก อันที่จริงนางเองก็ลำบากใจ แต่นางเชื่อว่าเรื่องแบบนี้ ด้วยความสามารถของหวังเป่าเล่อน่าจะจัดการได้อย่างง่ายดาย เท่าที่นางทราบมาหวังเป่าเล่อเก่งมากในการรับมือกับคนแบบนี้

ขณะเดียวกัน นางเองก็ไม่เชื่อว่าหวังเป่าเล่อจะไม่รู้ว่าแท้จริงทั้งสองฝ่ายเป็นพันธมิตรต่อกันมาก่อน เพราะมีศัตรูคนเดียวกัน การมีอยู่ของนางก็เป็นเหตุผลหนึ่งเช่นกัน

ฉะนั้นหลังจากนางปรากฏตัว จึงคอยยืนดูตั้งแต่ต้นจนจบโดยไม่ได้ก้าวก่ายแม้แต่น้อย ตอนนี้ต่างก็พอใจกันทุกฝ่าย บนใบหน้าแม่นางน้อยพลันเผยรอยยิ้มออกมา

มองดูรอยยิ้มแม่นางน้อย หวังเป่าเล่อเองก็ยิ้มเช่นกัน เขาไม่ได้รีบให้นางใส่หน้ากากกลับคืนตามเดิม ทั้งยังพูดให้นางอยู่ท้าวความหลังที่นี่ชั่วคราว ส่วนเจ้าตัวขอถอยตัวลาออกจากกระบี่สำริดโบราณ

ท่ามกลางจักรพิภพ เขายกมือขวาขึ้นสะบัด วัตถุเวทแห่งความมืดที่อยู่ตรงปลายกระบี่พลันพุ่งออกมา แม้ว่าวัตถุเวทแห่งความมืดทั้งสามยังไม่สมบูรณ์ แต่ตอนนี้ตัวเขาเองก็ฟื้นคืนจากจุดวิกฤติแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องอยู่บนดาวอังคารอีกต่อไป ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงยื่นมือคว้ามันไว้ ทันใดนั้นวัตถุเวทแห่งความมืดก็หลอมรวมเข้าสู่ภายในตัวเขา

ที่หว่างคิ้วของเขา กลับกลายเป็นจุดดำสามจุดก่อนจะเลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่เพียงแค่เขานึก พวกมันก็จะปรากฏขึ้นบนตัวเขาโดยพลัน บันดาลเป็นบุตรแห่งความมืดที่ดูดกลืนจักรพิภพได้

หลังทำทั้งหมดนี้เสร็จ หวังเป่าเล่อก็มองไปยังระบบสุริยะ เขารู้ว่าตัวเองหยุดอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน เรื่องการฝึกตนก็เหมือนกำลังพายเรือทวนน้ำ ไม่ก้าวหน้าหรือถอยหลัง

เมื่อก้าวไปบนเส้นทางนี้ก็ได้ถูกกำหนดว่าจะต้องวิ่งต่อไปข้างหน้า ด้วยวิธีนี้เท่านั้นจึงจะสามารถคุ้มครองผู้คนและสิ่งที่ตัวเองอยากปกป้องไว้ได้ เพื่อบรรลุความฝันของตน

“ผู้นำของสหพันธรัฐคือความฝันตลอดชีวิตของข้า…แม้ว่าตอนนี้จะอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่สหพันธรัฐยังเล็กเกินไป…ข้าจะทำให้สหพันธรัฐยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก ยกระดับอารยธรรมให้ถึงขีดสุด เมื่อถึงเวลานั้นข้าจึงคู่ควรกับการเป็นผู้นำอย่างแท้จริง!” ภายในจิตใจหวังเป่าเล่อก่อเกิดความภาคภูมิใจอย่างไม่รู้จบ ทว่าในขณะเดียวกันก็มีความลังเลที่จะออกเดินทางปนเปอยู่บ้าง

เพื่อสานฝันและเพื่อฝึกตน เขาจำเป็นต้องออกไปหลังเสร็จสิ้นการผนึกกายอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ร่างอวตารของเขาจึงแยกออกจากร่างต้นอีกครั้ง แล้วมุ่งตรงไปยังดาวอังคาร ในช่วงเวลาที่เหลือ เขาวางแผนจะใช้เวลากับคนในครอบครัวให้มากขึ้น

ส่วนร่างต้นแบบนั้นเดิมได้ทางออกจากระบบสุริยะแล้ว โดยอาศัยมิติมายาของดารานิรันดร์อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ในการเคลื่อนย้ายออกไป แล้วกลับไปเตรียมการจัดวางวงแหวนปราณต่อไป

หลังจากหวังเป่าเล่อกลับมายังดาวอังคาร เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ไม่นานก็ผ่านพ้นไปแล้วหนึ่งสัปดาห์ ในสัปดาห์นั้น การสังหารกลุ่มนภาห้าสมัยและทำลายล้างดาวพระเคราะห์วังเต๋าไพศาลก่อนหน้านี้ของหวังเป่าเล่อได้เป็นที่โจษจันทั่วทั้งสหพันธรัฐ ในแง่หนึ่งมีผู้เห็นกับตาตัวเองมากเกินไป ส่วนในอีกแง่หนึ่ง มันก็เป็นการกลับมาบนโลกของหลี่ซิงเหวิน พร้อมรับหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้แก่งานส่วนราชการของสหพันธรัฐ ส่งผลให้ชื่อเสียงหวังเป่าเล่อทั่วทั้งสหพันธรัฐเป็นราวกับคลื่นยักษ์ที่โถมกระหน่ำถึงขีดสุด

ในขณะที่ผู้คนได้รับขวัญและกําลังใจ หลังการกลับมาของหลี่ซิงเหวินภายในสหพันธรัฐก็เริ่มมีการปฏิรูป โดยมีการเผยแพร่การแต่งตั้ง พร้อมกับการหวนคืนของผู้ฝึกตนบนดาวอังคารจำนวนมาก สหพันธรัฐที่เป็นเหมือนดอกไม้ที่เหี่ยวเฉาไปกว่าครึ่ง หลังจากถูกรดด้วยน้ำแห่งชีวิต มันก็ค่อยๆ เบ่งบานขึ้นอีกครั้ง

อย่างแรกคือการเลือกผู้นำสหพันธรัฐ หลังจากปรึกษาความคิดเห็นของหวังเป่าเล่อแล้ว คณะเสนาบดีจะถูกก่อตั้งใหม่โดยการรับเลือกตั้ง สุดท้ายมารดาของเจ้าเยี่ยเหมิง เจ้านครดาวอังคารอูเหมิงหลิงผู้นั้นก็ถูกรับเลือกให้เป็นเป็นผู้นำสหพันธรัฐคนใหม่!

สำหรับบิดาของเจ้าเยี่ยเหมิง ก็ยังคงเป็นประธานองค์กรวิญญาณ และได้เข้าสู่คณะเสนาบดี

ส่วนตำแหน่งหลี่ซิงเหวินยังคงเหมือนเดิม คอยช่วยเหลือเจ้านครดาวอังคารและเรื่องในสหพันธรัฐ

เรื่องนี้สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วทั้งสหพันธรัฐ แต่กลับไม่มีใครคัดค้าน ด้วยมารดาของเจ้าเยี่ยเหมิง ไม่ว่าจะคุณูปการหรือการตรากตรำทำงาน แม้กระทั่งคุณวุฒิของนางเอง ล้วนเพียงพอที่จะดำรงตำแหน่งผู้นำสหพันธรัฐ

สำหรับการเลื่อนขั้นของนาง หวังเป่าเล่อก็ออกโรงด้วยตัวเอง เขาถอดอาวุธเทพดวงดาราแดงที่ผูกผมของนางออกไป เพื่อสานต่อประเพณีของสหพันธรัฐให้คงไว้ พร้อมกับบอกเล่าสถานการณ์ปัจจุบันให้แก่เจ้าเยี่ยเหมิง ในส่วนของตำแหน่งท่านเจ้านครดาวอังคารที่ว่างอยู่นั้น ผู้สืบทอดคือ…รองหัวหน้าคณะเสนาบดีหลินโยว!

เขาไม่เพียงเป็นรองหัวหน้าคณะเสนาบดีเท่านั้น แต่ยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองผู้นำอีกด้วย หลินโยวได้นั่งควบสามตำแหน่งอย่างไร้ข้อกังขาภายในสหพันธรัฐ เพราะถูกปลูกฝังให้เป็นดาวดวงใหม่ในภายภาคหน้า

หลินโยวเองก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ไม่เพียงแค่ฝีมือดี สติปัญญายังแก่กล้า อีกทั้งระดับในการฝึกตนหลายปีที่ผ่านมาก็ได้ก้าวเข้าสู่ระดับขั้นเชื่อมวิญญาณแล้ว ซึ่งยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่ห่างจากการบรรลุขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายอีกไม่ไกล

ในเวลาเดียวกัน ปฏิบัติการดาวศุกร์ซึ่งถูกระงับจากการปั่นป่วนของกลุ่มนภาห้าสมัยก่อนหน้านี้ ก็ได้เริ่มใหม่อีกรอบภายใต้การช่วยเหลือจากหวังเป่าเล่อ เพื่อเรียกคืนต้นกำเนิดดาราจากในสำนักวังเต๋าไพศาล ทำให้การสร้างดาวศุกร์กลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งสำหรับสหพันธรัฐต่อไป

มันกำลังจะถูกสร้างให้เป็นดาวอังคารดวงที่สอง ทั้งยังกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญอีกแห่งหนึ่งของระบบสุริยะและผู้ดำรงตำแหน่งเจ้านครดาวศุกร์ ได้แก่…อดีตรองเจ้านครดาวอังคาร ต้นไม้ยักษ์แห่งดวงจันทร์ต้นนั้น

ในช่วงเวลาโกลาหลของกลุ่มนภาห้าสมัย การได้รับเลือกของตัวต้นไม้ยักษ์นั้น ได้รับการยอมรับและไว้วางใจจากหลี่ซิงเหวินและคนอื่นๆ อย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้รับตำแหน่งที่สำคัญเช่นนี้!

ขณะเดียวกันยังมีดาวพฤหัสบดีและดาวดวงอื่นๆ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามลำดับ หลังจากมารดาของเจ้าเยี่ยเหมิงนามอู๋เมิ่งหลิงดำรงตำแหน่งผู้นำสหพันธรัฐ ทำให้วงแหวนปราณระบบสุริยะกว้างใหญ่ขึ้น ทำให้มีทางเข้าออกอยู่มากมาย เมื่อมีปราณวิญญาณจำนวนมากโผล่มา ก็จะทำให้ขอบเขตวงแหวนปราณขยายกว้างได้อีก

แท้จริงแล้วทุกอย่างนี้ล้วนทำเพื่อสหพันธรัฐโดยตรง เรียกได้ว่าเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับงานสุดยิ่งใหญ่!

นั่นก็คือ…การผนึกกายอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!

เรื่องนี้หวังเป่าเล่อได้แจ้งแก่กลุ่มหลี่ซิงเหวินและคนอื่นๆ แล้ว ทุกวันนี้แม้จะยังเก็บเป็นความลับ แต่ก็ได้เผยแพร่กันในหมู่เจ้าหน้าที่ระดับสูง ทุกคนที่รับรู้เรื่องนี้ล้วนตื่นเต้นหาที่สุดไม่ได้ เพราะพวกเขาทราบดีว่าเพียงแค่ระบบสุริยะได้ผนึกกับดารานิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์นั้น อารยธรรมของสหพันธรัฐพวกนั้นจะถูกยกระดับสูงขึ้นตามไปด้วย ในช่วงเวลาผนึกรวม ทุกสรรพสิ่งที่ถือกำเนิดในระบบสุริยะจะได้รับผลตอบแทนจากเจตจำนงแห่งดวงอาทิตย์!

ผลตอบรับนี้เป็นเหมือนยาบำรุงที่หาได้ยากยิ่งในโลก สามารถเลื่อนขั้นคนธรรมดา ทำให้ระดับผู้ฝึกตนยกระดับขึ้น รวมทั้งคนที่ยังติดอยู่ในขั้นกำเนิด ก็สามารถถือโอกาสนี้ลองฝ่าฟันดูได้!

เรื่องแบบนี้ จะไม่ให้คนตื่นเต้นได้อย่างไร ในเวลาเดียวกันนอกจากการแต่งตั้งนอกดวงดาราต่างๆ แล้ว ภายในสหพันธรัฐเองก็มีการปรับเปลี่ยนหลายหน่วย อาทิเช่น จินตั้วหมิงเข้ารับดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลจินอย่างเป็นทางการและกลายเป็นผู้นำสูงสุดของกลุ่มไตรจันทรา หลังรับตำแหน่ง เขาได้สั่งให้ร่วมมือกับองค์กรวิญญาณอย่างเต็มที่ทันที เพื่อแผนการสร้างวัตถุเวทวิทยาศาสตร์การวิญญาณที่แข็งแกร่งขึ้น!

นอกจากนี้ยังมีหลิวต้าวปินที่ได้รับเลื่อนขั้นด้วย โดยอาศัยความสัมพันธ์กับหวังเป่าเล่อ อีกทั้งตัวเขายังได้อุทิศตนเพื่อสหพันธรัฐตลอดหลายปีที่ผ่านมา จึงได้รับเลื่อนตำแหน่งให้เป็นรองเจ้านครดาวอังคาร มีอำนาจเต็มที่ในการดูแลควบคุมงานของเขตพิเศษของดาวอังคาร

ในส่วนของสี่สำนักวิชาเต๋าที่ยิ่งใหญ่ ได้เริ่มสร้างขึ้นใหม่ หลังจากสหพันธรัฐได้ขจัดเหล่ากบฏออกไป ในบรรดาพวกเขา ผู้ดูแลรับผิดชอบในการสร้างสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ขึ้นใหม่ก็คือโจวเสี่ยวหยา นางถูกแต่งตั้งเข้ารับตำแหน่งประมุขสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์!

ขณะที่ทุกอย่างกำลังเร่งทำการก่อสร้าง ตรงกันข้ามกับหวังเป่าเล่อที่ใช้เวลาพักผ่อนอยู่กับบิดามารดาของเขาทุกวันชีวิตกลับคืนสู่ความสงบและอบอุ่นอย่างที่ไม่ได้มีมาช้านาน

ในระหว่างที่เพลิดเพลินกับความอบอุ่นของครอบครัว หวังเป่าเล่อยังคงดูแลรักษาสุขภาพร่างกายบิดามารดาของตนต่อไป ค่อยๆ รักษาอาการบาดเจ็บของแม่เขาทั้งหมดจนหายดี พร้อมกับให้ไฟแห่งชีวิตทั้งสองท่านก็ยังคงอยู่ในสภาพที่แข็งแรงและยังดูอ่อนเยาว์มาก

เมื่อพิจารณาจากปราณวิญญาณที่ทิ้งไว้ให้พวกเขา โดยทั่วไปอายุขัยพวกท่านจะยกระดับถึงขั้นสูงสุดของวิญญาณ ทั้งยังป้องกันเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นเหมือนคราวก่อน ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อในช่วงนี้จึงใช้ระดับฝึกตนดาวพระเคราะห์สร้างอุปกรณ์เสริมบางอย่างขึ้น

อุปกรณ์เสริมพวกนี้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ลงมือ ก็ยากที่จะปลิดชีวิตพ่อแม่เขาในระยะเวลาอันสั้นได้ และเขาจะรับรู้ได้ทันทีตั้งแต่ครั้งแรก

เวลาได้ผ่านไปแบบนี้อีกครั้ง จนกระทั่งเหลืออีกครึ่งเดือนก่อนจะถึงเวลาผนึกกายอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เข้าด้วยกัน หวังเป่าเล่อดันได้รับเทียบเชิญร่วมงานพิธีมงคลสมรสของหลินเทียนหาวกับตู้หมิน!

วินาทีที่ได้เห็นบัตรเชิญ หวังเป่าเล่อก็มีสีหน้าแอบแปลกใจ สวดภาวนาให้หลินเทียนหาวไปรอบหนึ่ง

แม้เขากับตู้หมินจะเป็นเพื่อนร่วมชั้นเก่าแก่ แต่ก็ไม่ค่อยถูกกัน ในมุมมองหวังเป่าเล่อนั้น ด้วยบุคลิกเจ้าอารมณ์ของตู้หมิน แถมสารร่างยังแบนราบ ชาตินี้ได้แต่งงานออกไปถือเป็นเรื่องที่ยากมาก

“เทียนหาวนะเทียนหาว ขอภาวนาในเจ้าโชคดีก็แล้วกัน…” หวังเป่าเล่อกระแอมออกมา แม้จะพูดไปแบบนั้นแต่ในใจกลับยินดีนัก เขาและหลินเทียนหาวถ้าไม่ได้ตีกันก็คงไม่ได้เป็นเพื่อนซี้กัน ส่วนตู้หมินก็รุ่นพี่และเพื่อนร่วมชั้นเรียนเก่า ดังนั้นในใจเขากลับยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทั้งสองคนได้ลงเอยกัน

แน่นอนว่า นี่ก็คือสาเหตุว่าทำไมเขาถึงไม่มีความรู้สึกแบบชายหญิงกับตู้หมิน ไม่อย่างนั้นป่านนี้คงโกรธไปนานแล้ว

หลังได้รับเทียบเชิญ หวังเป่าเล่อได้อัดเสียงบอกหลินเทียนหาวว่าตัวเองจะไปร่วมงานด้วย อีกทั้งตั้งแต่เขากลับมา นอกจากเข้าร่วมพิธีเลื่อนตำแหน่งของแม่เจ้าเยี่ยเหมิงครั้งนั้น เวลาอื่นก็อยู่แต่ในบ้านไม่รับแขก ดังนั้นหลินเทียนหาวจึงดีใจมาก หลังได้ทราบว่าหวังเป่าเล่อจะมา ขณะเดียวกันข่าวก็แพร่สะพัดออกไป ทำให้กลุ่มคนที่อยากเข้าพบหวังเป่าเล่อต่างสนใจกับเรื่องนี้

ด้วยเหตุนี้ หลายวันต่อมา พิธีมงคลสมรสของหลินเทียนหาวกับตู้หมินที่จัดขึ้นบนดาวอังคารจึงเต็มไปด้วยเพื่อนพ้องและการพบปะกันของวีรบุรุษ ความครื้นเครงครั้งนั้นยิ่งใหญ่มากจนยกขนานนามว่าเป็นงานพิธีแห่งศตวรรษ!

…………………………………….

พื้นพสุธาดังสนั่นหวั่นไหว สร้างรอยร้าวขึ้นบนแผ่นดินดาวอังคารอย่างฉับพลัน รอยแตกระแหงแผ่กระจายไปทุกทิศทาง ใจกลางของมันคือ…นครดาวอังคารใหม่!

แม้จะมองจากท้องฟ้าก็สามารถเห็นแผ่นดินที่มีนครดาวอังคารใหม่เป็นศูนย์กลางได้ ขณะนี้ บริเวณที่แตกขยายเป็นวงกว้างไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของดาวอังคารในชั่วพริบตา

อย่างไรก็ตาม การแตกกระจายเหล่านี้ไม่ได้ทำให้พื้นดินพังทลาย แม้ว่าผู้คนที่อาศัยอยู่บนดาวอังคารจะรู้สึกได้ถึงแผ่นดินไหว แต่มันก็ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับอาคารบ้านเรือน อีกทั้งไม่ได้ทำร้ายใครแม้แต่น้อย

ทว่ากลับมีเส้นสายพลังลมปราณสีดำจำนวนหนึ่ง เกิดขึ้นทันทีจากในรอยแยกของดาวอังคาร พุ่งตรงไปยังจักรวาล เมื่อพินิจดูใกล้ๆ จะพบว่ามีอนุภาคเล็กละเอียดในสายหมอกเหล่านี้จำนวนมาก

ท่ามกลางจิตใจที่สั่นไหวของผู้คนบนดาวอังคาร พวกเขาแลเห็นสายหมอกและอนุภาคผสานกันอยู่กลางอากาศ จนสุดท้ายได้ก่อตัวเป็นพายุ แผ่ซ่านไอสังหาร หลังทะยานสู่อวกาศกลายเป็นสายธารที่ทอดยาว มันก็พุ่งตรงไปยังปลายกระบี่สำริดโบราณ

มันเคลื่อนตัวได้อย่างว่องไว ในชั่วพริบตา…ก็พุ่งมารวมกันตรงปลายกระบี่สำริดโบราณ ทันทีที่มาถึง เสียงแซ่ซ้องดังก้องในใจของหวังเป่าเล่อ สายหมอกและอนุภาคเหล่านั้นหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างรวดเร็ว ก่อตัวเป็นเรือที่…เหมือนจะไม่ใหญ่นัก เรือเดียวดายที่นั่งได้เพียงคนเดียว!

ยิ่งไปกว่านั้นเรือเดียวดายลำนี้ มาพร้อมกับการผสานของอนุภาคที่เหลือของมัน ก่อตัวเป็นชุดคลุมสีดำครอบศีรษะตัวหนึ่ง และไม้พายตะเกียงมายาที่ห้อยส่องแสงอยู่!

ต่อมาปรากฏว่า รัศมีของอาวุธเทพที่เหนือกว่ากริชเหาะเหินโลหิตของสหพันธรัฐ รวมถึงชุดคลุมสีดำนี้และตะเกียงบนเรือเดียวดายนั้น กลับระเบิดออกดังกึกก้อง

มันคือวัตถุเวทแห่งความมืดของสำนักแห่งความมืด!

แม้ว่าระดับของมันจะไม่ดีเท่ากระบี่สำริดโบราณ และก็ยังห่างชั้นกันอยู่ อีกทั้งความห่างชั้นนั้นใหญ่มากจนหวังเป่าเล่อไม่อาจมองข้ามได้ ทว่า…หากเป็นเขาที่ได้รับการยินยอมจากผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพให้ใช้วัตถุเวทแห่งความมืดแล้วละก็ ภายใต้การควบคุมนี้ แม้จะยังไม่สามารถสั่นคลอนกระบี่สำริดโบราณได้มากนัก แต่คงทะลวงเข้าสู่วงแหวนปราณของมันได้ ในไม่ช้าก็จะคุกคามผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพแห่งวังเต๋าไพศาลคนนั้นเข้าจนได้!

นี่ก็คือ…การสกัดกั้นของหวังเป่าเล่อ

ก่อนอื่นเขาจะขยายเกราะกำบังที่ปรมาจารย์แห่งไฟมอบให้ตน จากนั้นจะสั่นคลอนกระบี่โบราณด้วยฝักกระบี่ของตัวเอง แล้วบอกอีกฝ่ายว่าเขาไม่สามารถจัดการแทรกแซงได้ ในเวลาเดียวกันจะให้แม่นางน้อยปรากฏตัวเพื่อยืนยันความสัมพันธ์เดิมที่ตัวเองมีกับวังเต๋าไพศาล ซึ่งไม่ควรใช้สงครามแก้ปัญหา!

หลังจากนั้น เขาจะเรียกวัตถุเวทแห่งความมืดให้มาปรากฏตัว พร้อมดำเนินการคุกคามครั้งสุดท้าย แม้จะไม่ได้บอกตรงๆ แต่ก็แสดงออกมาอย่างขัดเจน นั่นคือ…หวังเป่าเล่อคนนี้ครอบครองผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพที่รักษาอาการบาดเจ็บไม่ได้ ทำได้แค่ทำร้ายหรือสังหารเท่านั้น

ทั้งหมดนี้นำมาซึ่งความสั่นสะพรึงของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพบนแท่นสังเวยที่สาม ด้วยแรงปะทะที่ซัดมาเป็นระลอก ส่งผลให้ดวงตาของเขาค่อยๆ หรี่ลง ทั่วทั้งร่างสงบนิ่งขึ้นกว่าเดิม เป็นความจริงที่ว่าไม่ว่าเขาจะชั่งน้ำหนักเท่าไร ก็ยังรู้สึกว่าไม่สามารถทำให้แย่ไปมากกว่านี้ได้ มิฉะนั้นผลที่ตามมาจะร้ายแรงนัก

นี่ทำให้เขาต้องให้ความสำคัญกับหวังเป่าเล่อมากขึ้น ตรงกันข้ามกับชายหนุ่มดารานิรันดร์ผู้นั้น ที่บัดนี้สีหน้าได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง พร้อมๆ กับลมหายใจถี่ระรัว แววตาของเขายังคงตื่นตระหนก เขาไม่ได้โง่จนไม่เห็นสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เพราะเหตุนี้เขาจึงกำลังจะเอ่ยปากพูดด้วยจิตใจที่สั่นสะพรึง

ทว่าก่อนที่คำพูดของเขาจะได้เอื้อนเอ่ยออกไป นัยน์ตาของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพบนแท่นสังเวยที่สามก็ได้เผยความมาดมั่น แม้ว่าเขาจะไม่สามารถยั่วยุปรมาจารย์แห่งไฟได้ แต่เขายังมีเกราะป้องกันของกระบี่สำริดโบราณ อย่างไรก็ตาม ผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ที่อยู่ตรงหน้าเขาก็สามารถสั่นคลอนกระบี่โบราณได้ สิ่งนี้ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนไป ไหนจะวัตถุเวทแห่งความมืดสุดพิสดารที่โผล่มา รวมถึง…ธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บ แต่กลับมีภูมิหลังอันน่าสะพรึงกลัว

ทั้งหมดนี้ทำให้เขาไม่จำเป็นต้องชั่งน้ำหนักอีกต่อไป ดังนั้นในเวลาต่อมา ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นี้จึงถอนหายใจออกมา ยกมือขวาขึ้นโบกสะบัดพร้อมทั้งแผดเสียงคำราม ทันใดนั้นแรงกดดันมหาศาลก็พุ่งตรงมายังชายหนุ่มดารานิรันดร์

ส่งผลให้ชายหนุ่มกระอักเลือดและกรีดร้องออกมา

“ปรมาจารย์…”

“หุบปาก!” สิ้นเสียงคำพูดผะแผ่วของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นั้น ชายหนุ่มดารานิรันดร์ก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ตัวเขาที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บซ้ำซ้อน ส่งผลให้การฟื้นตัวของเขาในหลายปีก่อนหน้านี้เปล่าประโยชน์ ซ้ำยังเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม

ขณะที่ทั่วทั้งร่างสั่นเทิ้ม เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะฉายสายตาอาฆาตแค้น คนที่ทั้งร่างกายและวิญญาณอ่อนเพลียอย่างหาที่เปรียบไม่ได้จนเคยสลบไสลไปนาน แม้ว่าจะสามารถค่อยๆ ฟื้นตัวได้เมื่ออยู่บนแท่นสังเวยนี้ แต่ก็ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีกว่าจะฟื้นคืนสู่การฝึกตนขั้นต้น เว้นเสียแต่จะมีความโชคดีอื่นๆ หากอยากฟื้นตัวเต็มที่…เกรงว่าคงใช้เวลานับพันปี

เมื่อเป็นเช่นนั้น สายตาของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพที่นั่งขัดสมาธิบนแท่นสังเวยลำดับสาม จึงจับจ้องไปยังตัวหวังเป่าเล่อซึ่งกำลังสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่ในตอนนี้ เขาพยายามระงับความโกรธแค้นชิงชังบนใบหน้า แล้วคารวะผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้ง

“ศิษย์น้องหวังเป่าเล่อ ขอทำความเคารพศิษย์พี่ ขอบคุณศิษย์พี่ทำให้ความยุติธรรมขอรับ!”

ก้นบึ้งจิตใจผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพไม่พอใจในตัวหวังเป่าเล่อที่อยู่ตรงหน้าเป็นอย่างมาก เขาพ่นลมออกจมูกด้วยความขุ่นเคือง อดไม่ได้ที่จะมองไปยังธิดาศักดิ์สิทธิ์ของสำนักตัวเองที่อยู่ด้านข้าง แล้วแววตาจึงอ่อนลง เมื่อกำลังจะเอ่ยปาก หวังเป่าเล่อก็เปล่งเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง

“ศิษย์น้องนับถือในสติปัญญาของศิษย์พี่ และยิ่งเลื่อมใสศิษย์พี่ในการยึดถือคุณธรรม ในขณะเดียวกันตัวข้าก็เคยได้รับความกรุณาจากวังเต๋าไพศาล อีกทั้งเต็มใจอุทิศตนเพื่อเยียวยารักษาอาการบาดเจ็บให้แก่ศิษย์พี่ร่วมสำนักฝึกตน ฉะนั้น…ศิยย์น้องจึงวางแผนที่จะจัดงานใหญ่หลังจากนี้ภายในเวลาหนึ่งเดือนขอรับ ท่านปรมาจารย์แห่งไฟของข้าต้องการให้มีหนึ่งดาราจักรแห่งอารยธรรมดารานิรันดร์มาเข้าร่วมในระบบสุริยะด้วย!”

“ด้วยเหตุนี้ ศิษย์พี่จะได้บ่มเพาะฟื้นฟูพลังปราณไปพร้อมๆ กัน ซ้ำยังช่วยยกระดับอารยธรรมระบบสุริยะของข้าอีก!”

เมื่อหวังเป่าเล่อกล่าวออกมา ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพแห่งสำนักเต๋าที่ไม่ชอบเขาอยู่แล้วก็ตาเบิกโพลงขึ้นทันควัน พลันหันไปมองหวังเป่าเล่อทันที

“เจ้าต้องการรวมดาราจักรแห่งอารยธรรมมาไว้ด้วยกันอย่างนั้นรึ?”

หวังเป่าเล่าพยักหน้านิ่งๆ

“นี่เป็นเพียงขั้นแรกขอรับ ต่อไปศิษย์น้องยังมีแผนที่จะดึงดารานิรันดร์มารวมเข้ากับระบบสุริยะอีกมาก เพื่อให้การฝึกตนของศิษย์พี่คนอื่นๆ ฟื้นคืนรวดเร็วยิ่งขึ้น!”

หวังเป่าเล่อแย้มรอยยิ้มบนใบหน้า ทว่าในใจลึกๆ ของเขากลับนิ่งเฉย เขารู้ว่าสำนักวังเต๋าไพศาลจริงๆ แล้วอาจไม่ได้เป็นศัตรู ความเกลียดชังระหว่างอีกฝ่ายกับตระกูลไม่รู้สิ้น ทำให้ตัวเขากลายเป็นพันธมิตรกันไปโดยปริยาย

ถึงแม้ว่าจะเป็นพันธมิตรกัน แต่ก็ต้องเคารพซึ่งกันและกัน มิฉะนั้นคงจะไม่ใช่พันธมิตร แต่เป็นผู้ถูกกดขี่

ดังนั้นเขาจึงต้องวางท่า เพราะหากเขาสามารถเป็นพันธมิตรที่ทัดเทียมกับสำนักวังเต๋าไพศาลได้จริง มันจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อสหพันธรัฐ ในขณะเดียวกันเขาก็รู้วิธีที่จะเจรจากับผู้คน ถ้าต้องการบรรลุเป้าหมายบางอย่าง จำเป็นต้องแลกบางสิ่งเพื่อกระตุ้นจิตใจอีกฝ่าย ซึ่งอาจมีหลายสิ่งหลายอย่างที่สั่นคลอนผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นี้ได้ แต่หวังเป่าเล่อลองคิดไปคิดมา สิ่งที่จะช่วยได้คือการรวมกับอารยธรรมดวงเนตรสววรค์เท่านั้น ถึงจะสามารถทำการรักษาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าได้

ถ้าเขาเสนอของกำนัลที่ว่านี้ตั้งแต่แรก ผลย่อมไม่เป็นที่น่าพอใจ เพราะสถานะของพวกมันไม่เท่ากัน หากเขาใช้สิ่งนี้บีบคั้นเพื่อจะลงทัณฑ์ดารานิรันดร์ ก็จะส่งผลเสียตามมาอยู่ดี

ดังนั้นทันทีที่เขาปรากฏตัว จึงได้สังหารศิษย์พี่เต๋ออวิ๋นจื่อด้วยพลังที่เหนือชั้น จากนั้นก็แสดงทักษะนักฆ่าด้วยความอุกอาจ เพื่อที่ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพจะลงทัณฑ์ชายหนุ่มดารานิรันดร์

จนถึงตอนนี้ เขาได้รับสถานภาพที่ทัดเทียมกันในระดับหนึ่งแล้ว ทันทีที่อีกฝ่ายไม่พอใจ เขาก็จะทำทีเสนอของกำนัลชิ้นใหญ่แบบนี้ให้ ห้าวก่อนแล้วขอขมาทีหลังแบบนี้ ปัญหาที่โผล่ขึ้นมาในมือก็จะถูกแก้ไขอย่างง่ายดายด้วยความชำนาญของเขา

ทั้งหมดนี้ แน่นอนว่าผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพที่นั่งอยู่บนแท่นสังเวยย่อมหยั่งรู้ได้ทันที ทำให้สายตายามที่เขามองหวังเป่าเล่อนั้นล้ำลึกขึ้นเล็กน้อย ในขณะเดียวกันเขาก็เข้าใจว่าจุดสำคัญในการรวมดารานิรันดร์ของอีกฝ่าย คือการยกระดับอารยธรรม ณ ที่แห่งนี้ แต่เขาต้องยอมรับว่าเมื่อยกระดับอารยธรรมในระบบสุริยะให้สูงขึ้น เขาและคนอื่นๆ ก็จะได้รับประโยชน์มากมายจากการฟื้นฟูการฝึกตนของพวกเขาเช่นกัน

คำพูดสุดท้ายของหวังเป่าเล่อก็ทำให้เขาอุ่นใจมากไปพร้อมๆ กัน เมื่อใดที่อีกฝ่ายสามารถยกระดับความเจริญรุ่งเรืองของสหพันธรัฐได้อย่างต่อเนื่อง และทำให้ดารานิรันดร์แข็งแกร่งมากขึ้น เมื่อนั้นมันก็จะเป็นประโยชน์ต่อเขาเป็นอย่างมาก

ฉะนั้นหลังจากเงียบไป ผู้เยี่ยมยุทธ์จักพิภพผู้นั้นก็ทอดสายตาไปที่หวังเป่าเล่อด้วยท่าทีที่สงบลง แล้วพยักหน้า

“ขอบคุณมากสหายหนุ่ม ชิงหลิงจื่อช่างไร้ไหวพริบจนเกือบจะทำผิดพลาดครั้งใหญ่ ทำลายพันธมิตรระหว่างวังเต๋าไพศาลกับสหพันธรัฐ เขามีความผิดจริงในเรื่องนี้ วังเต๋ากับสหพันธรัฐไม่ควรเป็นปรปักษ์กัน เพราะเรามีศัตรูร่วมกัน…” พูดถึงตรงนี้ ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นี้ก็เหลือบมองวัตถุเวทแห่งความมืดด้านนอก พลันตระหนักได้ว่าดาวพระเคราะห์ที่อยู่ตรงหน้าเขาเอาอาวุธเวทนี้ออกมาด้วยพลังลมปราณของสำนักแห่งความมืด จุดประสงค์ก็เพื่อเตือนตัวเองว่าเขามีความเกี่ยวข้องกับสำนักแห่งความมืดและศัตรูของทุกฝ่าย…คือคนเดียวกัน!

“ช่างเป็นผู้ฝึกตนที่มีความรอบคอบ กล้าหาญ เด็ดเดี่ยวอะไรเช่นนี้…” เมื่อนึกถึงศิษย์รุ่นน้องของวังเต๋าไพศาลของตัวเอง ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นี้จึงถอนหายใจออกมาแล้วพูดต่ออีกครั้ง

“จากนี้ไป วังเต๋าไพศาลจะไม่ยุ่งกับกิจการภายในใดๆ ของสหพันธรัฐ จะข้องเกี่ยวกันที่การฝึกตนเท่านั้น และเมื่อศัตรูต่างถิ่นบุกเข้ามา ก็จะรวมตัวกับภายนอก เคียงบ่าเคียงไหล่ไปด้วยกัน!

“ขอบคุณขอรับศิษย์พี่” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วคารวะด้วยความเคารพอย่างสุดซึ้งอีกครั้ง

…………………………………….

“ลำพองตนเกินไปแล้ว!” จิตสังหารฉายชัดในแววตาของชายหนุ่ม ขณะเปล่งเสียงร้องคำราม ปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่แผ่กระจายอยู่ในร่างกายออกมา!

เสียงครึกโครมดังขึ้นระหว่างที่ทั้งสองฝ่ายปะทะกัน ในยามที่เก้าดาวเคราะห์บรรพกาลและดาวเคราะห์เต๋าด้านหลังหวังเป่าเล่อสั่นสะเทือน ดูเหมือนจะมีทะเลเพลิงมายาลุกโชนจากด้านหน้า นี่คือพลังของดารานิรันดร์ แม้ว่าตัวชายหนุ่มเองจะบาดเจ็บหนักจนตอนนี้พลังที่เขามีไม่ถึงหนึ่งในสิบ ทว่าดารานิรันดร์ยังคงอยู่เช่นเดิม!

ดังนั้นเพลิงของดารานิรันดร์จึงก่อตัวขึ้นภายใต้การขัดขวางของพลังเทพ ทั้งในรูปแบบมายาและความจริง ไม่เพียงแต่ปรากฏขึ้นในจิตใจของหวังเป่าเล่อและดวงดาราที่อยู่ด้านหลังเพียงเท่านั้น ยังปรากฏอยู่ข้างชั้นกายเนื้ออีกด้วย ราวกับจะแผดเผาร่างกายและวิญญาณของเขาในเปลวเพลิงของดารานิรันดร์เข้าด้วยกัน

ทันทีที่เก้าดาวเคราะห์บรรพกาลที่อยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อสั่นสะเทือนขึ้นมา พวกมันถูกจัดเรียงตัวกันเป็นเงามายาดาวเคราะห์เต๋า เนื่องจากแสงสว่างเจิดจ้ายังคงอยู่ จึงดูเหมือนเพลิงของดารานิรันดร์ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก อย่างไรก็ตามหวังเป่าเล่อก็เป็นแค่ระดับดาวพระเคราะห์ ชั้นกายเนื้อของเขาจึงเริ่มออกอาการจนทนไม่ไหวอีกต่อไป

แต่…เนื่องจากหวังเป่าเล่อมีความกล้าหาญและความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นทุนเดิม แม้ว่าชั้นกายเนื้อของเขาเหมือนจะถูกทำลายด้วยเปลวเพลิงอยู่ในเวลานี้ ทว่าแววตาของเขายังคงสงบนิ่ง ไม่สั่นไหวแต่อย่างใด นิ้วชี้ข้างขวาตวัดไปด้านหน้าด้วยความดุดัน!

ในชั่วพริบตา ปราณกระบี่จากปลายนิ้วก็ปะทุออกมาอย่างรุนแรง ชั้นกายเนื้อของเขาพยายามยืนหยัดไว้จนถึงขีดสุด ภายใต้อุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้น ก็มีของเสียสีดำจำนวนมากออกมาทางต่อมเหงื่อทั่วทั้งตัว ราวกับว่าของเสียทั้งหมดในตัวถูกขับออกมาโดยความร้อนพวกนี้ จนใกล้จะถึงจุดวิกฤติที่จะเกิดการแตกซ่าน…

แต่ ณ ขณะนั้น จู่ๆ ก็ได้ปรากฏภาพลวงตาแสนรุนแรงของทะเลเพลิงห่าใหญ่จากในร่างกายของเขาขึ้นมา ครั้นจะพูดให้ถูก ทะเลเพลิงนี้ไม่ได้เกิดจากในตัวเขา ทว่าเกิดจากอากาศธาตุที่แผ่คลุมร่างกายของหวังเป่าเล่อ ซึ่งไม่ได้ทำอันตรายใดๆ แก่เขาเลย ตรงกันข้ามเขากลับรู้สึกได้รับการปลอบประโลม

ยิ่งไปกว่านั้นยังได้สร้างเกราะป้องกัน แผ่กระจายออกปะทะกับเปลวเพลิงของชายหนุ่มดารานิรันดร์จนเปลวเพลิงของชายหนุ่มดารานิรันดร์สั่นสะเทือนเลือนลั่น ปราศจากการตอบโต้ พลันถูกเปลวเพลิงที่ลุกท่วมรอบกายหวังเป่าเล่อดูดซับและผนึกกายไว้ด้วยกัน เปลวเพลิงที่อยู่บนร่างหวังเป่าเล่อเหมือนจะได้รับพลังเสริมบางอย่าง ลุกลามไปด้านนอกอีกครั้ง มองจากระยะไกลหวังเป่าเล่อในขณะนี้ดูราวกับเทพอัคคีตนหนึ่ง!

นี่คือไม้ตายของเขา และยังเป็นเหตุผลที่เขากล้าเสี่ยงตายมาถึงกระบี่สำริดโบราณเพียงลำพัง!

เพราะเพลิงนี้ได้มาจากปรมาจารย์แห่งไฟ!

แม้ก่อนหน้านี้ปรมาจารย์แห่งไฟที่อยู่ในระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์จะจากไป แต่เปลวเพลิงก็ยังมีอยู่ หลังจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ถูกหวังเป่าเล่อปฏิวัติ เพลิงนี้ได้ผสานเข้ากับรอบกายเขา ราวกับหายสาบสูญไป ทว่าหวังเป่าเล่อสามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ของเปลวเพลิงได้อย่างชัดเจน เฉกเช่นได้รับพรจากดวงวิญญาณ เขาประจักษ์ถึงประสิทธิภาพของเพลิงนี้ ซึ่งก็คือการแผ่กระจายสร้างเกราะการป้องกันในขณะที่ตนตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต!

เรียกได้ว่านี่เป็นพรที่รับมาจากท่านอาจารย์ของเขา ปรมาจารย์แห่งไฟ!

มีพรนี้อยู่ยังพูดไม่ได้ว่าชายหนุ่มคนนั้นเป็นแค่ดารานิรันดร์คนหนึ่งที่ได้รับบาดเจ็บ แม้จะอยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่สุดก็ทำให้หวังเป่าเล่ออับจนหนทางได้อยู่ดี ถึงปรมาจารย์แห่งไฟจะให้พรมา แต่กลับรู้ดีว่าไม่สามารถฝืนธรรมชาติได้ อีกทั้งไม่อยากให้ลูกศิษย์พึ่งพาตัวเองมากจนเกินไป ดังนั้นไฟนี้จึงเป็นเพียงเกราะป้องกันที่ไม่ทำอันตรายต่อภายนอก

ทว่าสำหรับหวังเป่าเล่อเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ขณะที่เปลวเพลิงลุกลามออกไป ท่าทีของชายหนุ่มดารานิรันดร์พลันแปรเปลี่ยน แสดงสีหน้าที่คาดไม่ถึงออกมา นาทีที่ร่างของเขาต้องการล่าถอยออกจากแท่นสังเวย หวังเป่าเล่อจึงตวัดนิ้วชี้ข้างขวาลงทันควัน ปราณกระบี่ในตัวพลันระเบิดดังสนั่นลั่นฟ้า!

นี่เป็นปราณกระบี่ที่หลอมรวมอยู่กับฝักกระบี่ในกายเขา พลังของมันช่างน่าทึ่ง กล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในพลังเทพที่แข็งแกร่งที่สุดในตัวของหวังเป่าเล่อ ณ ตอนนี้ สำหรับการโจมตีอันไร้ที่ติ!

ปราณกระบี่นั้นพลันส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ยามที่ปะทะลงบนร่างของชายหนุ่มผู้นั้น ครั้นฟาดฟันลงมา แม้ว่าจะไม่ทำให้บาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิต แต่ก็ส่งผลต่ออาการบาดเจ็บของร่างกายที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ ทำให้การรักษาในหลายปีที่ผ่านมาของเขานั้นสูญเปล่า

ฉะนั้นนี่คือสิ่งที่ชายหนุ่มไม่มีทางยอมรับได้ ดังนั้นสีหน้าของเขาจึงเปลี่ยนเป็นความเกรี้ยวกราด ชายหนุ่มคนนั้นกัดเข้าที่ลิ้นของตนเอง พลันถ่มเลือดออกมาคำโตแล้วโพล่งออกมาอย่างเหลืออด

“ท่านปรมาจารย์!”

ในเวลาต่อมา ท่านปรมาจารย์ก็ไม่ให้โอกาสหวังเป่าเล่อโต้ตอบใดๆ ตรงไปปะทะเข้ากับเปลวเพลิงรอบกายเขาเสียงดังกึกก้อง ร่างกายของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน แม้จะมีเปลวเพลิงขวางไว้ทำให้ไร้ซึ่งอันตราย ทว่าร่างกายยังคงเสื่อมถอยภายใต้การโจมตีของพายุลูกนี้ ทำให้เขาหลุดออกนอกม่านหมอก ขณะเดียวกันก็มีเสียงอึกทึกครึกโครมมาจากร่างมายาที่นั่งขัดสมาธิบนแท่นสังเวยที่สาม!”

“ผู้มาเยือน ข้าไม่อยากพบเจ้าอีก ไปให้พ้น!”

นอกม่านหมอก หวังเป่าเล่อถดตัวถอยหลังไปเรื่อยๆ ถึงร้อยจั้ง ก่อนจะหยุดลงอย่างไม่เต็มใจนัก เขาเงยหน้าขณะหายใจหอบถี่ พลางจ้องไปยังแท่นสังเวยที่สองในม่านหมอก ได้แต่ถอนหายใจในยามที่ชายหนุ่มดารานิรันดร์จ้องเขาด้วยความอาฆาตพยาบาทอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมองถัดไปบนแท่นสังเวยที่สาม ตัวเขานั้นเหลือบตามองร่างมายาด้วยดวงตาแสบร้อน แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา

หลังจากที่เสียงหัวเราะดังขึ้น แสงเย็นวาบพลันส่องประกายผ่านนัยน์ตาของหวังเป่าเล่อ แผ่ความดุดันอำมหิตออกไปทั่วทั้งตัว เสียงฟ้าร้องดังกระหึ่มทั่วทุกสารทิศ

“ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพนั้นไร้เหตุผลขนาดนี้เชียวรึ พวกข้าหรือใครกันแน่ที่เป็นผู้เยี่ยมเยือน!”

เมื่อคำพูดพรั่งพรูออกมา กฎเปลวเพลิงแห่งดาวเคราะห์บรรพกาลที่อยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อ ก็ถูกเขาควบคุมโดยตรง เปลวเพลิงของปรมาจารย์แห่งไฟพลันถูกดึงออกอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะไม่สามารถใช้พิฆาตศัตรู แต่ยังสามารถลุกลามเป็นวงกว้างและใช้ทำเป็นตัวขัดขวางได้

ในขณะที่เปลวเพลิงลุกลาม ลมปราณของปรมาจารย์แห่งไฟที่อยู่ในกายก็ถูกปล่อยออกมาไม่มากก็น้อย พลอยทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพของวังเต๋าไพศาลที่อยู่บนแท่งสังเวยลำดับสามค่อยๆ เงยหน้าขึ้น จากใบหน้าที่เลือนลางยากแก่การมองเห็น ฉายแววตาวาวโรจน์ดุจสายฟ้า ฟาดลงมาบนตัวหวังเป่าเล่อ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง ร่างนั้นจึงพูดขึ้นอย่างช้าๆ

“ลมปราณแห่งเปลวเพลิง…เจ้าเรียกเปลวเพลิงได้ ต่อให้เขาจะมาด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรกระบี่จักรพิภพโบราณแห่งวังเต๋าไพศาลของข้าได้หรอก!”

“เพราะฉะนั้น…ถอยไปซะ!”

“กระบี่จักรพิภพโบราณ? ข้าไม่รู้ว่าท่านอาจารย์ของข้าสามารถทำอะไรได้บ้าง แต่ข้า…ไม่สามารถทำได้งั้นหรือ?” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำพูดนั้น เวลานี้ฝักกระบี่ในกายของเขาถูกเขาควบคุมโดยสมบูรณ์ ทันทีที่พื้นพสุธาใต้ฝ่าเท้าสั่นสะเทือนเลือนลั่น ทั่วทั้งกระบี่สำริดโบราณก็เริ่มสนั่นสั่นไหว!

ฉากนี้ทำให้ดวงตาของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพหรี่ลง เขานิ่งเงียบไปเป็นเวลานานก่อนที่จะเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบา

“เจ้ากำลังจะทำอะไร?”

“ข้าไม่ได้หมายจะให้เขาตาย แต่อย่างน้อยเขาต้องเจ็บหนัก และหลับไหลอีกครั้งเป็นเวลาพันปี โทษฐานที่ทำให้สหพันธรัฐระบบสุริยะเกิดความปั่นป่วน!” หวังเป่าเล่อพูดออกมาอย่างดุดัน พร้อมทั้งชี้นิ้วไปที่ชายหนุ่มดารานิรันดร์ที่สีหน้าเปลี่ยนไป

“ความสามารถของเจ้ายังไม่เพียงพอ ข้าขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย ถอยไปซะ!” หลังจากลองตรึกตรอง เขาก็ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันแฝงความเย็นชา

“ความสามารถงั้นหรือ?” หวังเป่าเล่อชูมือขวาขึ้นขณะควบคุมฝักกระบี่และหยิบหน้ากากลึกลับออกมา

“แม่นางน้อย เจ้ามีความสามารถพอรึยัง!”

เมื่อถอดหน้ากากออก ร่างของแม่นางน้อยได้แปลงกายออกมาจากด้านในหน้ากาก และมายืนเคียงข้างหวังเป่าเล่อ หลังจากถอนหายใจเบาๆ แม่นางน้อยก็โค้งคำนับ ท่ามกลางสีหน้าที่เปลี่ยนไปโดยฉับพลันของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพผู้นั้น

“ข้าน้อยขอคารวะท่านซิงอี้ผู้สูงส่ง”

ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพบนแท่นสังเวยลำดับสามได้แต่นิ่งงันอีกครั้ง

“หากยังไม่พอ…” ใบหน้าของหวังเป่าเล่อแสดงความดุดันหนักหน่วงขึ้น คราวนี้เขาต้องทำให้วังเต๋าไพศาลหวาดหวั่น มิฉะนั้นถ้าอีกฝ่ายอยู่ที่ระบบสุริยะแห่งนี้ หายนะอื่นๆ ก็คงจะเกิดขึ้นในเร็ววัน ดังนั้นความเด็ดเดี่ยวจึงฉายชัดในแววตา มือขวาชูไปที่จักรวาลนอกกระบี่โบราณ ชี้ไปยังทิศทางที่ดาวอังคารตั้งอยู่!

“วัตถุเวทแห่งความมืด…หวนคืน!”

ทันทีที่หวังเป่าเล่อลั่นวาจา ดาวอังคารที่อยู่ห่างไกลจากอาณาเขตแห่งนี้ก็สั่นคลอน พลังขนาดมหึมาที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นความสยดสยองครั้งใหญ่ บัดนี้ได้ปะทุออกมาจากใจกลางอาณาเขตของแผ่นดินดาวอังคารที่กำลังสั่นสะเทือน พุ่งตรงไปยังจักรวาล!

เสียงแซ่ซ้องดังมากขึ้น ราวกับตอบสนองต่อการอัญเชิญของหวังเป่าเล่อ ตามมาด้วยการระเบิดกระจายไปทั่วจักรวาล!

…………………………………….

ดูเหมือนกำลังย่างก้าว ทว่าว่องไวเป็นอย่างยิ่ง แม้อาณาเขตกระบี่สำริดโบราณนี้จะกว้างใหญ่ แต่ในสายตาของหวังเป่าเล่อที่บรรลุขั้นระดับดาวพระเคราะห์แล้วนั้น มันไม่เป็นเฉกเช่นเดิมอีกต่อไป

ดังนั้นด้วยเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ เขาได้ย้ายจากบริเวณด้ามจับไปยังเขตแดนระหว่างกระบี่โบราณกับดวงอาทิตย์ เมื่อมองดูที่แห่งนี้ ในสมองของเขาจึงหวนนึกถึงภาพเรือรบขนาดใหญ่ที่ตระกูลไม่รู้สิ้นเคยจอดไว้อยู่ที่นี่ในอดีต

หลังละสายตาจากที่โล่ง สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เขาก้าวเข้าสู่ดินแดนของตัวกระบี่โบราณโดยตรง ทันทีที่เข้าไปพลันปรากฏลมแห่งเปลวเพลิงถาโถมมาตรงหน้า พื้นพสุธาพังทลายไปพร้อมๆ กัน และยังมีวงแหวนต้องห้ามที่กำลังคุกรุ่นจำนวนมาก รวมถึงมีหินหนืดที่เคลื่อนตัวอยู่ด้วย

ทั้งหมดนี้ สำหรับหวังเป่าเล่อคนเดิม อาจกล่าวได้ว่าเข้าขั้นวิกฤติ แต่สำหรับเขาในตอนนี้เรียกได้ว่าสามารถมองทุกอย่างได้อย่างทะลุปรุโปร่ง นอกจากนี้ ที่เขาไม่เลือกก้าวเข้ามาจากปลายกระบี่โบราณอีกฝั่งหนึ่งโดยตรงก็มีเหตุผลเช่นกัน

ถ้าเข้ามาโดยตรงจากฝั่งนั้น เขาคงตกอยู่ในพลังภายนอกที่ทะลวงเข้ามา ซ้ำยังยังต้องรับมือกับพลังต้านจากบริเวณปลายกระบี่ ในขณะเดียวกันก็เป็นเรื่องที่ได้ไม่คุ้มเสีย เมื่อคู่ต่อสู้มีความพร้อม ซ้ำยังสามารถทำการโต้กลับอยู่ตรงนั้นได้อีก หากเขาผ่านพ้นบริเวณด้ามกระบี่ไปได้ ทุกอย่างจากนี้จะราบรื่นเพราะเป็นเส้นทางปกติ

ด้วยเหตุนั้น หลังจากกวาดสายตาคร่าวๆ หวังเป่าเล่อจึงไม่ลังเลแม้แต่น้อย เขาก้าวข้ามอาณาเขตโดยเมินเฉยต่อทะเลเพลิงต้องห้ามทั้งมวลพร้อมนำหัวกะโหลกในมือ ไม่แม้แต่จะมองบรรยากาศซึ่งแผ่กระจายอยู่ในที่แห่งนี้ กายาวิญญาณจำนวนหนึ่งรวมถึงสัตว์อัคคีต่างหมอบคำนับด้วยความหวาดกลัวจนตัวสั่นพลางหวีดร้องโหยหวน

ในอดีต การมีอยู่ของสิ่งเหล่านี้สร้างปัญหาให้กับเขา ทว่าตอนนี้เมื่อรู้สึกได้ถึงพลังปราณของเขา สิ่งเหล่านี้ทำได้เพียงสั่นสะท้าน ไม่อาจหาญต่อต้านแม้แต่น้อย ปล่อยให้หวังเป่าเล่อเข้าไปข้างในดินแดนใจกลางกระบี่ท่ามกลางเสียงหวีดร้อง

ในไม่ช้าเขาก็มาถึงทะเลสาบโลหิตที่เขาได้ตราประจำตัวผู้อาวุโสกลับมา และมองเห็นซากศพมหึมา รวมถึงแนวขนอ่อนที่พลิ้วไหวอยู่บนซากศพนั้นอีกครั้ง

เพียงแค่กวาดตามอง ขนอ่อนทั้งหมดพลันสั่นระริกพร้อมลู่ลง แม้กระทั่งทะเลโลหิตก็สั่นไหว สัตว์รูปร่างคล้ายแมลงปอขนาดใหญ่ในตอนแรกก็ค่อยๆ โผล่ส่วนหัวออกมาครึ่งหนึ่งพร้อมกับสายตาระคนสงสัย มันมองมาที่หวังเป่าเล่อด้วยความระแวดระวังที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งสามารถสังเกตเห็นถึงความตื่นตระหนกของมันได้จากร่างกายที่สั่นเทาอยู่ในตอนนี้

“สิ้นสุดระหว่างขั้นเชื่อมวิญญาณและขั้นจิตวิญญาณอมตะ” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าไปมาขณะละสายตาจากสัตว์ในทะเลโลหิต เขาเร่งฝีเท้าต่อไปไม่หยุด ด้วยวิธีนี้จึงห้อตะบึงไปตามเส้นทางที่ได้มองดูทิวทัศน์คุ้นตามากมาย อีกทั้งทะยานผ่านหลายๆ ที่ซึ่งไม่เคยไปมาก่อน จนกระทั่งแลเห็นดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นอีกครั้ง

ความทรงจำในอดีตปรากฏขึ้นในใจของหวังเป่าเล่อ ทำเอาเขาหยุดชะงักอยู่กลางดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นชั่วครู่ ก้มดูลักษณะภูมิประเทศที่คล้ายดวงตาบนพื้นดิน นัยน์ตาค่อยๆ ฉายแววประหลาดใจ

ที่นี่คือที่เดียวที่เขาเดินเท้ามาตลอดทาง เมื่อดูจากระดับการฝึกในปัจจุบัน มีเพียงบริเวณนี้ที่ไม่สามารถมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ทว่าเขาเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เวลามาเสาะหาสาเหตุเพิ่มเติม หลังจากได้แค่กวาดตามองจึงออกเดินทางต่อไป ทั้งยังผ่านอีกหลายพื้นที่ซึ่งเขาไม่สามารถมองได้อย่างทะลุปรุโปร่ง จนกระทั่งข้างหน้าได้ปรากฏแนวเขตน้ำแข็งและหิมะทอดยาว ยามที่สาวเท้าก้าวข้ามมา สิ่งที่ฉายชัดตรงหน้าคือดินแดนหิมะน้ำแข็งที่คุ้นเคย ซึ่งเขาเคยเห็นมาก่อน

ไกลออกไปด้านหน้า มีวังขนาดมหึมาสามแห่ง สูงถึงหลายร้อยจั้ง!

ในวังทั้งสามแห่งนี้ ไม่เพียงแต่เป็นที่สถิตของโชคชะตา ทว่าเป็นที่หลับใหลและเยียวยารักษาของผู้ฝึกตนอาวุโสจำนวนหนึ่งของวังเต๋าไพศาลอีกด้วย

หวังเป่าเล่อในอดีตก็มาที่นี่บ่อยที่สุด แต่ตอนนี้กำลังส่องประกายวาววับในตาของเขา ร่างกายที่มีดาวเคราะห์เต๋าไหลเวียนอยู่ข้างในทำให้โลกตรงหน้าเขาแตกต่างออกไปเล็กน้อย

บริเวณด้านหลังของพระราชวังทั้งสาม พื้นที่โล่งกว้างในครั้งแรกถูกปกคลุมด้วยหมอก หมอกนี้อาจส่งผลกระทบต่อการมองเห็นและการรับรู้ของผู้คนจำนวนมาก แต่ไม่รวมหวังเป่าเล่อที่ผนึกกายเข้ากับดาวเคราะห์เต๋าแล้ว เพียงชั่วพริบตา เขาจึงมองเห็นแท่นสังเวยทั้งสามแท่นลางๆ ซึ่งตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในไอหมอก!Aileen-novel

แท่นสังเวยทั้งสามแท่นเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมคางหมู บนแท่นหนึ่งที่อยู่ด้านล่างสุด มีร่างเจ็ดร่างที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ เจ็ดคนนี้ไม่ใช่ร่างไร้วิญญาณเพราะต่างก็มีพลังชีวิต แม้จะไม่ได้เต็มเปี่ยมเท่าไรนัก แต่หากดูจากลมปราณของพวกเขา ล้วนเป็นระดับดาวพระเคราะห์ทั้งสิ้น!

หากมองจากตำแหน่งของการนั่งสมาธิและรูปแบบที่ล้อมรอบพวกเขา จะเห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ที่ตรงนี้ไม่ได้มีเจ็ดคน แต่มีเก้าคนนั่งล้อมเป็นวงกลม ทว่าตอนนี้กลับขาดหายไปสองคน!

คนที่ขาดหายไปแน่นอนว่าเป็นเต๋ออวิ๋นจื่อและศิษย์พี่ของเขา หวังเป่าเล่อมั่นใจมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะวังทั้งสามที่อยู่ในม่านหมอกเขาเคยไปมาหมดแล้ว แม้ว่าในสระวิญญาณที่อยู่ข้างในวังแห่งสุดท้ายนั้นจะมีผู้ฝึกตนรักษาตัวอยู่ เท่าที่หวังเป่าเล่อจดจำได้จากการฝึกตนในปัจจุบัน คนเหล่านั้นอาจไม่ใช่ระดับดาวพระเคราะห์ หรือคงจะเคยเป็นมาก่อน แต่ดูเหมือนว่าการฝึกตนลดลงเนื่องจากได้รับบาดเจ็บสาหัส

นอกจากนี้บนแท่นสังเวยลำดับสองก็ยังมีร่างที่นั่งขัดสมาธิเช่นกัน แม้จะมีเพียงร่างเดียวที่ถูกบดบังด้วยม่านหมอก แต่หวังเป่าเล่อยังคงมองเห็นได้ลางๆ ว่าผู้ที่นั่งขัดสมาธินั้น เป็นชายหนุ่มคนนั้นที่โจมตีร่างอวตารของตนเองและหลบหนีไปทันทีหลังจากที่ร่างต้นแบบตัวเองมาถึง!

ชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่แค่ไม่หลับตา ทว่ากำลังลืมตาโดยไม่กล่าวอะไรออกมา อีกทั้งจ้องเขม็งมายังหวังเป่าเล่อที่อยู่นอกม่านหมอก มิหนำซ้ำยังขวางกั้นหวังเป่าเล่อด้วยม่านหมอกด้วย ขณะที่สบสายตากัน ชายหนุ่มพลันเอ่ยปากทันที

“เจ้าได้สังหารลูกศิษย์ที่หลงผิดของข้า ข้าเองก็หลีกเลี่ยงการต่อสู้แล้ว เหตุใดเจ้ายังไล่ล่ามาจนบัดนี้ คิดจริงๆ รึ ว่าวังเต๋าไพศาลของข้าอ่อนแอถึงขนาดที่ดาวเคราะห์คนเดียวจะมาสร้างความหายนะได้!” ในน้ำเสียงของชายหนุ่มที่กำลังแบกรับความอดกลั้น จิตสังหารอันเยือกเย็นดูเหมือนจะปะทุมากขึ้น เมื่อแผ่กระจายออกไป ทันใดนั้นหมอกได้ม้วนตัวขึ้นอย่างหนาแน่น แม้กระทั่งอุณหภูมิภายนอกก็ลดต่ำลงอย่างมากในขณะนี้

สีหน้าของหวังเป่าเล่อยังคงปกติ ถึงแม้จะได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ทว่าสายตาของเขากลับมองข้ามผ่านไปข้างหลัง…แท่นสังเวยที่สาม!

แท่นสังเวยนี้ต่างหากที่ทำให้เขาหวั่นกลัวสุดหัวใจ เพราะที่นั่น…เขาเห็นร่างร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิ เรือนร่างนั้นเลือนรางไปทั้งตัว ในขณะเดียวกันก็มองเห็นได้ไม่ชัดเจน กลิ่นอายของความตายและจิตสังหารยังวนเวียนในร่างกาย ราวกับว่าร่างทั้งร่างอยู่ระหว่างหยินและหยาง หวังเป่าเล่อเพียงชำเลืองดู ดวงตาทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแสบเคือง หากตอนนี้ไม่ได้ดาวเคราะห์เต๋าที่ไหลพล่านอยู่ในร่าง เกรงว่าหลังเหลือบมอง จิตใจของเขาคงได้รับความเสียหายไปแล้ว

“จักรพิภพ…” หวังเป่าเล่อพึมพำออกมา ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมในวังเต๋าไพศาลจึงมีผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพ อันที่จริงมันก็ควรเป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มคนนั้นอยู่เพียงระดับดารานิรันดร์เป็นแน่ แต่ไม่ได้หมายความว่าวังเต๋าไพศาลจะไม่มีผู้เยี่ยมยุทธ์ที่เหนือกว่าระดับจักรพิภพ

เห็นได้ชัดว่าเหตุผลที่ชายหนุ่มคนนี้หนีกลับมาที่นี่ และทำการนั่งขัดสมาธิรอการมาถึงของหวังเป่าเล่อ ทั้งยังเอ่ยวาจาเหล่านั้นออกมา ย่อมต้องการอาศัยการมีอยู่ของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพทำให้หวังเป่าเล่อเกรงกลัว

หากเปลี่ยนเป็นดาวเคราะห์อื่น ก็อาจทำให้เกรงกลัวอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าดวงตาหวังเป่าเล่อกำลังฟื้นฟูการมองเห็น ทว่าความเย็นยะเยือกกลับปะทุขึ้นในใจอย่างฉับพลัน เขาไม่เสียเวลากับแม่นางน้อยอีกต่อไป เขายกมือขวาขึ้นมาตรงหน้าของชายหนุ่มดารานิรันดร์อย่างไม่รอช้า ไม่สนใจเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวของศีรษะในมือและออกแรงกำจนแน่นอยู่ชั่วครู่

ทันทีที่เสียงระเบิดดังขึ้น เสียงกรีดร้องก็หยุดลง หวังเป่าเล่อตัดหัวออกจากลำตัว ศิษย์น้องของเต๋ออวิ๋นจื่อที่เหลือแต่หัวพลันทรุดลง ร่างกายและวิญญาณถูกทำลายจนหมดสิ้น!

“เจ้า!!!” อีกฝ่ายตัดหัวศิษย์น้องต่อหน้าต่อตาเขา ฉากนี้ทำให้สีหน้าของชายหนุ่มดารานิรันดร์เปลี่ยนไป ยังไม่ทันได้เอ่ยอันใด จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็กระโจนขึ้นมาพร้อมพุ่งตัวเข้าไปด้านในไอหมอกทันที!

ความรวดเร็วนั้นมีมากเสียจนไอหมอกสลายไปในชั่วพริบตา เก้าดาวเคราะห์บรรพกาลส่งเสียงอึกทึกอยู่ด้านหลัง ภาพมายาดาวเคราะห์เต๋าในตัวเขาดูดกลืนเมล็ดพันธุ์อย่างบ้าคลั่ง เกราะจักพรรดิก็ห่อหุ้มป้องกันร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นการสั่นสะเทือนของฝักกระบี่ที่อยู่ในตัวเขายังมีรัศมีของปราณกระบี่ ซึ่งเกิดจากฝักกระบี่ที่ถูกหวังเป่าเล่อดึงออกมา ไหลไปตามร่างกายของเขาไปยังนิ้วชี้ข้างขวา ทำให้ทั้งตัวของเขาเหมือนคมกระบี่ที่ชักออกจากฝักและมีอาณุภาพเกรียงไกร จนทะลวงผ่านหมอกมาปรากฏกายตรงหน้าชายหนุ่มดารานิรันดร์ได้อย่างฉับไว!

“เจ้า…หลับต่อไปอีกพันปีเถอะ!” หวังเป่าเล่อกล่าวอย่างเยือกเย็น ในขณะที่โผล่มาถึง มือขวาของเขาก็พุ่งออกมาพร้อมๆ กัน

อย่างไรก็ตามชายหนุ่มคนนั้นก็มีดารานิรันดร์ อีกทั้งตอนนี้ยังอยู่ในถิ่นของตัวเองด้วย ใบหน้าของเขาช่างน่าเกลียดในยามที่ร้องคำรามโดยไม่คำนึงถึงบาดแผลของตน พลันยกมือทั้งสองขึ้นโบกสะบัด ทันใดนั้นก็มีดารานิรันดร์แผ่กระจายไปในร่างกายอยู่ชั่วครู่ ขณะนี้ทั่วทั้งร่างได้กลายเป็นดวงอาทิตย์หนึ่งดวงที่กำลังพุ่งมาหมายกำจัดหวังเป่าเล่อ

ทุกคนสหพันธรัฐไม่สามารถเห็นฉากนี้บนจักรวาลผ่านการฉายภาพของวงแหวนปราณระบบสุริยะได้ทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างหลังจากการปรากฏตัวของดารานิรันดร์ วงแหวนปราณของระบบสุริยะก็สูญเสียบทบาทไป

ภาพการมาถึงของร่างต้นแบบหวังเป่าเล่อก็ไม่มีทางถูกคนพบเห็นเช่นกัน ดังนั้นทุกคนรวมถึงหลี่ซิงเหวินก็ยังไม่รู้ว่าในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ ร่างแยกของหวังเป่าเล่อได้ผนึกเข้ากับร่างต้นแบบแล้ว

จนกระทั่งหลังจากชายหนุ่มดารานิรันดร์คนนั้นจากไป การควบคุมพลังดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อก็ทำให้พลังวงแหวนปราณระบบสุริยะกลับมาครอบคลุมพื้นที่นี้อีกครั้ง และภาพที่สหพันธรัฐก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ดังนั้น… สิ่งที่ชาวสหพันธรัฐและผู้ฝึกตนเห็นก็คือภาพหวังเป่าเล่อลงมือจู่โจมและกลืนกินเต๋อหยุนจื่อ ตัดร่างศิษย์พี่ของเต๋อหยุนจื่อและคว้าศีรษะเขาขึ้นมา!

ภาพนี้ทำให้แทบทุกคนที่ได้เห็นสูดหายใจลึก หลี่ซิงเหวินตาเบิกโพลง ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะได้เห็นความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อมาแล้ว แต่เมื่อได้เห็นอีกครั้งในตอนนี้กลับพบว่าหากเทียบกับเมื่อก่อน เขาดูเหมือนคนละคน

“นั่นคือดาวพระเคราะห์สองคนเชียวนะ…” หลี่ซิงเหวินพึมพำ ดวงตาของเขาค่อยๆ แสดงความตื่นเต้นมากขึ้น ในขณะเดียวกันผู้ที่ให้ความสนใจยังมีเจ้านครดาวอังคาร ต้นไม้ยักษ์และหัวหน้าเสนาบดีผู้ซึ่งเป็นพ่อของหลี่หว่านเอ๋อร์ รวมถึงเจ้าสำนักรุ่งสางจักรพิภพด้วย!

คนเหล่านี้รวมทั้งหลินโยวคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของสหพันธรัฐที่อยู่ฝั่งหลี่ซิงเหวินในตอนนี้ จิตใจของพวกเขาต่างเกิดคลื่นลูกใหญ่ โดยเฉพาะต้นไม้ยักษ์…ที่ตาแทบถลน ในใจรู้สึกยินดีที่ในอดีตเคยได้ต่อสู้กับหวังเป่าเล่อ ขณะเดียวกันก็อดคิดถึงภาพของอีกฝ่ายที่กำลังเอาชีวิตรอดอยู่ในเงื้อมมือของตนในตอนนั้นไม่ได้

ความซับซ้อนแบบเดียวกันกับต้นไม้ยักษ์ได้เกิดขึ้นกับเจ้าสำนักรุ่งสางจักรพิภพด้วยเช่นกัน ขณะนี้จิตใจของเขาเองก็เต็มไปด้วยอารมณ์ แต่อีกสองคนบนดาวอังคารนั้น…บางทีอาจเป็นเพราะมีอารมณ์อื่นปะปนด้วยจึงไม่ได้คิดเหมือนพวกเขา

อย่างเช่นเจ้านครดาวอังคารที่เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อบนภาพก็มีสีหน้าแปลกไปและคิดถึงลูกสาวของตน…

ส่วนหัวหน้าเสนาบดีก็มีภาพของลูกสาวหลี่หว่านเอ๋อร์ผุดขึ้นในหัวเช่นกัน แต่สุดท้ายภาพของลูกสาวก็ยิ่งทำให้สีหน้าเขายับย่นมากขึ้น ดวงตาสองข้างหม่นแสงลง

นอกจากคนเหล่านี้ยังมีหลินเทียนหาว หลินต้าวปิน ตู้หมิน เพื่อนของหวังเป่าเล่อในตอนนั้น หลังจากได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด และเห็นหวังเป่าเล่อถือศีรษะมุ่งตรงไปยังกระบี่สำริดโบราณ ทุกคนต่างถอนใจ

ในบรรดาคนเหล่านี้ยังมีผู้ที่เข้าร่วมปฏิบัติการนกนางแอ่นดำแต่ล้มเหลวจึงกลับมาด้วย พวกเขาเคยมีช่องว่างระหว่างชั้นกับหวังเป่าเล่อ แต่ลึกๆ ในใจนั้น พวกเขาไม่คิดว่าช่องว่างเหล่านี้จะเพิ่มขึ้น จนกระทั่งได้เห็นหวังเป่าเล่อที่มุ่งตรงไปยังกระบี่สำริดโบราณ ในสายตาของพวกเขาไม่เหมือนมองคนคนหนึ่งอีกต่อไป แต่เป็นพระเจ้าที่ยิ่งห่างไกลออกไปเรื่อยๆ !

เสียงถอนหายใจเล็กน้อยดังออกมาจากปากของตู้หมิน เสียงนั้นอ่อนแอมาก มีเพียงหลินเทียนหาวที่อยู่ข้างกายนางเท่านั้นที่ได้ยิน หลังจากหันไปมองตู้หมิน หลินเทียนหาวก็จับมือตู้หมิน ก่อนจะยิ้มบางๆ บนมือที่จับประสานกันนั้นมีแหวนแต่งงานคู่หนึ่ง…

ในเวลาเดียวกัน ในบ้านพ่อแม่ของหวังเป่าเล่อบนดาวอังคาร มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งกำลังจับมือแม่ของหวังเป่าเล่อและพาผู้เฒ่าสองคนไปดูการถ่ายทอดสดจากวงแหวนปราณของระบบสุริยะ เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อเดินไกลออกไปเรื่อยๆ ดวงตาเด็กผู้หญิงคนนี้ก็หม่นแสงลงเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติ

นางคือโจวเสี่ยวหยา

ในพื้นที่อื่นๆ ยังมีพวกหลี่อู๋เฉินและจินตั้วหมิงที่เจ้าร่วมปฏิบัติการนกนางแอ่นดำ แต่ด้วยเหตุผลหลายประการจึงใช้วิธีพิเศษกลับมานานแล้ว เหล่าคนที่คุ้นเคยกับหวังเป่าเล่อกำลังเฝ้ามองดูเขาอยู่ในขณะนี้

หวังเป่าเล่อรู้ดีว่า ณ เวลานี้ในสหพันธรัฐ เขากำลังถูกผู้คนนับไม่ถ้วนจับจ้องอยู่ เขาไม่ต้องการปิดบังระดับการฝึกฝนตน และไม่ต้องการปกปิดภาพการลงมือเพราะเขารู้ดีว่าสหพันธรัฐ…จำเป็นต้องสร้างความมั่นใจ และจำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่น!

สิ่งที่เขาทำได้คือใช้ร่างของตัวเองให้การสนับสนุนทุกคนอย่างดีที่สุด ขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นตัวกันชนสำหรับระดับชีวิตที่จะพุ่งทะยานขึ้นจากการหลอมรวมอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์

ถึงอย่างไรภายใต้การปกครองของกลุ่มนภาห้าสมัยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่าน ผู้คนในสหพันธรัฐต่างถูกกดขี่จนสูญเสียจิตวิญญาณไป ตอนนี้การรวมเข้ากับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็เปรียบเสมือนการกินยาชูกำลังเม็ดใหญ่ การสูญเสียและว่างเปล่าเช่นนี้ รวมถึงการถูกบำรุงอย่างหนักหน่วงไม่ใช่เรื่องดี

ดังนั้นตัวกันชนนี้ก็เหมือนกับเมล็ดพันธุ์ที่จะกลายเป็นกุญแจสำคัญอย่างยิ่ง

หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้ปิดกั้นการแพร่กระจายของวงแหวนปราณระบบสุริยะ แต่เขาก็รู้ดีว่าเมื่อเขาเข้าใกล้กระบี่สำริดโบราณ ต่อหน้าอาวุธศักดิ์สิทธิ์ขนาดมหึมานี้ วงแหวนปราณระบบสุริยะจะได้รับผลกระทบและอาจทำให้ผู้คนที่กำลังเฝ้ามองอยู่มองไม่เห็นทุกสิ่งด้านใน

แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว เมล็ดพันธุ์ก่อนหน้านั้นก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นร่างของหวังเป่าเล่อจึงเร็วขึ้นและเร็วขึ้น และค่อยๆ กลายเป็นสายรุ้งที่ทอดยาวราวกับสามารถฉีกจักรวาลได้และเข้าไปใกล้ดารานิรันดร์ของระบบสุริยะ!

เมื่อเทียบกับดารานิรันดร์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ดารานิรันดร์ของระบบสุริยะมีขนาดใกล้เคียงกัน ขณะเดียวกันภายในยังเต็มไปด้วยพลัง ถึงแม้การแทงของกระบี่สำริดโบราณจะทำให้มันเกิดอิทธิพลบางอย่าง แต่อิทธิพลนี้ดูเหมือนดวงอาทิตย์ที่กำลังเติบโตขึ้นยอมรับได้

เมื่อมองดูดวงอาทิตย์ หวังเป่าเล่อก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ หลังจากระดับการฝึกตนถึงดาวพระเคราะห์ เขาก็รู้ดีว่าในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นนี้ ผู้ฝึกตนทุกคนล้วนมีรากฐาน และรากนี้…ก็คือดารานิรันดร์ของบ้านเกิดพวกเขา

นี่เป็นส่วนหนึ่งของกฎแห่งจักรวาล ยิ่งดารานิรันดร์ของอารยธรรมแข็งแกร่ง ระดับความเจริญของอารยธรรมยิ่งสูงขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อดารานิรันดร์พัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องย่อมทำให้ทุกชีวิตที่เกิดภายใต้แสงสว่างของมันได้รับของขวัญ

ตรงกันข้าม…เมื่อดารานิรันดร์ถูกกดขี่หรือถูกทำลาย อารยธรรมก็จะสูญเสียพลังชีวิตไปด้วย ถึงแม้จะไม่ทำให้ฐานการฝึกฝนทุกคนตกฮวบในทันที แต่จะไม่มีวันหยั่งรากและกลายเป็นอารยธรรมเร่ร่อน และจำเป็นต้องเสาะหาดารานิรันดร์ดวงใหม่เพื่อสร้างการเชื่อมโยงกับกฎแห่งจักรวาล

ดังนั้นบ่อยครั้งหลังจากที่อารยธรรมบางอารยธรรมได้พัฒนาไปถึงระดับหนึ่งแล้ว ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในนั้นก็จะเลือกผสานกับดารานิรันดร์ของอารยธรรมเพื่อกลายเป็นผู้พิทักษ์ที่แท้จริงและส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น

เรื่องนี้มีข้อดีแต่ก็มีข้อเสีย วิธีการเลือกเป็นแนวทางที่ยากสำหรับหลายอารยธรรมที่กำลังพัฒนา

หวังเป่าเล่อส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะถอนสายตาจากดวงอาทิตย์ และระงับความคิดที่ผุดขึ้นในใจเขา เขามุ่งตรงไปยังกระบี่สำริดโบราณต่อ เมื่อเข้าไปใกล้ กระบี่สำริดโบราณก็ค่อยๆ แผ่ความกดดันออกมา

ความกดดันนี้ราวกับมีคนกำลังฉุดลาก ช้าแต่หนักหน่วง มันแผ่ขยายไปทางหวังเป่าเล่อราวกับกลายเป็นอุปสรรคขัดขวางการมาถึงของเขา

อย่างไรก็ตามเห็นได้ชัดว่าผู้ที่ฉุดลากแรงกดดันของกระบี่โบราณไม่รู้ว่าคนที่สร้างผลกระทบให้กระบี่สำริดโบราณได้ไม่ได้มีแต่ตนเท่านั้น หวังเป่าเล่อก็ทำได้!

เมื่อเข้าไปใกล้ หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นแล้วพลิกกลับ ทันใดนั้นก็มีแผ่นหยกปรากฏขึ้นในมือของเขา!

แผ่นหยกนี้เป็นเครื่องหมายและการยอมรับตัวตนของผู้อาวุโสสูงสุดสำนักวังเต๋าอันกว้างใหญ่อย่างไพศาล!

การปรากฏตัวของแผ่นหยกทำให้แรงกดดันที่แผ่ออกมาจากกระบี่สำริดโบราณแสดงสัญญาณของการสลายตัวในทันที ฉากนี้ทำให้คนที่กำลังฉุดลากกระบี่โบราณคนนั้นตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด และไม่รู้ว่าด้วยวิธีใดที่ทำให้แผ่นหยกในมือหวังเป่าเล่อราวกับถูกตัดการเชื่อมต่อและถูกกำจัดตัวตนไปจนแรงกดดันกลับมาอีกครั้ง

“น่าสนใจไหมล่ะ” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว ตาเป็นประกาย ฝักกระบี่ที่ไม่เคยออกมาจากร่างต้นแบบตอนที่อยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และถูกเก็บไว้ในตัวเขามาเป็นเวลานาน…บัดนี้ร่างของเขาสั่นสะท้านรุนแรง

ความหมายแฝงที่เชื่อมโยงกับกระบี่สำริดโบราณทำให้กระบี่สำริดโบราณขนาดมหึมานี้สั่นเล็กน้อย การสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อยนี้ส่งผลกระทบต่อแรงกดดันทั้งหมดในทันที มีแรงดึงดูดและความปิติยินดีจางๆ แผ่ออกมาจากกระบี่ทำให้แรงกดดันที่มองไม่เห็นตรงหน้าหวังเป่าเล่อสลายไปในทันที ราวกับถนนที่ถูกแหวกออกทำให้ร่างของเขาเหยียบลงบนกระบี่สำริดโบราณได้ในชั่วพริบตา!

เมื่อมาถึง…บริเวณด้ามกระบี่คือสำนักวังเต๋าไพศาลในตอนนั้น เมื่อเขาปรากฏตัว ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าที่ถูกผนึกและไม่สามารถออกไปจากสำนักได้ต่างก็สั่นสะท้าน ทุกคนต่างคุกเข่าให้หวังเป่าเล่อ นำโดยเฟิ่งชิวหรัน

“คารวะผู้อาวุโสสูงสุด!” แม้ว่าพวกเขาจะออกไปไม่ได้ แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีวิธีที่จะรู้และดูว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก เมื่อมองไปที่หวังเป่าเล่อในขณะนี้ พวกเขาต่างวิตกกังวล มีเพียงเฟิ่งชิวหรันที่สีหน้ามืดมนและรู้สึกผิด

หวังเป่าเล่อจ้องมองผู้คนของสำนักวังเต๋าและเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเบาๆ

“ผู้อาวุโสชิวหรันโปรดลุกขึ้น พันธมิตรระหว่างสหพันธรัฐกับสำนักวังเต๋ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง!” พูดจบหวังเป่าเล่อก็ไม่สนใจสำนักวังเต๋าอีก แต่เดินไปที่บริเวณตัวดาบ เมื่อเขาก้าวไปข้างหน้า แรงกดดันบนร่างก็เพิ่มมากขึ้น ทะเลเพลิงใต้เท้าของเขาแผดเสียงคำราม ท้องฟ้าเหนือศีรษะเปลี่ยนไป ที่ด้านหลังเขานอกจากดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าและดาวเคราะห์เต๋าตรงกลางแล้ว ยังมีฝักกระบี่ยักษ์ที่ดูเหมือนจะสามารถบรรจุกระบี่สำริดโบราณเข้าไปได้ทั้งเล่มซ่อนตัวอยู่แทนที่ท้องฟ้า!

อานุภาพราวกับแรงกดดันเช่นนี้ เมื่อหวังเป่าเล่อเดินไปจนสุดปลายกระบี่มันก็ค่อยๆ หายไป!

…………………………………………………….

คนที่พูดก็คือร่างต้นของหวังเป่าเล่อ!

น้ำเสียงนั้นเยือกเย็นและมีจิตสังหารไร้ที่สิ้นสุด หากเป็นร่างแยกของเขาพูดเช่นนี้ แม้จะทำให้เกิดความผันผวนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้น่าตกใจมากนัก แต่ตอนนี้ต่างออกไป!

ทั้งการปะทุของทะเลแสงเก้าสี ทั้งปราณพิฆาตที่แฝงอยู่ในคำพูดของหวังเป่าเล่อ!

ปราณพิฆาตนี้…ดูเหมือนลวงตา แต่ในความรู้สึกของผู้แข็งแกร่งนั้นมักจะสัมผัสถึงความน่ากลัวของคู่ต่อสู้ได้ โดยเฉพาะในความรู้สึกของปรมาจารย์ดารานิรันดร์ผู้นี้ ด้วยฐานการฝึกฝนและวิธีพิเศษของเขา เขาสัมผัสได้ถึง…ร่องรอยพลังงานแห่งความตายของดาวพระเคราะห์มากกว่าห้าคนในปราณพิฆาตนั้น!

ซึ่งหมายความว่าคู่ต่อสู้เพิ่งฆ่าดาวพระเคราะห์อย่างน้อยห้าคนเมื่อไม่นานมานี้!

การเข่นฆ่าผู้คนในระดับเดียวกัน อีกทั้งยังฆ่าไปมากมายเช่นนี้ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดล้วนพิสูจน์ได้อย่างหนึ่ง…

นั่นคือผู้ที่มาถึง…ไม่ธรรมดา!

ซึ่งความจริงก็เป็นเช่นนั้น ปราณพิฆาตของหวังเป่าเล่อระเบิดออกมาโดยไม่มีการซ่อนเร้น ผู้ที่ตื่นขึ้นมาจากกระบี่สำริดโบราณนั้น ทั้งจำนวนและฐานการฝึกฝนล้วนเหนือความคาดหมายของเขา นอกจากนี้ยังมีความโกรธที่ร่างแยกถูกยับยั้งอีกด้วย

เขารู้ดีว่าครั้งนี้เรื่องของสำนักวังเต๋าไพศาลต้องมีบทสรุป และหากต้องการบทสรุปก็ต้องมีท่าทีที่แข็งแกร่ง อย่าทำให้อีกฝ่ายคิดว่าตนไม่กล้าพอ!

ดังนั้นในขณะที่ร่างแยกของเขาถูกดูดเข้าไปในน้ำเต้า ร่างต้นแบบก็สัมผัสได้และด้วยพลังวาร์ปดารานิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์ ทันทีที่มาถึงสิ่งแรกที่ทำก็คือสำแดงฐานการฝึกฝนทั้งหมดและพลังแห่งดาวพระเคราะห์อย่างไม่รีรอ จนก่อตัวเป็นพายุทะเลแห่งแสงเก้าสีระเบิดออกไปทั่วทั้งระบบสุริยะ!

จนอาจกล่าวได้ว่าหวังเป่าเล่อที่ผนึกกายเข้ากับดาวพระเคราะห์แล้วถึงจะเป็นแค่ดาวพระเคราะห์ชั้นต้น แต่ความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ทำให้เขาสามารถสยบดาวพระเคราะห์ชั้นมหาวัฏจักรที่ผนึกกายกับดาววิญญาณและดาวเคราะห์อมตะได้!

มีเพียงดาวพระเคราะห์ที่ผนึกกายกับดาวพิเศษและมีฐานการฝึกฝนที่สูงกว่าเขาสองระดับเท่านั้น ถึงจะสามารถต่อสู้กับดาวเคราะห์เต๋าได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือต้องเป็นดาวพระเคราะห์ชั้นปลายที่มีดาวพิเศษถึงจะพอทัดเทียมกับเขาได้

หรือ…คนที่ผนึกกายกับดาวเคราะห์เต๋าเท่านั้นถึงจะอยู่ในระดับเดียวกับเขา แต่ก็เพราะความน่าสะพรึงกลัวของดาวเคราะห์เต๋าจึงทำให้ถึงแม้จะพบกับผู้ฝึกตนดาวเคราะห์เต๋าเหมือนกันและมีฐานการฝึกฝนเหมือนกันก็ยังไม่ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้

นี่ก็คือจุดที่น่ากลัวของผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ที่ผนึกกายกับดาวเคราะห์เต๋า และด้วยเหตุนี้…ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น คุณค่าของดาวพระเคราะห์สามารถทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนคลั่งไคล้ ขณะเดียวกันก็เป็นเหตุผลว่าทำไมสุสานดวงดาราถึงสามารถดึงดูดสำนักใหญ่หรือตระกูลใหญ่เหล่านั้นได้!

เส้นทางแห่งการฝึกตนยิ่งระดับหลังๆ ความต่างชั้นก็ยิ่งมาก แม้แต่ในระดับเดียวกันก็เป็นเช่นนี้ บางครั้งช่องว่างระหว่างระดับเดียวกันจะใช้คำว่าต่างกันราวฟ้ากับดินก็ไม่ได้เกินจริงเลย!

อย่างเช่นในตอนนี้ ทันทีที่ร่างต้นแบบของหวังเป่าเล่อมาถึงและทะเลเก้าสีอันกว้างใหญ่แผ่ไปทั่ว เต๋อหยุนจื่อก็ส่งเสียงกรีดร้องเนื่องจากดวงวิญญาณเทพของเขาไม่สามารถทนรับได้ จนเกิดสัญญาณว่ากำลังจะสลายไป อีกทั้งความเจ็บปวดของดวงวิญญาณเทพนั้นราวกับถูกฉีกทึ้ง จนเต๋อหยุนจื่อเลือกที่จะถอยร่นกลับคืนสู่ลำแสงกระบี่สำริดโบราณอีกครั้งและหนีไปอย่างบ้าคลั่ง

เหตุผลที่เขาเลือกหนีตามสัญชาตญาณส่วนหนึ่งเพราะความกลัวของเขาเอง และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือเพราะเมื่อครู่เขาได้เห็นการต่อสู้ด้วยตนเองมาแล้ว ถึงจะเป็นเพียงร่างแยกแต่ก็ต้องใช้การร่วมมือของพวกเขาสามศิษย์อาจารย์ถึงจะสยบได้ ดังนั้น…ร่างต้นแบบของคนคนนี้มาถึง หากท่านอาจารย์ไม่บาดเจ็บก็ย่อมไม่เป็นอะไร แต่สภาพในตอนนี้จะต้านทานได้หรือไม่ก็ไม่รู้!

นอกจากนี้…ต่อให้ต้านทานได้ เขาก็ไม่คิดว่าสภาพของตนเองเช่นนี้จะสามารถทนรับระลอกคลื่นที่เกิดจากการต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งทั้งสองคนนี้ได้ เท่าที่เขาเห็นนั้น ทันทีที่ทั้งสองต่อสู้กัน ตัวเองอาจถูกทำลายได้

แทบจะในทันทีที่เต๋อหยุนจื่อหนีไป ยังมีผู้ที่เลือกทางเดียวกับเขา นั่นก็คือศิษย์พี่ของเขานั่นเอง ถึงแม้ศิษย์พี่ของเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ปราณพิฆาตจากร่างต้นแบบของหวังเป่าเล่อและทะเลแสงเก้าสีก็ทำให้คิ้วของผู้ฝึกตนวัยกลางคนเกิดความรู้สึกราวกับถูกทิ่มแทงซึ่งมาจากพลังเทพของเขา

หน้าที่เพียงหนึ่งเดียวของพลังเทพนี้ก็คือทำนายความเป็นความตาย จะปรากฏอยู่บนร่างโดยความรู้สึกเสียดแทงบริเวณคิ้ว ยิ่งรู้สึกถูกเสียดแทงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงว่ามีโอกาสตายมากขึ้น และความรู้สึกเสียดแทงในตอนนี้ก็แทบจะเหมือนกับตอนที่สำนักวังเต๋าไพศาลถูกทำลายในตอนนั้น เช่นนี้จะไม่ปล่อยให้เขาหนีไปอย่างบ้าคลั่งกับศิษย์น้องด้วยความสยดสยองได้อย่างไร

แต่…ภายใต้การปกคลุมของทะเลแสงเก้าสี พวกเขาจะหนีไปได้อย่างไร เว้นแต่ว่าอาจารย์ของพวกเขาจะทุ่มสุดตัวทำทุกอย่างเพื่อหยุดหวังเป่าเล่อให้ได้!

แต่สำหรับผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์ อายุที่ยืนยาวทำให้อารมณ์ความรู้สึกของตนหายไปมากแล้ว หากเป็นคนนิสัยเย็นชาก็จะยิ่งเย็นชามากขึ้น ความปลอดภัยของตนเองถึงจะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด โดยเฉพาะ…หลังจากรอดพ้นวิกฤตการล่มสลายของสำนักในตอนนั้นและยังบาดเจ็บสาหัส ยิ่งเขาได้ฟื้นฟูฐานการฝึกฝนขึ้นมาเล็กน้อยจากการหลับใหลมาจนถึงวันนี้ก็ยิ่งเสียดายชีวิต หากไม่จำเป็นเขาก็จะไม่ปล่อยให้ตัวเองต้องบาดเจ็บอีก

เพราะอาจทำให้อาการบาดเจ็บที่ยังรักษาไม่หายของเขารุนแรงขึ้นจนมีโอกาสสูงที่เขาจะหลับใหลไปอีกครั้ง สำหรับดารานิรันดร์ผู้นี้แล้ว นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ ดังนั้นทันทีที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัว และเกิดเสียงอุทานขึ้นในพริบตา ก่อนที่ศิษย์ทั้งสองจะหลบหนีและวินาทีที่น้ำเต้าระเบิด เขาก็ถอยกลับไปในรอยแยกที่ปรากฏขึ้นก่อนหน้านี้และ…หายตัวไปในทันที!

การหายตัวไปของเขาทำให้ศิษย์ทั้งสองที่ถอยร่นไปหน้าซีดเผือด แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ทั้งสองคนก็ทำได้เพียงควบหนีไปอย่างสุดความสามารถ

แต่สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือร่างต้นแบบของหวังเป่าเล่อที่เปล่งเสียงคำรามออกมาจากในทะเลแสงเก้าสีราวกับสายรุ้งหลังจากผนึกกายเข้ากับร่างแยกแล้ว เขาเร็วมาก เพียงพริบตาเดียวก็ราวกับฉีกความว่างเปล่ามาปรากฏตัวต่อหน้าลำแสงที่มีเต๋อหยุนจื่ออยู่ด้านในแล้ว

แม้ว่าลำแสงนี้จะทำให้ความเร็วของเต๋อหยุนจื่อเพิ่มขึ้นขณะข้ามทะเลแห่งแสงไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อหวังเป่าเล่อมาถึง ลำแสงที่เต๋อหยุนจื่ออยู่ก็ถูกแสงเก้าสีรุกรานท่ามกลางเสียงกรีดร้องของเขา ก่อนที่มือขวาของหวังเป่าเล่อจะล้วงเข้าไปในลำแสงและคว้าดวงวิญญาณเทพของเต๋อหยุนจื่อ!

ดวงวิญญาณเทพของเขาถูกดึงออกมาอย่างแรงท่ามกลางเสียงกรีดร้อง หวังเป่าเล่อไม่เปิดโอกาสให้เต๋อหยุนจื่อร้องขอความเมตตาแต่อย่างใด จิตสังหารสว่างวาบอยู่ในดวงตาของเขา ก่อนจะขว้างดวงวิญญาณเทพของเต๋อหยุนจื่อไปด้านหลัง มันถูกวิชาดวงเนตรปีศาจที่กลายเป็นดวงตาสีดำที่ปรากฏขึ้นด้านหลังกลืนกิน!

เป็นความเจ็บปวดที่บรรยายไม่ได้!หลังสัมผัสได้ถึงพลังตอบกลับที่ส่งมาจากในดวงตาสีดำ ดวงตาล้ำลึกของหวังเป่าเล่อกวาดมองไปยังศิษย์พี่ของเต๋อหยุนจื่อที่ตื่นตระหนกกับฉากเมื่อครู่จนผมเผ้ายุ่งเหยิง

ศิษย์พี่ของเต๋อหยุนจื่อในเวลานี้ปากคอสั่น ความหวาดกลัวในใจแทบจะกลืนกินตัวเอง การปรากฏตัวของร่างต้นแบบของหวังเป่าเล่อในความคิดของเขานั้นไม่ต่างอะไรกับดารานิรันดร์เลยสักนิด และยังน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า!

ดังนั้นเมื่อเขาสบตากับหวังเป่าเล่อ ร่างของอีกฝ่ายก็หายไป ความรู้สึกเสียดแทงที่คิ้วราวกับจะทำให้ศีรษะระเบิดในฉับพลันทำให้ศิษย์พี่ของเต๋อหยุนจื่อส่งเสียงกรีดร้องรุนแรง

“ข้าตื่นขึ้นมาช้ากว่าเต๋อหยุนจื่อสามปี ผู้อาวุโสไม่เชื่อก็ค้นวิญญาณดูได้เลย ข้าไม่ได้ออกคำสั่งใดๆ ต่อสหพันธรัฐ มือข้าไม่เคยเปื้อนเลือดของสิ่งมีชีวิตในสหพันธรัฐเลยสักหยด!!”

เขาเอ่ยอย่างร้อนรน ขณะเดียวกันกับที่เสียงนั้นดังก้อง หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งหายไปจากสายตาเขาก็มาถึงด้านหลังของเขาแล้ว เดิมทีเขาต้องการยกมือขวาตบลงตรงศีรษะของคนคนนี้ ซึ่งสามารถจินตนาการได้ว่าด้วยความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อในปัจจุบัน หากฝ่ามือนี้ตบลงไป คนคนนี้จะต้องศีรษะระเบิด ร่างกายแตกเป็นเสี่ยงๆ และดวงวิญญาณเทพก็ไม่อาจรอดจากการถูกกลืนกินได้เป็นแน่

แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าคำพูดสุดท้ายของศิษย์พี่เต๋อหยุนจื่อยังได้ผลอยู่ในระดับหนึ่ง เพราะการดำรงอยู่ของแม่นางน้อย ถึงแม้หวังเป่าเล่อจะโกรธ แต่ก็ไม่อาจทำอะไรสุดโต่งเกินไปได้ ถึงอย่างไรก็สามารถเป็นพันธมิตรกับสำนักวังเต๋าไพศาลได้ในระดับหนึ่ง

แต่เรื่องนั้นก็จำเป็นต้องเอาชนะอีกฝ่ายให้ได้ก่อนและต้องปราบให้อยู่หมัด ดังนั้นในชั่วพริบตานี้ หวังเป่าเล่อหรี่ตา ฝ่ามือเปลี่ยนจากการตบเป็นการกรีดปัดผ่านลงบนลำคอศิษย์พี่เต๋อหยุนจื่อ

ทันใดนั้นเลือดก็ปะทุออกมาและเมื่อศีรษะของเขาหลุดจากร่าง ศีรษะของเขาได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดี ดวงวิญญาณเทพก็ถูกกักขังไว้ในศีรษะนั้น ถึงแม้จะยังมีชีวิตอยู่ แต่กลับถูกหวังเป่าเล่อคว้าเส้นผมดึงศีรษะขึ้นมาและมุ่งไปยัง…กระบี่สำริดโบราณ!

เรื่องราวยังไม่จบสิ้น!

ความน่าสะพรึงกลัวยังไม่พอ!

…………………………………………………….

ทั้งสหพันธรัฐต่างตื่นเต้น ผู้ฝึกตนไม่น้อยเหาะขึ้นมาดูรุ้งบนท้องฟ้าด้วยใจเต้นแรง และในขณะที่ผู้คนผ่านวงแหวนปราณระบบสุริยะและมองดูราวกับชมการถ่ายทอดสด หวังเป่าเล่อเร็วมาก เพียงพริบตาเดียวก็พุ่งออกมาจากโลกและก้าวขึ้นไปบนจักรวาล ไล่ตามเต๋อหยุนจื่อที่ควบหนีไปไกล!

เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะตามทัน เต๋อหยุนจื่อในลำแสงก็ใจสั่น ดวงตาเผยความหวาดกลัวและสยองขวัญอย่างแรงกล้า เขาส่งเสียงคำรามรุนแรง

“ศิษย์พี่ ช่วยข้าด้วย!!”

แทบจะในทันทีที่เอ่ยออกไป หวังเป่าเล่อเข้าใกล้ลำแสงมาอย่างรวดเร็ว และจู่ๆ ก็มีรอยแยกปรากฏขึ้นในความว่างด้านข้าง ในรอยแยกนั้นมีมือใหญ่ยื่นออกมา แม้ว่ามือนี้จะเป็นภาพมายา แต่มันก็เร็วมากและยังแฝงไปด้วยพลังแห่งดาวพระเคราะห์เช่นกัน และยังเหนือกว่าเต๋อหยุนจื่อที่เป็นดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง แต่เป็นดาวพระเคราะห์ชั้นมหาวัฏจักร!

ทันทีที่ปรากฏตัว มือใหญ่นี้พุ่งตรงไปทางหวังเป่าเล่อและจับตัวเขาไว้!

“ข้ากำลังคิดอยู่เชียวว่าบางทีอาจไม่ได้ตื่นมาแค่คนเดียว!” วินาทีที่มือใหญ่คว้าตัวเขา หวังเป่าเล่อก็ยิ้มเยาะ ก่อนจะยกมือขวาชี้เข้าใส่ หมอกมหาศาลปรากฏขึ้นมาจากชั้นอากาศบางๆ และกลายเป็นนิ้วมือยักษ์อยู่ตรงหน้า มันคือนิ้วหมอกเมฆากระแทกเข้ากับมือใหญ่

เสียงดังก้องไปทั่วบริเวณในทันที ท่ามกลางเสียงคำราม นิ้วหมอกเมฆาของหวังเป่าเล่อกับมือยักษ์ปะทะกันเกิดเป็นความผันผวนรุนแรงระเบิดกระจายไปรอบๆ ในพริบตา ก่อนที่จะมีร่างหนึ่งเดินออกมาจากรอยแยกในความว่างเปล่านั่น

คนผู้นี้ไม่ได้ดูแก่ชรา แต่ดูราวกับอยู่ในวัยกลางคน ใบหน้าเต็มไปด้วยความมืดหม่น ทันทีที่เดินออกมา มือสองข้างของเขาก็โบกสะบัดอย่างแรงหนึ่งที ทันใดนั้นด้านหลังก็มีภาพมายาดวงดาว สองมือทำผนึกมุทรา ก่อนจะมียันต์กระดาษปรากฏขึ้นตรงหน้า มันขยายใหญ่อย่างรวดเร็วและพุ่งตรงไปยังหวังเป่าเล่อ!

ขณะเดียวกันเต๋อหยุนจื่อในลำแสงก็กัดฟันอย่างรุนแรงและไม่ได้หลบหนีต่อ แต่กลับพุ่งออกมาจากลำแสง สองมือผนึกมุทราจนเกิดเสียงวิญญาณเทพกรีดร้อง

“ผนึก!”

หลังจากผนึกมุทราก็มีกระดาษยันต์มายาผสานกับกระดาษยันต์ของศิษย์พี่พุ่งตรงไปประทับตราหวังเป่าเล่อ

เมื่อเผชิญกับการร่วมมือของทั้งสองคน สีหน้าหวังเป่าเล่อก็ยังคงเหมือนเดิม แต่ดวงตากลับหรี่ลง แทนที่จะให้ความสนใจกับกระดาษยันต์ทั้งสอง เขากลับหันกลับมาและกวาดตาไปทางความว่างเปล่าที่อยู่ข้างหลังพร้อมกับยกมือขวาขึ้นและกดลงอย่างแรง

ทันใดนั้นดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าด้านหลังก็ส่งเสียงคำราม กฎทั้งเก้าส่องประกายกลายเป็นแสงเก้าดวงพุ่งตรงไปยังความว่างเปล่านั้น!

ขณะเดียวกันร่างของหวังเป่าเล่อก็ไม่รอช้า เขาระเบิดกลายเป็นหมอกมหาศาลกระจายไปทั่วบริเวณ พยายามเลี่ยงกระดาษยันต์จากเต๋อหยุนจื่อกับศิษย์พี่ ขณะเดียวกันก็หนีออกจากพื้นที่นั้น

เพราะจุดที่กฎทั้งเก้าของเขาระเบิดนั้นมีร่องรอยพลังงานที่ทำให้สัมผัสสวรรค์สั่นคลอน ร่องรอยพลังงานนี้…ในประสาทรับรู้ของหวังเป่าเล่อ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดาวพระเคราะห์จะครอบครองได้แล้ว นั่นคือ…ความผันผวนดารานิรันดร์!

การกระทำต่อเนื่องเป็นชุดเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ วินาทีที่ร่างหวังเป่าเล่อกลายเป็นหมอกกระจายไปทั่ว บริเวณพื้นที่ที่ถูกแสงเก้าดวงพุ่งเข้าไปนั้น จู่ๆ ก็เกิดรอยแยกขึ้นในจักรวาล ในรอยแยกนั้นมีน้ำเต้าดำลูกหนึ่งบินออกมา!

ทันทีที่น้ำเต้าออกมา ตรงตำแหน่งปากก็เปิดออกเอง และแรงสูบมหาศาลก็ปะทุออกมาในทันที และยังมีเสียงแก่ชราเสียงหนึ่งดังออกมาจากความว่างเปล่าของจักรวาล

“ดูด!”

ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น แสงจากกฎทั้งเก้าก็ถูกน้ำเต้าดูดเข้าไปอย่างไม่มีทางเลี่ยงได้ ขณะเดียวกันแรงสูบที่แผ่ออกมาจากน้ำเต้าก็ขยายไปทั่วจักรวาลจนเกิดระลอกคลื่นจำนวนมาก ราวกับถูกทำให้แข็งค้าง ยิ่งกว่านั้นยังทำให้หมอกจากร่างแยกของหวังเป่าเล่อเหมือนกับถูกบีบอัดจนไม่อาจแผ่กระจายไปได้อีก มันม้วนกลับไปทางน้ำเต้าราวกับถูกกลืนกิน!

แม้ร่างแยกของหวังเป่าเล่อที่กลายเป็นหมอกจะดิ้นรน แต่เห็นได้ชัดว่าน้ำเต้าลูกนี้ก็ไม่ธรรมดา พลังของมันระเบิดออกมาอีกครั้งทำให้หมอกที่กลายมาจากหวังเป่าเล่อ…ถูกตวัดม้วนกลับและดูดเข้าไปในน้ำเต้าจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!

ขณะเดียวกันกับที่หมอกจากร่างแยกหวังเป่าเล่อถูกดูดเข้าไปในน้ำเต้า ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อันไกลโพ้น ร่างต้นของหวังเป่าเล่อที่นั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ในดารานิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์ก็ลืมตาขึ้นทันที!

เมื่อลืมตาขึ้น เปลวเพลิงดารานิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์ก็ปะทุออกมา ในจักรวาลอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็มีสายฟ้าพาดผ่าน ท่ามกลางพลังสะเทือนฟ้า หวังเป่าเล่อที่ลืมตาขึ้นมีแสงเย็นวาบในดวงตา คลื่นความผันผวนอันน่าสะพรึงกลัวพลันปะทุออกมาจากร่าง ดาวเคราะห์เต๋าก็ปรากฏตัวขึ้นมาเช่นกัน อีกทั้งรูปร่างดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าเองก็ส่องแสงจางๆ หวังเป่าเล่อแค่นเสียงเย็นชา

“ดารานิรันดร์บาดเจ็บสาหัส…” ขณะที่พูด ร่างต้นของหวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นทำผนึกมุทรา ทันใดนั้นเปลวเพลิงดารานิรันดร์ก็ปะทุขึ้นอีกครั้ง มันพลิกกลับและห่อหุ้มร่างเขาไว้พร้อมกับพลังเคลื่อนย้ายที่พุ่งสูงขึ้น วินาทีต่อมา…ท่ามกลางเปลวเพลิงนั้น ร่างต้นของหวังเป่าเล่อก็หายวับไป!

ในเวลาเดียวกัน หลังจากที่ร่างแยกของหวังเป่าเล่อถูกน้ำเต้าดูดเข้าไป ชายหนุ่มคนหนึ่งก็เดินออกมาจากรอยแยกข้างน้ำเต้า!

ชายหนุ่มผู้นี้สวมผ้าทอ อายุราว 13-14 ปี แต่เส้นผมและขนคิ้วล้วนเป็นสีขาว บนร่างกายมีร่องรอยแห่งกาลเวลาไหลผ่าน เมื่อเดินออกมาก็ยกมือขวาคว้าน้ำเต้า ดวงตาราวกับดวงดาราส่องประกายกวาดมองไปยังดวงวิญญาณเทพของเต๋อหยุนจื่อและผู้ฝึกตนวัยกลางคนคนนั้น

ทั้งสองคนตัวสั่นและคุกเข่าคำนับชายหนุ่มทันที

“คารวะท่านอาจารย์!”

ชายหนุ่มคนนี้คืออาจารย์ของทั้งสองอย่างน่าประหลาดใจ และเป็นปรมาจารย์ดารานิรันดร์เพียงหนึ่งเดียวในกระบี่สำริดโบราณ ที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักวังเต๋าไพศาล!!

ย้อนกลับไปตอนที่ตื่นขึ้นมา…ไม่ได้มีแค่เต๋อหยุนจื่อเท่านั้น แต่ยังมีศิษย์พี่ผู้ซึ่งเป็นปรมาจารย์ดารานิรันดร์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาลด้วย เพียงแต่ตอนนั้นเขาบาดเจ็บสาหัสเกินไป ฐานการฝึกฝนหายไปกว่าครึ่ง หลายปีที่ผ่านมานี้สองนักพรตฟื้นฟูฐานการฝึกฝนกลับมาได้เพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น

แต่ก็สามารถหนีจากการขุดรากถอนโคนสำนักวังเต๋าไพศาลในตอนนั้นได้ อีกทั้งยังมีชีวิตรอดมาได้ นี่ก็แสดงให้เห็นแล้ว ว่าในตอนนั้นดารานิรันดร์ผู้นี้ต้องแข็งแกร่งมาก และมีบางอย่างที่ไม่เหมือนคนอื่น

เรื่องนี้ทันทีที่เขาปรากฏตัว เต๋อหยุนจื่อกับศิษย์พี่ของเขาก็ทรุดเข่าตัวสั่นเทา และยังมองออกว่าสองศิษย์พี่น้องนี้กำลังคุกเข่ายอมรับความผิด…

“แค่หนอนเนื้อที่เพิ่งเลื่อนระดับตัวเดียวสร้างปัญหาเล็กน้อย แต่กลับต้องรบกวนการฝึกตนของอาจารย์ ท่านอาจารย์โปรดลงโทษ!”

“ท่านอาจารย์ โปรดลงโทษข้าด้วย!” สองศิษย์พี่น้องในยามนี้กำลังกังวลอย่างหาใดเปรียบ ในความเป็นจริงพวกเขารู้จักอาจารย์ของตนเป็นอย่างดี อีกฝ่ายเป็นคนขี้หงุดหงิดเอาแน่เอานอนไม่ได้ อีกทั้งยังเข่นฆ่าคนได้อย่างเด็ดขาด สงครามในตอนนั้นเพราะศิษย์เสียเปรียบ เขาจึงได้เข่นฆ่าคนในสำนักเดียวกันไปมากกว่าพันคน เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา พวกเขาทั้งสองคนไม่กล้าหายใจแรงด้วยซ้ำ

ชายหนุ่มหรี่ตาลง ก่อนจะมองน้ำเต้าในมือ ดวงตาล้ำลึกมีแววสงสัยวาบผ่าน เขาสัมผัสได้ลางๆ ว่าคนคนนั้นมีบางอย่างผิดปกติ แต่เพราะในตอนนี้ฐานการฝึกฝนของตนยังฟื้นฟูกลับมาได้ไม่ถึงหนึ่งส่วน ยังไม่สามารถใช้พลังเทพได้จึงมองไม่ออก มีเพียงสัญชาตญาณเท่านั้นที่รู้สึกแปลกๆ

ตอนนี้เขาจึงตั้งใจจะพาเขากลับสำนักวังเต๋าไพศาลเพื่อใช้พลังภายนอกมาพิสูจน์และดูว่าเขาจะหาที่มาของความรู้สึกแปลกๆ นี้ได้หรือไม่ และเพราะเหตุนี้เขาจึงไม่ได้ลงโทษศิษย์ทั้งสองของตน หลังจากกวาดตามอง เขาก็เอ่ยขึ้นเบาๆ

“นี่ไม่ใช่หนอนเนื้อธรรมดา หนอนเนื้อตัวนี้…”

ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะพูดจบ จู่ๆ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป ฉับพลันเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไปยังจักรวาลและในทิศทางจักรวาลที่เขามองไปมีทะเลแห่งแสงที่มีรัศมีที่อธิบายไม่ได้ระเบิดพุ่งเข้ามาหาเขา!

ทะเลแห่งแสงนี้มีเก้าสี!

ภายในบรรจุกฎเก้าข้อซึ่งในขณะนี้ไม่ได้ปะทุออกมาแม้แต่น้อย ทำให้จักรวาลระบบสุริยะสั่นไหว และสิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มผู้นั้นตกตะลึงคือทะเลแห่งแสงที่เกิดจากการผสานกฎทั้งเก้าเข้าด้วยกัน อีกทั้งยังมีพลังแห่งกฎระดับสูงสุดที่กดดันไปทั่วทุกทิศ สั่นคลอนทุกชีวิตอย่างบ้าคลั่งตั้งแต่ภูเขาไปถึงทะเล ก่อนจะเข้าปกคลุมพวกเขาทั้งสามไว้ภายใน!

“กฎนี้…นี่คือ…”

“ดาวเคราะห์เต๋า?!!” ชายหนุ่มหน้าเปลี่ยนสี ในดวงตาเผยความเหลือเชื่อ ขณะเดียวกันน้ำเต้าในมือของเขา…ก็สั่นอย่างรุนแรง กระบวนการทั้งหมดกินเวลาเพียงสองอึดใจเท่านั้น ในพริบตาที่ทะเลแห่งแสงแผ่ปกคลุมไปทั่วทุกทิศ น้ำเต้าก็ส่งเสียงคำรามและแตกออกเอง หมอกที่กลายร่างมาจากร่างแยกของหวังเป่าเล่อข้างในผสานเข้ากับทะเลแห่งแสงทันที ขณะเดียวกันก็มีเสียงเย็นเยียบดังขึ้นข้างหูศิษย์อาจารย์ทั้งสาม!

“ไอ้แก่หนังเหนียว เจ้าว่าใครเป็นหนอนเนื้อ”

………………………………………………………………….

ชายชราปรากฏตัวขึ้นในเวลาเดียวกันกับที่หวังเป่าเล่อล้างบางกลุ่มนภาห้าสมัยบนโลก ได้ถูกถ่ายทอดไปยังดวงดาวทุกดวงผ่านทางวงแหวนปราณในระบบสุริยะ

ทำให้ผู้ฝึกตนและทุกชีวิตบนดวงดาวในระบบสุริยะเหมือนได้ดูถ่ายทอดสดและได้เห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้น!

สำหรับผู้คนบนโลกนั้น การปกครองของกลุ่มนภาห้าสมัยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ทำให้ผู้คนเหนื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง ทั่วทั้งสหพันธรัฐราวกับถูกล้างสมองและต้องอุทิศทุกสิ่งเพื่อฟื้นฟูสำนักวังเต๋าไพศาล

ไม่ใช่แค่สำนักเต๋าที่ถูกทำลายจนทำให้ผู้คนไม่ได้รับการศึกษา ขณะเดียวกันยังขัดขวางการฝึกตน เข้าถึงเคล็ดวิชาได้ยากยิ่ง แต่นั่นยังไม่เท่าไหร่ สิ่งที่ทำให้ผู้คนทนรับไม่ได้มากที่สุดคือหลังจากกลุ่มนภาห้าสมัยเข้ามามีอำนาจ ทุกคนก็ต้องส่งศิลาวิญญาณจำนวนมากให้ภายในเวลาที่กำหนด

หากทำไม่ได้จะถูกลงโทษอย่างโหดเหี้ยม!

ชีวิตที่กดขี่ทุกคนให้ทำงานตลอดเวลาเช่นนี้ เป็นหินก้อนใหญ่ที่กดทับทุกคนจนหายใจไม่ออก และสามารถจินตนาการออกว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป สหพันธรัฐจะต้องถูกบีบเค้นจนถึงระดับที่อาจกล่าวได้ว่าต้องแลกด้วยชีวิตเพื่อจ่ายค่าฟื้นฟูสำนักวังเต๋าไพศาล!

ดังนั้นหลังจากได้เห็นการปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อและการบางกลุ่มนภาห้าสมัย เสียงโห่ร้องตื่นเต้นของผู้คนบนดวงดาวก็กระจายไปทั่วในทันที โดยเฉพาะบนดาวอังคาร พวกเจ้านครดาวอังคารซึ่งได้รับรู้ถึงการกลับมาของหวังเป่าเล่อจากหลี่ซิงเหวินแล้วก็ได้เห็นทุกอย่างแล้วเช่นกัน แต่ละคนต่างตื่นเต้นดีใจ

แต่ก็มีความกังวลเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อเห็นชายชราดาวพระเคราะห์คนนั้นปรากฏตัวขึ้น ความวิตกกังวลยิ่งทวีคูณถึงขีดสุดเมื่อมองดูโลก หวังเป่าเล่อที่ลอยอยู่เหนือเมืองกลุ่มนภาห้าสมัยเงยหน้ามองชายชราที่เดินออกมาจากท้องฟ้าพร้อมกับสัมผัสได้ถึงความผันผวนของฐานการฝึกฝนของดาวพระเคราะห์ชั้นกลางผู้นี้ และยังรู้แล้วว่าดาวพระเคราะห์ของอีกฝ่ายคือระดับดาราวิญญาณ

“เจ้าน่ะหรือที่ทำให้กลุ่มนภาห้าสมัยอวดดีได้” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากช้าๆ ทุกอย่างเกี่ยวกับอีกฝ่ายเมื่ออยู่ภายใต้ดาวเคราะห์เต๋าของเขาย่อมไม่มีทางหลุดรอดไปได้และถูกเขามองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง กลับกันในสายตาของชายชราที่กำลังเดินเข้ามานั้น ตัวตนของหวังเป่าเล่อช่างเลือนรางนัก

นี่เป็นเหตุผลที่ถึงแม้ชายชราจะมาถึงแล้ว แต่กลับซ่อนตัวและไม่ปรากฏกายตั้งแต่ต้นจนจบ เขารู้เพียงว่าหวังเป่าเล่อเป็นดาวพระเคราะห์ แต่ไม่รู้รายละเอียด เขาจึงไม่บุ่มบ่ามและตั้งใจที่สังเกตวิธีการของอีกฝ่ายก่อนตัดสินใจ

แต่ตอนนี้ในเมื่อถูกค้นพบแล้ว เขาในฐานะดาวพระเคราะห์ถึงแม้จะมีความหวาดหวั่น แต่ก็มีความมั่นใจในตัวเองระดับหนึ่ง ดังนั้นหลังจากเดินออกมาจึงเอ่ยปากอย่างเย็นชา ในคำพูดยังแฝงเจตนาสั่งสอนเข้าไปด้วย

ความมั่นใจของเขาส่วนหนึ่งมาจากฐานการฝึกฝนของตนเอง อีกส่วนหนึ่งเพราะมีการสนับสนุนจากกระบี่สำริดโบราณแ ละการดูแคลนผู้ฝึกตนของระบบสุริยะในสายตาของเขา ดังนั้นสายตาเย็นชาของหวังเป่าเล่อและประโยคถามกลับนั้นก็ทำให้ชายชราพ่นลมอย่างเย็นชา

“เจ้าหนุ่ม ข้าเต๋อหยุนจื่อจากสำนักวังเต๋าไพศาล ดาวพระเคราะห์ใหม่เช่นเจ้า ร่างกายยังอยู่ในสภาวะว่างเปล่า จิตวิญญาณยังไม่อาจเปลี่ยนเป็นสสารได้ ทั้งชีวิตข้าเห็นมานักต่อนักแล้ว ฝึกจนถึงระดับเจ้าไม่ใช่เรื่องง่าย หากเจ้าช่วยสำนักวังเต๋าไพศาลของข้า เรื่องการฝึกตนที่นี่ ข้าสามารถชี้แนะให้เจ้าได้และจะให้เจ้าคำนับเข้าสำนัก ให้เป็นร่างพาหนะของผู้อาวุโส ”

“ตอนนี้เจ้าจะสู้กับข้าอย่างไม่เจียมตัวหรือเลือกเข้าร่วมสำนักวังเต๋าไพศาลก็พูดมาได้เลย!” พูดจบเต๋อหยุนจื่อผู้นี้ก็ยกมือขวาขึ้นผนึกมุทรา ทันใดนั้นกระบี่ห้าเล่มด้านหลังก็เปล่งแสงเจิดจ้าและปราณกระบี่ห้าสายก็พุ่งขึ้นฟ้ามาบรรจบกันตรงเหนือหัวกลายเป็นดวงดาวมายาดวงหนึ่งและทำให้พลังแห่งดาวพระเคราะห์ของเขาแผ่ขยายออกมา ทันใดกลายเป็นแรงกดดันปกคลุมไปทั่วทั้งโลก

ในความคิดของเขาดาวพระเคราะห์ของผู้ฝึกตนตรงหน้าต้องเป็นเพราะโชค ดาวพระเคราะห์ที่ผนึกเข้ากับร่างกายเหนือกว่าของตน คงจะเป็นระดับดาวเคราะห์อมตะซึ่งทำให้เขาอิจฉาไปพร้อมๆ กับแค่นเสียงเย็นชาอยู่ในใจ เขาแอบคิดว่าอีกฝ่ายควบคุมดาวเคราะห์อมตะไม่ได้ มิเช่นนั้นคงไม่ปรากฏร่างที่ดูเหมือนสสาร แต่เห็นได้ชัดว่ามันเป็นภาพมายาได้อย่างเช่นตอนนี้

เขาไม่เคยมีความคิดที่ว่าอีกฝ่ายเป็นร่างแยกอยู่ในหัวเลย ที่เขารับรู้คือผู้ฝึกตนตรงหน้าเพิ่งเลื่อนระดับ กายเนื้อกับดาวพระเคราะห์ยังอยู่ในสภาวะไม่เสถียร

คนแบบนี้ต่อให้เป็นดาวเคราะห์อมตะ แต่หากเขาทุ่มสุดตัวเพื่อใช้เคล็ดวิชาลับก็ยังมีโอกาสที่จะยับยั้งได้ ขณะเดียวกันเขาก็พอใจกับสิ่งที่ตนเองพูดออกไปมาก ความหมายที่แฝงอยู่คือบอกกับอีกฝ่ายว่าอย่าคิดว่าได้เลื่อนขึ้นเป็นดาวพระเคราะห์แล้วจะหยิ่งผยองต่อหน้าตนได้

และเพราะการตัดสินเช่นนี้ น้ำเสียงของเขาจึงเริ่มแข็งกระด้างขึ้น เมื่อคำพูดดังก้องกังวาน ฐานการฝึกฝนก็ปะทุขึ้น ปราณกระบี่เริ่มปั่นป่วนและปรากฏพลังโจมตีที่ไม่ทันตั้งตัว

สีหน้าหวังเป่าเล่อไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย เขายังคงมองชายชราตรงหน้าด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยเบาๆ

“เจ้าบอกว่าข้าหยิ่งผยองรึ”

“ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา!” ชายชราเลิกคิ้ว มือขวาของเขาถูกยกขึ้นและปัดลงไปที่หวังเป่าเล่อในทันที และพูดเสียงเรียบ

“สยบ!”

ทันทีที่เอ่ยออกมา ปราณกระบี่จากกระบี่เหาะเหินห้าเล่มด้านหลังซึ่งรวมตัวกันกลายเป็นดวงดาวก็ระเบิดรังสีลุกโชน แรงกดดันที่มองไม่เห็นราวกับท้องทะเลกว้างใหญ่มารวมตัวกันจากทุกทิศทาง เหมือนกับมือยักษ์ที่มองไม่เห็นกดทับศีรษะหวังเป่าเล่อ!

ไม่ใช่แค่ฐานการฝึกฝนดาวพระเคราะห์ชั้นกลางเท่านั้น แต่ยังรวมถึงพลังกระบี่สำริดโบราณบางส่วนที่เขายืมมาก็กดทับลงมาด้วย ทำให้ดารานิรันดร์ของระบบสุริยะกะพริบเล็กน้อย พลังกดดันพุ่งสูงขึ้นจนพื้นดินด้านล่างหวังเป่าเล่อเกิดสัญญาณของการแตกกระจายขึ้น!

เพียงแต่…แรงกดดันราวกับท้องทะเลในความคิดของเต๋อหยุนจื่อนั้นเป็นแค่ลมแรงวูบหนึ่งสำหรับหวังเป่าเล่อเท่านั้น แม้แต่เส้นผมยังไม่กระดิก จึงไม่สามารถทำอะไรร่างกายหวังเป่าเล่อได้

“เจ้าบอกว่าข้าไม่เจียมตัวรึ” หวังเป่าเล่อทำสีหน้าปกติและยังคงเอ่ยเสียงเบา

ภาพนี้ทำให้เต๋อหยุนจื่อเบิกตาค้างในทันใด สายตาฉายแววประหลาดใจ ขณะเดียวกันมือทั้งสองข้างก็รีบผนึกมุทราพร้อมกับเสียงคำรามต่ำออกมาจากปาก ทันใดนั้นกระบี่เหาะเหินห้าเล่มด้านหลังก็พุ่งทะยานขึ้น และเมื่อพวกมันไปรวมตัวกันอยู่กลางอากาศก็ปรากฏเป็นดวงดาวและยิ่งชัดขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันแรงกดดันพุ่งสูงขึ้นในชั่วพริบตาและกดทับมาที่หวังเป่าเล่ออีกครั้ง

ไม่เพียงเท่านั้น กระบี่เหาะเหินทั้งห้าได้กลายเป็นรุ้งห้าสาย และพุ่งตรงไปยังหวังเป่าเล่อพร้อมเสียงหวีดแหลม!

ท่ามกลางเสียงดังสนั่น แรงกดดันที่แปลงมาจากดวงดาวตกลงบนร่างหวังเป่าเล่อ ครั้งนี้พลังของมันแข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่ไม่น้อย ในที่สุดก็ทำให้เส้นผมหวังเป่าเล่อกระดิกได้นิดหน่อย และรุ้งที่แปลงมาจากกระบี่เหาะเหินห้าเล่มก็เข้ามาใกล้ เพียงแต่…ยิ่งมันเข้ามาใกล้ก็ยิ่งสั่นสะท้าน และเมื่อมันอยู่ห่างจากร่างของเขาหนึ่งจั้ง มันก็สั่นสะท้านถึงขีดสุด ลำแสงมืดดับลงอย่างรวดเร็ว

เมื่อหวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น กระบี่เหาะเหินทั้งห้าเล่มก็ลอยเข้าไปอยู่ในมือเขาทันที มันกลายเป็นแหวนห้าวงพันรอบนิ้วหวังเป่าเล่อ

“แค่นี้รึ?” หวังเป่าเล่อเอ่ยอย่างเย็นชา

“เป็นไปไม่ได้!!” เต๋อหยุนจื่อคร่ำครวญอยู่ในใจและหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างสิ้นเชิง ภาพตรงหน้าเกินกว่าจินตนาการของเขาไปแล้ว ทำให้เขารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่คิดไม่ถึงขั้นสุด ร่างกายถอยร่นไปโดยสัญชาตญาณ แต่วินาทีที่เขาถอยหลังไป สายตาหวังเป่าเล่อก็วาววับและก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว

เขาเร็วมาก พริบตาเดียวก็หายไป และในขณะที่เต๋อหยุนจื่อยังไม่ทันได้ตอบสนอง เขาก็มาปรากฏกายตรงหน้า ก่อนจะยกมือขวาขึ้นชก!

แต่หมัดเดียวท้องฟ้าก็เปลี่ยนสี เต๋อหยุนจื่อที่ตัวสั่นเทาส่งเสียงกรีดร้องน่าสมเพช เลือดพุ่งกระเด็นออกมาจากร่างก่อนจะพังทลายลง!

แม้แต่ดวงดาวมายาที่ปรากฎขึ้นก็ไม่สามารถต้านทานมันได้ เมื่อร่างของเขาพังทลาย มันก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและถูกพัดพาไป!

มีเพียงดวงวิญญาณเทพของเขาที่กำลังจะถูกฉีกขาด จู่ๆ ก็มีลำแสงเปล่งออกมาจากกระบี่สำริดโบราณ ทั้งพันรัดและปิดล้อมอย่างรวดเร็วจนดวงวิญญาณเทพของเต๋อหยุนจื่อไม่อาจหลบหนีได้ เขารีบถอยหลังอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าตกตะลึง ก่อนจะเหาะออกมาจากโลกและตรงไปยังกระบี่สำริดโบราณ

“เจ้าจะหนีไปไหนได้ ต่อให้เป็นกระบี่สำริดโบราณก็ยังอยู่ในสหพันธรัฐของข้าไม่ใช่หรือ” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเรียบ ก่อนจะขยับร่างกายและไล่ตามไป!

ขณะที่เขากำลังไล่ตาม ทุกคนในสหพันธรัฐที่มองเห็นสิ่งเหล่านี้ผ่านระบบสุริยะต่างโห่ร้องในใจ และความตื่นเต้นยิ่งทวีคูณมากขึ้นไปอีก

“หวังเป่าเล่อ!”

“ตำนานของสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ของเรา หัวหน้าศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ หวังเป่าเล่อ!!”

“ผู้แข็งแกร่งที่สุดในสหพันธรัฐ หวังเป่าเล่อ!!”

หวังเป่าเล่อที่ใช้เต๋าสาบานของตนเสริมพลังให้เก้าดาวเคราะห์บรรพกาลกลายเป็นดาวเคราะห์เต๋านั้น ภายในพลังงานดาวเคราะห์เต๋าของเขาก็มีพลังแห่งคำสาบานด้วยเช่นกัน ในระดับหนึ่งคำพูดของเขาดูสมเหตุสมผล แม้ว่ากริชเหาะเหินสีแดงสดเล่มนี้จะเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ยังสามารถปิดผนึกได้

ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนข้อตกลงระหว่างกริชเหาะเหินกับสหพันธรัฐในตอนนั้น และยังใช้พลังของตนเพื่อทำให้เกิดการควบแน่นอีกครั้ง ซึ่งเท่ากับเป็นการมอบชะตาให้กริชเหาะเหินเล่มนี้ ทำให้ถึงแม้ในแง่ของระดับมันจะยังเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ แต่ในแง่ของอานุภาพนั้น เนื่องจากหวังเป่าเล่อมีความเกี่ยวโยงบางอย่างกับมัน เขาจึงใช้พลังของตนทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น

ในเวลานี้หลังจากได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ กริชเหาะเหินสีแดงเล่มนี้ก็สั่นสะท้านพร้อมกับระเบิดพลังออกมาราวกับตอบสนอง จากนั้นมันก็กลายร่างเป็นเครื่องประดับติดผมสีแดงและเสียบเข้าไปในกลุ่มผมของหวังเป่าเล่อ ผมของเขาม้วนเป็นเกลียวทำให้ตอนนี้หวังเป่าเล่อดูราวกับเป็นผู้อมตะ

เขาไม่ได้หันไปมองทำเนียบที่พังทลายหรือศพที่อยู่บนพื้น แต่เดินกลางอากาศจากไปทีละก้าว ในซากปรักหักพังที่อยู่เบื้องหลัง คนที่ไม่ได้อยู่ในสี่ตระกูลใหญ่ค่อยๆ ตื่นขึ้น พวกเขามองซากปรักหักพังรอบๆ อย่างงุนงง และเห็นร่างของหวังเป่าเล่ออยู่ไกลออกไปบนท้องฟ้า ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็เห็น…รปปั้นนับร้อยพวกนั้นคุกเข่าลงจากที่เคยยืนอยู่

ณ เวลานี้ พระอาทิตย์กำลังตกดิน

ลำแสงแห่งพลบค่ำบนร่างหวังเป่าเล่อราวกับอาภรณ์สีทองที่ไร้รูปร่าง ขณะที่เดินไปไกลเรื่อยๆ ในบรรดาผู้ฝึกตนที่ตื่นขึ้นนั้นไม่รู้ว่าใครเป็นคนแรกที่เริ่มคุกเข่าให้หวังเป่าเล่อ และในไม่ช้าคนที่ตื่นขึ้นมาทุกคนก็โค้งคำนับด้วยความเคารพ

หวังเป่าเล่อเดินไปไกลขึ้นเรื่อยๆ

สถานที่ชุมนุมของกลุ่มนภาห้าสมัยไม่ได้กระจัดกระจาย แต่รวมอยู่ที่เดียวกัน และไม่เหมือนกับในความทรงจำของหวังเป่าเล่อในตอนนั้นอีกแล้ว ที่นั่นกลายเป็นเมืองอย่างสมบูรณ์แล้ว!

เมืองนี้มีขนาดใหญ่มากเท่ากับนครศักดิ์สิทธิ์สามนคร อีกทั้งภายในเมืองนอกจากกลุ่มนภาห้าสมัยแล้วยังมีผู้ฝึกตนสำนักรุ่งสางจักรพิภพและสำนักสหชุมนุมสกุณา เห็นได้ชัดว่าสองสำนักนี้ก็เกิดการแตกแยกภายในและเปลี่ยนการปกครองเช่นกัน คนส่วนหนึ่งติดตามหลี่ซิงเหวินไปดาวอังคาร ส่วนที่เหลือก็เข้าร่วมกับกลุ่มนภาห้าสมัย

แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญสำหรับหวังเป่าเล่อ เมื่อร่างของเขาปรากฏตัวอยู่เหนือเมืองของกลุ่มนภาห้าสมัย ความโกรธจากก้นบึ้งหัวใจก็แผ่ซ่านจนท้องฟ้าเปลี่ยนสี เมฆดำก่อตัวขึ้นปกคลุมทั่วทั้งเมือง

อย่างไรก็ตามการปรากฏตัวของเมฆดำและพลังยับยั้งที่แผ่ซ่านนั้น ผู้คนในเมืองที่ไม่ใช่สายเลือดกลุ่มนภาห้าสมัยมองไม่เห็นและไม่รู้สึกถึงมันแม้แต่น้อย มีเพียงคนของกลุ่มนภาห้าสมัยเท่านั้นที่เห็นทุกอย่างด้วยความประหลาดใจ ขณะเดียวกันเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่ทำเนียบก็ถูกส่งไปยังคนระดับสูงของกลุ่มนภาห้าสมัยแล้ว ทำให้หัวหน้าตระกูลและผู้อาวุโสในกลุ่มนภาห้าสมัยต่างตกตะลึง จิตใจปั่นป่วน

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”

“พวกเราไปยั่วยุผู้เยี่ยมยุทธ์เช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!”

“รีบไปรายงานผู้อาวุโสสำนักวังเต๋า!!”

ยามที่เหล่าบุคคลระดับสูงและหัวหน้าตระกูลของกลุ่มนภาห้าสมัยตื่นตระหนกถึงขีดสุด หวังเป่าเล่อที่อยู่กลางอากาศเพ่งมองคนของกลุ่มนภาห้าสมัยในเมืองด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเอ่ยปากเบาๆ

“หลี่!”

กลุ่มนภาห้าสมัย หลี่คือตระกูลแรก!

ทันทีที่เอ่ยประโยคนี้ออกไป ภายในห้องประชุมของกลุ่มนภาห้าสมัย ขณะที่ทุกคนกำลังวิตกกังวลและหวาดกลัวอยู่นั้น หัวหน้าตระกูลหลี่คนปัจจุบันและผู้อาวุโสของตระกูลอีกสามคนข้างกายต่างตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาเบิกกว้าง ยังไม่ทันได้พูดอะไร ร่างกายก็เหี่ยวแห้งราวกับลูกบอลที่ถูกปล่อยลม ฉับพลันก็กลายเป็นความว่างเปล่าราวกับถูกกำจัดทั้งร่างกายและวิญญาณออกไป!

ไม่ใช่แค่พวกเขาที่เป็นเช่นนี้ ผู้อาวุโสที่ถือสันโดษอยู่ในพื้นที่ต้องห้ามของตระกูลหลี่รวมถึงผู้อาวุโสสูงสุดและผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทั้งหมดในวินาทีนี้ได้สิ้นชีพในพริบตา

สุดท้ายหวังเป่าเล่อ…ก็ไม่ได้รีบร้อนจะเอาชีวิตของแค่วิญญาณจุติ แต่ถึงกระนั้นสำหรับผู้อาวุโสและหัวหน้าตระกูลของอีกสี่ตระกูลใหญ่ก็ยังคงตื่นตระหนกสุดขีด ความหวาดกลัวในสายตาแต่ละคนไม่อาจบรรยายได้แล้ว พวกเขากำลังเฝ้าดูผู้อาวุโสและหัวหน้าตระกูลเฉินกำลังตายไปต่อหน้าต่อตา!

“ผู้อาวุโสโปรดไว้ชีวิต!”

“ผู้อาวุโส ตระกูลหลี่ทำผิด ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกข้า!”

“ผู้อาวุโส กลุ่มนภาห้าสมัยของเราพึ่งพาผู้อาวุโสเต๋อหยุนจื่อ…”

อีกสี่ตระกูลใหญ่เหาะขึ้นไปในอากาศด้วยความกลัว และตรงไปยังศูนย์กลางที่เต็มไปด้วยเมฆดำไร้ที่สิ้นสุดบนท้องฟ้า ก่อนจะคุกเข่าลงอ้อนวอนหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ที่นั่น

จนถึงตอนนี้พวกเขาก็ยังไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรผิดและไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นใคร มีเพียงหัวหน้าตระกูลจั่วหรือพ่อของจั่วอี้ฟานและจั่วอี้เซียนเท่านั้นที่เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อแล้วรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่หัวใจที่สั่นไหวทำให้เขาไม่สามารถค้นหาที่มาของความคุ้นเคยนี้ได้ทันที ขณะที่เขากำลังประมวลผล หวังเป่าเล่อก็เอ่ยชื่อที่สอง

“เฉิน!”

ทันทีที่เอ่ยออกไป ในบรรดาสี่ตระกูลใหญ่ที่คุกเข่าอ้อนวอนหวังเป่าเล่ออยู่นั้น หัวหน้าตระกูลเฉินรวมถึงผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณของตระกูลทุกคนก็ตัวสั่นไหวรุนแรง ตาเบิกกว้างและร่างสลายไปในพริบตา!

ภาพนี้ก่อให้เกิดแรงกระตุ้นรุนแรงแก่ตระกูลจั่วและตระกูลที่เหลือจนหลุดเสียงคร่ำครวญ โดยเฉพาะหัวหน้าตระกูลจั่วที่ตัวสั่นอยู่ในขณะนี้ ความรู้สึกคุ้นเคยนั้นแผ่ซ่าน และในที่สุดก็ค้นพบที่มาพร้อมกับเบิกตากว้าง เขาไม่อาจระงับเสียงอุทานของตนได้เลย

“เจ้า…เจ้าคือ…หวัง เป่าเล่อ!!”

ทันทีที่หัวหน้าตระกูลจั่วเอ่ยออกมา ผู้อาวุโสตระกูลอื่นรวมถึงคนในตระกูลของเขาต่างชะงักไปชั่วขณะ ตามมาด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ แม้ก่อนที่หวังเป่าเล่อจากไปเขาจะถึงขั้นเชื่อมวิญญาณแล้ว และยังทำได้เป็นคนแรก แต่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ปีอีกฝ่ายก็มาถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้แล้ว พวกเขาไม่อาจจินตนาการได้เลย

“หวังเป่าเล่อ!” หัวหน้าตระกูลโจวใจสั่นไหว ลมหายใจถี่กระชั้นและกำลังจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ทว่าสิ่งที่รอเขาอยู่คือตัวอักษร ‘โจว’ ที่หวังเป่าเล่อเอ่ยออกมาอย่างไม่แยแส

วินาทีต่อมาหัวหน้าทั้งสองตระกูลรวมถึงผู้อาวุโสของตระกูลก็กลายเป็นความว่างเปล่าและสิ้นชีพไป ส่วนตระกูลจั่วนั้น ผู้อาวุโสทุกคนต่างหนีกระเจิงไปทุกทิศทางอย่างบ้าคลั่ง

แม้จะรู้ว่าหนีไม่พ้น แต่ก็ยังทำเช่นนั้นตามสัญชาตญาณ มีเพียงหัวหน้าตระกูลจั่วเท่านั้นที่หัวเราะอย่างน่าสมเพช ทันทีที่เขาจำหวังเป่าเล่อได้ เขาก็เข้าใจแล้วว่าตระกูลจั่ว…จบสิ้นแล้ว

เพราะการตามล่าพ่อแม่ของหวังเป่าเล่อในตอนนั้นเป็นคำสั่งของเขาเอง เพื่อระบายความโกรธที่สะสมอยู่ในใจเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ทำไม่ได้ เห็นได้ชัดว่ามีผู้เยี่ยมยุทธ์ดาวพระเคราะห์หนุนหลัง แต่เรื่องนี้ในวินาทีนี้ได้เรียกความตายมาสู่ตระกูลแล้ว

“ทำไมดาวพระเคราะห์ของสำนักวังเต๋าไพศาลถึงไม่มา!”

“ข้าไม่เชื่อว่าเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ แต่ทำไมเขาไม่มา!!” หัวหน้าตระกูลจั่วกรีดร้องอยู่ในใจและรีบพูดอย่างรวดเร็วด้วยรอยยิ้มน่าสมเพช

“หวังเป่าเล่อ เห็นแก่มิตรภาพของอี้ฟาน ถึงอย่างไรข้าก็เป็นพ่อของเขา…”

หวังเปาเล่อเงียบ จั่วอี้ฟานอยู่ที่ไหน เขาเคยถามเจ้าเยี่ยเหมิงแล้วแต่อีกฝ่ายไม่รู้ หลังจากในหัวปรากฏภาพของเขา หวังเป่าเล่อก็เงียบไปไม่กี่อึดใจ ก่อนจะเอ่ยเบาๆ

“จั่ว!”

ทันทีที่เอ่ยออกมา ร่างหัวหน้าตระกูลจั่วก็สั่นเทิ้ม ฉับพลันเลือดก็ไหลออกจากรูทวารทั้งเจ็ด เส้นผมกลายเป็นสีขาว ฐานการฝึกฝนพลันตกฮวบจากขั้นจุติวิญญาณชั้นมหาวัฏจักรเป็นขั้นกำเนิดแก่นใน และตกลงไปถึงขั้นรากฐานตั้งมั่น จากนั้นก็แตกสลายจนกลายเป็นคนธรรมดา ก่อนจะกระอักเลือดออกมาและร่างกายล้มลง

ยกเว้นหัวหน้าตระกูลจั่ว เหล่าผู้อาวุโสที่แตกกระเจิงไปพวกนั้นต่างตัวสั่นเทิ้มและแตกสลายไปราวกับไม่เคยมีอยู่จริง

“ชีวิตของเจ้า ข้าจะให้อี้ฟานมารับด้วยตนเอง” หวังเป่าเล่อพูดอย่างสงบนิ่ง เขาไม่สนใจหัวหน้าตระกูลจั่วที่ถูกทำลายฐานการฝึกฝน แต่กลับเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า จิตสังหารในดวงตาไม่ได้ลดน้อยลง กลับกันมันยิ่งเยือกเย็นขึ้น ก่อนจะเอ่ยออกมาเบาๆ

“ดูพอหรือยัง พิจารณาพอหรือยัง”

ขณะที่คำพูดของหวังเป่าเล่อลอยออกไป จู่ๆ ท้องฟ้าก็เกิดระลอกคลื่นบิดเบี้ยว จากนั้นเส้นไหมนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นจากอากาศและพัดรัดเข้าด้วยกันจนก่อตัวเป็นร่างชายชราคนหนึ่ง

ชายชราผู้นี้มีสีหน้าน่าเกลียด ดวงตาคม เขาสวมเสื้อคลุมเต๋าของสำนักวังเต๋าไพศาล มีกระบี่เหาะเหินห้าเล่มแผ่ปราณกระบี่อันแหลมคมอยู่ด้านหลัง ขณะนี้เขาจ้องมองหวังเป่าเล่อเขม็ง ก่อนจะเอ่ยเสียงแหบแห้งช้าๆ

“เจ้าหนุ่ม การเลื่อนขึ้นเป็นดาวพระเคราะห์ไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าแนะนำว่า…เจ้าอย่าหยิ่งผยองให้มากเกินไปนัก มิเช่นนั้น…เมื่อถูกปราบแล้วเจ้าจะเสียใจ!”

……………………………………………………………….

แทบจะในทันทีที่หวังเป่าเล่อเหยียบลงบนพื้นโลก ในหัวของเขาก็มีเสียงถอนหายใจดังขึ้นเบาๆ นั่นคือเสียงของแม่นางน้อย แต่ก็เป็นเพียงแค่เสียงถอนหายใจและไม่มีคำพูดใดๆ

เห็นได้ชัดว่าทุกสิ่งที่แม่นางน้อยที่รับรู้ได้ผ่านร่างแยกของหวังเป่าเล่อทำให้นางเองก็ไม่คิดจะเอ่ยปากเพื่อสำนักวังเต๋าไพศาล ส่วนหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ตอบโต้กับเสียงถอนหายใจนั้น สีหน้าเขาดูเหมือนสงบนิ่ง แต่ความโกรธในใจได้ทะลักทลายไปนานแล้ว

เรื่องหนึ่งเป็นเพราะสิ่งที่เพื่อนและคนรู้จักของเขาได้พบเจอ ที่สำคัญกว่านั้นคือ…พ่อแม่ของเขา!

นี่คือความโกรธของหวังเป่าเล่อ ขณะเดียวกันความรู้สึกผิดในใจทำให้เขาต้องหาที่ระบาย ดังนั้นทันทีที่ร่างของเขาเหยียบลงพื้น เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ที่…ทำเนียบสหพันธรัฐของโลก!

นี่เคยเป็นบ้านของต้วนมู่ฉี เมื่อผ่านความตายของต้วนมู่ฉีและการจากไปของพวกหลี่ซิงเหวิน ปัจจุบันจึงกลายเป็นสถานที่ปกครองของกลุ่มนภาห้าสมัย เมื่อเทียบกับตอนนั้น ที่แห่งนี้มีวงแหวนปราณเกราะกำบังมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รูปปั้นมากกว่าหนึ่งร้อยรูปตรงจัตุรัสราวกับมีชีวิตเหมือนจริงขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งมีความผันผวนของปราณวิญญาณที่เด่นชัดราวกับรูปปั้นที่ได้รับการขัดเกลาด้วยตำนานเหล่านี้พร้อมจะฟื้นคืนชีพได้ทุกเมื่อ แต่รูปปั้นหลี่ซิงเหวินกับต้วนมู่ฉีได้หายไปและถูกแทนที่ด้วยรูปปั้นของหัวหน้าตระกูลกลุ่มนภาห้าสมัย

นอกจากนี้ที่ด้านนอกทำเนียบยังมีม่านแสงที่มองไม่เห็น แต่ผู้ฝึกตนสามารถสัมผัสได้อยู่หนึ่งชั้น ม่านแสงนั้นก่อตัวขึ้นเป็นเกราะกำบัง ส่วนแหล่งกำเนิดของมันก็คืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ภายในทำเนียบ!

ผู้ที่มีฐานะเป็นผู้นำเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ได้ กริชเหาะเหินสีแดงในมือต้วนมู่ฉีได้ถูกยึดครองโดยกลุ่มนภาห้าสมัยหลังจากที่เขาตาย อีกทั้งยังถูกประทับตราเป็นเครื่องสังเวยอยู่ในทำเนียบ

หวังเป่าเล่อปรากฏตัวกลางอากาศ เขาก้มมองทำเนียบที่อยู่ด้านล่าง ทุกสิ่งทุกอย่าง ณ ที่แห่งนี้ไม่อาจหลุดรอดสายตาเขาไปได้ เขาเห็นปราณวิญญาณที่สถิตย์อยู่กับรูปปั้นนับร้อยเหล่านั้นและเห็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกสังเวยอยู่ในทำเนียบ รวมถึงพนักงานที่เดินไปมาอยู่ในบริเวณนั้น

คนที่นี่ส่วนใหญ่มาจากกลุ่มนภาห้าสมัยและเป็นคนในตระกูลของพวกเขา ส่วนในทำเนียบ ผู้ที่ได้รับเลือกให้เป็นผู้นำในปัจจุบันคือหนึ่งในกลุ่มนภาห้าสมัย หัวหน้าตระกูลเฉิน!

ฐานการฝึกฝนของเขาก็เป็นขั้นเชื่อมวิญญาณเช่นกัน อีกทั้งในทำเนียบนั้น นอกจากคนคนนี้ก็ยังมีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณขั้นมหาวัฏจักรอีกสี่คนนั่งขัดสมาธิอยู่ในมุมลึกราวกับออกนั่งบัญชาการด้วยตนเอง

เห็นได้ชัดว่าหลังจากพึ่งพาดาวพระเคราะห์ของสำนักวังเต๋าไพศาลคนนั้น นอกเหนือจากอำนาจแล้ว กลุ่มนภาห้าสมัยยังได้ประโยชน์ไม่น้อยในด้านการฝึกตน เพียงแต่ความสำเร็จที่ถาโถมเข้ามา พวกเขากำจัดเสียงคัดค้านทั้งหมดไปได้จนไม่ได้ตระหนักเลยว่าจริงๆ แล้วในสายตาของผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงนั้น สิ่งที่พวกเขาคิดว่าได้รับมาเป็นเพียงจอกแหนที่ลอยบนผิวน้ำเท่านั้น

“ตอนนั้นก่อนที่ข้าจะจากไป ข้าควรจะใจร้ายกำจัดกลุ่มนภาห้าสมัยทิ้งไปซะ” หวังเป่าเล่อเอ่ยเบาๆ แม้เขาจะพูดกับตัวเอง แต่เนื่องจากฐานการฝึกฝนของเขาแข็งแกร่งเกินไป อีกทั้งยังไม่มีการควบคุม เสียงพึมพำในตอนนี้จึงกลายเป็นสายฟ้าฟาดลงทำเนียบในชั่วพริบตา

เสียงดังราวกับฟ้าผ่าที่ดังขึ้นกะทันหันทำให้ในหัวผู้ฝึกตนทุกคน ณ ที่แห่งนี้เกิดเสียงคำรามขึ้น พวกเขาไม่อาจต้านทานได้ ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับอำนาจสวรรค์ จนกระอักเลือดออกมา!

ในบรรดาพวกเขา ผู้ที่ไม่มีสายเลือดของกลุ่มนภาห้าสมัยนั้น ถึงแม้จะกระอักเลือดออกมา อีกทั้งจิตใจยังรับอาการมึนงงไม่ไหว แต่กลับไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ผู้ที่มีสายเลือดของกลุ่มนภาห้าสมัยแต่ละคนต่างไม่มีทางหนีรอดไปได้

บางทีในกลุ่มนภาห้าสมัยอาจมีผู้บริสุทธิ์ แต่หวังเป่าเล่อไม่ใช่นักบุญ เขาไม่สามารถค้นวิญญาณทีละคนเพื่อดูว่าใครดีใครเลวได้ ทำได้เพียงแค่กวาดจิตสำนึกไปด้วยความรู้สึกทั่วไปเท่านั้น ทำให้ผู้ฝึกตนที่มีสายเลือดกลุ่มนภาห้าสมัยแต่ละคนต่างเลือดพุ่งออกจากรูทวารทั้งเจ็ด ก่อนจะล้มลงทีละคน จะเป็นหรือตายก็ขึ้นอยู่กับวาสนาของพวกเขาแล้ว!

และในขณะที่ผู้ที่มีสายเลือดของกลุ่มนภาห้าสมัยเหล่านั้นกำลังล้มลงไปทีละคน ในฐานะผู้นำ สีหน้าหัวหน้าตระกูลเฉินก็เปลี่ยนไป ผู้อาวุโสกลุ่มนภาห้าสมัยขั้นจุติวิญญาณและขั้นมหาวัฏจักรที่นั่งอยู่ในส่วนลึกทั้งสี่คนนั้นต่างตกตะลึง สิ่งแรกที่ถูกกระตุ้นขึ้นคือรูปปั้นมากกว่าหนึ่งร้อยรูปบนจัตุรัส!Aileen

เห็นได้ชัดว่ารูปปั้นเหล่านี้ถูกกระตุ้นจากพลังดาวพระเคราะห์ ผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ที่ตื่นขึ้นจากกระบี่สำริดโบราณเคยร่ายคาถาเวทไว้ แต่พลังของเขานั้นอย่าว่าแต่อาการบาดเจ็บยังไม่หายดีเลย ต่อให้เขาจะหายดีแล้ว เขาก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของหวังเป่าเล่อได้ นับประสาอะไรกับแค่วัตถุที่ถูกเขาร่ายคาถาเวทไว้

ดังนั้นแม้ในชั่วพริบตารูปปั้นกว่าร้อยรูปจะลืมตาขึ้นพร้อมกัน แต่ละตัวระเบิดพลังงานผันผวน พวกมันลอยขึ้นไปบนฟ้าราวกับมีชีวิตเพื่อต่อสู้กับหวังเป่าเล่อ แต่ในชั่วพริบตามือขวาของหวังเป่าเล่อก็ยกขึ้นมาและกดลงไป

ทันใดนั้นราวกับมีพลังสูงสุดระเบิดออกมาและกลายเป็นเหมือนกับตราประทับฝ่ามือขนาดใหญ่ที่มองไม่เห็นกดลงมา ฉับพลันฟ้าดินก็กลับตาลปัตร ลมฝนเมฆหมอกม้วนกลับ รูปปั้นนับร้อยที่เพิ่งตื่นขึ้นมาพลันสั่นสะท้าน ก่อนที่ดวงตาที่เบิกกว้างค่อยๆ ปิดลง แม้กระทั่งร่างกายที่กำลังสั่นสะท้านก็ยังคุกเข่าให้หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่บนอากาศ

เมื่อพวกมันคุกเข่าลง รูปปั้นหัวหน้าตระกูลกลุ่มนภาห้าสมัยในนั้นก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ขณะเดียวกัน นอกจากทำเนียบแล้ว เกราะป้องกันที่มองไม่เห็นที่เกิดขึ้นจากอาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจทนรับได้และแตกกระจายราวกับเศษกระจกทันที แล้วทำเนียบก็พังทลายลง

ข้างในมีรุ้งสีแดงที่ไร้ซึ่งความหวาดหวั่นพุ่งทะยานขึ้นฟ้าตรงมายังหวังเป่าเล่อราวกับจะทะลุเข้าไป ทว่าความเร็วกลับช้าลงเรื่อยๆ จนกระทั่งมันมาถึงตรงหน้าหวังเป่าเล่อ รุ้งสีแดงก็หยุดนิ่งตัวสั่นอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อจนเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก่อนจะเผยร่างที่แท้จริงออกมา

มันคือกริชเหาะเหินสีแดงเล่มหนึ่ง มันก็คือ…อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของผู้นำสหพันธรัฐ!

ในเวลาเดียวกันกับที่กริชสีแดงสั่นสะท้าน หัวหน้าตระกูลเฉินก็ตัวสั่นและรีบวิ่งออกมาจากทำเนียบที่พังทลาย ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณขั้นมหาวัฏจักรทั้งสี่คนต่างก็เหาะออกมาอย่างหวาดกลัวเช่นกัน ทุกคนมองไปยังหวังเป่าเล่อบนท้องฟ้า

“ผู้อาวุโสโปรดใจเย็น ทุกอย่างเป็นความผิดของผู้เยาว์ ไม่ว่าผู้อาวุโสจะเรียกร้องสิ่งใด ตราบใดที่อารยธรรมสหพันธรัฐของข้าสามารถทำได้ ผู้เยาว์จะต้องทำให้…” หัวใจที่สั่นไหวของหัวหน้าตระกูลเฉินแปรเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนกอย่างรุนแรง เขาจำหวังเป่าเล่อไม่ได้ไปพักหนึ่ง และปฏิกิริยาแรกในตอนนี้ก็คืออีกฝ่ายอาจจะมาจากจักรวาล หรือไม่ก็เป็นคนของสำนักวังเต๋าไพศาลที่ตื่นขึ้นอีกครั้ง

ดังนั้นเขายังไม่ได้ถามให้กระจ่างก็รีบขออภัยก่อน เขาเอ่ยพร้อมกับคุกเข่าลง แม้แต่วิญญาณจุติสี่คนด้านหลังก็ยังคุกเข่าลงเช่นกัน

หวังเป่าเล่อกวาดตามองหัวหน้าตระกูลเฉินผู้ไร้คุณธรรม ก่อนจะคิดถึงต้วนมู่ฉี เมื่อเทียบกับเขาแล้ว สุนัขอย่างหัวหน้าตระกูลเฉินไม่คู่ควรกับตำแหน่งผู้นำเลยสักนิด

เมื่อคิดถึงต้วนมู่ฉี หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะมองกริชเหาะเหินสีแดงที่กำลังสั่นไหวแล้วเอ่ยเบาๆ

“ในเมื่อมีสติรู้ธรรม เหตุใดจึงช่วยคนชั่วก่อกรรมทำเข็ญ”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ กริชเหาะเหินสีแดงก็ยิ่งสั่นอย่างรุนแรง ความรู้สึกไม่เต็มใจและคับข้องใจแผ่ออกมาจากมัน และที่มากกว่านั้นคือความโกรธ

เมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของกริชเหาะเหิน หวังเป่าเล่อก็เงียบไป ด้วยเข้าใจว่าอาวุธศักดิ์สิทธิ์นี้คือสมบัติของผู้นำสหพันธรัฐโดยเฉพาะ และมีข้อตกลงกับสหพันธรัฐและมันก็ยึดมั่นในข้อตกลงนี้เสมอมา ใครเป็นผู้นำ มันก็เป็นของคนนั้น

การตายของต้วนมู่ฉีนั้นมันทั้งเสียใจและโกรธแค้น แต่ต่อหน้าข้อตกลงนั้นและผู้เยี่ยมยุทธ์ดาวพระเคราะห์คนนั้น มันจึงทำได้แค่เชื่อฟัง

“ไปขจัดมลทินบนร่างของเจ้ากันเถอะ” หวังเป่าเล่อส่ายหน้า หนึ่งขั้นเชื่อมวิญญาณ สี่ขั้นจุติวิญญาณ สำหรับเขาล้วนเป็นมือสกปรก ดังนั้นหลังจากพูดจบ เขาก็หันกายเดินไปยังจุดที่กลุ่มนภาห้าสมัยอยู่

และในทันทีที่เขาหันหลังกลับ กริชเหาะเหินสีแดงสดก็พุ่งออกไปด้วยความเจิดจ้าเป็นประกาย จิตสังหารปะทุรุนแรงขึ้นกลายเป็นสายรุ้งสีแดงสดและมุ่งตรงไปยังพื้นโลก ขณะที่หัวหน้าตระกูลเฉินตื่นตกใจและวิญญาณจุติทั้งสี่ไม่อยากเชื่อสายตา ลำแสงสีแดงก็พุ่งทะลุผ่านร่างทั้งสี่คนจากด้านหลังไป

ทันใดนั้นศีรษะของวิญญาณจุติทั้งสี่ก็กระเด็นออกและวิญญาณจุติก็แตกสลาย ขณะเดียวกันเมื่อเห็นกริชเหาะเหินหวีดเสียงแหลมขึ้นอีกครั้ง ศีรษะหัวหน้าตระกูลเฉินก็รู้สึกเจ็บคล้ายหนามทิ่มแทง เขาหวาดกลัวจนเป็นบ้าไปแล้ว เขากรีดร้องด้วยเสียงแหบแห้งต่อหวังเป่าเล่อที่หันหลังเตรียมจะจากไป

“ผู้อาวุโส ข้าทำอะไรผิดกันแน่ ข้า…” ไม่รอให้พูดจบ ลำแสงสีแดงก็ปะทุขึ้นอย่างรุนแรง เมื่อมันพุ่งออกไป ใบมีดของมันก็แตกออกเป็นหลายสิบชิ้นระเบิดพลังที่น่าตื่นตกใจ และไม่ว่าหัวหน้าตระกูลเฉินจะดิ้นรนมากแค่ไหน เขาก็ไม่มีทางรอดพ้น มันพุ่งปักลงกลางอกของเขา!

เสียงกรีดร้องโหยหวนมาพร้อมกับร่างไร้วิญญาณของหัวหน้าตระกูลเฉิน เศษกริชเหาะเหินหลายสิบชิ้นเหาะออกมาจากศพของเขาพร้อมกับร่องรอยพลังงานอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่ดูเหมือนกำลังจะสลายไป เศษเล็กเศษน้อยพวกนั้นเหาะไปบนอากาศและเหาะอยู่ด้านหน้าหวังเป่าเล่อ ก่อนจะกลับมารวมตัวกันเป็นกริชเหาะเหินอีกครั้ง แต่รอยร้าวและท่าทีที่คล้ายกับเป็นลมหายใจสุดท้าย ทำให้ใครๆ ก็มองออกว่ามันกำลังจะแผ่วิชาห้วงเหวย้อนกลับ

“จากนี้ไปภารกิจของเจ้าไม่ใช่แค่เชื่อฟังผู้นำอีกต่อไป แต่ยัง…ต้องปกป้องครอบครัวของข้าด้วย ส่วนตอนนี้ตามข้ามาก่อน!” หวังเป่าเล่อพูดเบาๆ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบกหนึ่งที ร่องรอยพลังงานดาวพระเคราะห์ถ่ายโอนเข้าไปในดวงดาราแดงอาวุธศักดิ์สิทธิ์ที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เศษกริชเหาะเหินแต่ละชิ้นสั่นสะเทือน ก่อนที่มันจะเปล่งแสงจ้าราวกับได้เกิดใหม่ รอยร้าวบนกริชหายไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็มีร่องรอยพลังงานที่รุนแรงกว่าเมื่อครู่ระเบิดออกมาจากร่างของมัน!

ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่มากกว่านี้ พ่อของหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้รู้แน่ชัด สิ่งที่เขารู้และบอกหวังเป่าเล่อไม่ใช่เรื่องลับอะไร และยังเป็นประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่คนของสหพันธรัฐในปัจจุบันรู้กันดี

ฟังสิ่งที่พ่อพูด ความโกรธในใจหวังเป่าเล่อก็พลุ่งพล่านจนทะลักออกมา ก่อนหน้านี้ตอนที่เขาสังเกตการเปลี่ยนแปลงของกระบี่สำริดโบราณเขาก็ไม่ได้คิดจะบุ่มบ่าม แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนความคิดแล้ว

“กลุ่มนภาห้าสมัย…ตระกูลจั่ว…พวกเจ้ากล้ามากนะ!” การเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของหวังเป่าเล่อทำให้ดาวอังคารเกิดเสียงคำรามอีกครั้ง ผู้ฝึกตนบนดาวอังคารต่างก็ประหลาดใจโดยไม่ทราบเหตุผล หวังเป่าเล่อมองเส้นผมสีขาวของพ่อ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นมาแผ่พลังสารัตถะไร้รูปเข้าไปในร่างของพ่อ

ฉับพลันริ้วรอยบนใบหน้าของพ่อก็หายไป เส้นผมก็ฟื้นฟูขึ้นมาใหม่อีกครั้ง จากนั้นการรักษาอย่างระมัดระวัง หวังเป่าเล่อก็ทำให้แม่ที่หลับอยู่กลับมามีผมสีดำอีกครั้ง ดูจากภายนอกไม่ว่าจะเป็นอายุหรือจิตวิญญาณก็เกิดการเปลี่ยนแปลงจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

คนอื่นในสหพันธรัฐไม่สามารถแก้ไขได้ ทำได้เพียงเยียวยารากฐานชีวิตที่บาดเจ็บไว้ แต่เมื่ออยู่ในมือหวังเป่าเล่อก็ไม่ถือว่ายาก เพียงแต่ต้องใช้สารัตถะของตนเท่านั้น

เขารู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถทำให้พ่อแม่ดำรงอยู่ได้ตลอดไป แต่สิ่งที่ทำได้คือรักษาสุขภาพให้แข็งแรงและอายุยืนยาวถึงปีวิญญาณ จนถึงตอนนั้นเขาจะมีความสามารถพอจะทำให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อไปได้หรือไม่นั้น หวังเป่าเล่อก็ยังไม่รู้และไม่อยากคิดถึงมัน

สิ่งที่เขาคิดในตอนนี้คือพ่อแม่ของเขาต้องแข็งแรง ในขณะเดียวกันตระกูลจั่วรวมถึงกลุ่มนภาห้าสมัยที่เกือบจะฆ่าพ่อแม่นั้น เขาได้คิดแก้แค้นไว้ในใจแล้ว

ดังนั้นเขาจึงรวมร่างแยกของตนเองไว้อยู่เป็นเพื่อนพ่อกับแม่ที่นี่หนึ่งร่าง ขณะเดียวกันอีกร่างแยกหนึ่งก็ออกจากบ้านไป และเมื่อปรากฏตัวขึ้น…ก็มาอยู่ในห้องลับใต้ดินในนครหลักแห่งดาวอังคารแล้ว

ภายในห้องลับมีชายชรากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง ชายชราผู้นี้ผอมแห้ง ใบหน้าขาวซีดเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด ที่ลำคอมีถุงขนาดใหญ่โป่งพอง และดูเหมือนจะมีสิ่งมีชีวิตดิ้นไปมาอยู่ในนั้น ทุกครั้งที่มันดิ้นล้วนสร้างความเจ็บปวดทรมานให้กับชายชราผู้นี้จนสีหน้าบิดเบี้ยว

ชายชราผู้นี้…คือหลี่ซิงเหวิน ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์!

หลี่ซิงเหวินไม่ได้สังเกตเห็นการปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ขณะนี้เขากำลังพยายามระงับความเจ็บปวดอย่างสุดกำลัง อาการบาดเจ็บนี้อยู่กับเขามาหลายปีแล้ว ทุกวันในช่วงเวลาเดิมเขาจะต้องมาที่นี่เพื่อระงับความเจ็บปวด นี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้เขามีชีวิตรอดต่อไปได้

เขาไม่ได้กลัวตาย แต่ไม่อยากตายตอนนี้ ดังนั้นต่อให้ได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส เขาก็ยังคงยืนหยัดสู้ เพราะเขารู้ดีว่าตนเป็นเสาหลักเพียงหนึ่งเดียวของทุกคนบนดาวอังคาร!

การดำรงอยู่ของเขาทำให้ทุกคนบนดาวอังคารมีความหวัง หากเขาล้มลงเมื่อไหร่ ไม่ว่าจะเหล่าหัวหน้าเสนาบดีหรือเจ้านครดาวอังคาร หรือแม้กระทั่งผู้แข็งแกร่งของยุคนั้นทุกคนต่างต้องสิ้นหวังเป็นแน่

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้นำที่สร้างยุคกำเนิดวิญญาณและร่วมมือกับต้วนมู่ฉีผู้สืบทอดตำแหน่ง ผลักดันให้สหพันธรัฐเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้มากที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตายของต้วนมู่ฉี การบาดเจ็บสาหัสของทุกคน และการจับกุมเฟิ่งชิวหรันทำให้ภาระทางนี้ของเขายิ่งหนักขึ้น แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงไปรักษาแม่ของหวังเป่าเล่อเป็นประจำ ไม่ใช่เพราะเขารู้ว่าหวังเป่าเล่อได้กลายเป็นดาวพระเคราะห์แล้ว แต่เพราะในใจเขานั้นทั้งหวังเป่าเล่อและคนของปฏิบัติการนกนางแอ่นล้วนเป็นความหวังของสหพันธรัฐ

เมื่อเห็นหลี่ซิงเหวินที่มีสีหน้าเจ็บปวดตรงหน้า แววตาหวังเป่าเล่อก็แสดงความเคารพและความกตัญญู ในใจเอ่ยคำขอโทษอย่างสุดซึ้ง ก่อนจะยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังส่วนที่โป่งพองบนลำคอหลี่ซิงเหวิน

ถุงที่โป่งพองนั้นสั่นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และดูเหมือนมีเสียงร้องขอความเมตตาดังมาจากด้านใน ทันใดนั้นถุงนั่นก็แตกออก และมีหนอนไหมสีดำตัวหนึ่งบินออกมาจากด้านในอย่างรวดเร็วราวกับคิดจะหนี ทว่าสิ่งที่รอมันอยู่คือพลังแข็งตัวยามที่หวังเป่าเล่อจ้องมอง และ…หายวับไปกับตา

ตอนที่มันแตกออก ร่างของหลี่ซิงเหวินก็สั่นสะท้าน ก่อนจะลืมตาขึ้นและเห็นหวังเป่าเล่อที่อยู่ตรงหน้าทันที ตอนแรกเขาหน้าเปลี่ยนสี แต่หลังจากระบุตัวตนได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นความตื่นเต้นและไม่อยากเชื่อ

“เป่าเล่อ?”

“ศิษย์คำนับผู้อาวุโสสูงสุด!” หวังเป่าเล่อกำมือโค้งคำนับต่ำ ขณะเดียวกันก็แผ่พลังสารัตถะเข้าสู่ร่างของหลี่ซิงเหวิน ทำให้อาการบาดเจ็บฟื้นตัวในทันที กระบวนการทั้งหมดกินเวลาเพียงสามถึงห้าลมหายใจ ร่างผอมแห้งของหลี่ซิงเหวินก็กลับมาเป็นปกติ และฐานการฝึกฝนก็ปะทุขึ้นในทันที ไม่ใช่ขั้นจุติวิญญาณอีกต่อไป แต่เป็นขั้นเชื่อมวิญญาณ!

นี่ไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของหวังเป่าเล่อ แต่ในฐานะผู้ฝึกตนกลุ่มแรกของยุคกำเนิดวิญญาณ หลี่ซิงเหวินจึงมีพรสวรรค์โดดเด่น แม้ระดับอารยธรรมจะดูเหมือนยากที่จะพัฒนาได้ แต่หลังจากหวังเป่าเล่อจากไป เขาก็ได้เลื่อนขึ้นสู่ระดับขั้นเชื่อมวิญญาณได้ด้วยตนเอง

“กลับมาแล้วก็ดี กลับมาแล้วก็ดี!” หลี่ซิงเหวินไม่ได้สนใจการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของตน เขามองสำรวจหวังเป่าเล่อด้วยความตื่นเต้น ดวงตาที่เบิกกว้างทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งโทษตัวเองมากขึ้นไปอีก เขารู้สึกว่าตัวเองกลับมาช้าไป…

หากกลับมาให้เร็วกว่านี้เรื่องราวอาจไม่ลงเอยเช่นนี้ ดังนั้นหลังจากทำความเคารพ หวังเป่าเล่อจึงรีบสอบถามรายละเอียดเรื่องการเปลี่ยนระบอบการปกครองของโลกที่พ่อของตนไม่รู้ทันที

เมื่อหลี่ซิงเหวินอธิบาย หวังเป่าเล่อก็เข้าใจการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของโลกอย่างละเอียด!

เรื่องของระบบสุริยะสำหรับอารยธรรมสหพันธรัฐ…ผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ที่ตื่นขึ้นมาจากกระบี่สำริดโบราณนั้นน่าสะพรึงกลัวมากจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินไปทั่วทั้งอารยธรรม ถึงขนาดว่าหากอีกฝ่ายต้องการลบสหพันธรัฐออกจากจักรวาลก็เป็นเรื่องง่ายดาย

ถึงแม้ผู้ฝึกตนคนนั้นจะไม่ได้กำจัดสหพันธรัฐในตอนนั้น แต่เขาก็ไม่ได้เป็นกลางอย่างเฟิ่งชิวหรัน เขาสนับสนุนให้ใช้ระบบสุริยะฟื้นฟูความรุ่งโรจน์ของสำนักวังเต๋าไพศาล เขาจึงไม่พอใจกับความสัมพันธ์ระหว่างเฟิ่งชิวหรันกับสหพันธรัฐอย่างยิ่ง

ดังนั้นเขาจึงออกจากกระบี่สำริดโบราณไปจับกุมเฟิ่งชิวหรันกับศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลและกักขังพวกเขาไว้ในสำนักวังเต๋าไพศาล ขณะเดียวกันก็ชิงอำนาจของเฟิ่งชิวหรันมา ทำให้ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลไม่อาจไม่เชื่อฟังได้

ยิ่งไปกว่านั้นยังฆ่าต้วนมู่ฉีด้วยมือตนเอง แต่เนื่องจากอาการบาดเจ็บยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ หลังจากเสร็จสิ้นเรื่องเหล่านี้แล้วเขาจึงสนับสนุนกลุ่มนภาห้าสมัยที่เป็นฝ่ายยอมจำนนต่อเขา ทำให้พวกเขากลายเป็นผู้มีอำนาจกลุ่มใหม่ของสหพันธรัฐ และทำตามประสงค์ของเขาในฐานะหุ่นเชิด

ซึ่งเดิมทีกลุ่มนภาห้าสมัยก็ไม่พอใจในตัวต้วนมู่ฉีกับหลี่ซิงเหวินอยู่แล้ว ดังนั้นด้วยอำนาจของพวกเขาและการสนับสนุนจากผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพคนนั้น พวกเขาจึงเริ่มการนองเลือด!

กลุ่มไตรจันทราถูกปล้นสะดม ปรมาจารย์ตระกูลจินเสียชีวิต สี่สำนักวิชาเต๋าที่ยิ่งใหญ่ถูกกวาดล้าง นอกจากศิษย์สำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ที่อพยพมายังดาวอังคาร สำนักวิชาเต๋าอีกสามแห่งต่างก็แทบจะถูกกำจัดไปหมดสิ้นแล้ว

ยังมีคณะเสนาบดีที่ตายในการต่อสู้เก้าคน คนที่เหลือบ้างก็ยอมจำนน บ้างก็หนีมาดาวอังคาร ในบรรดาพวกเขาหัวหน้าเสนาบดีบาดเจ็บสาหัส ฐานการฝึกฝนพังทลายจนปัจจุบันนี้เขากลายเป็นเพียงคนธรรมดา

ส่วนหลินโยวที่ลุกขึ้นต่อสู้ในสงครามครั้งนี้ ฐานการฝึกฝนได้ทะลวงมาถึงขั้นเชื่อมวิญญาณ นางได้ร่วมมือกับเจ้านครดาวอังคารและหลี่ซิงเหวินอพยพมายังดาวอังคาร

นอกจากนี้ต้นกำเนิดดาราอย่างดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ดาวศุกร์ล้วนถูกสกัดกั้นและนำไปใช้รักษาสำนักวังเต๋าไพศาล และกลุ่มนภาห้าสมัยยังจัดวางวงแหวนปราณจำนวนมากให้ดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์ตามความต้องการของผู้เยี่ยมยุทธ์ดาวพระเคราะห์คนนั้น ทำให้มันกลายเป็นแหล่งพลังงานฟื้นฟูสำนักวังเต๋าไพศาล

ส่วนตอนที่ทุกคนหนีมาปักหลักที่ดาวอังคารนั้น เดิมทีไม่มีหนทางต่อต้านผู้เยี่ยมยุทธ์ดาวพระเคราะห์ที่มีกลุ่มนภาห้าสมัยคอยสนับสนุนได้เลย แต่หลังจากอีกฝ่ายมาเฝ้ามองดาวอังคารจากระยะไกลและกำลังจะเริ่มโจมตี พื้นผิวดาวอังคารก็ดูเหมือนจะเกิดความผันผวนแผ่ขยายออกมา ทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์ดาวพระเคราะห์เกิดความหวั่นเกรงจึงทำให้ดาวอังคารรอดพ้นมาได้จนถึงตอนนี้

“เป็นวัตถุเวทแห่งความมืด…” หวังเป่าเล่อได้ฟังทุกสิ่ง นัยน์ตาเขาก็ยิ่งแข็งกร้าว ก่อนจะเอ่ยช้าๆ

“ข้าก็คาดเดาไว้เช่นนั้นเหมือนกัน เป่าเล่อ สหพันธรัฐในตอนนี้…เป็นเช่นนี้แล้ว จากนี้เจ้าจะทำอย่างไร” หลี่ซิงเหวินพูดถึงตรงนี้ก็แววตาส่องประกายมองไปยังหวังเป่าเล่อ เขาเห็นแล้วว่าศิษย์จากสำนักเต๋าตรงหน้าในตอนนี้มีฐานการฝึกฝนที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ และยังดูจะแข็งแกร่งกว่าดาวพระเคราะห์คนนั้นที่เขาเคยพบเจอเสียอีก

“ทำอย่างไร…” ดวงตาหวังเป่าเล่อฉายแววอาฆาต

“ก็แค่ลงโทษ ทำผิดก็ต้องชดใช้ ผู้ที่ทำร้ายครอบครัวข้า สหายข้า ต้องชดใช้ด้วยชีวิต ส่วนสำนักวังเต๋าไพศาลที่อาศัยอยู่ในระบบสุริยะของข้า ไม่จ่ายค่าเช่าแล้วยังกล้าทำเช่นนี้ ข้าก็จะทำให้พวกเขารู้ว่าเจ้าของที่นี่โกรธแล้ว!” หวังเป่าเล่อเอ่ยเบาๆ ขณะเดียวกันในใจก็เอ่ยกับแม่นางน้อยในหน้ากากที่อยู่กับร่างต้นแบบเบาๆ

“แม่นางน้อย เรื่องนี้เป็นความผิดของสำนักวังเต๋าไพศาล ดังนั้นอย่าโทษข้าเลย” พูดจบหวังเป่าเล่อก็ก้าวออกมาหนึ่งก้าวและหายตัวไปจากดาวอังคารในทันที เมื่อเขาปรากฏตัว…เขาก็มาอยู่ในจักรวาลนอกโลก!

ก่อนจะก้าวสู่โลกด้วยจิตสังหารทีละก้าว!

…………………………………………

แสงดารานิรันดร์ของระบบสุริยะดูผิดปกติไปมาก พูดให้ชัดเจนคือแสงของมันสว่างจ้ากว่าตอนที่หวังเป่าเล่อจากมา โดยเฉพาะที่ด้านนอกนั้นมีรูรับแสงจางๆ อยู่ด้วย

วงกลมแสงนั้นต่างจากรัศมีดวงอาทิตย์ปกติซึ่งมีเพียงผู้ที่ฝึกจนถึงระดับดาวพระเคราะห์แล้วเท่านั้นที่จะมองเห็น ระดับต่ำกว่าดาวพระเคราะห์ไม่มีทางที่จะสังเกตเห็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ นี้ได้

ตอนนี้สายตาของหวังเป่าเล่อมองเห็นวงแสงนั้นได้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกันเขาก็มองเห็นที่มาของวงแสงนั้นแล้ว…นั่นก็คือกระบี่สำริดโบราณเล่มนั้นนั่นเอง พูดให้เจาะจงยิ่งขึ้นคือที่ตำแหน่งปลายกระบี่มีร่องรอยพลังงานที่กระตุ้นดวงอาทิตย์ด้วยวิธีพิเศษบางอย่างอยู่ ด้านหนึ่งดูดซับพลังของดวงอาทิตย์อย่างช้าๆ อีกด้านหนึ่งเป็นอิทธิพลทางอ้อมทำให้ดวงอาทิตย์ของระบบสุริยะ…กำลังค่อยๆ ตายไป!!

มันสว่างจ้าขึ้นเรื่อยๆ ราวกับหวนคืนสู่แสงสว่าง ถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้นตาย แต่อิงจากกระบวนการเช่นนี้ คาดว่าอีกหนึ่งพันปี ดารานิรันดร์ของระบบสุริยะจะต้องดับสนิทเป็นแน่

ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหน้าเปลี่ยนสี ขณะเดียวกันเขาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่เห็นนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เขาจากไป หรือว่า…เป็นเช่นนี้ตั้งแต่ก่อนเขาจากไปแล้ว แต่เพราะฐานการฝึกฝนของเขายังไม่แข็งแกร่งพอจึงไม่สังเกตเห็นมัน

แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร จากร่องรอยพลังงานที่แผ่ออกมาจากปลายกระบี่นั้น หวังเป่าเล่อยังสัมผัสได้ถึงความผันผวนของดาวพระเคราะห์จึงทำให้เขามั่นใจได้อย่างหนึ่ง…วังเต๋าไพศาลที่ปลายกระบี่จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างเป็นแน่

“รักษาด้วยดารานิรันดร์ระบบสุริยะของข้า…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาไม่ได้บุ่มบ่ามเข้าไป ฐานการฝึกฝนของเขาพัฒนาขึ้น เขาจึงมีประสบการณ์และความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับแต่ละสิ่งในวังเต๋าไพศาลในตอนนั้น ขณะเดียวกันเขาต้องเข้าใจก่อนว่าในอนาคตอันใกล้สหพันธรัฐจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่

หากไม่มีก็แสดงว่าดวงอาทิตย์เป็นเช่นนี้ตั้งแต่ก่อนเขาจากไปแล้ว แค่ตัวเขาไม่เคยเห็นมันเท่านั้น แต่หากมีอะไรเกิดขึ้นกับสหพันธรัฐก็เป็นไปได้มากว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้

อย่างแรกและอย่างหลังทำให้เขามีทัศนคติที่แตกต่างกันสองแบบต่อวังเต๋าไพศาล ดังนั้นหลังจากตัดสินใจได้แล้ว หวังเป่าเล่อก็แผ่จิตใต้สำนึกออกไปห่อหุ้มโลกทันที

ทว่าในพริบตาต่อมาหวังเป่าเล่อก็หน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง จิตใต้สำนึกของเขาถูกปกปิดไว้อย่างดีจึงไม่มีใครสามารถตรวจจับการดำรงอยู่ของเขาได้ แต่เมื่อเขากวาดจิตใต้สำนึกออกไป ทุกสิ่งบนโลกก็ปรากฏแก่สายตาอย่างชัดเจน

เขาไม่พบร่องรอยพลังงานของต้วนมู่ฉี และไม่พบร่องรอยพลังงานของผู้อาวุโสสูงสุดสำนักศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่ร่องรอยพลังงานของหลินโยวกับคนที่เขาคุ้ยเคยก็ยังไม่พบ

นั่นทำให้หวังเป่าเล่อตกตะลึง ก่อนจะมองไปยังที่ตั้งของนครศักดิ์สิทธิ์ ที่ตรงนั้น…สำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ได้หายไปแล้ว ทะเลสาบที่เคยผ่านสงครามมากลายเป็นหลุมลึก และมีรอยประทับมือขนาดใหญ่อยู่บนนั้น

ราวกับว่ามีมือยักษ์ตกลงมาจากท้องฟ้าและกวาดล้างเกาะทุกเกาะของสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์

สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มยิ่งกว่าเดิม…คือในนครศักดิ์สิทธิ์หรือแม้แต่ทุกพื้นที่ในโลก เขาไม่พบร่องรอยพลังงานของพ่อกับแม่ของตนแม้แต่น้อย!!

เห็นเพียงร่องรอยพลังเทพที่หลงเหลืออยู่ในหลายพื้นที่บนโลก และยังเห็น…ใบหน้าที่แทบจะไม่มีรอยยิ้มของผู้คนเต็มไปด้วยความเหนื่อยอ่อน

ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อวิตกกังวลอย่างรุนแรง หลังจากผ่านการสังหารภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และระงับไอสังหารลงได้อย่างยากลำบาก ตอนนี้มันได้กลับมาอีกครั้ง เขาแผ่จิตใต้สำนึกออกไปอย่างไม่ลังเล แผ่ออกจากโลกจนทั่วทั้งระบบสุริยะ

ดาวต่างๆ เช่น ดาวพุธ ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวพลูโต ฯลฯ ล้วนวาววับในจิตสำนึกของเขาในทันที

แห้งแล้ง…

ในตอนที่หวังเป่าเล่อกำลังจะควบคุมไอสังหารและความวิตกกังวลไม่อยู่จนตัวสั่นเทิ้มนั้น จิตใต้สำนึกของเขาแผ่ไปปกคลุมดาวอังคาร ที่นั่นเขาสัมผัสได้ถึงร่องรอยพลังงานอันคุ้นเคยจำนวนมากจนร่างสั่นสะท้าน เขาไม่ได้สนใจร่องรอยพลังงานที่เหลือและเพ่งจิตใต้สำนึกไปในร่องรอยพลังงานพวกนั้นเพื่อตามหาครอบครัวทั้งสองคนที่อยู่ในนครดาวอังคารใหม่ในตอนนั้น

ทันทีที่เขาเห็นสองคนนั้น ไอสังหารที่ตัวหวังเป่าเล่อก็ดับวูบทันที นัยน์ตาเผยความอ่อนโยน นั่นคือพ่อกับแม่ของเขา

ในบ้านหลังเล็กหลังนั้น เขาเห็นพ่อของตน ผมของเขาเป็นสีเทาเกือบทั้งหมดแล้ว เขานั่งอยู่ที่นั่นแหงนดูท้องฟ้าในระยะไกล ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แต่คนข้างกายที่พิงอยู่บนไหล่ของเขาคือแม่ของหวังเป่าเล่อ

นางดูชราลงอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้ามีริ้วรอย ตอนนี้นางกำลังก้มหน้าไอไม่หยุดและมองดูภาพที่ถืออยู่ในมือ บนรูปใบนั้นมีเด็กอ้วนตัวน้อยชูสองนิ้วแสดงถึงชัยชนะอยู่คนหนึ่ง

เด็กอ้วนตัวน้อยคนนั้นตัวกลมดิก ใบหน้าแย้มยิ้มมีชัยจนดวงตาเหลือขีดเดียว

ภาพที่เห็นแฝงไปด้วยความคิดถึงจนหวังเป่าเล่อที่กำลังเงียบงันรู้สึกผิด เขาสังเกตเห็นอาการไอของแม่เป็นครั้งคราวและยังสังเกตเห็นความว่างเปล่าในดวงตาของพ่อ

“ท่านพ่อ…ท่านแม่…” หวังเป่าเล่อพึมพำ ร่างที่อยู่กลางจักรวาลหายวับไปทันที ครู่ต่อมา…ในบ้านในนครดาวอังคารใหม่ หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังพ่อแม่ และทันทีที่ปรากฏตัวขึ้นเขาก็คุกเข่าลง

และทันทีที่เสียงของเขาดังขึ้น พ่อกับแม่ที่อยู่ตรงหน้าก็ตัวสั่นสะท้าน ก่อนจะหันกลับมาช้าๆ พวกเขาเห็นลูกชายที่ตนคะนึงหาแล้ว เพียงแต่ทุกอย่างกะทันหันเกินไปจนพวกเขาดูเหมือนไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง ขณะที่ร่างกายสั่นสะท้าน ภาพในมือแม่ของหวังเป่าเล่อก็ร่วงลงพื้น

“เป่าเล่อ?”

“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้ากลับมาแล้ว” หวังเป่าเล่อพูดเสียงแผ่วเบา

แม้ว่ารูปลักษณ์ของเขาจะเปลี่ยนไป แต่สำหรับพ่อแม่ของเขาเพียงแวบแรกก็จำได้แล้ว แม่ของเขาเข้ามากอดเขาไว้และน้ำตาไหลโดยไม่รู้ตัวและพูดอะไรไม่ออกเป็นเวลานาน

หวังเป่าเล่อยกมือลูบหลังแม่เบาๆ และฟังเสียงร้องไห้ของแม่ เขายิ่งรู้สึกผิดในใจมากขึ้น ขณะเดียวกันความโกรธในใจก็พุ่งถึงขีดสุดอย่างควบคุมไม่ได้

แต่อยู่ต่อหน้าพ่อแม่ เขาเก็บซ่อนความโกรธไว้และมองไปยังพ่อที่ตื้นตันจนสะอื้นอยู่ด้านข้าง หวังเป่าเล่อพยักหน้าเบาๆ การปลอบโยนอย่างอ่อนโยนของเขาทำให้แม่ค่อยๆ ผล็อยหลับไปในอ้อมแขน

หลังจากวางแม่ลงบนเตียงอย่างนุ่มนวลและห่มผ้าให้นาง หวังเป่าเล่อก็เงยหน้ามองพ่อและลุกขึ้นไปกอดเขาที่ทำตัวไม่ถูก

“ท่านพ่อ บอกข้ามา ใครทำร้ายแม่ข้า”

คำพูดเหล่านี้แม้ว่าเขาจะควบคุมมันแล้ว แต่ในหัวใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ ทำให้ดาวอังคารทั้งดวงเกิดเสียงคำรามจนทุกคนที่อาศัยอยู่บนดาวอังคารสั่นสะท้าน

เหตุผลที่เขาโกรธมากก็เพราะว่า…ทันทีที่เขาเห็นแม่ หวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นว่าร่างกายของแม่อ่อนแอมาก เห็นได้ชัดว่าถูกทำร้ายรากฐานชีวิต และกำลังอยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต อีกทั้งบนร่างกายยังหลงเหลือความผันผวนของกระบวนเวทที่ผู้อื่นใช้ช่วยชีวิตจนมีชีวิตต่อไปได้

“เป่าเล่อ…” พ่อของหวังเป่าเล่อยังคงสับสนอย่างเห็นได้ชัด หลังจากหวังเป่าเล่อปลอบอยู่นานถึงได้สติกับมา เมื่อเห็นลูกชายของตน น้ำตาของเขาก็ควบคุมไม่ได้อีกต่อไป เขาดึงมือหวังเป่าเล่อไปจับพลางเล่าทุกสิ่งที่เขารับรู้หลังจากหวังเป่าเล่อจากไปให้ฟัง

ในปีที่สามหลังจากที่หวังเป่าเล่อจากไป โครงสร้างของโลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!

กลุ่มนภาห้าสมัยลุกฮือโดยมีตระกูลจั่วและตระกูลหลี่เป็นผู้นำเปลี่ยนระบอบการปกครองของระบบสุริยะ เฟิ่งชิวหรันถูกควบคุมตัว หลี่ซิงเหวินบาดเจ็บสาหัส ต้วนมู่ฉี…เสียชีวิตจากการต่อสู้ สี่สำนักวิชาเต๋าที่ยิ่งใหญ่ถูกทำลาย ทุกคนที่อยู่ฝ่ายเดียวกับต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินสูญเสียอำนาจ สมาชิกสภาส่วนใหญ่เสียชีวิตในการต่อสู้ ส่วนคนที่เหลือต่างบาดเจ็บสาหัส

สุดท้ายสองสามีภรรยาเจ้านครดาวอังคารสามารถปกป้องดาวอังคารไว้ได้ด้วยอาวุธที่สร้างขึ้นใหม่ ทำให้ทุกคนที่ได้รับบาดเจ็บจากการเปลี่ยนการปกครองย้ายมาที่ดาวอังคาร ขณะที่ยืนหยัดอยู่ที่นี่ได้อย่างยากลำบาก แต่ก็ต้องยอมก้มหัวให้กลุ่มนภาห้าสมัยและลงนามยอมรับการปกครองของพวกเขา

ส่วนพ่อกับแม่ของเขาก็ได้รับผลกระทบจากการที่สำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ถูกทำลาย ระหว่างการอพยพ ด้วยความเกลียดชังหวังเป่าเล่อ ตระกูลจัวจึงขัดขวางพวกเขา ถึงแม้สุดท้ายพวกหลี่ซิงเหวินจะส่งพ่อกับแม่ของหวังเป่าเล่อมาถึงที่นี่ได้อย่างปลอดภัย แต่แม่ของเขาก็ได้รับบาดเจ็บและยังไม่หายดีมาจนถึงตอนนี้

สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เป็นเพราะ…บนกระบี่สำริดโบราณมีผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์คนหนึ่งตื่นขึ้น!

…………………………………………………

หลังจากผนึกตราลงบนหว่างคิ้วปรมาจารย์มหาทัณฑ์แล้ว หวังเป่าเล่อก็หันกลับไปมองทั่วทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ด้วยแววตาครุ่นคิด ความเงียบของเขาทำให้ทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ด้วยไปด้วยความหดหู่ โดยเฉพาะปรมาจารย์มหาทัณฑ์ด้านหลังเขา

แม้เขาจะเอาชีวิตรอดมาได้และรู้ว่าตัวเองจะไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตในระยะเวลาสั้นๆ นี้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหวังเป่าเล่อที่เงียบงันในขณะนี้ นอกจากความขมขื่น ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ยังมีความหวาดกลัวยิ่งกว่า

ด้านหนึ่งคือกลัวภูมิหลังของหวังเป่าเล่อ อีกด้านหนึ่งคือกลัวความแข็งแกร่งที่เปลี่ยนไปของเขา

เวลานี้ทั้งจักรวาลต่างเงียบงัน ผู้ฝึกตนทั้งหมดของอารยธรรมครามทองคำตายหมดแล้ว

ส่วนผู้ฝึกตนของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นส่วนใหญ่กระจายตัวอยู่ตามหมู่ดาว พวกเขาหลายคนสัมผัสได้ถึงความสยดสยองของการต่อสู้ในจักรวาลและกำลังสัมผัสสวรรค์สั่นคลอนอยู่ในขณะนี้

อย่างเช่นพวกเทพธิดาหลิงโยว เหล่าคนที่หวังเป่าเล่อรู้จักในสำนักมหาทัณฑ์ก็เช่นกัน พวกเขาทุกคนต่างตกอยู่ในความกังวลและสับสนกับอนาคตข้างหน้า พวกเขารู้ดีว่า…อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้จบสิ้นแล้ว

สามสำนักใหญ่ในปัจจุบันเหลือเพียงแต่ชื่อไปแล้ว และดาวพระเคราะห์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามในตอนนั้นก็เหลือเพียงหนึ่งคน อีกทั้งราชวงศ์ที่แทบจะไม่สามารถสืบทอดต่อไปได้ก็แตกสลายไปแล้วในวันนี้ ทำให้คนของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ขมขื่นและไม่รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะเป็นเช่นไร

และสาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี้พวกเขาก็ไม่อาจโทษหวังเป่าเล่อและยังพูดได้ว่าหากไม่มีหวังเป่าเล่อ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ในวันนี้คงจะน่าเศร้ายิ่งกว่านี้

ดังนั้นในความเงียบ ทั้งจักรวาลก็ยิ่งเงียบสงัดขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านไปนาน หวังเป่าเล่อก็ถอนสายตากลับมายังปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบาๆ

“จัดการสนามรบ ปลอบขวัญสิ่งมีชีวิตที่รอดตายทั้งหมดและส่งมอบอำนาจต่อไป…อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะไม่จบสิ้น แต่จะได้เริ่มต้นใหม่ อีกหนึ่งเดือนข้าจะย้ายอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เข้าสู่สหพันธรัฐของโลก” พูดจบหวังเป่าเล่อก็ไม่สนใจปรมาจารย์มหาทัณฑ์ที่อารมณ์ซับซ้อน และขยับเพียงครั้งเดียวฟองอากาศที่ห่อหุ้มเจ้าเยี่ยเหมิงรวมถึงเจ้าลาน้อยและอู๋น้อยก็แตกออกและสะบัดพวกเขาออกมาก่อนจะหายไปกับพื้น

อีก

ตอนที่ปรากฏตัวก็มาอยู่ในดารานิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์แล้ว

การอพยพอารยธรรมหนึ่งกลับสู่ระบบสุริยะและผสานกับดวงอาทิตย์จะทำให้ปราณวิญญาณทั่วทั้งสหพันธรัฐเข้มข้นขึ้น ขณะเดียวกันก็ทำให้สหพันธรัฐพัฒนาไปอีกระดับ นี่คือวิธีพัฒนาอารยธรรมและเป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อได้ตัดสินใจไว้แล้ว

เข้า

การทำเช่นนี้จะไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่ออารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เพียงแต่นับแต่นี้ไปจะมีความสัมพันธ์แบบนายบ่าว หลังจากผสานเข้ากับดารานิรันดร์ระบบสุริยะ ทุกชีวิตที่เกิดในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทั้งในอดีตและอนาคตล้วนเกี่ยวโยงใกล้ชิดกับระบบสุริยะและไม่อาจทรยศได้!

นี่อาจจะดูเหมือนโหดร้าย แต่ก็ดีกว่าต้องตกเป็นทาสของอารยธรรมครามทองคำ อย่างน้อยก็มีหวังเป่าเล่ออยู่ ในฐานะอารยธรรมแรกที่เข้าสู่ระบบสุริยะ ฐานะของพวกเขาอาจจะดูเหมือนไม่สูงส่ง แต่ก็ได้รับความเคารพในระดับหนึ่ง และอิงตามความคิดของหวังเป่าเล่อ หากมีโอกาสเขาจะทำให้มีอารยธรรมมาเข้าร่วมสหพันธรัฐให้มากขึ้นเพื่อยกระดับอารยธรรมสหพันธรัฐไปเรื่อยๆ

นี่ไม่เพียงแต่เป็นผลดีแก่สหพันธรัฐเท่านั้น แต่ยังเป็นประโยชน์ต่อทุกชีวิตที่เกิดในสหพันธรัฐด้วย สิ่งพื้นฐานที่สุด…ก็คือการพัฒนาฐานการฝึกฝน เมื่อผสานกันสำเร็จ ผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐทุกคนรวมถึงหวังเป่าเล่อจะได้รับจากการก้าวกระโดดของอารยธรรมทันที ฐานการฝึกฝนของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นไม่มากก็น้อย

สิ่งตอบแทน

ตอนนี้เงื่อนไขในการอพยพทั้งหมดพร้อมแล้ว เพียงแต่การอพยพอารยธรรมหนึ่งนั้น ต่อให้เป็นหวังเป่าเล่อที่เป็นดาวพระเคราะห์ก็ยังต้องมีการเตรียมตัวถึงจะทำได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ดังนั้นจึงให้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์จัดการอยู่ที่นอกโลก ขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อที่ปรากฏตัวในดารานิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์ก็นั่งขัดสมาธิ แผ่จิตใต้สำนึกออกไปผสานกับดารานิรันดร์และเริ่มรวบรวมพลัง

จากการคำนวนของเขา การรวมพลังนี้ในอีกประมาณหนึ่งเดือนข้างหน้าจะพุ่งถึงขีดสุด เมื่อถึงเวลานั้นก็สามารถเริ่มการอพยพได้ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทั้งหมดจะ…ถูกส่งเข้าสู่ระบบสุริยะทันที

ในเวลาเดียวกันกัที่รวบรวมพลัง ร่างแยกของหวังเป่าเล่อก็แยกออกมาจากร่างต้นอีกครั้ง ถึงแม้ว่าการที่ร่างแยกและร่างต้นผสานเข้าด้วยกันจะทำให้รวบรวมพลังได้เร็วกว่า แต่เพราะแรงขับเคลื่อนหลักมาจากดารานิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์ ดังนั้นต่อให้รวบรวมพลังได้เร็วขึ้นก็ไม่ได้เร็วขึ้นมากมายอะไร นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังจากสหพันธรัฐมาเป็นเวลานานมากแล้ว เขาจำเป็นต้องกลับไปเตรียมการบางอย่างในระบบสุริยะก่อนเพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาด

ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงวางแผนที่จะให้ร่างแยกกลับไปก่อน ก่อนกลับเขาได้พูดคุยกับเจ้าเยี่ยเหมิงที่ได้สติกลับมาแล้ว เจ้าเยี่ยเหมิงไม่ได้เลือกที่ะตามร่างแยกกลับสหพันธรัฐไป แต่จะอยู่ที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ชั่วคราวเพราะนางแนะนำกับหวังเป่าเล่อว่าในเมื่อต้องการให้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นของสหพันธรัฐอย่างแท้จริง เช่นนั้นนอกจากดารานิรันดร์แล้วก็ยังเป็นเจ้าของจิตใจด้วย

“เป่าเล่อ ข้าแนะนำให้เจ้า…ขึ้นครองบัลลังก์อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และกลายเป็นจักรพรรดิสวรรค์คนใหม่!”

“มีเพียงวิธีนี้เจ้าถึงจะได้การยอมรับจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อย่างแท้จริงและหลังจากรวมพวกเขาเข้ากับระบบสุริยะแล้ว พวกเขาจะได้รู้สึกเหมือนได้กลับบ้านและไม่ตื่นตระหนกมากเกินไป”

หวังเป่าเล่อลังเลก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วยกับคำแนะนำของเจ้าเยี่ยเหมิง เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้เขาพูดออกหน้า จุดประสงค์ที่เจ้าเยี่ยเหมิงอยู่ที่นี่ก็เพื่อช่วยให้หวังเป่าเล่อเข้ากับผู้ฝึกตนทั้งหมดของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้อย่างราบรื่นนั่นเอง

ความร่วมมือจากปรมาจารย์มหาทัณฑ์และกลเม็ดของเจ้าเยี่ยเหมิง เรื่องนี้จึงไม่ยาก สิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องทำก็คือมาพิธีบรมราชาภิเษก

ด้วย

เข้า

เท่านั้น

เรื่องเหล่านี้ต้องจัดการให้เสร็จภายในหนึ่งเดือน และหลังจากเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าเยี่ยเหมิงก็จะกลับระบบสุริยะพร้อกับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ผ่านทางดารานิรันดร์

นอกจากนี้ยังมีเจ้าลาน้อยและอู๋น้อยซึ่งไม่ได้กลับในทันที แต่อยู่เพื่อจัดการเรื่องนี้กับเจ้าเยี่ยเหมิง

หลังจากการพูดคุยกัน หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและตัดสินใจได้ว่าไม่มีอันตรายใดๆ ซ่อนอยู่ ถึงอย่างไรร่างต้นแบบของเขาก็อยู่ในดารานิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์ หากมีอะไรเปลี่ยนแปลงเขาสามารถตื่นขึ้นมาได้ทุกเมื่อ อีกทั้งยังสามารถใช้ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ที่ทำให้ร่างแยกกลับมาได้ทันที

ก็

ดังนั้นหลังจากตัดสินใจแล้ว หวังเป่าเล่อก็พูดคุยรายละเอียดกับเจ้าเยี่ยเหมิงอีกสักครู่ สุดท้ายภายใต้แสงดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ที่สว่างวาบปกคลุมไปทั่วจักรวาลอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ร่างแยกของหวังเป่าเล่อก็จากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไป

ท่ามกลางการระเบิดพลังแห่งดารานิรันดร์และส่งออกไปนั้น ในจักรวาลนอกระบบสุริยะก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้นก่อตัวเป็นรัศมีแผ่ไปทั้งสี่ทิศ ร่างของหวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ ปรากฏชัดขึ้นจากความเลือนราง และจากภาพมายาค่อยๆ กลายเป็นกระบวนการทั้งหมดกินเวลาประมาณครึ่งชั่วยามจนกระทั่งรัศมีรอบตัวจางลง ร่างของหวังเป่าเล่อจึงได้ถือกำเนิดขึ้นอย่างแท้จริง

ก็

สิ่งที่จับต้องได้

ที่ใช้เวลานานมากก็เพราะว่าระยะทางไกลมาก และนี่ก็เป็นเหตุผลที่หวังเป่าเล่อต้องกลับมาเตรียมการก่อน เพราะการอพยพอารยธรรมจะต้องใช้เวลามากกว่านี้ อีกทั้งหากถูกรบกวนระหว่างทางก็จะเกิดแรงสะท้อนกลับ

ร่างแยกของเขายังดี หากเกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น เลวร้ายที่สุดก็แค่สลายไปเท่านั้น ถึงแม้จะมีผลกระทบต่อร่างต้น แต่ก็ไม่ได้มากอะไร แต่หากอพยพอารยธรรมแล้วเกิดแรงสะท้อนกลับอาจเกิดการสูญเสียครั้งใหญ่ได้

ขณะนี้เมื่อการเคลื่อนย้ายมวลสารสิ้นสุดลง หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้นช้าๆ ขณะที่มองไปรอบตัว ฐานการฝึกฝนดาวพระเคราะห์ในร่างกายก็ปะทุขึ้นซึ่งมาจากจักรวาลรอบตัวที่เขาคุ้นเคย และยิ่งทำให้จิตใจที่สงบนิ่งของเขาเกิดระลอกคลื่นขนาดใหญ่

“ในที่สุด…ก็กลับมาแล้ว…” หวังเป่าเล่อพึมพำ หลังจากจากมาหลายสิบปี เขาคิดถึงบ้านเกิดมาก โดยเฉพาะบ้านที่พ่อแม่ของเขาอยู่ยิ่งทำให้เขาคิดถึงจับใจ

เพียงแต่ว่าหลังจากเลือกเส้นทางการฝึกตนแล้ว มีหลายเรื่องนักที่ไม่อาจทำตามใจตนเองได้ หวังเป่าเล่อรู้สึกประหม่าเล็กน้อย เขายืนอยู่นอกระบบสุริยะครู่หนึ่งก่อนจะขยับตัวเหาะไปยังระบบสุริยะ

เริ่มแรกความเร็วของเขาไม่ได้เร็วมากนัก แต่เหาะไปเหาะมาพร้อมกับอารมณ์ผันผวนจึงยิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายร่างของเขาก็กลายเป็นเหมือนกับรุ้งกินน้ำที่ตัดผ่านจักรวาล ในชั่วพริบตาต่อมาก็ข้ามผ่านสิ่งกีดขวางนอกระบบสุริยะที่มองไม่เห็นซึ่งถูกจัดเตรียมไว้โดยสหพันธรัฐและมาปรากฏตัวอยู่ในระบบสุริยะ!

โลก ดาวพุธ ดาวอังคาร ดาวศุกร์ ดาวพฤหัสบดี…

ทันทีที่เหยียบเข้าสู่ระบบสุริยะ หวังเป่าเล่อก็เผยรอยยิ้มมีความสุขบนใบหน้าและจิตสำนึกของเขาแผ่ขยายออกไปโดยไม่ตั้งใจ เขาเห็นดวงดาวที่คุ้นเคย ดวงอาทิตย์อยู่ที่ใจกลาง และกระบี่สำริดโบราณที่ปักอยู่บนนั้น

แต่ในเวลาต่อมา รอยยิ้มบนใบหน้าของหวังเป่าเล่อก็แข็งค้าง…

เพราะแสงของระบบสุริยะดูเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ!!

“เกิดเรื่องหรือ!” หวังเป่าเล่อหน้าเปลี่ยนสี หัวใจพลันเต้นรัว!

…………………………………………………………….

เต๋าแห่งแสงรวบรวมกฎตราประทับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และใช้มันสยบกลับ วิถีพลังเทพเช่นนี้สำแดงออกมาจากมือของหวังเป่าเล่อ สำหรับเหล่าผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นี่เรียกได้ว่าฟ้าถล่มดินทลาย

เขายอมรับได้ว่าภูมิหลังของอีกฝ่ายคือการมีผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพเป็นอาจารย์ ยอมรับได้ว่าการกลับมาในครั้งนี้เขาได้ทะลุระดับฐานการฝึกฝน และยอมรับได้ว่าเมื่อผนึกกายเข้ากับดาวเคราะห์เต๋าแล้วคนตรงหน้าแข็งแกร่งนัก แต่เขาไม่สามารถยอมรับได้ว่า…เขาได้ใช้กฎทั้งหมดที่มีแล้ว แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคู่ต่อสู้จะใช้คำว่าอ่อนแอมาอธิบายก็ออกจะเกินจริงอยู่บ้าง…

“ระหว่างดาวเคราะห์อมตะกับดาวเคราะห์เต๋า…ต่างกันมากจริงๆ!!” ผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย นัยน์ตาฉายแววไม่ยอมจำนนอย่างแรงกล้า แม้ในชีวิตนี้เขาจะไม่เคยเห็นผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันมีดาวเคราะห์เต๋ามาก่อน แต่สำหรับผู้ฝึกตนระดับเดียวกันที่มีดาวพิเศษก็ใช่ว่าจะไม่เคยสู ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ของคนคนนั้น แต่ด้วยฐานการฝึกฝนที่แข็งแกร่งจึงยังคงต่อสู้ได้อย่างยากเย็น

แต่ตอนนี้…จู่ๆ เขาก็พบว่าตัวเองพลาดแล้ว ความผิดพลาดนั้นรุนแรงมาก ในระดับเดียวกันการบดขยี้ระหว่างดาวเคราะห์เต๋ากับดาวเคราะห์อมตะทำให้ฐานการฝึกฝนอันแข็งแกร่งที่เขามีกลายเป็นเรื่องตลก

เมื่ออยู่ต่อหน้ากฎก็ดูเหมือนไร้ค่า!

ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากฎทั้งหมดในมือหวังเป่าเล่อนั้นมีมากเสียจนแทบจะทำให้ผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จิตใจพังทลาย แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ชั้นปลาย อีกทั้งตัวตนในฐานะผู้นำนี้เขาก็ไม่ได้รับสืบทอดมา แต่ใช้การฆ่าฟันเพื่อให้ได้มา

ดังนั้นประสบการณ์การต่อสู้ของเขาจึงมีมากมาย ในพริบตาที่หวังเป่าเล่อชี้นิ้ว นัยน์ตาผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เผยความบ้าคลั่ง สองมือของเขากางออกคว้าดาวพระเคราะห์ชั้นกลางสองคนข้างกาย ท่ามกลางทั้งสองคนที่หน้าซีดตกใจกลัว ผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ระเบิดฐานการฝึกฝนและเหวี่ยงพวกเขาทั้งสองไปทางนิ้วของหวังเป่าเล่อ!

“ท่านผู้นำ ท่าน!!”

“ท่านผู้นำ!!”

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเร็วเกินไป ประกอบกับนิ้วของหวังเป่าเล่อก็เข้ามาใกล้และยังมีความต่างระหว่างดาวพระเคราะห์ชั้นกลางกับชั้นปลาย รวมถึงความต่างของดาวเคราะห์อมตะกับดาวเคราะห์วิญญาณ ทั้งหมดนี้ทำให้ดาวพระเคราะห์ชั้นกลางทั้งสองคนไม่อาจต่อต้านได้ ท่ามกลางเสียงคำรามโกรธเกรี้ยว ร่างของพวกเขากระโจนไปหาหวังเป่าเล่ออย่างช่วยไม่ได้

ขณะที่กระโจนเข้าไป ในร่างกายของพวกเขาสองคนก็มีพลังปราณแห่งการทำลายล้างระเบิดออกมา ไม่ใช่ว่าพวกเขาคิดจะระเบิดตัวเอง แต่ตอนที่ผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหวี่ยงพวกเขาออกมานั้นไม่ได้ส่งออกมาแค่แรงเหวี่ยง แต่ยังส่งฐานการฝึกฝนของตนเข้าไป ทำให้สหายทั้งสองของเขาที่ฐานการฝึกฝนปั่นป่วนอยู่แล้วเหมือนกับถูกจุดไฟ ส่งผลให้เสียการควบคุมจนเกิดเป็นการระเบิดตัวเอง

ในชั่วพริบตาต่อมาเมื่อปะทะเข้ากับนิ้วแสงของหวังเป่าเล่อจนเกิดเสียงสะเทือนฟ้า ผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ชั้นกลางทั้งสองคนที่ลุกไหม้อีกครั้งก็ร่างระเบิดเป็นเสี่ยงๆ ทันที ดาวพระเคราะห์ของพวกเขาก็แหลกสลายไปด้วยจนกลายเป็นพลังทำลายล้างระเบิดออกมาตรงหน้าหวังเป่าเล่อ

มองจากระยะไกลการระเบิดตัวเองของดาวพระเคราะห์ทั้งสองคนนี้ทรงพลังกว่าการพังทลายของดาวธรรมดา และกลายเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่สองแอ่งจมลงสู่ร่างของหวังเป่าเล่อ

อย่างไรก็ตาม ภาพนี้ไม่ได้ทำให้ผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์โล่งใจ ความตึงเครียดของเขายังคงอยู่ เมื่อสถานการณ์วิกฤติมากยิ่งขึ้น เขาได้ใช้ประโยชน์จากการระเบิดตัวเองของดาวพระเคราะห์ชั้นกลางทั้งสองคนถอยหลังไปทันที ทั้งร่างชุ่มโชกไปด้วยเลือด เห็นได้ชัดว่าใช้วิธีลับแลกกับความเร็วขั้นสุดหลบหนีไป

ความเร็วนั้นเร็วมากจนทิ้งร่องรอยลมหายใจไว้จนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่มันก็หายไปในชั่วพริบตาทำให้ในสนามรบเหลือเพียงกระแสน้ำวนเลือดเนื้อทั้งสองแอ่งที่แผ่ขยายไปทั่วบริเวณราวกับจะทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่นี่

ทว่า…ไม่อาจทำลายหวังเป่าเล่อได้!

หวังเป่าเล่อในตอนนี้ไม่ใช่ร่างแยกอีกต่อไป แต่ผนึกกายกับร่างจริงและมีกายเนื้อจริงๆ แต่เดิมกายเนื้อของเขานั้นแข็งแกร่งอยู่แล้ว เมื่อยิ่งผนึกกายเข้าไปก็ยิ่งเพิ่มความแกร่งขึ้นอีก ตอนนี้กายเนื้อของเข้าถึงระดับดาวพระเคราะห์แล้ว ประกอบกับเกราะจักรพรรดิที่ทำให้เขาเดินออกมาจากกระแสน้ำวนเลือดเนื้อสองแอ่งนั้นทีละก้าว โดยไม่ต้องหลบเลี่ยงแม้แต่น้อยได้อีกด้วย

ผมยาวพลิ้วไหว หวังเป่าเล่อในชุดสีดำหันศีรษะไปยังทิศทางที่ผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กำลังหนีไป จากนั้นก็หันกลับไปมองอีกฝั่งหนึ่งด้วยสีหน้าสงบนิ่ง

“เหลือแค่สองคนแล้ว” ขณะพูดกับตัวเอง หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นจับที่ความว่างเปล่า เสียงพูดแผ่วเบาดังออกมาจากปากของเขา

“เต๋าเปลวไฟเหลือง!”

ทันทีที่พูดออกไปจักรวาลรอบตัวก็คำรามลั่น ทะเลเพลิงที่ปรมาจารย์แห่งไฟทิ้งไว้ซึ่งปกคลุมอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ลุกโชนสูงขึ้นราวกับว่าวินาทีที่หวังเป่าเล่อใช้เต๋าเปลวไฟของตนนั้นได้ผสานเจตจำนงของเขาเข้าไปในทะเลเพลิง ทั้งควบคุมและขับเคลื่อน!

หากเปลี่ยนเป็นเปลวไฟของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพคนอื่น ต่อให้หวังเป่าเล่อมีกฎดาวเคราะห์บรรพกาลก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะควบคุมมัน ถึงอย่างไรความห่างชั้นของทั้งคู่ก็ใหญ่เกินไป แต่การยอมรับจากปรมาจารย์แห่งไฟก็ทำให้ทุกอย่างต่างออกไป

ทะเลเพลิงที่ทิ้งไว้ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นแทนที่จะปฏิเสธหวังเป่าเล่อ มันกลับส่งความรู้สึกกระตือรือร้นออกมา ในทันทีที่เขาคิด มันก็ระเบิดพุ่งสูงขึ้นรอบๆ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ตวัดม้วนโดยมีหวังเป่าเล่อเป็นศูนย์กลางอย่างดุเดือดราวกับผลักภูเขาพลิกทะเล

หากยืนอยู่ในตำแหน่งที่สูงพอและมองลงมาก็จะเห็นทะเลเพลิงที่แผ่ขยายไปทั่วอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ราวกับวงแหวนไฟขนาดใหญ่ได้อย่างชัดเจน ขณะนี้วงแหวนไฟกำลังหดตัวอย่างรวดเร็ว และตราบใดที่ไม่ได้รับอนุญาตจากหวังเป่าเล่อ ทุกสิ่งในวงแหวนไฟก็ไม่สามารถออกมาได้ ทำได้เพียงถอยร่นกลับมาในกองเพลิงที่ลุกโชน!

มันหดตัวเร็วมาก กระบวนการทั้งหมดกินเวลาเพียงสิบกว่าอึดใจเท่านั้น หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นมา ทันใดนั้นในมือทั้งสองข้างของเขาก็มีร่างสองร่างปรากฏขึ้นซึ่งก็คือคนที่ถูกทะเลเพลิงที่หดตัวบีบบังคับให้ถอยกลับมา

ด้านซ้ายคือผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ส่วนด้านขวา…คือปรมาจารย์มหาทัณฑ์!

ตอนนี้ทั้งสองต่างมีสีหน้าสิ้นหวัง ความรู้สึกไร้พลังจากจิตใจทำให้พวกเขาดูเหมือนจะทำได้เพียงหัวเราะอย่างเศร้าโศก แต่เมื่อเทียบกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์แล้ว ผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ดูคั่งแค้นกว่าอย่างเห็นได้ชัด หลังจากถูกบีบบังคับให้ถอยกลับมา เขาก็จ้องหวังเป่าเล่อและร้องคำราม

“หวังเป่าเล่อ จะฆ่าก็ฆ่าให้เร็วที่สุด!!”

“ได้!” สิ่งที่ตอบกลับเขาคือเสียงเยือกเย็นของหวังเป่าเล่อ และร่างที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทันที และยังมี…นิ้วชี้ขวาของหวังเป่าเล่อ!

เพียงแต่ทันทีที่นิ้วชี้นั้นชี้ออกไปครั้งนี้ก็ไม่ใช่เลือดเนื้ออีกต่อไป แต่กลายเป็นกระดาษ มันคือกฎกระดาษที่ดาวเคราะห์เต๋าสลักมา และยังมีเสียงแฝงความหมายแปลกๆ จากหวังเป่าเล่อที่ดังสะท้อนอยู่ข้างหูผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์

“เคล็ดเวทนักรบกระดาษ!”

เคล็ดเวทนี้คือพลังเทพดาวตกที่หวังเป่าเล่อซื้อมาจากร้านหนึ่งตอนออกจากสุสานดวงดารา อานุภาพของมันมีไม่น้อยและยิ่งอยู่ภายใต้กฎที่เพียงพอ ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถกลายเป็นกระดาษได้เหมือนกับผนึกกับดัก และยังเป็นเหมือนหุ่นเชิดได้ด้วย!

ดังนั้นในชั่วพริบตาที่หวังเป่าเล่อชี้นิ้วไปยังหว่างคิ้วผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ภายใต้แรงกดดันเปลวไฟของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพ และพลังยับยั้งสองเท่าของดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อ ผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สามารถต่อต้านได้ เขาตัวสั่นเทิ้ม ยามที่เขาสีหน้าแข็งค้างและก้มหน้าลง เขาก็เห็นร่างกายตัวเองกำลังกลายเป็นกระดาษ

กระบวนการทั้งหมดกินเวลาเป็นเจ็ดถึงแปดลมหายใจเท่านั้น ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ผู้เป็นประจักษ์พยานเหตุการณ์นี้ตัวสั่นอยู่ด้านข้าง เขาเห็นผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นกระดาษรูปมนุษย์ อีกทั้งยังหดตัวอย่างรวดเร็วจนเหลือขนาดเท่าฝ่ามือลอยไปตกลงบนมือของหวังเป่าเล่อและถูกเขาจับไว้

ภาพนี้ทำให้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ชาไปทั้งศีรษะ และเมื่อเขาหวาดกลัวถึงขีดสุด เขาก็เห็นหวังเป่าเล่อหันกลับมาจ้องมองตน

ขณะที่ดวงตาสองคู่สบกัน หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นชี้ ทันใดนั้นแสงสีขาวที่บรรจุกฎแห่งกระดาษแสงหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ในพริบตาที่เผชิญหน้ากับแสงสีขาว ปรมาจารย์มหาทัณฑ์คุกเข่าลงอย่างไม่ลังเล วินาทีนี้เขาไม่สนใจฐานะของตน ไม่สนใจฐานการฝึกฝนของตน ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น สนใจเพียงชีวิตของตนเท่านั้น แล้วเขาก็พูดอย่างรวดเร็ว!

“ข้ายอมเป็นทาสและจะไม่ทรยศเจ้าตลอดชีวิต!!”

ทันทีที่เอ่ยออกไป ลำแสงกฎกระดาษของหวังเป่าเล่อก็หยุดชะงักอยู่ตรงหว่างคิ้วปรมาจารย์มหาทัณฑ์ หวังเป่าเล่อเองก็เงียบไปราวกับกำลังครุ่นคิด

กระบวนการทั้งหมดกินเวลาเพียงสิบกว่าอึดใจ แต่สำหรับปรมาจารย์มหาทัณฑ์นั้นดูยาวนานไร้จุดสิ้นสุด ทำให้เขารู้สึกทรมานขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ร่างกายยิ่งสั่นเทิ้มขึ้นเรื่อยๆ ในตอนที่เขาดูจะควบคุมความวิตกกังวลและความสิ้นหวังของตนไม่ได้แล้ว เขาก็ได้ยินเสียงที่เปรียบดั่งเสียงแห่งความหวังในที่สุด

“ตกลง!”

พร้อมกับเสียงที่ดังก้อง ลำแสงตรงหน้าก็เปลี่ยนไปและในที่สุดก็กลายเป็นตราประทับที่แสดงถึงดาวเคราะห์เต๋าและประทับลงบนหว่างคิ้วปรมาจารย์มหาทัณฑ์ทันที!

นับตั้งแต่นี้ทั้งความคิดและชีวิตของเขาล้วนอยู่ในกำมือหวังเป่าเล่อแล้ว และเนื่องจากตราประทับที่แสดงถึงดาวเคราะห์เต๋าทำให้ตราประทับนี้ได้รับการยอมรับจากกฎแห่งจักรวาล เว้นแต่ผู้ที่มีดาวเคราะห์เต๋าเหมือนกันเท่านั้นถึงจะลบมันออกไปได้ มิเช่นนั้น…มันก็จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์!

……………………………………………………….

ทันทีที่เอ่ออกมา หวังเป่าเล่อก็กำมือขวาอย่างแรง!

ทันใดนั้นกระแสน้ำวนที่เกิดจากไอมรณะของผู้ฝึกตนนับแสนในสนามรบก็เกิดเสียงดังสนั่นและรูปร่างเปลี่ยนไปกลายเป็นฝ่ามือขนาดใหญ่ และทันทีที่หวังเป่าเล่อกำมือ ฝ่ามือนั้นก็กำแน่นอย่างรุนแรง!

พวกผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในฝ่ามือนั้น แม้แต่ละคนจะโกรธเกรี้ยวจนแทบบ้า แต่ภายในพลังเทพนี้พวกเขาต่างก็หน้าเปลี่ยนสีและแตกฮือไปทั่ว ฝ่ามือที่แปรสภาพมาจากกระแสน้ำวนมรณะกำแน่นและบดขยี้!

ทันใดนั้นก็มีเสียงระเบิดตัวเองของดาวพระเคราะห์ดังก้องออกมาจากฝ่ามือนั้น แต่…ถึงอย่างไรคู่ต่อสู้ของหวังเป่าเล่อก็เป็นถึงดาวพระเคราะห์จำนวนหลายคน ถึงแม้คุณภาพดวงดาวในร่างพวกเขาจะไม่ได้สูงมาก แต่โดดเด่นในเรื่องจำนวน อีกทั้งผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยังเป็นถึงดาวพระเคราะห์ชั้นปลาย

ดังนั้นในเวลาเดียวกันกับที่เสียงดาวพระเคราะห์ระเบิดตัวเองดังขึ้นก็มีแสงกระบี่แสงหนึ่งพุ่งออกมาจากด้านในฝ่ามือที่กำแน่นนั้นและตัดฝ่ามือนั้นจนเกิดช่องว่าง

จากนั้นก็มีสายรุ้งเต๋าจำนวนมากรีบพุ่งออกมาจากช่องว่างนั้น!

จากเดิมแปดคน ตอนนี้เหลือแค่เจ็ดคนเท่านั้น คนที่ตายไปแล้ว…คือปรมาจารย์เต๋าใหม่!

ในเจ็ดคนนี้นอกจากผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และดาวพระเคราะห์ชั้นกลางอีกสองคน คนที่เหลือล้วนเป็นดาวพระเคราะห์ชั้นต้นทั้งสิ้น และตอนนี้พวกเขาต่างได้รับบาดเจ็บ ทันทีที่พุ่งออกมาได้ ทั้งเจ็ดคนต่างก็แยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว ในจำนวนนั้นมีสี่คนที่ถอยร่นไปสี่ทิศราวกับอยากจะหนี!

ส่วนอีกสามคนเลือกที่จะเข้าไปหาหวังเป่าเล่อ

ทั้งสามคน…นำโดยผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ส่วนอีกสองคนด้านหลังล้วนมาจากอารยธรรมครามทองคำ ถึงแม้ฐานการฝึกฝนจะไม่เท่าผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็เป็นถึงดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะอับอายมาก แต่ความบ้าคลั่งและไอสังหารที่มาจากพวกเขานั้นแข็งแกร่งสุดๆ

“แยกกันหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ก่อนจะยิ้มจางๆ ในขณะที่พวกผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามมาถึง ร่างกายของเขาก็ขยับ ดวงดาวสีคราม กฎเต๋าลม ก็กำเนิดขึ้นที่ด้านหลัง ทำให้ความเร็วพุ่งขึ้นไปถึงขีดสุดจนเกิดภาพติดตา เพียงก้าวเดียวก็ข้ามผ่านจักรวาลมาถึงตรงหน้าหนึ่งในสี่ผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ที่แยกย้ายกันหลบหนี

คนผู้นี้อยู่ในวัยกลางคน ถึงแม้เขาจะจนตรอก ทว่าทันทีที่เห็นหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาของเขาก็ฉายแววมุ่งร้ายราวกับเป็นความบ้าคลั่งในความสิ้นหวังและร้องคำราม

“เจ้าโดนหลอกแล้ว ผนึก!!” ขณะที่พูดเขาก็ไม่ลังเลที่จะระเบิดตัวเอง!

ทันทีที่ระเบิดระลอกคลื่นทำลายล้างก็มีแสงนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากร่างกายของเขา และดาวพระเคราะห์ของเขาก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ในชั่วพริบตา ร่างกายรวมถึงดวงวิญญาณเทพและดาวพระเคราะห์ของเขาระเบิดกระจายไปทั่วทุกทิศทางพร้อมเสียงดังสนั่น!

ในเวลาเดียวกันดาวพระเคราะห์ชั้นต้นของอารยธรรมครามทองคำที่หนีไปยังทิศทางอื่นอีกสามคนต่างก็ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย นัยน์ตาฉายแววบ้าคลั่ง ในพริบตาที่ดาวพระเคราะห์วัยกลางคนผู้นั้นระเบิดตัวเอง พวกเขาก็ไม่ลังเลที่จะระเบิดตัวเองด้วย!

“ผนึก!”

“ผนึก!!”

“ผนึก!!!”

การระเบิดตัวเองของดาวพระเคราะห์คนใดคนหนึ่งจะมีพลังมากกว่าตัวของเขาเองหลายเท่า ขณะนี้มีดาวพระเคราะห์ชั้นต้นสี่คนระเบิดตัวเองพร้อมกัน จึงยิ่งทำให้เกิดพลังมากขึ้น ขณะเดียวกัน ด้วยความผันผวนของการทำลายล้างที่ทับซ้อนกันทำให้การระเบิดตัวเองนี้มีพลังมากขึ้น!

จุดที่พวกเขาหลบหนีไปดูเหมือนจะกระจัดกระจาย แต่ความจริงแล้วหากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าต่อให้ทั้งสี่คนจะหนีไป แต่ระยะห่างระหว่างพวกเขาดูเหมือนจะแฝงไว้ด้วยนัยยะในระดับหนึ่ง เช่น แขนขานั้นเชื่อมต่อกันซ่อนวงแหวนปราณไว้

อันที่จริงก็ควรจะเป็นเช่นนี้ การระเบิดตัวเองของผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์แห่งอารยธรรมครามทองคำสี่คนนี้คือวิถีปิดผนึกชนิดหนึ่ง ในอารยธรรมครามทองคำ วิถีนี้ถือว่าเป็นเคล็ดมหาพลังเทพ เพราะเป็นกฎในร่างตัวเอง อีกทั้งยังเป็นกฎการบ่มเพาะจึงมีความหมายของชีวิต

ดังนั้นพลังของพวกเขาจึงแข็งแกร่ง และในขณะนี้เมื่อทั้งสี่สำแดงพลังระเบิดทำลายล้างตัวเอง อานุภาพจึงยิ่งมากขึ้น!

ในชั่วพริบตาร่างกายและดาวพระเคราะห์ที่แตกสลายของทั้งสี่คนจึงมารวมตัวกันเป็นเส้นไหมเส้นหนึ่งที่ดูเหมือนเส้นใยพืชตวัดไปทางหวังเป่าเล่อ ราวกับเล็งเป้าไว้เพียงหนึ่งเดียว พริบตาต่อมาเส้นไหมสี่เส้นนี้ก็พุ่งผ่านเต๋าลมของหวังเป่าเล่อมาด้วยความเร็วที่อธิบายไม่ได้ไปพันรอบตัวหวังเป่า…ทำให้หวังเป่าเล่อถูกตรึงไว้กลางจักรวาล!

ยังไม่จบแค่นั้น แทบจะในทันทีที่ผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ชั้นต้นทั้งสี่คนนั้นระเบิดตัวเอง พวกผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่พุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ก็เปลี่ยนทิศกะทันหันด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเดิมมาก จนร่างกายพวกเขาต่างก็เกิดไฟลุกเพื่อแลกกับความเร็วที่มากขึ้น พร้อมกับเสียงคำรามแผ่กระจายไปทั่วระหว่างผนึกฝ่ามือ

“ประทับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์!”

ผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สยายผม ก่อนที่ร่างกายจะระเบิดแสงสว่างจ้า แสงนี้กลายเป็นตราประทับขนาดใหญ่ที่ด้านนอกร่างกาย อีกทั้งได้รับการสนับสนุนจากเพลิงเผาไหม้ฐานการฝึกฝนของผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ชั้นกลางทั้สองคนที่อยู่ด้านหลังจึงทำให้ตราประทับส่องแสงสว่างจ้าถึงขีดสุดกลายเป็นความสว่างที่เป็นรองแค่ดารานิรันดร์พุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ

นี่คือผนึกกับดักที่เกิดขึ้นจากการระเบิดตัวเองของดาวพระเคราะห์ชั้นต้นทั้งสี่คน นี่คือพลังเทพวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นจากดาวพระเคราะห์ชั้นปลายหนึ่งคนและดาวพระเคราะห์ชั้นกลางสองคนแลกมาด้วยชีวิต เรียกได้ว่า…ในช่วงเวลาสั้นๆ สามารถคิดกลยุทธ์และวางแผนโต้กลับได้เช่นนี้ ก็เพียงพอที่จะอธิบายได้ถึงความจัดเจนของผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้ว

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผนึกกับดักที่เกิดจากการระเบิดตัวเองของดาวพระเคราะห์ชั้นต้นทั้งสี่คนนั้นมีกฎ คนอื่นก็เช่นกัน แม้ว่าผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะใช้ดาวเคราะห์อมตะเสริมพลัง ตัวดาวพระเคราะห์จึงไม่มีกฎ แต่กลับอาศัยวิธีลับของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ใช้ฐานการฝึกฝนของตนและการลุกไหม้ของดาวพระเคราะห์ชั้นกลางสองคนกระตุ้นสำแดงวิธีลับอันดับหนึ่งของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ‘ประทับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ ทำให้กฎแห่งแสงที่แฝงมาด้วยวิธีลับนี้สำแดงต่อโลก!

หากเปลี่ยนคู่ต่อสู้เป็นคนอื่น ต่อให้เป็นดาวพระเคราะห์ชั้นมหาวัฏจักรมาเผชิญหน้ากับการร่วมมือเช่นนี้ของพวกเขาก็ไม่มีทางหลบเลี่ยงได้ เพียงแต่…ความต่างชั้นของดาวพระเคราะห์นั้น บางครั้งก็ทำให้ดาวพระเคราะห์ชั้นต่ำสิ้นหวังและรู้สึกได้ถึงความไม่ยุติธรรมอย่างแรงกล้า

ดาวพระเคราะห์เหมือนกัน แต่ผู้ที่ใช้ดาวเคราะห์ทั่วไปเลื่อนชั้นเผชิญหน้ากับผู้ที่ใช้ดาวเคราะห์วิญญาณนั้นช่างเปราะบางยิ่ง!

ดาวเคราะห์วิญญาณเผชิญหน้ากับดาวเคราะห์อมตะก็เช่นเดียวกัน ส่วนดาวพิเศษ…เมื่อเป็นเรื่องกฎจะถือว่าดาวเคราะห์อมตะไม่ต่างจากดาวเคราะห์ทั่วไปมากนัก

นับประสาอะไรกับดาวที่หวังเป่าเล่อผนึกกายด้วยคือดาวเคราะห์เต๋าจากดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้า!

อาจกล่าวได้ว่าถึงแม้หวังเป่าเล่อจะเป็นดาวพระเคราะห์ชั้นต้น แต่กฎที่อยู่ในกำมือเขารวมถึงคุณภาพดาวพระเคราะห์ของเขาทำให้ทั้งระดับดาวพระเคราะห์นี้ไม่อาจนำมาวัดอะไรได้ หากอีกฝ่ายไม่มีดาวพิเศษ ต่อให้เป็นระดับดาวพระเคราะห์ชั้นมหาวัฏจักรก็ไม่มีสิทธิ์เชิดหน้าชูตาต่อหน้าเขา!

ก็เหมือนกับบอลลูนที่แม้จะใหญ่เพียงใดก็ยังเป็นแค่บอลลูน ส่วนตะปูแม้จะเล็กเพียงใดก็ยังเป็นตะปู!

“หากจำนวนมากกว่าทำให้เกิดช่องว่างได้ เช่นนั้น…ทำไมถึงมีการแบ่งระดับการฝึกฝนมากมาย ทำไมดาวพระเคราะห์ถึงมีระดับด้วยเล่า แน่นอน…เรื่องนี้ยังไม่แน่นอน แต่พวกเจ้า…ไม่มีมัน” หวังเป่าเล่อที่ถูกรัดด้วยเส้นไหมสี่เส้นสัมผัสได้ถึงพลังแห่งกฎของดาวพิเศษในพริบตา ผู้ฝึกตนที่ไม่มีกฎนั้นจะน่ากลัวได้อย่างไร

ในขณะเดียวกันเขาก็ตระหนักได้แล้วว่าดาวเคราะห์เต๋าจากดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าของตนน่ากลัวเพียงใด

“เต๋าพืชเขียว!” ท่ามกลางเสียงคำรามของผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ตราประทับที่สร้างขึ้นโดยตัวเขากับดาวพระเคราะห์ชั้นกลางสองคนนั้นส่องสว่างพุ่งเข้ามา หวังเป่าเล่อก็เอ่ยเบาๆ

ทันทีที่พูดออกไป เส้นไหมรอบตัวเขาก็สั่นอย่างรุนแรง ถึงแม้มันจากเกิดจากการระเบิดตัวเองของดาวพระเคราะห์ชั้นต้นถึงสี่คน แต่ตอนนี้มันก็ยังคงสั่นและคลายออก จนกระทั่งมันถูกควบคุมและแกว่งไปมาอยู่รอบตัวหวังเป่าเล่อ!

ภาพนั้นทำให้ผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถึงกับหน้าเปลี่ยนสี ทว่าก่อนที่เขาจะได้คร่ำครวญ หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นมาแล้วนัยน์ตาฉายแสงเย็นเยียบ ก่อนจะชี้ไปยังตราประทับแสงที่พุ่งเข้ามาอย่างผลักภูเขาพลิกทะเล!

“สีขาวคือเต๋าแห่งรุ่งอรุณ!”

ทันใดนั้นตราประทับแสงขนาดมหึมาที่ใกล้เข้ามาก็มอดแสงลงอย่างรวดเร็วจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า จุดแสงจำนวนมากแตกกระเจิงและกลับมารวมตัวกันตรงหน้านิ่วชี้ของหวังเป่าเล่อ ราวกับว่านิ้วของเขาคือแหล่งกำเนิดแสงทั้งหมด ชั่วพริบตาต่อมา…นิ้วชี้ที่ดูดซับแสงทั้งหมดนี้ก็เข้ามาแทนที่ทุกสิ่งและก็กลายเป็นเพียงสิ่งเดียวในจักรวาลแห่งนี้

ขณะที่ผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รวมถึงดาวพระเคราะห์ชั้นกลางสองคนด้านหลังไม่อยากจะเชื่อและหวาดกลัว นิ้วชี้ของหวังเป่าเล่อก็ชี้ไปตรงหน้าพวกเขา!

“ฝุ่นกลับเป็นฝุ่น ดินกลับคืนสู่ดิน มันจบแล้ว”

…………………………………………………………………

ขณะที่หวังเป่าเล่อเดินออกมาก็มีดาวสีส้มปรากฏอยู่ด้านหลังเขา และเวลาเดียวกันกับที่ดาวดวงนี้ปรากฏขึ้น คำพูดของหวังเป่าเล่อก็ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งจักรวาลอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!

ดาวพระเคราะห์ทุกคนรวมถึงผู้นำสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แม้กระทั่งปรมาจารย์มหาทัณฑ์ที่ถอยร่นไปไกลต่างก็ตัวสั่นเทิ้มในทันใด

ไม่ใช่เพราะความหมายของคำพูดประโยคนั้นที่น่าตกใจ แต่ทันที่คำพูดนั้นลอยเข้าหูก็ราวกับก่อตัวขึ้นเป็นพลังงานประหลาดบางอย่าง ราวกับมีกฎบางอย่างกลายเป็นเสียงคำรามที่ยิ่งกว่าเสียงฟ้าผ่าระเบิดอยู่ในจิตใต้สำนึกของพวกเขา!

ไม่ใช่แค่พวกเขาที่เป็นเช่นนี้ ผู้ฝึกตนอารยธรรมครามทองคำหลายแสนคนโดยรอบทุกคนต่างก็มีเสียงคำรามระเบิดอยู่ในใจ ราวกับประโยคนั้นของหวังเป่าได้กลายเป็นใบมีดคมที่มองไม่เห็นหลายแสนเล่ม แทงทะลุร่างพวกเขาเข้าไปในดวงวิญญาณเทพ!

นี่ก็คือ…เต๋าดนตรีส้ม!

นำกฎนี้ผนึกเข้ากับเสียงของตนเพื่อให้คำพูดของตนมีพลังแห่งกฎที่บังคับใช้ได้ทันทีที่พูดออกไป ถึงจะไม่ได้อัจฉริยะขนาดใช้เสียงสังหารได้อย่างแม่นยำ แต่ใช้เต๋าดนตรีส้มของตนกระจายเสียงออกไป การเขย่าขวัญศัตรูเช่นนี้จะทำให้จิตใจของทุกคนที่นี่ฟุ้งซ่านอยู่ในภวังค์ก็ยังได้!

จนกระทั่งผู้ฝึกตนครามทองคำหลายแสนคนโดยรอบ บางคนที่ฐานการฝึกฝนอ่อนแอหรือได้รับบาดเจ็บ ในวินาทีที่เสียงคำรามในสัมผัสสวรรค์มาพร้อมกับการบาดเจ็บของดวงวิญญาณเทพนั้น พวกเขาต่างตัวสั่นกระอักเลือด ดวงตาหม่นแสงลง ก่อนที่ดวงวิญญาณเทพจะแตกเป็นเสี่ยงๆ เหลือไว้เพียงร่างไร้วิญญาณที่ลอยไปรอบๆ !

มีเพียงดาวพระเคราะห์รวมถึงผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ที่ถึงแม้พวกเขาจะได้รับผลกระทบจากเต๋าดนตรี แต่ความแข็งแกร่งของร่างกายก็ทำให้พวกเขาฟื้นตัวกลับมาได้ในไม่ช้า แต่ละคนมีดวงตาบ้าคลั่งราวกับสัตว์ร้ายและการต่อสู้อันดุเดือดก็ได้เริ่มปะทุขึ้น

“จะอย่างไรก็ถือว่าตายในหน้าที่ เช่นนั้น…ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าพวกข้าจะไม่สามารถทำอะไรเจ้า คนที่เพิ่งเลื่อนขึ้นเป็นดาวพระเคราะห์ชั้นต้นได้!!”

“ถึงพวกเราจะมีมากสุดแค่ดาวเคราะห์อมตะ แต่ดาวเคราะห์เต๋า…แล้วอย่างไรล่ะ!”

“ชนะเป็นเจ้าแพ้เป็นโจร ครั้งนี้เราสู้เพื่อโชคชะตา ถึงแม้วันนี้จะล้มเหลว แต่ผลร้ายแรงสุดก็คือร่างตายเต๋าสลาย ฆ่า!!” ต้องบอกว่าในเรื่องการสู้ยิบตา ผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์ของอารยธรรมครามทองคำนั้นมีมากกว่าอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มากนัก ดังนั้นถึงแม้มหาทัณฑ์จะหนีไปและปรมาจารย์เต๋าใหม่จะยังลังเล แต่ดาวพระเคราะห์ครามทองคำคนอื่นกลับตาแดงฉาน ท่ามกลางเสียงคำรามของผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ฐานการฝึกฝนของแต่ละคนก็ปะทุขึ้น ก่อนที่ดาวพระเคราะห์จะเปลี่ยนรูปและพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ

และผู้นำของพวกเขายังทำให้ผู้ฝึกตนครามทองคำหลายแสนคนฮึกเหิมเหมือนกับต้องการโจมตีอีกครั้ง!

เมื่อเห็นภาพทุกอย่าง หวังเป่าเล่อก็เผยแสงแปลกๆ ในดวงตา

สิ่งที่เขาต้องการก็คือการตอบโต้เช่นนี้แหละ! เหตุผลที่เขาไม่ให้ปรมาจารย์แห่งไฟลงมือ ด้านหนึ่งคือเขาต้องการระบายความโกรธของตนเอง ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็ทั้งคิดบัญชีต่อหน้าและข่มขู่ลับหลัง ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะปรมาจารย์แห่งไฟ แม้แต่ระบบสุริยะก็คงถูกเผาเป็นจุณ ดังนั้นความโกรธของเขาคงไม่ลดลงเพราะอีกฝ่ายมีมากเกินไปและเข่นฆ่ามากเกินไป

สิ่งที่เขาต้องการคือล้างบาง!

อีกด้านหนึ่งคือต้องการใช้โอกาสนี้…ทำให้กฎแห่งเต๋าทั้งเก้าสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น!

ดังนั้นหลังจากเต๋าดนตรีส้มเปิดออกและฐานการฝึกฝนพวกวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ปะทุขึ้น หวังเป่าเล่อก็เดินออกมาเป็นก้าวที่สองด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ก่อนที่มือขวาจะยกขึ้นโบกไปรอบตัวเบา

“เลือด!”

หนึ่งคำที่เอ่ยออกไปเรียกเสียงกรีดร้องระงมจากผู้ฝึกตนหลายแสนที่กำลังจะขยับตัวภายใต้การนำของเหล่าดาวพระเคราะห์ พวกเขาทุกคนต่างมีเลือดไหลออกมาจากรูทวารทั้งเจ็ดในทันที!

เลือดที่ไหลออกมาไม่ใช่เพราะได้รับบาดเจ็บ แต่ขณะนี้เหมือนกับว่าเลือดในร่างกายพวกเขาขับไล่ตัวเองออกมาและไม่ยินยอมที่จะอยู่ข้างในร่างกายเหมือนกับว่าเสียงเรียกอันทรงพลังด้านนอกทำให้มันต้องรีบพุ่งออกมา!

ทันใดนั้นผู้ฝึกตนหลายหมื่นคนก็เสียการควบคุมไป ร่างกายแตกสลายซึ่งเกิดจากการช็อกเพราะเลือดพุ่งออกมา เมื่อร่างกายแตกสลาย ดวงวิญญาณเทพก็สูญสิ้น มีเพียงเลือดที่ไหลมารวมตัวกันที่หวังเป่าเล่อ และในพริบตาเดียวมันก็ก่อตัวขึ้นเป็นทะเลเลือด!

ส่วนผู้ที่ยังกัดฟันยืนหยัด เพราะกฎของหวังเป่าเล่อจะกระจัดกระจาย จึงทำให้แต่ละคนประคองร่างกายไว้ได้อย่างยากลำบาก แต่ ณ เวลานี้จิตใจสั่นไหวถึงขีดสุดแล้ว ความมุ่งมั่นอันสิ้นหวังที่เพิ่งเกิดขึ้นพังทลายลงทันที แต่ละคนต่างถอยร่นออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความหวาดกลัว โดยไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่มและพวกเขายังกระจัดกระจายไปทั่วอย่างบ้าคลั่งราวกับลืมไปแล้วว่าต่อให้หนีได้ก็ไม่มีทางหนีออกไปจากผนึกนี้ได้

ส่วนพวกผู้นำมหาทัณฑ์ในตอนนี้ ถึงแม้ฐานการฝึกฝนของตนจะต่อต้านกฎเต๋าเลือดของหวังเป่าเล่อได้ และยังคงพุ่งเข้าหาเขา แต่สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือทะเลเลือดที่หวังเป่าเล่อเรียกให้ไหลมารวมกันด้วยกฎเต๋าเลือด

ทะเลเลือดผืนนั้นราวกับมีความว่องไวในตัวมันเอง มันม้วนตัวขึ้นกลายเป็นปากขนาดใหญ่และกลืนกินพวกผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เข้าไป

และทันทีที่พวกเขาถูกกลืนกิน หวังเป่าเล่อก็เอ่ยออกมาเบาๆ เพื่อใช้กฎเต๋าที่สาม!

“เต๋าเมฆา!”

เมฆเปลี่ยนแปลงได้หลากหลายและใช้การแปลงเป็นกฎ ทันทีที่หวังเป่าเล่อเอ่ยปาก ด้านหลังของเขาก็ปรากฏดาวสีฟ้าและเมื่อดวงดาวหมุนวน กฎ ณ ที่แห่งนี้ก็ได้รับอิทธิพลทันที ทันใดนั้น…ฉากแปลกประหลาดก็ปรากฏขึ้น!

ผู้ฝึกตนหลายแสนคนที่สูญเสียจิตวิญญาณการต่อสู้และกำลังแตกกระเจิงไปคนละทิศคนละทาง พวกเขาส่วนใหญ่ตัวสั่นเทา ดวงตาแดงก่ำ ก่อนจะหันไปโจมตีอย่างบ้าคลั่งและสิ้นหวังใส่สหายที่อยู่รอบตัว!

และไม่ใช่แค่คนสองคน แต่ผู้ฝึกตนเกือบทั้งหมดต่างก็ได้รับอิทธิพล อย่างเช่นเกิดภาพหลอนจนทำให้ในการรับรู้ของพวกเขาคิดว่าผู้คนรอบกายเป็นตัวการสำคัญที่ส่งผลต่อการอยู่รอดของตน หากฆ่าสหายทิ้งซะพวกเขาก็จะมีชีวิตรอดต่อไป

ภายใต้กฎภาพหลอน เสียงกรีดร้องดังระงมไปทั่วบริเวณรุนแรงยิ่งกว่าก่อนหน้านี้จนดูเหมือนว่าสนามรบเกิดความโกลาหลไปทั่ว ผู้ฝึกตนนับแสนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด อีกทั้งเต๋าเลือดยังทำให้เลือดรอบตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และที่ชัดเจนขึ้นอีกอย่าง…ณ ใจกลางสนามรบ หวังเป่าเล่อที่สีหน้าสงบนิ่ง

“หวังเป่าเล่อ!!” เมื่อเห็นเช่นนี้ผู้นำสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ส่งเสียงคำราม ผมเผ้ายุ่งเหยิง ถึงแม้จะถูกกดขี่ไว้ แต่เพราะฐานการฝึกฝนแข็งแกร่ง เขาจึงยังไม่ได้รับอิทธิพลมากนัก เขายังมีสติ แต่ทุกสิ่งรอบตัวทำให้ทั้งจิตใจของเขาเจ็บปวดถึงขีดสุด

เพราะ… ผู้ฝึกตนนับแสนเหล่านี้เกือบทั้งหมดคือศิษย์ของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของเขา!

“เจ้าเต๋าปีศาจ!!”

“คนมากมายเช่นนี้…ล้วนเป็นคนอ่อนแอ เจ้าไม่มีจิตคิดสงสารบ้างหรือ!!!”

เสียงคำรามของผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทำให้หวังเป่าเล่อหันไปมองพวกเขาที่ถูกเลือดจำนวนมากขัดขวางไว้ สายตาเผยแสงเย็นเยียบจ้องมองไปยังผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังคลั่ง

“สงสารรึ? แล้วตอนที่อารยธรรมครามทองคำของเจ้าเข่นฆ่าอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ สงสารบ้างหรือไม่”

“ตอนที่อารยธรรมครามทองคำของเจ้าบีบบังคับให้ข้ามอบดาวเคราะห์เต๋า สงสารบ้างหรือไม่”

“ตอนที่อารยธรรมครามทองคำของเจ้าคุกคามระบบสุริยะบ้านเกิดข้า สงสารบ้างหรือไม่”

“วันนี้เป็นข้าแซ่หวังพลิกจักรวาล มิเช่นนั้นตอนนี้ทุกชีวิตที่บ้านเกิดข้าคงจะถูกฆ่าตายไปแล้ว ไม่รู้ว่าหากมันเกิดขึ้นจริง ผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อย่างเจ้าจะรู้สึกสงสารบ้างหรือไม่”

“ช่างเถอะ ข้าจะเมตตาสักครั้ง!”

หวังเป่าเล่อพูดถึงตรงนี้ก็ยกมือขวาขึ้นมาและใช้นิ้วหัวแม่มือไล่กดแต่ละนิ้วอีกครั้ง ตามมาด้วยดาวดวงสีดำที่ลอยสูงขึ้นด้านหลัง ทันใดนั้นพลังปราณแห่งความตายก็ปะทุขึ้น!

“เต๋ามรณะ!”

ทันทีที่ประโยคนี้เอ่ยออกไป พลังปราณแห่งความตายก็ระเบิดออกมาจากดาวดวงสีดำนั้นและกระจายไปทั่วทุกทิศทางทันที ทุกที่ในจักรวาลที่มันแผ่ขยายไปดูเหมือนจะแตกสลายเป็นชิ้นๆ ผู้ฝึกตนครามทองคำที่กำลังสู้รบกันอยู่ตัวสั่นสะท้านและเริ่มเหี่ยวเฉา และขณะที่เหี่ยวเฉาลงพลังชีวิตของพวกเขาก็ถูกบังคับให้กลายเป็นไอมรณะ ขณะที่มันแผ่ขยายไปทั่วทั้งสนามรบก็กลายเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ในทันใด!

กระแสน้ำวนหมุนวนดังกังวาน ไอมรณะที่ออกมาจากร่างผู้ฝึกตนมารวมตัวกัน เมื่อมองไปรอบๆ ผู้ฝึกตนนับแสนในสนามรบล้วนมีสีหน้ามืดมน ในที่สุดแต่ละคนก็กลายเป็นเถ้าถ่านสลายไปในจักรวาลท่ามกลางเสียงคำรามอย่างบ้าคลั่งของผู้นำสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์!

และสนามรบทั้งหมดก็ว่างเปล่า!

“ตอนนี้ถึงคราวพวกเจ้าแล้ว” ขณะที่ดาวทั้งสี่ดวงด้านหน้าแปรเปลี่ยน หวังเป่าเล่อมองผู้นำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะยกมือขวาขึ้นและเอ่ยอย่างสงบ

“ทุกสิ่งทุกอย่าง ณ ที่แห่งนี้ไม่มีทางหนีพ้น!”

…………………………………………………………………………

ความแข็งแกร่งของปรมาจารย์แห่งไฟส่งผ่านมาทางประโยคทั้งสามนั้นอย่างไม่ต้องสงสัย ประโยคแรกบอกฐานะของหวังเป่าเล่อแก่อีกฝ่าย ประโยคที่สองสั่งให้อีกฝ่ายขอโทษ ประโยคที่สามไล่ออกไปตรงๆ!

นั่นคือข้าไม่สนว่าจะมีเหตุผลหรือไม่ นี่ไม่ใช่การแจ้งให้ทราบ มันคือคำสั่ง!

ไม่ถามถึงเหตุผลและไม่สนว่าเจ้าจะมีภูมิอย่างไร ข้าจะจัดการเจ้าด้วยวิธีของข้าและเจ้า…ต้องทำตาม ถึงไม่อยากทำก็ต้องทำ!

ในฐานะผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของอารยธรรมครามทองคำ ปรมาจารย์ที่ฐานการฝึกฝนสูงถึงระดับดารานิรันดร์ เขาคุกเข่าตัวสั่นอยู่ตรงนั้น ขณะเดียวกันในใจก็เต็มไปด้วยความคับข้องใจ แต่เขาก็ไม่กล้าขัดขืน ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ สิ่งที่คิดในใจก็ไม่กล้าเปิดเผยออกมาแม้แต่น้อย ทำได้เพียงตอบรับด้วยความยำเกรง หลังจากศีรษะเพลิงของปรมาจารย์แห่งไฟค่อยๆ หายไปเขาถึงค่อยกล้าเงยหน้าขึ้นและยืนนิ่งอยู่นานด้วยสีหน้าขมขื่น

ท้ายที่สุดเขาก็เหลือบมองไปยังระบบสุริยะที่อยู่ข้างหน้าด้วยสีหน้าเยือกเย็น ก่อนจะหันกลับมาแล้วเลือกที่จะจากไป

เขาพอจะเดาออกแล้วว่าดารานิรันดร์สองคนนั้นที่ไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะต้องล้มเหลวแล้วเป็นแน่ และชะตากรรมของผู้ฝึกตนอารยธรรมครามทองคำทั้งหมดที่อยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็เดาได้เช่นกัน การสูญเสียเช่นนี้เรียกได้ว่าทำให้อารยธรรมครามทองคำของพวกเขาน่าสลดใจยิ่งกว่าการเสียเลือดเสียเนื้อเสียอีก

และทั้งหมดนี้เป็นเพราะหวังเป่าเล่อ!

แต่เขายังไม่กล้าแก้แค้น เวลานี้ภายใต้ความหดหู่และความบ้าคลั่งในใจ เขาไม่อาจอดกลั้นไว้ได้และส่งเสียงคำรามรุนแรงถึงขีดสุด

“หวังเป่าเล่อ…เจ้ามีภูมิหลังเช่นนี้แล้วทำไมถึงไม่รีบพูดเล่า!!!”

ท่ามกลางเสียงคำรามเขาก็เร่งความเร็วจากไปอย่างบ้าคลั่ง เพราะเขารู้ว่าต่อจากนี้ยังต้องเตรียมของกำนัลไถ่โทษอีก แม้ในใจจะรู้สึกขุ่นเคือง แต่การขอโทษก็เป็นสิ่งสำคัญ มิเช่นนั้นจะก่อปัญหาไม่รู้จบ

ขณะที่เขาควบหนีไป ทางด้านดาราจักรดวงเนตรสวรรค์ ท่ามกลางเสียงดังสนั่นเสียดหูเหล่ามหาทัณฑ์ทั้งเก้า หวังเป่าเล่อเอ่ยปากพูดพร้อมกับยกมือขวาชี้ไปยังดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ ทันใดนั้นดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ก็สั่นสะเทือน

ท่ามกลางพื้นดินพลิกกลับ ท้องฟ้าเปลี่ยนสี ร่างของหวังเป่าเล่อที่นอนอยู่ภายในโลงศพลืมตาขึ้น และในทันใดนั้นพื้นดินก็สั่นสะเทือนอีกครั้ง ก่อนที่ดินรอบโลงศพจะพังทลายลง รอยร้าวขนาดมหึมาค่อยๆ แผ่ขยายครอบคลุมรัศมีหนึ่งพันลี้

ทันใดนั้นพื้นดินหนึ่งพันลี้นั้นก็แตกออก โลงศพที่อยู่ในพื้นดินที่แตกกระจายก็พุ่งออกมาจากใต้พื้นดินเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีราวกับดาวตก วาดเป็นสายรุ้งสดใสพุ่งขึ้นไปยังจักรวาล!

มันขึ้นไปปรากฏตัวอยู่กลางจักรวาลเหนือสนามรบด้วยความเร็วเหนือกว่าดาวพระเคราะห์ทั่วไปพร้อมเสียงคำรามตลอดทางท่ามกลางความตะลึงงันของผู้ฝึกตนจำนวนมาก ณ ที่แห่งนี้ และความตกตะลึงของมหาทัณฑ์ทั้งเก้า!

เมื่อมันปรากฏตัว แรงกดดันก็แผ่ออกมาจากโลงศพรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอักษรโบราณบนโลงที่ส่องสว่างความผันผวนของกาลเวลายาวนานยังแทรกซึมอยู่ตลอดเวลา ทำให้ทุกคนในสนามรบส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมาอีกครั้ง

วินาทีที่พวกเขากรีดร้อง หวังเป่าเล่อยิ้ม นัยน์ตาเผยแววคาดหวัง

“ทุกท่าน เดี๋ยวเจอกันนะ” พูดจบร่างของหวังเป่าเล่อก็สั่นและกลายเป็นหมอกพุ่งไปยังโลงศพไปในพริบตา หมอกที่กลายร่างมาจากเขาแทรกซึมและทะลุเข้าไปในโลงศพท่ามกลางสายตาจับจ้องจากผู้คนโดยรอบ!

นับตั้งแต่มายังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เพื่อหลบหนีเต๋าสวรรค์ไม่รู้สิ้นจึงต้องใช้กระบวนท่าสารัตถะที่ศิษย์พี่ถ่ายทอดให้ และใช้ร่างสารัตถะฝึกฝนมาจนถึงทุกวันนี้ วินาทีนี้…เมื่อทุกสิ่งของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์กำลังจะจบสิ้นลง หวังเป่าเล่อจึงผนึกร่างจริงกับร่างแยกเข้าด้วยกันในที่สุด!

ในเวลานี้เมื่อหมอกร่างสารัตถะผนึกกาย ที่ด้านในโลงศพ หมอกที่แปลงมาจากร่างแยกก็เข้าครอบคลุมร่างจริง แทรกซึมไปตามรูทวารทั้งเจ็ดและรูขุมขนบนร่างกายเพื่อผนึกกายเข้ากับร่างจริง ขณะเดียวกันก็ผนึกฐานการฝึกฝนเข้าไปด้วย!

รวมถึงกฎดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าและ…ดาวเคราะห์เต๋า!!

เนื่องจากร่างแยกและร่างจริงมีความคล้ายคลึงกันอยู่แล้ว การผนึกกายในครั้งนี้ถึงแม้จะเป็นการถ่ายโอนดาวเคราะห์เต๋าก็ไม่มีอุปสรรคแม้แต่น้อยและสิ้นสุดลงแทบจะในพริบตา และเมื่อมันสิ้นสุดลง ร่างหวังเป่าเล่อในโลงศพก็กระตุกอย่างแรง ความผันผวนของฐานการฝึกฝนปะทุอย่างรุนแรง

เดิมทีร่างจริงของเขาแข็งแกร่งอยู่แล้ว ตอนนี้หลังจากผนึกร่างแยกพลังต่อสู้ก็ปะทุออกมาเช่นกัน โดยเฉพาะความรู้สึกที่มีกายเนื้อในที่สุดนั้นยิ่งทำให้ร่างกายและจิตใจหวังเป่าเล่อรวมเป็นหนึ่ง ดาวเคราะห์เต๋าในร่างกายยิ่งไหลเวียนได้ราบรื่น กฎและกฎหมายบนร่างของเขาวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่อง ฐานการฝึกฝนของเขาก็เพิ่มขึ้นเพราะมันด้วยเช่นกัน แม้ว่าจะยังไม่ถึงระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง แต่ด้านพลังต่อสู้นั้น…พุ่งสูงมาก!

ในเวลาเดียวกันกับที่เขากำลังผนึกกาย พวกปรมาจารย์มหาทัณฑ์แต่ละคนต่างฉายแววตาโหดเหี้ยมและความบ้าคลั่งที่ไม่อาจควบคุมได้ พวกเขารู้ดีว่าครั้งนี้ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะอวดดีเพียงใด แต่ภายใต้พลังสยบของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพ พวกเขาก็ไม่อาจมีชีวิตรอดไปจากที่แห่งนี้ได้

อีกทั้งยังเห็นได้ชัดว่าหวังเป่าเล่อไม่คิดจะปล่อยพวกเขาไป ไม่ว่าจะทำอย่างไรล้วนมีแต่เส้นทางแห่งความตายเท่านั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้…พวกเขาแต่ละคนจึงเริ่มกระวนวายและคลุ้มคลั่งขึ้นมา ไอสังหารยิ่งรุนแรงขึ้นอีก

ในขณะนั้นเอง…ในโลงศพที่ทุกคนจับจ้องอยู่นั้นก็เกิดเสียงกุกกัก!

สายตานับไม่ถ้วนมองเห็นฝาโลงค่อยๆ ขยับจนกระทั่งหลังจากเปิดออกครึ่งหนึ่ง…ในโลงศพมืดมิดก็มีมือหนึ่งยื่นออกมา มือที่มีเลือดเนื้อ!

ทันทีที่มือนี้ปรากฏขึ้น คนจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คนนั้นก็ร้องตะโกนด้วยความเดือดดาล

“ทุกคนฟัง ข้าผู้ฝึกตนแห่งอารยธรรมครามทองคำ แม้จะต้องตายก็ขอตายไปพร้อมกับเจ้าหัวขโมยนี่!” พูดจบร่างของเขาก็ลุกไหม้ในพริบตาและพุ่งไปยังโลงศพ ไม่ใช่แค่เขา ดาวพระเคราะห์คนอื่นรวมทั้งปรมาจารย์มหาทัณฑ์ที่สิ้นหวังและขมขื่นต่างก็โจมตีติดต่อกัน

ส่วนผู้ฝึกตนจำนวนมากโดยรอบก็เริ่มโจมตีอย่างบ้าคลั่งจนก่อตัวเป็นพลังเทพกระบวนเวททั่วผืนฟ้าพุ่งเข้าหาโลงศพ!

ทว่าในตอนที่กระบวนเวทพลังเทพพุ่งเข้ามา เสียงสงบนิ่งเสียงหนึ่งก็ลอยออกมาจากโลงศพเบาๆ

“วางแผนการรบบนกระดาษ”

เวลาเดียวกันกับที่เสียงนั้นลอยมา มือที่ยื่นออกมาจากโลงศพก็บีบผนึกออก และทุกคนที่เห็นต่างก็จิตใจสั่นไหวอย่างรุนแรง และยังทำให้กระดาษรูปมนุษย์บนเรือดาวตกที่ไม่ได้จากไปไหนเผยแววตาแปลกประหลาด!

มือข้างที่เคยมีเลือดเนื้อ…วินาทีนี้ได้กลายเป็นมือกระดาษไปแล้ว!

และทันทีที่มันกลายเป็นกระดาษ พลังแห่งกฎจักรวาลที่ผู้ฝึกตน ณ ที่แห่งนี้ไม่เคยพบเห็นมาก่อนก็แผ่ขยายออกไป ทันใดนั้น…กระบวนเวทพลังเทพนับไม่ถ้วนที่ผู้ฝึกตนทั้งหมดและดาวพระเคราะห์ทั้งเก้าคนร่วมมือกันระเบิดออกมานั้นเข้าใกล้มือกระดาษนั่น…ก็กลายเป็นกระดาษ!!

“เป็นไปไม่ได้!!” คนของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อุทานอย่างตะลึงงัน!

“นี่…นี่ไม่ใช่เคล็ดวิชา! นี่คือกฎ!!”

“มันไม่ใช่กฎ ข้าไม่เคยได้ยินกฎที่เปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นกระดาษมาก่อน!!”

“สุสาน…สุสานดวงดารา!!” ดาวพระเคราะห์คนอื่นต่างตกใจถึงขีดสุด ท่ามกลางเสียงอุทานมีเพียงปรมาจารย์มหาทัณฑ์ตัวสั่นถอยร่นออกมาเป็นคนแรก เขาล้มเลิกการโจมตีและพยายามหลบหนี!

ชัดเจนมากว่าฉากนี้ทำให้เขาตกใจแทบบ้า ไม่ว่าพลังเทพอะไร ไม่ว่ากระบวนเวทไหน แม้แต่อาวุธเวทก็ไม่มีข้อยกเว้น พวกมันกลายเป็นกระดาษรูปทรงต่างๆ ในชั่วพริบตา ภาพตรงหน้าน่าขนพองสยองเกล้าเกินไป

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบวนเวทพลังเทพทั้งหมดนั้นถูกส่งไปอย่างคุกคามและโหดเหี้ยม แต่ตอนนี้กลับร่วงลงไปอย่างแผ่วเบา มองไกลๆ ราวกับเป็นเกล็ดหิมะและยังเหมือนกับฝนกระดาษที่ค่อยๆ ตกลงไป ความรู้สึกไร้พลังว่างเปล่าเช่นนี้ทำให้ผู้คนสิ้นหวัง!

และในขณะที่ทุกคนรอบๆ ตื่นตระหนกจนหนังศีรษะชาอยู่นั้น มือกระดาษนั้น…ก็จับที่ขอบโลงศพทำให้ร่างข้างในค่อยๆ ลุกขึ้นยืน!

และเปิดเผยแก่สายตาทุกคน!

ผมสีดำ ชุดสีดำ ดวงตาราวกับดวงดาว ใบหน้าคมราวกับมีด ทั้งคมเข้ม ขณะเดียวกันก็มีกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนสัมผัสสวรรค์สั่นคลอนแผ่ออกมาจากร่างนั้นอย่างต่อเนื่อ งส่งอิทธิพลต่อจักรวาลและทำให้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เกิดความผันผวน เปลวไฟลุกโชนล้อมรอบอารยธรรม อีกทั้งยังมีดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์ที่ส่องประกายแรงกล้าอยู่ในขณะนี้!

รูปลักษณ์ที่ต่างจากหลงหนานจื่อนี้ทำให้ทุกคน ณ ที่แห่งนี้รู้สึกไม่คุ้นเคย ขณะเดียวกันก็สัมผัสสวรรค์ปั่นป่วนรุนแรง ในตอนที่ทุกคนกำลังสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวนั้นเอง ร่างในชุดสีดำที่เดินออกมาจากโลงศพก็เอ่ยปากขึ้นเบาๆ

“ทำความรู้จักกันใหม่เสียหน่อย ข้าคือผู้นำสหพันธรัฐแห่งระบบสุริยะ หวังเป่าเล่อ!”

……………………………………………….

สำหรับดารานิรันดร์ การสังหารดาวพระเคราะห์นั้นง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ!

ส่วนผู้เยี่ยมยุทธ์ดาราจักร การสังหารดารานิรันดร์…หากใช้คำว่าง่ายราวกับพลิกฝ่ามือมาอธิบายก็คงจะเป็นการให้ค่าดารานิรันดร์สูงไป ถึงแม้ดารานิรันดร์จะแข็งแกร่ง แต่ยิ่งฐานการฝึกฝนลึกล้ำขึ้น ช่องว่างของแต่ละระดับก็ยิ่งมากขึ้น

หากใช้คำว่าพันเท่ามาอธิบายความต่างระหว่างดาวพระเคราะห์กับดารานิรันดร์ เช่นนั้นระหว่างจักรพิภพกับดารานิรันดร์ก็ต้องใช้คำว่าหมื่นเท่าเป็นอย่างน้อย เช่นนี้แล้วสำหรับปรมาจารย์แห่งไฟ เขาไม่จำเป็นต้องปรากฏตัว เพียงแค่เปลวไฟที่แผ่ซ่านออกมาจากจิตใต้สำนึกก็เพียงพอที่จะทำลายดารานิรันดร์แห่งอารยธรรมครามทองคำได้แล้ว

ส่วนร่างจริง…ต่อให้ยืนอยู่ตรงนั้นและปล่อยให้ดารานิรันดร์โจมตี ถึงแม้จะโจมตีจนจักรวาลพังทลาย ปรมาจารย์แห่งไฟก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย เพราะการบาดเจ็บที่เขาโดนยังห่างชั้นกับการฟื้นตัวของร่างกายเขามาก

นี่แหละ…คือความต่างชั้น!

ดังนั้นทันทีที่แส้เปลวไฟซึ่งแปลงมาจากจิตใต้สำนึกของปรมาจารย์แห่งไฟปรากฏขึ้น ก็เรียกว่าได้ตัดสินบทสรุปของสถานการณ์นี้แล้ว และกลายเป็นเพียงเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง

ในชั่วพริบตา…ผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์สองคนที่เรียกได้ว่าอยู่ใต้อำนาจคนเพียงคนเดียวในอารยธรรมครามทองคำยังไม่ทันได้ส่งเสียงกรีดร้องก็ร่างแหลกสลายเป็นผุยผง เลือดเนื้อถูกไฟเผาจนกลายเป็นขี้เถ้า และดวงวิญญาณเทพ…ก็ไม่มีสิทธิ์หลบหนี ถูกทำลายจนสิ้นซาก!

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกฎเต๋าสวรรค์ของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ถึงแม้พวกเขาจะถูกทำลายจนสิ้นซาก แต่ก็ยังคงหลงเหลือร่องรอยไว้ในเต๋าสวรรค์ ในอนาคตจึงยังมีโอกาสฟื้นคืนชีพ แต่นั่นคือ…ก่อนหวังเป่าเล่อจะลงมือ!

เขาอาฆาตดารานิรันดร์สองคนนี้อย่างรุนแรงสำหรับการคุกคามคนของตน คนโหดเหี้ยมอย่างหวังเป่าเล่อย่อมไม่มีทางเห็นใจ อีกทั้งปรมาจารย์แห่งไฟก็อยู่ที่นี่แล้ว เขาจึงไม่ต้องกังวลว่าความลับจะถูกเปิดเผย

ถึงอย่างไร…ปรมาจารย์แห่งไฟก็คงมองความสัมพันธ์ของตนกับเฉินชิงออก และครั้งหนึ่งก็เคยพูดออกมาด้วย เขาไม่จำเป็นต้องปกปิดมันมากเกินไป ดังนั้นแทบจะในทันทีที่ปรมาจารย์แห่งไฟโจมตี ผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์สองคนนั้นก็กลายเป็นผุยผงไปในชั่วพริบตา หวังเป่าเล่อนัยน์ตาสว่างวาบ มือขวายกขึ้น และใช้นิ้วหัวแม่มือไล่กดแต่ละนิ้ว ทันใดนั้นที่ด้านหลังก็ปรากฏดวงเนตรปีศาจขนาดใหญ่ขึ้น!

ดวงตาปีศาจนี้ต่างจากในตอนอยู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะ ถึงแม้จะมีเพียงข้างเดียว แต่ภายในกลับมีถึงสิบวง ทำให้ดวงตาปีศาจนี้ดูแปลกมาก ดาวพระเคราะห์เพียงเหลือบมองต่างก็สัมผัสสวรรค์สั่นคลอนไปตามๆ กัน

“กลืน!” ทันทีที่ดวงตาปีศาจปรากฏขึ้น หวังเป่าเล่อก็เอ่ยเสียงเข้ม ทันใดนั้นดวงตาสีดำด้านหลังก็เปล่งลำแสงชั่วร้ายออกมา อีกทั้งข้างในก็มีเพลิงดำที่มองไม่เห็น ในชั่วพริบตาก็ดูดซับร่องรอยของดารานิรันดร์เข้าไปและทำลายทิ้ง!

แล้วร่างกายหวังเป่าเล่อก็ขยายตัวอย่างรวดเร็ว พลังดวงวิญญาณเทพจากดารานิรันดร์สองคนจำนวนมากส่งผ่านมาทางดวงตาปีศาจ ทำให้ฐานการฝึกฝนของเขาค่อยๆ เพิ่มขึ้น

จักรวาลสั่นสะเทือนราวกับสายฟ้าพาดผ่าน ปรมาจารย์แห่งไฟได้เป็นประจักษ์พยานในฉากนี้ แต่ไม่ได้พูดอะไร อีกทั้งยังแผ่ทะเลเพลิงออกมาจากกระแสน้ำวนมากขึ้น ปิดกั้นทั่วทั้งดาราจักรดวงเนตรสวรรค์ ขณะเดียวกันก็ห่อหุ้มฟองอากาศที่มีเจ้าเยี่ยเหมิงรวมถึงเจ้าลาน้อยและอู๋น้อย กลายเป็นปราการคุ้มกัน ขณะเดียวกันเสียงของเขาก็ดังสะท้อนไปรอบตัวดาวพระเคราะห์ทั้งเก้าและผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วน

“ศิษย์เอ๋ย อยากให้อาจารย์ช่วยเจ้ากวาดล้างทุกสิ่งที่นี่หรือไม่”

คำว่าศิษย์เอ๋ยนี้ ปรมาจารย์แห่งไฟตะโกนออกมาอย่างภาคภูมิใจ ยามที่มันลอยเข้าหูหวังเป่าเล่อ เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจ แต่ที่มากกว่านั้นคือความซาบซึ้ง ถึงอย่างไรการโจมตีของปรมาจารย์แห่งไฟครั้งนี้ก็สำคัญกับหวังเป่าเล่ออย่างยิ่ง

นี่ไม่เพียงคลี่คลายวิกฤติในครั้งนี้ให้เขาได้ เรื่องดาวเคราะห์เต๋าของเขาก็ยังได้รับความช่วยเหลือ ความเมตตาเช่นนี้ทำให้หวังเป่าเล่อซาบซึ้งมาก ในใจก็ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าการคำนับอาจารย์ครั้งนี้…ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร เขาก็จะเดินหน้าต่อไป!ไอรีนโนเวล

ดังนั้นเขาจึงไม่มีพิธีรีตองมากนักและกำมือคำนับอาจารย์ ก่อนจะเอ่ยด้วยความเคารพ

“จิตใจศิษย์อัดแน่นด้วยไอสังหาร หากไม่ระบายออกมาคงไม่ได้ ดังนั้นส่วนที่เหลือศิษย์จัดการเองได้ขอรับ และขอให้อาจารย์โปรดช่วยขัดขวางภัยจากทุกทิศทาง ปกป้องบ้านเกิดข้าให้ปลอดภัยด้วยเถิดขอรับ!”

“ได้!” ปรมาจารย์แห่งไฟหัวเราะเสียงดัง และดวงเทพจิตของเขาก็ปิดลงและหายไป!

ถึงแม้ขณะที่ปรมาจารย์แห่งไฟหัวเราะ ดวงจิตเทพจะจากไปแล้ว แต่เปลวไฟ ณ ที่แห่งนี้ยังคงอยู่และปิดผนึกที่แห่งนี้ไว้ ทำให้ผู้ฝึกตนหลายแสนคนรวมถึงดาวพระเคราะห์ทั้งเก้าต่างตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว สายตาจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างดุเดือด โดยเฉพาะพวกปรมาจารย์มหาทัณฑ์ที่ในสายตาแห่งความสิ้นหวังยังมีความบ้าคลั่งทะลุออกมาด้วย

พวกเขาได้เห็นและได้ยินอย่างชัดเจนแล้วว่าเหตุผลที่หวังเป่าเล่อไม่ยืมพลังแห่งไฟมากวาดล้างทุกสิ่ง ก็เพราะต้องการสยบและทำลายทุกอย่างด้วยมือตนเอง

แต่ในมุมของพวกเขา นี่มันอวดดีเกินไป!

ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีกันเก้าคน โดยเฉพาะปรมาจารย์มหาทัณฑ์และมือดีจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นดาวพระเคราะห์ชั้นปลาย ถึงแม้ว่าแรงกดดันจากปรมาจารย์แห่งไฟจะทำให้พวกเขาไม่สามารถแสดงพลังต่อสู้ออกมาได้อย่างเต็มที่ แต่เก้าคนร่วมมือกัน…สู้กับคนที่เพิ่งจะได้เลื่อนขึ้นเป็นดาวพระเคราะห์เพียงคนเดียว ต่อให้อีกฝ่ายจะหลอมรวมกับดาวเคราะห์เต๋า พวกเขาก็ยังมีโอกาสชนะ

เพียงแต่ว่า…เรื่องที่เห็นได้ชัดเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่คิดว่าหวังเป่าเล่อจะไม่รู้ ดังนั้นจึงต้องมีความลับอื่นอยู่เป็นแน่ ทุกคนตกอยู่ในความกังวล และเมื่อปรมาจารย์มหาทัณฑ์กำลังจะเอ่ยปากพูด หวังเป่าเล่อก็ก้าวออกมาจากเรือดาวตกแล้ว!

“ไม่ทันรู้ตัวเลยว่ามาอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้หลายปีแล้ว…” หวังเป่าเล่อเอ่ยเบาๆ ขณะเดิน

“ในบรรดาพวกเจ้ามีบางคนที่ข้ารู้จัก และมีบางคนที่ข้าไม่คุ้นเคย ตอนนี้ทุกอย่างกำลังจะจบลงแล้ว…เพื่อตอบแทนสิ่งที่พวกเจ้าทำ ข้าแซ่หวังคิดว่า…มีเรื่องหนึ่งที่ต้องแจ้งให้พวกเจ้ารู้” หวังเป่าเล่อพูดถึงตรงนี้ก็เดินออกมาพ้นเรือดาวตกแล้วและกำลังยืนอยู่กลางอากาศ เขามองไปยังพวกมหาทัณฑ์ที่หน้าเปลี่ยนสี

“ตัวข้าที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเจ้าเป็นแค่…ร่างแยก!” เมื่อประโยคนี้ลอยเข้าหูพวกเขาก็เหมือนกับสายฟ้าพาดผ่าน ไม่รอให้พวกเขาได้ตกใจ มือข้างขวาของหวังเป่าเล่อก็ยกขึ้นชี้ไปยังดาวเอกดวงเนตรสวรรค์และเอ่ยอย่างสงบ

“ร่างจริง กลับมา!”

ทันทีที่พูดประโยคนี้ ดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ก็ส่งเสียงคำรามสะเทือนฟ้าและเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน!

ในเวลาเดียวกันที่นอกระบบสุริยะที่อยู่ห่างไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ กลางจักรวาลที่ปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่งที่สุดของอารยธรรมครามทองคำคนนั้นอยู่

เดิมทีปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของอารยธรรมครามทองคำผู้นี้กำลังหลับตาอยู่ จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ก็คือต้องการใช้ที่นี่บีบบังคับหวังเป่าเล่อให้ส่งดาวเคราะห์เต๋าให้ ตอนนี้สิ่งที่รอคือข่าวจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ข่าวที่รอคอยยังไม่มาถึง สิ่งที่มาถึงกลับเป็นอาการใจสั่นหวิว

ในพริบตาเดียวที่ร่องรอยพลังของปรมาจารย์แห่งไฟกำเนิดขึ้น เขาก็หน้าเปลี่ยนสี ลมหายใจถี่กระชั้น ดวงตาเบิกโพลง เขาจ้องเขม็งไปยังจักรวาลเบื้องหน้า ในไม่ช้าเขาก็เห็นว่าในจักรวาลเบื้องหน้ามีทะเลเพลิงกว้างใหญ่ปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ ทะเลเพลิงนี้ใหญ่จนแทบจะไร้พรมแดน ใหญ่ยิ่งกว่าดาราจักรหนึ่งเสียที!

อีกทั้งเมื่อมันปรากฏขึ้น เปลวไฟภายในก็ม้วนตัวก่อตัวขึ้นเป็นศีรษะขนาดใหญ่ ศีรษะนี้ใหญ่โตไร้ที่สิ้นสุด เส้นผมของมันพลิ้วไหวราวกับทางช้างเผือก มันจ้องมองปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของอารยธรรมครามทองคำตรงหน้าอย่างเย็นชา

ระหว่างทั้งสองดูเหมือนฟ้ากับดิน เมื่อเทียบกับศีรษะนั้น ปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของอารยธรรมครามทองคำเทียบไม่ได้แม้แต่มดด้วยซ้ำ

เพียงแค่สายตาก็ทำให้ดวงดาวในร่างปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของอารยธรรมครามทองคำเหี่ยวเฉาไปในทันที มันกลายเป็นเถ้าถ่านราวกับถูกไฟไหม้ ส่วนร่างกายเขาก็สั่นสะท้านจากการจ้องมองนี้ ขณะที่ใบหน้าขาวซีด ตัวสั่นเทิ้ม พายุก็โหมกระหน่ำอยู่ในใจจนต้องคุกเข่าลง

“ผู้น้อยเจว๋หมิง ศิษย์ในนามสำนักสวรรค์ลึกลับแห่งแก่นเต๋า เป็นเกียรติที่ได้พบ…ปรมาจารย์แห่งไฟ!” ดารานิรันดร์ที่แข็งแกร่งที่สุดของอารยธรรมครามทองเอ่ยคำเสียงสั่นเครือ ความรู้สึกถูกบีบเค้นอย่างรุนแรง ทำให้เขารู้ว่าเพียงแค่อีกฝ่ายคิด ตนคงถูกทำลายจนสิ้นซากเป็นแน่

เพราะ…สิ่งที่ปรากฏขึ้นที่นี่คือร่างที่แท้จริงของผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพ ไม่ใช่จิตใต้สำนึก จึงอาจเกิดฉากบดขยี้อะไรพวกนั้นได้จริง

และเขายังตระหนักได้อีกว่าการที่ผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพคนหนึ่งปรากฏร่างจริงนั้น หมายความว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ที่มาที่นี่และต้องยิ่งใหญ่มาก โดยเฉพาะความไร้ปราณีที่เห็นได้ชัด ทำให้เขาตึงเครียดถึงขีดสุด ดังนั้นตอนที่เอ่ยปากเขาจึงไม่ได้พูดถึงอารยธรรมครามทองคำ แต่เป็นอีกตัวตนหนึ่งแทน

สำนักสวรรค์ลึกลับเป็นสำนักแรกของจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย และยังเป็นสำนักของผู้ฝึกตนผู้สง่างามในสุสานดวงดาราคนนั้นด้วย แก่นเต๋าที่พูดถึงก็คือหนึ่งในเขตแดนทั้งเก้าในจักรวาล!

เพียงแต่สำหรับปรมาจารย์แห่งไฟแล้ว แม้แต่ตระกูลไม่รู้สิ้นเขายังกล้ายั่วยุ จึงย่อมไม่สนใจแก่นเต๋าอะไรนั่น เขาเอ่ยอย่างเย็นชาราวกับออกคำสั่งสามประโยค

“หวังเป่าเล่อคือศิษย์เอกของข้า!”

“ข้าให้เวลาหนึ่งเดือน จงส่งของกำนัลไถ่โทษมา!”

“ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”

…………………………………….

หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ สายตาไม่ยอมโอนอ่อนกวาดตามองไปรอบตัว สายตาของเขาทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับเขากำลังมองมดก็ไม่ปาน

ประหนึ่งว่าหลังจากพูดเช่นนี้ เขาก็เลิกปกปิดทุกสิ่งและเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมา เขามองดูสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ที่พยายามยั่วยุเขาด้วยท่าทางเหมือนกับพระราชา

และหลังจากเขาพูดเช่นนั้นแล้ว เต๋าเปลวไฟเหลืองก็ไหลเวียนอยู่ในร่างกายและระเบิดไปทุกทิศทาง ในชั่วพริบตาเรือดาวตกก็แตกกระจายจนกระเด็นออกไปยังโลกภายในทำให้เขามองไปแล้วมันดูเหมือนกับดอกไม้เพลิงที่เบ่งบานในฉับพลัน

ส่องประกายระยิบระยับสะท้านแผ่นดิน!

ขณะเดียวกันคำพูดของเขายังแฝงไปด้วยพลังแห่งดาวพระเคราะห์ชั้นต้น เมื่อเอ่ยออกไปก็ยิ่งได้อิทธิพลจากดาวเคราะห์เต๋า ทำให้เพียงแค่เอ่ยปากเบาๆ ก็ราวกับฟ้าผ่าได้ จักรวาลระเบิดออกไปทุกทิศทางเกิดเป็นระลอกคลื่นกระเพื่อมออกไปทั่วบริเวณ

ไม่ใช่แค่ผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์ของอารยธรรมครามทองคำข้างหน้าและข้างหลังเขาเท่านั้นที่เจอความรุนแรงนี้เป็นพวกแรก ดาวพระเคราะห์ทั้งเก้าคนก็เช่นกัน ส่วนผู้ฝึกตนที่รายล้อมอยู่ห่างออกไป ทันทีที่ได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อก็ร่างกายสั่นสะท้าน

พลังแห่งดาวเคราะห์เต๋าระเบิดในชั่วพริบตา และก่อตัวขึ้นเป็นแรงกดดันทำให้บรรดาดาวพระเคราะห์ทุกคนต่างหวาดกลัว ระดับแรงกดดันของหวังเป่าเล่อนี้แข็งแกร่งกว่าดาวพระเคราะห์คนอื่น และแม้ว่าบางคนจะไม่ถูกกฎควบคุมเนื่องจากไม่ใช่ดาวพระเคราะห์ แต่พลังเทพก็สั่นสะท้านเช่นกัน

อีกทั้งพลังเทพเหล่านี้…แม้ว่าจะมีหลากหลาย แต่ก็มีไม่น้อยที่อยู่ในกฎเต๋าทั้งเก้าของหวังเป่าเล่อ ดังนั้นแรงกดดันที่เกิดจากคำพูดเขาจึงรุนแรงขึ้นไปด้วย

จนถึงขั้นทำให้บางคนไม่เพียงฐานการฝึกฝนสั่นสะท้าน ในหัวยังส่งเสียงร้องระงมอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาพร่าเบลอ หากไม่ใช่เพราะมีดารานิรันดร์กับดาวพระเคราะห์อยู่ด้วย สถานการณ์นี้คงดูเหมือนฉากตลกขำขันฉากหนึ่ง

แม้แต่ปรมาจารย์มาทัณฑ์ในบรรดาดาวพระเคราะห์เก้าคนนั้นก็ยังหน้าเปลี่ยนสีในทันที ในจำนวนนี้มีดาวพระเคราะห์ชั้นต้นห้าคน ดาวพระเคราะห์ชั้นกลางสองคน และดาวพระเคราะห์ชั้นปลายสองคน แต่วินาทีนี้ดาวพระเคราะห์ชั้นต้นทั้งห้าคนต่างตัวสั่นเทิ้ม ถึงแม้จะแข็งแกร่งกว่าดาวพระเคราะห์ใต้บังคับบัญชาพวกนั้นมาก แต่ดาวพระเคราะห์ที่สั่นไหวอยู่ในร่างกายก็ทำให้พวกเขาต้องยอมรับ…

ทีนทีที่พวกเขาประมือกับหวังเป่าเล่อ ภายใต้แรงกดดันของกฎและข้อกำหนดนี้ พวกเขาจึงไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้เลย!

แม้แต่ดาวพระเคราะห์ชั้นกลางก็ดีกว่าชั้นต้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กระทั่งดาวพระเคราะห์ชั้นปลายอย่างปรมาจารย์มหาทัณฑ์กับคนจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คนนั้น ก็ยังสัมผัสสวรรค์สั่นคลอนและรู้สึกกดดันไม่ต่างกัน

พวกเขาเข้าใจแจ่มแจ้งว่าแรงกดดันจากกฎและข้อกำหนดในสถานการณ์นี้แสดงให้เห็นว่าหลงหนานจื่อผู้นี้…แตกต่างจากก่อนหน้านี้ราวฟ้ากับเหว!

ผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์ทั้งสองสีหน้าเรียบเฉยเหมือนดั่งเดิม ทว่าสิ่งที่ทำให้พวกเขาสัมผัสสวรรค์สั่นคลอนไม่ใช่ความผันผวนของกฎดาวพระเคราะห์ แต่เป็น…ชื่อที่อีกฝ่ายพูดออกมา!

“ปรมาจารย์แห่งไฟ?!”

ทั้งสองต่างส่งเสียงพึมพำในใจ สัญชาตญาณความหวาดกลัวที่ไม่อาจปกปิดได้ปรากฏขึ้นในดวงตา แต่ที่มากกว่านั้นคือความไม่เชื่อ เพราะความจริงแล้ว…ชื่อของปรมาจารย์แห่งไฟนี้เป็นตัวแทนของสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกินไป

นั่นคือผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับจักรพิภพ การดำรงอยู่ของสิ่งมีชีวิตที่เหนือกว่าดารานิรันดร์อย่างมาก แม้แต่ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย บุคคลเช่นนี้จะล้ำค่าและหาได้ยากยิ่ง และทุกคนล้วนมีชื่อเสียง หากโกรธขึ้นมาเมื่อไหร่ก็อาจก่อให้เกิดหายนะกับดาราจักรนับไม่ถ้วนได้เลย

อารยธรรมครามทองคำของพวกเขาดูเหมือนจะทรงพลัง ปรมาจารย์ของพวกเขาก็ดูเหมือนจะห่างจากระดับจักรพิภพเพียงครึ่งก้าวและถือว่ายืนอยู่บนจุดสูงสุดของดารานิรันดร์แล้ว แต่พวกเขารู้ดีว่า…ครึ่งก้าวนี้ยากจนแทบไม่อาจจินตนาการได้เลย ใช้คำว่าปลากระโดดข้ามประตูมังกรมาอธิบายก็ถือว่าดีมากแล้ว

อาจกล่าวได้ว่าแม้ไม่มีใครช่วยเหลือ แต่ปรมาจารย์แห่งไฟเพียงคนเดียวก็สามารถทำให้อารยธรรมครามทองคำของพวกเขาหายไปได้ในทันที

ถึงแม้จะบอกว่าอารยธรรมครามทองคำมีสำนักอื่นหนุนหลังอยู่ และในสำนักเหล่านั้นก็มีปรมาจารย์ระดับจักรพิภพอยู่คนหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรพวกเขาคือฝ่ายที่ไปพึ่งพาอาศัย ไม่ใช่สำนักของปรมาจารย์คนนั้นเอง ดังนั้นหากยั่วยุปรมาจารย์แห่งไฟ ไม่ว่าผลสุดท้ายจะเป็นเช่นไร ก็ไม่เกิดผลดีต่ออารยธรรมครามทองคำทั้งสิ้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากข่าวลือที่ว่าปรมาจารย์แห่งไฟคนนั้นไม่ลงรอยกับตระกูลไม่รู้สิ้น ขณะเดียวกันเขาไม่เพียงแข็งแกร่ง แต่ยังให้ท้ายลูกศิษย์มาก ในสถานที่ที่ดาราจักรไฟของเขาตั้งอยู่ หากมีคนนอกเข้าไปใกล้ก็อาจกระตุ้นความไม่พอใจของเขาได้แล้ว นับประสาอะไรกับการรังแกศิษย์ของผู้อื่น

นั่นทำให้ทั้งสองตกตะลึง แต่ยิ่งตกใจก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะตรรกะง่ายๆ ว่าหากหวังเป่าเล่อเป็นศิษย์เอกของปรมาจารย์แห่งไฟจริง แล้วเหตุใดต้องปิดบังการกระทำก่อนหน้านี้ด้วย เหตุใดจึงต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ และเห็นได้ชัดว่ารอบคอบขนาดนำคนที่ตนเป็นห่วงไปอยู่ด้านนอก

นอกจากนี้พวกเขายังไม่พอใจอย่างรุนแรง ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นและไม่อาจล้มเลิกแผนการทั้งหมดเพียงเพราะคำพูดประโยคเดียวของหวังเป่าเล่อและทำให้ความพยายามทั้งหมดสูญเปล่าได้ ถึงอย่างไร…นี่ก็คือเครื่องต่อรองสำคัญที่จะทำให้อารยธรรมครามทองคำก้าวไปอีกขั้น และยังเป็นโอกาสของปรมาจารย์ดารานิรันดร์ชั้นสูงสุดของอารยธรรมครามทองคำคนนั้น ที่จะใช้การแลกฝีมือในครั้งนี้ทะลวงระดับ!

ดังนั้นวินาทีต่อมา ผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์ที่อยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อก็เผยนัยน์ตาเย็นเยียบและหัวเราะเสียงดัง

“ปรมาจารย์แห่งไฟเป็นอาจารย์ของเจ้าหรือ น่าขันเสียจริง ทำไมเจ้าไม่บอกว่าจักรพรรดิสวรรค์เว่ยยางเป็นอาจารย์เจ้าไปเลยล่ะ มันก็แค่เรื่องไร้สาระ!”

หวังเป่าเล่อยืนอยู่บนเรือและมองผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์ที่มีความกังวลในใจแต่กลับแสร้งส่งไอพิฆาตรุนแรงคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา และตอบในใจว่าถึงจักรพรรดิสวรรค์จะไม่ใช่อาจารย์ของข้า แต่เฉินชิงที่สังหารจักรพรรดิสวรรค์คือศิษย์พี่ของข้า

แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญ หวังเป่าเล่อไม่คิดจะเผยไพ่ตายทั้งหมดของตนที่นี่ ดังนั้นแทบจะในทันทีที่ผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์เอ่ยปาก เขาก็พลิกมือขวาและหยิบแผ่นหยกออกมา

ในแผ่นหยกนี้มีพลังสาปแช่งซึ่งปรมาจารย์แห่งไฟมอบให้ และเคยบอกเขาว่าหากเสร็จสิ้นการทดสอบแล้ว แล้วต้องการคำนับอาจารย์ก็ใช้แผ่นหยกนี้บอกได้

เขากำลังจะบีบมัน แต่ในตอนนั้นเอง…ดารานิรันดร์คนนั้นก็หัวเราะเยาะและพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“หลงหนานจื่อ หยุดพูดเรื่องไร้สาระพวกนั้นเสียที หากเจ้ายืนกรานที่จะเล่นตลก ก็อย่าโทษข้าแล้วกัน!” พูดแล้ว มือขวาอันทรงพลังของดารานิรันดร์ก็โบกหนึ่งที ทันใดนั้นดาวพระเคราะห์ทั้งเก้าที่อยู่ด้านหลังก็ส่งสายตาพิฆาตอันแรงกล้า และใช้นิ้วหัวแม่มือไล่กดไปทีละนิ้ว วินาทีต่อมา…ฟองอากาศที่ผนึกเจ้าเยี่ยเหมิงรวมถึงเจ้าลาน้อยและอู๋น้อยก็สว่างวาบ

ด้านในมีพลังปราณมืดปรากฏขึ้นพันธนาการรอบร่างพวกเขา ทุกที่ที่มันแผ่ไปทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงรวมถึงเจ้าลาน้อยและอู๋น้อยที่สลบไสลเริ่มเกิดการสึกกร่อน ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้สติ แต่ก็ยังมีสีหน้าเจ็บปวดทรมาน

ฉากนี้ทำให้ไอพิฆาตของหวังเป่าเล่อระเบิดออกมารุนแรง จนเขายังไม่ทันสังเกตว่าเจ้าอู๋น้อยที่อยู่ในฟองอากาศดูเหมือนจะขยับนิ้วเล็กน้อย แต่พริบตาเดียวก็อดกลั้นไว้…

หวังเป่าเล่อที่ไม่ทันได้สังเกตเห็นฉากนี้หัวเราะอย่างโกรธจัด ขณะระเบิดไอพิฆาตและไม่ลังเลที่จะทุบแผ่นหยกในมือทันที น้ำเสียงเคร่งขรึมส่งขึ้นไปยังจักรวาล

“ศิษย์หวังเป่าเล่อ ขอท่านอาจารย์ช่วยข้า ช่วยคนและปราบดารานิรันดร์ผู้โง่เขลาทั้งสองด้วย!”

แทบจะในพริบตาที่หวังเป่าเล่อพูดออกมา แผ่นหยกก็แตกออก เสียงหัวเราะแก่ชราที่ดูเหมือนจะรออยู่นานแล้ว อีกทั้งยังแฝงความคาดหมายและความตื่นเต้นไว้ก็ดังก้องไปทั่วทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เพียงแค่เสียงหัวเราะก็ทำให้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์สั่นสะเทือน ทำให้ดารานิรันดร์ทั้งหลายมืดมนและทำให้ผลึกที่ปกคลุมด้านนอกแตกออกในทันที

ยิ่งกว่านั้นยังทำให้ผู้ฝึกตนทุกคน ณ ที่แห่งนี้ร้องคร่ำครวญในใจทันที แม้แต่ดารานิรันดร์สองคนนั้นก็ไม่ละเว้น พวกเขาหน้าเปลี่ยนสีอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“จักรพิภพ!!”

“ปรมาจารย์แห่งไฟ!!”

ผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์ทั้งสองถอยร่นไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับระเบิดเสียงกรีดร้องออกมา แม้ว่าการหลบหนีต่อหน้าผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพจะเป็นเรื่องน่าขัน ทว่าในเวลานี้สัญชาตญาณก็สั่งให้พวกเขาควบหนีอย่างบ้าคลั่ง

แต่ในพริบตาที่พวกเขาถอยร่นไป ด้านหน้าเรือที่หวังเป่าเล่ออยู่ก็ปรากฏกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ขึ้นอย่างเงียบเชียบ ภายในกระแสน้ำวนนั้น จู่ๆ ก็เกิดทะเลเพลิงปะทุขึ้นและพุ่งออกมาราวกับภูเขาไฟ มันไม่ได้แพร่กระจายออก แต่ก่อตัวขึ้นเป็นแส้เปลวไฟสองเส้นและพุ่งเข้าใส่ดารานิรันดร์ทั้งสองอยู่ด้านหน้าและด้านหลังหวังเป่าเล่อ!

ทันใดนั้น…แส้เปลวไฟทั้งสองที่มาพร้อมแรงกดดันแห่งจักรพิภพ และพลังอันไร้ขอบเขตก็ตกลงบนร่างของดารานิรันดร์ทั้งสอง มันฟาดผ่าน…ชั้นกายเนื้อของพวกเขาทั้งสอง และ…แตกออก!!

เสียงนั้นดั่งสนั่นราวกับฟ้าผ่า และในพริบตาที่เอ่ยออกไปก็ดูเหมือนจะส่งผลต่อกฎจักรวาล ราวกับมันกำลังถูกบังคับใช้อย่างเคร่งครัด ทำให้จักรวาลทั่วทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เกิดการผันผวนรุนแรง จนก่อให้เกิดสายฟ้านับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นจากชั้นบรรยากาศบางๆ

อีกทั้งยังส่งผลต่อดารานิรันดร์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ทำให้ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์สว่างวาบ น่าเสียดายที่เมื่อมันสว่างวาบก็จะเห็นอักษรโบราณนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่ราวกับถูกสะกดไว้

ทำให้ไม่สามารถเชื่อมต่อกับหวังเป่าเล่อได้ และทำให้หวังเป่าเล่อไม่สามารถอาศัยดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์หายตัวกลับไปได้ รวมทั้งเศษผลึกนับไม่ถ้วนที่ห่อหุ้มด้านนอกอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อีก จนอาจกล่าวได้ว่าอารยธรรมครามทองคำได้สร้างสถานที่แห่งนี้ให้เป็นป้อมปราการที่ไม่อาจทะลุผ่านได้ คนทั่วไปไม่มีทางเหยียบเข้ามาได้และไม่สามารถออกไปได้!

เว้นแต่จะเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ดาราจักรที่สามารถเพิกเฉยต่อการจัดการนี้ได้ อย่างไรก็ตามอารยธรรมครามทองคำนั้นรู้อย่างแน่ชัดว่าสำนักที่ปรารถนาดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อพวกนั้น ไม่อาจจัดการเรื่องนี้ได้สะดวกราบรื่นเท่าอารยธรรมครามทองคำ การที่สามารถเรียกให้หวังเป่าเล่อมาที่นี่ได้ในทันที ก็อาจกล่าวได้ว่าอารยธรรมครามทองคำได้เปรียบในเรื่องนี้

หากสำนักอื่นคิดจะลงมือ พวกเขาต้องตามหาหวังเป่าเล่อให้พบเสียก่อน แต่ผลึกที่ด้านนอกอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…แทนที่จะเรียกว่าป้องกันไม่ให้หวังเป่าเล่อหลบหนี ไม่สู้เรียกว่า…ปิดบังร่องรอยของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไว้จะดีกว่า!

อย่างหลังคือบทบาทที่ใหญ่ที่สุด ถึงแม้การปิดบังนี้จะไม่สามารถทำได้นานนัก แต่เพียงพอที่จะให้พวกเขาได้ดาวเคราะห์เต๋ามาก็พอแล้ว หลังจากได้มันมาแล้วอาจตกเป็นที่ต้องการของมหาอำนาจอื่นๆ แต่อารยธรรมครามทองคำก็มีวิธีจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง ถึงอย่างไรก็ถือเป็นการสละให้ อารยธรรมครามทองคำย่อมได้ผลประโยชน์มากมาย

ดังนั้นในตอนนี้ดารานิรันดร์ของอารยธรรมครามทองคำผู้นี้จึงคำรามเสียงต่ำ ขณะที่สายตาฉายแววละโมบอย่างไม่ปิดบัง ครั้งนี้อารยธรรมครามทองคำส่งดารานิรันดร์มาสองคน ดาวพระเคราะห์อีกเก้าคน อีกทั้งยังจัดวางกับดักไว้อีก เห็นได้ชัดว่าตั้งใจแน่วแน่แล้วที่จะ…ช่วงชิงดาวเคราะห์เต๋า!

อันที่จริงหลังจากได้เห็นชื่อหวังเป่าเล่อรวมถึงเครื่องหมายอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ด้านหลังในรายชื่อจากสุสานดวงดารา พวกเขาก็เข้าใจในทันทีว่าอีกฝ่ายก็คือหลงหนานจื่อ

ดังนั้นจึงเตรียมการในชั่วพริบตา ไม่ใช่แค่ตามหาเจ้าเยี่ยเหมิงและจับตัวมาเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีแผนอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงสิ่งที่พวกเขาจะทำหากหวังเป่าเล่อไม่มาตามกำหนดก็เตรียมการไว้พร้อมเสร็จ แม้แต่เรื่องสหพันธรัฐของโลกก็ถูกปรมาจารย์ดารานิรันดร์ของอารยธรรมครามทองคำคนนั้นคำนวณไว้แล้ว

อาจกล่าวได้ว่า…การช่วงชิงในครั้งนี้ พวกเขาได้เตรียมการไว้พร้อมมากและมีแผนสำรองอีกมาก แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ทราบรายละเอียด แต่ดูจากกองทัพผู้ฝึกตนของอารยธรรมครามทองคำในตอนนี้ก็ย่อมมองออกไม่มากก็น้อย แต่สีหน้าของเขากลับดูไม่หวั่นเกรง แม้แต่ความมืดมนก็ยังสลายไป แทนที่ด้วยความสงบราวกับตัดสินใจบางอย่างได้แล้ว

หลังจากได้ยินเสียงคำรามต่ำของผู้ฝึกตนดารานิรันดร์แห่งอารยธรรมครามทองคำคนนั้น หวังเป่าเล่อก็เงยหน้ามองด้วยท่าทีและแววตาสงบนิ่ง

“ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าไถ่บาป ปล่อยคนของข้า ออกไปจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และกล่าวขอโทษซะ เรื่องนี้…จะถือว่าแล้วกันไป” หวังเป่าเล่อเอ่ยเสียงเรียบขณะจ้องตาผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์คนนั้น

ทันทีที่เอ่ยออกไปเช่นนั้น ผู้ฝึกตนดาวพระเคราะห์อย่างปรมาจารย์เต๋าใหม่และปรมาจารย์มหาทัณฑ์ต่างก็ประหลาดใจ เหล่าดาวพระเคราะห์จากอารยธรรมครามทองคำบางส่วนยังหัวเราะเย้ยหยัน

ดารานิรันดร์ทั้งสองก็เช่นกัน คนที่อยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อส่งสายตาดูถูก ส่วนคนที่สบตากับเขาอยู่นั้นถึงกับหัวเราะยกใหญ่ ไอพิฆาตในดวงตายิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก

“หลอมรวมกับดาวเคราะห์เต๋าแล้วทำให้เจ้ากลายเป็นคนโง่ไปแล้วหรือ หลงหนานจื่อ ข้าไม่สนว่าเจ้าจะชื่อหวังเป่าเล่อหรืออะไรก็ตาม และข้าก็ไม่สนว่าเจ้าจะมาจากสหพันธรัฐของโลกหรือเป็นคนของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จริงๆ ทั้งหมดนี่…ไร้ความหมายทั้งสิ้น!”

“ข้าก็จะให้โอกาสเจ้าได้ไถ่บาปเช่นกัน ส่งดาวเคราะห์เต๋ามาแต่โดยดี มิเช่นนั้น…ไม่ใช่แค่เพื่อนของเจ้าจะต้องตาย ทั้งอารยธรรมดวงเนตรนี้ก็จะถูกทำลายไปด้วย ส่วนสหพันธรัฐของโลกอะไรนั่น…ก็จะถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นต่อหน้าต่อตาเจ้าด้วย!” ขณะที่พูดผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์คนนี้ก็ยกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้นก็ปรากฏภาพภาพหนึ่งขึ้นมาจากความว่างเปล่า นั่นคือภาพระบบสุริยะที่หวังเป่าเล่อคุ้นเคย!

ในภาพนั้นนอกจากระบบสุริยะยังเห็นผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์คนหนึ่งนั่งทำสมาธิอยู่ในจักรวาลนอกระบบสุริยะ ฐานการฝึกฝนของเขากว้างใหญ่มาก จนราวกับว่าทุกการเคลื่อนไหวสามารถกระตุ้นกฎแห่งจักรวาลได้ อีกทั้งในมือเขายังมีแสงกลมลูกหนึ่งที่แผ่พลังผันผวนน่าสะพรึงกลัวออกมา มันกำลังเปล่งแสงระยิบระยับ

พลังที่อยู่ในลูกแสงทำให้หวังเป่าเล่อนิ่งงัน เมื่อเหลือบมองภาพมายานั้นเพียงแวบเดียวก็สัมผัสได้ถึงพลังงานอันน่าสยดสยองที่สามารถทำลายอารยธรรมหนึ่งได้ในทันที

จากการคาดเดาของผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์คนนั้น ภาพนี้ต้องทำให้หวังเป่าเล่อหน้าเปลี่ยนสีไม่มากก็น้อย แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อหวังเป่าเล่อเหลือบมอง แล้วแววตาของเขาเพียงฉายความทรงจำบางอย่างขึ้นมาเท่านั้น แต่สีหน้ากลับไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก สำหรับการแสดงออกถึงการถูกคุกคามและหงุดหงิดนั้นไม่มีเลยแม้แต่น้อย

นั่นทำให้เขาแค่นเสียงในใจก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง

“นอกจากนี้อารยธรรมครามทองคำของข้าได้จัดเตรียมกองทัพไว้แล้ว เจ้าจะถูกสืบย้อนไปถึงพลังสารัตถะของเจ้า ในจักรวาลผืนนี้ทุกคนที่มีสายเลือดเดียวกับเจ้าจะถูกสาปและตายเพราะเจ้า!”

“เช่นนั้นเทียบกับดาวเคราะห์เต๋าที่เจ้าเพิ่งได้รับมา บ้าน ครอบครัว เพื่อนและทุกสิ่งข้างกายเจ้า รวมถึงชีวิตของเจ้าด้วยแล้ว สิ่งเหล่านี้สำคัญหรือดาวเคราะห์เต๋าสำคัญ ตอบข้ามาซิ!”ไอรีนโนเวล

หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่บนเรือดาวตกมองไปยังจุดที่เจ้าเยี่ยเหมิงถูกผนึกไว้ และเมื่อฟังคำพูดของผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์ก็เงียบไป

ความเงียบของเขาทำให้ดารานิรันดร์แห่งอารยธรรมครามทองคำทั้งสองถอนหายใจด้วยความโล่งอก พวกเขาดูเหมือนจะแข็งแกร่งเด็ดขาด แต่ในใจกลับมีความกังวล เนื่องจากดาวเคราะห์เต๋าต่างจากดวงดาวพิเศษอื่นๆ ดวงดาวพิเศษดวงอื่นต่อให้หลอมรวมเข้ากับผู้ฝึกตนแล้วก็ยังมีหลายวิธีที่จะดึงมันออกมาและเปลี่ยนเจ้าของ

แต่ดาวเคราะห์เต๋านั้นไม่เหมือนกัน เพราะมันเกี่ยวข้องกับการเป็นเจ้าของกฎเพียงหนึ่งเดียวข้างในดวงดาว ในระดับหนึ่งดาวพิเศษไม่ได้ถูกประทับตราโดยกฎจักรวาล แต่ไม่ใช่กับดาวเคราะห์เต๋า วินาทีที่หลอมรวมเข้ากับหวังเป่าเล่อก็เหมือนกับการเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลแล้ว

เช่นนี้แล้วต่อให้บังคับดึงมันออกมาก็ไม่มีผลใดๆ เพียงแค่หวังเป่าเล่อคิดมันก็กลับเข้าไปที่เดิมได้แล้ว ขณะเดียวกันหากสังหารหวังเป่าเล่อก็ได้ผลเช่นเดิม ดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้จะแตกสลายไปเองและกลับคืนสู่สุสานดวงดาราโดยไม่มีทางห้ามได้

ดังนั้นวิธีเดียวที่จะได้ดาวเคราะห์เต๋ามาก็คือเจ้าของของมันต้องเต็มใจมอบให้เองเหมือนกับการมอบกรรมสิทธิ์ดาวเคราะห์เต๋าให้แก่ผู้อื่น เช่นนี้จึงจะถือว่าได้รับมาอย่างแท้จริง

ดังนั้นขณะที่อารยธรรมครามทองคำวางกับดักหวังเป่าเล่อ จุดสำคัญก็คือการจับเป็น ยึดจุดอ่อน และใช้ทุกวิถีทางเพื่อบีบบังคับหวังเป่าเล่อให้ส่งมันมาอย่างเต็มใจ!

นอกจากนี้ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น นั่นก็คือ…หลังจากหวังเป่าเล่อกลับมา เรือดาวตกก็ไม่ได้หายไป และตราบใดที่เขายังยืนอยู่บนเรือดาวตก อารยธรรมครามทองคำก็ไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม

เพราะพวกเขาไม่มีทางแน่ใจว่าเรือดาวตกจะเพิกเฉยต่อการจัดการของพวกเขา และพาหวังเป่าเล่อออกไปหรือไม่ หากอีกฝ่ายหนีไปได้จริงๆ เมื่อนั้นพวกเขาก็เหมือนเรือล่มเมื่อจอด[1] ถึงแม้อีกฝ่ายจะมาได้ก็ได้แสดงถึงปัญหาแล้ว แต่นี่เป็นเรื่องใหญ่เกินไป พวกเขาจึงไม่กล้ามั่นใจเต็มร้อย

นั่นยิ่งทำให้พวกเขารอบคอบยิ่งขึ้น และได้ข่มขู่อย่างรุนแรงและตรงไปตรงมาเพื่อทำให้หวังเป่าเล่อหวาดกลัวและจำกัดความคิดไม่ให้เขารีบหนีไป

ถึงแม้หวังเป่าเล่อจะไม่ได้รู้รายละเอียดทั้งหมด แต่เขาเฝ้าดูปฏิกิริยาของอีกฝ่ายหลังจากที่เขามาถึงด้วยสายตาเย็นชา และเมื่อเชื่อมโยงกับความรู้เรื่องการถ่ายโอนดาวเคราะห์เต๋าก็เริ่มคาดเดาได้เกือบทั้งหมด ต้องบอกว่าจุดที่อีกฝ่ายเอามาเล่นงานล้วนสำคัญต่อหวังเป่าเล่อทั้งสิ้น หากเขาไม่ได้มีวิธีรับมืออยู่แล้วก็คงร้อนรนสุดๆ

ทว่าในเวลานี้เขาแค่ถอนหายใจเล็กน้อย

“ตอนแรกคิดว่าจะใช้ตัวตนธรรมดามาเผชิญหน้ากับพวกเจ้า…”

หวังเป่าเล่อบ่นพึมพำ สีหน้ายังคงสงบนิ่ง สายตาก็เช่นกัน เขากำลังมองดูดารานิรันดร์ตรงหน้า เมื่อคำพูดแพร่กระจายออกไป ดวงตาของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนจากสงบนิ่ง เป็นแววตาจนปัญญาแต่แฝงไปด้วยความเย่อหยิ่ง

“ตอนแรกข้าคิดว่าจะใช้ท่าทางปกติทั่วไปมาทดสอบฐานการฝึกฝนนี้แท้ๆ…”

เหตุที่บอกว่าจนปัญญา ดูเหมือนเป็นเพราะไม่อยากทำสิ่งที่จะทำต่อจากนี้ ส่วนที่ว่าเย่อหยิ่ง ก็เป็นเพราะคำพูดที่จะเอ่ยต่อจากนี้ไป ถึงแม้จะไม่ได้แสดงถึงสถานะอันสูงสุดหาใดเปรียบ แต่ก็เป็นตัวตนที่สูงส่ง เมื่อมันลอยเข้าหูผู้ฝึกตนแห่งอารยธรรมครามทองคำโดยรอบ โดยเฉพาะดารานิรันดร์สองคนนั้น มันก็กลายเป็นดั่งฟ้าผ่า!

“ช่างเถอะๆ…ตัวตนธรรมดา ท่าทางปกติทั่วไป แต่สิ่งที่ได้กลับมากลับเป็นการข่มขู่และความอัปยศ ตอนนี้ข้าจะเปิดเผยแล้ว ข้าไม่เสแสร้งแล้ว ตัวตนที่แท้จริงของข้าคือศิษย์เอกของปรมาจารย์แห่งไฟ!”

“อาจารย์ของข้านามว่าปรมาจารย์แห่งไฟ พวกเจ้าเคยได้ยินไหม!” ความลำพองในสายตาหวังเป่าเล่อระเบิดออกมาอย่างรุนแรง เสียงดังราวกับฟ้าผ่าดังไปทั่วทิศ!

………………………………………………….

[1] เรือล่มเมื่อจอด หมายถึง งานใหญ่ล้มเหลวลงในขั้นตอนสุดท้าย

เมื่อสัมผัสได้ถึงเสียงที่เปล่งออกมาจากสัมผัสสวรรค์ในพลังงานเทพที่หลงเหลืออยู่บนดาวดวงนี้ หวังเป่าเล่อก็กำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว สีหน้ามืดมนอย่างยิ่ง แม้ว่าเขาจะยืนอยู่บนเรือโดยไม่พูดอะไรสักคำ แต่ร่องรอยพลังงานเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างของเขา ดูเหมือนจะส่งอิทธิพลต่อจักรวาลไปทุกทิศทาง จนทำให้จักรวาลด้านนอกเรือเริ่มส่งสัญญาณว่ากำลังจะกลายเป็นน้ำแข็ง

ถึงแม้จะไม่กระทบต่อความว่างเปล่า ทว่าในพริบตา อารมณ์โกรธของหวังเป่าเล่อก็ยังทำให้รอบตัวเกิดความผันผวน โดยเฉพาะดาวเคราะห์เต๋าในร่างกายที่หมุนตัวอย่างรวดเร็วหลังจากสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของหวังเป่าเล่อ

ทำให้รอบตัวหวังเป่าเล่อค่อยๆ ปรากฏเงาดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าขึ้น กฎภายในก็เริ่มเปลี่ยนไปจนก่อตัวเป็นสีทั้งเก้า ขณะที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้น แรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวก็แผ่ซ่านออกมาจากร่างของหวังเป่าเล่อ

บริเวณโดยรอบค่อยๆ เกิดเสียงคำรามดังก้องไปทั่ว และยังมีกระแสน้ำวนเคลื่อนมาบรรจบกันจากทุกทิศทาง อานุภาพขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นกระแสน้ำวนรอบเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ราวกับมันได้กลายเป็นปากขนาดใหญ่ และราวกับมันสามารถกลืนกินดวงดาวตรงหน้าเข้าไปได้ หวังเป่าเล่อก็หลับตาลง

“เรื่องนี้เป็นความผิดของข้า…” หวังเป่าเล่อบ่นพึมพำ เขารู้สึกว่าตัวเองระแวงเกินไปและไม่ควรทิ้งเจ้าเยี่ยเหมิงรวมถึงเจ้าลาน้อยกับอู๋น้อยไว้ที่นี่เลย

มิเช่นนั้นคงไม่เกิดเรื่องเช่นนี้และยังทำให้พวกเขาตกอยู่ในอันตราย

“อารยธรรมครามทองคำ…” หวังเป่าเล่อลืมตาพรึ่บ สายตาเผยความเด็ดขาดมุ่งมั่น มาถึงตอนนี้เขาไม่สามารถหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวได้ นั่นไม่ใช่นิสัยของเขาและไม่สอดคล้องกับไอสังหารที่ปะทุขึ้นมาไม่หยุดในขณะนี้เลย

นับตั้งแต่มาถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เส้นทางการฝึกตนของเขาก็ดูจะราบรื่น แต่ในความเป็นจริงกลับเกิดการพลิกผันมากมาย วันนี้เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นระดับดาวพระเคราะห์แล้ว หวังเป่าเล่อจึงไม่คิดจะระงับเจตนาฆ่าของตนอีกต่อไป ดวงตาของเขาเย็นยะเยือก หลังจากเงียบไปกว่าครึ่งก้านธูป หวังเป่าเล่อก็หันไปโค้งคำนับกระดาษรูปมนุษย์

“ผู้อาวุโสโปรดส่งข้ากลับไป…ท่าเรืออารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!”

กระดาษรูปมนุษย์เหลือบมองหวังเป่าเล่ออย่างล้ำลึก เขาไม่ได้พายเรือทันที แต่ปากของเขากลับเอ่ยคำพูดออกมาเป็นครั้งแรก

“เพราะข้อตกลงและกฎ ข้าจึงไม่สามารถออกจากเรือได้ และไม่สามารถก่อให้เกิดความขัดแย้ง แต่ตราบใดที่เจ้ายืนอยู่บนเรือ ข้าสามารถดูแลเจ้าให้ปลอดภัยและจะส่งเจ้าไปทุกที่ที่ต้องการ!”

หวังเป่าเล่อซาบซึ้งเมื่อได้ยินคำพูดนั้น และโค้งคำนับให้กระดาษรูปมนุษย์อีกครั้ง

“ผู้อาวุโสไม่ต้องทำสิ่งใด ผู้เยาว์มีวิธีจัดการ!”

กระดาษรูปมนุษย์บนเรือดาวตกพยักหน้าและไม่พูดอะไรอีก แต่ขยับไม้พายในมือหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นเรือลำนี้ก็หายเข้าไปในจักรวาลอย่างเงียบเชียบ และมุ่งตรงไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์

ระหว่างการเดินทาง จักรวาลรอบตัวในสายตาหวังเป่าเล่อดูราวกับแม่น้ำไหลเชี่ยว มองแวบแรกดูพร่ามัว แต่หากสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่าเพราะเรือแล่นเร็วเกินจินตนาการ จึงทำให้ดูเหมือนทุกสิ่งรอบตัวกำลังเคลื่อนไหวราวกับสายน้ำ

เมื่อมองดูทุกสิ่ง หวังเป่าเล่อก็จิตใจสงบมาก มีเพียงความเยือกเย็นและความอาฆาตในใจเท่านั้นที่เข้มข้นขึ้นตามระยะทางที่เรือแล่นไป เขาคิดว่าหลังจากมาถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว แม้จะทำตัวเด่นไปบางเป็นครั้งคราว แต่โดยรวมก็ยังถือว่าค่อนข้างต่ำ

“ช่างเถอะ จากที่ข้าวิเคราะห์…เป็นข้าที่กังวลมากเกินไป เห็นได้ชัดว่ายังมีหนทางอื่นอีก ทำไมต้องกังวลด้วยล่ะ” หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองไปยังจุดหนึ่งในจักรวาลอย่างเงียบเชียบ

ขณะที่เหม่อมองไป ความเร็วของเรือก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ใช้เวลาไม่นานก็ถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ นั่นก็คือแค่ครึ่งชั่วยาม…เมื่อเรือดาวตกเริ่มแล่นช้าลง อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า!

หวังเป่าเล่อไม่ได้มองไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ในทันที สายตาเขายังคงจ้องมองไปในจักรวาล นอกจากตัวเองแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังคิดอะไร

เพราะนั่นคือสถานที่ที่สำนักแห่งความมืดตั้งอยู่ในความทรงจำนิมิตมืดของเขา และเป็นสถานที่ที่อาจารย์ของเขาอยู่!

จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ดูเหมือนจะตัดสินใจได้แล้ว เขาจึงคุกเข่าคำนับไปยังทิศนั้นเงียบๆ

แล้วเขาก็ลุกขึ้นด้วยแววตาอาฆาต พอกระดาษรูปมนุษย์บนเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สัมผัสได้ถึงอารมณ์ของหวังเป่าเล่อ ไม้พายในมือก็ขยับ เรือก็ส่งเสียงคำรามก่อนจะพุ่งผ่านสิ่งกีดขวางนอกอารยธรรมไปยังจุดที่หวังเป่าเล่อขึ้นเรือ!

ทันทีที่ปรากฏตัวก็พลันบังเกิดสภาพอากาศอันน่าตกใจขึ้นภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ วิถีผนึกกับดักก็แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งอารยธรรม ขณะเดียวกันที่ด้านนอกอารยธรรมก็ปรากฏเศษชิ้นส่วนผลึกขนาดใหญ่ที่สลักด้วยอักษรโบราณขึ้นมาจากความว่างเปล่า

ผลึกแต่ละชิ้นใหญ่เทียบเท่ากับดาวดวงหนึ่ง นอกจากเศษผลึกขนาดใหญ่ ก็ยังมีผลึกจำนวนมากจนนับไม่ไหวปรากฏขึ้น แล้วเลื่อนเข้าหากันในทันที ทำให้หากมองจากจุดที่สูงที่สุดซึ่งสามารถมองเห็นอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทั้งหมดได้ ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเศษผลึกที่รวมเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วเหล่านี้มีลักษณะเหมือนกำแพงที่ล้อมรอบทั้งอารยธรรมไว้ข้างใน

จนอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…ดูเหมือนจะกลายเป็นลูกบอลผลึกใสขนาดมหึมาเท่ากับดาราจักร!

ฉับพลันที่ลูกบอลผลึกใสก่อตัวขึ้น ในพื้นที่ท้องถิ่นของอารยธรรมครามทองคำที่อยู่ห่างไกลจากจุดนี้ ในอารยธรรมที่ทหารใต้บังคับบัญชาทั้งหมด ดารานิรันดร์ประดิษฐ์ทุกคนต่างก็ตื่นตัว ภายใต้การควบคุมของปรมาจารย์แห่งอารยธรรมครามทองคำ วิธีพิเศษได้ถูกใช้เพื่อรวบรวมพลังแห่งดารานิรันดร์และส่งไปยังผลึกยักษ์ที่ห่อหุ้มอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อยู่!

ทำให้ผลึกเปล่งแสงแสบตาขึ้นมาทันที ราวกับแปลงร่างเป็นดารานิรันดร์ขนาดมหึมา ที่แยกร่องรอยพลังงานทั้งหมดภายใน และแยกสัมผัสเชื่อมต่อทั้งหมดภายนอก

แน่นอนว่าการจัดการดังกล่าวก็เพื่อดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อ อีกทั้งอารยธรรมครามทองคำยังค่อนข้างมั่นใจว่าการจัดการนี้ไม่เพียงแต่ทำให้หวังเป่าเล่อหนีไม่พ้น แต่ต่อให้มีคนคิดจะหาตำแหน่งของหวังเป่าเล่อก็ทำไม่ได้ภายในระยะเวลาสั้นๆ

ทำให้พวกเขามีเวลาและโอกาสมากขึ้น!

ดังนั้นจึงไม่เพียงแต่ผนึกกับดักด้านนอก แต่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็เช่นกัน แทบจะในทันทีที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัว ขณะที่ด้านนอกถูกผลึกใสห่อหุ้มก็มีระลอกคลื่นแผ่ซ่านไปรอบเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นเงาร่างของผู้ฝึกตนก็เผยตัวออกมาทีละคน!

หากดูจากที่เห็น ผู้ฝึกตน ณ ที่แห่งนี้มีจำนวนมากจนน่าตกใจ ด้านนอกมีทหารเกือบหนึ่งล้านคนล้อมรอบเป็นชั้นๆ แผ่ออกไปอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ด้านบนและด้านล่างก็เช่นกัน

ขณะเดียวกันตรงหน้าเรือ ก็มีร่องรอยพลังงานระดับดาวพระเคราะห์ปะทุออกมาอย่างต่อเนื่อง นอกจากปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ปรมาจารย์เต๋าใหม่รวมถึงสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งอารยธรรมครามทองคำ ดาวพระเคราะห์ทั้งสามคนนี้แล้ว รอบตัวพวกเขายังมีผู้ฝึกตนชายหญิงอีกหกคนที่บนร่างแผ่พลังผันผวนของดาวพระเคราะห์ออกมา

รวมทั้งหมดเก้าดาวพระเคราะห์ ที่ขณะนี้กำลังจ้องมองหวังเป่าเล่อบนเรือที่เพิ่งปรากฏขึ้นอย่างเย็นชา!

นอกจากนี้ด้านหน้าพวกเขาทั้งเก้ายังมีชายวัยกลางคนคนหนึ่ง คนคนนี้มีพลังลมปราณน่าทึ่งราวกับว่าเขาเพียงคนเดียวก็สามารถสยบทุกสิ่งและก่อระลอกคลื่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุดได้ คนคนนี้คือปรมาจารย์ดารานิรันดร์แห่งอารยธรรมครามทองคำและเป็นผู้ที่ขัดขวางไม่ให้หวังเป่าเล่อขึ้นเรือ!

อีกทั้งเขายังไม่ใช่ดารานิรันดร์เพียงคนเดียวในที่แห่งนี้ ที่ด้านหลังหวังเป่าเล่อ จู่ๆ ก็มีร่างหนึ่งเดินออกมาจากความว่างเปล่า คนคนนี้สวมชุดสีดำ เป็นคนแก่ชราคนหนึ่ง ยามที่เขาเดินออกมา พลังลุกโชนก็ปะทุขึ้นโดยรอบ พลังแห่งดารานิรันดร์เปิดเผยออกมาอย่างเต็มที่

“ดาวพระเคราะห์เก้าคน ดารานิรันดร์สองคน!” เมื่อหวังเป่าเล่อหรี่ตา เขาก็เห็นว่าในที่ไกลๆ มีฟองอากาศขนาดใหญ่ลอยอยู่นอกวงของศัตรู อักษรโบราณบนฟองอากาศเรืองแสง แต่ตัวฟองกลับโปร่งแสง ทำให้หวังเป่าเล่อมองเห็นเจ้าเยี่ยเหมิงรวมถึงเจ้าลาน้อยและอู๋น้อยที่สลบไสลอยู่ด้านในฟองอากาศได้ทันที

หวังเป่าเล่อมองไปยังฟองอากาศโดยไม่สนว่าจะถูกสังเกตเห็น จู่ๆ ที่ด้านหลังเขาก็มีดาวดวงหนึ่งปรากฏขึ้น ดาวดวงนี้มีสีฟ้าซึ่งก็คือดาวเคราะห์บรรพกาลดวงที่ห้า เต๋าเมฆาฟ้า!

เมฆาเป็นสิ่งไม่เที่ยงและเปลี่ยนแปลงไม่รู้จบ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในวิถีลวงตา เต๋าเมฆาทำให้หวังเป่าเล่อมองทะลุฟองอากาศนั่นเข้าไปเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้ในทันที มันไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นของจริง เจ้าเยี่ยเหมิงรวมถึงเจ้าลาน้อยและอู๋น้อยอยู่ในนั้น ถึงแม้จะอ่อนกำลัง แต่ก็ยังไม่ตาย

นั่นทำให้หวังเป่าเล่อโล่งใจในที่สุด อันที่จริงเรื่องนี้ก็อยู่ในการคาดเดาของเขาอยู่แล้ว ถึงอย่างไรการลงมือของอารยธรรมครามทองคำก็เพื่อให้ตัวเขามาที่นี่ ดังนั้นในฐานะเครื่องต่อรอง พวกเจ้าเยี่ยเหมิงจึงย่อมไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตในเวลาสั้นๆ

เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นว่าเจ้าเยี่ยเหมิงและคนอื่นๆ ไม่เป็นอะไร เขาก็โล่งใจ ดวงตาของผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์วัยกลางคนตรงหน้าฉายแสงเย็บเยียบ ก่อนจะเค้นเสียงต่ำ

“หลงหนานจื่อ!”

…………………………………………………………..

กระดาษรูปมนุษย์ผู้เป็นเจ้าของร้านเหล่านี้ ต่างคุ้นเคยกับหวังเป่าเล่อดี หลังจากเห็นหวังเป่าเล่อ พวกเขาก็มีท่าทีให้ความเคารพและสุภาพมาก แม้แต่กระดาษรูปมนุษย์ชราที่เคยถกเถียงกับเขาในตอนนั้นก็ยังกระตือรือร้นขึ้นมาทันทีที่เห็นหวังเป่าเล่อ

หลังจากซื้อของในร้านเหล่านี้แล้ว หวังเป่าเล่อก็ไปที่ทะเลกระดาษสีดำอีกครั้ง เขาไม่ได้ลงไปในทะเล แต่ยืนมองทะเลสีเทาที่ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขาวอยู่บนฝั่ง โค้งคำนับหนึ่งครั้งจึงค่อยจากไป!

เพราะเขารู้ว่ายามที่ตนตื่นขึ้นมานั้นก็สายเกินไปแล้ว และเขาไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้นานเกินไป ยิ่งเขาจากไปช้าเท่าไหร่อันตรายก็ยิ่งมากขึ้น เวลาที่เขาใช้ตั้งแต่ตื่นขึ้นจนจากไปจึงไม่ถึงหนึ่งชั่วยามด้วยซ้ำ

เรียกได้ว่าเร็วมาก

การออกจากสุสานดวงดาราของเขาได้รับการดูแลดีเป็นพิเศษ เพราะเรือที่จักรวรรดิดาวตกจัดเตรียมไว้ให้หวังเป่าเล่อก็คือเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลำที่พาเขามา และคนพายเรือก็คือกระดาษรูปมนุษย์ตนเดิมตนนั้น

สายตาที่กระดาษรูปมนุษย์มองหวังเป่าเล่อมีความอ่อนโยนมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังมีอารมณ์หลากหลายราวกับกำลังมองผู้เยาว์ หลังจากหวังเป่าเล่อขึ้นเรือ ไม้พายก็แกว่งไกว หวังเป่าเล่อยืนอยู่บนเรือและโค้งคำนับลงท่ามกลางสายตาอำลาของผู้ฝึกตนทั่วทั้งจักรวรรดิดาวตก

“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส พวกเรา…คงได้พบกันอีก!”ไอรีนโนเวล

บนพื้นดินในราชวัง จักรพรรดิดาวตกพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย ขณะเดียวกันบนผืนทะเลกระดาษสีดำ บรรพบุรุษแห่งจักวรรดิดาวตกผู้นั้นก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมามองเรือของหวังเป่าเล่อที่อยู่บนผืนน้ำ พอเห็นเรือลำนั้นไกลออกไปจนเกือบลับตา จู่ๆ เขาก็เอ่ยขึ้น

“เจ้าหนุ่ม จงระวังขวดใบนั้นของเจ้าให้มาก ของเล่นชิ้นนั้นประกอบด้วยความลุ่มหลงอันแรงกล้าอยู่สองประการ ซึ่งสามารถเปลี่ยนความคิดของผู้ใช้ได้อย่างไร้ร่องรอย ทำให้เกิดความโลภในสิ่งของ และยังทำให้กระหายต่อการมีชีวิตยืนยาว และจากที่ข้าสัมผัสได้เจ้าของความลุ่มหลงนั้นไม่อ่อนแอเลย…เป็นระดับเดียวกับผู้อยู่เหนือสรรพสิ่งจากต่างพิภพที่เจ้าเรียกออกมาจากบทสวดแห่งเต๋าคนนั้น!”

ในขณะที่เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ใต้เท้าหวังเป่าเล่อแล่นออกจากสุสานดวงดารา คำพูดของกระดาษรูปมนุษย์บนทะเลกระดาษสีดำก็ผุดขึ้นในหัว คำพูดนั้นทำให้หวังเป่าเล่อเบิกตาโพลง ร่างกายสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ เขาหันไปมองนอกเรือโดยไม่รู้ตัว สิ่งที่เขาเห็นย่อมไม่ใช่พื้นดินของสุสานดวงดาราอีกต่อไป แต่เป็นจักรวาลสีขาวราวกับกระดาษ

ก่อนที่เขาจะมองเห็นได้ชัดเจน จักรวาลกระดาษก็พับครึ่งอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับตอนที่มาถึง หลังจากจักรวาลถูกพับครึ่งอีกนับครั้งไม่ถ้วน เรือก็ถูกมันห่อหุ้มไว้ข้างในจนกระทั่งทุกสิ่งหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลำนี้ปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบในจุดหนึ่งของจักรวาลจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น หวังเป่าเล่อที่อยู่บนเรือตัวสั่นและฟื้นจากภวังค์ เมื่อมองไปรอบๆ เขาก็รู้ว่าตนได้เดินทางออกมาจากสุสานดวงดารา กลับมายังจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นแล้ว

ขณะที่มองไปรอบๆ ในหัวเขาก็ยังคงมีคำพูดของกระดาษรูปมนุษย์ดังก้องอยู่ เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายไม่น่าจะหลอกตน คำพูดก่อนแยกจากกันนี้มีเจตนาที่ดีและหมายเตือนสติ หวังเป่าเล่อก็ใจเต้นโครมคราม

“มีผู้อยู่เหนือสรรพสิ่งคนเดียวก็ไม่กระไรหรอก แต่นี่มีอีกสองคน…ข้าว่าแล้ว ว่าขวดนั่นมันแปลกๆ มิเช่นนั้นคนซื่อตรงอย่างข้าจะกอบโกยเงินในสุสานดวงดารามามากขนาดนั้นได้อย่างไรกันล่ะ!!” ในใจหวังเป่าเล่อยุ่งเหยิง ทางหนึ่งก็คิดว่าเก็บขวดนั่นไว้กับตัวไม่ใช่เรื่องดีแน่ แต่อีกทางหนึ่งก็คิดว่ามันคือสมบัติล้ำค่าและไม่อาจทิ้งมันได้

ขณะที่เขากำลังสับสนก็กลับมาถึงในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ไม่นานหวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงความต่างของตนเองกับในอดีต ในจักรวาลนี้มีร่องรอยของพลังปราณที่มองไม่เห็นกำลังมาบรรจบกับเขาจากทุกสารทิศ ขณะเดียวกันกับที่ถูกมันดูดซับ มันก็เข้าไปบรรจบที่กลางดาวเคราะห์เต๋าในร่างกายเขา

สภาวะการฝึกฝนตลอดเวลาเช่นนี้ไม่ได้มีเฉพาะหวังเป่าเล่อ แต่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ทุกคนล้วนมีสิ่งนี้ และนับเป็นหนึ่งในจุดแข็งของพวกเขา อาศัยดวงดาวในร่างกายทำให้ร่างของตนหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกันกับจักรวาล ขณะเดียวกันก็สามารถดูดซับสิ่งที่เรียกว่าปราณเซียนในจักรวาลได้!

เพียงแต่ปราณเซียนที่มาบรรจบกันที่หวังเป่าเล่อในขณะนี้ มีมากมายนับไม่ถ้วน ในชั่วพริบตาก็ก่อตัวขึ้นเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่รอบๆ ตัวเขา ปราณเซียนยังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้กระแสน้ำวนขยายใหญ่ขึ้นกระทั่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

ฉากนี้หากถูกผู้อื่นในระดับดาวพระเคราะห์ที่ไม่รู้จักหวังเป่าเล่อมาก่อนพบเข้า จะต้องตกใจจนเสียจริตและก่อคลื่นลูกใหญ่ขึ้นในใจเป็นแน่ เพราะกระแสน้ำวนรอบตัวหวังเป่าเล่อนั้นน่าทึ่งเกินไปจริงๆ เป็นไปได้ว่าหากไม่ควบคุมไว้ มันก็จะขยายขอบเขตไปถึงระดับที่น่าสะพรึงกลัว

ไม่ว่าจะหมกมุ่นฝึกตนอยู่ที่จุดใดในดาราจักรแห่งอารยธรรม ก็อาจดูดซับปราณเซียนในดาราจักรจนแห้งเหือดได้ในเวลาอันสั้น สิ่งนี้เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิดในดาราจักรและดวงดาวไม่น้อย

และผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถทำได้ อย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงครึ่งเล็กๆ ของหวังเป่าเล่อในปัจจุบันที่ยังไม่สำแดงอานุภาพออกมาอย่างเต็มที่เท่านั้น และเหตุนี้ก็บ่งบอกถึงความน่าและการครอบงำของดาวเคราะห์เต๋าได้

แม้แต่หวังเป่าเล่อเองยังตกใจ เขารู้ดีว่าตอนนี้ตนต้องทำตัวไม่โดดเด่นจึงรีบสกัดมันไว้ทันที ทำให้กระแสน้ำวนรอบตัวเขาค่อยๆ สลายไป กระทั่งมันสลายไปหมดแล้วเขาจึงค่อยโล่งใจขึ้น

“ต่อไปต้องระวังยามฝึกฝนแล้ว…” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว เขาเพิ่งเลื่อนขึ้นเป็นระดับดาวพระเคราะห์ ถึงแม้ร่างกายจะปรับตัวได้แล้ว แต่สภาพจิตใจของเขายังไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อย่างเช่นในกรณีของการฝึกฝน การฝึกของดาวพระเคราะห์แตกต่างกับการฝึกของจิตวิญญาณอมตะอย่างสิ้นเชิง หากไม่ควบคุมมันไว้เกรงว่าคนที่อยู่ห่างไกลก็ยังรับรู้ได้

ถึงอย่างไร…ความผันผวนก็ต่างกัน

“โดยเฉพาะตอนนี้ที่ข้าตกเป็นจุดสนใจของสาธารณะ…อารยธรรมครามทองคำต้องจัดการข้าแน่…” คิดถึงตรงนี้หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลงกวาดมองศิษย์แห่งเต๋าของอารยธรรมครามทองคำที่ถูกเขาผนึกไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ หลังจากครุ่นคิดแล้วเขาก็หันไปโค้งคำนับกระดาษรูปมนุษย์ที่พายเรืออยู่

“ผู้อาวุโส ท่านสามารถส่งผู้เยาว์ไปยังสถานที่ที่ข้าต้องการได้หรือไม่ ”

ปกติแล้วคนพายเรือของเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะไม่สนใจผู้ฝึกตนจากต่างพิภพ พวกมันปฏิบัติตามคำสั่งของจักรวรรดิดาวตกโดยไปส่งคนที่ท่าเรือ และในระหว่างนั้นแผนการเดินทางก็จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง

แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ว่ากระดาษรูปมนุษย์ที่พายเรือตนนี้ หรือจะเป็นคำสั่งของจักรวรรดิดาวตก ก็ล้วนดูแลหวังเป่าเล่อดีเป็นพิเศษ ดังนั้นหลังจากกระดาษรูปมนุษย์ตนนั้นได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ เขาก็หันกลับมามองและส่งสายตาเป็นเชิงถาม

เมื่อเห็นเช่นนั้นหวังเป่าเล่อก็ใจเต้นและรีบบอกพิกัดที่จะไปทันที สถานที่นั้นคือที่ที่เขาจัดไว้ให้เจ้าเยี่ยเหมิงรวมถึงเจ้าลาน้อยกับอู๋น้อยก่อนที่จะเดินทางไปสุสานดวงดารา

จากแผนในหัวหวังเป่าเล่อ ณ ตอนนี้ เขาต้องไปรับคนก่อน จากนั้นจึงควบคุมร่างจริงให้ตื่น ถึงแม้ตอนนี้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะเตรียมการล้อมศัตรูไว้แล้ว แต่หากฉวยโอกาสตอนที่พวกเขาไม่ทันระวัง ร่างจริงก็สามารถใช้พลังของดารานิรันดร์ครามทองคำหายตัวกลับไปยังระบบสุริยะได้

ส่วนตัวเขาก็เช่นกัน หลังจากใกล้ชิดกับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว เขาก็สามารถใช้การเชื่อมต่อกับดารานิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์หายตัวกลับไปยังระบบสุริยะเพื่อหลอมรวมกับร่างจริงได้

จุดสำคัญของเรื่องนี้ก็คือการหายตัวของดารานิรันดร์ดวงเนตรสวรรค์ แต่เมื่อพิจารณาว่าอารยธรรมครามทองคำอาจจะผนึกดารานิรันดร์ไว้ หวังเป่าเล่อก็ยังมีแผนสำรอง แต่แผนทั้งหมดนี้มีข้อกำหนดเบื้องต้นอยู่ ก็คือต้องไปรับพวกเจ้าเยี่ยเหมิง เช่นนี้เขาจึงสามารถจัดการเรื่องอื่นได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลว่าจะขาดการติดต่อกับพวกเจ้าเยี่ยเหมิงหากเลือกที่จะหนี อีกอย่างคือการที่พวกเขาอยู่ที่นี่ในระยะสั้นๆ ก็ยังถือว่าปลอดภัย แต่หากนานเข้าก็อาจเป็นอันตรายได้

“หากรู้ว่าการเดินทางไปสุสานดวงดาราไม่อันตรายเลยสักนิดก็คงพาพวกเขาไปด้วยแล้ว” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าขณะแจ้งพิกัด เรือวิญยาณศักดิ์สิทธิ์ภายใต้การพายของกระดาษรูปมนุษย์พลันเปลี่ยนทิศและเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เนื่องจากวัสดุและกฎพิเศษจึงไม่ใช่แค่เร็ว แต่ยังถูกคนพบได้ยาก จึงไม่มีอุปสรรคใดๆ ตลอดทาง

ในไม่ช้าก็เข้าใกล้ดาวธรรมดาๆ ที่หวังเป่าเล่อพาพวกเจ้าเยี่ยเหมิงไปอยู่โดยแทบจะไม่มีใครทันสังเกต แต่ทันทีที่มาถึงหวังเป่าเล่อก็แผ่จิตใต้สำนึกของตนออกไปและในฉับพลันก็…หน้าเปลี่ยนสี!

บนดาวดวงนี้มีพื้นที่กว้างขวาง ถึงแม้จะมีร่องรอยความผันผวนของพลังเทพ แต่กลับไม่มีร่องรอยพลังงานของเจ้าเยี่ยเหมิงรวมถึงเจ้าลาน้อยและอู๋น้อย หากเพียงแค่นั้นก็ไม่กระไร แต่หลังจากหวังเป่าเล่อกวาดจิตใต้สำนึกไปยังร่องรอยความผันผวนของพลังเทพนั้น ในหัวของเขาก็พลันเกิดเสียงที่มืดมนโหดเหี้ยมดังก้องขึ้นมาอย่างชัดเจน!

“หลงหนานจื่อ ข้ากำลังรอเจ้าอยู่ที่อารยธรรมครามทองคำ!”

………………………………………………………….

ก่อนหน้านี้ แม้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะมีสิทธิ์ของสุสานดวงดารา แต่มีคนรู้เรื่องนี้ไม่มากนัก ด้านหนึ่งเป็นเพราะอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไม่ได้ใช้สิทธิ์นั้นมาเป็นเวลานานมากแล้ว

เป็นเวลาหลายปีแล้วที่ราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ไม่ปรากฏผู้ฝึกตนระดับขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นมหาวัฏจักร สิทธิ์นี้จึงเป็นแค่ไพ่ตายและเครื่องต่อรองมากกว่า

และยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้คนนอกไม่รู้ว่าอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มีสิทธิ์อยู่ในมือ นั่นก็คือตามข้อตกลงกับจักรวรรดิดาวตกแล้ว มีแค่ผู้ที่มีคุณสมบัติในการตีกลองสู่สวรรค์เท่านั้นถึงจะเข้ารายชื่อได้ ทว่านับตั้งแต่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้รับสิทธิ์มา ถึงแม้เมื่อ 10,000 ปีก่อนจะรุ่งโรจน์จนถึงจุดสูงสุด แต่ก็มีเพียงหนึ่งถึงสองคนเท่านั้นที่ได้เข้าไปยังสุสานดวงดารา ซึ่งพวกเขาต่างก็ไม่ได้รับสิทธิ์ในตอนสุดท้าย

ชื่อของอารยธรรมจึงไม่มีโอกาสได้ปรากฏอยู่บนใบรายชื่อ จึงย่อมไม่มีคนนอกรู้จัก แม้แต่อารยธรรมครามทองคำก็ตรวจพบเหตุการณ์เช่นนี้โดยบังเอิญ ดังนั้นจึงมีความร่วมมือกับราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์มาก่อน

แต่ในขณะนี้การปรากฏตัวอย่างฉับพลันของหวังเป่าเล่อได้ทำให้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นที่รู้จักของสำนักใหญ่ๆ มากมายและเข้าตรวจสอบ เมื่อพวกเขารู้ว่าอารยธรรมนี้อ่อนแอมาก จึงยิ่งให้ความสนใจกับหวังเป่าเล่อมากขึ้นไปอีก

“หวังเป่าเล่อ? ชื่อนี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน…”

“จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นมีอารยธรรมมากเกินไป อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นี้ก็เป็นเพียงอารยธรรมเล็กๆ ที่ต่ำต้อย และในนั้นก็มีมหาศิษย์แห่งเต๋ามากพรสวรรค์ที่ไม่เคยมีมาก่อน!!”

“ได้รับดาวเคราะห์เต๋า…เรื่องในสุสานดวงดาราครั้งนี้ใหญ่เกินไป นับแต่อดีตมามีเพียงเว่ยยางจื่อในตำนานเท่านั้นที่เคยได้ดาวเคราะห์เต๋า แต่คราวนี้มีถึงสองคนแล้ว!”

“แล้วยังมีสวี่อินหลิงจากสำนักเก้าวิหคเพลิงอีก แม่นางคนนี้ก็ได้รับดาวเคราะห์เต๋า!”

“สวี่อินหลิงน่ะไม่เท่าไรหรอก สำนักวิหคเพลิงใช่จะรุกรานได้ง่ายๆ แต่เจ้าหวังเป่าเล่อไร้ชื่อเสียงเรียงนามนี่สิ เกรงว่ายากจะปกป้องตัวเองแล้ว!”

“ต่อให้เลื่อนขึ้นเป็นดาวพระเคราะห์และหลอมรวมเข้ากับดาวเคราะห์เต๋าอย่างสมบูรณ์แล้ว แต่ในโลกนี้ก็มีหลากหลายวิธีที่จะถ่ายโอนดาวเคราะห์เต๋า…ขอเพียงเขาเต็มใจ!”

สำนักมากมายเหล่านั้นหลังจากตกตะลึงกันแล้วก็เกิดความโลภขึ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าภูมิหลังของหวังเป่าเล่อไม่มีนัยสำคัญอะไรในสายตาพวกเขา ไม่ว่าจะด้านสำนักหรือความแข็งแกร่งของตัวเขาเองเปรียบเหมือนมีหยกอยู่กับตัว[1] และไม่เพียงพอที่จะปกป้องดาวเคราะห์เต๋าของตัวเองได้

สำหรับพวกเขานี่ก็เหมือนกับโอกาสดี ขอเพียงหามันพบและคิดหาวิธีให้อีกฝ่ายเต็มใจมอบให้ ก็สามารถรับดาวเคราะห์เต๋ามาได้ เช่นนี้แล้วมหาศิษย์แห่งเต๋าของสำนักมากมาย แม้กระทั่งผู้ฝึกตนที่อยู่ระดับดาวพระเคราะห์แล้วก็ยังตื่นตัว

ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่ว่าจักรพรรดิดาวตกไม่เคยคิดถึงมาก่อน แต่เขาไม่ได้อะไรจากเรื่องนี้จึงไม่สนใจเป็นธรรมดา ในใจเขานั้น ภูมิหลังของหวังเป่าเล่อยิ่งใหญ่มากจนเรียกได้ว่าน่าอกสั่นขวัญหายได้เลยทีเดียว นั่นคือคนที่ได้รับการคุ้มครองจากผู้ยิ่งใหญ่นอกพิภพ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าการกระจายข่าวนี้ออกไปจะสร้างปัญหาให้หวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อที่ยังอยู่ระหว่างการสั่งสมพลังชีวิตไม่ได้รับรู้ว่าชื่อที่แท้จริงของเขาได้ถูกเปิดเผยไปแล้ว และไม่รู้ว่าได้ตกเป็นเป้าหมายของสำนักมากมายเหตุเพราะดาวเคราะห์เต๋าเช่นกัน

ขณะเดียวกัน ความโกลาหลในโลกภายนอกล้วนเป็นเพราะรายชื่อที่มาจากสุสานดวงดารา และยังมีบางคนที่รู้จักหวังเป่าเล่อต่างก็สะเทือนใจอย่างสุดซึ้ง

เซี่ยไห่หยางก็เป็นหนึ่งในนั้น ขณะนี้เขาคิดวิธีสร้างความประทับใจให้ปรมาจารย์แห่งไฟ และทำให้อีกฝ่ายยอมช่วยเขาแล้ว เวลาเดียวกับที่เขาเตรียมการอย่างพรั่งพร้อมเพื่อขอความช่วยเหลือจากผู้สูงศักดิ์ผู้นั้น รายชื่อจากสุสานดวงดาราในครั้งนี้ก็ถูกส่งมาให้ตระกูลเซี่ย และหลังจากได้เห็นชื่อหวังเป่าเล่อที่อยู่ในลำดับแรก เซี่ยไห่หยางก็ตะลึงงันไปชั่วขณะ

และเมื่อเขาเห็นคำว่าดาวเคราะห์เต๋า อยู่ด้านหลังชื่อหวังเป่าเล่อก็แทบจะกระโดดโหยง ทำสีหน้าไม่อย่าจะเชื่อและอุทานออกมาอย่างเสียจริต

“นี่มันอะไรกัน ดาวเคราะห์เต๋ารึ!!” คลื่นลูกใหญ่ก่อตัวขึ้นในใจเซี่ยไห่หยาง เขาหายใจอย่างร้อนรน ปฏิกิริยาแรกเมื่อเห็นรายชื่อก็คือไม่เชื่อ แต่หลังจากเห็นเครื่องหมายอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว เซี่ยไห่หยางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับความจริงนี้

“หลงหนานจื่อคนนั้นคือหวังเป่าเล่อจริงๆ เจ้าอ้วนนี่… ร้ายกาจเกินไปแล้ว!!”

ขณะที่เซี่ยไห่หยางกำลังสะท้านใจ ยังมีอีกคนหนึ่งที่จิตใจไม่สงบเช่นกัน คนคนนั้นก็คือปรมาจารย์แห่งไฟ รากฐานการฝึกฝนของเขาทำให้เขามีคุณสมบัติที่จะได้รับรายชื่อเช่นกัน แม้เขาจะรับรู้เรื่องราวมาเพียงเล็กน้อยจากการยืนยันก่อนหน้านี้ แต่หลังจากได้เห็นมันจริงๆ เขาก็ยังคงไม่อาจสงบใจได้

“เจ้าศิษย์คนนี้ ข้ายอมรับแล้ว!” ด้วยอารมณ์ผันผวน นัยน์ตาของปรมาจารย์แห่งไฟเปล่งแสงเจิดจ้า เขากำลังคิดว่าหากส่งต่อเสื้อคลุมของตนให้หวังเป่าเล่อได้ ชีวิตนี้เขาก็ไม่เสียใจอะไรอีกแล้ว!

คนที่รู้เรื่องนี้ยังมีเฉินชิง แม้จะอยู่ในวงแหวนปราณเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืด แต่ความแข็งแกร่งของเขารวมถึงความเกี่ยวโยงกับเต๋าสาบานด้วยปณิธานอันยิ่งใหญ่ของหวังเป่าเล่อ ทำให้เขารับรู้ข่าวจากสุสานดวงดาราที่แพร่กระจายไปทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นในทันที

ร่างของเฉินชิงขยับพร้อมกับเสียงหัวเราะลากยาว การสังหารได้เริ่มขึ้นอีกครั้ง เขาไม่คิดจะรออีกต่อไป และต้องการสู้รบให้เห็นผลโดยเร็วที่สุด เพราะเขารู้ดีว่าในขณะที่รายชื่อพวกนี้แพร่กระจายออกไป นั่นก็หมายความว่าอีกสักระยะหนึ่งศิษย์น้องของตนก็จะไปอยู่บนปากเหยี่ยวปากกา!

ในเวลานี้ จะต้องมีคนที่แข็งแกร่งพอที่จะให้ที่พักพิงแก่เขาเท่านั้น จึงจะสามารถขจัดความคิดชั่วร้ายนับไม่ถ้วนไปได้ เพื่อให้เขามีโอกาสได้เติบโตต่อไป

การตัดสินใจของเฉินชิงนั้นไม่ผิด แต่เพราะอยู่ในวงแหวนปราณ เขาจึงไม่ได้รับรู้ข่าวสารภายนอกครอบคลุมทุกด้าน ดังนั้นเขาจึงไม่รู้ว่าผู้ที่มีความคิดชั่วร้ายต่อหวังเป่าเล่อไม่ได้ปรากฏขึ้นหลังจากผ่านไประยะหนึ่ง แต่ได้ปรากฏขึ้นแล้ว!

นั่นก็คืออารยธรรมครามทองคำ!

ทันทีที่เห็นรายชื่อ คลื่นลูกใหญ่สะเทือนฟ้าก็ก่อตัวขึ้นในอารยธรรมครามทองคำ จากเครื่องหมายอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ พวกเขาก็วิเคราะห์ออกทันทีว่าชื่อหวังเป่าเล่อก็คือชื่อจริงของหลงหนานจื่อ!

ด้วยเหตุนี้เอง พวกเขาจึงตรวจพบด้วยว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ผู้ฝึกตนของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่เป็นคนนอก!

เช่นนี้แล้วพวกเขาที่ถูกจับทั้งเป็นเพราะศิษย์แห่งเต๋าในตอนนั้น เดิมทีก็โกรธแค้นเรื่องสิทธิ์ที่ถูกช่วงชิงไป วันนี้ยังมาเห็นว่าหวังเป่าเล่อได้รับดาวเคราะห์เต๋าอีก ทุกความรู้สึกในจิตใจทำให้อารยธรรมครามทองคำระเบิดจิตสังหารออกมาแล้ว

ความโกรธของอารยธรรมครามทองคำขยายตัวไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับการเตรียมการบางอย่าง ขณะเดียวกัน ในสุสานดวงดารา ขณะที่พวกหวังเป่าเล่อกำลังสั่งสมพลังชีวิต เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่ไม่ได้รับสิทธิ์ตีกลองสู่สวรรค์ก็ไม่ใช่ว่าจะมาเสียเที่ยว ในวันต่อมาพวกเขาทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนกับสุสานดวงดาราและได้รับสิ่งที่ตนเองต้องการ

นี่ก็เป็นธรรมเนียมปฏิบัติหลังจากเปิดประตูสุสานดวงดาราเช่นกัน ดังนั้นในระหว่างการเลื่อนระดับนี้ เวลาครึ่งเดือนก็ผ่านไปอย่างช้าๆ มีบางคนเลือกที่จะจากไป ซึ่งต่างจากตอนมา ทุกคนไม่จำเป็นต้องออกไปพร้อมกัน ทุกวันจะมีเรือของสุสานดวงดาราพาพวกเขาไปส่งท่าเรือที่พวกเขาจากมา

ในช่วงครึ่งเดือนนี้ มหาศิษย์แห่งเต๋าจากไปเกือบหมดแล้ว ขณะนั้นการสั่งสมพลังชีวิตของหญิงสวมหน้ากากก็เสร็จสิ้น หลังจากตื่นขึ้นมา นางก็เงยหน้ามองดวงดาวของหวังเป่าเล่อที่ลอยอยู่บนฟ้าด้วยสายตาคะนึงและอวยพร จากนั้นจึงถอนหายใจเบาๆ และเลือกที่จะจากไป

นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนผู้สง่างาม ชายหนุ่มชุดดำ รวมถึงแม่นางน้อยและเจ้าอ้วนน้อยที่เหลือบมองหวังเป่าเล่อที่กำลังสั่งสมพลังชีวิตอยู่แล้วก็เลือกที่จะจากไป

สองคนแรกมีความคิดซับซ้อนอยู่ในหัว เจ้าอ้วนน้อยอิจฉาแต่ก็จนปัญญา ส่วนแม่นางน้อยกลับมีดวงตาสดใส ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากมองดวงดาวของหวังเป่าเล่ออย่างล้ำลึกแล้ว นางก็ออกจากสุสานดวงดาราไป

พวกเขารู้ดีว่ายิ่งเวลาที่ใช้สั่งสมพลังชีวิตนานเท่าไร ก็ยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าคราวนี้หวังเป่าเล่อใช้เวลายาวนานที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

ส่วนแม่นางกระพรวน สวี่อินหลิง ก็เสร็จสิ้นการสั่งสมพลังชีวิตและตื่นขึ้นมาก่อนหวังเป่าเล่อสามวัน หลังจากกวาดตามองดวงดาวของหวังเป่าเล่อด้วยสายตาพิฆาต นางก็แค่นเสียงและจากไป

ดังนั้นหวังเป่าเล่อที่ตื่นขึ้นในอีกสามวันให้หลัง จึงกลายเป็นคนสุดท้ายที่อยู่ในสุสานดวงดารา เมื่อเขาตื่นขึ้นก็รู้สึกว่าระดับในร่างกายมั่นคงสมบูรณ์ ฐานการฝึกฝนแข็งแกร่งมากจนตัวเขาเองยังตกใจ ขณะที่กำลังตื่นเต้นสุดกำลัง เขาก็ได้รู้เรื่องรายชื่อซึ่งก็ทำให้เขาตกตะลึงและทำอะไรไม่ถูกเลยทีเดียว

แต่เขาเข้าใจดีว่าต่อให้ไม่มีรายชื่อพวกนี้ หลังจากมหาศิษย์แห่งเต๋าพวกนั้นออกไปแล้ว เรื่องที่เขาทำที่นี่ก็ต้องถูกเปิดเผยออกมาอยู่ดี แต่เรื่องนี้ก็ยังทำให้เขากังวลและกดดันมาก

“ช่างเถอะ ข้าก็เป็นคนมีภูมิหลังนะ!” ขณะที่กังวล หวังเป่าเล่อก็กัดฟันอย่างดุเดือดและให้กำลังใจตัวเอง ขณะเดียวกันก็กล่าวคำอำลาจักรพรรดิดาวตก

แต่ก่อนออกเดินทาง เขาได้แวะไปที่ร้านขายอาวุธเวทและเคล็ดวิชาในเมืองดาวตก ครั้งนี้…ภายใต้กฎกระดาษที่ดาวเคราะห์เต๋าสลักไว้ หวังเป่าเล่อพบว่าแผ่นกระดาษเคล็ดวิชาพวกนั้นไม่ต่างอะไรกับแผ่นหยกแม้แต่น้อย และเขาสามารถมองเห็นทุกสิ่งบนนั้นได้อย่างชัดเจนแล้ว

………………………………………………..

[1] มีหยกอยู่กับตัว มาจากสมัยโบราณราษฎรทั่วไปเก็บหยกเป็นของส่วนตัวจะถือว่ามีความผิดเพราะเป็นของมีค่า เปรียบได้กับคนธรรมดาที่มีความสามารถจะถูกปองร้าย

เก้าดาวเคราะห์บรรพกาลหวนเป็นหนึ่ง ดาวเคราะห์เต๋าที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ข้างในประกอบด้วยกฎสิบประการ!

ในจำนวนนั้นมีเก้าข้อที่เป็นกฎดั้งเดิมของดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้า ที่ตอนนี้ได้แข็งค้างไปแล้ว อีกทั้งด้วยพลังเสริมจากอันดับดาวเคราะห์เต๋า กฎทั้งเก้านี้ก็ยังไม่สอดคล้องกับก่อนหน้าที่ดาวเคราะห์เต๋าจะปรากฏขึ้น ซึ่งอันดับของมันขึ้นไปถึงจุดสูงสุดแล้ว และต่อให้สอดคล้องกันจริง พลังขัดขวางของมันก็ขึ้นไปถึงระดับสูงแล้วเช่นกัน

กฎเก้าข้อนี้คือ…เต๋าโลหิตแดงฉาน เต๋าดนตรีส้ม เต๋าเปลวไฟเหลือง เต๋าพืชเขียว เต๋าเมฆาฟ้า เต๋าลมคราม เต๋ากลืนกินม่วง!

ส่วนสีดำและสีขาว สีดำเป็นเต๋าแห่งความตาย และสีขาวเป็นเต๋าแห่งรุ่งอรุณ!

นอกจากนี้ดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้ยังมีกฎข้อเดียวที่แทนที่กฎทั้งหมด กฎนั้น…ก็คือเต๋าสลัก!!”

สิ่งที่เรียกว่าการแกะสลัก ในความเข้าใจของหวังเป่าเล่อตอนนี้ เขาตระหนักอย่างชัดเจนว่ากฎข้อเดียวนี้สามารถแกะสลักเต๋านับหมื่นทั่วทั้งใต้หล้าและเต๋าอันไร้ขอบเขตของจักรวาลได้ และจะกลายเป็นสิ่งในครอบครองของพวกเขาเอง

เช่นเดียวกับเต๋าให้กำเนิดหนึ่ง หนึ่งให้กำเนิดทุกสิ่ง กฎและกฎเกณฑ์ทั้งหมดขอเพียงมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา ก็สามารถถูกเขาแกะสลักได้ แต่ก็ไม่ทั้งหมด หากอิงตามอันดับกฎและกฎเกณฑ์ของอีกฝ่าย ก็ย่อมเป็นไปได้ที่จะล้มเหลว แต่จุดที่น่ากลัวของมันอยู่ที่การไร้ข้อจำกัด!

“หรือก็คือ…แม้จะพบกับกฎที่ไม่สามารถสลักได้สำเร็จในครั้งเดียว ตราบใดที่มีเวลามากพอ ข้าก็สามารถสลักมันซ้ำแล้วซ้ำอีกได้ หากเป็นเช่นนั้น…อย่างไรก็ทำสำเร็จได้!” เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในหัว หวังเป่าเล่อก็ตื่นเต้นมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งที่เขาได้มาในครั้งนี้อยู่เหนือจินตนาการของเขาไปแล้ว

เต๋าสาบานด้วยปณิธานยิ่งใหญ่ ได้รับการยอมรับให้รวบรวมดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้า และบรรลุตำแหน่งเต๋าได้ด้วยการพิสูจน์ตนเอง แม้ครั้งนี้ในบรรดาผู้ที่มาจากนอกพิภพอย่างพวกเขาจะไม่ได้มีแค่เขาคนเดียวที่ได้รับดาวเคราะห์เต๋า ยังมีแม่นางกระพรวนที่ต่อกรยากคนนั้นด้วย แต่ดาวเคราะห์เต๋าของนางนั้น ทั้งอันดับและกฎของมันล้วนด้อยกว่าดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อมาก

แม้แต่กฎของกระดาษยังถูกดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อสลักลงไปแล้ว และที่สำคัญคือ…เพื่อที่จะได้รับดาวเคราะห์เต๋า แม่นางกระพรวนจึงยินดีที่จะเป็นรอง ทำให้ดาวเคราะห์เต๋าของนางกลายเป็นผู้นำ การฝึกตนในภายภาคหน้าดูเหมือนจะราบรื่น แต่หากวิเคราะห์ให้ลึกลงไป นางก็ได้สูญเสียอิสรภาพไปแล้ว

ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นไม่เหมือนกัน เพราะการผสานและเสริมพลังของดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าเสร็จสมบูรณ์ภายใต้เต๋าปณิธานอันยิ่งใหญ่ของเขา ดังนั้นระหว่างทั้งสองฝ่าย หวังเป่าเล่อถือเป็นผู้นำนิรันดร์!

มีสถานะต่างจากแม่นางกระพรวน!

ความคิดเหล่านี้ปรากฏขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อ ขณะเดียวกันดวงตาทั้งสองของเขาก็ปิดลงช้าๆ แม้ว่าระดับการฝึกตนของเขาจะไปถึงระดับดาวพระเคราะห์แล้ว แต่หลังจากนี้ยังมีอีกหนึ่งขั้นตอนสุดท้าย นั่นก็คือสั่งสมพลังชีวิต!

สิ่งที่เรียกว่าสั่งสมพลังชีวิตก็คือกระบวนการเก็บวิญญาณ พลังและสสารในร่างกายทุกอย่างให้สั่งสมอยู่ในร่างกายอย่างสมบูรณ์ เพื่อสร้างความสัมพันธ์แนบแน่นกับดวงดาวในร่าง และให้มันปรับตัวเข้ากับร่างกายของตน

ในกระบวนการนี้ต่อให้หวังเป่าเล่อจะได้พลังเสริมจากดาวเคราะห์เต๋าก็ไม่มีข้อยกเว้น ขณะที่หลับตาลง ร่างที่อยู่ใจกลางของเขาก็พร่าเลือน และดาวเคราะห์เต๋าที่อยู่นอกร่างกายก็แทรกซึมเข้าไปภายใน ในท้ายที่สุดท่ามกลางสายตาของทุกคนบนพื้น ร่างของหวังเป่าเล่อก็หายไปและแทนที่ด้วยดวงดาวพราวระยับหาใดเปรียบดวงหนึ่ง!

ขณะเดียวกัน หลังจากที่ผู้ฝึกตนทุกคนบนพื้นเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดก็เงียบไป ในใจต่างคิดไปต่างๆ นานา บ้างก็อิจฉา บ้างก็สลดใจ บ้างก็ไม่พอใจ บ้างก็มีความหวัง

ท่ามกลางความคิดเหล่านั้น ดาวเคราะห์เต๋าที่เลือกแม่นางกระพรวนดวงนั้น หลังจากสั่นไหวอยู่ในร่างของนางไม่กี่ครั้งก็ระเบิดแสงดาวออกมา แรกเริ่มแสงดาวนั้นไม่ได้มีความสง่างาม แต่ก็เหมือนกับดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าในตอนแรก ที่ประกอบไปด้วยความไม่พอใจแรงกล้า แสงดาวสาดส่องลงมาปกคลุมแม่นางกระพรวนที่หมดสติไปและม้วนร่างของนางขึ้นไปยังจักรวาล

ตรงนั้นคือจุดตรงข้ามกับจุดที่หวังเป่าเล่อกำลังสั่งสมพลังชีวิตอยู่ และเริ่มการทะลุระดับการฝึกตนของแม่นางกระพรวนภายใต้การนำของดาวดวงนี้ แต่ทันทีที่ความตั้งใจที่จะทะลุระดับหายไป จู่ๆ จักรพรรดิดาวตกที่ยืนอยู่นอกห้องโถงก็เอ่ยขึ้น

“โปรดจำไว้ว่า… ข้อตกลงระหว่างเจ้ากับจักรวรรดิดาวตกของข้า พวกข้ารับรองเจ้าว่าจะเลื่อนระดับเป็นดาวเคราะห์เต๋า รับรองกฎเพียงข้อเดียวของเจ้า เจ้าก็ต้องทำตามสัญญาด้วย กฎของเจ้า พวกข้าสามารถใช้ได้ตลอดไป จะไม่ถูกรบกวนและไม่ล่วงล้ำซึ่งกันและกัน!”ไอรีนโนเวล

แสงดาวบนร่างแม่นางกระพรวนที่ถูกมันม้วนขึ้นไปบนท้องฟ้าเปล่งแสงจ้าราวกับยอมรับคำพูดนั้น จากนั้นก็มีพลังปราณแห่งการเลื่อนระดับแผ่ซ่านออกมาจากตัวนาง

เห็นได้ชัดว่าด้วยการเลื่อนระดับดาวเคราะห์เต๋า วิธีการจึงแตกต่างกัน ร่างของแม่นางกระพรวนในขณะนี้เริ่มกลายเป็นกระดาษอยู่ในแสงดาวสว่างจ้า ส่วนกระบวนการเฉพาะนั้น คนนอกก็ค่อยๆ มองเห็นไม่ชัด ทุกส่วนของแม่นางคนนี้ล้วนถูกแสงดาวปกคลุมอย่างสมบูรณ์

ขณะเดียวกันผู้ฝึกตนผู้สง่างามและชายหนุ่มชุดดำต่างก็แหงนหน้าขึ้นมองจักรวาลอย่างเงียบๆ พวกเขาจ้องมองดาวเคราะห์เต๋าทั้งสองอยู่นาน…ผู้ฝึกตนผู้สง่างามถอนหายใจเบาๆ ผู้ที่ฐานการฝึกฝนฟื้นฟูแล้วอย่างเขาลุกขึ้นยืนและเลือกดาวเคราะห์พิเศษระดับสูงจากจักรพิภพมาดวงหนึ่งและเริ่มเลื่อนระดับ

ชายหนุ่มชุดดำก็เช่นกัน เขาเลือกดาวเคราะห์ระดับสูงดวงหนึ่งมาเป็นดาวพระเคราะห์ของตน ถึงแม้ในใจจะเต็มไปด้วยความเสียใจ แต่เขาเข้าใจดีว่าตัวเองทำดีที่สุดแล้ว

เวลานี้ทั้งสิบคนที่มีสิทธิ์ตีกลองสู่สวรรค์ นอกจากแม่นางน้อย คนอื่นล้วนเลือกดาวของตนแล้ว แต่หลังจากใคร่ครวญดูแล้ว แม่นางน้อยก็ยังคงละทิ้งโอกาสในครั้งนี้ไป

ดังนั้นยามที่ทุกคนในจักรวรรดิดาวตกเงยหน้ามอง ท่ามกลางหมู่ดาวจึงมีดาวเก้าดวงที่กำลังสั่งสมพลังชีวิตอย่างรวดเร็ว และยังมีเจตจำนงของสุสานดวงดาราลอยมา ราวกับสายลมอันอ่อนโยนพัดผ่านดวงดาวทั้งเก้าของพวกเขา ช่วยเร่งการสั่งสมพลังชีวิต ขณะเดียวกันก็มอบพรจากสุสานดวงดาราให้ด้วย

นี่ไม่ใช่เพราะความเมตตาที่มีต่อหวังเป่าเล่อ แต่เพราะทุกครั้งที่เปิดประตูสุสานดวงดารา ผู้ที่ได้รับดาวดวงทุกคนล้วนได้รับพรทั้งสิ้น

ภายใต้พรนี้ การหลอมรวมของพวกเขาจะสมบูรณ์และปลอดภัยยิ่งขึ้น

ระหว่างการสั่งสมพลังชีวิตของทั้งเก้าคน พิธีบูชาฟ้าของจักรวรรดิดาวตกก็มาถึงช่วงสุดท้าย ในขณะที่พิธีอันยิ่งใหญ่กำลังจะสิ้นสุดลง จักรพรรดิดาวตกที่ยืนอยู่หน้าห้องโถงก็แสดงสีหน้าเศร้าสร้อย

เห็นได้ชัดว่าการบูชาฟ้าในครั้งนี้ สามารถเรียกได้ว่าเป็นครั้งที่ยิ่งใหญ่และพลิกผันที่สุดในรอบหลายปีของจักรวรรดิดาวตก แม้แต่เขาก็จินตนาการได้ว่าในอนาคตแทบจะไม่มีโอกาสเกิดเรื่องเช่นนี้อีกแล้ว

ด้านหนึ่งวิกฤตการณ์ในจักรวรรดิดาวตกได้คลี่คลายลงแล้ว และไม่จำเป็นต้องให้บุคคลภายนอกเข้ามาตีกลองสู่สวรรค์เพื่อระงับพลังปราณสีดำอีก แต่เพราะข้อตกลงกับจักกรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ถึงแม้จะยังต้องเปิดประตูอยู่ แต่ก็คงไม่บ่อยเท่าเดิมอีกแล้ว

อีกด้านหนึ่ง…เกรงว่าคงจะไม่มีใครที่เหมือนกับเซี่ยต้าลู่ผู้นั้นอีกแล้ว ผู้ที่สาบานปณิธานแห่งเต๋าอันยิ่งใหญ่จนสามารถทำให้ผู้เยี่ยมยุทธ์และคนจากต่างพิภพยอมรับได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ถึงแม้ในใจจักรพรรดิดาวตกจะเสียใจ แต่หลังจากนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำทุกครั้งหลังการบ่มเพาะโชควาสนาของสุสานดวงดาราสิ้นสุดลง ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นกับสุสานดวงดารา และครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น

นั่นก็คือ…การประกาศรายชื่อผู้โชคดีที่ได้รับสิทธิ์ทั้งหมดให้ทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น!

หากหวังเป่าเล่อมีสติอยู่ในขณะนี้เขาต้องเลือกที่จะขัดขวางหรือซ่อนตัวเป็นแน่ แต่เพราะอยู่ในระหว่างการสั่งสมพลังชีวิต เขาจึงไม่รับรู้ หลังจากผ่านไปหนึ่งก้านธูป รายชื่อที่แท้จริงของผู้ที่ได้รับโชควาสนาจากจักรวรรดิดาวตก รวมถึงเจตจำนงแห่งสุสานดวงดาราก็ถูกประกาศออกมา ฉับพลันก็แพร่ไปไกลเหมือนระลอกคลื่นไม่รู้จบ ทำให้กองกำลังทั้งหมดในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นพุ่งความสนใจมาที่นี่ทันที!

ในรายชื่อพวกนี้ ชื่อของหวังเป่าเล่ออยู่อันดับหนึ่งอย่างน่าประทับใจ!

ไม่ใช่ชื่อเซี่ยต้าลู่ แต่เป็นชื่อจริง เพราะภายใต้กฎของดาวตก ทุกสิ่งไม่สามารถปิดบังได้ เมื่อทุกชีวิตเลื่อนระดับขึ้นเป็นดาวพระเคราะห์ ชื่อจริงก็เหมือนกับชื่อของดวงวิญญาณที่แท้จริงของจักรวาล และจะถูกตีตราไว้ในกฎแห่งจักรวาล

ดังนั้นทันทีที่ชื่อของหวังเป่าเล่อปรากฏขึ้น ก็ดึงดูดสายตาเพ่งเล็งจากผู้แข็งแกร่งในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นทันที อีกทั้งด้านหลังชื่อของเขายังเขียนคำว่าดาวเคราะห์เต๋าไว้ด้วย พายุนี้ทำให้เกิดความชุลมุนวุ่นวายไปทั่วทุกสารทิศ

นอกจากนี้ด้านหลังชื่อของแม่นางกระพรวนเองก็มีคำว่าดาวเคราะห์เต๋า พายุจึงรุนแรงจนน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ขณะเดียวกันด้านหลังดวงดาวของทั้งเก้าคนต่างก็ระบุที่มาที่ไปของทุกคนไว้ อย่างเช่นด้านหลังคำว่าดาวเคราะห์เต๋าของหวังเป่าเล่อ ก็มีเครื่องหมายอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อยู่!

ซึ่งหมายความว่าเขาใช้สิทธิ์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เพื่อเข้ามายังสถานที่แห่งนี้!

ดังนั้นในชั่วพริบตา ท่ามกลางความตื่นตระหนกของผู้เยี่ยมยุทธ์และกองกำลังทุกคน อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ถูกเพ่งเล็งในทันที

…………………………………….

เมื่อระดับจิตวิญญาณอมตะหลอมรวมสมบูรณ์เข้ากับดาวเคราะห์แล้ว ก็สามารถใช้พลังฝึกปรือฝ่าด่านเข้าสู่ระดับดาวพระเคราะห์ได้ วิธีการของแต่ละสำนักอาจจะไม่เหมือนกัน แต่ว่าขั้นตอนและกรรมวิธีนั้นคล้ายๆ กันอยู่ ต่างกันเพียงแค่รายละเอียดซึ่งสืบทอดผ่านเวลานับพันปีมาเท่านั้น

โดยทั่วไปแล้ว การหลอมเข้ากับดาวเคราะห์วิญญาณทั่วไป มักใช้เวลาไม่นานนัก เพียงเวลาสั้นๆ ก็ย่อมสามารถจับทางได้ อีกทั้งเหตุสุดวิสัยนั้นก็เกิดขึ้นได้น้อย หากเป็นระดับดาวเคราะห์อมตะ เวลาก็จะยิ่งเนิ่นนานขึ้นอีกหน่อย อีกทั้งต้องหาพื้นที่กักตัวมิให้ถูกรบกวน

โดยสรุปแล้ว การหลอมรวมกับดาวเคราะห์อมตะหรือดาวเคราะห์วิญญาณเพื่อยกระดับนับเป็นเรื่องง่ายมาก แต่หากเป็นการหลอมกับดาวเคราะห์พิเศษ ระดับความยากและอันตรายก็จะยิ่งทวีขึ้น ไม่เพียงแต่ต้องการพลังฝึกปรือที่สูงลิ่วเท่านั้น ยังมีเงื่อนไขทางดวงวิญญาณเทวะมาเกี่ยวด้วย

จิตวิญญาณเทวะยิ่งสมบูรณ์มากเท่าไหร่ โอกาสประสบความสำเร็จก็จะยิ่งมากตาม ในส่วนของขั้นตอนนั้นก็แตกต่างจากการหลอมรวมชั้นดาวเคราะห์วิญญาณและดาวเคราะห์อมตะค่อนข้างมาก จำเป็นต้องให้ทั้งร่างของผู้ฝึกตนผู้นั้นเข้าไปอยู่ในดาวเคราะห์พิเศษก่อน ส่วนกระบวนการนั้นก็คล้ายกับตัวอ่อนในครรภ์มารดา ตัวของผู้ฝึกตนผู้นั้นจะหลอมรวมอยู่ภายในดวงดาว จากนั้นจะค่อยๆ ดูดกลืนพลังจนกระทั่งสามารถหลอมรวมเข้ากับกฎแห่งดาวเคราะห์ได้โดยสมบูรณ์ แล้วจึงค่อยยกระดับเข้าสู่สภาวะของระดับดาวพระเคราะห์!

ระหว่างขั้นตอนนี้ก็อาจจะมีการล้มเหลวและมีอันตรายแฝงอยู่ แน่นอนว่าในเขตจักรพิภพดาวตกนี้ ระดับอันตรายที่ว่าย่อมลดน้อยลงไปมาก ดังเช่นลู่เสี่ยวไห่ และหญิงหน้ากากเอง รวมถึงเหล่าผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่อยู่ในดาวเคราะห์บนฟ้านี้ สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่ก็คือการหลอมรวมกับวงจรแห่งกฎ

การหลอมรวมกับดาวเคราะห์เต๋าเพื่อเลื่อนระดับนั้นเป็นเช่นไรกันแน่ นี่กลับไม่มีใครทราบ เพราะว่าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีคนเดียวที่สามารถหลอมรวมเข้ากับดาวเคราะห์เต๋าได้ อีกทั้งเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้า ย่อมไม่มีการสืบทอดบอกกล่าวแก่คนหมู่มากให้รับรู้

ดังนั้นแล้วในยามนี้ หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ทราบว่าจะดำเนินการเช่นไร จึงจะสามารถยกระดับการฝึกปรือของตนได้ ทว่า…หลังดาวเคราะห์เต๋าเก้าสีวิ่งเข้าสู่หว่างคิ้วของเขาแล้ว หวังเป่าเล่อก็เข้าใจ

พูดให้ชัดเจนก็ไม่ใช่ว่าเขาเข้าใจหรอก แต่เขาสัมผัสได้เลาๆ โดยสัญชาตญาณถึงวิธีการเลื่อนระดับ ไม่จำต้องลงมือทำสิ่งใด อาศัยเพียงความรู้สึกขุมนี้ ค่อยๆ เดินตามมันไป ก็จะพบและเข้าใจวิธีสร้างฐานรากกฎแห่งดาวเคราะห์เต๋าเอง

“เดินขึ้นไปงั้นหรือ…” หวังเป่าเล่อหลับตา สัมผัสได้ถึงพลังเป็นระลอกชั้นซึ่งดาวเคราะห์เต๋าแผ่ซ่านออกมา ส่วนด้านนอกนั้น ท่ามกลางสายตานับหมื่นคู่ ดวงตาของเขาค่อยๆ ลืมขึ้น เดิมทีเขายืนอยู่ใต้ท้องฟ้านี้ หลังจากสองตากระจ่างรู้ ก็มองขึ้นสู่นภา ก้าวเดินที่หนึ่งออกไป!

นี่คือก้าวแรก

เมื่อครั้นก้าวเดินนั้นเอง ใต้ฝ่าเท้าของหวังเป่าเล่อก็ปรากฎเงาของดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง!

ดาวเคราะห์ดวงนี้มีสีแดงชาด ราวกับสีของโลหิตสดๆ ที่สาดกระจาย กระทั่งมองจากระยะไกล มันก็ดูไม่คล้ายดาวเคราะห์แต่กลับเหมือนก้อนเลือดเสียมากกว่า หลังจากที่มันปรากฏออกมา กลิ่นคาวโลหิตอันหนักอึ้งก็พลันกระจายไปทั่วทุกทิศทาง หากมองให้ละเอียดลงไปนั้นจะเห็นว่ารอบๆ ดาวเคราะห์สีแดงโลหิตดวงนี้ ยังมีวงแหวนสีชาดกระจายอยู่รอบๆ !

“ดาวเคราะห์ทั้งเก้า ดวงที่หนึ่ง ดาวเคราะห์เต๋าโลหิตแดง!” หวังเป่าเล่อพึมพำ ระหว่างนั้นพลังบนร่างของเขาก็เหมือนมีปราณโลหิตซ่านกำจาย ดาวเคราะห์ดวงนี้ ก็คือหนึ่งในดาวเคราะห์บรรพกาล รากฐานบ่มเพาะแห่งเต๋าของมันนี้ ใช้โลหิตเป็นวิถีเต๋า ชั่วร้ายสุดขีด!”

หลังจากที่เอ่ยปาก ร่างกายของเขาก็พลันมีพลังโลหิตสาดแสง ในพริบตานั้นหวังเป่าเล่อก็เข้าใจกฎแห่งดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้จนปรุโปร่ง สลักลงไปในจิตวิญญาณเทวะของตน ทำให้ในร่างของเขานั้นก่อกำเนิดโลหิตแขนงหนึ่ง ปราณและพลังฝึกปรือทั้งร่างของเขาพลันระเบิดออกในพริบตา!

“ดาวเคราะห์ทั้งเก้า ดวงที่สอง ดาวเคราะห์เต๋าดนตรีส้ม” ดวงตาของหวังเป่าเล่อทอประกายวาบ มองไปยังท้องฟ้า แล้วก้าวไปอีกครั้ง ใต้ฝ่าเท้าปรากฏดาวเคราะห์ดวงที่สอง เป็นสีสว่างราวส้มสุก สีสันอันเจิดจ้านั้นเหมือนจะมีเสียงบรรเลงของเทพเซียนลอยออกมาด้วย มันกระจายไปทั้งแปดทิศ เข้าสู่พื้นที่ว่างเปล่า เข้าสู่ฟ้าดิน จากนั้นก็เข้าสู่สมองของทุกชีวิต

ราวกับว่าฟ้าดินเองกำลังสนับฟัง ราวกับว่าทั้งหมื่นชีวิตกำลังร้องเสียงต่ำ และนี่ก็คือกฎแห่งรากฐานบ่มเพาะของดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้ ดาวเคราะห์คีตา!

วงแหวนสีส้มวงที่สองปรากฏขึ้นหมุนวนอยู่รอบดาวเคราะห์ดวงนั้น มันสะท้อนคู่กับแสงแห่งดาวเคราะห์สีแดง ปราณและพลังฝึกปรือของหวังเป่าเล่อระเบิดขึ้นอีกครา กลายเป็นระลอกพลังอันน่าสะท้านขวัญ หากมองเพียงพลังปราณแล้วเหมือนจะสูงขึ้นกว่าแต่ก่อนหลายเท่า!

ไม่เพียงเท่านี้ ระหว่างที่พลังฝึกปรือกำลังเพิ่มพูนขึ้นและระเบิดออกนั้น หวังเป่าเล่อมองท้องฟ้า จากนั้นก้าวครั้งที่สาม และครั้งที่สี่

“ดาวเคราะห์ทั้งเก้า ดวงที่สาม ดาวเคราะห์เพลิงเหลือง”

“ดาวเคราะห์ทั้งเก้าดวงที่สี่ ดาวเคราะห์พฤกษาเขียว”

ร่างของเขาก้าวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เขาไม่ได้อยู่ใต้ผืนฟ้าอีกต่อไป และในก้าวย่างนี้ ดาวดวงที่สาม ดาวดวงที่สี่ก็พลันปรากฎ วงแหวนสีเหลืองและเขียว ทยอยกันทอแสงไปทั้งแปดทิศ

พลังปราณยิ่งยกระดับขึ้นกระทบผืนฟ้า แผ่ซ่านสู่พื้นดิน พลังอันแข็งกล้าระลอกนี้รุนแรงกว่าสิบเท่า โดยเฉพาะวิถีเต๋าเปลวไฟ วงแหวนของมันในยามนี้มีเพลิงโอบพุ่ง ทำให้ทั้งโลกนี้กลับร้อนขึ้นทันควัน แล้วยังมีวิถีเต๋าแห่งพืช ที่ทำให้ท้องฟ้ารอบด้านของหวังเป่าเล่อพลันมีหมื่นพฤกษาแข่งกันแตกหน่อเบ่งบาน!

ภาพนี้ ทำให้ผู้คนทั้งหมดที่ได้เห็นตกตะลึง ในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็ก้าวย่างเป็นครั้งที่ห้า หก และครั้งที่เจ็ด…แล้วเขาก็ขึ้นมาอยู่กลางท้องฟ้าในที่สุด ยืนอยู่ตามลำดับดารานี้ น้ำเสียงที่กล่าวออกมานั้นกระจายไปทั่วทิศหลังจากที่เหยียบย่างสามคราและดาวเคราะห์ดวงที่ห้า หก เจ็ดก็ปรากฏขึ้นตามลำดับ

“ดาวเคราะห์ดวงที่ห้า ดาวเคราะห์เต๋าเมฆาฟ้า”

“ดาวเคราะห์ดวงที่หก ดาวเคราะห์เต๋าลมคราม”

“ดาวเคราะห์ดวงที่เจ็ด ดาวเคราะห์เต๋ากลืนกินม่วง”

ดาวเคราะห์เมฆานั้นแปรผัน ร่างมันเริ่มกลายเป็นหมอก ครั้นเมื่อมันปรากฏ ร่างของหวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้เลือนรางทันที หลังจากนั้นเขาก็ล่วงรู้ถึงเจตนารมณ์แห่งหมอกเมฆในสายตาอย่างแจ่มชัด ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป หากปรากฎดาวเคราะห์เต๋าที่มีกฎอัตลักษณ์เป็นดาวเคราะห์เมฆาเช่นกัน ในบรรดาผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่ใช้พลังเมฆานี้ หากเขาเรียกตนเองเป็นราชา ก็ย่อมไม่มีใครกล้าเรียกตนเป็นจักรพรรดิ!

และในส่วนความเร็วของเต๋าลมครามนี้ ยิ่งกว่าจับต้องไม่ได้ เมื่อมันปรากฏกาย ก็ทำให้กระแสพายุรอบตัวหวังเป่าเล่อคลั่ง ระดับความเร็วเพิ่มขึ้นโดยไม่บอกไม่กล่าว ในเวลาเดียวกันก็หลอมรวมเข้ากับดาวเคราะห์เต๋าเมฆา กลายเป็นระดับพลังซ้อนทับที่ทำให้ผู้คนต้องตะลึง!

และสุดท้ายนั้นคือเต๋าเคราะห์กลืนกินสีม่วง!

ดาวเคราะห์ดวงนี้ถือการกลืนกินเป็นวิถีหลัก หมื่นชีวิตในฟ้าดิน ทั้งจักรวาล ไม่มีสิ่งใดที่มันกินไม่ได้ ในพริบตาที่ปรากฎตัวนั้น ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็พลันเกิดความรู้สึกเหมือนถูกดูดลงไปในวังวน วังวนนี้ไม่มีจุดสิ้นสุด เหมือนกลืนกินทุกสิ่งได้!

หวังเป่าเล่อสามารถจินตนาการได้เลยว่า หากดาวเคราะห์กลืนกินดวงนี้ทำงานร่วมกับเมล็ดหลุมดำแห่งการดูดกลืนของตน พลังของมันย่อมอยู่ในขั้นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินได้ กระทั่งในใจของเขายังอดไม่ได้ที่จะคิด หรือว่าเมล็ดหลุมดำแห่งการดูดกลืน…เคยเป็นดาวเคราะห์เต๋าดวงหนึ่งมาก่อน!?

แต่ว่าตอนนี้กลับไม่ใช่เวลาจะมานั่งคิดนัก ดังนั้นแล้วความคิดนี้จึงวาบขึ้นมาในหัวหวังเป่าเล่อก่อนที่เขาจะสะกดมันเอาไว้ ในจังหวะนี้ สิ่งที่ตามมาจากนั้น ก็คือการที่พลังฝึกปรือและพลังปราณของเขาพลันเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ระหว่างที่พลังนี้ทะยานขึ้นนี้ เส้นผมของเขาก็ปลิวว่อน ชายเสื้อเหมือนกำลังร่ายรำ บัดนี้พลังการต่อสู้ของเขาแข็งแกร่งขึ้นกว่าตอนก่อนมายังนครดาวตกหลายสิบเท่า อีกทั้งยังขยายเพิ่มเติมไม่หยุด!

ตอนนี้เงาร่างของเขาแขวนอยู่บนที่สูงแล้ว แทบจะอยู่ระดับเดียวกับหมู่ดาว ท่ามกลางแสงดาราส่องกะพริบ หวังเป่าเล่อก็ก้าวเดินครั้งที่แปด!

“ดาวเคราะห์เต๋าดวงที่แปด เต๋าสีขาวแห่งแสงสว่าง!”

ดาวเคราะห์ดวงที่แปดนี้ ทอแสงเจิดจรัสสีขาว เมื่อร่างมายาปรากฏออกมา วงแหวนของมันก็เผยมาติดๆ แสงสีขาวของมันอยู่ในระดับเสียดแทงนัยน์ตาเหนือกว่าทุกดวง เพราะว่า…แสง ก็คือวิถีเต๋าของมัน!

เมื่อแหงนหน้าขึ้นไป จะเห็นได้ว่าบนฟ้าเป็นดุจทะเลแห่งแสงท่ามกลางคลื่นริ้ว พลังปราณของหวังเป่าเล่อทะยานขึ้นสูงอีกครั้ง ทั้งร่างของเขาเหมือนเทพสวรรค์ผู้สูงศักดิ์ก็ไม่ปาน และในจังหวะที่เวลาคล้ายจะเป็นนิรันดร์นี้ หวังเป่าเล่อก็ได้ก้าวเดินครั้งที่เก้าเคลื่อน เข้าใกล้สุดขอบฟ้าอันไร้จำกัด!

“ดาวเคราะห์เต๋าดวงที่เก้า เต๋าสีดำแห่งความตาย!”

วิถีเต๋าแห่งความตาย คือวิถีเต๋าสิ้นชีพ แม้มองไปแล้วจะคล้ายสำนักแห่งความมืด แต่จริงๆ ไม่เหมือนกัน รายหลังนั้นพูดถึงการกลับชาติมาเกิดใหม่เสียส่วนมาก ส่วนอย่างแรกนั้น…เป็นตัวแทนของความตาย!

ครั้นมันปรากฏร่าง หวังเป่าเล่อก็ร่างกายสะท้าน ดวงตาทั้งคู่ดำสนิทเหนือกว่าสิ่งใด ทั้งร่างสัมผัสได้ถึงพลังแห่งความตายไร้สิ้นสุด พลังฝึกปรือที่กำลังสั่นเป็นระลอกในพริบตานั้นก็เพิ่มพลังถึงขีดสุด ทำให้ฟ้าดินสั่นสะท้าน บังเกิดเสียงสะเทือนปฐพี ยามนี้หวังเป่าเล่อที่อยู่สุดขอบฟ้า ก็พลันปรากฏการรู้แจ้งในดวงตา

“อนาคต ข้าจะนำกฎทั้งเก้าดาวเคราะห์นี้ สร้างวิชาเทพแห่งวิถีเต๋าใหม่ของข้าเอง!” ระหว่างที่พึมพำอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็ก้มหน้ามองผืนแผ่นดิน จากนั้นจึงแหงนหน้ามองท้องฟ้าด้านนอก เป็นเวลานานเนิ่นนาน วงแหวนเต๋าทั้งเก้าใต้ฝ่าเท้าพลันเรืองรอง และในยามที่ผู้คนยังไม่หายตะลึง ท่ามกลางเสียงร้องคำรามของดาวเคราะห์ทั้งเก้า หวังเป่าเล่อก็แหงนหน้ามองเส้นสุดขอบฟ้า พลางก้าวเดินต่อ…

ก้าวที่สิบ!

สิบก้าว เหยียบย่างฟ้า!

หลังจากที่เดินเสร็จ ดาวเคราะห์ทั้งเก้าก็พลันสั่นสะท้านรุนแรง พวกมันล้วนลอยตัว ทยอยกันเข้าร่างหวังเป่าเล่อ และหลอมรวมกันเป็นดาวเคราะห์เต๋าเก้าสีภายในร่างของเขา!

แล้วยังมีวงแหวนทั้งเก้าพลันเคลื่อนเข้ามาใกล้ จากนั้นก็ประทับตราลงบนหว่างคิ้วของหวังเป่าเล่อ กลายเป็นตราประทับเก้าวงแหวน!

ส่วนพลังฝึกปรือของเขา ในยามนี้ระเบิดพลังออกมาจนถึงที่สุด ในพริบตานั้นพลังปราณที่เหนี่ยวนำรุนแรงก็พลันหมุนคลั่งเหมือนจะทำลายทุกอย่างให้ราบ กระทั่งมีเสียงเหมือนกระจกแตกดังระเบิดอยู่ในหูของหวังเป่าเล่อ พลังฝึกปรือของเขา…ฝ่าระดับไปได้ในพริบตา!

เข้าสู่…ระดับดาวพระเคราะห์!

และในยามนี้เขามองเห็นผืนฟ้าด้วยสายตาที่ต่างออกไปแล้ว!

ท้องฟ้า พื้นดิน ลม เมฆ หมื่นสรรพสิ่ง…ราวกับว่าถูกดึงผ้าคลุมหน้าออก เผยให้เห็นเนื้อแท้ ในขณะที่จ้องมองไป หวังเป่าเล่อก็เข้าใจในที่สุด ว่าภายในดาวเคราะห์เต๋าของตนเองนี้ กฎเอกลักษณ์ซึ่งก่อกำเนิดขึ้นมานั้นคือสิ่งใดกันแน่!

“ช่างเป็นกฎอันยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้!” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา มือขวาของเขาพลิกกลับ คว้าหมอกเมฆาสายหนึ่งเอาไว้ เมื่อมันปรากฏอยู่กลางฝ่ามือ หมอกนี้ก็พลันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นกระดาษแผ่นหนึ่ง!

ดาวเคราะห์เต๋าที่ได้รับการอนุญาตให้หลอมรวมจากผู้เยี่ยมยุทธ์แต่ละท่าน แล้วยังมีผู้สูงส่งนอกเขตมอบพลังให้ด้วยดวงนี้ กฎอัตลักษณ์ของมันย่อมไม่ใช่กระดาษแน่ เมื่อมองดูกระดาษเมฆาในมือแล้ว ก็พบว่ามันกลับลักษณ์เป็นเมฆหมอกดุจเดิมตามใจเขา หวังเป่าเล่อยิ้ม ดวงตาทอประกายเรืองรองขึ้นมา และพูดด้วยเสียงที่มีเพียงตัวเองได้ยินโดยแผ่วเบาว่า

“วิถีเต๋าสลักสินะ…สามารถสลักวิถีเต๋านับหมื่นของจักรวาล ภายใต้พลังเสริมแห่งดาวเคราะห์เต๋านี้ ต่อให้เป้าหมายที่จะถูกสลักเป็นถึงดาวเคราะห์เต๋าเอกอัตลักษณ์ ก็ยากจะรอดพ้นได้ หากข้าใช้พลังสลักนี้ลงมือสำเร็จ ในพริบตานั้นการต่อสู้กับอีกฝ่ายคงยากจะแบ่งสูงต่ำแล้ว!”

………………………………………………….

ดาวเคราะห์เต๋าเองก็มีแบ่งระดับชั้น ดังเช่นดาวเคราะห์เต๋าที่ดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าหลอมออกมานี้ ระดับของพวกมันเห็นได้ชัดว่าอยู่ในขั้นสูงสุด เพราะเหล่าบุคคลที่อนุญาตให้มันก่อกำเนิด ต่างก็ไม่ธรรมดาจริงๆ!

ต้นตระกูลแห่งนครดาวตกที่เข้าสู่ที่แห่งนี้พร้อมกันกับหวังเป่าเล่อผู้นั้น ไม่ว่าจะเป็นด้านพลังฝึกปรือหรือว่าโชควาสนาก็มากพอสั่นสะเทือนทั้งแผ่นดิน อีกทั้งยังเสริมด้วยพลังจากจักรพรรดิแห่งดาวตกในรัชกาลปัจจุบัน รวมถึงพลังเสริมจากประชาราษฎรแห่งนครดาวตก ทั้งหมดประกอบกันเป็นโชคหนุนจากอาณาจักรนี้อีก

แรงเสริมเช่นนี้เดิมทีก็มากพอจะสั่นสะเทือนทุกทิศ เมื่อรวมเข้ากับเจตจำนงแห่งจักรวรรดิดาวตกเองแล้ว การอนุญาตของตัวจักรวรรดิยิ่งทวีน้ำหนักมากกว่า เพราะตัวมันย่อมหมายถึงจักรพิภพดาวตกทั้งระบบนี้ ยินยอมเป็นสักขีพยานผูกพันนิรันดร์

และนี่ยังไม่จำต้องกล่าวถึงปรมาจารย์แห่งไฟผู้นั้น ผู้เป็นถึงผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งจักรวาลก็ยังให้การยอมรับและเป็นสักขีพยานแก่ดาวดวงนี้ สถานภาพของเขาเพียงพอที่จะก่อให้เกิดผลกระทบกับจักรวาลดาราไม่รู้สิ้นได้แล้ว นอกจากนี้ยังมีเฉินชิงจื่อ…การอนุญาตของเขานั้นเหนือยิ่งกว่าคนก่อนหน้าใดๆ แทบจะถือว่าเป็นระดับสูงสุดของจักรวรรดิดาราไม่รู้สิ้นเลย

เพราะว่าเบื้องหลังของเฉินชิงจื่อถือเป็นตัวแทนสำนักแห่งความมืด ระดับการอนุญาตของเขานั้น ก็ถือเป็นการอนุญาตจากสำนักแห่งความมืดไปโดยปริยาย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ในตอนแรกจะเห็นว่าพลังของดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้แผ่วเบา แต่จริงๆ แล้วมันกลับพรั่งพร้อมด้วยเงื่อนไขทั้งมวล รอเพียงแค่เวลาเท่านั้น ขอเพียงให้เวลาแก่มันมากพอ ดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าดวงนี้ย่อมสามารถเลื่อนระดับได้สำเร็จ

และในเวลานี้…การยอมรับจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์นอกพิภพทำให้ทั้งจักรวาลดาราไม่รู้สิ้นสั่นคลอน การยอมรับของเขาไม่เพียงแต่ทำให้การหลอมรวมเวลานี้สำเร็จผล ยังเป็นผลให้ในจักรพิภพดาราไม่รู้สิ้น ได้กำเนิดดาวเคราะห์เต๋าเลื่อนระดับเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่จักรพิภพเกิดขึ้น

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทั้งที่ดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้เพิ่งปรากฏ ก็ถูกขานว่าเป็นมหาดาราที่อยู่เหนือหมู่ดาวเคราะห์เต๋าด้วยกันแล้ว!

ในยามนี้ สิ่งที่ตามมาจากแสงเจิดจ้า บนท้องนภาแห่งนครดาวตก หมู่ดาวกำลังค้อมคำนับ อาณาประชาราษฎรแห่งนครดาวตกทุกคนล้วนหัวใจสะท้านไหว พวกเขาล้วนแต่ก้มหน้า

ในหมู่ผู้ที่กำลังตื่นตะลึงเช่นเดียวกัน ยังมีชายหนุ่มผู้สง่างามและชายหนุ่มชุดดำ พวกเขาทั้งสองคนเห็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างชัดเจน และกำลังแหงนหน้ามองหวังเป่าเล่อที่อยู่กลางท้องฟ้า สีหน้าของพวกเขาค่อยๆ มืดครึ้ม แม้ในใจไม่ยินยอมแต่ก็พวกเขาก็ก้มหน้าตามเช่นกัน

กระทั่งแม่นางน้อยที่ใช้ศาสตร์มืดก็ด้วย ในเวลานี้นางมีสีหน้าเคร่งขรึม ส่วนลึกๆ ในหัวใจนางสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่คุ้นเคย ในยามที่ดาวเคราะห์ทั้งเก้าร่วงหล่นและหลอมรวมกัน

ในส่วนคนอื่นๆ เองก็เช่นกัน โดยเฉพาะเหล่าคนที่เลือกหลอมร่างเข้ากับดวงดาวที่ตนเลือกแล้ว และกำลังอยู่ในระหว่างเลื่อนเป็นระดับดาวพระเคราะห์ พวกเขาถึงขั้นถูกแรงกระทบจากภายนอกจนพากันตื่นขึ้นมาภายในดวงดาวของมัน เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังภายนอก และวัตถุทรงกลมเก้าสีเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อแล้ว แต่ละคนก็ตกตะลึงรุนแรงสุดขีด!

“เป็นไปไม่ได้!” เจ้าอ้วนน้อยลู่เสี่ยวไห่แทบจะลูกตาหลุดออกมาจากเบ้า ในใจนั้นเจ็บปวดสาหัส เขารู้สึกว่าไม่เป็นธรรม เหตุใดตนจึงได้ดาวเคราะห์พิเศษระดับที่ต่ำที่สุด แต่เจ้าเซี่ยต้าลู่จอมชั่วช้ากลับได้สิทธิ์ในการผนึกและสรรค์สร้างดาวเคราะห์เต๋าดวงใหม่!

แต่สิ่งที่ทำให้เขาเจ็บปวดมากที่สุด ก็คือดาวเคราะห์พิเศษซึ่งเขาเลือกหลอมรวมดวงนี้ กฎของมันคือเต๋าแห่งลม เต๋านี้…ถึงกับมีกฎซ้ำกับหนึ่งในดาวเคราะห์เต๋าทั้งเก้าดวงนั้นด้วย เป็นหนึ่งในกฎแห่งดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้านั้น

มองดูแล้วไม่ว่าจะเป็นด้านไหน…ต่อให้พลังดาวพระเคราะห์ของเขายกระดับก็ตามที แต่อีกฝ่ายก็ชนะเขาทุกประตู!

ส่วนผู้ที่มีอาการตรงกันข้ามกับเขา กลับเป็นหญิงสวมหน้ากาก ดวงตาของนางเพ่งมองอยู่ครู่แล้วพลันยกยิ้ม เอ่ยเสียงเบา

“หวังเป่าเล่อ…” กล่าวแล้ว นางก็หลับตาลง ไม่ได้ไปสนใจอีก และพยายามฝ่าระดับของตนเองต่อไป

เสียดายว่าตอนนี้หวังเป่าเล่อไม่อาจรับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวใดๆ ของหญิงสวมหน้ากากในดาวดวงนั้นเลย ไม่อย่างนั้นล่ะก็ จิตใจของเขาคงบ้าคลั่งในทันทีแน่ เพราะว่าไม่ว่าจะเป็นระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์หรือแม้แต่ในจักรวรรดิดาวตกแห่งนี้ เกรงว่าแทบจะไม่มีคนรู้จักนามนี้ของเขา

แต่จู่ๆ…หญิงสวมหน้ากากเอ่ยนามนี้ออกมา!

ส่วนในนครดาวตกนั้น คนทุกผู้นามที่อยู่ในจักรวรรดิล้วนแล้วแต่แสดงท่าทีคำนับด้วยอาการสั่นเทา ท้องฟ้าพร่างแสงดาวราวกับจะต้อนรับดาวดวงใหม่ ส่วนแม่นางกระพรวนยังคงอยู่ในภาวะสลบไสลเหมือนเดิม กลับกันดาวเคราะห์เต๋าที่อยู่ในร่างนางนั้นสั่นเทารุนแรง ในความสั่นเทานี้หมายรวมถึงความไม่ยินยอม โกรธเคือง และก็ยังมีความรู้สึก…เสียใจด้วย!ไอรีนโนเวล

เพราะมันสัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากความห่างระดับชั้น แม้ทางนั้นจะเป็นดาวเคราะห์เต๋าเช่นกัน แต่ว่าในยามนี้เมื่อมันจ้องดาวเคราะห์ทั้งเก้าเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อแล้ว มันกลับรู้สึกว่ามันต้องแหงนหน้ามองอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น

ความรู้สึกเช่นนี้ มันพลันกระจ่างแจ้งในจิต แม้เทียบแล้วสถานภาพของตนและฝ่ายนั้นจะเหมือนกัน แต่ตำแหน่งกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง นี่ก็เหมือนเทียบผู้ดำรงตำแหน่งราชาทั่วๆ ไป ย่อมมีราชาแห่งประเทศเล็กๆ แล้วก็มีราชาแห่งประเทศขนาดใหญ่ ชื่อสถานภาพแม้เรียกขานเป็นราชาเช่นเดียวกัน แต่ระดับชั้นและพละกำลังเหมือนกันที่ไหนเล่า

และสิ่งที่ทำให้ตัวมันสั่นเทานั้นก็คือ หลังจากที่ดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าก่อกำเนิดเป็นเต๋าแล้ว มันก็สัมผัสได้บางเบาถึงกฎเพียงหนึ่งเดียวที่ดาวทั้งเก้าก่อกำเนิดออกมา สัญชาตญาณของดาวเคราะห์เต๋าบอกมันว่า กฎเพียงหนึ่งเดียวนี้…จะเป็นภัยคุกคามและข่มขวัญต่อมันอย่างมหาศาล!

ท่ามกลางผู้คนที่กำลังน้อมคำนับ และดาวเคราะห์เต๋ากระดาษที่กำลังสั่นเทา ลมหายใจของหวังเป่าเล่อกลับกระชั้นตื่นเต้น ในใจเขานั้นกำลังเฝ้ารอ ในขณะเดียวกันก็ทุ่มความสนใจทั้งหมดไปยังดาวเคราะห์เต๋าเก้าสีเบื้องหน้า

สีสันทั้งเก้าของดาวเคราะห์เหล่านี้ นอกจากสีสันทั้งเจ็ดที่เป็นปกติแล้ว ยังมีสีขาวและดำ

มองดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้แล้ว เขาสัมผัสได้ถึงความเคารพที่อีกฝ่ายมีให้ตนเอง อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงความซาบซึ้งและคำสาบานจะเคียงข้าง นอกจากนี้เหมือนว่าในดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้มีตราประทับที่เป็นเอกลักษณ์ของเขาคนเดียวอยู่ด้วย

ตราประทับนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากปณิธานเต๋าสาบานของหวังเป่าเล่อ และแสดงให้เห็นว่าใครคือนายแห่งดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้ เจตนารมณ์นี้ไม่อาจบิดพลิ้วตลอดกาลเพราะว่าเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายยินยอมเป็นสักขีพยานให้การนี้ อีกทั้งยังรวมพลังมาประทับใส่บนปณิธานเต๋าสาบานของหวังเป่าเล่อ พูดให้ง่ายๆ ก็คือพวกเขาเป็นสักขีพยานในการทำให้ความปรารถนาของหวังเป่าเล่อสำเร็จ

ดังนั้นหากดาวเคราะห์เต๋าทรยศ หรือสูญเสียปณิธานแห่งเต๋าสาบานของหวังเป่าเล่อไป มันจะต้องสูญสิ้นทุกสิ่งไปด้วย ร่างดาวเคราะห์จะแตกสลายในทันที!

เมื่อเข้าใจถึงทุกสิ่งในยามนี้ จากแรงส่งของตราประทับ หวังเป่าเล่อพลันสัมผัสได้ถึงกฎซึ่งแฝงอยู่ในดาวเคราะห์เต๋าเก้าสีดวงนี้!

สีนั้นมีเก้าสี แต่ละสีย่อมหมายถึงตัวกฎแห่งดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าดวงซึ่งแตกต่างกัน แต่ในยามที่พวกมันหลอมรวม และเลื่อนระดับเป็นดาวเคราะห์เต๋านั้น กฎทั้งเก้าเองก็ยกระดับตามไปด้วย

การยกระดับนี้ เป็นเพราะแรงส่งจากตัวของดาวเคราะห์เต๋าเอง ดังนั้นแล้วหากให้นำเรื่องการแบ่งแยกด้านกฎมาเปรียบเทียบล่ะก็ ในใต้หล้านี้ เมื่อไม่เคยปรากฏดาวเคราะห์เต๋าเก้ากฎมาก่อน เช่นนั้นการยกระดับพลังแห่งดาวเคราะห์เต๋าทั้งเก้าในยามนี้ จึงประดุจดังจักรพรรดิ!

นี่อาจจะมิใช่หนึ่งเดียวก็เป็นได้ บางทีใต้หล้าก็อาจจะมีดาวเคราะห์ที่ถือครองกฎเก้าประการอยู่ แต่เงื่อนไขนั้นก็อยู่ที่ว่าผู้ถือครองดาวเคราะห์เต๋าจะสามารถสำแดงพลังอันยิ่งใหญ่ และทำให้กฎพลังเทพเก้าประการนี้แสดงบารมีได้มากแค่ไหน ปัจจัยนั้นคือต้องไม่มีแรงต่อต้านทั้งจากในและนอก จึงจะสามารถใช้กฎทั้งเก้านี้ต่อกรกับศัตรูได้มากเท่านั้น

หนึ่งจุดแข็งหนึ่งจุดอ่อนนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ล้วนแต่ทำให้หวังเป่าเล่ออยู่ในจุดสูงสุดของระดับดาวพระเคราะห์เช่นกัน และหากนำไปเทียบกับดาวเคราะห์เต๋ากฎกระดาษของแม่นางกระพรวนแล้ว ก็นับว่าไม่ด้อยไปกว่ากันเลย

เพราะว่ากฎแห่งเก้าสิ่งนี้ โดยพื้นฐานแล้วได้ควบรวมพลังกึ่งหนึ่งแห่งวิชาเทพวิถีเต๋าซึ่งเซียนผู้ถือครองสามารถใช้ได้ด้วย!

พูดง่ายๆ ว่านับแต่บัดนี้ ในบรรดาเหล่าผู้ที่ถือครองกฎเก้าประการ หากประจันหน้ากับหวังเป่าเล่อ ย่อมไม่มีใครในระดับเดียวกันที่จะเป็นคู่มือของเขาได้เลย เว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะมีพลังฝึกปรือที่สูงล้ำกว่าจริงๆ หรือมีกำลังเหนือกว่าหวังเป่าเล่ออย่างมาก!

ทว่าเรื่องราวพวกนี้…กลับยังไม่ใช่สิ่งที่หวังเป่าเล่อได้รับทั้งหมดจริงๆ พูดให้ชัดเจนคือเรื่องพวกนี้เล็กจ้อยราวขนวัว สิ่งที่เขาได้รับมาจริงๆ ในคราวนี้ ก็คือ…กฎอันเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดิม ซึ่งก่อกำเนิดในจักรพิภพดาราไร้ที่สิ้นสุด อันได้รับมาภายหลังจากดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าดวงหลอมรวมสร้างอิทธิพลแห่งกฎแล้ว เป็นกฎที่ถือกำเนิดขึ้นจากการอนุญาตของเหล่าผู้เยี่ยมยุทธ์มากมาย

กฎของดาวดวงนี้คือสิ่งใด เพราะกำลังก่อร่าง ดังนั้นแล้วต่อให้เป็นหวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้เพียงรางๆ เท่านั้น ต้องให้เขาไปหลอมรวมพลังภายในดวงดาว แล้วทดสอบยกระดับพลังดาวพระเคราะห์เสียก่อน ถึงจะบอกได้อย่างแน่ชัด เมื่อเป็นเช่นนี้ เหล่าคนนอกยิ่งยากจะรู้เข้าไปอีก!

แต่สิ่งที่บอกได้แน่ชัดก็คือกฎทั้งเก้าของดาวเคราะห์บรรพกาลเมื่อก่อนหน้า ในส่วนของกฎเอกลักษณ์นั้น…เขาได้แต่เดา

“ข้าเหมือนสัมผัสได้ร่ำไร…กฎอันเป็นเอกลักษณ์นี้ น่าสนใจดีแท้…” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจ ดวงตาทอประกายแสง ในพริบตานั้นเขาแหงนหน้ามองดวงดาวทั้งเก้าสีเบื้องหน้าตน แล้วก็เอ่ยคำพูดที่ราวกับเป็นคำสั่งนิ่งๆ

“ดาวเคราะห์เต๋าเก้าสี ทำไมยังไม่ประจำที่อีก จะรอจนถึงเมื่อไหร่เล่า!”

เมื่อคำนี้กล่าวออกไป ดาวเคราะห์เต๋าเก้าสีพลันสั่นสะท้าน ราวกับตอบรับคำสั่งนั้น มันพลันเปล่งแสงเจิดจ้าเสียดแทงนัยน์ตา พุ่งเข้าไปกลางหว่างคิ้วของหวังเป่าเล่อ ในพริบตานั้น…ก็เข้าสู่ร่างของเขา!

…………………………………………

ดวงตาของหวังเป่าเล่อทอประกายประหลาด หลังจากเขาพึมพำแล้วพลันสายตาก็ส่องประกายเจิดจ้า หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็เอ่ยปาก

“ให้ปณิธานแห่งเต๋าสาบานข้านี้เป็นพยาน ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าทั้งเก้าดาราหลอมเป็นหนึ่ง กลายเป็นดาวเคราะห์เต๋าสูงสุด”

คำพูดนี้เมื่อกล่าวออกไป ดวงดาวทั้งเก้าพลันเปล่งแสงรุนแรงเจิดจ้า แสงดารากระพริบระยับสว่างทั้งฟากฟ้า ทั้งนภามีแสงอัสนีแผ่ออกทั้งผืนพร้อมกับเสียงแห่งสายฟ้าดังคำรามไม่หยุดไปทั่วนครดาวตก นอกจากนี้ยังมีลมพายุคลั่งพัดโหมข้ามแดนดิน ลมพายุนี้กลับไม่ได้ทำอันตรายสิ่งมีชีวิตและพืชพรรณใดๆ ราวกับว่าจุดประสงค์ที่มันปรากฏตัวก็เพื่อตอบรับปณิธานอันยิ่งใหญ่ของหวังเป่าเล่อ และตอบสนองคำขอแห่งมวลดาราทั้งเก้านี้!

ก็เป็นเช่นนี้ แม้ปณิธานแห่งเต๋าสาบานจะนำพาปรากฎการณ์พิเศษมา ทว่ามันก็ยังไม่เพียงพอ เพราะหวังเป่าเล่อในยามนี้อ่อนแอ ทั้งด้านพลังฝึกปรือและโชควาสนา หากอยากให้เกิดปรากฏการณ์สั่นคลอนดวงดาราทั้งจักรพิภพดาราไม่รู้สิ้นนี้ และขีดเขียนกฎแห่งจักรวาลเรื่องใหม่ เกรงว่าจะยังทำไม่ได้ ดังนั้นแล้วจึงไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องอนุญาตให้ดาวทั้งเก้าหลอมรวมเป็นดาวเคราะห์เต๋าด้วยซ้ำ นอกเสียแต่ว่า…ท่านผู้เยี่ยมยุทธ์ทั้งหลายในตอนนี้จะยินยอมมาเป็นพยานและให้ความยินยอมกับพวกมันก่อน!

ยิ่งเป็นสักขีพยานที่แข็งแกร่งมากเท่าใด ก็จะยิ่งทำให้ปณิธานแห่งเต๋าสาบานของหวังเป่าเล่อก่อผลกระทบต่อกฎจักรวาลได้มากขึ้น และหากได้รับพลังเสริมในขอบข่ายวิถีเต๋า ไม่ว่าจะเป็นระดับใด…ก็จะเป็นโอกาสและวิธีการเดียวในการเลื่อนระดับจากดาวเคราะห์พิเศษเป็นดาวเคราะห์เต๋าของพวกมัน!

ต้องได้รับความยินยอมมากเพียงพอ คือกฎหนึ่งเดียวของการก่อกำเนิดนี้!

ดังนั้นแล้วในยามนี้เอง จักรพรรดิแห่งนครดาวตกที่ยืนอยู่ในรั้ววังพลันมีประกายตาเร้นลับวาบผ่าน เขาเอ่ยปากด้วยน้ำเสียงดังก้องทั่วฟ้า

“อนุญาต!”

ด้วยพลังฝึกปรือแห่งตัวจักรพรรดิเอง และอำนาจบารมีแห่งเขา เมื่อคำพูดนี้สะท้อนออกไป ก็หมายถึงการที่เขายินยอมรับผลที่ตามมา ยินยอมเป็นพยานให้แก่ปณิธานแห่งเต๋าของหวังเป่าเล่อ และยิ่งยินยอมเป็นผู้อนุญาตให้ดาราทั้งเก้าหลอมรวมเป็นหนึ่ง!

ดังนั้นแล้วหลังจากคำพูดนี้ถ่ายทอดออกไป ฟ้าดินสั่นคลอนรุนแรงกว่าเก่า ร่างกายของจักรพรรดิพลันสั่นสะท้านทันทีแบกรับรับผลสะท้อนที่ตามมา แต่สิ่งนี้กลับทำให้ทางหวังเป่าเล่อเหมือนได้รับพลังเสริม พลังแห่งปณิธานเต๋าสาบานของเขาระเบิดพร่างในพริบตา ส่งผลให้เหล่าดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าในยามนี้ หลังจากส่องแสงสุดกำลังที่พวกมันมีแล้ว แสงทั้งหลายบนร่างของพวกมันต่างเริ่มแสดงสภาวะหลอมรวมกันในขั้นต้นแล้ว!

การเลื่อนระดับในครั้งนี้ คือการหลอมรวมอันเท่าเทียม หากว่าล้มเหลว สำหรับพวกมันแต่ละดวง ผลสะท้อนกลับนั้นอาจรุนแรงสุดขีด แม้ไม่ถึงกับสิ้นดาวแต่ก็หมดโอกาสในการเลื่อนระดับเป็นดาวเคราะห์เต๋า!

แต่เห็นได้ชัดว่าในยามนี้…อาศัยเพียงแค่การยอมรับจากจักรพรรดิดาวตกนั้นไม่เพียงพอให้พวกมันยกระดับ นี่ย่อมไม่พอแน่นอน เพราะว่าพวกมันคือดวงดาวเก้าดวง ไม่ใช่เพียงดวงหนึ่ง ดังนั้นการยอมรับและการเลื่อนระดับของพวกมันนั้น ยิ่งยากขึ้นกว่าของดาวดวงอื่นๆ อาจจะกล่าวได้ว่าความยากในการเลื่อนระดับนี้ ยกระดับไปถึงขั้นที่ยากจะจินตนาการได้เลย!

ในเวลานี้เอง ท่ามกลางริ้วลอยกระเพื่อมบนฟากฟ้า กระดาษรูปมนุษย์บนลานทั้งหมด แล้วยังมีเหล่าผู้ฝึกตนนครดาวตกที่อยู่รอบนอก ก็พร้อมใจกันเอ่ยด้วยเสียงลมหายใจกระชั้น

“อนุญาต!”

ฟ้าดินพลันหมุนเปลี่ยนฉับพลัน เสียงดังกังวานหยุดชะงัก คราวนี้แสงแห่งดวงดาวทั้งเก้าพลันรุนแรงขึ้น ปรากฎการณ์หลอมรวมของดวงดาวเริ่มเห็นเด่นชัดกว่าเก่า ในเวลาเดียวกัน กลางทะเลกระดาษสีดำ ต้นตระกูลแห่งกระดาษรูปมนุษย์ซึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่พลันลืมตาขึ้น หลังจากที่มองทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในนครดาวตก เขาก็ถอนหายใจคราหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เอ่ยปาก

“อนุญาต!”

หลังคำพูดนี้เอ่ยออกไป เสียงของเขาก็ประสานรวมกับเสียงของผู้ฝึกตนทั้งหมดในนครดาวตก ในพริบตาที่เสียงดังสะท้อน ความหมายแห่งคำว่า “อนุญาต” ที่ออกมานี้ไม่ใช่เพียงแค่เจตนาของหมู่ผู้ฝึกตนแต่อย่างเดียว แต่…ยังเจือด้วยเสียงแห่งโชคของอาณาจักรดาวตกเองด้วย!

นี่คือการใช้โชคแห่งนครดาวตกมาเป็นสักขีพยาน!

เมื่อมีแรงหนุนจากโชคแห่งอาณาจักรแล้ว ท่ามกลางเสียงฟ้าดินโห่ก้อง รอบด้านหวังเป่าเล่อก็มีลมพายุก่อเกิด ปรากฏการณ์นี้กลับทวีความรุนแรง พลังแห่งปณิธานแห่งเต๋าสาบานเพิ่มขึ้นไม่หยุด แสงแห่งดวงดาวทั้งเก้าอันเจิดจรัสเองก็เริ่มหลอมรวมกันได้มากขึ้น แต่ว่ามันยังคงไม่พอเหมือนเดิม!

ฉากที่เกิดขึ้นนี้ยังไม่สิ้นสุด นอกเหนือจากโชคเสริมแห่งอาณาจักรดาวตกแล้ว ยังมีปณิธานแห่งดาวดวงนี้ ภายหลังจากเสียงแห่งโชคของอาณาจักรดังสะท้อนขึ้น เจตจำนงแห่งโลกใบนี้ก็แปรผันส่งเสียงบ้าง และสิ่งที่ปรากฎออกมาก็คือจิตวิญญาณแห่งสรรพชีวิตทั้งมวล!

“อนุญาต!”

ในพริบตานี้เอง คลื่นพลังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยพบมาก่อนในนครดาวตกก็บังเกิดขึ้น หากมองจากมุมมองสูงลงมา ก็จะเห็นว่าคลื่นพลังนี้รายล้อมอยู่รอบตัวหวังเป่าเล่อ ทำให้พายุคลั่งรอบกายของเขาตอนนี้รุนแรงราวกับสามารถกวาดทั้งแดนดินนี้ได้หมด!

ในเวลานี้เอง มหาสมุทรแสงดาราทั้งเก้าก็ขยายตัวมากขึ้น ยามนี้บรรดาแสงทั้งหมดหลอมตัวเป็นลักษณ์เดียวแล้ว ในขณะเดียวกัน ร่างดาราของพวกมันก็ค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้กัน คล้ายกำลังจะเกิดปรากฏการณ์ดาราคราสหลอมรวม!

นี่คือการหลอมรวมจากคำอนุญาตทั้งมวลในจักรพิภพดาวตก ในส่วนของดาวเคราะห์เต๋าที่อยู่ในร่างแม่สาวกระพรวนนั้น แต่ก่อนมันก็เลื่อนระดับได้เพราะได้รับคำอนุญาต แต่ว่าในสถานการณ์เดียวกันนี้…เหมือนกับว่าคำอนุญาตทั้งหลายเหล่านี้ ยังคงไม่เพียงพอที่จะให้ดวงดาวทั้งเก้าดวงหลอมเป็นหนึ่งได้ ทำให้ความเร็วในการหลอมของพวกมัน ค่อยๆ ช้าลง และสุดท้ายถึงกับยังคงไม่พออยู่นั่นเอง

เห็นชัดว่าดาวเคราะห์เต๋าที่เกิดจากการเลื่อนระดับหลอมรวมของดวงดาวทั้งเก้าดวงนั้น หากทำสำเร็จได้จริง ความสามารถของมันคงจะเหนือกว่าดาวเคราะห์เต๋ากระดาษนัก!

ระดับไม่เหมือนกัน ดังนั้นย่อมมีเงื่อนไขแตกต่างกันด้วย!

หัวใจผู้คนปั่นป่วน หวังเป่าเล่อเองก็หอบหายใจกระชั้น ทุกสิ่งตรงนี้…ยังไม่จบลง เพราะว่าพยานผู้รับรู้นั้น ยังคงเหลือผู้เยี่ยมยุทธ์ท่านอื่นๆ อยู่อีก!

ในเวลานี้เองนอกนครดาวตก ในเขตของดาราจักรไม่สิ้นสุด ท่ามกลางวังน้ำวนขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง เฉินชิงจื่อซึ่งกำลังโอบล้อมฆ่าฟันกองกำลังกบฏแห่งจักรพรรดิสวรรค์เดือนแยกอย่างโหดเหี้ยมอยู่นั้น เขากวาดกระบี่ยาวในมือสังหารเหล่าเซียนดาราไม่รู้สิ้นจำนวนมาก ระหว่างนี้ลมก็พัดเส้นผมสีดำของเขาให้ลอยขึ้น เขาพลันแหงนหน้า นัยน์ตาเจิดจรัสคู่นั้นมองลึกเข้าไปสุดกู่ เขม็งมองท้องฟ้าราตรีที่มืดมิดแล้วส่งจิตสัมผัสอยู่นานครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้ม

“อนุญาต!”

ในฐานะผู้ที่ต่อกรกับจักรพรรดิสวรรค์ได้ และกระทั่งฆ่าผู้ฝึกตนมากฝีมือของอีกฝ่ายได้ เขาย่อมมีสิทธิ์ในการสร้างผลกระทบต่อกฎจักรวาลและสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงมากด้วย โชควาสนาของเขาอยู่ในขั้นที่สะเทือนฟ้าดิน เช่นนี้แล้วการอนุญาตจากเขาจึงมีค่าเหนือสิ่งใด!

ดังนั้นเมื่อคำพูดนี้ประกาศออกไป ก็เหมือนน้ำมันที่ราดลงกองเพลิง ในพริบตานั้นเอง ราวกับฝูงพายุคลั่งรอบตัวหวังเป่าเล่อจะหลุดพ้นข้อจำกัดบางสิ่ง พวกมันพัดกระจายไปสู่พื้นที่นอกพิภพ พูดไปแล้วลมพายุนี้ก็มิใช่สิ่งที่ใครๆ จะมองเห็นได้ ผู้ที่สัมผัสได้มีเฉพาะหวังเป่าเล่อและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น!

หวังเป่าเล่อเองเหมือนจะได้ยินเสียงของเฉินชิงจื่อดังมาจากความมืดมิด ท่ามกลางหัวใจที่เต้นกระหน่ำนั้น เขามองดูดาวเคราะห์ทั้งเก้า ในพริบตาพลังของพวกมันก็กลับมาอีกครั้ง และเริ่มหลอมรวมร่างจริงของมันอย่างรวดเร็ว

ขณะนี้ การหลอมรวมดำเนินไปได้ประมาณสามส่วนแล้ว ทำให้ท้องฟ้ามีเสียงก้อง หมู่ดาราทอแสงจรัส เหมือนมีกฎเกณฑ์มากมายกำลังเปลี่ยนแปลงไปเพราะดาวบรรพกาลทั้งเก้าดวงนี้!

และในระหว่างที่พวกมันกำลังหลอมรวมอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อ พริบตาที่ลมพายุพัดกระหน่ำออกนอกจักรพิภพดาวตก กลับมีเสียงชราคุ้นหูเสียงหนึ่งดังอยู่ข้างหูของเขา

“อนุญาต!” ในเขตจักรพิภพดาราไม่รู้สิ้น จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย สถานที่พิเศษอันเป็นเอกเทศที่ถูกจัดแยกออกมาแห่งหนึ่ง เพลิงพวยพุ่งทั่วทุกพื้นที่ ปรมาจารย์แห่งไฟแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า ใช้น้ำเสียงชราหนักแน่นยืนยันปณิธานแห่งเต๋าของหวังเป่าเล่อ และนี่คืออีกหนึ่งแรงเสริมซึ่งทำให้พายุพัดโหมหนักกว่าเก่า คำรับเป็นสักขีพยานของเขาและเฉินชิงจื่อ ก่อให้เกิดผลกระทบครั้งใหญ่แก่กฎจักรวาลแห่งเขตพิภพดาราไม่รู้สิ้น ทำให้ในยามนี้ พายุคลั่งรอบตัวหวังเป่าเล่อ เหมือนปรากฎร่องรอยกฎแห่งจักรวาล วับแวมเสมือนหนึ่งซ่อนตัวเสมือนหนึ่งเผยร่าง!

เมื่อกฎแห่งจักรพิภพเหล่านี้ปรากฏ ก็เป็นสัญญาณแรกสำหรับเหล่าดาวทั้งเก้าที่กำลังหลอมรวมกันอยู่นั้น แม้ว่าในยามแรกแสงนั้นก็สว่างเจิดจ้ามากพออยู่แล้ว แต่ในพริบตาที่พวกมันหลอมรวมกันได้ ก็คล้ายกับว่าแสงจะส่องรุนแรงกว่าเดิมสามถึงห้าเท่า!

แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ พวกมันก็ยังรู้สึกว่าแรงหนุนนั้นไม่เพียงพอ การอนุญาตนี้ยังมีไม่มากพอ…นอกจากจะแสดงให้เห็นถึงระดับความยากในการเป็นดาวเคราะห์เต๋าของพวกมันแล้ว ยังแสดงถึงอีกเรื่อง…ซึ่งก็คือ…ดาวเคราะห์เต๋าที่พวกมันกำลังจะก่อกำเนิด เกรงว่าจะมีพลังขั้นสูงสุด อีกทั้งยามเมื่อกฎของพวกมันหลอมรวมออกมาจนเป็นอัตลักษณ์แห่งกฎเพียงหนึ่งเดียวได้ เกรงว่าพวกมันจะยิ่งน่าหวาดหวั่นกว่าเก่าอีก!

ครั้นเห็นว่าตอนปลายพลังเริ่มแผ่ว อีกทั้งแสงแห่งดาวเคราะห์ทั้งเก้าค่อยๆ หม่นลงเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อก็จมกับความเงียบ แต่ในพริบตาถัดมาดวงตาของเขาก็ฉายแววไม่ยินยอม เขาสูดลมหายใจกระชั้นเข้า จิตใต้สำนึกของเขานั้น กำลังท่อง…คัมภีร์เต๋า!

“เปรียบศิลาจารึกวีรชน…”

“เส้นทางแห่งเต๋าสยบฟ้า…”

“ต่างเริ่มต้นด้วยการข้ามผ่านด่านเคราะห์มากล้น…”

“จิตมุ่งมั่นที่จะสลัดทิ้งจากหุบเหว…”

“ทุ่มเทเกียรติยศทุกสิ่งบนเส้นทางฝึกปรือ…”

เมื่อมีคัมภีร์เต๋านี้มาเสริม ฟ้าดินพลันแปรผลัน ดวงดาวสั่นสะท้าน เขตดาราจักรบังเกิดเสียงก้อง

พลังสายหนึ่งแล่นมาจากนอกแดน เจตจำนงปรากฏจากฟากฟ้าดาราห่างไกล สิ่งที่รุดมาถึงในพริบตานี้ถึงกับเป็น…พลังบ่มเพาะศักดิ์สิทธิ์จากนอกอาณาเขต

นอกอาณาเขตดาราไม่สิ้นสุด สถานที่ซึ่งตั้งอยู่ลึกเข้าไปจนไม่มีใครรู้จัก ในความว่างเปล่าแห่งหนึ่ง บัดนี้ปรากฏดวงตาคู่หนึ่งค่อยๆ ลืมขึ้น ยามนี้มองไม่เห็นเค้าหน้าชัด เพียงเห็นแต่ศีรษะสีขาวโพลน ซึ่งเหมือนกับธาราดาราในจักรวาล หลังจากที่ดวงตาทั้งสองถูกเปิดแล้ว เขาเงียบไปอยู่ครู่ ก่อนจะเอ่ยนิ่งๆ

“อนุญาต!”

เมื่อกล่าวคำพูดนี้ถูกกล่าวออกไป ก็เปรียบได้กับเสียงแห่งกฎ ราวกับว่านี่คือกฎแห่งจักรวาล ราวกับว่าคำพูดนี้คืออาณัติ และราวกับเขาได้ประสาทพรให้ด้วยตนเอง!

คำพูดนี้เมื่อมาถึงข้างหูของหวังเป่าเล่อ ขุมปณิธานแห่งเต๋าสาบานของเขาก็พลันระเบิดพลังในระดับขั้นที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน โดยไม่ครั้นคร้ามต่อกฎแห่งจักรวาลใดๆ พริบตานั้นพลันก่อกำเนิดเป็นกฎใหม่ ขณะเดียวกันดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าดวงเบื้องหน้าเขาก็สั่นเทารุนแรงสุดขีด พวกมันกำลังบ่มเพาะอย่างตื่นเต้น ร่างกายของพวกมันที่ตอนแรกหลอมรวมกันได้ห้าส่วนแล้ว ในพริบตานั้น…ถึงกับกลายเป็นสิบส่วนในทันที!

หลังจากระเบิดแสงสีที่มีอำนาจกลบฟ้า ท่ามกลางแสงที่เหล่าดาราเร่งขึ้นเพื่อทำการคำนับ ดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง กลายเป็นวัตถุทรงกลมสีสว่างที่เรืองแสงเก้าแฉก มันลอยอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ ท่าทางเหมือนน้อมศิโรราบ จากนั้นก็ลอยเข้าสู่ฝ่ามือของเขา!

นี่ก็คือ…ดาวเคราะห์เต๋าอมตะ!

ในยามนี้ ทุกชีวิตของจักรวรรดิดาวตก ล้วนคำนับให้มัน!

ในยามนี้ เหล่ามวลดารานอกจักรพิภพทั้งมวล ล้วนแต่สั่นสะท้าน!

ในยามนี้ ในอาณาเขตมากมายไม่รู้จบของจักรพิภพดาราไม่รู้สิ้น กฎแห่งจักรวาลผันเปลี่ยน ต้องเริ่มวางกระดานใหม่!

เพราะว่าในยามนี้…ใต้หล้านั้นมีกฎแห่งเต๋าดวงใหม่ก่อกำเนิด และเป็นกฎอันเป็นอัตลักษณ์หนึ่งเดียวของดาวดวงนี้ และเป็นกฎของ…หวังเป่าเล่อผู้เดียวเท่านั้น!

เสียงของหวังเป่าเล่อสะท้อนไปทั้งแปดทิศ หลังเสียงนี้ขึ้นสู่ฟากฟ้าแล้ว ดาวเคราะห์เต๋าที่ถูกล้อมก็พลันส่องแสงสว่างหลายครั้ง ท่ามกลางสายตาผู้คนที่จับจ้อง ท่ามกลางดวงตานับหมื่นๆ คู่ ร่างดาวเคราะห์ของมันก็พลันหดเล็กจ้อย จนสุดท้ายกลายเป็นลำแสงสีขาวราวกระดาษสายหนึ่ง พุ่งมายังตำแหน่งที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่!

แต่…ราวกับจะแก้แค้นหวังเป่าเล่อก็ไม่ปาน หลังจากเข้าใกล้เขาแล้ว แสงสีขาวราวกระดาษนั้นก็เปลี่ยนทิศ อ้อมตัวหวังเป่า พุ่งตรงไปยังพื้น ตรงเข้าหา…แม่นางกระพรวนที่กำลังอยู่ในสภาวะสิ้นหวัง!

พริบตานั้น มันไม่ได้หายเข้าหว่างคิ้วของนางแต่กลับหายตัวไป ส่วนทางด้านแม่นางกระพรวนเองก็เกร็งกายฝืนรับพลังจนกระอักเลือดออกมา นางยังไม่ทันได้ดีใจก็เป็นลมล้มพับไป ในเวลาเดียวกัน ร่างกายของนางก็ทอแสงสว่างชัดกว่าเก่า!

เหล่าผู้ฝึกตนที่เห็นฉากนี้ ล้วนลูกตาหดแคบ ในยามนี้ทั้งโลกเองก็เงียบงันเพราะเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกคนต่างพากันมองไปที่หวังเป่าเล่อ แม้แต่มวลดาราบนฟ้าเองก็จ้องมองที่เขา รวมถึงเหล่าดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าดวงด้วย พวกมันกำลังมองหรือกล่าวได้ว่ากำลังเฝ้ารอ

หวังเป่าเล่อก้มหน้ามองดูแม่นางกระพรวน ที่แสงแห่งดาราจับร่างของนางมากขึ้นๆ ทุกที เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพลันยกยิ้ม

“เมื่อเป็นแบบนี้ ตอนแรกที่เจ้าว่าข้าอาศัยแรงเสริมภายนอก ก็เป็นแค่ข้ออ้างสินะ?” กล่าวจบ หวังเป่าเล่อก็ดึงสายตากลับมา เขาไม่หันไปมองอีก ในเมื่อพยายามก็แล้ว แสดงให้ดูก็แล้ว แย่งชิงก็แล้ว ในเมื่อเจ้ายังคงดูถูกข้า เช่นนั้นเจ้าก็ไม่คู่ควรให้ข้าเหลือบแลอีกต่อไป

สายตาของเขาเพ่งมองไปยังท้องฟ้า ทำท่าทางสำรวมสุขุมแบบไม่เคยเป็นมาก่อน ค่อยๆ เปิดปากอย่างสงบนิ่ง

“ท่านทั้งหลาย…ผู้ใดยินยอมติดตามข้า ท่องผ่านภูเขาทะเล ใช้ชีวิตหนึ่งชาตินี้ไปด้วยกันบ้าง?”

เมื่อเขากล่าวจบ ประหนึ่งอัสนีบาตรจากฟากฟ้าฟาดสู่โลกใบนี้ เหล่าดวงดาราทั้งสิ้นล้วนส่องแสง ไม่ว่าจะเป็นดาวเคราะห์ธรรมดา ดาวเคราะห์วิญญาณหรือดาวเคราะห์อมตะ ล้วนแต่พยายามเร่งแสงกันอย่างบ้าคลั่ง แล้วยังมีดาวเคราะห์พิเศษทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ระดับเก้าหรือหนึ่ง ล้วนแต่แสดงความปรารถนาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เดิมทีฉากนี้ก็เพียงพอที่จะสั่นคลอนท้องฟ้าอยู่แล้ว แต่ที่น่าตื่นตะลึงยิ่งไปกว่านั้น ก็คือหมู่ดาราบรรพกาลทั้งเก้า ในยามนี้พวกมันเปล่งแสงเหมือนใกล้จะระเบิดก็ไม่ปาน กระทั่งบนตัวของพวกมันยังเริ่มเผยให้เห็นเค้ารางของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์เก้าตัว พวกมันล้วนมองมาทางหวังเป่าเล่อแล้วโค้งคำนับ!

ธาราแสงดาวเกลื่อนฟ้า แสงดาราทะลุพันจั้ง!

นี่สิ คือการแข่งประชันของหมู่ดาวที่แท้จริง!

ฉากอันแสนอัศจรรย์นี้ ไม่เคยปรากฎมาก่อนตั้งแต่อดีตอันไกลโพ้นจนถึงปัจจุบัน!

ในยามนี้เอง เหล่ากระดาษรูปมนุษย์ทั้งหลายในลานล้วนจิตใจสั่นคลอนอีกครั้ง แม้สิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำของหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ทั้งหมด จะเพียงพอจะทำให้พวกเขาตกตะลึงแล้ว แต่ฉากนี้นับว่าเป็นการตกตะลึงครั้งใหญ่หลวงที่สุด

และที่พื้นที่นอกนครดาวตกในเขตของจักรพิภพนี้ เหล่าประชาชนของจักรวรรดิที่ใช้วิชาเทพส่องมองเหตุการณ์อยู่ทุกคน ต่างรู้สึกราวกับมีคลื่นยักษ์โหมซัดหัวใจ โดยเฉพาะยามเมื่อแหงนหน้ามองหมู่ดาวส่องแสงเต็มฟ้า ภาพนี้พาให้ทุกคนในจักรวรรดิล้วนแต่สมองอื้ออึงไม่หยุด

หากจะเรียกว่านี่คือการแข่งประชันแสงของหมู่ดาว ไม่สู้พูดว่าหมู่ดาวกำลังแย่งชิงมนุษย์เสียดีกว่า!

คนผู้นี้ที่แท้แล้วมีโชคชะตาแบบใด กลับทำให้…ถึงกับทำให้ดวงดาวท่วมทั้งมหาสมุทรดาราแห่งนี้ ปั่นป่วนไปหมด!

“แม้ดาวเคราะห์เต๋าไม่เลือกเขา…แต่หมู่ดาวยอมน้อมคำนับ!”

หลังจากความเงียบสั้นๆ นั้น สิ่งที่ตามมาก็คือเสียงฮือฮากลบฟ้าที่ระเบิดขึ้นพร้อมกันในจักรวรรดิดาวตก แม้แต่ในราชวังดาวตกเองก็ด้วย ไม่ว่าจะเป็นองค์จักรพรรดิ เหล่าขันทีอำมาตย์ทั้งหลาย ก็เช่นเดียวกัน

ต่อให้เป็นตัวจักรพรรดิดาวตกเอง ในเวลานี้ก็ยังเหม่อลอย สมองของเขาปรากฏภาพก่อนหน้าของหวังเป่าเล่อ แล้วจึงอดไม่ได้ที่จะพึมพำ

“ทุกสิ่งที่ผิดพลาดไปนั้น ก็เพื่อเป็นการเตรียมการให้พร้อมสรรพ…เช่นนั้นเจ้า…จะเลือกดาวดวงใด?”

ในเวลานี้เอง ไม่เพียงแค่สิ่งมีชีวิตในจักรวรรดิดาวตกที่ตะลึงลาน เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่มาจากจักรพิภพดวงดาราไม่รู้สิ้นเองก็อยู่ในสภาพแบบเดียวกัน เหล่าผู้ที่ไม่มีสิทธิ์เข้ารั้วราชวัง และเหล่าผู้ฝึกตนที่ไม่ได้เข้ามาร่วมตีกลองสู่สวรรค์ดังเช่นพวกหลี่หลินจื่อที่รออยู่ข้างนอก ก็ล้วนแต่มีสีหน้าตกตะลึงถึงขีดสุด

จริงๆ แล้วการผูกชะตากับหมู่ดาวทั้งหมดในวันนี้ ได้สั่นสะเทือนหัวใจพวกเขาตั้งแต่ต้นจนจบ โดยเฉพาะฉากหลังๆ ที่ดาวเคราะห์เต๋างัดข้อกับความโอหังของหวังเป่าเล่อ แล้วมายามนี้มวลดารายังแข่งกันทอแสง ทำให้พวกเขาเริ่มจารึกเงาร่างของหวังเป่าเล่อลงในก้นบึ้งของหัวใจ สมองของพวกเขานั้นปรากฏเพียงคำหนึ่งเท่านั้น!

“ยอดมหาศิษย์แห่งเต๋า…”

นอกจากพวกเขาแล้ว ยังมีผู้ที่คิดคล้ายๆ กัน นั่นก็คือตัวชายหนุ่มผู้สง่างามแห่งสำนักที่หนึ่ง จักรพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้าย ในเวลานี้ เขาถือว่าหวังเปาเล่อเป็นบุคคลที่อยู่ในระดับเดียวกันกับตนอย่างแท้จริง และเพ่งมองอีกฝ่ายแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน ในส่วนของชายหนุ่มชุดดำข้างกายเขาเองนั้นก็มองหวังเป่าเล่ออย่างลึกซึ้งคราหนึ่ง ดวงตาดูหม่นแสงเล็กน้อย

ส่วนทางด้านแม่นางน้อย หญิงสวมหน้ากาก เจ้าอ้วนน้อย พี่ชายเกาผู้สูงส่ง ซึ่งเลือกดารามาหลอมรวมไปแล้วนั้น ในเวลานี้สมาธิของพวกเขายังไม่ได้แตกกระเจิง ไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นสักนิด หากเมื่อเทียบกันแล้ว ในเวลานี้ผู้ที่ตกใจมากที่สุดกลับเป็นดาวเคราะห์เต๋าดวงนั้น…ที่สิงอยู่ในร่างแม่นางกระพรวนซึ่งสลบไสลอยู่!

ดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้ สุดท้ายแล้วก็ไม่เลือกหวังเป่าเล่อ แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะทุ่มเทพลังทั้งหมดของตนเองแล้ว มันก็ยังเลือกที่จะละทิ้งอีกฝ่าย ทว่ายามนี้คนที่มันละทิ้งกลับทำให้เหล่าดวงดาวทอแสงแย่งชิง…หากว่ามันมีอารมณ์แบบเหล่าผู้ฝึกตนทั่วไปล่ะก็ ยามนี้มันคงต้องตกตะลึงจนไม่รู้จะพูดอะไรแน่

แต่จริงๆ แล้ว ลึกๆ ลงไปมันก็มีความรู้สึกหนึ่ง มันรู้สึกคล้ายว่าตน…ได้พลาดวาสนาที่สำคัญยิ่งไปเสียแล้ว

เพราะว่า…ผู้ฝึกตนที่มันไม่ดูดำดูดีคนนี้ เพียงแค่ถามว่าใครยอมร่วมทางกับเขาบ้าง แต่ไม่ได้เอ่ยว่าหลังร่วมทางแล้วจะเป็นเช่นไร นี่เหมือนว่าคนผู้นี้แทบไม่ได้เสนอประโยชน์อะไรให้หมู่ดาวเลย เพียงแค่ถามความสมัครใจทั่วไปเท่านั้น แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ หมู่ดาวยังคงยอมแข่งกันทอแสงแย่งชิง…

แม้กระทั่งตัวหวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้คาดคิดถึงฉากอันตระการตาเบื้องหน้า ดังนั้นหลังจากเขาเงียบไปพักหนึ่งก็มองดูดาวเคราะห์ที่เจิดจ้าเหล่านั้น สีหน้าของเขากลับยิ่งสุขุม เขาประสานมือโค้งกายแล้วเอ่ยคำสัญญาของตนเองออกมา

“ผู้ที่ติดตามข้า ข้าย่อมพยายามสุดความสามารถเพื่อให้พวกเรารุ่งโรจน์ไปพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จทางเต๋าหรือกลายเป็นดาวเคราะห์ระดับสูง นี่คือปณิธานสาบานแห่งเต๋าของข้า!”

เมื่อกล่าวคำพูดนี้จบ ทุกคนที่ได้ยินนั้นในใจพลันสั่นคลอนรุนแรง กระทั่งตัวจักรพรรดิแห่งนครดาวตกยังดวงตาหดวูบ เนื่องจาก…คำพูดนี้ของหวังเป่าเล่อนั้น มีน้ำหนักมากเกินไปนัก!

เต๋าสาบาน ก็คือการเปล่งคำสาบานต่ออนาคตเส้นทางเต๋าของตนเอง อาศัยหัวใจเป็นรากฐานเพื่อให้ดวงดาราฟ้าดินยอมรับ หากทำการสาบานภายใต้กฎแห่งจักรวาลท่ามกลางท้องฟ้าพร่างดารา คำสาบานนี้จะคงอยู่ตลอดกาล ทว่าปรกติแล้วผู้ที่สามารถเอ่ยคำสาบานซึ่งจะกลายเป็นหนึ่งในกฎจักรวาลนี้ได้ ย่อมต้องเป็นผู้ฝึกปรือชั้นยอด มิเช่นนั้นย่อมไม่อาจสั่นคลอนกฎจักรวาลใดๆ

ส่วนปณิธานอันยิ่งใหญ่นี้กลับเคร่งครัดและจริงจังกว่าเต๋าสาบาน ไม่เพียงแต่ใช้อนาคตแห่งเต๋าของตนเป็นประกัน แต่เป็นการนำชีวิต อีกทั้งบาดแผลต่างๆ ในปัจจุบันของตนมาแสดงถึงหัวใจอันจริงแท้ ปกติแล้วต่อให้เป็นคนธรรมดา หากเอ่ยปณิธานอันยิ่งใหญ่นี้ต่อหน้ากฎแห่งจักรวาล ก็ย่อมได้รับผลกระทบเล็กๆ น้อยๆ และหากผู้ใดละเมิดคำสาบาน ไม่มากก็น้อย ผู้นั้นย่อมได้แรงสะท้อนกลับ ในส่วนของผู้ถือครองพลังแห่งโชค หากว่ายิ่งมีพลังมาก แรงกระทบจากกฎแห่งจักรวาลนั้นก็จะยิ่งมีมากตาม

และหากเหล่าผู้ถือครองโชคชะตายิ่งใหญ่เหล่านั้นเอ่ยปากสาบานปณิธานล่ะก็ ย่อมทำให้ฟ้าดินเกิดปรากฏการณ์ประหลาดได้!

ในส่วนตัวหวังเป่าเล่อเองก็รู้ว่าคำพูดของตนในครานี้หนักเกินไปนัก แต่ในใจเขายังกระซิบบอกตนเอง ในเมื่อดวงดาวทั้งฟากฟ้ายินยอมเลือกข้า เช่นนั้นตัวข้าจะไม่ยอมให้เหล่าดาราผิดหวัง!

ฉะนั้นแล้วเมื่อคำพูดนี้ก้องสะท้อนไปทั่วฟ้า หมู่มวลดาราบนนั้นล้วนแต่สั่นสะเทือนหนัก จากนั้นแสงอันบ้าคลั่งทั้งหลายก็ทอจรัสกว่าเก่า ภาพฉากท้องฟ้าในยามนี้แปรเปลี่ยน ลมพายุพัดหมุนอยู่ในขั้นทลายฟ้าดิน ราวกับทั้งโลกนี้ถูกแสงแห่งดาราสาดส่อง ความปรารถนาทั้งหมดที่มาจากหมู่ดาวนี้ ในพริบตาก็ระเบิดรุนแรง ราวกับดวงดาวทุกดวงกำลังร้องเรียก รอให้หวังเป่าเล่อเลือกพวกมัน!

โดยเฉพาะดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งเก้าดวงนั้น กลับยิ่งทอแสงรุนแรงกว่าเก่า ดาวดวงที่อยู่ใจกลางสุด พลันบังเกิดความปรารถนาสุดขีด มันตัดสินใจยอมร่วงหล่นในพริบตา!

การสมัครใจน้อมตัวลงมาเช่นนี้ นับว่ามันยอมพนันด้วยศักดิ์ศรีของดาวบรรพกาล และเป็นการพนันอนาคตของตัวมันเองเช่นกัน เพราะหากหวังเป่าเล่อไม่ยอมเลือกมัน เช่นนั้นก็เหมือนมันถูกปฏิเสธคำขออีกครั้ง เส้นทางหนึ่งเดียวในการเลื่อนระดับเป็นดาวเคราะห์เต๋าของมัน ก็คือการรอคำอนุญาต และในครั้งนี้หากหวังเป่าเล่อปฏิเสธ มันย่อมได้รับผลกระทบใหญ่หลวง!

โดยเฉพาะเมื่อตนเองเป็นฝ่ายเริ่มก่อน แต่หากถูกละทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นคนหรือเป็นดวงดาว ย่อมเจ็บปวดสาหัส และสำหรับหมู่ดาวอาจรุนแรงกว่าด้วย!

ฉากนี้สั่นคลอนหัวใจคนดูทั้งมวลจนถึงที่สุด!

“ดาวบรรพกาลตัดสินใจร่วงหล่น!”

เสียงฮือฮาดังขึ้น แต่ยังไม่ทันได้แพร่กระจาย เมื่อหมู่ดาวบรรพกาลอีกแปดดวงบน้องฟ้า เห็นดวงตรงกลางทำเช่นนี้ พวกมันก็ร้อนรนแทบคลั่ง ทันใดนั้น…ทุกดวงพลันตัดสินใจ ร่วงหล่นลงมาพร้อมกันกับดาวดวงก่อนหน้า กลายเป็นลำแสงสายรุ้งเก้าสาย ข้ามฟากฟ้ามาหาหวังเป่าเล่อ ภายใต้สายตาตกตะลึงของทุกคนนั้นเอง ร่างของดาวเคราะห์ทั้งเก้าก็ปรากฏซ้อนกายทับกันเป็นเส้นลำแสงนับไม่ถ้วน ในเวลาเดียวกันร่างของพวกมันก็ค่อยๆ เล็กลงๆ

สุดท้ายแล้วทุกดวงก็เหลือขนาดเพียงแค่กำปั้นเท่านั้น พวกมันกลายเป็นเหมือนไข่มุกสว่างจ้าเก้าเม็ด ลอยอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ แสงส่องเจิดจรัส หมู่ดาวที่เหลือในท้องฟ้าต่างก็สั่นสะท้าน

หวังเป่าเล่อเองก็แทบหยุดหายใจ เขามองดาวบรรพกาลทั้งเก้าดวง ท่ามกลางแสงของพวกมันนั้น เขาเหมือนสัมผัสได้ถึงแรงกระหายของดาวบรรพกาลทั้งเก้า ที่เชื่อมต่อกับจิตสำนึกของตน

“พวกข้าไม่ปรารถนาจะอยู่เช่นนี้ไปตลอด ไม่สู้ให้พวกข้าทั้งเก้ารวมเป็นหนึ่งได้ไหม ขอเพียงได้รับคำอนุญาตมากพอ พวกข้าก็จะกลายเป็นดาวเคราะห์เต๋าได้?”

……………………………………………………

พรสวรรค์ของวิญญาณจุติดาวเคราะห์ ก็คือทำให้ผู้ถือครองซึ่งมีพลังเกือบใกล้เคียงระดับดาวพระเคราะห์นั้น ย่นระยะห่างเข้าใกล้ระดับดังกล่าวมากขึ้น และช่วยให้ผู้ถือครองปลดปล่อยพลังการต่อสู้ชนิดที่เรียกว่าไร้ขีดจำกัดออกมาได้

จักรวรรดิดาวตกแห่งนี้ไม่มีดาวพระเคราะห์ แทบจะเรียกได้ว่าทั้งจักรพิภพเป็นอาณาเขตว่างเปล่าแห่งหนึ่ง หมู่ดาวบนท้องฟ้าเสมือนพร่าเลือน มีเพียงดาวเคราะห์เต๋าเพียงดวงเดียวเท่านั้น แต่ทั้งหมดนี้กลับเป็นเหมือนแรงหนุนสำหรับบุคคลที่ถือครองพลังพิเศษแห่งวิญญาณจุติดาวเคราะห์เช่นหวังเป่าเล่อ แม้อาจไม่ได้ก่อผลลัพธ์มหาศาลก็ตาม

ทว่า…ก่อนหน้านี้ในยามที่ได้รับกระแสอาทรจากโลก ในจังหวะที่วิญญาณของหวังเป่าเล่อได้รับการประสาทพรจนทำให้เกิดการกระตุ้นพลังวิญญาณจุติดาวเคราะห์นั้น เขาก็ได้เห็นฉากที่แอบซ่อนอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว การมองเห็นมวลดาราทั้งหมด ราวกับว่าตัวเขาเองนั้นได้เปลี่ยนเป็นดาวดวงหนึ่งเช่นกัน ภาพนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในสมองของเขา ดังนี้หลังจากที่กระแสปราณแห่งวิญญาณจุติดาวเคราะห์ของเขาระเบิดออกพลังจนทำให้พลังฝึกปรือของเขาสั่นไหว เขาก็พลันเหยียดแขนชูขึ้นสู่ฟากฟ้า ยามนี้เองพลันมีเสียงโห่ก้องคำรามดังมาจากฟ้าพร่างดาราเบื้องบน

จังหวะที่เสียงสะท้อนก้องนี้ดังส่งมา นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็ทอแสงแรงกล้า พลันปรากฎแสงโชติช่วงแวบหนึ่ง แสงโชติช่วงนี้ทวีความเจิดจรัสท่วมคลองจักษุของเขา จนสุดท้ายก็อาบไล้ไปทั้งร่าง พลังพยุงให้ร่างของเขาลอยตัวขึ้นและเปล่งแสงขยายตัวไม่หยุด

หลังจากที่ร่างของเขาลอยขึ้นมานั้น แสงสว่างก็สาดส่อง ตามมาด้วยเสียงกู่คำรามแห่งฟากฟ้านั้นซึ่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ เหล่ามวลดาราที่แอบซ่อนตัวและเสียประกายแสงไปหลังจากที่ดาวเคราะห์เต๋าร่วงหล่น ก็เหมือนจะถูกเสียงเรียกนี้ปลุกให้ค่อยๆ ทยอยกลับมาทอแสงอีกครั้ง

แม้ว่าแสงดาวเหล่านี้จะอ่อนระโหย อีกทั้งการกะพริบของพวกมันก็ถูกดาวเคราะห์เต๋ากลบไปหมด แต่ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็ยังคงลอยขึ้นไปเรื่อยๆ ในขณะที่แสงบนร่างของเขานั้นทวีความสว่างมากเข้า เขาก็เริ่มเข้าใจกระบวนการหลอมร่างเป็นดวงดาว และในนาทีนี้บนท้องฟ้าเอง…ก็ค่อยๆ เปลี่ยนสภาพเช่นกัน!

ดวงดาวจำนวนมากที่แต่เดิมแอบซ่อนตัว คอยจับจ้องพลังแห่งดาวเคราะห์เต๋า ก็เริ่มคิดอยากแสดงตนขึ้นมา แสงดาวกระจายเต็มท้องฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าเหล่าดวงดาวกำลังสนับสนุนความกล้าหาญของหวังเป่าเล่อในการต่อต้านดาวเคราะห์เต๋า จังหวะเดียวกัน ดาวเคราะห์เต๋าเองก็พยายามส่งพลังข่มหนักกว่าเก่า

หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้ดาวเคราะห์เต๋าเหยียดหยามหวังเป่าเล่อ เช่นนั้นในเวลานี้ การกระทำของมันก็ส่อให้เห็นว่าตัวมันเริ่มจิตใจไม่สงบ ในสายตามัน หวังเป่าเล่อมิใช่ผู้ฝึกตนธรรมดาอีกต่อไป แต่ได้กลายร่างเป็นดวงดาวไปแล้ว ดังนั้นการกระทำใดๆ ของหวังเป่าเล่อจึงเหมือนการท้าทายตำแหน่งของมันโดยตรง

ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะ…ร่างปฐมแห่งวิญญาณดาวเคราะห์จุติ และเป็นเพราะพลังเร้นลับซึ่งก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อไม่เคยค้นพบมาก่อน หากจะกล่าวไป วิญญาณดาวเคราะห์จุตินี้…ก็คือ ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งนั่นเอง!

เพียงแต่มันมิใช่ร่างจริงแห่งดาวเคราะห์ แต่เป็นเพียงปณิธานแห่งดวงดาว!

และเมื่อเป็นเช่นนี้ การต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อและดาวเคราะห์เต๋าในก่อนหน้านี้ จึงกลายเป็นการต่อสู้ขัดขืนระหว่างดาวเคราะห์กันเอง หากว่าจะให้เทียบจักรพิภพหนึ่งเป็นหนึ่งราชอาณาจักร เช่นนั้นดาวเคราะห์เต๋าก็เปรียบได้ดังจักรพรรดิ ส่วนดาวเคราะห์แทนตัวหวังเป่าเล่อนั้นก็เสมือนเหล่าประชาชนตัวจ้อยที่คิดจะลุกฮือ หมายท้าทายตำแหน่งผู้ปกครองนั่นเอง

ฉากนี้ ทำให้ผู้คนทั้งหมดที่ล้วนมองดูอยู่นั้นหน้าเปลี่ยนสีครั้งใหญ่!

กระดาษรูปมนุษย์ทุกตนบนลานล้วนหัวใจสะท้านหวั่นไหว ในส่วนของชายหนุ่มชุดดำและชายหนุ่มผู้สง่างามเองก็กลั้นลมหายใจ แม่นางน้อยที่อยู่ข้างๆ หวังเป่าเล่อนั้นถึงกับมองจนตาถลน และในเวลานี้สายตาของแม่นางกระพรวนเองก็ยังมีแต่ความตะลึง

กระทั่งตัวจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิดาวตกเอง ก็ถึงกับต้องเดินเข้ามาใกล้ขึ้นอีกหลายก้าว สายตาฉายแววไม่อยากเชื่อ

“ที่แท้แล้วเขาเป็นวิญญาณดาวเคราะห์จุติ!” วิญญาณดาวเคราะห์จุตินั้นเป็นหนึ่งในตำนานใหญ่ทั้งห้าแห่งอาณาจักรดาราไม่สิ้นสุด เรื่องของมันเร้นลับอัศจรรย์ ในเวลาเดียวกัน เพราะตัวตนอันเร้นลับสุดขีดนี้ของมัน ทำให้ผู้ได้ถือครองมีจำนวนน้อยและพบเห็นได้ยากมาก ดังนั้นแล้วย่อมไม่อาจมีคนนอกได้ติดต่อสัมพันธ์กับคนเหล่านี้นัก ต่อให้เป็นตัวจักรพรรดิดาวตกเองก็แค่เคยได้ยินเรื่องเล่ามา แต่เขาไม่เคยพบกับผู้ถือครองมาก่อน ดังนั้นเขาจึงไม่เคยสัมผัสได้ถึงพลังนี้ในตัวหวังเป่าเล่อเลย

กระทั่งเขายังมีอาการเช่นนี้ เช่นนั้นคนอื่นๆ เองก็คงเหมือนกัน เวลานี้ในสมองของทุกคนต่างก็คาดเดาเหตุผลไปต่างๆ แต่ความตกตะลึงในใจกลับไม่ลดถอยลง ทว่ายิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะว่า…ในยามนี้ หลังจากที่ร่างกายของหวังเป่าเล่ออาบแสงและลอยสู่ฟากฟ้าเบื้องบนแล้ว ดวงดาราทั้งผืนฟ้าก็ราวกับกำลังดิ้นรนบางอย่าง พวกมันกระเสือกกระสนอยากลองขัดขืนราวกับว่าพวกมันไม่ยินยอมอยู่ภายใต้อาณัติของดาวเคราะห์เต๋าอีกต่อไป คิดอยากจะต่อต้านและกำลังต้องการหัวหน้านำทัพสักคนหนึ่ง!

เหมือนว่าตัวดาวเคราะห์เต๋าเองก็จะสัมผัสได้ถึงเรื่องนี้ได้เหมือนกัน ดังนั้นแล้วความโกรธของมันจึงยิ่งทบทวี อาณาเขตแห่งแสงของมันนั้นก็ระเบิดขยายไปอีก คลื่นในคราวนี้กระทบไปทั่วฟ้า มุ่งหมายสยบดวงดาวที่คิดต่อต้านตนพวกนั้น

หวังเป่าเล่อมองไปเบื้องหน้าแลเห็นแสงดาวเคราะห์เต๋าพลันขยาย และหมู่ดวงดาวก็ถูกสยบอีกครั้ง เขาพลันแหงนหน้า ดวงตาทอประกายประหลาดเร้นลับ ก่อนจะเปิดปากพูดกับผืนดาราแห่งนี้!

“มวลดาราเอ๋ย หากในยามนี้พวกเจ้าไม่เปล่งแสงแล้วจะรอเวลาใด!” หลังสิ้นคำพูดนี้ หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาที่ถือไม้กลองน้อมดาราขึ้น พริบตานั้นเขาสะบัดมันคราหนึ่งจนเกิดเป็นลำแสง ไม้กลองน้อมดารานี้ก็พุ่งไปยังกลองสู่สวรรค์ราวกับเป็นดาวตก

ทันทีที่มันรุดถึงกลอง หวังเป่าเล่อก็ลงมือตีกลองครั้งที่…สิบแปด!

เมื่อเสียงกลองดังขึ้น พริบตานี้ก็บังเกิดพลังพลิกฟ้า แม้จะกล่าวว่าการตีครั้งนี้เป็นครั้งที่สิบแปด แต่พลังของมันถือว่าเป็นระดับสูงสุดแล้ว เพราะว่าหลังสิ้นเสียงตีครั้งที่สิบแปดนี้ เสียงกลองกลับไม่หยุดดัง เสียงนั้นราวกับจะกระเทือนภูผาสั่นคลอนสมุทรไม่ปาน มันระรัวกระหน่ำกังวานทั่วสารทิศ

ท้องฟ้าบิดผัน ลมหมุนตีกระหน่ำ แผ่นฟ้าราวกับจะแยกออก จากนั้นรอยแยกขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นทั่วผืนฟ้า รอยแยกเหล่านี้ไม่ได้มีอยู่จริง แต่มาจากแรงกดดันของดาวเคราะห์เต๋า ในเวลาเดียวกันกับที่รอยแยกปรากฏขึ้น เสียงที่เหมือนการคำรามขนาดยักษ์ ก็ดังสะท้อนมาจากฟากฟ้า แล้วระเบิดออกเป็นวงกว้าง!

ท่ามกลางเสียงร้องก้อง โห่คำราม และท่ามกลางความตกใจของสรรพสัตว์ ฟ้าพร่างดาราพลันเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง ดวงดาวแต่ละดวงล้วนปรากฏขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ในชั่วพริบตา ธาราแห่งแสงดาวก็เผยออกมาอีกครั้ง ในครานี้หมู่มวลดาราแข่งกันทอแสง ส่องสว่างชัชวาล!

ดวงดาวนับพันดวงพวกนี้เป็นดาวเคราะห์พิเศษระดับสองถึงเก้า พวกมันล้วนแต่ปรากฏร่างมายาออกมา ในเวลาเดียวกันยังมีดาวเคราะห์พิเศษชั้นหนึ่งอีกสามสิบเจ็ดดวง พวกมันเองก็เผยตัวออกมาพร้อมกันอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน หลังจากนั้นก็ส่องแสงไปทั่วท้องฟ้า กล่าวไปแล้ว ฉากนี้จะอธิบายด้วยคำว่าดวงดาวแข่งกันทอแสงก็เกรงว่าจะยังด้อยอยู่ แต่ก็ถือว่าใกล้เคียง

ระหว่างขั้นตอนทั้งหมดนี้ จะเห็นชัดว่าทุกสิ่งค่อยๆ สั่นสะเทือนความมั่นใจของดาวเคราะห์เต๋า บารมีของมันถูกท้าทาย ดังนั้นแล้วความเดือดดาลครั้งนี้จึงส่งผลให้ร่างเดิมของมันที่เดิมทีโผล่ออกมาเพียงครึ่งดวง พลันปรากฏลักษณ์เต็มเป็นครั้งแรกอยู่กลางฟากฟ้า พลังอันกล้าแกร่งของมันถูกสำแดงออกมาหมดในชั่วพริบตา ส่งผลให้ท้องฟ้าบิดเบี้ยว กระทั่งผู้คนยังมองเห็นว่ากลุ่มดาวเคราะพิเศษในหมู่ดาราเอง ก็เหมือนจะต้านพลังกระแสนี้ไม่ไหว และในยามนี้เอง…

ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งเปล่งประกายเจิดจ้าราวกับดาวพระศุกร์ แต่กระนั้นมันก็ยังคงเป็นรองดาวเคราะห์เต๋า ก็พลันปรากฏอยู่ทางทิศตะวันออกของฟากฟ้าแสนบิดเบี้ยว และหลังจากที่มันปรากฏตัว กระแสปราณอันเก่าแก่สะสมก็แผ่ขยายไปทั่วแผ่นฟ้า ราวกับว่าตัวมันนี้คือราชาที่ถูกจองจำ แสงเจิดจรัสในพริบตาปรับให้ทัศนียภาพอันบิดเบี้ยวรอบตัวของมันหายไป!

หลังจากนั้นดาวเคราะห์ดวงที่สอง ที่สาม ที่สี่ กระทั่งดาวเคราะห์บรรพกาลดวงที่เก้า ต่างก็ทยอยกันปรากฏตัว ในเวลานี้ ดวงดาวทั้งเก้านั้นครองทั้งแปดทิศบนฟากฟ้า ในบรรดานั้นมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งปรากฏอยู่ตรงกลาง มันประจันหน้าเข้ากับดาวเคราะห์เต๋าโดยตรง!

“ดาวเคราะห์บรรพกาล!” จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิดาวตกพึมพำ ในนครดาวตกนี้ ผู้ที่รู้จักดาวเคราะห์บรรพกาลล้วนแต่มีคลื่นกระหน่ำซัดในหัวใจ

ในบันทึกประวัติศาสตร์ของพวกเขา ดาวเคราะห์บรรพกาลเอง…ก็เหมือนดาวเคราะห์เต๋า พวกมันล้วนแต่อยู่ในตำนาน พวกมันล้วนเป็นดาวเคราะห์ที่พยายามเลื่อนลำดับเป็นดาวเคราะห์เต๋าแล้วแต่ไม่สำเร็จ เหล่าดาวเคราะห์บรรพกาลที่ไม่เคยละทิ้งความหวังนี้ดำรงผ่านคืนวันยาวนาน พูดไปแล้วเหมือนพวกมันจะอยู่มาก่อนจักรวรรดิดาวตกด้วยซ้ำ!

กระทั่งอาจกล่าวได้ว่า ปัจจัยที่ขาดไปจนส่งผลให้พวกมันล้มเหลวและไม่อาจเป็นดาวเคราะห์เต๋าได้นั้น จริงๆ ขาดเพียงแค่การยอมรับและโชควาสนาเท่านั้น ขอเพียงมีโชควาสนามากพอ การเลื่อนระดับเป็นดาวเคราะห์เต๋าย่อมเป็นไปได้

ตอนที่ดาวเคราะห์เต๋าซึ่งมีกฎเป็นกระดาษเลื่อนระดับได้ ก็เป็นเพราะราชอาณาจักรดาวตกนั้นอนุญาตให้มันทำสำเร็จ ตัวมันได้รับเจตนารมณ์จากจักรวรรดิดาวตกเป็นแรงหนุนครั้งสำคัญ!

เพราะหากจะนับระดับทั้งหมดจริงๆ ศักดิ์ฐานะของหมู่ดาวเคราะห์บรรพกาลนี้ เกรงว่าจะอยู่สูงกว่าดาวเคราะห์พิเศษ เป็นรองแค่ดาวเคราะห์เต๋าเท่านั้น ทว่าวันนี้เก้าดาวเคราะห์บรรพกาล และดาวเคราะห์เต๋ากลับปรากฏตัวพร้อมกัน ตั้งแต่โบราณจวบจนปัจจุบัน ล้วนไม่เคยมีมาก่อน!

ในสถานการณ์สะท้านโลกนี้ หมู่ดาวรอบทิศทั้งสี่พลันเปล่งแสง แสงแห่งดวงดาวนั้นยากจะใช้คำพูดมาพรรณนาได้ ผู้ที่ได้เห็นเรื่องนี้ทั้งหมดล้วนรู้สึกสมองอื้ออึงไม่หยุด เว้นเพียงหวังเป่าเล่อที่อยู่กลางอากาศ แหงนหน้าจับจ้องแผนภาพดาราเหล่านั้น

เขากำลังจ้องหมู่ดาวรอบด้าน กำลังจ้องดูหมู่ดาวพิเศษนับพันที่อยู่ในวงล้อมด้านใน กำลังจ้องดาวเคราะห์บรรพกาลทั้งแปดตรงใจกลาง กำลังจ้องดาวเคราะห์บรรพกาลดวงที่เก้าซึ่งอยู่ตรงกลางสุด และเขากำลังจ้อง…ดาวเคราะห์เต๋าที่ถูกล้อมอยู่เพียงดวงเดียวนั้น จากนั้นเขาก็เอ่ยปากช้าๆ

“คราวนี้ ข้าไม่ได้ใช้แรงเสริมข้างนอกแล้ว ถ้าอย่างนั้นเจ้า…จะมา หรือไม่มา!”

……………………………………………………………..

หลังจ้องมองกันอยู่ครู่หนึ่ง ถึงแม้จะเป็นเวลาเพียงแค่พริบตาเดียว แต่ภายในใจของหวังเป่าเล่อนั้นเหมือนเวลาดำเนินไปนิรันดร์

กระทั่งความคิดจะเคลื่อนพลังวิญญาณจุติในตำนานยังต้องชะงักในระหว่างนั้น เขาหลับตาทั้งสองข้าง เพื่อปิดภาพท้องฟ้าตระการไปด้วยดวงดาวเบื้องหน้าตน จากนั้นยกมือขวาขึ้นสะบัดไม้กลอง ท่ามกลางหมู่คนรอบด้านที่ต่างก็หัวใจสั่นไหว ตีกลองครั้งที่สิบสี่!

ในระหว่างที่ชายหนุ่มผู้สง่างามและชายหนุ่มชุดดำกำลังสะเทือนใจอยู่นั้น เขาก็ลงมือตีครั้งที่สิบห้า!

และในระหว่างที่ดวงตาของแม่สาวกระพรวนเริ่มแตกไปด้วยเส้นเลือดแดง ใกล้จะอยู่ในสภาวะสิ้นหวังนั้น เขาก็ตีครั้งที่สิบหก!

และสุดท้ายในยามที่ความอาทรเมตตาของโลกใบนี้แผ่ซ่านมาถึง ท่ามกลางการดิ้นรนของดาวเคราะห์เต๋าบนฟ้า เขาก็ตีครั้งที่สิบเจ็ด!

ตึงตึงตึงตึง ติดกันถึงสี่ครั้ง แต่ละครั้งล้วนทำให้ฟ้าดินโห่คำราม ทุกครั้งนั้นทำให้ผืนฟ้าบิดเบี้ยว และทุกครั้งนั้นทำให้จิตวิญญาณของทุกสิ่งในสถานที่แห่งนี้เหมือนถูกกระทบไปด้วยก็ไม่ปาน เสียงอัสนีบาตสะท้อนไม่หยุดอยู่ในสมอง

และเช่นเดียวกัน ทุกๆ ครั้งนั้นคือการตีด้วยกำลังทั้งหมดของหวังเป่าเล่อ ต่อให้มีแรงสนับสนุนดุจมหาสมุทรแห่งความเมตตาจากโลกใบนี้เกื้อหนุน แต่ตัวเขายามนี้ก็ยังคงหอบสะท้าน ร่างกายแทบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ โดยเฉพาะหลังจากครั้งที่สิบเป็นต้นมานี้ เขาต้องใช้แรงของตนเองประคองรับพลังจากภายนอกด้วย

หากสืบสาวต้นเรื่องลงไป ตัวเขาเองมิใช่ผู้ถือพลังฝึกปรือแห่งดาวเคราะห์ และยิ่งไม่ได้ถือครองร่างดาวพระเคราะห์ นี่เป็นเพียงแค่ร่างแยกเท่านั้น!

ครั้งที่สิบเจ็ดนี้ นับว่าสุดกำลังของเขาแล้ว คลองจักษุของเขาพร่าเลือน ส่วนร่างกายเหมือนว่าจะไม่สามารถรับกระแสความปรารถนาดีของโลกใบนี้ได้อีก มันพังทลายลง

แต่ผลลัพธ์ของการเคาะสี่ครั้งนี้ ล้วนแต่กระเทือนฟ้าดินทั้งสิ้น นี่ถึงขั้นที่ว่าเขาได้ทำเรื่องที่ผู้คนตกตะลึงและเคยเห็นเพียงครั้งเดียวในชีวิต เป็นระดับที่ไม่มีใครคาดฝันและไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์จักรวรรดิดาวตกนี้อีกด้วย!

น่านฟ้าในยามนี้ใกล้จะปริแตก สภาพของมันเหมือนถูกบีบให้กลายเป็นวังวนขุมยักษ์ มีเสียงลมพายุโห่กระชากอยู่ด้านใน ผืนดินของจักรวรรดิดาวตกสั่นสะเทือน ในส่วนของดาวเคราะห์เต๋าที่ถูกพลังอันยิ่งใหญ่นับร้อยบังคับลากลงมานั้น แม้จะยังคงดิ้นรนกระชากเงื่อนพลังให้ขาดอยู่เหมือนเดิม แต่หลังจากหวังเป่าเล่อตีกลองสู่สวรรค์อย่างต่อเนื่องไปถึงสี่ครั้ง ทำให้เส้นพลังจำนวนมาก เริ่มกลายสภาพจากร่างมายาเป็นฝ่ามือขนาดยักษ์หนึ่งมือ คว้า…จับดาวเคราะห์เต๋าไว้!

ในพริบตาที่มันคว้าดาวเคราะห์เต๋านี้ หัวใจหวังเป่าเล่อโห่ร้องรุนแรง แม้ว่าจะเป็นการคว้าจากระยะไกล แต่ความรู้สึกที่ได้สัมผัสนี้ ทำให้พริบตานั้นเขาพลันเข้าใจถึงกฎแห่งดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้ทันที

ลมปราณทั่วร่างพวยพุ่งขึ้นฟ้า หลอมรวมเข้ากับโลกใบนี้ กลายเป็นเอกะสภาวะเดียวกัน ราวกับว่าเขาหยิบยืมเจตจำนงค์แห่งแผ่นดินและโชควาสนาของจักรวรรดิดาวตกมาไว้กับตนเอง และไม่ยอมให้มีพลังใดๆ มาต้านทั้งสิ้น ในพริบตาที่คว้าดาวเคราะห์เต๋าได้ หวังเป่าเล่อก็ใช้พลังทั้งหมดที่มีคำรามเสียงหนึ่ง แล้วจัดการลากมันอย่างแรง!

“ลงมา!”

การลากครั้งนี้พาให้ทุกคนรู้สึกว่าผืนดาราเบื้องหลังกำลังเอนตามลงมาด้วยกัน ส่วนเงาร่างที่กำลังดิ้นรนของดาวเคราะห์เต๋านี้พลันระเบิดแสงที่รุนแรงจนสุดกำลัง จากตอนแรกที่อยู่ในสภาวะเรือนราง ตอนนี้มันถูกลากร่างที่แท้จริงออกมากว่าครึ่ง!

ท่ามกลางเสียงสะท้อนก้อง ท้องฟ้าร่วงหล่น ดาวเคราะห์ขนาดมโหฬารก็ปรากฏกายบนนภา กินพื้นที่ไปมากกว่าสามส่วนของผืนฟ้า มันถูกบีบให้เผยร่างดาวเคราะห์ของมันมากกว่าเจ็ดส่วนแล้ว!

จากมุมนี้ยังสามารถเห็นได้ชัดเจนว่า กว่าครึ่งของดาวเคราะห์นี้ ไม่ได้เป็นภาพมายาอีกต่อไป แต่นี่คือร่างจริงของมัน และในสภาวะที่สามารถเห็นร่างจริงได้นี้ ยิ่งทำให้ทุกผู้คนเห็นชัดเจนว่า…รูปลักษณ์ทั้งหมดของดาวเคราะห์เต๋านี้ ผิดแผกจากดาวดวงอื่นอย่างยิ่ง มันที่ลอยอยู่บนท้องฟ้านี้ ลักษณะดูเหมือน…ดาวกระดาษ!

อีกทั้งหลังถูกลากออกมากว่าครึ่งแล้ว แสงของดาวเคราะห์เต๋าก็กลับระเบิดขึ้นอีกครั้ง กลายเป็นลำแสงเสียดแทงลูกตา ก่อเกิดมหาสมุทรแห่งลำแสง จากนั้นในจังหวะที่แสงนี้อาบทั่วทั้งจักรวรรดิดาวตกถึงที่สุด แสงนี้ยังเจือไปด้วยความโกรธชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน แผ่ออกจากดาวเคราะห์เต๋า หลังจากนั้นก็ตามมาด้วยทะเลลำแสงที่ตกลงมา!

ความโกรธานี้แห่งดาวเคราะห์เต๋าเดือดยิ่งนัก เห็นได้ชัดเจนว่าพลังสายนี้บิดสภาพแปรเป็นทะเลเพลิง ดาวเคราะห์เต๋าหวังจะเผาผลาญโลกใบนี้ทิ้งเสีย เพราะในฐานะดาวเคราะห์เต๋า มันย่อมมีปณิธานของตนเอง มันสัมผัสได้ถึงชีวิตเล็กๆ ทั้งหมดบนผืนดินนี้ ไม่ว่าจะเอาสิ่งใดไปเทียบ คนเหล่านี้ก็ดูอ่อนแอจนต้องสยบต่อมัน ระดับความแตกต่างของมันกับที่นี่ย่อมเหมือนช่องว่างยักษ์ใหญ่ระหว่างฟ้าและผืนดิน

เพียงแค่…มันกำเนิดมาในจักรพิภพดาวตก และเพราะว่ากฎของมันนั้นก่อกำเนิดมาจากจักรวรรดิดาวตก ดังนั้นจึงเป็นเหมือนสัญญาโบราณฉบับหนึ่ง ทำให้ตัวมันเองมีความสัมพันธ์แนบแน่นกับนครดาวตก และถึงขั้นต้องยอมอยู่ใต้อาณัติอย่างเลี่ยงไม่ได้!

การบังคับนี้…ก่อนหน้า มันไม่เคยสนใจ เพราะว่าจักรวรรดิดาวตกไม่เคยเข้ามายุ่งกับการเลือกของกลุ่มดาว แต่ว่ากลับบังคับให้มันต้องแสดงท่าทีนี้ออกมา

สิ่งนี้ทำให้มันผู้แสนจะจองหอง แม้จะถูกลมปราณอันสูงศักดิ์จากต่างพิภพลากลงมา แต่ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าชีวิตเล็กจ้อยเหล่านี้ มันทำได้เพียงแสดงอาการดิ้นรนขัดขืนจากการถูกลาก แต่ก็ไม่อาจหุนหันตอบโต้ต่อการล่วงละเมิดนี้ได้

ทั้งหมดนี้ เป็นเพราะโชควาสนาของทั้งจักรวรรดิดาวตก ผนวกรวมอยู่บนตัวเจ้าสิ่งมีชีวิตเล็กจ้อยนี่ และเพราะเจตจำนงค์แห่งจักรวรรดิดาวตกเอง หวังให้มันร่วงหล่น ราวกับทั้งสองสิ่งจะบอกให้มันยอมเลือกหลอมรวมกับอีกฝ่าย ยอมเป็นดาวเคราะห์บริวาร!

นี่ไม่ใช่สิ่งที่มันต้องการ ดังนั้นมันจึงขัดขืน มันไม่ชอบเจ้าหมอนี่ มันไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะตระหนักถึงนามแห่งดาวเคราะห์เต๋า กระทั่งความรู้สึกที่มันถึงขั้นเกลียดชังยามมองเจ้าคนผู้นี้ เพราะในความเห็นของมันแล้วการที่อีกฝ่ายตีกลองมาได้จนถึงจุดนี้ ทั้งหมดก็เพราะอีกฝ่ายอาศัยพลังจากภายนอกทั้งสิ้น คนประเภทนี้ มันไม่ต้องการ!

ทางเลือกของมัน ก็คือคนข้างๆ ที่ยอมให้มันเป็นนาย และยอมลดตนเองเป็นรอง

นี่สิคือทางเลือกของมัน!

ดังนั้นมันจึงเดือดดาล มันดิ้นรน ความโกรธของมันแผ่ซ่าน ทะเลแสงระเบิดออกท่วมรอบตัวดาวเคราะห์เต๋า จนก่อเกิดเงาแห่งพระเพลิง ราวกับมันกำลังลุกไหม้ นี่มิใช่การเผาตัวตาย แต่ตัวมัน…วางแผนแยกตัว!

ดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้ ตัดสินใจแสดงท่าทีแยกออกจากจักรวรรดิดาวตก และแสดงตนว่าจะไม่ยอมศิโรราบต่อความคิดนี้แล้วเลือกหวังเป่าเล่อแน่!

แม้มันไม่ได้เอ่ยคำ แต่ความโกรธของมันที่แผ่กระจายอยู่ ก็ทำให้ทุกสิ่งในจักรวรรดิดาวตกนี้พลันเข้าใจเจตนาของมันทันที ทุกคนล้วนแต่ค่อยๆ นิ่งเงียบไป

เพราะเจตจำนงที่ดาวเคราะห์เต๋าแสดงออกมานี้ก็คือการไม่พอใจที่หวังเป่าเล่อยืมใช้พลังจากภายนอก ซึ่งในความรู้สึกของคนจำนวนมากก็คือเรื่องที่สมควรเกิดแล้ว

เพราะหากเทียบไป ไม่ว่าจะเป็นแม่สาวกระพรวนหรือชายหนุ่มชุดดำ ถึงพวกเขาจะยืมใช้พลังภายนอกอยู่บ้าง แต่โดยรวมทั้งหมด ในสายตาของคนส่วนใหญ่ก็เห็นสองคนนี้พึ่งพิงกำลังตนเอง

“เจ้ายอมแตกหักกับจักรวรรดิดาวตก แต่ไม่ยอมเลือกข้า? เพราะเจ้าเห็นว่าข้ายืมใช้แรงจากภายนอกรึ?”

เขาแหงนหน้ามองดาวเคราะห์เต๋าที่ตนดึงออกมาครึ่งหนึ่งนั้น พลางเผยรอยยิ้มเย็นชา เขาหันกายไปมองจักรพรรดิดาวตกที่อยู่ในตำหนักหลักนั้น ประสานมือน้อมลงต่ำคราหนึ่ง

“ขอผู้อาวุโสโปรดเก็บโชคของท่านกลับไปเถิด!”

หลังการนิ่งเงียบสั้นๆ ของจักรพรรดิ ก็มีเสียงถอนหายใจบางเบา เสียงนี้สะท้อนชัดเจนในก้นบึ้งหัวใจของทุกวิญญาณบนโลก หลังการสะท้อนของเสียงนี้ พลังภายในร่างของหวังเป่าเล่อก็กระจายเป็นแสงห้าสี สีขาวหมายถึงท้องฟ้า สีดำแทนผืนดิน สีเขียวแทนชีวิต สีฟ้าแทนมหาสมุทร และสีขาวแสดงถึงกฎ

แสงเหล่านี้รวมตัวกันอยู่ที่หว่างคิ้วของหวังเป่าเล่อ แล้วสุดท้ายก็กระจายออกไปนอกร่างของเขา แปรเป็นรุ้งห้าแฉกยาวเหยียดกลับสู่ฟ้าดิน

หลังจากที่พวกมันจากไป ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็สูญเสียพลังค้ำยัน ในเวลานี้เมื่อไม่มีโชคแห่งจักรวรรดิดาวตกแล้ว ปราณอาทรจากโลกใบนี้ก็หายไป…กล่าวได้ว่าทุกอย่างกลับไปสู่จุดเดิมแล้ว เขาพิงตัวกับกลองสู่สวรรค์ ฝืนยืนอยู่ตรงนั้น ลมหายใจอันอ่อนแอของเขาในยามนี้กลับยังมีเจตจำนงที่น่านับถือขุมหนึ่งทะยานกลับขึ้นมา!

ในเวลานี้เอง ทุกผู้คนในจักรวรรดิดาวตกต่างเพ่งมอง ดาวเคราะห์เต๋าที่ถูกลากลำตัวครึ่งหนึ่งออกมากลางฟ้าและกำลังโกรธเคืองนี้ กำลังมองหวังเป่าเล่อด้วยท่าทีลังเล

“ข้าไม่แน่ใจว่าเจ้าแค่หาข้ออ้างเพียงเพราะไม่ต้องการจะหลอมรวมกับข้าหรือไม่”

“แต่ไม่ว่าอย่างไร ข้าคืนพลังจากภายนอกทั้งหมดไปแล้ว เช่นนั้นต่อไปนี้…เจ้าจงดูให้ชัด!” หวังเป่าเล่อเอ่ยนิ่งๆ แต่เมื่อกล่าวถึงห้าคำสุดท้าย เขาก็พลันแหงนหน้าขึ้น นัยน์ตาทั้งสองที่ดูหม่นในคราแรกเพราะโชคและปราณแห่งความปรารถนาดีจางไปโดยไม่ทันตั้งตัว กลับพลันระเบิดออก นัยน์ตาของเขาเปล่งประกายแสงที่โชติช่วงกว่าก่อนหน้า

แสงเจิดจ้านี้…พูดให้ชัด…คือ…แสงดารา!

“ดาวเคราะห์ วิญญาณจุติ!” ในใจของหวังเป่าเล่อคำรามลั่นเสียงต่ำ มือทั้งสองของเขาชูขึ้นสู่ฟากฟ้า!

………………………………….

คำพูดประโยคนี้ หากกล่าวว่าเป็นการพูดกับดาวเคราะห์เต๋า ก็ไม่สู้บอกว่าเป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อกล่าวกับตนเอง การตีกลองสู่สวรรค์ดำเนินมาถึงจุดนี้ ทุกคนล้วนแต่รู้สึกว่านี่คงจะเป็นเสียงตีครั้งสุดท้ายแล้ว

แต่หวังเป่าเล่อไม่คิดเช่นนั้น เพราะว่าเขายังมีของอีกมากมายที่ยังไม่ทันได้ใช้ ตามที่เขาคิดเอาไว้นั้น ขอเพียงยืนหยัดช่วงชิงให้ได้มากที่สุด พึ่งพิงความสามารถของตนเองในการตีครั้งหลังๆ เช่นนี้ถึงจะสามารถชิงเอาดาวเคราะห์เต๋ามาได้

แต่ว่าในยามนี้ หวังเป่าเล่อเริ่มหมดความอดทนกับความหยิ่งของดาวเคราะห์เต๋าเสียแล้ว

“เจ้าหยิ่งนักใช่ไหม ข้าหยิ่งมากกว่าเจ้าอีก!” หวังเป่าเล่อในใจพกความหงุดหงิด จังหวะที่ดาวเคราะห์เต๋าทอแสงเลือกแม่สาวกระพรวนนั้นเอง มือขวาของเขาก็หนีบเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมา

เมื่อมองเห็นกระดาษแผ่นนี้ กระดาษรูปมนุษย์ตรงลานทั้งหมด ล้วนแต่ร่างกายสะท้าน พวกเขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกมืดมนที่กระดาษแผ่นนี้ส่งออกมาได้ กระดาษแผ่นนี้มีความเกี่ยวข้องแนบแน่นกับพวกเขา!

กระดาษแผ่นนี้ ก็คือกระดาษแผ่นที่จักรพรรดิดาวตกมอบให้ เมื่อจุดไฟเผา ก็จะสามารถได้รับโชคมงคลของจักรวรรดิดาวตกมาเป็นแรงเสริม อาศัยสิ่งนี้ในการน้อมนำแสงดาวเคราะห์พิเศษให้มาหาได้ หลังจากที่หยิบมันออกมา หวังเป่าเล่อก็พลันโบกมือ กระดาษแผ่นนี้ลุกไหม้ เพลิงขุมนี้ส่งผลให้เหล่าประชากรกระดาษรูปมนุษย์ในจักรวรรดิดาวตกล้วนสะท้านกายเบาๆ เหมือนมีพลังงานที่มองไม่เห็นกระแสหนึ่งหลุดออกจากร่างของพวกเขา และเหมือนหลุดออกจากทุกสถานที่ รวมถึงราชวังดาวตกเองด้วย

ราวกับว่าการเผากระดาษแผ่นนี้เป็นคำบัญชาประการหนึ่ง ในพริบตานั้นเอง คลื่นพลังรอบด้านทั้งแปดทิศต่างหมุนคว้าง กระทั่งตัวจักรพรรดิดาวตกเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น กระแสปราณที่มาจากทั้งสี่ทิศแปดทางนี้ หลังออกมาแล้วก็หลอมรวมกัน พลันมีเสียงกู่คำรามดังลอดมาจากช่องว่างฟ้าดิน เสียงกู่คำรามนี้สะท้อนไปทั่ว กระทบไปยังท้องฟ้า ทำให้บนท้องฟ้าที่มีดาวแขวนเพียงดวงเดียวนี้บังเกิดคลื่นเป็นริ้วๆ เหมือนเกล็ดปลา

ริ้วคลื่นนี้เหมือนยิ่งทวีจำนวน สุดท้ายท่ามกลางเสียงกู่ร้องนี้ พลันปรากฎร่างมายาของกระดาษรูปกิเลน มันโห่คำรามไปยังฟากฟ้า ภายใต้สายตาของผู้คนนับหมื่น ภายใต้ดวงตาเหม่อลอยของชายหนุ่มชุดดำและชายหนุ่มผู้สง่างาม รวมถึงสีหน้าผันเปลี่ยนเสียประกายของแม่สาวกระพรวน กระทั่งตัวของดาวเคราะห์เต๋าเองนั้นก็ยังสะท้านไหวครู่หนึ่ง เสียงหวีดหวิวจากนอกราชวังเสียงนี้ พุ่งตรงมายัง…หวังเป่าเล่อซึ่งยืนอยู่ข้างกลองสู่สวรรค์

พริบตาที่มาถึง กระดาษรูปกิเลนพลันซ้อนร่างเข้ากับร่างของหวังเป่าเล่อ หลอมรวมเป็นหนึ่ง ส่งผลให้ร่างกายหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งขึ้น พลังอำนาจอันมหาศาลพลันระเบิดออก พาให้วิญญาณและพลังแฝงก่อนหน้าที่เหือดแห้งไปสิ้นแล้ว ในพริบตานี้ได้กลับมาสำแดงฤทธิ์ใหม่อีกครั้ง รอบด้านคงเหลือคลื่นพลังจำนวนมากที่ไม่อาจเข้าสู่ร่างกายของเขาได้บางส่วน…ทำได้เพียง…ระเบิดพร่าง!

“ครั้งที่สิบเอ็ด!” จังหวะนี้หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเร่งเข้า ดวงตาทอประกายปลาบ ท่ามกลางสายตาของคนนับหมื่น เขาแหงนหน้าคำรามลั่นทะยานไปเบื้องหน้า มือที่ถือไม้กลองนั้นทอประกายสุกสว่างพุ่งไปยังกลองสู่สวรรค์ ในพริบตาที่มาถึง กลองสู่สวรรค์ก็บังเกิดเสียงสะท้อนลั่น เสียงที่ได้ยินออกมานั้น…ก็คือ…การตีกลองครั้งที่สิบเอ็ด ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิดาวตก!

ตึง!!

เสียงนี้สนั่นก้องนภากว้าง ยิ่งใหญ่จนผู้คนขวัญผวา ทำให้ดาวเคราะห์เต๋าบนฟ้านั้นสั่นคลอนเล็กน้อย บนผืนดินกลับสะเทือนหนักหน่วง ราวกับว่ามีคลื่นปราณขนาดใหญ่แผ่ซ่านออกจากกลองสู่สวรรค์ใบนี้ มันกวาดผ่านทั้งสี่ทิศ ในเวลาเดียวกันก็เหมือนว่าจะแยกฟ้าดินออกได้ และสิ่งที่ทำให้ผู้คนตกใจมากสุด กลับเป็นดาวเคราะห์เต๋าดวงนั้น ราวกับว่าเมื่อเสียงกลองนี้ดังขึ้น ก็บังเกิดพลังขุมหนึ่งซึ่งบังคับลากมันออกมา ซึ่งมันไม่อาจปฏิเสธได้ ตัวมันเองชะงัก ก่อนที่ภาพเลือนลางของดาวเคราะห์จะผันเปลี่ยน กลายเป็นของจริง!

ตอนแรก เพราะคำสาบานของแม่สาวกระพรวน มันก็ยอมเผยร่าง แต่นั่นคือการโน้มน้อมโดยใจสมัคร มาตอนนี้…ตัวมันกลับถูกพลังอันกล้าแข็งกว่าชี้นำเสียแล้ว

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ดาวเคราะห์เต๋าที่เห็นๆ กันอยู่ว่ามีจิตวิญญาณ ความคิด และอารมณ์ บังเกิดความโมโหขึ้นมา มันพยายามดิ้นหลุดจากการชี้นำนี้ แต่ว่าขณะที่มันดิ้นรนอยู่นั้นเอง…ดวงตาของหวังเป่าเล่อพลันปรากฏความยโส อาศัยคลื่นพลังภายในร่าง ทำการเคาะลงไปยังกลองสู่สวรรค์อีกครั้ง!

“ครั้งที่สิบสอง!”

ในพริบตาที่เสียงกลองทำฟ้าตื่นแผ่นดินไหว กลบเสียงทั้งหมดในผืนดินนี้ เสียงดังกล่าวกระหน่ำระรัวราวกับสามารถจับต้องได้ จากนั้นกลายสภาพเป็นพายุคลั่งกระหน่ำสี่ทิศ ทำให้ดาวเคราะห์เต๋าที่อยู่ตรงนั้นถูกเหนี่ยวนำรุนแรงกว่าเก่า และทำให้ทุกชีวิตในจักรวรรดิดาวตกแห่งนี้ บังเกิดเสียงคลื่นในสมองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทุกคนสูญสิ้นความสามารถในการนึกคิดไป

และโดยไม่รอให้พวกเขาตั้งตัวได้ หวังเป่าเล่อหอบหายใจกระชั้น เขาคำรามเสียงดังอีกครั้ง จากนั้นใช้ร่างที่ได้รับโชคเสริมของจักรวรรดิดาวตกนี้ ลงมือเคาะกลอง…ครั้งที่สิบสาม!

เมื่อการตีกลองครั้งที่สิบสามเริ่มปรากฏเป็นครั้งแรก ฟ้าดินก็สะท้านก้อง เส้นเงาที่ไม่เคยมีผู้ใดพบเห็นมาก่อนนั้นบังเกิดขึ้นบนฟากฟ้า ตวัดรัดไปทางดาวเคราะห์เต๋า เส้นเงานี้ราวกับเป็นตาข่ายขนาดยักษ์ ซึ่งหมายดึงร่างมายาของดาวเคราะห์เต๋า

ฉากนี้ นับว่าเป็นการไม่เคารพต่อดาวเคราะห์เต๋าแล้ว ทำให้ดาวเคราะห์เต๋าซึ่งมีความคิดและอารมณ์ดวงนี้ เกิดอารมณ์โกรธหนักกว่าเก่า มันพยายามดิ้นรนอย่างหนัก

หลังจากดิ้นรน มันก็ระเบิดพลังส่องหล้า ทำให้ผืนราตรีในยามนี้ส่องสว่างราวกับกลางวัน และทำให้เหล่ากระดาษรูปมนุษย์ทั้งหมดรวมถึงทุกสถานที่ในจักรวรรดิดาวตกนี้ เริ่มฟื้นสติขึ้นมาจากความตกใจก่อนหน้า พวกเขาส่งเสียงฮือฮากับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น

“ครั้งที่สิบสาม ไม่เคยปรากฏมาก่อน!”

“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น ทำไมเหมือนข้าไปช่วยเขาน้อมดาราเลยเล่า!”

“นี่คือยอดมหาศิษย์แห่งเต๋าที่แท้จริง! ข้าสัมผัสได้ว่าดาวเคราะห์เต๋านั้นโกรธนัก สวรรค์ นี่ไม่ใช่ได้รับการยอมรับจากดาวเคราะห์เต๋าแล้ว นี่มันคือ…การล่าดาวเคราะห์เต๋า!!”

เสียงฮือฮาของคนนั้นครอบคลุมไปทั่วสารทิศ กระทั่งจักรพรรดิดาวตกในยามนี้ดวงตายังทอแสงประหลาด สีหน้าแสดงออกชัดว่านี่ไม่เหมือนกับที่เขาคิดเอาไว้ แต่เมื่อลองตรึกตรองละเอียด นี่ก็คล้ายกับที่เขาเข้าใจตัวเซี่ยต้าลู่ผู้นี้อีก เดาจากภูมิหลังของอีกฝ่ายก็พอเดาได้ว่าน่าจะลงมือเช่นนี้ ก็นับว่ายังอยู่ในความคาดหมาย

กระทั่งตัวจักรพรรดิยังเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ต้องไปพูดถึงชายหนุ่มผู้งามสง่าและชายหนุ่มชุดดำอีก ทั้งสองคนในยามนี้เหมือนสมองพลิกกลับ พวกเขามองดูหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาเหมือนเห็นผีไม่ปาน จะพูดว่าตอนนี้พวกเขาทั้งสองมองว่าหวังเป่าเล่อเป็นเทพ ก็ไม่เป็นการบรรยายที่เกินไปนัก

ส่วนแม่นางกระพรวนเพียงหนึ่งเดียวตรงนั้น ร่างกายนางสั่นสะท้านรุนแรง ดวงตาฉายประกายเกลียดชังคลั่งแค้น ใจคิดอยากพุ่งไปหยุดยั้งเรื่องราว แต่ตัวนางกลับไม่เหลือแรงใดๆ สิ่งที่นางทำได้มีเพียงเบิกตามองดูหวังเป่าเล่อเคาะกลอง และมองดูดาวเคราะห์เต๋าดวงนั้นเดือดดาล

“มีอะไร นี่มันต่างจากการไล่จับผู้หญิงที่ไหนกัน หลักการเดียวกัน หากว่าเจ้าจะไม่แยแสข้าล่ะก็ สู้ให้เจ้าโกรธข้าดีกว่า!” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ในเวลานี้เขาเองยอมทุ่มตัวไปแล้ว ย่อมไม่สนฐานะดาวเคราะห์เต๋าของอีกฝ่าย คิดแล้วตาข่ายน้อมดาราในการตีสิบสามครั้งเกรงว่าจะไม่พอ เพราะยามที่ดาวเคราะห์เต๋าดื้อรั้นโมโหนี้ ตาข่ายเหล่านี้ก็ค่อยๆ ปริออกทีละเส้น

“ยังไม่จบหรอก” หวังเป่าเล่อดวงตาทอประกาย กำลังจะปลดวิญญาณจุติในตำนานซึ่งสะกดอยู่ในร่างของตนตั้งแต่ต้นออกมา อาศัยพรสวรรค์แห่งพลังนี้ ทดลองตีลงไปอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันที่จะได้ใช้พลังวิญญาณจุติของเขา ทันใดนั้น…

ผนึกในเริ่มแรกของเขาฟื้นคืนเป็นปกติ กระแสความปรารถนาดีที่ตนได้รับตั้งแต่จากทะเลกระดาษสีดำมา ในเวลานี้นั้น กลับเข้าเสริมพลังให้เขาน้อมดาราลงมาอย่างสมบูรณ์!

จังหวะนี้เอง กระแสสมุทรแห่งความอาทรซึ่งแผ่ซ่านมาจากผืนดินของจักรวรรดิดาวตกนี้ แผ่ซ่านมาจากผืนฟ้า แผ่ซ่านมาจากทุกกระดาษรูปภูเขาแลศิลา แผ่ซ่านจากแม่น้ำ ต้นไม้ และไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่ก็ตาม ในเวลานี้สรรพสิ่งนับหมื่นในจักรวรรดิดาวตก ล้วนแต่แผ่กระแสแห่งความปรารถนาดีอันเห็นได้ชัดออกมา!

ความปรารถนาดีเหล่านี้เมื่อหลอมรวมกัน ก็กลายเป็นเจตจำนงสายหนึ่ง คือเจตจำนงแห่งหมื่นสรรพสิ่ง และ…คือความเมตตาแห่งจักรวรรดิดาวตก พลังนี้อาบทอรอบดินแดน พูดไปแล้วราวกับว่าพลังทั้งหมดของโลกใบนี้ มุ่งรวมมายังตัว…หวังเป่าเล่อ!

นี่คือกระแสเมตตาแห่งดาวเคราะห์ และคือความรู้สึกขอบคุณของโลกใบนี้!

ในพริบตานี้เอง หากใช้คำว่าบุตรรักแห่งสวรรค์ ไม่ก็ศิษย์แห่งความโชคดีมาเรียกตัวหวังเป่าเล่อ เกรงว่าอาจจะยังไม่เหมาะสมด้วยซ้ำ อีกทั้งภายใต้การหลอมรวมของพลังทั้งหลายเหล่านี้ ทำให้กระทั่งตัวหวังเป่าเล่อเองยังตะลึง ร่างของเขาลอยขึ้นไปด้านบน เจตจำนงมากมายไหลหลั่ง ความมึนงงเข้าครอบคลุมวูบหนึ่ง เขารู้สึกคล้ายกับว่าในชั่วพริบตานั้น ตนเองกลายเป็นท้องฟ้า กลายเป็นหมื่นสรรพสิ่ง กลายเป็นฝูงชน และกลายเป็น…โลกใบนี้!

หวังเป่าเล่อแหงนหน้ามองท้องฟ้า เขาพบดาวเคราะห์เต๋ากลางหมู่ดาวดวงเดิมนั้นซึ่งยังรางเลือนเหมือนเก่า แต่เขาเห็นมันสั่นเทา ราวกับว่าดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้ไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้ที่มันเหยียดหยามคนนี้ กลับสามารถหลอมรวมพลังปราณแห่งโชคได้!

นอกจากดาวเคราะห์เต๋าแล้ว หวังเป่าเล่อยังมีโชคระดับจิตวิญญาณอีกด้วย ภายในร่างของเขานั้นพลังวิญญาณจุติพลันหมุนเคลื่อน การหมุนเคลื่อนนี้ ทำให้สมองของเขามีเสียงก้องในพริบตา ราวกับภาพเบื้องหน้าแปรเปลี่ยน เขาพลันมองเห็นดาวเคราะห์ที่แอบซ่อนตัวอยู่มากมายบนท้องฟ้า ในความหมายนี้คือ…ดวงดาวทั้งหมด ไม่หายไปแม้แต่ดวงเดียว ในจำนวนนั้นยังรวมถึงดาวเคราะห์พิเศษ อย่างเช่นดาวเคราะห์ลำดับหนึ่งทั้งสามสิบเจ็ดดวงเหล่านั้นด้วย

แล้วก็ยังมี…ดาวเคราะห์ที่แผ่แสงเก่าแก่ซ้อนทับ ให้ความรู้สึกถึงคืนวันอันยาวนาน ระดับแสงของมันนั้นเหนือกว่าดาวดวงใด แต่ก็ยังเป็นรองดาวเคราะห์เต๋า!

หวังเป่าเล่อทราบดี ดาวเคราะห์เหล่านี้ก็คือ…ดาวบรรพกาลที่จักรพรรดิดาวตกบอก!

เขากำลังมองพวกมัน และพวกมันเองก็…กำลังมองเขา!

ที่ประหลาดก็คือ หวังเป่าเล่ออยู่ข้างล่างชัดๆ กลับให้ความรู้สึกเหมือนมองจากเบื้องบนลงไป แต่สำหรับดาวบรรพกาลทั้งเก้านั้นแม้อยู่บนฟ้าชัดๆ แต่เมื่อมองหวังเป่าเล่อ พวกมันรู้สึกเหมือนต้องแหงนหน้ามอง!

………………………………….

ในเวลานี้ท้องฟ้าพร่างดาวปรากฏลมพายุ ดวงดาวนับไม่ถ้วนพลันส่องแสงมลังเมลือง ทำให้ทั้งฟ้าดินเปลี่ยนเป็นสีเดียวกัน ในพริบตานั้นดาวเคราะห์พิเศษทั้งห้าก็ปรากฏร่างออกมา แม้ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มผู้งามสง่าจะไม่เหลียวแลพวกมัน แต่ในยามนี้พวกมันกลับหอบเอาความหวังเต็มเปี่ยม ทุ่มเทส่องแสงนับจ้าไกลหมื่นจั้งออกมา!

พื้นดินถูกอาบด้วยแสงอันยิ่งใหญ่ พาให้หัวใจของเหล่ากระดาษรูปมนุษย์มากมายรู้สึกราวกับถูกแสงเหล่านี้ชำระจิตวิญญาณ แต่ว่า…บนท้องฟ้าเคล้าพายุที่เต็มไปด้วยแสงดารานี้ แม้จะมีดาวเคราะห์พิเศษโผล่ออกมาถึงห้าดวง แต่ดาวเคราะห์เต๋า…กลับไม่ยอมปรากฏออกมาอีกครั้ง!

หลังจากเสียงกลองดังครั้งที่เก้า ท่ามกลางแสงดาวเจิดจ้าบนฟากฟ้า พลังที่มาจากการตีกลองครั้งที่เก้าก็เริ่มสะท้อนกลับ ผู้แรกที่รับแรงกระแทกไม่อยู่คือตัวชายหนุ่มชุดดำที่อบอวลไปด้วยไอพิฆาต ทั้งร่างของเขาสะท้านรุนแรง มุมปากกระอักโลหิต ร่างกายเหมือนจะเหี่ยวแห้งลง พลังบนร่างดูหม่นทึมไปในทันใด ร่างกายของเขาถึงขั้นโอนเอน ราวกับว่าจะล้มพับไปข้างกลองเอาได้ทุกเมื่อ

อย่างไรก็ดีเขายังคงฝืนอยู่ กัดฟันหยิบศิลาสีดำชิ้นหนึ่งออกมาจากอก ไม่รู้ว่าวัตถุนี้หลอมมาจากสิ่งใด แต่ในพริบตาที่เขาบีบมัน มันก็พลันแปรสภาพกลายเป็นปราณดำลอยเข้าสู่ทวารทั้งเจ็ดของชายหนุ่ม ทำให้สีหน้าของเขากลับมามีเลือดฝาด กระแสชีวิตที่ยามแรกดูห่อเหี่ยวนั้นก็พลันฟื้นคืนมาอีกครั้ง

พูดไปแล้ว คนอื่นๆ ก็พอมองออก ศิลาที่เขาใช้นี้ เกรงว่าน่าจะเป็นยาที่ให้ผลชะงัดนัก มันแสดงพลังได้รวดเร็วเพียงอาศัยเวลาแค่อึดใจเท่านั้น ทว่าแม้มันจะมีส่วนช่วยเพิ่มพูนพลังชีวิต แต่ระยะเวลาใช้งานอาจไม่นาน อีกทั้งภายหลังใช้แล้ว พลังกายก็จะถดถอยไม่เบาทีเดียว

แต่ว่าในตอนนี้ ชายหนุ่มชุดดำไม่สนใจสิ่งใด เพราะเป้าหมายของเขาคือดาวเคราะห์เต๋า ในยามนี้หลังจากตีกลองครั้งที่เก้าสำเร็จ เขาก็พลันแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า หลังจากมองไม่เห็นดาวเคราะห์เต๋า เขาก็หอบหายใจหยาบ ประกายตาพลันเปลี่ยนเป็นปรารถนาและบ้าคลั่งเหมือนชายหนุ่มสง่างามรายนั้นไม่ผิดเพี้ยน

“ครั้งที่สิบ!”

ยังมีแม่สาวกระพรวน ทางนั้นก็เป็นเช่นเดียวกัน สำหรับนางแล้วการตีเก้าครั้งก็ถือว่าได้ใช้สุดพลังชีวิตและพลังฝึกปรือของนางแล้ว ในเวลานี้อวัยวะของนางทุกสรรพางค์ล้วนย่ำแย่ กระแสจิตโอนเอน กระทั่งกระพรวนชีวิตบนข้อมือของนางยังสั่นไหวไม่หยุด ค่าตอบแทนที่นางต้องจ่ายคือรอยแยกบนกระพรวนสามรอย สิ่งนี้ช่วยให้นางรับพลังสะท้อนจำนวนกว่าครึ่งได้ พอกล้ำกลืนให้นางยืนหยัดอยู่ไหว

นางหอบหายใจกระชั้นหยาบ หลังจากมองหาดาวเคราะห์เต๋าเช่นเดียวกับชายหนุ่มชุดดำแล้ว นัยน์ตานางก็ทอประกายคลุ้มคลั่ง

“ครั้งที่สิบ!!”

แน่นอนว่าหวังเป่าเล่อก็อยู่ในสภาวะเช่นเดียวกัน เขาพยายามปรับลมหายใจตนเอง ร่างกายสะท้าน แรงกระแทกครั้งที่เก้านั้นทำให้ร่างเขาแทบสลาย แต่พลังรากฐานอันมั่นคงหยั่งลึกอีกทั้งจิตวิญญาณของตัวเขาที่หนักแน่นมากกว่าคนอื่นๆ นั้น ยังทำให้ในเวลานี้เขายังมีพลังเหลืออยู่ ยังไม่ถึงขีดจำกัด

“ข้ายังทำได้!”

ทั้งสามคนพูดออกมาแทบจะพร้อมกัน สั่นสะท้อนไปทั้งลาน ทั้งผืนดิน ทั้งผืนฟ้า จากนั้นทั้งสามก็ระเบิดพลังออกมาอีกครั้ง ในเวลานั้นพวกเขาควงไม้กลองน้อมดารา มุ่งหมายจะตีกลองครั้งที่สิบให้ได้!

เสียงก้องสะท้อนฟ้า ในพริบตานั้นเองพลังที่แผ่ออกก็แทบจะพลิกทั้งจักรวรรดิดาวตกได้ ฟ้าดินเปลี่ยนสี พายุหมุนวน ราวกับนภากำลังเขย่าคลอน ผืนดินไหวรุนแรง ทั้งฝืนฟ้าในพริบตานี้ เห็นได้ว่ามีแสงดาวมากมายที่ส่องลงมาพลันแปรสภาพ ทุกแสงแห่งดวงดาราหม่นทึบ กระทั่งผืนฟ้าแปรเปลี่ยนเป็นม่านราตรีดำสนิท!

จากสิ่งที่ชายหนุ่มผู้สง่างามเจอมาก่อนหน้า นี่ควรจะเป็นฉากก่อนดาวเคราะห์เต๋าปรากฏโฉม จังหวะนี้คนในจักรวรรดิดาวตกนับไม่ถ้วนต่างก็กลั้นลมหายใจ แหงนหน้ารอดู

เพียงแต่ชายหนุ่มชุดดำผู้นี้ทนไม่ไหวเสียแล้ว เขาระอักเลือดออกมาไม่หยุด เส้นผมของเขากว่าครึ่งศีรษะพลันเปลี่ยนเป็นสีเทา ร่างกายทรุดลงกระแทกพื้น ส่วนไม้กลองน้อมดาราในมือนั้นหลุดจากการควบคุม แตกสลาย กระจายเป็นผลึกแสงระยิบระยับจางหายไป

ส่วนแม่สาวกระพรวนเองก็กระอักเลือดเช่นกัน สีหน้าของนางซีดทรมานเป็นที่สุด อีกทั้งร่างกายรู้สึกเหมือนถูกกระหน่ำซัดจนต้องถอยหลังไปร้อยลี้ แม้ตัวนางเองจะยังไม่ล้มลง ทว่ากระพรวนรอบข้อมือกลับปรากฏรอยแตกนับไม่ถ้วน หากถูกกระแทกอีกเพียงแค่คราเดียว มันคงจะสลายเป็นเศษผงไป ส่วนไม้กลองน้อมดาราในมือนั้นเหมือนจะรับพลังไว้ไม่อยู่ ใกล้จะสลายไปเหมือนเช่นของชายหนุ่มชุดดำผู้นั้นแล้ว

แต่ก็ไม่รู้ว่านางใช้พลังเทพอันใด เห็นได้ว่านางพยายามใช้แขนทำบางสิ่ง ในพริบตาต่อมา เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่มาพร้อมกันกับพวกเขาแต่ไม่มีสิทธิ์ได้คุณสมบัติเข้ารอบทั้งสิ้นสิบกว่าคนในนครดาวตกนี้ ล้วนแล้วแต่ร่างกายสั่นสะท้าน เพียงชั่วอึดใจร่างกายพวกเขาก็แห้งเหี่ยว ถูกสูบพลังชีวิตไปจนหมด

เหมือนว่าพลังชีวิตเหล่านี้จะไม่พอด้วยซ้ำ ในเวลาถัดมา เสียงกรีดร้องของคนนับสิบก็ดังขึ้น สภาวะทั้งทางกายภาพและทางจิตวิญญาณของพวกเขาพังทลาย ร่างกายเหมือนถูกบางสิ่งที่ไร้รูปสูบกลืน แต่สิ่งที่ได้กลับมาจากเหตุการณ์นี้ก็คือการที่แม่นางกระพรวนซึ่งอยู่ในสภาพตะเกียงขาดน้ำมันยังฝืนประคองไม้กลองน้อมดารามิให้หายไปได้!

เพียงแต่ว่ารอยร้าวบนกระพรวนนั้นเห็นชัดเต็มไปหมด นางอยู่ในสภาพที่ไม่อาจตีกลองต่อได้อีก เพียงแค่สามารถยั้งยืนอยู่ได้เท่านั้น แต่ว่าเมื่อเทียบกับชายหนุ่มชุดดำและชายหนุ่มผู้สง่างามแล้ว ก็เพียงพอจะตัดสินสูงต่ำได้ชัด!

“สุดท้ายแล้ว…” แม่สาวกระพรวนหอบหายใจอย่างลำบาก ในใจตื่นเต้นนัก ทว่าเมื่อพลันหันไปเห็นสภาพของหวังเป่าเล่อที่อยู่ห่างออกไป แรงตื่นเต้นที่นางมีก็พลันหดลีบลงทันที เพราะว่า…ไม้กลองของอีกฝ่ายยังไม่หายไปเหมือนกัน แถม ตัวหวังเป่าเล่อและไม้กลองนั้น แทบจะไม่ได้รับบาดเจ็บหรือมีรอยบิ่นหักแต่ใดเลยสักนิด

“เซี่ยต้าลู่!” สองตาของแม่สาวกระพรวนหดลีบ จิตสังหารพวยพุ่ง นางเห็นชัดเลยว่าตอนนี้อีกฝ่ายคือคู่แข่งเพียงหนึ่งเดียวของตน

กล่าวไปแล้ว สำหรับการตีกลองครั้งที่สิบนี้ หวังเป่าเล่อเองก็รู้สึกว่านี่คือสุดกำลังของเขาแล้วเช่นกัน ร่างกายเขาแทบจะแหลกสลายกลายเป็นไอจากแรงสะท้อนของการตีครั้งที่สิบ จากนั้นในพริบตาถัดมา พลังแฝงในร่างของเขากลับก็สำแดงฤทธิ์ ผนวกกับพลังรวมศูนย์แห่งเกราะจักรพรรดิเข้าช่วย ก็พอจะทำให้ร่างกายที่เกือบแหลกสลายของเขาประกอบกำลังขึ้นใหม่อีกครั้งได้ ทั้งไม้กลองในมือเองก็ยังไม่สลายไปด้วย

ทว่า ความรู้สึกเหมือนตะเกียงใกล้สิ้นน้ำมันนี้ทวีความรุนแรงขึ้นในชั่วพริบตา ทำให้ตัวหวังเป่าเล่อที่แม้จะยังสามารถยืนอยู่ข้างกลองสู่สวรรค์ได้ แต่ร่างกายก็โงนเงน อยู่ในสภาพอ่อนแรงเป็นที่สุด จุดนี้หวังเป่าเล่อยังไม่ค่อยกังวล เพราะว่าเขายังไม่ทันได้ใช้ไพ่ใบสุดท้าย ซึ่งก็คือพรสวรรค์ของวิญญาณจุติดวงดารา

“อีกอย่าง… หากร่างต้นตรงนี้หลอมรวมกับร่างปฐม เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องใช้พลังพิเศษแห่งวิญญาณจุติดวงดาราเข้าช่วย ข้ายังสามารถตีกลองครั้งที่สิบเอ็ด ที่ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ได้!” ในใจของเขาพึมพำ ทันใดนั้น หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงดวงตาประสงค์ร้ายจากแม่สาวกระพรวน ดังนั้นเขาจึงหันไปมองพลางยิ้มท้าทายคราหนึ่ง

“เจ้า…” แม่สาวกระพรวนลมหายใจสะดุด กำลังจะเอ่ยปาก แต่ในยามนี้ ท้องฟ้ามืดทึบนั้นพลันปรากฏภาพอัสนีฟาดดังลั่น เสียงสายฟ้าผ่าครืนๆ แต่ละเส้นบิดเอน ราวกับว่าท้องฟ้ากำลังแยกออก จากนั้นแสงระยิบจำนวนนับไม่ถ้วนของดาวเคราะห์ดวงหนึ่งซึ่งเปรียบประดุจจักรพรรดิ ก็พลันปรากฏร่างโชติช่วงออกมาบนท้องฟ้าสูงลิบนั้น!

ดาวเคราะห์เต๋าก็ยังไม่ปรากฏร่างเต็มดวงเช่นเดิม เผยให้เห็นแค่เงาเลือนราง ทว่าท่าทางอันแสนยโสเหนือกว่าคนทุกผู้ยังคงทำให้ทุกคนที่มองเห็นนั้น ล้วนต้องก้มศีรษะให้

ดาวดวงนี้ ก็คือดาวเคราะห์เต๋า!

มันปรากฏร่างหลังเสียงที่สิบ จากมุมมองของมันบนท้องฟ้ามองลงมา ทุกคนก็เหมือนฝูงมด หลังมันแผ่แสงสว่างราวกับจะทอไล้ผืนดินแล้ว ลำแสงของมันก็จับศูนย์ไปยังชายหนุ่มชุดดำรวมถึงบนร่างของแม่สาวกระพรวน ราวกับกำลังตรวจพิจารณาพวกเขาอยู่

เมื่อถูกแสงดาวจับจ้อง ดวงตาของชายหนุ่มชุดดำก็ส่องสว่างรุนแรง เขาพยายามยันร่างขึ้นมองดาวเคราะห์เต๋าบนฟ้า คำรามเสียงทุ้มด้วยแรงทั้งหมด

“โปรดหลอมรวมกับข้า ได้โปรดเป็นดาวเคราะห์ของข้า ข้าจะพาท่านบุกตะลุยข้ามจักรพิภพ ใช้การเข่นฆ่าเบิกเส้นทางที่ถูกต้อง ไม่ให้เสียชื่อดาวเคราะห์เต๋าของท่าน!”

เมื่อคำพูดนี้กล่าวออกไป ดาวเคราะห์เต๋าหนึ่งเดียวบนฟ้าแห่งนี้เหมือนจะทอประกายแสงแรงขึ้นส่วนหนึ่ง ภาพร่างที่เรือนลางเหมือนจะปรากฏชัดขึ้นไม่น้อย ราวกับถูกคำพูดของชายหนุ่มชุดดำกระตุ้นความปรารถนาบางอย่าง

และในตอนนี้เอง แม่สาวกระพรวนที่อยู่ข้างๆ ก็พลันแหงนหน้ามองดาวเคราะห์เต๋าบนฟ้า จากนั้นนางก็คุกเข่าลง

ระหว่างที่คุกเข่านั้น นางแหงนหน้าขึ้นมองมันด้วยสีหน้าแสดงความซื่อสัตย์ภักดี น้อมตัวคำนับไปทางดาวเคราะห์เต๋า

“หากเลือกหลอมรวมกับข้า ข้าจะให้ท่านเป็นนาย ส่วนข้าเป็นรอง ช่วยกรุยทางเพื่อเกียรติยศของท่าน สร้างชื่อดาวเคราะห์เต๋า!”

เมื่อแม่สาวกระพรวนเอ่ยจบ แสงแห่งดาวเคราะห์เต๋านั้นสว่างโร่เจิดจ้าที่สุดเท่าที่มีมาในพริบตา แสงนี้ส่องสว่างกระจ่างหล้า แม้จะยังไม่ปรากฏตัวทั้งหมด แม้ร่างของมันยังอยู่ในสภาพมายาเลือนราง แต่คลื่นแห่งเจตนารมณ์นี้ ก็เหมือนจะประจักษ์ชัดเจน!

ฉากนี้ทำให้สีหน้าของชายหนุ่มชุดดำเปลี่ยนสี ดวงตานั้นแทบไม่อยากเชื่อ โดยเฉพาะชายหนุ่มผู้สง่างามข้างกายเขานั้น ถึงกับหันหน้าไปมองแม่สาวกระพรวนในทันที

กระทั่งเหล่ากระดาษรูปมนุษย์จากทุกสารทิศในลานนี้เองก็หน้าเปลี่ยนสี พวกเขาหันไปมองแม่สาวกระพรวนพร้อมกัน รวมถึงตัวจักรพรรดิดาวตกเองด้วย ในพริบตานั้นดวงตาของเขาก็เผยแววคมปลาบขึ้นมา

“พวกเราเหล่าผู้ฝึกตน ไม่ว่าจะเผ่าพันธุ์ใด ย่อมต้องมีเส้นแบ่งและหลักการ หลอมรวมดาราฝึกปรือ แน่นอนว่าดาวเป็นรอง พวกเราเป็นนาย แม้กระทั่งดาวเคราะห์เต๋า ก็ไม่อาจยกเว้น จะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?” จักรพรรดิดาวตกส่ายหน้า ใครที่กล่าววาจาเช่นนี้ออกมา หากเป็นคนของจักรวรรดิเขาเอง เขาย่อมจะลงโทษให้หนัก แต่ในเมื่อเป็นผู้ฝึกตนจากต่างพิภพ เขาก็คร้านจะใส่ใจ แล้วดวงตาคมปลาบนั้นเปลี่ยนเป็นแววเหยียดหยาม

การเลือกของดาวเคราะห์เต๋า เหมือนจะไม่ได้สำแดงอะไรพิเศษมากนัก ในตอนนี้แสงของมันเจิดจ้า จนแทบจะระเบิดพร่างเมื่อมองด้วยตาเปล่า แสงที่เดิมทีส่องลงมากระทบชายหนุ่มชุดดำและชายหนุ่มผู้ผู้สง่างาม บัดนี้ได้หายไปสิ้น เหลือแต่แสงที่รวมอยู่ตรงร่างแม่สาวกระพรวนเท่านั้น

ในส่วนของหวังเป่าเล่อ… มันมองเขาเหมือนคนผ่านทางก็ไม่ปาน จนกระทั่งถึงบัดนี้ มันก็ยังคงเลือกที่จะไม่เหลือบแล

ความรู้สึกนี้ สำหรับผู้อื่นคงเป็นการกระทบกระทั่งครั้งใหญ่ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว นี่มิใช่ครั้งแรกที่ดาวเคราะห์เต๋าทำเช่นนี้กับเขา แม้จะมีสีหน้าไม่สู้ดีให้เห็นบ้าง แต่เขาก็ก้มหน้ามองดูไม้กลองน้อมดาราในมือ หวังเป่าเล่อพลันยกมุมปากขึ้น แหงนหน้า แล้วประกายครุ่นคิดยึดติดในดวงตาก็สลายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกไม่ยินยอม

“นี่ ข้ายังตีกลองไม่จบนะ!”

……………………………………………..

อาศัยพลังฝึกปรือของจักรพรรดิดาวตก การคาดการณ์ของเขาที่ว่าหญิงสวมหน้ากากผู้นั้นน่าจะอยู่ระดับจิตวิญญาณอมตะหรือดาวพระเคราะห์เป็นต้นไปนั้น กลับคาดเดาผิดอย่างหาได้ยาก ผลปรากฏว่าแม่หญิงสวมหน้ากาก…ไม่ได้ลงมือตีครั้งที่เก้าต่อ

มิใช่ตัวนางเองไม่ปรารถนา นางถึงกับคิดจะใช้วิชาลับของตนด้วยซ้ำ ทว่าการตีครั้งที่เก้านั้นต่างจากครั้งที่หก เพราะเจ้าอ้วนน้อยสามารถใช้พลังเร้นลับตีกลองครั้งที่หกได้ แต่สำหรับนางไม่มีทางใช้พลังเร้นลับตีครั้งที่เก้าได้

เพราะความแตกต่างของครั้งที่เก้าและหกนี้ เป็นยิ่งกว่าระยะห่างของฟ้าดินที่ไม่อาจก้าวข้าม

แม้จะมีความเสียใจ แต่หญิงสวมหน้ากากก็ปลุกปลอบตนเอง สุดท้ายแล้วนางตัดสินใจเลือกเอาดวงดาวสีม่วงดวงหนึ่งจากดาวเคราะห์พิเศษทั้งสามดวงนั้นมาหลอมรวม จากนั้นร่างของนางก็หายไปท่ามกลางสายตาของผู้คน และ…ปรากฏตัวบนดาวเคราะห์ที่นางเลือก

ลำดับต่อมา ก็จะเป็นการหลอมรวมและเลื่อนระดับ สำหรับการเลื่อนระดับในขั้นตอนนี้ ล้วนแต่ไม่เคยปรากฏปัญหา ซึ่งก็นับเป็นบททดสอบสุดท้ายจากจักรวรรดิแห่งดาวตก

หลังจากนั้น คนต่อๆ มาก็ทยอยกันขึ้นตีกลอง ลำดับนั้นมีสูงมีต่ำ ในบรรดาคนทั้งหลาย พี่ชายเกาผู้สูงส่งตีไปได้เจ็ดครั้ง และได้รับดาวเคราะห์พิเศษระดับเจ็ดดวงหนึ่ง นอกจากนี้แล้วอีกสองคนที่หวังเป่าเล่อไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวด้วยนัก ก็ล้วนคว้าได้ระดับประมาณหกถึงเจ็ดดวง แม้จะเป็นดาวเคราะห์พิเศษเช่นเดียวกัน แต่เป็นระดับต่ำทั้งคู่

หวังเป่าเล่อจับจ้องกระบวนการทั้งหมด ในเวลาเดียวกันก็ย้อนพิจารณาตนเอง เขาเฝ้าดูวิธีการตีกลองและข้อควรระวัง ระหว่างนี้ก็เริ่มเข้าใจอะไรๆ มากขึ้น

ในเวลาเดียวกันที่ชายหนุ่มผู้สง่างาม ชายหนุ่มชุดดำ แม่สาวกระพรวน และแม่นางน้อยลงมือ หวังเป่าเล่อก็ยิ่งจับตาดูอย่างตั้งใจมากขึ้น

ในบรรดาคนเหล่านี้ แม่นางน้อยนั้นทำสิ่งที่ยากจะคาดเดาที่สุด ในสถานการณ์ที่ร่างกายนางถึงขีดจำกัดแล้วแน่ๆ นางตีกลองไปแล้วแปดครั้ง จนชักนำดาวเคราะห์พิเศษระดับสองบนมาได้ แต่นางกลับยอมทิ้งโอกาสทั้งหมด สุดท้ายไม่ได้เลือกดาวเคราะห์ดวงใดเป็นจิตวิญญาณดาวเคราะห์ของตนเลย

ฉากนี้ เมื่อจักรพรรดิดาวตกเห็นเข้า ดวงเนตรของเขาก็เผยประกายตรึกตรองลึกซึ้ง พลางหันไปมองนางเพิ่มอีกหลายครั้ง

เรื่องนี้หวังเป่าเล่อเองก็สงสัยอย่างมาก หากเป็นเวลาอื่น เขาก็คงต้องขบคิดหาเหตุผลสำหรับเรื่องนี้แน่ แต่ว่าจังหวะนี้กลับไม่ใช่เวลาอันเหมาะสมจะมานั่งครุ่นคิด เพราะอีกสามคนถัดไปนั้น ต่างก็แสดงความสามารถได้น่าตื่นตะลึงยิ่ง ไม่เพียงแต่ทำให้ใจเขาสั่น แต่ยังทำให้ทุกคนในจักรวรรดิดาวตกต้องสะท้านหัวใจไปด้วย

เริ่มจากชายหนุ่มผู้สง่างามที่มาจากสำนักที่หนึ่งแห่งจักรพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้าย เขาเป็นคนแรกในกลุ่มที่สามารถตีได้ถึงเก้าเสียงกลอง และดูเหมือนว่านี่คือขีดจำกัดของเขาแล้ว เขาไม่อาจตีครั้งที่สิบได้อีก อย่างไรก็ดี เขามีการเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า ดังนั้นแม้การตีกลองจะทำให้เขาอ่อนแรง แต่บุคลิกยังคงเฉียบคมดุจเก่า เขาแหงนหน้ามองฟ้าพร่างพราวดวงดาว บนนั้นมีดาวเคราะห์พิเศษระดับสองบนโผล่ออกมากลุ่มดาวหนึ่ง รวมถึงดวงดาวอีกสามดวง…ซึ่งส่องประกายเจิดจ้ายิ่งกว่าดาวเคราะห์ทั้งหมดที่เหลือ!

ห่างเพ่งมองดีๆ แล้ว จะเห็นได้ชัดว่าในดวงดาวที่กระจ่างที่สุดสามดวงนี้ เหมือนจะมีอสูรพิสดารซ่อนเร้นอยู่ด้วย ราวกับว่าพวกมันมิใช่เพียงดาวเคราะห์ธรรมดาอย่างเดียว แต่กลับเริ่มมีชีวิตจิตใจขึ้นมาแล้ว!

“จักรวรรดิดาวตกในตอนนี้ มีดาวเคราะห์พิเศษอันดับหนึ่งเพียงแค่สามสิบเจ็ดดวงเท่านั้น แต่ชายหนุ่มผู้นี้สามารถชักนำมาได้ถึงสามดวง ไม่ธรรมดา!” จักรพรรดิดาวตกเผยแววตาชื่นชม เขาเอ่ยปากช้าๆ ในขณะเดียวกัน ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ถูกดาวเคราะห์พิเศษเหล่านี้ดึงดูดไปสิ้น เพียงแต่ว่า…ต่อให้ดวงดาวทั้งสามจะประกายวาววามสักเท่าไหร่ ในเวลานี้กลับไม่อยู่ในสายตาชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้นสักนิด!

เขายืนนิ่งมองท้องฟ้าอยู่ตรงนั้น ไม่ได้มองเหล่าดาวเคราะห์ระดับหนึ่งทั้งสาม แต่กำลังหาดาวดวงนั้น…ดาวเคราะห์เต๋าที่เขาสัมผัสได้ถึงชะตาต้องกัน!

“ดาวเคราะห์เต๋า เหตุใดจึงไม่ปรากฏ…” ชายหนุ่มผู้สง่างามมีลมหายใจบีบรัด เขาเข้าใจดีว่าหากยามนี้ตนปรารถนาในหมู่ดวงดาวทั้งสามนั้น ตนก็จะสามารถเลือกได้ดวงหนึ่ง หากเป็นแต่ก่อน เขาจะต้องเลือกแน่ แต่ว่าในยามนี้…สายตาเขามีเพียงดาวเคราะห์เต๋า!

ในระหว่างที่กำลังกลุ้มอยู่นั้น สายตาของชายหนุ่มผู้สง่างามก็พลันทอประกายบ้าคลั่ง เขายกมือขวาขึ้นอีกครั้ง มิรู้ว่าใช้วิชาเทพอันใด ทำให้เลือดออกทั่วร่างเจ็ดทวาร โลหิตกองโตทะลักออกมาจากปาก เขาควงไม้กลองในมือ ทุ่มเทพลังทั้งหมดตีลงไปอีกครั้ง

เสียงกลองครั้งที่สิบ…พลันกังวานขึ้นมา ฟ้าดินสั่นสะเทือน ดวงดาวจำนวนมากพลันปรากฏร่าง เพียงแต่ไม้กลองในมือของผู้ฝึกตนผู้งามสง่านั้นได้แหลกสลายไปพร้อมกับเสียงกลองครั้งที่สิบ ร่างกายของเขาไม่เหลือพลังปราณอีกต่อไป เขาพลันร่วงลงไปอยู่บนพื้น ตัวเขาเองดิ้นรนที่จะลุกขึ้นดวงตาของเขาแดงฉาน มองเห็นท้องฟ้าสาดส่องด้วยแสงดาว ทว่าหลังพยายามมองแล้วแต่ก็ไม่พบดาวเคราะห์เต๋า เขาตัดสินใจฉีกยิ้มรันทดคราหนึ่ง ก่อนจะป้องปากตะโกนลั่น

“ข้าต้องการเพียงดาวเคราะห์เต๋า ส่วนดาวอื่นๆ มันก็แค่มดปลวก!”

เมื่อคำพูดนี้โพล่งออกไป ฟ้าดินทอประกายรุนแรงยิ่ง ดวงดาวทั้งหมดที่ปรากฏในยามนี้พลันอึมทึบหม่นแสง ค่อยๆ กระจายหายไป รวมไปถึงดาวเคราะห์พิเศษทั้งสามดวงด้วย และก็เป็นเช่นนี้ ในพริบตาที่ท้องฟ้านั้นมืดสนิทลง พลันมีแสงเส้นหนึ่งพาดผ่านจากท้องฟ้า ในพริบตา แสงเหล่านั้นก็รวมอยู่บนร่างของชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้น

ใจกลางท้องฟ้า พลันปรากฏดาวดวงหนึ่ง…ลำแสงเจิดจ้าเป็นที่สุด เจิดจ้าประหนึ่งดวงตะวัน ราวกับราชาแห่งท้องฟ้าก็ไม่ปาน มันยอมปรากฏร่างแต่กลับไม่ได้โผล่ออกมาทั้งหมด ยอมเผยเพียงแค่เงาเลือนรางเท่านั้น แถมการที่มันส่องแสงลงมานี้ก็มิใช่เพื่อยอมให้น้อมดารา แต่คล้ายกับว่า…กำลังทำเครื่องหมาย เลือกสรรคนผู้นี้ไว้เป็นตัวเลือก!

แม้จะเป็นแค่ตัวเลือก แต่ก็ยังทำให้ชายหนุ่มผู้สง่างามร่างกายสั่นเทาได้ ลมหายใจของเขากระชั้นขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงเวลานี้กลับทำให้เหล่าผู้ฝึกตนของจักรวรรดิดาวตกหัวใจกระหน่ำระรัวคลั่ง พวกเขาล้วนพร้อมใจคำนับให้แก่ดาวเคราะห์เต๋าบนท้องฟ้า!

กระทั่งตัวจักรพรรดิดาวตกเอง ก็ค้อมศีรษะลงเล็กน้อย แสดงท่าทีเคารพ ในส่วนของหวังเป่าเล่อ ตอนนี้ในใจเขาเหมือนมีคลื่นซัดโหม ดวงตาทอประกายปรารถนารุนแรง ดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้ คือความฝันยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาในดินแดนดาวตก!

เพียงแต่ว่าดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้ทระนงยิ่งนัก หยิ่งยโสราวกับว่าตนเองเคยชินกับสายตาเคารพบูชาเจือปรารถนาของผู้คนไปแล้ว ต่อให้ชายหนุ่มผู้สง่างามจะยอมแลกชีวิต ใช้พลังทั้งหมดที่มีตีกลองครั้งที่สิบ แต่มันก็ยอมเผยเพียงเงาเลือนราง ทำสัญญาณรับรู้คราหนึ่งเท่านั้น

ในตอนนี้ ราวกับมันไม่ยอมเหลือบแลหวังเป่าเล่อเสียด้วยซ้ำ แต่แสงดาวเคราะห์เต๋ากลับยอมสาดส่องผ่านชายหนุ่มชุดดำและแม่สาวกระพรวน พาให้ทั้งสองคนจิตใจเค้นระรัว บีบให้พวกเขาพุ่งเข้าไปหากลองสู่สวรรค์ในทันทีโดยไม่สนใจลำดับ พวกเขาเล็งไปยังด้านข้างกลองสู่สวรรค์ที่สูงร้อยจั้งนี้ แล้วเข้าตีกลองพร้อมกัน!

ราวกับพวกเขากำลังแข่งประชันกัน ราวกับพวกเขาทำเช่นนี้ก็เพื่อดึงความสนใจจากดาวเคราะห์เต๋า อยากจะให้ดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้เลือกตน!

ถึงแม้ว่านี่จะผิดกฎ แต่ในเมื่อดาวเคราะห์เต๋าบนท้องฟ้าปรากฏร่างแล้ว จักรพรรดิแห่งดาวตกก็มิได้ปริปากอันใด คนอื่นๆ จึงทำตัวหลงลืมกฎนี้เสีย ดวงตาของพวกเขาจับจ้องที่ท้องฟ้า ต่างก็ดูดาวเคราะห์เต๋าที่เรืองรองหนึ่งเดียวนั้นด้วยกันทั้งสิ้น

เมื่อเห็นสภาพการณ์เช่นนี้ ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ทอประกายแสงวาบ เขาสัมผัสได้ว่าดาวเคราะห์เต๋าไม่สนใจตนเองที่อยู่ตรงนี้เลย เขาคิดว่าบางทีนี่อาจจะเป็นแค่สังหรณ์ที่ผิดไป ในเมื่อตอนนี้เห็นแม่สาวกระพรวนและชายหนุ่มชุดดำพุ่งไปตีกลองแล้ว เขาก็กัดฟัน กระโจนร่างขึ้นจากพื้น เหาะออกจากตำหนักหลัก และมุ่งไปยังกลองสู่สวรรค์ในทันที!

ในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อที่รีบร้อนจากไปนั้นก็ไม่ทันได้สังเกตจักรพรรดิดาวตกด้านหลังตนที่เผยสายตาเศร้าใจและทนไม่ไหว อีกฝ่ายคิดจะเอ่ยปากหยุดเขา แต่หวังเป่าเล่อไม่ทันฟังคำพูดพึมพำของกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรวหว่างคิ้วเบื้องหลังตน

“มันไม่มีทางเลือกเจ้า…”

ในยามนี้หวังเป่าเล่อที่ดวงตาเปี่ยมด้วยปรารถนา ได้เคลื่อนกายด้วยความเร็วสูง พริบตาก็รุดมาถึงกลางลานแล้ว เกือบจะถึงพร้อมกับชายหนุ่มชุดดำและแม่สาวกระพรวนด้วยซ้ำ ในยามที่สองคนนี้กำลังจะตีกลองนั้นเอง ไม้กลองก็ปรากฏในมือของหวังเป่าเล่อ เขาตีเข้าไปตรงใจกลางของกลองสู่สวรรค์ในทันใด!

เสียงแรก ฟ้าดินเปลี่ยนสี ดาวเคราะห์เต๋าผู้หยิ่งยโสคล้ายเหลือบดูฝูงชนแล้ว ก็หายไปในท้องฟ้าอีกครั้ง เพื่อให้ผู้เข้าทดสอบทั้งสามตีกลองแสดงฝีมือว่าตนมีคุณสมบัติมากพอหรือไม่!

เสียงที่สอง ท้องฟ้ามืดมิดเริ่มปรากฏดวงดาวขึ้นใหม่ คราวนี้แสงดาวมีจำนวนน้อยนัก แสงค่อนข้างอับทึบ กระทั่งว่าหากเป็นมนุษย์ ก็อาจจะเห็นพวกมันทำสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก

เสียงที่สาม กระแสดาวค่อยๆ ขยายขอบเขต ดาวเคราะห์เผยออกมามากขึ้น แต่ก็ยังดูหดหู่เหมือนเก่า กระทั่งในตอนที่ทั้งสามคนตีกลองเป็นครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้า พวกมันค่อยดูมีชีวิตชีวาขึ้นบ้าง ในเวลาเดียวกันกับที่ธาราดวงดาวปรากฏ ทั้งดาวเคราะห์ธรรมดา ดาวเคราะห์วิญญาณ ดาวเคราะห์อมตะก็ค่อยๆ ทยอยเผยโฉม!

หลังจากนั้นก็เป็นครั้งที่หก ครั้งที่เจ็ดจนถึงครั้งที่แปด!

ฟ้าดินกังวานก้อง ดวงดาวนับไม่ถ้วนปรากฏเต็มแน่นกลางนภา ในเวลาเดียวกัน ดาวเคราะห์พิเศษก็ปรากฏตัวขึ้นจากการตีของทั้งสามคนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในบรรดานี้มีระดับล่างที่ไม่อาจคาดเดาจำนวนได้ถูก ระดับกลางจำนวนนับร้อย รวมถึงดาวเคราะห์พิเศษระดับที่สาม ระดับที่สองบน

ภาพฉากดวงดาวเกลื่อนนภาในยามนี้ จะหาคำพูดมาบรรยายนั้นคงยากนัก!

สำหรับขายหนุ่มชุดดำและแม่สาวกระพรวนแล้ว การตีกลองแปดครั้งรวดเดียวนั้นไม่ยากเท่าไหร่ ทั้งนี้ก็เพราะแรงกดดันและแรงเย้ายวนเป็นเหตุ ทำให้ลมหายใจของพวกเขาระส่ำ สีหน้ามีความซีดขาวอยู่บ้าง หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน สุดท้ายแล้วเขาเองก็สัมผัสได้ถึงความลำบากแบบเดียวกับที่คนเหล่านี้ได้รับตอนตีกลอง

เพราะทุกครั้งที่ตีกลองนั้น เหมือนมีลมพายุกระหน่ำซัดร่างกายและจิตวิญญาณของตน ความรู้สึกนี้ ราวกับว่าไม่ได้ใช้ไม้กลองตี แต่เหมือนใช้ชีวิตของพวกเขาเข้าตีกลองนี้มากกว่า!

โดยเฉพาะหลังครั้งที่แปดเป็นต้นมา นับว่ากระเทือนวิญญาณอย่างมาก ทำให้ภาพเบื้องหน้าของหวังเป่าเล่อดูพร่าเลือน แม้การมองเห็นของเขาจะกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็รู้สึกว่าแม้ตนจะยังตีครั้งที่เก้าได้ ก็คงต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงล้ำแน่นอน

“จุดนี้ไม่ถือว่าเท่าไหร่หรอก ยังไงข้าก็จะตีจนผ่านครั้งที่สิบไปให้ได้!” หวังเป่าเล่อกัดฟัน สีหน้าดูจริงจังสุดๆ ไม่มีความลังเลเลยสักนิด เขาโบกไม้กลองในมือ พร้อมกันนั้นชายหนุ่มชุดดำซึ่งกำลังเลือดพล่าน รวมถึงแม่สาวกระพรวนผู้มีนัยน์ตาคมปลาบ ก็ลงมือตีกลองครั้งที่เก้าพร้อมกัน!

เมื่อกล่าวจบ เจ้าอ้วนน้อยก็เหาะเข้าหากลองสู่สวรรค์ภายในชั่วพริบตา ท่ามกลางสายตานับหมื่นรวมถึงหวังเป่าเล่อซึ่งจ้องเขม็งไปทางนั้น เจ้าอ้วนน้อยพลันยกมือขวาขึ้น เรียกเอาไม้กลองน้อมดาราออกมา จากนั้นก็กระโจนสูงขึ้นไปประมาณร้อยจั้งทางด้านหลังของตัวกลอง แล้วตีลงไปทันทีด้วยความรุนแรง!

ตึง!

น้ำเสียงหนักอึ้ง พริบตานั้นฟ้าดินสะเทือน น้ำเสียงอันหนักหน่วงนี้สะเทือนขวัญผู้คน มันดังสะท้อนไปมาหลายครั้ง และทำให้จิตใจของเหล่าผู้ฝึกตนจำนวนมากกระเพื่อมไหวตาม ไม่เว้นแม้แต่หวังเป่าเล่อเอง ในเวลาเพียงช่วงลมหายใจหนึ่ง เขาก็มองเห็นทะเลเมฆบังเกิดบนท้องฟ้า จากฟ้ากระจ่างใสในยามกลางวันกลายเป็นผืนราตรีมืดมิดอย่างรวดเร็ว!

“การตีกลองครั้งที่หนึ่ง แทนเสียงเบิกฟ้า เตรียมเพื่อให้สวรรค์จัดฉากขับเน้นแสงของเหล่าดาราให้ชัดเจน” เมื่อสัมผัสได้ว่าหวังเป่าเล่อกำลังเพ่งมองท้องฟ้า กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วก็เอ่ยปากอธิบาย

ในพริบตาที่เขาเอ่ยนั้น เจ้าอ้วนน้อยก็ตะโกนคราหนึ่ง พลางสะบัดไม้กลองในมือ จากนั้นตีลงไปเป็นครั้งที่สอง เกิดเป็นเสียงดังก้องกังวานอีกครั้ง

หลังสิ้นเสียงนี้ พริบตานั้นท้องฟ้าก็เผยแสงดวงดาวระยิบระยับส่องประกาย เหล่าดวงดาวนับไม่ถ้วนเหล่านี้หากเทียบขนาดกับผืนฟ้าแล้ว อาจถือว่ามีจำนวนน้อยนัก จนกระทั่งว่าอาจมีจำนวนแค่หนึ่งในหมื่นส่วนของนภา ดวงดาวที่ปรากฏนั้นก็ค่อนข้างอับแสง ดูๆ ไปแล้วเหมือนพวกมันเป็นแค่ดาวเคราะห์ธรรมดา!

“เสียงกลองในครั้งที่สอง จะเริ่มฉายให้เห็นเหล่าดาราที่ถูกเชิญมา ยิ่งเสียงกลองดังในครั้งต่อๆ ไป ดวงดาราก็จะยิ่งทวีจำนวนมากขึ้น และเมื่อปล่อยให้ดำเนินขั้นตอนไป ก็มีโอกาสที่ดาวเคราะห์วิญญาณและดาวเคราะห์อมตะจะปรากฎโฉม และหากผู้ใดสามารถตีได้ถึงเจ็ดครั้ง ก็นับว่าผู้นั้นมีคุณสมบัติในการน้อมดาวเคราะห์พิเศษแล้ว กฎนี้จะเป็นเช่นเดียวกันจนถึงขั้นตอนหลังๆ นั่นคือ…ยิ่งตีกลองได้มากเท่าไหร่ โอกาสในการน้อมดาวเคราะห์พิเศษก็จะมากขึ้นเรื่อยๆ!”

“ตามบันทึกแห่งจักรวรรดิดาวตกของข้า หากว่าผู้ใดสามารถตีกลองได้มากกว่าสิบครั้ง ผู้นั้นก็นับว่าได้รับสิทธิ์ในการน้อมดาวเคราะห์เต๋าแล้ว เพียงแต่ว่าโอกาสสำเร็จที่ว่านั้นก็ต่ำนัก…” จักรพรรดิดาวตกอธิบายให้หวังเป่าเล่อฟัง เพื่อให้เขาเข้าใจทุกขั้นตอนก่อนจะเริ่มเคาะกลองสู่สวรรค์

ในยามนี้ ตัวหวังเป่าเล่อเองก็ตื่นเต้นเต็มที่ เขาหันหน้าไปคารวะจักรพรรดิดาวตก ในเวลาเดียวกันก็เห็นเจ้าอ้วนน้อยตรงนั้นตีกลองครั้งที่สาม ต่อด้วยครั้งที่สี่

ในส่วนของดวงดาวบนท้องฟ้านั้น ยามนี้พวกมันทวีจำนวนมากขึ้น ตั้งแต่ครั้งที่สามก็มองเห็นแสงดาราระยิบระยับจับทั่วฟ้า เมื่อมาถึงครั้งที่สี่ แสงดารายิ่งพราวจรัส หากว่านำพวกมันมาหลอมจำนวนรวมกัน เกรงว่าน่าจะนับจำนวนได้เทียบเท่าสองเขตจักรพิภพของทั้งจักรวาลแล้ว ในเวลาเดียวกัน แสงของเหล่าแสงดารานี้ต่างก็ดูแตกต่างไปจากปกติอยู่บ้าง

หากมองไปจะพบว่าเหล่าดาวที่ส่องสว่างนั้น ต่างมิใช่ดาวเคราะห์ธรรมดา แต่ถึงกับเป็นดาวเคราะห์วิญญาณ พร้อมกันนี้ ในยามที่เจ้าอ้วนน้อยตีกลองเป็นครั้งที่สี่ ท่ามกลางแสงดาวเหล่านั้น ก็พลันปรากฏแสงที่ส่องสว่างกว่าแสงดาราที่อยู่ตรงนั้นทั้งปวง และดาวดวงนั้นก็คือ ดาวเคราะห์…อมตะ!

เมื่อมองเห็นภาพนี้ แววตาของหวังเป่าเล่อก็ทอประกายประหลาด ดาวนั่นคือเป้าหมายแรกสุดของเขา ดาวเคราะห์อมตะ ตอนนี้พอได้มองเห็นมันแล้วในใจเขาก็สั่นสะท้าน แต่แรงสะท้านในตอนนี้ส่วนมากมาจากความทะเยอทะยานของเขา

“ไม่รู้ว่าเจ้าอ้วนน้อยจะน้อมดาราพิเศษได้หรือไม่!” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจ ขณะเดียวกันตรงลานนอกราชวัง ไม่สิ กระทั่งทั่วทั้งราชอาณาจักรดาวตกนี้ ทุกสายตาต่างก็จับจ้องมาตรงนี้ทั้งสิ้น ภายหลังเจ้าอ้วนน้อยเคาะกลองครั้งที่สี่ ในหมู่ผู้เฝ้าดูก็เริ่มมีคนกระซิบกระซาบกัน ทุกคนต่างคาดเดากันไปว่าดาวเคราะห์พิเศษจะปรากฎตัวในรอบนี้หรือไม่

กระทั่งตัวของเจ้าอ้วนน้อยเองก็ตื่นเต้นเป็นที่สุดเหมือนกัน มากไปกว่านั้นคือเขากระวนกระวาย หลังจากตีกลองไปแล้วสี่ครั้ง ตัวเขาก็เริ่มสัมผัสถึงความลำบาก ยามที่ตีครั้งแรกก็ยังดีอยู่หรอก แต่พอมาครั้งที่สี่ ตัวเขาเหมือนกับใช้พลังฝึกปรือที่มีทั้งหมดไปสิ้น ตอนนี้พลังภายในร่างว่างเปล่าแล้ว

ทว่า ในเมื่อเขากล้าขอตีกลองเป็นคนแรก เช่นนั้นก็ย่อมต้องเตรียมตัวมาดี พลันเขาก็โห่ร้องเสียงก้องพลางยกมือขวาขึ้นลูบหยกพกที่ห้อยอยู่ตรงคอของเขา จากนั้นก็บีบมันอย่างแรงทำให้ตัวหยกแตกออก ทันใดนั้น หยกพกชิ้นนั้นก็กลายเป็นหมอกกลุ่มหนึ่งปกคลุมร่างของเขา ท่ามกลางหมอกนี้ เจ้าอ้วนน้อยระเบิดพลังปราณอย่างรุนแรง เขาหยิบไม้กลองขึ้นเพื่อตีลงไปอีกครั้ง

ครั้งที่ห้า!

ท้องฟ้าสั่นสะท้าน แสงแห่งดวงดาวบีบอัดเป็นธาราแสงดาว มองไปตอนนี้จะเห็นว่าจำนวนแห่งดวงดาวมีมากมายจนไม่อาจนับได้ จำนวนของมันแทบจะครองพื้นที่ท้องฟ้าไปถึงสามส่วน และท่ามกลางบรรยากาศอันตระการตา ดวงดาวยอมปรากฎออกมามากขึ้นนี้ เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ยังไม่เห็นดาวเคราะห์พิเศษเลยสักนิด

กลับกัน หลังจากที่หมอกรอบตัวของเจ้าอ้วนน้อยหายไปสิ้นแล้ว ร่างกายของเขาก็พลันโอนเอนใกล้จะล้ม สีหน้าของเขาซีดขาวราวกับว่านี่คือสุดขีดจำกัดของเขาแล้ว

“หมอนี่อ่อนแอขนาดนี้เชียว?” หวังเป่าเล่อเห็นฉากนี้เข้าก็กังขา

“ไม่ใช่อ่อนแอหรอก แต่ระดับความยากของการตีกลองนั้น ยิ่งยากจะทานทนมากขึ้นในครั้งหลังๆ สหายน้อย ท่านทราบหรือไม่ว่าหลายปีมานี้ จำนวนครั้งของการตีกลองที่มากที่สุดในจักรวรรดิดาวตกเรา คือจำนวนกี่ครั้ง?” จักรพรรดิดาวตกมองหวังเป่าเล่อ หลังจากเห็นอีกฝ่ายส่ายหน้าแล้ว เขาก็ค่อยๆ เอ่ยปาก

“สิบครั้ง!” ระหว่างที่จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิดาวตกเอ่ยปาก เจ้าอ้วนน้อยก็ตะโกนขึ้นมาเสียงแหลม เขาตัดสินใจใช้วิชาเร้นลับบนร่าง ตอนนี้เห็นได้ชัดว่ากล้ามเนื้อของเขาหดลีบด้วยความรวดเร็ว จากนั้นเพียงชั่วกระพริบตา ทั้งร่างของเขาก็เหมือนกลายเป็นโครงกระดูกโครงหนึ่ง นี่ก็คือค่าตอบแทนสำหรับการตีกลองครั้งที่หกของเขา

หลังจากสิ้นเสียงตีกลองนี้ แสงดาวที่ส่องมาจากท้องฟ้าก็ยิ่งทวีความเจิดจ้า ตอนนี้จำนวนดวงดาวกินพื้นที่ประมาณหกส่วนบนฟากฟ้าแล้ว และจะเห็นได้ว่าดาวดวงสุดท้ายที่ปรากฏออกมานั้นมีส่องสว่างยิ่งกว่าดาราใดๆ!

“ดาวเคราะห์พิเศษ!!”

เสียงฮือฮานั้นดังมาจากทั้งสี่ทิศ เหล่าหญิงสวมหน้ากากเองก็เผยแววตาประหลาด เจ้าอ้วนน้อยเองเหมือนฝืนจนเกินกำลัง ยามนี้เขากระอักเลือดออกมา ทั้งร่างทรุดฮวบ ส่วนมือของเขาไม่เหลือแรงกระทั่งจะถือไม้กลองอีกต่อไป ตัวไม้กลองสลายไปในพริบตา แปรเป็นลำแสงหนึ่งแล้วอันตรธานไป

และในเวลานี้เอง ดาวเคราะห์พิเศษที่ปรากฏออกมา ก็พลันเปล่งแสงเรืองรอง น้อมนำดาราทั้งหลายส่งเข้าประคองร่างของเจ้าอ้วนน้อย โอบร่างที่หมดสติของเขาไว้ จากนั้นก็พาขึ้นท้องฟ้า สุดท้ายแล้วในยามที่หายวับไปจากสายตาผู้คน ดวงดาวที่เหลืออยู่เต็มท้องฟ้าเองก็พลันหายไปอย่างเงียบๆ เหลือเพียงดาวเคราะห์พิเศษดวงนั้นที่ยังประดับอยู่บนฟากฟ้า และหากเพ่งให้ละเอียดลงไป จะเห็นว่าภายในนั้นเหมือนจะมีเจ้าอ้วนน้อยอยู่ด้วย!

“เจ้าอ้วนถึงกับหลอมรวมกับดาวเคราะห์พิเศษได้!” หวังเป่าเล่อลมหายใจกระชั้น ดวงตาแฝงความปรารถนา เขารู้สึกว่าหากอีกฝ่ายเองก็ทำสำเร็จ เช่นนั้นสำหรับตนเองก็ไม่น่าจะมีปัญหา

“หนุ่มน้อยคนนี้ดวงดีไม่เลว ถึงแม้ว่านี่จะเป็นดาวเคราะห์พิเศษระดับต่ำที่สุด แต่ก็นับว่าเขาได้รับการยอมรับแล้ว นี่เป็นโอกาสบ่มเพาะของเขา” จักรพรรดิแห่งดาวตกค่อยๆ เอ่ยปาก หลังจากนั้นก็มองหวังเป่าเล่อแล้วกล่าวต่อ

“หลักเกณฑ์ลับๆ ของดาวเคราะห์พิเศษ ปกติพวกมันจะแบ่งเป็นทั้งหมดเก้าระดับ แม้ความแตกต่างของระดับที่หนึ่งจะห่างจากดาวเคราะห์เต๋าถึงระหว่างฟ้าและดิน แต่ในบางโอกาสที่เหมาะสมซึ่งน้อยอย่างยิ่ง พวกมันเองก็อาจจะพัฒนาไปเป็นดาวเคราะห์เต๋าได้ เพียงแต่ว่าโอกาสที่ว่านี้น้อยยิ่งกว่าน้อยเสียอีก”

“ส่วนที่สหายน้อยท่านนั้นได้หลอมรวม ก็คือดาวเคราะห์พิเศษระดับเก้าล่าง เมื่อเทียบกับระดับหนึ่งก็เป็นคนละเรื่องกันไปเลย ข้าเรียกพวกระดับหนึ่งเหล่านี้ว่า…ดาวเคราะห์บรรพกาล พวกมันคือดาวเคราะห์ที่ล้มเหลวจากการเลื่อนเป็นดาวเคราะห์เต๋าแต่ไม่เคยตัดใจ ในระยะเวลาที่ผ่านมาพวกมันคิดวางแผนเลื่อนระดับตนเองตลอดมา…พวกนี้ก็คือดาวเคราะห์บรรพกาล ในจักรวรรดิดาวตกของเรา นับตั้งแต่โบราณมา มีดาวเคราะห์ประเภทอยู่เก้าดวง”

“ระดับที่เก้าล่าง? ดาวเคราะห์บรรพกาลระดับที่หนึ่ง” ดวงตาหวังเป่าเล่อทอประกาย กำลังคิดอยากถามอีกฝ่ายให้ละเอียด ในเวลานี้เอง ถัดจากเจ้าอ้วนก็ถึงคราวมหาศิษย์แห่งเต๋าจากต่างพิภพรายที่สอง ซึ่งทะยานขึ้นไปยังกลองสู่สวรรค์

รายที่สองนี้ก็คือหญิงสวมหน้ากาก การปรากฏกายของนางดึงดูดหวังเป่าเล่อนัก จริงๆ แล้วผู้หญิงคนนี้ต่อสู้ได้เก่งกาจ ถือว่าเป็นไม่กี่คนที่ถือครองพลังระดับสูงสุดในการแข่งครั้งนี้ และนางดึงดูดความสนใจของชายหนุ่มผู้สง่างามและคนอื่นๆ ที่เหลือด้วยเช่นกัน

หากเทียบกับกระบวนท่าเยอะแยะของเจ้าอ้วนน้อยแล้ว ตัวนางแค่เดินเข้าใกล้กลอง จากนั้นเรียกไม้กลองมาถือแล้วลงมือตีรวดเดียวห้าครั้งถ้วน!

บนท้องฟ้านั้น ธาราดวงดาวที่หายไปพลันกลับมาปรากฏอีกครั้งในทันที ในยามนี้ หวังเป่าเล่อย่อมไม่อาจเห็นใบหน้าที่สดใสภายใต้หน้ากากของนางได้ เพราะบรรยากาศรอบตัวของนางดูสุขุมยิ่ง นางเริ่มตีครั้งที่หก และครั้งที่เจ็ด!

ในสองครั้งให้หลังนั้น เกิดลมพายุหมุนคว้างกลางท้องฟ้า แสงจากดาราท่วมท้นไปถึงเจ็ดส่วนของนภา อีกทั้งมีจำนวนดวงดาวไม่น้อยที่เป็นดาวเคราะห์พิเศษอีกด้วย ในบรรดานั้น มีอยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งสาดแสงเรืองรองอย่างยิ่ง เห็นชัดว่าไม่ใช่ชั้นเก้าล่าง แต่ว่าเป็นถึงดาวเคราะห์พิเศษระดับกลาง

“ระดับที่สี่กลาง!” จักรพรรดิดาวตกที่อยู่ข้างๆ หวังเป่าเล่อ ในยามนี้ดวงตาทอประกายชื่นชม เขาค่อยๆ กล่าว

“เป้าหมายของนาง เกรงว่าจะไม่หยุดอยู่แค่ตรงนี้!” หวังเป่าเล่อหรี่ตาพึมพำ ในเวลาเดียวกัน หญิงสวมหน้ากาก็ตีกลองครั้งที่แปด แต่ราวกับว่านี่ถึงขีดจำกัดของนางแล้ว หลังจากตีครั้งที่แปดไปแล้วนั้น ร่างกายของนางก็สั่นเทาอย่างชัดเจน พลังปราณอ่อนล้า

ในเวลาเดียวกันบนท้องฟ้าก็ทอแสงเจิดจ้า ดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนส่องสว่างถึงแปดส่วนของท้องฟ้า จำนวนของดวงดาวในตอนนี้ น่าจะมากถึงขั้นร้อยล้านดวงเห็นจะได้ พวกมันทอแสงกะพริบเต็มไปหมด คำว่าแสงดาวเต็มท้องฟ้านี้อาจยังไม่เหมาะจะใช้ก็บรรยายฉากนี้ด้วยซ้ำ

ในหมู่ดาราเหล่านี้ จะเห็นแสงแห่งดวงดาวที่ส่องสว่างเป็นพิเศษอยู่สามดวง ซึ่งอยู่เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า เมื่อไม่มีแสงใดที่ส่องสว่างแรงกล้ากว่านั้น แสงของดวงดาวทั้งสามนี้ก็สาดส่องไปทั้งแปดทิศ

“ดาวเคราะห์พิเศษระดับสองบน หากว่าสามารถเคาะได้อีกครั้ง นางก็จะได้รับสิทธิ์น้อมดาราระดับสองบนทั้งหมด กระทั่งบางทีอาจยังมีโอกาสได้สัมผัสดาวดวงนั้น…ดาวเคราะห์พิเศษระดับที่หนึ่ง!” ดวงตาของจักรพรรดิแห่งดาวตกทอประกายประหลาด เอ่ยเสียงเบา

“น่าเสียดาย นางคงถึงขีดจำกัดแล้ว ต่อให้ยืมแรงจากภายนอก ก็น่าจะตีต่อไม่ไหว”

………………………………………………..

เมฆบนท้องฟ้าปรากฏ ราวกับว่ามีมือขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนไหวอยู่บนฟ้า มันมีรูปลักษณ์ดุจทะเล เป็นเหตุให้แสงอาทิตย์ในยามนี้หักเห ยามเมื่อตกกระทบลงบนผืนดินก็พลันทอสีสันพรรณราย สุดท้ายแสงทั้งมวลก็รวมตัวกันเป็นเส้นเดียว ส่องกระทบเข้าสู่…ด้านนอกของตำหนักหลักแห่งราชวัง!

มันสาดส่องลงบนร่างของหวังเป่าเล่อและจักรพรรดิดาวตกซึ่งเดินออกมาจากตำหนักในยามนี้พอดี!

ขณะนั้น สายตาของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนนับแสนที่อยู่นอกตำหนักหลัก และอีกนับล้านที่อยู่นอกรั้วราชวัง ยังรวมถึงผู้คนจากแต่ละทิศในนครดาวตก และเหล่าประชาชนจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งอาศัยพลังเทพอันยิ่งใหญ่รับชมพิธีการอยู่ พวกเขาต่างพากันจ้องไปยังจุดที่ลำแสงส่องลงมา

และได้มองเห็น…จักรพรรดิของพวกเขา พร้อมถึงผู้ที่ยืนอยู่ข้างกาย…หวังเป่าเล่อ!

ในห้วงจังหวะนั้น จะใช้คำว่ามีดวงตานับล้านคู่จ้องมาก็เกรงว่าจะยังไม่เหมาะสม ต่อให้หวังเป่าเล่อมีตำแหน่งสูงยิ่งในสหพันธ์ แต่ขณะนี้เขาถึงกับได้ยืนอยู่ข้างกายจักรพรรดิดาวตกผู้มีพลังฝึกปรือสูงส่งและถูกสายตาของเหล่าผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนจ้องมอง ตัวหวังเป่าเล่อถึงขั้นหายใจติดขัดขึ้นมาบ้าง ทว่าเขาไม่อยากให้คนอื่นรู้ถึงความประหม่าและเก้กังของตน ดังนั้นแล้วเขาจึงยืนเอามือไพล่หลังมองลงไปยังฝูงชนเบียดเสียด จากนั้นพยักหน้าเล็กน้อยคล้ายกำลังพินิจดูฝูงชน มุมปากของเขายังมีรอยยิ้มบางเบาประดับ

จริงๆ แล้ว…เขามองไม่เห็นเหล่าผู้ฝึกตนด้านล่างแม้แต่คนเดียว ไม่ใช่เพราะสายตาไม่ดีหรือพลังฝึกปรือไม่พอ แต่ว่าจำนวนคนมีมากเกินไป เว้นแต่ว่าเขาจะเพ่งไปยังจุดใดทิศหนึ่งโดยตรง กับแค่การกวาดมองคร่าวๆ แบบนี้ ก็จะมองเห็นได้แค่เงาร่างของคนจำนวนมากเท่านั้น

กลับกัน…แม้เขาจะมองรายละเอียดของฝูงชนนอกตำหนักไม่ออก แต่เหล่าผู้ฝึกตนในที่นั้นทุกคนล้วนสามารถเห็นภาพของหวังเป่าเล่อได้อย่างชัดเจน

สำหรับเหล่ากระดาษรูปมนุษย์ยังพอทำเนา เพราะผู้ที่สามารถเข้ารั้ววังมาได้ ย่อมพอเคยได้ยินเรื่องของหวังเป่าเล่อในหลายวันนี้มาบ้าง ถึงแม้ส่วนมากเพิ่งจะเคยเห็นตัวจริงของเขาก็ตาม แต่สิ่งที่ทออยู่ในดวงตาของพวกเขาก็แค่ความใคร่รู้เจือปนกับความรู้สึกซาบซึ้งเท่านั้น

จะมีก็แต่…เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าทั้งเก้าที่มีคุณสมบัติมายังนครดาวตกพร้อมกันกับเขาเหล่านั้น หลังจากที่พวกเขาแต่ละคนมองเห็นหวังเป่าเล่อก็ล้วนแต่หน้าเปลี่ยนสีอย่างเห็นได้ชัด บางคนลูกตาแทบจะหลุดจากเบ้า ในสมองของพวกเขานั้นมีแต่เสียงกระหึ่ม ใบหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยอารมณ์ไม่อยากเชื่อ

ต่อให้เป็นชายหนุ่มผู้สง่างามจากสำนักที่หนึ่งแห่งจักรพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้าย ซึ่งปกติแล้วมีนิสัยสุขุม ก็ยังอดเผยแววตาทอประกายวาบไม่ได้ เขาเหม่อมองหวังเป่าเล่อ ส่วนหญิงสวมหน้ากากที่อยู่ข้างๆ แม้สีจะมีสีหน้าประหลาดใจ ยามมองเห็นหวังเป่าเล่อซึ่งอยู่บนยกพื้นสูงตรงนั้นอยู่บ้าง แต่ดวงตาของนางหรี่ลงคล้ายจันทร์เสี้ยว แม้หน้ากากจะบดบังอารมณ์บนหน้า แต่ก็เห็นชัดว่านางคล้ายจะยิ้มอยู่

โดยเฉพาะในพริบตานั้น หากว่าหวังเป่าเล่อสังเกตเห็นสตรีสวมหน้ากากล่ะก็ เขาจะต้องมองออกภายในชั่วพริบตาหรือมีความรู้สึกแน่นอนว่าประกายตานี้ดู…คุ้นเคยอยู่ไม่น้อย

แต่ว่านัยน์ตาจันทร์เสี้ยวนี้ปรากฏแล้วก็หายไปในพริบตา ท่าทางของนางกลับมาสุขุมเหมือนเก่า ส่วนคนที่มีท่าทีตรงข้ามกับนางนั้น ย่อมต้องเป็นแม่สาวกระพรวนซึ่งมาจากสำนักเก้าวิหคเพลิง

ยามนี้ร่างกายของนางสั่นสะท้าน ลมหายใจเกิดปั่นป่วนขึ้นมา นางใช้ดวงตาที่เจือแววไม่อยากเชื่อเต็มเปี่ยม จับจ้องไปที่อีกฝ่าย ในสมองเหมือนถูกคลื่นสูงเท่าฟ้าซัดโหม ในเวลาเดียวกันก็มีความโกรธและไม่ยินยอมตีกระหน่ำด้วย ในใจนั้นแทบจะระเบิด

“เป็นไปได้อย่างไร! เซี่ยต้าลู่ที่สมควรตายนั่น เหตุใดจึงยืนอยู่ตรงนั้นได้??”

ในใจของทั้งสามคนนั้นแตกต่างกันออกไป แต่ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มชุดดำที่อบอวลไปด้วยไอพิฆาตข้างกายนั้นกลับสงบที่สุด แม้ในใจเขาจะปั่นป่วนแต่เมื่อดูจากท่าทางของเขาแล้ว เหมือนเขาไม่สะทกสะท้านเท่าไรนัก อีกด้านนั้นคือพี่ชายเกาผู้สูงส่ง ที่ในเวลานี้ตื่นเต้นยิ่ง เขาแอบคิดในใจว่าไม่เสียแรงที่เซี่ยต้าลู่เป็นเพื่อนของตน แม้จะไม่รู้ว่าเพราะอะไรอีกฝ่ายถึงไปยืนอยู่ตรงนั้นได้ แต่เห็นชัดว่าคงไม่ธรรมดา

ในส่วนของเจ้าอ้วนน้อยนั้น…เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้ว ความตระหนกในใจเขาท่วมท้นเป็นเกลียวคลื่นทีเดียว กล่าวได้ว่าไม่แพ้แม่สาวกระพรวนเลย โดยเฉพาะที่เมื่อครู่ก่อนหน้าตัวเขาเองกำลังได้ใจสุดขีด เพราะหวังเป่าเล่อไม่อยู่ ในเมื่อตอนแรกได้ใจเสียขนาดนั้น ยามนี้เขาจึงสะเทือนใจสาหัสยิ่งนัก…เขาเบิกตามองโพลง กระทั่งก้อนไขมันบนร่างยังกระเพื่อม มุมปากพึมพำอย่างควบคุมไม่ได้

“ไร้เหตุผลสิ้นดี ทำไมเป็นแบบนี้…ที่เซี่ยต้าลู่หายไปหลายวัน สุดท้ายไปทำสิ่งใดมากันแน่ ถึงกับถูกจัดให้ยืนอยู่ข้างจักรพรรดิดาวตกในงานบูชาฟ้า!”

ระหว่างที่เจ้าอ้วนน้อยไม่อาจเชื่อเรื่องนี้ได้ เขาก็ขยี้ตาตัวเองเพื่อทำให้แน่ใจว่าไม่ได้มองพลาดด้วย ในส่วนของแม่นางน้อยผู้ใช้ศาสตร์มืดข้างกายนั้น นางเผยรอยยิ้มหวานบางเบา

“พี่ชายอ้วนน้อย ท่านบอกไว้ว่าหากระฆังครั้งที่สี่ดัง แล้วเซี่ยต้าลู่มาไม่ทันก็จะเข้ามาไม่ได้แล้วนี่นา? แล้วทำไมตอนนี้เขาถึงอยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิได้เล่า?”

“เอ่อ…” เจ้าอ้วนน้อยเหงื่อเต็มศรีษะ ความรู้สึกประดักประเดิดแผ่ชัดบนใบหน้า โดยเฉพาะความรู้สึกเหมือนถูกตบหน้านี้ร้อนระอุ ทำให้เขาอดแค่นเสียงไม่ได้

“ตามธรรมเนียมของจักรวรรดิดาวตก ยังมีอีกคนที่มีคุณสมบัติยืนอยู่ข้างกายจักรพรรดิ เพียงแต่ว่าคนผู้นี้ต้องสร้างคุณูปการใหญ่หลวงต่อจักรวรรดิดาวตก เจ้าเซี่ยต้าลู่คงต้องจ่ายค่าตอบแทนอันน่าตกใจไปแน่นอน ถึงได้มาอยู่ตรงนี้ได้” แม้ตอนแรกเจ้าอ้วนน้อยจะกล่าวช้าๆ แต่ว่ายิ่งพูดเข้า สุดท้ายเหมือนว่าตนเองก็เชื่อคำพูดตัวเองไปเสียแล้ว

“เซี่ยต้าลู่ควรได้รับเกียรติขนาดนี้เลยหรือ เฮ้อ เกียรติยศอันไม่คู่ควรก็ทำร้ายคนได้นะ” เจ้าอ้วนน้อยส่ายหน้าถอนหายใจ สังเกตเห็นรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของสาวน้อยข้างกาย จากนั้นก็พบว่าคนอื่นๆ รอบตัวเขาล้วนมองมาด้วยสายตาประหลาด นี่ทำให้เขาพูดต่อไม่ออก หากย้อนกลับไปดู ก็ต้องถือว่าตัวเขาเองหนังหน้าไม่หนาพอ และในตอนที่เขารู้สึกทำตัวไม่ถูกมากขึ้นทุกขณะ ก็มีเสียงช่วยชีวิตดังมาจากจักรพรรดิดาวตกพอดี เสียงของเขาสะท้อนไปทั่วทั้งบริเวณ

“พิธีบูชาฟ้า พิธีเต๋าคำนับดารา พิธีแสวงเจตจำนงฟ้า งานพิธีบูชาแห่งนคราดาวตก ทุกท่าน…ยังไม่กราบบูชาฟ้าสามคราอีกหรือ?”

เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกมา เหล่าผู้ฝึกตนในลานนับแสนล้วนตัวสั่นสะท้าน แหงนหน้ามองท้องฟ้าพร้อมกัน จากนั้นก็ยกมือขึ้นชู!

ในยามนี้เสียงของจักรพรรดิดาวตกดังสะท้อนทั้งแปดทิศ

“คำนับครั้งแรก คำนับท้องนภาผู้มอบเส้นทางแห่งเต๋า ทำให้นครดาวตกของเราผ่านลมฝนมาได้ ไม่พบภัยร้ายตลอดมา!”

หลังจากที่เสียงนี้สะท้อนก้อง เหล่าผู้ฝึกตนในลานก็คำนับพร้อมกัน รวมถึงเหล่าผู้ฝึกตนอีกนับล้านนอกรั้วราชวัง แล้วยังมีเหล่าประชาชนทั้งหมดในจักรวรรดิดาวตกด้วย ในเวลานี้ทุกคนล้วนคำนับฟ้า!

บรรยากาศยิ่งใหญ่ ลมหมุนเมฆเคลื่อน แล้วยังมีเสียงคำรามครืนๆ ดังมาจากบนฟ้า ใจกลางทะเลเมฆที่หมุนค้างนั้น ราวกับว่ามีเจตจำนงแห่งสรรพสิ่งนับหมื่นอันแสนยิ่งใหญ่กำลังงอกเงย รวมตัวกันอยู่กลางนภา กลายสภาพเป็นวิญญาณที่มองไม่เห็น รับการคำนับจากทุกคนบนผืนดิน!

“คำนับครั้งที่สอง คำนับบรรพบุรุษแห่งจักรวรรดิดาวตก ผู้มอบเส้นทางเต๋าแท้จริงให้พวกเราจักรวรรดิดาวตกได้ฝึกปรือนับสิบล้านปี!”

กลุ่มเมฆในยามนี้คล้ายคลื่นยักษ์สาดนภา มันคำรามเสียงก้องกว่าเก่า พร้อมกันนั้นแสงอาทิตย์ก็สาดส่องมาจากท้องฟ้า ทอประกายสีสดใส อัศจรรย์ตาสุดบรรยาย และยังมีเงามายาร่างหนึ่งเหมือนจะแฝงกายมาถึงโลกนี้พร้อมกับแสงอาทิตย์ด้วย ราวกับท้องฟ้านี้รับการคำนับจากทุกผู้คนบนผืนดิน!

ขั้นตอนที่เปรียบเหมือนความฝันนี้ ดำเนินไปทั้งสิ้นกว่าหนึ่งก้านธูปพอดี ในเวลานี้เองจักรพรรดิแห่งนครดาวตกก็เริ่มประกาศต่อไป

“คำนับครั้งที่สาม คำนับดาวเคราะห์แห่งนครดาวตกนี้ เกียรติยศแห่งนครจะมิเลือนหาย ต่อให้ในยามที่ไม่มีผู้ใดจดจำได้ แต่ภาระหน้าที่แห่งนครดาวตกของพวกเรา จะประทับอยู่ในตัวของทุกสรรพสิ่งในดาวเคราะห์ดวงนี้สืบไป!”

เมื่อกล่าวแล้ว ฝูงชนก็คำนับอีกครั้ง กระทั่งตัวของจักรพรรดิดาวตกเองก็ทำเช่นกัน หวังเป่าเล่อที่อยู่ข้างกายเขานั้น ค้อมคำนับเหมือนสองครั้งแรก แสดงการคารวะผินหน้าสู่ผืนฟ้า ในเวลาเดียวกันเขาก็พยายามสำรวมกายใจให้เรียบร้อย ความรู้สึกอาบทั่วร่างของเขาพร้อมกับความคาดหวังรอคอยกระแสหนึ่งซึ่งเพิ่มพูนขึ้นมากเรื่อยๆ

เพราะจากที่เขารู้ถึงขั้นตอนของพิธีบูชาฟ้าตามที่แม่นางกระดาษทั้งสามบอกเอาไว้แล้ว เขาก็รู้ว่าในพิธีบูชาฟ้าของจักรวรรดิดาวตกนี้ไม่มีกระบวนการยุ่งยาก หลังจากคำนับฟ้าสามครั้ง พวกเขาก็จะเริ่มตีกลองน้อมดารากันแล้ว!

ในรอบพิธีนี้ จุดสำคัญของพิธีบูชาฟ้าก็คือการใช้เสียงกลองสั่นสะเทือนผืนนภา น้อมนำดารานับไม่ถ้วนมาลงมา

ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็เป็นไปตามนี้ หลังจากจักรพรรดิดาวตกคำนับสามครั้งแล้วแหงนหน้าขึ้น เขายืนอยู่นอกตำหนัก หลังถูกดวงตานับไม่ถ้วนจับจ้อง หลังกวาดตามองรอบหนึ่ง เขาก็หันไปมองเหล่าชายหนุ่มผู้สง่างามและคนทั้งเก้าในฝูงคน

“หลังคำนับฟ้าแล้วก็คือพิธีเคลื่อนดารา สหายเต๋าตัวน้อยจากต่างพิภพทั้งหลาย ขอเชิญเข้ามา…ตีกลองสู่สวรรค์ น้อมเชิญแสงดารานับล้านให้ยอมโน้มลงมา!”

เมื่อเสียงนี้กระจายไป ดวงตาของผู้คนบนลานนับล้านก็ล้วนจับจ้องมาที่พวกชายหนุ่มผู้สง่างามทั้งเก้าคน เมื่อถูกกระดาษรูปมนุษย์เหล่านี้จ้องมอง หญิงสวมหน้ากากเองก็เริ่มหายใจกระชั้น หลังมองกันเองไปมาแล้ว เจ้าอ้วนน้อยก็กัดฟันแน่น เขาตัดสินใจเหาะไปยังกลองสู่สวรรค์เป็นคนแรก จากนั้นก็ตะโกนเสียงดัง

“ผู้อาวุโส ผู้เยาว์ลู่เสี่ยวไห่ขอตีกลองเป็นคนแรก!”

………………………………………..

และในเวลานี้ หวังเป่าเล่อที่ถูกอีกฝ่ายเยาะเย้ยได้ใจอยู่นั้น ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่ในเขตราชวังเหมือนเก่า สีหน้าของเขาสงบนิ่งและในเวลาเดียวกันเขาก็เพิ่งจะปลดการเคลื่อนพลังฝึกปรือในวันสุดท้ายออก

ต่อมาดวงตาของเขาก็พลันเบิกกว้าง ทอประกายแสงวาบหนึ่ง แสงนี้ประดุจไฟที่ส่องให้โถงอันมืดมิดสว่างขึ้นมาในพริบตา

“เข้าใกล้ระดับจิตวิญญาณอมตะไปอีกก้าวแล้ว…ที่สำคัญกว่านั้นคือจิตวิญญาณของข้า เหมือนจะเหนือกว่าสมัยก่อน!” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา เจ็ดวันมานี้ เขาอาศัยพลังวิญญาณเต็มแน่นในตำหนักรวมถึงกระแสความอบอุ่นที่โลกนี้มอบให้ ยกระดับการฝึกปรือขึ้นอีกขั้นหนึ่ง เขาสัมผัสได้ว่าทั้งร่างนั้นเคลื่อนไหวสอดประสานเป็นหนึ่ง อีกทั้งยังสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งเหมือนน้ำเต็มขวดซึ่งเอ่อทะลัก

แม้จะยังไม่เข้าใจสภาวะนี้ของตนเองเท่าไหร่ แต่ในสภาพที่ใจเป็นสุขปลอดโปร่งนี้ เขาประจักษ์ได้ว่าตนนั้นอยู่จุดสูงสุดแห่งสภาวะจิตวิญญาณอมตะแล้ว!

การอยู่บนจุดสูงสุดของสภาวะนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่พลังฝึกปรือ แต่รวมถึงจิตวิญญาณ และกระทั่งกายหยาบของเขายังได้รับผลกระทบ หากตัดปัจจัยทางด้านกายภาพออกไป นอกจากเรื่องที่ไม่มีกายเนื้อแล้ว ก็แทบไม่แตกต่างเท่าไหร่

“ในสภาวะเช่นนี้ หากยกระดับพลังสสารดาวเคราะห์ แล้วหลอมรวมเข้ากับร่างเดิม พลังการต่อสู้ของข้า…ก็จะอยู่เหนือกว่าคนในระดับเดียวกันมาก!” หวังเป่าเล่อเผยนัยน์ตาคาดหวัง พลังปราณบนร่างนั้นก็พุ่งตาม ทำให้ทั้งห้องพลันสั่นสะเทือน แผ่พลังคลื่นแผ่ออกไป ในโถงตำหนักมีเสียงเจือความเคารพดังขึ้น

“คุณชาย เวลามงคลมาถึงแล้ว หากท่านฝึกปรือเรียบร้อย ข้าขออนุญาตเข้าไปช่วยท่านอาบน้ำผลัดผ้า”

หวังเป่าเล่อได้ยินแล้วก็ส่งพลังสัมผัสปราณเล็กน้อย เขาลุกขึ้นโบกมือ ในพริบตาประตูก็ถูกเปิดออก กระดาษรูปมนุษย์เดินเข้ามาสามตน ทั้งสามมองแล้วน่าจะเป็นสตรีทั้งหมด องคาพยพบนหน้าอ่อนช้อย ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนงามที่ถูกวาดขึ้น โดยเฉพาะบนร่างพวกนางนั้น สามารถสัมผัมได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นที่ไม่เคยมีมาก่อน ยามพวกนางมองมายังหวังเป่าเล่อ สีหน้าของพวกนางก็เจือความเคารพปนเขินอาย

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อกะพริบตา เขาเพิ่งรู้ว่าพลังเสน่ห์ที่ตนไม่ได้ควบคุมนั้นเหมือนจะเพิ่มสูงขึ้นด้วย กระทั่งเหล่ากระดาษรูปมนุษย์ยังมีใจปฏิพัทธ์ต่อเขาแล้ว

หลังถอนหายใจอย่างไร้ยางอายไปคราหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็กระแอมไอแล้วรีบเอ่ยปาก

“ไม่ต้องแล้ว เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงระฆัง พิธีบูชาฟ้าเริ่มแล้วรึ?”

“คุณชายอย่าได้กังวล ท่านเป็นแขกผู้สูงศักดิ์ของจักรวรรดิดาวตกเรา ย่อมถูกจัดให้เข้าในยามที่ระฆังดังครั้งที่เก้า เดินเข้าพิธีพร้อมกับฝ่าบาท ตอนนี้ยังถือว่าเช้าอยู่ ยังไม่ถึงเสียงครั้งที่ห้าด้วยซ้ำ หากเร่งให้ท่านไปที่นั่นเร็วก็นับว่าพวกเราสะเพร่าแล้ว”

“เสียงที่เก้า?” หวังเป่าเล่อกระพริบตา แม้จะรู้สึกว่าการเดินเข้าไปพร้อมองค์จักรพรรดิจะทำให้เขาเป็นจุดเด่นอย่างมาก แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามสักหน่อย

“แล้วเหล่าสหายของข้าเล่า? พวกเขาเข้าไปตอนระฆังยามใด?”

“พวกเขาเข้าไปยามระฆังดังครั้งที่สี่เท่านั้น ตอนนี้จำต้องรอท่านและฝ่าบาทอยู่ข้างใน” แม่นางกระดาษรูปมนุษย์ยิ้มกล่าว นางเดินเข้ามาหมายช่วยหวังเป่าเล่ออาบน้ำ

หวังเป่าเล่อลังเลเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธทั้งสามคน เพียงแต่ว่านี่มิใช่การอาบน้ำแบบที่เขาคิดไว้ การอาบน้ำของที่นี่ใช้ฝุ่นแป้งชนิดหนึ่ง ทว่าเมื่อชำระล้างแล้วให้ผลดียิ่งนัก ในเวลาเดียวกันตัวฝุ่นก็มีกลิ่นหอมอ่อนๆ

ส่วนการเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ตรงตามความหมายนั้น จักรวรรดิดาวตกนับถือหวังเป่าเล่ออย่างมาก จึงจัดส่งชุดเฉพาะมาให้เขาชุดหนึ่ง บนเสื้อผ้านั้นแม้วัสดุจะเป็นกระดาษ แต่ไม่ว่าจะเป็นจากการสัมผัสหรือว่ารูปลักษณ์ ใครก็รู้สึกได้ว่าวัสดุนี้ย่อมต้องเป็นผ้าไหมชนิดหนึ่งแน่นอน

ชุดของเขานั้นเป็นสีขาวปลอด แม่นางกระดาษทั้งสามช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า ครั้นเมื่อใส่เสร็จ เส้นผมสีดำของเขาก็ตัดกับชุดขาวบนร่าง พลันให้บรรยากาศราวกับเป็นคุณชายท่านหนึ่ง ในเวลาเดียวกันก็เหมือนเขาหลอมรวมเข้ากับโลกนี้ได้มากขึ้น

ระยะเวลาอาบน้ำเปลี่ยนชุดนี้เสียเวลาไปไม่น้อย จนกระทั่งสิ้นเสียงระฆังครั้งที่แปดจึงค่อยแล้วเสร็จ หลังจากแม่นางกระดาษทั้งสามสำรวจตรวจดูแล้ว พวกนางก็ค้อมกายให้หวังเป่าเล่อคราหนึ่ง

“เชิญคุณชายตามพวกเรามา”

หวังเป่าเล่อลูบชุดที่ตนสวมอยู่ เขารู้สึกพอใจ ในใจยิ่งกว่าสุขล้ำ เขาเดินตามแม่นางกระดาษทั้งสามไป ระหว่างทางสนทนายิ้มหัวไปด้วย พวกเขามุ่งหน้าไปยังห้องรับรองที่ส่วนลึกในราชวัง

และเพราะเคารพหวังเป่าเล่อเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นแม่นางกระดาษทั้งสามจึงตอบคำถามของเขาตลอดทางด้วยความสัตย์จริง นี่เองทำให้หวังเป่าเล่อเข้าใจกระบวนการและรายละเอียดของพิธีบูชาฟ้ามากขึ้น เขาสังเกตว่าสถานที่ที่ตนมุ่งไปนั้นก็คือประตูหลังของตำหนักหลักในราชวัง

ก่อนหน้านี้ที่เขาเข้าใจ งานพิธีบูชาฟ้าในครั้งนี้ จักรพรรดิดาวตกจะดำเนินพิธีเอง สถานที่ก็คือด้านนอกของตำหนักหลัก ลานดารายุรยาตร ลานนี้ตระการตาเหนือสิ่งใด สามารถจุคนธรรมดาพร้อมกันได้นับแสน แต่ปกติแล้วคนที่มีสิทธิ์เข้าถึงตรงนั้น ล้วนเป็นผู้ที่ต้องรอจังหวะระฆังเข้ามาทั้งสิ้น

ผู้ที่เข้ามาก่อนนั้นย่อมต้องรอนานกว่าผู้อื่น ส่วนจักรพรรดิดาวตกจะเป็นผู้ดำเนินมาคนสุดท้าย การปรากฎตัวของจักรพรรดิจะอยู่ท่ามกลางสายตานับหมื่น พร้อมกันก็เป็นสัญญาณว่าพิธีบูชาฟ้ากำลังจะเริ่ม

คิดถึงจุดนี้แล้ว แม้ในใจหวังเป่าเล่อจะพอคาดเดาได้ แต่ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้อยู่ดี

“นั่น…นั่นคือเส้นทางไปในตำหนักหลักของวังรึ?”

“เจ้าค่ะ ฝ่าบาทกำลังรอท่านอยู่” แม่นางกระดาษที่อยู่ข้างของเขาตอบ จากนั้นก็พาหวังเป่าเล่อเดินผ่านประตูหลังของวัง แล้วเดินตามเข้าไป เส้นทางสายน้อยนี้สิ้นสุดตรงตำหนักหลักนั่นเอง

ส่งถึงตรงนี้ แม่นางกระดาษทั้งสามก็ไม่ได้ตามมาด้วยแล้ว พวกนางกลับคำนับให้หวังเป่าเล่อคราหนึ่งแล้วไม่เงยตัวขึ้นอีก ดูคล้ายจะรอให้เขาจากไปเสียก่อน

หวังเป่าเล่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองดูเส้นทางสายน้อยนั่น เขาสำรวมท่าทีแล้วรีบซอยเท้าไป หลังจากเข้าไปแล้ว เขาก็สัมผัสได้ถึงกระแสจิตหนึ่งที่ลอยมาหาเขาอย่างรวดเร็วในทันที แต่ก็เพียงแค่กวาดผ่านร่างเขา แล้วจากนั้นก็หายไป เมื่อเป็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้หยุดรั้ง เขาเดินตามทางต่อ ภายหลังจากเขาเข้าไปแล้ว ก็พบว่าตนเองได้อยู่ในตำหนักหลักของราชวังจักรวรรดิดาวตกเป็นที่เรียบร้อย!

ตำแหน่งของเขาอยู่ใกล้บัลลังก์จักรพรรดิ เมื่อแหงนหน้าขึ้นมองก็เห็นทุกสิ่ง ตำหนักนี้แม้จะเป็นกระดาษทั้งสิ้น แต่สีสันก็สดใส ตัวคานตำหนักมีขนาดมหึมา รูปสลักด้านข้างทั้งสี่ทิศนั้นก็แสนจะยิ่งใหญ่

แล้วยังมีเหล่ากระดาษรูปมนุษย์ที่ยืนนิ่งสงบอยู่ตรงนั้น เมื่อพวกเขามองเห็นหวังเป่าเล่อ ทุกตนต่างก็ผงกศีรษะ ดวงตาฉายแววเป็นมิตร

“สหายน้อย หลายวันมานี้พักผ่อนเป็นเช่นไร?”

ตอนที่หวังเป่าเล่อกำลังมองภายในห้องโถงนั่นเอง เขาก็ได้ยินเสียงอันอบอุ่นที่ข้างหู เมื่อหันไปมองก็พลันพบว่ากระดาษรูปมนุษย์ผู้ทีขีดแดงตรงหว่างคิ้วได้เดินออกมาจากอีกด้านของบัลลังก์จักรพรรดิ

“คารวะผู้อาวุโส หลายวันมานี้ท่านให้ข้าได้ฝึกปรืออยู่ที่นี่ นับว่าช่วยเหลือผู้เยาว์ใหญ่หลวงนัก!” หวังเป่าเล่อประสานมือคำนับ

“เช่นนั้นก็ย่อมดี พวกเราเหล่าผู้ฝึกตนนั้นล้วนพึ่งพาโชคชะตา ในเวลาเดียวกันจิตใจและเจตนารมณ์ก็สำคัญไม่แพ้กัน บางเวลาที่พวกเราทำไม่ได้ บางทีอาจจะเพราะโอกาสไม่ประจวบเหมาะ หรือยังไม่สมควร” กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดเดงตรงหว่างคิ้วด้านหนึ่งก้าวเดิน อีกด้านหนึ่งก็ยิ้มแย้มเอ่ยวาจา คำที่กล่าวออกมานั้นกระแทกใจหวังเป่าเล่อยิ่งนัก

“คำพูดนี้น่าสนใจ…” หวังเป่าเล่อเหมือนคิดอะไรออก จึงได้หยั่งเชิงถามกลับ

“ผู้อาวุโส บ้านเกิดของผู้เยาว์มีคำกล่าวว่า ความผิดพลาดทั้งหมดที่ผ่านมา อาจนับเป็นการเตรียมการที่ดีที่สุด”

เมื่อเขาเอ่ยคำนี้ออกไป กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดเดงตรงหว่างคิ้วก็พลันชะงักเท้า เหมือนกำลังพิจารณาประโยคนี้อย่างจริงจัง ดวงตาของเขาทอประกายประหลาด มองหวังเป่าเล่ออย่างพินิจพิจารณา แล้วพลันยิ้มขึ้นมา

“ข้าหวังว่าจะได้เห็นการเตรียมการที่พร้อมสรรพที่สุดของเจ้า!”

“สหายน้อย ตามข้าออกไปเถอะ พิธีบูชาฟ้าอันยิ่งใหญ่กำลังจะเริ่มแล้ว!” กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดเดงตรงหว่างคิ้วเอ่ยถึงตรงนี้ก็เดินออกไป หวังเป่าเล่อเองก็ยับยั้งความคิดตน เขารีบติดตามอีกฝ่ายออกไปในเวลาเดียวกัน กระดาษรูปมนุษย์นับร้อยด้านข้างนั้น ต่างก็ติดตามไปเบื้องหลังพวกเขา

เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อและกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดเดงตรงหว่างคิ้วเดินออกมาจากตำหนัก ตอนนี้ เพราะตัวตำหนักหลักนั้นอยู่สูงกว่าลานด้านนอกไม่น้อย ดังนั้นแล้วหวังเป่าเล่อจึงมองเห็นศูนย์กลางของลานในพริบตา ที่ตรงนั้นมีกลองสีครามขนาดประมาณร้อยจั้งตั้งตระหง่านสูงศักดิ์อยู่ใบหนึ่ง!

กลองนี้คล้ายมีกลิ่นอายของกาลเวลา แม้จะอยู่ไกลจนมองไม่เห็นรายละเอียด แต่หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงพลังระดับสะเทือนฟ้าดิน เพียงแค่มองเท่านั้น ก็พาให้จิตใจของเขาปั่นป่วน ราวกับมองเห็นทางช้างเผือก มองเห็นดวงดาราและมองเห็นดวงดาวเกลื่อนฟ้า!

และเป็นเพราะกลองใบนี้ยิ่งใหญ่เกินไป มันดึงดูดสายตาทั้งหมดของหวังเป่าเล่อ ทำให้เขาไม่ได้มองเลยว่ารอบด้านลานนั้น เงาร่างของผู้คนนับหมื่นแสนให้ความรู้สึกเบียดเสียดเพียงใด!

และยิ่งไม่ได้สังเกตเข้าไปใหญ่ ว่าในบรรดาเงาร่างนับหมื่นนี้มีพวกของหญิงสวมหน้ากาก และย่อมไม่สังเกตเห็นว่าเพราะเขาหายตัวไป แม่สาวกระพรวนจึงยิ่งยโสกว่าเก่า ส่วนเจ้าอ้วนน้อยก็กำลังได้ใจ

แต่ความได้ใจของเจ้าอ้วนน้อยนี้ไม่นานก็กลายเป็นอารมณ์ตื่นตะลึง…เพราะว่าในยามนี้เอง เมื่อเสียงระฆังครั้งที่เก้ากังวานขึ้น เวลารวมตัวกันได้ประกาศออกมาแล้ว เสียงระฆังนี้ยาวนานยิ่งกว่าครั้งใดๆ แทบจะกลายเป็นคลื่นริ้วแผ่ซ่านไปทั้งนครดาวตก เป็นจังหวะเดียวกับที่เงาร่างของหวังเป่าเล่อและจักรพรรดิดาวตกปรากฏขึ้น…ต่อสายตาฝูงชนนับหมื่น ทั้งสองเดินออกจากตำหนักหลักของราชวัง!

ต่อจากการปรากฏตัวนี้ ท้องฟ้าก็ผันเปลี่ยน!

…………………………………….

“น่าสนใจ…” กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วหรี่ตา มองหวังเป่าเล่อที่กำลังกักตัวอยู่ อาศัยจากพลังฝึกปรือของเขายังมองไม่ออกถึงแนวโน้มเท่าไหร่ ขณะเดียวกันตัวเขาเองกลับเริ่มคาดหวังอย่างมากต่อพิธีน้อมดาราสู่สวรรค์ในอีกหลายวันให้หลัง

เขาอยากจะรู้นักว่า ในวันพิธีบูชาฟ้านี้ สุดท้ายใครจะได้รับความชมชอบจากดาวเคราะห์เต๋าแสนทะนงดวงนั้น แล้วยิ่งอยากทราบไปอีกว่า หลังดาวเคราะห์เต๋ามีนายแล้ว หวังเป่าเล่อผู้นี้จะมีการบ่มเพาะโชควาสนาเช่นไร

หลังมีความคิดเช่นนี้แล้ว กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วก็ถอนสายตาไป เงาร่างค่อยๆ เดินลัดหายไปในห้องใต้หลังคา จากนั้นเวลาก็ค่อยๆ ผ่านไปอีกหนึ่งวัน ทั้งจักรวรรดิดาวตกนั้นกำลังจัดเตรียมพิธีบูชาฟ้า ในเวลาเดียวกัน จำนวนของกระดาษรูปมนุษย์ที่พบว่าโลกใบนี้เปลี่ยนแปลงไปมากมายนั้นก็มากขึ้นทุกที

แต่ไหนแต่ไรมา ที่จักรวรรดิดาวตกนั้นมีแต่บรรยากาศเย็นเยียบกระจายอยู่ทั่วร่างของเหล่ากระดาษรูปมนุษย์ มีกระดาษรูปมนุษย์จำนวนน้อยนักที่ทราบว่าสภาพการณ์เช่นนี้เริ่มเป็นมาตั้งแต่ตอนไหน สำหรับพวกเขาส่วนใหญ่แล้ว โลกก็เป็นเช่นนี้มาตั้งแต่พวกเขารู้ความ

มีเพียงผู้มีอำนาจบางส่วนเท่านั้น ที่คิดย้อนไปถึงสภาพก่อนหน้าของจักรวรรดิดาวตกได้เป็นบางครั้ง และมีเพียงพวกเขาเท่านั้นที่ทราบว่า ความรู้สึกเย็นเยียบนี้ ได้บังเกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยในช่วงเวลาอันยาวนานหลายปีก่อนหน้า

และทั้งหมดนี้ เป็นเพราะทะเลกระดาษสีดำ!

แต่หลายวันมานี้…อย่าว่าแต่เหล่าใต้เท้าผู้มีอำนาจทั้งหลายเลย ต่อให้เป็นกระดาษรูปมนุษยธรรมดาล้วนสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง กลิ่นอายอ้างว้างเย็นเยียบหายไป สิ่งที่มาแทนที่คือความอบอุ่นของลมฤดูใบไม้ผลิที่กระจายอาบไปทั้งหัวใจของเหล่ากระดาษรูปมนุษย์ กระทั่งว่าผืนดินและแผ่นฟ้า ต่างก็แปลกออกไปโดยใช้คำพูดบรรยายไม่ได้

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปมากที่สุด กลับเป็นเหล่านกในทะเลกระดาษดำพวกนั้น แม้ว่าคลื่นยักษ์ซัดโหมจะเป็นเหตุให้ทะเลกระดาษสีดำเปลี่ยนเป็นสีเทาแล้ว แต่มองไปก็ยังดูล้ำลึกดุจเดิม ตาเนื้อไม่อาจแยกแยะภาพได้ชัดเจน แต่กับพวกนกเหล่านี้ กลับไม่ได้อยู่ในสภาวะถูกกัดกร่อนอีกต่อไปแล้ว พวกมันมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วที่สุด สีสันของพวกมันนั้นแปรผันทุกวัน สลัดลอกไม่หยุด และห้าวันให้หลังก็กลับเป็นสีขาวปลอดโดยสิ้นเชิง

เหล่ากระดาษรูปมนุษย์ที่พบเห็นพวกมันโผบินอยู่เหนือท้องฟ้า ล้วนแต่ใจเต้นสั่นระรัว

ดังนั้นแล้วในระหว่างการเตรียมพิธีบูชาฟ้าหลายวันนี้ กระดาษรูปมนุษย์ที่เข้าร่วมทุกตน ล้วนแต่ยินดีปรีดา นำพาหัวใจอันซาบซึ้ง มโหรีอึกทึกครึกโครม ในเวลาเดียวกัน สำหรับหญิงสวมหน้ากากและเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นๆ นั้น หลายวันมานี้พวกเขาล้วนแต่ทุ่มเทให้การตั้งมั่นในสมาธิ

หากดาวเคราะห์เต๋าไม่ปรากฏมาก็ช่างเถิด หรือหากปรากฏแต่ไม่มีชะตาต้องกับพวกเขาก็แล้วไป พวกเขาก็จะไม่มีอาการเช่นนี้เลย แต่ว่าในสถานการณ์เบื้องหน้าเช่นนี้ หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยแรงขับเคลื่อน ย่อมเตรียมการไว้พร้อม ยอมแลกทุกสิ่งในวันพิธีบูชาฟ้าเท่านั้น!

สำหรับพวกเขาแล้วเรื่องนี้สำคัญเท่าชีวิต ดังนั้นกระทั่งตัวชายหนุ่มผู้งามสง่าจากสำนักเต๋าที่หนึ่งแห่งจักรพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายซ้ายก็ยังตั้งใจยิ่งยวด เขาพยายามผลักให้ตนเองอยู่ในสภาวะที่พร้อมที่สุด ดันพลังให้สูงอีกขั้น

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…หากเขาสามารถชิงดาวเคราะห์เต๋ามาเพิ่มขอบข่ายสสารดาราของตนได้ ขอเพียงไม่ด่วนจากไปก่อนวัยอันควร อนาคตย่อมกลายเป็นผู้มากบารมีในจักรพิภพได้แน่นอน ส่วนเรื่องโชคร้ายทำนองว่าต้องอายุสั้นนั้น บางทีคนอื่นๆ อาจกังวล แต่สำหรับเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่มีขุมกำลังเบื้องหลังเช่นพวกเขา สำนักของพวกเขาย่อมทุ่มเทยับยั้งไม่ให้เกิดเรื่องทำนองนั้นขึ้น

ก็อาจกล่าวได้ว่า…เมื่อใดที่ได้ดาวเคราะห์เต๋าดวงนี้มา ทุกๆ สิ่งไม่ว่าจะเป็นทรัพยากร สถานะภาพ ตำแหน่ง หรืออนาคตนั้นย่อมเปลี่ยนแปลงจากตอนนี้ แม้ตอนนี้สถานภาพจะสูงอยู่แล้วก็ตาม แต่หากได้ดาวเคราะห์เต๋ามาอีก จะยิ่งเหนือชั้นถึงขั้นกลายเป็นผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดได้

เพราะว่า…ตั้งแต่โบราณกาลมาจวบจนปัจจุบัน ดาวเคราะห์เต๋าก็เป็นเพียงตำนานเท่านั้น ผู้ที่เคยถือครองนั้นคล้ายว่ามีเพียงคนเดียว สำหรับผู้ที่เคยได้รับดาวเคราะห์เต๋านั้นก็คือ….จักรพรรดิเทพของดาราจักรไม่รู้สิ้น และเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในเขตแดนดาราจักรไม่รู้สิ้นอีกด้วย คนผู้นี้ก็คือผู้บุกเบิกเผ่าดาราจักรไม่รู้สิ้น ผู้มีนามว่า…เว่ยหยางจื่อ! !

ตำนานเล่าขานว่า ในชั่วศักราชหนึ่ง เขาบุกสังหารผู้อาวุโสสามในเก้ารายของสำนักแห่งความมืดด้วยตัวคนเดียว การทรยศของเฉินชิงจื่อก็มีเขาเป็นผู้วางแผนตั้งแต่ต้นจนจบ เขาถึงขั้นเป็นผู้ฉีกเจตจำนงของสำนักแห่งความมืดออกเป็นชิ้นๆ และสาปแช่งด้วยโลหิตแห่งเต๋าสวรรค์ ผนึกสำนักแห่งความมืด เอาชนะวัฏสงสาร ทำให้หลังเข้าสู่ดาราแล้วเหล่าเซียนไม่ตายไม่สิ้นสูญ ได้ถือครองวิญญาณนิรันดร์ อีกทั้งในเวลาเดียวกันก็ยังเป็นผู้บุกเบิกศักราชใหม่นี้อีกด้วย!

เมื่อมีบุคคลต้นแบบอยู่ตรงหน้า ดาวเคราะห์เต๋าจึงดูน่าหลงใหลอย่างมาก ยิ่งสำหรับเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่รู้ทุกอย่างดีอยู่แล้วย่อมทราบดีกว่าใคร สำหรับตัวหวังเป่าเล่อเองแม้เขาไม่ทราบเรื่องพวกนี้ แต่ใจเขาก็ทะยานอยากพัฒนาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงปิดด่านเก็บตัวเร่งปรับสภาวะตนเองเช่นกัน

แล้วก็เป็นเช่นนี้ จนเวลาผ่านไปสองวันให้หลัง พิธีบูชาฟ้าก็มาถึง!

เมื่อเวลาเข้าใกล้มา เสียงระฆังจากราชวังก็ดังขึ้น เสียงระฆังนี้จะดังขึ้นทุกหนึ่งก้านธูป ทุกครั้งเสียงก็จะดังกังวานครอบคลุมทั้งแปดทิศของจักรวรรดิดาวตก ทุกคนล้วนได้ยิน

เมื่อยามที่ระฆังดังขึ้นรอบแรก กระดาษรูปมนุษย์ทั้งหมดในจักรวรรดิดาวตกก็พลันหยุดสิ่งที่ทำอยู่ พวกเขาต่างทยอยมารวมตัวกันที่ราชวังดาวตก แต่เพราะมีจำนวนมากเกินไป จึงได้แค่ออกันอยู่หน้าราชวัง ซึ่งเป็นกระดาษรูปมนุษย์ที่มีพลังฝึกปรือไม่ธรรมดาทั้งสิ้น แต่ที่มากกว่านั้นก็เป็นเหล่าประชาชนชาวกระดาษรูปมนุษย์ซึ่งกำลังเสาะหาสถานที่ที่เหมาะสม เพื่อให้เหล่าผู้สูงศักดิ์ของนครดาวตกได้รับชมพิธีสู่สวรรค์ครั้งนี้

จากนั้นระฆังที่สองก็กังวานไปทั่วทิศอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน หญิงสวมหน้ากากและคนอื่นๆ ก็ออกมายืนนอกห้องรับรอง และมีกระดาษรูปมนุษย์มาคอยดูแลปรนนิบัติแล้ว ไม่นานนัก หญิงสวมหน้ากาก ชายหนุ่มผู้สง่างามและชายหนุ่มชุดดำ รวมทั้งแม่นางกระพรวน แม่นางน้อย เกาฉวี่ และเจ้าอ้วนน้อย ทั้งเก้าคนที่เหลือค่อยๆ เดินออกจากที่พัก พวกเขาคำนับให้กระดาษรูปมนุษย์คราหนึ่ง จากนั้นก็เหาะมายังนครดาราโดยมีกระดาษรูปมนุษย์นำทาง

กระบวนการฟังดูเหมือนจะยาวนาน แต่จริงๆ แล้วก็แค่ชั่วระฆังดังสามคราเท่านั้น พวกเขาทั้งเก้าคนก็มาถึงนอกนครดาวตกแล้ว มีพื้นที่หนึ่งถูกจัดเตรียมไว้ก่อนหน้า และจัดสรรให้เหล่ากระดาษรูปมนุษย์มาคอยต้อนรับพวกเขา พวกกระดาษรูปมนุษย์ยืนประจำตำแหน่งอยู่ข้างๆ พวกเขา ทุกตนล้วนมีสีหน้านิ่งสงบ ไม่ขยับกาย

ตามกฎแล้ว พวกกระดาษรูปมนุษย์กำลังรอระฆังครั้งที่สี่ดัง แล้วจึงจะพาเหล่าหมาศิษย์แห่งเต๋าเข้าราชวัง

และในช่วงจังหวะที่รออยู่นี้ พวกเขาทั้งเก้าคนแม้จะมีสีหน้าสงบนิ่งแต่ในใจกลับพุ่งพล่านนัก ใจหนึ่งก็รอคอยโอกาสบ่มเพาะโชคสาวนา ส่วนอีกใจนั้นก็ต่อสู้กับตนเอง และพวกเขานั้นก็ยังมีข้อกังขาเล็กๆ อยู่ นั่นก็คือ…พวกเขาไม่เห็นหวังเป่าเล่อเลย

คำถามเล็กๆ นี้ เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มเดินทางออกจากที่พักมา พวกเขาแค่ละคนล้วนชะเง้อมองหา จนกระทั่งมาถึงตรงนี้แล้วก็ยังไม่เห็นอีกฝ่าย ในใจแต่ละคนล้วนค่อยๆ คาดเดา แต่ก็เป็นแค่บางคนเท่านั้น คนอื่นๆ ล้วนไม่ค่อยใส่ใจนัก

คนอื่นๆ ที่ว่านี้ย่อมรวมถึงแม่สาวกระพรวน และยังมีหญิงสวมหน้ากาก แม่นางน้อยที่กำลังตามหาท่านอา ทว่าหากเปรียบเทียบกันนั้น รายแรกรู้แล้วก็เพียงแค่ยิ้มเย็น ส่วนอีกสองรายหลังนั้นกลับประหลาดใจ

นอกจากคนเหล่านี้แล้ว ยังมีอีกผู้หนึ่งที่ยินดีใจกับคราวเคราะห์ของหวังเป่าเล่อ คนผู้นี้ก็คือเจ้าอ้วนน้อยที่เคยถูกหวังเป่าเล่อเล่นงานนี่เอง ตัวเขาบากบั่นมาถึงที่นี่ได้ คงต้องกล่าวว่านอกจากพลังฝึกปรือแล้วยังอาศัยโชคอันน่าตะลึงอีกด้วย

ในเวลานี้เจ้าอ้วนน้อยมองซ้ายขวา แล้วอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้ม

“เจ้าเซี่ยต้าลู่นั่นหลงทางรึ น่าเสียดายนัก จักรวรรดิดาวตกกำชับกฎมาตลอด หากว่าเสียงระฆังรอบที่สี่ดังแล้วเขายังไม่มาล่ะก็ เช่นนั้นเขาก็หมดสิทธิ์แล้ว”

“ครั้งที่สี่?” แม่นางน้อยที่อยู่ข้างๆ ได้ยินเข้าก็หันไปมองเจ้าอ้วนน้อยด้วยความประหลาดใจ รอยยิ้มนั้นหวานนัก นางกะพริบตาทีหนึ่งแล้วจึงถามต่อ

“พี่ชายตัวน้อย กฎของระฆังนี้ว่าไว้อย่างไร?”

แม่นางตัวน้อยสะสวยอ่อนหวาน น้ำเสียงนุ่มละมุน แม้เจ้าอ้วนน้อยจะรู้ว่าอีกฝ่ายอันตราย แต่เขาก็กลับรู้สึกสบายใจยิ่งนัก จึงยอมอธิบายโดยดี

“กฎของจักรวรรดิดาวตก ก็คือการจัดเสียงเตือนให้รู้ลำดับ เสียงระฆังครั้งแรกคือการบอกกล่าวฟ้าดิน ว่างานพิธีกำลังจะเริ่มแล้ว เสียงที่สองนั้น ก็คือการอนุญาตให้ทุกผู้คนเข้ามาชมพิธีใกล้ราชวังได้ ส่วนเสียงที่สามนั้นคือการบอกให้จัดเตรียมพิธีให้พร้อม แล้วให้พาเหล่าผู้มีคุณสมบัติเข้าสู่ราชวัง เรียงลำดับไปตามทีละคน ผู้ที่เข้าไปคนสุดท้าย ตำแหน่งก็ยิ่งสูงส่ง”

“อย่างเช่นจักรพรรดิดาวตกนั้น จะมาตอนที่เสียงระฆังดังเป็นครั้งที่เก้า ในส่วนเหล่าราชาใต้บัญชา ก็จะมาในยามที่ระฆังถูกตีแปดครั้ง ยังมีพวกใต้เท้าเหล่านั้นซึ่งจัดเรียงตามลำดับฝึกปรือ แยกออกเป็นครั้งที่เจ็ดและแปดตามลำดับ ส่วนระฆังครั้งที่ห้านั้นกลับเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าของจักรวรรดิดาวตกเอง”

“อาศัยธรรมเนียมพวกนี้ พวกเราผู้ฝึกตนจากต่างพิภพแม้จะตำแหน่งสูงส่ง แต่ในวันพิธีบูชาฟ้าของจักรวรรดิดาวตก สถานภาพนี้นับว่าไม่สำคัญ เข้าไปได้ตอนเสียงระฆังที่สี่เท่านั้น ดังนั้นแล้ว…หากว่าเซี่ยต้าลู่ไม่เข้าไปในตอนที่ระฆังดังครบสี่ครั้งล่ะก็ เขาก็จะเสียสิทธิ์นี้ เพราะว่าเขาไม่มีสถานะภาพมากพอที่จะก้าวเข้าไปภายใต้เสียงระฆังดังครั้งต่อๆ ไปได้”

เสียงระฆังครั้งที่สี่พลันกังวานขัดขึ้นระหว่างที่เจ้าอ้วนน้อยพูดพอดี มันส่งเสียงดังทั่วฟ้า พื้นดินสะเทือนคราหนึ่ง เบื้องหน้าพวกเขานั้น พลันปรากฏประตูแสงขนาดยักษ์

ในเวลานี้เองเหล่ากระดาษรูปมนุษย์ที่อยู่ข้างๆ พวกเขาก็พลันเอ่ยปาก

“ขอเชิญสหายเต๋าจากต่างพิภพ เข้าสู่พิธีในราชวัง!”

เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ทั้งเก้าคนก็รีบสำรวมกายใจ เจ้าอ้วนน้อยเองก็ยังมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา แต่ภายในใจกลับลิงโลดดีใจกับคราวซวยของผู้อื่น เขาคิดว่าเซี่ยต้าลู่เอ๋ยเซี่ยต้าลู่ ไม่รู้ว่าทำไมเจ้าถึงมาสาย แต่ครั้งนี้เจ้าพลาดครั้งใหญ่แล้ว!

คิดถึงตรงนี้ เจ้าอ้วนน้อยก็รู้สึกสาแก่ใจนัก เขารีบเร่งเดินตามคนอื่นๆ เข้าสู่ภายในประตูลำแสงนั้น เงาร่างของเขาถูกลำแสงเรืองรองดูดกลืน และหายไปในทันที!

………………………………………………………….

หวังเป่าเล่อซึ่งยืนอยู่นอกห้องโถง แหงนหน้ามองท้องฟ้าอยู่เนิ่นนาน เขาย้อนคิดถึงภาพแต่ละฉากแต่ละตอนหลังตนมาถึงจักรวรรดิดาวตกแห่งนี้ นัยน์ตาเขาราวกับมีดวงไฟกำลังลุกโชน ดวงไฟที่ว่านี้ก็คือความทะเยอทะยานประเภทหนึ่ง

เทียบกันกับตัวเขาในยามก่อนหน้า แม้จะเคยได้ยินเรื่องดาวเคราะห์เต๋าจากเจ้าเยี่ยเหมิงมาก่อน ถึงกับกล่าวล้อเล่นว่าสำหรับตัวเขาเองนั้น สามารถคว้าดาวเคราะห์เต๋ามายกระดับขอบข่ายสสารดาราได้แน่นอน แต่ตัวเขาเองรู้ดี ว่านั่นเป็นแค่วาจาหยอกล้อกันครั้งหนึ่งเท่านั้น

แผนเดิมของเขานั้นหวังจะใช้ดวงดาวอมตะในจักรวรรดิดาวตกแห่งนี้สร้างรากฐาน เพื่อค้นหาดาวเคราะห์พิเศษต่อไป แต่ในยามนี้ความคิดของเขาเปลี่ยนไปแล้ว

“บางที นี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวในรอบหลายปีในจักรวรรดิดาวตก ที่มีคนน้อมดาวเคราะห์เต๋าได้…” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะหันไปมองแสงบนท้องฟ้า เขาเดินกลับเข้าในตำหนัก จากนั้นนั่งขัดสมาธิหลับตา สงบจิตใจตนเอง เคลื่อนพลังปราณ เพื่อรักษาสภาวะที่สมบูรณ์ที่สุดของร่างกายเอาไว้

ค่ำคืนนี้ ไม่ได้มีเพียงแต่หวังเป่าเล่อผู้เดียวที่บังเกิดความทะเยอทะยานในใจ ชายหนุ่มผู้สง่างามจากสำนักที่หนึ่งแห่งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝ่ายซ้ายผู้นั้นก็รู้สึกเช่นเดียวกัน แต่เดิมเป้าหมายของเขาก็เพียงแค่อยากอาศัยดาวเคราะห์พิเศษมาเป็นรากฐาน เพื่อชิงเอาดาวเคราะห์เต๋ามา ตอนแรกในใจของเขาคิดแค่สองสิ่งนี้ แต่ยามนี้ดาวเคราะห์เต๋าปรากฎ พาให้ลึกๆ ในใจเขาเกิดลางสังหรณ์ ว่าดาวเคราะห์เต๋านี้กับตนมีชะตาต้องกัน!

ความรู้สึกนี้ประหลาดยิ่ง เขาจึงไม่ได้กล่าวกับผู้ใด แต่ในใจซัดโหมด้วยความตื่นเต้น

จุดที่บังเอิญก็คือ…หากเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าผู้มีคุณสมบัติในการน้อมดาราเหล่านี้เปิดใจปรึกษาหารือกันด้วยความจริงใจ พวกเขาก็จะพบปัญหาเข้าอย่างหนึ่งทันที

เพราะผู้ที่รู้สึกว่าตนมีชะตาสอดคล้องกับดาวเคราะห์เต๋านี้ ไม่ได้มีเพียงชายหนุ่มผู้สง่างาม แต่ยังรวมถึงหญิงสวมหน้ากาก ชายหนุ่มชุดดำ และยังมีแม่นางกระพรวนอีกด้วย…กล่าวคือ เหล่าผู้มีคุณสมบัติทั้งหมดสิบคน หากตัดคนที่มีใจทะยานอยากอย่างหวังเป่าเล่อออกแล้ว คนอื่นๆ เอง ในจังหวะที่มองเห็นดาวเคราะห์เต๋าดวงนั้น ล้วนบังเกิดกำลังใจฮึกเหิม และล้วนคิดไปว่าตนมีชะตาต้องกับดาวเคราะห์เต๋าเช่นเดียวกัน

“ข้ามีชะตาต้องกับดาวเคราะห์เต๋า ครั้งนี้คือโอกาสครั้งใหญ่ของข้าที่จะได้ถือครองดาวเคราะห์เต๋า! ” แม่สาวกระพรวนใจเต้นระส่ำอยู่ภายในห้อง นางไม่ทราบเรื่องในวันนี้ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในจักรวรรดิดาวตกเลยสักนิด เพียงแค่รู้สึกถึงพลังอันไพศาลที่แผ่ขยายออกมาขุมหนึ่งเท่านั้น และสำหรับนาง เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญเท่ากับการที่ดาวเคราะห์เต๋าปรากฎออกมา

“ดาวเคราะห์เต๋า…หากเจ้าเลือกข้า ข้าจะพาเจ้าตะลุยสังหารทั้งจักรพิภพ ไม่ให้เสียชื่อดาวเคราะห์เต๋าของเจ้า! ”

ในส่วนอีกห้องหนึ่ง ชายหนุ่มชุดดำที่สะพายกระบี่เล่มโตไว้ ดวงตาเย็นชาของเขาพลันหรี่ลง พร้อมทอประกายอันตราย และเขาก็เริ่มพึมพำ

ในเวลาเดียวกัน แม่นางน้อยที่ใช้วิชาศาสตร์มืดผู้นั้นก็กำลังสับสน นางนั่งอยู่ตรงข้างบานหน้าต่าง แหงนหน้ามองหมู่ดารา จากนั้นก็ใช้มือพันเส้นผมมาขบด้วยความเคยชิน

“โอ๊ย เหตุใดดาวเคราะห์เต๋านี้ถึงมีชะตาต้องกับข้ากันเล่า ข้าไม่คู่ควรสักหน่อย ข้าอยากจะได้แค่ดาวแห่งความมืด…เมื่อไหร่เรื่องที่นี่จะจบเสียที ไม่สนุกเลยสักนิด ข้าอยากกลับไปหาท่านอาแล้ว” แม่นางน้อยถอนหายใจ ราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ทันใดนั้นนางก็มองไปที่ห้องของหวังเป่าเล่อ แม้ว่าจะไม่มีใครอยู่ในนั้น แต่นางก็ยังเพ่งมองอยู่นานสองนาน

“เซี่ยต้าลู่ผู้นี้…บนร่างกลับมีปราณของสำนักความมืดอยู่จางๆ หรือว่าเขาเกี่ยวข้องกับท่านอาที่ข้าไม่เคยพบผู้นั้น?”

ระหว่างที่เด็กหญิงกำลังจมอยู่ในความคิด คนอื่นๆ อย่างพี่ชายผู้สูงส่ง แล้วยังเจ้าอ้วนน้อย รวมถึงคนอื่นๆ ต่างก็อยู่ในสภาวะอารมณ์พุ่งพล่านกันทั้งสิ้น ในเวลาเดียวกันก็พยายามเก็บซ่อนความรู้สึก ทุกคนล้วนรู้สึกว่าตนเองนี่แหละคือผู้มีสิทธิ์เพียงหนึ่งเดียว

นี่ก็ไม่อาจโทษความเข้าใจผิดของพวกเขาได้จริงๆ โดยเฉพาะในพริบตาที่ดาวเคราะห์เต๋าปรากฎโฉม พวกเขาดันสัมผัสพลังได้ชัดเจนเกินไป ในบรรดานี้มีเพียงหวังเป่าเล่อผู้เดียวที่ท่องบทสวดแห่งเต๋าอยู่ในตอนนั้นซึ่งพลาดไป

ดังนั้นแล้วการปรากฎตัวของดาวเคราะห์เต๋า จึงทำให้คนที่เหลือทั้งเก้าคนต่างรู้สึกได้ถึงชะตาต้องกัน และเหตุนี้จึงตกอยู่ภายใต้การจับจ้องเป็นพิเศษจากจักรวรรดิดาวตก เพราะว่า…ผู้ที่สัมผัสได้ถึงชะตาอันสอดคล้องกันกลับไม่ได้มีแค่พวกเขา เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าจากต่างพิภพ แต่ยังรวมถึงมหาศิษย์แห่งเต๋าของจักรวรรดิดาวตกทุกคน ซึ่งมีระดับฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะด้วย!

“ดาวเคราะห์เต๋าคิดเคลื่อนไหว…” จักรพรรดิแห่งราชอาณาจักรดาวตกในรัชกาลปัจจุบัน กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วผู้นั้น กำลังยืนอยู่บนหอคอยภายในวังหลวง แหงนหน้ามองท้องฟ้า พร้อมเอ่ยปากเสียงเบา

“สัมผัสแห่งชะตาที่ดาวเคราะห์เต๋ามอบให้ทุกคนนั้นไม่ใช่ชะตาที่แท้จริง ทว่า…เพราะดาวเคราะห์เต๋าผ่านวันปีมาเนิ่นนาน จนบัดนี้กลับเริ่มมีความคิดจิตใจขึ้น คิดอยากให้มีผู้มาน้อมหรือไม่ก็ถูกกระตุ้นเข้าเสียแล้ว…” กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วส่ายหน้า พลางทอดถอนใจ

เขาเข้าใจดีว่า เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะดาวเคราะห์เต๋าแผ่กระแสชะตาออกมาเอง ดังนั้นจึงเกิดเหตุการณ์ที่เหล่าผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมจับสัมผัสนี้ได้ แต่สุดท้ายแล้วดาวเคราะห์เต๋าจะตัดสินใจน้อมกายสู่พิภพหรือไม่ หลังร่วงหล่นแล้วจะเลือกผู้ใด เรื่องนี้เกรงว่าต่อให้เป็นเขาก็ไม่ทราบ

“จะเลือกใครกันนะ…” กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วมองท้องฟ้ากว้าง จากนั้นก็กวาดสายตารอบราชอาณาจักรดาวตก หลังเงียบครู่หนึ่งเขาก็ประสานฝ่ามือ ตราประทับชิ้นหนึ่งลอยมาอยู่เบื้องหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วเริ่มซ้อนทับกัน หลังจากนั้นพวกมันก็ค่อยๆ ส่องสะท้อนสีสันจากบนท้องฟ้า ผ่านไปอีกชั่วหนึ่งให้หลัง นัยน์ตาของกระดาษรูปมนุษย์ก็พลันเกิดประกายประหลาด เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นสู่ฟ้าในทันที

“โปรดแสดงให้ข้าดูเถิด ท่านจะเลือกผู้ใด! ”

พริบตานั้นตราประทับก็แปรเป็นเสมือนลำแสงของดวงดาว มันส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้า เมื่อส่องรอบบริเวณเรียบร้อยแล้ว คลองจักษุของกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วก็เห็นฉากที่คนนอกนั้นไม่อาจจะมองเห็นได้

ในหมู่ดาวกลางนภานั้น ยังมีดาวเคราะห์ดวงหนึ่งส่องสว่างประดุจดาวจักรพรรดิ กลบแสงดวงดาวทั้งหมด ประหนึ่งจะดึงให้เหล่าดาราที่เหลือโคจรรอบมัน จวบกระทั่งเหล่าดาวเคราะห์พิเศษพวกนั้นเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

ท่ามกลางดาวเคราะห์พิเศษเหล่านี้ มีเพียงเก้าดวงเท่านั้นที่เป็นรองดาวเคราะห์เต๋า คราแรกมันก็ดิ้นรนอยู่ ระดับชั้นที่แตกต่างของหมู่ดวงดาวนี้ ทำให้ดาวเคราะห์เต๋าเห็นการขัดขืนของพวกมันเห็นเป็นเรื่องไร้ค่า!

ด้วยพลังสะกดข่มของดาวเคราะห์เต๋า หมู่ดาวก็พลันสิ้นแสง จังหวะเดียวกันแสงแห่งดาราทั้งหลายเหล่านี้ก็พลันร่วงหล่นเป็นดาวตกนับสิบสายจมสู่เขตเมืองจักรวรรดิดาวตก เส้นแสงดาราทุกเส้นนั้นก็ล้วนถูกชักนำไปยังผู้มีชะตาแต่ละคน!

ตรงที่นี้มีเก้าเส้น แต่ละเส้นล้วนโยงไปสู่ห้องพักของมหาศิษย์แห่งเต๋าจากนอกพิภพ ในส่วนที่เหลือกลับแยกย้ายกันเชื่อมต่อเข้ากับมหาศิษย์แห่งเต๋าของจักรวรรดิดาวตกคนอื่นๆ แต่หากดูจากระดับความเข้มข้นแล้ว เห็นชัดว่าแสงจากดาราของเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋านครดาวตกนี้มีเพียงแค่เส้นเดียว แตกต่างกับของมหาศิษย์แห่งเต๋าจากภายนอกมากอยู่

เช่นเดียวกัน ในห้องพักรับรองของของเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่เหลือนั้น เส้นแสงเก้าสายต่างก็แบ่งได้เป็นสูงต่ำ ในบรรดานั้นมีสองสายที่แข็งแกร่งที่สุด ระดับแสงทั้งสองนี้พาให้แสงดาราของผู้อื่นดูทึมทึบไปไม่น้อย

ด้วยใจสงสัยอย่างยิ่ง กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วก็พลันหรี่ตา แล้วเพ่งมองอย่างละเอียด ในพริบตานั้นเขาเห็นคนสองคนนั่งขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าห้องแต่ละห้อง!

สองคนนี้คือชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ชายคนนั้นหากหวังเป่าเล่อได้พบเข้าคงจะจำได้ในทันที อีกฝ่ายมิใช่ชายหนุ่มผู้สง่างามแต่กลับเป็นชายหนุ่มชุดดำผู้มีกลิ่นอายอำมหิตทั่วร่างและสะพายกระบี่เล่มโตไว้ที่หลังคนนั้น!

ในส่วนสตรีนั้น กลับเป็น…แม่สาวกระพรวน!

แสงดาราบนร่างของพวกเขาทั้งสองนั้นรุนแรงที่สุด หลังจากเวลาผ่านไปก็ยิ่งทวีระดับขึ้น ในส่วนของผู้อื่นนั้นกลับรักษาระดับของแสงไว้ที่เหมือนเดิม ไม่เพิ่มหรือลดลง

“สองคนนี้…” กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วหรี่ตาลง หลังจากเพ่งมองอยู่ชั่วครู่ เขาก็พลันหันหน้ามองไปทางหวังเป่าเล่อซึ่งอยู่ภายในราชวัง เมื่อมองไปกลับไม่พบแสงดาราแม้แต่ดวงเดียว!

“ไร้วาสนารึ…” กระดาษรูปมนุษย์ถอนหายใจ ถึงแม้เขาคิดช่วยอีกฝ่าย แต่เรื่องโชคชะตานี้ ต่อให้เขาคิดก็ไร้กำลังและจากการที่เขาอยู่ในสภาวะหลอมรวมกับฟ้าในยามนี้ก็พอจะสัมผัสได้เลาๆ ว่าเหตุใดผู้มีบุญคุณใหญ่หลวงกับจักรวรรดิดาวตกท่านนี้จึงไม่มีชะตาต้องกับดาวเคราะห์เต๋า

“เป็นเพราะการกระทำก่อนหน้าของคนผู้นี้ ทำให้ท่านบรรพบุรุษละทิ้งความคิดที่จะใช้พลังเทพ การดึงพลังศักดิ์สิทธิ์นอกจักรพิภพมากระตุ้นดาวเคราะห์เต๋า ทำให้มันรู้สึกยโส คิดปรากฏตัวเพื่อช่วงชิงเกียรติยศ…ดังนั้นหากมันจะเลือก ย่อมไม่มีทางเลือกคนผู้นั้น เกรงว่าอาจจะดูถูกนิดหน่อยด้วยกระมัง?” กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะส่ายหน้าด้วยความเสียดาย เขากำลังจะถอนตัวออกจากสภาวะหลอมรวมฟ้า ทว่าเวลานี้เอง พลันบังเกิดเสียงแค่นเหยียดคราหนึ่ง แล้วเบื้องหน้าเขาก็มีแสงประหลาดสาดส่องขึ้น

และเพราะเขาสามารถมองเห็นได้ จึงพบว่าท่ามกลางหมู่ดาราที่อับแสงบนท้องฟ้า เดิมทีดาราบริวารดาวเคราะห์พิเศษซึ่งขัดขืนดาวเคราะห์เต๋าเมื่อครู่เหล่านั้น ตอนนี้กลับยังไม่ละทิ้งความพยายาม พวกมันดิ้นรนเปล่งแสง เมื่อยิ่งถูกสะกดข่ม มันกลับยิ่งเปล่งแสงออกมาสู้ สาดส่องโลกา แสงเหล่านั้นร่วงหล่นลงยัง…ใจกลางราชวัง ที่ซึ่งหวังเป่าเล่ออยู่!!

“นี่คือศึกของมนุษย์ หรือว่า…ศึกของเหล่าดวงดาวกันนะ?” กระดาษรูปมนุษย์ตกตะลึงยิ่ง ดวงตาฉายประกายวาบในทันใด ในสายตาของเขา คล้ายจะมองเห็นปณิธานของดาราทั้งเก้าดวงนั้นได้

“การเหยียดหยามของเจ้า ก็คือแสงแห่งเกียรติยศของข้า!”

……………………………………………………

ชะรอยว่าคำพูดนี้จะมีประโยชน์จริงๆ เมื่อหวังเป่าเล่อกล่าวจบ วังน้ำวนนั้นก็หายไป ดวงตาที่จับจ้องจากด้านในก็พลันหายไปพร้อมกัน หวังเป่าเล่อจึงค่อยคลายใจลงในที่่สุด เขาตัดสินใจหนักแน่นว่าภายหลังหากยังไม่สิ้นไร้หนทาง เขาจะไม่ท่องบทสวดแห่งเต๋าอีกแล้ว

“ของเล่นชิ้นนี้น่ากลัวไปแล้ว…มันเป็นคัมภีร์ลัทธิเต๋าเสียที่ไหน เห็นชัดว่ามีไว้อัญเชิญตัวอันตรายทั้งนั้น“ ”

ในเวลาเดียวกัน เขาก็สัมผัสได้ว่าทะเลกระดาษสีดำให้ความรู้สึกแตกต่างออกไป ก่อนหน้านี้ทะเลกระดาษสีดำให้ความรู้สึกเย็นเยียบ แต่บัดนี้ความเย็นเยียบที่ว่ากลับค่อยๆ จางไปโดยหาสาเหตุไม่ได้ ราวกับว่าในเวลาอันสั้น แม้แต่สีของทะเลกระดาษสีดำเองก็เปลี่ยนไปด้วย

และในจังหวะนี้เอง สีของทะเลกระดาษเบื้องหน้านี้ก็ไม่เหมือนกับครู่ก่อนแล้ว พื้นผิวน้ำนั้นก็ไม่เป็นสีดำสนิทอีกต่อไป ทว่าเจือด้วยสีเทา ค่อยๆ ฟื้นคืนสู่ความมีชีวิตชีวา ยิ่งนานก็ยิ่งเห็นชัดแจ้ง สิ่งนี้ทำให้ร่างกายของหวังเป่าเล่ออุ่นขึ้นกระทั่งเขาเกือบเข้าใจผิดไปเอง คล้ายกับว่า…ทะเลกระดาษดำผืนนี้กำลังแผ่ความปราณีให้ตัวเขา

“นี่ไม่น่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ยังไงเสีย ข้าก็ช่วยโลกใบนี้เอาไว้ ” หวังเป่าเล่อกระพริบตา ตอนที่อยากลองสัมผัสดูให้ชัด ร่างกระดาษรูปมนุษย์ข้างกายพลันสะท้าน เขาเริ่มได้สติกลับมา ผู้ที่ค่อยๆ ฟื้นคืนสติอีกคนหนึ่งก็คือกระดาษรูปมนุษย์ซึ่งมีขีดแดงอยู่ที่หว่างคิ้วและยืนอยู่ห่างไกลตนนั้น ในเวลานี้ เหล่าสิ่งมีชีวิตบางส่วนบนผืนทะเลนี้ และทุกชีวิตในจักรวรรดิดาวตกก็พลันเริ่มรู้สึกตัวอีกครั้ง

เสียงแห่งความโกลาหลและแตกตื่นนั้นดังขึ้นมาจากทุกมุมในแดนนี้ หวังเป่าเล่อปฏิกิริยาว่องไว เขารีบกัดปลายลิ้นเพื่อให้มีเลือดออกทันที ยังคงรักษาสีหน้าซีดขาวหลังผ่านเรื่องน่าตกใจก่อนหน้า เผยท่าทางอ่อนแรงเต็มขั้น แล้วหันไปยังกระดาษรูปมนุษย์

“ผู้อาวุโส ผู้เยาว์ได้พยายามสุดกำลังแล้ว ”

กระดาษรูปมนุษย์ตัวสั่น จากนั้นพลันมองไปยังผนึกด้านล่าง สังเกตเห็นรอยร้าวบนผนึกนั้นสลายไปแล้วอีกทั้ง ปราณมืดรอบๆ นั้นเองก็ด้วย ดวงตาของเขาทอประกายตื่นเต้น เมื่อสักครู่ก่อนหน้านี้ที่สติของเขาหยุดทำงาน ทำให้ตามในสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่ทัน ในยามนี้เรื่องราวจบลงได้อย่างเกินความคาดเดาของเขาไปมาก จนบังเกิดความตื่นเต้นและไม่ทันได้อ่านใจของหวังเป่าเล่อ

เรื่องนี้สำหรับกระดาษรูปมนุษย์แล้ว เรื่องในครั้งนี้นับว่าหวังเป่าเล่อทุ่มเทเสียสละอย่างใหญ่หลวง แถมยังสร้างผลลัพธ์ขั้นสะเทือนฟ้าดินเช่นนี้ขึ้นมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นหวังเป่าเล่อยังดึงพลังระดับนี้มาได้ด้วยการอ่านบทสวดเพียงอย่างเดียว กระดาษรูปมนุษย์ปรับการคาดเดาภูมิหลังของหวังเป่าเล่อใหม่ขึ้นไปอีกหลายระดับ เรียกได้ว่าเกือบจะถึงขั้นสูงสุดแล้ว

ดังนั้นแล้วพอเห็นหวังเป่าเล่อกระอักเลือด เขาก็รีบประสานมือโค้งลงคำนับหนึ่งครา ดวงตาซาบซึ้ง ขณะกำลังเอ่ยปาก เขาพลันหันหน้ามาเห็นคนผู้หนึ่งเข้าใกล้สถานที่นี้มาด้วยความรวดเร็ว…ผู้นั้นคือกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้ว

หวังเป่าเล่อเองก็จับการเคลื่อนไหวนี้ได้ ชั่วแวบแรกนั้นหัวใจเขาเต้นระส่ำ แต่ก็กลับมานิ่งสงบอย่างรวดเร็ว ตระหนักได้ว่าตัวเองเป็นถึงผู้ปัดเป่าปัญหาใหญ่ของจักรวรรดิดาวตกเชียว ดังนั้นแล้วหวังเป่าเล่อจึงนั่งอย่างสงบ วางท่านิ่งเฉย ตั้งตารอกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วตนนั้น

กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วมีสีหน้าซาบซึ้ง หลังมันตื่นขึ้นก็ทราบทันทีว่าทะเลกระดาษสีดำไม่เหมือนแต่ก่อน ด้วยความตกตะลึงจึงตัดสินใจมายังที่นี่ มันเคลื่อนสายตามองหวังเป่าเล่อและเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ตน

รายแรกมันพอจำได้อยู่บ้างว่าเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าจากนอกพิภพคนนั้น คนเดียวกันกับที่หยิบยืมกระแสอัสนีต่างพิภพมาดันลำเรือข้ามทะเล การปรากฎตัวของหวังเป่าเล่อจุดความสงสัยในใจของกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้ว แต่ในชั่วแว่บถัดไปนั้น เมื่อเขามองเห็นกระดาษรูปมนุษย์ที่อยู่ด้านหลังอีกฝ่ายเข้า ร่างของเขาก็พลันสะท้านทันที ดวงตากลับเบิกกว้างกว่าเก่า หลังพิจารณาละเอียดสักครึ่งครู่ สีหน้าของเขาผสมระหว่างความลังเลและไม่อยากเชื่อ

“ท่านบรรพบุรุษ? ”

กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วน้ำเสียงสั่นเครือ ส่วนกระดาษรูปมนุษย์ข้างตัวหวังเป่าเล่อกลับเผยแววตาระลึกถึงบางสิ่ง จากนั้นกระดาษรูปมนุษย์ทั้งสองต่างก็ประสานสายตากันครู่หนึ่ง ราวกับพวกเขาสื่อสารกันด้วยวิธีที่หวังเป่าเล่อไม่เข้าใจ หวังเป่าเล่อได้แต่สังเกตการสนทนาเหล่านั้น จากนั้นร่างของกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วก็สั่นสะท้าน มันแสดงท่าทีราวกับเข้าใจเรื่องราว แล้วทำท่าตรึกตรองอีกครู่ คราวนี้มันหันไปมองหวังเป่าเล่อ ก่อนจะก้าวเท้าเข้ามาใกล้ แล้วประสานฝ่ามือน้อมคำนับหนึ่งครา

“ขอบคุณสหายเต๋า! บุญคุณครานี้จักรวรรดิดาวตกจะไม่มีวันลืม ต้องตอบแทนท่านให้มากในภายหลัง! ”

และนี่ก็คือประโยคที่หวังเป่าเล่อปรารถนา เขาพอใจอย่างยิ่งที่ได้ยินสิ่งนี้ ในเวลาเดียวกันก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณสูงล้ำของอีกฝ่าย ตนเองจึงไม่อาจวางท่าสูงส่งเพียงเพราะมีบุญคุณเหนือกว่าได้ คิดแล้วจึงประสานหมัดคารวะกลับให้อีกฝ่าย

หลังจากนั้น ภายใต้การชี้นำอย่างสุภาพของกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้ว พวกเขาก็ออกจากที่ผนึกกลับสู่พื้นผิวทะเล ส่วนท่านบรรพบุรุษกระดาษรูปมนุษย์ผู้นั้น กลับยังรั้งอยู่ที่เก่า หลังใช้สายตาส่งพวกหวังเป่าเล่อจากไป ตัวเขาก็ก้มหน้ามองศพของสตรีที่อยู่บนแผ่นกระจกผนึกด้วยสายตาที่อ่อนโยน เขาค่อยๆ เคลื่อนเข้าใกล้อย่างเงียบเชียบ ทรุดนั่งอยู่ตรงข้ามก่อนจะค่อยๆ หลับตาลง

ตั้งแต่เริ่มจนถึงบัดนี้ กระดาษรูปมนุษย์ทั้งสองตนไม่ได้พูดอะไรกันอีก เห็นได้ชัดว่าในการสนทนาครั้งก่อนคงฝากฝังได้ละเอียดแล้ว ภายใต้การนำทางของกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้ว หวังเป่าเล่อหันกลับมามองทางนี้อีกครั้งก่อนจะเร่งจังหวะตามอีกฝ่ายเหาะออกจากทะเลกระดาษสีดำไป

หลังออกพ้นทะเลแล้ว เขาก็ได้เห็นกระดาษรูปมนุษย์ผู้แข็งแกร่งด้านนอกจำนวนมาก เหมือนว่าพวกเขาทราบถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยวิธีการที่หวังเป่าเล่อเองก็ไม่เข้าใจ ตอนนี้เมื่อพวกเขาเห็นหวังเป่าเล่อ แต่ละตนล้วนดูซาบซึ้งนัก ทุกตนล้วนค้อมกายคำนับเขา

มิตรภาพจากเหล่ากระดาษรูปมนุษย์นี้ ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าการลงมือครั้งนี้ช่างแสนจะคุ้มค่า ภายหลังเหาะพ้นจากทะเลแล้ว เขาพลันสัมผัสได้ถึงขุมพลังแห่งความอาทรที่แผ่ออกจากโลกทั้งใบอีกด้วย กระแสแห่งความปรารถนาดีนี้รับรู้ได้ต่อเมื่อใช้ใจไปสัมผัสเท่านั้น ความรู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบาย หากนำไปเปรียบกับความรู้สึกอันเป็นปฏิปักษ์ที่เขาสัมผัสได้จางๆ ก่อนหน้า มันช่างแตกต่างราวฟ้ากับเหว

ภายหลังที่กระดาษรูปมนุษย์คุ้มครองส่งเขากลับมาถึงนครดาวตกแล้ว ที่พักของหวังเป่าเล่อก็ถูกปรับเปลี่ยน เขาไม่ต้องอยู่ร่วมที่พักเดียวกับเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นๆ อีก แต่ถูกจัดให้เข้าพักภายในราชวังดาวตกโดยตรง บรรยากาศดูหรูหราพร้อมพรัก เหล่ากระดาษรูปมนุษย์ยังจัดให้เขาพักผ่อน ณ ตำหนักในที่มีปราณวิญญาณอุดมสมบูรณ์อีกด้วย

นอกจากนี้แล้วขอเพียงเขาส่งเสียงเรียก ก็จะมีใต้เท้ากระดาษรูปมนุษย์จำนวนหลายสิบตนโผล่ออกมาสนองความต้องการของเขาในทันที ในส่วนของกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วตนนั้น ก็แวะมาเยี่ยมเยียนในภายหลังเช่นกัน

แม้ระดับการฝึกปรือของกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วจะสูงล้ำ แต่เขากลับมีมารยาทงามยิ่ง เห็นชัดว่าเขาทราบเรื่องภูมิหลังอันเร้นลับของหวังเป่าเล่อจากผู้อาวุโสทางด้านนั้นแล้ว ดังนั้นในระหว่างการสนทนา เขาจึงใช้คำพูดกับคนระดับเดียวกัน นี่ทำให้หวังเป่าเล่อแสนจะสบายใจ ยอมตอบข้อสงสัยของอีกฝ่ายเกี่ยวกับเรื่องที่ตนรู้จักกับกระดาษรูปมนุษย์อาวุโสได้อย่างไร

“ดังนั้นที่ข้าสามารถมายังที่นี่ได้ ก็เพราะผู้อาวุโสเมตตาทะนุถนอม อีกทั้งการได้รู้จักกับท่านผู้อาวุโส ก็นับว่าเป็นโชคชะตานำพา…” หวังเป่าเล่อถอนใจคราหนึ่ง หลังจากอธิบายคร่าวๆ ถึงการพบกันของเขาและกระดาษรูปมนุษย์ แม้จะตัดทอนไม่ได้กล่าวถึงไปบางส่วน เช่นเรื่องของขวดอธิษฐาน แต่เขาก็บอกรายละเอียดส่วนอื่นตามตรงทั้งหมด

เมื่อได้ฟังเรื่องจนจบ มนุษย์กระดาษผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วก็ถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง เขาคุยกับหวังเป่าเล่อต่อเล็กน้อย หลังจากนั้นจึงลุกขึ้นประสานมือคำนับ

“ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของสหายเต๋าแล้ว พิธีน้อมนำแสงดาราเพื่อบ่มเพาะโชควาสนาจะเริ่มขึ้นในอีกเจ็ดวันให้หลัง ถึงเวลานั้นย่อมเป็นวันทำพิธีของจักรวรรดิดาวตกของพวกข้า เมื่อถึงเวลาพิธียังขอเชิญสหายเต๋าเข้าร่วมพิธี…” กล่าวถึงจุดนี้ กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วก็มองหวังเป่าเล่อคราหนึ่ง เขายกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้นก็ปรากฎกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา

“ในจังหวะที่สหายเต๋าตีกลอง ให้ท่านใช้เพลิงชีวิตจุดกระดาษแผ่นนี้ แล้วท่านจะได้รับโชคเสริมจากจักรวรรดิดาวตกของข้า…จักรวรรดิดาวตกของข้า แม้นจะมีดาวเคราะห์พิเศษเพียงน้อย ดาวเคราะห์ธรรมดาเกลื่อนกลาด แต่เมื่อจุดกระดาษแผ่นนี้แล้วก็น่าจะเพียงพอที่จะช่วยท่านดึงมาได้มาสักดวงเป็นแน่ และหากโชควาสนาของท่านมีมากพอ…บางทีอาจทดสอบน้อมนำ…ดาวเคราะห์เต๋าหนึ่งเดียวของที่นี่สำเร็จก็เป็นได้! ”

“เพียงแต่ว่าเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว ที่ไม่เคยมีใครน้อมนำดาวดวงนี้สำเร็จ หากว่าสหายเต๋าทำไม่ได้ก็อย่าท้อใจไป เพราะดาวเคราะห์เต๋านั้นก็เป็นแค่ดาวเคราะห์พิเศษประเภทหนึ่งเท่านั้น แปลกเพียงแค่ว่ากฎเกณฑ์ในนั้น มีความเป็นเอกลักษณ์หนึ่งเดียวอยู่บ้าง” เมื่อกระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วพูดจบก็พยักหน้าให้หวังเป่าเล่อ พลางหันกายจากไป

…หวังเป่าเล่อรับกระดาษแผ่นนั้นมา ลุกขึ้นส่งอีกฝ่าย ในสมองกลับคิดวกวนเกี่ยวกับเนื้อหาของดาวเคราะห์เต๋า เขาย่อมเข้าใจความพิเศษและเอกลักษณะแห่งดาวเคราะห์เต๋าดี อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ แม้ใจปรารถนามากแค่ไหน แต่เขาก็รู้ว่าตนมีโอกาสล้มเหลวสูง ทว่าตอนนี้ไม่เหมือนก่อนแล้ว

เขามีลางสังหรณ์เล็กน้อยว่าบางทีตนเองอาจจะ… อาศัยความช่วยเหลือของจักรวรรดิดาวตกในครั้งนี้ ชิงเอาโอกาสน้อมดาราเคราะห์เต๋ามาได้ ความคิดนี้เหมือนกับเปลวไฟที่แผดเผาในหัวใจของเขา จึงอดไม่ได้ที่จะโพล่งออกไป

“ผู้อาวุโส เอกลักษณะหนึ่งเดียวของกฎแห่งดาวเคราะห์เต๋าที่นี่คือสิ่งใด? ”

กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีแดงตรงหว่างคิ้วชะงัก แล้วหันกลับมามองหวังเป่าเล่ออย่างลึกซึ้ง เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากช้าๆ

“ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดทุกสิ่งในจักรวรรดิดาวตกแห่งนี้จึงกลายเป็นกระดาษ? ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดวิชาแห่งเทพของจักรวรรดิดาวตกของข้า จึงไม่มีชาวต่างพิภพเรียนได้เลยสักคน หรือต่อให้เป็นตัวข้าลงมาถ่ายทอดด้วยตัวเอง พวกเขาก็จะใช้พลังได้แค่ในเขตแดนนี้เท่านั้น ส่วนนอกเขตแดนนั้น…กลับไม่อาจใช้พลังได้สักนิด” ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน เพียงแค่กล่าวไม่กี่ประโยค กระดาษรูปมนุษย์ผู้มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วก็หันกายไปไกลแล้ว

แต่การบอกเล่าประโยคนี้ ก็เพียงพอสำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว หลังจากที่เขาฟังจบ ร่างกายก็พลันสั่นสะท้านคราใหญ่ หอบหายใจติดขัด พลันหันหน้าไปมองฟ้ากว้าง ดวงตาเผยประกายประหลาด

“กฎก็คือ…กระดาษ! ”

…………………………………………………………

เมื่อเอ่ยคำนี้ออกไป รอยพลังปราณที่ส่งผ่านมาจากส่วนลึกในอวกาศ และดูเหมือนมิได้เป็นของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นด้วย ก็มาลงมาถึงท่ามกลางเสียงอึกทึกครึกโครม มันทะลุผ่านความว่างเปล่า ทะลุผ่านอวกาศ ตรงเข้ามายังสุสานดาวตก พุ่งเข้ามาในทะเลกระดาษสีดำ แล้วมาอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ กลายเป็นวงน้ำวนที่มิได้ใหญ่โตอันใด!

วงน้ำวนนี้…มีขนาดเพียงสามฉื่อเท่านั้น สีของมันเจิดจรัสเป็นที่สุด คล้ายว่าเป็นสีสันที่ส่องสว่างที่สุดในโลก ยามมันเพิ่งปรากฏขึ้นมา ก็ทำให้ทั่วท้องทะเลกระดาษสีดำไปจนถึงสุสานดาวตกพลันสว่างขาวโพลนไปด้วยในพริบตา!

แม้มันไม่ได้มีขนาดใหญ่ แต่กลับประหนึ่งเป็นแหล่งกำเนิดแสง เมื่อมันปรากฏขึ้นมา ก็สามารถทำให้ทั้งพิภพปราศจากความมืดมน และในเวลาเดียวกัน ณ ก้นบึ้งของวงน้ำวนนี้คล้ายจะเชื่อมโยงกับอีกพิภพนึ่ง หากมองดูให้ละเอียด ก็จะมองเห็นได้รางๆ ว่าโลกที่อยู่ภายในวงแสงน้ำวนนั้นเต็มไปด้วยสีสันสดใสหลายหลาก!

ทั้งยังมีปราณรุนแรงที่ไม่ใช่ของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นแผ่ซ่านออกมาจากภายในวงน้ำวนไม่ยอมหยุด ทำให้สรรพสิ่ง สรรพชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่ภายในสุสานดวงดาราเกิดเสียงเวิงวังขึ้นภายในหัวและกลายเป็นความว่างเปลาในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับใดก็ล้วนเป็นดังนี้ทั้งนั้น แม้จะเป็นกระดาษรูปมนุษย์แสนประหลาดที่อยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อก็ยังไม่อาจต้านทานได้ และต้องสูญเสียสติรับรู้ไปในพริบตานั้นเช่นกัน

ใช่ว่าเขาไม่คิดต้านทาน แต่สองฝ่ายแตกต่างกันเหลือเกิน ต่างกันราวฟ้ากับดิน จนถึงขั้นว่ากระดาษรูปมนุษย์ยังไม่ทันเกิดความคิดจะต้านทานเลย แต่สติของเขาก็กลับหยุดลงในชั่วพริบตานั้นแล้ว

ทางกระดาษรูปมนุษย์ซึ่งมีรอยแดงตรงหว่างคิ้วที่ต้องการมาเข้ามาตรวจดูที่นี่ เวลานี้อยู่บนผิวหน้าทะเลกระดาษสีดำ ซึ่งจากประสาทสัมผัสของหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ คล้ายว่ากระดาษรูปมนุษย์ตนนี้จะอยู่ในระดับเดียวกับศิษย์พี่และปรมาจารย์แห่งไฟทีเดียว แต่เห็นชัดว่ายังด้อยกว่ากระดาษรูปมนุษย์ตนที่สอง ทว่าเวลานี้ร่างของเขากำลังสั่นอย่างรุนแรง ภายใต้พลังปราณที่ไม่อาจต้านทานได้ สติของเขาจึงเหมือนกับถูกกดทับเอาไว้และหยุดชะงัก ทำให้เขายืนนิ่งอยู่บนผิวหน้าของทะเลกระดาษสีดำไปทันใด

พวกเขายังเป็นกันดังนี้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเหล่ากระดาษรูปมนุษย์ตนอื่นที่อยู่บนผิวหน้าทะเล ในพริบตานั้นสติของพวกเขาราวถูกสั่งให้หยุดลง เป็นดังนี้ไปทั่วทุกหัวระแหงในสุสานดวงดารา มีเพียง…หวังเป่าเล่อคนเดียวที่ยังมีสติรับรู้อยู่!

เพียงแต่…แม้สติรับรู้ของเขายังไม่หยุดชะงักลง แต่สำหรับหวังเป่าเล่อในชั่ววินาที ความว้าวุ่นที่ถาโถมอยู่ในใจเขาก็พุ่งทะยานขึ้นกลบฟ้าแล้ว เพราะเขาพบว่าตนเองไม่อาจเคลื่อนไหวร่างกายได้ และประโยคสุดท้ายที่เอ่ยออกจากปาก เขาก็ไม่ได้ก็เป็นคนพูด!

หากจะพูดให้ถูกต้องก็คือ ถึงมันจะออกมาจากปากเขา แต่เสียงนั้น…ไม่ใช่เสียงของเขา!

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อใจตื่นเนื้อเต้น ร้องลั่นอยู่ในใจว่าไม่เข้าทีแล้ว!

“จบเห่ๆ…ตื่นสิ…”

หากเป็นเวลาอื่น หวังเป่าเล่อก็จะต้องร้องคร่ำครวญ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ทำให้เขาไม่มีเวลาไปห่วงเรื่องพวกนี้อีกแล้ว นั่นเพราะ…สิ่งเดียวที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งยังดำรงอยู่อย่างอมนุษย์ ซึ่งกำลังพาเอาความดุร้ายและบ้าคลั่ง ทั้งเสียงคำรามร้องและความเดือดดาลพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ มันก็คือใบหน้าผีที่ก่อร่างขึ้นจากปราณมืด

เวลานี้ใบหน้าผีพุ่งเข้ามาใกล้หวังเป่าเล่อด้วยความดุร้ายสาหัส ด้วยความบ้าคลั่ง คล้ายจะกลืนกินเขาลงไปในคำเดียว ทว่าในวินาทีที่ในจวนเจียนจะถึง พร้อมๆ กับการปรากฏตัวขึ้นของวงน้ำวนเบื้องหน้าของหวังเป่าเล่อ และสติรับรู้ของทุกสรรพสิ่งทั่วทั้งสุสานดวงดาราพลันหยุดชะงักไป คล้ายมีเสียง ‘หึ’ แสนเย็นชาดังออกมาจากข้างในวงน้ำวนนั้น!

เสียงหึแสนเย็นชานั้นประหนึ่งเป็นโสตแห่งเต๋า เพราะในวินาทีที่มันถึงส่งออกมาก็เกิดเสียงดังสนั่นในสุสานดาวตกในทันใด ส่วนภายในหัวของหวังเป่าเล่อก็มีแต่เสียงดังเวิ้งว้าง และเมื่อใบหน้าผีพุ่งถึงตัวเขาก็ถูกเสียงที่ไร้รูปนี้ซัดเข้าใส่ มันส่งเสียงร้องโหยหวนจนร่างระเบิดออก กลายเป็นไอปราณมืดจำนวนมหาศาลที่คล้ายว่ากำลังจะหายวับไปตรงหน้าของหวังเป่าเล่อ

แต่ในเวลานั้นเอง…ตราผนึกบนหน้ากระจกที่เบื้องล่างก็เปล่งแสงจ้า ทั้งมีเสียงคำรามดังออกมาจากรอยร้าว ปราณมืดจำนวนมากกว่าเดิมกลับปะทุออกมาจากในรอยร้าว จนเมื่อมองไปสามารถเห็นได้ว่าหน้ากระจกกำลังขยับเขยื้อน ภายในตราผนึกบนหน้ากระจกกลับมีภาพใบหน้าขนาดยักษ์นูนตัวขึ้นมาจากข้างล่าง!!

หน้ากระจกเป็นดังแผ่นกั้นชั้นหนึ่ง ใบหน้าที่นูนขึ้นมาเสมือนตัวแทนของความชั่วร้ายมหาศาลที่พยายามจะพุ่งออกมาจากตราผนึกนั้น มันคอยส่งเสียงคำรามอยู่ไม่หยุด เมื่อรอยร้าวยิ่งลุกลามออกไป ปราณมืดก็ยิ่งพวยพุ่งออกมามากเท่านั้น จนทำให้ปราณมืดที่กระจายตัวออกมารอบทิศต่างก็หมุนม้วนกลับมา ประหนึ่งเป็นการโจมตีจากทั้งภายนอกและภายใน หวังอาศัยวิกฤตคราวนี้ทำให้มันแตกออกให้จนได้

แต่เห็นชัดว่าเจ้าสิ่งที่ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดนี้ ไม่มีโอกาสเช่นนั้นแล้ว เพราะในวินาทีที่ใบหน้าของมันพุ่งนูนขึ้นพร้อมเสียงคำรามที่สะท้อนไปมา เกลียวคลื่นน้ำวนขนาดสามฉื่อตรงหน้าหวังเป่าเล่อก็ยื่น…นิ้วมือนิ้วหนึ่งที่ก่อร่างขึ้นจากแสงดาวออกมา!

นิ้วมือที่ยื่นออกมาจากวงน้ำวนนี้ คล้ายมาจากนอกจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น โดยอาศัยวงน้ำวนเป็นสื่อกลาง หลังจากมันปรากฏตัวขึ้นก็มุ่งตรงไปยังตราผนึกข้างล่างทันที!

มันลงมาถึงอย่างอึกทึกครึกโครม เป็นขุมพลังที่ยากจะอธิบาย มหาศาลจนแทบจะแทนที่ลิขิตสวรรค์ได้ ทำให้เสียงคำรามข้างใต้ผลึกเปลี่ยนเป็นเสียงครวญครางโหยหวน ปราณมืดทั้งหมดก็สั่นสะท้านราวกับกำลังจะระเบิดไป สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้คล้ายว่ายืดยาว แต่ความจริงแล้วกลับเกิดขึ้นเพียงชั่วประกายไฟจากหินจุดไฟเท่านั้น พริบตาต่อมา…นิ้วแสงดาวก็ลงมากดบนหว่างคิ้วของใบหน้าที่นูนขึ้นมาจากผนึก ใบหน้านั้นก็เหือดแห้งเหมือนกำลังเหี่ยวเฉาลงในทันใด เสียงคร่ำครวญยิ่งโหยหวนขึ้น เหมือนมันกำลังดิ้นรน แต่เมื่อนิ้วนั้นประทับลงมา ที่มันดิ้นรนไปก็ล้วนเปล่าประโยชน์!

มันพยายามอยู่อีกสามอึดใจ ใบหน้าที่นูนขึ้นมาก็ระเบิดหายไปพร้อมกับเสียงดังสนั่น ในเวลาที่ตราผนึกแบนราบลง รอยแตกบนนั้นก็คล้ายว่ามีเวลาประสานตัว เห็นได้ว่ามันผสานรอยร้าวได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนนิ้วมือที่ยื่นออกมาจากวงน้ำวนนั้นก็ค่อยๆ สลายตัวออก กลายเป็นแสงดาวที่ไหลเข้าไปภายในวงน้ำวน คล้ายว่าทุกๆ สิ่งจะยุติลงแล้ว ทว่า…ในพริบตาที่ทุกสิ่งกำลังจะสงบลง ทันใดนั้น…ตราผนึกที่รอยร้าวผสานตัวได้มากกว่าครึ่งแล้วก็ขยับเขยื้อนอีกครั้ง

มันขยับตัวเหมือนน้ำกระเพื่อม กระเพื่อมตัวอย่างรวดเร็วจากจุดศูนย์กลางทำให้ตราผนึกบนหน้ากระจกโปร่งใสขึ้นมา เผยให้เห็นว่า…ข้างล่างเป็นหนทางลึกมืดดำที่ไม่รู้ว่าเป็นลงไปถึงที่แห่งใดและ…มีร่างร่างหนึ่งที่กำลังก้าวย่างมาจากภายในทางลึกมืดดำนั้น!

เมื่อร่างนี้เพิ่งปรากฏออกมา แสงดาวจากวงน้ำวนที่กำลังจะสลายไปก็หยุดลงทันใด ก่อนจะรวมร่างกันกลายมาเป็นดวงตาที่สงบนิ่งคู่หนึ่ง จดจ้องไปยังร่างที่อยู่ข้างใต้ตราผนึก

“หยุดเสีย!” น้ำเสียงราบเรียบดังออกจากภายในวงน้ำวนและแผ่ไปทุกทิศทางรวมถึงเข้ามาในหูของหวังเป่าเล่อด้วย พลันทำให้ตัวเขาสะดุ้ง

ในขณะเสียงนั้นสะท้อนไปมา ร่างที่อยู่ข้างใต้ตราผนึกก็เดินมาจนถึงขอบตราผนึกและหยุดลง แล้วแหงนหน้าขึ้นมองโลกภายนอกผ่านตราผนึกใส

สายตาเขากวาดไปที่หวังเป่าเล่อเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงมองไปยังวงน้ำวนเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ และดวงตาที่ก่อร่างขึ้นจากแสงดาวในวงแสงน้ำวน ก็คล้ายกำลังสบตากับมัน

ทั้งที่ร่างนี้อยู่ในที่ลึกล้ำดำมืด แต่ยามหวังเป่าเล่อมองไป กลับมองเห็นร่างนั้นปรากฏขึ้นมาอย่างแจ่มชัด เรือนผมสีม่วง ร่างสูงยาว สวมเสื้อตัวยาวที่เป็นสีม่วงเช่นกัน และ…มีโคมไฟที่ส่องแสงไฟสีดำเก้าดวงซึ่งหมุนอยู่รอบกายเขา

รวมทั้งความเย็นชาและความดุร้ายที่ดูเหมือนไม่อาจสะกดเอาไว้ซึ่งแผ่ออกมาจากตัวเขา ความดุร้ายรุนแรงชนิดนี้ หวังเป่าเล่อเคยพบเห็นมาไม่กี่ครั้งในชีวิต แม้แต่ศิษย์พี่เฉินชิงก็ยังห่างไกลกว่านี้มากนัก!

นอกจากนี้…มือขวาของเขาคล้ายว่ากำลังจับชายชราคนหนึ่งเอาไว้อย่างสบายใจ ชายชราผู้นี้กำลังสั่นเทิ้มไปทั้งตัว แต่ดูจากหน้าตาของเขาแล้ว คล้ายว่าเป็นใบหน้าที่นูนขึ้นมาจากข้างใต้ตราผนึกเมื่อครู่นี้!

“น่าสนใจ ข้าไล่สังหารเต๋อหลัวจื่อมาสามเดือน ทำลายร่างอวตารไปแสนร่าง แต่กลับไม่เคยคิดว่าร่างจริงของมันกลับอยู่ที่นี่ ในเส้นทางที่สามารถทะลุผ่านไปยังดินแดนภายนอก และไม่รู้ว่าเส้นทางนี้มีมาตั้งแต่เมื่อใด!”

“ที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือ ในที่แห่งนี้… ข้ากลับได้พบกับสหายเต๋าผู้หนึ่ง ที่ทำให้ข้าสัมผัสได้ว่าเขาเป็นคนชนิดเดียวกันกับข้า!”

คำพูดนี้ไม่ใช่ภาษาใดภาษาหนึ่ง หากแต่เป็นกระแสจิตที่ส่งผ่านออกมา หวังเป่าเล่อจึงรับรู้ได้อย่างชัดแจ้ง และร่างของเขาก็กำลังสั่นสะท้าน เพราะเขามีลางสังหรณ์ที่รุนแรงว่าบางที…ตราผนึกอาจกักกันเต๋อหลัวจื่อที่คนผู้นี้เอ่ยถึงไม่ให้ก้าวออกมาได้ แต่สำหรับคนผู้นี้แล้ว ไม่แน่ว่าในก้าวต่อมาเขาอาจจะก้าวผ่านตราผนึกออกมาก็เป็นได้

ยังดีที่เด็กหนุ่มผมม่วงผู้นี้ไม่ได้ก้าวออกมา เขาเพียงจดจ้องไปยังดวงตาภายในวงน้ำวนคราวหนึ่ง ก่อนจะหันหลัง ดึงตัวชายชราในมือ แล้วค่อยๆ เดินจากไปไกล แต่ก็ยังมีเสียงบางเบาลอยมาจากแผ่นหลังของเขา

“ข้าแซ่สวี่”

“ข้าแซ่หวัง” เสียงที่ตอบกลับเขาก็คือเสียงเรียบเฉยที่ดังออกมาจากวงน้ำวน

หลังจากเสียงก้องสะท้อนของคนทั้งสอง ร่างของคนผมสีม่วงก็ค่อยๆ หายไป หน้ากระจกตราผนึกก็กลับมาเป็นดังเดิม รอยร้าวบนผิวหน้าผสานกันจนสนิทแล้วในเวลานี้ พร้อมๆ กับรอยร้าวผสานสนิท คล้ายว่าทั้งสุสานดวงดาราที่อยู่ในภาวะชะงักงันก่อนหน้านี้ ก็ค่อยๆ เริ่มกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

และในพริบตานั้น วงน้ำวนเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อก็ค่อยหดเล็กลง และหายวับไปจนหมด ไม่มีคำพูดใดๆ ดังลอดออกมาอีก แต่ในชั่วอึดใจที่มันกำลังหายวับไปนั้นเอง ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็กลับมาขยับเขยื้อนได้อีกครั้ง ชายหนุ่มก็เกิดความรู้สึกหนึ่งขึ้นมาว่าก่อนที่สิ่งที่บอกว่าตนเองแซ่หวังนี้จะหายไป คล้ายว่ามันจะมองมาที่ตนคราวหนึ่ง

“ข้าก็แซ่หวัง…” สายตานี้ทำให้หวังเป่าเล่อสั่นสะท้านอยู่ในใจ จึงโพล่งคำไปตามสัญชาตญาณ

…………………………………………………………

ตื่นเถิด…

ผู้ถูกจองจำในเต๋าสวรรค์…

เมื่อก่อนนี้ อย่างมากหวังเป่าเล่อก็ท่องถึงแค่คำว่าตื่นเถิด ส่วนประโยคสุดท้ายนั้น เท่าที่เขาจำได้ นอกจากครั้งกระโน้นในสมัยที่ยังไม่ค่อยประสีประสา พอเจอช่วงวิกฤตจึงได้ท่องไปเต็มกำลัง หลังจากนั้นมาก็เนิ่นนานเหลือเกินแล้วที่ไม่ได้ท่องถึงตรงนี้อีกเลย

ต่อมาภายหลังยิ่งไม่เคยแม้จะนึกขึ้นมาใจ จึงส่งผลให้… ดวงจิตของหวังเป่าเล่อใน ตอนนี้สั่นสะท้านหนักหน่วง แม้แต่กระดาษรูปมนุษย์เองก็ยังมีสีหน้าตื่นตระหนกขึ้นมาด้วย

เมื่อท่องประโยคที่สองออกไป ทั่วท้องทะเลกระดาษสีดำพลันคลุ้มคลั่งขึ้นมาอย่างรุนแรง คลื่นยักษ์สาดโถมครั่นครืนอยู่ไม่หยุด กระทั่งท้องฟ้าเบื้องบนก็ยังสั่นไหวขึ้นมา หากจะบอกว่าถึงขั้นฟ้าดินแปรปรวนก็ไม่ได้เกินเลยแต่อย่างใด

จักรวรรดิดาวตกเองก็สัมผัสถึงความวิปริตของทะเลกระดาษสีดำได้ในทันที ทุกๆ สายตาในสุสานดาวตกจึงจับจ้องไปที่ทะเลกระดาษสีดำด้วยแววตาตื่นกลัว

“เกิดเรื่องใดขึ้น!”

“ทะเลกระดาษสีดำวิปริต!”

หลังจากเสียงอื้ออึงดังขึ้น ร่างของกระดาษรูปมนุษย์ก็หายวับไปกับตาทีละร่างๆ และมาปรากฏอีกครั้งที่กลางอากาศเหนือทะเลกระดาษสีดำ รวมทั้งกระดาษรูปมนุษย์ที่มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วก็มาปรากฏตัวที่นี่ด้วย ยามก้มหน้าลงมองทะเลกระดาษสีดำ สีหน้าของเขาก็ตื่นตระหนกเช่นกัน เห็นได้ว่าเขามองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นที่ก้นทะเลในเวลานี้ แต่ก็มิได้ทำการใดบุ่มบ่าม

ในเวลาเดียวกัน ที่ก้นทะเลกระดาษสีดำก็กำลังสะเทือนไหวดังมังกรดินพลิกร่าง โดยมีจุดที่ถูกผนึกเอาไว้เป็นศูนย์กลางแรงสั่นสะเทือน สิ่งที่ชวนขวัญผวายิ่งเข้าไปอีกก็คือเสาที่อยู่รายรอบก็กำลังสั่นไหวรุนแรง เช่นเดียวกับปราณมืดที่พวยพุ่งออกมาจากรอยแตกบนหน้ากระจกตราผนึกที่ตอนนี้รวมตัวเป็นเกลียวน้ำวนที่หมุนวนอย่างคลุ้มคลั่ง ดูท่าว่ามันถูกทำให้ตื่นตกใจถึงขีดสุด จนคล้ายว่ามีเสียงกรีดร้องแว่วออกมาจากในวงน้ำวนปราณมืดนั้น

เวลานี้ปราณมืดทั้งหมดล้วนกำลังหดตัวกลับอย่างรุนแรงและเข้าไปในวงน้ำวนปราณมืด พลันเกิดเป็นเค้าโครงใบหน้าผีที่เลือนราง แม้จะมองเห็นเพียงภาพรวมที่เป็นเงารางๆ ไม่เห็นเป็นตัวตนชัดเจน แต่ดวงตาสองดวงที่ปรากฏออกมาเป็นอันดับแรกกลับเด่นชัดขึ้นมาทันใด เมื่อดวงตาทั้งคู่เบิกออก บังเกิดเป็นภาพแสนสะพรึง

มันเป็น.…สีแดงสด!

ในชั่วอึดใจที่ดวงตาคู่นั้นเบิกกว้าง เสียงคำรามเลื่อนลั่นก็แผดไปทั่วทะเลกระดาษสีดำ กระทั่งไปทั่วทั้งสุสานดาวตกและสั่นสะเทือนดังฟ้าถล่มดินทะลายเข้าไปในดวงจิตของทุกผู้ทุกคนในสุสานดาวตก

ทะเลกระดาษสีดำเกิดเสียงครั่นครืนขึ้นมาทันใด กระดาษรูปมนุษย์หลายตนถูกพลังไร้รูปที่ผิวหน้าทะเลซัดจนกระเด็น ในช่วงเวลาที่ดูคล้ายว่าท้องฟ้าถูกบดบัง กระดาษรูปมนุษย์ทุกตนที่อยู่กลางอากาศเบื้องบนผิวหน้าทะเลต่างขวัญผวาและถอยหลบไปทันใด

“นี่มัน…”

“เสียงอะไรน่ะ!!”

“เกิดเรื่องแล้ว!”

แม้พลังปราณของกระดาษรูปมนุษย์ทุกคนล้วนอยู่ในระดับไม่ธรรมดา ทว่าเสียงคำรามร้องจากภายในทะเลกระดาษสีดำก็ยังคงทำให้พวกเขาหน้าถอดสี มีเพียงกระดาษรูปมนุษย์มีขีดแดงตรงหว่างคิ้วเท่านั้นที่แม้สีหน้าจะไม่สู้ดี แต่กลับยังมีแววเด็ดเดี่ยวในดวงตา เขาคิดจะไปตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นที่ก้นทะเล จึงวับร่างพุ่งเข้าไปในทะเลกระดาษสีดำทันใด

เพียงแต่… ทะเลกระดาษสีดำในเวลานี้หาได้มีเพียงแค่พลังแห่งตราผนึก แต่ยังมีพลังของบทสวดแห่งเต๋าและพลังของกระดาษรูปมนุษย์ที่พาหวังเป่าเล่อเข้ามาด้วย ด้วยพลังทั้งหมดนี้ ต่อให้เป็นกระดาษรูปมนุษย์ที่มีขีดแดงและพลังปราณชั้นยอด แต่หากต้องการจะเข้ามายังก้นทะเลจริงๆ ก็ยังคงเป็นเรื่องยากเย็นเต็มทน

ในเวลาเดียวกัน ทุกชีวิตที่อยู่ภายในคู่เมืองแห่งจักรวรรดิดาวตกล้วนมีสีหน้าแตกตื่น เดิมทีชายหนุ่มผู้สง่างามกำลังนั่งสมาธิอยู่ เขาต้องถลึงลืมตาขึ้นทันใด คนที่อยู่ในอาการสงบมาโดยตลอดเช่นเขา ยามนี้กลับมีแววหวาดกลัวขึ้นมาในดวงตา

ฝ่ายหญิงสวมหน้ากากก็ไม่ต่างกัน ร่างของนางสั่นสะเทือนอย่างเห็นได้ชัด ดวงตามีความตื่นตระหนก รวมทั้งแม่นางกระพรวน แม่นางน้อยและชายหนุ่มเย็นชาในชุดดำด้วย ฝ่ายแรกนั้นเบิกตากว้าง ส่วนฝ่ายหลังพลันปะทุพลังรุนแรงขึ้นมาคล้ายกำลังพยายามต้านทานแรงสะเทือนนั้น

พวกเขายังเป็นดังนี้ มหาศิย์แห่งเต๋าคนอื่นๆ ก็ยิ่งพากันหอบหายใจกระชั้น โดยเฉพาะผู้ที่สัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาลและพื้นดินที่ค่อยๆ สั่นไหวขึ้นมา พวกเขาย่อมไม่อาจควบคุมความคิดไม่ให้คาดเดากันไปต่างๆ นานาได้

ส่วนหวังเป่าเล่อซึ่งเป็นต้นตอของทุกสิ่งที่เกิดขึ้น จึงยิ่งสัมผัสกับความน่าตื่นตระหนกได้โดยตรง โดยเฉพาะยามที่ถูกดวงตาสีแดงสดภายในวงน้ำวนปราณมืดจ้องเขม็งอยู่ เขาสั่นเทิ้มไปทั้งตัว แต่ในเมื่อขึ้นลูกธนูบนเชือกคันธนูแล้วย่อมไม่อาจไม่ยิงมันออกไปได้ จนถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องเดินหน้าต่อ

ดวงตาของหวังเป่าเล่อพลันส่องประกายดุดัน แล้วท่อง…บทสวดแห่งเต๋าประโยคต่อไปในใจ!

“สรรพชีวิตย่อมต้องเผชิญภัยพิบัตินับไม่ถ้วนเป็นสรณะ…”

เมื่อท่องออกไป ทั่วอาณาบริเวณของสุสานดาวตกก็ประหนึ่งส่งเสียงโครมครามดังลั่นขึ้นมา ขุมพลังที่มาจากก้นบึ้งแห่งอวกาศนั้นมหาศาลไร้ขีดจำกัด กระทั่งทำให้หวังเป่าเล่อรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสโดยตรงว่าในวินาทีนี้คล้ายมีสายตาจากดินแดนที่ไม่รู้จักซึ่งอยู่ในส่วนลึกของอวกาศกำลัง…จับจ้องมาที่ตนเอง!!

“ตื่นแล้วหรือ?!!” เมื่อสัมผัสถึงสายตานี้ หวังเป่าเล่อพลันสะท้านขึ้นมาในใจ อดจะคร่ำครวญออกมาไม่ได้

ส่วนน้ำวนที่เกิดจากปราณมืดซึ่งพวยพุ่งออกมาจากข้างใต้ตราผนึก ณ ก้นทะเลกระดาษสีดำ และดวงตาสีแดงสดข้างในนั้น ก็ยิ่งมีปฏิกิริยาตอบรับที่รุนแรงเสียยิ่งกว่าเก่า มันคำรามร้องกึกก้องไปทั่วฟ้า ยิ่งม้วนเกลียวอยู่ภายในอย่างบ้าคลั่งเหมือนน้ำที่กำลังเดือดพล่าน ทำให้มองเห็นภาพใบหน้าได้ชัดเจนขึ้นอย่างรวดเร็ว มันยังแยกตัวออกกลายเป็นเขาสีดำข้างหนึ่ง และกำลังพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ

เขาที่ว่านี้มีสีดำมืดสนิท ดำกว่าสิ่งใดๆ ประหนึ่งความมืดมนไร้ที่สุดบนโลกนี้ และพร้อมจะกลืนกินทุกสิ่งลงไป

ไม่ต้องจินตนาการใดเลยหวังเป่าเล่อก็รู้อยู่เต็มอกว่า ถ้าเขาที่กลายร่างจากปราณมืดนี้สัมผัสถูกตัว เดาว่า…ต่อให้มีตนเองอีกสักร้อยคนก็ยังตายไม่พอเลย ต่อให้ร่างจริงไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่มันก็จะต้องแตกสลายพร้อมกับร่างอวตารไปด้วย

เมื่อเห็นสภาพการณ์ดังนี้ สีหน้าของกระดาษรูปมนุษย์ที่อยู่ข้างๆ ก็เปลี่ยนไปทันใด เขากำลังจะขยับร่างจะเข้าไปขวาง ทว่าประเมินความร้ายกาจและความบ้าดีเดือดของหวังเป่าเล่อน้อยเกินไป ไม่ทันรอให้เขาลงมือ ในดวงตาของหวังเป่าเล่อก็เต็มไปด้วยแขนงเส้นเลือดแล้ว ในชั่วเวลาวิกฤตเป็นตายเช่นนี้เขากลับยอมเข้าแลกอย่างไม่คิดชีวิต

“น้องสาวเจ้าเถอะ ภายใต้บทสวดแห่งเต๋าของข้า ยังหาญกล้ามาต่อกร!!” หวังเป่าเล่อแผดเสียงลั่น แล้วท่องบทส่วนแห่งเต๋าประโยคที่สี่!

“เพียงความคิดเดียวเท่านั้นก็จะปลดปล่อยเจ้าจากคุกจองจำอันล้ำลึกนี้ได้…”

เมื่อท่องออกไป หวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงดังสนั่นเข้ามาในหู เสียงนี้มิได้มาจากรอบตัวเขา หากแต่มาจากส่วนลึกในอวกาศซึ่งถ่ายทอดเข้ามาถึงข้างในจิตของเขา จนเกิดความรู้สึกว่ากำลังถูกสายตาหนึ่งจับจ้องอยู่และยิ่งรู้สึกแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ทั้งยังรู้สึกคล้ายว่ามีภาพภาพหนึ่งปรากฏขึ้นมาในส่วนลึกภายในหัวของเขา

ภาพที่เขามองเห็นคล้ายเป็นชายวัยกลางคนผู้หนึ่ง มีผมขาวทั้งหัว สวมชุดขาวทั้งตัว ดวงตาไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ เดินมาจากในอวกาศ ราวกับมีทะเลแห่งดาวอยู่ภายในดวงตาของเขา มันไร้ซึ่งขอบเขตยามจ้องมองเข้าไป

ทุกแห่งที่เขาก้าวผ่าน เต๋าสวรรค์ถอยไปอย่างนอบน้อม กฎจักรวาลลงหมอบกราบ และเบื้องหลังของเขาก็มีเงาของโลกที่สลับสับเปลี่ยนไปมา คล้ายว่าร่างกายของเขาบรรจุพลังแห่งจักรพิภพอันไร้ที่สิ้นสุดภายในอวกาศแห่งนี้เอาไว้!

และในชั่ววินาทีที่ภาพภาพนี้ลอยขึ้นมาในหัวสมองของหวังเป่าเล่อ เขาสีดำที่ก่อตัวขึ้นจากปราณมืดก็สลายไปต่อหน้าเขาทันใด ภายในทะเลกระดาษสีดำกระดาษรูปมนุษย์มีขีดแดงที่กำลังรีบเดินทางมาอย่างยากลำบากก็ต้องสะเทือนไปทั้งตัว เขายังไม่ทันได้เข้าใกล้จึงมองสิ่งต่างๆ ไม่ชัดเจน ทว่าเวลานี้เกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่หลวง จึงทำให้ต้องถอยออกมาแล้วกลับไปบนผิวหน้าทะเลทั้งร่างที่ยังสั่นเทา

“เหนือจักรวาลคือพลังแห่งผู้สร้าง…มีพลังแห่งผู้สร้างสูงสุดจากดินแดนอื่นกำลังจะมาถึง!!!” นี่เป็นคำพูดเดียวที่เขาพูดหลังจากขึ้นมาจากทะเล เมื่อเอ่ยคำนี้ออกไป กระดาษรูปมนุษย์ที่อยู่โดยรอบทั้งหมดไม่มีตนใดที่ร่างไม่สะท้านขึ้นมา เหล่ากระดาษรูปมนุษย์ทุกตนภายใต้การนำของกระดาษรูปมนุษย์มีขีดแดงถึงกับพากันคุกเข่าลงกราบไหว้

ไม่เพียงแค่พวกเขาเท่านั้น เหล่ากระดาษรูปมนุษย์ทุกตนในจักรวรรดิดาวตกก็เป็นดังนี้ทั้งสิ้น กระทั่งเมื่อเงยหน้าขึ้นมองอวกาศในพริบตานี้ก็ยังมีแสงของดวงดาวจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา ทุกประกายแสงล้วนคือดาวพระเคราะห์ดวงหนึ่งของสุสานดาวตก ทว่า…แสงดาวในยามนี้เพียงแค่กะพริบหนหนึ่งแล้วดับมืดลงทันตา ประหนึ่งว่าไม่ควรคู่จะมาทอประกายในช่วงเวลานี้

มีแต่เพียง…ดาวดวงหนึ่งบนท้องฟ้าอันมืดมิดที่ยังคงสาดแสงในยามนี้ คล้ายไม่ได้หวั่นเกรงต่อการมาเยือนของพลังอันสูงสุดจากโลกภายนอก จนถึงขั้นมีท่าทีโอหังเสียด้วยซ้ำ!

และหากมองให้ละเอียด ก็จะเห็นว่ารอบๆ ดาวดวงนั้นยังมีดวงดาวอีกเก้าดวง ที่ต่อให้ถูกทั้งดาวดวงกลางและพลังอันสูงสุดกดเอาไว้ แต่พวกมันก็ยังคงพยายามดิ้นรนส่องแสงของตนออกมา พวกมันหาได้โอหัง บางดวงก็เพียงแค่ไม่ยินยอมลดละความมุ่งมั่นเท่านั้น!

การปรากฏตัวที่เด่นชัดของพวกมัน หากเป็นเวลาอื่นๆ จะต้องทำให้เกิดความสั่นสะเทือนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้ในยามนี้จะมีคนสนใจไม่มากเท่าใด ทว่าก็ยังคงทำให้ทุกสรรพชีวิตที่มองเห็นเกิดความฮึกเหิมขึ้นในใจ เพียงแต่…สิ่งที่ผู้คนกำลังสนใจมิใช่ดวงดาวทั้งเก้าดวงที่ไม่ยอมละลดความมุ่งมั่น ในสายตาของพวกเขากลับมีเพียงดวงดาวที่ทอแสงเด่นชัดที่สุดดวงนั้นเท่านั้น

“มีดาวเคราะห์เต๋าอยู่จริงๆ….” ชายหนุ่มผู้สง่างามหายใจหอบกระชั้น เขาเงยหน้าขึ้นมองดวงดาวเพียงดวงเดียวที่ปรากฏขึ้นมากลางท้องฟ้าในยามที่มีพลังอัศจรรย์กำลังข่มมันเอาไว้ ด้วยแววตาแห่งการรอคอยอย่างใจจดใจจ่อเป็นที่สุด

อีกคนที่เปี่ยมด้วยการรอคอยเช่นกันก็คือ แม่นางกระพรวน!

ในขณะที่เหล่ากระดาษรูปมนุษย์ข้างนอกกำลังตกตะลึงกันอยู่ ดวงจิตของหวังเป่าเล่อกลับกลายเป็นความเลือนราง คล้ายถูกดึงประสาทสัมผัสทั้งหมดออกไป ทำให้สิ่งเดียวที่เขามองเห็นท่ามกลางภาพสลัวนั้น คล้ายเป็นร่างร่างหนึ่งที่ค่อยๆ ก้าวเข้ามาทีละก้าว

เป็นเหตุให้เขาไม่อาจสัมผัสถึงตัวที่ซี่สั่นและความตื่นกลัวของกระดาษรูปมนุษย์ข้างกายเขาได้ อีกทั้งไม่อาจสัมผัสได้ว่าใบหน้าภายในน้ำวนสีดำเบื้องล่างก่อร่างขึ้นอย่างรวดเร็วจนบัดนี้มันผนึกร่างสมบูรณ์แล้ว กลายมาเป็นใบหน้าผีแสนดุร้ายที่เขาของมันหักไปและกำลังพุ่งใส่หวังเป่าเล่ออย่างเต็มแรง หมายจะกลืนกินเขาลงไป

ยามที่มันพุ่งออกมา ปราณมืดทั้งหมดที่ออกมาจากรอยร้าวของตราผนึกและพันอยู่รอบศพของสตรีผู้นั้นก็ถูกดึงเข้ามารวมกันด้วย ทำให้สีของทะเลกระดาษสีดำจางลงไปอย่างมากในทันใด กลับเป็นใบหน้าผีนี้เสียอีกที่กลายเป็นความดำมืดสุดจะพรรณนา และมันกำลังมาถึงตัวหวังเป่าเล่อแล้ว

ทว่าในเวลานี้เอง หวังเป่าเล่อที่อยู่ในอาการดวงจิตเลือนราง คล้ายถูกดึงประสาทสัมผัสไปจากกายจนหมดก็กลับเอ่ยปากออกมาอีกประโยคหนึ่ง ซึ่งประโยคนี้ก็ยังเป็นทดสวดแห่งเต๋า แต่กลับมิได้ท่องมันอยู่ในใจ หากแต่ท่องออกมาจากปาก เอ่ยออกมาบางเบา ด้วยน้ำเสียงที่ผ่านโลกมาอย่างโชกโชนเป็นที่สุด

“…จงน้อมตนสู้เส้นทางแห่งเต๋าเสีย!”

…………………………………………………………

ท่ามกลางทะเลกระดาษสีดำแสนมืดมน มีปราณอาฆาตแผ่กระจายไปทั่ว ทำให้ภาพที่มองเห็นรอบกายคล้ายว่าถูกไอบางอย่างปกคลุมอยู่ไม่รู้จบ ทว่าในก้นทะเลแห่งนี้ อาจมีเหตุมาจากวงแหวนปราณ หรือบางทีอาจเป็นเพราะศพของสตรีผู้นั้นเอง ที่ทำให้หวังเป่าเล่อสามารถมองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน

แต่อาจเป็นเพราะที่แห่งนี้แยกออกจากที่อื่นๆ โดยสิ้นเชิง ทำให้ปราณมืดบนตัวสตรีผู้นี้ยิ่งน่าสะพรึงกลัวเข้าไปอีก ภาพที่มันกำลังพันมัดและแทรกซึมเข้าไปในร่างของนาง ถึงกับทำให้หวังเป่าเล่อเกิดความรู้สึกสั่นสะท้านจากก้นบึ้งของจิตวิญญาณเลยทีเดียว

เขาไม่รู้ว่าพลังปราณมืดนั่นคือสิ่งใด แต่ในวินาทีนี้ ทุกกระเบียดนิ้วในร่างกายและเลือดเนื้อของเขากำลังส่งสัญญาณเตือนขั้นรุนแรงสูงสุดกับเขาว่า

อันตราย!!

หวังเป่าเล่อขวัญผวา มองดูศพของหญิงสาว มองดูพลังปราณ แล้วมองไปยัง…รอยแตกบนผนึกที่มีพลังปราณแผ่ซ่านออกมา!

“ที่นี่คือ…” เนิ่นนานจากนั้น หวังเป่าเล่อจึงฝืนร่างกายที่กำลังสั่นสะท้านเอ่ยกับกระดาษรูปมนุษย์ที่อยู่ข้างๆ

“ประตูใหญ่ที่สามารถทะลุผ่านไปยังดินแดนที่ไม่รู้จักได้!” กระดาษรูปมนุษย์เอ่ยเสียงเบา มันไม่ได้มองไปยังตราผนึก หากแต่มองไปยังศพของสตรีที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้นด้วยแววตาคะนึงถึงและอ่อนโยน

น้ำเสียงของมันในเวลานี้ กลับไม่ได้ฟังดูประหลาดดังเช่นก่อนมา

“ภารกิจที่จักรวรรดิดาวตกยังคงต้องทำอยู่ ก็คือกดผนึกประตูนี้เอาไว้ ข้าต้องการให้เจ้าเข้าไปใกล้อีกสักหน่อยเพื่อปลดปล่อยพลังอภินิหารที่นั้น อาศัยพลังเวทเต๋ากดผนึกปราณที่แพร่ออกมาจากข้างในประตู เพื่อให้ตราผนึกมีเวลาผสานรอยร้าว”

สีหน้าของหวังเป่าเล่อหนักอึ้ง แม้ว่าตอนที่มานั้นเขาก็รู้อยู่แล้วว่าต้องมาทำการใด แต่ถึงตอนนี้เขาก็ยังคงอกสั่นขวัญแขวนอย่างหนัก หลังจากนิ่งเงียบไปเขาก็มองไปทางกระดาษรูปมนุษย์

“ผู้อาวุโส มิใช่ว่าผู้เยาว์ไม่อยากช่วย เพียงแต่ข้ามีคำถามสามคำถามที่ต้องได้คำตอบเสียก่อน!”

“ว่ามา” กระดาษรูปมนุษย์ไม่ได้มองหวังเป่าเล่อ หากแต่ยังคงจดจ้องไปยังศพของสตรีผู้นั้น ด้วยนัยน์ตาที่ยิ่งอ่อนโยนขึ้นเรื่อยๆ

“คำถามแรก คล้ายว่าผู้อาวุโสจะรู้จักกับสตรีผู้นี้ เช่นนั้นที่แท้แล้วผู้อาวุโสมีฐานะใดกันแน่ และสหายที่สิ้นไปแล้วของท่านผู้นี้เป็นผู้ใด และเหตุใดนางจึงได้มาอยู่ที่นี่!” หวังเป่าเล่อนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปากออกมา

สำหรับคำถามนี้ กระดาษรูปมนุษย์เงียบไปสักพัก ไม่ได้สนใจว่าในหนึ่งคำถามของ หวังเป่าเล่อจะมีกี่คำถามกันแน่ แต่กลับมีน้ำเสียงที่ฟังแล้วมีริ้วรอยของอายุขัยดังขึ้นมาในจิตใต้สำนึกของหวังเป่าเล่อ

“นางคือคนรักของข้า ส่วนข้านั้น…ไม้กลองน้อมดาราของเจ้า ได้มาจากดวงวิญญาณเทพส่วนหนึ่งของข้า ตอนนี้เจ้ารู้แล้วหรือไม่?”

เมื่อเอ่ยออกไป จิตใต้สำนึกของหวังเป่าเล่อก็สะท้านขึ้นมาอย่างแรง เขาคิดถึงคำที่กระดาษรูปมนุษย์เคยพูดเอาไว้ว่า เพื่อขัดขวางไม่ให้ทะเลดำขยายตัวออกไป จักรพรรดิองค์หนึ่งของจักรวรรดิดาวตกจึงใช้เวทสะท้านฟ้าเปลี่ยนร่างกายของตนเป็นกลองสู่สวรรค์ จากนั้นก็แบ่งวิญญาณเทพของตนออกเป็นสิบส่วน กลายเป็นไม้กลองน้อมดารา

ดังนี้เอง ต่อมาในแต่ละยุคสมัย จึงมีเรื่องที่เหล่ามหาเทพแห่งเต๋าจากต่างดินแดนเดินทางมาค้นหาวาสนาแห่งโชคที่นี่

“วิญญาณเทพของข้า หาได้ถูกแบ่งออกเป็นสิบส่วน แต่เป็นสิบเอ็ดส่วน ส่วนเหตุใดส่วนที่เกินออกมาหนึ่งส่วนจึงได้ไปปรากฏอยู่ที่โลกภายนอกนั้น ข้าเองก็ไม่รู้ได้ เพราะข้าจำได้ว่าที่ที่ข้าไปเป็นที่สุดท้ายในตอนนั้น ก็คือดินแดนที่ไม่รู้จักข้างใต้ตราผนึกนี่” กระดาษรูปมนุษย์เอ่ยเสียงเบา ในสีหน้ามีความเคว้งคว้างและความรู้สึกอีกมากมายที่แฝงอยู่

“แต่ข้าสูญเสียความทรงจำหลังจากเข้าไปในนั้นไปแล้ว เมื่อข้าตื่นขึ้นมา ข้าก็อยู่ทโบราณสถานแห่งหนึ่งในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ไร้เรี่ยวแรงอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน”

“ส่วนคนรักของข้า นางมิใช่คนของจักรวรรดิดาวตกและจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น นางจึงมาที่…ดินแดนที่ไม่รู้จักข้างใต้ผนึกนี้ด้วยตนเอง” กระดาษรูปมนุษย์เอ่ยถึงตรงนี้ก็ไม่ได้พูดต่อ แม้ในเนื้อหาที่เล่ามาจะมีหลายประเด็นที่ฟังดูขัดแย้งกัน แต่หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้โดยสัญชาตญาณว่า กระดาษรูปมนุษย์ไม่ได้โกหก เพียงแต่ไม่เคยพูดเรื่องทั้งหมดออกมาเท่านั้น

แม้เขายังอยากจะถามให้ละเอียด แต่ก็รู้ดีว่าหากกระดาษรูปมนุษย์ไม่ต้องการเอ่ยถึง แล้วตนเองยังจะถามต่อไปคงเป็นเรื่องที่ไม่ดี ครั้นแล้วหลังจากเงียบไปสักพัก เขาจึงถามคำถามที่สอง

“คำถามที่สอง ประตูข้างใต้ผนึกนี้…เหตุใดจำต้องปิดผนึกเอาไว้?”

คำถามนี้ดูเผินๆ คล้ายไม่ค่อยจำเป็นเท่าใด แต่ความจริงแล้ว หวังเป่าเล่อเปลี่ยนวิธีถามใหม่ เพราะไม่ว่าจะตอบอย่างไรก็ยากจะไม่เอ่ยถึงดินแดนที่ไม่รู้จัก

กระดาษรูปมนุษย์ยิ่งนิ่งเงียบไปนานกว่าเดิม ก่อนจะเอ่ยปากออกมาช้าๆ

“เจ้าจะต้องรู้ให้จงได้รึ? รู้เรื่องเหล่านี้แล้วก็มิได้มีประโยชน์อันใดต่อเจ้า กลับกันเมื่อเจ้าได้รู้ ก็จะต้องถูกจับตา…ฉะนั้น เจ้าแน่ใจรึ”

หวังเป่าเล่อฟังถึงตรงนี้ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดขนทั่วตัวถึงได้ลุกชันขึ้นมาในพริบตาอย่างน่าประหลาด หลังจากนิ่งไปนาน เขาก็ขบกรามแน่น

“เมื่อใดที่ผู้เยาว์ท่องคาถา ก็ต้องเป็นที่ถูกจับตาอยู่แล้ว มีค่าเท่ากัน มิสู้รู้เสียเลยในยามนี้ ขอผู้อาวุโสโปรดบอกให้ทราบด้วยขอรับ”

“ผู้สอดส่อง!” กระดาษรูปมนุษย์เอ่ยคำอย่างสงบ

ก่อนที่กระดาษรูปคนจะเอ่ยปาก หวังเป่าเล่อก็เคยคาดเดามาก่อน แต่ไม่ว่าเขาจะเดาอย่างไรก็ไม่มีทางคิดได้ว่าคำตอบคือ… ผู้สอดส่อง!

เมื่อได้ยินคำคำนี้ ดวงตาเขาพลันเวิ้งว้าง คิดจะซักไซ้อีก แต่กระดาษรูปมนุษย์กลับหลับตาลง ฉะนั้น ต่อให้หวังเป่าเล่อจะมีความคิดอีกนับไม่ถ้วนอยู่ในหัว แต่ก็ทำได้เพียงนิ่งเงียบ เนิ่นนาน เขาจึงเอ่ยปากอีกหน

“คำถามที่สาม… ผู้อาวุโสจะรับประกันความปลอดภัยของผู้เยาว์ได้หรือไม่ขอรับ?”

“ข้าจะพยายาม” กระดาษรูปมนุษย์มองไปทางหวังเป่าเล่อ แม้คำของเขาจะไม่ซับซ้อน ทว่าเมื่อสบตากันแล้ว หวังเป่าเล่อก็มีความรู้สึกหนึ่งว่าอีกฝ่ายมิได้คิดจะหักหลังเขา และจะรับประกันความปลอดภัยให้เขาอย่างเต็มความสามารถจริงๆ ดังว่า

ฉะนั้นหลังจากไตร่ตรองอยู่เงียบๆ แววตาของหวังเป่าเล่อก็แน่วแน่ขึ้นมา เขาขบกรามแน่น ไม่ได้ลังเลใดๆ อีก ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว หนทางที่อยู่ตรงหน้าเขาก็เหลือเพียงทางนี้ทางเดียว

ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น เช่นนั้นก็ต้องเดินต่อไปแล้ว!

เมื่อตัดสินใจได้ดังนั้น พลังทั่วร่างของหวังเป่าเล่อก็ลุกโชนขึ้น ชายหนุ่มวับร่างเข้าไปใกล้ในบัดดล แม้ไม่ได้เข้าไปยังใจกลาง หากแต่นั่งลงบนเสาหินต้นหนึ่งที่อยู่ข้างๆ จุดศูนย์กลางเท่านั้น ทว่าภาวะอันตรายที่เขาสัมผัสได้จากตำแหน่งที่เขานั่งอยู่นี้ก็รุนแรงอย่างยิ่งยวดแล้ว

ดีที่กระดาษรูปมนุษย์ก็ตามมาด้วย พอเขาสะบัดมือ แสงนวลอ่อนก็เปล่งออกมาปกคลุมตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้ จึงทำให้ร่างที่สั่นเทิ้มของเขาสงบลงได้บ้าง

“เริ่มกันเถิด” กระดาษรูปมนุษย์กระซิบ

แม้ว่าก่อนหน้านี้ หวังเป่าเล่อจะเคยท่องบทสวดเต๋ามาหลายครั้งแล้ว แต่ครานี้ไม่เหมือนกัน เขารู้ดีว่าการสวดเพื่อสยบศัตรูนั้น อย่างมากเขาสวดไปแค่ไม่กี่คำแรกก็เพียงพอแล้ว แต่ครั้งนี้…เขาต้องทุ่มกำลังทั้งหมดในการสวด ถ้าเปรียบไปแล้วก่อนนี้ก็เป็นเพียงการกระซิบเบาๆ ไม่กี่คำข้างหูคนที่กำลังหลับใหลเท่านั้น แต่ครั้งนี้แทบจะเรียกว่าไปตะโกนสุดเสียงที่ข้างหูคนกำลังหลับสนิท ทั้งยังไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้น หากแต่ต้องตะโกนอยู่อย่างนั้นไม่หยุดหย่อน

“สาหัส…” หวังเป่าเล่อถอนใจยาว แต่เขาก็เป็นคนเด็ดเดี่ยว เมื่อชั่งน้ำหนักอยู่ในใจแล้ว เขาก็ขบกรามแน่นๆ หลับตาลงขณะนั่งขัดสมาธิ เอนหลังไปเล็กน้อย แล้วเบิกตากว้างขึ้นมาทันใด ดวงตาเปี่ยมด้วยความลึกล้ำหนักแน่น เริ่มท่องบทสวดอยู่ในก้นบึ้งของจิตใจ!

“ตื่นเถิด…”

เมื่อเอ่ยคำนี้ออกไป ทะเลกระดาษสีดำรอบกายก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงใดแม้แต่น้อยนิด ตราผนึกยังเป็นปกติ ศพของสตรีก็ยังเป็นดังเดิม มีเพียงกระดาษรูปมนุษย์ที่หันหน้ามามองหวังเป่าเล่อทั้งความหม่นหมองอันหนักอึ้งในดวงตา กระทั่งตรงหน้าอกของมันยังขยับพองยุบขึ้นลง เพราะมันสัมผัสได้ว่า…ความคิดอ่านทั้งหมดภายในหัวของหวังเป่าเล่อในเวลานี้ คล้ายถูกปิดกั้นเอาไว้ จนตนเองไม่อาจสัมผัสสิ่งใดได้แม้แต่น้อย

เขาคุ้นเคยกับสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ดี ทุกครั้งที่หวังเป่าเล่อท่องบทสวดแห่งเต๋า เขาก็ล้วนสัมผัสถึงความรู้สึกนี้ ความคาดหวังในหัวใจจึงพุ่งทะยานขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ทว่าในชั่ววินาทีที่เขากำลังเฝ้าคอยด้วยใจจดจ่อ ทันใดนั้นเอง…พลังมหาศาลก็ระเบิดออกมาจากบนพื้นที่ถูกผนึกเอาไว้ข้างใต้ท้องทะเลกระดาษสีดำแห่งนี้!

โดยทั่วไปแล้วไม่ว่าจะเป็นพลังปราณเก่าแก่ที่มาจากนอกจักรวรรดิดาวตกหรือนอกจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น หรือต่อให้เป็นพลังปราณเก่าแก่มีที่อยู่ท่ามกลางอวกาศ ก็สามารถทะลุผ่านเวลาและมิติจนมาถึงที่แห่งนี้ภายในพริบตา ต่อให้มาถึงที่นี่เพียงน้อยนิด หรือพูดได้ว่าเกิดการเชื่อมโยงกับบริเวณที่มีพลังปราณเก่าแก่อยู่ผ่านทางรอยร้าวนั้นก็ตาม แต่สำหรับหวังเป่าเล่อและกระดาษรูปมนุษย์แล้ว ไม่ว่าอย่างไรมันก็ยังเป็นพลังที่มหาศาลเป็นที่สุด

ท่ามกลางเสียงดังเลื่อนลั่น ทั่วทั้งทะเลกระดาษสีดำพลันสั่นสะเทือนขึ้นมา บังเกิดเป็นเกลียวคลื่นมากมายถาโถม และสิ่งที่รุนแรงเสียยิ่งกว่ากลับมาจาก… ปราณมืดที่แผ่ขยายออกมาจากรอยร้าวและพันม้วนอยู่รอบร่างของสตรีผู้นั้น!

เวลานี้ คล้ายว่าปราณมืดถูกกระตุ้นจากบางสิ่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน มันม้วนรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว กลายมาเป็นเกลียววนสีดำขนาดมหึมา เข้ามาปกคลุมตราผนึกบนหน้ากระจกภายในชั่วพริบตา หากมันเป็นมนุษย์ และหากปราณมืดในช่วงเวลานี้มีสีหน้าอารมณ์ มันก็จะต้องกำลังสับสนตื่นตระหนกอยู่เป็นแน่!

สิ่งที่เกิดขึ้นยิ่งทำให้กระดาษมนุษย์คนเฝ้ารอด้วยใจจดจ่อยิ่งเข้าไปอีก และในเวลานี้หวังเป่าเล่อก็กำลังท่องบทสวดแห่งเต๋าในประโยคต่อไป!

“…ผู้ถูกจองจำในเต๋าสวรรค์…”

…………………………………………………………

มีหลายครั้งหลายหนที่คำเพียงแค่สองคำ กลับหมายถึงการพลิกฟ้าพลิกดิน ดังเช่นที่เซี่ยไห่หย่างกำลังรู้สึกในเวลานี้ ดวงตาของเขาเปล่งประกายขึ้นมาในบัดดล

“เชิญผู้อาวุโสเอ่ยคำขอรับ!”

“เจ้าเซี่ยน้อยเอ๋ย เรื่องนี้ข้าช่วยเจ้าไม่ได้จริงๆ แต่ข้ามีศิษย์อยู่ผู้หนึ่ง ซึ่งข้ารู้ว่าเขามีความสัมพันธ์อันดีต่อเฉินชิง หากเจ้าสามารถโน้มน้าวคนผู้นี้ได้… ข้าคิดว่าเพียงคำพูดประโยคเดียวของเขาก็จะสามารถช่วยเจ้าสะสางได้ทุกปัญหา”

ยามคำพูดของปรมาจารย์แห่งไฟเข้ามาในหูของเซี่ยไห่หยาง เขาสะท้านไปทั้งตัว ทั้งเสียงหายใจก็กระชั้นขึ้นมาในทันใด ท่าทีหนักแน่นที่อุตส่าห์ปั้นมาแต่ต้นก็กลับทะลายลงจนไม่เหลือแม้แต่น้อย เขาจับม้วนหนังสือหยกแน่นแล้วเอ่ยคำออกไปอย่างไม่อาจเก็บอาการได้

“ขอผู้อาวุโสโปรดแนะนำสหายเต๋าคนสำคัญผู้นี้แก่ผู้น้อยสักครา ไม่ว่าเขาจะมีข้อเสนอใด ผู้น้อยล้วนรับปากทั้งสิ้น!!”

“สหายเต๋าคนสำคัญ…” น้ำเสียงของปรมาจารย์แห่งไฟฟังดูประหลาด หากเป็นเวลาอื่น เซี่ยไห่หยางจะต้องสัมผัสได้ แต่ตอนนี้เขากำลังจิตใจว้าวุ่น จึงฟังพิรุธในน้ำเสียงของปรมาจารย์แห่งไฟไม่ออก

“เซี่ยน้อยเอ๋ย ศิษย์ข้าผู้นี้ออกจะเป็นคนทะนงตน มักไม่พบคนนอกง่ายๆ ฉะนั้นหากเจ้าอยากให้เขาช่วย คาดว่าคงไม่อาจใช้เงินทองจัดการได้ เพราะด้วยนิสัยทะนงตนของเขา หลายๆ คราเขาจึงไม่สนใจของนอกกายแต่อย่างใด” ปรมาจารย์แห่งไฟเอ่ยช้าๆ

“ทะนงตน?” เซี่ยไห่หยางตะลึงงัน ไม่รู้เพราะสาเหตุใด สิ่งแรกที่ปรากฏขึ้นมาในหัวเขาเมื่อได้ยินคำของปรมาจารย์แห่งไฟ ก็คือคนร่างอ้วนคนหนึ่ง แต่พอได้ยินว่าเป็นคนมีนิสัยทะนงตน จินตภาพของคนร่างอ้วนนั้นก็หายวับไปทันที

ในสายตาของเขาแล้ว หากพูดถึงตัวเลือกที่ไม่เหมาะกับคำว่าทะนงตนที่สุดในโลกนี้แล้ว หวังเป่าเล่อถือว่าอยู่ในอันดับต้นๆ เลยทีเดียว เพราะด้วยความหน้าหนาของเขา เกรงว่าแม้แต่คนระดับผู้เยี่ยมยุทธ์จักรพิภพก็ยังไม่อาจทำให้หน้า ของเขาสะทกสะเทือนได้เลย ฉะนั้นคำว่าทะนงตนจึงไม่คู่ควรกับอุปนิสัยของหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ทว่าแม้จะคิดเช่นนี้อยู่ลึกๆ ในใจ แต่เซี่ยไห่หยางก็ยังอดจะลองถามไปคำหนึ่งไม่ได้

“ผู้อาวุโส ท่านหมายถึงหวังเป่าเล่อหรือขอรับ?”

“เจ้าหมอนั่นยังมิใช่ศิษย์ข้า” ปรมาจารย์แห่งไฟหัวเราะออกมา ดูคล้ายเป็นการปฏิเสธ แต่ความจริงแล้วถ้าเซี่ยไห่หยางได้รู้คำตอบ ฟังๆ ดูก็จะรู้ว่าคำพูดนี้มีความหมายอื่นแฝงอยู่

นั่นเพราะ เขาก็มิได้ปฏิเสธแต่อย่างใด เพียงแต่พูดถึงข้อเท็จจริงในตอนนี้เท่านี้

ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับเซี่ยไห่หยาง ผู้ซึ่งยังไม่รู้รายละเอียดใดๆ ในเวลานี้ย่อมจะฟังความหมายแฝงไม่ออก ฉะนั้นเมื่อเขาได้ฟังคำของปรมาจารย์แห่งไฟแล้ว จึงรู้สึกขึ้นมาทันใดว่าตนเองไตร่ตรองได้ถูกต้องจริงๆ คนคนนั้นไม่ทางจะเป็นเจ้าอ้วนนั่นไปได้

ประการแรก อีกฝ่ายยังไม่ใช่ศิษย์ของปรมาจารย์แห่งไฟ ประการต่อมา อุปนิสัยของเขาไม่คู่ควรกับคำว่าทะนงตนเลยสักนิด ครั้นแล้วจึงถอนหายใจคราวหนึ่ง และเริ่มขอร้องต่อปรมาจารย์แห่งไฟ

แต่จนท้ายที่สุด ปรมาจารย์แห่งไฟก็ไม่ได้รับปาก เพียงบอกเขาว่าให้ไปคิดหาหนทางเอาเอง

เมื่อสนทนาจบความ เซี่ยไห่หยางถือม้วนหนังสือหยกในมือทั้งสีหน้าก็เปลี่ยนมาไม่หยุด เพราะกำลังพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก เค้นสมองด้วยความยากเย็นว่าทำเช่นใดจึงจะได้รู้จักและผูกไมตรีกับศิษย์ของปรมาจารย์แห่งไฟผู้นี้

“ได้ยินว่าเหล่าศิษย์ของปรมาจารย์แห่งไฟในสมัยนั้นล้วนตายไปหมดแล้ว ส่วนศิษย์ที่มีในตอนนี้ ก็ได้ยินว่าล้วนเป็นศิษย์ที่เพิ่งจะรับมาในภายหลัง …ไม่มีเบาะแสเลย” เซี่ยไห่หยางกุมหัวแต่ก็ยังไม่ยอมแพ้ เขาคิดว่าเมื่อศิษย์ผู้นี้ของปรมาจารย์แห่งไฟมีสัมพันธ์อันดีต่อเฉินชิงดังว่า เขาย่อมเป็นคนสำคัญคนหนึ่ง ซึ่งเบาะแสนี้อาจคือความหวังอันใหญ่หลวงที่สุดของเขาก็เป็นได้

“ขอเพียงได้พบกับคนสำคัญผู้นั้น… ข้าต้องสามารถคบเขาเป็นสหายได้แน่นอน!” เซี่ยไห่หยางยังคงเชื่อมั่นในความสามารถของตนไม่เบาทีเดียว

“ฉะนั้นเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือจะรู้จักกับคนสำคัญท่านนี้ได้อย่างไร…”

ในขณะที่เซี่ยไห่หยางกำลังเค้นสมองว่าทำอย่างไรจึงจะรู้จักกับคนสำคัญท่านนี้อยู่ คนสำคัญที่เขาเอ่ยถึงก็กำลังว้าวุ่นใจเช่นกัน แม้รู้สึกจนใจ แต่ก็ไม่อาจหลบเลี่ยงการเผชิญหน้ากับกระดาษรูปมนุษย์ที่ปรากฏกายอยู่ตรงหน้าเขาในเวลานี้ได้

ช่วงเวลาบำเพ็ญปราณเจ็ดวัน ตอนนี้ยังไม่ถึงวันแรกเสียด้วยซ้ำ ยังเหลือเวลาอีกตั้งสองสามชั่วยามกว่าจะสว่าง แต่จู่ๆ กระดาษรูปมนุษย์ก็ปรากฏตัวขึ้นมา ทำให้แผนการที่เขาวางเอาไว้ต้องสะดุดลง

“เซี่ยต้าลู่ ข้าช่วยให้เจ้าได้สิทธิ์มาอยู่ที่นี่ ยามนี้…ก็ถึงตาเจ้าบ้างแล้ว”

“ผู้อาวุโส หาใช่ว่าผู้เยาว์ไม่คิดช่วยท่าน ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้อาวุโสช่วยเหลือข้าไว้มากมาย เรื่องสัญญานั้น ข้าย่อมยอมรับอยู่แล้ว แต่ข้าอยากจะถามสักหน่อย…” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากอย่างระมัดระวัง เขามิได้กล่าวคำเท็จ เพราะที่เขาพูดนั้นเป็นความสัตย์จากใจจริง

“รอจนข้าเลื่อนขั้นเป็นระดับดาวพระเคราะห์เสียก่อนค่อยช่วยท่านได้หรือไม่ เมื่อเป็นดังนี้แล้วข้าก็จะมั่นใจขึ้นมาอีกสักหน่อย” ในสายตาของหวังเป่าเล่อนั้น หากใช้พลังปราณในระดับดาวพระเคราะห์มาท่องบทสวดแห่งเต๋าย่อมต้องสวดได้มากกว่า และในเวลาเดียวกันก็จะช่วยปกป้องตนเองได้มากขึ้นอีกไม่มากก็น้อยด้วย

ซึ่งแน่นอนว่าที่บอกว่าช่วยปกป้องตนเองนี่บางทีอาจไม่มีประโยชน์ใด หรือเรียกได้ว่าต่างกับชนิดมดตัวน้อยกับมดตัวใหญ่เท่านั้น แต่อย่างไรเสียก็ยังพอจะมีหลักประกันขึ้นมาอีกสักน้อยนิด

กระดาษรูปคนส่ายหน้าต่อข้อซักถามของหวังเป่าเล่อ

“หลังจากขึ้นเป็นระดับดาวพระเคราะห์แล้ว พวกเจ้าก็จะถูกส่งตัวออกไปในทันที ไม่ทันหรอก…ไปกันเถิด!” ว่าพลางไม่ยอมให้เวลาหวังเป่าเล่อใคร่ครวญอีก กระดาษรูปมนุษย์ยกมือขวาขึ้นสะบัด เศษกระดาษสีขาวปลิวว่อนขึ้นแล้วห่อหุ้มหวังเป่าเล่อไว้ในทันใด เพียงพริบตาเดียวชายหนุ่มก็หายวับไปจากภายในห้องพร้อมกับกระดาษรูปมนุษย์

เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกหน …หวังเป่าเล่อยังไม่ทันมองเห็นสิ่งรอบตัวได้ชัดเจนก็ได้ยินเสียงคลื่นที่มีลักษณะเฉพาะตัวของทะเลกระดาษดังขึ้นมาก่อน จากนั้นเมื่อภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้น เขาก็มองเห็นทะเลกระดาษสีดำอันกว้างใหญ่ไพศาล

หวังเป่าเล่อเหม่อมองทะเลกระดาษด้วยความคิดสับสนปนเปร้อยตลบ ทั้งตึงเครียด ทั้งจนหนทาง แต่ก็รู้ดีว่าไม่ทำไม่ได้ เพียงแต่เขารู้สึกเป็นกังวลว่าถ้าหากสวดจบแล้วจริงๆ …ที่กระดาษรูปมนุษย์บอกว่ามันไม่ได้คิดเป็นศัตรูกับหวังเป่าเล่อแต่อย่างใดนั้น จะคือการชี้นิ้วแตะหน้าผากตนแล้วให้ไปอยู่อีกจักรภพหนึ่งหรือไม่

“คงไม่มั้ง…” หวังเป่าเล่อใจเต้นไม่เป็นส่ำ แต่ก็พยายามปลุกใจตนเอง หวังจะขจัดความเครียดออกไปเสีย

“ทำไมต้องเครียดขนาดนี้?” กระดาษรูปมนุษย์หันหน้ามามองหวังเป่าเล่อด้วยแววตามืดดำ คล้ายว่าถ้าคำตอบของหวังเป่าเล่อไม่เข้าที เขาก็จะชักสีหน้าเช่นนั้น

แม้จะเป็นแค่กระดาษแผ่นหนึ่ง ที่ไม่น่าจะวันชักสีหน้าได้ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังมีความรู้สึกทำนองนั้น เขาจึงสูดหายใจลึก เตรียมจะขยับริมฝีปาก

“พูดตามตรงนะขอรับ เขาเป็นญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของข้า ตอนนี้เขากำลังนอนหลับสนิท ข้ากังวลว่าถ้าถูกรบกวนมากๆ เข้า เขาอาจจะไม่พอใจ…”

“เป็นญาติผู้ใหญ่แบบใด?” กระดาษรูปมนุษย์มองหวังเป่าเล่อพลางถามอีกหน

“พ่อตา!” หวังเป่าเล่อตอบอย่างหนักแน่น

กระดาษรูปมนุษย์นิ่งงัน ไม่ได้สนใจหวังเป่าเล่อหากแต่ยกมือขวาขึ้นจับข้อมือชายหนุ่มเอาไว้แล้วพุ่งตัวไปข้างหน้า ม่านตาของหวังเป่าเล่อหดเล็กลงทันใดขณะที่ถูกพาก้าวลงไปในทะเลกระดาษสีดำ!

เพิ่งจะก้าวลงไป ทันใดนั้นเองพลังปราณมืดมหาศาลก็พุ่งออกมาจากในทะเลกระดาษสีดำและคืบคลานเข้าหาหวังเป่าเล่อกับกระดาษรูปมนุษย์ แต่ที่น่าประหลาดก็คือในชั่วพริบตาที่เข้ามาใกล้ ก็พลันมีลำแสงรูปวงแหวนเปล่งออกมาจากตัวกระดาษรูปมนุษย์ และกั้นตัวเขาไว้

เมื่อเห็นดังนั้น หวังเป่าเล่อก็อุ่นใจขึ้นมาบ้าง ไม่รอให้เขาเอ่ยปากใดๆ กระดาษรูปมนุษย์ก็จับเขาไว้ แล้วถลันตัวลึกลงไปในทะเลกระดาษสีดำอย่างรวดเร็ว

ยิ่งลงลึกไปภายในท้องทะเลที่เป็นกระดาษสีดำทับถมอยู่รอบตัว พลังปราณมืดก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย แม้ว่าลำแสงรูปวงแหวนที่เปล่งจากตัวกระดาษรูปมนุษย์จะน่าอัศจรรย์ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อที่ตอนนี้ใจตื่นจนเนื้อเต้นแล้ว เขากลับเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าลำแสงรูปวงแหวนที่อยู่รอบตัวกระดาษรูปมนุษย์กำลังเปลี่ยนเป็นกระดาษสีดำแล้ว

ยังดีที่ก่อนลำแสงรูปวงแหวนจะกลายเป็นกระดาษสีดำไปจนหมด เมื่อกระดาษรูปมนุษย์สะบัดตัวหนหนึ่ง ลำแสงรูปวงแหวนที่กลายมาเป็นกระดาษสีดำก็ฉีดขาดและกลายเป็นเศษกระดาษในทันใด แล้วมีลำแสงรูปวงแหวนปรากฏขึ้นมาใหม่อีกชั้นหนึ่ง แต่ก็มองเห็นได้ว่าร่างกายของกระดาษรูปมนุษย์คล้ายจะบางลงไปสักหน่อยด้วยเช่นกัน

กระดาษรูปมนุษย์กำลังพุ่งตัวไปด้วยความเร็ว พาหวังเป่าเล่อเดินทางลึกลงไปในทะเลกระดาษสีดำ เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ตลอดทาง ยิ่งใกล้เข้าไปทุกที จนกระทั่งลำแสงรูปวงแหวนปรากฏขึ้นรอบตัวมันเป็นครั้งที่เก้าได้กลายเป็นกระดาษสีดำและลำแสงรูปวงแหวนที่สิบปรากฏขึ้นอีกครั้ง ร่างของกระดาษรูปมนุษย์ก็บางลงไปครึ่งหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด เวลานั้นเอง ในที่สุด…พวกเขาก็เข้าไปใกล้ก้นทะเลของทะเลกระดาษสีดำแห่งนี้แล้ว!

มองไกลๆ หวังเป่าเล่อถึงกับต้องถลึงตากว้าง เพราะเขาเห็นว่าในชั้นสุดท้ายที่มีเศษกระดาษสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ ซึ่งคือก้นทะเลนั่นเอง กลับมีวงแหวนปราณขนาดยักษ์อยู่!

วงแหวนปราณนี้ประกอบขึ้นจากเสาหินสีขาวหลายร้อยต้น กินพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล โดยขอบเขตของมันขยายตัวออกไปรอบทิศทางด้วย ตรงจุดศูนย์กลางซึ่งมีบริเวณกว่าหนึ่งร้อยจั้งนั้น มีกระจกขนาดหนึ่งร้อยจั้งอยู่บานหนึ่ง!

หากจะพูดให้ถูกต้องจริงๆ มันคือตราผนึกที่เป็นดังแผ่นกระจก และบนนั้นก็มีรอยแตกร้าวเต็มไปหมด ทั้งยังมีพลังปราณมืดลอดออกมาจากรอยแตกเหล่านั้นอย่างไม่จบไม่สิ้น และคืบคลานออกไปทั่วทิศ

สิ่งนี้ทำให้เห็นว่ามีความเป็นไปได้อย่างมากว่าที่แห่งนี้…ก็คือแหล่งกำเนิดของทะเลกระดาษดำ หรือจะพูดว่าเหตุที่ทะเลกว้างแห่งนี้กลายเป็นสีดำ ก็เพราะหน้ากระจกที่ผนึกปราณเอาไว้เกิดรอยร้าวนั่นเอง!

ไม่เพียงเท่านั้น สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งสะท้านใจก็คือ มีคนผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงใจกลางของกระจกนี้ ไม่ใช่กระดาษรูปมนุษย์ แต่คือร่างที่มีเลือดเนื้อ!

เป็นสตรีผู้หนึ่ง สวมชุดขาว และใบหน้าของนางก็ขาวซีดเช่นเดียวกัน ไม่เหมือนคนมีชีวิต เป็นดังศพคนตาย แต่ความซีดขาวนี้กลับไม่อาจปกปิดรูปโฉมที่งดงามของนางได้

รอบตัวของสตรีผู้นี้มีปราณมืดส่วนหนึ่งกระจายตัวออกมาจากรอยแตกบนหน้ากระจก และกำลังม้วนพันรอบร่างของนางเอาไว้ มองไกลๆ คล้ายว่าปราณมืดกำลังแทรกซึมเข้าไปในร่างของนางอยู่ตลอดเวลา!

…………………………………………………………

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงมองผู้ฝึกตนหนุ่มหน้าตาไม่เอาไหนโค้งตัวมอบไม้กลองในมือให้แก่แม่นางกระพรวน แววหม่นหมองฉายเข้ามาในส่วนลึกของดวงตาเขา

ชั่วพริบตานั้นมีภาพความทรงจำตอนหนึ่ง และ…คนผู้หนึ่งในช่วงความทรงจำนั้นก็ลอยขึ้นมาในหัวเขา!

“เมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า?” หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่ในใจ ทันใดนั้นเองเขาก็นึกได้ว่าความรู้สึกคุ้นเคยที่ตนเองมีนั้นมาจากที่ใด เพราะถ้าลองย้อนกลับไปคิดให้ถี่ถ้วนแล้ว มีบางส่วนที่แม่นางกระพรวนผู้นี้ดูคล้ายกับฮูหยินอ๋องจันทรารัตติกาลแห่งวังเต๋าไพศาลเมื่อหลายปีก่อนนั้นอย่างมากทีเดียว

แต่ก็มีอีกหลายส่วนที่ไม่เหมือนกัน คนแรกนั้นมีร่องรอยที่ชัดเจนเกินไป อีกทั้งในครั้งนั้นเวทเมล็ดพันธุ์ดาราของฮูหยินอ๋องจันทรารัตติกาลก็แทบจะไร้รูปร่าง และสามารถแทนลิขิตสวรรค์ได้!

ในขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจดจ้องอยู่ทางนี้ ไม้กลองในมือพวกเขาทั้งสิบคนก็เปล่งรัศมีออกมา สัมผัสได้ถึงพลังที่เริ่มส่งออกมา นั่นแสดงว่าการทดสอบคราวนี้ยุติลงแล้ว และบ่งบอกว่าในที่สุดพวกเขาทั้งสิบคนก็ได้รับสิทธิ์แห่งโชคอย่างแท้จริงแล้ว!

ส่วนที่ว่าสุดท้ายแล้วจะสามารถเดินไปถึงจุดใด จะได้อยู่ในดาวพระเคราะห์ระดับใด ก็ต้องแล้วแต่วาสนาของพวกเขาแต่ละคนแล้ว!

ส่วนคนอื่นๆ นั้น แม้ไม่อาจคว้าไม้กลองมาได้ แต่พวกเขาก็ได้รู้ว่าวาสนาแห่งโชค ณ สุสานดวงดาราใช่ว่าจะได้มาอย่างง่ายดายเพียงนั้น ในการมาคราวนี้ พวกเขาได้พยายามไขว่คว้าแล้ว ต่อให้ล้มเหลว อย่างน้อยๆ ยามพวกเขากลับไปยังสำนักและตระกูลของแต่ละคน ก็ยังคงได้รับดวงดาราอมตะหนึ่งดวงเพื่อเป็นฐานให้แก่ระดับดาวพระเคราะห์

ดังนั้น ความรู้สึกที่ลอยขึ้นมาในจิตใจของทุกคนซึ่งอยู่ ณ ที่แห่งนี้ จึงกำลังส่องแสงสว่างเจิดจ้าครอบคลุมโลกทั้งโลก และระหว่างที่เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นมา ร่างที่ปรากฏอยู่ที่นี้จึงค่อยๆ เลือนรางและหายวับไปในที่สุด

พริบตาต่อมา เมื่อภาพตรงหน้าของทุกคนแจ่มชัดขึ้นครั้ง พวกเขาก็ออกมาจากสนามทดสอบแล้ว กลายเป็นภาพภายในพื้นที่ของสมาคมซึ่งจักรวรรดิดาวตกตระเตรียมไว้ให้พวกเขา และทุกคนถึงกับ…ไปอยู่ในภายในห้องพักของตนเอง

ราวกับว่าพวกเขาอยู่ภายในห้องที่แต่ละคนเคยอยู่เมื่อสิบกว่าวันก่อนในระหว่างที่รอการทดสอบด่านแรก ดูคล้ายว่าไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปเลย เหมือนกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่งเท่านั้น

หวังเป่าเล่อเองก็ยังต้องนิ่งเหม่อไป เขามองดูไม้กลองในมือ แล้วรีบกวาดตามองห้องที่คุ้นเคยไปโดยรอบ ก่อนจะก้มลงมองกระเป๋าคลังเก็บ เมื่อพบว่าผลึกสีชาดที่บรรจุอยู่ภายในมิได้น้อยลงแต่อย่างใด จึงค่อยโล่งใจได้จริงๆ

ในเวลาเดียวกัน เสียงของกระดาษรูปมนุษย์ที่เคยดังขึ้นก่อนการทดสอบแต่ละครั้งก็ยังดังก้องขึ้นมาในหัวของทุกคนในตอนนี้ด้วย

“ขอแสดงความยินดีกับสหายน้อยจากต่างแดนทั้งสิบคนที่คว้าไม้กลองน้อมดารามาได้ พวกเจ้ามีเวลาเตรียมตัวเจ็ดวัน เจ็ดวันให้หลัง…จักรวรรดิดาวตกของเราจะจัดพิธีกราบไหว้สวรรค์ ซึ่งก็คือช่วงเวลาที่พวกเจ้าเฝ้าคอยจะได้…ลั่นกลองสู่สวรรค์เพื่อน้อมนำเอาดวงดารามา!”

เมื่อได้ยินคำ ดวงตาของหวังเป่าเล่อพลันส่องประกายแวววาว ใจก็เต้นตูมตามขึ้นมา เพราะเขารู้ดีว่าหากไม่มีสิ่งใดผิดไปจากนี้ ตนเองก็ต้องได้ก้าวย่างเข้าไปในระดับดาวพระเคราะห์เป็นแน่แท้!

“ดาวพระเคราะห์ของข้า จะเป็นระดับใดกันหนอ…” หวังเป่าเล่อตั้งตารอ เขาตั้งเป้าหมายให้ตนเองว่าอย่างน้อยๆ ก็ต้องเป็นระดับดาราอมตะ ถ้าเป็นดาราพิเศษได้ก็ดีที่สุด!”

“ต่อให้ต้องทุ่มสุดตัว ก็ต้องเอามาให้ได้!” หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก หลับตาลงแล้วเริ่มนั่งสมาธิ

ตามแผนการที่เขาวางไว้ เขาไม่คิดจะออกไปข้างนอกในช่วงเวลาเจ็ดวันนี้ เพื่อให้ตนเองได้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุดและเยี่ยมยอดที่สุด ในยามที่ต้องไปพบกับโชควาสนาแห่งดาวพระเคราะห์ในคราวนี้

ในเวลาเดียวกัน ในอวกาศอันไร้ขอบเขต ข้างนอกสุสานดวงดาราซึ่งที่อยู่ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้สิ้น ดวงดาวขนาดมหึมาที่สร้างจากเหล็กกล้าดวงหนึ่งซึ่งเปี่ยมด้วยรัศมีแสนทรงพลังอันน่าตื่นตะลึง ก็กำลังคำรามร้องและมุ่งหน้าเดินทางไปในอวกาศ

มองเห็นได้ว่ามีผู้ฝึกตนจำนวนมากกำลังทำงานกันวุ่นวายอยู่บนดาวเหล็กกล้านี้ บางคราวยังได้ยินเสียงคล้ายสัตว์กำลังร้องคำรามดังออกมาจากดาวดวงนี้ด้วย หากมองดูไกลๆ ดาวเหล็กกล้าดวงนี้ดูเหมือนกับเตาหลอมขนาดมหึมาเตาหนึ่ง

ผู้ฝึกตนแต่ละคนบนนั้นก็เป็นเหมือนกับทหารช่าง ที่ยังคงทำงานเพื่อให้ดาวเหล็กกล้านี้ยังคงโคจรต่อไปได้ จึงเป็นเหตุให้เสียงดังโครมครามและเสียงคำรามของสัตว์ยังคงดังอยู่เช่นนั้นไม่ขาดสาย

ผู้ฝึกตนที่เดินทางบนอวกาศและผ่านมาทางนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้มีพลังปราณในระดับใด หรือต่อให้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ในระดับดารานิรันดร์ เมื่อมองเห็นดาวเหล็กกล้าดวงนี้ สีหน้าของพวกเขาก็ต้องเปลี่ยนไป ทั้งยังพากันก้มหัวและหลีกทางให้

นั่นก็เพราะดาวเหล็กกล้าชนิดนี้…ก็คือ…พาหนะพิเศษของคนตระกูลเซี่ย ซึ่งต้องเป็นผู้มีพลังปราณในระดับดารานิรันดร์เป็นอย่างต่ำจึงจะครอบครองมันได้!

ตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลพานิช ไม่เพียงมีอิทธิพลยิ่งใหญ่ในสำนักเสริมแห่งเต๋าฝ่ายซ้ายเท่านั้น แต่ยังมีการจัดการบริหารของตนเอง นอกจากของบางส่วนที่ซื้อหาจากภายนอกแล้ว พวกเขาก็ยังมีของที่ผลิตและขายเองอีกด้วย ฉะนั้นในหลายๆ แง่มุมจึงสามารถมองได้ว่าดาวเหล็กกล้านี้เป็นโรงงานขนาดมหึมา และมีวัตถุเวทผลิตออกมาจากภายในอยู่ทุกเวลาทุกวินาที

ภายในดาวเหล็กกล้าในเวลานี้ ชายวัยกลางคนสวมเสื้อผ้ามอมแมมเต็มทน ทั้งยังปล่อยผมยาว กำลังถือม้วนหนังสือหยกม้วนหนึ่ง และตะเบ็งเสียงตะโกนอยู่ไม่หยุด

“เตาอบหมายเลขสาม พวกเจ้าไม่ได้กินข้าวมารึไง รีบทำงานให้เต็มกำลังเดี๋ยวนี้!”

“อ่างหลอมหมายเลขเก้า พะๆๆ…พวกเจ้ามันเป็นสวะทั้งสิ้น รีบปิดสิ!!”

“แล้วยังเรื่องจำนวนของหินทองอีก ข้าบอกพวกเจ้าแล้วอย่างไรว่า ต้องมีเก็บไว้เพียงพอ สวะๆๆ!!”

ดวงตาของชายวัยกลางคนผู้นี้เต็มไปด้วยเส้นเลือดแดง เขากำลังหมกมุ่นอยู่กับการออกคำสั่งจนไม่ลืมหูลืมตา ทำให้มีเสียงดังลั่นออกมาจากการขับเคลื่อนระบบต่างๆ ของดาวเหล็กกล้าไปตามวิธีที่เขาคิด

ทว่าตรงหน้าเขานั้น มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังนั่งอ่อนระโหยโรยแรงอยู่ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนอกอ่อนใจ เขามองไปยังชายวัยกลางคน อยากจะเอ่ยปากอยู่หลายครั้งหลายหนแต่ก็ยั้งเอาไว้ และถูกชายวัยกลางคนมองผ่านทุกครั้งไป

สุดท้ายเส้นเลือดที่ขมับของเด็กหนุ่มก็พองขึ้นมา คล้ายว่าเขาเหลืออดแล้ว เขาจึงลุกพรวดขึ้นแล้วพุ่งตรงไปข้างกายของชายวัยกลางคน พร้อมกับดึงม้วนหนังสือหยกจากมือของเขาออกแล้วโยนลงบนพื้นอย่างเต็มแรง ก่อนจะตะโกนลั่นออกมา

“ท่านเซี่ย! ประมุข!! นายท่าน!! ท่านฟังข้าสักคำได้หรือไม่!!”

“กระต่ายน้อยลูกข้า ข้าเป็นบิดาเจ้า ไม่ใช่นายท่านของเจ้า เจ้ามาเรียกข้าว่านายท่านนี่หมายความว่าอย่างไร!” ชายวัยกลางคนถลึงตาจดจ้องไปยังเด็กหนุ่ม

“หากท่านยอมฟังข้าสักคำ จะให้ข้าเรียกท่านว่าท่านพี่ก็ยังได้…” เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว จับจ้องอีกฝ่ายด้วยสายตาไม่เป็นมิตร แล้วรีบเอ่ยไปอย่างรวดเร็ว

“ท่านพ่อ เฉินชิงกำลังจะพ้นจากพันธนาการแล้ว เหตุใดท่านไม่ร้อนใจเลยเล่า ด้วยนิสัยไร้เหตุผลของเฉินชิง พอเขาออกมาได้ก็ต้องมาหาท่านแน่ ถึงยามนั้นประมุขผู้เฒ่าต้องไม่มีทางไปขัดแย้งกับเฉินชิงเพราะท่านแน่นอน…”

“จนป่านนี้แล้ว เจ้าก็ยังเอาแต่คิดเรื่องวัตถุเวทอยู่อีก!!”

เด็กหนุ่มผู้นี้ก็คือเซี่ยไห่หยาง ส่วนชายวัยกลางคนผู้นั้นย่อมต้องคือบิดาของเขา

เมื่อได้ยินคำพูดอย่างร้อนอกร้อนใจของเซี่ยไห่หยาง คิ้วของชายวัยกลางคนก็เลิกขึ้นทันใด

“กลัวแล้วมีประโยชน์ใด? อีกอย่าง ก็มิใช่ว่ามีเจ้าที่ร้อนใจอยู่แล้วรึ เจ้าร้อนใจอยู่ก็พอแล้ว อย่างไรชีวิตข้าซึ่งเป็นบิดาของเจ้าก็อยู่ในกำมือเจ้า เจ้ามีปัญญาก็จัดการเอาเอง ถ้าไม่มีปัญญาก็ต้องยอมจำนนแล้ว!” พอพูดจบ ชายวัยกลางคนก็เอื้อมมือขวาไปหยิบม้วนหนังสือหยกที่เซี่ยไห่หยางเขวี้ยงลงพื้นขึ้นมา เขากำลังจะออกคำสั่งต่อ เซี่ยไห่หยางก็ร้อนใจขึ้นมาอีกครั้ง

“ท่านเซี่ย! ท่านเป็นบิดาข้านะ ข้าไม่ใช่บิดาท่าน ละๆๆ…แล้วเหตุใดท่านถึงเอาแต่มาพึ่งข้าเล่า เช่นนี้พวกเราก็สลับตำแหน่งกันแล้วน่ะสิ!”

“แล้วจะให้ทำเช่นใด? จัดการไม่ได้ก็รีบไปเสีย อยู่นี่ไปก็รกหูรกตา หลายปีมานี้ข้าคิดมาตลอด ว่าถ้าครานั้นไม่ใช่ว่าแม่เจ้าฉวยโอกาสเข้าหาตอนที่ข้ากำลังอ่อนล้าจากการหลอมวัตถุเวทล่ะก็ ข้าอยู่ตัวคนเดียวจะดีเพียงใด” ชายวัยกลางคนมีสีหน้าเหลืออด ถลึงตากลับใส่เซี่ยไห่หยางเช่นกัน

“ทะ…ท่าน…” เซี่ยไห่หยางได้ยินคำก็บัลดาลโทสะจนแทบกระอักเลือดสดออกมา ว่าแล้วสะบัดแขนเสื้อหันหลังเดินจากไป

ชายวัยกลางคนมองตาหลังเซี่ยไห่หยางด้วยแววตาอ่อนโยน คล้ายลอบถอนใจเบาๆ อยู่ในใจ แต่ยังไม่ทันเก็บซ่อนความอ่อนโยนในสายตากลับไป จู่ๆ เซี่ยไห่หยาง ก็หันหน้ากลับมา สองพ่อลูกจึงบังเอิญสบตากันคราวหนึ่ง

“ท่านเซี่ย รักษาตัวด้วย!”

“รีบไสหัวไป!”

เซี่ยไห่หยางสูดหายใจลึก ครานี้เขามิได้หันกลับมาอีก เขาออกจากศูนย์บังคับการของดาวเหล็กกล้าด้วยแววตามุ่งมั่น แล้วคว้าเอาหนังสือหยกไปหนึ่งม้วน ปรับสภาพจิตใจพักหนึ่ง แล้วลองเปล่งเสียงอาๆ สองสามหน เพื่อปรับเสียงของตนให้ฟังดูแล้วมีความร้อนใจแต่เยือกเย็น ทั้งมีความมั่นคงหนักแน่น ว่าแล้วจึงส่งเสียงออกไป

“ผู้อาวุโสแห่งไฟ…ผู้น้อยคือเซี่ยไห่หยาง ท่านผู้อาวุโสอยู่หรือไม่ขอรับ?”

“คือว่า…ขออภัยที่มารบกวนท่าน เรื่องที่ข้าขอร้องคราก่อน มิทราบว่าผู้อาวุโสคิดเห็นเป็นเช่นใดขอรับ?”

“ผู้อาวุโส ท่านต้องการสิ่งใดโปรดบอกมา ขอเพียงผู้น้อยทำได้ก็จะทำอย่างเต็มกำลังขอรับ!!”

พูดจบ เซี่ยไห่หยางก็ใช้ม้วนหนังสือหยกถ่ายทอดคำของตนออกไป เขาเฝ้ารอด้วยความตื่นเต้นกระสับกระส่าย และต้องรอเป็นเวลาถึงหนึ่งก้านธูป ในขณะที่เขากำลังร้อนใจหนักหนา แต่ยังพยายามข่มใจไม่ให้เอ่ยปากถามอีกเพราะไม่ต้องการจะรบกวนให้มากครั้งอยู่นั้น จู่ๆ ม้วนหนังสือหยกก็มีเสียงของปรมาจารย์แห่งไฟเอ่ยออกมาอย่างเกียจคร้าน

“เจ้าเซี่ยน้อย แม้อยากจะช่วย แต่เรื่องนี้ข้าก็ไม่อาจช่วยได้ เจ้าเองก็รู้ เฉินชิงผู้นี้หาใช่คนมีเหตุมีผล”

เซี่ยไห่หยางได้ฟังคำพลันรู้สึกคล้ายจะหมดเรี่ยวแรง ดวงดามืดหม่นลงทันใด ปรมาจารย์แห่งไฟเป็นเพียงผู้เดียวที่เขานึกได้ว่าพอจะสามารถเจรจากับเฉินชิงได้ แต่คำตอบตรงหน้ากลับทำให้หัวใจของเขาว่างเปล่าลงทันใด ทว่าในขณะที่เขากำลังเคว้งคว้างไร้หนทางอยู่ทางนี้ ก็มีเสียงของปรมาจารย์แห่งไฟดังออกมาจากม้วนหนังสือหยกอีกครั้ง

“แต่ว่า…”

…………………………………………………………

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเวลานี้อุปสรรคที่ขวางอยู่ตรงหน้าพวกเขาช่างแข็งแกร่งเป็นที่สุด มีทั้งนักพรตจากสำนักที่หนึ่งแห่งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝ่ายซ้าย ทั้งหญิงสวมหน้ากากซึ่งมีที่มาลึกลับ ทั้งมองออกว่านางปิดบังบางสิ่งอยู่ แต่ความสามารถของนางกลับน่าตื่นตะลึงนัก

ยังมีแม่นางน้อยที่เห็นชัดว่าร้ายกาจเป็นที่สุด ทั้งยังเคยสังหารผู้ที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ไปกว่าสิบคน และชายหนุ่มชุดดำที่มีท่าที่หยิ่งทะนงคับฟ้า การปรากฏตัวของทั้งสี่ท่านนี้เพียงพอจะทำให้ทุกคนหวาดผวาได้แล้ว!

ยิ่งไม่ต้องบอกว่า ยังมีหวังเป่าเล่ออีกคน ในสายตาของทุกคน เซี่ยต้าลู่ผู้นี้เดิมทีก็นับว่าอยู่ในระดับสุดยอดอยู่แล้ว หนำซ้ำยังเห็นชัดว่าเขาเป็นคนมีนิสัยประหลาด ลงมือโดยไม่คำนึงว่าจะใช้วิธีเช่นใด คนเช่นนี้…หากอยู่ข้างนอกนั้นยังดี แต่ในสุสานดวงดาราแห่งนี้ ในบางโอกาส เรื่องที่มาของแต่ละคนกลับมิได้มีประโยชน์ใดนัก ฉะนั้นแล้วหากมิใช่ว่าหลบเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็อย่าได้ไปมีเรื่องกับเขาเป็นดี

ซึ่งสภาพการณ์ทั้งมวลนี้อยู่เหนือความคาดหมายของแม่นางกระพรวน สีหน้าของนางจึงกลับไม่สู้ดีขึ้นทันใด หลังจากกวาดตาไปยังพวกของชายหนุ่มชุดดำทั้งสี่คน นางก็นิ่งไปพักใหญ่ แล้วจึงมองไปยังหวังเป่าเล่อที่อยู่ข้างหลังคนทั้งสี่

นางจำต้องยอมรับว่ายามหวังเป่าเล่อทำการใดๆ เขาก็มีการวางแผนมาก่อนหน้าอยู่บ้าง ตลอดมาหากคนผู้นี้ล้วนเอาแต่เห็นแก่ประโยชน์เป็นที่ตั้ง สภาพการณ์ในตอนนี้จะต้องไม่มีทางเป็นเหมือนเหตุการณ์ตรงหน้าเป็นแน่

ต้องเป็นเพราะของกำนัลจากหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้แน่ๆ จึงทำให้เกิดผลดังนี้ แม้ของกำนัลนั้นเป็นเพียงการไม่คิดราคา ซึ่งสำหรับผู้คนโดยมากก็นับไม่ได้ว่าเป็นสิ่งใด แต่เห็นชัดว่าสำหรับชายหนุ่มชุดดำแล้วหาได้เป็นเช่นนั้น

“ดูเผินๆ คล้ายพวกเขาหนุนหลังเซี่ยต้าลู่ แต่ที่จริงยังมีอีกเป้าหมายแฝงอยู่… ซึ่งก็คือหว่านล้อมเอาผู้ฝึกตนชุดดำและแม่นางน้อยผู้นั้นมาเป็นพวก เพราะทั้งสองคนมีที่มาแปลกประหลาด ทั้งยังลงมือรุนแรงร้ายกาจนัก…”

ความจริงแล้วการที่แม่นางกระพรวนได้กลายมาเป็นนักพรตหญิงศักดิสิทธิ์ของสำนักเสริมแห่งสำนักเก้าวิหคเพลิงก็เพราะนางมีสติปัญญาล้ำเลิศ แม้ก่อนหน้านี้จะถูกหวังเป่าเล่อยั่วให้โมโหจนแทบคลั่ง แต่ในเมื่อเวลานี้สงบลงแล้ว นางก็สามารถจับประเด็นสำคัญของเรื่องทั้งหมดได้ในทันที

และก็เป็นเช่นที่นางคิดจริงๆ หากชายหนุ่มชุดดำผู้นั้นก้าวออกมาเป็นคนแรก แล้วแม่นางน้อยก้าวตามมาเป็นคนที่สอง ลำพังแค่หวังเป่าเล่อคนเดียวก็ยังไม่ควรค่าให้ชายหนุ่มผู้สง่างามไปอยู่ข้างเขาอีกคน

จนถึงขั้นพูดได้ว่า ในสายตาของชายหนุ่มผู้สง่างามแล้ว ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งในทั้งสามคนนั้นก็ล้วนไม่คู่ควร แต่เมื่อได้พลังของพวกเขาทั้งสามรวมกัน ต่อให้เป็นคนเช่นชายหนุ่มผู้สง่างามก็ยังเกิดความสนใจอยากเข้าพวกด้วย

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าเขาพอจะคาดเดาฐานะของหญิงสวมหน้ากากได้บ้างแล้ว ทั้งยังเห็นว่าท่าทีที่สตรีผู้นี้มีต่อเซี่ยต้าลู่ คล้ายว่าไม่ใคร่เหมือนที่นางมีต่อผู้อื่นดังในคำร่ำลือที่ได้ยินมา

เมื่อเทียบกับสีหน้าปั้นยากของแม่นางกระพรวนแล้ว หวังเป่าเล่อกลับมีสีหน้าแห่งความอิ่มอกอิ่มใจ เขามองไปยังคนทั้งสี่ที่อยู่ข้างหน้าด้วยท่าทีประหลาดแล้วหรี่ตาลง หาใช่เพราะเขาคิดเห็นเช่นเดียวกับแม่นางกระพรวน เขาไม่ได้ไปใคร่ครวญใดๆ ว่าเหตุใดคนทั้งสี่จึงทำเช่นนี้ หากแต่กำลังจดจำเรื่องนี้เอาไว้

ซึ่งนี่ก็คืออุปนิสัยของหวังเป่าเล่อ อาจมีบางคราวที่เขาเจ้าคิดเจ้าแค้นในเรื่องเล็กน้อย แม้จะเข้มงวดกับตนเอง แต่สำหรับการช่วยเหลือจากผู้อื่น เขาจะยิ่งจดจำไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ เขาจึงมองไม้กลองทั้งสี่ไม้ในมือ พลันเอ่ยปากว่า

“ขอบคุณสหายเต๋าที่ช่วยเหลือ ไม้กลองทั้งสี่ไม้ในมือข้านี้ นอกจากที่ข้าต้องการเก็บไว้หนึ่งไม้แล้ว อีกสามไม้ที่เหลือ หากพวกเจ้าต้องการก็สามารถบอกข้าได้”

“ข้าอยากได้ไม้หนึ่ง” ผู้ที่ตอบหวังเป่าเล่อมาคนแรกก็คือแม่นางน้อย นางหันไปกระพริบตาปริบๆ ให้หวังเป่าเล่อทั้งสีหน้าเคอะเขินเล็กน้อย

“ครานี้ข้าแอบหนีออกมาเพื่อตามหาท่านอาของข้า ไม่ได้เอาเงินติดตัวมา…”

หวังเป่าเล่อได้ยินคำก็สะบัดมือส่งไม้กลองหนึ่งไม้ให้นางโดยไม่ได้รั้งรอแต่อย่างใด เมื่อแม่นางน้อยรับไปแล้ว นางก็ชูมันขึ้นสูงอย่างยินดีปรีดาพลางประกาศเสียงลั่นต่อทุกคนข้างนอก

“ประมูล ผู้ให้ราคาสูงสุดจะได้ไป ผู้ที่ต้องการก็ให้รีบส่งเสียงบอกราคาต่อข้ามา”

หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจเรื่องที่แม่นางน้อยชิงโอกาสทำการค้าของตนไป และไม่ได้ใส่ใจผู้คนข้างนอก หากแต่มองไปยังพวกของหญิงในหน้ากากทั้งสามคน รอคำตอบจากพวกเขา

“ข้าไม่ต้องการแล้ว” ชายหนุ่มผู้สง่างามส่ายหน้ายิ้มๆ ผู้ฝึกตนชุดดำที่เปี่ยมด้วยท่าทีดุร้ายก็ส่ายหน้าเช่นกัน มีเพียงหญิงสวมหน้ากากที่คิดสักพัก แล้วเอ่ยปากว่า

“ข้าจะซื้อหนึ่งไม้”

“ข้าให้!” หวังเป่าเล่อสะบัดมีเต็มแรงเพื่อส่งไม้กลองหนึ่งไม้ไปให้ เมื่อหญิงสวมหน้ากากรับไปแล้วก็เพียงมองหวังเป่าเล่อ แต่มิได้เอ่ยคำต่อ

ฉะนั้นไม้กลองที่สามารถให้ได้ทั้งสามไม้ ตอนนี้ก็เหลืออีกหนึ่งไม้ หวังเป่าเล่อถือไม้กลองไม้นี้เอาไว้ เมื่อเห็นว่าการค้าของแม่นางน้อยกำลังครึกครื้น มีคนเสนอราคาถึงหนึ่งหมื่นผลึกสีชาด เขาจึงใจเต้นขึ้นมาและกำลังคิดว่าจะเอาไปประมูลดีหรือไม่

และในขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังใคร่ครวญอยู่นี้เอง จู่ๆ ก็มีคนผู้หนึ่งก้าวออกมาจากกลุ่มคนสองสามก้าว แล้วตะโกนเสียงลั่นมาทางหวังเป่าเล่อ

“สหายเต๋าเซี่ย ไม้กลองในมือท่านนั้น ถือว่าเห็นให้เกียรติข้า ขายให้ข้าเป็นอย่างไร?”

หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองแล้วยินดีขึ้นมาทันใด ผู้ที่เอ่ยคำก็คือพี่ชายผู้สูงส่งที่มีผมมันวาวม้วนเป็นทรงสูง ซึ่งก่อนหน้านี้ห่วงหน้าตาเป็นหนักหนาผู้นั้น ทั้งที่คนผู้นี้มีความสามารถไม่ธรรมดาเลย แต่กลับต้องมาพบเจอกับแม่นางกระพรวนที่กำลังบันดาลโทสะ ทำให้ไม่อาจคว้าไม้กลองมาได้ เขาจึงรู้สึกคับข้องใจเสียอย่างยิ่ง

เมื่อเห็นว่าในมือของหวังเป่าเล่อมีไม้กลองที่ยังขายได้อีกหนึ่งไม้ จึงคิดว่าก่อนหน้านี้อีกฝ่ายเคยให้เกียรติเขามาก่อนจึงได้เอ่ยปากไปดังนั้น

แต่หากเป็นก่อนนี้ หวังเป่าเล่อจะต้องให้เกียรติเขาด้วยการลดราคาให้แน่นอน เพราะเป้าหมายหลักของเขายังคงคือการหาเงิน ทว่ายามนี้เขาแสดงฝีมือออกมาให้ประจักษ์แล้ว ในเวลาเดียวก็มีคนคอยหนุนอยู่รอบกายด้วย แม้ว่าในที่แห่งนี้เขาจะมีเบื้องหลังที่อ่อนด้อย แต่ในสายตาของคนอื่นๆ ก็ยิ่งใหญ่มากพอที่จะเห็นว่าเขาเป็นคนในระดับเดียวกันแล้ว

ช่วงเวลานี้ก็เหมือนกับความคิดของเขาตอนได้เห็นหลี่หลินจื่อครั้งเพิ่งขึ้นเรือมานั่นเอง เพราะเขามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะไปสร้างเส้นสายของตนแล้ว ชายหนุ่มจึงหัวเราะลั่น แล้วโยนไม้กลองในมือไปให้

“ในเมื่อเป็นสหายเต๋าเกาเอ่ยปาก ย่อมต้องให้เกียรติท่าน ไม่ต้องมาลดราคาอันใด ข้าเซี่ยต้าลู่ขอคบหาท่านเป็นสหาย!”

ต่อให้เป็นพี่ชายผู้สูงส่งก็ตาม เมื่อเขารับไม้กลองไปแล้วก็ยังต้องนิ่งเหม่อไปพักหนึ่ง นั่นเพราะ ไม้กลองของแม่นางน้อยถูกประมูลไปด้วยราคาสิบกว่าล้าน ด้วยเหตุนี้เขาจึงเตรียมพร้อมจะจ่ายในราคาเดียวกันเอาไว้แล้ว แต่ยามนี้เพราะอีกฝ่ายให้เกียรติตน แม้สักอีแปะเดียวเขาก็ยังไม่เอา…

ความใหญ่หลวงของ ‘เกียรติ’ ที่ได้มาในครานี้ทำให้เขาคล้อยตามอย่างสุดหัวใจ แม้แต่ดวงตาก็ยังแดงก่ำขึ้นมา ซึ่งแน่นอนว่ามิใช่เพราะอารมณ์ในด้านลบ หากแต่เพราะความตื้นตันใจ!

แต่เล็กจนโต เขาห่วงหน้าตาเป็นที่สุด ทว่าต่อหน้าผู้คนตั้งมากมายในวันนี้ หากจะเปรียบเปรยว่าหน้าตาที่อีกฝ่ายมอบให้ตนนั้นยิ่งใหญ่ทัดเทียมฟ้าดินก็ไม่ได้เกินเลยแต่อย่างใด

ด้วยความตื้นตันนั้น พี่ชายผู้สูงส่งก็หัวเราะเสียงดังขึ้นมา

“น้องต้าลู่ ข้าคบเจ้าเป็นสหาย แต่ข้ารู้ว่าพวกท่านสกุลเซี่ยล้วนยึดถือในหลักการ ฉะนั้นพวกเราสานไมตรีก็ส่วนสานไมตรี แต่การค้านั้นก็ยังต้องทำอยู่ เจ้าให้เกียรติข้า ข้าก็จะให้เกียรติเจ้า ในตัวข้าตอนนี้มีอยู่ไม่มากนัก ถือว่าข้าเกาชวี่ติดค้างเจ้าสิบล้านผลึกสีชาดก็แล้วกัน!”

เมื่อหวังเป่าเล่อได้ฟังคำก็รู้สึกขึ้นมาทันใดว่าแม้คนผู้นี้จะห่วงหน้าตาหนักหนา แต่ก็ยังเป็นคนที่มีนิสัยน่ารัก ยิ่งไปกว่านั้นหากคบหากับคนเช่นนี้ให้ดีๆ ก็มิต้องคอยระวังว่าอีกฝ่ายจะหันมาหักหลังตน

เพราะอย่างไรเสีย…สิ่งที่เขาห่วงที่สุด ก็คือหน้าตา!

ซึ่งหากวันใดเกิดมีเรื่องทำนองหักหลังพวกพ้องแพร่ออกไป เขาก็ต้องเสียหน้าจนหมดสิ้น

ครั้นแล้ว หวังเป่าเล่อจึงหัวเราะออกมา มิได้ปฏิเสธไปต่อหน้าผู้คน หากแต่โบกไม้โบกมือ ซึ่งการกระทำดังนี้ยิ่งทำให้พี่ชายผู้สูงส่งรู้สึกสบายใจนัก เขาประสานฝ่ามือกุมหมัดคราวะหวังเป่าเล่อคราวหนึ่ง แล้วนั่งลงข้างๆ แม่นางน้อย เป็นทีว่าต้องการหนุนหวังเป่าเล่อ

ดังนี้เอง ไม้กลองทั้งสิบไม้ก็ถูกแบ่งสรรปันส่วนเสร็จสิ้น เห็นได้ว่าไม้กลองทุกไม้ล้วนกำลังเปล่งรัศมีและกะพริบอีกหน คล้ายว่าการทดสอบครานี้กำลังจะสิ้นสุดลง แม้คนอื่นที่ไม่ได้ไม้กลองมาจะรู้สึกหดหู่ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกและทำได้เพียงแค่เงียบ ทว่าในช่วงเวลาเช่นนี้… กลับมีเรื่องหนึ่งที่หวังเป่าเล่อคาดคิดไม่ถึงเกิดขึ้น

เดิมทีเขานึกว่าตนขัดโชคของแม่นางกระพรวนได้แล้ว เพราะไม่ว่าผู้ที่ซื้อไม้กลองของแม่นางน้อยไป หรือว่าท่านที่รับไปจากหญิงสวมหน้ากากก็ล้วนเป็นผู้ที่คล้ายว่าไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอันใดกับแม่นางกระพรวนมาแต่ไหนแต่ไร นั่นเพราะไม่ว่าอย่างไรต่อให้เป็นคนที่อีกฝ่ายนาบตราทาสศึกเอาไว้ แต่ก็มีจำนวนเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ซึ่งหลายคนก็อยู่ที่นี่แล้ว ฉะนั้น ความเป็นไปได้ที่คนอื่นๆ นอกนั้นจะทาสศึกของนางย่อมมีไม่มาก แต่กลับคิดไม่ถึงว่าในช่วงเวลาสำคัญท้ายสุดนี้…

ผู้ฝึกตนที่หน้าตาไม่เอาไหน ร่างกายผอมแห้ง ทั้งยังเคยขัดแย้งกับแม่นางกระพรวนมาก่อนหน้านี้ เขาสามารถคว้าไม้กลองมาได้เพราะไปช่วงชิงมาจากภูผาใหญ่ทรงหม้อหลอมของผู้อื่น คนผู้นี้กลับเดินไปยังข้างกายของแม่นางกระพรวน น้อมตัวพลางยกไม้กลองในมือ…ให้กับนาง!

เหตุการณ์นี้ทำให้หวังเป่าเล่อต้องหรี่ตาลง ฝ่ายแม่นางกระพรวนก็เงยหน้าขึ้นมามองเขาทั้งแววตาเหยียดหยัน ความจริงแล้วนี่ต่างหากคือแผนการที่แท้จริงของนาง การที่นางไปช่วงชิงไม้กลองหนแล้วหนเล่าก่อนหน้านี้ เป็นเพียงสิ่งที่ทำให้เห็นในทางแจ้งเท่านั้น นางรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการขัดขวางไม่ให้ตนได้ไม้กลองมาครอง จึงใช้กลยุทธลอบตีเฉินชาง[1] แม้ไม่อาจกระตุ้นให้คนอื่นๆ รุมโจมตีหวังเป่าเล่อได้ แต่สำหรับนางแล้วก็นับว่าบรรลุเป้าหมายเช่นกัน

สิ่งที่น่าเสียดายเพียงประการเดียวก็คือตนต้องใช้ทาสศึกคนสุดท้ายไป เดิมที่นางคิดว่าจะใช้ทาสศึกผู้นี้ในการลั่นกลองน้อมดาราในท้ายที่สุด เมื่อถึงยามนั้นก็จะได้ใช้เคล็ดวิชาลับเพื่อให้ได้วาสนาแห่งโชคของอีกฝ่ายมา เพื่อทำให้โอกาสที่ตนจะได้ครองดวงดาราพิเศษมีสูงขึ้น

ส่วนเรื่องที่การนาบตราทาสศึกของตนถูกเปิดโปงนั้น นางกลับไม่ได้ใส่ใจแต่อย่างใด ขอเพียงตนเองได้ดวงดาราพิเศษมา ยามนางกลับไปก็จะทำให้ฐานะในสำนักเก้าวิหคเพลิงยิ่งสูงส่งขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ต่อให้เหล่าทาสศึกที่มีความสามารถเหล่านั้นเกิดโกรธาขึ้นมา แล้วจะทำอันใดนางได้?

…………………………………………………………

[1] กลยุทธ์ลอบตีเฉินชัง แสร้งทำเป็นจะโจมตีด้านหน้า แต่เข้าจู่โจมในพื้นที่ที่ข้าศึกไม่สนใจ เข้าทำนองที่สำนวนไทยว่า”น้ำลอดใต้ทราย”

หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกว่าคำพูดของตนไร้ซึ่งความสง่างาม เพราะเดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนที่ถือยศถือศักดิ์ใดๆ ในสายตาเขานั้น ในเมื่อแม่นางกระพรวนคอยหาเรื่องเขามาหลายหน ทั้งมีเป้าหมายที่ไม่บริสุทธิ์ เช่นนั้นหากตนยังมัวแต่คำนึงถึงความสง่างามยามพูดจาก็ออกจะโง่เง่าเต็มทนแล้ว

ฉะนั้นทำเช่นใดให้นางโกรธเคืองได้เขาก็จะพูดเช่นนั้น เพราะขอเพียงกระตุ้นให้อีกฝ่ายโมโหได้ ย่อมต้องส่งผลกระทบต่อสมาธิของนาง

สำหรับแม่นางกระพรวน สิ่งนี้ก็คือการราดน้ำมันบนกองเพลิง แต่สำหรับเขาแล้วคือการเติมบุปผาบนผ้าทอลาย[1] ซึ่งผลลัพธ์ของคำพูดของหวังเป่าเล่อก็เป็นดังที่เขาคิดไว้ เพราะมันมีพลังทำลายล้างจริงดังว่า

แม่นางกระพรวนเพิ่งจะพยายามสะกดกลั้นความโกรธในใจได้ แต่เป็นเพราะฟังความหมายแฝงในคำพูดของเขาออก เพียงพริบตาเดียวอารมณ์ของนางก็ปะทุขึ้นมาในทันใด คราวนี้นางสั่นไปทั้งตัว สติกำลังถูกโทสะกลืนกินอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้…ไม่อาจจดจ่ออยู่กับไม้กลองตรงหน้าได้ สมาธิกระเจิดกระเจิงจนเริ่มวอกแวก

และในชั่วพริบตาที่นางวอกแวกไปนี่เอง ไม้กลองข้างกายนางก็หลอมสำเร็จ มันเปล่งรัศมีจ้าออกมา ทว่าหวังเป่าเล่อก็หัวเราะลั่นขึ้นมาในชั่วอึดใจนี้เช่นกัน สองมือผนึกมุทราแล้วชี้มาทันใด

“มา!”

วินาทีที่คำคำเดียวส่งออกมานั้น ฟ้าดินเกิดเสียงเปรี้ยงป้างเลื่อนลั่น สายฟ้ารอบกายเขาแผ่ขยายไปทั่วทิศ ก่อร่างเป็นหลุมดำยักษ์กลางเกลียวสายฟ้าวน บังเกิดแรงดึงดูดมหันต์ต่อวัตถุเวท ทำให้ไม้กลองของแม่นางกระพรวนหายวับไปกับเหมือนคราแรกไม่มีผิดเพี้ยน!

ไม่ว่าแม่นางกระพรวนอยากจะป้องกันอย่างไร แต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่ต่อหน้านางก็ยังคงมีเพียงแค่ภาพเรือนลาง ส่วนไม้กลองไม้จริงนั้นกลับไปปรากฏอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อในพริบตาเดียว และถูกเขาคว้าเอาไว้ ชายหนุ่มหรี่ตาพลางหันหน้ามาหาแม่นางกระพรวนที่ยามนี้สั่นเทิ้มไปทั้งตัวและแผดเสียงร้องลั่น

“สะใจหรือไม่เล่า?” ประหนึ่งว่ายังยั่วยุอีกฝ่ายไม่พอ หวังเป่าเล่อกระแอมไอหนหนึ่งพลางเอ่ยปากไปเรียบๆ

ในเวลาเดียวกัน ไม้กลองชุดแรกก็หลอมสำเร็จ หากไม่นับไม้กลองที่หวังเป่าเล่อเอาไปเป็นไม้ที่สองนี้ ไม้กลองชุดที่สองมีทั้งสิ้นสองไม้ ซึ่งเป็นของชายหนุ่มชุดดำที่แบกกระบี่เล่มโตไว้ ส่วนอีกไม้ก็คือของแม่นางน้อยที่ใช้ศาสตร์มืดผู้นั้น

หลังจากพวกเขาทั้งสองคนได้ไม้กลองมาอย่างราบรื่น ในการทดสอบด่านสุดท้ายนี้มีไม้กลองที่หลอมสำเร็จหกไม้ นอกจากของชายหนุ่มผู้สง่างามและหญิงสวมหน้ากากแล้ว ก็ยังมีของชายหนุ่มชุดดำกับแม่นางน้อย และอยู่ที่หวังเป่าเล่ออีกสองไม้!

แม้จะมีเพียงพวกเขาห้าคน แต่ไม้กลองที่เหลืออีกสี่ไม้ก็ปรากฏร่างขึ้นมาราวเก้าในสิบส่วนแล้ว เห็นได้ว่ากำลังจะขึ้นร่างสำเร็จตามมา แม่นางกระพรวนไม่เหลือเวลาพอแล้ว แม้นางจะเกลียดหวังเป่าเล่อเข้ากระดูกดำ แต่นางก็รู้ซึ้งถึงพละกำลังของสระอัสนีที่อยู่รอบกายเขา และรู้ดีกว่าลำพังตัวนางผู้เดียว หรือต่อให้มีทาสศึกสองสามคนร่วมแรงเข้าอีกก็ยังเข้าใกล้ได้ยาก เว้นเสียแต่…

“โน้มน้าวให้ทุกคนที่ยังไม่ได้ไม้กลองไปรุมโจมตี!” สมแล้วที่แม่นางกระพรวนเป็นผู้มีความสามารถโดดเด่น แม้ในยามที่โทสะเข้าครอบคลุมสติเช่นนี้ นางก็ยังคิดวิธีแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว นางว่าพลางขยับตัวพุ่งตรงไปยังไม้กลองอีกไม้หนึ่ง

นางไตร่ตรองมาดีแล้วว่า เซี่ยต้าลู่ ไม่ใช่ว่าเจ้าสามารถชิงเอาไปหรอกหรือ ไม่เป็นไร เช่นนั้นข้าจะไปชิงเอาไม้กล้องทุกไม้ ต่อให้ในที่สุดแล้วเจ้าจะมาแย่งเอาไป แต่นั่นก็เท่ากับว่าเจ้าไปล่วงเกินคนส่วนใหญ่

แม้ว่าแท้ที่จริงแล้วตัวนางเองจะเป็นผู้ที่ถูกชิงชัง แต่ยามนี้นางไม่ใส่ใจแล้ว ภูมิหลังของนางทำให้นางสามารถทนรับกับความเป็นปรปักษ์เช่นนี้ได้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…นางไม่มีไม้กลอง เพราะไม้กลองล้วนไปอยู่ที่หวังเป่าเล่อหมด นางเชื่อว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่ต้องใช้เวลามากมาย ผู้คนที่ไร้ไม้กลองในมือจะต้องพากันพุ่งเป้าไปที่เซี่ยต้าลู่โดยไม่ได้นัดหมายแน่

“เมื่อถึงยามนั้น ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะทำอย่างไร ต่อให้เจ้าคิดจะขายไม้กลอง เมื่อมีข้าคอยขวาง เจ้าก็อย่าได้ฝันว่าจะทำสำเร็จเลย ยิ่งไปกว่านั้น…นี่แค่เป็นเรื่องในทางแจ้งเท่านั้น…” คิดถึงตรงนี้แวววิบวับก็ปรากฏในดวงตาของแม่นางกระพรวน นางย้ายร่างฉับไว ตรงปรี่เข้าไปช่วงชิงภูผาใหญ่ลูกต่อไป

เมื่อเห็นดังนี้ หวังเป่าเล่อก็หรี่สองตาลง เขาจับความคิดของอีกฝ่ายได้อย่างรวดเร็ว และในเวลาเดียวกันก็รู้ชัดว่าหากตนเองได้ไม้กลองมามากเกินไป ต่อให้คิดจะเอาไปขายก็ยังมีเรื่องที่ยังไม่รู้อยู่อีก

“ข้าสามารถเสนอเงื่อนไขว่าให้นางมาซื้อเอาไป แต่หากนางไม่ซื้อแต่กลับไปชิงของผู้อื่นมา ผู้คนที่ถูกแย่งของไปย่อมเป็นศัตรูกับข้าน้อยลงไปด้วย”

“หรือไม่ก็ ข้าเสนอว่าขอเพียงกันนางออกไป ข้าก็จะมอบไม้กลองที่มีให้?”

“แม้วิธีเหล่านี้จะใช้การได้ แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าพลาดโอกาสหาเงินไปหนหนึ่ง…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ไตร่ตรองในใจอย่างฉับไวว่าตนควรทำเช่นใด จึงจะได้สมใจทั้งสองประการ แต่เขากลับล้มเลิกความคิดก่อนหน้านี้ไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอาไม้กลองมาไว้ในมือให้ได้เสียก่อนค่อยว่ากัน ดังนี้แล้วต่อให้ตกหลุมพรางของแม่นางกระพรวน แต่ตนก็ยังเป็นผู้ที่ถือไพ่เหนือกว่า

“ถึงเวลานั้น ค่อยปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์เป็นพอ!” คิดถึงตรงนี้ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายประกาย เขามองไปยังแม่นางกระพรวนที่ยามนี้กำลังเข้าใกล้ภูผาใหญ่ลูกหนึ่งด้วยพลังจู่โจมรุนแรงพร้อมเข้าช่วงชิง จนทำให้ผู้ฝึกตนบนภูผาใหญ่ลูกนั้นต้องคำรามเสียงต่ำแต่ก็ไม่อาจหยุดนางได้

ทางหนึ่งนั้นเพราะพลังปราณของนางแข็งแกร่งนัก อีกทางหนึ่งก็ด้วยภูมิหลังของนางที่ทำให้ต้องยำเกรง ฉะนั้นแม้ผู้ฝึกตนทั้งสามที่ถูกจู่โจมตีจนถอยร่นไปต่างก็ต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แต่ไม่อาจไม่ถอยออกมาได้ แล้วก็จำต้องไปที่ภูผาใหญ่ลูกอื่นแทน ด้วยเหตุนี้ ในช่วงเวลาสุดท้ายที่ไม้กลองชุดที่สามก่อร่างได้เก้าในสิบส่วน จึงเกิดเหตุการณ์ที่ต่างออกไปจากสองชุดแรก

ไม้กลองที่ก่อร่างได้เร็วที่สุดก็คือของแม่นางกระพรวน ในขณะที่นางกำลังใช้พลังปราณ หลังจากนั้นเพียงสิบกว่าอึดใจไม้กลองของนางก็เปล่งรัศมีออกมา แม้นางจะมีแผนการในใจอยู่แล้ว แต่นางก็ยังขัดขวางไม่ให้หวังเป่าเล่อมาชิงเอาไปอย่างสุดกำลัง

เพียงแต่ผลสุดท้าย… ก็ไม่ต่างอะไรกับครั้งก่อนๆ เมื่อหวังเป่าเล่อผนึกมุทราและชี้นิ้วไป ไม้กลองไม้ที่สามก็มาปรากฏต่อหน้าเขาในทันใด ส่วนแม่นางกระพรวนก็ได้แต่โกรธจนตัวสั่นอยู่ตรงนั้น นางหันมาจ้องหวังเป่าเล่อคราวหนึ่ง แล้วพุ่งตัวออกไปยังภูผาใหญ่ลูกอื่นอีกหน

ไม่นานนัก การช่วงชิงไม้กลองชุดที่สามก็เข้าสู่ความโกลาหลใหญ่หลวง ไม้กลองสามไม้สุดท้ายนี้ หวังเป่าเล่อก็ยังฉกมาจากมือของแม่นางกระพรวนได้ไม้หนึ่ง ส่วนอีกสองไม้ไม่ได้ถูกหวังเป่าเล่อใช้วิธี ‘ย้ายบุปผาต่อต้นใหม่’ ฉกเอาไป เพราะก่อร่างสำเร็จในเวลาใกล้เคียงกัน อีกทั้งแม่นางกระพรวนไปชิงมาไม่ทัน

ดังนี้ผู้ที่ครอบครองไม้กล้องจึงมีทั้งสิ้นเพียงเจ็ดคนเท่านั้น!

ซึ่งก็คือ ชายหนุ่มผู้สง่างาม หญิงสวมหน้ากาก แม่นางน้อยและชายหนุ่มชุดดำ ต่อมาก็คือเจ้าอ้วนและผู้ฝึกตนผอมแห้งที่หวังเป่าเล่อไม่เคยข้องแวะด้วยมาก่อน คนผู้นี้เคยประมือกับแม่นางกระพรวน เมื่อถูกนางขับไล่ไป เขากลับไปชิงไม้กลองอีกไม้มาได้สำเร็จ

ทั้งหกคนนี้มีไม้กลองคนละไม้ ส่วนที่เหลืออีกสี่ไม้ล้วนอยู่ในมือของหวังเป่าเล่อผู้เดียว!

ครั้นแล้ว โดยมิได้นัดหมาย อีกยี่สิบกว่าคนที่ไม่ได้ไม้กลองต่างพร้อมใจจ้องตาเป็นมันมาที่หวังเป่าเล่อซึ่งอยู่ในสระอัสนี

เวลาเดียวกันนั้น จู่ๆ แม่นางกระพรวนที่อยู่ข้างๆ ก็เอ่ยปาก

“ทุกท่าน ข้าให้คำสาบานว่าจะไม่เข้าไปช่วงชิงไม้กลองในมือของเซี่ยต้าลู่กับพวกท่าน หากตระบัดสัตย์ก็ขอให้จิตแห่งเต๋าของข้าสลายเป็นจุณ!”

“แต่ข้ารังเกียจเจ้าหัวขโมยผู้นี้เป็นที่สุด ฉะนั้นข้าจะเป็นแรงหนุนให้พวกท่าน ข้ามีวิธีหนึ่ง ยามข้าใช้เคล็ดวิชาจะไม่อาจเคลื่อนที่ไปที่ใดได้ แต่สามารถสะกดสระอัสนีรอบกายเจ้าหัวขโมยไว้ได้พักใหญ่” ว่าพลาง ไม่รอให้ทุกคนตอบรับ นางก็ลงนั่งขัดสมาธิ ในผู้ฝึกตนทั้งหมดก็มีอยู่หกคนที่เป็นทาสศึกของนางแล้ว พวกเขาต่างพากันพุ่งตัวเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ในยามที่มีพวกเขาคอยคุ้มกันอยู่ แม่นางกระพรวนก็โยนลูกกระพรวนในข้อมือขึ้นไปกลางอากาศ กัดปลายลิ้นเป็นแผลแล้วพ่นเลือดสดในปากใส่ลูกกระพรวน

แสงสีเลือดพลันครอบคลุมไปทั่วฟ้า ลูกกระพรวนส่งเสียงดังออกมาติดต่อกันแทบไม่หยุด ทำให้เกิดคลื่นเสียงรุนแรงสาดซัดไปทางหวังเป่าเล่อ

ดังพายุคลั่งโหมกระหน่ำที่ทำให้สระอัสนีรอบตัวหวังเป่าเล่อเกิดการบิดตัวอย่างรุนแรง ปรากฏเป็นร่องรอยที่เห็นได้ว่าถูกสะกดให้อ่อนกำลังลง

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อต้องหรี่ตาลง แต่เขาก็เคยคำนึงถึงเหตุการณ์ทำนองนี้มาก่อนหน้าแล้ว จึงแค่นเสียงเย็นอยู่ในใจ กำลังจะเอ่ยปากแก้ไขสถานการณ์ แต่ในชั่วพริบตาที่เขากำลังจะพูด…

ทันใดนั้น… ชายหนุ่มชุดดำแบกกระบี่เล่มโตที่สามารถก่อร่างไม้กลองได้ด้วยตนเอง ก็มองมายังหวังเป่าเล่อจากไกลๆ คราวหนึ่ง เพียงแค่ขยับตัว ร่างของเขาก็เข้ามาจนใกล้

เขามิได้เข้ามาภายใน หากแต่หยุดอยู่ข้างนอกสระอัสนี แล้วพยักหน้าให้หวังเป่าเล่อ ก่อนจะปักกระบี่เล่มโตลงในพื้นดิน แล้วหันหลังให้เขา ลงนั่งขัดสมาธิ

นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว หญิงสวมหน้ากากก็สาวเท้าเดินเข้ามา ก่อนนั่งลงขัดสมาธิโดยไม่ได้เอ่ยปากสักคำ นางยังคงมีความเป็นนางอย่างชัดเจนเช่นเดิม สุดท้ายคือชายหนุ่มผู้สง่างามจากสำนักเสริมแห่งสำนักที่หนึ่งผู้นั้น เขายิ้มพลางส่ายหน้า

“อย่างไรข้าก็ไม่คุ้นกับการเป็นหนี้บุญคุณคน แม้การช่วยเหลือคราวนี้มิได้เป็นผลใดกับเจ้า แต่ก็นับว่าชดใช้บุญคุณเจ้าคราวหนึ่งก็แล้วกัน” ว่าพลางชายหนุ่มผู้สง่างามก็สาวเท้าเข้ามาที่ละก้าวแล้วนั่งลงนอกสระอัสนี

เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ทำให้แม่นางกระพรวนมีสีหน้าไม่น่าดูขึ้นทันตา ส่วนคนอื่นๆ ที่เดิมทีไอสังหารพุ่งพล่านและกำลังจะพุ่งตัวเข้าไปอยู่แล้ว ต่างก็ต้องพากันสะกดความฮึกเหิมภายในใจเอาไว้

…………………………………………………………

[1] เติมบุปผาบนผ้าทอลาย หมายถึง การทำสิ่งที่เกินเลยจากความจำเป็น

แทบเป็นชั่วอึดใจเดียวกับที่หวังเป่าเล่อเอ่ยปาก สายฟ้าที่อยู่รายรอบก็ราวกับฟังคำเขารู้เรื่อง สามารถสัมผัสได้ถึงพลังจิตของเขา มันฟาดลงมาดังกึกก้องและขยายตัวออกไป แม้ไม่ได้ขยายตัวเป็นวงกว้างนัก เพียงออกไปอีกร้อยกว่าจั้งเท่านั้น ทว่ามันกลับรวมตัวกันจนกลายเป็นอสุนีบาตหมุนเกลียวดั่งน้ำวน

แกนกลางอสุนีบาตนี้มืดดำเหลือคณา คล้ายเป็นหลุมลึกอยู่ภายใน ทั้งมีแรงดูดแสนอัศจรรย์ออกมาจากในนั้นด้วย แรงดูดนี้ไม่มีผลใดต่อเหล่าผู้ฝึกตน แต่คล้ายว่ามีผลอย่างยิ่งยวดต่อวัตถุเวท!

ด้วยเหตุนี้เองในชั่วพริบตาที่เกลียวอสุนีบาตปรากฏขึ้น…ไม่ทันให้แม่นางกระพรวนตั้งตัว ไม้กลองตรงหน้าที่เพิ่งจะหลอมเสร็จก็เกิดสั่นสะเทือนอย่างแรง มันแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วจู่ๆ ภาพของมันก็เลือนรางลง จนหายวับไปกับตา!

หากจะพูดให้ถูกก็คือมีหลุดดำที่มองไม่เห็นหลุมหนึ่งปรากฏขึ้นรอบวัตถุเวทนั้น แล้วดูดกลืนไม้กลองลงไปทันใด เพียงพริบตาหลังจากนั้น…ไม้กลองที่เปล่งรัศมีสว่างจ้า ทั้งมีหน้าตาเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อ!

ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วจุดประกายจากหินไฟเท่านั้น อย่าว่าแต่แม่นางกระพรวนจะตั้งตัวไม่ทันเลย แม้แต่ตัวหวังเป่าเล่อเองที่แม้จะเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว ก็ยังคงต้องใจเต้นตูมตามเมื่อได้เห็นภาพแสนอัศจรรย์นี้ ส่วนคนอื่นๆ ก็ไม่ต่างกัน ไม้กลองที่เพิ่งหลอมเสร็จพร้อมกันในเวลานี้ หาได้ถูกหวังเป่าเล่อฉกชิงเอาไปเพียงหนึ่ง แต่มีถึง…สามไม้!

ในเวลาเดียวกับที่ไม้กลองของแม่นางกระพรวนหลอมสำเร็จ ไม้กลองในภูผาใหญ่ที่ชายหนุ่มผู้สง่างาม มหาศิษย์แห่งเต๋าจากสำนักที่หนึ่งแห่งเต๋าฝ่ายซ้ายจับจองอยู่ก็หลอมเสร็จเช่นกัน ในขณะที่มันกำลังเปล่งรัศมีเจิดจ้า ไม้กลองของหญิงสวมหน้ากากก็กำลังทอรัศมีจับตาเช่นเดียวกัน

ไม้กลองทั้งสามไม้หลอมสำเร็จแทบจะในเวลาเดียวกัน ในขณะที่กำลังเป็นที่ดูดดึงความสนใจของทุกคน ทั้งที่เดิมทีไม่ควรจะทำให้เกิดผลกระทบใดมากมายนัก อย่างมากก็เพียงทำให้แต่ละคนยิ่งพยายามมากขึ้นเท่านั้น แต่ยามนี้…หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ กลับเกิดความแตกตื่นความโกลาหลขนานใหญ่

“นี่มันเรื่องใดกัน!”

“ไม้กลองถูกชิงรึไป?!”

“เซี่ยต้าลู่ชิงเอาไม้กลองของอินหลิงไป!!”

ระหว่างที่เสียงกำลังก้องสะท้อนไปมา ที่ที่หวังเป่าเล่ออยู่ก็ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนขึ้นมาในทันใด นอกจากชายหนุ่มชุดดำสีหน้าเย็นชาที่สะพายกระบี่เล่มโตที่หลังที่ไม่ได้มองไปทางนั้นแล้ว ทุกคนล้วนกวาดสายตาไปที่เขา

เมื่อถูกคนเหล่านี้เพ็งสายตามา หวังเป่าเล่อก็ยังคงมีสีหน้าเป็นปกติ เพราะเขาคุ้นเคยกับเหตุการณ์เช่นนี้เสียแล้ว กลับกันเขาได้ยินคนเอ่ยนามของแม่นางกระพรวนเป็นคราแรก และรู้สึกว่าไม่ใคร่เสนาะหูนัก

“สวี่อินหลิง? ที่แท้ก็ไม่ได้เป็นผู้เลิศเลออันใด ชื่อก็ไม่ไพเราะเอาเสียเลย” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจ สีหน้าเขาแสดงความพึงพอใจ พลางยกมือขวาขึ้นคว้า ทันใดนั้นเองไม้กลองที่หลอมสำเร็จและปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ตรงปรี่เข้าใส่มือเขา

แทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่หวังเป่าเล่อรับไม้กลองไว้ได้ แม่นางกระพรวนที่อยู่บนภูผาใหญ่ห่างออกไปก็เพิ่งจะได้สติจากอาการตกตะลึงและงงงัน สีหน้านางหม่นคล้ำขึ้นมาทันตา ดวงตาเต็มไปด้วยไฟโทสะ ทั้งตัวสั่นสะท้าน ก่อนจะค่อยๆ แสยะยิ้มขึ้นมา

“เซี่ยต้าลู่ เจ้ามันรนหาที่ตายเอง!!” น้ำเสียงเต็มไปด้วยจิตสังหารที่รุนแรงเป็นที่สุด ขณะที่เอ่ยคำออกมา ร่างก็ของแม่นางกระพรวนก็พุ่งออกไปเต็มแรง ประหนึ่งกระบี่คมทะลวงแทงอากาศ ยามนางแผดเสียงพลังปราณก็ปะทุขึ้นทั่วตัว

สองมือของแม่นางกระพรวนกวัดแกว่งหมัด และแผดเสียงไปทั่วสี่ทิศ บังเกิดเป็นวงคลื่นเสียงถาโถมดังทะเลคลั่งออกมาจากรอบกายนางระลอกแล้วระลอกเล่า ยามนางผนึกฝ่ามือก็พลันเกิดมโนภาพของปลามังกรยักษ์ มันใช้คลื่นเสียงเป็นดังทะเล ยามโบกหางแหวกว่ายราวกับสามารถทำลายทุกสรรพสิ่งจนย่อยยับได้ มันพุ่งตัวตามแม่นางกระพรวนไปยังสระอัสนีที่หวังเป่าเล่ออยู่!

ยามนี้ แม่นางกระพรวนมีเพียงความคิดหนึ่งเดียวในใจ นั่นก็คือ… ไปสับเซี่ยต้าลู่ ไอ้เจ้าคนน่ารังเกียจจนถึงขีดสุด จงเกลียดจงชังจนไม่อาจอยู่ร่วมฟ้า แล้วเอาไม้กลองกลับคืนมา

ความคิดนี้รุนแรงแข็งกร้าวกว่าสิ่งใดๆ ภายในใจของนางแล้ว

ชั่วชีวิตนางไม่เคยต้องพลาดท่าให้ผู้ใดเท่านี้มาก่อน ความรู้สึกที่สิ่งของที่ตนเองสร้างมาอย่างยากลำบาก แต่กลับถูกชิงเอาไปในชั่ววินาทีที่มันสร้างเสร็จนั้น ทำเอานางแทบคลั่ง ด้วยความทะนงตนของนาง ฐานะของนาง ตลอดจนทุกสิ่งที่นางเป็น ทำให้นางไม่อาจทนรับความอัปยศนี้ได้ ยามนี้แววพิฆาตระเบิดอยู่ในดวงตา ร่างนางเคลื่อนไปด้วยความเร็วที่น่าตื่นตกใจ จนหายวับไประหว่างทางที่ตรงไปยังหวังเป่าเล่อ แล้วไปปรากฏตัวอีกครั้งที่นอกสระอัสนีที่เขาอยู่

ด้วยโทสะถาโถมเข้าสู่สมอง แม่นางกระพรวนไม่ได้ยั้งกายแต่อย่างใด รุกเข้าไปจนถึงกลางสระอัสนี ด้วยหวังจะข้ามไปสังหารหวังเป่าเล่อให้จงได้

แม้แต่ทาสศึกสองสามคนที่นางหาเอาไว้อย่างลับๆ ในที่แห่งนี้ ก็ยังพากันขบฟันและเร่งตามมาสำทับกำลังกับนางภายในเวลาเพียงพริบตาเดียว แต่ไม่ทันรอให้พวกเขาเข้ามาใกล้ ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังสนั่นขึ้น แล้วแม่นางกระพรวนที่พุ่งตัวเข้าไปในสระอัสนีก็ต้องกระเด็นกลับออกมาในความเร็วที่เท่ากัน

ร่างของนางสะบักสะบอมเอาการ ผมบางส่วนไหม้เกรียม ยามนางกระเด็นออกมานั้นยังมีสายฟ้าจำนวนไม่น้อยที่คำรามไล่ตามมา แม้ในที่สุดนางจะถอยออกมาพ้นสระอัสนีและสายฟ้าเหล่านี้ก็สลายตัวไป แต่ภัยมหันต์ที่พวกมันก่อขึ้นก็ยังทำให้แม่นางกระพรวนที่แม้ว่าจะกำลังโกรธหนักสงบลงบ้าง

แต่บางเรื่อง ก็ใช่ว่าอยากจะสงบก็สามารถสงบลงได้ เมื่อเห็นว่าแม่นางกระพรวนไม่อาจผ่าเข้ามาได้ หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ ณ ใจกลางของสระอัสนี ควงไม้กลองในมือเล่นไปพลาง เงยหน้าขึ้นมองแม่นางกระพรวนไปพลาง แล้วลูบใต้คางไปหนหนึ่ง

“ไยไม่เข้ามาเล่า? เจ้าเข้ามาสิ!”

“เซี่ยต้าลู่!!” ไฟโทสะในดวงตาของแม่นางกระพรวนพลันลุกโชน ทั้งไอสังหารในใจก็รุนแรงพอกัน อารมณ์ที่เดิมทีกำลังจะสงบลง แต่แล้วก็กลับโถมกระหน่ำขึ้นมาอีกคราตามวาจาของหวังเป่าเล่อ แต่นางกลับจนปัญญาเป็นที่สุด เพราะหลังจากนางทดสอบดูก็ได้รู้แล้วว่าต่อให้ตนเข้าแลกด้วยพละกำลังทั้งหมด ก็ยากเกินจะเข้าไปยังใจกลางของสระอัสนีที่อีกฝ่ายอยู่ได้

มหัตภัยของสระอัสนีแห่งนี้อยู่ในระดับเหนือธรรมดา ราวกับพลังของฟ้าดินทั่วสารทิศมาหลอมรวมกัน การไปต่อกรกับมันก็ประหนึ่งต่อกรกับทั้งโลก นางจึงขบฟันแน่น จำขืนใจตนสะกดคำที่กำลังจะออกจากปากเอาไว้ หลังจากจดจ้องไปยังหวังเป่าเล่อด้วยสายตาดั่งมองคนตายคราวหนึ่ง นางก็หันหลังขวับแล้วพุ่งตัวไปยัง… ภูผาใหญ่ลูกหนึ่งที่มีไม้กลองหลอมได้เจ็ดในสิบส่วนแล้ว

เมื่อผู้ฝึกตนสามคนที่อยู่บนภูผาใหญ่ลูกนี้มาแต่เดิมเห็นดังนี้ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันใด หนึ่งในนั้นกำลังจะเอ่ยคำ แต่ยังไม่ทันออกปาก สิ่งที่ตอบกลับมาหาก็คือการจู่โจมจากแม่นางกระพรวนที่กำลังอยู่ในเพลิงโทสะ

ท่ามกลางเสียงดังสนั่น คลื่นเสียงลูกยักษ์ระเบิดตัวออกมา แรงปะทะของมันทำให้ผู้ฝึกตนทั้งสามคนไม่อาจไม่ถอยออกไปได้

“หากจะโทษ ก็ไปโทษเซี่ยต้าลู่โน่น!” สิ้นคำ แม่นางกระพรวนก็หาได้แยแสทั้งสามคนนั้น นางนั่งลงขัดสมาธิอยู่บนภูผาใหญ่ที่ตนชิงมาได้ ทางหนึ่งก็เร่งหลอมวัตถุเวทต่อ อีกทางหนึ่งก็จับจ้องยังไปหวังเป่าเล่อ

ในเวลาเดียวกันนั้น ผู้ฝึกตนทั้งสามคนที่ถูกช่วงชิงภูผาใหญ่ไปต่างเคืองโกรธหนักหนาเช่นกัน แต่ก็รู้ว่านี่หาใช่ยามจะมาแสดงอารมณ์ แล้วดวงตาของพวกเขาก็ฉายแววอำมหิต เร่งแยกยายกันออกไปชิงวัตถุเวทที่ภูผาใหญ่ลูกอื่น

เมื่อสถานการณ์เป็นดังนี้ นอกจากชายหนุ่มผู้สง่างามและหญิงสวมหน้ากากสองคนที่คว้าสิทธิ์ไปได้แล้ว คนอื่นนั้นล้วนได้รับผลกระทบกันไปมากบ้างน้อยบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าคนเช่นชายหนุ่มชุดดำและแม่นางน้อยผู้ใช้ศาสตร์มืดย่อมได้รับผลกระทบเพียงน้อยนิด อย่างมากก็แค่ถูกผู้คนที่ถูกความโลภเข้าครอบงำจับจ้องมาหาบ้างเท่านั้น

หวังเป่าเล่อมองดูเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วหรี่ตาลง แม้ว่าเขาจะไม่ได้เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นในเรื่องเล็กน้อย แต่ในเมื่ออีกฝ่ายคอยจ้องหาเรื่องเขาหลายครั้งหลายครา เช่นนั้นลำพังแค่แย่งไม้กลองมาไม้หนึ่งย่อมไม่สาแก่ใจ เขาจึงผนึกมุทราทั้งสองมือ เริ่มใช้เวทย้ายบุปผาต่อต้นใหม่อีกครั้ง ซึ่งเป้าหมายในครานี้…ก็ยังเป็นแม่นางกระพรวน!

เมื่อถูกสายตาเขาจับจ้องมา แม่นางกระพรวนก็ถึงกับขนลุกอยู่ในใจ ใช่ว่านางไม่เคยคาดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะใช้วิธีช่วงชิงของจากนาง แต่นางคิดว่าคราวก่อนเป็นเพราะตนเองไม่ได้เตรียมป้องกัน แต่หากวิธีเดียวกันนี้มาปรากฏต่อหน้าอีกครา นางก็ไม่คิดว่าเขาจะทำสำเร็จได้

ทว่าต่อให้เป็นดังนั้น เมื่อเห็นว่าตนกำลังถูกจับจ้อง ความร้อนรนและรำคาญใจก็พลุ่งพล่านขึ้นมาในอก นางจึงถลึงตากลับไป กำลังจะเอ่ยปาก แต่จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็เบิกตากว้าง ทั้งตะเบ็งเสียงออกมา

“อัสนีเทพสยบมาร ยังไม่ไปเอาไม้กลองนั่นมาให้ข้าอีก!”

เมื่อเสียงตะโกนนี้ดังขึ้นก็ทำให้ผู้คนโดยรอบสนใจขึ้นมาอีกทันที เช่นเดียวกับแม่นางกระพรวน ใจนางเต้นตูมตาม สองมือเร่งผนึกมุทรา นางลุกขึ้นยืน ปลุกพลังปราณทั้งหมดให้ลุกโชนขึ้นมา เพียงแต่…หลังจากรออยู่เป็นนานและพบว่าไม้กลองตรงหน้าตนก็หาได้มีการเปลี่ยนแปลงใด หวังเป่าเล่อก็ส่งเสียงมาแต่ไกล

“ครั้งนี้ของปลอม ครั้งหน้าจึงจะเป็นของจริง”

“เซี่ย! ต้า! ลู่!!” นางหันหัวขวับ ส่งเสียงแหลมไปยังหวังเป่าเล่อ เมื่อถูกปั่นหัวดังนี้ แม่นางกระพรวนจึงรู้สึกว่าตนเองต้องระเบิดพลังปราณออกมาให้ถึงที่สุดแล้ว

เมื่อเห็นอีกฝ่ายถลึงตาใส่ตน หวังเป่าเล่อแค่นเสียงคำหนึ่ง แต่ไม่ได้เอ่ยปากในทันใด เขารอสองสามอึดใจ เมื่อเห็นว่าไม้กลองของอีกฝ่ายจวนเจียนจะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว จึงค่อยเอ่ยคำออกไปอย่างเนิบนาบ

“หากไม่ได้จัดการสตรีเช่นเจ้าจนหนำใจ โทษฐานที่ทำให้ข้าต้องขัดเคือง ข้าก็ไม่ได้ชื่อเซี่ยต้าลู่แล้ว!

………………………………………………..

“การจะใช้เคล็ดวิชานี้ ต่อให้มีข้อจำกัดเรื่องปัจจัยของเวลาและสถานที่ แต่หากวันใดทำสำเร็จ… ก็จะสามารถนำอาวุธที่ผู้อื่นหลอมเคลื่อนย้ายมาที่ตนเองได้ เพียงแต่เคล็ดวิชานี้เป็นเคล็ดวิชาที่แหกกฎฟ้า เมื่อใช้มันขึ้นมาวันใดก็จะทำให้เกิดความสั่นสะเทือนไปทั่วแผ่นฟ้า แม้ข้าจะคอยช่วยเหลือเจ้าอยู่ลับๆ แต่ตัวเจ้าเองก็ต้องรับผลที่จะตามมาอีกมากมาย” พูดพลาง กระดาษรูปมนุษย์ก็ยกมือขวาขึ้น แล้วแตะไปที่หว่างคิ้วของหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อลังเลเล็กน้อย แต่ก็บังคับตัวเองเอาไว้ไม่ได้ขยับหนี ปล่อยให้อีกฝ่ายแตะที่หว่างคิ้ว พักหนึ่งก็มีดวงจิตเทพส่งเข้าไปในหัวสมองของเขา แล้วกลายเป็นคาถาและเคล็ดวิชาหลอมอาวุธทั้งชุด

เคล็ดวิชานี้ไม่เหมือนกับเคล็ดวิชาอื่นใดที่เขาเคยสัมผัสมา แต่ก็คล้ายว่ามิใช่ศาสตร์ของจักรวรรดิดาวตกด้วยเช่นกัน ส่วนว่าเคล็ดวิชานี้มีความเป็นมาเช่นใดกันแน่นั้น หวังเป่าเล่อเองก็ไม่รู้ชัด แต่เขารู้แน่ว่าเคล็ดวิชาหลอมอาวุธนี้ช่าง… สุดยอด!

“ขอบพระคุณผู้อาวุโส!” ดวงตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ประสานมือก้มหัวลงคำนับ

ในเวลาเดียวกับที่เขากำลังสัมผัสได้ถึงมัน หวังเป่าเล่อก็เกิดความเข้าใจพิเศษต่อเคล็ดวิชาที่เรียกว่า ‘ย้ายบุปผาต่อต้นใหม่’ นี้อยู่ภายในใจในแบบของเขาเอง

“เป็นการย้ายบุปผาต่อต้นใหม่ที่ใดกัน นี่มันเป็นยอดอิทธิฤทธิ์แห่งการขโมยอาวุธหลอม เป็นกลยุทธ์จูงแพะติดมือ[1]ชัดๆ!” ยิ่งคิดไปตาของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งส่องประกายขึ้นเรื่อยๆ เขาต้องจมปลักอยู่กับการเฝ้าหลอมอาวุธมานานปี จนถึงตอนนี้เขาได้เลื่อนชั้นไปอยู่ในขั้นสูงแล้ว จึงยิ่งเข้าใจถึงความแข็งแกร่งของเคล็ดวิชาที่กระดาษรูปมนุษย์เอ่ยถึงนี้

สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่าเคล็ดวิชานี้ไม่เลวเลย ก็คือความร้ายกาจที่แฝงอยู่ภายใน…ลองคิดดูสิ ผู้อื่นกำลังหลอมวัตถุเวทอยู่ตรงนั้น แต่ในพริบตาที่หลอมสำเร็จ มันก็จะหายวับไปทันใด แต่กลับไปปรากฏอยู่ในมือของอีกคน เรื่องรันทดชนิดนี้สามารถทำให้กระอักเลือดได้เป็นถังทีเดียว

ยิ่งเมื่อคิดว่าตนเองสามารถใช้เคล็ดวิชานี้ไปลงทัณฑ์แม่นางกระพรวนน่าชังนั่นได้สักหน่อย หวังเป่าเล่อก็ยิ่งรู้สึกเบิกบานใจ และตั้งตารออย่างจดจ่อ

“แม่นางหัวรั้น ถึงกับกล้าให้ข้าไปเป็นทาสศึกของเจ้ารึ?” หวังเป่าเล่อแค่นเสียงหึคำหนึ่ง ก่อนจะมองไปรอบทิศแล้วพุ่งไปยังพื้นที่แห่งหนึ่ง ที่นั่นเป็นชายขอบทางด้านขวาของสิบภูผาใหญ่ ที่ตรงนั้นไม่ใช่พื้นที่ที่เป็นภูเขาใหญ่ ทั้งไม่ใช่พื้นที่สูง หากแต่เป็นที่ราบ

มันดูห่างไกลผู้คน แต่เมื่อใช้เป็นสถานที่ร่ายเวทย้ายบุปผาต่อต้นใหม่ก็นับว่าเหมาะสมมากทีเดียว นั่นเพราะต่อให้มีสายฟ้าฟาดลงมา พื้นที่โล่งกว้างเช่นนี้ย่อมมีที่ให้หลบมากตามไปด้วย

แน่นอนว่าเขาเองก็เคยคิดจะไปร่ายสุดยอดอภินิหารแห่งเวทอาวุธหลอมนี่ใกล้ๆ ที่ที่แม่นางกระพรวนอยู่ เพราะเมื่อเป็นดังนั้น ยามสายฟ้าฟาดลงมาก็จะเป็นการรังควานนางไปด้วยในตัว แต่เมื่อพิจารณาแล้วว่าหากเข้าไปใกล้ก็เกรงจะถูกรุมโจมตีเอาได้ หวังเป่าเล่อจึงจำต้องถอยออกมาหาตัวเลือกที่สอง และมาเลือกเอาสถานที่แห่งนี้นั่นเอง

หลังจากลงนั่งขัดสมาธิ เขาก็สูดหายใจลึก แล้วหลับตาลงพร้อมกัน แต่จิตใต้สำนึกกลับกำลังแผ่ซ่านออกมา ในขณะที่เขายังคอยระวังทุกสิ่งรอบตัว มือทั้งคู่ก็ผนึกมุทรา[2] อย่างรวดเร็วไปตามเคล็ดวิชาที่กระดาษรูปมนุษย์ถ่ายทอดมาให้ เขาเริ่มทดลองฝึกฝนเคล็ดวิชาย้ายบุปผาต่อต้นใหม่ทันใด

จุดสำคัญของเคล็ดวิชานี้อยู่ที่การรับรู้หลักการ แม้โดยภาพรวมแล้วกระบวนการของมันจะค่อนข้างยากอยู่บ้าง แต่หากต้องการนำมาใช้ ด้วยระดับความเชี่ยวชาญการหลอมวัตถุเวทที่หวังเป่าเล่อมีในตอนนี้ก็หาใช่เรื่องลำบาก เขาเพียงต้องปรับทฤษฏีการหลอมวัตถุเวทของตนก็เป็นใช้การได้แล้ว

ความจริงแล้วเคล็ดวิชาย้ายบุปผาต่อต้นใหม่นี้ต้องใช้สายฟ้ามาเหนี่ยวนำพลังที่ว่างเปล่า เพื่อให้ปรับคลื่นพลังงานให้อยู่ในความถี่เดียวกับวัถตุเวทที่หลอมขึ้นมาจากทั่วสารทิศ ให้เหมือนเป็นกระจกสะท้อน และในที่สุดก็เปลี่ยนภาพเหมือนในกระจกให้กลายมาเป็นของจริง และความยากของมันก็อยู่ตรงนี้

“มีกลิ่นไอของการมีตัวตนจากสิ่งที่ว่างเปล่า…” หวังเป่าเล่อคิดดังนั้น แต่เขาก็รู้ดีว่าตนเองไม่มีเวลาจะไปศึกษาตรรกะและหลักการของมันอย่างละเอียด จึงต้องอนุมานเอาจากบางส่วนเท่านั้น สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้ ก็คือร่ายคาถาให้ถูกต้องและทำตามวิธีโดยไม่ให้ขาดตกบกพร่องแม้แต่น้อย

เรื่องนี้อาจไม่ง่ายสำหรับคนอื่น แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว เมื่อลองทำดูสักสองสามหนก็ยังพอทำได้ สองวันหลังจากเขาเฝ้าทดลองฝึกหนแล้วก็หนเล่า ก็ค่อยๆ มีเสียงฟ้าผ่าปรากฏขึ้นรอบกายเขา

เมื่อตอนเสียงฟ้าผ่าเพิ่งเริ่มดังขึ้นก็ยังไม่ได้ดึงดูดความสนใจจากผู้คนเท่าใดนัก แต่เสียงฟ้าผ่ากลับยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ อย่างรวดเร็ว กระทั่งบนท้องฟ้าตรงหัวของหวังเป่าเล่อก็ยังมีเมฆดำเต็มไปด้วยสายฟ้าปรากฏขึ้นมาด้วย

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลกระทบต่อเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่อยู่บนสิบภูผาใหญ่ ทำเอาพวกเขาต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป และพากันมองไปยังที่ที่อยู่ตรงใต้เมฆดำพอดี …ซึ่งก็คือพื้นที่ราบที่หวังเป่าเล่ออยู่นั่นเอง

“คนผู้นี้กำลังทำสิ่งใด!”

“คงมิใช่ว่าเขาต้องการจะรบกวนพวกเราหรอกนะ?”

“รนหาที่ตาย!” ดวงตาของแม่นางกระพรวนเผยแววถากถาง นางยินดีเป็นนักหนาที่จะเห็นอีกฝ่ายทำเรื่องโง่เง่าเช่นนี้ เพราะเมื่อเขาทำเช่นนี้ก็เท่ากับเป็นการขัดขวางวาสนาแห่งโชคของทุกคน พอถึงยามนั้น คนผู้นี้ไม่เพียงแค่ไม่สามารถคว้าวาสนาแห่งโชคได้ แม้แต่ชีวิตของเขาก็จะต้องได้เผชิญกับไฟโทสะของทุกคน

ซึ่งเมื่อเวลานั้นมาถึง หนทางเดียวที่จะทำให้มีชีวิตรอดย่อมคือการยอมก้มหัวให้ตน

“ถึงยามนั้น หากคนผู้นี้ยังคงผยองอยู่เช่นเดิม ก็คงทำได้เพียงปล่อยเขาไปเสีย” แม่นางกระพรวนแค่นเสียงเย็นชา ในชีวิตของนาง เมื่อใดที่หมายตาทาสศึกเอาไว้ ก็ไม่เคยไม่สำเร็จ ซึ่งเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชาของนางด้วย เมื่อทาสศึกยิ่งแข็งแกร่ง นางก็ยิ่งจะได้ผลประโยชน์มากขึ้นเท่านั้น ในที่สุดก็จะบรรลุขีดจำกัดและเดินไปสู่จุดสูงสุดได้

เคล็ดวิชานี้ไร้นาม และไม่ได้มาจากสำนักเก้าวิหคเพลิง เป็นนักพรตหญิงลึกลับท่านหนึ่งที่นางจับพลัดจับพลูไหว้เป็นอาจารย์คนที่สองเป็นผู้ถ่ายทอดให้นาง

เมื่อได้ฝึกฝน นางก็สัมผัสได้ถึงความไม่ธรรมดาของเคล็ดวิชานี้ในทันที และในเวลาเดียวกันก็สัมผัสได้ลึกๆ ว่าศิษย์ที่นักพรตหญิงลึกลับท่านนั้นรับเอาไว้หาได้มีเพียงตนผู้เดียว แต่มีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ฝึกเคล็ดวิชาเดียวกันกับนาง

“เป็นการเลี้ยงอสรพิษหรือไร… หรือจะพูดว่านี่เป็นขั้นตอนที่ต้องฝึกปรือหลังจากฝึกเคล็ดวิชานี้ไปถึงระดับหนึ่งแล้ว?” แม้มีความเคลือบแคลงใจอยู่มากมาย แต่เคล็ดวิชานี้ก็สร้างคุณอนันต์แก่นาง กระทั้งเหตุที่นางได้มาเป็นนักพรตหญิงแห่งสำนักเก้าวิหคเพลิงก็เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชานี้ด้วย

ด้วยเหตุนี้นางย่อมไม่ยอมแพ้ สร้างไม้กลองอยู่ทางนี้ไปพลาง หรี่ตาลงและกวาดตาไปทางหวังเป่าเล่อไปพลาง

นางกำลังเสียสมาธิอยู่ทางนี้ ส่วนหวังเป่าเล่อก็กลับยิ่งฝึกฝนจนชำนาญขึ้นเรื่อยๆ หลังจากล้มเหลวมาหลายครั้ง ในที่สุดเขาก็จับจังหวะบางส่วนได้สำเร็จ และทันใดนั้นเองก็บังเกิดเสียงสายฟ้าฟาดดังลั่นลงมาที่รอบกายเขา

เมฆดำตรงหัวเขาก็ยิ่งรวมตัวแน่นขนัดขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับสายฟ้าที่ฟาดลงมา จนมองเห็นสายฟ้าแปลบปลาบเคลื่อนตัวอยู่ภายใน สายฟ้านี้ต่างกับสายฟ้าเมื่อครั้งที่หวังเป่าเล่ออธิฐานต่อขวดปรารถนา สายฟ้าในครั้งนั้นคล้ายว่าพอจะมีความนึกคิดอยู่บ้าง แต่สายฟ้าในเมฆดำคราวนี้กลับเหมือนสิ่งไร้ชีวิต ที่แม้จะมีพลังไว้คุกคามผู้อื่นได้แต่มันก็ดูน่าตื่นตกใจไม่เบา

จากนั้นสายฟ้าก็ฟาดลงห่างจากตัวหวังเป่าเล่อไปหลายสิบจั้ง บังเกิดเสียงดังลั่นไปทั่วปฐพี จนแม้แต่ตัวหวังเป่าเล่อเองก็ยังต้องสะดุ้งเพราะสัมผัสได้ถึงพลังการทำลายล้างที่อยู่ภายในนั้น แต่เวลานี้ก็ขึ้นลูกธนูบนเชือกไปแล้ว หวังเป่าเล่อขบกรามแน่นคราวหนึ่ง เขาไม่คิดจะหยุด ยังคงผนึกมุทราต่อไป ทันใดนั้นเองสายฟ้าก็ฟาดลงมาบนพื้นหนแล้วก็หนเล่า ทำให้พื้นดินรอบบริเวณนั้นแยกตัวออก

เสียงดังสนั่นสร้างความสั่นสะเทือนไปทั่วทิศ และทำให้มหาศิษย์แห่งเต๋าที่อยู่บนสิบภูผาใหญ่ต่างพากันเสียสมาธิ แต่เมื่อพวกเขาสังเกตดูและพบว่าสายฟ้าน่าสะพรึงเหล่านี้เพียงฟาดลงมาราวร้อยจั้งรอบตัวหวังเป่าเล่อเท่านั้น ไม่ได้กระจายตัวออกไปภายนอกนั้นแต่อย่างใด ทั้งไม่ได้กระทบมาถึงตนเอง แม้จะรู้สึกระแวงแต่ก็ยังโล่งใจขึ้นมาบ้าง

เพราะไม่ว่าอย่างไร เรื่องสำคัญที่สุดของพวกเขาในเวลานี้ก็คือต้องให้ได้ไม้กลองมา ขอเพียงแค่ไม่มารบกวน พวกเขาก็จะไม่ลงมือ ยามนี้ปัญหาน้อยลงหนึ่งย่อมดีกว่าเกิดปัญหามากขึ้นอีกหนึ่ง

แม้ไม่มีใครมาขัดขวาง แต่ในใจของหวังเป่าเล่อกลับยิ่งสั่นสะท้าน นั่นเพราะสายฟ้าที่ฟาดลงมารอบตัวเขายิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเสียงฟ้าฟาดยิ่งดัง พลังของมันก็ยิ่งน่าตื่นตกใจขึ้นเช่นกัน รอบตัวเขาแทบจะกลายเป็นสระอัสนีไปแล้ว นั่นเพราะพื้นดินที่กลายเป็นวงรอบตัวเขามีสายฟ้าเคลื่อนตัวไปมา และเกรงว่าจะส่งผลกระทบมาถึงตัวเขาเอง

ต่อให้มีกระดาษรูปมนุษย์คอยปกป้องเขาอยู่ลับๆ โดยการพยายามช่วยขจัดมันทิ้งเสียอยู่ครึ่งค่อนวัน แต่สายฟ้าที่เหลืออยู่ก็ยังคงทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม ใจหายใจคว่ำ แต่ด้วยพื้นเพที่ออกจะแข็งกร้าวของเขา เมื่อชายหนุ่มสอดสายตาไปยังสายฟ้ารอบกายและมองเห็นภูผาใหญ่ที่แม่นางกระพรวนอยู่ เขาก็หรี่ตาลงพร้อมแววตาเย็นเฉียบ

“ไอปราณบนตัวแม่นางกระพรวนผู้นี้ทำข้ารู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย…”

หวังเป่าเล่อขบกรามอีกหน ยังคงรักษาจังหวะการบำเพ็ญจิตเอาไว้ สองมือยิ่งผนึกมุทราเร็วยิ่งกว่าเก่า จึงทำให้ยิ่งมีสายฟ้าฟาดลงมารอบตัวถี่ขึ้นเรื่อยๆ ที่สุดหลังจากที่เขาพยายามฝืนทนรับจนผ่านไปหนึ่งชั่วยาม ก็มีเสียงหวีดหวิวดังขึ้นมาในหัวสมองของเขา!

ในขณะที่เสียงดังสะท้อนไปมา จิตใต้สำนึกของเขาก็ราวกับถูกพลังจากบนฟ้าพุ่งเข้ามาแล้วกลับกระจายออกไปในทันใด เขาพลันสัมผัสได้ถึงไม้กลองทั้งสิบไม้ซึ่งกำลังถูกหลอมให้ปรากฏขึ้นมาบนสิบภูผาใหญ่นั้น!

ในชั่วขณะที่สัมผัสถึงมัน หวังเป่าเล่อก็เกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมา คล้ายว่า…เพียงตนจับจ้องไปที่ไม้กลองไม้ใดในจำนวนนั้น และเริ่มใช้ความคิดก็จะสามารถนำวัตถุเวทที่กำลังจดจ้องอยู่ย้ายตำแหน่งให้มาปรากฏอยู่ในมือตนในทันใด ราวกับ ‘ย้ายบุปผาต่อต้นใหม่’ ได้เช่นนั้น!

ความรู้สึกนี้รุนแรงเกินเปรียบ ทำเอาหวังเป่าเล่อที่กำลังอยู่ในอาการพลุ่งพล่านรีบพุ่งสายตาไปยัง…ภูผาใหญ่ที่แม่นางกระพรวนอยู่!

บนนั้น…หลังจากแม่นางกระพรวนเฝ้าบำเพ็ญพลังปราณอย่างต่อเนื่องมาตลอดสองวัน ไม้กลองที่นางหลอมขึ้นก็เป็นรูปเป็นร่างกว่าเก้าในสิบส่วน คล้ายว่าอีกไม่นานก็จะหลอมเสร็จสิ้นแล้ว!

คนอื่นๆ ที่มีความคืบหน้าในระดับเดียวกับนาง ก็ยังมีชายหนุ่มผู้สง่างามและหญิงสวมหน้ากาก ส่วนชายหนุ่มชุดดำและเด็กสาวที่ใช้ศาสตร์มืดคนนั้นกลับคืบหน้าไปช้ากว่าเล็กน้อย หลอมได้เพียงแปดในสิบส่วนเท่านั้น ส่วนไม้กลองของผู้อื่นย่อมต้องช้ากว่านั้นไปอีก โดยมากแล้วล้วนคืบหน้าไปเพียงหกหรือเจ็ดในสิบส่วน

“เวลาพอเหมาะพอเจาะ!” มุมปากของหวังเป่าเล่อเผยรอยยิ้ม นัยน์ตามีประกายแสนประหลาดฉาบเข้ามา ในเวลาเดียวกับที่เขากวาดตาไปยังแม่นางกระพรวน นางก็หันขวับมาทันใดพร้อมสายตาที่เปี่ยมด้วยจิตสังหาร และที่มีมากยิ่งกว่าคือแววความเหยียดหยาม นางกำลังจะเอ่ยปาก แต่ในเวลานั้นเองไม้กลองของนางพลันเปล่งรัศมีสว่างจ้า เห็นได้ว่ามันกำลังจะเสร็จสมบูรณ์แล้ว

“อัสนีเทพสยบมาร ยังไม่รีบเอาไม้กลองนั้นมาให้ข้าอีก!” หวังเป่าเล่อยกมือขึ้น เอ่ยปากบางเบา พลางชี้นิ้วน้อยๆ

…………………………………………………

[1] จูงแพะติดมือ คือ การใช้ความประมาทเลินเล่อของศัตรูเพียงเล็กน้อยมาทำให้เกิดประโยชน์ เมื่อพบเห็นโอกาสให้รีบฉกฉวยมาเป็นของตน

[2] มุทรา คือการใช้นิ้วหัวแม่มือไปแตะส่วนต่างๆ ของนิ้วอื่นในรูปแบบต่างๆ ใช้ในการตั้งสมาธิร่ายคาถา

ได้ยินคำ ดวงตาของหวังเป่าเล่อพลันปรากฏประกายล้ำลึกขึ้นมา ทั้งรู้สึกเยาะหยันอยู่ในใจ ด้วยอีกฝ่ายพุ่งเป้ามาที่เขาหลายครา หนำซ้ำพอออกปากคราวนี้ก็จะให้ตนเองเป็นทาสรับใช้อีก ในสายตาของหวังเป่าเล่อ โดยพื้นฐานแล้วคนจำพวกนี้คือพวกที่มีอัตตาสูงจนถึงขั้นงี่เง่า ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้อีกฝ่ายจะมีความเป็นมาที่ไม่ธรรมดา แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองจะต่ำต้อยแต่อย่างใด

โดยเฉพาะตรงประโยคสุดท้ายมีน้ำเสียงข่มขู่อย่างชัดเจน เห็นชัดว่าหากคำตอบของเขาไม่เป็นที่พอใจ อีกฝ่ายก็จะต้องเข้ามาขัดขวางไม่ให้เขาได้รับวาสนาแห่งโชคเป็นแน่ แต่ต่อให้เห็นด้วย… ดูท่าก็คงไม่ใช่แค่ให้ทำสัญญาปากเปล่าไร้หลักฐานง่ายๆ เท่านั้น เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะต้องถูกให้ใส่กระพรวนเป็นทำนองว่าห้ามผิดสัญญาอย่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

“หญิงสาวเหล่านี้ทะนงตัวเกินไปแล้วกระมัง ถ้าเกิดข้าเล่าภูมิหลังของข้าให้ฟังพวกนางจะต้องตกใจตายแน่นอน!” หวังเป่าเล่อค่อนแคะอยู่ในใจ ระหว่างนั้นก็เอียงตาไปคอยสังเกตแม่นางกระพรวนที่อยู่ตรงหน้าอย่างถี่ถ้วน โดยเฉพาะใบหน้ารูปไข่และจุดสำคัญต่างๆ บนเรือนร่างของนาง

ไม่อาจไม่พูดว่า ทั้งรูปร่างหน้าตาของแม่นางกระพรวนผู้นี้พอจะเทียบชั้นกับเจ้าเยี่ยเหมิงได้ทีเดียว โดยเฉพาะรูปร่างของนางนั้นได้เปรียบกว่ามาก นอกจากส่วนนูนๆ เว้าๆ ที่เด่นชัดแล้ว เอวนางก็คอดบางชนิดหาตัวจับยาก จึงทำให้นางมีรูปร่างแสนรัญจวนใจ รับกับท่อนล่างที่คอดกิ่วเหมือนน้ำเต้า ยามเลื่อนสายตาลงมาก็ยิ่งเห็นว่าท่อนขาเบียดชิดกันแน่นดังลำไผ่สองท่อนก็ไม่ปาน

รูปร่างเช่นนี้ หากจะให้หวังเป่าเล่อนำมาเปรียบเทียบ ก็เกรงว่าจะมีเพียงหลี่หว่านเอ๋อร์บุตรสาวของหัวหน้าเสนาบดีสหพันธรัฐเพียงผู้เดียวที่มีคุณสมบัติดังนี้ ครั้นนึกถึงหลี่หว่านเอ๋อร์ ในใจหวังเป่าเล่อก็อดร้อนรุ่มขึ้นมาไม่ได้ หลังจากกระแอมไอไปหลายหน ก็ลอบคิดว่าในเมื่อเจ้าพุ่งเป้ามาที่ข้า เช่นนั้นก็ว่ากันไม่ได้ ข้าต้องตอบโต้บ้างแล้ว จึงได้ออกปากไปด้วยท่าทีขึงขังว่า

“เจ้าหมายความดังนั้นจริงใช่หรือไม่!”

หวังเป่าเล่อพูดไปพลาง สังเกตสีผิวของแม่นางกระพรวนผู้นี้ไปพลาง สีผิวของนางนั้นยิ่งน่าตราตรึงใจและเข้ากับกระพรวนบนข้อมือของนาง นอกจากทั่วตัวนางจะงดงามหมดจดแล้ว ก็ยังให้ความรู้สึกซุกซนมีชีวิตชีวา เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และความเย้ายวน ทำเอาหวังเป่าเล่ออดกะพริบตาปริบๆ ไม่ได้

“บริสุทธิ์สดใสก็ดี หวานเป็นน้ำผึ้งก็ได้ นี่เรียกว่าน้ำผึ้งบริสุทธิ์แท้ๆ!” หวังเป่าเล่อเอ่ยชมอยู่ในใจทั้งสีหน้าเคร่งขรึมจริงจังกว่าเดิมโข

เดิมทีนั้น เมื่อแม่นางกระพรวนเห็นสายตาของหวังเป่าเล่อก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ก็คิดว่าคนตรงหน้านี่คงไม่ใช่ธรรมดาเป็นแน่ พูดได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในยอดผู้กล้าจำนวนน้อยนิดที่มาในคราวนี้และอยู่ในสายตานาง นางจึงคิดว่าหากสามารถปะเหลาะให้เขามาเป็นทาสศึกได้แล้ว เขาจะต้องเป็นประโยชน์ต่อนางในภายภาคหน้าแน่นอน

นางจึงฝืนทนความสะอิดสะเอียนในใจ สูดหายใจลึกหนหนึ่ง แล้วเอ่ยออกไปอย่างหนักแน่นว่า

“ย่อมต้องหมายความดังนั้น!”

“เมื่อเป็นดังนี้ก็… ช่างเถิด ข้าจะให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ให้มาเป็นภรรยาทาสของข้า ข้ารับรองว่าจะทำให้เจ้ารุ่งโรจน์ไปชั่วชีวิต!” หวังเป่าเล่อประกาศเสียงลั่น พลางถอนใจเบาๆ ด้วยท่าทีเอือมระอา

“เจ้าคู่ควรรึ?” แม่นางกระพรวนได้ยินคำก็พลันยิ้มเยาะด้วยโทสะมหันต์ ทั้งแววเหยียดหยันและความเย็นยะเยือกที่ฉายวาบเข้ามาในดวงตาพร้อมกัน หลังจากเอ่ยคำไปดังนั้น นางก็หันไปเอ่ยกับคนรอบทิศด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ว่า

“สหายเต๋าทุกท่าน เซี่ยต้าลู่ผู้นี้มีอุปนิสัยต่ำช้า ละโมบในทรัพย์ไร้ยางอาย ซึ่งพวกท่านก็เคยเห็นมาแล้วก่อนหน้านี้ เห็นชัดว่าผลึกมายาบนตัวคนผู้นี้ที่แท้แล้วอยู่ในสภาพที่ถูกผนึกเอาไว้ ในระยะยาวจึงยังไม่มีผลกระทบใดหากจะส่งมอบออกมา แต่ในเมื่อเขาเคยเอ่ยถึงมาก่อน ฉะนั้นก็ใช่ว่าเขาจะไร้หนทางเยียวยา แต่พวกเราจะไม่ยอมทนถูกดูแคลน ข้าเสนอว่า… ให้เขาออกจากการช่วงชิงวาสนาแห่งโชคคราวนี้ไปเสีย จะได้ไม่เป็นเยี่ยงอย่างต่อผู้อื่นต่อไป”

เมื่อแม่นางกระพรวนพูดจบ สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็ยังคงเป็นปกติ นั่นเพราะถ้อยคำที่นางเอ่ยล้วนเป็นที่สิ่งที่เขาคาดเอาไว้แล้ว แม้ว่าก่อนนี้เขาจะพูดไว้ชัดเจน แต่เขาก็รู้ดีว่าหากมีคนที่ขืนหน้าด้านหน้าทน พยายามใส่อารมณ์ให้ร้ายกัน คำอธิบายก็ไร้ประโยชน์ใดๆ

หนทางเดียวที่จะตอบโต้ก็คือต้องหาทางตบหน้าอีกฝ่ายให้จงได้

“แม่นางน้อยผู้หัวรั้นนี่ไม่อยากให้ข้าทำสำเร็จ นึกว่าได้ผลรึ?” มุมปากของหวังเป่าเล่อเผยรอยยิ้มเยาะ เขาไม่ได้แยแสกับสายตาคนรอบด้านที่กำลังมองมา เพราะเขารู้ดีว่าความสามารถของตนก็คือสิ่งที่คุกคามคนเหล่านั้นอยู่ ดังนั้นคนที่จะทำตามคำของแม่นางกระพรวนคงจะมีไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างไรเสีย ในการทดสอบครั้งนี้ ท้ายที่สุดแล้วจะมีคนเพียงสิบคนที่ถูกเลือกจากคนทั้งสิ้นสามสิบคน เดิมทีก็มีการแข่งขันที่สูงมากอยู่แล้ว หากสามารถเป็นที่ยอมรับได้แต่เนิ่นๆ แล้วขับตัวเขาออกไปได้ เช่นนั้นแล้วโอกาสของทุกคนก็จะมีมากขึ้นอีกสักหน่อย

แม้ว่าเรื่องของโอกาสที่มากขึ้นนี้ หาใช่เรื่องสำคัญสำหรับเหล่าผู้คนอย่างชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้น แต่สำหรับคนอื่นๆ แล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น กระทั่งเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าการคัดเลือกหนนี้ อาจเกิดขึ้นท่ามกลางการแย่งชิงเพื่อให้แต่ละคนได้มีชะตาชีวิตที่พลิกผันไปจากเดิม

โดยเฉพาะ…กับคนที่มีภูมิหลังไม่เพียบพร้อม ต่อให้เขาเรียกขานตนเองว่าเซี่ยต้าลู่ แต่ความจริงแล้วมีเพียงไม่กี่คนที่เชื่อเขา เมื่อเป็นดังที่ว่ามา คนจำนวนหนึ่งจึงเห็นด้วยกับคำพูดของแม่นางกระพรวนอย่างรวดเร็ว

และแน่นอนว่าผู้คนส่วนใหญ่ที่เห็นพ้องกับนางนั้นก็เป็นพวกที่คิดมิดีมิร้ายต่อแม่นางกระพรวน ด้วยเหตุนี้ เหล่าคนที่ปรากฏตัวออกมาในช่วงกำลังเข้าด้ายเข้าเข็มและชิงผลึกมายาไปได้ จึงเป็นคนประเภทนี้ทั้งนั้น พอพวกเขาหันไปสบตากัน วินาทีต่อมาก็พุ่งตัวเข้าหาหวังเป่าเล่อด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า

ทันใดนั้น คนแปดเก้าคนกรูเข้ามาหาพร้อมกันด้วยพลังจู่โจมสุดสะพรึง ทุกคนล้วนเทียบได้กับผู้บรรลุพลังจิตวิญญาณอมตะระดับดาวพระเคราะห์ทั้งสิ้น และยังมีแม่นางกระพรวนสำทับเข้าไปอีก อย่าว่าแต่หวังเป่าเล่อไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์เลย ต่อให้เป็นคนที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์จริงๆ ในยามนี้ก็ยังต้องถอยร่นไปก่อน

ด้วยเหตุนี้เอง หวังเป่าเล่อจึงขยับตัวให้ถอยไปในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่พวกเขาบุกเข้ามา ทำให้หลบพ้นการจู่โจมของทุกคนไปได้ด้วยการถอยออกไปไกลกว่าหนึ่งร้อยจั้งท่ามกลางเสียงสะเทือน ส่วนคนอื่นๆ ที่ไม่ได้จู่โจมเข้ามา ต่างก็มีสีหน้าต่างกันไป หญิงสวมหน้ากากและชายหนุ่มผู้สง่างามที่เป็นหนึ่งในนั้นก็คล้ายมีท่าทีลังเลขึ้นมา แต่ในที่สุดก็ยังเขยื้อนร่าง พุ่งตัวไปยังสิบภูผาใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปและเลือกตำแหน่งของตนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะขับพลังปราณ ใช้พลังปราณของตนเร่งให้ไม้กลองเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา วิธีนี้ไม่ได้อยู่ในสิ่งที่กระดาษรูปมนุษย์เคยบอกไว้ แต่เห็นชัดว่าทุกคนต่างก็รู้กันดี

ยังมีแม่นางน้อยที่ใช้ศาสตร์มืดผู้นั้น นางหันหน้ามายิ้มให้หวังเป่าเล่อ แล้วพุ่งตัวไปเลือกภูผาใหญ่เช่นกัน ส่วนชายหนุ่มชุดดำที่แบกกระบี่เล่มโตไว้บนหลังกลับไม่ได้มีสีหน้าเปลี่ยนไปแต่อย่างใด หากแต่พุ่งตัวจากไปในชั่วพริบตา โดยไม่แม้แต่จะหันมามองหวังเป่าเล่อด้วยซ้ำ

คนอื่นๆ ต่างก็จากไปดังนี้เช่นกัน หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงทันใด ทว่าต้นตอของเรื่องทั้งหมดล้วนเป็นเพราะแม่นางกระพรวน หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้ปล่อยให้นางคลาดสายตา ชายหนุ่มกวาดตาไปยังแม่นางกระพรวน จากนั้นก็ถอยหลังไปอีกคราวหนึ่ง ไม่ได้สนใจว่าทุกคนจะรุกไล่เขาอย่างใด

“มีปัญญา ก็ตามมา!” แม้แต่ตอนที่เขาถอยไปก็ยังทิ้งคำพูดเอาไว้ เหล่าผู้ฝึกตนภายใต้การนำของแม่นางกระพรวนซึ่งไล่กวดเขามาพักหนึ่ง จึงเกิดความลังเลขึ้นมา

อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่สุดตรงหน้าพวกเขาในเวลานี้ก็คือวาสนาแห่งโชค ว่าแล้วจึงพากันหันไปมองทางแม่นางกระพรวน ต่อมาจึงเห็นได้ว่าพวกเขาไม่ได้คิดจะรุกไล่หวังเป่าเล่ออย่างไม่คิดชีวิตอยู่ที่นี่จริงๆ ที่พูดไปก่อนหน้านี้ก็เพียงแค่การแสดงท่าที่ให้ชัดเจนเท่านั้น

“ไม่เป็นไร คนผู้นี้ไปแล้วก็ช่างเถิด หากกล้ากลับมาอีก พวกเราค่อยสังหารเขาเป็นพอ และหากผู้ใดสามารถสังหารเขาได้ ข้าจะมอบดาราอมตะให้ดวงหนึ่งเพื่อใช้เสริมพลังให้ถึงระดับดาวพระเคราะห์!”

รางวัลชิ้นงามดังนี้ย่อมทำให้คนจำนวนไม่น้อยมีดวงตาแวววาวขึ้นมาทันใด แม้ไม่เอ่ยปากแต่ในใจล้วนเกิดความคิดมากมายขึ้นมา และแม้ว่าทุกคนต่างพุ่งตรงไปยังสิบภูผาใหญ่ แต่จิตใจบางส่วนของพวกเขาก็ยังคงพะวงอยู่ที่ภายนอกนั่น และยังคงคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของหวังเป่าเล่อ

ดังนี้เอง คนทั้งสามสิบคนที่มาถึงที่แห่งนี้ เว้นแต่หวังเป่าเล่อคนเดียว จึงพากันเลือกจับจองภูผาใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายหม้อหลอมของตนเอง บนภูผาใหญ่บางลูกมีผู้ฝึกตนอยู่เพียงผู้เดียว ส่วนบางลูกก็มีอยู่หลายคนที่ต้องการจับจอง ต่างฝ่ายไม่ได้ลงมือต่อกันในทันใด หากแต่ส่งสายตาเขม็งใส่กัน และยังคงเก็บอาการกันอยู่ เพื่อรอวินาทีที่ไม้กลองก่อร่างสำเร็จ

นั่นเพราะต่อให้เป็นฝ่ายรุกไล่ก่อนก็ไม่ได้มีความหมายใด หากเกิดบาดเจ็บขึ้นมา จนเป็นที่สังเกตเห็นของผู้ที่ต้องการช่วงชิงภูผาใหญ่หม้อหลอมคนอื่นๆ กลับยิ่งทำให้พ่ายแพ้ได้ง่ายขึ้น

หวังเป่าเล่อกวาดตามองจากไกลๆ เมื่อเห็นดังนี้ คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นมาน้อยๆ ด้วยสติปัญญาของทุกคน เขาจึงไม่มีโอกาสจับปลายามน้ำขุ่น[2] แต่หากเอาแต่รอแล้วค่อยเข้าไปชิงไม้กลองในภายหลัง แม้จะยังไม่รู้ว่าผลจะเป็นเช่นใด แต่เขาก็ยังรู้สึกอึดอัดใจอยู่ดี

เมื่อหวังเป่าเล่อคิดถึงตรงนี้ ก็กระแอมไอหนหนึ่งพลางพึมพำขึ้นมาในใจ

“ผู้อาวุโส พวกเขาไม่ไว้หน้าเราเลย…”

หวังเป่าเล่อพูดจบและรอสักพักหนึ่ง แต่ก็เห็นว่ากระดาษรูปมนุษย์ไม่ตอบมาก็กำลังจะถามต่อไป แล้วได้ยินเสียงถอนหายใจดังเข้ามาในหู

“เจ้านะเจ้า… นี่ไม่ใช่เจ้ารนหาที่เองรึ? ไปคว้าวาสนาแห่งโชคอย่างสงบๆ ไม่ดีหรือ…” มีความอ่อนล้าอยู่ในน้ำเสียงของกระดาษรูปมนุษย์ เห็นชัดว่ามันค่อนข้างปวดเศียรเวียนเกล้ากับเรื่องนี้ แต่สิ่งที่มีมากกว่าก็คือความระอาใจ รู้สึกว่าเหตุใดตนต้องมาพบเจอกับเจ้าตัวฉิบหายวายป่วงเช่นนี้

“คำนี้ของผู้อาวุโสไม่ถูกนะขอรับ ข้าเป็นถึงผู้ฝึกตน จะให้ทำตัวปกติธรรมดาก็ใช่ว่าจะไม่ได้ หากข้ามีตัวคนเดียว ย่อมต้องวางตัวเรียบเฉยอยู่แล้ว แต่ในเมื่อข้ามีผู้อาวุโสคอยช่วยเหลือ ข้าย่อมต้องพยายามไขว่คว้าหาผลประโยชน์เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตสักหน่อย หากผู้อาวุโสรู้สึกว่ายุ่งยาก เช่นนั้นผู้เยาว์ก็จะจัดการเรื่องนี้เองขอรับ” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากอย่างสงบ เขาพูดเรื่องจริง เพราะในมุมมองของเขา ต่อให้ไม่มีกระดาษรูปมนุษย์คอยช่วยเหลือ ผลึกมายาที่ได้มาก่อนหน้า เขาก็สามารถช่วงชิงมันมาได้ตัวตนเองอยู่แล้ว รวมทั้งเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ สำหรับเขาแล้วไม่ได้สลักสำคัญอะไร อย่างมากเขาก็แค่เข้าแลกด้วยตนเอง ไม้กลองสิบอันก็ไปชิงมาสักอัน ไม่ใช่เรื่องยากสักเท่าใด

แต่หากเป็นดังนี้…เรื่องที่เขาร่วมมือกับกระดาษรูปมนุษย์ก็จะไม่ได้มีความหมายอันใดไปด้วย ดังนั้นเขาจึงได้พยายามสุดความสามารถเพื่อจะได้ตักตวงผลประโยชน์ให้มากขึ้นไปอีก สิ่งที่ชายหนุ่มพูดทำให้กระดาษรูปมนุษย์นิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แม้จะรู้สึกไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง แต่เขาก็ยอมรับว่าสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดมีเหตุผลจริงๆ

เมื่อผ่านไปพักหนึ่ง กระดาษรูปมนุษย์ก็ถอนหายใจอีกหน

“ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าแล้ว เอาเถิด ข้าจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาพิเศษในการหลอมอาวุธให้เจ้า มันมีนามว่า ‘ย้ายบุปผาต่อต้นใหม่’!”

…………………………………………………

[1] ย้ายบุปผาต่อต้นใหม่ เป็นสำนวน หมายถึงการยักยอก ยักย้ายถ่ายเทของของผู้อื่นมาเป็นของตน

[2] จับปลายามน้ำขุ่น เปรียบเปรยว่า ตักตวงผลประโยชน์ในยามที่กำลังวุ่นวาย

การจับเวลาการทดสอบเที่ยงตรงยิ่ง จังหวะที่เวทเคลื่อนย้ายเริ่มทำงานนั้น ทุกคนต่างใจเต้นระรัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเจ็ดคนที่ตัดสินใจลงมือ พวกเขาล้วนมีฝีมือการต่อสู้ไม่ธรรมดา ถึงแม้ว่าจะห่างชั้นกับแม่สาวกระพรวนและคนอื่นๆ อยู่บ้าง แต่ความห่างชั้นที่ว่านี้กลับไม่ได้สร้างความแตกต่างมากนัก

อันที่จริงแล้ว พวกเขาเองต้องฝืนซ่อนความสามารถมาตลอด ในบรรดาเจ็ดคนนี้ถึงกับมีบางคนเป็นผู้จ่ายเงินซื้อสิทธิ์ขึ้นเรือจากหวังเป่าเล่อด้วยซ้ำ ทว่าตอนนี้เห็นได้ชัดว่าต่อให้พวกเขาไม่ได้ซื้อ เพียงพึ่งพากำลังตนเองก็ยังสามารถข้ามทะเลกระดาษสีดำได้

ทว่าพวกเขากลับเลือกที่จะทนซ่อนไว้จนถึงยามนี้ การลงมือสายฟ้าแล่บเช่นนี้ย่อมทำให้ผู้คนตกตะลึง แถมฝีมือของพวกเขานั้นยังเกินที่คาดเดาไว้ด้วย อย่างไรก็ดี…ที่นี่กลับไม่ได้มีแค่พวกเขาที่ฉลาด เหล่าผู้ถือครองผลึกบางส่วนที่ถูกทั้งเจ็ดคนเล็งเป้าหมายนั้นต่างก็เป็นผู้มีความสามารถทั้งสิ้น แม้ความสามารถที่ว่านี้อาจไม่สูงส่งนัก แต่ก็มาพร้อมสัญชาตญาณการระวังภัยที่สูงมาก

ดังนั้นแล้วในพริบตาที่พวกเขาลงมือ หกคนที่ถูกเหล่าเจ็ดคนนี้เพ่งเล็งนั้นก็ระเบิดพลังปราณอย่างไม่ลังเล และโต้ตอบทันใด

หวังเป่าเล่อเองก็เป็นเช่นเดียวกัน แม้ฝ่ายตรงข้ามจะจับจังหวะได้ถูก เล็งช่วงเวลาหลังจากที่เขาต้องปลดผนึกหลายๆ ชิ้นและอยู่ในสภาวะอ่อนแรงที่สุด และเป็นจังหวะที่เขากำลังอยู่ในสภาวะอารมณ์แปรปรวนเพราะพลังของเวทเคลื่อนย้ายเหนี่ยวนำ ลงมือร่วมกับแม่สาวกระพรวนเสียเลย แผนการณ์นี้นับว่าสมบูรณ์แบบเสียจนกระทั่งหากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น หรือแม้แต่ชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้น เจอความเรื่องเข้าไปก็อาจพลาดท่าได้

ทว่าสำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว…มันไม่เหมือนกัน!

เพราะใดๆ แล้วจุดอ่อนของเขาก็เป็นของปลอม อีกอย่างพลังของเวทเคลื่อนย้ายก็แทบไม่มีผลอะไรต่อเขาเลย ทุกสิ่งล้วนอยู่ภายใต้ความควบคุมของเขาอยู่แล้ว ถึงแม่สาวกระพรวนจะแข็งแกร่ง แต่หวังเป่าเล่อก็คอยระวังไว้แต่แรก ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ…เขามีความมั่นใจ

ต่อให้คนอื่นๆ ไร้หนทางเข้าสู่การทดสอบรอบต่อไป แต่ตัวเขาต้องทำได้แน่นอน เพราะว่ากระดาษรูปมนุษย์อยู่ที่นี่ และกระดาษรูปมนุษย์นี้ก็ไม่ยินยอมให้เขาแพ้เสียด้วยสิ

ดังนั้น ในพริบตาที่คนผู้นั้นพุ่งตัวเข้ามาหา นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็พลันฉายจิตสังหารทันที

“บางทีอาจเป็นเพราะตั้งแต่มาถึงนี่ ข้าก็ไม่เคยฆ่าใคร พวกเจ้าเลยคิดว่าข้ารังแกง่ายสินะ?” หวังเป่าเล่อตะโกนลั่น พริบตานั้นวิชาดวงเนตรปีศาจด้านหลังตนก็ฉายภาพมายาขึ้น ภาพมายานี้ไม่ได้เล็งไปทางคนเบื้องหน้า ทว่าเล็งไปที่แม่สาวกระพรวนที่โผล่มาจากด้านหลังอีกฝ่าย เขาพลันเบิกดวงเนตรปีศาจกว้างทันที

เมื่อดวงเนตรปีศาจกะพริบ ขุมพลังพันธนาการก็สำแดงฤทธิ์ ต่อให้แม่สาวกระพรวนจะระวังไว้ก่อนแล้ว ร่างกายของนางก็ชะงักอยู่ดี และในจังหวะที่นางชะงักนั้น เกราะจักรพรรดิที่หวังเป่าเล่อสวมอยู่ก็พลันชยายร่างเขาให้เสมือนยอดเขา พลังอำนาจแผ่ซ่านออกมา จากนั้นเขาก็ใช้ร่างอัดกระแทกเข้าใส่หนึ่งในเจ็ดคนที่เล็งเขาเอาไว้คนนั้นโดยตรง!

ผู้ที่โจมตีเขาคนนี้หน้าตาธรรมดานัก อาจกล่าวได้ว่าอัปลักษณ์ทีเดียว เป็นพวกที่มักจะจมหายไปในฝูงชน ปกติสีหน้าของคนผู้นี้จะแข็งเหมือนไม้กระดาน น้อยมากที่เขาจะแสดงอารมณ์ ทว่าบัดนี้เขา…หน้าเปลี่ยนสีแล้ว

สาเหตุเพราะการโจมตีของหวังเป่าเล่อรุนแรงบ้าคลั่งประหนึ่งสัตว์อสูรยักษ์จากบรรพกาล ไม่เพียงแค่ความเร็วสูงล้ำ ยังลงมือได้อำมหิต ไม่เผยให้เห็นจุดอ่อนสักนิด ในจังหวะที่ร่างของหวังเป่าเล่อกระแทกกับตัวเขา ก็พลันเกิดเสียงระเบิดกังวาลในห้วงจิตและสภาวะอารมณ์ขึ้น

แม้จะอธิบายได้ยืดยาวเพียงนี้ แต่จริงๆ ทุกสิ่งนั้นเกิดขึ้นในเพียงชั่วพริบตาหนึ่งเท่านั้น ชายหนุ่มรายนั้นก็พลันร้องโหยหวน กระอักเลือดออกมาเต็มไปหมด สีหน้าของเขาซีดขาวหวังจะถอยหลัง แต่กลับช้าไปแล้ว เพราะหวังเป่าเล่อตัดสินใจรุก ร่างกายของหวังเป่าเล่อมีเสียงดังขึ้นพรึ่บหนึ่งก่อนจะกลายเป็นกลุ่มหมอก ไล่ตามคนคนนั้นไปติดๆ จากนั้นหวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้น เพ่งสมาธิไปยังปลายนิ้ว แล้วชี้ไปยังหว่างคิ้วของชายหนุ่มคนนั้น

เกิดเสียงก้องขึ้นคราหนึ่ง ร่างกายชายหนุ่มสะท้านรุนแรง ดวงตาเบิกโพล่ง ประกายตาหม่นหมองลงทันที ตัวเขาเหลือเพียงแต่แววตาไม่อยากจะเชื่อเท่านั้น หลังหวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น กะโหลกศีรษะของคนชายคนนั้นก็ระเบิดในพริบตา ร่างกายของเขาแตกสลายกลายเป็นเถ้า…เหลือเพียงลูกไฟดวงหนึ่งที่มีขนาดประมาณเมล็ดพืชและรูปร่างคล้ายกระพรวน ร่างกายส่วนอื่นแตกสลายกลายเป็นฝุ่น อย่างไรก็ดี นี่กลับมิใช่วิญญาณของคนผู้นั้น มันเป็นเพียงปรสิตสิงร่างตัวหนึ่ง จังหวะนี้เองมันก็ลอยถอยไปหาแม่สาวกระพรวนที่อยู่ด้านหลัง!

“หือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตา มือขวางุ้มเป็นกรงเล็บ รีบคว้าลูกไฟกระพรวนเอาไว้ในมือแล้ว ใช้แรงบีบคราจนเกิดเสียงแตกดังแกร๊กขึ้น แล้วลูกไฟนั้นก็สลายไปในพริบตา

“เซี่ยต้าลู่!” หลังจากที่มันแตก แม่สาวกระพรวนก็ร้องคำรามด้วยความแค้น

“เขาเป็นลูกน้องของเจ้าสินะ?” หวังเป่าเล่อหันมามองแม่สาวกระพรวนด้วยสายตาเย็นเยียบ พลันเห็นจิตสังหารในแววตาอีกฝ่าย ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะเอ่ยปาก แสงเรืองรองของผลึกมายาในมือก็พลันระเบิดออกครอบคลุมทุกสิ่ง

ไม่เพียงแต่แม่สาวกระพรวน สิ่งนี้เกิดขึ้นกับคนอื่นๆ เช่นกัน ผลึกมายาในมือต่างก็สาดแสงอาบทั้งร่างของพวกเขา ในจังหวะเดียวกันนี้เอง แม้ผู้รับใช้ของแม่สาวกระพรวนจะพ่ายแพ้ให้หวังเป่าเล่อ แต่อีกหกคนที่เหลือ ก็ยังมีถึงสามคนที่ชิงเอาผลึกมาได้สำเร็จ

เหล่าผู้ฝึกตนทั้งสามคนที่ถูกชิงผลึกมายาไปได้แต่ร้องตะโกนแค้นใจ ทว่าพวกเขากลับทำอะไรไม่ได้มาก ได้แต่เบิกตามองร่างกายของเหล่าผู้ชิงผลึกทั้งหลายค่อยๆ ถูกแสงสว่างกลบมิดไป

และในเวลาเดียวกันนี้เอง สิ่งเดียวกันก็ย่อมเกิดกับหวังเป่าเล่อ แสงสว่างนั้นแผ่ออกมาจากอกของเขา ส่งผลให้ผลึกมายาลอยออกมา แต่ทันใดนั้น ผนึกซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรบนตัวมันก็ถูกดึงออกไป ทำให้แสงสว่างนั้นเริ่มแผ่คลุมร่างกายของเขาเช่นกัน

ฉากนี้ นอกจากจะทำให้หวังเป่าเล่อกะพริบตาแล้ว เขายังสังหรณ์ว่าตัวเขาลืมอะไรไปบางอย่างแน่ๆ

วินาทีนี้เอง หวังเป่าเล่อก็พบจุดบกพร่องของตน…เขาสัมผัสได้ทันทีว่าเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่ถูกแสงผลึกอาบร่างจากทุกทิศนั้น ล้วนแต่ค่อยๆ หันมามองทางเขา สีหน้าทุกคนฉายแววประหลาด

“ข้า…ข้า…” พริบตานั้นหวังเป่าเล่อปวดใจยิ่งนัก เพราะเขาเพิ่งจะคิดออกว่าตนเองปลดผนึกให้คนอื่นๆ หมดแล้ว แต่เหลือแค่ส่วนของเขาชิ้นนี้เท่านั้นที่สุดท้ายลืมปลด…นี่ก็โทษเขาไม่ได้ เป็นเพราะตอนแรกพี่ชายผู้สูงส่งท่านนั้นไม่ให้ความร่วมมือ ทำให้เขาต้องแยกสมาธิ แถมต่อมาแม่สาวกระพรวนและลูกน้องก็โจมตีเขาอีก จุดนี้ย่อมทำให้หวังเป่าเล่อเสียเวลาไปกว่าเดิม

และเป็นผลให้ตัวเขาลืมผลึกมายาของตนเองไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะเขารู้ดีอยู่แล้วว่าถึงไม่ปลดผนึกก็ไม่ส่งผลอะไรทั้งนั้น ดังนั้นตัวเองก็เลยไม่ได้ใส่ใจ

มาถึงตอนนี้ ถึงหวังเป่าเล่อคิดจะปกปิดก็พบว่าไม่ทันการณ์แล้ว หลังจากแสงส่องจ้า พลังของเวทเคลื่อนย้ายก็ไหลมารวมกัน ต่อมาในพริบตานั้น เงาร่างของพวกเขาทั้งสามสิบคนก็พร่าเลือนไป

เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้ หวังเป่าเล่อเองก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาปลอบใจตัวเอง

“ไม่เป็นไรหรอก ไม่เป็นไร ข้าก็เคยบอกไว้แล้วนี่ ว่าไม่ปลดผนึกก็อาจจะผ่านเวทเคลื่อนย้ายได้…”

หลังปลอบใจตนเองเสร็จ ฟ้าดินก็หมุนคว้าง เงาร่างของพวกเขาทั้งสามสิบคนก็หายไป พวกเขาถูกพลังเวทเคลื่อนย้ายอันมโหฬารนั้นลากห่างจากดาวมายา

หลังจากนั้น เมื่อเวทเคลื่อนย้ายสิ้นสุดลง ทุกคนก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของพวกเขานั้นช่างน่าตื่นตาตื่นใจนัก มันเป็นโลกในอีกดาวเคราะห์หนึ่งซึ่งแตกต่างจากดาวมายาอย่างสิ้นเชิง!

บนโลกใบนี้ มีสายน้ำยาวเหยียดสายหนึ่ง แม้จะมันคดเคี้ยวแต่ก็ยิ่งใหญ่ตระการตา ที่ลอยอยู่ในนั้นกลับไม่ใช่น้ำแต่เป็น…ลาวาเดือดพล่านที่ร้อนระอุ แผ่อุณหภูมิสูง ความร้อนทำให้โลกทัศน์บนโลกนี้ถึงกับบิดเบี้ยว พื้นที่ที่แม่น้ำนี้สายไหลผ่านนั้น ก็ดูประหนึ่งภูผายักษ์สิบลูกไม่ปาน!

ที่กล่าวว่าคล้ายกับภูผานั้น ก็เพราะองค์ประกอบของมันคือหิน แต่รูปลักษณ์ของสถานที่กลับไม่ค่อยปกตินัก ลักษณะของภูเขาแห่งนี้…คล้ายกับหม้อหลอมขนาดยักษ์

และบนยอดสูงสุดของหม้อหลอมทรงภูผาเหล่านี้ ก็สามารถเห็นเงาของไม้กลองแท่งหนึ่งที่ลอยไปมาอย่างอัศจรรย์ได้ เงานี้พร่าเลือน แม้มองเห็นได้แค่ลักษณะโดยรวม แต่แน่นอนว่า…มันกำลังค่อยๆ ประกอบร่างไม่ช้าองค์ประกอบเหล่านี้ก็ค่อยๆ กลายเป็นรูปลักษณ์ที่จับต้องได้!

“ไม้กลองน้อมดารา! ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาแคบ พร้อมพึมพำในใจ

และไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่มองไม้กลองนี้ออก แต่คนอื่นๆ ที่นี่ล้วนดวงตาสว่างวาบ อาศัยความรู้จากบันทึกของแต่ละตระกูลและสำนัก แม้พวกเขาจะพบว่าการทดสอบครั้งนี้ต่างจากรอบอื่นๆ อยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็ยังคงได้รับสิ่งเดียวกัน นั่นคือไม้กลองน้อมดารา!

และในเวลานี้เอง เสียงประกาศก้องซึ่งจะมาก่อนการทดสอบทุกครั้งก็ดังขึ้นอีกรอบ

“นี่คือการทดสอบครั้งสุดท้ายที่พวกเจ้ารอคอย ในบรรดาสามสิบคน จะมีผู้ถูกคัดเลือกสิบคนที่ได้รับไม้กลอง สิบคนนี้…หลังจากได้พกผ่อนแล้ว พวกเจ้าจะเป็นผู้ตีกลองสวรรค์ ชักนำดารานับหมื่นหมื่นดวงมาบ่มเพาะโชควาสนา ในวันบูชาฟ้าของพวกเราชาวจักรวรรดิดาวตก”

“ตอนนี้…เริ่มได้! ”

น้ำเสียงนั้นดุจสายฟ้าฟาดสะท้อนไปรอบทิศ พอกล่าวจบ เสียงก็ยังดังก้องไปทั่วทำให้ทั้งบริเวณดาวดวงนี้กระเพื่อมไหว และพาให้ทุกคนหายใจติดขัด แน่นอนว่าพวกเขาบากบั่นมาตลอดเส้นทางนี้ ต่อสู้แย่งชิงมาจนถึงวันนี้ ก็เพื่อ…ให้ได้รับดวงดาราพิเศษ แลกการยกระดับร่างดาวเคราะห์!

และในตอนนี้เอง…ความสำเร็จก็อยู่แค่เอื้อมมือแล้ว ขอเพียงแย่งไม้กลองน้อมดารามาได้ ก็แปลว่าพวกเขาจะได้สิทธ์ในการบ่มเพาะโชควาสนาแล้ว ส่วนจะน้อมดาราได้สำเร็จหรือไม่ ก็ต้องดูความสามารถของแต่ละคนเอา!

กรรมวิธีที่ว่านี้ ทุกตระกูลและสำนักล้วนมี ในจังหวะน้อมดาราสั้นๆ ที่สำคัญยิ่งยวดนี้ย่อมช่วยให้พวกเขาสามารถยกระดับฝึกปรือได้มากมายนัก

ทว่าในตอนที่ทุกคนกำลังจะแยกย้ายไปตามภูผาทั้งสิบลูก แม่สาวกระพรวนก็พลันหันหน้ามาจ้องหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเย็นเยียบ พลางขยับริมฝีปากแล้วส่งกระแสจิตมา

“ข้าจะให้โอกาสสุดท้ายแก่เจ้า จงมาเป็นทาสศึกของข้าเสีย ข้ารับประกันว่าชีวิตเจ้าจะรุ่งโรจน์! ”

……………………………………

หวังเป่าเล่อกล่าวประโยคนี้อย่างตรงไปตรงมา ทั้งยังอธิบายเหตุที่ตนเองปฏิเสธก่อนหน้าจนหมด คนอื่นๆ รู้สึกว่าเขาซื่อตรงดี โดยเฉพาะคำพูดนั้น ฟังๆ ดูแล้วมีเหตุผลบวกกับว่าไม่มีใครรู้เรื่องความผิดปกติของผนึกกับดักด้วย

ต้องคิดให้รอบคอบเผื่อเรื่องที่ปลดผนึกไม่ออก และก็ต้องมั่นใจว่าจะปลอดภัยจากการถูกคนคิดบัญชีย้อนหลังด้วย หากเเป็นผู้อื่น ร้อยทั้งร้อยย่อมต้องคิดเหมือนหวังเป่าเล่อนี่แหละ

ก็เป็นเพราะเหตุนี้ เหล่าผู้คนที่ถือครองผลึกมายาอยู่ ณ ที่แห่งนี้ต่างก็ลงมืออย่างรวดเร็ว เหตุผลยังคงเป็นเรื่องเดิม พวกเขาไม่กล้านำโอกาสที่จะได้บ่มเพาะโชควาสนาไปเดิมพัน

อีกอย่าง ราคาก็แค่ห้าล้านผลึกสีชาดเท่านั้น ถึงจะเป็นเงินจำนวนมาก แต่ที่นี่ทุกคนก็ยังพอมีกำลังจ่ายไหว การใช้เงินจำนวนนี้เทียบกับการเสี่ยงเสียโอกาสกุมชะตาชีวิตแล้ว พวกเขาเห็นว่าเทียบกันไม่ได้

และนี่ก็เป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อคาดการณ์ไว้ ดังนั้นเขาจึงใช้คำพูดพลิกลิ้นนิดหน่อย ต้องขอบคุณประสบการณ์ที่เขาได้รับมาก่อนหน้า เขารู้แล้วว่านอกจากจะหาเงินแล้วควรซื้อใจคนไปพร้อมๆ กันด้วย

ดูท่าวันนี้ผลลัพธ์จะออกมาไม่เลว

หวังเป่าเล่อแสนจะพอใจ แต่เขาไม่เปลี่ยนสีหน้าสักนิด ทำตัวไม่สนอกสนใจผู้ถือครองผลึกมายารอบตัวคนอื่นๆ ที่ยังคงลังเล เขานั่งลงขัดสมาธิ จากนั้นโบกมือให้ผลึกมายาที่ฝูงชนส่งมานั้นมาลอยอยู่เบื้องหน้าตน เขาหลับตาแล้วใช้มือทั้งสองข้างหยิบมันขึ้นมา และเพื่อความสมจริง เขาก็เคลื่อนพลังสารัตถะเล็กน้อย ทำให้รอบด้านนั้นมีแสงมายาพร่างพราว ดูแล้วท่วงท่าไม่ธรรมดาจริงๆ

อาศัยวิธีการนี้ หวังเป่าเล่อก็เริ่มลงมือตามขั้นตอนที่กระดาษรูปมนุษย์ถ่ายทอดมาให้ ถอดผนึกบนผลึกมายาเหล่านี้ออกราวกับปอกเปลือกก็ไม่ปาน

เขาไม่กลัวว่าจะมีคนรบกวนระหว่างที่เขาลงมือ แม้ใจหนึ่งไม่ลดความระวัง แต่อีกใจหนึ่งนั้นก็มั่นใจ หากคนอื่นจะลงมือ พวกของหญิงสวมหน้ากากและชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้น รวมถึงเหล่าผู้ถือครองผลึกคนอื่นๆ ย่อมไม่ยอมเป็นแน่

ยิ่งเป็นจังหวะที่หวังเป่าเล่อกำลังช่วยพวกเขาปลดผนึกอยู่แล้วด้วย

ในเมื่อเรื่องนี้หวังเป่าเล่อเข้าใจ คนอื่นๆ เองก็ย่อมเข้าใจ คนรอบด้านเองก็มองออก ดังนั้นแล้วจึงทำได้เพียงจ้องปราณบนตัวหวังเป่าเล่อที่แผ่ซ่านแข็งกล้ามากขึ้น ในส่วนผลึกมายาที่วางอยู่เบื้องหน้าเขานั้น สามารถเห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่าว่าพื้นผิวที่ปกคลุมอยู่ถูกลอกออก แสงอร่ามค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้น จนในท้ายที่สุดก็ส่องแสงแวววาวคล้ายเนื้อหินหยก มันแผ่แสงเจิดจรัสสว่างใส ในเวลาเดียวกันหลังจากที่อุปสรรคถูกขจัดไปแล้ว เวทเคลื่อนย้ายในสถานที่นี้ก็แผ่ขุมพลังของมันได้จนถึงขีดสุด

แม้จะไม่ได้เปล่งเสียงดังอึกทึกออกมา แต่ผู้ที่เห็นผลึกมายานั้นทั้งหมดก็ล้วนเกิดความคิดเงียบๆ ขึ้นในใจ แม้แต่คนที่ไม่เคยเห็นผลึกมายาของจริง ก็แน่ใจอย่างยิ่งว่านี่…จึงจะเป็นลักษณะที่ผลึกมายาของจริงควรมี

ขณะเดียวกัน สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็สอดคล้องกับความทรงจำของทุกคน เพราะลักษณะนี้เหมือนกับที่บันทึกตระกูลและสำนักต่างๆ นั้นจดไว้ทุกประการ บรรดาพวกที่ตั้งข้อสงสัยและยังไม่ได้เอ่ยปากขอร้องให้หวังเป่าเล่อปลดผนึกให้แต่แรก ก็ค่อยๆ ตาสว่างวาบ รวมถึงหลี่หลินจื่อด้วย เขาคือหนึ่งในผู้ถือครองผลึกมายาทั้งสามสิบคน แต่เพราะมีเรื่องขัดแย้งกับหวังเป่าเล่ออยู่เป็นทุนเดิม เวลานี้เขาจึงเริ่มร้อนใจ

กระบวนการปลดผนึกนั้นไม่ได้ใช้เวลาสักเท่าไหร่ แต่เพื่อบรรลุจุดประสงค์ หวังเป่าเล่อจึงแสร้งยืดเวลาออกไป นี่ทำให้พวกคนที่ไม่ได้รีบส่งผลึกมาให้ปลดผนึกตั้งแต่แรกเริ่มทยอยกันร้อนรน ในตอนที่ระยะเวลาของการทดสอบนี้จะสิ้นสุดลงในอีกหนึ่งก้านธูปนั้น หวังเป่าเล่อพลันเบิกตาโพล่งแล้วสะบัดมือขวาคราหนึ่ง ทันใดนั้น เหล่าผลึกมายารอบด้านก็เหมือนถูกปัดฝุ่นผงเสี้ยวสุดท้ายออกไปจนสิ้น ชั้นแสงเจิดจ้าก็ทวีความรุนแรงขึ้นในพริบตา

“น่าจะได้แล้ว แต่ไม่รับประกันว่าจะคงที่ได้นานเท่าไหร่ ข้าเองก็พยายามสุดความสามารถแล้ว” สีหน้าของหวังเป่าเล่อซีดขาว เขาเอ่ยคำพลางโบกมือ ทันใดนั้นผลึกมายาก็ลอยกลับไปสู่มือของเจ้าของทั้งหลาย พวกของหญิงสวมหน้ากากก็รับผลึกไว้ในท่าเดียว

ยังไม่ทันที่ใครจะพูดสิ่งใด เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋ารายอื่นๆ ที่ยังไม่ได้ปลดผนึกก็ไม่ลังเลแล้ว พวกเขารีบส่งผลึกมายาในมือให้พร้อมด้วยบัตรผลึกสีชาดของแต่ละคน หลี่หลินจื่อเองก็แฝงอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย เขาหลบอยู่ในหมู่ผู้คนอย่างร้อนตัว กลัวจะถูกหวังเป่าเล่อเห็นเข้า!

เขาไม่เคยคิดว่าจะเป็นเช่นนี้เลย แต่เมื่อลองเทียบผลึกมายาของทั้งสองฝ่าย โดยไม่ต้องใช้ความรู้ใดๆ เพียงแค่มองก็พบความแตกต่างแล้ว

แล้วยิ่งเวลาใกล้จะหมดลง เขาจะไม่ร้อนใจได้อย่างไร หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ยอมรับไปเสียที จังหวะนี้เอง หวังเป่าเล่อกลับสูดหายใจเข้าลึกแล้วเบนสายตามายังกลุ่มคน

“พวกท่านคิดดีแล้วหรือยัง” ”

“สหายเซี่ยเชิญลงมือให้เต็มที่ ต่อให้สุดท้ายสามารถผ่านเข้ารอบได้ทั้งที่ไม่ต้องปลด นั่นก็เป็นความสมัครใจของข้าเอง จะไม่ถือโทษเจ้า!” ”

“ถูกต้อง สหายเซี่ยโปรดวางใจ” ”

เมื่อได้ยินคำพูดของคนเหล่านี้ หวังเป่าเล่อก็เผยท่าทีลังเลก่อนจะสูดลมหายใจอีกคราหนึ่ง เขาส่ายหน้าแล้วก็ถอนหายใจยาว

“ช่างเถอะ ในเมื่อเป็นความต้องการของทุกคน เช่นนั้นข้าแซ่เซี่ยคงได้แต่ต้องช่วยแล้ว” ระหว่างที่กล่าว หวังเป่าเล่อก็ทำท่าระอาใจแล้วกำลังจะปลดผนึก ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าจำนวนไม่ถูก เมื่อเทียบจำนวนคนที่อยู่เบื้องหน้าแล้ว เหมือนว่าผลึกมายาจะขาดไปชิ้นหนึ่ง

ที่หายไปย่อมไม่ใช่ของเขา แต่เป็นของคนในกลุ่มนั้น ซึ่งไม่ได้ขอร้องให้หวังเป่าเล่อช่วยปลดให้

บรรดาคนที่ไม่ได้ขอให้ช่วยนั้น หวังเป่าเล่อเคยเห็นมาก่อน ก็คือเหล่าคนที่เคยอยู่ตรงประตูห้องโถงนั่น พี่ชายผู้สูงส่งที่หวีผมตั้งทรงเม่นคนนั้น

พี่ชายผู้สูงส่งท่านนี้ยืนอยู่ในกลุ่มคนพอดี ฝ่ายนั้นกำลังกอดอก เหมือนต่อสู้กับตนเองอยู่ เมื่อสัมผัสได้ถึงแววตาของหวังเป่าเล่อ เขาก็พลันถลึงตา แค่นเสียงเฮอะหนึ่งที

“ไม่ต้องมองหรอก ข้าจะไม่ปลดผนึก! ”

“ช่างหัวรั้นเสียจริง…” หวังเป่าเล่อรู้สึกพิลึก อีกฝ่ายทำตัวเช่นนี้ทำให้เขาวางตัวลำบาก ในกรณีที่ทุกคนปลดผนึกแล้ว ก็จะไม่มีจุดแตกต่างให้เทียบ แล้วก็จะไม่มีเรื่องชวนกังขาให้คนกลุ่มนี้จับสังเกตได้

แล้วนั่นคือการจบเรื่องราวที่ดีที่สุด ต่อให้ก่อนหน้านี้เขาออกปากไว้หลายรอบก็ตาม แต่เขาก็ทราบดี มารยาทนั้นส่วนมารยาท ความเป็นจริงก็ส่วนความเป็นจริง หากคนพวกนี้พบว่าไม่ปลดผนึกก็ผ่านได้เมื่อไหร่ แม้คนจำนวนหนึ่งจะไม่ถือสา แต่ก็ย่อมมีคนที่ไม่พอใจแล้วรุมโจมตีเขาแน่นอน

เรื่องที่พวกนี้จะเพ่งเล็งเขานั้น หวังเป่าเล่อไม่สนใจ ทว่าเลือกให้มันไม่เกิดขึ้นจะดีกว่า ดังนั้นแล้วเขาจึงตัดสินใจเผยรอยยิ้ม สีหน้าไม่ปรากฎแววพิรุธ กลับกันก็พลันเสแสร้งเป็นมิตร

“สหายเต๋าท่านนี้ ทุกคนมาอยู่ตรงนี้นับว่ามีชะตาต้องกันอยู่บ้าง เอาล่ะ ของผู้อื่นข้าปลดหมดแล้ว เหลือแค่ท่านเท่านั้น เอาอย่างนี้ไหม ถือเป็นค่ามิตรภาพ ข้าจะทำให้ท่านโดยไม่คิดค่าแรงเลย” หวังเป่าเล่อเอ่ยปากพร้อมรอยยิ้ม เขายกมือขวาขึ้นชี้ไปยังพี่ชายผู้สูงส่งคนนั้น

ชายผู้สูงส่งรายนั้นได้ยินก็ตะลึง เขามองหวังเป่าเล่ออย่างพินิจพิจารณา ในใจก็พลันผ่อนคลาย คิดว่าก่อนหน้านี้เป็นตนที่หุนหันเกินไป คนหยิ่งอย่างหลี่หลินจื่อยังยอมวางมาดแล้ว ทำไมตนต้องยึดถือเรื่องเก่าๆ แล้วทำตัวไม่ชอบขี้หน้าเซี่ยต้าลู่ด้วยเล่า

อีกทั้งเจ้าเซี่ยต้าลู่ผู้นี้ ก็ไม่ได้คิดแต่จะหาผลประโยชน์อย่างแบบที่หลี่หลินจื่อว่า ที่สำคัญกว่าก็คือ…เซี่ยต้าลู่ผู้นี้ให้เกียรติเขา

ความจริงคนในสำนักมักบอกว่าเขาไม่ค่อยฉลาด แต่ตัวเขาเองนั้นรู้สึกว่ามิใช่ตนเองโง่เขลาหรอก แต่เขานั้นแค่เป็นพวกหยิ่งยโสและมั่นใจในตนเองมากเกินไป ดังนั้นแล้วเมื่อพบผู้ที่ให้เกียรติเขา เขาย่อมยินดีจะคบหาสมาคมด้วย

คิดได้เช่นนี้ เขาก็เริ่มมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

“เจ้าชื่อเซี่ยต้าลู่สินะ ข้าจำไว้แล้ว” น้ำเสียงแม้จะกระด้างไปบ้าง แต่นี่ก็คือน้ำเสียงปกติของเขา ระหว่างที่กล่าวก็ยกมือขวาขึ้นโบก จากนั้นก็โยนผลึกมายาของตนไปให้หวังเป่าเล่อ

“เจ้าหมอนี่ซื่อไปหน่อยไหม…” หวังเป่าเล่อกะพริบตา เขาแอบมองนิสัยของพี่ชายผู้สูงส่งนี่ออกแล้วแต่ก็ไม่ได้สนใจ เขาพลันยิ้มแย้ม ระหว่างนั้นก็หยิบผลึกขึ้นมาปลดผนึกออก

เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้ ท่ามกลางการรอคอยของทุกคน เวลาอีกหนึ่งก้านธูปก็ได้ผ่านไป ในช่วงก่อนที่เวทเคลื่อนย้ายในมิติฟ้าดินแห่งนี้จะทวีความรุนแรงมากขึ้น หวังเป่าเล่อก็ปลดผนึกเสร็จพอดี ผลึกมายาเริ่มส่องแสงไปทั้งสี่ทิศ เขาค่อยๆ บังคับให้แต่ละก้อนบินกลับไปหาเจ้าของ หลังจากผุดลุกขึ้น พริบตาเดียวกันก็เกิดเสียงระเบิดก้อง

พายุพัดโหมขึ้นสู่ฟ้า ผืนทวีปพลันมีคลื่นพลังซัดมาเป็นระลอก ในขณะที่คนรอบด้านต่างหัวใจเต้นกระหน่ำ เวทเคลื่อนย้าย…ก็เริ่มทำงาน!

ในเวลาเดียวกับที่เวทเคลื่อนย้ายเริ่มทำงาน…ก็มีเรื่องให้ทุกคนตกใจ ต่อให้เดาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ทุกสิ่งก็เกิดขึ้นเร็วเกินไป เหล่าผู้ที่ไม่ได้ถือครองผลึกมีอยู่เจ็ดคน…คนพวกนี้พลันลงมือรวบรัดรุนแรง คนเหล่านี้ปล่อยปลดพลังปราณและความเร็วออกมาเหนือกว่าในช่วงเวลาปกติของพวกเขาเอง การเคลื่อนไหวราวกับสายฟ้าฟาดนี้ ก็เพื่อหมายชิงเอาผลึกมายาเจ็ดชิ้นมาจากผู้ถือครองทั้งสามสิบคน

เมื่อเวลาใกล้สิ้นสุด มีคนหนึ่งในเจ็ดคนซึ่งเล็งหวังเป่าเล่อเอาไว้ จังหวะนี้เองแม่นางกระพรวนผู้นั้นลงมือสอดประสานกับอีกฝ่ายโจมตีมาทางหวังเป่าเล่อทันที

ส่วนอีกหกคนที่เหลือแม้มีเป้าหมายแตกต่างกันไป ทว่าทุกคนกลับพยายามทุ่มเทสุดชีวิตไม่แตกต่างกัน ทันใดนั้น เกิดเสียงดังก้อง ฟ้าดินหมุนคว้าง จากนั้นคลื่นพลังที่รุนแรงกว่าเก่าก็พลันโหมเข้ามาระหว่างที่ทุกคนกำลังต่อสู้กัน พาให้ลมพายุคลั่งกระหน่ำมาจากทุกสารทิศ!

………………………………………

“บิดาเจ้าเถอะ กระบวนท่าสารัตถะของมหาจักรพรรดิเทพมังกรสยบฟ้า…” เจ้าอ้วนน้อยหนังหน้ากระตุก พร้อมด่าทอในใจ เขารู้สึกว่าตนเองโชคร้ายสุดๆ นี่มันเจ้าโง่คนหนึ่งจริงๆ

“เห็นๆ อยู่ว่าอยากได้เงิน!” ข้าดันมองพวกหน้าเงินผิดไปจนได้! !” เจ้าอ้วนน้อยขบฟัน แต่คำพูดเหล่านี้เป็นเพียงคำพูดในใจ เกรงว่าครั้นตนพูดออกไปจะทำให้อีกฝ่ายโมโหแล้วอีกสักพักจะมาเอาคืนกับเขาแทน เช่นนั้นก็ไม่คุ้มเสีย

ไม่เพียงแค่เจ้าอ้วนน้อยที่เป็นเช่นนี้ คนอื่นก็พลันเผยสีหน้าพิลึกเช่นกัน หากเป็นผู้อื่นพูดเหมือนกับหวังเป่าเล่อ บางทีอาจมีคนเชื่อสักสองสามส่วน แต่หากเป็นเจ้าเซี่ยต้าลู่ผู้นี้เอ่ยปากล่ะก็ เกรงว่าความน่าเชื่อถืออยู่ที่ขั้นติดลบ

จริงๆ คนกลุ่มนี้ก็พอคาดเดาได้ล่วงหน้า เพราะในด่านแรกเขาขายสิทธิ์ แถมบนเรือยังขายผลไม้อีก ดังนั้นในเวลานี้หากหมอนี่ไม่ขายวิธีการปลดผนึก งั้นทุกคนก็เดาผิดเต็มประตู

ยามที่ทุกคนในกลุ่มกำลังมีสีหน้าประหลาดอยู่นั้น หวังเป่าเล่อกลับขมวดคิ้วถอนใจเศร้าๆ

“ทุกท่าน วิชาที่สืบทอดกันมาในตระกูล ข้าไม่อาจมอบให้ทุกท่านได้จริงๆ จุดนี้หวังว่าทุกท่านคงจะเข้าใจ และตัดสินใจตามแผนเดิมของข้า ข้าสามารถปลดผนึกให้พวกท่านได้ แต่พวกท่านก็เห็นแล้ว ของเล่นชิ้นนี้จำต้องทดลองหลายครั้งถึงจะสำเร็จ เดิมทีสารัตถะของข้าก็ไม่อาจใช้เปลืองได้ ดังนั้นแล้ว…จึงหวังให้สหายเต๋าทุกท่านเข้าใจด้วย” หวังเป่าเล่อทำท่าอับจนหนทางจริงๆ กล่าวจบเขาก็หมุนตัวตังท่าจะจากไป

ทว่าในสายตาของทุกคน เห็นตรงกันว่าหวังเป่าเล่อคือความหวังหนึ่งเดียว จะปล่อยให้เขาไปได้เช่นไร ผู้ที่ไม่มีผลึกมายานั้นยังดี แต่เจ้าอ้วนน้อยกับหญิงสวมหน้ากากและอีกสองคนที่เหลือ เห็นชัดว่าไม่ยินยอม โดยเฉพาะสองรายหลัง ไม่เคยเจอความกลับกลอกของหวังเป่าเล่อมาก่อน เหตุนี้ในพริบตาที่หวังเป่าเล่อหันกาย พวกเขาทั้งสองคนก็พุ่งมาขนาบซ้ายขวาหวังเป่าเล่อทันที

“สหายเต๋าโปรดหยุดก่อน! ”

น้ำเสียงนี้แม้จะเจือคำสั่งแต่ก็ไม่มีเจตนาร้าย คลื่นพลังปราณของทั้งสองแผ่ออกจากกายเป็นช่วงสั้นๆ นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาจริงจังเพียงใด เวลายิ่งบีบคั้นมาเรื่อยๆ หากว่าพวกเขาไม่สามารถปลดผนึกบนผลึกได้ทันคงต้องเสียใจภายหลังอย่างยิ่งแน่ เวลาคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เห็นชัดว่าทั้งสองกำลังรู้สึกกดดันอย่างหนัก

“หือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตา พลันชุดเกราะจักรพรรดิบนร่างนั้นก็ระเบิดกระบวนเวท เขายกมือขวาจากนั้นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ก็แปรภาพสภาพ ฟาดไปเบื้องหน้าอย่างรุนแรง เสียงลมพัดกระหน่ำขุมหนึ่งก่อขึ้น มันพัดอยู่หน้าหวังเป่าเล่อแล้วแผ่ไปทั้งสี่ทิศ ผลักร่างของสองคนที่รุดเข้ามาหมุนตลบไปร้อยจ้าง ดวงตาของหวังเป่าเล่อทอประกายเย็นชา

“สองท่านนี้คิดทำสิ่งใด”

“สหายเต๋าเซี่ย ไม่ว่าท่านมีข้อแม้อะไรโปรดเสนอมา แต่มีเงื่อนไขเดียว….ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วันนี้ท่านต้องช่วยข้าปลดผนึกบนผลึกนี้ ไม่อย่างนั้นโปรดอย่าถือโทษที่ข้าต้องลงมือ”

“เจ้าบีบคั้นข้า?” เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินก็เปลี่ยนสีหน้า เขากะเวลาแล้วหันไปมองระยะไกล สัมผัสได้ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยเคลื่อนเข้ามาใกล้ จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ

“หากช่วยข้าปลดผนึก จะมอบผลึกสีชาดให้ 100,000 เม็ด!” เมื่อได้ยินเสียงหงุดหงิดของหวังเป่าเล่อ เจ้าอ้วนน้อยที่อยู่อีกด้านรีบตะเบ็งเสียง

“ไม่ได้หรอก สารัตถะของข้ามีไมมากขนาดนั้น กับแค่ภาระของตัวข้าเองยังจะแย่เลย ข้า….” หวังเป่าเล่อยังไม่ทันกล่าวจบ มหาศิษย์แห่งเต๋าอีกสองคนที่ไม่เคยคบค้ากับเขามาก่อน ก็อดทนเห็นเวลาไหลผ่านไปรวดเร็วไม่ไหว พวกเขาพลันระเบิดพลังปราณ พร้อมกับพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่ออีกครั้ง

แม้แต่เจ้าอ้วนน้อยยังหรี่ตาแล้ว เขากระโจนตามเข้าไปอย่างรวดเร็ว แต่หญิงสวมหน้ากากกลับนิ่งเฉย นางยังคงยืนอยู่ที่เดิม มองดูหวังเป่าเล่อด้วยสายตาที่ค่อนข้างพิลึก

หวังเป่าเล่อวางแผนไว้ล่วงหน้า ย่อมไม่อาจต่อสู้พัวพันกับพวกเขา จังหวะนี้จึงถอยเท้าอีกครั้ง ในขณะเดียวกันเหล่าผู้ฝึกตนกลุ่มที่สองก็มาถึงที่นี่ ผู้ที่นำหน้ามานั้นก็คือแม่นางกระพรวนแห่งสำนักเก้าวิหคเพลิง จักรภพสำนักเสริม เมื่อนางปรากฎตัวก็ยกนิ้วมือขวาขึ้นหนึ่งนิ้ว จากนั้นอักขระโบราณหลายพันตัวโผล่ขึ้นเบื้องหน้านางในทันที อักขระเหล่านั้นมากมายละลานตา หนึ่งตัวก็เสมือนเป็นกระพรวนหนึ่งลูก พวกมันแปรสภาพเป็นพลังสะกดข่มสายหนึ่ง พุ่งมายังหวังเป่าเล่อพร้อมเสียงดังสนั่น

นอกจากนี้แล้ว เหล่าผู้ถือครองผลึกมายาคนอื่นในกลุ่มที่สอง ก็ลงมือคล้ายๆ กัน ไม่ใช่เพราะนิสัยพวกเขามุทะลุ แต่เวลาจะสิ้นสุดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น

ท่ามกลางกระแสเวลาที่บีบคั้น พวกเขาต้องบังคับให้เซี่ยต้าลู่ผู้นี้หาวิธีปลดผนึกให้ได้ จึงค่อยสมประสงค์ของทุกคนที่นี่ ส่วนเหล่าผู้ฝึกตนกลุ่มที่สามที่อยู่ห่างออกไปนั้น ต่างก็รีบตะบึงเข้ามาใกล้

หวังเป่าเล่อเห็นชายหนุ่มท่าทางงามสง่าของสำนักเต๋าฝ่ายซ้ายที่หนึ่งรวมอยู่ในบรรดาคนกลุ่มนั้นด้วย เมื่อมองห่างออกไปอีกระยะ ก็ยังมีอีกหนึ่งปราณกระบี่อันเฉียบคมซึ่งแล่นเข้ามาด้วยความเร็วสูง

นอกจากนี้แล้ว รอบทิศยังมีคนอีกจำนวนมากที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่ สายตาพวกเขาเปล่งประกาย เห็นชัดว่ากำลังหาจังหวะเหมาะๆ ทุกสิ่งตรงหน้า ทำให้หวังเป่าเล่อเผยสายตาโมโหปนระอา แสดงท่าทีไม่พอใจ จากนั้นเขาจึงถอยเท้าพลางตะโกนออกมาเสียงดัง

“จะรังแกกันมากไปแล้ว!!” ข้าแซ่เซี่ยมิใช่คู่มือของพวกท่าน แต่ข้ามั่นใจแน่ว่าจะหนีได้จนกว่าจะครบครึ่งชั่วยาม หรือก็จนเวลาทดสอบหมดนั่นแหละ! พวกท่านทั้งหลายรังแกกันมากเกินไป ก่อนหน้านี้ก็หาว่าข้าใจดำ อาศัยการขายสิทธิ์หากำไร หลังจากนั้นพอมีจังหวะก็รวมตัวกันโจมตีข้า พอมาวันนี้ยังอยากขโมยวิชาของข้าอีก แถมยังบังคับให้ข้าช่วยพวกท่านปลดผนึก หากข้าไม่ยินยอมจะขายคงไม่ยอมกันใช่ไหม…ได้!!”

“พวกท่านให้ข้าเป็นคนเสนอใช่หรือไม่ งั้นหนึ่งคนต่อผลึกสีชาดห้าล้านเม็ด พวกท่านคนใดยอมมอบให้ ข้าก็จะปลดผนึกให้ผู้นั้น! ” หวังเป่าเล่อพ่นคำพูดออกมาด้วยท่าทีโกรธเคือง พอเอ่ยจบก็หันกายพร้อมจะถอยอีกครั้ง

ทว่าในพริบตาที่เขาเอ่ยคำพูดนั้นเอง หญิงสวมหน้ากากซึ่งเอาแต่จับจ้องพวกเขามาตั้งแต่แรกนั้นก็พูดขึ้นทันที

“ข้าซื้อ! ” พอกล่าวแล้ว นางก็หยิบเอาบัตรผลึกสีชาดขึ้นมาหนึ่งใบพร้อมกับผลึกมายาด้วยความเร็ว นางยื่นให้หวังเป่าเล่อแบบไม่กังวลว่าผู้อื่นจะเข้ามาชิงด้วยซ้ำ เป็นเวลาเดียวกับที่คนทั้งหมดต่างรุดมาถึงตัวเขาแล้ว จึงไม่มีใครกล้าก่อความวุ่นวายอีก แล้วบัตรผลึกสีชาดและผลึกมายาก็มาอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อด้วยประการฉะนี้

เห็นอีกฝ่ายยอมทำตามแบบไม่อิดออด หวังเป่าเล่อก็กะพริบตาหนึ่งที แล้วยื่นมือรับของมา ระหว่างนั้นเขาก็ครุ่นคิด ในใจรีบชั่งน้ำหนักว่าทำเช่นนี้ถูกหรือไม่ หรือว่ายังมีวิธีการใดที่จะหาผลประโยชน์ได้มากกว่านี้อีกไหม

“ข้าก็จะซื้อ! ” ในตอนที่หวังเป่าเล่อกำลังชั่งน้ำหนักในใจ แม่นางกระพรวนจากสำนักเก้าวิหคเพลิงที่ลงมือกับหวังเป่าเล่อก่อนหน้าก็รีบกัดฟันเอ่ยปาก แล้วหยิบเอาผลึกมายาและบัตรผลึกสีชาดออกมา

“ข้าเองก็ซื้อ! !” เจ้าอ้วนน้อยตะโกนเสียงดังแล้วหยิบของออกมา ในเวลาเดียวกัน ด้านหลังของหวังเป่าเล่อ ก็มีเสียงอึกทึกดังขึ้น

“พี่ชาย ข้าก็ขอซื้อ” ระหว่างที่กล่าว ด้านหลังของเขานั้นพลันมีมือน้อยๆ ยื่นบัตรผลึกสีชาดและผลึกมายาออกมา นั่นก็คือแม่นางน้อยที่ใช้วิชาศาสตร์มืดผู้นั้น

ในพริบตาที่นางปรากฎกายอยู่หลังตน ดวงตาหวังเป่าเล่อก็หรี่ลง เขาพบว่าตนเองนั้นจับสัมผัสไม่ได้เลยจนกระทั่งนางปรากฎตัว ปกติแล้วก่อนใครจะชิงลงมือ เขาสมควรจะมีเวลาตอบโต้ ทว่าแม่นางผู้นี้กลับเข้าใกล้เขาได้โดยที่ไม่ทำให้เขาเกิดความระวังสักนิด เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็พบกับแม่นางตัวน้อยที่เดินออกมาจากด้านหลังของตน และกำลังส่งยิ้มบางๆ มาให้

ในรอยยิ้มนั้น แฝงความลึกลับอยู่รำไร หลังส่งยิ้มให้นางก็กะพริบตาใส่เขา

อีกสองคนที่โผล่ออกมาในกลุ่มแรกเองก็กำลังกัดฟัน พวกเขาหยิบบัตรผลึกสีชาดออกมาโดยไม่รอให้หวังเป่าเล่อเอ่ยปาก นี่ไม่ใช่พวกเขารวยแต่โง่อย่างใด ทว่าเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋ารู้ดีว่าหากเงินสามารถแก้ปัญหาได้ก็ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่

อีกทั้งจังหวะนี้เวลาก็ใกล้จะหมดลงแล้ว ถึงแม้จะพอเดาถึงเล่ห์กลของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ออก บางทีการไม่ปลดผนึกอาจไม่ส่งผลอะไรมากนัก แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยัง…ไม่อยากจะเสี่ยง!

พร้อมกันนั้น ชายหนุ่มท่าทางสง่างามจากสำนักเต๋าฝ่ายซ้ายที่หนึ่งก็เพิ่งจะมาถึง พอเขามองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ก็ค่อยๆ ถอนหายใจ แม้ไม่เอ่ยสิ่งใด แต่มือก็หยิบบัตรผลึกสีชาดและผลึกมายาออกมาแล้วโยนให้หวังเป่าเล่อ

เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็เริ่มเปลี่ยนความคิด

“เอาล่ะ ข้าไม่ต้องการเงินของพวกเจ้าแล้ว เพราะจนถึงตอนนี้ พวกเจ้าเองก็ไม่ได้ลงมือกับข้า เช่นนั้นข้าจะช่วยปลดผนึกให้แบบไม่คิดค่าแรง!” หวังเป่าเล่อคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เก็บผลึกมายาเอาไว้ ก่อนจะโยนบัตรผลึกสีชาดคืน ในเวลาเดียวกันก็หันหน้าไปทางหญิงสวมหน้ากากก่อนจะเอ่ยปาก

“เงินของเจ้า ข้ายกเว้นให้แล้ว! ”

“เช่นนั้นเจ้าก็ละเว้นข้าเถอะ เรื่องไล่สังหารระหว่างเราสองคนก่อนหน้านี้ก็ให้ถือว่าแล้วกันไป คนตระกูลเซี่ยเช่นข้าทำสิ่งใด ล้วนมีหลักการของตน! ” หวังเป่าเล่อกล่าว แล้วก็มองไปยังชายหนุ่มชุดดำที่กำลังเข้ามาใกล้

ชายหนุ่มชุดดำนั้นชะงักไปชั่วครู่ เขามองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาลึกล้ำคราหนึ่ง จากนั้นก็ประสานหมัดคำนับแล้วยื่นผลึกมายามาให้

หญิงสวมหน้ากากเองก็มองหวังเป่าเล่อแบบกังขาแวบหนึ่ง แม้ไม่พูดสิ่งใดแต่ดวงตานางก็อ่อนลงเล็กน้อย ยังคงเป็นชายหนุ่มที่ดูสง่างามของสำนักเต๋าที่หนึ่งฝ่ายซ้ายคนนั้น ที่รู้สึกเหมือนผิดคาด เขาหันมายิ้มให้หวังเป่าเล่อบางๆ กลับกันแม่นางกระพรวนนั้นยังคงเป็นผู้เดียวที่ยังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่

“นอกจากนี้แล้ว ในส่วนของคนอื่นๆ หากอยากจะปลดผนึก ก็จ่ายมาคนละห้าล้าน! ” หวังเป่าเล่อทำสีหน้าเข้มงวดระหว่างที่กล่าว โดยไม่สนใจแม่นางกระพรวนที่กัดฟันแน่น

“แต่ข้าแซ่เซี่ยขอกล่าวไว้ก่อน ก่อนหน้านี้ข้าปิดบังพวกท่านเรื่องที่ตัวข้ามีสารัตถะเพียงพอที่จะปลดผนึกทั้งหมด ก็เพราะข้าไม่แน่ใจว่าการทดสอบในครั้งนี้ต้องการให้ปลดผนึกจริงหรือไม่ หรือการไม่ปลดผนึกจะกระทบต่อเวทเคลื่อนย้ายหรือไม่ ดังนั้นแล้วหากยังมีผู้ที่ยังไม่ได้ปลดผนึกแต่กลับผ่านการทดสอบได้อย่างราบรื่น ก็อย่าหาว่าข้าหลอกเอาเงินพวกท่านแล้วกัน”

“การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ ข้าไม่ยินยอมแต่แรก แต่เป็นพวกท่านบังคับข้าเอง ดังนั้น…เมื่อเข้าใจตรงกันแล้ว ข้าก็สามารถปลดผนึกให้ได้ แต่หากไม่ยินยอม…ก็ไม่ต้องมาหาข้า!”

“เห็นชัดว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดา ท่านคือผู้เยี่ยมยุทธ์” หวังเป่าเล่อผงะไปชั่วครู่ ประโยคที่เขาเอ่ยนั้นไม่ได้พูดออกมาทางวาจา แต่แอบพึมพำในใจ

เห็นเขาหนังหนาเช่นนี้ แต่จริงๆ แล้วมันเป็นวิธีเดียวเขาใช้ต่อสู้ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ เป็นวิธีที่เพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ตนเอง ความเชื่อมั่นนี้สามารถเปลี่ยนเป็นแรงขับเคลื่อนได้ อีกทั้งทำให้ตนมีความแน่วแน่ และกลายเป็นยอดคนได้

หลายปีที่ผ่านมานี้เขาก็ใช้วิธีนี้จนชำนาญแล้ว และเพราะเหตุนี้จึงได้โอกาสดีๆ หลายครั้ง หนึ่งในบรรดาความสำเร็จครั้งใหญ่นั้นก็คือหนทางลดน้ำหนักของตัวเขาเอง

แต่ตอนนี้ สิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจกลับถูกกระดาษรูปมนุษย์ล่วงรู้ มันทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกประหลาดใจพอตัว ดังนั้นเขาจึงรีบเปลี่ยนท่าทีทันใด เขามองไปทางกระดาษรูปมนุษย์ด้วยความเคารพ มองจากสีหน้าแล้วก็ไม่เห็นท่าทีผิดปรกติอันใด พูดว่าเป็นใบหน้าจริงใจก็ไม่เกินจริงไปนัก

แต่ว่าในใจเขากลับแอบทดลองพึมพำอีกประโยค

“ข้าก็แค่ให้กำลังใจตนเองเท่านั้น ให้ตนเองไม่เสียความมั่นใจเวลาเจอพวกมหาศิษย์แห่งเต๋าเหล่านั้น….เฮ้อ นี่นับเป็นความผิดหรือ” ”

ในขณะที่ความคิดอันหดหู่ของหวังเป่าเล่อผุดขึ้นมานั้น กระดาษรูปมนุษย์ข้างกายเขาก็เหลือบมองมาคราหนึ่ง แม้ไม่ได้กล่าวคำแต่แววตาของเขาก็บ่งบอกว่าเข้าใจ นี่ทำให้หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง แน่ใจว่าตนเองเดาถูก

แต่กระดาษรูปมนุษย์ไม่ได้ต่อบทสนทนานี้กับเขา ไม่ว่าเซี่ยต้าลู่เบื้องหน้าตนผู้นี้พูดจริงหรือมุสา ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขามากนัก เขาเห็นว่าการร่วมมือกันของทั้งสองนับว่าพร้อมสรรพ อีกทั้งตอนนี้ก็นับว่าน่าพอใจ ดังนั้นเมื่อทุกอย่างดำเนินต่อได้อย่างปกติ ก็นับว่าเป็นวิถีทางที่เหมาะสมที่สุดแล้ว

เขาสัมผัสได้ว่ากระดาษรูปมนุษย์มองตนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พลันหายไป ความรู้สึกของหวังเป่าเล่อกลับมาปกติอีกครั้ง แต่ในก้นบึ้งหัวใจก็ยังอดที่จะคิดคำนึงไม่ได้ เขารู้สึกว่าแม้โอกาสที่กระดาษรูปมนุษย์สามารถรับรู้ได้ถึงความในใจของเขานั้นจะมีอยู่ แต่ก็ไม่มากนัก

“หรือว่าเป็นวิธีอื่นกันนะ หรือว่ายังต้องมีเงื่อนไขอะไรอื่นอีก? “ในระหว่างที่หวังเป่าเล่อคิดหาคำตอบ เขาก็ไม่ได้สนใจว่ากระดาษรูปมนุษย์จะล่วงรู้ความคิดของตนหรือไม่ ต่อให้จับได้ก็ไม่เป็นไร เพราะนี่ก็คือความคิดที่คนส่วนใหญ่สมควรจะมีอยู่แล้ว

หากไม่คิดเช่นนี้ ก็เห็นชัดว่าเป็นการเสแสร้ง

“คิดไม่ออก ช่างมันแล้วกัน ข้าเองก็ไม่ได้มีจิตคิดร้ายกับท่าน นี่เป็นการร่วมมืออย่างจริงใจ ดังนั้นแล้วก็ไม่ควรจะไปคิดเล็กคิดน้อยอีก” หลังหวังเป่าเล่อพึมพำในใจเสร็จ ก็ปล่อยวางเรื่องนี้ลง แต่เขากลับเพิ่มความระมัดระวังในโลกจริง เมื่อเวลาผ่านไป ผลึกมายาก็ค่อยๆ ปรากฎขึ้นมาทีละอัน จนใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว

ในเวลาเดียวกัน เมื่อผู้ถือครองผลึกได้ศึกษาดูแล้ว ความสงสัยในใจของพวกเขาก็เพิ่มพูนขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าบนผลึกเหล่านี้มีผนึกอยู่ชั้นหนึ่ง

ผนึกนี้ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะในบันทึกของแต่ละตระกูลนั้น ก็ไม่เคยระบุถึงเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่ว่านี่เป็นการเดินทางมาสุสานดวงดาราครั้งแรก ก็ย่อมไม่เหมือนกับเรื่องทั่วไปอยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าตัดสินอะไร

สัญชาตญาณแรกสุด คือการเดาว่านี่….เป็นบททดสอบหรือไม่?

บททดสอบที่แอบซ่อนเอาไว้….ต้องแก้ผนึกนี้ออกให้ได้ ถึงจะนับว่าทำภารกิจครบถ้วน

ความคิดเช่นนี้ ถูกส่งผ่านหมู่คนที่ได้พูดคุยกัน จากนั้นก็ค่อยๆ กระจายไปทั่ว เมื่อมีคนเห็นพ้องกันมากเข้า ไม่ว่าจะเป็นบททดสอบหรือไม่ ผนึกนี้ก็ควรจะต้องถูกปลด เพราะว่า….เมื่อผลึกมายาชิ้นสุดท้ายถูกสาวน้อยที่ใช้พลังศาสตร์มืดชิงไปแล้ว ผลึกทั้งสามสิบก้อนก็ล้วนมีผู้ถือครอง พลังเคลื่อนย้ายขุมหนึ่งก็ค่อยๆ แผ่ซ่านไปทั่วดาวมายานี้

พลังขุมนี้ไม่นับว่าแกร่งกล้านัก แต่คนจำนวนมากก็สัมผัสได้ว่าจากนี้อีกประมาณครึ่งชั่วยาม คลื่นพลังนี้จะถึงจุดสูงสุด เมื่อถึงยามนั้น ตามกฎที่กระดาษรูปมนุษย์ผู้เยี่ยมยุทธ์กล่าวไว้ ทุกคนที่ถือครองผลึกมายา จะถูกเวทเคลื่อนย้ายไปยังบททดสอบถัดไป

ในส่วนของผู้อื่น…ก็จะถือว่าตกรอบทั้งหมด หมดคุณสมบัติในการได้รับโอกาสบ่มเพาะโชควาสนา

ทว่าเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่่ถือครองผลึกมายาเหล่านี้ พวกเขาต่างค้นพบว่าผนึกบนผลึกมายานั้นมีคุณสมบัติต่อต้านพลังเวทเคลื่อนย้าย ถึงแม้พลังที่ขัดกันนี้จะอ่อนเบา แต่พวกเขาไม่กล้าเสี่ยงด้วย หากจะเสียสิทธิ์เพราะไม่ได้ปลดผนึกเป็นเหตุ พวกเขาคงรับผลลัพธ์เช่นนั้นไม่ได้

ดูๆ ไปแล้วผนึกนี้ก็ประหลาดนัก ไม่ว่าแต่ละคนจะคิดใช้วิธีเฉพาะตัวเช่นไร ก็ไม่เป็นผลสักนิด ต่อให้เป็นเด็กสาวกระดิ่งหรือชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้น ก็สิ้นไร้หนทางจะปลดผนึกนี้ ใช้มาหลากหลายวิธีการก็ล้วนแต่ล้มเหลว

พวกเขาทั้งสองคนยังเป็นแบบนี้ คนอื่นๆ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง รวมไปถึงชายหนุ่มชุดดำและหญิงสวมหน้ากากในหมู่คนเหล่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป พลังเคลื่อนย้ายที่อยู่รอบตัวก็ยิ่งชัดเจนขึ้น แต่พลังต้านบนผลึกยังไม่หายไปสักกระผีก นี่ทำให้ของพวกเขาร้อนใจ

ในตอนแรก เหล่าคนที่ไม่ได้ผลึกมายามาครองได้สิ้นกำลังใจไปแล้ว แต่ในเวลานี้แต่ละคนก็พลันเกิดความคิด กระทั่งมีคนตะโกนขึ้นมาว่าตนเชี่ยวชาญด้านการปลดผนึกกับดัก

คนจำนวนนี้มีไม่น้อยทีเดียว แต่เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าทุกคนที่ถือครองผลึกมายาอยู่นั้นหยิ่งทรนงนัก ย่อมไม่สนใจพวกที่พูดง่ายๆ โดยไม่มีหลักฐานเช่นนี้ ส่วนเรื่องที่จะยื่นผลึกมายาให้อีกฝ่ายไปลองดู ไม่เพียงเป็นตัวเลือกสุดท้าย แต่พวกเขายังไม่คิดจะทำเช่นนั้นด้วย

เช่นนี้ อีกไม่นานเวลาก็จะสิ้นสุดแล้ว เหลือเพียงแค่ครึ่งชั่วยามเท่านั้น คลื่นพลังเคลื่อนย้ายของดาวมายาพลันรุนแรงขึ้นทุกขณะ ราวกับอยู่ในมหาสมุทรกว้าง ส่วนผลึกมายาทั้งสามสิบชิ้นนั้น ก็เปรียบเหมือนเขาสูงท่ามกลางทะเลกว้าง เดิมที่ควรจะส่องแสงชัชชวาล แต่เพราะมีผนึกนี้อยู่ พวกมันจึงยังคงอยู่ในสภาพเดิม แต่กลับให้ความรู้สึกเหมือนมีม่านบางๆ ปกคลุมอยู่

คล้ายมังกรที่ถูกกักอยู่ และไร้หนทางทะยานสู่นภาก็ไม่ปาน

ทั้งหมดนี้ ทำให้เหล่าผู้ถือครองผลึกมายาจิตใจกระวนกระวาย จังหวะนั้นเอง หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ก็ พลันลืมตาโพล่งขึ้นมา

“ได้เวลาแล้ว…” เขาพึมพำเสียงเบา นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเจือประกายตื่นเต้น หลังสูดหายใจเข้าลึก เขาก็ข่มความตื่นเต้นนี้ไว้ได้ กลับสู่จิตสงบอีกครั้ง จากนั้นเขาก็หยิบผลึกมายาของตนออกมา ต่อให้รอบด้านไม่มีคน แต่เขาก็ยังแสร้งแสดงสักรอบ อิงตามวิธีที่กระดาษรูปมนุษย์ถ่ายทอดมา เขาก็ใช้นิ้วจิ้มไปยังผลึกมายาเบื้องหน้าคราหนึ่งอย่างรวดเร็ว

ด้วยหนึ่งดรรชีนี้เอง ผลึกมายาเบื้องหน้าก็พร่าเลือนในทันใด แต่ชั่วพริบตา มันก็พลันกระจ่างชัดอีกครั้ง ผนึกกับดับบนนั้นสลายไป เหมือนเม็ดไข่มุกที่ขจัดฝุ่นผงไปสิ้น เหมือนมันเริ่มสาดแสงราวกับโคมออกมา ตอนนั้นเอง แสงแสบตาก็เกิดเป็นเสียงก้องกังวาลพร้อมแสงจรัส

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ไร้หนทางปกปิด เหมือนคบเพลิงในราตรีที่มืดมิด เพียงกะพริบตาก็ส่องสว่างไปทั้งแปดทิศแล้ว ทุกคนที่อยู่บนดาวมายาสัมผัสถึงมันได้ในทันใด สายตาแต่ละคู่กวาดไปยังตำแหน่งนั้น พวกเขาจ้องมายังทิศทางที่หวังเป่าเล่ออยู่

เงาร่างพร้อมพลังมหาศาลโบยบินมา ราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากแล่งตรงมายังที่นี้ ด้วยเวลาอันจำกัด พวกที่อยู่ห่างออกไปต่างก็ทุ่มสุดความสามารถเพื่อมายังที่ตรงนี้อย่างไม่สนใจสิ่งใด แต่ ก็ไม่อาจมาได้ทันเวลา จำนวนคนที่สามารถปรากฎตัวมาอยู่รอบหวังเป่าเล่อได้ในจังหวะแรกนั้น มีไม่ถึงสามสิบคน

และในจำนวนนั้นก็มีผู้ที่ถือครองผลึกมายาแค่สี่คน

หญิงสาวสวมหน้ากากคือหนึ่งในนั้น แล้วยังมีอีกคนที่หวังเป่าเล่อคุ้นเคย ก็คือเจ้าอ้วนน้อย ส่วนอีกสองคนที่เหลือ…..หวังเป่าเล่อไม่รู้จัก พวกเขาไม่ใช่ผู้ที่จ่ายเงินขึ้นเรือในตอนแรก

ในพริบตาที่ทั้งสี่คนปรากฎตัว นัยน์ตาของพวกเขาเจือความกังขา สิ่งที่อยู่ในมือของหวังเป่าเล่อดูเผินๆ แล้ว ก็เหมือนกับของพวกเขา แต่ดูจากแสงเรืองรองและเสียงปราณกังวาลแล้ว มันก็คือผลึกมายาที่ส่องแสงสะเทือนฟ้า!

“ข้าปลดผนึกได้แล้วหรือ?” สีหน้าหวังเป่าเล่อดูยินดีขึ้นมาอย่างช้าๆ โดยที่ไม่สนใจเหล่าผู้คนรอบทิศ เขาลุกขึ้นแล้วมองผลึกมายาที่อยู่ในมือตนเอง เอ่ยออกมาอย่างไม่จะอยากเชื่อ หลังจากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดังด้วยท่าทางตื่นเต้นสุดขีด

“สหายเซี่ย….” เมื่อเห็นว่าผลึกมายาในมือของหวังเป่าเล่อถูกปลดออกแล้วแน่ๆ คนสี่คนล้อมเขาอยู่ก็พลันส่งเสียงดัง

“ไม่ทราบว่าสหายปลดผนึกได้อย่างไร โปรดสอนด้วย! ”

“สหายใช้วิธีการใดโปรดบอกข้าด้วย ทุกคนร่วมโดยสารเรือลำเดียวกัน ย่อมต้องช่วยเหลือกันจึงจะถูกต้อง” ประโยคสุดท้ายนี้เป็นเจ้าอ้วนที่ตะโกนออกมา

เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่ต้องการให้ตนช่วย แต่ขอทราบวิธีโดยตรง นี่ออกจะเกินแผนการที่หวังเป่าเล่อคิดไว้ไปบ้าง แต่เขามีวิธีแก้อยู่ เขาพลันประดับยิ้มบนหน้า แต่ในใจคิดหาหนทางอย่างรวดเร็ว

“ผู้อาวุโสกระดาษรูปมนุษย์ ผนึกให้ข้าอีกรอบเถิดขอรับ” หลังส่งกระแสจิตเสร็จ หวังเป่าเล่อก็ทำท่าเหมือนจะเอ่ยปาก แต่ว่าคำพูดของเขายังไม่ทันได้ออกมา ผลึกในมือก็พลันเลือนราง ผนึกบนนั้นที่เคยหายไป พลันปรากฎขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับมีร่องรอยพลังงานปกคลุม”

“ผนึกนี้แข็งแกร่งยิ่งนัก ทีแรกข้าใช้กระบวนท่าสารัตถะมหาจักรพรรดิมังกรสยบฟ้าของตนไปขยับมัน ทำให้มันปลดออก แต่ว่าตอนนี้ดูไป….เหมือนจะไม่สามารถปลดได้แล้ว หากคิดอยากจะปลดมันให้สมบูรณ์ เกรงว่าจะต้องใช้สารัตถะมากกว่านี้ถึงจะได้” หวังเป่าเล่อนิ่งไปครู่หนึ่ง ดวงตาพลันประกายคล้ายคำนึงคิด หลังจากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปมองเจ้าอ้วนน้อยที่ถามถึงวิธีปลดผนึก

“สหาย ไม่ใช่ข้าไม่อยากบอกให้วิธีให้เจ้ารู้ แต่วิธีที่ข้าใช้นั้น…คือกระบวนท่าสารัตถะมหาจักรพรรดิมังกรสยบฟ้าที่สืบทอดกันมาในตระกูลข้า วิชานี้…ไม่อาจให้คนนอกล่วงรู้ได้”

………………………….

กระดาษรูปมนุษย์มองหวังเป่าเล่อคราหนึ่ง ในใจอดไม่ได้ที่จะคิดว่าก่อนหน้านี้ตนมองผู้ฝึกตนจากโลกภายนอกผู้นี้ผิดไปหรือไม่ เพราะข้อเสนอนี้ของฝ่ายตรงข้ามมันช่างชั่วร้ายถึงขีดสุด

การวิเคราะห์นี้ก็เพื่อให้ตนลงผนึกกับดักใส่ผลึกมายาเหล่านั้น หลังจากนั้นเขาก็จะเอาไปใช้เพื่อจุดประสงค์อื่นๆ เรื่องนี้ต่อให้เห็นด้วย ก็ไม่อาจกระทำได้

“ไม่มีวิธีใช้ ต่อให้สามารถลงผนึกกับดักไป แต่เจ็ดวันให้หลังเมื่อการทดสอบสิ้นสุด ผนึกกับดักทั้งหมดก็จะพังทลาย ไม่ส่งผลต่อการทดสอบถัดไปแม้สักนิด ดังนั้นเจ้า…”

กระดาษรูปมนุษย์ยังไม่ทันกล่าวจบ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็พลันสว่างวาบ ขนตากระพือเหมือนจะร่ายรำก็ไม่ปาน แล้วจึงเขารีบเอ่ยปากขึ้น

“ขอบคุณผู้อาวุโส ต่อให้การทดสอบสิ้นสุดแล้วจะพังก็ไม่เป็นไร ขอเพียงส่งมอบวิธีการทำลายผนึกกับดักนี้ให้ข้าก็พอ ยังคงต้องรบกวนให้ผู้อาวุโสช่วยข้าแล้ว”

กระดาษรูปมนุษย์ตะลึงไป หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งก็ส่ายหน้าฝืดเฝื่อน สำหรับเขาแล้วเรื่องนี้ไม่ยาก เมื่อหวนคิดไปถึงเรื่องราวพัวพันระหว่างเขาและผู้ฝึกตนจากโลกภายนอกผู้นี้ กระดาษรูปมนุษย์ก็เงียบไปครู่หนึ่ง ภายใต้สายตาบีบคั้นแรงกล้าของหวังเป่าเล่อ เขาก็พยักหน้าในที่สุด

เมื่อเห็นกระดาษรูปมนุษย์รับคำ หวังเป่าเล่อก็ตื่นเต้นยกใหญ่ หลังกระดาษรูปมนุษย์บอกกล่าวจบ หวังเป่าเล่อก็เริ่มเดินทางไปรอบๆ ดาวเคราะห์มายาด้วยความรวดเร็ว เพียงหนึ่งวันก็เดินจนหมดแล้วทุกที่ ระหว่างนั้นก็พบเจอเงามายาและผู้ฝึกตนไม่น้อย

ตอนที่พบเงามายาเหล่านั้น รวมถึงร่างดาวเคราะห์บางส่วน ครั้งหนึ่งที่อันตรายสุดขีดนั้น คือตอนที่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงการกระเพื่อมของดารานิรันดร์ เคราะห์ดีที่กระดาษรูปมนุษย์ยื่นมือเข้ามาช่วย ทำให้เขารอดมาได้อย่างราบรื่น

ก็เป็นเช่นนี้ หลังจากนั้นหนึ่งวัน หวังเป่าเล่อก็หาผลึกมายาที่เหลืออีกยี่สิบเก้าก้อนจนพบ เขาไม่ได้ฉวยมันติดมือมาด้วย แต่กลับให้กระดาษรูปมนุษย์ลงผนึกกับดักไว้ แล้ววางผลึกคืนที่เดิม

หลังจากลงผนึกกับดักจนหมดแล้ว หวังเป่าเล่อก็ค้นพบสถานที่ซ่อนตัวแห่งหนึ่ง เขารออยู่ที่นั่นอย่างอารมณ์ดี ในเวลาเดียวกันก็เรียนกรรมวิธีปลดผนึกที่กระดาษรูปมนุษย์ถ่ายทอดให้ไปด้วย

วิธีการนั้นไม่ยาก และเพื่อให้หวังเป่าเล่อเรียนได้ง่ายหน่อย กระดาษรูปมนุษย์ไม่ได้ใช้กรรมวิธีของราชอาณาจักรสุสานดาราในการลงผนึกกับดัก แต่เป็นกรรมวิธีจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ขณะเดียวกัน มนุษย์กระดาษก็ได้ทำรอยตำหนิเผื่อแก้ไขทิ้งไว้

กล่าวได้ว่าขั้นตอนเหล่านี้ไม่เชิงเป็นการถ่ายทอดวิธีการปลดผนึกให้หวังเป่าเล่อ แต่เป็นการถ่ายทอดภาษาโบราณให้เขาชุดหนึ่งมากกว่า ภาษาโบราณเหล่านี้ก็เปรียบเหมือนกุญแจหมื่นดอก ต่อให้เขาไม่เข้าใจหลักการก็สามารถปลดมันได้

ต่อมา จากการขอร้องของหวังเป่าเล่อ มนุษย์กระดาษก็ลงผนึกให้กับผลึกของหวังเป่าเล่อด้วยเช่นกัน ใจของหวังเป่าเล่อเต้นระส่ำ ปรารถนาให้เวลาเคลื่อนไปให้เร็วขึ้น

จังหวะเดียวกับที่หวังเป่าเล่อเรียนภาษาโบราณเพื่อปลดผนึกกับดักอยู่นั้น เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าจากโลกภายนอกที่มายังที่นี่ ต่างก็แยกย้ายกันไปเสาะหาผลึกมายาอย่างยากลำบาก ระหว่างทางยังมีเงามายาดาวเคราะห์และเหล่าพวกเงามายาดารานิรันดร์ลอยไปมา ประจวบเหมาะพบเจอเข้าก็อาจถูกโจมตีได้

และหากโชคไม่ดี ผู้ใดพบเจอครั้งหนึ่งหลายตนหรือถูกโจมตีต่อเนื่อง ก็คงเคราะห์ร้ายตกรอบไปในที่สุด นี่นับเป็นเรื่องรอง เรื่องที่สำคัญกว่าก็คือจะสูญเสียเบาะแสของผลึกมายา เพราะเหตุนี้ทุกคนที่อยู่บนดาวในตอนนี้จึงเป็นเหมือนแมลงวันไร้หัวไม่ปาน ทำได้เพียงหมุนไปทั่วทั้งสี่ทิศ ทดลองทุกวิถีทางอย่างเต็มความสามารถ แต่ก็ยังคงหาผลึกมายาไม่พบ

ทว่าในหมู่คนเหล่านี้ก็นับว่ายังมีคนฉลาดอยู่ สถานที่ทดสอบเช่นนี้ควรมีให้เบาะแสมา ดังนั้นพวกเขาจึงทำเช่นเดียวกับหวังเป่าเล่อ ตัดสินใจหาที่หลบซ่อนก่อนแล้วคอยอยู่เงียบๆ ค่อยๆ ชิงความได้เปรียบเอาไว้

คนพวกนี้มีไม่มากนัก แต่ก็นับได้หลายสิบ เวลาก็ผ่านไปเช่นนี้ อีกไม่ถึงสามวันก็จะสิ้นสุดระยะเวลาทดสอบ ทั้งหมดสามสิบชั่วยาว….ในที่สุดก็เริ่มมีเค้าลางเกิดขึ้น ที่ตั้งของผลึกมายาแห่งหนึ่งปรากฏออกมา ส่งคลื่นพลังกระเพื่อมแรง ทำให้เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าบนดาวดวงนี้ทั้งหมดสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของมันเป็นครั้งแรก

หวังเป่าเล่อที่หลบซ่อนตัวอยู่นั้นก็สัมผัสได้เช่นกัน ดวงตาที่ปิดอยู่พลันเบิกโพล่ง เขาไม่ได้ประหลาดใจ เพราะหลายวันมานี้ระหว่างที่สนทนากับกระดาษรูปมนุษย์ เขาก็รู้ล่วงหน้าอยู่ก่อนแล้วว่าในช่วงเวลาสามสิบชั่วยามสุดท้าย ทุกๆ หนึ่งชั่วยาม ตำแหน่งของผลึกมายาก็จะปรากฎขึ้น หมายความว่าการแย่งชิงอันโหดร้ายในสนามทดสอบรอบนี้ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว

เมื่อรู้ความจริงเช่นนี้ หลังจากร่องรอยพลังงานของผลึกมายาก้อนแรกปะทุออกและเปิดเผยตำแหน่งที่ตั้งของมัน ขอเพียงเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่ใกล้ๆ ก็ต่างใจสะท้าน ทะยานตัวมุ่งไปยังที่แห่งนั้น ถึงแม้ว่าคนกลุ่มแรกที่มาถึงจะมีจำนวนไม่มาก เพียงไม่กี่สิบคนก็ตาม ทว่าก็ยากจะเลี่ยงการแย่งชิงและการบาดเจ็บล้มตายได้

ต่อมาในช่วงพริบตาสุดท้ายสั้นๆ มีผู้เก่งกล้าชิงเอาผลึกมายาแล้วหนีไปได้ ผลึกมายาก้อนที่สองก็จะค่อยเผยร่องรอยพลังงาน ส่งพลังกระเพื่อมออกมาในตำแหน่งอื่นๆ ต่อไป

ก็เป็นเช่นนี้ การแย่งชิงก็เริ่มต้นอีกครั้ง คนจำนวนมากเองก็พอจะเดากฎคร่าวๆ ได้ ว่าทุกชั่วโมงจะผลึกมายาจะปรากฎออกมาชิ้นหนึ่ง ดังนั้นผู้คนจึงไม่ได้รีบเข้าไปแย่งชิงกับคนจำนวนมากเหมือนตอนแรกอีก แต่เลือกตัดสินใจเข้าร่วมจากระยะห่างระหว่างตนกับตำแหน่งของผลึกมายาแทน

เมื่อเวลาผ่านไปอีกหนึ่งวัน เหล่าฝูงชนก็กรูกันเข้าแย่งชิงผลึกมายากว่ายี่สิบก้อน จนกระทั่งผลึกมายาล้วนมีผู้ครอบครองจนหมดสิ้น แต่เช่นนี้ก็เหมือนเป็นการประกาศตำแหน่งของผลึกกลายๆ เพราะหลังถือผลึกมายาแล้ว ใครก็สามารถทราบตำแหน่งของผู้ครอบครองได้ คล้ายกับจะหลอกล่อให้ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ มาชิงมัน

เช่นนี้แล้ว การเข่นฆ่าแย่งชิงจึงยังดำเนินต่อไป หนึ่งวันสู้กันหลายระลอก ผลึกมายาส่วนใหญ่เปลี่ยนมือผู้ถือครอง แต่มีอยู่เพียงสามก้อนเท่านั้นที่ตั้งแต่ต้นจนจบก็ยังไม่มีใครกล้าเข้ามาแย่งไป

ก้อนหนึ่งในบรรดานั้นอยู่ในมือของชายหนุ่มผู้มีบุคลิกสง่างามจากสำนักที่หนึ่งแห่งเต๋าฝั่งซ้าย เขานั่งอยู่บนยอดเขาแห่งหนึ่ง ขมวดคิ้วตั้งคำถามกับผลึกมายาในมือ เมื่อเหล่าผู้ที่สัมผัสได้ถึงผลึกมายาและหวังเข้ามาชิง พอเห็นเขาเข้าต่างก็ลังเล สุดท้ายต่างก็พากันหนีไป

ส่วนอีกก้อน อยู่ในมือของแม่นางกระพรวนแห่งสำนักเก้าวิหคเพลิง นางก็เหมือนชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้น ไม่มีใครกล้าแย่งผลึกมายาที่นางชิงมา ส่วนตัวนางเองก็รู้สึกว่าผลึกมายานี้น่าสงสัย จึงได้สำรวจมันไม่หยุด

ส่วนอีกก้อน…ที่สุดท้ายก็ไม่มีใครแย่งชิงไปได้ เพราะผู้ที่เข้ามาแย่งชิงก่อนหน้านั้นตายไปหมดแล้ว

คนผู้นี้ก็คือชายหนุ่มชุดดำที่สะพายกระบี่ยักษ์บนหลัง บนร่างแผ่ซ่านไปด้วยไอพิฆาต การทดสอบคราวนี้อาจกล่าวได้ว่าเขาคือคนที่สังหารผู้ฝึกตนไปมากที่สุด

นอกจากคนสามคนที่นี้แล้ว ในที่อื่นๆ ล้วนมีการแย่งชิงเกิดขึ้นตลอดเวลา เว้นแต่ในจังหวะที่ทุกๆ ชั่วยามจะมีผลึกมายาก้อนใหม่ปรากฎขึ้น การแย่งชิงก็จะไม่มีวันจบสิ้น

เพียงแต่ว่า…เมื่อเวลาผ่านไปและผลึกมายาส่วนมากก็มีเจ้าของแล้ว เหล่าผู้ครอบครองผลึกมายาซึ่งมีความสามารถก็ทยอยสำรวจพบว่าผลึกมายานี้คล้ายมีสิ่งปรกติ

พูดไปแล้ว สิ่งผิดปรกตินี้ย่อมมาจากตัวผลึกมายาเอง ซึ่งก็คือผนึกกับดักที่หวังเป่าเล่อร้องขอให้กระดาษรูปมนุษย์ใส่ลงไปโดยไม่คิดปิดบัง ดังนั้นคนอื่นๆ จึงสังเกตเห็นได้ง่าย

เพียงแต่ว่าก่อนหน้านี้ คนจำนวนมากยังไม่เคยได้เห็นผลึกมายาด้วยซ้ำ แม้จะมีตราประทับบางเบาจนทำให้พวกเขาสงสัย แต่พวกเขาก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี จึงเทำได้เพียงเฝ้าดูเท่านั้น

ทุกอย่างก็เป็นเช่นนี้ จนกระทั่งผลึกชิ้นที่ยี่สิบสอง ซึ่งตั้งอยู่ในตำแหน่งซ่อนตัวของหวังเป่าเล่อเผยร่องรอยออกมา จังหวะนี้ผลึกก็ดึงดูดเหล่าผู้ฝึกตนใกล้เคียงให้เข้ามาหา

เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นผู้มาเยือนทั้งหลาย นัยน์ตาของเขาก็ทอประกายเย็นชา เดิมทีเขาก็ไม่ใช่พวกใจอ่อนมีเมตตายู่แล้ว ก่อนหน้านี้ถูกคนเหล่านี้รุมโจมตี อีกทั้งยังถูกแม่นางกระพรวนตามฆ่า เขาย่อมเกิดความคิดบางอย่างขึ้น ดังนั้นเมื่อมีคนพุ่งเข้ามาหวังแย่งชิงของของเขา หวังเป่าเล่อจึงยิ้มเย็นคราหนึ่ง แล้วเริ่มเปิดฉากโจมตีฉับพลัน

เสียงระเบิดดังก้องขึ้น ท่ามกลางภาพสะท้อนลวงตาแห่งเกราะจักรพรรดิและดวงเนตรปีศาจ จะเห็นหวังเป่าเล่อลงมือรุนแรงผิดวิสัย เขาฟาดผู้คนบาดเจ็บไปมากมาย รวมทั้งใช้พลังปราณและพลังต่อสู้อย่างไม่ออมมือสักนิด พลังรุนแรงแกร่งกล้า ส่งผลให้พวกที่เพิ่งมานั้นสายตาสว่างวาบไปตามๆ กัน

อย่างไรก็ดี ร่องรอยของผลึกมายาชิ้นใหม่นั้นยังคงเผยออกมาอย่างต่อเนื่อง การแย่งชิง ณ ตอนนี้ของเขาจึงไม่ยืดเยื้อนัก ทุกคนแยกย้ายกันไป มีบ้างที่ไปเสาะหาผู้ถือครองผลึกมายาที่อ่อนแอกว่า หรือบางคนก็พุ่งไปยังทิศที่มีกลิ่นอายของผลึกมายาชิ้นใหม่

มาเร็ว แล้วก็จากไปเร็วเช่นกัน

พูดได้ว่า ตั้งแต่แรกจนจบนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ลงมือที่ดูมุทะลุกลุ่มแรก หรือพวกที่คอยเฝ้าชม คนเหล่านี้ไม่ว่าในใจจะร้อนรนแค่ไหน ก็ยังคงรักษาสติได้อยู่ พวกเขาเพียงต้องการหยั่งเชิงด้วยท่าทีประหนึ่งงูพิษคอยเสาะแสวงโอกาส หากเห็นว่าไม่มีโอกาส พวกเขาก็จะรีบถอยทันที

แม้จะมีคนเริ่มเปิดฉากก่อน แต่ก็ถูกหวังเป่าเล่อโต้กลับจนสะบักสะบอม แม้เหตุผลหนึ่งจะเป็นเพราะหวังเป่าเล่อไม่ได้ไล่ตามไปจัดการพวกเขา แต่ก็เป็นผลจากการคิดถอยกลางคันและฝีมือของพวกเขาเองด้วยส่วนหนึ่ง

หวังเป่าเล่อมองตามเงาร่างของคนเหล่านั้นไปจากนั้นก็หรี่ตา หลังจากประมือกับพวกมหาศิษย์แห่งเต๋าหลายคนในระยะหลัง เขานับว่าเข้าใจคนพวกนี้อยู่บ้าง พูดแล้วภูมิหลังคนเหล่านี้ไม่ธรรมดาก็จริง ทว่าในกลุ่มย่อมมีผู้แแข็งแกร่งและผู้อ่อนแอ แม้พื้นฐานจะคล้ายกัรแต่ระดับจิตใจก็แตกต่าง และเหนือสิ่งอื่นใด ที่นี่ไม่มีคนโง่ กระทั่งตัวหลี่หลินจื่อ…ก็ยังรู้จักฉวยโอกาสหักหลังคน เห็นได้ชัดว่าสมองไม่ได้บื้อ

“แม่นางกระพรวนของสำนักเก้าวิหคเพลิงนั่น ฝีมือไม่เลว สติปัญญาลึกล้ำ เป็นศัตรูที่น่ากลัว” ”

“ส่วนหญิงสวมหน้ากากที่อยู่บนเรือลำเดียวกัน จนถึงตอนนี้ข้ายังมองนางไม่ออกเลย…”

“ส่วนอีกคนที่ข้ามองไม่ออก ก็คือเจ้าผู้ฝึกตนชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้นจากสำนักที่หนึ่งของเต๋าฝ่ายซ้าย…ข้าไม่รู้ชื่อเขาด้วยซ้ำ แต่เขาให้ความรู้สึกว่ารับมือได้ยากยิ่งกว่าแม่นางกระพรวนนั่นเสียอีก”

“แล้วก็ ยังมีเด็กสาวที่ใช้วิชาศาสตร์มืด…กับเจ้าหนุ่มชุดดำไอพิฆาตรุนแรงที่ฆ่าคนไปมากมายนั่น”

“คิดๆ ไปแล้ว กระทั่งเจ้าอ้วนน้อยที่ถูกข้าหมายหัวไว้คนนั้น ก็คงไม่ธรรมดาสินะ…แล้วยังมีพี่ชายผู้สูงส่งนั่นอีก…” หวังเป่าเล่อหรี่ตา จากนั้นนัยน์ตาก็พลันสว่างวาบ

“แต่ว่า แล้วอย่างไรกัน ถึงแม้เบื้องหลังของข้าจะสู้พวกเขาไม่ได้ พละกำลังอ่อนด้อย แต่ว่าทุกสิ่งในชีวิตของข้านั้น เป็นสิ่งที่สองมือของข้าคว้ามาด้วยตนเอง ข้ามุมานะสร้างชีวิตตนโดยไม่มีคนผู้ใดยื่นมือเข้าช่วย แต่ละย่างก้าวก็เหมือนทหารเดียวดายดิ้นรนต่อสู้” หวังเป่าเล่อพึมพำเสียงเบา เขาเงยหน้าขึ้นอย่างทรนง ในใจผุดความเด็ดเดี่ยวและความภาคภูมิใจขึ้น

“อะแฮ่ม ข้าไม่ใช่คนหรือ?” กระดาษรูปมนุษย์เหมือนจะทนฟังต่อไม่ไหว เขากระแอมไออยู่ข้างตัวหวังเป่าเล่อออกมาคราหนึ่ง

……………………………………………………

หวังเป่าเล่อพูดอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาดและยังเผยให้เห็นความไม่เกรงกลัวราวกับว่าชีวิตของเขานั้นพ่ายแพ้ได้ แต่หากต้องตายก็จะขอยืนตายแทนการคุกเข่าจำนน ดังนั้นเขาสามารถช่วยอีกฝ่ายได้ แต่นั่นไม่ใช่เพราะคำข่มขู่ แต่เพราะเขาตั้งใจจะทำเช่นนั้นอยู่แล้ว

เขาเป็นคนที่รู้จักตอบแทนบุญคุณ อีกทั้งยังก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัวสิ่งใด จิตใจล้วนเต็มไปด้วยความจริงใจ

แม้แต่ขณะที่พูดอยู่ หวังเป่าเล่อก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นเช่นนั้น ดังนั้นสายตาจึงล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ เขายืนอยู่ตรงนั้นราวกับต้นสนและจับจ้องไปยังกระดาษรูปมนุษย์ก่อนจะเอ่ยอย่างแผ่วเบา

“ขอผู้อาวุโสโปรดอย่าข่มขู่กันอีก มิเช่นนั้นการตอบแทนของผู้น้อยจะกลายเป็นการรักตัวกลัวตายแทนที่จะเป็นการเต็มใจ”

“เพราะฉะนั้นขอให้ผู้อาวุโสเก็บคำพูดนั้นกลับไปด้วย!” หวังเป่าเล่อทำหน้าไม่พอใจ เมื่อพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อ สีหน้าบูดบึ้ง

นั่นทำให้กระดาษรูปมนุษย์ชะงักไป

แม้จะเฝ้าดูหวังเป่าเล่อมานานและเข้าใจความคิดของเขาอยู่บ้าง ทว่าก็ยังตกใจกับคำพูดของหวังเป่าเล่อไปครู่หนึ่ง แม้สีหน้าจะยังมีความเคารพ แต่ในไม่ช้าก็รู้สึกว่าท่าทางของอีกฝ่ายไม่ค่อยสอดคล้องกับที่เขารับรู้มา

แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ติดตามอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อมานานขนาดนั้น เขาจึงไม่สามารถตัดสินได้ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็เลิกคิดแล้วพยักหน้าให้หวังเป่าเล่อ

“เป็นข้าที่พูดผิดไป ต่อไปข้าจะพูดให้ชัดเจน อย่างไรก็ตาม…ขอบคุณสหายเซี่ยที่ช่วยเหลือ!”

ได้ยินเช่นนี้สีหน้าหวังเป่าเล่อจึงผ่อนคลายลง เขามองกระดาษรูปมนุษย์ก่อนจะส่ายหน้าและถอนหายใจ

“ช่างเถอะ ผู้อาวุโสเองก็อยากที่จะมีชีวิตรอด ผู้น้อยเดาได้ว่าเรื่องที่ผู้อาวุโสต้องการให้ผู้น้อยทำนั้นเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของจักรวรรดิดาวตก อยากให้ข้าทำอย่างไร เมื่อถึงเวลาที่ผู้อาวุโสเห็นว่าเหมาะสมก็บอกข้าได้ ถึงผู้น้อยแซ่เซี่ยจะมีตบะต่ำ แต่ก็มีเลือดเนื้อให้เสีย!”

“แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้ ผู้น้อยเองก็มีเรื่องให้ผู้อาวุโสช่วยเช่นกัน…ผลึกมายาอยู่ที่ไหนกันแน่” หวังเป่าเล่อพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

ในใจเขายังพอใจกับสีหน้าท่าทางที่ตนแสดงออกไปมาก ในอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงเคยกล่าวไว้ว่าการเคารพซึ่งกันและกันเป็นข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับการสร้างความพึงพอใจระหว่างสองฝ่าย!

อย่างเช่นตอนนี้ หวังเป่าเล่อคิดว่าหากตนทำให้ผู้อื่นคิดว่าร่วมมือด้วยเพราะโดนข่มขู่ เช่นนั้นแล้วระหว่างที่ร่วมมือกันเขาก็ต้องโดนกดขี่ไปตลอด หากคิดจะได้ผลประโยชน์เพิ่มเติมคงเป็นเรื่องยาก แต่ตอนนี้ไม่ใช่แบบนั้นแล้ว

อันที่จริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หากหวังเป่าเล่อไม่ยอมช่วย กระดาษรูปมนุษย์ก็ยังสามารถใช้วิธีบีบบังคับแบบอื่นได้ แต่หวังเป่าเล่อดูจริงใจหาใดเปรียบราวกับช่วยจากก้นบึ้งหัวใจ นั่นทำให้กระดาษรูปมนุษย์ไม่อาจใช้กำลังบังคับรุนแรงได้ ในเมื่ออีกฝ่ายเต็มใจช่วยก็บรรลุจุดประสงค์ของเขาแล้ว

หากยังใช้กำลังบังคับอีกก็ไร้เหตุผลจริงๆ

เพียงแค่เปลี่ยนจากการร่วมมือกันเป็นการช่วยเหลือ บรรยากาศก็เปลี่ยนไป ซึ่งทำให้กระดาษรูปมนุษย์สับสนอยู่ในใจ

“แค่พูดไม่กี่คำก็กลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน” กระดาษรูปมนุษย์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีความลับมากมาย แต่ใจจริงเขาให้ความสำคัญกับภูมิหลังและที่มาของเขาเท่านั้น ไม่สนใจตัวเขามากนัก

แต่ตอนนี้…ต่างออกไปแล้ว กระดาษรูปมนุษย์ที่ตอบสนองกลับมาได้ตระหนักแล้วว่าผู้ฝึกตนจากนอกพิภพตรงหน้า ไม่ใช่แค่มีภูมิหลังลึกลับ ที่มาไม่ธรรมดา แต่ยังสติปัญญาดี คนแบบนี้ต่อให้ในวันนี้ตบะไม่สูง แต่หากให้เวลาเขาได้เติบโต จักรวาลในวันหน้าคงจะมีตำแหน่งที่เหมาะสมกับคนคนนี้

ความคิดดังกล่าวผุดขึ้นยามมองหวังเป่าเล่ออย่างลึกซึ้ง หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เปลี่ยนความคิด เดิมเขาตั้งใจจะเปิดเผยเบาะแสบางอย่างเพื่อให้อีกฝ่ายหาผลึกมายาได้ในตอนสุดท้าย วิธีนี้เป็นเรื่องง่ายมากสำหรับเขาและไม่ยุ่งยาก

แต่ตอนนี้เขาคิดว่าตัวเองสามารถบอกไปตรงๆ ได้เลย ถึงอย่างไร…ความจริงใจของอีกฝ่ายนั้นเขาก็ไม่อยากเมินเฉย ดังนั้นหลังจากเหลือบมองหวังเป่าเล่อ กระดาษรูปมนุษย์ก็พูดช้าๆ

“สหายน้อย ข้ามีเหตุผลไม่ดีบางอย่างจะบอก ข้าไม่สะดวกที่จะเผยตัวนานเกินไป ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่ข้าจึงไม่สามารถปรากฏตัวได้ แต่ข้าสามารถใช้สัมผัสเชื่อมต่อของตัวข้าช่วยเจ้าหาตำแหน่งผลึกมายาได้ เจ้าต้องเป็นคนไปหยิบเอง”

ทันทีที่หวังเป่าเล่อได้ยิน ในดวงตาก็เผยแสงจ้าและรีบพยักหน้าทันที

เมื่อบรรลุข้อตกลงกับหวังเป่าเล่อ กระดาษรูปมนุษย์ก็หลับตาลง ก่อนที่ร่างของเขาจะบิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด ดูเหมือนจะใช้เคล็ดวิชาที่หวังเป่าเล่อไม่เข้าใจสัมผัสเชื่อมต่อไปทั่วทั้งดาวมายา ผ่านไปไม่นานหรือก็คือช่วงเวลาสิบกว่าอึดใจ กระดาษรูปมนุษย์ก็ลืมตา ก่อนจะยกมือขวาขึ้นรวมพลังออกมาเป็นแสงลูกหนึ่งและส่งไปตรงหน้าหวังเป่าเล่อ

“สัมผัสสิ่งนี้ ข้างในจะมีตำแหน่งของผลึกมายาอยู่!”

“ขอบคุณผู้อาวุโส!” หวังเป่าเล่อสีหน้าดีอกดีใจ หลังจากชั่งน้ำหนักในใจอย่างรวดเร็วก็คิดว่าตอนนี้อีกฝ่ายไม่น่าจะทำร้ายเขาแล้ว เขาจึงตัดสินใจถือแสงตรงหน้า ก่อนจะกวาดจิตใต้สำนึกออกไป ทันใดนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้นในหัวและควบแน่นเป็นพลังนำทาง

เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า ณ ที่แห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ราวกับมีเสียงสะท้อนกับตัวเขา ดังนั้นหลังกำหมัดคำนับกระดาษรูปมนุษย์แล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่รอช้าสะบัดร่างออกไปยังทิศที่เสียงสะท้อนนำทางด้วยความเร็วเต็มกำลัง

หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยาม หวังเป่าเล่อก็มาถึงจุดที่มีเสียงสะท้อนแล้ว ที่แห่งนี้ดูเหมือนแอ่งน้ำ บริเวณโดยรอบว่างเปล่า มีเพียงร่างมายาหลายสิบร่างที่กระจายตัวมาที่นี่เดินเตร่อยู่

หวังเป่าเล่อไม่คุ้นหน้าร่างมายาพวกนี้จึงรู้ได้ว่ามันไม่ใช่คนที่ถูกเขาสังหาร คงจะเป็นร่างมายาที่ตายจากฝีมือมหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นๆ เขาจึงแผ่ขยายจิตใต้สำนึกออกไปอีกครั้ง หลังจากยืนยันได้ว่าไม่มีคนอื่นอยู่รอบๆ หวังเป่าเล่อก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและพุ่งลงไปในแอ่งน้ำทันที

การกระทำของเขาดึงดูดความสนใจจากร่างมายาพวกนั้นในพริบตา แต่ละร่างเงยหน้ามองไปยังหวังเป่าเล่อและในชั่วอึดใจก็ส่งเสียงคำรามและพุ่งเข้าหาเขาอย่างบ้าคลั่ง

แต่ร่างมายาพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นขั้นจุติวิญญาณ ตัวที่แข็งแกร่งที่สุดก็เป็นเพียงขั้นเชื่อมวิญญาณเท่านั้น สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วพลังโจมตีของพวกมันล้วนด้อยกว่ายุง ไม่ต้องมองให้เสียเวลาด้วยซ้ำ เพียงแค่ผิวปาก ลมพายุที่ก่อตัวขึ้นก็ฉีกพวกมันเป็นชิ้นๆ ได้แล้ว เมื่อไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ อีก หวังเป่าเล่อก็เข้าสู่ส่วนลึกของแอ่งได้ในพริบตา

ครู่ต่อมา เมื่อร่างของเขาพุ่งออกมาก็มีสีหน้าตื่นเต้น ในมือถือหินผลึกสีขาวขนาดเท่ากำปั้นอยู่หนึ่งก้อน

หินก้อนนี้ใสกระจ่าง ดูเหมือนมีพลังวิเศษบางอย่างที่หากจ้องนานๆ จะทำให้คนเกิดภาพหลอนได้

นั่นคือ…ผลึกมายา!

“สหายน้อย เมื่อถือสิ่งนี้อยู่ในมือ เจ้าก็มองหาที่ซ่อน แล้วรอเวลาที่การทดสอบจะสิ้นสุดลง จากนั้นเจ้าก็สามารถใช้ผลึกนี้เข้าสู่การทดสอบถัดไปและชิงไม้กลองน้อมดาราได้แล้ว!” ร่างของกระดาษรูปมนุษย์โผล่ออกมาข้างๆ หวังเป่าเล่อและเอ่ยช้าๆ

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยเหลือ!” หวังเป่าเล่อได้ยินก็กำมือทันที เดิมทีการทดสอบนี้ยากมาก ทว่าตอนนี้เขาตระหนักได้ถึงความสุขของการเป็นบุตรที่สวรรค์เลือกแล้ว การได้ผลึกมายามาง่ายดายเช่นนี้ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเบิกบานใจ หลังจากกะพริบตาก็แสดงสีหน้าขอบคุณ ดวงตาร้อนผ่าว ก่อนจะพูดต่อ

“ผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าท่านสามารถพาข้าไปค้นหาผลึกมายาที่เหลือทั้งหมดได้หรือไม่”

“ผลึกมายาทั้งหมด?” กระดาษรูปมนุษย์แปลกใจเล็กน้อย

“ได้มันก็ได้อยู่ แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะทำเช่นนั้น การทดสอบนี้จำเป็นต้องมีจำนวนคนสามสิบคนเพื่อให้ผลึกมายาทั้งหมดเปิดใช้งานได้ อีกอย่างแต่ละคนสามารถมีผลึกมายาได้เพียงก้อนเดียวเท่านั้น ต่อให้เจ้าเอามาได้ทั้งหมด ไม่กี่ชั่วยาม อีกยี่สิบเก้าก้อนก็จะสลายไปเองและไปปรากฏอยู่ที่ตำแหน่งเดิม”

“แบบนี้นี่เอง…” หวังเป่าเล่อได้ยินก็เศร้าใจเล็กน้อย เดิมทีเขาตั้งใจว่าหากทำได้ ก็จะเปรียบได้กับการมีอำนาจตัดสินใจในการทดสอบนี้ เมื่อเจอคนที่ถูกใจก็จะขายให้อีกฝ่ายในราคาถูกสักหน่อย วิธีนี้ผลึกมายาสามสิบก้อนก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขารวยล้นฟ้า

“ข้าขายตำแหน่งก็ได้นี่…แต่ราคาก็จะไม่สูงเท่าไหร่” หวังเป่าเล่อถอนหายใจและรู้สึกว่าการหาเงินเป็นเรื่องยากจริงๆ ขณะที่กำลังจะล้มเลิกความคิดนี้ แต่ในวินาทีต่อมาในหัวเขาก็สว่างวาบ เขาหันไปมองกระดาษรูปมนุษย์และเอ่ยปาก

“ผู้อาวุโส ไม่รู้ว่าท่านมีวิธีทิ้งผนึกอะไรไว้บนผลึกมายาหรือไม่ เพื่อที่ว่าหลังจากคนอื่นหาพบ เมื่อสิ้นสุดการทดสอบแล้วผนึกยังไม่ถูกปลดออกก็ไม่สามารถเข้าสู่การทดสอบถัดไปได้”

ดูจากตอนนี้อีกฝ่ายก็อยู่ข้างกายเขามาตลอดอย่างที่คิดจริงๆ สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้น ขณะเดียวกันความระแวดระวังในใจเขาก็พุ่งสูงขึ้นไปด้วย

ถึงอย่างไรก็ยังมีช่องว่างระหว่างการคาดเดากับความจริงอยู่ โดยเฉพาะกระดาษรูปมนุษย์นั้นแปลกประหลาด เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายคอยเฝ้าดูเขามาตลอดทางโดยที่เขามองไม่เห็นก็ยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อระแวงมากขึ้น แต่หลังจากฝึกฝนมาเป็นเวลานาน เขาก็สามารถเก็บความคิดไว้ในใจไม่ให้แสดงออกทางสีหน้าได้ ดังนั้นในตอนนี้จึงมีเพียงความตื่นเต้นที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าและเขาก็กำหมัดโค้งทำความเคารพกระดาษรูปมนุษย์ตรงหน้าอีกครั้ง

กระดาษรูปมนุษย์กวาดตามองหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาเผยแสงจางๆ ต่อให้หวังเป่าเล่อจะสังเกตอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็มองไม่ออกว่าเขาคิดอะไร แต่ก็มั่นใจว่าในเมื่ออีกฝ่ายตามมาและยังปรากฏตัวตามคำเรียกร้องอีก นั่นก็ให้คำตอบชัดเจนแล้ว

ไม่ว่ากระดาษรูปมนุษย์พยายามจะทำอะไรก็ต้องพูดออกมาอยู่ดี มิเช่นนั้นกระดาษรูปมนุษย์ตนนี้ก็คงว่างจนมีเวลามาเล่นสนุกกับเขา

การคาดเดาของหวังเป่าเล่อถูกต้อง หลังจากมีแสงจางๆ ปรากฏในสายตาของกระดาษรูปมนุษย์ตนนี้ เขาก็เงียบไปนานกว่าสิบอึดใจ ก่อนจะค่อยๆ พูดออกมา

“ดูจะฉลาดกว่าเจ้าซานหลิงจื่ออะไรนั่นจริงๆ…ข้าช่วยเจ้าได้ แต่ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน!” เสียงของเขาแหลมเล็กราวกับเสียดกันออกมา เมื่อมันดังก้องอยู่ในหูของหวังเป่าเล่อก็ทำให้รากฐานการฝึกฝนของเขาผันผวนเล็กน้อย แต่ก็ถูกเขากดลงไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพูดอย่างตั้งใจ

“ผู้อาวุโสเชิญกล่าว!”

กระดาษรูปมนุษย์ไม่ได้รีบพูดในทันที แต่กวาดสายตามองหวังเป่าเล่ออย่างละเอียดถี่ถ้วนราวกับลังเล จนกระทั่งผ่านไปครู่หนึ่งจึงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่ได้พูดถึงข้อแลกเปลี่ยน แต่พูดถึงการทดสอบครั้งนี้แทน

“ในการทดสอบของจักรวรรดิดาวตกนั้น สิ่งที่เจ้ากำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น สิ่งสำคัญของการทดสอบนี้คือหลังจากได้ผลึกมายาแล้วก็จะเป็นการเข้าสู่การทดสอบต่อไป!”

“หากข้าเดาไม่ผิด ที่นั่นเจ้ากับคนอื่นๆ ต้องแย่งชิง…ไม้กลองน้อมดาราทั้งสิบ!”

“ไม้กลองน้อมดารา?” หวังเป่าเล่อหรี่ตาถามอีกครั้ง

“วาสนาแห่งโชคของสุสานดวงดาราคือการให้ผู้ฝึกตนจากนอกพิภพได้รับดาวพระเคราะห์ระดับสูง ซึ่งก็มีดาวพิเศษอยู่ในนั้นด้วย วิธีการก็คือ…ตีกลองเพื่อน้อมดวงดาว!”

“ตีกลองสู่สวรรค์ด้วยไม้กลองน้อมดาราจนกระทั่งไม้กลองพังทลายก็จะสามารถทำให้ดวงดาวนับหมื่นแปลงร่างและน้อมดวงดาวที่เหมาะสมกับเจ้าที่สุดลงมาได้!”

“แต่จำนวนไม้กลองมีจำกัด ไม้กลองสิบไม้จะถูกสร้างขึ้นมาทุกๆ หลายร้อยปีในดินแดนจักรวรรดิดาวตก และทุกครั้งที่ไม้กลองถูกสร้างขึ้น จักรวรรดิดาวตกก็จะเปิดประตูเพื่อให้คนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจากนอกพิภพเข้ามาและเลือกคนสิบคนเพื่อรับวาสนาแห่งโชคจากที่แห่งนี้!”

“ดังนั้น…ถึงได้มีการทดสอบต่อเนื่องเป็นชุด การข้ามทะเลครั้งแรกเพื่อกำจัดคนออก ดาวมายาครั้งที่สองก็เช่นกัน สุดท้ายจะมีเพียงสามสิบคนเท่านั้นที่สามารถเข้าไปสู่การทดสอบครั้งสุดท้ายได้!” กระดาษรูปมนุษย์พูดช้าๆ แต่ละคำที่พูดออกมาทำให้หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัวขึ้นเล็กน้อย ในหัวเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงการเดินทางมาสุสานดวงดาราในครั้งนี้ แต่แล้วในใจก็เกิดความสงสัยขึ้น

“ผู้อาวุโส เหตุใด…จักรวรรดิดาวตกจึงต้องทำเช่นนี้ โดยพื้นฐานนี่ก็คือการมอบชะตาให้มนุษย์ หรือว่านี่คือข้อตกลงกับนอกพิภพ? หรือจะบอกว่า…จักรวรรดิดาวตกก็มีเหตุผลที่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วย” เมื่อเห็นว่ากระดาษรูปมนุษย์เต็มใจพูดคุยเรื่องนี้ หวังเป่าเล่อจึงไม่ปิดบังข้อสงสัยของตนและถามขึ้น

หากตอบได้ก็ดี แต่หากไม่ตอบเขาก็ไม่เสียหายอะไร

แสงจางๆ วาบเข้ามาในดวงตากระดาษรูปมนุษย์อีกครั้ง เขาหันมามองหวังเป่าเล่อ หวังเป่าแล้วก็มองเขา ทั้งสองฝ่ายจ้องตากันเนิ่นนาน จู่ๆ กระดาษรูปมนุษย์ก็หัวเราะด้วยเสียงแปลกๆ นั่น

“หลังจากเจ้ามาถึงสุสานดวงดาราแล้วรู้สึกผิดปกติอะไรไหม” หลังจากกระดาษรูปมนุษย์หัวเราะ เขาก็พูดช้าๆ อย่างแฝงความหมายลึกซึ้ง

“ผิดปกติรึ?” สายตาหวังเป่าเล่อฉายแววครุ่นคิด เขาหวนนึกถึงสิ่งที่ตัวเองได้เห็นมาตลอดทางหลังจากเข้ามาที่นี่ หลังผ่านไปหลายอึดใจ จู่ๆ ดวงตาเขาก็หดแคบลงเมื่อนึกถึงสีดำและสีขาวที่ตรงข้ามกันอย่างเห็นได้ชัดในโลกแห่งนี้ จากนั้นจึงเอ่ยเสียงเบา

“กระดาษดำ กระดาษขาว?”

“ถูกต้อง!” กระดาษรูปมนุษย์เอ่ยเบาๆ

“สิ่งที่เรียกว่าบ่มเพาะโชควาสนานั้น สำหรับพวกเจ้าก็เป็นเช่นนั้นจริง แต่สำหรับจักรวรรดิดาวตกนี่คือการช่วยชีวิตตัวเอง!”

“จักรวรรดิดาวตกคือผู้พิทักษ์สุสานดวงดารา ศัตรูของพวกมัน…ก็คือทะเลกระดาษสีดำ!”

“ตอนแรกทะเลกระดาษสีดำไม่ใช่สีดำ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เกิดเรื่องหนึ่งขึ้นทำให้ทะเลแห่งนี้ค่อยๆ กลายเป็นสีดำ และยังมีแนวโน้มว่าจะแพร่กระจายไปจนครอบคลุมทั้งจักรวรรดิดาวตก!”

“หลังจากจักรวรรดิดาวตกพยายามและล้มเหลวมาหลายครั้ง ตอนนั้นก็มีจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งคิดหาวิธีได้วิธีหนึ่ง ด้วยการเสียสละตัวเองเปิดเผยกฎของที่แห่งนี้ให้ภายนอกรับรู้ เขาแปลงร่างตัวเองเป็นกลองสู่สวรรค์ จากนั้นก็แยกดวงวิญญาณเทพของตนด้วยพละกำลังทั้งหมด แต่ก็แยกออกมาได้เพียงสิบดวงซึ่งจะเกิดทุกๆ สองสามร้อยปีและกลายเป็นไม้กลองน้อมดารา!”

“การตีกลองสู่สวรรค์ด้วยไม้กลองจะสามารถกระตุ้นให้ดวงดาวนับหมื่นเกิดการเปลี่ยนแปลงและเกิดเป็นพลังยับยั้งเพื่อชะลอการแพร่กระจายของทะเลกระดาษสีดำ!”

“แต่ด้วยกฎผู้ฝึกตนของจักรวรรดิดาวตกไม่มีเลือดเนื้อจึงไม่สามารถตีกลองสู่สวรรค์ได้ ถึงได้มีการติดต่อกับโลกภายนอกและเริ่มเปิดประตูเรื่อยมา!” น้ำเสียงของกระดาษรูปมนุษย์สงบนิ่ง ไม่มีการสั่นไหวใดๆ มีเพียงตอนที่พูดถึงอดีตจักรพรรดิคนนั้นและการแยกดวงวิญญาณเทพเท่านั้นที่มีร่องรอยความทรงจำปรากฏในสายตาของเขา

แต่ความทรงจำพวกนั้นก็สลายไปในชั่วพริบตา หากไม่ใช่เพราะหวังเป่าเล่อคอยสังเกตและอยู่ใกล้ๆ ก็คงไม่ทันสังเกต

“หรือว่าเจ้ากระดาษรูปมนุษย์ตนนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิดาวตกคนนั้น” หวังเป่าเล่อสลัดความคิดนี้ทิ้งไป หลังจากแยกแยะข้อมูลในคำพูดของอีกฝ่ายแล้ว ก็คิดว่าเรื่องนี้สมเหตุสมผล เขาจึงเชื่อไปแล้วเจ็ดถึงแปดส่วน ขณะเดียวกันก็เข้าใจสุสานดวงดารามากขึ้น

“ไม่ทราบว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสต้องการให้ผู้น้อยทำคืออะไร” หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว หวังเป่าเล่อจึงเอ่ยถาม

แต่หลังจากพูดประโยคนี้ออกไป สีหน้าของกระดาษรูปมนุษย์ก็แสดงความลังเลอย่างเห็นได้ชัดราวกับว่าสิ่งที่เขาต้องการให้หวังเป่าเล่อทำนั้นแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังไม่แน่ใจ

นั่นทำให้หวังเป่าเล่อสงสัยเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรและรอให้กระดาษรูปมนุษย์ได้ครุ่นคิด

จากนั้นไม่นาน สายตากระดาษรูปมนุษย์ก็จ้องมาที่หวังเป่าเล่ออีกครั้ง หลังจากจ้องมองเขาอยู่นานราวกับอยากจะมองให้ทะลุปลุกโปร่ง ในที่สุดก็เอ่ยเสียงแหบแห้ง

“เจ้า…แปลกจริง!”

“หา?” หวังเป่าเล่อกะพริบตา

“เห็นได้ชัดว่าเจ้าคือผู้ฝึกตนจากจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น อายุวิญญาณก็ยังไม่ถึง 60 ปี แต่บนร่างกลับมีความรู้สึกแห่งกาลเวลา…หากเพียงแค่นั้นก็ไม่กระไรหรอก บนร่างของเจ้ายังมีร่องรอยพลังงานของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น โดยทั่วไปนั่นเป็นผลจากการสัมผัสสิ่งของของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นบ่อยครั้ง แต่เจ้าต่างออกไป!”

“ข้าเฝ้าสังเกตเจ้ามานานและสรุปได้ว่า…ร่องรอยพลังงานของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นบนตัวเจ้าไม่ได้มาจากสิ่งของ แต่มาจากพลังเทพวิถีเต๋าของเจ้า…ที่มาของวิถีเต๋านี้ยิ่งใหญ่เกินไป ข้าไม่ได้ยินสิ่งที่เจ้าคิด แต่ทุกครั้งที่เจ้าเปิดเผย ดวงจิตที่ตื่นขึ้นจากส่วนลึกของจักรวาลนั่น…แข็งแกร่งจนข้าไม่เคยพบเจอมาก่อนในชีวิต!”

กระดาษรูปมนุษย์พูดถึงตรงนี้ สีหน้าหวังเป่าเล่อยังคงปกติ แต่ในใจไหวสั่นไปแล้ว เขารู้ดีว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดถึงก็คือบทสวดแห่งเต๋าของเขา!

ตอนนั้นแม่นางน้อยในหน้ากากได้ถ่ายทอดพลังเทพของตนให้ซึ่งก็ได้ช่วยให้เขารอดพ้นอันตรายมาหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่เพราะในดวงจิตที่จุตินั้นได้ปลุกร่องรอยพลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงอารมณ์บางอย่างที่อยู่ในนั้นทำให้หวังเป่าเล่อขวัญหนีดีฝ่อ ในขณะที่ใช้มันบ่อยๆ ก็ไม่เคยมีพลังอ่านมันจนจบเลย

ส่วนใหญ่มักจะอ่านเพียงไม่กี่ตัวอักษรก็ต้องรีบหยุดทันที

“ดังนั้นข้าจึงอยากให้เจ้าตามข้าไปที่ที่หนึ่ง ที่นั่น…จงใช้พลังทั้งหมดเพื่อเปิดเผยวิถีเต๋าพลังเทพของเจ้า!” กระดาษรูปมนุษย์หายใจเข้าลึกๆ และพูดต่อ

“ส่วนเรื่องผลตอบแทน ข้าจะช่วยให้เจ้าได้รับไม้กลองหนึ่งไม้ จนถึงตอนที่เจ้าตีกลองก็จะอยู่ช่วยด้วย เพื่อที่อย่างน้อยเจ้าก็จะได้รับดาวพิเศษเป็นดาวพระเคราะห์ของตัวเอง…ในการบ่มเพาะโชควาสนาครั้งนี้ !”

“เจ้า…ตกลงไหม” กระดาษรูปมนุษย์พูดจบ สายตาก็มองลึกลงไปในตาหวังเป่าเล่อและรอคำตอบจากเขา

หวังเป่าเล่อได้ฟังก็ฝืนยิ้ม ในหัวประมวลผลอย่างรวดเร็ว ข้อเสนอของอีกฝ่ายไม่ได้สูงนัก เพียงแต่…เขาไม่กล้านี่นา

“หากใช้พลังทั้งหมดจนดวงจิตนั้นตื่นขึ้นมาจริงๆ อีกฝ่ายจะตบข้าตายเหมือนยุงลายไหม” หวังเป่าเล่อคิดเช่นนั้นแล้วก็ถอนหายใจ ขณะที่เขากำลังจะพูดเพื่อดูว่าสามารถเปลี่ยนเงื่อนไขได้หรือไม่ กระดาษรูปมนุษย์ก็เดินมาหยุดตรงหน้าเขาและพูดอีกประโยคว่า

“ถ้าเจ้าปฏิเสธ ข้าจะฆ่าเจ้าเดี๋ยวนี้! ”

หวังเป่าเล่อหน้าตาถมึงทึง สายตาไม่พอใจราวกับความเป็นมนุษย์ของตนโดนดูถูกเข้าอย่างจัง

“ผู้อาวุโสดูถูกข้าเซี่ยต้าลู่แล้ว ข้าแซ่เซี่ยไม่กลัวคำข่มขู่ หากข้าไม่ต้องการ ต่อให้ต้องตายก็ไม่ตกลง แต่ตลอดการเดินทางผู้อาวุโสได้ช่วยเหลือข้าไว้มาก ผู้น้อยรู้สึกซาบซึ้งทั้งจากใจและการกระทำ เรื่องนี้…ย่อมเป็นหน้าที่ที่ไม่อาจปฏิเสธ!”

…………………………………………………..

เสียงคำรามน่าตกใจราวกับฟ้าร้อง หลังจากโทรโข่งได้พลังเสริม คลื่นเสียงที่ส่งออกมาจึงรุนแรงถึงขีดสุด จนในที่สุดโทรโข่งก็ทนรับไม่ไหวและพังทลายลงไประหว่างที่คลื่นเสียงดังออกมานั่นเอง

แม้จะแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่คลื่นเสียงก็ยังแพร่กระจายไปทางแม่นางกระพรวนราวกับพายุบ้าคลั่ง ในชั่วพริบตาก็ปะทะกับคลื่นเสียงของกระพรวน ทลายกรงเล็บวิหคเพลิงที่ขวางกั้นจนพินาศย่อยยับ จากนั้นพลังที่กวาดไปทุกทิศก็พุ่งเข้าใส่แม่นางกระพรวนคนนั้น

แม่นางกระพรวนหน้าเปลี่ยนสี ถึงแม้นางจะใช้เคล็ดวิชาคลื่นเสียงบ่อยครั้ง แต่การเผชิญหน้ากับมันอย่างกะทันหันก็ยังทำให้ตกใจได้ อันที่จริงเป็นเพราะโทรโข่งยักษ์ของหวังเป่าเล่อนั้นระเบิดคลื่นเสียงบ้าคลั่งเกินไป กระทั่งพื้นดินรอบๆ ก็ยังบิดเบี้ยว และยังไม่สิ้นสุดแค่นั้น ในคลื่นเสียงที่เหมือนพายุนี้ยังประกอบด้วยนิ้วมือที่แปลงจากหมอกอีกกลุ่มหนึ่ง!

นั่นคือพลังเทพหลังจากที่หวังเป่าเล่อค้นพบด้วยตัวเองว่าเป็นวิถีเต๋าพลังเทพที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา นิ้วเมฆาของสำนักวิชาเต๋าศักดิ์สิทธิ์!

พูดให้ชัดเจนคือนิ้วนี้เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้แม่นางกระพรวนหน้าเปลี่ยนสี แทบจะในทันทีนางก็สังเกตเห็นความต่างของการโจมตีครั้งนี้กับพลังเทพหยาบๆ ก่อนหน้านี้

“นิ้วนี้มีวิถีเต๋าซ่อนอยู่!” แม่นางกระพรวนหายใจถี่รัว ในช่วงเวลาวิกฤตมือทั้งสองข้างของนางก็ยกขึ้น มันสั่นอย่างรุนแรง ทันใดนั้นเสียงวิหคเพลิงก็ดังออกมาจากความว่างเปล่ารอบตัวนาง วิหคเพลิงทั้งหมดแปดตัวปรากฏออกมาในพริบตา สุดท้ายตราวิหคเพลิงอีกอันก็ปรากฏขึ้นตรงหว่างคิ้วของนางรวมเป็นเก้าตัว!

นี่คือพลังเทพอันเป็นเอกลักษณ์ของสำนักเก้าวิหคเพลิง เก้าวิหคเพลิงประสานเสียง!

แทบจะในพริบตาที่ตราวิหคเพลิงปรากฏบนหว่างคิ้ว แม่นางกระพรวนอ้าปากส่งเสียงนกร้องเบาๆ ดังไปทุกทิศทางพร้อมกับวิหคเพลิงอีกแปดตัว เสียงที่ก่อตัวขึ้นนั้นดูเหมือนไม่ได้สูงมาก ทว่าความชัดเจนนั้นราวกับสามารถชำระล้างทุกสิ่งทุกอย่างได้ มันพุ่งตรงไปยังนิ้วเมฆารวมถึงคลื่นเสียงบ้าคลั่งพวกนั้น!

หากเสียงจากโทรโข่งเปรียบได้กับไฟโหมกระหน่ำ เช่นนั้นเก้าวิหคประสานเสียงก็คือสปริงที่อ่อนนุ่ม การปะทะกันก็เหมือนกับการหลอมรวมน้ำและไฟ ความผันผวนที่เกิดขึ้นมีตรงนี้เป็นจุดศูนย์กลางและกระจายไปทั่ว

แผ่นดินสั่นสะเทือน ภูเขาและโขดหินพังทลาย พืชพรรณทั้งหมดดังขี้เถ้าปลิวหาย ควันมลายสิ้น กระทั่งฝุ่นที่ไม่มีที่สิ้นสุดก็ก่อตัวขึ้นในท้องฟ้าและแผ่นดินปกคลุมแนวสายตา ทำให้สถานที่แห่งนี้พร่ามัวเมื่อมองจากระยะไกล!

จนกระทั่งหลังจากหายใจไปมากกว่าสิบอึดใจ ความพร่ามัวก็สลายไปเผยให้เห็นร่างของแม่นางกระพรวนข้างใน เสื้อผ้าของนางยังสะอาดหมดจดเหมือนเดิม กระพรวนที่ข้อมือก็ไม่มีอะไรเสียหายแม้แต่น้อย วิหคเพลิงมายาทั้งแปดตัวข้างกายก็ยังคงผงาดง้ำ มีเพียงตราที่กึ่งกลางคิ้วของนางเท่านั้นที่ริบหรี่ลงเหมือนกับว่าความผันผวนของตบะสงบลง

ยังมีใบหน้าของนาง…ที่ขณะนี้ไม่ยิ้มแย้มอีกต่อไป แต่มีความมืดมนขึ้นมาบ้างแล้ว

เพราะว่า…รอบตัวนางไม่มีร่างของหวังเป่าเล่อแล้ว

“แผ่นหยกนั่น…” แม่นางกระพรวนหมุนตัวกลับไปมองยังทิศที่นางไล่ตามมา นัยน์ตาค่อยๆ เผยเจตนาที่จะต่อสู้อย่างรุนแรง นางรู้แล้วว่าในแผ่นหยกที่เซี่ยต้าลู่ขว้างไปก่อนหน้านี้มีอุบายบางอย่างหรือจะเรียกว่า…เซี่ยต้าลู่ที่ตนไล่ตามเมื่อกี้ไม่ใช่เขา!

“ข้าไล่ตามร่างแยกมานานขนาดนี้ กระทั่งอีกฝ่ายหายตัวไปถึงได้รู้ว่าคนที่ไล่ตามไม่ใช่ตัวจริง…” แม่นางกระพรวนคิดถึงตรงนี้แล้วสีหน้านางก็ไม่น่าดูขึ้นมาเล็กน้อย

“เซี่ยต้าลู่!”

แทบจะในเวลาเดียวกับที่แม่นางกระพรวนตะโกนอย่างขุ่นเคือง ณ สถานที่ที่ห่างไกลจากตรงนั้น หวังเป่าเล่อที่กำลังหนีก็จามออกมาครั้งหนึ่ง

“มีคนกำลังนินทาข้าหรือ ต้องเป็นแม่นางกระพรวนคนนั้นแน่ แต่นางไม่รู้ชื่อที่แท้จริงของข้า คงจะตะโกนชื่อเซี่ยต้าลู่…” หวังเป่าเล่อเงยหน้า สีหน้าแสดงความพึงพอใจ ทว่าในไม่ช้าก็เก็บความพึงพอใจนั้นไป ดวงตาค่อยๆ หรี่ลงช้าๆ

ความจริงแล้วในแผ่นหยกแผ่นแรกมีสารัตถะของเขาประกอบอยู่ด้วยบางส่วนเพื่อให้สะดวกต่อการหลบหนี ส่วนแผ่นหยกแผ่นที่สองแอบซ่อนสารัตถะส่วนใหญ่ของเขาไว้ข้างใน หากอีกฝ่ายยังคงทุบจนแตกอีก เขาก็จะฉวยโอกาสลงมือ หากไม่สนใจเขาก็จะใช้มันหนีออกมา

ถึงแม้วิธีการหลบหนีเช่นนี้จะสูญเสียสารัตถะบางส่วนไป แต่หลังจากหวังเป่าเล่อชั่งน้ำหนักดูแล้วก็ยังรู้สึกว่าดีกว่าการสู้ตายแบบโง่ๆ กับอีกฝ่าย สุดท้ายไม่ว่าจะแพ้หรือชนะในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ก็ต้องสูญเสียพลังต่อสู้ไปอยู่ดี

และที่สำคัญที่สุดคือเขาพบว่าหลังจากตัวเองกินผลไม้วิญญาณไปตอนนั้นก็ดูเหมือนว่าสารัตถะจะฟื้นฟูได้เร็วกว่าเดิมไม่น้อย สำหรับส่วนที่สูญเสียไป อิงจากการสรุปของเขาแล้วนั้นใช้เวลามากสุดสามถึงห้าวันก็เติมเต็มกลับมาได้สมบูรณ์แล้ว

“เสียดายโทรโข่งยักษ์ของข้าจัง” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าแล้วตัดสินใจว่าจะหาเวลาสกัดขึ้นมาอีกหนึ่งอัน สมบัติเวทชิ้นนี้ใช้งานได้ดีทีเดียว ไม่ใช่แค่อานุภาพน่าทึ่ง ที่สำคัญที่สุดคือการระเบิดพลังที่ประหลาดจนคาดไม่ถึง

“อีกอย่างระหว่างประมือกันเมื่อครู่ บนตัวของแม่นางกระพรวนผู้นั้นเหมือนมีพลังปราณบางอย่างที่ทำให้ข้ารู้สึกไม่ดี…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาครุ่นคิด ขณะเดียวกันก็แผ่จิตใต้สำนึกออกไปเริ่มตามหาผลึกมายาบริเวณรอบๆ เขารู้ว่าเวลาเจ็ดวันนั้นสั้นมากและไม่มีใครรู้เบาะแสหรือตำแหน่งของผลึกมายาทั้งสิ้น จะหามันพบได้ต้องใช้โชคเพียงอย่างเดียว หรือไม่ก็…รอให้คนอื่นหาพบแล้วช่วงชิงมา

“อาจมีวิธีอื่นที่จะตามหาผลึกมายาได้อย่างราบรื่น…แต่วิธีพวกนั้นน่าจะอยู่ในมือของตระกูลมหาศิษย์แห่งเต๋าพวกนั้น พวกเขารู้ แต่ข้าไม่รู้” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วและครุ่นคิดด้วยความเร็วที่ไม่ได้ลดลงเลย เมื่อเขาตามหาผลึกมายาแม่นางกระพรวนก็ต้องเลิกไล่ตามเขาและตามหาผลึกมายาบนดาวมายาเช่นกัน

ขณะเดียวกันไม่ว่าชายหนุ่มชุดดำที่แบกกระบี่เล่มโตไว้ที่หลังคนนั้นหรือแม่นางน้อยที่ใช้ศาสตร์มืดต่างก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ระหว่างที่ถูกหญิงสวมหน้ากากและชายหนุ่มผู้สง่างามไล่ตามต่างก็ใช้วิธีของตนหลบหนีออกมาและเริ่มตามหาผลึกมายา

วิธีของพวกเขาสองคนแตกต่างกัน ทางฝั่งของแม่นางน้อยนั้นประหลาดมาก แม้ว่าฐานการฝึกฝนและพลังต่อสู้ของหญิงสวมหน้ากากจะยอดเยี่ยม ทว่าไล่ตามไปครึ่งทางก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายหายไปไหนแล้ว

กลับกันทางฝั่งของชายหนุ่มผู้สง่างามนั้นไล่ตามชายหนุ่มชุดดำได้อย่างราบรื่น เพียงแต่บุคลิกของพวกเขาแตกต่างกันจึงทำให้แต่ละคนมีวิธีทำสิ่งต่างๆ ไม่เหมือนกัน เมื่อเผชิญหน้ากับการไล่ตามของชายหนุ่มผู้สง่างาม ทางเลือกของชายหนุ่มชุดดำก็คือชักกระบี่เข้าสู้

การต่อสู้ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนเรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน สุดท้ายชายหนุ่มผู้สง่างามจากสำนักอันดับหนึ่งเต๋าฝ่ายซ้ายก็ทำได้เพียงหยุดมืออย่างขมขื่น เพราะหากยังสู้ต่อไป ต่อให้เขาเอาชนะได้ก็ต้องเจ็บหนักอยู่พอตัว

เรื่องพวกนี้ไม่จำเป็นต้องชั่งน้ำหนัก ทั่วไปคนที่มีสติปัญญาย่อมรู้ดีว่าควรเลือกอย่างไร ดังนั้น…ผู้มีฝีมือชั้นยอดท่ามกลางเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าอย่างพวกเขาจึงเริ่มค้นหาผลึกมายาแทน ส่วนคนอื่นๆ นั้น แม้จะมีบางส่วนถูกผนึกไว้ แต่ก็กระจัดกระจายกันไปมากขึ้น ต่างคนจ่างค้นหาผลึกมายาไปพร้อมกับหลบเลี่ยงการโจมตีจากร่างมายา

เป็นแบบนี้จนหนึ่งวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครพบผลึกมายาสักชิ้น หวังเป่าเล่อเองก็กังวลอยู่ในใจ เพราะเขาเหาะมานานมากแล้ว จิตใต้สำนึกก็แผ่ขยายออกไปค้นหาอย่างเต็มที่ก็พบเพียงผู้เข้าทดสอบคนอื่น แต่ไม่รู้สึกว่าที่ใดมีผลึกมายาเลย

“ความรู้สึกเช่นนี้…หรือว่าสาเหตุที่จักรวรรดิดาวตกบอกว่าเวลาคือเจ็ดวันเป็นเพราะพวกเขาต้องการจะบอกใบ้ในนาทีสุดท้ายเพื่อให้ผู้คนที่กำลังค้นหาอย่างทรมานรีบเร่งต่อสู้กัน” หวังเป่าเล่อมองท้องฟ้า คิ้วขมวดมุ่นและดูเหมือนกำลังพึมพำ แต่ความจริงแล้วดวงตาของเขากลับเปล่งแสงอยู่เล็กน้อย

หลังจากรออยู่ครู่หนึ่งและไม่เห็นว่าบริเวณรอบๆ มีปฏิกิริยาอะไร หวังเป่าเล่อก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรและพึมพำต่อไป

“หากเป็นเช่นนี้จริง จุดประสงค์ของจักรวรรดิดาวตกคงไม่ง่ายขนาดนั้น…”

“โอ๊ย หายากจริง เจ้าผลึกมายาพวกนั้นอยู่ไหนกันแน่นะ หรือต้องรอจนถึงตอนสุดท้ายจริงๆ…” หวังเป่าเล่อเอ่ยและมองสำรวจรอบๆ อีกครั้ง จากนั้นก็กะพริบตาพึมพำกับตัวเองอีกครั้ง

“ข้าตัวคนเดียวพลังอ่อนแอ เกรงว่าจนถึงตอนสุดท้ายก็คงสู้ไม่ได้”

“ทำอย่างไรดีนะ หากมีใครมาช่วยข้าได้ ต่อให้ต้องแลกกับเงื่อนไขบางอย่าง ข้าก็ยอมนะ” หวังเป่าเล่อถอนหายใจยาวและกำลังจะพูดต่อ ทว่าในตอนนั้นเองจู่ๆ หูของเขาก็ได้ยินเสียงเลือนรางที่คุ้นเคยลอยมา

“อยากจะถามข้าก็พูดมาตรงๆ ไม่ต้องอ้อมไปอ้อมมาแบบนี้!” ขณะที่เสียงนั้นลอยมา ความว่างเปล่าตรงหน้าเขาก็เกิดการบิดเบี้ยว ก่อนที่กระดาษรูปมนุษย์ตนหนึ่งจะปรากฏตัวขึ้นและเดินเข้ามาหาหวังเป่าเล่อทีละก้าว

เขาปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับร่องรอยพลังงานเย็นยะเยือกที่แผ่ขยายออกไปรอบด้าน ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางฤดูหนาวในทันที หลังจากตัวสั่นเทา เขาก็รีบกำหมัดคำนับกระดาษรูปมนุษย์ตรงหน้า

“ผู้น้อยทำความเคารพผู้อาวุโส!”

กระดาษรูปมนุษย์ตนนี้ก็คือตนที่อยู่ในสร้อยข้อมือของเขานั่นเอง หลังจากเขาจากไปก่อนหน้านี้ ถึงแม้จะไม่ได้กลับมา แต่การเตือนสติครั้งนั้นระหว่างทางทำให้หวังเป่าเล่อเดาว่าอีกฝ่าย…อาจจะอยู่ข้างกายเขาก็ได้!

หวังเป่าเล่อรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายดูเหมือนไม่อยากให้เขาแพ้ไปเช่นนี้ มิเช่นนั้นครั้งก่อนก็ไม่จำเป็นต้องเตือนสติเขา และหากเป็นไปตามนี้ก็น่าจะช่วยเขาได้มาก!

ดังนั้นหลังจากค้นหามาตลอดหนึ่งวันและไม่พบผลลัพธ์ใด เขาจึงเริ่มคิดถึงอีกฝ่ายและพูดกับตัวเองอย่างเมื่อครู่…

……………………………………….

“ทำไมบนร่างแม่นางน้อยผู้มืดมนคนนั้นถึงมีความผันผวนจากศาสตร์มืด…” ขณะหวังเป่าเล่อรีบหนีออกไปจากสนามรบ ในหัวก็ปรากฏภาพของแม่นางน้อยคนนั้น ในใจเกิดความสงสัยขึ้น แต่ความคิดนั้นก็ผุดขึ้นมาเพียงแวบเดียวก็ถูกเขาสลัดทิ้งไป

เห็นได้ชัดว่าตอนนี้เขาไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้ ที่ด้านหลังเขาแม่นางกระพรวนมหาศิษย์แห่งสำนักเก้าวิหคเพลิง มหาอำนาจจากจักรพิภพสำนักเสริม พุ่งตามมาอย่างรวดเร็ว ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยแสงหลากสีราวกับรุ้งกินน้ำพาดผ่านท้องฟ้า

ขณะไล่ตามมา เสียงกระพรวนที่ข้อมือก็ส่งเสียงดังสะท้อนเป็นวงระลอกคลื่นอย่างต่อเนื่อง เมื่อมองจากที่ไกลๆ ราวกับหญิงสาวเหาะไปบนเกลียวคลื่นได้ ดูสง่างามแต่ในขณะเดียวกันก็มีความเร็วที่น่าทึ่ง

โดยเฉพาะชุดคลุมยาวหลากสีที่พลิ้วไหว และรูปลักษณ์ที่งามหยดย้อยทำให้ราวกับเห็นนางฟ้าในภาพวาดกำลังเหยียบลงมายังโลก

“นี่ตกหลุมรักข้าหรือ” หวังเป่าเล่อปวดหัว เมื่อเห็นแม่นางกระพรวนไล่ตามเขาออกมาจากสนามรบพร้อมเสียงกระพรวนสั่นเร็วจี๋ หลังจากเร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อไม่รู้จะทำอย่างไร เขาจึงหยิบแผ่นหยกออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บและหันไปทางแม่นางกระพรวนแล้วขว้างมันออกไป ปากก็ตะโกนเสียงดัง

“อย่าตามมาเลย นี่คือของต่างหน้าของข้า รอให้การทดสอบสิ้นสุดแล้วข้าแซ่เซี่ยจะลองให้โอกาสเจ้ามาขอแต่งงาน!”

แม่นางกระพรวนที่พุ่งตามมาข้างหลังได้ยินแล้วกลับยกยิ้ม

“ข้าขอแต่งงาน?” แม้คำพูดจาไพเราะน่าฟัง ทว่าดวงตากลับฉายแววประปลาด สาเหตุที่นางไล่ตามมาเป็นเพราะสนใจในตัวหวังเป่าเล่อจริงๆ แต่ไม่ใช่เชิงชู้สาวพวกนั้น แต่ต้องการใช้โอกาสนี้ทำให้อีกฝ่ายยอมจำนนและดูว่าเขาสามารถมาเป็นทาสศึกได้หรือไม่ ส่วนเรื่องที่เขาสังหารดารานิรันดร์มันไร้สาระเกินไป นางเชื่อว่าต้องเกิดเพราะความบังเอิญแน่ ไม่สามารถนำมาใช้ตัดสินพลังต่อสู้ของเขาได้

ตามที่นางเข้าใจคือสิทธิ์ของอีกฝ่ายได้มาโดยการช่วงชิง อีกทั้งยังยั่วยุอารยธรรมครามทองคำโดยที่ไม่มีภูมิหลังที่แข็งแกร่ง แต่หากเขามาเป็นทาสศึกของตน ถึงแม้จะสูญเสียอิสรภาพ แต่ก็จะได้ประโยชน์ไม่น้อย

แต่ตอนนี้นางเปลี่ยนความคิดเล็กน้อยโดยตั้งใจจะจับเขาทั้งเป็นเพื่อให้เขาได้ลิ้มลองรสชาติของความตายเป็นการลงโทษ จากนั้นค่อยคิดดูอีกครั้งว่าอีกฝ่ายมีคุณสมบัติที่จะเป็นทาสศึกของตนหรือไม่

คิดได้ดังนี้สายตาแม่นางกระพรวนก็เย็นยะเยือกขึ้นมา นางโบกมือขวาเบาๆ ฉับพลับคลื่นเสียงรอบตัวนางก็บิดเบี้ยวและกระจายออก มันพุ่งตรงไปยังแผ่นหยกที่หวังเป่าเล่อขว้างมา ทันทีที่ปะทะกันแผ่นหยกก็แตกกระจาย

และในตอนที่มันแตกกระจายนั้นเองก็มีหมอกสีดำพวยพุ่งออกมาจากแผ่นหยกที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ก่อตัวเป็นกำปั้นและพุ่งเข้าใส่แม่นางกระพรวน!

หยกแผ่นนี้ดูเหมือนธรรมดาทั่วไป แต่จริงๆ แล้วมีสารัตถะของหวังเป่าเล่อประกอบอยู่ด้วย ดังนั้นที่เขาพูดจาอวดดีไปเมื่อครู่ก็เพื่อให้อีกฝ่ายทำลายแผ่นหยกและสร้างโอกาสขัดขวางการโจมตีนั่นเอง

แน่นอนว่า…หากอีกฝ่ายเมินแผ่นหยกจะดีต่อหวังเป่าเล่อมากกว่า

แต่ความคิดที่สองของหวังเป่าเล่อก็ยากที่จะสำเร็จ ในฐานะมหาศิษย์แห่งเต๋าของสำนักเก้าวิหคเพลิง แม่นางกระพรวนย่อมไม่ธรรมดา อีกทั้งสติปัญญาสูงส่ง เพียงแวบเดียวก็มองออกว่าแผ่นหยกนั้นมีอะไรแปลกๆ วินาทีนั้นถึงมันจะแตกเป็นเสี่ยงๆ และพลังงานสีดำภายในกลายเป็นกำปั้นพุ่งมา ทว่ามันกลับพุ่งผ่านร่างแม่นางกระพรวนไป

นางไม่เป็นอันตราเลยแม้แต่น้อย ราวกับร่างของนางเป็นเพียงภาพหลวงตา ซึ่งความจริงแล้วก็เป็นเช่นนั้น วินาทีต่อมาร่างของแม่นางกระบวนก็ก้าวออกมาจากทางขวาของหวังเป่าเล่อ

“กลอุบายหรือ” ระหว่างที่พูดแม่นางกระพรวนก็ยกมือขวาขึ้นมาอีกครั้งแล้วโบกเบาๆ ฉับพลันคลื่นเสียงรอบตัวก็ระเบิดออกมาราวกับเส้นไหมที่มองไม่เห็น แล้วตรงเข้าพันธนาการหวังเป่าเล่อ

ความแหลมคมของมันก็น่าทึ่งเช่นกัน ยามที่แหวกไปในอากาศก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นจากการเคลื่อนที่เร็วเหนือเสียง ทั้งเร็วฉับไวและความว่างเปล่าที่มันแหวกไปก็ปรากฏร่องรอยเหมือนถูกตัดออก

หากเป็นจิตวิญญาณอมตะทั่วไปเผชิญหน้ากับการโจมตีนี้จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย และต่อให้เป็นดาวพระเคราะห์ก็ต้องระเบิดพลังแห่งดาวพระเคราะห์ของตนถึงจะต้านทานได้ เป็นเรื่องจริงทีเดียวที่ฐานการฝึกฝนของแม่นางกระพรวนไม่ธรรมดา ขณะเดียวกันกระพรวนบนข้อมือนั้นก็เรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่า

“ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!” หวังเป่าเล่อหรี่ตา อีกฝ่ายพบอุบายของเขาแล้วนั่นไม่เท่าไหร่ แต่การโต้กลับนั้นรวดเร็วและรุนแรงมาก อีกทั้งเส้นไหมคลื่นเสียงนั้นก็ทำให้เขารู้สึกอันตรายมาก ขณะเดียวกันความผันผวนของรากฐานการฝึกฝนในร่างกายอีกฝ่ายก็ทำให้หวังเป่าเล่อตระหนักถึงความยากลำบากแล้ว นางคือศัตรูที่แข็งแกร่ง หากต้องการเอาชนะในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เขาคงทำไม่ได้

เว้นแต่จะเป็นการสู้จนตัวตายก็พอจะทำได้ แต่ไม่คุ้ม

“พนันว่านางก็ไม่ได้อยากสู้จนตัวตายหรอกมั้ง?” หลังจากความคิดนี้แวบเข้ามาในหัว หวังเป่าเล่อก็ยอมแพ้ทันทีเพราะเขาคิดวิธีที่ดีกว่าได้แล้ว ขณะนั้นดวงตาก็ส่องประกายวาบ คลื่นเสียงรอบตัวส่งเสียงหวีดหวิวและปิดกั้นเขาทุกทาง ทว่าทันทีที่พวกมันเข้ามาใกล้ ร่างของหวังเป่าเล่อก็เกิดเสียงดังสนั่นและระเบิดตัวเองกลายเป็นกลุ่มพลังงานสีดำจำนวนมาก

เส้นไหมพวกนี้ปิดกั้นเส้นทางทุกทางได้ แต่ไม่สามารถปิดกั้นช่องว่างทั้งหมดได้ วินาทีที่เส้นไหมเข้ามาใกล้ หวังเป่าเล่อก็กลายร่างเป็นหมอกแทรกผ่านช่องว่างไป ไม่ใช่เพื่อหนี แต่เพื่อพุ่งตรงไปยังแม่นางกระพรวนที่หรี่ตาลงเล็กน้อยอยู่ในตอนนั้น

ขณะแทรกออกไปได้แล้ว ร่างของหวังเป่าเล่อก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เกราะจักรพรรดิบนร่างเปลี่ยนไปในทันใดและฝันร้ายก็ปรากฏขึ้นที่ด้านหลัง เขายกมือขวาทุบระเบิดกำเนิดดวงดาวจนระเบิดในทันที!

ระเบิดกำเนิดดวงดาวถึงแม้จะไม่ดีในด้านเพิ่มตบะการฝึกฝนรวมถึงด้านทักษะ แต่ในฐานะเคล็ดวิชาที่ระเบิดตบะออกมาจึงยังพอเห็นอานุภาพอยู่ ถึงอย่างไรข้อดีของมันก็อยู่ที่สามารถระเบิดพลังของตบะในระดับสูงสุดในคราเดียว

ควบคู่ไปกับพรสวรรค์วิญญาณจุติดวงดาราของหวังเป่าเล่อ การยืนอยู่บนดาวมายาดวงนี้จึงมีพลังเสริมอยู่แล้วทำให้การทุบระเบิดกำเนิดดวงดาวครั้งนี้จึงดูราวกับสามารถทำลายดวงดาวได้จริงๆ ในพริบตาที่มันระเบิดออกก็เกิดกระแสน้ำวนที่ดูคล้ายหลุมดำขึ้น มันฉีกผ่านความว่างเปล่าและกวาดทุกสิ่งทุกอย่างไปที่แม่นางกระพรวนราวกับลูกบอลสีดำ

“พลังเทพโหดเหี้ยมเช่นนี้ ถึงแม้อานุภาพจะไม่แย่ แต่กลับไม่มีวิถีแห่งเต๋าเลยสักนิด!” แม่นางกระพรวนหรี่ตาลง ขณะเปิดปากพูดพร้อมกับร่ายมือขวาชี้ไปข้างหน้า ทันใดนั้นบริเวณเหนือจุดที่นางอยู่ก็เกิดเสียงท้องฟ้าคำราม หลังคาสวรรค์เหมือนจะเกิดความปั่นป่วน เสียงวิหคเพลิงดังลอยมาราวกับมีวิหคเพลิงยักษ์ซ่อนตัวอยู่ในความว่างเปล่า

ในชั่วพริบตากรงเล็บวิหคเพลิงลวงตาก็ปรากฏด้วยความเร็วที่ไม่มีใครเทียบได้ ฉับพลันก็ตกลงมาและขนาดของมันก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนถึงหลายร้อยจั้งในชั่วพริบตา มันจุติพร้อมปะทะเข้ากับระเบิดกำเนิดดวงดาวของหวังเป่าเล่อ

ท่ามกลางเสียงดังสะเทือนฟ้า หลุมดำที่เกิดจากระเบิดกำเนิดดวงดาวพังก็ทลายลง กรงเล็บวิหคเพลิงเองก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ทว่าในวินาทีต่อมา เสียงวิหคเพลิงคำรามก็อีกครั้งพร้อมกับกรงเล็บวิหคเพลิงอันที่สองตกลงมาจากท้องฟ้า

เห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาและไม่อยากสู้อีกต่อไป ร่างของเขาถอยร่นไปทันที ขณะเดียวกันก็หยิบแผ่นหยกแผ่นที่สองออกมาแล้วขว้างใส่แม่นางกระพรวน

“หนึ่งแผ่นยังจริงใจไม่พออีกหรือ ไม่เป็นไร ใครใช้ให้ข้าโดดเด่นจนเจ้าไม่เชื่อข้ากันล่ะ เช่นนั้นข้าให้เจ้าอีกแผ่นแล้วกัน จำไว้นะ นำแผ่นหยกนี้มาขอข้าแต่งงาน!” หวังเป่าเล่อขว้างแผ่นหยกออกไปพร้อมกระแอมไอ และรีบถอยออกไปอย่างรวดเร็ว

“เจ้าเป็นคนกะล่อนรึ!” สายตาแม่นางกระพรวนฉายแววผิดหวัง แต่ในใจกลับระแวงยิ่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงพลังเทพของหวังเป่าเล่อเมื่อครู่ถึงจะดูหยาบ แต่อานุภาพของมันก็ทำให้นางเกร็ง ขณะนี้นางไม่สนใจหยกแผ่นนั้น นางขึ้นไปยืนอยู่บนกรงเล็บวิหคเพลิงที่จุติขึ้นมาและไล่ล่าหวังเป่าเล่ออีกครั้ง

ทั้งสองคน คนหนึ่งอยู่หน้า คนหนึ่งอยู่หลัง ไล่ตามกันไปอย่างนั้นไม่หยุดหย่อน แม่นางกระพรวนงัดเคล็ดวิชาออกมามากมาย วิหคเพลิงสวรรค์ปรากฏหัวออกมาสองหัว นั่นยังดี หลังจากเกราะจักรพรรดิของหวังเป่าเล่อแปลงสภาพไป เขาก็สามารถใช้ความเร็วค่อยๆ ออกห่างหรือหลบหนีพลังเทพของอีกฝ่ายได้

แต่ว่า…สิ่งที่เขาปวดหัวที่สุดคือกระพรวนบนข้อมือของแม่นางกระพรวน มันสั่นพร้อมกับคลื่นเสียงที่ก่อตัวขึ้น ความอ่อนแอและการรบกวนที่เกิดขึ้นทำให้ความเร็วของหวังเป่าเล่อค่อยๆ ช้าลงราวกับอยู่ในหลุมที่ล้อมรอบด้วยคลื่นเสียง

จนกระทั่งเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป หวังเป่าเล่อก็เหมือนจะถูกไล่ตามทันอีกครั้ง สีหน้าเขาเป็นกังวลเล็กน้อย แต่ในใจกลับหัวเราะเย็นชา เวลาของเส้นทางลับใกล้จะหมดลงแล้ว เขาจึงหันไปยกโทรโข่งยักษ์ที่มีรอยแตกขึ้นด้วยมือขวา

“ข้าก็มีวัตถุเวทคลื่นเสียงเหมือนกัน!” หวังเป่าเล่อเอาโทรโข่งที่ซ่อมไว้ออกมา ก่อนที่เขาจะใช้กำลังทั้งหมดตะโกนเสียงดังลั่น

………………………………………………

เพียงแต่ที่แห่งนี้มีคนอยู่เยอะมาก หวังเป่าเล่อไม่คิดว่าจักรวรรดิดาวตกจะไม่สอดส่องมาตรงนี้ อีกอย่างเห็นได้ชัดว่ากระดาษรูปมนุษย์ที่ตามเขามาก็อยู่แถวนี้ ดังนั้นเมื่อใช้สติปัญญาตัดสินแล้ว ก็คิดได้ว่ายังไม่ควรใช้ศาสตร์มืดจะดีกว่า

ซึ่งความจริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ความผันผวนจากการปรากฏตัวของผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์บนดาวมายานั้น ดึงดูดความสนใจจากจักรวรรดิดาวตกไปแล้ว ภายในเมืองดาวตกกระดาษรูปมนุษย์ห้าคนนั้นได้เริ่มสำแดงกระบวนเวทแล้ว พวกเขาเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน จึงย่อมรู้ว่าสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดก็คือหวังเป่าเล่อ

หากหวังเป่าเล่อใช้ศาสตร์มืดขึ้นมาตอนนี้ ผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไรก็ยากจะคาดเดา โชคดีที่ความรอบคอบของเขาทำให้มันไม่เกิดขึ้น

แต่มหาศิษย์แห่งเต๋าในสนามรบแต่ละคนต่างก็ตกที่นั่งลำบาก เพราะพวกเขาหลายร้อยคนต้องเผชิญหน้ากับร่างมายาที่มีมากเกินกว่าจะนับได้ แม้กว่าร้อยละเก้าสิบจะอ่อนแอ ทว่าดาวพระเคราะห์ห้าสิบกว่าร่างก็เพียงพอจะทำให้พวกเขาวิตกกังวลกันได้แล้ว นับประสาอะไรกับ…มีดารานิรันดร์อีกหนึ่งคน

สถานการณ์ตรงหน้าแทบจะเป็นสถานการณ์ที่ต้องพ่ายแพ้เป็นแน่!

โดยเฉพาะร่างมายาพวกนี้โจมตีอย่างไร้เหตุผล ดังนั้นไม่ว่าทุกคนจะคิดอย่างไร สิ่งแรกที่ต้องทำตอนนี้คือจัดการดารานิรันดร์ที่เป็นภัยคุกคามมากที่สุดก่อน

คนแรกที่ลงมือคือหวังเป่าเล่อ พริบตาที่ดารานิรันดร์คนนั้นพุ่งเข้ามา เกราะจักรพรรดิบนร่างที่กำลังล่าถอยของเขาก็แปลงเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์และฟันฉับไปทางร่างมายาดารานิรันดร์ที่อยู่ไกลๆ

ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ตอนนี้หญิงสวมหน้ากาก ผู้ฝึกตนผู้สง่างาม อีกทั้งแม่นางกระพรวนและชายหนุ่มชุดดำ ร่วมกับมหาศิษย์แห่งเต๋านับร้อยต่างก็โจมตีด้วยกำลังทั้งหมด หากจะสังหารดารานิรันดร์คงเป็นไปไม่ได้ แต่ถ่วงเวลาไว้สักพักคงพอทำได้อยู่

โดยเฉพาะแม่นางกระพรวนที่หยิบวัตถุเทพทรงกลมออกมาผนึกและปกคลุมไปทั่วบริเวณโดยรอบ รวบรวมพลังของทุกคนให้กลายเป็นความหนาวเย็น ทำให้รอบตัวดารานิรันดร์ร่างนั้นอุณหภูมิต่ำลง

พวกเขาต่างก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั่วไปเลยสักคน ในแง่หนึ่งสามารถกล่าวได้ว่าทุกคนมีพลังต่อสู้ขั้นดาวพระเคราะห์ไม่มากก็น้อย!

ดังนั้นเสียงดังกึกก้องพร้อมกับการโจมตีจากผู้คนนับร้อยพร้อมกันก็ทำให้ร่างมายาดารานิรันดร์ที่พุ่งเข้ามาสั่นสะท้านและถูกขัดขวางจนต้องหยุด จากนั้นก็ถูกความหนาวเย็นโดยรอบผนึกไว้กับที่จนกลายเป็นประติมากรรมน้ำแข็งที่เปล่งแสงหลากสี

ถึงแม้เขาจะเป็นดารานิรันดร์ แต่ก็ยังมีช่องว่างระหว่างร่างมายากับร่างจริงอยู่ ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น การขัดขวางนี้ก็คงอยู่ได้ไม่นาน น้ำแข็งเริ่มปริแตกอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าอีกไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็จะพังทลาย!

และในขณะที่ยังถูกผนึกเป็นน้ำแข็งอยู่นั้น ทุกคนก็ไม่รอช้ารีบถอยหลังไปอย่างรวดเร็วเพื่อสร้างระยะห่างจากบริเวณพื้นที่ที่มีร่างมายาจำนวนมากอย่างไม่ลังเล

การยืนหยัดจนถึงเจ็ดวันนั้นไม่มีทางเป็นไปได้เลย นับประสาอะไรกับการตามหาผลึกมายา หากเป็นเช่นนี้ไม่ว่าจะสู้อย่างไร ด้วยความยากระดับนี้แม้แต่หญิงสวมหน้ากากก็ยังดวงตามืดมน พวกเขาทำได้เพียงกระจายตัวกันออกไปไม่ให้กระจุกตัวกันอยู่ที่สนามรบนี้ แต่ให้กระจายครอบคลุมทั่วทั้งดวงดาว

หากเป็นเช่นนี้บางทีอาจยังมีโอกาสชนะได้ในตอนสุดท้าย

แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดและแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็วเพื่อยืดระยะห่างออกไปสู่บริเวณโดยรอบ ทันใดนั้นก็เกิดเสียงกรีดร้องดังมาจากที่ไกลๆ

เสียงนั้นช่างน่าสลดใจถึงขีดสุด แม้ว่าในตอนนี้จะมีเสียงมากมายในสนามรบ แต่เสียงนั้นก็ยังชัดเจนมาก ทำให้ทุกคนหันไปมองทันที และสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปทันทีที่เห็น

หวังเป่าเล่อเองก็กำลังถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว อาวุธศักดิ์สิทธิ์ในมือกวาดล้างร่างมายาที่เข้ามาใกล้ และเมื่อเขาหันไปมองด้านข้าง ดวงตาทั้งสองก็หดแคบลง

เขาเห็นมหาศิษย์แห่งเต๋าคนหนึ่งที่หน้าคุ้นๆ ถูกร่างมายานับสิบพุ่งเข้าใส่ สีหน้าร่างมายาแต่ละร่างมีความกระหายและกำลังกัดกินเลือดเนื้อของเขาอย่างบ้าคลั่ง!

เสียงกรีดร้องไม่ได้มาจากความเจ็บปวดที่ถูกกัดกินเลือดเนื้อเท่านั้น แต่ยังมาจากความทรมานที่วิญญาณถูกกัดกินด้วย สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อสั่นคลอนที่สุดคือดาวพระเคราะห์ร่างหนึ่งที่ถูกแม่นางน้อยคนนั้นสังหารได้พุ่งตรงผ่านร่างของมหาศิษย์แห่งเต๋าคนนั้นและกระชาก…ดวงวิญญาณเทพออกมา!

แม้กระทั่งตอนกระชากออกมาสายตาดาวพระเคราะห์ร่างนั้นก็ยังเต็มไปด้วยความกระหาย ทันใดนั้นก็ยัดดวงวิญญาณเทพ…เข้าปากและกัดกินอย่างบ้าคลั่งทำให้เสียงกรีดร้องของมหาศิษย์แห่งเต๋าเงียบลงอย่างฉับพลัน ดวงวิญญาณเทพถูกกิน เลือดเนื้อก็ถูกฉีกเป็นชิ้นๆ และถูกร่างมายารุมทึ้งอย่างโหดเหี้ยม

ฉากนี้ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก และยังบ่งบอกถึงชะตากรรมของทุกคนหากพวกเขาถูกปิดล้อม!

แต่ในขณะที่สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปเพราะการตายของคนคนนี้ ร่างมายาโดยรอบก็มีกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่ดูราวกับหมอกซึ่งถูกลมพัดปลิวสลายไปทันที!

หากจะพูดให้ละเอียดก็คือดูเหมือนร่างมายาที่สลายไปล้วนเป็นคนที่มหาศิษย์แห่งเต๋าที่ตายไปเคยสังหาร และเป็นเพราะเขานี่เองทำให้ทุกคนได้สติ สายตาแต่ละคนฉายแสงประหลาดทันที!

“ที่แท้กฎก็เป็นเช่นนี้เอง!”

“การทดสอบดาวมายานี้มีกฎซ่อนอยู่ข้อหนึ่ง!”

“สังหารบุคคลต้นเหตุที่ทำให้เกิดร่างมายา แล้วร่างมายาก็จะสลายไป ซึ่งช่วยลดความยากได้!!”

หวังเป่าเล่อก็ตอบสนองในทันทีเช่นกัน แต่วินาทีต่อมาสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาถอยหลังไปอย่างไร้ร่องรอย ทว่าในพริบตาที่เขาเคลื่อนไหว มหาศิษย์แห่งเต๋าแทบทุกคนต่างก็รู้ถึงกฎที่ซ่อนอยู่และหันมาจ้องเขา!

ทุกสายตาเย็นชาและยิ่งกว่านั้นคือเผยเจตนาฆ่าชัดเจน!

โชคดีที่…คนที่ตกเป็นเป้าสายตาไม่ได้มีแค่เขา ยังมีอีกหกคนที่ถูกสายตาทุกคนจ้องเขม็ง หกคนนี้ก็คือเหล่าคนที่สังหารดาวพระเคราะห์นั่นเอง

เพียงแต่บรรดาเจ้าของสายตาที่จ้องมองมายังผู้ฝึกตนผู้สง่างาม แม่นางกระพรวน รวมถึงพี่ชายผู้สูงส่งนั้น ก็แยกย้ายกันไปเป็นส่วนใหญ่หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย หญิงสวมหน้ากากก็เช่นกัน นางไม่ได้เป็นจุดสนใจมากขนาดนั้น ทว่าชายหนุ่มชุดดำรวมถึงแม่นางน้อยกลับกลายเป็นเป้าหมายหลักของทั้งสนามรองจากหวังเป่าเล่อ!

เมื่อไม่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่พอให้คนเคารพยำเกรง ต่อให้มีพลังต่อสู้แข็งแกร่ง ทว่าในตอนนี้เพื่อผลประโยชน์จึงย่อมตกเป็นเป้าหมาย!

โดยเฉพาะ…ในสถานการณ์ที่มีคนจำนวนมากและเกี่ยวข้องกับอนาคตของทุกคน!

“ฆ่าพวกเขาได้ก็ลดดารานิรันดร์ได้หนึ่งร่าง ดาวพระเคราะห์อีกสามสิบกว่าร่างรวมถึงความวุ่นวายอีกมาก!”

“ฆ่าแค่สามคนก็ลดความยากของการทดสอบนี้ได้อย่างน้อยร้อยละแปดสิบ!!”

มีคนเอ่ยขึ้นในทันใด มีบางคนเปลี่ยนทิศมาพยายามล้อมทั้งสามคนไว้ เมื่อเห็นเช่นนี้ สายตาหวังเป่าเล่อก็ฉายแสงเย็นเยียบและรีบถอยออกไปอย่างไม่ลังเล ขณะเดียวกันกับที่เขาถอยออกไป ชายหนุ่มที่สะพายกระบี่ไว้ที่หลังก็ทำเช่นเดียวกัน

ไอพิฆาตแผ่ซ่านและร่างของเขาก็ระเบิดพุ่งไปไกล ส่วนแม่นางน้อยที่ดูอ่อนแอไร้พิษภัยคนนั้น เมื่อรู้ว่าตนตกเป็นเป้าหมาย สายตาของนางก็พลันเย็นชา นางตอบสนองไม่ต่างจากหวังเป่าเล่อกับชายหนุ่มชุดดำ…

ถึงแม้นางจะถอยหลังไปเหมือนกัน แต่ทิศทางกลับเป็นทางผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์ที่ถูกพลังของทุกคนผนึกไว้ หลังจากที่นางเข้าไปใกล้ก็ทุบก้อนน้ำแข็งหลากสีอย่างดุเดือด ทันใดนั้นก้อนน้ำแข็งหลากสีรอบตัวผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์ก็พังทลาย พลังแห่งดารานิรันดร์ระเบิดออกมาจากด้านในและโหมกระหน่ำไปรอบๆ ไม่รู้ว่าแม่นางน้อยนั้นทำได้อย่างไร เพียงแค่ดวงตาสว่างวาบเล็กน้อย ผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์ก็เมินนางไปและวาบผ่านไประเบิดใส่คนอื่นรอบตัวอย่างไม่เลือกหน้า

ฉากนี้คนอื่นมองไม่ออก ทว่าหวังเป่าเล่อกลับรูม่านตาหดแคบทันใด

“ศาสตร์มืด?” หวังเป่าเล่อหายใจแรงขึ้นเล็กน้อย ในขณะนั้นแม้ว่าความผันผวนของศาสตร์มืดในร่างกายของแม่นางน้อยจะเลือนรางถึงขีดสุด แต่ในฐานะบุตรแห่งความมืด เขาสามารถรับรู้ได้ทันที

สิ่งนี้ทำให้เขาเกิดความสงสัย แต่ตอนนี้เขาไม่มีเวลาครุ่นคิด หวังเป่าเล่อพุ่งตัวและกำลังจะออกจากเขตสนามรบ ในตอนนั้นเอง…แม่นางกระพรวนคนนั้นกลับจ้องมองหวังเป่าเล่ออยู่ไกลๆ มุมปากเผยรอยยิ้มและขยับร่างไปมาเพื่อไล่ตามเขา!

ขณะเดียวกันชายหนุ่มผู้สง่างามก็ทำเช่นเดียวกัน เป้าหมายของเขา…คือชายหนุ่มชุดดำคนนั้น ส่วนหญิงสวมหน้ากากก็ไล่ตามเด็กสาวตัวเล็กไป

ไม่ใช่แค่พวกเขาสามคนเท่านั้น ทุกคนที่อยู่โดยรอบต่างก็แยกย้ายกันไปร่วมมือกับพวกเขาทั้งสามคน โดยพยายามปิดล้อมพวกของหวังเป่าเล่อทั้งสามที่พยายามหลบหนีไปในทิศทางที่ต่างกัน!

แต่เพราะดารานิรันดร์ร่างนั้นและยังมีการโจมตีจากดาวพระเคราะห์อีกห้าสิบกว่าร่างทำให้ทั้งสนามโกลาหลมาก ถึงแม้ตั้งใจจะปิดล้อม แต่ก็ยากที่จะบรรลุผล โดยเฉพาะความคิดของทุกคนซึ่งไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด!

ดังนั้นหวังเป่าเล่อที่ระเบิดความเร็วเต็มที่จึงพุ่งออกจากสนามรบไปแล้ว และยังสลัดคนที่พยายามขวางทางเขาทิ้งไปได้ทั้งหมด แต่ว่า…ที่ด้านหลังของเขามีแม่นางกระพรวนที่ไล่ตามเขามาด้วยความเร็วพอๆ กัน และออกจากสนามรบไปด้วยกัน

…………………………………………….

ขณะที่กระดาษรูปมนุษย์ทั้งห้ากำลังประหลาดใจและงงงวย หวังเป่าเล่อในดาวมายาก็กำลังกลัดกลุ้มเช่นกัน เขาไม่รู้ว่าข้างนอกมีเรื่องอะไร ตอนนี้ในสายตาของเขามีเพียงดาวพระเคราะห์มากกว่าสี่สิบร่างที่ปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า ในจำนวนนี้เขาเห็นตันโจวจื่อ เห็นซานหลิงจื่อ และยังเห็นผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายด้วย!

“ซานหลิงจื่อถูกขวดปรารถนาฆ่าตายก็ถือว่าเป็นฝีมือข้าด้วยรึ ยังมีผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย…ข้าไม่ได้ฆ่าเขานะ นี่ก็นับรึ ยังดีที่ไม่นับผู้อาวุโสฝ่ายขวา…” หวังเป่าเล่อปวดหัวเล็กน้อย เขาสังเกตเห็นว่าดาวพระเคราะห์ทั้งสามอยู่บนหัวของเขาและกำลังมองมาที่เขาด้วยเจตนาฆ่าอย่างแรงกล้า

หากเป็นเวลาอื่นเรื่องนี้ต้องทำให้เกิดความสั่นคลอนอย่างแน่นอน ทว่าตอนนี้…แสงของหวังเป่าเล่อถูกคนอื่นบดบังไปหมดแล้ว เพราะบนหัวเขามีสาม แต่บนหัวชายหนุ่มชุดดำผู้เย็นชาคนนั้นมีถึงสิบหก!!

ส่วนแม่นางกระพรวนและชายหนุ่มผู้สง่างามนั้น มีจำนวนดาวพระเคราะห์ที่ถูกปลุกเร้าขึ้นมารวมกันเพียงสิบกว่าร่าง ซึ่งยังห่างจากชายหนุ่มชุดดำมาก ทางฝั่งพี่ชายผู้สูงส่งมีเก้า ฝั่งของหญิงสวมหน้ากากเพียงคนเดียวก็มีสายตาจ้องมองจากดาวพระเคราะห์ถึงสิบ ฉากนี้ทำให้หลายคนสั่นสะท้าน ทว่าฉากที่ตามมา…ไม่ใช่นาง แต่เป็น…แม่นางน้อยที่ดูอ่อนแอคนนั้น!

ดาวพระเคราะห์สิบห้าร่างกำลังกัดฟันจ้องมาที่นาง!

ในชั่วพริบตา…กลุ่มคนที่อยู่รอบนางก็แตกกระเจิง ในนั้นมีหลี่หลินจื่อที่หน้าเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็วและมองไปทางแม่นางน้อยราวกับเห็นผี

และสิ่งนี้ทำให้แม่นางคนนั้นไม่มีความสุขเลย ริมฝีปากเล็กๆ ของนางเริ่มเบะออก นัยน์ตาเอ่อคลอไปด้วยน้ำตาราวกับจะร้องไห้

หวังเป่าเล่อเองก็ตกใจกับฉากนี้ เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่และรู้สึกว่าตัวเองไม่อาจภาคภูมิใจได้ ในกลุ่มมหาศิษย์แห่งเต๋ามีคนผิดปกติไม่น้อยเลย…

“ตอนแรกคิดว่าชายหนุ่มชุดดำผู้เย็นชาคนนั้นจะจัดการได้ยากสุด ไม่คิดว่าแม่นางน้อยคนนี้จะซ่อนตัวได้ลึกลับเช่นนี้ นางยังเป็นคนที่มืดมนที่สุดด้วย!” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากเพิ่มความระแวดระวังต่อแม่นางน้อยคนนั้นไว้ถึงขีดสุดแล้วก็สงสัยว่ากฎร่างมายาน่าจะสิ้นสุดลงแล้ว เขาจึงคิดจะถอยออกมา

แต่ในตอนนั้นเอง…ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างกะทันหัน!

สายตาของทุกคนเห็นว่าจู่ๆ ก็มีแสงส่องออกมาจากร่างคนผู้หนึ่งในฝูงชน…ด้วยระดับความสว่างที่ไม่เคยมีมาก่อน มันพุ่งขึ้นท้องฟ้าเรืองรองราวกับดวงอาทิตย์!

และขณะเดียวกันกับที่ลำแสงปรากฏขึ้น ร่างมายาทั้งหมดโดยรอบก็สั่นสะท้าน แม้แต่ดาวพระเคราะห์ห้าสิบร่างก็ด้วย

พวกเขากำลังสั่นพร้อมกับมหาศิษย์แห่งเต๋าทุกคน ณ ที่แห่งนี้ที่กำลังตกตะลึง แม้แต่หญิงสวมหน้ากากก็ยังเบิกตากว้าง ชายหนุ่มชุดดำลมหายใจสะดุด แม้กระทั่งผู้ฝึกตนผู้สง่างามที่อ่านหนังสือคนนั้นต่างก็มองดวงอาทิตย์อันชั่วร้ายที่ไม่เคยมีมาก่อนนั้น…ปรากฏขึ้นระหว่างฟ้าดิน!

“ผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์!!” เสียงอุทานดังออกมาจากฝูงชน

ร่างมายาที่เพิ่งปรากฏขึ้นมาคือผู้ฝึกตนดารานิรันดร์!

เขาปรากฏตัวพร้อมกับเปลวเพลิงมายาขนาดใหญ่ พลังแห่งดารานิรันดร์รุนแรงกว่าที่เคยเป็นมา บดบังแสงจากดาวพระเคราะห์รอบๆ จนหมดทำให้ในวินาทีนี้ราวกับโลกสั่นสะเทือน

ขณะที่ทุกคนกำลังตกใจ ร่างเลือนรางร่างหนึ่งก็เดินออกมาจากดวงอาทิตย์ชั่วร้าย ไม่มีสสารใดๆ ราวกับร่างของเขาถูกกำจัดไปก่อนที่เขาจะเสียชีวิต

ทว่าบางทีอาจเป็นเพราะความเจ็บปวดรุนแรงก่อนตายจึงทำให้แม้ร่างจะเลือนราง แต่ก็ยังถ่ายทอดความน่าอึดอัดชวนหายใจไม่ออกนี้ไปรอบบริเวณได้ และทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความบ้าคลั่งไปพร้อมๆ กัน

ทันทีที่ปรากฏตัว เขาก็จ้องเขม็งไปที่คนคนหนึ่งในฝูงชนที่แสงบนร่างสว่างไสวที่สุด เมื่อเทียบกับรอบด้านแล้วเขาก็เหมือนกับคบไฟในคืนมืดมิด!

คนคนนั้น…ก็คือหวังเป่าเล่อ!

“ข้ารึ?” หวังเป่าเล่อตกตะลึงจนนิ่งค้างไปแล้ว เขาก้มมองแสงบนร่างตัวเอง จากนั้นก็มองฝูงชนที่แตกฮือออกห่างในทันใด ทุกคน…รวมถึงแม่นางน้อยที่เขาคิดว่าซ่อนตัวตนได้ลึกลับที่สุดด้วย

สายตาแม่นางน้อยที่มองมายังเขาเหมือนกับสายตาของหลี่หลินจื่อก่อนหน้านี้ไม่มีผิด ล้วนเป็นสายตาราวกับเห็นผีและกลัวว่าจะได้รับผลกระทบหากอยู่ใกล้เกินไป หญิงสวมหน้ากากเองก็ตกใจอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ชายหนุ่มชุดดำที่ปกคลุมไปด้วยไอพิฆาตคนนั้นก็ยังถอยหลังไปด้วยความเร็ว ยามมองหวังเป่าเล่อก็ยังมีเจตนาต่อสู้แฝงอยู่ด้วยเล็กน้อย

คนอื่นๆ ก็เช่นกัน พริบตาเดียวรอบตัวหวังเป่าเล่อก็เกิดพื้นที่ว่างขึ้น มีเพียงเขาคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงนั้นและเปล่งแสงพราวระยับออกมา

หลังจากก้มมองตัวเอง มองคนรอบข้าง สุดท้ายหวังเป่าเล่อก็เงยหน้ามองดารานิรันดร์ที่ส่งสายตาโกรธเกรี้ยวมาให้ เขาตะลึงงัน ความคับข้องใจที่รุนแรงยิ่งขึ้นผุดขึ้นในใจเขาอย่างควบคุมไม่ได้

“ผิดแล้วมั้ง…”

หวังเป่าเล่อร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา เรื่องนี้มันประหลาดเกินไปแล้ว เขานึกอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าตัวเองเคยสังหารดารานิรันดร์…

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน…ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่ ข้าไม่รู้จักคน…” หวังเป่าเล่อเหงื่อแตก สมองหมุนวนเร็วจี๋ ใช้ช่วงเวลาสั้นๆ นี้นึกถึงเหตุการณ์สำคัญๆ ทั้งหมดตั้งแต่เด็กจนโต แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าตัวเองเคยโหดเหี้ยมถึงขนาดสังหารดารานิรันดร์ไปเมื่อไหร่

โดยเฉพาะผู้ฝึกตนดารานิรันดร์คนนี้ ร่างของเขาเลือนราง จากที่หวังเป่าเล่อตรวจสอบร่างมายาก่อนหน้านี้ เขาคำนวณได้คร่าวๆ ว่าคนคนนี้คงจะร่างแหลกสลายไปก่อนจะตาย แม้แต่ดวงวิญญาณเทพก็ดูเหมือนจะหนีไม่พ้นถูกคนที่พลังเหนือกว่าดารานิรันดร์ใช้พลังเทพหรือไม่ก็อาวุธเวทบังคับฆ่า!

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่…” หวังเป่าเล่อมองผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์บนท้องฟ้า รัศมีของเขาแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จนพื้นดินสั่นสะเทือนราวกับดาวมายาดวงนี้สั่นสะเทือนเพราะกฎแปลงร่างมายาออกมาเป็นดารานิรันดร์ของมันเอง ราวกับว่ากฎเกณฑ์ถึงขีดสุดแล้ว และมีสัญญาณของความไม่มั่นคงปรากฎขึ้นจางๆ

ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อร้อนใจ ขณะเดียวกันก็ทำให้กระดาษรูปมนุษย์ห้าตนที่กำลังเฝ้ามองดาวมายาอยู่ในจักรวรรดิดาวตกตกตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง นอกจากนี้ยังมีเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าบนดาวมายาที่ตีตัวออกห่างหวังเป่าเล่อ

หลี่หลินจื่อตะลึงค้างไปแล้ว คนอื่นๆ เองก็งงงันไปตามๆ กัน กระทั่งมีคนไม่น้อยแอบสาปแช่งอยู่ในใจ ทันทีที่ดารานิรันดร์ปรากฏขึ้นก็หมายความว่าการทดสอบในครั้งนี้ยากขึ้นมากเกินไป ถึงแม้พวกเขาล้วนเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าและมีภูมิหลังลึกซึ้ง แต่ที่แห่งนี้…ภูมิหลังไม่มีค่าอะไร พลังต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ

และผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์…ก็เป็นภัยคุกคามที่น่าสะพรึงกลัว เพียงพอที่จะฆ่าพวกเขาทั้งหมด ดังนั้นทุกคนจึงทั้งตกตะลึงทั้งหวาดกลัวหวังเป่าเล่อ พร้อมกับรู้สึกขุ่นเคืองรุนแรงในขณะเดียวกัน

พวกเขาไม่ได้เก็บซ่อนอารมณ์ หวังเป่าเล่อจึงรับรู้ได้อย่างชัดเจน แต่เขาเองก็รู้สึกผิดและสับสนเช่นกัน สมองยังคงประมวลผลถึงภาพความทรงจำไม่หยุด จนกระทั่งผ่านไปไม่กี่อึดใจดวงตาของหวังเป่าเล่อก็เบิกโพล่ง ร่างกายสั่นสะท้าน

เขาแน่ใจว่าตัวเองไม่รู้จักดารานิรันดร์คนนี้และไม่เคยสังหารเขา แต่มีช่วงหนึ่งของชีวิตเขาที่ไม่มีสติรับรู้…นั่นคือตอนที่เขาถูกศิษย์พี่เฉินชิงจับยัดไว้ในโลงศพและพาข้ามจักรวาล

“หรือว่า…” หวังเป่าเล่อใจเต้นรัวในฉับพลัน ในหัวคาดเดาไปว่าตอนที่ศิษย์พี่แบกโลงศพข้ามจักรวาล บางทีอาจจะมีดารานิรันดร์ดวงซวยที่เผลอไปยั่วโมโหศิษย์พี่เข้าจนโดนสังหาร?

“แต่ถูกศิษย์พี่สังหารก็จะมาโทษข้าไม่ได้สิ หรือว่า…ศิษย์พี่ใช้โลงศพที่ข้านอนอยู่ทุบอีกฝ่ายจนตาย?” หวังเป่าเล่อตาถลึงตา การคาดเดาอีกอย่างผุดขึ้นมาอย่างเลือนราง

“หรือว่า…ตอนที่ศิษย์พี่แบกโลงศพข้าเหาะไป ดารานิรันดร์คนนี้จะถูกโลงศพที่ข้านอนอยู่ชนตาย?” หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าเหลือเชื่อเกินไป แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองคาดเดาถูกหรือไม่ ทว่าเมื่อเห็นร่างที่ชัดเจนว่าถูกทุบจนไม่เหลือแม้แต่ร่างกาย ตอนนี้จึงทำได้เพียงพยายามปะติดปะต่อร่างผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์ที่เลือนราง…บางทีสิ่งที่เขาคาดเดาก็เป็นไปได้มากทีเดียว

“ศิษย์พี่เอ๋ย!!” หวังเป่าเล่อคร่ำครวญในใจ แต่ยังไม่ทันคิดว่าจะแก้ไขอย่างไร พลังของผู้เยี่ยมยุทธ์ดารานิรันดร์คนนั้นก็พุ่งถึงจุดสูงสุดแล้ว ร่างมายาทั้งหมดรวมถึงตัวเขาพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับเสียงคำรามรุนแรง

แม้ว่าทุกความคับข้องใจต้องมีผู้รับผิดชอบ ทุกหนี้มีลูกหนี้ ตามหลักความจริงแล้ว เป้าหมายของร่างมายาพวกนั้นควรเป็นคนที่สังหารตัวเอง แต่ว่า…

ทุกอย่างบนดาวมายาไม่มีอะไรแน่นอน ถึงแม้ร่างมายาพวกนั้นจะเกลียดชังคนที่สังหารตน ทว่าขอบเขตของการแก้แค้นนั้นส่งผลรวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่นทั้งหมดด้วย!

นั่นส่งผลให้ทั้งสนามรบโกลาหลในทันที โชคดีที่พลังของร่างมายาเหล่านี้แตกต่างกับตอนพวกเขายังมีชีวิตอยู่ หรือบางทีอาจเป็นอิทธิพลของกฎเกณฑ์ที่นี่ จึงทำให้พวกเขาไม่มีปัญญาวิญญาณและดูเหมือนมีเพียงแค่สัญชาตญาณเท่านั้น ดังนั้นท่ามกลางเสียงคำรามดังสนั่น ร่างของหวังเป่าเล่อถดถอยไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าเขาจะร้อนใจไปหมด ทว่าเมื่อเห็นเงามายาเหล่านั้น จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจ

“พวกนี้คือ… ผีหรือ” พอความคิดนี้ปรากฏขึ้น เขาก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ดวงตาก็กลับมาสงบเยือกเย็น

ดาวดวงนี้ถูกใช้เป็นดาวในการทดสอบของสุสานดวงดารา แม้จะชื่อว่าดาวมายา แต่ความเป็นจริงมีทั้งภูเขา แม่น้ำและต้นไม้

เพียงแต่สีของต้นไม้ส่วนใหญ่เป็นสีฟ้า น้ำในแม่น้ำก็ขาวราวกับน้ำนม ส่วนท้องฟ้าก็เปลี่ยนสีตลอดเวลา ดูสวยงามมาก

ส่วนพื้นดินเป็นไปตามที่หวังเป่าเล่อเคยรับรู้มา บางครั้งยังมองเห็นสัตว์เลื้อยคลานบนพื้นสีดำทำให้ทั้งดาวดูมีชีวิตชีวา

“นี่คือดาวพระเคราะห์พิเศษ!” ขณะที่หวังเป่าเล่อมองไปรอบๆ ก็มีเสียงดังขึ้นที่ข้างตัวเขา คนพูดคือผู้ฝึกตนที่เคยซื้อสิทธิ์ขึ้นเรือคนหนึ่ง สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นราวกับอยากลองผนึกกายเข้ากับดาวดวงนี้เต็มที

เรือที่พวกเขาโดยสารมาหายไปแล้ว ในวินาทีที่พวกเขาถูกดาวดวงนี้ดูดกลืนเข้ามา นอกจากพวกเขาแล้ว สิ่งของข้างกายทุกอย่างล้วนหายไป และตอนที่ปรากฏตัว พวกเขาไม่กี่ร้อยคนก็มาอยู่รวมกัน

แม้พวกเขาจะกระจายออกจากกันในไม่ช้า พร้อมกับสำรวจสภาพแวดล้อมรอบๆ หลายคนพบว่าดาวดวงนี้คือดาวพระเคราะห์พิเศษ และก่อนที่คนคนนั้นจะเอ่ยขึ้นก็ได้มีคนลองผนึกกายไปแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าไม่มีทางสำเร็จ

“ช่างยิ่งใหญ่เสียจริง แค่การทดสอบก็ถึงกับนำดาวพระเคราะห์พิเศษออกมา…” หวังเป่าเล่อรู้ถึงความหมายและคุณค่าของดาวพิเศษดี มันเหนือกว่าการมีอยู่ของมนุษย์ วิญญาณและดาวเคราะห์อมตะ เป็นรองแค่การมีอยู่ของดาวเคราะห์เต๋าในตำนานซึ่งครอบครองพลังแห่งกฎเกณฑ์ เมื่อผนึกกายกลายเป็นดาวพระเคราะห์ก็จะมีพลังแห่งกฎเกณฑ์

ระดับดาวพระเคราะห์ที่ครอบครองพลังแห่งกฎเกณฑ์ หวังเป่าเล่อไม่เคยพบเจอมาก่อน ส่วนใหญ่ที่เขาได้เจอในตอนนั้นคือการเลื่อนขั้นดาราวิญญาณ แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้ทำให้เขาตัดสินความแข็งแกร่งของผู้ที่เลื่อนขั้นดาวพระเคราะห์พิเศษ

“ครอบครองกฎเกณฑ์…” สายตาหวังเป่าเล่อฉายแววกระหายอยาก หากไม่มาถึงที่นี่ก็ไม่อะไร แต่ในเมื่อมาถึงสุสานดวงดาราแล้ว ดาราวิญญาณธรรมดาไม่อาจสนองความพอใจของเขาได้อีกต่อไป แม้แต่ดาวเคราะห์อมตะก็ยังไม่มากพอ เป้าหมายของเขา…คือดาวพิเศษ!

เพราะดาวพิเศษแบบนี้หายากในพิภพภายนอก แต่ที่นี่… ดูเหมือนจะหาไม่ยาก!

มีเพียงทางนี้เท่านั้นที่เขาจะรักษาเส้นทางของผู้แข็งแกร่งในระดับเดียวกันได้ สิ่งนี้สำคัญมากสำหรับเขา การเดินทางมายังสุสานดวงดาราในครั้งนี้ ในแง่หนึ่งถึงแม้หวังเป่าเล่อจะไม่ได้เห็นโลกมากนัก แต่กลับได้เห็นมหาศิษย์แห่งเต๋าที่มาจากมหาอำนาจต่างๆ จำนวนมาก

เขาไม่ต้องการให้…หลังจากออกจากสุสานดวงดาราไปแล้ว ยามที่ได้เจอกับคนพวกนี้อีกครั้ง คนที่ไม่ดีเท่าเขาในตอนนี้จะสามารถบดขยี้เขาได้ด้วยตบะและพลังต่อสู้

ขณะที่ความคิดนี้ดังขึ้นในหัว หวังเป่าเล่อก็ก้มลงมองพื้นใต้ฝ่าเท้า ความสามารถที่วิญญาณจุติดวงดาราในดวงดาวนำมาทำให้เขาสัมผัสได้ถึงกระแสพรอันบ้าคลั่งที่กำลังแผ่กระจายออกจากดวงดาวอย่างเงียบเชียบ และยังคงล้อมรอบร่างกายของเขา ทำให้พลังการต่อสู้ของเขาพัฒนาขึ้นอย่างมากที่นี่

“ตามกฎที่จักรวรรดิดาวตกระบุไว้ มีผลึกมายาอยู่ในดาวมายาสามสิบเม็ด เจ็ดวันหลังจากนี้ผู้ที่มีผลึกมายาในมือจะเข้าสู่รอบต่อไป!”

“หลายร้อยคนแย่งชิงผลึกมายาสามสิบเม็ด โดยพื้นฐานแล้วต้องกำจัดไปถึงร้อยละเก้าสิบ… ดูท่าว่าคงเลี่ยงการต่อสู่ไม่ได้เสียแล้ว!” แววตาหวังเป่าเล่อเป็นประกาย

อันที่จริงไม่ใช่แค่เขา ผู้ฝึกตนในที่แห่งนี้ต่างก็ฉายแสงแปลกๆ ในดวงตา ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังกระฉับกระเฉงและวางแผนที่จะได้รับสิทธิ์เข้าสู่รอบต่อไป จู่ๆ…ร่างของผู้ฝึกตนมหาศิษย์แห่งเต๋าหลายร้อยคนรวมถึงเขาต่างก็เปล่งแสงออกมา!

แสงบนร่างทุกคนอ่อนเข้มเท่ากัน และในพริบตาที่แสงแผ่ออกไปในความว่างเปล่าโดยรอบก็บังเกิดร่างมายาขนาดใหญ่ขึ้น!!

ร่างมายาพวกนี้มีทั้งหญิงและชาย มีทั้งแก่และเด็ก และมีแม้กระทั่งหลากหลายเชื้อชาติ บางร่างถูกฉีกเป็นชิ้นๆ บางร่างดูเหมือนถูกเผาจนไม่มีร่าง มีเพียงเงาเลือนราง!

พวกเขาปรากฏขึ้นพร้อมกับแรงกดดันที่มารวมตัวกัน และระเบิดออกกะทันหัน นี่เป็นเพราะถึงแม้หลังจากปรากฏตัวขึ้นแล้วแต่ละคนจะมีสีหน้านิ่งค้างและรักษาฉากโศกนาฏกรรมก่อนตายไว้ แต่ตบะที่ผันผวนในร่างกายพวกเขาเป็นของจริง!

เมื่อพิจารณาดูแล้วร่างมายาพวกนี้น่าจะมีมากกว่าหลายพันร่าง แต่…ทุกอย่างยังไม่จบสิ้น ในไม่ช้าก็มีร่างมายาปรากฏขึ้นอีกหลายร่าง

ขณะนี้เสียงอุทานและเสียงคำรามต่ำดังจากมหาศิษย์แห่งเต๋าทีละคน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาแต่ละคนจำร่างมายาเหล่านี้ได้… คนที่เคยถูกตัวเองสังหาร!

เช่นเดียวกับหวังเป่าเล่อ เขาเห็นตระกูลไม่รู้สิ้นที่ตนได้สังหารไป เห็นผู้ฝึกตนที่ตายด้วยน้ำมือตน แม้แต่คนที่เขาสังหารตอนอยู่ที่สหพันธรัฐก็มาปรากฏตัวด้วย

นี่…ก็คือกฎของดาวมายา ไม่ใช่แค่ฟื้นจากความตาย แต่ยังรวมทุกคนที่พวกเขาเคยสังหารมาเพื่อสร้างพลังต่อสู้ขึ้นใหม่!

เมื่อเห็นว่าร่างมายามากขึ้นเรื่อยๆ แต่พลังสูงสุดแค่ขั้นจิตวิญญาณอมตะ ทว่าหัวใจหวังเป่าเล่อกลับสั่นสะท้าน เพราะจู่ๆ เขาก็นึกถึง…ว่าครั้งหนึ่งตัวเองเคยทำลายตระกูลหนึ่งบนดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง…

ทันทีที่ความคิดของเขาผุดขึ้น ร่างมายารอบตัวก็เพิ่มมากขึ้นทันที…อย่างน้อยก็หลายหมื่นเท่า เงาของสัตว์ร้ายที่ดูเหมือนกิ้งก่าก็ผุดขึ้นหนาแน่นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

ในชั่วพริบตาก็ดูเหมือนฟ้าดินพลิกผันทำให้ทุกคนรอบข้างสัมผัสสวรรค์บ้าคลั่ง

“ใครกันที่สังหารมากมายเช่นนี้!!”

“บ้าไปแล้ว นี่มันฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือ”

หวังเป่าเล่อกะพริบตาด้วยความรู้สึกผิด หลังจากนั้นร่างมายาที่มากขึ้นทำให้ยากที่จะบอกว่ามันมาจากใครซึ่งทำให้เขาประหลาดเล็กน้อย สีหน้าของเขาจึงดูน่าเกลียดและจ้องมองไปรอบๆ ราวกับว่าเขาต้องการหาตัวผู้ร้าย

โดยธรรมชาติย่อมหาตัวผู้ร้ายไม่พบ ทว่ากฎของดาวมายายังไม่สิ้นสุดแค่นั้น ในไม่ช้า…มีเจ็ดคนในฝูงชนที่จู่ๆ ก็มีแสงเปล่งจากร่างอีกครั้ง ความสว่างไสวของพวกเขาเด่นชัดมาก เพราะนอกจากพวกเขาแล้วแสงของคนอื่นอยู่ในระดับปกติ มีแค่พวกเขาเท่านั้นที่ต่างจากคนอื่น!

หวังเป่าเล่อคือหนึ่งในนั้น ส่วนอีกหกคนคือกลุ่มของหญิงสวมหน้ากากสี่คน และยังมีพี่ชายผู้สูงส่งคนนั้น และคนสุดท้าย…คือเด็กผู้หญิงที่ดูอายุเพียง 13-14 ปีเท่านั้น เด็กคนนี้รูปลักษณ์ภายนอกดูอ่อนแอ ไร้พิษภัย และไม่ได้ดูโดดเด่นออกมาจากฝูงชนมากนัก กลุ่มที่นางเข้าร่วมคือกลุ่มของหลี่หลินจื่อและดูเหมือนว่านางจะมีฐานะต่ำต้อยในกลุ่มนั้นด้วย

แม้แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่เคยสนใจนางมาก่อนและเขาก็ตกตะลึงหลังจากได้เห็นในขณะนี้

หากเทียบแสงสว่างบนร่างพวกเขาทั้งเจ็ดแล้วยังมีความต่างอยู่ คนที่แข็งแกร่งที่สุด…ก็คือชายหนุ่มชุดดำที่สะพายกระบี่ขนาดใหญ่ไว้ที่หลัง แสงบนร่างกายเขาสว่างบาดตา

ส่วนคนที่อ่อนแอ…คือพี่ชายผู้สูงส่ง ส่วนหวังเป่าเล่ออยู่ตรงกลาง ไม่สูงไม่ต่ำ ในตอนที่แสงบนร่างพวกเขาแผ่ออกไปดึงดูดสายตาทุกคนนั้น ร่างมายานับไม่ถ้วนที่ปรากฏในความว่างเปล่าก่อนหน้านี้ก็สั่นสะท้านและถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกันกับที่พวกมันถอยร่นไปก็มีร่างมากกว่าห้าสิบร่างปรากฏขึ้นพร้อมเสียงคำราม แต่ละร่างทั้งน่ากลัวและน่าสังเวช ทว่าสิ่งที่ระเบิดออกมาจากร่างของพวกมันกลับเป็น…แรงกดดันดาวพระเคราะห์!!

ขณะเดียวกันสีหน้าพวกมันก็ไม่ได้นิ่งค้างอีกต่อไป แต่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและต่างมองไปยังคนที่สังหารตัวเองในเจ็ดคนนั้น

“ดาวพระเคราะห์!!”

พวกเขาเจ็ดคนเคยสังหารดาวพระเคราะห์!!”

“นี่มันเกินไปแล้ว!!!”

ยามที่ทุกคนโดยรอบตกอยู่ในความโกลาหล ที่ใจกลางเมืองหลวงของจักรวรรดิดาวตก ในห้องโถงกระดาษสีขาว ขณะนี้มีกระดาษรูปมนุษย์ห้าตนนั่งทำสมาธิและจ้องไปยังแอ่งน้ำสีดำที่วางอยู่ตรงหน้า

ในน้ำสีดำนี้มีจุดสีขาวจำนวนมากลอยอยู่และจุดสีขาวทุกจุด…คือดวงดาว ตอนนี้ท่ามกลางดวงดาวหนาแน่น จู่ๆ ก็มีจุดสีขาวจุดหนึ่งกลายเป็นสีแดงในชั่วพริบตา!

การปรากฏขึ้นของจุดสีแดงทำให้กระดาษรูปมนุษย์ทั้งห้ารอบๆ ตกตะลึงในทันที

“นี่มัน…ดาวมายาที่กำลังคัดเลือกผู้ที่เข้าเงื่อนไขจากนอกพิภพหรือ”

“มันกลายเป็นสีแดงแล้ว!”

“ตามกฎของดาวมายาระดับต่ำดวงนั้น ทางเดียวที่จะถึงขีดจำกัดได้คือมีร่างมายาของดารานิรันดร์ เป็นไปไม่ได้น่า…”

“คนจากนอกพิภพที่เข้าทดสอบพวกนี้ล้วนเป็นระดับจิตวิญญาณอมตะชั้นมหาวัฏจักร ในพวกเขามีคนเคยสังหารดารานิรันดร์หรือ”

“เป็นไปไม่ได้!”

ทันทีที่ได้ยินเสียงนี้หวังเป่าเล่อก็ขนลุกในฉับพลัน เขาลุกขึ้นมองไปรอบๆ แต่ในห้องนี้ก็ไม่มีใครอื่นนอกจากเขา แม้แต่จิตใต้สำนึกที่แผ่ขยายออกไปก็มองไม่เห็นเบาะแสแม้แต่น้อย

เสียงนั้นราวกับหวังเป่าเล่อคิดไปเอง มันไม่ได้ปรากฏขึ้นอีก หวังเป่าเล่อระแวดระวังอยู่นานแล้วจึงลองพยายามพูดออกมา หลังจากพบว่าไม่มีการตอบสนอง เขาจึงเปิดกระเป๋าคลังเก็บและรีบตรวจสอบแหวนคลังเก็บข้างในอย่างรวดเร็ว จากนั้นสีหน้าของเขาก็เริ่มไม่น่าดู

เขามั่นใจว่าตัวเองไม่ได้หูฟาด อีกทั้งน้ำเสียงเฉียบขาดนั้นก็ฟังดูคุ้นหูเพราะมันทำให้เขารู้สึกเหมือนกับเสียงหัวเราะของกระดาษรูปมนุษย์ที่ออกจากแหวนคลังเก็บไปไม่มีผิด!

“มันไม่ได้จากไป…หรือบางทีอาจจากไปแล้วก็กลับมา?” หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าในแหวนคลังเก็บนั้นนอกจากขวดปรารถนากับคันธนูจักรพิภพก็ไม่มีร่างของกระดาษรูปมนุษย์แล้ว แต่เขารู้สึกได้ว่ากระดาษรูปมนุษย์คนนั้น…บางทีอาจจะอยู่ข้างกายเขา!

“เอาเถอะ กระดาษรูปมนุษย์ตนนั้นมาที่นี่ต้องมีแผนร้ายแน่ ไม่อย่างนั้นจะกลับมาทำไม!” ระหว่างครุ่นคิด หวังเป่าเล่อก็แสร้งทำเป็นผ่อนคลายและนั่งทำสมาธิอีกครั้ง ทำท่าเหมือนจะปรับรากฐานการฝึกฝน แต่ความจริงแล้วในใจยังคิดวนไปวนมาไม่หยุด จิตใต้สำนึกก็ยังคงแผ่กระจายออกไป

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ไม่นานครึ่งวันก็ผ่านไปและในช่วงครึ่งวันนี้ก็ไม่มีกระดาษรูปมนุษย์พายเรือเลย มหาศิษย์แห่งเต๋าบนเรือที่ถูกดึงไปข้างหน้าด้วยพลังงานบางอย่างต่างก็ปรับตัวได้แล้ว จนมีบางคนออกมาจากห้องและอยู่รวมกันเป็นกลุ่มเล็กๆ

กลุ่มเหล่านี้มีทั้งใหญ่และเล็ก ประมาณสิบกว่ากลุ่ม ในจำนวนนี้หลี่หลินจื่อก็ตั้งขึ้นมากลุ่มหนึ่ง เจ้าอ้วนน้อยก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย และยังมีพี่ชายที่ผมตั้งสูงอยู่ด้วย

แต่ก็มีอีกหลายคนที่ไม่สนใจใครและอยู่ตามลำพัง เช่น หญิงสวมหน้ากากรวมถึงชายหนุ่มชุดดำที่ปกคลุมไปด้วยไอพิฆาตทั่วร่าง อีกด้านหนึ่งหวังเป่าเล่อให้ความสนใจกับมหาศิษย์แห่งเต๋าสองในสี่ที่แข็งแกร่งที่สุด ตัวตนของพวกเขาโดดเด่นมาก

รอบตัวแม่นางกระพรวนมีคนรายล้อมไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน ถึงแม้พี่ชายผู้สูงส่งจะไม่ได้อยู่ตรงนั้นด้วย สายตาของผู้ฝึกตนรอบตัวหญิงสาวฉายแววชื่นชม แต่ก็ยังมีความระมัดระวังและประจบประแจงอย่างเห็นได้ชัด

ส่วนชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้นดูเหมือนจะมีคนรายล้อมรอบตัวเขาอยู่เสมอ และเขาก็เป็นจุดสนใจมาหลายครั้งจนชินแล้ว เขาเพียงก้มหน้าอ่านหนังสือไม่สนใจคนหลายสิบที่เข้าหาตัวเอง ทว่าเห็นได้ชัดว่าผู้คนที่อยู่รอบๆ ตัวเขาสนใจทุกการเคลื่อนไหวของเขา และเมื่อใดก็ตามที่สบโอกาสทุกคนต่างก็เป็นคนแรกที่เข้าหาเขา

และเพราะทุกคนกระจายตัวกันไปนั่นเองทำให้หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงพูดคุยกระซิบกระซาบกันของใครหลายคน แน่นอนว่าการสนทนาส่วนใหญ่ไม่ใช่ความลับอะไรจึงไม่ได้จงใจปิดบัง เช่น เขารู้ตัวตนของแม่นางกระพรวนแล้ว!

“จักรพิภพสำนักเสริม สำนักเก้าวิหคเพลิงผู้ปกครองจักรวาลไร้ขอบเขต สำนักนี้ตั้งอยู่ในจักรพิภพสำนักเสริม ความแข็งแกร่งเป็นอันดับสาม!” หวังเป่าเล่อหรี่ตา หากก่อนหน้านี้เขาไม่ได้รู้จักลัทธินอกรีตมาก่อน เขาก็คงไม่อะไรกับสิ่งที่เรียกว่าสำนักเก้าวิหคเพลิง แต่ตอนนี้กลับต่างออกไป

เขารู้ว่าสำนักเก้าวิหคเพลิงของอีกฝ่ายนั้นแข็งแกร่งกว่าอารยธรรมครามทองคำหลายเท่านัก และเกรงว่าแทบไม่ต่างจากตระกูลเซี่ยเท่าไหร่ อาจนับได้ว่าอยู่ในระดับเดียวกัน

ขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อก็ตรวจสอบที่มาของชายหนุ่มผู้สง่างามคนนั้น คนคนนี้ถือได้ว่าเป็นเพื่อนจากที่เดียวกันของเขา…เพราะมาจากจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้ายทั้งคู่ แต่เขาเป็นศิษย์เอกเพียงคนเดียวของรองเจ้าสำนักท่านหนึ่งในเต๋าเก้ารัฐซึ่งครองอันดับหนึ่งในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์แห่งเต๋าฝั่งซ้าย!

ตัวตนของเขาอาจกล่าวได้ในประโยคเดียว…สามารถทำให้อารยธรรมครามทองคำตื่นตระหนกได้ ถึงอย่างไรอารยธรรมครามทองคำก็ต้องยอมรับคำสั่งจากเต๋าเก้ารัฐ

หวังเป่าเล่อยังตรวจสอบที่มาของพี่ชายผู้สูงส่งคนนั้นด้วย คนคนนี้มาจากจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น เป็นตระกูลพ่อค้ารุ่นใหม่นอกจากตระกูลเซี่ย อำนาจเท่าเทียมกัน โดยเฉพาะไม่กี่พันปีมานี้ ในด้านรูปลักษณ์ที่ภายนอกมองมาสามารถทัดเทียมกับตระกูลเซี่ยได้แล้ว

และการที่ตระกูลเซี่ยสามารถทำให้ผู้อื่นเติบโตได้ เห็นได้ชัดว่ามีเหตุผลบางอย่างที่บุคคลภายนอกไม่อาจทราบได้

“ที่มาแต่ละคนไม่ธรรมดาจริงๆ” หวังเป่าเล่อเหยียดริมฝีปาก เรื่องลึกลับข้าก็ไม่น้อยหน้าใครหรอก บุตรแห่งสำนักแห่งความมืด ศิษย์พี่ก็เป็นคนโหดเหี้ยม หากเอ่ยออกมาก็อาจทำให้ใครหลายคนตกใจตายได้เลย

คิดได้เช่นนี้ในใจเขาก็สงบลงได้ไม่น้อย ขณะเดียวกันก็มองออกว่าหญิงสวมหน้ากากคนนั้นไม่เต็มใจจะเปิดเผยตัวตนและปฏิเสธที่จะพูดคุยกับทุกคน ส่วนชายหนุ่มชุดดำถือดาบยาวที่ดูโกรธเกรี้ยวและเย็นชาคนนั้นดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีที่มาและเห็นได้ชัดว่าเขาระแวดระวังและเป็นปฏิปักษ์ต่อทุกคนที่อยู่ใกล้ตัว

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อมองเห็นเบาะแสบางอย่าง แต่ระยะเวลาล่องเรือเพียงหนึ่งวันนั้นสั้นเกินไป มิเช่นนั้นหากนานกว่านี้หวังเป่าเล่อเชื่อว่าเขาจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมมากกว่านี้

ตอนที่หวังเป่าเล่อใช้จิตใต้สำนึกแผ่ออกไปตรวจสอบคนอื่นนั้น ผู้ฝึกตนที่ทำแบบเขาก็มีไม่น้อย เพียงแต่มีหลายเรื่องที่ถือว่าเป็นประโยชน์กับหวังเป่าเล่อ แต่สำหรับพวกเขาถือเป็นสิ่งที่รู้มานานแล้วจึงไม่ได้สนใจเท่าไหร่ สิ่งที่พวกเขาสนใจมากที่สุดก็คือ…ที่มาของหวังเป่าเล่อ!

แม้หวังเป่าเล่อจะคิดว่าการปรากฏตัวของตัวเองไม่ได้มีอะไรน่าทึ่งขนาดนั้น ทว่าในสายตาคนอื่นระดับความเกลียดชังก็ค่อนข้างสูงอยู่แล้ว

หากเพียงแค่เกลียดชังก็ไม่เป็นไรหรอก แต่พลังของมันรุนแรงอย่างเห็นได้ชัด พลังของเขาดูเหมือนจะเทียบกับมหาศิษย์แห่งเต๋าที่แข็งแกร่งที่สุดสี่คนนั้นได้จึงย่อมกระตุ้นให้ผู้คนตรวจสอบเขาได้ไม่น้อย

“เซี่ยต้าลู่? ตระกูลเซี่ย? ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าตระกูลเซี่ยมีคนชื่อนี้ด้วย ชื่อนี้…ทำให้ข้านึกถึงเซี่ยไห่หยางผู้ไร้ยางอายและไม่รู้วิชาผู้นั้นเลย”

“ช่วงชิงสิทธิ์ของอารยธรรมครามทองคำหรือ ต่อหน้าพวกเจ้าและการขัดขวางจากดารานิรันดร์ก็ยังขึ้นเรือมาได้งั้นหรือ”

“อะไรนะ ทูตดาวตกไม่ขัดขวางเขาจากการกินผลไม้วิญญาณ!!”

“แล้วยังปล่อยให้เขาพายเรือกระตุ้นพลังเซียนชำระร่างกาย?!”

หลังจากเหตุการณ์นี้แพร่สะพัดออกไป ไม่นานคนที่รู้เรื่องนี้ต่างก็กวาดดวงจิตเทพไปทางห้องพักของหวังเป่าเล่อ แม้แต่แม่นางกระพรวน ผู้ฝึกตนผู้สง่างามคนนั้นรวมถึงชายหนุ่มชุดดำก็ด้วย เรื่องที่หวังเป่าเล่อทำแต่ละเรื่องนั้นน่าประหลาดใจจริงๆ

เรื่องพายเรือไม่เคยมีใครทำมาก่อน ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนแรกที่กินผลไม้วิญญาณ แต่ฐานะของคนแรกที่กินมันสูงส่งเกินไปจนทุกคนอดไม่ได้ที่จะหาความเชื่อมโยงและข้อเปรียบเทียบ

กอปรกับการขายผลไม้วิญญาณและสิทธิ์ขึ้นเรือของหวังเป่าเล่อ…ทั้งหมดนี้ทำให้เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่จ่ายผลึกสีชาดมีสีหน้าแปลกประหลาด

“เจ้าหมอนี่เป็นบ้าไปแล้วหรือ”

“ตอนนี้ข้าเชื่อแล้วว่าเขาคือคนของตระกูลเซี่ย!!”

“ข้าว่าเขาต้องเป็นน้องชายของเซี่ยไห่หยางแน่!”

เสียงสนทนาพวกนั้นดังเข้าหูหวังเป่าเล่อ เขากระแอมไอและไม่คิดจะสนใจ ทว่าหลังจากได้ยินว่ามีคนพูดว่าเขาเป็นน้องชายของเซี่ยไห่หยาง เขาก็เศร้าใจเล็กๆ ข้าเป็นพี่ชายของเขาต่างหาก

แต่เรื่องนี้เขาจะเข้าไปอธิบายก็ไม่ดี การคาดเดาไปเช่นนั้นก็เป็นเรื่องดีสำหรับเขา ดังนั้นหลังจากแค่นเสียงไปหนึ่งที หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขาเงยหน้าทอดสายตามองทะเลกระดาษสีดำด้านนอกผ่านหน้าต่าง

หากมองตามสายตาเขาไปจะเห็นลูกบอลขนาดใหญ่ลอยอยู่ในทะเลกระดาษสีดำไกลๆ และหากสังเกตดีๆ ก็จะเห็นว่าจริงๆ แล้วลูกบอลยักษ์นั้นคือดวงดาว!

อันที่จริงตลอดการเดินทางหนึ่งวันนี้การเห็นดาวเคราะห์แบบนี้บนทะเลกระดาษสีดำได้เป็นเรื่องปกติ ดูเหมือนจะต่างไปจากทิศทางตอนที่มายังทะเลที่นี่ครั้งแรก ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ตอนนี้เห็นได้บ่อยเป็นเรื่องปกติ

พวกมันดูไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่หวังเป่าเล่อมีความรู้สึกว่าหากเหยียบเข้าไป ฟ้าดินอาจจะพลิกกลับและแปลงร่างเป็นโลกในชั่วพริบตาได้

“ดาวเคราะห์ที่ลอยอยู่ในทะเล…” ขณะพึมพำ การเดินทางหนึ่งวันก็ค่อยๆ สิ้นสุดลง เมื่อความเร็วของเรือช้าลง ไม่เพียงแต่หวังเป่าเล่อ แต่ผู้ฝึกตนทุกคนบนเรือต่างก็เห็นว่าที่ไกลออกไปในทะเล มีดวงดาวที่ต่างไปจากดวงอื่นอยู่ดวงหนึ่ง!

ดาวดวงนี้เหมือนกับภาพมายา คราแรกที่มองไปบางคนมองไม่เห็นอะไรเลย ในขณะที่บางคนมองเห็นเพียงเมฆหมอกกลุ่มหนึ่ง และเมื่อมองครั้งที่สองภาพตรงหน้าก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง ดูเหมือนว่าดาวดวงนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปอย่างไร หลังจากจ้องมองให้นานสักหน่อย ทุกคนบนเรือก็จะเห็นดวงดาว!

“ดาวมายา?!” เมื่อคำนี้ผุดขึ้นในหัวทุกคน ในชั่วพริบตาดาวมายาดวงนั้นก็ขยายตัวขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันขยายใหญ่จนถึงขีดสุดด้วยความเร็วที่ไม่อาจละสายตาได้ จนกระทั่งทุกคนรู้สึกราวกับว่ามันใหญ่กว่าทะเลกระดาษสีดำ จากนั้นเรือที่ทุกคนโดยสารมาก็ดูเหมือนจะ…ถูกกลืนกินเข้าไป!

………………………………

ผลของวิชาดวงเนตรปีศาจประกอบด้วยความคิดที่ทำให้สัมผัสสวรรค์ตื่นกลัวและส่งผลกระทบต่อจิตใจของผู้อื่นอย่างไร้รูปร่าง มักได้ผลชะงัดในยามต่อสู้ นี่คือวิธีที่หวังเป่าเล่อแอบใช้

เขาต้องการให้หลี่หลินจื่อโจมตี เพราะตามกฎแล้ว ขอเพียงอีกฝ่ายโจมตี สิทธิ์ที่เขาได้ก็จะถูกยกเลิกทันที หวังเป่าเล่อมั่นใจในเรื่องนี้

ในทำนองเดียวกัน หากคู่ต่อสู้ไม่มีสิทธิ์แล้วเขาก็ลงมือฆ่าอีกฝ่ายได้โดยไม่กระทบต่อสิทธิ์ของสุสานดวงดารา แน่นอนว่าสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความไม่พอใจต่อสิ่งที่หลี่หลินจื่อทำ ถึงอย่างไรด้วยนิสัยของเขาแล้ว การถูกยั่วยุหลายต่อหลายครั้งก็ไม่ง่ายเลยที่จะอดทนมาจนถึงตอนนี้ได้

“รู้อย่างนี้ตอนอยู่บนเรือจับเขาโยนออกไปเสียดีกว่า” หวังเป่าเล่อแค่นเสียงในใจพลางสงสัยว่าทำไมคนคนนี้ไม่รู้จักแยกแยะดีชั่ว ต่อไปก็หาโอกาสตอนไม่มีใครฆ่าทิ้งเสียให้เรื่อง

“ยังมีแม่นางกระพรวนคนนั้นด้วย ทำไมถึงชอบยุ่งไม่เข้าเรื่องนัก!” หวังเป่าเล่อเดินเข้าไปในห้องโถงแล้วเข้าห้องส่วนตัวไปโดยไม่หันไปมองด้านหลัง

เวลาสามวันผ่านไปไวเกินครึ่งแล้ว เหลืออีกเพียงวันเดียวเท่านั้น หวังเป่าเล่อจึงตั้งใจว่าจะปรับระดับการฝึกฝนในวันสุดท้ายนี้ทำให้ตัวเองอยู่ในสภาวะที่ดีที่สุดเพื่อเผชิญหน้ากับการทดสอบดาวตกที่จะมาถึง

ด้วยเหตุนี้เวลาจึงค่อยๆ ผ่านไปอย่างช้าๆ และตอนกลางคืนก็มาถึง ดวงจันทร์กระดาษสีขาวส่องสว่างบนท้องฟ้า สาดส่องไปทั่วทั้งเมืองดาวตก ขณะเดียวกันผู้เข้าทดสอบทุกคนต่างก็กลับมาและปรับตัวเหมือนอย่างหวังเป่าเล่อเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการทดสอบที่จะเริ่มขึ้นหลังรุ่งสาง

เวลาเที่ยงคืนผ่านไป ด้านนอกก็เงียบสงบ เหลือเวลาอีกไม่ถึงสามชั่วยามก็จะรุ่งสาง หวังเป่าเล่อซึ่งกำลังทำสมาธิประสานลมหายใจให้เข้ากับความผันผวนในร่างกาย ทั้งร่างดูกลมกลืนไปกับความว่างเปล่าโดยรอบ ทำให้การฝึกฝนของเขาเต็มเปี่ยม และจู่ๆ คิ้วของเขาก็เลิกขึ้น!

ดวงตาของเขาเปิดขึ้นทันที นัยน์ตาเผยให้เห็นความประหลาดใจ เขาหันไปมองกระเป๋าคลังเก็บของตัวเอง และในพริบตาที่เขามองมัน กระเป๋าคลังเก็บก็เปิดออกเอง แหวนคลังเก็บข้างในก็เปิดออกเองเช่นกัน กระดาษรูปมนุษย์ด้านในก็โผล่หัวออกมาด้วยสีหน้าแปลกๆ ร่างกายสั่นเทิ้มของเขาลอยออกมาจากแหวนคลังเก็บ และมาปรากฏตัว…อยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ!

สีหน้าหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไป ลมหายใจกระชั้นถี่ขึ้น และในหัวของเขาตอนนี้ก็มีเสียงหัวเราะประหลาดดังก้องทำให้การฝึกฝนของเขาเริ่มเละเทะ ขณะเดียวกันก็มีเหงื่อผุดขึ้นบนหน้าผาก เขาอยากจะลุกขึ้น ทว่ากลับต้องตกใจที่พบว่าร่างกายของเขาเสียการควบคุม!

ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถขยับร่างกายได้เลย เขานั่งอยู่ตรงนั้น ดวงตาเบิกกว้างไม่สามารถปิดลงได้ ท่ามกลางความตกใจ เขาจ้องมองกระดาษรูปมนุษย์ตรงหน้าที่ขยายใหญ่จากขนาดเท่าฝ่ามือเป็นขนาดเท่ามนุษย์ปกติอย่างรวดเร็ว

การแปลงกายจนมีสภาพเช่นนี้ดูไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นัก กระดาษรูปมนุษย์เดินไปมาอยู่ในห้องของเขา หลังจากขยับไปมาจนชินถึงได้เงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่อ

แค่สบตากันก็ทำให้หวังเป่าเล่อที่ไม่สามารถหลับตาที่แสนจะแสบลงได้ โชคดีที่กระดาษรูปมนุษย์คนนี้เหลือบมองเขาเพียงนิดเดียวก็ถอนสายตาไปยืนมองดวงจันทร์กระดาษที่ส่องแสงอยู่ริมหน้าต่าง ไม่นานนักขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังน้ำตาคลอเบ้า กระดาษรูปมนุษย์ก็แสดงแววตาแปลกๆ พร้อมกับเริ่มขยับตัวออกไปจากห้องและหายตัวไปทันที

ทันทีที่เขาหายไป หวังเป่าเล่อก็กลับมาควบคุมร่างกายได้อีกครั้ง เขาหลับตาลงอย่างรวดเร็วโดยสัญชาติญาณและพยายามปรับลมปราณที่เละเทะ ผ่านไปสักพักถึงได้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง เขามองจุดที่กระดาษรูปมนุษย์หายตัวไปและตรวจสอบแหวนคลังเก็บอีกครั้ง หลังจากยืนยันว่าอีกฝ่ายจากไปแล้วจริงๆ และไม่ได้กลับมา ดวงตาของเขาก็หรี่ลงพร้อมกับความเย็นเยียบที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่ด้านหลัง

“กระดาษรูปมนุษย์ตนนี้ช่วยข้าขึ้นเรือตั้งหลายครั้ง ต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับการที่เขาขอให้พาเข้ามาที่นี่แน่!”

“การเข้ามาแบบนี้ดูอย่างไรก็เหมือนการลักลอบขนของ…” จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็รู้สึกผิดเล็กน้อย ความจริงเขาสัมผัสได้ว่าการเดินทางมาสุสานดวงดาราในครั้งนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ และที่มาของการเปลี่ยนแปลงนั้นก็คือกระดาษรูปมนุษย์ที่เขาพาเข้ามาตนนั้น

“ช่างเถอะ ข้าก็เป็นเหยื่อของเรื่องนี้ด้วย!” หวังเป่าเล่อถอนหายใจ หลังจากปลอบตัวเองแล้วก็นึกขึ้นได้ว่ามีอีกคนอยู่ในกระเป๋าคลังเก็บจึงรีบตรวจสอบทันที และพบว่ามหาศิษย์แห่งเต๋าของอารยธรรมครามทองคำคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ เขาก็โล่งใจ

อีกฝ่ายยังตายไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังตายไม่ได้จนกว่าเขาจะกลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อย่างปลอดภัย หลังจากเห็นว่าคนคนนั้นไม่เป็นอะไร หวังเป่าเล่อจึงกำลังจะเก็บดวงจิตเทพ แต่หลังจากนึกถึงการลักลอบนำกระดาษรูปมนุษย์เข้ามา ในหัวก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา

“ไม่รู้ว่าวิธีลักลอบเข้ามาเช่นนี้จะใช้กับคนอื่นได้หรือเปล่า…” ทันทีที่คิดเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็รีบสลัดมันทิ้งไป ความจริงหากสามารถลักลอบนำคนเข้ามาได้ง่ายขนาดนี้จริงๆ จักรวรรดิดาวตกคงวุ่นวายไปหมดแล้ว

เพื่อความแน่ใจ หลังจากหวังเป่าเล่อครุ่นคิดแล้วจึงลองนำมหาศิษย์แห่งเต๋าจากอารยธรรมครามทองคำคนนั้นออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ แต่ในไม่ช้าเขาก็ตระหนักได้ว่าเขาสามารถนำสิ่งของอื่นๆ ออกมาจากกระเป๋าได้อย่างราบรื่น แต่สิ่งที่มีชีวิตไม่สามารถนำออกมาได้ เห็นได้ชัดว่าที่นี่มีกฎแทรกแซงอยู่ทำให้การลักลอบเข้าเมืองแทบเป็นไปไม่ได้เลย

“ที่กระดาษรูปมนุษย์ทำได้เป็นเพราะเป็นสิ่งมีชีวิตของที่นี่อยู่แล้ว!” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ในที่สุดเมื่อเห็นว่าใกล้รุ่งสางขึ้นเรื่อยๆ จึงหยุดคิดและสงบสติอารมณ์ หลังจากปรับรากฐานการฝึกฝนใหม่ ท้องฟ้าด้านนอกก็ค่อยๆ สว่างขึ้น

จนกระทั่งฟ้าสว่างไปทั่วเมือง เสียงสง่างามเสียงหนึ่งก็ดังก้องอยู่ในหัวหวังเป่าเล่อรวมถึงมหาศิษย์แห่งเต๋าทั้งหมดที่นี่

“เริ่มการทดสอบ!”

เมื่อคำพูดนั้นดังขึ้น ในพริบตาเดียวก็มีพลังมหาศาลที่ไม่อาจปฏิเสธได้แผ่ขยายไปทั่วห้องโถงทันที แม้พลังนั้นจะสลายไปในพริบตา แต่ด้านนอกกลับมีเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังลอยมา เพียงแต่เสียงนั้นฟังดูประหลาด ตอนแรกก็เหมือนเสียงคลื่นทะเล แต่หากตั้งใจฟังดีๆ มันเหมือนกับเสียงเศษกระดาษเคลื่อนที่ไปมา

เสียงนี้ไม่ใช่เสียงแปลกใหม่สำหรับหวังเป่าเล่อ ดวงตาของเขาพลันเบิกกว้าง ก่อนที่ทั้งร่างจะผุดลุกขึ้นและตรงไปที่หน้าต่าง เมื่อมองออกไปดวงตาก็พลันหดแคบลง สิ่งที่เห็น…ไม่ใช่ท้องถนนของจักรวรรดิดาวตกอีกต่อไป แต่เป็นทะเลกระดาษสีดำ…กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา!

ราวกับสามวันก่อนเป็นเพียงภาพมายา จิตใต้สำนึกหวังเป่าเล่อแผ่ขยายออกไปทันที ก่อนจะพบว่าที่ที่เขาอยู่คือภายในเรือลำมหึมาไร้ขอบเขต

บนเรือไม่มีกระดาษรูปมนุษย์เลยสักตน แต่เรือลำนี้กลับแล่นฝ่าลมโต้คลื่นไปเองด้วยความเร็วสูงจนทำให้ทะเลกระดาษสีดำเบื้องหน้าแหวกเป็นทางยาวและเศษกระดาษสีดำนับไม่ถ้วนปลิวไปด้านหลัง

“วิธีเคลื่อนทเช่นนี้…” ดวงตาหวังเป่าเล่อหรี่ลงทันที

ภายในเรือลำนี้มีห้องพักหลายร้อยห้องและห้องของเขาเป็นหนึ่งในนั้น!

ส่วนห้องอื่นๆ ขณะนี้ผู้ฝึกตนต่างก็สัมผัสสวรรค์สั่นคลอนและมองสำรวจไปมา แม้แต่แม่นางกระพรวนคนนั้นเองก็ยังฉายแสงแปลกประหลาดในดวงตา

อย่างไรก็ตามมหาศิษย์แห่งเต๋าจากตระกูลใหม่และกองกำลังอันทรงอิทธิพลเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ธรรมดา ดังนั้นไม่นานพวกเขาก็กลับสู่สภาพปกติ และในตอนนั้นเองเสียงสง่างามจากกระดาษรูปมนุษย์ก็ดังขึ้นในหัวทุกคนอีกครั้ง

“เหล่าผู้ฝึกตนจากนอกพิภพทั้งหลาย หากต้องการได้รับโอกาสครั้งสุดท้ายของสุสานดวงดาราของข้าต้องผ่านการทดสอบสามครั้ง ครั้งแรกผ่านไปแล้ว และตอนนี้คือครั้งที่สอง!”

“การทดสอบนี้เป็นระบบกำจัดออก สถานที่ปลายทางของพวกเจ้าคือดวงดาวพิเศษดวงหนึ่งชื่อว่าดาวมายา ที่นั่น…ทุกชีวิตที่อยู่และตายด้วยน้ำมือพวกเจ้าจะกลายเป็นภาพมายาและเป็นอุปสรรคของพวกเจ้า!”

“ภายใต้อุปสรรคดังกล่าว ในดาวมายาจะมีผลึกมายาอยู่สามสิบเม็ด นับตั้งแต่เริ่มเหยียบดาวมายา คนที่มีผลึกมายาอยู่ในมือ ในอีกเจ็ดวันข้างหน้าจะถือว่าผ่านการทดสอบครั้งที่สองและเข้าสู่การทดสอบครั้งสุดท้าย!”

“ระยะเวลาเดินทางเหลืออีกเพียงหนึ่งวันเท่านั้น พวกเจ้า…จงรักษาความสงบครั้งสุดท้ายนี้ไว้เถอะ” เสียงนั้นค่อยๆ หายไปและเรือก็ตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนต่างนิ่งเงียบรวมถึงหวังเป่าเล่อด้วย เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับสุสานดวงดาราแห่งนี้

อันที่จริงไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น มหาศิษย์แห่งเต๋าในห้องอื่นๆ ยกเว้นบางคนที่ดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างแล้วส่วนใหญ่ล้วนมีคำถามคล้ายๆ กันอยู่ในใจ ที่จริงแล้วการเปิดประตูสุสานดวงดาราค่อนข้างไม่สอดคล้องกับบันทึกโบราณของตระกูลพวกเขา การทดสอบนี้ก็ยิ่งชัดเจนว่าไม่เหมือนในบันทึกเลย!

“มาถึงก็ทดสอบ เข้าเมืองดวงตกแล้วก็ต้องทดสอบ ผ่านการทดสอบครั้งที่สองก็ยังมีทางเลือกสุดท้ายอีก…เหตุใดสุสานดวงดาราแห่งนี้จึงเป็นเช่นนี้ บางทีคนอื่นอาจจะรู้คำตอบ?” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ขณะกำลังสงสัยว่าจะออกไปสืบข่าวดีหรือไม่ ในตอนนั้นเองก็มีเสียงคุ้นเคยและเฉียบคมดังก้องอยู่ในหัวราวกับได้ยินคำถามในใจเขา เสียงนั้นคล้ายจะยิ้มแปลกๆ ก่อนจะเอ่ยออกมา

“นั่นเป็นเพราะ…นี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่สุสานดวงดาราได้เปิดออกอย่างไรล่ะ!”

……………………………………………

“เอ่อ…” หวังเป่าเล่อลังเลไปชั่วขณะ ในใจเขากล้าอยู่แล้ว แต่เขาเข้าใจดีว่าความแตกต่างของกฎเกณฑ์และกฎหมายทำให้วิธีฝึกฝนเคล็ดวิชาแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง หากไม่มีการอ้างอิงและการเปรียบเทียบก็ยากที่เขาจะเข้าใจ เว้นแต่ว่าจะสามารถตรวจสอบข้อเท็จจริงของเคล็ดวิชาได้ด้วยตัวเอง

มิเช่นนั้นอีกฝ่ายก็สามารถสร้างเคล็ดวิชาปลอมได้อย่างง่ายดาย และถึงแม้จะไม่มีการโกหก แต่หากฝึกฝนอย่างไม่ระวังก็เกรงว่าร่างกายจะกลายเป็นกระดาษไปเสีย

นอกเสียจากจะได้เข้าใจและเห็นตัวอักษรเองกับตา อีกทั้งยังต้องแน่ใจว่าข้อความนั้นเป็นจริงถึงจะลองฝึกได้ แต่ระดับความอันตรายก็เท่ากัน

คิดได้ดังนี้ หวังเป่าเล่อก็เหยียดยิ้มและส่ายหน้า

“ไม่กล้าจริงหรือ อย่างเล่มนี้เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเคล็ดวิชาชั้นสูงในร้านข้าเลยนะ มันชื่อว่าเก้าวิธีกลายเป็นกระดาษ ทันทีที่เปิดออกจะทำให้พลังเทพของเจ้าเข้ากับกฎของกระดาษได้ ทำให้ศัตรูที่สัมผัสเจ้าถูกเผาในชั่วพริบตา…เมื่อผู้แข็งแกร่งแห่งจักรวรรดิดาวตกของเราต่อสู้กับนอกพิภพ เคล็ดวิชานี้ทำให้ศัตรูภายนอกจำนวนมากกลายเป็นกระดาษและถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน” ชายชราพูดพร้อมกับยกมือขวาขึ้นแบกลางอากาศ ทันใดนั้นกระดาษสีทองแผ่นหนึ่งที่วางอยู่บนชั้นสูงสุดก็ลอยมาตกลงบนฝ่ามือ

“ถึงแม้เจ้าจะมองไม่เห็นเคล็ดวิชาบนนี้ แต่เจ้าสามารถซื้อเพื่อสะสมได้” ชายชราดูมีความสุขที่เห็นหวังเป่าเล่อกระตือรือร้นขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แต่เพราะมองไม่เห็นและไม่สามารถฝึกฝนได้ เขาจึงดูหดหู่ขึ้นมา

“ผู้อาวุโส…” หวังเป่าเล่อเปิดปาก ชายชรากระแอมไอหนึ่งทีก่อนจะยกมือขวาโบกไปมาอีกครั้ง

“ไม่อยากหรือ เช่นนั้นเล่มนี้เป็นอย่างไร มันชื่อว่าคำสาปวานรเพลิง เพียงเปิดออกก็สามารถแปลงร่างเป็นวานรเพลิงยักษ์ได้ อานุภาพของมันรุนแรงมากจนแม้แต่ดารานิรันดร์ก็ยังปวดหัว!”

“และนี่ เคล็ดวิชานี้น่าทึ่งมาก เรียกว่าเคล็ดเวทดวงดาว หลังจากฝึกฝนแล้วสามารถเปลี่ยนดวงดาวให้กลายเป็นดาวกระดาษได้และหากพับไว้ในมือก็จะถือได้ว่าเป็นพลังแห่งความโชคดี!” ชายชราหยิบเคล็ดวิชาแผ่นแล้วแผ่นเล่าขึ้นมาและอธิบายพลังของมันอย่างโอ้อวด หวังเป่าเล่อฟังแล้วก็อดถอนใจไม่ได้ ก่อนจะยกมือขวาแตะกระเป๋าคลังเก็บเบาๆ และทันใดนั้นก็มีแผ่นหยกปรากฏอยู่บนฝ่ามือ

“ผู้อาวุโส แผ่นหยกในมือผู้น้อยนี้ ไม่ทราบว่าท่านมองเห็นเนื้อหาข้างในหรือไม่ เคล็ดวิชานี้เรียกว่าเคล็ดเวทสวรรค์ไร้ความคิด เมื่อฝึกฝนแล้ว ทั่วทั้งโลกที่ท่านอยู่ก็จะไม่มีดวงจิตเทพของคนอื่นๆ อีกต่อไป มันจะมุ่งเน้นไปที่ความคิดของท่านเป็นหลัก ก้าวข้ามขอบเขตและกลายเป็นผู้สูงสุด!” หวังเป่าเล่อหยิบแผ่นหยกแผนที่ขึ้นมาแล้วพูดเบาๆ

คำพูดนั้นทำให้ชายชราผงะไปชั่วครู่ ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดอะไร หวังเป่าเล่อก็เลิกคิ้วก่อนจะพูด

“ไม่พอใจ ยังมีสิ่งนี้ เคล็ดวิชานี้เรียกว่ากระบวนเวทคุนเผิงกลืนกิน เมื่อฝึกฝนแล้วสามารถแปลงร่างเป็นปลาคุนเผิงยักษ์กลืนกินทุกอย่าง เรียกได้ว่าเป็นวิธีอยู่ยงคงกระพัน!”

“ยังไม่พอใจหรือ ไม่เป็นไร ข้าเซี่ยต้าลู่แห่งตระกูลเซี่ย ตระกูลอันดับหนึ่งในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ยังมีเคล็ดวิชามากมาย เช่นเคล็ดวิชานี้ชื่อว่าอมตะสามเคาะ ท่านอย่าเห็นว่าชื่อแปลก แต่อานุภาพของมันเหนือจินตนาการมาก เมื่อฝึกฝนแล้ว เคาะแรกสามารถทำให้ทะเลแห้งเหือดได้ เคาะที่สองสาทารถทำให้โลกถล่มได้ เคาะที่สามสามารถทำให้ดวงดาวร่วงลงมาได้!” ขณะที่พูดหวังเป่าเล่อก็หยิบแผ่นหยกสามสี่แผ่นขึ้นมาในคราเดียว บนนั้นมีทั้งแผนที่และแผ่นเปล่า ก่อนจะวางไว้เบื้องหน้าชายชราที่สีหน้าแข็งทื่อไปเล็กน้อย

“ผู้อาวุโสกล้าเรียนหรือไม่” หวังเป่าเล่อกระแอมไอ ก่อนจะถามอีกครั้ง ความจริงเขามองออกแล้วว่าชายชราตรงหน้าตั้งใจล้อเลียนเขา ดังนั้นเพื่อให้สาสมกัน หวังเป่าเล่อจึงคิดว่าต้องทำให้อีกฝ่ายเจอกับความรู้สึกคล้ายๆ กันบ้าง

“เจ้ามาที่นี่เพื่อฝึกฝนถึงระดับดาวพระเคราะห์หรือมาขายของกันแน่” สีหน้าชายชราแปลกประหลาด ครู่หนึ่งเขาก็แค่นเสียงออกมา

“ตระกูลเซี่ย? ข้าเคยได้ยิน มิน่าล่ะ…ช่างเถอะ เรามาแลกเปลี่ยนกันเถอะ!” ขณะที่พูดชายชราก็ยื่นกระดาษสี่แผ่นในมือให้หวังเป่าเล่อย่างรวดเร็ว

หวังเป่าเล่อตะลึงไปชั่วครู่ ก่อนจะกะพริบตาและรีบส่งแผ่นหยกในมือให้อย่างรวดเร็วเพื่อเสร็จสิ้นการค้ากับอีกฝ่ายให้เร็วที่สุด จากนั้นเขาก็รีบจากไปพร้อมกับหัวใจที่เต้นรัว

ส่วนชายชราคนนั้นก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ และยังมีท่าทีกังวลเล็กน้อย จนกระทั่งแน่ใจว่าหวังเป่าเล่อไปแล้ว เขาจึงก้มมองแผ่นหยกในมือด้วยรอยยิ้มกว้างและภาคภูมิใจ

“ฮ่าๆ ใช้กระดาษขยะไม่กี่แผ่นแลกแผ่นหยกจากนอกพิภพมาได้ ต่อให้ข้างในไม่มีเคล็ดวิชาก็ไม่เป็นไร แค่วัสดุที่ทำก็ดีแล้ว ไม่เลวจริงๆ นี่เป็นของหายาก รอให้คนจากนอกพิภพจากไปแล้ว ข้าก็จะเป็นนักสะสมของหายากแล้ว! ”

ในเวลาเดียวกันหวังเป่าเล่อที่ออกจากร้านไปก็หายใจกระชั้นถี่ จ้องมองกระดาษในมือตาเป็นประกายและรู้สึกตื่นเต้นมากเช่นกัน

“แผ่นหยกขยะไม่กี่แผ่นก็แลกกับเคล็ดวิชาพวกนี้ได้แล้วหรือ ต่อให้เคล็ดวิชาข้างในนี้จะระดับต่ำมาก แต่หากนำออกไปนอกพิภพคงใช้หลอกคนได้ไม่น้อย ถึงจะเอาไปขายต่อก็ได้ราคาดีกว่าแผ่นหยกแน่นอน…อย่างไรก็คุ้ม!” คิดได้เช่นนี้ ความสนใจของหวังเป่าเล่อก็เพิ่มมากขึ้น เขาเข้าร้านขายเคล็ดวิชาและร้านสมบัติเวทไปอีกหลายร้าน

สองวันผ่านไปในชั่วพริบตา สองวันนี้หวังเป่าเล่อตระเวนไปหลายร้านและใช้แผ่นหยกขยะแลกกระดาษมาได้ไม่น้อย สิ่งเดียวที่เขาเสียใจก็คือในร้านสมบัติเวท เคล็ดลับนี้ใช้ไม่ได้ผล

“ใครจะไปคิดว่าสมบัติเวทของจักรวรรดิดาวตกจะใช้การวาดออกมา…” หวังเป่าเล่อถอนหายใจ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นมาดู ในมือของเขามีกระดาษอยู่หนึ่งแผ่น ด้านบนนั้นวาดรูปกระบี่เล่มหนึ่ง

สมบัติเวทชิ้นนี้เขาต้องนำเทพวัตถุขยะสิบกว่าชิ้นออกมาแลก อีกฝ่ายถึงยอมมอบให้เขาอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ตอนนี้หวังเป่าเล่อถือเจ้าสิ่งนี้อยู่ในมือแล้วรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเจ้าคนโง่…

“ช่างเถอะ พรุ่งนี้ก็จะเริ่มการทดสอบแล้ว สงบจิตใจไว้เพื่อรักษาระดับการฝึกฝนให้อยู่ในระดับสูงสุดดีกว่า” หวังเป่าเล่อส่ายหน้าก่อนจะโยนกระดาษในมือเข้าไปในกระเป๋าคลังเก็บรวมกับกระดาษอีกกว่าร้อยแผ่นด้านใน จากนั้นจึงเดินไปยังโถงที่พัก

ไม่นานก็กลับมาถึงและกำลังจะกลับเข้าห้องตัวเอง แต่ในตอนนั้นเองก็มีกลุ่มคนเดินหัวเราะกันออกมาจากด้านใน ยังไม่ทันที่คนจะเดินมาถึง เสียงกระพรวนก็ดังเข้ามาในหูหวังเป่าเล่อและคนทั้งกลุ่มก็มาปะหน้ากันที่หน้าประตู

ในกลุ่มคนนี้ คนแรกที่เดินนำมาคือผู้ที่แข็งแกร่งเหมือนกับหญิงสวมหน้ากาก หญิงสาวที่เอาแต่ยิ้มแย้มหน้าตางดงามและมีเสน่ห์อย่างยิ่ง นางสวมชุดคลุมสีสันสดใสปิดบังรูปร่างอันงดงามไว้ ที่ข้อมือขาวสวมกระพรวนที่ดังกังวานยามเคลื่อนไหว

ส่วนอีกเจ็ดแปดคนข้างกายนาง หวังเป่าเล่อเห็นหลี่หลินจื่อ เจ้าอ้วนน้อยคนนั้น และยังมีอีกหนึ่งคน รูปร่างสูง สีหน้าหนิ่งยโส สิ่งที่ดึงดูดสายตามากที่สุดคือทรงผมที่มัดสูงจนดูเกินจริงของเขา มองไกลๆ แล้วทำให้ผู้คนตกใจได้เพราะมันสูงมาก

โดยเฉพาะที่ผมของเขาดูเหมือนกับมีบางอย่างพิเศษที่ทำให้มันเรืองแสง ตอนที่หวังเป่าเล่อเห็นคนคนนี้จึงผงะไปชั่วครู่ราวกับเห็นหลอดไฟเดินได้

ในชีวิตนี้สิ่งที่เขาเห็นว่าทรงผมพอจะเทียบกับคนคนนี้ได้น่าจะมีแค่สเปรย์ฉีดผมของเซี่ยไห่หยางเท่านั้น แต่หลังจากสำรวจอีกฝ่ายอย่างละเอียดถี่ถ้วน หวังเป่าเล่อก็ต้องยอมรับว่าเซี่ยไห่หยางยังด้อยกว่าคนคนนี้อยู่

“สูงส่ง?” หวังเป่าเล่อพึมพำในใจ และกำลังจะเดินผ่านพวกเขาไปยังห้องโถง ทว่าหลังจากหลี่หลินจื่อเห็นหวังเป่าเล่อ สายตาก็ฉายแววเยาะเย้ย ก่อนจะหันไปพูดกับนักบุญคนนั้นด้วยรอยยิ้ม

“พี่ชายผู้ส่งสูง เมื่อกี้ท่านไม่ได้ถามข้าหรือว่าใครกันที่ไร้ยางอายและบ้าจนขายสิทธิ์ด้วยราคา 100,000 เม็ด ก็คนคนนี้อย่างไรเล่า เขาไม่ใช่แค่ขายสิทธิ์ แต่ยังฆ่าผู้เข้าทดสอบของอารยธรรมครามทองคำแล้วขโมยสิทธิ์ไปด้วย!”

ทันทีที่หลี่หลินจื่อพูด ผู้ฝึกตนคนนั้นก็หันมามองหวังเป่าเล่อทันที แม้แต่แม่นางกระพรวนก็ยังกวาดดวงตางดงามมายังหวังเป่าเล่อด้วย

หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว เดิมทีเขาก็ไม่ใช่คนกัดฟันอดทนอะไรอยู่แล้ว เมื่อได้ยินหลี่หลินจื่อพูดแบบนี้ เขาจึงมองด้วยสายตาเย็นชาทันที

“หลี่หลินจื่อ หากครั้งหน้าเจ้ายังพูดจาเช่นนี้กับข้าอีก ข้าจะฆ่าเจ้า!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างสงบนิ่ง แต่ท่าทางจริงจังรวมถึงเจตนาฆ่าในแววตาก็ทำให้หลี่หลินจื่อที่คิดจะพูดต่อหยุดชะงักไปทันที และในใจพลันเกิดความรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ

พูดจบ หวังเป่าเล่อก็ไม่สนใจหลี่หลินจื่ออีก แต่หันไปพยักหน้าให้ผู้สูงส่งและแม่นางกระพรวนก่อนจะหันตัวเดินเข้าห้องโถงไป มองจากด้านหลังดูราวกับไม่ได้ระวังตัวแต่อย่างใด สีหน้าหลี่หลินจื่อน่าเกลียดยิ่ง ดวงตาวาววับฉายเจตนาฆ่า เขาถลึงตามองแผ่นหลังหวังเป่าเล่อราวกับอยากจะลงมือจนทนไม่ไหว แต่จู่ๆ แม่นางกระพรวนที่กำลังมองหวังเป่าเล่ออยู่เหมือนกันก็เอ่ยขึ้น

“สหายหลี่หลินจื่อ ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าไปยั่วยุเขาเลย เขาตั้งใจทำให้เจ้าโกรธ!”

“เจ้าลืมกฎของที่นี่ไปแล้วหรือ ทันทีที่เจ้าเริ่มลงมือก็จะเสียสิทธิ์ทันที และหลังจากเสียสิทธิ์ไปแล้ว หากเขาอยากจะฆ่าเจ้าก็ดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ในกฎพวกนั้นนะ กฎเป็นเพียงเงื่อนไข ผู้ที่มีสิทธิ์ไม่ได้รับอนุญาตให้ต่อสู้ก่อนการทดสอบจะเริ่ม!” แม่นางกระพรวนพูดเบาๆ สายตาที่มองแผ่นหลังหวังเป่าเล่อมีแววสนใจบางอย่าง ไม่ใช่ความรู้สึกระหว่างชายหญิงพวกนั้น แต่นางรู้สึกว่าจิตใจและวิธีการของอีกฝ่ายสามารถมาเป็นผู้ติดตามนางได้

“ยุ่งไม่เข้าเรื่อง!” หวังเป่าเล่อที่หันหลังเดินเข้าไปในห้องโถงบ่นพึมพำในใจ ก่อนจะเก็บวิชาดวงเนตรปีศาจไป

…………………………………

“จักรวรรดิดาวตก…” หวังเป่าเล่อถอนหายใจเล็กน้อย ความเข้าใจเกี่ยวกับสุสานดวงดาราของเขานั้นแย่กว่ามหาศิษย์แห่งเต๋าของตระกูลและสำนักอื่นนัก ตลอดทางที่มาเขาเห็นจักรวาลกระดาษ เห็นดาวเคราะห์กระดาษ และเห็นทะเลกระดาษสีดำด้วย ตอนนี้ทุกสิ่งที่เขาเห็นล้วนทำมาจากกระดาษ

และกระดาษรูปมนุษย์ที่ตบะแข็งแกร่งตรงหน้าเขายังพูดว่ายินดีต้อนรับเข้าสู่จักรวรรดิดาวตก

หลังจากทุกอย่างปะติดปะต่อกัน เขาก็ค่อยๆ เข้าใจ เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เรียกว่าสุสานดวงดาราเป็นเพียงชื่อสถานที่ และจักรวรรดิดาวตกคือผู้ปกครองที่นี่ รากฐานการฝึกตนและภูมิหลังต้องลึกล้ำมากถึงทำให้จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นยอมรับมันได้ และยอมทำตามกฎของอีกฝ่าย

“บางทีในมุมของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แม้พลังของจักรวรรดิดาวตกจะแข็งแกร่ง แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือข้อได้เปรียบด้านที่ตั้ง…” ขณะที่คิดหวังเป่าเล่อก็ยิ่งเกิดความอยากรู้อยากเห็นถึงความกว้างใหญ่และความลึกลับของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น

“ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ข้าถึงจะได้ท่องไปในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นอย่างศิษย์พี่บ้าง!” เมื่อความคิดในใจเปลี่ยนไป สายตาหวังเป่าเล่อก็ฉายแววคาดหวัง หลังเห็นผู้คนที่มาจากจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นพร้อมกับเขาคำนับกระดาษรูปมนุษย์ ในขณะที่กระดาษรูปมนุษย์ที่ระดับการฝึกตนน่าทึ่งคนนั้นยกมือขวาขึ้นโบกเบาๆ ทันใดนั้นแรงเคลื่อนที่ขนาดมหึมาก็เข้าครอบคลุมไปทั่วทุกทิศ

หลังจากสัมผัสถึงพลังที่ไม่อาจต้านทานได้ หวังเป่าเล่อก็อดไม่ได้ที่จะมองกลับไปยังทะเลกระดาษสีดำรวมถึงเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ชายฝั่ง ยามที่มองเขาเห็นกระดาษรูปมนุษย์ที่มาพร้อมกับเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองกำลังเดินลงจากเรือ และราวกับสัมผัสได้ถึงการจ้องมองของหวังเป่าเล่อ เขาจึงหันมามองหวังเป่าเล่อและพยักหน้าเบาๆ

หวังเป่าเล่อก็พยักหน้าให้ จากนั้นเขาก็มองไปยังทะเลไกลออกไป ยามที่จ้องมองสีดำไกลสุดลูกหูลูกตา เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่า…ทะเลกระดาษสีดำนี้ดูไม่เข้ากับจักรวรรดิดาวตกเลย

“กระดาษดำ กระดาษขาว…”

เขาบ่นพึมพำในใจขณะที่พลังเคลื่อนย้ายรอบตัวแผ่ขยายออกไปเป็นบริเวณกว้าง ภาพตรงหน้าพร่าเบลอไปในชั่วพริบตาและร่างของเขากับมหาศิษย์แห่งเต๋ารอบกายก็หายไป

สิ่งที่หายไปอีกอย่างคือกระดาษรูปมนุษย์ทั้งหมด เพียงชั่วพริบตาทั่วทั้งฝั่งก็ว่างเปล่า และเมื่อสติของหวังเป่าเล่อกลับมา เขากับมหาศิษย์แห่งเต๋าที่ผ่านการทดสอบก็มาปรากฏตัวใน…เมืองกระดาษขนาดใหญ่!

พูดให้ชัดเจนคือตรงนี้คือมุมด้านตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองและเป็นจัตุรัสขนาดใหญ่ซึ่งล้อมรอบไปด้วยกระดาษรูปมนุษย์แน่นขนัด มีทั้งเล็กทั้งใหญ่ ทั้งเด็กทั้งแก่

ตัวที่ใหญ่ก็ใหญ่ราวกับยักษ์ ตัวที่เล็กก็เล็กราวกับเด็กทารก ตัวที่แก่มีเครากระดาษ ตัวที่เด็กก็ราวกับเด็กวัยรุ่นอายุสิบหกปี ถึงแม้จะทำจากกระดาษ แต่ก็ให้ความรู้สึกเยาว์วัย

สายตาของพวกเขาก็ต่างกันไป มีทั้งอยากรู้อยากเห็น เย็นชา ไม่เป็นมิตรและใจดี

ขณะนี้พวกเขากำลังมองคนหลายร้อยคนรวมถึงหวังเป่าเล่ออยู่ ดูเหมือนในสายตาพวกเขาจะมองพวกของหวังเป่าเล่อว่าเป็นตัวประหลาด อีกทั้งยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ลอยมาตามสายลม

“คนนอกพวกนี้ประหลาดมาก ร่างกายพวกเขาทำมาจากเลือดและเนื้อจริงๆ…”

“ร่างกายที่สร้างจากเลือดและเนื้อ…พระเจ้า คนสร้างช่างวิเศษจริงๆ ทำเช่นนี้ได้ด้วย!”

“ได้ยินว่าสิ่งมีชีวิตภายนอกส่วนใหญ่เป็นแบบนี้ วิวัฒนาการก็ไม่สมบูรณ์แบบเท่าไหร่”

“ก็จริง น่าเกลียดมาก!”

เสียงพูดคุยดังเข้ามาในหูทุกคนรวมถึงหวังเป่าเล่อด้วย แต่ไม่มีใครสนใจนัก ขณะนี้ทุกคนต่างสำรวจบริเวณโดยรอบและเมื่อมองออกว่าที่นี่เป็นเมืองเมืองหนึ่ง แม้จะเป็นเพียงแค่มุมหนึ่งแต่จิตใต้สำนึกก็แตกซ่าน ไม่ช้าสีหน้าทุกคนก็เปลี่ยนไป

“เมืองใหญ่มาก!” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงเล็กน้อย

เขารู้สึกว่าเมืองแห่งนี้ยิ่งใหญ่มาก ขนาดของมันเกือบจะเทียบได้กับโลกทั้งใบ อาคารทุกหลังเป็นกระดาษ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ยังไม่ได้เห็นรายละเอียดอะไรมากนักเนื่องจากตอนนี้พวกเขายังอยู่รวมกัน แต่จากการกวาดสายตาอย่างรวดเร็ว รูปแบบที่แปลกใหม่เช่นนี้ทำให้หวังเป่าเล่อสนใจที่นี่มาก

ขณะที่ความอยากรู้อยากเห็นสั่งสมขึ้นในใจ ไม่นานหวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ ก็ถูกผู้ฝึกตนกระดาษรูปมนุษย์จากจักรวรรดิดาวตกส่งไปยังที่พัก สถานที่ที่พวกเขาถูกส่งมาอยู่ไม่ไกลจากจัตุรัสซึ่งเป็นเหมือนห้องโถงและทุกคนต่างก็มีห้องเป็นของตัวเอง

หลังจากตกลงกันได้แล้ว ผู้ฝึกตนกระดาษรูปมนุษย์ก็บอกอย่างสงบนิ่งว่าการทดสอบครั้งที่สองจะจัดขึ้นในอีกสามวันข้างหน้า หากพลาดโอกาสก็จะถูกยกเลิกสิทธิ์ ขณะเดียวกันผู้ที่มีสิทธิ์จะไม่ได้รับอนุญาตให้ต่อสู้กันก่อนการทดสอบที่สองจะเริ่มขึ้น หากมีใครลงมือก่อน คนนั้นก็จะถูกยกเลิกสิทธิ์ จากนั้นก็จะต้องจากไป

“พวกเราไม่มีข้อห้ามอะไรเลยหรือ”

“ที่นี่เหมือนกับในบันทึกของตระกูลไม่มีผิด ทุกอย่างเป็นกระดาษ!”

“แค่สามวันก็พอแล้ว!” เมื่อเห็นกระดาษรูปมนุษย์จากไป สายตาของมหาศิษย์แห่งเต๋าแต่ละคนก็ฉายแสงแปลกๆ พวกเขาต่างคุ้นเคยกันดี หลังจากกระซิบกระซาบกันก็รีบแยกย้ายกันไปทันที

มีบางคนที่เลือกที่จะนั่งทำสมาธิอยู่ในห้องโถง แต่มีหลายคนกำลังออกไปยังเขตนคร บางคนมีท่าทีลึกลับ ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังพูดคุยและปรึกษาอะไรอยู่

หวังเป่าเล่อไม่สนใจคนที่ทำตัวลึกลับพวกนั้น หลังจากคิดดูแล้วเขาก็ออกจะห้องโถงและเดินเตร่ไปทั่วเมืองจักรวรรดิดาวตก เขาคิดว่าในเมื่อตัวเองมาถึงแล้วก็ต้องสำรวจสถานที่แห่งนี้ให้ดีสักหน่อย ถึงอย่างไรสิ่งที่มองเห็นก็คือโลกแห่งกระดาษและถือว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่สำหรับเขา

“ไม่รู้ว่าที่นี่กลัวไฟกันหรือเปล่า…” ในขณะเดินไปยังหัวมุมถนน หวังเป่าเล่อมองดูกลุ่มกระดาษรูปมนุษย์ที่ขวักไขว่ไปมา แล้วไม่รู้เพราะเหตุใดความคิดนี้ก็ผุดขึ้นในหัว

หลังตระหนักได้ว่าความคิดของตนนั้นอันตรายมาก เขาจึงรีบสลัดมันทิ้งไปและปล่อยให้ตัวเองได้ผ่อนคลายอย่างนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง หลังจากเยี่ยมชมเมืองไปตามทางเขาก็ได้เห็นกระดาษรูปมนุษย์จำนวนมากและเริ่มเห็นโครงสร้างของจักรวรรดิดาวตกบ้างแล้ว จักรวรรดิดาวตกก็คล้ายกับอารยธรรมอื่นๆ ถึงแม้จะไม่มีสกุลเงิน แต่สามารถใช้ศิลาวิญญาณกับผลึกสีชาดที่นี่ได้ และที่นี่ก็มีร้านค้าและร้านอาหารมากมาย

กระดาษรูปมนุษย์ก็ต้องการอาหารเช่นกัน แต่อาหารของพวกเขาก็คือกระดาษ ทว่าที่พิเศษคือกระดาษที่ใช้เป็นอาหารนั้นเป็นกระดาษโปร่งใส

ต่อให้เป็นเครื่องดื่มก็เหมือนกัน มันดูเหมือนน้ำ แต่หลังจากหวังเป่าเล่อซื้อมาหนึ่งขวดด้วยความอยากรู้ก็พบว่าข้างในว่างเปล่าเหมือนมีแค่อากาศ ส่วนอาหารทุกชนิดที่ทำจากกระดาษพิเศษนั้น หลังจากคนกินไม่เลือกอย่างหวังเป่าเล่อลองอยู่หลายครั้งก็เลือกที่จะยอมแพ้

แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้อะไรเลย สิ่งแรกที่ทำให้เขาตกใจก็คือระดับการฝึกฝนของกระดาษรูปมนุษย์ในจักรวรรดิดาวตกแห่งนี้ จากที่เขาเห็น กระดาษรูปมนุษย์ที่อ่อนแอที่สุดนั้นเทียบได้กับขั้นจุติวิญญาณ แม้แต่ทารกก็เป็นเช่นนั้น

สิ่งนี้ทำให้เขาอดคาดเดาไม่ได้ว่าบางทียามที่กระดาษรูปมนุษย์ทุกคนที่นี่เกิดมา ระดับขั้นจุติวิญญาณอาจเป็นระดับพื้นฐานของพวกเขา!

ส่วนขั้นเชื่อมวิญญาณ ขั้นจิตวิญญาณอมตะหรือแม้แต่ขั้นดาวพระเคราะห์…ตลอดทางที่เดินไปหวังเป่าเล่อก็พบเห็นจนตาลายไปหมด ด้านหนึ่งการฝึกตนของกระดาษรูปมนุษย์ที่นี่สูงมาก แต่ในทางกลับกันเขาที่อยู่ในฝูงชนก็เหมือนกับคบเพลิงในค่ำคืนอันมืดมิด ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดก็ดึงดูดสายตาของกระดาษรูปมนุษย์ได้นับไม่ถ้วน

เรื่องนี้ทำหวังเป่าเล่ออึดอัดเล็กน้อยในตอนแรก แต่ไม่นานเขาก็ชิน เขาคิดว่าถึงอย่างไรตัวเองก็คือผู้นำแห่งสหพันธรัฐในอนาคต การคุ้นเคยกับการตกเป็นเป้าสายตาคนอื่นย่อมเป็นเรื่องพื้นฐานที่สุด

นอกจากนี้เขายังพบว่าในเมืองนี้มีร้านค้าเทพวัตถุและเคล็ดวิชาต่างๆ อีกจำนวนมากด้วย

แต่น่าเสียดายที่หลังจากหวังเป่าเล่อซื้อหนังสือเคล็ดวิชาพวกนั้นมาสองสามเล่ม เขาก็พบว่าทุกเล่มล้วนเป็นหนังสือสวรรค์ไร้อักษร ทุกหน้าว่างเปล่าราวกับที่นี่มีกฎบางอย่างทำให้มันไม่ปรากฏสู่สายตาของเขา

อันที่จริงร้านที่เขาอยู่ตอนนี้มีกระดาษรูปมนุษย์ชราที่ส่งแขกไปหลายคน เขาหันมามองหวังเป่าเล่อแล้วก็หัวเราะ

“รู้มาพักหนึ่งแล้วว่าประตูเชื่อมโลกภายนอกได้เปิดออกอีกครั้ง แต่เจ้าก็ยังเป็นผู้ฝึกตนจากภายนอกคนแรกที่มาร้านของข้า”

“กระดาษเคล็ดวิชาพวกนี้ เจ้าไม่สามารถมองไม่เห็นได้เพราะมีกฎเกณฑ์และกฎหมายแตกต่างกัน อย่างเล่มที่อยู่ในมือเจ้ามีชื่อว่าเคล็ดเวทกระเรียน เมื่อฝึกฝนแล้วสามารถเปลี่ยนโครงสร้างร่างกายตัวเองเป็นนกกระเรียนกระดาษได้ จะช่วยเพิ่มความเร็วได้ถึงเกือบสองเท่า แต่มีข้อกำหนดเบื้องต้นว่าร่างกายของเจ้าต้องเหมือนกับพวกข้า”

เมื่อได้ยินคำพูดของชายชรา หวังเป่าเล่อก็รีบกำมือคำนับทันที

“ได้พบผู้อาวุโส ผู้น้อยเสียใจนัก หากสามารถศึกษาเคล็ดวิชาที่นี่ได้ก็คงดี” หวังเป่าเล่อถอนหายใจ

“นับแต่โบราณมาข้าไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ฝึกตนจากโลกภายนอกสามารถศึกษาเคล็ดวิชาของจักรวรรดิดาวตกได้ด้วยตัวเอง เว้นเสียแต่ว่าจะมีผู้อื่นถ่ายทอดให้ แต่…เจ้ากล้าเรียนไหมล่ะ” พูดถึงตรงนี้ ชายชราก็ทำหน้าราวกับจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

ด้วยเหตุนี้การแลกเปลี่ยนหนึ่งแสนเม็ดต่อหนึ่งจับจึงได้เริ่มขึ้น มหาศิษย์แห่งเต๋าที่อยู่กลางอากาศคนแล้วคนเล่าจ่ายผลึกสีชาดหลังจากขึ้นเรือได้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาซื่อสัตย์ แต่ทันทีที่จะไม่จ่าย หวังเป่าเล่อก็จะไม่ช่วยคนที่เหลือ

วิธีนี้ทำให้การไม่จ่ายผลึกสีชาดหนึ่งแสนเม็ดไม่เพียงแต่ทำให้หวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ขุ่นเคือง แต่ยังรวมถึงคนที่รอขึ้นเรืออยู่ด้วย เรื่องแบบนี้…หากไม่โง่ขั้นสุดก็คงไม่ทำ

แม้ผลึกสีชาดจำนวนหนึ่งแสนเม็ดจะไม่น้อย แต่สำหรับพวกเขาแล้วก็ยังไม่ถือว่าเข้าเนื้อ แต่หลังขึ้นเรือมาแล้ว สีหน้าทุกคนก็ดูมืดมน สายตาที่มองหวังเป่าเล่อก็มีแต่ความดุร้าย พวกเขาสาบานจากก้นบึ้งหัวใจว่าการถูกอีกฝ่ายขูดเลือดขูดเนื้อเช่นนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง!

ถึงแม้ตรงนี้จะอันตราย และกระดาษรูปมนุษย์ที่พายเรืออยู่ก็ปฏิบัติกับหวังเป่าเล่อต่างจากคนอื่นอย่างเห็นได้ชัดซึ่งทำให้ทุกคนหวาดกลัว หากไม่ต้องการให้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากนี้ ความคิดที่จะจัดการหวังเป่าเล่อก็ควรเก็บไปให้สิ้น หวังเป่าเล่อย่อมรู้เรื่องนี้ดี แต่เขาไม่ได้สนใจ

“มหาศิษย์แห่งเต๋าหรือ? ก็แค่พวกไก่กาที่ถูกธรรมชาติทับถมกันจนออกมาเป็นตัวเท่านั้นล่ะ!” หวังเป่าเล่อพ่นลมอย่างเย็นชา แต่ไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ กลับกันเขาหัวเราะยกใหญ่ และไม่ได้ยกเรื่องการจำกัดจำนวนคนก่อนหน้านี้ขึ้นมาพูด แต่กลับดึงคนที่อยู่ด้านนอกเข้ามาทั้งหมด

หลังจากได้รับผลึกสีชาดมากกว่าสิบล้านเม็ดมาอย่างง่ายดาย หวังเป่าเล่อก็ตบกระเป๋าคลังเก็บของตน เขารู้สึกผ่อนคลายและสดชื่น ก่อนจะมองทะเลสีดำรอบๆ แล้วคิดว่าไม่มีทิวทัศน์อื่นให้ดูเลย

“ขอบคุณสหายทุกท่านที่ให้การสนับสนุน พวกเจ้าไม่ต้องอับอายหรอก การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ข้าได้ประโยชน์ พวกเจ้าก็ได้ประโยชน์ และข้าเซี่ยต้าลู่ทำธุรกิจอย่างสมเหตุสมผลมาโดยตลอด รับรองว่าต้องส่งพวกเจ้าถึงฝั่งอย่างปลอดภัยแน่นอน!” หวังเป่าเล่อพูดพลางโบกมือหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นเรือลำนี้ก็ส่งเสียงคำรามและพุ่งออกไปท่ามกลางสายฟ้าที่ยังฟาดใส่ไม่หยุด

ที่ด้านหลังของมัน เรือวิญญาณลำอื่นจมลงสู่ทะเลสีดำไปทีละลำจนไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย เมื่อมองไปทั่วทั้งทะเลกระดาษสีดำนี้ ราวกับมีแค่เรือวิญญาณของพวกเขาที่กำลังฝ่าลมโต้คลื่นและส่งเสียงคำรามอยู่เท่านั้น

หลังจากเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลำนี้เล่นมาได้สี่วันก็มองเห็นชายฝั่งที่ไกลออกไปได้อย่างเลือนราง ระยะเวลาห้าวันในตอนแรกนั้นสั้นลงเพราะความเร็วของเรือวิญญาณ นี่ทำให้ทุกคนที่จ่ายผลึกสีชาดเพื่อขึ้นเรือต่างก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้รู้สึกดีอย่างแท้จริงก็คือตลอดสี่วันที่ผ่านมาพวกเขาได้เห็นคนที่ยังพยายามข้ามทะเลด้วยตัวเอง ได้เห็นความยากลำบากของคนเหล่านั้น หรือแม้กระทั่งได้เห็นคนที่ล้มเหลวและตกลงไปในทะเลจนกลายเป็นกระดาษ ภาพเหล่านั้นทำให้ทุกคนบนเรือรู้สึกว่าผลึกสีชาดหนึ่งแสนเม็ดที่จ่ายไปก็ไม่ได้แพงเลยสักนิด…

ที่น่าอึดอัดเพียงอย่างเดียว…คือบนเรือมีคนเยอะขึ้นเรื่อยๆ…ความจริงแล้วมหาศิษย์แห่งเต๋าที่เหาะอยู่เหนือน้ำทะเลแต่ละคน เมื่อเริ่มเหน็ดเหนื่อยและเห็นเรือของพวกเขาพลางได้เห็นว่าผู้คนบนเรือล้วนมีท่าทีสงบและผ่อนคลาย ดังนั้นเมื่อหวังเป่าเล่อตะโกนถาม พวกเขาจึงรีบควักเงินซื้อสิทธิ์ทันที

ผู้คนบนเรือจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไปโดยปริยาย สุดท้ายห้องโดยสารก็ไม่สามารถนั่งได้อีกต่อไป อีกทั้งคนที่ขึ้นเรือมาทีหลังล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาต้องการที่สำหรับนั่งทำสมาธิจึงแย่งที่นั่งไป ดังนั้น…ยิ่งคนบนเรือเพิ่มขึ้นก็ยิ่งมีคนที่มีตบะและกำลังต่อสู้อ่อนแอยืนอยู่ที่ตำแหน่งต่างๆ ของเรือ เช่น ใบเรือและเสาเรือมากขึ้น

หากมองจากฝั่งที่อยู่ไกลๆ ท้องเรือวิญญาณลำนี้ดูจมลงไปในน้ำลึกมาก ขณะเดียวกันบนเรือก็เหมือนมีผู้คนทับถมกันอยู่เกือบสามร้อยคน มันดูยิ่งใหญ่เกรียงไกร มีพลังมืดปกคลุมและมีรัศมีที่ทำให้ผู้คนต้องทึ่ง ผู้คนที่รอพวกเขาอยู่บนฝั่งทั้งหมดต่างมีสีหน้านิ่งอึ้งไปชั่วครู่

“นี่มัน…”

“เรือลำนี้ไม่ได้จมอยู่ใต้น้ำแล้วหรือ?”

“แบบนี้ก็ได้ด้วย…”

บนชายฝั่งมีมหาศิษย์แห่งเต๋านับร้อยยืนอยู่ ในจำนวนนี้มีกลุ่มของหญิงสวมหน้ากากสี่คนอยู่ด้วย คนพวกนี้ล้วนอาศัยพลังของตัวเองข้ามทะเลสีดำมาได้ ต่างกันเพียงระยะเวลาเท่านั้น อย่างกลุ่มของหญิงสวมหน้ากากทั้งสี่คนนั้นใช้เวลาเพียงสองวันครึ่ง ส่วนคนอื่นๆ ก็ทยอยมาถึงทีละคน หลังจากมาถึงพวกเขาก็หมดแรง ดังนั้นเมื่อได้เห็นเรือวิญญาณที่หวังเป่าเล่อโดยสารอยู่จึงตกใจจนร้องอุทานออกมา

ขณะที่คนอื่นตกใจอยู่ก็มีการฝึกตนแปลกๆ อยู่แถวชายฝั่ง พวกเขาคือ…กระดาษรูปมนุษย์ที่ต่างจากเศษกระดาษในทะเลสีดำ กระดาษรูปมนุษย์พวกนี้ล้วนมีสีขาวและอยู่กันอย่างแน่นขนัด พวกเขามีจำนวนหลายพันตน พอเห็นเรือวิญญาณ แต่ละตนก็เบิกตากว้างและมีท่าทีแปลกไป

เห็นได้ชัดว่าที่ผ่านมา ยังไม่เคยเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ในการเปิดประตูสุสานดวงดารามาก่อน โดยเฉพาะสายฟ้าฟาดที่ลงมาจนถึงตอนนี้ก็ยังคงผ่าใส่เรือไม่หยุด ทำให้เรือลำนี้ดูน่าเกรงขามมากขึ้นไปอีก

เมื่อทุกคนบนฝั่งเห็นเรือ ผู้ฝึกตนบนเรือก็ย่อมมองเห็นฝั่ง ตำแหน่งที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่คือหัวเรือ มีเขาเพียงคนเดียวที่ได้ครอบครองพื้นที่ขนาดใหญ่และเป็นคนแรกที่มองเห็นฝั่ง ในชั่วพริบตาเขาก็สัมผัสได้ถึงสถานที่ที่ต่างออกไปอีกแห่งหนึ่งบนโลกนี้

ที่ชายฝั่ง นอกจากมหาศิษย์แห่งเต๋าและกระดาษรูปมนุษย์แล้ว ยังมีภูเขาอยู่ไกลๆ และยังมีอาคารรวมถึงพืชพรรณอยู่รอบๆ แต่…ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ไม่ว่าภูเขา อาคาร หรือต้นไม้ใบหญ้าล้วนทำจากกระดาษขาวทั้งสิ้น!

ยกเว้นท้องฟ้าและพื้นดิน ทุกสิ่งที่มองเห็นได้คือกระดาษทั้งหมด ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหรี่ตา ขณะเดียวกันก็มองไปยังกระดาษรูปมนุษย์บนฝั่ง ทุกตนล้วนมีปราณที่ไม่ด้อยไปกว่ากระดาษรูปมนุษย์พายเรือเลย โดยเฉพาะหลายสิบตนที่เป็นหัวหน้า พลังปราณของแต่ละตนทำให้หวังเป่าเล่ออกสั่นขวัญแขวน

ยิ่งไปกว่านั้น กระดาษรูปมนุษย์ที่อยู่ตรงกลางซึ่งมีเส้นสีแดงอยู่ระหว่างคิ้วนั้น มีพลังปราณที่แค่เหลือบมองจากไกลๆ ก็ทำให้หัวใจของหวังเป่าเล่อคำรามราวกับฟ้าผ่า

“หลายสิบตนนั้นล้วนเป็นระดับจักรพิภพหรือ ส่วนตนอื่นก็เป็นระดับดารานิรันดร์? ตนที่มีเส้นสีแดงอยู่ระหว่างคิ้ว…ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่า เป็นไปไม่ได้น่า…” ความแข็งแกร่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเหงื่อตก นี่เป็นครั้งที่สามในชีวิต…ที่เขาสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่เหมือนกับปรมาจารย์แห่งไฟและศิษย์พี่

“แม่นางสวมหน้ากากเคยบอกว่าศิษย์พี่เป็นคนจักรพรรดิสวรรค์…เช่นนั้นตบะของเขาต่ำสุดก็น่าจะระดับจักรพิภพชั้นมหาวัฏจักร และเป็นไปได้ว่าอาจจะเกินระดับจักรพิภพไปแล้ว!”

“แม้ปราณของปรมาจารย์แห่งไฟจะอ่อนแอกว่าศิษย์พี่ แต่ก็คล้ายคลึงกัน และกระดาษรูปมนุษย์ที่มีเส้นสีแดงที่หว่างคิ้วตนนี้ก็เป็นแบบนั้นด้วย…เช่นนั้นแล้วตบะของเขาอาจจะมากกว่าระดับจักรพิภพ? ถึงระดับจักรพรรดิสวรรค์ตระกูลไม่รู้สิ้น?”

ความคิดในหัวหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว และภาพนี้ก็ทำให้มหาศิษย์แห่งเต๋าที่รู้เรื่องเหล่านี้ด้วยเกิดตึงเครียดและกระวนกระวายใจยิ่งกว่าเดิม

ดังนั้นพวกเขาจึงเงียบลง เรือเข้ามาใกล้ฝั่งมากขึ้นเรื่อยๆ และเมื่อมันมาถึง สายฟ้าที่ปกคลุมรอบเรือก็ดูเหมือนจะถูกกระตุ้นอย่างอธิบายไม่ถูก จู่ๆ มันก็ผ่าลงมาบ่อยขึ้น ละเป็นครั้งแรกที่มันแผ่ออกจากเรือ ราวกับว่ามันต้องการแผ่ไปยังฝั่ง

สิ่งนี้ทำให้หัวใจหวังเป่าเล่อสั่นคลอน ในตอนที่เขาไม่รู้ว่าจะจัดการกับมันอย่างไร จู่ๆ…กระดาษรูปมนุษย์ที่มีเส้นสีแดงอยู่ระหว่างคิ้วตนนั้นก็แค่นเสียงเย็นชาออกมา

“สายฟ้านอกพิภพ?”

ขณะที่พูด กระดาษรูปมนุษย์ตนนั้นก็ยกมือขวาขึ้นโบกไปทางสายฟ้าพวกนั้น คลื่นฝ่ามือนั้นไม่ได้มีพลังวิเศษอะไรที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแม้แต่น้อย แต่ภาพที่ทำให้หวังเป่าเล่อและทุกคนบนเรือต้องตกตะลึงก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขาในทันที

สายฟ้าพวกนั้นหยุดนิ่งในฉับพลันราวกับถูกผนึก และ…กลายเป็นกระดาษอย่างรวดเร็ว!

พวกมันกลายเป็นกระดาษและจมลงสู่ทะเลสีดำ!

“เปลี่ยนสายฟ้าเป็นกระดาษ! !” หวังเป่าเล่อกรีดร้องในใจ เคล็ดวิชาของอีกฝ่ายเหนือจินตนาการของเขาไปแล้ว ขณะที่มองดูแผ่นกระดาษที่จมลงสู่ก้นทะเล เรือวิญญาณที่พวกเขาโดยสารมาก็ถึงฝั่งในที่สุด และเสียงคำรามดังสนั่นก็ดังขึ้นพร้อมกับเรือที่หยุดลง

ทุกคนรวมถึงหวังเป่าเล่อรีบเหาะออกมาทันที แต่ละคนต่างก็ไม่กล้าแสดงท่าทีโอหังแม้แต่น้อย และหลังจากเหยียบแผ่นดินอย่างสงบเสงี่ยมแล้ว พวกเขาก็กำมือคำนับกลุ่มกระดาษรูปมนุษย์อย่างเคารพ

หวังเป่าเล่อก็อยู่ในกลุ่มคนเหล่านั้น เขาก้มศีรษะพร้อมทุกคนด้วยความรู้สึกผิด แม้จะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมอง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ ว่าสัมผัสได้ถึงสายตาที่เพ่งมองมาจากกระดาษรูปมนุษย์

“พวกเขารู้ว่าสายฟ้าพวกนี้ตามข้ามาหรือ” หวังเป่าเล่อกังวล โชคดีที่สายตาเหล่านั้นไม่ได้จ้องมาที่เขานานเกินไป พวกกระดาษรูปมนุษย์ละสายตาจากเขาในครู่ต่อมา และสิ่งที่ตามมาคือเสียงที่สงบและสง่างาม

“เมล็ดพันธุ์แห่งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ยินดีต้อนรับพวกเจ้าเข้าสู่จักรวรรดิดาวตก!”

เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ สีหน้าของเจ้าอ้วนน้อยก็เปลี่ยนไปทันที ในใจโกรธเคืองอย่างมาก เขารู้สึกว่าคนตรงหน้าช่างหน้าเงินเสียจริง นอกจากเขาแล้วในโลกนี้ยังมีคนที่ละโมบขนาดนี้ได้อย่างไรกัน!

ไม่ใช่แค่เจ้าอ้วนน้อย พอมหาศิษย์แห่งเต๋าด้านนอกได้ยินราคาที่หวังเป่าเล่อประกาศ พวกเขาแต่ละคนก็มองเรือที่ถูกฟ้าผ่าอย่างต่อเนื่องแล้วก็ทำสีหน้าอัปลักษณ์ พวกเขาไม่ได้ใส่ใจผลึกสีชาดหนึ่งแสนเม็ด แต่การถูกคนขู่กรรโชกขนาดนี้และยังดูเหมือนจะไม่จ่ายไม่ได้ด้วยทำให้มหาศิษย์แห่งเต๋าจนปัญญา ขณะเดียวกันก็หงุดหงิดหวังเป่าเล่อเอามากๆ

แต่ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว เวลาห้าวันดูเหมือนจะนาน แต่พวกเขาก็รู้ดีว่าทุกครั้งที่เกิดความล่าช้าล้วนทำให้โอกาสไปถึงฝั่งลดลง โดยเฉพาะตอนที่หวังเป่าเล่อเหาะออกจากเรือไปก่อนหน้านี้ ทำให้พวกเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนที่ต่อกรด้วยได้ง่ายๆ

หากทุกคนร่วมมือกันก็สิ้นเรื่อง หากสู้ด้วยตัวคนเดียวมองไปทางไหนก็มีแต่ศัตรู และถึงแม้พวกเขาจะร่วมมือกันได้ แต่ก็ไม่ง่ายที่จะช่วยเหลือกันและกัน ถึงจำนวนคนมากจะได้เปรียบ แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่ใช่พวกเดียวกันจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความคิดต่างกัน

ความคิดเหล่านี้แวบเข้ามาในหัวทุกคนอย่างรวดเร็ว แต่เพราะศักดิ์ศรี ต่อให้มีสนใจก็ไม่มีใครอยากเป็นคนแรกที่ยอมก้มหัวเอ่ยปาก ดังนั้นจึงไม่มีใครพูดอะไร

เจ้าอ้วนน้อยเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เขามองหวังเป่าเล่อและกำลังจะชวนคุยเพื่อผ่อนคลายบรรยากาศตรงหน้าสักหน่อย ส่วนหวังเป่าเล่อเห็นความลังเลของผู้คนด้านนอกก็แค่นเสียงในใจ ก่อนจะเติมเขื้อเพลิงเข้าไปอีก

“เรือรับคนได้จำกัด เวลาในการช่วยก็มีจำกัด เวลาหนึ่งก้านธูป ข้าจับได้สามสิบครั้งเท่านั้น หากชักช้าจนไม่ได้ขึ้นเรือจะมาโทษข้าไม่ได้นะ!”

ทันทีที่เขาพูดออกมา ทุกคนด้านนอกก็เริ่มลน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับวาสนาแห่งโชคจากสุสานดวงดารา พวกเขาต่างดิ้นรนอย่างหนักกว่าจะได้รับสิทธิ์ครั้งนี้มา จะมาพ่ายแพ้เพราะผลึกสีชาดเพียงหนึ่งแสนเม็ดและต้องกลับไปด้วยความรู้สึกไม่คุ้มค่าได้อย่างไร ดังนั้นเมื่อได้ยินกำหนดเวลาของหวังเป่าเล่อพวกเขาก็ร้อนใจขึ้นมา ทันใดนั้นก็มีเสียงดังแทรกมาจากฝูงชน

“ข้าซื้อ! หนึ่ง!”

คนแรกที่เอ่ยคือชายหนุ่มร่างผอม เห็นได้ชัดว่าคนคนนี้มีไหวพริบ เขาพูดขึ้นมาพร้อมตัวเลข ด้วยวิธีนี้ต่อให้มีคนมากกว่าสามสิบคนกับเขาพูดออกมาพร้อมกัน เขาก็ยังคงได้รับสิทธิ์นั้น

หวังเป่าเล่อเองก็รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่ไม่เลวเลทีเดียว สีหน้าเผยรอยยิ้มชื่นชม ขณะที่เขากำลังจะพยักหน้า คนอื่นๆ ต่างก็ร้อนใจ ก่อนที่จะมีเสียงดังกระจายออกไปเป็นวงกว้างทันที

“ซื้อ สอง!”

“ซื้อ สาม!!”

เวลาเพียงไม่กี่อึดใจ เสียงตอบรับราคาของหวังเป่าเล่อก็พุ่งขึ้นไปที่ลำดับ 70-80 แล้ว เพียงแต่การจำกัดตัวเลขที่ 30 ย่อมทำให้หลายคนขัดแย้งกันเอง แม้จะเกิดสายตาฟาดฟันกัน แต่หวังเป่าเล่อก็พอใจกับบรรยากาศร้อนแรงตรงหน้า

เขายืนมีอยู่ตรงนั้นอย่างมีความสุข แต่เจ้าอ้วนน้อยกลับตัวสั่นเทิ้ม ตอนนี้เขาเองก็เริ่มตอบสนองบ้างแล้วไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ หากเขายังงกไม่ยอมจ่ายต่อไปก็จินตนาการจุดจบของตัวเองไว้ได้เลย ดังนั้นจึงฉวยโอกาสตอนที่ผู้คนด้านนอกนับตัวเลขกันหยิบบัตรผลึกสีชาดออกมาจากกระเป๋าทันทีอย่างไม่ลังเล ก่อนจะโยนให้หวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว

“สหาย เจ้าคือคนที่มีเมตตาที่สุดในโลก เพื่อสนับสนุนเจ้า ข้าโจวหลินเฟิงเห็นด้วยกับเรื่องนี้เป็นคนแรก! ”

หลังจากรับบัตรผลึกสีชาดไป หวังเป่าเล่อก็เหลือบมองเจ้าอ้วนน้อยราวกับจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด

“หวังว่าทุกคนบนโลกจะเข้าใจข้าได้อย่างเจ้า ข้าเซี่ยต้าลู่จะละโมบอยากได้เงินเล็กน้อยพวกนี้ได้อย่างไร ข้ากำลังช่วยพวกเจ้าอยู่ต่างหาก เพียงแต่วิถีเต๋าสวรรค์ส่งผลเสียต่อเต๋ามนุษย์ ข้ากำลังต่อต้านสวรรค์ จำเป็นต้องใช้สิ่งของนอกกายต้านทานภัยที่มองไม่เห็น”

ขณะมองอารมณ์เล่นใหญ่ของหวังเป่าเล่ออยู่ เจ้าอ้วนน้อยก็หน้ากระตุกและแอบพูดในใจว่าคนผู้นี้หน้าด้านเกินไปแล้ว คำพูดก็น่าขยะแขยงยิ่งนัก แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะกลัวว่าหวังเป่าเล่อจะเปลี่ยนใจ ดังนั้นจึงทำสีหน้าจริงใจและพยักหน้าไม่หยุด

พวกหลี่หลินจื่อที่อยู่บนเรือเห็นว่าเขายังสามารถหาเงินได้มากในสถาณการณ์เช่นนี้ แม้จะรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อมีสถานะพิเศษบนเรือลำนี้ แต่ใจก็ยังอดเต้นแรงไม่ได้ โดยเฉพาะหลี่หลินจื่อ เขาไม่ได้ต้องการเงิน แต่รู้สึกว่าหากตัวเองเป็นเหมือนหวังเป่าเล่อได้ก็จะสามารถใช้โอกาสนี้สร้างบุญคุณกับทุกคน หากทำได้ ในอนาคตคงจะได้รับความช่วยเหลือตอบแทน

“เจ้าโง่ การสานสัมพันธ์ต่างหากที่สำคัญที่สุด!” หลี่หลินจื่อหรี่ตา ตอนนี้เขาไม่อยากทำให้หวังเป่าเล่อขุ่นเคืองมากนักจึงปัดความคิดที่จะด่าอีกฝ่ายออกไป ถึงอย่างไรผู้คนด้านนอกก็ไม่ได้โง่ หากเขามีวิธีทำให้ทุกคนขึ้นเรือมาได้บ้างละก็พฤติกรรมอันน่ารำคาญเช่นนั้นของหวังเป่าเล่อก็มีแต่จะเป็นผลดีต่อเขาไปโดยปริยาย

แต่หากไม่มีวิธีให้พวกเขาเข้ามา ทำได้เพียงแค่พูด ความกังขาต่อการให้ความช่วยเหลืออันว่างเปล่าก็จะเกิดขึ้นล้นหลาม ไม่เพียงจะไม่บรรลุเป้าหมายของตัวเองเท่านั้น แต่ยังจะเป็นที่ดูถูกเหยียดหยามอีกด้วย

คิดได้เช่นนี้ เขาก็ลุกขึ้นและพูดกับผู้คนด้านนอกทันที

“สหายทั้งหลาย ข้าหลี่หลินจื่อจากสำนักเมฆาเยือกแข็ง ทุกคนอย่าเพิ่งรีบร้อนจ่ายเงิน ข้าอยากจะลองดูสักหน่อยว่าคนที่อยู่บนเรือแล้วอย่างพวกข้าสามารถเชิญคนอื่นขึ้นได้อย่างเซี่ยต้าลู่หรือไม่”

“สหายทุกท่าน หากข้าทำสำเร็จ ข้าจะไม่ขอสิ่งใดตอบแทน การนี้ได้ทำให้สหายเซี่ยขุ่นเคืองแล้ว ดังนั้นหากข้าทำไม่สำเร็จ สหายทุกท่านโปรดอย่าตำหนิข้าเลย”

เมื่อได้ฟังสิ่งที่หลี่หลินจื่อพูด ทุกคนด้านนอกก็ตอบรับทันที คำพูดนั้นเต็มไปด้วยความซาบซึ้งและจริงใจจนแม้แต่หวังเป่าเล่อยังหรี่ตามองหลี่หลินจื่อ เขาเข้าใจความคิดของคนคนนี้ได้ในชั่วพริบตา

“จะทำได้หรือไม่ก็ล้วนเอาดีเข้าตัวได้ คิดจะสร้างรากฐานการสานสัมพันธ์หรือ กลเม็ดของเจ้าหลี่หลินจื่อไม่เลวเลย” ระหว่างที่หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ดวงตาของหลี่หลินจื่อก็เป็นประกาย หลังจากได้รับเสียงสนับสนุนจากผู้คนภายนอก เขาก็หันหน้ามากำปั้นคำนับหวังเป่าเล่อ

“สหายเซี่ย โปรดอย่าขัดขวางความพยายามของข้าเลย!”

ประโยคนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกอยากบีบคออีกฝ่ายอยู่ในใจลึกๆ คำพูดของหลี่หลินจื่อร้ายกาจนัก หากไม่ใช่ก็แล้วไป ความโกรธที่คนอื่นมีต่อหวังเป่าเล่อแม้จะไม่ลดน้อยลง แต่ก็จะไม่เพิ่มขึ้นอยู่ดี

แต่ทันทีที่พูดประโยคนี้ออกมา ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะตอบอย่างไรล้วนผิดทั้งนั้น หากเขาขัดขวางก็ย่อมเพิ่มความโกรธของผู้คน หากเขาไม่ขัดขวางก็จะกลายเป็นการให้หลี่หลินจื่อสร้างสัมพันธ์กับคนอื่นแทน

“เจ้าหลี่หลินจื่อหัวไวชะมัด!” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ความจริงการดึงคนอื่นขึ้นเรือเพื่อสานสัมพันธ์ก็เป็นสิ่งที่เขาเคยคิดมาก่อน แต่เขารู้ดีว่าความสัมพันธ์เป็นสิ่งที่ทั้งมั่นคงและเปราะบางที่สุดในโลก ที่บอกว่ามั่นคงก็เพราะทันทีที่มีการแลกเปลี่ยนกัน ก็จะต้องแลกเปลี่ยนกันไปตลอดชีวิต

การแลกเปลี่ยนแบบนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าอารมณ์ความรู้สึก คุณค่า และผลประโยชน์

ส่วนที่บอกว่าเปราะบางก็เพราะความสัมพันธ์ที่ไม่มีการแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกันก็จะเป็นเพียงบุปผาในคันฉ่อง[1]เท่านั้น มีผลเพียงน้อยนิดและกลายเป็นความล้มเหลวได้มากกว่า!

ดังนั้นแค่ดึงคนอื่นขึ้นเรือเพื่อสร้างสัมพันธ์ ยังถือเป็นการแลกเปลี่ยนที่ไม่มากพอ ทันทีที่ทำเช่นนั้นก็เท่ากับกำหนดบุคลิกของตัวเองไว้แล้ว ต่อไปก็ต้องพยายามทำตัวเช่นนั้นไปตลอด

หากหวังเป่าเล่อเป็นมหาศิษย์แห่งเต๋าที่ทรงพลังจริงๆ เขาย่อมมีศักยภาพพอที่จะทำได้ และมีวิธีทำให้เรื่องนี้จบลงอย่างสวยงาม แต่เขาไม่ใช่

ทรัพยากรที่มาอยู่ในมือเขาได้ถึงจะถือเป็นสิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้!

ดังนั้นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการกระทำเช่นนี้ของหลี่หลินจื่อ หวังเป่าเล่อจึงเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยและไม่พูดอะไร หลี่หลินจื่อที่กำลังภูมิใจจึงก้าวออกไปและลองดึงคนเข้ามาในเรือ

และแน่นอนว่าจุดจบก็คือความล้มเหลว แม้ในใจหลี่หลินจื่อจะหดหู่ แต่ถึงจะล้มเหลว คำพูดก่อนหน้านี้ก็คงจะมีผลอยู่บ้าง แต่เขาก็ไม่สามารถสานสัมพันธ์กับคนอื่นได้ ทำได้แค่สร้างรากฐานเล็กๆ เท่านั้น

เห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็พูดขึ้นทันที

“จ่ายผลึกสีชาดให้ข้าสิบล้านเม็ด แล้วข้าจะช่วยให้เจ้าดึงคนข้างนอกเข้ามาให้หมดดีไหม” คำพูดนี้ร้ายกาจกว่าคำพูดของหลี่หลินจื่อก่อนหน้านี้เสียอีก หลังจากพูดออกไป ร่างของหลี่หลินจื่อก็สั่นเทาอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าเขาดูน่าเกลียดในฉับพลัน จิตใจเขาก็พลันสับสน เขาไม่ยอมจ่ายสิบล้านเม็ดเพื่อแลกกับการสานสัมพันธ์อยู่แล้ว เพราะเขาคิดว่ามันไม่คุ้มค่าเสียเลย ดังนั้นเขาจึงแค่นเสียงและเมินหวังเป่าเล่อ แล้วจึงหันไปกำมือคำนับทุกคนด้านนอก

“สหายทุกท่าน ไม่ใช่ว่าข้าไม่เห็นด้วย แต่เงินไม่พอจริงๆ …”

แม้จะมีการตอบรับ แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามหาศิษย์แห่งเต๋าด้านนอกมีท่าทีเย็นชาขึ้น ทุกคนต่างก็ไม่ใช่คนโง่ พวกเขารู้ความคิดของหลี่หลินจื่อดี หากหลี่หลินจื่อทำสำเร็จก็แล้วไป แต่หากไม่สำเร็จอย่างตอนนี้ก็ย่อมไร้ประโยชน์กับพวกเขา

แต่คำพูดของหวังเป่าเล่อกลับมีน้ำหนักขึ้นมาทันที

ถึงราคาที่เขาเสนอจะสูง แต่อย่างน้อยเขาก็ทำได้อย่างแน่นอน ดังนั้นไม่ในช้าการแลกผลึกสีชาดหนึ่งแสนเม็ดก็ดำเนินไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็เหลือบตามองหลี่หลินจื่อแล้วแอบส่ายหน้า หากอีกฝ่ายตกลงขึ้นมาจริงๆ เขาจะปฏิบัติต่ออีกฝ่ายเหมือนคนคนหนึ่ง แต่พอดูอย่างนี้แล้วก็เป็นแค่การพูดเอาใจสาธารณชนเท่านั้น

………………………………………………..

[1] บุปผาในคันฉ่อง หมายถึง สิ่งสวยงามที่จับต้องไม่ได้

หวังเป่าเล่อพูดอย่างภาคภูมิใจ ทันทีที่คำพูดถูกเอ่ยออกมา สายฟ้าสีแดงหลายร้อยก็พุ่งเข้าชนเรือดาวตกทันที ทำให้ปราณมืดล่าถอยไปเป็นวงกว้างและบริเวณเรือส่วนใหญ่ก็ได้กลับมาเป็นสภาพเดิม

ยังไม่จบแค่นั้น วินาทีต่อมาสายฟ้าจำนวนมากกว่าเดิมก็ส่งเสียงคำรามดัง พวกมันดูเหมือนจะมีสติปัญญา มันไม่พุ่งเป้าใส่คนอื่นเลย แม้มันจะฟาดผ่านเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋ากลางอากาศ แต่มันก็ไม่ทำร้ายพวกเขาเลยสักนิด มันกลับพุ่งเป้าไปที่เรืออย่างแม่นยำ…

เรือทั้งลำคืนสภาพกลับมาอย่างรวดเร็วชนิดที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า และในขณะที่มันกำลังคืนสภาพ หวังเป่าเล่อก็รู้สึกตื่นเต้นไปหมด เขารู้สึกว่านี่คือความทุกข์ที่แปรเปลี่ยนเป็นความยินดี เขาจึงเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า

“วันนี้ข้าแซ่เซี่ยจะกวาดล้างทะเลดำให้สิ้นซาก สายฟ้าเต๋าพลังมาร มาเลยๆๆ !”

ทันทีที่เขาเอ่ยคำพูดออกมา สายฟ้าก็ฟาดลงมามากกว่าเดิม มันครอบคลุมเรือทั้งลำ ทำให้พลังปราณมืดทั้งหมดบนเรือหายไปทันที และยังส่งผลต่อทะเลโดยรอบ ทำให้พื้นที่บริเวณนั้นค่อยๆ จางลงจนกลายเป็นสีขาว!

ถึงแม้พลังปราณมืดจากทุกทิศจะมารวมตัวกันอย่างบ้าคลั่งเพื่อต้านสายฟ้าเพื่อชิงความสมดุล แต่เรือลำที่หวังเป่าเล่ออยู่ได้คืนสภาพกลับมาเป็นแบบเดิมแล้ว แม้แต่กระดาษรูปมนุษย์บนเรือก็เปล่งแสงแปลกๆ ออกมาจากดวงตา แล้วเขาก็พายเรือแล่นออกไปไกล

แต่เห็นได้ชัดว่าขนาดของสายฟ้าก็ยังได้รับผลกระทบ ในที่แห่งนี้ มันไม่สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างใหญ่เท่าอารยธรรมหนึ่งได้เหมือนที่โลกภายนอก ณ ที่แห่งนี้มันครอบคลุมได้เพียงเรือลำเดียวเท่านั้น

ถึงกระนั้นฉากนี้ก็ยังทำให้คนเจ็ดแปดคนที่เหลืออยู่บนเรือยินดียิ่ง และยังทำให้คนที่เหาะอยู่กลางอากาศรวมถึงคนแต่ละคนบนเรือลำอื่นมีลมปราณเปลี่ยนไป

“นี่มันสายฟ้าอะไรกันแน่ เดี๋ยวก็พลังเทพ เดี๋ยวก็พลังมาร…”

“ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร ดูเหมือนว่ามันจะหยุดยั้งพลังปราณมืดได้!!”

นอกจากคนที่เหาะจากไปแล้ว มหาศิษย์แห่งเต๋าที่ได้เห็นฉากนี้ต่างตกตะลึงสุดขีด ความจริงตอนนี้เรืออีกแปดลำนั้นได้กลายเป็นกระดาษไปมากกว่าครึ่งแล้ว และลำที่ดูเลวร้ายที่สุดก็กลายเป็นกระดาษไปแล้วกว่าร้อยละ 90 และตอนนี้จะเห็นได้ว่ามันเกือบจะผสานเข้ากับทะเลสีดำแล้ว เหล่าผู้ฝึกตนในเรือไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเหาะออกมา

เรือลำอื่นๆ ก็คงทนได้อีกไม่นาน ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนที่มายังสุสานดวงดารา และคิดว่าตัวเองคงจะไปถึงฝั่งได้ยากยิ่งรู้สึกลำบากใจ

ถึงคนกลุ่มนี้จะมีไม่มาก แต่ก็มีกว่าร้อยคน พวกเขารู้ดีว่าไม่สามารถพาตัวเองไปถึงฝั่งได้ภายใต้พลังกดต้านในอากาศ แม้จะบอกว่าการเคลื่อนที่อย่างช้าๆ และระมัดระวังสักเล็กน้อยจะช่วยให้ไม่ตกลงไปในทะเลสีดำได้ แต่วิธีนี้ก็คงทำให้พวกเขาไปไม่ถึงในเวลาห้าวันและเสียสิทธิ์ในการเข้าสู่สุสานดวงดาราเพื่อรับวาสนาแห่งโชคอยู่ดี

พวกเขาจะไม่ยินดีกับเรื่องนี้ได้อย่างไร ตอนแรกพวกเขาต่างก็กังวลและหดหู่ใจ แต่ตอนนี้…การคืนสภาพกลับมาของเรือที่หวังเป่าเล่ออยู่ทำให้พวกเขาเห็นแสงแห่งความหวังท่ามกลางความมืดมิด นัยน์ตาของพวกเขาฉายแสงเจิดจ้าในทันที

เห็นได้ชัดว่า…หากพวกเขาสามารถขึ้นเรือลำนั้นได้ล่ะก็ พวกเขาก็จะสามารถโดยสารเรือลำนั้นไปถึงฝั่งได้ภายในห้าวัน!

ไม่ใช่แค่พวกเขาที่มีความคิดนี้ คนที่คิดว่าตัวเองสามารถใช้การฝึกตนและความเร็วของตัวเองไปถึงฝั่งได้ก็กระตือรือร้นเช่นเดียวกัน ถึงอย่างไรการขึ้นเรือก็ช่วยลดความเสี่ยงลงได้ และยังไม่เป็นอันตรายต่อตัวเองด้วย นี่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการทดสอบต่อไป

ดังนั้นไม่นานก็มีคนพุ่งออกไปกลางอากาศและตรงไปที่เรือของหวังเป่าเล่อ และยังมีเหล่าผู้ฝึกตนอีกมากที่ตามหลังมาเพื่อจะขึ้นเรือราวกับสายรุ้ง!

และหากมีใครมาขวางก็จะถือว่าเป็นศัตรูกับพวกเขาทันที ถึงขนาดมีบางคนในกลุ่มนี้มองไปทางหวังเป่าเล่ออย่างส่งสัญญาณเตือน

เมื่อเห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกรังเกียจ เขาแอบถอนหายใจ ตอนนี้ความคิดของเขาเปิดกว้างขึ้นจากการขายผลไม้วิญญาณ เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่มาจากตระกูลอันยิ่งใหญ่พวกนี้ล้วนเป็นคนร่ำรวย พวกเขาสามารถจ่ายผลึกสีชาดหลายล้านเม็ดได้อย่างง่ายดาย เมื่อรู้เช่นนี้เขาก็อดรู้สึกหดหู่ใจไม่ได้

“หากขายตั๋วเรือได้…ก็คงดี” หวังเป่าเล่อเสียใจมาก แต่เขาก็เข้าใจดีว่าเรื่องนี้คงเป็นไปไม่ได้ หากจะให้เขาขัดขวางทุกคนก็ทำไม่ได้จริงๆ พลังของเขาเองคนเดียวอ่อนแอจนยากจะหยุดยั้งคนทั้งหมดได้ และหากทำสำเร็จก็เท่ากับสร้างความบาดหมางกับสาธารณชน…

ความรู้สึกมีเงินแต่กลับไม่อาจคว้าได้ทำให้หวังเป่าเล่อได้แต่ถอนหายใจ แต่ในชั่วพริบตาที่เขาถอนหายใจ มหาศิษย์แห่งเต๋าคนแรกที่พุ่งตัวมาก็เข้ามาใกล้แล้ว แม้สายฟ้าพวกนั้นจะดูน่าใจหายไม่น้อย แต่เขาไม่ใช่เป้าหมายของมัน มันจึงไม่ได้ผ่าเขา เขาจึงมีสีหน้ายินดีและกำลังจะขึ้นเรือ

แต่ในตอนนั้นเอง…กระดาษรูปมนุษย์ที่กำลังพายเรืออยู่ที่หัวเรือก็ยกมือซ้ายขึ้นโบกเบาๆ ทันใดนั้นชายที่กำลังจะขึ้นเรือก็กรีดร้องออกมาราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นหวด เขาเลือดท่วมปากและร่างกายพลิกกลับอย่างรวดเร็ว

ฉากนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตาเบิกโพล่ง และยังทำให้คนอื่นๆ ที่พุ่งเข้ามาตกใจไปด้วย ทว่าเข้าใกล้เรือมาขนาดนี้แล้ว ดวงตาของพวกเขาก็เลยดูดุร้าย แต่ละคนแยกย้ายกันพยายามจะขึ้นเรือให้ได้

ในชั่วพริบตาผู้คนนับสิบก็พุ่งผ่านสายฟ้าไป แต่ทันทีที่พวกเขาเหยียบเรือ กระดาษรูปมนุษย์ก็โบกมือซ้ายเบาๆ และฉับพลันก็มีเสียงกรีดร้องตามมา ในบรรดาคนหลายสิบคนนี้ นอกจากคนสองคนแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็กระอักเลือดและร่างกายของพวกเขาก็ถูกหวดออกไป!

สองคนที่ไม่เป็นอะไร หนึ่งคือหลี่หลินจื่อที่กำลังตื่นตัวอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเขาลงเรือได้ก็มีสีหน้าตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด และไม่ได้สนใจสายตาหวังเป่าเล่อเลย แต่เขากลับรีบหามุมนั่งทำสมาธิ ทำท่าราวกับให้ตายเขาก็จะไม่ไปไหน

เมื่อเห็นว่ามีคนทำสำเร็จ มหาศิษย์แห่งเต๋านับร้อยรอบๆ ก็เผยให้เห็นตาแดงก่ำและรีบพุ่งเข้ามาเพื่อจะขึ้นเรือ แต่สิ่งที่รอพวกเขาอยู่ยังคงเป็นการถูกหวดจนกระเด็นออกไป มีเพียงผู้ฝึกตนเจ็ดแปดคนที่ดูเหมือนจะโชคดีไม่ได้ถูกกระดาษรูปมนุษย์ขัดขวาง จึงทำให้พวกเขาขึ้นเรือได้สำเร็จ

และในตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็มองอะไรบางอย่างออก คนที่ขึ้นเรือได้สำเร็จก็มองออกเช่นกัน มหาศิษย์แห่งเต๋าด้านนอกเองก็เช่นกัน

“คนที่ขึ้นเรือได้…ล้วนเป็นคนที่โดยสารเรือลำนี้มาตั้งแต่แรก!!”

“นี่คือกฎของเรือดาวตกหรือ ผู้ฝึกตนที่มาจากเรือลำอื่นไม่สามารถเหยียบขึ้นเรือลำอื่นได้?”

ฉากนี้ทำให้มหาศิษย์แห่งเต๋าบนอากาศเศร้าใจมาก แต่พวกเขาก็จนปัญญาและไม่อาจตำหนิหวังเป่าเล่อได้ ถึงอย่างไร…คนที่ขัดขวางไม่ให้ขึ้นเรือก็ไม่ใช่เขา

แต่ก็ยังมีความจำเป็นต้องลองดูก่อน ถึงอย่างไรก็เกี่ยวข้องกับการทดสอบดาวตก ดังนั้นในตอนนี้จึงยังมีเหล่าผู้ฝึกตนที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เคลื่อนไหวเข้ามาใกล้เรือและลองพยายามขึ้นเรือดู

สิ่งนี้ทำให้ดวงตาหวังเป่าเล่อสว่างจ้า เขาเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว

“ในเมื่อสายฟ้าตามมาถึงที่นี่ก็ไม่รู้ว่าความปรารถนาเดิมของข้าจะยังได้ผลอยู่หรือไม่…ความปรารถนาเดิมของข้าก็คือไม่ให้กระดาษรูปมนุษย์บนเรือนี้หยุดการกระทำของข้า!”

“หากมันได้ผลจริงๆ ล่ะก็ หากข้าพาคนเข้ามา มนุษย์รูปกระดาษก็จะไม่ขัดขวางข้าใช่ไหมนะ” เมื่อคิดเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ใจเต้นโครมคราม เมื่อเห็นคนพวกนั้นมาถึงและกระดาษรูปมนุษย์ยกมือซ้ายขึ้น หวังเป่าเล่อก็รีบตะโกนทันที

“เจ้าอ้วน อย่าเพิ่ง ข้าจะพาเจ้าเข้ามา!” ระหว่างที่พูดหวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นคว้าตัวเจ้าอ้วนจากผู้ฝึกตนสองคนที่เข้ามาใกล้ที่สุดลงมาจากอากาศ!

เจ้าอ้วนน้อยคนนี้รูปร่างเหมือนลูกบอล เหตุผลที่หวังเป่าเล่อเลือกเขา หนึ่งคือเขารู้สึกว่ารูปร่างของอีกฝ่ายคล้ายคลึงกับตัวเอง อีกหนึ่งคือรู้สึกว่าเจ้าหมอนี่ดูร่ำรวยดี

การตอบสนองของเจ้าอ้วนน้อยก็เร็วมากเช่นกัน เมื่อเห็นว่าตัวเองถูกอีกฝ่ายจับไว้ เขาก็ไม่ได้ต่อต้านใดๆ ปล่อยให้หวังเป่าเล่อลากลงมา โดยที่กระดาษรูปมนุษย์ก็ไม่ได้สนใจ

ทันทีที่เขาขึ้นเรือได้ แวบแรกเจ้าอ้วนน้อยไม่อยากจะเชื่อ จากนั้นก็หัวเราะ เนื้อบนใบหน้าของเขาสั่นระริก ก่อนที่เขาจะกำหมัดไปทางหวังเป่าเล่อ

“ขอบคุณสหาย”

ส่วนคนอื่นๆ พวกเขาไม่ได้รับการคุ้มกันนี้จึงถูกกระดาษรูปมนุษย์โบกกระเด็นออกไป และฉากนี้ก็ทำให้ทุกคนที่ด้านนอกหายใจถี่เร็ว ดวงตาเบิกกว้างจ้องเขม็งไปยังหวังเป่าเล่อ

ในใจหวังเป่าเล่อตื่นเต้นมาก แต่เมื่อเห็นเจ้าอ้วนน้อยตรงหน้าดูจะขอบคุณเขาอย่างไม่จริงใจมากพอ ดังนั้นหลังจากสบตากันแล้ว เขาจึงพูดเบาๆ

“ขอบคุณสำหรับสิ่งใด ข้าลงมือหนึ่งครั้งแลกกับผลึกสีชาดหนึ่งแสนเม็ด จ่ายมา”

“ผลึกสีชาดหนึ่งแสนเม็ด?” เจ้าอ้วนน้อยเบิกตาโพล่ง ความซึ้งใจบนใบหน้าหายวับไปทันที เขาจ้องหวังเป่าเล่อด้วยความโกรธ

“เจ้าใจดำเกินไปแล้ว จับหนึ่งครั้งคิดหนึ่งแสนเม็ด ทำไมเจ้าไม่ปล้นกันเลยล่ะ ในชีวิตข้าโจวหลินเฟิงไม่เคยถูกใครเอาเปรียบเช่นนี้ ให้เงินเจ้าหรือ ไม่มีทาง!”

“ไม่ให้หรือ?” หวังเป่าเล่อก็โกรธขึ้นมาแล้วเช่นกัน เขาแอบพึมพำว่าราคาของตัวเองยุติธรรมมากแล้ว อย่าว่าแต่จับหนึ่งครั้งราคาหนึ่งแสนผสึกสีชาดเลย สิ่งที่เขาทำถือว่าค่อนข้างมีเมตตาด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายกลับมาแค้นเคืองกันเสียนี่

เขาจึงถลึงตาและกำลังจะลงมือ แต่เขาอยากให้อีกฝ่ายได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าของการจับนี้ หากแค่ลงไม้ลงมือคงไม่พอ เขาจึงหันไปมองผู้คนนับร้อยด้านนอกเรือ

“จับหนึ่งครั้งแลกกับผลึกสีชาดหนึ่งแสนเม็ด ใครตกลงบ้าง ข้าจะดึงคนคนนั้นเข้ามา แล้วเอาเจ้าอ้วนนี่ออกไปแทน!”

…………………………………………

ทันทีที่เหาะขึ้นไป หวังเป่าเล่อก็เข้าใจทันทีว่าทำไมมหาศิษย์แห่งเต๋ากลุ่มแรกที่เหาะขึ้นไปในอากาศถึงตัวสั่นเทา แล้วยังเกือบตกลงไปในทะเลกระดาษสีดำอย่างไม่ทันตั้งตัวอีก

เพราะบนท้องฟ้ามีแรงกดดันรุนแรง แรงกดดันนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับมีภูเขามากดทับร่างกายของเขาอย่างกะทันหัน คนแข็งแกร่งเช่นเขายังตัวสั่น ถึงแม้จะไม่จมลงไป แต่ระดับการฝึกฝนของเขาก็ปั่นป่วนเพราะเหตุนี้

“ไม่ใช่แค่เพิ่มน้ำหนัก แต่ยังส่งผลต่อการฝึกฝนด้วย!” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง แต่เขายังทำได้ดี เขายังรับมือกับอิทธิพลและน้ำหนักพวกนี้ได้อยู่ พอความเร็วลดลง ก็ทำให้พลังการฝึกฝนค่อยๆ ราบรื่นขึ้น ผลกระทบจากอิทธิพลนี้ทุเลาอย่างช้าๆ

แต่เห็นได้ชัดว่า…การทดสอบนี้ต้องไม่ง่ายเช่นนี้เป็นแน่ ทันทีที่หวังเป่าเล่อคิด เขาก็เห็นว่าผู้ฝึกตนกลุ่มแรกที่บินไปได้ไกลกว่าร้อยจั้งนั้นเริ่มร่างกายบิดเบี้ยว มีอยู่สามถึงสี่คนที่เกือบตกลงไปในทะเล ต่อมาถึงจะกลับมายืนอย่างมั่นคงได้ แต่ก็ตัวสั่นสะท้าน พวกเขามีสีหน้าตกตะลึงก่อนจะตกลงไปอีกครั้ง

ในจำนวนสี่คนที่ตกลงไปครั้งนี้ ถึงแม้สุดท้ายจะมีสามคนที่กลับขึ้นมาได้อย่างยากลำบาก แต่ก็มีคนหนึ่งที่โชคไม่ดี ตอนแรกเขากลับขึ้นมาและก้าวต่อไปได้แล้ว ทว่าวินาทีที่ร่วงลงไปกลับมีคลื่นลูกใหญ่ม้วนตัวขึ้นมาพอดี มันม้วนตัวคลุมร่างของเขา แม้เขาจะดิ้นรนอย่างบ้าคลั่งก็ไม่อาจหยุดยั้งปลายขาทั้งสองข้างที่กำลังกลายเป็นกระดาษสีดำได้!

ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอันน่าสลด ร่างของเขาสูญเสียการควบคุมและจมลงไปใต้ทะเลอย่างสมบูรณ์ ร่างกายของเขากลายเป็นกระดาษสีดำภายในไม่กี่อึดใจและจมหายไปในคลื่น

ภาพนั้นทำให้ทุกคนสะเทือนใจ หวังเป่าเล่อเองก็หน้าเปลี่ยนสี ส่วนอีกสามคนที่เกือบร่วงลงไปก็หน้าซีดเผือด แววตาเต็มไปด้วยความสะพรึงกลัว และไม่กล้าเดินหน้าต่อ อีกทั้งยังถอยหลังกลับอย่างรวดเร็ว

และเมื่อเป็นเช่นนี้ กลุ่มคน 70-80 แรกที่เหาะออกไปก็แบ่งเป็นระดับได้ทันที แน่นอนว่าระดับแรกก็คือกลุ่มของหญิงสวมหน้ากากสี่คน ตอนนี้พวกเขาเหาะไปได้เกือบหนึ่งพันจั้งแล้ว ระดับที่สองนั้นตามหลังพวกเขามากกว่าห้าสิบคน แม้ความเร็วจะช้ากว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ด้วยความระมัดระวังจึงสามารถยืนหยัดอยู่ได้ระยะหนึ่ง

ส่วนคนอื่นๆ…หลังจากที่เห็นว่ามีคนตายก็ไม่กล้า สีหน้าเปลี่ยนไปมาไม่หยุด อยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

ขณะเดียวกัน มหาศิษย์แห่งเต๋ากลุ่มที่สองและสามต่างก็เหาะออกไปทีละคน พวกเขาต่างก็เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่หากพวกเขาไม่ออกจากเรือ สิ่งที่รอคอยพวกเขาอยู่ก็คือความล้มเหลว ไม่สู้ลองไปต่อดีกว่า!

ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตัว ในตอนที่กำลังจะเพิ่มความเร็วกลางอากาศ จู่ๆ กลุ่มของหญิงสวมหน้ากากที่เหาะไปไกลกว่าหนึ่งพันจั้งด้วยความเร็ว ก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ถึงแม้ความเร็วจะกลับมาเป็นปกติในไม่ช้า แต่สายตาของหวังเป่าเล่อก็เหลือบไปเห็นเข้า

โดยเฉพาะเมื่อได้สังเกตคนอื่นดูแล้ว หวังเป่าเล่อก็ได้ข้อสรุปทันที พลังกดต้านนี้…จะพุ่งขึ้นสูงตามระยะทางและความเร็วที่เพิ่มขึ้น หรือพูดอีกอย่างว่าการรักษาความเร็วให้เป็นปกติจะกลายเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อยๆ!

“มิน่าล่ะ ถึงให้เวลาห้าวัน!”

“หากคิดจะรักษาความเร็วให้ไปถึงฝั่งได้ภายในห้าวัน พลังกดต้านที่ต้องเผชิญในตอนสุดท้ายจะขึ้นไปถึงระดับที่น่ากลัว…” หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้าลึกๆ แม้จะมีความยากลำบากรออยู่ แต่เขายังคิดว่าตัวเองน่าจะทำได้ ณ ตอนนี้ร่างกายของเขาสั่นเทิ้ม ก่อนจะระเบิดความเร็วออกมา แม้แรงกดต้านจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ผลกระทบต่อการฝึกฝนก็เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้ ทำให้เขาบินออกไปไกลกว่าห้าร้อยจั้งในเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ

ฉากนี้ทำให้หลายคนที่อยู่ข้างหลังเขาต่างก็ตกตะลึง แม้แต่กลุ่มของหญิงสวมหน้ากากทั้งสี่คนก็ยังหันมามองทางหวังเป่าเล่อเล็กน้อย

ในความเป็นจริง หากระเบิดพลังเช่นนี้ ต่อไปเรื่อยๆ เกรงว่าไม่นานหวังเป่าเล่อก็จะไล่ตามพวกเขาทั้งสี่ทัน ถึงแม้พวกเขาจะมั่นใจว่าตนเองไม่ด้อยไปกว่าใคร แต่หากหวังเป่าเล่อไล่ตามมาทันแล้ว พวกเขาก็ต้องยอมรับว่าอีกฝ่ายมีคุณสมบัติพอที่จะอยู่ระดับเดียวกับพวกเขา

“คนผู้นี้คือใคร!”

“ความเร็วนี้รุนแรงเกินไปแล้ว!”

ความคิดต่างๆ ผุดขึ้นในใจของทุกคน แต่…เรื่องราวกลับตาลปัตรไม่เป็นอย่างที่จินตนาการไว้ ทางด้านหวังเป่าเล่อนั้นเต็มไปด้วยความมั่นใจและกำลังจะไล่ตามกลุ่มของหญิงสวมหน้ากากทั้งสี่ที่อยู่ข้างหน้าได้แล้ว ทว่า…ทันใดนั้นเขาก็เกิดขนลุกขึ้นมา ฉับพลันสายฟ้าสีแดงที่หายไปอย่างไร้ร่องรอยก็ปรากฏขึ้นจากชั้นอากาศตรงหน้าหวังเป่าเล่อและพุ่งเข้าใส่เขา!

“แย่แล้ว! !” หวังเป่าเล่อกรีดร้องและนึกขึ้นได้ทันทีว่าสายฟ้านี้เป็นผลข้างเคียงของขวดปรารถนา ร่างของเขาถอยกลับอย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังสายเกินไป เขาถูกสายฟ้าฟาดใส่ในชั่วพริบตา

ท่ามกลางเสียงกรีดร้อง หวังเป่าเล่อเกือบถูกฟาดลงทะเลสีดำ หลังจากแบกรับมันอย่างยากลำบาก ร่างของเขาก็สั่นสะท้าน ดวงตาเริ่มฉายแววบ้าคลั่ง ความโกรธในดวงตาพุ่งทะลุจุดสูงสุดไปแล้ว

“บัดซบเอ๊ย! ! !” หวังเป่าเล่อคำราม เขาเดาได้ว่าสายฟ้านี้แอบซ่อนอยู่ที่นี่มานาน มันไม่โจมตีหวังเป่าเล่อทันทีที่เขาออกจากเรือ ตอนที่เหาะกลางอากาศก็ไม่โจมตี แต่พอวินาทีที่หวังเป่าเล่อระเบิดความเร็วมันก็ปรากฏตัวทันที

ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าสายฟ้าที่ฟาดลงมาสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวง ขณะเดียวกันความระแวดระวังภัยของเขาก็ยกระดับขึ้นในทันที ทว่าวินาทีที่ความโกรธของเขากำลังจะระเบิดออก สายฟ้าสีแดงฉานหลายสิบสายก็ปรากฏบนท้องฟ้าอันไกลโพ้น ด้านหลังพวกมันก็ยังมีสายฟ้าอีกหลายร้อยกำลังก่อตัว และหากมองไกลออกไปอีกก็จะเห็นอีกหลายหมื่นหรือมากกว่านั้นกำลังเคลื่อนตัวอยู่

ฉากนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเบิกตาค้าง ความโกรธแปรเปลี่ยนเป็นเสียงคร่ำครวญทันที เขาหันหลังกลับและและใช้แรงเต็มกำลังพุ่งไปไกลกว่าห้าร้อยจั้ง และเรือดาวตกลำที่เขาโดยสารมาก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ที่ด้านหลัง สายฟ้าสีแดงหลายสิบกำลังไล่โจมตีเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย ฉากนี้ทำให้ทุกคนที่เห็นอึ้งไปชั่วขณะ แม้แต่คนกลุ่มแรกที่อยู่ไกลๆ ก็ยังดูตกใจ

“หรือว่าการทดสอบเบื้องต้นนี้ นอกจากพลังกดต้านกับการฝึกตนที่ปั่นป่วนแล้ว ก็ยังมีสายฟ้าฟาดด้วย!!”

“นี่มันอะไรกัน เหตุใดถึงโจมตีแค่คนนั้นคนเดียว”

“สายฟ้านั่น…ดูคุ้นๆ นะ…”

ท่ามกลางความสับสนของฝูงชน มหาศิษย์แห่งเต๋าบางคนที่โดยสารเรือลำเดียวกันกับหวังเป่าเล่อได้เห็นฉากนี้เข้าก็นึกออกทันที หลี่หลินจื่อก็เช่นกัน ดวงตาของเขาฉายแววโกรธเกรี้ยวในฉับพลัน ก่อนจะคำรามเสียงดัง

“เซี่ยต้าลู่ ที่แท้ก็เป็นเจ้าที่นำสายฟ้าพวกนี้มา!!!”

คนอื่นๆ ที่อยู่ในเรือลำเดียวกับหวังเป่าเล่อต่างจ้องเขม็ง แต่ตอนนี้หวังเป่าเล่อไม่มีอารมณ์จะทะเลาะกับพวกเขา เขาพุ่งกลับไปที่เรือโดยมีสายฟ้านับสิบไล่หลัง

ที่เรือเหลือผู้ฝึกตนอยู่ไม่มาก เพียงเจ็ดถึงแปดคนเท่านั้น พวกเขาแต่ละคนดูกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่อยากหนี แต่พวกเขาต่างคิดว่าด้วยระดับการฝึกฝนของตัวเอง หลังจากออกไปแล้วจะให้ไปถึงฝั่งได้อย่างราบรื่นก็ยากไม่น้อย

การทดสอบเบื้องต้นนี้ดูเหมือนจะธรรมดา แต่ในความเป็นจริงเกรงว่าผู้ฝึกตนระดับขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นมหาวัฏจักรทั่วทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นร้อยละเก้าสิบก็ไม่อาจผ่านได้!

ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงไม่สนใจการกลับมาของหวังเป่าเล่อมากนัก และยังไปรวมตัวกันเพื่อแผ่พลังการฝึกตนราวกับจะใช้ความพยายามของทุกคนหยุดยั้งปราณมืดเพื่อให้เรือกลายเป็นกระดาษช้าที่สุด

อันที่จริงไม่ได้มีแค่พวกเขาเท่านั้นที่ทำเช่นนี้ เรือลำอื่นก็มีผู้ฝึกตนจำนวนหนึ่งเลือกวิธีนี้ แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ได้น่าพอใจนัก ตอนนี้เรือที่หวังเป่าเล่อโดยสารมากลายเป็นกระดาษสีดำไปเกินครึ่งลำแล้ว ดูแล้วคงจะทนอยู่ได้อีกไม่นาน แต่ในตอนนั้นเองร่างของหวังเป่าเล่อก็ร่วงลงบนเรืออย่างแรง และวินาทีที่เขาร่วงมา สายฟ้าสีแดงนับสิบที่ไล่ตามมาก็กระแทกเข้ากับเรืออย่างจัง

เรือทั้งลำสั่นสะเทือนเล็กน้อยเช่นเดิมราวกับสามารถต้านทานพลังสายฟ้าได้ ทว่า…พลังปราณมืดที่โอบล้อมเรือกลับเหมือนหนูเห็นแมว มันถอยออกไปในทันที บางจุดที่หลบสายฟ้าไม่พ้นก็ถูกสายฟ้าฟาดใส่จนคล้ายได้ยินเสียงกรีดร้องดังออกมา พลังปราณมืดแตกกระจายออกไป เผยให้เห็นลำเรือและยังเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่ามันกลับคืนสภาพเดิม คลายจากการเป็นกระดาษอีกด้วย!

คนอื่นๆ ที่เห็นต่างตกตะลึงอ้าปากค้างในทันที แม้แต่มหาศิษย์แห่งเต๋าที่ลอยอยู่บนอากาศก็เบิกตากว้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตา

แม้แต่ตัวหวังเป่าเล่อก็อึ้งไปชั่วครู่ ฉับพลันดวงตาของเขาก็เป็นประกาย ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองทุกคนในอากาศก่อนจะตะโกนขึ้น หลี่หลินจื้อที่กำลังตกตะลึงอยู่ก็พ่นลมหายใจอย่างดูถูก

“เจ้าโง่ นี่คือคาถาเวทสำหรับชำระล้างทะเลดำแห่งนี้และคืนจักรวาลที่สดใสให้กลับมา!” ขณะที่พูดเขาก็แสร้งทำท่าร่ายคาถาและพูดเบาๆ

“สายฟ้าเต๋าพลังเทพ จงมา!”

สุสานดวงดารา พื้นที่หวงห้ามในตำนานของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นและหนึ่งในสถานที่ลึกลับที่สุด!

การจะเข้ามาที่นี่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขสามประการ หนึ่งคือประตูเปิด สองคือการฝึกฝนไม่เกินระดับดาวพระเคราะห์ และประการที่สามคือได้สิทธิ์!

เงื่อนไขสามข้อนี้จะขาดข้อใดข้อหนึ่งไปไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงป้องกันความโลภของคนจำนวนมากได้ และเป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่ไม่มีดารานิรันดร์หรือแม้แต่ผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งนครดาราย่างกรายเข้ามา แต่ผู้ที่พยายามบุกรุกเข้ามาต่างก็ต้องล้มเหลวไปโดยไม่มีข้อยกเว้น

แม้แต่ตระกูลไม่รู้สิ้นที่คิดจะบุกเข้ามาภายใต้การนำของจักรพรรดิสวรรค์ก็ประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก สุดท้ายจักรพรรดิสวรรค์คนนั้นก็กลับมาและขอโทษต่อสาธารณชน เรื่องนี้ทำให้ทั่วทั้งนครตกตะลึง และยังทำให้ตระกูลและผู้มีอำนาจต้องยอมละทิ้งความละโมบและความอยากรู้อยากเห็นจากสุสานดวงดาราไป

โชคดีที่สุสานดวงดาราไม่ได้รังเกียจโลกภายนอกโดยสมบูรณ์ มีการให้สิทธิ์กว่าห้าร้อยที่ด้วยหลากหลายวิธี จนถึงตอนนี้แม้สิทธิ์เหล่านี้จะเหลือเพียงสี่ร้อยกว่าคนเนื่องจากกาลเวลาที่ล่วงเลยไป แต่สุสานดวงดาราก็ระบุไว้ชัดเจนแล้วว่าตราบใดที่ปฏิบัติตามกฎของพวกเขา พวกเขาก็ยินดีต้อนรับโลกภายนอก

นั่นเป็นเหตุผลที่การเดินทางไปยังสุสานจะเกิดขึ้นสักครั้งในรอบหลายร้อยปี

และขณะนี้ เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าสี่ร้อยกว่าคนบนเรือดาวตกเก้าลำที่หายไปพร้อมกับกระดาษขาวที่พับครึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็เกิดตาพร่าขึ้นมา แม้แต่หวังเป่าเล่อก็ด้วย ทว่าในไม่ช้าสายตาของพวกเขาก็ฟื้นกลับมาปกติ ทั้งหมดราวกับกินเวลาเพียงไม่กี่อึดใจ

เมื่อสายตาหวังเป่าเล่อกลับมา เขาก็เห็นสถานที่ที่เขาอยู่ทันที มันต่างจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง

นี่มันมหาสมุทร!

แวบแรกเขาเห็นสีน้ำทะเลเป็นสีดำ แต่หากมองใกล้ๆ จะต้องตกใจที่พบว่าทะเลแห่งนี้…จริงๆ แล้วคือเศษกระดาษสีดำนับไม่ถ้วน! !

ส่วนท้องฟ้า…ถึงจะเป็นสีฟ้าปกติ ทว่าพระอาทิตย์ที่ลอยเด่นอยู่ข้างบนนั้นแท้จริงแล้วทำมาจากกระดาษขาว เมื่อมองไปรอบตัว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เหมือนกับ…กระดาษ!

แม้แต่นกทะเลที่เห็นอยู่ไกลๆ และเมฆบนท้องฟ้า ก็เป็นกระดาษ!

ส่วนเรื่องสีสัน นอกจากท้องฟ้าแล้วก็มีแต่สีขาวกับดำ!

มีเพียง…เรือที่พวกเขาโดยสารอยู่และตัวของพวกเขาเท่านั้นที่ไม่ใช่กระดาษ ความรู้สึกไม่เข้ากันนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรวมถึงมหาศิษย์แห่งเต๋าบนเรือใจสั่น

“ทะเลกระดาษดาวตก!”

“ข้ามทะเลนี้ไปก็จะเข้าสู่จักรวรรดิดาวตก…”

“พวกเราเข้ามาในสุสานดวงดาราแล้ว! !” หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้จักสุสานดวงดารามากนัก ต่างจากมหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่น ภูมิหลังอันลึกซึ้งและผู้มีอำนาจของตระกูลทำให้พวกเขาเข้าใจสถานที่แห่งนี้อย่างละเอียด ตอนนี้จึงมีบางคนกระซิบกระซาบกันทันที

เมื่อได้ยินเหล่าผู้ฝึกตนรอบตัวกระซิบกระซาบกัน หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลง คำว่าทะเลกระดาษและจักรวรรดิผุดขึ้นในหัว ตอนที่กำลังกวาดมองไปรอบทะเลกระดาษสีดำเพื่อสำรวจอย่างละเอียด จู่ๆ…เสียงกระดาษรูปมนุษย์ยักษ์ที่เคยคำรามตอนอยู่ข้างนอกก็ดังก้องไปทั่วบริเวณ

“ผู้ฝึกตนจากโลกภายนอก บางคนอาจรู้แล้วว่าที่นี่คือที่ไหน แต่คงจะมีบางคนที่ยังไม่รู้ ตอนนี้ข้าจะบอกพวกเจ้าเอง ที่นี่คือทะเลดำดาวตก”

“จุดประสงค์ที่พวกเจ้ามาในครั้งนี้ ข้าเข้าใจดี เพื่อรับวาสนาแห่งโชค รับดวงดาราพิเศษ หรือแม้แต่เลื่อนขึ้นสู่ระดับดาวพระเคราะห์ เรื่องนี้จึงเป็นเหตุผลที่สุสานดวงดาราเปิดออก แต่…หากคิดจะได้สิ่งเหล่านี้ จะต้องมีการทดสอบพวกเจ้าสักหน่อย และตอนนี้คือบททดสอบแรกและเป็นจุดเริ่มต้นที่ง่ายที่สุด!”

“ในบรรดาพวกเจ้า ผู้ที่สามารถขึ้นฝั่งได้เท่านั้นที่จะมีคุณสมบัติเป็นแขกพิเศษของจักรวรรดิดาวตกของข้า!”

“ชายฝั่งอยู่ไกล จากค่าเฉลี่ยการฝึกฝนของพวกเจ้าจะใช้เวลาประมาณห้าวันก็จะถึงฝั่ง ดังนั้นทั้งหมดนี้จำกัดเวลาไว้ที่ห้าวัน พวกเจ้าจะใช้วิธีใดก็ได้ ขอเพียงสามารถขึ้นฝั่งได้ก็ถือว่าสำเร็จ แต่หากเกินห้าวันจะถือว่าล้มเหลว!”

“ข้าขอเตือนพวกเจ้า ทะเลแห่งนี้ประกอบด้วยพลังปราณสีดำอันน่าสยดสยอง พลังปราณนี้สามารถเปลี่ยนทุกสิ่งในโลกให้กลายเป็นกระดาษได้ รวมถึงพวกเจ้าด้วย ความจริงแล้วทุกครั้งที่ประตูเปิดออก การที่มีผู้ฝึกตนจมลงไปในทะเลและกลายเป็นส่วนหนึ่งของมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย”

“ต่อจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของพวกเจ้าแล้ว!” เสียงนี้ทรงพลังและน่าเกรงขาม ทันทีที่พูดจบ สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนไป เขาเห็นทันทีว่าทะเลกระดาษสีดำแห่งนี้ดูเหมือนปลดยับยั้งที่มองไม่เห็นออก ก่อนที่พลังปราณมืดจำนวนมากจะกระจายออกมาปกคลุมรอบเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ มันสัมผัสไปที่ใด เรือที่มองเห็นด้วยตาเปล่า…ก็จะกลายเป็นกระดาษอย่างรวดเร็ว!

ไม่ใช่แค่เรือที่เขาอยู่ อีกแปดลำก็เป็นเช่นเดียวกัน คนบนเรือมีบางส่วนที่สีหน้าปกติดี แต่ก็ยังมีอีกไม่น้อยที่หน้าเปลี่ยนสีทันทีที่เห็นภาพนี้

ในความเป็นจริง ดูจากความเร็วในการเปลี่ยนเป็นกระดาษแล้ว อย่าว่าแต่ห้าวันเลย แค่ในหนึ่งก้านธูป เรือดาวตกทั้งลำก็คงกลายเป็นกระดาษแล้ว ทำให้เห็นภาพว่าเมื่อถึงตอนนั้น จุดจบของทุกคนจะต้องถูกฝังไว้ที่นี่เป็นแน่

วิธีเดียวที่จะช่วยให้ตัวเองรอดไปได้ก็คือต้องออกจากเรือและวิ่งไปบนอากาศ เปลี่ยนการฝึกฝนของตัวเองให้เป็นความเร็ว ด้านหนึ่งต่อต้านการรุกรานจากพลังปราณมืด อีกด้านหนึ่งก็ใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดเหาะไปยังฝั่ง

และการทดสอบจากสุสานดวงดารานี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการกำจัดพวกเขา ผู้ที่ไม่ผ่านข้อกำหนดทั้งหมดจะถูกกำจัดและเมื่อถูกกำจัด จุดจบก็คือความตาย!

“เพียงแค่การประเมินเบื้องต้นก็ไม่สนเรือดาวตกอันโดดเด่นทั้งเก้าลำรวมถึงกระดาษรูปมนุษย์เก้าคนบนนั้นด้วยหรือ ส่วนบนท้องฟ้าก็คงไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด หากสามารถเหาะได้โดยไม่มีข้อจำกัด การประเมินนี้ก็ไม่มีความหมาย” เมื่อเห็นเช่นนี้ จิตใจหวังเป่าเล่อก็สั่นไหว เขาหันไปมองกระดาษรูปมนุษย์ที่ยังคงพายเรืออยู่ตามสัญชาตญาณ ในใจเขาก็เกิดทนไม่ได้ขึ้นมา

ความโชคดีที่ได้รับจากกระดาษรูปมนุษย์ตนนี้ รวมถึงความเข้ากันได้ดีมาตลอดทาง ทำให้หวังเป่าเล่อไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่กระดาษ แต่เขารู้สึกว่าอีกฝ่ายเองก็มีชีวิต เพียงแต่รูปลักษณ์ภายนอกต่างออกไปเท่านั้น

แต่เรื่องนี้ไม่อาจพลิกผันได้ด้วยเพียงตัวเขา ระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อในปัจจุบันไม่สามารถปกป้องอีกฝ่ายได้ อีกอย่างคือเขาเปลี่ยนความคิดแล้ว ต่อให้พลังจะแข็งแกร่ง แต่คาดว่ากระดาษรูปมนุษย์ยักษ์คงไม่ยอมสูญเสียคนของตัวเองเพียงเพื่อทดสอบคนนอก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงว่าเขาจะคิดผิด กระดาษรูปมนุษย์กับเรืออาจไม่เป็นอะไร

ถึงอย่างไรเขาก็เป็นกระดาษรูปมนุษย์อยู่แล้ว จะกลายเป็นกระดาษอีกได้อย่างไร

ความคิดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อโล่งใจขึ้นเล็กน้อย เขาเงยหน้ามองเรือดาวตกอีกแปดลำ ตอนนี้มีผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยสละเรือและกลายเป็นสายรุ้งกลางอากาศเหาะไปไกล เรือของเขาก็เช่นกัน หญิงสวมหน้ากากรวมถึงพวกหลี่หลินจื่อต่างก็เหาะออกไปแล้ว

ร่างของแทบทุกคนที่เหาะขึ้นไปสั่นสะท้านมากบ้างน้อยบ้าง เห็นได้ชัดว่าสัมผัสได้ถึงอิทธิพลที่มองไม่เห็น มีไม่กี่คนที่ล้มลงและเกือบตกลงไปในทะเลกระดาษสีดำ โชคดีที่การฝึกตนระเบิดออกมาในช่วงเวลาวิกฤติพอดีจึงหลีกเลี่ยงอันตรายไปได้อย่างหวุดหวิด แต่ก็ยังมองเห็นสีหน้าซีดเผือดและความตื่นตระหนกในดวงตาได้

“บนท้องฟ้ามีบางอย่างไม่ปกติจริงๆ ด้วย!” หวังเป่าเล่อหรี่ตา ในสายตาของเขาเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่สละเรือแต่ละคนเหมือนกับแปดเซียนข้ามทะเล[1] แต่ละคนเปิดเผยพลังเทพของตน บางคนแผ่ลำแสงล้ำค่าไปทั่วร่างและเหาะออกไปพร้อมกับร่างที่มีการคุ้มกัน บางคนนำอาวุธเวทที่แค่มองก็รู้ว่าเป็นของดีออกมาต้านทานและเหาะไปข้างหน้า

และยังมีบางคนสวดคาถา มังกรดำเก้าตัวปรากฏขึ้นและส่งเสียงคำรามไปทั่วทิศ ก่อนจะเหยียบมังกรขึ้นไป หลากหลายวิธีต่างกันไปละลานตาอยู่บนท้องฟ้า

ระดับการฝึกตนของพวกเขาถูกเปิดเผยออกมาในชั่ววินาทีนั้นเอง ถึงแม้ทุกคนจะอยู่มีระดับขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นมหาวัฏจักร แต่ความแข็งแกร่งของพลังลมปราณก็ยังถูกผู้คนจับสังเกตได้

ตรงนี้มีอยู่สี่คน ความเร็วและอานุภาพต่างก็ขึ้นถึงขีดสุดซึ่งกระตุ้นสายตาหวังเป่าเล่อให้หันไปมอง

ทั้งสี่คนนี้มีชายสองหญิงสอง หนึ่งในนั้นคือหญิงสวมหน้ากากบนเรือของเขา ตอนที่นางเหาะออกจากเรือครั้งแรก และขึ้นไปอยู่กลางอากาศ ที่เท้าของนางก็แผ่แสงหลากสีกลายเป็นหงส์เพลิงสีรุ้งขนาดมหึมาคอยสนับสนุนนางไปตลอดทางและจัดการสิ่งขีดขวางที่มองไม่เห็นจากอากาศ ความเร็วของมันทำให้นางกลายเป็นหนึ่งในสี่คนที่เร็วที่สุด!

ยังมีผู้หญิงอีกคนนึงที่มาจากเรืออีกลำ ผู้หญิงคนนี้รูปร่างหน้าตาสวยงาม นางยิ้มแย้มโดยไม่พูดอะไร ช่างสง่างามหาใดเปรียบ ขณะเดียวกันมือขวาของนางก็ผูกกระพรวนไว้ เพียงแค่ขยับเล็กน้อย เสียงกระพรวนก็ดังกังวาลไปทั่ว เกิดเป็นระลอกคลื่นที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และนางก็กำลังเหยียบระลอกคลื่นนั้นอยู่ ยิ่งเสียงกระพรวนดัง ความเร็วก็ยิ่งมากขึ้น!

ส่วนผู้ชายอีกสองคน คนหนึ่งดูดุร้าย อีกคนสง่างาม คนที่ดุร้ายสวมชุดสีดำ เขาบีบมือขวากลางอากาศ ทันใดนั้นก็ปรากฏกระบี่ยาวเล่มหนึ่งในความว่างเปล่า ขณะที่ปราณกระบี่หมุนวนไปรอบๆ ราวกับแม่น้ำสายยาว ไอพิฆาตก็ระเบิดออกมาจากตัวเขา ไม่ว่าเขาจะผ่านไปที่ใดสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็นก็ไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้ และยังถูกเขาทำลายจนสิ้นซากก่อนจะเคลื่อนตัวไปต่อ!

วิธีข้ามทะเลของผู้ฝึกตนผู้สง่างามคนสุดท้ายนั้นพิเศษที่สุด เขาหยิบม้วนไม้ไผ่ออกมา ก่อนจะอ่านหนังสือไปพลาง เหยียบบนทะเลสีดำไปพลาง ปล่อยให้พลังปราณมืดไหลเข้ามาหาแต่พวกมันกลับหยุดอยู่ห่างจากเขาสามฟุตและไม่สามารถทะลุเข้าไปได้อีก ฝีเท้าของเขาก็ไม่เร่งรีบ เขาเหยียบเศษกระดาษในทะเลสีดำเดินออกไปเรื่อยๆ

เมื่อเห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็ตกตะลึงกับทั้งสี่คน ทว่าในใจก็บังเกิดความรู้สึกยอมไม่ได้ขึ้น

“ข้าก็ทำได้!” คิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็หันศีรษะมาคำนับกระดาษรูปมนุษย์ ก่อนจะกระโดดลอยขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็ว

………………………………………………………………..

[1] แปดเซียนข้ามทะเล หมายถึง ความสามารถแตกต่างกันไป แต่ยอดเยี่ยมทุกคน

ไม่โทษพวกเขาที่คาดเดาผิด หากเป็นคนอื่นเห็นที่หลังเรือดาวตกมีสายฟ้าสีแดงอยู่ ก็คงคิดไปในทำนองเดียวกันทั้งนั้น

สิ่งสำคัญที่สุดคือสายฟ้าสีแดงไม่ได้มีท่าทีจะโจมตีแต่อย่างใด มันแค่อยู่ตรงนั้นเท่านั้น เช่นนี้แล้วมหาศิษย์แห่งเต๋าบนเรืออีกแปดลำจึงมองดูทุกคนบนเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลำที่หวังเป่าเล่ออยู่อย่างระมัดระวัง

หวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ ก็ไม่ได้โง่จึงตอบสนองไปอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ในใจแต่ละคนจะรู้สึกแปลก แต่ก็ไม่มีใครแก้ไขความเจ้าใจผิดนั้น กลับกันพวกเขาต่างเงียบกริบทำให้ความเข้าใจผิดยิ่งมากขึ้นไปอีก

ส่วนหวังเป่าเล่อหลังจากตรวจดูเรืออีกแปดลำแล้วในใจก็เริ่มขรึม ดูคร่าวๆ จำนวนคนบนเรือทั้งแปดลำนี้มีประมาณ 400 คน หากรวมพวกเขาด้วยผู้ที่มายังสุสานดวงดาราครั้งนี้ก็มีประมาณ 450-460 คน

คนที่อ่อนแอที่สุดในนี้…ก็แข็งแกร่งกว่าระดับจิตวิญญาณอมตะชั้นมหาวัฏจักรในโลกภายนอกมาก ทำให้เขารู้สึกว่าระดับความยากใกล้เคียงกับตอนที่เขายังอยู่ไม่ถึงระดับจิตวิญญาณอมตะชั้นมหาวัฏจักร และยังมีบางคนที่ดูเหนือกว่าเขาในตอนนี้ไม่มาก และยังมีอีกหลายคนที่หวังเป่าเล่อมองไม่ออก

“ถึงจะรู้สึกเช่นนี้ แต่ยามลงมือจริง ไม่ใช่แค่ระดับการฝึกฝนเท่านั้นที่เป็นตัวตัดสินแพ้ชนะ ยังมีอาวุธเวทและจิตสำนึกในการต่อสู้ด้วย…” ยามที่หวังเป่าเล่อหรี่ตาครุ่นคิด สายตาบางส่วนจากบนเรืออีกแปดลำก็กวาดมองร่างของหวังเป่าเล่อ แต่เขาสัมผัสได้ว่าจุดสนใจของคนส่วนใหญ่คงจะไปอยู่ที่หญิงสวมหน้ากากผู้นั้น

ในขณะที่ทุกคนมองหน้ากัน เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าลำก็หยุดอยู่หน้าดาวกระดาษขนาดใหญ่ จู่ๆ…ดาวกระดาษยักษ์นั้นก็เปล่งแสงสีขาวแรงกล้าขึ้นครอบคลุมไปทั่วทุกทิศ พร้อมกับเสียงคำรามลั่นฟ้า

ดาวกระดาษยักษ์สั่นไหวจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าพร้อมกับระเบิดเสียงคำรามออกมา ราวกับมันขยายตัวออกช้าๆ จากทรงกลม…ยืดออกจนกลายเป็นร่างมนุษย์!!

พูดให้ชัดเจนก็คือกระดาษรูปมนุษย์ยักษ์ รูปร่างหน้าตาเหมือนกับกระดาษรูปมนุษย์ที่พายเรืออย่างไม่อาจแยกได้

เดิมตัวขดคดคู้จึงดูเหมือนดาวเคราะห์ แต่เมื่อคลายกระดาษรูปมนุษย์ยักษ์ตัวออกและเผยโฉมหน้าอย่างเต็มที่ ทั้งจักรวาลก็สั่นสะเทือน แรงกดดันที่ยากจะบรรยายพุ่งออกมาจากร่างของเขาราวกับจะโค่นภูเขาคว่ำทะเลได้ มันแผ่ขยายไปรอบทิศอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ราวกับว่าภายในร่างของเขามีดารานิรันดร์มากกว่า 1,000 ดวงมารวมตัวกันจนก่อตัวเป็นพลัง

ทำให้เพียงแค่เหลือบมองทุกคนก็อดใจสั่นไม่ได้ สายตาเสียดแทงราวกับอีกฝ่ายสามารถทำให้พวกเขาตาบอดได้เพียงแค่นึกคิด ความรู้สึกเช่นนี้กลายเป็นแรงกดดันจนเกือบทำให้หายใจไม่ออก

หนึ่งเป็นเพราะความน่ากลัวของการฝึกฝน อีกหนึ่งดูเหมือนจะเป็นเพราะรูปร่างใหญ่โตของเขา เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่เดินทางมาขัดเกลาทั้งหลายก็ดูตัวเล็กยิ่งกว่ามดเสียอีก มีเพียงเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าลำเท่านั้นที่ยังพอเรียกได้ว่าเป็นมด!

“ผู้เยี่ยมยุทธ์แห่งนครดารา!!” นี่คือข้อสรุปที่หวังเป่าเล่อคิดได้ทันทีหลังจากเห็นกระดาษรูปมนุษย์ยักษ์และสัมผัสได้ถึงแรงกดดันของเขา เพราะความรู้สึกเช่นนี้เขาเคยสัมผัสจากร่างของคนเพียงสองคนเท่านั้น หนึ่งคือปรมาจารย์แห่งไฟ อีกหนึ่งคือศิษย์พี่เฉินชิงของเขา

ถึงแม้ความรู้สึกจะคล้ายกัน แต่ก็มีจุดต่างกันอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่ากระดาษรูปมนุษย์ยักษ์นี้ไม่ได้กว้างใหญ่เท่าปรมาจารย์แห่งไฟ และเมื่อเทียบกับศิษย์พี่ ความดุดันก็ต่างกันมาก

ไม่ใช่แค่หวังเป่าเล่อที่ได้ข้อสรุปประมาณนี้ มหาศิษย์แห่งเต๋าที่มาถึงที่นี่ได้ต่างเรียกได้ว่ามาจากตระกูลที่ร่ำรวยของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นกันทั้งนั้นจึงย่อมมีความรู้มากมาย พวกเขาจึงคาดเดาได้ทันทีเช่นกัน

วินาทีที่มหาศิษย์แห่งเต๋ากำลังตกตะลึงและถอนสายตาก้มศีรษะทำความเคารพอยู่นั้น จู่ๆ เจ้ากระดาษรูปมนุษย์ยักษ์ก็ลืมตาขึ้นเผยให้เห็นแสงเย็นเยียบ ขณะเดียวกันก็มีเสียงจักรวาลดังหึ่งๆ ออกมา

“ยินดีต้อนรับสู่ประตูดาวตก!”

ทันทีที่เอ่ยออกมา ขณะที่ทุกคนกำลังจิตใจสั่นไหว จักรวาลสีขาวแห่งนี้ก็ดูเหมือนได้รับผลกระทบไปด้วย เกิดระลอกคลื่นจำนวนมากกระจายไปทั่วทุกทิศจนทำให้ทั้งจักรวาลราวกับกลายเป็นทะเลแห่งระลอกคลื่นสะท้อน!

จากนั้นคลื่นยักษ์สีขาวก็เคลื่อนตัวมาจากระยะไกล มันม้วนสูงขึ้นเรื่อยๆ และในวินาทีต่อมามันก็สามารถเห็นได้ด้วยหางตาของทุกคน ทำให้ทุกคนรวมถึงหวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นโดยไม่ตั้งใจ ใบหน้าไม่สามารถซ่อนความตกใจไว้ได้

แม้แต่หญิงสวมหน้ากากรวมถึงมหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นที่ถูกหวังเป่าเล่อจับตามองอยู่ก็ยังนิ่งไปชั่วครู่ มันคือ…คลื่นลูกใหญ่ที่เริ่มก่อตัวขึ้น ระลอกคลื่นหายไปพร้อมกับเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของมันอย่างช้าๆ!

นั่นไม่ใช่คลื่นลูกใหญ่อะไร แต่ราวกับเป็นแผ่นกระดาษเรียบๆ ที่ถูกพับครึ่งแล้วยกขึ้นข้างหนึ่ง!

จะใช้คำว่าราวกับมาอธิบายก็คงไม่เหมาะ เพราะ ณ ตอนนี้หากมองจากมุมสูงจะเห็น…จักรวาลด้านในที่เป็นสีดำ พื้นที่สีขาวนี้…เป็นกระดาษขาวยักษ์จริงๆ!

ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ก็ดี เรือดาวตกก็ช่าง แล้วยังมีมหาศิษย์แห่งเต๋าอีก 400 กว่าคน พวกเขาทั้งหมดอยู่บนกระดาษขาวแผ่นนี้และขณะนี้กระดาษขาวนี่ก็กำลังพับครึ่ง!

ทั้งหมดนี้ดูยาวนาน แต่ในความเป็นจริงแล้วเกิดขึ้นในพริบตา กระดาษขาวยักษ์พับครึ่ง แล้วเรือดาวตกทั้งเก้าลำรวมถึงทุกคนที่อยู่บนนั้นและยังมีกระดาษรูปมนุษย์ยักษ์นั่นต่างก็ถูกพับและจมลงพร้อมกับจักรวาลสีขาวที่เล็กลงไปครึ่งหนึ่ง

ยังไม่จบแค่นั้น กระดาษขาวที่ถูกพับครึ่งได้ส่งเสียงคำรามออกมาและพับครึ่งอีกครั้งโดยที่ไม่มีใครคาดคิด มันพับครึ่งครั้งแล้วครั้งเล่า พื้นที่เล็กลงอย่างรวดเร็ว มันเล็กลงเรื่อยๆ พร้อมกับหนาขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน

หลังจากพับอยู่นานในที่สุดกระดาษขาวที่ลอยอยู่ในจักรวาลสีขาวแห่งนี้ก็กลายเป็นเข็มสีขาวเล่มหนึ่ง มันแทงเข้าไปในความว่างเปล่าและหายไปในทันที!

ในชั่วพริบตาที่มันหายไป จุดที่เคยมีกระดาษขาวยักษ์อยู่ก็ปรากฏร่องรอยพลังงานหลายสิบดวงที่ดูเหมือนจะมาจากส่วนลึกของจักรวาล พวกเขาไม่ได้มีรูปร่างชัดเจน แต่เป็นเพียงดวงจิต หลังจากสัมผัสที่แห่งนี้แล้วพวกเขาก็มองไปยังจุดที่เข็มสีขาวหายไป

“ยังใช้วิธีเช่นนี้อยู่อีก…”

“ต่อให้ดูอีกครั้งก็ยังไม่เข้าใจ และหาตำแหน่งที่แท้จริงของสุสานดวงดาราไม่ได้!”

“ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับศาสตร์มืด แต่ความจริงแล้วไม่มีความเชื่อมโยงกันเลยแม้แต่น้อย…”

“สุสานดวงดารา ตัดขาดการเชื่อมต่อกับจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นกับโลกภายนอกหรือ…”

“ยังมีสายฟ้าสีแดงนั่นด้วย แปลกจริง…มันก็เข้าไปด้วยหรือ”

ดวงจิตเหล่านี้ต่างดำรงอยู่เหมือนบรรพบุรุษของตระกูลและอำนาจ พวกเขามารวมตัวกันที่นี่ไม่ใช่เพื่อคุ้มกันทายาทของตนแต่อย่างใด แต่เพื่อดูการเปิดประตูดาวตกอีกครั้งและพยายามทำความเข้าใจมัน

แต่เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้พวกเขาก็ยังคงล้มเหลว

ขณะเดียวกันในส่วนลึกของจักรวาล ท่ามกลางจักรวาลที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงมีดาวดวงใหญ่ซึ่งดูเหมือนหม้อหลอมโอสถที่โอบล้อมด้วยดารานิรันดร์นับร้อย ที่ด้านบนสุดของดาวหม้อหลอมโอสถมีชายชรานั่งขัดสมาธิอยู่

ชายชราผู้นี้คือปรมาจารย์แห่งไฟ ฉับพลันเขาก็ลืมตาขึ้น เขาก้มศีรษะและพลิกมือขวา แผ่นหยกส่งเสียงแผ่นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในมือ หลังจากก้มมองและหันไปมองส่วนลึกของจักรวาลอันแสนไกล รอยยิ้มก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปาก

“เจ้าเด็กน้อยตระกูลเซี่ยขอความช่วยเหลือรึ? ขอร้องผิดคนแล้วกระมัง…แต่ข้ามีลางสังหรณ์ว่าก่อนที่เฉินชิงจะตัดหัวจักรพรรดิสวรรค์ได้ ศิษย์น้องของเขาผู้นั้นจะกลายเป็นศิษย์ของข้า”

“เฉินชิงเอ๋ยเฉินชิง นี่คือชะตากรรมอย่างไรล่ะ ฮึๆ ถึงข้าจะเอาชนะเจ้าไม่ได้ แต่หากลางสังหรณ์ของข้าเป็นจริง เมื่อถึงเวลานั้นพอเจ้าได้พบข้าจะเรียกข้าว่าอย่างไรดีล่ะ แล้วยังมีการขอความช่วยเหลือจากเจ้าเด็กน้อยตระกูลเซี่ยอีก ฮ่าๆ น่าสนุกจริงเชียว หลังจากรู้ว่าคนที่ตัวเองต้องช่วยคือเจ้าเป่าเล่อ ไม่รู้ว่าเจ้าตุ๊กตานี่จะรู้สึกอย่างไร…” เมื่อคิดถึงเหตุการณ์เช่นนี้ ปรมาจารย์แห่งไฟก็อดที่จะหัวเราะอย่างเบิกบานใจไม่ได้

เสียงหัวเราะของเขาดังก้องไปทั่วนครดาราแห่งไฟ ดังสะท้อนไปทั่วสัมผัสสวรรค์นับไม่ถ้วนที่อยู่ ณ ที่แห่งนั้น รอบตัวเขามีร่างมายาปรากฏขึ้น 18 ร่าง มันควบแน่นกันจนกลายเป็นเซียนของแต่ละตระกูลที่แตกต่างกันไป ทั้ง 18 คนคำนับปรมาจารย์แห่งไฟ

“พวกเราคำนับท่านอาจารย์”

“ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์มีความสุขด้วยเรื่องใด” เหล่าเซียนพวกนี้ล้วนมีตบะชั้นเยี่ยมเมื่อเห็นอาจารย์ของตนมีความสุขเช่นนี้จึงอดถามไม่ได้

ปรมาจารย์แห่งไฟที่นั่งอยู่บนหม้อล้อมโอสถได้ยินดังนั้นก็หัวเราะเสียงดังอีกครั้ง

“เป็นไปได้มากว่าพวกเจ้ากำลังจะมีศิษย์น้องเพิ่มขึ้นอีกคน” ในคำพูดนั้นไม่มีใครสังเกตเห็นว่ายามที่ปรมาจารย์แห่งไฟมองเหล่าลูกศิษย์ของตน ดวงตาของเขามีความเศร้าล้ำลึกปรากฏอยู่

“ศิษย์น้องที่แท้จริงของพวกเจ้า…”

……………………………………

“ไม่เอาอย่างนี้สิ…ข้าแค่ขอพร…” หวังเป่าเล่อคร่ำครวญในใจ เขาเห็นแล้วว่าสายฟ้าฟาดในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นลำแสงเดี่ยวหรือขอบเขตและอานุภาพล้วนมากกว่าสระสายฟ้าที่เขาเคยเจอมาก

ทั้งสองอย่างไม่มีอะไรเทียบกันได้เลย เหมือนกับสระน้ำกับมหาสมุทร สายฟ้าฟาดในครั้งนี้ แต่ละครั้งล้วนทำให้หวังเป่าเล่อใจหายใจคว่ำ รู้สึกเหมือนเข้าใกล้ความตายเข้าไปทุกที

“กระดาษรูปมนุษย์จะรู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะข้า เขาจะโยนข้าออกไปไหม…” สีหน้าหวังเป่าเล่อตื่นตกใจเหมือนคนอื่นๆ แต่ความกังวลและเสียงคร่ำครวญในใจเขามากกว่าคนอื่นนัก

ความจริงแล้วเขารู้ว่าสายฟ้าฟาดพวกนี้ล้วนพุ่งเป้ามายังเขา หากกระดาษรูปมนุษย์โยนเขาออกไป เรือลำนี้ก็จะไม่ถูกฟ้าผ่าอีก

ยิ่งเห็นจักรวาลรอบๆ กลายเป็นสีแดงฉาน สายฟ้านับไม่ถ้วนปะทุออกมาราวกับสวรรค์พิโรธ ถึงแม้เรือลำนี้จะแข็งแกร่งแต่ก็ยังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงท่ามกลางทะเลสายฟ้า

วินาทีต่อมามันคล้ายจะสลายไป นั่นยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อกังวลมากกว่าเดิม และคนอื่นๆ บนเรือถึงจะไม่ได้แสดงออกเท่าเขา แต่ก็ยังกังวลและยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก จนทำให้พวกเขาอดส่งเสียงคำรามต่ำออกมาไม่ได้

“หรือจะเป็นฝีมือผู้เยี่ยมยุทธ์ของนครดารา”

“เป็นไปไม่ได้หรอก ต่อให้เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ของนครดาราพวกเขาก็ไม่โจมตีข้า ถึงอย่างไรอำนาจและตระกูลของพวกเราแต่ละคนก็แข็งแกร่งมากพอ แล้วเรายังอยู่รวมกันอีก…ผู้เยี่ยมยุทธ์ของนครดาราจะกล้าลงมือหรือ”

“หรือนี่จะเป็นสิ่งที่ต้องเจอในการไปยังสุสานดวงดารา แต่นี่มันไม่มีอยู่ในบันทึกโบราณของตระกูลนี่นา”

ความคิดของทุกคนเปลี่ยนเป็นความประหลาดใจและยังเตรียมการเผื่อเรือล่มขึ้นมาจะได้หาทางหนีได้ สีหน้าของกระดาษรูปมนุษย์เองก็เคร่งขรึมขึ้นไม่น้อย เขายกมือขวาขึ้นโบก ก่อนจะเกิดชั้นแสงอันอ่อนโยนห่อหุ้มเรือไว้ มันต้านทานการกระทบจากสายฟ้าที่กระจายไปทั่วเอาไว้

ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามระเบิดออกมาจนทุกคนหูอื้อ เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สั่นสะเทือนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แต่สุดท้ายมันก็ต้านสายฟ้าเหล่านั้นไว้ได้

แต่ทุกคนยังไม่ทันจะโล่งใจ วินาทีต่อมา…ทะเลสายฟ้ารอบๆ ก็ดูเหมือนจะโกรธจัด สายฟ้าทั้งหมดมารวมตัวกันโดยไม่คาดคิด กลายเป็นพลังที่ดูเกินจริงและน่าตกใจยิ่งกว่าเดิม ก่อนที่มันจะระเบิดออกมาอีกครั้ง

เมื่อเห็นเช่นนั้นกระดาษรูปมนุษย์ก็คำรามเสียงต่ำ ร่างของเขาแผ่ลำแสงสีขาวออกมา ก่อนจะพายเรืออย่างบ้าคลั่งด้วยความเร็วที่ไม่เคยมีมาก่อน ดังนั้นก่อนที่สายฟ้าจะมารวมตัวกัน เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ปะทุความเร็วอันน่าอัศจรรย์จนพุ่งไปไกล ความเร็วระดับนี้ทำให้หวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ บนเรือรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง

บางคนมีเลือดไหลออกจากมุมปาก และต้องจับสิ่งของรอบตัวไว้ให้แน่น มิเช่นนั้นอาจถูกพัดปลิวออกไปได้ และด้วยความเร็วสุดขีดนี้ก็ทำให้เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หนีพ้นจากทะเลสายฟ้า ราวกับมีหลุมดำเปิดออก และมันก็พุ่งตัวเข้าไป วินาทีต่อมามันก็ปรากฏอยู่ในจักรวาลที่ห่างจากทะเลสายฟ้านั้นแล้ว

แต่หายนะยังไม่จบสิ้น…ยังไม่ทันที่หวังเป่าเล่อจะได้โล่งใจ ท้องฟ้าดวงดาวที่เคยสงบเงียบก็มีสายฟ้าปรากฏขึ้นอีกครั้งเหมือนทะเลสายฟ้านั้นไล่ตามมาไกลๆ ความเร็วของทะเลสายฟ้านั้นสูงมาก ฟ้าแลบกระจายลงมาบนเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง ทำให้เรือยังคงสั่นสะเทือน และเสียงระเบิดก็ยิ่งน่าตกใจขึ้นเรื่อยๆ

“ยังไม่จบอีกหรือ!” หวังเป่าเล่อร้องไห้โดยไร้น้ำตา คนอื่นๆ ต่างก็หน้าซีดเผือด มองดูกระดาษรูปมนุษย์ที่พายเรืออย่างบ้าคลั่ง และสายฟ้าก็ยังคงฟาดลงมาอย่างต่อเนื่อง โชคดีที่เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลำนี้เป็นของดีจริงๆ และกระดาษรูปมนุษย์ก็ดูใส่แรงเต็มที่ ถึงแม้เขาจะพายกี่ครั้งก็ไม่สามารถรอดพ้นจากทะเลสายฟ้าได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ติดอยู่ใจกลางทะเลสายฟ้าเหมือนก่อนหน้านี้

เพียงแต่…การเดินทางหลังจากนี้ ที่เหมือนทะเลสายฟ้าอันกว้างใหญ่ล็อกเป้าหมายไว้ที่เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และไล่ตามมาตลอดทาง แม้เวลาจะผ่านไปนานกว่าหนึ่งเดือน แต่ทะเลสายฟ้าก็ยังคงอยู่…หากมองจากที่ไกลๆ จะเห็นเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ข้างหน้า ทะเลสายฟ้าอยู่ข้างหลัง และมันทรงพลังมากพอที่จะทำให้ทุกคนที่เห็นรู้สึกราวกับถูกคลื่นโหมกระหน่ำใส่

กระทั่งเกิดเป็นภาพลวงตาคล้ายทะเลสายฟ้านี้เป็นพลังเทพส่วนหนึ่งของเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งแท้จริงแล้วมันเป็นสายฟ้าที่ฟาดเข้าใส่เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่องเหมือนกับโซ่ตรวน ทำให้ภาพนี้ดูเป็นการอวดศักดาของเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ราวกับนกยูงรำแพนก็ไม่ปาน

แต่นี่ไม่ใช่ศักดา ไม่ใช่สิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการ และยิ่งไม่ใช่สิ่งที่มหาศิษย์แห่งเต๋านับสิบบนเรือต้องการ ในเวลานี้ไม่มีใครพูดอะไรกัน ทุกคนล้วนมีใบหน้าซีดเผือด แม้แต่หญิงสวมหน้ากากก็ยังมีแววตาหวาดกลัวจนไม่สามารถสงบใจนั่งสมาธิได้

และเช่นเดียวกัน ศักดานี้ไม่ใช่สิ่งที่กระดาษรูปมนุษย์ต้องการ

หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าตัวเองหลอนไปเองหรือเปล่า เขาเห็นหน้าผากกระดาษรูปมนุษย์มีเหงื่อซึมออกมา สิ่งนี้ยิ่งทำให้หัวใจของเขาสั่นสะท้านมากขึ้น เขาแอบสาบานในใจว่าจะไม่ใช้ขวดปรารถนามั่วซั่วอีกเป็นอันขาด

“ขวดปรารถนาอะไรเนี่ย นี่มันของฆ่าตัวตายชัดๆ! !” หวังเป่าเล่อทั้งเศร้าทั้งขุ่นเคือง เวลาดำเนินไปอีกครั้งและอีกครึ่งเดือนก็ผ่านไป

ทะเลสายฟ้า…ยังไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ และในตอนนี้เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็แล่นช้าลงและเข้าสู่…จักรวาลที่ต่างออกไป!

มันเข้ามาได้อย่างไรหวังเป่าเล่อก็ไม่ทันสังเกต ราวกับกำลังเคลื่อนที่ แต่ก็หยุดนิ่ง และราวกับจักรวาลรอบตัวเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา

นี่คือจักรวาลสีขาว พูดให้ชัดเจนก็คือสีของจักรวาลคือสีของกระดาษขาว เพราะ…เมื่อกวาดตามองไปรอบๆ ที่ที่ไม่มีที่สิ้นสุดนี่แล้วก็ช่างเหมือนกับกระดาษขาวจริงๆ โดยเฉพาะในจักรวาลสีขาวนี้มีดาวน้อยใหญ่ที่ดูแล้วเหมือนกับ…กระดาษเปล่า!

และในขณะนั้นเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อยๆ หยุดอยู่ตรงหน้าดาวกระดาษขาวขนาดมหึมา!

“จักรวาลสีขาว ดวงดาวสีขาว ที่นี่คือประตูสู่สุสานดวงดารา!!” ใครบางคนในเรืออุทานด้วยความตื่นเต้น สาเหตุก็เพราะคิดว่าเมื่อมาถึงที่นี่ ทะเลสายฟ้าอาจไม่ปรากฏให้เห็นอีกแล้วมากกว่า

แต่ในความเป็นจริง…แม้ทะเลสายฟ้าจะไม่ได้ปรากฏขึ้นในตอนแรก แต่หลังช่วงเวลาเพียง 10 ลมหายใจ ท่ามกลางจักรวาลสีขาว ทะเลสายฟ้าสีแดงฉานก็ปรากฏขึ้นทันใดและพุ่งเข้าใส่เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่หวังเป่าเล่ออยู่จากระยะไกล

“จบสิ้นแล้ว!” ตอนที่หวังเป่าเล่อเบิกตากว้างและทุกคนรอบตัวได้แต่คร่ำครวญ บางทีการที่ประตูสู่สุสานดวงดาราอยู่ที่จักรวาลสีขาวนี้อาจเป็นเรื่องแปลก จนทำให้ทะเลสายฟ้าสีแดงที่ไล่ตามมานั่น หยุดอยู่ที่ด้านหลังเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ถึงจะดูน่ากลัว แต่มันก็ไม่ทำให้เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จม มีเพียงสายฟ้าสีแดงที่คอยโจมตีเรืออย่างต่อเนื่องเท่านั้น

ทั้งหมดนี้กินเวลานานถึงครึ่งเดือน ในช่วงครึ่งเดือนนี้หวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ เป็นกังวลอย่างยิ่ง และดูเหมือนแม้แต่กระดาษรูปมนุษย์ก็ยังยืนอยู่ตรงนั้นอย่างระแวดระวัง

จนกระทั่งครึ่งเดือนผ่านไป บนจักรวาลสีขาวที่ไกลออกไป จู่ๆ ก็มี…เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลำที่สองปรากฏขึ้น!

ตามมาด้วยลำที่สาม ลำที่สี่ จนถึงลำที่เก้า หวังเป่าเล่อเข้าใจแล้วว่าเรือดาวตกไม่ได้มีแค่หนึ่ง แต่มีถึงเก้า!

เขาจึงอดไม่ได้ที่จะมองอีกแปดลำและอยากจะตรวจสอบว่ามหาศิษย์แห่งเต๋าบนนั้นมีผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานหรือไม่ ไม่เพียงแต่หวังเป่าเล่อเท่านั้น คนอื่นๆ บนเรือก็ด้วย แต่แท้จริงแล้ว…เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าบนเรืออีกแปดลำต่างก็คิดเช่นเดียวกัน เพียงแต่พวกเขาต่างหันมามองยังเรือที่หวังเป่าเล่ออยู่พร้อมกันอย่างไม่ได้นัดหมาย

ความจริงคือ…เรือลำที่หวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ โดยสารอยู่นั้นน่าตื่นตะลึงเกินไป หากจะบอกว่าได้รับความสนใจจากทุกคนก็คงไม่เกินจริงแต่อย่างใด และที่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึงตาค้างก็เพราะท่ามกลางจักรวาลสีขาวแห่งนี้ ทะเลสายฟ้าสีแดงฉานมันสะดุดตายิ่งกว่าคบเพลิงในคืนมืด!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาไม่รู้ว่าทะเลสายฟ้าไล่ตามเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาตลอดทาง ดังนั้นยามที่พวกเขาเห็นทะเลสายฟ้ารวมถึงแรงกดดันที่แผ่ออกมาจึงคิดตามสัญชาตญาณว่าเรือลำนี้…น่าทึ่งมาก!

“หรือว่าจะมีมหาศิษย์แห่งเต๋าผู้ไร้เทียมทานในเรือลำนั้นใช้วิธีนี้ข่มขู่พวกเรา” ตอนนั้นเองดวงตาของหลายคนก็หรี่ลงแสดงความระแวดระวังพร้อมกับประเมินเรือลำนั้นในใจ

หลังจากหวังเป่าเล่อคำนวณและกำลังเศร้ากับหนึ่งพันห้าร้อยล้านผลึกสีชาดที่เสียไป มหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นบนเรือต่างก็ตาเป็นประกาย ก่อนที่จะแย่งกันพูดขึ้น

“สหายเซี่ย ข้ายินดีจ่ายสามล้านผลึกสีชาดแลกกับผลไม้วิญญาณหนึ่งลูก!”

“สหายต้าลู่ ข้าให้สามล้านห้าแสน ผลไม้นี้ให้ผลเต็มที่ตอนกินผลแรกเท่านั้น ที่กินต่อไปก็แทบไม่มีผลอะไรแล้ว อีกอย่างเจ้าก็กินไปเยอะแล้ว ขายให้ข้าเถอะ!”

“สี่ล้าน สหายเซี่ย ข้าให้ราคาสูงเสียดฟ้าแล้ว ถึงในตัวข้าจะมีไม่ถึง แต่ข้าใช้เทพวัตถุแลกได้!”

คำพูดของแต่ละคนยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อเสียใจมากขึ้นไปอีก หลังถอนหายใจ หวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ หรี่ตาลง แม้จะมีคนเสนอราคาให้มากถึงสี่ล้าน แต่หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าแม้หญิงสวมหน้ากากผู้นั้นจะมีท่าทีเย็นชามาตลอด แต่ก็ไม่เคยเยาะเย้ยถากถางเขา และยังไม่ปิดบังเรื่องผลไม้วิญญาณ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกดีกับนางขึ้นมาบ้าง แล้วมันก็ทำให้เขาเข้าใจว่าตัวเองยังหัวเดียวกระเทียมลีบ ไม่ว่าจะบนเรือลำนี้หรือจะเป็นสุสานดวงดาราที่กำลังมุ่งหน้าไป

“จะสี่ล้านหรือสามล้านล้วนเป็นลาภก้อนโตสำหรับข้า ไม่จำเป็นต้องโลภ…” คิดได้ดังนี้ สายตาหวังเป่าเล่อก็ฉายแววประหลาด เขายกมือขวาขึ้นหยิบผลไม้ที่เหลืออยู่เพียงลูกเดียวบนแท่นบูชา แล้วโยนให้หญิงสวมหน้ากาก พร้อมกับพูดขึ้นเพื่อป้องกันการเข้าใจผิด

“จะทำการใดมาก่อนย่อมได้ก่อน สำหรับคนที่เกิดในตระกูลเซี่ย หลักการคือการเจรจา!”

แทบจะในชั่วพริบตาที่หวังเป่าเล่อโยนผลไม้วิญญาณและพูดออกไป ร่างของหญิงสวมหน้ากากก็มาปรากฏอยู่ด้านนอกแท่นบูชาโดยไม่ต้องรอให้เกิดการแย่งชิง นางยกมือขวาคว้าผลไม้วิญญาณที่หวังเป่าเล่อโยนให้

หญิงสวมหน้ากากถือผลไม้และเงยหน้ามองหวังเป่าเล่ออย่างลึกซึ้ง สายตาเย็นชาของนางอ่อนลงมาก หลังจากพยักหน้าให้เล็กน้อย นางก็กลับไปนั่งที่เดิมโดยไม่สนสายตาคนรอบข้างที่มองมาด้วยความละโมบ ก่อนจะกลืนผลไม้วิญญาณเข้าไปในคำเดียว

“ทุกท่าน ผลไม้ที่อยู่ในมือข้าถูกข้ากัดไปแล้วคำหนึ่ง มันแหว่งไปนิดหน่อย…หากไม่รังเกียจ ลูกสุดท้ายนี้ก็เอามาประมูลกันเถอะ ผู้ที่ให้ราคาสูงสุดจะได้มันไป!” หลังจากหวังเป่าเล่อกระแอมไอเรียกสายตาจากทุกคน เขาก็ชูผลไม้วิญญาณที่มีรอยฟันของเขาอยู่ขึ้นและพูดอย่างคาดหวัง

แม้ผลไม้วิญญาณในมือเขาจะมีรอยฟันชัดเจน แต่เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าต่างก็มองด้วยสายตาร้อนแรง หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงเสนอราคาก็หลั่งไหลออกมาทันที

ราคาพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ จากสามล้านไปถึงห้าล้านหวังเป่าเล่อที่ยืนดูอยู่ยังตกใจ จู่ๆ ความมั่งคั่งก็เข้ามาหาเขาจนรับมือไม่ทัน

แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าพวกนี้รวยแต่โง่ ความจริงแล้วในฐานะมหาศิษย์แห่งเต๋าของตระกูลรวมถึงอำนาจบารมี การได้รับคุณสมบัติดวงดาราในครั้งนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขาถูกคาดหวังขนาดไหน เรื่องเงินนั้นตราบใดที่ไม่ได้สูงเกินจริง พวกเขาล้วนรับได้หมด

ในความคิดของพวกเขา ตราบใดที่มีประโยชน์กับตัวเอง โอกาสและสมบัติที่สามารถซื้อได้นั้นก็คุ้มค่าหมด โดยเฉพาะผลไม้วิญญาณที่ไม่เพียงเพิ่มโอกาสพัฒนาถึงระดับดาวพระเคราะห์ แต่ยังเพิ่มโอกาสในการผนึกกายเข้ากับดาวเคราะห์อมตะและดาวเคราะห์พิเศษได้ด้วย เช่นนี้แล้วจะปล่อยไปได้อย่างไร

เช่นนี้แล้ว หลังจากประมูลกันพักหนึ่ง ในที่สุดผลไม้วิญญาณที่มีรอยฟันของหวังเป่าเล่อก็ถูกซื้อไปโดยหลี่หลินจื่อ…ราคาที่เขาให้สูงมากจนแทบจะเกินจริง

“เก้าล้าน!!” หลี่หลินจื่อคำราม ดวงตาแดงเล็กน้อย เขากลัวว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ขายให้ตัวเองจึงได้เสนอราคาสูงเสียดฟ้าออกมา

หลังจากได้ยินราคา คนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ที่จะหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ลังเล และในที่สุดก็เงียบไป

เมื่อเห็นเช่นนี้ ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็สว่างขึ้น อันที่จริงหลี่หลินจื่อคิดมากเกินไป หากเขาเสนอราคาปกติก็ย่อมได้ แต่ราคานี้ก็ทำให้หวังเป่าเล่อใจเต้นทันที

“คนพวกนี้ร่ำรวยกันเสียจริง!” หวังเป่าเล่อกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด เขาตระหนักได้ว่าบางทีการเดินทางไปสุสานดวงดาราในครั้งนี้ โชคของเขาอาจไม่ใช่การได้ดาวพระเคราะห์ดีๆ มาผนึกกาย แต่เป็น…การสร้างลาภลอยที่นี่!

เมื่อคิดถึงจุดนี้ หวังเป่าเล่อไม่เห็นคนอื่นพูดอะไรอีกจึงกำลังจะพยักหน้า แต่คิดขึ้นมาได้ว่าถึงอย่างไรตัวเขาก็เป็นคนที่มีตัวตนจึงกระแอมไอหนึ่งทีก่อนจะแสร้งสงบจิตใจและมองของในมือราวกับมันเป็นมูลสัตว์แล้วโบกมือเบาๆ

“ในเมื่อไม่มีใครต่อ เช่นนั้นก็ขายให้เจ้า”

หลี่หลินจื่อทั้งประหม่าทั้งตื่นเต้น ความขุ่นเคืองยังคงอยู่ แต่ตอนนี้เขาต้องกดมันลงไป ก่อนจะรีบส่งบัตรผลึกสีชาดสามใบให้หวังเป่าเล่อเพื่อสิ้นสุดการค้าขายอย่างรวดเร็ว

พอได้ผลไม้วิญญาณมาแล้ว เขาก็กลืนมันเข้าไปในคำเดียวโดยไม่สนใจรอยฟัน ก่อนจะนั่งทำสมาธิทันที ก่อนหน้านี้ถึงจะมีคนบอกว่าหวังเป่าเล่อทำลายสมบัติสวรรค์จนสิ้น แต่นั่นก็เป็นเพราะอิจฉามากกว่า หากเป็นคนอื่นคงไม่เล่นแร่แปรธาตุ แต่กินมันเข้าไปตรงๆ ถึงอย่างไรการกินลงท้องไปก็นับได้ว่าเป็นของตัวเองอย่างแท้จริง

ผลึกสีชาดสิบสองล้านเม็ดนั้นได้มาอย่างง่ายดาย มีความมั่งคั่งมหาศาลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แม้แต่ในฝันก็ยังไม่เคยคิดว่าตัวเองจะร่ำรวยได้ สมองหวังเป่าเล่อมึนงงเล็กน้อย หลังจากผ่านไปนานถึงได้สติ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น

“ข้าจะไปซื้อวิญญาณอัสนีสวรรค์ยี่สิบเก้าดวงที่เมืองเซี่ยเจียฟาง!”

“ซื้อไอน้ำสายธารศักดิ์สิทธิ์สิบสองจิน!”

“ข้ายังต้องการซื้อเรือวิญญาณสวรรค์และโลกมูลค่าหลายล้านนั่นด้วย!!”

เมื่อคิดเช่นนี้ ขณะที่กำลังตื่นเต้น จู่ๆ ก็รู้สึกว่าเงินเป็นสิบล้านก็ไม่ได้มากอะไร…ดังนั้นเขาจึงมองไปรอบๆ แท่นบูชาก่อนจะพบว่าไม่มีอะไรให้ขายแล้ว แต่เขาก็ยังกวาดตามองอีกครั้ง

“ไม่มีแล้ว…” พอแน่ใจแล้วว่าไม่มีสิ่งของบนเรือลำนี้ที่เขาสามารถขายได้อีกแล้ว หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจด้วยความเศร้าและกำลังจะก้าวออกจากแท่นบูชา แต่ในตอนนั้นเอง ณ ที่ไกลออกไป จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็เห็นลำแสงที่คุ้นเคยปรากฏขึ้นบนจักรวาลดวงดาราราวกับภาพเขียนสีน้ำมัน

“นี่มัน…” หวังเป่าเล่อเบิกตาโพล่ง ลำแสงนั้นสว่างจนตาพร่าในพริบตาและมันพุ่งมายังเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลำนี้พร้อมเสียงหวีดหวิว

มันเร็วมาก พริบตาเดียวที่คนอื่นๆ รับรู้ถึงมัน แสงนั่นก็มาถึงตัวแล้ว มันกลายเป็นสายฟ้าขนาดมหึมายาวสามจั้งพุ่งเข้าใส่เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์!

เสียงดังกึกก้องขึ้นในทันใด ถึงจะไม่ได้ขัดขวางเรือ แต่ก็ทำให้ทุกคนบนเรือตื่นตระหนก แม้แต่หญิงสวมหน้ากากก็ยังลืมตามองอย่างระแวดระวัง และคนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน

“ศัตรูโจมตีหรือ”

“ทำไมจู่ๆ ก็มีสายฟ้าฟาด!”

“ฟ้าร้องครั้งใหญ่นี้เปรียบได้กับความทุกข์ยากของสวรรค์แล้ว!!”

เมื่อทุกคนตกอยู่ในความหวาดหวั่นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นว่าแม้ตอนนี้หวังเป่าเล่อจะมีสีหน้าตกใจเหมือนคนอื่นๆ แต่สายตาของเขากลับเผยให้เห็นความกลัวว่าจะถูกจับได้

คนอื่นไม่รู้ว่าสายฟ้านี้มาจากไหน แต่หวังเป่าเล่อรู้ นี่คือผลข้างเคียงของขวดปรารถนา และเห็นได้ชัดว่ามันน่ากลัวกว่าครั้งก่อนเสียอีก โดยเฉพาะเมื่อคิดได้ว่าเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลำนี้แล่นด้วยความเร็วที่น่าอัศจรรย์ แต่ยังถูกสายฟ้าไล่ตามมาได้ เห็นชัดว่าความเร็วของสายฟ้านี้น่าทึ่งเพียงใด

และขนาดที่ใหญ่มหึมาของมันก็ทำให้หวังเป่าเล่อกังวลเช่นกัน เพราะจากประสบการณ์แล้ว เกรงว่าหลังจากนี้สายฟ้าฟาดจะปรากฏออกมาอีกนับไม่ถ้วน

“ข้าเชื่อว่าเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลำนี้จะต้านทานมันได้!” หวังเป่าเล่อรีบปลอบตัวเอง และยิ่งกังวลว่าจะถูกคนอื่นจับสังเกตได้จึงรีบทำท่าทางให้เหมือนคนอื่นๆ แต่…เขาเพิ่งปลอบใจตัวเองไปหยกๆ วินาทีต่อมาสายฟ้าครั้งที่สองก็ฟาดลงมาและตามด้วยครั้งที่สาม ครั้งที่สี่ ครั้งที่ห้า…

ในช่วงเวลาสั้นๆ ลำแสงจ้าปรากฏขึ้นบนจักรวาลหลายสิบครั้ง และไม่หยุดเพียงเท่านั้น ในชั่วพริบตาต่อมาก็พุ่งขึ้นเป็นหลายร้อยครั้ง ดังกึกก้องไปทั่วทั้งเรือ

มหาศิษย์แห่งเต๋าทั้งหลายบนเรือตกตะลึง มีเพียงกระดาษรูปมนุษย์ที่พายเรืออยู่เท่านั้นที่เคลื่อนไหวตามปกติ สายฟ้าหลายร้อยครั้งฟาดใส่เรือจนเกิดเสียงดัง แต่เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แค่สั่นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อถอนหายใจด้วยความโล่งอก และยิ่งภูมิใจกว่าเดิม เขาแอบคิดว่าตนฉลาด มีเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ทำลายไม่ได้นี้อยู่ ไม่ว่าผลข้างเคียงของขวดปรารถนาจะรุนแรงเพียงใด เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ไม่สามารถทำอะไรได้

แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขาคิดเช่นนี้จึงทำให้สายฟ้าโกรธเกรี้ยวหรือไม่ ครู่ต่อมาท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวก็สว่างขึ้นทันที หากมองจากที่สูงลงมาจะเห็นว่ารอบๆ เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แล่นเร็วได้กลายเป็นทะเลสายฟ้าขนาดเทียบได้กับอารยธรรมหนึ่งเลยทีเดียว!

ฟ้าแลบจำนวนนับไม่ถ้วนเปลี่ยนเป็นสีแดง ราวกับงูเหลือมตัวแดงพุ่งเข้าหาเรือจากทุกทิศทาง ราวกับการผลักภูเขาพลิกทะเลอย่างบ้าคลั่ง!

มหาศิษย์แห่งเต๋าทั้งหมดบนเรือรวมถึงหวังเป่าเล่อถึงกับหน้าเปลี่ยนสี แม้แต่ใบหน้าไร้อารมณ์ของกระดาษรูปมนุษย์ที่พายเรืออยู่ยังกระตุก แล้วมือที่จับไม้พายก็หยุดลง

……………………………………………

ก่อนหวังเป่าเล่อจะพูดจบ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างเหมือนกับคนอื่นๆ ร่างกายยืนไม่อยู่จนต้องจับแท่นบูชาข้างๆ ไว้ ลมหายใจก็ไม่คงที่ ดวงตาพร่ามัว โดยเฉพาะศีรษะที่เกิดวิงเวียนขึ้นมากะทันหัน

“มีพิษหรือ?!”

หวังเป่าเล่อคร่ำครวญในใจ เมื่อร่างกายกระสับกระส่าย อาการวิงเวียนรวมถึงการมองเห็นที่พร่ามัวก็พุ่งไปรวมกันอยู่ในดวงวิญญาณเทพของเขา วิญญาณเทพที่เขาใช้ส่งเสียงคำรามที่คนอื่นไม่ได้ยินออกมา

ขณะคำราม ดวงวิญญาณเทพของเขาก็พองตัวราวกับถูกกระตุ้น และได้รับยาชูกำลังขนานใหญ่ ในชั่วพริบตา จู่ๆ มันก็ระเบิดออก

วิญญาณเทพระดับต่ำกว่าดาวพระเคราะห์ไม่มีรูปร่าง อาศัยอยู่ในชั้นกายเนื้อ และไม่ทราบแน่ชัดว่าอยู่ตรงส่วนไหนของร่างกาย เพราะมันมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ในระดับหนึ่งชั้นกายเนื้อก็เป็นเพียงพาหะของดวงวิญญาณเทพเท่านั้น

แต่ ณ ตอนนี้…เมื่อผลไม้ละลายและถูกดูดซับไป พร้อมกับการระเบิดดวงวิญญาณเทพ จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็รู้สึกแปลกๆ ราวกับ… เขาได้เชื่อมต่อกับดวงวิญญาณเทพแล้ว ขณะเดียวกันร่างแยกนี้ก็เหมือน…ไม่อาจรองรับดวงวิญญาณเทพได้!

เนื่องจากวิญญาณเทพของเขาในตอนนี้ถูกเติมเต็มเข้าไปอย่างมหาศาลจนเกือบปะทุออกมา มันใหญ่มากเกินกว่าที่ร่างกายเขาจะรับไหว

ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับเสื้อผ้าหดเล็กลงในชั่วพริบตา ความแน่นเช่นนี้ทำให้หวังเป่าเล่ออึดอัดมาก เขาใช้เวลานานกว่าจะทรงตัวได้อย่างลำบาก เขาไม่จับแท่นบูชาอีกแล้วและพยายามยกมือขวาขึ้น

หลังจากชี้นิ้ว…แม้มือของเขาจะยกขึ้นทันที แต่หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าการตอบสนองของร่างกายช้าลง ไม่นานเขาก็เข้าใจ ไม่ใช่ว่าร่างกายของเขาช้าหรอก แต่เพราะหลังวิญญาณเทพของเขาแข็งแกร่งขึ้น การตอบสนองก็เร็วขึ้นตามไปด้วย

“เจ้าผลไม้นี่…เป็นของดี!” หลังจากเข้าใจแล้ว หวังเป่าเล่อก็ปลาบปลื้มอย่างหนัก อันที่จริงเขารู้ดีว่าความสำเร็จในการก้าวเข้าสู่ระดับดาวพระเคราะห์ดูจะไม่เกี่ยวข้องอะไรกับวิญญาณเทพ นั่นก็เป็นเพราะในโลกนี้มีสิ่งที่ทำให้วิญญาณเทพในขั้นจิตวิญญาณอมตะปะทุออกมาได้ไม่มากนัก แต่วิญญาณเทพกับการบำเพ็ญตนจนทะลวงไปถึงขั้นดาวพระเคราะห์กลับเกี่ยวข้องกันอย่างมาก

อาจกล่าวได้ว่าเจ้าผลไม้นี้ทำให้อัตราความสำเร็จในการทะลวงของเขาเพิ่มขึ้นถึงครึ่งหนึ่ง ส่วนผลด้านอื่น หวังเป่าเล่อไม่ใช่นักปรุงยาและยังไม่รู้รายละเอียดของเจ้าผลไม้นี่แน่ชัด เขาจึงยังไม่รู้

แต่ไม่เป็นไร มีคนบอกเขาแล้ว

คนที่บอกเขาก็คือผู้หญิงที่สวมหน้ากากอยู่นั่นอย่างไรล่ะ!

“ผลไม้นี้เรียกว่าผลไม้วิญญาณซึ่งเติบโตในสุสานดวงดาราเท่านั้น แทบจะไม่ปรากฏในโลกภายนอกเลย แต่ในบรรดาผลไม้แปลกๆ ของตระกูลคงกระพัน ผลไม้ชนิดนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวช่วยอันดับหนึ่งของขั้นจิตวิญญาณอมตะทะลวงสู่ระดับดาวพระเคราะห์”

“แม้มันจะแค่ยกระดับวิญญาณเทพขึ้นไปถึงขีดสุด แต่ความจริงแล้วมันยังเก็บซ่อนอีกผลลัพธ์หนึ่งไว้ นั่นก็คือ…เพิ่มอัตราการผนึกกายเข้ากับดาวเคราะห์อมตะหรือดาวเคราะห์พิเศษให้มากขึ้น!”

หญิงสวมหน้ากากพูดช้าๆ หลังหวังเป่าเล่อได้ฟังก็ตกตะลึง เขาหยิบผลไม้ขึ้นมาอีกหนึ่งลูกทันทีโดยไม่ลังเล ส่วนคนอื่นๆ นั้นเห็นได้ชัดว่าเข้าใจเรื่องพวกนี้แจ่มแจ้งแล้ว แต่ขณะนี้ยังคงตะลึงงันอยู่

สาเหตุที่พวกเขาตกตะลึงไม่ใช่เพราะคำพูดของหญิงสวมหน้ากาก แต่เพราะได้สติกลับมาจากอาการตกตะลึงแล้ว จากสภาวะมึนงงจึงกลายเป็นความโกลาหลและความไม่อยากจะเชื่อ

“เป็นไปได้อย่างไรกัน!!”

“เข้าใจแล้ว…ก่อนหน้านี้มีเพียงองค์ชายทั้งสามของตระกูลคงกระพันที่ทำสำเร็จ เจ้าผลไม้นี่…บัดซบ เหตุใดทูตดาวตกถึงไม่หยุดยั้งเขา!!”

เสียงเซ็งแซ่ทำให้เรือที่เคยเงียบสงบดังระงม เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าต่างลุกขึ้นและมองหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและริษยาขั้นสุด

โดยเฉพาะเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อหยิบผลไม้ลูกที่สองขึ้นมาต่อหน้าต่อตา หลังจากหวังเป่าเล่อกัดไปอีกสองสามคำ พวกเขาเขาก็เริ่มความคุมอารมณ์ไม่ได้

“เซี่ยต้าลู่ เจ้าหยุดก่อน ผลไม้นี่ไม่ใช่ให้กินเข้าไปโดยตรงเช่นนี้…”

“ผลไม้วิญญาณ สำหรับเหล่าผู้ฝึกตนกินเพียงลูกเดียวก็พอแล้ว กินมากไปก็ไม่มีประโยชน์!” ยามที่เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋ารอบตัวรีบพูดขึ้นมา หวังเป่าเล่อก็รู้สึกเช่นกันว่าผลไม้ลูกที่สองที่กินเข้าไปแทบไม่มีผลอะไรเลย แต่ถึงกระนั้นรสชาติของผลไม้ชนิดนี้ก็อร่อยมาก หวังเป่าเล่อจึงกระแอมไอหนึ่งทีก่อนจะหยิบลูกที่สามขึ้นมาต่อหน้าต่อตาทุกคน คราวนี้เขาค่อยๆ กินมันอย่างช้าๆ

ภาพนี้ทำให้ทุกคนโกรธมาก โดยเฉพาะหลี่หลินจื่อที่ตอนนี้ตาแดงก่ำไปหมดแล้ว เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกินผลไม้ได้จริงๆ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“เป็นไปได้ไหม…เป็นไปได้ไหมว่าหากเข้าไปอีกครั้งก็จะไม่ถูกทูตดาวตกขัดขวางแล้ว” แม้ความคิดที่ผุดขึ้นมานี้จะทำให้เขารู้สึกไร้สาระอยู่บ้าง แต่ความปรารถนาในใจตอนนี้ทำให้เขากัดฟันและรีบตรงไปยังแท่นบูชาที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่

มีอีกสามถึงห้าคนที่พุ่งเข้าไปเช่นกัน พวกเขาต่างก็คิดเหมือนหลี่หลินจื่อจึงรีบเข้าไปด้วยความรวดเร็ว เมื่อกำลังจะก้าวถึงแท่นบูชา จู่ๆ ฝีพายกระดาษรูปมนุษย์ก็ยกมือขวาขึ้นโบก พลังแข็งแกร่งที่เคยขวางไม่ให้หวังเป่าเล่อเข้าไปใกล้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง มันกีดกันและผลักพวกเขาออกไปอย่างแรง

เสียงดังกึกก้องขึ้น ร่างของหลี่หลินจื่อกับคนอื่นๆ ถูกสะบัดถอยหลังออกไปอย่างรวดเร็ว มีคนหนึ่งถูกเหวี่ยงแรงเกินไปจนเลือดกบปาก เมื่อเห็นคนพวกนี้กระเด็นออกมา คนอื่นๆ ก็สูดหายใจเข้าและได้สติ

“อี๋ ข้าไม่คิดเลยว่ายังมีคนโง่อยู่จริงๆ หลี่หลินจื่อ พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าตั้งแต่สมัยโบราณมีเพียงสองคนเท่านั้นที่เคยได้รับผลไม้วิญญาณจากเรือดาวตกลำนี้ เจ้าคิดว่าเจ้าจะเป็นคนที่สามหรือ” หวังเป่าเล่อกินผลไม้ไปสามลูก และกำลังหยิบลูกที่สี่พร้อมกับถากถางอีกฝ่าย

“เจ้า!” สีหน้าหลี่หลินจื่อน่าเกลียดน่ากลัว แต่เขายังคงดื้อรั้นราวกับคิดว่าหากลองอีกเป็นครั้งที่สองอาจจะสำเร็จก็ได้ ดังนั้นเขาจึงสะบัดร่างพุ่งเข้าไปยังแท่นบูชาอีกหน

“ยังคิดจะลองอีกหรือ หลี่หลินจื่อ ข้าล่ะชื่นชมความกล้าหาญของเจ้าจริงๆ สู้ๆ นะ!” หวังเป่าเล่อพูดยิ้มๆ ก่อนจะหยิบผลไม้ลูกที่ห้าขึ้นมา คราวนี้เขาไม่ได้กิน แต่โยนมันไปมาในมือและมองดูหลี่หลินจื่อที่พุ่งเข้ามา ทันทีที่เข้าใกล้เขาก็ถูกพลังของกระดาษรูปมนุษย์ขัดขวางและกระเด็นออกไปอีกครั้ง

ครั้งนี้ราวกับเป็นบทลงโทษ แรงผลักนั้นรุนแรงจนหลี่หลินจื่อกระอักเลือดและเมื่อตกถึงพื้นก็เซถลาไปสองสามก้าว สีหน้าซีดเผือด แต่ยามที่จ้องหวังเป่าเล่อ ทั้งสีหน้าแววตาล้วนเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและโกรธเกรี้ยว!

เขาโกรธจัดแต่ทำอะไรไม่ได้ เขาต้องยอมรับจริงๆ ว่าแต่ละคนล้วนต่างกัน…คนอื่นๆ ต่างก็เห็นแล้วว่านี่คือความต้องการของทูตดาวตก ภาพที่หวังเป่าเล่อขึ้นเรือมาเป็นครั้งแรกและพายเรือ ไปจนทะลวงการฝึกฝนได้ย้อนกลับมาในความคิดพวกเขาอีกครั้ง

“ทำไมกัน!!”

“นี่มันเกินไปแล้ว!!”

“ช่วยเขาทะลวงการฝึกฝน แล้วยังช่วยให้เขาขึ้นเรือ เขาฆ่าคนและสวมรอยแทนก็ไม่สน ตอนนี้ยังได้รับอนุญาตให้กินผลไม้วิญญาณเพียงคนเดียวและยังกินได้ตามใจชอบอีก…หรือเซี่ยต้าลู่ผู้นี้คือบุตรแห่งดาวตก!!”

ความลำเอียงอย่างชัดเจนทำให้ทุกคนทำอะไรไม่ถูก ดวงตาจ้องมองหวังเป่าเล่อที่กินผลไม้ลูกที่ห้าในมือแล้วหยิบลูกที่หกขึ้นมาราวกับจะกินผลไม้ทั้งหมดให้สิ้น เมื่อจิตใจสงบลงและความคิดในหัวเปลี่ยนไป หญิงสวมหน้ากากที่บอกผลลัพธ์ของผลไม้ชนิดนี้ให้หวังเป่าเล่อฟังก็พูดขึ้นอีกครั้ง

“สหายเซี่ย ข้าเต็มใจให้ผลึกสีชาดสามล้านเม็ด แลกกับผลไม้หนึ่งลูกได้หรือไม่”

“เท่าไหร่นะ” หวังเป่าเล่อที่กำลังจะกัดผลไม้อีกคำได้ยินก็เบิกตาโพล่งอ้าปากค้าง เขาหยุดกินทันทีแล้วมองไปยังหญิงสวมหน้ากากคนนั้น

“ผลึกสีชาดสามล้านเม็ด นี่คือบัตรผลึกสีชาดของตระกูลเซี่ย เจ้าเป็นคนของตระกูลเซี่ยย่อมรู้ดีว่าข้างในนี้มีสามล้านเม็ด พอดี!” ขณะที่พูดหญิงสวมหน้ากากก็ใช้มือขวาหยิบแผ่นหยกแดงขึ้นมา ก่อนจะโยนไปทางหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้า ก่อนจะยกมือดูดแผ่นหยกนั่นเข้ามา ถึงแม้เขาจะไม่รู้จักมัน แต่ในเมืองเซี่ยเจียฟางเขาเคยเห็นผู้คนหยิบของคล้ายๆ กันนี้ออกมา แต่ก็ไม่ได้มีมากนัก

ด้วยความตกใจ เขามองผลไม้ที่มีรอยฟันในมือ ก่อนจะหันไปมองที่เหลืออีกหนึ่งลูกบนแท่นบูชา แล้วเขาก็รู้สึกเสียใจอย่างที่สุด

“ให้ตายเถอะ เมื่อกี้เท่ากับว่าข้ากินผลึกสีชาดไปเท่าไหร่กันนะ กินไปหนึ่งพันห้าร้อยล้านหรือ ! ข้า ข้า…ข้าควรขายมันให้เร็วกว่านี้!!”

…………………………………….

หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าไม่ใช่ตนเองที่ตะกละตะกลาม แต่เพราะผลไม้สีแดงชาดพวกนั้นเย้ายวนผู้คนจริงๆ มองไปแล้วต้องอร่อยมากแน่ๆ ดังนั้นจึงช่วยไม่ได้ที่กระเพาะของเขาร่ำร้องหามัน

“ต้องเป็นเช่นนี้แน่ ไม่อย่างนั้นละก็ ข้าใช้กายสารัตถะอยู่แท้ๆ ไม่ได้มีอวัยวะจริงๆ ทำไมจึงมีความกระหายอยากกินอาหารเล่า” หวังเป่าเล่อลูบหน้าท้อง จากนั้นเมื่อมองไปยังผลไม้สีแดง แล้วก็พลันรู้สึกว่าพวกมันชั่วร้ายนัก

สำหรับอาหารที่ชั่วร้ายประเภทนี้ หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนสมควรกินเสีย ถึงค่อยสาสมกับโทษของพวกมัน เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมาทันที แต่หวังเป่าเล่อเองก็รู้ดี เห็นชัดว่าผลไม้วางไว้ตรงนั้นโดยไม่หายไปสักชิ้น และผู้อื่นก็ไม่ได้สนใจจะหยิบมันเลยตั้งแต่ต้นจนตอนนี้ แปลว่าต้องมีปัญหาอะไรแน่ๆ

โดยรวมแล้วแน่ชัดว่า เจ้าผลไม้นี้เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าในเรือชิงไปไม่ได้ คิดไปแล้วคงเพราะมีข้อห้ามอยู่เป็นแน่ หรือไม่ก็คือฝีพายกระดาษรูปมนุษย์ไม่อนุญาต

“ถ้ามีข้อห้ามจริงก็ช่างเถอะ ข้าก็แค่ไม่ไปแตะต้องเท่านั้นเอง แต่หากกระดาษรูปมนุษย์ไม่อนุญาตละก็…” หวังเป่าเล่อกะพริบตา เขารู้สึกว่าตนเองกับพวกฝีพายกระดาษพวกนั้นเหมือนจะมีสัมพันธ์ฉันท์มิตรอยู่ โดยเฉพาะกระดาษรูปมนุษย์ในแหวนคลังเก็บของเขาเองก็เกี่ยวข้องกับอีกฝ่าย ถือว่าเป็นผู้รู้จักมักจี่กันอย่างแนบแน่นแล้ว

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็แสนเบิกบานใจ ในเมื่อกระดาษรูปมนุษย์ไม่ยอมให้เขาช่วยพาย เช่นนั้นให้เขากินผลไม้ก็ไม่น่าจะมีปัญหา คิดถึงตรงนี้แล้วหวังเป่าเล่อก็รีบลุกขึ้นจากที่นั่ง เขาหยัดกายขึ้น แล้วก็ตกเป็นเป้าความสนใจของคนรอบข้างอย่างรวดเร็ว

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในสายตาพวกเขานั้น หวังเป่าเล่อเป็นพวกต่างพันธุ์ที่แปลกประหลาดสุดขั้ว ก่อนหน้านี้มาพายเรือก็ช่างเถอะ แต่หลังจากนั้นเห็นชัดว่าทูตดาวตกให้ความช่วยเหลือเขา จนเข้ามาชิงสิทธิ์ท่ามกลางความตกตะลึงของคนจำนวนมาก ทุกสิ่งนี้ชี้ชัดว่าอีกฝ่ายพิเศษยิ่ง ดังนั้นการกระทำทุกอย่างของเขา ต่อให้เป็นคนที่วางท่าไม่สนใจ แท้จริงก็แอบใส่ใจระวังอยู่

โดยเฉพาะพวกที่เคยมีเรื่องกับเขาก่อนหน้านี้อย่างหลี่หลินจื่อ หวังอี้ซานพวกนี้ ถึงแม้ทำสีหน้าไม่สนใจ แต่ในใจก็แอบหวั่นกับทุกอย่างที่เป็นหวังเป่าเล่อ ในเวลานี้เมื่อเห็นอีกฝ่ายลุกขึ้นยืนอีกครั้ง พวกเขาก็ล้วนแต่หันสายตาไปมอง

ภายใต้การจับจ้องของพวกเขา เมื่อมองเห็นหลังจากหวังเป่าเล่อลุกขึ้นยืน เดินตรงดิ่งไปยัง…แท่นบูชาท้ายเรือ ในพริบตานั้นทุกคนที่จ้องดูอยู่ก็เข้าใจความคิดหวังเป่าเล่อทันที

“นี่คิดจะกินผลไม้หรือ”

เมื่อเข้าใจจุดนี้แล้ว เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋ากลับไม่แสดงสีหน้าท่าที รอคอยดูสถานการณ์ขึ้นมา โดยเฉพาะสิ่งที่หวังเป่าเล่อแสดงออกก่อนหน้านี้ดูสง่างามดี เห็นชัดว่าพวกทูตดาวตกปฏิบัติกับหวังเป่าเล่อแตกต่างจากพวกเขา ดังนั้นแม้พวกเขารู้สึกว่าโอกาสที่อีกฝ่ายจะได้กินผลไม้นั้นเป็นศูนย์ แต่ก็ไม่รีบตัดสินทันที

หวังเป่าเล่อไม่สนสายตาผู้อื่น พริบตานั้นร่างกายเขาก็เคลื่อนไหวโบยบินไปสู่ท้ายลำเรือ ในชั่วขณะที่เขากำลังก้าวขึ้นแท่นบูชานั่นเอง เหล่าฝีพายกระดาษที่กำลังจ้วงอยู่พลันยกท่อนแขนขึ้น และไม่รู้ด้วยกรรมวิธีใด จึงเห็นเป็นเพียงลำคลื่นหนึ่งแผ่ขยายออกเท่านั้น หวังเป่าเล่อที่อยู่ติดแท่นบูชาตัวสั่นสะท้านขึ้นมาทันที

เขาเพียงรู้สึกว่ามีพลังขุมใหญ่แผ่ขยายออกมาจากแท่นบูชา ราวกับว่ากวาดมาทางตนด้วยพลังพลิกภูผาทำลายสมุทรไม่ปาน จะหลบก็ไม่พ้น พริบตาที่ถูกพลังดังกล่าวม้วนคลุม ก็ราวกับเขาถูกคนผลักอย่างแรงจนกระทั่งล้มถอย พลังปราณยังสะเทือนไปด้วย พาให้หวังเป่าเล่อรู้สึกฟ้าหมุนแผ่นดินเคลื่อน

เมื่อเห็นเช่นนี้ คนรอบด้านจำนวนไม่น้อยที่ดูอยู่ทั้งสี่ทิศก็เผยรอยยิ้มเย็น ในใจกลับปลอดโปร่งกว่าเก่า เป็นเพราะที่ผ่านมาสิ่งที่ทูตดาวตกปฏิบัติกับหวังเป่าเล่อทำให้พวกเขาริษยา ในเวลานี้เมื่อเห็นคนผู้นี้ไม่แตกต่างจากพวกตน แต่ละคนค่อยรู้สึกสุขใจขึ้นมา

“สมองของเซี่ยต้าลู่ผู้นี้เกรงว่าคงมีปัญหา ผลไม้พวกนี้วางเอาไว้ตรงนั้นมาตลอด หากว่าหยิบจับได้ตามปรารถนา ข้าก็คงฉวยไปนานแล้ว”

“ดูท่าจะเป็นแค่คนซื่อบื้อคนหนึ่ง ผลไม้บนเรือดาวตกล้วนแต่บันทึกอยู่ในคัมภีร์แต่ละตระกูลตั้งแต่โบราณมาทั้งสิ้นจนบัดนี้มีเพียงคนเดียวที่ชิงผลไม้สำเร็จ นั่นก็คือองค์ชายสามแห่งตระกูลคงกระพัน เพราะมีคุณสมบัติที่ทำให้ใต้หล้าตื่นตะลึงจึงมีสิทธิ์ได้ไปหนึ่งผล!”

ถึงแม้ความคิดของพวกเขาจะวนอยู่ในสมอง แต่พวกหลี่หลินจื่อก็ไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ทว่าสีหน้าท่าทางดูแคลนและเยาะเย้ยของคนเหล่านี้ก็ปรากฏชัดอยู่ดี

โดยเฉพาะหลี่หลินจื่อ แม้ไม่เอ่ยปากออกมา แต่ก็ไม่พลาดโอกาสที่จะถากถาง จึงส่งสายตาเยาะเย้ยแล้วหัวเราะเย็นขึ้น

“ไม่คิดเลยว่าจะมีไอ้โง่เช่นนี้ เซี่ยต้าลู่ หรือเจ้าไม่รู้จริงๆ ว่าผลไม้ดวงวิญญาณบนเรือดาวตกนี้ ตั้งแต่โบราณจนปัจจุบัน มีเพียงคนเดียวที่หยิบได้ หรือเจ้าคิดจะเป็นคนที่สอง”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกไป หวังอี้ซานและคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างๆ ก็ล้วนแต่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเขาและสีหน้าของคนอื่นๆ รอบทิศ หวังเป่าเล่อที่ประคองพลังปราณกลับมาเป็นปกติได้แล้วก็รู้สึกใจแป้ว ในขณะเดียวกันก็โมโหเล็กน้อย เขาถลึงตา นึกในใจว่าข้าไม่เชื่อหรอก แล้วแค่นเสียงอีกครั้ง เขานั่งอยู่ตรงนั้น มือขวาล้วงเข้าไปกระเป๋าคลังเก็บ แล้วแอบหยิบขวดปรารถนาออกมา

ในเวลานี้เขาไม่สนผลกระทบของขวดปรารถนาแล้ว ต่อให้ที่นี่มีสายฟ้าฟาดหรือแรงต้านจากเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม เมื่อคิดถึงตรงนี้เขาก็อธิษฐานในใจเงียบๆ ทันที

“ข้าอยากได้ผลไม้นั่น”

ขวดไม่มีท่าทีอะไร

“ข้าอยากเข้าสู่แท่นบูชา”

ขวดก็ยังนิ่งสนิท หวังเป่าเล่อถอนหายใจในใจ เขายิ่งรู้สึกผิดหวังกับเจ้าขวดปรารถนามากขึ้นทุกที เขาคิดๆ ทดลองส่งกระแสจิตเงียบๆ อีกครั้ง

“ข้าขอให้กระดาษรูปมนุษย์บนเรือลำนี้ไม่หยุดยั้งการกระทำของข้า”

เมื่อคำนี้ปรากฏในใจ ร่างของหวังเป่าเล่อก็กระเพื่อมรุนแรงโดยพลัน รู้สึกได้ว่ามีกระแสความร้อนแผ่ออกมาจากขวดอธิษฐานในพริบตา ในใจอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นและเคร่งเครียดไปด้วย เขาถึงกับหายใจกระชั้น คราแรกเขาแค่ไม่อยากยอมแพ้จึงลองอธิษฐานดู ไม่คิดเลยว่าจู่ๆ จะสำเร็จได้ทั้งที่ลองแค่สามครั้ง

พวกฝีพายกระดาษรูปมนุษย์ยังคงนั่งอยู่ตรงที่เก่า หวังเป่าเล่อกะพริบตา คิดรอบหนึ่งแล้วก็กัดฟัน เขาเก็บขวดปรารถนาไป แล้วลุกขึ้นยืนอีกครั้งภายใต้การจับจ้องของคนรอบทิศ

“ยังจะเข้าไปลองอีกหรือ เซี่ยต้าลู่ ข้านับถือความกล้าของเจ้าจริงๆ พยายามเข้าละ” หลี่หลินจื่อกวาดตามองหวังเป่าเล่อ พลางกล่าวเยาะ

“หลี่หลินจื่อ เจ้าดูข้าให้ดีเถอะ” หวังเป่าเล่อเองก็อยู่ในอารมณ์ไม่อยากแพ้ เมื่อได้ยินคำเยาะเย้ยของหลี่หลินจื่อเป็นคราที่สาม เขาก็ใช้นัยน์ตาเย็นกวาดมองไป ประกายตาแฝงความหนาวเหน็บรอบหนึ่ง

ความเย็นเยียบนี้พาให้หลี่หลินจื่อหรี่ตา ประกายตาของเหล่าพี่น้องรอบด้านชะงักขึ้นมา พวกเขาไม่พอใจ และเห็นได้ชัดว่าหากหวังเป่าเล่อจะลงมือตรงนี้ พวกเขาทั้งหมดย่อมไม่นั่งมองเฉยๆ แน่

หลังกวาดตามองหลี่หลินจื่อด้วยท่าทีเย็นชาแล้ว หวังเป่าเล่อก็แค่นเสียงเย็น เดินไปยังแท่นบูชา ในครั้งนี้ความเร็วของเขาก็เท่ากับครั้งก่อน พริบตาที่เข้าใกล้ เขาก็ย่างเท้าเหยียบขึ้นแท่นบูชาตรงจุดที่ครั้งที่แล้วถูกมนุษย์กระดาษกระดาษรูปมนุษย์ขัดขวาง

เมื่อมองถึงฉากนี้ พวกหลี่หลินจื่อล้วนยกยิ้มมุมปาก เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าคนอื่นๆ มองดูนิ่งๆ แววตายังคงแสดงท่าทีไม่เกี่ยวข้องมากน้อย เห็นชัดว่าทุกคนคิดเช่นเดียวกัน คิดอยากจะกินผลไม้ ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่อาจสำเร็จได้

ทว่าในพริบตาที่ทุกคนคิดจะแสดงสีหน้าออกมานั้น ร่างกายหวังเป่าเล่อก็กระโจนเข้าไป เห็นชัดว่าเหยียบอยู่บนแท่นบูชาได้แล้ว

คราวนี้กระดาษรูปมนุษย์ไม่ได้มาขัดขวางอีก ยังคงพายเรือต่อ ราวกับว่าไม่เห็นการกระทำของหวังเป่าเล่อตรงนี้แม้แต่น้อย

นั่นพาให้ทุกคนที่อยู่รอบด้านถลึงตาโพลงทันที ในสมองมีแต่ความอึงอล กระทั่งหญิงสวมหน้ากากรายนั้นก็ยังเบิกตากว้างฉายแววตะลึง

ความตื่นตะลึงแผ่ขยายเต็มหัวใจผู้คน ราวกับคลื่นพายุซัดโหม ทุกคนในเวลานั้นชะงัก สายตาจ้องที่หวังเป่าเล่อซึ่งขึ้นไปถึงแท่นบูชาแล้ว และกำลังใช้มือหยิบผลไม้ขึ้นมาใส่ปากเคี้ยวเข้าไปคำหนึ่ง… กินทีเดียวครึ่งลูก

ในใจหวังเป่าเล่อแสนจะเบิกบาน รู้สึกว่าขวดปรารถนาของตนขวดนี้มีประโยชน์ดียิ่ง เห็นชัดว่าความปรารถนาเป็นจริง กระดาษรูปมนุษย์ไม่เข้าหยุดยั้งเขา โดยเฉพาะหลังเขากินผลไม้นี้ลงไปแล้ว ในปากก็มีกลิ่นหอมกระจายอยู่เต็ม พริบตานั้นเหมือนยอดสุราธาราหยกแผ่ซ่านทั่วร่างเขา จากนั้นก็รู้สึกสบายตัวเบิกบานยิ่ง พาให้หวังเป่าเล่อรีบกินเข้าไปอีกหลายคำ เขากินผลไม้นั่นเข้าไปแม้กระทั่งเปลือกและถึงกับเรอหลายรอบ เมื่อกินเสร็จถึงค่อยหันไปมองพวกมหาศิษย์แห่งเต๋าที่ลูกตาดำแทบจะหลุดลงมาทีละคน

“นี่รสชาติไม่…เอ๋??”

………………………………………………..

“เจ้าสวะ!!!” เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ค่อยๆ ห่างออกไป ความเดือดดาลในใจของศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ยากจะพรรณนาได้ แม้จะรู้สึกล้มเหลวและหดหู่จนอยากจะสังหารทั่วทิศ แต่เขากลับต้องยอมรับ ว่าครั้งนี้ตนทำพลาดไปเสียแล้ว

เขาพลาดเพราะดูแคลนหลงหนานจื่อ ไม่ได้ชิงสังหารมันตั้งแต่คราแรกที่มายังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ทว่าใจเขารู้สึกกดดันยิ่งกว่า เพราะการมีอยู่ของตระกูลเซี่ย เขาจึงไร้หนทางใช้วิธีขั้นเด็ดขาดบุกเข้าดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ได้

สรุปแล้วหากพูดให้ชัดไปอีกก็คือ เขาล้วนคิดไม่ถึงว่าสุดท้ายอีกฝ่ายจะใจกล้าถึงเพียงนี้ และที่สำคัญที่สุดคือ เหล่ากระดาษรูปมนุษย์ของเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ยังเลือกช่วยเหลืออีกฝ่ายด้วย!

เรื่องครั้งนี้ อยู่เหนือกว่าที่เขาคาดการณ์และประเมินเอาไว้มาก อาศัยจากที่ได้ยินมา นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน

ส่วนการข่มขู่และการตอบโต้ก่อนหน้านั้น ก็ทำให้เขากลืนไม่เข้าคายไม่ออก หากว่าอีกฝ่ายฆ่าผู้ฝึกตนมหาศิษย์แห่งเต๋าของเขาไปแล้วก็ช่างเถอะ เขายังจะฝืนดำเนินการต่อไปได้ แต่อีกฝ่ายกลับไม่โง่นัก เห็นชัดว่าไม่ได้หมายสังหาร แต่กลับจงใจละชีวิตไว้ เพื่อไม่ให้เขาตัดสินใจทำเรื่องบุ่มบ่าม เขาจำต้องปิดตาข้างหนึ่ง ทางหนึ่งฝืนกดจิตสังหาร อีกทางก็รีบคิดหาวิธีการแก้ปัญหาถัดไปโดยเร็ว

ทว่าในตอนที่สีหน้าของเขาดูย่ำแย่เต็มทน และความโกรธยากจะระงับ จนแทบจะระเบิดออกมานั้น หวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ในเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ซึ่งแล่นห่างออกไป จ้องกลับมาที่เขาด้วยสีหน้าขาวเผือด เหงื่อเย็นไหลออกมาไม่หยุด ชายชรามองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ในใจเหมือนถูกคลื่นสูงเท่านภาฟาดกระหน่ำ เขาต้องยอมรับอยู่บ้าง ว่าตนเองดูเบาความกล้าของหลงหนานจื่อไปแล้ว และในพริบตานี้เอง เขาก็นึกถึงผลงานที่หลงหนานจื่อเคยมี!

อาจเพราะหลังจากที่หวังเป่าเล่อเหยียบเข้าระดับจิตวิญญาณอมตะ ชายหนุ่มก็ไม่ได้แสดงกิริยาโหดเหี้ยมหรือใจคิดแค้นเล็กน้อยอีก ดังนั้นก่อนหน้านี้ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์จึงลืมเรื่องพวกนี้ของอีกฝ่ายจนสิ้น

ในขั้นเชื่อมวิญญาณ เหตุเพราะเสียเปรียบให้กับกองทหารมังกรหยดหมึกแห่งสำนักเต๋าใหม่ พี่น้องของแม่ทัพเขาถูกสังหาร มีเขาหนีออกมาได้ ทว่ากลับหวนไปทำลายพวกกองทหารมังกรหยดหมึกอีก ดังนั้นจึงได้รับสมญานามว่าไอ้บ้าคนหนึ่งมา

“ไอ้บ้า!!”

ชื่อไอ้บ้าที่เรียกนี ก็ได้มาเพราะการไม่สนเป็นตายของตน เพียงสนแต่ความสะใจเท่านั้น ต่อให้ตนสลายเป็นพันชิ้นก็ต้องขอสับอีกฝ่ายสักแปดร้อยชิ้น

ชื่อไอ้บ้านี ได้มาเพราะมุทะลุชิงเนื้อจากปากเสือต่อหน้าพลังระดับดารานิรันดร์ แต่มันก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จ

เวลานี้ หวังเป่าเล่อกำลังยืนอยู่บนเรือทอดสายตามองไปไกล เมื่อปรมาจารย์มหาทัณฑ์นึกถึงความบ้าคลั่งและผลงานของอีกฝ่ายแล้ว ในใจเขาก็พลันรู้สึกสำนึกเสียใจนัก คิดว่าตนไม่ควรไปยั่วโมโหหลงหนานจื่อเลย!

แต่ในขณะที่เขายืนรันทดใจ และศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่กำลังสับสันอยู่นั้น เงาของเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็พลันลางเลือนไปจากสายตาของคนทั้งสอง หายไปในนภามากดาราด้วยความเร็ว

หวังเป่าเล่อยืนอยู่บนเรือ มองไปทางด้านนอก ฉากท้องฟ้ามวลหมู่ดาราที่เหมือนธารน้ำไหลวนผ่านสายตาของเขาไป ฉากนี้พาให้หวังเป่าเล่อตระหนักถึงความเร็วของเรือลำนี้ มันเร็วจนทำให้ต้องสั่นสะท้าน แต่ขณะเดียวกันในใจเขาก็พลันปลดความกังวล

ในเมื่อกระดาษรูปมนุษย์พยักหน้า อีกทั้งตอนนี้เรือวิ่งแล้วอีกฝ่ายก็ไม่ได้ไล่เขาไป ก็หมายความว่าแผนของเขาประสบความสำเร็จได้รับไพ่กระดาษใบนั้น ตนเองก็เหมือนได้รับตั๋วขึ้นเรือ มีพร้อมซึ่งคุณสมบัติไปยังสุสานดวงดาราแล้ว

เมื่อคิดถึงจุดนี้ หวังเป่าเล่อก็คลายใจเต็มที่ เขามองไปยังท้องฟ้าข้างนอกซึ่งพร่างพราวดาราด้วยหัวใจพองฟู แถมยังยักคิ้วส่งสายตาให้กับเหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าห้าสิบคนที่อยู่รอบๆ

คนพวกนี้มีทั้งหญิงชาย ต่างเลือกที่นั่งเว้นระยะห่างกันช่วงหนึ่ง เห็นชัดว่าแต่ละคนล้วนมีสถานะแตกต่าง ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับอีกฝ่าย นอกจากพวกที่ปะทะกับหวังเป่าเล่อเมื่อเริ่มแรกซึ่งจ้องมองมาด้วยสายตาแฝงแววคิดร้าย คนที่เหลือต่างแสดงสีหน้าแตกต่างกันไป

บ้างก็มองด้วยแววตาประหลาด บ้างก็มองด้วยความสนเท่ห์ มีบางคนถึงขั้นไม่สนใจเขาด้วยซ้ำ

“ไง เจอกันอีกแล้ว” หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตนจำต้องผูกมิตรกับทุกคนเอาไว้ หลังจากกะพริบตาปริบๆ ก็ทักทายหากลุ่มคน

แต่กลับกัน คนส่วนมากกลับไม่แยแสเขาสักนิด แถมยังมีเสียงเฮอะเย็นชาลอยมาด้วย เห็นได้ชัดว่าแม้พวกเขาจะยอมรับว่าตนแข็งแกร่ง แต่การขึ้นเรือด้วยวิธีนี้ถือว่าละเมิดกฎหลายข้อ พาให้คนไม่ชอบใจนัก

“เจ้าพวกขี้ขลาดตาขาว จะอย่างไรข้าก็ช่วยพวกเจ้าพายเรือในตอนแรกนะ” หวังเป่าเล่อแค่นเสียงนึกในใจ เมื่อพวกเจ้าไม่สนข้า เช่นนั้นข้าก็จะไม่สนใจเจ้า

เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อเองก็ไม่คิดสานสัมพันธ์ต่อ เขามองออกแล้วว่าคนพวกนี้หยิ่งยโสนัก แต่เขาก็ยอมรับว่าพวกมหาศิษย์แห่งเต๋าบนเรือลำนี้มีคุณสมบัติพอจะยโสโอหังจริง

ไม่ว่าใครๆ ในที่นี้ล้วนมีพลังปราณไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกตนมหาศิษย์แห่งเต๋าอารยธรรมครามทองคำ กระทั่งยังมีบางคนที่แข็งแกร่งกว่า ต่อให้เป็นระดับจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์เหมือนกัน แต่พื้นฐานกลับแตกต่าง พรสวรรค์ไม่เท่า ทำให้มีการแบ่งระดับชั้นกันอีกและมีช่องว่างไม่น้อยเลยทีเดียว

โดยเฉพาะคนหนึ่งในบรรดามหาศิษย์แห่งเต๋าเหล่านี้ ที่ทำให้หวังเป่าเล่อต้องมองด้วยความสนใจ คนผู้นี้เป็นหญิงสวมหน้ากาก มองไม่เห็นว่ารูปลักษณ์จริงเป็นเช่นไร พอเดาได้จากโครงหน้าผ่านหน้ากากเท่านั้น คล้ายว่าจะเป็นผู้งดงามสยบหล้า

หวังเป่าเล่อแอบมองอีกหลายครา ผู้หญิงคนนั้นคล้ายสัมผัสได้จึงมองไปยังหวังเป่าเล่อ แววตาไม่ได้ฉายความเป็นมิตรสักนิด เหมือนมองคนตายไม่ปาน แต่คล้ายว่าหวังเป่าเล่อไม่สะทกสะท้าน สีหน้าเขาเหมือนปกติ กลับกันยังถึงขั้นส่งยิ้มให้อีกฝ่ายด้วย

แววตาของหญิงสาวทอประกายวูบ จากนั้นก็ไม่สนใจเขาอีก

หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว อุตส่าห์ใช้หนังหน้าและรูปร่างของชายผู้งดงามที่สุดในสหพันธรัฐส่งยิ้มให้ คนผู้นี้กลับไม่สนใจเสียเช่นนั้น ชายหนุ่มจึงอดแค่นเสียงในใจไม่ได้

“ปกติผู้หญิงที่ใส่หน้ากากก็มักจะหน้าตาอัปลักษณ์ล่ะนะ”

ระหว่างที่ในใจกำลังบ่นพึมพำหลายประโยค เขาก็เสาะหาที่ว่างไร้ผู้คนแล้วนั่งลงไป คิดชั่งน้ำหนักส่วนได้ส่วนเสียของการเดินทางนี้และเรื่องหลังจากที่ลุถึงสุสานดวงดารา ตนเองจะใช้แหวนคลังเก็บสานสัมพันธ์กับพวกกระดาษรูปมนุษย์เช่นไร เพื่อให้โชควาสนาในครั้งนี้นำพาประโยชน์มาให้

“เลื่อนระดับดาวพระเคราะห์” หวังเป่าเล่อหรี่ตา จากนั้นก็เผยท่าทางคาดหวังแรงกล้า

เวลาค่อยๆ ล่วงเลยไปช้าๆ เช่นนี้ เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้หยุดพักที่ใดอีก ประหนึ่งว่าหวังเป่าเล่อคือสมาชิกบนเรือคนสุดท้าย หวังเป่าเล่อเองก็นั่งอยู่ที่นี่มาหลายวันจนเริ่มอยู่ไม่สุข

ก็เพราะว่าที่นี่เงียบสงบเกินไปจริงๆ เขาไม่มีคนคุยด้วย กระทั่งว่าคนจะลงมือกับเขาสักนิดก็ยังไม่มี ทุกคนเอาแต่นั่งอยู่กับที่นิ่งๆ รอให้การเดินทางนี้สิ้นสุดลง

ตอนหลายวันแรกยังดีหน่อย แต่เมื่อเวลาผ่านไปสิบกว่าวัน หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ต่อไปคงน่าเบื่อนัก ดังนั้นแล้วเขาจึงอาศัยจังหวะที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใส่ใจ พลันลุกขึ้นเดินไปยังหัวเรือ

“ลำบากท่านแล้ว ข้ามาช่วยท่านพายเรือ ท่านยังจำได้หรือไม่ ข้าชมชอบการพายเรือนัก”

พลันเมื่อหวังเปาเล่อเปิดปาก ก็ดึงความสนใจจากคนจำนวนมากทันที เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าที่เคยเห็นเขาพายเรือมาก่อน แต่ละคนเผยสีหน้าไม่สู้ดี ส่วนคนที่ไม่เคยเห็นกลับเผยแววตาพิกลออกมา

ในจังหวะที่พวกเขาลอบมองมา หวังเป่าเล่อก็ยืนรออยู่ตรงนั้นครึ่งครู่ใหญ่ จับจ้องกระดาษรูปมนุษย์ที่คล้ายไม่สนใจเขา หวังเปาเล่อถอนหายใจ ถึงแม้ว่าการยืนต่อหน้าคนจำนวนมากจะขัดเขินอยู่บ้าง แต่หนังหน้าเขาหนานัก แถมยังโอ้อวดเรื่องฝีมือยุทธ์ได้ ดังนั้นจึงกระแอมกระไอคราหนึ่ง แล้วกำหมัดขึ้นคำนับกระดาษรูปมนุษย์ โค้งตัวต่ำ

“ขอบพระคุณน้ำใจทุกท่าน ท่านคงทราบดีว่าผู้น้อยต้องการเสาะหาชะตาต่อ ดังนั้นจึงไม่ต้องการให้ข้าเหนื่อยยาก คราหน้าค่อยตอบแทนพระคุณท่านแล้วกัน” กล่าวจบ หวังเป่าเล่อก็หันกายเดินกลับไปยังที่นั่งเดิม เขานั่งตัวตรงมีสง่าอยู่ตรงนั้นท่ามกลางสายตาประหลาดของคนรอบข้าง

หลังไม่แยแสสายตาคนรอบข้าง หวังเป่าเล่อที่นั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้นมานานสองนานก็อดไม่ได้ที่จะมองไปรอบๆ

“ไม่ใช่ว่าที่สุสานดวงดาราคราวนี้จะมีแค่พวกนี้นะ” เขาแอบสำรวจคนโดยรอบในใจแล้วคราหนึ่ง หลายวันมานี้เมื่อลองคิดเปรียบเทียบดู นอกจากหญิงสวมหน้ากากคนนั้นแล้ว ผู้อื่นแม้จะฝีมือเหนือกว่าคนรุ่นเดียวกัน แต่เขาย่อมเอาชนะได้ไม่ยากแน่

ในเวลาเดียวกันไม่เพียงเขาจะสำรวจคนบนเรือเรียบร้อยหมดทุกคน กระทั่งเรือลำนี้เขาก็สำรวจโครงสร้างแล้วไม่รู้ตั้งกี่รอบ แต่สิ่งที่เขาติดใจมากที่สุด ก็คือแท่นบูชาที่ติดอยู่ตรงหางเรือ

แท่นบูชานี้ดูแล้วสร้างมาจากเนื้อไม้และไม่มีสิ่งผิดสังเกต บนนั้นมีธูปที่เหมือนจะไม่มีวันมอดดับลุกโชนอยู่ดอกหนึ่ง แล้วยังมีผลไม้สีแดงชาดจำนวนทั้งสิ้นเจ็ดผลวางประกอบอยู่ถาดหนึ่ง

บุคคลที่ว่างเช่นเขาตอนนี้ คิดว่าในเมื่อตนเองพายเรือต่อไม่ได้ ย่อมไม่แคล้วถูกผลไม้พวกนี้ดึงดูดความสนใจไป

“ผลไม้พวกนี้ น่าจะกินได้นะ… ดูๆ ไปแล้วรสชาติคงไม่เลวทีเดียว” หวังเป่าเล่อมองผลไม้เหล่านั้น กะพริบตา ลูบหน้าท้องตนโดยสัญชาตญาณ

…………………………………………….

นับแต่ที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัว และศิษย์แห่งเต๋าระดับดารานิรันดร์หลินไห่ผู้นั้นยื่นมือเข้ายับยั้ง คนเรือกระดาษยกไม้พายขึ้นโบก จนกระทั่งหวังเป่าเล่ออาศัยคลื่นยักษ์สีขาวหนุนจนรุดถึงตัวเรือได้ แล้วปะทะเข้ากับมหาศิษย์แห่งเต๋าซิงหลิง จากอารยธรรมครามทองคำผู้นั้น กระบวนการทั้งหมดที่เกิดขึ้นราวกับใช้เวลาเพียงชั่วลัดนิ้วมือ

ทุกการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเร็วจนผู้คนไม่ทันตั้งตัว ราวกับว่าฉากนี้ผ่านการฝึกซ้อมมาแล้วหลายครั้ง ระยะเวลาชั่วฟ้าผ่า จังหวะที่มหาศิษย์แห่งเต๋ารายอื่นบนเรือกำลังโห่ร้องตื่นเต้น และศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ซึ่งอยู่นอกเรือคำรามอยู่นั้น หวังเป่าเล่อเคลื่อนกายดุจกระแสไฟฟ้า สวมเกราะมหาจักรพรรดิ หิ้วอาวุธเทพทะยานเป็นเส้นโค้งพาดผ่านท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดารา ทะยานเข้าใส่มหาศิษย์แห่งเต๋าจากอารยธรรมครามทองคำ!

หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ผู้อื่น เมื่อพบการเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้ อย่าว่าแต่จะโต้กลับหรือหลบให้ทัน เกรงว่าแม้กระทั่งคิดพิจารณา ณ วินาทีนั้นยังยากจะทำได้ คงถูกหวังเป่าเล่อพิฆาตไปในพริบตาที่ตั้งตัวไม่ติดนี้เอง

เค่อซิงหลิงนั้นเป็นถึงผู้ฝึกตนจากอารยธรรมครามทองคำซึ่งถูกเลือกเพียงผู้เดียวในบรรดาศาย์แห่งเต๋ารุ่นนี้ แม้พลังระดับนั้นจะไม่ได้อยู่ในสายตาของเหล่าผู้ยิ่งใหญ่ แต่เขาก็ถือเป็นผู้กุมชะตาของจักรพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝั่งซ้ายลำดับที่สิบเก้า ถือครองทรัพยากรอันอุดมยิ่งกว่าอาณาจักรหรือพระเจ้าองค์ใด ทั้งคุ้นชินกับสารพัดศึกระหว่างผู้ฝึกตนด้วยกัน ดังนั้นแล้ว หากกล่าวถึงทรัพยากรอันน่าตื่นตะลึงหรือประสบการณ์ต่อสู้นั้น แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้จะทั้งอันตราย กะทันหัน และรุนแรง เค่อซิงหลิงก็รักษาท่าทีปกติได้อยู่

หลังจากตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เขากลับไม่หลบ แต่ใช้สัญชาตญาณเผาพลังปราณของตนโดยตรง ผลาญ!

ไม่เพียงแต่ผลาญพลังปราณ ทว่าในพริบตานั้นเขาคล้ายระเบิดพลังชีวิตไปด้วย ระหว่างที่เขาเริ่มตั้งตัวได้ ร่างก็เหมือนเปลี่ยนเป็นลูกบอลเพลิงลูกหนึ่ง เสียงคำรามต่ำดังตามติด ลูกบอลกลายสภาวะเป็นพยัคฆ์สีชาดตัวหนึ่ง พุ่งเข้าใส่ หวังเป่าเล่อ หมายมาดจะโจมตี

หวังเป่าเล่อเองก็เบิกตาโพลงคราหนึ่ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้วัดฝีมือกับขุมพลังของมหาศิษย์แห่งเต๋า ในพริบตานั้นเขาเองก็รู้สึกทุกข์ใจไม่น้อย เป็นที่ประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่า ในระหว่างการต่อสู้นั้น ฝีมือของมหาศิษย์แห่งเต๋าผู้นี้เหนือกว่าผู้ฝึกตนอื่นๆ มากนัก ไม่เพียงแต่ด้านพลังยุทธ์ในการต่อสู้ แต่ประสาทสัมผัสในการศึกก็แตกต่างเช่นกัน

เพียงแต่ แผนเดิมของหวังเป่าเล่อนั้นไม่ได้หวังจะสังหารอีกฝ่ายให้ตาย ทว่าคู่ต่อสู้ที่กระตือรือร้นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อเองก็ไร้หนทางจะควบคุมผลลัพธ์ ไม่รู้จะเหลือทางรอดให้ตัวเขาเองหรือไม่

“ตอบโต้รวดเร็วก็จริง แต่กลับตามสถานการณ์ไม่ทัน เช่นนี้ก็หาเรื่องใส่ตัวแล้ว” ความคิดแล่นวาบมาในสมองหวังเป่าเล่อ เงาร่างของทั้งสองคนบนเรือเริ่มปะทะพัวพัน

เสียงคำรามก้องฟ้าสะท้อนธาราพลันดังขึ้น ในเวลาเดียวกันก็แผ่ขยายไปสี่ทิศ หากมองจากระยะไกล ก็ยังเห็นชัดเจนว่าหวังเป่าเล่อใช้อาวุธเทพ กระแทกลงบนศีรษะของพยัคฆ์สีชาด ในจังหวะเดียวกับที่เสียงดังกัมปนาทนั้นดังขึ้น พริบตานั้นเองเขาก็ฉีกกระชากอีกฝ่ายออกเป็นสองท่อน ฝ่ายนั้นพลันไม่เหลือเรี่ยวแรงสู้ต่อ ร่างระเบิดเป็นแรงโจมตีขุมหนึ่ง มันไม่ได้ผลักพุ่งมายังหวังเป่าเล่อแต่กลับส่งแรงดีดไปด้านหลัง ซิงหลิงซึ่งผลาญพลังยุทธ์อยู่พลันถอยอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าวางแผนเว้นระยะห่างไว้อย่างดี คิดล่าถอยเผื่อไว้ตั้งแต่ที่เริ่มส่งแรงดีดแล้ว

การต่อสู้ที่พลังปราณใกล้เคียงกัน ทักษะการยุทธ์ระดับเดียวกันนั้น จริงๆ แล้วคือการต่อสู้เพื่อช่วงชิงจังหวะชั้นเชิง หากในพริบตานั้นถูกอีกฝ่ายคุมจังหวะโจมตีเอาไว้ได้ ก็แปลว่าได้เสียความได้เปรียบไปแล้ว การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยที่รวดเร็วนี้ส่งผลถึงชัยชนะ กระทั่งเพียงแค่เสี้ยวลมหายใจก็อาจหมายถึงความพ่ายแพ้

ตอนที่มหาศิษย์แห่งเต๋าจากอารยธรรมครามทองคำซิงหลิงลงมือนั้น มหาศิษย์แห่งเต๋ารายอื่นก็ได้ถอยห่างไปแล้ว แม้ยากจะปกปิดแววตาแปลกประหลาด แต่เมื่อเห็นซิงหลิงตัดสินใจระเบิดพลังปราณและพลังชีพในพริบตาอย่างไม่เสียดาย ก็เห็นชัดว่าหลายคนเป็นอันยอมรับในตัวเขา

ประสบการณ์ต่อสู้ของหวังเป่าเล่อโชกโชนไม่แพ้กัน อีกทั้งเขายังรู้จักชิงโอกาสรุกก่อนตั้งแต่แรก ในเวลานี้เมื่อเห็นอีกฝ่ายหวังล่าถอย เขาจะยอมได้เช่นไร โดยเฉพาะในการต่อสู้ที่เขาไม่อยากประวิงเวลา แม้ชายหนุ่มจะได้ลงเรือ ทั้งยังมีพวกกระดาษรูปมนุษย์คอยยื่นมือเข้าช่วยเหลือ แต่เขาก็ยังไม่สามารถชิงสิทธิ์มาได้!

ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ที่อยู่ด้านนอกเปี่ยมไปด้วยโทสะ พาให้ดวงดารารอบด้านบิดเบี้ยวไปด้วย ตัวเขาเองต้องได้ตราประทับให้เร็วที่สุด ไม่อย่างนั้น หากว่าถูกไล่ออกจากเรือไปก่อน คงไม่แคล้วต้องสิ้นชีพ

จริงๆ แล้วเรื่องก็เป็นเช่นนี้ หลังจากที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัว ทะยานขึ้นเรือแล้วลงมือกับมหาศิษย์แห่งเต๋าของอารยธรรมเขา สถานการณ์ก็เคร่งเครียด เปลี่ยนแปลงกะทันหันนัก ความเดือดดาลในใจของหลินไห่นั้น มากเพียงพอจะเผาเหล่าผู้ฝึกตนด้วยซ้ำ ในพริบตาที่เขาถูกฉีกหน้า พลังปราณของเขาก็ระเบิดบ้าคลั่ง โดยเฉพาะเมื่อเห็นมหาศิษย์แห่งเต๋าของอารยธรรมตนต้องผลาญพลังปราณไปอย่างไร้ค่า เขาก็เดือดดาลจนคิดสังหารหวังเป่าเล่อแล้ว นับเป็นฟางเส้นสุดท้ายของเขาจริงๆ

“ไอ้สวะ หาที่ตาย!” หลินไห่สติหลุด ส่งเสียงคำรามต่ำ กระทั่งว่าด้านหลังเขาถึงขั้นปรากฏภาพเงาดาราขนาดยักษ์ ลูกบอลเพลิงขนาดมหึมานั้น แผ่ขยายพลังคุกคามและอุณหภูมิสูงจนเกินจะบรรยาย เขาพุ่งเข้ามาหาเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลำนี้ คิดฝืนใช้กำลังขึ้นเรือ

ทว่าเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไหนเลยจะยอมให้เขาขึ้นโดยง่าย มันคือนาวาที่มาจากสุสานดวงดารา หากว่าอ่อนแอปานนั้น เกรงว่าความลับในแดนดาราร่วงหล่นเอง ก็คงจะถูกตระกูลคงกระพันล่วงรู้ไปนานแล้ว มันย่อมไม่กลายเป็นตำนานเล่าลือ แต่เป็นได้เพียงสมบัติของตระกูลคงกระพันเป็นแน่

ฉะนั้นทุกสิ่งที่หลินไห่กระทำไปนั้นจึงไร้ความหมายนัก แม้ว่าหลินไห่จะเป็นถึงระดับดารานิรันด์ แต่ว่าเบื้องหน้าเขานั้น เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กลับเหมือนล่องหนคล้ายไม่เคยปรากฏมาก่อน อาศัยการโจมตีของเขาเช่นนี้ ต่อให้ใช้พลังเวทก็ได้แค่ผ่านเลยไป ทำร้ายอีกฝ่ายไม่ได้สักนิด

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า หวังเป่าเล่อก็เลือกจะไม่สนใจ แต่ลางสังหรณ์ในใจยังคงกรีดร้องรุนแรง ในพริบตาที่ซิงหลิง มหาศิษย์แห่งเต๋า ผู้ฝึกตนจากอาณาจักรครามทองคำเริ่มมีจิตสังหาร พลังโทสะในใจพวยพุ่งขึ้นฟ้า หวังเป่าเล่ออาศัยจังหวะที่พยัคฆ์สีชาดล้มลงล่าถอยไป แววตาของเขาทอประกายเย็นเยียบ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้น จากนั้นก็หยิบโทรโข่งยักษ์ที่ปรับแต่งแล้วออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ

หลังจากโทรโข่งถูกปรับแต่ง ระดับของมันก็สูงขึ้นเป็นระดับเก้า แม้ว่าจะยังไม่ถึงขั้นเป็นอาวุธชั้นเทพ แต่ก็เป็นระดับที่สั่นคลอนผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ โดยเฉพาะในช่วงที่หวังเป่าเล่อเจอวิกฤติ เขาก็ไม่สนว่าโทรโข่งจะเสียหายเพียงใด ในชั่วขณะที่คว้าโทรโข่งออกมาได้ เขาก็รีบยกมันขึ้นมาเบื้องหน้า จากนั้นก็ใช้พลังทั้งหมดตะโกนเข้าไป

โฮก!

เสียงแผดร้องนั้นฟังเหมือนอสนีบาตระเบิดสะท้านก้อง ในพริบตานั้นเองพลังอำนาจทั้งมวลก็ถูกโทรโข่งยักษ์สูบเข้าหนุนนำ จากนั้นก็ระเบิดออกมารุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า พริบตานั้นมันก็กลายเป็นกระแสพลังโจมตีของคลื่นเสียงบ้าคลั่งซึ่งมนุษย์สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

และยิ่งกว่านั้นระหว่างที่กระแสพลังระเบิด ในโทรโข่งก็มีเสียงแตกหักปริร้าวเจือขึ้นมา เห็นชัดว่าหวังเป่าเล่อคุมพลังไม่อยู่ จนโทรโข่งถูกใช้งานเกินกำลังไปมาก

ระลอกคลื่นเสียงรวดเร็วเกินไป พริบตาถัดมาก็แผ่คลุมไปถึงซิงหลิงที่วางแผนจะล่าถอย คลื่นเสียงที่ว่านี้ยากจะบรรยาย สามารถทำให้ผู้ที่ได้สดับมันถึงขั้นแก้วหูสะเทือนสูญเสียสติในชั่วแล่น และมีผลโจมตีสภาวะจิต พาให้สติมึนงง เหล่ามหาศิษย์แห่งเต๋าทั้งสี่นั้นเหมือนห้วงจิตระเบิดพลัน สีหน้าพวกเขาเลื่อนลอยอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นก็เผยสีหน้าแตกตื่นและหวาดผวา

ขนาดพวกเขายังเป็นเช่นนี้ ย่อมไม่ต้องกล่าวถึงซิงหลิงที่ได้ผลาญพลังปราณไปและบาดเจ็บอยู่ ในพริบตาที่ระลอกคลื่นเสียงแผ่คลุมร่างของเขา ก็เหมือนถูกแรงปะทะขุมใหญ่ฟาดเข้าใส่ ร่างกายสะท้านเอนถึงขั้นไม่อาจปกปิดเสียงกรีดร้องทรมานได้ เขาสูญเสียการได้ยินทันที ดวงตาพร่าเลือน สิ้นสติอย่างไม่อาจคุม ไม่สามารถต่อสู้ได้อีก

แม้ใจจะต่อต้าน ทว่าหวังเป่าเล่อมีหรือจะปล่อยโอกาสนี้ไป ในพริบตาที่คู่ต่อสู้ทำอะไรไม่ได้แล้ว หวังเป่าเล่อก็เคลื่อนเข้าใกล้ทันที

หลินไห่เห็นภาพนี้แล้ว เหมือนความหวังของตนสิ้นสลาย เขาคำรามต่ำ

“ไอ้สวะ! เจ้ากล้าฉวยโอกาสรังแกคน ผู้เฒ่าอย่างข้าขอสาบานจะทำลายอารยธรรมดวงเนตรสววรค์ของเจ้าให้สิ้น”

“ขู่ข้าหรือ” หวังเป่าเล่อแค่นเสียงเย็น จากนั้นด้วยความเร็วชนิดไม่คิดจะหยุด พริบตาชายหนุ่มก็เข้าใกล้ซิงหลิงแล้วใช้มือขวาคว้ากระดาษที่อยู่ในมืออีกฝ่าย ชิงมันมาทันที

ในส่วนของซิงหลิงนั้น หวังเป่าเล่อย่อมไม่คิดจะสังหารง่ายๆ เขาใช้มือขวาสร้างผนึกฝ่ามือ จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือทาบบนหน้าผากอีกฝ่าย ดูดกลืนพลังนั้นเข้าสู่กระเป๋าคลังเก็บ พลันหันกายไปดูนอกลำเรือ จ้องไปยังหลินไห่ซึ่งดวงตาฉายแววสังหารสีแดงก่ำ

“รอข้ากลับมา วันใดที่ที่นี่สงบสุข วันนั้นคือวันชำระความกับพวกเจ้ามหาศิษย์แห่งเต๋า”

กล่าวจบ เขาก็ไม่สนใจไยดีผู้เฒ่าหลินไห่ที่ทำหน้าปั้นยากอีก แต่ยกไพ่กระดาษขึ้นชู ในช่วงที่สี่คนรอบตัวกำลังเหม่อลอยนั้น ชายหนุ่มก็หันไปเอ่ยกับกระดาษรูปมนุษย์

“ขอบคุณผู้อาวุโส ตอนนี้ข้าได้สิทธิ์มาแล้ว”

กระดาษรูปมนุษย์มองจ้องหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็พยักหน้าแล้วยกมือขึ้นจ้วงไม้พายต่อไป พริบตานั้นลำเรือก็สั่นสะเทือนพลางตั้งทิศทางใหม่ มุ่งไปยังจุดหมายห่างไกลช้าๆ

มหาศิษย์แห่งเต๋าบนเรือทั้งหมดเผยแววตาสับสน ต่างก็มองหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ตรงนั้นและเปล่งประกายเหนือกว่าพวกเขาทุกคน แล้วค่อยๆ จมดิ่งไปกับความคิด

ศึกครานี้ หวังเป่าเล่อไม่เพียงชิงสิทธิ์มาได้ แต่ยังสามารถทำให้พวกเขายอมรับในพลังของชายหนุ่มได้อีกด้วย

………………………………………

“เรือดาวตก!” ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ในค่ายสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลืมตาโพลง เขาจ้องมองไปยังเรือวิญญาณก่อนจะหายตัวไปทันที เมื่อมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ชายชราก็ยืนอยู่ข้างซิงหลิง มหาศิษย์เต๋าของอารยธรรมของเขาแล้ว

ซิงหลิงเองก็นั่งสมาธิอยู่เช่นกัน แต่ฐานะและระดับปราณปัจจุบันนั้นยังไม่สูงพอที่จะได้ยินเสียงเรียกของเรือวิญญาณ ทว่าชายหนุ่มเองก็พร้อมแล้ว นัยน์ตาของเขาฉายแววดีใจอย่างเกินจะปิดบังเมื่อมองเห็นผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่ตรงหน้า

“ปรมาจารย์…”

“โอกาสของเจ้ามาถึงแล้ว!” ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่พูดอย่างเย็นชา เขาสะบัดแขนเสื้อหนึ่งครั้งก่อนจะพาตัวซิงหลิงไป ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็มาด้วย เขามีสีหน้าสงบสุข ไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืนใดๆ

เขารู้ดีว่าถึงเวลาที่จะต้องทำตามสัญญาแล้ว ชายวัยกลางคนรู้ถึงมูลค่าของสัญลักษณ์ดาวตกนี้ดี หากเขาไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ เขาก็อาจไม่ยอมมาด้วยอย่างง่ายดายเพียงนี้และลองเสี่ยงดวงดู แต่ตอนนี้เขาอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์แล้ว แม้ว่าดาวเคราะห์ของเขาจะเป็นดาวเคราะห์วิญญาณธรรมดา แต่สิ่งที่เขากังวลมากที่สุดคือการได้รับโอกาสบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ชั้นปลาย!

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์และศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่บรรลุข้อตกลงกันไปแล้วก่อนหน้านี้ พวกเขาได้ตกลงเรื่องรายละเอียดส่วนตัวไว้แล้ว ปรมาจารย์จะยอมช่วยอารยธรรมครามทองคำยึดอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ และเขาก็จะเข้าร่วมอารยธรรมครามทองคำ เป็นร่างพาหนะให้ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่เป็นเวลาห้าร้อยปี โดยอีกฝ่ายจะยอมช่วยให้เขาบรรลุขั้นระดับดาวพระเคราะห์ชั้นปลายเป็นการตอบแทน

ในที่สุดแล้ว ข้าก็เป็นผู้ที่ได้ประโยชน์สูงสุดในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์! ปรมาจารย์มหาทัณฑ์มีความสุขยิ่งกับข้อตกลงที่ได้ทำและแผนที่เขาคิดขึ้นมาด้วยตนเอง ทุกสิ่งที่เขาได้รับมานั้นสมกับความพยายามแล้ว

ทว่าชายวัยกลางคนก็ยังรู้สึกกังวลเล็กน้อยเมื่อศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่พาเขาข้ามจักรวาลมายังเส้นเขตแดนของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ และหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเรือวิญญาณเก่าแก่ลำหนึ่ง

เรือไม่ได้ใหญ่เท่าใดเลย แต่รัศมีความเก่าแก่ที่มันแผ่ออกมารุนแรงนัก ดูเหมือนว่าเรือลำนี้ดำรงอยู่มานานแสนนาน เป็นพาหนะแห่งโอกาสอันเงียบงัน มีบุรุษและสตรีหลายสิบคนโดยสารอยู่ ทุกคนต่างก็ถูกเลือกมาจากอารยธรรมของตนเอง นี่เป็นโอกาสอันดีของเขาที่จะได้มีพันธมิตรเพิ่ม มีกระดาษรูปมนุษย์ท่าทางน่ากลัวอยู่บนเรือ รัศมีอันแปลกประหลาดของมันทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเรือลำนี้…กำลังมุ่งหน้าไปสู่อนาคต!

หากข้าทำลายดาวเคราะห์ของตนเอง ร่วงหล่นกลับไปสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะ แล้วพยายามจะขอขึ้นเรือด้วยสัญลักษณ์บนกายข้า…มันจะคุ้มค่าไหมนะ ความคิดนั้นพาดผ่านหัวใจปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก่อนจะถูกลบทิ้งไปแทบจะทันที ปรมาจารย์มหาทัณฑ์หันกลับมาโค้งคำนับศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ต่ำ

“ปรมาจารย์ ข้าพร้อมแล้วขอรับ”

ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ดูนิ่งสงบ แต่ดวงจิตเทพของเขาจับจ้องอยู่ที่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ตลอดเวลา เวลานี้คือช่วงเวลาสำคัญของข้อตกลง หลินไห่อาจต้องใช้กำลังหากคนตรงหน้าคิดจะบิดพลิ้ว เขาจ้องมองท่าทีนอบน้อมที่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แสดงออกมา ก่อนจะพยักหน้าช้าๆ

มหาศิษย์แห่งเต๋าจากอารยธรรมครามทองคำ ซิงหลิน ยืนอยู่ข้างกายพวกเขาทั้งคู่ แต่สิ่งที่เด็กหนุ่มมองเห็นมีเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น เขามองไม่เห็นเรือวิญญาณแต่อย่างใด ทว่าความตื่นเต้นในใจก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลย เด็กหนุ่มหันไปหาปรมาจารย์มหาทัณฑ์ทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่รอช้า ขณะที่ผู้ฝึกตนอีกสองคนจับจ้องมองเขาอยู่ ชายวัยกลางคนก็ยกมือขวาขึ้นก่อนจะทุบหน้าผากของตนอย่างแรง สัญลักษณ์สีขาวผ่องบนหน้าผากส่องแสงแรงกล้าออกมาทันที มันขาวราวกับกระดาษ แสงนั้นกระจายออกมาด้านนอกก่อนจะแปรสภาพกลายเป็นเส้นยาวที่เชื่อมต่อกับเรือวิญญาณ เหมือนว่าจะนำทางเขาไปยังเรือวิญญาณกระนั้น

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์พูดออกมาทันที

“ท่านทูตผู้ทรงเกียรติ โปรดเป็นพยานให้คำพูดของข้า ข้าขอมอบที่ของข้าบนเรือลำนี้ให้ชายผู้นี้ด้วยความตั้งใจของข้าเอง!” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ชี้ไปที่ซิงหลิงขณะพูด

ด้วยความช่วยเหลือของดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ หวังเป่าเล่อจึงมองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน ชายหนุ่มเห็นชายหญิงที่อยู่บนเรือ บางคนก็ลืมตาและไม่ได้ดูแปลกใจกับการประกาศของปรมาจารย์มหาทัณฑ์เลย บางคนมีสายตาดูหมิ่น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาล่วงรู้ถึงข้อตกลงที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้า และข้อตกลงนี้กำลังจะบรรลุ!

แล้วก็เป็นจริงเช่นนั้น เมื่อได้ยินคำประกาศของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ คนเรือก็พยักหน้าน้อยๆ จากนั้นแสงสีขาวที่ห้อมล้อมกายชายวัยกลางคนอยู่ก็พุ่งเข้าไปหาซิงหลิงทันทีและเคลือบตัวเขาไว้ด้วยแสงเจิดจ้า หลังจากนั้นกระดาษแผ่นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนมือของเด็กหนุ่ม!

ตอนนี้ซิงหลิงมองเห็นเรือวิญญาณแล้ว เขาเห็นบรรดาอัจฉริยะคนอื่นๆ ที่นั่งเรียงรายอยู่บนเรือและกระดาษรูปมนุษย์ด้วย หัวใจของเด็กหนุ่มเต็มล้นไปด้วยอารมณ์ เขาหันหลังไปประสานมือคารวะศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ ก่อนจะกระโดดรับสัญลักษณ์แล้วกระโจนขึ้นเรือไปในอึดใจ เมื่อขึ้นไปบนเรือก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสุดจะควบคุมตนเองได้

ผู้โดยสารคนอื่นๆ ดูจะไม่สบอารมณ์กับเสียงหัวเราะของเขานัก แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร เรือวิญญาณเริ่มออกตัวไป ไม้พายของกระดาษรูปมนุษย์ไหลผ่านจักรวาล เรือเริ่มหันเหไปยังจักรวาลห่างไกลที่อยู่เหนืออารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ออกไป ก่อนจากไปอย่างเงียบเชียบ

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์จ้องมองเรือที่ค่อยๆ ไกลออกไป เขาไม่อาจอธิบายความรู้สึกสูญเสียที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ได้ เขายังคงยืนยันการตัดสินใจของตนเอง พลางพยายามไล่ความรู้สึกสูญเสียออกไปจากใจ เขารู้ดีว่าสิ่งนั้นเป็นสิ่งเดียวที่เลือกได้ โชคชะตาของเขาในตอนนี้ผูกติดกับโชคชะตาของศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่

“ปรมาจารย์ ข้า…” เมื่อคิดได้เช่นนั้นปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็หันไปยกมือประสานพยายามจะพูดแสดงความภักดี แต่ก่อนที่จะได้พูดสิ่งใดออกไป ประกายบางอย่างก็สะท้อนอยู่ในดวงตาของศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่

“กล้าดีอย่างไร!” คลื่นแสงแรงกล้าปะทุออกมาจากกายศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ขณะที่เขาตะโกนก้อง พลังระดับดารานิรันดร์ทะลักออกมาทันที ร่างของเขาเจิดจ้าราวดวงอาทิตย์ พลังของเขาเป็นดั่งน้ำหนักกดดันรุนแรงที่กดทับทุกสิ่งโดยรอบเอาไว้จนหมด ขณะที่เขายกมือขวาขึ้นแล้วคว้าออกไปที่บางสิ่งซึ่งลอยอยู่เหนือเรือวิญญาณ!

“ตาย!” เสียงของชายชราดังกึกก้องขณะที่หัตถ์เพลิงร้อนแรงซึ่งแผดเผาเจิดจ้าราวดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นด้านบน พลังอันยิ่งใหญ่แผ่ออกมาจากหัตถ์นั้นแล้วร่วงหล่นลงสู่จักรวาล สร้างเงาขนาดใหญ่ยักษ์แผ่ปกคลุมไปทั่ว น้ำหนักของมันนั้นหนักหนาราวกับว่าสามารถจะทุบทำลายดวงดาวได้ทั้งดวง

ขณะที่ปราณของชายชรากวาดไปทั่วจักรวาล ก็มีร่างพร่าเลือนร่างหนึ่งค่อยๆ ปรากฏขึ้นเหนือเรือวิญญาณที่กำลังลอยออกไปในอวกาศ!

หวังเป่าเล่อนั่นเอง!

ชายหนุ่มไม่ได้วางแผนจะขึ้นเรือต่อหน้าต่อตาผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ แต่กะจะขึ้นหลังจากที่มันออกไปแล้ว ทว่าขณะที่เขามองดูเรือลอยล่องออกไปในจักรวาล กระดาษรูปมนุษย์ในกระเป๋าก็พูดขึ้นมาเป็นครั้งแรก!

“ถ้าเจ้าไม่ไปตอนนี้ก็ไม่มีโอกาสอีกแล้วนะ!”

หวังเป่าเล่อไม่รอช้า เขาเปิดใช้ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ก่อนจะเคลื่อนย้ายตัวเองทันที เขาไปปรากฏอยู่เหนือเรือวิญญาณที่กำลังจะหายไป ทันทีที่ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้น ก็สัมผัสได้ถึงความร้อนอันรุนแรงรอบกายและหัตถ์เพลิงไฟลุกท่วมที่กำลังพุ่งเข้ามาใส่!

ไม่มีที่ให้หลบซ่อนและไม่มีสิ่งใดให้ใช้หลบการโจมตีได้ พลังปราณของชายหนุ่มถูกกดทับเอาไว้จนสิ้น หวังเป่าเล่อไม่เหลือพลังที่จะใช้ป้องกันตนเองได้เลย เมื่อความตายคืบคลานเข้ามา เขาก็ทำใจแข็งก่อนจะเดิมพันครั้งสุดท้าย ชายหนุ่มพนันว่ากระดาษรูปมนุษย์ในแหวนคลังเก็บจะต้องออกมาช่วยอย่างแน่นอน!

ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานนั้นเอง กระดาษรูปมนุษย์ในแหวนก็ส่งเสียงหัวเราะน่าขนหัวลุกออกมา

เป็นเสียงหัวเราะที่มีเพียงหวังเป่าเล่อที่ได้ยิน มันก้องกังวานอยู่ในศีรษะของชายหนุ่ม ก่อนที่ใครบางคนจะโจมตีออกมา ไม่ใช่กระดาษรูปมนุษย์ในแหวนคลังเก็บ หากแต่เป็น…กระดาษรูปมนุษย์บนเรือวิญญาณที่กำลังเริ่มจางหายไป คนเรือเงยหน้าขึ้นก่อนจะขยับใบพายในมือขวาเล็กน้อย

มีคลื่นสีขาวปรากฏออกมาจากอากาศธาตุ ปกคลุมตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้อย่างฉับพลัน สร้างปราการป้องกันตรงหน้าเขา ก่อนจะปะทะเข้ากับหัตถ์เพลิง

เกิดเสียงดังสนั่นเลื่อนลั่นจักรวาล ก่อนที่หัตถ์เพลิงจะสลายหายไป ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ทั้งทึ่งทั้งโกรธ ขณะจ้องมองคลื่นสีขาวที่กระดาษรูปมนุษย์ปล่อยออกมากวาดหวังเป่าเล่อขึ้นไปบนเรืออย่างปลอดภัย

“เป็นไปไม่ได้!”

“หลงหนานจื่อ!”

“เกิดอะไรขึ้น”

“เจ้า!”

เสียงตะโกนเสียงแรกมาจากศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ ความตกตะลึงที่เขารู้สึกอยู่นั้นเกินจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด ชายชราไม่เคยคิดฝันว่าทูตแห่งดาวตกจะยื่นมือเข้ามาช่วย มันเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน

เสียงตะโกนเสียงที่สองมาจากปรมาจารย์มหาทัณฑ์ เขาตื่นตะลึงกับความกล้าหาญและบ้าดีเดือดของหวังเป่าเล่อ

เสียงตะโกนเสียงที่สามมาจากบรรดาอัจฉริยะผู้ถูกเลือกบนเรือ ไม่ใช่ทุกคนที่ตะโกนด้วยความตกตะลึง มีเพียงผู้มาใหม่สิบกว่าคนที่แสดงอาการตกใจออกมา สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต่อหน้าทำเอาพวกเขาตื่นตะลึง ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็ยังรับรู้ได้ถึงสีหน้าแปลกประหลาดของผู้โดยสารคนอื่นๆ บนเรือ สีหน้าของพวกเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความเหนื่อยอ่อนและเกลียดชัง ปราศจากซึ่งความตื่นตกใจ

และเสียงตะโกนเสียงที่สี่ก็มาจากผู้โดยสารอีกคนที่อยู่บนเรือเช่นกัน เป็นซิงหลิงนั่นเอง ความตื่นเต้นที่เขามีอยู่ก่อนหน้ามลายหายไปสิ้นเมื่อได้เห็นหวังเป่าเล่อเดินขึ้นมาบนเรือ ก่อนที่อีกฝ่ายจะพุ่งเข้าใส่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เกราะมหาจักรพรรดิปรากฏขึ้นทันที แสงสะท้อนจากคมของอาวุธเทพส่องสว่าง เมื่อใบมีดในมือขวาฟันใส่ซิงหลิงอย่างไร้ปรานี!

สายตาที่เหลือบมองมาทำเอาหัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นโครมคราม ในขณะที่พลังปราณของเขาก็วิ่งพล่านไปทั่ว ชายคนนั้นคือผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์!

หากค้นหาจนทั่วจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ก็จะพบว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เป็นผู้ที่แข็งแกร่งเหนือผู้อื่น ไม่ว่าคนผู้นี้จะอยู่กับฝ่ายใด ย่อมอยู่ในตำแหน่งที่สูงส่ง ดังนั้นผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งไปกว่าระดับดาวพระเคราะห์นั้น… จึงต้องเป็นผู้ปกครองไม่ก็ราชาเป็นแน่!

อารยธรรมที่ปกครองโดยผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์มักปลอดภัยจากอารยธรรมอื่นๆ ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เดียวกัน ตราบใดที่ไม่ไปโจมตีอารยธรรมอื่นๆ ทั้งหลายในจักรพิภพ ก็มักไม่ถูกบุกโดยง่าย อารยธรรมครามทองคำอยู่ในดาราจักรลำดับที่สิบเก้าในจักรพิภพเต๋าศักดิ์สิทธิ์ฝั่งซ้าย แต่อารยธรรมที่แข็งแกร่งเพียงนั้นกลับมีผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์อยู่เพียงสามคนเท่านั้น แน่นอนว่ายังไม่ได้นับความจริงที่ว่าปรมาจารย์ของอารยธรรมนั้นเกือบบรรลุระดับดาราจักรแล้ว

ความเป็นจริงข้อนี้แสดงให้เห็นถึงสถานะของผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นแห่งนี้ สำหรับผู้ที่เพิ่งมาปรากฏตัวที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ คนผู้นี้ไม่ใช่ปรมาจารย์ของอารยธรรมครามทองคำ แต่เป็นหนึ่งในสองผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ของอารยธรรม!

ผู้ฝึกตนในสำนักต่างๆ บนอารยธรรมครามทองคำเรียกเขาว่า ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ เขาไม่ได้นำกองทัพขนาดมหึมามาด้วย มีผู้ติดตามเพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้งสองไม่ได้เดินทางข้ามจักรวาลมา หากแต่ใช้ทรัพยากรจำนวนมากซื้อสิทธิ์การเคลื่อนย้ายข้ามจักรพิภพมาแทน

ชายชรามองไปที่ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์หลังจากที่มาปรากฏตัว แววตาของเขาเย็นเยียบ ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ไม่ใส่ใจดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์มากนัก แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่ก่อนจะพูดออกมาอย่างเย็นชา

“ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จงก้าวออกมา!”

เสียงของเขาไม่ได้ดังเลย ทั้งยังไม่ได้เปี่ยมไปด้วยพลัง แต่มันกลับกวาดกระจายไปทั่วอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และปะทุขึ้นราวกับเป็นสายฟ้าเสียงดังสนั่นในจิตวิญญาณของสรรพชีวิตในอารยธรรมแห่งนี้

แม้กระทั่งหวังเป่าเล่อผู้ที่ซ่อนอยู่ในดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ก็ยังได้ยิน ชายหนุ่มมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาคาดเดาไว้ก่อนแล้วว่าอารยธรรมครามทองคำจะต้องส่งผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์มาที่นี่ แต่ก็ยังกระเจิดกระเจิงเสียกริยาไปหมดเมื่อคำทำนายของตนเองเป็นจริง

“ผู้ฝึกตนขั้นดารานิรันดร์…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง ชายหนุ่มเลิกจับตาดูว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างภายนอกดารานิรันดร์ก่อนจะเริ่มเฝ้ามองอยู่ห่างๆ แทน เขาเริ่มคิดทบทวนแผนการ พลางคิดว่าควรต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ในขณะนั้น คำพูดของศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ก็กระจายไปทั่วอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์

ผู้ฝึกตนทุกคนในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ตัวสั่นงันงกเมื่อได้ยินเสียงนั้น ไม่สำคัญเลยว่าคนเหล่านั้นจะทำอะไรอยู่ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เองก็ไม่เว้น ร่างกายของเขาสั่นเทาก่อนที่ลมหายใจจะเริ่มขาดช่วง เขาเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่จ้องมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบนอารยธรรม ดวงอาทิตย์ดวงที่สอง…ปรากฏขึ้น!

ปรมาจารย์ไม่ใช่คนเดียวที่มองเห็นภาพนั้น ทันทีที่ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ปรากฏตัวขึ้นบนท้องฟ้าเหนืออารยธรรม ผู้คนจำนวนมากบนอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็เงยหน้าขึ้นมองและได้เห็นภาพอันยิ่งใหญ่บนนั้น บนท้องฟ้าสีครามมีดวงอาทิตย์อยู่สองดวง!

ขณะที่ความหวาดกลัวกระจายไปทั่วนั้น ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ใช้ความเร็วเต็มที่พุ่งตัวออกไป ไม่มีเวลากระทั่งจะเรียกผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะมารวมตัวกัน เขาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ภายในสิบห้านาที เมื่อไปถึงชายชราก็รีบยกมือประสานทักทาย ก่อนจะก้มศีรษะคำนับต่ำทันที

“ศิษย์น้องหยวนหลิงจื่อคารวะศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ผู้ทรงเกียรติ!”

“ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เจ้าจะยอมรับความผิดได้หรือยัง!” คนที่พูดไม่ใช่ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ แต่เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสวมชุดคลุมหรูหราที่ยืนอยู่ข้างกาย เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มเป็นที่เคารพนับถือในอารยธรรมครามทองคำ แม้ว่าจะอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ แต่ก็ยังพูดจาด้วยความมั่นใจ คำพูดของเขาทั้งบาดลึกและเปี่ยมไปด้วยความผิดหวัง ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มจะไม่ได้เคารพประมุขสำนักแต่อย่างใด

ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์โกรธจัด แต่ก็ไม่กล้าลบหลู่ผู้ฝึกตนตรงหน้า ทำได้เพียงหลุบศีรษะลงต่ำก่อนจะรีบตอบ

“มหาศิษย์เต๋าผู้ทรงเกียรติ พวกเราต้องเผชิญความยากลำบากที่ไม่ได้คาดคิดระหว่างการต่อสู้กับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ผลลัพธ์ของสงครามก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง พวกเราได้รับสิทธิ์ในการเข้าสุสานดวงดารามาแล้ว!” ประมุขสำนักจบคำพูดเพียงเท่านั้น ก่อนจะยกมือประสานคารวะไปทางศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ผู้มีสีหน้าไร้อารมณ์ เขารายงานถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่มาถึงอารยธรรมแห่งนี้ รวมไปถึงปัญหาที่ได้พบและการจัดการแก้ไข เขาไม่กล้าปิดบังอะไรจากศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่แม้แต่น้อย

เขารู้ว่ามหาศิษย์เต๋าสนใจเพียงสิทธิ์การเข้าสุสานดวงดารา สำหรับศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่แล้ว…สิ่งที่เขาสนใจคือความตายของผู้อาวุโสฝ่ายขวา เพราะอย่างไรเสีย…ตระกูลเซี่ยก็มีส่วนเกี่ยวพันด้วย!

เด็กหนุ่มลอบถอนใจอยู่กับตนเองอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาไม่ได้สนใจสิ่งอื่นใด ไม่สนด้วยซ้ำหากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะถูกกวาดล้างจนหมด สิ่งเดียวที่เขาสนใจคือสิทธิ์การเข้าถึงสุสานดวงดารา แม้ว่าสถานะของเขาในอารยธรรมครามทองคำจะสูงส่ง แต่ก็ต้องดิ้นรนอย่างหนักเพื่อให้ได้โอกาสนี้มา มันเป็นตัวชี้ชะตาอนาคตของเขาเลยก็ว่าได้

เมื่อได้คำตอบแล้ว เด็กหนุ่มก็นิ่งเงียบอยู่ จากนั้นจึงมองไปรอบๆ และวิเคราะห์อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เขาไม่ได้ชอบที่นี่นัก มันดูแร้นแค้นเกินไปในสายตาเขา หากไม่ใช่เพราะสัญลักษณ์ดาวตกจะถูกส่งมอบได้เฉพาะในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เท่านั้น เขาก็คงไม่มีวันมาเหยียบที่นี่เป็นอันขาด

ขณะที่เด็กหนุ่มส่งเสียงเยาะเย้ยอยู่เงียบๆ ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เล่าเรื่องให้ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ฟังต่อไปจนจบ อีกฝ่ายฟังพลางพยักหน้าน้อยๆ แววลุ่มลึกฉายขึ้นในดวงตา ก่อนที่จะหันหลังไปมองดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์

“เขามีสหายหรือครอบครัวอยู่ที่นี่หรือไม่ หากไม่มีเราก็ฆ่าเขาเสีย เรื่องทั้งหมดก็จะจบ ข้าจะหลอมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์และทำลายเขาเสีย”

“หลงหนานจื่อไม่มีครอบครัวอยู่ในอารยธรรมนี้ขอรับ เขามีสหายอยู่บ้าง แต่ส่วนมากก็เป็นคนของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์… แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่น่าหนักใจ หากเราสังหารชายผู้นี้ ข้าเกรงว่าตระกูลเซี่ยจะ…” ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หันไปมองศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ คำถามนี้เขาคิดว่าจำเป็นจะต้องถาม เป็นเรื่องเหมาะควรที่ลูกน้องจำเป็นต้องทำ เขาต้องให้โอกาสผู้ใหญ่ได้แสดงความหลักแหลมออกมา

“ตระกูลเซี่ยปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด พวกเขาทำอะไรเราไม่ได้หากเราระวังตัวและไม่เผยจุดอ่อน ผู้อาวุโสฝ่ายขวาของพวกเจ้าโง่เขลานัก สมควรตายแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น… คนที่สังหารเขาก็เป็นเพียงสมาชิกรุ่นเยาว์ของตระกูลเซี่ย บิดาของเซี่ยไห่หยางตอนนี้ตกที่นั่งลำบากเพราะมีปัญหากับผู้มีอำนาจคนหนึ่ง ลูกชายของเขากำลังวิ่งวุ่นพยายามหาคนที่รู้จักกับผู้มีอำนาจคนนั้น เขาไม่มีเวลามาคอยปกป้องผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะตัวเล็กๆ คนเดียวแน่” ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่พูดอย่างเยือกเย็นก่อนจะหันศีรษะไปหาเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกาย

“ซิงหลิง เตรียมตัวให้ดี เรือดาวตกใกล้จะมาถึงแล้ว”

เด็กหนุ่มผู้นั้นหรือซิงหลิงตอบรับอย่างรวดเร็วและเคารพ ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รีบนำทางศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่ไปที่ค่ายของสำนักทันที อีกฝ่ายนั้นเมื่อไปถึงค่ายก็ส่งพลังปราณออกไปกดดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ที่หวังเป่าเล่ออยู่เอาไว้ ประกายกล้าของดารานิรันดร์เสื่อมลงเป็นอย่างมาก และหวังเป่าเล่อก็เริ่มตื่นตัวขึ้นทันที

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ในช่วงนั้นหวังเป่าเล่อไม่กล้าสอดส่องมาที่ค่ายของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อีก ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็ยังแอบสัมผัสได้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์เข้าไปในค่าย แต่ไม่ได้เห็นอีกฝ่ายออกมา คนผู้นั้นต้องถูกผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์เรียกตัวและต้องอยู่ในค่ายของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต่อเป็นแน่

ความตึงเครียดเริ่มปกคลุมอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์หลังการมาถึงของผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ คนทั่วไปต่างตื่นกลัว หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ต่างกันนัก เขารู้ดีว่าผู้ฝึกตนขั้นดารานิรันดร์จงใจปล่อยพลังปราณออกมา เป้าหมายของเขาคือการขู่ให้ตื่นกลัว ทำให้หวังเป่าเล่อต้องคิดไม่น้อยก่อนจะทำการสิ่งใดลงไป

แต่เขาก็ยังไม่ล่วงรู้ถึงไพ่ตายของข้า! ชายหนุ่มหรี่ตาลง ก่อนจะมองไปทางค่ายสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาเครียดมากๆ ในตอนนี้ แต่หลังจากที่วิเคราะห์สถานการณ์ไปพักใหญ่ ก็สรุปได้ว่าแผนของตนค่อนข้างจะรัดกุม

ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะตามขึ้นเรือวิญญาณมาด้วยได้!

ตราบใดที่ข้าขึ้นเรือได้แต่เขาขึ้นไม่ได้ เขาก็ทำอะไรข้าไม่ได้ ต่อให้ข้าสังหารอัจฉริยะของอารยธรรมของเขาแล้วขโมยสิทธิ์การเข้าสุสานดวงดารามาต่อหน้าต่อตาก็ตาม! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง แม้จะเป็นแผนที่เสี่ยงอันตราย แต่ก็ไม่มีอะไรในชีวิตที่ได้มาอย่างง่ายดายอยู่แล้ว

ร่างจริงของข้าอยู่ในโลงศพ และเจ้าแก่นี่ก็ไม่น่าจะหามันพบ โลงศพนั้นไม่ใช่โลงธรรมดาๆ แปลว่าต่อให้ข้าสู้แพ้ ข้าก็แค่เสียร่างอวตารไปร่างหนึ่งเท่านั้น! นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายมุ่งมั่น เขาตัดสินใจแล้ว เขาจะดำเนินการตามแผนและแย่งเหยื่อมาจากปากพยัคฆ์ให้จงได้!

อีกสองสัปดาห์ผ่านไป… ในช่วงเวลานั้น อารยธรรมครามทองคำ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ และหวังเป่าเล่อก็เตรียมตัวจนพร้อม ตอนนี้พวกเขารอเพียงทางเข้าสู่สุสานดวงดาราเปิดขึ้นเท่านั้น ที่นอกอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เรือวิญญาณซึ่งหวังเป่าเล่อพบเข้าโดยบังเอิญ…ขณะนี้ได้เดินทางเข้ามาอย่างเงียบเชียบแล้ว!

มันไม่ได้เดินทางเข้ามาในอารยธรรม หากแต่กำลังล่องลอยอยู่ตรงเส้นเขตแดน มีอัจฉริยะจำนวนหนึ่งอยู่บนเรือ และจำนวนก็เพิ่มขึ้นจากเดิมร่วมสามสิบเป็นราวห้าสิบคน คนเรือกระดาษรูปมนุษย์เงยหน้าขึ้นมองขณะที่เรือหยุดคว้างอยู่กลางอวกาศ มันจ้องไปทางค่ายสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบกไปในทิศทางนั้น เสียงร้องไห้และเสียงเพรียกหาเริ่มดังกระหึ่มก้องจักรวาล…

ไม่มีคำพูดใดๆ มีเพียงเสียงร้องไห้เบาๆ และเสียงเรียกที่ดังไปทั่วจักรวาลเท่านั้น ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ยินเสียงนี้ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ผู้ที่มีเชื้อราชวงศ์ได้ยิน ศิษย์แห่งเต๋าหลินไห่เองก็ได้ยินเช่นกัน ส่วนประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และคนอื่นๆ กลับไม่ได้ยินอะไรแม้แต่น้อย

หวังเป่าเล่อเคยขึ้นเรือมาแล้วก่อนหน้านี้ ทำให้ขณะนี้ชายหนุ่มเป็นคนที่สามในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ที่ได้ยินเสียงเรียกนั้น ด้วยการเกื้อหนุนจากดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ เขาส่งดวงจิตเทพกวาดไปทั่วจักรวาลจนกระทั่งพบกระดาษรูปมนุษย์บนเรือวิญญาณ!

มันมาแล้ว! หวังเป่าเล่อผุดลุกขึ้นยืนทันที!

โทรโข่งชิ้นนี้เป็นเพื่อนรักของหวังเป่าเล่อมายาวนาน มันอยู่กับเขามาตั้งแต่สมัยสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ โทรโข่งช่วยเหลือชายหนุ่มมาหลายต่อหลายครั้งในอดีต เขาทั้งหลอมและเสริมพลังให้มันอยู่หลายต่อหลายครั้ง จนเมื่อหวังเป่าเล่อไม่มีวัตถุดิบที่ดีเพียงพอจึงหยุดการหลอมเพิ่มระดับไป เขาหลอมมันจนหลอมต่อไม่ได้อีกแล้ว

หวังเป่าเล่อกำโทรโข่งเอาไว้แน่น พลางเฝ้ามองมันอยู่นานสองนาน หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจ ชายหนุ่มก็วางโทรโข่งลง ก่อนจะเริ่มขุดลงไปในกระเป๋าคลังเก็บอีกครั้ง เขาหยิบกระบี่เหาะเหินสามเล่มออกมา พวกมันมีสามสีต่างกัน ใบมีดแสดงให้เห็นถึงลักษณะเฉพาะของระบบการหลอมของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แม้ว่าจะคมกริบและเป็นอาวุธระดับเก้า แต่ก็ยังอยู่ในขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น

กระบี่ทั้งสามเล่มเสียหายหนัก แต่หลังจากที่หวังเป่าเล่อมาถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว เขาก็ใช้พวกมันในการฝึกซ้อมเพื่อเรียนรู้ระบบวัตถุเวทของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ และเป็นการซ่อมแซมพวกมันไปในตัว

นอกจากยังมีเหรียญทองแดงโบราณทั้งห้า พวกมันก็ช่วยหวังเป่าเล่อเอาไว้มากเช่นกัน แต่ตอนนี้เหรียญทองแดงเหล่านี้เป็นเพียงภาระเท่านั้น ชายหนุ่มเก็บพวกมันเอาไว้เพราะหน้าตาที่โดดเด่น เมื่อเขาหยิบมันออกมาอีกครั้ง เขาจึงถือโอกาสนี้จ้องมองพวกมันอย่างละเอียด ชายหนุ่มกำลังจะวางพวกมันลงแต่แล้วก็ต้องส่งเสียงออกมาด้วยความฉงน

เหรียญพวกนี้มีบางอย่างแปลกไป หวังเป่าเล่อชะงักไปชั่วขณะ ชายหนุ่มหยิบเหรียญขึ้นมาใกล้ดวงตามากขึ้นก่อนจะจ้องดูอย่างละเอียด เขาลืมไปแล้วว่าได้เหรียญเหล่านี้มาอย่างไร เหมือนว่าจะมาจากกระเป๋าคลังเก็บจากศพที่พบบนสำนักวังเต๋าไพศาล แต่ชายหนุ่มก็ไม่แน่ใจนัก ในอดีตเขาไม่ได้รู้สึกว่าพวกมันแปลกประหลาดอะไร แต่ขณะนี้เมื่อชายหนุ่มอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ เขาก็มองออกว่าเหรียญเหล่านี้มีอะไรบางอย่างที่พิเศษ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…วัสดุที่ใช้หลอมเหรียญเหล่านี้ขึ้นมา

ละอองศิลาจักรพิภพอย่างนั้นหรือ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเบิกโพลงขึ้นช้าๆ ชายหนุ่มไม่ได้เห็นวัตถุดิบดังกล่าวเลยตั้งแต่มาถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่เคยเห็นวางขายอยู่ที่ตลาดตระกูลเซี่ย หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าวัตถุดิบล้ำค่านี้เป็นสิ่งจำเป็นในการหลอมดารานิรันดร์ มันทั้งหายากและมีราคาแพงยิ่ง หากจะตีราคาตามมาตรวัดของสหพันธรัฐเป็นกรัม ละอองศิลาจักรพิภพหนึ่งกรัมมีราคาถึงหนึ่งแสนผลึกสีชาด!

ราคาของละอองศิลาจักรพิภพจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณหลังจากที่พ้นสิบกรัมแรกไป หวังเป่าเล่อชั่งน้ำหนักเหรียญทั้งห้าในมือ เขาเชื่อว่าน้ำหนักรวมของพวกมันน่าจะร่วมๆ ครึ่งกิโลกรัม

หวังเป่าเล่อกังวลว่าเขาจะเข้าใจผิด จึงกดความตื่นเต้นเอาไว้ภายใน ก่อนจะยกมือขยี้ตาและจ้องมองเหรียญดีๆ อีกครั้ง ในที่สุดนัยน์ตาทั้งสองของชายหนุ่มก็เบิกกว้าง ลมหายใจไม่คงที่

ข้าเข้าใจถูกต้อง! สวรรค์ ไม่คิดเลยว่าข้าจะร่ำรวยถึงเพียงนี้! หวังเป่าเล่อแทบจะกระโดดขึ้นไปบนฟ้าด้วยความลิงโลดใจ ชายหนุ่มหันมองไปรอบๆ ตามสัญชาตญาณก่อนจะเก็บเหรียญเข้ากระเป๋าคลังเก็บอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงยกมือตบกระเป๋าเบาๆ ก่อนจะถอนใจยาว

เก็บเหรียญไว้กับตัวไม่ดีแน่ น่าเสียดายที่ข้าเคลื่อนที่ไปไหนมาไหนได้ไม่สะดวกนัก หากข้าทำได้…คงจะเอาเหรียญเหล่านี้ไปซ่อนไว้กับร่างจริงแล้ว หวังเป่าเล่อยังคงตื่นเต้นอยู่ไม่หาย เขาไม่แน่ใจนักว่าได้เหรียญเหล่านี้มาอย่างไร แต่ขณะนี้เมื่อรู้ค่าของพวกมันแล้ว ชายหนุ่มจึงอยากรู้ที่มาของเหรียญเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง

พวกมันถูกหลอมขึ้นมาจากวัตถุดิบราคาแพงลิบ ดังนั้นน่าจะเอาไว้ใช้ทำอย่างอื่นได้ด้วยเป็นแน่! จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็คิดขึ้นมาได้ อาจจะมีสมบัติราคาแพงลิบอยู่ในกระเป๋าเขาอีกก็เป็นได้ สมบัติที่ในอดีตเขาไม่เห็นคุณค่า ชายหนุ่มเปิดกระเป๋าคลังเก็บขึ้นมามองดูสิ่งของทุกชิ้นอย่างถ้วนถี่

โชคไม่ดีนักที่เหรียญพวกนั้นเป็นข้อยกเว้นเพียงข้อเดียว หวังเป่าเล่อไม่เจออะไรที่มีค่าเท่าเหรียญทองแดงโบราณในกระเป๋าคลังเก็บอีกเลย

ชายหนุ่มทอดถอนใจ จากนั้นสายตาก็มองทอดไปยังกระบี่เหาะเหินและโทรโข่ง หวังเป่าเล่อมีวัตถุดิบหลอมวัตถุเวทอยู่บ้างในกระเป๋าคลังเก็บแต่ก็ไม่มากนัก เขาสามารถหลอมวัตถุเวทได้ชิ้นเดียว เมื่อคิดอยู่สักพัก ชายหนุ่มจึงตัดสินใจทิ้งกระบี่เหาะเหินเอาไว้แล้วหยิบโทรโข่งขึ้นมา

ข้าเลือกเจ้า! ด้วยระดับปราณปัจจุบันของหวังเป่าเล่อ ทักษะการหลอมวัตถุเวทและตำแหน่งที่อยู่ปัจจุบันของเขา การจะเสริมพลังโทรโข่งนี้ย่อมไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด เขาเพียงต้องสลับวัตถุดิบเดิมในโทรโข่งออกแล้วใส่ของใหม่เข้าไป จากนั้นก็เพิ่มตัวอักขระลงไปก็เท่านั้น

และด้วยเปลวเพลิงดารานิรันดร์ของหวังเป่าเล่อ โทรโข่งจึงมีพลังของเปลวเพลิงติดมาด้วย เพื่อจะยกระดับความสามารถนี้ให้ถึงขีดสุด หวังเป่าเล่อจึงกลืนโทรโข่งลงไป แล้วเก็บมันเอาไว้ในเปลวเพลิงดารานิรันดร์ที่เผาไหม้อยู่ในกายของเขา

เปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายเขาเป็นผลผลิตจากเคล็ดวิชาการฝึกปราณของเจ้าอู๋น้อย เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อการหลอมวัตถุเวทที่สุดที่หวังเป่าเล่อมีในตอนนี้

ชายหนุ่มหล่อเลี้ยงโทรโข่งชิ้นนี้ด้วยเปลวเพลิงดารานิรันดร์อย่างตั้งใจ จากนั้นก็ก้มลงมองในกระเป๋าคลังเก็บอีกครั้ง แหวนคลังเก็บนอนนิ่งอยู่ภายใน และสมบัติอีกชิ้นหนึ่งก็นอนนิ่งอยู่ภายในแหวนวงนั้น

สิ่งนั้นก็คือ…คันธนูจักรพิภพ!

ข้าใช้คันธนูนี้ไม่เป็นเลย น่าเสียดาย หวังเป่าเล่อส่ายหน้าด้วยความเศร้าใจ หลังจากที่การเหาะหนีสายฟ้าจบลง ชายหนุ่มก็ทดลองใช้คันธนูระหว่างเดินทางกลับ แต่ไม่ว่าจะโก่งสายสักเพียงใด มันก็ไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย ตามการคาดคะเนของหวังเป่าเล่อ เขาคงต้องอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์เป็นอย่างน้อยจึงจะใช้คันธนูได้

ข้ายังมีฝักกระบี่ในกายและพวกยุงด้านในอยู่…แต่พวกมันอยู่กับร่างจริงของข้า หวังเป่าเล่อส่ายศีรษะ ชายหนุ่มตัดสินใจเลิกคิดเรื่องสมบัติเวท ก่อนจะหันมาดูพลังเทพแทน

อย่างแรกคือดวงเนตรปีศาจ… มันมีพลังสามารถหยุดความเคลื่อนไหวของศัตรูและใช้ต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ หากข้าลอบจู่โจมได้สำเร็จ ข้าอาจสังหารผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ด้วยดวงเนตรปีศาจได้ มันยังดูดกลืนพลังวิญญาณของศัตรูได้ด้วย ยิ่งข้าล้มศัตรูได้มากเท่าไร ข้าก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น! หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่เป็นนาน หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจจะใช้ดวงเนตรปีศาจเป็นพลังเทพหลักของเขาในการต่อสู้

ต่อไปก็ระเบิดกำเนิดดวงดารา… มันไม่ทรงพลังเท่าพลังเทพอื่นๆ แต่ก็ดีกว่าใช้แค่แรงกายอยู่บ้าง มันใช้พลังงานมากและกินปราณมากเกินไป แต่ในสถานการณ์ที่ไม่มีอะไรดีกว่าให้ใช้ ระเบิดกำเนิดดวงดารา…ก็ถือเป็นการโจมตีที่รุนแรงและสามารถสร้างความเสียหายมหาศาลได้ หากข้าใส่พลังปราณทั้งหมดที่มีเข้าไป!

ต่อไปก็วิชาแห่งศาสตร์มืด ข้าควรหลีกเลี่ยงที่จะใช้มัน ส่วนบทสวดแห่งเต๋า… ข้าก็อาจต้องใช้อย่างระมัดระวังเช่นกัน หวังเป่าเล่อคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นตอนที่ใช้บทสวดแห่งเต๋าครั้งล่าสุดก่อนจะตัวสั่นขึ้นมา

ข้ามีพลังเทพและคาถาเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น อย่างเช่นกระบวนท่าดัชนีเมฆาจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เช่นเดียวกับกระบวนเวทประกายสายฟ้าและคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากเขตอัสนี…

หวังเป่าเล่อจมอยู่ในความทรงจำไปชั่วขณะ จากนั้นชายหนุ่มจึงยกมือขวาขึ้น เส้นสายฟ้าปรากฏขึ้นเหนือเล็บก่อนจะเต้นเร่าอยู่ระหว่างเล็บมือ มันเริ่มมาจากคาถาขั้นกำเนิดแก่นใน ก่อนจะค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นมาสู่ขั้นเชื่อมวิญญาณ จนกระทั่งมาถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะ สายฟ้าตอนนี้กลายเป็นสีใหม่ ซึ่งก็คือสีแดงก่ำ!

ความแข็งแกร่งที่มากขึ้นของสายฟ้าและสีที่เปลี่ยนไปนั้นเป็นผลมาจากการที่หวังเป่าเล่อคอยขัดเกลาเคล็ดวิชาฝึกปราณอยู่ตลอด ด้วยระดับปราณปัจจุบันของเขา การยกระดับคาถาง่ายๆ เช่นนี้ใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น

มันก็ดูแข็งแกร่งใช้ได้อยู่นะ หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงพลังทำลายของวิชาสายฟ้านี้ เขายกมือขวาขึ้นดีดนิ้วทีหนึ่ง มีสายฟ้าสีแดงก่ำปรากฏขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วน เป็นคลื่นความร้อนที่ห่อหุ้มกายเขาเอาไว้ ก่อนจะมารวมตัวกันเป็นลูกสายฟ้าบนฝ่ามือของชายหนุ่ม

หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงพลังของมัน หากเกิดระเบิดขึ้น รัศมีการทำลายจะแผ่ออกไปหลายกิโลเมตร กลายเป็นพายุสายฟ้าซึ่งทำความเสียหายได้ไม่เท่าทะเลสายฟ้าที่ขวดปรารถนาพามาเพราะการขอพรไปเรื่อยของเขา แต่ก็อาจเพียงพอที่จะสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ได้

“ต่อให้ฆ่าศัตรูไม่ได้ในครั้งเดียว ข้าก็อัดเขาซ้ำเป็นสองครั้งได้ หากสองครั้งยังไม่ได้ ข้าก็จะอัดเป็นสิบ!” หวังเป่าเล่อบ่นกับตนเอง ชายหนุ่มโบกมือก่อนจะส่งลูกสายฟ้าให้อันตรธานไป หมอกปรากฏขึ้นเหนือฝ่ามือเขาเป็นอย่างต่อไป มันก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนจะควบแน่นกลายเป็นนิ้วมือ คลื่นพลังอันรุนแรงที่เหนือกว่าพายุสายฟ้าแผ่ออกมาจากนิ้วมือนั้น ดูราวกับว่าใครสักคนเพิ่งจะปลดผนึกที่ขังนิ้วนั้นออก ทำให้คลื่นพลังไหลบ่าออกมาไม่หยุด!

หวังเป่าเล่อถึงกับกระตุกเมื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีของพลังนั้น แววความตกใจและเคลือบแคลงสะท้อนวูบขึ้นมาในดวงตาขณะที่เขาสำรวจรัศมีดังกล่าวอย่างถ้วนถี่

ดัชนีเมฆาอาจเป็นพลังเทพอันโด่งดังของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ แต่มันก็ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น ถึงอย่างนั้นก็ดูท่าจะรุนแรงกว่าระเบิดกำเนิดดวงดาราถ้าใช้ด้วยระดับปราณของข้า ทำไมกันนะ ลมหายใจของหวังเป่าเล่อถี่เร็วเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณที่ไหลบ่าออกมาจากดัชนีเมฆา มีคำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้!

เคล็ดวิชาฝึกปราณของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์…ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เห็น! หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่อึดใจหนึ่ง ชายหนุ่มก็ตัดสินใจว่าเมื่อกลับไปยังสหพันธรัฐเขาจะไปถามปรมาจารย์สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ให้รู้แน่แก่ใจ เขาต้องรู้ให้ได้ว่าปรมาจารย์คิดค้นเคล็ดวิชาฝึกปราณเหล่านี้ขึ้นเอง หรือไปค้นพบมาจากอักขระโบราณใดๆ

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มทดสอบพลังเทพต่างๆ ที่เขาใช้จนเชี่ยวชาญมาตั้งแต่เริ่มต้นการฝึกปราณ ชายหนุ่มสังเกตว่า ดัชนีเมฆาดูจะเป็นกระบวนท่าเดียวที่แข็งแกร่งขึ้น พลังเทพอื่นๆ ไม่ได้สร้างความเสียหายรุนแรง บ้างก็เหมือนระเบิดกำเนิดดวงดารา คือต้องใช้ปราณปริมาณมากเพื่อให้โจมตีได้แรงขึ้น

พูดให้ง่ายก็คือ พลังเทพเหล่านี้ไม่ได้แข็งแกร่งพอ จึงไม่อาจปล่อยพลังเต็มที่ของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะออกมาได้ หากเขาใช้พลังปราณออกไปร้อยละสิบ ก็จะสามารถสร้างความเสียหายให้ศัตรูได้เพียงร้อยละสิบสอง เมื่อเทียบกันแล้ว วิชาดัชนีเมฆาอาจทำได้ถึงร้อยละสิบแปดหรือสิบเก้า

ช่างน่าเสียดายที่พลังเทพอื่นๆ ที่ข้าได้รับมาจากนิมิตมืดนอกเหนือไปจากดวงเนตรปีศาจนั้นมีรัศมีวิชาแห่งศาสตร์มืดอยู่แรงกล้า ข้าต้องบรรลุระดับดาวพระเคราะห์เสียก่อนจึงจะสามารถฝึกต่อจนเชี่ยวชาญได้ หวังเป่าเล่อส่ายหน้าอีกครั้ง ก่อนที่นัยน์ตาจะทอประกายในอึดใจต่อมา

ข้ายังมีความสามารถเฉพาะตัวอยู่ แม้ว่าพลังของมันอาจจะจำกัดในสถานที่อื่นๆ แต่ก็น่าจะทรงพลังที่สุดในสุสานดวงดารา!

ความสามารถเฉพาะตัวนั้นก็คือ…ทักษะที่ข้าได้มาเมื่อครั้งที่ได้รับวิญญาณจุติ… ทักษะที่สามารถรับพลังเสริมจากดาวเคราะห์รอบกาย!

ยิ่งดาวเคราะห์ดวงใหญ่เพียงใด พลังของข้าก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งข้าอยู่ใกล้ดาวเคราะห์มากเพียงใด ข้าก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นตามกัน แปลว่ายิ่งมีดาวเคราะห์อยู่รอบกายมากเพียงใด ข้าก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีก! ความคิดนั้นทำให้หวังเป่าเล่อมั่นใจขึ้นเป็นอันมาก เขายิ่งมั่นอกมั่นใจที่จะประสบความสำเร็จในสุสานดวงดารา ชายหนุ่มกำลังจะคิดแผนต่อไป แต่จู่ๆ ก็มีสีหน้าตื่นตกใจ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอย่างปุบปับ มองจ้องไปในจักรวาลที่อยู่ห่างออกไป

ด้วยความช่วยเหลือจากดวงเนตรดารานิรันดร์ หวังเป่าเล่อจึงสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งที่มาจากทิศทางนั้น พลังนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุกสว่างของดารานิรันดร์ แสงอันเจิดจ้าของมันส่องสว่างขึ้น ทำให้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์สว่างไสวไปทั่ว

ที่ตรงเส้นเขตแดนของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และที่ปลายสุดฝั่งหนึ่งของทะเลแห่งแสงนั้น จู่ๆ ก็มีเงาร่างสองร่างค่อยๆ ปรากฏขึ้น!

ร่างหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มใบหน้าเย่อหยิ่ง อีกร่าง…เป็นชายชราสวมชุดคลุมสีทอง!

ชายชรานั้นเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ ขณะที่ร่างของเขาค่อยๆ ก่อตัวขึ้น สีหน้าเขาก็แสดงให้เห็นว่าสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง ชายชราปรายตามองมายังดารานิรันดร์ที่หวังเป่าเล่ออยู่

มีเสียงดังสนั่นขึ้นในใจของหวังเป่าเล่อเมื่อสายตาของชายชราจับจ้องมาที่เขา ดารานิรันดร์ที่ชายหนุ่มยืนอยู่ปะทุขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อตัวเป็นเกราะกำบังสายตาอันทรงพลังของอีกฝ่าย แต่ก็ยังไม่อาจหยุดร่างที่สั่นสะท้านของชายหนุ่มซึ่งเกิดจากสายตาคู่นั้นได้ ปราณของหวังเป่าเล่อเริ่มไม่คงที่

ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์!

ขณะนี้เมื่อหวังเป่าเล่อมีสิทธิ์ควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์แล้ว การเคลื่อนย้ายระยะทางไกลก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ตราบใดที่ระยะทางนั้นไม่ไกลจนเกินไป ชายหนุ่มก็สามารถเดินทางไปและกลับได้ด้วยระดับปราณในปัจจุบัน

ตอนแรก เขาคิดว่าคงเป็นเรื่องดีหากนำเจ้าเยี่ยเหมิง เจ้าลา และเจ้าอู๋น้อยไปซ่อนไว้ที่ตลาดตระกูลเซี่ย แน่นอนว่าพวกเขาจะปลอดภัยที่นั่น แต่ตลาดอยู่ห่างออกไปจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไม่น้อย และหวังเป่าเล่อคงต้องออกแรงมากเพื่อจะเดินทางไปให้ถึงที่นั่น ส่วนการเคลื่อนย้ายกลับก็คงเกินกำลังของชายหนุ่มไป

เป็นเหตุให้เขาตัดสินใจเลือกตัวเลือกถัดไป หวังเป่าเล่อพบสะเก็ดดาวที่ไม่มีคนอยู่ จึงหลอมวงแหวนปราณครอบมันเอาไว้ เขาใช้ความสามารถของเจ้าอู๋น้อยและเจ้าเยี่ยเหมิงอย่างเต็มที่ โอกาสที่จะมีใครหาสะเก็ดดาวชิ้นนี้พบท่ามกลางสะเก็ดดาวจำนวนเป็นล้านๆ ในจักรวาลนั้นใกล้เคียงศูนย์

ต่อให้มันถูกพบ ตราบใดที่ผู้ที่หามันพบไม่ได้มาจากอารยธรรมครามทองคำ ก็คงไม่เป็นอะไร ความเฉลียวฉลาดของเจ้าเยี่ยเหมิงและความสามารถในการซ่อนตัวของเจ้าอู๋น้อยสามารถช่วยให้พวกเขารอดปลอดภัยได้

หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกกังวลแม้แต่น้อยตอนเดินทางกลับ อันที่จริงชายหนุ่มไม่มีเรื่องให้ต้องกังวลสักนิดเมื่อเดินทางกลับมาถึงดารานิรันดร์ สิ่งเดียวที่เขายังรู้สึกหวั่นใจอยู่ก็คือความปรารถนาอันสูงสุดของตัวเอง!

สุสานดวงดารา! หวังเป่าเล่อจับจ้องไปยังดาวเอกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ขณะที่นั่งอยู่บนดารานิรันดร์ ที่ดาวเอกนั้น ร่างจริงของเขาหลับใหลอยู่ ไพ่ตายใบสุดท้ายของชายหนุ่มอยู่ที่นั่น!

ข้าจะไม่ใช่มันหากไม่จำเป็นจริงๆ… หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ร่างจริงของเขาอาจจะแข็งแกร่งกว่าร่างสารัตถะ แต่ก็มีจุดอ่อนอยู่มากเช่นกัน อาการบาดเจ็บหรือความตายที่เกิดขึ้นกับร่างนั้นจะถือเป็นจุดสิ้นสุด ไม่เหมือนร่างสารัตถะในตอนนี้ หวังเป่าเล่อปลอดภัยกว่าในร่างสารัตถะ แถมยังเคลื่อนไหวได้ง่ายดายกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลไม่รู้สิ้นยังควานหาตัวเขาอยู่ เป็นอีกเหตุผลนึงที่ชายหนุ่มยังรีรอ

ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงระมัดระวังเป็นอย่างที่จะปลุกร่างจริงของตนขึ้นมา เขาละสายตาจากดาวเอกไปมองค่ายของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายนอกดารานิรันดร์แทน สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่ค่ายของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ

หวังเป่าเล่อต้องหาโอกาสังหารปรมาจารย์มหาทัณฑ์ให้ได้ มันเป็นทางออกที่รวดเร็วและตรงไปตรงมาที่สุด แม้จะไม่ได้ง่ายที่สุดก็ตาม ปรมาจารย์อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง ต่อให้หวังเป่าเล่อลองสู้กับอีกฝ่ายดู โอกาสชนะก็คงเกือบเป็นศูนย์ ไม่มีทางเลยที่เขาจะสังหารปรมาจารย์ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว

หากการต่อสู้ยืดเยื้อออกไป หวังเป่าเล่อก็คงจะต้องติดกับของปรมาจารย์ทั้งสองสำนัก ทั้งคู่อาจมีทางป้องกันไม่ให้เขาเคลื่อนย้ายหนีออกไป หากเป็นเช่นนั้น การพยายามสังหารปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็จะกลายเป็นอย่างอื่นไป เสมือนหนึ่งว่าชายหนุ่มได้ห่อตัวเองเป็นของขวัญแล้วไปนอนอยู่ที่หน้าบ้านของศัตรูแทน

ช่างน่าปวดหัวอะไรเช่นนี้! หวังเป่าเล่อยกมือถูหน้าผากและตัดสินใจเลิกคิดเรื่องนี้ไปก่อน เขาหลับตาลงเริ่มทำสมาธิ ชายหนุ่มฝึกไปด้วยระหว่างที่ทำสมาธิ เพื่อจะให้ปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ของเขาเสถียรขึ้น

เจ็ดวันผ่านไป หวังเป่าเล่อยังคงจับตาดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์และสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไม่หยุดพลางฝึกปราณไปด้วย

การแบ่งสมาธิเป็นสองส่วนเช่นนี้ย่อมหมายความว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการจากการฝึกปราณ แต่โชคยังดี ที่ผลลัพธ์ที่ได้มานั้นเป็นที่น่าพอใจ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความช่วยเหลือจากดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ ชายหนุ่มจึงมองเห็นว่า…ปรมาจารย์มหาทัณฑ์นั้นออกจากค่ายมาสามครั้งในช่วงเวลาเจ็ดวันดังกล่าว!

หวังเป่าเล่อเพิ่งได้รับพลังเสริมจากดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ ถึงกระนั้น ชายหนุ่มก็สัมผัสไม่ได้ว่ามีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์คนอื่นๆ เข้ามาใกล้ปรมาจารย์ในการออกจากค่ายทั้งสามครั้งนั้น ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์คนอื่นๆ คงอยู่ห่างจากปรมาจารย์ไปพอสมควร…ตอนที่อีกฝ่ายออกจากค่ายครั้งแรก หวังเป่าเล่อรู้สึกอยากออกไปต่อสู้ให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ต้องอดใจไว้ จากนั้นชายหนุ่มก็สัมผัสได้ว่าปรมาจารย์ออกมาจากค่ายครั้งที่สองและครั้งที่สามตามลำพัง เมื่อนั้นเองหวังเป่าเล่อจึงสรุปได้ว่า…

อีกฝ่ายจงใจทำเช่นนั้น!

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์จงใจสร้างโอกาสให้หวังเป่าเล่อ เฝ้ารอให้ชายหนุ่มปรากฏตัว ก่อนจะล่อให้เขา

เคลื่อนย้าย… ระหว่างการออกมาครั้งที่สามนั้น ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ถึงขั้นพยายามบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ชั้นปลายอีกด้วย

ความกลัวอันยิ่งใหญ่ที่สุดของผู้ฝึกตนทั้งหลายคือการถูกขัดขวางระหว่างการบรรลุสู่ขั้นปราณต่อไป การถูกขัดขวางอาจส่งผลกระทบอันใหญ่หลวงและทำให้บาดเจ็บสาหัส ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่ใช่คนธรรมดา คงมีคนอื่นไม่กี่คนที่กล้าวางแผนเช่นนั้นและใช้ตนเองเป็นเหยื่อล่อ!

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วแน่นก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน คลื่นพลังวิญญาณการเคลื่อนย้ายกระจายอยู่รอบกาย แต่ก่อนที่จะเกิดการเคลื่อนย้ายขึ้น… ชายหนุ่มก็สูดลมหายใจเข้าลึกและล้มเลิกความพยายามที่จะโจมตีศัตรู

เขาไม่มั่นใจนัก ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อยังมีอีกความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาอาจมีวิธีที่จะได้ขึ้นเรือดาวตก…

ไม่มีความจำเป็นต้องพยายามสังหารปรมาจารย์มหาทัณฑ์เลยแม้แต่น้อย การทำเช่นนั้นมีแต่อันตราย ยิ่งไปกว่านั้นโอกาสสำเร็จก็ต่ำนัก

น่าจะมีวิธีอื่นที่ข้าจะสามารถชิงสิทธิ์การขึ้นเรือมาได้โดยไม่ต้องสังหารปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ข้าอาจจะลองขึ้นเรือหลังจากที่อารยธรรมครามทองคำได้สิทธิ์ไปแล้วและพยายามแย่งเอาสิทธิ์มา… อัจฉริยะที่พวกเขาเลือกให้ขึ้นไปบนเรือไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ อาจอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์เท่านั้น! คิดได้เช่นนั้นชายหนุ่มก็หรี่ตา ก่อนจะนั่งและเริ่มคิดถึงโอกาสสำเร็จของแผนการใหม่

มีปัญหาสามอย่างที่ข้าต้องหาทางรับมือ!

อย่างแรกก็คือ ข้าจะเข้าไปใกล้เรือวิญญาณหลังออกจากดารานิรันดร์ได้อย่างไร ปัญหานี้แก้ได้โดยการใช้พลังการเคลื่อนย้ายของดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ ต่อให้อารยธรรมครามทองคำส่งผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ที่แข็งแกร่งมาคุ้มกันดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์เอาไว้ ข้าก็ยังมีโอกาสลอบเข้าไปได้…

ปัญหาที่สองก็คือ ข้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะขึ้นเรือได้อีกครั้ง!

และอย่างที่สาม… ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าคนเรือจะไม่พยายามห้ามข้าโจมตีเมื่อขึ้นไปอยู่บนเรือแล้ว! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มไม่แน่ใจเรื่องโอกาสในการก้าวข้ามอุปสรรคสองอย่างหลัง เขาก้มศีรษะ ก่อนจะพลิกฝ่ามือขึ้นมา แล้วดึงแหวนคลังเก็บออกมา หวังเป่าเล่อลังเลอยู่ชั่วอึดใจ จากนั้นก็ส่งดวงจิตเทพเข้าไปในแหวน

“ศิษย์พี่ ข้าขอขอบคุณในความช่วยเหลือ ข้าบรรลุขั้นปราณได้ก็เพราะท่านเกื้อหนุน ขอบคุณที่ช่วยตื่นขึ้นจากการหลับใหลเพื่อดึงเรือดาวตกมาหา ข้าเชื่อว่าท่านทำเช่นนั้นเพราะเหตุผลเดียว…” หวังเป่าเล่อใช้ดวงจิตเทพด้วยความระวัง ชายหนุ่มหยุดครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งหลังไม่ได้ยินคำตอบจากแหวนคลังเก็บ จากนั้นเขาจึงตัดสินใจบอกแผนของตัวเองกับอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย

“สถานการณ์ของข้าในตอนนี้ก็คือ ศิษย์น้องผู้ต่ำต้อยผู้นี้ไม่อาจชิงสิทธิ์เข้าสุสานดวงดารามาได้ ข้าจำเป็นต้องขึ้นเรือเพื่อไปสู้แย่งชิงสิทธิ์ของข้ามา”

“ข้าจึงมาขอความช่วยเหลือในการขึ้นเรือจากศิษย์พี่ และเพื่อจะสังหารเป้าหมายของข้าให้จงได้!” หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจนักว่าดวงจิตเทพของเขาส่งไปถึงกระดาษรูปมนุษย์หรือไม่ ชายหนุ่มมีความรู้สึกว่ากระดาษรูปมนุษย์นั้นตื่นอยู่ การปรากฏขึ้นของเรือวิญญาณก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญเช่นกัน มีความเป็นไปได้สูงว่ากระดาษรูปมนุษย์ในแหวนนั้นวางแผนให้ทุกสิ่งเกิดขึ้นเช่นนี้

หวังเป่าเล่อจำได้ว่ามีคลื่นพลังวิญญาณอ่อนๆ ที่กระดาษรูปมนุษย์แผ่ออกมาหลังจากที่เขาใช้บทสวดแห่งเต๋า ชายหนุ่มไม่ได้ล่วงรู้ถึงเหตุผลว่าเหตุใดกระดาษรูปมนุษย์จึงทำเช่นนั้น แต่สัญชาตญาณของเขาบอกว่า กระดาษรูปมนุษย์ตนนี้จะช่วยเขาขึ้นเรือและไปชิงสิทธิ์การเข้าถึงสุสานดวงดารามาได้แน่นอน!

ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงไม่รู้สึกตื่นตระหนกเลยเมื่อส่งดวงจิตเทพออกไป กลับกันชายหนุ่มเฝ้ารออย่างเงียบงัน สิบห้านาทีให้หลัง เสียงหัวเราะน่าสะพรึงกลัวของกระดาษรูปมนุษย์ก็สะท้อนก้องอยู่ในหูเขา

มันเป็นเสียงหัวเราะที่เจือจาง กระดาษรูปมนุษย์ไม่ได้พูดว่ากระไร แต่กระนั้นในวินาทีนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ว่าเจ้าอมนุษย์ตกลงที่จะช่วยเหลือ เขามีความรู้สึกแปลกประหลาดที่อธิบายไม่ได้ปรากฏขึ้นในใจ

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ชายหนุ่มวางแหวนคลังเก็บลง ลุกขึ้นยืนแล้วก้มศีรษะคำนับต่ำ

“ข้าน้อยขอขอบคุณศิษย์พี่เป็นอย่างสูง!”

หลังจากที่แสดงความขอบคุณแล้ว หวังเป่าเล่อก็เก็บแหวนเข้ากระเป๋าก่อนจะนั่งลง มีความคาดหวังสะท้อนอยู่ในดวงตา ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาเพียงต้องรอเท่านั้น!

ข้าต้องรอให้เรือวิญญาณและผู้ฝึกตนอารยธรรมครามทองคำปรากฏตัว! หวังเป่าเล่อรู้ว่าถึงแม้สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะล้มเหลวในการยึดครองดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ พวกเขาก็จะไม่มัวพะวงอยู่กับความผิดพลาด เป้าหมายของพวกเขาคือการช่วงชิงสิทธิ์การเข้าสุสานดวงดารามา และเป็นไปได้มากว่าพวกเขาจะหาทางเข้าทางอื่นด้วย

พวกเขาอาจจะซื้อสิทธิ์การเคลื่อนย้ายจากฝ่ายการเมืองหรือตระกูลอื่นๆ… หวังเป่าเล่อไม่ได้ใส่ใจคิดเรื่องนี้มากนัก ขณะนี้ชายหนุ่มตัดสินใจแล้ว เขาค่อยๆ ทำใจให้เย็นก่อนจะเริ่มฝึกปราณขณะรอคอย นอกเหนือจากจะต้องรักษาระดับปราณให้อยู่ในจุดสูงสุดแล้ว หวังเป่าเล่อยังเริ่มจัดเรียงสมบัติเวทและพลังเทพต่างๆ ในครอบครองอีกด้วย

ขณะนี้สมบัติเวทของเขาหากไม่เสียหายก็มีระดับปราณต่ำกว่าระดับของเขาอยู่หลายขุม ทั้งคุณภาพและความแข็งแรงของสมบัติเวทกลุ่มหลังนั้นไม่เพียงพออีกต่อไป หวังเป่าเล่อจึงขีดพวกมันออกจากรายชื่ออาวุธที่สามารถนำมาใช้สู้ได้ สิ่งที่คงเหลืออยู่มีเพียงเกราะมหาจักรพรรดิ อาวุธเทพของเขา และโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา

ชายหนุ่มมีอาวุธเทพระดับเก้าอยู่ในครอบครองสองสามชิ้น แม้ว่าในอดีตพวกมันจะเคยเป็นวัตถุเวทล้ำค่าสำหรับหวังเป่าเล่อ แต่ตอนนี้พลังทำลายของพวกมันมีน้อยนิด เทียบไม่ได้กับพลังทำลายจากนิ้วมือของเขาเพียงนิ้วเดียวด้วยซ้ำ

ระดับปราณของข้าพัฒนาเร็วเกินไป ข้าไม่มีเวลานั่งพัก หลอมและสะสมวัตถุเวทเอาเสียเลย หวังเป่าเล่อถอนใจ กองทัพหุ่นเชิดของเขาก็ถูกทำลายไปจนร่อยหรอจากการต่อสู้กับผู้อาวุโสฝ่ายขวา ตอนนี้ชายหนุ่มมีเพียงกองทัพของเหล่าวิญญาณเท่านั้น

หวังเป่าเล่อยกมือถูหน้าผาก เขายังไม่ถอดใจ ชายหนุ่มยังมีเกราะมหาจักรพรรดิสุดล้ำค่าอยู่ เกราะนี้มีค่าเสียยิ่งว่าสมบัติเวทเป็นแสนๆ ชิ้นเสียอีก

ช่างน่าเสียดาย สมบัติเวทที่ข้ารักใคร่เป็นอย่างมากในอดีตเหล่านี้… หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นอย่างรู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อย ก่อนที่โทรโข่งขนาดยักษ์จะมาปรากฏขึ้นในมือ

ใบหน้าของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ถมึงทึงขึ้นทันทีเมื่อได้ยินคำท้าจากหวังเป่าเล่อ เขาต้องยอมรับกับตนเองว่าทุกอย่างดูง่ายดายเกินไป ปรามาจารย์หลอกล่อให้หลงหนานจื่อทำตามแผนของตนได้หลายครั้งแล้วก่อนหน้านี้ ทำให้เริ่มประมาท ส่งผลให้ตอนนี้ต้องมาติดกับหลงหนานจื่อในช่วงเวลาสำคัญ แม้ว่าทุกอย่างจะยังไม่สายเกินไปก็ตาม…

ตอนนี้ศัตรูถือไพ่เหนือกว่า ปรมาจารย์มหาทัณฑ์นึกย้อนถึงสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น แม้จะอยากสังหารอีกฝ่ายเพียงใด แต่ก็นึกกลัวกลอุบายของหวังเป่าเล่ออยู่บ้าง

ปรมาจารย์รู้ดีว่าบางสิ่งนั้นดูง่ายดายเกินไปเมื่อมองย้อนไปดู ราวกับว่าใครๆ ก็บอกได้ว่าเรื่องนี้จะจบอย่างไร แต่ความสามารถในการวิเคราะห์สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและทำนายสถานการณ์ที่จะตามมา ก่อนคิดทำตามแผนขณะที่มองไม่เห็นอนาคตนั้น เป็นความสามารถที่น้อยคนนักจะมีได้

ตัวอย่างเช่น หลงหนานจื่อผู้นี้…เขาคงจะสงสัยมาพักหนึ่งแล้ว จากนั้นเขาก็โชคดีจนก้าวหน้าในเรื่องการฝึกปราณ ส่งผลให้พวกเราไม่ได้เอะใจเลยว่าเจ้านี่ได้สร้างร่างอวตารขึ้นมา…ปรมาจารย์มหาทัณฑ์นิ่งงันไป เขาเมินเฉยต่อคำยั่วยุของอีกฝ่าย รู้ดีว่าใครเป็นผู้ทำให้ดารานิรันดร์ปะทุขึ้นมาเมื่อครู่ ไม่มีทางที่ปรมาจารย์จะพุ่งเข้าไปต่อสู้ในตอนนี้

อย่างไรเสียปรมาจารย์ก็เป็นสมาชิกราชวงศ์ ความรู้ที่เขามีต่อดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์นั้นเหนือกว่าผู้ฝึกตนทั่วไป เขารู้ดีว่า…หลงหนานจื่อที่ตอนนี้มีสิทธิ์ขาดในการควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์แถมยังได้รับพลังเสริมเมื่ออยู่ใกล้ดารานิรันดร์…ย่อมไม่กลัวผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์คนใดอีกต่อไป มีเพียงผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์เท่านั้นที่จะต่อกรกับเขาได้ในขณะนี้!

อันที่จริงแล้ว…ต่อให้เป็นระดับดารานิรันดร์ ก็คงต้องใช้เวลาสักพักในการจะสังหารหวังเป่าเล่อหากพวกเขาต่อสู้กันบนดารานิรันดร์ แถมยังมีความเป็นไปได้ที่ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์จะสังหารชายหนุ่มไม่สำเร็จ อาจทำได้เพียงไล่ต้อนให้จนมุมจนต้องเคลื่อนย้ายหนีไปเท่านั้น

พูดให้ง่ายก็คือตราบใดที่หลงหนานจื่อยังอยู่บนดารานิรันดร์และไม่ก้าวออกมา เขาก็จะไร้เทียมทานในระดับหนึ่ง

แน่นอนว่า…ความไร้เทียมทานนี้ต้องขึ้นอยู่กับปัจจัยหนึ่งเป็นสำคัญ นั่นก็คือ…หวังเป่าเล่อจะต้องอยู่ภายในดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์!

ทันทีที่ชายหนุ่มก้าวออกจากดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ พลังเสริมที่ได้รับมาจะลดลงอย่างฉับพลัน ในตอนนั้นเอง หากผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์หลายๆ คนช่วยกัน ก็ย่อมสังหารเขาได้แน่นอน

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ปรมาจารย์มหาทัณฑ์จึงตัดสินใจเลิกสนใจหวังเป่าเล่อ กลับกันชายวัยกลางคนกลับหันไปทางประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แทน หวังเป่าเล่อเฝ้ามองขณะที่ทั้งคู่พยักหน้าให้กันหลังจากสื่อสารผ่านข้อความเสียง ชายหนุ่มไม่รู้ว่าคนทั้งสองพูดคุยอะไรกัน แต่ความตึงเครียดบนใบหน้าของพวกเขาก็มลายหายไป ก่อนที่ทั้งคู่จะหันหลังและทะยานจากไป!

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มเองก็ถอยเช่นกัน เขาหลบออกมาจากสายตาของทุกคน กลับไปยังขอบเขตของดารานิรันดร์

ดารานิรันดร์เป็นพลังทำลายล้างของธรรมชาติ เป็นพายุหมุนแห่งแสงและความร้อนอันรุนแรงสำหรับคนอื่นๆ แต่สำหรับหวังเป่าเล่อ ผู้มีสิทธิ์ควบคุมแต่เพียงผู้เดียว กลับไม่ได้รับอันตรายจากมันแม้แต่น้อย คลื่นความร้อนรุนแรงแหวกทางให้ชายหนุ่มเมื่อเขาต้องการ

หลังจากที่ได้รับสิทธิ์การควบคุมมาทั้งหมดแล้ว หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงพลังการเคลื่อนย้ายภายในกาย ชายหนุ่มสามารถเรียกใช้พลังของดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์เพื่อเคลื่อนย้ายตนเองไปที่ใดก็ได้ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ตามต้องการ จากนั้นก็สามารถเคลื่อนย้ายกลับมายังดารานิรันดร์ได้อีกด้วย

ความคิดนั้นส่งให้นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ชายหนุ่มไม่ได้กระทำการหุนหันแต่อย่างใด เขาตัดสินใจว่าจะใช้เวลาฝึกการใช้สิทธิ์ควบคุมนี้ให้เชี่ยวชาญเสียก่อน หลังจากที่คุ้นชินกับดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์แล้ว เขาจึงจะตัดสินใจขั้นต่อไป

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เร่งความเร็วทะยานข้ามดารานิรันดร์ไป ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงปราณกังวานระหว่างตนกับดารานิรันดร์ เป็นความรู้สึกที่เขาคุ้นเคยอย่างยิ่ง ชายหนุ่มเป็นนักหลอมอาวุธเวท และความรู้สึกนี้ก็เหมือนกับเมื่อผู้ฝึกตนสักคนรู้สึกถึงความเชื่อมต่อระหว่างตนกับอาวุธเวทที่หลอมขึ้นมา คลื่นปราณกังวานที่เขารู้สึกเกิดมาจากสิ่งนี้เอง

“ข้าเข้าใจถูกต้อง ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ที่แท้แล้วคือวัตถุเวทขนาดยักษ์!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างครุ่นคิด ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงวัตถุเวทแห่งความมืดของตนบนดาวอังคาร

หลังจากที่หล่อเลี้ยงมานาน วัตถุเวทแห่งความมืดของข้าก็น่าจะพร้อมถูกเก็บเกี่ยวและนำออกมาจากดาวอังคารได้เสียที!

หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่เดินชมดารานิรันดร์จนรอบแล้ว ชายหนุ่มก็หาที่สงบๆ นั่งศึกษาสิทธิ์การควบคุมที่ได้รับมาอย่างถี่ถ้วน สองสัปดาห์ต่อมาเขาจึงลืมตาขึ้น ตอนนี้หวังเป่าเล่อเข้าใจดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ถ่องแท้แล้ว

สถานที่นี้สามารถเคลื่อนระหว่างสองตำแหน่งภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้ และเคลื่อนย้ายได้ไม่จำกัดครั้ง…หากใช้พลังจากดารานิรันดร์ ข้าจะสามารถเคลื่อนย้ายระยะไกลได้อีกด้วย…แต่ระดับปราณของข้าก็ต้องสูงพอเสียก่อน! หวังเป่าเล่อเริ่มหายใจแรงขึ้นเล็กน้อย ตามการวิเคราะห์ของเขา เมื่อใดที่เขาบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ เขาจะสามารถเคลื่อนย้ายอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไปยังระบบสุริยะได้หากต้องการ!

แม้ว่าระดับปราณของเขาในตอนนี้ยังไม่สูงถึงขั้นนั้นและการทำเช่นนั้นยังเกินความสามารถของเขาไป แต่การจะเคลื่อนย้ายตนเองกลับไปยังโลกเป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อสามารถทำได้แล้วในตอนนี้ เพียงแค่คิดเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น…อุปสรรคจากระดับปราณปัจจุบันก็ยังคงอยู่ เพราะระยะทางระหว่างโลกและอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงเคลื่อนย้ายตนเองกลับไปยังโลก…แต่ไม่สามารถกลับมาได้หากต้องการ

อย่างไรเสียเรื่องนี้ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด หวังเป่าเล่อตื่นเต้นไปหมด ชายหนุ่มแทบจะห้ามใจไม่ให้เคลื่อนย้ายตัวเองกลับไปทันทีไม่ได้ เขาเสียเวลาไปนานเพื่อทำใจให้สงบลงก่อนจะหรี่ตา

อดทนไว้…ข้ายังไม่เสร็จธุระที่นี่ หวังเป่าเล่อไม่อยากจะจากไปทั้งอย่างนี้ ชายหนุ่มไม่ได้ฝ่าฟันปัญหาทั้งหมดมาเพื่อจะเคลื่อนย้ายเพียงครั้งเดียว มันไม่คุ้มเลยแม้แต่น้อย

หากหวังเป่าเล่อไม่สามารถกลับมายังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้ เขาก็ไม่อาจนำดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์กลับไปด้วยได้ และใครคนอื่นก็จะมาแย่งมันไป แม้ว่าชายหนุ่มจะมีสิทธิ์การควบคุมดวงเนตรสวรรค์ เขาก็เชื่อว่าคงเป็นเรื่องง่ายดายยิ่งสำหรับผู้ฝึกตนทรงอำนาจที่จะมาขโมยดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ไปหากพวกเขาต้องการ

ไหนจะยัง…สุสานดวงดารานั่นอีก ข้าต้องการเข้าไปที่นั่นด้วย มีเปลวไฟเผาไหม้อยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อ มันไม่ใช่โทสะแต่เป็นเปลวไฟแห่งปรารถนาที่จะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์

บัดนี้ชายหนุ่มมั่นใจแล้วว่าสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ร่วมมือกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์สวรรค์เพราะว่าฝ่ายแรกต้องการสิทธิ์เข้าสุสานดวงดาราที่ฝ่ายหลังมี เมื่อเป็นเช่นนั้น…หากหวังเป่าเล่อสังหารปรมาจารย์ได้ เขาจะยึดสิทธิ์ดังกล่าวมาได้หรือไม่กันนะ…

ความคิดนั้นทำให้หัวใจของหวังเป่าเล่อยิ่งเผาไหม้อย่างร้อนแรงขึ้นไปอีก เขาไม่รู้เรื่องสุสานดวงดารามากนัก ชายหนุ่มรู้เพียงว่ามันเป็นดินแดนแห่งโอกาสที่อัจฉริยะจากฝ่ายการเมืองและตระกูลใหญ่ต่างๆ ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นมารวมตัวกันเพื่อโอกาสการบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ แต่ชายก็เคยขึ้นเรือวิญญาณมาแล้วครั้งหนึ่ง!

กระดาษรูปมนุษย์ภายในแหวนคลังเก็บของเขาเป็นอีกเหตุผลที่หวังเป่าเล่อสนใจสุสานดวงดาราเป็นอย่างยิ่ง แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่า การที่เขาได้ขึ้นเรือเป็นเพราะกระดาษรูปมนุษย์ในแหวนคลังเก็บ ไม่ใช่เพราะตัวเขาพิเศษแต่อย่างใด ชายหนุ่มรู้ดีว่าหากไม่มีสิทธิ์ เขาก็ไม่อาจขึ้นเรือได้อีก ทุกอย่างจะเป็นเหมือนเดิม เขาจะถูกคนเรือไล่ลงมาอีกครั้ง

หวังเป่าเล่อครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ จากนั้นแววมุ่งมั่นก็ฉายชัดขึ้นมาในดวงตา ไม่ว่าอย่างไรเสีย เขาก็จะต้องสู้เพื่อโอกาสดังกล่าว และก่อนที่หวังเป่าเล่อจะทำสิ่งใดต่อ เขายังมีอีกเรื่องที่ต้องจัดการ

นั่นก็คือ…เจ้าเยี่ยเหมิง เจ้าลา และเจ้าอู๋น้อย หวังเป่าเล่อตอนนี้อยู่ในกายสารัตถะ หากร่างนี้ต้องตายในการต่อสู้ แม้ว่าร่างจริงของเขาจะเสียหายบ้าง เขาก็ยังมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่สำหรับพวกนั้นแล้วไม่ใช่

หากแผนของเขาสำเร็จ หวังเป่าเล่อจะได้ไปอยู่ในสุสานดวงดารา ไม่มีทางเลยที่ชายหนุ่มจะพาคนเหล่านั้นไปเสี่ยงอันตรายกับเขาด้วย การเข้าสุสานดวงดารานี้เป็นการเดิมพันที่สูงยิ่ง เทียบเท่ากับการแย่งเหยื่อจากปากพยัคฆ์ และเป็นไปได้มากที่ร่างอวตารของเขาจะต้องตายจากความพยายามนี้

แต่คงไม่เหมาะนักหากจะทิ้งทั้งสามเอาไว้บนดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์เช่นกัน สิทธิ์การควบคุมนั้นคุ้มครองหวังเป่าเล่อก็ต่อเมื่อเขาอยู่ในอาณาเขตดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์เท่านั้น แต่ทันทีที่ชายหนุ่มออกจากดารานิรันดร์ไป ทั้งสามย่อมถูกคลื่นความร้อนของดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์กลืนเข้าไปเป็นแน่

เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใหญ่…ข้าจะส่งพวกเขาไปซ่อนตัวอยู่บนดาวเคราะห์สักดวงในอารยธรรมใกล้ๆ ตอนนี้ข้าอาจจะเดินทางกลับโลกได้เพียงครั้งเดียวจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ข้าอาจเคลื่อนย้ายไปกลับได้หากขยับเข้าใกล้โลกขึ้นอีกสักหน่อย เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ส่งดวงจิตเทพไปหาเจ้าเยี่ยเหมิง หลังจากที่พูดคุยกับนางเรียบร้อย ร่างของเขาก็สลายหายไป คลื่นความร้อนปะทุขึ้นทั่วดารานิรันดร์ในอึดใจต่อมา จากนั้นคลื่นพลังวิญญาณที่สื่อถึงการเคลื่อนย้ายก็ก่อตัวขึ้นก่อนจะแพร่กระจายออกไป หวังเป่าเล่อหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

คลื่นพลังวิญญาณปั่นป่วนไปทั่วดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์เพราะหวังเป่าเล่อเคลื่อนย้ายจากไป ผู้ฝึกตนทุกคนในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์สัมผัสได้ถึงเปลวไฟอันร้อนแรงจากดวงอาทิตย์ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์และประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เงยหน้ามองฟ้าด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด

“เขาไปแล้วหรือ” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์พึมพำกับตนเอง อึดใจต่อมา ดวงอาทิตย์ที่สงบไปก็แผดแสงจ้าขึ้นอีกครั้ง คลื่นพลังวิญญาณปะทุออกมาทันทีที่ประตูเคลื่อนย้ายเปิดขึ้นอีกครา หวังเป่าเล่อที่หายตัวไปเมื่อครู่ ปรากฏตัวกลับมายังดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ท่ามกลางพลังวิญญาณที่กำลังปะทุอย่างรุนแรง

หวังเป่าเล่อตระหนักได้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์ต้องมีวิธีปกปิดสายเลือดของตนเพื่อไม่ให้ใครล่วงรู้ ชายหนุ่มยังตระหนักได้อีกด้วยว่า…สิ่งนี้ต้องเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดที่ปรมาจารย์เก็บซ่อนเอาไว้

แม้ว่าคนผู้นั้นจะเป็นเชื้อสายราชวงศ์ แต่กลับไม่มีใครล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายแม้แต่น้อย ปรมาจารย์ไต่เต้าขึ้นมาจนเป็นปรมาจารย์ระดับดาวพระเคราะห์ของสำนักฝ่ายตรงข้ามที่ขับเคี่ยวกับราชวงศ์อย่างถึงลูกถึงคนมาตลอด หวังเป่าเล่อเชื่อว่าระหว่างปรมาจารย์และราชวงศ์ต้องเคยมีเรื่องบาดหมางกันเป็นแน่ อาจเป็นไปได้ว่ามีบางอย่างเกี่ยวข้องกับสมาชิกราชวงศ์ที่มีลูกนอกสมรสทิ้งไว้เมื่อหลายปีก่อน ผู้ที่ล่วงรู้เรื่องลูกนอกสมรสคนนี้ หากไม่ถูกสังหารไปแล้วก็คงเลือกที่จะปิดปากเงียบ!

“จริงอยู่ที่ว่าข้าไม่รับสืบทอดสิทธิ์การควบคุมดารานิรันดร์ แต่เมื่อสังหารเจ้าได้ข้าย่อมได้มันมาแน่ ในเมื่อตอนนี้เจ้าได้รู้ความจริงแล้ว เช่นนั้นก็จงตายอย่างสงบเสียเถิด” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์พูดอย่างเยือกเย็น ความจริงถูกเปิดเผย หลงหนานจื่อจะต้องตาย และแผนการของเขาจะต้องสำเร็จ ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องปกปิดอะไรอีกต่อไป ชายวัยกลางคนชี้นิ้วไปหาหวังเป่าเล่อ

พลังมหาศาลไหลบ่าออกจากนิ้วมือของเขาแล้วมุ่งเข้าไปหาหวังเป่าเล่อ ร่างที่อ่อนล้าของชายหนุ่มสั่นสะท้านก่อนจะสลายกลายเป็นฝุ่น ความตายของเขามาถึงในชั่วพริบตา!

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แทบจะควบคุมความลิงโลดใจเอาไว้ไม่อยู่หลังจากที่สังหารหวังเป่าเล่อไปเรียบร้อย ชายผู้นี้มีเลือดราชวงศ์อยู่ในกายจริง หวังเป่าเล่อเดาได้ถูกต้อง แผนของเขาคือจัดฉากการต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อกับราชวงศ์ ปรมาจารย์ต้องการกำจัดสมาชิกราชวงศ์ออกไปให้มากที่สุดในขณะที่ซ่อนความจริงที่ว่าตนเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเอาไว้ เมื่อเขาและหลงหนานจื่อกลายมาเป็นสมาชิกราชวงศ์สองคนสุดท้าย เขาจึงจะลงมือ

แต่การที่หวังเป่าเล่อไปติดกับดักบนดารานิรันดร์ไม่ได้เป็นไปตามแผนของเขา ด้วยเหตุนี้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์จึงต้องออกมาให้ความช่วยเหลือชายหนุ่มไม่น้อย ความตายของผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นโอกาสที่ปรมาจารย์รอคอย เขาฉวยโอกาสตอนที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าสังหารสมาชิกราชวงศ์ที่เหลือทุกคน รวมถึงเหออวิ๋นจื่อด้วย!

แต่การที่สิทธิ์การควบคุมไม่ได้ถูกส่งผ่านมายังเขาหลังจากที่เหออวิ๋นจื่อตายเป็นเรื่องเกินคาดอยู่สักหน่อย ปรมาจารย์ต้องเสี่ยงไม่น้อยเพื่อสังหารเหออวิ๋นจื่อ ชั้นป้องกันแน่นหนาที่ล้อมรอบเหออวิ๋นจื่อเอาไว้ทำให้ไม่อาจรับประกันได้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์จะกลับออกมาได้อย่างปลอดภัยแม้จะสังหารอีกฝ่ายได้ แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งความโกรธเกรี้ยวของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไปจนถึงการเปิดเผยตัวตนในฐานะราชวงศ์ของปรมาจารย์ ก็เป็นไปตามแผนที่เขาวางไว้ทุกอย่าง!

ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า แม้สิทธิ์การควบคุมจะยังไม่ได้ถูกโอนมาที่เขา ทว่าสัญลักษณ์ตกเป็นของเขาแล้ว มันคือร่องรอยสีขาวตรงหว่างคิ้วนั่นเอง

สิ่งใดก็ตามที่เหออวิ๋นจื่อสามารถมอบให้สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ เขาเองก็ให้ได้เช่นกัน เพราะอย่างไรเสีย สิ่งที่คนเหล่านั้นต้องการก็คือสัญลักษณ์ของสุสานดวงดารา ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่เหออวิ๋นจื่อให้คนเหล่านั้นไม่ได้ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์สามารถให้ได้!

ด้วยเหตุนี้สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จึงเลือกที่จะร่วมมือกับเขาแทน ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่คิดอยู่พักใหญ่ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็เข้าใจว่าเหตุใดสิทธิ์การควบคุมดารานิรันดร์จึงยังไม่ถูกถ่ายโอนมาที่เขา สายเลือดราชวงศ์นั้นเป็นความเกี่ยวดองทางโลหิตเช่นเดียวกับการสืบทอดวิชาดวงเนตรสวรรค์ สัญลักษณ์ผู้สืบทอดอยู่ในเลือดและเนื้อ เป็นเหตุให้ผู้ที่จะได้รับสืบทอดสัญลักษณ์ต้องมีความเกี่ยวพันทางสายเลือดกับราชวงศ์ แต่สิทธิ์การควบคุมดารานิรันดร์นั้นแตกต่างออกไป ดารานิรันดร์เป็นวัตถุภายนอก อาจนับได้ว่าเป็นวัตถุเวทที่มีขนาดมหึมา การส่งผ่านสิทธิ์การควบคุมดารานิรันดร์นั้นจึงขึ้นอยู่กับว่า ผู้นั้นได้รับสืบทอดวิชาดวงเนตรสวรรค์หรือไม่

แม้ว่าปรมาจารย์จะไม่เหมาะสมเท่าหวังเป่าเล่อในฐานะผู้สืบทอดสิทธิ์ควบคุม แต่เขาก็มีทางแก้ไขได้ง่ายๆ นั่นคือการสังหารหลงหนานจื่อเสีย เมื่ออีกฝ่ายตายแล้ว ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็จะกลายมาเป็นผู้สืบทอดสิทธิ์ควบคุมแต่เพียงผู้เดียว

เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงรัศมีที่แผ่ออกมาจากดวงเนตรสวรรค์เบื้องหลังเขา ข้างกายเขานั้นคือประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่จ้องมองมาพลางพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น

“หลงหนานจื่อตายแล้ว สหายร่วมสำนักเต๋าปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ข้าขอแสดงความยินดีด้วย ท่านได้รับสิทธิ์ควบคุมดวงเนตรของดารานิรันดร์โดยสมบูรณ์ ได้โปรดเปิดดารานิรันดร์เถิด ผู้ฝึกตนแห่งอารยธรรมครามทองคำระลอกสองจะได้เดินทางมาที่นี่ มหาศิษย์เต๋าของอารยธรรมเราจะมาถึงพร้อมกองกำลังระลอกสองนี้ เขาได้รับเลือกให้รับสัญลักษณ์ผู้สืบทอด เรือสู่สุสานดวงดารานั้น…ใกล้จะมาถึงเต็มทีแล้ว”

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เริ่มขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งที่ประมุขสำนักพูด ความเคลือบแคลงและสับสนค่อยๆ ปรากฏขึ้นในแววตา

“ข้ายังไม่รู้สึกว่าสิทธิ์การควบคุมถูกถ่ายทอดมายังกายข้าเลย…”

“ปรมาจารย์มหาทัณฑ์!” นัยน์ตาของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เย็นชาขึ้นมาทันที

“ท่านสังหารสมาชิกราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ทั้งหมด ท่านเป็นทายาทคนสุดท้ายที่มีสายเลือดราชวงศ์ในกาย หลงหนานจื่อก็ตายแล้ว แล้วท่านก็ยังมีสัญลักษณ์ผู้สืบทอด ท่านจะไม่มีสิทธิ์การควบคุมดารานิรันดร์ได้อย่างไรกัน” คำพูดของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เปี่ยมไปด้วยความไม่พอใจ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เป็นคนหลักแหลม จึงได้ยินความขุ่นเคืองนั้นอย่างชัดเจน

คิ้วของปรมาจารย์ยิ่งขมวดเข้าหากันแน่นขึ้น ก่อนที่ประกายสงสัยในแววตาจะเริ่มกล้าขึ้น เขาหันไปจ้องมองประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นจึงพยายามอธิบาย ขณะหักห้ามใจตนเองไม่ให้ยิ้มเยาะความไร้ปัญญาของอีกฝ่าย

“สหายร่วมสำนักเต๋า ข้าได้สาบานเอาไว้แล้ว ถึงขนาดยอมมอบสัญลักษณ์ผู้สืบทอดให้เพื่อแลกเปลี่ยนกับความร่วมมือ แล้วข้าจะหวงสิทธิ์การควบคุมดารานิรันดร์ไปทำไมเล่า แต่ตอนนี้ข้ายังควบคุมมันไม่ได้จริงๆ!”

“แปลได้อย่างเดียว…” เขามีสีหน้าถมึงทึงขึ้นมาทันที ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เงยหน้าขึ้นอย่างปุบปับก่อนจะจ้องไปยังตำแหน่งที่หวังเป่าเล่อสิ้นชีพไปด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด

“หลงหนานจื่อ…ยังไม่ตาย!”

ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อดรนทนไม่ได้ขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย แต่ก่อนที่เขาจะทันได้พูด สีหน้าก็พลันตื่นตกใจขึ้นมาเสียก่อนขณะจ้องมองไปยังทิศทางของดารานิรันดร์

มีคลื่นพลังวิญญาณกระจายออกมาจากดารานิรันดร์ วงแหวนปราณที่ครอบดารานิรันดร์อยู่ถูกเจาะเข้าไปแล้ว!

“ไม่นะ!”

ขณะที่ความตื่นตกใจสะท้อนอยู่ในสีหน้าของทุกคน ร่างสารัตถะของหวังเป่าเล่อก็พุ่งทะลุวงแหวนปราณรอบนอกดารานิรันดร์ราวกับเป็นดาวหาง ร่างอวตารถูกส่งไปเป็นตัวล่อศัตรู ในขณะที่ร่างสารัตถะออกมาจากสะเก็ดดาวและมุ่งหน้าไปที่ดารานิรันดร์อย่างเร็วรี่

ตอนที่ร่างอวตารของเขาตาย กายสารัตถะของชายหนุ่มก็อยู่ใกล้ดารานิรันดร์มากแล้ว หวังเป่าเล่อจึงไม่มีความจำเป็นต้องซ่อนตัวเองอีกต่อไป ชายหนุ่มใช้ความเร็วสูงสุดพุ่งทะลวงวงแหวนปราณก่อนที่ศัตรูจะรู้ว่ามีบางอย่างผิดปรกติ!

ไม่มีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ยืนยามอยู่นอกดารานิรันดร์ในขณะนี้ มีเพียงขั้นจิตวิญญาณอมตะสองสามคนเท่านั้น พวกเขาไม่ได้ล่วงรู้ว่าหวังเป่าเล่อจะมาถึงจึงไม่อาจหยุดชายหนุ่มได้ อุปสรรคเดียวที่ขวางหน้าหวังเป่าเล่ออยู่ก็คือวงแหวนปราณ แต่หากมีเวลามากพอ ชายหนุ่มก็รู้ว่าเขาสามารถทะลวงมันเข้าไปถึงดารานิรันดร์ได้!

หวังเป่าเล่อรู้อยู่แล้วว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่ได้สิทธิ์การควบคุมดารานิรันดร์ไปหลังจากที่สังหารเหออวิ๋นจื่อ แปลว่า…มีความเป็นไปได้มากที่ตอนนี้หวังเป่าเล่อจะมีสิทธิ์การควบคุมดารานิรันดร์อย่างสมบูรณ์!

ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่อธิบายถึงการมีอยู่ของวงแหวนปราณรอบดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์และความพยายามมหาศาลที่ทั้งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะสังหารเขาได้ดีไปกว่านี้

หากชายหนุ่มคิดถูก ทั่วทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ขณะนี้ ดารานิรันดร์ย่อมเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับตัวเขา หากไปถึงที่นั่นได้หวังเป่าเล่อก็จะไร้เทียมทาน!

ตั๊กแตนมัวแต่แกะรอยจักจั่น หารู้ไม่ว่ามีนกขมิ้นอยู่ข้างหลังตน ไม่ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์จะเจ้าเล่ห์เพทุบายเพียงใด…สุดท้ายข้าก็ยังอ่านแผนของเขาออกจนได้ ตอนนี้ข้าได้เปรียบแล้ว! นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายออกมา เขาเคลื่อนตัวราวกับดาวหาง พุ่งทะยานข้ามอวกาศมุ่งตรงเข้าไปใส่กองกำลังผู้ฝึกตนสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายนอกดารานิรันดร์ ซากศพและความเสียหายขนานหนักถูกทิ้งให้เห็นในทุกๆ ที่ที่หวังเป่าเล่อเคลื่อนผ่าน นั่นเพราะไม่มีใครหยุดเขาได้เลยแม้แต่คนเดียว

พวกเขาทำได้แต่เพียงมอง ขณะที่หวังเป่าเล่อพุ่งทะยานออกไปราวกับเป็นเทพสงคราม เกราะมหาจักรพรรดิครอบคลุมรอบกายขณะที่อาวุธเทพสะท้อนประกายอยู่บนแขนข้างขวา ดวงเนตรปีศาจก็ปล่อยคลื่นพลังทำลายล้างออกมาขณะที่ชายหนุ่มพุ่งเข้าหาวงแหวนปราณอย่างรวดเร็ว

จักรวาลสั่นไหว พลังวิญญาณกระจายเป็นคลื่นไปทั่วดารานิรันดร์ ทำให้เกิดคลื่นความร้อนหนักหน่วงจนวงแหวนปราณส่องแสงออกมา ดูคล้ายเป็นโล่ที่มองไม่เห็นซึ่งห่อหุ้มดารานิรันดร์เอาไว้ และขณะนี้ก็มีคลื่นรบกวนกระจายอยู่ทั่วโล่!

จุดกำเนิดของคลื่นรบกวนเหล่านั้นมาจากหวังเป่าเล่อ จุดที่ถูกเขาโจมตีต่อเนื่องไปเมื่อครู่เริ่มยุบเข้าไปด้านใน ก่อนจะมีแสงสว่างจ้าส่องออกมา ดูเหมือนว่าวงแหวนปราณจะต้านทานการโจมตีของชายหนุ่มเอาไว้ได้ แต่เขาก็ปล่อยพลังปราณออกมาเต็มที่ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ โล่นั้นคงไม่อาจต้านทานได้นานนัก

นั่นเพราะตอนนี้…หวังเป่าเล่อสำแดงพลังอันรุนแรงเทียบเท่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ออกมา ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้นทั่วๆ ไปที่อ่อนแอกว่ามาตรฐานยังไม่อาจรับมือเขาได้ด้วยซ้ำ!

ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และปรมาจารย์มหาทัณฑ์เพิ่งตื่นจากภวังค์ ท่ามกลางความตื่นตระหนก ทั้งคู่จึงปล่อยพลังเทพออกมาก่อนพุ่งตรงไปหาดารานิรันดร์เต็มแรง พวกเขาใช้พลังปราณอย่างเต็มที่เพื่อเดินทางข้ามอวกาศไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะไปปรากฏตัวอยู่ด้านนอกดารานิรันดร์ในชั่วพริบตา ภาพแรกที่พวกเขามองเห็นคือหวังเป่าเล่อที่กำลังกระแทกวงแหวนปราณด้วยทุกอย่างที่เจ้าตัวมี เจ้าสำนักทั้งสองพุ่งเข้าไปหวังจะหยุดชายหนุ่มเอาไว้แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว…

ก่อนที่ใครจะได้ลงมือ คลื่นพลังวิญญาณอันรุนแรงก็ปะทุขึ้นมาจากวงแหวนปราณ ก่อนที่มันจะถล่มลงไปต่อหน้าทุกคน หวังเป่าเล่อยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้ารอยถล่มที่ทำให้วงแหวนปราณทั้งหมดพังครืนและสลายหายวับไป ชายหนุ่มหันหลังกลับมาจ้องมองศัตรูด้วยแววตาเปี่ยมความหมายก่อนจะยิ้มเยาะ

ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มีสีหน้าถมึงทึงเมื่อมองเห็นรอยยิ้มนั้น ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เองก็มีสีหน้าเคร่งเครียดไม่แพ้กัน พวกเขาได้เพียงมอง…ขณะที่วงแหวนปราณแหลกสลายและเศษชิ้นเล็กชิ้นน้อยของมันค่อยๆ ร่วงหล่นลงไป เผยให้เห็นดารานิรันดร์อันเจิดจ้าที่อยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ

เสียงครืนสนั่นจากดารานิรันดร์นั้นราวกับเป็นเสียงไชโยโห่ร้อง มันรอหวังเป่าเล่อมานานแล้ว!

หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างดวงเนตรปีศาจของเขาและดารานิรันดร์ที่ค่อยๆ ถูกดึงเข้าหากัน ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงพลังของตนที่ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นขณะที่เขายืนอยู่บนดารานิรันดร์ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นก่อนจะงอนิ้วมือชี้ไปทางปรมาจารย์มหาทัณฑ์

“ไอ้คนชั่ว กล้ามาสู้กับข้าบนดารานิรันดร์แห่งนี้หรือไม่เล่า”

เหรียญตราในมือของหวังเป่าเล่อเป็นของที่ทำเลียนแบบเหรียญตราสันติตระกูลเซี่ย ชายหนุ่มชูมันขึ้นสูงก่อนจะตะโกนสุดเสียง

“นี่คือเหรียญตราสันติตระกูลเซี่ย มีใครหน้าไหนกล้าโจมตีข้าบ้างเล่า ความอวดดีทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักของพวกเจ้าต้องถึงแก่ความตายมาแล้ว!” ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถึงกับชะงักทันทีที่หวังเป่าเล่อดึงเหรียญตราออกมา สีหน้าของประมุขเคร่งขรึมขึ้นขณะจ้องมองไปยังเหรียญตราในมือของชายหนุ่ม นัยน์ตาของเขาฉายแววลังเล

ชายชราไม่ทันรู้ว่าหวังเป่าเล่อมองเห็นแววลังเลในดวงตาตน หัวใจของชายหนุ่มหล่นวูบไปที่ตาตุ่มอีกครั้ง

ต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นแน่ ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถึงได้ปล่อยสัมผัสสวรรค์ออกมาทิ้งเอาไว้เพื่อที่จะหาตัวข้าพบทันทีที่ข้าปรากฏตัวขึ้น เขาจะต้องรู้แน่ๆ ว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาตายไปแล้ว และต้องรู้ด้วยว่าตระกูลเซี่ยมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ไม่มีทางเลยที่เขาจะไม่รู้ว่าข้าถือครองเหรียญตราสันติอยู่ การที่เขายังกล้าจู่โจมข้าแปลว่าต้องมีเหตุผลบางอย่างอยู่เบื้องหลัง แต่พอข้าหยิบเหรียญตราสันติออกมา ทำไมเขายังต้องทำเป็นชั่งใจอยู่ เขาแสร้งทำเป็นเกรงใจให้ข้าเห็นหรือให้ใครคนอื่นเห็นกันแน่ ความคิดเหล่านี้หมุนวนอยู่ในศีรษะของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงสิ่งที่เคยอ่านจากอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงที่ว่า จิตใจคนนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะหยั่งถึงที่สุดในโลก

กลไกในศีรษะของชายหนุ่มหมุนวนต่อเนื่องรุนแรงขณะที่สีหน้าของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยังคงแสดงความลังเลใจ ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงดังสนั่นขึ้นมาจากความเวิ้งว้างเบื้องหลังเขา ใครบางคนกำลังพุ่งชนขอบของผนึก พยายามทะลวงเข้ามาด้านใน จู่ๆ ผนึกก็เริ่มสั่นไหว มีรอยแยกปรากฏให้เห็น ก่อนที่กำแพงของผนึกจะพังทะลุเข้ามาด้านในเป็นรูกว้าง

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์และปรมาจารย์แห่งสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำที่ต่างมีสีหน้าถมึงทึงยืนอยู่ด้านนอกของรอยแยก

“ใครกล้าทำร้ายหลงหนานจื่อ ศิษย์สำนักข้ากัน” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์พูดขึ้นก่อน เสียงของเขาดังลั่นแฝงไปด้วยอำนาจ แถมยังมีความเด็ดขาดสะท้อนอยู่ ราวกับเขาตัดสินใจแล้วว่าจะช่วยหวังเป่าเล่อให้ได้ไม่ว่าจะต้องเสียสิ่งใดไปก็ตาม

ชายวัยกลางคนยกมือขวาขึ้นคว้าไปทางหวังเป่าเล่อ เหมือนว่าจะดึงชายหนุ่มออกไปจากผนึก ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำที่อยู่ข้างกายเขาก็ปลดปล่อยพลังปราณออกมาเต็มพิกัด ราวกับว่าเตรียมพร้อมรับมือสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หากอีกฝ่ายพยายามจะหยุดการช่วยเหลือในครั้งนี้

ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หรี่ตาลง ก่อนจะพุ่งตัวออกไปอย่างปุบปับ เหมือนว่าพร้อมที่จะหยุดยั้งการช่วยเหลือของปรมาจารย์ทั้งสอง ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน และหวังเป่าเล่อก็ไม่มีเวลาคิดแม้แต่น้อย โชคยังดีที่ชายหนุ่มจับตามองปรมาจารย์มหาทัณฑ์อยู่ตลอด ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามแผนของหวังเป่าเล่อไม่มีผิด ชายหนุ่มส่งร่างอวตารนี้มาก็เพื่อเก็บข้อมูลว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

นี่เป็นโอกาสอันดีที่จะหาข้อมูลดังกล่าว มีประกายที่เล็กจนแทบมองไม่เห็นสะท้อนอยู่ในแววตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มไม่มีรอ แสร้งทำสีหน้าปลื้มปริ่มดีใจก่อนจะพุ่งไปหารอยแยกที่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์สร้างขึ้นทันที ภายในพริบตา มือของปรมาจารย์ก็คว้าตัวเขาไว้ได้ หวังเป่าเล่อกำลังจะถูกดึงออกจากผนึกและรอดพ้นอันตรายในไม่ช้าแล้ว…

แต่ในวินาทีนั้นเอง…ชายหนุ่มก็มีสีหน้าตื่นตะลึง

“ปรมาจารย์! ท่าน!” ฝ่ามือที่จับหวังเป่าเล่อเอาไว้เปลี่ยนจากสัมผัสอันอารีสู่การบีบอย่างรุนแรงในชั่วอึดใจ แทนที่จะช่วยเหลือหวังเป่าเล่อจากการถูกโจมตี มันกลับดูเหมือนจะจับชายหนุ่มไม่ให้ดิ้นหลุดจากที่แทน!

หวังเป่าเล่อส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดออกมาท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่นลั่นจักรวาล ร่างกายที่อ่อนแออยู่แต่เดิมของเขาเริ่มยอมแพ้ก่อนจะแตกสลาย แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของหวังเป่าเล่อก็ยังว่องไวไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่ากายจะเริ่มแตกสลาย แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่หยุดถอย เศษฝุ่นค่อยๆ ไหลมารวมกันอย่างทุลักทุเลและก่อตัวเป็นร่างเงาเลือนราง

แต่ก็เห็นได้ชัดว่า…ร่างที่ก่อตัวขึ้นนั้นอ่อนล้าจะแทบจะถึงขีดสุด เพียงสายลมที่พัดมาก็อาจส่งมันกลับไปเป็นฝุ่นผงและพัดพาเอาฝุ่นกองนั้นกระจายไปทั่วจักรวาลได้ รอยยิ้มขมขื่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าอ่อนล้า เขาจ้องไปที่รอยแยกและปรมาจารย์มหาทัณฑ์ซึ่งมีสีหน้าไร้อารมณ์ที่เพิ่งก้าวพ้นออกมา

“คนที่ไล่ล่าตัวเจ้าอยู่ไม่ใช่คนของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์พูดขณะที่ก้าวเข้ามาในผนึกและจ้องมองไปยังหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเคร่งขรึม ชายหนุ่มมองไปที่ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ใบหน้าของอีกฝ่ายไม่ได้แสดงอะไรออกมามากนักนอกจากรอยยิ้มเยาะที่มุมปาก ชายหนุ่มเข้าใจในวินาทีนั้นเอง เขาเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้

ประมุขสำนักรู้เรื่องความตายของผู้อาวุโสฝ่ายขวาและความสัมพันธ์ของหวังเป่าเล่อกับตระกูลเซี่ย ดังนั้นการที่ชายหนุ่มดึงเหรียญตราปลอมออกมาจึงไม่มีผลใดๆ เพราะสำหรับประมุขสำนักแล้วมันไม่มีความแตกต่างกันเลย แม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ประมุขสำนักจะไม่ยอมให้ความตายของหวังเป่าเล่อถูกนำมาเกี่ยวพันกับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แน่ พวกเขาจะไม่ยอมเป็นสาเหตุการตายโดยตรงของชายหนุ่มเด็ดขาด นั่นคือแผนที่พวกเขาวางไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองต้องเข้าไปพัวพันกับเรื่องนี้

ทั้งหมดเป็นเพียงการแสดง แต่รูปการเองก็สำคัญไม่ใช่น้อย ในส่วนของปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ ดูเหมือนว่าเขาจะยอมตกลงเป็นคนลงมือสังหารหวังเป่าเล่อเอง เพราะจะอย่างไรก็ตามแต่ ทั้งจักรวาลต้องได้รู้ว่าความตายของหวังเป่าเล่อเกิดขึ้นจากน้ำมือของปรมาจารย์มหาทัณฑ์!

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ผู้เจ้าเล่ห์ไม่น่าจะยอมตกลงทำอะไรเช่นนี้ได้ง่ายๆ ชายวัยกลางคนไม่น่าทำเช่นนี้เพราะตกเป็นเบี้ยล่างของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และถูกบีบให้ทำ เป็นไปได้ว่าเขาไม่ได้ล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างหวังเป่าเล่อกับตระกูลเซี่ย แต่หวังเป่าเล่อก็เลือกจะเดิมพันว่า…ปรมาจารย์ต้องทำข้อตกลงบางอย่างกับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่!

ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงสีหน้าที่ปรากฏบนใบหน้าของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตอนที่เขาเอ่ยถึงเหออวิ๋นจื่อ

เกิดอะไรขึ้นกับเหออวิ๋นจื่อกันแน่ หรือปรมาจารย์มหาทัณฑ์จับเขาได้แล้วควบคุมจิตใจของเขา

ไม่น่าเป็นไปได้ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์อาจจะเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ แต่เขาคงไม่ทำอะไรที่ไม่ได้ประโยชน์เป็นแน่ เขาจะกล้าจับเหออวิ๋นจื่อเป็นตัวประกันเพื่อต่อรองกับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เชียวหรือ ไม่ใช่ว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้เขาต้องเจอปัญหาต่อไปในอนาคตหรืออย่างไรกัน สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คงไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ แน่หากไปเล่นแง่ด้วยเช่นนั้น

เหออวิ๋นจื่อเป็นเชื้อพระวงศ์ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เป็นเพียงคนนอกเท่านั้น หากปรมาจารย์จะต่อรองกับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริง ก็เท่ากับเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเรื่องที่ไม่ใช่ปัญหาของเขาตั้งแต่ทีแรก สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นสำนักที่เย่อหยิ่งนัก ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ทำเช่นนั้นก็เท่ากับล้อเล่นกับความตาย เขาไม่ใช่คนโง่ ย่อมไม่ทำอะไรเช่นนั้นเป็นแน่… ยิ่งไปกว่านั้น ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำคงไม่เอาด้วยแน่นอน! จะต้องมีบางสิ่งที่เป็นกุญแจไขปริศนาทั้งหมดนี้ บางสิ่งที่หวังเป่าเล่อยังตีโจทย์ไม่แตก!

หรือว่า…ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะสลายไป ความคิดอันน่าตื่นตะลึงความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในศีรษะเขา

หรือว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์เอง…ก็มีเลือดราชวงศ์เช่นกัน หวังเป่าเล่ออดตกใจกับความคิดนี้ที่ปรากฏขึ้นมาในใจตนเองไม่ได้ แต่ความคิดดังกล่าวก็ฝังรากลึกลงไปทันที ความคิดของเขาเริ่มหมุนวนอยู่รอบๆ ทฤษฎีนี้ ทันใดนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็คิดว่าทุกอย่างเริ่มจะเข้าเค้า ตัวต่อทุกชิ้นไหลลงที่ของมันอย่างสมบูรณ์แบบ!

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เองก็มีเลือดราชวงศ์ เพราะเหตุนั้น เขาจึงมาพูดกับหวังเป่าเล่อเพื่อเกลี้ยกล่อมให้ร่วมต่อสู้กับเหออวิ๋นจื่อและสมาชิกราชวงศ์คนอื่นๆ ชายวัยกลางคนพยายามจะปลุกปั่นให้พวกเขาฆ่ากันเอง ให้พวกเขาสู้กันก่อน เขาดึงความสนใจของทุกฝ่ายไปหาหวังเป่าเล่อ เพื่อที่ว่าทุกสายตาจะได้จับจ้องไปที่ชายหนุ่มราวกับดวงตาที่หันไปมองแสงจ้า ตัวเขาเองจะได้หลบซ่อนอยู่ในเงามืดได้อย่างแนบเนียนยิ่งขึ้น

ด้วยเหตุนี้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์จึงสามารถรุกคืบหรือถอยหลังได้ตามที่สถานการณ์อำนวย เขาจะร่วมต่อสู้ชิงสิทธิ์ควบคุมหรือจะถอยเพื่อรับรองความปลอดภัยและปกป้องตัวตนที่แท้จริงก็ย่อมได้เช่นกัน!

หวังเป่าเล่อรู้สึกขึ้นมาว่าความกังขาทั้งหมดที่เขามีตั้งแต่กลับมานั้นสามารถคลี่คลายได้หมดเมื่อเขาวิเคราะห์สถานการณ์ต่อไปตามแนวคิดนี้ บางทีอาจจะเกิดอะไรบางอย่างกับเหออวิ๋นจื่อ ชายผู้นั้นไม่ได้ถูกจับขัง ทว่า…คงถูกสังหารไปแล้ว!

หากเปิดเผยตัวตนตอนนี้ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็จะได้รับสืบทอดสิทธิ์ควบคุมของเหออวิ๋นจื่อ และกลายมาเป็นคนเดียวที่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะร่วมมือด้วยได้!

การเก็บซ่อนความจริงเอาไว้อาจทำให้สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รู้สึกโกรธเคือง แต่พวกเขาก็ต้องยอมร่วมมือด้วยอยู่นั่นเอง เพราะคนที่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เกลียดที่สุดไม่ใช่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ หากแต่เป็นหวังเป่าเล่อ ในเมื่อปรมาจารย์เองก็เป็นสมาชิกราชวงศ์ เขาเองจึงไม่ต่างจากเหออวิ๋นจื่อ ในสายตาของพวกเขา หากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ถูกข่มขู่และบีบบังคับให้ต้องร่วมมือด้วย และหากเงื่อนไขที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เสนอนั้นดีกว่า พวกเขาก็แค่เปลี่ยนพันธมิตรคนหนึ่งเป็นอีกคนเท่านั้นเอง!

แนวคิดนี้ยังอธิบายได้ด้วยว่าเหตุใดปรมาจารย์มหาทัณฑ์จึงอยากสังหารหวังเป่าเล่อนัก นี่คงเป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไข ขณะที่ความคิดเหล่านี้ปรากฏขึ้นในใจหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็เริ่มรู้สึกกังขาอีกครั้ง!

ไม่สิ หากเป็นเช่นนั้นจริง ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเปิดวงแหวนปราณครอบดารานิรันดร์เพื่อกันไม่ให้ข้าเข้าไป เพราะอย่างไรเสีย ปรมาจารย์มหาทัณฑ์กับข้าก็มีสิทธิ์ควบคุมอยู่คนละครึ่ง สถานการณ์ไม่น่าจะแย่ลงกว่านี้ได้ การเปิดวงแหวนปราณเพื่อกันไม่ให้ข้าเข้าไปจึงไร้ความหมาย อาจจะเป็นไปได้ว่า…ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่ได้ครอบครองสิทธิ์ควบคุมครึ่งหลังจากที่สังหารเหออวิ๋นจื่อไปแล้ว หวังเป่าเล่อในร่างที่อ่อนแอถึงขีดสุดตัวสั่น นัยน์ตาของเขาเบิกโพลงขณะที่จ้องมองไปยังปรมาจารย์มหาทัณฑ์แล้วตะโกนใส่ ชายหนุ่มขณะนี้พยายามจะหลอกล่อเอาความจริงออกมาจากปากอีกฝ่ายหนึ่ง

“เจ้าแก่ตัวแสบ เจ้าซ่อนความจริงที่ว่าตนเป็นสมาชิกราชวงศ์เอาไว้ได้แนบเนียนจริงนะ แต่ไม่สำคัญหรอก เพราะสุดท้ายแล้ว เจ้าก็ไม่ได้สิทธิ์ควบคุมดารานิรันดร์ไปอยู่นั่นเอง!”

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เลิกคิ้วเมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อ ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเองก็จับจ้องมาที่ชายหนุ่มด้วยดวงตาเปี่ยมความหมาย ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เอียงศีรษะมองหวังเป่าเล่อก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะขึ้น

“เจ้านี่ไม่ได้โง่อย่างที่ข้าคิดไว้เสียเลย ถึงแม้จะหัวช้าไปบ้างก็ตาม” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์พูดก่อนจะเงยศีรษะขึ้น พลังปราณไหลบ่าออกมาจากกาย ก่อนที่พลังระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลางจะปกคลุมจักรวาลไปทั่ว หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงรัศมีสายเลือดราชวงศ์อันคุ้นเคยที่ออกมาจากกายของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ เบื้องหลังเขา…มีดวงเนตรสวรรค์ขนาดยักษ์ก่อตัวขึ้น สัญลักษณ์รูปพระจันทร์เสี้ยวสีขาวปรากฏให้เห็นตรงเหนือคิ้วของปรมาจารย์!

หวังเป่าเล่อเดาถูกแล้ว แต่ก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาความตื่นตะลึงที่เขารู้สึกในตอนนี้แม้แต่น้อย ต้องยอมรับว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์สวรรค์นั้นเก่งกาจเรื่องการตลบตะแลงอย่างแท้จริง!

หวังเป่าเล่อวิเคราะห์ข้อมูลที่เพิ่งได้ไปพร้อมๆ ข้อมูลที่รู้อยู่แล้ว และชายหนุ่มก็ได้ข้อสรุปทันที ทั้งตัวเขาและเหออวิ๋นจื่อต่างก็มีอำนาจควบคุมทั้งคู่ คนใดคนหนึ่งย่อมต้องตายเพื่อที่อีกคนจะได้อำนาจควบคุมอย่างสมบูรณ์!

ข้อสรุปที่หวังเป่าเล่อได้มานี้ไม่ได้ต่างไปจากที่เขาคาดเดาเอาไว้ระหว่างเดินทางกลับมาอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มากนัก แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะดูปกติ ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เขาอาจไม่ได้รู้สึกรุนแรงเช่นนี้หากไม่ใช่เพราะเรื่องที่เพิ่งประสบมา การได้ค้นพบว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์เก็บซ่อนความคิดอะไรบางอย่างเอาไว้และการที่รอดพ้นกับดักของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาได้ทำให้หวังเป่าเล่อระวังตัวแจ

และนั่นก็เป็นเหตุให้ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติไป!

สิ่งนั้นก็คือ…วงแหวนปราณรอบนอกของดารานิรันดร์!

สัญชาตญาณบอกหวังเป่าเล่อว่า…มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับวงแหวนปราณนั้น การที่วงแหวนปราณมาปรากฏอยู่ที่นี่ดูไม่สมเหตุสมผลนัก เพราะในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ปัจจุบัน ต่อให้สองสำนักใหญ่ร่วมมือกัน ก็ยังไม่อาจเทียบเคียงสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้

ยิ่งไปกว่านั้น สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยังมีเหออวิ๋นจื่อ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องตระเตรียมวงแหวนปราณดังกล่าวแม้แต่น้อย ไม่ว่างจะมองอย่างไรก็ดูเป็นการเตรียมการเกินกว่าเหตุ…

เหตุใดสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จึงต้องทำอะไรมากมายเช่นนั้นด้วยเล่า พวกเขาตั้งใจใช้วงแหวนปราณเป็นเกราะป้องกันใครสักคนหรือ…ใครสักคนเช่นข้ากระมัง หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ชายหนุ่มไม่อาจชี้ชัดได้ว่าเหตุผลที่แท้จริงคือสิ่งใด ไม่มีความจำเป็นที่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต้องหลอมวงแหวนปราณขึ้นเพื่อป้องกันตัวจากหวังเป่าเล่อเลย เพราะอย่างไรเสีย เหออวิ๋นจื่อก็ยังไม่ตาย ดังนั้นสิทธิ์การควบคุมดารานิรันดร์จึงยังไม่ตกอยู่ในมือของหวังเป่าเล่อ

หากชายหนุ่มเป็นสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาคงไม่หลอมวงแหวนปราณขึ้นเพื่อกันตนเองออกไปแน่ กลับกัน หวังเป่าเล่อคงจะเปิดทางและเฝ้ารออย่างอดทนให้ตนเองตรงเข้าไปหาดารานิรันดร์มากกว่า

หรือว่าเหออวิ๋นจื่อตายเสียแล้ว ความคิดนั้นผุดขึ้นมาในใจหวังเป่าเล่อขณะที่กำลังใคร่ครวญถึงความเป็นไปได้ทั้งหมด แต่ก็ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะฟังดูเข้าท่าที่สุดก็ตามที

หรือว่า…จะเป็นกับดักอีกอันหนึ่งกัน หวังเป่าเล่อรู้สึกปวดหัว ชายหนุ่มยังขาดเงื่อนงำที่สำคัญมากๆ ไป เขาไม่สามารถหาคำตอบให้ปริศนานี้ได้โดยปราศจากรายละเอียดเหล่านั้น

ไม่สำคัญหรอก ข้าจะใช้ร่างอวตารขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางเป็นเหยื่อล่อ และขุดเอาข้อมูลที่หาอยู่จากนั้นก็ลากความจริงมาให้ได้! ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อหรี่ตา ก่อนจ้องมองไปยังดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ที่อยู่ห่างออกไป แล้วกระโจนครั้งเดียวไปอยู่ตรงหน้าค่ายที่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์อยู่ เขาตั้งใจจะเปิดเผยการมาถึงของตนเอง

ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะเหาะออกไป จู่ๆ นัยน์ตาของเขาก็หรี่ลงแล้วกวาดขึ้นไปมองด้านบน มีเสียงครืนสนั่นขณะที่สายฟ้าเริ่มก่อตัวกันเหนือศีรษะของเขา ก่อนวงแหวนปราณพร่าเลือนที่ดูเหมือนผนึกจะมาปรากฏอยู่กลางอวกาศ คลื่นกดดันทะลักทลายลงมารอบตัวหวังเป่าเล่อและผนึกเขาเอาไว้ในพริบตา

พวกเขารู้แล้วอย่างนั้นหรือ ใบหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึมขึ้น ทว่าเมื่อร่างนับสิบมาปรากฏขึ้นภายในวงแหวนปราณ ชายหนุ่มก็แอบยิ้มเยาะอยู่ภายใน

ร่างที่ยืนอยู่หน้าสุดคือประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ข้างๆ คือหญิงชราที่มีสีหน้าตื่นตกใจ ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายหรือชั้นสมบูรณ์ด้วยกันทั้งสิ้น

“หลงหนานจื่อ!” จิตสังหารฉาบเคลือบแววตาของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ขณะที่ร้องตะโกนออกมา ชายชราก็ยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังหวังเป่าเล่อก่อนจะกวาดมือลงด้านล่าง ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ พุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อทันทีเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้

เขาไม่ได้ดูแปลกใจเลยที่เห็นข้า แปลว่ารู้แล้วอย่างนั้นหรือว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาตายแล้ว เขาอาจจะรู้อีกด้วยว่าข้าได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลเซี่ย ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายไม่ได้อยู่ที่นี่ แปลว่าเขาหนีออกมาจากดารานิรันดร์ไม่ทันอย่างนั้นหรือ วิญญาณเทพของเขาถูกทำลายแล้วหรือไร นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายขณะที่ความคิดมากมายไหลวนอยู่ในศีรษะ พร้อมกันนั้นเองชายหนุ่มก็ล่าถอยอย่างรวดเร็ว

หวังเป่าเล่อเดาถูกต้อง ผู้อาวุโสฝ่ายขวาตายอยู่บนดารานิรันดร์ประดิษฐ์ที่อยู่ภายใต้อาณัติของอารยธรรมครามทองคำ การตายของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่ตระกูลเซี่ยเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย เห็นได้ชัดว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตายยิ่ง มีบางอย่างที่หวังเป่าเล่อยังไม่รู้ แม้ว่าอารยธรรมครามทองคำจะไม่ได้เปิดใช้ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์เป็นครั้งที่สอง จึงไม่สามารถส่งกำลังเสริมมายังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้ แต่พวกเขาก็สามารถติดต่อกันผ่านดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ แม้จะต้องพยายามและใช้ทรัพยากรมากขึ้นสักหน่อยก็ตาม

ด้วยเหตุนี้…ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จึงไม่อาจซุกซ่อนความผิดพลาดของตนได้ เขาจำต้องเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้อารยธรรมครามทองคำรับรู้ ว่าการทำสงครามในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไม่ได้ราบรื่นนัก ความตายของผู้อาวุโสฝ่ายขวา การยื่นมือเข้ามาของตระกูลเซี่ย และขณะนี้ การกลับมาของหลงหนานจื่อ ทำให้ประมุขสำนักเกลียดชังหวังเป่าเล่อเป็นอย่างยิ่ง จึงเตรียมพร้อมและเฝ้ารอให้อีกฝ่ายกลับมาอย่างใจจดใจจ่อ

ทันทีที่ชายชราพบร่องรอยของหวังเป่าเล่อ เขาก็เรียกบรรดาผู้ฝึกตนมารวมกัน ก่อนจะเปิดใช้ผนึกและนำทัพมาด้วยตนเอง!

หวังเป่าเล่ออาจจะรับมือประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และหญิงชราระดับดาวพระเคราะห์ได้หากเขาอยู่ในร่างสารัตถะที่แท้จริง อย่างไรเสียร่างนั้นก็อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์และสามารถสู้กับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้นธรรมดาๆ ได้ แม้ชายหนุ่มจะไม่แข็งแกร่งเท่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง แต่ก็ยังยืนระยะได้หากต้องสู้กันจริงๆ

ทว่าร่างนี้เป็นเพียงร่างอวตารขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลาง เป็นร่างอวตารที่หลอมขึ้นมาเพื่อซ่อนกายสารัตถะที่แท้จริงเอาไว้ ไม่มีทางสู้ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สองคนได้แน่ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายทันทีที่มองเห็นประมุขสำนักมาถึง ก่อนจะแปลงกายเป็นหมอกหนาทึบแล้วรีบหนีทันที

ชายหนุ่มปล่อยวิชาดวงเนตรปีศาจไปพลางขณะกำลังหนี มีดวงเนตรสีดำขนาดมหึมาปรากฏขึ้นในม่านหมอก เมื่อดวงเนตรนั้นลืมขึ้น พลังมหาศาลก็ไหลบ่าเข้าหากองกำลังสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เพื่อพยายามสกัดกั้น

ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะตัวสั่นขึ้นมาทันที และไม่มีใครหนีรอดไปได้ พวกเขาต่างก็หยุดชะงักจากการไล่ตาม ราวกับว่ามีเส้นด้ายที่มองไม่เห็นจำนวนนับไม่ถ้วนมัดพวกเขาเอาไว้กับที่ เป็นเรื่องง่ายสำหรับหวังเป่าเล่อที่จะใช้พลังของดวงเนตรปีศาจสังหารผู้ฝึกตนที่ถูกมัดเหล่านี้เสีย

แต่เวลาในขณะนี้นั้นไม่เป็นใจ ดวงเนตรปีศาจอาจทรงพลัง แต่ก็ไม่อาจทำอันตรายประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และสตรีระดับดาวพระเคราะห์ได้ หัตถ์ยักษ์จากประมุขสำนักปรากฏขึ้นในอึดใจต่อมา ก่อนจะพุ่งลงมาใส่หวังเป่าเล่อด้วยพลังที่พร้อมบดขยี้ทั้งสรวงสวรรค์และพื้นพิภพ

พลังนั้นกลืนกินทุกสิ่งที่ขวางหน้า ราวกับว่าสามารถทำลายทุกสิ่งที่ขวางทางมันได้ทั้งสิ้น แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะอยู่ในรูปหมอก แต่ก็ไม่อาจหลบการโจมตีได้พ้น ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าตาข่ายกำลังพุ่งเข้ารัดกายเอาไว้ หัตถ์นั้นพุ่งลงมากระแทกหมอกที่กำลังลอยหนีอย่างจัง

หมอกดูราวกับว่ากำลังเดือดพล่านและเริ่มจางหายไป การโจมตีจากผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลางกระแทกใส่ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ หมอกส่วนมากสลายกลายเป็นผุยผงก่อนจะละลายหายไปในอวกาศ

หวังเป่าเล่อคาดการไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องคล้ายๆ กันนี้ขึ้นเมื่อแรกหลอมร่างอวตารขึ้นมา เป็นเหตุว่าทำไมเขาจึงเก็บสมบัติเวทเช่นโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเอาไว้ในร่างอวตาร แม้จะช่วยรับมือผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลางไม่ได้มากนัก แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้กลัวที่จะระเบิดตัวเองทิ้งเพื่อซื้อเวลา ด้วยเหตุนี้ร่างอวตารของเขาจึงระเบิดขึ้นมาในอีกอึดใจต่อมา!

ราคาที่ต้องจ่ายคือร่างอวตารที่เสียหายไปครึ่งหนึ่ง แรงระเบิดส่งหมอกจางๆ นั้นลอยละล่องย้อนหลังไป ชายหนุ่มกระเสือกกระสนไปรวบรวมเอาร่างที่เหลือกลับมา ร่างที่รวมกันกลับมาใหม่นั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง มีแววบ้าคลั่งฉาบเคลือบอยู่บนดวงตาทั้งคู่ สายตาที่จ้องมองประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่กะพริบนั้นมีความบ้าคลั่งและคั่งแค้นปรากฏอยู่

“ทีแรกข้าก็ถูกผู้อาวุโสฝ่ายขวาของเจ้าไล่ล่า มาตอนนี้ เจ้าก็ยังพยายามจะสังหารข้าอีก ทั้งหมดนี้เพียงเพื่อจะควบคุมดารานิรันดร์เท่านั้น…เจ้าทำเช่นนี้เพื่อจะให้เป็นไปตามแผนของเหออวิ๋นจื่อใช่หรือไม่ เหออวิ๋นจื่อ โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้!” หวังเป่าเล่อคำราม ชายหนุ่มมองดูราวกับเป็นอสูรตัวเล็กจ้อยที่ถูกต้อนจนมุมที่พยายามส่งเสียงคำรามขู่คู่ต่อสู้อย่างไร้ผล

“เหออวิ๋นจื่ออย่างนั้นหรือ” ประมุขสำนักส่งยิ้มเยาะ มีประกายเกรี้ยวกราดจางๆ สะท้อนอยู่ในแววตา หวังเป่าเล่อมองเห็นอารมณ์ที่วาบผ่านมาอย่างรวดเร็วของอีกฝ่ายทันเพราะจับจ้องอยู่ตลอดเวลา ชายหนุ่มมองเห็นสีหน้าของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนอื่นๆ ที่แสดงอารมณ์ออกมาคล้ายคลึงกัน

เขาไม่เข้าใจ แต่ความไม่เข้าใจก็ถูกกลบโดยความเคลือบแคลงสงสัย

“หลงหนานจื่อ ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้าเสนอหน้ากลับมา!” ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่พูดถึงเหออวิ๋นจื่ออีก เขาหรี่ตาลงก่อนจะเคลื่อนตัวเข้ามาหาหวังเป่าเล่อ ชายชราเตรียมการรับมือการหนีหางจุกก้นของหลงหนานจื่อเอาไว้เรียบร้อย แต่ดูเหมือนว่าคงไม่ต้องใช้แผนนั้นแล้วในตอนนี้

แม้จะดูเหมือนว่าหลงหนานจื่อสามารถป้องกันการโจมตีครั้งก่อนหน้าได้สำเร็จ แต่ทุกคนที่อยู่ตรงนี้รู้ดีว่าตอนนี้หวังเป่าเล่อจนมุมแล้ว นี่เป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้ายที่ชายหนุ่มจะทำก่อนต้องตาย

“สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้ากล้าสังหารข้าอย่างนั้นหรือ” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อฉายแววตื่นตระหนกเมื่ออันตรายย่างกรายเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มถอยอีกครั้ง ก่อนจะพลิกฝ่ามือแล้วยกเหรียญตราหยกชูขึ้นในอากาศ

การไล่ล่าดำเนินไปถึงหนึ่งเดือนเต็ม ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะถึงขีดจำกัดและจิตใจของเขาก็ใกล้จะหลุดลอยเต็มที พายุสายฟ้าที่ไล่ตามมาก็เริ่มแสดงอาการสลายตัว ราวกับว่าระยะเวลาการไล่ล่าของพวกมันถูกกำหนดไว้แล้ว และเวลาดังกล่าวก็ใกล้มาถึงจุดจบ หวังเป่าเล่อเริ่มใจชื้นเมื่อเห็นว่าพายุกำลังจะซาไป ชายหนุ่มใช้กำลังเฮือกสุดท้ายพุ่งตัวหนี จนกระทั่งสามวันให้หลัง สายฟ้าเส้นสุดท้ายก็สลายหายไป

หวังเป่าเล่อหันหลังไปจ้องมองจักรวาลที่ว่างเปล่า มันกลับคืนมาเงียบสงบเหมือนเก่าก่อน ชายหนุ่มมีความรู้สึกเหมือนเพิ่งหนีรอดจากความตายมาได้กระนั้น ในขณะเดียวกัน เขาก็ถูกโทสะอันแรงกล้าเข้าครอบงำ หวังเป่าเล่อตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ขอพรใดๆ อีกต่อไปหากไม่จำเป็นจริงๆ!

“ช่างเป็นขวดที่โง่เง่าอะไรอย่างนี้!” หวังเป่าเล่อพูดด้วยความโมโห ชายหนุ่มหาสะเก็ดดาวมาได้ชิ้นหนึ่งก่อนจะนั่งลงพักหายใจ เขาสัมผัสได้ว่าตนเองอยู่ใกล้เส้นเขตแดนของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้วในเวลานี้

คงต้องใช้เวลาอีกราวสามวันจึงจะไปถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ พายุสายฟ้าพวกนั้นหายไปได้ถูกเวลาเสียจริง…หวังเป่าเล่อถอนใจ หลังจากที่นั่งสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็ลอบมองลงไปในกระเป๋าคลังเก็บของตน ด้วงสีทองที่ยึดมาจากตันโจวจื่อกำลังพักผ่อนอยู่ภายใน มันดูใกล้จะขาดใจเต็มทน

หวังเป่าเล่อป้อนผลึกสีชาดเพื่อช่วยให้มันมีชีวิตอยู่ได้ ขณะนี้เมื่อหวังเป่าเล่อพักผ่อนจนหายเหนื่อยแล้ว เขาก็ส่งดวงจิตเทพของตนเข้าไปในตัวด้วงแล้วพยายามใส่เจตจำนงของเขาเข้าไปในสิ่งมีชีวิตตัวนี้ การทำเช่นนี้เป็นการบังคับให้ด้วงคิดว่าเขาเป็นเจ้านายมันและมอบอำนาจควบคุมให้หวังเป่าเล่อ

แม้ว่าด้วงจะอ่อนแรงเพียงใด แต่จิตใจของมันก็ยังต่อต้านการรุกรานของชายหนุ่ม เขาสัมผัสได้ถึงดวงจิตอันแข็งกล้าที่ต้านทานการถูกกดขี่เอาไว้ ดูเหมือนว่าด้วงตัวนี้เตรียมใจพร้อมที่จะตายดีกว่ายอมตกเป็นทาสของหวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มขัดเคืองใจเป็นอย่างยิ่ง เขาถูกสายฟ้าไล่ล่ามาแรมเดือนและรู้สึกอารมณ์เสียเพราะเรื่องนั้นมากพออยู่แล้ว การต่อต้านของด้วงสีทองทำให้ชายหนุ่มถึงกับส่งเสียงออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ หวังเป่าเล่อคิดว่าต้องทำให้ด้วงเห็นว่าใครกันแน่ที่ใหญ่

“จงตื่นขึ้น…” หวังเป่าเล่อพูดออกมาอย่างใจเย็นเพื่อปลุกพลังของบทสวดแห่งเต๋า

ไม่นานนัก พลังอันยิ่งใหญ่ที่ไม่ได้มาจากโลกนี้ก็พุ่งลงมาจากจุดที่ห่างไกลในอวกาศอันไกลโพ้น พลังอันยิ่งใหญ่พวยพุ่งลงมาใส่…แมลงตัวเล็กจ้อย

ด้วงสีทองที่ดื้อดึงอยู่เมื่อครู่ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดออกมาทันที มันละทิ้งการต้านทานทั้งหมดก่อนจะตัวสั่นงันงก หวังเป่าเล่อที่ตอนนี้มีความสุขสุดๆ เริ่มส่งสัมผัสสวรรค์เข้าไปในตัวมัน

“ในที่สุดก็เข้าใจแล้วสินะว่าแถวนี้ใครใหญ่” หวังเป่าเล่อผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะโบกมือครั้งหนึ่ง ตัดสินใจออกจากสะเก็ดดาวแล้วเริ่มเดินทางต่อไป พลังของบทสวดแห่งเต๋าเริ่มจางหาย แต่ก่อนที่จะได้ออกจากสะเก็ดดาว ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนได้ยินเสียงเย้ยหยันอยู่ในหู

ดูเหมือนว่าเสียงนั้นจะลอยออกมาจากมุมที่ห่างไกลในจักรวาล ขณะเดียวกันก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มาจากจักรวาลแห่งนี้ มันดูเหมือนมาจากแหล่งเดียวกันกับพลังของบทสวดแห่งเต๋า หวังเป่าเล่อตัวสั่นขึ้นมาทันที ความตื่นตกใจฉายชัดบนใบหน้า ชายหนุ่มรีบมองไปรอบกาย หัวใจเต้นระรัว

หลังจากที่ค้นหาไปทั่วจักรวาลด้วยความหวาดกลัวและกังวล สุดท้ายหวังเป่าเล่อก็ยกมือปาดจมูกก่อนจะเผ่นออกจากบริเวณนั้นไปอย่างรวดเร็ว เขายังคงระแวดระวังและเครียดขึงจนกระทั่งเดินทางออกห่างจากสะเก็ดดาวมาได้ระยะหนึ่ง เมื่อถึงตรงนั้นชายหนุ่มจึงถอนหายใจออกมาได้

ดูเหมือนว่าข้าต้องใช้บทสวดแห่งเต๋าอย่างระวังสักหน่อยแล้ว ข้ารู้สึกว่า…ตัวตนปริศนาในบทสวดอาจจะตื่นขึ้นมาจริงๆ หากข้าเรียกมันต่อไปเรื่อยๆ เช่นนี้…หวังเป่าเล่อหน้าจ๋อย ชายหนุ่มพยายามจะคิดเผื่อสิ่งมีชีวิตปริศนาดังกล่าว หากมียุงมาบินหึ่งๆ อยู่รอบตัวขณะที่เขากำลังจะหลับ สิ่งแรกที่ชายหนุ่มจะทำเมื่อตื่นขึ้นมาก็คือ…ตบยุงตัวนั้นให้แหลกคามือไป

ความคิดนั้นทำให้หวังเป่าเล่อกลัวขึ้นมาจับใจ ชายหนุ่มทอดถอนใจอยู่ซ้ำๆ ขณะเดินทางตรงไปยังเส้นเขตแดนของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หลายวันต่อมา เขาก็มาถึงที่หมาย หวังเป่าเล่อวางความคิดน่าเศร้าที่รบกวนจิตใจของเขาลงก่อนจะหรี่ตา มีประกายเย็นเยียบสะท้อนอยู่ในแววตาขณะที่ชายหนุ่มจ้องมองอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ตรงหน้า

“ข้ากลับมาแล้ว!” หวังเป่าเล่อพูดเสียงแผ่วเบา ชายหนุ่มถูกบีบให้หนีตาย แถมยังถูกศัตรูไล่ล่าอย่างไม่ลดละ เมื่อกลับมาครั้งนี้ ในใจของเขาก็เต็มไปด้วยคำถามและข้อสงสัยมากมายไม่รู้จบ!

หากข้าสังหารเหออวิ๋นจื่อได้ ข้าจะได้ควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ได้จริงหรือ

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เก็บซ่อนความจริงอะไรเอาไว้กันแน่ เขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการที่ข้าติดกับจริงๆ หรือ

มีอะไรสำคัญๆ เกิดขึ้นที่นี่ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ไหมนะ

หวังเป่าเล่อตัดสินใจแม้ว่าจะยังมีความไม่แน่ใจมากมายอยู่ในศีรษะ!

ชายหนุ่มตัดสินใจว่า…เขาจะแค่กลับมาเฉยๆ ไม่ได้ ตอนนี้ชายหนุ่มได้เปรียบที่ศัตรูไม่รู้ว่าเขากลับมาแล้ว และหากโผล่กลับมาเฉยๆ ก็จะเป็นการโยนความได้เปรียบนั้นทิ้งไป อีกแง่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ไม่ต้องการให้ทุกคนไม่รับรู้ว่าตนกลับมาแล้ว แม้ว่าเรื่องนี้จะดูคล้ายเป็นข้อได้เปรียบ แต่ชายหนุ่มก็จะไม่ได้รู้เรื่องราวใดๆ เลย หากไม่มีใครรู้ว่าเขากลับมาแล้วเริ่มก่อเรื่องเพราะการกลับมาของเขา!

ข้าจะต้อง…หลอมร่างอวตารแล้วเอาไปวางไว้ที่ไหนสักแห่งเพื่อให้คนเห็น! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ล่วงรู้เรื่องความตายของผู้อาวุโสฝ่ายขวาแล้วหรือไม่ ชายชราอยู่ห่างจากสำนักไปไกลพอสมควรตอนที่ตาย จึงน่าจะมีผลต่อการส่งข่าวอยู่บ้าง

ต่อให้ข่าวการตายของผู้อาวุโสฝ่ายขวาไปถึงหูสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้รู้สึกกังวลใจอะไร เพราะสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่ล่วงรู้ว่าตัวเขาตอนนี้บรรลุขั้นจากขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายสู่ชั้นสมบูรณ์เรียบร้อยแล้ว

แปลว่าต่อให้ร่างอวตารที่ข้าหลอมขึ้น…อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางก็ไม่สำคัญ สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็คงจะไม่สงสัยอะไร เพราะอย่างไรเสีย ต่อให้คนเหล่านั้นรู้ว่าข้าแข็งแกร่งเทียบเท่าระดับดาวพระเคราะห์ในยามต่อสู้ พวกเขาก็รู้ดีว่าข้าอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเองก็ควรจะหลบหนีอยู่ในตอนนี้ ต่อให้ข้าสลัดผู้ติดตามหลุดได้และกลับมาอย่างปลอดภัย…ข้าก็คงต้องสละอะไรไปมากมายเพื่อที่จะรักษาชีวิตเอาไว้ การที่ข้ากลับมาในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางจึงสมเหตุสมผลเป็นอย่างยิ่ง! นัยน์ตาของชายหนุ่มหรี่ลงขณะที่คิดใคร่ครวญเรื่องแผนการ แล้วจู่ๆ ชายหนุ่มก็ตัดสินใจได้เด็ดขาด

หลังจากที่สร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ อย่างว่องไว กายเนื้อของหวังเป่าเล่อก็พร่าเลือน ก่อนจะมีร่างอวตารก้าวออกมาจากร่างเขาในอึดใจต่อมา ร่างอวตารนี้มีสารัตถะของหวังเป่าเล่ออยู่หนึ่งในสาม แม้จะดูเหมือนอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลาง แต่พลังจริงๆ เหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนในขั้นปราณเดียวกันไปมาก ต่อให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายก็ยังสู้ไม่ได้

หลังจากตรวจตราโดยละเอียด ร่างสารัตถะที่แท้จริงก็หวังเป่าเล่อก็จางหายกลายเป็นหมอก รัศมีที่ปล่อยออกมาถูกซุกซ่อนเอาไว้จนหมด

ชายหนุ่มเข้าควบคุมร่างอวตารก่อนจะเร่งความเร็วเต็มที่ มุ่งตรงไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ขณะที่เร่งความเร็วเข้าไปยังอารยธรรมนั้น เขายังพยายามซ่อนตัวตนของร่างอวตารอย่างลวกๆ แน่นอนว่าการซ่อนตัวเช่นนี้ย่อมไม่พ้นหูพ้นตาผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ไปได้ อาจหลบเลี่ยงได้บ้างหากอีกฝ่ายกำลังเสียสมาธิ แต่ทันทีที่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ส่งสัมผัสสวรรค์ออกตรวจทั่วอารยธรรม ก็ย่อมพบหวังเป่าเล่ออย่างแน่นอน

หวังเป่าเล่อรออยู่ชั่วขณะก่อนค่อยๆ นำร่างสารัตถะที่แท้จริงเข้าไปในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ไปคนละทางกับร่างอวตารซึ่งตอนนี้ราวกับเปลวไฟ ยิ่งมันลุกไหม้โชติช่วงเพียงใด ก็ยิ่งดึงความสนใจจากคนอื่นๆ ได้มากเท่านั้น และช่วยให้ร่างจริงปลอดภัยมากขึ้นพอกัน!

ทว่าต่อให้ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ระมัดระวังตัวและสัมผัสถึงร่างอวตารขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางของหวังเป่าเล่อไม่ได้ เป้าหมายของชายหนุ่มที่จะซ่อนร่างสารัตถะของตนเอาไว้ก็คงจะสำเร็จลุล่วงอยู่นั่นเอง

นั่นเพราะหวังเป่าเล่อไม่แน่ใจสถานการณ์ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ขณะนี้ แถมยังไม่อาจเชื่อใจปรมาจารย์มหาทัณฑ์หรือใครคนใดในอารยธรรมได้เลย ชายหนุ่มจึงต้องส่งร่างอวตารขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางไปเป็นตัวล่อ ในขณะที่ร่างจริงนั้นเคลื่อนที่มุ่งไปหาดารานิรันดร์

ชายหนุ่มไม่ได้เข้าใกล้ดารานิรันดร์มากเกินไป เขาสัมผัสได้ว่ามันได้รับการคุ้มกันอย่างหนาแน่น ยิ่งไปกว่านั้น สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เองก็ตั้งค่ายอยู่บนนั้นด้วย ร่างสารัตถะของหวังเป่าเล่อไปซ่อนอยู่ในสะเก็ดดาวชิ้นหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ดารานิรันดร์ จากนั้นเขาจึงส่งสมาธิทั้งหมดไปควบคุมร่างอวตารขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลาง

ชายหนุ่มจะส่งเหยื่อล่อตัวนี้ออกไป เพื่อล่อปลาตัวใหญ่ให้มากินเบ็ด!

หากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่รู้ตัวว่าข้าได้กลับมาแล้ว ข้าก็จะส่งร่างอวตารไปหาปรมาจารย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ การไปปรากฏต่อหน้าตรงๆ อาจจะน่าสงสัยอยู่บ้าง แต่ก็คงไม่เป็นไร!

แต่หากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รู้สึกถึงร่างอวตารของข้าแล้วพยายามจับกุม ก็ถือเป็นโอกาสที่จะได้เห็นว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์มีท่าทีอย่างไร การต่อสู้ที่ตามมาจะทำให้ข้ารู้ว่าขณะนี้สถานการณ์เป็นเช่นไร!

เมื่อวางแผนเสร็จสรรพ หวังเป่าเล่อก็ซ่อนทั้งรัศมีของร่างสารัตถะและร่างอวตารขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางเอาไว้ ขณะที่ปล่อยร่องรอยของร่างอวตารให้แพร่กระจายไปทั่วจักรวาล ขณะที่ตัวเขาเองสำรวจสถานะปัจจุบันของอารยธรรม

การสืบหาว่าสถานการณ์ปัจจุบันในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นเช่นไรสำหรับหวังเป่าเล่อแล้วไม่ใช่เรื่องยาก ร่างอวตารขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางของเขาสามารถแปลงกายได้ ในเวลาไม่นาน ชายหนุ่มก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่เขาจากอารยธรรมนี้ไป สงครามระหว่างกองกำลังร่วมสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำกับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต้องหยุดลงชั่วคราวเพราะแสงอันเจิดจ้าของดวงอาทิตย์

แต่พวกเขายังคงอยู่ในสภาวะสงคราม อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แตกแยกเป็นสอง ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาตั้งค่ายอยู่ภายในอารยธรรมและหลอมวงแหวนปราณป้องกันรอบดวงเนตรดารานิรันดร์เอาไว้ ความช่วยเหลือระลอกสองของอารยธรรมครามทองคำยังไม่ปรากฏ ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ยังไม่ถูกเปิดเป็นครั้งที่สอง

หวังเป่าเล่ออดรู้สึกไม่ได้ว่าชานหลิงจื่อจะต้องแอบซ่อนอะไรเอาไว้อีก และการพูดว่าขวดนั้นได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้างเป็นเพียงการหลอกลวงเขาเท่านั้น แม้ว่าโอกาสที่ชานหลิงจื่อจะโกหกนั้นมีน้อย แต่การที่ขวดไม่บังเกิดผลก็ทำให้หวังเป่าเล่อโกรธเป็นอย่างยิ่ง โทสะพลุ่งพล่านอยู่ภายในใจ หวังเป่าเล่อหันหลังกลับไปจ้องมองชานหลิงจื่อราวกับจะกินเลือดกินเนื้อก่อนกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น

“ชานหลิงจื่อ ข้าน่าจะปรบมือให้กับความกล้าหาญของเจ้า ใครจะคิดว่าเจ้ากล้าโกหกข้าซึ่งๆ หน้า สงสัยข้าคงต้องฆ่าเจ้าเสียแล้ว!” หวังเป่าเล่อแสร้งทำเป็นว่าจะลงโทษเพื่อพิสูจน์ว่าชานหลิงจื่อโกหกเขาหรือไม่ แต่ทันทีที่คำพูดข่มขู่เหล่านั้นพรั่งพรูออกจากปากชายหนุ่ม…ความร้อนสูงก็ปะทุขึ้นมาจากขวดปรารถนาที่อยู่ในมือขวา!

ชานหลิงจื่อนั้นร้อนรนอยากจะแก้ตัวใจจะขาด แต่ยังไม่ทันได้เปิดปาก วิญญาณเทพของเขาก็สั่นสะท้านก่อนจะยวบหายไปต่อหน้าต่อตาหวังเป่าเล่อ ชานหลิงจื่อกลายเป็นฝุ่น วิญญาณถูกทำลายหายไปจากโลกนี้อย่างไร้ร่องรอย!

หวังเป่าเล่อตะลึงงันไปชั่วขณะเพราะภาพที่เห็นตรงหน้า ชายหนุ่มแน่ใจมากว่ายังไม่ได้ลงมือทำสิ่งใด เขารีบก้มลงมองขวดปรารถนาในมือ สายตาเบิกโพลงสะท้อนแววความยากจะเชื่อ

“นี่ข้าเพิ่งจะ…ได้รับพรตามที่ปรารถนาอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงตอนที่ขู่จะสังหารชานหลิงจื่อเมื่อครู่ จากนั้นจึงก้มลงมองจุดที่ชานหลิงจื่อกลายเป็นฝุ่นไป ก่อนจะมีสีหน้าหดหู่ ดูเหมือนขวดปรารถนาจะทำงานได้ผล แต่สิ่งนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการอย่างแท้จริง…

เจ้าขวดนี้ต้องขัดข้องอะไรสักอย่างเป็นแน่ หวังเป่าเล่อคิดอย่างเศร้าสร้อยก่อนจะรีบสำรวจกายสารัตถะของตน เขาก้มมองเป้ากางเกงแล้วก็ลูบคลำอก ไม่มีร่องรอยของการเปลี่ยนเพศอย่างไม่เต็มใจเกิดขึ้น อย่างน้อยๆ ชายหนุ่มก็ยังสบายใจได้ในเรื่องนี้

ทว่าอย่างไรเสีย หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจปล่อยวางได้ ชายหนุ่มกำขวดปรารถนาแน่นพลางวางแผนจะขอพรอีกข้อ เขาไม่ได้ขออะไรใหญ่โต พรของหวังเป่าเล่อนั้นออกจะธรรมเสียด้วยซ้ำ แต่ชายหนุ่มใช้วิธีขอพรหลายๆ ข้อในคราวเดียว ขวดปรารถนาไม่ได้ร้อนฉ่าขึ้นมาแต่อย่างใด

หวังเป่าเล่อจึงไม่มีทางเลือก ต้องยอมแพ้ด้วยความเหนื่อยหน่าย

ขวดนี่เป็นขยะไร้ประโยชน์ชัดๆ! หวังเป่าเล่อสรุปว่าขวดนั้นเป็นเพียงสิ่งไร้ค่า ชายหนุ่มจ้องมองเศษกระดาษภายในอย่างเศร้าสร้อย และอ่านเข้าใจเพียงสามคำจากที่เคยอ่านครั้งแรก ‘คนร่ำรวย’ เขาเปิดขวดไม่ได้ สุดท้ายหวังเป่าเล่อก็เก็บขวดไป จากนั้นจึงทอดถอนใจใหญ่ ก่อนตัดสินใจเลิกพะวงอยู่กับขวด ชายหนุ่มหันมองไปทางอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ก่อนจะพุ่งตัวมุ่งหน้าออกไปทางนั้น

ไม่กี่อึดใจที่หวังเป่าเล่อทะยานออกไป สายฟ้าเส้นหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในจักรวาลอันห่างไกลราวกับว่าโผล่ออกมาจากอากาศธาตุ สายฟ้านั้นพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มไม่ทันได้สังเกตจนกระทั่งมันเข้ามาใกล้จวนจะถึงตัว

ลอบโจมตีอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงก่อนจะถอยกรูดอย่างรวดเร็ว เกราะมหาจักรพรรดิปรากฏออกมาห่อหุ้มตัวเขาไว้ขณะหนี ชายหนุ่มหันขวับไปยังทิศทางที่สายฟ้านั้นพุ่งมา ไม่ว่าจะเพ่งมองเท่าไร ก็ไม่อาจเห็นศัตรูได้ ทำเอาหวังเป่าเล่อสับสนไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มถูกสายฟ้าที่พุ่งมาจากไหนในอวกาศก็ไม่รู้โจมตีใส่ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงคำเตือนของชานหลิงจื่อเรื่องผลข้างเคียงของขวดปรารถนา

นี่เป็นผลลัพธ์ของการขอพรจากขวดปรารถนาหรือเปล่านะ หวังเป่าเล่อกะพริบตาก่อนสงสัยว่าสิ่งนี้จะเกี่ยวข้องกับขวดหรือไม่ ดูเหมือนจะเป็นผลข้างเคียงที่อ่อนเกินไปสักหน่อย ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจมันมากนักและเริ่มเดินทางต่อไป ทว่าในไม่ช้าเขาก็ต้องตื่นตกใจอีกครั้ง ร่างกายของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้านก่อนที่คลื่นความตกใจจะไหลบ่าท่วมจิตสำนึก

ชายหนุ่มแทบไม่อยากเชื่อ…มีสายฟ้าปรากฏขึ้นอีกครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ละเส้นไม่ได้รุนแรงนัก แต่เมื่อปรากฏขึ้นบ่อยครั้งเข้า ก็เริ่มทวีจำนวนขึ้นจนมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ…

ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็ต้องเผชิญหน้ากับสายฟ้าที่รวมตัวกันจนกระทั่งเต็มจักรวาลราวกับเป็นทะเลสายฟ้า มันกว้างไกลกินเนื้อที่ไปร่วมๆ ครึ่งอารยธรรมได้ทีเดียว เป็นไปไม่ได้อีกต่อไปที่จะนับจำนวนสายฟ้า สายฟ้าทั้งหมดพุ่งเข้ามาใส่หวังเป่าเล่อราวกับจะเป่าให้เขาหายวับไป

หวังเป่าเล่อส่งเสียงหวีดแหลมเมื่อเห็นสายฟ้าเหล่านั้นก่อนจะรีบหนีหัวซุกหัวซุน

ทำไมข้าจะต้องมาเจออะไรเช่นนี้ด้วย

ผมบนศีรษะของสายหนุ่มชี้ตั้ง ตัวก็ชาดิก ตอนที่เห็นสายฟ้าเส้นแรกเขาไม่ได้คิดอะไรนัก แม้แต่เมื่อสายฟ้าเพิ่มจำนวนขึ้นมาร่วมร้อย หวังเป่าเล่อก็ยังไม่สะทกสะท้าน ระดับปราณของสายฟ้าเหล่านั้นอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณเท่านั้น ชายหนุ่มหลบหลีกพวกมันได้อย่างสบาย หรือต่อให้หลบไม่ทันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่นัก หากถูกฟาดก็คล้ายกับการเกาที่คันเพียงเท่านั้น

ทว่า…สถานการณ์กลับเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว สายฟ้าที่รายล้อมชายหนุ่มอยู่ในจักรวาลพากันทวีจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนที่เขาจะได้ทันระวังตัว

ขณะนี้มีสายฟ้ามากเกินไป…นับร้อยนับพันล้านเส้น จำนวนนั้นมากมายเกินกว่าที่จิตใจของคนธรรมดาจะรับไหว พายุสายฟ้านั้นใหญ่ยักษ์ขนาดที่เรียกได้ว่าสามารถกลืนกินอารยธรรมใดๆ ได้ครึ่งหนึ่งทีเดียว พลังของทะเลสายฟ้าเทียบเท่าการโจมตีจากผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณจำนวนเท่าๆ กัน…อาจรุนแรงถึงขั้นที่ทำให้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เสียหายเกินซ่อมแซม และเมื่อเทียบกับทั้งอารยธรรมแล้ว หวังเป่าเล่อก็เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาเท่านั้น

ชายหนุ่มนั้น…ขณะนี้ใกล้จะเสียสติเต็มทน นัยน์ตาทั้งคู่ของเขาแดงก่ำ ความกลัวสุดขีดเข้าครอบงำ หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าคงไม่มีโอกาสรอดชีวิตหากการโจมตีจากทะเลสายฟ้าพุ่งลงมาถูกตัวเขา

ข้าอุตส่าห์รอดชีวิตจากผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งอารยธรรมวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จากการเดินทางไปอารยธรรมวิญญาณโลก แถมยังสังหารผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้คนหนึ่ง ข้าต้องทั้งฮึดสู้และฟันฝ่าความยากลำบากรวมถึงความท้าทายนานัปการ อีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะกลับถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อยู่แล้ว ได้โปรดอย่าให้ข้าต้องตายเพราะผลลัพธ์โง่เง่าจากการขอพรจากขวดใบหนึ่งเลย! หวังเป่าเล่อตอนนี้เศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มเข้าใจแล้วว่าไม่ควรขอพรจากขวดใบนั้นสักนิด

เขาไม่น่าดูเบาผลข้างเคียงจากการขอพรจากขวดใบนั้นเลยจริงๆ

ข้ายอมรับแล้ว ข้าตัดสินใจผิดไป… หวังเป่าเล่อใกล้ร้องไห้เต็มทน ชายหนุ่มใช้แรงที่เหลือทั้งหมดพยายามเร่งความเร็วอย่างสิ้นหวังไปทางอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ สภาพของเขาขณะนี้น่าเวทนายิ่ง แต่ชายหนุ่มไม่มีเวลามัวใส่ใจเรื่องภาพลักษณ์ หวังเป่าเล่อได้แต่หวังว่าเขาจะไปโผล่ที่จุดมุ่งหมายได้ด้วยการดีดนิ้วเพียงครั้งเดียวและอยู่ให้ห่างจากสายฟ้าเหล่านี้มากขึ้น

แน่นอนว่า…หากสายฟ้าพวกนี้จะติดตามชายหนุ่มไปจนกระทั่งถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และผ่าอย่างรุนแรงลงไปที่อารยธรรม หวังเป่าเล่อก็คงไม่ขัดข้องอะไร…แม้ว่าความเสียหายที่ชายหนุ่มจะต้องแบกรับอาจหนักหนา แต่หวังเป่าเล่อก็ยังแอบหวังไม่ได้

แต่ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะมาเสียสมาธิกับความคิดไร้แก่นสารเช่นนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือต้องเอาชีวิตให้รอด แต่ไม่ว่าจะเหาะอย่างรวดเร็วเพียงใด สายฟ้าก็ไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ อันที่จริงแล้ว พวกมันดูเหมือนจะรุนแรงขึ้นกว่าก่อนด้วยซ้ำ หวังเป่าเล่อตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อเห็นเช่นนั้น สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงตอนเด็กๆ ที่ถูกสุนัขดุร้ายวิ่งไล่

โชคยังดีที่หวังเป่าเล่อว่องไวเป็นอย่างยิ่ง ยังมีความเป็นไปได้ว่ามีใครสักคนหลบซ่อนอยู่ภายในพายุสายฟ้านี้และไม่ได้ตั้งใจจะสังหารหวังเป่าเล่อแต่อย่างใด หาไม่แล้ว ทะเลสายฟ้านี้คงไล่ตามชายหนุ่มทันหรือห้อมล้อมไม่ให้เขาหนีได้ไปนานแล้ว พลังอันยิ่งใหญ่ที่มันแสดงให้เห็นเป็นข้อพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี

หวังเป่าเล่อรู้ความจริงข้อนี้ดี แต่ก็ยังไม่กล้าเสี่ยงชีวิตเพียงเพราะความเป็นไปได้นี้อยู่ดี ชายหนุ่มทำได้เพียงหนีต่อไปอย่างหดหู่ เขาเร่งความเร็วต่อไป และทะเลสายฟ้าขนาดยักษ์ที่ใหญ่เทียบเท่าครึ่งหนึ่งของอารยธรรมก็ยังคงไล่ตามมา อารยธรรมเล็กๆ รายทางย่อมต้องสังเกตเห็นเหตุการณ์นี้อย่างช่วยไม่ได้

อารยธรรมเล็กๆ เหล่านี้เป็นอารยธรรมล้าหลังที่ด้อยสติปัญญา ยังอยู่ในช่วงยุคชนเผ่า ผู้คนในอารยธรรมต่างพากันสั่นกลัวเมื่อแหงนมองขึ้นฟ้าแล้วเห็นท้องฟ้าสว่างวาบขึ้น ทุกคนทรุดตัวลงคุกเข่าก่อนจะกราบไหว้ อารยธรรมอื่นๆ ที่เริ่มมีความรู้และศึกษาจักรวาลมาบ้างแล้ว ก็พากันใช้เครื่องมือมองดูภาพปรากฏการณ์อันน่าทึ่งของทะเลสายฟ้าในอวกาศแล้วก็ล้วนตื่นตะลึงด้วยความกลัว

สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจมากที่สุด…คือการค้นพบว่ามีสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวกำลังเดินทางนำหน้าพายุสายฟ้าซึ่งเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ภาพนี้ทำให้พวกเขาตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง

ตำนานหลากหลายเรื่องปรากฏขึ้นมาในใจทันที พวกเขาคิดว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงที่สิ่งมีชีวิตจากต่างดาวดังกล่าวคือผู้ฝึกตนที่ตำนานเหล่านั้นกล่าวถึง พวกเขาจึงรีบทรุดตัวลงคุกเข่ากราบกรานทันที

หวังเป่าเล่อไม่ได้มองคนเหล่านั้นแม้สักนิด ชายหนุ่มกำลังจะเสียสติ เขารู้ดีว่าพายุสายฟ้าที่ไล่หลังมาจะไล่เขาทันในทันทีหากลดความเร็วลงแม้แต่นิด หากหวังเป่าเล่อเร่งความเร็วขึ้นอีก พายุนั้นจะชะลอลงเล็กน้อยแทน ผลลัพธ์ก็คือ ระยะห่างระหว่างตัวเขาและทะเลสายฟ้านั้นยังคงที่อยู่เสมอ

เห็นได้ชัดว่ามีใครสักคนหนึ่งกำลังพยายามทรมานหวังเป่าเล่อด้วยลูกเล่นนี้ ชายหนุ่มขณะนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะ ขวดปรารถนานั้นช่างเป็นสิ่งที่เลวทรามยิ่ง ความจริงที่ว่าหวังเป่าเล่อได้ขอพรที่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับตัวเขาเลยยิ่งทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปอีก

ข้าจะยอมรับผลที่ตามมาหากขอพรให้บรรลุระดับดาวพระเคราะห์แล้วได้ผล แต่นี่ข้าไม่ได้ขออะไรเลย แค่พูดอะไรออกไปลอยๆ เท่านั้น เจ้าขวดปรารถนานี่โง่หรืออย่างไรกัน หวังเป่าเล่อคิดด้วยความฉุนเฉียว แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากกัดฟันและเผ่นหนีต่อไป มีเรือบินรบจำนวนหนึ่งรวมถึงผู้ฝึกตนที่สามารถเดินทางในอวกาศสองสามคนมองเห็นการเผ่นหนีอย่างบ้าคลั่งของหวังเป่าเล่อ เสียงอุทานด้วยความตกใจดังขึ้นทั่วขณะที่หวังเป่าเล่อเหาะหนีอย่างบ้าคลั่งไปในอวกาศ

เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถึงและเพื่อให้หวังเป่าเล่อลืมเรื่องที่ว่าความรู้เกี่ยวกับกระดาษรูปมนุษย์ของเขามีจำกัด ชานหลิงจื่อจึงรีบยกตัวอย่าง

“อาจารย์ ข้าไม่กล้าเปิดเผยตั้งแต่แรกว่าข้ามีคันธนูจักรพิภพจำลองอยู่ในครอบครอง หาไม่แล้ว ด้วยคุณค่าของคันธนู หากข้าสามารถขายมันได้อย่างปลอดภัย ข้าก็คงจะซื้ออารยธรรมมาเป็นของตนเองได้สักหนึ่งพันแห่ง อันที่จริงแล้ว หากข้าติดต่อผู้เยี่ยมยุทธ์ในระดับดารานิรันดร์ได้ ข้าก็คงใช้คันธนูเพื่อต่อรองให้พวกเขาช่วยเหลือข้าได้เป็นแน่ แต่ก็คงต้องเป็นความช่วยเหลือที่สมเหตุสมผล มิเช่นนั้นแล้ว ข้าก็อาจถูกกินทั้งเป็นเอาได้…” ชานหลิงจื่อแอบรู้สึกขมขื่นอยู่ในใจ เขาพ่ายแพ้เพราะไม่มีสิทธิ์เช่นนั้นนั่นเอง

แม้ว่าชานหลิงจื่อจะอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ เขาก็ไม่ได้รู้เรื่องของตระกูลไม่รู้สิ้นเท่าใดนัก เพราะเหตุนี้ แม้ว่าชานหลิงจื่อจะได้สมบัติล้ำค่ามาไว้ในครอบครอง ก็ยังต้องเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังแถมยังไม่กล้าเปิดเผยความจริงออกไป ส่วนเรื่องจะนำคันธนูไปให้ผู้ที่อยู่สูงขึ้นไปดูก็ไม่กล้า การทำเช่นนั้นเสี่ยงอันตรายยิ่งกว่าการเปิดเผยว่ามีคันธนูอยู่ในครอบครองเฉยๆ เสียอีก นั่นเพราะชานหลิงจื่อรู้ดีว่าเขาคงไม่อาจรอดพ้นการตรวจสอบและต้องถูกยึดของอีกสองชิ้นไปพร้อมกันแน่

ความช่วยเหลือจากผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับดารานิรันดร์อย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อมีสีหน้าแปลกแปร่ง ตอนที่ชานหลิงจื่อบอกว่าคันธนูสามารถแลกกับอารยธรรมได้นับพัน ชายหนุ่มก็คิดว่ามันมีค่ายิ่งนัก แต่หลังจากที่ได้ยินครึ่งหลังของประโยค เขาก็รู้สึกว่ามันก็ไม่ได้มีค่าขนาดนั้น

เพราะอย่างไรเสีย ศิษย์พี่ของเขาก็เป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ในระดับดารานิรันดร์ หวังเป่าเล่อคิดว่าต่อให้ตนอยากได้ความช่วยเหลือสักหนึ่งพันอย่าง…ก็คงไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก

หากชานหลิงจื่อล่วงรู้ความคิดทั้งหมดของหวังเป่าเล่อก็คงจะตรอมใจจนต้องกระอักเลือดออกมา ความแตกต่างระหว่างพวกเขานั้นห่างกันยิ่งกว่าท้องฟ้ากับผืนแผ่นดินเสียอีก

“พอแล้ว อธิบายเรื่องขวดให้ข้าฟังที” หวังเป่าเล่อโบกมือก่อนถามเรื่องขวดปริศนาใบจ้อย ในความเป็นจริง การคาดการณ์ของชานหลิงจื่อผิดพลาดไป สิ่งที่หวังเป่าเล่อสนใจที่สุดไม่ใช่ทั้งกระดาษรูปมนุษย์หรือคันธนูจักรพิภพ

ชายหนุ่มสนใจกระดาษรูปมนุษย์เพราะมันแปลกประหลาดและเกี่ยวข้องกับสุสานดวงดาราที่เขากำลังสนใจอยู่ ส่วนอย่างหลัง…หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตอนนี้มันยังไม่มีประโยชน์อันใดกับเขา แค่ได้รู้มูลค่าของมันก็เพียงพอแล้ว

สิ่งที่ชายหนุ่มสนใจอย่างมากคือขวดใบน้อย สัญชาตญาณบอกเขาว่าความลึกลับของขวดนั้นน่าจะเกินกว่ากระดาษรูปมนุษย์ไปไกลลิบ

แล้วก็เป็นจริงตามนั้น… นั่นเพราะชานหลิงจื่อผู้ที่เจื้อยจ้อยพูดข้อมูลออกมาอย่างคล่องแคล่วจู่ๆ ก็สะอึกไป เขาไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนั้นแต่เป็นไปตามสัญชาตญาณ ทว่าหลังจากได้เห็นแววตาดุร้ายจากหวังเป่าเล่อ ชายวัยกลางคนก็ตัวสั่นก่อนจะรีบบอกทุกสิ่งที่รู้ไปทันที

“อาจารย์…ข้าไม่รู้จุดกำเนิดของเจ้าขวดใบจ้อยเลย ข้าไม่พบเบาะแสใดๆ เกี่ยวกับมันในบันทึกโบราณด้วย ข้ารู้เพียงว่าขวดนี้ดูเหมือนจะมีตัวตนมาเนิ่นนานแล้ว และประโยชน์ของมัน…ตามการค้นคว้าหลายปีดีดักของข้า…ขวดนี้เหมือนว่าจะเป็น…ขวดปรารถนา!” ชานหลิงจื่อพูดอย่างระวัง เขากลัวว่าจะไม่ละเอียดพอจึงรีบเสริมขึ้นมา

“ขวดนั้นไม่สามารถเปิดได้ และถ้อยคำบนกระดาษภายในขวดก็พร่าเลือน ข้ามองไม่ออกว่ามันเขียนไว้ว่าอะไร…”

ถ้อยคำพร่าเลือนเช่นนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหรี่ตามองชานหลิงจื่อ ชายหนุ่มไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายหลอกลวงเขา แต่ก็จำได้ว่ามองเห็นคำว่า “คนร่ำรวย” อยู่ในขวดก่อนหน้านี้

ข้อนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อแปลกใจ แม้จะไม่ได้แสดงออกมาทางสีหน้าก็ตาม

“ข้ามองถ้อยคำบนกระดาษได้ไม่ชัดเจน แต่ก็ยืนยันได้ว่ามันเป็นขวดปรารถนาจริงๆ ทว่ามันใช้ได้ผลเพียงบางเวลาเท่านั้น บางครั้งมันก็ไม่ได้ผล…แต่ว่าเวลาที่ได้ผล เมื่อมันให้พรกับผู้ที่ขอ ก็มักจะมีผลข้างเคียงอันเกินจินตนาการเกิดขึ้นด้วย…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ ความหวาดกลัวและขมขื่นก็ฉาบเคลือบดวงตาของชานหลิงจื่อราวกับว่าผลข้างเคียงอันน่าสะพรึงกลัวเคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อน

“ผลข้างเคียงอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว

“เจ้าคงเคยขอพรได้ผลมาก่อนสินะ บอกผลข้างเคียงข้ามา!”

ชานหลิงจื่อเงียบกริบไปทันที หลังจากนั้นพักหนึ่ง เขาก็เหมือนไร้สิ้นเรี่ยวแรงก่อนจะทำคอตกแล้วพูดออกมาน้ำเสียงแผ่วเบา

“อาจารย์ ข้าเคยเป็น…ผู้ฝึกตนหญิงมาก่อน”

“ผู้ฝึกตนหญิงเช่นนั้นหรือ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน เจ้าพูดอะไรของเจ้า…เอ่อ…” ตอนแรกหวังเป่าเล่อก็ไม่เข้าใจคำพูดของชานหลิงจื่อ แต่เมื่อพูดทวนไปครึ่งประโยคก็เข้าใจได้ ชายหนุ่มจ้องมองวิญญาณของชานหลิงจื่อด้วยนัยน์ตาเบิกโพลง สมองว่างเปล่า ความสับสนปรากฏขึ้นในดวงตา

“ผู้หญิงหรือ เจ้าเคยเป็นผู้หญิงอย่างนั้นหรือ”

ชานหลิงจื่อส่งยิ้มขมขื่นพลางมองไปทางหวังเป่าเล่อก่อนจะพยักหน้า

“เจ้าล้อข้าเล่นใช่ไหม ขนาดวิญญาณของเจ้ายังเป็นชาย…” หวังเป่าเล่อรู้สึกศีรษะหมุนกลับข้าง ความรู้สึกแรกของชายหนุ่มก็คือชานหลิงจื่อช่างกล้ามากที่มาล้อเล่นกับเขา จิตสังหารของชายหนุ่มพุ่งสูงขึ้น

สิ่งนี้ทำเอาชานหลิงจื่อตัวสั่นด้วยความกลัวก่อนจะรีบอธิบายทุกอย่าง

“ท่านอาจารย์ฟังข้าก่อน แม้ว่าข้าจะเคยเป็นผู้ฝึกตนหญิง แต่ในตระกูลไม่รู้สิ้นผู้ชายนั้นได้รับสิทธิ์เหนือกว่าผู้หญิง ดังนั้น ข้าจึงซ่อนเพศตามกำเนิดมาโดยตลอด หลังจากที่ได้รับขวดขอพรมา ข้าก็ค้นคว้าเกี่ยวกับมันอยู่หลายต่อหลายปี และเหตุผลที่ข้าบรรลุถึงระดับดาวพระเคราะห์ได้สำเร็จเป็นเพราะข้าขอพรในช่วงเวลาความเป็นความตายพอดี”

“ติดอยู่เพียงว่าผลลัพธ์นั้นเปลี่ยนข้าให้กลายเป็นผู้ฝึกตนชาย ข้าขอพรให้ตัวเองกลับเป็นผู้หญิงอีกครั้ง แต่พอขอพรอื่น ข้าก็ถูกเปลี่ยนกลับเป็นชายอีก…นอกจากนั้น ผลข้างเคียงของขวดขอพรนี้ก็แปลกประหลาดนัก…ข้าจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่ข้ากลายเป็นต้นไม้หลังจากที่ขอพรสำเร็จ…แล้วก็ติดอยู่อย่างนั้นถึงสามปี” ชานหลิงจื่อมีหน้าตาเหนื่อยหน่าย โดยปกติเขาคงไม่กล้าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง แต่มาบัดนี้ ชายวัยกลางคนก็พรั่งพรูความอัดอั้นตันใจออกมาตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ทุกถ้อยคำเต็มล้นไปด้วยความปวดร้าว

ขณะที่หวังเป่าเล่อฟังเรื่องของชานหลิงจื่อ นัยน์ตาเขาก็เบิกกว้างขึ้น หัวใจเต้นรุนแรง ชายหนุ่มรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้นเขาก็อดรู้สึกสนใจไม่ได้…โดยสัตย์จริงแล้ว หากขวดปรารถนาเป็นอย่างที่ชานหลิงจื่อ

กล่าวจริง ก็นับได้ว่ามีพลังยิ่งใหญ่นัก

บรรลุขั้นได้เพียงแค่ขอพรเท่านั้น…สมบัติอะไรกันนี่ หวังเป่าเล่อรู้สึกตื้นตัน แต่เขาก็ยังลังเลเพราะเรื่องผลข้างเคียงที่อีกฝ่ายเล่า ทว่าเมื่อชายหนุ่มคิดไปว่าระดับปราณของตนจะพุ่งสูงได้ถึงขนาดไหน เขาก็รู้สึกได้ว่าการเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนหญิงเพียงไม่กี่ปีก็น่าจะเป็นผลพวงที่ยอมรับได้

อย่างไรเสีย ชานหลิงจื่อก็บอกว่าเขาเคยเปลี่ยนกลับมาได้…คงจะไม่เป็นไรกระมังหากว่าผลข้างเคียงนั้นไม่ถาวร หวังเป่าเล่อยิ่งคิดยิ่งตื่นเต้น ชายหนุ่มคิดว่าหากต้องกลายเป็นผู้หญิงจริง ก็คงถือสันโดษสักสองสามปีก่อนจะออกมาลองขอพรให้กลับเป็นผู้ชายอีกครั้ง

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็มีแววมุ่งมั่น ก่อนที่ชายหนุ่มจะหยิบแหวนคลังเก็บออกมา หลังจากปล่อยดวงจิตเทพเข้าไปภายในเขาก็พบว่า กระดาษรูปมนุษย์แม้จะลืมตาขึ้นและมีแสงปีศาจเรืองรองอยู่ แต่ครั้งนี้มันก็ไม่ได้พยายามจะหยุดเขา ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงรีบหยิบขวดออกมา เมื่อถือขวดอยู่ในมือ ชายหนึ่งก็อดรู้สึกประหม่าไม่ได้ หลังจากที่กัดฟันอยู่ชั่วอึดใจ เขาก็รีบขอพรด้วยเสียงอันดัง

“ข้าต้องการเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น!”

ขวดใบน้อยไม่ตอบสนอง ใบหน้าของชานหลิงจื่อกระตุก แต่หลังจากที่มองเห็นสายตาดุร้ายที่หวังเป่าเล่อส่งมา อีกฝ่ายก็รีบถอนใจก่อนจะกล่าว

“อาจารย์…ข้าเคยขอพรนั้นแล้ว แต่ไม่เป็นผล…ขวดปรารถนาบางครั้งก็ได้ผล บางครั้งก็ไม่…”

สีหน้าของหวังเป่าเล่อเผยความฉงนสงสัย แต่หลังจากที่คิดอยู่ชั่วขณะ ชายหนุ่มก็พ่นลมหายใจก่อนจะลองอีกครั้ง

“ข้าต้องการเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับดาราจักร!”

ขวดยังคงนิ่งเฉยอยู่

“ข้าต้องการเป็นผู้เยี่ยมยุทธ์ระดับดารานิรันดร์!” หวังเป่าเล่อไม่อยากจะเชื่อจนต้องส่งเสียงคำรามออกมา ทว่า…ขวดใบน้อยยังนิ่งเฉยเหมือนเดิมไม่ไหวติงแม้สักนิด สิ่งนี้ทำให้ชายหนุ่มโกรธจัดจนต้องหันมาขู่ชานหลิงจื่อ

“ชานหลิงจื่อ เจ้ากล้าหลอกลวงข้าหรือ” หวังเป่าเล่อยกมือซ้ายขึ้นก่อนจะลากอีกฝ่ายเข้ามา สีหน้าของชายหนุ่มทั้งโกรธและหงุดหงิด จิตสังหารในดวงตาแรงกล้า ชานหลิงจื่อกลัวเสียจนต้องหวีดเสียง

“อาจารย์ อาจารย์ฟังข้าก่อนขอรับ ไม่ใช่ความผิดของข้านะขอรับ ขวดนี้ใช้ได้ผลแค่บางเวลาเท่านั้น ท่านควบคุมมันไม่ได้…” ชานหลิงจื่อกำลังจะร้องไห้ เขาพูดความจริงออกมาทั้งหมดอย่างไม่ปิดบัง เพราะหวาดกลัวอารมณ์อันแปรปรวนของหวังเป่าเล่อ เขาอดรู้สึกไม่ได้ว่าพรของชายหนุ่มนั้นเป็นไปไม่ได้ หากสามารถขอเช่นนั้นได้จริง ชานหลิงจื่อก็คงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในจักรพิภพไม่รู้สิ้นไปเรียบร้อย ไม่ถูกจับและอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นตอนนี้แน่

เมื่อเห็นสีหน้าของชานหลิงจื่อ หวังเป่าเล่อก็ขมวดคิ้ว แต่ยังมีความเคลือบแคลงในแววตา หลังจากคิดอยู่ชั่วขณะ ชายหนุ่มก็ยกขวดชูขึ้นก่อนจะขอพรอีกครั้ง

“ข้าต้องการบรรลุระดับดาวพระเคราะห์!”

พรข้อนี้เป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับหวังเป่าเล่อ ชานหลิงจื่อเคยพูดก่อนหน้านี้ว่าตนเคยขอพรให้บรรลุขั้นจากขั้นจิตวิญญาณอมตะสู่ระดับดาวพระเคราะห์ ทว่า…เมื่อพูดจบ ขวดใบจ้อยกลับยังนิ่งสงบไม่เปลี่ยนแปลง สิ่งนี้ทำเอาสีหน้าของหวังเป่าเล่อถมึงทึงขึ้นอย่างมาก

หวังเป่าเล่อไม่จำเป็นต้องข่มขู่ชานหลิงจื่อด้วยซ้ำ หลังจากที่เห็นชายหนุ่มดูดกลืนวิญญาณของตันโจวจื่อเข้าไปอย่างอ้อมๆ และมีร่างกายใหญ่โตขึ้นแล้ว ชานหลิงจื่อก็กลัวหัวหดทันที เขาไม่รู้สึกแม้แต่น้อยว่าจะยังมีโอกาสฟื้นคืนชีพได้หากถูกดูดกลืนเข้าไปเช่นนั้น แม้จะไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อทำได้อย่างไร แต่ความแปลกประหลาดของร่างกายอีกฝ่ายก็ทำให้ชานหลิงจื่อหัวใจเต้นโครมคราม สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความกลัว

“สหายร่วมสำนักเต๋า เรามาพูดคุยเรื่องนี้กันดีๆ เถิด โปรดอย่าได้ใจร้อน…” ชานหลิงจื่อตัวสั่นก่อนจะละล่ำละลักออกมา เขากลัวมากว่าจะไม่ทันได้พูด แต่ขณะที่พูดไปนั้น หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นจับตัวเขาเอาไว้ ก่อนแสร้งทำเป็นจะขว้างเขาเข้าไปหาดวงเนตรปีศาจด้านหลังแล้วพูดออกมาอย่างใจเย็น

“ข้าไม่ได้ใจร้อน แต่ข้าไม่เห็นประโยชน์ที่ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไป!”

“มีประโยชน์สิขอรับ!” ชานหลิงจื่อตะโกนออกมาเสียงดังด้วยความกลัว

“สหายร่วมสำนักเต๋า ข…ข้าจะยอมให้ท่านเป็นอาจารย์ของข้าก็ได้! อาจารย์ หากท่านสัญญาว่าจะไม่ฆ่าข้า ข้า…ข้าจะช่วยเปิดแหวนคลังเก็บให้กับท่าน ล…แล้วจะเล่าต้นกำเนิดของของทั้งสามชิ้นในแหวนให้ท่านฟังด้วย ข้ายังบอกวิธีใช้ให้ท่านได้อีกด้วย ได้โปรดไว้ชีวิตข้าเถิดท่านอาจารย์ ข้ามีประโยชน์มากนะขอรับ!” ชานหลิงจื่อ ผู้ซึ่งตอนนี้พินอบพิเทาอย่างสมบูรณ์แบบดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้ไม่โดนกลืนกิน

และนี่ก็เป็นไปตามแผนของหวังเป่าเล่ออีกเช่นเคย ชายหนุ่มตั้งใจนำชานหลิงจื่ออกมาก่อนกินตันโจวจื่อเพื่อให้อีกฝ่ายมองเห็นทุกสิ่ง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาสอบสวน

ตอนนี้เหมือนว่าวิธีนี้จะได้ผล และชานหลิงจื่อเองก็เริ่มเรียกหวังเป่าเล่อว่าอาจารย์แล้วด้วย ชายหนุ่มค่อนข้างพอใจกับความเฉลียวฉลาดของตนอยู่ไม่น้อย แต่ก็ต้องขมวดคิ้วแสดงอาการลังเลอยู่เล็กน้อย ทำทีเหมือนว่ากำลังชั่งใจว่าจะเอาอย่างไร

ชานหลิงจื่อเดาได้ว่าอาการลังเลนี้เป็นการแสดงเพื่อจะทำให้เขาหวาดกลัว แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเพียงกัดฟันและให้ข้อมูลอันมีค่าต่อไปเพื่อซื้อใจหวังเป่าเล่อ

“อาจารย์ ข้าไปได้ของสามสิ่งในแหวนคลังเก็บมาจากซากปรักหักพังโบราณ ของทั้งสามชิ้นคือกระดาษรูปมนุษย์ หนึ่งในเก้าคันธนูจักรพิภพจำลอง และ…ขวดปรารถนา!”

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็เริ่มสนใจและหันไปมองชานหลิงจื่อ

เมื่อเห็นอีกฝ่ายมองมา ชานหลิงจื่อก็ถอนใจอยู่ในใจอย่างโล่งอก แต่เขาก็รู้ดีว่าจะมาชะงักตอนนี้ไม่ได้ จึงกัดฟันพูดต่อไป

“กระดาษรูปมนุษย์ตนนี้มีจุดกำเนิดลึกลับ แต่ตามที่ข้าค้นคว้าและตรวจสอบจากบันทึกโบราณหลายปีมานี้ ข้าคิดว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับสุสานดวงดาราในตำนาน!

“ตำนานกล่าวไว้ว่าทุกๆ ครั้งที่สุสานดวงดาราเปิด เรือจำนวนมากจะออกเดินทางไปรับผู้ที่มีสิทธิ์การเข้าสุสานดวงดารามา หลังจากที่รับมาทุกคนแล้ว เรือก็จะพาพวกเขาไปยังสุสานดวงดารา ตำแหน่งที่ตั้งยังเป็นปริศนา และเรือเหล่านี้ก็พิเศษอย่างยิ่ง มีเพียงผู้ที่มีสิทธิ์เข้าสุสานเท่านั้นจึงจะมองเห็นได้ คนอื่นๆ นั้นย่อมมองไม่เห็นเรือแม้แต่น้อย!

“และตำนานยังกล่าวไว้อีกว่าคนเรือของเรือจากสุสานดวงดารา…ก็คือกระดาษรูปมนุษย์!

“ดังนั้นข้าจึงเดาเอาว่ากระดาษรูปมนุษย์ในแหวนคลังเก็บของข้าน่าจะเคยเป็นคนเรือมาก่อน แต่ด้วยเหตุผลบางประการ เขาไม่ได้กลับไปอีกหลังจากที่จากมา…”

เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ ชานหลิงจื่อก็หยุดนิ่งอยู่ ก่อนจะหันมามองหวังเป่าเล่ออย่างเกรงกลัว เห็นได้ชัดว่าต้องการให้ชายหนุ่มยืนยันว่าจะไว้ชีวิตเขา

แม้ว่าการรับรองนั้นจะเป็นเพียงลมปาก แต่ชานหลิงจื่อก็ยินดีรับไว้ เขารู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์ทำให้หวังเป่าเล่อสาบานว่าจะไม่ฆ่าเขาและรู้ว่าคำสัญญาปากเปล่านั้นไม่ปลอดภัยแม้แต่น้อย แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น และการเก็บงำข้อมูลของสิ่งของในแหวนคลังเก็บจากหวังเป่าเล่อก็ไม่มีประโยชน์อะไร

เพราะอย่างไรเสีย…หากชานหลิงจื่อสามารถหาข้อมูลนี้ได้ มันก็คงไม่ใช่ความลับอะไร ส่วนหนึ่งมาจากบันทึกโบราณ และอีกส่วนนั้นเขาเรียนรู้มาด้วยตนเอง หากหวังเป่าเล่อมีเวลาสักหน่อยก็คงหาข้อมูลเหล่านี้ได้เช่นกัน

ชานหลิงจื่อคิดว่าหากเขาใช้สิ่งนี้ข่มขู่หวังเป่าเล่อ ก็คงต้องตายเป็นแน่ กลับกันหากเขายอมบอกทุกอย่างกับอีกฝ่าย ก็อาจจะมีโอกาสรอดได้ ดังนั้นเขาจึงอ้อนวอนอย่างน่าเวทนาโดยแสดงความว้าวุ่นและเกรงกลัวในใจออกมา

ชานหลิงจื่อคิดถูกแล้ว หากเขาใช้ข้อมูลนี้ข่มขู่หวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ ตามนิสัยของชายหนุ่ม เขาคงผนึกชานหลิงจื่อไว้แล้วค้นวิญญาณอีกฝ่ายหลังจากที่บรรลุระดับดาวพระเคราะห์แล้วเป็นแน่

ไม่ว่าชายหลิงจื่อจะเป็นหรือตาย หวังเป่าเล่อก็คงไม่สนใจ แต่การร่วมมืออย่างแข็งขันของชานหลิงจื่อทำให้ชายหนุ่มพึงพอใจมาก เขายังรู้สึกด้วยว่าแผนของตนได้ผล หวังเป่าเล่อไม่ได้ตอบออกมาทันที แต่ครุ่นคิดอยู่ในใจชั่วขณะ หลังจากที่คิดย้อนไปถึงการพบเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เมื่อคราวก่อน หัวใจชายหนุ่มก็เต้นรัว

ดูเหมือนว่าข้าจะเดาถูก! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง จู่ๆ ชายหนุ่มก็มองไปทางอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก่อนที่จะมีอีกความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ

หรือเป้าหมายเดิมของเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็คือ…อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เพราะราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ก็มีสิทธิ์การเข้าสุสาน…ก่อนหน้านี้เยี่ยเหมิงเองก็พูดว่าสิทธิ์การเข้าสุสานของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ดูเหมือนจะผสานรวมอยู่ในสายเลือดราชวงศ์ และเป็นการยากยิ่งที่คนนอกจะได้มา ต้องรอให้ราชวงศ์มอบให้อย่างเต็มใจเมื่อถึงเวลาที่สุสานดวงดาราเปิดแล้วเท่านั้น!

หากเป็นเช่นนั้น บางทีเยี่ยเหมิงอาจจะไม่ได้รู้ทุกอย่าง การส่งผ่านสิทธิ์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไม่ได้เกิดขึ้นระหว่างการเปิดของสุสาน ทว่า…อาจเป็นตอนที่เรือดาวตกเดินทางไปถึง ความคิดหลากหลายหมุนวนอยู่ในใจของหวังเป่าเล่อจนกระทั่งมีประกายส่องสว่างขึ้นในดวงตาของเขา

บางทีข้าเองอาจมีสิทธิ์ก็เป็นได้ หวังเป่าเล่อคิดก่อนจะปัดความคิดนั้นออกไปอย่างรวดเร็ว แม้ว่าชายหนุ่มจะดูคล้ายกับว่ามีสายเลือดราชวงศ์อยู่ในตัว แต่มันก็ผูกติดอยู่กับวิชาดวงเนตรสวรรค์และไม่ได้อยู่ในกายเขา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เป็นราชวงศ์โดยสายเลือด

จึงเป็นไปได้ยากยิ่งที่เขาจะมีสิทธิ์การเข้าถึง

แต่ลองดูก็คงไม่…หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง พลางคิดไปถึงตอนที่กระดาษรูปมนุษย์ดูเหมือนจะใช้พลังออกมาเพื่อนำทางชานหลิงจื่อและตันโจวจื่อมาหาเขา ชายหนุ่มยังคิดถึงกริยาประหลาดของกระดาษรูปมนุษย์ระหว่างที่เขาใช้บทสวดแห่งเต๋าอีกด้วย

สัญญาณเหล่านั้นสอดประสานรวมกันอยู่ในใจของเขา แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะยังไม่แน่ใจว่าสิ่งใดคือความจริง แต่ก็รู้ดีว่าตนอยู่ไม่ไกลจากความจริงแล้ว ดังนั้นหลังจากที่ครุ่นคิดอยู่อึดใจ เขาก็จ้องมองไปยังวิญญาณของชานหลิงจื่อ

แล้วจึงพยักหน้าเบาๆ หนึ่งครั้งก่อนกล่าวออกมา

“พอแล้ว หากเจ้ามีข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับกระดาษรูปมนุษย์อีกก็จงอย่าเก็บซ่อนไว้ ขอให้บอกข้าทันที แล้วข้าจะตัดสินอนาคตของเจ้าด้วยความเมตตา”

คำพูดเหล่านั้นไม่ใช่คำสัญญาสมบูรณ์แบบที่ชานหลิงจื่อต้องการ แต่เขาก็ไม่กล้าขอมากมาย ดังนั้นจึงรีบตอบอย่างลนลาน เล่าสิ่งที่รู้ให้หวังเป่าเล่อฟังตามจริง

“อาจารย์ ข้าไม่กล้าล่วงเกินกระดาษรูปมนุษย์เลยขอรับ ข้ารู้เพียงเท่านี้ แต่ข้ารู้เรื่องของอีกสองชิ้นในแหวน…” ชานหลิงจื่อกังวลใจเล็กน้อย เขาเห็นว่าหวังเป่าเล่อสนใจกระดาษรูปมนุษย์มากกว่า และกลัวว่าหวังเป่าเล่อจะปล่อยจิตสังหารออกมาอีกเพราะตนให้ข้อมูลไม่เพียงพอจึงรีบพูดต่อไป

“พลังของคันธนูในแหวนคลังเก็บนั้นรุนแรงจนเรียกได้ว่าสะเทือนสวรรค์ อาจารย์ คันธนูนี้มีประวัติอันยิ่งใหญ่ จากที่ข้าค้นคว้ามาหลายต่อหลายปี ข้ายืนยันได้ว่าคันธนูนี้คือหนึ่งในเก้าคันธนูจักรพิภพจำลองในตำนานแห่งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น!”

“คันธนูจักรพิภพอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อเพ่งมองคันธนูในแหวนคลังเก็บ ชายหนุ่มจำได้ว่ามันมีเม็ดกลมๆ หน้าตาคล้ายดารานิรันดร์ฝังอยู่และดูสวยงามอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของชานหลิงจื่อ เขาจึงได้รู้ชื่อของคันธนู

“ท่านอาจารย์ช่างรอบรู้ ท่านนึกต้นกำเนิดของคันธนูนี้ออกแล้วใช่หรือไม่ แน่นอนว่าคันธนูนี้เป็นเพียงแบบจำลองของคันธนูจักรพิภพ ภายในจักรพิภพไม่รู้สิ้น มีสุดยอดสมบัติแห่งจักรพิภพที่เลื่องชื่ออยู่ด้วยกันสิบชิ้น หกชิ้นมีเจ้าของแล้ว และอีกสี่ชิ้นก็หายสาบสูญไปหลายปี ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ไหน และหนึ่งในสี่นั้นก็คือคันธนูจักรพิภพ!” ชานหลิงจื่อรีบประจบหวังเป่าเล่ออย่างแนบเนียนก่อนจะเล่าต่ออย่างเร่งรีบ

“คันธนูจักรพิภพของจริงมีดารานิรันดร์ประดับอยู่ร่วมสามหมื่นดวง เมื่อคันธนูถูกดึง จะทำให้จักรพิภพและกฎเกณฑ์ต่างๆ พังทลาย พลังของมันนั้นสุดยอดเกินบรรยาย!”

“ปรมาจารย์นักหลอมวัตถุเวทเคยแกะวิธีทำและใช้ทั้งชีวิตเพื่อสร้างแบบจำลองขึ้นมาได้เก้าชิ้น ทุกๆ ชิ้นมีดารานิรันดร์ฝังอยู่สิบดวง แม้ว่าจะเทียบของจริงไม่ได้ แต่สำหรับผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ แบบจำลองนี้ก็มีมูลค่าสูงลิบและเป็นสิ่งที่ทุกคนล้วนใฝ่ฝันอยากครอบครอง!” เมื่อพูดถึงจุดนี้ ชานหลิงจื่อก็กวาดสายตามามองหวังเป่าเล่อ

คลื่นกระแทกที่แรงระเบิดสร้างขึ้นแปรสภาพกลายเป็นพายุที่กวาดไปทั่วทุกสารทิศ นัยน์ตาดำของหวังเป่าเล่อหดเล็กลง ชายหนุ่มหาญกล้าไล่ตามมาแม้จะรู้ดีว่าพลังทำลายจากการระเบิดตัวเองของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์นั้นรุนแรงเพียงใด ดังนั้นเมื่อศัตรูเลือกที่จะทำลายตนเอง หวังเป่าเล่อจึงรีบใช้มือทั้งสองข้างสร้างผนึกฝ่ามือก่อนจะปล่อยพลังของเกราะมหาจักรพรรดิออกมาทั้งหมด ขณะที่ล่าถอย ชายหนุ่มยังเรียกโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา พร้อมด้วยหุ่นเชิดจักรพรรดิทั้งสิบสองตัวกับเรือบินรบเวทอีกหลายลำออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ กระทั่งชานหลิงจื่อที่ถูกผนึกอยู่อย่างไร้ทางขัดขืนก็ถูกดึงออกมาเพื่อใช้ป้องกันหวังเป่าเล่อ!

ขณะนี้ชายหนุ่มไม่สนใจว่าตัวตนจะถูกเปิดเผยอีกต่อไป เขาใช้ทั้งพลังของดวงเนตรปีศาจและปล่อยเปลวไฟสีดำออกมาครอบกายไว้เป็นลูกไฟขนาดใหญ่

การป้องกันทั้งหมดพร้อมสรรพในพริบตา วินาทีต่อมา แรงกระแทกจากการระเบิดตัวเองของตันโจวจื่อก็มาถึง หากมองจากที่ไกลๆ การระเบิดตัวเองนั้นสร้างแสงสว่างเจิดจ้า ขณะที่แรงสั่นสะเทือนสะท้อนออกไป ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็ล่าถอยรวดเร็วขึ้นอีกแต่ก็ยังไม่พ้น

เปลวไฟสีดำลุกไหม้อยู่ราวๆ สามลมหายใจก่อนสลายหายไป ดวงเนตรปีศาจก็คงอยู่ในเวลาไล่เลี่ยกัน หลังจากนั้นแม้หุ่นเชิดจะถูกทำลาย แต่วิญญาณของจักรพรรดิทั้งสิบสองก็ถูกเก็บกลับมาทันเวลา พวกมันคงอยู่ได้เพียงสองลมหายใจ จากนั้นชานหลิงจื่อก็ถูกบังคับให้ระเบิดตัวเองเพื่อซื้อเวลาอีกสองลมหายใจ แต่วิญญาณของเขาก็ถูกหวังเป่าเล่อเก็บมาได้ทันเวลา!

หวังเป่าเล่อต้านทานพลังการระเบิดตัวเองของตันโจวจื่อได้ด้วยวิธีเหล่านี้ ชายหนุ่มแทบจะไม่ได้รับความเสียหายเลยในช่วงสิบลมหายใจนั้น แรงกระแทกเพิ่งจะมามีผลกับเขาหลังจากนั้น หวังเป่าเล่อใช้พลังภายนอกเพื่อต้านทานพลังทำลายตนเองส่วนมากเอาไว้ แม้ว่าแรงกระแทกที่เหลือจะยังสร้างความบาดเจ็บให้เขาอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากนัก

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายเยือกเย็น ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นและรวบรวมเปลวไฟสีดำขึ้นมาอีกครั้ง มีเสียงท่องมนต์อันซับซ้อนดังออกมา และหลังจากที่เสียงเหล่านั้นสอดประสานกัน ก็ก่อเกิดเป็นเสียงดังสนั่นที่สะท้อนไปทั่วทั้งจักรวาล

“วิชาแห่งศาสตร์มืด หัตถ์สื่อวิญญาณ!” เสียงนั้นแปรสภาพเป็นคลื่นที่มองไม่เห็นซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากพลังทำลายตนเองของตันโจวจื่อแม้แต่น้อย ขณะเดียวกัน เงามายาร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นทางตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่คลื่นเสียงไหลบ่าเข้าไปท่วมทับร่างนั้นเอาไว้

แน่นอนว่าร่างเงานั้นคือวิญญาณของตันโจวจื่อ ที่กำลังใช้ช่องว่างจากการระเบิดตนเองเพื่อหลบหนี!

“เป็นไปไม่ได้! เจ้า…เจ้าเป็นคนของสำนักแห่งความมืดอย่างนั้นหรือ!” สีหน้าของตันโจวจื่อแสดงถึงความตื่นตะลึงขณะที่มีแววตาไม่อยากเชื่อ ขณะที่เขาส่งเสียงร้องแหลม และรู้ตัวว่าไม่อาจหนีได้อีกต่อไปเมื่อหวังเป่าเล่อเอื้อมมือขวาออกมาคว้าไว้ และไม่ว่าตันโจวจื่อจะดิ้นรนสักเพียงใดก็ไม่เป็นผล ในอึดใจต่อมา เขาก็ถูกดึงไปอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม!

การสังหารผู้ที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ต้องใช้ความพยายามมากจริงๆ หวังเป่าเล่อถอนใจขณะที่มองไปยังวิญญาณของตันโจวจื่อในกำมือ แม้ว่าวิญญาณนั้นจะดูพร่าเลือน แต่ก็ยังมีรูปร่างคล้ายคลึงตันโจวจื่ออยู่บ้าง ในขณะเดียวกันมันก็ยังแผ่พลังวิญญาณเข้มข้นออกมาอยู่ตลอด

วิญญาณของตันโจวจื่อถูกจับเอาไว้ด้วยวิชาแห่งศาสตร์มืด เขาไม่อาจดิ้นรนได้แม้แต่น้อย แถมยังไม่สามารถระเบิดตัวเองได้อีกรอบ จึงค่อยๆ หลับใหลหมดสติไปในที่สุด ดูเหมือนว่าด้วยพลังของวิชาแห่งศาสตร์มืด ดวงวิญญาณจะไม่อาจต้านทานได้แม้แต่น้อย

หวังเป่าเล่อจ้องมองวิญญาณอยู่พักใหญ่ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มจับวิญญาณของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ เขายังสัมผัสได้ด้วยว่ามีแรงดึงดูดจากจักรวาลอันห่างไกลที่พยายามดึงวิญญาณไป แต่พลังนั้นก็ไม่ได้รุนแรงแถมยังถูกขัดขวางด้วยวิชาแห่งศาสตร์มืด หวังเป่าเล่อจึงไม่ต้องปล่อยวิญญาณให้หลุดมือ

แต่ชายหนุ่มก็มีความรู้สึกว่า หากเขาไม่ได้ใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดทำลายดวงวิญญาณดวงนี้ แรงดึงดูดนั้นต้องแรงขึ้นอย่างไร้ที่สิ้นสุดจนกระทั่งดูดเอาวิญญาณที่ถูกเขาทำลายไปได้สำเร็จ และเมื่อเงื่อนไขทุกอย่างถูกเติมเต็ม ก็มีความเป็นไปได้ที่ตันโจวจื่อจะฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาในอีกหลายปีให้หลัง

แต่หากวิญญาณของเขาถูกวิชาแห่งศาสตร์มืดจับเอาไว้ ความเป็นไปได้ดังกล่าวจึงเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป

สิ่งนั้นคือเต๋าสวรรค์ของตระกูลไม่รู้สิ้นอย่างนั้นหรือ…หวังเป่าเล่อคิดขณะที่ดวงเนตรปีศาจกลับมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหลังเขาอีกครั้ง ดวงตาสีดำลืมขึ้น เผยให้เห็นแววตาเยือกเย็น หากมองดูใกล้ๆ คนที่ใกล้ชิดหวังเป่าเล่อก็ย่อมตระหนักได้ว่าแววตาของดวงเนตรและแววตาของหวังเป่าเล่อนั้นเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน!

นี่คือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับวิชาดวงเนตรปีศาจหลังจากที่หวังเป่าเล่อได้กำจัดจักรพรรดิอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์รุ่นแรกไป แปลว่าวิชาดวงเนตรปีศาจได้กลายมาเป็นพลังเทพของเขาแต่เพียงผู้เดียวโดยสมบูรณ์

เมื่อสัมผัสได้ถึงดวงตาสีดำของวิชาดวงเนตรปีศาจ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแสงประหลาด เขากำลังจะส่งวิญญาณในมือไปยังดวงเนตรเบื้องหลังเพื่อให้แปรสภาพเป็นพลังปราณ แต่จู่ๆ ชายหนุ่มก็ชะงัก หลังจากที่คิดอยู่ชั่วครู่ หวังเป่าเล่อก็หยิบวิญญาณของชานหลิงจื่อจากกระเป๋าคลังเก็บขึ้นมา

เมื่อชานหลิงจื่อปรากฏตัว เขาก็ตัวสั่นงันงก ดวงตาแสดงความหวาดกลัวและสิ้นหวังสุดขีดเมื่อมองไปทางหวังเป่าเล่อ แม้ว่าจะไม่ได้เห็นการต่อสู้ทั้งหมด แต่การหนีไปของตันโจวจื่อก่อนหน้านี้และการต้องทำลายกายเนื้อของตนเองก็ทำให้เขารู้ว่าบุรุษในหน้ากากสุกรนั้นน่ากลัวเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวิญญาณของตันโจวจื่อถูกจับได้ ทั้งหมดนี้ทำให้ชานหลิงจื่อรู้สึกขมขื่นยิ่งนัก

“ฆ่าข้าเสียเถิด ข้ายอมรับชะตากรรมแล้ว!” ชานหลิงจื่อพูดอย่างขมขื่น แต่ก็มีคลื่นความเด็ดเดี่ยวไหลออกมาจากวิญญาณของเขา เขาพร้อมที่จะตายแล้ว อันที่จริงหลังจากที่ต้องผ่านการเสื่อมสลายของกายเนื้อในครั้งนั้น ชานหลิงจื่อก็เตรียมใจไว้ตั้งแต่ก่อนจะมา เขามั่นใจอยู่บ้างว่าจะหาวิธีคืนชีพได้หลังจากที่ตายไปแล้วหลายปี

“กล้าดีนี่” หวังเป่าเล่อจ้องมองชานหลิงจื่อก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ชายหนุ่มโยนวิญญาณของตันโจวจื่อให้ดวงตาสีดำกินต่อหน้าต่อตาชานหลิงจื่อ ทันใดนั้นเอง นัยน์ตาของดวงเนตรปีศาจก็ขยายออก มันเหมือนหลุมดำหรือปากสีดำสนิทที่กลืนเอาวิญญาณของตันโจวจื่อเข้าไปทันที

หลังจากนั้นดวงเนตรปีศาจก็บวมเป่งขึ้นอย่างรวดเร็วราวกับว่ามีพายุพัดถล่มอยู่ภายใน มันสั่นสะท้านอย่างสุดจะควบคุม สำหรับดวงเนตรปีศาจแล้ว การดูดกลืนครั้งนี้ถือเป็นอาหารมื้อใหญ่ยิ่ง!

เพราะอย่างไรเสียนี่ก็คือ…การสังหารผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์และดูดกินวิญญาณของเขาเข้าไป!

มีเสียงดังสนั่นกึกก้องออกมาจากในดวงเนตรปีศาจ ขณะที่เสียงนั้นดังออกมาอย่างต่อเนื่องและดวงเนตรปีศาจยังคงดูดกลืนต่อไปไม่หยุดยั้ง แรงสะท้อนกลับก็เริ่มปรากฏขึ้น คลื่นความร้อนไหลบ่าจากดวงเนตรปีศาจเข้าสู่กายของหวังเป่าเล่อ ทำให้ร่างของชายหนุ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง พลังที่พร่องไปของเกราะมหาจักรพรรดิกลับมาเต็มในพริบตา ในเวลาเดียวกัน ระดับปราณของหวังเป่าเล่อก็เพิ่มสูงขึ้น จนกระทั่งพุ่งไปถึงจุดสูงสุดที่ร่างของเขาจะสามารถรองรับได้

หวังเป่าเล่อเข้าใจดีว่าตัวเขาไม่สามารถอยู่ที่ขั้นจิตวิญญาณอมตะได้อีกต่อไป ดังนั้นแม้ว่าจะมีพลังวิญญาณของตันโจวจื่อเหลืออยู่มากพอควร แต่เขาก็ไม่อาจดูดกลืนต่อไปได้ไหว กายของชายหนุ่มตอนนี้เปรียบเสมือนขวดใส่น้ำที่เต็มปริ่ม เขาต้องรอกระทั่งตนบรรลุระดับดาวพระเคราะห์จึงจะได้ขวดที่ใหญ่ขึ้นมาครอบครอง

ทว่าถึงจะมีข้อจำกัดเช่นนั้น ข้อดีของการดูดกลืนวิญญาณระดับดาวพระเคราะห์ก็ยังไม่หมด ความเปลี่ยนแปลงของดวงเนตรปีศาจชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และในไม่ช้า นัยน์ตาดำของมัน…ก็มีเส้นรอบวงอีกเส้นหนึ่งปรากฏขึ้น ราวกับว่ากำลังมีนัยน์ตาดำดวงที่สองเติบโตขึ้นมา!

ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้นเกินคาดสำหรับหวังเป่าเล่อด้วยเช่นนั้น กระทั่งในวิชาดวงเนตรสวรรค์เองก็ไม่ได้กล่าวไว้ เห็นได้ชัดว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเองหลังจากที่วิชาดวงเนตรสวรรค์ถูกสำนักแห่งความมืดปรับแต่ง!

อย่างไรเสีย สำนักแห่งความมืดเองก็มีวิชาดวงเนตรปีศาจถึงขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น ทุกๆ ขั้นหลังจากนั้นหวังเป่าเล่อฝึกฝนเองโดยใช้วิชาดวงเนตรสวรรค์ ดังนั้นในแง่หนึ่งวิชาดวงเนตรปีศาจของเขาก็ถือเป็นวิชาสายพันธุ์ใหม่!

ในขณะที่ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกสบายเป็นอย่างยิ่ง นัยน์ตาของชายหนุ่มก็ส่องประกายตื่นเต้นขึ้นมา แม้ว่าการสังหารผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จะยากลำบากและทำให้ชายหนุ่มเหนื่อยยากไม่น้อย แต่เขาก็ได้อะไรกลับมามากมาย การได้กำจัดเสี้ยนหนามในอนาคตถือเป็นหนึ่งในข้อดี แม้ว่ากระเป๋าคลังเก็บของตันโจวจื่อจะสลายไป แต่ปราณที่เพิ่มสูงขึ้นและการเติมพลังให้เกราะมหาจักรพรรดิจนเต็มสำหรับหวังเป่าเล่อแล้วก็ถือว่าคุ้มค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดว่ายังมีพลังวิญญาณของตันโจวจื่อเหลือเก็บไว้อีกมาก

ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มยังได้รับด้วงทองคำมาด้วย แม้ว่าด้วงนี้จะใกล้ตาย หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกว่าเขาสามารถซ่อมแซมและควบคุมมันได้โดยสมบูรณ์ อย่างไรเสีย ด้วงทองคำนี้ก็สามารถแปรสภาพเป็นผนึกด้วงทองคำ นับว่าเป็นสมบัติเวทชิ้นหนึ่ง ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังรู้สึกสบายใจอย่างยิ่ง เขาก็แลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนจะหันไปมองชานหลิงจื่อด้วยสายตาหิวกระหาย ทำเอาอีกฝ่ายถึงกับกลัวจนหัวหด

เมื่อเหรียญตราหยกถูกหยิบออกมาพร้อมคำพูดของหวังเป่าเล่อ ตันโจวจื่อผู้ซึ่งกำลังควบคุมผนึกด้วงทองคำ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อคลื่นความรู้สึกพุ่งเข้าถาโถมในใจ ก่อนหน้านี้ เขาเคยเห็นเหรียญตราหยกนั่นมาก่อน เมื่อได้มาเห็นอีกครั้งในตอนนี้ ชายวัยกลางคนก็หน้าถอดสี สิ่งสำคัญที่สุดก็คือตันโจวจื่อได้พยายามคาดเดาปูมหลังของหวังเป่าเล่ออยู่ก่อนหน้านี้ เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาก็รู้สึกอึดอัดไม่น้อย หากเป็นใครคนอื่นมาพูดเช่นนั้นต่อหน้า ตันโจวจื่อคงไม่เชื่อเป็นอันขาด

แต่เพราะระดับปราณของหวังเป่าเล่อรวมถึงปูมหลัง ตันโจวจื่อจึงไม่อาจสงสัยอีกฝ่ายได้ แต่ก็ยังไม่เชื่ออย่างเต็มที่เช่นกัน เขาจึงแบ่งสัมผัสสวรรค์ส่วนหนึ่งไปตรวจสอบว่าเหรียญตราหยกเป็นของจริงหรือไม่ เมื่อวิญญาณของเขาไม่นิ่ง การควบคุมผนึกด้วงทองคำจึงสั่นคลอนไปด้วย และถึงแม้ว่าตันโจวจื่อจะกลับมาควบคุมผนึกได้แทบจะในทันที ทว่ามันก็สายเกินไป

ตลอดเวลาที่ผ่านมา การฉกฉวยโอกาสเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการปะทะกันระหว่างตัวเขาและหวังเป่าเล่อ อีกอย่างความเชื่องช้าครั้งนี้เป็นความผิดของตันโจวจื่อเอง ดังนั้นการช้าไปเพียงเสี้ยววินาทีจึงเพียงพอสำหรับหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายขณะแปลงกายเป็นหมอก และเคลื่อนออกมาจากการควบคุมของผนึกด้วงทองคำอย่างรวดเร็ว เมื่อชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของตันโจวจื่อก็ถอดสี จิตสังหารในดวงตาของหวังเป่าเล่อปะทุออกมา

มีดวงเนตรปีศาจปรากฏอยู่เบื้องหลังของชายหนุ่ม เป็นดวงตาสีดำขนาดยักษ์ที่จับจ้องเขม็งไปยังตันโจวจื่อ ในพริบตานั้น พลังผูกมัดที่มองไม่เห็นก็จับรัดให้ร่างกายของตันโจวจื่อขยับไม่ได้ หัวใจของชายวัยกลางคนเต้นแรง ขณะที่เขากระซิบถ้อยคำด่าทอออกมานั้น ร่างของหวังเป่าเล่อก็พร่ามัวก่อนจะแยกออกเป็นสี่ร่างในอึดใจถัดมา!

ร่างทั้งสี่นั้นสร้างขึ้นมาจากสารัตถะของชายหนุ่ม พวกมันเคลื่อนที่ราวกับเป็นใบมีดคมกริบสี่เล่มที่พุ่งเข้าใส่ตันโจวจื่อ ทว่าร่างทั้งสี่นั้นไม่ได้จู่โจม หากแต่…ระเบิดตัวเอง!

มันเป็นวิธีจู่โจมที่รวดเร็วและหนักหน่วงที่สุดเท่าที่หวังเป่าเล่อจะคิดได้ ขณะที่ร่างกายของตันโจวจื่อกำลังจะฟื้นฟูตนเอง ร่างอวตารทั้งสี่ของหวังเป่าเล่อก็เข้าไปใกล้และ…ระเบิดตัวเองพร้อมกัน!

เสียงกัมปนาทดังสนั่นไปทั่วจักรวาล กลบเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของตันโจวจื่อไปสิ้น!

การโจมตีของหวังเป่าเล่อทั้งรวดเร็ว ดุดัน และรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง ทว่า…ยังมีความแตกต่างอยู่เล็กน้อยระหว่างรากฐานของชายหนุ่มกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ แม้ว่าเขาจะสามารถทำให้ตันโจวจื่อเจ็บหนักได้ แต่การจะสังหารอีกฝ่ายในทันทีก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่สักหน่อย

อีกทั้งผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นยังแตกต่างจากผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากเผ่าพันธุ์อื่นอยู่บ้าง กล่าวคือเมื่อพวกเขาแสดงร่างที่แท้จริงออกมา การจะสังหารคนเหล่านี้ได้ก็จะยากขึ้นไปกว่าเดิมหลายเท่า เพราะอย่างไรเสีย ชื่อของจักรพิภพแห่งนี้ก็คือจักรพิภพไม่รู้สิ้น ดังนั้นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นจึงได้เปรียบกว่าสิ่งมีชีวิตอื่นอยู่หลายขุม

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นมีพลังเทพภายในกาย ได้แก่การระเบิดชิ้นส่วนร่างกายตนเอง ศีรษะและแขนที่เกินมานั้นมีพลังทั้งโจมตีและตั้งรับ สามารถระเบิดตัวเองเพื่อโจมตีศัตรูและสามารถใช้เพื่อลดทอนความเสียหายต่อร่างกายได้ อันที่จริงแล้ว การจะบอกว่าสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นมีสามชีวิตก็คงไม่เกินจริงไปนัก

เว้นเสียแต่ว่าจะสามารถเอาชนะสมาชิกตระกูลด้วยพลังปราณและพลังยุทธ์แล้วสังหารทิ้งอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่หวังเป่าเล่อในตอนนี้นั้นเห็นได้ชัดว่าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ดังนั้นแม้ว่าตันโจวจื่อจะร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เขาก็ยังสามารถต้านทานไว้ได้โดยใช้ทรัพยากรจำนวนมาก นั่นคือสละหนึ่งศีรษะและหนึ่งแขน พร้อมทั้งใช้ผนึกด้วงทองคำเพื่อต้านทานการโจมตี เช่นนี้ชายวัยกลางคนจึงรอดจากการทำลายตัวเองของร่างอวตารทั้งสี่มาได้

ทว่าราคาที่ตันโจวจื่อต้องจ่ายก็มหาศาลเกินไป ผนึกด้วงทองคำเสียหาย แถมร่างที่แท้จริงของเขาก็แทบจะพิการ อีกทั้งพลังปราณยังไม่คงที่ ขณะนี้เขาอยู่ในสภาพเลวร้ายสุดขีด แถมยังเหลือแขนซ้ายอยู่เพียงข้างเดียว ขณะที่เลือดไหลท่วมกาย ร่างของตันโจวจื่อก็เคลื่อนถอยหนีทันที คลื่นความกลัวและความตื่นตะลึงกระแทกเข้าสู่หัวใจ ตันโจวจื่อตอนนี้ไม่มีจิตใจจะต่อสู้อีกต่อไป ความคิดเดียวที่มีคือต้องหนีเอาตัวรอดให้ได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม!

ดังนั้นเมื่อตันโจวจื่อหนีออกไปจนพ้นระยะอันตรายแล้ว เขาจึงใช้มือข้างที่เหลือสร้างผนึกฝ่ามืออย่างไม่รีรอ เปลี่ยนผนึกด้วงทองคำให้กลับเป็นด้วงสีทองธรรมดา แล้วรีบกระโจนขึ้นไปก่อนจะใช้แรงที่เหลือทั้งหมดเข้าควบคุม ยานด้วงทองคำแปรสภาพเป็นลำแสงสีทองก่อนพุ่งหนีออกไปในจักรวาลอันไกลลิบ

ตันโจวจื่อรู้สึกหวาดกลัวศัตรูประหลาดผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง และการเผ่นหนีไปของเขาก็ทำเอาชานหลิงจื่อ ผู้ที่ถูกผนึกอยู่อีกมุมหนึ่งใบหน้าถอดสี แถมแววตายังสิ้นหวัง

หวังเป่าเล่อเองก็หงุดหงิดเช่นกัน การสร้างร่างอวตารสี่ร่างแล้วให้พวกมันระเบิดตัวเองนั้นกินพลังงานของเขาไปมากโข แต่ชายหนุ่มก็กัดฟัน จิตสังหารในแววตาฉายแสงแรงกล้ากว่าที่เคย

ข้าเคยผ่านประสบการณ์การถูกไล่ล่าหลังจากไม่ได้ขจัดเสี้ยนหนามไปชนิดถอนรากถอนโคน แม้ครั้งนั้นระดับปราณของข้าจะยังไม่สูงนักและสภาพก็ไม่อำนวย แต่คราวนี้…ข้าจะไม่ยอมให้ใครฝังใจเจ็บแค้นและจงเกลียดจงชังข้าอีกต่อไป! หวังเป่าเล่อตระหนักได้อย่างชัดแจ้งว่าหากเขาสังหารชานหลิงจื่อตั้งแต่ตอนไปทำภารกิจให้ปรมาจารย์แห่งไฟในครั้งนั้น เขาก็คงไม่ต้องมาพบสถานการณ์เช่นปัจจุบัน

ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งนี้ชายหนุ่มค่อนข้างโชคดี เขาเพิ่งบรรลุขั้นและเริ่มต่อสู้ด้วยสภาพสมบูรณ์เต็มที่ แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจรู้ได้ว่าครั้งหน้าจะโชคดีเช่นนี้หรือไม่ ขณะที่ความคิดเหล่านี้ประเดประดังเข้ามาในใจ ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นคว้าไปทางชานหลิงจื่อ

ในพริบตาเดียว หวังเป่าเล่อก็ลากชานหลิงจื่อเข้ามาหา ผนึกอีกฝ่ายไว้อีกครั้ง ก่อนจะจับใส่ไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ หลังจากนั้นชายหนุ่มก็แปลงกายเป็นหมอกก่อนจะพุ่งไล่ตามตันโจวจื่อไป!

การไล่ล่าดำเนินไปกว่ายี่สิบวัน จนในที่สุด ขณะที่หวังเป่าเล่อยังคงไล่ตามไม่หยุดหย่อน ด้วงสีทองก็เริ่มเคลื่อนที่ช้าลงเรื่อยๆ เพราะอาการบาดเจ็บ ทำให้หวังเป่าเล่อตามทันและเริ่มสู้กับตันโจวจื่ออีกครั้ง!

การต่อสู้ในครั้งนี้เกิดขึ้นในจักรวาลนอกอารยธรรมที่สูญพันธุ์ไปแล้วแห่งหนึ่ง เสียงสนั่นดังสะท้อนก้องไปทั่วจักรวาลโดยรอบ คลื่นพลังที่กระจายออกไปพังดาวหางที่ผ่านไปมาจนเละเป็นชิ้น

แม้ว่าตันโจวจื่อจะหนีไปได้ แต่แขนที่เหลือข้างสุดท้ายก็ถูกหวังเป่าเล่อตัดขาด ส่วนด้วงสีทองนั้นไม่มีแรงพอจะหนี มันถูกหวังเป่าเล่อชิงไปแล้วผนึกเก็บเอาไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ แม้ว่าชายหนุ่มจะเหนื่อยหนักและเกราะมหาจักรพรรดิก็แทบหมดแรง เขาก็ยังไล่ตามต่อไป

“เซี่ยต้าลู่ เรื่องนี้เป็นเพียงการเข้าใจผิด เราไม่เคยมีความแค้นต่อกัน ทำไมเจ้าจึงต้องทุ่มเทไล่ล่าข้าขนาดนี้เล่า!” ตันโจวจื่อที่ตอนนี้แทบจะเสียสติส่งดวงจิตเทพมาหาหวังเป่าเล่อขณะกำลังหนี

หวังเป่าเล่อเองก็ยอมรับว่าสิ่งที่ตันโจวจื่อพูดนั้นมีเหตุผล และคำพูดเหล่านี้คงจะมีผลยิ่งกว่าหากพูดก่อนที่พวกเขาจะต่อสู้กัน ทว่า…ชายหนุ่มก็คิดกับตนเองว่าหากเขาถูกใครบางคนจู่โจมจนบาดเจ็บหนักและร่างกายที่แท้จริงแทบแหลกสลาย เขาก็คงรู้สึกขุ่นเคืองไม่น้อย และต้องหาทางกลับมาล้างแค้นในอนาคตเป็นแน่

เพราะอย่างไรเสีย การต่อสู้ครั้งนี้ก็ไม่ใช่เพียงการแก้แค้น หากแต่เป็นการแสวงหาโอกาสด้วย ดังนั้น หากหวังเป่าเล่อยอมให้ศัตรูหนีไปได้ ก็แทบจะแน่นอนว่า เขาย่อมต้องเผชิญปัญหาหลากหลายในอนาคตอีก

“เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าขอสาบานว่าจะไม่กลับมาล้างแค้นในอนาคตแน่ หากข้ารู้ตั้งแต่แรกว่าเจ้าเป็นศิษย์ตระกูลเซี่ย ข้าก็คงไม่ไล่ตามมา” เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อไม่สนใจ ตันโจวจื่อก็กังวลก่อนจะละล่ำละลักอธิบายออกมา แต่ชายหนุ่มกลับตอบอย่างเย็นชา

“ข้าไม่เชื่อเจ้าหรอก!” เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มก็เร่งความเร็ว เกราะมหาจักรพรรดิปล่อยพลังออกมาเต็มที่ เขาไล่ทันในพริบตาก่อนจะใช้อาวุธเทพฟันลงไปอีกครั้งหนึ่ง!

ตันโจวจื่อแทบจะเป็นบ้าขณะที่พยายามตั้งรับพัลวัน เสียงสนั่นสะท้อนก้องออกไป หวังเป่าเล่อตอนนี้กดดันรุกไล่เสียจนตันโจวจื่อไม่มีทางเลือกและต้องต่อสู้เท่านั้น เขาสู้จนเลือดสาดกระเซ็นไปทั่วจักรวาลที่อยู่ห่างไกลแห่งนี้!

“มันจะมากเกินไปแล้วนะ!” เมื่อเห็นว่าตนเริ่มอ่อนล้าลงทุกทีแถมพลังปราณก็ยังไม่นิ่ง ตันโจวจื่อจึงเริ่มบ้าคลั่งเนื้อตัวสั่นเทา ตัวเขาเองก็ยังไม่เชื่อว่าตนเองจะไม่มาล้างแค้น เป็นไปได้มากว่าเมื่อเขาหนีรอดไปได้ ตันโจวจื่อก็จะเริ่มการสืบอย่างลับๆ จากนั้นก็ไปขอความช่วยเหลือเพื่อหาตัวหวังเป่าเล่อให้พบ หากไม่สามารถหาตัวอีกฝ่ายได้ด้วยตนเอง เขาก็คงจะปล่อยข่าวเกี่ยวกับคันธนูจักรพิภพจำลองออกไปเพื่อสร้างปัญหาให้หวังเป่าเล่อ การได้มีส่วนร่วมในการตายของหวังเป่าเล่อแม้จะไม่ใช่การสังหารเองโดยตรงคงจะสร้างความพึงใจให้เขาได้ไม่น้อย

การที่ตันโจวจื่อจะไม่เชื่อตนเองนั้นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่หวังเป่าเล่อไม่เชื่อคำพูดเขาก็ทำให้ตันโจวจื่อเริ่มโกรธ ผนวกกับการที่ถูกกดดันมาตลอดทาง ทำให้ชายวัยกลางคนเหลือทางเลือกเพียงทางเดียวเท่านั้น

นั่นก็คือ…การสร้างโอกาสด้วยการระเบิดกายเนื้อของตนเอง เพื่อเปิดช่องให้วิญญาณของเขาหนีไปเช่นเดียวกับที่ชานหลิงจื่อเคยทำเมื่อนานมาแล้ว แม้ว่าผลเสียที่ตามมาจะใหญ่หลวง แต่ก็เป็นทางเลือกเดียวของตันโจวจื่อในตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีกระบวนเวทที่สามารถซ่อนวิญญาณได้ ดังนั้นหลังส่งเสียงคำรามออกมา นัยน์ตาทั้งสองของตันโจวจื่อก็แดงก่ำ ในวินาทีต่อมา ร่างกายของเขาก็ส่องแสงสีทองอร่าม แสงนั้นเข้มข้นขึ้นในพริบตา ก่อนจะมีภาพมายาของดาวเคราะห์มาปรากฏอยู่เบื้องหลัง มีเสียงแตกร้าวดังขึ้นก่อนที่ทั้งร่างกายและดาวเคราะห์จะระเบิดขึ้นพร้อมกัน!

หวังเป่าเล่อรวดเร็วมากเสียจนตันโจวจื่อไม่มีเวลาได้ทันตั้งตัว ขณะที่สีหน้าของชายวัยกลางคนถอดสี หมอกหวังเป่าเล่อก็ไหลบ่าเข้าไปในกายของเขาอย่างรวดเร็ว

ความเจ็บปวดรวดร้าวรุนแรงทำเอาตันโจวจื่อส่งเสียงหวีดร้องออกมาด้วยความรวดร้าว ร่างกายเขาสั่นสะท้านเพราะสัมผัสได้ถึงอันตรายรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อเขารู้สึกได้ว่าวิญญาณกำลังสั่นไหว ตันโจวจื่อรู้สึกราวกับว่ามีเปลวไฟกำลังแพร่กระจายไปทั่วร่าง ราวกับจะแผดเผาเขาเสียทั้งเป็นก็ไม่ปาน

ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ตันโจวจื่อรู้ดีว่าเขาจะรอช้าไม่ได้ นัยน์ตาของชายวัยกลางคนแดงก่ำขณะส่งเสียงหวีดร้องออกมาดังลั่น ก่อนที่ศีรษะหนึ่งในสามของเขาจะระเบิด ตันโจวจื่อพยายามใช้พลังจากการระเบิดของศีรษะผลักหมอกออกไปจากร่าง ซึ่งถือว่าได้ผลดีทีเดียว เห็นได้ชัดว่าหมอกที่อยู่ในร่างเริ่มถูกผลักออกไป และส่วนที่อยู่ภายนอกก็ไม่อาจเข้ามาได้

แต่เห็นได้ชัดว่าเท่านี้ยังไม่เพียงพอ ตันโจวจื่อคำรามก่อนจะระเบิดแขนสองข้างจากสี่ข้างที่เหลือทิ้งอีก!

ด้วยพลังการระเบิดของศีรษะและแขนซึ่งกลายเป็นแรงผลักดันมหาศาล ในที่สุดเขาก็สามารถผลักหมอกที่เหลือออกไปจากร่างได้จนหมด

เมื่อหมอกจางลง ตันโจวจื่อก็ซวนเซถอยหลังไปไกล ใบหน้าซีดขาว จุดที่เขายืนอยู่เมื่อครู่นั้นมีหมอกมารวมตัวกัน ก่อนจะคืนร่างกลับเป็นหวังเป่าเล่ออีกครั้ง

“เจ้าเป็นตัวอะไรกันแน่!” เมื่อได้เห็นภาพที่น่าหวาดหวั่น ตันโจวจื่อก็ถึงกับต้องคำรามออกมาด้วยแววตาที่ตื่นกลัว

ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้สึกกลัวไปได้ ตามจริงแล้ว แม้ว่าเขาจะไม่ได้ปะทะกับหวังเป่าเล่อนานนัก แต่เขาก็ต้องเสี่ยงชีวิตทุกครั้งที่เข้าปะทะกัน รูปแบบการต่อสู้ชนิดทุ่มสุดตัวของหวังเป่าเล่อทำเอาชายวัยกลางคนมึนงงไปหมด

และสิ่งที่ทำให้ศีรษะของตันโจวจื่อตื้อตึงไปหมดคือพลังเทพอันแปลกประหลาดของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มพลาดท่าถูกเขาทุบไปเมื่อครู่ แต่จู่ๆ ก็แปรสภาพกลายเป็นหมอกและเกือบจะสังหารเขาได้ ทักษะอันพิสดารทำเอาตันโจวจื่อต้องจริงจังกับการต่อสู้มากขึ้นกว่าเก่า

แต่ตันโจวจื่อก็รู้ดีว่าจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นนั้นกว้างใหญ่ไพศาลและเต็มไปด้วยสรรพชีวิตนานาชนิด ต่อให้เขาเองเป็นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้น ก็ยังมีสิ่งมีชีวิตและสายพันธุ์จำนวนมากที่เขาไม่เคยพบมาก่อน ดังนั้นความเข้าใจแรกของตันโจวจื่อในตอนนี้คือ…ศัตรูตรงหน้าเป็นผู้ฝึกตนที่มาจากสิ่งมีชีวิตพิเศษสายพันธุ์หนึ่ง

เป็นเหตุให้ตันโจวจื่อต้องส่งเสียงคำรามออกมาอย่างไม่แน่ใจ ในความเป็นจริงแล้ว การถามคำถามเช่นนั้นออกไปแสดงให้เห็นเจตจำนงของเขาที่ต้องการจะถอย เห็นได้ชัดว่าตันโจวจื่อไม่ต้องการเสี่ยงชีวิตเพื่อคว้าเอาโอกาสที่ชานหลิงจื่อพูดกรอกหูเอาไว้ก่อนหน้านี้

อันที่จริงเขายังสงสัยอยู่ว่าโอกาสที่ชานหลิงจื่อพูดถึงอาจไม่ได้ดีจริงตามที่กล่าวอ้าง มิเช่นนั้น…ด้วยระดับปราณของศัตรูตรงหน้า หากเจ้านี่ครอบครองคันธนูจักรพิภพจำลองจริง สิ่งที่ต้องทำก็เพียงรั้งสายธนูเต็มแรง และตันโจวจื่อก็คงไม่อาจหลบหนี มีแต่ต้องตายเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าตันโจวจื่อติดกับดักเสียแล้วในคราวนี้ ด้วยเหตุนี้ความต้องการจะหนีในใจเขาจึงเพิ่มมากขึ้นทุกทีๆ แต่เขาก็ยังเจ็บใจอยู่ไม่น้อย เพราะอย่างไรเสีย เขาก็เสียเวลาไล่ล่าหวังเป่าเล่ออยู่เป็นนาน จึงไม่ต้องการจะกลับไปมือเปล่า ดังนั้นตันโจวจื่อจึงตัดสินใจถามเอาข้อมูลมาบ้างเพื่อตระเตรียมการมาล้างแค้นในอนาคต

ส่วนหวังเป่าเล่อนั้น หลังจากที่ได้ยินคำพูดของตันโจวจื่อก็ฉีกยิ้มออกมา ชายหนุ่มชอบเป็นที่สุดเวลาที่มีใครถามเขาเช่นนั้น ดังนั้นหลังจากที่ร่างของเขาปรากฏชัดขึ้น หวังเป่าเล่อก็แลบลิ้นเลียริมฝีปากก่อนจะหัวเราะพลางจ้องมองไปยังตันโจวจื่อแล้วกล่าวว่า

“ข้าคือบิดาของเจ้าอย่างไรเล่า!”

ชายหนุ่มพูดด้วยภาษาของสำนักแห่งความมืด ซึ่งเป็นภาษาของตระกูลไม่รู้สิ้นด้วยเช่นกัน ตันโจวจื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดอย่างชัดเจน จึงมีสีหน้าบูดเบี้ยวยิ่งกว่าเก่า หลังจากที่จ้องมองหวังเป่าเล่ออยู่เนิ่นนาน เขาก็พ่นลมหายใจออกมา และเพราะไม่ได้รับคำตอบที่ต้องการ ประกายเย็นเยียบจึงแผ่ออกมาจากนัยน์ตา

ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็ต้องพยายามอีกครั้ง ข้าจะหนีไปทั้งอย่างนี้ไม่ได้! เมื่อคิดได้เช่นนั้น ตันโจวจื่อก็พลิกกายก่อนพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่ออีกครั้ง

หวังเป่าเล่อหรี่ตาก่อนจะพุ่งออกไปเช่นกัน ในพริบตาทั้งคู่ก็เข้าปะทะกันอยู่กลางจักรวาล พลังเทพแปรสภาพส่งเสียงดังสนั่นไปทั่ว ภายในเวลาไม่นาน พวกเขาก็โจมตีใส่กันไปแล้วร่วมร้อยครั้ง

แม้ว่าตันโจวจื่อจะแข็งแกร่งและปล่อยพลังระดับดาวเคราะห์ออกมาแล้วก็ตาม หวังเป่าเล่อก็ยังแปลกประหลาดกว่ามากนัก ร่างกายของชายหนุ่มสลายกลายเป็นหมอกอยู่เป็นระยะ เขาหลบท่าไม้ตายของตันโจวจื่อได้ทั้งหมดแถมยังโจมตีสวนกลับได้ด้วยวิธีนี้ ทำให้ตันโจวจื่อไม่อาจทำอะไรได้นอกจากหลบหลีกอยู่ไปมา

คลื่นพลังที่กระจายออกไปในจักรวาลโดยรอบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดก็เกิดเป็นพายุจักรวาลที่พัดกระจายไปทั่วทุกสารทิศ ร่างกายของตันโจวจื่อกระเด็นถอยหลังเพราะระเบิดกำเนิดดวงดาราของหวังเป่าเล่อ แต่ในขณะที่ล่าถอยไปนั้นเขาก็ยกมือขวาขึ้นแล้วคำรามออกมา

“ผนึกด้วงทองคำ!” เมื่อตันโจวจื่อคำรามออกมา ด้วงสีทองที่ลอยอยู่ห่างออกไปก็สยายปีกและส่งเสียงร้องแหลมสูง ร่างกายของมันพร่ามัวก่อนพุ่งตรงเข้ามาหาตันโจวจื่อ ขณะที่มันพุ่งเข้ามานั้น รูปลักษณ์ของมันก็เปลี่ยนไป ภายในพริบตาเดียวด้วงก็กลายเป็นผนึกสีทอง ตันโจวจื่อปล่อยพลังปราณออกมาจนกระทั่งเส้นเลือดบนหน้าผากเขียวปูด ขณะที่มีเงาของดาวเคราะห์ปรากฏขึ้นด้านหลัง แสงจากผนึกส่องสว่างเจิดจ้าขณะที่มันปล่อยพลังออกมากดดันหวังเป่าเล่อเอาไว้

เมื่อเห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เบิกตาโพลงก่อนจะพยายามหลบหลีก ทว่าชายหนุ่มก็สัมผัสกับความยอดเยี่ยมของผนึกด้วงทองคำเข้าจนได้ มันส่งแรงกดดันออกไปยังจักรวาลที่ล้อมรอบอยู่ ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าเขาไม่มีที่ให้หลบซ่อน และนั่นเป็นเพียงหนึ่งในพลังหลายอย่างของมันเท่านั้น…

ในวินาทีเดียวกันนั้น ตัวอักขระบนด้วงสีทองก็ส่องแสงสว่างขึ้นมา แรงกดดันดังกล่าวกระทบทั้งพลังปราณและวิญญาณของหวังเป่าเล่อพร้อมๆ กัน ทำเอาหัวใจของชายหนุ่มเต้นโครมๆ อยู่ในอก แม้ว่าเขาจะพอมีวิธีรับมือได้ แต่วิธีทั้งหมดก็ต้องใช้พลังปราณมหาศาลด้วยกันทั้งสิ้น

และหากว่าพลังปราณของหวังเป่าเล่อหมดสิ้นไปขณะกำลังเดินทางกลับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ มันย่อมส่งผลต่อชายหนุ่มเมื่อเขากลับไปถึง ขณะเดียวกัน การจะใช้พลังปราณทั้งหมดเพื่อสังหารหรือทำให้ศัตรูเจ็บหนักย่อมเป็นเรื่องยอมรับได้ แต่ภายใต้อำนาจของผนึกด้วงทองคำ การใช้พลังปราณจนหมดอาจทำได้แค่ต้านทานผนึกไว้ได้เท่านั้น หากหวังเป่าเล่อต้องสู้กับตันโจวจื่อต่อ เขาจะยิ่งเหนื่อยหนักกว่าเก่า…แต่หากเขารอเพื่อจะลดปริมาณปราณที่ต้องใช้ มันก็คงยากที่จะดิ้นหลุดจากผนึกไปได้ เมื่อชายหนุ่มถูกควบคุมได้ เขาย่อมเสียความได้เปรียบทั้งหมดและตกอยู่ในสภาพที่ป้องกันตัวไม่ได้

ปัญหานี้ทำให้หวังเป่าเล่อปวดศีรษะ ในความเป็นจริง แม้ว่าชายหนุ่มจะอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์และยังมีรากฐานที่แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปอยู่หลายเท่า ซึ่งทำให้เขายืนหยัดต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ แต่ชายหนุ่มก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่าความแข็งแกร่งระหว่างเขากับตันโจวจื่อยังห่างกันอยู่ระดับหนึ่ง

ความแตกต่างของพลังนั้นเห็นได้ชัดในแง่ของกระบวนท่าและความสามารถในการยืนหยัดบนสนามรบ ตัวอย่างเช่น แม้ว่าทั้งคู่จะดูสูสีกันเมื่อเข้าปะทะ หรือดูคล้ายว่าหวังเป่าเล่อจะได้เปรียบ แต่เขาก็ต้องใช้พลังมากมายกว่าตันโจวจื่อมากนัก อย่างไรเสีย ระดับพลังวิญญาณของเขาก็ยังห่างชั้นกับตันโจวจื่ออยู่

เมื่อข้าบรรลุระดับดาวพระเคราะห์เมื่อใด…ด้วยพลังปราณที่ข้ามีอยู่ การจะสังหารชายคนนี้คงไม่ใช่เรื่องยาก อันที่จริงแล้วข้าคงจะสามารถสังหารเขาได้ในพริบตาเสียด้วยซ้ำ! หวังเป่าเล่อรู้สึกเสียใจอยู่เล็กน้อย แต่ความเสียใจของเขาก็เป็นสิ่งล้ำค่านัก หากผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนอื่นๆ ได้เห็นการต่อสู้ระหว่างคนทั้งสอง พวกเขาคงจะตื่นตะลึงจนไม่อยากเชื่อสายตาเป็นแน่

หากว่ากันตามตรง…การที่พลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์จะได้เปรียบในการประมือกับพลังปราณระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้น แม้ไม่ใช่ว่าไม่เคยมีมาก่อนในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แต่ก็มีเพียงผู้ถูกเลือกจากตระกูลหรือฝ่ายการเมืองชั้นนำเท่านั้นที่สามารถทำได้

ดังนั้นในขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังเต็มล้นไปด้วยอารมณ์ ตันโจวจื่อผู้ที่ใช้ผนึกด้วงทองคำ ก็ยังคงคาดเดาตัวตนที่แท้จริงของศัตรูตรงหน้าอยู่ในใจ ถึงตอนนี้เขาก็รู้แล้วว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์แต่เป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะ แต่เพราะเหตุนี้ ตันโจวจื่อก็ยิ่งรู้สึกกังวลมากขึ้นไปอีก เขาไม่อาจทำใจเชื่อได้ว่าหวังเป่าเล่อมีพื้นเพธรรมดา สำหรับตันโจวจื่อแล้ว ปูมหลังของหวังเป่าเล่อจะต้องยิ่งใหญ่แน่นอน

หวังเป่าเล่อเองก็ไม่อาจเก็บความหงุดหงิดเอาไว้ได้ สีหน้าที่ชายหนุ่มแสดงออกมาและคิ้วที่ขมวดเป็นปมแน่นทำให้อารมณ์นั้นเห็นได้อย่างชัดแจ้ง เขากำลังวิเคราะห์ว่าจะออกไปอย่างไรโดยไม่ต้องใช้พลังปราณทั้งหมด จากนั้นต่อให้หวังเป่าเล่อต้องเหนื่อยล้าเพียงใด ชายหนุ่มก็ได้ชื่อว่าใช้พลังไปอย่างคุ้มค่าแล้ว…ดังนั้นเมื่อแรงกดดันของผนึกด้วงทองคำมาถึงตัว หวังเป่าเล่อจึงทอดถอนใจใหญ่

“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะบอกเจ้าก็ได้ ข้าเป็นหนึ่งในผู้ถูกเลือกรุ่นปัจจุบันของตระกูล ข้าไม่อยากจะเล่นกับเจ้าอีกแล้ว ข้าจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงแล้ว เจ้าอยากรู้ว่าข้าเป็นใครใช่หรือไม่ เช่นนั้นข้าจะบอกเจ้าก็ได้” ขณะพูด หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ เหรียญตราหยกเหรียญหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ!

สิ่งนั้นก็คือ…เหรียญตราสันติที่เซี่ยไห่หยางมอบให้เขานั่นเอง

แต่เหรียญนี้ไม่ใช่ของจริง ของจริงนั้นสลายไปนานแล้วและกลายเป็นเพียงแผ่นหยกสื่อสารธรรมดาๆ ทว่าเหรียญตราเหรียญนี้นั้น…หวังเป่าเล่อหลอมขึ้นมาขณะที่อยู่บนสะเก็ดดาว เขาตั้งใจจะใช้มันขู่ให้ศัตรูหวาดกลัว

หลังจากหยิบเหรียญออกมาแล้ว หวังเป่าเล่อก็ชูมันขึ้นสูง ความหยิ่งยโสปรากฏขึ้นบนใบหน้าขณะที่ชายหนุ่มพูดออกมาอย่างใจเย็น

“ข้าคือเซี่ยต้าลู่จากตระกูลเซี่ย!”

เสียงดังสนั่นก้องกังวานไปทั่ว สะเก็ดดาวที่ระเบิดแตกออกมาเป็นเศษเล็กเศษน้อยจำนวนนับไม่ถ้วน ทุกชิ้นฉาบเคลือบไปด้วยพลังของวงแหวนปราณและพุ่งเข้าใส่ผู้ฝึกตนทั้งสองราวกับเป็นห่าฝนรุนแรง

หากพลังของบทสวดแห่งเต๋าไม่ได้ลงมาก่อนหน้านี้ ด้วยพลังปราณระดับดาวพระเคราะห์ของตันโจวจื่อ เขาย่อมปัดป้องเศษสะเก็ดดาวเหล่านี้ออกไปได้ แต่เพราะพลังของบทสวดแห่งเต๋าและการระเบิดตัวเองอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยของสะเก็ดดาว ทำให้ถึงแม้ว่าตันโจวจื่อจะเคลื่อนไหวปัดป้องได้ทันเวลา แต่เพราะวิญญาณยังไม่คงที่ เขาจึงปัดสะเก็ดดาวออกไปได้ไม่หมด

เป็นไปตามแผนของหวังเป่าเล่อ…

ในพริบตานั้น ร่างเงาของชายหนุ่มก็พุ่งตัวออกไป ก่อนจะโบกมือซ้ายสร้างผนึกฝ่ามือแล้วชี้ออกไป เศษสะเก็ดดาวที่ยังหลงเหลืออยู่พุ่งเข้าไปหาชานหลิงจื่อทันที สีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปขณะพยายามจะหลบ ทว่าเศษเหล่านั้นก็เข้ามาห้อมล้อมตัวเขาเรียบร้อย เกิดเสียงดังตูมหนึ่งก่อนที่ชานหลิงจื่อจะถูกขังเอาไว้ในเศษสะเก็ดดาวเหล่านั้น

แม้ว่าชานหลิงจื่อจะอยู่เพียงขั้นจิตวิญญาณอมตะ แต่ก็เคยเป็นระดับดาวพระเคราะห์มาก่อน แถมยังเป็นเจ้าของแหวนคลังเก็บอีกด้วย ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจจะไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้แสดงฝีมือ หลังจากที่ผนึกชานหลิงจื่อแล้ว หวังเป่าเล่อก็พลิกกายเรียกเกราะมหาจักรพรรดิมาคลุมตัวเอาไว้ เรือบินรบเวทปรากฏขึ้นและผสานเข้ากับกายเขาเช่นกัน ขณะที่ชายหนุ่มซึ่งได้รับพลังเสริมเหล่านี้กำลังพุ่งเข้าไปหาตันโจวจื่อ เขาก็ดูประหนึ่งเป็นดาวหางที่พุ่งเข้าใส่ อีกฝ่ายถึงกับหน้าถอดสีนัยน์ตาเบิกโพลง เพราะยังตะลึงกับพลังของบทสวดแห่งเต๋าก่อนหน้านี้อยู่!

หวังเป่าเล่อเข้าประชิดตัวในพริบตาก่อนจะฟันใส่ด้วยอาวุธเทพในมือขวา!

การฟันนั้นรวมเอาคลื่นพลังรบกวนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์และความเร็วอันน่าทึ่งของชายหนุ่มเอาไว้ พลังของมันจึงสั่นคลอนไปถึงสวรรค์และน่าหวั่นเกรงอย่างยิ่ง

การโจมตีดังกล่าวเปิดความว่างเปล่าให้แยกออก ทำให้จักรวาลรอบกายหวังเป่าเล่อแผ่ความเย็นเยียบจนถึงกระดูกออกมาจากรอยแยกที่เกิดขึ้น

แม้ว่าตันโจวจื่อจะอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ แต่ก็ถึงกับหน้าถอดสีเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังนั้น เขาไม่มีเวลาคิดใคร่ครวญ เพราะในขณะนั้น ความรู้สึกที่สัมผัสได้จากหวังเป่าเล่อนั้นไม่ใช่ขั้นจิตวิญญาณอมตะแน่นอน!

แต่ถึงอย่างนั้นตันโจวจื่อก็ผ่านมาหลายสนามรบ ขณะที่ประสบอันตราย นัยน์ตาของเขาก็หดเล็กลง ก่อนที่มือจะสะบัดเป็นผนึกฝ่ามือและสร้างเกราะแสงเพชรขึ้นมาตรงหน้า พร้อมๆ กับร่างกายที่ถอดกรูดอย่างรวดเร็ว ขณะที่ร่างกายขยับถอยหลังไปนั้น หวังเป่าเล่อก็เข้าถึงตัวแล้ว อาวุธเทพของชายหนุ่มสร้างสายรุ้งงดงามทอดยาวที่กระแทกเข้าใส่เกราะแสงเพชรของตันโจวจื่อ

เสียงครืนสนั่นสะท้านสวรรค์สะท้อนออกไป เกิดเป็นเสียงแตกดังลั่นขึ้นครั้งหนึ่ง เกราะแสงเพชรทนแรงกระแทกได้เไม่กี่ลมหายใจก็ถล่มก่อนจะสลายกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยที่กระจายไปทั่วบริเวณ

แต่ด้วยเวลาเพียงเท่านั้น ตันโจวจื่อก็สามารถถอยออกไปได้ไกลพอสมควร ทว่าถึงอย่างนั้น พายุที่เกิดจากการฟันของหวังเป่าเล่อและรัศมีอันรุนแรงของมันก็ทำให้วิญญาณของตันโจวจื่อสั่นคลอน จนไม่อาจหยุดตัวเองไม่ให้ตะโกนออกมาได้

“เจ้าไม่ใช่ขั้นจิตวิญญาณอมตะ แต่เป็นระดับดาวพระเคราะห์ชัดๆ!”

ที่ถูกผนึกก็ตื่นตะลึงพอๆ กัน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สายตาเปี่ยมไปด้วยความไม่อยากเชื่อ ผสมปนเปกับความตื่นตะลึงและสิ้นหวัง!

ความคิดแรกที่ปรากฏขึ้นในใจชานหลิงจื่อก็คือ…เขาถูกหลอก ทุกสิ่งล้วนเป็นแผนของหวังเป่าเล่อที่จะล่อให้เขาปรากฏตัว!

“บัดซบ!” ชานหลิงจื่อตื่นตระหนกสุดขีด เขาปล่อยพลังออกมาเต็มที่ พยายามจะทำลายผนึกออกมา แต่เพราะพลังปราณที่ร่วงหล่นมาอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ แม้จะสามารถพังผนึกออกมาได้ก็ยังต้องใช้เวลาพอสมควร

แน่นอนว่าหวังเป่าเล่อมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคนทั้งคู่ นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายก่อนจะหัวเราะออกมา

“ในที่สุดข้าก็ล่อพวกเจ้าทั้งสองออกมาได้สำเร็จ สงสัยว่าแผนของข้าคงไม่สูญเปล่าแล้ว” หลังจากที่คำพูดของชายหนุ่มสะท้อนก้องออกไป ชานหลิงจื่อก็ตื่นตระหนกยิ่งกว่าเก่า กระทั่งตันโจวจื่อก็ยังวิตกกังวล แม้ว่าจะกวาดสัมผัสสวรรค์ไปรอบๆ และไม่พบใครอื่น เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะแบ่งสมาธิไปมองสิ่งรอบกายอีกครั้ง

แต่นั่นกลับเข้าทางหวังเป่าเล่อ เมื่อตันโจวจื่อแบ่งสมาธิออกไปนั้น ชายหนุ่มก็พุ่งตัวไปราวกับเป็นศรที่ออกจากแล่ง มุ่งหน้าตรงเข้าหาตันโจวจื่ออีกครั้ง

ขณะที่ชายหนุ่มพุ่งตัวออกไปนั้น เกราะมหาจักรพรรดิก็ปล่อยพลังออกมาเต็มที่ หวังเป่าเล่อกำมือซ้าย พายุขนาดใหญ่ก่อกำเนิดขึ้นทันที ขณะที่แรงดึงดูดของมันเริ่มก่อตัว มันก็แปรสภาพเป็นระเบิดกำเนิดดวงดารา

แม้ว่ากระบวนท่าดังกล่าวจะเป็นเพียงพลังเทพธรรมดาๆ เมื่อครั้งอยู่ในสหพันธรัฐ แต่ด้วยระดับปราณของหวังเป่าเล่อและพลังสารัตถะของเขาในตอนนี้ ผนวกกับพลังเสริมจากเกราะมหาจักรพรรดิ ทำให้พลังของมันยิ่งใหญ่ผิดธรรมดา ในแง่หนึ่ง สิ่งที่เขาสร้างขึ้นนี้ใกล้เคียงกับระเบิดกำเนิดดวงดาราของจริงก็ว่าได้!

ระเบิดนี้อาจทำลายดาวเคราะห์จำนวนมากให้แหลกเป็นผุยผงได้เลยทีเดียว!

ตันโจวจื่อรู้สึกกังวลและฉงนใจทั้งยังมีสีหน้าบูดเบี้ยว เห็นได้ชัดว่าผู้ที่กล้าหาญจะกำชัยชนะในสถานการณ์เช่นนี้ หากเขาไม่พยายามสลายรัศมีของศัตรูก็คงต้องตายลงตรงนี้เป็นแน่ ดังนั้นแม้จะรู้สึกกระอักกระอ่วนเพียงใด จิตวิญญาณการต่อสู้ก็ปะทุขึ้นมาในแววตา เมื่อหวังเป่าเล่อพุ่งเข้ามาหา เขาก็ส่งเสียงคำรามลั่น

“กายาเต๋าไม่รู้สิ้น!” สิ้นเสียงนั้น ก็เกิดเสียงที่ดังพอจะสั่นคลอนสวรรค์ออกมาจากกายตันโจวจื่อ แขนสี่ข้างและศีรษะอีกสองศีรษะงอกออกมาจากกาย ทำให้ชายวัยกลางคนตอนนี้มีหกแขนและสามศีรษะ!

นี่คือร่างกายที่แท้จริงของสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นทุกคน เมื่อร่างจริงปรากฏขึ้น ทั้งพลังปราณและพลังยุทธ์ก็รุดหน้าขึ้นไปอีก มีพายุปรากฏขึ้นนอกกายเขา ก่อนจะซัดเข้าหาหวังเป่าเล่อ

ทั้งสองคนว่องไวราวสายฟ้าฟาด หากมีผู้ฝึกตนธรรมดาอยู่บริเวณนั้น พวกเขาคงมองเห็นร่างกายของคนทั้งคู่ได้ไม่ชัดเจนนัก คงจะมองเห็นเพียงแสงวิบวับสองสายพุ่งเข้าปะทะกันเท่านั้น

มีเสียงกัมปนาทดังสนั่นสะท้อนไปทั่ว ระเบิดกำเนิดดวงดาราของหวังเป่าเล่อถูกแขนสองข้างของตันโจวจื่อปัดป้อง แม้ว่ากำปั้นของหวังเป่าเล่อที่มีระเบิดกำเนิดดวงดาราอยู่ภายในจะไม่ได้ผลักตันโจวจื่อกระเด็นไป แต่แขนทั้งสองก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง

เมื่อคลื่นกระแทกที่เกิดจากการปะทะของทั้งคู่กระจายออกไป นัยน์ตาของตันโจวจื่อก็ส่องประกายเยือกเย็น ขณะที่ใช้สองแขนป้องกัน อีกสองแขนก็ยกขึ้นหมายจะทุบใส่ศีรษะของหวังเป่าเล่อทันที

พลังจากการทุบนั้นหนักหนา หากว่าการโจมตีเข้าเป้า ศีรษะของหวังเป่าเล่อต้องบุบสลายแน่นอน แต่การจู่โจมกลับของชายหนุ่มก็รวดเร็วและรุนแรงเช่นกัน อาวุธเทพในมือขวาของเขาแปรสภาพไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มไม่ได้หลบการโจมตีแต่กลับฟันไปที่คอของตันโจวจื่อ!

การโจมตีแลกกันเช่นนี้ทำให้จิตใจของตันโจวจื่อสั่นไหว เขารู้สึกเหมือนได้เจอคนบ้าที่โจมตีอย่างดุเดือด แต่ชายวัยกลางคนก็ยังตอบสนองได้ว่องไวเทียมกัน ตันโจวจื่อกัดฟัน นัยน์ตาส่องประกายแรงกล้า มือทั้งสองยังคงพุ่งไปที่ศีรษะของชายหนุ่มก่อนจะยกมืออีกสองข้างขึ้นบังการโจมตีจากอาวุธเทพของหวังเป่าเล่อ

พลังของอาวุธเทพไม่อาจถูกหยุดยั้งได้ด้วยสองมือ แต่ตันโจวจื่อก็ระเบิดพลังออกมาอีก เขาระเบิดแขนทั้งสองข้างทิ้งอย่างไม่รอช้าเพื่อจะส่งแรงต้านไปหยุดการโจมตีเอาไว้

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นราวกับเป็นภาพช้า แต่ในความเป็นจริง มันเกิดขึ้นพร้อมกันในวินาทีที่ทั้งคู่เข้าปะทะกัน การโจมตีทุกครั้งดูราวกับจะตัดสินได้ว่าใครจะอยู่หรือตาย อย่างไรเสียตันโจวจื่อก็อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์และยังปล่อยกายาเต๋าไม่รู้สิ้นออกมา ด้วยเหตุนี้เขาจึงค่อนข้างได้เปรียบอยู่ และเมื่อชายวัยกลางคนสกัดการโจมตีของพลังเทพจากทั้งมือซ้ายและมือขวาของหวังเป่าเล่อได้แล้ว แขนทั้งสองข้างก็มุ่งเข้าหาศีรษะของหวังเป่าเล่อราวกับเป็นภูเขาสองลูก…

ภาพนี้ทำเอาชานหลิงจื่อที่ถูกผนึกอยู่ต้องหยุดมองด้วยความตื่นเต้น ในวินาทีต่อมา…ภาพที่เขาหวังจะได้เห็นก็เกิดขึ้นจริงๆ!

ขณะที่เสียงดังก้องสะท้อนออกไป นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็บ้าคลั่งขึ้นมา แต่ก็ไม่มีประโยชน์ แม้ว่าชายหนุ่มจะปล่อยพลังทั้งหมดออกมาเพื่อพยายามถอย แต่ตันโจวจื่อก็ไม่ยอมปล่อยให้เป็นเช่นนั้น ในพริบตานั้น แขนทั้งสองข้างของเขาก็เข้าปะทะกับศีรษะของหวังเป่าเล่อขณะที่ชายหนุ่มส่งเสียงกรีดร้องแหลมสูง ศีรษะของเขาระเบิด ร่างกายที่ไม่อาจทานทนการโจมตีอันรุนแรงของตันโจวจื่อก็ระเบิดเช่นกัน เหลือเพียงเลือดและเศษเนื้อที่กระจายออกไปโดยรอบ

ความตายของหวังเป่าเล่อเกิดขึ้นกะทันหันเสียจนตันโจวจื่อตะลึงกับความสำเร็จของตนเอง ในใจเขายังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล แต่ทันทีที่รู้สึกเช่นนั้นและก่อนที่จะได้ทำอะไรต่อไป เลือดและเศษเนื้อที่กระจายไปก็สลายกลายเป็นหมอกในบัดดล

เพราะเลือดและเศษเนื้อกระจายตัวออกไป หมอกจึงดูเหมือนไปปกคลุมรอบกายตันโจวจื่อ ทันทีที่เลือดและเศษเนื้อแปรสภาพกลายเป็นหมอก และวินาทีที่ชายวัยกลางคนตื่นตระหนกนัยน์ตาหดแคบ หมอกก็พุ่งทะลักเข้าใส่ร่างของเขาทันที!

“สหายร่วมสำนักเต๋าตันโจวจื่อ ไอ้เด็กนั่นพยายามเปิดแหวนคลังเก็บหลายต่อหลายครั้ง นั่นน่าจะแปลว่าแม้พลังปราณของเขาจะไม่สูงพอ เขาก็น่าจะมีคนคอยช่วยเหลือหรือไม่ก็มีสมบัติเวทพิเศษแน่นอน!” ชานหลิงจื่อชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น

“แล้วอย่างไรเล่า” ตันโจวจื่อมีแววตาเกลียดชังขณะจ้องมองไปยังชานหลิงจื่ออย่างเยือกเย็น

“รากฐานแห่งเต๋าของท่านเพิ่งจะถูกทำลายไป แต่อย่าบอกข้าเชียวนะว่ากึ๋นของท่านเองก็ถูกทำลายไปด้วย ต่อให้เด็กนั่นมีใครอยู่เคียงข้าง ก็ไม่มีทางที่คนคนนั้นจะอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ เพราะหากเป็นเช่นนั้น แหวนคลังเก็บของท่านก็คงถูกเปิดไปเสียนานแล้ว แล้วหากเขามีสมบัติเวท เช่นนั้นจะไม่ดีกว่าหรือ ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรากำลังไล่ตามเขาอยู่ ดังนั้นการจะหาตัวเขาพบมันก็ง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย!” ขณะพูดตันโจวจื่อก็ยกมือขวาขึ้น ปล่อยพลังปราณระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้นให้ไหลออกจากกายเขาเข้าไปยังด้วงสีทอง

ขณะที่พลังปราณถูกปล่อยออกมา ปีกของด้วงสีทองก็สยายก่อนสะบัดอย่างรวดเร็วขึ้นมาทันที ชั้นของคลื่นพลังมหาศาลที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแผ่กระจายออกไปกินบริเวณกว้าง

“พาหนะของข้ามีพลังเทพภายในที่สามารถตรวจจับการเคลื่อนไหวแปลกปลอมของผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ลงไป หากเจ้าเด็กนั่นกำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ข้าก็จะพบตัวเขาในไม่ช้า!” ตันโจวจื่อหรี่ตาแล้วบังคับด้วงสีทองให้บินตรงไปข้างหน้า พลางใช้พลังเทพตามหาสัญญาณการเคลื่อนไหวรอบกายอยู่ไม่หยุด

การค้นหาของด้วงทำให้ตันโจวจื่อมั่นอกมั่นใจเพราะมันมีความแม่นยำสูง ทว่าหวังเป่าเล่อก็ระมัดระวังตัวเป็นอย่างดี ชายหนุ่มซ่อนตัวอยู่ในสะเก็ดดาว ทำให้การค้นหาของด้วงทองคำต้องคว้าน้ำเหลว

เขาไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด เพียงแค่ปล่อยตัวให้ล่องลอยไปพร้อมการเคลื่อนที่ของสะเก็ดดาว ด้วยวิธีนี้ หากสัมผัสสวรรค์ระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้นของตันโจวจื่อไม่ได้กวาดผ่านเขาในระยะประชิด ก็ย่อมไม่อาจหาตัวหวังเป่าเล่อพบอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น…เพราะแผนของชายหนุ่มนั้นทั้งรัดกุมและยอดเยี่ยม เขาจึงสามารถหลบเลี่ยงทั้งชานหลิงจื่อและตันโจวจื่อได้ ทำให้คนทั้งสองตามรอยไม่พบไปอีกครั้งหนึ่ง จนต้องขยายรัศมีการตามหาออกไปอีก

ด้วยเหตุนี้โอกาสในการที่พวกเขาจะหาตำแหน่งของหวังเป่าเล่อพบอย่างรวดเร็วก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก และเมื่อหวังเป่าเล่อสามารถซ่อนตัวอยู่ได้ครบหลายเดือน โอกาสในการกลับไปถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อย่างปลอดภัยก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นไปอีก

แน่นอนว่าเงื่อนไขพื้นฐานของเรื่องทั้งหมดนี้คือการที่หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าเขากำลังต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้นเท่านั้น ส่วนชานหลิงจื่อ…ด้วยสถานะตอนนี้ เขาไม่อาจรับการโจมตีจากหวังเป่าเล่อได้แม้แต่ครั้งเดียว

หากชายหนุ่มรู้ว่าศัตรูมีพลังเพียงเท่านี้ ด้วยลักษณะนิสัยของเขาแล้ว คงมีโอกาสถึงร้อยละเก้าสิบที่หวังเป่าเล่อจะเข้าจู่โจมและสังหารพวกเขาเสีย เพื่อกำจัดเสี้ยนหนามในอนาคตให้หมดไปด้วย

ทว่า…แม้หวังเป่าเล่อจะไม่รู้ว่าศัตรูนั้นฝีมือไม่ได้ต่างจากตนเอง จุดซ่อนตัวของเขาก็ยังถูกคนทั้งคู่หาพบหลังจากผ่านไปครึ่งเดือน

ไม่ใช่เพราะหวังเป่าเล่อถูกพบตัว แต่เป็นเพราะว่า…เจ้ากระดาษรูปมนุษย์ในแหวนคลังเก็บแหวกผนึกออกมาได้อีกครั้ง ทำให้มีเสียงหัวเราะแปลกประหลาดดังอยู่ในศีรษะของชายหนุ่มอีกรอบ แม้ว่าเสียงหัวเราะนั้นจะดังอยู่เพียงอึดใจเดียว แต่ก็ทำให้วิญญาณของหวังเป่าเล่อถึงกับสะดุ้ง

เสียงหัวเราะในคราวนี้ไม่ได้พาเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มาเช่นเก่า แต่หวังเป่าเล่อก็กังวลใจเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงความกังวลอันยากจะอธิบายที่ก่อตัวขึ้นในใจหลังจากที่ได้ยินเสียงหัวเราะแปลกแปร่งของมนุษย์กระดาษตนนั้น ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะผนึกแหวนอีกครั้ง สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นไปมองข้างบน สัมผัสสวรรค์ของเขาก็แผ่ออกไปสำรวจจักรวาลเบื้องบนเช่นกัน

เมื่อหวังเป่าเล่อจ้องมองไปในจักวาล สัมผัสสวรรค์ของเขาก็ไปจับอยู่ที่บริเวณหนึ่งซึ่งไกลออกไปในอวกาศที่จู่ๆ ก็พร่าเลือน ก่อนที่ด้วงสีทองขนาดยักษ์จะปรากฏออกมาอย่างฉับพลัน!

ภายในด้วงสีทองคือชานหลิงจื่อและตันโจวจื่อ ก่อนหน้านี้ทั้งสองค้นหาอยู่ร่วมครึ่งเดือนแต่ก็ไม่พบร่องรอยของหวังเป่าเล่อ ในขณะที่ชานหลิงจื่อรู้สึกวิตก ชานหลิงจื่อก็รู้สึกว่าตนเองเสียชื่อ เพราะอย่างไรเสีย เขาก็สาบานเอาไว้อย่างจริงจังก่อนหน้านี้ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้รู้สึกกังวลและร้อนรน ชานหลิงจื่อก็พบคลื่นรบกวนจากแหวนของเขาอีกครั้ง

แล้วก็บังเอิญอีกว่า…ตำแหน่งของพวกเขาไม่ได้ห่างจากตำแหน่งของคลื่นรบกวนเท่าใดนัก ดังนั้นตันโจวจื่อจึงไม่รีรอที่จะปล่อยพลังปราณส่วนหนึ่งของเขาไปในด้วงสีทองและเปิดการใช้การเคลื่อนย้ายในจักรวาลออกมา!

การเคลื่อนย้ายเช่นนั้นจะใช้พลังปราณของเขาจนหมดรวมถึงพลังของด้วงสีทองด้วย แต่ขณะนี้ เขาไม่สนใจอีกต่อไป ดังนั้นตอนที่หวังเป่าเล่อรู้สึกตัวว่ากระดาษรูปมนุษย์กำลังทำตัวประหลาดอยู่นั้น ด้วงสีทองของชานหลิงจื่อและตันโจวจื่อก็มาปรากฏตัวพอดี!

ชายหนุ่มรู้ดีว่าผู้ที่มาถึงเป็นใครเมื่อมองเห็นด้วงสีทอง หวังเป่าเล่อรู้ทันทีว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่กายเนื้อได้ตายไปตั้งแต่คราวก่อนอยู่ภายในอย่างแน่นอน และชายผู้นั้นก็ตามเขาพบจากการแกะรอยแหวนคลังเก็บ

ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงรู้ทันทีว่าความระแวดระวังของเขาก่อนหน้านี้ถูกต้องแล้ว เพียงแค่ว่าการกระทำของกระดาษรูปมนุษย์ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะควบคุมได้

เจ้ากระดาษรูปมนุษย์ตั้งใจอย่างนั้นหรือ! สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องนี้ เขารีบท่องบทสวดแห่งเต๋าขึ้นมาในใจตามสัญชาตญาณ!

การท่องบทสวดแห่งเต๋าในใจกลายมาเป็นนิสัยของหวังเป่าเล่อก่อนจะเริ่มโจมตี ชายหนุ่มทำเช่นนี้เมื่อครั้งอยู่ที่ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์และสุสานหลวง

อย่างไรเสีย พลังของบทสวดแห่งเต๋าก็ไม่ได้สำแดงตนออกมาทันที ในขณะเดียวกัน สำหรับศัตรูที่ไม่เคยเผชิญกับมันมาก่อนจะรู้สึกว่าวิญญาณสั่นไหว ทำให้หวังเป่าเล่อมีโอกาสได้จู่โจม…

แต่ครั้งนี้ หลังจากที่หวังเป่าเล่อแอบท่องบทสวดแห่งเต๋าอยู่ในใจ ชายหนุ่มก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดแผกไป ดูเหมือนว่ากระดาษรูปมนุษย์ในแหวนคลังเก็บจะปล่อยคลื่นรบกวนบางอย่างออกมาหลังจากที่นิ่งสงบมาเป็นเวลานาน แต่คลื่นรบกวนที่ว่าก็อ่อนแรงเสียจนชายหนุ่มคิดว่ามันเป็นเพียงภาพลวงตา

ถึงอย่างนั้นหวังเป่าเล่อก็ยังไม่ประมาท เขาปล่อยดวงจิตเทพส่วนหนึ่งไปรวมตัวกันอยู่บนแหวนคลังเก็บ ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็หรี่ตามองด้วงสีทองที่พุ่งเข้ามาหาเขาจากที่ไกลๆ เขามองเห็นเงาร่างรางๆ สองร่างเหาะออกมาจากด้วง หนึ่งในนั้นเขาเคยเห็นมาก่อน ร่างนั้นคือชานหลิงจื่อ ผู้ที่กายเนื้อถูกทำลายไปก่อนหน้านี้และเห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะสร้างร่างขึ้นมาใหม่

แต่อาการบาดเจ็บของเขาก่อนหน้านี้รุนแรงเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อยังเคยสัมผัสประสบการณ์ที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายของอารยธรรมครามทองคำต้องสูญเสียกายเนื้อของตนเอง ดังนั้นชายหนุ่มจึงเข้าใจผลพวงของการที่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ต้องเสียร่างกายไป ทำให้ไม่แปลกใจที่เห็นว่าระดับปราณของชานหลิงจื่ออยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายเท่านั้น

ส่วนอีกคนหนึ่งนั้นมีสีหน้าหยิ่งยโส และไม่ได้ซ่อนคลื่นรบกวนระดับดาวพระเคราะห์แต่อย่างใด คลื่นรบกวนเหล่านั้นแพร่กระจายมุ่งตรงไปยังสะเก็ดดาว หากมองจากที่ไกลๆ ก็อาจมองเห็นคล้ายว่ามีดาวเคราะห์กำลังจะพุ่งเข้ามาชน

ฉากนี้ทำเอาหน้าของหวังเป่าเล่อกระตุก ภายในขอบเขตของดวงจิตเทพของชายหนุ่มนั้น เขามองเห็นเพียงด้วงสีทองเท่านั้น ไม่มีอย่างอื่น มีคนมุ่งตรงมาเพียงสองคน ยิ่งไปกว่านั้น คนที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ก็เพิ่งจะอยู่ในชั้นต้น เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อสับสนเล็กน้อย

เจ้านี่กล้าไล่ตามข้าทั้งๆ ที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้นอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ชายหนุ่มเข้าใจแล้วว่าศัตรูอาจหลงคิดว่าเขายังอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ พวกมันคงไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ได้ในเวลาอันรวดเร็วถึงเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นผู้ฝึกตนผู้ยอดเยี่ยมที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ด้วย!

หากเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าข้าจะซ่อนตัวหรือไม่ก็ไม่ต่างกัน! ประกายเย็นเยียบสะท้อนอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มมีนิสัยแน่วแน่ดุดัน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจจะสังหารเสี้ยมหนามให้จบสิ้นลงไปในวันนี้

ขณะที่หวังเป่าเล่อตัดสินใจได้ เงาของชานหลิงจื่อและตันโจวจื่อก็มาถึงพอดี หากเทียบกันแล้ว ชานหลิงจื่อจะเคลื่อนที่ช้ากว่าตันโจวจื่ออยู่สักหน่อย แม้เขาจะจงใจทำเช่นนั้น แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือความแตกต่างด้านระดับปราณ ทว่าตันโจวจื่อก็ไม่ใช่คนโง่ เขารู้ทันแผนการของชานหลิงจื่อและยังสัมผัสได้ว่ามีวงแหวนปราณอยู่บนสะเก็ดดาว ในขณะเดียวกัน เขายังกวาดดวงจิตเทพไปสำรวจ และพบว่าหวังเป่าเล่อซุกซ่อนตัวอยู่ในสะเก็ดดาวนั้น และตอนนี้ก็อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ ไม่ใช่ขั้นเชื่อมวิญญาณอีกต่อไป

แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ!

มันจะอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้วอย่างไรกัน ต่อหน้าพลังปราณอันสมบูรณ์แบบ สรรพสิ่งล้วนต้องสลายเป็นผุยผง! ตันโจวจื่อสืบเท้าเข้ามาใกล้พร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม เมื่อเขายกมือขวาขึ้น พลังปราณระดับดาวพระเคราะห์ก็ทะลักล้นออกมา ภาพมายารูปดาวเคราะห์ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา แต่ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะได้สัมผัสพื้นผิวของสะเก็ดดาว จู่ๆ พลังของบทสวดแห่งเต๋าก็พวยพุ่งลงมาพอดี

ในใจของชานหลิงจื่อและตันโจวจื่อต่างก็มีเสียงระเบิดดังสนั่น ยิ่งไปกว่านั้น พลังกดดันอันน่าสะพรึงกลัวก็แพร่กระจายมาจากจุดที่ห่างไกลและลึกเข้าไปในจักรวาล ก่อนจะไหลท่วมสิ่งรอบข้างและลงมากดทับวิญญาณของพวกเขาทั้งสองเอาไว้ ส่งผลให้ร่างกายของทั้งคู่สั่นเทิ้มและสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง

ในเวลาเดียวกันนั้น ประกายเย็นยะเยียบก็สะท้อนอยู่บนแววตาของหวังเป่าเล่อผู้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนสะเก็ดดาว ชายหนุ่มรีบสร้างผนึกฝ่ามือด้วยมือทั้งสองข้าง ตอนนั้นเองสะเก็ดดาวที่เขานั่งอยู่…ก็ระเบิดตัวเองขึ้นมาในบัดดล!

พลังของเกราะมหาจักรพรรดิของหวังเป่าเล่อกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แล้ว และอาการบาดเจ็บของเขาก็หายไปหมดสิ้น ในส่วนของพลังปราณนั้น…ก็ระเบิดออกมาในวินาทีนั้นเอง ขณะที่ร่างกายของชายหนุ่มสั่นสะท้าน ก็มีเสียงคล้ายกระจกแตกดังขึ้นในใจเขา จากนั้นพลังมหาศาลที่มากมายกว่าพลังเดิมก็ระอุขึ้นมาในกาย หลังจากที่พลังดังกล่าวไหลล้นไปทั่วกายในพริบตา รัศมีที่มันสร้างขึ้นมาก็รุนแรงกว่าที่หวังเป่าเล่อเคยปล่อยออกมาก่อนหน้านี้มาก

ชายหนุ่มบรรลุขั้นปราณในบัดดล จากขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายสู่…ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์!

สิ่งนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างสุดจะควบคุม นัยน์ตาของชายหนุ่มฉายแสงกล้า เขากำลังจะพายต่อเพื่อดูว่าจะสามารถทำให้พลังปราณมั่นคงกว่านี้ได้สักหน่อยหรือไม่ เมื่อกระดาษรูปมนุษย์ที่ยืนอยู่ข้างกายยกมือขวาขึ้น

ความหมายของการยกมือขวาขึ้นนั้นชัดเจน มันต้องการให้หวังเป่าเล่อคืนใบพายกระดาษให้

หวังเป่าเล่อชะงักไปชั่วอึดใจ ชายหนุ่มถามออกมาอย่างเจียมตัวหลังกะพริบตาปริบ

“เอ่อ…ศิษย์พี่ไม่อยากพักอีกสักหน่อยหรือ ข้ายังพายไหว!” ขณะที่พูดไปหวังเป่าเล่อก็ยกใบพายขึ้นแจวครั้งหนึ่ง

“เห็นไหมศิษย์พี่ ทักษะการพายเรือของข้าไม่แย่เลยใช่หรือไม่” หวังเป่าเล่อค้นพบว่ามีแสงประหลาดสะท้อนอยู่ในแววตาของกระดาษรูปมนุษย์ ก่อนที่ชายหนุ่มจะตัวสั่นเล็กน้อย แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ไม่อยากทิ้งโอกาสนี้ไป หวังเป่าเล่อจึงกัดฟันยิ้มอย่างจริงใจไปก่อนจะจ้วงพายอีกครั้ง

หลังจากจ้วงพายลงไปครั้งนี้ จู่ๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าร่างของตนเองนั้นเย็นขึ้นมาเล็กน้อย ความรู้สึกเย็นยะเยือกส่งผ่านมาจากกระดาษรูปมนุษย์ตัวนั้น แน่นอนว่าสายตาของผู้ถูกเลือกราวสามสิบคนในห้องโดยสารก็มองมาอย่างไม่เป็นมิตรอยู่โดยตลอด พวกเขาอิจฉาริษยา ไม่ว่าจะโจ่งแจ้งหรือลับๆ และทุกคนต่างก็ดูเหมือนอยากให้หวังเป่าเล่อไสหัวไปเต็มแก่แล้ว

ความคิดเช่นนั้นธรรมดายิ่ง เป็นสภาวะที่เรียกว่าตัวจะไม่ได้สิ่งใดแล้ว ก็ย่อมไม่อยากให้คนอื่นได้สิ่งนั้นเช่นกัน

แต่สำหรับหวังเป่าเล่อ คนพวกนี้เป็นเพียงกลุ่มคนโง่เขลาเท่านั้น ชายหนุ่มไม่สนใจพวกเขาแม้แต่น้อย ภายใต้ความหนาวเย็นนั้น หวังเป่าเล่อกำลังชั่งใจอย่างหนัก แต่เพราะชายหนุ่มเป็นคนที่กล้าหาญและเข้มงวดกับตนเอง เขาจึงแค่นยิ้มออกมาและคงท่าทีจริงใจเอาไว้ อันที่จริงแล้ว หวังเป่าเล่อขณะนี้ดูเหมือนว่ากำลังประจบประแจงเจ้ากระดาษรูปมนุษย์อยู่ก็ไม่ปาน

“ไอ้หยะ ศิษย์พี่ เมื่อครู่นี้ข้าพายไม่ดีเลย ได้โปรดช่วยแก้ไขท่าทางของข้าทีเถิด ช่วยบอกข้าว่าจะพัฒนาตนเองได้อย่างไร” ขณะที่พูดไป หวังเป่าเล่อก็กัดฟัน ชายหนุ่มส่งเสียงคำรามอยู่ในใจ และคิดอยู่ว่าผู้ที่กล้าหาญย่อมต้องสู้จนตัวตาย ฉะนั้น หวังเป่าเล่อจึงจ้วงพายไปอีกครั้งหนึ่ง แต่ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะจ้วงพายลงไปอีกครั้งนั้น…ประกายกล้าในตาของกระดาษรูปมนุษย์ก็ระเบิดออกมา มันยกมือขวาขึ้น ทันใดนั้น คลื่นพลังอันมหาศาลก็กระจายออกมาตรงหน้าหวังเป่าเล่อราวกับเป็นพายุและพัดพาร่างของชายหนุ่มกระเด็นออกไปจากเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทันที…

หวังเป่าเล่อพยายามจะขัดขืนพลางครุ่นคิดว่าจะร้องตะโกน แต่ทุกสิ่งก็เกิดขึ้นอย่างฉับพลันเสียจนร่างกายของเขากระเด็นออกมาก่อนจะทันได้พูดอะไร…

ส่วนใบพายกระดาษก็ลอยกลับเข้าไปอยู่ในมือของกระดาษรูปมนุษย์อีกครั้ง เมื่อมันคว้าใบพายมาได้ มันก็เลิกสนใจหวังเป่าเล่ออย่างสิ้นเชิง กระดาษรูปมนุษย์กลับไปยืนอยู่ที่เดิมเหมือนตอนที่ได้พบหวังเป่าเล่อครั้งแรก ก่อนจะใช้ใบพายแจวเอื่อยๆ จากไป

เมื่อเห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็วิตกขึ้นมาทันที ชายหนุ่มไม่อยากทิ้งโอกาสที่การพายเรือได้มอบให้ก่อนหน้านี้ ดังนั้นเขาจึงพลิกกายหนึ่งครั้งก่อนพุ่งตัวไล่ตามและส่งเสียงร้องตะโกนออกมา

“ศิษย์พี่ โปรดรอก่อน ข้าผิดไปแล้ว ให้โอกาสข้าอีกครั้งเถิด”

“ศิษย์พี่ ข้าต้องการขึ้นเรือ” หวังเป่าเล่อเร่งความเร็วเต็มที่และใช้พลังทุกหยดในการตะโกนสุดเสียง แต่กระดาษรูปมนุษย์บนเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เมินเขาเสียอย่างนั้น เรือลำนั้นแล่นห่างออกไปทุกทีๆ หวังเป่าเล่อมองเห็นรางๆ ว่าบรรดาผู้ถูกเลือกบนเรือหันหน้ามามองเขาพร้อมๆ กัน มีสีหน้าดีใจฉาบอยู่บนใบหน้าของทุกคน

แววตาพวกนั้นทำให้หวังเป่าเล่อไม่สบอารมณ์อยู่ในใจ ชายหนุ่มรู้สึกว่าคนพวกนั้นใจแคบเกินไป เมื่อพวกเขาไม่ได้รับโอกาส พวกเขาก็ไม่ต้องการให้คนอื่นได้รับด้วย ขณะที่เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล่นผ่านไป มันก็พร่าเลือนขึ้นทุกขณะ หวังเป่าเล่อไล่ตามไปได้ระยะหนึ่ง จนกระทั่งต้องถอนหายใจออกมาในที่สุด เขาทำได้เพียงเฝ้ามองตาละห้อยไปยังทิศทางที่เรือแล่นลับตาไป

ข้าจะขอแจวอีกไม่กี่ครั้ง ไม่ได้จะทำใบพายกระดาษหักเสียหน่อย…ตอนที่ข้าไม่ยอมขึ้นเรือแต่แรก เจ้าก็กลับมาหลายต่อหลายครั้งเพื่อชวนข้าขึ้นเรือ จนในที่สุด เจ้าถึงกับลักพาตัวข้าขึ้นไป…แต่ตอนนี้ จะมาเฉดหัวส่งข้าอย่างนี้หรือ ยิ่งหวังเป่าเล่อคิดเรื่องนี้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งหงุดหงิดใจขึ้นเท่านั้น แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงได้แต่ทอดถอนใจ

ก็แล้วแต่ ข้าเป็นคนใจกว้าง และจะไม่มามัวจมจ่อมกับเรื่องนี้ หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นตบท้องเบาๆ และสัมผัสได้ถึงพลังปราณระดับจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ ชายหนุ่มกลับมามีความสุขอีกครั้ง แม้ว่าจะรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างก็ตาม

เขาไม่ได้รู้สึกไม่พอใจเพราะโอกาสจบลง แต่หวังเป่าเล่อรู้สึกไม่พอใจกับ…ท้องของตนเอง

ข้าผอมเกินไปแล้ว รู้สึกไม่เหมือนเดิมเลย หวังเป่าเล่อก้มศีรษะลงหยิกกล้ามท้องเป็นลอนอย่างรุนแรง ก่อนจะควบคุมให้สารัตถะก่อตัวเป็นชั้นไขมันมาปกคลุมท้องเอาไว้ ทำให้ท้องของเขาบวมออกมา เมื่อนั้นเองชายหนุ่มจึงรู้สึกสบายใจอีกครั้ง

แต่เรือลำนั้น…ข้าได้ยินเจ้าพวกคนใจแคบเรียกมันว่า…เรือดาวตก…ทูตดาวตกหรือ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง คนเหล่านั้นล้วนพูดภาษาของตระกูลไม่รู้สิ้น หวังเป่าเล่อไม่แปลกใจเลย เพราะตอนนี้เขาอยู่ในดาราจักรไม่รู้สิ้น ฉะนั้น ภาษาของตระกูลไม่รู้สิ้นย่อมเป็นภาษาทางการ

หากคิดในแง่นี้ เป็นไปได้ไหมว่าเรือและกระดาษรูปมนุษย์มีความเกี่ยวข้องกับสุสานดวงดารา เรือกำลังมารับคนที่มีสิทธิ์เพื่อพาเข้าไปยังสุสานดวงดารา นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ข้อมูลที่เขามียังไม่ครบถ้วน ทำให้ยากต่อการหาคำตอบที่แม่นยำ แต่หากคิดตามเบาะแสเหล่านี้ ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าการคาดเดาของเขาอาจจะถูกต้อง

หากการคาดคะเนของข้าถูกต้อง…หรือว่ากระดาษรูปมนุษย์ในแหวนคลังเก็บของข้าก็เคยเป็นทูตดาวตกและมาจาก…สุสานดวงดาราเช่นกัน หวังเป่าเล่อก้มศีรษะลงมองกระเป๋าคลังเก็บ ก่อนจะหรี่ตาลงเมื่อเรียกดวงจิตเทพไปตรวจสอบ

ข้าลืมผนึกมันอีกแล้ว! สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไป ก่อนจะรีบผนึกแหวนคลังเก็บทันที หลังจากนั้นจึงเงยศีรษะขึ้นมองดูสิ่งรอบข้างอย่างระแวดระวัง

เห็นได้ชัดว่า เพราะหวังเป่าเล่อถูกบังคับขึ้นเรือและได้รับโอกาสมา เขาจึงไม่มีเวลาผนึกแหวนและลืมเรื่องผนึกของแหวนไปเสียสนิท แม้ว่าเขาจะเพิ่งมาผนึกมันตอนนี้ หวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าแหวนคลังเก็บนั้นเปิดตัวเองขึ้นมาหลายต่อหลายหนตลอดการเดินทาง และตำแหน่งของเขาก็คงถูกเปิดเผยเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มอาจกำลังตกเป็นเหยื่อการไล่ล่าอยู่ก็เป็นได้

แน่นอนว่า ก็เป็นไปได้ว่าเขาอาจยังไม่ถูกค้นพบ เพราะเป็นไปได้สูงที่บนเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะมีเกราะกำบังอยู่

แต่ก็ยังเสี่ยงอยู่นั่นเอง แม้ว่าจะเป็นเพียงการคาดเดาอย่างไร้หลักฐานประกอบของหวังเป่าเล่อ แต่ความระแวดระวังของชายหนุ่มก็ฝังลึกลงไปในใจหลังจากที่ถูกอารยธรรมครามทองคำหลอกเอา เขาจึงรีบคิดคำนวณสถานการณ์ก่อนจะมุ่งหน้ากลับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อย่างเร่งรีบ

ไม่ว่าจะมีคนไล่ตามมาหรือไม่ หวังเป่าเล่อก็ต้องคิดเผื่อไปถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด ซึ่งได้แก่ ผู้ที่ไล่ล่าตามเขามา และไปถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ จากนั้นก็ร่วมมือกับอารยธรรมครามทองคำ หากเป็นเช่นนั้นก็คงเป็นงานหินสำหรับเขาในการพยายามพลิกสถานการณ์

“ระวังไว้ก่อนย่อมดีกว่า!” ขณะที่พึมพำอยู่กับตนเอง หวังเป่าเล่อก็พลิกกายและใช้เวลาอีกสองวันในการหาสะเก็ดดาวขนาดเท่าดาวเคราะห์ย่อมๆ ในจักรวาลใกล้ๆ หลังจากที่ชายหนุ่มไปยืนอยู่บนสะเก็ดดาวดวงนั้น เขาก็ขุดถ้ำในนั้นก่อนจะเข้าไปนั่งขัดสมาธิอยู่ภายใน จากนั้นก็เริ่มหลอมวงแหวนปราณครอบทั่วสะเก็ดดาวเอาไว้และหรี่ตาลง

ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็จะรออยู่ที่นี่ก่อนสักสามเดือน ข้าใช้เวลาซุ่มรออยู่ที่นี่ได้สามเดือนก่อนที่จะต้องกลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!

ครั้งนี้ความระมัดระวังตัวของหวังเป่าเล่อไม่ใช่เรื่องผิด การตัดสินใจของเขาแม่นยำเป็นอย่างยิ่ง เพราะในความเป็นจริงแล้ว ด้วงทองคำของชานหลิงจื่อและตันโจวจื่อก็จับตำแหน่งของหวังเป่าเล่อได้จากการเปิดตัวเองของแหวนคลังเก็บหลายครั้งหลายคราก่อนหน้านี้ พวกเขามาถึงส่วนเดียวกันของจักรวาลแล้ว แต่เมื่อหวังเป่าเล่อขึ้นเรือไป พวกเขาก็เสียสัญญาณและต้องขยายรัศมีการตามหาต่อไป

เมื่อหวังเป่าเล่อโดนไล่ลงมาจากเรือสำปั้น แม้ว่าชายหนุ่มจะผนึกแหวนคลังเก็บรวดเร็วเพียงใจ แต่ทันทีที่เขาลงมาจากเรือ ชานหลิงจื่อก็สัมผัสได้ถึงตำแหน่งของแหวนคลังเก็บได้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง

เขาตื่นเต้นขึ้นมาทันที พลางรีบบอกตำแหน่งกับตันโจวจื่อ ด้วงสีทองเร่งความเร็วมุ่งไปหาตำแหน่งของหวังเป่าเล่ออีกครั้งด้วยความเร็วอันน่าอัศจรรย์

ใช้เวลาเพียงห้าวัน ด้วงสีทองก็มาปรากฏบริเวณที่หวังเป่าเล่อถูกไล่ลงจากเรือสำปั้นก่อนหน้านี้ จากตรงนั้นด้วงสีทองก็ส่งเสียงหึ่งๆ ก่อนจะหยุดลง นัยน์ตาของชานหลิงจื่อสะท้อนแสงแรงกล้า

“ห้าวันก่อน ไอ้เด็กนั่นมาปรากฏตัวอยู่ตรงนี้ ช่างน่าเสียดายที่สัญญาณจากแหวนคลังเก็บของข้าขาดหายไปอีกครั้ง ครั้งนี้ข้าไม่รู้ว่าเขาไปทางไหน!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตันโจวจื่อก็มีสีหน้าหยิ่งยโสขึ้นมาก่อนจะยิ้มเยาะ

“เป็นแค่ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ เจ้านั่นจะหนีไปไหนได้เล่า”

พลังนั้นเหมือนว่าจะอยู่เคียงคู่กับจักรวาลมาเนิ่นนาน เพียงแต่ว่าไม่มีใครคนอื่นควบคุมมันได้ ใบพายกระดาษเปรียบเสมือนสื่อกลางที่สามารถดึงเอาพลังนั้นมาได้ หลังจากที่ดึงมารวมกัน พลังนั้นก็เดินทางผ่านใบพายกระดาษเข้ามาอยู่ในมือของหวังเป่าเล่อ

พลังอันอ่อนโยนนั้นเอ่อท้นเข้าไปในร่างกายของชายหนุ่มอย่างไม่รอช้าและกลายเป็นเหมือนกระแสน้ำอบอุ่นที่เวียนวนอยู่ในกายเขา ขณะที่พลังนั้นส่งให้ร่างกายของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน มันก็ยังส่งเสียงลั่นดังออกมาจากกายเป็นระยะ ลมหายใจของชายหนุ่มรัวเร็วขณะที่คลื่นของความอุ่นสบายอันบรรยายไม่ถูกไหลเข้าท่วมวิญญาณ

เหมือนกับว่าหวังเป่าเล่อกลืนโอสถบำรุงเข้าไป ขณะที่ความสบายแพร่ออกไป ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณของตน…ที่เริ่มจะ…เพิ่มขึ้นมาหลังจากหยุดนิ่งมานาน!

ความรู้สึกนั้นทำเอาหวังเป่าเล่อตกตะลึง!

เพราะโอกาสที่ชายหนุ่มได้รับมาจากสุสานหลวง ทำให้รากฐานจิตวิญญาณอมตะของเขามั่นคงราวกับหินผา ยิ่งไปกว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั่วไปมากมายนัก แม้จะเป็นเรื่องดี แต่ก็หมายความว่าความยากลำบากในการจะเพิ่มพลังปราณของหวังเป่าเล่อจากขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายก็จะยากกว่าคนทั่วไปนับสิบหรือร้อยเท่า!

แต่ขณะนี้ พลังวิญญาณของชายหนุ่มกลับกระเตื้องขึ้นมาหลังจากจ้วงใบพายกระดาษเพียงครั้งเดียว การค้นพบนี้ทำให้นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย แม้ว่าตอนแรกชายหนุ่มจะตกใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ความรู้สึกถัดมาคือความดีใจอันล้นพ้น

ข้าไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าการแจวเรือจะมีคุณประโยชน์น่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นขึ้นมาทันที ประกายตาเจิดจ้าสะท้อนวาบอยู่ในดวงตา แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่มีทฤษฎีใดๆ มารองรับโอกาสที่เกิดขึ้นนี้ แต่เขาก็เข้าใจว่ามีโอกาสที่จะมีพลังบางอย่างซึ่งกระจายอยู่ในจักรวาลที่ส่งผลดีต่อผู้ฝึกตนเป็นอย่างยิ่ง และอาจมีเพียงผู้ที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ที่จะสามารถดูดซับพลังนั้นมาช่วยฝึกปราณได้

ตามคำอธิบายบนโลก พลังนั้นอาจคล้ายคลึงกับรังสีพลังงานสูงที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ส่วนใบพายกระดาษนั้น…ก็เห็นได้ชัดว่ามหัศจรรย์ยิ่งกว่า เพราะมันช่วยให้ผู้ที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะเช่นเขาสามารถดูดซับพลังงานจากจักรวาลได้

ข้าเข้าใจกระดาษรูปมนุษย์ผิดไป! หวังเป่าเล่อพลันหันศีรษะไปมองกระดาษรูปมนุษย์ด้วยแววตาเคารพนับถือและนึกขอบคุณ หลังจากที่หันกลับมา ชายหนุ่มก็มุ่งมั่นแจวเรือด้วยความพยายามที่มากขึ้นกว่าเดิม

ข้ารักการแจวเรือ!

ข้ารักการออกกำลังกาย!

การช่วยเหลือผู้อื่นทำให้ข้ามีความสุข!

หวังเป่าเล่อต้องใช้แรงเต็มที่ทุกๆ ครั้งที่ลงมือพาย เขาต้องปล่อยพลังปราณและพลังกายของร่างอวตารแทบทั้งหมดเพื่อจะแจวเรือให้ได้หนึ่งครั้ง ความอ่อนล้าที่ชายหนุ่มต้องเผชิญไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ แต่ยิ่งแจวไปเขาก็ยิ่งรู้สึกมีพลัง

หวังเป่าเล่อมีความสุขที่ได้พายเรือเป็นอย่างยิ่งและไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแต่อย่างใด มีประกายตามุ่งมั่นสะท้อนขึ้นมาในดวงตาขณะที่เขาแจวเรือไป ประโยชน์ที่ชายหนุ่มได้รับจากการแจวนั้นเห็นได้ชัดเจนยิ่ง คลื่นพลังอันอ่อนโยนลูกแล้วลูกเล่าเดินทางผ่านใบพายกระดาษเข้ามาในกายเขา เสียงแตกเปรียะจากร่างกายของเขาชัดเจนและดังยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันพลังปราณของหวังเป่าเล่อก็เพิ่มพูนขึ้นไม่หยุด

แม้ว่าจะไม่ได้เพิ่มขึ้นมากมายนัก แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องก็คล้ายกับลูกหิมะที่ค่อยๆ ก่อตัว เมื่อสั่งสมไปสักพัก รัศมีพลังปราณในกายของหวังเป่าเล่อก็ขยับพุ่งสูงขึ้น!

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งมีความสุข ชายหนุ่มตื่นเต้นเป็นอันมาก เขาเข้าใจพลังปราณของตนเองเป็นอย่างดีและรู้ดีว่าในสภาวะปัจจุบัน การจะบรรลุจากขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายสู่ชั้นสมบูรณ์นั้นยากเย็นเกินจินตนาการสำหรับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั่วๆ ไป

โอกาสที่อาจช่วยให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายบรรลุขั้นได้สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วเป็นเพียงฝุ่นผง หากเทียบระดับปราณกับสิ่งของ การยกมันขึ้นสูงอาจเทียบได้กับการบรรลุขั้นปราณต่างๆ สิ่งของที่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั่วๆ ไปต้องยกคงหนักราวห้ากิโลกรัม แปลว่าการจะยกมันขึ้นได้ไม่ต้องใช้กำลังมากนัก

แต่สำหรับหวังเป่าเล่อ หากเปรียบพลังปราณของเขาเป็นสิ่งของ ก็คงจะหนักหลายร้อยกิโลกรัม ฉะนั้น…การจะยกมันให้ขึ้นไปสู่จุดเดียวกันได้ย่อมต้องใช้พลังมาก และแน่นอนว่ายากลำบากกว่าเป็นอันมาก

แต่ขณะนี้ เมื่อหวังเป่าเล่อแจวเรือไป แม้ว่าเขาจะอ่อนแรง แต่การระเบิดของพลังปราณก็เป็นของจริง และสำหรับชายหนุ่มแล้ว โอกาสเช่นนี้ก็หายากนัก

เช่นเดียวกัน เพราะการระเบิดและการเพิ่มพูนของพลังปราณ หวังเป่าเล่อจึงไม่อาจซุกซ่อนสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับร่างกายของเขาได้ ทำให้สีหน้าของวัยรุ่นหนุ่มสาวราวสามสิบคนบนเรือเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้ พวกเขาสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง แต่สัญญาณความเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดของพลังปราณในกายหวังเป่าเล่อทำให้พวกเขาตื่นตะลึง แม้ว่าคนเหล่านี้จะเป็นหัวกะทิแห่งยุคสมัย และความนิ่งในตัวจะเกินวัยไปมาก ถึงกระนั้นก็ยังต้องร้องตะโกนออกมา

“ปราณอมตะอย่างนั้นหรือ”

“ใบพายกระดาษนั่นมีบางอย่างแปลกๆ!”

“การเติบโตของพลังปราณในกายเซี่ยต้าลู่แปลได้อย่างเดียว นั่นคือปราณอมตะในจักรวาลกำลังถูกดึงมาที่นี่และแปลงเป็นพลังงานอมตะที่อ่อนโยนพอให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะดูดซับได้!”

เกิดความโกลาหลขึ้น เหล่าหัวกะทิหลายคนต่างผุดลุกขึ้นยืน พวกเขาจ้องมองไปยังใบพายกระดาษในมือของหวังเป่าเล่อ มีเปลวไฟแห่งความปรารถนาลุกโชนขึ้นในแววตา บ้างก็สามารถควบคุมมันไว้ได้ บ้างก็พยายามจะซ่อนมันเอาไว้ แต่บางคนก็ปล่อยให้เปลวไฟนั้นลุกไหม้โชติช่วง

ในฐานะผู้ถูกเลือกของตระกูลและสำนัก พวกเขามีความรู้สูงส่งกว่าหวังเป่าเล่อมากนัก ฉะนั้น ทุกคนจึงรู้ดีว่าหลังจากที่ผู้ฝึกตนบรรลุถึงระดับดาวพระเคราะห์แล้ว แม้ว่าปราณวิญญาณจะยังมีส่วนสำคัญในการฝึกตน ทว่า…มันก็ไม่ใช่พลังเดียวอีกต่อไป!

ภายในดาราจักรไม่รู้สิ้น ยังมีรูปแบบของพลังอีกอย่างที่มีระดับสูงกว่า นั่นคือปราณอมตะนั่นเอง!

ปราณอมตะเป็นพลังไร้รูปร่างที่ล่องลอยอยู่ในจักรวาล พลังนี้ถูกสร้างขึ้นมาอยู่ตลอดโดยดวงอาทิตย์จำนวนนับไม่ถ้วนภายในดาราจักรไม่รู้สิ้น หากนำมารวมกันและควบแน่นในปริมาณมากๆ มันจะกลายสภาพเป็นผลึกสีชาด!

เพียงแต่ว่าทั้งผลึกสีชาดและปราณอมตะที่ล่องลอยอยู่ในจักรวาลจะถูกดูดซับได้ก็ต่อเมื่อผู้ฝึกตนอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์แล้วเท่านั้น เป็นการยากยิ่งสำหรับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่จะดูดซับได้ เพราะอย่างไรเสียผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะก็ไม่มีดาวเคราะห์ในกายและไม่อาจรับเอาพลังไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น พลังงานนี้ช่างบ้าคลั่ง และต่อให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจะดูดซับมาด้วยกำลัง ก็ยังไม่อาจใช้ประโยชน์จากมันได้มากนัก

แน่นอนว่ายังมีวิธีการดูดซับอยู่ แต่วิธีการอันมั่นคงที่ทำให้ผู้ฝึกตนสามารถดูดซับพลังและรับมันเข้ามาในกายได้นั้นมีอยู่เพียงหยิบมือ ยกเว้นว่าผู้ฝึกตนขั้ระดับดารานิรันดร์จะยอมใช้ตนเองเป็นสื่อกลางและปรับพลังให้ แต่วิธีนั้นก็ยังเสี่ยงมากแถมปราณอมตะที่ได้ก็ไม่สงบเท่าใดนัก

บรรดาผู้ถูกเลือกบนสำปั้นต่างก็เก็บเกี่ยวผลผลิตจากการความช่วยเหลือของศิษย์พี่พวกเขามา จึงรู้ดีว่าปราณอมตะที่ปรับแต่งแล้วและดูดซึมง่ายนั้นมีค่าเพียงใด ดังนั้น ขณะที่พวกเขาจ้องมองไปยังหวังเป่าเล่อ ทุกคนต่างก็รู้สึกอึดอัดด้วยความริษยา

อันที่จริงแล้ว…พวกเขาก็เป็นเช่นเดียวกับหวังเป่าเล่อ แม้ว่าจะอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ แต่ก็แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั่วๆ ไป และรู้ดีว่าการจะเพิ่มพลังปราณสำหรับพวกเขาเป็นสิ่งยากยิ่ง ขณะที่นัยน์ตาของบรรดาผู้ถูกเลือกส่องประกาย ก็เหมือนว่าพวกเขาต่างได้ค้นพบโลกใหม่ พวกเขาเอาแต่ครุ่นคิดว่าต้องทำอย่างไรจึงจะได้สิทธิในการแจวเรือบ้าง

อันที่จริงแล้ว บรรดาผู้ที่ร้อนรนต่างได้ลองยกมือประสานคารวะกระดาษรูปมนุษย์แล้ว

“ศิษย์พี่ ข้าคิดว่าข้าเองก็ช่วยท่านแจวเรือได้…”

เพียงแต่ว่าอากัปกิริยาของกระดาษรูปมนุษย์ที่มีต่อพวกเขาแตกต่างจากที่มีต่อหวังเป่าเล่อโดยสิ้นเชิง คงไม่เป็นอะไรนักหากมันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน แต่กระดาษรูปมนุษย์กลับหันไปมอง ประกายสว่างสะท้อนขึ้นมาในดวงตา ก่อนที่มันจะปล่อยรัศมีเย็นเยียบจากกายให้ไหลท่วมเรือสำปั้นทั้งลำ

ไม่มีความจำเป็นจะต้องตอบด้วยวิธีอื่น เพียงแค่แรงกดดันจากพลังปราณและความเยือกเย็นในแววตาก็ตอบคำถามได้ดีเกินพอ ทำให้แม้บรรดาผู้ถูกเลือกจะรู้สึกขมขื่นแต่ก็ไม่อาจทำอะไรได้ พวกเขาทำได้เพียงเฝ้ามองดูพลังปราณของหวังเป่าเล่อเพิ่มพูนขึ้นขณะที่ชายหนุ่มแจวเรือต่อไป

“ทำไมท่านจึงปฏิบัติกับเราต่างกับเซี่ยต้าลู่!”

“รอประเดี๋ยวก่อน…หรือว่าเซี่ยต้าลู่มีวัตถุเวทประหลาดอยู่กับตัว” แน่นอนว่ามีคนที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมอยู่ในหมู่พวกเขาด้วย ในไม่ช้า แม้ว่าทุกคนจะตื่นตะลึงและอิจฉาริษยา พวกเขาต่างก็พากันครุ่นคิดด้วยแววตาส่องประกาย

ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นไม่มีเวลาจะไปยุ่งกับบรรดาผู้ถูกเลือก ชายหนุ่มไม่สนใจว่าคนเหล่านั้นเดาถูกหรือไม่ ขณะนี้สิ่งเดียวที่เขาต้องการคือการเพิ่มพลังปราณให้ตนเอง

หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าพลังปราณของตนเข้าใกล้ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ไปทุกขณะ ความตื่นเต้นในใจเขานั้นสุดจะบรรยาย อีกทั้งชายหนุ่มยังค้นพบอีกด้วยว่าขณะที่เขาพายไปและพลังอันอ่อนโยนนั้นไหลบ่าเข้ามาในกาย อาการบาดเจ็บทุกอย่างที่ได้รับมาจากการต่อสู้กับผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ค่อยๆ หายไปอย่างรวดเร็ว

ไม่เพียงเท่านั้น แม้กระทั่งเกราะมหาจักรพรรดิเองก็ได้รับผลด้วย พลังวิญญาณภายในเกราะแทบจะกลับมาเต็มเปี่ยมเท่าเดิม สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งพลางปลดปล่อยเกราะมหาจักรพรรดิออกมา มันออกมาคลุมกายเขาไว้ในพริบตา ก่อนที่ชายหนุ่มจะจ้วงใบพายกระดาษเต็มแรงอีกครั้งหนึ่ง

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าเช่นนั้น ขณะที่ทุกคนจับจ้องไปที่หวังเป่าเล่อ และขณะที่ชายหนุ่มแจวเรือไป เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อยๆ เดินหน้าผ่านจักรวาล แต่หลังจากที่หวังเป่าเล่อจ้วงพายไปครบร้อยครั้ง ร่างกายของเขาก็สั่นเทา

หวังเป่าเล่อเพิ่งจะพลิกกายและก้าวออกไปได้ไม่เท่าใด จู่ๆ กระดาษรูปมนุษย์บนเรือสำปั้นก็ยกมือซ้ายขึ้น มีวงแหวนเลือนรางแผ่กระจายออกมา และในวินาทีที่มันปรากฏขึ้นนั้น…ร่างของหวังเป่าเล่อก็หยุดนิ่งทันที สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเมื่อค้นพบว่าร่างกายของตน…ไม่อาจเคลื่อนที่ได้!

เหมือนว่าหวังเป่าเล่อถูกควบคุมด้วยพลังประหลาด ที่ทำให้ตัวเขาต้องหันหลังกลับก่อนจะก้าวย่างอย่างไร้อารมณ์…มุ่งหน้าไปหาเรือสำปั้น!

เกิดอะไรขึ้นกัน! หวังเป่าเล่อตื่นกลัวอยู่ในใจและพยายามจะขัดขืนดิ้นรน แต่ก็ไม่เป็นผล ชายหนุ่มทำได้เพียงจ้องมองขณะที่ร่างของตนเองเดินอาดๆ เข้าไปหาเรือสำปั้นราวกับเป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่ง!

ช่างเป็นฉากที่ประหลาดมากทีเดียว!

เรือสำปั้นวิญญาณแผ่รัศมีเก่าแก่โบราณออกมา ด้านหน้าเรือมีกระดาษรูปมนุษย์ที่ยืนโบกมืออย่างไร้อารมณ์ ส่วนด้านหลังใกล้ๆ ห้องโดยสาร มีวัยรุ่นชายหญิงร่วมสามสิบคนที่ไม่อาจซ่อนสีหน้าแปลกแปร่งขณะจ้องมองไปยังหวังเป่าเล่อที่กำลังก้าวเดินเข้ามาหาเรือสำปั้นราวกับเป็นหุ่นเชิด

การที่หวังเป่าเล่อปฏิเสธไปครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนหน้านี้ รวมถึงความกลัวที่ฉายอยู่ในแววตาขณะก้าวเดินมาทางเรือก็ช่วยให้พวกเขาได้คำตอบด้วยตนเอง

“ใครสักคนกำลังควบคุมร่างกายของเซี่ยต้าลู่อย่างนั้นหรือ”

“หรือว่าคนเรือจะบังคับร่างกายเราหากปฏิเสธที่จะขึ้นเรือดาวตกครบจำนวนครั้ง”

“ข้าไม่เคยได้ยินอะไรเช่นนั้นมาก่อนเลย…”

ทุกคนรู้สึกแปลกๆ ขณะจ้องมองหวังเป่าเล่อเคลื่อนที่ใกล้เรือสำปั้นเข้ามาทุกขณะ ความกลัวในแววตาของชายหนุ่มเริ่มเข้มข้นขึ้นทุกที หวังเป่าเล่อแทบจะร้องไห้ออกมา เขาสะอื้นและตัวสั่น

นี่มันอะไรกัน ข้าไม่อยากขึ้นเรือ นี่มันจะมากเกินไปแล้ว!

หวังเป่าเล่อไม่ยอมขึ้นเรือสำปั้น แม้ว่าเรือจะปรากฏขึ้นมาครั้งแล้วครั้งเล่า ชายหนุ่มก็ปฏิเสธไปทุกครั้ง แต่ครั้งนี้…ทุกสิ่งทุกอย่างแปรเปลี่ยนไปจนเหนือการควบคุมของเขา หวังเป่าเล่อเสียการควบคุมร่างกายตนเอง และทำได้เพียงจ้องมองขณะที่พลังประหลาดควบคุมร่างกายของเขาจนกระทั่ง…ขึ้นมาอยู่บนเรือสำปั้นในที่สุด

แต่ร่างกายของหวังเป่าเล่อถูกควบคุมให้มาอยู่ด้านหน้าเรือ แยกจากผู้โดยสารคนอื่นๆ ที่อยู่ท้ายเรือ คลื่นความตกใจอันแรงกล้าถาโถมอยู่ในใจชายหนุ่ม

แค่บังคับข้าขึ้นเรือก็แย่พออยู่แล้ว ทำไมตำแหน่งของข้ายังแตกต่างจากคนอื่นๆ อีกเล่า! หวังเป่าเล่อรู้สึกขมขื่นในใจ แต่จนตอนนี้ ชายหนุ่มก็ยังควบคุมร่างกายตนเองไม่ได้ ขณะที่เขายืนอยู่ตรงหน้าเรือสำปั้นนั้น หวังเป่าเล่อหันศีรษะไปมายังไม่ได้ด้วยซ้ำ ชายหนุ่มใช้หางตาจ้องมองและเห็นสีหน้าแปลกประหลาดของบรรดาวัยรุ่นบนเรือ

เห็นได้ชัดว่า สิ่งที่เขาคิดไว้เป็นความจริง บรรดาผู้โดยสารคนอื่นๆ พากันสงสัยว่า หลังจากที่ขึ้นเรือมาทำไมหวังเป่าเล่อจึงไม่ได้ไปอยู่ที่ห้องโดยสาร แต่กลับมายืนอยู่หน้าเรือแทน…

แต่หลังจากนั้น กระดาษรูปมนุษย์หน้าเรือก็ทำกิริยาบางอย่าง แม้ว่าคำตอบจะถูกเผยออกมา แต่วิญญาณของหวังเป่าเล่อก็สั่นไหวอย่างรุนแรง แถมยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความโกรธและเกลียดชังที่ระเบิดออกมาจากใจเขา สำหรับคนที่เหลือ…ดวงตาของพวกเขาก็แทบจะหลุดออกมาจากเบ้า บางคนถึงกับทนนั่งเฉยอยู่ไม่ได้ต้องผุดลุกขึ้นยืน สีหน้าของพวกเขาแสดงความไม่เชื่อสายตา เห็นได้ชัดว่ามีพายุรุนแรงกำลังพัดกระแทกวิญญาณพวกเขาอยู่

“เกิดอะไรขึ้นกัน! จับตัวทาสอย่างนั้นหรือ”

“ทำ…ทำไม…ทำไมถึงเกิดอะไรแบบนี้ขึ้นกัน!”

“ท่านทูตเหนื่อยแล้วอย่างนั้นหรือ”

ไม่ใช่ความผิดของบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวที่ไม่อาจควบคุมความตื่นตกใจเอาไว้ได้ เพราะอันที่จริงแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะเป็นหัวกะทิจากหลากหลายตระกูลและมีความรู้มาก แต่สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นต่อหน้าตาต่อพวกเขานั้นเรียกได้ว่าเกินจินตนาการ แถมยังแตกต่างไปจากข้อมูลที่พวกเขาเคยได้รับการอบรมมาอย่างสิ้นเชิง!

ก่อนที่คนเหล่านี้จะมาอยู่ที่นี่ ความเคารพที่พวกเขามีต่อเรือสำปั้นนั้นสูงส่งนัก สำหรับพวกเขาแล้ว เรือสำปั้นศักดิ์สิทธิ์ลำนี้เป็นทูตจากดินแดนปริศนาและเป็นทางเดียวที่จะพาไปสู่สถานที่แห่งตำนานได้ ดังนั้น หลังจากที่ขึ้นเรือมา พวกเขาก็สงบเสงี่ยมและไม่กล้าทำอะไรเกินเลย

การวิวาทกับหวังเป่าเล่อเมื่อครู่ถือว่ารุนแรงที่สุด แต่พวกเขาก็ไม่เคยพยายามจะลงจากเรือแม้แต่น้อย มาบัดนี้…พวกเขาได้เห็นเต็มตาว่ากระดาษรูปมนุษย์ ผู้ซึ่งพายเรือไม่หยุดหย่อนด้วยสีหน้าขึงขัง พร้อมร่างกายที่แผ่รัศมีเย็นยะเยียบออกมา และเป็นผู้ที่มีพลังปราณแข็งแกร่งไร้ก้นบึ้ง ได้ส่งไม้พายกระดาษต่อ…ให้หวังเป่าเล่อ!

ไม่ใช่แค่ดวงวิญญาณของพวกเขาเท่านั้นที่สั่นไหว แต่หวังเป่าเล่อเองก็งุนงงเช่นกัน ชายหนุ่มคิดหาเหตุผลว่าเหตุใดกระดาษรูปมนุษย์จึงต้องควบคุมให้ตัวเขาขึ้นมาบนเรือลำนี้ แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้…

เขาจะให้ข้าแจวเรืออย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อสับสน และรู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ชายหนุ่มคิดว่าตนคงมีท่าทีหยิ่งยโส ในฐานะผู้ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำแห่งสหพันธรัฐและจักรพรรดิแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ชายหนุ่มไม่มีปัญหากับการแจวเรือสำปั้น แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้ชายหนุ่มหญิงสาวบนเรือกลายเป็นทาสไปได้!

แม้ว่าข้าจะควบคุมร่างกายไม่ได้ แต่ข้าก็มีกระดูกสันหลัง ลึกๆ ลงไปในใจข้า ข้าไม่ยอมรับ! หวังเป่าเล่อฮึดฮัดอยู่ในใจก่อนจะสะบัดแขนเสื้อ ชายหนุ่มกำลังเอื้อมมือออกไปรับใบพายมาอย่างไม่เต็มใจเพราะร่างกายถูกควบคุม ทว่า…ทันทีที่ชายหนุ่มสะบัดชายเสื้อนั้น จู่ๆ หัวใจของเขาก็เต้นแรงขึ้น หวังเป่าเล่อก้มศีรษะลงมองมือ หลังจากที่ขยับมือทั้งสองไปมาและหันศีรษะไปมองสิ่งรอบข้าง ชายหนุ่มก็ได้รู้ว่า…เขาบังคับร่างกายตนเองได้แล้วตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบได้

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกกระอักกระอ่วนไม่น้อย หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองกระดาษรูปมนุษย์ที่ยังหยิบยื่นใบพายมาให้ ทันใดนั้น หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงแรงต่อต้านในใจตน

นี่มันจะมากเกินไปแล้ว เจ้าแค่บังคับร่างกายข้าให้รับใบพายกระดาษมาเสียก็จบ…ขณะที่หวังเป่าเล่อขัดขืนอยู่นั้น ชายหนุ่มก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะปฏิเสธใบพาย แต่กระดาษรูปมนุษย์กลับมีประกายตาเยือกเย็นสะท้อนขึ้นมาในดวงตา ก่อนที่มันจะปล่อยรัศมีน่าสะพรึงกลัวออกมาจากร่าง ราวกับไม่ยอมให้ชายหนุ่มปฏิเสธ

รัศมีนั้นทรงพลังราวกับเป็นใบมีดแหลมคมที่กำลังจะถูกชักออกจากฝัก และพร้อมสะบั้นทั้งสวรรค์และพื้นพิภพให้ขาดเป็นแล่ง ทำเอาหวังเป่าเล่อขนลุกไปทั่วร่าง ขนาดสารัตถะที่รวมตัวกันเป็นร่างของเขายังหยุดนิ่งแถมส่งสัญญาณเตือนไม่หยุด ราวกับรู้ว่ามีอันตรายใหญ่หลวงกำลังจะมาเยือน

เหงื่อเม็ดเป้งๆ เย็นเฉียบซึมออกมาบนหน้าผากของหวังเป่าเล่อ กระดาษรูปมนุษย์ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง ราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับรัศมีปีศาจอันรุนแรง ในวินาทีนั้น กระดาษรูปมนุษย์บนเรือดูเหมือนตัวในแหวนคลังเก็บไม่มีผิด หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าหากไม่ยื่นมือออกไปรับใบพายกระดาษ มนุษย์กระดาษอาจเข้าโจมตีเขาก็เป็นได้

ในขณะนั้น ไม่ใช่เพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่รู้สึกกลัวจับใจ แต่บรรดาชายหญิงในห้องโดยสารของเรือก็รู้สึกเช่นกัน หลังจากที่สัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นจากกระดาษรูปมนุษย์ พวกเขาก็นิ่งเงียบพลางมองดูว่าหวังเป่าเล่อจะรับมือกับสถานการณ์อย่างไร พวกที่เคยทุ่มเถียงกับเขาอยู่ก่อนหน้านี้ ต่างก็เฝ้ามองอย่างหยามเหยียดขณะที่มีสีหน้าลุ้นระทึก

หวังเป่าเล่อไม่มีเวลามาสนใจสายตาของคนเหล่านั้น หลังจากที่สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันรุนแรงจากกระดาษรูปมนุษย์ตรงหน้า ชายหนุ่มก็สูดลมหายใจเข้าลึก และยิ้มออกมาอย่างอบอุ่นพลางยื่นมือไปรับใบพายกระดาษอย่างแข็งขัน

“ทำไมศิษย์พี่ไม่พูดเช่นนี้ตั้งแต่แรกเล่า ข้าชอบพายเรือมากเลย ข้าขอขอบคุณศิษย์พี่ที่มอบโอกาสนี้ให้ หากศิษย์พี่บอกข้าเร็วกว่านี้ว่าจะให้ขึ้นมาแจวเรือ ข้าคงไม่ปฏิเสธแม้แต่น้อย ข้ารักการพายเรือ ข้าชอบมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ แล้ว”

ขณะที่พูดไปนั้น หวังเป่าเล่อก็ฉีกยิ้มจริงใจ ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็ขยับไปยืนหน้าเรือสำปั้นพลางถือใบพายกระดาษ ก่อนจะเริ่มออกแรงพายไปด้านข้าง เขาฉีกยิ้มค้างเอาไว้และถึงกับหันหน้ามามองกระดาษรูปมนุษย์อีกด้วย

“ศิษย์พี่ไปนั่งพักก่อนเถิด ข้าแจวเรือได้ถูกใจหรือไม่” ไม่มีร่องรอยการดิ้นรนขัดขืนหลงเหลือบนใบหน้าของหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชายหนุ่มลอบถอนใจอยู่เงียบๆ โชคยังดีที่เขาเป็นคนปลอบใจตนเองเก่ง…

สิ่งนี้เรียกว่าการก้มหน้ายอมรับความจริง ก็แค่พายเรือเท่านั้น เขาใจดี น่ารักและคงต้องการให้ข้าช่วยเพราะเขาเหนื่อยเท่านั้น การช่วยเหลือผู้คนทำให้จิตใจข้าเป็นสุข!

ขณะที่รัศมีเย็นเยียบยังแผ่ออกมาจากร่างของกระดาษรูปมนุษย์อย่างไม่หยุดยั้ง สีหน้าของวัยรุ่นหนุ่มสาวบนเรือสำปั้นก็แปลกแปร่ง พวกเขาส่วนใหญ่รู้สึกรังเกียจ ในขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็ออกแรงสุดตัวเพื่อจ้วงใบพายกระดาษในมือไปในจักรวาลภายนอกเรือ จากนั้นจึงผลักออกไปเพื่อแจวครั้งหนึ่ง

เมื่อหวังเป่าเล่อแจวด้วยใบพายกระดาษไปครั้งหนึ่ง จู่ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็นิ่งค้าง ชายหนุ่มจับจ้องไปด้านหน้าและส่งเสียงออกมาเบาๆ เขาหันศีรษะ มองไปทางจักรวาลที่อยู่ข้างๆ ใบพายกระดาษทันที

ที่นั่น…ไม่มีสิ่งใดอยู่ แต่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าใบพายกระดาษไปปะทะเข้ากับแรงต้านอันรุนแรงเมื่อเขาจ้วงพาย ชายหนุ่มต้องใช้แรงแทบหมดตัวเพื่อจะพาย มีคลื่นพลังอันนุ่มนวลก่อตัวที่จักรวาลบริเวณนั้น!

“ไอ้เด็กบัดซบนั่นต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ๆ เขาพยายามจะเปิดแหวนคลังเก็บของข้าอีกรอบภายในระยะเวลาเพียงเท่านั้น สหายร่วมสำนักเต๋าตันโจวจื่อ เราเร่งความเร็วอีกได้หรือไม่”

“ไม่มีปัญหา!” ตันโจวจื่อหัวเราะ สีหน้าของเขาฉาบเคลือบไปด้วยความตื่นเต้น ชายวัยกลางคนขับด้วงสีทองด้วยกำลังทั้งหมดและเร่งความเร็วของมันขึ้นหลายเท่าตัวพลางมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่ชานหลิงจื่อสัมผัสถึงแหวนได้เป็นครั้งที่สอง!

เหตุที่ชานหลิงจื่อสัมผัสได้ถึงรัศมีของแหวนคลังเก็บในครั้งที่สองไม่ใช่ความผิดของหวังเป่าเล่อ…ชายหนุ่มเริ่มอยากโยนแหวนคลังเก็บทิ้งไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้และย่อมไม่คิดยกมันขึ้นมาดูอีกเป็นครั้งที่สอง

ตามแผนการแรกเริ่มของเขา หวังเป่าเล่อตั้งใจจะไม่ดูแหวนวงนี้อีกจนกระทั่งตัวเขาบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มแทบร้องไห้คือแหวนนั้นเปิดตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง!

เสียงหัวเราะแปลกแปร่งของกระดาษรูปมนุษย์ยังคงสะท้อนก้องอยู่ในใจ วิญญาณของชายหนุ่มยังสั่นไหว พลังปราณเองก็ยังไม่มั่นคง ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตา แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเคยรู้สึกมาก่อน แต่เมื่อชายหนุ่มต้องมาสัมผัสมันอีกครั้ง เขาก็แทบจะร่วงลงมาจากกลางอากาศ

สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง แต่เขาก็ไม่มีเวลาส่งเสียงกรีดร้องอย่างสิ้นหวัง ชายหนุ่มมองเห็นอยู่ในอวกาศลิบๆ ว่า…เรือวิญญาณลำเดิมกำลังใกล้เข้ามา ขณะที่กระดาษรูปมนุษย์แจวเรือไป เรือนั้นก็ผลุบๆ โผล่ๆ พลางเขยื้อนเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที

เหมือนก่อนหน้านี้ เรือวิญญาณลำเดิมที่แผ่รัศมีเก่าแก่ออกมา มาหยุดอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ กระดาษรูปมนุษย์หยุดพาย ก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นส่งสัญญาณเรียกหวังเป่าเล่อให้เข้าไป

คนราวสามสิบคนบนเรือลืมตาขึ้น นัยน์ตาของพวกเขาเบิกโพลงเมื่อมองมาเห็นหวังเป่าเล่อ ความตื่นตกใจในสีหน้าของทุกคนเด่นชัดกว่าเคย

อันที่จริงแล้ว หวังเป่าเล่อมองเห็นว่ามีคนเพิ่มมาคนหนึ่งในหมู่วัยรุ่นหนุ่มสาวนั้นด้วย

คนที่เพิ่มมาเป็นเด็กหนุ่มร่างผ่ายผอม หากมองดูจากรูปลักษณ์คงมีอายุราวสิบแปดสิบเก้าปีเท่านั้น ณ วินาทีนั้นเด็กหนุ่มก็รู้สึกถึงอากัปกิริยาของผู้คนรอบข้างได้ชัดเจน เขาจึงเงยหน้ามองหวังเป่าเล่อด้วยความสงสัย

หวังเป่าเล่อถอนใจก่อนจะยกมือโบกทักทายทุกคนบนเรือ ชายหนุ่มรู้สึกว่าการได้เจอทุกคนเป็นครั้งที่สองคงต้องเป็นโชคชะตาเป็นแน่

“ข้าหวังว่าทุกคนคงจะสบายดี ฮ่าๆ…” ขณะที่พูดไปนั้น หวังเป่าเล่อก็เหลือบไปเห็นว่าสีหน้าตื่นเต้นของวัยรุ่นเหล่านั้นเจือไว้ด้วยความร้อนรนซึ่งทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจ

เขาคิดว่า พวกเจ้าจะร้อนรนอะไรกัน ข้านี่ต่างหากต้องเป็นคนที่ร้อนใจ! ข้าไม่อยากจะขึ้นเรือ แต่เรือก็โผล่ขึ้นมาเป็นครั้งที่สองแล้ว เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็ขี้เกียจเกินกว่าจะทักทายทุกคนต่อ ชายหนุ่มหันไปมองกระดาษรูปมนุษย์ตรงหัวเรือที่ยังโบกมือไหวๆ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

หลังจากที่คิดอยู่ระยะหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ยกมือประสานคารวะก่อนจะก้มคำนับต่ำ

“ศิษย์พี่ ข้ายังมีธุระต้องไปสะสาง อ่า…ข้าจะไม่รบกวนระหว่างที่ท่านไปรับคนอื่นๆ แล้ว” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็ล่าถอยอย่างรวดเร็วก่อนจะหายตัวไป

ครั้งนี้หวังเป่าเล่อมั่นใจว่าคำพูดของเขาต้องมีผลแน่นอน เพราะเมื่อชายหนุ่มมาปรากฏตัวที่บริเวณอื่น เรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ไล่ตามเขาในครั้งแรก ก็ไม่ได้มาปรากฏต่อหน้าเขาอีก

เมื่อรวมเรื่องนี้เข้ากับสิ่งที่เขาเห็นในครั้งแรกที่เรือปรากฏขึ้นมา คำตอบนั้นก็ชัดเจนยิ่ง

แต่คำตอบนั้นก็ทำให้หวังเป่าเล่อถอนใจอีกครั้ง เพราะมันช่วยยืนยันอีกสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือ…กระดาษรูปมนุษย์บนเรือสำปั้นต้องมีปัญญาวิญญาณเป็นแน่ มันจึงเข้าใจคำพูดของเขาได้

การที่กระดาษรูปมนุษย์ตัวนั้นมีปัญญาวิญญาณ ก็แปลว่าตัวที่อยู่ในแหวนคลังเก็บของข้าก็มีเช่นกัน หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเป็นปมแน่น ขณะนี้ชายหนุ่มวิเคราะห์ได้ว่าการปรากฏขึ้นของเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวข้องกับกระดาษรูปมนุษย์ในแหวนคลังเก็บของเขาแน่ เพราะเรือจะปรากฏขึ้นก็ต่อเมื่อกระดาษรูปมนุษย์ตัวนั้นหัวเราะออกมา

สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว เขาอาจคิดว่ามันเป็นเสียงหัวเราะ แต่ความจริงมันอาจเป็นวิธีที่บรรดากระดาษรูปมนุษย์ใช้สื่อสารระหว่างกันก็เป็นได้

ช่างเถอะ ดูเหมือนว่าจะไม่มีอันตรายใดๆ ในตอนนี้แล้ว แต่เรือลำนั้น…ข้าจะไม่ขึ้นไปเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร! หวังเป่าเล่อตัดสินใจหนักแน่นอยู่คนเดียว ชายหนุ่มเกลียดการถูกบังคับที่สุด เขาพลิกตัวกลับมาเร่งความเร็วเต็มฝีเท้า เพื่อเดินหน้าต่อไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์

แต่ในใจของหวังเป่าเล่อนั้นเตรียมพร้อมไว้แล้ว หากกระดาษรูปมนุษย์จะหัวเราะขึ้นมาแล้วพาให้เรือวิญญาณกลับมาปรากฏตัวใหม่อีกครั้ง

ข้าจะคิดเสียว่าก็แค่กระดาษรูปมนุษย์ในแหวนของข้าคุยกับกระดาษรูปมนุษย์อีกตนที่อยู่บนเรือวิญญาณก็แล้วกัน…อย่างไรเสียข้าก็คงห้ามพวกมันคุยกันไม่ได้ หวังเป่าเล่อปลอบใจตนเอง ภายในสิบวันจากนั้น ทุกๆ สองหรือสามวัน…เสียงหัวเราะจากกระดาษรูปมนุษย์จะดังขึ้นในศีรษะ แล้วเรือวิญญาณก็จะลงมาอีก กระดาษรูปมนุษย์โบกมือเรียกอีกครั้ง และหวังเป่าเล่อก็ปฏิเสธไปอีกหน

เมื่อเรือวิญญาณมาปรากฏขึ้นเป็นครั้งที่หก…แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะชินแล้วและมีสีหน้าท่าทางสงบอย่างยิ่ง แต่วัยรุ่นสามสิบคนบนเรือสำปั้นลำนั้นกลับเริ่มรู้สึกไม่ดี

พวกเขาเห็นเพียงคนคนเดิมที่ปฏิเสธจะขึ้นเรืออยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และรู้สึกกังวลว่ามันจะกระทบกับการเดินทางของพวกเขาหรือไม่ ดังนั้นหลังจากที่เห็นหวังเป่าเล่อเป็นครั้งที่หก ความร้อนรนของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นโทสะ บางคนถึงกับตะโกนออกมา

“เจ้าจะขึ้นเรือหรือไม่!”

“หากไม่ขึ้นมา ก็ไสหัวไปเสีย!”

เมื่อได้ยินผู้โดยสารบนเรือพูดเช่นนั้น แม้จะรู้ว่าพวกเขามีภูมิหลังอันยิ่งใหญ่ หวังเป่าเล่อก็อดโมโหไม่ได้ ชายหนุ่มคิดในใจว่า ข้าไม่ขึ้น มีแต่คนโง่เขลาเท่านั้นที่จะยอมขึ้นเรือสำปั้นไป เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาจึงจ้องมองไปยังคนที่พูดอยู่บนเรือ

“ทำไมเล่า เจ้าจะลงมาจัดการกับข้าหรือ มา ลงมาสิ มาสู้ให้รู้ว่าใครกันแน่คือท่านบิดา!”

“เจ้า!” ผู้โดยสารคนนั้นผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วด้วยความโกรธ ทุกคนต่างก็พากันหันมามองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเยือกเย็น แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเพิ่งค้นพบว่าตนเองไม่อาจลงจากเรือสำปั้นได้!

“หากเจ้ายอดเยี่ยมนัก เหตุใดจึงไม่ลงมาเล่า ข้าถามพวกเจ้าทุกคนเลย หากพวกเจ้าไม่ลงมาจากเรือ พวกเจ้าก็เป็นได้แค่ลูกหลานของข้า มานี่มา ท่านโคตรบิดารออยู่ตรงนี้แล้ว!” ชายหนุ่มกลอกตา หวังเป่าเล่อมองเห็นว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล คำพูดของเขาจึงโอหังขึ้นทุกขณะ

แม้จะเจอการยั่วยุอย่างโอหังเช่นนี้ เจ้ากระดาษรูปมนุษย์ตรงหัวเรือกลับนิ่งเฉย มันยังคงโบกมือต่อไป และผู้โดยสารที่กำลังจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างโกรธเกรี้ยวก็เริ่มใจเย็นลง ในหมู่พวกเขา มีวัยรุ่นหน้าตาคล้ายม้าคนหนึ่งหรี่ตาลงก่อนโพล่งขึ้นมาว่า

“เจ้าหนุ่ม เจ้ากล้าบอกชื่อของเจ้าหรือไม่!”

“ทำไมข้าต้องฟังเจ้าด้วย เจ้าหนูหน้าม้า ไหนบอกชื่อเจ้าให้โคตรบิดารู้หน่อยซิ!” หวังเป่าเล่อตอบกลับ ตอนแรกชายหนุ่มรู้สึกหงุดหงิดและสงสัยเพราะใครหลายต่อหลายคนบนเรือวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลำนั้น แต่ขณะนี้ แม้จะดูเหมือนว่าเขากำลังทุ่มเถียงกับวัยรุ่นหน้าม้า แต่ในความเป็นจริง หวังเป่าเล่อใจเย็นอย่างยิ่ง เขาต้องการจะใช้การปะทะคารมนี้เพื่อหาข้อมูลว่าคนเหล่านี้มาจากที่ใด จะได้รู้อย่างอ้อมๆ ว่าเรือวิญญาณลำนี้มาจากแห่งหนไหนกันแน่

คำว่าเจ้าหนูหน้าม้าทำเอาจิตสังหารสะท้อนวาบอยู่ในนัยน์ตาของเด็กหนุ่มขณะที่เขาพูดออกมาอย่างใจเย็น

“สำนักเมฆาเยือกแข็ง หลี่หลินจื่อ!”

“ทะเลเขียวเต๋า หวังอี้ชาน!”

“ดินแดนเจ๋อทางตอนเหนือ ตู้เฟย!”

“ตระกูลเต้อเค่อ เย่ลั่ว!”

ไม่ได้มีแค่หลี่หลินจื่อเท่านั้นที่ตอบหวังเป่าเล่อ คนอื่นๆ ที่ร่วมทุ่มเถียงด้วยต่างก็ตอบออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา แม้ว่าพวกเขาจะบอกภูมิหลังกับหวังเป่าเล่อ แต่ชายหนุ่มก็ไม่รู้จักใครคนใดเลย แต่จากสีหน้าท่าทางของคนอื่นๆ ที่รายล้อมอยู่ หวังเป่าเล่อก็พอจะเดาได้ว่าสำนักและตระกูลเหล่านี้คงทรงอำนาจอยู่ไม่ใช่น้อย

ผู้ถูกเลือกจากแต่ละตระกูลหรือ ความคิดนี้จู่ๆ ก็ผุดขึ้นในใจหวังเป่าเล่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพลังปราณของคนเหล่านี้มีข้อหนึ่งเหมือนกัน แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะสัมผัสมันได้ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ใคร่จะใส่ใจนัก ขณะนี้เขาก็เพิ่งจะรู้ตัวว่ามีบางอย่างน่าตกใจ…พวกเขาทุกคนอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทั้งสิ้น!

“ตาเจ้าแล้ว!” หลี่หลินจื่อผู้มีใบหน้าเหมือนม้าตะโกนออกมาโดยไม่รอให้หวังเป่าเล่อได้ครุ่นคิดต่อ

หวังเป่าเล่อจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็งพลางคิดว่า ข้าไม่กลัวเจ้าหรอกนะ เจ้าแค่ทำยโสเพราะภูมิหลัง ซึ่งข้าเองก็มีเช่นกัน

“ตระกูลเซี่ย เซี่ยต้าลู่!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างใจเย็นและคิดว่า ข้าเองก็ข่มเป็นเหมือนกัน ข้าเป็นพี่ชายของเซี่ยไห่หยาง ชายหนุ่มคิดเช่นนั้นอยู่ในใจ แต่สีหน้าที่แสดงออกมากลับเย่อหยิ่ง และหลังจากที่เขาพูดจบ ผู้คนบนเรือสำปั้น โดยเฉพาะพวกที่พูดออกมาก่อนหน้านี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างมาก นัยน์ตาของพวกเขาเบิกโพลง แต่ก็มีความฉงนสงสัยปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าเช่นกัน หวังเป่าเล่อเห็นได้ว่า พวกเขาพากันสงสัยตัวตนของเขา

ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะหากพวกเขาเชื่ออย่างสนิทใจ แปลว่าต้องมีบางสิ่งผิดปรกติแน่นอน

แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อาจเป็นเพราะความระมัดระวัง หลังจากที่หวังเป่าเล่อประกาศว่าตนคือเซี่ยต้าลู่ ทุกๆ คนบนเรือสำปั้นก็ต่างนิ่งงันไป

หวังเป่าเล่อยังมองเห็นความมหัศจรรย์ของเรือสำปั้น แต่ยิ่งชายหนุ่มรู้สึกเช่นนั้นมากเพียงใด เขาก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้นตามกัน ดังนั้นหลังจากที่หวังเป่าเล่อยกมือประสานคารวะไปทางมนุษย์กระดาษบนเรืออีกครั้งเขาก็เตรียมจะออกตัวไปตามปกติ

ทว่า…กลับมีบางอย่างที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น!

กระดาษรูปมนุษย์ตนนั้นไม่ใช่ตัวเดียวกับที่อยู่ในแหวนคลังเก็บ แต่รัศมีที่มันเปล่งออกมาเหมือนอีกตัวไม่ผิดเพี้ยน น่าสะพรึงกลัวเหมือนกันไม่มีผิด ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็เข้าใจว่าเหตุใดเจ้ามนุษย์กระดาษในแหวนคลังเก็บของเขาจึงดีดดิ้นขึ้นมา เมื่อคิดได้ดังนั้น ความไม่แน่ใจและสับสนก็สะท้อนขึ้นในใจเขาขณะที่สายตายังจ้องมองไปยังเรือที่ลอยใกล้เข้ามา

เรือนี้…เป็นตัวแทนของสิ่งใดกัน

หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจว่าเรือนี้เป็นตัวแทนของอะไร แต่ชายหนุ่มรู้ว่า…ต้องมีบางสิ่งเกี่ยวข้องกับกระดาษรูปมนุษย์ปริศนาภายในแหวนคลังเก็บแน่นอน กระดาษรูปมนุษย์ในแหวนกับตัวที่อยู่บนเรือต้องเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งแน่!

พวกมันเป็นผู้ฝึกตนจากอารยธรรมเดียวกันอย่างนั้นหรือ ความคิดหนึ่งฉายวับขึ้นมาในใจของหวังเป่าเล่อ จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นนั้นกว้างใหญ่และอัดแน่นไปด้วยอารยธรรมจำนวนมหาศาล คงไม่ใช่เรื่องแปลกหากจะมีสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ประหลาดอาศัยอยู่

อย่างไรก็ดี หวังเป่าเล่อก็ไม่อยากข้องเกี่ยวด้วยแม้แต่น้อย ทั้งแขนขาของชายหนุ่มก็ผอมแห้ง กระดูกก็เปราะบาง แถมน้ำหนักของเขายังลดไปมากโข หวังเป่าเล่อไม่อาจทนต่อความยากลำบากได้อีกต่อไป ชายหนุ่มเตรียมจะหลบเลี่ยงเรือประหลาดหน้าตาน่ากลัวลำนั้น

หนุ่มสาวบนเรือลำนั้นเป็นพวกที่ข้าไม่อยากข้องเกี่ยวด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย การสอดรู้สอดเห็นเป็นเรื่องอันตราย ข้าไม่สนใจว่าทำไมพวกเขาจึงอยู่บนเรือ หรือกำลังจะเดินทางไปที่ใด ไม่เกี่ยวกับข้าแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อกะพริบตาก่อนจะถอยทันที

ชายหนุ่มบอกได้ว่าผู้โดยสารบนเรือไม่ใช่ผู้ฝึกตนธรรมดา ต่างคนต่างก็เปล่งรัศมีเย็นยะเยือก แถมยังถูกจัดให้นั่งห่างๆ กัน ดูราวกับว่ามาจากคนละขั้วอำนาจ พวกเขาไหนเลยจะสัมผัสถึงตัวตนของหวังเป่าเล่อที่อยู่นอกเรือไม่ได้ แต่ถึงจะอย่างนั้น ดวงตาของทุกคนก็ปิดสนิท หากไม่ใช่เพราะรัศมีที่คนพวกนั้นแผ่ออกมา พวกเขาก็ดูเหมือนศพดีๆ นี่เอง

ไม่มีใครสนใจหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ราวกับว่าคนเหล่านี้และหวังเป่าเล่ออยู่กันคนละโลกประหนึ่งช้างที่ไม่สนใจมดปลวก ความรู้สึกนั้นทำให้ชายหนุ่มอึดอัดใจเป็นอย่างยิ่ง

แต่เขาก็ไม่เข้าใจสถานการณ์ตอนนี้แม้แต่น้อย และเรือนั่นก็ดูน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง หวังเป่าเล่อไม่อยากเฉียดเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มลอบระบายลมหายใจออกมาก่อนจะเร่งฝีเท้าหนีให้เร็วขึ้น พยายามถอยห่างจากเรือให้ไกลที่สุด

แต่…บางครั้ง ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปตามที่เราต้องการเสมอไป หวังเป่าเล่อพยายามเต็มที่ที่จะหนีให้เร็วที่สุด แต่ไม่เป็นผล เรือวิญญาณที่ลอยคว้างอยู่ไกลๆ นั้นประชิดตัวเขาเข้ามาทุกที ภาพของเรือพร่าเลือนทุกครั้งที่กระดาษรูปมนุษย์ขยับไม้พาย และในการจ้วงพายแต่ละครั้ง เรือก็ขยับไหลเข้ามาใกล้เขาขึ้นทุกขณะ

ช่างเป็นภาพที่น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง หวังเป่าเล่อขนลุกขนชันไปหมด ชายหนุ่มปล่อยวิชาแห่งศาสตร์มืดออกมาตามสัญชาตญาณ แต่ก็ไม่เป็นผล พลังของเขาไม่ช่วยชะลอเรือลงแม้แต่น้อย เรือนั้นยังคงวูบวาบจางหายสลับกับปรากฏขึ้นมาใหม่ และขยับใกล้เข้ามาทุกทีๆ

เรือบัดซบนี่มันอะไรกันแน่ หวังเป่าเล่อขนหัวลุกชา ชายหนุ่มกัดกรามแน่นและเตรียมตัวจะหนีไปอีกครั้ง

แต่ก่อนที่จะทันได้ทำอะไร เรือก็พร่าเลือนไปอีกคราว อึดใจต่อมา…เมื่อก็มันกลับมาชัดเจนอีก และทะยานข้ามจักรวาลมาอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อ!

ภาพนั้นทำเอาเหงื่อเย็นเยียบเม็ดเป้งผุดขึ้นมาบนหน้าผากของชายหนุ่ม รัศมีโบราณของเรือวิญญาณที่พุ่งเข้ามาหาหวังเป่าเล่อไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นแม้แต่น้อย นัยน์ตาของชายหนุ่มเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง สีหน้าฉาบไปด้วยความตื่นกลัว…กระดาษรูปมนุษย์ตนนั้น ที่ยืนอยู่บนหัวเรือและกำลังแจวเรืออยู่ จู่ๆ ก็นิ่งไป จากนั้นแทนที่จะจ้วงพายกระดาษลงไปในห้วงอวกาศ มันกลับเงยหน้าขึ้นจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยนัยน์ตาที่เย็นเยียบและว่างเปล่า!

สายตาของมนุษย์กระดาษทำเอาหวังเป่าเล่อแข็งทื่ออยู่กับที่ ราวกับถูกสะกดด้วยพลังมหาศาล พลังปราณของชายหนุ่มสั่นคลอน ดวงวิญญาณเทพเริ่มกระสับกระส่ายไม่อยู่นิ่ง เขาสัมผัสได้ถึงเส้นขนบนร่างที่ลุกชันพร้อมๆ กับคลื่นความกลัวที่ไหลบ่าไปทั่วกาย สัมผัสอันตรายที่คืบคลานเข้ามาเริ่มทำให้สัญญาณเตือนในศีรษะของชายหนุ่มดังลั่น

หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังปราณทั้งหมดออกมาอย่างไม่รอช้า ถึงขนาดต้องใช้เกราะมหาจักรพรรดิที่ยังไม่ทันฟื้นฟูเสร็จเพื่อเพิ่มความเร็วไปการหลบหนี

แต่…ก็ไม่เป็นผล!

เรือนั้นดูเหมือนจอดนิ่งอยู่กับที่ แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะใช้ความเร็วเต็มที่ในการหลบหนี ถึงกระนั้น…ไม่ว่าชายหนุ่มจะเคลื่อนที่เร็วเพียงใด ระยะห่างระหว่างตัวเขาและเรือก็ยังเท่าเดิม เรือยังอยู่ตรงหน้าเขาเช่นเดิม เขารู้สึกราวกับว่าทั้งตัวเขาและเรือไม่ได้เคลื่อนที่ไปแต่อย่างใด

หวังเป่าเล่อตัวสั่นก่อนจะเคลื่อนย้ายตำแหน่งหนีอีกครั้ง แต่ในวินาทีถัดมา ทันทีที่เขาปรากฏขึ้นในตำแหน่งใหม่…เรือนั้นก็อยู่ตรงหน้าเขาอีก ระยะห่างระหว่างทั้งคู่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลย กระทั่งสายตาของกระดาษรูปมนุษย์ที่จับจ้องมาก็ยังเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง!

ใบหน้าของหวังเป่าเล่อซีดขาวลงไปในทันที ชายหนุ่มกำลังจะพูดอะไรออกมาเมื่อกระดาษรูปมนุษย์ยกมือซ้ายขึ้นส่งสัญญาณมาที่เขา เหมือนกับว่าจะชวนเขาขึ้นเรือ

เมื่อนั้นเองที่หนุ่มสาวบางคนบนเรือเปิดตาขึ้นและมองมายังหวังเป่าเล่ออย่างประหลาดใจ ไม่ใช่ผู้โดยสารทุกคนที่มีปฏิกิริยากับการเชิญชวนนั้น แต่คนกว่าครึ่งต่างเปิดตาขึ้นก่อนจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยอาการประหลาดใจอย่างเปิดเผย

นอกจากความประหลาดใจแล้ว ผู้โดยสารบนเรือยังแสดงอารมณ์อื่นๆ อีก บ้างก็ดูห่างเหินไม่ใส่ใจ บ้างก็หรี่ตาจ้องมอง บ้างก็ดูสับสนไม่แน่ใจ ในขณะที่คนอื่นๆ แสดงความไม่เป็นมิตรออกมาชัดเจน บางคนก็ม้วนริมฝีปากขึ้นแสดงอาการดูหมิ่น

พวกเขาไม่ได้สนใจข้า เอาแต่นั่งเงียบงันอยู่บนเรือ แต่หลังจากที่มนุษย์กระดาษโบกมือเรียก พวกเขาจึงเริ่มสนใจ แถมยังดูแปลกใจกับอาการของเจ้ามนุษย์กระดาษอีกด้วย…แปลว่าพวกเขาคิดว่าข้าไม่สมควรได้ขึ้นเรือตั้งแต่แรกอย่างนั้นหรือ กลไกในศีรษะของหวังเป่าเล่อทำงานอย่างบ้าคลั่ง ชายหนุ่มจ้องมองผู้โดยสารบนเรือสลับกับกระดาษรูปมนุษย์ผู้ที่ยังโบกมือเรียกเขาอยู่ไปมา ก่อนที่เขาจะยกมือประสานคารวะไปทางกระดาษรูปมนุษย์

“ข้าขอขอบคุณศิษย์พี่ผู้ทรงเกียรติสำหรับความกรุณา แต่ตัวข้าผู้ต่ำต้อยมีธุระเร่งด่วนต้องไปสะสาง ไม่อาจจะร่วมขึ้นเรือไปด้วยได้ ข้าขออวยพรให้ท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ…” หวังเป่าเล่อพูดพลางขยับตัวเหมือนจะหนีไปอีกครั้ง

อาจเป็นเพราะข้ออ้างของชายหนุ่มได้ผล หรือเพราะเหตุผลอื่นใดก็ไม่อาจทราบได้ แต่เรือไม่ได้มาปรากฏตรงหน้าหวังเป่าเล่ออีกเมื่อเขาเคลื่อนย้ายมายังจุดหนึ่งในจักรวาลที่ห่างออกมา เรือนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย

หวังเป่าเล่อทอดถอนใจออกมาอย่างโล่งอก แต่ก็มีคลื่นอารมณ์มากมายถาโถมขึ้นมาในใจแทบจะทันที ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะคิดว่าตนปล่อยโอกาสทองหลุดมือไปหรือไม่…

เรือลำนั้นอาจเป็นเรือที่มุ่งหน้าไปสู่โอกาสทองก็เป็นได้…หาไม่แล้วจะมีผู้ฝึกตนที่ยอดเยี่ยมนั่งอยู่บนเรือตั้งมากมายเพราะเหตุใด แถมพวกเขายังดูตกใจด้วยเมื่อข้าถูกเชิญขึ้นไปบนเรือ ยิ่งหวังเป่าเล่อคิดเรื่องนี้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกเสียดายมากขึ้นเท่านั้น แต่หลังจากที่ครุ่นคิดไปสักระยะ เขาก็สรุปว่าเรือนั้นยังมีบางอย่างแปลกๆ อยู่นั่นเอง

สิ่งที่หวังเป่าเล่อคิดว่าแปลกเกี่ยวข้องกับกระดาษรูปมนุษย์ในแหวนคลังเก็บของเขาและตัวที่แจวเรืออยู่ ไหนจะเรื่องเรือวิญญาณลำนั้นอีก ชายหนุ่มคิดว่าเรือลำนั้นอาจเป็นโอกาสทอง แต่ก็อาจเป็น…การเดินทางสู่ความตายก็เป็นได้

แต่เรื่องนั้นก็ไม่สำคัญนัก หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกกลัวแหวนคลังเก็บที่เขาได้มามากขึ้น ชายหนุ่มรีบผนึกมันซ้ำอีกครั้งอย่างรวดเร็ว แม้ว่าผนึกที่เขาผนึกไว้บนแหวนก่อนหน้านี้จะถูกทำลายจนทำให้ตำแหน่งของเขาถูกเปิดเผย แต่หวังเป่าเล่อก็เชื่อว่าสถานการณ์ยังไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นที่เขาต้องทิ้งแหวนวงนี้ไป ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มก็ตัดสินใจไม่จับแหวนคลังเก็บนี้อีกจนกว่าจะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็พยายามปลอบใจตัวเองก่อนจะออกตัวมุ่งหน้าไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อีกครั้งหนึ่ง

การคาดเดาของหวังเป่าเล่อนั้นถูกต้อง ตำแหน่งของเขาถูกเปิดเผยออกมาจริงๆ เมื่อเจ้ากระดาษรูปมนุษย์พังผนึกออกมา ในอาณาเขตจักรวาลอันห่างไกล ด้วงสีทองขนาดยักษ์ที่กำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วผ่านอวกาศตัวสั่นขึ้นมาพร้อมๆ กับผนึกที่ถูกทลายลง ก่อนจะเลี้ยวกลับหลังทันทีและมุ่งตรงไปยังตำแหน่งของหวังเป่าเล่อด้วยความเร็วสูง

ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นชานหลิงจื่อนั่งอยู่ในด้วงสีทองตัวนั้น ระดับปราณของเขาลดลงทำให้ขณะนี้อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะเท่านั้น ข้างๆ เขาคือตันโจวจื่อ ผู้ที่ดูเผินๆ แล้วเหมือนจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ แต่ในใจที่จริงแล้วเต็มไปด้วยความโลภโมโทสัน คลื่นพลังระดับดาวพระเคราะห์ขั้นต้นแผ่ออกมาจากกายเขาไม่หยุดหย่อน

“สหายร่วมสำนักเต๋าตันโจวจื่อ ข้าเพิ่งจะสัมผัสตำแหน่งของแหวนคลังเก็บของได้ เจ้าโจรโง่งมคงพยายามเปิดมันอีกแน่ ถึงแม้เขาจะล้มเลิกความตั้งใจไปอย่างรวดเร็ว และข้าก็หาตำแหน่งของเขาไม่พบแล้ว แต่ข้าก็เชื่อว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง” ความอาฆาตฉายชัดอยู่ในแววตาของชานหลิงจื่อขณะที่เขาพูดรายงานสหายเรื่องตำแหน่งที่เพิ่งค้นพบ

“พวกเราอยู่ไม่ไกลแล้ว” ข้างกายเขานั้น ตันโจวจื่อยิ้มออกมาบางๆ เขาไม่ได้ซ่อนแววตาละโมบขณะขยับทิศทางของตัวด้วงทองที่กำลังพุ่งทะยานผ่านอวกาศไป อาณาเขตที่ชานหลิงจื่อบอกมานั้นกว้างเกินไป คงเป็นการยากที่จะบอกตำแหน่งแน่นอนของเป้าหมาย หากพวกเขาจะดั้นด้นค้นหาต่อไปเช่นนี้ คงใช้เวลานานมากกว่าที่พวกเขาจะค้นพบอะไรในอาณาเขตที่ชานหลิงจื่อบอกมา แต่…เหมือนว่าโชคชะตาจะอยู่ข้างพวกเขา หลังจากที่ตะลุยผ่านจักรวาลมาหลายวัน…ตาของชานหลิงจื่อก็เบิกโพลงด้วยความยินดี เขาสัมผัสได้ถึง…ตำแหน่งของแหวนคลังเก็บของตนอีกครั้ง!

เซี่ยไห่หยางอาจกุมความลับมากมายเอาไว้อย่างภาคภูมิ แต่ชายหนุ่มเองก็ไม่รู้เลยว่าเพิ่งปล่อยให้โอกาสทองในการได้รับความช่วยเหลือหลุดมือไป หากเขาเล่าทุกอย่างให้หวังเป่าเล่อฟังตอนที่อีกฝ่ายเอ่ยถามและเอ่ยปากขอความช่วยเหลือแลกกับเงินไป… ย่อมมีโอกาสที่หวังเป่าเล่อจะอยากทำข้อตกลงด้วย เพราะอย่างไรเสีย หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้สนใจหากเซี่ยไห่หยางจะล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขาและศิษย์พี่ เป็นเซี่ยไห่หยางเองต่างหากที่กำลังร้อนรนเพราะเป็นคนที่มีปัญหากับศิษย์พี่ของเขาอยู่

มีโอกาสมากที่หวังเป่าเล่อจะยอมยื่นมือมาช่วยเหลือในเวลาที่เหมาะสม

ยิ่งไปกว่านั้น การช่วยเหลือของหวังเป่าเล่อก็ไม่น่าจะแพงนัก นั่นเพราะ…หวังเป่าเล่อคงไม่คิดเรียกราคาให้สูงมากมายตามประสบการณ์ในอดีตที่เคยมีกับผลึกสีชาด อย่างมากสุดเขาก็คงเรียกแค่ไม่กี่ล้านผลึกเท่านั้น

แน่นอนว่า…ใดๆ ทั้งหมดนี้คือก่อนหวังเป่าเล่อจะย่างกรายเข้าไปในตลาด!

แม้ว่าชายหนุ่มจะเคยเดินตลาดมาบ้างในอดีต แต่ก็ไม่เคยรู้ค่าของผลึกสีชาดเลย จึงไม่ได้สนใจว่าราคาสิ่งของที่ซื้อขายด้วยผลึกสีชาดเป็นเท่าไร หลังกลับมาจากภารกิจของปรมาจารย์แห่งไฟ หวังเป่าเล่อก็ใช้ผลึกสีชาดซื้อวัตถุดิบไปจำนวนหนึ่ง แต่ชายหนุ่มในตอนนั้นยังไม่บรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะ เขาจึงไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่เฉพาะของหลายๆ ร้านที่จำกัดไว้ให้ลูกค้าพิเศษได้ ของที่ขายในพื้นที่เฉพาะเหล่านั้นมีราคาแพงระยับสำหรับผู้ฝึกตนทั่วๆ ไป แต่ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงคงไม่สะทกสะท้านกับราคาเหล่านั้น

ทว่าครั้งนี้…ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว

ขณะนี้ เมื่อหวังเป่าเล่ออยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย เขาจึงไม่สนใจวัตถุดิบที่ซื้อไปก่อนหน้านี้ อันที่จริงแล้ว ชายหนุ่มคิดว่าตนเองก็นับว่าเป็นคนรวยคนหนึ่ง เมื่อเดินเข้าไปในร้านที่ดูมีชื่อเสียงและมีสินค้าประมาณหนึ่ง เขาก็เชื่อว่าการปลดปล่อยพลังปราณของเขาคงจะพาให้เจ้าของร้านกุลีกุจอออกมาดูแลเป็นพิเศษ จากนั้นก็คงต้อนรับตัวเขาให้เข้าไปยังพื้นที่ในร้านที่ผู้ฝึกตนทั่วไปไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป

หวังเป่าเล่อทำทีเป็นสงบเสงี่ยมขณะที่ยืนอยู่ในพื้นที่หวงห้ามของร้าน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ชายหนุ่มต้องตื่นตะลึงหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่ที่เดินเข้าไปในพื้นที่นั้น…

วิญญาณอัสนีสวรรค์เก้าดวง…หนึ่งแสนห้าหมื่นผลึกสีชาด!

ไอน้ำสายธารศักดิ์สิทธิ์…สองแสนเจ็ดหมื่นผลึกสีชาด!

เรือวิญญาณเหนือจรดใต้…สามแสนเก้าหมื่นผลึกสีชาด นี่มันบ้าบออะไรกัน

หวังเป่าเล่อผงะด้วยความตกตะลึง ชายหนุ่มคงไม่รู้หากไม่ได้มองป้ายราคาเหล่านั้น เขาไม่รู้สึกร่ำรวยอีกต่อไป กลับกันตอนนี้ชายหนุ่มรู้สึกยากจนเป็นอย่างยิ่ง

โชคดีที่หวังเป่าเล่อยังควบคุมตนเองได้ สีหน้าของชายหนุ่มยังนิ่งเฉยอยู่ และทำทีเป็นไม่พอใจเป็นบางครั้งด้วยซ้ำ ราวกับว่าไม่ได้สนใจราคาของสินค้าเท่ากับคุณภาพ หวังเป่าเล่อรักษามาดเอาไว้ขณะที่เดินเข้าออกพื้นที่หวงห้ามของร้านค้าจำนวนหนึ่ง หลังจากได้แวะเวียนร้านเหล่านั้น ชายหนุ่มก็ยืนนิ่งอยู่บนถนน ก่อนจะทอดถอนใจด้วยใบหน้าหม่นหมอง

ข้ายากจนเหลือเกิน…หวังเป่าเล่อตบกระเป๋าคลังเก็บของตน ความรู้สึกยากจนนั้นทำให้ชายหนุ่มเศร้าสร้อยเป็นพิเศษ เขาหมายตาเรือบินเอาไว้ แต่มันมีราคาถึงเจ็ดหลัก เพียงนึกถึงป้ายราคาก็ทำเอาหวังเป่าเล่อขนลุกขนชัน

จู่ๆ แหวนคลังเก็บระดับดาวพระเคราะห์ที่หวังเป่าเล่อเหลือบมองอยู่ก็ปรากฏขึ้นมาในศีรษะของเขา ชายหนุ่มจำขวดปริศนาที่เคยเห็นและคำว่า “คนร่ำรวย” ที่เขียนไว้บนกระดาษในขวดแก้วใบนั้นได้ หวังเป่าเล่อเข้าใจในวินาทีนั้นเอง

ในขวดนั้นมีพลังทำให้เป็นคนรวยได้อย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อคิดอย่างตื่นเต้น ลมหายใจของเขาถี่เร็วขึ้น ชายหนุ่มคิดจะยกแหวนคลังเก็บขึ้นมาดูอีกครั้ง แต่ที่นี่อาจไม่ใช่สถานที่ที่เหมาะสม ยิ่งไปกว่านั้น ตำแหน่งของเขาจะถูกเปิดโปงทุกครั้งที่เขาเปิดใช้แหวน ไม่มีวิธีหลบเลี่ยงได้นอกจากชายหนุ่มจะทำลายผนึกบนแหวนคลังเก็บนั้นออกโดยสมบูรณ์ เพื่อทำให้อันตรายจากการเปิดแหวนคลังเก็บหายไป

แต่ระดับปราณปัจจุบันของชายหนุ่มยังไม่เพียงพอ สิ่งนี้ยังเกินกำลังของเขาอยู่

หวังเป่าเล่อเดินคอตกออกจากตลาดด้วยความเศร้าสร้อย ความสงสัยเกี่ยวกับการรีบรุดจากไปของเซี่ยไห่หยางเริ่มจะเข้มข้นขึ้น

เขากลัวว่าข้าจะขอกู้เงินอย่างนั้นหรือ เพราะเหตุนี้จึงต้องหาเหตุผลแปลกๆ เพื่อหนีไป หวังเป่าเล่อพ่นลมออกมาทางจมูกก่อนจะฝังเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ ชายหนุ่มซื้อศิลาวิญญาณมาจำนวนมากด้วยผลึกสีชาดในกระเป๋าก่อนจะเดินออกมาจากตลาดแล้วมุ่งหน้าไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์

ชายหนุ่มไม่ได้ใช้เรือบินรบเวทในการเดินทางกลับ ความเร็วของเรือบินรบเวทนั้นไม่เท่าฝีเท้าของตัวเขาเอง ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงซื้อศิลาวิญญาณมา เพื่อจะได้เติมพลังตัวเองได้ระหว่างเดินทางกลับ เกราะมหาจักรพรรดิของเขาก็ต้องการกินศิลาวิญญาณเพื่อฟื้นฟูพลังเช่นกัน

ชายหนุ่มสามารถกลืนกินผลึกสีชาดแทนได้ แต่ผลึกเหล่านั้นมีพลังงานมากเกิน หวังเป่าเล่อต้องใช้พลังงานของตัวเองเพื่อปรับพลังงานของผลึกให้เหมาะสมกับเกราะมหาจักรพรรดิ เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ขณะที่เขาเดินทางผ่านห้วงอวกาศ

ผ่านไปสองสัปดาห์ที่หวังเป่าเล่อเดินทางด้วยความเร็วคงถี่โดยไม่ลดความเร็วลง ชายหนุ่มผ่านอารยธรรมที่เคยสนใจแล้วก็ผ่านไปโดยไม่แวะดู เห็นได้ชัดว่าจิตใจของชายหนุ่มขณะนี้จดจ่ออยู่กับสงครามที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เขาไม่รู้เลยว่าสถานการณ์เป็นเช่นไรบ้าง

ข้าติดกับของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ไปครั้งหนึ่ง…แม้ว่าปรมาจารย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อาจไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ข้าก็ยังต้องระวังตัวเมื่อพบกับเขา! ประกายเยือกเย็นส่องสะท้อนอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อขณะที่ใช้ความคิด กับดักอันแล้วอันเล่าทำให้ชายหนุ่มหัวเสียเป็นอย่างยิ่ง และยังทำให้เขาระมัดระวังตัวขึ้นมากอีกหลายเท่าตัว

ข้าจะไม่ทำผิดเช่นเดิมซ้ำสองแน่นอน! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มรู้ดีว่าสิ่งที่ทำให้เขาติดกับศัตรูคือความโลภ เขามุ่งมั่นอยู่กับการปล้นอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และการไม่ยอมให้โอกาสนี้ตกไปอยู่ในมือใครคนอื่น

ชายหนุ่มเปลี่ยนวิธีคิดไป การได้ครอบครองทรัพยากรของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นเรื่องดี แต่การไม่ได้ครอบครองก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่!

เพราะเหตุนี้ข้าจึงต้องลอบกลับเข้าไป ข้าต้องหลบเลี่ยงสายตาของผู้คนและเริ่มปฏิบัติการในเงามืด…ข้าจะได้ล่วงรู้ความลับของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เสียที… พอหวังเป่าเล่อคิดเรื่องนี้ ชายหนุ่มก็นึกขึ้นได้ว่าเขามักขาดความรู้สำคัญไปเสมอเมื่อเป็นเรื่องของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เขารู้สึกว่า…เรื่องนี้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์

หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจเรื่องรายละเอียดเท่าใดนัก ชายหนุ่มยังคงเร่งความเร็วต่อเนื่องพลางคิดเรื่องนี้ไปด้วยขณะที่เหาะผ่านเส้นเขตแดนของอารยธรรมเล็กๆ แห่งหนึ่ง

หวังเป่าเล่อกำลังคิดเพลินๆ เมื่อเหาะผ่านอารยธรรมนั้น…จู่ๆ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ไม่ใช่เพราะนึกอะไรขึ้นมาได้…แต่เพราะการสั่นไหวอย่างรุนแรงจากกระเป๋าคลังเก็บของเขา ที่แรงจนวิญญาณของชายหนุ่มสั่นไหว!

การสั่นไหวนั้นจู่ๆ ก็เกิดขึ้นชนิดไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่ได้มาจากแผ่นหยกสื่อสาร แต่มาจาก…แหวนคลังเก็บที่ถูกเก็บอยู่ภายใต้ผนึกหลายชั้นที่อยู่ในกระเป๋าคลังเก็บของเขานั่นเอง!

แหวนคลังเก็บนั้นเคยเป็นของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นคนหนึ่ง!

เกิดอะไรขึ้นกัน ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นคนนั้นหรือ เขามาตามล่าข้าหรือ หวังเป่าเล่อตื่นตัวสุดขีด ชายหนุ่มรีบเรียกดวงจิตเทพออกมาแล้วส่งมันเข้าไปดูในแหวนคลังเก็บปริศนา ขณะที่มันสั่นไหวอย่างรุนแรง ผนึกหลายต่อหลายชั้นที่หุ้มอยู่ก็ขาดยุ่ยราวกับเป็นกระดาษ ไม่อาจผนึกแหวนคลังเก็บเอาไว้ได้อีก มีแสงสว่างเจิดจ้าส่องออกมาจากแหวนวงนั้น

ไม่จบเพียงแค่นั้น สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงและหน้าถอดสีคือภาพของแหวนคลังเก็บ…ที่กำลังเปิดออกเอง!

ศีรษะของกระดาษรูปมนุษย์โผล่ออกมาจากแหวนคลังเก็บ ดวงตาของมันส่องแสงประหลาด ดูเหมือนมันกำลังจับจ้อดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อ และเชื่อมต่อกับดวงวิญญาณของชายหนุ่มทันที

ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะทันได้ทำอะไร เสียงหัวเราะเยือกเย็นน่าสะพรึงกลัวก็ดังขึ้นในใจเขา

เป็นเสียงหัวเราะที่ทำให้วิญญาณสั่นไหว หวังเป่าเล่อตัวสั่นขณะที่ดวงจิตเทพเริ่มไม่มั่นคง เขารู้สึกราวกับว่าดวงวิญญาณเทพถูกฉีกเป็นชิ้นๆ โชคยังดีที่ความทรมานนั้นไม่ได้คงอยู่นานนัก เสียงหัวเราะนั้นจางหายไปภายในไม่กี่วินาที

เวลาไม่กี่วินาทีนั้นให้ความรู้สึกราวชั่วกัปชั่วกัลป์สำหรับหวังเป่าเล่อ เสื้อผ้าของชายหนุ่มเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขารู้สึกราวกับว่าเพิ่งปีนออกมาจากนรกและหนีรอดความตายมาได้ สีหน้าของเขาซีดขาว ก่อนจะขวับไปมองอารยธรรมนั้นทันที แต่ไม่ว่าจะเพ่งพิศเพียงใด หวังเป่าเล่อก็ไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติ

กระดาษรูปมนุษย์นั้น…ทำไมจู่ๆ ถึงทำเช่นนั้น หวังเป่าเล่อผงะด้วยความตื่นตระหนก ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าหากเจ้าสัตว์ร้ายนั่นยังหัวเราะต่อไปอีกไม่กี่วินาที ดวงวิญญาณเทพของเขาคงจะต้องยอมจำนนต่อเสียงนั้นเป็นแน่

หลังรอดจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันนั้นมากได้ หวังเป่าเล่อก็เริ่มใคร่ครวญว่าจะทิ้งแหวนคลังเก็บเพื่อหลบหลีกอันตรายที่อาจเกิดขึ้นอีกดีหรือไม่ ขณะที่ชายหนุ่มลังเลใจอยู่นั่นเอง…นัยน์ตาของเขาก็เบิกโพลง

เขามองเห็นเรือลำหนึ่ง!

เรือลำนั้นเป็นสีดำขนาดย่อมๆ แต่ก็ใหญ่พอนั่งได้ราวร้อยคน มันไหลมาตามห้วงอวกาศคล้ายเรือวิญญาณ และเข้ามาหาหวังเป่าเล่ออย่างช้าๆ

เรือนั้นดูเก่าโทรม ร่องรอยที่กาลเวลาได้ฝากเอาไว้ชัดเจนอยู่บนพื้นผิวของมัน ราวกับว่าเรือนี้อยู่มานานแสนนานแล้ว แม้จะอยู่ไกลออกไป ก็อาจยังสัมผัสได้ถึงรัศมีของเรือที่เก่าแก่โบราณเป็นอย่างยิ่งลำนี้ได้

มีคนมากกว่าสามสิบคนนั่งอยู่บนเรือนั้น ทั้งบุรุษและสตรี ทุกคนดูยังเยาว์ยิ่ง ดวงหน้าของพวกเขาดูหยิ่งยโสแม้ว่าจะปิดตาอยู่ ความแวววาวของชุดแต่งกายก็แสดงให้เห็นถึงสถานะอันใหญ่โต!

แต่พวกเขาเหล่านั้นไม่ใช่สาเหตุความตกใจของหวังเป่าเล่อ ที่ตาของชายหนุ่มเบิกโพลงและความกลัวเพิ่มพูนขึ้นในใจ…คือสิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าเรือ…ที่ถือพายกระดาษและกำลังแจวเรืออยู่ มันคือกระดาษรูปมนุษย์!

เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้สัมผัสการเคลื่อนย้ายระยะไกลหลายปีแสง ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่าร่างกายของตนกำลังถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ดวงวิญญาณเทพในกายแทบจะสลายเป็นผุยผง เขาเกือบล้มลงไปกองกับพื้นเมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง

หวังเป่าเล่อตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน ก่อนจะกวาดมองสำรวจสิ่งรอบข้างเร็วๆ ชายหนุ่มพบว่าตนเองยืนอยู่บนวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางราวสามสิบกิโลเมตร

มีตัวอักขระนับไม่ถ้วนสลักอยู่บนพื้น ตัวอักขระเหล่านี้ค่อยๆ จางหายไปช้าๆ แต่หวังเป่าเล่อก็พอจะจินตนาการได้ว่ามีเสาแสงพุ่งออกมาจากตัวอักขระเหล่านี้และทะยานสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าระหว่างการเคลื่อนย้ายของเขา

แผ่นหินสูงตระหง่านแปดแผ่นตั้งอยู่นอกวงแหวนปราณ มีตัวอักขระปกคลุมอยู่เช่นกัน ตัวอักขระเหล่านั้นก็กำลังจางหายไป ระหว่างแผ่นหินสองแผ่นตรงหน้าหวังเป่าเล่อใน มีกลุ่มคนราวสิบคนยืนอยู่

คนที่ยืนอยู่หน้าสุดคือเซี่ยไห่หยาง เขาส่งยิ้มกว้างมาทางหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นเซี่ยไห่หยาง เขาส่งดวงจิตเทพไปสำรวจทั่วบริเวณ ชายหนุ่มค่อยผ่อนคลายลงเมื่อพบว่าตนได้กลับมาสู่อาณาเขตตลาดตระกูลเซี่ย

ถึงอย่างนั้น ความเจ็บปวดที่ดวงวิญญาณเทพของเขาได้รับ ประกอบกับความรู้สึกวิงเวียนก่อนหน้าก็ทำให้หวังเป่าเล่อต้องหอบหายใจ แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีเวลามาจัดการกับความรู้สึกไม่สบายนี้ เขารีบลุกขึ้นสำรวจตัวเองด้วยใบหน้าที่ยังซีดขาว จิตใจเขาสงบลงบ้างเมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีสารัตถะส่วนใดหล่นหายไประหว่างการเคลื่อนย้าย จากนั้นชายหนุ่มจึงก้าวไปหาเซี่ยไห่หยาง

ลมหายใจของหวังเป่าเล่อค่อยๆ นิ่งขึ้นขณะที่สืบเท้าตรงไปยังเซี่ยไห่หยาง อันที่จริง ชายหนุ่มเหมือนจะหายเป็นปลิดทิ้งแล้วตั้งแต่ยังอยู่ห่างจากเซี่ยไห่หยางราวๆ สามร้อยเมตร ประกายเจิดจ้าในแววตาของเขาก็กลับมาแล้วเช่นกัน

เซี่ยไห่หยางเองรู้สึกทึ่งเล็กน้อย เขารู้ถึงอันตรายของประตูเคลื่อนย้ายระดับจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ดี ความตายของผู้ฝึกตนระดับปราณต่ำกว่าระดับดาวพระเคราะห์ระหว่างการเคลื่อนย้ายเป็นเรื่องธรรมดายิ่ง มีเพียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เท่านั้นที่จะปลอดภัยระหว่างการเคลื่อนย้ายระดับจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์

เซี่ยไห่หยางกำชับให้ลูกน้องระมัดระวังเป็นพิเศษระหว่างการเคลื่อนย้ายหวังเป่าเล่อ พวกเขาต้องรับรองว่าการเคลื่อนย้ายนี้ทั้งราบรื่นและนุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แม้ว่าชายหนุ่มจะพยายามทำให้การเดินทางนั้นปลอดภัยที่สุดแล้ว แต่ก็ไม่อาจป้องกันความรู้สึกเหนื่อยล้าแสนสาหัสที่ตามมาได้ โดยทั่วไปแล้วน่าจะใช้เวลาร่วมวันหนึ่งในการฟื้นฟู แต่หวังเป่าเล่อกลับหายเป็นปกติในเวลาเพียงพริบตา ทำเอาเซี่ยไห่หยางตะลึง รอยยิ้มบนใบหน้ายิ่งกว้างขึ้นอีกเมื่อเอ่ยปากพูด

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เจ้าช่างยอดเยี่ยมเสียจริง นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นคนที่ไม่ได้อยู่ในระดับดารานิรันดร์หายเหนื่อยจากการเคลื่อนย้ายระยะไกลได้เร็วขนาดนี้”

เขาไม่รู้ว่าร่างของหวังเป่าเล่อตอนนี้ไม่ใช่ร่างจริงแต่เป็นกายสารัตถะ ผลกระทบใดก็แล้วแต่ที่มีผลร้ายต่อกายเนื้อแทบจะไม่ส่งผลกับหวังเป่าเล่อเลย

แต่ชายหนุ่มจะไม่บอกเรื่องนี้กับเซี่ยไห่หยาง เขาพุ่งตัวออกไปข้างหน้าเป็นระยะทางสามร้อยเมตรมายืนอยู่ต่อหน้าอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม

“เจ้าลืมเรื่องภารกิจของปรมาจารย์แห่งไฟไปแล้วหรือ พวกเราถูกเคลื่อนย้ายไปในรูปแบบคล้ายๆ กันนี้ ข้าชินแล้ว” หวังเป่าเล่อยิ้ม ก่อนจะลอบนำชื่อของปรมาจารย์แห่งไฟมาร่วมวงสนทนาด้วยในรูปแบบของคำอธิบาย

สิ่งนี้เป็นมาตรการป้องกันตัวของหวังเป่าเล่อ และเป็นการกระตุ้นเตือนเซี่ยไห่หยาง หวังเป่าเล่อต้องการให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขามีผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งและพร้อมจะให้ความช่วยเหลือเขาทุกเมื่อตามต้องการ เซี่ยไห่หยางต้องระมัดระวังหากจะวางแผนล่อลวงเขาอีกครั้ง

เซี่ยไห่หยางดูไม่สะทกสะท้านกับคำพูดนั้นแม้ว่าจะแอบหน้าบูดอยู่ในใจ แม้ว่าจะทำดีกับหวังเป่าเล่อไปมากมายเท่าใด อีกฝ่ายก็ยังสงสัยเขาอยู่นั่นเอง ชายหนุ่มรู้ดีว่าปรมาจารย์แห่งไฟนั้นชื่นชมหวังเป่าเล่อเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่มีความจำเป็นที่อีกฝ่ายจะต้องพูดเรื่องปรมาจารย์แห่งไฟทุกๆ ครั้งที่พบหน้ากัน

รอยยิ้มบนใบหน้าของเซี่ยไห่หยางกว้างขึ้นสวนทางกับความคิด การกระทำของหวังเป่าเล่อเป็นเครื่องพิสูจน์ความมีสติและเฉลียวฉลาดของอีกฝ่าย แสดงให้เห็นว่าชายหนุ่มรู้ว่าจะใช้เส้นสายให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร หากเซี่ยไห่หยางคิดในแง่ดี สิ่งนี้แปลว่าหวังเป่าเล่อมีโอกาสอย่างมากที่จะมีชีวิตรอดบนเส้นทางแห่งการฝึกปราณและพัฒนาไปเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง การลงทุนของเซี่ยไห่หยางนับว่าปลอดภัยแล้ว

รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาไม่ได้จางหายไปขณะที่ทั้งคู่พากันเดินทางกลับไปยังตลาด ชายหนุ่มพูดคุยกับหวังเป่าเล่ออย่างมีความสุข พลางชวนคุยเรื่องสัพเพเหระไปตลอดทาง เขาตั้งใจพูดคุยเรื่องอดีตและใช้โอกาสนี้สร้างเสริมมิตรภาพให้มั่นคง แต่แผ่นหยกสื่อสารของเขาก็เกิดสั่นขึ้นมาทันทีที่ถึงตลาด สีหน้าของเซี่ยไห่หยางพลันเปลี่ยนไปเมื่อมองเห็นเนื้อหาของข้อความนั้น แม้ว่าท่าทีของเขาจะมั่นคงเพียงใด เซี่ยไห่หยางก็ไม่อาจซุกซ่อนความตื่นตะลึงและเสียขวัญในแววตาเอาไว้ได้ หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งลอบมองดูอยู่ไม่ห่างเกิดสนใจขึ้นมา

“ศิษย์น้องไห่หยาง เกิดอะไรขึ้นหรือ” หวังเป่าเล่อถามอย่างสนใจ

“ไม่มีอะไรหรอก…ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าเกรงว่าข้าคงไม่อาจอยู่กับเจ้าได้นานนัก ข้ามีธุระเล็กน้อย จำเป็นจะต้องกลับไปที่ตระกูลทันทีเพื่อสะสาง” เซี่ยไห่หยางกังวลอย่างเห็นได้ชัด เขาไม่ได้โกหก ชายหนุ่มจำเป็นต้องกลับบ้านเพราะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นจริงๆ เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากยกมือประสานคารวะหวังเป่าเล่อแล้วเดินจากไป

เขาไม่อาจบอกหวังเป่าเล่อถึงรายละเอียดทั้งหมดได้ ทำได้เพียงให้ข้อมูลคร่าวๆ เท่านั้น

“มีผู้ทรงอำนาจสองคน…เกิดต่อสู้กันขึ้นมา…” เซี่ยไห่หยางพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะรีบรุดจากไป หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นเซี่ยไห่หยางมีสีหน้าเช่นนั้นมาก่อน ชายหนุ่มยืนมองอีกฝ่ายเดินจากไปด้วยแววตาครุ่นคิด

“เขาพูดจาคลุมเครือ…ผู้ฝึกตนทรงพลังสองคนสู้กันหรือ ทรงพลังสักเพียงไหนกัน” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองก่อนจะหันหลังเดินจากมา ชายหนุ่มเดินทอดน่องอยู่ในตลาด ไหนๆ ก็มาอยู่ที่นี่แล้ว เขาจึงวางแผนจะเติมวัตถุดิบที่ใช้หมดไปแล้ว เพราะเมื่อกลับไปถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ต้องพบการต่อสู้ครั้งใหญ่แน่นอน

ระหว่างที่หวังเป่าเล่อเดินไปมาในตลาดอยู่นั้น เซี่ยไห่หยางที่เพิ่งรีบรุดจากไปก็จัดแจงรวบรวมลูกน้องที่ไว้ใจได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายทันที ประตูถูกเปิดรอเอาไว้แล้วเมื่อชายหนุ่มไปถึง เขายืนอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายและเฝ้ามองขณะที่แสงเรืองของวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายฉายลงมารอบกาย ใบหน้าของเขาน่ากลัว ทั้งยังมีประกายกล้าสะท้อนอยู่ในแววตา

จักรพรรดิเดือนแยกลอบโจมตีเฉินชิงโดยใช้หม้อหลอมดั้งเดิมทั้งแปดหลอมวงแหวนปราณขึ้นมาด้วยความช่วยเหลือจากกลุ่มราชันสวรรค์ของเขา จักรพรรดิดึงเอาพลังงานจากดารานิรันดร์นับพันเพื่อเสริมพลังวงแหวนปราณและขังเฉินชิงเอาไว้…เขาตั้งใจจะหลอมเฉินชิง แต่ไม่คาดคิดว่าศัตรู…จะเรียกเต๋าสวรรค์จากยุคสมัยก่อนหน้ามาทำลายวงแหวนปราณเสียสิ้น วงแหวนปราณนั้นทำงานย้อนกลับ ขณะนี้จักรพรรดิเดือนแยกและลูกน้องติดอยู่ภายในหม้อหลอมแทน!

การสื่อสารถูกตัดขาด ไม่มีใครด้านในสามารถรับข้อความได้ ไม่มีใครเข้าไปในวงแหวนปราณได้เช่นกัน แต่มีพวกเราบางส่วนที่เริ่มสูญเสียความทรงจำเกี่ยวกับราชันสวรรค์ทั้งเจ็ดในดวงวิญญาณเทพไป…สิ่งนี้ต้องเป็นพลังเทพอันสะเทือนเลื่อนลั่นของสำนักแห่งความมืดเป็นแน่ พลังในการลบการมีอยู่ของคนคนหนึ่งให้สูญสิ้นไป ไม่เหลือกระทั่งความทรงจำเกี่ยวกับคนคนนั้นในจิตใจของผู้อื่น!

เต๋าสวรรค์จากยุคสมัยก่อนหน้า…สำนักแห่งความมืด! เซี่ยไห่หยางตัวสั่นเมื่อคิดถึงสำนักแห่งความมืดขึ้นมา ชายหนุ่มไม่เคยเห็นสำนักแห่งความมืดที่แท้จริง แต่เขาได้ใช้เวลาในห้องสมุดส่วนตัวของตระกูลตั้งแต่ยังเล็ก และเคยได้อ่านจารึกจำนวนมากเกี่ยวกับสำนักแห่งความมืด เขาอ่านเยอะเกินไปมาก เซี่ยไห่หยางรู้ว่าสำนักแห่งความมืดนั้นเป็นสำนักอันเกรียงไกรที่กระทั่งตระกูลไม่รู้สิ้นยังยำเกรงและหวาดกลัวมาตั้งแต่อดีต

หากไม่ใช่เพราะตระกูลจำนวนมากที่อยู่ใต้ตระกูลไม่รู้สิ้นร่วมมือกันต่อต้านสำนักแห่งความมืด หากปรมาจารย์ตระกูลเซี่ยไม่ได้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ และหากสำนักแห่งความมืดไม่ได้กำลังเสื่อมลง จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นอาจยังใช้ชื่อเดิมอยู่ก็เป็นได้… ชื่อที่ว่าก็คือจักรพิภพแห่งความมืด!

ว่ากันว่าเฉินชิงเป็นผู้ทรยศสำนักแห่งความมืดในครั้งนั้น หากเป็นเรื่องจริง เหตุใดเขาจึงสามารถรวมเอาเศษเสี้ยวเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืดที่ถูกทำลายไปแล้วและเรียกมันออกมาได้อีกเล่า…เหตุใดเขาจึงต้องเสี่ยงสร้างความโกลาหลในจักรพิภพเต๋าด้วยการสร้างผนึกเหนือสนามรบและปลดปล่อยพลังเทพที่สามารถลบการมีอยู่ของคนคนหนึ่งออกไปจนสิ้น…หากปรมาจารย์เดาถูก เฉินชิงทำเช่นนี้เพื่อจะซ่อนความลับบางอย่างที่ใหญ่กว่านั้น

เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้าเลยแท้ๆ ตระกูลเซี่ยนั้นยิ่งใหญ่นัก และข้าเองก็เป็นแค่ผู้น้อย ต่อให้ฟ้าถล่ม พวกเขาก็คงไม่คิดเรียกข้าด้วยซ้ำ โชคไม่ดี ที่พ่อผู้ไม่เอาถ่านของข้าดันไปเกี่ยวพันกับเรื่องวุ่นนี่ด้วย…ใบหน้าของเซี่ยไห่หยางหม่นหมอง เขากลัดกลุ้มอย่างหนักอยู่ในใจ ชายหนุ่มได้รับข่าวว่าบิดาของเขาเป็นผู้หลอมหม้อหลอมดั้งเดิมทั้งแปดที่จักรพรรดิเดือนแยกใช้เพื่อจับตัวเฉินชิง

แม้จะเป็นเพียงการทำธุรกิจ เซี่ยไห่อย่างก็รู้จักลักษณะนิสัยของเฉินชิงผู้ยิ่งใหญ่เป็นอย่างดี บุรุษผู้นี้ทั้งร้ายกาจและพร้อมระเบิดได้ทุกเมื่อ แถมยังไม่เคยสนใจหากทำให้ใครได้รับความเสียหาย ตระกูลเซี่ยย่อมไม่ทุ่มเททุกสิ่งเพื่อปกป้องบิดาของเซี่ยไห่หยางเป็นแน่ เพราะอย่างไรเสีย อีกฝ่ายก็คือเฉินชิง บุรุษที่สามารถประมือกับปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลเซี่ยได้อย่างสูสี

เพราะเหตุนี้ เมื่อรู้เรื่องเข้าเซี่ยไห่หยางจึงนั่งไม่ติด แม้ว่าเขาจะช่วยอะไรไม่ได้ แต่ก็ต้องกลับบ้านเพื่อไปปรึกษากับบิดาว่าจะเอาตัวรอดจากปัญหานี้ได้อย่างไร

แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าการต่อสู้นี้จะจบอย่างไร แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเฉินชิงได้เปรียบอยู่ จักรพรรดิสวรรค์องค์อื่นๆ ของตระกูลไม่รู้สิ้นต่างก็ยังไม่ตัดสินใจเข้าข้างใคร มีความเป็นไปได้มากว่าเฉินชิงจะสังหารคู่ต่อสู้แล้วเดินจากไปโดยไม่ได้รับผลกระทบ ข้าต้องหาคนที่พอจะคุ้นเคยกับเฉินชิงให้พบโดยเร็วที่สุด และต้องรีบอธิบายสถานการณ์ให้เขาทราบ เตรียมการล่วงหน้าเพื่อจะเกลี้ยกล่อมเฉินชิงทันทีที่เขาออกมาจากสนามรบที่ถูกผนึก เขาจะได้ปล่อยบิดาของข้าไป…เซี่ยไห่หยางกังวลว่าผมจะร่วงหมดศีรษะ ตัวเขาและเฉินชิงอยู่ห่างกันคนละโลก เขาจะไปรู้จักสหายของเฉินชิงได้อย่างใดกัน อีกอย่างหนึ่ง เขายังต้องคิดคำพูดโก้หรูที่จะใช้เกลี้ยกล่อมอีกฝ่ายด้วย

เซี่ยไห่หยางที่จากไปด้วยความหวาดวิตกนั้นไม่รู้เลย…ว่ามีใครบางคนซึ่งกำลังเดินอาดๆ อยู่ในตลาดที่เขาดูแล สามารถเปลี่ยนใจเฉินชิงได้ อันที่จริงแล้ว แค่คำๆ เดียวจากคนผู้นี้ หรือแค่ข้ออ้างที่คิดขึ้นมาง่ายๆ…ก็สามารถช่วยบิดาของเซี่ยไห่หยางจากเรื่องวุ่นวายทั้งหมดได้แทบจะทันที

ฆ่าหรือถูกฆ่า ความแตกต่างระหว่างทั้งสองคำห่างกันเพียงพยางค์เดียว แต่ความหมายนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง อันที่จริงแล้ว ถือเป็นขั้วตรงข้ามที่อยู่บนแนวระนาบเดียวกันก็ว่าได้!

วิธีการประกาศการฆ่าตัวตายของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ของเซี่ยไห่หยางแสดงให้เห็นถึงอำนาจและบารมีของเขาอย่างชัดเจน ใครก็ตามที่ได้ยินชายหนุ่มพูดเช่นนั้นก็ย่อมต้องตัวสั่นอย่างช่วยไม่ได้

ก่อนหน้านี้ หวังเป่าเล่อเคยสงสัยเรื่องตระกูลเซี่ยอยู่บ้างและพอจะเข้าใจว่าตระกูลใหญ่นี้น่ากลัวอย่างไร ชายหนุ่มกระทั่งคาดเดาไปว่ากับดักที่เซี่ยไห่หยางวางเอาไว้ให้เขานั้นตั้งใจเพื่อให้เขาต้องร้องขอความช่วยเหลือ แต่ความคิดเหล่านั้นก็ไม่ได้ช่วยให้หวังเป่าเล่อรู้สึกตกใจกับคำประกาศของเซี่ยไห่หยางน้อยลงแต่อย่างใด ชายหนุ่มนิ่งอึ้งไปเป็นเวลานาน

ถึงแม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ได้เห็นสิ่งที่เซี่ยไห่หยางกล่าวอ้างด้วยตนเอง แต่การที่อีกฝ่ายพูดออกมาด้วยอารมณ์สบายๆ และการที่ผนึกจางหายไปก็เป็นข้อพิสูจน์ว่าเซี่ยไห่หยางไม่ได้โกหกหรืออวดโม้อยู่ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์…ตายแล้วจริงๆ!

เขาตายในอารยธรรมวิญญาณโลก อารยธรรมที่อยู่ภายใต้อาณัติของอารยธรรมครามทองคำ ผลพวงจากการตายของเขาจะต้องยิ่งใหญ่มาก แต่เซี่ยไห่หยางกลับไม่กังวลแม้สักนิด

ตระกูลเซี่ย…หวังเป่าเล่อหรี่ตา ชายหนุ่มไม่ได้ถามเรื่องผู้อาวุโสฝ่ายขวาอีก กลับกัน เขาเปลี่ยนไปพูดเรื่องการเคลื่อนย้ายตัวเขาและการออกจากอารยธรรมวิญญาณโลกแห่งนี้กับเซี่ยไห่หยาง

การเคลื่อนย้ายหวังเป่าเล่อออกจากอารยธรรมวิญญาณโลกตรงกลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นเกินความสามารถของเซี่ยไห่หยาง แม้ว่าตระกูลเซี่ยจะทรงพลังและกว้างขวางเพียงใด แต่ก็ไม่อาจแผ่อิทธิพลไปครอบคลุมอาณาเขตใหญ่น้อยทั้งหมดในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นได้ ส่งผลให้เป็นเรื่องยากที่จะเคลื่อนย้ายได้อย่างแม่นยำ ถึงกระนั้น ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีวิธีแก้ไขปัญหานี้

ตลาดของตระกูลเซี่ยที่หวังเป่าเล่อเคยไปเยือนนั้นเป็นจุดศูนย์รวมการเดินทาง หวังเป่าเล่อต้องเคลื่อนย้ายไปยังตลาดก่อน จากที่นั่น ชายหนุ่มจึงค่อยเดินทางกลับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ถ้าคิดจากความเร็วของหวังเป่าเล่อก็คงใช้เวลาไม่นาน

“ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้ ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าจะไปรอเจ้าที่ตลาด เจ้าจะออกจากที่นี่เมื่อใดก็ได้ตามต้องการ แค่ส่งดวงจิตเทพของเจ้าเข้าไปในเหรียญตราสันติ ข้าได้เปิดสิทธิ์การเข้าถึงที่ท่านต้องการเอาไว้หมดแล้ว แต่ตามที่ข้าได้บอกไป ข้าจะยกเว้นค่าบริการให้แค่ครั้งนี้เท่านั้น…ข้าคงต้องรบกวนขอคิดค่าบริการเจ้าหากมีครั้งต่อไป” เซี่ยไห่หยางกระแอมกระไอก่อนจะจบบทสนทนา

เซี่ยไห่หยางกลับมายังตลาดและนั่งอยู่ในตำหนักของตนตามเดิม ในมือของเขามีแผ่นหยกสื่อสารอยู่แผ่นหนึ่ง นัยน์ตาของชายหนุ่มฉายแววพึงใจก่อนจะยิ้มออกมา เซี่ยไห่หยางรู้สึกพอใจกับการรับมือในเรื่องนี้ของตนเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มไม่เพียงแต่สะสางความบาดหมางระหว่างตัวเขากับหวังเป่าเล่อ แต่ยังช่วยอีกฝ่ายให้รอดพ้นภยันตรายได้ แถมยังมีโอกาสแสดงให้เห็นถึงอิทธิพลและอำนาจอย่างเด็ดขาดด้วย

“เป่าเล่อ จากทั้งจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นมีคนเพียงหยิบมือที่ข้าให้ความช่วยเหลือเช่นนี้” เซี่ยไห่หยางพึมพำกับตนเอง ชายหนุ่มรู้ดีว่าความนับถือที่เขามีต่อหวังเป่าเล่อนั้นไม่ได้มาจากความชื่นชมที่ตนมีต่ออีกฝ่ายเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างหวังเป่าเล่อกับปรมาจารย์แห่งไฟด้วย

ยิ่งไปกว่านั้น…สัญชาตญาณของเซี่ยไห่หยางก็บอกเขาว่า ปรมาจารย์แห่งไฟไม่ใช่พันธมิตรคนเดียวที่หวังเป่าเล่อมี มีใครอีกคนหรืออะไรอีกอย่างที่ให้ความช่วยเหลือหวังเป่าเล่ออยู่ ใครอีกคนหรืออะไรอีกอย่างนี้แข็งแกร่งและลึกลับยิ่งกว่าปรมาจารย์แห่งไฟเสียอีก

ด้วยเหตุนี้ การลงทุนของเขากับหวังเป่าเล่อจึงคุ้มค่าเป็นอย่างยิ่ง!

หวังเป่าเล่ออาจไม่ได้ล่วงรู้ความคิดของเซี่ยไห่หยางทั้งหมด แต่ชายหนุ่มก็พอจะเดาออกว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่ แววตาครุ่นคิดปรากฏขึ้นบนใบหน้าขณะที่เขาวางเหรียญตราสันติลง อึดใจต่อมา นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็ส่องประกาย

ไม่สำคัญหรอก อย่างไรเสียนี่ก็เป็นข่าวดี! การสำแดงอำนาจของเซี่ยไห่หยางและความตายของผู้อาวุโสฝ่ายขวาเป็นสองสิ่งที่หวังเป่าเล่อรับรู้ด้วยความยินดี หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ชายหนุ่มก็ทำใจให้สงบ ก่อนจะมีเศษเสี้ยวแห่งความยินดีปรากฏขึ้นในใจ

นี่คงเป็นเพราะข้านั้นยอดเยี่ยมเกินไป หวังเป่าเล่อทอดถอนใจ ชายหนุ่มกำลังจะส่งดวงจิตเทพเข้าไปในเหรียญตราสันติแต่ก็หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาหรี่ตาลง ไม่ได้เริ่มการเคลื่อนย้ายทันที กลับกัน หวังเป่าเล่อออกจากดาวเคราะห์ มุ่งหน้าไปในอวกาศ ชายหนุ่มตรงไปยังอาณาเขตนอกอารยธรรมวิญญาณโลกที่สามารถเดินทางไปได้เพราะผนึกสลายลงแล้ว

หวังเป่าเล่อพุ่งทะยานออกไปหาอวกาศราวกับเป็นดาวหางและเข้าใกล้เส้นเขตแดนของอารยธรรมขึ้นทุกที อารยธรรมวิญญาณโลกไม่ได้ใหญ่โตนัก ดาวเคราะห์ที่หวังเป่าเล่ออยู่ก็ใกล้เส้นเขตแดนมาก ด้วยระดับปราณของเขาในตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ชายหนุ่มจะไปถึงขอบของอารยธรรมอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึง หวังเป่าเล่อก็พร้อมจะพุ่งตัวออกไปนอกอารยธรรมนี้ทันที

ตอนนั้นเอง…สรรพชีวิตในอารยธรรมวิญญาณโลก ไม่ว่าจะอยู่ตรงส่วนใดของอารยธรรม ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี เด็กหรือชรา รวมไปถึงต้นไม้และสรรพสัตว์ ชีวิตเรือนแสน จู่ๆ…ก็ตัวสั่นขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้

ซิ่วเหยียน หญิงสาวที่หวังเป่าเล่อได้พบก็เป็นหนึ่งในนั้น ไม่สำคัญว่าจะทำสิ่งใดอยู่ก่อนหน้านี้ ในวินาทีนั้น ทุกคนกลับมีแววตาว่างเปล่าก่อนที่จะตัวสั่นสะท้าน บางสิ่งที่หลับใหลอยู่ในกายพวกเขาได้ตื่นขึ้น

ใช่แล้ว มีบางสิ่งตื่นขึ้นมา!

หากมีผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์อยู่ใกล้เคียงและได้ใช้ดวงจิตเทพกวาดออกไปจนทั่ว ก็คงสัมผัสได้ถึงเปลวไฟเล็กจ้อยภายในกายของสิ่งมีชีวิตจำนวนมหาศาลในอารยธรรมวิญญาณโลกแห่งนี้ เส้นด้ายที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็นปรากฏออกมาจากร่างของพวกเขาก่อนจะพวยพุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ด้ายเหล่านั้นปรากฏขึ้นมาจากทุกแห่งหนบนดวงดาว พุ่งออกไปรวมกันอยู่ ณ จุดหนึ่งในจักรวาล!

ก่อนจะรวมตัวกันเป็นร่างเงาที่พร่าเลือนของชายชราคนหนึ่ง!

ชายชราคนนั้นก้าวขาออกมาก้าวหนึ่งก่อนจะหายตัวไป อึดใจถัดมา…เขาก็มาปรากฏอยู่ที่ขอบอารยธรรมวิญญาณโลกที่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อพอดิบพอดี! ชายหนุ่มที่กำลังจะออกตัวจากไปถึงกับชะงัก

เพื่อป้องกันมิให้เกิดการเข้าใจผิด ชายชราจึงรีบยกมือประสานก่อนจะโค้งศีรษะต่ำคำนับหวังเป่าเล่อทันทีที่ปรากฏกาย แววตาลุ่มลึกสะท้อนอยู่บนดวงตาของชายหนุ่ม เขาไม่ได้ดูประหลาดใจกับการปรากฏตัวอย่างปุบปับของชายชราเท่าใดนัก

“สวัสดี สหายร่วมสำนักเต๋าจากต่างจักรพิภพ!”

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายขณะที่ชายหนุ่มส่งเอาสัมผัสของตนออกไปสำรวจรัศมีของชายชรา จากนั้น คิ้วข้างหนึ่งของเขาก็เลิกขึ้นเล็กน้อย หวังเป่าเล่อรู้ว่าชายชราตรงหน้าเป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของดวงวิญญาณเทพเท่านั้น ร่างจริงที่สมบูรณ์ของเขาเคยอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์หรือสูงกว่า

แต่ขณะนี้ ชายชราอ่อนกำลังลงมาก อันที่จริงแล้ว การที่เหลือเศษเสี้ยวของดวงวิญญาณเทพเอาไว้ได้เช่นนี้จะเรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์ก็ย่อมได้ การจะรวบรวมกำลังมาปรากฏกายต่อหน้าหวังเป่าเล่อนั้นไม่ควรจะเป็นไปได้ แต่เขาก็ทำได้ ผู้อาวุโสคนนี้หากไม่ได้มีลูกไม้กลอุบายเก็บงำเอาไว้ ก็แปลว่าต้องได้รับพรอันยิ่งใหญ่ในการฝึกปราณที่หวังเป่าเล่อไม่เคยรู้จักมาก่อน

ช่วงแรกที่เขาสำรวจรัศมีของอีกฝ่าย หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงเปลวไฟในกายของชายชรา เป็นเปลวไฟแบบเดียวกับที่สัมผัสได้ในกายของผู้ฝึกตนสตรีที่เขาพบในโรงเตี๊ยม แม้จะไม่สามารถบอกได้ว่าชายชราคนนี้เป็นใคร หวังเป่าเล่อก็ค่อนข้างแน่ใจว่าเขาต้องเป็นปรมาจารย์คนก่อนของอารยธรรมวิญญาณโลกแน่

“ท่านต้องการอะไรจากข้าหรือ” หวังเป่าเล่อถามอย่างเย็นชา

ชายหนุ่มเดาถูก ผู้อาวุโสคนนี้คือปรมาจารย์คนก่อนของอารยธรรมวิญญาณโลก ดวงวิญญาณเทพของเขากระจัดกระจายไปทั่วจักรวาลเมื่อกายเนื้อตายลง แต่ด้วยวิธีการพิเศษบางอย่าง ชายชราได้เข้าไปหลอมรวมกับสายโลหิตของผู้คน ด้วยวิธีนี้ ชายชราจึงสามารถหลบเลี่ยงสายตาของอารยธรรมครามทองคำไปได้ เขาจำต้องอยู่ในภาวะหลับลึกและตื่นตัวสลับกันอยู่ไปมา ชายชราติดตามความเป็นไปของโลกผ่านความรับรู้ของชีวิตนับหมื่นที่เขาเข้าไปเร้นกายอยู่ภายในโดยไม่มีใครล่วงรู้ เขาเฝ้ารอโอกาสที่จะได้ชุบชีวิตตนเองและช่วยเหลืออารยธรรมของเขามาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา!

ชายชราสัมผัสได้ถึงการมาถึงของหวังเป่าเล่อและการเปิดผนึกครอบอารยธรรมวิญญาณโลก เขาไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ หากแต่เฝ้าดูอยู่เงียบๆ รอให้ทุกอย่างค่อยๆ คลี่คลายลง ชายชราเฝ้ามองการต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อกับผู้อาวุโสฝ่ายขวา สัมผัสได้ถึงความตายอันแปลกประหลาดของผู้อาวุโสพร้อมการสลายไปของผนึก ทำให้รู้สึกตื่นตะลึงอย่างยิ่งกับทุกสิ่งที่ได้เห็นและสัมผัส

สัญชาตญาณของชายชราบอกเขาว่า นี่อาจเป็นโอกาสทองครั้งเดียวในชีวิต!

ด้วยเหตุนี้ ชายชราจึงยอมเสี่ยงรวบรวมดวงไฟของตนเพื่อมาปรากฏกายต่อหน้าหวังเป่าเล่อ เมื่อได้ยินคำถามของชายหนุ่ม ชายชราก็รู้ดีว่าผู้ฝึกตนคนนี้ต้องรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร อันที่จริงแล้ว มีความเป็นไปได้มากที่หวังเป่าเล่อจะเฝ้ารอเขาอยู่ ชายชราจึงก้มศีรษะคำนับต่ำอีกครั้งด้วยสีหน้าจริงใจ

“ข้าไม่กล้าขออะไรจากท่านหรอก ข้าหวังเพียงว่า สหายร่วมสำนักเต๋าผู้ทรงเกียรติจะช่วยข้าแก้ไขสถานการณ์ของอารยธรรมวิญญาณโลกในสักวันหนึ่งในอนาคตหากท่านทำได้…แต่หากท่านทำไม่ได้ก็ไม่เป็นปัญหา แต่เมื่อโชคชะตาได้พาท่านมาที่นี่ ก็ขอให้เราได้ฉกฉวยโอกาสนี้เอาไว้ อย่าปล่อยให้หลุดมือไป” ทันทีที่พูดจบ ชายชราก็ยกมือขวาขึ้น เปลวไฟที่รวมตัวกันเป็นร่างกายของเขาก็มารวมอยู่ที่มือขวาจนกลายเป็นดวงไฟสว่างไสว

ชายชราสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งเดียว ดวงไฟที่มือของเขาก็ลอยมาหาหวังเป่าเล่อ เห็นได้ชัดว่าชายชราเจ็บปวดจากการกระทำนี้ ร่างของเขาพร่าเลือนขึ้นกว่าเก่า และดูเหมือนจะทนได้อีกไม่นาน ดวงจิตเทพของเขาอ่อนแรงลงมากอย่างเห็นได้ชัด

“สิ่งนี้คือสสารดาวเคราะห์ เป็นส่วนหนึ่งของสารัตถะตั้งต้นแห่งอารยธรรมวิญญาณโลก มีฤทธิ์ช่วยให้ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณอมตะขั้นสมบูรณ์ผสานรวมกับดาวเคราะห์ได้ง่ายขึ้น!” ชายชรานิ่งเงียบไปหลังจากนั้น เขาคำนับอีกครั้ง ก่อนที่ร่างของเขาจะค่อยๆ สลายหายไปในความว่างเปล่า สรรพชีวิตที่งุนงงนับแสนตัวสั่นอีกครา บ้างก็เหี่ยวแห้งและสลายกลายเป็นผงไป พวกที่รอดชีวิตก็อ่อนแรงเป็นอย่างยิ่ง

จากเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ หวังเป่าเล่อได้พูดเพียงครั้งเดียว ชายหนุ่มเฝ้ามองร่างของชายชราสลายหายไป จากนั้นจึงก้มลงมองดวงไฟตรงหน้า ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าสสารดาวเคราะห์คือสิ่งใดแน่ แต่หลังจากใช้ดวงจิตเทพสำรวจดู เขาก็พบว่ามันมหัศจรรย์เพียงใด ความจริงใจและสำบัดสำนวนของผู้อาวุโสทำให้หวังเป่าเล่อได้เพียงแค่ทอดถอนใจ

ชายชราคนนี้ไม่ใช่ธรรมดาจริงๆ ด้วยวิธีที่เขาจัดการเรื่องนี้และปฏิบัติต่อข้า คงไม่ใช่การดีแน่หากจะเอารัดเอาเปรียบเขา ข้าคงรู้สึกไม่ดีถ้าต้องทำเช่นนั้น หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าชายชราคงรับรู้ได้ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นจึงตัดสินใจเสี่ยง อีกฝ่ายวางเดิมพันกับหวังเป่าเล่ออย่างเปิดเผยและปล่อยให้ชายหนุ่มตัดสินใจได้ตามใจชอบ หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบครุ่นคิดขณะที่หันกลับไปมองอารยธรรมวิญญาณโลก ชายหนุ่มไม่ได้ตอบตกลงหรือปฏิเสธการช่วยเหลือ เขาเพียงแค่เปิดใช้งานการเคลื่อนย้ายด้วยเหรียญตราสันติก่อนจะก้าวออกจากอารยธรรมไป

วินาทีต่อมา…ลำแสงจากคาถาเคลื่อนย้ายก็เข้าคลุมตัวหวังเป่าเล่อก่อนที่ชายหนุ่มจะหายวับไป!

ระวังตัวไว้ก่อนดีกว่า! ร่างของหวังเป่าเล่อที่เพิ่งโผล่มานั้นคือกายสารัตถะที่แท้จริงของชายหนุ่ม เขาไม่เชื่อใจเซี่ยไห่หยางเต็มร้อย เป็นเหตุให้ต้องเรียกใช้ร่างอวตารที่สองก่อนจะเก็บกายสารัตถะที่แท้จริงเอาไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ

ชายหนุ่มเลือกเก็บร่างที่แท้จริงเอาไว้ในกระเป๋าคลังเก็บแทนที่จะเอาไปซ่อนในที่ไกลๆ หากศัตรูไปค้นหาเขาในบริเวณรอบข้าง ก็จะพบร่างตัวล่อไม่ใช่ร่างจริงที่อยู่ในกระเป๋าคลังเก็บ

คล้ายๆ การนำดวงไฟสองดวงมาซ้อนกันเอาไว้ ดวงไฟดวงแรกย่อมต้องบดบังการมีอยู่ของอีกดวงเอาไว้ อันที่จริงแล้ว หวังเป่าเล่อทำถึงขนาดปล่อยสารัตถะครึ่งหนึ่งเข้าไปในร่างตัวล่อเพื่อจะได้ดูสมจริงยิ่งขึ้น แน่นอนว่า ร่างนั้นก็ต้องแข็งแกร่งเอาการเช่นกัน

แน่นอนว่า แผนของเขาไม่ใช่ว่าไร้ช่องโหว่ หากอีกฝ่ายเข้ามาดูใกล้ๆ ก็คงสัมผัสได้ว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล

เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาอ่านแผนการของเขาออก หวังเป่าเล่อต้องหยิบเหรียญตราสันติออกมาเพื่อดึงความสนใจของอีกฝ่าย ชายหนุ่มหนีเพื่อจะล่อให้ผู้อาวุโสไล่ตาม จากนั้นจึงใช้วงแหวนปราณเพื่อให้ผู้อาวุโสไม่ทันได้สนใจเรื่องความสมจริงของร่างกายเขา นี่เป็นวิธีที่ชายหนุ่มแอบซ่อนร่างจริงเอาไว้ตลอดการต่อสู้ในครั้งนี้

ตามแผนการตั้งต้น หากร่างตัวล่อต้องตายในระหว่างการต่อสู้ ชายหนุ่มก็คิดไว้แล้วว่า ผู้อาวุโสต้องมาค้นดูกระเป๋าคลังเก็บของเขาแน่นอน หวังเป่าเล่อก็จะใช้โอกาสนั้นลอบโจมตีผู้อาวุโสฝ่ายขวาอย่างฉับพลัน

ความแตกต่างเรื่องระดับปราณของทั้งคู่ทำให้หวังเป่าเล่อไม่สามารถสังหารผู้อาวุโสฝ่ายขวาได้ด้วยการลอบโจมตีอย่างฉับพลันของเขา ถึงกระนั้น ชายหนุ่มก็หวังเพียงจะทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บเพื่อสร้างโอกาสหลบหนี เขาจะได้มีเวลามากขึ้น!

นี่คือแผนตั้งต้นของหวังเป่าเล่อ ต่อให้เหรียญตราสันติของเซี่ยไห่หยางไม่ทำงานก็ไม่ใช่ปัญหา ชายหนุ่มยังสร้างสถานการณ์ให้ตัวเองได้เปรียบได้อยู่ดี

แต่การเตรียมการเหล่านั้นไม่มีความหมายอีกต่อไป

หลังปรากฏตัวออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้น ร่างตัวล่อสลายกลายเป็นหมอกและไหลเข้ารวมกับกายสารัตถะของเขา สิ่งของต่างๆ ที่ชายหนุ่มเก็บไว้ในกระเป๋าคลังเก็บลอยออกมาสวมใส่ให้เขาโดยอัตโนมัติ

“เซี่ยไห่หยาง ไหนๆ เจ้าก็วางแผนจะแสดงความสามารถให้ข้าดูอยู่แล้ว ข้าจะรอฟังข่าวดีก็แล้วกัน!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง เขานั่งลงและรอคอยอย่างเงียบงัน

ชายหนุ่มไม่ต้องรอนานนัก…ทันทีที่เขาทรุดตัวลงนั่ง ผู้อาวุโสฝ่ายขวาที่ออกตัวมุ่งหน้าไปยังอวกาศก็เพิ่งกลับมาถึงดารานิรันดร์ประดิษฐ์ ก่อนที่ชายชราจะได้ติดต่อกับปรมาจารย์ผ่านพลังของดารานิรันดร์ประดิษฐ์ คลื่นพลังการเคลื่อนย้ายจำนวนมากที่เขาไม่ได้เป็นคนสั่งก็ปรากฏขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

ผู้อาวุโสฝ่ายขวามีสีหน้าตื่นตกใจ ก่อนจะล่าถอยอย่างรวดเร็ว มีความระแวดระวังและหวาดกลัวปรากฏขึ้นในแววตา ความระแวดระวังนั้นแปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตะลึงในอึดใจต่อมา ชายชราเฝ้ามองขณะที่คลื่นพลังเคลื่อนย้ายสั่นกระเพื่อมอยู่ในความว่างเปล่าตรงหน้า บุรุษผู้หนึ่งสืบเท้าออกมาจากประตูเคลื่อนย้ายช้าๆ

ชายคนนั้นมีผมสั้นและยังอยู่ในวัยเยาว์ ตัวสูงมาตรฐาน ผมบนศีรษะนั้นเห็นได้ชัดว่าถูกจัดแต่งด้วยน้ำมันจำนวนมาก เพราะทรงผมนั้นสะท้อนแสงเจิดจรัสเสียจนดูเหมือนเป็นที่มาของแสงเสียเอง มันดึงดูดสายตาทุกคู่ให้จับจ้องไปอย่างสุดจะควบคุม

ชายหนุ่มจ้องมองไปรอบๆ หลังเดินออกมาจากประตูเคลื่อนย้าย จนกระทั่งสายตาของเขามาหยุดอยู่ที่ผู้อาวุโสฝ่ายขวา ที่ตอนนี้มีสีหน้าตื่นกลัวและตกตะลึงอย่างเห็นได้ชัด

“สวัสดี!”

“เจ้าเป็นใคร” ผู้อาวุโสฝ่ายขวาเริ่มหายใจรัวเร็ว ชายชราสัมผัสได้ว่าชายผู้นั้นอยู่เพียงขั้นบำรุงชีพจร ยังไม่บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นด้วยซ้ำไป แต่ชายชราก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว ไม่สมเหตุสมผลสักนิดที่ผู้ฝึกตนขั้นบำรุงชีพจรจะเคลื่อนย้ายตนเองได้

ผู้อาวุโสเชื่อว่าตนรู้ว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงมีรูปลักษณ์เช่นนั้น แต่เขาไม่อยากเชื่อ เขาไม่กล้าที่จะเชื่อตนเอง

เซี่ยไห่หยางดูเหมือนจะมองไม่เห็นความกลัวในแววตาของผู้อาวุโสฝ่ายขวา ชายหนุ่มยิ้มออกมาน้อยๆ และเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ฟังดูราวกับเป็นนักธุรกิจที่กำลังพยายามขายสินค้า

“เซี่ยไห่หยางพร้อมให้บริการ สหายร่วมสำนักเต๋า ท่านอยากมาเป็นลูกค้าคนสำคัญของตระกูลเซี่ยหรือไม่ ท่านแค่จ่ายค่าธรรมเนียมก็สามารถมาเข้าร่วมได้ทันที ไม่สำคัญเลยว่าท่านจะประสบความยากลำบากใดๆ ในอนาคต ตระกูลเซี่ยจะอยู่เคียงท่านตราบใดที่ท่านมีเงินจ่าย”

“ลูกค้าคนสำคัญหรือ” สีหน้าของผู้อาวุโสฝ่ายขวาซีดขาวเมื่อได้ยินชื่อตระกูลเซี่ย ความกลัวในแววตาทวีความรุนแรงขึ้น เขาถึงกับซวนเซถอยหลังไปหลายก้าว แม้จะดูเหมือนเป็นการถอยตามสัญชาตญาณ แต่อันที่จริงแล้ว ชายชรากำลังสร้างผนึกฝ่ามือด้วยมือขวาที่ซ่อนเอาไว้ด้านหลัง พร้อมๆ กับพยายามออกคำสั่งไปยังดารานิรันดร์ประดิษฐ์

“ใช่แล้ว ค่าธรรมเนียมถูกๆ แค่ผลึกสีชาดหนึ่งหมื่นชิ้นเท่านั้น” เซี่ยไห่หยางพูดด้วยรอยยิ้ม

“ข้าขอเวลาไปรวบรวมเงินก่อนได้หรือไม่…” ผู้อาวุโสฝ่ายขวามีสีหน้าบูดเบี้ยว ก่อนจะเอ่ยถามช้าๆ

“แปลว่าท่านไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมได้ในตอนนี้สินะ ถ้าเช่นนั้นก็ง่ายหน่อย ถ้าจะว่ากับตามตรง ข้าเองก็ไม่ได้ชอบกฎของตระกูลเท่าใดนัก เห็นได้ชัดว่าท่านกำลังเผชิญกับตัวปัญหา แต่ท่านก็ยังต้องอธิบายการกระทำของตนเองอยู่นั่น” จนถึงเมื่อครู่ สีหน้าของเซี่ยไห่หยางยังอบอุ่นและยิ้มแย้มอยู่ แต่เมื่อพูดจบ นัยน์ตาของชายหนุ่มก็ส่องประกายอันตราย แววตาของเขานั้นราวกับเป็นกริช ทั้งส่องประกายและแหลมคม

“ท่านไม่สามารถจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อเข้าเป็นลูกค้าคนสำคัญของตระกูลเซี่ยได้ แต่ตอนที่ท่านเห็นเหรียญตราสันติของตระกูลเซี่ย ท่านก็ยังจู่โจมผู้ถือครองเหรียญตราแทนที่จะถอยออกไปหนึ่งร้อยปีแสง”

ถ้อยคำเหล่านั้นราวกับเป็นฟ้าฟาดลงกลางใจ ใบหน้าของผู้อาวุโสซีดเผือดไร้สีเลือดในทันที ชายชราถอยหลังอีกครั้งหนึ่ง มือขวาพลางขยับสร้างผนึกฝ่ามืออย่างเร่งรีบขณะที่ความกลัวเกาะกุมจิตใจ เขาพยายามอธิบายตนเอง

“ข้า…”

“ท่านมีเวลาสองชั่วโมงเพื่อตระเตรียมพิธีศพของตนเอง สองชั่วโมงหลังจากนี้ จงฆ่าตัวตายเสีย แล้วจัดแจงให้ใครสักคนส่งศีรษะของท่านมาให้ตระกูลเซี่ยด้วย” เซี่ยไห่หยางพูดอย่างเยือกเย็น เมินความพยายามจะแก้ตัวของผู้อาวุโสฝ่ายขวาไปโดยสิ้นเชิง เสียงของเซี่ยไห่หยางทั้งหนักแน่นและทรงอำนาจจนฟังดูเหมือนเป็นประกาศิต จากนั้นชายหนุ่มจึงกลับตัวหันหลังไปยังความว่างเปล่า เตรียมจะจากไป

คำพูดของชายหนุ่มเปรียบเสมือนสายฟ้านับล้านที่ฟาดลงบนร่างของผู้อาวุโสฝ่ายขวา จิตใจของชายชราสั่นไหวไปด้วยความตื่นตระหนกและตื้อชาขณะที่ร่างกายเขาสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง ดวงตาทั้งสองแดงก่ำขึ้นมาทันที ความเกลียดชังที่เขาสัมผัสระหว่างการเผชิญหน้ากับหวังเป่าเล่อและความรู้สึกจนมุมบีบคั้นจนเขาใกล้จะเสียสติ ขณะนี้ผู้อาวุโสใกล้จะเป็นบ้าเต็มทน

ความบ้าคลั่งและกระหายเลือดฉาบเคลือบอยู่บนแววตาของชายชรา เขาเชื่อมต่อกับดารานิรันดร์ประดิษฐ์สำเร็จอีกครั้งและสัมผัสได้ว่าชายหนุ่มผู้นั้นมาคนเดียว ระดับปราณที่ต่ำเตี้ยของอีกฝ่ายก็ไม่ใช่การอำพรางแต่เป็นของจริง การค้นพบนี้ทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวารู้สึกมั่นใจขึ้น อีกอย่างชายชราก็ยังรู้ด้วยว่า…เมื่อตระกูลเซี่ยมาเยือน เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตายเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้น…ผู้อาวุโสก็จะขอลองสู้เพื่อเอาชีวิตรอดสักครั้ง!

การเป็นนักโทษหนีคดีย่อมดีกว่าถูกส่งไปตาย!

จิตสังหารส่องประกายอยู่ในแววตาของผู้อาวุโสฝ่ายขวา เมื่อคิดได้เช่นนั้น ชายชราก็คำรามออกมา

“เจ้าจะบีบคั้นข้ามากเกินไปแล้ว!” เมื่อพูดจบ ชายชราก็ยกมือขวาขึ้นชี้ ดารานิรันดร์ประดิษฐ์สั่นไหวอย่างรุนแรง พลังอันมหาศาลไหลทะลักเข้าท่วมอากาศ ก่อนจะพุ่งเข้าไปหาเซี่ยไห่หยาง พลังโจมตีนั้นรุนแรงราวกับจะสามารถทำลายสรรพชีวิตที่ขวางหน้ามันได้ทั้งหมด สลายทั้งกายเนื้อและวิญญาณให้เหลือเพียงฝุ่นผง

เซี่ยไห่หยางไม่สะทกสะท้านกับการจู่โจมที่พุ่งเข้ามา ชายหนุ่มไม่ได้หันกลับมามองด้วยซ้ำ เขาเพียงแค่กระแอมกระไอเบาๆ จากนั้นหัตถ์มายาก็โผล่ออกมาจากแผ่นหลังก่อนชี้ไปยังผู้อาวุโสฝ่ายขวา

นัยน์ตาของชายชราเบิกโพลง เขาตัวสั่น ก่อนที่ความบ้าคลั่งและจิตสังหารในแววตาของผู้อาวุโสจะจางหาย ก่อนที่สติปัญญาของเขาจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างกายของเขา…ก็เริ่มแหลกสลาย ภายในพริบตาเดียว ร่างของผู้อาวุโสก็กร่อนจนกลายเป็นเศษฝุ่น ดวงวิญญาณเทพของเขาสลายตามกายเนื้อไปด้วย!

ชายชราไม่ได้ถูกสังหารด้วยพลังจากภายนอก กลับกัน มันเป็นเพราะดาวเคราะห์ภายในกายของเขาแตกสลาย ผลลัพธ์คือแรงสะท้อนกลับอันรุนแรง และเพราะเหตุนั้น ดาวเคราะห์ภายในกายจึงกลืนกินร่างกายของตนเอง ไม่มีทางเลยที่ชายชราจะหลบเลี่ยงหรือรับมือกับแรงสะท้อนกลับเช่นนี้ได้!

การตายของผู้อาวุโสทำให้คำสั่งที่เขาออกไว้ตอนแรกเสื่อมกำลัง ผนึกที่ครอบอารยธรรมวิญญาณโลกเอาไว้อ่อนแรงลงก่อนจะหายวับไปทันที

ขณะที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้น เซี่ยไห่หยางไม่ได้หันศีรษะกลับไปมองแม้แต่น้อย ชายหนุ่มยังคงเดินต่อไปในความว่างเปล่า ก่อนจะพูดออกมาแผ่วเบาเมื่อประตูเคลื่อนย้ายเปิดขึ้น

“ท่านคงเบื่อการมีชีวิตมากแล้วกระมัง ถึงได้ยอมทิ้งกระทั่งสองชั่วโมงสุดท้ายแห่งชีวิตตน”

เมื่อผู้อาวุโสฝ่ายขวาตายและผนึกรอบอารยธรรมวิญญาณโลกจางหาย หวังเป่าเล่อ ผู้ที่นั่งอยู่ภายในดวงไฟของตนเองก็ลืมตาโพลงขึ้น ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงบนอารยธรรมวิญญาณโลก นัยน์ตาของเขาส่องประกาย ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนและโบกมือเพื่อปิดดวงไฟจากเหรียญตราสันติเสีย หวังเป่าเล่อจ้องออกไปยังจักรวาลด้วยดวงตาที่ส่องประกายเจิดจ้า

“ผนึกหายไปแล้ว…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง เสียงอันอบอุ่นของเซี่ยไห่หยางดังออกมาจากเหรียญตราสันติแทบจะพร้อมกัน

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ปัญหาของเจ้าคลี่คลายแล้ว ข้าสัญญากับเจ้าไว้ไม่ใช่หรือว่าจะปลดผนึกให้ภายในสองสัปดาห์ เป็นอย่างไรเล่า ข้าไม่ได้ทำให้เจ้าผิดหวังใช่หรือไม่”

“ผู้อาวุโสฝ่ายขวาเล่า” หวังเป่าเล่อหรี่ตาและถามออกไปหลังจากที่เงียบไปชั่วอึดใจ เซี่ยไห่หยางเหมือนว่าจะรอฟังคำถามนั้นอยู่แล้ว เขาหัวเราะก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“เขาฆ่าตัวตายไปแล้ว”

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ด้วยสถานะปัจจุบันนั้นชายหนุ่มไม่ควรปะทะกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ เพราะฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ที่เป็นไพ่ตายของเขาถูกทำลายไปแล้ว แถมเกราะมหาจักรพรรดิตอนนี้ก็ไร้ซึ่งพลังวิญญาณ เขารีบถอยอย่างรวดเร็วเมื่อผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พุ่งเข้ามาใส่ ทิ้งภาพติดตาเอาไว้เบื้องหลัง

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายขณะที่ล่าถอย และผู้อาวุโสฝ่ายขวาไล่ตามมา ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือ ตัวอักขระจำนวนมหาศาลปรากฏขึ้นมาบนพื้นในรัศมีร่วมร้อยเมตร ก่อนที่พวกมันจะระเบิดแปรสภาพเป็นใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโส

ใบมีดเหล่านี้พุ่งเข้าใส่ชายชราราวกับเป็นห่าฝนจากพายุคลั่ง แม้จะไม่สามารถทำให้ผู้อาวุโสบาดเจ็บได้ แต่ก็ยังเป็นอุปสรรคซึ่งทำให้เขาเคลื่อนที่ได้ช้าลง!

ท้องฟ้าส่งเสียงคำรามดังลั่นจนผู้อาวุโสฝ่ายขวามีสีหน้าเครียดขึง ชายชราขยับมือทั้งสองเข้าหากันเป็นผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ลำแสงสีรุ้งปะทะออกมาจากกาย การปะทุออกมาแต่ละครั้งทำเอาท้องฟ้าสั่นไหว ก่อนจะทำลายใบมีดที่พุ่งเข้ามาหาเขาจนกลายเป็นผงไปในพริบตา

ระหว่างนี้ หวังเป่าเล่อก็ฉวยโอกาสเร่งความเร็วเต็มฝีเท้า เขาถอยห่างออกไปไกลร่วม 15 กิโลเมตร มีประกายเย็นยะเยือกสะท้อนอยู่ในแววตาเมื่อชายหนุ่มใช้ผนึกฝ่ามืออีกครั้งก่อนจะชี้ลงดิน

แผ่นดินในรัศมี 15 กิโลเมตรจากกายของชายหนุ่มเริ่มสั่นไหวรุนแรง มีลำแสงพวยพุ่งขึ้นสู่เบื้องบน แปรสภาพให้บริเวณนั้นกลายเป็นทะเลแห่งแสง เป็นอีกครั้งที่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาถูกวงแหวนปราณเข้ามาชะลอความเร็ว

วงแหวนปราณเหล่านี้…หวังเป่าเล่อหลอมขึ้นมาในระยะเวลาสองสัปดาห์ที่เขาทำสมาธิอยู่ ในช่วงระยะเวลานั้น ชายหนุ่มอาจดูเหมือนนิ่งดูดาย แต่ด้วยความเป็นตัวเขา หวังเป่าเล่อจึงไม่อาจฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเหรียญตราของเซี่ยไห่หยางได้ ชายหนุ่มเตรียมตัวอย่างหนักเพื่อที่จะเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสฝ่ายขวา

อันที่จริงแล้ว หากผู้อาวุโสฝ่ายขวาไม่ได้ทำลายทุกสิ่งในระยะสามกิโลเมตรรอบกายด้วยพลังเทพตั้งแต่แรกที่มาถึง วงแหวนปราณของหวังเป่าเล่อคงปลดปล่อยพลังออกมาได้มากกว่านี้ แต่ก็ไม่สลักสำคัญอะไรนัก เพราะชายหนุ่มมีเวลามากพอที่จะวางกับดักเอาไว้!

วงแหวนปราณจำนวนมากนั้นมาจากเจ้าเยี่ยเหมิง เมื่อนำมารวมกับพลังปราณของหวังเป่าเล่อ พลังของวงแหวนปราณเหล่านี้ก็ถูกปลดปล่อยออกมาจนถึงขีดสุด

ขณะที่ชายหนุ่มล่าถอยไปนั้น เขาก็สร้างผนึกฝ่ามือจำนวนมากก่อนชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า หมู่เมฆแปรเปลี่ยนไปในทันใด เมฆดำครึ้มมารวมตัวกัน สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาราวกับมีตัวล่ออยู่บนดิน แผ่นดินบริเวณนั้นแปรเปลี่ยนไปเป็นทะเลสายฟ้าในทันใด

หวังเป่าเล่อไม่ได้หยุดดูผลลัพธ์ของการเรียกลมฟ้าในครั้งนี้ ไม่ได้หยุดล่าถอยเช่นกัน ชายหนุ่มถอยออกมาอีกร่วมร้อยเมตร จากนั้นจึงสร้างผนึกฝ่ามืออีกครั้งก่อนจะชี้ลงไปบนแผ่นดิน เปิดเรียกใช้วงแหวนปราณอีกชุดหนึ่ง พร้อมส่งดวงจิตเทพเข้าไปยังเหรียญตราสันติ เขาตรวจสอบเหรียญตราไปก่อนหน้านั้นแล้ว แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่อาจเข้าใจวิธีการทำงานของมัน แต่ก็พอจะสรุปได้ว่าเหรียญตราหยกนี้สามารถใช้สื่อสารได้เช่นกัน

“เซี่ยไห่หยาง นี่มันเหรียญตราสันติบ้าบออะไรกัน ไร้ประโยชน์สิ้นดี ตอนนี้ข้าถูกศัตรูไล่ตามอยู่ เขาบอกว่าไม่รู้จักเหรียญตรานี้แม้แต่น้อย!” สีหน้าของหวังเป่าเล่อเรียบเฉยแม้ว่าน้ำเสียงของเขาจะฟังดูเอะอะและเปี่ยมโทสะ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ส่งเสียงคำรามมาไกลๆ มีแสงสีรุ้งกระจายออกมาจากกายขณะที่ชายชราพุ่งผ่านทะเลสายฟ้า ลำแสง และพายุใบมีดมาหาหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มสร้างผนึกฝ่ามืออีกชุดหนึ่งเพื่อเรียกภูเขาให้พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินจนตั้งตระหง่านสูงล้ำราวกับเป็นบันไดสู่สรวงสวรรค์ เป็นอุปสรรคขัดขวางไม่ให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาเข้าถึงตัวหวังเป่าเล่อได้อีกครั้ง

“หลงหนานจื่อ!” ประกายอาฆาตสะท้อนอยู่ในดวงตาของผู้อาวุโสฝ่ายขวา ชายชรารู้สึกกดดันขึ้นมากหลังจากที่หวังเป่าเล่อหยิบเหรียญตราสันติออกมา เขาร้องโหยหวนเพราะจิตสังหารที่เข้มข้นเต็มล้นอยู่ในใจ ดวงอาทิตย์จู่ๆ ก็ส่องแสงเจิดจ้าขึ้น ลำแสงหนึ่งพวยพุ่งลงมาจากฟ้าตรงไปหาหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อมีสีหน้าตื่นตกใจขึ้นมาทันที ชายหนุ่มถอยหนีอย่างรวดเร็วและหลบการโจมตีไปได้อย่างฉิวเฉียด ผู้อาวุโสฝ่ายขวาถึงยกฝ่ามือทั้งสองขึ้นตบหน้าผาก ทันใดนั้นก็มีเสียงหอนกราดเกรี้ยวที่ราวกับว่าดังมาจากยมโลกพวยพุ่งไปถึงสรวงสวรรค์ สุนัขป่าสีชาดตัวเขื่องปรากฏขึ้นมาด้านหลังชายชรา มันเข้าผสานรวมกับกายผู้อาวุโสฝ่ายขวาก่อนพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อทันที

ร่างของผู้อาวุโสฝ่ายขวาดูเหมือนเสาแสงสีแดงฉานจากที่ไกลๆ ซึ่งพุ่งเข้ามาใส่อย่างเกรี้ยวโกรธและคั่งแค้น

กำแพงขุนเขาที่พุ่งขึ้นมาจากพื้นดินแทบจะหยุดการเคลื่อนที่ของผู้อาวุโสร่างสุนัขป่าไม่ไหว ศิลาแข็งแกร่งก้อนเขื่องแตกสลายกลายเป็นผุยผง หวังเป่าเล่อยังคงหนีเต็มความเร็ว พลางใช้ผนึกฝ่ามือระเบิดวงแหวนปราณที่สร้างขึ้นมา แต่ก็ไร้ผล ผู้อาวุโสฝ่ายขวาไล่ตามเขาทันในอีกอึดใจต่อมา ก่อนจะอ้าขากรรไกรออกกว้าง พร้อมจะกลืนกินหวังเป่าเล่อเข้าไปทั้งตัว

“ตาย!”

“เซี่ยไห่หยาง!” หวังเป่าเล่อมีสีหน้าตกใจสุดขีดตอนที่ตะโกนเรียกชื่อนี้เข้าไปในเหรียญตราสันติ เหมือนว่าการตะโกนนั้นจะได้ผล หรืออาจเป็นเพราะกลไกบางอย่างในเหรียญตราสันติถูกเปิดขึ้นมา มีแสงสว่างส่องประกายเจิดจ้าออกมาจากเหรียญตรานั้นก่อนที่ผู้อาวุโสจะกลืนกินหวังเป่าเล่อเข้าไป แสงนั้นกระจายออกมา คลุมร่างหวังเป่าเล่อเอาไว้และแปรสภาพชายหนุ่มให้เป็นดวงไฟขนาดใหญ่!

กรามสุนัขป่าสีชาดของผู้อาวุโสฝ่ายขวาปิดลงในวินาทีที่ดวงไฟนั้นปรากฏขึ้น มีเสียงเปรียะดังสะท้อนในอากาศ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด

ผู้ที่สลายกลายเป็นผงไม่ใช่หวังเป่าเล่อ… แต่เป็นสุนัขป่าสีชาดที่ผู้อาวุโสรวมร่างด้วยเมื่อครู่ กรามของมันแตกสลาย ราวกับว่ากัดถูกก้อนหินแข็งที่ไม่อาจกัดเข้าได้ เขี้ยวก็แตกหัก ส่วนกรามล่างเปิดออก ร่างสุนัขป่าของผู้อาวุโสเลือนหายไปกลับมาเป็นร่างมนุษย์อีกครั้ง ผู้อาวุโสในขณะนี้มีสีหน้าตกตะลึงก่อนจะล่าถอยอย่างเร่งรีบ

ผู้อาวุโสฝ่ายขวาหยุดเมื่อถอยออกไปราวสามกิโลเมตรจากบริเวณที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่ สีหน้าของชายชราซีดขาว มีเลือดไหลออกมาจากปาก เปลวไฟเผาไหม้อยู่ในแววตาขณะที่เขาจ้องมองไปยังดวงไฟและหวังเป่าเล่อที่อยู่ภายในตาไม่กะพริบ

ผู้อาวุโสฝ่ายขวาพุ่งเข้ามาอีกครั้ง มุ่งตรงไปยังลูกไฟก่อนจะใช้ไพ่ตาย แสงสีรุ้งกระจายขึ้นส่องสว่างทั่วท้องฟ้าและส่งเสียงคำรามดังสะท้อนลั่นไปทั่ว ดวงไฟสุกสว่างนั้นไม่สะทกสะท้านแม้สักนิด กลับกัน ผู้อาวุโสฝ่ายขวาตัวสั่นไม่หยุดเพราะแรงสะท้อนกลับจากการโจมตีของตนเอง ก่อนจะบ้วนเอาเลือดออกมากองใหญ่ ท้ายที่สุด ชายชราก็ตัดสินใจทุ่มเททุกสิ่งที่มี เขาใช้พลังของดวงอาทิตย์อีกครั้ง มีลำแสงพุ่งลงมาจากฟากฟ้า แต่การโจมตีนั้นก็ไร้ผลต่อหน้าดวงไฟสุกสว่าง

ผู้อาวุโสฝ่ายขวาใกล้จะเสียสติเต็มทน ดวงตาทั้งคู่ของเขาแดงฉานขึ้นมาทันตา

ภายในดวงไฟสุกสว่างนั้น หวังเป่าเล่อเหมือนจะถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ชายหนุ่มมองออกจากกำแพงของดวงไฟนั้นไปยังผู้อาวุโสฝ่ายขวา ก่อนจะหยิบเหรียญตราสันติขึ้นมาตะโกนเข้าไปทั้งๆ ที่อีกฝ่ายยังจ้องมองอยู่

“เซี่ยไห่หยาง!”

ครั้งนี้ มีเสียงของเซี่ยไห่หยางดังขึ้นจากเหรียญตรา สะท้อนก้องอยู่ในศีรษะของหวังเป่าเล่อ

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าจะรีบจัดการเรื่องนี้และให้คำตอบเจ้าโดยเร็ว ฮืม…การเมินเหรียญตราสันติของตระกูลเซี่ยก็เท่ากับเป็นการท้าทายอำนาจของพวกเรา!” คำพูดของเซี่ยไห่หยางแฝงความเหี้ยมเกรียมเอาไว้ ประกายแสงสะท้อนขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่อเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย ชายหนุ่มจบบทสนทนาลงก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกดวงไฟ ผู้อาวุโสฝ่ายขวามีสีหน้าโกรธเกรี้ยว หวังเป่าเล่อแสยะยิ้มใส่เขา

ผู้อาวุโสฝ่ายขวาโมโหเป็นอย่างยิ่ง ชายชราไม่รู้เลยว่าเหตุใดถึงได้เกิดอะไรเช่นนี้ขึ้นกับเขา ทำไมการจะฆ่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะสักคนถึงได้ยากเย็นขนาดนี้ ผู้อาวุโสอาจอธิบายได้ว่า ความผิดพลาดคราวก่อนของเขาเป็นเพราะพวกเขายังอยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ตอนนี้ทั้งคู่อยู่ในอาณาเขตของอารยธรรมครามทองทำ ถึงกระนั้น อุปสรรคขวากหนามก็ยังแน่นหนา การปรากฏขึ้นของเหรียญตราสันติในตำนานทำให้ผู้อาวุโสกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง ชายชรายิ่งกระวนกระวายขึ้นอีกหลังจากที่เห็นหวังเป่าเล่อส่งข้อความเสียงผ่านเหรียญตราหยกออกไปขณะที่อยู่ในดวงไฟ

ความวิตกกังวลและหงุดหงิดพุ่งสูงขึ้นในใจผู้อาวุโสจนอดรนทนไม่ได้ ชายชราคำรามออกมา ก่อนจะหันไปมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาอาฆาต และหันหลังกระโดดหนีขึ้นไปบนท้องฟ้าชนิดไม่มีปี่มีขลุ่ย มุ่งหน้ากลับไปยังดารานิรันดร์ประดิษฐ์

ชายชราตัดสินใจแล้ว เขาจะกลับไปยังดารานิรันดร์ประดิษฐ์และใช้พลังของมันติดต่อไปยังปรมาจารย์ระดับดารานิรันดร์ของอารยธรรมตัวเอง แม้ว่าการทำเช่นนั้นจะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และแสดงความอ่อนแอของตัวเขาเองออกไป แต่ชายชราไม่อาจรับมือกับความเครียดที่กำลังเผชิญอยู่ได้อีกแล้ว เขาสัมผัสได้ถึงหายนะที่กำลังจะมาเยือน และความรู้สึกนั้นก็ทำให้ท้องไส้ของผู้อาวุโสฝ่ายขวาปั่นป่วน

ข้าจะเลิกเล่นเกมบ้าบอนี่แล้วกลับไปยังอารยธรรมครามทองคำ ใครอยากจะสังหารหลงหนานจื่อก็มาทำเอาเองเถอะ! ผู้อาวุโสฝ่ายขวาคิดอย่างโกรธเกรี้ยวขณะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วหายไปจากคลองจักษุของหวังเป่าเล่อ

ภายในดวงไฟที่สุกสว่าง หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปยังผู้อาวุโสฝ่ายขวาที่กำลังเคลื่อนที่ห่างออกไป ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย

ดูเหมือนว่าเซี่ยไห่หยางกำลังพยายามจะทำลายชีวิตใครสักคน แต่ไม่ใช่ข้า เขากำลังพยายามทำลายผู้อาวุโสฝ่ายขวา…หากเจ้านั่นยอมแพ้แก่อำนาจของเหรียญตราสันติตั้งแต่แรก ข้าก็คงไม่ต้องลำบากถึงเพียงนี้ แต่ความจริงที่ว่าเรื่องคลี่คลายได้ง่ายถึงเพียงนี้ ก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงอำนาจของเซี่ยไห่หยาง หมอนั่นพยายามโอ้อวดอยู่หรืออย่างไรกัน สีหน้าของชายหนุ่มดูเหมือนกำลังครุ่นคิด

แต่ถึงอย่างนั้น หากผู้อาวุโสฝ่ายขวาไม่ยอมก้มศีรษะให้อำนาจของเหรียญตรา เซี่ยไห่หยางก็มีเหตุผลที่จะก้าวเข้ามา เขายังสามารถอวดเบ่งได้อยู่! ความคิดเหล่านี้ไหลผ่านศีรษะของหวังเป่าเล่อไปอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นโบก มีหมอกกลุ่มหนึ่งลอยออกมาจากเรือบินรบเวทภายในกระเป๋าคลังเก็บ ก่อนจะรวมตัวและควบแน่นกันกลายเป็น…หวังเป่าเล่ออีกคนหนึ่ง!

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มนึกย้อนกลับไปถึงบทสนทนาระหว่างตัวเขาและเซี่ยไห่หยางอย่างถี่ถ้วน จากนั้นพักใหญ่ ก็มีประกายแสงปรากฏขึ้นบนดวงตาของชายหนุ่ม เขานึกถึงคำพูดบางตอนของอีกฝ่ายขึ้นมาได้

เซี่ยไห่หยางพูดว่าตระกูลเซี่ยไม่สามารถใช้อำนาจสุ่มสี่สุ่มห้าได้โดยไม่มีเหตุผลอันควร… ตอนนั้นหวังเป่าเล่อคิดไปว่าเซี่ยไห่หยางคงกำลังเฉไฉ แต่ขณะนี้ หลังจากที่วิเคราะห์ไปบ้าง เขาก็ตระหนักได้ว่าการคาดเดาของเขาอาจจะถูกอยู่บ้าง

เขาพยายามจะทำลายผู้อาวุโสฝ่ายขวาหรือข้ากันแน่ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงและครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างหนัก ก่อนที่จู่ๆ จะหัวเราะออกมา จากนั้นจึงทรุดตัวลงนั่ง ปิดตาลงและเริ่มทำสมาธิ เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ติดต่อไปทวงถามเซี่ยไห่หยางเรื่องการทำลายผนึกแต่อย่างใด

เซี่ยไห่หยางเองก็ไม่ได้ติดต่อเขากลับมาเช่นกัน ทั้งสองคนดูราวกับว่าจะตกลงกันได้อย่างเงียบงันและลืมเรื่องนี้ไปเสียสิ้น สิบวันผ่านไป ในวันที่สิบเอ็ด ดวงอาทิตย์ประดิษฐ์ที่ลอยคว้างอยู่บนฟ้าจู่ๆ ก็ส่องแสงสว่างจ้าขึ้นมาวาบหนึ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ชั่วขณะแห่งความผิดปกตินั้นคงอยู่เพียงชั่วครู่ และทุกๆ สิ่งก็กลับคืนสู่ภาวะปกติในพริบตา แต่ถึงอย่างนั้น หวังเป่าเล่อก็เปิดตาขึ้นมองจ้องไปยังดวงอาทิตย์

ในขณะเดียวกันนั้นเอง ภายในดารานิรันดร์ประดิษฐ์ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งนั่งอยู่ในบ่อวิญญาณและรักษาตนเองอยู่ก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน มีรอยยิ้มฉาบพาดใบหน้า ชายชราค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ พลังปราณระดับดาวพระเคราะห์ไหลบ่าจากกายก่อนจะระเบิดออกมาอย่างปุบปับ อาการบาดเจ็บบนร่างหายไปหมดสิ้น อันที่จริงแล้ว ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสจะแข็งแกร่งกว่าเก่าเสียด้วยซ้ำ

ผู้อาวุโสฝ่ายขวารู้สึกมีกำลังใจเมื่อคิดได้เช่นนั้น ในขณะเดียวกัน ชายชราก็รู้สึกมั่นใจเรื่องโอกาสในการสังหารหวังเป่าเล่อ แม้ว่าการควานหาตัวชายหนุ่มจะไม่ได้คืบหน้าไปเท่าใดนัก แต่เขาก็รู้ถึงประสิทธิภาพของผู้ฝึกตนในอารยธรรมวิญญาณโลกดี ชายชราคงจะตกใจหากคนเหล่านั้นสามารถควานหาตัวหวังเป่าเล่อได้พบ

“หลงหนานจื่อ เวลาของเจ้าหมดแล้ว!” ผู้อาวุโสฝ่ายขวาพูดกับตัวเองอย่างภาคภูมิ ชายชราlihk’ผนึกฝ่ามือด้วยมือขวาแล้วชี้ไปยังที่ว่างข้างกาย ดารานิรันดร์ประดิษฐ์สั่นไหวเล็กน้อย ก่อนแผนที่ดวงดาวจะปรากฏขึ้นตรงหน้าชายชราในอึดใจต่อมา

แผนที่ดวงดาวแสดงให้เห็นพื้นที่ของอารยธรรมวิญญาณโลกทั้งหมดรวมถึงดาวเคราะห์ทุกดวงในอารยธรรมด้วย ทันทีที่มันปรากฏขึ้นตรงหน้าผู้อาวุโสฝ่ายขวา ดวงจิตเทพของเขาก็หลั่งไหลออกมาและเข้าไปในแผนที่ดวงดาวนั้น และด้วยความช่วยเหลือจากแผนที่ดวงดาว สัมผัสสวรรค์ของชายชราก็ไหลออกมาจากดารานิรันดร์ประดิษฐ์ มุ่งหน้าเข้าไปหาอารยธรรมวิญญาณโลก มันแพร่กระจายออกไปทั่วและครอบคลุมอารยธรรมเอาไว้ทั้งหมด

ดวงจิตเทพของผู้อาวุโสฝ่ายขวาปกคลุมอารยธรรมทั้งหมดภายในพริบตา มันเริ่มควานหาทั่วทุกดาวเคราะห์และทุกชีวิตในอารยธรรม เหมือนว่าสามารถมองทะลุผ่านทุกๆ สะเก็ดดาวหรือละอองฝุ่นในจักรวาลได้ ทว่า…เมื่อเวลาผ่านไปสีหน้าของผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนจากมั่นใจเป็นโกรธเกรี้ยวและขึงขัง ชายชราเริ่มมีใบหน้าเหยเก

ดวงจิตเทพของเขาครอบคลุมทั้งอารยธรรมวิญญาณโลกและสอดส่องทุกซอกทุกมุมถึงห้าครั้ง แต่ชายชราก็ไม่อาจจะหาหวังเป่าเล่อพบ!

เขามั่นใจมากว่าผนึกไม่ได้แตก แปลว่าหลงหนานจื่อไม่อาจหนีไปไหนได้ ชายหนุ่มยังติดอยู่ที่ไหนสักแห่งภายในอารยธรรมวิญญาณโลกแห่งนี้ การที่ชายชรายังหาเขาไม่พบก็แปลได้อย่างเดียวว่า หลงหนานจื่อผู้นี้…มีวิธีการหลบซ่อนตัวจากศัตรูได้อย่างไร้ที่ติ!

ชายชราคิดถูกแล้ว หวังเป่าเล่อสามารถปรับรัศมีของกายสารัตถะได้ดั่งใจนึก ต่อให้อยู่ในระดับดารานิรันดร์ ก็คงเป็นการยากยิ่งที่จะหาว่าชายหนุ่มซ่อนอยู่ที่ใด

อันที่จริงแล้ว ดวงจิตเทพของผู้อาวุโสฝ่ายขวากวาดผ่านยอดเขาที่หวังเป่าเล่อซ่อนตัวอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชายหนุ่มไม่ได้ตั้งใจหลบซ่อนด้วยซ้ำ แถมกำลังจ้องมองดวงอาทิตย์อยู่ด้วยสายตาไร้อารมณ์

แต่หวังเป่าเล่อเองก็รู้ดีว่า ไม่ว่ากายสารัตถะจะแข็งแกร่งเพียงใจ ตัวเขาเองตอนนี้ก็เสียเปรียบอย่างยิ่ง เพราะอย่างไรเสีย เขาก็ไม่ได้มาจากอารยธรรมวิญญาณโลก ไม่มีสิ่งใดในสัญญาณชีวิตของเขาเลยที่ผูกชายหนุ่มเข้ากับอารยธรรมแห่งนี้ อะไรๆ คงไม่เลวร้ายถึงเพียงนี้หากอารยธรรมวิญญาณโลกเป็นอารยธรรมทั่วๆ ไป หากเป็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็มั่นใจเขาคงซ่อนตัวได้อย่างไร้ที่ติแน่นอน

แต่เขาอยู่ในอารยธรรมที่มี…ดารานิรันดร์ประดิษฐ์ ชีวิตของผู้คนที่นี่และระดับปราณของพวกเขาถูกควบคุมโดยดารานิรันดร์ดวงนี้ อีกไม่ช้าผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ต้องควานหาตัวเขาพบเป็นแน่

เซี่ยไห่หยางเคยจะเล่นงานข้ามาก่อน…คราวนี้ข้าควรเชื่อเขาดีไหมนะ หวังเป่าเล่อถอนสายตาออกมาและเมินดวงจิตเทพของผู้อาวุโสฝ่ายขวาเสีย เขานึกไปถึงข้อตกลงที่ได้ทำไว้กับเซี่ยไห่หยาง

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังคิดหนัก ผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็เกรี้ยวกราดขึ้นทุกที หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ชายชราก็พ่นลมออกมาทางจมูก สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะยกสองมือเพื่อสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ เขาบ้วนเอาสารัตถะของตนออกมากองหนึ่งและนำไปผสานกับแผนที่ดวงดาว เพื่อเพิ่มพลังของดารานิรันดร์ประดิษฐ์จนถึงจุดสูงสุดจะได้ค้นหาอย่างทั่วถึงยิ่งขึ้น!

ชายชรารู้ว่าหลงหนานจื่อต้องมีวิธีเฉพาะตัวในการหลบการค้นหาของเขาแน่ แต่เรื่องนั้นก็ไม่สำคัญแต่อย่างใด ผู้อาวุโสอาจจะหาหลงหนานจื่อไม่พบ แต่เขาก็สามารถระบุตำแหน่งของทุกสรรพสิ่งในอารยธรรมวิญญาณโลกแห่งนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือดินหินแม่น้ำใดๆ ก็ตามแต่

หากจะว่าไป ดารานิรันดร์ที่อารยธรรมครามทองคำหลอมขึ้นมาก็คล้ายวิญญาณวุธที่มีทั้งสติปัญญาและชีวิต มันเหมือนคอมพิวเตอร์อัจฉริยะของสหพันธรัฐ ทุกสรรพสิ่งในอารยธรรมวิญญาณโลกถูกบันทึกไว้ในหน่วยความจำของดารานิรันดร์ จากนั้นจึงนำมาเชื่อมโยงความสัมพันธ์กับชีวิตอื่นๆ และสร้างขึ้นเป็นจารึกที่มองไม่เห็นของบุคคลนั้นๆ

ด้วยเหตุนี้…อารยธรรมวิญญาณโลกก็เป็นเหมือนภาพวาดภาพหนึ่งในสายตาของผู้อาวุโสฝ่ายขวา ชายชราสามารถหยุดทุกอย่างภายในภาพวาดด้วยการดีดนิ้วเพียงครั้งเดียว และในอึดใจต่อมา ก็กวาดตามองผ่านทุกๆ สรรพชีวิตในภาพวาดนั้น จ้องมองจนหายสงสัย อะไรก็ตามที่ไม่เข้าพวกจะเด่นชัดขึ้นมาทันที

การจะหาจุดหมึกบนกระดาษสีดำอาจดูเป็นงานที่เป็นไปไม่ได้ แต่หากเปลี่ยนกระดาษเป็นสีขาว จุดหมึกนั้นจะชัดเจนขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ดังนั้นมันจึงไม่สำคัญเลยว่าหวังเป่าเล่อจะซ่อนตัวได้ดีเพียงใด เพราะชายหนุ่มไม่อาจซุกซ่อนความเป็นต่างดาวในตัวได้!

การใช้ดารานิรันดร์ประดิษฐ์ในการค้นหาเช่นนี้กินเอากายสารัตถะของผู้อาวุโสฝ่ายขวาไปส่วนหนึ่ง แต่ก็ได้ผลลัพธ์ดีเยี่ยม อึดใจถัดมา ผู้อาวุโสก็เห็นว่าแสงแทบทุกดวงบนแผนที่ดวงดาวดับมืดลงไป เหลือเพียงจุดแสงหนึ่งเดียวที่ยังส่องสว่าง

“หลงหนานจื่อ!” ผู้อาวุโสฝ่ายขวาระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ก่อนจะก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวแล้วอันตรธานหายไป

หวังเป่าเล่อ ผู้ที่นั่งอยู่บนยอดเขานั้น จู่ๆ ก็กระโจนถอยหลังไปปรากฏตัวอยู่ไกลออกไปสามกิโลเมตรแทบจะในทันที ฉับพลันที่ชายหนุ่มโผล่ขึ้นมาตรงสถานที่แห่งใหม่ พลังอันมหาศาลก็พวยพุ่งลงมาจากท้องฟ้า ก่อตัวขึ้นเป็นแท่งแสงที่กว้างร่วมสามกิโลเมตร ก่อนจะระเบิดจุดที่หวังเป่าเล่อนั่งอยู่เมื่อครู่

ภายในพริบตาเดียว ยอดเขาที่อยู่ห่างออกไปหายกิโลเมตรก็สลายกลายเป็นฝุ่นและจางหายไปอย่างไร้ร่องรอย…

ผู้อาวุโสฝ่ายขวามาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ ชายชราก้มหน้ามองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาเย้ยหยันก่อนจะพูดออกมาอย่างเนิบๆ

“หลงหนานจื่อ มีอะไรจะพูดก่อนตายไหม”

ดวงอาทิตย์ประดิษฐ์ที่ลอยอยู่เบื้องหลังเขาจู่ๆ ก็ส่องสว่างวาบขึ้นมา ก่อนจะแปรสภาพเป็นแรงกดดันที่ปกคลุมทั้งบริเวณเอาไว้ สัญญาณเตือนภัยดังลั่นอยู่ในศีรษะของหวังเป่าเล่อ แต่กลับไม่มีร่องรอยความกลัวหรือตื่นตกใจปรากฏบนใบหน้าเขาเลย กลับกัน สีหน้าแปลกประหลาดฉายขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นจ้องผู้อาวุโสฝ่ายขวา ไม่ได้ตอบคำถามที่แสดงความมั่นใจในการสังหารหวังเป่าเล่อของอีกฝ่าย กลับกัน ชายหนุ่มกระแอมกระไอขึเนมา ก่อนจะดึงแผ่นหยกสีขาวโพลนออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บแล้วชูขึ้นในอากาศ

“ผู้อาวุโสฝ่ายขวา เจ้าเห็นเหรียญตรานี้ของข้าหรือไม่ รีบคุกเข่าคำนับท่านบิดาของเจ้า แล้วก็ไสหัวไปไกลๆ หลายร้อยปีแสงเดี๋ยวนี้เลย!”

ผู้อาวุโสฝ่ายขวาชะงัก ความหยิ่งยโสในน้ำเสียงของหวังเป่าเล่อทำให้เลือดของชายชราเดือดพล่านด้วยแรงโทสะ นัยน์ตาของเขากวาดมาหยุดที่เหรียญตรา และเห็นตัวอักขระทันที คำว่า “สันติ” ปรากฏขึ้นในใจอย่างฉับพลัน

“สิ่งนี้คือ…” ผู้อาวุโสชะงักอยู่กลางอากาศ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ชายชราไม่เคยเห็นเหรียญตรานี้ แต่ก็เคยได้ยินมาบ้างเหมือนกัน ลมหายใจของเขาติดขัด แล้วจู่ๆ ก็จำได้ขึ้นมา ภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเหรียญตราสันติที่ออกโดยตระกูลโบราณอันยิ่งใหญ่อย่างตระกูลเซี่ย

ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถล่วงเกินผู้ถือเหรียญตราดังกล่าวได้ หากละเมิดกฎข้อนี้…ก็จะต้องเป็นศัตรูกับตระกูลเซี่ยไปโดยปริยาย!

ทว่า…ตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลที่ใหญ่โตนัก หากเปรียบเทียบตระกูลเซี่ยเป็นดวงอาทิตย์ อารยธรรมครามทองคำก็คงเป็นดาวเคราะห์เล็กจ้อยดวงหนึ่ง และผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่ต่างอะไรจากเศษฝุ่น

ความแตกต่างของอำนาจก่อให้เกิดความกลัวและความยำเกรง อีกทั้งยังทำให้ตระกูลเซี่ยดูเหมือนเป็นสิ่งที่อยู่ห่างไกล ระยะห่างนั้นทำให้พวกเขาเหมือนไม่มีอยู่จริง จนบางคนก็เกิดยั้งใจไม่อยู่ขึ้นมา

และในสถานที่ห่างไกลเช่นอารยธรรมวิญญาณโลกแห่งนี้ ความคิดดังกล่าวก็ยิ่งจริงเข้าไปใหญ่ การจะหยุดไล่ล่าแล้วถอยออกไปหนึ่งร้อยปีแสงนั้น…ผู้อาวุโสฝ่ายขวาไม่อาจบังคับใจตนเองให้ยอมทำตามได้!

หลังจากที่ขัดแย้งในใจอยู่พักใหญ่ จิตสังหารของผู้อาวุโสก็ปะทุขึ้นมา ก่อนที่เขาจะคำรามลั่น

“ลูกไม้ตื้นๆ ข้าไม่รู้จักไอ้ของที่เจ้าถืออยู่แม้แต่น้อย!” ผู้อาวุโสพูดจบก็ปล่อยพลังปราณทั้งหมดออกมา ร่างเขาแปรสภาพเป็นพายุหมุนน่าสะพรึงกลัวที่พุ่งสูงขึ้นไปในอากาศแล้วตรงเข้าใส่หวังเป่าเล่ออย่างรุนแรง!

แม้ความโกรธของหวังเป่าเล่อจะลดน้อยลง แต่ก็ยังไม่สบอารมณ์กับการเล่นบทนกสองหัวของเซี่ยไห่หยางนัก ชายหนุ่มรู้ว่านักธุรกิจย่อมต้องสนใจเพียงการหากำไรเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังรู้สึกเจ็บใจอยู่ดี

“ศิษย์น้องไห่หยาง ข้าปฏิบัติกับเจ้าเหมือนมิตรสหาย แต่เจ้ากลับขายข้ากิน…” หวังเป่าเล่อพูดแผ่วเบา ถ้อยคำของเขาทั้งซื่อตรงและเจือไปด้วยความเศร้าสร้อยเล็กน้อย เซี่ยไห่หยางเงียบงันไปเมื่อได้ยิน หลังจากนั้นระยะหนึ่ง เขาก็ยิ้มอย่างอ่อนใจ

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เจ้าพูดถูกต้อง ข้าทำเกินไปจริงๆ…ครั้งนี้ ข้าติดหนี้ท่านแล้ว”

“ลืมมันเสียเถิด เจ้าบอกว่าจะส่งของมาให้ข้า ข้าไม่ต้องการหรอก แต่เอาอย่างนี้เป็นไร…ตอนนี้ข้ามีปัญหาเล็กน้อย เจ้าอาจจะช่วยข้าเรื่องนี้แทนได้” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ในสายตาเขา ตัวเขาเองไม่ใช่คนใจแคบ หากเซี่ยไห่หยางเสียใจจริงๆ ก็คงไม่เหมาะที่จะพูดถึงเรื่องที่แล้วไปแล้ว กลับกัน หวังเป่าเล่อตัดสินใจพูดเรื่องปัญหาที่เขากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้แทน

ชายหนุ่มไม่ได้ซ่อนปัญหาจากเซี่ยไห่หยางแต่กลับบอกทุกอย่างออกไปตรงๆ ตัวตนของเขาถูกเปิดโปงเพราะเหตุการณ์ที่สุสานหลวง และตอนนี้ชายหนุ่มก็ถูกอารยธรรมครามทองคำหมายตาอยู่ พวกเขาวางกับดักรอหวังเป่าเล่อ แม้ว่าชายหนุ่มจะหนีเอาชีวิตรอดมาได้ แต่กลับต้องมาติดแหง็กอยู่ในอารยธรรมวิญญาณโลก

หวังเป่าเล่อยังเน้นย้ำอีกด้วยว่าขณะนี้ตนมีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งอารยธรรมครามทองคำจะต้องหาตัวเขาพบและสังหารเขาในอีกไม่ช้า

แม้ว่าจะไม่ได้ปิดบังอะไรจากเซี่ยไห่หยาง หวังเป่าเล่อก็ดูจะเน้นรายละเอียดบางประการมากเป็นพิเศษและเล่าเชื่อมให้ทุกเรื่องดูเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ สุสานหลวง หวังเป่าเล่อไม่ได้แสดงความวิตกกังวลหรือตื่นตระหนกออกมาระหว่างการเล่า แต่เซี่ยไห่หยางก็รู้ทันทีหลังจากที่ฟังชายหนุ่มพูด หวังเป่าเล่อกำลังบอกใบ้ว่าเหตุการณ์ที่สุสานหลวงนั้นนำภัยใหม่ๆ มาสู่หวังเป่าเล่อ จะว่าให้ง่ายก็คือ หากเซี่ยไห่หยางรู้สึกผิดจริง ก็ต้องช่วยหวังเป่าเล่อแก้ไขวิกฤตที่เขากำลังเผชิญอยู่

เพราะการบอกเป็นนัยๆ ของหวังเป่าเล่อนี้เอง เซี่ยไห่หยางจึงไม่มีสิทธิ์ต่อรองใดๆ หรือตั้งราคาสำหรับความช่วยเหลือได้ ช่างเป็นการยากที่จะอธิบายถึงความชาญฉลาดที่แฝงอยู่ในถ้อยคำของหวังเป่าเล่อ คนฟังจำเป็นต้องใช้ความอาจหาญและจิตใจเพื่อที่จะรับรู้ถึงความสวยงามในถ้อยคำของชายหนุ่ม

เซี่ยไห่หยางยิ้มอย่างอ่อนใจอีกครั้ง ความชื่นชมและเคารพในตัวหวังเป่าเล่อเพิ่มสูงขึ้น ชายหนุ่มเชื่อว่าหวังเป่าเล่อผู้นี้มีโอกาสจะเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ฝึกตนที่ทรงพลังได้แน่

อันที่จริงแล้ว นี่เองเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเลือกขอโทษหวังเป่าเล่อหลังจากที่ทำการตกลงสามฝ่ายไป สัญชาตญาณบอกเซี่ยไห่หยางว่าหวังเป่าเล่อเป็นคนที่น่ามหัศจรรย์แถมยังมีสายป่านยาวนัก แม้จะมาจากพื้นฐานครอบครัวธรรมดา แต่เบื้องหลังม่านแห่งความธรรมดาสามัญนั้นซ่อนความลับที่แม้แต่เซี่ยไห่หยางก็ไม่อาจล่วงรู้ได้

ต่อให้ชายหนุ่มไม่สนใจเรื่องความลับของหวังเป่าเล่อ การที่ปรมาจารย์แห่งไฟอยากจะได้ตัวหวังเป่าเล่อไปเป็นศิษย์ก็เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่าชายหนุ่มคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา สิ่งที่ทำให้อะไรๆ ยิ่งน่าทึ่งก็คือการที่หวังเป่าเล่อปฏิเสธข้อเสนอของปรมาจารย์แห่งไฟ ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะอยู่ในสถานการณ์อันตราย ชายหนุ่มก็ยังไม่ยอมติดต่อหาปรมาจารย์แห่งไฟมอบตนเป็นศิษย์กับอีกฝ่าย

ด้วยเหตุนี้…เซี่ยไห่หยางจึงเชื่อว่าหวังเป่าเล่อนั้นต้องได้รับการหนุนหลังจากใครสักคนที่แข็งแกร่งยิ่งและยังมีไพ่ตายเด็ดๆ ซุกซ่อนเอาไว้อีก

การคาดเดาของเซี่ยไห่หยางและข้อสรุปที่เขาคิดออกทำเอาชายหนุ่มนิ่งงันไป หลังจากนั้นชั่วขณะหนึ่ง เขาก็พูดออกมา

“การจะส่งเจ้ากลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นเรื่องง่ายดายสำหรับข้า ข้าสามารถเปิดสิทธิ์การเข้าถึงของข้าและละเว้นค่าธรรมเนียมการเคลื่อนย้ายในครั้งนี้ เจ้าจะถูกเคลื่อนย้ายไปยังตลาดที่ข้าสร้างฐานที่มั่นเอาไว้ ระยะทางในการเดินทางกลับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ของเจ้าคงจะสั้นลงไปมากทีเดียว

“การเคลื่อนย้ายเจ้าออกไปอาจจะเป็นเรื่องง่าย แต่…การทำลายผนึกภายในดารานิรันดร์ประดิษฐ์ของอารยธรรมครามทองคำดูเหมือนจะท้าทายอยู่สักหน่อย ดารานิรันดร์ประดิษฐ์ของพวกเขาอาจไม่ได้ล้ำยุคมากนัก แต่ก็ยังมีพลังของดารานิรันดร์อยู่…ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเซี่ยเป็นตระกูลพ่อค้า การปฏิบัติตามกฎเป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับเรา พวกเราไม่สามารถใช้อำนาจเกินกว่าเหตุได้หากไม่มีความจำเป็น”

หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งที่เซี่ยไห่หยางพูด ชายหนุ่มกำลังจะอ้าปากตอบโต้แต่เซี่ยไห่หยางขัดขึ้นมาเสียก่อน ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรู้ความคิดของเขา

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าไม่ได้กำลังจะคิดเงินกับเจ้า แต่ข้าต้องใช้เวลาเพื่อจะทำลายผนึกนี้…” เซี่ยไห่หยางนั่งอยู่ในตำหนักกลางตลาด แววครุ่นคิดปรากฏขึ้นบนดวงตาของเขาขณะที่พูด ชายหนุ่มกำลังคิดถึงขั้นตอนต่อไปและคิดว่าควรทำอย่างไรจึงจะสามารถแสดงความสามารถของตนเองพร้อมทั้งได้รับความเชื่อมั่นและความเคารพกลับมาจากหวังเป่าเล่อบ้าง

เซี่ยไห่หยางอาจปฏิบัติกับหวังเป่าเล่อฉันท์เพื่อน แต่หัวใจของเขาก็ยังเป็นนักธุรกิจอยู่ ทั้งคุณค่าที่เขามีต่อหวังเป่าเล่อหรือที่อีกฝ่ายมีต่อเขา ทั้งสองอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มต้องคำนึงถึงก่อนหน้ามิตรภาพ คุณค่าของหวังเป่าเล่อที่มีต่อเขาเป็นสาเหตุที่เซี่ยไห่หยางเลือกเก็บหวังเป่าเล่อเอาไว้ในฐานะเพื่อน เช่นเดียวกัน หวังเป่าเล่อเองก็คงอยากเก็บเซี่ยไห่หยางไว้เป็นเพื่อนมากขึ้นหากเขามีคุณค่า

ชายหนุ่มสามารถแก้ไขสถานการณ์ของหวังเป่าเล่อได้อย่างง่ายดาย สิ่งเดียวที่เขาต้องตัดสินใจก็คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำเช่นนั้น

มีประกายบางอย่างสะท้อนอยู่ในดวงตาของเซี่ยไห่หยางขณะที่ความคิดหลากหลายปรากฏขึ้นมาในใจเขา หลังจากนั้นริมฝีปากของชายหนุ่มก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้ม ก่อนที่จะส่งข้อความเสียงออกไป

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าธรรมเนียมการเคลื่อนย้ายแต่อย่างใด ครั้งนี้ข้าจะไม่คิดเงิน ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าทำลายผนึกเช่นกัน อย่างไรเสียพวกเราก็เป็นพี่น้องกัน ข้าละค่าธรรมเนียมให้เจ้าได้อยู่แล้ว ขอเวลาข้าสองสัปดาห์ ข้าสัญญาว่าจะช่วยเจ้าทำลายผนึกนั้นให้จงได้!”

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลงเมื่อได้ยินเซี่ยไห่หยางพูด ชายหนุ่มมีความรู้สึกว่ามีความหมายอีกชั้นหนึ่งอยู่ในคำพูดเหล่านั้น แต่เขาก็ไม่อาจบอกได้ว่ามันคืออะไร หวังเป่าเล่อจึงนิ่งเงียบรอให้เซี่ยไห่หยางพูดต่อไป

“แต่ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าคิดว่าสิ่งที่เจ้าต้องการตอนนี้ไม่ใช่วิธีการทำลายผนึกหรือการเคลื่อนย้ายออกไปแต่…คือสันติ!”

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย เขาพูดออกมาเสียงเย็น

“ศิษย์น้องไห่หยาง เจ้า…หมายความว่ายังไง”

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าจะพูดตรงๆ กับเจ้า ข้าขายทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่ รวมไปถึง…สันติด้วย!” เซี่ยไห่หยางยิ้ม ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

“สันติ เจ้าขายมันได้อย่างไร” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ชายหนุ่มดูไม่แน่ใจและเริ่มสงสัยว่าจะโดนเกลี้ยกล่อมให้ซื้อองครักษ์หรือไม่

“ข้าขายเหรียญตราสันติอย่างไรเล่า ท่านสามารถดูระยะเวลาที่เหลืออยู่ตามปฏิทินของสหพันธรัฐได้ด้วย เหรียญตราเหรียญหนึ่งอยู่ได้หนึ่งปี อธิบายให้ง่ายก็คือจะไม่มีใครกล้าสร้างปัญหาให้เจ้าหลังจากที่เจ้าซื้อเหรียญตราสันติ หากเจ้าพบศัตรู ก็แสดงเหรียญตราสันติให้พวกเขาเห็น แค่นั้นศัตรูก็จะหนีไปไกลหลายร้อยปีแสง พวกเขาอาจจะถึงขั้นทรุดตัวลงคุกเข่าร้องขอความเมตตาก็เป็นได้” เซี่ยไห่หยางอธิบายการทำงานของเหรียญตราสันติให้หวังเป่าเล่อฟัง การโฆษณาของเขาฟังดูน่าสนใจทีเดียว

หวังเป่าเล่อยังชั่งใจอยู่แม้หลังจากที่ได้ยินเซี่ยไห่หยางพูดแล้วก็ตาม จากนั้นชายหนุ่มจึงถามราคาของเหรียญตราออกไป สีหน้าแปลกแปร่งปรากฏบนใบหน้าของเขาหลังจากที่เซี่ยไห่หยางตอบ ในศีรษะของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยเสียงฝีเท้าของฝูงม้าย่ำกระเทือนลั่นทุ่ง หลังจากนั้นเพียงชั่วอึดใจ หวังเป่าเล่อก็ตัดสายเซี่ยไห่หยางโดยไม่พูดอะไรเลย

แผ่นหยกสื่อสารของเขาสั่นขึ้นมาในอีกอึดใจ เสียงหัวเราะอย่างอึดอัดของเซี่ยไห่หยางดังลอยออกมา

“เป่าเล่อ เป่าเล่อ ฟังข้าก่อน…”

“เจ้าหยุดพูดได้แล้ว ข้าจ่ายไม่ไหวหรอก!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างเย็นชา

“เจ้าจะอารมณ์เสียทำไมอีกเล่า ข้ายังพูดไม่จบ อย่างไรเสียพวกเราเป็นพี่น้องกัน แถมเจ้ายังเป็นลูกค้าคนสำคัญของข้าอีกด้วย เอาอย่างนี้เป็นไร ข้าจะให้เหรียญตราเจ้าไปลองเป็นเวลาหนึ่งเดือน สันติเป็นเวลาหนึ่งเดือนแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย หากเจ้าพอใจกับสินค้าของข้าหลังช่วงทดลอง เจ้าก็สามารถซื้อสินค้าตัวจริงได้เลย เจ้าคิดว่าอย่างไร”

“เซี่ยไห่หยาง ทำไมข้าถึงได้กลิ่นไม่ดีเลย เจ้าแน่ใจหรือว่าเหรียญตราสันติของเจ้านั้นปลอดภัย” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างแปลกๆ

“ข้าเป็นนักธุรกิจนะ ข้าต้องรับผิดชอบทุกๆ อย่างที่ข้าขาย เจ้าถือเหรียญตราเอาไว้เถิด แล้วเอาไปแสดงให้ศัตรูเห็นเมื่อเจอ ข้าสาบานว่าพวกมันจะต้องถอยกรูดไปหนึ่งร้อยปีแสงอย่างแน่นอน พวกที่ใจเสาะหน่อยก็อาจจะขาดใจตายคาที่ไปเลยก็เป็นได้!” มีเสียงตุ้บดังออกมาจากแผ่นหยก เซี่ยไห่หยางดูเหมือนจะยกมือขึ้นทุบอกเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้อีกฝ่าย

หวังเป่าเล่อไม่อยากคิดเรื่องนี้ให้มากความอีกต่อไป ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ต้องเสียเงินสักแดงเดียว อีกอย่างเขาก็ไม่ได้กังวลเรื่องเหรียญตรามากนัก ในใจของชายหนุ่มวุ่นวายอยู่กับเรื่องคำสัญญาของเซี่ยไห่หยางที่จะทำลายผนึกและเคลื่อนย้ายเขาออกไปมากกว่า หวังเป่าเล่อจึงพยักหน้าก่อนจะเปลี่ยนไปคุยเรื่องทำลายผนึกกับเซี่ยไห่หยางแทน หลังจากที่สัญญาณเสียงจบลง ก็มีแสงสว่างส่องขึ้นมาจากแผ่นหยกสื่อสารในมือเขา รูปร่างหน้าตาของแผ่นหยกเปลี่ยนไปเป็นสีขาว มันยังคงเป็นแผ่นหยกอยู่เช่นเดิมเพียงแต่มีตัวอักขระตัวหนึ่งปรากฏขึ้นบนนั้น

อักขระนั้นไม่ได้เขียนด้วยภาษาซึ่งเป็นที่รู้จัก แต่มันทำให้มีคำว่า “สันติ” ปรากฏขึ้นในใจผู้ที่ได้พบเห็น

หวังเป่าเล่อจ้องมองเหรียญตราอยู่เป็นนานก่อนจะหรี่ตาลง ชายหนุ่มรู้สึกตกใจที่เซี่ยไห่หยางสามารถเปลี่ยนแผ่นหยกสื่อสารให้กลายเป็นเหรียญตราสันติได้อย่างง่ายดาย ในขณะเดียวกัน ศักยภาพอันล้นเหลือของอีกฝ่ายก็ทำให้ชายหนุ่มต้องชะงัก

หากเขามีพลังพอจะทำเช่นนี้ได้ แค่การทำลายผนึกก็ไม่น่าจะเป็นเรื่องยากสำหรับเขา เขาพูดว่าต้องการเวลาสิบห้าวัน แต่นั่นคงเป็นเพียงข้ออ้าง…เซี่ยไห่หยางวางแผนจะมอบเหรียญตรานี้ให้ข้ามาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อจ้องไปยังเหรียญตรา ก่อนที่ประกายแสงหนึ่งจะปรากฏขึ้นในแววตา หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่อึดใจหนึ่ง ชายหนุ่มก็เก็บเหรียญตราไป จากนั้นก็มองไปยังผนึกที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า สุดท้ายแล้วหวังเป่าเล่อก็หันหลังเดินจากไป

มีความเป็นไปได้สูงว่าเซี่ยไห่หยางจงใจมอบเหรียญตรานี้ให้เขาตั้งแต่แรก หวังเป่าเล่อต้องรู้ให้ได้ว่าเจตนาที่แท้จริงของอีกฝ่ายคืออะไร

เขากำลังพยายามทำลายข้าอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหายตัวไปก่อนจะไปปรากฏอยู่ที่อีกตำแหน่งหนึ่งในอารยธรรมวิญญาณโลก เขาหยุดชะงักอยู่กลางคันเมื่อความคิดหนึ่งสว่างวาบขึ้นมาในใจ

ระดับปราณของพวกเขาเป็นภาพลวงตา แต่ชีวิตที่กำลังใช้เป็นของจริง…หวังเป่าเล่อถอนใจเบาๆ ชายหนุ่มไม่อาจอธิบายความรู้สึกที่เขามีในตอนนี้ได้ แต่เขาก็รู้ว่าจะต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อป้องกันไม่ให้สหพันธรัฐซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา ต้องตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายกันนี้

ไม่มีอะไรมีค่าพอให้สืบอีกต่อไปแล้ว ข้าควรจะไปดูผนึกให้ใกล้ชิดกว่านี้…เผื่อจะมีทางอื่นให้ออกไปจากที่นี่ได้ หวังเป่าเล่อแอบส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะผุดลุกขึ้นยืนและกำลังจะเดินออกไป แต่สตรีนางหนึ่งที่อยู่ข้างๆ เขาก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน นางมีสีหน้าสับสนขณะที่จ้องมองมาทางหวังเป่าเล่อ หลังจากกังวลอยู่ชั่วอึดใจ นางก็พูดออกมา

“ช้าก่อน สหายร่วมสำนักเต๋า”

หวังเป่าเล่อชะงักและหันไปมองสตรีที่เพิ่งจะพูดกับเขา ชายหนุ่มรู้สึกถึงสายตาที่นางจ้องมองมาเมื่อครู่ เขายังรับรู้ถึงความพิเศษบางอย่างเกี่ยวกับสตรีนางนี้ผ่านดวงจิตเทพอีกด้วย

มีเปลวไฟประหลาดอยู่ภายในกายนาง มันถูกซุกซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิด หากไม่ใช่เพราะระดับปราณของหวังเป่าเล่อที่ใกล้จะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์อยู่รอมร่อและเพราะเขาเป็นบุตรแห่งความมืด ชายหนุ่มก็คงไม่อาจสัมผัสถึงเปลวไฟนั้นได้

เปลวไฟดังกล่าวเหมือนเป็นเมล็ดพันธุ์อย่างหนึ่ง ผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์เป็นอย่างน้อยได้ปลดปล่อยออกมาก่อนจะตาย อันที่จริงแล้ว…หวังเป่าเล่อเชื่อว่านี่ต้องไม่ใช่เมล็ดพันธุ์เพียงเมล็ดเดียวที่ผู้ฝึกตนคนนั้นปล่อยออกมา

อาจจะเป็นเศษเสี้ยวของดวงจิตจากดาวเคราะห์ต้นกำเนิดกระมัง หลังจากมองสำรวจแล้วหวังเป่าเล่อก็ไม่ใคร่จะสนใจนัก โอกาสการชุบชีวิตตัวเองผ่านเศษเสี้ยวของดวงจิตตนนั้นแทบจะเท่ากับศูนย์ในสภาพแวดล้อมของอารยธรรมวิญญาณโลกปัจจุบัน สิ่งเดียวที่เศษเสี้ยวนั้นทำได้คือให้เจ้าของร่างได้รับพลังปราณจริงๆ ไปบ้าง

ทว่าข้อจำกัดทางสิ่งแวดล้อมยังมีผลต่อพลังปราณจริงๆ ที่คนจะได้รับ ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ขั้นปราณสูงสุดที่จะบรรลุได้ก็คือขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้น

หากเขาไม่ได้ติดอยู่ในนี้ หวังเป่าเล่อคงจะสนใจพูดคุยกับหญิงสาว แต่ชายหนุ่มไม่ได้อยากคุยในตอนนี้ หลังจากที่จ้องมองอยู่ชั่วครู่เขาก็กล่าวขึ้น

“เราคงไม่มีวาสนาต่อกัน” หลังจากที่พูดจบ หวังเป่าเล่อก็หันหลังและเดินออกไป ชายหนุ่มชื่อไถ่จงที่นั่งอยู่ข้างๆ สตรีนางนั้นลอบถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นการตอบโต้ของอีกฝ่าย แต่ถึงกระนั้น เขาเองก็ต้องรักษาศักดิ์ศรีของสตรีที่หมายปอง จึงได้ทำท่าขึงขังก่อนจะโพล่งออกมา

“หยุดอยู่ตรงนั้น ใครบอกว่าให้เจ้าไปได้กัน!” เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มนั้นชินกับการได้อะไรดั่งใจ เขาก้าวออกมาก้าวหนึ่งขณะที่พูดและคว้าแขนหวังเป่าเล่อเอาไว้ แต่ขณะที่มือของเขากำลังจะคว้าโดนหวังเป่าเล่อ จู่ๆ ไถ่จงก็หยุดค้างไปเฉยๆ แววตระหนกปรากฏอยู่บนใบหน้าเมื่อเขายืนอยู่หลังหวังเป่าเล่อ ทุกสิ่งกลับมาเป็นปกติในอีกอึดใจต่อมา ราวกับว่าเขามองไม่เห็นหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ชายหนุ่มหันหลังกลับไปหาเหล่าสหายก่อนจะหัวเราะเสียงลั่น

“มากินอะไรกันเสียหน่อยก่อนกลับสำนักเถิด” คำพูดเหล่านั้น…เป็นคำพูดเดียวกับที่ชายหนุ่มพูดเมื่อครู่ตอนที่พวกเขาเพิ่งจะมาถึง การพูดซ้ำเช่นนี้ควรเป็นเรื่องแปลกประหลาด แต่ไม่มีใคร กระทั่งลูกค้าคนอื่นๆ เจ้าของโรงเตี๊ยม หรือลูกน้อง รวมไปถึงเด็กสาวที่มีเปลวไฟพิเศษอยู่ในกายแสดงอาการสับสนหรือสงสัยออกมา ราวกับว่าทุกอย่างเป็นปกติกระนั้น

ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่ง และบรรดาเพื่อนศิษย์ต่างก็พูดคุยกันอย่างครื้นเครงตามเดิม

“ศิษย์พี่ไถ่จง ท่านพิสูจน์ตัวเองได้อีกครั้งแล้ว…”

ดูเหมือนว่าเวลาจะถูกย้อนกลับไปตอนที่ผู้ฝึกตนทั้งห้าเดินเข้ามาในโรงเตี๊ยมเป็นครั้งแรก เพียงแต่ว่าครั้งนี้ หวังเป่าเล่อได้เดินออกไปจากโรงเตี๊ยมอันแน่นขนัดแล้ว เงาร่างอันโดดเดี่ยวของเขาดูเดียวดายขณะที่กำลังเดินคล้อยหลังจากไปไกล

ชายหนุ่มไม่ได้ติดใจกับสิ่งที่คนธรรมดาเหล่านั้นพูดสักเท่าใด ด้วยระดับปราณของเขาและนิมิตมืด เขาสามารถปรับแต่งความทรงจำของทุกคนในโรงเตี๊ยมได้โดยที่คนเหล่านั้นไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย

หลังจากที่ร่างของชายหนุ่มหายลับตาไป หญิงสาวนามซิ่วเหยียนที่นั่งอยู่ข้างๆ ไถ่จงก็เงยหน้าขึ้นอีกครั้ง นางมองตรงไปยังบริเวณเส้นขอบฟ้าที่ร่างของหวังเป่าเล่อเดินจากไปด้วยสายตาสับสนเล็กน้อย

“ศิษย์น้องซิ่วเหยียน เจ้ามองอะไรอยู่หรือ”

“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” หญิงสาวส่ายศีรษะก่อนจะกลับมาร่วมวงพูดคุยต่อไป จากนั้นนางก็ตัวสั่นขึ้นมาครั้งหนึ่งโดยที่ไม่รู้ตัว

นางยังไม่รู้อีกด้วยว่าในขณะเดียวกันนั้น คนเกือบล้านคนจากทั่วอารยธรรมวิญญาณโลก ทั้งในเมืองมากมายรวมไปถึงในดินแดนห่างไกล ผู้ซึ่งมีระดับปราณและสถานะสูงต่ำต่างๆ กันและมีหน้าตาไม่เหมือนกัน ต่างก็พากันตัวสั่นขึ้นมาด้วย

หวังเป่าเล่อ ผู้ที่เดินอยู่ภายในเมืองและเตรียมตัวจะออกเดินทางก็รู้สึกบางอย่างขึ้นมาในวินาทีนั้น คิ้วของชายหนุ่มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ คลายออกช้าๆ เขาไม่สนใจความรู้สึกนั้น ก้าวออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง และก้าวลงไปในห้วงเหวหายตัวไปจากเมือง ร่างของเขาดูพร่าเลือนราวกับเป็นหมอก หมอกที่เหมือนจะสลายหายไปในจักรวาล เล็ดลอดผ่านการมองเห็นทั้งจากตาเนื้อและสัมผัสสวรรค์ ก่อนจะเคลื่อนที่อย่างเงียบงันไปในห้วงอวกาศห่างไกล

อารยธรรมวิญญาณโลกไม่ได้ใหญ่โตเท่าใดนัก หวังเป่าเล่อใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็มาถึงขอบอารยธรรม ชายหนุ่มมองเห็นผนึกที่ครอบอารยธรรมนี้จากมุมหนึ่งถึงอีกมุมได้ชัดเจน

หวังเป่าเล่อแปรสภาพจากหมอกกลายมาเป็นหลงหนานจื่ออีกครั้ง ก่อนจะจ้องไปยังผนึกรูปรวงผึ้งอยู่เป็นเวลานาน คิ้วของเขาขมวดเป็นปมแน่น ชายหนุ่มไม่กล้าออกแรงลองทำลายผนึกสุ่มสี่สุ่มห้า เขามีความรู้สึกไม่ค่อยดีนักเกี่ยวกับผนึกนี้

ฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ขณะนี้ไร้ประโยชน์ และเรือบินรบเวทจำนวนมากของเขาตอนนี้หากไม่เสียหายก็พังไปสิ้น เกราะมหาจักรพรรดิก็สูญเสียพลังวิญญาณไปแทบทั้งหมดเช่นกัน หากจะพูดกันตามตรง ชายหนุ่มตอนนี้ไม่มีกลเม็ดเด็ดพรายให้เลือกใช้งานมากนัก

หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน หวังเป่าเล่อก็ส่งดวงจิตเทพเข้าไปในกระเป๋าคลังเก็บ เจ้าเยี่ยเหมิงนั่งอยู่ในเรือบินรบเวทลำหนึ่งด้านในนั้น กำลังนั่งสมาธิอย่างเงียบงัน

เจ้าลานอนแผ่หลาพร้อมส่งเสียงกรนดังสนั่นอยู่ข้างนาง ส่วนเจ้าอู๋น้อยนั้น…ก็รออยู่ข้างกายเจ้าเยี่ยเหมิง พลางลอบมองนางอยู่บ้างเป็นบางครั้ง

เจ้าเยี่ยเหมิงลืมตาขึ้นทันทีที่ดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อลอดเข้ามาในกระเป๋าคลังเก็บ จากนั้น ด้วยความช่วยเหลือจากดวงจิตเทพ นางก็มองไปยังผนึกที่อยู่รอบๆ อารยธรรม เจ้าอู๋น้อยเองก็จ้องมองอยู่เช่นเดียวกัน

“เยี่ยเหมิง เจ้าช่วยข้าดูที ว่า…มีวิธีไหนหรือไม่ที่จะทำลายวงแหวนปราณนี้ได้!”

หวังเป่าเล่อเล่าให้เจ้าเยี่ยเหมิงฟังว่าเกิดอะไรขึ้นทันทีที่ถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่ พวกเขาตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะซ่อนรัศมีได้เพราะอยู่ในกายสารัตถะ แต่เจ้าเยี่ยเหมิงทำไม่ได้ นางอาจถูกดารานิรันดร์ประดิษฐ์พบตัวได้ทันทีที่ออกจากกระเป๋าคลังเก็บ ส่งผลให้หลังจากที่พูดคุยกันนางแล้ว หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจไม่ให้นางออกมา

หญิงสาวศึกษาผนึกผ่านดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่ออย่างถี่ถ้วน คิ้วคู่งามม้วนขมวดเป็นปมแน่น ก่อนที่จะทอดถอนใจออกมา

“ดวงอาทิตย์ประดิษฐ์ดวงนี้เป็นแก่นของอารยธรรมครามทองคำ วงแหวนปราณภายในดวงอาทิตย์ถูกหลอมขึ้นโดยผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์สามคน…ต่อให้เป็นอาจารย์ของข้าที่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะพังมันไม่ได้ เป่าเล่อ ผนึกนี่ไม่ใช่อะไรที่เราจะทำลายลงเองได้” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดเบาๆ นางเองก็กังวลเช่นกันเมื่อรู้ถึงความยากลำบากที่ชายหนุ่มต้องเผชิญ

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไปเมื่อได้ยินคำตอบของนาง มีบางอย่างสะท้อนอยู่ในดวงตา ก่อนที่ชายหนุ่มจะส่งข้อความเสียงไปหาเจ้าอู๋น้อย

“เจ้าอู๋น้อย เจ้าช่วยอะไรข้าได้บ้างไหม”

นัยน์ตาของเจ้าอู๋น้อยแสดงความสับสนเมื่อได้ยินคำถามจากหวังเป่าเล่อ ถึงกระนั้น เขาก็พยายามเต็มที่และทำเหมือนว่ากำลังครุ่นคิดอย่างหนัก แต่สุดท้ายก็ได้เพียงส่ายศีรษะ

หวังเป่าเล่อจ้องมองเจ้าอู๋น้อยอย่างเปี่ยมความหมาย ก่อนจะเมินอีกฝ่ายไปหลังจากนั้น และหันกลับไปจ้องวงแหวนปราณตรงหน้าเขม็ง สมองของชายหนุ่มทำงานอย่างหนัก ก่อนที่จู่ๆ เขาจะดึงแผ่นหยกออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ

เซี่ยไห่หยางมอบแผ่นหยกนี้ให้หวังเป่าเล่อ พร้อมบอกว่าสามารถใช้ติดต่อสื่อสารกับเขาได้ขณะที่อยู่ในสุสานหลวง หวังเป่าเล่อไม่ได้คิดที่จะติดต่อเซี่ยไห่หยางไปยกเว้นแต่จะเป็นทางเลือกสุดท้าย สัญญาสามฝ่ายที่เซี่ยไห่หยางทำยังคงทิ้งรสขมเอาไว้ในปากของหวังเป่าเล่อ เป็นเหตุว่าเหตุใดชายหนุ่มจึงไม่ได้คิดเรื่องจะติดต่อเซี่ยไห่หยางไปแม้แต่ครั้งเดียวตั้งแต่มาถึงดารานิรันดร์ หวังเป่าเล่อหยิบแผ่นหยกขึ้นมาก่อนจะจดจ้องไปอย่างลังเลใจยิ่ง

วงแหวนปราณนี้แม้จะแข็งแกร่ง แต่เซี่ยไห่หยางก็อาจจะทำอะไรกับมันได้ด้วยทรัพยากรมหาศาลที่เขามี! ไว้ข้าค่อยคิดวิธีอื่นหากข้าไม่สามารถติดต่อเขาได้ หรือต่อให้ข้าติดต่อเซี่ยไห่หยางได้ หากราคาที่เขาขอมันเกินเหตุไป ข้าก็จะเลิกทำการค้ากับเขาเสีย…อย่างร้ายที่สุด ข้าก็จะไปที่ดารานิรันดร์ประดิษฐ์ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาคงกำลังพักฟื้นอยู่ที่นั่นเป็นแน่ ข้าจะไปสู้แค่ตายเพื่อสังหารเขาให้ได้ สิ่งเลวร้ายที่สุดก็คงจะเป็นการที่ข้าต้องระเบิดเปลวเพลิงดารานิรันดร์ของข้าก็เท่านั้น! หวังเป่าเล่อมีสายตามุ่งมั่น ชายหนุ่มส่งดวงจิตเทพเข้าไปในแผ่นหยกในมือเพื่อพยายามติดต่อกับ…เซี่ยไห่หยาง!

ทันทีที่ดวงจิตเทพแผ่เข้าไปในแผ่นหยก ก็มีแสงสว่างจ้าส่องออกมาจากอุปกรณ์นั้น ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะได้อ้าปากพูด เสียงของเซี่ยไห่หยางก็พุ่งออกมาจากแผ่นหยกและดังอยู่ในใจของหวังเป่าเล่อ

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ ฮะฮ่า ไม่ได้คุยกันนานเลย ข้าเริ่มจะคิดถึงเจ้าขึ้นมาเสียแล้ว ข้ายอมรับว่าข้าทำผิดไป ได้โปรดอภัยให้ข้าเถิด ข้ากำลังสงสัยว่าข้าควรจะส่งของไปคำนับเจ้าบ้างดีหรือไม่ อย่างไรเสีย พวกเราก็เป็นมิตรที่ดีต่อกัน แถมเจ้ายังเป็นลูกค้าคนสำคัญของข้าอีกด้วย” เสียงของเซี่ยไห่หยางที่แผ่ออกมาจากแผ่นหยกทั้งอบอุ่นและกระตือรือร้น แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ชอบสิ่งที่เซี่ยไห่หยางทำ แต่ก็อดรู้สึกพึงใจไม่ได้

วงแหวนปราณที่ลักษณะเหมือนหยากไย่ดูคล้ายรวงผึ้งในรัง มันปรากฏขึ้นปุบปับและโอบล้อมอารยธรรมวิญญาณโลกเอาไว้ทั้งหมด ไม่มีใครสามารถเข้ามาในอารยธรรมนี้หรือออกไปได้

วงแหวนปราณก่อตัวขึ้นรวดเร็วเกินไป กระสวยจำนวนหนึ่งที่ล่องลอยอยู่ในบริเวณเส้นเขตแดนของอารยธรรมขยับหลบไม่ทันจึงถูกทำลายไปในพริบตา อีกจำนวนหนึ่งติดอยู่ด้านนอกไม่สามารถเข้ามาได้

ผลก็คือเกิดความตื่นตระหนกแพร่กระจายไปทั่วฝ่ายปกครองของอารยธรรมวิญญาณโลก ไม่เคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน แต่พวกเขารู้ดีว่าพลังเดียวที่สามารถปลุกให้ดารานิรันดร์ประดิษฐ์ปิดผนึกรอบอารยธรรมวิญญาณโลกได้ต้องมาจาก…อารยธรรมครามทองคำเท่านั้น

เป็นเหตุให้ฝ่ายปกครองยังคงรักษาท่าทีเอาไว้ได้ถึงแม้จะกังวลและหวาดกลัว ก่อนจะรีบไปขอคำอธิบายจากผู้ที่ประจำการอยู่ภายในดารานิรันดร์ประดิษฐ์ผ่านช่องทางพิเศษ ใช้เวลาไม่นานนักก่อนที่เสียงหนึ่งซึ่งได้รับการขยายผ่านวงแหวนปราณของดารานิรันดร์ประดิษฐ์จะแผ่ไปทั่วอารยธรรมและสะท้อนก้องอยู่ในศีรษะของทุกคน

“ตามหาตัวคนๆ นี้ เมื่อหาพบ พยายามทุกวิถีทางเพื่อฆ่าเขาให้จงได้!”

การออกคำสั่งพร้อมปล่อยภาพของหวังเป่าเล่อทำให้อารยธรรมวิญญาณโลกเกิดโกลาหลยกใหญ่ การค้นหาอย่างจริงจังเริ่มต้นขึ้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถูกบีบให้ไล่ล่า ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งที่ส่งตรงจากอารยธรรมครามทองคำ

ขณะที่อารยธรรมวิญญาณโลกกำลังควานหาตัวหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็กำลังนั่งแช่อยู่ในบ่อน้ำหนึ่งบนดารานิรันดร์ประดิษฐ์ ในน้ำนั้นเต็มไปด้วยปราณวิญญาณ สายหมอกลอยละล่องขึ้นมาจากบ่อน้ำวิญญาณ ก่อนจะไหลเข้ากายชายชราผ่านตา จมูก ปาก และหูของเขา

พลังปราณของผู้อาวุโสฟื้นคืนมาเต็มที่แล้ว แถมชายชรายังปลดเปลื้องคำสาปในกายออกไปจนหมดสิ้น แต่เพราะอาการบาดเจ็บรุนแรงที่ได้รับจากการต่อสู้บนดารานิรันดร์บวกกับความเกรงกลัวหวังเป่าเล่อ ชายชราจึงตัดสินใจจะฟื้นฟูอยู่บนดารานิรันดร์ประดิษฐ์ก่อน เขาจะฟื้นกำลังให้กลับมาจนบริบูรณ์แล้วค่อยออกไปไล่ล่าหวังเป่าเล่อ

แม้ว่าที่นี่จะไม่ใช่ดารานิรันดร์ แต่ก็ยังอยู่ในความคุ้มครองของอารยธรรมครามทองคำ ผู้อาวุโสมั่นใจมากว่าจะสามารถสังหารหลงหนานจื่อได้หากอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ชายชราไม่กลัวว่าหลงหนานจื่อจะหนีไปได้แม้แต่น้อย เพราะทั้งดารานิรันดร์ประดิษฐ์และผนึกถูกหลอมขึ้นมาโดยปรมาจารย์ระดับดารานิรันดร์สามคนจากอารยธรรมครามทองคำ แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ทั่วไปก็ยากที่จะทำลายผนึกได้

ผู้อาวุโสฝ่ายขวายิ้มให้กับความคิดนั้น ชายชรามีวิธีการอื่นๆ ให้ใช้อีกเช่นกัน เขาไม่เคยติดต่อประมุขสำนักกลับไปเลยเพราะอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของอารยธรรมครามทองคำ แต่บัดนี้ ผู้อาวุโสสามารถติดต่อกับอารยธรรมครามทองคำได้ด้วยความเกื้อหนุนจากดารานิรันดร์ประดิษฐ์ ชายชราสามารถหยิบยืมมือผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากสำนักอื่นๆ เพื่อช่วยสังหารหลงหนานจื่อได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง

ทว่า…การทำเช่นนั้นก็เหมือนเปิดเผยความล้มเหลวของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ไหนจะยังเป็นความเสื่อมเสียชื่อเสียงและศักดิ์ศรีของผู้อาวุโสเองด้วย เป็นเหตุให้ผู้อาวุโสละทิ้งความคิดนั้นทันทีที่ปรากฏขึ้นมาในศีรษะ

เรามีเวลาเพียงพอ คงไม่ใช้เวลานานนัก ภายในสองสัปดาห์นี้ หลงหนานจื่อจะต้องพบจุดจบแน่!

ขณะที่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาพักฟื้นอยู่นั้น ด้านนอกดารานิรันดร์ประดิษฐ์และอารยธรรมวิญญาณโลก บนดาวเคราะห์ที่ใกล้ดารานิรันดร์ที่สุด ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในนคร มีชายหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่ เขากำลังเงยหน้ามองดวงตะวันบนท้องฟ้า มีรอยยิ้มเยาะปรากฏอยู่บนใบหน้า

ชายหนุ่มผู้นั้นคือหวังเป่าเล่อ ตอนนี้เขาดูแตกต่างจากผู้ฝึกตนที่เป็นมนุษย์อย่างมาก แทนที่จะมีสองตา ชายหนุ่มกลับมีสามตา หูก็ใหญ่โต และแขนก็หนาใหญ่กว่าต้นขา หวังเป่าเล่อดูแข็งแรงเป็นอย่างยิ่ง

โฉมหน้าของชายหนุ่มตอนนี้คงจะดูประหลาดยิ่งหากอยู่ในสหพันธรัฐหรือในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่กลับธรรมดายิ่งในอารยธรรมวิญญาณโลกแห่งนี้ เพราะทุกคนต่างก็หน้าตาเช่นนี้ทั้งนั้น

ค่านิยมด้านความงามบนอารยธรรมแห่งนี้ยังแตกต่างจากสหพันธรัฐอีกด้วย ดูเหมือนว่าที่นี่จะให้ค่าความไม่เท่าเทียมกันเป็นมาตรวัดความสวยงาม สิ่งก่อสร้างก็ถูกสร้างขึ้นมาจากหินสีแตกต่างกัน หินเหล่านั้นแตกต่างกันทั้งขนาดและรูปลักษณ์ ทุกๆ สิ่งดูไม่เข้ากันอย่างประหลาด และตึกที่ไม่เข้ากันเหล่านี้ก็ประกอบขึ้นเป็นนคร

แม้จะไร้ซึ่งความเข้ากันหรือความสวยงาม นครหน้าตาประหลาดนั้นก็คลาคล่ำไปด้วยผู้คน คนเดินถนนเป็นสายย่ำไปบนถนนอันพลุกพล่านและเอะอะ อัตราส่วนผู้ฝึกตนต่อคนธรรมดาก็น่าตื่นตะลึงเช่นกัน จากคนสิบคน เก้าคนเป็นผู้ฝึกตน แต่ส่วนมากแล้วมีระดับปราณต่ำ หวังเป่าเล่อไม่พบผู้ที่อยู่ในขั้นรากฐานตั้งมั่นแม้แต่คนเดียวหลังจากที่มองหามาเป็นเวลานาน

ที่นี่คืออารยธรรมวิญญาณโลกสินะ…หวังเป่าเล่อนั่งอยู่ในโรงเตี๊ยมและจิบเครื่องดื่มพื้นเมืองชื่อดังไปด้วย ชายหนุ่มเงยหน้ามองดวงตะวันก่อนจะหรี่ตาลงช้าๆ

หวังเป่าเล่อมองไม่เห็นดวงตะวัน หากแต่เป็นทรงกลมสีม่วงขนาดยักษ์ทำจากโลหะ หากเขามองเข้าไปให้ลึกกว่านั้น ก็จะเห็นตัวอักขระนับไม่ถ้วนเรียงรายอยู่บนพื้นผิวของทรงกลม อักขระเหล่านั้นทับซ้อนกันอยู่ไปมาและส่องแสงเรืองรอง ปล่อยความร้อนและแสงสว่างให้กระจายไปทั่วทั้งอารยธรรม

หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นว่าตัวอักขระเหล่านั้นบางตัวก็เลือนหายไปและถูกแทนที่ด้วยตัวอักขระใหม่ ด้วยระดับปราณเดิมของเขา ชายหนุ่มคงไม่อาจบอกสาเหตุของปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ แต่ด้วยระดับปราณในตอนนี้ เขาสามารถบอกได้หลังจากที่เพ่งมองอยู่นาน

ช่างเป็นดารานิรันดร์ประดิษฐ์ที่มหัศจรรย์อะไรเช่นนี้…มันควบคุมทุกชีวิตบนอารยธรรมแห่งนี้ เมื่อตัวอักขระตัวหนึ่งจางหายไป ก็แปลว่ามีชีวิตหนึ่งในอารยธรรมนี้ที่จบสิ้นลง เมื่อตัวอักขระตัวใหม่ปรากฏ ก็แปลว่ามีชีวิตใหม่ถือกำเนิด! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก อำนาจของอารยธรรมครามทองคำทำให้ชายหนุ่มอดตื่นกลัวไม่ได้

ระหว่างการหลบหนี ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงผนึกทันทีที่มันถูกเปิดใช้ เขาต้องใช้พลังพิเศษของกายสารัตถะในการแปรสภาพเป็นร่างของประชาชนทั่วไปในอารยธรรมครามทองคำ หวังเป่าเล่อยังบอกเจ้าเยี่ยเหมิง ผู้ที่ซ่อนอยู่ภายในเรือบินรบเวทในกระเป๋าคลังเก็บของเขาอีกด้วย นางอธิบายถึงสถานการณ์ของอารยธรรมวิญญาณโลกให้เขาฟัง แต่ นางก็ไม่ได้ใส่ใจอารยธรรมนี้เท่าใดนักเมื่อครั้งอยู่ในอารยธรรมครามทองคำ ยิ่งไปกว่านั้น กลไกภายในของดารานิรันดร์ประดิษฐ์ยังเป็นความลับสุดยอด หญิงสาวไม่รู้เรื่องนี้มากนัก หวังเป่าเล่อต้องวิเคราะห์และตัดสินผลด้วยตนเอง

ตอนนี้เมื่อหวังเป่าเล่อเข้าใจสถานการณ์ ชายหนุ่มก็พอจะคาดเดาแผนของผู้อาวุโสฝ่ายขวาได้เลาๆ ส่งผลให้ตัวเขาเองไม่กังวลกับการที่อารยธรรมครามทองคำจะส่งผู้ฝึกตนฝีมือฉกาจมาไล่ล่าตนนัก เขารู้อีกด้วยว่าตัวเขาเองยังพอมีเวลาให้คิดแผนหลบหนีออกไป

นั่นเป็นเหตุว่าทำไมหวังเป่าเล่อจึงมาที่นี่ เขาตั้งใจจะมาเรียนรู้อารยธรรมนี้ให้มากขึ้นและมาดูดวงอาทิตย์ฝีมือมนุษย์ให้ชัดเจน ชายหนุ่มต้องการดูว่าดวงอาทิตย์นั้นมีจุดอ่อนหรือไม่ และนครนี้ก็อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด

ทว่าหวังเป่าเล่อก็ทำได้เพียงถอนใจอยู่ในอกหลังจากที่มองดูผู้คนอย่างถี่ถ้วน พร้อมกับตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ประดิษฐ์ดวงนี้ไปด้วย

ช่างเหลือเชื่อนัก…ดวงอาทิตย์ประดิษฐ์เหล่านี้เกินกว่าความสามารถในการหลอมของข้าไปมาก พลังธรรมชาติที่ซุกซ่อนอยู่ภายในจะต้องแข็งแกร่งมากแน่ๆ มันมีพลังพอที่จะทำให้ทุกคนในอารยธรรมวิญญาณโลกต้องตกเป็นทาสตลอดไปได้!

หวังเป่าเล่อถอนใจเบาๆ ขณะที่หน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นั้น ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากนอกโรงเตี๊ยม

“มากินอะไรกันเสียหน่อยก่อนกลับสำนักเถิด” ตามมาตรฐานความงามในอารยธรรมนี้ กลุ่มห้าคนนี้เรียกได้ว่าหน้าตาดีมากๆ หลังจากที่เข้ามาในโรงเตี๊ยม พวกเขาก็เลือกนั่งโต๊ะใกล้ๆ หวังเป่าเล่อ ก่อนจะเริ่มพูดคุยกันอย่างออกรส

ทั้งห้าแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบบเดียวกัน มีรูปพระจันทร์เสี้ยวสีม่วงปรากฏอยู่บนชายแขนเสื้อ จากในห้าคนนั้น สี่คนอยู่ในขั้นบำรุงชีพจรชั้นกลาง คนสุดท้ายซึ่งชายหนุ่มที่ดูค่อนข้างหยิ่งยโส อยู่ในขั้นบำรุงชีพจรชั้นสมบูรณ์

ลูกค้าคนอื่นๆ ในโรงเตี๊ยมดูจะมีปฏิกิริยากับการมาถึงของพวกเขา บ้างก็หลบตา บ้างก็เรียกเก็บเงินอย่างเร่งรีบ อาการนั้นทำให้หวังเป่าเล่อสนใจไม่น้อย ชายหนุ่มตัดสินใจแอบฟังบทสนทนาของผู้มาใหม่

“ศิษย์พี่ไถ่จง ท่านพิสูจน์ตัวเองได้อีกครั้งแล้ว แถมยังทำคุณประโยชน์ใหญ่หลวงให้สำนักโดยการทำผลงานได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้สำหรับภารกิจนี้ ท่านจะต้องบรรลุขั้นปราณได้อีกแน่เมื่อกลับไปถึงสำนัก ท่านจะต้องเป็นที่หนึ่งในสำนักจันทรากล้วยไม้เป็นแน่!”

“ถูกต้องแล้ว ด้วยบรรณาการที่ท่านเตรียมมา ท่านจะต้องได้รับอำนาจการควบคุมระดับสองเมื่อกลับถึงสำนักและทำการบูชายัญให้ดวงอาทิตย์สีคราม พลังแฝงของท่านจะถูกปลดปล่อยออกมา และท่านก็จะบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นแน่นอน!”

“ฮะฮ่า แล้วจะได้เห็นกันว่าเจ้าหลัวเจ้ายังจะกล้าวางก้ามอยู่ไปมาอีกหรือไม่!”

ชายหนุ่มชื่อไถ่จงกระแอมหลังจากได้ยินสิ่งที่บรรดาศิษย์น้องพูด

“เอาละ การรับใช้สำนักเป็นหนึ่งในหน้าที่ของพวกเราในฐานะศิษย์ แต่หลัวเจ้า…ฮึ่ม เมื่อข้ากลับไปถึงสำนักเมื่อใด ข้าจะสั่งสอนมันให้รู้สำนึกที่มันกล้ามาล่วงเกินศิษย์น้องซิ่วเหยียน!” ชายหนุ่มนามไถ่จงพูดอย่างเยือกเย็น มีประกายความกระหายสะท้อนอยู่ในแววตาเมื่อเขาลอบกวาดสายตามองหญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เมื่อนั้นเองที่เขามองเห็นว่าสายตาของนางไม่ได้จับจ้องเขาอยู่แต่อย่างใด หากแต่อยู่ที่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างไม่ห่างออกไปนัก

“ศิษย์น้องซิ่วเหยียน เจ้ารู้จักคนคนนั้นหรือ” ไถ่จงเหลือบมองคนที่หญิงสาวกำลังมองอยู่ก่อนจะเอ่ยถาม มีประกายความหยามเหยียดสะท้อนอยู่ในแววตา เมื่อเขารู้ว่าคนคนนั้นอยู่ในขั้นบำรุงชีพจรเท่านั้น

“ไม่ แต่ศิษย์พี่ไถ่จง ท่านไม่รู้สึกหรือ…ว่ามีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับคนผู้นั้น ข้าอธิบายไม่ถูก แต่เหมือนว่าข้ามีความรู้สึกอันยากจะอธิบายนี้…”

ชายหนุ่มที่เตะตาพวกเขาแน่นอนว่าคือหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มชั่งใจอยู่ไม่น้อยหลังจากที่ได้ยินบทสนทนา แต่ตามที่พวกเขาพูดกัน ที่นี่ไม่มีใครจำเป็นต้องฝึกฝนเพื่อจะบรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่น ไม่จำเป็นต้องหาวัตถุเวทมาสร้างเป็นแก่นในอีกด้วย อันที่จริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องกลืนโอสถด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่ต้องทำคือ…ทำการสังเวยต่อหน้าดวงอาทิตย์สีคราม!

ดวงอาทิตย์สีครามคือดวงอาทิตย์ที่มนุษย์สร้างขึ้น แปลว่าพวกเขาได้อำนาจควบคุมระดับสูงและระดับปราณขั้นสูงจากการสังเวยเพื่อบูชาดวงอาทิตย์สีครามอย่างนั้นหรือ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลง บทสรุปที่ชายหนุ่มได้มาในศีรษะทำให้เขาถึงกับทอดถอนใจ

ความเข้าใจที่ข้ามีเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ประดิษฐ์นี้ยังไม่สมบูรณ์ มันไม่เพียงกำหนดความเป็นความตายของผู้คนบนอารยธรรมวิญญาณโลกแห่งนี้เท่านั้น แต่ยังควบคุมระดับปราณได้ด้วย ระดับปราณของทุกคนบนอารยธรรมวิญญาณโลกไม่ใช่ของจริง แต่คือผลจากการปรับแต่งของดวงอาทิตย์ประดิษฐ์ ดวงอาทิตย์เป็นผู้กำหนดระดับปราณที่แต่ละคนมี หากดวงอาทิตย์ประดิษฐ์จางหายไป ทุกคนก็จะกลายเป็นคนธรรมดา!

นี่มันอารยธรรมทาสชัดๆ…หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก ความมุ่งมั่นส่องประกายอยู่ในแววตา ชายหนุ่มจะไม่ยอมให้สหพันธรัฐตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้เป็นอันขาด!

หวังเป่าเล่อคาดเดาไพ่ตายสุดท้ายของผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เอาไว้นานแล้ว ชายหนุ่มถึงกับคิดแผนเอาไว้ในใจมากมายเพื่อเตรียมรับมือ แต่เขาก็รู้ดีว่าเป็นการยากยิ่งที่จะคาดเดาความในใจของคนได้ถูก ฉะนั้นโดยมากแล้วการจะหลอกให้ฝ่ายตรงข้ามตายใจเพื่อบรรลุเป้าหมาย…มักขึ้นอยู่กับดวงชะตา

สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มทำได้คือพยายามให้แผนแต่ละขั้นนั้นไปถึงระดับที่ตั้งใจไว้ แต่สิ่งต่างๆ จะบรรลุตามเป้าหมายที่เขาตั้งเอาไว้หรือไม่นั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจแน่ใจได้

ตามแผนเดิมของชายหนุ่ม เขาต้องการใช้ประโยชน์จากแรงกดดันของคำสาปและขโมยทางหนีของศัตรูเพื่อใช้หลบหนีเอง ทิ้งให้ศัตรูต้องตายอย่างน่าอนาถแทนตน แต่ขณะนี้…วิธีนั้นดูจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามแต่ แม้จะเกิดการสะดุดบ้าง ในวินาทีนั้น…ผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ปลดปล่อยเคล็ดวิชาย้ายตำแหน่งออกมาแล้ว หวังเป่าเล่อเพียงแค่ต้องเปลี่ยนการกระทำไปบ้างก็เท่านั้น

การระเบิดของพายุสุริยะทำให้ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกอื่น ดังนั้นทันทีที่กายของผู้อาวุโสเริ่มพร่าเลือนและกำลังจะเคลื่อนย้ายหนีไปนั่นเอง หวังเป่าเล่อก็ไม่รอช้า นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายเด็ดเดี่ยว เขาเรียกใช้เกราะมหาจักรพรรดิในกายทันทีและระเบิดพลังออกมารุนแรงจนเกราะแทบจะทลายลงมา!

หวังเป่าเล่อปล่อยพลังของเกราะออกมาร้อยละเก้าสิบเก้าในพริบตา!

เกราะมหาจักรพรรดินั้นมหัศจรรย์ยิ่ง ไม่เพียงมีพลังมหาศาลเท่านั้น แต่ตอนนี้มันได้ผสานรวมเกราะของราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์เข้าไว้ด้วยกัน ในแง่หนึ่ง เกราะนั้นก็เหมือนอุปกรณ์เก็บพลังงานที่สหพันธรัฐสร้างขึ้น มันปล่อยพลังวิญญาณร้อยละเก้าสิบเก้าที่เก็บเอาไว้ออกมาในวินาทีนั้น ทำให้เกิดพลังงานที่รุนแรงพอจะสั่นคลอนสรวงสวรรค์ขึ้น พลังนั้นดูราวกับเป็นพายุ และเมื่อแพร่กระจายออกไป หวังเป่าเล่อก็ควบคุมมันเอาไว้อย่างเต็มกำลังก่อนจะซัดพลังทั้งหมดไปเบื้องหลังตน!

ที่เบื้องหลังชายหนุ่ม เมื่อวิชาดวงเนตรปีศาจถูกเรียกใช้ ดวงตาสีดำสนิทขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้น ในวินาทีที่หวังเป่าเล่อระเบิดพลังเต็มที่ออกมา เปลวไฟสีดำก็แพร่กระจายออกมาด้วย ทำให้ดวงตาสีดำสนิทนั้นชัดเจนขึ้นมา ไหนจะพลังเกือบทั้งหมดของเกราะมหาจักรพรรดิอีก ขณะที่พลังทั้งหมดไหลบ่าเข้าไป ดวงตาสีดำ…ก็ขยายใหญ่จนกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง เริ่มมีเส้นเลือดปูดโปนปรากฏขึ้นให้เห็น ดวงตานั้นดูน่าสะพรึงกลัวยิ่ง ก่อนที่มันจะระเบิดอย่างรุนแรงไปทางผู้อาวุโสฝ่ายขวา!

มีพลังสกัดกั้นที่รุนแรงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนแผ่ออกมา แม้ว่าร่างกายของผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะพร่าเลือนไปแล้วและการเคลื่อนย้ายก็ไม่อาจถูกยับยั้งได้หลังจากเรียกใช้งาน ภายใต้คำสาป ระดับปราณของชายชราตกลงไปสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะ ยิ่งไปกว่านั้น การเรียกใช้ดวงเนตรปีศาจของหวังเป่าเล่อพร้อมพลังเสริมจากเกราะมหาจักรพรรดิที่ปล่อยพลังออกมาถึงร้อยละเก้าสิบเก้า จนทำให้เกราะมหาจักรพรรดิไม่อาจถูกเรียกใช้งานได้อีกจนกว่าจะพักฟื้นสำเร็จ ก็ทำให้ร่างกายที่พร่าเลือนของชายชราเคลื่อนย้ายหนีไปไม่ได้

มันก็แค่หลังจากที่ทั้งคู่ปะทะกันไปก่อนหน้านี้จนกระทั่งเวลาล่วงเลยไป พลังของคำสาปก็ใกล้ถึงขีดจำกัดเข้าไปทุกขณะ ฉะนั้น แม้ว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะถูกดวงเนตรปีศาจปิดกั้นเอาไว้ แต่ก็เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น ภายในพริบตาชายชราก็กลับมาเป็นปกติ

แต่เพียงพริบตาก็เพียงพอแล้ว!

ในจังหวะที่ร่างกายของผู้อาวุโสชะงักก่อนจะกลับมาเป็นปกติ ก็มีเสียงปังดังขึ้น ร่างของหวังเป่าเล่อแปลงเป็นหมอกและเข้าไปปกคลุมบริเวณที่ร่างของชายชราหายไปด้วยความเร็วสูง ชายหนุ่มเข้าไปในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายพร้อมๆ กันกับอีกฝ่าย!

เช่นเดียวกับตอนที่หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาไล่ตามผู้อาวุโสฝ่ายขวาและป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายเคลื่อนย้ายหนีได้ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็รู้ว่าชายหนุ่มตามเข้ามา แต่ก็ไม่สามารถปัดป้องได้ทันเวลา พายุสุริยะเองก็ใกล้เข้ามาเต็มที ไม่ว่าจะกล้ำกลืนเพียงใด ชายชราก็ทำได้เพียงมองหวังเป่าเล่อเคลื่อนย้ายไปพร้อมกันเท่านั้น!

และทันทีที่ทั้งสองเคลื่อนย้ายออกมา แสงสว่างเจิดจ้าของพายุสุริยะก็ไหลท่วมอาณาบริเวณและกลืนกินพื้นที่ที่ทั้งสองเคยยืนอยู่ไปเสียสิ้น มันยังกินพื้นที่ไปไกลกว่านั้น และอาณาเขตที่ได้รับผลกระทบก็กว้างขึ้นทุกทีๆ หลังจากที่ขยายแนวราบผ่านไปบางจุด มันก็เริ่มจะ…เคลื่อนที่ขึ้นในแนวตั้ง!

ในเวลานั้น แม้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และผู้ฝึกตนทั้งสองฝ่ายกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ลำแสงเจิดจ้าจากดารานิรันดร์และความกลัวจากส่วนลึกในใจก็พาให้ทุกคนจ้องมองไปยังดารานิรันดร์พร้อมกัน และสีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!

ตอนนั้นเอง ปรมาจารย์มหาทัณฑ์และปรมาจารย์เต๋าใหม่ครามทองคำก็มองตากัน ก่อนจะถอยหนีพลางส่งดวงจิตเทพไปสั่งให้บรรดาศิษย์รีบถอยทันที!

หากเป็นเวลาอื่น ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คงต้องเข้าไปขัดขวาง แต่สีหน้าของชายชราขณะนี้ซีดเซียว มีแววตื่นตะลึงปรากฏขึ้นในดวงตา เขารู้ดีว่าผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวากำลังทำสิ่งใดอยู่บนดารานิรันดร์ เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงเช่นนั้น ก็เป็นการยากที่ประมุขจะนิ่งเฉยอยู่ได้ เขาไม่อยากเชื่อว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจะสามารถหนีออกมาจากสถานการณ์เช่นนั้นได้…ทว่าเมื่อได้เห็นพายุสุริยะ ชายชราก็สูญเสียความมั่นใจทั้งหมด พลางรู้สึกปั่นป่วนอยู่ในใจ

ชายชรารีบส่งข้อความเสียงไปยังเหออวิ๋นจื่อแห่งราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ทันที เมื่อเข้ารู้ว่าอำนาจสั่งการของเหออวิ๋นจื่อยังไม่กลับคืนมา ความรู้สึกไม่สบายใจก็ยิ่งหนักหนาขึ้น

แต่ไม่ว่าทุกสิ่งบนดารานิรันดร์จะดำเนินไปเช่นไร หลังจากที่ปล่อยพายุสุริยะออกมาแล้ว ประมุขสำนักก็ไม่อาจจะทำสิ่งใดได้นอกจากสงบใจเอาไว้ เขาหนีทันทีพลางใช้กำลังทั้งหมดไปกับการตั้งรับ หาไม่แล้ว…หากพายุสุริยะระเบิดก่อนที่พวกเขาจะออกไปได้ ก็อาจจะเกิดหายนะครั้งยิ่งใหญ่ขึ้นก็เป็นได้

“บัดซบ!” ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กัดฟันและปล่อยให้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์และปรมาจารย์เต๋าใหม่ครามทองคำหลบหนี ตัวเขาเองก็หลบหนีไปพลางส่งดวงจิตเทพออกไปเปิดการป้องกันในฐานที่มั่นชั่วคราวเต็มกำลัง ชายชราวางแผนจะให้ผลของพายุสุริยะเสร็จสิ้นไปก่อนแล้วค่อยสู้รบกันต่อไป

ขณะที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็อยู่ในช่วงสงบศึก ณ สถานที่หนึ่ง ไกลออกไปจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ไกลออกไปยิ่งกว่าร้านค้าตระกูลเซี่ยที่หวังเป่าเล่อไปเยือนมาก่อนหน้านี้ มีอารยธรรมหนึ่งตั้งอยู่ ชื่อว่าอารยธรรมวิญญาณโลก

เพราะอารยธรรมแห่งนี้ผลิตศิลาวิญญาณขั้นสูงสุด จึงถูกอารยธรรมครามทองคำยึดครองเอาไว้มานานหลายปีมาแล้ว ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดในอารยธรรมนั้นหากไม่ตายก็กลายเป็นทาส ในขณะที่ถูกกดขี่อยู่นั้น ดารานิรันดร์ของพวกเขา…ก็ถูกอารยธรรมครามทองคำชิงเอาไปผสานรวมกับดารานิรันดร์ของพวกเขาเอง สิ่งที่เหลืออยู่คือดารานิรันดร์ประดิษฐ์ที่หลอมขึ้นโดยอารยธรรมครามทองคำนั่นเอง

มันคือดารานิรันดร์ที่อยู่ภายนอก แต่ในความเป็นจริงแล้ว เป็นเพียงการรวมตัวกันของวงแหวนปราณจำนวนมหาศาล ขณะที่สามารถควบคุมอารยธรรมได้ทั้งหมด มันก็ยังเปลี่ยนตนเองให้เป็นเป้าหมายการเคลื่อนย้ายของอารยธรรมครามทองคำได้ด้วย ฝ่ายผู้ฝึกตนในอารยธรรมนี้นั้น โชคชะตาของพวกเขาก็พลันพลิกผัน กลายมาเป็นชาวเหมืองตั้งแต่เกิดจนตาย ผู้คนทุกรุ่นต่างก็ต้องทำงานถวายชีวิตให้อารยธรรมครามทองคำ

การยึดครองอารยธรรมเช่นนี้เป็นเรื่องปกติยิ่งในอาณาบริเวณของอารยธรรมครามทองคำ แม้ว่าอารยธรรมวิญญาณโลกจะอยู่ในดาราจักรที่สิบเก้าแห่งจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้าย แต่ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ก็ยังต้องเหาะเหินถึงพันปีเพื่อจะไปให้ถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จากที่นั่น หากไม่เปิดประตูเคลื่อนย้ายระดับจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ แต่แม้แต่อารยธรรมครามทองคำก็ไม่มีประตูเคลื่อนย้ายระดับจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ที่ว่านี้ มีเพียงผู้ที่กุมอำนาจเหนือจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นเท่านั้นที่จะมีได้ หากคนภายนอกต้องการขอยืม ราคาที่ต้องจ่ายก็สูงเสียจนกระทั่งอารยธรรมครามทองคำยังต้องตัวสั่น

เพราะอย่างไรเสีย ประตูเคลื่อนย้ายระดับจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์ก็คือการสร้างฐานที่มั่นของตนเอาไว้ในหลายๆ บริเวณเหมือนเป็นเครือข่ายวิญญาณ ยิ่งปกคลุมพื้นที่ได้มากเท่าใด ก็ยิ่งมีตัวเลือกในการเคลื่อนย้ายได้มากเท่านั้น

ทฤษฎีเบื้องหลังประตูเคลื่อนย้ายดารานิรันดร์ของอารยธรรมครามทองคำก็เช่นกัน ทว่าแม้พวกเขาจะเป็นกำลังที่น่ากลัวที่สุดในดาราจักรลำดับที่สิบเก้า แต่ก็เพียงในแง่กำลังรบเท่านั้น ในส่วนของอิทธิพลนั้น ด้วยระดับปัจจุบันของอารยธรรมครามทองคำก็ยังไม่สามารถแผ่ไปทั่วดาราจักรได้

และในวินาทีนั้น ภายในจักรวาลอันน่าเบื่อหน่ายของอารยธรรมวิญญาณโลก ก็มีแสงเจิดจ้าสว่างขึ้นในบริเวณหนึ่ง แสงนั้นเจิดจรัสอยู่ชั่ววินาทีก่อนจะกระจายไปทั่วบริเวณ และหายไปในอึดใจถัดมา

แสงดังกล่าวจางไปก่อนที่อารยธรรมวิญญาณโลกจะทันมองเห็น ทันทีที่แสงนั้นสว่างขึ้นและจากไป หมอกกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ทันทีที่ปรากฏให้เห็น มันก็พุ่งไปยังทิศทางของอวกาศที่ห่างไกลอย่างไม่รอช้า

เมื่อมันเคลื่อนที่ออกไป หมอกกลุ่มนั้นก็เริ่มจับตัวกันก่อนจะกลายเป็นร่างของหวังเป่าเล่อ ใบหน้าของชายหนุ่มซีดขาวขณะที่เร่งความเร็วขึ้น เพราะเขารู้ดีว่า…กรอบเวลาของคำสาปนั้นอาจจะผ่านไปแล้วหรือกำลังจะสิ้นสุดลง หวังเป่าเล่อต้องเริ่มวิ่งตั้งแต่ตอนนี้…

ขณะที่ชายหนุ่มเคลื่อนที่ไป ก็มีเงาร่างอีกร่างหนึ่งซวนเซออกมาจากอากาศธาตุ หลังจากที่ก่อตัวกันอย่างรวดเร็ว ก็มองเห็นว่าเป็นร่างของผู้อาวุโสฝ่ายขวาที่อยู่ในสภาพน่าเวทนา ชายชรามองเห็นร่องรอยของหวังเป่าเล่อแต่ชะงักอยู่ชั่วขณะ

แม้เขาจะสัมผัสได้ว่าคำสาปบนร่างกำลังค่อยๆ จางไปอย่างรวดเร็ว แต่ความกลัวที่มีต่อหวังเป่าเล่อก็รุนแรงถึงขีดสุดตั้งแต่ตอนที่ประมือกันบนดารานิรันดร์แล้ว แม้ว่าจิตสังหารของชายชราจะรุนแรงขึ้น แต่เขาก็ตัดสินใจเลือกความปลอดภัย

สถานที่นี้อยู่ในอาณาเขตของอารยธรรมครามทองคำและมีวงแหวนปราณดารานิรันดร์ประดิษฐ์อยู่ หลงหนานจื่อ เจ้าหนีไม่รอดหรอก! ผู้อาวุโสฝ่ายขวาหรี่ตาลงและไม่ได้วิ่งตามไป กลับกันชายชรามุ่งหน้าไปยังดารานิรันดร์ประดิษฐ์ ผู้ฝึกตนในอารยธรรมวิญญาณโลกมองว่าเขาเป็นราวเทพยดาและไม่กล้าจะเข้าใกล้

ด้วยอำนาจควบคุมที่เขามีในฐานะผู้ฝึกระดับดาวพระเคราะห์ของอารยธรรมครามทองคำ คงไม่เกินไปนักหากจะกล่าวว่าเขาเป็นเทพในหมู่อารยธรรมรองๆ ขณะที่ผู้อาวุโสพุ่งเข้าไปหาดารานิรันดร์ประดิษฐ์ของอารยธรรมวิญญาณโลก วงแหวนปราณที่ผนึกทั้งอารยธรรมเอาไว้ ซึ่งป้องกันไม่ให้มีใครเข้าออกก็โผล่ขึ้นมาบริเวณเส้นเขตแดนของอารยธรรมวิญญาณโลก!

เช่นนั้นแล้ว หากดูจากสภาพตาแก่นั่นในตอนนี้ หากเขามีวิธีที่ว่าจริง ในไม่ช้าเขาคงต้องใช้มันแน่…ขณะที่ความคิดเหล่านั้นผุดขึ้นมาในใจของหวังเป่าเล่อ ร่างกายของชายหนุ่มก็เคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว จิตสังหารระเบิดออกมาอย่างเข้มข้น และรัศมีความบ้าคลั่งจากกายเขาก็แผ่ออกไปทุกทิศทาง ชายหนุ่มเคลื่อนที่เข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็วราวกับเป็นพญามัจจุราช เกราะมหาจักรพรรดิถูกปลดปล่อยออกมา ดวงเนตรปีศาจปรากฏขึ้นและลืมตา ส่วนอาวุธเทพก็ส่องแสงสว่างเจิดจ้าราวจะแข่งกับแสงอาทิตย์ขณะที่หวังเป่าเล่อฟันเข้าใส่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาอย่างรุนแรง!

มีเสียงกัมปนาทดังก้องสะท้อนไปทั่ว ทำให้พายุสุริยะโดยรอบนั้นยิ่งพัดรุนแรงขึ้นอีก ผู้อาวุโสฝ่ายขวาส่งเสียงฮึ่มอยู่ในลำคอ พลางหยิบโล่ศิลาโบราณออกมา โล่นั้นมหัศจรรย์ยิ่ง ทันทีที่ปรากฏขึ้น มันก็ละลายเข้าปกคลุมร่างของผู้อาวุโสฝ่ายขวาเอาไว้ ทำให้ชายชราดูเหมือนกลายเป็นปีศาจศิลา

อาวุธเทพเข้าปะทะส่งเสียงคำรามดังสนั่น ผู้อาวุโสฝ่ายขวาที่กลายเป็นปีศาจศิลาไปแล้วยกมือทั้งสองขึ้นรับการโจมตีเอาไว้ แม้ว่ากายจะสั่นเทา แต่ก็ยังไม่แหลกสลายไป

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ฝ่ายผู้อาวุโสฝ่ายขวา ใบหน้าที่แท้จริงใต้ศิลานั้นซีดขาว ขณะที่ล่าถอยไปพลางรับมือชายหนุ่มไปพลาง แต่ชายชราก็ยังช้ากว่าชายหนุ่มเล็กน้อยและถูกตามทันในอึดใจต่อมา หวังเป่าเล่อฟันลงไปอีกครั้ง และแม้ว่าการโจมตีก็ยังถูกรับเอาไว้ได้ แต่ครั้งนี้แขนศิลาไม่เพียงสั่นคลอนเท่านั้น แต่กลับมีรอยร้าวปรากฏให้เห็นด้วย

“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะทำลายเจ้าไม่ได้!” รัศมีแห่งความบ้าคลั่งบนกายของหวังเป่าเล่อทวีความรุนแรงเมื่อชายหนุ่มเริ่มเปิดหน้าโจมตีรัวเร็ว เขาพุ่งเข้าไปใส่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รวดเร็วปานสายฟ้าฟาด เมื่อเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มก็กวัดแกว่งอาวุธเทพอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นภาพติดตา แล้วเขาก็ฟันลงไปอย่างจัง จนเกิดเสียงคำรามลั่นสะท้อนก้องไปทั่ว

ผู้อาวุโสฝ่ายขวาไม่ใช่คู่มือของหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อยและทำได้เพียงตั้งรับอย่างเดียวเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น การโจมตีต่อเนื่องของชายหนุ่มยังไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายโจมตีกลับและกดให้ต้องปัดป้องอยู่อุตลุด แถมยังจำกัดขีดความสามารถในการใช้พลังเทพของเขาอีกด้วย หากมองจากที่ไกลๆ ก็จะเห็นร่างของผู้อาวุโสฝ่ายขวาที่ล่าถอยไม่หยุด เลือดจำนวนมากที่กระอักออกจากปากระเหยหายไปอย่างรวดเร็ว

ภายใต้การจู่โจมต่อเนื่องของหวังเป่าเล่อ ร่างหินของผู้อาวุโสก็มีรอยแตกเพิ่มมากขึ้นทุกที และเมื่อชายหนุ่มส่งเสียงคำราม ร่างศิลานั้นก็ระเบิดเปิดออกทันใด!

การระเบิดนั้นส่งให้ผู้อาวุโสอาเจียนเอาเลือดออกมาอีกคำรบเพราะอาการบาดเจ็บนั้นหนักหนากว่าเก่า แต่ในวินาทีนั้นเอง ประกายบ้าคลั่งก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของชายชรา ดูราวกับว่าเขาใช้ร่างศิลาเพื่อซื้อเวลาในการปลดปล่อยพลังเทพออกมา

“หลงหนานจื่อ ตาข้าบ้างล่ะ!” ผู้อาวุโสพูดก่อนจะคำรามออกมาดังสนั่น

“สมบัติเวททั้งเจ็ดจากภายใน!” ใบหน้าของผู้อาวุโสฝ่ายขวาทั้งบิดเบี้ยวและชั่วร้าย แม้ว่าก่อนหน้านี้ชายชราจะอยู่ในสภาพจนตรอกและไม่อาจใช้พลังเทพได้ แต่ในที่สุดเขาก็สามารถปลดปล่อยพลังเทพออกมาได้สองเคล็ดวิชาโดยอาศัยเกราะศิลายื้อเวลาเอาไว้ เขาไม่ต้องเตรียมอะไรเลยเพื่อปลดปล่อยพลังแรกออกมา เพราะมันเป็นความสามารถเฉพาะตัวที่พร้อมใช้งานเพียงแค่นึกถึงเท่านั้น ผู้อาวุโสอดทนรับการโจมตีมาตลอดก็เพื่อใช้อีกเคล็ดวิชาหนึ่ง!

เคล็ดวิชาแรกนั้นเป็นวิชาเก็บพลังเทพที่ชายชราเตรียมเอาไว้ใช้ตั้งแต่บรรลุขั้นระดับดาวพระเคราะห์ หากไม่จำเป็นถึงขีดสุด เขาก็ไม่อยากจะใช้มัน ตอนนี้นั้นเคล็ดวิชานี้ได้กลายมาเป็นหนึ่งในไพ่ตายของเขาแล้ว

ขณะที่เสียงคำรามดังสนั่นสะท้อนอยู่ไปมา ก็มีลำแสงเจ็ดสีระเบิดออกมาจากร่างของผู้อาวุโส แม้จะมีพายุสุริยะพัดอยู่รอบกาย แต่แสงทั้งเจ็ดก็ยังส่องสว่างเจิดจ้าอยู่นั่นเอง

ทันทีที่แสงเหล่านั้นส่องสว่างออกมา มันก็กะพริบสามครั้ง ก่อนที่ลำแสงสามเส้นจะอันตรธานไป มีวงแหวนสามวงที่กำลังขยายออกอย่างรวดเร็วปรากฏขึ้นมาแทนที่ ขณะที่หวังเป่าเล่อหรี่ตาก่อนจะมีประกายประหลาดสะท้อนขึ้นมาในดวงตาของเขา วงแหวนแสงทั้งสามก็กระแทกร่างชายหนุ่มอย่างแรง

เมื่อทั้งสองมาปะทะกัน วงแหวนแสงทั้งสามก็สั่นสะท้านก่อนจะทลายไป แต่พลังที่อยู่ภายในนั้นรุนแรงอย่างยิ่ง ทำให้ร่างกายของชายหนุ่มสั่นสะท้านและกระเด็นถอยหลัง ทว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวานั้นย่ำแย่หนักกว่าอย่างเห็นได้ชัด มีเลือดพุ่งกระฉูดออกมาจากปาก ก่อนจะระเหยไปก่อนกระทบพื้นดิน ภายใต้วงคำสาปนั้น พลังปราณของชายชราต้องรับมือกับทั้งแรงสะท้อนจากการพังทลายของสมบัติเวททั้งเจ็ดจากภายใน และพายุสุริยะที่รายล้อมอยู่ ทำให้สถานการณ์ของชายชรายิ่งเสี่ยงหนักเข้าไปอีก

ทว่าผู้อาวุโสกลับระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่นขณะที่ล่าถอย ก่อนจะมีความบ้าคลั่งปรากฏขึ้นในดวงตา

“หลงหนานจื่อ ข้ายอมรับว่าเจ้านี่มันไม่ธรรมดาจริงๆ แต่ครั้งนี้…เจ้าถูกหลอกอีกแล้ว!” ผู้อาวุโสมีแววตาบ้าคลั่งขณะโบกผนึกฝ่ามือด้วยมือทั้งสองข้างก่อนจะสะบัดออกไปข้างหน้าอย่างรุนแรง ในทันใดนั้น ลำแสงอีกสี่สีนอกกายเขาก็แปรสภาพเป็นวงแหวนแสงอีกสี่วง แต่คราวนี้ไม่ได้พุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ แต่กลับระเบิดและเริ่มหมุนวนเข้าใส่สิ่งรอบข้างแทน!

การระเบิดนั้นใช้พลังทั้งหมดในกายของผู้อาวุโสฝ่ายขวา มันเป็นไพ่ตายสุดท้ายในกายเขา เมื่อมันทลายลง ก็เกิดเป็นพายุหมุนที่รุนแรงราวหลุมดำขึ้น ทันทีที่ลมหมุนก่อตัวขึ้น สิ่งรอบข้างก็ถูกดึงดูดเข้าไปทันที

ภายในบริเวณของดารานิรันดร์อันบ้าคลั่ง และภายในความเวิ้งว้างที่เต็มไปด้วยพายุสุริยะ การปรากฏขึ้นของลมหมุนนั้น…ดึงเอาพายุสุริยะโดยรอบเข้าไปหามัน ทำให้เกิดแสงสีขาวปรากฏขึ้นตรงบริเวณที่ทั้งคู่ยืนอยู่

แต่นั่นยังไม่ใช่ส่วนที่น่ากลัวที่สุด การปะทะกันของทั้งคู่อาจไปกระตุ้นดารานิรันดร์จนถึงจุดหนึ่ง ทันทีที่พายุหมุนปรากฏขึ้น…ไกลออกไปจากพวกเขาทั้งสอง แสงสว่างที่เจิดจ้าเสียจนไม่อาจบอกสีได้ก็ปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ ช่างเป็นแสงที่รุนแรงคล้ายหมอกและของเหลวในเวลาเดียวกัน แสงนั้นมีพลังอันน่าสะพรึงกลัวระดับมหาศาล ที่ไหลกวาดเข้ามาหาพวกเขาทั้งคู่จากที่ไกลๆ!

ในตอนนี้ มีประโยคเดียวที่เพียงพอจะใช้อธิบายสถานการณ์ นั่นก็คือ…มืดฟ้ามัวดิน!

หากมองจากที่ไกลๆ แสงอันยิ่งใหญ่ดูราวกับเป็นหัตถ์สวรรค์ที่พร้อมทำลายทุกสรรพสิ่ง มันกระจายออกไปอย่างไม่รู้สิ้นสุด แสงนั้นเข้าปกคลุมบริเวณ กวาดล้างเอาทุกสิ่งเข้าไปด้วยพลังอันล้นเหลือ ต่อหน้าพลังนั้น ผู้ที่มีระดับปราณไม่สูงพอก็เป็นเพียงมดปลวก พวกเขาถูกทำลายไปอย่างง่ายดาย!

หากสวรรค์และพื้นพิภพอยู่ในบริเวณนั้น ก็คงมีหน้าตาเปลี่ยนไปเป็นแน่ แสงเจิดจ้านั้นเข้ามาแทนที่ทุกสิ่งและทำให้ทุกอย่างกลายเป็นสีเดียว เพียงมองแค่ปราดเดียว นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็แสบร้อนราวกับถูกทิ่มแทง ผู้อาวุโสฝ่ายขวาเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ความตื่นตกใจถูกแสดงออกมาทางสีหน้าของเขา ตามแผนเดิม ชายชราต้องการใช้พายุหมุนนั้นเพื่อรวบรวมพลังของดารานิรันดร์ที่อยู่ในบริเวณเพื่อสร้างระเบิดขนาดใหญ่พอที่จะจัดการหลงหนานจื่อได้ เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าแผนนั้นจะทำให้สถานการณ์พลิกผันไปจนเลวร้ายเช่นนี้!

นั้นเพราะแสงเจิดจ้านั้น…ก็คือพายุสุริยะเช่นกัน!

พลังของมันรุนแรงพอที่จะทำลายทุกสรรพสิ่ง ผู้ที่ระดับปราณไม่ถึงระดับดาวพระเคราะห์ หากสัมผัสมันเข้าไปก็เท่ากับตายสถานเดียว!

ผู้อาวุโสฝ่ายขวามีใบหน้าซีดเซียว ก่อนจะหยุดวางแผนไปชั่วขณะ เขาคว้าไปที่มือขวาของตนอย่างไม่รอช้า อึดใจต่อมา มือขวาของชายชราก็ระเบิด เลือดและเนื้อที่กระจายออกไปถูกความร้อนสูงในบริเวณนั้นทำลายแทบจะในทันที แต่ขณะเดียวกันก็มีประกายแสงการเคลื่อนย้ายแพร่ออกมาจากภายใน แผนที่ดวงดาวรางๆ ปรากฏขึ้นมา บนแผนที่ดวงดาวนั้นเผยให้เห็นจุดแสงนับพัน แสงแต่ละจุด…เหมือนจะแสดงให้เห็นดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์ของอารยธรรมนี้

สิ่งนี้…คือสาเหตุที่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ใช้เกราะศิลาในการซื้อเวลาก่อนหน้านี้ เป็นหนึ่งในสองไพ่ตายที่เขาใช้ มันคือ…พลังเคลื่อนย้ายของดารานิรันดร์ที่ถูกผนึกเอาไว้ในมือขวา โดยมีรากฐานมาจากดารานิรันดร์ของอารยธรรมครามทองคำ!

การเคลื่อนย้ายนี้สามารถพาผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ของอารยธรรมครามทองคำกลับไปสู่ตำแหน่งภายในอารยธรรมได้จากภายนอก ทุกๆ อารยธรรมที่เป็นจุดแสงอยู่นั้นเป็นเมืองขึ้นของอารยธรรมครามทองคำทั้งสิ้น

อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ยังไม่เสียดินแดนให้อารยธรรมครามทองคำ จึงไม่ได้อยู่ในอาณาเขตนั้น ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปมาระหว่างกันได้ พวกเขาจึงต้องใช้ราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์เพื่อเปิดดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ให้กองทัพอารยธรรมครามทองคำลงมาจุติได้

แผนของผู้อาวุโสฝ่ายขวาคือใช้สมบัติเวททั้งเจ็ดจากภายในเพื่อให้สถานที่นี้อันตรายยิ่งกว่าเก่า ถึงขนาดที่จะกำจัดหวังเป่าเล่อไปได้ ในขณะเดียวกัน ชายชราก็จะใช้การเคลื่อนย้ายดารานิรันดร์เพื่อหนีออกจากดารานิรันดร์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เมื่อถึงนาทีอันตรายถึงตาย!

เขาต้องเลือกเป้าหมายของการเคลื่อนย้าย แต่เพราะผู้อาวุโสกำลังตกอยู่ในอันตราย จึงเลือกตำแหน่งไปแบบสุ่มๆ อึดใจต่อมา ร่างของเขาก็เริ่มจางลง!

แต่ทันทีที่เงาร่างของเขาเริ่มพร่าเลือน พร้อมๆ กับที่พายุสุริยะพัดโหมเข้ามา ประกายแสงก็สะท้อนวาบขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่อ!

“ข้านึกว่าเจ้าจะรออีกสักหน่อยก่อนจะหนีเสียอีก!”

บทที่ 883 ดารานิรันดร์ที่ล่มสลาย!

พลังปราณของชายหนุ่มระเบิดกระจายออกมา ดวงเนตรปีศาจลืมตาตื่น ด้วยการเสริมพลังจากเกราะจักรพรรดิและพลังจากอาวุธเทพทำให้การฟาดฟันนั้นสั่นคลอนทั้งฟ้าดิน ต้านทานหมอกโลหิตเอาไว้ได้และฟันขาดครึ่งเป็นสองส่วน ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้ม เลือดสดๆ กระอักออกมาจากมุมปาก แรงปะทะสั่นสะเทือนไปรอบด้าน กระตุ้นให้พายุสุริยะบนดารานิรันดร์โหมกระหน่ำขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะพัดกระจายไปทั่วเหมือนน้ำพุปะทุขึ้นในทันใด

พลังระเบิดรุนแรงมากจนราวกับว่าจะสามารถทำลายได้ทุกสิ่ง สีหน้าของหวังเป่าเล่อพลันแปรเปลี่ยน แม้แต่ผู้อาวุโสฝ่ายขวายังต้องหรี่ตาและถอยกลับไปเล็กน้อย ดวงตาของเขาส่องประกายขณะตั้งผนึกฝ่ามือด้วยมือทั้งสองข้างและโจมตีออกไปทั่วทิศทางพร้อมถอยหลังกลับ การโจมตีเหมือนจะสุ่มไปมั่วๆ แต่ก็ได้ผลอย่างยิ่งยวด!

นั่นเพราะ…เมื่อเขาทำการโจมตี พายุสุริยะที่โหมกระหน่ำก็ได้รับการกระตุ้นอีกครั้งและระเบิดออกเป็นวงกว้าง เข้าเขมือบหวังเป่าเล่อไว้ภายใน

ผู้อาวุโสฝ่ายขวาร้องคำราม เขาแสยะยิ้มขึ้นที่มุมปากขณะกำลังใช้พลังทั้งหมดในการป้องกันตนเอง

“เหออวิ๋นจื่อบอกว่า ถ้าไม่มีอำนาจควบคุม คนที่ได้ฝึกวิชาดวงเนตรสวรรค์ก็ไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆ บนดารานิรันดร์นี้ หลงหนานจื่อ อย่าคิดว่าเจ้าแตกต่างไปจากใครคนอื่นที่นี่…ครั้งนี้ ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งเสีย!”

“บ้าชะมัด!” หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังเทพทั้งหมดที่มีด้วยสีหน้าราบเรียบเข้าต้านทานพายุสุริยะที่ตรงเข้ามากลืนกินไปพร้อมกับรีบรุดถอยหนี เขาตระหนักขึ้นมาในตอนนั้นว่าน่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะหาจุดอ่อนเพื่อหลบหนีออกไป ชายหนุ่มไม่สามารถขยายสัมผัสสวรรค์ออกไปได้เพราะความรุนแรงของพายุ

แม้จะดูเหมือนว่าเขาสามารถต้านทานการโจมตีของผู้อาวุโสฝ่ายขวาได้ แต่คลื่นความร้อนที่พายุสุริยะสร้างมาก็ทำให้ชายหนุ่มสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็เจอแต่แสงจ้าบดบังสายตา นอกจากนี้ ร่างกายของหวังเป่าเล่อเหมือนจะเกิดการปริแตกและแทบระเหิดหายไปเมื่อพายุเข้ากลืนกิน

ต้องทุ่มทุกอย่างที่มี! เมื่อตระหนักว่าไม่สามารถหลบได้ หวังเป่าเล่อก็ร้องคำรามเมื่อเกราะจักรพรรดิเข้าเสริมพลังให้เขาราวกับมันได้ก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเอง ดวงเนตรปีศาจเบื้องหลังขยายใหญ่และแปรสภาพเป็นดวงเนตรปีศาจจำนวนมากที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม แม้แต่เปลวไฟสีดำในร่างก็พัดกระจายไปรอบด้าน ชายหนุ่มทุ่มทุกอย่างที่มี ร่างของเขาและผู้อาวุโสฝ่ายขวากำลังจะถูกพายุสุริยะที่พุ่งเข้ามากลืนกินในไม่ช้า

พายุพัดผ่านพวกเขาไปอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาไม่ถึงชั่วสิบอึดใจ ก่อนจะพัดกระจายจากบริเวณที่ทั้งสองอยู่ออกไปยังจักรวาลที่อยู่ห่างไกล เมื่อพลังพายุสุริยะพัดกระจายไป ร่างของหวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ปรากฏให้เห็นจากภายใน

ผู้อาวุโสฝ่ายขวาสั่นระริกไปทั่วร่าง รอบกายมีสมบัติเวทจำนวนมากช่วยคุ้มกัน ร่างของเขาซูบลงไปอย่างเห็นได้ชัดขณะที่สมบัติเวทมากมายสลายกลายเป็นฝุ่นผง ความหวาดกลัวฉายวาบขึ้นในแววตา พอได้สัมผัสพายุเมื่อครู่ก็รู้สึกว่าตนเองคิดผิดไป แม้เขาจะเป็นผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ แต่พลังมหาศาลเมื่อครู่ก็ทำให้หัวใจและกล้ามเนื้อทุกส่วนสั่นรัว

ถ้าหลงหนานจื่อไม่ตาย ก็ต้องบาดเจ็บหนัก! แม้จิตใจจะยังสั่นเทิ้ม เขาก็ยังหันไปทางหวังเป่าเล่อ แต่เมื่อเลื่อนสายตาไป ดวงตาของผู้อาวุโสก็ต้องเบิกกว้าง

ความจริงที่เห็นนั้น…แม้หวังเป่าเล่อจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก แต่ชายหนุ่มกลับไม่ได้บาดเจ็บหนักเหมือนที่คิดเอาไว้ แท้จริงแล้ว หลังจากพายุพัดกระจายออกไป หวังเป่าเล่อกลับปลดปล่อยพลังเต็มพิกัดหลบหนีออกไปไกลในชั่วพริบตา

หืม หรือเจ้านั่นจะมีสมบัติเวทบางอย่าง…แต่บนดารานิรันดร์แห่งนี้ ไม่ว่าสมบัติเวทจะแกร่งกล้าเพียงใดก็ไม่มีทางทานทนได้นาน! เมื่อคิดย้อนไปว่าหวังเป่าเล่อมีเรือบินรบเวทมากมาย ชายหนุ่มก็น่าจะมีสมบัติสำหรับป้องกันสักชิ้นสองชิ้น ดังนั้นผู้อาวุโสฝ่ายขวาจึงไม่ได้คิดอะไรต่อให้มากความ ก่อนจะกัดฟันออกไล่ตามไป!

แต่ผู้อาวุโสไม่ได้รู้เลยว่า…หวังเป่าเล่อในตอนนี้มีคลื่นยักษ์ถาโถมอยู่ในใจ นั่นก็เพราะ…พายุสุริยะเมื่อครู่นั้นแม้จะดูน่าพรั่นพรึง แต่หลังจากระเบิดไปรอบบริเวณ กลับไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่เขาคิดเอาไว้!

อธิบายให้ชัดเจนคือชายหนุ่มมีพลังต้านทานบางอย่างในร่างกายที่สามารถต้านทานพลังเกือบครึ่งของพายุสุริยะที่เข้ามากลืนกิน ทำให้เขาสามารถทานทนพายุได้

เกิดอะไรขึ้นกัน

ผู้อาวุโสฝ่ายขวาไม่ใช่คนเขลา เขาบอกว่าวิชาดวงเนตรปีศาจใช้ไม่ได้ผลที่นี่ก็ต้องเป็นเช่นที่เขาว่าสิ เพราะเหออวิ๋นจื่อก็ได้ฝึกวิชาดวงเนตรปีศาจเช่นกัน อีกอย่างพวกเขาเคยยึดดารานิรันดร์แห่งนี้ ดังนั้นจึงสามารถทดสอบดูตอนไหนก็ได้

ถ้าไม่เป็นเช่นที่ว่า ผู้อาวุโสฝ่ายขวาคงไม่ตามมาใกล้เช่นนี้ เขาต้องมั่นใจว่าท่ามกลางภัยอันตรายในระดับเท่ากันนี้ ข้าจะต้องตายก่อนเขา…

เช่นนั้น…ทำไมพลังพายุสุริยะครึ่งหนึ่งถึงไม่เป็นผลตอนที่กลืนกินข้า หรือเป็นเพราะเปลวไฟสีดำ ไม่ใช่ ตอนที่ข้าสกัดเปลวเพลิงดารานิรันดร์ออกมา ถึงเปลวไฟสีดำจะมีผลบ้าง แต่ก็ไม่ได้มากอะไร ถ้าอย่างนั้น…ก็เป็นไปได้แค่อย่างเดียว!

…………………..

บทที่ 884 ทางเดียวคือต้องสู้!

หวังเป่าเล่อไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มมั่นใจว่าวิชาดวงเนตรปีศาจช่วยลดทอนพลังครึ่งหนึ่งของพายุสุริยะไป ถึงกระนั้นก็ใกล้ถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว แม้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์และน่าจะมีหนทางในการลดทอนพลังไปบ้าง สุดท้ายแล้วอีกฝ่ายก็ต้องอ่อนแอกว่าชายหนุ่ม

ดังนั้น…ถ้าหวังเป่าเล่อรู้สึกว่าใกล้ถึงขีดจำกัดของตนเองแล้ว ผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ต้องใกล้ถึงขีดจำกัดด้วยเช่นกัน!

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเขาหันไปมองผู้อาวุโสฝ่ายขวา สภาพปัจจุบันของอีกฝ่ายนั้นดูเลวร้ายอย่างเห็นได้ชัด เส้นผมหายไปจากหัวหมด ร่างกายซูบเซียวจนดูเหมือนโครงกระดูก พลังปราณที่แผ่ออกมาก็ดูอ่อนแรงลง เงามายาของดาวเคราะห์ปรากฏอยู่ด้านนอกร่างกายของผู้อาวุโส และดูเหมือนกำลังจะแหลกสลาย

ทั้งหมดพิสูจน์ได้จากความคลุ้มคลั่งและการไม่ยอมรับที่ฉายชัดในแววตาของชายชรา ผู้อาวุโสฝ่ายขวาไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่ามีบางอย่างผิดปกติและสังเกตเห็นว่าหวังเป่าเล่อสามารถลดทอนพลังดารานิรันดร์ได้ การลดทอนพลังดังกล่าวไม่ได้มาจากสมบัติเวท แต่เป็นพลังของชายหนุ่มเอง!

ผู้อาวุโสตระหนักเรื่องนี้ช้าเกินไป แต่นั่นก็ไม่ใช่ความผิดของเขา ถ้าหวังเป่าเล่อพยายามซ่อนเรื่องนี้ไว้ด้วยการกระอักเลือดสดๆ และร้องครวญครางออกมาเป็นพักๆ ขณะหลบหนีเพื่อตบตา ผู้อาวุโสฝ่ายขวาย่อมสามารถมองออกได้ทันทีว่าเป็นกับดัก

แต่หวังเป่าเล่อกลับเงียบมาโดยตลอดและพุ่งทะยานออกไปอย่างดุดัน การกระทำของชายหนุ่มทำให้ผู้อาวุโสมองออกได้ยากว่ามีอะไรไม่ชอบมาพากล กระนั้นเขาก็ตอบโต้อย่างรวดเร็ว หลังจากมองพิจารณาหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสก็เริ่มถอยหนีออกห่างอย่างไม่ลังเลใจ เขาไม่ได้แค่หนี แต่ยังยกมือสองข้างตั้งผนึกฝ่ามือขณะถอยออกห่าง พยายามสร้างพลังผนึกป้องกันไม่ให้หวังเป่าเล่อหลบหนีออกไปได้เหมือนเช่นตนเองโดยเลือกที่จะลงมือก่อน

“หลงหนานจื่อ เจ้าเล่ห์นักหรือ ข้ายอมรับว่าข้าสะเพร่าเกินไป แต่…ในเมื่อเจ้าเลือกเข้ามาที่นี่ ก็เท่ากับว่าเจ้าได้เลือกที่จะจบชีวิตแล้ว ข้าไม่ต้องโจมตีอะไรเจ้ามาก แค่กันไม่ให้เจ้าออกไปได้ก็เพียงพอแล้ว!” เมื่อผู้อาวุโสฝ่ายขวาคว่ำฝ่ามือลง พลังเทพก็ปะทุออกมา ผนึกมือขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นและพุ่งไปปะทะหวังเป่าเล่อ

“ในหมู่ผู้ฝึกตน สิ่งสำคัญที่สุดคือระดับการฝึกตน ข้าอยู่ระดับดาวพระเคราะห์ ส่วนเจ้าอยู่แค่ขั้นจิตวิญญาณอมตะ บนดารานิรันดร์แห่งนี้ ขอแค่ข้าทนอยู่ได้นานกว่าเจ้า เจ้าก็ต้องจบชีวิตลงที่นี่แน่!”

ดวงตาของผู้ฝึกตนฝ่ายขวาส่องประกายคลุ้มคลั่งขณะที่พลังปราณระเบิดออกมาจากทั่วร่าง ในฐานะที่เป็นทั้งผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์และเป็นผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาจึงผ่านการต่อสู้มามากมายและกลายเป็นคนเด็ดขาด ตอนนั้นเขาไม่สนใจอีกต่อไปว่าดาวเคราะห์ของตนจะเริ่มปริแตกขณะพยายามจัดการหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสต้องการเปลี่ยนความคิดที่จะเข้าไปใกล้ชั้นดารานิรันดร์ของชายหนุ่มให้กลายเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายต้องนึกเสียใจเพราะมันเปรียบเหมือนเป็นการฆ่าตัวตาย!

“จริงหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตา รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า แม้รอยยิ้มนั้นจะดูไร้ซึ่งอารมณ์ แต่ก็เปี่ยมไปด้วยความเหี้ยมโหด

“แล้วจะเป็นอย่างไรถ้าเจ้าไม่ใช่ระดับดาวพระเคราะห์อีกต่อไป” หวังเป่าเล่อพูด แววเย็นเยียบฉายวาบขึ้นในตา ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นรอไว้ก่อนแล้ว ในมือของเขา…มีแผ่นหยกอยู่!

“สาป!” หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะปล่อยพลังปราณไปผสานรวมกับแผ่นหยกในมือ ทำให้แผ่นหยกสั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมปลดปล่อยด้ายสีดำจำนวนมากออกมา ด้ายสีดำเป็นเหมือนใยแมงมุม ทันใดที่ปรากฏมันก็พุ่งเป้าไปที่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ไม่สนใจพายุดารานิรันดร์ในบริเวณ พุ่งตรงไปยังจุดระหว่างคิ้ว หมายจะเข้ากลืนกิน!

“นี่มัน…” ผู้อาวุโสฝ่ายขวาหน้าซีดเผือดในทันใด สัญญาณอันตรายซึ่งเกินกว่าที่ดารานิรันดร์ทำให้ชายชรารู้สึกระเบิดขึ้นภายในใจ เขาสังหรณ์ใจว่าจะให้ด้ายนั่นเข้าใกล้ไม่ได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นจะต้องจบชีวิตลงเป็นแน่

ขณะที่กำลังตื่นตกใจสุดขีด ผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ตั้งผนึกฝ่ามือด้วยมือทั้งสองข้างและปล่อยพลังเทพออกไปต้านทานไว้ นอกจากนี้ยังปล่อยสมบัติเวทมากมายออกมาช่วยอีกแรง

แต่ก็ไม่เป็นผล!

ด้ายดำเคลื่อนตัวทะลุผ่านพลังเทพและสมบัติเวทของผู้อาวุโสฝ่ายขวา ระหว่างเคลื่อนตัวผ่าน ด้ายก็มีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ก่อนจะกลายเป็นจุดสีดำพุ่งตรงไปยังหว่างคิ้วของผู้อาวุโสฝ่ายขวา ไม่เปิดโอกาสให้เป้าหมายได้ตอบโต้อะไร เหมือนว่าทุกอย่างได้กำหนดไว้แล้ว พริบตาต่อมา…ด้ายดำก็ปรากฏตัวฝังอยู่ตรงช่องว่างระหว่างคิ้วของชายชรา

เสียงสั่นสะเทือนดังกึกก้อง ร่างผู้อาวุโสสั่นเทิ้มรุนแรงขณะที่เขากรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ผนึกและฝ่ามือมายาตรงหน้าที่เพิ่งปล่อยไปสลายหายไปทันที ขณะที่กรีดร้องอยู่นั้น พลังปราณของเขาเหมือนจะโดนยับยั้งไว้ จุดสีดำตรงหว่างคิ้วเปล่งแสง ก่อนจะกะพริบติดต่อกันเก้าครั้ง พลังปราณของผู้อาวุโสลดทอนจากระดับดาวพระเคราะห์…ลงมาเป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์!

สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นแตกต่างจากตอนที่หวังเป่าเล่อใช้คำสาปจัดการกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายไปเป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น ครั้งนี้น่าตื่นตะลึงกว่ามาก เพราะเป็นการลดทอนพลังปราณจากระดับดาวพระเคราะห์ และนี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดหวังเป่าเล่อจึงไม่ยอมใช้คำสาปนี้กับผู้อาวุโสฝ่ายขวาก่อนหน้านี้

เขารู้ว่าการจะทำให้ระดับพลังปราณของผู้อาวุโสฝ่ายขวาตกลงได้นั้น จะต้องจัดการในตอนที่อีกฝ่ายอยู่ในสภาพไม่สู้ดี จึงเป็นเหตุให้…ชายหนุ่มเลือกเข้าไปใกล้ชั้นดารานิรันดร์ ทั้งหมดนี้…เขาทำไปเพราะ…วางแผนจะใช้คำสาปนี้!

“ตอนนี้เจ้าไม่ใช่ระดับดาวพระเคราะห์อีกต่อไป ทีนี้ก็มาดูกันว่าใครจะทนอยู่ได้นานกว่ากัน กลัวว่าเจ้าจะไม่ได้อยู่รอดแข่งขันกันกับข้าเพราะจะตายด้วยน้ำมือข้าไปเสียก่อน” จิตสังหารปรากฏขึ้นในดวงตาหวังเป่าเล่อขณะที่เขาขยับตัวพุ่งตรงไปทางผู้อาวุโสฝ่ายขวาที่กำลังถอยหนีพร้อมกรีดร้องเสียงลั่น!

การเปลี่ยนแปลงกะทันหันที่เกิดขึ้นทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาไม่รู้ว่าจะต้องตอบโต้อย่างไร เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าหลงหนานจื่อที่อยู่ตรงหน้าจะมีเคล็ดวิชาน่าพรั่นพรึงเช่นนี้อยู่

โดยเฉพาะเมื่อชายชรานึกถึงภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมา ขณะที่ร้องครวญครางจากความปวดร้าวราวกับวิญญาณกำลังถูกบดขยี้ ภาพแผนการวางกับดักและการต่อสู้กับหวังเป่าเล่อก็ปรากฏขึ้นในหัว ขณะเดียวกันเขาก็กำลังถอยหนีไปด้วยความหวาดกลัว

ทั้งฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ของหวังเป่าเล่อ การที่ชายหนุ่มทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายต้องบาดเจ็บหนัก การถ่วงเวลาผู้อาวุโสฝ่ายขวาไว้ทำให้ไม่สามารถตั้งผนึกใหม่ได้ทันเวลา ทั้งหมดรวมกับการที่ชายหนุ่มทำให้พายุสุริยะปั่นป่วน ส่งผลให้ผู้อาวุโสไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้ และต้องไล่ตามชายหนุ่มด้วยการปลดปล่อยพลังปราณ…

หลังจากนั้น หลงหนานจื่อก็เปลี่ยนทิศทางและมุ่งตรงไปยังชั้นดารานิรันดร์ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาคิดว่าตนเองมองแผนการของหลงหนานจื่อได้ทะลุปรุโปร่งและมีแผนโต้ตอบเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายไว้พร้อมแล้ว แต่สุดท้าย…เขาก็พบว่าอีกฝ่ายยังมีเล่ห์กลซ่อนไว้อีก เป้าหมายของหลงหนานจื่อคือทำให้ตนอ่อนแอลงและปล่อยคำสาปน่าสะพรึงกลัวใส่

จากที่เคยคิดว่าถือไพ่เหนือกว่ากลับต้องตกเป็นรองในทันใด การคำนวณและกลยุทธ์เช่นนี้ทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาตื่นกลัวขึ้นมาจับจิต ก่อนหน้านั้น เขาก็ไม่ได้มองว่าหลงหนานจื่อเป็นคู่ต่อสู้ที่อ่อนแอ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะยังประเมินอีกฝ่ายต่ำไปอยู่ดี

แต่ผู้อาวุโสก็รู้ตัวช้าไป และผลกระทบที่ตามมานั้นหนักหนาทีเดียว ขณะที่ความคิดมากมายฉายชัดขึ้นในหัว ร่างผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็กระตุกเกร็งจากการที่ต้องฝืนทนกับความเจ็บปวดที่ออกมาจากวิญญาณ เขารีบถอยหนีอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้ล้มเลิกความคิดที่จะสังหารหวังเป่าเล่อ แม้จะตื่นกลัวอยู่มากเพียงใด จิตสังหารก็ทวีคูณเพิ่มขึ้นเช่นกัน!

ข้าจะทุ่มทุกอย่างที่มี จะปล่อยให้คนเช่นนี้มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้!

แม้จะรู้ว่าตนเองตกหลุมพรางและอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง แต่เขาก็ยังมีไพ่ตายที่จะพลิกสถานการณ์กลับมาได้!

หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะมีกลยุทธ์อื่นใดหลงเหลืออยู่อีก แม้อีกฝ่ายจะยังมีไพ่ตายอะไรเหลืออยู่ก็คงไม่มีทางพลิกสถานการณ์ในตอนนี้ได้ เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่าคำสาปมีผลสูงสุดแค่สิบห้านาที ไม่ว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะมีวิธีการอะไร เมื่อคำสาปหมดฤทธิ์ เขาก็ต้องพบภัยอันตรายอยู่ดี

จะหนีก็ไม่ได้ เพราะหากยังติดอยู่ในดารานิรันดร์แห่งนี้ อนาคตต่อไปต้องมืดหม่นแน่ และคงจะถูกไล่ตามมาไม่เร็วก็ช้า นอกจากนี้ วิธีนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่หวังเป่าเล่อมักจะเลือกทำ

ดังนั้น…ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสู้!

ชายหนุ่มไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะไม่ตื่นกลัวเมื่อตกอยู่ในสภาพเดียวกับเขา ซึ่งก็คือไม่สามารถออกจากดารานิรันดร์แห่งนี้ได้เพราะได้ทำลายจุดอ่อนของที่นี่ไปเองตอนที่ไล่ตามมา พายุสุริยะบนดารานิรันดร์ปั่นป่วนหนักทำให้ทั้งสองไม่สามารถใช้สัมผัสสวรรค์ได้ ภัยอันตรายล้อมรอบตัว การจะหาจุดอ่อนของพลังธรรมชาติจุดอื่นให้เจอเป็นเรื่องที่เสี่ยงมาก!

ยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไป ก็ยิ่งออกจากที่แห่งนี้ได้ยากยิ่งขึ้น

เว้นเสียแต่…ผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะมีวิธีอื่นที่ใช้ออกจากที่แห่งนี้ตอนไหนก็ได้ จึงกล้าตัดสินใจไล่ตามข้ามา!

อาจกล่าวได้ว่าถึงแม้ผู้อาวุโสฝ่ายขวานั้นตอบโต้ช้าเกินไปเล็กน้อย แต่หลังจากที่เขาใจเย็นลง การตัดสินใจและการกระทำของผู้อาวุโสก็ถือเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสถานการณ์ในปัจจุบัน

ทันทีที่หวังเป่าเล่อเห็นเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็พลันเหยเก จุดอ่อนที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเผยให้เห็นเมื่อครู่ไม่น่าจะคงอยู่อีกต่อไปในสภาพพายุสุริยะเช่นนี้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีทางหยุดการกระทำของผู้อาวุโสฝ่ายขวาได้ จิตสังหารแผ่ไปทั่วร่างของเขาในบัดดล ที่ทำได้ในตอนนี้มีเพียงปลดปล่อยพลังปราณอีกครั้งและขยายรอยแยกบนฟองอากาศสีรุ้งให้กว้างขึ้นด้วยการระเบิดของเรือบินรบเวท รอยแยกขยายใหญ่จนได้ยินเสียงปริแตก ทันใดนั้น ฟองอากาศก็แตก!

จังหวะที่ฟองอากาศแตก ร่างของหวังเป่าเล่อก็กลายเป็นหมอกพุ่งออกจากฟองอากาศที่แตกร้าว เมื่อกลับมารวมตัวใหม่ด้านนอกอีกครั้ง ชายหนุ่มก็เรียกเรือบินรบเวทระเบิดตัวเองกว่าร้อยลำออกมา ขณะที่กองเรือบินรบมุ่งไปทางผู้อาวุโสฝ่ายขวา หวังเป่าเล่อกลับเลือกที่จะพุ่งไปอีกทางโดยไม่ลังเลใจ

ตอนนี้ชายหนุ่มเหลือเรือบินรบเวทประมาณสามร้อยลำในกระเป๋าคลังเก็บ หลังจากหลบหนีออกจากฟองอากาศได้ หวังเป่าเล่อก็ปล่อยเรือบินรบออกมาจำนวนมากและสั่งการให้ระเบิด เขาไม่ได้ทำไปเพราะต้องการขัดขวางผู้อาวุโสฝ่ายขวา นั่นเพราะการระเบิดทำลายตัวเองของเรือรบกว่าร้อยลำไม่มีทางขัดขวางผู้อาวุโสฝ่ายขวาได้

จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาคือ…ทำให้พลังที่ปั่นป่วนของดารานิรันดร์และพลังของดวงอาทิตย์แกร่งกล้าและรุนแรงขึ้นไปอีก ชายหนุ่มต้องการทำให้ดารานิรันดร์ที่เป็นดังอสูรร้ายโกรธเกรี้ยวยิ่งขึ้นเพื่อให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาไม่สามารถรับมือได้ไหว!

นี่เป็นหนทางเดียวที่หวังเป่าเล่อคิดออก!

เนื่องจากสถานการณ์ในตอนนี้ชายหนุ่มตกเป็นรอง เขาจึงตั้งใจจะพลิกให้เป็นรองเหมือนกันทั้งสองฝ่าย วิธีนี้…จะช่วยแก้ไขสถานการณ์ได้ในระดับหนึ่ง!

ผู้อาวุโสฝ่ายขวาที่กำลังจะพุ่งทะยานออกไปพลันหน้าเปลี่ยนสีเมื่อเห็นกองเรือบินรบ ดวงตาฉายแววมืดหม่น ที่รู้สึกหม่นหมองไม่ใช่เพราะระดับพลังปราณหรือพลังยุทธ์ของหวังเป่าเล่อ แต่เป็นเพราะ…การที่ชายหนุ่มสามารถคิดหาแผนการได้อย่างรวดเร็ว

แสดงให้เห็นว่าหลงหนานจื่อที่เผชิญหน้ากับเขาอยู่นั้นเป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง ขณะเดียวกันก็เป็นคนดุดันเช่นกัน หากผู้ฝึกตนเช่นนี้ยังมีชีวิตอยู่ ใครหน้าไหนมาทำลองดีชายหนุ่มเข้าคงต้องปวดหัวหนักเป็นแน่

จิตสังหารในใจผู้อาวุโสฝ่ายขวาทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น เขาจะปล่อยให้คู่ต่อสู้เช่นนี้หนีรอดออกไปไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้ว เมื่อใดที่อีกฝ่ายบรรลุไประดับดาวพระเคราะห์ เมื่อนั้นชายหนุ่มจะกลายเป็นภัยคุกคามต่อตนเองในอนาคต

คิดได้เช่นนั้น ดวงตาของผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ฉายแววอาฆาต แม้จะอยู่ภายใต้ไอความร้อนสูงที่พัดกระจายไปทั่วดารานิรันดร์ พายุที่โหมกระหน่ำเข้าใส่ และเบื้องหน้าที่ไม่เห็นอะไรนอกจากแสงจากเปลวเพลิง เขาก็ยังร้องคำรามลั่นและออกไล่ล่าตามหวังเป่าเล่อไป!

ขณะเดียวกันนั้นเอง ด้านนอกดารานิรันดร์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ บนสนามรบระหว่างสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ และสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ การต่อสู้กำลังดำเนินมาถึงจุดเดือด ขณะที่พวกเขาโจมตี ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็รู้สึกคลางแคลงใจขึ้นมาอย่างหยุดไม่ได้ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะ…ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยมาก

ขณะที่การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ทั้งสองฝั่งเริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่ใช่เพียงคนเดียวที่รู้สึกเช่นนั้น ปรมาจารย์เต๋าใหม่ที่ประมือกับผู้อาวุโสฝ่ายขวาอยู่กลับรู้สึกชัดเจนยิ่งกว่า

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์รู้สึกคลางแคลงใจหนักขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ปรมาจารย์เต๋าใหม่ถอยกลับก่อนจะร้องคำรามลั่นและจ้องผู้อาวุโสฝ่ายขวาจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ด้วยใบหน้าน่ากลัว

“เจ้าไม่ใช่ผู้อาวุโสฝ่ายขวา เจ้าเป็นใครกันแน่!”

ทันใดที่พูดจบ ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็หัวเราะขึ้น

“ดูออกด้วยสินะ แต่ก็สายไปแล้ว!” สิ้นเสียงของประมุขสำนัก ผู้อาวุโสฝ่ายขวาที่อยู่ด้านข้างเขาก็ยกมือซ้ายโบกผ่านใบหน้าตนเอง ทันใดนั้น แสงก็ส่องออกมาจากร่างที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปของเขา ครู่ต่อมา…เงาที่ปรากฏต่อหน้าทุกคนก็พลันเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง!

คนผู้นี้ไม่ใช่ผู้อาวุโสฝ่ายขวา แต่เป็นหญิงชราหน้าไร้อารมณ์ ตรงหว่างคิ้วมีหนอนสีดำที่ฝังร่างกว่าครึ่งในตัวของนางอยู่ หนอนนั้นดิ้นไปมา เหมือนจะความคุมความคิดและการกระทำทั้งหมดของหญิงชราไว้!

ทันทีที่หญิงชราปรากฏตัว ปรมาจารย์มหาทัณฑ์และปรมาจารย์เต๋าใหม่ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่สามารถเก็บความกังวลของตนเองเอาไว้ได้เมื่อแผนการทั้งหมดไม่เป็นไปตามที่คิดไว้ ส่วนปรมาจารย์เต๋าใหม่ร้องลั่นขึ้นมาด้วยความตื่นตกใจ

“สหายแห่งเต๋าอู๋อวิ๋น!”

หญิงชราคนนั้น…คือปรมาจารย์สำนักผนึกผังดาวหกแฉก ในการต่อสู้ครั้งก่อน สำนักผนึกผังดาวหกแฉกถูกทำลายจนสิ้นซาก มีข่าวลือว่านางหายตัวไปหลังจากหลบหนี แต่เมื่อนางมาปรากฏตัวเช่นนี้ก็หมายความว่า…นางไม่ได้หายตัวไป แต่ถูกจับเป็นและหลอมให้กลายเป็นเหมือนหุ่นเชิด!

แท้จริงแล้ว หญิงชราจากสำนักผนึกผังดาวหกแฉกนั้นเป็นไพ่ตายของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หลังจากจับนางไปในการต่อสู้ครั้งก่อน ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ตัดสินใจผนึกนางไว้และส่งกลับไปที่ประตูภูเขาของอารยธรรมครามทองคำ เขาตั้งใจจะใช้วงแหวนปราณของประตูภูเขาเพื่อใช้กระบวนเวทหลอมนางโดยเปลี่ยนนางให้กลายเป็นโอสถระดับดาวพระเคราะห์ หากทำเช่นนั้น เมื่อกินเข้าไปและปล่อยให้โอสถออกฤทธิ์ ระดับพลังปราณจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก หากผู้ฝึกตนคนอื่นได้กิน ก็มีโอกาสสูงมากที่ผู้ฝึกตนคนนั้นจะบรรลุไประดับดาวพระเคราะห์

แม้วิธีนี้จะไม่ใช่วิธีที่เหมาะสมและมีข้อเสียมากมาย แต่ก็เป็นวิธีที่จะทำให้ผู้ฝึกตนได้ครอบครองพลังยุทธ์ระดับดาวพระเคราะห์

แต่ติดปัญหาตรงที่ว่า…ตอนที่พวกเขาตกเป็นรอง โดยเฉพาะเมื่อผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายได้รับบาดเจ็บหนัก ทำให้สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถพาหญิงชราไปที่ประตูภูเขาได้ หมายความว่าย่อมไม่สามารถใช้ประตูภูเขาหลอมนางเป็นโอสถได้ เพราะเหตุนี้ เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากล้างสมองนางทิ้ง หลอมนางเป็นหุ่นเชิด และใช้แมลงเวทเข้าควบคุม เปลี่ยนนางให้กลายเป็นกำลังเสริม

แผนของเขาคือเปลี่ยนรูปลักษณ์ของหุ่นเชิดตัวนี้ให้กลายเป็นผู้อาวุโสฝ่ายขวา นอกจากจะทำให้ผู้คนเข้าใจผิดแล้ว ยังทำให้คนเช่นหลงหนานจื่อและปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่นึกสงสัยเกี่ยวกับแผนสังหารหลงหนานจื่อและทำให้แผนการเป็นไปอย่างราบรื่น เขาแค่ต้องสังหารหลงหนานจื่อและเหออวิ๋นจื่อก็เพียงพอที่จะครองอำนาจเหนือดารานิรันดร์ทั้งหมด

เมื่อเป็นเช่นนั้น การเปิดใช้งานการเคลื่อนย้ายของดารานิรันดร์จะอยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาคิดว่าต้องสำเร็จเช่นนั้นแน่เพราะผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและผู้อาวุโสฝ่ายขวาลงมือจัดการหลงหนานจื่อด้วยตนเองและยังใช้งานฟองอากาศสีรุ้งอีก ดังนั้นจะต้องเป็นไปอย่างราบรื่นแน่นอน ทั้งสองไม่น่าจะใช้เวลานาน หลังจากผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและผู้อาวุโสฝ่ายขวาสังหารชายหนุ่มเสร็จ พวกเขาก็จะกลับมาร่วมสู้ต่อ

และเมื่อทั้งสองกลับมา สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะมีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สามคนและกึ่งระดับดาวพระเคราะห์หนึ่งคน ซึ่งจะสามารถเอาชนะสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำได้อย่างง่ายดาย หากพวกเขาทำได้สำเร็จ ศึกอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็จะจบลงอย่างรวดเร็ว!

แม้ชายชราจะคำนวณทุกอย่างมาอย่างสมบูรณ์แบบ แต่ก็ยังประเมินหวังเป่าเล่อต่ำไป เขาไม่ได้คาดการณ์ว่าจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นในการวางกับดักฟองอากาศสีรุ้งของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและผู้อาวุโสฝ่ายขวา!

แต่ชายชรายังไม่รู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นบนดารานิรันดร์ทำให้มั่นใจไปเช่นนั้น ปรมาจารย์มหาทัณฑ์และปรมาจารย์เต๋าใหม่ครามทองคำเองก็ไม่รู้เช่นกัน พวกเขาจึงถอยหนีไปด้วยจิตใจที่สั่นคลอนและใบหน้าถอดสี ไม่นึกอยากสู้ต่อ

พวกเขามั่นใจว่าถึงพลังยุทธ์ของหวังเป่าเล่อนั้นเกือบจะเทียบเท่าระดับดาวพระเคราะห์ แต่ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่ชายหนุ่มจะหลบหนีออกมาได้สำเร็จและเอาชีวิตตัวเองให้รอดได้จากการถูกวางกับดักและตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง

ระหว่างที่การต่อสู้อยู่ในสภาพคุมเชิงกันอยู่ ทางด้านดารานิรันดร์ หวังเป่าเล่อกำลังปลดปล่อยความเร็วเต็มพิกัดจนกลายเป็นสายรุ้งเส้นยาวตามหาพื้นที่พิเศษเพื่อใช้ในการผ่านออกไป แต่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ไล่ตามหลังมาก็ปลดปล่อยความเร็วเต็มพิกัดเช่นกัน ผู้อาวุโสฝ่ายขวานั้นอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์จึงเร็วกว่าชายหนุ่มเล็กน้อย แม้บนดารานิรันดร์แห่งนี้จะคุกรุ่นไปด้วยไอร้อนและมีพายุกระหน่ำใส่พื้นที่เป็นครั้งคราวก็ยังส่งผลกระทบต่อผู้อาวุโสน้อยกว่าหวังเป่าเล่อ

ด้วยเหตุนี้ จะเห็นได้ว่าร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้หวังเป่าเล่อเรื่อยๆ เมื่อร่นระยะเข้ามาใกล้ชายหนุ่มในระยะไม่ถึงสามร้อยเมตร แววเย็นเยียบก็ฉายขึ้นในตาของผู้อาวุโสฝ่ายขวาขณะยกมือขวาขึ้นตั้งผนึกมือชี้ไปตรงแผ่นหลังของหวังเป่าเล่อ

เปลวหมอกสีแดงพวยพุ่งออกมาจากทวารทั้งเจ็ดของเขาทันใดที่ชี้มือ จากนั้นก็มารวมกันที่ปลายนิ้ว ก่อนจะกลายร่างเป็นนางแอ่นโลหิตบินตรงไปหาหวังเป่าเล่อ ทิ้งสายรุ้งสีโลหิตไว้เบื้องหลัง มันบินผ่านระยะทางสามร้อยเมตรในชั่วพริบตาจากนั้นก็ระเบิดเมื่อเข้าไปใกล้ สร้างหมอกหนาสีโลหิตเข้าเขมือบชายหนุ่มเหมือนดังปากขนาดยักษ์

หากเป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั่วไป พวกเขาคงตายในทันทีเมื่อแตะโดนตัว เพราะพลังสวรรค์ที่กระจายออกมานั้นแฝงไปด้วยแรงกดดันของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ ด้วยแรงกดดันนี้ พลังปราณของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั่วไปจะเกิดอาการปั่นป่วน จนอาจทำให้ผู้ฝึกตนที่อ่อนแอตายได้

แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว พลังดังกล่าวไม่เพียงพอที่จะทำเช่นนั้นได้ ในจังหวะที่หมอกสีโลหิตตรงเข้ามาเขมือบเขา เกราะมหาจักรพรรดิก็ปรากฏบนร่างพร้อมเสียงดังสนั่น รูปลักษณ์อันดุดัน เส้นผมที่พัดปลิว และอาวุธเทพที่มือขวาทำให้ชายหนุ่มเป็นดังเทพแห่งสงครามไปชั่วขณะ เมื่อปลดปล่อยเคล็ดวิชาดวงเนตรปีศาจ ดวงเนตรปีศาจขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นด้านหลัง แล้วพอปลดปล่อยพลังทั้งหมดเรียบร้อย หวังเป่าเล่อที่ทะยานอยู่กลางอากาศก็พลันหันหลังกลับและฟาดฟันเข้าใส่หมอกสีโลหิตที่เคลื่อนเข้ามาใกล้

จังหวะการโจมตีนั้นแม่นยำเป็นอย่างมาก เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาพยายามกดต้านหวังเป่าเล่อ ทำให้เขาไม่สามารถกันได้ทันท่วงที ระหว่างที่ผู้อาวุโสฝ่ายขวามีสีหน้าเหยเก นิ้วมือระดับดาวพระเคราะห์นิ้วที่สองก็ระเบิดทำลายตัวเอง พลังจากแรงระเบิดส่งผ่านรอยแยกที่กำลังฟื้นฟูและพุ่งออกไปอย่างบ้าระห่ำ ตรงไปหา…ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่กำลังหรี่ตา พยายามตอบโต้โดยการถอยหนี!

เขาคือเป้าหมายของหวังเป่าเล่อ ถึงจะใช้ทั้งบทสวดแห่งเต๋าและการระเบิดทำลายตัวเองของนิ้วมือระดับดาวพระเคราะห์ ชายหนุ่มก็ยังไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำลายฟองอากาศสีรุ้งและหลบหนีออกไปได้ ดังนั้น แผนตั้งต้นของเขาคือ…ใช้โอกาสจากการปะทะครั้งนี้ในการส่งนิ้วมือระดับดาวพระเคราะห์ไปสังหาร…ผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย!

ไม่ว่าจะทำให้บาดเจ็บหนักหรือสังหารอีกฝ่ายลงได้ ฟองอากาศสีรุ้งก็จะสูญเสียการเสริมพลังจากฝั่งหนึ่งไป ส่งผลให้พลังของมันลดทอนลง ขณะเดียวกัน เป้าหมายอีกอย่างของชายหนุ่มคือสังเกตว่าผู้อาวุโสหลบหนีไปทางใด!

ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ชั่วครู่ต่อมา แม้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะขัดขวางสุดกำลังที่มี ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็ยังต้องกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดจากแรงระเบิดทำลายตัวเองของนิ้วมือระดับดาวพระเคราะห์ ร่างกายของผู้อาวุโสโดนแรงระเบิดปะทะจนกระอักเลือดสดๆ ออกมา กายเนื้อที่สร้างขึ้นใหม่พังทลายลงอีกครั้ง ครั้งนี้ส่งผลไปถึงดวงวิญญาณเทพ ระดับพลังปราณลดจากขั้นจิตวิญญาณอมตะเป็นขั้นเชื่อมวิญญาณ แม้จะถอยหนีและหลบได้อย่างฉิวเฉียด แต่ก็ยังโดนคลื่นความร้อนบนดารานิรันดร์เล่นงานจนดวงวิญญาณพร่าเลือน ระหว่างที่กรีดร้องลั่นอย่างเจ็บปวด เขาก็ถอนหนีไปยังจุดสูงสุดทางด้านซ้ายบน

ขณะเดียวกันนั้นเอง ฟองอากาศสีรุ้งก็คลายตัวและอ่อนพลังอย่างเห็นได้ชัด ขนาดของฟองอากาศขยายใหญ่ขึ้นมาก แรงกดดันที่ร่างกายหวังเป่าเล่อต้องแบกรับคลายลงไปเล็กน้อย

“หลงหนานจื่อ!” เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อสามารถหลุดจากกับดักได้ ความกราดเกรี้ยวก็ฉายวาบขึ้นในดวงตาของผู้อาวุโสฝ่ายขวา ระหว่างที่ร้องคำรามลั่น ผู้อาวุโสก็ปลดปล่อยพลังปราณอีกครั้ง พยายามกดต้านหวังเป่าเล่อที่อยู่ในฟองอากาศเอาไว้

แต่ก็สายไป…

“ตะโกนเรียกหาบิดาทำไม!” หวังเป่าเล่อหันไปยังทิศทางที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายหลบหนีไป แววสังหารฉายวาบขึ้นในดวงตา ฟองอากาศอ่อนพลังลงระหว่างที่พูด ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นโบกอย่างรุนแรง…เรือบินรบมากมายพลันปรากฏขึ้นรอบๆ จากนั้น…เหล่าเรือบนรบก็ระเบิดทำลายตัวเองด้านนอกฟองอากาศ!

ข้าไม่เชื่อว่าจะทำลายฟองอากาศโง่ๆ นี่ไม่ได้! ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแววดุดันเพราะการระเบิดทำลายตัวเองจากภายในนั้นแม้จะส่งผลต่อฟองอากาศได้ดีเยี่ยม แต่ก็ส่งผลต่อหวังเป่าเล่อเช่นกัน

อย่างไรเสีย แม้เขาจะสามารถคุมเรือบินรบเวทและปลดปล่อยพลังได้ถึงร้อยละเก้าสิบในการระเบิดทำลายตัวเองด้านนอก ก็ยังมีแรงปะทะบางส่วนส่งมาถึงเขา ยิ่งมีเรือบินรบเวททำลายตัวเองมากเท่าใด แรงปะทะหลังจากระเบิดก็มากขึ้นเท่านั้น

แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้สนใจ ชายหนุ่มปล่อยเรือบินรบเวทออกมากว่าห้าสิบลำพร้อมร้องคำรามสั่งการให้เรือบินรบเวทระเบิดทำลายตัวเองในจังหวะที่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาพยายามจะกดต้านเขาไว้อีกครั้ง

แม้เรือบินรบเวทระเบิดตัวเองแต่ละลำจะมีพลังเพียงร้อยละสิบของเรือบินรบเวทปกติ แต่พลังระเบิดรวมจากเรือรบห้าสิบกว่าลำนั้นแข็งแกร่งมาก เสียงสั่นสะเทือนดังกึกก้อง ฟองอากาศสีรุ้งสั่นไหว และนั่นเป็นเพียงแค่ระลอกแรกเท่านั้น…

ระลอกที่สอง สาม และสี่ตามมาอย่างรวดเร็ว…ชายหนุ่มส่งเรือบินรบออกมาระเบิดเรื่อยๆ เหมือนว่ามีเรือบินรบเวทระเบิดตัวเองเก็บอยู่ในกระเป๋าคลังเก็บไม่จำกัด แม้ร่างกายจะแทบแหลกสลาย แต่ความดุดันของหวังเป่าเล่อก็ทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาสั่นกลัวไปถึงขั้วหัวใจ

ไม่ว่าจะพยายามกดต้านไว้อย่างไร ผู้อาวุโสก็ไม่สามารถหยุดยั้งรอยแยกมากมายไม่ให้ปรากฏขึ้นบนฟองอากาศสีรุ้งได้! ฟองอากาศนั้นต้องทานทนพลังจากบทสวดแห่งเต๋าและการระเบิดทำลายตัวเองของนิ้วมือระดับดาวพระเคราะห์ ซึ่งเท่านี้ก็ยากเกินกว่าจะรับไหวแล้ว ทำให้ไม่สามารถฟื้นฟูได้ทันเวลา

รอยแยกปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ทำท่าเหมือนจะพังทลายลงขณะที่หวังเป่าเล่อส่งเรือบินรบเวทระเบิดตัวเองออกมาเป็นระลอกที่แปด ดวงตาของผู้อาวุโสฝ่ายขวาจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ฉายแววคลุ้มคลั่งขณะจ้องมองหวังเป่าเล่อ จากนั้นจึงถอยหนี ราวกับว่าพร้อมจะล้มเลิกการขัดขวางชายหนุ่ม

การกระทำของผู้อาวุโสทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่ลดลง แต่เมื่อชายหนุ่มเห็นเช่นนั้น สีหน้าของเขาก็ดูมืดมนขณะก่นด่าอยู่ในใจ

เจ้านี่รู้แผนที่แท้จริงของข้า… หวังเป่าเล่อหรี่ตา รู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย ทันใดนั้น เขาก็เพิ่มจำนวนเรือบินรบและสั่งระเบิดอย่างรวดเร็ว จริงๆ แล้ว…ชายหนุ่มเหมือนไม่ได้สนใจว่าจะเสียเงินไปเท่าไหร่ภายใต้สีหน้าดุดัน การแสดงออกเมื่อครู่นั้นเป็นการแสร้งทำเกินจริงไปกว่าครึ่ง เพราะหวังเป่าเล่อรู้อยู่แล้วว่าตนไม่สามารถทำลายฟองอากาศสีรุ้งได้ในทันที พื้นที่ด้านในฟองอากาศนั้นไม่สามารถรองรับเรือบินรบเวทจำนวนมากเกินไปได้ ถ้ายังฝืนส่งเรือรบออกมา ร่างกายของเขาจะไม่สามารถทนพลังจากการระเบิดของเรือรบได้

ดังนั้นสิ่งที่ชายหนุ่มต้องทำคือการถ่วง ไม่ใช่ถ่วงเวลา…แต่เป็นถ่วงรั้งผู้อาวุโสฝ่ายขวาเอาไว้ หวังเป่าเล่อจะปล่อยให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาออกจากบริเวณฟองอากาศไม่ได้ เพราะจะเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายสร้างผนึกเพิ่มได้!

หากเขารั้งผู้อาวุโสไว้กับตนเอง ก็จะสามารถหลบออกไปได้ตอนที่ฟองอากาศแตก จากนั้นก็จะปล่อยความเร็วเต็มพิกัด ทะยานหนีออกไปนอกดารานิรันดร์โดยให้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาคอยไล่ตามมา

เขารู้ทิศทางที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายหลบหนีออกไปแล้ว พื้นที่ตอนบนซ้าย…น่าจะเป็นจุดอ่อนของพลังธรรมชาติ!

และนี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อโจมตีผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายไป

แต่แผนการทั้งหมด…กลับต้องเปลี่ยนไปเมื่อผู้อาวุโสฝ่ายขวาล่วงรู้แผนการของเขาเข้า

“เจ้าเล่ห์นัก!” ผู้อาวุโสฝ่ายขวาถอยหนีไปพร้อมแววสังหารที่ฉายวาบขึ้นในดวงตา ตอนนี้เขารู้ข้อผิดพลาดของตนเองแล้ว จริงๆ แล้วเขาจะตอบให้เร็วกว่านี้ก็ได้ แต่ก็เจอการกระทำต่างๆ ของหวังเป่าเล่อเข้ามาขวาง ทั้งพลังจากบทสวดแห่งเต๋า การที่ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเป็นหรือตาย และการระเบิดทำลายตัวเองของนิ้วมือระดับดาวพระเคราะห์รวมถึงเรือบินรบเวทที่ตามกันมาอย่างต่อเนื่อง พอผสานเข้ากับการที่หวังเป่าเล่อจะหลุดออกมาได้ ก็ยิ่งทำให้ชายชราทำตามแผนของชายหนุ่มตามสัญชาตญาณโดยพยายามเสริมพลังให้กับฟองอากาศอย่างบ้าคลั่ง

แต่เขาก็มีทางเลือกอื่นนอกจากการเสริมพลังผนึก ตัวเลือกที่ว่าคือ…สร้างผนึกเพิ่มรอบๆ ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังทำลายฟองอากาศสีรุ้ง ซึ่งจะทำให้สามารถขังชายหนุ่มไว้ได้ไม่จำกัดครั้ง!

ทว่า…ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ตอบโต้ช้าเกินไปเล็กน้อย ผู้อาวุโสไม่มีเวลาเพียงพอที่จะตั้งผนึกที่สองขึ้น ดวงตาของผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ฉายแสงวาบขณะตั้งผนึกมือด้วยมือขวาระหว่างที่กำลังถอยหนีและชี้รอบๆ เจ็ดครั้ง!

ผู้อาวุโสปล่อยไอร้อนจัดจากดารานิรันดร์ออกมาเล็กน้อยทุกครั้งที่ชี้ หากมองดารานิรันดร์ว่าเป็นอสูรร้าย การกระทำของผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นการปลุกอสูรที่ว่า เขาตั้งใจจะยั่วอสูรร้ายให้โกรธ แต่จะยั่วให้โกรธจัดไม่ได้เพราะต้องคุมมันให้อยู่ในระดับที่ตนเองสามารถทนได้ไหว

พลังรุนแรงพลันพัดกระจายไปทั่วหลังจากผู้อาวุโสชี้ผนึกมือออกมา สร้างความปั่นป่วนให้พื้นที่โดยรอบ นอกจากนี้ยังช่วยเสริมพลังลมสุริยะที่เกิดจากความร้อนสูงจัดด้วย

เมื่อเขาชี้ผนึกมือครั้งที่เจ็ด แรงสั่นสะเทือน เปลวเพลิง และไอความร้อนสูงก็เริ่มก่อตัวรวมกันก่อนจะระเบิด ส่งผลถึงพายุที่พัดอยู่ด้านบน สร้างความปั่นป่วนให้ที่แห่งนี้หนักขึ้นไปอีก จุดอ่อนเดิมที่พวกเขาสามารถใช้หนีได้รับการเสริมพลังไปด้วยเช่นกัน!

ผู้อาวุโสฝ่ายขวารู้ว่าตนเองไม่มีเวลาตั้งผนึกให้สมบูรณ์ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาจึงตัดสินใจใช้ไอความร้อนและความปั่นป่วนบนดารานิรันดร์เพื่อขัดขวางการเคลื่อนไหว นอกจากจะทำให้หวังเป่าเล่อไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้แล้ว ยังลบจุดอ่อนตรงขอบสุดของดารานิรันดร์ที่มีอยู่ได้ด้วย นอกจากนี้สัมผัสสวรรค์ยังได้รับผลกระทบรุนแรงจากพายุสุริยะทำให้ไม่สามารถขยายออกไปได้ ส่งผลให้…การหลบหนีออกจากดารานิรันดร์เป็นไปได้ยาก

อย่างไรเสียดารานิรันดร์ก็ไม่ใช่ดาวเคราะห์ทั่วไปที่ขอแค่ทะยานขึ้นไปสูงจนหลุดจากระบบสุริยะก็จะเข้าสู่ห้วงจักรวาลได้ ดารานิรันดร์นั้นมีชั้นป้องกันจากพลังธรรมชาติ ต้องรอให้เวลาผ่านไป จุดอ่อนจึงจะปรากฏขึ้นและเปิดโอกาสให้เหาะออกไปจากพื้นที่ได้ สำหรับพื้นที่อื่นๆ นั้น…หากสัมผัสเข้าก็จะตายทันที!

แน่นอนว่ายังมีอีกทางหนึ่งที่สามารถใช้ออกจากดารานิรันดร์ได้ นั่นคือการใช้วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายกับดารานิรันดร์อีกดวงเป็นรากฐาน ซึ่งจะทำให้ออกจากดารานิรันดร์ได้โดยไม่ต้องสนใจชั้นป้องกันจากพลังธรรมชาติ

การกระทำของผู้อาวุโสฝ่ายขวาจึงเป็นการตัดช่องทางหลบหนีของหวังเป่าเล่อ นอกจากนั้น ถึงดารานิรันดร์จะเป็นสถานที่อันโหดร้าย แต่เขาก็เป็นผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ ทุกสิ่งยังอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้มีระดับการฝึกตนอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ ชายหนุ่มจึงจะได้รับผลกระทบในจุดนี้มากกว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวา

ขอแค่เจ้านั่นออกไปไม่ได้ ข้าก็มั่นใจว่าจะสังหารไอ้ระยำนั่นได้ ดูแล้วมันน่าจะใช้ไพ่ตายไปเกือบหมดแล้วด้วย!

เสียงปริแตกดังขึ้นจากร่างกายของเขาอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าจะต้านทานอย่างไรก็ไม่สามารถทานแรงกดดันได้โดยสมบูรณ์ ร่างกายของเขาเริ่มบิดงอผิดรูป แรงกดดันภายนอกนั้นรุนแรงเกินไปจนร่างกายของหวังเป่าเล่อเริ่มโอนเอนไปมา โชคดีที่ร่างนี้ไม่ใช่กายแท้ของเขา เป็นแค่ร่างสารัตถะ จึงเพียงบิดงอ ไม่ได้สิ้นลมหายใจไป

แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงภัยอันตรายร้ายแรง ภายใต้แรงกดดันนี้ เขามั่นใจว่าหากไม่หลบหนีออกไปให้เร็วที่สุด คงจะมีเวลาอย่างมากเพียงสิบนาทีเท่านั้นก่อนที่ร่างอวตารจะสลายไป

ข้าเปิดกระเป๋าคลังเก็บไม่ได้ ใช้พลังฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ก็ไม่ได้ บ้าจริง… แววดุดันฉายวาบขึ้นในดวงตาชายหนุ่ม แต่เขาไม่ได้กังวลใจอะไร หวังเป่าเล่อรู้ว่าศึกครั้งนี้ถือเป็นการแย่งชิงอำนาจควบคุมจึงมีทางเลือกหลายทางที่สามารถเลือกทำได้

ทำลายเปลวเพลิงดารานิรันดร์ทิ้ง…แล้วเอาร่างหลักมาที่นี่ดีไหม ถึงจะทำเช่นนั้นได้ แต่ก็ยุ่งยากนิดหน่อย อย่างไรเสีย บริเวณนี้ก็ไม่ใช่ขอบนอกของดารานิรันดร์ ข้าต้องใช้เวลาไม่น้อยในการตามหาที่แห่งนี้ ผลกระทบที่ตามมาก็ค่อนข้างหนักหนา… หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว เขาก็ตัดสินใจเลือกทางอื่น

ตื่นเถิด… หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังปราณในทันใด ขณะที่ใช้พลังปราณต้านแรงกดดันที่โถมมาจากทั่วทุกทิศ เขาก็ท่องบทสวดแห่งเต๋าในใจ ตัดสินใจลองเสี่ยงดูสักตั้ง ถ้าไม่สำเร็จก็ยังมีเวลาเหลือให้ทำลายตัวเอง!

ภัยอันตรายที่เขาเผชิญในครั้งนี้ถือว่าน่าพรั่นพรึงมากทีเดียว แต่เพราะชายหนุ่มมีไพ่ตายซ่อนอยู่ ถึงร่างอวตารจะตายไปก็ไม่ส่งผลอะไรกับร่างหลัก

แต่…ถ้าไม่ได้จำเป็นจริงๆ หวังเป่าเล่อก็ไม่อยากแบกรับผลกระทบที่ตามมาจากการตายของร่างอวตาร อย่างไรเสียเมื่อร่างอวตารตาย ถึงมันจะไม่ได้ส่งผลกระทบต่อร่างกายเขาทั้งหมด แต่ก็ยังส่งผลกระทบในบางส่วน นอกจากนี้ หวังเป่าเล่อยังไม่อยากเสียข้าวของในกระเป๋าคลังเก็บไป

ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิง เจ้าอู๋น้อย และเจ้าลาที่อยู่บนเรือบินรบเวทในกระเป๋าคลังเก็บของหวังเป่าเล่อ ขอแค่ร่างหลักของเขาตื่นขึ้นได้ทันเวลา ชายหนุ่มก็มั่นใจว่าจะสามารถส่งพวกเขาออกไปนอกขอบเขตการระเบิดในจังหวะระเบิดทำลายตัวเองสังหารผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและผู้อาวุโสฝ่ายขวาได้

แต่สิ่งที่ต้องทำให้ได้ก่อนคือปลุกร่างหลักให้ทันเวลาและหาจุดอ่อนให้เจอ โดยต้องอาศัยพลังธรรมชาติของขอบนอกดารานิรันดร์และระบุตำแหน่งร่างอวตารเพื่อช่วยในการทำเช่นนั้น

อาจจะยังไม่ถึงจุดนั้นก็ได้… หลังจากท่องบทสวดแห่งเต๋าในใจ แววเย็นเยียบก็ฉายขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่อ นอกจากเปลวเพลิงดารานิรันดร์แล้ว ไพ่ตายที่ยังเหลือก็มีแผ่นหยกที่ปรมาจารย์แห่งไฟลงคำสาปไว้ให้

เพราะเหตุนี้…แม้ร่างของเขาจะถูกกดพลังไว้ในฟองอากาศสีรุ้งให้ไม่สามารถขยับตัวได้ ขอแค่เปิดกระเป๋าคลังเก็บและหยิบฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ออกมาได้ ชายหนุ่มก็คิดว่าวิกฤตินี้ไม่ยากเกินกว่าจะรับมือไหว

ทุกอย่างขึ้นอยู่กับบทสวดแห่งเต๋าซึ่งเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาสามารถใช้ได้ในตอนนี้ ว่าจะคลายผนึกและเปิดโอกาสให้ชายหนุ่มปล่อยเคล็ดวิชาอื่นๆ ต่อได้หรือเปล่า

ความคิดทั้งหมดผุดขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อในคราวเดียวขณะที่ฟองอากาศสีรุ้งหดลงอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและผู้อาวุโสฝ่ายขวาปลดปล่อยพลังเข้าไปเสริมและควบคุมฟองอากาศ แรงกดดันมหาศาลด้านในนั้นเพียงพอที่จะทำให้ร่างของหวังเป่าเล่อบิดงอและตายได้

ดวงตาของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายไร้ซึ่งความเมตตาปรานี เขาเกลียดหวังเป่าเล่อยิ่งกว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวา ถ้าไม่ใช่เพราะหวังเป่าเล่อ เขาคงไม่ต้องเสียร่างกายไปในศึกที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และระดับพลังยุทธ์คงไม่ตกลงมาอยู่ต่ำกว่าระดับดาวพระเคราะห์ นอกจากนี้ชายหนุ่มยังทำให้เขาไม่สามารถบรรลุขั้นการฝึกตนได้อีกในอนาคต

“ตายเสีย!” ดวงตาของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเปี่ยมไปด้วยแววความโกรธแค้นขณะร้องคำรามและปล่อยพลังปราณเพิ่มขึ้นไปอีกครั้ง ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังสั่นเทิ้มและบางส่วนของร่างกายเริ่มแหลกสลายไปจากการบิดงอ ดารานิรันดร์พลันสั่นไหวด้วยพลังจากจักรวาลอันไกลโพ้นที่จุติลงมา

พลังที่ว่ากล้าแกร่งยิ่งนัก แต่น่าแปลกที่นอกหวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสทั้งสองแล้ว คนอื่นๆ ภายนอกดารานิรันดร์กลับไม่ได้สังเกตเห็นพลังที่ว่าเลย พวกเขาเห็นเพียงแค่ว่า…แสงของดารานิรันดร์อ่อนลงไปชั่วครู่เท่านั้น

ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งสองฝั่งที่ปะทะกันอยู่ด้านนอกผงะไป ทว่าผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและผู้อาวุโสฝ่ายขวาที่อยู่ในดารานิรันดร์ต่างมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ผู้อาวุโสฝ่ายขวาตาเบิกกว้างเมื่อรู้สึกได้ถึงจิตใจที่สั่นไหวอย่างควบคุมไม่ได้ มันสั่นไหวตั้งแต่ส่วนลึกสุดในขั้วหัวใจราวกับกำลังกลับไปเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาและได้มาอยู่ต่อหน้าพลังของฟ้าดิน

ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็มีปฏิกิริยาไม่ต่างกัน เนื่องจากบาดเจ็บหนักอยู่แล้ว จึงสัมผัสได้ถึงพลังฟ้าดินที่รุนแรงยิ่งกว่าจนกระอักเลือดสดๆ ออกมา

ร่างกายและดวงวิญญาณที่สั่นไหวของทั้งสองส่งผลต่อผนึก ภายใต้พลังของบทสวดแห่งเต๋า ผนึกก็คลายลงโดยไม่รู้ตัว…หากปล่อยพลังบทสวดแห่งเต๋าไปเรื่อยๆ ผนึกคงพังทลายลงอย่างแน่นอน

แต่…หวังเป่าเล่อรู้อยู่แล้วว่าพลังของบทสวดแห่งเต๋านั้นมาและจากไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่พลังจุติลงมาและคลายผนึกลง ร่างกายของเขาก็รู้สึกผ่อนคลายลง แม้จะขยับร่างกายไม่ได้ตามปกติภายใต้แรงกดดันนี้ แต่ก็สามารถเปิดกระเป๋าคลังเก็บได้ด้วยสัมผัสสวรรค์ ส่วนควบคุมฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ในร่างกายได้เช่นกัน

เมื่อสัมผัสได้ว่าสามารถปลดปล่อยกระเป๋าคลังเก็บและฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ในร่างกายได้ ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแสงวาบ เขาเงยหน้าขึ้นอย่างฉับไวและเรียกฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ออกมาโดยไม่ลังเลใจ

หลังจากนั้น เขาก็ยกมือขวาขึ้นโบกอย่างทุลักทุเล แสงสว่างพลันเปล่งออกมารอบร่างกาย ฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ที่มีนิ้วมือเหลือเพียงสองนิ้วปรากฏขึ้นเหนือหัว หวังเป่าเล่อไม่นึกลังเล ปลดปล่อยพลังปราณทั้งหมดออกมาทันทีที่ฝ่ามือปรากฏขึ้นและควบคุมมันด้วยพลังทั้งหมดที่มี ฝ่ามือสั่นไหวอย่างรุนแรงและ…พุ่งตรงไปยังฟองอากาศสีรุ้งด้านนอกร่างกายชายหนุ่ม!

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว กะทันหันเกินไปสำหรับผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและผู้อาวุโสฝ่ายขวา ตอนนั้นเองระหว่างที่ทั้งสองกำลังตื่นตระหนก ฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ของหวังเป่าเล่อก็สัมผัสเข้ากับฟองอากาศสีรุ้งด้านนอกร่างกายที่อ่อนพลังลง

“จงระเบิด!” แววดุดันฉายวาบขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่อขณะที่ร้องคำราม เขาไม่รู้สึกเสียดายเลยแม้แต่น้อยขณะที่ตัดสินใจแน่วแน่และระเบิดทำลายนิ้วหนึ่งของฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์!

หลังจากเสียงของชายหนุ่มดังก้องไปทั่ว นิ้วมือระดับดาวพระเคราะห์ก็เปล่งแสงสุกสว่างก่อนจะระเบิดทำลายตัวเองในจังหวะต่อมา ปลดปล่อยพลังระดับดาวพระเคราะห์ปะทะเข้ากับฟองอากาศสีรุ้ง

เมื่อมองจากที่ไกลๆ นิ้วมือระดับดาวพระเคราะห์ในฟองอากาศนั้นเป็นเหมือนกระบี่คมที่หมายจะทำลายทุกสิ่ง!

แม้หวังเป่าเล่อจะสามารถควบคุมทิศทางการระเบิดทำลายตัวเองของนิ้วมือได้ แต่ร่างของเขายังอยู่ในฟองอากาศสีรุ้งทำให้ได้รับผลกระทบไปด้วย ถึงจะมีเกราะสวรรค์พิพากษา ก็ไม่สามารถปกป้องร่างกายไม่ให้สั่นเทิ้มและกระอักเลือดออกมาได้

แต่เรื่องนี้ก็อยู่ในแผนของชายหนุ่มเช่นกัน ระหว่างที่ใช้แรงระเบิดทำลายตัวเองจากนิ้วมือระดับดาวพระเคราะห์สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างให้ฟองอากาศสีรุ้ง เขายังยอมให้แรงระเบิดเข้าปะทะตนเอง ทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระมากขึ้นภายใต้แรงกดดันในฟองอากาศสีรุ้ง ระหว่างที่แรงปะทะกระจายออกไป และขณะที่ร่างกายกำลังสั่นไหวและกระอักเลือดออกมา แววเย็นเยียบก็ฉายวาบขึ้นในดวงตาชายหนุ่ม ร่างกายของเขาพุ่งไปข้างหน้าในทันใดและตรงไปยังฟองอากาศสีรุ้งที่โดนนิ้วมือระดับดาวพระเคราะห์ระเบิดใส่

ทว่า…แม้แรงระเบิดจากนิ้วมือระดับดาวพระเคราะห์จะแกร่งกล้า แต่ฟองอากาศสีรุ้งก็เป็นสมบัติล้ำค่าที่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต้องทำการสังเวยเพื่อสร้างขึ้น เสียงสั่นสะเทือนฟ้าดินดังกึกก้อง ภายใต้พลังกล้าแกร่ง ฟองอากาศไม่ได้ทลายลง แต่…ปรากฏรอยแยกขึ้น!

ทันได้ที่รอยแยกปรากฏให้เห็น ฟองอากาศก็ฟื้นฟูสภาพอย่างรวดเร็ว ในจังหวะนั้นเอง บทสวดแห่งเต๋าก็เริ่มอ่อนพลังลง ผู้อาวุโสฝ่ายขวาตอบโต้ในทันที สีหน้าของเข้าเปลี่ยนไปขณะที่พยายามกดต้านหวังเป่าเล่อไว้อีกครั้ง

“กลับเข้าไป!” ผู้อาวุโสฝ่ายขวาร้องคำราม ผนึกมือขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นตรงหน้าก่อนจะสั่นไหว

ทว่า…แม้ผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะตอบโต้อย่างรวดเร็วและมีเพียงรอยแยกรอยเดียวปรากฏขึ้นบนผนึก แค่นั้นก็ถือเป็นโอกาสของหวังเป่าเล่อแล้ว แววความคลั่งฉายชัดในดวงตาของชายหนุ่มขณะที่เขาเสี่ยงชีวิตพุ่งไปโจมตีพร้อมๆ กับผู้อาวุโสฝ่ายขวา โดยมีเพียงรอยแยกจากภายในและภายนอกฟองอากาศสีรุ้งกั้นไว้

ทันใดนั้น แรงสั่นสะเทือนก็กระจายไปรอบๆ อีกครั้ง ถึงระดับพลังปราณของหวังเป่าเล่อจะไม่ธรรมดา เขาก็ไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ นอกจากนี้ชายหนุ่มยังอยู่ภายในฟองอากาศ การเสริมพลังจากผู้อาวุโสฝ่ายขวาทำให้ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มรุนแรงและกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ร่างกายของชายหนุ่มถูกผลักกลับไป แต่รอยยิ้มชั่วร้ายกลับผุดขึ้นที่มุมปาก นั่นเป็นเพราะว่า…ระหว่างที่ผู้อาวุโสมือจวาพยายามจะกดต้านเขาไว้ นิ้วมืออีกนิ้วของฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ก็ระเบิดตัวเอง!

เป้าหมายของมันไม่ใช่ผู้อาวุโสฝ่ายขวา แต่เป็น…ผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย!

แผนนี้ดูเหมือนง่ายแต่หลักๆ แล้วเป็นการโจมตีเชิงจิตวิทยาเสียมากกว่า สุดท้ายแล้ว…หวังเป่าเล่อ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ และคนอื่นๆ ดูเหมือนจะติดกับ ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อยังนำกลุ่มผู้ฝึกตนมาที่นี่ด้วยตนเอง ทำให้แผนยิ่งดำเนินไปอย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น

แต่เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหล เหออวิ๋นจื่อจึงใช้มาตรการที่เข้มงวด เขาไม่ได้บอกใครจากราชวงศ์เลยและเตรียมพร้อมจะสังเวยชีวิตของคนเหล่านั้น แม้กระทั่งองค์ชายอีกสองคนก็ไม่ล่วงรู้ ทำให้แผนการดักจับหวังเป่าเล่อสำเร็จลงได้

ขณะที่ความคิดเหล่านั้นแล่นไปมาในศีรษะของเหออวิ๋นจื่อ แม้ว่าเขาจะไม่ได้พูดออกมา แต่ความคาดหวังและโลภโมโทสันในแววตาก็ทำให้หวังเป่าเล่อพอจะคาดเดาความจริงที่สั่นคลอนจิตวิญญาณของตนได้บ้าง

การสังหารข้าสำคัญกว่าการเปิดประตูเคลื่อนย้ายเพื่อให้กองทัพระลอกสองลงมาอีกหรือ ไม่เห็นมีเหตุผลเลย…นอกจากว่า… ประกายในตาหวังเป่าเล่อฉายชัดขึ้น ขณะที่ความคิดจำนวนมหาศาลไหลผ่านใจเขา

พวกมันสร้างกับดักนี้เพื่อข้าเชียวหรือ…หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก เขาพยายามเปิดกระเป๋าคลังเก็บ แต่ก็เพิ่งมาสังเกตว่าไม่สามารถเปิดกระเป๋าคลังเก็บได้ในอาณาเขตที่คล้ายถูกผนึกนี้

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งสิ้นหวัง ก่อนจะรีบจัดลำดับความคิดอย่างรวดเร็ว สุดท้ายแล้ว ชายหนุ่มก็ได้ความคิดสองประการ

เหตุผลแรก…อาจเป็นเพราะว่าพวกมันคาดเดาไว้ก่อน และเตรียมตัวไว้พร้อมเพื่อให้ภารกิจของข้าล้มเหลว เพื่อหยุดไม่ให้ข้าไปทำลายแผนของพวกมัน ด้วยวิธีนี้ ข้าก็จะไม่สามารถขัดขวางการเคลื่อนย้ายครั้งที่สองได้!

อีกเหตุผลหนึ่ง…อาจเป็นได้ว่าการมีอยู่ของข้ามีผลต่อการเปิดใช้การเคลื่อนย้ายครั้งที่สอง พวกมันจึงต้องสังหารข้าเสียก่อนเพื่อจะเปิดการเคลื่อนย้าย เหตุผลแรกไม่ค่อยมีความหมายเท่าใดนัก แต่หากเป็นเหตุผลที่สองแล้วล่ะก็…

สีหน้าของชายหนุ่มเหยเก ไม่ว่าเขาจะตอบสนองเร็วเพียงใด ก็ยังขาดชิ้นส่วนสำคัญของข้อมูลจึงไม่มีทางรู้ความจริงได้ แต่ความจริงที่ว่าเขาสามารถวิเคราะห์ทั้งหมดนี้ได้จากสีหน้าของเหออวิ๋นจื่อเพียงอย่างเดียว ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าในการใช้ความคิดของหวังเป่าเล่อได้เป็นอย่างดี

ส่วนที่ว่าข้อไหนจะถูกต้องนั้น มันไม่สำคัญสำหรับหวังเป่าเล่ออีกต่อไป ขณะนี้ สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชายหนุ่มก็คือการทะลุผ่านผนึกและหนีออกไปให้เร็วที่สุด

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงขณะที่ร่างอวตารทั้งสี่ที่เขาสร้างขึ้นกลับมารวมเข้ากับร่างเขาอีกครั้ง ขณะที่เปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายเขาโบกไหวอยู่ไปมา ชายหนุ่มก็พยายามดึงฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ออกมาแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ตอนนั้นเอง สัมผัสอันตรายที่ปรากฏขึ้นปุบปับก็ทำให้สีหน้าของหวังเป่าเล่อแปรเปลี่ยนไป ชายหนุ่มหันศีรษะกลับมาอย่างรุนแรง และมองเห็นร่างเงาเลือนรางที่ดูเหมือนกำลังก้าวออกมาจากความว่างเปล่าด้านหลังผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์

และเมื่อเห็นร่างเงานั้นชัดเจนขึ้น สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็พลันแปรเปลี่ยนอย่างใหญ่หลวง

“เจ้า…”

“เจอกันอีกจนได้นะ ไอ้เด็กตัวแสบ!” ทันทีที่สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไป ร่างเลือนรางนั้นก็ก่อตัวชัดเจนขึ้นก่อนจะก้าวออกมาจากความว่างเปล่า คนผู้นั้นมีผมยาวประบ่าและสวมเสื้อคลุมยาวสีรุ้ง เขาดูเหมือนจะอยู่ในวัยกลางคน แต่สัมผัสแก่ชราจากกายก็ทำให้รู้สึกว่าชายผู้นี้ค่อนข้างมีอายุแล้ว

โดยเฉพาะเมื่อพลังปราณระดับดาวพระเคราะห์ของเขาระเบิดออกมาจนทำให้สิ่งรอบข้างสั่นสะท้าน แม้สถานที่นี้จะถือว่าอยู่ภายในขอบเขตของดารานิรันดร์แล้ว ระดับปราณของชายผู้นั้นก็ยังทำให้เกิดแรงกดดันเป็นบริเวณกว้าง

เขาก็คือ…คนที่ต่อสู้กับหวังเป่าเล่ออยู่ครู่หนึ่งที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ และเป็นผู้ที่วิ่งหนีไปเพราะกลัวเรือบินรบเวทระเบิดของชายหนุ่ม…ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง

การปรากฏตัวขึ้นของผู้อาวุโสฝ่ายขวาคงไม่ทำให้สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่…ร่างอวตารที่เขาทิ้งเอาไว้ในสนามรบนอกดารานิรันดร์ ตรงจุดที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำกำลังพัวพันกับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ สามารถเห็นสนามรบหลักได้อย่างชัดเจน และที่สนามรบหลักนั้น ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่อยู่เคียงข้างประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และกำลังรับมือปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่อยู่ก็คือผู้อาวุโสฝ่ายขวาเช่นกัน!

หากเป็นเช่นนั้น บุคคลที่อยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อตอนนี้ก็อยู่สองที่ในเวลาเดียวกัน!

สิ่งนี้เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้วิญญาณของชายหนุ่มสั่นสะท้าน แถมยังทำให้หวังเป่าเล่อนึกขึ้นมาได้ว่าเหตุผลที่สองของเขาอาจเป็นคำตอบที่ถูกต้อง!

พวกมันสร้างกับดักนี้ขึ้น และทั้งผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวาก็ปรากฏตัว ต้องไม่ใช่เพียงเพื่อตัดกำลังข้าเป็นแน่ เป็นอย่างที่เหออวิ๋นจื่อพูดจริงๆ พวกมันต้องการสังหารข้าที่นี่ และคำอธิบายเดียวที่เป็นไปได้ก็คือ…หากพวกมันไม่ฆ่าข้า การเคลื่อนย้ายของดารานิรันดร์ก็จะใช้งานไม่ได้!

ขณะที่คลื่นความตื่นรู้กระแทกเข้ามาในใจของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็นึกถึงความตื่นเต้นในการควบคุมดวงเนตรดารานิรันดร์ที่เขารู้สึกก่อนหน้านี้ หลังจากที่วิเคราะห์อย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มก็ได้คำตอบที่แท้จริงขึ้นมารางๆ

เมื่อคำตอบนั้นปรากฏขึ้นในใจ เขาก็ไม่ได้ซ่อนความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าขณะพูดออกมาอย่างรวดเร็วแต่อย่างใด

“ผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็มาเหมือนกันหรือ…ดูท่าจะอยากได้อำนาจควบคุมของข้ากันมากสินะ แต่สิ่งที่ข้าสนใจยิ่งกว่าก็คือ ถ้าผู้อาวุโสฝ่ายขวาอยู่ที่นี่ แล้วคนที่ต่อสู้กับสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำอยู่เป็นใครกันเล่า สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์มีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สี่คนเลยหรือ” ขณะที่หวังเป่าเล่อพูดไป ดวงจิตเทพของเขาก็ไปติดอยู่กับทั้งสาม เพื่อตรวจหาความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าของคนเหล่านั้น

ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายหรี่ตา เหออวิ๋นจื่อเองก็เช่นกัน แต่ก็มีรอยยิ้มเยาะปรากฏขึ้นแทนที่อย่างรวดเร็วราวกับว่าไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดแม้แต่น้อย จากนั้น เหออวิ๋นจื่อก็ประสานมือไปทางผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา

“ข้าจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกท่าน ข้าจะไปเตรียมตัวก่อน เมื่อเจ้านี่ตายแล้ว ข้าจะเปิดประตูเคลื่อนย้ายดารานิรันดร์และรอต้อนรับกองทัพอารยธรรมครามทองคำ” เมื่อเขาพูดจบ เหออวิ๋นจื่อก็จางหายไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองหวังเป่าเล่อ เห็นได้ชัดว่า กายหลักของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ มีเพียงกายมายาเท่านั้นที่มาปรากฏ

เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินคำพูดและเห็นการกระทำของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็รู้สึกราวกับโดนฟ้าผ่าลงกลางใจ ทำให้ความจริงที่หวังเป่าเล่อคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้แจ่มชัดขึ้นมา

ที่ข้าเดาไว้ก่อนหน้านี้ว่าข้าได้รับอำนาจควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ผ่านทางสายเลือดนั้นถูกต้องแล้ว และการที่เหออวิ๋นจื่อสามารถเปิดประตูเคลื่อนย้ายได้ครั้งแรกก็แปลว่าเขาเองเคยมีอำนาจควบคุมเช่นเดียวกับข้าในระยะเวลาหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาต้องการจะฆ่าข้า…มันแปลว่าเขาไม่ได้มีอำนาจควบคุมอยู่แล้ว หรือไม่ก็เป็นเพราะอำนาจควบคุมของเรานั้นขัดแย้งกัน!

เขาจะชิงเอาอำนาจควบคุมไปได้หลังจากสังหารข้าอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงและพยายามควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ แต่ความพยายามของชายหนุ่มก็ไม่เป็นผล

ฝ่ายผู้อาวุโสฝ่ายขวา เมื่อได้ยินคำพูดของเหออวิ๋นจื่อก็พยักหน้า ก่อนจะหันมามองหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าขบขัน

“ทันทีที่เจ้าจะตาย ข้าจะบอกให้ก็ได้ว่าอีกคนที่อยู่ข้างนอกนั่นเป็นใคร!” เมื่อพูดจบ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ยกมือซ้ายกดอกตนเอง ในเวลาเดียวกันผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายข้างกายเขาก็ปลดปล่อยพลังปราณออกมาพร้อมกัน

ทันใดนั้น เสียงครืนสนั่นที่สั่นคลอนสวรรค์ก็ดังขึ้นเมื่อชั้นผนึกป้องกันที่หวังเป่าเล่อมองไม่เห็นก่อนหน้านี้เริ่มปรากฏขึ้น มันเป็นเหมือนฟองอากาศที่สะท้อนแสงสีรุ้งออกมา!

หวังเป่าเล่อ…ติดอยู่ในฟองอากาศนั้น และขณะที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาโจมตีพร้อมกัน ฟองอากาศก็เริ่มหดตัวก่อนจะแปรสภาพ ขณะที่มันหดตัวลงนั้น แรงกดดันขนาดมหาศาลก็ระเบิดออกมากดหวังเป่าเล่อไว้จากทุกทิศทุกทาง

แรงกดดันนั้นรุนแรงยิ่งกว่าพลังของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้นเสียอีก แทบจะเทียบได้กับระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง เห็นได้ชัดว่า ฟองอากาศสีรุ้งเป็นวงแหวนปราณหรือไม่ก็สมบัติเวทที่มีราคาแพงระยับ อาจจะนับได้ว่าเป็นไพ่ตายของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และพวกเขาคงไม่ใช้มันหากไม่จำเป็นจริงๆ

และบัดนี้…เพื่อจะสังหารหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสทั้งสองก็ควบคุมมันพร้อมกันก่อนจะปลดปล่อยพลังของมันออกมา

แน่นอนว่า…ในสายตาของพวกเขาแล้ว แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ใช่ระดับดาวพระเคราะห์ แต่ก็แสบสันกว่าระดับดาวพระเคราะห์มาก เรือบินรบเวทนับพันลำและฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ก็เพียงพอที่จะทำให้ศัตรูต้องหันมารับมือเขาอย่างจริงจังแล้ว ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ตามการคำนวณของพวกเขา หวังเป่าเล่อต้องว่องไวเป็นอันมากเช่นนั้น แน่นอนว่า พวกเขารู้เรื่องที่ชายหนุ่มสามารถแปรสภาพร่างกายได้ด้วย

ฉะนั้น เพื่อไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น และเพื่อไม่เปิดโอกาสให้หวังเป่าเล่อได้หนี พวกเขาจึงย้ายสถานที่ต่อสู้มาอยู่ในขอบเขตของดารานิรันดร์ ในเวลาเดียวกัน เพราะเหตุผลต่างๆ เหล่านั้น ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เลือกที่จะไม่สนใจผลกระทบ และใช้สมบัติเวทที่ทั้งสำนักต้องทุ่มทั้งเวลาและเครื่องเซ่นสังเวยเพื่อสร้างขึ้นมา มีเพียงวิธีนี้ที่ทำให้เขามั่นใจว่ากับดักจะทำงานได้อย่างราบรื่น!

และฟองอากาศสีรุ้งนี้ก็แข็งแกร่งยิ่งนัก ขณะที่มันหมุนวนไป ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็เริ่มสั่นคลอนอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลที่อัดเข้ามาใส่ร่างของเขาจากทุกด้าน

ขณะที่วิญญาณของชายหนุ่มสั่นไหวอยู่นั้น ความรู้สึกไม่สบายใจที่จางหายไปเมื่อครู่กลับระเบิดขึ้นมาอย่างรุนแรงและกระจายไปทั่วร่างของเขาอีกครั้ง ร่างกายของหวังเป่าเล่อกระจายกลายเป็นกลุ่มหมอกขณะที่พยายามจะหนีออกไปจากผืนดินดารานิรันดร์

แต่ก็สายไปเสียแล้ว!

มีแสงสาดกล้าออกมาจากผืนดินดารานิรันดร์นั้น ราวกับว่าแสงจากดวงอาทิตย์เข้าปกคลุมทั้งแผ่นดินเอาไว้ด้วยความเร็วเหลือเชื่อ ตามมาด้วยคลื่นรบกวนการเคลื่อนย้ายที่แรงกล้า

คลื่นรบกวนนั้นทรงพลังอย่างยิ่ง และผืนดินที่ทุกคนยืนอยู่ก็ถล่มลงมาจากรอบนอกก่อน มีตัวอักขระนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นปกคลุมสิ่งรอบข้างเอาไว้ ราวกับกำลังก่อตัวกันเป็นผนึก ทำให้หวังเป่าเล่อและคณะถูกปิดกั้นไม่ให้ออกไป

เมื่อมองเห็นภาพนั้น สีหน้าของชายหนุ่มก็เคร่งขรึมขึ้นมาอีกครั้ง

ข้าประมาทเกินไปจริงๆ หรือว่านี่คือสิ่งที่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ปกปิดเอาไว้ เขาทรยศข้า ขายข้าให้อารยธรรมครามทองคำจริงๆ หรือ หวังเป่าเล่อถอนใจอยู่ในอก ชายหนุ่มรู้ดีว่าการประมาทของตนเป็นเหตุเดียวกันกับที่เขาต้องตกเป็นฝ่ายนั่งฟังเมื่อครั้งปะทะกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก่อนหน้านี้ ทั้งหมดเป็นเพราะความโลภ เมื่อใดก็ตามที่ใครสักคนเกิดโลภขึ้นมา เขาจะหวั่นไหวไปกับเรื่องกำไรขาดทุน จนกระทั่งสูญเสียความมั่นคงในจิตใจไป

แต่ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกว่า ความเป็นไปได้ที่ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์จะหักหลังเขานั้นยังต่ำมาก เพราะไม่มีความจำเป็นที่อีกฝ่ายต้องทำเช่นนั้น เขาสามารถร่วมมือกับปรมาจารย์เต๋าใหม่และไปจับมือกับบรรดาระดับดาวพระเคราะห์ของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็จะกำราบหวังเป่าเล่อได้อย่างง่ายดาย ไม่มีความจำเป็นต้องทำเรื่องลำบากมากมายเลย!

ความคิดเหล่านี้ปรากฏขึ้นมาในใจของหวังเป่าเล่อ แต่ชายหนุ่มเข้าใจดีว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาครุ่นคิดหาคำตอบ ประกายเย็นยะเยือกสะท้อนวาบขึ้นมาในแววตาของเขา หวังเป่าเล่อเตรียมตัวแหวกออกไปด้วยกำลัง แต่ ขณะที่ตัวอักขระปรากฏขึ้นบังทางออกไว้นั้น ประกายแสงการเคลื่อนย้ายที่ห้อมล้อมผืนดินเอาไว้ก็สว่างถึงขีดสุด มีเสียงครืนดังลั่นขึ้นก่อนที่แสงนั้นจะไปรวมตัวกันอยู่…ที่คนสามคน!

คนหนึ่งคือเหออวิ๋นจื่อ อีกคนหนึ่งคือหวังเป่าเล่อ และคนสุดท้ายคือ…ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์!

แสงที่มารวมตัวกันเกิดเป็นแรงดึงอันแรงกล้าราวกับว่าจะกดทับหวังเป่าเล่อเอาไว้ มันทำให้ร่างกายของชายหนุ่มสั่นสะท้าน แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ชายหนุ่มแปรสภาพเป็นหมอกอีกครั้ง ส่งเสียงคำรามลั่นพลางพยายามจะหนี

ทว่า…สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์เหมือนจะเตรียมการรับมือเรื่องนี้มาแล้ว ในกับดักที่พวกเขาเตรียมไว้นั้น มีทั้งการขัดขวางและการเคลื่อนย้ายพรักพร้อมราวกับว่าได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว ดังนั้นทันทีที่แสงมารวมตัวกัน แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะแปรสภาพกายสารัตถะให้เป็นหมอกและใช้พลังปราณทั้งหมดเพื่อพยายามหลบหนีก็ไม่เป็นผล ดวงวิญญาณของชายหนุ่มสั่นสะท้านขณะที่แสงสว่างทิ่มแทงดวงตา กายของเขาถูกเคลื่อนย้ายไปจนได้

เหออวิ๋นจื่อและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็ถูกเคลื่อนย้ายไปเช่นกัน ส่วนคนที่เหลือยังอยู่ที่เดิม เมื่อแสงแห่งการเคลื่อนย้ายสลายไป ดารานิรันดร์ก็ดูเหมือนจะฟื้นคืนสภาพ แต่การสั่นไหวและเสียงดังสนั่นมาจากใต้ดินก็แสดงให้เห็นว่าผืนแผ่นดินนั้นได้สูญเสียพลังป้องกันทั้งหมดไป และกำลังจะถล่มเพราะความร้อนสูงจากดารานิรันดร์

พ่อบ้านและคนอื่นๆ ต่างตื่นตะลึงกับความเปลี่ยนแปลงอันฉับพลันนี้ ก่อนจะพากันหนีตายอลหม่าน ด้านองค์ชายทั้งสองและสมาชิกราชวงศ์คนอื่นๆ ก็หายใจไม่ทั่วท้อง สีหน้าของพวกเขาแสดงอาการตื่นตะลึงและสับสน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่รู้ถึงสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาก่อน

หวังเป่าเล่อไม่สนใจผืนแผ่นดินดารานิรันดร์ที่กำลังถล่มและไม่มีเวลามาคิดเรื่องสมาชิกราชวงศ์หรือผู้ฝึกตนของทั้งสองสำนักอีกต่อไป เมื่อลำแสงแห่งการเคลื่อนย้ายถูกปลดปล่อยออกมา สายตาของชายหนุ่มก็พร่าเลือน ในอึดใจถัดมา เงาร่างของเขาก็ไปปรากฏอยู่ในความว่างเปล่าอันเวิ้งว้าง!

สถานที่ที่ชายหนุ่มมาปรากฏตัวอีกครั้งอาจเรียกได้ว่าเป็นความว่างเปล่า เพราะไม่มีทั้งท้องฟ้าหรือผืนดิน มันเป็นโลกอันวุ่นวายที่มีคลื่นความร้อนสูงปรากฏอยู่ทั่วไป คลื่นความร้อนนั้นมีสีต่างๆ กัน แต่ทุกๆ สีล้วนมีความร้อนยิ่ง

เมื่อมองลงไปก็จะเห็นลูกไฟขนาดมหึมาอยู่ในความเวิ้งว้างเบื้องล่าง ทั้งคลื่นความร้อนและลูกไฟล้วนกระจายออกมาจากภายในนั้น

พวกเขาผ่านกฎเกณฑ์ของพื้นที่ขอบนอกดารานิรันดร์และเคลื่อนย้ายข้าเข้ามาอย่างนั้นหรือ วิญญาณของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน ก่อนที่ชายหนุ่มจะกวาดสายตามองไปรอบๆ เขารู้ได้ทันทีว่า…ตนไม่ได้ถูกเคลื่อนย้ายออกมานอกอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หวังเป่าเล่อถูกเคลื่อนย้ายจากผืนแผ่นดินบนดารานิรันดร์เข้ามาอยู่ตรงขอบนอกดารานิรันดร์ แม้ชายหนุ่มจะรู้สึกว่ายังอยู่ห่างจากพื้นผิวของดารานิรันดร์อยู่สักหน่อย แต่หากเทียบกับผืนแผ่นดินที่ยืนอยู่เมื่อครู่ เขาก็อยู่ใกล้พื้นผิวมากขึ้นจนน่ากลัว!

หวังเป่าเล่อเข้าใจแจ่มแจ้งว่าตนติดกับดักและไม่มีเวลาคิดมากนัก สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไปทันทีที่มีเงาร่างสองร่างปรากฏขึ้นล้อมหน้าล้อมหลังเขาเอาไว้ ทั้งสองคือเหออวิ๋นจื่อและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายนั่นเอง แม้ว่าระดับปราณขอเหออวิ๋นจื่อจะอ่อนแอที่สุด แต่ชายชราก็เตรียมตัวมาก่อนแล้ว มีเกราะแสงแพร่กระจายออกมาจากกายเขา เห็นได้ชัดว่าเกราะแสงนั้นเป็นเหตุผลที่ชายชราสามารถอดทนอยู่ในบริเวณนี้ได้

ด้านผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย แม้ว่าระดับปราณจะร่วงลงไป แต่เขาก็ยังเคยอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ ในวินาทีนี้ ชายชราไม่ได้ดูทุกข์ร้อนแต่อย่างใด กลับกัน ความเกลียดชังและจิตสังหารในแววตาของเขาฉายแสงกล้าขึ้น

ทันทีที่พวกเขามาถึง หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้พูดสักคำ แต่รีบเคลื่อนที่อย่างเด็ดเดี่ยว ร่างกายของชายหนุ่มขยับก่อนจะแยกออกเป็นสี่เงาที่พุ่งไปในทุกทิศทางพร้อมๆ กัน ร่างที่ไปข้างหน้าและข้างหลังพุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและเหออวิ๋นจื่อ ส่วนร่างที่ไปซ้ายขวานั้นเร่งฝีเท้าเต็มที่พยายามจะหนี

เพียงแค่ว่า…ร่างอวตารทั้งสี่ที่ชายหนุ่มสร้างขึ้นนั้นกลับชนเข้ากับผนึกหลังจากเคลื่อนที่ไปได้ไม่ถึงสามสิบเมตรจนต้องหยุดลง ร่างที่อยู่ทางซ้ายและขวา หน้าและหลัง ต่างก็ประสบเคราะห์กรรมเช่นเดียวกัน ร่างอวตารที่มุ่งไปหาเหออวิ๋นจื่ออยู่ห่างจากตัวชายชราไปแค่ไม่ถึงสิบเมตร แต่ไม่อาจเดินหน้าไปต่อได้

สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไปอีกครั้ง ขณะที่เหออวิ๋นจื่อ ผู้ที่อยู่ตรงหน้าร่างอวตารของชายหนุ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมา

“หลงหนานจื่อ ไม่ว่าเจ้าจะเจ้าเล่ห์แสนกลเพียงใด เจ้าก็ตกหลุมพรางของข้าเสียแล้ว ครั้งนี้…ข้าเตรียมทุกอย่างมาก็เพื่อสังหารเจ้าเท่านั้น!” ขณะที่เหออวิ๋นจื่อหัวเราะอยู่นั้น ประกายความตื่นเต้นและละโมภก็สะท้อนอยู่ในแววตาของชายชรา

เขาไม่ได้โกหก กุญแจในการต่อสู้ครั้งนี้สำหรับทั้งราชวงศ์และสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็คือ…หวังเป่าเล่อ!

แต่แผนนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์แต่อย่าใด และไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะร่วมมือกันได้ กลับกัน ก่อนการต่อสู้ครั้งนี้ ราชวงศ์ที่มีเหออวิ๋นจื่อเป็นแกนนำ ไม่อาจจะ…เปิดใช้งานการเคลื่อนย้ายครั้งที่สองของดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ได้ และเรื่องนี้นั้นแม้แต่ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่รู้!

แม้ว่าเหออวิ๋นจื่อจะพยายามสุดแรงและสังเวยสายโลหิตของสมาชิกตระกูลแล้วก็ตาม เขาก็ยังไม่อาจเปิดดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ขึ้นมาอีกครั้งได้ ชายชรารู้สึกกลัวจับใจ ยิ่งไปกว่านั้น สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เองก็เพลี้ยงพล้ำครั้งใหญ่ เหออวิ๋นจื่ออดไม่ได้ที่จะมองหาประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และบอกความจริงไป

หากจะจัดอันดับผู้ที่มีอำนาจควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์แล้ว ด้วยสถานะองค์ชายของเหออวิ๋นจื่อและการที่เขาได้สายเลือดราชวงศ์กว่าร้อยละเก้าสิบมาอยู่ในกายด้วยความช่วยเหลือจากกระบวนเวทของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ชายชราก็ถือว่าได้รับอำนาจควบคุมดวงเนตรดารานิรันดร์ระดับหนึ่ง

ไม่เคยมีใครในประวัติศาสตร์ราชวงศ์ได้รับอำนาจควบคุมระดับนี้มาก่อน อย่างมากที่สุด พวกเขาก็ได้รับอำนาจควบคุมระดับสอง มีเพียงเหออวิ๋นจื่อซึ่งไม่สนใจผลที่จะตามมาและเลือกรับการช่วยเหลือจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ครอบครอง และเพราะหวังเป่าเล่อยังต่อสู้กับจักรพรรดิองค์แรกจึงไม่มีใครรู้สถานะของเขา ทำให้เหออวิ๋นจื่อ ผู้ที่มีอำนาจควบคุมระดับหนึ่ง สามารถเปิดการเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ของดารานิรันดร์ได้ครั้งหนึ่ง

ทว่า…พอหวังเป่าเล่อเดินออกมาจากสุสานหลวง โอกาสอันมากมายที่ชายหนุ่มได้รับมาในนั้นทำให้ตามความรู้สึกแล้วหวังเป่าเล่อกลายเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ของดวงเนตรสวรรค์ และเพราะชายหนุ่มกลืนจักรพรรดิองค์แรกเข้าไป ทำให้เขามีอำนาจควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ระดับหนึ่งเช่นกัน

สิ่งนี้ไปกระตุ้นให้กลไกการคัดเลือกรอบสุดท้ายของดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ทำงาน มันต้องการให้ผู้ที่มีอำนาจควบคุมระดับหนึ่งทั้งคู่ต่อสู้กัน ในตอนท้าย คนเดียวที่ยึดเอาอำนาจควบคุมของอีกฝ่ายมาได้จะกลายเป็นเจ้าผู้ครองดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์

และขณะที่พวกเขาต่อสู้กัน พลังของอำนาจควบคุมที่มีก็จะถูกผนึกไว้ไม่สามารถใช้งานได้ เพราะเหตุนี้เอง เหออวิ๋นจื่อจึงไม่อาจเปิดการเคลื่อนย้ายดารานิรันดร์อีกครั้งหนึ่งได้ ดังนั้น หลังจากที่เขาบอกประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับการตัดสินใจของตน แผนการดักจับหวังเป่าเล่อก็ถือกำเนิดขึ้น!

หากหวังเป่าเล่อตาย เหออวิ๋นจื่อก็จะได้รับอำนาจควบคุมสุดท้ายของดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ นี่เป็นวิธีเดียวที่เขาจะสามารถเปิดประตูเคลื่อนย้ายของดารานิรันดร์ให้กองทัพระลอกสองของอารยธรรมครามทองคำลงมาได้สำเร็จ

เพียงแต่ว่า…แผนนี้ค่อนข้างจะยากอยู่สักหน่อย เพราะอย่างไรเสีย หวังเป่าเล่อก็แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก และคงไม่เป็นการกล่าวเกินไปหากจะบอกว่าชายหนุ่มมีพลังยุทธ์ระดับดาวพระเคราะห์อยู่ถึงร้อยละแปดสิบ ยิ่งไปกว่านั้น สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ยังเสียหายหนัก แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือก แผนเดิมคือเคลื่อนกำลังเข้าไปบุกสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อีกครั้ง โดยทำให้เหมือนว่าต้องการไปกำราบสำนัก แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือการสังหารหวังเป่าเล่อตอนที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เผลอ

แผนนี้มีช่องโหว่มากมาย แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกและมีโอกาสเดียวเท่านั้น เพราะทันทีที่โลกภายนอกล่วงรู้ถึงความสำคัญของหวังเป่าเล่อ การที่พวกเขาจะบุกไปสังหารชายหนุ่มก็จะยากเสียยิ่งกว่ายาก

ในระหว่างที่พวกเขารีรอและวิเคราะห์สถานการณ์อยู่นั้น ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็เสนอขึ้นมาว่า ให้ปล่อยข่าวลวงให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์คิดว่าพวกเขาคิดจะเปิดดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์เพื่อพากองทัพระลอกสองเข้ามา หากทำเช่นนั้นอาจจะล่อให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์บุกก่อนได้ ในขณะเดียวกัน พวกเขาก็จะวางกับดักไว้ และจะเป็นการดีที่สุดหากพวกเขาสามารถล่อหวังเป่าเล่อออกมาได้พร้อมกัน หาไม่แล้ว…ก็คงต้องทำตามแผนเดิมด้วยการบุกอีกฝ่าย เพื่อกรุยทางไปสังหารหวังเป่าเล่อด้วยกำลัง

ฝ่ายหวังเป่าเล่อนั้นรีบถอยทันทีที่กองทหารเคลื่อนพล ผู้ที่ถอยออกมาด้วยมีพ่อบ้านและศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ และผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่งและสองของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำพร้อมผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณหลายสิบคนจากทั้งสองสำนัก

เมื่อกองทัพหลักเคลื่อนไปข้างหน้า กลุ่มของหวังเป่าเล่อก็ถอยกลับ ทั้งสองกลุ่มเคลื่อนที่แยกออกจากกัน ขณะที่กำลังหลักของสองสำนักเคลื่อนที่ห่างออกไป พ่อบ้าน ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ และผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่งและสองของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำก็มายืนเรียงกันหน้าหวังเป่าเล่อ เมื่อพวกเขาสบตากัน ทุกคนก็ประสานมือค้อมศีรษะคำนับชายหนุ่ม

พวกเขารู้แผนมาบ้างแล้วอย่างลับๆ แต่ยังไม่รู้รายละเอียด รู้เพียงว่าหลงหนานจื่อเป็นผู้นำปฏิบัติการในครั้งนี้ และพวกเขาจะต้องรับฟังคำสั่งของชายหนุ่มทุกประการ

เมื่อเห็นว่าทุกคนจ้องมองมาทางตน หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลงแต่ไม่ได้พูดอะไร กลับกัน ชายหนุ่มแผ่ดวงจิตเทพออกไปจับหาทิศทางของกองทัพหลัก และเพราะเขาไม่ได้พูดอะไร คนอื่นๆ ก็เลยนิ่งเงียบอยู่เช่นกัน หลังจากที่เฝ้ารออย่างเงียบงันมากว่าชั่วโมง คลื่นพลังระดับดาวพระเคราะห์ก็กระจายออกมาจากสนามรบที่อยู่ห่างออกไป หวังเป่าเล่อจับสัญญาณนั้นได้ทันที

แต่กระทั่งตอนนั้น ชายหนุ่มก็ยังไม่ขยับ หวังเป่าเล่อรอจนร่างอวตารดวงจิตเทพที่เขาส่งไปแฝงตัวกับกองทัพหลักเห็นทัพสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และทั้งสองทัพเข้าปะทะกันเสียก่อน เมื่อเห็นประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และผู้อาวุโสฝ่ายขวาแล้ว หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลงแล้วค่อยสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย

ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายไม่อยู่ที่นั่น…นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกาย แต่เขาไม่ได้กลัวผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่สูญเสียกายเนื้อไปแล้วแต่อย่างใด ชายหนุ่มออกคำสั่งอย่างใจเย็น

“พวกเจ้าทุกคน ตามข้ามา!” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็สะบัดกายพุ่งตรงไปยังดารานิรันดร์ในอีกตำแหน่งหนึ่ง ตำแหน่งนั้นเป็นพิกัดที่ราชวงศ์ได้ทำการติดต่อกับอารยธรรมครามทองคำตามการคาดการณ์ของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ขณะที่ชายหนุ่มเร่งความเร็วเข้าไปใกล้ดารานิรันดร์ขึ้นทุกที เขาก็รู้สึกถึงรัศมีควบแน่นซึ่งปะปนไปด้วยคลื่นรบกวนของสายเลือดราชวงศ์อยู่ที่นั่น!

รัศมีนั้นเข้มข้นมากและทำหน้าที่ราวกับเป็นเข็มทิศ มันช่วยให้หวังเป่าเล่อรู้พิกัดที่แน่นอนของศัตรู แต่ชายหนุ่มก็อดสงสัยอยู่ในใจไม่ได้ ว่าเหตุใด…ทุกอย่างจึงได้ดูราบรื่นไปหมดเช่นนี้

ข้ายังรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ หวังเป่าเล่อกะพริบตา แล้วจู่ๆ หัวใจของเขาก็เต้นโครมคราม ก่อนจะเรียกใช้วิชาดวงเนตรปีศาจเพื่อดูว่ามันมีผลใดๆ ต่อดวงเนตรของดารานิรันดร์บ้างหรือไม่ แต่ดารานิรันดร์ที่แสนยิ่งใหญ่ตรงหน้าก็ไม่ได้ตอบสนองแต่อย่างใด

หรือว่าข้าจะเดาผิด ข้าไม่มีสิทธิ์ควบคุมดวงเนตรดารานิรันดร์หรือนี่ ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิดและระวังตัวมากขึ้น เขาก็ลดความเร็วลงเล็กน้อย ชายหนุ่มเข้าใกล้ดารานิรันดร์มากขึ้นทุกที และเมื่อเขามองเห็นสนามรบจากอีกด้านหนึ่ง หวังเป่าเล่อก็รู้สึกถึงความร้อนรุนแรงบนใบหน้า เขาใกล้จะถึงบริเวณขอบนอกของดารานิรันดร์แล้ว อันที่จริง หากมองจากที่ไกลๆ มันดูเหมือนเป็นแผ่นดินผืนใหญ่ที่ปักอยู่บนดารานิรันดร์!

แม้ว่าผืนแผ่นดินนั้นจะดูเล็กจ้อยเมื่อเทียบกับขนาดของดารานิรันดร์ แต่มันดูเหมือนว่าทำมาจากวัสดุพิเศษที่สามารถทนความร้อนแรงซึ่งแผ่ออกมาจากดารานิรันดร์ได้ และขณะที่หวังเป่าเล่อขยับเข้าไปใกล้และเดินพลังปราณไปยังดวงตา ชายหนุ่มก็มองเห็นผู้ฝึกตนจำนวนมากรายล้อมเหออวิ๋นจื่อและอีกสองคนอยู่ คล้ายว่าพวกเขากำลังประกอบพิธีกรรมบางอย่าง

ในขณะเดียวกัน เมื่อหวังเป่าเล่อเงยศีรษะขึ้นมองดารานิรันดร์ขนาดยักษ์ที่น่าเกรงขาม และได้เห็นรัศมีหนาแน่นจนเหมือนควันซึ่งกระจายตัวออกมา เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเคารพอยู่ในใจ

ชายหนุ่มสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังของดารานิรันดร์นั้นยิ่งใหญ่เพียงใด หนังสือหลายเล่มในนิมิตมืดและจารึกของสำนักวังเต๋าไพศาลช่วยให้หวังเป่าเล่อเข้าใจหลายๆ อย่างมากขึ้นแม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม

ตัวอย่างเช่น…รอบนอกดารานิรันดร์มีพลังธรรมชาติปกคลุมอยู่ ราวกับเป็นเปลือกหุ้มที่มองไม่เห็น เมื่อจะเข้าไปและออกมา ก็จำเป็นต้องหาจุดอ่อนเพื่อผ่านเข้าออก หากหาไม่พบ…การเหาะไปมาผ่านอากาศเพื่อเสาะหาจุดอ่อนก็ไม่ต่างอะไรกับการเหาะไปโดยมีกระบี่แหลมคมที่พร้อมจะหล่นใส่ศีรษะอยู่ทุกเมื่อ

แน่นอนว่าคงไม่เป็นอะไรนักหากอยู่แค่ภายนอกเช่นเดียวกับแผ่นดินผืนนั้น ก็คงไม่เป็นอะไรนัก เปลวเพลิงดารานิรันดร์ที่หวังเป่าเล่อได้รับมาก่อนหน้านี้ก็อยู่แค่ภายนอกเช่นกัน

หลังจากที่ความคิดเหล่านี้ปรากฏขึ้นมาในใจ หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลงขณะที่มองขึ้นไปยังผืนแผ่นดินนั้นอีกครั้ง เมื่อเขามองเห็นราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ พวกนั้นก็มองเห็นหวังเป่าเล่อเช่นกัน มีความตื่นตระหนกปรากฏขึ้นในฝูงชน ราวกับว่าพวกเขาตื่นตกใจที่มองเห็นหวังเป่าเล่อกระนั้น

ทุกๆ อย่างมองเผินๆ ก็ดูเรียบร้อยดี แต่ความสงสัยในเจตนาที่แท้จริงของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกไม่สบายใจ ชายหนุ่มหรี่ตาลงก่อนจะตะโกนออกมา “ขั้นเชื่อมวิญญาณลงไปก่อน บุกเข้าไปเลย!”

ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณสิบกว่าคนไม่กล้าขัดคำสั่งชายหนุ่ม จึงทำได้เพียงกัดฟันก่อนจะพุ่งลงไป พวกเขาจุติลงไปเมื่อเข้าไปใกล้ผืนดินผืนนั้น มีคาถารบกวนแผ่ออกมาจากผืนดินทันที เกิดเสียงกระหึ่มดังสนั่น ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รีบออกมารับมือพร้อมเหออวิ๋นจื่อและองค์ชายอีกสององค์

ภาพนี้ไม่ใช่เรื่องผิดธรรมดาแต่อย่างใด แน่นอนว่าสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ย่อมต้องทิ้งกำลังไว้ป้องกันอยู่แล้ว เมื่อเห็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่กำลังเพลี่ยงพล้ำ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็สะท้อนประกายเยือกเย็น

“ขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งหมด ไปได้!”

พ่อบ้าน ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ และผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่งและสองของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำมองหน้ากันก่อนจะกระจายตัวกันออกไป เมื่อใกล้ถึงพื้น พวกเขาก็พากันพุ่งเข้าต่อสู้ทันที บรรยากาศในสนามรบเริ่มคุกรุ่นขึ้น มีเสียงกัมปนาทดังสนั่นอยู่ไม่ขาด ผู้ฝึกตนของราชวงศ์ไม่ได้มีระดับปราณสูงนัก ทำให้จำนวนผู้บาดเจ็บและล้มตายพุ่งสูงขึ้นในทันใด ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงคำรามต่ำดังขึ้น และร่างเงาของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็ปรากฏขึ้นบนผืนดินผืนนั้น ชายชราเหลือบมามองหวังเป่าเล่อที่อยู่บนอวกาศด้วยสายตาโกรธแค้น ก่อนจะโจมตีทันที

แม้ว่าเขาจะประกอบกายเนื้อขึ้นมาใหม่ ทว่าระดับปราณที่ร่วงลงไปนั้นไม่อาจกอบกู้ได้ แต่ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์แล้ว พลังกายของชายชราก็ยังเหนือกว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั่วไปอยู่ดี การโจมตีของเขาเพียงครั้งเดียวก็ทำให้สถานการณ์การรบกลับมาสูสีอีกครั้ง ดูเหมือนว่าฝ่ายของหวังเป่าเล่อจะเสียเปรียบเสียด้วยซ้ำ

แม้แต่ร่างอวตารที่หวังเป่าเล่อทิ้งไว้กับกองทัพหลักก็ยังหวาดวิตกเมื่อสัมผัสได้ว่าประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และผู้อาวุโสฝ่ายขวากำลังต่อสู้อยู่ มันนำผู้ฝึกตนจำนวนหนึ่งวิ่งหนีออกมาจากสนามรบราวกับเพิ่งได้รับข้อมูลใหม่มา

ไม่ควรจะมีปัญหาอีกแล้วนะ! หวังเป่าเล่อรู้สึกสะท้านอยู่ในใจ แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจทิ้งโอกาสในมือตอนนี้ได้ ประกายเย็นยะเยือกสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา ชายหนุ่มเก็บกดความรู้สึกไม่สบายใจนั้นเอาไว้และพลิกกายมุ่งหน้าลงไปยังผืนดินบนดารานิรันดร์!

แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะปฏิบัติตามแผนด้วยความเหี้ยมโหด แต่ก็ยังเป็นคนที่ระแวดระวังอยู่เสมอ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ผ่านประสบการณ์มาหลากหลาย ชายหนุ่มเชื่อในสัญชาตญาณของตนเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นด้วยความรู้สึกไม่สบายใจรางๆ ที่มีก่อนหน้านี้ เขาจึงส่งผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเข้าไปก่อน ตามด้วยขั้นจิตวิญญาณอมตะ แต่ตัวหวังเป่าเล่อเองกลับไม่เข้าไปใกล้นัก

วิธีนี้ดูจะเห็นแก่ตัวอยู่สักหน่อย แต่ก็สะท้อนความเป็นจริงของโลกแห่งการฝึกปราณได้อย่างดี หวังเป่าเล่อคิดว่าเหตุผลที่ทุกคนฝึกปราณ ก็เพื่อจะสามารถควบคุมชีวิตของตนไม่ให้ได้รับผลกระทบหรือถูกควบคุมโดยคนอื่น

ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่เขาทำเป็นเรื่องผิด จนกระทั่งเมื่อเห็นว่าไม่มีเหตุการณ์ประหลาดใดๆ เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ หลังจากที่ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณและจิตวิญญาณอมตะจุติลงไปแล้ว ชายหนุ่มจึงค่อยถอนใจอย่างโล่งอก แต่ถึงแม้สถานการณ์จะเป็นเช่นนั้น และถึงแม้ว่าหวังเป่าเล่อกำลังพุ่งลงมาด้วยความเร็วสูง แต่ชายหนุ่มกลับหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศเมื่อเข้ามาใกล้รัศมีของผืนแผ่นดินบนดารานิรันดร์ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบก และส่งหุ่นเชิดจิตวิญญาณอมตะสองตัวลงไปเริ่มสังหาร

และเพื่อจะทำให้ทุกอย่างสมจริงยิ่งขึ้น หวังเป่าเล่อถึงกับสร้างร่างอวตารของตนขึ้นมาโดยใช้สารัตถะส่วนหนึ่ง แล้วควบคุมมันให้เข้าไปยังดารานิรันดร์เพื่อร่วมโจมตีพร้อมคนอื่นๆ

สิ่งนี้เป็นการทดสอบของหวังเป่าเล่อ จากนั้นนัยน์ตาของชายหนุ่มก็ส่องประกายขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนท่าทีไปอย่างมากจนสายตาแสดงอาการตื่นตระหนกและส่งเสียงคำรามลั่นออกมา

“ทุกคนถอยเดี๋ยวนี้ มันเป็นกับดัก!” เมื่อหวังเป่าเล่อพูดจบ ร่างของเขาก็พลันถอยหนี ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็เหมือนว่าชายหนุ่มค้นพบอะไรบางอย่างและต้องการหนีโดยเร็วที่สุด

หวังเป่าเล่อถึงกับยอมรับความเจ็บปวดโดยให้ร่างอวตารทำลายตัวเองเพื่อชะลอการติดตาม

ทว่าดวงจิตเทพของเขานั้นไปจับอยู่ที่เหออวิ๋นจื่อ องค์ชายทั้งสอง และผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่สูญเสียระดับปราณไป ชายหนุ่มจับตามองความเปลี่ยนแปลงในสีหน้าและรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของคนเหล่านั้นขณะที่ล่าถอยออกมาไกลหลายร้อยเมตร แต่ก็มองไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมใดๆ กลับกัน หวังเป่าเล่อเห็นพวกนั้นมีอาการตกตะลึง และเมื่อคนเหล่านั้นไม่ได้พยายามหยุดไม่ให้พ่อบ้านและคนอื่นๆ ถอยหนีตามคำสั่งของหวังเป่าเล่อ ความวิตกกังวลหยาดสุดท้ายที่อยู่ในใจของชายหนุ่มก็จางหายไป

“ข้าคงคิดมากไปเอง รีบไปจบการต่อสู้โดยเร็วเถิด” นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายเยือกเย็น ก่อนที่เขาจะหัวเราะลั่นออกมา ร่างกายของชายหนุ่มกลายเป็นภาพติดตาเมื่อเขาพุ่งเข้าไปที่แผ่นดินนอกดารานิรันดร์เต็มความเร็ว

ทันทีที่เขาก้าวเข้ามา ดวงจิตเทพก็ไปจับอยู่ที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายทันที หวังเป่าเล่อกำลังจะโจมตีเมื่อรอยยิ้มประหลาดปรากฎขึ้นที่มุมปากของชายชรา องค์ชายทั้งสองแห่งราชวงศ์ดูกังวล ทว่าเหออวิ๋นจื่อกลับมีรอยยิ้มประหลาดฉาบทาอยู่บนใบหน้า

รอยยิ้มของทั้งสองทำเอาหวังเป่าเล่อขนหัวลุก นัยน์ตาของชายหนุ่มหรี่เล็กลงทันที!

การสังหารกับการจับกุมนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงสำหรับหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้ดีว่าอารยธรรมครามทองคำไม่ได้สนใจสามสำนักใหญ่เป็นสำคัญ แต่สนใจเรื่องทางเข้าสุสานดวงดารามากกว่า ตราบใดที่ชายหนุ่มไม่ไปทำลายแผนนั้น เรื่องอื่นๆ ก็สามารถต่อรองได้เมื่อเขาจับตัวอีกฝ่ายได้

วิธีการนั้นยังถือว่าละมุนละม่อม แม้ว่าจะดูเสี่ยง แต่หากกระทำอย่างระมัดระวังและขัดขวางการเคลื่อนย้ายระลอกที่สองได้ มันก็มีโอกาสสำเร็จค่อนข้างสูง

แต่หากหวังเป่าเล่อสังหารพวกเขาแล้วล่ะก็…

การสังหารหมู่เชื้อพระวงศ์ก็เหมือนเป็นการทำลายแผนของอารยธรรมครามทองคำ ตัวข้าถูกเปิดโปงไปแล้วเพราะเหตุการณ์ที่สุสานหลวง เป็นไปได้มากว่าพวกมันกำลังหมายตาข้าอยู่ นี่ขนาดยังไม่ได้คิดเรื่องที่ว่าข้าไม่รู้เรื่องเครื่องหมายตำแหน่งนะ หวังเป่าเล่อคิดในใจ ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยปากพูดเมื่อหางตาเหลือบไปเห็นมุมปากของปรมาจารย์มหาทัณฑ์กระตุก หลังจากมองเห็นรอยยิ้มลุ่มลึกของอีกฝ่าย หัวใจของหวังเป่าเล่อก็เต้นโครมครามขึ้นมา

เจ้าจิ้งจอกเฒ่า เขาทดสอบข้าอยู่นั่นเอง! หวังเป่าเล่อเข้าใจแล้วว่าตนเองติดกับ เห็นได้ชัดว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์ล่วงรู้ข้อตกลงเรื่องสุสานดวงดาราระหว่างอารยธรรมครามทองคำกับราชวงศ์ ในขณะเดียวกัน เขาก็สงสัยหวังเป่าเล่อ จึงใช้คำว่า ‘ฆ่า’ เพื่อทดสอบปฏิกิริยาของชายหนุ่ม!

หากหวังเป่าเล่อเห็นด้วย ก็แปลว่าเขาไม่ได้มีความเกี่ยวพันกับราชวงศ์ แต่อาการอึกอักและหยุดคิดของชายหนุ่มเมื่อครู่เท่ากับเป็นการบอกปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไปตรงๆ ว่าหวังเป่าเล่อมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในสุสานหลวง แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้ตั้งใจปกปิด แต่การถูกจับได้ก็ทำให้หวังเป่าเล่อลำบากใจอย่างยิ่ง

เหมือนว่าทุกสิ่งที่เขาพูดในวันนี้ก็เพื่อจะขุดเอาคำตอบออกมาจากปากข้า! หวังเป่าเล่อส่งเสียงคำรามอยู่ในใจ

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์มองเห็นความฉุนเฉียวของหวังเป่าเล่อก่อนจะหรี่ตาลงเล็กน้อย ในเมื่อเขาไม่ได้ซ่อนรอยยิ้มเมื่อครู่ ชายวัยกลางคนจึงไม่มีความจำเป็นต้องทดสอบหวังเป่าเล่ออีกต่อไป เขาพูดออกมาอย่างแช่มช้า

“การสังหารเชื้อพระวงศ์ทุกคนยังมีประโยชน์อยู่อีกข้อหนึ่ง นั่นคือสิทธิ์ในการควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์…อาจจะตกอยู่ในมือเจ้าก็เป็นได้!” เมื่อพูดจบ นัยน์ตาของปรมาจารย์ก็หรี่ลงเล็กน้อยขณะที่เฝ้ามองหวังเป่าเล่อเขม็ง ราวกับว่าเรื่องนี้สำคัญยิ่งสำหรับชายวัยกลางคนผู้นี้

ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงคิดว่าเรื่องนี้สำคัญ ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์เป็นเสมือนวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขนาดมหึมา เมื่อใดก็ตามที่ได้สิทธิ์ในการควบคุมวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายนี้ สามสำนักใหญ่ก็จะสามารถบุกหรือถอยได้อย่างคล่องตัวในการรบ พวกเขาสามารถควบคุมไม่ให้ศัตรูเคลื่อนย้ายเข้ามา และสามารถเคลื่อนย้ายหนีการติดตามของศัตรูได้หากต้องการ อันที่จริงแล้ว พลังของการเคลื่อนย้ายนั้นอาจเคลื่อนย้ายดาวเคราะห์หลายดวงพร้อมๆ กันได้หากว่าใช้งานได้อย่างถูกต้อง

ความคิดเหล่านี้ปรากฏขึ้นในใจหวังเป่าเล่อพร้อมๆ กัน ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็อยู่ในสภาวะมึนงงเพราะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดปรมาจารย์จึงต้องทดสอบเขา ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะสิทธิ์ในการควบคุมดารานิรันดร์นั่นเอง

หวังเป่าเล่อทำได้แค่ถอนใจอยู่เงียบๆ เขาต้องยอมรับว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์นั้นเจ้าเล่ห์เป็นอย่างยิ่ง แถมยังคิดเรื่องต่างๆ ออกมาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ช่างเป็นคนที่น่ากลัวยิ่งนัก!

เพราะการควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์นั้นเป็นเพียงการคาดเดาของหวังเป่าเล่อเท่านั้น ชายหนุ่มคิดว่าเขาน่าจะทำได้ แต่ก็ไม่เคยได้ทดลองมาก่อน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าผิดบังไปอย่างไรก็คงไม่มีผล จึงกล่าวออกมาอย่างใจเย็น

“ข้ารับรองเรื่องนั้นไม่ได้ แต่ในเมื่อเรามาถึงจุดนี้กันแล้ว ข้าขอสนับสนุนการรบในครั้งนี้!”

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์จ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างล้ำลึก ราวกับว่ากำลังวิเคราะห์ความจริงใจในถ้อยคำของชายหนุ่ม สีหน้าที่ชายวัยกลางคนแสดงออกมาก็ไม่ต่างจากสิ่งที่คิด แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ทันสังเกตเห็น แต่สิ่งที่ปรมาจารย์หมายตาเอาไว้ในใจนั้นไม่ใช่สิทธิ์การควบคุมดารานิรันดร์แต่อย่างใด!

ไม่มีใครรู้ว่าชายวัยกลางคนคิดสิ่งใดอยู่นอกจากตัวเขาเอง ดังนั้นหลังจากที่จ้องมองจนแน่ใจว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้ล่วงรู้ถึงแผนการของตน ปรมาจารย์ก็หยิบแผ่นหยกออกมาติดต่อไปยังปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำทันที ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังพูดคุยถึงคำตอบที่รีดออกมาจากหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อยืนอยู่ข้างหนึ่งและกำลังคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ชายหนุ่มไม่เคยตกเป็นฝ่ายตั้งรับในสงครามน้ำลายมาก่อน ดังนั้นเขาจึงต้องกลับมาวิเคราะห์ว่าสถานการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

แต่หวังเป่าเล่อก็วิเคราะห์อยู่ได้ไม่นานก่อนที่ปรมาจารย์จะวางแผ่นหยกลง เมื่อชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมา ความเด็ดเดี่ยวและแข็งกร้าวก็สะท้อนอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย

“สหายร่วมสำนักเต๋าหลงน้อย ไม่ว่าเจ้าจะสามารถควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ได้หรือไม่ เราก็จำเป็นต้องใช้มันในสงครามที่กำลังจะมาถึง เมื่อถึงเวลา สมาชิกทุกคนของสองสำนักใหญ่จะเคลื่อนย้ายออกไป ข้าจะนำกำลังของเราร่วมกับปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเพื่อดึงความสนใจจากกำลังหลักของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ เจ้าจะยอมนำกลุ่มผู้เยี่ยมยุทธ์จากทั้งสองสำนักเพื่อไปทำภารกิจยึดครองดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ให้สำเร็จลุล่วงอย่างเต็มกำลังหรือไม่”

“หากเจ้าตกลง เรื่องนี้ก็ต้องทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในอีกสามวัน…การรบจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง!” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์สูดลมหายใจเข้าลึก และเมื่อชายวัยกลางคนจ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาของเขาก็เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ เขาพูดว่าให้ทำภารกิจอย่างเต็มกำลังแต่ไม่ได้บอกให้ชัดว่าให้สังหารหรือจับกุม เป็นนัยว่าให้หวังเป่าเล่อตัดสินใจได้ด้วยตนเอง

วิธีนี้เหมือนเป็นการแสดงความจริงใจออกมา หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง แม้ว่าชายหนุ่มก็เป็นฝ่ายตั้งรับในวันนี้ แต่ไม่ว่าอย่างไร สถานการณ์ก็เป็นไปตามแผนของเขาแทบทั้งหมด ดังนั้นนัยน์ตาของชายหนุ่มจึงส่องประกายขณะที่เขาผงกศีรษะรับทราบก่อนจะจากมา

หลังจากกลับถึงบ้าน หวังเป่าเล่อก็ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ ขณะที่ทั้งสำนักกำลังเตรียมตัวทำสงคราม ชายหนุ่มก็ยังครุ่นคิดเรื่องที่ตนได้ไปทำสงครามน้ำลายกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์มา

จากการวิเคราะห์ของเขา ตั้งแต่ต้นจนจบนั้นดูเหมือนไม่มีอะไรมากมาย แต่ในไม่ช้า นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็เบิกโพลง ลมหายใจขาดช่วง

ไม่ใช่แน่!

ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าช่วยเหลือสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ สัญญาณที่ข้าแสดงออกไปก็ชัดเจนมากอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นหุ่นเชิดสิบสองจักรพรรดิ ดวงวิญญาณจำนวนมาก หรือเคล็ดวิชาการฝึกปราณของข้า…ข้าไม่ได้คิดจะแอบซ่อนหรือถึงอยากทำก็คงทำไม่ได้ ดังนั้นปรมาจารย์มหาทัณฑ์จึงไม่มีความจำเป็นต้องทดสอบข้าแม้แต่น้อย!

เช่นนั้นแล้วเขาจะยังทดสอบข้าไปทำไมกัน เพียงเพื่อจะพิสูจน์ว่าข้ามีสิทธิ์ในการควบคุมดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์หรือไม่น่ะหรือ หรือว่า….เป็นเพราะเหตุอื่น

หวังเป่าเล่อรู้สึกว่ามีบางอย่างในการกระทำของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ที่น่าสงสัย และสัญชาตญาณของชายหนุ่มก็บอกเขาว่าปรมาจารย์เหมือนจะตั้งใจมาก่อกวนความคิดของเขา ชายวัยกลางคนทำให้เขาฟุ้งซ่านและมองไม่เห็นเป้าหมายที่แท้จริง เพื่อเป็นการซ่อนจุดประสงค์หลักเอาไว้

แต่ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะครุ่นคิดเพียงใดก็ไม่อาจหาคำตอบพบ ชายหนุ่มตอนนี้เริ่มระวังตัวแจ และเวลาก็ผ่านไปเช่นนั้นสามวัน

สำหรับอารยธรรมอื่น การเตรียมการรบในสามวันอาจเร่งรีบเกินไป แต่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มีความเชี่ยวชาญในการออกปล้นเช่นโจรอยู่แล้ว พวกเขาจึงค่อนข้างถนัดเรื่องการเคลื่อนย้าย ดังนั้นหลังจากที่ปรมาจารย์ทั้งสองออกคำสั่ง สำนักทั้งสองก็เริ่มลงมือทำงานทันที

สามวันผ่านไป ทุกคนก็มุ่งหน้าตรงไปยังดารานิรันดร์ราวกับเป็นผึ้งแตกรัง!

หากมองจากที่ไกลๆ ก็จะเห็นผู้ฝึกตนในกองทัพยืนเรียงรายพร้อมรับคำสั่งอยู่บนดารานิรันดร์ หวังเป่าเล่อเองก็อยู่ในนั้นด้วย ส่วนเจ้าเยี่ยเหมิงอยู่ในเรือบินรบเวทในกระเป๋าคลังเก็บของชายหนุ่ม

ตอนที่กองทัพเปิดใช้งานวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายจำนวนมาก ลำแสงเคลื่อนย้ายก็แผ่กระจายเต็มท้องฟ้าดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ แสงนั้นห้อมล้อมโลกตรงหน้าหวังเป่าเล่อรวมถึงดวงจันทร์บริวารในบริเวณนั้นเอาไว้ในพริบตา จักรวาลที่รายล้อมอยู่นั้นเต็มไปด้วยเรือบินรบพิเศษ จุดประสงค์ของเรือบินรบเหล่านี้คือการเผาตนเองเพื่อเพิ่มพลังการเคลื่อนย้ายให้ไปถึงจุดสูงสุด เพราะปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่เพียงต้องการเคลื่อนย้ายกองทัพเท่านั้น แต่ยังต้องการเคลื่อนย้าย…ดาวเคราะห์มหาทัณฑ์และดวงจันทร์บริวารทั้งเจ็ดไปด้วย!

ดวงจันทร์บริวารทุกดวงเปรียบดั่งปราการศึก การนำดวงจันทร์เหล่านี้มาใช้ในการต่อสู้ก็เหมือนเป็นสัญญาณว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์กำลังเอาจริง!

ขณะที่เกิดเสียงครืนดังสนั่น และบรรดาเรือบินรบที่รายล้อมดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ส่องแสงสว่างเจิดจ้าออกมา คลื่นพลังเคลื่อนย้ายก็กระจายปกคลุมทั่วพื้นที่ หากมองจากที่ไกลๆ ก็ดูเหมือนมีแสงสว่างแปลกประหลาดปกคลุมดาวเคราะห์มหาทัณฑ์เอาไว้จนทั่ว ราวกับว่ามีมือยักษ์ที่สร้างจากแสงปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าและกวาดดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ให้ออกจากตำแหน่งเดิมในจักรวาลไป ขณะที่แสงยังส่องสว่างและเสียงยังดังสนั่นอยู่นั้น ดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ ดวงจันทร์บริวาร และกองทัพผู้ฝึกตนก็หายไปในพริบตา

เหลือเพียง…เศษซากเรือบินรบที่พังทลายลงหลังจากปล่อยพลังเสริมการเคลื่อนย้าย เพราะเมื่อดาวเคราะห์มหาทัณฑ์หายไป ซากเรือบินรบก็ถูกดึงมารวมกันอยู่ตรงกลาง

ในเวลาเดียวกันนั้น เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันก็กำลังเกิดขึ้นที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเช่นกัน ปรมาจารย์เต๋าใหม่ครามทองคำตัดสินใจเช่นเดียวกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ดาวเคราะห์ของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเองก็ถูกเคลื่อนย้ายไปเช่นกัน อึดใจต่อมา…ในอาณาเขตสาธารณะของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และในอีกสถานที่หนึ่งซึ่งไม่ไกลจากดารานิรันดร์เท่าใดนัก ก็ปรากฏแสงสว่างขึ้น สำนักใหญ่ทั้งสองมาปรากฏตัวแทบจะพร้อมๆ กัน!

ผู้ฝึกตนจำนวนนับล้าน มีขั้นเชื่อมวิญญาณหลักร้อย ขั้นจิตวิญญาณอมตะหลักสิบ และปรมาจารย์สองคนมาตรึงกำลังกันอยู่ที่นั่น พวกเขาเองก็ถือว่าทรงพลังในระดับหนึ่ง แต่หากเทียบกับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ยังถือว่าห่างไกลนัก

แต่เรื่องที่น่ายินดีก็คือ…ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายบาดเจ็บนัก แม้จะฟื้นตัวขึ้นมาบ้างแล้ว แต่ระดับปราณก็ร่วงหล่นจากระดับดาวพระเคราะห์ ถึงจะมีวิธีเพิ่มพลังปราณขึ้นมาได้ชั่วคราว แต่พลังที่เพิ่มขึ้นมานั้นก็ไม่อาจคงอยู่ได้ตลอดไป อย่างมากชายชราก็คงได้พลังยุทธ์กลับคืนมาครึ่งหนึ่งของระดับดาวพระเคราะห์ทั่วไปเท่านั้น

สำหรับผู้อาวุโสฝ่ายขวา แม้เขาจะเจ็บไม่หนักแต่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพเต็มร้อย ดังนั้นจากการวิเคราะห์ของปรมาจารย์มหาทัณฑ์และปรมาจารย์เต๋าใหม่ครามทองคำ พวกเขาจึงยังมีโอกาสชนะได้

อีกทั้งภารกิจของพวกเขาไม่ใช่การสู้ถวายหัวกับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ หากแต่เป็น…การถ่วงเวลาให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อซื้อเวลาให้กลุ่มของหวังเป่าเล่อ เพราะพวกเขาเป็นกุญแจสู่ความสำเร็จดอกสำคัญ

ดังนั้นหลังจากที่สองสำนักมารวมตัวกันเรียบร้อย ปรมาจารย์มหาทัณฑ์และปรมาจารย์เต๋าใหม่ครามทองคำก็ก้าวออกมาและมองหน้ากัน ก่อนจะหันไปมองหวังเป่าเล่อที่อยู่ในหมู่ทหารพร้อมๆ กัน

สายตาของคนทั้งสามมาบรรจบกัน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ พวกเขาจึงไม่ได้ใช้ดวงจิตเทพหรือพูดจากัน ทั้งสามเพียงแค่ถอนสายตาออกจากกัน จากนั้นปรมาจารย์มหาทัณฑ์และปรมาจารย์เต๋าใหม่ครามทองคำก็พุ่งตัวออกไปราวกับเป็นปลายกระบี่ นำกำลังร่วมของสองสำนักมุ่งตรงไปยัง…ดารานิรันดร์!

“เป่าเล่อ สิ่งที่เจ้าพูดมานั้นถูกต้องแล้ว แม้ว่าข้าจะไม่รู้รายละเอียด แต่ข้าก็รู้ว่าเครื่องหมายบอกตำแหน่งของอารยธรรมครามทองคำนั้น คนภายนอกไม่สามารถชิงไปได้ จักรพรรดิองค์แรกแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้มันมาโดยบังเอิญ และจะถูกส่งต่อได้ก็ต่อเมื่อราชวงศ์ยอมส่งมอบให้ด้วยความเต็มใจเท่านั้น สำหรับอารยธรรมครามทองคำแล้ว การช่วยราชวงศ์ทำลายสำนักใหญ่ทั้งสามเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่ยอมเสียสละมากมายเพียงเพื่อผลประโยชน์หยิบมือซึ่งส่งผลต่อโอกาสในการเข้าสู่สุสานดวงดาราแน่

“ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจเป็นพันธมิตรและร่วมมือกับราชวงศ์”

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้และผนวกกับข้อมูลเดิมที่ชายหนุ่มรู้อยู่แล้ว หวังเป่าเล่อก็เริ่มเข้าใจเหตุผลในการต่อสู้ครั้งนี้ แต่เมื่อเขาคิดไปถึงเรื่องที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ซึ่งชายหนุ่มเห็นว่าอยู่ในกำมือตนแล้ว กำลังจะถูกแย่งชิงไป หวังเป่าเล่อก็อดรู้สึกโกรธไม่ได้ เขากำลังชั่งใจอย่างหนัก

“อารยธรรมครามทองคำมีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สักกี่คนกัน” หวังเป่าเล่อรีรออยู่ก่อนจะถามอีกครั้ง

“ในอารยธรรมครามทองคำมีสำนักใหญ่อยู่ห้าสำนักด้วยกัน สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่ในลำดับที่ห้า มีระดับดาวพระเคราะห์สามคน หากนับรวมกันทั้งอารยธรรมก็คงมีอยู่ราวๆ สิบแปดคนด้วยกัน!” เมื่อเห็นสีหน้าไม่พอใจของหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิงก็ถอนใจเบาๆ ก่อนจะพูดต่อไป

“ตามแผน พวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาที่นี่เป็นระลอก แต่เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นกับราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ ส่งผลให้ประตูดารานิรันดร์ไม่อาจเปิดได้เต็มที่ ทำให้อารยธรรมครามทองคำจุติลงมาพร้อมกันทั้งหมดไม่ได้…” เมื่อพูดถึงตรงนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงก็เหลือบตาไปมองหวังเป่าเล่อเหมือนว่ารู้คำตอบอยู่ในใจแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น

“หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ได้รับมอบหมายให้เป็นผู้มาจุติระลอกแรก เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่การกำจัดสามสำนักใหญ่ด้วยตนเอง แต่มาเพื่อเปิดประตูดารานิรันดร์อีกครั้งที่นี่ เพื่อให้การจุติระลอกสองสะดวกยิ่งขึ้น จากนั้นพวกเขาจึงจะกำจัดสามสำนักใหญ่ด้วยกันแล้วค่อยวางแผนการเข้าสู่สุสานดวงดารา”

หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ชายหนุ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จึงต้องถอยไปยังดารานิรันดร์หลังจากพ่ายศึกที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ แม้หลังจากได้รู้ข้อมูลหวังเป่าเล่อจะรู้สึกว่าอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะต้องถูกกำจัดไป แต่ความไม่สบอารมณ์ในใจก็ผลักดันให้เขาไม่ยอมแพ้ ชายหนุ่มควรจะลองสู้ดูเมื่อยังมีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจเข้าลึก

“เยี่ยเหมิง เจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ เมื่อทุกอย่างจบลง ข้าจะพาเจ้ากลับไปยังโลกให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม!”

การถูกหวังเป่าเล่อจับตัวมาต่อหน้าศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จำนวนมาก ทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงเข้าใจดีว่า ต่อให้นางกลับไปและมีอาจารย์คอยช่วยปกป้อง ก็คงเป็นการยากที่นางจะอธิบายได้ว่ารอดมาได้อย่างไร หญิงสาวจึงพยักหน้ารับ หวังเป่าเล่อเมื่อเห็นดังนั้นก็พาเจ้าเยี่ยเหมิงกระโดดออกมาจากใต้พื้นผิวดาวเอกที่ร่างจริงของเขาอยู่ จากนั้นจึงพลิกกายกระโดดออกมาอีกรอบ เมื่อมาปรากฏตัวใหม่ คนทั้งคู่ก็มาอยู่ในอวกาศเรียบร้อย ชายหนุ่มพลิกตัวอีกแล้วพุ่งทะยานด้วยความเร็วสูง มุ่งหน้ากลับดาวเคราะห์มหาทัณฑ์

ทั้งสองกลับมาอย่างรวดเร็วเพราะความเร็วของหวังเป่าเล่อ หลังจากหวังเป่าเล่อส่งเจ้าเยี่ยเหมิงที่ฐานที่มั่นของกองทหารผ่าวิญญาณ ชายหนุ่มก็ไม่รอช้าอยู่ เขารีบไปยังประตูหลักของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ทันที

สถานะและตัวตนของชายหนุ่มตอนนี้แตกต่างจากเมื่อก่อน เขาไม่ต้องรายงานการมาถึงด้วยซ้ำ แถมยังไม่ต้องซ่อนคลื่นรบกวนของดวงจิตเทพของตนด้วย หวังเป่าเล่อแพร่คลื่นรบกวนออกมาอย่างเต็มที่เมื่อมาถึง

“ท่านปรมาจารย์ ข้าน้อยหลงหนานจื่อขอคารวะ!” แม้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์จะให้การยอมรับแถมยังเรียกเขาว่าสหายร่วมสำนักเต๋า หวังเป่าเล่อก็ยังคงหลักแหลมและรอบคอบกับการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนอยู่เช่นเดิม ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าตัวเขายังไม่บรรลุระดับดาวพระเคราะห์ ย่อมเป็นเรื่องปกติที่จะไม่แสดงความแข็งแกร่งออกมา เพราะว่าการอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นไม่ได้มีผล รังแต่จะทำให้ผู้คนดูถูก แต่ขณะนี้เมื่อความแข็งแกร่งของชายหนุ่มเป็นที่ประจักษ์ การอ่อนน้อมถ่อมตนจึงมีผลเป็นอย่างยิ่ง

ทันทีที่ดวงจิตเทพของเขาแผ่ออกไป พายุหมุนก็ปรากฏขึ้นมากลางอากาศตรงหน้าเขา พายุหมุนนั้นส่องสว่างเจิดจ้า แสดงให้โลกเห็นมวลหมู่นกส่งเสียงร้องเริงร่าและดอกไม้จำนวนมากที่เบ่งบานอยู่ภายใน มองไปเห็นทิวทัศน์ของทะเลสาบและตำหนักหรูข้างเคียง ขณะเดียวกัน ปรมาจารย์ก็นั่งอยู่ที่นั่นด้วย พลางพยักหน้าและส่งยิ้มให้ชายหนุ่มผ่านพายุหมุนดังกล่าว ชายวัยกลางคนพึงพอใจเป็นอย่างมากที่หวังเป่าเล่อยังคงเรียกตนว่าปรมาจารย์ แต่ในแววตาที่จ้องมองหวังเป่าเล่อนั้น ลึกๆ มีประกายแห่งความละโมภที่คนภายนอกมองไม่เห็นสะท้อนอยู่

“สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อ ท่านได้รับข้อความเสียงของข้าแล้วใช่หรือไม่ มานี่เสีย!” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ผุดลุกขึ้นยืน พลางซุกซ่อนความโลภเอาไว้ในใจ

หวังเป่าเล่อก้าวยาวๆ เข้าไปในวังวนนั้น เมื่อชายหนุ่มมาถึง เขาก็มายืนอยู่ด้านนอกตำหนักหรูเคียงข้างกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ทันทีที่หวังเป่าเล่อเข้ามา ก็รีบยกมือประสานคารวะปรมาจารย์มหาทัณฑ์

“ท่านปรมาจารย์ ก่อนหน้านี้ข้าฝึกปราณอยู่ ขออภัยด้วยที่มาสาย”

“ไม่มีปัญหาเลย สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อ ข้าเชิญท่านมาที่นี่เพื่อปรึกษาเรื่องข้อมูลใหม่ที่ข้าเพิ่งได้รับมา สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงการรุกรานระลอกแรกของอารยธรรมครามทองคำเท่านั้น แม้ว่าสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะล้มอยู่ในตอนนี้ แต่พวกเขาก็กำลังเตรียมการให้ราชวงศ์เปิดประตูเคลื่อนย้ายครั้งที่สองเพื่อปล่อยให้ระลอกสองมาที่นี่…พวกเราต้องโจมตีกลับให้เร็วที่สุด!”

“หืม” หวังเป่าเล่อกะพริบตา ชายหนุ่มกำลังคิดจะพูดชักชวนให้ปรมาจารย์เข้าร่วมการต่อสู้เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของแผนในอนาคต แต่ก็ไม่ได้คาดคิดว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์จะพูดขึ้นมาเสียเอง หวังเป่าเล่อจึงแสร้งทำเป็นลังเลอยู่ชั่วอึดใจ

“สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อ การที่ท่านมีกริยาเช่นนี้ ข้าคาดเดาได้หรือไม่ว่าท่านมีแผนจะละทิ้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไป” สีหน้าของปรมาจารย์มหาทัณฑ์เคร่งเครียดขึ้นมาทันที ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะปลดปล่อยพลังปราณออกมาจากกาย แววตาแสดงความดุร้ายในบัดดล

การกระทำทั้งหมดของปรมาจารย์ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งสงสัยมากขึ้น แต่ชายหนุ่มก็เข้าใจว่าข้อมูลที่ตัวเขาได้รู้มาจากเจ้าเยี่ยเหมิงอาจเป็นความลับสำหรับผู้ฝึกตนทั่วๆ ไป แน่นอนว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เช่นปรมาจารย์มหาทัณฑ์ย่อมไม่ใช่ผู้ฝึกตนธรรมดา เขาจึงไม่แปลกใจนักที่ปรมาจารย์พูดเช่นนั้น เพียงแต่ว่า แม้มุมมองของปรมาจารย์จะเข้าแผนหวังเป่าเล่อ แต่ขั้นตอนของเขาก็ออกจะแปลกอยู่สักหน่อย

ชายหนุ่มคาดหวังไว้ว่าจะต้องโต้เถียงกับปรมาจารย์ก่อนที่จะตกลงกันได้ แต่ขณะนี้ ปรมาจารย์กลับเสนอออกมาด้วยตนเอง หวังเป่าเล่อจึงเริ่มสงสัย แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้เก็บซ่อนอาการเอาไว้ กลับกัน เขาแสดงอาการออกมาอย่างชัดเจนเพื่อหวังจะได้ข้อมูลเพิ่มเติม

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์จ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าขึงขังก่อนจะถอนหายใจออกมายืดยาว

“สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อ ข้ารู้ดีว่าท่านไม่ใช่คนตาขาวที่กลัวความตาย แต่ข้าก็รู้อีกด้วยว่าอารยธรรมครามทองคำนั้นแข็งแกร่งและเป็นกำลังรบที่น่าเกรงขามของดาราจักรลำดับที่สิบเก้า ข้าเข้าใจเช่นกันว่าแม้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะอยู่ห่างไกลจากพวกเขา แต่การจะบุกมาทำลายก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ท่านจะยอมให้บ้านของเราถูกรุกราน พี่น้องของเราถูกจับเป็นทาส และพวกเราที่เหลือต้องจากบ้านไปราวกับเป็นหมาข้างถนนอย่างนั้นหรือ นี่คืออารยธรรมของเรา! คือบ้านเรา!”

เมื่อได้ยินคำพูดของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ หวังเป่าเล่อก็แสร้งทำหน้าไม่แน่ใจ สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทำมีเพียงการลักขโมยและปล้นสะดม ต้นกำเนิดของพวกเขามาจากโจรกลุ่มหนึ่ง และชายหนุ่มก็รู้สึกแปลกๆ ที่ต้องมาได้ยินถ้อยคำเช่นนี้จากปากของหัวขโมย

“ถึงกระนั้น ท่านคิดว่าจะหนีพ้นอันตรายได้หรือ ต่อให้ท่านหนีไปจากที่นี่ได้ แต่ท่านจะหนีออกจากดาราจักรลำดับที่สิบเก้าได้หรือ หากทำไม่ได้ ท่านจะหนีจากผู้ปกครองแห่งดาราจักรลำดับที่สิบเก้าไปได้อย่างไรกัน ความแตกต่างเดียวก็คือท่านจะต่อสู้จนตัวตายหรือยอมคุกเข่ารอความตายเท่านั้น แทนที่จะเลือกหลบหนีและยอมแพ้ในขณะที่คุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิต ทำไมถึงไม่ลุกขึ้นสู้เล่า อาจจะยังมีโอกาสอยู่ก็เป็นได้ ต่อให้ต้องพ่ายแพ้ เราก็จะตายอย่างสมเกียรติในสนามรบโดยไม่มีสิ่งใดให้ต้องเสียดาย!” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เอ่ยทุกคำออกมาด้วยความตั้งใจและแน่วแน่ ในน้ำเสียงมีความเที่ยงธรรมและความรักชาติแฝงปนอยู่

“ท่านปรมาจารย์หมายความว่าอย่างไรกัน” หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง เขากัดฟันก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“หยุดการเปิดดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ครั้งที่สองและชะลอการมาถึงของการโจมตีระลอกสองเอาไว้ ในเวลาเดียวกัน ก็หาโอกาส…สังหารสมาชิกราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ทั้งหมดเสีย เมื่อทำเช่นนั้นได้ เราก็จะได้เปรียบและสามารถหยุดกำลังเสริมของอารยธรรมครามทองคำได้!”

หลังจากที่ปรมาจารย์พูดจบ หัวใจของหวังเป่าเล่อก็กระตุกเพราะความรู้สึกประหลาดนั้นยิ่งเพิ่มพูนขึ้น นั่นเพราะแผนนั้นตรงกับแผนการในใจของชายหนุ่มทุกประการ

แผนของหวังเป่าเล่อคือการหาวิธีนำอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไปที่อื่น หากเขาสามารถถ่วงเวลาได้นานพอที่จะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์และนำมันไปผสานรวมกับอารยธรรมโลก จากนั้นก็ผสานมันเข้ากับดารานิรันดร์ของโลกและทำให้เป็นบริวารของสหพันธรัฐ แม้ว่าความคิดเช่นนี้จะเห็นแก่ตัว แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ใส่ใจอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ในใจของเขามีเพียงสหพันธรัฐเท่านั้น

แม้ว่าจะเป็นวิธีที่เสี่ยงมากและอาจทำให้สหพันธรัฐขัดแย้งกับอารยธรรมครามทองคำได้ง่ายๆ แต่ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ความมั่งคั่งมักได้มาจากสถานที่ที่อันตราย ชายหนุ่มเชื่อว่าแม้แต่ผู้นำต้วนมู่และปรมาจารย์มหาทัณฑ์หากได้คำนึงถึงผลได้ผลเสียแล้วก็คงต้องยอมเสี่ยงเช่นกัน

ในความเป็นจริงแล้ว หากสหพันธรัฐสามารถดูดซับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เข้าไปแล้วขึ้นเป็นผู้นำได้ ทำให้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นบริวารและนำชีวิตของผู้ฝึกตนทั้งหมดในอารยธรรมไปอยู่ใต้อาณัติเพราะสูญเสียดารานิรันดร์ได้สำเร็จ ถ้าเป็นเช่นนั้น…มันก็จะเปรียบเสมือนการให้โอสถบำรุงขนานใหญ่กับสหพันธรัฐ ชายหนุ่มอาจช่วยยกระดับให้สหพันธรัฐได้เป็นการใหญ่ และระดับปราณของทุกๆ คนก็จะพุ่งสูงขึ้นอีกด้วย!

แม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้างแต่ก็ไม่มากเกินไป และหวังเป่าเล่อก็ยังมีไพ่ตายที่เก็บเอาไว้เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ไม่คาดฝันอีกมาก

แต่เงื่อนไขความสำเร็จของฉากดังกล่าวคือการลากเอาสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำให้ล่มสลายไปด้วย แต่ในตอนนี้ หวังเป่าเล่อไม่จำเป็นต้องลากอีกฝ่ายแต่อย่างใด เพราะเป็นพวกเขาต่างหากที่อยากจะลากชายหนุ่มลงไปด้วยกัน…

อาจจะต่างกันอยู่สักหน่อย ปรมาจารย์มหาทัณฑ์วางแผนจะสังหารราชวงศ์ให้หมด ส่วนแผนของข้าไม่ใช่การฆ่าแต่เป็นการจับกุม!

“สำหรับระดับที่สาม…ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนทั่วไปจะหามาครอบครองได้ สิ่งนั้นได้แก่…ดาวเคราะห์อมตะ ดาวเคราะห์ประเภทนี้โดยทั่วไปแล้วเป็นดาวเคราะห์กลายพันธุ์หลังจากที่ความเข้มข้นของปราณวิญญาณภายในนั้นถึงจุดสูงสุด และเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของท้องฟ้าและผืนแผ่นดินไป ส่งผลให้ทุกๆ อย่างบนดาวเคราะห์ถูกผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียว กลายเป็นดาวเคราะห์ที่งดงามคล้ายดาวเสาร์!

“ดาวเคราะห์เหล่านั้นเต็มไปด้วยปราณวิญญาณที่อัดแน่นอยู่ภายใน ช่างน่าเสียดาย แม้ว่าดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์ที่เต็มไปด้วยก๊าซ แต่ก๊าซนั้นไม่ใช่ปราณวิญญาณ…และเพราะดาวเคราะห์เช่นนั้นมนุษย์สามารถสร้างได้เอง พวกมันจึงกลายมาเป็นดาวเคราะห์ทำพิเศษที่ฝ่ายการเมืองและตระกูลใหญ่ใช้เพื่อหล่อเลี้ยงผู้ถูกเลือกของตนเอง!

“และผู้ที่ผสานรวมกับดาวเคราะห์อมตะจะก้าวเข้าสู่ระดับดาวพระเคราะห์ด้วยพลังยุทธ์ที่เหนือกว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ด้วยกัน และยังมีความเป็นไปได้ว่าการก้าวเข้าสู่ระดับดารานิรันดร์ในอนาคตจะก้าวไกลไปกว่าผู้ที่ผสานรวมกับดาวเคราะห์วิญญาณมากนัก

“นี่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ว่าทำไมผู้ที่ถูกเลือกจึงแข็งแกร่งกว่าคนอื่นมากนัก อารยธรรมครามทองคำในปัจจุบันมีระบบอุปถัมภ์เช่นเดียวกันกับโลกมนุษย์ ยิ่งพวกเขาเป็นชนชั้นสูงเท่าใด บุตรหลานของพวกเขาก็จะได้รับการอมรมสั่งสอนและทรัพยากรที่เหนือกว่าคนอื่นอย่างเทียบกันไม่ได้ตั้งแต่แรกเกิด เพราะฉะนั้น จึงมีโอกาสมากกว่าที่จะขึ้นมาเป็นชนชั้นสูงต่อไป”

เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เจ้าเยี่ยเหมิงก็ถอนหายใจเบาๆ หญิงสาวจำได้ถึงตอนที่นางคิดไปว่าดาวเสาร์เป็นดาวเคราะห์อมตะเมื่อครั้งได้เรียนรู้ข้อมูลนี้เป็นครั้งแรก แต่แล้วก็ต้องผิดหวังในตอนท้าย

“แล้วระดับต่อไป หลังจากดาวเคราะห์อมตะเล่า” ประกายประหลาดฉายวับขึ้นมาในแววตาของหวังเป่าเล่อขณะที่ชายหนุ่มเอ่ยถามทันที

“หลังจากดาวเคราะห์อมตะก็คือ…สิ่งที่ข้าพูดถึงไปก่อนหน้านี้…ดาวเคราะห์พิเศษที่มีอยู่ในสุสานดวงดาราอย่างไรเล่า!” เจ้าเยี่ยเหมิงจ้องมองหวังเป่าเล่อและไม่ได้ซ่อนความไม่แน่ใจในความคิดของตนที่ปรากฏขึ้นบนแววตาแม้แต่น้อย หญิงสาวเงียบนิ่งไปอึดใจใหญ่ก่อนจะพูดขึ้นมาเบาๆ

“ข้ารู้สึกว่าอารยธรรมของเราบนโลกนั้นประหลาดอยู่สักเล็กน้อย การที่เราตั้งชื่อดาวเคราะห์ของเราห้าดวงตามธาตุทั้งห้านั้นแปลกอย่างยิ่ง…เพราะดาวเคราะห์ที่พิเศษเหล่านั้นเป็นตัวแทนของสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นไม่ได้ พวกมันมีพลังตามธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ธาตุทั้งห้า เหล็ก ไม้ น้ำ ไฟ และดิน ต่างก็เป็นส่วนหนึ่งของพลังธรรมชาติ…”

ตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลง ชายหนุ่มจำได้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์เคยบอกความคิดของตนกับเขาเกี่ยวกับเรื่องผู้ฝึกตนที่หายตัวไปจากบนโลกเมื่อหลายปีมาแล้ว

“และเมื่อกฎเกณฑ์บนดาวเคราะห์พิเศษผสานรวมกับผู้ฝึกตนเมื่อใด ก็มีโอกาสราวร้อยละเก้าสิบที่เขาจะ…ก้าวขึ้นมาเป็นระดับดารานิรันดร์ที่ยิ่งใหญ่ได้ในอนาคต!” เจ้าเยี่ยเหมิงส่ายหน้าเพื่อไล่ความฉงนสงสัยเกี่ยวกับโลกมนุษย์ออกไปจากใจ ก่อนจะพูดต่อไป

“ดาวเคราะห์เหล่านั้น…หาได้ยากยิ่ง กระทั่งในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น พวกมันมีอยู่แค่…ภายในสุสานดวงดาราเท่านั้น ดาวเคราะห์พิเศษดวงเดียวก็อาจทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นต่อสู้กันจนถึงตายได้!”

“ดาวเคราะห์พิเศษที่มีพลังธรรมชาตินั้น…” เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ ลมหายใจของหวังเป่าเล่อก็เริ่มขาดช่วง ตอนแรกชายหนุ่มไม่รู้มาก่อน แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว และจะไม่มีทางพอใจแค่ได้ผสานรวมกับดาวเคราะห์ทั่วไปหรือดาวเคราะห์วิญญาณเป็นแน่ ต่อให้หวังเป่าเล่อไม่สามารถหาดาวเคราะห์พิเศษได้ เขาก็จะพยายามหาดาวเคราะห์อมตะ เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาจึงหันไปมองเจ้าเยี่ยเหมิงและเห็นว่านางอยากจะพูดแต่ก็หยุดไปเสียก่อน

หวังเป่าเล่อถามอย่างสงสัย “มีอะไร หรือมีสิ่งที่ดีกว่าดาวเคราะห์พิเศษอีก”

เจ้าเยี่ยเหมิงยิ้มออกมาอย่างขมขื่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ตำนานว่าเอาไว้ว่ามีระดับที่ห้าอยู่เช่นกัน มันเป็นดาวเคราะห์พิเศษที่มีกฎเฉพาะตัว กฎส่วนมากในดาวเคราะห์พิเศษมีอยู่บนดาวเคราะห์พิเศษส่วนใหญ่ แต่มีดาวเคราะห์ประเภทหนึ่งที่…กฎของมันนั้นเฉพาะตัว มีเพียงเมื่อดาวเคราะห์ดวงนั้นตายลงเท่านั้น อีกดวงหนึ่งจึงจะถือกำเนิดขึ้นในจักรวาลได้ ดาวเคราะห์ประเภทนั้นก็คือ…ดาวเคราะห์เต๋า!”

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็ลุกโชน หลังจากกระแอมกระไอออกไป ชายหนุ่มก็ใช้ร่างหลักไปสลายดวงจิตเทพและคุยกับแม่นางน้อยในหน้ากากดำที่อยู่ในแขนของร่างหลัก

“แม่นางน้อย ข้ารู้ว่าเจ้าตื่นอยู่ เจ้าคิดว่าข้าจะผสานรวมกับดาวเคราะห์เต๋าในตำนานได้หรือไม่”

“เจ้าฝันเฟื่องดีนี่ หากเจ้าผสานรวมกับดาวเคราะห์เต๋าได้ล่ะก็ ข้าจะ…” แม่นางน้อยพูดออกไปโดยสัญชาตญาณ แต่ก็ต้องหยุดกลางคัน

“ขอบคุณมากสำหรับถ้อยคำมงคล แม่นางน้อย ฮะฮ่า ข้าค่อยคลายใจหน่อย” เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ลิงโลดใจขึ้นมาทันที ชายหนุ่มสังเกตว่า ไม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่มีสิ่งซึ่งแม่นางน้อยบอกว่าเขาจะทำไม่ได้ เขาก็จะทำได้แน่นอน

แม่นางน้อยถึงกับจนถ้อยคำ

“เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ แม่นางน้อย” หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนวได้ยินนางพูดอะไรบางอย่างแต่ไม่ชัดเจนนัก จึงเอ่ยถามอย่างสงสัย

“ไปให้พ้น ข้าเหนื่อย ข้าจะนอนแล้ว” แม่นางน้อยพูดอย่างอ่อนแรง ความหงุดหงิดใจนั้นเหลือจะกล่าว ในแง่หนึ่ง คำพูดของหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ก็สมควรถูกตำหนิ แต่อีกแง่ นางก็นึกไปถึงประสบการณ์ของนางในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แล้วก็ได้แต่รู้สึกเศร้าสร้อย

หลังจากที่กลั่นแกล้งแม่นางน้อยต่อหน้าเจ้าเยี่ยเหมิงแล้ว หวังเป่าเล่อก็กระแอมกระไอเมื่อได้เห็นแววตาสงสัยจากหญิงสาว

“ข้ามีเป้าหมายแล้ว ข้าจะมุ่งหน้าตามหาดาวเคราะห์เต๋า นอกเสียจากว่าข้าจะเข้าไปในสุสานดวงดาราไม่ได้ ข้าจะต้องเอาดาวเคราะห์เต๋ามาเป็นของตัวเองให้จงได้” หวังเป่าเล่อกะพริบตา ในความเป็นจริงแล้ว ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นแม้แต่น้อย แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เขาเลิกยกหางตนเองเช่นเคย

เจ้าเยี่ยเหมิงเข้าใจหวังเป่าเล่อและส่ายหน้าหลังจากที่ได้ยิน หญิงสาวไม่คิดว่าหวังเป่าเล่อไม่มีหวังจะได้ครอบครองดาวเคราะห์เต๋า แต่นางก็ต้องบอกหวังเป่าเล่อถึงข้อมูลเรื่องจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นที่ได้รู้มาตอนอยู่ในอารยธรรมครามทองคำ

“เป่าเล่อ จำนวนของทางเข้าเปลี่ยนไปทุกๆ ครั้งที่สุสานดวงดาราเปิดขึ้น บางครั้งก็มีมากมายหลายแห่ง บางครั้งก็มีน้อยนิด สิ่งสำคัญก็คือการหาสิทธิ์ในการเข้า อาจจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฝ่ายการเมืองหรือตระกูลใหญ่ๆ ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แต่สำหรับเราแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย” เจ้าเยี่ยเหมิงทอดถอนใจ หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะต้องยอมรับว่าขณะที่ปฏิบัติการนกนางแอ่นดำดำเนินไปและเมื่อนางได้เรียนรู้เรื่องจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นมา ในขณะที่เจ้าเยี่ยเหมิงรู้สึกขมขื่นใจกับความอ่อนแอของโลกมนุษย์เมื่อนางหันหลังมองกลับไป นางก็รู้สึกขุ่นเคืองใจไม่น้อยเช่นกัน

ไม่ใช่โกรธเพื่อตนเอง แต่โกรธแทนอารยธรรมของนาง หญิงสาวหวังว่าโลกมนุษย์จะก้าวขึ้นมากยิ่งใหญ่ และนางก็จะยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อให้สิ่งนั้นเป็นจริงขึ้นมา

“แม้กระทั่งอารยธรรมครามทองคำ ซึ่งเป็นอารยธรรมยิ่งใหญ่ในดาราจักรลำดับที่สิบเก้าภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้ายก็ยังไม่มีสิทธิ์ แต่ตำนานก็ว่าไว้ว่าอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มีสิทธิ์ ดังนั้นก็เป็นที่แน่ชัดว่าทุกคนต้องการทั้งกำลังและโชคเพื่อที่จะได้สิทธิ์มา”

“ฉะนั้นทุกครั้งที่สุสานดวงดาราเปิดขึ้น ก็จะมีการนองเลือดครั้งใหญ่ภายใน เพราะทุกฝ่ายการเมืองและตระกูลใหญ่ในบริเวณใกล้เคียงจะไปรวมตัวกันที่นั่น ทำให้สุสานดวงดารากลายเป็นสถานที่ที่พวกเขาจะเลี้ยงดูบุตรและอัจฉริยะขึ้นมา อันที่จริงแล้ว อัจฉริยะบางคนถึงกับกดระดับปราณของตนไม่ยอมบรรลุสู่ระดับดาวพระเคราะห์ เพื่อจะรอให้สุสานดวงดาราเปิดขึ้นเพื่อมองหาโอกาสในนั้นแทน สำหรับคนเหล่านั้น…แม้ว่าระดับปราณจะไม่ถึงระดับดาวพระเคราะห์ แต่พื้นฐานของพวกเขาก็ทำให้พวกเขาสามารถรับมือกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้สบายๆ!” เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เจ้าเยี่ยเหมิงก็ต้องกดข่มความเกรี้ยวกราดในใจเอาไว้ เมื่อนางจ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อ แม้ว่าจะรู้ว่าชายหนุ่มยอดเยี่ยมเพียงใด แต่ก็ยังมีความกังวลสะท้อนอยู่ในแววตานาง

จังหวะเวลาของความรู้สึกกังวลนี้แปลกมาก เพราะอย่างไรเสีย หวังเป่าเล่อก็ยังไม่มีสิทธิ์เข้าสุสาน และหากคิดตามสามัญสำนึก ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่ชายหนุ่มจะได้รับสิทธิ์มาจากอารยธรรมครามทองคำ แต่หญิงสาวก็มีความรู้สึกแปลกๆ ว่า…การที่หวังเป่าเล่อจะเข้าไปในสุสานดวงดารานั้นไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้

หลังจากที่ความคิดนั้นปรากฏขึ้นมาในใจนาง และขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังสงสัยเมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง

“ตามความเข้าใจของข้า สุสานดวงดาราจะเปิดหนึ่งครั้งในรอบหลายร้อยปี และตามการคาดเดาของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์…ครั้งต่อไปที่มันจะเปิดก็คือในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แต่รายละเอียดทุกอย่างยังไม่มีใครรู้ และเพราะเหตุนั้น อารยธรรมครามทองคำจึงหมายตาจุดเปิด ณ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์”

เมื่อฟังมาถึงจุดนี้ หวังเป่าเล่อก็อดพูดไม่ได้

“เยี่ยเหมิง เจ้าเป็นใครในสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เจ้าได้ข้อมูลทั้งหมดนี้มาได้อย่างไรกัน” หวังเป่าเล่อสงสัยเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าอารยธรรมครามทองคำจะอยู่ในระดับที่สูงกว่าโลกมาก ชายหนุ่มก็ยังอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ โอกาสที่ข้อมูลซึ่งเขาไม่อาจรับรู้ได้ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะกลายมาเป็นข้อมูลทั่วไปในอารยธรรมอื่นๆ นั้นไม่สูงนัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดว่าเจ้าเยี่ยเหมิงรู้เยอะมาก การจะได้ข้อมูลเหล่านี้มาโดยที่มีระดับปราณเท่านางนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายแน่นอน

“อาจารย์ของข้าเป็นผู้อาวุโสลำดับสามในสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และระดับปราณของนางอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ ข้าเป็นศิษย์คนเดียวของนางตลอดหลายปีมานี้ อาจารย์ของข้าไม่ได้มาด้วยในครั้งนี้เพราะนางผสานรวมกับดาวเคราะห์วิญญาณและกำลังพยายามถือสันโดษเพื่อบรรลุขั้น” ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าเยี่ยเหมิงสามารถปกปิดจากหวังเป่าเล่อได้ นางจึงอธิบายทุกอย่างที่ชายหนุ่มสงสัย

หวังเป่าเล่อพยักหน้าก่อนจะถามขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง

“เจ้าเพิ่งพูดไปเดี๋ยวนี้ว่าอารยธรรมครามทองคำหมายตาเครื่องหมายของราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ แต่หากจะพูดกันตามหลักการแล้ว ด้วยกำลังของอารยธรรมครามทองคำ พวกเขาสามารถจะชิงเอาไปตรงๆ เลยก็ได้ ทำไมต้องวุ่นวายร่วมมือกันด้วยเล่า เพราะเครื่องหมายนั้นไม่อาจได้มาตรงๆ เช่นนั้นหรือ”

เมื่อได้ยินคำถามของหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิงก็ยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน ดวงตาของนางทอประกายแวววาว

เมื่อได้ยินสองคำนั้น แม้หวังเป่าเล่อจะรู้สึกว่าตนเองมีความเข้าใจเรื่องตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่พอสมควรก็ยังตะลึงไปชั่วขณะ นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้ยินชื่อจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้าย แต่ดาราจักรลำดับที่สิบเก้านั้น…หวังเป่าเล่อจำได้ว่าระหว่างการต่อสู้ที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก่อนหน้านี้ ถ้าไม่ใช่ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่ตะโกนชื่อนี้ออกมาครั้งหนึ่ง ตอนนี้เมื่อเขามาได้ยินจากเจ้าเยี่ยเหมิงอีกครั้ง ความอยากรู้อยากเห็นของหวังเป่าเล่อก็พุ่งสูงขึ้น ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะต้องถามออกมา

“ข้าก็เพิ่งจะรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้หลังจากมาถึงอารยธรรมครามทองคำและเข้ามาอยู่ในสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน ส่วนของจักรวาลที่พวกเราอยู่ตอนนี้มีชื่อว่าจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น พวกเราเคยได้ยินชื่อนี้ตั้งแต่ตอนที่อยู่บนกระบี่สำริดเขียวโบราณก่อนหน้านี้

“จักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน ได้แก่ จักรพิภพอมตะศักดิ์สิทธิ์สมบูรณ์ จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้าย และจักรพิภพสำนักเสริม สามยอดจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์กว้างไกลจนไร้ขอบเขต ตัวอย่างเช่น จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้ายประกอบไปด้วยจักรพิภพสามพันแห่งอยู่ภายใน และแต่ละจักรพิภพก็มีอารยธรรมจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่…ทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้ตระกูลไม่รู้สิ้น…

“ที่ที่โลกมนุษย์ของเราอยู่ รวมไปถึงจักรวาลโดยรอบที่กว้างออกไปไกลโพ้น อยู่ในดาราจักรลำดับที่สิบเก้าภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้าย ภายในดาราจักรลำดับสิบเก้าในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้าย อารยธรรมที่แข็งแกร่งที่สุดก็คือ…อารยธรรมครามทองคำ!”

“พวกเขาแข็งแกร่งที่สุดในดาราจักรลำดับที่สิบเก้าภายในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้าย แค่เพราะมีผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์สามคนน่ะหรือ” หวังเป่าเล่อตกตะลึงกับความแข็งแกร่งของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นทั้งหมด และเหมือนว่าชายหนุ่มจะเปิดใจขึ้นบ้าง แต่เขาก็อดพึมพำไม่ได้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว ชายหนุ่มก็เคยพบผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์มาก่อน พวกเขาแข็งแกร่งก็จริง แต่เมื่อได้ยินชื่อศิษย์พี่เฉินชิงของเขา ผู้ฝึกตนเหล่านั้นก็สุภาพขึ้นมาทันที

สีหน้าของหวังเป่าเล่อจริงจังขึ้นมา ความแข็งแกร่งของอารยธรรมครามทองคำทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่า การต่อสู้ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์คงจะเป็นเรื่องยากเสียแล้ว

“แปลว่าอารยธรรมครามทองคำมีแผนจะโจมตีอีกระลอก…”

“อารยธรรมครามทองคำร่วมมือกับราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์และหมายตาว่าจะยึดที่นี่ สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นเพียงระลอกแรกเท่านั้น พวกเขาจะส่งระลอกสองและสามมาอีก อันที่จริงแล้ว หากจำเป็น ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์อาจจะออกจากการถือสันโดษและจุติลงมาที่นี่ หากพวกเขาไม่สามารถรับสถานการณ์การต่อสู้ได้ เป่าเล่อ…เจ้าต้องออกไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด!” เจ้าเยี่ยเหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วพูดรัวเร็ว

หลังจากได้ยินเจ้าเยี่ยเหมิงพูดและคลายความสงสัยของตนเองลงแล้ว หวังเป่าเล่อก็หงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย

“ข้าหมายตาอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เอาไว้แล้ว…เดิมทีข้าตัดสินใจจะเข้าควบคุมที่นี่และใช้วิชาที่ศิษย์พี่สอนมาดึงมันกลับไปยังโลกมนุษย์ จากนั้นข้าก็จะให้ดารานิรันดร์ของทั้งสองผสานรวมกันเพื่อยกระดับพวกเราขึ้นไป…” หวังเป่าเล่อมีสีหน้ายุ่งเหยิงขณะมองเจ้าเยี่ยเหมิงอย่างครุ่นคิด

“เยี่ยเหมิง อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นช่างเล็กจ้อยนัก เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมอารยธรรมครามทองคำจึงตัดสินใจร่วมมือกับราชวงศ์ของที่นี่”

“เจ้าไม่รู้หรือ” เจ้าเยี่ยเหมิงตกตะลึง แต่นางก็คิดได้ว่าปริมาณข้อมูลที่พวกเขาได้รับมาคงไม่เท่ากัน หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หญิงสาวจึงกล่าวต่อไป

“ข้าไม่แน่ใจนักว่ามันเป็นเรื่องจริงไหม แต่คำตอบที่ข้าได้มาก็คือ…อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มีเครื่องหมายอยู่อันหนึ่ง…เครื่องหมายนี้มอบสิทธิ์ในการเข้าไปสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งชื่อว่าสุสานดวงดาราได้!”

“สุสานดวงดาราอย่างนั้นหรือ” นัยน์ตาของชายหนุ่มหดเล็กลง นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่ชายหนุ่มได้ยินชื่อนี้ ก่อนหน้านี้ ผีแก่แห่งดวงเนตรสวรรค์ก็พูดเรื่องนี้ขึ้นเพื่อหวังจะรักษาชีวิตตนเอง ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็พอจะเดาได้ว่า เหตุผลที่เซี่ยไห่หยางขายข้อมูลจากสามแหล่งคงเกี่ยวข้องกับเรื่องสุสานดวงดารานี้เป็นแน่

ทว่าชายหนุ่มไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสุสานแห่งดวงดาวเลยแม้แต่น้อย แล้วก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหาคนถามเรื่องนี้ได้ หลังจากที่ได้ยินเจ้าเยี่ยเหมิงเอ่ยถึงคำคำนี้ หวังเป่าเล่อก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที

เมื่อเห็นท่าทีของชายหนุ่ม เจ้าเยี่ยเหมิงก็ลดความเร็วลง พยายามนึกอย่างถี่ถ้วน ก่อนจะเล่าทุกสิ่งที่นางรู้ให้อีกฝ่ายฟัง

“ตอนที่ข้าอยู่ที่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ข้าเคยได้ยินว่า สุสานแห่งดวงดาราเป็นหนึ่งในห้ายอดมิติเวทในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น แม้ว่ามันจะอยู่ในจักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้าย ตำแหน่งที่แน่นอนของมันก็เป็นความลับสุดยอด แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ที่ยิ่งใหญ่ก็ยังไม่อาจหามันพบ มีเพียงข้อมูลจากผู้ที่เดินทางกลับมาจากที่นั่นเมื่อหลายปีก่อนเท่านั้น…”

“สิ่งที่พวกเขาเล่ามาก็คือ…สุสานแห่งดวงดารานั้นกว้างใหญ่ไพศาลยิ่ง ในนั้นมีดาวเคราะห์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย ดาวเคราะห์เหล่านั้นไม่ได้ตาย กลับกันพวกมันอยู่ในสถานะหลับลึก และอารยธรรมครามทองคำก็เล็งเห็นว่าสถานนี้เหมาะสมยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังจะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ที่จะผสานตนเองเข้ากับดาวเคราะห์ และใช้ประโยชน์จากมันเพื่อบรรลุเข้าสู่ระดับดาวพระเคราะห์อย่างแท้จริง!” เจ้าเยี่ยเหมิงจ้องหน้าหวังเป่าเล่อขณะพูดเสียงเบา ขณะพูดไปนั้น ก็มีประกายส่องสว่างในดวงตาทั้งสอง

“เป่าเล่อ ด้วยระดับปราณของเจ้าในตอนนี้…หากเจ้าเข้าไปที่นั่นได้ เจ้าก็จะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ได้แน่นอน!

“เพราะอย่างไรเสีย ผู้ที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะก็ต้องผสานรวมกับดาวเคราะห์เพื่อจะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์อยู่แล้ว แถมยังมีเงื่อนไขมากมายหลายประการ หนึ่งในเงื่อนไขสำคัญคือดาวเคราะห์จะต้องไม่ต่อต้านและต้องมีชีวิตอยู่ ดาวเคราะห์ดวงนั้นต้องมีจิตใจเป็นของตนเอง เพราะอย่างนั้น ในจารึกของอารยธรรมครามทองคำ ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ที่กำลังจะบรรลุขั้น ต้องใช้เวลาหลายร้อยปีหรือนานกว่านั้นเพื่อหลอมรวมและทำตามเงื่อนไขเหล่านั้น แต่ความเสี่ยงก็สูงมากเช่นกัน หากมีการรบกวนแม้เพียงเล็กน้อยระหว่างการหลอมรวม ทั้งร่างกายและวิญญาณของผู้ฝึกตนก็จะถูกทำลายสิ้น!”

“ในสุสานแห่งดวงดารานั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้แม้แต่น้อย ดาวเคราะห์ใดๆ ก็ตามภายในนั้นพร้อมจะถูกผสานรวมกับกายของผู้ฝึกตน และไม่มีทางล้มเหลวอีกด้วย!” เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ ประกายประหลาดก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของหญิงสาว แม้ว่าระดับปราณของนางจะยังห่างจากระดับดาวพระเคราะห์มากนัก นางก็อดใจไม่ไหวที่จะฝันไปถึงสุสานแห่งดวงดาราในตำนานนี้

“แต่ทั้งหมดนั้น…ไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดผู้คนส่วนใหญ่หรอก สิ่งที่ทำให้ผู้คนกระหายอยากอย่างบ้าคลั่ง…คือภายในสุสานแห่งดวงดารานั้นมีดาวเคราะห์ที่ระดับสูงกว่า เหมือนเป็นดาวเคราะห์พิเศษ!” หลังจากที่พูดสองคำสุดท้ายออกมา เจ้าเยี่ยเหมิงก็หายใจเร็วถี่ขึ้น เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวเองก็ตื่นเต้นเมื่อได้รับข้อมูลนี้มาก่อนหน้านี้เช่นกัน

“ดาวเคราะห์พิเศษอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อชะงัก ชายหนุ่มรู้ดีว่าการจะบรรลุจากขั้นจิตวิญญาณอมตะได้นั้น จำเป็นต้องผสานรวมกับดาวเคราะห์ แต่ก็เพียงเท่านั้น เรื่องประเภทของดาวเคราะห์นั้น นิมิตมืดไม่มีข้อมูลแต่อย่างใด แถมเฉินชิงก็ยังไม่มีเวลาเล่าให้เขาฟังด้วย แม้ภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เอง ก็ยังมีข้อมูลเรื่องนี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็ยังไม่มีโอกาสได้ศึกษาเรื่องนี้ เพราะชายหนุ่มเองก็เพิ่งได้เป็นเสมือนขุนพลในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นี้เท่านั้น

ฉะนั้นหลังจากที่ฟังเจ้าเยี่ยเหมิงพูด สิ่งแรกที่ชายหนุ่มคิดถึงก็คือวิญญาณจุติดวงดาราของตน และจากจุดนั้น เขาก็ได้คาดเดาและมีความเข้าใจเลาๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เรียกว่าดาวเคราะห์พิเศษเหล่านี้

“ใช่แล้ว ดาวเคราะห์พิเศษ!” แสงในดวงตาเจ้าเยี่ยเหมิงส่องสว่างขึ้นไปอีก ด้วยเหตุที่หญิงสาวอยากไปที่นั่นมาก นางจึงยิ่งคิดว่านี่อาจเป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตสำหรับหวังเป่าเล่อก็เป็นได้!

แม้ว่าการฝ่าฟันแย่งชิงสถานที่แห่งนี้จากอารยธรรมครามทองคำจะคล้ายการชิงอาหารจากปากพยัคฆ์ แต่หากหวังเป่าเล่อฉกฉวยโอกาสนี้มาได้…อนาคตของเขาก็จะเต็มไปด้วยความเป็นไปได้ไม่รู้จบ เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของเจ้าเยี่ยเหมิงก็ยิ่งเร่งร้อน นางละล่ำละลักออกมา

“เป่าเล่อ ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเข้าใจสิ่งที่วัดความสำเร็จในอนาคตของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์หลังจากที่บรรลุระดับดาวพระเคราะห์หรือไม่ แต่ตามข้อมูลที่ข้าได้มาจากอารยธรรมครามทองคำ ข้าเข้าใจข้อนี้ดี…”

“ระดับของดาวเคราะห์ที่พวกเขาผสานรวมด้วย กำหนดพลังของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์และความก้าวหน้าในอนาคตของพวกเขา!” คำพูดของเจ้าเยี่ยเหมิงทั้งแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว เมื่อนางจ้องมองหน้าหวังเป่าเล่อ ความคาดหวังก็ฉายชัดอยู่ในแววตา

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเองก็ส่องประกายเช่นกัน

“ในอารยธรรมครามทองคำ ดาวเคราะห์ที่สามารถผสานรวมกับผู้ฝึกตนได้แบ่งเป็นสี่ระดับ ระดับแรกเรียกว่าดาวเคราะห์ทั่วไป หาได้ดาษดื่นตามชื่อ ตัวอย่างเช่น ดาวอังคารก่อนที่กระบี่สำริดเขียวโบราณจะมาถึงก็เป็นเพียงดาวเคราะห์ธรรมดาที่ตั้งชื่อตามเทพเจ้าโรมัน

“สำหรับโลกมนุษย์นั้น…ข้าจัดลำดับมันไม่ได้ แต่ข้ารู้ว่าต่อให้โลกมนุษย์อยู่เหนือกว่าดาวเคราะห์ทั่วไป มันก็คงเป็นได้อย่างดีที่สุดแค่ดาวเคราะห์ระดับสอง หรือก็คือดาวเคราะห์วิญญาณ!”

“ระดับของดาวเคราะห์วิญญาณดูได้จากเส้นปราณวิญญาณและปริมาณปราณวิญญาณภายใน ยิ่งมีปราณวิญญาณเข้มข้นเพียงใด ระดับของดาวเคราะห์วิญญาณก็สูงขึ้นเท่ากัน…” เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เจ้าเยี่ยเหมิงก็หยุดพัก หวังเป่าเล่อรีบหยิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณจากกระเป๋าคลังเก็บยื่นให้นาง แต่ชายหนุ่มก็นึกได้แทบจะในทันทีว่าน้ำนั้นหลอมขึ้นมาจากสารัตถะของเขา จึงชะงักอยู่ชั่วอึดใจ แต่ก็ช้าเกินกว่าจะเอากลับคืน เจ้าเยี่ยเหมิงผู้ที่พูดมาจนคอแห้งได้จิบน้ำเย็นหล่อวิญญาณนั้นเข้าไปเรียบร้อย ก่อนจะพูดต่อไป

“ผู้ฝึกตนสามารถหลอมดาวเคราะห์สองประเภทนี้และใช้เพื่อบรรลุขั้นปราณสู่ระดับดาวพระเคราะห์ได้ แต่หากผสานรวมดาวเคราะห์ทั่วไปเข้าไปในกาย ระดับปราณก็จะหยุดอยู่ที่ระดับดาวพระเคราะห์ไปตลอดชีวิต การจะบรรลุขั้นต่อไปนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย!”

“ดังนั้นหากไม่ได้อับจนจริงๆ ก็ไม่มีใครอยากผสานรวมกับดาวเคราะห์ทั่วไป คนส่วนมากหมายปองดาวเคราะห์วิญญาณ แม้ว่าการผสานรวมกับดาวเคราะห์วิญญาณอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุด และให้พลังยุทธ์เพียงธรรมดา แต่ก็ยังเป็นไปได้ที่จะบรรลุขั้นต่อจากระดับดาวพระเคราะห์ในอนาคต ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์พวกนี้ถือเป็นส่วนใหญ่ มีอยู่ราวร้อยละเก้าสิบจากทั้งหมด” เจ้าเยี่ยเหมิงจิบน้ำอีกคำ

หวังเป่าเล่อกะพริบตาก่อนจะอั้นการกระแอมกระไอเอาไว้และแสร้งทำเป็นไม่เห็น ชายหนุ่มสนใจเรื่องระดับดาวเคราะห์ที่นางกำลังพูดถึงเป็นอย่างมาก

เจ้าเยี่ยเหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกขณะที่จ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อในโลงศพโปร่งใส ก่อนจะพูดออกมาเบาๆ

“เมื่อใดเจ้าจึงจะออกมาได้เล่า”

หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งรู้สึกเศร้าใจเป็นยิ่งนักไม่ได้ให้ร่างจริงพูด แต่กลับให้ร่างอวตารกระแอมกระไออยู่ด้านหลัง เมื่อเจ้าเยี่ยเหมิงซึ่งไม่มีทางเลือกหันกลับมามองเขาด้วยสีหน้าแปลกแปร่ง ชายหนุ่มก็พูดออกมาอย่างลิงโลดใจ

“ในไม่ช้านี้แล้ว ตามที่ศิษย์พี่ของข้าพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ ข้าจะต้องได้ออกมาเร็วๆ นี้อย่างแน่นอน”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงก็จ้องมองร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะหันกลับไปมองร่างจริงซึ่งนอนราบอยู่ในโลง ที่กำลังกะพริบตาใส่นางพร้อมรอยยิ้มทะเล้นบนใบหน้า นางรู้สึกเวียนศีรษะเล็กน้อยก่อนจะหันไปจ้องมองร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ

“เจ้านี่เหลือเกินจริงๆ ในเมื่อเจ้าเองก็คือหวังเป่าเล่อ ทำไมถึงไม่บอกข้าตั้งแต่แรก!”

“ข้าบอกแล้ว” ชายหนุ่มพูดก่อนจะยิ้มอย่างเพลียๆ

“เจ้าไม่ได้บอก!” เจ้าเยี่ยเหมิงจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็งก่อนจะพูดอย่างแน่วแน่

“ข้าบอกแล้วจริงๆ… ข้าถึงขนาดเปลี่ยนหน้ากลับไปเป็นหน้าเดิมด้วยซ้ำ เจ้าลืมเสียแล้วหรือ สวรรค์ เจ้านี่นะ…” หวังเป่าเล่อยกมือตบหน้าผากหลังจากพยายามอย่างเต็มที่เพื่อจะช่วยให้หญิงสาวจำเหตุการณ์ที่เพิ่งจะผ่านไปได้

“เจ้าตะโกนใส่ข้า หวังเป่าเล่อ เจ้าเปลี่ยนไป!” เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม นัยน์ตาของเจ้าเยี่ยเหมิงก็แดงก่ำขึ้นมาทันที

แววตาของหวังเป่าเล่อดูสับสนขณะที่จ้องมองเจ้าเยี่ยเหมิงอย่างเหม่อลอย ชายหนุ่มกำลังคิดหาทางจะอธิบายว่าเขาไม่ได้ตะโกน แต่จู่ๆ ร่างกายของเขาก็หยุดชะงัก พลันนึกไปถึงประสบการณ์และความรู้ที่เขาได้รับมาตั้งแต่ครั้งยังเยาว์ และนึกไปถึงความระมัดระวังตัวของเจ้าเยี่ยเหมิง เมื่อนางสงสัยว่าตัวเขากำลังตกอยู่ในอันตราย นางจะละทิ้งทุกอย่างและยอมทำทุกทางเพื่อช่วยชีวิตเขาเอาไว้ ภาพนั้นทำให้หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึก นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ขณะที่ชายหนุ่มเคลื่อนตัวไปกอดเจ้าเยี่ยเหมิงเอาไว้ ร่างกายของนางสั่นเทา เขายกมือลูบผมนางเบาๆ ก่อนจะพูดออกมา

“เยี่ยเหมิง ข้าขอโทษ ข้ามาถึงช้าเกินไป เล่าเรื่องความยากลำบากที่เจ้าได้เผชิญให้ข้าฟังทีเถอะ”

ขณะที่ชายหนุ่มพูดไปนั้น ร่างของเจ้าเยี่ยเหมิงก็ค่อยๆ อ่อนลง นางไม่ส่งเสียงดังโวยวายอีกต่อไป ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะเลิกระมัดระวังตัว ก่อนที่นางจะกอดหวังเป่าเล่อแน่นก่อนพึมพำออกมาแผ่วเบา

“เป่าเล่อ ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง…ไม่ใช่ความฝันใช่หรือไม่…”

“ไม่ใช่ความฝันแม้แต่น้อย ทุกอย่างเป็นเรื่องจริง!”

นอกถ้ำมีท้องฟ้ายามค่ำคืนบนดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ ภายในถ้ำมีประกายไฟสลัวสะท้อนอยู่บนก้องหิน ราวกับเป็นเปลวเทียนภายใต้นภายามราตรี แสงนั้นกลายเป็นความอบอุ่นที่แผ่ปกคลุมร่างทั้งสองที่กอดกันอยู่ภายใน แสงเงาที่สะท้อนอยู่บนกำแพงเริ่มหยุดสั่นไหว ดูราวกับเป็นสัญลักษณ์ของหัวใจพวกเขาทั้งสองที่พาให้สิ่งรอบข้างเงียบงันไปจนหมด

ภาพนี้ควรจะเป็นฉากที่นุ่มนวลชวนฝัน แต่หวังเป่าเล่อ ผู้ที่กำลังกอดเจ้าเยี่ยเหมิงอยู่นั้น ก็อดรู้สึกแปลกๆ ไม่ได้เมื่อมองเห็นฉากนั้นผ่านสายตาร่างจริงของเขาเอง

รู้สึกเหมือนมีใครคนอื่นกอดเจ้าเยี่ยเหมิงอยู่เลย…ไม่สิ ข้าจะคิดแบบนั้นไม่ได้ ร่างอวตารก็คือตัวข้าเช่นกัน หวังเป่าเล่อกระแอมกระไออยู่ในใจก่อนจะรีบกวาดเอาความรู้สึกยุ่งเหยิงออกไปจากใจแล้วมุ่งมั่นกับการกอดเจ้าเยี่ยเหมิงแทน มือขวาของชายหนุ่มเลื่อนลงจากสะโพกของนางอย่างแนบเนียน…แล้วเขาก็หยิกนางอย่างไม่ได้ตั้งใจ

“หวังเป่าเล่อ ทำแบบนี้ไม่น่ารักเอาเสียเลยนะ” เสียงของเจ้าเยี่ยเหมิงที่ตอนนี้ใจเย็นลงมากแล้วดังขึ้น

“หา? ข้าทำอะไรหรือ” หวังเป่าเล่อถึงกับตะลึงก่อนจ้องมองเจ้าเยี่ยเหมิงอย่างไม่เข้าใจ

“มือเจ้า…” เจ้าเยี่ยเหมิงเงียบนิ่งอยู่หลายลมหายใจ ดูเหมือนนางต้องพยายามอย่างหนักที่จะพูดต่อไปอย่างใจเย็น

เมื่อได้ยินหญิงสาวพูด หวังเป่าเล่อก็ดูเหมือนจะเพิ่งเข้าใจ ชายหนุ่มทำสีหน้าสงสัยก่อนยกนิ้วเท้าขึ้น ลอบมองไปที่มือของเขาซึ่งอยู่ที่หลังของเจ้าเยี่ยเหมิง หลังจากนั้นจึงกระแอมกระไอออกมา

“ร่างอวตารของข้าเสียการควบคุมไปเล็กน้อย ข้าคงจะฝึกปราณมาไม่ดีเอง”

เจ้าเยี่ยเหมิงจ้องมองหวังเป่าเล่อแต่ไม่ได้โกรธ กลับกันนางปัดปอยผมไปหลังหูขณะตั้งสมาธิไปยังหวังเป่าเล่อแล้วพูดออกมาเบาๆ

“เป่าเล่อ ทำไม…เจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้” เจ้าเยี่ยเหมิงตกใจเป็นอย่างยิ่งที่หวังเป่าเล่อจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่นางไม่เชื่อใจชายหนุ่มก่อนหน้านี้และรู้สึกสองจิตสองใจอยู่นาน ในความทรงจำของนาง หวังเป่าเล่อควรยังอยู่ที่สหพันธรัฐ

เพราะอย่างไรเสีย นางก็จำได้ชัดเจนว่าชายหนุ่มไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการนกนางแอ่นดำ เหตุผลของเรื่องนั้นง่ายมาก…มารดาของนางพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าหวังเป่าเล่อ…ได้รับการยืนยันแล้วว่าจะถูกฝึกปรือให้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของสหพันธรัฐคนต่อไป ไม่มีทางเลยที่สหพันธรัฐจะส่งเขาไปทำภารกิจที่อันตรายถึงเพียงนั้น

หากใครคนอื่นถาม หวังเป่าเล่อก็จะไม่ตอบตามจริง แต่เมื่อเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นคนถาม ชายหนุ่มจึงได้แต่ทอดถอนใจ

“เราอย่าพูดเรื่องนั้นกันเลยนะ เจ้าไม่รู้… ว่าข้ามีศิษย์พี่ใหญ่อยู่คนหนึ่ง เป็นคนที่ไม่น่าเชื่อใจนัก เขาบอกข้าว่าจะพาข้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อแสวงหาโอกาส แต่สุดท้ายแล้ว…” ในช่วงระยะเวลาหลายปีที่หวังเป่าเล่ออยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แม้เขาจะดูเหมือนมีสถานะใหญ่โต แต่ก็ชัดเจนว่าในอารยธรรมนี้ ชายหนุ่มยังเป็นเพียงคนนอก

บ้านของเขาคือโลกมนุษย์ และเมื่อมาอยู่ที่นี่ จึงเป็นการยากที่ชายหนุ่มจะไม่คิดถึงบ้าน มีหลายสิ่งที่ไม่อาจพูดคุยกับใครได้ แม้จะได้พบจั่วอี้เซียนก่อนหน้านี้ แต่ชายผู้นั้นก็ไม่ใช่คนที่น่าเชื่อถือพอ หวังเป่าเล่อจึงไม่เชื่อใจเขาอยู่นั่นเอง แต่หลังจากที่ได้ยินคำถามของเจ้าเยี่ยเหมิง ชายหนุ่มก็เล่าให้นางฟังเรื่องประสบการณ์ของเขาหลังจากที่มาถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แห่งนี้

ขณะที่ฟังเรื่องของหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาของเจ้าเยี่ยเหมิงก็เบิกโพลง ปากของนางอ้าค้าง ยิ่งหวังเป่าเล่อเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ความตื่นเต้นในแววตาของหญิงสาวก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น

“ช้าก่อน…เจ้าจะบอกว่า เจ้าได้เป็นถึงผู้อาวุโสชั้นสูงของสำนักเล็กๆ หลังจากที่มาที่นี่ จากนั้นเจ้าก็ไปมีปัญหากับสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำแล้วเข้าไปสมาชิกสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แล้วก็ออกไปทำภารกิจของปรมาจารย์แห่งไฟ และได้สังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายกับระดับดาวพระเคราะห์ด้วย

“จากนั้นเจ้าก็กลับมา…แล้วได้เป็นราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ เป็นผู้นำของดวงวิญญาณอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นับล้านและจักรพรรดิขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสิบสอง แม้ว่าระดับปราณของเจ้าจะอยู่เพียงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย แต่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ทั่วๆ ไปก็ทำอะไรเจ้าไม่ได้อย่างนั้นหรือ”

ลมหายใจเจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มไม่สม่ำเสมอขณะที่นางจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างไม่อยากเชื่อ แม้ว่านางจะเคยเห็นความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อบนสนามรบมาก่อน แต่นางก็ไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก ขณะนี้เมื่อหญิงสาวเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ความตื่นเต้นตกใจของนางก็พุ่งสูงถึงขีดสุด นางมองเห็นหวังเป่าเล่อพยักหน้าด้วยท่าทางภูมิใจในตนเอง เจ้าเยี่ยเหมิงทำได้เพียงถอนหายใจออกมาหลังจากผ่านไประยะหนึ่ง ก่อนที่จะจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าแปลกแปร่ง

“เป่าเล่า…โชคชะตาของเจ้านั้น…”

“ข้าบอกเจ้าไปแล้ว ว่าข้าเป็นผู้ได้รับเลือกจากสวรรค์และดวงดีเป็นที่สุด แต่เจ้าก็ยังไม่เชื่อข้า จบเรื่องของข้าแล้ว เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังบ้าง ปฏิบัติการนกนางแอ่นดำที่เจ้าได้รับมอบหมายคือต้องไปที่อารยธรรมครามทองคำอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิ ไม่ได้ซุกซ่อนความภูมิใจเอาไว้อีกต่อไป แต่เมื่อคิดถึงความรู้สึกของเจ้าเยี่ยเหมิง ชายหนุ่มก็กระแอมกระไอออกมาก่อนจะถามเรื่องของนางบ้าง

เจ้าเยี่ยเหมิงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี หญิงสาวจ้องมองหวังเป่าเล่อ ฉากการพบหวังเป่าเล่อเป็นครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ณ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นมาในจิตใต้สำนึกของนาง หลังจากนั้น ภาพนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นหวังเป่าเล่อผู้ที่เขย่าฟ้าดินและผ่านการทดสอบจากบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ

ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นทำให้แววตาของเจ้าเยี่ยเหมิงอ่อนลง หลังจากที่นางสลัดประกายแสงแห่งความสงสัยในใจทิ้งไป หญิงสาวก็เริ่มเล่าประสบการณ์ของตัวเองให้หวังเป่าเล่อฟัง

ปฏิบัติการนกนางแอ่นดำของสหพันธรัฐในตอนนั้นมีไพ่ตายลับซ่อนอยู่ ไพ่ตายที่ว่าคือการให้ร่างกายใหม่กับผู้ฝึกตนทุกคนที่ไปปฏิบัติภารกิจและทิ้งส่วนหนึ่งของวิญญาณพวกเขาไว้บนโลกด้วยความช่วยเหลือจากนักวิจัยวิญญาณและสำนักวังเต๋าไพศาล หากทำเช่นนั้น พวกเขาก็สามารถรับประกันได้ว่า แม้พวกเขาจะเสียชีวิตในที่อื่นใดก็ตามแต่ พวกเขาก็จะถูกชุบชีวิตกลับมาบนโลกได้อีกครั้งหนึ่ง

ในขณะเดียวกัน ร่างกายบนโลกที่มีวิญญาณผสานอยู่ด้วยจะถูกปลุกขึ้นมาเป็นครั้งคราวและป้อนข้อมูลที่พวกเขาได้รับมาให้สหพันธรัฐ แผนนี้ควรเป็นความลับสุดยอด และมีเพียงผู้นำแห่งสหพันธรัฐกับปรมาจารย์สำนักวังเต๋าไพศาลเท่านั้นที่สามารถล่วงรู้ข้อมูลและออกคำสั่งได้ และระบบดาวฤกษ์ที่เจ้าเยี่ยเหมิงไปตามแผนนั้นก็คืออารยธรรมครามทองคำนั่นเอง

อันที่จริงแล้ว หลังจากที่เข้าไปในซากปรักหักพังซึ่งเป็นเป้าหมายบนโลก ก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะได้ยังไปที่ใด เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็เพิ่งรู้เมื่อนางมาปรากฏตัวที่อารยธรรมครามทองคำว่า คนเหล่านี้แข็งแกร่งเหนือกว่าผู้ฝึกตนบนโลกมากนัก

ตามความเข้าใจของนางเอง ผู้ฝึกตนที่เก่งที่สุดบนโลกคือหวังเป่าเล่อ แต่ชายหนุ่มอยู่เพียงขั้นเชื่อมวิญญาณเท่านั้น แต่ในอารยธรรมครามทองคำ…ขั้นเชื่อมวิญญาณนั้นไม่มีความหมายใดๆ สักนิด พวกเขาไม่ถูกนับว่าเป็นขุนพลด้วยซ้ำ มีเพียงระดับดาวพระเคราะห์เท่านั้นที่มีสิทธิ์ถูกเรียกว่าขุนพล อารยธรรมครามทองคำยังมีผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ซึ่งอยู่เหนือระดับดาวพระเคราะห์ขึ้นไปด้วย และไม่ได้มีคนเดียว แต่มีถึงสามคน! ทั้งสามนั้นถือสันโดษมาเป็นเวลาเนิ่นนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปรมาจารย์ครามทองคำ แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้อยู่ในระดับดาราจักร แต่ตำนานก็เล่าขานกันว่าอีกเพียงครึ่งก้าวเขาก็จะบรรลุถึงระดับดาราจักรได้แล้ว!

ผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ทั้งสาม เหมือนเป็นลูกไฟอันร้อนแรงที่ล้อมรอบอารยธรรมครามทองคำเอาไว้ พวกเขาทำให้อารยธรรมครามทองคำกลายมาเป็นผู้นำในดาราจักรที่สิบเก้าภายในจักรพิภพเต๋าฝั่งซ้ายภายใต้ดาราจักรไม่รู้สิ้น

“จักรพิภพศักดิ์สิทธิ์เต๋าฝั่งซ้ายหรือ ดาราจักรลำดับที่สิบเก้าอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อตกตะลึง

หวังเป่าเล่อเข้าใจแล้วว่าไม่ว่าหญิงสาวจะเป็นใครก็ตาม หากนางยังไม่มีปฏิกิริยาหลังจากที่ชายหนุ่มได้พูดไปทั้งหมด เขาก็คงทำได้เพียงค้นวิญญาณนางเท่านั้น หากนางได้ทำร้ายหรือสังหารสหายรักของเขาไป หวังเป่าเล่อก็จะทรมานนางแน่นอน แต่หากว่าไม่ใช่ และนางเป็นหนึ่งในบรรดาเพื่อนของเขาจริงๆ หวังเป่าเล่อก็จะลบนางออกไปจากใจเสีย!

แต่เมื่อชายหนุ่มพูดจบและกำลังจะเดินออกจากห้องลับไปนั้น ร่างของเฉินเสวี่ยเหมยก็สั่นสะท้านอย่างแรง ความสับสนและไม่แน่ใจในกายนางสลายไปจนสิ้นเมื่อได้ยินคำพูดนั้น สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ก่อนที่นางจะเงยหน้าขึ้นอย่างแรงและจ้องมองหวังเป่าเล่อ แม้ว่านางจะอยากเงียบเอาไว้ตามสัญชาตญาณ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นการยากยิ่งที่จะควบคุม เพราะแม้แต่น้ำเสียงที่นางพูดก็ยังสั่นเครือ

“ข้ารู้จักหวังเป่าเล่อ!”

หวังเป่าเล่อหยุดเดิน มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“เจ้าเป็นใครกัน”

“…เจ้าเยี่ยเหมิง!” หลังจากที่เฉินเสวี่ยเหมยพูดจบ ความต้องการที่จะตายซึ่งฉายอยู่บนแววตาของนางก็รุนแรงกว่าเดิมอีกหลายเท่า นางหลุบศีรษะลงต่ำก่อนจะพูดต่อไปอย่างใจเย็น

“ข้าจะบอกทุกสิ่งที่ท่านต้องการจะรู้ ข้าจะบอกท่านทุกอย่าง แต่ได้โปรดเถิด ศิษย์พี่…ไว้ชีวิตเขาด้วย”

เมื่อได้ยินดังนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกใจสลายเล็กน้อย ชายหนุ่มยิ้มอย่างขมขื่นให้กับเจ้าเยี่ยเหมิงพลางถอนหายใจ

“เยี่ยเหมิงที่รักของข้า ข้าก็เผยใบหน้าที่แท้จริงให้เจ้าเห็นแล้วอย่างไรเล่า เจ้า…เจ้าไม่เชื่อข้าจริงๆ หรือ ข้าคือหวังเป่าเล่อ เจ้ามองไม่เห็นหรืออย่างไร” หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น ดึงกระจกออกมาส่องมองดูตนเอง หลังจากที่ตรวจดูจนแน่ใจว่าไม่ได้เปลี่ยนใบหน้าผิด ชายหนุ่มก็มีสีหน้าสิ้นหวัง

“ข้าไม่โทษเจ้าหรอก ในเมื่อข้าหล่อขึ้นมาจากอดีตมากมายขนาดนี้ เจ้าจะจำไม่ได้ก็เป็นเรื่องธรรมดา…”

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิงก็เงียบนิ่งไป

ปฏิกิริยานี้ทำเอาหวังเป่าเล่อประหม่า แต่สิ่งที่ชายหนุ่มรู้สึกอยู่ในใจนั้นต่างจากสิ่งที่แสดงออกมาทางใบหน้า เขายังคงจ้องมองเจ้าเยี่ยเหมิงต่อไป ในขณะที่ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มขื่นพาดอยู่

“เยี่ยเหมิง ข้าเองหวังเป่าเล่อ ทำไมเจ้าจึงเป็นเช่นนี้กัน ทำไมต้องซ่อนตัวด้วยเล่า ข้าจำเจ้าไม่ได้จริงๆ นะ”

เจ้าเยี่ยเหมิงเงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่ออย่างพินิจพิเคราะห์ หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึก นางก็ปล่อยทักษะลึกลับออกมา ใบหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ในวินาทีถัดมา ร่างอันสะคราญจากความทรงจำของหวังเป่าเล่อก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา!

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงคลื่นรบกวนอันคุ้นเคยหลังจากที่เจ้าเยี่ยเหมิงปลดผนึกบางอย่างออกมา คลื่นรบกวนนั้นมาจากดวงวิญญาณและมีรัศมีของเขาปะปนอยู่ด้วย ในวินาทีนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็แน่ใจแล้วว่าสตรีนางนี้คือ…เจ้าเยี่ยเหมิงจริงๆ!

ชายหนุ่มตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างยิ่ง หวังเป่าเล่อยิ้มกว้างก่อนจะก้าวเข้าไปกอดเจ้าเยี่ยเหมิงแน่น แต่ทันทีที่เขาก้าวออกมา หญิงสาวก็สืบเท้าถอยไปหลายก้าว มีแววตาเยือกเย็นที่หวังเป่าเล่อจำได้ว่านางมักส่งให้คนแปลกหน้าปรากฏขึ้นในดวงตา นางเปิดเผยร่างจริงเพราะมีแผนเดียวกันนั่นคือจะทดสอบปฏิกิริยาของหวังเป่าเล่อ แม้ว่าจะไม่แน่ใจนัก แต่นางก็ตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว

“ท่านคิดว่าข้าเป็นทารกสามขวบหรืออย่างไร ศิษย์พี่ ท่านคิดว่าจะหลอกข้าได้ง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ข้าเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงและชื่อจริงของข้าไปแล้ว หากท่านอยากจะรู้อะไรมากกว่านี้ โปรดพาตัวหวังเป่าเล่อมาพบข้า!

“หากท่านอยากจะค้นวิญญาณข้าก็ตามใจ แต่ข้าขอเตือนเอาไว้อย่างหนึ่ง ศิษย์พี่ หากท่านไม่เข้าใจว่าข้าเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้อย่างไร ท่านก็ไม่มีทางปลดผนึกวิญญาณของข้าได้ และหากท่านจะใช้กำลังค้นวิญญาณข้า ท่านก็จะไม่ได้รู้สิ่งใดเลย”

หวังเป่าเล่อตะลึงไปเล็กน้อย

“ข้านี่ละหวังเป่าเล่อจริงๆ สวรรค์ ขนาดนี้แล้วเจ้ายังไม่เชื่อข้าอีกหรือ หลายปีมานี้เจ้าไปพบสิ่งใดมาบ้างกันแน่”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าเยี่ยเหมิงก็เงียบไปพักใหญ่ แต่สีหน้าของนางก็ยังเย็นชา ก่อนที่จะเอ่ยปากพูดออกมาอย่างเยือกเย็นในอีกไม่กี่อึดใจต่อมา

“ท่านไม่จำเป็นต้องแสร้งทำเช่นนี้ต่อไปหรอก ศิษย์พี่ การจะเข้าร่วมสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ ผู้สมัครจะต้องผ่านกระบวนการค้นใจ กระบวนการนั้นสามารถสร้างภาพหลอนของคนสำคัญที่อยู่ในใจผู้สมัครและพาผู้สมัครผ่านสถานการณ์จำลองมายาเพื่อตรวจสอบว่าศิษย์คนนั้นมีแผนใดซ่อนอยู่หรือปลอมแปลงประวัติของตนมาหรือไม่ ตัวข้า…ผ่านกระบวนการนั้นมาแล้วและผ่านการทดสอบอีกด้วย

“เพราะฉะนั้นแล้ว ไม่มีทางหรอกที่ข้าจะเปิดเผยสิ่งใดออกมา การที่ท่านจำข้าได้จากการมองเพียงครั้งเดียว จับตัวข้า และพาข้ามาที่นี่เพื่อถามคำถามก็หมายความได้อย่างเดียว นั่นก็คือ…ท่านได้จับตัวหวังเป่าเล่อไว้และใช้กำลังดึงเอาความทรงจำของเขาออกมา!

“ยิ่งไปกว่านั้น ท่านทำพลาดแล้ว ศิษย์พี่ ท่านดูถูกข้าเกินไป แน่นอนว่าแม้ระดับปราณของข้าจะต่ำกว่าท่านมาก แต่ดวงจิตเทพของข้านั้นแตกต่างไปจากคนทั่วๆ ไป ข้ามีความสามารถพิเศษด้านโทรจิต ผู้ใดก็ตามที่อยู่ในใจข้าจะมีรัศมีที่ข้ามองเห็นได้บนร่างกายของพวกเขา!”

“แต่ท่านไม่มีรัศมีนั้นอยู่บนกายแม้แต่น้อย ฉะนั้นหากท่านไม่พาตัวหวังเป่าเล่อมาที่นี่ ศิษย์พี่ ข้าก็คงสรุปได้อย่างเดียวว่า…หวังเป่าเล่อนั้น…ได้ตายไปแล้ว!” เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ ร่างของเจ้าเยี่ยเหมิงก็สั่นเทิ้มอย่างเกินจะควบคุม

หวังเป่าเล่อหัวเราะขื่นออกมาอีกครั้งอย่างช่วยไม่ได้ ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็ตกใจกับทักษะเฉพาะตัวของเจ้าเยี่ยเหมิง ชายหนุ่มรู้ดีว่าร่างของเขาตอนนี้เป็นเพียงอวตาร ดังนั้นก็เป็นการถูกที่จะกล่าวว่าไม่มีรัศมีใดๆ อยู่บนตัวของเขาแม้แต่น้อย แต่เพราะระดับปราณของเขานั้นแข็งแกร่งยิ่ง เกินกว่าระดับของเจ้าเยี่ยเหมิงไปไกล หากเคล็ดเวทเฉพาะตัวของนางยังใช้ได้ผลอยู่ ทักษะนี้ก็คงจะน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นกำ หยิบดวงจิตเทพที่ดึงออกมาจากร่างของเยี่ยเหมิงเอาไว้ในมือแล้วกดลงไปตรงหว่างคิ้ว ดวงจิตเทพผสานรวมเข้ากับเขาโดยดุษณี ไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อย

“เจ้าเชื่อข้าหรือยัง” หลังจากทำเช่นนั้น ชายหนุ่มก็หันกลับไปมองเจ้าเยี่ยเหมิง แต่เขาไม่ได้คาดคิดว่านางจะตัวสั่นหนักขึ้นกว่าเก่าเมื่อได้เห็น อันที่จริงแล้ว สายตาของหญิงสาวที่มองมานั้นมีความเกลียดชังและบ้าคลั่งที่แทบจะฝังลึกเข้าไปในวิญญาณของเขาปรากฏอยู่ เห็นได้ชัดว่านางเข้าใจผิด คิดไปว่าหวังเป่าเล่อนั้นได้ตายไปแล้วโดยสมบูรณ์ นางคิดว่าทั้งร่างกายและทุกสิ่งทุกอย่างของชายหนุ่มถูกบุรุษผู้นี้กลืนกินและผสานรวมเป็นเนื้อเดียวกับร่างไปสิ้นแล้ว

“เจ้าอย่าเพิ่งโกรธไปเลย เยี่ยเหมิง!” หวังเป่าเล่อตกใจเป็นอย่างมาก ชายหนุ่มไม่รู้จะต้องอธิบายอย่างไร ขณะเดียวกัน เพราะปฏิกิริยาของเจ้าเยี่ยเหมิง เขาจึงรู้สึกว่านางคงเอาชีวิตรอดอยู่ในอารยธรรมครามทองคำตลอดเวลาหลายปีมานี้อย่างยากลำบากมากแน่ๆ หากนางถูกเปิดโปง นางก็จะต้องตาย และอาจสร้างภาระให้สหพันธรัฐอีกทอดหนึ่งก็เป็นได้ ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่นางไม่อาจเชื่อใจใครได้เลย ด้วยเหตุนี้ นางจึงต้องสร้างนิสัยระมัดระวังตัวอันสุดโต่งนี้ขึ้นมา

แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะพิสูจน์ตัวตนแล้วหลายต่อหลายครั้ง นางก็ยังระวังตัวแจ

แม้ว่าการไม่เชื่อใครเลยและเชื่อเพียงตนเองคนเดียวอาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นทางเดียวที่จะรับประกันความปลอดภัยของตนได้ในต่างแดน

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อยิ่งเจ็บปวดหัวใจขึ้นไปอีก แต่ชาวหนุ่มก็เข้าใจดีว่ามันหมายถึงเจ้าเยี่ยเหมิงได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยสมบูรณ์แล้ว ในฐานะผู้ฝึกตนของสหพันธรัฐ ที่มีมารดาเป็นเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารและมีบิดาเป็นผู้นำนักวิจัยวิญญาณ นางสามารถฝึกปราณต่อไปในสหพันธรัฐได้โดยปราศจากอันตราย ต่อให้ปฏิบัติการนกนางแอ่นดำเรียกตัวนาง นางก็แค่ปฏิเสธไป แล้วก็คงจะไม่มีใครกล่าวโทษนางได้

แต่สุดท้าย เพราะเหตุผลบางประการ หญิงสาวก็เลือกที่จะเข้าร่วมปฏิบัติการด้วยตัวของนางเอง นี่คือความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้นางขึ้นสู่ความยิ่งใหญ่ในสหพันธรัฐ นางเป็นคนเช่นนี้เอง และหวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน

ในสายตาของหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิงตรงหน้าเขาในตอนนี้แตกต่างจากเจ้าเยี่ยเหมิงในความทรงจำนัก นางในตอนนี้มีเสน่ห์คล้ายมารดา หรือก็คือเจ้านครอาณานิคมดาวอังคารในระดับหนึ่ง

หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก หลังจากที่พยักหน้าให้เจ้าเยี่ยเหมิงที่มองมาอย่างระแวดระวัง ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นโบก ก่อนจะพาหญิงสาวเคลื่อนย้ายออกไปจากห้องลับและออกจากดวงจันทร์บริวารไป ในอึดใจต่อมา…ทั้งคู่ก็มาปรากฏอยู่บนจักรวาล หวังเป่าเล่อขยับตัวโดยไม่รอให้อีกฝ่ายถามคำถาม แล้วปลดปล่อยพลังปราณออกมา มุ่งหน้าไปยังดาวเอกดวงเนตรสวรรค์เต็มความเร็ว!

เพราะไม่มีการรบกวนของผนึกและกองทัพผู้ฝึกตนตามหลังมา หวังเป่าเล่อจึงปล่อยความเร็วออกมาได้เต็มที่ ไม่นานหลังจากนั้น ชายหนุ่มก็พาเจ้าเยี่ยเหมิงมาถึงดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ ก่อนจะพลิกกายแล้วมาปรากฏตัวอยู่ที่โลงศพซึ่งร่างจริงของเขานอนนิ่งอยู่ พวกเขาขุดดินแล้วเข้าไปอยู่ข้างๆ โลงศพภายในถ้ำ!

เมื่อไปถึง หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้พูดอะไร มีประกายประหลาดสะท้อนขึ้นมาในดวงตาขณะที่วิชาแห่งศาสตร์มืดไหลวนอยู่ในร่าง เปลวไฟสีดำแพร่กระจายออกมาขณะที่ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นทุบโลงศพอย่างรุนแรง

โลงศพสั่นไหวจากแรงทุบ ก่อนจะค่อยๆ โปร่งแสง ทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงผู้ที่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นหวังเป่าเล่อซึ่งนอนอยู่ในโลงศพได้ทันที

ร่างของนางสั่นไหวอย่างรุนแรง ร่างจริงของหวังเป่าเล่อเปิดตาขึ้นช้าๆ ต่อหน้าหญิงสาวที่จ้องมองอยู่เขม็ง

“เยี่ยเหมิง นี่คือข้าจริงๆ ด้วยเหตุผลบางอย่าง ร่างจริงของข้าตอนนี้ยังออกไปไม่ได้ ข้าใช้ได้เพียงร่างอวตารนี้เท่านั้น เพราะเหตุนี้เจ้าจึงมองไม่เห็นรัศมีด้วยทักษะเฉพาะตัวของเจ้า”

“เป่าเล่อ!” เจ้าเยี่ยเหมิงยังคงตัวสั่น นางปิดตาลงเพื่อสัมผัสรัศมีของอีกฝ่าย หลังจากนั้นน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม มันเป็นน้ำตาแห่งความตื่นเต้นและปีติ

“ไม่ต้องร้องนะ ข้าอยู่ตรงนี้” ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อเศร้าใจเล็กน้อย ขณะที่จ้องมองไปยังร่างจริงในโลงแล้วหันกลับไปหาเจ้าเยี่ยเหมิง ผู้ที่สนใจเพียงร่างจริงของเขาเท่านั้น จู่ๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกตกหลุมรักนางขึ้นมาเล็กน้อย

ในเวลาเดียวกันนั้น ปรมาจารย์ก็มอบดวงจันทร์บริวารให้หวังเป่าเล่อใช้แทนถ้ำที่พักและฐานที่มั่น อันที่จริงแล้ว หลังถามความเห็นจากชายหนุ่ม ชายวัยกลางคนก็รีบประกาศว่าหวังเป่าเล่อได้รับการเลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสชั้นสูงของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ทันที มีสถานะเกือบเท่าตัวเขาด้วยซ้ำ

การพะเน้าพะนอนี้ทำให้หวังเป่าเล่อปลื้มปริ่มอยู่ในใจ หลังจากที่กล่าวขอบคุณปรมาจารย์มหาทัณฑ์แล้ว ชายหนุ่มก็จากไปตั้งหลักที่ดวงจันทร์บริวาร เพราะอย่างไรเสีย…เขาก็เข้าใจดีว่าสงครามนั้น…ยังไม่จบ และเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

ขณะที่ทั้งสำนักกำลังเตรียมตัวและรวมตัวกันอย่างขะมักเขม้น หวังเป่าเล่อก็แผ่พลังปราณออกไปผนึกทั้งด้านนอกและด้านในของห้องลับในถ้ำที่พักของเขาเอาไว้ ชายหนุ่มหยิบหุ่นเชิดจักรพรรดิทั้งสิบสองและเรือบินรบเวทของเขาออกมา หลังจากที่ตรวจสอบผนึกจนแน่ใจว่าจะไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น เขาก็ปล่อยหญิงสาวออกมาจากเรือบินรบเวทด้วยดวงจิตเทพ

นางเป็นใครกันแน่นะ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงและเพ่งมองไปยังสตรีผู้ที่แสดงอาการวิตกกังวลและสิ้นหวังอย่างหนักออกมาอย่างชัดเจน ใบหน้าของนางเผยให้เห็นว่านางอยากจะตายเสียมากกว่าอยู่

เมื่อจ้องมองไปยังสตรีตรงหน้า หวังเป่าเล่อก็แผ่ดวงจิตเทพออกไป หลังจากที่ดวงจิตนั้นเข้าห้อมล้อมกายนางเอาไว้ ชายหนุ่มก็ตรวจสอบอีกฝ่ายอย่างถ้วนถี่ หลังจากการตรวจสอบ คิ้วของเขาก็ขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ บนสนามรบ หวังเป่าเล่อกวาดสายตามองหญิงสาวเร็วๆ แต่ก็ยังไม่รู้ว่านางเป็นใคร ขณะนี้เมื่อได้มองดูนางอย่างละเอียดด้วยพลังปราณของตน…ชายหนุ่มก็ยังไม่อาจสัมผัสถึงสิ่งใดจากกายนางได้ ราวกับว่าร่างนี้เป็นร่างจริงของนางจริงๆ

สตรีนางนี้มีรูปลักษณ์สะสวยพอใช้ หากดูจากรูปร่างหน้าตาแล้ว นางดูอายุราวยี่สิบปี ผิวของนางสีขาว อีกทั้งรูปร่างยังอ่อนช้อยงดงาม นางสวมใส่อาภรณ์สีรุ้งที่ไม่เพียงเปิดเผยความงามของนางเท่านั้น แต่ยังทำให้นางดูอ่อนเยาว์ด้วย แต่หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าเมื่อผู้ฝึกตนบรรลุระดับดาวพระเคราะห์เมื่อใด จะดูหนุ่มแก่เพียงใดก็ไม่สำคัญอีกต่อไป

เพราะตราบใดที่พวกเขาต้องการใช้พลังปราณเพื่อทำให้ตนดูอ่อนเยาว์ ก็สามารถทำได้ไม่ยากเลย เป็นเรื่องธรรมดายิ่งในหมู่ผู้ฝึกตน ดังนั้นแล้ว จึงเป็นการยากที่จะบอกอายุที่แท้จริงของใครสักคนผ่านหน้าตาเท่านั้น โดยปกติแล้ว จำต้องใช้สัมผัสสวรรค์กวาดดูให้ทั่วเพื่อมองให้เห็นร่องรอยของวัยชรา

ตัวอย่างเช่น แม้ว่าสตรีนางนี้จะดูเหมือนอยู่ในร่างจริง แต่ตามที่สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อตรวจพบ นางก็ไม่ได้ชราแต่อย่างใด และระดับปราณของนางยังยอดเยี่ยมอีกด้วย เพราะนางอยู่ในขั้นจุติวิญญาณชั้นปลายเป็นที่เรียบร้อย

ขั้นปราณนั้นอาจไม่ได้สลักสำคัญอะไรในอารยธรรมครามทองคำ แต่ในสหพันธรัฐ เป็นการยากยิ่งที่คนอายุน้อยเพียงเท่านี้จะมีปราณอยู่ในขั้นนี้ได้ อย่างน้อยในบรรดาสหายที่หวังเป่าเล่อรู้จัก ก็ไม่มีใครเลยที่บรรลุถึงขั้นจุติวิญญาณตั้งแต่อายุเท่านี้ยกเว้นตัวเขาเอง

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อสงสัยอยู่ในใจ เพราะไม่อาจระบุตัวตนที่แท้จริงของนางได้ สายตาของชายหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นก่อนพูดออกมาช้าๆ

“บอกข้ามาว่าเจ้าเป็นใคร!”

คำพูดของหวังเป่าเล่อเยือกเย็นราวกับเป็นสายลมหนาว ทำให้อุณหภูมิในห้องลับลดลงอย่างรวดเร็ว อากาศเย็นยะเยือกกระจายไปทั่ว ทำให้ร่างกายของหญิงสาวสั่นสะท้านเบาๆ หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่หลายลมหายใจ นางก็หลุบศีรษะลงต่ำ ราวกับว่าพยายามอย่างยิ่งที่จะสงบจิตใจ ก่อนจะพูดออกมาช้าๆ

“ข้าเป็นศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งอารยธรรมครามทองคำจากปลายกระบี่โบราณ…นามว่าเฉินเสวี่ยเหมย”

เมื่อได้ยินคำตอบของสตรีนางนั้น คิ้วของหวังเป่าเล่อก็ยิ่งขมวดหนักเข้าไปอีก สายตาของเขาเยือกเย็นยิ่งกว่าเก่า อันที่จริงแล้ว ชายหนุ่มกำลังเริ่มร้อนรนอย่างมาก เขากลัวว่าการคาดเดาของตนจะเป็นจริงและหนึ่งในบรรดาสหายถูกสตรีนางนี้สังหารไปแล้ว ทำให้นางได้ดวงจิตเทพของเขาไปครอง หวังเป่าเล่ออยากค้นวิญญาณนางโดยตรง แต่เขาก็คิดว่าหากผิดพลาดเพียงเล็กน้อย การค้นวิญญาณก็อาจทำให้ร่างกายของนางเสียหายอย่างหนักได้

หวังเป่าเล่อจึงหรี่ตาลงก่อนจะมองสตรีนางนั้นตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอีกครั้ง แม้ว่านางจะพยายามเต็มที่ที่จะไม่ตื่นตระหนก ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ว่าหญิงสาวทั้งกังวลและสิ้นหวังในใจ มีความหมดอาลัยตายอยากฉายชัดอยู่ในแววตา เขาจึงเข้าใจในวินาทีนั้นว่านางได้เตรียมใจที่จะตายไว้แล้ว

และขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังมองสำรวจหญิงสาวตรงหน้าอยู่นั้น แผ่นหยกสื่อสารในกระเป๋าคลังเก็บของเขาก็ส่งคลื่นพลังรบกวนออกมา ชายหนุ่มลดมือลง ก่อนพลิกมือขวาหยิบแผ่นหยกออกมา เขากำลังจะเปิดมันดู แต่อึดใจต่อมา หวังเป่าเล่อก็ผงกศีรษะขึ้นมาอย่างแรง ก่อนจะยกมือขวาชี้หน้าสตรีนางนั้น

“เจ้าอยากตายหรืออย่างไร”

เมื่อชายหนุ่มชี้นิ้วไป ร่างของนางก็แข็งทื่อทันที ก่อนที่ใบหน้าจะซีดขาว ราวกับว่าร่างกายของนางแปรสภาพเป็นท่อนไม้ ทำให้ไม่อาจคิดอ่านอะไรต่อไปได้ นางทำได้เพียงยืนอยู่กับที่ในขณะที่ความหมดหวังในใจเริ่มแพร่กระจายไปถึงดวงวิญญาณ นางไม่อาจซุกซ่อนความต้องการตายในดวงตาเอาไว้ได้อีกต่อไป หญิงสาวเริ่มร้องไห้ออกมา นางอยากปิดตาลงเพื่อซ่อนความอ่อนแอเอาไว้ แต่ร่างกายกลับไม่ยอมทำตาม

หวังเป่าเล่อส่งเสียงในลำคอ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นคว้าอากาศ ในทันใดนั้นเอง ดวงแสงดวงหนึ่งก็ลอยออกมาจากหว่างคิ้วของสตรีนางนั้น ดวงแสงนั้นคือดวงจิตเทพของหวังเป่าเล่อ มันกลับมาลอยอยู่ตรงหน้าชายหนุ่ม

วินาทีที่ชายหนุ่มมองดูแผ่นหยกสื่อสาร เขาก็รู้สึกถึงคลื่นรบกวนของดวงจิตเทพของตนที่แผ่ออกมา สตรีที่อ้างว่าตนเองชื่อเฉินเสวี่ยเหมยนั้นต้องการปลดปล่อยดวงจิตเทพออกไปขณะที่หวังเป่าเล่อไม่ทันได้สังเกต นางไม่ได้ต้องการจะทำอันตรายชายหนุ่ม แต่เป้าหมายของนางกลับเป็น…การฆ่าตัวตาย!

นางแน่วแน่เอาการอยู่เหมือนกัน…หวังเป่าเล่อจ้องสตรีนางนั้นอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะก้มศีรษะลงมองแผ่นหยกสื่อสาร ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ส่งข้อความเสียงมาหาเขา ชายวัยกกลางคนชวนเขาไปที่โถงใหญ่เพราะมีเรื่องต้องการจะปรึกษาด้วย

หลังจากที่ตอบอีกฝ่ายไปอย่างง่ายๆ หวังเป่าเล่อก็หันกลับมามองเฉินเสวี่ยเหมยอีกครั้ง ขณะนี้ร่างกายของนางถูกเขาแช่แข็งเอาไว้ ประกายประหลาดสะท้อนขึ้นมาในดวงตาของชายหนุ่ม ความเด็ดเดี่ยวของนางทำให้เงาของสตรีนางหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ

ขณะที่ชายหนุ่มนิ่งเงียบอยู่ เขาก็โบกมือขวาก่อนจะปล่อยเฉินเสวี่ยเหมยออกมา เมื่อถูกปลดปล่อยจากพันธนาการก็ดูเหมือนว่าร่างของนางได้เสียพลังไปจนหมด นางซวนเซถอยหลังไปหลายก้าวด้วยท่าทางเจ็บปวด ร่างทั้งร่างราวกับจะวอนขอให้ชายหนุ่มสังหารนางเสียเดี๋ยวนั้น ก่อนที่จะพูดออกมาเสียงเบา

“ด้วยพลังปราณระดับท่าน โปรดอย่าทำให้ข้าอับอายเลย ข้าไม่สนใจว่าท่านจะสังหารข้าหรือไม่ หากศิษย์พี่ต้องการจะรู้เรื่องใดเกี่ยวกับอารยธรรมครามทองคำ ข้าก็จะบอกท่านตามตรง ข้าหวังเพียงแค่ว่าท่านจะให้ข้าได้มีศพที่สวยงามและได้ตายโดยที่ยังมีศักดิ์ศรีหลงเหลืออยู่!”

คำพูดนั้นแสดงให้เห็นถึงความเด็ดเดี่ยวอันแรงกล้าและทำให้ความรู้สึกฉงนสงสัยในแววตาของหวังเป่าเล่อเข้มข้นขึ้นไปอีก หลังจากที่นิ่งคิดอยู่ชั่วอึดใจ ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นโบก ร่างกายของเขาเปลี่ยนไปในพริบตา ร่างของหลงหนานจื่อสลายไป เผยให้เห็นร่างที่แท้จริงซึ่งกำลังจ้องมองไปยังเฉินเสวี่ยเหมย

“พอได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอีกต่อไป ดวงจิตเทพบนกายเจ้าเป็นของข้าเอง เจ้าเป็นใครกันแน่” น้ำเสียงของหวังเป่าเล่อแสดงความสิ้นหวัง ขณะที่พูดไปนั้น เขาก็ลับดวงจิตเทพของเขาให้เฉียบคมเป็นอย่างยิ่ง เพราะชายหนุ่มต้องการสังเกตปฏิกิริยาของนาง

หวังเป่าเล่อไม่ได้เอ่ยชื่อตนเอง และไม่ได้เอ่ยชื่อคนที่เขาคาดเดาว่าเป็นนาง นั่นเพราะเขายังไม่อาจตอบข้อสงสัยในใจได้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงพยายามเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงและจะตัดสินใจหลังจากที่นางได้เห็นร่างนี้แล้ว

แต่ปัญหาก็คือ…หลังจากที่เฉินเสวี่ยเหมยมองเห็นร่างจริงของหวังเป่าเล่อ แม้นางจะตะลึงไปชั่วขณะ แต่ก็ยังมีความสับสนในแววตา สิ่งนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อใจหาย

หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่หลายลมหายใจ ชายหนุ่มก็พูดขึ้น

“ข้าไม่สนใจข้อมูลเรื่องอารยธรรมครามทองคำหรือสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ข้าไม่ได้อยากรู้ตัวตนของเจ้าในสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน สิ่งที่ข้าอยากรู้…คือตัวตนที่แท้จริงของเจ้า!”

“ข้าไม่เข้าใจท่านเลยศิษย์พี่…ข้าไม่มีตัวตนอื่นใด ศิษย์พี่ ท่าน…คิดว่าข้าเป็นใครคนอื่นอย่างนั้นหรือ” เฉินเสวี่ยเหมยยิ่งดูสับสนเข้าไปใหญ่ นางจ้องมองร่างจริงของหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าฉงนสงสัย

เมื่อเห็นปฏิกิริยาของนางเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มจะหมดความอดทน ชายหนุ่มผุดลุกขึ้นยืน แววตาของเขาเย็นเยียบขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะกวาดตามองเฉินเสวี่ยเหมย

“ข้าจะเตือนความจำเจ้าสักหน่อยก็แล้วกัน สหพันธรัฐ!”

หลังจากที่เขาพูดเช่นนั้น เฉินเสวี่ยเหมยก็ยังคงสับสนอยู่ มีความไม่แน่ใจปรากฏขึ้นมาบนสีหน้า หลังจากที่ชั่งใจอยู่ชั่วครู่ นางก็พูดออกมาเบาๆ

“ศิษย์พี่ สหพันธรัฐ…เป็นสำนักอย่างนั้นหรือ”

“เจ้าจำข้าไม่ได้จริงๆ หรือ เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือว่าสหพันธรัฐคืออะไร” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วก่อนจะพูดเสียงต่ำ

“ข้าไม่ทราบจริงๆ” เฉินเสวี่ยเหมยยิ้มออกมาอย่างขมขื่น ทั้งจังหวะหัวใจและท่าทางของนางไม่ได้แสดงพิรุธอะไร ดูเหมือนว่านางจะไม่รู้จริงๆ

จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น

“สงสัยว่าข้าจะจำคนผิดไปจริงๆ ก่อนหน้านี้ข้าจับตัวผู้ฝึกตนต่างดาวชื่อหวังเป่าเล่อได้ เจ้าคงจะไม่รู้จักมันเช่นกัน ข้าขังเจ้าอ้วนนั่นเอาไว้และได้เรียนรู้สิ่งน่าสนใจมาหลายอย่างจากการค้นวิญญาณมัน ข้ายังกลืนวิญญาณของมันเข้าไปส่วนหนึ่งด้วย ข้าจึงสัมผัสถึงดวงจิตเทพของมันได้ เมื่อเจ้าไม่รู้จักมัน ก็ดูเหมือนว่ามันจะใช้วิชาประหลาดซ่อนอะไรบางอย่างเอาไว้ ข้าจะไปกลืนมันทั้งตัวและทำลายทั้งร่างกายและวิญญาณของมันเสีย!”

เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็หัวเราะอย่างเยือกเย็นก่อนจะยกเท้าเตรียมก้าวออกจากห้องลับไป

ปรมาจารย์สำนักอยากจะตบหวังเป่าเล่อให้ตายคามือ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาทำไม่ได้ ชายชรารู้สึกว่า…เขาอาจจะสู้ไม่ไหวนั่นเอง

ความเศร้าโศกเข้าครอบงำใจจักรพรรดิสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ จนชายชราทำใจยิ้มต่อไปไม่ได้ เขาหันหลังให้บรรดาศิษย์อยู่ขณะที่จับหวังเป่าเล่อพร้อมกัดฟันแน่น

“ต่อให้ข้าขายสำนักทิ้งไป ข้าก็คงไม่มีเรือบินรบเวทให้เจ้าสองร้อยลำหรอก อย่าให้มันมากนักเลยหลงหนานจื่อ!”

“ข้าหลั่งเลือดเพื่อสำนักของท่านแถมยังมาที่นี่โดยไร้ซึ่งความกลัว ข้ามาเพื่อช่วยเหลือโดยไม่กลัวผลที่จะตามมา แล้วท่านจะบอกว่าข้าขอมากไปอย่างนั้นหรือ ท่านจะเบี้ยวหรืออย่างไร” หลังจากที่ได้ยินถ้อยคำของปรมาจารย์ หวังเป่าเล่อก็ฉุนเฉียวขึ้นมาทันที ก่อนจะจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ชายหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าหากเขาต่อสู้กับปรมาจารย์มหาทัณฑ์ขึ้นมาจริงๆ เขาจะถอยหนีทันหรือไม่ แต่หากเป็นปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ เขาคิดว่าอาจจะรังแกคนผู้นี้ได้ในระดับหนึ่ง

หวังเป่าเล่อยิ่งโกรธขึ้นไปอีก ก่อนจะพูดด้วยเสียงอันดัง

“นี่หรือสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ หลังจากที่ได้รู้ว่าพวกท่านตกอยู่ในอันตราย ตัวข้าหลงหนานจื่อผู้นี้ ผู้ที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะเท่านั้น ก็ขออนุญาตปรมาจารย์มหาทัณฑ์มาช่วยด้วยตัวเอง แม้ว่าการเดินทางนั้นจะยาวนานและข้ารู้ดีว่าอาจจะมีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เก่งๆ อยู่ที่นี่ แม้ว่าคนในสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำของท่านจะพยายามสังหารข้าและจับกุมข้าอยู่หลายครั้งหลายหนในอดีต แม้ว่าท่านจะดูถูกและทำให้ข้าขายหน้านับครั้งไม่ถ้วน ข้าก็ยัง…”

“ข้าก็ยังเลือกที่จะมาหยิบยืมมือให้การช่วยเหลือ ข้านำกองทหารของข้าและจิตวิญญาณอมตะทั้งสิบสองมาด้วย แต่นี่คือสิ่งที่ข้าได้ตอบแทนอย่างนั้นหรือ คือถูกบอกว่าคำขอของข้านั้นเกินเลยไป!” ถ้อยคำอันเปี่ยมด้วยโทสะของหวังเป่าเล่อดังก้องไปทั่วและทำให้ศิษย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำที่กำลังเก็บกวาดสนามรบอยู่นั้นต้องหยุดทันที

และหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้จบเพียงเท่านั้น แม้ว่าปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำจะมีสีหน้าน่าเกลียดน่ากลัวเพียงใด เสียงอันดังก้องของชายหนุ่มก็ยังคงดังต่อไปไม่ขาดสาย

“หลังจากที่ข้ามาถึงที่นี่ ข้าก็ช่วยผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำเอาไว้โดยเร็วที่สุด เขาเองก็เคยอยากจะสังหารข้ามาก่อน แต่ข้าทำเช่นใด ข้าก็เลือกที่จะลืมความบาดหมางส่วนตัวและมองภาพใหญ่กว่า! เพราะข้ารู้ว่าพวกเราต่างก็เป็นชาวอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ด้วยกันทั้งสิ้น พวกเราจะต้องร่วมแรงร่วมใจกัน และในเวลานี้ พวกเราต้องละทิ้งความบาดหมางส่วนตัว เพราะเราต้องลุกขึ้นสู้ ทั้งเพื่ออารยธรรมและความอยู่รอดของตัวเราเอง!

“แต่สิ่งที่ข้าได้กลับมานั้นหรือ ก็คือการที่ท่านบอกว่าข้าขอมากเกินไป!”

เมื่อชายหนุ่มพูดจบ ศิษย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำที่ยืนรายล้อมอยู่ก็นิ่งไปสนิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ ทีได้แต่ยืนหลุบศีรษะต่ำ บรรดาผู้ฝึกตนระดับสูงในกองทหารที่ยืนอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อย่อมเข้าข้างเขาอยู่แล้ว ในเวลานั้น แววตาเย็นเยียบของพวกเขาทุกคนล้วนพุ่งเป้าไปยังปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเช่นพ่อบ้านและเทพธิดาหลิงโยวเองก็ขยับเข้ามายืนหลังหวังเป่าเล่อเช่นกัน

ทั้งร่องรอยบาดแผลและความเหนื่อยล้าบนตัวของผู้มาช่วยเหลือทุกคนก็ดูจะเป็นการประท้วงอย่างเงียบๆ เช่นกัน แม้ว่าจะอยากพูดอะไรสักอย่าง แต่ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี

“หลังจากที่ข้าช่วยเหลือผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ ข้าก็เห็นว่าท่านกำลังตกอยู่ในอันตราย ข้าจึงพุ่งออกมาด้วยกำลังทั้งหมดที่มี ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตบข้าเสียจนกระอักเลือก แม้ว่าจิตวิญญาณอมตะเช่นข้าจะพอมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ข้าหลบหนีหรือไม่เมื่อต้องปะทะกับฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ ข้าตัวสั่นด้วยความกลัวหรือเปล่า ข้าอดทน แต่สิ่งที่ข้าได้รับตอบแทนคือท่านที่บอกว่าข้าขอมากเกินไป!

“ข้าเสี่ยงชีวิตรับแรงตบจากระดับดาวพระเคราะห์ เมื่อเห็นว่าเขาพยายามจะหนี ข้าก็ใช้เรือบินรบเวทของตัวเองอย่างไม่สนใจผลที่จะตามมา แม้ว่าข้าจะเจ็บปวดสักเพียงใด แต่ข้าก็ระเบิดเรือบินรบเวทเหล่านั้นอย่างไม่ลังเล เพื่อจะมอบโอกาสให้ท่านได้ไปสังหารผู้อาวุโสฝ่ายขวา ข้าทำเช่นนั้นเพื่อจะรับประกันชัยชนะอันยิ่งใหญ่ให้สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ! แต่ตอนนี้ เมื่อท่านชนะแล้ว ข้าก็หมดประโยชน์อย่างนั้นหรือ”

“นี่หรือคือสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ของข้ามาช่วยเหลือ โดยต้องลากร่างที่อ่อนล้ามาถึงนี่แล้วเสี่ยงชีวิต ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำขอรับ ไม่มีใครคิดว่าการฝึกปราณเป็นเรื่องง่าย ไม่มีใครได้ทรัพยากรในการฝึกปราณมาจากฟ้าเปล่าๆ ปลี้ๆ ข้าหลงหนานจื่อผู้นี้ ก็เสี่ยงชีวิตเก็บสะสมทรัพยากรเพื่อหลอมเรือบินรบเวทของตนเอง และข้าก็ทำลายพวกมันทิ้งเพื่อช่วยรักษาสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำของท่าน ท่านพูดเองว่าจะชดใช้คืนให้ ข้าไม่มีสิ่งใดจะพูดกับการที่ท่านคืนคำ แต่ท่านกล้ามากที่มาหาว่าข้าขอมากเกินไป!” เมื่อพูดถึงจุดนี้ หวังเป่าเล่อก็โมโหจนตัวสั่น ขณะที่น้ำเสียงเปี่ยมโทสะของเขาดังก้องออกไป มันก็พาให้ทุกคนที่ได้ยินต่างเอนเอียงมาเข้าข้างเขา

“สิ่งเดียวที่ข้าคนนี้ทำเกินเลยไป ก็คือการเลือกที่จะมาที่นี่และช่วยเหลือท่าน!” ประโยคสุดท้ายนี้เปี่ยมพลังยิ่ง ศิษย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำต่างก็พากันอับอาย เพราะอย่างไรเสีย…นี่ก็เป็นเรื่องจริง!

หากหวังเป่าเล่อไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น การต่อสู้ครั้งนี้…ก็คงไม่จบเช่นนี้เป็นแน่ พวกเขาคงจะยังต่อสู้อยู่ และทั้งพวกเขาเองและสหายร่วมสำนักเต๋ารอบข้างก็อาจจะกลายเป็นศพกันไปหมดแล้วก็ได้

เพียงแต่ว่า…แม้ว่าจะมีความคิดนี้อยู่ในหัว แต่ก็ยังมีอีกความคิดหนึ่งด้วย นั่นก็คือ…พวกเขาจ่ายไม่ไหว

พวกเขาจะไปหาเรือบินรบเวทสองร้อยลำมาจากที่ใดกัน…อีกทั้งเรือบินรบเวทที่หวังเป่าเล่อใช้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มีคุณภาพเท่าใดนัก แต่พวกเขาก็ไม่สามารถพูดได้ เพราะหากพูดไปตอนนี้ก็จะฟังดูเนรคุณ

การกดดันทางศีลธรรมเช่นนี้หวังเป่าเล่อเรียนมาตั้งแต่ครั้งที่ยังอยู่ในสหพันธรัฐ การนำมาใช้ที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นี้ก็เห็นว่าได้ผลไม่แพ้กัน

สีหน้าของปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำบิดเบี้ยว ชายชราตอนนี้อารมณ์เสียสุดขีดแต่ก็ไม่มีทางให้บ่น ในที่สุดเขาก็ต้องกัดฟัน ยกมือขวาขึ้นโบก ลำแสงเจ็ดลำปรากฏขึ้นบนอวกาศเบื้องหลังเขาทันที

หลังจากที่ลำแสงห้าลำสลายหายไป เรือบินรบเวทจริงๆ ห้าลำก็มาปรากฏขึ้น สามลำมีพลังเท่าขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น ลำหนึ่งชั้นกลาง และอีกลำหนึ่ง…มีรูปร่างคล้ายจระเข้ คลื่นพลังแทรกแซงที่มันปล่อยออกมานั้นเทียบเท่าขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย

สำหรับลำแสงอีกสองลำ ลำหนึ่งเป็นกระบี่เหาะเหิน อีกลำหนึ่งเป็นหอก สมบัติเวททั้งสองชิ้นนั้นอยู่ในระดับสูงเอาการ แม้ว่าจะไม่ถึงขึ้นอาวุธเทพ แต่ก็แข็งแกร่งกว่าอาวุธเวทระดับเก้าของหวังเป่าเล่อไปไกลและเป็นสมบัติเวทในระดับดาวพระเคราะห์

“หลงหนานจื่อ ข้าจะจ่ายคืนให้เจ้าด้วยของเหล่านี้ก่อน…” ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำกัดฟันพูดออกมาทีละคำอย่างยากเย็น ชายชราพยายามอย่างยิ่งที่จะเก็บกดความเจ็บใจเอาไว้

หวังเป่าเล่อกะพริบตา ชายหนุ่มมองเห็นว่าปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำกำลังใกล้จะถึงจุดเดือดเต็มทน แม้ว่าเขาจะยังไม่พอใจนัก แต่หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าหากสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำยังคงอยู่ พวกเขาก็ไม่สามารถจะหนีการเป็นหนี้ตนเองไปได้ อย่างดีที่สุด ชายหนุ่มก็สามารถมาเรียกร้องเงินคืนได้อีกสองสามครั้ง ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงยกมือขวาขึ้นโบก เก็บเรือบินรบเวทห้าลำและสมบัติเวททั้งสองไปหมด

ข้าขาดทุน เสียเรือบินรบเวทไปตั้งสองร้อยลำ ได้กลับคืนมาแค่ห้าลำกับสมบัติเวทสองชิ้น ข้าจะรับเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเศร้าสร้อยแต่รู้สึกลิงโลดอยู่ในใจ เรือบินรบเวทขยะสองร้อยลำ ที่ทำได้เพียงทำลายตัวเอง แลกได้เรือบินรบเวทจระเข้ลำนั้นซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่าเรือบินรบเวทร้อยลำมา หากคิดในแง่นี้ การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ก็ค่อนข้างคุ้มทีเดียว

เมื่อคิดว่าเขาได้เปรียบแล้วในทางบัญชี หวังเป่าเล่อก็คิดว่าหรือจะให้ปรมาจารย์ร่างใบชำระหนี้ขึ้นมา แต่เมื่อเห็นโทสะที่กำลังจะระเบิดในดวงตาของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็ได้แต่ลอบถอนใจ

เอาเช่นนี้ก็ได้ ข้านี่ก็ใจอ่อนเกินไป ท่านไม่ต้องเขียนใบชำระหนี้ให้ข้าหรอก เพราะท่านก็คงหนีข้าไม่พ้นอยู่นั่นเอง เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ยิ้มออกมาได้ ก่อนจะยกมือประสานไปทางปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ

“ข้าน้อยขอบคุณท่านปรมาจารย์ อ่า…หากท่านต้องการความช่วยเหลือจากข้าในอนาคต โปรดเรียกใช้งานได้เลย ข้าจะมาที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้!”

“ข้าจ่ายเจ้าไม่ไหวหรอก ลาก่อน!” ปรมาจารย์สะบัดแขนเสื้อ ก่อนจะหันหลังกลับ และเดินจากไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง

หวังเป่าเล่อไม่ใส่ใจอารมณ์ฉุนเฉียวของปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำแม้แต่น้อย หลังจากที่โบกมือลาศิษย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำคนอื่น ชายหนุ่มก็เดินกรีดกรายนำผู้ฝึกตนจากกองทหารลำดับสูงที่มีสีหน้าแปลกแปร่งพากันเดินขึ้นเรือบินรบแล้วก็จากมา

การรบครั้งนี้ถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว จักรวาลในเขตของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้เข้าสู่ช่วงพักซ่อมแซมสั้นๆ ศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่หนีออกจากอาณาเขตของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำได้ก็ได้รับคำสั่งจากประมุขสำนักหลังจากออกมานอกบริเวณที่ถูกปิดผนึกซึ่งการสื่อสารไหลลื่นขึ้น พวกเขาจะมุ่งหน้าไปตั้งหลักที่บริเวณใกล้เคียงกับดาวเอกอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ราชวงศ์อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ที่ตอนนี้อยู่ภายใต้การนำขององค์ชายทั้งสามก็ไปรวมกันบริเวณนั้นเช่นกัน อาจกล่าวได้ว่าอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทั้งหมดถูกแบ่งเป็นสองขั้วเรียบร้อย

ฝ่ายหนึ่งเป็นสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อีกฝ่ายหนึ่งเป็นการร่วมมือระหว่างสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ

แม้ว่าฝ่ายแรกจะรวมตัวกันได้แต่ก็เสียหายอย่างหนัก ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายบาดเจ็บหนัก และแม้ว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาจะหนีออกมาได้สำเร็จก็ยังได้รับบาดเจ็บ แต่ทั้งหมดนั้นก็เป็นเพียงการรุกรานรอบแรกเท่านั้น ในภาพรวมแล้ว พวกเขายังได้เปรียบอยู่มากนัก

และฝ่ายหลัง…ก็กำลังมุ่งเน้นการสร้างและซ่อมแซมวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ของทั้งสองสำนัก หลังจากที่พวกเขามารวมตัวกันหลังการศึกครั้งแรก ด้วยวิธีนี้ ต่อให้ทั้งสองสำนักไม่ได้อยู่ที่เดียวกัน พวกเขาก็สามารถเดินทางในพริบตาและร่วมมือกันสู้ได้

ขณะที่การต่อสู้ดำเนินมาสู่ช่วงของการตั้งหลัก หวังเป่าเล่อก็นำกองทหารของตนและทุกๆ คนจากกองทหารอันดับหนึ่งกลับมาสู่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ข่าวผลงานของชายหนุ่มที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำกระจายไปทั่วแล้ว แต่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้และไม่ได้ถามอะไร เขาเลือกจัดงานต้อนรับหวังเป่าเล่ออย่างยิ่งใหญ่แทน

ย้อนไปตอนนั้น หวังเป่าเล่อกังวลว่าขณะที่สหายของเขากำลังทำภารกิจ ดวงจิตเทพร่างอวตารของเขาจะถูกค้นพบโดยคนนอก ซึ่งทำให้พวกเขาต้องประสบปัญหาและเกิดอันตรายโดยไม่จำเป็น เพราะเหตุนั้น ชายหนุ่มจึงตัดการเชื่อมต่อกับร่างอวตารเหล่านั้นไป เพื่อให้สหายอยู่กันอย่างอิสระและสามารถซ่อนตัวได้มากเท่าที่ต้องการ เพื่อป้องกันไม่ให้คนนอกค้นพบตัวได้

สำหรับจุดอ่อนนั้น ดวงจิตเทพเปรียบเสมือนสายน้ำที่ไม่มีต้นตอ มันจะไม่เปลี่ยนแปลงแม้ว่าขั้นปราณของหวังเป่าเล่อจะแข็งแกร่งขึ้น จึงทำให้มันยังอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณเท่านั้น

สิ่งที่ชายหนุ่มสัมผัสได้ตอนนี้ทำเอาวิญญาณของเขากระตุก เขารีบพลิกกายอย่างไม่รอช้าและพุ่งตัวไปยังตำแหน่ง ที่มีคลื่นรบกวนจากดวงจิตเทพแผ่ออกมา!

จะเป็นใครกันนะ เจ้าเยี่ยเหมิง หลินเทียนหาว หลี่อู๋เฉิน หลิวต้าวปิน หรือจินตั้วหมิง

ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะจากโลกมนุษย์มาในคราวนั้น สหพันธรัฐกำลังจะเริ่มทำแผนชื่อ “ปฏิบัติการนกนางแอ่นดำ” อย่างลับๆ แผนนั้นถือเป็นความลับสุดยอด มีคนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ล่วงรู้ และด้วยสถานะของหวังเป่าเล่อในสหพันธรัฐ แน่นอนว่าเขาเองก็ย่อมรับรู้แผนนั้นเช่นกัน

ชายหนุ่มจำได้ชัดเจนว่ามีเอกสารลับที่บอกถึงการหายตัวไปอย่างปริศนาซึ่งเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่าเป็นเวลาติดต่อกันหลายปีในหลายต่อหลายสถานที่บนโลก

ตัวอย่างเช่น บิดาของหลินเทียนหาว เจ้านครศักดิ์สิทธิ์ ก็ได้หายตัวไปก่อนสงครามอสูรของโลกมนุษย์ในคราวนั้น หลังจากที่กลับมาระดับปราณของเขาก็แข็งแกร่งกว่าเคย แถมยังได้รับการยกย่องว่ามีความสามารถยิ่งใหญ่

มีผู้คนหลากหลายกลุ่มที่เป็นเช่นนี้ จั่วอี้เซียน ผู้ที่หวังเป่าเล่อได้พบมาก่อนหน้านี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น อันที่จริงแล้ว สหพันธรัฐเองก็เข้าใจเรื่องของเซี่ยไห่หยางผิดไปเช่นกันก่อนหน้านี้ พวกเขาคิดไปเองว่าชายหนุ่มเป็นหนึ่งในบรรดาคนที่หายตัวไป แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ปรากฏการณ์ดังกล่าวก็ทำให้สหพันธรัฐหันมาสนใจใกล้ชิด ไม่เพียงเท่านั้น เป็นเพราะผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณจำนวนหนึ่งจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ นอกจากจะเข้าไปปล้นต้นกำเนิดดาราจากดาวพุธแล้ว ยังปล่อยเชื้อโรคปริศนาห้อมล้อมบริเวณนั้นเอาไว้อีกด้วย

ทุกสิ่งทุกอย่างทำให้สหพันธรัฐหันมาสนใจเรื่องความปลอดภัยของตนมากขึ้น และหลังจากที่ควบรวมกับสำนักวังเต๋าไพศาลแล้ว พวกเขาก็แข็งแกร่งขึ้นมาก แถมยังตื่นตัวเรื่องอารยธรรมที่อยู่ในระบบดาวเคราะห์โดยรอบอีกด้วย เมื่อเรื่องทั้งหมดมารวมกัน แผน “ปฏิบัติการนกนางแอ่นดำ” ก็ถูกสร้างขึ้นจากความร่วมมือของสำนักวังเต๋าไพศาล

พวกเขาส่งบรรดาศิษย์ของสหพันธรัฐที่ไว้ใจได้จำนวนมากส่วนหนึ่งไปยังสถานที่ที่มีผู้คนหายตัวไป ศิษย์อีกส่วนหนึ่งถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากสหพันธรัฐ ขณะที่พวกเขาได้รับโอกาสจากโลกภายนอก ก็ทำหน้าที่ส่งข้อมูลเกี่ยวกับอารยธรรมรอบนอกกลับไปยังสหพันธรัฐด้วย จากนั้นจึงเข้าไปแฝงตัวเป็นสายลับอยู่ในอารยธรรมต่างโลก

ด้วยกำลังของสหพันธรัฐแต่เดิม แผนนี้คงยากจะสำเร็จ แต่ด้วยความช่วยเหลือจากสำนักวังเต๋าไพศาล ทุกๆ อย่างจึงดำเนินไปได้ด้วยดี

และเพราะหวังเป่าเล่อกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้น เขาในฐานะบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดในสหพันธรัฐในตอนนั้น ก็สร้างร่างอวตารขึ้นมาจำนวนหนึ่งก่อนจะมอบให้บรรดาสหายรักของเขาเอาไว้

แต่ชายหนุ่มไม่ได้คาดฝันว่าจะสัมผัสได้ถึงดวงจิตเทพที่ได้มอบให้ไปก่อนหน้านี้บนสนามรบระหว่างสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ สิ่งนี้ทำให้เขากังวลเป็นอย่างยิ่ง เพราะหวังเป่าเล่อรู้ดีว่ามีคนเพียงสองประเภทเท่านั้นที่จะมีดวงจิตเทพของเขาอยู่ได้!

หนึ่งก็คือ บรรดาสหายรักที่เขาได้มอบดวงจิตเทพให้ก่อนหน้านี้!

อีกหนึ่งก็คือคนที่มือเปื้อนเลือดสหายรักของเขาเหล่านั้น และได้ขโมยดวงจิตเทพไป!

หวังเป่าเล่อหน้าถอดสี ก่อนที่จะพลิกตัวแล้วพุ่งออกไปราวกับเป็นสายฟ้าฟาดผ่านจักรวาล มุ่งตรงไปยังตำแหน่งของดวงจิตเทพที่สัมผัสสวรรค์ของเขาตรวจเจอ

ชายหนุ่มไม่ได้อยู่ไกลจากตำแหน่งของดวงจิตเทพนั้นนัก และด้วยระดับปราณปัจจุบันของหวังเป่าเล่อ ทุกสิ่งจึงเกิดขึ้นในพริบตา เมื่อเงาของเขามาปรากฏอยู่ตรงหน้าของผู้ฝึกตนสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังถอยหนีอย่างต่อเนื่อง

การปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อทำให้วิญญาณของผู้ฝึกตนจากทั้งสองฝ่ายสั่นไหว เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่จะรู้สึกเช่นนั้น แต่สำหรับศิษย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำนั้น…เห็นได้ชัดว่าการที่ชายหนุ่มหยิบเรือบินรบเวทออกมานับพันลำทำให้ทุกคนรู้สึกว่าเขามีอำนาจและสถานะอันยิ่งใหญ่ แทบจะกล่าวได้ว่าทุกคนมองเห็นเขาเป็นระดับดาวพระเคราะห์ไปแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นชายหนุ่มมาถึงจึงล้วนใจสั่นไปตามๆ กัน

“ศิษย์พี่หลงหนานจื่อ!”

“คารวะศิษย์พี่!”

ศิษย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำแห่กันเข้ามาทักทายเขา แต่หวังเป่าเล่อเมินคนเหล่านี้ไปหมด ชายหนุ่มกวาดตามอง ก่อนสายตาจะไปหยุดอยู่ที่ผู้ฝึกตนสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิบกว่าคนที่ดูหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง

คนเหล่านี้รู้ดีว่าจะต้องตายอย่างแน่นอน หากหวังเป่าเล่อไม่มา พวกเขาก็ยังมีหวังที่จะหนีรอด แต่ตอนนี้ ความขมขื่นและสิ้นหวังที่เจืออยู่ในน้ำเสียงแค่นหัวเราะของพวกเขากลับชัดเจนขึ้นมา ในเวลาเดียวกัน พวกเขาก็สับสนเป็นอย่างยิ่ง เพราะอยากรู้ว่าท่ามกลางสนามรบอันกว้างใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ เหตุใดหลงหนานจื่อผู้แข็งแกร่งจึงได้เลือกพวกเขา

นั่นเพราะ…ในบรรดาพวกเขาสิบกว่าคนนั้น คนที่ระดับปราณสูงสุดอยู่เพียงขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น

ขณะที่ศิษย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำคารวะหวังเป่าเล่อและศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รู้สึกสิ้นหวัง สายตาอันเกรี้ยวกราดของหวังเป่าเล่อก็กวาดผ่านฝูงชน ก่อนจะไปหยุดอยู่ที่สตรีนางหนึ่งในหมู่ผู้ฝึกตนสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์!

สตรีนางนั้น…มีหน้าตาพอใช้และรูปร่างก็ไม่เลว แม้ว่านางจะไม่ได้สวยงามหมดจด แต่ก็ยังสะดุดตาอยู่บ้าง หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงคลื่นรบกวนจากดวงจิตเทพของเขาบนกายนางได้อย่างชัดเจน คลื่นรบกวนนี้เจือจางและยากที่คนนอกจะสัมผัสได้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ หากไม่ตั้งใจมองหาก็คงจะหาไม่พบเช่นกัน

เพราะอย่างไรเสีย การเชื่อมต่อระหว่างดวงจิตเทพและหวังเป่าเล่อก็ถูกตัดขาดไปแล้ว ในแง่หนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าตอนนี้มันเป็นสมบัติเวทไปแล้ว หากไม่ใช่เพราะชายหนุ่มสัมผัสถึงมันได้โดยบังเอิญ เขาก็อาจหามันไม่พบด้วยซ้ำ หวังเป่าเล่อจึงต้องพยายามค้นหามันอย่างต่อเนื่องเพื่อให้มั่นใจ แต่สตรีนางนี้หน้าตาไม่คุ้นเอาเสียเลย ชายหนุ่มจึงต้องค้นตัวนางให้แน่ใจเพื่อจะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่คงไม่ใช่ที่นี่

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ในขณะเดียวกันผู้ฝึกตนสตรีสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็จ้องหน้าเขาด้วยใบหน้าซีดขาว มีความโศกเศร้าและสิ้นหวังปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง นางรู้สึกได้ถึงสายตาของหวังเป่าเล่อ สายตานั้นทำให้หญิงสาวรู้สึกว่าไม่อาจจะเก็บซ่อนความลับใดๆ เอาไว้ได้

ตอนนั้นเอง…ขณะที่ผู้ฝึกตนทั้งสองฝ่ายต่างวิตกกังวลถึงขีดสุด หวังเป่าเล่อก็หัวเราะขึ้นมา ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นก่อนจะกำอย่างแรง คลื่นพลังลูกใหญ่ยักษ์ถูกปล่อยออกมาและเข้าห้อมล้อมสตรีนางนั้นไว้ไม่ให้เวลานางได้ขัดขืน เขาไม่ได้จับนางใส่ไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ แต่เก็บนางเอาไว้ในเรือบินรบเวทในกระเป๋าคลังเก็บเพื่อป้องกันไม่ให้นางได้รับอันตรายขณะที่อยู่ในกระเป๋าคลังเก็บของเขา

หลังจากนั้น หวังเป่าเล่อก็หันกลับและกำลังจะจากไป ชายหนุ่มมองเห็นความสับสนใจแววตาของผู้ฝึกตนทั้งสองฝ่าย เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต่างก็ฉงนที่หวังเป่าเล่อจู่ๆ ก็มาปรากฏตัวและจับตัวผู้ฝึกตนสตรีจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไป

หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ชายหนุ่มคิดว่าการอธิบายคงไม่ช่วยอะไร ต่อให้สุภาพสตรีคนนั้นเป็นหนึ่งในสหายรักของเขาจริงๆ หวังเป่าเล่อพูดอย่างใจเย็น

“สาวน้อยนางนี้ไม่ได้ทำอะไรผิด ข้าจะพานางกลับไปเพื่อเป็นร่างพาหนะ ส่วนพวกที่เหลือ…ฆ่าให้เรียบ!” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็หันหลังและจากมา ศิษย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเข้าโจมตีอีกครั้งด้วยสีหน้าแปลกแปร่ง เกิดการชุลมุนอย่างรุนแรงขึ้นในทันที และหลังจากนั้นไม่นาน…ศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีไว้ได้และล้มตายกันไปจนหมด

มาถึงจุดนี้ การต่อสู้ก็อาจนับได้ว่าจบแล้ว ศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พยายามหนีทุกวิถีทาง และแม้ว่าจะมีคนตายไปมากมาย ผู้ฝึกตนราวครึ่งหนึ่งก็หนีออกมาจากสนามรบได้สำเร็จ ความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำทำให้การรุกรานข้ามอารยธรรมต้องหยุดลงชั่วคราว

แต่อย่างไรก็ตามนี่ก็เป็นเพียงการเริ่มต้นของสงครามเท่านั้น ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำกลับมาหลังจากนั้นอีกไม่นาน ชายชราไม่สามารถจัดการกับผู้อาวุโสฝ่ายขวาได้ หลังจากที่ไล่ตามไปประมาณหนึ่งเขาจึงตัดสินใจยอมแพ้ และหลังจากที่กลับมาถึง ปรมาจารย์ก็จงใจหลบหน้าหวังเป่าเล่อ ในฐานะผู้ให้ความช่วยเหลือและผู้มีบุญคุณต่อสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ สถานะของหวังเป่าเล่อขณะนี้จึงพิเศษยิ่ง

โดยเฉพาะเมื่อคิดว่ากองทหารอันดับสูงรวมไปถึงพ่อบ้านต่างมองว่าหวังเป่าเล่อเป็นผู้นำของตน สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเมื่อชายชรากลับมาถึงและปลดผนึกลง เขาก็ติดต่อปรมาจารย์มหาทัณฑ์ทันที และได้เรียนรู้ถึงความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อจากอีกฝ่าย ทำเอาวิญญาณของปรมาจารย์เต๋าใหม่ครามทองคำสั่นไหว ดังนั้นแม้ว่าจะรู้สึกหงุดหงิดใจเพียงใด ชายชราก็ไม่มีทางเลือกนอกจากจะยิ้มและเอ่ยขอบคุณ

“สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อ ข้าขอขอบคุณมาก!” ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำฝืนยิ้มและพูดอย่างสุภาพ หวังเป่าเล่อเองก็ยิ้มแย้มแจ่มใสยิ่ง

“ฮะฮ่า พวกเราเป็นพันธมิตรกันนะ! ท่านปรมาจารย์จะเกรงใจมากไปแล้ว แต่…ท่านจะช่วยจ่ายเงินชดเชยให้กับความเสียหายของข้าได้หรือไม่ เรือบินรบเวทของข้าทั้งสองร้อยลำ…ข้าต้องจำกัดจำเขี่ยอย่างมากกว่าจะได้มาแต่ละลำ…”

ตอนนั้นเองปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำก็ยิ่งหงุดหงิดกว่าเดิม ขณะที่ชายชราคุกรุ่นอยู่ในใจ ใบหน้าของเขาก็กระตุกไปด้วย ในใจของเขากำลังคำรามและก่นด่าไอ้บัดซบหวังเป่าเล่อที่จ้องจะทำกำไรจากสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้…

ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่คนเดียวที่ตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า ความจริงแล้ว…เมื่อหวังเป่าเล่อหยิบเรือบินรบสองร้อยลำออกมาและระเบิดทิ้งนั้น กองทหารอันดับหนึ่งของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และบรรดาศิษย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำต่างนิ่งงันกันไปหมด โดยเฉพาะฝ่ายหลังถึงกับน้ำตาคลอเบ้าด้วยซ้ำ

หากเป็นพวกเขาที่เป็นฝ่ายมาให้ความช่วยเหลือ ก็คงต้องให้ความสำคัญกับการเอาชีวิตตนเองรอดเป็นอันดับแรก พวกเขาคงไม่เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยเหลือคนอื่นเป็นแน่ และพวกเขาก็คงไม่ระเบิดเรือบินรบล้ำค่าทิ้งเล่นๆ ด้วย

แต่หวังเป่าเล่อทำทั้งสองอย่าง การกระทำของชายหนุ่มทำเอาบรรดาศิษย์ประทับใจเป็นอย่างมาก บางคนไม่ได้สนใจแรงระเบิดอันอ่อนแอของเรือบินรบเวทมาตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ จากนั้น…เมื่อหวังเป่าเล่อโบกมือดึงเรือบินรบเวทออกมาอีกสี่สิบลำ ก็ทำเอาคลื่นความรู้สึกอันเอ่อท้นไหลท่วมใจของศิษย์ทุกคน ในวินาทีนั้น ทุกอย่างช่างดูเกินจริงไปหมด

เพราะอย่างไรเสีย…ต่อให้สามสำนักใหญ่รวมพลังกัน พวกเขาก็คงหาเรือบินรบเวทมาได้แค่สี่สิบลำเท่านั้น หวังเป่าเล่อดึงเรือบินรบเวทออกมาสี่สิบลำในคราวเดียวแถมยังระเบิดทิ้งไปอย่างไม่ไยดี แม้ว่าพลังทำลายจะไม่รุนแรงเท่าที่คาดหวังไว้ แต่ก็ถือว่ารุนแรงพอประมาณ…แต่ถึงอย่างไร ทุกคนก็แทบไม่เชื่อสายตา พวกเขาต่างพากันคิดว่าตนเองประสาทหลอนไป

และขณะที่ทุกคนกำลังสงสัยอยู่นั่นเอง หวังเป่าเล่อก็…ดึงเรือบินรบเวทออกมาอีกสองร้อยลำ ขณะนั้น ความเกินจริงของสถานการณ์ทำเอาทุกคนสับสนจนออกมาทางสีหน้า กระทั่งผู้ที่รู้สึกตัวเร็ว ซึ่งรู้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลและเจ้าหวังเป่าเล่อน่าจะกำลังวางแผนอะไรสักอย่างอยู่ก็ยังงงงวย เพราะ…แม้ว่าพลังทำลายตนเองของเรือบินรบเวทจะเบากว่าที่คาดไว้ แต่มันก็ไม่ได้ลดความน่าเหลือเชื่อของการที่ชายหนุ่มดึงเรือบินรบเวทออกมาสองร้อยลำในทีเดียวไปได้ นี่นับเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ผู้ที่ตกตะลึงที่สุด มากไปกว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังหนีตายลนลาน ก็คือปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ ดวงตาของชายชราแทบจะถลนออกมาจากเบ้า ความคิดปั่นป่วนเสียงดังสนั่น แถมยังมีสีหน้าลนลานเสียจนต้องกระโจนออกมาพร้อมตะโกนว่า

“หลงหนานจื่อ พอแล้ว…”

ชายชราพูดช้าเกินไป เพราะในวินาทีเดียวกันนั้น เรือบินรบเวทสองร้อยลำที่หวังเป่าเล่อหยิบออกมาก็พุ่งเข้าไปหาผู้อาวุโสฝ่ายขวาของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะระเบิดขึ้นพร้อมกัน แรงระเบิดนั้นรุนแรงเท่ากับการโจมตีจากเรือบินรบเวทยี่สิบลำพร้อมๆ กัน แม้ว่าผู้อาวุโสจะอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ก็ไม่สำคัญ การโจมตีนั้นส่งเขาลอยละล่องออกไป เลือดสาดกระเซ็นออกมาจากปาก ความคับแค้นและเดือดดาลแผดเผาอยู่ในแววตาขณะที่ชายชราพยายามโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อลดแรงกระแทกจากการระเบิด พลางส่งเสียงคำรามลั่นพร้อมถอยหนีไปด้วย

ปรมาจารย์สำนักเข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็วขณะที่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาล่าถอย เขาเองก็โกรธเกรี้ยวอยู่ในใจเหมือนกัน ความคิดเรื่องสัญญาที่ให้ไว้กับหวังเป่าเล่อและการที่ชายหนุ่มดึงเรือบินรบเวทจำนวนมหาศาลออกมาหลังจากนั้นทำให้โทสะในใจชายชราพลุ่งพล่าน แต่กระนั้นเขาก็ยังเป็นปรมาจารย์ของสำนัก ขณะนี้เมื่อมีโอกาส เขาจึงเก็บงำความโกรธเคืองเอาไว้ในใจ ก่อนจะปล่อยพลังเทพออกมาและส่งการโจมตีไปใส่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทันที

การที่ชายชราตัดสินใจปล่อยศัตรูไปนั้นเป็นเพราะเขาไม่อยากให้การต่อสู้นี้ยืดเยื้อออกไป และเพราะเขาไม่มั่นใจในความสามารถของตนเองว่าจะสังหารหรือทำให้ศัตรูบาดเจ็บสาหัสได้ ดังนั้นแทนที่จะลากการต่อสู้ออกไป ปรมาจารย์สำนักจึงต้องการจบมันเสียเดี๋ยวนี้ ทว่าตอนนี้…สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว

มีเสียงดังก้องจักรวาล สายฟ้าฟาดอยู่เปรี้ยงปร้าง และสายลมหวีดเสียงดังลั่นขณะที่ชายชราโจมตี ผู้อาวุโสฝ่ายขวาที่จนตรอกกระอักเอาเลือดออกมาอีกคำรบหลังจากที่รับการโจมตีเข้าไป เขานึกโกรธเกรี้ยวอยู่ภายใน ชายชราไม่เคยบาดเจ็บถึงเพียงนี้แม้ว่าจะปะทะกับปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำอยู่ก่อนหน้านั้น การปรากฏตัวขึ้นของหวังเป่าเล่อนั่นเองที่ทำให้เขาต้องมาบาดเจ็บอยู่เช่นนี้

“ข้าขอสาบานว่าจะฆ่าเจ้าให้ได้!” ผู้อาวุโสฝ่ายขวาคำรามลั่นชนิดที่แทบจะคุมโทสะเอาไว้ไม่อยู่ เขายังคงถอยหนีอย่างสิ้นหวังเพราะเจ็บปวดจากอาการบาดเจ็บ โทสะแรงกล้าฉายชัดอยู่บนแววตา ชายชราไม่ได้เกลียดชังอะไรปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเป็นการส่วนตัว ความเกลียดแค้นของเขาในตอนนี้มุ่งไปยังหวังเป่าเล่อเท่านั้น

“เจ้าน่ะหรือจะฆ่าข้า มาลองดูหน่อยเป็นไร!” หวังเป่าเล่ออารมณ์เสียขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มจ้องอีกฝ่ายเขม็งก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบก สนามรบทั้งหมดเงียบงันไปทันที

เรือบินรบเวทกว่าเจ็ดร้อยลำปรากฏขึ้นทันที เรือบินรบเหล่านั้นบดบังจักรวาลเอาไว้จนทั่ว ภาพอันน่าประทับใจทำให้ผู้คนทั้งสนามรบส่งเสียงฮือฮาดังสนั่น

ศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังถอยหนีอยู่นั้นชะงักงันกันไปสิ้น ผู้ฝึกตนจากกองทหารอันดับหนึ่งของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ตื่นตะลึงเช่นกัน ทุกคน รวมทั้งพ่อบ้านและเทพธิดาหลิงโยวล้วนมีสีหน้าว่างเปล่า ศิษย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำก็นิ่งสนิทอยู่กับที่ นัยน์ตาเบิกโพลง…

ทุกคนต่างก็ยืนนิ่งอึ้งมองดูภาพของเรือบินรบเวทกว่าเจ็ดร้อยลำนั้น!

“เรือ…เรือบินรบ…เหล่านี้ หากรวมเข้ากับกองเรือเมื่อครู่… ก็ร่วมๆ หนึ่งพันลำแล้วไม่ใช่หรือ”

“นี่ต้องเป็นภาพลวงตาที่ศัตรูสร้างขึ้นเป็นแน่…”

“นี่มันเรือบินรบเวทแน่หรือ”

ความเงียบงันเข้าปกคลุมสนามรบอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะถูกกลบด้วยความโกลาหลขนานใหญ่ที่เกิดขึ้นอย่างปุบปับ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เริ่มขนหัวลุกซู่ และไม่อาจหยุดเสียงหึ่งๆ ดังอยู่ในศีรษะได้ ราวกับว่าถูกสายฟ้านับแสนเส้นผ่าลงมาพร้อมๆ กัน ชายชราไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าจะต้องมาพบสถานการณ์เลวร้ายเช่นนี้…

มีความคิดเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่ในใจ นั่นก็คือการวิ่งหนี!

เขารู้ดีว่าแม้เรือบินรบเวทแต่ละลำจะไม่ได้ทรงพลังนัก แต่ในสภาพบาดเจ็บเช่นนี้ พลังทำลายร่วมของเรือบินรบเวทกว่าเจ็ดร้อยลำอาจจะทำให้ทั้งกายและวิญญาณของผู้อาวุโสถูกทำลายได้หากไม่ระวังตัว ไหนจะยังมีปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำให้รับมืออีก สัญญาณอันตรายส่งเสียงดังสนั่นขึ้นในใจของผู้อาวุโสเป็นครั้งแรกตั้งแต่เริ่มต่อสู้มา ชายชราปลดปล่อยพลังปราณออกมาทั้งหมดแล้วหันหลังหนีโดยทิ้งศิษย์ร่วมสำนักเอาไว้เบื้องหลัง

“คิดจะหนีอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อคิดอย่างย่ามใจ ก่อนจะตะโกนออกมาเสียงลั่น ชายหนุ่มคงจะวิ่งไล่ตามไปหากไม่ใช่เพราะใครบางคนที่ตอนนั้นตื่นกลัวเสียยิ่งกว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ใครคนนั้นรู้สึกราวกับว่าถูกผ่าด้วยสายฟ้าจำนวนนับล้านเส้น คนผู้นั้นก็คือ…ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ หากไม่ใช่เพราะมีจิตใจอันมั่นคง ชายชราคงทรุดตัวลงร้องไห้ไปแล้ว

ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำคำรามออกมาก่อนที่หวังเป่าเล่อจะได้จู่โจม

“หลงหนานจื่อ ได้โปรดหยุดไล่ตามทีเถิด ผู้บัญชาการกองทหารทุกหน่วย ปกป้อง…ปกป้องหลงหนานจื่อเอาไว้!” ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำตะโกนคำสั่งออกมาดังลั่น จากนั้นจึงเร่งความเร็วเต็มฝีเท้าตามผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไปราวกับเป็นคนบ้า เขากลัวว่าหากช้าไปเพียงก้าวเดียว หวังเป่าเล่ออาจระเบิดเรือบินรบเวทเพิ่ม…หากเป็นเช่นนั้น ชายชราก็คงไม่สามารถชดเชยค่าใช้จ่ายให้ชายหนุ่มได้ต่อให้ต้องขายสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำทั้งสำนักก็ตาม

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ส่งกำลังเสริมอะไรมากันแน่ เจ้าบ้านี่พยายามจะทำลายข้าหรืออย่างไร ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำสบถอยู่ในใจ ขณะที่เร่งความเร็วขึ้นไปอีกเพื่อไล่ตามผู้อาวุโสฝ่ายขวาไป ชายชราทำกระทั่งวิ่งตัดหน้าหวังเป่าเล่อเพื่อไม่ให้ชายหนุ่มมีโอกาสไล่ตามผู้อาวุโสฝ่ายขวาไปด้วยตนเอง

ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเริ่มฟื้นตัวกันแล้วในตอนนั้น จากความตื่นตะลึงในตอนแรก พวกเขาก็เข้าไปล้อมหวังเป่าเล่อเอาไว้เพื่อพยายามปกป้อง อันที่จริงแล้ว พวกเขาต่างก็ตัวสั่นด้วยความกลัวและตื่นตระหนก การต่อสู้ครั้งนี้ดุเดือดเกินไป เคลื่อนไหวพลาดเพียงครั้งเดียวก็อาจทำให้สำนักถูกทำลายหรือล้มละลายได้

“สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อได้โปรดออมมือด้วย ข้าขอขอบคุณที่ท่านให้ความช่วยเหลือ!”

“สหายร่วมสำนักเต๋าผู้ทรงเกียรติแข็งแกร่งยิ่งแล้ว ผู้อาวุโสฝ่ายขวาตอนนี้ทำได้เพียงวิ่งหนีหางจุกก้น เราไม่ควรจะลดตัวลงไปไล่ตาม”

“ใช่แล้วขอรับ สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อ บุญคุณต่อสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก พวกเราติดหนี้ท่านแล้ว!”

หวังเป่าเล่อแอบหดหู่และเศร้าใจอยู่ไม่น้อยเมื่อได้ยินผู้คนรอบกายพูดเช่นนั้น ชายหนุ่มจ้องมองออกไปไกล ขณะที่ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำและผู้อาวุโสฝ่ายขวาของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หายไปจากคลองจักษุ ก่อนจะทอดถอนใจ จากนั้นหลังจากที่ฝูงชนเกลี้ยกล่อมอยู่นาน ชายหนุ่มก็เก็บเรือบินรบเวทกลับไป

“ช่างเล็กน้อยนัก กับแค่เรือบินรบเวทไม่กี่ลำ พวกเจ้าจะโวยวายไปทำไมกัน ข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือ อีกอย่างหนึ่ง ข้าช่วยพวกเจ้าเอาชนะสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ มีความชอบใหญ่หลวงนัก” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง บรรดาผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะรอบกายพากันจ้องมองขณะที่ชายหนุ่มเก็บเรือบินรบเวทเข้ากระเป๋า ในระหว่างที่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์วิ่งหนีไปไกล เมื่อนั้นเองที่พวกเขาพากันถอนใจด้วยความโล่งอก บ้างก็ยกมือประสานคารวะแล้วเดินจากไป แต่สงครามก็ยังคงดำเนินต่อ แม้ว่าศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จำนวนมากจะล่าถอยไปแล้วก็ตาม คนเหล่านี้ไม่มีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์นำทัพแล้วจึงสูญเสียจิตใจที่จะต่อสู้ เป็นโอกาสอันดีให้สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำในการโจมตีกลับ

สนามรบกลายมาเป็นโรงเชือด กองกำลังสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ล่าถอยเป็นการใหญ่ขณะถูกโจมตีและสังหารล้มตายเป็นใบไม้ร่วง

หวังเป่าเล่อทอดถอนใจก่อนจะเลิกสนใจผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่หนีไป นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายก่อนจะหรี่ลงขณะที่จ้องมองศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์บนสนามรบ ประกายแห่งการเข่นฆ่าฉายวาบขึ้นในแววตาขณะที่ชายหนุ่มคิดจะใช้โอกาสนี้พัฒนาวิชาดวงเนตรปีศาจ แต่จู่ๆ ก็มีประกายตาหนึ่งปรากฏขึ้นบนดวงตาเขา หวังเป่าเล่อหันศีรษะไปยังปลายด้านหนึ่งของสนามรบอย่างปุบปับ

ตำแหน่งนั้นมีศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งชายและหญิงอยู่หลายสิบคน ทุกคนบาดเจ็บและกำลังล่าถอยอย่างสิ้นหวัง รอบกายพวกเขาคือศิษย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำที่กำลังไล่ตามไปอย่างกระชั้นชิด

ในบรรดาศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมี…ร่องรอยพลังวิญญาณที่แม้จะเจือจางแต่ก็คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง!

พลังนั้น…อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณเท่านั้น แต่กลับมีต้นกำเนิดคล้ายคลึงกับหวังเป่าเล่อยิ่งนัก มันคือ…ดวงจิตเทพร่างอวตารของชายหนุ่ม ซึ่งได้มอบให้เหล่าสหายเอาไว้ก่อนที่ตัวเขาจะจากโลกมนุษย์มา และเมื่อพวกเขาจะจากไปเพื่อเริ่มปฏิบัติการนกนางแอ่นดำนั่นเอง!

……………………….

หวังเป่าเล่อเป็นคนเช่นนี้เอง เขาจดบันทึกชื่อทุกคนที่เคยทำร้ายเขาไว้และหาทางล้างแค้นเมื่อใดก็ตามที่โอกาสจะอำนวย

แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้จ้องจะหาโอกาสล้างแค้นอยู่ตลอดเวลาแต่อย่างใด ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำเคยพยายามจะฆ่าเขาก็จริง แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายอีกฝ่ายหรือทิ้งคนผู้นั้นไว้บนสนามรบโดยที่ไม่ช่วยเหลือแม้แต่น้อย

ความคิดของหวังเป่าเล่อตอนนี้พุ่งเป้าไปยังปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ ในความเห็นของชายหนุ่ม ตัวเขาเองบัดนี้บรรลุขั้นปราณมาถึงระดับหนึ่ง นับว่าเป็นบุคคลสำคัญ การยึดติดอยู่กับความขัดแย้งในอดีตระหว่างตัวเขาและผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำนั้นไม่เป็นผลดีกับผู้ที่เพิ่งจะได้มีหน้ามีตานัก

คงจะไม่เป็นไรหากไม่มีใครเห็น แต่นี่มีคนเฝ้ามองอยู่มากมายเหลือเกิน ช่างมันเถิด อย่างไรเสียท่านบิดาผู้นี้ก็เป็นผู้ที่มีจิตใจเมตตา หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอและเมินใบหน้าเปี่ยมอารมณ์ของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำไปเสียสิ้น ชายหนุ่มเชื่อว่า ทุกคนควรจะได้รับโอกาสแก้แค้นคนที่กระทำผิดต่อตน แต่หากถูกสุนัขกัดก็ย่อมต้องไปทวงถามความรับผิดชอบจากเจ้าของสุนัขนั้น

นี่เป็นเหตุให้ชายหนุ่มคิดตก ผู้ที่ต้องรับผิดชอบเรื่องความขัดแย้งของเขากับสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำก็คือตัวปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเอง

ดูเหมือนว่าข้าจะปราดเปรื่องขึ้นมาก ในฐานะผู้นำของสหพันธรัฐในอนาคตและบุคคลสำคัญ นี่เป็นวิธีที่ข้าควรจะคิดและกระทำตน หวังเป่าเล่อพึงใจกับการใช้เหตุผลของตนเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปรอบๆ จากนั้นจึงหันไปจ้องที่ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำและผู้อาวุโสฝ่ายขวาของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พลางคิดไปว่าทำอย่างไรจึงจะสังหารปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำได้ แต่ประกายตามุ่งร้ายในสายตาของหวังเป่าเล่อคงจะชัดเจนเกินไป ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำจึงเริ่มวิตกเมื่อมองเห็นแววตาของชายหนุ่ม

ผู้อาวุโสฝ่ายขวาของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ดูลำบากใจไม่แพ้กัน หรืออาจจะมากกว่าเสียด้วยซ้ำ ชายชราบอกตนเองว่าความยากลำบากที่พวกเขาเผชิญอยู่ในขณะนี้นั้นมาจากกลยุทธ์ของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำมากกว่าความล้มเหลวในการบุกสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ของพวกเขา แต่เขาก็รู้ดีว่าความจริงไม่ใช่แบบนั้นเลย เพราะกำลังเสริมทุกคนต่างก็แสดงอาการว่าเพิ่งจะได้ต่อสู้อย่างหนักมาเมื่อไม่นานนี้

แม้การมาถึงของกำลังเสริมจะไม่ใช่สัญญาณว่าประมุขสำนักพ่ายแพ้ แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าศัตรูสามารถแบ่งกำลังมาช่วยก็เห็นได้ชัดว่าสงครามไม่ได้ดำเนินไปตามที่พวกเขาหวังไว้ เป็นไปได้มากว่าการต่อสู้เกิดยืดเยื้อหรือไม่ก็มีสิ่งที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น

ความเป็นไปได้ที่จะเกิดหนึ่งในสองอย่างดังกล่าวขึ้นทำให้ผู้อาวุโสตื่นตัว ความคิดที่จะล่าถอยเริ่มผุดขึ้นมาในใจ ความรู้สึกอยากประวิงเวลาการต่อสู้ค่อยๆ เลือนหายไป เขาปลดปล่อยพลังปราณออกมาอีกครั้ง ส่งแรงกดดันระดับดาวพระเคราะห์ไหลบ่าท่วมสนามรบเพื่อจะรักษาระยะห่างจากคู่ต่อสู้เอาไว้ หากทุกอย่างเป็นไปตามแผน ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำคงต้องยอมให้เขาถอยเมื่อสัมผัสได้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เพราะอย่างไรเสีย ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำก็ไม่ได้รู้ถึงสิ่งรอบข้างแต่อย่างใด พวกเขาต่อสู้กันมาเป็นเวลานาน และปรมาจารย์สำนักก็ไม่อยากให้การต่อสู้ยืดเยื้อออกไป ทั้งตัวเขาเองและสำนักต่างต้องการเวลาพักฟื้น เพราะเหตุนั้น เมื่อสัมผัสได้ว่าศัตรูกำลังจะหนี เขาเองก็ถอยหนีเช่นกัน ก่อนจะเปิดช่องให้ศัตรูหนีได้ระหว่างการโจมตีระลอกต่อไปของตนเอง

ผู้อาวุโสฝ่ายขวาของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สัมผัสได้ถึงโอกาสนี้ เขาจึงรีบถอยทันที และสร้างระยะห่างระหว่างตนเองกับปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำไปไกล

หวังเป่าเล่อมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อผู้อาวุโสฝ่ายขวาตัดสินใจจะถอยหนี นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายกล้าก่อนที่ความคิดหนึ่งจะผุดขึ้นในศีรษะ เขารู้แล้วว่าจะคิดบัญชีปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำได้อย่างไร

ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลย เจ้าก็จะหนีเสียแล้วหรือ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อลุกโชนขณะที่ความคิดนั้นแล่นเข้ามาในใจ ชายหนุ่มพุ่งตัวออกไป เร่งความเร็วข้ามสนามรบราวกับเป็นดาวหาง เขามุ่งหน้าไปหาปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำและผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พลางตะโกนลั่นไปตามทาง

“ท่านปรมาจารย์ผู้ทรงเกียรติแห่งสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ ข้าได้รับคำสั่งให้มาช่วยเหลือท่าน ข้าสาบานว่าจะสู้จนตัวตาย!” หวังเป่าเล่อคำรามแล้วเร่งความเร็วขึ้นอีก เขายังไม่ได้ปล่อยพลังปราณออกมาเต็มที่ แต่ถึงกระนั้น ชายหนุ่มก็ยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงขณะที่พุ่งเข้าไปหาผู้อาวุโสฝ่ายขวาด้วยหวังจะขัดขวางการหลบหนี!

เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม นัยน์ตาของผู้อาวุโสฝ่ายขวาก็ส่องประกายแรงกล้า เขาไม่ได้กังวลเรื่องการมาของหวังเป่าเล่อเท่าใดนัก ในสายตาเขา ผู้ที่ยังไม่บรรลุระดับดาวพระเคราะห์ก็เป็นเพียงมดปลวก เขายกมือขวาแล้วซัดการโจมตีข้ามจักรวาลเข้าใส่หวังเป่าเล่อโดยไม่ได้ลดความเร็วจากการหนีลงเลย แต่กลับเร่งฝีเท้าขึ้นไปอีก ในเวลาเดียวกันนั้น ชายชราก็ส่งดวงจิตเทพออกไปสั่งให้ศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทุกคนถอยเช่นกัน

ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเองก็ไม่ได้สนใจหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย เขาคิดอยู่กับตนเองว่าหวังเป่าเล่อไม่ควรจะเข้ามาสอดการต่อสู้นี้ แต่กระนั้น ชายหนุ่มก็มาที่นี่ในฐานะความช่วยเหลือจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ไม่ว่าชายชราจะโกรธแค้นปรมาจารย์อีกสำนักเพียงใดที่ไม่ยอมมาช่วยด้วยตนเอง เขาก็ไม่อาจปฏิเสธหรือด่าทอการช่วยเหลือของหวังเป่าเล่อต่อหน้าบรรดาศิษย์ได้ ปรมาจารย์สำนักต้องแสดงท่าทีร่วมมือ เขายกมือขวาขึ้นก่อนสะบัดชายเสื้อ พลางมองไปมาราวกับว่ากำลังพยายามจะหยุดการถอยหนีของผู้อาวุโสฝ่ายขวา ในความเป็นจริงแล้ว เขาออมแรงเอาไว้ ความตั้งใจที่แท้จริงของเขาคือการเปิดช่องให้อีกฝ่ายหนีได้สำเร็จ

ผลก็คือ บรรดาศิษย์จึงมองเห็นว่าปรมาจารย์สำนักกำลังจะโจมตี และหวังเป่าเล่อก็กำลังเสี่ยงชีวิตเพื่อหยุดการหลบหนีของผู้อาวุโสฝ่ายขวา พวกเขาจ้องมองเมื่อการโจมตีของผู้อาวุโสพุ่งผ่านจักรวาลไปกระแทกหวังเป่าเล่อ ส่งให้ชายหนุ่มตัวสั่นสะท้านอย่างรุนแรงพร้อมกระอักเอาเลือดออกมากองใหญ่ก่อนจะกระเด็นถอยหลังไป เป็นภาพที่ทำให้ศิษย์จำนวนมากรู้สึกโมโห

“เขาเสี่ยงชีวิตช่วยเหลือเรา!”

“ข้าเข้าใจหลงหนานจื่อผิดไป…ข้าไม่รู้เลยว่าเขากำลังเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อช่วยเรา!” ศิษย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำต่างก็เต็มตื้นไปด้วยอารมณ์

อีกด้านหนึ่ง หวังเป่าเล่อ…ก็รู้สึกภูมิใจอยู่เงียบๆ ขณะที่บ้วนเลือดออกมาจากปาก การโจมตีระดับดาวพระเคราะห์ที่เขารับไปนั้นไม่ได้รุนแรงอะไรเลย ชายหนุ่มรับได้สบายใจมาก ส่วนเลือดนั้นเขาก็ตั้งใจบ้วนออกมาเพื่อให้ดูสมจริงยิ่งขึ้น หวังเป่าเล่อแสร้งทำสีหน้าบ้าคลั่ง ส่งเสียงคำรามที่ดังกว่าเก่าออกมาขณะล่าถอย

“ท่านปรมาจารย์ผู้ทรงเกียรติแห่งสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ ข้ามีเรือบินรบเวทอยู่จำนวนหนึ่ง เป็นผลิตผลของทรัพยากรที่ข้าสั่งสมมานานปี ข้าจะระเบิดพวกมันให้หมดเพื่อช่วยเหลือพวกท่าน แต่เรือบินรบเวทก็เป็นสินค้าราคาแพงยิ่ง ข้าขอให้ท่านปรมาจารย์โปรดชดใช้เงินให้ข้าหลังจากการต่อสู้นี้ด้วย!” หวังเป่าเล่อพูดจบก็ไม่ได้รอให้อีกฝ่ายตอบคำ เขาหันหลังไปคำรามแล้วยกมือขวาขึ้น ก่อนจะดึงเรือบินรบเวทสองลำที่ได้มาจากสุสานหลวงแล้ว

เขวี้ยงไปใส่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาทันที

“จงระเบิด!”

เรือบินรบเวททั้งสองลำระเบิดทันที ส่งคลื่นพลังวิญญาณไหลบ่าออกไป ภาพของการระเบิดส่งความตื่นตะลึงเข้าไปในใจของศิษย์ที่รายล้อมอยู่ทุกคน

“สวรรค์ เขาระเบิดเรือบินรบเวทของตัวเอง!”

“หลงหนานจื่อ…ไม่เพียงแต่เอาชีวิตเข้าแลกเท่านั้น แต่ยังเอาทุกอย่างที่มีมาเสี่ยงอีกด้วย!”

ในสายตาของพวกเขา หวังเป่าเล่อขณะนี้กำลังใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อจะช่วยเหลือ ทว่า…แม้ว่าเรือบินรบเวทสองลำจะดูล้ำค่าสำหรับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์แม้แต่น้อย เป็นเหตุให้ทั้งผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำต่างก็ไม่ค่อยจะใส่ใจนัก ข้างผู้อาวุโสนั้นโบกมือเพียงครั้งเดียวก็หยุดแรงระเบิดเอาไว้ได้สิ้น เขาบอกได้เลยว่าแรงระเบิดตัวเองของเรือบินรบเวทสองลำนั้นค่อนข้างจะอ่อนแอ เขาไม่ได้หยุดล่าถอยแต่อย่างใด ฝ่ายปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ เมื่อเห็นว่าบรรดาศิษย์ปลาบปลื้มกับการเสียสละของหวังเป่าเล่อเพียงใด เขาก็ไม่อาจปฏิเสธข้อเรียกร้องของอีกฝ่ายได้ ชายชรายังสัมผัสได้ว่าแรงระเบิดของเรือบินรบเวทนั้นอ่อนแอ แต่กระนั้น ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำก็ตอบอย่างรวดเร็วด้วยถ้อยคำรวบรัด

“แน่นอน!”

แววตาซาบซึ้งสะท้อนอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อเมื่อได้ยินว่าปรมาจารย์สำนักยอมตกลง ขณะที่ผู้อาวุโสฝ่ายขวาของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยังเมินแรงระเบิดจากเรือบินรบเวทและถอยหนีต่อไปนั้น หวังเป่าเล่อก็คำรามและโบกมือ ครั้งนี้ชายหนุ่มหยิบเรือบินรบเวทออกมาสี่สิบลำแล้วเขวี้ยงเข้าไปหาผู้อาวุโสฝ่ายขวาพร้อมๆ กัน

ผู้อาวุโสถึงกับตะลึง ศีรษะมึนชาเพราะความตกใจ เขาอาจไม่ใส่ใจเรือบินรบเวทระเบิดตัวเองสองลำได้ แต่สี่สิบลำ…เรือบินรบเวทเหล่านั้นทุกลำต่างก็มีพลังมหาศาลไหลบ่าออกมา คลื่นความตกใจไหลไปทั่วกายชายชรา แม้ว่าจะอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์…แต่ต่อหน้าเรือบินรบเวทระเบิดตัวเองสี่สิบลำ ในขณะที่เหนื่อยล้าถึงเพียงนี้ และในขณะที่จิตใจคิดถึงแต่เรื่องการหนีเท่านั้น ความมุ่งมั่นของผู้อาวุโสจึงเริ่มถดถอยลง

คนที่ตกใจเสียยิ่งกว่าก็คือปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ ตาของเขาเบิกโพลงขึ้นมาในทันที ความตกตะลึงและสับสนทะลักล้นท่วมใจ ชายชรานึกถึงคำสัญญาเรื่องการชดใช้เงินแล้วก็ตัวสั่นด้วยความกลัว

ความตื่นตกใจนั้นล้นปรี่อยู่ในใจของผู้อาวุโสฝ่ายขวา ปรมาจารย์สำนัก และผู้ฝึกตนรอบๆ กาย หวังเป่าเล่อคำราม

“จงระเบิดเดี๋ยวนี้!”

ทันใดนั้นเอง…เรือบินรบเวทสี่สิบลำที่ชายหนุ่มเก็บมาจากสุสานหลวงก็ระเบิดขึ้น คลื่นพลังงานทะลักล้นออกมาท่วมจักรวาล แล้วแปรสภาพเป็นพายุหมุนจำนวนมากที่พุ่งเข้าทำลายบริเวณโดยรอบ!

แม้ว่าการทำลายตัวเองของเรือบินรบเวทแต่ละลำจะปล่อยพลังงานออกมาได้เพียงหนึ่งในสิบของพลังจริงเท่านั้น แต่เมื่อรวมพลังกัน การทำลายตัวเองของเรือบินรบเวทสี่สิบลำก็ไม่อาจดูเบาได้ พายุหมุนที่เกิดจากแรงระเบิดนั้นทำเอาผู้อาวุโสฝ่ายขวาหน้าซีดเผือด เขาปลดปล่อยพลังปราณออกมาเต็มที่เพื่อป้องกันตนเองไม่ให้บาดเจ็บเพิ่ม ขณะที่พยายามสกัดกั้นพลังทำลายล้างของพายุหมุนไปพร้อมๆ กัน

จักรวาลส่งเสียงครืนสนั่นขณะที่ผู้อาวุโสพยายามจะควบคุมพายุ ผู้อาวุโสฝ่ายขวารู้สึกได้อีกครั้งว่าเรือบินรบเวทเหล่านี้ไม่ได้แข็งแกร่งเท่าที่เขาคาดการณ์ไว้ เมื่อคิดได้เช่นนั้น ชายชราจึงทอดถอนใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะมีแววตามุ่งร้ายปรากฏขึ้นในดวงตาที่กวาดไปมองหวังเป่าเล่อ สำหรับเขาแล้ว หวังเป่าเล่อเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ แต่ก็ดันไปได้เรือบินรบเวทไม่ได้มาตรฐานเหล่านั้นมาแล้วเอามาใช้ทำให้เขาปั่นป่วนได้ ผู้ที่กระทำเช่นนี้สมควรต้องตายแล้ว!

ตอนนั้นเอง…ชายชราก็ส่งจิตสังหารไปทางหวังเป่าเล่อก่อนจะพุ่งเข้าไปโจมตี หวังเป่าเล่อส่งสายตามุ่งร้ายหมายขวัญกลับไปให้ผู้อาวุโสก่อนจะยกมือขวาขึ้น…

ท่ามกลางเสียงดังสนั่นลั่นจักรวาล เรือบินรบเวทสองร้อยลำปรากฏขึ้นรอบกายชายหนุ่ม!

“บัดซบ…” ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เบิกตาโพลงก่อนจะรีบถอยทันที

……………………

แต่หลังจากไตร่ตรองและมองร่างกายที่เปราะบางของตนเอง หวังเป่าเล่อก็ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยอมรับว่าเขารีบร้อนเกินไป การพัฒนาระดับปราณไปอย่างก้าวกระโดดทำให้ชายหนุ่มหลงคิดไปว่าตนเองนั้นไร้เทียมทาน

คำสาปในแหวนไม่ใช่อุปสรรคอะไร จะฝ่าเข้าไปก็ได้ถ้าส่งแรงกดดันเพิ่มขึ้นอีกหน่อย แต่กระดาษรูปมนุษย์ในแหวนนั่น…น่ากลัวใช่เล่น หวังเป่าเล่อนึกถึงสิ่งที่เขาเห็นก่อนหน้านี้แล้วก็ขนลุกขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ ชายหนุ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ตระกูลไม่รู้สิ้นจึงไม่ได้ปลดผนึกแหวนนี้แม้ว่าจะตกอยู่ในอันตรายถึงตาย

เขาอาจกังวลว่า หากปลดผนึกแหวนแล้ว…เขาก็คงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกใครฆ่าอีกต่อไป กระดาษรูปมนุษย์นั้นคงจะจัดการเขาเสียเองเป็นแน่

หากเป็นเช่นนั้น แล้วผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ตระกูลไม่รู้สิ้นไปจับกระดาษรูปมนุษย์เอามาขังไว้ในแหวนได้อย่างไรกันเล่า ปริศนานี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกสับสนแต่ก็ยืนยันการคาดเดาก่อนหน้านี้ของเขาไปในคราวเดียวกันว่าวัตถุเวทที่เหลือภายในแหวนคลังเก็บวงนี้นั้น…ต้องเป็นของล้ำค่าแน่นอน!

เป็นไปได้สูงมากว่าจะต้องมีคัมภีร์เวททรงพลังเก็บอยู่ในขวดนั้น! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อทอประกายด้วยความตื่นเต้น ชายหนุ่มสับสนอยู่เล็กน้อยที่จู่ๆ คำว่า ‘คนร่ำรวย’ มาปรากฏอยู่บนคัมภีร์เช่นนั้น ถึงกระนั้นเขาก็เชื่อว่ามันต้องมีความหมายที่ลึกล้ำกว่านั้นซ่อนอยู่แน่นอน

ปาฏิหาริย์มักปรากฏขึ้นจากเหตุการณ์ธรรมดาๆ…หวังเป่าเล่อเข้าใจขึ้นมาแจ่มแจ้ง ประโยคหนึ่งจากอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงผุดขึ้นในใจ ในอดีตชายหนุ่มไม่เข้าใจความหมายของประโยคนั้น ตอนนี้เขารู้แล้วว่าตนได้ฉลาดขึ้นอีกขั้นหนึ่งแล้ว

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ เก็บแหวนคลังเก็บไปอย่างระมัดระวัง ชายหนุ่มยังคงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจจึงใช้เวลาพักหนึ่งร่ายคาถาจำนวนไม่น้อยผนึกแหวนคลังเก็บเอาไว้ หัวใจเขาค่อยผ่อนคลายลงได้หลังจากนั้น

รอให้ท่านบิดาผู้นี้บรรลุระดับดาวพระเคราะห์เสียก่อนเถอะ แม้จะยังไม่อาจรับมือกระดาษรูปมนุษย์ได้ แต่ข้าก็จะหาทางหลบเลี่ยงมันเข้าไปหยิบของมาจากในแหวนให้จงได้ หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะ จากนั้นชายหนุ่มจึงหลับตาลงและนั่งนิ่ง ปล่อยให้ทั้งพลังปราณ จิตใจ และดวงวิญญาณพากันกลับเข้าสภาวะปกติ

เวลาผ่านไปอย่างแช่มช้าขณะที่ทั้งกองทหารของเขาและกองทหารอันดับหนึ่งเดินทางข้ามจักรวาลและเข้าไปยังอาณาเขตของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ

ควรมีกองเรือบินรบประจำการอยู่ที่บริเวณเส้นเขตแดน ทว่าตอนนี้กลับไม่มีเลย ราวกับว่าประตูได้ถูกเปิดอ้าค้างเอาไว้ ยอมให้ใครต่อใครผ่านไปมาได้ตามอำเภอใจ มีร่องรอยของพลังจากคาถาที่ถูกร่ายเอาไว้ในบริเวณนั้น หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงร่องรอยพลังงานที่คุ้นเคยผ่านสัมผัสสวรรค์ของเขา…แต่อยู่ค่อนข้างไกลออกไป

ความเข้มข้นของพลังงานที่สัมผัสได้ทำให้หวังเป่าเล่อถอนใจด้วยความโล่งอก ชายหนุ่มบอกได้ว่าพลังนั้นไม่ได้นิ่งและยังเคลื่อนไหวอยู่ ร่องรอยพลังงานที่นิ่งงันบอกให้รู้ว่าการต่อสู้ได้จบลงไปแล้ว ในขณะที่ร่องรอยพลังงานซึ่งยังเคลื่อนไหวแปลความหมายได้ว่าการต่อสู้ยังคงดำเนินอยู่

และหากการต่อสู้ยังดำเนินต่อไป มันก็หมายความว่าพวกเขามาทันเวลา

หวังเป่าเล่อส่งคำสั่งผ่านดวงจิตเทพของตนไปยังทุกคน รวมถึงพ่อบ้าน เทพธิดาหลิงโยว และบรรดาเรือบินรบทั้งมวล ให้เร่งความเร็วมุ่งไปข้างหน้า ตรงไปยังดาวเอกของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำทันที

ในเวลาเดียวกันนั้น ณ ที่แห่งหนึ่งเหนือดาวเอกสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ การต่อสู้อันดุเดือดที่คล้ายคลึงกับที่เกิดขึ้น ณ สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์กำลังดำเนินอยู่ แต่สถานการณ์ของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำดีกว่าอยู่บ้าง แม้พวกเขาจะไม่ได้แข็งแกร่งเท่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แต่ก็ยังพอรับมือได้อยู่ สาเหตุเป็นเพราะกองกำลังหลักของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นไปอยู่ที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จนหมด

ทั้งสองฝ่ายต่างก็เฝ้ารอกำลังเสริม ผู้ฝึกตนที่กำลังต่อสู้กับปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำคือผู้อาวุโสฝ่ายขวาของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ชายชราอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ขั้นต้นเช่นเดียวกับปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ ดังนั้นแม้การต่อสู้จะส่งเสียงดังสนั่นสะท้อนก้องไปทั่วจักรวาล แต่มันก็ยังยืดเยื้อ ไม่มีทีท่าว่าฝ่ายใดจะกุมชัยชนะได้ การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ

การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะบนสนามรบก็เป็นเช่นเดียวกัน ราวกับว่าทั้งสนามรบกำลังอยู่ในสถานการณ์การชักเย่ออันรุนแรง ทั้งสองฝ่ายต่างก็เปี่ยมไปด้วยความหวาดวิตก แม้จำนวนผู้เสียชีวิตจะน้อย แต่ก็แทบไม่มีใครแข็งแรงเต็มร้อยสักคน

เมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนก็เริ่มเหนื่อยล้าทั้งกายใจถึงขีดสุด แต่ตราบใดที่กำลังเสริมยังมาไม่ถึง การต่อสู้ก็ยังต้องดำเนินต่อไป สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สามารถผนึกมุมของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำไว้ได้ทั้งสี่จุดและหยุดไม่ให้มีการส่งข้อความเสียงเข้าออกได้ สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำก็ทำเช่นเดียวกัน ผลลัพธ์จากการผนึกของทั้งสองฝ่ายคือการที่สนามรบถูกตัดขาดจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง นอกเสียจากว่ามีผู้นำสารเข้ามาในสนามรบด้วยตนเอง ข้อมูลจากภายนอกก็ไม่อาจเข้ามาถึงผู้คนบนสนามรบได้เลยแม้แต่น้อย

เพราะเหตุนี้ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาจึงไม่รู้เลยว่าประมุขสำนักและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายนั้นล้มเหลว เขาคิดไปว่าป่านนี้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์คงจะล่มสลายไปแล้วเป็นแน่ และประมุขสำนักกับผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็กำลังเดินทางมาตามแผน

ชายชราไม่ใช่คนเดียวที่คิดถึงกำลังเสริม ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเองก็กังวลอยู่ไม่แพ้กัน เขาเองก็รอคอยกำลังเสริมจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อยู่เช่นกัน นั่นเป็นความหวังเดียวของชายชรา เพราะสำหรับเขาแล้ว มันไม่มีทางออกอื่นอีก ตั้งแต่เริ่มต้นการต่อสู้นี้ เป้าหมายเดียวของศัตรูคือการปิดล้อมพวกเขา โอกาสการจะหนีรอดไปได้ด้วยตนเองนั้นแทบเป็นศูนย์

ทางออกเดียวคือการต่อสู้จนตัวตาย ต่อให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไม่สามารถเอาชนะกองกำลังของผู้รุกรานได้ ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำก็ต้องเดิมพันว่าอีกสำนักจะสามารถต่อสู้ซื้อเวลาให้ได้บ้าง เพราะหากเป็นเช่นนั้น เขาก็มั่นใจว่าผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต้องเลือกพักการต่อสู้ก่อน เพราะกองกำลังของทั้งสองต่างก็อ่อนล้าเกินไป

สถานการณ์เช่นนี้เป็นการวัดกันระหว่างความอดทนของพวกเขาและความเร็วในการมาถึงของกำลังเสริม เป็นการทดสอบความแข็งแกร่งว่าจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้นานกว่าอีกฝ่ายหรือไม่ คงไม่ยากที่จะจินตนาการว่าพวกเขาจะอยู่ในสภาพย่ำแย่สักเพียงใดในตอนท้าย

เสียงระเบิดดังสนั่น เสียงร้องโหยหวนอย่างบ้าคลั่ง และเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่นอยู่ในอากาศไม่หยุดหย่อน แต่แล้วจู่ๆ ก็มีจุดแสงปรากฏขึ้นบนอวกาศที่ห่างไกล แม้จะบางเบาในตอนแรก แต่ก็สว่างขึ้นมาทันทีในอีกชั่วอึดใจ ดูคล้ายดาวหางจำนวนมากกำลังมุ่งหน้าเข้ามาใกล้ ทุกคนบนสนามรบต่างก็มีปฏิกิริยาเมื่อได้เห็น

ไม่มีความจำเป็นต้องดูให้แน่ใจ ผู้อาวุโสฝ่ายขวาแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์บอกได้ทันทีว่านั่นไม่ใช่กำลังเสริมฝ่ายตนแน่นอน ใบหน้าของเขาเกรี้ยวกราด ปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำมีท่าทีตรงกันข้าม แววตาของเขาตื่นเต้นอย่างหนัก ท่ามกลางความตื่นเต้นยินดีนั้น คลื่นพลังวิญญาณอันเข้มข้นก็กระจายผ่านจักรวาลเมื่อดาวหางเหล่านั้นมุ่งหน้าลงมาหาสนามรบอย่างรวดเร็ว!

ดาวหางเหล่านั้นคือกองเรือบินรบระเบิดตัวเองของหวังเป่าเล่อและกองทหารอันดับหนึ่งของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ พวกเขาตัดผ่านจักรวาลราวกับเป็นคมกระบี่ ไถลผ่านอวกาศอันดำมืด และพุ่งตรงลงมาสู่การต่อสู้ไม่ต่างจากกระบี่ที่พร้อมรบ ผู้ฝึกตนจำนวนมากจากกองทหารอันดับหนึ่งแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ หุ่นเชิดนับแสนของหวังเป่าเล่อ และหุ่นเชิดจักรพรรดิทั้งสิบสองของเขาออกมาจากเรือบินรบและพุ่งเข้าใส่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตามคำสั่งของพ่อบ้านทันที!

พ่อบ้านสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ปลดปล่อยพลังปราณออกมาเมื่อก้าวลงมาจากเรือบินรบ เสียงร้องคำรามของเขาสะท้อนก้องทั่วสนามรบ

“ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถูกสังหารแล้ว และประมุขสำนักก็บาดเจ็บสาหัส กองทัพของพวกเขาแตกสลายไปแล้ว มีผู้ถูกสังหารและต้องหนีตายนับไม่ถ้วน สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ได้รับชัยชนะท่วมท้น ตามคำสั่งปรมาจารย์ของพวกเรา เรามาเพื่อช่วยเหลือสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ!”

การมาถึงของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ส่งคลื่นอารมณ์กระจายไปบนใบหน้าของผู้ฝึกตนสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทุกคนที่เหนื่อยล้าจากการต่อสู้ยืดเยื้อ ใจของพวกเขาทุกคนอื้อชา การตอบสนองแรกคือความไม่อยากเชื่อ สิ่งที่พ่อบ้านเพิ่งพูดนั้นเป็นไปไม่ได้เลย แต่…สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็อยู่ที่นี่แล้ว และการที่พวกเขามาถึงก็หมายความได้อย่างเดียวว่ากองกำลังที่ส่งไปรุกรานสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นพ่ายแพ้

การมีจิตใจท้อถอยบนสนามรบนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่ง กระทั่งผู้อาวุโสฝ่ายขวายังได้รับผลกระทบแบบเดียวกัน แต่เขาก็สลัดทิ้งความกลัวในใจก่อนจะตะโกนออกมา

“ไม่จริง พวกปีศาจสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำแค่แบ่งคนจำนวนเล็กน้อยจากกำลังหลักมาทำให้เราสับสน!” ผู้อาวุโสฝ่ายขวาปล่อยพลังปราณออกมาทันทีหลังจากตะโกน เพื่อเรียกขวัญกำลังใจให้ทหารที่กำลังเสียขวัญ ก่อนจะพุ่งเข้าใส่พ่อบ้าน หวังจะสังหารอีกฝ่ายให้ได้ไม่ว่าอย่างไร ก่อนจะต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะจากปรมาจารย์สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ

หวังเป่าเล่อกระโจนออกมาจากเรือบินรบเวทของเขา ชายหนุ่มมองไปยังสนามรบที่อยู่ไกลออกไป ยกมือขวาขึ้นแล้วชี้ไปอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก กระแสลมระเบิดออกมาจากนิ้วมือแล้วพุ่งไปด้านหน้า แล้วไปหยุดอยู่บริเวณหนึ่งไกลจากกายชายหนุ่ม ตรงกลางระหว่างผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะสองคนที่กำลังสู้กันอยู่

ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำนั้นหวังเป่าเล่อจำหน้าได้ เขาคือผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ ผู้ที่รับอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกเข้าร่วมกองทัพแล้วพยายามจะสังหารหวังเป่าเล่อ ขณะนี้ชายวัยกลางคนกำลังตกอยู่ในอันตรายและอาจจะตายได้ทุกเมื่อ

การโจมตีของหวังเป่าเล่อ ซึ่งได้รับการเสริมพลังจากพลังปราณสำรองมหาศาลที่เขามีอยู่ พุ่งเข้ามาใส่อย่างรุนแรง ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หน้าซีดด้วยความตื่นกลัวก่อนจะหนีทันที แต่กระนั้นก็ยังไม่พ้นการโจมตีและต้องบ้วนเอาเลือดออกมากองใหญ่ทั้งๆ ที่กำลังหนี ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำก็หน้าซีดเช่นกัน เขาผงะถอยหลังพลางหันไปมองผู้ช่วยชีวิต ก่อนจะตัวสั่นและตาเบิกโพลงเมื่อได้เห็นหวังเป่าเล่อ เขาดูไม่เชื่อสายตาตนเอง

หวังเป่าเล่อเมินผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ การช่วยชีวิตอีกฝ่ายเป็นเพียงเรื่องง่ายดาย ชายหนุ่มเงยหน้ามองขึ้นไปในจักรวาล ดวงตาจับจ้องไปยังผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สองคนที่กำลังต่อสู้กัน เขาหรี่ตาลง

หวังเป่าเล่อคิดเรื่องนี้มาตลอดทาง ว่าตนเองมาที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเพราะเรื่องยุทธศาสตร์ล้วนๆ แต่ เขาก็ยังไม่ชอบคนพวกนี้เท่าใดนัก ชายหนุ่มจึงตัดสินใจว่าจะหาโอกาสสังหารพวกเขาเสียบ้างระหว่างภารกิจช่วยเหลือนี้

…………………………………….

หวังเป่าเล่อเคยพยายามปลดผนึกแหวนวงนี้ตั้งแต่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น แต่ก็ไม่เป็นผลเพราะขั้นปราณของเขายังต่ำเกินไป

ขณะนี้ชายหนุ่มคิดว่าเมื่อปราณของเขาใกล้จะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์แล้ว เขาก็ควรทรงพลังมากพอ…ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงรีบปลดปล่อยพลังปราณและส่งมันไหลท่วมเข้าไปในแหวนราวกับเป็นคลื่นคลั่ง

ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงแรงต่อต้านที่ออกมาจากแหวนแทบจะในทันที มีคำสาปบางอย่างอยู่ภายในแรงต่อต้านนั้น มันปัดป้องการเข้าถึงของสัมผัสสวรรค์ใดๆ ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา

หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงพลังระดับดาวพระเคราะห์ในแรงต่อต้านดังกล่าว เพื่อจะที่ฝ่าแรงต้านทานเข้าไป เขาจึงจำเป็นต้องใช้พลังระดับดาวพระเคราะห์เช่นกัน ชายหนุ่มหรี่ตาลง ก่อนจะเหวี่ยงพลังปราณของเขาอย่างแรงแล้วฟาดลงไปที่แรงต้านทานอย่างสุดกำลัง หวังจะทำลายมันให้แหลกเป็นเสี่ยง ทว่า…แม้จะมีปราณสำรองมากมายเพียงใด ระดับปราณของเขาก็ยังอ่อนแอเมื่อเทียบกับปราณระดับดาวพระเคราะห์ภายในแหวน

พลังปราณของหวังเป่าเล่อเมื่อเทียบกับปราณระดับดาวพระเคราะห์แล้ว ก็เสมือนหมอกกับน้ำ ชายหนุ่มไม่อาจปลดผนึกแหวนคลังเก็บได้ในทันที แต่หวังเป่าเล่อก็เตรียมรับมือเรื่องนี้มาแล้ว ด้วยผนึกฝ่ามือจำนวนหนึ่ง เกราะมหาจักรพรรดิของชายหนุ่มก็ปรากฏขึ้นและเพิ่มพลังปราณให้เขาในทันที ส่งให้มีพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งไหลบ่าเข้าไปในแหวน และหวังเป่าเล่อก็รู้สึกได้ว่าพลังต้านทานในแหวนเริ่มอ่อนกำลังลง

แม้จะเล็กน้อยในทีแรก แต่พอเวลาค่อยๆ ผ่านไป เมื่อหวังเป่าเล่อยังคงปล่อยพลังปราณเต็มที่เข้าไปในแหวนเป็นเวลาร่วมสิบห้านาที เขาก็เริ่มได้ยินเสียงแตกร้าวดังขึ้นในศีรษะ คำสาปภายในแหวนคลังเก็บเริ่มแตกร้าว หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงดังกล่าว ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะส่งแรงกดดันเข้าไปเพิ่มนั้นเอง จู่ๆ ก็มีแสงสีขาวสว่างจ้าส่องขึ้นมาจากแหวน!

แรงต้านทานจากแหวนจู่ๆ ก็รุนแรงขึ้น และรอยร้าวจำนวนมากที่เกิดขึ้นก็เริ่มสมานตัวเอง หวังเป่าเล่อมีสีหน้าตกตะลึง

ใครบางคนเพิ่งจะร่ายคาถาป้องกันการบุกรุกทั้งมวล! สัญชาตญาณและประสบการณ์ของหวังเป่าเล่อช่วยให้ชายหนุ่มได้ข้อสรุปว่า ใครก็ตามที่ร่ายคำสาปใส่แหวนวงนี้เอาไว้ กำลังเสริมพลังให้คำสาปจากที่ห่างไกลผ่านวิธีการพิเศษบางอย่าง

ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่สามารถเข้าไปได้! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายเยือกเย็น เปลวเพลิงดารานิรันดร์ภายในกายสั่นไหว และฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ก็ปรากฏขึ้นมาลอยอยู่เหนือศีรษะของชายหนุ่ม ก่อนที่เขาจะปล่อยเปลวเพลิงดารานิรันดร์ออกมารวมกับพลังปราณของตน และโจมตีใส่แหวนอีกครั้งหนึ่ง!

แรงต่อต้านที่ออกมาจากแหวนรุนแรงขึ้นอีกในครั้งนี้ แต่ก็ดูเหมือนกับว่ามันใกล้จะสลายไปเต็มทน รอยแตกร้าวไม่สมานตนเองอีกต่อไป สถานการณ์เริ่มยืดเยื้อ แต่หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งถูกผลักดันด้วยความอยากรู้อยากเห็นอันแรงกล้า ก็เริ่มฉวยโอกาสจากการยืดเยื้อนั้นส่งสัมผัสสวรรค์ออกไป มันไหลผ่านรอยแยกบนแหวนและเข้าไปด้านใน

คำสาปภายในแหวนยังไม่ได้สลายไปจนหมดแม้จะมีรอยแยกปรากฏขึ้นมากมาย เป็นเหตุว่าทำไมหวังเป่าเล่อจึงไม่อาจหยิบสิ่งที่อยู่ภายในแหวนออกมาได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าชายหนุ่มจะไม่สามารถส่งสัมผัสสวรรค์เข้าไปสำรวจด้านในได้!

สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อไหลเข้าไปผ่านรอยแตกของแหวน และในอึดใจถัดมา เขาก็เห็นสิ่งที่อยู่ภายในแหวน พื้นที่ด้านในไม่กว้างเท่าใดนัก และไม่ได้มีของอยู่มากมายเลย อันที่จริงแล้ว ด้านในมีของเพียงสามชิ้นเท่านั้น!

เศษกระดาษตัดเป็นรูปมนุษย์!

คันธนูสีแดงที่มีอัญมณีประดับอยู่เก้าชิ้น!

และ…ขวดแก้วใบเล็กโปร่งใสที่ดูสุดแสนธรรมดา ดูไม่ใช่ขวดที่หลอมขึ้นมาเพื่อใส่โอสถแต่เอาไว้ใส่ของทั่วๆ ไป!

เศษกระดาษรูปมนุษย์นั่งอยู่บนขวดแก้ว ดูไร้ชีวิตชีวา แต่ทันทีที่สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อไหลผ่านเข้าไป ตาของมันก็กะพริบก่อนจะสะท้อนประกายแสงแปลกประหลาดออกมา

หวังเป่าเล่อถึงกับขนหัวลุกเมื่อได้เห็นแสงในแววตานั้น ความรู้สึกนั้นคล้ายคลึงกับการมองตาอสรพิษร้าย ชายหนุ่มเป็นบุตรแห่งความมืด จึงไม่ควรหวาดกลัววิญญาณเร่ร่อนหรือผีใดๆ แต่ในวินาทีนั้น เขารู้สึกถึงความกังวลและความกลัวที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นภายในใจ

คันธนูให้ความรู้สึกที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงกระแสพลังวิญญาณอันยากจะอธิบายที่ไหลเข้ามาสู่กายเมื่อสายตาของเขาจับจ้องไปที่คันธนู อัญมณีทั้งเก้าที่อยู่ในคันธนูส่องแสงแรงกล้าราวกับเป็นดวงอาทิตย์เก้าดวง! ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าสายตาของเขาเล่นตลกหรือไม่

สุดท้าย ขวดเล็กๆ ใบนั้น มันดูธรรมดาที่สุดจากของทั้งสามอย่าง แต่รัศมีที่เปล่งออกมานั้นเก่าแก่เป็นอย่างยิ่ง ดูเหมือนว่ามันจะนำพาความเน่าเปื่อยผ่านกาลเวลามาด้วย ราวกับว่าขวดนี้ดำรงอยู่มานานแสนนานแล้ว!

ความตื่นเต้นไหลผ่านโลหิตของชายหนุ่มเมื่อเขาเพ่งมองไปยังของทั้งสามชิ้น ก่อนจะพุ่งสูงขึ้นทันทีเมื่อเขามองเห็น…เศษกระดาษชิ้นหนึ่งภายในขวดใสนั้น!

นั่นมันอะไรกัน หวังเป่าเล่อกำลังจะส่งสัมผัสสวรรค์เข้าไปภายในขวดเพื่อดูให้แน่ใจ แต่เมื่อสัมผัสสวรรค์ไหลลึกเข้าไปในแหวน นัยน์ตาของมนุษย์กระดาษก็ส่องประกายประหลาดขึ้นมาอีกครั้ง สัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง และชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงพลังที่ไหลบ่าออกมาจากกระดาษรูปมนุษย์ตนนั้น สัมผัสสวรรค์ของเขาจางหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับเป็นเกล็ดหิมะที่สัมผัสเข้ากับน้ำเดือด

หวังเป่าเล่อตกตะลึงกับภาพที่เห็น สัมผัสสวรรค์ของเขาถอยหลังกรูดอย่างรวดเร็วและไหลกลับออกมาทางรอยแยกของแหวน ทันทีที่มันไหลออกมา แรงต้านทานที่อยู่ในแหวนคลังเก็บก็เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นและสมานรอยแตกทั้งหมดใหม่ ปิดทางไม่ใช่ชายหนุ่มได้เข้าไปอีกครั้ง

ขณะที่สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้น ในจักรวาลที่ห่างออกไป ไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไปมาก ด้วงสวมเกราะสีทองขนาดยักษ์กำลังเคลื่อนที่ผ่านอวกาศ มีคนสองคนนั่งอยู่ภายใน คลื่นพลังปราณไหลบ่าออกจากกายของทั้งคู่ หนึ่งในนั้นอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ อีกคนหนึ่งอยู่เพียงขั้นจิตวิญญาณอมตะ

หากหวังเป่าเล่ออยู่ที่นั่นด้วย เขาย่อมจำผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะได้…เพราะคนผู้นั้นคือผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์แห่งตระกูลไม่รู้สิ้นที่เขาพบเจอระหว่างปฏิบัติภารกิจให้ปรมาจารย์แห่งไฟ

“ขอบคุณสหายร่วมสำนักเต๋าตันโจวจื่อที่มาช่วยเหลือ!” อดีตผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ ผู้ที่ร่วงหล่นลงมาอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะระล่ำระลักพูดกับสหาย

“ไม่จำเป็นเลย สหายร่วมสำนักเต๋าซานหลิงจื่อ ข้าขอให้สิ่งที่ท่านพูดเป็นความจริง และหนึ่งในเก้าแบบจำลองของคันธนูจักรพิภพอยู่ในแหวนคลังเก็บของท่านจริงๆ!”

“ไม่ต้องเป็นห่วงเลย สหายร่วมสำนักเต๋าตันโจวจื่อ มันอยู่แน่นอน!” ซานหลิงจื่อสัญญาอย่างแข็งขัน แต่ในใจลึกๆ นั้นเปี่ยมไปด้วยความกังวล เขาต้องการหาตัวหน้ากากสุกรให้พบด้วยตนเองแล้วแย่งเอาแหวนคลังเก็บกลับมา แต่ดันพบเข้ากับศัตรูเก่าขณะที่กำลังบาดเจ็บ จึงไม่มีทางเลือกต้องยอมเสียของอย่างหนึ่งในแหวนคลังเก็บเพื่อรักษาชีวิตไว้ แต่เขาก็ได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว แบบจำลองของคันธนูจักรพิภพนั้นมีค่าน้อยที่สุดจากของสามสิ่งในแหวนคลังเก็บของเขา

ทันทีที่ตันโจวจื่อเปิดผนึกแหวนคลังเก็บ เจ้ากระดาษรูปมนุษย์ที่ดุร้ายคงจะกลืนเขาเข้าไปทั้งตัว!

ตันโจวจื่อจ้องมองซานหลิงจื่อด้วยสายตาล้ำลึกอย่างยาวนานก่อนจะแสยะยิ้มอยู่ในใจ เขาไม่ได้พูดสิ่งใดต่อไป แต่ยอมทำตามคำบอกเล่าของอีกฝ่าย ก่อนจะหันเหทิศทางของด้วงเกราะทองมุ่งลึกเข้าไปในอวกาศ

ขณะเดียวกันนั้นเอง ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ในเรือบินรบเวทของกองกำลังเสริมที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำซึ่งหวังเป่าเล่อนั่งอยู่ ชายหนุ่มกำลังนั่งจ้องแหวนในมือ ใบหน้าซีดเซียวเล็กน้อย และมีอาการหอบหายใจนิดหน่อย

คลื่นของพลังวิญญาณที่ออกมาจากกระดาษรูปมนุษย์เมื่อครู่นั้นแปลกประหลาดนัก สัมผัสสวรรค์ของเขาอ่อนแรงลงทันทีเมื่อปะทะเข้ากับพลังวิญญาณเช่นนั้น และตัวชายหนุ่มเองยังได้ยินเสียงกรีดร้องแหลมบาดหู อันที่จริงแล้ว หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าร่างจริงของเองก็ได้รับผลกระทบจากการระเบิดพลังวิญญาณของกระดาษรูปมนุษย์เช่นกัน ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่ากระดาษนั้นถูกอะไรบางอย่างกักขังไว้ หาไม่แล้ว และหากไม่ใช่เพราะชายหนุ่มถอนสัมผัสสวรรค์ออกมาได้ทัน เขาก็อาจได้รับบาดเจ็บสาหัส หรืออาจตายไปแล้วก็เป็นได้

จะอันตรายเกินไปแล้ว! หวังเป่าเล่อจ้องเขม็งไปยังแหวนคลังเก็บในมือ ชายหนุ่มไม่คาดคิดว่าสิ่งของภายในแหวนจะอันตรายถึงเพียงนี้ เขามีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น แต่ก็จางหายไปในเวลาไม่ช้า ก่อนที่ดวงตาของชายหนุ่มจะส่องประกายกล้า การเข้าไปสำรวจนั้นแม้จะอันตรายมาก แต่เขาก็เรียนรู้ข้อมูลมาไม่น้อยเช่นกัน

เจ้ากระดาษรูปมนุษย์นั่นน่ากลัวนัก ข้าสัมผัสได้ถึงวิญญาณมืดที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน แต่วิญญาณนี้…ช่างน่ากลัวกระทั่งกับข้าที่เป็นบุตรแห่งความมืด จุดกำเนิดของมัน…จะต้องยิ่งใหญ่มากเป็นแน่!

แล้วคันธนูนั่นอีก…มองปราดเดียวข้าก็บอกได้เลยว่ามันเป็นสมบัติที่ยอดเยี่ยม มาคิดๆ ดูแล้ว อัญมณีทั้งเก้าที่ประดับอยู่บนคันธนูอาจจะเป็น…ดารานิรันดร์ทั้งเก้า! เมื่อคิดได้เช่นนั้นหวังเป่าเล่อก็ถึงกับอ้าปากค้าง การปลดผนึกแหวนคลังเก็บอาจไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาในตอนนี้ ปัญหาก็คือเมื่อปลดผนึกได้แล้วจะทำอย่างไรต่อไป…ปัญหาใหญ่ของชายหนุ่มในตอนนี้คือผลพวงที่เขาต้องเผชิญหลังจากส่งสัมผัสสวรรค์เข้าไปภายใน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังกังวลเรื่องความเสี่ยงที่การสำรวจอาจนำมา ตำแหน่งของเขาอาจถูกเปิดโปง!

ทั้งคู่เป็นวัตถุเวทที่ไม่ธรรมดา เป็นดั่งตั๋วทองสู่การบรรลุขั้นปราณ สำหรับของชิ้นที่สาม…ขวดที่ดูโบราณนั่น แค่เพราะมันถูกเก็บเอาไว้กับวัตถุเวทอีกสองชิ้น ก็เพียงพอที่จะบอกได้ว่ามันต้องมีค่าทัดเทียมกันแน่!

แต่…มันคืออะไรกันนะ ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแววสับสน แม้ชายหนุ่มจะส่งสัมผัสสวรรค์เข้าไปในขวดเพื่อดูกระดาษแผ่นหนึ่งในนั้นให้แน่ใจและถูกขัดขวางโดยกระดาษรูปมนุษย์ แต่เขาก็มองเห็นอยู่แวบหนึ่ง และเห็นคำสองคำบนกระดาษแผ่นนั้น ดูเหมือนบนกระดาษนั้นจะมีถ้อยคำอยู่สามส่วน

แม้จะไม่เข้าใจคำใดเลยที่ได้เห็น แต่ความหมายของคำศัพท์เหล่านั้นก็เหมือนจะมาปรากฏขึ้นเองในใจของหวังเป่าเล่อหลังจากที่มองเห็น เพราะการได้เห็นเพียงแวบหนึ่งก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มจึงสามารถปะติดปะต่อได้ว่าคำทั้งสามนั้นหมายถึงสิ่งใด

คำศัพท์ทั้งสามคำก็คือ…

คนร่ำรวย? นัยน์ตาของชายหนุ่มยังคงสับสนอยู่ หวังเป่าเล่อทั้งตื่นเต้นทั้งอยากรู้จนอยู่ไม่สุข เขาอยากรู้ว่าสิ่งใดกันแน่ที่อยู่ในขวดนั้น เพราะมีความรู้สึกว่ามีโอกาสชิ้นงามซุกซ่อนอยู่ภายใน

………………………………

วิธีที่เขาปฏิบัติตนต่อหวังเป่าเล่อในอดีตเป็นเหมือนการแสดงออกว่าตัวเขาเองนั้นเหนือกว่า และแสดงให้เห็นสถานะอันยิ่งใหญ่กว่าในฐานะปรมาจารย์ของสำนัก แม้ว่าผู้ฝึกตนทุกคนของสำนักจะเป็นศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เหมือนๆ กัน แต่ไม่ว่าจะเป็นใคร ทั้งสถานะและยศก็ไม่อาจเทียบเทียมเขาได้

เพราะเหตุนี้จึงไม่มีใครเลยที่คู่ควรให้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เรียกว่าสหายร่วมสำนักเต๋า ไม่มีใครเลยที่สมควรได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียม ทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ มีเพียงสองคนเท่านั้นที่เขาคิดว่าสมควรจะเรียกว่าสหายร่วมสำนักเต๋า หนึ่งก็คือปรมาจารย์ของสำนักผนึกผังดาวหกแฉก และอีกคนหนึ่งก็คือผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ

และบัดนี้ ก็มีเพิ่มมาอีกหนึ่งคน!

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ประทับใจกับความสามารถที่หวังเป่าเล่อได้แสดงให้เห็นในสนามรบ พลังรบที่หวังเป่าเล่อได้สำแดงออกมานั้นก้าวล้ำไปกว่ากำลังรบของกองทหารทั้งกอง ถึงขั้นที่ว่าชายหนุ่มสามารถตั้งสำนักเป็นของตนเองได้ อันที่จริงแล้ว ในแง่หนึ่งหวังเป่าเล่อตอนนี้ทรงพลังยิ่งกว่าสำนักบางสำนักเสียด้วยซ้ำ นั่นเพราะกองทหารขั้นจิตวิญญาณอมตะของเขาสร้างขึ้นมาจากหุ่นเชิด และกองทัพหุ่นเชิดของชายหนุ่มจะลุกฮือขึ้นมาเมื่อเขาสั่งเพียงครั้งเดียว อีกทั้งยังพร้อมสู้ชนิดไม่เกรงกลัวความตาย ซึ่งตรงข้ามกับสำนักต่างๆ ที่ย่อมเผชิญความยากลำบากหากจะให้ศิษย์ของสำนักสู้แบบไม่กลัวเกรงเช่นนั้น

ความสามารถเฉพาะตัวในการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อก็ทำให้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ประทับใจเช่นเดียวกัน ต่อให้หวังเป่าเล่อทำได้เพียงสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ เพียงเท่านี้ก็ทำให้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์หันมาสนใจเป็นพิเศษได้แล้ว

แต่จากนั้นหวังเป่าเล่อยังสามารถต้านทานการโจมตีจากผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้แถมยังรอดชีวิตมาได้อีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เองก็คาดไม่ถึง หลังจากนั้น หวังเป่าเล่อยังโจมตีไม่หยุดหย่อน ใช้นิ้วมือระดับดาวพระเคราะห์เพื่อโจมตีสวนกลับ ชายหนุ่มเกือบจะสังหารผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายได้ด้วยการโจมตีผสานกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์ด้วยซ้ำไป

ที่สำคัญที่สุดคือ…หลังจากที่หวังเป่าเล่อทำอะไรต่อมิอะไรไปมากมาย ก็ยังมีนิ้วมือระดับดาวพระเคราะห์อีกนิ้วมาปรากฏบนศีรษะ ทุกๆ สิ่งทำเอาปรมาจารย์มหาทัณฑ์แทบไม่เชื่อสายตาตนเอง เขารู้ว่านี่เป็นการแสดงความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อ และอย่างไรเสีย ใครก็ตามที่สามารถฝึกปราณจนไปถึงจุดนั้นได้ย่อมไม่ใช่คนโง่ การแสดงความแบ็งแกร่งนั้นได้ผลอยู่ไม่น้อย ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ลืมความคิดทุกอย่างที่เขามีอยู่ก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น

เขามีพลังที่สามารถเรียกใช้พลังระดับดาวพระเคราะห์และรับมือกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ ความแข็งแกร่งของเขาไม่ธรรมดา แต่หากคิดถึงเรื่องที่เขาสามารถใช้ดวงเนตรสวรรค์รวมถึงต้นกำเนิดของหุ่นเชิดของเขาด้วยแล้ว…ปรมาจารย์มหาทัณฑ์หรี่ตาลง ขณะที่เขากำลังคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ เขาก็นึกถึงคำที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้เอ่ยกับประมุขสำนักขึ้นมาได้ คำว่า มหาศิษย์เต๋า

ความคิดนั้นทำเอาอารมณ์ความรู้สึกของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ปั่นป่วนไปหมด ชายวัยกลางคนพอจะคาดเดาได้ว่าหวังเป่าเล่อต้องได้รับโอกาสชิ้นงามเพียงใดจึงจะได้ครอบครองพลังอันมหาศาลนี้ ทั้งๆ ที่ตนอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นเท่านั้น ไหนจะยังผลประโยชน์มากมายที่ชายหนุ่มน่าจะได้รับมาจากโอกาสครั้งนั้น แต่เขาก็รู้ถึงความแข็งแกร่งและสติปัญญาอันชาญฉลาดของหวังเป่าเล่อดี รวมถึงความแค้นอันหนาแน่นที่เป็นเชื้อเพลิงให้กับนิสัยบ้าระห่ำของชายหนุ่มอีกด้วย ราคาที่หวังเป่าเล่อต้องจ่ายหากเขาล้มเหลวนั้นแพงเกินกว่าจะยอมรับได้ อีกอย่างสถานการณ์ปัจจุบันก็ยังไม่อนุญาตให้ชายหนุ่มทำการบุ่มบ่ามได้ เพราะการรุกรานจากอารยธรรมครามทองคำยังไม่หายไปไหน

แม้ว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จะชนะการต่อสู้ในครั้งนี้ แต่สงครามก็เพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดระหว่างการรุกรานจากภายนอกคือความไม่มั่นคงภายใน หากเรื่องครั้งนี้แพร่งพรายออกไป ก็จะต้องส่งผลให้คนอื่นๆ พากันขยาดกลัวเป็นแน่ เพราะอย่างไรเสียหากไม่ได้หวังเป่าเล่อ ผลลัพธ์การต่อสู้ครั้งนี้ก็คงจะต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ชายหนุ่มช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้จริงๆ

ยิ่งไปกว่านั้น…ความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่ออาจเป็นองค์ประกอบสำคัญในสงครามข้ามอารยธรรมครั้งนี้ ความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นมาในใจของปรมาจารย์มหาทัณฑ์และถูกวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว ในที่สุด ชายวัยกลางคนจึงตัดสินใจวางผลประโยชน์ส่วนตัว ความยิ่งทนง และสถานะลง ก่อนจะปฏิบัติกับหวังเป่าเล่ออย่างเท่าเทียมกัน ทั้งสีหน้าและท่าทางต่างก็เต็มไปด้วยความจริงใจ

“หากท่านไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือ สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อาจไม่รอดจากการต่อสู้ครั้งนี้ก็เป็นได้ สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อ โปรดรับการคารวะจากข้าด้วยเถิด!” ขณะที่พูดไปนั้น ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็ยกมือประสานก่อนก้มศีรษะคำนับหวังเป่าเล่อต่ำต่อหน้าสานุศิษย์ทุกคนตรงนั้น

“สหายร่วมสำนักเต๋า ไม่มีความจำเป็นต้องขอบคุณข้าแม้แต่น้อย ข้าเองก็เป็นศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เองก็ช่วยเหลือข้าไว้หลายครั้งในอดีต ข้าเพียงแต่ทำสิ่งที่ควรต้องทำก็เท่านั้น” มีประกายเจิดจ้าสะท้อนอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์คาดเดาถูกต้อง ชายหนุ่มเรียกนิ้วระดับดาวพระเคราะห์นิ้วที่สองออกมา ไม่เพียงเพื่อหวังจะข่มขู่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเท่านั้น แต่เพื่อจะทำให้ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ประทับใจอีกด้วย หลังจากที่เห็นท่าทีของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ที่มีต่อตนเอง หวังเป่าเล่อก็รีบพูดตอบออกมาทันที

“สหายร่วมสำนักเต๋า การคารวะครั้งนี้ไม่ได้มาจากข้าเพียงคนเดียว แต่จากทั้งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ของเรา พวกเราขอขอบคุณสหายผู้ทรงเกียรติสำหรับความช่วยเหลือในครั้งนี้!” ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ทำสีหน้าดื้อดึง มือก็ยังคงประสานกัน ก่อนที่จะก้มศีรษะคำนับต่ำอีกครั้ง จากนั้นก็ช้อนตามองหวังเป่าเล่อ ดูคล้ายว่าอยากจะพูดอะไรบางอย่าง จนในที่สุดก็พูดออกมา

“สหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อ แม้ว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จะชนะศึกในครั้งนี้ แต่ชัยชนะนี้ก็ซื้อเวลาให้อารยธรรมของเราเพียงเล็กน้อยก่อนที่การทำลายล้างจะมาถึง…ด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องขอความช่วยเหลือจากท่านอย่างไม่สมเหตุสมผล…ข้าได้แต่หวังว่าท่านจะตกลง!”

“อย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาก่อนจะพูดอย่างชั่งใจ

“สหายร่วมสำนักเต๋าผู้ทรงเกียรติต้องการให้ข้าไปช่วยสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำใช่หรือไม่”

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่แปลกใจที่หวังเป่าเล่ออ่านใจเขาออก เพราะอย่างไรเสีย หวังเป่าเล่อคงมาถึงจุดนี้ไม่ได้หากไร้ซึ่งความเฉลียวฉลาดและปราดเปรื่องเหนือกว่าคนทั่วไป

อันที่จริงแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่เขาคิดอยู่จริงๆ ชายวัยกลางคนรู้ดีว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ได้โจมตีสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเมื่อครั้งที่พวกเขามาบุกรุกสำนัก เขารู้ดีว่าความอยู่รอดของทั้งสองสำนักต่างก็ขึ้นอยู่กับกันและกัน หากสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำถูกกำจัดไป ความหวังในการอยู่รอดของพวกเขาในสงครามระหว่างอารยธรรมครั้งนี้ก็คงไม่เหลือเช่นกัน

แม้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์จะดูเหมือนไม่เป็นไร แต่เขาก็ได้ผลาญพลังปราณไปจำนวนมากในการต่อสู้รับมือกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สองคน เพื่อจะหยุดไม่ให้ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ขยับสะดวก และเพื่อสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้กับผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายอีกด้วย แม้จะพร้อมต่อสู้ แต่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็ยังไม่ได้รู้สึกสบายตัวนัก ยิ่งไปกว่านั้น ชายวัยกลางคนยังกังวลว่าประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะกลับมาโจมตีอีกครั้งหากเขาจากไป

เป็นเหตุให้การส่งหลงหนานจื่อ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นอันดับสองในสำนักนำกองทัพไปช่วยสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่ชายวัยกลางคนรู้ดีว่าภารกิจนี้อันตรายเพียงใด และก็ยังรู้อีกด้วยว่าหลงหนานจื่อเองก็เคยมีความบาดหมางกับสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำในอดีต จึงเป็นเหตุให้เขาไม่กล้าจะเอ่ยคำขอออกไปตรงๆ

แต่หวังเป่าเล่อก็ได้พูดความคิดของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ออกมาเสียแล้ว ชายวัยกลางคนสูดลมหายใจเข้าลึกและตัดสินใจไม่พูดสิ่งใดอีก เพียงแต่ยกมือขึ้นประสานอีกครั้ง

หวังเป่าเล่อหรี่ตาก่อนจะใคร่ครวญเรื่องนี้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาจะต้องให้ความช่วยเหลือ การต่อสู้ในสงครามนี้คงจะยากขึ้นมากหากสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำถูกทำลายย่อยยับไป

“ข้าจะไป!” หวังเป่าเล่อพยักหน้า

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เงยหน้าขึ้นจ้องหวังเป่าเล่อด้วยนัยน์ตาลึกซึ้งเปี่ยมความหมาย ก่อนจะออกคำสั่งให้กองทหารอันดับหนึ่งตามการนำของหวังเป่าเล่อไป แต่ไม่ได้ส่งศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ไปด้วย บทผู้บัญชาการนั้นถูกส่งต่อให้พ่อบ้านแทน

ชายวัยกลางคนยังสั่งให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางอีกสามคนตามไปด้วย เทพธิดาหลิงโยวเป็นหนึ่งในนั้น มีการจัดแจงเรื่องต่างๆ อย่างรวดเร็ว จากนั้นกองทหารของหวังเป่าเล่อและกองทหารอันดับหนึ่งก็ออกเดินทาง พุ่งทะยานผ่านประตูเคลื่อนย้ายของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และมุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำทันที

แม้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์จะไม่ได้ร่วมภารกิจนี้ด้วยตนเอง ชายวัยกลางคนก็ได้ส่งรูปปั้นขนาดเล็กมาให้พ่อบ้าน พลังร่างอวตารของเขาได้ถูกผนึกเอาไว้ในรูปปั้นนี้ แม้ว่าไม่อาจเทียบเท่าพลังที่แท้จริงของดาวพระเคราะห์ แต่พลังการทำลายตัวเองก็อาจพอเทียบเคียงได้บ้าง

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่ได้ปกปิดการกระทำใดๆ ของเขาจากหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย อันที่จริงแล้ว เขาถึงขนาดยื่นรูปปั้นให้พ่อบ้านต่อหน้าหวังเป่าเล่อเพื่อแสดงความจริงใจ

ชายหนุ่มพยักหน้ากับตนเองเมื่อเห็นเช่นนั้น ทั้งกองทัพของเขาและกองทหารอันดับหนึ่งต่างก็ก้าวออกจากประตูเคลื่อนย้ายไปสู่อาณาเขตสาธารณะของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เมื่อหวังเป่าเล่อออกคำสั่ง กองทหารทั้งหมดก็มุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำทันที

แม้ว่าพวกเขาจะประหยัดเวลาไปได้มากจากการใช้ประตูเคลื่อนย้ายของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แต่การเดินทางไปยังสนามรบก็ยังต้องใช้เวลาอีกราวสองชั่วโมง

เรือบินรบมุ่งหน้าผ่านจักรวาลไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ขณะที่ผู้โดยสารทุกคนต่างฉวยโอกาสพักผ่อน การต่อสู้ครั้งที่แล้วหนักหนายิ่ง และขณะนี้พวกเขาก็กำลังจะไปร่วมการต่อสู้อีกครั้งหนึ่งในฐานะกำลังเสริม ทุกคนเหนื่อยอ่อนทั้งกายและใจ ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะนั่งลงทำสมาธิ ด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้ พ่อบ้านก็ได้ส่งเทพธิดาหลิงโยวให้มาอยู่ข้างกายเขา

ชายชราสั่งนางให้พยายามเอาใจหวังเป่าเล่อ และจัดการดูแลเขาไม่ให้ขาดตกบกพร่องในทุกๆ เรื่อง

เทพธิดาหลิงโยวนิ่งเงียบให้กับทัศนคติของสำนักที่มีต่อหวังเป่าเล่อซึ่งเปลี่ยนแปลงไป นางเป็นคนไม่ค่อยพูดค่อยจาและไม่คล่องแคล่วนักในการทำความรู้จักคนอื่นๆ นางจึงยืนอยู่ข้างหวังเป่าเล่ออย่างประหม่า จนกระทั่งชายหนุ่มเริ่มรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ พวกเขาต่างก็จ้องมองกันไปมาอยู่เป็นเวลานาน

“ข้าคิดว่า มาถึงเวลานี้เราก็เป็นเพื่อนเก่าแก่กันแล้ว ทำไมเจ้าไม่…มานอนตักข้าแล้วพักสักหน่อยเล่า” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะเริ่มพูดก่อน

เทพธิดาหลิงโยวรู้สึกกังวลใจเล็กน้อยมาโดยตลอด และคำพูดของชายหนุ่มก็ทำให้นางตัวเกร็งขึ้นมาทันที สีหน้านางเปลี่ยนไป และไม่อาจหยุดตนเองไม่ให้จ้องหน้าหวังเป่าเล่อเขม็งก่อนจะหันหลังและเดินหนีไปได้

หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นปิดหน้าก่อนจะทอดถอนใจพลางจ้องมองไปยังแผ่นหลังอันงดงามของเทพธิดาหลิงโยว

โชคยังดีที่นางไม่ได้ตอบรับข้อเสนอนั้น ข้าคงไม่รู้จะหยุดนางอย่างไรหากนางตอบตกลง เพราะอย่างไรเสียก็มีคนอยากได้ข้าเพราะความหล่อเหลาอยู่ไม่น้อย พ่อบ้านคิดอะไรของเขาอยู่กันแน่นะ หวังเป่าเล่อกระแอมกระไออย่างประหม่า หลังจากที่ใช้สัมผัสสวรรค์กวาดรอบบริเวณจนแน่ใจว่าปราศจากอันตราย ชายหนุ่มจึงหรี่ตาลงก่อนจะยกมือขวาขึ้นและดึงเอาแหวนคลังเก็บออกมาวงหนึ่ง!

มันเป็นของที่เขาชิงมาจากผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ของตระกูลไม่รู้สิ้นที่พบระหว่างทำภารกิจให้ปรมาจารย์แห่งไฟ เป็นแหวนคลังเก็บที่หวังเป่าเล่อสงสัยว่ามีสมบัติซ่อนอยู่แต่เปิดดูไม่ได้!

มาดูกันว่าข้าจะปลดผนึกมันได้หรือยัง! นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องสว่างด้วยความลุ้นระทึก ก่อนที่จะปล่อยพลังปราณออกมาและส่งสัมผัสสวรรค์ให้ไหลบ่าเข้าไปสู่แหวนวงนั้น!

………………………………..

ทันทีที่หวังเป่าเล่อออกคำสั่งไป นิ้วระดับดาวพระเคราะห์ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะเขาก็ส่องประกายสว่างจ้าออกมาทันที มันส่องประกายราวกับเป็นดวงตะวัน แสงสว่างไหลบ่าท่วมจักรวาล ส่งเอาแสงแรงกล้าเข้าไปทิ่มแทงลูกตาของผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะหรือต่ำกว่า ดวงตาของพวกเขาแสบร้อน วิสัยทัศน์พร่ามัว

หวังเป่าเล่อหล่อเลี้ยงนิ้วระดับดาวพระเคราะห์นี้มาเป็นเวลานานมาก มันติดไฟขึ้นมาทันทีที่ปล่อยพลังออกมา เป็นการเสริมความแข็งแกร่ง ความเจิดจ้าของแสง และพลังที่มันปล่อยออกมาในคราวเดียว

ก่อนที่ทุกคนจะกลับมามองเห็นอีกครั้ง นิ้วหักๆ นิ้วนั้นก็พุ่งออกไปราวกับเป็นดาวหาง เดินทางข้ามจักรวาลราวกับว่ากำลังไหลข้ามไป มันเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนแทบไม่น่าเชื่อ มาปรากฏอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ระดับดาวพระเคราะห์ระหว่างปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และคู่ปรับของเขาจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์

นิ้วนั้นเล็งเป้าไปยังผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายและมุ่งตรงไปหาหน้าผากของอีกฝ่ายทันที ทุกสิ่งเกิดขึ้นในพริบตา ก่อนที่ผู้ฝึกตนรอบกายผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายจะทันเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องจากผู้อาวุโสและเสียงระเบิดที่ดังสนั่นก้องจักรวาล

สาเหตุของการกรีดร้องนั้นก็เพราะนิ้วหักๆ ระดับดาวพระเคราะห์นั่นเอง พลังระดับดาวพระเคราะห์ที่นิ้วนั้นมีช่างรุนแรงและเพิ่มพูนขึ้นเพราะการแผดเผาตนเอง ราวกับว่ามีคู่ต่อสู้ระดับดาวพระเคราะห์อีกคนแอบเข้ามาในการต่อสู้และลอบโจมตีพวกเขากระนั้น

พลังทำลายของการลอบโจมตีย่อมต้องน่าสะพรึงกลัวอย่างไม่ต้องสงสัย ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่กำลังส่งเสียงกรีดร้องเริ่มขยับตัวอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะสร้างผนึกฝ่ามือเป็นชุดๆ และปล่อยพลังเทพออกมาพร้อมๆ กัน ประมุขสำนักของเขาก็กำลังขยับตัวเพื่อป้องกันไม่ได้การโจมตีนั้นมาโดนกาย แต่ก็ช้าเกินไป ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ย่อมไม่ยอมให้โอกาสทองนี้หลุดมือไป ชายวัยกลางคนปล่อยพลังปราณออกมาเต็มที่และเมินประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาปล่อยพลังปราณเต็มขั้นเข้าใส่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายทันที

ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายถูกต้อนจนมุม นิ้วหักๆ ระดับดาวพระเคราะห์ของหวังเป่าเล่อมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาในพริบตา แต่ชายชราก็ยังเป็นผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ การดูถูกความสามารถของเขาไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ ในวินาทีเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายนั้น แววตาเปื้อนเลือดของผู้อาวุโสก็ปรากฏประกายแห่งความบ้าคลั่งและมุ่งมั่นขึ้นมา เขาตัดสินใจเรียกใช้ดาวเคราะห์ของตน แต่จะไม่เรียกกายมายาของดาวเคราะห์ออกมา เขา…จะเรียกร่างจริงของดาวเคราะห์ให้มาปรากฏ!

ดาวเคราะห์สีแดงฉานปรากฏออกมาจากกายผู้อาวุโส แม้จะมีขนาดเท่ากำปั้นแต่ก็เป็นดาวเคราะห์จริงๆ ภาพเงาอันยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นหลังผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย ทำให้ทุกคนบนสนามรบถึงกับตื่นตะลึง เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสตัดสินใจทุ่มทุกอย่างลงไปในการต่อสู้ครั้งนี้

ในการต่อสู้ระดับดาวพระเคราะห์ทั่วๆ ไป มากสุดผู้ที่ต่อสู้ก็เรียกเพียงกายมายาของดาวเคราะห์ของตนออกมาเท่านั้น พวกเขาจะเรียกร่างจริงดาวเคราะห์ออกมาก็ต่อเมื่อ…เป็นสถานการณ์ที่จะถึงชีวิต การต่อสู้กันของสามผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ดำเนินมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครในสามคนที่ต้องเรียกร่างจริงของดาวเคราะห์ของตนออกมา ทว่าสถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว…ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายรู้ดีว่าหากไม่ทำเช่นนั้น โอกาสรอดชีวิตของตนก็จะเท่ากับศูนย์!

ภัยถึงตายนั้นไม่ได้มาจากนิ้วหักๆ ระดับดาวพระเคราะห์ของหวังเป่าเล่อเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ด้วย ท่ามกลางเสียงกรีดร้องอันบ้าคลั่ง ผู้อาวุโสก็ส่งดาวเคราะห์สีแดงของตนออกไปอย่างรวดเร็ว จักรวาลสั่นสะเทือนเมื่อดาวเคราะห์นั้นปะทะเข้ากับนิ้วที่หัก ก่อให้เกิดเสียงดังกึกก้อง

เกิดเสียงครืนดังสนั่นชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อนกระจายออกไปทั่วจักรวาล นิ้วที่หักนั้นทรงพลังยิ่ง แต่การสวนกลับอย่างสิ้นหวังของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเองก็รุนแรงไม่น้อยเช่นกัน การปะทะกันของทั้งดาวเคราะห์และนิ้วที่หักส่งเอาคลื่นพลังวิญญาณไหลทะลักท่วมสนามรบ นิ้วที่หักบุบทลายก่อนจะสลายไปในพริบตา ทางด้านผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเองก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการตัดสินใจโจมตีกลับเช่นกัน!

ดาวเคราะห์สีแดงฉานสั่นไหวอย่างรุนแรงหลังจากที่นิ้วหักๆ นั้นสลายไปแล้ว เริ่มมีรอยร้าวปรากฏขึ้นบนพื้นผิวของดวงดาวสีแดง แม้มันจะรอดมาได้แต่ก็เสียหายอย่างหนัก เศษดินและหินหลุดร่วงลงมาจากแผ่นเปลือกโลก ผู้อาวุโสมีเลือดซึมออกมาจากริมฝีปาก

การจู่โจมยังไม่สิ้นสุดเพียงเท่านั้น ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์คำรามก่อนจะปลดปล่อยพลังปราณสูงสุดออกมาอีกครา ผมทั้งศีรษะที่เคยดกดำจู่ๆ ก็ขาวโพลนไปหมดในพริบตา และมีริ้วรอยปรากฏขึ้นบนใบหน้าด้วยเช่นกัน ดูเหมือนว่าเขาจะแก่ตัวลงอย่างก้าวกระโดด เป็นราคาที่ต้องจ่ายในการจะจับตัวประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เอาไว้แม้เพียงอึดใจ เพื่อซื้อโอกาสที่จะยกมือขวาของเขาชี้ไปใส่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายนั่นเอง!

มีรอยนิ้วมือขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นพร้อมเสียงกัมปนาทดังสนั่น ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายจ้องมองมันด้วยความหวาดผวาขณะที่รอยนิ้วมือนั้นค่อยๆ ร่วงลงมาก่อนจะตกลงไปบนดาวเคราะห์ของเขา

เกิดเสียงดังสนั่นจักรวาล และมีเสียงครืนลั่นสะท้อนไปทั่วทั้งบริเวณ ดาวเคราะห์สีแดงของผู้อาวุโสมือซ้ายไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป ในอีกอึดใจถัดมา…ดาวเคราะห์ดวงนั้นก็ถล่มลงทั้งหมด แตกสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่กระเด็นกระดอนไปทั่วสนามรบ

ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายส่งเสียงกรีดร้องดังสนั่นเมื่อดาวเคราะห์แตกสลายไป ร่างกายของเขาเองก็ดูเหมือนว่าจะเหี่ยวและยุบเข้าไปในตัวตามดาวเคราะห์ของเขาไป เหมือนว่าร่างของชายชราเป็นลูกโป่งที่ถูกปล่อยลมออกจนเกลี้ยง แต่แรงระเบิดที่เกิดขึ้นจากการแตกสลายของดาวเคราะห์ไม่อาจหยุดการโจมตีร่วมของหวังเป่าเล่อและปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ลงได้ ทั้งคู่ต่างก็มุ่งตรงเข้ามาหวังจะทำลายวิญญาณของผู้อาวุโสให้สิ้นไป และดูเหมือนว่าเกือบจะทำสำเร็จเสียด้วย แต่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็แข็งแกร่งใช่ย่อย ประกายแห่งความบ้าคลั่งสะท้อนอยู่บนดวงตาของชายชราเมื่อกายเนื้อของเขาระเบิด!

ชายชราใช้พลังที่เกิดจากการทำลายตนเองสะท้อนการโจมตีร่วมออกไป เพื่อซื้อเวลาให้วิญญาณของเขาได้มีโอกาสหนี ในวินาทีต่อมา วิญญาณของเขาก็ดิ้นหนีออกจากเงื้อมมือของความตายและรีบถอยหนีจากสนามรบไปอย่างลนลาน

“หลงหนานจื่อ!” วิญญาณของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายตะโกนด้วยความคั่งแค้นและเกลียดชัง ความเสียหายที่ตัวเขาได้รับนั้นหนักหนาอย่างชัดเจน ในขณะที่วิญญาณของเขายังอยู่เป็นตัวตน กายเนื้อของเขากลับถูกทำลายจนสิ้นซาก ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือ…ดาวเคราะห์ของเขาถูกทำลาย ระดับปราณร่วงหล่นลงไปเพราะเหตุนั้น และชายชราก็ไม่อาจกลับขึ้นสู่ระดับดาวพระเคราะห์ได้อีกเป็นครั้งที่สอง!

ความเกลียดชังที่เขามีต่อหวังเป่าเล่อนั้นมากมายเกินจะวัด ชายชราย่อมไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มรอดไปได้แน่ หวังเป่าเล่อยืนอยู่ห่างออกไปขณะที่โทสะและความอาฆาตพยาบาทไหลบ่าเข้าท่วมจิตใจของผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายเย็นยะเยือก จากนั้นก็มีบางสิ่งมาปรากฏอยู่เหนือศีรษะเขา…สิ่งนั้นก็คือ นิ้วหักๆ นิ้วที่สองนั่นเอง!

“ลองเรียกชื่อข้าอีกครั้งหนึ่งสิ ข้าขอท้าเจ้า”

เสียงกรีดร้องของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเงียบลงในบัดดล ชายชรารีบกดเอาความเกรี้ยวกราดและเกลียดชังในใจเอาไว้ แล้วล่าถอยไปอย่างรวดเร็วโดยไม่หันหลังกลับมามอง เขาหนีออกไปได้ไกลลิบภายในพริบตา ร่างกายที่พ่ายแพ้และน่าเวทนาของเขาช่างเป็นภาพที่บาดตายิ่ง

ผลกระทบจากการที่ดาวเคราะห์ของผู้อาวุโสถูกทำลายเริ่มจะแสดงออกมา คลื่นพลังวิญญาณอันรุนแรงพลุ่งพล่านขึ้นมาราวกับเป็นพายุยักษ์ก่อนจะกวาดไปทั่วจักรวาล มันดูราวจะสามารถพัดทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้าให้ราบเป็นหน้ากลางไปในพริบตา สนามรบดูจะพร่ามัวลงไปในบัดดล ทั้งปรมาจารย์มหาทัณฑ์และประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต่างก็ต้องล่าถอยไปให้พ้นระยะแรงระเบิดจากดาวเคราะห์ที่ถูกทำลาย ไม่มีทางที่พวกเขาจะต่อสู้กันได้ต่อ ทั้งคู่ต่างพยายามลดทอนพลังทำลายของแรงระเบิดที่มาจากดาวเคราะห์ของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่เพิ่งถูกทำลายไป

เพราะอย่างไรเสีย…ต่อให้พวกเขาสามารถรอดพ้นจากแรงระเบิดไปได้ แต่ผู้ฝึกตนราวร้อยละเก้าสิบบนสนามรบก็คงไม่อาจรอดตาย หากพวกเขาปล่อยให้แรงระเบิดนั้นกวาดไปทั่วสนามรบได้ตามอำเภอใจ

ความเสียหายอันใหญ่หลวงขนาดนั้นเป็นสิ่งที่ผู้นำของทั้งสองฝ่ายไม่อาจยอมรับได้ ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พาศิษย์ในสำนักมาร่วมการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น สำนักของเขาเป็นเพียงหนึ่งในสำนักที่เข้าร่วมการรุกราน จะเป็นการดีที่สุดหากพวกเขาชนะตั้งแต่การโจมตีระลอกแรก แต่ชายชราก็ไม่ต้องการได้รับชัยชนะหากต้องจ่ายด้วยชีวิตจำนวนมหาศาลของฝ่ายตนเอง

สายฟ้าฟาดส่งเสียงดังสนั่นสะท้อนไปทั่วสนามรบ เมื่อผู้นำทั้งสองต่างก็ล่าถอยไปพลางและพยายามลดแรงกระแทกที่กำลังกระจายไปทั่วจักรวาลไปพลาง

ตอนนั้นเองคนอื่นๆ ก็เพิ่งจะมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจน สิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือร่างอันพร่าเลือนของผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายที่กำลังหนีออกจากสนามรบไปไกลลิบ

ความหวาดกลัวกระจายไปทั่วกองกำลังสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ คลื่นความตื่นตะลึงท่วมท้นขึ้นภายในใจ จนเกิดเป็นความโกลาหลขึ้นในหมู่ผู้ฝึกตนทันที ทุกคนเริ่มล่าถอยตามสัญชาติญาณ

“ผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย…”

“ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายพ่ายแพ้อย่างนั้นหรือ”

“ดูศิลาสีแดงพวกนั้นสิ…สวรรค์ นั่นคือร่างดาวเคราะห์ของเขาหรือ”

ผู้ฝึกตนสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ต่างก็ตะลึงด้วยความหวาดกลัวเช่นกัน แต่เพราะพวกเขาเป็นฝ่ายถูกรุกราน ความตื่นตกใจจึงผสมปนเปไปกับความตื่นเต้นอย่างหนัก พวกเขาเดินหน้าใส่คนของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังถอยหนีอย่างไม่เกรงกลัว

กระแสของการรบเปลี่ยนไปในบัดดล ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราด นัยน์ตาแดงฉานจ้องเขม็งไปยังปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และหวังเป่าเล่อตาไม่กะพริบ ก่อนจะหรี่ลงเมื่อมองไปเห็นนิ้วหักๆ ที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของชายหนุ่ม ประมุขสำนักรีบข่มใจเก็บโทสะและความบ้าคลั่งภายในเอาไว้ ก่อนจะสะบัดข้อมือ เรียกพายุใหญ่ที่ดึงเอากองกำลังที่เหลืออยู่ของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ให้ถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว

ความพยายามในการรุกรานระลอกแรกของอารยธรรมครามทองคำ…ล้มเหลว แถมพวกเขายังเผชิญกับความสูญเสียอย่างหนักอีกด้วย!

สาเหตุของความพ่ายแพ้นั้นมาจาก…การที่หวังเป่าเล่อเข้ามาร่วมศึกด้วย!

ผู้ฝึกตนจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไม่ยอมให้คนของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หนีไปได้ง่ายๆ พวกเขาพากันต่อสู้กับศัตรูอย่างบ้าคลั่ง กระทั่งเมื่อประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ใช้พลังเทพพาสมาชิกสำนักทุกคนหนีไปได้ เมื่อนั้นบรรดาผู้ต่อต้านจึงได้หยุดต่อสู้ ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะถูกแทนที่ด้วยเสียงไชโยโห่ร้องดังก้องสนามรบ เสียงนั้นมาจากบรรดาผู้คนที่รอดพ้นเงื้อมมือของพญามัจจุราชมาได้นั่นเอง

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ผู้ที่ต่อสู้อย่างสุดแรงมาโดยตลอดพยายามอย่างหนักที่จะไม่แสดงอาการอ่อนแอออกมาให้เห็น ชายวัยกลางคนเหลือบมองหวังเป่าเล่อ ก่อนจะกลืนเลือดอึกใหญ่ที่คั่งค้างอยู่ในปากอย่างไม่แสดงสีหน้าใดๆ และยิ้มออกมาอย่างจริงใจ จากนั้นก็หันไปโค้งคำนับต่ำให้หวังเป่าเล่อต่อหน้าบรรดาศิษย์ ไม่สนใจยศถาหรือระดับปราณใดๆ แม้แต่น้อย

“ขอขอบคุณสหายร่วมสำนักเต๋าหลงหนานจื่อสำหรับความช่วยเหลือ! ทั้งตัวข้าและสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เป็นหนี้ท่านครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก!”

หากเป็นในอดีต เขาคงไม่เรียกหลงหนานจื่อว่าสหายร่วมสำนักเต๋า

คงไม่กระทำตนเหมือนว่าหลงหนานจื่อนั้นเป็นผู้เท่าเทียม

ความเปลี่ยนแปลงในน้ำเสียงและท่าทางนั้น…แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกภายในของชายวัยกลางคนที่เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง!

……………………………

งเดาจากประสบการณ์ที่ผ่านๆ มา ข้อสรุปที่ชายหนุ่มได้ก็คือ…ต่อให้ตัวเองจะไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ แต่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่หวังจะฆ่าเขาก็ควรต้องคิดดีๆ เพราะคงไม่ใช่เรื่องง่ายแต่อย่างใด!

นั่นเพราะว่า ความแตกต่างเดียวระหว่างตัวเขากับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ก็คือ…หวังเป่าเล่อไม่มีดาวเคราะห์และแรงกดดันของดาวเป็นของตนเอง ชายหนุ่มยังไม่ได้ผนึกกายรวมกับดาวเคราะห์ แปลว่าพลังวิญญาณของเขายังอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ พลังวิญญาณของหวังเป่าเล่อโดยพื้นฐานแล้วจะทรงพลังน้อยกว่าของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์

โดยปกติแล้ว แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะก้าวข้ามความแตกต่างในระดับพลังที่กว้างถึงเพียงนั้น ทว่า…หวังเป่าเล่อมีพลังวิญญาณอยู่มากจนแทบเกินจิตนาการ ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทั่วไปน่าจะมีพลังวิญญาณเพียงครึ่งเดียวของเขาเท่านั้น ชายหนุ่มสามารถสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ได้โดยออกแรงแค่ร้อยละเจ็ดสิบเท่านั้น ขณะนี้เมื่อเขาได้ปล่อยพลังวิญญาณออกมาจนสุด พลังของเขาไม่เพียงได้รับการส่งเสริมจากเกราะมหาจักรพรรดิเท่านั้น แต่ยังได้รับการช่วยเหลือจากพลังเทพของเขาเคล็ดวิชาดวงเนตรปีศาจอีกด้วย พวกมันต่างก็ส่งเสริมพลังปราณอันมหัศจรรย์ที่หวังเป่าเล่อมีอยู่แล้ว และช่วยให้ชายหนุ่มสามารถปลดปล่อยพลังได้อย่างรุนแรงชนิดที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

พลังวิญญาณที่มากจนท่วมท้นของเขา…มอบพลังในการรับมือกับคู่ต่อสู้ที่มีพลังวิญญาณเหนือกว่าในขณะที่ตัวเขามีพลังวิญญาณต่ำกว่ามาให้

ทุกคนบนสนามรบจับจ้องไปยังพายุหมุนที่ก่อตัวขึ้นภายนอกกายหวังเป่าเล่อ มันมีขนาดใหญ่พอๆ กับหัตถ์ระดับดาวพระเคราะห์และทำหน้าที่เป็นม่านกำบังผู้ฝึกตน พวกเขาต่างก็พากันจ้องมอง เมื่ออาวุธเทพของชายหนุ่มฟันลงมา ส่งเอาเสียงดังกึกก้องสะท้อนไปทั่วจักรวาล พลางฉีกกระชากความว่างเปล่าจนขาดวิ่น

ดวงเนตรปีศาจก็ปลดปล่อยพลังออกมาในวินาทีนั้น สอดประสานรับกับดวงวิญญาณคนตายนับล้านดวงและจักรพรรดิทั้งสิบสองที่อยู่รอบกายหวังเป่าเล่อ ทันใดนั้นดวงตาที่ปรากฏขึ้นมารอบหัตถ์ยักษ์ก็ระเบิดขึ้นพร้อมกัน ส่งให้หัตถ์นั้นสั่นไหวไปทั่ว แต่การโจมตีนี้เป็นการโจมตีระดับดาวพระเคราะห์ที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายได้ใช้กำลังทั้งหมดในการซัดออกมา แม้ว่าดวงเนตรปีศาจจะทรงพลังเพียงใด ระดับปราณของมันก็ยังไม่สูงพอที่จะใช้พลังเทพทำลายหัตถ์ระดับดาวพระเคราะห์ได้อย่างสมบูรณ์ ทำได้เพียงลดพลังของหัตถ์ลงบ้างก็เท่านั้น!

หัตถ์ยักษ์ยังคงพุ่งลงมาพร้อมเสียงดังสนั่น หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังระดับดาวพระเคราะห์ที่ซัดสาดออกมาราวกับเป็นคลื่นคลั่ง พลังนั้นพวยพุ่งเข้าใส่เขา มันเป็นคลื่นอันถาโถมที่กลืนกินทุกสิ่งที่ขวางหน้า แถมยังทำลายการโจมตีกลับของเขาไปหลายส่วน

คลื่นพลังผลักหวังเป่าเล่อกระเด็นไป แถมยังกันไม่ให้อาวุธเทพของเขาได้ฟันลงมาได้ถนัด ชายหนุ่มถูกบังคับให้ถอยหลังกลับ ขณะที่ฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ยังคงเคลื่อนที่เข้ามาหา

ช่างเป็นภาพอันน่ามหัศจรรย์ ทุกคนเฝ้ามองขณะที่หวังเป่าเล่อถูกบีบให้ต้องถอยออกจากฝ่ามือที่พุ่งเข้ามาไม่หยุดหย่อน พวกเขามองเห็นบุรุษผู้ที่กำลังจะถูกบดขยี้!

ฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ดูคล้ายลูกไฟที่กำลังจะเผาตัวตนของหวังเป่าเล่อให้กลายเป็นจุณ

อีกด้านหนึ่ง พลังวิญญาณของหวังเป่าเล่อเองก็ไม่แข็งแกร่งพอ มันไม่อาจจะเป็นน้ำที่ช่วยดับเปลวไฟอันร้อนแรงนี้ได้ พลังวิญญาณของชายหนุ่มดูคล้ายหมอกมากกว่าน้ำ ทว่า…แม้จะไม่ใช่น้ำ แต่ก็ยังเป็นหมอกที่ทรงพลังพอประมาณ และหากกระแสหมอกอันเจือจางไม่อาจดับเพลิงได้ หวังเป่าเล่อก็สามารถเรียกหมอกอันหนาแน่นออกมาได้ และหากหมอกดังกล่าวยังทำไม่ได้ ชายหนุ่มก็ยังสามารถเรียกทะเลหมอกออกมาทั้งหมดได้เช่นกัน!

เขามีทะเลหมอกเป็นของตนเอง ชายหนุ่มปล่อยมันออกมาในบัดดลและส่งหมอกนั้นพุ่งไปยังพลังระดับดาวพระเคราะห์ที่เผาไหม้อยู่ตรงหน้าในรูปของฝ่ามือ หมอกนั้นเข้าไปปกคลุมหัตถ์เอาไว้ แม้จะไม่รุนแรงเพียงพอ และอาจสลายไปทันทีที่สัมผัสฝ่ามือ แต่หวังเป่าเล่อก็มีพลังวิญญาณปริมาณมหาศาลที่ดูราวกับว่าไร้ก้นบึ้ง เมื่อทะเลหมอกอันแรกไม่เพียงพอ ชายหนุ่มก็พร้อมที่ส่งทะเลหมอกออกไปอีกนับร้อย!

พลังวิญญาณของเขามากพอที่จะปกคลุมสรวงสวรรค์ได้ มันไหลบ่าออกมาจากกายของหวังเป่าเล่อก่อนจะระเบิดขึ้นไปสู่ท้องฟ้า!

“ทำลายมันเสีย!” หวังเป่าเล่อส่งเสียงคำรามดังกึกก้อง ชายหนุ่มตัวสั่นอยู่กลางอากาศ ขณะที่มีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาในดวงตาเพราะเขากำลังใช้พลังทั้งหมดในการต่อต้านพลังของฝ่ามือ พลังวิญญาณปะทุขึ้นมาจากกายของหวังเป่าเล่ออย่างบ้าคลั่ง ทานแรงของฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์เอาไว้ด้วยพลังมหาศาล

ดูเหมือนเป็นการส่งกองทัพมดออกไปรับมือกับพญาคชสาร จำนวนอันมากมายของมดทำให้ช้างไม่อาจรับมือได้ เปลวเพลิงระดับดาวพระเคราะห์ค่อยๆ อ่อนกำลังลง และฝ่ามือก็เริ่มเลือนลาง ในที่สุด ขณะที่แววตาของชายหนุ่มลุกโชนไปด้วยจิตสังหาร ขณะที่เขากำลังคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว ขณะที่มือขวาของเขากำแน่นลงไปบนอาวุธเทพและเตรียมพร้อมสำหรับการโจมตีครั้งต่อไป และขณะที่พลังปราณภายในกายเขาพุ่งขึ้นไม่หยุดยั้ง กายของหวังเป่าเล่อก็เริ่มส่องแสงสว่างจ้าออกมา

“จ้วงฟัน!” หวังเป่าเล่อพุ่งไปข้างหน้าขณะที่คำรามออกมา อาวุธเทพของเขาตัดทุกสิ่งที่ขวางหน้า เสียงฟ้าคำรามดังกึกก้องไปทั่วจักรวาล และฝ่ามือที่เริ่มจะเลือนลางลงไปทุกทีก็ถูกผ่าออกเป็นสองซีก!

เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นในอากาศอีกครั้งขณะที่ฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ถูกทำลายลงในที่สุด แรงทำลายส่งผลให้เกิดพลังวิญญาณพวยพุ่งออกไปภายนอก ผู้ฝึกตนทั้งสองฝ่ายที่ขยับหนีห่างออกจากบริเวณการต่อสู้ไม่อาจหลีกพ้นแรงกระแทกจากการสลายตัวของหัตถ์ไปได้ พวกเขาต่างก็กระอักเลือดออกมาพร้อมซวนเซ ในเวลาเดียวกัน ตรงกลางสนามรบก็มีพื้นที่ว่างกว้างใหญ่ปรากฏออกมาในบัดดล

หวังเป่าเล่อเป็นคนเดียวที่ยืนอยู่ตรงกลางพื้นที่นั้น ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น นัยน์ตาวาวโรจน์ไปด้วยความกระหายการต่อสู้ ภาพนี้ฝังเข้าไปในใจของทุกๆ คนในที่นั้น ช่างเป็นภาพที่น่าจดจำเสียจนพวกเขาไม่อาจลืมเลือนได้เลย

สีหน้าของทั้งศิษย์แห่งเต๋ากูโม่และพ่อบ้าน รวมไปถึงผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทั้งสองจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่จ้องมองไปยังหวังเป่าเล่อนั้นมีทั้งความตกใจและหวาดกลัวระคนกัน การสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ก็ยังไม่เทียบเท่าการปัดป้องการโจมตีระดับดาวพระเคราะห์ อันแรกอาจจะน่าตกใจ แต่อันหลัง…ช่างน่าเกรงขามและน่าสะพรึงกลัว!

ไม่ใช่แค่พวกเขาที่รู้สึกเช่นนั้น ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ รวมไปถึงประมุขสำนักและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เองก็ตกใจเป็นอย่างยิ่งเช่นกัน พวกเขาต่างมึนงงกับสิ่งที่ได้เห็น โดยเฉพาะผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย ชายชราถึงกับส่งเสียงตะโกนออกมาตามสัญชาติญาณ เปล่งเสียงเรียกชื่อตำแหน่งในตำนานจากส่วนลึกในความทรงจำ!

“มหาศิษย์เต๋าอย่างนั้นหรือ”

“มหาศิษย์เต๋าหรือ เป็นไปไม่ได้! สถานที่นี้เป็นเพียงอาณาเขตอันห่างไกลในจักรพิภพทั้งสิบเก้าของเรา ที่แห่งนี้มีเพียงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เท่านั้น มหาศิษย์เต๋าในตำนานจะมาอยู่ในที่ด้อยพัฒนาอย่างนี้ได้อย่างไร” ประมุขสำนักแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถึงกับอ้าปากกว้างด้วยความตกใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น นัยน์ตาเปี่ยมไปด้วยความตกตะลึง

ชายชรารู้ดีว่าระดับดาวพระเคราะห์ไม่มียศถาที่เกี่ยวข้องกับเต๋า แปลว่ายศมหาศิษย์เต๋านั้นไม่ใช่ชื่อที่จะมอบให้ผู้ที่บรรลุขั้นปราณระดับดาวพระเคราะห์แต่อย่างใด ยศดังกล่าวสงวนเอาไว้สำหรับอัจฉริยะจากสำนักที่แข็งแกร่งจากจักรพิภพเต๋าและจากตระกูลที่เข้มแข็งเช่นตระกูลไม่รู้สิ้นเท่านั้น!

อัจฉริยะเหล่านั้นเป็นผู้มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สำนักหรือตระกูลเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดีและลงทุนในการฝึกปรือไปมากมาย พวกเขาเป็นผู้ที่จะมาสืบทอดตำแหน่งประมุขสำนักหรือประมุขตระกูลในอนาคต ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นนั้น อัจฉริยะเหล่านั้นถูกขนานนามว่า…มหาศิษย์เต๋า!

นั่นเพราะพวกเขาถือว่าอยู่ในอีกระดับหนึ่งหากเทียมกับผู้ฝึกตนทั่วๆ ไป พวกเขามีความสามารถในการรับมือคู่ต่อสู้ที่มีระดับปราณสูงกว่า แถมยังมีพลังปราณสำรองอันเหลือล้น หากการฟูมฟักของพวกเขาสัมฤทธิ์ผล พวกเขาก็สามารถรับช่วงต่อในฐานะผู้กุมอำนาจสูงสุดในสำนักหรือตระกูลได้ เมื่อถึงเวลานั้น…พวกเขาก็จะกลายเป็นปราชญ์แห่งเต๋า ผู้จะนำสำนักหรือตระกูลไปสู่ความรุ่งโรจน์!

เป็นสาเหตุให้พวกเขาถูกขนานนามว่ามหาศิษย์เต๋า!

ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายเพิ่งได้เห็นหวังเป่าเล่อปัดป้องการโจมตีของเขาได้สำเร็จ ชายชรายังสัมผัสได้อีกด้วยว่าหวังเป่าเล่ออยู่ในขั้นจุติวิญญาณชั้นปลายเท่านั้น แต่ถึงกระนั้น ชายหนุ่มก็มีพลังวิญญาณสำรองอันเหลือล้นจนกระทั่งผู้อาวุโสมือซ้ายถึงกับตะลึง ทุกสิ่งทุกอย่างบ่งชี้ไปยังชื่อตำแหน่งที่ปรากฏขึ้นมาในมโนสำนึกของชายชรา

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ตกใจไม่แพ้กัน แต่เหตุผลในการตกใจของเขาต่างจากผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายอยู่สักหน่อย ในฐานะผู้ที่กำลังป้องกันแผ่นดินจากผู้รุกราน ชายวัยกลางคนกังวลเรื่องความอยู่รอดของสำนักของตนเหนือสิ่งอื่นใด เขาเป็นคนแรกที่หายจากอาการตื่นตะลึง ก่อนจะส่งการโจมตีออกไปทันที ประมุขสำนักและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต้องรีบหลุดออกจากภวังค์ก่อนจะหันกลับมาตั้งใจต่อสู้อีกครั้ง การโจมตีอันรุนแรงที่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ซัดออกมานั้นทำให้ทั้งประมุขสำนักและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่มีช่องไปโจมตีหวังเป่าเล่อได้ในตอนนั้น

แต่…หวังเป่าเล่อนั้นมีช่องจู่โจมแน่นอน ชายหนุ่มจะไม่ยอมให้ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายกดดันอยู่ได้ฝ่ายเดียว นัยน์ตาของเขาส่องประกายขณะที่เงยศีรษะขึ้นมองผู้อาวุโส

ไม่ว่าเราจะทำอะไร ทุกสิ่งก็มีดีและเสีย!

อย่าคิดเล่าว่าท่านบิดาของเจ้าทำอะไรเจ้าไม่ได้ เพียงเพราะเจ้าอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์! มีประกายเย็นยะเยือกสะท้อนอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อขณะที่ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นในอากาศ ภายในใจของเขาสั่นไหวเมื่อฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ที่อยู่ในเปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายเริ่มสั่นไหวรุนแรง หนึ่งในสามนิ้วหักงอภายในเปลวเพลิงแตกกระจายและหายไปทันที ก่อนจะมาปรากฏอยู่…ด้านนอกกายหวังเป่าเล่อ ตรงเหนือศีรษะของเขานั่นเอง!

นิ้วนั้นเป็นสีแดงฉานรายล้อมไปด้วยสายฟ้าฟาด มีรัศมีของความบ้าคลั่งและโหดร้ายแผ่ออกมา เพียงพอที่จะทำให้ใบหน้าของผู้คนที่ได้เห็นนั้นซีดเผือด!

เมื่อนิ้วมาปรากฏ มันก็กลับหลังหันและชี้ไปยัง…ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทันที!

จักรวาลส่งเสียงครืนสนั่น ความว่างเปล่าสั่นไหวขณะที่พลังระดับดาวพระเคราะห์พวยพุ่งขึ้นไปยังสรวงสวรรค์ ครอบคลุมทั้งจักรวาลและทำให้ทุกชีวิตบนสนามรบตื่นตะลึงอีกครั้ง

นั่นก็เพราะ…พลังที่อยู่ในนิ้วนั้นเป็นพลังระดับดาวพระเคราะห์ที่แท้จริง ดูๆ แล้วอาจแข็งแกร่งกว่าหัตถ์ที่ผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายซัดออกมาเสียอีก!

“มันอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์!”

“สวรรค์ หลงหนานจื่อมันไม่เจอตั๋วทองคำชนิดไหนมากัน ถึงได้บรรลุขั้นปราณได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ เขาปกปิดระดับปราณที่แท้จริงมาจนถึงตอนนี้เลยเชียวหรือ”

“เขารู้วิธีใช้เคล็ดวิชาฝึกปราณของราชวงศ์ และยังสามารถควบคุมวิญญาณคนตายของตระกูลได้อีก เขาอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย แต่มีพลังพอที่จะสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ ทั้งยังยืนหยัดรับมือกับการโจมตีระดับดาวพระเคราะห์ได้ แถมตอนนี้ ยังเรียกนิ้วระดับดาวพระเคราะห์ออกมาได้อีก!”

ผู้ฝึกตนทั้งสองฝ่ายต่างพากันเสียอาการจากเหตุการณ์น่าตื่นตะลึงที่เกิดขึ้นต่อๆ กัน เทพธิดาหลิงโยวและผู้ฝึกตนอื่นๆ ต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กัน ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์รวมถึงประมุขสำนักและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตื่นตกใจมากกว่าใครเพื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย ผู้ซึ่งขณะนี้มีสีหน้าตื่นตกใจ ความกลัวเข้าเกาะกุมจิตใจ ขณะที่เสียงเตือนอันตรายดังสนั่นอยู่ในศีรษะ

“สังหารเขาเสีย!” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อฉาบสะท้อนไปด้วยจิตสังหาร ขณะที่มือขวาของเขาสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ก่อนจะชี้ไปยังผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายทันที!

…………………………..

เกิดเสียงดังสนั่นกึกก้องสะท้อนไปมาอยู่ในอากาศ มีพายุหมุนขนาดมหึมาหมุนวนอยู่รอบกายหวังเป่าเล่อ เส้นผมของชายหนุ่มโบกสะบัดไปตามกระแสลมขณะที่คลื่นพลังปราณไหลบ่าออกมาจากกายเขาไม่หยุดยั้ง ท่วมล้นสิ่งรอบข้างราวกับเป็นคลื่นคลั่งในทะเลยามต้องพายุ!

การปล่อยพลังปราณของหวังเป่าเล่อดูคล้ายคลื่นยักษ์ที่โถมซัดเข้าฝั่ง พลังนั้นรุนแรงเสียจนจักรวาลรอบข้างสั่นสะเทือน ทำให้หวังเป่าเล่อกลายเป็นจุดสนใจของทุกๆ คนในสนามรบไปในบัดดล!

และนี่…เป็นเพียงพลังร้อยละเจ็ดสิบของเขาเท่านั้น!

ภาพที่หวังเป่าเล่อสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทำเอาทุกคนถึงกับตกตะลึง ผู้ฝึกตนทั่วไปของทั้งสองฝ่ายที่อยู่ในสนาบรบต่างนิ่งงัน กระทั่งเทพธิดาหลิงโยวก็ยังผงะ ผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำที่เคยช่วยชีวิตหวังเป่าเล่อไว้ครั้งหนึ่งก็ตกใจเช่นกัน ประกายแห่งความสับสนจางๆ ปรากฏอยู่บนดวงตาของเขา

ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างตกตะลึงกับระดับของรัศมีและพลังปราณที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมาตั้งแต่แรกมาถึงสนามรบอยู่แล้ว มาบัดนี้ พวกเขายิ่งตื่นตกใจมากขึ้นไปอีกไม่รู้กี่เท่า ชายหนุ่มสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ที่ต้องผลาญพลังปราณของตัวเองเพื่อสู้ทั้งที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายลงได้ความแตกต่างกันของพลังนั้นช่างมากเสียจนน่ากลัว!

“หลงหนานจื่อ…”

“เจ้าไปพบเจอตำราลับแบบไหนมากันระหว่างที่หายตัวไป”

“หรือว่านี่จะเป็นการอุบัติขึ้นของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่แข็งแกร่งอีกคนหนึ่งในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์กันแน่” บรรดาผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ต่างก็พากันจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาเคารพและยำเกรง

ไม่เพียงพวกเขาเท่านั้น กระทั่งปรมาจารย์มหาทัณฑ์และศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ต่างก็มีนัยน์ตาเบิกโพลง แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางการต่อสู้อันดุเดือด ปรมาจารย์มหาทัณฑ์สวรรค์ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจเมื่อมองไปทางเทพธิดาหลิงโยว ยิ่งเขาคิดเรื่องนี้มากเพียงใด ชายวัยกลางคนก็ยิ่งรู้สึกว่าทั้งสองช่างเหมาะสมกันอย่างยิ่ง

ข้างศิษย์แห่งเต๋ากูโม่นั้นมีอารมณ์อันหลากหลายปรากฏขึ้นมาบนสีหน้า แววตาท้อถอยฉายชัด เขานั้นทำใจยอมรับกับความพ่ายแพ้เอาไว้แล้ว แต่หากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จะมีชัย เขาก็รู้ดีว่า…เกียรติยศในการควบคุมกองทหารที่ทรงพลังที่สุดในสำนักย่อมไม่ได้อยู่ในมือเขาอีกต่อไปเป็นแน่

ชายหนุ่มไม่ต้องการเสียอำนาจไป แต่ความไม่แน่ใจนั้นหนักหนากว่าความหวงแหนอำนาจมากนัก เขารู้ดีว่าจากการรุกรานของอารยธรรมครามทองคำ การขึ้นสู่อำนาจของหวังเป่าเล่อย่อมต้องเป็นสิ่งเหมาะสมในสายตามหาชนเป็นแน่ มันต้องเป็นสิ่งที่มวลชนให้การยอมรับสนับสนุน อันที่จริงแล้ว ตามนิสัยของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ที่เขารู้จัก หากพวกเขาชนะการต่อสู้ครั้งนี้ ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ย่อมต้องให้การต้อนรับหวังเป่าเล่ออย่างอบอุ่นยากเสมอเหมือนแน่นอน!

ความคิดเหล่านี้แล่นผ่านศีรษะของศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ไป ขณะที่…ความตื่นตะลึงนั้นครอบงำคู่ต่อสู้ของเขาเสียสิ้น ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทั้งสองรู้ดีว่าชิงคุนจื่อนั้นทรงพลังเพียงใด และเรื่องนี้ก็ทำให้ศีรษะของทั้งคู่ตื้อตึงไปหมด ทุกๆ สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นดูราวกับเป็นภาพที่หลุดออกมาจากความฝันอันบ้าคลั่งและเหลือเชื่อ

หวังเป่าเล่อนั้นแทบไม่ได้ออกแรง แถมยังเป็นต่อชิงคุนจื่ออยู่ตลอดการต่อสู้ กระทั่งทั้งกายเนื้อและวิญญาณของอีกฝ่ายถูกทำลายลงจนสิ้นซาก การต่อสู้ทั้งหมดดำเนินไปอย่างที่ผู้ฝึกตนทั้งสองไม่ได้คาดคิดมาก่อนแม้แต่น้อย

พวกเขาคิดไปว่าชิงคุนจื่อคงจะได้รับชัยชนะอย่างง่ายดาย สมาชิกสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต่างก็เฝ้ามองด้วยความคาดหวังและตื่นเต้นตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ ขณะที่คนจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นเปี่ยมไปด้วยความตื่นกลัวและวิตกกังวล

เพราะอย่างไรเสีย ชิงคุนจื่อก็มีปราณอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ แถมยังอยู่ในจุดสูงสุดของขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งในด้านระดับปราณ พลัง และความแข็งแกร่ง แม้จะไม่ใช่คู่มือของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ แต่ความแตกต่างระหว่างระดับปราณทั้งสองก็ช่างห่างไกลนัก แต่ถึงอย่างนั้น ชิงคุนจื่อก็บรรลุถึงขั้นสุดยอดของระดับก่อนระดับดาวพระเคราะห์แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น เขายังผลาญพลังปราณของตัวเองเพื่อจะปลดปล่อยพลังออกมาจนสูงสุด แม้พลังที่ปลดปล่อยออกมาจะยังไม่ถึงระดับดาวพระเคราะห์ แต่ก็ย่อมเหนือกว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทั่วไปอย่างแน่นอน และเขาย่อมอยู่ในจุดสูงสุดของระดับพลังตัวเองแน่

ในสถานการณ์เช่นนี้ การจะสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายก็ไม่ควรเป็นเรื่องท้าทายนัก แต่…เขาก็ล้มเหลว อันที่จริงแล้ว เขาเพลี้ยงพล้ำถึงขนาดที่ไม่อาจตอบโต้ได้จนกระทั่งถูกสังหาร!

ฉากนั้นส่งเอาความตื่นตระหนกเข้าไปจับในหัวใจของทุกคน ทำเอาสั่นไหวไปจนถึงแก่นดวงใจ พวกเขาคิดว่า…มีเพียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์และสูงกว่าเท่านั้นที่จะทำอะไรเช่นนั้นได้!

แม้ว่าคลื่นพลังปราณลูกสุดท้ายที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมานั้นจะอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย แต่สิ่งที่คนอื่นๆ โดยรอบสัมผัสได้คือพลังอันแข็งแกร่งจนเหลือเชื่อที่อยู่เหนือขั้นจิตวิญญาณอมตะขึ้นไปอีก พวกเขาไม่เคยเห็นพลังอันแข็งแกร่งเช่นนั้นจากผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะมาก่อน มีเพียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เท่านั้นที่มีพลังเทียบเทียมได้!

ประมุขสำนักและผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รวมถึงปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ล้วนตกตะลึงกับระดับพลังที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมาอยู่ในใจ แต่ในฐานะผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ ไม่นานนักพวกเขาก็รับรู้ว่ามีบางสิ่งขาดหายไป

ไม่มีพลังกดดันระดับดาวพระเคราะห์แต่อย่างใด ชายหนุ่มยังไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์! ปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เป็นคนแรกที่รู้สึกตัว ประมุขสำนักและผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็สัมผัสได้ในไม่กี่อึดใจต่อมา จากนั้นในอีกอึดใจ ประกายแปลกประหลาดก็สะท้อนอยู่ในแววตาของปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ชายวัยกลางคนสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ และปลดปล่อยแรงกดดันของดาวเคราะห์ของเขาออกมา มันเข้าปกคลุมทั้งประมุขสำนักและผู้อาวุโสของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เอาไว้

แต่เท่านั้นไม่เพียงพอ แม้จะดูเหมือนว่าผู้นำของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้ยืดเยื้อกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แต่นั่นเป็นเพราะก่อนหน้านี้ประมุขสำนักของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เอาจริงในการต่อสู้ อีกด้านหนึ่งปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นต่อสู้ชนิดถวายชีวิต เมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ประกายสังหารก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เขาเรียกดาวเคราะห์ออกมาก่อนจะปลดปล่อยพลังทั้งหมด ผู้อาวุโสรับใช้จึงได้รับโอกาสให้โจมตี!

ผู้อาวุโสต้านทานแรงกดดันจากดาวเคราะห์ของปรมาจารย์มหาทัณฑ์และหันกลับมาเช่นกัน ก่อนจะปล่อยพลังปราณทั้งหมดออกมาแล้วซัดฝ่ามือทะลุจักรวาลไปทางหวังเป่าเล่อ

ราคาของการโจมตีในครั้งนั้นคือเขาต้องรับความเสียหายจากแรงกดดันจากปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไประดับหนึ่ง รวมถึงเลือดที่กระอักออกมาหลังจากจู่โจมไปแล้ว ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ไม่อาจหยุดการโจมตีของผู้อาวุโสได้ทัน ฝ่ามือที่ผู้อาวุโสซัดออกไปแปรสภาพเป็นหัตถ์ขนาดยักษ์ที่ระเบิดเข้าใส่หวังเป่าเล่อด้วยพลังอันน่าสะพรึงกลัว

หัตถ์นั้นกว้างหลายร้อยเมตรและแผ่พลังระดับดาวพระเคราะห์ออกมา ผู้อาวุโสระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้นใช้พลังเต็มที่ในการปล่อยการโจมตีนั้นออกมา ส่งเอาแรงกดดันของดาวเคราะห์ตนเองออกไป เสียงดังสนั่นก้องจักรวาล ฉีกเอาความว่างเปล่าจนขาดวิ่นและสั่นคลอนจักรวาลไปตลอดทาง ผู้ฝึกตนที่อยู่ในรัศมีการโจมตีไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู ต่างก็ตัวสั่นก่อนจะสลายเป็นฝุ่นไปทันทีที่สัมผัสโดนหัตถ์นั้น!

ความแข็งแกร่งของการโจมตีนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างนิ่ง แรงกดดันที่หัตถ์นั้นแผ่ออกมารุนแรงเสียจนสามารถกดผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะได้เลยทีเดียว หัตถ์ส่งเสียงคำรามกึกก้องพลางพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว เคลื่อนที่เข้าถึงตัวชายหนุ่มแทบจะในพริบตา

ประกายกล้าสะท้อนขึ้นในดวงตาทั้งคู่ของหวังเป่าเล่อขณะที่ชายหนุ่มผงกศีรษะขึ้นอย่างฉับพลัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายตั้งแต่บรรลุขั้นมา แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้กังวลแต่อย่างใด อันที่จริงแล้ว ชายหนุ่มตัวสั่นเพราะความตื่นเต้น ประกายไฟแห่งการต่อสู้ลุกโชนขึ้นในดวงตา เขาประกบฝ่ามือเข้าด้วยกันเป็นผนึกฝ่ามือชุดใหญ่ ก่อนจะชูมือทั้งคู่ขึ้นไปบนอากาศแล้ววาดผ่านท้องฟ้า

พลังปราณร้อยละเจ็ดสิบที่ชายหนุ่มกระจายออกไปปรากฏออกมาในวินาทีนั้น พายุหมุนรอบกายเขาขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว แผ่กระจายเป็นความกว้างร่วมสามพันเมตรในพริบตา พลังที่ปรากฏออกมานั้นทำเอาผู้ฝึกตนจากทั้งสองฝ่ายต้องกระเด็นถอยหลัง พลังที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมาดูจะสูสีกับหัตถ์ระดับดาวพระเคราะห์ที่กำลังมุ่งหน้าใกล้เข้ามา!

เมื่อชายหนุ่มปลดปล่อยพลังปราณออกมาเต็มที่ ดวงเนตรสีดำขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา มันลอยล่องอยู่เหนืออวกาศ ส่งกระแสเย็นสะท้านสันหลังให้ทุกคนที่มองเห็น ตัวตนที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อชัดเจนขึ้นมาพร้อมกัน

นั่นเป็นเพราะว่า…เมื่อดวงเนตรปีศาจสีดำขนาดมหึมาปรากฏขึ้นมานั้น ดวงเนตรสวรรค์เบื้องหลังจักรพรรดิทั้งสิบสองก็ส่องแสงแรงกล้าออกมา ราวกับว่าจะขานรับการมาถึงของอีกฝ่าย ดวงเนตรสวรรค์ที่ล่องลอยอยู่เบื้องหลังหุ่นเชิดทั้งแสนก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน หากมองใกล้ๆ ก็จะเห็นว่ามีดวงเนตรสวรรค์สิบดวงซ้อนกันเป็นดวงเดียวแทนที่จะอยู่เดี่ยวๆ

ดวงเนตรสวรรค์หนึ่งล้านดวงปรากฏขึ้นและตอบสนองต่อดวงเนตรปีศาจของหวังเป่าเล่อ เกราะมหาจักรพรรดิของชายหนุ่มก็เริ่มส่องแสงแรงกล้าออกมา หวังเป่าเล่อที่บัดนี้เนื้อตัวสว่างจ้าไปหมดเงยหน้าขึ้นฟ้าก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น

“เจ้าอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์แล้วอย่างไรกัน…เจ้าจะทำอะไรข้าได้” ชายหนุ่มพุ่งทะยานออกไป พูดยังไม่ทันขาดคำก็มุ่งหน้าเข้าไปหาหัตถ์ระดับดาวพระเคราะห์ ขณะที่ทั้งสองปะทะกัน แขนขวาของหวังเป่าเล่อก็แปรสภาพไปเป็นอาวุธเทพและฟันใส่หัตถ์ราวกับเป็นใบมีด!

ดวงเนตรปีศาจเบื้องหลังเขาลืมตาโพลงขึ้นในทันที พร้อมๆ กันกับดวงเนตรสวรรค์ทั้งหนึ่งล้านที่ลืมขึ้น ในบัดดล… ตอนนั้นเองภาพของดวงเนตรสวรรค์นับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้นบนหัตถ์ระดับดาวพระเคราะห์ เมื่อมือของหวังเป่าเล่อสะบัดลงไป ภาพเหล่านั้นก็…ระเบิดขึ้น!

จักวาลสั่นไหว ความว่างเปล่าขาดสะบั้น ราวกับว่าดาวเคราะห์ทั้งดวงได้บุบสลายหายไปในแสงอันส่องสว่าง ท่ามกลางแสงเจิดจ้านั้น การต่อสู้ระหว่างหวังเป่าเล่อและหัตถ์ระดับดาวพระเคราะห์ก็เป็นที่ประจักษ์ ราวกับเป็นการต่อสู้ระหว่างธรรมะและอธรรมหรือแสงสว่างและความมืด มันดึงเอาความสนใจของทุกคนบนสนามรบไปเสียสิ้น…ราวกับเป็นแสงสว่างอันเจิดจ้าของดวงตะวันก็ไม่ปาน

………………………….

การปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อเป็นทั้งปัจจัยสำคัญและศิลาก้อนมหึมา ชายหนุ่มมอบโอกาสให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์พลิกกลับมาได้เปรียบในการต่อสู้ที่เสียเปรียบมาตั้งแต่ต้น ขณะที่ทุกคนในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ลุกขึ้นสู้ สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็อ่อนแรงลงตามลำดับ พวกเขาถอยร่นไม่เป็นขบวนและดูราวกับว่าสุดท้ายแล้วสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ขึ้นมาได้เปรียบจนได้!

แม้ว่าการได้เปรียบนี้จะไม่ได้หมายถึงชัยชนะ แต่ก็พอจะจินตนาการได้ว่า หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ โอกาสชนะก็จะเพิ่มขึ้นทุกทีๆ ในที่สุด การจะเอาชนะได้ก็อาจไม่เกินเอื้อมอีกต่อไป!

แทบทุกคนบนสนามรบสัมผัสถึงเรื่องนี้ได้ เพราะอย่างนั้น ขณะที่หวังเป่าเล่อทำให้ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ตื่นเต้นยินดี ผู้ฝึกตนฝ่ายสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เกลียดเขาเข้ากระดูกดำ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ระดับปราณของเขาก็ยิ่งใหญ่เกินไป และกองทหารของเขาก็โหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง

ดังนั้น สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีวิธีจบปัญหานี้เพียงสองวิธี วิธีแรกคือลุ้นให้ประมุขสำนักและผู้อาวุโสเอาชนะปรมาจารย์มหาทัณฑ์ได้ และอีกวิธีหนึ่งก็คือให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทั้งสามกำราบพ่อบ้านและศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ให้สำเร็จ

ติดอยู่เพียงแค่ว่า…สำหรับคู่แรก มาจนตอนนี้ ประมุขสำนักและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายต่างก็ได้เปรียบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เห็นได้ชัดว่า คงต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่พวกเขาจะเบียดเอาชนะได้ ส่วนอีกคู่หนึ่ง…ก็เช่นกัน

ดังนั้น…ทางเดียวที่มีก็คือต้องกำจัดหวังเป่าเล่อและพยายามทำลายโอกาสที่ชายหนุ่มสร้างขึ้นมาพร้อมการปรากฏตัวของเขาให้ได้มากที่สุด!

ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้เสียทีเดียว เพียงแต่ว่าผลพวงนั้นออกจะยิ่งใหญ่และเสี่ยงอยู่สักหน่อย หากเรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ตอนที่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยังกุมความได้เปรียบอยู่ พวกเขาก็คงไม่ตัดสินใจเช่นนี้ เพราะไม่มีความจำเป็นต้องเสี่ยง พวกเขาเพียงแค่ต้องรักษาจังหวะเอาไว้ สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็จะล่มสลายไปเอง และการทำลายล้างของพวกเขาก็คงไม่มีทางเปลี่ยนแปลงได้

แต่ขณะนี้…โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อพุ่งตรงเข้าไปหาผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลาง การยอมรับความเสี่ยงก็ดูจะเป็นทางออกเดียวสำหรับสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาไม่อาจยอมให้หวังเป่าเล่อต่อสู้กับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นและชั้นกลางได้ หาไม่แล้ว…หากหวังเป่าเล่อฆ่าผู้ฝึกตนได้อีก จำนวนผู้ฝึกตนของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็จะตกลงอย่างรวดเร็ว และหากผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจากฝั่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ถูกปลดปล่อยออกมาเพิ่มอีก พวกเขาคงต้องพ่ายแพ้เป็นแน่

ตอนนั้นเองนัยน์ตาของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ส่องประกาย พลางร้องคำราม “ชิงคุนจื่อ!”

เมื่อเสียงของชายชราดังก้องออกไป ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามที่กำลังสู้กับพ่อบ้านและศิษย์แห่งเต๋ากูโม่อยู่ก็มีแววตาลำบากใจปรากฏขึ้นบนใบหน้า แต่แล้วแววตานั้นกลับแปรเปลี่ยนเป็นความเด็ดเดี่ยวในทันที ระดับปราณของพวกเขาดูจะพุ่งสูงขึ้นขณะที่ทั้งสามพุ่งออกไปข้างหน้า สองจากสามคนนั้นส่องประกายราวกับเป็นดวงอาทิตย์แล้วพุ่งเข้าใส่พ่อบ้านและศิษย์แห่งเต๋ากูโม่อย่างลืมตาย พวกเขาใช้กระบวนท่าสุดยอดและกักทั้งคู่เอาไว้ได้ชั่วคราว

ขณะที่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์อีกคนหนึ่ง หรือก็คือชิงคุนจื่อที่ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เรียกเมื่อครู่ก็พลิกกาย พลางปล่อยพลังปราณให้พวยพุ่งออกมา เขาจากสนามรบไป พุ่งตัวราวกับเป็นสายฟ้าฟาดตรงไปยังหวังเป่าเล่อ ผู้ที่กำลังต่อยเตะพัลวันเพื่อตรงไปยังสนามรบของจิตวิญญาณอมตะ

ทุกอย่างเกิดขึ้นในพริบตา และในอีกวินาทีถัดมา ขณะที่สนามรบสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ชิงคุนจื่อก็เหมือนว่าจะแปรสภาพเป็นปลาคุนนกเผิง อันที่จริงแล้ว หากมองด้วยตาเปล่า ก็จะเห็นว่ามีเงาของปลาคุนนกเผิงกำลังเคลื่อนที่เข้าประชิดตัวหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว

และอีกไม่กี่ลมหายใจก่อนที่เขาจะเข้าถึงตัว หวังเป่าเล่อที่รู้ตัวอยู่ก่อนแล้วก็หันศีรษะไปหาปลาคุนนกเผิงที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารรุนแรง ริมฝีปากของชายหนุ่มก็กระตุกเป็นเชิงยิ้มเยาะ ก่อนจะมีประกายเยือกเย็นปรากฏขึ้นในแววตา

ในที่สุดก็มีตัวเป้งๆ โผล่มาสักที! หวังเป่าเล่อหัวเราะ ชายหนุ่มรู้จุดประสงค์ของปลาคุนนกเผิงตัวนี้ดี เพราะการตัดสินใจสามอย่างที่หวังเป่าเล่อทำหลังมาถึงสนามรบส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อสถานการณ์โดยรวม

อย่างแรกคือการสังหารอี้เหนียนจื่อ หลังจากที่ปลอบขวัญกองกำลังศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์แล้ว ชายหนุ่มก็สังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะฝ่ายตรงข้ามที่ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เสียสละชีวิตจำนวนมากเพื่อกักขังเอาไว้ไปอีกสองคน การกระทำนี้นอกจากจะส่งเสริมให้ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์มีกำลังใจมากขึ้น ยังเพิ่มจำนวนคนให้มากขึ้นอีกด้วย การที่ไม่ต้องรับมือศัตรูสองด้าน ทำให้ผู้ฝึกตนจำนวนมากสามารถเข้าร่วมการต่อสู้เพิ่มขึ้นได้

หลังจากนั้น สิ่งที่หวังเป่าเล่ออยากทำคือการใช้ปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายของเขาสังหารศัตรูที่อยู่ในชั้นต้นและชั้นกลาง เมื่อทำเสร็จ…ก็คงไม่มีความจำเป็นต้องต่อสู้อีกต่อไป

แม้จะทำให้เขาได้รับชื่อเสียว่าชอบรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า แต่ใครก็ตามที่ยังคิดเรื่องเช่นนั้นในสนามรบก็เป็นคนโง่เขลาที่สมควรตาย สิ่งสำคัญที่สุดในการรบคือการสังหารผู้ที่อ่อนแอกว่าด้วยกำลังที่เหนือกว่านั่นเอง!

หวังเป่าเล่อจึงคาดการณ์ไว้แล้วว่าตนเองจะต้องถูกขัดขวาง สถานการณ์เช่นนี้อยู่ในแผนของเขาเช่นกัน เพราะอย่างไรเสีย จากมุมมองเชิงยุทธศาสตร์ แม้ว่าการสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์คนเดียวจะไม่สำคัญเท่าการสังหารชั้นต้นและชั้นปลายหลายๆ คน แต่ก็มีผลทางด้านจิตใจต่อกองทหารของศัตรูมากกว่า

ดังนั้นเมื่อชิงคุนจื่อพุ่งเข้ามา หวังเป่าเล่อจึงระเบิดเสียงหัวเราะลั่นและพุ่งเข้าไปหาแทนที่จะล่าถอย ชายหนุ่มดูเหมือนดาวหางที่พุ่งตรงเข้าไปหาอีกฝ่าย เมื่อมองเห็นหวังเป่าเล่อ จิตสังหารอันเข้มข้นก็ระเบิดออกมาจากดวงตาของชิงคุนจื่อ

“เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไปแล้ว!”

ทั้งสองปะทะกันในทันที หากมองจากที่ไกลๆ ก็สุดจะบอกได้ว่าปลาคุนนกเผิงชนใส่ดาวหางหรือดางหางชนใส่ปลาคุนนกเผิงกันแน่ ไม่ว่าจะอย่างไร ทันทีที่ทั้งคู่ชนกัน เสียงดังสนั่นที่ก่อให้เกิดคลื่นกระแทกก็กวาดไปทั่วบริเวณราวกับเป็นคลื่นยักษ์

ผู้ฝึกตนทั้งสองฝ่ายจำนวนไม่น้อยกระอักเลือดออกมาพร้อมกับต้องล่าถอยเพราะแรงกระแทก ร่างของหวังเป่าเล่อก็สั่นคลอนเพราะถูกชนและกระเด็นไปไกลร่วมสามสิบเมตร แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ไม่ได้รับบาดเจ็บ และยังมีประกายแสงอันแรงกล้าอยู่ในดวงตา เพราะถึงแม้ตอนนี้ชายหนุ่มจะสำแดงคลื่นพลังแทรกแซงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายออกมา แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขายังซ่อนพลังเอาไว้อีกครึ่งหนึ่ง

“หลังจากที่ผลาญพลังปราณของตัวเอง เขาก็เก่งขึ้นกว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายคนอื่นๆ อยู่เล็กน้อย ไม่เลวเลย น่าสนุกดีนี่”

ขณะที่เสียงของหวังเป่าเล่อกระจายออกไป ความตื่นตะลึงของเขาก็พุ่งถึงขีดสุด เขารู้สึกถึงคลื่นพลังมหาศาลที่พวยพุ่งเข้ามาใส่กาย หลังจากที่กระเด็นไปไกลหลายร้อยเมตรชายหนุ่มจึงบังคับตัวเองให้หยุด สีหน้าของเขาซีดเซียวหลังจากบ้วนเอาเลือดออกมากองใหญ่ ความตกใจและไม่อยากเชื่อสายตาทำให้คลื่นในใจสั่นไหวอยู่ไปมา

“เจ้า…” ชิงคุนจื่อยังพูดไม่ทันจบประโยคเมื่อจิตวิญญาณการต่อสู้ลุกโชนขึ้นมาในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มปลดปล่อยพลังปราณออกมาอีกร้อยละยี่สิบ เมื่อพลังปราณเพิ่มขึ้นถึงร้อยละเจ็ดสิบแล้ว เขาก็ก้าวออกมา ความเร็วของชายหนุ่มเพียงอย่างเดียวก็ตัดความว่างเปล่าจนขาดวิ่น ในวินาทีถัดมา ก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าชิงคุนจื่อผู้ตกตะลึง หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้น อาวุธเทพปรากฏออกมาก่อนจะวาดลงไปทันที!

ใบหน้าของชิงคุนจื่อซีดขาว เมื่อไม่มีเวลาหลบ เขาจึงทำได้เพียงใช้ผนึกฝ่ามือด้วยมือทั้งสอง เงาของปลาคุนนกเผิงปรากฏชัดขึ้นมาทันที ขณะที่ป้องกันด้วยพลังทั้งหมดที่มี เขายังพยายามให้ปลาคุนนกเผิงสะบัดหางและโจมตีกลับใส่หวังเป่าเล่อ

ทว่า…หวังเป่าเล่อรออยู่แล้วพร้อมความเสียใจในแววตา อาวุธเทพในมือไม่ได้หยุดและฟันลงมาต่อพร้อมด้วยพลังปราณร้อยละเจ็ดสิบที่สนับสนุนอยู่ภายใน ปลาคุนนกเผิงตื่นกลัวตัวสั่นอย่างรุนแรงก่อนจะล้มลงต่อหน้าหวังเป่าเล่อ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ลดความเร็วลง เขากลับไปปรากฏตัวตรงหน้าชิงคุนจื่อและฟันลงไปอีกครั้ง!

เกิดเสียงดังสนั่น ชิงคุนจื่อส่งเสียงร้องโหยหวน ดวงอาทิตย์สีดำระเบิดขึ้นจากภายในกาย แม้ว่าเขาจะต้านทานไว้ด้วยพลังทั้งหมดที่มี เลือดกระเซ็นไปทุกหนแห่ง สีหน้าอันตื่นกลัวราวกับเห็นผีปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาพร้อมๆ กับเสียงหวีดร้องโหยหวน

“เจ้าไม่ใช่จิตวิญญาณอมตะ!”

“ข้าเป็นบิดาเจ้า!” หวังเป่าเล่อยิ้ม ไม่ใส่ใจกับสีหน้าตื่นตะลึงของผู้ฝึกตนรวมถึงปรมาจารย์มหาทัณฑ์ที่รายล้อมอยู่ ชายหนุ่มก้าวเข้าไปใกล้ชิงคุนจื่อผู้กำลังถอยหนี ก่อนจะฟันอาวุธเทพลงไปอีกครั้ง เกิดเสียงครั่นครืนสะเทือนสวรรค์ดังเลื่อนลั่นอีกครา

ชิงคุนจื่อคำรามออกมาและตั้งรับอีกระลอก ดวงอาทิตย์สีดำในมือชายหนุ่มนั้นยอดเยี่ยม แม้ว่าเขาจะกระอักเลือดออกมาไม่หยุดพลางถอยหลังหนี และบาดเจ็บเพิ่มเรื่อยๆ แต่ดวงอาทิตย์ก็ยังคงอยู่ แม้จะมีรอยร้าวปรากฏขึ้นมาช้าๆ ก็ตาม

“อ่อนแอ!” หวังเป่าเล่อฟันลงไป เขาวิ่งไล่ไปพลางโจมตีไปพลาง จนในที่สุด หลังจากการฟันครั้งที่เจ็ด ดวงอาทิตย์สีดำในมือชิงคุนจื่อก็ไม่อาจทานทนได้อีกต่อไป จึงแตกสลายไป หลังจากนั้น การฟันครั้งที่แปดของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏเป็นสายรุ้งที่สะเทือนทั้งสวรรค์และผืนแผ่นดิน ส่งประกายกระบี่ไประหว่างดวงตาที่กำลังตกตะลึงและสิ้นหวังของชิงคุนจื่อ

วินาทีต่อมา ศีรษะของชายหนุ่มก็ปลิวไป คลื่นพลังปราณแทรกแซงที่เหนือกว่าพลังปราณของชิงคุนจื่อมากนักเข้าปกคลุมร่างของเขาเอาไว้ ทั้งร่างกายและกระดูกถูกป่นเป็นผงในพริบตา!

“อ่อนแอเหลือเกิน” หวังเป่าเล่อรู้สึกเต็มตื้นอยู่ในใจขณะที่ยืนอยู่บนจักรวาลและพูดออกมาอย่างเยือกเย็น

สนามรบรอบข้างเงียบสงัดไปทันตา อันที่จริงแล้ว ผู้ฝึกตนจำนวนมากจากทั้งสองฝ่ายที่มองเห็นฉากนี้ต่างก็ลืมต่อสู้ไปเสียสนิท พวกเขาจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาว่างเปล่า ศีรษะมึนราวกับว่าถูกสายฟ้าจากสวรรค์ฟาดเอาก็ไม่ปาน

รัศมีและพลังปราณของหวังเป่าเล่อนั้นรุนแรงเสียจนพื้นดินสนั่นท้องฟ้าสะเทือน!

“ระดับดาวพระเคราะห์หรือ” เทพธิดาหลิงโยวตกตะลึงก่อนจะพึมพำออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ น้ำเสียงของนางทำเอาร่างกายของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสองฝ่ายกระตุก พวกเขาต่างก็มองไปยังหวังเป่าเล่อด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว

……………………..

“หลงหนานจื่อ!” สีหน้าของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เย็นชาเมื่อจ้องมองมาที่หวังเป่าเล่อ เพราะเขาเป็นผู้ผนึกรูปปั้นสุสานหลวงเอาไว้ในนพภูมิด้วยตนเอง จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อ อันที่จริงแล้ว องค์ชายทั้งสามแห่งราชวงศ์เองก็รู้เช่นกัน พวกเขาจึงจับตาดูหวังเป่าเล่ออยู่ตลอด

เพียงแค่ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์คาดไม่ถึงว่าหวังเป่าเล่อจะยังปรากฏตัวขึ้นได้แม้ว่าตนจะผนึกและฝังรูปปั้นเอาไว้ในนพภูมิแล้วก็ตาม!

“หลงหนานจื่อ!”

“นั่นหลงหนานจื่อนี่นา!” ทันทีที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัว ทั้งสนามรบก็สั่นไหว ในแง่หนึ่ง การมาปรากฏตัวของชายหนุ่มช่างน่าตื่นตะลึงไม่น้อย ทันทีที่โจมตี เขาก็จับอี้เหนียนจื่อคนทรยศเอาไว้ราวกับว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงลูกไก่ อีกแง่หนึ่ง การหายตัวไปของหวังเป่าเล่อ เป็นสิ่งที่ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์สังเกตเห็นกันแทบทุกคน ต่างคนต่างก็คาดเดาสาเหตุกันไปต่างๆ นานา

ดังนั้นในวินาทีที่ชายหนุ่มปรากฏตัว ทุกอย่างจึงสั่นคลอนไปหมด

ชั่ววินาทีนั้น ทั้งเทพธิดาหลิงโยวและผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกใจยิ่งกว่าคือระดับพลังปราณของหวังเป่าเล่อ เพราะชุดเกราะที่ไม่ได้ปกปิดใบหน้าของเขา มีคลื่นพลังแทรกแซงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายกระจายออกมา!

อีกคนที่สังเกตเห็นสิ่งนั้นก็คือศิษย์แห่งเต๋ากูโม่

และนี่คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อแสดงออกมาหลังจากที่ปกปิดพลังที่แท้จริงมาโดยตลอด อีกทั้งเขายังเขย่าวิญญาณของผู้ฝึกตนสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จำนวนนับไม่ถ้วน กระทั่งปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็ยังนัยน์ตาลุกวาว

“ดูท่าเจ้าจะไม่อยากให้โอสถข้ากระมัง” หวังเป่าเล่อทอดถอนใจ จากนั้นจึประกายเย็นยะเยือกก็สะท้อนออกมาจากนัยน์ตาชายหนุ่ม อี้เหนียนจื่อจะดิ้นรนสักแค่ไหนก็ไม่เป็นผล อีกฝ่ายถึงกับต้องอ้อนวอนด้วยสายตา แต่หวังเป่าเล่อก็ยังกำมือขวาแน่น คอของอี้เหนียนจื่อหักดังกร็อบ ชายหนุ่มปล่อยพลังปราณเข้าไปในกายของอี้เหนียนจื่อ แล้วทำลายวิญญาณของอีกฝ่ายเสียด้วย

“ข้าน่ะอยากฆ่าเจ้ามานานแล้ว!” หวังเป่าเล่อพูดอย่างเยือกเย็น หลังจากที่ปล่อยมือ ศพของอี้เหนียนจื่อก็สั่นไหวก่อนจะสลายกลายเป็นฝุ่นผง ลอยละล่องไปในจักรวาล

วินาทีที่หวังเป่าเล่อจู่โจม นัยน์ตาของปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก็ส่องประกาย และคำรามออกมาอย่างปุบปับ “หลงหนานจื่อ ไปช่วยกองทหารผ่าวิญญาณของเจ้าต่อสู้เสีย ข้าอนุญาตให้เจ้าไปที่ใดก็ได้ตามต้องการ!”

“ขอรับ ท่านปรมาจารย์!” ต่อหน้าศิษย์จำนวนมหาศาล หวังเป่าเล่อรู้วิธีกระทำตนอย่างเหมาะสม อีกอย่างหนึ่ง ชายหนุ่มก็ตั้งใจจะกลับมาช่วยเหลืออยู่แล้ว หลังจากที่ตอบคำ เขาก็ยกมือขวาขึ้นก่อนจะโบกลงอย่างรุนแรง!

ทันใดนั้นเอง เรือบินรบจำนวนนับแสนลำก็ปรากฏขึ้นพร้อมด้วยเสียงครั่นครืนดังสนั่น เรือบินทุกลำทะยานออกไปหาศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่ล้อมอยู่แล้วระเบิดตัวเอง ภาพนั้นเรียกขวัญกำลังใจให้ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และกองทหารอื่นๆ เป็นอันมาก

“เรือบินรบระเบิด!”

“เรือบินรบเหล่านี้ช่วยแบ่งเบาภาระพวกเราไปได้มากโขทีเดียว!” เห็นได้ชัดว่าเรือบินรบระเบิดตัวเองของกองทหารผ่าวิญญาณของหวังเป่าเล่อนั้นชื่อดังเพียงใด

และในฐานะกองทหารอันดับสอง การที่หวังเป่าเล่อกลับมาช่วยย่อมเปลี่ยนกสถานการณ์การรบได้ แม้อาจไม่ได้รับประกันว่าจะพลิกสถานการณ์ได้ แต่ก็ช่วยลดความกดดันให้ทุกๆ คนได้ไม่น้อย

ทว่า…ขณะที่ความคิดนั้นปรากฏขึ้นในใจศิษย์ทุกคนของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ หวังเป่าเล่อก็โบกมืออีกครั้ง หุ่นเชิดนับแสนตัวที่มีวิญญาณหลอมอยู่ด้านในก็ปรากฏขึ้นตัวแล้วตัวเล่า พวกมันปลดปล่อยพลังปราณออกมา ตัวที่อ่อนแอที่สุดอยู่ในขั้นจุติวิญญาณ หุ่นทุกตัวพุ่งออกไปรอบข้างอย่างรวดเร็ว

พลังที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันทำให้ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ทุกคนได้แต่จ้องมองด้วยปากอ้าค้าง วิญญาณสั่นไหว เช่นเดียวกับผู้ฝึกตนของอารยธรรมครามทองคำ

“นี่มัน…”

“หุ่นเชิดจุติวิญญาณ!”

“มีเป็นแสนๆ ตัวเลย…สวรรค์ มีหุ่นเชิดจุติวิญญาณมากกว่าแสนตัวเสียอีก!”

เทพธิดาหลิงโยว ผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำ และผู้อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะที่เหลือต่างก็พากันจ้องมอง มีเพียงศิษย์แห่งเต๋ากูโม่และปรมาจารย์มหาทัณฑ์เท่านั้นที่สีหน้าคงที่ แม้จะมีแววกังวลอยู่เล็กน้อย

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า…เรือบินรบระเบิดตัวเองและหุ่นเชิดจุติวิญญาณนับแสนนั้นเพียงพอที่จะให้กองทหารของหวังเป่าเล่อขึ้นจากตำแหน่งกองทหารอันดับสองไปเป็นกองทหารอันดับหนึ่งได้อย่างง่ายดาย อันที่จริงแล้ว ในแง่หนึ่ง…กองกำลังของเขาเลยพ้นคำว่ากองทหารไปแล้ว อีกอย่างหากคิดถึงเรื่องพลังปราณของหวังเป่าเล่อในตอนนี้ แม้ว่าอาจจะเกินไปเล็กน้อยที่จะบอกว่าเขาสามารถตั้งสำนักได้ด้วยตนเอง แต่ก็ไม่เกินจริงสักเท่าใดนัก!

ทว่า…ความตื่นตะลึงยังไม่จบเท่านี้ มาคราวนี้ หวังเป่าเล่อก็ตั้งใจจะไม่ปกปิดความสามารถในการรบของกองทหารของเขาอีกต่อไป เพราะชายหนุ่มต้องการจะขึ้นไปสูงกว่านี้ จึงจำเป็นต้องแสดงพลังที่แท้จริงออกมา ด้วยเหตุนี้ เขาจึงโบกมือขวาอีกครั้ง พลันรัศมีจิตวิญญาณอมตะสิบสองรัศมีก็ถูกปลดปล่อยออกมาเขย่าสนามรบ ทำเอาผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนหน้าถอดสี!

หุ่นเชิดสิบสองตัว รัศมีจิตวิญญาณอมตะสิบสองรัศมี ทันทีที่พวกมันปรากฏขึ้น สนามรบก็เงียบงันไป และในวินาทีต่อมา ก็เกิดเสียงอื้ออึงดังสนั่นเสียจนหูแทบดับ สีหน้าของผู้ฝึกตนสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แปรเปลี่ยนไป ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่สู้กับเทพธิดาหลิงโยวอยู่ก็ร้องตะโกนออกมาแทบสิ้นสติ

“จิต…จิตวิญญาณอมตะ!”

“หุ่นเชิดขั้นจิตวิญญาณอมตะ…”

เทพธิดาหลิงโยวตะลึงไปชั่วอึดใจ ร่างกายของผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำสั่นไหว ส่วนผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนอื่นๆ ของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ต่างก็มีแววตาตกตะลึง บ้างถึงกับตกอยู่ในภวังค์ เพราะหุ่นเชิดจิตวิญญาณอมตะนั้นหาได้ยากยิ่ง และพวกเขาก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้เห็นถึงสิบสองตัวพร้อมกันในคราวเดียว…

กระทั่งสีหน้าของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ที่กำลังต่อสู้กับศิษย์แห่งเต๋ากูโม่และพ่อบ้านก็เปลี่ยนแปลงอย่างมากเช่นกัน ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ทั้งสาม ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย ต่างก็เปลี่ยนสีหน้าไปอย่างชัดเจน

โดยสัตย์จริง…จากพลังของกองทหารผ่าวิญญาณที่หวังเป่าเล่อได้แสดงออกมา…ก็ไม่เป็นการเกินเลยอีกต่อไปหากจะบอกว่าชายหนุ่มสามารถสร้างสำนักขึ้นเองได้ เขาน่าจะสร้างขึ้นได้จริงๆ หากต้องการ

จำนวนของจิตวิญญาณอมตะในสามสำนักหลัก…ยังไม่อาจเทียบได้กับจำนวนหุ่นเชิดขั้นจิตวิญญาณอมตะที่หวังเป่าเล่อมีด้วยซ้ำ!

“บัดซบ!” จิตสังหารระเบิดออกมาจากนัยน์ตาของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ แม้เขาจะไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ภายในสุสานหลวง แต่ก็รู้ว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้ใช้หุ่นเชิดเหล่านี้แม้ว่าจะเจออันตรายในคราวนั้น เท่านี้ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่า…สิ่งที่เขาเห็นอยู่นี้ คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อได้มาจากในสุสานหลวง

การปรากฏตัวขึ้นของหุ่นเชิดกระทบกับสถานการณ์การรบอย่างใหญ่หลวง ไม่เป็นการเกินเลยหากจะบอกว่าสิ่งนี้กำหนดทิศทางการรบไปแล้วเรียบร้อย ราวกับว่าสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้กำลังสู้ตัวต่อตัวกับสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แต่เหมือนกำลังสู้กับสองสำนักในเวลาเดียวกันมากกว่า!

การปรากฏตัวขึ้นของกองทหารผ่าวิญญาณของหวังเป่าเล่อ ในฐานะตัวแปรสำคัญของการรบ เป็นการเพิ่มพูนขวัญกำลังใจให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อย่างมาก ในทางกลับกับ ผู้ฝึกตนสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เริ่มตื่นตกใจเป็นครั้งแรกในการรุกรานครั้งนี้ เพราะหุ่นเชิดนับแสนและเรือบินรบระเบิดตัวเองจำนวนมหาศาลที่กระจายออกไปทุกทิศทุกทาง เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นรอบด้าน และหุ่นเชิดขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสิบสองได้มาร่วมในการต่อสู้ของขั้นจิตวิญญาณอมตะด้วย!

แม้จะดูเหมือนหุ่นเชิด แต่สีหน้าของพวกมันก็แสดงออกถึงความมีชีวิต การโจมตีแต่ละครั้งทั้งเฉียบคมและแม่นยำ ดูราวกับว่าหุ่นเชิดเหล่านี้มีชีวิตจริงๆ กระนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกมันใช้วิชาดวงเนตรสวรรค์ออกมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อดวงเนตรสวรรค์ปรากฏขึ้น ความตื่นตะลึงของทุกคนบนสนามรบก็เพิ่มขึ้นอีก

“วิชาดวงเนตรสวรรค์!”

“นี่มัน…นี่มันอะไรกัน!”

“วิชาดวงเนตรสวรรค์ของราชวงศ์! ไม่ใช่ว่าพวกราชวงศ์ร่วมมือกับอารยธรรมครามทองคำหรือ แล้วทำไมวิชาของพวกมันถึงมาอยู่กับหลงหนานจื่อได้!”

“ช้าก่อน…เจ้าหลงหนานจื่อนี่…สวรรค์ มันเป็นใครกันแน่!”

จิตใจของศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ปั่นป่วนไปหมด แต่พวกเขารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้ เมื่อกองทหารผ่าวิญญาณเข้าจู่โจม พวกเขาต่างก็ต้องกัดฟันและส่งเสียงคำรามก่อนจะพุ่งเข้าใส่สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไปด้วยพร้อมๆ กัน

สถานการณ์ในสงครามครั้งนี้กลับหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ต้องล่าถอยอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ขณะที่พ่อบ้านและศิษย์แห่งเต๋ากูโม่กำลังต่อสู้เต็มกำลัง ปรมาจารย์มหาทัณฑ์เองก็ใช้กระบวนท่าลับออกมาอย่างไม่รอช้า พลังยุทธ์ของเขาถูกปลดปล่อยออกมาอีกครั้ง การต่อสู้ระหว่างชายวัยกลางคนกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สองคนของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยิ่งเข้มข้นขึ้นทุกขณะ

ขณะที่จักรวาลส่งเสียงครั่นครืนและมีเสียงกรีดร้องดังออกมาจากทุกหนทุกแห่ง หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้อู้งานอยู่เฉยๆ ชายหนุ่มพุ่งเข้าไปในสนามรบ หวังเป่าเล่อผู้สวมเกราะมหาจักรพรรดิบัดนี้ดูเหมือนกระบี่แหลมคมที่ทิ่มแทงลงไปบนสนามรบ ราวกับว่ากำลังตัดแบ่งสนามรบเป็นส่วนๆ เขาพุ่งเข้าไปขวางหน้าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สองคน ที่ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ยอมสละชีวิตเพื่อนไปหลายคนเพื่อกักขังเอาไว้

ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสองยังอยู่ในชั้นต้นเท่านั้น พวกเขาพยายามหนีด้วยสีหน้าตื่นตกใจ แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว ทั้งคู่ตกเป็นเป้าหมายของหวังเป่าเล่อ และขณะที่ชายหนุ่มปลดปล่อยปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายออกมา พลางเร่งความเร็วสูงสุดเหาะแซงหน้าไปทันที เขาทิ้งผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนหนึ่งไว้ข้างหลังก่อนจะไล่กวดอีกคนหนึ่งไป

ขณะที่หวังเป่าเล่อเหาะแซงไป ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็จ้องมองด้วยดวงตาเบิกโพลงอย่างสิ้นหวัง เขาก้มศีรษะลงมองร่าง ก็เห็นเพียงร่างไร้หัวที่คุ้นเคยกำลังลอยละล่องออกไปอีกทางหนึ่ง

วินาทีถัดมา ทั้งศีรษะและร่างกายของเขาก็ถูกเปลวไฟเผาผลาญ จนทั้งร่างกายและวิญญาณถูกทำลายสิ้นไม่มีเหลือ!

แต่เขาก็ไม่ต้องโดดเดี่ยวนานนัก เพราะเพื่อนของเขา หรือผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะอีกคนหนึ่ง ก็มีชีวิตอยู่ต่อได้เพียงอีกหนึ่งลมหายใจเท่านั้น เพียงแค่หวังเป่าเล่อชี้นิ้วใส่ กะโหลกของเขาก็ยุบเข้าไป ร่างกายแตกสลาย และวิญญาณก็แหลกยับเยิน!

การสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะสองคนติดๆ ในชั่วระยะเวลาเพียงพริบตาทำให้สนามรบสั่นไหวอีกครั้ง ศิษย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนรีบถอยหนีด้วยความตื่นตะลึงและตกใจกลัว ราวกับว่าหวังเป่าเล่อเป็นพญามัจจุราชก็ไม่ปาน!

มีคนเยอะไม่เบา…ข้าจะเพิ่มระดับวิชาดวงเนตรปีศาจอีกครั้งแล้วผลักพลังปราณให้ขึ้นไปอีกขั้นได้หรือไม่นะ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงขณะที่จิตสังหารพลุ่งพล่านอยู่ในใจ!

สถานการณ์การต่อสู้ตอนนี้ตึงเครียดอย่างหนัก และบนจุดสูงสุดของจักรวาล การต่อสู้ระหว่างระดับดาวพระเคราะห์ก็กำลังเกิดขึ้นเช่นกัน นั่นคือปรมาจารย์มหาทัณฑ์กำลังประมือกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สองคนจากอารยธรรมครามทองคำด้วยตัวคนเดียว!

ในสองคนนั้น คนหนึ่งเป็นผู้นำของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อีกคนเป็นผู้อาวุโสฝ่ายซ้าย คนแรกอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง อีกคนอยู่ในชั้นต้น ทั้งคู่มีฝีมือเยี่ยมยุทธ หากว่ากันตามทฤษฎี เมื่อพวกเขาร่วมมือกัน ควรจะเป็นเรื่องง่ายอย่างยิ่งที่จะจัดการปรมาจารย์มหาทัณฑ์ แต่พลังยุทธ์ของปรมาจารย์มหาทัณฑ์เองก็ทำเอาพวกเขาตื่นตะลึง!

ตามข้อมูลที่พวกเขาได้มา เหล่าปรมาจารย์ของบรรดาสามสำนักหลักมีระดับปราณเทียบเท่าปรมาจารย์ของอารยธรรมครามทองคำ หากคำนวณดูแล้ว อาจกล่าวได้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์นั้นแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่ข้อหนึ่ง แถมพลังก็ไม่ได้ห่างชั้นกันมากเท่าใดนัก ปรมาจารย์ระดับดาวพระเคราะห์ของสำนักผนึกผังดาวหกแฉกมีพลังปราณอ่อนแอที่สุด ดังนั้นเมื่อกองทัพอารยธรรมครามทองคำปรากฏตัว พวกเขาจึงเลือกจัดการกับสำนักผนึกผังดาวหกแฉกก่อนใคร

หลังจากนั้น ประมุขสำนักและผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จึงไปต่อสู้กับสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์พร้อมกัน จากการวิเคราะห์ของพวกเขา ด้วยพลังการยุทธ์ของทั้งคู่รวมกัน พวกเขาต้องกำจัดสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ได้อย่างรวดเร็วแน่นอน ทว่าพวกเขาไม่ได้คาดการณ์มาก่อนเลยว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์นั้น…จะแอบซ่อนระดับปราณที่แท้จริงเอาไว้!

ชายผู้นี้ไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้น แต่…อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ชั้นกลาง อันที่จริง เขาใกล้จะบรรลุถึงจุดสูงสุดของชั้นกลางแล้วด้วยซ้ำ หนำซ้ำพลังการยุทธ์ของเขายังเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ทั่วไปอีกด้วย ดังนั้นแม้ว่าประมุขของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะต่อสู้เก่งกาจเพียงใด ปรมาจารย์มหาทัณฑ์สวรรค์ก็ยังยืนหยัดสู้กับทั้งสองได้ แถมยังสูสีจนไม่อาจจะบอกได้ว่าฝ่ายใดกำลังเพลี่ยงพล้ำกันแน่!

การต่อสู้ระหว่างผู้มีพลังการยุทธ์สูงทำให้สงครามยืดเยื้อออกไป ในเวลาเดียวกัน พ่อบ้านของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ผู้ที่หวังเป่าเล่อเคยพบมาก่อน และดูเหมือนจะเป็นศิษย์พี่ของเทพธิดาหลิงโยว ก็กำลังต่อสู้เต็มกำลังเคียงข้างผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่ง ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่นั่นเอง คู่ต่อสู้ของพวกเขาคือผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์สามคนจากอารยธรรมครามทองคำ

แม้ว่าการต่อสู้แบบสองต่อสามจะยากลำบากไม่น้อย แต่ดูเหมือนว่าผู้อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะคนอื่นๆ ก็กำลังต่อสู้เต็มที่เช่นกัน เทพธิดาหลิงโยว ผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำ อี้เหนียนจื่อ และผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทุกคนในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ต่างก็บาดเจ็บสาหัส แต่พวกเขาก็กัดฟันและต้านทานอย่างถึงที่สุด เพื่อจะหยุดยั้งกองทัพขั้นจิตวิญญาณอมตะของอีกฝ่ายเอาไว้ให้จงได้

ยิ่งไปกว่านั้น กองทหารทั้งหมดของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็มาร่วมต่อสู้ พวกเขากระจายกันไปทั่วจักรวาลมากกว่าสิบจุดเพื่อรับมือกับผู้ฝึกตนจากอารยธรรมครามทองคำอย่างถึงลูกถึงคน

ในพริบตาเดียว ทั้งเสียงครั่นครืน เสียงคำราม และเสียงกรีดร้องก็ดังระงมมาจากทุกทิศทาง บางครั้งก็อาจได้ยินเสียงดาวเคราะห์แตกร้าวด้วย แม้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะดูน่าสะพรึงกลัวเพียงใด แต่ก็เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นกำลังเสียเปรียบอย่างยิ่ง!

นั่นเพราะ…สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของอารยธรรมครามทองคำมีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะมากกว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แม้ว่าหลายคนจะถูกจับกุมตัวเอาไว้ แต่ก็ยังมีอีกหลายคนที่ยังคงพุ่งเข้าใส่กองทัพไม่หยุดหย่อน กองทหารจำนวนมากของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็เต็มกลืนที่จะต้านทาน และทำได้เพียงใช้พลังของวงแหวนปราณและการบังคับสังเวยชีวิตของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเพื่อซื้อเวลา แต่ก็เห็นได้ชัดว่าวิธีนี้คงจะทำได้อีกไม่นาน และในไม่ช้าพวกเขาก็จะต้องพ่ายแพ้

และเมื่อกองทหารล้มเมื่อใด สถานการณ์การต่อสู้ที่เลวร้ายอยู่แล้วก็จะยิ่งแย่ลงไปอีก สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์คงจะพบจุดจบเช่นเดียวกับสำนักผนึกผังดาวหกแฉกเป็นแน่

ที่สถานการณ์เป็นเช่นนี้เป็นเพราะความแข็งแกร่งของอารยธรรมครามทองคำ แต่ก็เกี่ยวข้องกับหวังเป่าเล่ออยู่บ้างเช่นกัน เพราะอารยธรรมครามทองคำนั้นได้วิเคราะห์กำลังรบของผู้ฝึกตนระดับสูงและกองทหารทั้งหมดของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เอาไว้ก่อนจะบุกจู่โจม กองทหารผ่าวิญญาณของหวังเป่าเล่อเป็นกองทหารอันดับสอง แน่นอนว่า การหายไปของเขาทำให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อ่อนแอลง

หากเป็นช่วงเวลาอื่นใด การที่ชายหนุ่มหายไปคงไม่เป็นอะไรนัก แต่เพราะนี่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการรบ เรื่องนี้จึงกลับกลายเป็นเรื่องสำคัญขึ้นมาทันที

หลังจากที่สงครามเกิดขึ้นไปสักระยะหนึ่ง สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็แสดงทีท่าว่าไม่อาจต้านทานได้ไหวอีกต่อไป แม้ว่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์จะยังต่อสู้อยู่ได้ แต่ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่และพ่อบ้านก็เริ่มเสียท่าให้ผู้ตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ทั้งสามบ้างแล้ว

ในเวลาเดียวกับ เทพธิดาหลิงโยวและคนอื่นๆ ก็เริ่มเพลี่ยงพล้ำ เพราะพวกเขาต้องพยายามอย่างหนักที่จะกักขังผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจำนวนมากกว่าที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์มี อาการบาดเจ็บเริ่มลุกลาม กองทหารทั้งหมดของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ประสบชะตากรรมเดียวกัน พวกเขาเริ่มดักผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเอาไว้ไม่ไหว และผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณแทบทั้งหมดของสำนักก็ถูกฆ่าเกือบหมดสิ้นแล้ว

เมื่อเห็นเช่นนั้น ทุกคนในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็เริ่มโกรธ สิ้นหวัง และเศร้าสร้อย ในขณะเดียวกัน นัยน์ตาของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังต่อสู้กับปรมาจารย์มหาทัณฑ์อยู่นั้นก็ส่องประกายขึ้น จู่ๆ เขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สะท้อนก้องไปทั่วสนามรบ

“สหายร่วมสำนักเต๋ามหาทัณฑ์ มาถึงขั้นนี้แล้ว สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ของท่านไม่มีทางถอยได้อีกแล้ว ข้าจะให้ทางเลือกแก่ท่านเดี๋ยวนี้ มาเข้าร่วมสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และเป็นลูกน้องของข้า ท่านจะว่าอย่างไร”

“เจ้ารุกรานอารยธรรมของข้า สังหารสหายร่วมสำนักเต๋าของข้า แถมยังทำลายสำนักข้า ต่อให้ข้าต้องตายอยู่ตรงนี้ ข้าก็จะไม่ยอมทำสิ่งขี้ขลาดอย่างไปเป็นลูกน้องเจ้าโดยเด็ดขาด!” ใบหน้าของปรมาจารย์มหาทัณฑ์บิดเบี้ยวจนน่ากลัวแสดงให้เห็นถึงความสิ้นหวังอันแรงกล้าในใจ แต่เขายังมีคุณธรรมที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ในฐานะหนึ่งในปรมาจารย์แห่งสามสำนักหลัก และเป็นปรมาจารย์ที่แข็งแกร่งที่สุด เขาย่อมเป็นผู้ที่ทะเยอทะยานอย่างที่สุดอยู่แล้ว มาตอนนี้ ชายวัยกลางคนก็ยังมีศักดิ์ศรีให้ยึดถือ!

ขณะที่เขาพูดไปนั้น ก็ยกมือขวาขึ้นก่อนจะโบกเป็นผนึกฝ่ามือ ทันใดนั้นเอง ดาวเคราะห์สีดำก็ปรากฏขึ้นก่อนจะระเบิดออกมา ชายวัยกลางคนพุ่งตรงเข้าไปประมือกับสองผู้ฝึกตนแห่งสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อีกครา

เมื่อเห็นเช่นนั้น ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เข้ารับมือกับปรมาจารย์มหาทัณฑ์พร้อมยิ้มเยาะไปด้วย เขาพูดขึ้นอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่ใช่เพื่อเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย แต่กลับส่งคำพูดไปถึงศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ทุกคนแทน

“เจ้าหมอนี่จะต้องตายด้วยน้ำมือของตนเอง! ศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ทุกคน ไม่ว่าปรมาจารย์ของเจ้าจะตัดสินใจเช่นไร ชีวิตของพวกเจ้าก็อยู่ในมือของพวกเจ้าเอง เส้นทางการฝึกตนนั้นยากลำบาก และพวกเจ้าก็มีโอกาสเดียวเท่านั้น ใครก็ตามที่ยอมแพ้จะมีชีวิตรอด เจ้าจะได้เข้าร่วมสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเรา!”

ไม่ใช่ทุกคนที่มีจิตใจที่ตั้งมั่นเทียบเท่าปรมาจารย์มหาทัณฑ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ชี้เป็นชี้ตายเช่นนี้ และเมื่อพวกเขาไม่เห็นความหวัง หลายคนก็เริ่มลังเลเพราะคำพูดของประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์

ปรมาจารย์มหาทัณฑ์นิ่งเงียบไม่ตอบโต้และไม่พูดอะไรอีก ชายวัยกลางคนรู้ดีว่าตนดูแลศิษย์ในสำนักเป็นอย่างดี แต่เขาก็รู้ว่า ณ จุดนี้ การจะเลือกเอาชีวิตรอดก็ย่อมเป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน

ทว่าชายชราก็ไม่ได้คาดคิดว่าผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่ง ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ ผู้ที่ไม่เคยมีความสุขภายใต้การนำของเขาและควรเลือกที่จะเอาชีวิตรอด กลับไม่เลือกเช่นกัน กลับกันลูกน้องของเขา รองผู้บัญชาการอี้เหนียนจื่อ…กลับก้าวถอยหลังแล้วคำรามออกมาอย่างไม่รีรอ

“ปรมาจารย์วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ข้าขอยอมแพ้!”

เมื่อพูดจบ สนามรบทั้งหมดก็สั่นสะเทือน ผู้ฝึกตนสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จำนวนมากเปลี่ยนใจกันเป็นการใหญ่ อันที่จริงแล้ว…แม้ว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นคนหนึ่งจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สักเท่าใดนัก แต่กับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ขั้นจิตวิญญาณอมตะก็ถือว่ายิ่งใหญ่ แถมยังเป็นตำแหน่งที่สูงทั้งเกียรติยศทั้งสถานะ และเพราะอี้เหนียนจื่อเป็นถึงรองผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่ง การที่เขาเลือกยอมแพ้ก็ทำให้มีผู้เปลี่ยนใจตามเป็นจำนวนมาก

สีหน้าของเทพธิดาหลิงโยว ผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำ รวมถึงผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนอื่นๆ บิดเบี้ยวไปในทันที ทว่าคนที่หน้าเสียที่สุดไม่ใช่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์ แต่คือผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่ง ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่

“อี้เหนียนจื่อ เจ้ารนหาที่อย่างนั้นหรือ!” ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่ ผู้ซึ่งพยายามอย่างที่สุดที่จะรับมือกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะขั้นสูงสุดสามคนจากสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พร้อมพ่อบ้าน จ้องมองไปยังอดีตลูกน้องด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า

“ผู้บัญชาการขอรับ อย่างไรเสียพวกเราก็ต้องแพ้แน่นอน ไม่ใช่ว่าข้าเป็นคนอกตัญญู แต่เพราะข้าไม่มีทางเลือก!” อี้เหนียนจื่อเองก็บาดเจ็บสาหัส ขณะที่เขาพูด เลือดก็ไหลซึมออกมาจากมุมปากไม่หยุด ชายหนุ่มมีสีหน้าบ้าคลั่งและไม่สนใจว่าเขาจะเดินชนศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์กี่คนขณะล่าถอย ด้วยพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะของเขา ชายหนุ่มสังหารศิษย์ไปหลายต่อหลายคนตอนที่เดินชนเพื่อจะถอยหนี

“ดี อี้เหนียนจื่อใช่หรือไม่ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าเป็นสมาชิกของสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เราจะให้แต้มการรบกับเจ้าตั้งแต่ตอนนี้ ยิ่งเจ้าสังหารมากเท่าใด เมื่อกลับถึงสำนัก เจ้าก็ยิ่งแลกรับวัตถุเวทได้มากเท่านั้น หากเจ้าสังหารขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ ข้ารับประกันว่าเจ้าจะได้รับโอสถวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ที่จะทำให้เจ้าบรรลุไปสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลาง!” เมื่อเห็นเช่นนั้น ปรมาจารย์สำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่น หลังจากที่ประกายแห่งความเกลียดชังและขบขันปรากฏขึ้นลึกๆ ในดวงตา เขาก็เริ่มพูดจาให้กำลังใจ

ทันทีที่พูดจบ สายตาของอี้เหนียนจื่อก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่าชายหนุ่มกำลังลำบากใจ แต่ในไม่ช้า ประกายดุร้ายก็สะท้อนออกมาจากดวงตาของเขาเมื่อหันไปเห็นเทพธิดาหลิงโยว ผู้ที่กำลังล่าถอยอย่างช้าๆ อยู่ตรงหน้า!

เทพธิดาหลิงโยวมีระดับปราณต่ำที่สุด อีกทั้งนางยังบาดเจ็บหนักกว่าเขา จิตสังหารปรากฏขึ้นบนดวงตาของอี้เหนียนจื่อขณะที่เขาพลิกตัวแล้วพุ่งทะยานออกไป

แต่ในวินาทีนั้นเอง…จู่ๆ ก็มีเสียงครั่นครืนดังขึ้นในจักรวาลที่ห่างออกไป เสียงนั้นดังสนั่นจนน่าตื่นตะลึง และสายรุ้งเส้นยาวที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วราวกับจะตัดผ่านความว่างเปล่าก็พุ่งทะยานผ่านสนามรบ เมื่อครู่นี้มันยังอยู่ห่างออกไป แต่ในอึดใจเดียว…สายรุ้งยาวนั้นก็มาปรากฏอยู่บนสนามรบ แค่ความเร็วเพียงอย่างเดียวก็ทำเอาบรรดาผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะตื่นตะลึง ศิษย์แห่งเต๋ากูโม่และพ่อบ้านเองก็ไม่ต่าง กระทั่งปรมาจารย์มหาทัณฑ์ ประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และผู้อาวุโสฝ่ายซ้ายก็ยังมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป

ขณะที่สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปนั่นเอง สายรุ้งทอดยาวก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าอี้เหนียนจื่อ มือข้างหนึ่งยื่นออกมาโดยไม่ได้หยุดเคลื่อนที่ ก่อนจะคว้าคอของอี้เหนียนจื่อเอาไว้!

ทันทีที่สายรุ้งจางหายไป เงาร่างของหวังเป่าเล่อก็มาปรากฏบนสนามรบ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นบี้อี้เหนียนจื่อ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะดิ้นรนเพียงไรก็ไม่อาจหลุดไปได้ อันที่จริงแล้ว เขาพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ สายตาของอี้เหนียนจื่อแสดงความตื่นตะลึงและไม่อยากจะเชื่อเมื่อมองเห็นชัดๆ ว่าผู้มาใหม่เป็นใคร

“นี่ เจ้าผู้นำสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หรืออะไรสักอย่างน่ะ ถ้าข้าฆ่าเจ้าอี้เหนียนจื่อได้ ข้าจะไปขอแลกโอสถวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ด้วยใช่หรือไม่” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ก่อนจะมองไปทางประมุขสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ผู้มีสีหน้าเครียดขึงและตกตะลึงพอๆ กัน

…………………….

ภาพนั้นทำเอาหวังเป่าเล่อผู้ยืนตระหง่านอยู่บนอวกาศต้องหรี่ตาลง ชายหนุ่มก้มศีรษะมองไปยังดาวเอกดวงเนตรสวรรค์จากที่ไกลๆ พลางจับจ้องไปยังเศษฝุ่นและซากปรักหักพังที่กระจายอยู่กลาดเกลื่อน เขามองไม่เห็นผู้รอดชีวิต ในเวลาเดียวกัน ก็ยังมีร่องรอยจางๆ ของพลังแทรกแซงของคาถาอยู่ในบริเวณนั้น หวังเป่าเล่อเรียกใช้พลังปราณ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบกรุนแรงอย่างเงียบงัน

การโบกนั้นปลดปล่อยพลังเทพ หนึ่งในเคล็ดวิชาการฝึกปราณที่เขาร่ำเรียนมาจากสำนักวังเต๋าไพศาล พลังเทพนั้นไม่ได้ใช้เพื่อจู่โจม แต่มีไว้เพื่อใช้กระบวนท่าย้อนคืนที่คล้ายคลึงกับเครื่องย้อนเวลา

ผู้อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณก็ใช้ทักษะนี้ได้เช่นกัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับระดับปราณของผู้ที่คนผู้นั้นจะย้อนเวลาดูด้วย หากเป้าหมายมีระดับปราณสูงกว่าผู้ใช้กระบวนท่า คาถาก็จะล้มเหลว และจะมีแรงสะท้อนกลับตามมา

แต่หวังเป่าเล่อก็ค่อนข้างมั่นใจว่าต่อให้เขาใช้มันกับผู้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ เขาก็จะยังทานรับแรงสะท้อนกลับไหว และหากไม่มีผู้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ การย้อนเวลาก็จะสำเร็จลุล่วงแน่นอน

ในวินาทีต่อมา เมื่อหวังเป่าเล่อโบกมือเสร็จ จักรวาลตรงหน้าก็แปรเปลี่ยนไป ชายหนุ่มมองเห็นผู้ฝึกตนจากสามสำนักหลักที่เคยมาประจำอยู่ที่นี่ เขายังเห็นไปยังจักรวาลห่างไกล…มีเรือบินรบอยู่ราวหมื่นลำส่องแสงสีรุ้ง ขณะที่ผู้ฝึกตนนับแสนพุ่งทะยานเข้าไปที่ดาวเอกดวงเนตรสวรรค์อย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้น…ก็เกิดการต่อสู้กันครั้งใหญ่ ในบรรดาผู้ฝึกตนสีรุ้งมีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์อยู่หลายต่อหลายคน แต่ละคนทรงพลังเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาพุ่งทะยานออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วราวสายฟ้า และกำจัดผู้ฝึกตนของสามสำนักหลักที่อยู่ที่นั่นทั้งหมด ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีผนึกล่องลอยอยู่โดยรอบอีกด้วย

เห็นได้ชัดว่า ผนึกเหล่านั้นมีไว้เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลรั่วไหล จากความรู้สึกของหวังเป่าเล่อ ผนึกเหล่านั้นเริ่มจะเสื่อมสมรรถภาพลง แปลว่า…อารยธรรมครามทองคำไม่มีความจำเป็นต้องปกปิดข้อมูลอีกต่อไป

และหากดูจากภาพที่สร้างขึ้นมาจากคาถาย้อนเวลานี้ หวังเป่าเล่อก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นเพราะเหตุใด

การต่อสู้นี้เกิดขึ้นเมื่อเก้าวันที่แล้ว!

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง หลังจากสลายภาพย้อนเวลาไปแล้ว ชายหนุ่มก็พอจะคาดเดาสถานการณ์ได้ในใจ ในเวลาเดียวกัน เขาก็ก้มศีรษะลงมองดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ เรื่องที่หวังเป่าเล่อกังวลที่สุดในตอนนี้คือร่างจริงของเขา…

แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้รู้สึกว่าร่างจริงกำลังประสบปัญหา แต่ก็อดกังวลไม่ได้ ขณะนี้เมื่อเขายืนอยู่ในจักรวาลและกวาดตามองไปรอบๆ หวังเป่าเล่อก็กระจายสัมผัสเทพออกไป ให้ครอบคลุมดาวเอกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทั้งดวงในพริบตา หลังจากที่ได้เห็นว่าร่างจริงของเขาไม่ได้รับผลกระทบเพราะถูกฝังอยู่ห่างไกลออกไป ชายหนุ่มจึงค่อยเบาใจได้ระดับหนึ่ง

อย่างไรก็ดี…จากการกวาดตามอง ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นว่าสำนักเล็กๆ ที่ตั้งอยู่บนดาวเอกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เสียสมาชิกไปมากล้น แม้ว่าจะมีร่องรอยการต่อสู้เพียงเล็กน้อยก็ตาม จำนวนศิษย์ที่ลดลงนั้นทำเอาหวังเป่าเล่อต้องหรี่ตาเล็กน้อยอย่างข้องใจ

พวกเขาเสียสมาชิกในสำนักไปร่วมร้อยละแปดสิบ…มันเกิดขึ้นอย่างช้าๆ ในระยะเวลาหลายปีที่ข้าไม่อยู่ หรือเป็นเพราะอารยธรรมครามทองคำกันแน่ หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอย่างหนักจนอยากจะใช้กระบวนท่าย้อนคืนอีกครั้ง ทว่าในวินาทีต่อมา สายตาของชายหนุ่มก็หยุดนิ่ง และสัมผัสเทพของเขาก็กลับมารวมกันที่…สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ที่เขาเคยอาศัยอยู่เมื่อครั้งก่อน!

พัฒนาการของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์บนดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ก้าวล้ำไปไกลกว่าแต่ก่อนมาก เรียกได้ว่าอยู่ในช่วงยุคทองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แน่นอนว่าความเจริญรุ่งเรืองนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับสถานะของหวังเป่าเล่อ จากความก้าวหน้าของชายหนุ่มในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เองก็ได้รับผลประโยชน์เช่นกัน ทั้งอำนาจและอิทธิพลก็พุ่งสูงขึ้นเป็นอันมาก

เต๋อคุนจื่อ ผู้ที่เชื่อฟังหวังเป่าเล่ออย่างไม่มีข้อกังขา ได้รับการปฏิบัติอย่างดีเช่นกัน การขึ้นสู่อำนาจของหวังเป่าเล่อทำให้พลังปราณของเต๋อคุนจื่อสูงขึ้นไปด้วย จนบรรลุไปถึงขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลาง

ขณะนี้เต๋อคุนจื่อยืนสับสนอยู่กลางสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ เนื้อตัวเต็มไปด้วยร่องรอยความบาดเจ็บจากการต่อสู้ สายตาที่สิ้นหวังและสับสนจ้องมองไปยังสำนักอันว่างเปล่าที่อยู่รอบกาย ร่างกายของชายหนุ่มสั่นเทิ้ม

“เต๋อคุนจื่อ!” จนกระทั่งมีเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมาจากความว่างเปล่าและสะท้อนก้องอยู่ในใจ จู่ๆ ร่างกายของเต๋อคุนจื่อก็สะดุ้งก่อนที่ลมหายใจของเขาจะห้วนถี่ขึ้น

“นายท่าน!” ชายวัยกลางคนขณะนี้เหมือนคนจมน้ำที่จู่ๆ ก็จับเชือกชูชีพเอาไว้ได้ หรือไม่ก็คนที่ขยาดกลัวอันตรายซึ่งวิ่งมาจนถึงที่ปลอดภัย เต๋อคุนจื่อลิงโลดใจเสียจนมองไปรอบกายไม่หยุด

“ไม่ต้องมองหาข้า เล่าให้ฟังทีว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!”

“ท่านอาจารย์ พวกเราแย่แล้วขอรับ สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ด้วย อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ด้วย ราชวงศ์ปฏิเสธที่จะรับรู้ความเกี่ยวข้องระหว่างเราและตัดสินใจสังหารพวกเราเสีย…” เต๋อคุนจื่อถึงกับคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่จนต้องร้องไห้ออกมา

“องค์ชายทั้งสามแห่งราชวงศ์ไปร่วมมือกับอารยธรรมครามทองคำและเปิดประตูมิติให้พวกเขา ปล่อยให้คนของอารยธรรมครามทองคำลงมา…เรื่องนี้เกิดขึ้นราวสองสัปดาห์ก่อนและไม่เป็นความลับอีกต่อไป

“ทันทีที่อารยธรรมครามทองคำปรากฏตัว พวกเขาก็รวมพลังกันไปกำจัดสำนักผนึกผังดาวหกแฉกในพริบตา สามสำนักหลักไม่มีเวลากระทั่งจะได้ตอบโต้…ข้าได้ยินมาว่า ศิษย์กว่าร้อยละแปดสิบของสำนักผนึกผังดาวหกแฉกตายหมด กระทั่งปรมาจารย์หญิงอู๋อวิ๋นก็บาดเจ็บสาหัส ว่ากันว่านางถึงกับเผาผลาญพลังปราณของตนเองเพื่อหนีเอาชีวิตรอดออกมา ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่านางเป็นหรือตาย

“จากนั้นก็ถึงคราวดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ กองทัพอารยธรรมครามทองคำมาถึงและกำจัดกองทหารของสามสำนักหลักที่ประจำอยู่ออกไป ก่อนจะระเบิดผนึกปล่อยให้ราชวงศ์ออกมา หลังจากนั้นพวกเขาก็จับตัวผู้ฝึกตนกว่าร้อยละแปดสิบจากสำนักอื่นๆ บนดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ไป…หากไม่ใช่เพราะว่าข้ารีบไปซ่อนตัว ข้าเองก็คงหนีไม่พ้นเช่นกัน”

“นายท่าน ท่านเองก็เป็นเชื้อพระวงศ์ สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็อยู่ข้างท่าน ข้ามีความสุขมากในตอนแรก แต่ทำไมพวกเขาต้องสังหารพวกเราด้วยเล่าขอรับ” เต๋อคุนจื่อแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หวังเป่าเล่อเองก็นิ่งงันไปพลางนึกเสียใจที่หลอกเต๋อคุนจื่อไปว่าตนเป็นเชื้อพระวงศ์

แต่ถึงอย่างนั้น…ในแง่หนึ่ง ชายหนุ่มตอนนี้ก็เป็นเชื้อพระวงศ์แล้ว

“สำนักใหญ่อื่นๆ ก็คงถูกกวาดล้างไปจนสิ้นหมดแล้ว ตอนนี้อารยธรรมครามทองคำไม่จำเป็นต้องแอบทำตามแผนอีกต่อไป ทั้งอารยธรรมรู้กันหมดแล้วว่าพวกเขาแบ่งกองทัพเป็นสองส่วนออกไปโจมตีอีกสองสำนักหลักพร้อมๆ กัน!” น้ำเสียงของเต๋อคุนจื่อในยามนี้เปี่ยมไปด้วยความเศร้าสร้อย โทสะ และความรู้สึกสับสน เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเหตุใดราชวงศ์จะต้องสังหารประชาชนของตนด้วย แต่ชายวัยกลางคนก็มีข้อสันนิษฐานอยู่บ้างในใจ เขารู้สึกว่าราชวงศ์เองก็คงมีสองฝ่ายเช่นกัน…

เมื่อฟังเต๋อคุนจื่อจบ หวังเป่าเล่อผู้ที่ยืนอยู่กลางอวกาศก็หรี่ตาลง พลางรู้สึกปวดหัวขึ้นมาถนัด หากว่ากันตามเวลา ชายหนุ่มก็เห็นได้ว่าเหออวิ๋นจื่อแห่งราชวงศ์พร้อมทั้งพวกอารยธรรมครามทองคำคงตัดสินใจสองเรื่องเมื่อเขาเข้าไปถึงสุสานหลวง

เรื่องแรกคือทิ้งรูปปั้นเอาไว้ในนพภูมิก่อนจะผนึกมันเอาไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าหวังเป่าเล่อจะออกมาจากในนพภูมิไม่ได้และต้องตายอยู่ที่นั่น ทว่าพวกเขาไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของชายหนุ่ม

และอีกเรื่องหนึ่งก็คือ…การตัดสินใจเริ่มสงครามอย่างรวดเร็ว

พวกเขายกพลทั้งหมดไปทำลายสำนักผนึกผังดาวหกแฉก…จากนั้นจึงค่อยแบ่งกำลังพลไปโจมตีอีกสองสำนักหลักที่เหลือพร้อมกัน…ประกายเย็นเยียบสะท้อนอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้ดีว่าต้องไปช่วยสองสำนักหลักต่อต้านการรุกรานของอารยธรรมครามทองคำ ด้านหนึ่ง อารยธรรมครามทองคำคงไม่ยอมให้เขารอดไปได้ง่ายๆ แต่อีกด้าน…

อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นสิ่งที่ข้าหมายตาไว้ ตอนนี้อารยธรรมค่อยๆ พัฒนาขึ้น ในไม่ช้ามันจะต้องตกเป็นของข้าแน่นอน หลังจากนั้น ข้าจะใช้คาถาดึงเอาดวงอาทิตย์ของสหพันธรัฐมารวมกับมันเพื่อยกระดับของสหพันธรัฐขึ้นไป เจ้า…กล้าจะมาชิงของของข้าไปซึ่งๆ หน้า! หวังเป่าเล่อกัดกรามแน่น เขาคงรู้สึกเจ็บใจมากหากจะยอมแพ้ตอนนี้ โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าระดับปราณของเขาเพิ่มขึ้นมากแล้ว แถมตอนนี้ชายหนุ่มยังมีบทบาทสำคัญ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังเป็นผู้นำของดวงวิญญาณนับล้านและหุ่นเชิดจักรพรรดิอีกถึงสิบสองตัว

ไม่ใช่เรื่องเกินเลยสักเท่าใดหากจะกล่าวว่า หวังเป่าเล่อเป็นขั้วอำนาจที่ยิ่งใหญ่ด้วยตัวคนเดียว

หลังจากวิเคราะห์สถานการณ์อย่างง่ายๆ เสร็จ หวังเป่าเล่อจึงปลอบใจเต๋อคุนจื่อผู้ที่กำลังจะเสียสติอยู่รอมร่อ จากนั้นจึงพลิกกายแปลงร่างเป็นสายรุ้งพุ่งไปยังสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เต็มกำลัง

ขณะกำลังเดินทาง หวังเป่าเล่อหรี่ตาและหยิบแผ่นหยกสื่อสารออกมาส่งข้อความถามไปทั่ว ช่างโชคร้ายที่ไม่มีผู้ฝึกตนอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์คนใดที่เขารู้จักตอบกลับมาเลย ไม่ว่าจะเป็นเทพธิดาหลิงโยวหรือผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำก็ตาม เห็นได้ชัดว่าพวกเขาถ้าไม่ถูกฆ่าก็คงถูกผนึกไว้โดยอารยธรรมครามทองคำหมดแล้ว เพื่อเป็นการถ่วงเวลาไม่ให้ข้อมูลแพร่กระจายออกไปได้ทันเวลา!

หวังเป่าเล่อเก็บแผ่นหยกสื่อสารพลางนึกตัดสินใจอยู่เงียบๆ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็จะต้องไปที่นั่นเพื่อดูให้เห็นด้วยตาตนเอง

หากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ล่มสลายไปแล้วจริงๆ ก็ไม่เป็นไร แต่หากว่ายัง…การต่อสู้ในครั้งนี้ข้าจะเป็นผู้ทำให้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์กลับมาเอง!

เมื่อคิดถึงจุดนั้น หวังเป่าเล่อก็เร่งความเร็วขึ้นอีก คลื่นพลังแทรกแซงที่รุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน ราวกับว่าไม่ได้มาจากผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายก็ระเบิดออกมาจากกายเขา ด้วยความช่วยเหลือจากเกราะมหาจักรพรรดิ หวังเป่าเล่อก็รวดเร็วราวกับว่าสามารถตัดผ่านความว่างเปล่าได้ ระหว่างที่กำลังมุ่งหน้าไปยังสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อย่างเต็มกำลัง

ขณะเดียวกัน ด้านนอกสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ การต่อสู้ขนาดใหญ่ที่ส่งผลต่อทั้งสำนักและสามารถตัดสินความอยู่รอดของสำนักได้ก็กำลังอุบัติขึ้น!

ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนอยู่บนดาวเคราะห์มหาทัณฑ์และดาวเคราะห์ใกล้เคียง บ้างก็อยู่บนท้องฟ้า บ้างก็อยู่ในอวกาศ ต่างก็กำลังต่อสู้ยิบตา มีเรือบินรบอยู่จำนวนหนึ่งเช่นกัน ทั้งหมดกำลังพยายามต้านทานกองทัพผู้ฝึกตนจากอารยธรรมครามทองคำ

ฝ่ายสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์กำลังเสียเปรียบอย่างหนัก ดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ถล่มไปส่วนหนึ่งแล้ว และเหลือดวงจันทร์บริวารอยู่เพียงสามดวงเท่านั้น ขณะที่มีทั้งฝุ่น สะเก็ดดาว เศษซาก และศพกระจายเกลื่อนอยู่เต็มบริเวณ!

……………………

สำหรับศิษย์สำนักแห่งความมืดแล้ว มิติแห่งความมืดเป็นเสมือนโลกที่พวกเขาควบคุมได้โดยสมบูรณ์ เช่นเดียวกับที่สวรรค์และโลกมนุษย์ถูกแบ่งออกเป็นหยินและหยาง ศิษย์สำนักแห่งความมืดที่อยู่ภายในมิติแห่งความมืดนั้นทำอะไรได้มากมายกว่าการเก็บเกี่ยวดวงวิญญาณ พวกเขายังสามารถฝึกตนได้ด้วย

และปราณมืดพิเศษภายในมิติแห่งความมืดก็เป็นสารอาหารชั้นเยี่ยม เปรียบดั่งปราณวิญญาณสำหรับสำนักแห่งความมืด ปราณชนิดนี้ช่วยให้พลังปราณของศิษย์สามารถควบรวมหยินและหยางได้ ทำให้พวกเจาแข็งแกร่งเกินสำนักอื่นๆ ไปมากนัก

สำหรับศิษย์สำนักแห่งความมืดยุคก่อน ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกันที่จะเข้าไปยังมิติแห่งความมืดเพื่อฝึกตน แต่ต้องมีระดับปราณตามที่กำหนด พวกเขาต้องอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์เป็นอย่างน้อยจึงจะเข้าไปได้ ดังนั้นนั้น หวังเป่าเล่อผู้ที่เคยได้ยินและรับรู้เรื่องนี้มาระหว่างที่อยู่ในนิมิตมืด จึงไม่เคยได้เข้าไปเยือนที่นั่นมาก่อน

และหลังจากที่สำนักแห่งความมืดล่มสลายเพราะเต๋าสวรรค์พังทลาย สำนักแห่งความมืดก็เริ่มอยู่ในขาลงมา ยิ่งไปกว่านั้น เพราะตระกูลไม่รู้สิ้นได้ปิดผนึกมิติแห่งความมืดเอาไว้ ทำให้ไม่มีศิษย์สำนักแห่งความมืดคนใดได้เข้าไปที่นั่นมาเป็นเวลานานมากแล้ว

เช่นเดียวกัน เพราะไม่มีใครได้เข้าไปที่นั่นมาเป็นเวลานาน ทำให้ความเข้มข้นของปราณมืดภายในมิติแห่งความมืดภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นพุ่งสูงจนเหลือเชื่อ แม้ว่าวิญญาณระดับดาวพระเคราะห์ขึ้นไปจะไม่สามารถเข้าสู่มิติแห่งความมืดได้เพราะเต๋าสวรรค์ได้ตายจากไป ทำให้มิติแห่งความมืดทั้งหมดไม่มีต้นกำเนิด แต่ปราณอันเข้มข้น…ยังสามารถกลายมาเป็นอาหารอันโอชะให้หวังเป่าเล่อได้!

หลังจากที่สัมผัสได้ว่านี่คือมิติแห่งความมืดที่สำนักแห่งความมืดกล่าวขวัญถึงและรัศมีของสถานที่นี้ยังทำให้ร่างกายที่แตกสลายของเขาค่อยๆ ดีขึ้น หวังเป่าเล่อก็คิดว่าทุกๆ สิ่งคงจะสมบูรณ์แบบหากเขาสามารถนำร่างจริงมานอนอยู่ที่นี่แทนได้

ช่างน่าเสียดายอะไรอย่างนี้…หวังเป่าเล่อรู้สึกเสียดายจริงๆ แต่กลับตื่นเต้นมากกว่า เพราะตามวิชาแห่งศาสตร์มืดที่เขาเคยได้ร่ำเรียนมา ทันทีที่ชายหนุ่มบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ได้ เขาก็จะสามารถเปิดมิติแห่งความมืดและให้ร่างจริงของเขาเข้าไปในนั้นได้

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็คึกคักขึ้นมาอีกครั้ง ขณะที่ก้าวย่ำไปบนรูปปั้น ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นโบกเป็นผนึกฝ่ามือ ทันใดนั้นเอง หมอกที่รายล้อมอยู่ก็เข้ามาห่อหุ้มกายก่อนจะแปรสภาพเป็นพายุหมุนที่มีตัวเขาเป็นจุดศูนย์กลาง

ขณะที่หมุนวนอยู่นั้น ปราณมืดจำนวนมากก็พุ่งเข้ามาหาหวังเป่าเล่อภายใต้เสียงตะโกนโห่ร้องยินดีและเทิดทูนบูชา ปราณมืดไหลผ่านทวารทั้งเจ็ดของชายหนุ่ม ไหลทะลักผ่านทุกรูขุมขนและร่องรอยเปิดบนผิวหนังของเขาเข้าไป

รัศมีแห่งความตายที่อาจทำให้ใครอื่นตกตะลึงหากได้สัมผัส และใครๆ ต่างก็อยากหลบเลี่ยง เป็นสิ่งที่ทรงคุณค่ายิ่งสำหรับหวังเป่าเล่อ

ขณะที่ชายหนุ่มดูดซึมมันเข้าไปนั้น ร่างสารัตถะภายใต้เกราะมหาจักรพรรดิของเขา ซึ่งตอนแรกมีร่องรอยแตกร้าวอยู่เต็มไปหมดก็ฟื้นฟูขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่รัศมีแห่งความตายไหลบ่าเข้าท่วมกาย แม้ว่าพลังปราณของหวังเป่าเล่อจะไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ก็มีผลช่วยให้พลังปราณของเขาคงที่!

อาจกล่าวได้ว่าหวังเป่าเล่อคนก่อนเสียการควบคุมปราณที่สั่งสมไว้ไปเพราะระดับพลังปราณของเขาเพิ่มสูงขึ้นเร็วเกินไป ทำให้ไม่อาจจัดการได้อย่างเต็มที่ ทำให้แม้ระดับพลังปราณจะดูเหมือนอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย แต่ยังไม่อาจต่อสู้ได้อย่างเต็มกำลัง แต่ตอนนี้…ภายใต้การเกื้อหนุนของรัศมีแห่งความตาย ปัญหาทุกอย่างในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นจากการเพิ่มพูนพลังปราณอย่างรวดเร็วก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป!

ขณะที่กำลังแก้ไขอยู่นั่นเอง ก็มีพลังคลื่นแทรกปราณระเบิดออกมาจากกายเขา ทั้งยังมีสัมผัสแห่งพลังและความแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากทุกอณูของกายเขาก่อนจะไหลบ่าเข้ารวมกับดวงจิตของชายหนุ่มอีกด้วย ทำให้หวังเป่าเล่อถึงกับต้องยกศีรษะขึ้นคำรามอย่างสุดจะควบคุม

เมื่อเสียงคำรามดังสนั่นออกไป พายุหมุนรอบกายก็พัดหนักอีกครั้ง และรัศมีแห่งความตายจำนวนมากก็พวยพุ่งออกมาราวกับว่ามันมีปริมาณไร้ขีดจำกัด ทั้งยังคล้ายว่ารัศมีแห่งความตายนี้มีปัญญาวิญญาณเป็นของตัวเอง และเริ่มหงุดหงิดจากการติดอยู่ในมิติแห่งความมืดนานเกินไป มันจึงอยากมาเป็นส่วนหนึ่งของหวังเป่าเล่อ และติดตามเขาออกไปเห็นดวงอาทิตย์อีกครั้งนั่นเอง!

ดังนั้นในขณะที่คลื่นเสียงครั่นครืนของอัสนีสวรรค์ดังอยู่ไม่หยุดหย่อน พายุหมุนก็ใหญ่ขึ้นทุกทีๆ และรอยฉีกทุกแห่งบนกายหวังเป่าเล่อก็สมานกันเป็นที่เรียบร้อย เมื่ออาการบาดเจ็บทั้งภายในและภายนอกหายดี ระดับพลังปราณของเขาก็คล้ายกับว่ากลับไปอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายอีกครั้ง ถึงกระนั้น…เพราะการผสานรวมกันของหยินและหยาง ทำให้พลังปราณของหวังเป่าเล่อขณะนี้หนักแน่นราวหินผา!

ในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นปัจจุบัน แม้จะมีผู้อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะที่ระดับปราณมั่นคงใกล้เคียงกับหวังเป่าเล่ออยู่ก็ตาม ทว่า…พวกเขาเหล่านั้นก็มาจากขั้วอำนาจอันยิ่งใหญ่หรือตระกูลดัง เรียกได้ว่าคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด

มีเพียงตระกูลใหญ่ๆ เช่นนั้นที่จะสามารถฝึกปรือศิษย์และคาดหวังให้พวกเขาแบกรับความหวังของตระกูลเอาไว้ได้ นอกจากนั้น มีไม่กี่คนในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นแห่งนี้ที่จะเป็นเช่นหวังเป่าเล่อได้ คือสามารถสร้างรากฐานอันมั่นคงราวหินผาหลังจากที่เพิ่งจะควบรวมหยินและหยางเข้าด้วยกันไปหมาดๆ!

อันที่จริง หวังเป่าเล่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งนี้คือวัตถุประสงค์ของศิษย์พี่เฉินชิงของเขา เมื่อครั้งที่เฉินชิงพาหวังเป่าเล่อออกจากสหพันธรัฐเพื่อไปยังสถานที่นัดพบลับของสำนักแห่งความมืด เขาก็ตั้งใจจะให้หวังเป่าเล่อใช้พลังของมิติแห่งความมืดเพื่อสร้างร่างกายดุจหินผาหลังจากที่ชายหนุ่มบรรลุระดับดาวพระเคราะห์แล้ว

ถึงแม้จะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการนั้น ส่งผลให้หวังเป่าเล่อยังไม่บรรลุระดับดาวพระเคราะห์ แต่สถานการณ์ปัจจุบันก็ไม่ต่างจากแผนของเฉินชิงนัก เพราะหวังเป่าเล่อ ที่ตอนนี้สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในระดับปราณ ก็ได้รับอานิสงส์โดยหารู้ไม่ว่านี่เป็นแผนของศิษย์พี่ที่วางเอาไว้ ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็เปรียบเทียบตนเองกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายที่เพิ่งจะได้พบตอนทำภารกิจของปรมาจารย์แห่งไฟ

หวังเป่าเล่อเข้าใจอย่างชัดแจ้งว่าก่อนหน้านี้ตนเองมีระดับเกือบเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายหากไม่นับความช่วยเหลือจากสมบัติเวทอื่นๆ ด้วย และหลังจากที่ได้ซึมซับรัศมีแห่งความตายมาแล้ว ชายหนุ่มก็รู้สึกราวกับมีมังกรและพยัคฆ์ผสานรวมกันอยู่ในกาย…ต่อให้ปราศจากความช่วยเหลือจากเกราะมหาจักรพรรดิและสมบัติเวทอื่นๆ เขาก็ยังสามารถสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายได้ด้วยพลังของตนเอง!

และหวังเป่าเล่อยังมั่นใจอีกด้วยว่ากระบวนการนี้จะใช้เวลาไม่นานเท่าใด ดังนั้น ในชั่วพริบตา ชายหนุ่มจึงได้ตัดสินใจว่า เมื่อใดก็ตามที่ระดับปราณของเขาบรรลุถึงระดับดาวพระเคราะห์ เขาก็จะเข้าไปยังมิติแห่งความมืดและดูดซับรัศมีแห่งความตายอีกครั้ง หวังเป่าเล่อจะสามารถปล่อยให้พลังปราณของตนมั่นคงขึ้นเรื่อยๆ และก้าวพ้นคนอื่นไปได้ด้วยวิธีนั้นนั่นเอง!

ขณะที่ข้า…สวมเกราะอยู่ ข้าจะสามารถรับมือกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้หรือไม่นะ หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะเขายังไม่เคยปะทะกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์มาก่อน ชายหนุ่มทำได้เพียงคาดคะเนอยู่ในใจ คำตอบสุดท้ายที่ได้มาก็คือ…

หากตัดสินจากการปะทะกับผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่ข้าพบระหว่างภารกิจของปรมาจารย์แห่งไฟ…หากข้าสวมเกราะมหาจักรพรรดิ ต่อให้ล้มพวกเขาไม่ได้ ก็คงแทบเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อยู่ระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้นจะสังหารข้าได้!

เมื่อเข้าใจเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็หัวเราะออกมาเสียงดัง ในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มก็เห็นว่า ร่างกายของเขาเริ่มซึมซับรัศมีความตายได้ช้าลง เขารู้แล้วว่าร่างกายตนเริ่มถึงขีดจำกัด หวังเป่าเล่อไม่อยากดึงดันต่อจนกระทั่งเสี่ยงเสียสมดุลหยิน-หยางไป นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกาย เขาหยุดการซึมซับลงด้วยความมั่นใจ เมื่อชายหนุ่มก้มศีรษะลงมองรูปปั้น จู่ๆ ก็มีความรู้สึกอยากจะซ่อนมันเอาไว้ให้พ้นสายตา

แต่รูปปั้นนั้นช่างประหลาดและไม่สามารถเอาเข้ากระเป๋าคลังเก็บได้ แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะรู้สึกว่าน่าเสียดาย แต่การทิ้งรูปปั้นเอาไว้ในมิติแห่งความมืดก็คงไม่เสียหายอะไร ดังนั้นชายหนุ่มจึงใช้ผนึกฝ่ามือด้วยมือทั้งสองข้างและใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดผนึกรูปปั้นเอาไว้อีกครั้ง หลังจากที่จัดวางคลื่นพลังรบกวนแห่งความมืดของตนเองเพื่อให้หารูปปั้นเจอทันทีที่กลับมา หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเงยศีรษะขึ้นมองไปยังความเวิ้งว้างเบื้องบน

ได้เวลาที่ข้าจะออกจากที่นี่แล้ว!

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลง แม้ว่าร่างกายของชายหนุ่มจะหายดีแล้ว เขาก็ยังไม่ปลดเกราะมหาจักรพรรดิออก ในวินาทีนั้น พลังปราณของเขาก็ทะลักออกมาภายนอก และมีคลื่นพลังปราณแทรกแซงที่เทียบเท่ากับขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย แต่อาจจะทำให้เพื่อนร่วมระดับปราณตกตะลึงเพราะความเข้มข้นของมันพุ่งทะยานออกมาจากกาย และภายใต้พลังเสริมจากเกราะมหาจักรพรรดิของเขา คลื่นพลังแทรกแซงนั้นก็ระเบิดออกมาอีกคำรบ อันที่จริงแล้ว นอกจากเรื่องที่ว่าหวังเป่าเล่อยังไม่มีพลังกดดันพิเศษที่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้รับหลังจากที่กลืนกินดาวเคราะห์เข้าไป ชายหนุ่มก็ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากคนเหล่านั้นเท่าใดนัก

ภายใต้แรงระเบิดนั้น เงาของเขาก็พุ่งทะยานไปบนท้องฟ้าราวกับเป็นดาวหางที่เคลื่อนที่เร็วขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ชายหนุ่มเร่งความเร็วออกไป หมอกจากมิติแห่งความมืดก็ติดตามร่างกายของเขามาและหมุนวน ราวกับว่าจะมาส่งหวังเป่าเล่อกระนั้น ส่งผลให้ชายหนุ่มเดินทางเร็วขึ้นไปอีก เมื่อความเร็วเพิ่มไปถึงจุดสูงสุด ก็เกิดเสียงกัมปนาทราวสายฟ้าฟาดดังก้องไปทั่วบริเวณ เหมือนว่าความว่างเปล่าได้ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ พายุหมุนที่พุ่งทะยานเป็นทางสู่โลกภายนอกปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อขณะที่เขาเร่งความเร็วออกไป

ร่างของชายหนุ่มพุ่งเข้าไปในพายุหมุนโดยไม่รอช้า ชายหนุ่มหนีออกจากนพภูมิของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ และเมื่อมาปรากฏตัวอีกครั้ง…เขาก็อยู่ในจักรวาลบริเวณนอกดาวเอกดวงเนตรสวรรค์เรียบร้อย!

จักรวาลเลื่อนลั่น มีอักขระโบราณกระจายไปทั่วบริเวณ สร้างพลังแทรกแซงที่มองเห็นได้ไกลหลายสิบกิโลเมตรออกมา แน่นอนว่าพลังนี้ย่อมต้องไปเตะตาบรรดาผู้ฝึกตนจากสามสำนักหลักที่ประจำอยู่นอกดาวเอกดวงเนตรสวรรค์แน่อันที่จริงแล้ว กระทั่งบรรดาผู้ฝึกตนที่อยู่บนพื้นผิวดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ก็ยังมองเห็นความเปลี่ยนแปลงในจักรวาลเมื่อแหงนหน้าขึ้นมอง

แต่ขณะนี้…ดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ทั้งดวงกลับเงียบสนิท กองทหารของสามสำนักหลักที่เคยตั้งอยู่ที่นั่น…กลายเป็นละอองฝุ่นนับไม่ถ้วนที่ล่องลอยอย่างเงียบงันอยู่ในห้วงอวกาศ…

ศีรษะหนึ่งที่ดวงตาเบิกโพลงอย่างน่าเวทนา ลอยเคว้งผ่านหน้าหวังเป่าเล่อไปช้าๆ!

ก่อนหน้านี้ที่หวังเป่าเล่อเข้าไปอยู่ในนิมิตมืด เขาได้เรียนรู้วิชาแห่งศาสตร์มืดมามากมาย แต่ด้วยความที่พลังปราณของเขาต่ำไปจึงไม่สามารถใช้งานพวกมันได้ บัดนี้เมื่อมีปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย ชายหนุ่มก็เริ่มใช้หลายวิชาได้ดังใจนึก

ยกตัวอย่างเช่นวิชาพลังหยางย้อนกลับ ที่เรียกวิญญาณให้เข้าไปอาศัยอยู่ในวัตถุบางอย่างได้ การจะใช้วิชานี้ได้นั้นมีข้อจำกัดมากมาย วิญญาณเหล่านั้นจะต้องไม่ต่อต้านแม้แต่น้อย และยังถือเป็นวิชาต้องห้ามของสำนักแห่งความมืดอีกด้วย

แต่สำหรับหวังเป่าเล่อในตอนนี้ วิชาต้องห้ามไม่มีอยู่จริง ทันทีที่เขาใช้วิชานี้ วิญญาณของจักรพรรดิทั้งสิบสองดวงก็สั่นเทิ้มอย่างรุนแรง แปรสภาพไปเป็นลำแสงสีแดงสิบสองเส้นที่พุ่งเข้าใส่หุ่นเชิดทั้งสิบสองตัว วิญญาณและหุ่นเชิดพลันหลอมรวมกันทันที

ในตอนนั้นเอง หุ่นเชิดทั้งสิบสองตัวก็สั่นสะท้าน แต่ละตัวระเบิดพลังงานเทียบเท่าพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นออกมา พลังนั้นไม่ได้เสถียรมากและยังต้องการเวลาหลอมรวมกันให้นานกว่านี้ แต่ก็จัดว่าใช้ได้แล้วสำหรับหวังเป่าเล่อที่ไม่ได้รีบร้อนอันใด หลังจากที่ตรวจตราดูจนแน่ใจว่าไม่มีปัญหา เขาก็ยกมือขวาขึ้นโบกเพื่อเก็บหุ่นเชิดกลับไป

หลอมไปอีกสักพักข้าก็จะมีหุ่นเชิดขั้นจิตวิญญาณอมตะสิบสองตัวเอาไว้ในครอบครอง!

และวิญญาณหลายล้านตนนั้นด้วย… หวังเป่าเล่อดีใจจนเนื้อเต้น ไม่เพียงแต่พลังปราณของเขาเท่านั้นที่พัฒนาขึ้นจนน่าตกใจ แต่เขายังได้ของล้ำค่ามากมายมาไว้ในครอบครองอีกด้วย เขาเก็บหุ่นเชิดแสนตัวพร้อมทั้งวิญญาณหลายล้านตนที่อยู่ในนั้นกลับเข้ากระเป๋าด้วยความลิงโลด จากนั้นก็สูดหายใจเข้าและมองไปรอบกาย

ปกติแล้วสุสานจะต้องมีสิ่งของไว้ทุกข์ฝังไว้กับศพ ที่นี่คือสุสานหลวงแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ทั้งจักรพรรดิองค์ก่อนหน้าก็ฝังอยู่ที่นี่ทั้งหมด แปลว่าจะต้องมีของไว้ทุกข์หลายอย่างอยู่แน่ ชายหนุ่มดวงตาสว่างวาบขณะส่งสัมผัสสวรรค์ออกตรวจตรา ด้วยพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายของเขา แม้สุสานนี้จะกว้างใหญ่พอตัว แต่สัมผัสสวรรค์ที่ทรงพลังของหวังเป่าเล่อก็ยังเข้าครอบคลุมได้หมดทั้งบริเวณในพริบตา หลังจากที่ตรวจสอบจนทั่วแล้ว ชายหนุ่มก็สะดุ้งเฮือก ดวงตาวาวโรจน์

ทั้งหมดนี่… หวังเป่าเล่อหายใจหอบถี่เมื่อเห็นสิ่งที่สัมผัสสวรรค์บอก เขารีบลุกขึ้นก้าวหายไปในทันที ก่อนมาปรากฏตัวอีกครั้งที่ท้องฟ้าเหนือพระราชวัง ชายหนุ่มก้มลงมองเบื้องล่างและเห็นภูเขาสี่ลูกที่สัมผัสสวรรค์ตรวจจับได้ก่อนหน้า! ภูเขาทั้งสี่ห้อมล้อมพระราชวังเอาไว้

ภูเขาทั้งสี่ลูกดูเหมือนเทือกเขาที่ติดกันเป็นแนวยาว แต่ดวงเนตรเทพของหวังเป่าเล่อกลับเปิดโปงความลับของมันออกมาจนหมดสิ้น ภาพที่เขาเห็นทำให้ดวงวิญญาณของชายหนุ่มสั่นสะเทือนด้วยความตกใจ

ภูเขาลูกแรกแปรสภาพไปตามกาลเวลาที่ผันผ่านกลายมาเป็นเทือกเขาหนึ่งลูก ภูเขาลูกนี้เกิดมาจากกองศิลาวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนที่ค่อยๆ หลอมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่ง ก่อนหน้านั้นหวังเป่าเล่อไม่ทันได้สังเกต เนื่องจากพลังปราณจากศิลาวิญญาณจำนวนมหาศาลได้สลายหายไปหมดแล้ว จนมีหน้าตาเหมือนภูเขาธรรมดาทั่วไป

ดูทรงแล้วจะต้องมีศิลาวิญญาณอย่างต่ำสิบล้านก้อนเลยทีเดียว… หวังเป่าเล่อสูดหายใจเข้า เขาตกตะลึงเป็นอันมากจนต้องพาร่างเข้าไปใกล้เพื่อดูให้ชัดๆ เขาทำได้เพียงเอามือทาบอก รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดภายในใจตนเพียงเท่านั้น

ข้ามาช้าไป! ถ้ามาถึงเร็วกว่านี้สักหมื่นปีละก็… หวังเป่าเล่อมีสีหน้าหดหู่ บอกไม่ถูกว่าตนเองรู้สึกอย่างไร หลังจากเวลาผ่านไปสักพัก เขาก็หันไปมองภูเขาลูกที่สองที่สร้างมาจากโอสถจำนวนนับไม่ถ้วน เสียแต่ว่า…โอสถเหล่านั้นไม่มีพลังปราณหลงเหลืออยู่แล้วเช่นเดียวกับศิลาวิญญาณ โอสถเหล่านี้สูญสิ้นสภาพจากภายในและหมดฤทธิ์ไปเป็นที่เรียบร้อย

ไอ้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นี่มันมีแต่พวกโง่เง่าหรืออย่างไร เหตุใดจึงสุรุ่ยสุร่ายเช่นนี้ หรือว่าก่อนหน้านี้มันเคยรวยมากมาก่อนกันนะ หวังเป่าเล่อรู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน ขณะที่มาถึงเขาลูกที่สองซึ่งเกิดมาจากโอสถและได้แต่จ้องมองมันด้วยสายตาว่างเปล่า จากนั้นเขาก็ไปที่ภูเขาลูกที่สามและสี่ต่อไปอย่างดฉยชา ภูเขาสองลูกที่เหลือสร้างมาจากสมบัติเวทและเรือบินรบ!

เมื่อหวังเป่าเล่อไปถึงภูเขาลูกที่สาม ความรู้สึกเสียใจก็มากขึ้นเล็กน้อย นั่นเพราะด้วยความที่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวท เขาจึงมั่นใจว่าภูเขาสมบัติเวทลูกที่สามนี้ไม่ได้มีมูลค่ามากขนาดนั้น แม้จะรู้สึกได้ถึงความสูญเสียในใจ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังทำใจจากมันมาได้

ทว่า…ทันทีที่ชายหนุ่มมาถึงภูเขาลูกสุดท้าย และเห็นว่าภูเขาลูกนี้เกิดจากกองเรือบินรบเวทที่สุมขึ้นเป็นภูเขาเลากา อารมณ์ของหวังเป่าเล่อก็ดิ่งลงไปอีกจนเรียกได้ว่าคล้ายคนอกหักเลยทีเดียว

ให้ตายเถอะ เสียของเป็นบ้า… หวังเป่าเล่ออยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก โดยเฉพาะเมื่อค้นพบว่ามีภูเขาที่สร้างมาจากเรือบินรบอยู่ด้วย พอชายหนุ่มประเมินได้ว่ามีอยู่ราวพันลำ เขาก็รู้สึกเหมือนโดนหมัดที่มองไม่เห็นต่อยจนพาลสั่นไปหมดทั้งร่าง

อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นี่มันบ้าไปแล้วจริงๆ ต่อให้มันจะแข็งแกร่งขนาดไหนก็ไม่ควรเอาเรือบินรบพันลำมากฝังไปกับคนตายสิ ไอ้หน้าโง่ที่ไหนมันเป็นคนคิดกัน! หวังเป่าเล่อรู้สึกฉุนขาด หัวใจเหมือนโดนความรู้สึกสูญเสียกรีดจนเลือดไหล แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็แอบเคลือบแคลงสงสัยเช่นกัน นั่นเพราะอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นี้ไม่ควรจะแข็งแกร่งอหังการถึงเพียงนี้ หลังจากที่ตรวจสอบดูจนแน่ใจเขาก็ถอนหายใจออกมา

ไอ้ของพวกนี้ไม่ได้ถูกฝังรวมกับคนตายครั้งเดียวแต่แบ่งฝังหลายครั้ง… สงสัยทุกครั้งที่มีไอ้บ้าคนนึงตายพวกนี้ก็จะเอาเรือบินรบเวทมาฝังกับศพมันด้วยแน่ๆ … เรือบินรบพวกนี้มีรอยแตกอยู่บนพื้นผิว แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เกิดจากกาลเวลา ดูจะเป็นร่องรอยความเสียหายจากตอนที่ยังใช้งานอยู่มากกว่า…

ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นละนะ ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใดแล้วตั้งแต่อารยธรรมนี้ถือกำเนิดขึ้นมา หวังเป่าเล่อถอนหายใจก่อนจะพุ่งเข้าไปเลือกดูเรือบินรบเวทด้วยความหงุดหงิด หลังจากที่ตรวจดูอย่างถี่ถ้วน เขาก็แน่ใจแล้วว่าเรือบินรบเวทเหล่านี้ตายไปเรียบร้อย เหลือไว้เพียงซากให้ดูต่างหน้าเท่านั้น

และด้วยความที่เรือบินรบเวทเหล่านี้ได้รับความเสียหายหนัก หรืออาจเป็นเพราะกาลเวลาที่ล่วงเลยมาเนิ่นนาน พวกมันจึงหมดมูลค่าแม้แต่จะใช้เป็นชิ้นส่วนในการสร้างสิ่งใหม่ๆ ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงรู้สึกหงุดหงิดเป็นอันมาก เขายืนเงียบอยู่นานก่อนจะยกมือขึ้นคว้าอากาศ หลังจากที่หยิบเรือบินรบเวทลำหนึ่งออกมา เขาก็เริ่มกระบวนการปรับปรุงมัน

แม้จะเป็นเพียงซากเรือบินที่หมดราคาแล้ว แต่ความสามารถด้านการหลอมอาวุธเวทของหวังเป่าเล่อก็ทำให้เขาสามารถเปลี่ยนขยะให้กลายเป็นสมบัติได้ หลังจากที่รื้อบางส่วนของเรือบินรบทำลายตนเองออกและรวมมันเข้ากับเรือบินรบเวท หวังเป่าเล่อก็สามารถฟื้นฟูพลังบางส่วนของซากเรือบินกลับมาได้

การนำมารื้อประกอบสร้างใหม่คือหัวใจหลักที่เขาใช้ในการกู้ความสามารถของเรือบินกลับมาชั่วคราว และสามารถระเบิดทำลายตนเองได้เช่นกัน กระนั้นพลังของมันก็อ่อนนัก โดยนับเป็นร้อยละ 10ของเรือบินรบเวทปกติเท่านั้น

แต่ที่นี่มีเรือบินรบเวทอยู่เป็นพันๆ ลำ หวังเป่าเล่อจะได้ทรัพย์สินมหาศาลหากเขาดัดแปลงมันสำเร็จ ชายหนุ่มจึงกัดฟันหยิบหุ่นเชิดออกมาแสนตัวเพื่อการนี้ ด้วยความที่ภายในหุ่นเชิดนั้นมีวิญญาณอยู่จึงทำให้เขาควบคุมมันได้ง่าย สามวันผ่านไป เรือบินรบเวทกว่าเก้าร้อยลำก็ถูกหวังเป่าเล่อดัดแปลงเป็นที่เรียบร้อย ด้วยหยาดเหงื่อและแรงกายของหุ่นเชิดทั้งแสนตัว เรือบินรบเหล่านี้ก็กลายมาเป็นเรือบินรบเวททำลายตนเองของหวังเป่าเล่อในที่สุด

แม้พลังของมันจะไม่ได้ดีเด่อะไร แต่ก็ยังเอาไว้ใช้ทำให้คนตกใจกลัวได้ละนะ! ชายหนุ่มถอนหายใจ สำหรับเขาแล้วพวกเรือบินรบเหล่านี้มีดีอย่างเดียวคือหน้าตา…

การดัดแปลงของเขาแม้จะทำให้พลังทำลายตนเองของพวกมันไม่ได้สูง แต่หน้าตาของเรือบินรบเหล่านี้ก็ยังดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ดูแตกต่างจากเรือบินรบเวทธรรมดาอย่างสิ้นเชิง

หลังจากที่ปลอบใจตนเองเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ยอมรับความจริงในที่สุด แม้จะลังเลอยู่บ้าง ชายหนุ่มก็เก็บเรือบินรบเข้ากระเป๋าและเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพลางถอนใจออกมา

หากมีแค่นี้…เห็นทีข้าคงจะต้องไปแล้ว ชายหนุ่มหันหน้าไปมองบรรยากาศรอบตัวก่อนจะส่งสัมผัสสวรรค์ของตนเองออกไปเพื่อตรวจดูสุสานหลวงอีกครั้ง เมื่อเขามั่นใจแล้วว่าตนเองไม่ได้พลาดอะไรไป ชายหนุ่มก็ก้มลงมองพระราชวังข้างล่างขณะลอยอยู่ในอากาศ

น่าเสียดายที่พวกนี้เป็นเพียงภาพมายาไม่มีอยู่จริง มิเช่นนั้น…ข้าคงเอามันมาแยกชิ้นส่วนขายได้ ชายหนุ่มส่ายหน้าด้วยความเสียดายก่อนจะขยับตัวทะยานสู่ท้องฟ้าเบื้องบน เมื่อเข้าไปใกล้เขาก็ยกมือขวาขึ้นปล่อยหมัด

ท้องฟ้าดังสะเทือนเลื่อนลั่น พลันพายุหมุนที่เกิดจากหมัดของหวังเป่าเล่อก็ถือกำเนิดขึ้น เขามีทั้งพลังปราณที่แก่กล้ามาก และยังกลายมาเป็นจักรพรรดิรวมถึงเจ้าของสุสานหลวงแห่งนี้ ชายหนุ่มจึงเปิดทางออกจากสถานที่นี้ท่ามกลางเสียงดังลั่น

ทันใดนั้น หวังเป่าเล่อที่กำลังจะก้าวออกจากที่แห่งนี้ก็พลันหยุดชะงักและจ้องไปข้างหน้า เขามองไปที่พื้นที่มืดสนิทข้างนอกลมหมุน รู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่แผ่เข้ามาภายในลมหมุนจากด้านนอก ดวงตาสว่างวาบขึ้นมาอย่างเสียมิได้

พลังนี้… หวังเป่าเล่อกลั้นหายใจ ปล่อยสัมผัสสวรรค์ของตนออกไปรวมกับลมหมุนเพื่อสัมผัสโลกภายนอก ทันทีที่เขารู้ว่าตนเองอยู่โลกใด ก็เห็นว่าในโลกนั้นมีหมอกลอยกระจายอยู่ทั่ว รูปปั้นสุสานหลวงที่เขาอยู่นั้นก็ค่อยๆ จมลงเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อตกใจเป็นอันมาก

นี่มัน… มิติแห่งความมืดรึ

มิติแห่งความมืดนั้นมีหลายชื่อเรียกตามแต่อารยธรรม อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เรียกมันว่านพภูมิ สำหรับหวังเป่าเล่อ มิตินี้คือมิติที่สำนักแห่งความมืดเป็นคนเปิด แต่เนื่องด้วยพลังปราณที่ต่ำต้อยของเขา หวังเป่าเล่อจึงเคยแต่ได้ยินมาเท่านั้น ไม่เคยเข้ามาจริงๆ แต่อย่างใด

แต่ในตอนนี้ หลังจากที่ได้สัมผัสบรรยากาศภายนอกและยืนยันอีกรอบให้แน่ใจแล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้นในทันที เขาขยับตัวครั้งเดียวก็ก้าวออกจากลมหมุน ไปยืนอยู่บนรูปปั้นที่กำลังจมลงเรื่อยๆ และมองไปที่บรรยากาศรอบกาย ทันทีที่ร่างของเขาปรากฏขึ้น ก็เหมือนกับหินที่ถูกโยนไปบนผิวทะเลสาบ การปรากฏตัวของชายหนุ่มทำให้ม่านหมอกไหวเป็นระลอก เสียงกรีดร้องดังระงมในโลกที่เคยเงียบสงัด

ทันทีที่เขาทอดสายตาไป ม่านหมอกก็พลันปั่นป่วนหมุนวน หมอกนั้นพุ่งเข้ามาล้อมไหลวนรอบกายหวังเป่าเล่อ จนเกิดเป็นหมอกหมุนขนาดใหญ่กระจายตัวไปเป็นวงกว้าง

หมอกพวกนี้ดูเหมือนจะ…กำลังให้กำลังใจ ต้อนรับ และบูชาตัวเขาอยู่!

เทพยักษ์ตนในกันที่ใช้พละกำลังมหาศาลโยนรูปปั้นนี้เข้ามาในมิติแห่งความมืด… หวังเป่าเล่อประหลาดใจเป็นอันมาก เพราะเพียงแค่หายใจเอาหมอกรอบกายเข้าไป ร่างกายที่อ่อนล้าฉีกขาดภายใต้ชุดเกราะก็พลันได้รับการเยียวยาอย่างรวดเร็ว!

…………………..

คำพูดของแม่นางน้อยนั้นสมเหตุสมผลพอตัว หวังเป่าเล่อโลภมากเกินไปจริงๆ ในครั้งนี้ แม้จะเป็นเพราะว่าเขาไม่อยากปล่อยโอกาสงามที่ได้มาอย่างยากยิ่งให้สูญเปล่าไปก็ตามที หากพอใจแค่การบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นและชั้นปลายก็คงไม่ต้องเจ็บปวดเจียนตายเช่นนี้

นั่นเพราะการปล่อยมหาสมุทรในวิญญาณให้ทะลักเข้าร่างในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้ อาจหมายถึงการทำให้ร่างอวตารดับสลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้

ร่างของเขายังคงอยู่ได้ด้วยพลังของเปลวเพลิงดารานิรันดร์และฝ่ามือดาวพระเคราะห์ภายในกาย รวมถึงพลังบีบอัดของเกราะมหาจักรพรรดิและบทสวดแห่งเต๋าด้วย ความเจ็บปวดเหลือทนภายในร่างทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ สิ่งเดียวที่เขาทำได้ในเวลานี้คือการพุ่งพลังทั้งหมดไปที่การทำให้ร่างกายเสถียร

ชายหนุ่มยังโชคดีที่เปลวเพลิงดารานิรันดร์และฝ่ามือดาวพระเคราะห์นั้นทรงพลังมาก นอกจากนี้เกราะมหาจักรพรรดิยังทำหน้าที่เป็นเหมือนวงแหวนที่บีบรัดร่างกายของเขาเอาไว้ด้วยกัน จึงพอช่วยซื้อเวลาให้เขาหายใจหายคอได้ทัน สิ่งสำคัญที่สุดคือบทสวดแห่งเต๋าที่ตกลงห่อหุ้มร่างของหวังเป่าเล่อเอาไว้ ราวกับกำลังมอบพลังที่แสนยิ่งใหญ่ให้

ทั้งหมดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อคงร่างกายให้เสถียรได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แม้…พลังของบทสวดแห่งเต๋านั้นไม่นานก็สลายหายไป แต่เปลวเพลิงดารานิรันดร์นั้นจะคงอยู่ต่อไป แม้ว่าจะต้องตกอยู่ภายใต้ความกดดันมหาศาลก็ตาม หลังจากที่ทำให้ร่างเสถียรได้แล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มเปิดตาได้เล็กน้อย

สงสัยคราวนี้ข้าจะวู่วามเกินไป… หวังเป่าเล่อก้มหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่น เขามองร่างของตนเองและรู้สึกได้ว่าทันทีที่เลิกใช้เปลวเพลิงดารานิรันดร์ ฝ่ามือดาวพระเคราะห์ หรือเกราะมหาจักรพรรดิ ร่างกายจะพลันแหลกสลายไปในทันที จุดที่เขาอยู่ในตอนนี้คือสภาวะสมดุลที่สุด

ข้าได้พลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายมาครอบครองแล้ว แต่รู้สึกราวกับเป็นตุ๊กตากระเบื้องเคลือบเสียอย่างนั้น หากโดนแตะแม้แต่ปลายนิ้วคงสิ้นสภาพไปเป็นแน่ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นอย่างจนปัญญา เขากวาดสายตามองดวงวิญญาณนับล้านที่คุกเข่าอยู่เบื้องหน้าโดยไม่ไหวติง นอกจากนี้ยังมองจักรพรรดิทั้งสิบสองพระองค์ที่กำลังคุกเข่าอยู่ที่พระราชวังท้องฟ้าด้วยเช่นกัน ดวงตาของชายหนุ่มสว่างวาบด้วยแสงประหลาด ท้ายที่สุดเขาก็มองไปยังชุดเกราะของจักรพรรดิที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ในพระราชวังส่วนลึก

หลังจากที่กินผีแก่เข้าไป แม้ว่าเขาจะไม่ได้รับถ่ายทอดความทรงจำหรือวิชาดวงเนตรปีศาจภาคต่อมา แต่วิชาดวงเนตรปีศาจของเขาก็แตกต่างไปจากเดิม เมื่อจิตวิญญาณของผีแก่ถูกขจัดออกจากดวงเนตรนั้น พลังของวิชานี้ก็ถือว่าเป็นของเขาโดยสมบูรณ์ หวังเป่าเล่อรู้สึกประหลาดเมื่อมองไปยังชุดเกราะของจักรพรรดิ ราวกับว่า…ชุดเกราะบนบัลลังก์นั้นปล่อยกระแสปราณกังวานที่สะท้อนล้อกับวิชาดวงเนตรปีศาจของเขาอย่างไรอย่างนั้น

หวังเป่าเล่อหรี่ตาทันทีที่สัมผัสได้ถึงปราณกังวานดังกล่าว แม้ทุกส่วนในร่างจะเจ็บปวดไปหมด แต่เขาก็ยังบังคับตนเองให้ลุกขึ้นยืนและก้าวออกไปข้างหน้า พลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายของชายหนุ่มแพร่กระจายออกไป แม้จะก้าวออกไปเพียงก้าวเดียว แต่ร่างเงาของหวังเป่าเล่อก็หายไปเรียบร้อย และมาปรากฏอีกครั้ง…ที่ภายในพระราชวัง เขาอยู่เบื้องหลังจักรพรรดิทั้งสิบสองพระองค์ เบื้องหน้าคือชุดเกราะของจักรพรรดิ!

ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น จ้องมองไปที่ชุดเกราะเบื้องหน้าตน หลังจากที่เงียบอยู่นานหลายลมหายใจ เขาก็ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้นกดลงบนชุดเกราะนั้น ดวงเนตรสีดำปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังทันที

ทันทีที่ฝ่ามือของหวังเป่าเล่อสัมผัสลงบนชุดเกราะ และดวงตาสีดำพลันปรากฏขึ้นที่เบื้องหลัง ชุดเกราะก็สั่นสะท้านแหลกสลายกลายเป็นเศษเสี้ยวนับร้อยในพริบตาและพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ มันเข้าคลุมแขนขวาของเขาและค่อยๆ แผ่ขยายเริ่มจากปลายนิ้ว สร้างเกราะฝ่ามือสีดำให้ถือกำเนิดขึ้น เกราะนั้นค่อยๆ ขยายลามไปตามฝ่ามือขวา สู่หน้าอกและมือซ้าย จนปกคลุมทั้งลำตัวในที่สุด

จากนั้นมันก็ค่อยขยายขึ้นบนและลงล่าง ส่วนหนึ่งแผ่ขึ้นไปยังลำคอของหวังเป่าเล่อเข้าปกปิดใบหน้าของเขาเอาไว้ อีกส่วนก็ลามลงไปยังขาทั้งสองข้าง ทันทีที่ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้น…ร่างของชายหนุ่มก็พลันสั่นอย่างรุนแรง เขารู้สึกได้ถึงแรงปั่นป่วนจากเกราะจักรพรรดิดั้งเดิมในกายตนและแรงสั่นจากเรือบินรบเวท

เรือบินรบเวทตั๊กแตนแยกออกจากเกราะมหาจักรพรรดิและลงจอดที่ด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าชุดเกราะจักรพรรดิใหม่นี้ไม่ชอบมันเสียอย่างนั้นจนต้องไล่มันออกไป และเข้ารวมกับเกราะจักรพรรดิดั้งเดิมในกายของชายหนุ่มแทน

การหลอมรวมเป็นหนึ่งนี้พอเหมาะพอดีกันมากกว่าการรวมเกราะจักรพรรดิเดิมเข้ากับเรือบินรบเวทตั๊กแตน ราวกับชุดเกราะทั้งสองนั้นเคยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมาก่อน จึงหลอมรวมกันได้อย่างไร้ซึ่งอุปสรรคและสอดประสานส่งเสริมกันเป็นอย่างดี ภายในพริบตาชุดเกราะทั้งสองก็ประสานเข้าด้วยกันเรียบร้อย

ต่อมารังสีพลังที่รุนแรงกว่าเกราะมหาจักรพรรดิเดิมก็ระเบิดออกจากกายหวังเป่าเล่อ หน้าตาของเกราะใหม่นี้ก็เปลี่ยนไปจากเดิมด้วยเช่นกัน ลวดลายซับซ้อนมากมายปรากฏขึ้นที่พื้นผิวเกราะ ดูราวกับเป็นดวงตานับไม่ถ้วน หนามกระดูกที่เคยมีก่อนหน้านี้หดตัวลงแต่ไม่ได้สลายหายไป หวังเป่าเล่อสามารถเรียกมันออกมาได้เพียงใจนึก

สีของชุดเกราะนั้นดำสนิท ท้ายที่สุด…ดวงตาสีแดงยักษ์ดวงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่กลางหน้าอกหวังเป่าเล่อท่ามกลางลายดวงตามากมายบนชุดเกราะ ดวงตาที่รายรอบนั้นเปรียบเสมือนดวงดาวที่ขับแสงดวงจันทร์ ทำให้ดวงตาสีแดงยักษ์ดูโดดเด่นสะดุดตาเป็นที่สุด

สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาคือกระแสพลังที่เข้ากันกับร่างอวตารของหวังเป่าเล่ออย่างแนบสนิท นอกจากนี้วิชาดวงเนตรสวรรค์จากชุดเกราะที่ชายหนุ่มถวิลหา ก็พลันประทับลงในจิตใจของเขาทันที

สิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อกำหมัดแน่น ลมหายใจหอบเร็ว ทันใดนั้นสวรรค์และผืนดิน สายลมและหมู่เมฆ ก็พลันปั่นป่วนสั่นสะเทือน พลังปราณระดับจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายของเขาระเบิดออกมาและเพิ่มพูนมากขึ้นในทันที พลังปราณของหวังเป่าเล่อก้าวข้ามจากชั้นปลายไปสู่ชั้นสมบูรณ์ แม้ว่าพลังนั้นจะยังอ่อนชั้นกว่าระดับดาวพระเคราะห์…แต่ก็จัดว่าอยู่ไกลจากระดับดาวพระเคราะห์ที่แท้จริงไม่มากนัก!

ปรากฏการณ์นี้ทำให้วิญญาณของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้ม เขารู้สึกได้ทันทีว่าตนเองแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม และร่างที่แหลกสลายใกล้ดับสูญก่อนหน้านี้ก็เริ่มเสถียรมากขึ้นด้วยหลังจากที่ได้ชุดเกราะใหม่มาไว้ในครอบครอง

ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ต้องยืมพลังของเปลวเพลิงดารานิรันดร์และฝ่ามือดาวพระเคราะห์มาช่วยกดร่างตนเองไว้แล้ว ความรู้สึกนี้รุนแรงมากจนทำให้หวังเป่าเล่อตัดสินใจลองถอนพลังทั้งสองออกดูพร้อมๆ กัน หลังจากที่เงียบอยู่สองสามวินาที

ทันทีที่เขาถอนพลังออก แม้ความเจ็บปวดจะแพร่กระจายไปทั่วร่าง แต่กายของเขาก็ยังคงสภาพเอาไว้ได้

ไอ้ชุดเกราะมหาจักรพรรดินี่… ยอดเยี่ยมจริงๆ !

หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็มีเวลามานั่งคิดแล้วสิว่าจะทำให้ร่างกายตนเองกลับสู่สภาวะสมดุลดังเดิมได้อย่างไร ระหว่างนี้…ในเมื่อข้าได้วิชาดวงเนตรสวรรค์ฉบับสมบูรณ์มาแล้ว ข้าก็สามารถเพิ่มพลังปราณของตนเองขึ้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด ตราบใดที่ยังคงเดินหน้าคร่าชีวิตต่อไป! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นถึงขีดสุด เขารู้ดีแล้วจากประสบการณ์ว่าวิชาดวงเนตรสวรรค์นั้นน่าสะพรึงกลัวเพียงใด นอกจากนี้ยังเริ่มเคลือบแคลงสงสัยต้นกำเนิดของมันมากขึ้นอีกด้วย

แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าตนเองจะมานั่งกระวนกระวายกับเรื่องพรรค์นี้ไม่ได้ เขาไม่เสียใจเลยที่ตนเองกำจัดวิญญาณผีแก่เสียสิ้นซาก เพราะรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าชายแก่นั่นไว้ใจไม่ได้ หลังจากที่ปัดความคิดนั้นทิ้งไปเรียบร้อย เขาก็เงยหน้าขึ้นมองบรรยากาศรอบตัว เพื่อตรวจดูว่ายังมีสมบัติอะไรหลงเหลืออยู่ในสุสานหลวงหรือไม่ ในตอนนั้นเอง…

ขณะที่ดวงตาของเขากวาดผ่านไป วิญญาณบรรดาจักรพรรดิที่คุกเข่าไม่ไหวติงอยู่นั้นก็สั่นไหว ทุกคนลุกขึ้นยืน หันหน้ามามองหวังเป่าเล่อพร้อมกัน ก่อนจะคุกเข่าลงอีกครั้ง!

“ขอคารวะท่านจักรพรรดิ!”

ไม่ใช่แค่คนพวกนี้เท่านั้น แต่ดวงวิญญาณหลายล้านดวงที่ด้านนอกก็ลุกขึ้น หันมาคุกเข่าแทบเท้าหวังเป่าเล่อเช่นกัน พวกเขาคุกเข่าลงกับพื้นอย่างพร้อมเพรียงจนทำให้พื้นดินและท้องฟ้าสั่นสะเทือนหวั่นไหว

“ขอคารวะท่านจักรพรรดิ!”

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงในทันที ขั้นแรกเขาตรวจดูให้แน่ใจก่อนว่าตนเองคือหวังเป่าเล่อจริง และเหตุการณ์ที่เขากินวิญญาณจักรพรรดิโบราณไปก่อนหน้านี้ไม่ใช่ภาพมายา จากนั้นเขาก็หันไปมองวิญญาณจักรพรรดิทั้งสองสิบพระองค์ และวิญญาณหลายล้านดวงเบื้องนอก ชายหนุ่มสัมผัสได้แล้วว่ามีบางอย่างน่าสนใจเกิดขึ้น แม้จะยังไม่มั่นใจว่าคือสิ่งใด เป็นเพราะเขากินผีแก่เข้าไป เพราะเขาเป็นบุตรแห่งความมืด หรือเพราะชุดเกราะนี้กันแน่…

หรืออาจเป็นไปได้ว่าเป็นผลของทั้งสามอย่างประกอบกัน กระนั้นเขาก็กลายมาเป็นเจ้าแห่งวิญญาณหลายล้านดวงและวิญญาณจักรพรรดิทั้งสิบสอง นอกจากนี้ สำหรับวิญญาณพวกนี้แล้ว เขาเป็นถึง…จักรพรรดิแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!

จักรพรรดิสิบสองตน… ทุกตนมีพลังเทียบเท่าดวงวิญญาณเทพขั้นจิตวิญญาณอมตะ

ส่วนวิญญาณอีกหลายล้านดวงนั้น แม้จะไม่ได้มีปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะ แต่ก็ยังเป็นขั้นจุติวิญญาณ!

ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหายใจเร็วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกายวาบ เขาเข้าใจแล้วว่าทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ผีแก่เตรียมการเอาไว้หลังจากที่อีกฝ่ายทำตามแผนสำเร็จและกลับมามีชีวิตอีกครั้ง

เจ้าไร้น้ำยากว่าข้ามากนักเรื่องการควบคุมวิญญาณ ไอ้ผีแก่ ส่วนเรื่องการผนึกวิญญาณและกอบกู้พลังหยางกลับมานั้น…เจ้าไม่มีทางรู้วิธีการแน่ เพราะฉะนั้น ความจริงแล้วไอ้วิญญาณพวกนี้มันควรจะเป็นของข้าโดยชอบธรรมอยู่แล้ว! หวังเป่าเล่อหัวเราะ เขายกมือขวาขึ้นโบก พลันหุ่นเชิดมากมายก็ลอยออกจากกระเป๋าคลังเก็บ หุ่นเชิดเหล่านั้นมีจำนวนแสนตนด้วยกัน แม้จะไม่ได้ดีพอที่จะให้ดวงวิญญาณทั้งล้านดวงเข้าครอบครอง แต่ก็ยังพอเป็นที่อยู่อาศัยได้

จากนั้นหวังเป่าเล่อก็หยิบหุ่นเชิดที่แข็งแกร่งสิบสองตนซึ่งเขาหลอมกับมือออกมา หุ่นเชิดเหล่านี้เป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อหลอมเอาไว้เป็นชุดๆ ในช่วงเวลาหลายปี ชายหนุ่มโบกมือสร้างผนึกฝ่ามือทั้งสองข้าง ทันใดนั้นแสงประหลาดก็ฉายออกจากดวงตา เปลวไฟสีดำพุ่งออกจากกายทั้งภายในและภายนอก เปลี่ยนสภาพไปเป็นผนึกแห่งความมืดที่ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากโลกนี้ ผนึกนั้นผุดขึ้นตามๆ กันมาทีละชิ้น

“วิชาแห่งศาสตร์มืด… ผนึก พลังหยางย้อนกลับ!”

……………………….

สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว โอกาสนี้หาได้ยากยิ่งจนไม่มีสิ่งใดเหมือน เพียงแค่พลังปราณที่เพิ่มมากขึ้นก็เรียกได้ว่าคุ้มที่สุดแล้ว แม้ก่อนหน้านั้นเขาจะได้รับโอกาสมากมาย แต่ส่วนใหญ่ก็เพียงเพิ่มพูนพลังของเขาให้มากขึ้นเท่านั้น แต่ในเวลานี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ชายหนุ่มสั่งสมมาได้ระเบิดออกมา จนกลายเป็นพลังปราณมหาศาลที่พุ่งขึ้นเสียดฟ้า!

หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าหลังจากที่กินผีแก่เข้าไป ในวิญญาณของเขาก็ดูราวกับมีมหาสมุทรกว้างใหญ่ สิ่งที่เขาต้องทำมากที่สุดในตอนนี้คือการปล่อยมหาสมุทรนี้ให้ไหลทะลักออกมา และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังปราณของเขา!

แต่ในเวลาเดียวกันนั้นหวังเป่าเล่อก็รู้สึกได้ว่ามหาสมุทรนี้ไม่ได้ถูกผนึกอยู่ในวิญญาณของเขาอย่างแน่นหนาเหมือนที่คิดไว้ แต่ดูราวกับว่ากำลังค่อยๆ กระจายตัวออกไปเสียอย่างนั้น!

พลังปราณที่กำลังกระจายตัวออกไปนั้นทำให้ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายวาบ ในฐานะบุตรแห่งความมืดเขารู้ได้ว่าการกระจายตัวออกไปเช่นนี้ไม่ใช่วิชาของสำนักแห่งความมืด นั่นเพราะสำนักแห่งความมืดมีหน้าที่นำทางวิญญาณ และให้ความสำคัญเรื่องการนำวิญญาณที่บริสุทธิ์ที่สุดกลับเข้าสู่วังวนของการเวียนว่ายตายเกิด ส่วนพลังปราณและพลังวิญญาณนั้นจะกลับสู่สวรรค์และผืนดิน กลายเป็นวัฏจักรที่ไม่รู้จบ

แต่มหาสมุทรในวิญญาณของเขาไม่ได้กระจายกลับคืนสู่สวรรค์และผืนดิน แต่กลับไหลไปยังสถานที่หนึ่ง หวังเป่าเล่ออธิบายความรู้สึกนี้ไม่ถูก แต่จิตสำนึกความเป็นบุตรแห่งความมืดบอกว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นมีความเป็นไปได้มากทีเดียว

บ้าอะไรกันนี่ ความรู้สึกนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตกใจเล็กน้อย เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงตระกูลไม่รู้สิ้น แล้วความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจ

หรือว่า…มันจะเป็นวิธีอะไรนั่นที่ตระกูลไม่รู้สิ้นใช้เพื่ออยู่เหนือมายาชีวิตและความตาย แก่นหลักของกระบวนเวทนี้ก็คือการดูดซับพลังจากจักรพิภพเต๋าทั้งหมดเข้าไปในร่างกายตนอย่างช้าๆ สำนักแห่งความมืดชี้ทางให้คนตาย ส่วนตระกูลไม่รู้สิ้นก็ชี้ทางให้คนเป็น

ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตนเองเดาถูกหรือไม่ แต่มีอย่างหนึ่งที่มั่นใจมาก…คือเขาจะไม่ปล่อยโอกาสที่อุตส่าห์เพียรพยายามหามาได้นี้ให้สูญเปล่าเป็นอันขาด

หวังเป่าเล่อเปลี่ยนวิญญาณของตนเองให้กลายเป็นที่ที่ให้มหาสมุทรสามารถไหลเข้ามาได้โดยไม่ลังเล ชายหนุ่มเปิดประตูให้น้ำทะเลในวิญญาณของตนไหลเชี่ยวออกมาเช่นกัน

ขณะที่พลังปราณของเขากำลังระเบิดออกมานั้น ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงพลังจากร่างสารัตถะที่พุ่งขึ้นจากระดับแสร้งอมตะ ดวงวิญญาณของเขาสั่นไหว ร่างพาลสะท้าน เหมือนต้นกล้าที่แทงหน่อออกจากผืนดินอย่างไม่หยุดยั้ง หวังเป่าเล่อบรรลุปราณขั้นถัดไปด้วยพลังรุนแรงราวกับจะทำลายล้างได้ทั้งขุนเขาและสูบน้ำทะเลให้เหือดแห้ง

ระดับพลังปราณของชายหนุ่มพุ่งทะยานขึ้นจากขั้นแสร้งอมตะของขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ ไปเป็น…ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น!

ขั้นจิตวิญญาณอมตะนี้จะเปลี่ยนวิญญาณของผู้ฝึกตนให้กลายเป็นดวงวิญญาณเทพ ร่างกายปราศจากซึ่งมลทินใดๆ พลังปราณที่ไหลวนอยู่ในร่างจะปล่อยกลิ่นอายตามธรรมชาติให้หลั่งไหลสู่บรรยากาศโดยรอบ กระบวนการนี้ทำให้ผู้ฝึกตนเปลี่ยนไปทั้งภายนอกและภายใน ก่อกำเนิดเป็นพลังที่คล้ายสนามพลังเนื่องด้วยดวงวิญญาณที่เปลี่ยนสภาพไป พลังนี้มักแผ่ขยายไปในรัศมีสามร้อยเมตร เปลี่ยนทั่วทั้งบริเวณให้กลายเป็นอาณาเขตของตนในทันที

ผู้ใดที่หลงเข้ามาอยู่ในอาณาเขตนี้และมีพลังปราณน้อยกว่า จะถูกสยบเอาไว้ในทันทีโดยธรรมชาติ นอกเสียจากว่าจะใช้วิธีพิเศษหรือสมบัติเวทในการเอาตัวรอด

แต่พัฒนาการยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ตอนที่หวังเป่าเล่อกินวิญญาณผีแก่เข้าไปนั้น เขาไม่ได้กลืนกินเพียงวิญญาณชายชรา แต่ยังกินพลังปราณของดวงวิญญาณนับล้านดวง รวมถึงวิญญาณมังกรทั้งสิบสองตนที่เคยเป็นจักรพรรดิทั้งสิบสองในอดีตชาติเข้าไปด้วย

มหาสมุทรในดวงวิญญาณของเขาก่อตัวขึ้นจากสรรพสิ่งยิ่งใหญ่

หลังจากที่หยุดไปสักพัก หวังเป่าเล่อก็เปิดประตูในดวงวิญญาณขึ้นอีกครั้งเพื่อปล่อยท้องทะเลภายในให้ไหลหลากออกมาอีกรอบ

พลังปราณของเขาพุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้าอีกคราในตอนที่ชายหนุ่มบรรลุจากปราณขั้นเชื่อมวิญญาณสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะ ร่างกายของเขาส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว สวรรค์เบื้องบนสุสานหลวงดังสะเทือน ก่อนจะเปลี่ยนสภาพไปเป็นลมหมุนยักษ์ พลังปราณของหวังเป่าเล่อทรงอำนาจจนทำให้ทั้งโลกสั่นไหว และพุ่งทะยานขึ้นอีกครั้งหนึ่ง!

ขั้นปราณของหวังเป่าเล่อพุ่งจากขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นไปสู่จุดสูงสุดของชั้น และแตะชั้นต้นขั้นสมบูรณ์ในที่สุด ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างง่ายดายราวกับไม่มีอุปสรรคใดจะเข้ามาขวางกั้นอำนาจของมหาสมุทรได้ ทุกสิ่งทุกอย่างมีอันต้องล่มสลายไปหมดสิ้นเมื่อเผชิญกับพลังอำนาจล้นหลามนี้!

ปรากฏการณ์นี้ทำให้หวังเป่าเล่อข้ามกระบวนการหลอมขั้นปราณให้เสถียรอย่างผู้ฝึกตนปกติไปได้หลายสิบปีเลยทีเดียว

ความรู้สึกนี้… เหมือนกับที่ข้าต้องการทุกอย่าง! ชายหนุ่มตื่นเต้นเป็นอันมาก หลังจากที่สะกดมหาสมุทรในดวงวิญญาณตนเอาไว้ได้ชั่วคราว เขาก็กัดฟันและปล่อยมันอีกครั้ง!

ทันทีที่ทำเช่นนั้น พลังปราณของเขาก็ทะยานขึ้นอีกด้วยกำลังรุนแรง ราวกับเป็นการรวบรวมพลังทั้งหมดที่ตนเองมีให้ระเบิดออกมา จนข้ามผ่านขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นไปสู่…ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางในที่สุด!

ร่างของชายหนุ่มสั่นสะท้านทันทีที่บรรลุขั้นปราณอีกครั้ง เขากู่ร้องออกมาเสียงดังก้อง ร่างทั้งร่างเนืองไปด้วยเสียงสะเทือนปริแตกราวกับว่าภายในกายกำลังส่งแรงสะเทือนออกสู่โลกภายนอกอย่างไรอย่างนั้น ความปั่นป่วนภายในนั้นมากกว่าครั้งแรกมากถึงสิบเท่าเลยทีเดียว

รอยปริแตกภายในกายนี้ทำให้หวังเป่าเล่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกเสียจากต้องยับยั้งมหาสมุทรในวิญญาณเอาไว้ก่อน ประตูภายในดวงวิญญาณของเขาปิดลงอีกครา ในเวลาเดียวกันนั้น ลมหมุนบนท้องฟ้าก็ระเบิดอีกครั้งด้วยความรุนแรงยิ่งกว่าเดิม พื้นดินสั่นไหว รังสีเข้มข้นน่ากลัวพลุ่งพล่านออกจากกาย!

ข้าน่าจะ…ไปต่อได้! หวังเป่าเล่อไม่ได้ลืมตาขึ้น แต่มั่นใจมากว่าตนเองกำลังเดินทางมาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อในที่สุด เขาจะดันพลังตนเองขึ้นไปได้ถึงระดับไหนนั้นขึ้นอยู่กับวินาทีนี้แล้ว แน่นอนว่า…ทั้งหมดอยู่ที่ว่าร่างกายของเขารับได้ขนาดไหนด้วย!

นั่นเพราะแม้พลังปราณของเขาจะเพิ่มขึ้นจริง แต่ร่างสารัตถะของเขาก็มาถึงขีดจำกัดเสียแล้ว รอยแตกและแรงสะเทือนก่อนหน้านี้ทำให้ร่างกายของเขาเจ็บปวดเหลือทน ราวกับวิญญาณกำลังจะดับสลายทุกครั้งที่มีเสียงเหล่านี้ดังออกมาจากกาย

แต่คนอย่างหวังเป่าเล่อไม่สนใจความเจ็บปวดเช่นนี้อยู่แล้ว!

เขาเป็นชายที่โหดเหี้ยมจับใจกับตนเอง ในตอนนั้นเอง ชายหนุ่มเปิดประตูในดวงวิญญาณออกอีกครั้งโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ส่งให้มหาสมุทรในดวงวิญญาณทะลักออกมาอย่างรุนแรง ไหลบ่าเข้าในร่างและส่งพลังปราณให้พุ่งขึ้นเสียดฟ้าอีกครา

เสียงสั่นสะเทือนดังออกมาจากวิญญาณของเขาอีกรอบ รอยแตกในร่างกายทวีความรุนแรงขึ้นอีก พลังปราณยังคงพุ่งขึ้นสูงไม่หยุดจากขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางเข้าไปใกล้จุดสูงสุด แต่ร่างกายกลับจะยอมแพ้เอาดื้อๆ เสียแล้ว

หากมีคนมายืนอยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้จะเห็นได้ทันทีว่าร่างสารัตถะของชายหนุ่มเต็มไปด้วยรอยแยกมากมายนับไม่ถ้วน ราวกับแจกันกระเบื้องเคลือบแตกร้าวที่ถูกติดกาวเอาไว้ให้คงรูปร่างอยู่ได้ หากไปโดนแม้เพียงปลายนิ้ว ก็คงแตกสลายกลายเป็นเสี่ยงๆ ในพริบตา

นั่นเพราะหวังเป่าเล่อเพิ่มพลังปราณของตนเองปริมาณมากภายในระยะเวลาอันสั้นเกินไป จึงทำให้ร่างสารัตถะของเขาไม่มีเวลาปรับตัวให้เข้ากับพลังใหม่ ราวกับถูกบังคับป้อนอาหารจนแทบจะระเบิดออกมา แม้ขั้นปราณใหม่ของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว แต่ก็ยังเต็มไปด้วยอันตรายน่าสะพรึงเช่นกัน!

เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นก็เพราะว่าหวังเป่าเล่อโลภมากอยากเก่งทางลัด และยังไม่เคยมีความเมตตาต่อตนเองแม้แต่น้อยนิด หากเขาเพิ่มพลังปราณให้อยู่เพียงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น ร่างสารัตถะของเขาคงไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ แต่หากว่าเขา…ค่อยๆ ดูดซับพลังเข้าไปอย่างช้าๆ ก็จะต้องใช้เวลานานเกินไป สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ชายหนุ่มเกรงว่ายิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ โอกาสที่เขาจะซึมซับพลังเข้าไปก็จะหายไปตามพลังปราณที่ค่อยๆ สลายไปด้วย

ทางเดียวที่จะยับยั้งเหตุการณ์นั้นได้ก็คือ เขาต้องดูดซับพลังทั้งหมดเข้าร่างและเปลี่ยนมันให้กลายมาเป็นพลังปราณของตน หวังเป่าเล่อหลับตานิ่ง คิดคำนวณสะระตะอยู่ในใจ ก่อนกัดฟันท่องบทสวดแห่งเต๋าในใจ!

ชายหนุ่มปลุกอำนาจของเปลวเพลิงดารานิรันดร์และฝ่ามือดาวพระเคราะห์ในเปลวเพลิงนั้นให้ตกใส่ร่างของจนเพื่อบีบอัดไม่ให้ร่างแหลกเหลวหายไป!

ข้าไม่เชื่อหรอก! หวังเป่าเล่อกัดฟัน พลังปราณพลันระเบิดออกมาอีกครั้ง ร่างของชายหนุ่มสั่นสะท้านราวกับกำลังจะระเบิดจริงๆ แต่ทันใดนั้นเปลวเพลิงดารานิรันดร์ก็พุ่งเข้าห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ ฝ่ามือดาวพระเคราะห์เคลื่อนตัวออกมาลอยเหนือร่างเพื่อสะกดมันเอาไว้

ทั้งหมดทำให้ร่างของหวังเป่าเล่อที่กำลังจะดับสลายกลับมาเสถียรอีกครั้ง จากนั้น…พลังปราณของเขาก็ระเบิดออกมาอย่างรวดเร็วด้วยมหาสมุทรที่ไหลทะลัก และพุ่งขึ้นไปหยุดที่ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นนกลางขั้นสมบูรณ์ในที่สุด!

ในตอนนี้เหลือมหาสมุทรพลังปราณอยู่อีกร้อยละ 20 เท่านั้นในดวงวิญญาณของหวังเป่าเล่อ หลังจากที่คิดอยู่เป็รระยะเวลาสั้นๆ ความบ้าคลั่งก็เข้าครอบงำแววตาของชายหนุ่ม เขาปล่อยมหาสมุทรที่เหลือร้อยละ 20 นี้ให้ระเบิดออกมาในทันที

บรรลุขั้น! ชายหนุ่มกรีดก้องในใจ พลังจากบทสวดแห่งเต๋ากลับมาอีกครั้ง ไหลบ่าเข้าครอบงำโลกทั้งใบ รวมทั้งพุ่งใส่ร่างของเขาจนทำให้มันกลับมาเสถียรทั้งที่ยังสั่นสะท้าน จากนั้น…มหาสมุทรพลังอีกร้อยละ 20 ก็ทะลักเข้าร่าง ส่งให้พลังปราณพุ่งขึ้นอีกครั้ง!

เสียงระเบิดดังสะท้อนออกมาจากร่างของหวังเป่าเล่อเหมือนสายฟ้าจากสวรรค์ เสียงนั้นก้องไปทั่วโลกา พลังปราณพุ่งขึ้นสู่ขีดจำกัดด้วยความบ้าคลั่ง ทะลุทะยานผ่านขั้นจิตวิญญาณชั้นกลางขั้นสมบูรณ์ไปในที่สุด!

ก้าวขึ้นไปสู่…ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย!

ผลที่เกิดตามมาก็คือร่างที่สั่นเทิ้ม ความเจ็บปวดมหาศาลเข้าครอบงำราวร่างกายและวิญญาณกำลังถูกฉีกออกจากกันจนทำให้ชายหนุ่มกรีดร้องเสียงหลง พลังปราณของหวังเป่าเล่อหมุนวนปั่นป่วนบ้าคลั่ง ดวงเนตรปีศาจพลันปรากฏขึ้นที่เบื้องหลัง เกราะมหาจักรพรรดิโผล่ขึ้นห่อหุ้มร่างกาย ขณะที่เขายังคงพยายามบรรลุปราณ พลังทั้งสองก็ผนึกกำลังกับเปลวเพลิงดารานิรันดร์ ฝ่ามือดาวพระเคราะห์ และบทสวดแห่งเต๋า เพื่อกดร่างของเขาไว้ด้วยพลังทั้งหมดที่มี เพื่อซื้อเวลาให้เขาบังคับปราณให้เสถียรและซ่อมแซมร่างกายของตนให้ได้

ข้าต้องทนต่อ ห่าเอ๊ย นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดในชีวิตของหวังเป่าเล่อคนนี้แล้ว! จะไม่มีใครหน้าไหนพรากมันไปจากข้าได้เป็นอันขาด!

ในขณะเดียวกันนั้น ที่ใต้ดินของดาวเอกแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ในโลงศพที่ร่างจริงของหวังเป่าเล่อนอนหลับตาอยู่ กายหลักของชายหนุ่มก็เริ่มสั่นสะท้านเช่นกัน กระแสพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะทะยานปั่นป่วน ขณะที่พลังนั้นกำลังพุ่งขึ้นสู่ชั้นปลาย หน้ากากลึกลับก็ทอแสงสว่างเรืองรอง เสียงแผ่วเบาของแม่นางน้อยดังลอดออกมา

“ไอ้หวังเป่าเล่อนี่…โลภมากเหลือเกิน หมอนี่มันรุนแรงกับตนเองมากไปแล้ว ถึงกับยอมเสียงตายเพื่อแลกกับการพัฒนาขั้นปราณเชียว!”

“ก็ได้ ข้าจะช่วยหมอนี่ก็แล้วกัน แต่หมอนี่คงทำไม่สำเร็จหรอก ร่างอวตารต้องทนไม่ได้และแหลกสลายไปแน่ ซึ่งแปลว่าทั้งหมดจะสูญเปล่า ไม่มีใครทำเรื่องเช่นนี้ได้หรอก ต่อให้เป็นหมอนี่ก็เถอะ ไม่มีทางเลยที่เขาจะทำสำเร็จ!” แม่นางน้อยกระแอมกระไอขณะพูดประโยคเดิมๆ ที่นางเคยเอ่ยมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

…………………………

เวลาเดินหน้าผ่านไปอย่างช้าๆ … ความพยายามสิงร่างดำเนินมาอย่างเนิ่นนาน แม้กระทั่งหวังเป่าเล่อยังเริ่มรู้สึกเหนื่อยอ่อน นั่นเพราะชายหนุ่มปล่อยเปลวไฟสีดำออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังต้องทำให้เมล็ดดูดกลืนและฝักกระบี่ก่อตัวเป็นรูปร่าง และยังต้องทำให้พวกมันสั่นเหมือนกำลังต่อสู้กับอะไรอยู่ตลอดเวลาเพื่อข่มขวัญศัตรู ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้พลังงานเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้การที่เขาต้องดูดกลืนวิญญาณของผีแก่ และกัดมันทุกครั้งก็เหนื่อยมากเช่นกัน

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ แม้หวังเป่าเล่อจะเลิกต้านทานวิชาของผีแก่ และหันมาสนใจเรื่องการดูดพลังแทน การต้องทำทั้งหมดในคราวเดียวกันก็ยังหนักหนามากอยู่ดี นั่นเพราะเจ้าผีแก่นี่ปล่อยเคล็ดวิชาสิงร่างมากมายอย่างไม่หยุดหย่อน

จะทำอย่างไรได้เล่า ก็ข้าเป็นคนใจดีนี่นะ เพื่อเป็นการเคารพผู้สูงอายุ ข้าจะปล่อยให้หมอนี่พยายามต่อไปก็แล้วกัน หวังเป่าเล่อถอนใจ ไม่ได้พยายามปกปิดความพอใจในผลงานตนเองแม้แต่น้อย แต่ก็ยังคงมีสีหน้าสิ้นหวังด้วยเช่นกัน ขณะที่ยังคงเดินหน้ากลืนกินวิญญาณของผีแก่ต่อไป

ตอนนี้เศษส่วนวิญญาณกว่าร้อยละ 70 ของผีแก่เข้าไปอยู่ในกายของหวังเป่าเล่อเรียบร้อย ชายหนุ่มเองเริ่มรู้สึกได้ว่าตนเองเปลี่ยนไป เขามั่นใจว่าเมื่อกระบวนการสิงสู่เสร็จสิ้นลงและเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พลังปราณของเขาจะก้าวผ่านขั้นเชื่อมวิญญาณไปอยู่ที่ขั้นจิตวิญญาณอมตะอย่างแน่นอน

แล้วก็ไม่ใช่ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นเสียด้วย มีความเป็นไปได้มากว่า…เขาจะกลายเป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางในทันที หรืออาจเป็นไปได้ด้วยซ้ำ…ที่เขาจะได้พลังปราณขั้นปลายมาครอบครอง

ก็ได้ ข้าจะยอมเหนื่อยเพื่อพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะก็แล้วกัน หวังเป่าเล่อถอนใจและกระโจนตัวไปข้างหน้าอีกครั้งเพื่อกินวิญญาณด้วยท่าทีดุร้าย แต่คราวนี้ผีแก่ที่ยังคงมุ่งมั่นปล่อยวิชาใส่เขากลับระเบิดเสียงคำราม ส่วนที่เหลืออยู่ของวิญญาณผีแก่กระจายออกมา เขาไม่ได้มุ่งมั่นพยายามต่อ หากแต่…เปลี่ยนใจหลบหนีแทน!

เห็นได้ชัดว่าผีแก่ตกใจเป็นอย่างมากกับความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ จนตัดสินใจได้ว่าจะล้มเลิกความพยายามและจากไปเสีย ทว่า…นี่เป็นร่างสารัตถะของหวังเป่าเล่อ จึงทำให้ผีแก่ไม่สามารถเข้าๆ ออกๆ ได้ตามใจชอบ

ตัวผีแก่เองใช้ประโยชน์จากหวังเป่าเล่อในการฝึกวิชาดวงเนตรปีศาจ และได้สร้างสายสัมพันธ์บางอย่างกับตัวตนของชายหนุ่มเอาไว้จนทำให้มีโอกาสสิงสู่เจ้าของร่าง แต่สายสัมพันธ์ที่เขาสร้างขึ้นมานั้นก็เป็นประโยชน์แก่ตัวหวังเป่าเล่อเองเช่นกัน ชายหนุ่มรั้งผีแก่ที่กำลังพยายามหลบหนีเอาไว้ไม่ให้ออกไปจากร่างของเขาได้!

วิชาดวงเนตรปีศาจ! วิญญาณของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน กลายสภาพไปเป็นดวงตาสีดำยักษ์ และพลันสร้างผนึกขึ้นมาทันทีเพื่อสกัดผีแก่เอาไว้ไม่ให้จากสภาพการสิงร่างไปไหนได้ ผีแก่พลันกรีดร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด

“สหายเต๋าหวัง ข้าผิดไปแล้ว ได้โปรดเถิด ข้ายินดีทำให้เจ้าทุกอย่าง ข้าผิดเอง…”

“เรียกข้าว่าบิดาสิ แล้วข้าจะลองคิดดูใหม่!”

“ท่านบิดา ข้าผิดเองขอรับ ข้าทำเรื่องชั่วร้ายเอามากๆ โปรดปล่อยข้าไปเถิด!”

“เอาละ ข้าคิดได้แล้ว ต่อให้เจ้าเรียกข้าว่าบิดาก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี ไอ้ลูกชายเอ๋ย ไม่มีวันเสียละ!”

“ไอ้หวังเป่าเล่อ เจ้าหลอกบังคับให้ข้าทำรึ!”

“ใช่ ข้าหลอกเจ้า แล้วมันจะทำไม!” หวังเป่าเล่อฮึดฮัดก่อนกระโจนเข้าไปกัดผีแก่อีกครั้ง

“อ๊ากกกกกก!” วิญญาณชายชราเริ่มคลั่งขึ้นมาทันที ก่อนปล่อยวิชาของตนเองออกมาอย่างบ้าดีเดือด

“ทักษะรากฐานเก้าเป็นหนึ่ง…”

“เคล็ดเวทดวงเนตรปีศาจสวรรค์…”

“กระบวนเวทหนึ่งจิต…”

เขาปล่อยกระบวนเวทออกมาถึงสิบประบวนเวทในคราวเดียว แต่ท้ายที่สุดแล้ว…ก็ยังไม่เป็นผล เขาเสียชิ้นส่วนวิญญาณไปแล้วกว่าร้อยละ 80 จากการดูดกลืนของหวังเป่าเล่อ จนตอนนี้เหลือเพียงศีรษะที่ลอยเท้งเต้งเท่านั้น ดวงตาของผีแก่หม่นหมองด้วยความสิ้นหวังและความสับสน

วิญญาณชายชราดูเหมือนจะยอมแพ้ไปเรียบร้อยแล้ว แต่แม้ร่างกายจะเหน็ดเหนื่อยเกินทานทน ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่กลายมาเป็นความหมกมุ่นที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจของเขา… เหตุผลที่ว่าทำไมเหตุการณ์มันถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ และเหตุใดเขาจึงทำไม่สำเร็จ…

“หวังเป่าเล่อ ข้าจะบอกความลับแก่เจ้าแลกกับคำตอบ บอกข้าที ทำไมข้าถึงสิงร่างเจ้าไม่ได้…” ท้ายที่สุดผีแก่ก็มองหน้าหวังเป่าเล่อด้วยสายตาว่างเปล่าและพึมพำออกมา

“ความลับอะไร เจ้าจะบอกข้าเช่นนั้นรึ” หวังเป่าเล่อที่กำลังเตรียมตัวกินวิญญาณชายชราเข้าไปทั้งตัวในคราวเดียวถามขึ้นมา

“วิชาดวงเนตรสวรรค์ไม่ใช่กระบวนเวทดั้งเดิมของข้า แต่แท้จริงแล้วมีต้นกำเนิดมาจากสถานที่ลึกลับเช่นเดียวกันกับรูปปั้นข้างนอก สถานที่นั้นมีนามว่า…สุสานดวงดารา เป็นสถานที่ในตำนานแห่งจักรภพเต๋าไม่รู้สิ้น มิติลึกลับที่ตระกูลผู้ทรงอำนาจและสำนักยิ่งใหญ่มากมายยอมพลีกายถวายชีวิตเพื่อให้ได้เข้าไป ข้ารู้วิธีแทรกซึมเข้าไปในที่แห่งนั้นอย่างลับๆ ในช่วงเวลาที่ผู้อื่นกำลังทำพิธีเพื่อเข้าไปในสุสานดวงดารา!”

“อย่าเสียเวลาตรวจจิตข้าเลย ข้าได้จัดการผนึกความลับนี้เอาไว้เรียบร้อยด้วยอุปสรรคมากมาย ทันทีที่มีคนพยายามตรวจจิตข้า ที่ที่เก็บความลับนั้นไว้จะพังทลายลงมาทันที เอาละ ทีนี้บอกข้ามาเสียว่าเหตุใดข้าจึงสิงร่างเจ้าไม่ได้” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ วิญญาณชายชราก็มองหน้าหวังเป่าเล่อด้วยความคาดหวัง

แม้เขาจะบอกว่าตนเองยอมแลกความลับกับคำตอบ แต่ความจริงแล้วผีแก่เพียงแต่ต้องการใช้ข้อมูลนั้นเป็นเหยื่อล่อเพื่อรักษาชีวิตตนเองเท่านั้น เขามีแผนการอื่นอยู่ลึกๆ ในใจ แม้ครั้งนี้จะพังไม่เป็นท่า ก็ไม่ได้แปลว่าครั้งหน้าที่ลองจะไม่สำเร็จผล ตราบใดที่หวังเป่าเล่อยังลังเลโอนอ่อน เขาก็มีช่องทางเสมอ

วิญญาณผีแก่เชื่อว่าตราบใดที่หวังเป่าเล่อลังเล เขาก็ยังมีโอกาสรอดตายได้ ส่วนความลับที่เพิ่งบอกไปนั้น… ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะบอกหวังเป่าเล่อไม่ได้แต่อย่างใด เนื่องจากการเข้าดินแดนลึกลับนั้นมีสองวิธีด้วยกัน คือวิธีที่ถูกต้องและวิธีพิเศษ วิญญาณชายชราได้ถ่ายทอดวิธีการเข้าดินแดนลึกลับแบบถูกต้องให้ทายาทในตระกูลไปเรียบร้อยแล้วก่อนที่ตนเองจะตายเมื่อหลายปีก่อน ส่วนวิธีพิเศษในการเข้าสุสานดวงดารานั้น เขาตั้งใจจะเก็บเอาไว้ใช้สร้างความลำบากให้ผู้คน แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้ กลับมาชิงเสียชีวิตไปเสียก่อน

ตอนนี้วิญญาณผีแก่ต้องการจะทำให้ชีวิตหวังเป่าเล่อตกอยู่ในความทุกข์ยาก ตราบใดที่หวังเป่าเล่อยังคงมีจิตใจไม่มั่นคงและอุตริไปทำตามที่เขาบอก ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะยึดร่างชายหนุ่มได้เสมอ!

“น่าสนใจดี” หวังเป่าเล่อหรี่ตามองจักรพรรดิแก่ตรงหน้าก่อนหัวเราะออกมา

“เหตุผลที่เจ้าล้มเหลวน่ะรึ ข้าบอกเจ้าได้อยู่แล้ว เจ้าโง่ ร่างของข้าที่เจ้าเห็นอยู่ในตอนนี้เป็นเพียงร่างอวตารเท่านั้น เจ้าพยายามสุดตัวที่จะสิงร่างอวตารของข้า ไม่คิดว่ามันตลกรึ ก่อนหน้านี้ข้ายังแอบหวังให้เจ้าทำสำเร็จด้วยซ้ำ หากเจ้าทำได้เจ้าก็จะได้กลายเป็นร่างอวตารอีกตัวของข้าอย่างไรเล่า” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนบอกความจริง

คำตอบของเขาเปรียบเสมือนสายฟ้าที่ฟาดลงมายังใจกลางดวงจิตของผีแก่ ก่อนหน้านี้เขาเดาคำตอบเอาไว้มากมายแต่ไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ ดวงวิญญาณของชายชราสั่นสะท้านจนแทบจะระเบิดอย่างควบคุมไม่อยู่

“เป็นไปไม่ได้!” ผีแก่คำรามก้อง ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกลายเป็นเพียงเรื่องปาหี่ เขาเตรียมการมาอย่างยาวนาน คิดทุกอย่างมาเป็นอย่างดี ทั้งยังใช้เคล็ดวิชาและกลเม็ดสกปรกมากมายเพื่อทำให้แผนสำเร็จ แต่สุดท้ายแล้วตนเองกลับกำลังพยายามจะสิงร่างอวตารไปได้เสียนี่

เขารับรู้ได้ทันทีโดยสัญชาตญาณว่ามีบางสิ่งผิดปกติ นั่นเพราะหากหวังเป่าเล่อเป็นร่างอวตารจริง ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่เขาจะไม่สังเกตเห็น นอกเสียจากว่า…

มีคนใช้เคล็ดวิชาต้มสวรรค์มาบดบังสัมผัสสวรรค์ของข้า ทั้งยังปลูกภาพมายาเอาไว้ในหัวข้า! ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในศีรษะของผีแก่อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย นี่คือคำอธิบายเดียวที่เขาคิดได้ วิญญาณชายชรารู้สึกขมขื่น บ้าคลั่ง และขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก เขากำลังจะอ้าปากพูดอีกครั้ง แต่ในวินาทีต่อมา… วิญญาณของหวังเป่าเล่อก็กระโจนเข้ามาหา

หมอนี่มันไม่ได้อยากรู้… อันตรายใหญ่หลวงเบื้องหน้าทำให้ชายชรากรีดร้องออกมา แต่ดวงวิญญาณส่วนที่เหลืออยู่ก็ถูกหวังเป่าเล่อกลืนกินเข้าไปเสียหมดสิ้นโดยไม่เหลือแม้แต่ซาก ชายหนุ่มไม่ได้รอให้ผีแก่พูดให้จบแม้แต่น้อย

ก่อนหน้านี้เขาตายมาครั้งหนึ่งแล้ว มีเพียงร่างวิญญาณเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่ หากเขาถูกคนอื่นฆ่าตายอีกครั้ง ก็อาจจะกลับมามีชีวิตในฐานะวิญญาณได้อีกด้วยอำนาจของผนึก เนื่องจากพาตนเองมาอยู่ในมิตินพภูมิเรียบร้อย ทว่า… ผู้ที่ตายด้วยน้ำมือของศิษย์จากสำนักแห่งความมืดจะไม่มีโอกาสได้กลับมาอีก ตอนที่หวังเป่าเล่อกลืนกินวิญญาณชายชราเข้าไป ชายหนุ่มก็พูดประโยคนี้ออกมา!

“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง!”

ทันทีที่สิ้นคำ เสียงเหมือนมีบางสิ่งถูกทำลายก็ดังออกจากวิญญาณของหวังเป่าเล่อ

กายาวิญญาณของจักรพรรดิองค์แรกแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ถูกทำลายหมดสิ้นไปในวินาทีนั้น!

แน่นอนอยู่แล้วว่าข้าอยากรู้ แต่ถึงอย่างไรการจะทิ้งศัตรูให้มีชีวิตรอดต่อไปก็ไม่เป็นประโยชน์กับตัวข้า ยิ่งไปกว่านั้น…อารยธรรมครามทองคำมันไม่ได้โง่ เจ้าไม่ใช่คนเดียวที่รู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน! หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขาอนุมานได้จากคำพูดของผีแก่และพอเดาได้ว่า เหตุใดอารยธรรมครามทองคำถึงต้องร่วมมือกับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ที่อ่อนแอกว่า หากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไม่ได้มีความลับเกี่ยวกับสุสานดวงดาราปิดบังไว้ ชายหนุ่มก็คิดว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น

ส่วนเซี่ยไห่หยางนั้น…หมอนั่นอาจจะกินเข้าไปสักสาม แล้วก็ยอมให้ข้าไปท้าคนที่หมอนั่นลงทุนเอาไว้นานแล้ว เพราะว่ามีแผนการบางอย่างเกี่ยวกับสุสานดวงดาราอยู่ในหัว!

ขณะที่ความคิดมากมายผ่านเข้ามาในศีรษะ หวังเป่าเล่อก็รู้สึกได้ถึงพลังของกายาวิญญาณและความปั่นป่วนภายในกายที่ใกล้จะระเบิดอยู่รอมร่อ จึงพลันจำเรื่องการสิงร่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นได้ ชายหนุ่มมั่นใจเกือบเต็มร้อยว่าศิษย์พี่เฉินชิงของเขา…เป็นผู้ที่ช่วยเหลือเขาไว้ในเหตุการณ์ก่อนหน้านี้และทิ้งโอกาสงามเช่นนี้ไว้ให้

ศิษย์พี่ ท่านอยู่ที่ไหนกันนะ… หวังเป่าเล่อถอนหายใจ ชายหนุ่มปล่อยวิญญาณของตนเองให้กระจายคลุมร่างด้วยความรู้สึกขอบคุณและคิดถึงที่อยู่ในใจ ทันทีที่เขากลับมาควบคุมร่างตนเองได้อีกครั้ง พลังปราณก็พุ่งสูงเสียดฟ้า!

…………………….

แรงกัดนั้นกระชากเอาพลังวิญญาณก้อนใหญ่ออกจากร่างของผีแก่ โทสะและความเจ็บปวดแล่นแปลบไปทั่วร่าง เขารีบสะกดความเจ็บปวดนั้นเอาไว้ ก่อนพยายามกลืนกินดวงวิญญาณของหวังเป่าเล่ออีกครั้ง

ในตอนนั้นเอง ฝักกระบี่และเมล็ดดูดกลืนที่หวังเป่าเล่อเรียกออกมาก็สั่นอย่างรุนแรงจนดูราวกับจะระเบิด ภาพนั้นทำให้ผีแก่ตกใจกลัวเป็นอย่างมาก เขารีบส่งพลังงานส่วนหนึ่งของตนออกไปเพื่อสะกดอาวุธทั้งสองไว้ ขณะที่ผีแก่วอกแวกไปชั่วขณะนั้นเอง เปลวไฟสีดำก็จุดประกายสว่างจ้าขึ้นในดวงวิญญาณของหวังเป่าเล่อ และพวยพุ่งออกสู่บรรยากาศภายนอก

เจ้าคิดว่าจะสิงร่างบิดาของเจ้าคนนี้ได้เช่นนั้นหรือ ตาแก่ ฝันไปเถิด! เปลวไฟสีดำระเบิดออกจากตัวหวังเป่าเล่อ ส่งแรงกดดันเข้าครอบงำวิญญาณทุกดวง ทำให้ผีแก่รู้สึกราวกลับไปเป็นปุถุชนคนเดินดินที่ถูกสาดด้วยน้ำมันร้อน เขากรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด โทสละและความบ้าคลั่งทวีความรุนแรงขึ้นอีก

เขาสืบเสาะทุกช่องทางเท่าที่จะทำได้ และทำการวิเคราะห์มาแล้ว จนมั่นใจว่าหวังเป่าเล่อเป็นศิษย์จากสำนักแห่งความมืด ด้วยเหตุนี้ผีแก่จึงคิดแผนการหนึ่งขึ้นมาได้ เขาตั้งใจจะยัดดวงวิญญาณมากมายใส่ร่างหวังเป่าเล่อ เพื่อส่งสายเลือดและพื้นเพดั้งเดิมของตนเข้าไปในกายชายหนุ่ม หลังจากนั้น ต่อให้หวังเป่าเล่อปล่อยเปลวไฟสีดำออกมากำราบ เขาก็ยังมั่นใจว่าจะตอบโต้กลับได้สำเร็จ

แต่แผนการนั้นก็ถึงคราวเป็นหม้ายไปเสียแล้ว จึงเหลืออยู่ทางเดียวคือการกลืนกินดวงวิญญาณของหวังเป่าเล่อ ความบ้าคลั่งเข้าครอบงำผีแก่ ขณะที่เขาร้องคำรามและพยายามต่อสู้กับความเจ็บปวดจากการถูกเผาไหม้วิญญาณโดยการใช้พลังปราณของตนเข้าช่วย การต่อสู้ระหว่างวิญญาณของผีแก่และวิญญาณของหวังเป่าเล่อยังคงดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น ท่ามกลางความเจ็บปวดและเสียงกรีดร้อง

ผีแก่เปลี่ยนรูปร่างเป็นดวงตาดวงหนึ่ง เขาพุ่งเข้าใส่วิญญาณของหวังเป่าเล่ออีกครั้ง แต่แทนที่จะโจมตีดวงวิญญาณโดยตรง เขากลับล้อมมันเอาไว้แทน

“เคล็ดเวทผสานดวงเนตรสวรรค์!”

ผีแก่คำรามก้อง เคล็ดเวทผสานดวงเนตรสวรรค์คือวิชาที่เขาเตรียมมาเพื่อใช้ในกรณีที่แผนการหลักของเขาพังครืน และต้องใช้กำลังเข้าสิงร่างหวังเป่าเล่อแทน ดังนั้นแทนที่จะกลืนกินวิญญาณของชายหนุ่มเข้าไป ผีแก่กลับห่อหุ้มดวงวิญญาณของเขาเอาไว้ เพื่อกักขังมันและผสานเข้ากับตัวเขาเอง

พลังเทพนี้ทำให้เขาใช้กำลังและพลังปราณของตนได้อย่างเต็มที่ แม้อาการบาดเจ็บจากเปลวไฟสีดำจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พลังเทพจะทำให้เขาเข้าสิงร่างของหวังเป่าเล่อได้อย่างรวดเร็วภายในครั้งเดียว ผีแก่รู้ดีว่าการปล่อยให้หวังเป่าเล่อปล่อยเปลวไฟสีดำออกมาเรื่อยๆ ในขณะที่เขากำลังค่อยๆ กลืนกินวิญญาณของชายหนุ่มคงไม่ใช่สิ่งที่ทำได้นาน ยิ่งยืดระยะเวลาออกไปมากเท่าไหร่ ชะตากรรมของเขาก็จะยิ่งยุ่งยากขึ้นเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้ เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นแล้ว ผีแก่จึงตัดสินใจว่าจะต้องจบการต่อสู้นี้ให้เร็วที่สุด!

การกลืนกินนั้นคือการทำลายดวงวิญญาณและเปลี่ยนสภาพของมันให้กลายเป็นพลังบำรุง จัดเป็นวิธีการที่ดีในการเข้าสิงร่าง แต่วิญญาณที่ถูกทำลายไปนั้นก็จะกลายเป็นเพียงพลังหล่อเลี้ยงเช่นเดียวกับการกินโอสถ แน่นอนว่าการผสานวิญญาณเข้าด้วยกันเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หากทำสำเร็จ ไอ้เจ้าหวังเป่าเล่อนี่จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของข้า เหมือนเป็นร่างอวตารร่างหนึ่งที่ข้าครอบครอง แล้วไอ้พวกตัวประหลาดในกายมันก็จะเป็นของข้าด้วย!

ผีแก่พยายามปลอบใจตนเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่มีทางเลือกอื่นมากกว่านอกจากต้องใช้วิชาผสานวิญญาณ ดวงจิตของเขายังคงกระจายออกสู่บรรยากาศภายนอกขณะปล่อยพลังของเคล็ดเวทผสานดวงเนตรออกมาเรื่อยๆ วิญญาณของเขาเปลี่ยนสภาพไปเป็นดวงตาที่เข้าคลุมร่างของหวังเป่าเล่อ… ในตอนนั้นเองที่สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นในศีรษะของชายหนุ่ม เขาคิดขยับร่างกายส่วนที่ยังพอควบคุมอยู่ทันทีโดยสัญชาตญาณ หมายทำลายแผ่นหยกแผ่นใดแผ่นหนึ่งที่ถืออยู่ในมือ

แผ่นหยกที่ได้มาจากเซี่ยไห่หยางมีราคาพอตัว และหากเขาทำลายแผ่นหยกจากปรมาจารย์แห่งไฟละก็ เขาจะต้องเปลี่ยนสำนักที่ตนเองสังกัด ซึ่งตัวเขาเองในฐานะบุตรแห่งความมืดจากสำนักแห่งความมืด ย่อมไม่ต้องการให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

แต่นี่มันแค่ร่างอวตารของข้ามิใช่รึ จะกลัวบ้าบออะไรกัน ด้นสดเอาก็แล้วกัน พนันได้เลยว่าไอ้ผีแก่ต้องไม่รู้แน่นอนว่านี่เป็นเพียงร่างอวตารของข้า ข้าเดาว่าถึงอย่างไรมันก็สิงร่างอวตารไม่ได้แน่ๆ ! หวังเป่าเล่อตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาด เขาโยนความคิดที่จะทำลายแผ่นหยกทิ้ง และใช้พละกำลังทั้งหมดไปกับการปล่อยเปลวไฟสีดำแทน จนทำให้เพลิงพัดโหมขึ้นอีก ทว่า…ผีแก่ยังคงใช้พลังปราณของตนเองสะกดเขาเอาไว้ได้อยู่ อำนาจของเคล็ดเวทผสานดวงเนตรสวรรค์สำแดงออกมาอย่างเต็มที่

แม้ร่างของผีแก่จะกำลังทุกข์ทรมานด้วยเปลวไฟสีดำที่เผาไหม้และกำลังสั่นเทาอย่างรุนแรง แต่ก็ยังเข้าล้อมดวงวิญญาณของหวังเป่าเล่อเอาไว้ได้ พร้อมทั้งปล่อยพลังปราณและพลังเทพเต็มรูปแบบ

วิญญาณของชายหนุ่มมลายหายไปพร้อมเสียงระเบิดกึกก้อง โดยมีผีแก่ในคราบดวงตายักษ์เข้ามาแทนที่ ดวงตานั้นเข้าครอบงำวิญญาณของหวังเป่าเล่อได้เป็นที่เรียบร้อย ภาพนั้นทำให้ผีแก่ถึงกับตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น เขากำลังจะผสานรวมกับหวังเป่าเล่ออย่างสมบูรณ์ในอีกเพียงอึดใจเดียว แต่ตอนนั้นเอง…บางสิ่งที่เหนือจินตนาการก็บังเกิดขึ้น!

ดวงวิญญาณของหวังเป่าเล่อที่ถูกห่อหุ้มด้วยดวงเนตรสวรรค์กลับผ่านทะลุดวงตานั้นไป… ราวกับวิญญาณของผีแก่หมดสิ้นหนทางจะรั้งดวงจิตของหวังเป่าเล่อเอาไว้ได้ และต้องปล่อยให้หลุดมือไปอย่างช่วยไม่ได้

เกิดบ้าอะไรขึ้น ผีแก่ตกใจแทบสิ้นสติ นี่ไม่อยู่ในแผนการของเขาแม้แต่น้อย จนทำให้ถึงกับเสียศูนย์ ส่วนวิญญาณของหวังเป่าเล่อก็ลื่นไหลออกจากการเกาะกุมของผีแก่ และมาปรากฏตัวอีกครั้งด้วยดวงตาวาวโรจน์

ไอ้แก่นี่ไม่รู้จริงๆ เสียด้วยว่านี่มันร่างอวตารของข้า ทุกอย่างในร่างกายนี้เกิดขึ้นจากการสร้างด้วยสารัตถะของร่างจริงข้า แม้ว่าร่างอวตารเช่นนี้จะถูกสิงและผสานรวมได้… แต่ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่ไอ้ผีแก่จะทำได้ด้วยระดับพลังปราณเพียงเท่านี้!

ชายหนุ่มท่วมท้นไปด้วยความตื่นเต้น เขามั่นใจว่าตนเองจะต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน แต่ก็ยังมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลอยู่ดี ผีแก่นี่ซ่อนตัวอยู่นานหลายปี จนรู้หลายเรื่องเกี่ยวกับหวังเป่าเล่อ รวมถึงเรื่องที่เขามาจากสำนักแห่งความมืดด้วย เป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้านั่นจะไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่ร่างจริงของหวังเป่าเล่อ นอกเสียจากว่า…

มีผู้ฝึกตนผู้ทรงพลังแก่กล้าช่วยข้าอยู่ โดยการทำให้จิตสัมผัสของผีแก่นี่อ่อนกำลังลง ทำให้มันมีความเชื่อแบบผิดๆ !

ลูกไม้นี้… ดูคุ้นๆ ชอบกล ปรมาจารย์แห่งไฟไม่ใช่คนที่จะทำเรื่องเช่นนี้ ไม่จำเป็นสำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย มันดูเหมือนเป็นสิ่งที่… ศิษย์พี่น่าจะทำต่างหาก!

หวังเป่าเล่อนึกย้อนไปถึงตอนที่ศิษย์พี่ของตนพาตนออกมาโดยให้นอนหลับในโลงศพ หากนี่เป็นฝีมือของศิษย์พี่จริงๆ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่เขาหลับอยู่แน่ๆ

นั่นเพราะร่างอวตารหลักของเขาที่สร้างโดยกระบวนท่าสารัตถะเกิดขึ้นหลังจากนั้น

ความคิดเหล่านี้ผ่านเข้ามาในสมองของหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว แม้จะดูเหมือนเป็นการวิเคราะห์ที่ต้องใช้เวลานาน แต่ชายหนุ่มก็ได้ข้อสรุปนี้มาภายในพริบตาเดียว นอกจากนี้เขายังสังเกตได้อีกด้วยว่าวิญญาณเสี้ยวเล็กๆ ของผีแก่ที่เขากลืนกินเข้าไปนั้นไม่ได้หายไปไหน แต่รวมเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับเขาต่างหาก

หวังเป่าเล่อระเบิดเสียงหัวเราะ ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความโลภ เขาจ้องผีแก่ตาเป็นมันราวกับกำลังมองโอสถล้ำค่าหายาก วิญญาณของชายหนุ่มทะยานไปข้างหน้าหาผีแก่ เปลวไฟสีดำพวยพุ่ง สะกดผีแก่เอาไว้ด้วยอำนาจแห่งไฟที่เผาไหม้ กัดกินร่างกายของอีกฝ่ายอย่างดุเดือด

ในเวลาเดียวกันนั้น…หวังเป่าเล่อก็ไม่ลืมที่จะโบกบังคับให้เมล็ดดูดกลืนและฝักกระบี่ลอยวนรอบกาย เพื่อหันเหความสนใจและสร้างความหวาดกลัวให้คู่ต่อสู้อีกด้วย

ผีแก่กำลังจะเป็นบ้าตาย เขาคิดคำนวณความเป็นไปได้ทั้งหมดของสิ่งที่จะเกิดขึ้นเอาไว้แล้ว แต่ไม่ได้คิดเลยว่าผลสุดท้ายจะมาลงเอยเช่นนี้ ทั้งที่ดูเหมือนตนทำสำเร็จไปแล้วแท้ๆ เขาคำรามกู่ก้อง สิ่งแรกที่คิดได้คือตนเองต้องทำอะไรพลาดไปก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน

ต้องใช่แน่ๆ ! ผีแก่ยังคงกู่ร้องต่อไป พยายามต่อต้านความเจ็บปวดจากเปลวไฟสีดำที่เผาไหม้ และหาช่องโหว่จากการโจมตีของหวังเป่าเล่อเพื่อปล่อยพลังเทพของตนเองออกมาอีกครั้ง สิ่งที่เขาต้องเสียไปคือเศษของวิญญาณที่ถูกหวังเป่าเล่อกลืนกินเข้าไป เพื่อที่จะไม่เกิดความผิดพลาดเช่นนั้นขึ้นอีก ผีแก่จึงปล่อยเคล็ดเวทผสานดวงเนตรสวรรค์ออกมาถึงสามครั้งด้วยกัน

เคล็ดเวทผสานดวงเนตรสวรรค์ระเบิดออกมาพร้อมเสียงดังกึกก้อง วิญญาณของหวังเป่าเล่อถูกผีแก่กักขังเอาไว้อีกครั้ง เขากำลังจะผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับวิญญาณของหวังเป่าเล่อ ทว่า…ชายหนุ่มก็หลุดมือเขาไปได้อีกครา

เป็นไปไม่ได้! ดวงตาของจักรพรรดิโบราณแทบถลนออกจากเบ้า ความมุ่งมั่นเริ่มสั่นคลอน ภาพประหลาดตรงหน้าทำให้ขนลุกชันขึ้นอย่างบอกไม่ถูก แต่เขาก็ยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ง่ายๆ

เหตุใดข้าจึงพลาดอีกครั้งกัน มันไม่มีทางที่จะสิงร่างไอ้หวังเป่าเล่อนี่ได้เลยหรือ ข้าต้องใช้กระบวนเวทผิดเป็นแน่ ลองใช้อีกอันดูก็แล้วกัน! ผีแก่บันดาลโทสะจนแทบพ่นไฟ วิญญาณของเขายังคงสั่นสะท้านขณะที่หวังเป่าเล่อพยายามกลืนกินเขาเข้าไป ผีแก่รีบปล่อยเคล็ดเวทผสานวิญญาณอื่นๆ ออกมาทันที

“กระบวนเวทปันกายาคุ่นหลุน!”

“บัดซบ ทำไมไม่ได้ผลกัน กระบวนเวทรวมร่างมหาปีศาจ!”

“เกิดบ้าอะไรขึ้นกัน เคล็ดเวทพิภพเชื่อมสวรรค์!”

ผีแก่เป็นบ้าไปแล้วเรียบร้อย เขาปล่อยกระบวนเวทสิงกายาออกมาห้าถึงหกวิชาด้วยกัน แต่ก็ไม่มีวิชาใดใช้ได้ผล ราวกับว่าวิญญาณของหวังเป่าเล่อไม่มีอยู่จริงอย่างไรอย่างนั้น ไม่ว่าจะพยายามสิงร่างของชายหนุ่มมากเท่าใดก็ไม่สำเร็จเสียที

เปลวไฟสีดำของหวังเป่าเล่อยังคงเผาไหม้อย่างต่อเนื่องขณะที่ผีแก่ก็ยังพยายามไม่หยุด ความเจ็บปวดมหาศาลทำให้ร่างของเขาเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อเองก็ยังไม่ผ่อนกำลังการกลืนกินลงแม้แต่น้อย แม้จะดึงวิญญาณของผีแก่ออกมาได้ครั้งละเสี้ยวเล็กๆ แต่มันก็ค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ จนวิญญาณของผีแก่หายไปแล้วกว่าร้อยละสามสิบ

จิตและวิญญาณที่ถูกทำลายทำให้ผีแก่ใกล้คลั่ง แต่เขาเคยมีศักดิ์เป็นถึงจักรพรรดิผู้บุกเบิกอาณาจักร จึงย่อมมีนิสัยพากเพียรและมุ่งมั่นเป็นอย่างมากโดยธรรมชาติ แม้จะทำพลาดหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้แต่อย่างใด ผีแก่คำรามก้องด้วยโทสะ ก่อนพยายามสิงร่างหวังเป่าเล่ออีกครั้ง

“กระบวนเวทกลืนกินเก้าเมฆาสวรรค์!”

“เคล็ดเวทปัดเป่าวิญญาณไร้จิต!”

……………………

ระหว่างที่เซี่ยไห่หยางฟังรายงานจากชายชรา เหออวิ๋นจื่อก็กำลังนำพิธีสังเวยของเหล่าราชสกุลที่ถูกผนึกอยู่บนดาวหลักอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์

มีจื่อหลัวผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์จากอารายธรรมครามทองคำคอยช่วยสนับสนุน ส่วนผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่อยู่ใต้ตะเกียงทำหน้าที่เป็นชนวนจุดไฟ เหออวิ๋นจื่อพาราชวงศ์เกือบทุกคนไปรวมกันอยู่ ณ จุดๆ หนึ่ง

แม้แต่เหล่าราชวงศ์ที่สายเลือดห่างที่สุดก็มารวมตัวด้วย ราชวงศ์กว่าหมื่นคนมารวมกันอยู่ที่นครราชวงศ์ พิธีเริ่มต้นผ่านสายโลหิตของตะเกียงทองแดง ทันใดนั้น สายโลหิตของทุกคนก็เริ่มตื่นขึ้น

ลำแสงจากสายโลหิตพวยพุ่งไปทั่วนครราชวงศ์ ปกคลุมทั่วจนกลายเป็นทะเลสีแดง ภาพเหตุการณ์นี้ควรจะเรียกความสนใจจากสามสำนักหลักและเหล่าผู้สอดแนมจากแต่ละสำนักได้ แต่เห็นได้ชัดว่าอารยธรรมครามทองคำมีวิธีซ่อนภาพเหตุการณ์นี้ให้พ้นสายตาของคนเหล่านั้น ทำให้ทั้งสามสำนักหลักไม่ทราบว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้น

พิธีดำเนินไปครึ่งชั่วโมง ระหว่างช่วงเวลานั้น ราชวงศ์หลายคนไม่สามารถทนรับการตื่นของสายเลือดได้ ร่างพวกเขาสั่นเทิ้มและสิ้นลมลงไปในทันที เหออวิ๋นจื่อประกาศนามพวกเขาในฐานะราชวงศ์และความรุ่งโรจน์ของราชสกุล เหล่าราชวงศ์ที่ยังเหลือรอดไม่คิดยอมแพ้ พวกเขาร้องคำรามลั่นด้วยความกราดเกรี้ยวเพื่อให้สายโลหิตลุกโชนและถูกใช้ไป

ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง ฟากฟ้าเหนือนครราชวงศ์ก็เปลี่ยนแปลงไปมาก ลมพัดกรรโชก เมฆาบิดปั่นป่วน เหออวิ๋นจื่อไม่สนใจว่าจะกระอักเลือดไปมากเท่าใด เขาจับจ้องไปยังดารานิรันดร์มายาขนาดมหึมาที่กำลังก่อตัวขึ้นเหนือนครราชวงศ์อย่างช้าๆ

ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์มีลักษณะเหมือนดวงตา เป็นภาพฉายของดวงเนตรดารานิรันดร์ที่ราชวงศ์สละสายโลหิตและเคล็ดวิชาในการอัญเชิญมา

ความตื่นเต้นและความหวังฉายชัดในดวงตาของเหออวิ๋นจื่อขณะมองไปยังภาพฉายดารานิรันดร์ที่ปรากฎอยู่ด้านบน เขาอ้าแขนออกกว้างพร้อมร้องตะโกน

“จงเปิดออก…ประตูดารานิรันดร์!”

สายโลหิตของทั้งราชสกุลปั่นป่วนหนักขึ้นอีกครั้งหลังจากถ้อยคำดังกล่าวสะท้อนก้องในอากาศ หนึ่งส่วนสามของราชวงศ์ที่ยังเหลือรอดอยู่ร่างสั่นเทิ้มและสิ้นลมหายใจไป ลำแสงสีแดงทุกเส้นพุ่งตรงไปยังตะเกียงทองแดงในทันที แสงในตระเกียงกลายเป็นสีแดงชาดพวยพุ่งขึ้นฟ้าปรากฏเป็นเสาแสงเจิดจ้ามุ่งหน้าไปยังภาพฉายดารานิรันดร์

ภาพฉายสั่นไหว ก่อนวังวนจะค่อยๆ ก่อตัวและขยายขนาดใหญ่ขึ้น จนกระทั่ง…กลายเป็นหลุมดำ

ทันใดนั้น ภาพอันคุ้นเคยก็ฉายขึ้นบนดารานิรันดร์ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ของจริง ดารานิรันดร์สั่นไหว วังวนก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วและกลายเป็นหลุมดำ…

ขณะที่หลุมดำปรากฏขึ้น…เส้นทางเคลื่อนย้ายก็เปิดออก ร่างเงาเลือนรางนับไม่ถ้วนปรากฏกาย เหล่าร่างเงาดูอยู่ไม่สุข เหมือนว่าพร้อมจะพุ่งออกจากหลุมดำได้ทุกเมื่อ ไม่นานคลื่นพลังวิญญาณดารานิรันดร์ก็พัดกระจายไปทั่ว เสียงหัวเราะดังก้องทั่วอวกาศก่อนจะทันได้เยียบย่างเข้ามาในอารยธรรมเสียอีก จากนั้นตัวตนสามร่างก็พุ่งออกมาจากหลุมดำ!

พวกเขาแต่งกายด้วยชุดคลุมสีรุ้ง แม้จะมีหน้ากากสีดำปิดบังใบหน้าเอาไว้ก็สามารถบอกได้อย่างง่ายดายว่าสองในสามอยู่ในวัยกลางคน ส่วนอีกคนเป็นชายชรา จริงๆ แล้ว…ถ้าหวังเป่าเล่ออยู่ที่นี่ เขาคงจะจำพลังรัศมีของชายชราได้…ว่าเป็นคนเดียวกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ในตะเกียงทองแดง!

พวกเขาปลดปล่อยพลังยุทธ์และพุ่งทะยานออกไปเสียงดังสนั่น ทั้งสามล้วน…อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ พวกเขาไม่ได้รีบไปไหนหลังออกจากหลุมดำมา ทั้งสามไปหยุดอยู่มุมหนึ่ง จากนั้นก็ตั้งผนึกฝ่ามือ จับพื้นที่บริเวณขอบหลุมดำและกระชากออก ดารานิรันดร์สั่นไหวอีกครั้ง ก่อนที่หลุมดำจะขยายตัวใหญ่ขึ้น เรือบินรบและผู้ฝึกตนมากมายพุ่งออกมาจากหลุมดำในทันใด!

มีเรือบินรบทั้งหมดเกือบแสนลำและผู้ฝึกตนที่มากกว่านั้นถึงห้าเท่า เรือบินรบทุกลำและชุดคลุมที่เหล่าผู้ฝึกตนใส่ล้วนมีสีรุ้ง เห็นได้ชัดว่า…ผู้ฝึกตนทุกคนในอารยธรรมครามทองคำนั้นแต่งกายเช่นนี้กันหมด หากไม่เป็นเช่นนั้น…ก็แปลว่าผู้ฝึกตนกลุ่มแรกที่มาที่นี่เป็นเพียงกลุ่มการเมืองหนึ่งในอารยธรรมครามทองคำ!

ดวงตาของเหล่าผู้ฝึกตนที่มาถึงคุกรุ่นไปด้วยความตื่นเต้นและหิวกระหาย พวกเขาก้าวผ่านหลุมดำไปพร้อมเรือบินรบ ก่อนจะหันมองรอบกายและทำความเคารพผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ทั้งสามคน ถึงจุดนี้คงไม่ต้องอธิบายแล้วว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ทั้งสามคนนั้นเป็นใคร

“คารวะท่านประมุข คารวะท่านผู้อาวุโส!”

ผู้มาถึงไม่ใช่กำลังทั้งหมดของอารยธรรมครามทองคำ เป็นเพียงหนึ่งในสำนักภายในอารยธรรมเท่านั้น ชายชราผู้มีพลังยุทธ์ระดับดาวพระเคราะห์หัวเราะเสียงดังหลังจากได้ยินคำทักทายจากคนในสำนัก

“อารยธรรมนี้ช่างแปลกเสียจริง ถึงจะดูล้าหลัง แต่พลังเคลื่อนย้ายของดวงเนตรสวรรค์ก็บ่งบอกชัดถึงความล้ำค่า…สามารถเคลื่อนย้ายพวกเราสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ข้ามระยะทางหลายร้อยปีแสงได้ในพริบตา…

“เราจะล่าช้าไปกว่านี้ไม่ได้ ตามแผนการของเรา…กองกำลังหนึ่งในสิบนำโดยหกผู้นำของเราจะมุ่งหน้าไปยังดาวหลักดวงเนตรสวรรค์เพื่อช่วยเหลือพันธมิตรของเราจากการคุมขัง กองกำลังที่เหลือจะตามสองผู้อาวุโสของสำนักและข้าไป…เราจะไปจัดการสำนักหลักที่อ่อนแอที่สุดก่อน ซึ่งก็คือสำนักผนึกผังดาวหกแฉก!

“เราจะขยี้สำนักนั้นให้เร็วที่สุดและทำลายสมดุลระหว่างสามสำนักหลัก จากนั้นจะกระจายกองกำลังออกไป ผู้อาวุโสหนึ่งคนจะตามข้าไปเปิดศึกกับสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ส่วนอีกคนจะนำกองกำลังไปบุกสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ หากเราทำสำเร็จ…ก็จะไม่ต้องขอกองกำลังเสริมจากสำนักอื่นในอารยธรรมครามทองคำ พวกเราสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะบดขยี้อารยธรรมนี้เอง!”

“เปิดฉากสงครามได้!” ประมุขสำนักระดับดาวพระเคราะห์หัวเราะร่วนและพุ่งไปทางสำนักผนึกผังดาวหกแฉกทันที ผู้อาวุโสประจำสำนัก เรือบินรบเก้าหมื่นลำ และผู้ฝึกตนกว่าสี่แสนคนทะยานตามเขาไป พวกเขาปลดปล่อยความเร็วเต็มพิกัดพุ่งทะยานไปด้านหน้า

เรือบินรบหนึ่งหมื่นลำและผู้ฝึกตนสำนักวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กว่าห้าหมื่นคนที่เหลือภายใต้การบังคับบัญชาของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะหกคนก็กำลังมุ่งหน้าไปยัง…ดาวเอกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!

ขณะที่ทุกสิ่งกำลังดำเนินไปนั้น ณ ที่ใดสักแห่งในดินแดนนพภูมิ รูปปั้นก็กำลังจมลึกลงไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด

ดินแดนนพภูมิเป็นเหมือนโลกอีกด้านของกระจก ยากมากที่คนธรรมดาจะสามารถเปิดประตูเชื่อมมายังดินแดนแห่งนี้ได้ มีเพียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่สามารถเปิดประตูได้ได้ชั่วคราว ดินแดนนพภูมิแห่งนี้จะถูกปิดไว้เกือบตลอดเวลา

ดินแดนแห่งนี้มีกฎธรรมชาติเป็นของตัวเองและไม่ได้รับผลกระทบจากโลกภายนอก ขณะเดียวกันก็ปรากฏอยู่ทุกแห่งหน ไม่ต่างจากความตายที่ปรากฏอยู่ในทุกที่ที่มีชีวิต สวรรค์และผืนดินในโลกนี้ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ที่นี่มีเพียงหมอกหนาเกินจะวัดได้ ขณะที่หมอกเคลื่อนเอื่อยเฉื่อยไปในอากาศ ใบหน้าไร้อารมณ์มากมายก็ปรากฏขึ้นจากในหมอก ใบหน้าเหล่านั้นเป็นเหมือนผู้รับรู้ความตายในดินแดนแห่งนี้

วิญญาณผู้ล่วงลับของผู้ที่เคยมีชีวิตอยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มารวมกันอยู่ที่นี่ ผู้มีชีวิตอยู่ไม่ค่อยย่างกรายเข้ามาในดินแดนแห่งนี้ เพราะมีเพียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เท่านั้นที่จะสามารถเอาชีวิตรอดในที่แห่งนี้ได้สักชั่วประเดี๋ยว แต่ก็ไม่สามารถคงอยู่ในดินแดนแห่งนี้ได้นาน รัศมีแห่งความตายแปดเปื้อนทุกสิ่ง ไม่มีใครรู้ว่ามีวิญญาณผู้ล่วงลับมากมายเท่าใดถูกขังไว้ที่นี่

รู้เพียงว่านพภูมิคือส่วนหนึ่งของจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ตำนานได้กล่าวถึงต้นกำเนิดของดินแดนแห่งนี้ไว้ใน…เต๋าสวรรค์ที่เคยมีอยู่เมื่อนานแสนนาน ในช่วงเวลานั้นนพภูมิไม่ได้ถูกปิดไว้ พอมีผู้ล่วงลับ วิญญาณก็จะกลับสู่นรกภูมิ ทั้งวิญญาณของคนทั่วไปและวิญญาณของเหล่าผู้แข็งแกร่ง ไม่มีข้อยกเว้นให้ผู้ใด

ตระกูลไม่รู้สิ้นที่เรืองอำนาจขึ้นมาทำให้กฎธรรมชาตินั้นหายไปพร้อมเต๋าสวรรค์ นพภูมิยังคงมีอยู่ แต่ก็ถูกปิดผนึกไป ตระกูลไม่รู้สิ้นตั้งกฎขึ้นมาใหม่ เมื่อผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ขึ้นไปตาย วิญญาณของพวกเขาจะไม่ได้เข้าไปสู่นพภูมิหรือเกิดใหม่ แต่จะล่องลอยไปในอวกาศแทน หากหาวิธีได้ ก็จะสามารถกลับคืนมามีชีวิตได้ใหม่!

นี่คือตำนานที่กล่าวขานกันมาทั่วจักรวาลและภายในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น น้อยคนนักที่จะรู้ว่ามีเบื้องลึกเบื้องหลังอยู่ในตำนานนี้หรือแผนการลับอะไรซ่อนอยู่

ในสายตาของรูปปั้นที่กำลังจมดิ่งลงไป ภายในสุสานหลวงของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เบื้องหน้าของวิญญาณผู้ล่วงลับนับล้านที่กำลังคุกเข่าและจักรพรรดิทั้งสิบสองที่กำลังก้มหัวคือหวังเป่าเล่อ ภายในร่างของเขา การต่อสู้ระหว่างผู้ล่าและผู้ครอบครองได้พุ่งทะยานไปถึงขีดสุด!

ผีแก่ผู้มีพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางปลดปล่อยพลังเต็มขั้นเพื่อแย่งชิงร่างกายหวังเป่าเล่อมาครอง เขาสามารถหลบเปลวเพลิงดารานิรันดร์และฝ่ามือดาวพระเคราะห์มาได้โดยมุ่งโจมตีเพียงดวงวิญญาณของหวังเป่าเล่อพร้อมพยายามกลืนกินมันเข้าไป

แต่ก็ต้องเผชิญกับความลำบากจากพลังแปลกประหลาดมากมายที่เคยอยู่ในร่างของหวังเป่าเล่อ ทำให้ต้องเปลี่ยนพลังส่วนหนึ่งเป็นผนึกิเพื่อป้องกันการแทรกแซงการครอบงำของเขา และกันไม่ให้เรื่องไม่ดีเกิดขึ้น

ความคิดประหลาดผุดขึ้นในของหัวหวังเป่าเล่อเมื่อเขาตระหนักได้ว่าผีแก่ได้ทำอะไรลงไป เป็นความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยปกปิดไม่ให้ผีแก่รู้

การกระทำของผีแก่คงจะดูมีเหตุผลมากกว่านี้ถ้าเขาสู้กับร่างจริงของข้า แต่ร่างนี้เป็นเพียงร่างอวตาร ฝักกระบี่และเมล็ดดูดกลืนล้วนอยู่ในร่างจริง ร่างอวตารเป็นแค่ภาพมายา แล้วทำไมผีแก่ต้องทำเช่นนี้ หรือว่า…แม้จะวางแผนมาแล้วอย่างดีแต่เขากลับพลาดอะไรไป เขารู้หรือเปล่าว่านี่เป็นแค่ร่างอวตาร หรือจะคิดว่าร่างนี้คือร่างจริงกัน

เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็ตัวสั่นเทิ้มเล็กน้อยขณะเรียกภาพมายาเมล็ดดูดกลืนและฝักกระบี่ออกมา ผีแก่อยู่ไม่สุขในทันใดเมื่อเห็นการปรากฏตัวของทั้งสองสิ่ง ราวกับว่าชายหนุ่มได้เรียกศัตรูคู่อาฆาตของเขาออกมากระนั้น!

น่าสนใจ! หวังเป่าเล่อคิด เขามั่นใจในโอกาสของตนเองมากขึ้น ชายหนุ่มใช้โอกาสนี้กัดดวงวิญญาณของผีแก่เข้าไปเต็มแรง

…………………………

หวังเป่าเล่อชั่งใจเพราะไม่แน่ใจว่าสิ่งนี้เป็นกับดักหรือไม่!

ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าผีแก่รู้ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งที่ตัวเขามีต่อสำนักแห่งความมืดหรือไม่ และนี่เป็นเหตุให้เขาลังเล!

แม้จะชั่งใจและมีความรู้สึกหลากหลายปะปน หวังเป่าเล่อก็ยังมองเห็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ในสถานการณ์ปัจจุบัน เพียงแค่ว่า สิ่งยวนใจตรงหน้านั้นช่างยิ่งใหญ่นัก จึงทำให้ช่องโหว่จำนวนมากถูกมองข้ามไปอย่างง่ายดาย

เพราะอย่างไรเสีย…หากหวังเป่าเล่อต้องการ เขาก็สามารถดูดกินวิญญาณทุกดวงได้อย่างง่ายดาย หลังจากใช้เวลาในการย่อยวิญญาณเหล่านั้นสักหน่อย ชายหนุ่มก็สามารถบรรลุขั้นไปสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะหรือกระทั่งไปถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางได้เลยทีเดียว!

ต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแน่ๆ ไม่มีทางเลยที่เจ้าผีแก่ตนนี้จะไม่รู้ว่าข้ามาจากสำนักแห่งความมืด เพราะถึงอย่างไร สำนักแห่งความมืดก็เป็นผู้ดัดแปลงวิชาดวงเนตรปีศาจ ต่อให้สำนักแห่งความมืดจะล่มสลายไปแล้วและเคล็ดวิชาฝึกปราณทั้งหมดกระจัดกระจายไปทั่วจักรวาล…สถานการณ์นี้ก็มีผลกับการสิงร่างและการคืนชีพของเขา ไม่มีทางเลยที่เขาจะไม่ตรวจตราซ้ำไปซ้ำมาจนกระทั่งแน่ใจว่าข้อมูลที่มีนั้นสมเหตุสมผล

นอกจากนั้น…เจ้าผีแก่ยังทั้งเจ้าเล่ห์และแสนกล ไม่มีทางเลยที่จะไม่รู้ความจริง อีกอย่างหนึ่ง…หากข้าดูดกลืนวิญญาณเหล่านี้เข้าไป ข้าก็คงไม่บรรลุขั้นในทันที คงคล้ายการกลืนโอสถ ข้าต้องใช้เวลาย่อยสลายพวกมันสักหน่อย…หรือว่านี่จะเป็นสิ่งที่เจ้าผีแก่ต้องการกัน เขาต้องการซื้อเวลาอย่างนั้นหรือ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อแดงก่ำ ชายหนุ่มกำลังครุ่นคิดอย่างหนักในช่วงเวลาไม่กี่อึดใจนี้ ในที่สุดมังกรวิญญาณทั้งสิบสองก็เข้ารวมกับปราณของวิญญาณคนตายนับล้านและล่องลอยอยู่ระหว่างตัวเขาและจักรพรรดิชรา ใบหน้าของอีกฝ่ายฉาบเคลือบไปด้วยความกังวล ในขณะที่นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อทอประกายด้วยความแน่วแน่

“ข้าไม่ต้องการวิญญาณเหล่านี้!” หวังเป่าเล่อคำรามก่อนจะล่าถอย ละทิ้งความคิดที่จะใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดในการยึดดวงวิญญาณมาทั้งหมด ขณะที่เขายอมปล่อยวิญญาณเหล่านั้นไปและถอยหลัง ปราณของวิญญาณนับล้านบวกกับมังกรวิญญาณทั้งสิบสองก็กระดอนถอยหลังไปเหมือนถูกเชือกกระตุกก่อนจะพุ่งเข้าไปหาผีแก่!

ดวงวิญญาณรายล้อมผีแก่เอาไว้ท่ามกลางเสียงสนั่นก่อนจะพวยพุ่งเข้าสู่ร่างของเขา ดูเหมือนว่าพวกมันจะมาจากสายโลหิตหรือต้นกำเนิดเดียวกับผีแก่ ส่งผลให้ผีแก่ไม่จำเป็นต้องรอให้วิญญาณเหล่านั้นย่อยไป พลังปราณของเขาพุ่งทะยานขึ้นทันที

เขาบรรลุขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์โดยพลัน ไม่เพียงเท่านั้น ระดับปราณของเขายังไต่ขึ้นไปอีก ก่อนจะบรรลุสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะในพริบตา และเพราะสารอาหารจากวิญญาณเหล่านั้น พลังปราณของเขาจึงยังขึ้นไปไม่สิ้นสุด ทว่า…หวังเป่าเล่อไม่ได้ยินเสียงหัวเราะอย่างสะใจจากผีแก่ขณะกำลังล่าถอย ชายหนุ่มกลับได้ยินเพียงแค่เสียงคำรามที่เปี่ยมไปด้วยความสิ้นหวังและเสียใจแทน

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายเพราะเสียงนั้น ชายหนุ่มรู้ทันทีว่าเขาทำถูกแล้ว เจ้าผีแก่…วางกับดักเอาไว้จริงๆ!

ชายหนุ่มสะบัดมือไปมา แผ่นหยกของเซี่ยไห่หยางมาปรากฏอยู่ในมือซ้ายของเขาในพริบตา และแผ่นหยกของปรมาจารย์แห่งไฟก็มาปรากฏในมือขวา เขาไม่ได้ส่งข้อความเสียงออกไป เพียงแต่หยิบออกมาเผื่อไว้ก่อนเท่านั้น

หวังเป่าเล่อเริ่มท่องบทสวดแห่งเต๋าอยู่เงียบๆ มือทั้งสองกำแผ่นหยกสองแผ่นเอาไว้แน่น!

พลังปราณของผีแก่ยังคงพุ่งขึ้นไม่หยุด แม้ว่าเครื่องหน้าของเขาจะบิดเบี้ยวจนกลายเป็นใบหน้าที่น่าเกลียด ความสูญเสียที่ชายชรารู้สึกอยู่นั้นพุ่งกระแทกตัวเองราวกับเป็นคลื่นยักษ์ ความบ้าคลั่งก็ไหลบ่าท่วมจิตใจอย่างยากจะควบคุม

“บัดซบ… หวังเป่าเล่อ ข้าไม่อยากเชื่อว่าเจ้าจะไม่ใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดกลืนกินวิญญาณเข้าไป!”

เสียงคำรามของเขาดังก้องไปทั่ว ผีแก่ไม่ได้ต้องการจะกลืนวิญญาณเหล่านี้แม้แต่น้อย แม้ว่าพวกมันจะช่วยให้เขาได้พลังปราณกลับคืนมาระดับหนึ่ง แต่ก็เป็นเพียงส่วนเดียวเท่านั้น หากเทียบกันแล้ว เขาอยากยึดร่างและคืนชีพมากกว่า ซึ่งเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของเขานั่นเอง

จักรพรรดิรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อเป็นคนของสำนักแห่งความมืด แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ เพราะจะได้ปลดปล่อยพลังของวิญญาณคนตายเพื่อล่อให้ชายหนุ่มติดกับ หวังจะให้หวังเป่าเล่อสูญเสียการควบคุมตนเองไปเพราะความยั่วยวนอันยิ่งใหญ่นี้ หากหวังเป่าเล่อตัดสินใจพลาด…หากหวังเป่าเล่อตัดสินใจทำตามใจและดูดกลืนวิญญาณเหล่านั้นเข้าไป…

หวังเป่าเล่อก็คงติดกับ วิญญาณเหล่านั้นจะไม่กลายเป็นพลังปราณทันที ต้องใช้เวลาค่อยๆ ย่อยสลายพวกมัน และระหว่างนั้น…เพราะวิญญาณจำนวนมากมีต้นกำเนิดเดียวกับจักรพรรดิชรา ดังนั้นก่อนที่ชายหนุ่มจะย่อยสลายพวกมันจดหมด ร่างกายของเขาก็จะกลายมาเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ที่เหมาะอย่างยิ่งในการเข้าสิงร่าง!

วิญญาณที่ยังย่อยไม่เสร็จในร่างของหวังเป่าเล่อจะคอยช่วยเหลือจักรพรรดิชรา หากมีพวกมันคอยช่วย เขาก็จะสามารถยึดครองร่างของหวังเป่าเล่อได้อย่างง่ายดายและคืนชีพกลับมาโดยสมบูรณ์!

เพื่อให้มั่นใจว่าแผนนี้จะสำเร็จ เขาต้องแสร้งทำเป็นกังวลอย่างหนัก เมื่อหวังเป่าเล่อร่ำๆ จะกลืนกินวิญญาณเหล่านั้นเข้าไปเต็มแก่ จักรพรรดิชราก็ยิ่งกังวลว่าอีกฝ่ายจะมองการแสดงของเขาออก เป็นเหตุให้ต้องลากมังกรวิญญาณทั้งสิบสองออกมาด้วย ผีแก่ต้องการให้หวังเป่าเล่อเข้าใจว่าเขาได้ใช้ลูกไม้ทั้งหมดไปแล้ว และกำลังพยายามอย่างยากลำบากที่จะแก้ไขสถานการณ์ไม่ให้พ่ายแพ้

แม้จะเตรียมการและคำนวณมาอย่างถี่ถ้วนเพียงใด ผีแก่ก็ยังล้มเหลว ความโศกเศร้าและเคียดแค้นปะทุขึ้นมาในใจก่อนจะแปรสภาพเป็นโทสะอันรุนแรง แหล่งเพาะพันธุ์ของเขาก็สูญสิ้นไปแล้ว เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องบังคับเข้าสิงหวังเป่าเล่อด้วยกำลัง ซึ่งทั้งยากและเสี่ยงกว่าเป็นอย่างมาก

“หวังเป่าเล่อ!” แม้ว่าจะยากและเสี่ยง แต่ผีชราก็ไม่มีทางเลือกอื่นใด โทสะของเขาเติบโตขึ้นพร้อมระดับปราณที่สูงถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลาง จักรพรรดิไม่อาจรอได้อีกต่อไป เขาพลันขยับร่างก่อนจะหายตัวไป

แต่เดิมนั้น ผีแก่อยู่ภายในวิชาดวงเนตรปีศาจที่หวังเป่าเล่อได้ฝึกฝนมาหลายปี เป็นเหตุให้ เมื่อชายชรามาปรากฏตัวอีกครั้ง เขาจึงมาปรากฏอยู่ในกายของหวังเป่าเล่อ ภายในวิญญาณของชายหนุ่ม โดยหลบเลี่ยงเปลวเพลิงดารานิรันดร์ที่หลับไหลอยู่ในใจของหวังเป่าเล่อและฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ไปพร้อมกัน!

เขาพยายามใช้กำลังเข้าสิงร่างหวังเป่าเล่อ!

ประกายของความบ้าคลั่งฉายวาบขึ้นในแววตาของหวังเป่าเล่อทันทีที่ผีชรามาปรากฏตัวในวิญญาณของเขา หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังของบทสวดแห่งเต๋าที่เขาแอบท่องอยู่เมื่อครู่นี้ แต่แทนที่จะปล่อยแรงกดดันมหาศาลใส่สิ่งรอบข้าง ชายหนุ่มกลับส่งมันเข้าไปด้านใน…เขาใช้พลังนั้นใส่ตนเอง!

อัสนีคำรามราวกับว่าสายฟ้าฟาดจำนวนมหาศาลถูกปล่อยเข้าไปในวิญญาณของหวังเป่าเล่อ วิญญาณของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรงท่ามกลางคลื่นพลังสายฟ้าเสียงดังสนั่น ผีชแก่เองก็รับแรงกระแทกที่เท่าเทียมกันเพราะเขาพยายามเกาะกินวิญญาณของชายหนุ่มอยู่

เจ้าพยายามจะสิงข้าและข้า…ก็พยายามล่าเจ้าเช่นกัน ข้าจะเปลี่ยนเจ้าเป็นตั๋วทองคำไปสู่การบรรลุขั้นปราณของข้าเสียเลย! วิญญาณของหวังเป่าเล่อปล่อยพลังคลื่นวิญญาณเข้มข้นออกมา ณ จุดนี้ ชายหนุ่มรู้แล้วว่าเหตุใดสุสานหลวงจึงเป็นโอกาสทองในการบรรลุขั้นปราณของเขา หากเขาไล่ล่าและจับผีแก่ที่ภายนอก จักรพรรดิชราคงจะอ่อนแอกว่านี้มา และหวังเป่าเล่อก็คงจะไม่ได้ประโยชน์มากนักหากจับเขาได้

ภายในสุสานนี้ ผีแก่ได้โอกาสในการพัฒนาขั้นปราณอย่างก้าวกระโดดผ่านการกลืนวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน หวังเป่าเล่อต้องเจอความเสี่ยงเพราะต้องเผชิญวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าเดิม แต่หากชายหนุ่มทำสำเร็จ…ผลประโยชน์ที่เขาจะได้รับก็เรียกได้ว่าไร้ขีดจำกัด!

เมื่อคิดได้เช่นนั้น การต่อสู้ระหว่างการเข้าสิงกับการไล่ล่าในวิญญาณของหวังเป่าเล่อก็เริ่มต้นขึ้น!

หวังเป่าเล่อยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ขณะที่ร่างกายของเขาค่อยๆ แปรสภาพเป็นหมอกก่อนจะมารวมตัวกันเป็นกายเนื้ออีกครั้ง ทุกๆ อย่างดูปกติดี หากไม่นับการต่อสู้อันดุเดือดและอันตรายที่กำลังเกิดขึ้นภายในวิญญาณของเขา!

วิญญาณผีดิบนับล้านยังคงคุกเข่าอยู่ รวมไปถึงจักรพรรดิผู้เงียบงันทั้งสิบสองในวังที่ห่างไกล จักรพรรดิบนบัลลังก์ที่อยู่สูงสุด ผู้ไร้ใบหน้าและมีเงาที่พร่าเลือนก็ยังคงนั่งนิ่งสนิทอยู่เช่นเดิม

แต่หากมองดูใกล้ๆ ก็จะเห็นได้ว่าสิ่งหนึ่งที่จักรพรรดิองค์แรกต่างจากวิญญาณดวงอื่นๆ คือ เขาไม่ได้เป็นศพเช่นเดียวกันคนพวกนั้น แต่เป็น…เกราะรูปร่างมนุษย์…ที่เฝ้ารอกลับคืนสู่เจ้าของ!

ในจักรวาลที่ห่างไกลออกไป ห่างจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ในตลาดที่ครั้งหนึ่งหวังเป่าเล่อเคยไปเยือน มีร้านตระกูลเซี่ยอยู่ร้านหนึ่ง เซี่ยไห่หยางยืนอยู่ในตำหนักของเขาด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและเกรี้ยวกราดขณะที่จ้องมองไปยังภาพดำมืดซึ่งถูกฉายออกมาจากแผ่นหยกบนโต๊ะอย่างเงียบงัน

ชายหนุ่มไม่ได้รับภาพอีกเลยตั้งแต่หวังเป่าเล่อเข้าไปยังห้องภายในสุสานหลวง แม้ว่าตระกูลเซี่ยจะมีอิทธิพลเพียงใด แต่ก็ยังมีหลายที่ในจักรวาลที่พวกเขาไม่อาจย่างกรายเข้าไปได้

และในรูปปั้นของจักรพรรดิองค์แรกแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็เป็นหนึ่งในนั้น!

อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อันลี้ลับสามารถร่วมมือกับอารยธรรมครามทองคำและเรียกความสนใจของเซี่ยไห่หยางได้ เห็นได้ชัดว่ารูปปั้นนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับทั้งสองฝ่าย

หรือว่าความลับของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…จะมี…ส่วนเกี่ยวข้องกับสถานที่ในตำนานนั้นจริงๆ หวังเป่าเล่อ ทำไมเจ้าถึงดื้ออย่างนี้นะ ทำไมเจ้าไม่ขอความช่วยเหลือจากข้า ข้าจะได้เห็นข้างในชัดๆ… เซี่ยไห่หยางขณะนี้ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกอันยากจะเข้าใจ ชายชราที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขาทอดถอนใจ ก่อนจะหยิบแผ่นหยกขึ้นมา แล้วมองไปทางเซี่ยไห่หยาง

“นายน้อยขอรับ อารยธรรมครามทองคำเริ่มเคลื่อนไหวแล้ว ราชวงศ์อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์กำลังเริ่มพิธีกรรมสังเวย ข้าคาดการณ์ว่าผู้ฝึกตนกลุ่มแรกจากอารยธรรมครามทองคำจะถูกเคลื่อนย้ายผ่านดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ภายในครึ่งชั่วโมง จากนั้นสงครามในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็จะเริ่มขึ้นทันที มีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สามคนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย!”

โลกนี้แทบไม่ต่างอะไรกับโลกภายนอก ท้องฟ้าสีคราม ผืนดินปกคลุมไปด้วยพืชพรรณ หญ้าและต้นไม้ใหญ่น้อยสดใสเขียวขจี ห่างออกไปมีทิวเขาที่ทอดยาวทาบทับเส้นขอบฟ้า อากาศก็เต็มเปี่ยมไปด้วยปราณวิญญาณเข้มข้น

ที่นี่ดูไม่เหมือนสุสานหลวงแม้แต่น้อย สายลมอ่อนๆ นำพาเสียงนกร้องและกลิ่นหอมของมวลดอกไม้ นกกระสาฝูงใหญ่โผบินผ่านท้องฟ้าอยู่เนืองๆ มีเทพธิดาสะสวยนั่งอยู่บนหลังนกกระสา พวกนางก้มหน้าลงมองหวังเป่าเล่ออย่างฉงนสงสัย

หากเป็นผู้ฝึกตนคนอื่นที่ได้มาเห็นภาพดังกล่าว ก็คงไม่อาจสัมผัสถึงสิ่งผิดปกติได้แม้จะมีระดับปราณสูงกว่าหวังเป่าเล่อและอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์แล้วก็ตาม แต่หวังเป่าเล่อนั้นแตกต่างออกไป ประกายประหลาดฉายวาบอยู่ในดวงตาของชายหนุ่มขณะที่เขาหรี่ตาลง

ในประกายประหลาดนั้นมีร่องรอยของเปลวไฟสีดำอยู่ด้วย มันไหลเข้ามาท่วมดวงตาของชายหนุ่ม ก่อนที่โลกตรงหน้าจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของสถานที่แห่งนี้!

ท้องฟ้าไม่ได้เป็นสีคราม แต่กลับแดงฉาน!

พื้นดินไม่ได้ปกคลุมไปด้วยพืชเขียวชอุ่ม ทุกสิ่งนั้นเหี่ยวเฉาตายไปหมดแล้ว สิ่งที่ดูคล้ายภูเขานั้น…แท้จริงแล้วเป็นกองกระดูกขนาดมโหฬาร นกกระสาที่โบยบินอยู่บนฟ้าจริงๆ แล้วเป็นวิญญาณน่าสะพรึงกลัว และเทพธิดา…ก็คือหนอนน่ารังเกียจ!

ปราณวิญญาณเข้มข้นเมื่อครู่…ไม่ใช่ปราณวิญญาณแต่อย่างใด แต่กลับเป็นรัศมีแห่งความตายอันแรงกล้า ทุ่งหญ้ากว้างใหญ่นั้นไม่ได้ว่างเปล่า หากแต่เต็มไปด้วยกองทัพผีดิบนับล้าน ดวงตาของบรรดาทหารผีทั้งเย็นเยือกและไร้อารมณ์ขณะที่พวกมันยืนเรียงกันเป็นแถวเรียบร้อย อาจกล่าวได้ว่าเป็นภาพที่งดงามมากทีเดียว

บนท้องฟ้าเหนือภูเขากองกระดูกมีพระราชวังกว้างใหญ่ วังนั้นเป็นสีม่วงและมรกต มองเห็นบังลังก์หรูหราทั้งสิบสามตั้งอยู่ภายใน!

บังลังก์สิบสองจากสิบสามบัลลังก์เรียงกันอยู่เป็นสองแถว บัลลังก์สุดท้ายตั้งอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของวัง มันอยู่เหนือบัลลังก์อื่นๆ อีกทั้งยังใหญ่และอลังการกว่าบังลังก์อื่นๆ มากนัก

มีคนนั่งอยู่บนลังลังก์ทุกบัลลังก์ บัลลังก์ทั้งสิบสองมีชายชรานั่งอยู่ แม้ใบหน้าจะแตกต่างกันแต่ก็มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันบางประการ นัยน์ตาของทุกคนส่องประกายด้วยอำนาจ ขณะที่ใบหน้าต่างสุขุมและไร้อารมณ์ ทุกคนสวมเสื้อคลุมสีเหลืองและมีมงกุฎบนศีรษะ ต่างก็จับจ้องอย่างเฉยเมยมายังทิศทางที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่

ในส่วนที่ลึกที่สุดของวัง บนบัลลังก์สุดท้าย…มีร่างสูงซึ่งกระจายพลังและอำนาจที่ยิ่งใหญ่ราวกับว่าจะสามารถพลิกแผ่นดินได้ออกมา มีบางอย่างเกี่ยวกับร่างนี้ที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ใบหน้าของเขาว่างเปล่า!

สีหน้าแปลกแปร่งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวังเป่าเล่อเมื่อชายหนุ่มรู้ว่าเขากำลังจ้องมองสิ่งใดอยู่ แต่ก่อนที่จะได้ทำสิ่งใด จักรพรรดิไร้หน้าผู้ยิ่งใหญ่ก็เงยหน้าขึ้นมา

แม้จะไม่มีเครื่องหน้า หวังเป่าเล่อก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมาทางตน

สายตาของจักรพรรดิให้ความรู้สึกรุนแรงราวกับถูกโจมตีทางกายภาพ หวังเป่าเล่อตัวสั่นเมื่อดวงตาคู่นั้นหันมาจ้องมองเขา วิชาดวงเนตรปีศาจภายในกายตื่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างสุดจะควบคุม และดวงตาสีดำขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลัง

ดวงตานั้นมีขนาดใหญ่ร่วมสามร้อยเมตร และการปรากฏตัวของมันปลดปล่อยพลังงานมหาศาลที่เข้าไปปะทะกับพลังจากการจ้องมองของจักรพรรดิไร้หน้าทันที มีเสียงหัวเราะอย่างตื่นเต้นปะทุขึ้นมาจากดวงเนตรปีศาจภายในกายของหวังเป่าเล่อ

“หวังเป่าเล่อ ข้าขอขอบใจเจ้าที่พาข้ากลับมาจากสภาพใกล้ตายและให้โอกาสข้าได้มีชีวิตอีกครั้ง!” ขณะที่เสียงหัวเราะนั้นสะท้อนก้องไปในอากาศ เงาร่างของชายชราก็ปรากฏขึ้นในดวงตาสีดำขนาดมหึมา พลางแผ่เอาพลังรุนแรงออกมาพร้อมเสียงหัวเราะ ชายชราก้าวออกมาจากดวงตาสีดำไปยืนอยู่บนท้องฟ้า

แม้ว่ากายของเขาจะเป็นดูเหมือนเป็นร่างมายา แต่ก็แผ่พลังที่ดูเหมือนจะประสานกับโลกนี้ได้อย่างไร้ที่ติ พลังนั้นรุนแรงราวกับว่าจะสามารถพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน เรียกลม และส่งก้อนเมฆให้เคลื่อนถอยหลังไปได้ คลื่นกดดันน่าสะพรึงไหลบ่าท่วมผืนดิน

“ท่านพูดจบหรือยัง จักรพรรดิองค์แรกแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ข้ารู้ดีว่าคนแก่เช่นท่านชอบพูดเยิ่นเย้อ” หวังเป่าเล่อไม่อาจแสร้งทำเป็นตื่นตกใจกับการปรากฏตัวของจักรพรรดิได้ สีหน้าของชายหนุ่มเรียบเฉยขณะเอียงศีรษะมองชายชรา

“ท่านจะมาสิงร่างข้าตอนนี้เลยหรือไม่เล่า คงจะยากสักหน่อยนะกับสภาพของท่านตอนนี้ หากเป็นเช่นนี้…แล้วไพ่ตายของท่านคืออะไรเล่า อะไรทำให้ท่านมั่นใจนักว่าท่านจะทำสำเร็จ” ขณะที่พูดไป หวังเป่าเล่อก็เข้าใจว่าโอกาสที่เซี่ยไห่หยางพูดถึงคือสิ่งใด

เป็นไปได้มากว่า…โอกาสนั้นจะเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิองค์แรก ในเมื่อเขาสามารถทำการค้ากับสามฝ่ายได้พร้อมๆ กัน เขาต้องรู้แน่ว่าจักรพรรดิองค์แรกต้องการจะสิงร่างข้าเพื่อชุบชีวิตตนเอง โอกาสของข้าต้องเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิองค์แรกอย่างแน่นอน ข้ามั่นใจ!

เซี่ยไห่หยางอาจจะหลอกข้า แต่ก็คงไม่อยากจะให้ข้าตาย หากเป็นเช่นนั้น เขามั่นใจได้อย่างไรว่าการพยายามสิงร่างจะล้มเหลวและจักรพรรดิพองค์แรกจะกลายมาเป็นพลังงานให้กับการฝึกปราณและส่งให้ข้าบรรลุขั้นได้ บางทีเซี่ยไห่หยางอาจจะวางแผนให้ข้าเข้ามาที่นี่ แล้วจ่ายเงินให้เขาช่วยเหลือก็เป็นได้ หากเป็นเช่นนั้น ก็แปลว่าเซี่ยไห่หยางไม่เชื่อว่าข้าจะทำสำเร็จได้ด้วยตนเอง…มีสองทางเท่านั้นที่เขาจะสรุปเช่นนั้นได้ หากเขาไม่รู้ว่าข้ามาจากสำนักแห่งความมืด…ก็ต้องมีบางอย่างผิดปรกติเกี่ยวกับผีแก่ตนนี้!

ขณะที่สมองของหวังเป่าเล่อกำลังทำงานอย่างหนัก จักรพรรดิองค์แรกก็หรี่ตาก่อนจะยิ้มหยัน

“เพื่อเป็นการขอบคุณ ข้าจะสิงร่างเจ้าและใช้ชีวิตแทนเจ้าให้เอง!” เมื่อพูดจบ ผีชราก็ยกมือขวาขึ้นก่อนจะวาดมือผ่านอากาศ

รัศมีของเขาปะทุขึ้นมาในบัดดล และทันใดนั้น กองทัพผีดิบนับล้านที่ยืนนิ่งสนิทอยู่ในทุ่งตรงหน้าของหวังเป่าเล่อก็ตัวสั่น ความเยือกเย็นในแววตาของพวกมันแปรเปลี่ยนเป็นความบ้าคลั่ง พวกมันทรุดตัวลงคุกเข่าทันที

การได้เห็นกองทัพนับล้านทรุดตัวลงคุกเข่าพร้อมกันให้ความรู้สึกคล้ายกับการได้เห็นคลื่นแตกสลายไปอย่างรวดเร็ว ช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง เรื่องที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือสิ่งที่ตามมาต่อจากนั้น ขณะที่กองทัพผีดิบทรุดตัวลงคุกเข่า พวกมันก็เปิดปากพูดออกมาพร้อมกัน!

“ยินดีต้อนรับกลับสู่วัง ท่านจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่!”

ทันทีที่เสียงนั้นดังออกไป ดวงไฟวิญญาณจำนวนก็ลอยออกมาจากศีรษะของทหารนับล้าน ตรงไปยัง…ชายชราที่กำลังเดินออกจากดวงเนตรปีศาจ จักรพรรดิองค์แรกแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!

ประกายกล้าสะท้อนออกมาจากดวงตาของหวังเป่าเล่อขณะที่เขาจ้องมองฉากตรงหน้า ความรู้สึกชั่งใจผุดขึ้นมาในศีรษะของชายหนุ่ม

เจ้าผีแก่นี่รู้หรือไม่ว่าข้ามาจากสำนักแห่งความมืด

หวังเป่าเล่อเป็นบุตรแห่งความมืดจากสำนักแห่งความมืด หากต้องการ เขาสามารถยึดและกินพลังของวิญญาณเหล่านั้นได้ทั้งหมด แต่ภาพตรงหน้าก็ทำให้เขาชั่งใจ มีประกายเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็นสะท้อนอยู่ในแววตา ชายหนุ่มมีสีหน้าอวดดีขึ้นมาก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดัง

“ข้าไม่รู้เลยว่าเหตุใดสำนักแห่งความมืดถึงได้ยุ่งกับวิชาดวงเนตรสวรรค์แต่ปล่อยท่านเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าท่านจะไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร…”

“วิชาแห่งศาสตร์มืด เรียกวิญญาณ!” ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดจบ เขาก็ยกมือขวาขึ้น เปลวไฟสีดำปะทุขึ้นมาในดวงตาของชายหนุ่ม รัศมีเก่าแก่ที่มาจากเปลวไฟสีดำเริ่มแผ่ออกมาจากกาย ทำให้โลกสั่นคลอนอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าของจักรพรรดิองค์แรกแสดงอารมณ์อย่างรุนแรง ปราณวิญญาณจากดวงวิญญาณคนตายนับล้านที่พุ่งไปหาชายชราก่อนหน้านี้หักเลี้ยวอย่างรวดเร็วตรงหน้าเขา…และพุ่งใส่หวังเป่าเล่อแทน!

“เป็นไปไม่ได้! ผู้สืบทอดบังลังก์กลับมาแล้ว!” ใบหน้าของจักรพรรดิองค์แรกตอนนี้แสดงความตกตะลึง และมีความตื่นตระหนกอยู่ในแววตา ดูเหมือนว่ากำลังวิตกกังวลอย่างหนัก เขารีบยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังพระราชวังบนท้องฟ้า

จักรพรรดิทั้งสิบสอง เว้นไว้เพียงจักรพรรดิไร้หน้าต่างก็ตัวสั่นก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน พวกเขาหันไปหาหวังเป่าเล่อและจักรพรรดิพระองค์แรกก่อนจะทรุดตัวลงคุกเข่า

“ยินดีต้อนรับกลับสู่วัง ปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่!”

ปราณวิญญาณอันแข็งแกร่งปะทุออกมาจากร่างของจักรพรรดิทั้งสิบสองขณะที่เสียงของพวกเขาดังลั่นสะท้อนไปในอากาศ ปราณวิญญาณนั้นแปรสภาพเป็นมังกรวิญญาณทั้งสิบสองตัวและพุ่งออกจากวัง มุ่งหน้าไปหาจักรพรรดิองค์แรกทันที พวกเขาต้องการขัดขวางหวังเป่าเล่อจากการดึงปราณวิญญาณคนตายนับล้านไป!

ปราณจากวิญญาณคนตายและปราณจากวิญญาณจักรพรรดิเต็มแน่นท่วมอากาศ ในฐานะสมาชิกสำนักแห่งความมืด หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าคลื่นพลังในอากาศตอนนี้แข็งแกร่งเพียงใด หากเขารวบรวมปราณเหล่านี้เข้ากับกายตนเอง และย่อยปราณทั้งหมดไปเรื่อยๆ ระดับปราณของเขาจะต้องพุ่งทะยาน บรรลุจากขั้นเชื่อมวิญญาณไปสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะได้แน่นอน อันที่จริงแล้ว การบรรลุขั้นอาจไม่หยุดอยู่เพียงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นเท่านั้น อาจทะลุไปถึงชั้นกลางเลยก็เป็นได้!

ช่างยั่วยวนใจอะไรอย่างนี้…ความชั่งใจและความปรารถนาต่างต่อสู้กันอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายในใจของหวังเป่าเล่อ

………………………………………..

ด้วยเหตุนี้ ชีวิตก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า สถานการณ์ใดก็ตามที่มีผู้เกี่ยวข้องเกินสองกลุ่มย่อมมีผลลัพธ์หลากหลายรูปแบบจนแทบนับไม่ถ้วน ดังนั้นความสัมพันธ์แบบสามทางจึงคลี่คลายและหาประโยชน์ได้ง่ายกว่า หวังเป่าเล่อเองก็เพิ่งทำเช่นนั้นมา ชายหนุ่มใช้เจตจำนงที่ซ่อนเร้นอยู่ของวิชาดวงเนตรปีศาจให้เป็นประโยชน์ ความหิวโหยและความต้องการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปของมัน ทำให้ชายหนุ่มต่อต้านอารยธรรมครามทองคำได้สำเร็จ

เรียกได้ว่า ทั้งตัวเขาและเจตจำนงภายในวิชาดวงเนตรปีศาจสามารถร่วมมือกันได้ระดับหนึ่ง

ขณะที่เจตจำนงภายในวิชาดวงเนตรปีศาจปลดปล่อยพลังของมันออกมา และผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะอย่างจื่อหลัวต้องหวีดร้องและถูกบีบบังคับให้ล่าถอย หวังเป่าเล่อก็พุ่งตัวออกไปราวสายฟ้าและทะลุผ่านรอยร้าวที่จักรพรรดิชราสร้างเอาไว้โดยการสังเวยชีวิตตนเองได้สำเร็จ!

ชั่วอึดใจต่อมา ชายหนุ่มก็พุ่งตัวออกมาจากอาณาเขตที่ถูกผนึก เขาจ้องมองไปรอบกาย จื่อหลัวผู้ซึ่งดูราวกับว่าอยู่ใต้อิทธิพลของคาถามายากำลังถูกล้อมด้วยคลื่นปราณมืดเข้มข้น เขาหายใจหนักหน่วงสลับกับคำรามกู่ก้องอย่างดุร้าย เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามดิ้นให้หลุดจากคาถา คลื่นปราณมืดกระจายตัวออกไป เผยให้เห็นนัยน์ตาแดงก่ำของจื่อหลัว

จื่อหลัวคำรามก่อนจะพุ่งใส่หวังเป่าเล่อทันทีที่สบตากัน เหออวิ๋นจื่อยืนมองอย่างตกตะลึง ขณะที่ตะเกียงทองแดงในมือของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง รัศมีระดับดาวพระเคราะห์ที่อยู่ภายในตะเกียเกรี้ยวกราดและพร้อมที่จะพุ่งออกมาทุกขณะ

ศัตรูของหวังเป่าเล่อยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าเขา ขณะที่เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจอยู่เบื้องหลัง ไม่มีทางเลยที่จะต่อสู้ฝ่าศัตรูออกไปได้ แต่หากชายหนุ่มเลือกที่จะละทิ้งโอกาสตอนนี้แล้วหนี เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจที่เพิ่งถูกบังคับให้ออกมาช่วยเขาก่อนหน้านี้ คงจะโจมตีเขาทันทีและขัดขวางไม่ให้เขาหนีไปได้เป็นแน่

เซี่ยไห่หยางอาจจะเคยสัญญากับเขาไว้ว่าแผ่นหยกที่เคยมอบให้หวังเป่าเล่อจะช่วยเคลื่อนย้ายชายหนุ่มออกไปได้อย่างปลอดภัย แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่เชื่อคำพูดของคนผู้นั้นอีกแล้ว

ชายหนุ่มขณะนี้มีทางเลือกสองทาง หนึ่งคือลองขอให้เซี่ยไห่หยางเคลื่อนย้ายเขาออกไปหรือ…พุ่งไปหาทางออกเดียว ซึ่งก็คือ…ทางออกในดวงตาของรูปปั้น ประตูสู่สุสานหลวง!

หวังเป่าเล่ออาจชั่งใจอยู่บ้างหากเขาอยู่ในร่างจริง ชายหนุ่มอาจเลือกอีกข้อหนึ่ง แต่เพราะขณะนี้ตัวเขาเป็นเพียงร่างอวตารที่หลอมขึ้นมาจากกระบวนท่าสารัตถะ ดวงตาของเขาหรี่ลง

ในวินาทีนั้น ชายหนุ่มทบทวนทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาใช้กระบวนท่าสารัตถะสร้างร่างอวตารออกมาและแทรกซึมเข้ามาในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หวังเป่าเล่อมั่นใจเพียงเรื่องเดียว คือเจตจำนงที่อยู่ภายในวิชาดวงเนตรปีศาจถูกกดดันและผนึกเอาไว้แทบจะตลอดเวลาที่ผ่านมา

แปลว่า เจตจำนงนั้นก็อาจเข้าใจผิด…มันอาจไม่รู้ว่ากำลังอยู่ในร่างอวตาร!

แน่นอนว่า หวังเป่าเล่ออาจเดาผิด ตัวตนที่อยู่ภายในวิชาดวงเนตรปีศาจอาจรู้แล้วก็เป็นได้ แต่ถึงอย่างนั้น เรื่องนี้ก็เป็นจุดบอด ร่างอวตารจากกระบวนท่าสารัตถะไม่ใช่ร่างอวตารธรรมดาๆ แต่เป็นสิ่งที่ได้รับสืบทอดมาจากศิษย์พี่ของเขา ซึ่งเจตจำนงภายในวิชาดวงเนตรปีศาจไม่อาจเทียบเทียมได้ คงเป็นการยากยิ่งสำหรับเจตจำนงหากจะพยายามควบคุมร่างอวตารนี้ แม้ว่าเจตจำนงจะอยากได้ร่างอวตารของเขาเพียงใด โอกาสสำเร็จของมันก็…ต่ำยิ่งนัก!

ต่อให้ข้าถอยหลังกลับไปพลางมองดูสถานการณ์นี้อีกครั้ง และคิดว่าเขาทำสำเร็จก็ไม่มีความหมายอะไร อย่างเลวร้ายที่สุด ร่างจริงของข้าก็จะได้รับความเสียหายเล็กน้อยเท่านั้น แต่ข้าก็สามารถขอความช่วยเหลือจากปรมาจารย์แห่งไฟได้หากพบเจออันตราย ประกายเยือกเย็นปรากฏขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่อเมื่อคิดเช่นนั้น ชายหนุ่มแผ่เปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายออกไปขณะที่ครุ่นคิด เพื่อป้องกันไม่ใช่เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจอ่านใจเขาได้

หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่ใช่คนเดียวที่ควรต้องกลัว แต่เจ้าเจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจ เจตจำนงที่เหมือนว่าจะเป็นของจักรพรรดิองค์แรกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ต้องกลัวเช่นกัน…นี่เป็นโอกาสของข้าแล้ว ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้หลุดมือเป็นอันขาด!

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่รอช้าอีกต่อไป หลังจากที่พุ่งออกจากอาณาเขตผนึก ชายหนุ่มก็มุ่งตรงไปข้างหน้าและฉวยโอกาสที่เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจได้สร้างไว้ให้ ก่อนที่จื่อหลัวจะถึงตัวเขา และก่อนที่รัศมีระดับดาวพระเคราะห์ในตะเกียงจะทำอะไรได้ทัน พุ่งเข้าไปหาดวงตาบนรูปปั้น

ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นและวิตกกังวลที่แผ่ออกมาจากเจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจขณะที่เขาพุ่งตัวออกไป หวังเป่าเล่อหรี่ตาและลดความเร็วลงเล็กน้อย มีเสียงกัมปนาทดังลั่นราวกับสายฟ้าระเบิดขึ้นขึ้นด้านหลัง และจื่อหลัวก็พุ่งออกมาจากผนึกในวินาทีต่อมา รัศมีระดับดาวพระเคราะห์ภายในตะเกียงปลดปล่อยพลังออกมาเต็มที่ ก่อนจะส่งเสียงคำรามพลางแปลงกายเป็นฝ่ามือโปร่งใส่ขนาดใหญ่หมายจะจับตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้

เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจเริ่มตื่นกลัวเพราะหวังเป่าเล่อชะลอความเร็ว แต่จะโทษมันก็คงไม่ได้ โอกาสที่มันรอคอยมานานแสนนานได้ปรากฏขึ้นตรงหน้าแล้ว ความปรารถนาของมันแรงกล้ากว่าหวังเป่าเล่อเสียอีก แม้ว่ามันจะรู้ว่าชายหนุ่มจงใจลดความเร็วลง ก็ไม่อาจหยุดตนเองไม่ให้โจมตีได้

เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจคำรามก่อนจะใช้คาถามายาอีกคาถาหนึ่งใส่ฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์และจื่อหลัวที่กำลังพุ่งเข้ามาหาหวังเป่าเล่อ

ท่ามกลางเสียงดังสนั่นและคลื่นพลังวิญญาณที่กระจายไปทั่ว เจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจก็โจมตีอีกครั้งเพื่อหยุดการรุกไล่ศัตรูของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มเร่งความเร็วขึ้นทันทีและรีบรุดเข้าไปยังดวงตาของรูปปั้น เขาไปปรากฏอยู่ข้างรูปปั้นในชั่วพริบตา ทั้งผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากอารยธรรมครามทองคำและจื่อหลัวต่างก็ทำได้เพียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดขณะที่เฝ้ามองชายหนุ่มพุ่งชนดวงตาของรูปปั้น ก่อนจะทะลุเข้าไปภายในอย่างง่ายดาย!

จื่อหลัวไล่หวังเป่าเล่อทันพอดีกับที่ชายหนุ่มหายตัวเข้าไปในรูปปั้น เขาปล่อยพลังทั้งหมดก่อนจะโจมตีเข้าไปยังดวงตาของรูปปั้นทันที แต่ไม่ว่าการโจมตีของเขาจะรุนแรงเพียงใด ดวงตาของรูปปั้นก็นิ่งสนิทไม่เปลี่ยนแปลง จื่อหลัวติดอยู่ด้านนอก!

“ต้นกำเนิดของรูปปั้นเป็นเรื่องลึกลับ มันอาจเป็นรูปปั้นจักรพรรดิองค์แรกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…หากไม่ได้มีพลังปราณระดับดารานิรันดร์ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะฝ่าเข้าไปได้ด้วยกำลัง!” ฝ่ามือที่กำเนิดมาจากรัศมีระดับดาวพระเคราะห์ในตะเกียงแปรสภาพเป็นเงาร่างคน ร่างที่พร่าเลือนจ้องมองรูปปั้น ยิ้มเยาะ ก่อนจะเลิกสนใจจื่อหลัว แต่กลับหันหลังเดินกลับเข้าตะเกียงไป

เสียงของเขายังสะท้อนก้องอยู่ภายในสุสานหลวงกระทั่งหลังจากที่เขากลับเข้าไปในตะเกียงแล้ว

“เหออวิ๋นจื่อ โอกาสได้ผ่านไปแล้ว ไม่สำคัญอีกแล้วเจ้าเด็กนั่นจะอยู่หรือตายภายในสุสานหลวงดวงเนตรสวรรค์ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ไม่ดีสำหรับเรา บัดนี้…ทางออกเดียวคือต้องบีบให้มีการจุติและกู้เสถียรภาพกลับคืนมา จงรีบตัดสินใจเสีย!”

เหออวิ๋นจื่อฟังสิ่งที่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์พูด จากนั้นจึงหันไปเห็นประกายกล้าในดวงตาแข็งกร้าวของจื่อหลัว องค์ชายอีกสองคนที่ยืนอยู่ข้างกายเขาก็ดูลำบากใจเช่นกัน พวกเขาพากันหันมามองเหออวิ๋นจื่อ

เหออวิ๋นจื่อรู้สึกชั่งใจ เขาตกที่นั่งลำบากเสียแล้ว เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าจักรพรรดิชราจะลอบทำการเช่นนี้ลับหลังเขา ในเวลาเดียวกัน ชายชราก็รู้ดีว่าผู้บุกรุกที่เข้ามาก่อนหน้านี้มีรัศมีที่เคยเป็นของจักรพรรดิองค์แรกของราชวงศ์

เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิองค์แรกกำลังพยายามชุบชีวิตตนเอง…และเขาก็คงจะทำสำเร็จเสียด้วย สิ่งที่รอข้าอยู่ก็คือ…เส้นเลือดสีแดงปรากฏชัดในดวงตาของเหอหยุนจื่อ รัศมีของความบ้าคลั่งแผ่ออกมาจากกายของชายชราขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นมัวและแน่นหนัก

“บรรดาสำนักหลักที่กระด้างกระเดื่องกำเริบเสิบสานมากเกินไปแล้ว ตอนแรกพวกมันมาล้อมพวกเรา มาบัดนี้ พวกมันก็ส่งนักฆ่ามาแทรกซึมในราชวงศ์ สังหารจักรพรรดิของเขา แล้วยังปล้นพลังโบราณของตระกูลเราไปอีก พวกมันจะต้อง…ชดใช้อย่างสาสม!

“จากวันนี้เป็นต้นไป ข้าจะขึ้นเป็นผู้นำของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ชั่วคราว ข้าสาบานว่าจะนำพลังโบราณของตระกูลหลวงของเรากลับคืนมา กำจัดสามสำนักหลัก และล้างแค้นให้จักรพรรดิของเรา ข้าจะไม่หยุดจนกว่าราชวงศ์จะหวนคืนสู่ความยิ่งใหญ่เช่นที่เคยเป็นมา!

“ข้าจะใช้พลังของราชวงศ์ปลดผนึกดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์และเชิญอารยธรรมครามทองคำมาจุติบนอารยธรรมของเรา ช่วยเราปิดผนึกสุสานหลวง พวกเขาจะช่วยเราส่งสุสานเข้าไปยังดินแดนนพภูมิ จากนั้นจึงช่วยเราถอนรากถอนโคนพวกกระด้างกระเดื่องในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แห่งนี้!”

“ข้าเห็นด้วย!” น้ำเสียงที่ดำมืดและเย็นชาดังออกมาจากในตะเกียง เปลวไฟพวยพุ่งออกมาจากตะเกียงเข้าท่วมทั่วบริเวณ ล้อมรูปปั้นและแปรสภาพพื้นดินภายใต้รูปปั้น.shเป็นโคลนนิ่มๆ รูปปั้นจมลงไปในดินอย่างรวดเร็ว หายไปจากพื้นโลกและหายไปยังสถานที่ที่เหออวิ๋นจื่อเรียกว่า…ดินแดนแห่งนพภูมิ

นพภูมิเป็นชื่อที่มอบให้พื้นที่ใต้ดินที่ถูกผนึกเอาไว้ใต้พื้นผิวของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ มันอยู่ห่างไกลกับส่วนของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ที่ตามองเห็นหลายโยชน์นัก

ตามความเข้าใจของโลกมนุษย์ ทุกสิ่งในจักรวาลมีสองด้าน ชีวิตและความตาย แสงสว่างและความมืด ในแง่หนึ่ง นพภูมิก็คล้ายคลึงกับยมโลก!

คนมีชีวิตที่ก้าวเข้าไปในโลกนี้ย่อมหาทางออกมาได้ยากยิ่ง!

เหออวิ๋นจื่อไม่ได้หันหลังกลับไปหลังจากที่พูดจบ กลับกันชายชราเดินนำราชวงศ์และคนของจื่อหลัวออกเดินไปอย่างรวดเร็ว สิ่งที่รอพวกเขาอยู่คือสิ่งที่จะต้องจบให้ได้โดยเร็วที่สุด นั่นคือบางสิ่งที่สำนักหลักทั้งสามไม่ได้เตรียมตัวรับมือและเป็นสิ่งที่พวกเขาเพิ่งจะเริ่มลงมือ…สิ่งนั้นก็คือสงคราม!

ราชวงศ์เองก็ไม่ได้เตรียมตัวเช่นกัน พวกเขาไม่อาจปลดผนึกดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์และปล่อยให้อารยธรรมครามทองคำจุติลงมายังอารยธรรมของเขาได้เต็มที่ แต่เวลาก็กระชั้นชิดนัก แทนที่จะชั่งใจและรีรอ ก็ควรตัดสินใจอย่างแน่วแน่ เช่นนั้น…พวกเขาก็จะสามารถโจมตีอย่างฉับพลันจนศัตรูไหวตัวไม่ทัน!

สงคราม…กำลังจะเริ่มต้นขึ้น!

ขณะเดียวกัน ภายในดวงตาของรูปปั้นที่ถูกผนึกอยู่ภายในดินแดนนพภูมิ ภายในสุสานหลวงของจริงแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หวังเป่าเล่อ…ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง!

ทันทีที่ปรากฏตัวขึ้นและเห็นสิ่งที่อยู่รอบกาย ชายหนุ่มก็ชะงักไปชั่วครู่ด้วยความตื่นตะลึง ประกายแปลกประหลาดสะท้อนวาบอยู่ในดวงตา

ที่นี่มัน…

ขณะที่หวังเป่าเล่อล่าถอย จื่อหลัวก็เข้าถึงตัว ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตะเกียงในมือของเหออวิ๋นจื่อส่งเสียงเย้ยหยันออกมา

เปลวไฟภายในตะเกียงทองแดงพวยพุ่งขึ้นมาในทันใด ด้วยวิธีใดไม่ทราบได้ ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ส่งแรงกดดันของเขาออกมาจากตะเกียง แรงกดดันเข้าปกคลุมทั้งบริเวณทันที ก่อกำเนิดเป็นผนึกที่ขังหวังเป่าเล่อเอาไว้ด้านใน!

ผนึกนั้นดูจากที่ไกลๆ นั้นคล้ายครอบสีใสที่ตั้งตระหง่านอยู่ระหว่างสวรรค์และพื้นดิน จำกัดการเคลื่อนที่ของหวังเป่าเล่อเอาไว้ในอาณาเขตที่กว้างราวๆ สามร้อยเมตร!

ผนึกไม่เพียงจำกัดการเคลื่อนที่ของชายหนุ่มเท่านั้น แต่ยังกั้นขวางระหว่างตัวเขาและประตูเข้าสุสานบรรพชนอีกด้วย!

หวังเป่าเล่อมีสีหน้าตกตะลึง หากว่ามีใครได้ยินเสียงในใจของเขาตอนนี้ก็คงจะต้องหูหนวกเพราะเสียงก่นด่าดังสนั่นแน่นอน

ไอ้เซี่ยไห่หยางคนบัดซบ คอยก่อนเถิด เจ้าสุนัข…การที่เขาลงทุนกับทุกฝ่ายเช่นนี้แปลว่าเขาต้องรู้แล้วแน่ๆ ว่าข้าฝึกวิชาดวงเนตรปีศาจ เขารู้ว่าข้าไม่ต้องรับพลังต่อต้านใดๆ ที่นี่ สิ่งที่เขาพูดมาทั้งหมดเป็นเพียงการแสดงเท่านั้น เจ้าจิ้งจอกร้าย เขาต้องรู้ด้วยว่าข้าเหลือผลึกสีชาดอีกกี่ชิ้น จึงพยายามสร้างสถานการณ์ให้ข้าขอความช่วยเหลือ เพื่อจะได้เรียกเก็บราคาแพงๆ!

ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นขณะที่กำลังล่าถอย แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องนั้น เขาไม่ได้วางแผนที่จะติดกับเซี่ยไห่หยางและต้องเสียเงินให้อีกฝ่ายเป็นจำนวนมาก หวังเป่าเล่อเร่งฝีเท้าหนีเต็มที่ขณะที่คิดหนักไปพร้อมๆ กัน พลางหลบการโจมตีของจื่อหลัวไปมาอยู่ภายในพื้นที่สามร้อยเมตรใต้ผนึกนั้น

หวังเป่าเล่อเพิ่งจะเดาได้ว่าพ่อค้าเจ้าเล่ห์เซี่ยไห่หยางได้ขายข้อมูลให้เขาด้วยราคาแพงระยับ ช่วยให้ความหวังของจักรพรรดิแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แถมยังทำตามคำขอของอารยธรรมครามทองคำในคราวเดียวกัน ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังติดอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ในจักรพิภพที่ห่างไกลออกไปจากระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ เซี่ยไห่หยางนั่งอยู่ในร้านค้าแห่งหนึ่งของตระกูลเซี่ยใจกลางตลาด เขากำลังฟังลูกน้องรายงานเรื่องธุรกิจแล้วจู่ๆ ก็เกิดจามขึ้นมา

“มีคนกำลังสาปแช่งข้า!” เซี่ยไห่หยางไอ จากนั้นจึงยกมือขวาขึ้นวาดเป็นผนึกฝ่ามือ ก่อนจะมีแววตาเข้าใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าอีกไม่กี่อึดใจต่อมา

“ต้องเป็นเจ้าอ้วนหวังเป่าเล่อแน่ๆ!”

“นายน้อยขอรับ…ท่านเห็นกับตาว่าเขาเป็นคนทำ ทำไมท่านต้องแสร้งทำเป็นอ่านอนาคตเพื่อจะทราบด้วยเล่าขอรับ” บุรุษผู้ที่กำลังอ่านรายงานให้เซี่ยไห่หยางฟังอยู่ตอนนี้เป็นชายชราสวมเสื้อคลุมจีนแบบดั้งเดิม เห็นได้ชัดว่าเป็นบุคคลที่มีฐานะและยศถาสูงยิ่ง เขาก็นั่งอยู่เช่นกัน มีแววตาเหย้าแหย่ปรากฏอยู่บนดวงตาของชายชราขณะที่อมยิ้มแล้วพูดกับอีกฝ่าย

เซี่ยไห่หยางกะพริบตา จากนั้นจึงก้มหน้าลงมองโต๊ะตรงหน้า มีแผ่นหยกวางอยู่แผ่นหนึ่ง เหนือแผ่นหยกนั้นมีภาพสถานการณ์ฉายอยู่…

ภาพที่ฉายอยู่นั้นแสดงให้เห็นเหตุการณ์ล่าสุดในสุสานหลวงแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ พวกเขาไม่ได้ดูผ่านดวงตาของหวังเป่าเล่อแต่อย่างใด แต่…ผ่านดวงตาของจักรพรรดิชรา!

ภาพนั้นชัดเจนยิ่ง และเสียงที่เข้ามาก็ชัดเจนไม่มีการแตกพร่า คำพูดของชายชราทำเอาเซี่ยไห่หยางเขินอายไปเล็กน้อย แม้จะเป็นเรื่องจริงว่าชายหนุ่มไม่รู้วิธีการอ่านดวงชะตา แต่จะขอแสร้งทำเป็นรู้สักหน่อยไม่ได้เลยหรือ แค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น

ชายชราสัมผัสได้ว่าเซี่ยไห่หยางรู้สึกเสียหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจึงเลือนหายไป หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่หนึ่งอึดใจจึงเอ่ยถามออกมา “นายน้อย พวกเราควรช่วยหวังเป่าเล่อหรือไม่”

“แม้ว่าเจ้าอ้วนนั่นจะดื้อดานนัก แต่เดี๋ยวทุกอย่างก็จบลงด้วยดี เขาอาจมีไพ่ตายที่ช่วยทำลายผนึกนั้นแอบซ่อนเอาไว้ แต่ก็คงต้องเสียอะไรไปมากมายทีเดียว อีกประเดี๋ยว เขาจะส่งข้อความเสียงมาด่าข้า จากนั้นเขาก็จะยอมจ่ายเงินเพื่อขอให้ข้าช่วยเหลือ เขาคงไม่ต้องการแผ่นหยกของข้าเพื่อจะเปิดประตูสู่สุสานหลวงหรอก แผ่นหยกที่ข้ามอบให้เขาไปนั้นไม่ใช่เพื่อการนี้ แต่เอาไว้ใช้ขอความช่วยเหลือ ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่เขาเข้าไปในสุสานแล้ว…ข้าก็จะมีโอกาสได้รีดเงินจากเขาอีกครั้ง หากไม่มีการช่วยเหลือจากข้า ด้วยระดับปราณของเขาในปัจจุบัน เขาไม่มีทางได้พบโอกาสเปลี่ยนชีวิตอย่างที่เขาตามหาหรอก” เซี่ยไห่หยางยิ้มอย่างมั่นใจ ก่อนจะหยิบแผ่นหยกสื่อสารมาวางไว้ข้างกาย

“สิ่งที่เรากำลังรออยู่คือให้หมอนั่นขอให้ข้าช่วยพังผนึกระดับดาวพระเคราะห์และช่วยเขาหนี!”

ในวินาทีนั้น ภายในสุสานหลวงแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หวังเป่าเล่อกำลังถอยหนีอย่างสิ้นหวัง ความคิดมากมายผุดขึ้นมาในใจของชายหนุ่ม เขาพยายามคิดหาวิธีเอาตัวรอดจากสถานการณ์ที่ไร้ทางออกนี้

ทว่า…วิธีการแต่ละอย่างนั้นก็ล้วนทิ้งให้หวังเป่าเล่อต้องผิดหวังไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ชายหนุ่มรู้สึกเสียดายราคาที่ต้องจ่ายเป็นอย่างยิ่ง การใช้แผ่นหยกต้องสาปของปรมาจารย์แห่งไฟหรือฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ภายในกายก็แพงเกินกว่าที่จะยอมรับได้ ไม่คุ้มกันเลยสักนิด

ชายหนุ่มสามารถใช้แผ่นหยกต้องสาปได้เพียงครั้งเดียว ส่วนฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์นั้นอาจทนการใช้งานได้ราวครั้งสองครั้ง แต่เขาเพิ่งจะเริ่มหล่อเลี้ยงมันไม่นาน หวังเป่าเล่อกังวลว่าพลังจากฝ่ามือจะรุนแรงไม่พอหากใช้ในตอนนี้ ชายหนุ่มอาจต้องเสียหายหนักขึ้นกว่าจะโจมตีได้รุนแรงตามต้องการ

รวมไปถึงการระเบิดเปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายด้วย หากทำเช่นนั้นก็คงคล้ายกับการระเบิดตัวเองไปพร้อมศัตรู อาการบาดเจ็บของเขาจะต้องรุนแรงไม่น้อย

ไอ้บัดซบเซี่ยไห่หยางบีบบังคับให้ข้าขอความช่วยเหลือ! ความยากลำบากที่หวังเป่าเล่อกำลังประสบอยู่ในตอนนี้สะท้อนออกมาชัดเจนทางแววตาของชายหนุ่ม เขาหลบการโจมตีจากจื่อหลัวไปได้อย่างฉิวเฉียดอีกครั้ง จื่อหลัวเองก็ใกล้จะหมดความอดทนเพราะอีกฝ่ายหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่ว แม้ว่าระดับพลังปราณจะต่ำกว่าและขนาดของสนามรบจะเล็ก แต่หวังเป่าเล่อก็ยังหลบการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างต่อเนื่อง สาเหตุหลักของเรื่องนี้เป็นเพราะพวกเขาต้องการจับเป็นชายหนุ่ม แต่ถึงกระนั้น ทุกครั้งที่โจมตีพลาด จื่อหลัวก็ยิ่งดูไม่ดีในสายตาของผู้บังคับบัญชา

“ไม่มีความจำเป็นต้องจับเป็น ฆ่าเขาเสีย เราใช้ศพเขาในการสังเวยได้!” ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ที่ซ่อนอยู่ในตะเกียงทองแดงเพิ่งจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงตะคอกสั่งการออกมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นไร้ปรานีทันที

“ขอรับนายท่าน!” รอยยิ้มแสยะอย่างน่าสะพรึงปรากฏบนใบหน้าของจื่อหลัวทันทีที่ได้ยิน เขายกมือขวาขึ้น พลังวิญญาณสีดำสนิทพวยพุ่งออกมาจากกายแล้วมารวมอยู่รอบๆ มือขวา ก่อนแปรสภาพเป็นกะโหลกจระเข้ในฝ่ามือ กะโหลกนั้นขยายขึ้นครอบกายจื่อหลัวเอาไว้ รวมทั้งตัวมันและตัวเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน!

พลังวิญญาณสีดำสนิทล้อมรอบกะโหลกที่กำลังเน่าเปื่อยเอาไว้ ส่งเอาคลื่นพลังแห่งความตายและความเน่าเปื่อยออกมา มีความรู้สึกอันอธิบายไม่ได้ของบางสิ่งที่เลวร้ายแผ่มาจากกะโหลกนั้น เมื่อมันปรากฏขึ้น ก็พารอยฉีกขาดของอวกาศให้มาปรากฏภายในบริเวณอันจำกัดดังกล่าว พลังน่าสะพรึงระเบิดออกมาจากกะโหลก และสัมผัสอันตรายใหญ่หลวงก็ระเบิดขึ้นภายในศีรษะหวังเป่าเล่อแทบจะพร้อมๆ กัน

ทว่า…ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ขณะที่ความตื่นตระหนกเพิ่งจะปรากฏในศีรษะของหวังเป่าเล่อ ประกายประหลาดก็สะท้อนขึ้นในดวงตาของเขา ชายหนุ่มนึกถึงสิ่งที่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เพิ่งจะพูดไป

พวกเขาจะใช้ศพข้าเป็นเครื่องสังเวย ศพ…สังเวย…นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อทอประกาย ความคิดสุดบ้าคลั่งผุดขึ้นมาในหัว

ลองดูก็แล้วกัน หากว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล ข้าคงต้องยอมให้เจ้าสุนัขสกปรกเซี่ยไห่หยางได้โอกาสทำเงิน!

ประกายความบ้าคลั่งสะท้อนอยู่ในแววตาของหวังเป่าเล่อเมื่อเขาคิดได้เช่นนั้น ชายหนุ่มหันกลับมาร้องตะโกนแล้วหยุดวิ่ง จากนั้นเขาก็วิ่งเข้าใส่จื่อหลัวโดยไม่ได้เรียกเกราะป้องกันใดๆ ขึ้นมาทั้งสิ้น ราวกับกำลังวิ่งเข้าไปหาความตายก็ไม่ปาน

การพุ่งเข้าใส่ที่ไม่คาดฝันของหวังเป่าเล่อทำให้จื่อหลัวชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นประกายสังหารก็ส่องสว่างขึ้นในแววตา ก่อนที่เขาเองจะเร่งความเร็วพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มเช่นกัน จื่อหลัวมาปรากฏตัวตรงหน้าหวังเป่าเล่อในพริบตา เขาแสยะยิ้มกว้างขณะที่จระเข้เปิดปากและพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ พร้อมที่จะกลืนกินชายหนุ่มเข้าไปทั้งตัว

หวังเป่าเล่อไม่ได้ป้องกันตนเองแต่อย่างใดเมื่อเห็นกรามใหญ่ยักษ์ของจระเข้พุ่งเข้ามาใส่ ชายหนุ่มดูเหมือนทำใจที่จะตายไปพร้อมศัตรู จักรพรรดิชรายืนอยู่ด้านนอกพื้นที่ที่ถูกผนึกและกำลังเฝ้าดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า จู่ๆ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป ความกลัวอย่างแท้จริงปรากฏขึ้นบนแววตาของชายชราเป็นครั้งแรก

สีหน้าคล้ายกันนี้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซี่ยไห่หยาง ผู้ที่กำลังเฝ้าดูผ่านสายตาของจักรพรรดิชรา เขานั่งดูด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจมาตลอด แต่จู่ๆ กลับต้องผุดลุกขึ้นยืน

“ไม่นะ!”

เสียงคำรามระเบิดออกมาจากกายของหวังเป่าเล่อทันทีที่เซี่ยไห่หยางพูด วิชาดวงเนตรปีศาจเริ่มทำงานแม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ได้เรียก ดวงตาขนาดมหึมาปรากฏขึ้นเบื้องหลังชายหนุ่ม มีใบหน้าของชายชราฉายอยู่ข้างในดวงตานั้น

ชายชราคนดังกล่าว คือเจตจำนงที่ซ่อนอยู่ภายในวิชาดวงเนตรปีศาจ!

ความคิดที่หวังเป่าเล่อนึกขึ้นได้ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ตอนนี้เขาอยู่ในร่างอวตารซึ่งหลอมขึ้นมาจากกระบวนท่าสารัตถะแม้แต่น้อย แต่เกี่ยวกับสิ่งที่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์พูดเรื่องศพและการสังเวย!

เกี่ยวกับเรื่องที่ว่า…มีใครสักคนที่ต้องการตัวเขาแบบเป็นๆ และใครคนนั้นก็คือจักรพรรดิชรา และ…เจตจำนงที่อาศัยอยู่ภายในกายของเขา เจตจำนงที่เคยเป็นของปรมาจารย์แห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!

หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าปรมาจารย์ผู้นี้ต้องการอะไร ชายหนุ่มรู้ดีว่า แม้เจ้าแก่นั่นจะต้องการให้เขาเหนื่อยอ่อนและบาดเจ็บ แต่ก็ไม่ต้องการให้เขาถูกจับได้ และแน่นอนว่าไม่ต้องการให้เขาตายที่นี่

ด้วยเหตุนี้…ข้าจึงยังสามารถใช้แผนอันชาญฉลาดของเซี่ยไห่หยางที่วางเดิมพันไว้กับทุกผลลัพธ์ในการต่อสู้ครั้งนี้ เพื่อหลุดออกจากความยากลำบากนี้ได้ และข้าจะหลุดออกไปด้วยวิธีการแบบของข้าเอง!

อัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงพูดเรื่องนี้เอาไว้นานแล้ว อย่าได้ดูถูกผู้ใดเป็นอันขาด เซี่ยไห่หยาง…เจ้าทำพลาดครั้งใหญ่แล้ว…ที่บังอาจมาสบประมาทข้า!

ความคิดเหล่านี้วิ่งผ่านศีรษะของหวังเป่าเล่อขณะที่ดวงตาขนาดยักษ์มาปรากฏอยู่ด้านหลังเขา ภายในดวงตานั้นสะท้อนใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเกลียดชังของชายชรา เขาไม่ได้ตั้งใจจะมาขัดขวางการต่อสู้ แต่ก็ไม่มีทางเลือก เมื่อถูกต้อนจนมุม เขาจึงตะโกนออกมาสองคำ

“ดวงเนตร! สวรรค์!”

จื่อหลัวตัวสั่นอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินสองคำนั้น ดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นบนจระเข้ที่เขาเรียกออกมาแล้วระเบิดทันที เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดดังออกมาจากริมฝีปากของจื่อหลัว ดูเหมือนว่าเขาจะติดอยู่ในภาพมายาและไม่อาจสัมผัสถึงตำแหน่งของหวังเป่าเล่อได้อีกต่อไป เมื่อเขาออกตัววิ่งเต็มฝีเท้าไปในทิศทางตรงกันข้าม

ภายนอกบริเวณที่ถูกผนึก นัยน์ตาของจักรพรรดิชราบัดนี้แดงก่ำ เขากระโจนขึ้นไปบนฟ้าด้วยแววตาบ้าระห่ำ ก่อนจะตะโกน “ดวงเนตร! สวรรค์!”

ดวงตาจำนวนมหาศาลปรากฏขึ้นปกคลุมกายเขาเอาไว้ก่อนจะระเบิด ฉีกร่างของชายชราเป็นชิ้นๆ เลือดของเขารวมตัวกันเป็นดวงตาโลหิตขนาดมหึมาที่พุ่งเข้าชนผนึกอย่างรุนแรง ส่งเสียงดังสนั่นสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ ไม่มีใครรู้ว่าจักพรรดิชราทำสิ่งใด แต่เขาก็สามารถทำให้ผนึกที่หลอมขึ้นมาจากสัมผัสสวรรค์ของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เป็นรอยร้าวได้ ผนึกนั้นสั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่จักรพรรดิชราจางหายไป รอยร้าวปรากฏขึ้นบนกำแพง

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายเมื่อรอยร้าวปรากฏขึ้น ชายหนุ่มรีบฉวยโอกาสนั้นทันที เขาถอยหลังอย่างรวดเร็วก่อนจะเร่งฝีเท้าพุ่งเข้าไปทางรอยร้าวนั้น ขณะที่ชายหนุ่มเหยียบรอยร้าวออกไป เขาก็กวาดสายตาไปมองกองเลือดเนื้อ มีประกายความหยามเหยียดสะท้อนอยู่ภายใน!

หวังเป่าเล่อ…

ที่สักที่ในตลาด เซี่ยไห่หยางผุดลุกขึ้นยืน เขามองเห็นแววตาเย้ยหยันบนใบหน้าของหวังเป่าเล่อจากเครื่องฉายภาพที่ลอยอยู่ตรงหน้า ลมหายใจของเซี่ยไห่หยางถี่เร็วขึ้น เขานิ่งงันไปชั่วอึดใจก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอีกครั้ง

เจ้านี่มันร้ายกาจจริงๆ!

………………………………

“เป็นไปได้อย่างไรกัน” ไม่ใช่เพียงเหออวิ๋นจื่อที่ตื่นตะลึงกับภาพที่ได้เห็น ผู้อาวุโสในชุดคลุมสีม่วงซึ่งเป็นองค์ชายแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อีกสองคน ต่างก็พากันอ้าปากค้างด้วยความตื่นตะลึงเช่นกัน

เชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ก็จับจ้องตาไม่กะพริบเช่นกัน ประกายความไม่อยากเชื่อสะท้อนอยู่ในแววตาของทุกคน สีหน้าพลางแสดงอารมณ์อันหลากหลาย ราวกับว่าไม่อาจควบคุมอารมณ์เอาไว้ได้ในวินาทีนั้น

เสาของแสงสีแดงที่พวยพุ่งออกมาจากศีรษะของหวังเป่าเล่อพุ่งไปถึงขอบชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ดวงนี้และแทบจะหลุดออกไปถึงชั้นอวกาศภายนอก หากมองจากที่ไกลๆ ก็ดูคล้ายว่าสวรรค์ได้เปิดดวงเนตร แสดงให้เห็นถึงดวงตาสีแดงก่ำที่จับจ้องมองลงมายังสรรพชีวิตบนพื้นดิน

ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีผู้ปล่อยพลังได้เช่นนั้น ทำเอาทั้งสรวงสวรรค์และผืนปฐพีสั่นไหว คลื่นพลังงานไหลบ่าสะท้อนไปทั่วแผ่นดิน แถมยังมีคลื่นสีแดงไหลบ่าออกมา พายุหมุนขนาดยักษ์ก่อตัวขึ้นโดยมีหวังเป่าเล่อเป็นจุดศูนย์กลาง สายลมที่พัดออกจากกายชายหนุ่มรุนแรงพอที่จะถล่มภูเขาหรือพาให้มหาสมุทรเหือดแห้งไปได้

ทุกคนที่อยู่รอบกายเขาพากับถอยกรูด เสียงร้องอุทานด้วยความกลัวดังลั่นไปทั่ว ราวกับว่าทุกคนเพิ่งเห็นผีกระนั้น

“สวรรค์…สูงสักเท่าใดกัน…สามสิบกิโลเมตร หรือสามร้อยกิโลเมตรกันแน่”

“ข้าต้องหลอนไปแล้วแน่ๆ…เมื่อวานคงกินสมุนไพรวิญญาณมากไป…”

“แล้ว…คนไหนคือจักรพรรดิตัวจริงกันแน่”

เกิดความโกลาหลขึ้นในฝูงชน ผู้ฝึกตนจากอารยธรรมครามทองคำยืนอยู่ห่างออกไป ผู้ฝึกตนในชุดสีรุ้งและหน้ากากสีม่วงเหล่านั้นต่างก็ผงะด้วยกันทั้งสิ้น ความรู้สึกตื่นตะลึงที่พวกเขากำลังรู้สึกในตอนนี้ไม่อาจเทียบกับที่บรรดาเชื้อพระวงศ์รู้สึกอยู่อย่างแน่นอน ทว่าเหตุการณ์ที่กลับตาลปัตรนี้ก็ทำเอาพวกเขาตกใจไม่น้อยเช่นกัน คนๆ เดียวที่ดูจะไม่อนาทรกับเหตุการณ์นี้มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะซึ่งเป็นผู้นำของกลุ่มเท่านั้น นัยน์ตาของเขาส่องประกายประหลาดขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนจะจางหายไป

เห็นได้ชัดว่าเสาสีแดงที่พุ่งออกมาจากศีรษะของหวังเป่าเล่อนั้นไม่ธรรมดา เมื่อนำมาเทียบกับแสงสีแดงที่ออกมาจากศีรษะของคนอื่นแล้วก็เหมือนเห็นยักษ์ยืนคู่กับไก่กระนั้น

หวังเป่าเล่อเองก็ตกใจไม่แพ้กัน ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยตอนที่เห็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะหยิบตะเกียงทองแดงออกมา แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกถึงความผูกพันอย่างประหลาดกับสุสานแห่งนี้ตั้งแต่แรกมาถึง แต่ก็ทำได้เพียงทำใจเย็นๆ เท่านั้น

แม้แต่องค์จักรพรรดิเองยังต้องใช้เลือดของตนเพื่อพยายามจะปลดผนึกประตู ร่างของหวังเป่าเล่อตอนนี้เป็นร่างอวตารที่หลอมขึ้นมาด้วยกระบวนท่าสารัตถะ จึงไม่มีเลือดอยู่ในกายสักหยด เป็นเหตุให้ชายหนุ่มคิดว่าหลักการเรื่องสายโลหิตคงใช้ไม่ได้ หวังเป่าเล่อจะไม่ยอมถูกเปิดโปง ชายหนุ่มยังมีความคิดอีกอย่างหนึ่งที่ฝังลึกอยู่ในจิตใจ และต้องการจะ…ทดสอบมันดูเสียก่อน

ขณะที่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทำให้สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึม แต่ก็ยังทำให้ดวงตาของเขาเป็นประกายเยือกเย็นด้วย สมมติฐานที่เขาคิดมาโดยตลอดเป็นความจริง!

การที่ข้าไม่รู้สึกถึงพลังต่อต้านใดๆ ขณะที่อยู่ในสุสานหลวง และการที่ข้ารู้สึกถึงสายสัมพันธ์ที่มีต่อสถานที่แห่งนี้…มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนวิชาดวงเนตรปีศาจของข้าอย่างแน่นอน แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลัก เหตุผลหลักก็คือ…เจตจำนงลับๆ ภายในวิชาดวงเนตรปีศาจ!

สิ่งนี้จะต้อง…มีความเกี่ยวข้องกับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อย่างแน่นอน ข้าพอจะเดาได้ว่ามันเป็นของใคร…มีโอกาสมากที่มันเป็นของปรมาจารย์ผู้ที่สร้างวิชาดวงเนตรสวรรค์ขึ้นมา ผู้ซึ่งน่าจะเป็น…จักรพรรดิองค์แรงของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!

หวังเป่าเล่อได้พินิจพิจารณาผ่านการวิเคราะห์และการตีความอย่างหลากหลายกระทั่งได้บทสรุปในชั่วพริบตา ขณะที่ชายหนุ่มเพิ่งได้บทสรุปนั่นเอง จักรพรรดิชราผู้ซึ่งร้องไห้ครวญครางอยู่เมื่อครู่ ก็ลืมตาโพลงขึ้นก่อนจะจับจ้องมาที่หวังเป่าเล่อท่ามกลางเสียงอุทานอย่างตื่นตะลึงจากฝูงชน ผ่านไปชั่วครู่ ชายชราก็ผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วก่อนล้มตัวลงคุกเข่าแล้วก้มศีรษะคารวะหวังเป่าเล่อต่ำ

“ท่านปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ นี่มันท่านปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่จริงๆ ด้วย เขาได้มาแสดงตัวแล้ว เขากลับมาหาพวกเราแล้ว!” จักรพรรดิชราตื่นตะลึงอย่างเห็นได้ชัด เขาส่งเสียงดัง แทบจะเรียกได้ว่าตะโกนสุดเสียง เพื่อจะแสดงให้เห็นว่าเขาตื่นเต้นเพียงใด การโค้งคำนับดูเหมือนไม่พอที่จะแสดงให้เห็นถึงความตื่นเต้นกับการกลับมาของท่านปรมาจารย์ จักรพรรดิชราจึงก้มศีรษะคำนับอยู่เช่นนั้น หน้าผากของเขากระทบพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า

ความกระตือรือร้นในน้ำเสียงของเขาเข้าไปกระตุ้นปราณกังวานในกระแสโลหิตของเชื้อพระวงศ์ทุกคน ทุกคนที่ถูกบังคับหรือถูกกดดันให้สนับสนุนเหออวิ๋นจื่อต่างก็พากันทรุดตัวลงคุกเข่า พลางเปล่งเสียงประสานกับจักรพรรดิชรา

“ข้าน้อยคารวะท่านปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่!”

“ปรมาจารย์เช่นนั้นหรือ” ยังมีราชวงศ์หลายคนที่ยืนอยู่ทั้งๆ ที่คนอื่นๆ พากันหันไปคารวะปรมาจารย์ เหออวิ๋นจื่อและองค์ชายอีกสองคนก็ยังยืนอยู่เช่นนั้น แววตาของพวกเขาส่องประกายด้วยจิตสังหารและความโลภ

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงทันทีขณะเฝ้ามองไปทางจักรพรรดิที่ยังคำนับอยู่ไม่หยุดหย่อนรวมถึงสมาชิกราชวงศ์ที่อยู่ตรงหน้า กริยาของจักรพรรดิชราแม้จะดูปกติธรรมดา แต่ชายหนุ่มกลับรู้สึกได้ถึงความแปลกประหลาด การมาถึงของหวังเป่าเล่อในครั้งนี้ดูเหมาะเหม็งเกินไป

จังหวะเวลาช่างสมบูรณ์แบบเกินเหตุ หวังเป่าเล่อมาถึงทันเวลาได้รู้ความลับของราชวงศ์ แถมยังได้รู้ว่าอารยธรรมครามทองคำเป็นใคร การส่งเสียงร้องเรียกปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของจักรพรรดิชราทำให้หวังเป่าเล่อเริ่มเข้าใจเรื่องขึ้นมาเลาๆ

ข้าไม่เชื่อว่าเซี่ยไห่หยางจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น…เซี่ยไห่หยางได้อะไรจากการที่ข้ามาปรากฏตัวในตอนนี้กัน

บางที…เซี่ยไห่หยางอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิชราด้วย เขาพูดบางอย่างเกี่ยวกับปรมาจารย์มาปรากฏตัวและหวนคืนสู่ครอบครัว หรือว่า…เขาเองก็มีข้อตกลงกับเซี่ยไห่หยางและกำลังรอให้ปรมาจารย์กลับมา

เซี่ยไห่หยางทำข้อตกลงกับทั้งสองฝ่ายสินะ ก็ดี ถ้าอย่างนั้นมาดูกันว่าใครจะเป็นการลงทุนที่สำคัญกว่ากัน…หวังเป่าเล่อจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา ไม่ใช่ครั้งแรกที่เซี่ยไห่หยางทำเรื่องคล้ายๆ อย่างนี้ ชายหนุ่มเคยทำอะไรพรรค์นี้มาแล้วช่วงที่หวังเป่าเล่ออยู่บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ เซี่ยไห่หยางขายข้อมูลตำแหน่งที่อยู่ของหวังเป่าเล่อให้ใครสักคนที่หมายจะสังหารเขา จากนั้นก็ช่วยหวังเป่าเล่อฆ่าเจ้าคนนั้นแทน จากนั้นก็แบ่งรายได้กัน

หวังเป่าเล่อเปลี่ยนแผนทันที ชายหนุ่มวางแผนจะเข้าไปยังสุสานบรรพชนหลวงโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เมื่อเขาไม่รู้สึกถึงพลังต่อต้านและอาจจะต้องเผชิญปัญหาจากเจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจ จึงไม่จำเป็นต้องรีบอย่างที่ตั้งใจไว้

หวังเป่าเล่อไม่ได้จะยอมปล่อยโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้ไป แต่ก่อนที่จะยื่นมือไปจับตั๋วทองคำใบนั้น ชายหนุ่มจำเป็นต้องควบคุมสถานการณ์ให้ได้เสียก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น เมื่อคิดได้เช่นนั้น ชายหนุ่มจึงปลดปล่อยพลังปราณออกมาทั้งหมด เกราะมหาจักรพรรดิปรากฏออกมาในนั้นที แผ่พลังมหาศาลที่กวาดไปทั่วแผ่นดินและสร้างแรงกดดันมหาศาลที่กดทับทุกคนเอาไว้

ราวกับว่ามีคลื่นยักษ์ซัดผ่านกายราชวงศ์ที่ไม่ได้คุกเข่า ทุกคนล้วนมีเลือดไหลออกมาจากปากก่อนที่ร่างกายจะสั่นไหวอย่างรุนแรง หวังเป่าเล่อไม่รอช้ารีบกระโจนขึ้นไปในอากาศก่อนจะพุ่งตรงไปยังองค์ชายทั้งสามทันที!

ชายหนุ่มเคลื่อนที่รวดเร็วราวสายฟ้า ทั้งเหออวิ๋นจื่อและองค์ชายทั้งสองต่างมีสีหน้าแปลกใจ พวกเขาไม่มีเวลาถอยหนี หวังเป่าเล่อมาปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าทั้งสาม ยกมือขวาขึ้นฟ้า ก่อนจะปลดปล่อยพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะใส่

ในวินาทีเดียวกันนั้น ชายหนุ่มก็โจมตีออกไป แสงในตะเกียงทองแดงที่เหออวิ๋นจื่อถืออยู่พลันลุกโชนขึ้นมา ใครสักคนที่อยู่ภายในตะเกียงส่งเสียงเยาะ มีนิ้วมายายื่นออกมาจากตะเกียงก่อนจะชี้ไปยังหวังเป่าเล่อ

พลังระดับดาวพระเคราะห์ระเบิดออกมาจากนิ้วดังกล่าวในบัดดล นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อกระตุกก่อนที่พลังทั้งสองจะปะทะกัน

หวังเป่าเล่อตัวสั่นขณะที่เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วท้องฟ้า ชายหนุ่มถอยกรูดอย่างรวดเร็ว เปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายไหลบ่าออกมาและลดทอนพลังโจมตีของนิ้วจนกระทั่งมันจางหายไป แม้จะได้รับการช่วยเหลือจากเปลวเพลิงนิรันดร์ หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกว่าสารัตถะของตนหมุนวนอย่างเจ็บปวดอยู่ภายใน สีหน้าของชายหนุ่มเคร่งขรึมขณะที่รีบถอยหนี ดวงตาของเขาจ้องไปยังนิ้วมือที่ออกมาจากตะเกียงตาไม่กะพริบ

เหตุการณ์นี้ทำเอาเหออวิ๋นจื่อและองค์ชายทั้งสองตกตะลึงไปเช่นกัน เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นบนหน้าผาก พวกเขาสัมผัสถึงความตายที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วเมื่อหวังเป่าเล่อพุ่งเข้าใส่ หากไม่ใช่เพราะตะเกียงทองแดง ทั้งร่างกายและวิญญาณคงถูกทำลายไปแล้ว

“เจ้าเป็นใครกัน” เหออวิ๋นจื่อหายใจหอบถี่ขณะมองไปยังหวังเป่าเล่อ

บรรดาองค์ชายไม่มีความหมายกับชายหนุ่มแม้แต่น้อย สายตาของเขาจับจ้องไปยังตะเกียงทองแดงเท่านั้น ชายหนุ่มหรี่ตาลง พวกเขาถึงขนาดต้องกักขังสัมผัสสวรรค์ของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เอาไว้ในตะเกียง อารยธรรมครามทองคำต้องวางแผนที่ยิ่งใหญ่เอาไว้แน่ หวังเป่าเล่อยิ่งอยากรู้มากขึ้นว่าในสุสานบรรพชนหลวงมีสิ่งใดซ่อนไว้กันแน่!

“เจ้าไม่เพียงรอดการโจมตีจากข้าไปได้ ยังปล่อยแสงสีแดงที่รุนแรงออกมาด้วย แสดงให้เห็นถึงสายโลหิตที่แข็งแกร่งในกาย ข้าไม่สนใจว่าเจ้าจะเป็นใคร การคาดเดาของข้าถูกต้อง พวกเราสบโอกาสที่จะปลดผนึกสุสานบรรพชนแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว จื่อหลัว จงปลดผนึกของเจ้าและจับชายผู้นี้เอาไว้ เราจะใช้เขาเป็นเครื่องสังเวย!” เสียงที่ดุร้ายและเย็นชาดังออกมาจากภายในตะเกียง คำพูดทุกคำแฝงไปด้วยจิตสังหารอันไร้เมตตา

ทันทีที่คำสั่งนั้นดังขึ้น จื่อหลัว ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น ก็หันไปหาตะเกียงแล้วยกมือประสาน

“ขอรับ นายท่าน!”

เขาเงยหน้าขึ้นมาทันที ก่อนจะมีเสียงกัมปนาทดังกึกก้องขึ้นภายในกาย เสียงนั้นเหมือนการปลดผนึกอะไรบางอย่าง ก่อนที่พลังปราณของจื่อหลัวจะไหลทะลักออกมา จากขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นไปสู่ชั้นกลางทันที และไม่หยุดเพียงเท่านั้น แต่กลับเพิ่มสูงขึ้นจนถึงขั้นสมบูรณ์ จื่อหลัวยืนตระหง่านราวองค์เทพ จากนั้นจึงหันกลับมาหาหวังเป่าเล่อแล้วแสยะยิ้ม

“ข้าไม่รู้หรอกว่าเจ้าเป็นใคร แต่เจ้า…คือเหตุผลที่ข้าอยู่ที่นี่”

นัยน์ตาของชายหนุ่มกระตุก ก่อนที่จะล่าถอยตามสัญชาตญาณอย่างไม่รีรอ พลางสบถอยู่ในใจไปด้วย

“การคาดเดาบ้าบออะไรกัน ไร้สาระสิ้นดี ไอ้เซี่ยไห่หยางบัดซบ เจ้าคงวางเงินไว้กับผลลัพธ์ทุกแบบเลยสินะ ไอ้คนระยำ!”

……………………….

ชายชราในชุดหรูหราจ้องมองบุรุษทั้งสามอย่างสิ้นหวัง ความกลัวที่สะท้อนชัดอยู่ในแววตาดูเหมือนจะแสดงสิ่งที่เขารู้สึกลึกๆ ลงไปในวิญญาณออกมาได้อย่างชัดเจน

แต่หวังเป่าเล่ออ่านอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมามากเกินไป ชายหนุ่มเชื่อว่าไม่ควรตัดสินใครจากรูปลักษณ์ภายนอก คนเช่นชายชราผู้นั้นมักเป็นคนที่ทำสิ่งเกินคาดได้เสมอ ยิ่งดูหวาดกลัวและไร้ทางสู้เพียงใด ก็ยิ่งเป็นไปได้ว่าจะลอบโจมตีอีกฝ่ายทันทีเมื่อคล้อยหลังมา

เห็นได้ชัดจากเสื้อผ้าและคำพูดของคนอื่นๆ ว่าชายชราผู้นั้นคือจักรพรรดิแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หวังเป่าเล่อกะพริบตาก่อนจะจับตามองภาพตรงหน้าต่อไป

ชายหนุ่มจ้องมองขณะที่จักรพรรดิพูดจนจบ และผู้อาวุโสในชุดสีม่วงที่ยืนรายล้อมอยู่มีสีหน้าหม่นหมองลง คนที่พูดก่อนหน้านี้จ้องมององค์จักรพรรดิด้วยสายตาเย็นชา เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่จะได้เปิดปากพูดนั่นเอง จู่ๆ ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงริมกลุ่ม ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ก็หัวเราะขึ้นมา

“ศิษย์ร่วมสำนักเต๋าเหออวิ๋นจื่อ พี่ชายของท่าน จักรพรรดิองค์ปัจจุบันแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…ดูท่าจะไม่ทรงให้ความร่วมมือเท่าที่ควรเลย”

“ใจเย็นก่อน ศิษย์ร่วมสำนักเต๋าจื่อหลัว!” ชายชราในชุดคลุมสีม่วง ที่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะผู้นั้นเรียกว่าเหออวิ๋นจื่อ รีบยกมือประสานเร็วๆ ไปทางอีกฝ่ายเมื่อได้ยิน จากนั้นจึงหันกลับไปมองจักรพรรดิแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ

“ท่านพี่ โปรดหยุดการเพ้อฝันไร้แก่นสารของท่านและเลิกทดสอบความอดทนของข้าเสียทีเถิด อีกอย่างหนึ่ง…สิ่งที่พวกเรากำลังทำนี้ก็เพื่อความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์ตระกูลดวงเนตรสวรรค์ โปรดมองดูสิ่งที่สมาชิกครอบครัวของเรากำลังทำอยู่เถิด นี่คืออนาคตที่พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปหา!”

“เหออวิ๋นจื่อ นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด ข้าทำอะไรไม่ได้เลย ข้ารู้ดีว่าสมาชิกแทบทุกคนในตระกูลของเราสนับสนุนการเข้าเป็นพันธมิตรกับอารยธรรมครามทองคำ ข้าเองไม่อาจทำใจเห็นด้วยได้ แต่รู้ดีว่าตัวข้าเป็นจักรพรรดิเพียงในนามเท่านั้น ข้าไม่มีอำนาจจะไปขัดขวางการเป็นพันธมิตรในครั้งนี้ได้” จักรพรรดิพูดกับเหออวิ๋นจื่อด้วยใบหน้าบูดเบี้ยว

“ข้าดีใจที่ท่านเข้าใจ เปิดสุสานบรรพชนเสีย พวกเราจะได้ปลดผนึกประตูสู่ดวงเนตรสวรรค์โดยสมบูรณ์ จากนั้น ตามข้อตกลงที่มีกับอารยธรรมครามทองคำ พวกเขาก็จะมาเยือนอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ทำลายสำนักหลักทั้งสาม และนำพาราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์กลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่อีกครา พี่ชายที่รัก ท่านไม่อยากให้พวกเรากลับไปครองอำนาจอีกอย่างนั้นหรือ” เหออวิ๋นจื่อจ้องมองจักรพรรดิตาไม่กะพริบขณะที่พูดทุกถ้อยคำอย่างชัดเจน มีประกายแรงกล้าลุกโชนอยู่ในแววตาขณะที่พูด

“กลับสู่อำนาจอีกครั้ง…” จักรพรรดิยิ้มอย่างอ่อนใจ นัยน์ตาแห้งผากไม่เหลือร่องรอยความหวังหรือกระทั่งชีวิต ชายชรานิ่งเงียบไปหลายอึดใจก่อนจะถอนใจออกมายกใหญ่

“ข้าต้องการให้ราชวงศ์ของเรากลับคืนสู่ความยิ่งใหญ่เช่นกัน แต่การจะทำเช่นนั้นโดยหยิบยืมมือชาวต่างถิ่น ก็เหมือนเป็นการเชื้อเชิญฝูงสุนัขป่าดุร้ายเข้ามาในบ้าน ต่อให้เราประสบความสำเร็จ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะเป็นเช่นเดิมอยู่หรือ ยิ่งไปกว่านั้น อารยธรรมครามทองคำก็ทรงพลังยิ่งนัก เหตุใด…พวกเขาจะต้องมาร่วมมือกับเราด้วย พวกเราทุกคนรู้คำตอบนั้นดีอยู่แก่ใจ!”

“ถึงข้าจะคิดเช่นนั้น ก็ไม่ได้แปลว่าข้าไม่ตั้งใจช่วย เหออวิ๋นจื่อ ทำไมเจ้าจึงไม่ยอมรับราชบังลังก์จากข้าไปเล่า ข้าทำดีที่สุดแล้ว แต่เลือดในกายข้านั้นไม่บริสุทธิ์พอ เรื่องนั้นข้าแก้ไขอะไรไม่ได้” จักรพรรดิดูราวกับว่าร่ำๆ จะร้องไห้ออกมาอยู่เต็มที ความตื่นตะลึงและวิตกไหลบ่าเข้ามาในกายหวังเป่าเล่อที่มองดูอยู่จากที่ไกลๆ

ชายหนุ่มเหมือนมาพบเข้ากับข้อมูลชิ้นสำคัญ ตอนนี้เขารู้แล้วว่ากลุ่มผู้ฝึกตนในชุดสีรุ้ง ซึ่งซุกซ่อนใบหน้าเอาไว้เบื้องหลังหน้ากากสีม่วงเป็นใครกันแน่ พวกเขาเหล่านั้นเป็นคนของอารยธรรมครามทองคำ

ความไม่สบายใจของหวังเป่าเล่อมีเหตุมาจากองค์จักรพรรดิเอง ชายหนุ่มอ่านชายชราผู้นี้ไม่ออกจริงๆ ประสบการณ์บอกเขาว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับจักรพรรดิองค์นี้

ไม่ใช่เพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่คิดเช่นนี้ เหออวิ๋นจื่อเองก็คิดแบบเดียวกัน ชายชราจ้องมองไปยังจักรพรรดิชราตาไม่กะพริบ จิตสังหารทอประกายวาบบนแววตาอีกครั้งหนึ่ง

“ท่านพี่ ท่านอาจจะแสร้งทำตัวโง่เขลาตลอดเวลาหลายปีมานี้ แต่ข้ารู้ดีว่าความเจ้าเล่ห์เพทุบายของท่านนั้นเหนือกว่าพวกเราหลายขุมนัก ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม หากท่านไม่ปลดผนึกประตู ข้าก็ต้องขออภัยท่านล่วงหน้า ที่จะลืมสายสัมพันธ์ครอบครัวของเราและทำการล่วงเกินท่าน!” น้ำเสียงบ้าคลั่งสะท้อนอยู่ภายในถ้อยคำสุดท้ายจากปากเขา ชายชรายกมือขวาขึ้นช้าๆ บังเกิดเสียงสายฟ้าดังครั่นครืนอยู่ไกลๆ และสายลมก็เริ่มพัดแรงอย่างบ้าคลั่ง ในเวลาเดียวกัน ผนึกขนาดมโหฬารก็ก่อตัวขึ้นเหนือศีรษะเขา

“หนึ่ง!”

“ข้าพูดความจริง…”

“สอง!”

“สวรรค์ ทำไมเจ้าจึงไม่ยอมเชื่อข้าเลย!”

“สาม!” เส้นเลือดบนใบหน้าของเหออวิ๋นจื่อบวมปูดขึ้นมาขณะที่เขาส่งเสียงคำราม ชายชราพร้อมแล้วที่จะส่งมือขวาของตัวเองไปโจมตีในชั่วพริบตา

“ข้าเปิดแล้ว! ข้าเปิดแล้ว!” ใบหน้าของจักรพรรดิชราซีดขาวราวศพ สีหน้าของเขาแสดงความหวาดกลัวสุดขีดขณะตะเกียกตะกายไปหารูปปั้น มงกุฎหลุดร่วงหายไประหว่างทาง แต่ชายชราก็ไม่มีเวลาแม้จะหันกลับมาหยิบ ใบหน้าของเขายู่ยี่เพราะความกลัวขณะที่เนื้อตัวก็สั่นเทา ชายชรากัดนิ้วที่บาดเจ็บของตนเองไว้ ก่อนจะใช้พลังปราณบังคับให้เลือดขึ้นมาอยู่บริเวณผิวหนัง จากนั้นก็สะบัดเลือดนั้นไปทางดวงตาของรูปปั้น

“จงเปิดออก! ข้าขอสั่งเจ้า!”

รูปปั้นสั่นคลอนเล็กน้อยอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะกลับมาสนิทนิ่งอีกครั้ง…

สีหน้าของเหออวิ๋นจื่อและผู้อาวุโสในชุดคลุมสีม่วงอีกสองคนมืดหม่น ก่อนที่เหออวิ๋นจื่อจะระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา จิตสังหารทอประกายอยู่ในดวงตาของเขาอีกครั้ง ชายชราลดมือขวาลงมา ผนึกขนาดยักษ์ส่งเสียงคำรามลั่นก่อนจะพุ่งเข้าไปทางจักรพรรดิชราอย่างรวดเร็ว

รัศมีแห่งความตายแผ่ออกมาจากผนึกที่มุ่งหน้าไปหาเป้าหมายราวกับเป็นพลังซึ่งไร้ทางต่อต้าน สายลมส่งเสียงลือลั่นระหว่างที่มันเคลื่อนที่ไป ขณะที่ผนึกนั้นกำลังจะปะทะเข้ากับกายของจักรพรรดิชรานั้นเอง ชายชราก็ส่งเสียงร้องออกมาด้วยความกลัวก่อนจะร่วงลงไปนั่งคุกเข่าเสียงดัง น้ำตาไหลอาบแก้มขณะส่งเสียงครวญครางต่อหน้ารูปปั้น

“ปรมาจารย์ ได้โปรด เมตตาข้าด้วย ข้าน้อยวอนขอให้ท่านเปิดประตูสู่สุสานบรรพชน… ข้า…ข้า…” ความกลัวไหลบ่าผ่านเส้นเลือดเข้าท่วมจิตใจเขา จักรพรรดิตัวสั่นก่อนจะปัสสาวะรดกางเกง…เขาหยุดนิ่งไปชั่วครู่ก้มลงมองและระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็ล้มตัวลงกับพื้นแล้วเริ่มสะอื้นเสียงดังสนั่น

เสียงร้องไห้คร่ำครวญน่าเวทนามีผลกับทุกๆ คนในที่นั้นโดยทั่วถึงกัน

หวังเป่าเล่อถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็น ลูกนัยน์ตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้า ชายหนุ่มจ้องมองจักรพรรดิชราอย่างถี่ถ้วนก่อนจะอ้าปากค้าง หากชายชราไม่ใช่คนที่ทั้งเจ้าเล่ห์แสนกลอย่างยิ่ง…ก็ต้องมีการเข้าใจผิดกันเกิดขึ้นจริงๆ เป็นแน่

เหออวิ๋นจื่อเองก็ตกตะลึงไม่แพ้กัน ชายชราจ้องมองจักรพรรดิผู้กำลังร้องไห้คร่ำครวญ จากนั้นเขาจึงหันไปมองกลุ่มผู้ฝึกตนที่อยู่ขอบกลุ่มด้วยสายตาเหนื่อยหน่าย

“สหายร่วมสำนักเต๋าจื่อหลัว ข้าขออภัยที่ท่านต้องมาเห็นเหตุการณ์เช่นนี้”

จื่อหลัวผู้อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ หัวเราะขณะยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตนจากอารยธรรมครามทองคำ นัยน์ตาของเขาส่องประกายพลางจ้องมองไปรอบกายก่อนจะหันไปหาเหออวิ๋นจื่อ และกล่าวอย่างเยือกเย็น “ข้าไม่ถือสาแม้แต่น้อย ข้ามาที่นี่ก็เพื่อจัดการกับเรื่องนี้โดยเฉพาะ ในเมื่อเลือดจักรพรรดิของท่านดูจะไม่บริสุทธิ์พอ เช่นนั้น…พวกเราควรรวมเอาเลือดของทุกคนในราชวงศ์มาเก็บเอาไว้ในภาชนะ วิธีนี้อาจจะได้ผลก็เป็นได้”

“ข้ามีสมบัติเวทที่ปรมาจารย์ของเรามอบไว้ให้อยู่กับตัว มันสามารถจุดไฟในสายโลหิตของทุกคนในบริเวณใกล้เคียงและแสดงสายเลือดแฝงของพวกเขาออกมาพร้อมกัน ด้วยการรวมพลังของทุกคนในตระกูลเช่นนี้ ย่อมต้องทำให้เราเปิดผนึกประตูได้สำเร็จเป็นแน่!” ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะพูดไปก็พลิกฝ่ามือขวาไปด้วย กระทั่งตะเกียงทองแดงปรากฏขึ้นบนฝ่ามือเขา เขาเหวี่ยงตะเกียงนั้นไปทางเหออวิ๋นจื่อ

“เหออวิ๋นจื่อ ยกตะเกียงขึ้น แล้วจงใช้พลังปราณทั้งหมดของเจ้าจุดมัน มันจะช่วยให้เจ้าเปิดผนึกสายโลหิตของสมาชิกราชวงศ์ทุกคนที่นี่!”

รัศมีเก่าแก่แผ่ออกมาจากตะเกียงขณะที่มันลอยละล่องไปหาเหออวิ๋นจื่อ การเดินทางแหวกอากาศนั้นมองดูคล้ายการเคลื่อนคล้อยของกาลเวลา ตะเกียงพุ่งไปหาเหออวิ๋นจื่อ ผู้ซึ่งรับมันไว้ด้วยมือที่สั่นเทา โลหิตในกายเขาพลันปั่นป่วนขึ้นมาทันที ก่อนจะไหลมารวมกันอยู่ในฝ่ามือและพวยพุ่งเข้าไปยังตะเกียงทองแดง ชายชราไม่อาจควบคุมพลังปราณที่จู่ๆ ก็ไหลบ่าออกมาอย่างไม่บอกไม่กล่าวได้

ภาพมายาของดวงเนตรสวรรค์ปรากฏขึ้นด้านหลังเขาก่อนจะถูกดูดเข้าไปในตะเกียงทองแดง ประกายแสงปรากฏขึ้นในไส้ตะเกียงด้านในทันที มันค่อยๆ ส่องสว่างก่อนจะกลายเป็นเปลวไฟ เสียงระเบิดดังขึ้นเมื่อไฟในตะเกียงลุกท่วมขึ้นมา!

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ประกายไฟก็ปะทุขึ้นจากไส้ตะเกียงก่อนจะหลั่งไหลออกมาภายนอก และท่วมไปทั้งบริเวณทันที ใบหน้าของสมาชิกราชวงศ์ทุกคนแสดงอารมณ์อันหลากหลาย ร่างกายของพวกเขาสั่นเทา ร่องรอยรูปดวงตาปรากฏขึ้นบนหน้าผากของทุกคน ทั้งพลังปราณและโลหิตในกายของพวกเขาต่างก็พวยพุ่งออกมาจากทางด้านบนศีรษะ

เริ่มที่เหออวิ๋นจื่อ แสงสีโลหิตติดขึ้นบนศีรษะเขา ก่อนจะพวยพุ่งขึ้นไปสูงร่วมยี่สิบเมตร เป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง เช่นเดียวกับผู้อาวุโสในชุดม่วงอีกสองคน หอคอยสีแดงฉานของพวกเขาไม่ได้ขึ้นไปสูงเท่า สูงแค่ราวๆ สิบห้าเมตรเท่านั้น

แต่ภาพนั้นก็ยังดูยิ่งใหญ่ไม่ใช่น้อย สมาชิกราชวงศ์คนอื่นๆ ต่างก็ตัวสั่นก่อนจะปล่อยแสงสีแดงคล้ายกันออกมา แสงของแต่ละคนสูงต่ำไม่เท่ากัน บ้างก็สูงร่วมสิบเมตร ของบ้างคนก็แค่ไม่กี่เซนติเมตร หวังเป่าเล่อมีอารมณ์ความรู้สึกที่หลากหลาย วิชาดวงเนตรปีศาจในกายเขาตื่นขึ้นด้วยตัวเองอีกครั้ง เจตจำนงภายในดวงเนตรปีศาจที่ถูกกักเก็บเอาไว้ในกายเขานั้นจู่ๆ ก็ปะทุขึ้นมา ดูราวกับว่ากำลังจะหาทางหลุดรอดออกมาจากกายกระนั้น

ไม่นะ! หวังเป่าเล่อตัวแข็ง

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังพยายามสะกดเจตจำนงอยู่นั่นเอง ลำแสงสีแดงจำนวนมากก็พวยพุ่งขึ้นไปสู่สวรรค์ราวกับเป็นเสาขนาดมหึมาเสาที่สูงที่สุด…มาจากจักรพรรดิชราขี้แย เสาสีแดงเหนือศีรษะเขาสูงร่วมร้อยเมตร ดึงดูดทุกสายตาให้หันไปจับจ้อง

เมื่อเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปตามแผน เหออวิ๋นจื่อก็ระเบิดเสียงหัวเราะ ชายชราหันไปหาจักรพรรดิชราก่อนจะกล่าวว่า “ตอนนี้เราก็สามารถ…”

ท้องฟ้าแปรเปลี่ยนก่อนที่ชายชราจะทันพูดจบ สายลมเริ่มคำราม ก้อนเมฆบนสรวงสวรรค์หมุนวน สายฟ้าส่งเสียงครั่นครืน ทันใดนั้นเอง ม่านหมอกสีแดงก็ระเบิดออกมาท่ามกลางสมาชิกราชวงศ์และพวยพุ่งขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ก่อนจะไหลบ่าเข้าท่วมทุกมุมของอาณาเขตสุสาน ราวกับเป็นผ้าคลุมสีแดงที่ปกคลุมท้องฟ้าและผืนปฐพีไว้!

ทุกคนต่างก็ใบ้เบื้อเมื่อได้เห็น เหออวิ๋นจื่อ ผู้อาวุโสในชุดคลุมม่วงอีกสองคน จักรพรรดิชรา และราชวงศ์ที่เหลือ รวมไปถึงบรรดาผู้ฝึกตนจากอารยธรรมครามทองดำ ต่างก็เบนสายตาไปมองในทิศทางเดียวกัน ก่อนจะเห็นหวังเป่าเล่อ…และแสงสว่างสุดยอดจากเสาสีโลหิตที่ออกมาจากเหนือศีรษะเขาพวยพุ่งขึ้นไปสู่สวรรค์!

ความสูงของเสาสีแดงของหวังเป่าเล่อนั้น…ไม่สามารถวัดเป็นหน่วยเมตรได้อีกต่อไป มันสูง…ขึ้นไปจนเสียดฟ้า ประมาณราวๆ หลายร้อยกิโลเมตร และเข้าไปผสานรวมอยู่กับขอบของชั้นบรรยากาศ…ไม่มีใครบอกได้ว่ามันสูงขนาดไหน

“นี่มันอะไรกัน…” เหออวิ๋นจื่อพึมพำด้วยความตกตะลึง พลางรู้สึกมึนชาศีรษะ

……………………….

หวังเป่าเล่อเพิ่งจะมาปรากฏตัวภายในสุสานหลวงและกำลังรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ในตอนนั้นเอง บนจักรพิภพที่ห่างไกลออกไปจากระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ ที่ชั้นบนสุดของร้านค้าหนึ่งในตลาดแห่งหนึ่ง เซี่ยไห่หยาง ผู้ซึ่งเพิ่งจะเคลื่อนย้ายหวังเป่าเล่อเสร็จสิ้นกำลังนั่งอยู่ เขาเอื้อมมือไปคว้าถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาจิบ รอยยิ้มพาดผ่านบนใบหน้าขณะที่ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ เซี่ยไห่หยางคนนี้เป็นบุรุษที่จะต้องทำงานให้ลุล่วงและลุล่วงไปด้วยดี ราคาสามพันผลึกสีชาดที่เจ้าจ่ายนั้น ไม่ใช่เพียงเพื่อข้อมูลทรงคุณค่า หรือการเปิดประตูให้ หรือกระทั่งการเคลื่อนย้ายเจ้าไปที่นั่น…แต่ยังรวมไปถึงการส่งเจ้าไปในเวลาที่เหมาะเหม็งอีกด้วย!

“และเวลา…เป็นสิ่งที่ล้ำค่าเหนืออื่นใด การที่เจ้าไปปรากฏตัวในตอนนี้จะทำให้เจ้าได้ข้อมูลบางอย่าง…และให้โอกาสเจ้าได้เปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่างต่อไปในอนาคต”

“ในฐานะนักลงทุนของเจ้า ข้าได้ทำให้เจ้าไปหมดแล้ว!” เซี่ยไห่หยางยิ้มแล้ววางถ้วยชาลง

ในวินาทีนั้นเอง หวังเป่าเล่อกำลังลอยเท้งเต้งอยู่กลางอากาศภายในสุสานหลวงแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ประกายกล้าส่องสว่างอยู่ในแววตาขณะที่ชายหนุ่มกวาดตามองสิ่งรอบข้าง

เทพีแห่งโชคชะตาอำนวยพรให้ข้าแล้ว หวังเป่าเล่อคิดกับตนเองขณะที่มองไปรอบข้างอย่างเงียบงัน เซี่ยไห่หยางพูดอย่างมั่นใจว่าพลังการขวางกั้นอันรุนแรงนั้นจะรอหวังเป่าเล่ออยู่แน่นอน แต่คำเตือนนั้นขณะนี้ฟังดูเหมือนการพูดเกินจริง เมื่อชายหนุ่มเข้ามาอยู่ในสุสานนี้ เขากลับไม่รู้สึกถึงพลังใดๆ แม้สักนิด

หวังเป่าเล่อเข้าใจการที่พลังต่อต้านนั้นไม่ปรากฏ แต่สิ่งที่ทำให้ชายหนุ่มสับสนคือความรู้สึกที่เขามีต่อสุสาน ในทุกๆ ใบหญ้า สรรพสัตว์ แม้กระทั่งในอากาศ…หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงความคุ้นเคยและอบอุ่นอย่างไม่อาจอธิบายได้

ใบหญ้าบนท้องทุ่งตรงหน้าเขาโยกโอนอยู่ในสายลมราวกับว่ากำลังต้อนรับชายหนุ่มอย่างอบอุ่น สายลมหมุนวนอยู่ตรงเท้าเขาขณะที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ราวกับเป็นแท่นเหยียบที่ทำมาจากลม ราวกับว่าโลกนี้เป็นห่วงว่าหวังเป่าเล่อจะใช้พลังวิญญาณมากเกินไปกระนั้น

มีประกายแสงสะท้อนอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อขณะที่เขาทอดสายตาไปยังโลกเบื้องหน้า คำอธิบายที่เป็นไปได้อย่างหนึ่งปรากฏขึ้นมาในใจ

หรือจะเป็นเพราะว่า…ข้าเป็นผู้ใช้วิชาดวงเนตรปีศาจ พวกมันจึงเข้าใจว่าข้าเป็นเชื้อพระวงศ์กระมัง หรืออาจเป็นเพราะ…การมีสายเลือดราชวงศ์ไม่เกี่ยวข้องเลยตั้งแต่ต้น ผู้ที่ฝึกวิชาดวงเนตรปีศาจทุกคนสามารถเข้ามาที่นี่ได้อยู่แล้ว หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าการคาดเดาของตนถูกต้อง

“แต่ทำไมข้าจึงยังมีความรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ กันนะ…” ความเคลือบแคลงสงสัยปรากฏขึ้นในแววตาของหวังเป่าเล่อขณะที่ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ เขาก็กระโจนมาบนพื้นที่ที่มีหญ้าปกคลุม หวังเป่าเล่อจ้องมองใบหญ้าโบกไหวตามสายลม ก่อนจะหันไปมองต้นไม้ที่รายรอบ จนในที่สุด ชายหนุ่มก็เดินไปถึงต้นไม้ใหญ่ยักษ์ที่มีผลลูกเล็กๆ ห้อยอยู่บนกิ่ง เขายืนอยู่หน้าต้นไม้ก่อนจะพูดออกมา

“หากมีผลไม้ลูกใหญ่กว่านี้ก็คงจะดี”

ต้นไม้สั่นไหวทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดจบ ผลไม้ที่ห้อยอยู่บนกิ่งเหี่ยวแห้งไปทันตา มีเพียงลูกเดียว ลูกที่ห้อยอยู่ใกล้มือชายหนุ่มที่สุดเท่านั้นที่ยังคงอยู่ แทนที่จะหายไป ผลไม้นั้นกลับเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในไม่กี่วินาที มันก็โตจากขนาดเท่าเล็บมือจนใหญ่เท่ากำปั้น

หวังเป่าเล่อถึงกับผงะเมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงตรงหน้า

อย่างที่คาดไว้ไม่มีผิด มีบางอย่างผิดปรกติ แม้ว่าข้าจะเป็นผู้ฝึกวิชาดวงเนตรปีศาจ ก็ไม่ควรจะทำให้เกิดเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ได้ ประกายเย็นยะเยือกพาดผ่านดวงตาของหวังเป่าเล่อ ปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดทำเอาใจของหวังเป่าเล่อตื่นเต้น ชายหนุ่มพอจะมีความเข้าใจเรื่องนี้อยู่เลาๆ แต่เป็นความเข้าใจที่ผุดโผล่ขึ้นมาเพียงชั่วครู่ก่อนจะจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งของจิตใจ เขาทำกระทั่งปิดบังความรู้สึกเคลือบแคลงสงสัยในใจไปเสียสิ้น หวังเป่าเล่อพยายามจะลบความคิดทุกสิ่งออกไปจากใจ เหลือเอาไว้เพียงใบหน้าเรียบเฉยเท่านั้น

กลับกัน ชายหนุ่มกระแอมกระไอ และปล่อยให้ความรู้สึกพึงใจนั้นไหลบ่าท่วมกายใจของตน ให้ความอบอุ่นมาจากภายใน

เทพีแห่งโชคชะตาต้องอำนวยพรให้ข้าด้วยตัวเองเป็นแน่แท้ หวังเป่าเล่อทอดถอนใจ ชายหนุ่มไม่อาจทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ เขาพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะไม่ทำตัวเด่น แต่แล้วโชคชะตาก็ดูเหมือนจะตกหลุมรักเขาเข้าเสียได้ เทพีแห่งโชคชะตาได้ปรากฏตัวขึ้นและติดตามหวังเป่าเล่อไปในที่ต่างๆ ก่อนจะอำนวยพรให้เขาไม่ว่าเขาจะไปอยู่ที่ใดก็ตาม

ถ้าเป็นเช่นนั้น…กำหนดเวลาก็ไม่น่าจะมีผลกับข้าเช่นกัน…หวังเป่าเล่อยกมือตบท้องเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจแล้วจึงเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง ชายหนุ่มเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วด้วยความช่วยเหลือจากลมที่ใต้ฝ่าเท้า สัมผัสเทพของเขาแผ่ออกไปขณะที่ตัวเขาเองพุ่งทะยานไปข้างหน้า

ในใจของหวังเป่าเล่อขณะนี้เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจและหยิ่งผยอง มีความไม่แน่นอนเหลืออยู่บางๆ เท่านั้น ต่อให้มีใครสักคนสามารถอ่านใจชายหนุ่มได้ ก็คงไม่พบอะไรผิดปรกติ สิ่งที่แตกต่างกับฉากภายนอกที่มั่นใจและสงบ…ก็คือฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ในกายเขา ซึ่งถูกหล่อเลี้ยงอยู่ด้วยเปลวเพลิงดารานิรันดร์ ฝ่ามือนั้นพร้อมจะปลดปล่อยพลังออกมาทุกขณะจิต

แปลว่าแท้จริงแล้วหวังเป่าเล่อก็พร้อมต่อสู้…อยู่ลับๆ!

สถานะของชายหนุ่มในตอนนี้คล้ายคนที่เพิ่งจะสะกดจิตตนเองเสร็จ ในตอนนั้นเขาหลอกกระทั่งตนเอง เป็นวิธีเดียวที่จะเตรียมพร้อมต่อสู้อยู่เสมอโดยไม่แสดงความระแวดระวังออกมา อันที่จริงแล้ว ท่าทีที่หวังเป่าเล่อแสดงให้คนอื่นเห็นก็คือความมั่นอกมั่นใจจนเกินตัวนั่นเอง

หวังเป่าเล่อยังคงมีท่าทีหยิ่งผยองต่อไป พลางเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง สุสานหลวงกินพื้นที่มหาศาล ต่อให้วิ่งด้วยความเร็วเท่านี้ ชายหนุ่มก็ยังต้องใช้เวลาราวๆ ครึ่งชั่วโมงในการเดินทางไปจนทั่ว ถึงกระนั้น เพียงไม่กี่อึดใจตั้งแต่ที่เขาเริ่มเคลื่อนไหว หวังเป่าเล่อก็หยุดชะงักไปชั่วขณะ ก่อนประกายแสงแรงกล้าจะสะท้อนวูบอยู่ในแววตา เขาเอียงศีรษะไปทางขวาก่อนที่ร่างจะค่อยๆ พร่าเลือนและหายไปในพริบตา

เพียงยี่สิบวินาทีหลังจากที่หวังเป่าเล่อหายไป กลุ่มคนราวเจ็ดถึงแปดคนก็พุ่งทะยายออกมาจากทิศทางที่ชายหนุ่มมองไปเป็นครั้งสุดท้าย พวกเขาไม่ได้เคลื่อนที่เร็วนัก พลังวิญญาณที่ปล่อยออกมาก็อยู่ในขั้นจุติวิญญาณเท่านั้นทุกคนในกลุ่มต่างแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์หรูหรา ดวงตาของพวกเขาต่างส่องประกายด้วยความยโส มีรัศมีจางๆ ของวิชาดวงเนตรสวรรค์แผ่ออกมาจากตัวขณะที่วิ่งผ่านบริเวณที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัวเป็นครั้งสุดท้าย

ขณะที่ผู้ฝึกตนคนสุดท้ายวิ่งผ่านไป เศษเสี้ยวหมอกสีดำก็ปรากฏขึ้นบนไรผมของเขา ก่อนจะไถลผ่านไรผมเข้าไปในหูของผู้ฝึกตนวัยกลางคน ชายคนนั้นตัวสั่นขึ้นมาในทันใด อากาศรอบกายบิดเบี้ยวไปชั่วขณะ ไม่มีใครในกลุ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติใดๆ

ไม่มีใครเบื้องหน้าผู้ฝึกตนวัยกลางคนสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา ไม่มีใครเห็นการบิดเบี้ยวชั่วขณะซึ่งเป็นผลมาจากการที่หวังเป่าเล่อแปลงกายเป็นผู้ฝึกตนวัยกลางคนๆ นั้น ก่อนจะผนึกเจ้าของร่างแล้วขังเอาไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ

อีกทั้งชายหนุ่มยังค้นวิญญาณอย่างลวกๆ จนสำเร็จลุล่วงไปแล้วด้วย

ราชวงศ์หรือ…หวังเป่าเล่อในคราบผู้ฝึกตนวัยกลางคนเร่งฝีเท้าตามบรรดาผู้ฝึกตนเบื้องหน้าของเขาข้ามท้องฟ้าไป นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายแวววาวอยู่เงียบๆ การค้นวิญญาณทำให้เขารู้ว่าผู้ฝึกตนกลุ่มนี้มาจากราชวงศ์ ทั้งยังรู้อีกด้วยว่าพวกเขามาทำอะไรและจะทำสิ่งใดต่อไป

จักรพรรดิดวงเนตรสวรรค์องค์ปัจจุบันจะปลดผนึกประตูสู่สุสานหลวง ผู้ฝึกตนทุกคนจากราชวงศ์กำลังมุ่งหน้าไปยังสุสานหลวง น่าสนใจดีนี่ โอกาสทองที่เซี่ยไห่หยางมอบให้นี้ช่างดีเกินจริง…หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ผู้ฝึกตนคนที่ถูกชายหนุ่มค้นวิญญาณไปไม่รู้อะไรมากนัก เพราะเหตุนั้นหวังเป่าเล่อจึงรู้เรื่องต่างๆ เพียงผิวเผินเท่านั้น แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร เขาตามกลุ่มนั้นไปเงียบๆ ขณะที่ทุกคนพุ่งทะยานผ่านเขตสุสาน ครึ่งชั่วโมงต่อมา พวกเขาก็มาถึงใจกลางของสุสานหลวงเป็นที่เรียบร้อย!

หวังเป่าเล่อมองเห็นรูปปั้นขนาดมหึมาทั้งๆ ที่พวกเขายังอยู่ห่างออกไปประมาณหนึ่ง รูปปั้นนั้นยืนตระหง่านเหนือพื้นดิน ลูกตาเพียงดวงเดียวมองลงต่ำจากใบหน้าที่ไม่มีองค์ประกอบอื่นใดอีก!

รูปปั้นนั้นทำมาจากศิลา ดวงเนตรปีศาจในกายหวังเป่าเล่อตื่นขึ้นโดยปราศจากคำสั่งจากหวังเป่าเล่อทันทีที่ชายหนุ่มมองไปยังดวงตาขนาดยักษ์ของรูปปั้น เขาต้องเก็บงำดวงเนตรปีศาจเอาไว้ด้วยความลำบากยากเย็น ไม่แสดงออกสิ่งใดมาทางสีหน้า ก่อนจะเดินตามกลุ่มผู้ฝึกตนกลุ่มเดิมต่อไป พวกเขาเดินเข้าไปใกล้รูปปั้นขึ้นทุกที

ที่นั่น…มีผู้ฝึกตนนับร้อยยืนเรียงรายอยู่แล้ว

เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกตนเหล่านั้นไม่ใช่ชาวบ้านร้านตลาด พวกเขายืนแยกกันเป็นสองกลุ่มอย่างชัดเจน กลุ่มหนึ่งยืนอยู่บริเวณรอบนอก มีอยู่ราวๆ สามสิบคน ทุกคนสวมเสื้อคลุมสีรุ้ง และมีหน้ากากสีม่วงปกปิดใบหน้าเอาไว้ รัศมีอันรุนแรงที่แผ่ออกมาจากกลุ่มนั้นมีเศษเสี้ยวของความบ้าคลั่งปะปนอยู่ ทุกคนมีระดับพลังปราณที่กล้าแข็งยิ่ง นอกเหนือไปจากผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณห้าคน หวังเป่าเล่อก็มองเห็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนหนึ่งในกลุ่มได้แทบจะทันที!

ผู้ฝึกตนในกลุ่มนั้นมีอย่างหนึ่งเหมือนกัน นั่นคือรัศมีของพวกเขามีโลหิตปะปนอยู่ หากมองดูใกล้ๆ ก็จะเห็นจี้หยกสีเลือดในมือของพวกเขาทุกคน!

รัศมีเปื้อนเลือดที่แผ่ออกมาจากจี้หยกนั้นเหมือนจะต่อต้านพลังการขับไล่ของสถานที่นี้ไว้ได้ประมาณหนึ่ง ส่งผลให้ไม่มีการขับไล่เกิดขึ้นในบริเวณนั้น

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงเมื่อเห็นภาพดังกล่าว จากนั้นจึงรีบหันกลับไปมองอีกกลุ่มหนึ่ง

อีกกลุ่มนั้นยืนอยู่ใกล้รูปปั้นมากกว่า ต่างก็สวมใส่เสื้อผ้าหรูหราและมีคลื่นพลังวิชาดวงเนตรสวรรค์แผ่ออกมาจากกาย เห็นได้ชัดว่าเป็นสมาชิกราชวงศ์ จากทั้งกลุ่มนั้น มีผู้ฝึกตนสี่คนที่มีพลังวิญญาณแข็งแกร่งกว่าที่เหลือ

ทั้งสี่ต่างก็เป็นผู้อาวุโส สามจากสี่คนสวมเสื้อคลุมสีม่วงและดูเหมือนจะอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ แววตาของพวกเขาเย็นชา และต่างก็พากันจ้องมองชายชราในชุดสีเหลืองไม่วางตา บนศีรษะของผู้อาวุโสในชุดเหลืองมีมงกุฎวางอยู่ ชุดที่สวมทำให้ชายชราดูเหมือนเป็นจักรพรรดิหรืออะไรสักอย่างหนึ่ง

“ท่านพี่ผู้เป็นที่รักยิ่งของข้า นี่แปลว่า…ท่านจะไม่ทำอย่างนั้นหรือ” หนึ่งในสามผู้อาวุโสชุดม่วงเอ่ยขึ้นอย่างเยือกเย็น

ร่างคล้ายจักรพรรดิตัวสั่นเมื่อได้ยินเสียงนั้น เผยให้เห็นสีหน้าไร้ทางสู้ เขาจ้องมองผู้อาวุโสทั้งสามที่อยู่รอบกายด้วยความกลัวในแววตาก่อนจะเอ่ยอย่างขมขื่น “ข้าทำดีที่สุดแล้ว ข้าก็หวังว่าจะเปิดมันออกเช่นกัน…แต่เลือดของข้าไม่บริสุทธิ์พอที่จะปลดผนึกประตูได้ ต่อให้เจ้ากรอกโอสถสายโลหิตลงคอข้าไปก็ไร้ผล ข้าไม่มีทางทำได้แน่นอน”

……………………….

ผลึกสีชาดสามพันผลึกนั้นแพงเหลือเชื่อสำหรับหวังเป่าเล่อ ทั้งตอนนี้และในอดีต อันที่จริงแล้ว หากบอกราคานี้ออกไป ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะก็คงต้องคลั่งไปตามๆ กัน

แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ก็ยังต้องหวั่นไหว นั่นจึงเป็นเหตุให้หวังเป่าเล่อปฏิเสธเซี่ยไห่หยางไปก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มคิดว่าเซี่ยไห่หยางพยายามขูดเลือดขูดเนื้อตน แต่ตอนนี้ หวังเป่าเล่อคิดว่าโอกาสการได้บรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะนั้น หากเทียบกับทรัพย์สินเล็กน้อยเช่นผลึกสีชาดสามพันผลึกก็นับว่าคุ้มค่า!

เมื่อข้าบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะเมื่อใด ข้าก็จะสามารถต่อกรกับกูโม่ได้หากมีคำสาปของหน้ากากช่วย… แม้อาจจะเห็นได้ชัดเจนว่าใครจะเป็นผู้ชนะ แต่ข้าก็คงจะพอป้องกันตัวเองจากเขาได้บ้าง! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ในใจพลางรอคอยคำตอบจากเซี่ยไห่หยาง

สิบห้านาทีต่อมา น้ำเสียงแปลกใจของเซี่ยไห่หยางก็ดังมาจากอีกฟากหนึ่งของแผ่นหยกสื่อสาร

“ศิษย์พี่เป่าเล่อหรือ ฮะฮ่า ในที่สุดเจ้าก็ติดต่อข้ามาจนได้ พวกเรานั้นอย่างไรก็เสมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน ข้าจะโกงเจ้าได้อย่างไรเล่า ข้าจะบอกให้ เคล็ดลับของข้านี้มีโอกาสที่จะช่วยให้เจ้าบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ แต่ต้องขอเตือนเอาไว้ก่อนเลย ว่ามันเป็นเพียงโอกาสเท่านั้น เจ้าจะคว้าเอาไว้ได้หรือไม่…ก็ขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเอง

“แน่นอนว่า หากเจ้าอยากจะจ่ายผลึกสีชาดเพิ่มอีกสักหน่อย ข้าก็จะพยายามหาช่องทางแล้วส่งโอกาสนั้นไปให้เจ้าโดยตรง ทุกอย่างนี้สามารถพูดคุยกันได้”

หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงความลิงโลดใจของเซี่ยไห่หยางผ่านแผ่นหยก หลังจากที่บ่นอุบอยู่ในใจ หวังเป่าเล่อก็ถามราคาที่ต้องจ่ายเพื่อจะได้โอกาสนั้นเอาไว้ในกำมือ

“ห้าหมื่นผลึกสีชาด!”

เซี่ยไห่หยางกระฉับกระเฉงขึ้นทันตาพลางพูดด้วยน้ำเสียงคาดหวัง

บัดซบ…เมื่อได้ยินราคานั้น คำนี้ก็เป็นคำเดียวที่ปรากฏขึ้นในใจหวังเป่าเล่อ ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มยังคิดว่าเซี่ยไห่หยางช่างเป็นพ่อค้าหน้าเลือดเสียจริง เขาได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในอกก่อนจะกล่าวว่า “ตกลง ข้าจะขอติดเอาไว้ก่อนก็แล้วกัน”

“ฮะฮ่า อย่าล้อข้าเล่นเลย ศิษย์พี่เป่าเล่อ ขอให้ข้าได้บอกเคล็ดลับราคาสามพันผลึกกับเจ้าก่อน” เซี่ยไห่หยางกระแอมกระไอ เลี่ยงที่จะตอบประเด็นก่อนหน้า ก่อนจะเริ่มพูดเรื่องเคล็ดลับที่ว่า

“ว่าไปสิ” หวังเป่าเล่อพูดด้วยความรู้สึกรำคาญใจ

“ข้าเกรงว่า…เจ้าคงต้องจ่ายเงินต้นมาก่อน” เซี่ยไห่หยางรีรอ

“ศิษย์น้องไห่หยาง! เจ้าไม่เชื่อใจข้ากระนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อกำแผ่นหยกสื่อสารแน่นพลางพูดเน้นทุกถ้อยคำ

“อ่า…ก็ได้ๆ ไหนๆ เจ้าก็ติดต่อข้ามาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงที่เจ้ามี ข้าจะไม่ปิดเจ้าอีกต่อไป เจ้าไม่ต้องจ่ายก่อนก็ได้ ข้าจะบอกแหล่งที่มาของโอกาสนั้นให้” เซี่ยไห่หยางถอนหายใจ

“มีคนไม่กี่คนในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ของเจ้าที่ล่วงรู้เรื่องนี้ จะว่าไปอาจมีเพียงราชวงศ์เท่านั้นกระมัง ข้อมูลนี้นับเป็นความลับที่รู้กับแค่ในแวดวงเท่านั้น”

“เป็นเพราะว่า เคล็ดลับนี้พูดถึงสุสานราชวงศ์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!” เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เซี่ยไห่หยางก็จงใจลดเสียงลงเพื่อเพิ่มความลึกลับเข้าไป

“สุสานหรือ” หวังเป่าเล่อนิ่งขึง

“ใช่แล้ว สถานที่ฝังศพราชนิกูลทุกหมู่เหล่า ตั้งแต่ผู้ก่อตั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นต้นมา ที่รู้จักกันในนามจักรพรรดิพระองค์แรกแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ จนกระทั่งถึงจักรพรรดิพระองค์ก่อน”

“ภายในสุสานหลวงนั้นคือโอกาสที่เจ้าตามหา มันเป็นที่ต้องการของราชวงศ์แห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์รุ่นก่อนๆ แต่พวกเขาก็ยังคว้าเอามาครองไม่ได้ หากเจ้าสามารถทำได้ ข้าขอรับรองว่าเจ้าจะต้องบรรลุไปสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ทันทีอย่างแน่นอน!” เซี่ยไห่หยางพูดไปแล้วจู่ๆ ก็หยุด กระดกลิ้นหนึ่งครั้ง ก่อนจะหยุดพูดไปโดยปริยาย

หวังเป่าเล่อรออยู่ครู่หนึ่ง หลังจากที่เห็นว่าอีกฝ่ายหยุดพูดไปจริงๆ ชายหนุ่มก็รู้ว่าเซี่ยไห่หยางต้องการเงินต้น หวังเป่าเล่อกัดฟันก่อนจะถามว่า “ข้าจะจ่ายผลึกให้เจ้าได้ทางใดบ้าง”

“เจ้าเพียงแค่วางผลึกลงบนแผ่นหยกเคลื่อนย้ายเท่านั้น แต่เจ้าพูดอะไรกันศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้าจะไม่ไว้ใจเจ้าและอยากให้เจ้าจ่ายเงินต้นมาให้ขณะที่กำลังให้ข้อมูลเจ้าได้อย่างไรกัน ที่ข้าหยุดพูดไปเพราะมีธุระสำคัญจะต้องไปสะสางเท่านั้น” เซี่ยไห่หยางพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองใจเล็กน้อย

หวังเป่าเล่อคร้านเกินจะใส่ใจ ชายหนุ่มเพียงแต่หยิบผลึกสีชาดออกมาแล้วส่งไปให้อีกฝ่ายสามพันก้อนตามตกลง

“เจ้าช่วยเล่าต่อได้หรือยัง” เมื่อชำระเงินเสร็จ หวังเป่าเล่อก็พูดต่ออย่างใจเย็น

“ฮะฮะฮ่า ศิษย์พี่เป่าเล่อ เจ้าช่างเถรตรงเสียจริง ไม่ต้องห่วงไป จากตอนนี้จนถึงเมื่อข้าพูดจบ ข้าจะนับว่าผู้ที่ขัดคอข้าเป็นศัตรูทุกคนไป ข้าจะตั้งสมาธิอยู่กับเจ้าตลอดช่วงเวลานี้” แม้จะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่เซี่ยไห่หยางก็เริ่มจริงจังมากขึ้น แถมยังพูดจาออดอ้อนทันทีก่อนจะเล่าทุกสิ่งที่เขารู้ให้หวังเป่าเล่อฟัง

“สุสานหลวงเป็นอาณาเขตหวงห้ามของราชวงศ์แห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ สถานที่นั้นมีพลังเทพแห่งสายโลหิต แปลว่าจะไม่ต้อนรับผู้ที่ไม่มีเลือดขัตติยะเด็ดขาด ดังนั้น หากเจ้าเข้าไปแล้ว ศิษย์พี่เป่าเล่อ เจ้าจะต้องรู้สึกแน่นอนว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้อนรับ ราวกับว่าสุสานหลวงทั้งหมดรังเกียจเจ้าเสียเต็มประดา ฉะนั้นแล้ว เจ้าจะต้องว่องไว!

“อีกอย่างหลังจากที่เข้าไปแล้ว ยิ่งเข้าไปลึกเท่าใด การต่อต้านนั้นก็จะยิ่งรุนแรงเท่านั้น ในส่วนที่ลึกที่สุด ซึ่งเป็นบริเวณที่ตั้งของประตูเข้าสู่สุสานหลวงด้านใน แรงต่อต้านจะรุนแรงเสียจนน่าทึ่งทีเดียว ดังนั้น…ทันทีที่เจ้าก้าวเข้าไปในอาณาเขตหวงห้าม หรือบริเวณด้านนอกของสุสานหลวง เวลาจะเริ่มนับถอยหลัง เจ้ามีเวลาราวๆ สิบห้านาทีเท่านั้น ในทางทฤษฎีแล้ว เจ้าไม่มีทางไปถึงส่วนในของสุสานหลวงได้เลยเพราะเวลาเท่านั้นไม่พอแน่ๆ อีกทั้งเจ้ายังต้องการเวลาเพื่อจะปลดผนึกประตูหลักของสุสานหลวงอีก”

เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็เลิกคิ้ว ภาพของสุสานหลวงปรากฏขึ้นมาในใจเขาเรียบร้อยจากคำอธิบายของเซี่ยไห่หยาง เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า สุสานหลวงแบ่งได้เป็นส่วนในและส่วนนอก โดยจุดศูนย์กลางของสุสานคือประตูทางเข้าหลัก

“แต่ศิษย์พี่เป่าเล่อ ไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารับผลึกสีชาดจากเจ้ามาแล้ว แต่ข้าไม่ได้จะขายให้แค่ข้อมูลเท่านั้นหรอกนะ โปรดนำแผ่นหยกสื่อสารที่ข้าให้ติดตัวไปด้วย และติดต่อมาหาข้าทันทีที่เจ้าผ่านส่วนนอกและเข้าไปใกล้ประตูหลักของสุสานหลวงได้ ข้าจะช่วยเคลื่อนย้ายเจ้าเข้าไป” น้ำเสียงของเซี่ยไห่หยางฟังดูมั่นอกมั่นใจ ราวกับว่าพึงพอใจกับการบริการของตนเสียเต็มประดา

“หลังจากที่เจ้าได้เคลื่อนย้ายเข้าไปยังส่วนด้านในของสุสานแล้ว เจ้าจะคว้าโอกาสมาได้ทันเวลาหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว” เมื่อพูดจบ แผ่นหยกสื่อสารก็เขย่าเบาๆ หวังเป่าเล่อส่งดวงจิตไปตรวจสอบดูด้วยความสงสัย แล้วจึงสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังแทรกจากบนแผ่นหยกสื่อสารนั้น วินาทีต่อมา แผนที่ของสุสานหลวงก็ปรากฏขึ้นในใจเขา

เหตุการณ์นี้ทำให้หวังเป่าเล่อต้องหรี่ตาลง หลังจากที่มองดูแผ่นหยกสื่อสารในมืออย่างถี่ถ้วน ชายหนุ่มก็หลับตาพิจารณาแผนที่อย่างตั้งใจ แม้ว่าแผนที่นั้นจะแตกต่างจากที่เขาจิตนาการไว้ไปบ้าง แต่ก็ยังคล้ายคลึงกันพอสมควร เป็นความจริงที่บริเวณนั้นถูกแบ่งเป็นส่วนด้านในและด้านนอก

“ศิษย์พี่เป่าเล่อ นอกจากจะช่วยเหลือเจ้าในการเปิดประตูหลักของสุสานหลวงแล้ว ผลึกสีชาดสามพันชิ้นที่เจ้าจ่ายมายังครอบคลุมไปถึงบริการเคลื่อนย้ายไปกลับอีกสองครั้ง เมื่อเจ้าพร้อม ข้าก็จะส่งเจ้าไปยังด้านหน้าสุสานหลวงทันที!

“เช่นกัน หากเจ้าต้องการจะเดินออกมาจากบริเวณด้านใน เพียงกดใช้แผ่นหยก ข้าก็จะสามารถเคลื่อนย้ายเจ้ากลับมาที่เดิมได้ทันทีเช่นกัน!”

“เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า ข้านี่พึ่งได้ใช่หรือไม่!” เซี่ยไห่หยางพูดต่อไปอย่างคึกคัก ส่วนของหวังเป่าเล่อนั้นไม่ได้ตอบคำ แต่กลับครุ่นคิดอย่างหนัก

ชายหนุ่มวิเคราะห์สถานการณ์ในใจอย่างถ้วนถี่ หลังจากผ่านไปร่วมครึ่งชั่วโมง ประกายแสงก็สว่างวาบขึ้นระหว่างดวงตาทั้งสองของหวังเป่าเล่อ

“เคลื่อนย้ายเดี๋ยวนี้!”

“ได้เลย!” เซี่ยไห่หยางหัวเราะก่อนจะใช้กระบวนท่าปริศนาออกมา ในอีกอึดใจเดียว ก็มีแสงสว่างเจิดจ้าระเบิดออกมาจากแผ่นหยกในมือของหวังเป่าเล่อ แสงนั้นกระจายออกไปและห้อมล้อมกายหวังเป่าเล่อเอาไว้ในพริบตาก่อนจะจางหายไป

ดูราวกับว่าเป็นช่วงเวลาครู่เดียวแต่ก็เหมือนผ่านไปเนิ่นนาน เมื่อสายตาของหวังเป่าเล่อกลับมามองเห็นอีกครั้ง เขาก็มาปรากฏตัวอยู่ที่โลกใบใหม่แล้ว!

ท้องฟ้าเป็นสีแสด และแผ่นดินก็มีสีดำสนิท ห่างออกไป มีภูเขาและพื้นที่เขียวขจีมากมาย แต่ก็ยังมีสายลมสีดำที่พัดโชยเอากลิ่นสาปสางของความตายมาพร้อมกัน สายลมนั้นพัดมาจากทุกทิศทุกทางก่อนจะกรรโชกผ่านร่างของหนุ่มไป จากนั้นก็สลายตัวไปสิ้น ทิ้งไว้เพียงความรู้สึกแปลกแปร่งและความหนาวเย็น!

ห่างออกไป มีเสาสูงใหญ่จำนวนหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ เสาเหล่านั้นดูราวกับว่ากำลังค้ำยันท้องฟ้าเอาไว้ไม่ให้ถล่มลงมา มีสายฟ้าสีดำสนิทที่ไหลไปมาอยู่บนเสา ส่งเสียงครั่นครืนพลางสั่นคลอนวิญญาณของสรรพชีวิตที่มองไปเห็น

สถานที่นั้น…ไม่ใช่ดาวเคราะห์ของกองทหารผ่าวิญญาณอีกต่อไป ทว่า…เป็นดาวเอกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ที่นี่คือสุสานหลวง อาณาเขตหวงห้ามภายในดินแดนปิดตายของราชวงศ์!

เมื่อมองไปยังสิ่งรอบข้าง หวังเป่าเล่อก็สูดลมหายใจลึก ชายหนุ่มรู้สึกประทับใจพลังของเซี่ยไห่หยางอยู่ลึกๆ

ข้าจะทิ้งขว้างผลึกสีชาดสามพันชิ้นไม่ได้ โอกาสนี้…ข้าจะคว้ามันเอาไว้ให้จงได้! เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้ตัวว่าเวลามีจำกัด ชายหนุ่มพลิกกายโผทะยานไปอย่างไม่รอช้า เมื่อแผนที่ปรากฏขึ้นมาในใจ เขาก็เร่งความเร็วมุ่งหน้าไปยังประตูหลักของสุสานหลวงในทันที!

เมื่อหวังเป่าเล่อพุ่งทะยานออกไปนั้น จู่ๆ ชายหนุ่มก็หรี่ตาลง เงาของเขาหยุดเคลื่อนไหว หลังจากที่ใช้ประสาทสัมผัสลองควานไปรอบกาย ความเคลือบแคลงสงสัยก็ปรากฏขึ้นในดวงตา

มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล!

………………………

หากร่างจริงของเขาอยู่ที่นั่นด้วย หวังเป่าเล่อก็อาจบอกว่าตนไม่กล้า แต่ร่างสารัตถะของเขาแทบจะไม่ได้รับผลจากพิษใดๆ เลย ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ว่าไม่มีสิ่งใดสามารถทำให้ร่างสารัตถะถูกพิษได้ แต่ยาพิษที่จะใช้กับชายหนุ่มได้ผลนั้นมีราคาแพงเสียจนคงมีไม่กี่คนที่กล้านำมาใช้วางยาเขาเปล่าๆ ปลี้ๆ

ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงเลิกคิ้วขึ้นและหัวเราะคิกคักออกมา ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นวางมาดและแผ่รัศมีความโอบอ้อมอารี ทำทีเป็นว่าไม่เกรงกลัวความตายสักเท่าใด หรือก็คือ แสร้งทำเป็นว่าไม่รู้จักความตายนั่นเอง

“หลงหนานจื่อต้องอยากร่ำสุรากับสหายร่วมสำนักเต๋าคู่หลิงแน่นอน!” ไม่ทันขาดคำ หวังเป่าเล่อก็กระโจนพลิกกายก่อนจะแปลงเป็นสายรุ้งทอดยาว ชายหนุ่มพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสูงผ่านชั้นสะเก็ดดาวชั้นแล้วชั้นเล่า เขาไม่แม้กระทั่งจะปรายตามองเหล่าผู้ฝึกตนแห่งกองทหารวงแหวนกาลเวลาที่ต่างพากันจับจ้องมองมาด้วยสายตาดุร้าย หวังเป่าเล่อเดินทางผ่านผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะห้าคน กระทั่งมาถึงสะเก็ดดาวชิ้นที่ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงนั่งอยู่

ชายหนุ่มไม่ได้กระมิดกระเมี้ยนแม้แต่น้อย เขาเลือกที่จะนั่งลงประจันหน้ากับศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงทันทีที่มาถึง หวังเป่าเล่อหยิบจอกสุราบนโต๊ะขึ้น เอียงคอมอง ก่อนจะกระดกสุราลงคอไปหมด เขาไม่ได้ใส่ใจรสชาติของสุราแต่อย่างใด แต่กลับเอ่ยปากชมเปาะขึ้นมาทันที

“เหล้าดีนี่!”

ทันทีที่ชายหนุ่มพูดจบ แววตาของศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามหวังเป่าเล่อก็ส่องประกายขึ้นมา เขาจ้องมองหวังเป่าเล่อหัวจรดเท้า ก่อนจะวางกระดูกอสูรในมือลง หยิบจอกสุราของตนขึ้น ไม่อนาทรกับมือทั้งสองข้างที่มันปลาบ และดื่มเข้าไปจนหมด จากนั้นก็พูดออกมาอย่างนิ่งเฉย

“หลงหนานจื่อ ด้วยระดับปราณขั้นแสร้งอมตะของเจ้า ยังบังอาจมาท้าทายกองทหารของข้า ที่อยู่ในอันดับสองอย่างนั้นหรือ เจ้าเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร”

“หากไม่ลองข้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า” หวังเป่าเล่อหัวเราะ ก่อนจะหยิบน้ำเต้าที่บรรจุสุราไว้ขึ้นมา แล้วรินให้ตนเองอีกจอก

“หากเจ้าแพ้เล่า” สีหน้าของศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงเรียบเฉยขณะเริ่มถามคำถามต่อไป

“ข้าคงไม่แพ้หรอก” หวังเป่าเล่อกระดกสุราเข้าไปจนหมดแล้วแลบลิ้นเลียริมฝีปาก คำสรรเสริญรสสุราก่อนหน้านี้ของชายหนุ่มนั้นไม่ผิดนัก รสชาติของมันเข้าขั้นยอดเยี่ยมทีเดียว

“หากเจ้าชนะเล่า” ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงถามอีกครั้ง

“หลังจากที่ข้าชนะ ก็คงต้องวางแผนไปท้าทายกองทหารอันดับหนึ่งต่อไป” หวังเป่าเล่อกะพริบตาก่อนจะเบนสายตาไปมองหน้าศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิง

ผู้ถูกจ้องมองหรี่ตาลง หลังจากที่มองหวังเป่าเล่ออยู่ชั่วอึดใจ คู่หลิงก็หัวเราะขึ้นมาก่อนจะยกมือขวาขึ้น ในทันใดนั้น พลังปราณทั้งหมดของเขาก็ระเบิดอออกมา ระดับปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางแพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน พลังปราณของผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะทั้งห้าที่อยู่รอบกายเขาก็ระเบิดออกมาเช่นกัน ผู้ฝึกตนแห่งกองทหารวงแหวนกาลเวลานับแสนที่รายล้อมอยู่ก็ทำเช่นเดียวกัน พลังของพวกเขาทำให้รู้สึกเหมือนว่ามีพายุใหญ่พัดผ่านจักรวาลรอบบริเวณสะเก็ดดาวนั้น

หากมองจากที่ไกลๆ ก็อาจสามารถมองเห็นพายุหมุนขนาดมหึมาที่ก่อตัวขึ้นในบริเวณนั้นได้ มันมีรูปร่างคล้ายปากของอสูรที่หมายกลืนกินหวังเป่าเล่อเข้าไปทั้งตัว ประกายเย็นเยียบสะท้อนขึ้นมาในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ขณะที่ผลึกสีชาดหมุนวนอยู่ไปมา คลื่นรบกวนขั้นจิตวิญญาณอมตะก็พุ่งทะยานออกมา รัศมีกดดันกระจายออกมาตามกัน แม้จะไม่รุนแรงเท่าพลังของศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิง แต่ก็รุนแรงพอที่จะทำให้รู้สึกว่า ชายหนุ่มสามารถรับมือคู่หลิงได้อย่างสมน้ำสมเนื้อแน่นอน!

ในแง่หนึ่ง ความรู้สึกนั้นก่อขึ้นมาจากประสบการณ์และความมั่นใจของหวังเป่าเล่อ ในอีกแง่ ชายหนุ่มก็มีเปลวเพลิงดารานิรันดร์อยู่ในกาย ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงสัมผัสถึงความมั่นใจนั้นได้ทันที ก่อนจะมีประกายเล็กๆ สะท้อนขึ้นในแววตา หลังจากพินิจพิจารณาหวังเป่าเล่ออย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาจึงลดมือขวาที่ยกขึ้นมาเมื่อครู่ลง

ขณะที่มือขวาของศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงค่อยๆ ลดระดับลงนั้น คลื่นพลังปราณรบกวนจากผู้ฝึกตนแห่งกองทหารวงแหวนกาลเวลาโดยรอบก็สลายไป เฉกเช่นเดียวกับพลังจากขั้นแสร้งอมตะทั้งห้า บรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่อันตรธานไปในพริบตา

ฉากนี้ทำให้นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายลุ่มลึก ชายหนุ่มเก็บงำความเคลือบแคลงเอาไว้ในใจ ก่อนจะเก็บเกราะจักรพรรดิกลับไปแล้วนั่งอยู่ตรงนั้นต่อ พลางจ้องหน้าศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงอยู่อย่างนั้น

ทั้งคู่ต่างก็จ้องหน้ากันข้ามโต๊ะอยู่เป็นเวลาราวสามลมหายใจ หลังจากนั้น ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงก็ละสายตาไปก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างเรียบเฉย

“เจ้าชอบสุราของข้าหรือไม่”

“ไม่เลวเลย” หวังเป่าเล่อดูเหมือนกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ ขณะที่ตอบออกมาพร้อมรอยยิ้ม

“ข้าจะให้สุราเจ้าไปเลยก็แล้วกัน กองทหารวงแหวนกาลเวลาขอยอมแพ้!” ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงผุดลุกขึ้นยืนก่อนจะเงยศีรษะมองจักรวาล น้ำเสียงที่เขาพูดนั้นดังราวกับเป็นฟ้าร้องที่เบียดชำแรกเข้าไปในความว่างเปล่า หลังจากพูดจบ เขาก็ระเบิดเสียงหัวเราะ ก่อนจะหมุนกายทะยานออกจากสะเก็ดดาวไป ผู้ฝึกตนแห่งกองทหารวงแหวนกาลเวลาและเรือบินรบทั้งหมดต่างพากันล่าถอย บินตามศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงและเร่งความเร็วจากไปในหมู่สะเก็ดดาว

ในไม่ช้า ก็ไม่เหลือผู้ฝึกตนในบริเวณนั้นอีกนอกจากหวังเป่าเล่อเพียงผู้เดียว

“น่าสนใจนี่” ชายหนุ่มนั่งอยู่เช่นนั้น หรี่ตาลง ก่อนจะหยิบน้ำเต้าขึ้นมา หลังจากที่ดื่มของเหลวในน้ำเต้าเข้าไปอึกใหญ่ ชายหนุ่มก็รู้แน่แก่ใจ ในความเป็นจริง เมื่อหวังเป่าเล่อเข้าไปถึงบริเวณนั้น ชายหนุ่มก็พอจะคาดเดาได้แล้วในใจ หลังจากเหตุการณ์กับศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิง เขาก็ยิ่งแน่ใจว่าการคาดเดาของเขานั้นถูกต้อง

ชายหนุ่มคาดเดาไว้ว่า…ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงไม่ต้องการต่อสู้!

เฉกเช่นเดียวกับเทพธิดาหลิงโยวและผู้บัญชาการกองทัพอันดับสี่ พวกเขาต่างเลือกจะช่วยหวังเป่าเล่อ มากน้อยแตกต่างกันไป โดยมีเป้าหมายคือการรอให้กองทัพอื่นอ่อนแรง แม้ว่าเป้าหมายของทุกคนคือกองทัพอันดับหนึ่ง แต่ก็ย่อมเป็นการดีหากกองทัพอันดับสองจะอยู่ในสภาพอ่อนล้าเช่นกัน

ฝ่ายศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิง การที่เขาเป็นถึงผู้บัญชาการกองทัพแถมยังบรรลุถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางได้ แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่คนโง่เขลา เห็นได้ชัดว่า ตัวเขาเองก็มีความมักใหญ่ใฝ่สูงอยู่เช่นกัน ดังนั้น เมื่อเห็นระดับปราณและพลังการยุทธ์ของหวังเป่าเล่อ ประกอบกับข้อมูลที่รับรู้อยู่แล้ว ผู้บัญชาการกองทัพอันดับสองจึงตัดสินใจยอมแพ้ เมื่อเล็งเห็นว่าหวังเป่าเล่อมีความสามารถที่จะต่อกรกับกองทหารอันดับสองได้จริงดังว่า

สำหรับเขาแล้ว การยอมรับความพ่ายแพ้ไม่ใช่เรื่องน่าอาย เป้าหมายของเขานั้นเรียบง่ายนัก จนไม่อาจเรียกว่าเป็นแผนการชั่วร้ายได้เลย มันควรเรียกว่าเป็นกลยุทธ์อันเฉียบคมมากกว่า เขาต้องการจะเห็นการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายระหว่างหวังเป่าเล่อและกองทหารอันดับหนึ่ง!

ด้วยวิธีนี้ ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงก็จะได้รับโอกาสงามที่อาจจะมีเพียงครั้งเดียวในชีวิต!

และเพื่อได้มาซึ่งโอกาสนั้น ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงจึงไม่สนใจเลยว่าจะชนะหรือแพ้ในวันนี้

เป็นจิ้งจอกเฒ่าเหมือนกันทุกคนจริงๆ หลังจากที่กำจัดสุราในน้ำเต้าจนหมดเรียบ หวังเป่าเล่อก็ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพลิกกายแล้วพุ่งทะยานผ่านชั้นสะเก็ดดาวออกไป ขณะกำลังกลับไปยังกองทหารผ่าวิญญาณของเขา ก่อนที่จะย่างกรายเข้าไปยังประตูกระแสวนเคลื่อนย้ายนั้น หวังเป่าเล่อก็หยุดชะงัก ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองออกไปยังจักรวาลที่อยู่ไกลห่าง

ทันทีที่เขามองออกไปนั้น เสียงลั่นครั่นครืนก็ดังขึ้นในอวกาศ หัตถ์สองข้างที่เหมือนจะเดินทางมาจากต่างมิติพลันปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า หัตถ์ทั้งสองนั้นจับความว่างเปล่าที่รายล้อมอยู่แล้วดึงแยกออก ขณะที่บังเกิดเสียงดังลั่นเขย่าสวรรค์ รอยฉีกขนาดมหึมาก็เผยออกมา

ภายในรอยฉีกมีร่างเงาขนาดมโหฬารที่ฉาบคลุมไปด้วยสีดำสนิท ร่างเงานั้นมีหนามแหลมปกคลุมทั่วร่างแถมยังแผ่รัศมีน่าเกรงขามออกมาไม่หยุดหย่อน พลังแทรกแซงของพลังปราณเกือบเทียบเท่าขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลาง ร่างเงานั้นก็คือ…อี้เหนียนจื่อแห่งกองทหารอันดับหนึ่งนั่นเอง!

เบื้องหลังเขามีกระแสพลังรบกวนอีกเก้าสาย มีทั้งบุรุษและสตรี แถมทุกคนยังสวมชุดเกราะที่แข็งแกร่ง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่เรือบินรบเวท แต่พลังยุทธ์ของแต่ละคนก็ล้วนกล้าแข็ง กระแสพลังรบกวนทั้งเก้านั้นต่างก็เป็นขั้นแสร้งอมตะทั้งสิ้น แน่นอนว่า พวกเขาก็คือนักรบอมตะของกองทหารอันดับหนึ่งนั่นเอง!

เบื้องหลังของพวกเขามีเรือบินรบจำนวนมหาศาลเรียงแถวกันเต็มเส้นขอบฟ้า ความยิ่งใหญ่นั้นมากล้นเพียงพอที่จะเขย่าวิญญาณของใครก็ตามที่ได้พบเห็น ยิ่งไปกว่านั้น ในจำนวนเรือบินรบมหาศาลนั้น มีเรือบินรบเวทอยู่ห้าลำ ที่กำลังแผ่คลื่นรบกวนขั้นจิตวิญญาณอมตะออกมา!

เรือบินรบเวททั้งห้าทำเอานัยน์ตาของหวังเป่าเล่อหดเล็กลง

นอกจากนั้นแล้ว…ด้านหลังไปอีก ยังมีวังขนาดใหญ่ลอยอยู่ แม้จะมองไม่เห็นผู้คนด้านใน แต่จากรัศมีอันสั่นคลอนสวรรค์บีบคั้นจักรวาลที่แผ่กระจายผ่านบรรดาผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งหมดจากภายในวัง ก็ทำให้เดาตัวตนของผู้ที่อยู่ภายในได้ไม่ยาก

แน่นอนว่า ผู้ที่อยู่ภายในก็คือ… ผู้บัญชาการกองทหารอันดับที่หนึ่ง กูโม่นั่นเอง! บุรุษผู้นี้เป็นรองเพียงปรมาจารย์มหาทัณฑ์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เท่านั้นและอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์!

“หลงหนานจื่อ ข้าให้โอกาสเจ้าเลือกเข้าร่วมกองทหารอันดับหนึ่งอีกครั้ง” ในขณะที่จิตวิญญาณของหวังเป่าเล่อสั่นไหว อี้เหนียนจื่อก็พูดอย่างใจเย็น เสียงของเขาสะท้อนก้องไปทั่วผ่านรอยแยกจักรวาลนั้น

มันไม่ใช่คำเชิญ แต่เป็นคำขู่ ไม่ใช่คำถาม แต่เป็นคำเตือน!

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไป ชายหนุ่มไม่ได้สนใจอี้หนานจื่อและผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะทั้งเก้าเท่าใดนัก แต่เรือบินรบเวททั้งห้าทำเอาชายหนุ่มหนักใจ ไหนจะยังมีกูโม่อีก…

“ไม่ตอบอย่างนั้นหรือ เอาอย่างนั้นก็ได้ ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้งหนึ่ง เจ้าไม่ชอบขี้หน้าข้าไม่ใช่หรือ ข้ารอให้เจ้ามาท้าสู้อยู่นะ!” อี้หนานจื่อหรี่ตาก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้ง

หวังเป่าเล่อเงยศีรษะขึ้นจ้องมองอี้หนานจื่ออย่างสงบ ชายหนุ่มมองเห็นกองทหารที่เตรียมพร้อมอยู่ภายในรอยแยก เขาไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใดขณะที่หันหลัง ก่อนจะก้าวเข้าไปในประตูกระแสวนเคลื่อนย้ายและอันตรธานไปในพริบตา

เมื่อหวังเป่าเล่อหายตัวไป นัยน์ตาของอี้หนานจื่อก็มีความเสียดายปรากฏขึ้นวูบหนึ่ง หากหวังเป่าเล่อท้าเขาสู้ในตอนนั้น ทุกๆ อย่างก็คงเข้าทางพอดิบพอดี เพราะในแง่หนึ่ง การท้าเขาต่อสู้ก็นับเป็นการท้าทายกองทหารอันดับหนึ่งด้วยเช่นกัน

“ไม่เลว เขาไม่ใช่คนโง่ เขามองเห็นปัญหาทะลุปรุโปร่ง” อี้หนานจื่อพึมพำ ก่อนจะหันกลับไปคารวะอย่างนอบน้อมยังทิศทางของปราสาทที่ลอยอยู่ห่างออกไป หลังจากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นโบก รอยฉีกในอวกาศพลันปิดตัวกลับเข้าไป จักรวาลกลับเข้าสู่สภาวะปกติ

ในเวลาเดียวกันนั้น หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งเพิ่งเคลื่อนย้ายกลับมาถึงกองทหารผ่าวิญญาณ ก็มีสีหน้าวิตกกังวลสุดขีดทันทีที่ก้าวออกมา ชายหนุ่มยืนนิ่งงันอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน หลังจากนั้นจึงมีความปลงตกปรากฏขึ้นในแววตา เขาหยิบแผ่นหยกสื่อสารที่เซี่ยไห่หยางมอบไว้ให้ขึ้นมาส่งข้อความเสียงไป

“สหายร่วมสำนักเต๋าไห่หยาง เรื่องข่าวที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้านี้ หากว่ามันมีโอกาสจะช่วยให้ข้าบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะจริงๆ แล้วละก็…ข้าเอาด้วย!”

………………….

ปรมาจารย์ขั้นดาวพระเคราะห์เช่นนั้นหรือ…ในห้วงจักรพิภพ หวังเป่าเล่อนั่งขัดสมาธิอยู่ในเรือบินรบเวทของเขาหลังจากที่ถอดเกราะมหาจักรพรรดิออก หลังจากที่นึกย้อนไปถึงฉากสถานการณ์ก่อนหน้า นัยน์ตาของชายหนุ่มก็ค่อยๆ หรี่ลง

ข้ายังต้องรออีกสักหน่อยจึงจะมีพลังพอสู้กับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงเปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายและฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ที่เขาหล่อเลี้ยงอยู่ แต่ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่หลังจากนั่งไปสักพัก

เขารู้ดีว่าไม่ว่าเขาจะหล่อเลี้ยงฝ่ามือนั้นดีเพียงใด มันก็จะมอบพลังให้เขาได้มากที่สุดเพียงแค่เสี้ยวหนึ่งของพลังระดับดาวพระเคราะห์เท่านั้น หวังเป่าเล่ออาจใช้มันเพื่อหลบหนีหรือรับการโจมตีจากผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้เพียงไม่กี่ครั้ง แต่หากต้องการสังหารคู่ต่อสู้ หรือต่อสู้กันได้อย่างสูสี ก็คงจะเป็นการยากยิ่ง

นอกเสียจาก…ข้าจะหลอมกระดูกมือของหลี่อู๋เฉินได้…นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ตอนนี้กระดูกมือของหลี่อู๋เฉินในชาติก่อนผสานรวมกับเกราะจักรพรรดิของเขาอยู่ ชายหนุ่มสามารถใช้กระดูกนั้นเป็นไพ่ตายได้ เพราะอย่างไรเสีย มันก็มีระดับพลังใกล้เคียงอาวุธเทพมากไปแล้ว

ทว่าหวังเป่าเล่อได้ทดลองแล้วระหว่างที่เดินทางกลับมา แต่เปลวเพลิงดารานิรันดร์ของเขายังไม่มั่นคงแถมยังน้อยเกินไป มันอาจใช้หลอมฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ได้ แต่เป็นการยากยิ่งที่จะใช้เปลวเพลิงเดียวกันนี้ในการหลอมกระดูกมือของหลี่อู๋เฉินจากชาติปางก่อนให้ปลดปล่อยพลังดั้งเดิมออกมา

เท่านี้ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าพลังปราณของหลี่อู๋เฉินในชาติก่อนนั้น…ต้องอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์เป็นอย่างต่ำ หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจก่อนจะเก็บความคิดการหลอมกระดูกมือของหลี่อู๋เฉินเอาไว้ ชายหนุ่มปิดตาลงทำสมาธิ พลางคิดถึงแผนการณ์ของเขาเมื่อกลับไปถึงสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์

เวลาผ่านไปเช่นนั้นอย่างแช่มช้า หลังจากนั้นสองวัน เรือบินรบเวทของหวังเป่าเล่อที่ไม่พบอุปสรรคใดๆ ก็เดินทางกลับมาถึงอาณาเขตของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ชายหนุ่มไม่ได้แวะไปคำนับปรมาจารย์มหาทัณฑ์ก่อน แต่มุ่งหน้ากลับไปยังกองทหารผ่าวิญญาณเลยแทน

เมื่อหวังเป่าเล่อจากไปในตอนแรก เขาได้ทิ้งหุ่นเชิดเอาไว้มากมาย พร้อมออกคำสั่งให้พวกมันสร้างฐานที่มั่นให้เขา ดังนั้นเมื่อเขากลับมาถึง ความรกร้างว่างเปล่าในตอนแรกจึงหากไป และมีสิ่งปลูกสร้างปกคลุมอยู่ทั่วเฉกเช่นเดียวกับที่ฐานที่มั่นของกองทัพควรจะมี อีกทั้งชายหนุ่มยังมองเห็นหุ่นเชิดจำนวนมหาศาลที่ยังง่วนอยู่กับการก่อสร้าง

ในขณะเดียวกัน จำนวนเรือบินรบที่ถูกหลอมขึ้นมาในช่วงนี้ก็พุ่งเฉียดหมื่นลำ ทำให้ฐานที่มั่นของหวังเป่าเล่อขณะนี้ดูทรงพลังยิ่ง

แน่นอนว่า ระดับของเรือบินรบนั้นแตกต่างกันออกไป เพราะอย่างไรเสีย วัตถุดิบที่มีก็ยังขาดแคลน ส่งผลให้ต้องใช้วัตถุดิบระดับต่ำลงมาเพื่อหลอมเรือบินรบ แต่ถึงอย่างนั้น หวังเป่าเล่อก็ยังพึงพอใจไม่ใช่น้อย

ดังนั้น หลังจากที่ตรวจตราเสร็จ หวังเป่าเล่อก็เมินเจ้าอู๋น้อยและเจ้าลาที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ก่อนจะไปนั่งขัดสมาธิอยู่คนเดียวในห้องลับ หลังจากที่เรียบเรียงความคิดเสร็จสรรพ หวังเป่าเล่อก็ไม่เสียเวลา รีบยกมือขวาขึ้นมาทันที ก่อนจะโบกเรียกแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง ทันทีที่แผ่นหยกปรากฏขึ้น ชายหนุ่มก็รีบส่งข้อความแจ้งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เพื่อท้าสู้กับกองทหารระดับสูงทันที!

“กองทหารผ่าวิญญาณต้องการท้าสู้กับกองทหารอันดับสอง!”

หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าคงเป็นเรื่องยากที่จะท้าสู้กับกองทหารอันดับหนึ่งของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และเอาชนะได้ และก่อนหน้านี้ผู้บัญชาการของกองทหารอันดับสี่ก็ปฏิบัติกับเขาอย่างดีงาม หนำซ้ำหวังเป่าเล่อย่อมไม่ท้าสู้กับกองทัพของเทพธิดาหลิงโยวที่อยู่อันดับห้าแน่

ดังนั้นจึงเหลือเพียงกองทหารอันดับสามและสองเท่านั้น ชายหนุ่มคงจะเสียหายบ้างจากการท้าสู้นี้ แต่หวังเป่าเล่อไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ จึงตัดสินใจท้าสู้กับกองทหารอันดับสองทันที

หลังจากที่ชำระค่าใช้จ่ายเสร็จเรียบร้อย ก็ยังต้องจัดการเอกสารการสมัครเพื่อท้าประลองอีกระยะหนึ่งเพราะมีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเข้ามาเกี่ยวข้อง ขณะที่หวังเป่าเล่อเฝ้ารอผลลัพธ์อยู่นั่นเอง ข่าวเรื่องการต่อสู้ระหว่างเขากับผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำก็ค่อยๆ แพร่ออกไปและสั่นคลอนบรรยากาศภายนอกอย่างช้าๆ

เป็นการยากยิ่งที่จะปกปิดข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวการปะทะกันครั้งนั้น เพราะอย่างไรเสียก็มีผู้ฝึกตนจากขั้วการเมืองอื่นที่เห็นการต่อสู้ในอวกาศไกลโพ้น ในเวลาเดียวกัน คลื่นพลังแทรกแซงที่เกิดขึ้นจากการต่อสู้ก็ยิ่งใหญ่มาก การต่อสู้กันระหว่างผู้ที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะย่อมดึงดูดความสนใจของคนอื่นๆ เป็นธรรมดา โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าพลังปราณของอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกถึงกับเสียหาย ทำให้ข่าวที่ออกมายิ่งน่าตื่นตาตื่นใจเข้าไปอีก

“หลงหนานจื่อกลับมาอย่างยิ่งใหญ่! เขาทำลายพลังปราณของรองผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำเสียยับเยิน!”

“หลงหนานจื่อไปพบโชคก้อนใหญ่ในต่างแดน ทำให้พลังปราณรุดหน้าไปไกลลิบ จนบรรลุจากขั้นเชื่อมวิญญาณไปเป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะเสียเฉยๆ!”

“สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์มีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเพิ่มอีกคนแล้ว!”

“พอหลงหนานจื่อกลับมา เขาก็เข้าไปสู้กับสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ แถมยังได้เปรียบอีกด้วย!”

ข้อมูลต่างๆ แพร่กระจายออกไปอย่างช้าๆ ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แน่นอนว่า ต้องมีผู้ฝึกตนในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ได้ยินข่าว อันที่จริงแล้ว สิ่งที่พวกเขารู้นั้นยิ่งแม่นยำกว่าข่าวลือจากโลกภายนอกเสียอีก

เหตุการณ์นั้นทำเอาบรรดาผู้ฝึกตนจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ถึงกับตัวสั่น ยิ่งไปกว่านั้น ภายในสำนัก ข่าวเรื่องกองทหารผ่าวิญญาณไปท้าสู้กับกองทหารอันดับสองก็แพร่กระจายออกไป ทำให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เริ่มคึกคักขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

ไม่เพียงผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นต่ำกว่าจิตวิญญาณอมตะเท่านั้นที่สนใจ ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเองก็เริ่มจับตามองข่าวนี้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น เทพธิดาหลิงโยวเองก็เดินทางออกจากดาวเคราะห์ของนางแล้วมุ่งหน้าไปยังกองทหารผ่าวิญญาณเพื่อพบหวังเป่าเล่อทันทีที่ทำได้

พวกเขาพบกันเพียงสามสิบนาทีเท่านั้น เมื่อเทพธิดาหลิงโยวจากมา กองทหารลำดับที่ห้าของนางก็ประกาศออกไปทันทีว่าเทพธิดาหลิงโยวจะขอเป็นพาหนะให้กองทหารผ่าวิญญาณด้วยความตั้งใจของนางเอง สถานะของหวังเป่าเล่อจึงเทียบเท่ากับเทพธิดาหลิงโยวในกองทหารของนางเอง ในเวลาเดียวกัน นางก็ประกาศอีกว่ากองทหารของนางได้สร้างความสัมพันธ์อันลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับกองทหารผ่าวิญญาณและจะขอเคลื่อนไหวไปพร้อมๆ กันนับแต่นี้!

และหลังจากที่เทพธิดาหลิงโยวจากไป ผู้บัญชาการของกองทหารอันดับสี่ ผู้ที่เคยนอนหลับใหลอยู่บนด้วงเกราะดำใกล้เขตชายแดนและช่วยหวังเป่าเล่อไว้ก่อนหน้านี้ ก็ระเบิดเสียงหัวเราะก่อนจะครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หลังจากนั้น เขาก็จัดแจงให้ลูกน้องนำของขวัญชิ้นใหญ่ไปมอบให้กองทหารผ่าวิญญาณ

แค่นั้นก็แสดงความเป็นมิตรของเขาได้เป็นอย่างดี!

ทั้งหมดนี้ทำให้ชื่อหลงหนานจื่อเป็นที่กล่าวขวัญถึงไปทั่วอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ในขณะนั้น หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากทุกๆ ขั้วอำนาจ ก็กำลังถือแผ่นหยกและส่งผู้ฝึกตนคนหนึ่งออกไปยังอวกาศ

ผู้ที่ชายหนุ่มกำลังน้อมส่งไปนั้น คือรองผู้บัญชาการกองทหารอันดับสี่ ผู้อยู่ในขั้นแสร้งอมตะและมีพลังปราณที่ยอดเยี่ยม

แผ่นหยกนั้นเป็นของขวัญที่ผู้บัญชาการกองทหารอันดับสี่ส่งมาให้ ภายในจุไปด้วยข้อมูลโดยละเอียดของกองทหารอันดับสอง

กองทหารวงแหวนกาลเวลา…ชื่อนี้โดดเด่นดีแท้ หลังจากที่หวังเป่าเล่อตรวจสอบแผ่นหยกและเปรียบเทียบข้อมูลกับสิ่งที่เทพธิดาหลิงโยวบอกและสิ่งที่เขารู้อยู่ก่อนแล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มรู้ได้รางๆ ว่ากองทหารอันดับสองแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นเป็นเช่นไร

ผู้บัญชาการกองทหารอันดับสอง ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงมีตบะอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลาง และมีผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะเป็นลูกน้องถึงห้าคน ยิ่งไปกว่านั้น วิธีการพัฒนาของพวกเขาก็แตกต่างจากกองทหารอันดับหนึ่ง กองทหารวงแหวนกาลเวลาไม่มีหน่วยย่อย แต่รวมกำลังพลทั้งหมดเอาไว้ในกองทัพใหญ่! เมื่อคิดไปพลางเทียบข้อดีข้อเสียไป หวังเป่าเล่อก็ได้บทวิเคราะห์เล็กๆ เอาไว้ในใจ

เป้าหมายหลักของการต่อสู้นี้ไม่ใช่ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงแต่คือผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะทั้งห้า! หวังเป่าเล่อหลุบศีรษะลงมองที่อุ้งมือ เมื่อชายหนุ่มพลิกฝ่ามือครั้งหนึ่ง แหวนห้าวงมาปรากฏอยู่บนนั้น

แหวนทั้งห้าวงมีสีแตกต่างกัน เทพธิดาหลิงโยวทิ้งไว้ให้เขาเมื่อนางมาเยือน เมื่อชายหนุ่มสังเวยแหวนทั้งห้านี้ เขาก็จะสามารถผนึกผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะทั้งห้าไว้ได้สองชั่วโมง!

น่าสนใจดีนี่ ดูเหมือนว่ายังมีผู้ที่เกลียดกองทหารลำดับหนึ่งอยู่มากพอดู เทพธิดาหลิงโยวก็ให้แหวนปิดผนึกกับข้า ขณะที่กองทหารอันดับสี่ก็ส่งข้อมูลเบื้องลึกมาให้ แม้ว่าทั้งหมดนี้จะแสดงความใจดี แต่พวกเขาก็ทำเพราะรู้ดีว่าเป้าหมายของข้าคือกองทหารอันดับหนึ่ง พวกเขาต้องการให้ข้าไปสู้ให้กองทหารอันดับหนึ่งอ่อนกำลังลง ประกายกล้าฉายชัดอยู่ในแววตาของหวังเป่าเล่อ ความชาญฉลาดของชายหนุ่มทำให้เขาอ่านลูกไม้นี้ออกได้ไม่ยาก

เอาอย่างนั้นก็ได้ พวกเราทุกคนต่างก็มีเป้าหมายของตนเอง! หวังเป่าเล่อฉีกยิ้ม ชายหนุ่มเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงแหงนคอขึ้นมองฟ้า ขณะที่แหงนหน้าขึ้นนั้น ท้องฟ้าก็ส่งเสียงครั่นครืนสนั่น ก่อนจะมีหลุมดำขนาดมหึมาปรากฏออกมาจากสรวงสวรรค์ ดูคล้ายอุโมงค์ แล้วจึงมีเสียงทุ้มต่ำดังลั่นออกมา กระจายไปทั่วดาวเคราะห์ที่กองทหารผ่าวิญญาณตั้งอยู่

“คำท้าต่อสู้จากกองทหารผ่าวิญญาณถึงกองทหารวงแหวนกาลเวลาได้รับการรับรองแล้ว การต่อสู้จะเริ่มขึ้นในสิบลมหายใจ!”

เร็วขนาดนั้นเชียว หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนจะพุ่งทะยานออกไปด้วยการหมุนตัวเพียงครั้งเดียว ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้น เกราะมหาจักรพรรดิพุ่งเข้าสวมกายเขาเอาไว้ ก่อนที่พลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะจะปะทุออกมา เงาร่างของเขาไม่ได้หยุดนิ่ง แต่เคลื่อนไหวพุ่งตรงเข้าไปยังหลุมดำบนท้องฟ้าราวกับเป็นดาวหาง!

เขาพุ่งเข้าไปอย่างรวดเร็วก่อนจะหายไปในพริบตา

เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็มาอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ ชายหนุ่มมาปรากฏตัวอยู่บนพื้นที่รกร้างที่เต็มไปด้วยสะเก็ดดาว

มีสะเก็ดดาวอยู่ดาษดื่นทั่วบริเวณ แถมยังกระจายออกไปรอบนอกอีกด้วย หากมองจากที่ไกลๆ ก็ดูคล้ายกับจะเป็นทะเลสะเก็ดดาว ที่นี่คือฐานที่มั่นของกองทหารวงแหวนกาลเวลา บนสะเก็ดดาวแต่ละชิ้นก็มีฐานที่มั่นเล็กๆ ตั้งอยู่ และในตอนนั้น ผู้ฝึกตนที่สวมชุดสีดำจำนวนมากก็กำลังยืนจ้องหวังเป่าเล่อเขม็งอย่างเยือกเย็น

เมื่อได้เห็นสถานที่นี่ แค่จำนวนผู้ฝึกตนก็นับไม่ถ้วนแล้ว ไหนจะเรือบินรบที่ลอยอยู่ระหว่างสะเก็ดดาวอีก ราวกับว่ามันเป็นเส้นเขตแดนที่ปิดผนึกทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ก็ไม่ปาน!

โดยเฉพาะในบรรดาผู้ฝึกตนจำนวนนับไม่ถ้วน มีรัศมีห้าสายที่สั่นคลอนทั้งสวรรค์แล้วพื้นพสุธาราวกับเป็นดวงจันทร์ทั้งห้ารวมอยู่ด้วย รัศมีเหล่านั้นคือพลังรบกวนระดับแสร้งอมตะ ซึ่งมีรัศมีการทำลายล้างพอๆ กับพลังอันเหลือล้น และบนสะเก็ดดาวตรงกลางระหว่างรัศมีทั้งห้านั้น ก็มีชายวัยกลางคนนั่งขัดสมาธิอยู่ เขาสวมชุดสีขาวโพลนและมีผมยาวเต็มศีรษะ บุรุษผู้นั้นดูสง่า แต่ในมือข้างหนึ่งกลับถือกระดูกอสูร และกกำลังเปิดปากแทะกินคำแล้วคำเล่า

ภาพนี้ปรากฏในคลองจักษุของหวังเป่าเล่อ ทำให้ชายหนุ่มหรี่ตาเล็กน้อย ก่อนจะยกมือประสานขึ้นไปทางบุรุษในชุดสีขาวพร้อมโค้งให้เล็กน้อย

“ข้าน้อยคารวะศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิง”

“หลงหนานจื่อ เจ้ากล้ามานั่งจิบเหล้ากับข้าสักหน่อยไหมเล่า” ศิษย์แห่งเต๋าคู่หลิงพยักพเยิด มีประกายประหลาดปรากฏขึ้นในแววตา ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะแสยะยิ้มขึ้นมาพลางพูดเชื้อเชิญ

หวังเป่าเล่อเคลื่อนไหวเร็วราวกับสายฟ้าฟาด ชายหนุ่มแม้จะยืนอยู่ห่างออกไปแต่ก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำในชั่วพริบตา เกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่นขึ้นทั่วท้องฟ้า ชุดเกราะมหาจักรพรรดิที่ถือกำเนิดขึ้นจากเรือบินรบเวทผนวกกับเกราะจักรพรรดิ ทำให้พลังยุทธ์ของหวังเป่าเล่อในตอนนี้เทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางที่ไม่มีเรือบินรบเวทเป็นของตนเอง!

แม้ว่าผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำจะมีเรือบินรบเวทเช่นกัน แต่ระดับเคล็ดวิชาการฝึกปราณของเขาส่งผลให้พลังยุทธ์ใกล้เคียงกับขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางที่ไม่มีเรือบินรบเวทเกื้อหนุนเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อชายวัยกลางคนได้ประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไปในตอนต้น ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บไปก่อนแล้ว และในระดับของเขากับหวังเป่าเล่อนั้น การได้รับบาดเจ็บหรือการเริ่มจู่โจมก่อนถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

ดังนั้นเมื่อต้องต่อสู้กับหวังเป่าเล่อ ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำก็เผยสัญญาณว่าตกเป็นรองมาตั้งแต่ต้น!

ขณะที่เสียงครั่นครืนดังสนั่นก้องสะท้านออกไป เลือดก็เริ่มไหลซึมออกมาจากมุมปากทั้งสองของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ ขณะที่เขาต้องถอยกรูดไปอีกครั้ง ทั้งสีหน้าและหัวใจของชายวัยกลางคนขณะนี้ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นตะลึงและไม่เชื่อสายตา เขารู้ว่าขณะที่การต่อสู้นี้เกิดขึ้นอย่างปุบปับ เขาก็ได้รับบาดเจ็บและสูญเสียเหตุผลไป หากเป็นใครคนอื่น คงไม่ใคร่จะใส่ใจนักว่าการต่อสู้นี้จะสมเหตุสมผลหรือไม่ แต่สำหรับผู้ที่อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ เหตุผลนั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

ยิ่งไปกว่านั้น ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำยังคิดว่า หากตนสู้ต่อในสภาพเช่นนี้ ก็คงจะยิ่งไล่ต้อนให้ตนเองเสียเปรียบ ชายวัยกลางคนเริ่มคิดสำนึกเสียใจอยู่ภายใน แต่ความหยิ่งทระนงก็ไม่ยอมให้เขาขอโทษ ทำได้เพียงคำรามออกมาเท่านั้น

“หลงหนานจื่อ ตรงนี้เป็นอาณาเขตของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ เจ้าอยากจะสู้เอาเป็นเอาตายกับข้าที่นี่อย่างนั้นหรือ!”

“น่าสนใจ เจ้าไม่ใช่หรือที่กล่าวหาว่าข้าจะขโมยความลับของกองทหารเจ้า ไหน บอกท่านบิดาเสียสิ ว่าท่านบิดาขโมยความลับใดไปจากเจ้ากันแน่” หวังเป่าเล่อเข้าใจคำขู่ในน้ำเสียงของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำดี และมองเห็นเช่นกันว่ารัศมีของชายวัยกลางคนเริ่มอ่อนกำลังลง แต่ชายหนุ่มไม่ใช่คนมีเมตตา คงจะดีกว่าหากไม่มีใครมากวนใจเขา แต่ในเมื่อผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำเลือกจะมายุ่งด้วย ทำให้เขาไม่มีทางเลือกว่าจะต่อสู้หรือไม่

ต่อให้พวกเขาไม่ได้สู้กัน ก็คงเป็นเพราะหวังเป่าเล่อตัดสินใจไม่อยากจะต่อสู้ ชายหนุ่มสะบัดกายพร้อมยิ้มเยาะก่อนจะเข้าประชิดตัวผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำอีกครั้ง เสียงสนั่นครั่นครืนดังขึ้นอีกคราก่อนที่คลื่นพลังแทรกจากการต่อสู้จะกระจายออกไปทั่วจักรวาลรุนแรงขึ้นทุกขณะ

ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำรู้สึกขมขื่นอยู่ในใจ ชายวัยกลางคนอยากต่อต้านแต่ก็ไม่อาจทำได้ หวังเป่าเล่อนั้นแข็งแกร่งกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้แข็งแกร่งกว่ามากและไม่อาจสังหารศัตรูได้ทันที แต่ก็ยังทำให้เขาถอยกรูดอยู่ไปมาแถมยังเสียหน้าอย่างต่อเนื่อง ตอนนั้นเอง แววตาบ้าคลั่งก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของชายวัยกลางคน

“หลงหนานจื่อ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าน่ะกลัวเจ้า!” ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำคำราม ก่อนจะยกมือขวาขึ้น เงาของดวงจันทร์สีดำสนิทมาปรากฏขึ้นบนศีรษะเขา ภายในมีหมอกสีดำสนิทกระจายอยู่ ก่อตัวขึ้นเป็นใบหน้าวิญญาณจำนวนมหาศาลที่พากันส่งเสียงร้องแหลมสูงไปทางหวังเป่าเล่อ

เห็นได้ชัดว่า กระบวนท่านี้เป็นไพ่ตายของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ วินาทีนั้น ชายวัยกลางคนปลดปล่อยพลังปราณทั้งหมดออกมา ส่งผลให้จักรวาลโดยรอบสั่นสะเทือน ช่องว่างรอบกายเขาเริ่มบิดเบี้ยวไปตามๆ กัน แสดงให้เห็นว่าเงาดวงจันทร์บนศีรษะเขานั้นแปลกประหลาดและน่าสะพรึงกลัวเพียงใด!

มีบางอย่างตื่นขึ้นจากการหลับใหลภายในเงาดวงจันทร์นั้นอย่างเงียบเชียบ ราวกับว่ามันต้องการจะลืมตาขึ้นมาและสังหารทุกสรรพชีวิตที่มองเห็นมันให้หมดสิ้น!

เงาวิญญาณหรือ หวังเป่าเล่อกะพริบตาก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มไม่อาจจะทำอะไรกับผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำได้ แม้ว่าจะสามารถกดดันและโจมตีได้อย่างต่อเนื่อง เพราะอย่างไรเสีย อีกฝ่ายก็เป็นถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะ คงยากยิ่งที่จะสังหารได้ แต่ขณะนี้…ดูเหมือนจะสบโอกาสแล้ว

แต่จะฉกฉวยโอกาสหรือไม่นั้น หวังเป่าเล่อยังชั่งใจอยู่ คงเป็นการโง่เขลาสำหรับตัวเขาเองที่จะเผยวิชาแห่งศาสตร์มืดออกมาเพียงเพื่อจะสังหารอีกฝ่าย ยิ่งไปกว่านั้น…หากชายหนุ่มสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะในอาณาเขตของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ ก็คงเป็นการยากที่ปรมาจารย์ของสำนักมหาทัณฑ์จะปกป้องเขาได้…

เพราะอย่างไรเสีย ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะก็สำคัญยิ่ง และชื่อเสียงของสำนักก็สำคัญยิ่งกว่า!

ข้าไม่เชื่อว่า มาถึงขั้นนี้ ปรมาจารย์ขั้นดาวพระเคราะห์แห่งสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำจะไม่รู้เรื่องการต่อสู้ของเรา หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ประกายเฉียบคมสะท้อนขึ้นมาในดวงตาเขาทันที

หากเขารู้ และกำลังเฝ้าดูอยู่…ก็อันตรายอยู่สักหน่อย เมื่อคิดได้เช่นนี้ หวังเป่าเล่อก็หัวเราะออกมาเสียอย่างนั้น

“เจ้าคิดว่า เจ้าเป็นคนเดียวที่มีไพ่ตายอย่างนั้นหรือ” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็ยกมือทั้งสองขึ้นเขย่าอย่างแรง พลังปราณทั้งหมดของเขาและเกราะมหาจักรพรรดิถูกปล่อยออกมาในทันใด แปรเปลี่ยนเป็นพายุใหญ่นอกกาย ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นว่าจะต่อสู้กับผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำให้ตายกันไปข้าง ร่างกายของเขาขยับพร้อมเสียงคำรามดังสนั่น

แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้มุ่งหน้าเข้าไปหาอีกฝ่าย กลับกัน ชายหนุ่มพุ่งเข้าใส่อดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกที่กำลังจ้องมองด้วยความตื่นตะลึงอยู่ห่างๆ แทน เขาเข้าประชิดตัวนางในทันทีก่อนจะยกมือขวาขึ้น แล้วดีดไปที่หว่างคิ้วของหญิงสาวโดยไม่เปิดโอกาสให้ตั้งตัว!

แต่ก่อนที่นิ้วของหวังเป่าเล่อจะสัมผัสถูกกายอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก ก็มีเสียงฮึมดังก้องมาจากทิศทางของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ ก่อเป็นคลื่นรบกวนที่สั่นคลอนสวรรค์ก่อนจะระเบิดออกมาใส่หวังเป่าเล่อทันที

ไม่ใช่ครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อรู้สึกเช่นนี้ ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ของตระกูลไม่รู้สิ้นบนดาวเคราะห์ตระกูลไม่รู้สิ้นก็ให้ความรู้สึกเช่นเดียวกันนี้ ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้มในทันที ความรู้สึกราวกับว่าจักรพิภพกำลังเอนเอียงและบีบรัดเข้าหาตัวทำให้วิญญาณของชายหนุ่มสั่นคลอน

ทว่า…การที่หวังเป่าเล่อกล้าที่จะสู้ในเขตของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ ไม่ใช่เพราะพลังของเกราะมหาจักรพรรดิ แต่เพราะเปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายเขาและฝ่ามือขั้นดาวพระเคราะห์ที่เขากำลังหล่อเลี้ยงอยู่ต่างหาก

ดังนั้นทันทีที่พลังของสัมผัสเทพลงมาถึงตัว หวังเป่าเล่อจึงส่งเสียงคำราม พลันเปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง แม้ว่าพลังจากสัมผัสนั้นจะอ่อนแอ แต่ความแตกต่างด้านพลังที่ไม่มากนักก็ทำให้หวังเป่าเล่อยังขยับได้บ้างแม้จะถูกสัมผัสเทพระดับดาวพระเคราะห์กดดันอยู่ นิ้วที่เขาใช้ดีดหยุดลง ก่อนจะหักสะบั้น ทำให้เหลือเพียงครึ่งนิ้วที่ไปสัมผัสถูกหว่างคิ้วของอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก!

อดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกไม่มีเวลาตอบสนองกับสถานการณ์นี้ นางรู้สึกเพียงว่ามีคลื่นพลังมหาศาลพวยพุ่งออกมาและมาระเบิดอยู่ตรงหน้านาง จากนั้นหญิงสาวก็รู้สึกถึงความเจ็บรวดร้าวราวกับว่าร่างกายและวิญญาณของนางถูกฉีกออกจากกัน นางส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดก่อนที่ร่างทั้งร่างจะปลิวกระเด็นไปเพราะแรงกระแทกอันรุนแรง ทันใดนั้นเอง ศีรษะของนางครึ่งหนึ่ง แขนหนึ่งข้าง พร้อมด้วยขาอีกข้างก็พังทลายก่อนจะปลิวกระจายหายไป

เส้นปราณของหญิงสาวแตกสลายภายใต้แรงกระแทกอันมหาศาลนั้น จุดตันเถียนเสียหาย และวิญญาณส่วนหนึ่งก็สลายหายไปด้วย พลังปราณของนางแทบจะถูกทำลายไปทั้งหมด ทำให้พลังของนางตกลงมาจากขั้นแสร้งอมตะ ไม่ใช่มาหยุดแค่ขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่นางกลับร่วงลงไปถึงขั้นจุติวิญญาณเลยทีเดียว!

พลังที่ตกลงมานั้นเกิดจากการที่รากฐานของนางถูกทำลาย ดังนั้นหากไม่สามารถหาวัตถุดิบที่ทั้งหายากและราคาสูงมาช่วย นางก็คงไม่สามารถกลับขึ้นมาได้อีกตลอดไป!

เมื่อทำการเสร็จเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ต้านทานแรงกดดันจากดวงจิตขั้นดาวพระเคราะห์ก่อนจะถอยกรูดออกมา ชายหนุ่มยกมือขวาแล้วโบกลง เรือบินรบระเบิดตัวเองทั้งหมดของเขากลับเข้าที่ในทันที หลังจากนั้น เขาจึงแปลงกายเป็นสายรุ้งแล้วหนีไปขณะที่ทิ้งเสียงพูดเอาไว้เบื้องหลัง

“ศิษย์พี่ครามทองคำ ข้าเพิ่งเดินทางกลับมาจากทำภารกิจที่ปรมาจารย์มหาทัณฑ์มอบหมายให้และพบเข้ากับกองทหารผ่าดำ สตรีนางหนึ่งจากกองทหารนั้นพูดจาให้ร้ายข้าแถมยังกล่าวว่าข้าไปขโมยความลับของกองทหารของนาง หลังจากที่ข้าเปิดทางให้พวกเขาแล้ว ก็ยังไม่วายที่พวกเขาจะมาจับกุมและสังหารข้า ข้าจะรายงานเรื่องนี้กับปรมาจารย์มหาทัณฑ์และขอให้เขาช่วยพิจารณาโทษ!”

คำพูดของหวังเป่าเล่อนั้นไม่มีทั้งน้ำเสียงอวดดีหรืออ่อนน้อม ทั้งหมดฟังดูมีเหตุมีผล ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้สังหารใครเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ชายหนุ่มนั้นหลีกทางให้กองทหารหลายต่อหลายครั้ง อาจจะกล่าวได้ว่า ไม่ว่าจะมองเรื่องนี้จากมุมใด หวังเป่าเล่อก็ไม่ผิด!

โดยเฉพาะเมื่อคิดว่าชายหนุ่มได้เบี่ยงเบนประเด็นโดยโยนความผิดให้อดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกแทนผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำวิธีการพูดดังกล่าวนั้นแสดงให้เห็นว่าหวังเป่าเล่อช่ำชองเพียงใดเรื่องการแก้ไขสถานการณ์ ดังนั้นแล้ว เมื่อเสียงพูดของชายหนุ่มดังกังวานออกไป ดวงจิตขั้นดาวพระเคราะห์ที่กดดันเขาอยู่จึงชะงักไปชั่วขณะ เสียงฮึมจางๆ ลอยมาเข้าหู ในที่สุด ดวงจิตนั้นก็เลิกเล็งเป้าเขาและสลายไป

การกลับตาลปัตรของเหตุการณ์นี้ ทั้งการต่อสู้และการจากไปโดยที่ยังพูดอยู่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา เมื่อเห็นว่าลูกน้องของเขาต้องพิการและเห็นว่าปรมาจารย์ของเขาเพิ่งจะมาถึง ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำก็กำลังจะเอ่ยปากพูดเมื่อได้ยินเสียงของปรมาจารย์ดังขึ้นในหู

“เจ้ายังทำให้ตัวเองขายหน้าไม่พออีกหรือ ไสหัวกลับมาเดี๋ยวนี้!”

เมื่อได้ยินคำพูดของปรมาจารย์ ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำก็ได้แต่หยุดนิ่ง ทำได้เพียงจ้องมองอย่างแน่วแน่ไปในทิศทางที่หวังเป่าเล่อเพิ่งจากไป ความรู้สึกระแวดระวังที่เขามีต่อหวังเป่าเล่อเพิ่มมากขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม

ในเวลาเดียวกันนั้น ณ ตำแหน่งประตูหุบเขาของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ มีโลกใบหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ในอีกมิติ เป็นมิติที่เต็มไปด้วยภูเขา และบนยอดเขาสีม่วงก็มีกระท่อมหลังหนึ่งตั้งอยู่

ภายในกระท่อมนี้ มีชายวัยกลางคนนั่งขัดสมาธิอยู่ ผมบนศีรษะของเขาเป็นสีม่วงเฉกเช่นเดียวกับเสื้อคลุมที่สวมใส่ กระทั่งนัยน์ตาของเขาก็เป็นสีม่วงด้วยเช่นเดียวกัน บุรุษผู้นี้ดูราวกับเป็นองค์เทพผู้ปกป้องสรวงสวรรค์และโลกมนุษย์ ในวินาทีนั้น เขาลืมตาขึ้นราวกับว่ากำลังจ้องมองออกไปในที่ห่างไกล ก่อนจะค่อยๆ ถอนสายตาออกมาช้าๆ

ข้าสัมผัสได้ถึงพลังของดารานิรันดร์แบบผสม ฮ่า…เจ้าหลงหนานจื่อคนนี้ น่าสนใจจริง!

………………….

วินาทีนั้นเองสนามรบก็เงียบสงัดลง ไม่มีใครพูดและไม่มีใครกล้าขยับตัว ทุกอย่างดูคล้ายกับว่าจะถูกแช่แข็งเอาไว้ก็ไม่ปาน

แน่ละว่า…บรรดาเรือบินรบของหวังเป่าเล่อปรากฏตัวรวดเร็วเกินไป และขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็จงใจปล่อยรัศมีของเรือบินรบทุกลำออกมาจนหมด คลื่นรบกวนขั้นจุติวิญญาณนับหมื่นและขั้นเชื่อมวิญญาณอีกนับพันทำเอากองทหารผ่าดำอกสั่นขวัญแขวนไปตามๆ กัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก สายตาของนางจับจ้องมาด้วยความไม่อยากเชื่อระคนตื่นตะลึง ก่อนที่ร่างกายของนางจะสั่นสะท้าน อันที่จริงแล้ว รัศมีที่หวังเป่าเล่อแผ่ออกมาก็ทำเอานางเห็นภาพหลอนไปว่ากำลังอยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนผู้ทรงพลัง!

พลังจุติวิญญาณนับหมื่น… เชื่อมวิญญาณนับพัน…พลังนี้… หัวใจของอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกปั่นป่วน นางเริ่มเปรียบเทียบพลังของหวังเป่าเล่อกับพลังของกองทหารผ่าดำ และพบว่าหากทั้งผู้บัญชาการและผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะสามคน พร้อมทั้งกองทหารผ่าดำทั้งหมดโจมตีพร้อมกัน พวกเขาก็คงจะทำได้แค่เสมอกับหวังเป่าเล่อเท่านั้น!

ผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะอีกสองคนก็รู้สึกเช่นเดียวกัน แม้แต่ผู้บัญชาการทหารผ่าดำ ชายวัยกลางคนภายในเรือบินรบเวทผู้ที่ก่อนหน้านี้พูดจาอย่างนิ่งขรึมมาโดยตลอด ตอนนี้กลับถลึงตามองชายหนุ่ม นัยน์ตาของเขาเผยให้เห็นความเคร่งเครียดที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนขณะสูดลมหายใจเข้าอยู่ชั่วครู่ แม้ว่าความเกรียงไกรที่หวังเป่าเล่อแสดงออกมาจะทำให้เขาสนใจอยู่ไม่น้อย แต่ชายวัยกลางคนก็อดไม่ได้ที่จะใคร่ครวญถึงผลที่จะตามมา

หากว่า…ข้าสามารถสังหารเขาได้โดยตรง หากเป็นเช่นนั้น…ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำหรี่ตาลง ก่อนจะครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วพูดออกมาช้าๆ

เสียงของเขากระจายไปทั่วสนามรบอันเงียบสงัด ราวกับว่าจะมุ่งสลายบรรยากาศอันตึงเครียดให้หมดไป

“ทิ้งเรือบินรบของเจ้าไว้ครึ่งหนึ่ง ข้าจะปล่อยให้เจ้าไปอย่างสันติ แล้วก็จะถือว่าความบาดหมางระหว่างเจ้าและกองทหารมังกรหยดหมึกไม่เคยเกิดขึ้นด้วย”

เมื่อเสียงพูดของเขากังวานออกไป ผู้ฝึกตนในกองทหารผ่าดำที่รายล้อมอยู่ก็ทอดถอนใจอย่างโล่งอก แม้ว่าอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกจะรู้สึกเสียหน้า แต่นางก็เข้าใจดีว่าความแข็งแกร่งของหลงหนานจื่อเพิ่มมากขึ้นกว่าครั้งที่ถูกไล่ล่าก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก เพราะเหตุนี้ แม้ว่านางจะยังคงเกลียดชังหลงหนานจื่ออยู่ลึกๆ แต่ก็ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น

ทว่า…หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งยืนยกมือไขว้หลังจังก้าอยู่บนเรือบินรบเวท กลับเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะหัวเราะหลังจากที่ได้ยิน

“หยิ่งยโสเหมือนเคยนะ แต่ข้าอยากจะถามท่านสักคำ ท่านพี่ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ ท่านมีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนั้นเล่า”

“มีสิทธิ์อะไรอย่างนั้นหรือ” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ประกายเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ ก่อนที่เขาจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ขณะที่หัวเราะอยู่นั้น ชายวัยกลางคนก็สะบัดร่างและมาปรากฏกายอยู่ด้านนอกเรือบินรบเวทเสือดำ!

ชายผู้นั้นอยู่ในเสื้อคลุมสีดำและมีผมสีดำขลับเต็มศีรษะ เงาที่ผอมสูงและท่าทางยโสเย็นชาทำให้ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำดูยิ่งใหญ่เป็นอันมาก โดยเฉพาะเมื่อจักรพิภพถึงกับสั่นคลอน ส่งเอาคลื่นแทรกแซงออกไปจนทั่วเมื่อเขาปรากฏกาย รัศมีขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นระเบิดออกมา ก่อตัวกันเป็นพายุหมุนอยู่ภายนอกกาย

หากมองจากที่ไกลๆ ก็จะดูเหมือนว่า บุรุษผู้นี้สามารถดึงเอาจักรวาลทั้งหมดมาไว้รอบกายได้ โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นเรือบินรบของกองทหารผ่าดำที่รายล้อมอยู่เริ่มแหวกออกเพื่อเปิดทางให้พายุหมุนนอกกายเขาได้เคลื่อนไหว อันที่จริงแล้ว กระทั่งเรือบินรบระเบิดตัวเองของหวังเป่าเล่อก็มีท่าทีว่าถูกกดเอาไว้เช่นกัน!

นี่เองคือพลังของขั้นจิตวิญญาณอมตะ!

ยังไม่จบเพียงเท่านี้ วินาทีที่ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำปรากฏตัว เขาก็ยกเท้าขึ้นก่อนจะก้าวไปทางหวังเป่าเล่อ

ทันทีที่เขาวางเท้าลง พายุหมุนนอกกายก็เคลื่อนเข้าไปใกล้หวังเป่าเล่อ มันเคลื่อนที่รวดเร็วเสียจนดูคล้ายกับว่าระยะทางนั้นไม่มีผลแม้แต่น้อย หลังจากนั้น ชายวัยกลางคนก็ยกมือขวาขึ้นก่อนจับไปทางคอของหวังเป่าเล่อ!

“ตอนนี้เจ้ารู้หรือยังว่าข้ามีสิทธิ์อะไร” ขณะที่เสียงของเขากังวานไปทั่ว มือขวาของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าหวังเป่าเล่อและกำลังจะจับคอหอยเขาเอาไว้ แต่วินาทีเดียวกันนั้นเอง นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็สะท้อนประกายเย็นยะเยือกออกมา ก่อนที่เกราะจักรพรรดิจะห่อหุ้มกายเขาเอาไว้ทั้งหมด วินาทีต่อมา ขณะที่ปราณขั้นแสร้งอมตะของชายหนุ่มกระจายออกไป เขาก็ยังได้รับพลังเสริมจากเกราะจักรพรรดิอีกด้วย ทำให้หวังเป่าเล่อมีพลังยุทธ์เทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นแม้จะยังไม่บรรลุขั้นก็ตาม

การจะอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดอาจต้องใช้เวลาเนิ่นนาน แต่ในความเป็นจริงแล้ว เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา อึดใจต่อมา หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้น ก่อนจะกำเข้าไว้แน่น แล้วส่งกำปั้นออกไปหามือขวาของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ!

กำปั้นนั้นรวมเอาพลังปราณทั้งหมดของเขาและพลังของเกราะจักรพรรดิเข้าไว้ด้วยกัน ขณะที่พลังนั้นถูกปลดปล่อยออกมา จักรวาลก็บิดเบี้ยวไปทันที คลื่นแทรกแซงกระจายไปเป็นอาณาบริเวณกว้างใหญ่ อีกทั้งรัศมีในกายของชายหนุ่มยังระเบิดออกมาอีกด้วย ก่อนจะก่อร่างขึ้นเป็นพายุหมุนที่กดดันบรรยากาศโดนรอบเอาไว้ หากมองจากที่ไกลๆ จะเห็นได้ว่ามันเทียบเท่ากับรัศมีของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำเลยก็ว่าได้!

สิ่งนี้ทำเอาสีหน้าของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำเปลี่ยนไป แต่พวกเขาทั้งคู่ก็อยู่ใกล้กันเกินไปเสียแล้ว สายเกินไปแล้วสำหรับผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำที่จะถอยกลับ วินาทีถัดมา…กำปั้นของพวกเขาก็ปะทะกัน

เมื่อกำปั้นทั้งสองชนกัน คลื่นพลังแทรกที่มองเห็นด้วยตาเปล่าก็ระเบิดออกมาจากทั้งสองฝ่าย ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้มก่อนจะถอยไปหลายก้าว จนกระทั่งไปเหยียบบนเรือบินรบเวทภายใต้เท้าเขา เรือบินรบเวทเองก็สั่นสะท้านก่อนจะดูดเอาแรงกระแทกส่วนมากเอาไว้ ส่วนของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ ร่างกายของเขาก็สั่นคลอนเช่นกัน และเพราะไม่มีสิ่งใดเบื้องหลังที่จะช่วยซับแรงกระแทกได้ ชายวัยกลางคนจึงปลิวไปไกลหลายร้อยเมตรก่อนจะหยุดลง ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำเงยศีรษะขึ้นจ้องมองหวังเป่าเล่อราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ นัยน์ตาทั้งสองของเขาแดงก่ำ

ในเวลาเดียวกันนั้น คลื่นพลังแทรกที่ก่อขึ้นจากการปะทะก็กระจายไปยังสิ่งรอบข้างทั้งหมดอย่างรวดเร็ว เรือบินรบทุกลำกระเด็นถอยหลังไปสิ้น บางลำรับแรงกระแทกไม่ไหว ถึงกับระเบิดไปเลยก็มี

บรรดาผู้ฝึกตนของกองทหารผ่าดำต่างก็พากันหนีลนลานด้วยความตื่นตระหนก ดูน่าเวทนาเป็นยิ่งนัก พวกเขาส่วนมากกระอักเลือดออกมาพร้อมทั้งมีสีหน้าตื่นตะลึง แต่ผู้ที่ไม่อยากเชื่อที่สุดก็คือขั้นแสร้งอมตะทั้งสามคน รวมไปถึงอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก ร่างกายของพวกเขาล่าถอยไปเองอย่างไม่อาจควบคุม ทั้งสามต่างก็มีสีหน้าราวกับเพิ่งเจอผีมาหมาดๆ โดยเฉพาะอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก ผู้ที่ถึงกับตะโกนออกมาด้วยความตื่นตกใจ

“จิตวิญญาณอมตะอย่างนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้!”

หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอออกมาโดยไม่ได้สนใจบรรยากาศโกลาหลรอบข้าง หรือกระทั่งชายตามองอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกด้วยซ้ำ หลังจากจัดการรวบรวมปราณที่หลั่งไหลไปทั่วร่างได้แล้ว สายตาของชายหนุ่มก็มาหยุดลงที่ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ ผู้ซึ่งตอนนี้มีสีหน้าบิดเบี้ยวน่ากลัว

“ขออภัยด้วย แต่ข้าก็ยังไม่รู้อยู่นั่นเองว่าท่านมีสิทธิ์อะไร”

ตอนนั้นเองจิตสังหารในแววตาของผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำก็ฉายแสงแรงกล้าเป็นอย่างยิ่ง ชายวัยกลางคนยกมือขวาขึ้นคว้าไปในทิศทางของเรือบินรบเวทก่อนจะคำราม

“เรือบินรบเวท กลับมา!”

ขณะที่คำพูดของเขาสะท้อนออกไป เสือดำก็เงยศีรษะขึ้นก่อนจะคำรามแล้วก็พุ่งออกมาทั้งตัว ดูคล้ายกับเป็นแสงสีดำไร้จุดจบ ทันใดนั้น เรือบินรบเวทก็เข้ามาใกล้ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำ หลังจากที่ครอบงำกายของเขาเอาไว้เรียบร้อย เรือบินรบเวทก็กลายมาเป็นชุดเกราะแข็งแกร่ง ทำให้ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำดูน่าเกรงขามไม่แพ้กัน อีกทั้งรัศมีของเขายังเพิ่มพูนขึ้นจนแตะถึงขีดสุดของขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นเป็นที่เรียบร้อย กายของเขาเองก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของแสงสีดำนั้นด้วยการพลิกกายเพียงครั้งเดียว แสงนั้นพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็วราวกับว่าสามารถตัดผ่านจักรวาลไปได้ก็ไม่ปาน!

“ข้าก็มีเรือบินรบเวทเช่นกัน!” หวังเป่าเล่อระเบิดเสียงหัวเราะดังสนั่นขณะที่กระโจนออกไปข้างหน้า ในทันใดนั้น เรือบินรบเวทตั๊กแตนใต้เท้าของเขาก็กลายเป็นลำแสงนับไม่ถ้วนที่สาดส่องกายชายหนุ่ม เขาใช้เกราะจักรพรรดิเป็นภาชนะ มันหลอมรวมเข้ากับแสงนั้นก่อนจะกลายเป็น…เกราะมหาจักรพรรดิ!

ขณะที่พลังของผลึกสีชาดภายในเกราะมหาจักรพรรดิไหลเวียนวนอยู่นั้น คลื่นพลังรบกวนขั้นจิตวิญญาณอมตะก็ระเบิดออกมาจากกายของหวังเป่าเล่อ ทำให้ชายหนุ่มเคลื่อนที่เร็วขึ้นอีก วินาทีถัดมา เขาก็ปะทะเข้ากับผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำในห้วงอวกาศ ก่อนจะปล่อยหมัดออกไปอีกครั้ง!

เสียงครั่นครืนดังสนั่นขึ้นพร้อมพลังที่แข็งแกร่งกว่าคราวก่อน ครั้งนี้พลังนั้นกระจายออกไปไกลกว่าเก่า แถมคลื่นพลังแทรกนั้นยังสัมผัสได้จากที่ไกลขึ้นอีกมากโข

ขณะที่คลื่นรบกวนกระเพื่อมออกไป พลังยุทธ์ที่เหนือชั้นของหวังเป่าเล่อก็แสดงให้เห็นชัดเจนออกมา แม้จะมีเรือบินรบเวทอยู่ แต่ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำก็ต้องถอยกรูดอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากการจู่โจมอันรุนแรงของชายหนุ่ม!

ภาพนั้นทำเอาผู้ฝึกตนกองทหารผ่าดำพากันตัวสั่นขวัญผวา พวกเขาไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำถูกซัดจนลอยละลิ่วไปไกลหลายร้อยเมตรขณะที่หวังเป่าเล่อส่งเสียงคำราม ก่อนที่อาวุธเวทในมือขวาของชายหนุ่มจะพุ่งเข้าเป้า!

“หลงหนานจื่อ เจ้าหลอกลวงข้า เจ้าแสร้งทำเป็นว่าอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่อันที่จริงเจ้าบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว ไอ้คน…” ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำคำรามด้วยความโกรธเคือง แต่ไม่ทันจะได้พูดจบประโยค ก็ถูกหวังเป่าเล่อขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน

“กองเรือของเจ้าอ่อนแอกว่าของข้า เจ้าเองก็หน้าตาหล่อเหลาไม่เท่าข้า พลังยุทธ์ก็ไม่เทียบเท่า แถมยังร่ำรวยไม่เท่าข้าอีกด้วย ผ่าดำ เจ้ามีสิทธิ์อะไรจะมาต่อรองกับข้า

“ข้านะหรือจะขโมยความลับของกองทหารเจ้า เจ้ากล้ารังแกข้าเพราะเห็นว่ามีจำนวนคนมากกว่าใช่หรือไม่ เจ้าคิดว่าจะรับมือกับข้าได้เพราะมีระดับปราณสูงกว่าเท่านั้นไม่ใช่หรือ”

“ข้าสังหารเจ้าไม่ได้!” หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังออกมาเต็มที่ขณะยืนตระหง่านราวกับเป็นหนึ่งในบรรดาทวยเทพ ขณะที่ชายหนุ่มคำรามออกมา เขาก็พลิกหมุนกาย ฝูงชนต่างก็เฝ้ามองตาค้างด้วยความตื่นตะลึง ขณะที่หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าไปหาผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำผู้ซึ่งกำลังตื่นตะลึงอยู่เช่นกัน ซ้ำร้าย ชายวัยกลางคนขณะนี้กลับได้แต่เพียงรู้สึกขมขื่นและเกรี้ยวกราดอยู่ในใจเท่านั้น!

แต่รัศมีดังกล่าวเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น!

เป็นภาพลวงตาจากความร้อนแรงที่แผ่ออกมาจากเปลวเพลิงดารานิรันดร์ภายในกายของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มยังไม่อาจใช้พลังระดับดาวพระเคราะห์ได้ในตอนนี้ แม้ว่าเขาจะระเบิดตัวเองด้วยระดับปราณในปัจจุบัน หวังเป่าเล่อก็ทำได้เพียงสร้างความเสียหายให้ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เท่านั้น ไม่อาจจะสังหารอีกฝ่ายได้

แต่มันก็ไม่ได้ลดความน่ากลัวที่คนอื่นรู้สึกกับเขาแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อผู้ที่แผ่ความร้อนของเปลวเพลิงดารานิรันดร์ออกมานั้น อย่างน้อยๆ ก็ยังสามารถสร้างความกลัวเกรงให้ศัตรูของตนได้อยู่บ้าง

ผลลัพธ์อาจจะดียิ่งขึ้นอีกหากชายหนุ่มใช้บทสวดแห่งเต๋าและเปลวเพลิงดารานิรันดร์พร้อมๆ กัน

หวังเป่าเล่อประเมินเปลวเพลิงดารานิรันดร์ที่ลุกโชนอยู่ภายในกาย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งอย่างเปี่ยมสุข ชายหนุ่มดึงเอาฝ่ามือของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์แห่งตระกูลไม่รู้สิ้นที่เขาตัดเก็บไว้ออกมา โดยวางแผนที่จะหลอมมันเสียเดี๋ยวนั้นเลย

ทันทีที่ข้าหลอมสำเร็จ ข้าก็จะมีพลังยุทธ์ระดับดาวพระเคราะห์ในครอบครอง! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงจังยิ่ง ชายหนุ่มจะใช้สิ่งนี้เป็นไพ่ตายของเขาในช่วงเวลาต่อจากนี้ ณ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ วิชานี้อาจช่วยรักษาชีวิตเขาเอาไว้เลยก็ว่าได้!

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือน การเดินทางของหวังเป่าเล่อใกล้ถึงจุดสิ้นสุด กองทัพของเขาค่อยๆ เดินทางมาถึงเส้นเขตแดนของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ อีกเพียงไม่กี่ก้าวก็จะเข้าสู่อาณาเขตของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว

หลังจากใช้เวลาหนึ่งเดือนไปกับการฝึกหลอมอย่างหนัก หวังเป่าเล่อก็หลอมฝ่ามือได้สำเร็จ ชายหนุ่มเก็บฝ่ามือเอาไว้ในเปลวเพลิงดารานิรันดร์ในกายและเริ่มหล่อเลี้ยงฝ่ามือนั้นด้วยเปลวไฟ

สิ่งที่ข้าต้องทำต่อไปก็คือดูแลหล่อเลี้ยงมัน ยิ่งทะนุบำรุงฝ่ามือนี้นานเท่าใด พลังของมันก็จะยิ่งเพิ่มพูน จนกระทั่งกลับไปอยู่ในจุดสูงสุดของมันอีกครั้ง!

หวังเป่าเล่อจ้องมองฝ่ามือระดับดาวพระเคราะห์ในเปลวเพลิงดารานิรันดร์ของตน หัวใจของเขาลิงโลดอย่างยิ่ง ชายหนุ่มกระจายสัมผัสเทพออกไปสำรวจ ก่อนจะหรี่ตาลงแล้วยกมือขวาขึ้นโบก กองเรือบินรบนับหมื่นลำของเขาไหลมารวมกัน เหลือไว้เพียงเรือบินรบไม่กี่สิบลำ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเก็บกองเรือทั้งหมดเอาไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ เรือบินรบที่เหลือถูกปล่อยเอาไว้เพราะมีสภาพเก่าคร่าและผุพัง หวังเป่าเล่อจึงปล่อยให้เรือบินรบเหล่านั้นพร้อมทำการต่อไป กองทัพทั้งหมดของเขาจึงมองดูคล้ายว่าเพิ่งจะรอดกลับมาจากการสำรวจอันยากลำบาก

หวังเป่าเล่อยังคงไม่พอใจกับภาพลักษณ์ของกองทัพขณะที่ขบวนเรือบินรบของเขาเริ่มเคลื่อนเข้าสู่เขตอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ชายหนุ่มจึงขยับเรือบินรบไปต่อกันให้ดูโทรมยิ่งขึ้น เขายังสะกดกั้นพลังอันรุนแรงของเรือบินรบเวทเอาไว้ด้วย กดเอาไว้มากเสียจนรู้สึกเหมือนเป็นเรือบินรบธรรมดาเท่านั้น

เอาแบบนี้ดีกว่า หวังเป่าเล่อมองดูผลลัพธ์ด้วยความพึงพอใจเป็นอันมาก จากนั้นชายหนุ่มจึงคุมบังเหียนเรือบินรบเวทแล้วเบนทิศทางเข้าไปสู่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เขาไม่ได้กลับไปพบผู้คุมกฎแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ทันที แต่กลับมุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำแทน

“สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำออกหมายจับข้ามิใช่หรือ มาดูกันว่าไอ้โง่คนใดจะบ้าพอมาปรากฏตัวต่อหน้าข้า ข้าไม่สนจะได้เจอกองทหารกองไหนของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ ข้าจะให้พวกมันได้ลิ้มรสพลังของข้าดูเสียหน่อย!” หวังเป่าเล่อเชิดคางขึ้นอย่างโอหังพลางขับเรือบินรบมุ่งหน้าไปยังสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ เจ้าอู๋น้อยและเจ้าลาที่อยู่ข้างกายเขาต่างพากันเมียงมองด้วยความตื่นเต้น

ทว่าหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ดังใจหวัง ชายหนุ่มไม่ได้เข้าไปในอาณาเขตของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำลึกมากพอ หาไม่แล้ว เขาคงไม่เพียงไปท้าทายกองทัพของสำนักเท่านั้น แต่จะถือเป็นการท้าทายปรมาจารย์ของสำนักด้วยเช่นกัน

ชายหนุ่มเตร็ดเตร่อยู่ในอาณาเขตด้านนอกของผู้คุมกฎสำนักและไม่ได้พบกองทหารใดๆ เลย หวังเป่าเล่อรู้สึกผิดหวังเล็กๆ และตัดสินใจเดินทางจากมา เมื่อนั้นเองสวรรค์ก็เลือกที่จะให้พรหวังเป่าเล่อ ไม่นานหลังจากที่ชายหนุ่มตัดสินใจจะถอยและหันกองเรือกลับ ก็มีกองทัพขนาดมหึมาปรากฏขึ้นในอวกาศ ประจันหน้าอยู่กับกองทัพของเขา!

กองทัพแปลกหน้านั้นดูยิ่งใหญ่ เรือบินรบสีดำขลับแผ่รัศมีอันทรงพลังและอันตรายออกมาไม่หยุดหย่อน พวกมันเดินหน้ากันเข้ามาราวกับเป็นคมกระบี่ที่ตัดทะลุอากาศ เห็นได้ชัดว่ากองทัพนี้ไม่เคยหลบเลี่ยงใครหน้าไหน ผู้ที่ขวางทางต่างหากที่จะต้องหลีกทางให้

รัศมีของผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะสามคนไหลบ่าออกมาจากกองเรือ ผู้ที่สัมผัสได้ถึงรัศมีนั้นล้วนรู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ต่อหน้าเทพยดาสามพระองค์ พลางรู้สึกทึ่งกับพลังอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา อีกรัศมีหนึ่งยืนอยู่ห่างออกมาจากรัศมีทั้งสามนั้น…แถมยังทรงพลังเสียยิ่งกว่า

รัศมีนั้นเป็นของ…ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ!

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงและพลันสังเกตเห็นเรือบินรบรูปร่างแปลกตาที่อยู่ตรงกลางกระบวนเรือ เรือบินรบลำนั้นมีหน้าตาเหมือนอสูรร้าย รูปร่างคล้ายเสือดำ เห็นได้ชัดว่าเป็นเรือบินรบเวทเช่นกัน!

กองทหารผ่าดำเช่นนั้นหรือ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อทอประกาย ชายหนุ่มไม่ใช่คนโง่งมที่เพิ่งจะเข้าร่วมสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และรู้เรื่องสำนักใหญ่อีกสองสำนักเพียงน้อยนิดอีกต่อไป เขารู้ว่ามีกองทัพที่อยู่ภายใต้สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำที่อยู่ในอันดับที่สามของกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุด นำโดยเรือบินรบเวทที่รูปร่างเหมือนเสือดำ นามของกองทหารนั้นก็คือ…กองทหารผ่าดำ

“ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนหนึ่งและขั้นแสร้งอมตะอีกสามคน…ลืมไปเสียเถอะ ข้าไม่ได้มีความแค้นใดๆ กับกองทหารผ่าดำ ยิ่งไปกว่านั้นกองทหารของพวกเราก็มีชื่อคล้ายคลึงกัน มีคำว่า ‘ผ่า’ อยู่ในชื่อทั้งคู่ นับว่าเป็นโชคชะตาที่ต้องกัน ข้าจะปล่อยพวกเขาไปก็แล้วกัน” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะเมินเฉยต่อสีหน้างุนงงของเจ้าอู๋น้อยกับเจ้าลา ชายหนุ่มกุมบังเหียนเรือบินรบเวทและบรรดาเรือบินรบข้างเคียงก่อนจะหลบทางให้กองทหารผ่าดำ

กองทหารผ่าดำเคลื่อนพลผ่านกองทัพของหวังเป่าเล่อทันทีที่อีกฝ่ายเปิดทางให้ พวกเขาพุ่งไปข้างหน้าแล้วกำลังจะผ่านชายหนุ่มไป แต่หนึ่งในผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะแผ่สัมผัสเทพของนางออกมา ก่อนสัมผัสถูกกายของหวังเป่าเล่อ น้ำเสียงอันเปี่ยมโทสะและเสียงคบเขี้ยวเคี้ยวฟันดังลั่นจักรวาลทันทีหลังจากการกวาดสัมผัสคร่าวๆ นั้น

“หลงหนานจื่อ!”

ใครบางคนกระโจนออกมาจากกองเรือบินรบของกองทหารผ่าดำ เรือบินรบนั้นเป็นหนึ่งในลำที่แข็งแกร่งที่สุดในกระบวน เป็นรองเพียงเรือบินรบเวทเท่านั้น ใครคนนั้นเป็นสตรี นางก็คือ…อดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกนั่นเอง!

กองทหารมังกรหยดหมึกถูกหวังเป่าเล่อทำลายจนราบคาบ ต่อให้พวกเขากลับมารวมตัวกันใหม่ ก็คงแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะยิ่งใหญ่เช่นก่อน กองทหารผ่าดำสบโอกาส จึงรวบเอาเศษซากกระจัดกระจายของกองทหารมังกรหยดหมึกเข้ากับกองทัพหลักของตน อดีตผู้บัญชาการของกองทหารมังกรหยดหมึกเข้าร่วมกองทหารผ่าดำด้วยเช่นกัน นางกลายมาเป็นรองผู้บัญชาการลำดับสามของกองทหารนี้

สตรีนางนั้นจำกระบวนเรือของหวังเป่าเล่อได้ นางจึงได้ใช้สัมผัสเทพสำรวจออกไป ความรู้สึกเกลียดชังที่นางมีต่อหวังเป่าเล่อปะทุขึ้นมาทันทีที่สัมผัสตัวตนของเขาได้

ประกายเหี้ยมโหดสะท้อนผ่านนัยน์ตาของหวังเป่าเล่อ เป้าหมายของชายหนุ่มคือการได้ระบายความหงุดหงิดจากการถูกไล่ล่าในวันนั้นออกมา ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่เขายังยอมเปิดทางให้กองทหารผ่าดำ เป็นสตรีบ้านางนี้ที่คนกระโจนออกมาจากเรือบินรบแล้วหาเรื่องเอง แม้จะมีประกายดุร้ายสะท้อนในดวงตา หวังเป่าเล่อก็พยายามควบคุมตนเองก่อนจะขับเรือบินรบจากไป

“กองทหารผ่าดำ ข้าหลงหนานจื่อ ผู้บัญชาการกองทหารผ่าวิญญาณแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ข้าเพิ่งจะเดินทางกลับมาจากการสำรวจแดนไกล ข้าได้เปิดทางให้ท่านแล้ว ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกัน โปรดอย่าหาเรื่องกันนักเลย!” เสียงของหวังเป่าเล่อฟังดูโมโห แต่ก็คล้ายกับว่าชายหนุ่มกำลังจะร้องไห้ออกมาอยู่รอมร่อ เหมือนกำลังตื่นตระหนก

ไม่ว่าใครที่ได้ยินเสียงของหวังเป่าเล่อก็ย่อมต้องคิดว่าชายหนุ่มกำลังตื่นตระหนก เป็นเหตุให้ต้องใช้นามของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ในการจะหลุดรอดออกจากปัญหาที่ต้องเผชิญ

การแสดงของเขาได้ผล ความเกรี้ยวกราดปะทุขึ้นในดวงตาของอดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกดั่งเปลวไฟ นางแทบจะคุมตนเองไม่อยู่ ขณะที่กวาดสายตาลงไปยังเรือบินรบเวทตรงที่ผู้บัญชาการกองทหารผ่าดำนั่งอยู่

“ผู้บัญชาการเจ้าคะ!” น้ำเสียงอันสั่นเครือของนางก้องออกไป ไม่กี่อึดใจต่อมา น้ำเสียงเรียบเฉยก็ดังออกมาจากเรือบินรบเวทของกองทหารผ่าดำ

“หลงหนานจื่อพยายามจะขโมยความลับของกองทหารผ่าดำ จับตัวมันเอาไว้!”

อดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกลิงโลดใจยิ่งเมื่อได้ยินคำสั่งของผู้บัญชาการคนปัจจุบัน นางพุ่งตัวออกไปหาหวังเป่าเล่อทันที ผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะอีกสองคนของกองทหารผ่าดำก็พุ่งออกจากเรือบินรบและรีบรุดเข้าหาหวังเป่าเล่อราวกับเป็นดาวหางสองดวง

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาต้องการจบการต่อสู้อย่างรวดเร็ว การจับกุมหวังเป่าเล่อย่อมต้องง่ายดาย เพราะมีผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะรุมโจมตีชายหนุ่มถึงสามคน การต่อสู้นี้คงจะรู้ผลในชั่วพริบตาเดียว

หวังเป่าเล่อหัวเราะขณะที่จ้องมองทั้งสามพุ่งเข้ามาใส่ ที่ชายหนุ่มควบคุมตัวเองเอาไว้เมื่อครู่เพราะอยากดูเป็นคนมีเหตุมีผลและต้องการดูท่าทีของกองทหารผ่าดำที่มีต่อตัวเขา ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้มีความแค้นต่อกัน ดังนั้นจึงอาจดูไม่ควรนักหากหวังเป่าเล่อจะลงมือก่อน แต่มาบัดนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว

หวังเป่าเล่อแสยะยิ้มก่อนจะกระจายตัวเป็นหมอก มาปรากฏตัวอีกครั้งอยู่นอกเรือบินรบเวทและส่งกำปั้นพุ่งเข้าใส่อดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก!

“ไสหัวไปเสีย!” พลังขั้นแสร้งอมตะปะทุขึ้นจากร่างของหวังเป่าเล่อเมื่อเขาส่งกำปั้นออกไป กำปั้นนั้นทรงพลังราวกับเป็นพายุหมุน อดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกนัยน์ตาเบิกโพลง ก่อนจะรู้สึกสั่นสะท้านเมื่อกำปั้นของหวังเป่าเล่อกระแทกเข้าใส่นาง จักรวาลทั้งหมดสั่นสะเทือนก่อนจะเกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่น พลังวิญญาณกระเพื่อมไปทั่วเอกภพ อดีตผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกตัวสั่นเทิ้มรุนแรง นางรู้สึกถึงแรงกระแทกมหาศาลที่ไหลบ่าผ่านกายนางไป ก่อนจะกระอักเอาเลือดออกมาเต็มปากและปลิวถอยหลังไปไกลราวกับเป็นว่าวที่ถูกตัดเชือก

ภาพนั้นทำเอาผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะอีกสองคนผงะด้วยความตกตะลึง ก่อนจะหรี่ตาลง ทันใดนั้นเอง เสียงของผู้บัญชาการก็ดังกระหึ่มออกมาจากเรือบินรบเวทของกองทหารผ่าดำ

“กองทหารผ่าดำทั้งหมดเข้าประจำที่ ไม่ต้องไว้ชีวิตมัน ให้สังหารมันทันทีที่จับกุมตัวได้!” เมื่อคำสั่งนั้นขาดคำ เรือบินรบนับพันของกองทหารผ่าดำก็ส่งเสียงร้องคำรนขณะที่ขยับเข้าประจำที่ ตั้งใจจะล้อมหวังเป่าเล่อเอาไว้ให้มิด

“คนที่จะต้องตายคือเจ้าต่างหาก!” หวังเป่าเล่อเหยียดยิ้มขณะที่ยืนอยู่บนเรือบินรบเวท พลางกวาดสายตามองสนามรบ

“กองทัพของพวกเจ้าก็ใหญ่ใช่เล่น แต่กองทัพของข้าก็ไม่ใช่ย่อยเช่นกัน!” หวังเป่าเล่อก็ส่งกระบวนเรือบินรบทำลายตนเองพุ่งออกไปด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียว เรือบินรบทำลายตัวเองกว่าหมื่นลำเข้าไปล้อมกองกำลังของศัตรูเอาไว้!

ความเงียบสงัดราวป่าช้าปกคลุมสนามรบในบัดดล ผู้ฝึกตนจากกองทหารผ่าดำที่หยิ่งผยองและดูถูกหวังเป่าเล่ออยู่เมื่อครู่ มาบัดนี้ต่างก็พากันนิ่งงัน

หากมองดูสนมรบจากที่ไกลๆ…ก็จะเห็นว่า กองทหารผ่าดำไม่ได้ล้อมหวังเป่าเล่อไว้อีกต่อไป แต่เป็นกองทหารผ่าวิญญาณของหวังเป่าเล่อต่างหากที่ล้อมอีกฝ่ายเอาไว้จนหมด!

“เจ้าคิดจะรังแกข้าอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อเพ่งมองออกไปไกลตรงบริเวณที่กองทหารผ่าดำตั้งอยู่ ก่อนจะถามขึ้นอย่างเยือกเย็น

ในความคิดของหวังเป่าเล่อ วิชาหลอมดาราพิภพทมิฬช่างเป็นวิชาหลอมที่เหลือเชื่อ แม้จะมีความชำนาญสูงส่งในการหลอม ชายหนุ่มก็แทบอ่านบทแรกของตำราอันยอดเยี่ยมนี้ไม่เข้าใจ

วิชาการหลอมดาราพิภพทมิฬมีด้วยกันเก้าบท อัดแน่นไปด้วยความรู้และปรีชาญาณ บทที่แปดนั้นกล่าวถึงความเป็นไปได้ในการหลอมจักรพิภพเต๋าขึ้นมา จักรพิภพเต๋าจะกลายเป็นอาณาเขตส่วนตัวของผู้หลอม ผู้ฝึกตนผู้ก็จะขึ้นไปอยู่บนจักรวาลและบรรลุมหาเต๋าขั้นสูงสุด

แม้ว่าการฝึกปราณจักรพิภพจะกลายมาเป็นเสมือนวิถีชีวิตของหวังเป่าเล่อ แม้ว่านิยายปรัมปราและตำนานต่างๆ ก็ไม่ได้ดูเหลือเชื่อเช่นก่อน และแม้ว่าหวังเป่าเล่อจะฟังเรื่องราวเหล่านั้นด้วยความเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ชายหนุ่มก็อดคิดไม่ได้ว่า…จักรพิภพเต๋าที่ถูกกล่าวถึงในบทที่แปดนั้นเป็นเพียงเรื่องราวเล่าขานเท่านั้น

เนื้อหาของบทที่เก้ายิ่งบ้าบอไปกันใหญ่ บทนั้นพูดถึงจักรพิภพแห่งหนึ่งที่ทุกสรรพชีวิตมีพลังในการทำลายชีวิตอื่นลงได้อย่างง่ายดาย

ผู้แต่งบทนี้อาจจะกังวลว่าอธิบายได้ไม่ชัดเจนเพียงพอ จึงใส่ตัวอย่างมาให้ด้วยง ตัวอย่างเช่น คนๆ หนึ่งสามารถวาดรูปคนอีกคนหนึ่งลงบนกระดาษ ก่อนจะตัดรูปวาดนั้นเสีย ผู้ที่ถูกวาดไม่อาจทัดทานอะไรได้ คนคนหนึ่งสามารถถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ราวกับเป็นกระดาษได้ ต่อให้วาดสิ่งอื่นนอกเหนือจากมนุษย์ลงไป ไม่ว่าจะเป็นอสูรที่น่าสะพรึงกลัวหรือผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุด ผลของมันก็จะออกมาเหมือนกัน ผู้วาดสามารถทำลายชีวิตที่วาดลงไปได้อย่างง่ายดายดุจเดียวกัน

วิธีการทำสิ่งที่พูดถึงในบทที่เก้าฟังดูราวกับเป็นฝันที่ก่อร่างขึ้นมาจากอากาศธาตุ ที่คนสามารถแปลงกายสิ่งต่างๆ จากรูปวาดขึ้นมาเป็นสิ่งมีชีวิตได้ภายในจักรพิภพที่แยกออกไปนั้น

หวังเป่าเล่ออ่านจบก็ถึงกับผงะ เคล็ดวิชาฝึกตนที่ว่านี้ดูบ้าคลั่งสิ้นดี แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งก็ไม่สำคัญ ชายหนุ่มยังไม่อยู่ในระดับปราณที่จะฝึกวิชาเหล่านั้นได้ มันยังถือเป็นเรื่องเกินเอื้อมสำหรับเขาในตอนนี้ แต่กระนั้น หวังเป่าเล่อก็อดไม่ได้ที่จะคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้แต่งกล่าวไว้ในบทที่เก้า ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ดวงตาทั้งคู่ของเขาสุกสว่างราวกับว่าสามารถมองทะลุกำแพงเรือบินรบเวทออกไปสู่จักรวาลอันไกลโพ้นในเบื้องนอกได้

ครู่ใหญ่ต่อมา หวังเป่าเล่อก็หันไปหาเจ้าอู๋น้อยอีกครั้งก่อนจะเอ่ยปากถาม “เจ้ามาจากที่ใดกัน”

เจ้าอู๋น้อยกะพริบตา ก่อนจะลุกขึ้นยืนและสะบัดชายเสื้อออกไปด้านข้างอย่างแผ่วเบา ดวงตาของเด็กหนุ่มไม่ได้ดูเลื่อนลอยอีกต่อไป กลับมีสีหน้าที่สุขุมและตั้งมั่นแทนที่ แววตาของเขาส่องสว่างไปด้วยแสงประหลาด ในวินาทีนั้น เด็กหนุ่มก็ไม่ใช่เจ้าอู๋น้อย ผู้ที่เรียกหวังเป่าเล่อว่าท่านบิดาอีกต่อไป แต่เขาคือผู้ฝึกตนปริศนา

“ข้าบอกท่านไปแล้ว ข้าคือองค์ชายแห่งอาณาจักรพิภพทมิฬ ท่านไม่ควรถามว่าข้าเป็นใคร แต่ว่า…ควรจะถามว่าอาณาจักรพิภพทมิฬนั้นอยู่ที่ใดจะดีกว่า!”

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “อาณาจักรพิภพทมิฬอยู่ที่ใดกัน”

“ท่านไม่ควรถามเช่นนั้น ท่านควรจะถามว่า อาณาจักรพิภพทมิฬนั้นอยู่ที่นี่ ในจักรพิภพเต๋าแห่งนี้หรือไม่!” รัศมีของเจ้าอู๋น้อยแปรเปลี่ยนไปขณะที่พูด เห็นได้ว่ามีความหยิ่งทนงซุกซ่อนอยู่ภายในกายของเด็กหนุ่มและต้นกำเนิดของเขาที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่

เจ้าลาเองก็ตาเบิกโพลง เหมือนจะอ้าปากอยู่เล็กน้อยด้วย มันหันกลับไปจ้องมองเจ้าอู๋น้อยด้วยสายตาลุ่มลึกเปี่ยมความหมาย ราวกับว่ากำลังจับจ้องเข้าไปในวิญญาณของอีกฝ่ายกระนั้น

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบอยู่เป็นนาน ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาช้าๆ “อาณาจักรพิภพทมิฬที่แท้จริงอยู่ที่ไหน”

“ท่านไม่ควรถามคำถามนั้น…”

“ข้าไม่สนใจแล้ว!” หวังเป่าเล่อระเบิดโทสะขึ้นมาก่อนที่เจ้าอู๋น้อยจะทันพูดจบ ชายหนุ่มยอมอดทนกับสองครั้งที่ผ่านมา แต่เจ้าเด็กน้อยนี่ช่างวอนหาเรื่องเสียแล้ว หวังเป่าเล่อจ้องหน้าเด็กหนุ่ม ก่อนจะเตะเข้าให้ทีหนึ่ง

เจ้าอู๋น้อยร้องลั่นขณะที่ลอยละลิ่วไปไกล แต่ก็ยังคงหนังเหนียวจึงไม่ได้รับบาดเจ็บจากลูกเตะแต่อย่างใด แต่แรงเตะก็ยังทำเอาเจ็บพอสมควร ก่อนเรียกเอาความทรงจำที่ถูกหวังเป่าเล่อกระทืบในครั้งแรกให้หวนคืนมาในใจเมื่อคราวที่หวังเป่าเล่อบีบบังคับให้เรียกว่าท่านบิดา เด็กหนุ่มตัวสั่นงันงกก่อนจะกลับเป็นคนเดิมทันที เจ้าอู๋น้อยรีบทำสีหน้าประจบประแจงก่อนจะกุลีกุจอพูดอย่างแทบไม่มีทางเลือก

“ท่านบิดา อย่าโกรธสิขอรับ ข้าผิดไปแล้ว ข้าทำผิดมหันต์ ข้าไม่ได้มาจากอาณาจักรพิภพทมิฬหรอก ข้าเป็นแค่หนึ่งในองค์ชายหลายคนจากอาณาจักรเล็กๆ เท่านั้น แผ่นหยกนั้นเป็นสมบัติของอาณาจักรของเรา ข้าขโมยมันมา…” ใบหน้าของอู๋น้อยเหี่ยวย่นลงจนน่าสงสารขณะที่เด็กหนุ่มอธิบายที่มาที่ไปของแผ่นหยกให้หวังเป่าเล่อฟัง

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกดีขึ้นมาก คำถามควรจะได้รับคำตอบเช่นนี้ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่เชื่อสิ่งที่เจ้าอู๋น้อยพูด ชายหนุ่มยังคงสงสัยเรื่องต้นกำเนิดของอีกฝ่าย ยังมีข้อมูลซึ่งระบุไว้ในบทที่เก้าของวิชาหลอมดาราพิภพทมิฬที่เขายังต้องครุ่นคิด…มันทำให้เขาตื่นตะลึงเป็นอันมาก แถมยังทำให้มองเจ้าอู๋น้อยไม่เหมือนเดิมอีกด้วย

เจ้าหนุ่มนี่มาจากจักรพิภพที่บทที่เก้าเอ่ยถึงหรือเปล่านะ ไม่น่าเป็นไปได้ เขาอ่อนแอเหลือเกิน

หวังเป่าเล่อคิดเช่นนั้นอยู่ในใจก่อนจะที่ครุ่นคิดเรื่องวิชาหลอมดาราพิภพทมิฬต่อไป เวลาผ่านไประยะหนึ่ง ชายหนุ่มก็เลิกสนใจเจ้าอู๋น้อยก่อนจะหันมานั่งลง จับจ้องไปที่แผ่นหยกในมือและเริ่มอ่านข้อมูลในบทที่หนึ่ง

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้าหนึ่งเดือนก็ผ่านไป ในเดือนหนึ่งนั้น กองเรือขนาดมหึมาของหวังเป่าเล่อก็เดินทางข้ามจักรพิภพต่างๆ มากมาย และได้พานพบนักเดินทางข้ามจักรพิภพหลายกลุ่ม ทุกๆ กลุ่มนั้นเหมือนกันตรงที่ต่างพากันตื่นกลัวเมื่อสัมผัสได้ถึงตัวตนของกองทัพของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะถอนใจอย่างโล่งอกเมื่อกองกำลังนั้นจากไป

หวังเป่าเล่อไม่มีอารมณ์จะสนใจบรรดาคนแปลกหน้า ชายหนุ่มกำลังจมอยู่กับบทแรกของวิชาหลอมดาราพิภพทมิฬ เขาหมดเวลาทั้งเดือนไปกับการอ่านบทนั้นแต่กลับเพิ่งเข้าใจส่วนเล็กๆ ได้เพียงส่วนเดียว

ส่วนเล็กๆ ที่ว่าพูดถึงการหลอมผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ให้เป็นวัตถุเวท

“ข้าอยากได้ดารานิรันดร์สักดวงหนึ่งเสียจริง!” หวังเป่าเล่อพึมพำ ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นแล้วจ้องมองออกไปยังจักรวาลเบื้องนอกเรือบินรบเวทของตน สัมผัสเทพของเขาแผ่กระจายออกไปในอวกาศ แผ่ไพศาลไปจนถึงจักรวาลอันกว้างใหญ่เบื้องนอก หวังเป่าเล่อดึงแผนที่ดวงดาวออกมาศึกษาอย่างถี่ถ้วน จากนั้นจึงเปลี่ยนทิศทางเรือบินรบเวทก่อนจะมุ่งหน้าไปยังดารานิรันดร์ที่ใกล้ที่สุดอย่างเต็มกำลัง

กองกำลังของหวังเป่าเล่อเดินทางเจ็ดวันก่อนจะไปถึงจักรพิภพเป้าหมาย มีอารยธรรมอยู่ในจักรพิภพนั้นด้วย แต่ยังเป็นอารยธรรมที่ล้าหลัง จึงไม่อาจสัมผัสการมาถึงของหวังเป่าเล่อได้ ชายหนุ่มไม่ได้มุ่งจะรุกรานอารยธรรมนั้นอยู่แล้วตั้งแต่ต้น ขณะที่เคลื่อนที่เข้าไปใกล้ดารานิรันดร์ของจักรพิภพนั้น ก็พลันเห็นดวงอาทิตย์สีแดงกล้าปรากฏขึ้นบนคลองจักษุ

ทั้งขนาดและความร้อนนั้นคล้ายคลึงกับดารานิรันดร์ของระบบสุริยะ หวังเป่าเล่อหรี่ตาเมื่อรู้สึกได้ถึงความร้อนแรงและพลังทำลายล้างอันสูงส่งที่แผ่ออกมาจากดารานิรันดร์ดวงนั้น เนื้อหาของบทแรกในวิชาหลอมดาราพิภพทมิฬ วิธีการหลอมผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ ปรากฏขึ้นในศีรษะของชายหนุ่ม

เราต้องปรับโครงสร้างภายในของเปลวไฟของดารานิรันดร์ ก่อนจะหลอมไฟนั้นในทะเลสวรรค์ ต้องแปรสภาพมันให้กลายเป็นหุ่นเชิดของเรา!

ขั้นตอนอาจจะดูเรียบง่าย แต่ส่วนที่ยากที่สุดก็คือผู้หลอมต้องกลืนกินเปลวเพลิงของดารานิรันดร์เข้าไป!

หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบครุ่นคิด การกลืนกินเปลวเพลิงดารานิรันดร์เป็นขั้นแรกของการฝึกวิชาหลอมดาราพิภพทมิฬ ผู้ฝึกต้องสร้างกองฟางเอาไว้ภายในใจ ขณะที่เริ่มฝึกปราณไป ก็เพิ่มเติมเชื้อไฟอื่นๆ เข้าไปเพื่อให้เปลวไฟภายในเผาไหม้อย่างต่อเนื่อง เปลวไฟนี้จะทำให้ผู้ฝึกทั้งแข็งแกร่งขึ้นและบ้าคลั่งขึ้นไปพร้อมๆ กัน

ขั้นแรกนี้มีความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่หลายประการ หากทำผิดพลาดก็จะถูกเผาทั้งเป็น มีคำเตือนเขียนอยู่บนแผ่นหยกว่าผู้ฝึกควรต้องฝึกวิชาหลอมดาราพิภพทมิฬภายใต้เงื่อนไขบางประการ หาไม่แล้วก็ไม่ควรฝึกเลย

มีเงื่อนไขพิเศษที่แตกต่างกันสองประการเขียนอยู่ภายในบทแรกนั้น คือต้องฝึกวิชาหลอมดาราพิภพทมิฬบนดารานิรันดร์ที่กำลังจะแตกดับหรือดารานิรันดร์ที่เพิ่งจะถือกำเนิด!

ผู้ฝึกต้องมีโชคช่วยเป็นอย่างมากหากจะบรรลุเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งได้ หวังเป่าเล่อยังไม่โชคดีขนาดนั้น ทว่าแม้วิชาหลอมดาราพิภพทมิฬไม่แนะนำให้ฝึกหากไม่สามารถบรรลุเงื่อนไขสักข้อได้ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าการฝึกจะล้มเหลว

ด้วยเหตุนี้…หวังเป่าเล่อจึงคิดว่าอย่างไรก็คงต้องลองดูสักครั้งหนึ่ง ชายหนุ่มมีข้อได้เปรียบที่คนอื่นไม่มี นั่นคือ กายของเขาในตอนนี้…เป็นร่างอวตารที่หลอมขึ้นมาด้วยกระบวนท่าสารัตถะ!

หากข้าล้มเหลวครั้งแรก ข้าก็จะลองอีกสิบครั้ง หากล้มเหลวอีกสิบครั้ง ข้าก็จะลองใหม่อีกร้อยครั้ง! ดวงตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายขณะที่ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือ กายเนื้อของเขาเริ่มพร่าเลือนในทันที ละอองหมอกเริ่มกระจายออกมาจากกาย แล้วรวมตัวกันตรงหน้า ก่อนจะค่อยๆ กลายเป็นร่างของชายหนุ่มที่เล็กกว่าเดิม หวังเป่าเล่อน้อยก้าวทะลุกำแพงของเรือบินรบเวทแล้ววิ่งตรงเข้าไปหาดวงอาทิตย์

ร่างนั้นเข้าไปใกล้ดวงอาทิตย์เท่าที่จะทำได้ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก เปลวเพลิงไหลบ่าเข้าหาร่างของหวังเป่าเล่อน้อยและไหลท่วมปาก ในวินาทีถัดมา ร่างของหวังเป่าเล่อน้อยก็สั่นเทา ก่อนจะลุกไหม้ แล้วโดนเผาจนกลายเป็นธุลีไปในพริบตา

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มตรึกตรองความรู้สึกที่ได้รับจากการทดสอบเมื่อครู่อย่างถี่ถ้วน

ข้าพยายามกลืนพลังงานเข้ามามากเกินไป ควรกินให้น้อยกว่านี้ และควรเปลี่ยนสิ่งที่ร่างอวตารทำหลังจากที่กลืนพลังงานเข้าไปแล้วด้วย…หวังเป่าเล่อเริ่มคิดหาต้นเหตุของความล้มเหลว ก่อนจะหลอมร่างอวตารร่างที่สองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มทดลองซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนั้น จนกองทัพของเขามาตั้งหลักกันอยู่ข้างดารานิรันดร์เป็นเวลาทั้งเดือน!

หวังเป่าเล่อแทบจะเสียสติไปในเวลาหนึ่งเดือนนั้น เขาล้มเหลวอยู่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ชายหนุ่มกลืนโอสถเมื่อรู้สึกเหน็ดเหนื่อยและยังกินวัตถุดิบระดับดีเยี่ยมเช่นศิลาวิญญาณเพื่อจะให้มีแรงฮึดสู้ต่อไป แต่ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าสารัตถะของตนเริ่มจะเลือนรางไปพร้อมๆ กับร่างกายที่เริ่มพร่าเลือนขึ้นทุกขณะ

แต่ความพยายามซ้ำไปซ้ำมานั้นก็ไม่ได้สูญเปล่าเสียทีเดียว ทุกๆ ครั้งที่หวังเป่าเล่อล้มเหลว เขาก็ได้รับประสบการณ์มามากโข ในการทดลองครั้งที่ 173 ร่างอวตารของเขาก็สามารถกลืนเปลวเพลิงดารานิรันดร์เข้าไปลูกใหญ่โดยไม่ระเบิดได้ ก่อนจะกลับมาบนเรือบินรบได้สำเร็จ!

หวังเป่าเล่อสุดจะลิงโลดใจเมื่อเห็นร่างอวตารกลับมา กายเนื้อของเขาจางหายกลายเป็นหมอก แล้วพุ่งเข้าไปหาร่างอวตารก่อนจะรวมร่างกันแล้วแปลงให้มันกลายเป็นร่างอวตารหลักโดยใช้กระบวนท่าสารัตถะ กายของชายหนุ่มสั่นไหวอย่างรุนแรงทันที เขาสัมผัสได้ถึงความร้อนที่กำลังไหลบ่าไปทั่วกาย!

มีดวงอาทิตย์จำลองที่แผดแสงร้อนแรงปรากฏขึ้นในทะเลสวรรค์ของเขา เปลวไฟสีดำห้อมล้อมดวงอาทิตย์ที่กำลังเผาไหม้ดวงนั้น เกิดเป็นความสมดุลระหว่างเปลวไฟสองประเภท!

ข้าทำได้แล้ว! เมื่อสัมผัสได้ถึงเปลวเพลิงดารานิรันดร์ภายในกาย หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น เผยให้เห็นประกายไฟที่เต้นเร่าอยู่ในดวงตาทั้งคู่ ภาพของเปลวไฟจางๆ นั้นทำเอาเจ้าอู๋น้อยและเจ้าลาตัวสั่นงันงก แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะอยู่เพียงขั้นแสร้งอมตะ แต่รัศมีความอันตรายที่กายของชายหนุ่มแผ่ออกมาขณะนี้ รุนแรงยิ่งกว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เสียอีก!

…………………………………..

“อย่างแรก เรือบินรบทำลายตัวเอง…” หวังเป่าเล่อพึมพำขณะนั่งลงในเรือบินรบเวท หลังจากระบุเส้นทางให้เรือบินรบเวทเสร็จ เขาก็นวดหน้าผาก ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัว

พวกเขาต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะกลับไปถึงระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ ดูจากระยะทางที่พวกเขาเดินทางออกมา น่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามเดือนในการเดินทางกลับ ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับชายหนุ่มในการสร้างคลังแสงกลับมาใหม่

สร้างเรือบินรบทำลายตัวเองนั้นง่าย ข้ามีหุ่นเชิดมากมายให้สั่งการ สิ่งสำคัญที่สุดคือทำให้การระเบิดทำลายตัวเองแต่ละครั้งสร้างความเสียหายได้สูงสุด แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องยากเหมือนกัน ถ้าใช้วัสดุคุณภาพดีขึ้นในการสร้าง พลังระเบิดก็ต้องเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

อีกอย่าง ข้ายังมีโล่สวรรค์พิพากษาอยู่อีก… หวังเป่าเล่อหรี่ตา หลังจากตัดสินใจได้แล้วว่าจะทำอะไร เขาก็เริ่มงาน ด้วยการเรียกหุ่นเชิดมากมายออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ และกลับเข้าสู่การถือสันโดษ

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ เรือบินรบใหม่เอี่ยมขนาดเล็กหลายร้อยลำปรากฏขึ้นด้านหลังเรือบินรบเวท กองเรือบินรบนี้มีสีดำ พวกมันแผ่พลังวิญญาณที่ค่อนข้างแข็งแกร่งออกมา แต่ละลำนั้นแข็งแกร่งเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์

วันคืนผ่านไป จำนวนของเหล่าเรือบินรบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ อัตราการผลิตก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากไม่กี่ร้อยลำขยับไปเป็นไม่กี่พันลำในทุกๆ วัน

สองสัปดาห์ผ่านไป กองทัพเรือบินรบกว่าหมื่นลำลอยตามหลังเรือบินรบเวท แต่ละลำมีโล่สวรรค์พิพากษาติดตั้งไว้ ดูแล้วช่างเป็นภาพอันน่ายำเกรงนัก เหล่านักเดินทางจากอารยธรรมอื่นต่างสั่นกลัวเมื่อเห็นกองเรือบินรบ พวกเขารีบไปซ่อนตัวและหวังว่ากองเรือบินรบนั้นจะไม่สังเกตเห็น

การกระทำของคนเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร…นอกจากเรือบินรบขั้นจุติวิญญาณสุดแข็งแกร่งกว่าหมื่นลำแล้ว หวังเป่าเล่อยังทุ่มผลึกสีชาดพันก้อน…เพื่อสร้างเรือบินรบสมรรถนะสูงอีกพันลำที่สามารถปล่อยพลังขั้นเชื่อมวิญญาณออกมาเมื่อระเบิดทำลายตัวเอง!

เรือบินรบเหล่านี้มีลักษณะไม่ต่างจากเรือบินรบลำอื่นๆ ในกองทัพของหวังเป่าเล่อ ถ้าไม่ดูให้ละเอียดก็ไม่ทางแยกออกได้ เมื่อเรือบินรบพวกนี้มารวมกันเป็นกองทัพใหญ่ก็ย่อมถือเป็นภัยคุกคามต่อทุกคนในพื้นที่

กองเรือบินรบของหวังเป่าเล่อในปัจจุบันดูแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ แข็งแกร่งกว่ากองทัพในตอนเริ่มต้นของเขาเสียอีก นอกจากนี้ ชายหนุ่มยังมีเกราะมหาจักรพรรดิที่ช่วยเสริมพลังให้เทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ เหล่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นทั่วไปไม่มีทางเทียบชั้นเขาได้ ถึงคู่ต่อสู้จะมีเรือบินรบเวทก็ไม่ได้รับประกันว่าจะล้มชายหนุ่มลงได้หรือไม่

ถ้าคู่ต่อสู้ไม่มีเรือบินรบ หวังเป่าเล่อก็พร้อมสู้ด้วยมือเปล่า แม้ว่าคู่ต่อสู้จะอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางก็ตาม อย่างไรเสีย เขาก็มีแผ่นหยกที่ปรมาจารย์แห่งไฟผนึกคำสาปไว้ก่อนจะมอบให้

ทุกสิ่งรวมกันทำให้ชายหนุ่มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ คงจะเกินเลยไปถ้าจะบอกว่าเขาสามารถครองจักรวาลได้โดยง่าย จะพอดีกว่าถ้าเรียกว่าเป็นดาวรุ่งในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์

เขาหลอมโล่สวรรค์พิพากษาขึ้นมาใหม่ด้วยเช่นกัน เพื่อกันไม่ให้เกิดเรื่องเหมือนในอดีตขึ้น หวังเป่าเล่อจึงใช้วัตถุดิบจำนวนมากไปเพื่อหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสำหรับใช้งานส่วนตัว ชายหนุ่มหลอมขึ้นมาร้อยชิ้นในทีเดียว!

“ด้วยอำนาจของเงินตรา!” หวังเป่าเล่อหัวเราะหลังจากพบว่าตอนนี้ตนแข็งแกร่งเพียงใดจากคลังอาวุธและวัตถุเวทที่มี เจ้าลาร้องขึ้นมา เริ่มขอของกิน มันร้องดังขึ้นอีกหลังจากได้ศิลาวิญญาณขั้นสูงสุดจากหวังเป่าเล่อมาจำนวนหนึ่ง

ส่วนเจ้าอู๋น้อยนั้นยังคงมึนงงอยู่ ดวงตาของเขาดูเลื่อนลอย เหมือนกำลังพิจารณาชีวิตว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน ตอนนี้กำลังจะไปไหน

เจ้าเด็กนี่…ช่างน่าสงสาร หวังเป่าเล่อถอนหายใจและหันมองเจ้าอู๋น้อย เขาตระหนักว่าตนโหดร้ายกับเด็กหนุ่มเกินไป แต่ชีวิตคือการฝึกตน ต้องผ่านความยากลำบากเพื่อที่จะแข็งแกร่งขึ้น เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

เด็กน้อย ที่ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อเจ้า เจ้ายังต้องฝึกฝนอีกมาก ไม่เป็นไร บิดาจะคอยช่วยเจ้าเอง หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอและหันมองไปทางอื่น หลังจากคำนวณว่าต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่ในการเดินทางกลับเสร็จ เขาก็หยิบมือครึ่งซีกของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นออกมา

บนมือมีนิ้วอยู่เพียงสามนิ้วซึ่งกลายเป็นสีดำไปหมดแล้ว แต่ก็ไม่ได้เน่าเปื่อยแต่อย่างใด ยังคงมีพลังระดับดาวพระเคราะห์เอ่อล้นอยู่ภายใน แค่มองมือที่ว่าก็ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกหายใจไม่ออก ถึงจะไม่ได้แย่เท่าตอนประจันหน้ากับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ แต่ก็ยังถือว่าแย่เลยทีเดียว

แต่ละส่วนของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์แข็งแกร่งเช่นนี้หรือไม่นะ… หวังเป่าเล่อศึกษามือครึ่งซีกอย่างจริงจัง เขาคิดจะหลอมมันเข้ากับเกราะมหาจักรพรรดิเพื่อที่อาจจะได้พลังระดับดาวพระเคราะห์มาเสริมสักเล็กน้อย

แต่วิธีที่ว่าไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย ถือเป็นการใช้มือครึ่งซีกไปอย่างเปล่าประโยชน์ หวังเป่าเล่อไม่รู้จะทำเช่นไร หลังจากครุ่นคิดสักพักก็วางมือครึ่งซีกลงและหยิบแหวนคลังเวทออกมา

ข้าต้องบรรลุไประดับดาวพระเคราะห์ก่อนหรือจึงจะสามารถปลดผนึกสิ่งนี้ได้ จะมีของล้ำค่าอยู่ข้างในจริงไหม…ถ้าไม่มีทางอื่นแล้ว ข้าน่าจะถามวิธีคลายผนึกได้จากเซี่ยไห่หยาง หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว เขาปล่อยหัวให้โล่ง ขณะที่กำลังจะเริ่มศึกษาแหวนอย่างละเอียดก็ได้ยินเสียงหายใจถี่หนัก ชายหนุ่มเงยหน้ามองอย่างแปลกใจและเห็นเจ้าลายืนอยู่ใกล้ๆ มันกำลังจ้องแหวนคลังเวทในมือเขาอยู่ตาไม่กะพริบ

น้ำลายไหลเยิ้มลงพื้นจนเป็นแอ่ง…

ดวงตาของเจ้าลาแดงก่ำ มันพุ่งใส่หวังเป่าเล่อทันใด ก่อนจะอ้าปาก หมายกัดกินแหวนคลังเวท

เสียงสนั่นดังขึ้นเมื่อเจ้าลากัดอากาศเข้าไป!

ถ้าหวังเป่าเล่อตอบสนองไม่ทันกาลคงจะโดนเจ้าลากัดมือไปแล้ว คิดได้เช่นนั้นเขาก็ขุ่นเคืองขึ้นมา ขณะกำลังจะลุกยืนขึ้น เจ้าลาก็พุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มอีกครั้ง ตอนนี้มันสนใจแค่แหวนคลังเวท พร้อมจะสู้เพื่อแหวนอีกสักครา

“เจ้าจะแข็งข้อกับข้าอย่างนั้นหรือ” ชายหนุ่มเตะอัดเข้าที่ท้องของเจ้าลา มันกรีดร้องลั่นขณะกระเด็นออกไปไกล

อาจจะดูเหมือนเป็นลูกเตะที่รุนแรง แต่หวังเป่าเล่อก็คุมพลังตัวเองไว้อยู่ ตั้งใจจะทำให้มันแค่ถอยห่างออกไป ไม่ได้หมายจะทำร้ายอะไร ลูกเตะของเขาเหมือนช่วยเรียกสติเจ้าลากลับมาได้ มันหมอบกับพื้นและมองชายหนุ่มด้วยแววตาน่าสงสาร เหมือนจะตระหนักแล้วว่าตนเองได้ทำอะไรไม่ดีไป ถึงกระนั้น…น้ำลายก็ยังไหลออกจากปากไม่หยุด

หวังเป่าเล่อเหลือบมองเจ้าลา จากนั้นก็ก้มมองแหวนคลังเวทในมือ แววผิดแปลกฉายวาบขึ้นในตา เขารู้นิสัยเจ้าลาดี มันเขมือบวัตถุดิบมามากมายตั้งแต่ยังเล็กและเริ่มเลือกกินมากขึ้น นอกจากนี้ยังดมกลิ่นวัตถุดิบชั้นสูงได้ดีมาก พฤติกรรมตะกละตะกลามเมื่อครู่บ่งบอกว่า…มีของล้ำค่ามากๆ อยู่ในแหวนคลังเวท

ข้าได้ของดีมาอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหายติดขัด จากนั้นก็เงยหน้าจ้องเจ้าลา เขาขยายสัมผัสวิญญาณไปสื่อสารกับมัน

เจ้าลาอธิบายรายละเอียดสิ่งของข้างในแหวนไม่ได้ แต่หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกของมัน มีพลังบางอย่างด้านในแหวนที่ทำให้เจ้าลาคลุ้มคลั่ง เป็นพลังที่ทำให้มันขาดสติและดึงเอาสัญชาตญาณดิบออกมา ทำให้มันกล้าอวดดีกับบิดาผู้นำสหพันธรัฐผู้หล่อเหลาและเยี่ยมยอด

“พอแล้ว ยังจะมาประจบประแจงอีก ช่างตะกละเสียจริง!” หวังเป่าเล่อแค่นเสียงใส่ เขาตัดสินใจว่าคงเอาแหวนให้เซี่ยไห่หยางไม่ได้ ทางที่ปลอดภัยที่สุดคือคลายผนึกแหวนด้วยตัวเองตอนที่แข็งแกร่งขึ้นแล้ว เขากำลังจะเก็บแหวนและมือระดับดาวพระเคราะห์เข้ากระเป๋าคลังเวท แต่เจ้าอู๋น้อยที่มึนงงอยู่เงียบๆ ก็พูดขึ้นก่อน

“บิดาข้า ข้ารู้วิธีหลอมมือนี้ให้กลายเป็นวัตถุเวททรงพลัง สามารถปลดปล่อยพลังเทียบเท่าการโจมตีของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ ข้าบอกท่านได้ แต่ข้าอยากให้ท่านทำอะไรให้ข้าอย่างหนึ่งเป็นการแลกเปลี่ยน…”

“หืม” หวังเป่าเล่อหันไปทางเจ้าอู๋น้อยและหรี่ตามองทันที เขาพยายามเดาภูมิหลังของเด็กหนุ่ม ลองค้นในวิญญาณก็ไม่เจอความทรงจำอะไร ที่รู้ก็คือเคล็ดวิชาหลอมที่เจ้าอู๋น้อยให้มานั้นเป็นเคล็ดวิชาที่แกร่งกล้ามาก

หรือว่าจะเป็นองค์ชายจากที่ไหนสักแห่งจริงๆ หวังเป่าเล่อกะพริบตา แต่ก็คงไม่เป็นเช่นนั้นหรอก องค์ชายควรมีลักษณะเหมือนหวังเป่าเล่อต่างหาก

“เจ้าอู๋น้อย เป็นเด็กดีแล้วบอกบิดามา ข้าสัญญาณว่าต่อไปจะไม่ขังเจ้าไว้อีกแล้ว” หวังเป่าเล่อผุดยิ้มเมื่อคิดเช่นนั้น เขามองเจ้าอู๋น้องอย่างอ่อนโยนและพูดกับอีกฝ่าย

เจ้าอู๋น้อยมองใบหน้ายิ้มแย้มของหวังเป่าเล่อด้วยความลังเลใจ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กัดฟันตอบ “บิดาข้า เคล็ดวิชาหลอมอาวุธเวทนี้มีชื่อว่าวิชาหลอมดาราพิภพทมิฬ!”

“ว่ากันตามทฤษฎีแล้วสามารถใช้หลอมดาวเคราะห์และดวงดาวได้…” อู๋น้อยยื่นมือขวาหยิบแผ่นหยกออกมา เด็กหนุ่มลงผนึกไว้และโยนให้หวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรับแผ่นหยกมาและใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจดู ดวงตาของเขาเบิกกว้างทันใด ความตื่นตะลึงถาโถมเข้าใส่ห้วงความคิด เขาเงยหน้ามองเจ้าอู๋น้อย

“เจ้าอยากให้ข้าทำสิ่งใด”

“สัญญาว่าจะส่งข้ากลับบ้านตอนที่ข้าร้องขอท่าน!”

“เรือบินรบเวทหรือ” แววตาหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความกังขา เขาก้าวเข้าไปมองใกล้ๆ ยิ่งมองก็ยิ่งสงสัย เห็นได้ชัดว่าสัตว์ตรงหน้าคือหุ่นเชิด แต่กลับมีพลังชีวิตหลงเหลืออยู่ในร่าง

ระดับพลังปราณเหมือนจะไม่ได้อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะอย่างเรือบินรบเวททั่วไป มันดูอ่อนแอกว่าพอสมควร

“เหมือนว่าสหายเต๋าจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับวานรรากฐานนะ” ชายชราผู้ดูจะเบื่อหน่ายมองหวังเป่าเล่อก่อนจะหยิบถุงเล็กๆ ที่ทำจากหนังสัตว์ออกมาไว้ตรงปากและสูดหายใจเข้าปอด หลังจากนั้นเขาก็ดูกระปรี้กระเปร่าขึ้นกว่าเดิม

“ช่วยบอกข้าที สหายเต๋า” หวังเป่าเล่อพูดอย่างสุภาพขณะหันมากุมหมัดทักทาย เขาสังเกตเห็นอะไรแปลกๆ ตอนที่เข้ามาในร้าน ชายชราดูไม่มีอะไรโดดเด่น สีหน้าก็ไม่กระตือรือร้นอะไร แต่หวังเป่าเล่อกลับสัมผัสระดับการฝึกตนของอีกฝ่ายไม่ได้ ถ้าไม่เพราะคนผู้นี้มีวัตถุเวทกล้าแกร่งกันไว้ ก็ต้องมีระดับการฝึกตนที่สูงกว่าตนเองมากเป็นแน่

ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใด ชายชราย่อมไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่ แค่การมีร้านอยู่ในตลาดนี่ได้ก็พิสูจน์แล้วว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา

“วานรรากฐานไม่ใช่สิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ เป็นของที่สร้างขึ้นมาโดยตระกูลเซี่ย วานรพวกนี้เป็นผู้คุ้มกันตระกูลเซี่ยรวมถึงใช้เป็นเครื่องบอกตำแหน่ง พวกมันอาจดูเหมือนอยู่เพียงขั้นรากฐานตั้งมั่น แต่ก็ขึ้นอยู่กับคุณภาพของการผลิต วานรแต่ละตัวจะมีผนึกหลายระดับอยู่ในร่าง!

“ระดับการฝึกตนของวานรรากฐานจะเพิ่มไปถึงจุดสูงสุดของขั้นด้วยการปลดผนึกแต่ละอัน ส่วนเหตุผลที่ว่าเหตุใดถึงต้องเพิ่มระดับการฝึกตนเช่นนี้ และจะปลดผนึกได้อย่างไร มีแต่ตระกูลเซี่ยเท่านั้นที่รู้”

“ตัวตรงหน้าเจ้าเป็นของที่พังแล้ว ข้าจึงได้มาไว้ในครอบครอง ผนึกทั้งสี่ถูกปลดไปแล้ว แต่การจะซ่อมได้ ข้าต้องการวัตถุดิบ แล้วก็ต้องหาวิธีจัดการให้มันทำงานได้ มันถึงเป็นเหมือนขยะ ถ้าไม่ได้พัง ตระกูลเซี่ยคงเรียกเก็บกลับไปแล้ว” ชายชรากลับไปเซื่องซึมเหมือนเดิม เขายกถุงหนังสัตว์ขึ้นมาสูดอีกครั้ง

ชายชราเห็นหวังเป่าเล่อมองมาตอนที่เงยหน้าขึ้น จึงฉีกยิ้มกว้างให้ขณะถือถุงหนังสัตว์ในมือ

“อันนี้ก็ไม่รู้อีกหรือว่าคืออะไร เจ้ามาจากดาวเคราะห์บ้านนอกหรืออย่างไรกัน นี่คือถุงทอง สูดเข้าไปหนึ่งครั้งจะทำให้เจ้าครื้นเครงกว่าทวยเทพ เจ้าจะเห็นสิ่งแปลกตาในหัว ข้าไม่รู้ว่าเจ้าคนบาปไหนเป็นคนสร้างขึ้น แต่ก็เป็นของดีทีเดียว ข้าคิดว่าน่าจะมาจากดินแดนนอก…”

ชายชราสูดถุงทองต่อขณะคุยกับหวังเป่าเล่อ คำพูดช่วงท้ายเริ่มฟังดูไร้สาระขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจที่เอีกฝ่ายพูด เขาจ้องไปยังหุ่นเชิดวานรเพชรตรงหน้า ภาพเจ้าเพชรน้อยปรากฏขึ้นในหัว ทุกอย่างชี้ไปที่จุดเดียว วานรเพชรในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์น่าจะเป็นวานรรากฐาน

เซี่ยไห่หยางเคยไปโผล่ที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์…ทุกอย่างเข้าเค้าหมด ผ่านไปครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ถามขึ้นอย่างปุบปับ “ตระกูลเซี่ยทรงอำนาจขนาดนั้นเลยหรือ”

“ตระกูลเซี่ย…ทั้งตลาดนี้เป็นของตระกูลเซี่ย มีตลาดเช่นนี้อีกเป็นล้านในจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้น ตระกูลไม่รู้สิ้นติดหนี้ตระกูลเซี่ยจำนวนมาก นี่ช่วยตอบคำถามเจ้าได้ไหม” ชายชราวางถุงทองลงเมื่อได้ยินคำถามของหวังเป่าเล่อ เขาหันไปจ้องชายหนุ่มด้วยแววตาว่างเปล่า

หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึกเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาคิดมาตลอดว่าเซี่ยไห่หยางไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แต่ก็ไม่คิดว่าจะเป็นคนใหญ่โตถึงเพียงนี้

“เซี่ยไห่หยางเสแสร้งเก่งเสียจริง” หวังเป่าเล่อพึมพำ เขาอยากจะถามอะไรชายชราต่อ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไม่มีอารมณ์ตอบ หลังจากครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มก็หันไปมองหุ่นเชิดวานรรากฐานอย่างพินิจพิเคราะห์และถามชายชราเรื่องราคา เขาไม่ได้พยายามต่อรองและได้หุ่นเชิดมาในราคาสิบผลึก

ชายชราอารมณ์ดีขึ้นทันใดเพราะได้ขายวานรรากฐานไปในราคางามทีเดียว เขาสูดถุงทองและเดินเข้าไปเสนอกระเป๋าคลังเก็บที่เอาไว้เก็บหุ่นเชิด

หวังเป่าเล่อปลาบปลื้มกับความรู้สึกที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษเพราะความรวย ก่อนจะกระแอมกระไอ รับกระเป๋าคลังเก็บที่ใส่หุ่นเชิดมา และถามขึ้นเสียงเรียบ “ข้าอยากรู้ว่าตระกูลเซี่ยทำธุรกิจอย่างไร เป็นธุรกิจแบบไหน ท่านรู้อะไรบ้าง”

ชายชรานับผลึกสีชาดและเก็บไป ใบหน้าของเขาเรื่อสีแดงขณะหัวเราะและบอกหวังเป่าเล่อทุกอย่างที่รู้

“ตลาดพวกนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งของธุรกิจรูปแบบหนึ่งของตระกูลเซี่ย พวกเขามีธุรกิจสามแบบ อย่างแรกคือวางตลาดอารยธรรมและพัฒนาดาวเคราะห์เป็นแหล่งท่องเที่ยว ดาวเคราะห์เหล่านี้กลายเป็นสถานที่ให้ผู้คนได้ไปเสพความบันเทิง พวกเขาขาย…วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายด้วย วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายขนาดใหญ่ที่ใช้สำหรับเดินทางข้ามอารยธรรมล้วนสร้างโดยตระกูลเซี่ย ธุรกิจแบบที่สาม…น่าสนใจเลยทีเดียว เป็นเสาค้ำจุนตระกูลเซี่ย!”

“พวกเขา…ลงทุนกับคนที่น่าจะกลายเป็นผู้ฝึกตนทรงพลังในอนาคต!” ชายชรามีสีหน้าซ่อนเงื่อนงำบางอย่างไว้เมื่อพูดเช่นนั้นออกไป

จากนั้นเขาก็กระซิบต่อ “ข้าได้ยินมาว่าตระกูลไม่รู้สิ้นสร้างอาณาจักรได้ก็เพราะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ย…ข้าได้ยินมาอีกว่าตระกูลเซี่ยประเมินความสามารถของลูกหลานตนเองจากการดูว่าการลงทุนของพวกเขาทรงพลังขึ้นมาแค่ไหน”

ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงขึ้นรางๆ เขาถามคำถามต่ออีกเล็กน้อย จากนั้นก็กุมหมัดให้ชายชราและออกจากร้านไป คลื่นความรู้สึกถาโถมใส่ชายหนุ่มระหว่างทางกลับ

เขามั่นใจว่าเซี่ยไห่หยางเป็นคนในตระกูลเซี่ยและค่อนข้างมั่นใจว่าวานรเพชรในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์เป็นวานรรากฐานที่ทำหน้าที่เป็นตัวบอกพิกัด

ท่าทีของเซี่ยไห่หยางที่มีต่อเขา…ไม่ต้องอธิบายอะไรอีก ชายหนุ่มค่อนข้างมั่นใจว่าตนเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนที่เซี่ยไห่หยางป้อนทรัพยากรให้เพื่อลงทุน

เซี่ยไห่หยางรสนิยมดีทีเดียว หวังเป่าเล่อลูบคางและหรี่ตาลง ข้อมูลที่แลกมาด้วยผลึกสีชาดสิบผลึกนั้นช่างคุ้มค่ายิ่งนัก ชายหนุ่มตระหนักแล้วว่าเหตุใดเซี่ยไห่หยางถึงจดจำตัวเขาได้ในทันที นั่นก็เพราะอีกฝ่ายลงทุนกับตน ซึ่งต้องมีวิธีลับบางอย่างในการตามหาตัวหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว

เขาเข้าใจว่าเหตุใดเซี่ยไห่หยางจึงพยายามทำเช่นนั้นให้ได้ เพราะไม่มีใครอยากให้การลงทุนของตัวเองล้มเหลว ชายหนุ่มเองก็คงทำไม่ต่างถ้าตนเป็นเซี่ยไห่หยาง ที่สำคัญคือ…หวังเป่าเล่อจะได้อะไรจากเรื่องนี้!

ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นจากการติดต่อกับอีกฝ่าย หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงหลังจากครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ แม้แต่ละสายพันธุ์จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย แต่กฎที่ใช้ปกครองจักรวาลยังคงเหมือนกันไม่ว่าจะมาจากที่ใด จะกรณีใด…เขาก็แค่ต้องทำให้มั่นใจว่าเซี่ยไห่หยางจะคอยป้อนทรัพยากรให้ ถ้าเซี่ยไห่หยางลงทุนกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ…แล้วมีอะไรเกิดขึ้นกับเขา เซี่ยไห่หยางก็ต้องเป็นกังวลไปด้วยเช่นกัน!

ข้าต้องบีบให้เขาทำตาม หวังเป่าเล่อยิ้ม รู้สึกเสียดายเล็กน้อย คงจะดีกว่านี้ถ้าเซี่ยไห่หยางเป็นผู้หญิง

หวังเป่าเล่อออกจากตลาดไปด้วยความคิดแง่บวก พอออกไปด้านนอกตลาด ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นโบก เกราะมหาจักรพรรดิปรากฏขึ้นกลางอากาศในทันทีก่อนจะแปลงโฉมเป็นเรือบินรบเวท

เรือบินรบเวทมีรูปลักษณ์แตกต่างออกไปจากเดิม มันดูน่าเกรงขาม และมีพลังอำนาจสุดแข็งแกร่งเอ่อล้นออกมาจากเรือบินรบตั๊กแตน

หวังเป่าเล่อสำรวจเรือบินรบเวทที่เปลี่ยนโฉมไป ก่อนจะขึ้นเรือบินรบไปอย่างสุขใจ เสียงกัมปนาทดังขึ้นเมื่อเขาบังคับตั๊กแตนออกสู่ห้วงอวกาศ!

คงเป็นเพราะเรือบินรบเวทเงียบผิดปกติ หวังเป่าเล่อจึงเริ่มมองรอบๆ จากนั้นเขาก็ต้องเบิกตากว้าง

ข้าลืมเจ้าลากับเจ้าอู๋น้อยไปเสียสนิท!

คิดได้เช่นนั้น ชายหนุ่มรีบปล่อยเจ้าอู๋น้อยและจ้าลาออกมา ที่ผ่านมาทั้งสองนั่งอยู่ในเรือบินรบทำลายตัวเองในกระเป๋าคลังเก็บ

เจ้าอู๋น้อยดูงุนงงเมื่อปรากฏตัว ขณะที่เจ้าลาวิ่งไปทั่วอย่างบ้าคลั่ง มันร้องใส่หวังเป่าเล่อไม่หยุด ราวกับกำลังบ่นว่าการติดอยู่ในเรือบินรบนานขนาดนั้นทำให้มันเป็นบ้าไปเช่นไร

หวังเป่าเล่อรู้สึกผิดเล็กน้อยในตอนแรกที่ขังเจ้าลาไว้เนิ่นนานเป็นครั้งที่สอง แต่เมื่อเจ้าลาร้องใส่ชายหนุ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ด้วยท่าทีไม่พอใจ หวังเป่าเล่อก็เริ่มรู้สึกว่าเจ้าลาต้องโดนสั่งสอนเสียบ้างจึงจ้องกลับไป

“หยุด ที่ทำไปก็เพื่อตัวเจ้า ดูซิว่าข้างนอกอันตรายแค่ไหน อีกอย่างเจ้าก็ไม่ใช่โดนขังไว้นานตัวเดียว!”

“ดูซิว่าเจ้าอู๋น้อยทำตัวดีแค่ไหน!” หวังเป่าเล่อชี้ไปทางเจ้าอู๋น้อยและมองไปที่เด็กหนุ่ม เจ้าอู๋น้อยหันมามองหวังเป่าเล่อด้วยแววตางุนงง

เมื่อเห็นสภาพเจ้าอู๋น้อย หวังเป่าเล่อก็รู้สึกอายขึ้นไปอีก สงสัยจะขังไว้เสียนานจนเอ๋อไปแล้ว หวังเป่าเล่อจ้องเจ้าลาที่กำลังทำหน้าตาน่าสงสาร เขาไอเขินๆ แล้วโยนศิลาวิญญาณชั้นสูงสุดก้อนหนึ่งให้มันเป็นของว่าง

เจ้าลาแค่นเสียงทางจมูกแล้วหันหน้าหนี ไม่มองของว่างแม้แต่น้อย

“หืม ทำเป็นต่อต้านอย่างนั้นหรือ ย่อมได้” หวังเป่าเล่อมองเจ้าลา จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเรียกศิลาวิญญาณออกมาอีกสิบก้อน เจ้าลาตัวสั่นเทิ้ม เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามห้ามใจตัวเอง ชายหนุ่มโบกแขนอีกครั้ง เรียกศิลาวิญญาณชั้นสูงสุดอีกร้อยก้อนมากองเป็นภูเขาย่อมๆ อยู่ตรงหน้าเจ้าลา

ตาของเจ้าลาแทบจะหลุดออกจากเบ้า น้ำลายไหลเยิ้ม แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้มันจะแข็งข้อ เจ้าลาหันหน้าหนีอีกครั้งทำให้หวังเป่าเล่อต้องถอนหายใจ ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นจะเก็บศิลาและเดินหนีไป เจ้าลาเริ่มตื่นตระหนกทันใด รีบวิ่งไปหากองศิลาตรงหน้าและกินอย่างมูมมาม เหมือนว่ามันจะไปได้นิสัยส่ายหางตอนกินมาจากที่ใดก็ไม่รู้

หวังเป่าเล่อหัวเราะกับภาพตรงหน้า เขาเลิกสนใจเจ้าลาและหันไปเคี้ยวขนมกินอย่างสุขใจ จากนั้นก็นั่งลงและเริ่มวางแผนเสริมกำลังกองทัพระหว่างเดินทางกลับระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์!

ข้าต้องเร่งมือตอนที่กลับไปถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…เพื่อหาทางเอาวิชาดวงเนตรปีศาจที่สมบูรณ์มาให้ได้เร็วที่สุด! ชายหนุ่มหรี่ตาลงเมื่อนึกถึงตัวตนตะกละที่อยู่ในวิชาดวงเนตรปีศาจของตน แววเย็นเยียบฉายวาบขึ้นในดวงตา

………………………………………

ในเมื่อตอนนี้ข้าแข็งแกร่งขึ้นมาก สงสัยจริงว่าจะคลายผนึกแหวนคลังเวทได้หรือยัง หวังเป่าเล่อทดสอบพลังของตนเอง พลังที่เขาสัมผัสได้สร้างความพึงพอใจและเสริมให้รู้สึกมั่นใจยิ่งขึ้น ชายหนุ่มโบกมือเรียกแหวนคลังเวทที่ได้มาจากผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นออกมา จากนั้นก็ถือไว้ในระดับสายตาและขยายสัมผัสวิญญาณไปโอบล้อมแหวนคลังเวทไว้โดยสมบูรณ์

“คลายออก!” หวังเป่าเล่อร้องคำรามพร้อมปลดปล่อยสัมผัสวิญญาณทั้งหมดลงบนแหวนคลังเวท ทว่า…แหวนคลังเวทเป็นดังหินแกร่ง ไม่ว่าชายหนุ่มจะพยายามใช้สัมผัสวิญญาณบดขยี้อย่างไรมันก็ยังไม่ไหวติงต่อแรงปะทะ

“ทลาย!”

“ปลดผนึก!”

เขาตะโกนต่อไปไม่หยุดพร้อมเสริมพลังสัมผัสวิญญาณให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ถึงกับใช้พลังจากเกราะมหาจักรพรรดิเข้ามาช่วย แต่ช่างน่าขายหน้ายิ่งนักเพราะทำอะไรแหวนไม่ได้เลย โชคดีที่ไม่มีใครเห็นความน่าขายหน้าครั้งนี้ หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอแห้งๆ จากนั้นก็เก็บแหวนที่ทำอะไรกับมันไม่ได้ไปอย่างเงียบเชียบ

“วันนี้สภาพร่างกายไม่เข้าที ค่อยลองใหม่วันหลังแล้วกัน” หวังเป่าเล่อบ่นพึมพำ จากนั้นก็ขยับตัวเล็กน้อย เกราะมหาจักรพรรดิบนร่างกายพลันเลือนรางและจางหายไป พลังของหวังเป่าเล่อลดจากขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นไปเป็นขั้นแสร้งอมตะ จากนั้นเขาก็เดินออกจากโรงเตี๊ยมอย่างรื่นเริง

ได้เวลาตามหาเซี่ยไห่หยางแล้ว พอได้ของที่ต้องการ ข้าจะกลับระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ หวังเป่าเล่อลูบหน้าท้องแบนราบของตนเองอย่างสุขใจ เขาบุ้ยปากและถอนหายใจให้กับน้ำหนักที่ลดลง จากนั้นก็เสกน้ำเย็นหล่อวิญญาณขึ้นมาด้วยเคล็ดวิชาสารัตถะ…และยกขึ้นดื่มขณะเดินไปร้านของเซี่ยไห่หยาง…

ไม่นานชายหนุ่มก็เห็นร้านของเซี่ยไห่หยางอยู่ไม่ไกล มันเป็นร้านที่สร้างขึ้นมาเหมือนตำหนัก ดูร่ำรวยโดดเด่นกว่าร้านอื่นๆ ในตลาด ร้านไหนๆ ก็ไม่สามารถเทียบชั้นความมั่งคั่งนี้ได้ เป็นร้านที่เหนือชั้นกว่าร้านรวงทั้งหมด มีผู้ฝึกตนเดินเข้าออกกันขวักไขว่ แม้ไม่ได้แน่นขนัดจนไม่มีพื้นที่ให้หายใจ แต่ก็มีคนหนาตาอยู่เนืองๆ

นั่นคือภาพที่หวังเป่าเล่อเห็นเมื่อเดินเข้ามาในร้าน ผู้คนเต็มร้าน พนักงานวิ่งบริการมือเป็นระวิง แม้จะมีคนอยู่มากมาย แต่ก็มีคนสังเกตเห็นการมาของชายหนุ่ม

คนที่สังเกตเห็นหวังเป่าเล่อคือพนักงานที่ดูแลเขารอบที่แล้ว ดวงตาของอีกฝ่ายเป็นประกายเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อ รีบถอยออกจากลูกค้าที่ดูแลอยู่และพุ่งไปกุมหมัดทักทายชายหนุ่มทันที

“มาแล้วหรือ ท่านศิษย์พี่ผู้ยิ่งใหญ่ นายน้อยของเราบอกว่าให้ท่านขึ้นไปชั้นสองได้ตามสะดวก” พนักงานคนนั้นรีบมาต้อนรับหวังเป่าเล่อทันทีที่เขาเข้ามาในร้าน ชายหนุ่มรู้สึกพอใจกับท่าทีของพนักงานคนนี้ เขากระแอมกระไอ จากนั้นก็หยิบศิลาวิญญาณชั้นสูงสุดก้อนหนึ่งออกมาท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของฝูงชนและโยนให้พนักงานคนนั้นเป็นรางวัล

พนักงานดูปลาบปลื้มอย่างเห็นได้ชัดเมื่อรับศิลาวิญญาณชั้นสูงสุดไป เขานำทางหวังเป่าเล่อไปยังบันไดด้วยแววตาเป็นประกาย หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าตนเองได้รับการดูแลแตกต่างจากคนอื่น ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงแววตาเคารพยำเกรงที่มองมาจากฝูงชน จึงได้แต่แอบถอนหายใจ

ชีวิตคนรวยนี่เป็นเช่นนี้นี่เอง ช่างเรียบง่ายและเถรตรง หวังเป่าเล่อส่ายหัวพร้อมถอนหายใจ จากนั้นก็เดินขึ้นบันไดไป เขาไม่พบเซี่ยไห่หยางตอนขึ้นไปถึงชั้นสอง ไม่มีใครสักคน ขณะที่กำลังหันมองรอบๆ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากทางด้านหลัง

“พี่เป่าเล่อ ไม่เจอกันนาน เป็นเช่นไรบ้าง”

หวังเป่าเล่อกะพริบตาเมื่อได้ยินเช่นนั้นและแสร้งทำเป็นชะงักไปชั่วครู่ หลังจากนั้นก็รีบหันกลับไป ใบหน้าผุดรอยยิ้มยินดีเมื่อพบเซี่ยไห่หยาง จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

“น้องไห่หยาง เราเพิ่งพบกันไปเอง”

“พี่เป่าเล่อ ข้าได้ยินมาว่าเจ้าสร้างผลงานยอดเยี่ยมในการปฏิบัติภารกิจ ช่างมีฝีมือเสียจริง” เซี่ยไห่หยางเอ่ยชมหวังเป่าเล่อขณะที่ทั้งสองนั่งลง เซี่ยไห่หยางมองหวังเป่าเล่อสักพักและสังเกตได้ว่าอีกฝ่ายไม่มีท่าทีตอบสนองกับสิ่งที่ตนเพิ่งพูด ไม่มีแม้แต่แววงุนงงบนใบหน้า เซี่ยไห่หยางพึมพำอะไรบางอย่างกับตนเอง จากนั้นก็กระแอมกระไออย่างกระอักกระอ่วน

“เจ้าคือชายหน้ากากหมูใช่ไหม”

“หน้ากากหมูหรือ” หวังเป่าเล่อกะพริบตา ทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร ถึงท่าทีจะดูเกินพอดีก็ไม่เป็นไร เขาจะไม่ยอมรับสิ่งที่ไม่ควรต้องยอมรับ ถึงจะต้องมอบผลึกสีชาดจำนวนมากให้เซี่ยไห่หยางทีหลังและเผยไต๋ว่าที่ทำไปเมื่อครู่คือแสร้งทำ แต่นั่นก็ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“เป่าเล่อ เจ้าถ่อมตัวเกินไปแล้ว แล้วแต่เจ้าเถอะ เจ้าไม่ใช่ชายหน้ากากหมูก็ไม่สำคัญอะไร ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ไว้ว่าตอนนี้เขาดังใหญ่แล้ว สร้างความแค้นเคืองให้ตระกูลไม่รู้สิ้น พวกนั้นจะทำทุกอย่างเพื่อสืบให้รู้ว่าชายคนนั้นคือใคร คนเดียวที่รู้คือปรมาจารย์แห่งไฟ แต่เขาลบหลักฐานทุกอย่างที่จะสาวไปถึงตัวชายหน้ากากหมูทิ้งไปหมด นอกจากปรมาจารย์แห่งไฟแล้วก็ไม่มีใครในจักรวาลนี้รู้ว่าชายหน้ากากหมูคือใครแน่นอน”

ตอนที่พูดเซี่ยไห่หยางตั้งใจเน้นคำว่า ‘แน่นอน’ จากนั้นก็เผยยิ้มให้หวังเป่าเล่อ ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบขึ้นเล็กน้อย เขารู้ว่าเซี่ยไห่หยางพยายามบอกใบ้อะไรบางอย่าง ชายหนุ่มยิ้มตอบ เซี่ยไห่หยางยังประสบการณ์น้อยเกินไป ไม่รู้หลักสำคัญของการนิ่งเงียบแม้จะมองการกระทำออกหมดจด

ความคิดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเหนือชั้นกว่า เขานึกถึงอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงและบทเรียนอันทรงคุณค่ามากมายที่ได้เรียนรู้มา

ดวงตาเซี่ยไห่หยางแฝงไปด้วยแววความลุ่มลึก แต่เขาไม่ได้เก็บอาการได้อย่างท่าทีที่แสดงออก จริงๆ แล้วยังตื่นตกใจอยู่ การกระทำของชายหน้ากากหมูนั้นเป็นเรื่องน่าตื่นตะลึงเกินบรรยาย ชายหน้ากากหมูไม่ได้แค่ฆ่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายเท่านั้น แต่ยังเกือบปลิดชีพผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ อีกทั้งยังทำให้ดาวเคราะห์ทั้งดวงล่มสลาย

ไม่มีใครกล้าสู้กับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์หรือผู้ฝึกตนในระดับที่เหนือกว่าตนเอง ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่ร่วมภารกิจอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนหนึ่งอยู่เบื้องหลังความโกลาหลมากมายในภารกิจ เขาน่าจะสร้างความวิบัติใหญ่โตขึ้นอีกเมื่อบรรลุขั้นการฝึกตนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ

ต้องเป็นหวังเป่าเล่อแน่ เขาเป็นคนเดียวที่จะทำเช่นนี้ได้โดยที่ข้าไม่แปลกใจ เขาเป็นหายนะที่เคลื่อนที่ได้ ไปดาวอังคาร ดาวอังคารก็วุ่นวายไปหมด ไปกระบี่สำริดเขียวโบราณ สำนักวังเต๋าไพศาลก็เกิดกบฏแทบจะทันที… เซี่ยไห่หยางถอนหายใจเงียบๆ ถึงกระนั้นก็ยังแอบตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย

เซี่ยไห่หยางเป็นนักธุรกิจที่ชอบเสี่ยงดวงกับผู้คน ยิ่งทำสิ่งใดแล้วผลงานดีเท่าไหร่ เซี่ยไห่หยางก็ยิ่งชอบคนผู้นั้นมากขึ้นเท่านั้น เขาชอบทุ่มเวลากับความพยายามไปกับลูกค้าเช่นนี้ ดวงตาของเซี่ยไห่หยางฉายแสงวาบขณะโน้มไปกระซิบกับหวังเป่าเล่อ

“เป่าเล่อ ข้าได้ข้อมูลยิ่งใหญ่มา เจ้าสนใจซื้อไหม ข้าสัญญาว่าข้อมูลนี้จะทำให้เจ้าบรรลุจากขั้นเชื่อมวิญญาณไปขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ในเวลาที่สั้นที่สุดถ้าเจ้าคว้าโอกาสนี้ไว้และใช้มันให้ดี!”

“ข้อมูลอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อมองประเมินเซี่ยไห่หยาง แม้เซี่ยไห่หยางจะไม่ได้ฉลาดเท่าเขา แต่ชายหนุ่มก็เชื่อมั่นในความสามารถของอีกฝ่ายจึงเอ่ยถามราคาไป

“ผลึกสีชาดสามพันก้อน!” เซี่ยไห่หยางตอบในทันที เขากำลังจะอธิบายต่อว่าข้อมูลนี้คุ้มราคาอย่างไร แต่หวังเป่าเล่อที่จ้องมากลับยักไหล่ให้

“มาคุยกันเรื่องวัตถุดิบที่ข้าเคยขอไปดีกว่า”

“เป่าเล่อ ถ้าเจ้าได้ข้อมูลนี้ไป เจ้า…” เซี่ยไห่หยางพยายามโน้มน้าวหวังเป่าเล่อ

“มากเกินไป ข้าไม่สนใจ!” หวังเป่าเล่อขัดเซี่ยไห่หยางขณะแอบแค่นเสียงไม่พอใจ นี่มันเหมือนกับขโมยกันโต้งๆ ชัดๆ วัตถุดิบที่เขาพยายามหาอย่างหนักราคาเพียงสามร้อยผลึก เซี่ยไห่หยางรู้ว่าตอนนี้หวังเป่าเล่อรวยแล้วจึงกล้าเรียกสามพันผลึกเพื่อแลกกับข้อมูลโง่ๆ นี้

เซี่ยไห่หยางรู้ว่าหวังเป่าเล่อได้ตัดสินใจไปแล้ว จึงรู้สึกเสียดายที่ตนรีบร้อนเกินไป เขากระแอมกระไอและหยุดเสนอขายข้อมูล จากนั้นก็หยิบวัตถุดิบที่หวังเป่าเล่อขอให้จัดหาเอาไว้และตกลงกันเรื่องการจ่ายเงิน หลังจากเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็สนทนากันต่ออีกสักพักก่อนที่หวังเป่าเล่อจะบอกว่าเขาต้องการวัตถุดิบเพิ่ม

“บอกมาเลยว่าต้องการอะไร พี่เป่าเล่อ ร้านข้ามีเกือบทุกอย่าง ข้าสั่งให้วัตถุดิบมาส่งที่ร้านได้ถ้าเราไม่มีของ น่าจะใช้เวลามากสุดไม่เกินสองชั่วโมง เจ้าจะได้ของภายในสองชั่วโมง”

หวังเป่าเล่อหยิบรายการของที่ต้องการออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยไห่หยางรับรายการไปและจัดการตระเตรียมตามรายการ เขาหาทุกอย่างที่หวังเป่าเล่อต้องการได้ภายในหนึ่งชั่วโมง รวมทั้งหมดต้องจ่ายผลึกสีชาดสองพันผลึก หวังเป่าเล่อรู้สึกเจ็บปวดใจ เชื่อว่าเซี่ยไห่หยางต้องโก่งราคาขึ้นแน่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าต้องไปซื้อวัตถุดิบพวกนี้ที่อื่น จะต้องตกเป็นเป้าความสนใจจากการใช้ผลึกสีชาดจำนวนมากในครั้งเดียวแน่ หวังเป่าเล่อกล่าวอะไรกับอีกฝ่ายเล็กน้อย จากนั้นก็กลับออกไป

เซี่ยไห่หยางค่อยๆ ผุดยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ ขณะมองหวังเป่าเล่อเดินออกจากร้านไป จากนั้นก็เริ่มหัวเราะ

ปฏิเสธเป็นศิษย์ปรมาจารย์แห่งไฟ หวังเป่าเล่อ…เหมือนว่าข้าจะต้องศึกษาภูมิหลังของเจ้าเพิ่มเสียแล้ว…

หวังเป่าเล่อไม่ได้หันหลังกลับมาขณะเดินไปตามทาง หากชายหนุ่มหันกลับมา เขากลัวว่าจะเห็นเซี่ยไห่หยางยืนอยู่ในร้านและจ้องมาที่ตน แต่ก็ไม่ได้กังวลอะไรมากนัก ชายหนุ่มเดินอย่างไร้กังวลไปตามถนน เริ่มออกสำรวจตลาด อยากรู้ว่ามีอะไรน่าสนใจหรือเป็นประโยชน์ที่จะหาได้จากตลาดก่อนที่กลับออกไปหรือไม่

ชายหนุ่มเดินผ่านตลาด ในที่สุดก็ตัดสินใจว่าไม่มีอะไรที่ต้องการ ขณะเดินกลับออกไป สายตาก็พลันเหลือบไปเห็น…หุ่นเชิดตัวหนึ่งวางอยู่ในร้าน!

รูปลักษณ์ของหุ่นเชิดทำให้หวังเป่าเล่อนึกถึงวานรเพชรที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาชะงักและเดินตรงไปยังร้าน

“นี่มัน…”

“นี่คือเรือบินรบเวทที่พังเสียหาย วัตถุดิบที่ต้องใช้ซ่อมแซมนั้นหายากเกินไปจึงถูกนำมาทิ้งเป็นขยะ สหายเต๋า เจ้าสนใจซื้อไปใช้ศึกษาค้นคว้าดูหรือไม่” ร้านที่ว่านี้เป็นร้านเล็กๆ มีเจ้าของร้านเฝ้าอยู่คนเดียว ไม่มีพนักงานอื่นใด ชายชราที่นั่งอยู่ในร้านสังเกตเห็นว่าหวังเป่าเล่อมองหุ่นเชิดอยู่เลยเสนอขายอย่างไม่กระตือรือร้นอะไร

…………………………….

เทียบกับความโกรธแค้นและเกลียดชังที่ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นรู้สึกอยู่ หวังเป่าเล่อนั้นกลับเปี่ยมไปด้วยความยินดีปรีดา ดวงตาของชายหนุ่มจับจ้องไปที่กระเป๋าคลังเก็บและข้าวของที่ซ่อนอยู่ภายใน พลางนึกยินดีว่าชีวิตตนช่างเปี่ยมสุข โชคดีมั่งคั่งเหลือล้น

แล้วก็เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ แม้จะสูญเสียอะไรไปมากมาย แต่ก็ได้คืนกลับมามากเช่นกัน ตอนนี้เขามีตั๋วทองคำอยู่ในมือ ชายหนุ่มไม่ได้แค่ถอนทุนคืนจากสิ่งที่เสียไป แต่ได้กำไรกลับมาถล่มทลายเลยต่างหาก

ข้าต้องจัดระเบียบข้าวของที่ได้มา อะไรเอาไปใช้ได้ อะไรควรเอาออกไปขายหรือแลกเปลี่ยน หวังเป่าเล่อแสนสุขใจ เขานั่งขัดสมาธิเริ่มเตรียมการซ่อมแซมสิ่งต่างๆ

อย่างแรกที่ต้องจัดการคือเกราะจักรพรรดิและเรือบินรบเวท ทั้งสองอย่างได้รับความเสียหายไปเกือบร้อยละเก้าสิบจนแทบใช้งานไม่ได้ เขาคงจัดการซ่อมแซมไม่ได้ถ้าขาดวัตถุดิบจำเป็น แต่โชคดีที่ไม่เป็นเช่นนั้นเพราะเขายังมีต้นไผ่ศิลาอยู่ในมืออีกมาก ดังนั้นจึงสามารถซ่อมเรือบินรบเวทให้กลับมาสมบูรณ์ได้

วัตถุดิบบางชนิดในกระเป๋าคลังเก็บช่วยให้กระบวนการซ่อมแซมเป็นไปได้รวดเร็วขึ้น ผนวกกับทักษะการหลอมอาวุธเวทก็ยิ่งทำให้เขาซ่อมแซมเรือบินรบเวทได้รวดเร็วยิ่งขึ้นไปอีก สิ่งสำคัญที่สุดชิ้นต่อไปที่ต้องจัดการซ่อมแซมคือเกราะจักรพรรดิ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกราะจักรพรรดิได้รับความเสียหายหนักเช่นนี้ หวังเป่าเล่อจึงรู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง วิธีที่ดีที่สุดในการซ่อมแซมเกราะจักรพรรดิคือใช้ปราณวิญญาณ เขาจัดการเก็บกวาดคลังอาวุธของตระกูลไม่รู้สิ้นยัดใส่กระเป๋าจนเกลี้ยงจึงมีศิลาวิญญาณขั้นสูงสุดในครอบครองไม่จำกัด

หวังเป่าเล่อใช้วัตถุดิบที่มีไปอย่างราชาผู้มั่งมี ศิลาวิญญาณขั้นสูงสุดมากมายกลายเป็นฝุ่นผงตลอดการซ่อมแซม หลายๆ ส่วนของเกราะจักรพรรดิเริ่มคืนสู่สภาพเดิมตามตัวของชายหนุ่ม ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ เกราะจักรพรรดิก็ห่อหุ้มร่างหวังเป่าเล่ออย่างสมบูรณ์อีกครั้ง และก็เป็นหนึ่งสัปดาห์ที่การซ่อมแซมเรือบินรบเวทเสร็จสิ้นพอดีเช่นกัน

เมื่อซ่อมเรือบินรบเวทและเกราะจักรพรรดิเสร็จ หวังเป่าเล่อก็กลับมาอยู่ในสภาพแข็งแกร่งสูงสุดอีกครั้ง วัตถุดิบทั้งหมดที่ใช้ไปนั้นหมดไปไม่ถึงหนึ่งส่วนสามของที่ได้มาด้วยซ้ำ

สมองหวังเป่าเล่อแล่นไม่หยุดอีกครั้ง ดวงตาจับจ้องไปยังเกราะจักรพรรดิและเรือบินรบเวท พลันแสงแปลกแปร่งก็ฉายขึ้นในแววตา ความคิดที่เคยไตร่ตรองมาเป็นเวลานานหวนกลับมาอีกครา

มีทางไหนที่จะหลอมเกราะจักรพรรดิเข้ากับเรือบินรบเวทได้หรือไม่นะ… หวังเป่าเล่อหายใจถี่ขึ้นเล็กน้อย เขาเคยคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว เพราะรู้ว่าเรือบินรบเวทนั้นมีไว้ใช้ทำอะไร มันเป็นสิ่งที่ใช้หลอมเข้ากับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเพื่อเสริมความแข็งแกร่งในการสู้รบ

เขาไม่สามารถหลอมรวมได้ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ตอนนั้นระดับการฝึกตนของชายหนุ่มยังอยู่เพียงขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลาย ซึ่งถือว่าอ่อนแอเมื่อเทียบกับขั้นแสร้งอมตะในปัจจุบัน

มีสองวิธีที่จะหลอมเกราะเข้ากับเรือบินรบเวท วิธีแรกคือหาทางหลอกว่าข้ามีคุณสมบัติครบในการหลอมแล้ว ส่วนวิธีที่สอง…คือดัดแปลงโครงสร้างภายในและลดทอนคุณสมบัติลง หวังเป่าเล่อคิดในใจ มองว่าวิธีที่สองนั้นท้าทายกว่าวิธีแรกอยู่มาก แม้ตนจะมีความรู้เกี่ยวกับเรือบินรบเวท แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะสร้างมันขึ้นมาได้ ถ้าสร้างเรือบินรบเวทไม่ได้ก็อย่าหวังว่าจะดัดแปลงได้

เช่นนั้นต้องใช้วิธีแรก หวังเป่าเล่อหรี่ตา

ไม่มีทางลัดในการบรรลุไปขั้นจิตวิญญาณอมตะด้วยเวลาสั้นๆ ดังนั้นข้าจึงต้องแปลงเกราะจักรพรรดิให้เป็นสื่อกลาง นี่เป็นทางเดียวที่จะทำให้ข้าหลอมกับเรือบินรบเวทได้ในตอนนี้

มีทางหรืออะไรสักอย่างที่จะใช้เสริมพลังเกราะจักรพรรดิได้หรือไม่นะ… หวังเป่าเล่อเปิดกระเป๋าคลังเก็บคุ้ยดูข้าวของด้านใน พยายามหาแรงบันดาลใจ

ชายหนุ่มพอจะนึกออกว่าขโมยอะไรมาจากคลังอาวุธของตระกูลไม่รู้สิ้นบ้าง หลังจากตัดทอนสิ่งต่างๆ ออกไป เขาก็เหลือเพียงศิลาวิญญาณขั้นสูงสุดจำนวนหนึ่ง ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงวาบขณะหยิบศิลาวิญญาณออกจากกระเป๋าคลังเวทและพยายามใช้มันเสริมพลังให้เกราะจักรพรรดิ แต่จำนวนศิลาวิญญาณที่สามารถหลอมเข้ากับเกราะจักรพรรดิก็มีขีดจำกัด ถึงศิลาวิญญาณขั้นสูงสุดเหล่านี้จะมีคุณค่ามากเพียงใดก็ยังไม่เพียงพอที่จะใช้ยกระดับเกราะจักรพรรดิได้

หวังเป่าเล่อเริ่มหงุดหงิดจึงเลือกออกไปชมร้านรวงในตลาด เขาน่าจะลองไปปรึกษาเซี่ยไห่หยางเรื่องนี้ ขณะที่กำลังจะก้าวออกจากห้อง ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัว ชายหนุ่มจ้องผลึกสีชาดในกระเป๋าคลังเก็บของตัวเอง เห็นผลึกขนาดเท่านิ้วมือจำนวนมากกว่าหนึ่งหมื่นก้อนในในนั้น!

ผลึกสีชาด… หวังเป่าเล่อหรี่ตา จากนั้นก็โบกมือเรียกผลึกสีชาดก้อนหนึ่งจากกระเป๋าคลังเก็บมาถือไว้ในมือ เขาขยายสัมผัสสวรรค์เข้าไปในผลึก ทว่าก่อนที่จะได้ลงลึกเข้าไปไกล พลังแกร่งกล้าก็แผ่พุ่งออกมาจากผลึก และต้านทานสัมผัสสวรรค์ของชายหนุ่มไม่ให้ลุกล้ำเข้าไป

ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงเป็นประกาย หลังจากครุ่นคิดสักพัก เขาก็วางผลึกสีชาดลงบนเกราะจักรพรรดิและปล่อยให้เกราะใช้ความสามารถดูดซับพลังเต็มพิกัด แต่ก็ได้ผลเพียงเล็กน้อย ดูเหมือนจะใช้วิธีนี้ไม่ได้ ผลึกสีชาดเหมือนจะมีชีวิต มีสตินึกคิดบางอย่างซุกซ่อนอยู่ภายใน คอยต่อสู้ป้องกันไม่ให้ผลึกโดนดูดซับและหลอมรวมเข้ากับเกราะ

ผลึกสีชาดคืออะไรกันแน่ หวังเป่าเล่อสงสัย เขาหรี่ตาลง ภาวนาให้พ่อตาผู้เป็นที่รักของตนไม่ตื่นขึ้นจากการหลับใหลขณะที่ท่องบทสวดแห่งเต๋าในใจ อึดใจต่อมา ตัวตนกล้าแกร่งจากสุดขอบจักรวาลก็จุติลงมายังตลาด

ทุกคนในตลาดตัวสั่นเทิ้มในทันใด เซี่ยไห่หยางที่กำลังจิบชาอยู่ในร้านสำลักน้ำชาและมองขึ้นไปด้านบนด้วยความตกใจ ผลึกสีชาดที่หวังเป่าเล่อวางไว้บนเกราะจักรพรรดิเลิกต่อต้านในทันที พลังของผลึกแปรเปลี่ยนเป็นหมอกสีแดงถูกสูบหายเข้าไปในเกราะจักรพรรดิ

ปราณวิญญาณภายในเกราะจักรพรรดิเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่เมื่อหมอกสีแดงไหลเข้าสู่เกราะ พลังของปราณวิญญาณทั้งสองชนิดนั้นแตกต่างกันมากเกินไป ถ้าปราณวิญญาณด้านในเปรียบเป็นงู หมอกสีแดงก็คงเป็นมังกร!

ปราณวิญญาณภายในเกราะที่สัมผัสหมอกสีแดงถูกขับออกจากเกราะจักรพรรดิ ระหว่างที่ปราณวิญญาณเหล่านั้นกำลังกระจายไปในอากาศ หมอกสีแดงก็เริ่มไหลเวียนทั่วเกราะจักรพรรดิ พลังเหนือชั้นกว่าเก่าปะทุตื่น ความแข็งแกร่งของพลังนั้นทำให้หวังเป่าเล่อใจเต้นระส่ำ

สัมผัสที่รู้สึกนั้นเปรียบเสมือน…การมองไปยังดวงดาวที่อยู่ไกลห่างและสัมผัสพลังที่เปล่งออกมา!

หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว ไม่มีเวลาให้คิดอะไรมาก เขารีบหยิบผลึกสีชาดออกมาอีกจำนวนหนึ่งและวางไว้บนเกราะจักรพรรดิ เพื่อดูว่าเกราะจะสามารถดูดซับผลึกเข้าไปได้หรือไม่ พริบตาเดียว ผลึกก็หลอมรวมกับเกราะ เขาเพิ่มผลึกสีชาดไปอีกยี่สิบก้อนก่อนที่พลังจากบทสวดแห่งเต๋าจะหายไป เกราะจักรพรรดิเหมือนจะถึงขีดจำกัดและเริ่มปริแตกตามขอบ เส้นเลือดมากมายปรากฏขึ้นบนเกราะ!

แววตาของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความคาดหวัง เขาไม่นึกลังเลใจ ปลดปล่อยพลังของเกราะจักรพรรดิเต็มขั้น พลังมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากเกราะจักรพรรดิในทันใด หากจะให้อธิบายพลังที่พวยพุ่งออกมาจากเกราะจักรพรรดิอย่างละเอียด…พลังนี้มีความคล้ายคลึงกับพลังของดาวเคราะห์ แต่ก็ไม่เหมือนกันเสียทีเดียว ถึงกระนั้น พลังขนาดนี้ก็เพียงพอที่จะผ่านคุณสมบัติในการหลอมรวมเข้ากับเรือบินรบเวท

หวังเป่าเล่อยกมือขวาสร้างผนึกฝ่ามือทันทีหลังจากปลดปล่อยพลังของเกราะจักรพรรดิ ชายหนุ่มตะโกนลั่น “หลอมเรือบินรบเวท!”

เรือบินรบเวทถูกเก็บไว้ในกระเป๋าคลังเก็บหลังจากใช้ต้นไผ่ศิลาซ่อมเสร็จ เรือบินรบสั่นไหวทันใดที่หวังเป่าเล่อร้องออกคำสั่ง ก่อนหน้านี้เรือบินรบเวทมีรูปร่างเป็นแมลงปอ แต่ก็กลายเป็นตั๊กแตนหลังจากชายหนุ่มใช้เคล็ดวิชาหลอมอาวุธเวท ตั๊กแตนอ้าปากร้องคำรามเสียงเบา ตัวสั่นเทิ้ม ร่างกายกลายเป็นด้ายสีดำนับไม่ถ้วนพวยพุ่งออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ ตรงไปทางหวังเป่าเล่อ

เหมือนว่ามันจะรอคอยเวลานี้มาเนิ่นนาน ด้ายสีดำพันล้อมรอบตัวหวังเป่าเล่อและถักทอเข้ากับเกราะจักรพรรดิ ครู่ต่อมา…พลังวิญญาณระดับจิตวิญญาณอมตะก็ระเบิดออกสั่นสะเทือนไปทั่วโรงเตี๊ยม ผู้ฝึกตนทุกคนในโรงเตี๊ยมตัวสั่นเทิ้มเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่พวยพุ่งไปทั่วโรงเตี๊ยมแม้จะมีวงแหวนปราณป้องกันอยู่

ขณะที่ทุกคนในโรงเตี๊ยมกำลังสั่นกลัว ด้านในห้องของหวังเป่าเล่อก็กำลังมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับชายหนุ่ม!

ผมยาวดำของหวังเป่าเล่อปลิวว่อนไปรอบกายขณะเกราะสีดำห่อหุ้มร่างตั้งแต่หัวจรดนิ้วเท้า เกราะบริเวณหน้าอกสลักเป็นรูปหัวตั๊กแตน ส่วนเกราะตรงด้านหลังสลักเป็นรูปมังกรสีดำ ใบหน้าถูกซ่อนไว้ภายใต้หน้ากากสีดำไร้ลวดลาย ด้ายสีดำมากมายลักษณะคล้ายเส้นผมปลิวไสวไปรอบกายเหมือนดังผ้าคลุม

ราวกับว่าเทพแห่งสงครามได้มาจุติลงบนดาวเคราะห์ดวงนี้ ราวกับเทพแห่งความตายได้หวนคืนสู่แดนดินแห่งนี้!

พลังวิญญาณขั้นจิตวิญญาณอมตะพวยพุ่งจากร่างของหวังเป่าเล่อ แม้จะเป็นพลังวิญญาณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น แต่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะใดได้มาพบหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็คงต้องตื่นตะลึง พลังและความแข็งแกร่งที่เอ่อล้นออกมาบ่งบอกได้ว่าชายหนุ่มสามารถขยี้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นได้ในทันที!

ตั้งแต่นี้ไป ข้าจะไม่เรียกมันว่าเกราะจักรพรรดิ ต่อไปนี้มันคือ…เกราะมหาจักรพรรดิ! หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงพลังที่ไหลเวียนอยู่ภายในเกราะและความตื่นเต้นที่เร้าอยู่ภายใน แม้จะยังไม่บรรลุถึงขั้นจิตวิญญาณอมตะ แต่ชายหนุ่ม…ก็ได้พลังขั้นจิตวิญญาณอมตะมาแล้วเรียบร้อย!

แต่เขาก็ไม่ได้ครอบครองพลังทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ หลังจากตรวจสอบเกราะและพลังที่อัดแน่นอยู่ภายใน หวังเป่าเล่อก็สรุปได้ว่าตนจะอยู่ในสภาพนี้ไปได้หนึ่งชั่วโมง พลังจากผลึกสีชาดจะหายไปหลังจากนั้นและชายหนุ่มต้องอัดพลังผลึกสีชาดเข้าเกราะอีกรอบ

แต่แค่นี้ก็พอแล้ว!

การเคลื่อนย้ายไม่ได้กินเวลานานมาก แต่ก็จะเป็นครั้งที่ทุกคนจำไม่ลืม ความรู้สึกที่เวลาและห้วงอากาศถูกยืดออกและร่างกายที่ถูกสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยจากนั้นก็กลับมารวมกันใหม่อีกครั้งทำให้ทุกคนรู้สึกอึดอัดมากพออยู่แล้ว อีกทั้งยังอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเกิดอะไรไม่ดีขึ้นระหว่างกระบวนการเคลื่อนย้าย ชิ้นส่วนร่างกายของพวกเขาอาจหายไปหรือเพิ่มขึ้นมาหลังรวมร่างขึ้นใหม่อีกครั้งก็เป็นได้…

โชคดีที่พลังเคลื่อนย้ายในหน้ากากของปรมาจารย์แห่งไฟแข็งแกร่งมาก ทำให้ไม่เกิดอะไรไม่ดีเช่นนั้นขึ้น หวังเป่าเล่อไม่ได้เป็นกังวลอะไรนัก เพราะร่างของเขาเป็นร่างสารัตถะ ดังนั้นทุกส่วนจึงเหมือนกันหมด ถึงแขนขาจะกลับหัวกลับหาง เขาก็แค่สร้างมันขึ้นมาใหม่เท่านั้น

เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว หวังเป่าเล่อซึ่งเป็นคนท้ายๆ ที่เคลื่อนย้ายกลับไม่ได้รู้สึกกังวลใจใดๆ แม้แต่น้อย ตรงกันข้ามในใจของเขากลับตั้งตาคอย…ว่าจะได้ผลึกสีชาดมาเท่าใดกัน!

อย่างไรเสีย…จำนวนผู้คนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่ถูกเขาสังหารทั้งเล็งเป้าตรงๆ และถูกลูกหลงก็มีเป็นจำนวนมาก…นอกจากนี้ ชายหนุ่มยังปลิดชีพผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายไปอีกด้วย สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้นที่สุดคือผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นที่โผล่มาตอนสุดท้ายต่างหาก

ข้าควรได้รับความดีความชอบทั้งหมด ข้าพยายามหนักมาก หวังเป่าเล่อกะพริบตา หลังจากถูกส่งตัวกลับมา เขาก็มองไปรอบๆ และพบว่าที่นี่คือสถานที่ก่อนหน้าที่จะถูกเคลื่อนย้ายออกไป มีเศษซากปรักหักพังลอยไปมาภายในสถานที่ที่แปลกตาแต่ก็รู้สึกคุ้นเคยนี้

โลกแห่งซากปรักหักพังกว้างไกลไร้ขอบเขตและเอ่อล้นไปด้วยคลื่นพลังโบราณ เศษซากแต่ละชิ้นเปี่ยมไปด้วยหลักฐานซึ่งบ่งบอกถึงเวลาที่ผ่านพ้น

ห้วงอวกาศคือสรวงสวรรค์ ความว่างเปล่าคือผืนดิน ขณะนี้ ท่ามกลางห้วงอวกาศและความว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยเศษซากลอยเคว้งไปมา มีร่างเงาสวมหน้ากากมากมายเคลื่อนย้ายกลับมาก่อนแล้ว เมื่อหวังเป่าเล่อปรากฏตัวและคนอื่นๆ เห็นหน้ากากหมูที่เขาใส่ เสียงสูดหายใจมากมายก็ดังขึ้น

“เจ้าตัวซวย!”

“ข้าเห็นกับตา เขาฆ่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายจากตระกูลไม่รู้สิ้น!”

“เจ้านี่นี่เอง…ที่ทำให้ภารกิจเปลี่ยนไป…”

“ที่ดาวเคราะห์แตกก็คงเพราะเจ้านี่ เขาเป็นตัวหายนะ พยายามอย่าไปอยู่ใกล้เขาจะดีกว่า” ท่ามกลางเสียงสูดหายใจ ฝูงชนโดยรอบต่างส่งข้อความเสียงหากันขวักไขว่ อาจจะเพราะพวกเขาล้วนมองหวังเป่าเล่อเป็นศัตรูจึงสนิทสนมกันยิ่งขึ้น

แต่เมื่อหวังเป่าเล่อกวาดสายตาผ่าน พวกเขาก็เลิกส่งข้อความเสียงหากันโดยไม่รู้ตัว ความหวาดกลัวและยำเกรงปรากฏขึ้นในสายตาอย่างควบคุมไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าพฤติกรรมและการเข่นฆ่าของหวังเป่าเล่อบนดาวเคราะห์ทำให้ทุกคนตื่นกลัวอยู่ในใจ

แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นทั้งสามคนก็รู้สึกไม่ต่างจากฝูงชน พวกเขาไม่ได้ดูหมิ่นหวังเป่าเล่อเพียงเพราะตนมีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ จริงๆ แล้ว ทั้งสามต่างคิดว่าผู้ที่สามารถสังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายได้ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ถือว่าน่ายำเกรงมากอยู่ดี พวกเขาเองยังไม่มั่นใจเลยว่าถ้าไปสู้เองจะสามารถเอาชนะได้หรือไม่

“คนผู้นี้…ไม่ได้ฆ่าได้เพียงศัตรู แม้แต่พันธมิตรเองเขาก็สามารถทำร้ายได้เช่นกัน…” หลังจากผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสามหันมองหน้ากัน พวกเขาก็กุมหมัดหันไปทางหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อกวาดตามองรอบๆ และพบว่ามีผู้มาจุติเหลือประมาณสี่สิบกว่าคนจากที่มีหลายร้อย เขากะพริบตา รู้สึกว่าภารกิจนี้อันตรายเกินไป ดีที่โชคเข้าข้างตน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะตกอยู่ในอันตรายเหมือนกัน

หลังจากปลอบใจตนเองและกุมหมัดตอบผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสาม เขาก็หันไปเห็นชายฉกรรจ์หัวโล้นที่สวมหน้ากากกระทิงจากนั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา

“เจ้ายังไม่ตาย”

ร่างของชายฉกรรจ์หัวโล้นสั่นเทิ้ม กำลังจะร้องไห้อยู่ร่อมร่อ เขารีบทักทายหวังเป่าเล่อด้วยท่าทีขึงขังทั้งที่ตัวสั่น จากนั้นก็ตะโกนขึ้น “ขอต้อนรับกลับมา สหายเต๋า ข้ารอดจากภารกิจนี้ก็เพราะได้เจ้าช่วย ข้าขอขอบคุณเจ้ามาก โปรดรับคำขอบคุณจากข้า!”

เมื่อได้ยินชายฉกรรจ์พูดสิ่งที่น่าเขินอาย เหล่าผู้ฝึกตนรอบๆ ต่างก็แอบวิจารณ์เขาในใจว่าทำตัวหน้าไม่อายขณะกุมมือและพูดอะไรออกไปคล้ายๆ กัน

พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นเพราะทุกคนต่างยังไม่ได้กลับไปยังที่ที่จากมา หากไปทำอะไรให้เจ้าตัวซวยไม่พอใจเข้า พวกเขากลัวว่าตนจะไม่มีชีวิตรอดกลับไป ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่จะมีท่าทีเคารพต่อชายหน้ากากหมูผู้นี้

เมื่อเห็นทุกคนต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี หวังเป่าเล่อก็รู้สึกปลาบปลื้ม หลังจากหัวเราะเสียงดัง เขาก็พยักหน้าให้ฝูงชนและเริ่มสนทนากับพวกเขาเล็กน้อย พอชายหนุ่มพูดอะไรออกไป หลายๆ คนก็เห็นดีเห็นงามตามกันหมด บรรยากาศการสนทนาจึงดำเนินไปอย่างเป็นกันเอง

ขณะที่ฝูงชนถูกเคลื่อนย้ายกลับขณะสนทนาและยกยอหวังเป่าเล่อ ดาวเคราะห์ที่พวกเขาจากมายังคงทลายตัวอยู่ ครึ่งหนึ่งของดาวเคราะห์กลายเป็นฝุ่นผงกระจายไปในห้วงอวกาศ หากมองจากที่ไกลๆ จะเห็นดาวอีกครึ่งที่เหลือเป็นเหมือนดวงจันทร์ครึ่งเสี้ยว อีกทั้งยังปล่อยสัมผัสความไม่สมบูรณ์ออกมาในขณะที่พังตัวลงอย่างเชื่องช้าด้วย

อาจต้องใช้เวลาเนิ่นนาน ดาวเคราะห์ถึงจะพังลงโดยสมบูรณ์และหายสาบสูญไปจากห้วงอวกาศ

แม้แต่กับตระกูลไม่รู้สิ้นผู้ยิ่งใหญ่ เรื่องเช่นนี้ก็ไม่ใช่เพียงเรื่องเล็กๆ แม้จะไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหญ่มาก แต่ก็เพียงพอที่จะเรียกความสนใจจากเหล่าผู้มีอำนาจระดับสูงได้ อย่างไรเสีย พวกเขาก็ต้องสูญเสียกองทัพไป อีกทั้งผู้บัญชาการระดับดาวพระเคราะห์ยังได้รับบาดเจ็บหนักจนเหลือรอดเพียงแค่ศีรษะ ขณะเดียวกัน ดาวเคราะห์ที่พวกเขายึดครองอยู่ยังแตกสลายอีกด้วย

เพราะเหตุนี้จึงเกิดการตรวจสอบในทันที สร้างความตื่นตกใจไม่น้อย หลังจากเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ปรมาจารย์แห่งไฟก็ต้องยอมรับว่าแม้จะนำภารกิจทั้งหมดที่ผ่านมามารวมกันก็ไม่สามารถเทียบผลงานของหวังเป่าเล่อได้

เขาคือยอดฝีมือ! ปรมาจารย์แห่งไฟถุยแกนผลไม้ในปากและหรี่ตาลงเล็กน้อยขณะจ้องหน้าจอตรงหน้า บนหน้าจอฉายภาพโลกซากปรักหักพังที่หวังเป่าเล่อและคนอื่นๆ อยู่

หลังจากครุ่นคิดสักพัก เขาก็ยกมือขวาสร้างผนึกฝ่ามือและชี้ไปยังหน้าจอตรงหน้า ทันใดนั้น คลื่นพลังก็ปรากฏบนหน้าจอและพัดกระจายออกไป เปลวสัมผัสสวรรค์ของปรมาจารย์แห่งไฟขยายออกไปผสานกับคลื่น

ครู่ต่อมา ฝูงชนที่กำลังสนทนากันอย่างครื้นเครงบนดินแดนที่เต็มไปด้วยซากปรักหักพังก็รู้สึกได้ว่าวิญญาณของตนสั่นไหว หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงพลังรุนแรงจากคลื่นพลังที่ถาโถมมา

ทุกคนรวมถึงหวังเป่าเล่อเห็นแสงลุกโชนจุติลงมาจากฟากฟ้า และหยุดอยู่กลางอากาศเหนือทุกคน ก่อนจะรวมกันเป็นร่างเงาเพลิง แม้จะเห็นรูปร่างได้ไม่ชัดเจน แต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงพลังกดดันมหาศาล มองเพียงแวบเดียวก็รู้สึกปวดตา และสั่นสะเทือนไปถึงวิญญาณ

หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว เขารีบก้มหัวลง จากนั้นก็ได้ยินเสียงเก่าแก่ดังขึ้นจากร่างเงาเพลิงกลางฟากฟ้า

“ทำได้ไม่แย่ ข้าจะมอบผลึกสีชาดให้ตามผลงานของเจ้า”

ทันทีที่ร่างเงาเพลิงพูดออกไปเช่นนั้น ตัวเลขก็ปรากฏขึ้นบนหน้ากากของฝูงชนกว่าสี่สิบคน กลไกการเฝ้าดูของหน้ากากสามารถคำนวณรางวัลตามผลงานพวกเขาได้ หวังเป่าเล่อรีบตรวจสอบเลขบนหน้ากากของตัวเองทันที

13,000 ก้อนหรือ หวังเป่าเล่อกะพริบตา รู้สึกว่าเป็นจำนวนที่น้อยเกินไป แม้ชายหนุ่มจะต้องการผลึกสีชาดเพียงสามร้อยก้อนเพื่อซื้อวัตถุดิบทั้งหมดจากเซี่ยไห่หยาง แต่เขาก็คิดว่าตนเองได้สังหารทั้งกองทัพด้วยตัวคนเดียว เรียกได้เก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยมก็ว่าได้

แต่พอหวังเป่าเล่อเห็นตัวเลขบนหน้ากากของคนอื่นๆ ชายหนุ่มก็รู้สึกดีขึ้นมาหน่อย

ตัวเลขสูงสุดบนหน้ากากของผู้ฝึกตนคนอื่นๆ คือ…สองร้อยก้อน ซึ่งเป็นของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสามคน ส่วนคนที่เหลือนั้นได้มากสุดประมาณเจ็ดสิบถึงแปดสิบก้อน ส่วนตัวเลขน้อยที่สุดเป็นเพียงหลักหน่วยเท่านั้น

ทั้งหมดรวมกันยังไม่อาจเทียบเท่าเขาได้เลย…

ช่างน่าเวทนาเสียจริง หวังเป่าเล่ออดกระแอมกระไอไม่ได้ เมื่อผู้ฝึกตนคนอื่นๆ เห็นจำนวนผลึกสีชาดที่หวังเป่าเล่อได้รับก็รู้สึกอยากร้องไห้ออกมา แต่ก็ทำไม่ได้ บางคนเคยปฏิบัติภารกิจเช่นนี้มาก่อนหน้าและได้ผลึกสีชาดหลายร้อยก้อน แต่ครั้งนี้กลับได้ไม่ถึงสิบ…

“ได้ผลึกสีชาดแล้วก็ไปได้” ร่างเงาบนท้องฟ้าโบกมือส่งผลึกสีชาดจำนวนมากไปให้ทุกคน หลังจากเก็บไปเรียบร้อย ทุกคนก็ได้แต่กุมหมัดอย่างอดสูไปทางร่างเงาบนท้องฟ้า ก่อนร่างกายจะเลือนหายไปทีละคน ทิ้งไว้เพียงหน้ากากซึ่งลอยกลับไปหลอมเข้ากับร่างเงาเพลิงบนท้องฟ้า

“หืม” หวังเป่าเล่อรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ เพราะคนอื่นๆ รอบตัวได้กลับออกไปกันหมดแล้ว แต่เขา…ยังอยู่ที่เดิมไม่ไปไหน ขณะที่กำลังพึมพำกับตัวเองในใจ เสียงราบเรียบของร่างเงาเพลิงบนฟ้าก็ดังขึ้นในหู

“เจ้าหนุ่ม เจ้าอยากเป็นศิษย์ในนามของข้าหรือไม่”

บนตะเกียงทองแดงทั้งสามมีรูปอสูรประหลาดสลักอยู่ อสูรเหล่านั้นได้แก่ผีเก้าหัว หมาป่าเก้าหาง และนกเก้าเล็บ รูปร่างของอสูรที่แตกต่างกันทำให้ยอดของตะเกียงทองแดงต่างกันไปด้วย

ความจริงเปลวเพลิงที่ลุกโชนขึ้นมาก็ต่างกันแล้ว เปลวเพลิงบนตะเกียงทองแดงรูปผีเป็นสีดำ ของตะเกียงทองแดงหมาป่าเป็นสีแดง ส่วนของนกเก้าเล็บเป็นสีขาว!

เปลวเพลิงทั้งสามลุกโชติช่วงปล่อยควันออกมาตามสีของมัน ควันนั้นลอยห้อมล้อมผู้อาวุโสและผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น และแปรเปลี่ยนเป็นผี หมาป่า และนกเป็นครั้งคราว ทุกครั้งที่ควันแปลงโฉมเป็นอสูร ร่างของผู้อาวุโสที่หลับตาอยู่จะสั่นเทิ้มรุนแรงขึ้นไปอีก

นอกจากนั้น หากดูให้ดีจะเห็นว่าแท่นสังเวยทรงหอคอยที่ตั้งอยู่บนหินหลอมละลายแบ่งเป็นสิบขั้น แต่ละขั้นมีตัวอักขระมากมายสลักอยู่ มันปล่อยคลื่นพลังโบราณออกมา ส่งให้หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงอันตรายและแรงกดดันรุนแรง

สัญญาณอันตรายทำให้ชายหนุ่มหยุดชะงัก แรงกดดันทำให้หัวใจจมดิ่ง และมันก็ยิ่งทวีคูณหนักขึ้นเมื่อได้เห็นแสงสีรุ้งค่อยๆ ลอยออกจากจุดตันเถียนของผู้อาวุโสที่หลับตาอยู่ แสงสีรุ้งห้อมล้อมวัตถุคล้ายดาวเคราะห์ขนาดเท่ากำปั้นที่กำลังถูกนำออกจากร่าง

ภาพเบื้องหน้าทำให้หวังเป่าเล่อใจสั่น เริ่มหายใจถี่หนัก เมื่อเขามาถึงและปรากฏตัวขึ้น เสียงโบราณก็ดังขึ้นในหัวอีกครั้ง ครั้งนี้มันเจือไปด้วยความรีบร้อนและความเป็นกังวล

“สหายน้อย ช่วยข้าดับตะเกียงเร็วเข้า!”

หวังเป่าเล่อหรี่ตา สูดหายใจ ก้าวขาไปด้านหน้า ขณะที่กำลังจะเข้าไปใกล้ เสียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นก็ดังขึ้น

“เขาโกหกเจ้า ทันทีที่เจ้าเข้าใกล้แท่นสังเวยและเหยียบย่างขึ้นมา พลังของเจ้าจะถูกสูบออกไปในทันใด เขาออกอุบายขอให้เจ้าช่วยดับตะเกียง แต่แท้จริงแล้วต้องการพลังของเจ้ามาช่วยหลบหนีจากการหลอมของข้าต่างหาก!”

ได้ยินเช่นนั้น ชายหนุ่มก็หยุดชะงักไปทันที

“สหายน้อย เจ้าต้องเชื่อข้า เป้าหมายของข้าไม่ใช่การหลบหนี แต่เป็นการหาโอกาสทำลายตัวเองและลากเจ้านี่ไปลงนรกด้วยกันเท่านั้น!” เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูด ผู้อาวุโสก็เป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย จึงรีบพูดขึ้นอย่างร้อนรน ความกังวลใจทำให้พลังปราณเสียสมดุล ผีในหมอกใช้โอกาสนี้คว้าดาวเคราะห์สีรุ้งและกระชากกลับหลังอย่างรุนแรง

ชายชราร่างสั่นเทิ้มจากการถูกกระชาก เขาแก่มากแล้ว แต่กลับดูชราลงไปอีก พูดให้ชัดเจนคือเขาไม่ได้แก่ตัวลง แต่กำลังเหี่ยวแห้งลงไปต่างหาก

“ผู้มาจุติจากต่างถิ่น เจ้าเห็นหรือไม่ ตาแก่นี่เหี่ยวแห้งไปแล้ว ถ้าขึ้นมาบนแท่นสังเวย เจ้าจะถูกดูดพลังแน่ ข้าตั้งใจจะสังหารเจ้าก็จริง แต่…เมื่อเทียบกับการฆ่าเจ้าทิ้งแล้ว ข้าไม่อยากให้ความพยายามของข้าสูญเปล่ามากกว่า ถ้าเจ้ากลับออกไปตอนนี้ ข้าจะปล่อยเจ้าไปแน่นอน!” เห็นดังนั้น ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นก็พูดขึ้นอีก

หวังเป่าเล่อสีหน้าเปลี่ยนไปมาขณะก้าวเดินไปด้วยความลังเลใจ ชัดเจนว่าชายหนุ่มกำลังสองจิตสองใจ เห็นเช่นนั้น ชายชราที่อยู่ตรงหน้าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นซึ่งกำลังโดนหลอมอยู่ก็พูดขึ้นอย่างยากลำบาก

“สหายน้อย เจ้าต้องเชื่อข้า…”

“จะเป็นหรือตายตัดสินใจด้วยตัวเจ้าเอง ข้าให้คำมั่นไว้แล้วว่าจะไม่ตามล่าเจ้า เหตุใดยังคิดเสี่ยงอยู่อีก”

หวังเป่าเล่อหายใจติดขัด เมื่อได้ยินคำพูดของชายทั้งสองก็มีสีหน้ากล้ำกลืน สุดท้ายก็เงยหน้าร้องคำรามลั่น

“เงียบ!”

“ตาแก่ที่บอกว่าตัวเองเป็นจักรพรรดิของดาวเคราะห์นี้ ข้าไม่อาจเชื่อคำพูดของเจ้าทั้งหมด ส่วนตระกูลไม่รู้สิ้น…เจ้ายังใช้สัมผัสสวรรค์กดดันข้าอยู่ ข้าก็เชื่อคำพูดเจ้าไม่ได้เต็มที่เช่นกัน!”

เมื่อหวังเป่าเล่อร้องขึ้นเช่นนั้น ดวงตาของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นก็ฉายแสงวาบขึ้นเล็กน้อยขณะหัวเราะออกมาเสียงดัง เขาเก็บสัมผัสสวรรค์ที่ปล่อยออกไปกดดันชายหนุ่มทันที

“ข้าเก็บสัมผัสสวรรค์แล้ว เจ้าจงไปได้ ไม่ต้องห่วง ถ้าตาแก่นี่กล้าทำอะไรเจ้า ข้าจะจัดการให้!”

เมื่ออีกฝ่ายคลายแรงกดดันลง หวังเป่าเล่อก็รู้สึกโล่งขึ้นในทันใด แม้จะมีชายชราช่วยคุ้นกัน แต่พอเข้าไปใกล้ ร่างกายของเขาก็แทบแหลกสลาย เมื่อคลายจากแรงกดดันได้ ชายหนุ่มก็แอบท่องบทสวดแห่งเต๋าในใจ ผ่านไปสักพัก เขาก็สูดหายใจลึกและกุมหมัดโค้งคำนับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้น

“ขอบคุณท่านพี่ ข้าขอตัว” ขณะพูดเช่นนั้น ชายหนุ่มก็ขยับตัวและทำท่าเหมือนจะถอยหนีไป ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่บนแท่นสังเวยเริ่มหัวเราะออกมาด้วยความขมขื่น ขณะกำลังจะเอ่ยปากพูดเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อเหมือนจะกลับออกไป พลังจากบทสวดแห่งเต๋าก็ตื่นขึ้นหลังจากช้าไปครู่หนึ่ง

พลังเหนือขอบเขตจุติลงมาจากส่วนลึกของห้วงอวกาศด้านนอกจักรพิภพตระกูลไม่รู้สิ้น เข้าโอบล้อมดาวเคราะห์ทั้งดวง และพุ่งลงไปลึกใต้พิภพ โถมเข้าใส่แท่นสังเวยภายในถ้ำหินหลอมละลาย

พลังที่ว่านี้มหาศาลและน่าตื่นตะลึงราวกับถูกห้วงจักรวาลกำราบ สีหน้าของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นเปลี่ยนไปในทันใด ชายวัยกลางคนตื่นตกใจสุดขีด เขากรีดร้องลั่น “นี่มัน…”

ขณะที่เขากำลังกรีดร้อง หวังเป่าเล่อที่เหมือนจะหลบหนีไปก็เอี้ยวตัวกลับมา ใช้จังหวะที่อีกฝ่ายดึงสัมผัสสวรรค์กลับไปและพลังของบทสวดแห่งเต๋าปลดปล่อยลงมาเต็มพิกัดพอดี พุ่งตรงไปยังแท่นสังเวย!

เขาไม่ใช่คนโลเล ถ้าได้ตัดสินใจไปแล้วก็ไม่มีทางเปลี่ยนใจง่ายๆ เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะช่วย ชายหนุ่มก็ไม่มีทางหวั่นไหวให้กับคำของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้น

นอกจากนี้ หวังเป่าเล่อยังเชื่อมั่นในสิ่งหนึ่งมาโดยตลอด เทียบกับการมัวลังเลใจ การกัดฟันทำอะไรไปเลยก็ไม่ใช่เรื่องแย่ แต่แรงกดดันจากผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ของตระกูลไม่รู้สิ้นที่ปล่อยออกมาเมื่อครู่นั้นกล้าแกร่งเกินไป แม้จะใช้บทสวดแห่งเต๋า เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถใช้โอกาสนี้เข้าใกล้แท่นสังเวยได้ภายในพริบตา

ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงเล่นตามน้ำไปกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้น จากโอกาสที่ได้มา ชายหนุ่มจึงเป็นเหมือนเส้นสายฟ้าที่พุ่งทะยานตรงไปยังแท่นสังเวย พริบตาต่อมา เขาก็พุ่งผ่านหินหลอมละลายไปปรากฏที่หน้าแท่น ทันใดที่กระโจนขึ้นไป พลังป้องกันก็พวยพุ่งออกมาจากแท่นสังเวย

พลังดังกล่าวทำให้หวังเป่าเล่อเสียสมดุลและหยุดชะงักไป จังหวะนั้นเอง พลังคุ้มกันที่จักรพรรดิระดับดาวพระเคราะห์ปล่อยออกไปปกป้องชายหนุ่มก็ระเบิด ช่วยให้เขาทลายพลังป้องกันของแท่นสังเวยได้ ท้ายที่สุด แม้จะยากลำบาก หวังเป่าเล่อก็สามารถขึ้นมาบนขั้นที่สี่ของแท่นสังเวยได้!

เขาอยากจะกระโจนขึ้นไปด้านบนภายในครั้งเดียวแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ถึงกระนั้น ชายหนุ่มก็ไม่ยอมแพ้ รีบไต่ขึ้นไปขั้นที่ห้า หก และเจ็ดพร้อมส่งเสียงร้องคำรามไปด้วย

แม้ชายชราจะช่วยต้านพลังป้องกันจากแท่นสังเวย แต่ร่างกายของชายหนุ่มก็สั่นเทิ้ม และเนื่องจากเขากระโจนขึ้นมาสามขั้นในรวดเดียว พลังสารัตถะจึงกลายเป็นเลือดพวยพุ่งออกจากปาก แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่หยุด รีบไต่ขึ้นไปถึงชั้นเก้า

เวลาเหมือนจะผ่านมานาน แต่จริงๆ แล้วทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นไม่ได้อ่อนกำลังลง จังหวะนั้นเองเขาก็เริ่มตอบโต้ ดวงตาแดงก่ำขึ้นทันใด สัมผัสสวรรค์ระเบิดไปทั่วทุกทิศทาง ตรงเข้าไปบดขยี้หวังเป่าเล่อ!

“บังอาจมาหลอกข้า!”

ขณะที่เขาพยายามจะจัดการกับหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็ขึ้นมาบนขั้นที่สิบ พร้อมกับยกมือขวาขึ้น ปล่อยนิ้วชี้ลอยออกจากตัว พุ่งไปยังตะเกียงทองแดงผีหิวกระหายที่ใกล้ที่สุด!

ขณะที่นิ้วทะยานออกไป พลังกดดันก็ระเบิดออกมา แม้จะมีการคุ้มกันจากชายชรา แต่หวังเป่าเล่อก็ยังกรีดร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด ในหัวระบมไปหมด ร่างสารัตถะเริ่มแหลกสลายภายใต้แรงกดดัน

ทว่านิ้วมือที่หลุดออกจากร่างก็ทะยานไปถึงตะเกียงทองแดงผีหิวกระหายในพริบตาต่อมา ทันทีที่สัมผัส ตะเกียงก็สั่นไหวรุนแรง เปลวไฟสีดำดับหายไป!

เมื่อไฟบนตะเกียงทองแดงดับ…ผู้อาวุโสที่หลับตามาโดยตลอดและโดนผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นหลอมดาวเคราะห์ก็ลืมตาตื่น เผยให้เห็นดวงตาสีรุ้ง เขายกมือขวาขึ้นโบกไปทางหวังเป่าเล่อ

“ขอบคุณ สหายน้อย ถ้าข้ามีชีวิตในภพหน้า จะตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน!”

เมื่อชายชราโบกมือขวา คลื่นพลังอ่อนโยนก็พวยพุ่งใส่หวังเป่าเล่อ ร่างสารัตถะที่กำลังจะแหลกสลายกลับคืนมาใหม่ในทันที ก่อนจะถูกดึงกลับไปอยู่ใต้การคุ้มกันของพลังแสนอ่อนโยนดังกล่าว

ขณะเดียวกัน ชายชราก็เอื้อมมือขวาไปคว้าแขนของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นเอาไว้ สีหน้าของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นแปรเปลี่ยนไปในทันใด พลังของผู้อาวุโสแข็งแกร่งเกินต้านทาน ความเกลียดชังระดับสั่นสะเทือนฟ้าดินฉายวาบขึ้นในดวงตาขณะเอ่ยขึ้นทีละคำ

“เจ้าสังหารตระกูลข้า ทำลายดาวเคราะห์ของข้า อีกทั้งยังคิดจะขโมยดาวเคราะห์สีรุ้งของข้าไป…ข้าจะให้เจ้าก็ได้ ดาวเคราะห์ จงระเบิด!” 

………………………………………..

เมื่อได้ยินที่ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นพูด ชายชราซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้าก็ยังคงนิ่งเงียบ ดวงตาปิดสนิทมาโดยตลอด แต่ร่างกายที่สั่นเทาและแสงสีรุ้งจากจุดตันเถียนกลับแสดงให้เห็นว่าลึกๆ แล้วชายชรานั้นกลัวมาก

“ข้าจะชิงดาวเคราะห์สีรุ้งมาจากเจ้า ขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์!” ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นหรี่ตามองดาวเคราะห์สีรุ้งด้วยความละโมบ ส่งผลให้พลังปราณแปรปรวนขณะแผ่พลังระดับดาวพระเคราะห์ออกไป

ร่างเงาทั้งสองบนแท่นสังเวยใต้ดินต่างอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ทั้งคู่!

หนึ่งในนั้นคือผู้บัญชาการกองทหารของตระกูลไม่รู้สิ้นตัวตริง ส่วนคนที่หวังเป่าเล่อสังหารไปนั้นเป็นเพียงรองผู้บัญชาการเท่านั้น ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ในค่ายทหารต่างคิดว่าเขาออกไปจัดการธุระอื่น แต่แท้จริงแล้ว…ชายวัยกลางคนผู้นี้ไม่ได้ไปไหน!

เขาอยู่ที่แท่นสังเวยใต้ดิน และกระทำบางสิ่งซึ่งถือเป็นโอกาสหายากสำหรับเขา นั่นก็คือ…ดูดซับดาวเคราะห์สีรุ้งจากชายชราตรงหน้า!

อธิบายไม่ได้เลยว่าดาวเคราะห์สีรุ้งนั้นดึงดูดใจเขาเพียงใด สำหรับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์แล้ว ดาวเคราะห์ที่หลอมเข้าไปตอนบรรลุระดับดาวพระเคราะห์สามารถแบ่งได้ตามระดับ ดาวเคราะห์สีรุ้งอยู่ในระดับที่สูงมาก หากได้มาครอบครองจะเป็นประโยชน์แก่ชายวัยกลางคนไม่น้อย

ตามปกติแล้ว เขาคงไม่อาจหาโอกาสเช่นนี้ได้ แต่การรุกรานครั้งนี้นำพาโอกาสมาให้ ดังนั้นเขาจึงไม่อาจเสียมันไปได้

แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น เขาต้องการเวลาเป็นอย่างมากเพื่อเตรียมการให้พร้อม ทำให้แม้ผู้มาจุติจะเข้ามาสร้างปัญหา ชายวัยกลางคนก็ยังนั่งสมาธิและทำการหลอมอย่างเต็มที่อยู่เช่นเดิม

มีเพียงรองผู้บัญชาการเท่านั้นที่พอจะรู้ว่าเขากำลังทำอะไร ทำให้แม้ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายจากตระกูลไม่รู้สิ้นจะรู้ว่าเหล่าผู้มาจุติจะไม่อยู่นาน แต่ก็เลือกที่จะโจมตีทันทีเพราะเป็นกังวลว่าเหล่าผู้มาจุติจะสร้างปัญหาให้ผู้บัญชาการกองทัพได้

แม้จะรู้ว่าเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยง ทำให้เรื่องราวทั้งหมดดำเนินมาจนถึงจุดนี้

แต่ขณะนี้…การรบกวนจากศึกระหว่างหวังเป่าเล่อและผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายนั้นรุนแรงเกินไป ทำให้ผู้บัญชาการกองทหารตัวจริงที่กำลังหลอมดาวเคราะห์สีรุ้งอยู่ไม่อาจเพิกเฉยได้อีกต่อไป สิ่งสำคัญที่สุดคือ…เสียงร้องขอความช่วยเหลือจากชายชราตรงหน้าทำให้ผู้บัญชาการจากตระกูลไม่รู้สิ้นสัมผัสได้ถึงภัยอันตราย

“ตาแก่ ข้าจะทำให้เจ้ายอมจำนน!” ขณะที่พูดเช่นนั้น แววเย็นเยียบก็ฉายวาบขึ้นในดวงตาของผู้บัญชาการระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้น เขาขยายสัมผัสสวรรค์ออกไป สัมผัสสวรรค์ปะทุออกจากแท่นสังเวยใต้ดินราวกับเป็นพายุและทะลุผ่านผืนดินไปปรากฏที่โลกด้านนอก ครู่ต่อมามันก็พัดกระจายไปทั่วทั้งดาวเคราะห์

สำหรับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ สัมผัสสวรรค์ของพวกเขาเพียงพอที่จะครอบคลุมทั่วทั้งดาวเคราะห์ ทุกที่ที่มันเคลื่อนผ่าน ผืนดินจะสั่นไหวขณะที่พืชพรรณนับไม่ถ้วนโค้งงอและยอดเขามากมายร่วงกราว เหล่าผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นและผู้มาจุติร่างสั่นเทิ้มรุนแรงราวกับไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ในหัวเหมือนมีเสียงกัมปนาทสั่นไหวขณะที่ดวงวิญญาณเริ่มสั่นคลอน

สัมผัสสวรรค์ของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เป็นเหมือนพายุที่พัดกระจายไปทั่วดาวเคราะห์ มันเล็งเป้าไปที่หวังเป่าเล่อ แรงสั่นสะเทือนกระจายไปทั่ว สัมผัสสวรรค์จากผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์แปรเปลี่ยนเป็นคลื่นยักษ์ถาโถมเข้าใส่ชายหนุ่ม

ขณะเดียวกัน เป็นเพราะผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ขยายสัมผัสสวรรค์ออกไปอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อที่หยุดยืนอยู่บนสนามรบจึงสัมผัสได้ถึงพลังแทรกแซงจากผืนดิน เป็นพลังที่ชายหนุ่มไม่สามารถต้านทานได้ และอาจสังหารเขาได้ด้วยซ้ำ พลังดังกล่าวกำลังพุ่งตรงมาจากทั่วทุกทิศทางเหมือนดั่งคลื่นที่มองไม่เห็น

ราวกับฟ้าดินโดนกำราบและสัญญาณการมีตัวตนอยู่ของเขากำลังจะถูกพัดหายไป สัมผัสอันตรายดังก้องขึ้นในใจทันที

ภาพเบื้องหน้าทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตกใจหนัก ไม่มีเวลาให้มัวคิดมาก เขารีบปลดปล่อยพลังปราณทั้งหมดออกมาตามสัญชาตญาณและเตรียมหลบหนีไป แต่เมื่ออยู่ภายใต้สัมผัสสวรรค์ของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ ชายหนุ่มก็ไม่สามารถหลบหนีไปได้แม้จะมีพลังอยู่ในขั้นแสร้งอมตะก็ตาม

ทันใดนั้น…สัมผัสสวรรค์ระดับดาวพระเคราะห์ที่มาจากทั่วทุกทิศทางก็ถาโถมเข้าใส่หวังเป่าเล่อ ร่างของเขาสั่นเทิ้มรุนแรง กลวิธีต้านทานทั้งหมดที่มีอ่อนพลังลง ชายหนุ่มกระอักเลือดออกมากองใหญ่ ร่างถูกตรึงไว้กับพื้น พื้นดินปริแตก กระดูกทั่วร่างส่งเสียงแตกหักเพราะไม่สามารถทานทนแรงกดดันได้ ร่างกายของเขาขึ้นสีแดงก่ำ

ใบหน้า ดวงตา สีผิวต่างแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง หากดูให้ละเอียด จะเห็นหยดเลือดที่ถูกบีบออกมาภายใต้แรงกดดัน ทำให้เขาดูเหมือนเป็นมนุษย์โลหิตอย่างไรอย่างนั้น

ความเจ็บปวดรุนแรงแล่นผ่านทั่วร่างเหมือนเป็นพายุ ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนถูกบีบจนกลายเป็นก้อนเนื้อ แม้ร่างกายของเขาจะเป็นร่างสารัตถะ แต่ก็ยังสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายที่เกิดขึ้นทั่วร่าง

แม้จะเป็นเพียงร่างสารัตถะ แต่หากตายไป ก็ยังส่งผลรุนแรงต่อร่างจริงเช่นกัน หากร่างจริงอยู่ที่นี่ เขาคงสามารถปลดปล่อยพลังเมล็ดดูดกลืนที่แท้จริงและฝักกระบี่ออกมาได้ แต่ร่างสารัตถะเป็นเพียงร่างมายาของชายหนุ่มเท่านั้น

หรือร่างสารัตถะของข้าจะตายที่นี่ หวังเป่าเล่อที่กำลังเป็นกังวลใจแปลงกายเป็นหมอกเตรียมจะหนีไป แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ภายใต้พลังกดดัน เขาถูกบีบให้กลับสู่ร่างเดิมอีกครา

ร่างกายครึ่งหนึ่งกำลังจะสลายไป มันส่งสัญญาณเตือนเหมือนกำลังจะถูกทำลาย

เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อไม่สามารถทานทนได้อีกต่อไป จู่ๆ พื้นดินก็สั่นไหว ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่บนแท่นสังเวยเบื้องหน้าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นก็เคลื่อนไหว ดวงตาของเขาปิดสนิท เหมือนไม่สามารถลืมตาตื่นได้เพราะถูกผนึกไว้ ถึงกระนั้น ร่างกายของเขาก็สั่นเทิ้ม ชายชราใช้เคล็ดวิชาปริศนาปล่อยพลังให้ทะลักไปทางหวังเป่าเล่อ

ทันใดนั้น พลังที่ล้นทะลักออกมาก็กลายเป็นแหล่งพลังในการสนับสนุนและป้องกัน มันกลายเป็นม่านแสงช่วยหวังเป่าเล่อต้านทานแรงกดดันจากสัมผัสสวรรค์ของผู้บัญชาการระดับดาวพระเคราะห์

เสียงสั่นสะเทือนพัดกระจายไปทั่ว พลังป้องกันกลายเป็นโล่แสงจางๆ ช่วยให้หวังเป่าเล่อที่กำลังต้านทานพลังกดดันมีเวลาได้พักหายใจ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังหอบหายใจ เสียงโบราณก็ดังขึ้นในหู

“ผู้แปลกถิ่น ข้าคือจักรพรรดิของดาวเคราะห์เต๋าแห่งนี้ ตระกูลของข้าถูกตระกูลไม่รู้สิ้นกำจัด ดาวเคราะห์ในร่างของข้ากำลังถูกผู้ฝึกตนนอกรีตจากตระกูลไม่รู้สิ้นหลอม ข้าช่วยเจ้าได้เพียงครู่เดียว ไม่สามารถทนได้นานนัก ช่วยข้า…ก็เท่ากับช่วยตัวเจ้าเอง!”

“ข้าจะช่วยได้อย่างไร” ณ เวลานี้ หวังเป่าเล่อไม่จำเป็นต้องคิดอะไรอีก เขามีเพียงทางเลือกเดียวตรงหน้า ถ้าอยากป้องกันไม่ให้ร่างสารัตถะตาย เขาก็ต้องช่วยชายที่บอกว่าตนคือจักรพรรดิของดาวเคราะห์ดวงนี้

“มาหาข้า ขึ้นไปบนแท่นสังเวย และดับตะเกียงผนึกเสีย!”

แววดุดันฉายวาบขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มไม่เชื่อชายชราผู้นี้ เขาต้องตรวจดูแท่นสังเวยเสียก่อน หากต้องตายลงตรงนี้จริงๆ ก็ต้องรู้ก่อนว่าใครกันที่หมายจะฆ่าตนเอง!

แม้หวังเป่าเล่อจะไม่เคยไปยังแท่นสังเวยมาก่อน สัมผัสก่อนหน้าและการนำทางที่ได้รับในตอนนี้ก็ช่วยให้เขารู้เส้นทางอย่างชัดเจน ชายหนุ่มกัดฟันแน่น ยกเท้าขวาเหยียบผืนดิน เสียงสั่นสะเทือนดังลั่นไปทั่ว จากนั้นชายหนุ่มก็กลายเป็นหมอกพุ่งสู่ใต้พิภพผ่านรอยแตกบนพื้น

ชายหนุ่มท่องไปยังจุดหมายอย่างรวดเร็ว แรงกดดันจากสัมผัสสวรรค์ของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์แฝงไปด้วยความกังวลใจและเริ่มทวีความรุนแรงขึ้น ขณะเดียวกัน พลังคุ้มกันจากชายอีกคนที่ส่งมายังหวังเป่าเล่อก็ช่วยต้านแรงกดดันนั้นไว้

แม้พลังต้านทานนี้ไม่สามารถสร้างการป้องกันโดยสมบูรณ์ได้ แต่ตัวหวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้อ่อนกำลังและสามารถต้านแรงกดดันได้ระดับหนึ่ง หากชายหนุ่มได้รับบาดเจ็บ อย่างมากที่สุดก็แค่กระอักไอสารัตถะออกมา หมอกพุ่งผ่านใต้พิภพไปอย่างรวดเร็วและในที่สุดก็มาถึง…ถ้ำใต้ดินลึกลงไปในดาวเคราะห์!

เสียงสนั่นดังก้องขณะร่างหวังเป่าเล่อก่อตัวขึ้น เขาเห็นหินหลอมละลายอยู่รอบตัว รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิที่สูงจัด อีกทั้งยังเห็น…แท่นสังเวยรูปทรงเหมือนหอคอยอยู่ตรงใจกลางของหินหลอมละลาย!

และ…มีร่างของสองคนนั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นนั้น!

ชายชราผู้หนึ่งถูกเบิกจุดตันเถียน รอบกายเต็มไปด้วยสายรุ้ง

ชายวัยกลางคนอีกผู้หนึ่งมีสีหน้าดุดัน ด้านหลังมีสารัตถะของตระกูลไม่รู้สิ้นกระจายออกไปและกลับมารวมกันใหม่วนอยู่อย่างนั้น!

ทันทีที่หวังเป่าเล่อพบชายทั้งสอง เขาก็รู้ชัดว่าใครเป็นใคร อีกทั้งชายหนุ่มยังเห็นตะเกียงทองแดงโบราณที่มีเปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ลุกโชนอยู่ตรงมุมทั้งสามของแท่นสังเวยด้วย!

ทั่วบริเวณเงียบสนิท แม้แต่เสียงหายใจยังขาดหายไปขณะที่ความตื่นตกใจเข้าเกาะกุมหัวใจของเหล่าผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นและผู้มาจุติคนอื่นๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ ราวกับมีเมฆอัสนีนับแสนระเบิดขึ้นในหัว

ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะ…ตายแล้ว!

ผลกระทบจากเหตุการณ์ตรงหน้าหนักหนายิ่งนัก ทุกคนแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น ความจริงแล้ว…สำหรับเหล่าผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้น ผู้บัญชาการของพวกเขาเป็นเหมือนดังเทพ นอกจากผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์และเหนือขึ้นไปแล้ว ผู้อาวุโสคนนี้ก็ถือเป็นผู้ที่ไร้เทียมทาน

แต่ตอนนี้ ชายหน้ากากหมูกลับฟันเขาขาดเป็นสองท่อน ทำลายทั้งร่างกายและวิญญาณต่อหน้าทุกคน…

ความตื่นตะลึงที่เกิดขึ้นในใจพวกเขาสามารถอธิบายได้ด้วยคำว่า ‘สะเทือนฟ้าดิน’

โดยเฉพาะเมื่อเปลวพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายที่พวยพุ่งออกมาจากร่างผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นซึ่งถูกฟันขาดเป็นสองท่อน ดับหายไปอย่างรวดเร็วเหมือนถ่านมอด

พลังนั้นเหมือนจะย้ำเตือนฝูงชนว่าผู้ที่ถูกสังหาร…ไม่ใช่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั่วไปแต่เป็นผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย!

ขณะเดียวกัน วิญญาณสารัตถะของผู้อาวุโสก็สลายกลายเป็นฝุ่นผงด้วยอาวุธเทพของหวังเป่าเล่อ!

ระหว่างนั้น พลังชีวิตของผู้อาวุโสก็กระจายออกไปทันทีที่สิ้นลม นำพาพลังความตายที่ก่อตัวขึ้นหลังจากวิญญาณสารัตถะของผู้อาวุโสถูกทำลายให้พุ่งตรงไปยังดวงตาปีศาจที่อยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อ

ดวงตาปีศาจที่ปลดปล่อยพลังออกไปเต็มขั้นเมื่อครู่มีสีแดงก่ำเหมือนว่าจะแตกสลายไป อีกทั้งยังได้รับความเสียหายจากการดิ้นรนและพลังระเบิดตัวเองของผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้น แต่ตอนนี้มันกลับแสดงความหิวกระหายออกมา ราวกับเป็นหลุมดำซึ่งกำลังดูดกลืนพลังที่เลือนหายไปของผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นก็ไม่ปาน

พลังนี้เข้มข้นมากสำหรับหวังเป่าเล่อ แต่คนอื่นไม่อาจมองเห็นได้ แม้มันจะเข้าห้อมล้อมชายหนุ่มโดยสมบูรณ์ก็ตาม แต่คนอื่นๆ ก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนอยู่ดี แต่…ถึงแม้ฝูงชนจะไม่อาจมองเห็นไอพลังนี้ได้ พวกเขาก็สังเกตเห็นว่าพื้นที่รอบตัวชายหนุ่มดูบิดเบี้ยวไป

พื้นที่ที่บิดเบี้ยวจนน่าตื่นตะลึงทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกพิกล เมื่อเห็นว่าร่างเงาของหวังเป่าเล่อเลือนหายไปภายใน

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นผสานกับความตื่นตกใจทำให้เกิดเสียงหายใจติดขัดอย่างเป็นกังวลดังขึ้นขัดความเงียบงันที่ปกคลุมอยู่ทั่วบริเวณ หลังจากนั้น ฝูงชนก็เริ่มส่งเสียงฮือฮาด้วยความแตกตื่น

“เขา…ตายแล้วหรือ”

“ผู้บัญชาการ…ตายแล้วอย่างนั้นหรือ”

“เป็นไปไม่ได้!”

ระหว่างที่เสียงฮือฮาดังขึ้นไม่หยุดหย่อน เหล่าผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นก็รีบถอยหนีด้วยความตื่นกลัว หวังเป่าเล่ออยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ ร่างเงาในพื้นที่ที่บิดเบี้ยวดูไม่ต่างอะไรจากปีศาจที่แผ่พลังปริศนาทำให้คนอื่นตื่นกลัว

ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นถอยห่างไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุด ตระกูลไม่รู้สิ้นทุกคนก็ต่างถอยร่นและพยายามหลบหนีอย่างรวดเร็ว

แม้แต่ผู้มาจุติเหมือนหวังเป่าเล่อก็ต่างสั่นกลัวและพยายามหลบออกไปให้ไกลที่สุด มีเจ็ดถึงแปดคนที่ยังลังเลใจเพราะความโลภ จึงถอยออกไปไม่ไกลนัก พวกเขาหรี่ตา พยายามข่มความโลภที่มีในใจขณะจ้องมองหวังเป่าเล่อตาไม่กะพริบ

ระหว่างที่หลายคนจ้องมองมา หวังเป่าเล่อซึ่งเขมือบเอาพลังที่แผ่ออกมาจากผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นเข้าไปก็กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายครั้งใหญ่

ดวงตาปีศาจด้านหลังหวังเป่าเล่อฟื้นฟูอย่างรวดเร็วหลังจากดูดซับพลังจากผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นเข้าไป แต่มันก็ต้องป้อนพลังเกือบร้อยละเก้าสิบเพื่อเสริมพลังปราณในการบรรลุขั้นให้หวังเป่าเล่อไม่ว่าจะต้องการหรือไม่ นี่คือลักษณะพิเศษของวิชาดวงเนตรปีศาจ เมื่อพลังหลั่งไหลเข้าสู่กายของชายหนุ่มจนร่างสั่นไหว บาดแผลที่ได้รับก่อนหน้าก็ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว

ขาสองข้างที่ทำลายตัวเองไปก่อตัวขึ้นท่ามกลางสายตาของผู้คน หลังจากนั้น พลังที่สูญเสียไปจากการระเบิดทำลายตัวเองหลายต่อหลายครั้งก็ได้รับการฟื้นฟู แต่ที่สำคัญที่สุดคือ…พลังปราณของเขา!

ตั้งแต่มายังโลกแห่งนี้ หวังเป่าเล่อได้สังหารผู้คนไปมากมาย แต่ก็ยังห่างจากการบรรลุขั้นการฝึกตนอยู่เพียงเล็กน้อย ดังนั้นทันทีที่สังหารผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ พลังปราณของชายหนุ่มจึงเพิ่มพูนสูงขึ้น และในที่สุดก็บรรลุขั้นการฝึกตน!

เขาไม่ได้อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายอีกต่อไป แต่ได้บรรลุสู่…ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์!

จริงๆ แล้ว ชายหนุ่มไม่ได้แค่บรรลุขั้นการฝึกตนเพียงอย่างเดียว ทันใดที่บรรลุขั้น เขาก็พุ่งขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ในทันที และห่างจากขั้นจิตวิญญาณอมตะเพียงครึ่งก้าวเท่านั้น!

ถ้าพูดให้ชัดเจน ตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ในขั้น…

แสร้งอมตะ! หวังเป่าเล่อลืมตา เผยให้เห็นสายฟ้ากระจายออกมา สายฟ้าสั่นคลอนพื้นที่รอบๆ แหวกห้วงอากาศให้บิดเบี้ยว ผืนดินทลายตัวลงมาทำให้เหล่าผู้มาจุติที่มีความคิดชั่วร้ายเห็นแสงในตาและสภาพของเขาในตอนนี้ได้อย่างชัดเจน อีกทั้งดวงตาปีศาจด้านหลังชายหนุ่มก็ไม่ได้เป็นสีดำอีกต่อไป ตอนนี้มันเริ่มเปล่งแสงสีแดง ก่อนจะกลายเป็นสีม่วงหลังจากได้รับการเสริมพลัง!

ภาพเบื้องหน้าทำให้ผู้ฝึกตนแสนละโมบเจ็ดถึงแปดคนขนลุกซู่ รีบเตรียมหนีอย่างไม่ลังเลใจ แต่ก็สายเกินไป

หวังเป่าเล่อไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่ดวงตายักษ์สีม่วงเบื้องหลังกลับเคลื่อนไหว มันแผ่พลังชั่วร้ายและหายวับไปจากด้านหลังของชายหนุ่ม เสียงร้องโหยหวนดังลั่นขึ้นรอบด้าน หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว หันมองไปยังทิศทางต้นเสียง สัมผัสสวรรค์ของเขาพบว่าผู้ฝึกตนที่หนีไปต่างร่างเหี่ยวเฉาไปกันหมด ทั่วร่างของผู้ฝึกตนแต่ละคนเต็มไปด้วยดวงตามากมายปรากฏขึ้น

“เริ่มดูดซับพลิกกลับอีกแล้วหรือ” แววเย็นชาปรากฏขึ้นในดวงตา หวังเป่าเล่อยกมือขวาคว้าไปทางผืนดินว่างเปล่าเบื้องหน้า ทันใดนั้น พลังแทรกแซงก็ปรากฏขึ้นในบริเวณนั้น ดวงตายักษ์สีม่วงที่เคลื่อนออกจากร่างของชายหนุ่มปรากฏขึ้นอีกครั้งตรงจุดนั้น แม้จะดูทุลักทุเล แต่ด้วยพลังจากเมล็ดดูดกลืนในกายชายหนุ่ม ดวงตาสีม่วงจึงถูกดึงเข้ามาใกล้เรื่อยๆ

“ข้าเตือนเจ้าแล้ว” หวังเป่าเล่อพูดขึ้นอย่างเย็นชาขณะจ้องมองดวงตาสีม่วงเบื้องหน้า ดวงตาฉายแสงเป็นประกายอยู่พักหนึ่งก่อนจะจางแสงลง เหมือนยอมจำนนหลังจากครุ่นคิดแล้ว

เห็นได้ชัดว่าวิธีลงโทษดวงจิตในวิชาดวงเนตรปีศาจของหวังเป่าเล่อจะทำให้มันตื่นกลัวมาก ชายหนุ่มหรี่ตา กำลังจะเอ่ยปากพูด ขณะนั้นเอง เสียงคุ้นเคยก็ดังขึ้นในหูอีกครั้ง!

“ช่วยข้า…ผู้แปลกถิ่น จงช่วยข้า!”

เสียงที่ดังขึ้นครั้งนี้ชัดเจนกว่าที่เคยได้ยินครั้งก่อน ทำให้หวังเป่าเล่อมั่นใจว่ามันดังมาจากใต้ดิน เสียงที่ดังขึ้นอีกครั้งทำให้สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนไป

“เจ้าเป็นใคร!” หวังเป่าเล่อก้มมองผืนดิน นอกจากจะสัมผัสได้ถึงตำแหน่งของต้นเสียงแล้ว รอบนี้ยังสัมผัสได้รางๆ ถึงตัวตนเจ้าของเสียงด้วย

ชายหนุ่มมองผืนดิน ลึกลงไปใกล้กับแก่นดาวเคราะห์ เบื้องใต้ชั้นเปลือกหนาคือพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหินหลอมละลาย!

ด้านในหินหลอมละลาย บนบันไดหลายร้อยขั้น มีแท่นบูชารูปทรงเหมือนหอคอยสีดำอยู่ บนนั้น…มีตะเกียงสามอันที่แผ่เปลวเพลิงศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ทั้งสามมุม!

ระหว่างตะเกียงทั้งสามมีร่างสองร่างนั่งขัดสมาธิอยู่!

หนึ่งในนั้นคือชายชราร่างเหี่ยวแห้งซึ่งแผ่พลังจางๆ ราวกับว่าอยู่ไม่ห่างจากความตายมากนัก มีรูกว้างอยู่บริเวณจุดตันเถียน คลื่นแสงสีรุ้งกระจายออกมาจากรูและแผ่ปกคลุมไปรอบบริเวณ เห็นได้ว่าแหล่งที่มาของแสงคือดาวเคราะห์ที่หดเล็กลง!

ตรงข้ามชายชราคือชายสามหัวหกมือปกคลุมไปด้วยแสงสีรุ้งที่นั่งขัดสมาธิอยู่ เขาคือคนจากตระกูลไม่รู้สิ้น! ชายผู้นี้เหมือนจะอยู่ในวัยกลางคน สีหน้าที่ฉายอยู่บนศีรษะทั้งสามดูเย็นชา เขายกมือขวา ค่อยๆ ดึงดาวเคราะห์สีรุ้งออกมาจากจุดตันเถียนของชายชรา

หากผู้มีความรู้ได้มาเห็นภาพตรงหน้าก็จะรู้ได้ว่า…ชายชราผู้บาดเจ็บและคนจากตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ และชายชราก็กำลังโดนคนจากตระกูลไม่รู้สิ้นหลอมอยู่!

ระหว่างขั้นตอนการหลอม ผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จากตระกูลไม่รู้สิ้นก็ลืมตามองชายชราร่างเหี่ยวแห้งเบื้องหน้า ตอนแรกในแววตาเต็มไปด้วยความหิวกระหาย จากนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นเย้ยหยัน เขาพูดขึ้นเพราะหัวเราะเสียงเย็น

“ตาแก่ เจ้ายังไม่ยอมแพ้อีกหรือ”

……………………………………………………….

หลังจากที่ผู้ฝึกตนรอบๆ และคนที่เพิ่งมาถึงได้เห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าก็ต่างตื่นตกใจกันหมด เห็นได้ชัดว่าในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผ่านมานั้น การต่อสู้ระหว่างคนทั้งสองช่างแสนดุเดือด การวางกลอุบายใส่กันนั้นดูง่าย แต่ในศึกจริงๆ ทุกอย่างสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชั่วเสี้ยววินาที ผิดพลั้งไปครั้งเดียวอาจส่งผลถึงตายได้!

ขณะเดียวกัน เหล่าผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นต่างก็ลังเลใจเมื่อได้ยินคำสั่งจากผู้บัญชาการของตน แม้แต่ตระกูลไม่รู้สิ้นที่มีระบบลำดับชั้นที่เข้มงวดก็ยังต้องสั่นคลอนเมื่อเผชิญกับศึกชี้ความเป็นความตายในเสี้ยววินาทีศึกนี้

แต่ความมุ่งมั่นในการปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับก็ฝังรากลึกลงไปในหัวของกลุ่มผู้ฝึกตนชั้นผู้น้อยของตระกูลไม่รู้สิ้นบางคน ทำให้พวกเขาร้องคำรามและพุ่งตัวออกไป ขณะเดียวกันนั้นเอง ดวงตาปีศาจด้านหลังหวังเป่าเล่อก็หันมาในทันที พริบตาที่มันลืมตาขึ้น เปลวไฟสีดำก็กระจายไปรอบด้าน พุ่งผ่านเหล่าผู้ฝึกตนที่กำลังพุ่งเข้ามา ส่งผลให้พวกเขาต้องกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดขณะร่างกายโดนเผาเป็นจุณ

เมื่อคนเหล่านี้สิ้นลม ไอสีดำจำนวนมากก็ฟุ้งกระจายออกมา ก่อนที่ดวงตาปีศาจด้านหลังหวังเป่าเล่อจะดูดซับเอาไปทั้งหมด ภาพที่เห็นทำให้เหล่าผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่นที่คิดจะพุ่งเข้ามาเช่นกันสูดหายใจลึก นึกลังเลว่าจะเข้าไปดีหรือไม่

เมื่อได้โอกาส ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแสงวาบขณะทนแบกรับความเจ็บปวดและปลดปล่อยพลังเกราะจักรพรรดิอีกครั้ง แม้จะเสี่ยงใช้งานหนักจนเกินขีดจำกัดก็ตาม อาวุธเทพที่ฝังอยู่ในแขนขวาของเกราะจักรพรรดิก่อตัวขึ้น ชายหนุ่มพุ่งตัวออกไป พลังรัศมีแผ่กระจายง พร้อมจะฟาดฟันทุกอย่างให้ขาดครึ่ง ทันใดที่ชายหนุ่มพุ่งเข้าไปใกล้ ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นที่กำลังถอยหนีอย่างรีบร้อนก็สร้างผนึกมือฝ่าและชี้ออกไป วัตถุเวทพลันลอยออกมาจากร่าง ก่อนจะระเบิด ส่งให้ร่างหวังเป่าเล่อกระเด็นถอยหลังไป

“บ้าจริง ทำไมเวลาผ่านไปช้าขนาดนี้นะ!” พลังรัศมีของผู้อาวุโสยุ่งเหยิงไปหมด หลังจากผลักหวังเป่าเล่อที่กำลังพุ่งเข้ามาให้กระเด็นออกไปได้ เขาก็ก่นด่าต่อฟากฟ้าเบื้องบน

“ตระกูลไม่รู้สิ้นฟังข้า จงเข้ามาช่วยข้าให้เร็วที่สุด ใครขัดคำสั่งข้าจะต้องได้รับโทษประหาร!” เมื่อพูดเช่นนั้นออกไป สีหน้าของเหล่าผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่รอบๆ ก็พลันแปรเปลี่ยน หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นคนเหล่านั้นหายลังเลใจ แม้การโจมตีกลุ่มผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นจะช่วยเพิ่มพูนพลังของวิชาดวงเนตรปีศาจผ่านการสังหารได้ แต่หากพลาดพลั้งขึ้นมา ก็มีโอกาสสูงที่ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นจะหลบหนีไปได้ และหากเป็นเช่นนั้นแล้วละก็ ผู้อาวุโสย่อมต้องพลิกสถานการณ์ได้แน่นอน เขาจะยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงวาบขณะยกมือซ้ายขึ้นโบก

ทันใดนั้น เรือบินรบมากมายก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า เรือบินรบหลายหมื่นลำปรากฏออกมาราวกับเป็นเมฆดำ เข้าล้อมรอบเหล่าตระกูลไม่รู้สิ้นที่ทำท่าจะพุ่งเข้ามา ทำให้คนเหล่านั้นผงะไปและรีบถอยกลับตามสัญชาตญาณ

ขณะที่พวกเขาล่าถอยไป ดวงจิตของหวังเป่าเล่อก็เคลื่อนไหว เรือบินรบที่อัดแน่นอยู่บนท้องฟ้าปลดปล่อยพลังระเบิดตัวเองออกมาพร้อมพุ่งตรงไปหาผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้น หากเทียบกับพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว แรงระเบิดก็เป็นแค่สายลมอ่อนๆ เท่านั้น แต่ถ้าแรงระเบิดขนาดใหญ่สามารถส่งผลต่อผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะได้เพียงนิดละก็ ลมอ่อนๆ ก็ย่อมก่อตัวเป็นพายุได้หากมีเรือบินรบจำนวนมากพอ

“กำจัด!” หวังเป่าเล่อร้องคำราม ทันใดนั้น เรือบินรบทุกลำก็ร่อนลงมา มองจากที่ไกลๆ จะเห็นเหมือนสรวงสวรรค์บิดเบี้ยวเพราะมีเรือบินรบอัดแน่นอยู่เต็มท้องฟ้า เสียงสะเทือนดังก้องไม่หยุด ฟากฟ้าสั่นคลอน ผืนดินพังทลาย พลังที่ทวีคูณแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ พัดกระจายออกไปทั่ว!

ผู้อาวุโสสีหน้าซีดเผือดขณะหลบหนี แต่จำนวนเรือบินรบระเบิดทำลายตัวเองนั้นมีมากเกินไป อาการบาดเจ็บของเขาก็รุนแรงและยังไม่ดีขึ้น ทำให้พลังของชายชราค่อยๆ หดหาย ไม่สามารถทำในสิ่งที่ต้องการได้ ยิ่งหวังเป่าเล่อนั้นเป็นคนบ้าระห่ำมาก แม้เขาจะส่งกระเด็นถอยหลังไปกี่ครั้ง แต่ชายหนุ่มก็ดีดตัวกลับมาไม่หยุดหย่อน

แววตาอำมหิต การกระทำบ้าระห่ำ และจิตสังหารรุนแรงของอีกฝ่ายทำให้ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นใจสั่น

ภาพเหตุการณ์นี้ทำเอาผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่รอบๆ รู้สึกเกรงกลัวมากขึ้นไปอีก ขณะที่พวกเขากำลังล่าถอย ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นที่ต่อสู้กับหวังเป่าเล่ออยู่ก็พลันรู้สึกได้ถึงพลังที่เริ่มไม่มั่นคงของตน พลังปราณของชายชราดูเหมือนจะลดทอนลงไปอีกครั้ง

ดวงตาของผู้อาวุโสแดงก่ำ ตระหนักได้ว่าจะคิดหนีหรือหาทางซื้อเวลาอย่างเดียวไม่ได้อีกต่อไป ผู้อาวุโสรู้ว่าต้องยอมเสี่ยงชีวิตและทุ่มทุกอย่างที่มี เพราะมันเป็นหนทางเดียวที่อาจทำให้เขามีชีวิตรอดต่อไปได้

มิเช่นนั้น เขาจะต้องถูกชายหน้ากากหมูเฮงซวยที่มีกลอุบายมากมายฆ่าทิ้งก่อนจะสามารถหลบหนีและรอพลังปราณฟื้นคืนอย่างแน่นอน

มือทั้งห้าของชายชราสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ขณะร้องคำราม เขาปลดปล่อยพลังปราณทั้งหมดออกมาในคราวเดียว ไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไป พายุก่อตัวพัดกระจายไปรอบด้าน เสียงคำรามต่ำดังก้องขึ้น

“ร่างสารัตถะจิตวิญญาณอมตะ!”

พลังปราณพวยพุ่งออกจากร่างชายชราก่อตัวเป็นวังวนทันใดที่สิ้นคำ ชั่วพริบตาเดียว รูปปั้นขนาดยักษ์ก็ก่อตัวขึ้น รูปปั้นดังกล่าวมีลักษณะเหมือนผู้อาวุโสไม่ผิดเพี้ยน ทันใดที่มันปรากฏ พลังกดดันก็พัดกระจายออกไปรอบพื้นที่ ต้านแรงระเบิดของเรือบินรบหลายหมื่นลำ

ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็ใช้จังหวะนี้พุ่งตรงไปยังอีกฝ่ายอีกครั้ง ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นกรีดร้องขึ้น

“มาดูกันว่าเจ้าหรือข้ากันแน่ที่ยอมเสี่ยงชีวิตทุ่มทุกอย่างที่มี!” ระหว่างที่พูดเช่นนั้น แขนข้างหนึ่งของผู้อาวุโสก็ระเบิดกลายเป็นทะเลหมอกสีดำลอยไปทางหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสกัดฟันแน่นอีกครั้งและระเบิดแขนข้างต่อไป สร้างทะเลหมอกระลอกที่สองพุ่งไปทางชายหนุ่ม

“เลือกเอาว่าจะกรีดร้องคร่ำครวญหรือจะต่อสู้โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน!” ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นตะโกนลั่น ทะเลหมอกแต่ละระลอกที่เกิดจากแรงระเบิดของแขนซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาลลอยไปทางหวังเป่าเล่อ มีอยู่แค่สองทางตรงหน้า จะ…หนี หรือ…จะสู้โดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน!

หวังเป่าเล่อหัวเราะ ดวงตาฉายแสงเย็นเยียบ ไม่นึกลังเลใจแม้แต่น้อย เขาไม่แม้แต่จะลดความเร็วลง แต่กลับเร่งความเร็วพุ่งตรงไปหาหมอก ทันใดที่สัมผัสเข้ากับหมอก แววดุดันก็ฉายขึ้นในดวงตาเย็นชา

เกราะจักรพรรดิ…ทลายสิ้น นอกจากแขนขวาแล้ว ทุกส่วนของมันก็ระเบิดออกมาก่อเป็นคลื่นยักษ์โถมใส่ทุกทิศทาง ระหว่างที่กำลังต้านพลังหมอกระลอกแรก หวังเป่าเล่อก็พ่นลมสารัตถะออกมา ร่างของชายหนุ่มอ่อนแรงลง ทันใดนั้นร่างอวตารเจ็ดถึงแปดร่างก็พลันปรากฏขึ้น

“เจ้าอยากรู้หรือว่าใครยอมเอาชีวิตมาเสี่ยงมากกว่ากัน จงระเบิด!”

ร่างอวตารแต่ละร่างเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนท่าสารัตถะ เมื่อพวกมันปรากฏตัวขึ้นก็ต่างพุ่งออกไปและระเบิดตัวเองทีละร่าง พลังของหวังเป่าเล่อพวยพุ่งขึ้นอีกครั้งระหว่างต้านพลังทะเลหมอก เขาพุ่งผ่านหมอกทั้งสองระลอก ในมือถืออาวุธทะยานไปฟันใส่ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้น

ความคลุ้มคลั่งในดวงตาของชายหนุ่มไม่ต่างจากเปลวไฟที่ลุกโชติช่วง ราวกับพร้อมเผาไหม้ดวงวิญญาณของผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นและผู้ฝึกตนโดยรอบให้เป็นจุณ

จิตสังหารในแววตาทำให้ชายหนุ่มเหมือนไม่สนใจแม้ชีวิตจะดับสิ้น ราวกับตั้งใจจะลากศัตรูไปตามพร้อมกับการตายของตน แววตาที่น่าพรั่นพรึงทำให้ใครที่ได้เห็นต่างต้องสั่นกลัวถึงขั้ววิญญาณ

สายตาดังกล่าวทำให้ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นสั่นกลัวหนักขึ้นไปอีก สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยน กำลังจะยกมือข้างที่เหลือขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือ ทันใดนั้นเอง เมล็ดดูดกลืนภายในกายของหวังเป่าเล่อก็ปะทุพลัง มุ่งเป้าไปที่ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้น และเพิ่มพูนความเร็วให้หวังเป่าเล่อขึ้นไปอีก

ความเร็วที่เพิ่มพูนขึ้นมาอย่างกะทันหันทำให้ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นตื่นตกใจหนัก สั่นกลัวไปถึงขั้ววิญญาณ ระหว่างที่กำลังจะลงมือโต้ตอบ ดวงตาสีดำด้านหลังหวังเป่าเล่อก็ลืมตาตื่นพร้อมเสียงของชายหนุ่มที่ร้องคำรามขึ้น

ทันใดที่ดวงตาปีศาจเบิกเพลิง คลื่นพลังสะกดให้หยุดนิ่งก็พวยพุ่งออกมา!

วิชาดวงเนตรปีศาจตื่นพลังที่เหนือชั้นกว่าครั้งก่อนเมื่อสัมผัสได้ถึงความคลุ้มคลั่งและจิตสังหารของหวังเป่าเล่อ ราวกับว่าดวงตาสีดำได้ปลดปล่อยพลังเต็มขั้นเพราะกระหายในวิญญาณของผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะด้วยเช่นกัน ส่งผลให้ชายหนุ่มแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมขณะเข้าสู่สภาวะคลุ้มคลั่ง เป็นเหตุให้ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะตัวแข็งทื่อไปชั่วขณะ

ยิ่งไปกว่านั้น เมล็ดดูดกลืนยังช่วยเพิ่มพูนความเร็วให้ชายหนุ่มขึ้นอย่างมาก วินาทีที่ผู้อาวุโสตัวแข็งทื่อไปถือเป็นโอกาสอันดี ชายหนุ่มเข้าใกล้อีกฝ่ายในชั่วพริบตา แววคลุ้มคลั่งปะทุเดือดขึ้นในดวงตา อาวุธเทพในมือฟาดฟันลงใส่ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นทันที

อาวุธเทพที่ฟาดลงไปทำให้สีสันบนฟากฟ้าเลือนหาย เมฆหมอกหมุนวน เรียกความสนใจจากสายตาทุกคู่และวิญญาณทุกดวง ราวกับว่าฟ้าดินได้ขาดสะบั้นเป็นสองส่วนกระนั้น อาวุธเทพฟันลงบนหัวผู้อาวุโสที่กำลังกรีดร้องดิ้นรน

ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นเองก็เก่งกาจไม่แพ้กัน ขณะที่ตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน เขาก็ตัดแขนและหัวของตัวเองส่งไปเป็นระเบิดพลีชีพ เมื่อหลุดจากพลังสะกดได้ ผู้อาวุโสก็ยกสองมือที่เหลืออยู่ขึ้นต้านอาวุธเทพที่ฟาดฟันลงมา ร่างกายของชายชราสั่นเทิ้ม พลังปราณทั้งหมดพวยพุ่งออกมา แต่ด้วยอาการบาดเจ็บและต้องทนรับแรงกดดันจากพลังปราณของอีกฝ่าย เขาจึงไม่สามารถทานทนได้นาน เมื่อเห็นอาวุธเทพกำลังฟาดลงใส่หัวทีละนิดพร้อมด้วยเสียงร้องคำรามของหวังเป่าเล่อที่ดังประสานขึ้นมา ความสิ้นหวังและความกล้ำกลืนก็ฉายขึ้นในดวงตาของผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้น

“ข้า…หือ” ขณะที่ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นหัวเราะขึ้นด้วยความขมขื่น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง ความสิ้นหวังในแววตาพลันเปลี่ยนเป็นความหวัง พลังปราณที่อ่อนกำลังลงฟื้นคืนมาในทันใด ดอกไม้สีเลือดบนหน้าผู้อาวุโสเริ่มเลือนรางราวกับว่าจะหายวับไป!

“แย่แล้ว!” สีหน้าของหวังเป่าเล่อพลันแปรเปลี่ยน ดวงตาฉายแววดุดัน เขาสั่งขาทั้งสองข้างให้ระเบิดทำลายตัวเองอย่างไม่ลังเลใจ ถึงจะเป็นการทำลายตัวเองของร่างสารัตถะแต่ก็ส่งผลต่อชายหนุ่มไม่น้อย หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจเรื่องนั้นมากนัก รีบใช้พลังที่เพิ่มขึ้นจากแรงระเบิดของขาทั้งสองข้างพร้อมร้องคำรามลั่นในทันที

“สังหาร!”

“ไม่!” ผู้อาวุโสกรีดร้องลั่น แต่อาวุธเทพก็ฟันลงมากลางหัวด้วยพลังที่เสริมขึ้นใหม่ มันผ่าผ่านลำคอลงมาถึงลำตัว แยกร่างออกเป็นสองท่อน!

พลังที่เหลืออยู่พัดกระจายออกไปพร้อมเสียงสนั่นหวั่นไหว ร่างที่ขาดครึ่งร่วงลงและระเบิด แม้แต่วิญญาณสารัตถะก็ไม่อาจหลบหนีได้ทันจึงโดนฟันขาดเป็นสองส่วนด้วยเช่นกัน!

ร่างและวิญญาณของผู้อาวุโสแหลกสลายไปโดยสมบูรณ์!

……………………………………

“เป็นไปไม่ได้!” ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังตะโกนสั่งให้เรือบินรบเวทของตนเองระเบิดนั้น สีหน้าของผู้อาวุโสก็เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ เขาจำได้ว่าเรือบินรบเวทของอีกฝ่ายถูกทำลายจนแทบไม่เหลือชิ้นดีไปแล้ว แต่บัดนี้มันกลับเกือบอยู่ในสภาพเดิมอีกครั้ง แม้ไม่ใช่ว่าจะซ่อมแซมไม่ได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่เขาก็ไม่คิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าจะสามารถทำได้

การจะซ่อมสิ่งนี้… ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมหาศาล และยังเป็นทรัพยากรหายากที่แม้แต่ตัวเขาเองก็อาจหามาไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่สิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ก็เกิดขึ้นมาแล้ว ขณะที่สีหน้าของผู้อาวุโสเต็มไปด้วยความตกใจ เรือบินรบเวทของหวังเป่าเล่อก็ลดระดับลงกระแทกเรือบินรบเวทต้นไม้ยักษ์ของชายชราเข้าอย่างจัง

ท้องฟ้าและพื้นดินสั่นสะเทือนอีกครั้งจนดูเหมือนจะถล่มทลายลงมาต่อหน้า เรือบินรบเวทของหวังเป่าเล่อพังทลายลงเกือบหมด ทว่าการเสียสละนี้ทำให้ต้นไม้ยักษ์มีรูขนาดใหญ่ รูนี้ทำให้เกิดรอยแตกมากมายที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้น จนกระทั่งมีร่างหนึ่งกระโจนออกมา

ร่างดังกล่าวคือผู้อาวุโสของตระกูลไม่รู้สิ้นนั่นเอง ความจริงที่ว่าแนวป้องกันของเรือบินรบเวทของเขาพังทลายลงด้วยวิธีเหนือจินตนาการเช่นนี้ทำให้ชายชราหวาดกลัวเป็นอย่างมาก เขาตระหนักแล้วว่าตนเองต้องใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อเอาชนะศึกนี้ให้ได้ ความต้องการกำชัยของหวังเป่าเล่อทำให้หนังศีรษะของเขาชายิบๆ

ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นกระโจนออกมาจากต้นไม้ยักษ์ ในตอนนั้นเองดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายประกายเย็นเยียบ ชุดเกราะจักรพรรดิของชายหนุ่มเปลี่ยนสภาพไปพร้อมกับที่เขาปลดปล่อยโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาทั้งหมดออกมา ชายหนุ่มกระโจนไปข้างหน้า ยกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้นลูกไฟจำนวนมากจากเปลวไฟสีดำก็ระเบิดออกมารอบบริเวณ พวกมันรวมกันเป็นหนึ่งเดียวและไหลเข้าท่วมบริเวณนั้นทั้งหมด ส่งผลให้อุณหภูมิพุ่งขึ้นสูงพร้อมด้วยกลิ่นอายแห่งความตายที่เข้าครอบงำ ทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกันท่ามกลางทะเลเพลิงสีดำ

คนทั้งคู่โจมตีใส่กันไม่หยุดบนทะเลเพลิงพร้อมด้วยเสียงดังกึกก้อง ต่างก็เข้าปะทะกันไปแล้วกว่าร้อยครั้งในระยะเวลาอันสั้น แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ได้มีปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะ แต่เขาก็มีเกราะจักรพรรดิและโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่คอยสะท้อนการโจมตีออกไป ยิ่งไปกว่านั้นชายหนุ่มในตอนนี้ก็กำลังบ้าคลั่งด้วยความกระหายเลือด เขาต้องการฆ่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะให้ได้ แม้ว่าตนเองจะต้องบาดเจ็บปางตายก็ตาม ความคลั่งนี้ทำให้ชายหนุ่มต่อกรกับผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ

แรงปะทะทำให้พื้นที่โดยรอบสั่นสะเทือน การระเบิดทำลายตนเองของเรือบินรบเวทเมื่อครู่ส่งผลให้ผืนดินสั่นไหว และทำให้ผู้ฝึกตนที่อยู่ในบริเวณนั้นตัวสั่นด้วยความกลัว แต่ก็อดไม่ได้ที่จะรีบพุ่งเข้ามาดูว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

ขณะที่ทั้งสองกำลังปะทะกันอย่างเอาเป็นเอาตายกลางทะเลเพลิง ก็มีร่างหลายร้อยร่างปรากฏขึ้นรอบบริเวณและยังคงเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใครกล้าเข้าไปใกล้ ทำได้เพียงมองการต่อสู้ที่ทำให้ท้องฟ้าและพื้นดินสั่นสะท้านด้วยแววตาที่ไม่อยากเชื่อแม้แต่นิด

“นั่นมันผู้บัญชาการกองทหารนี่!”

“ให้ตายเถิด ไอ้หน้ากากหมูนั่น…มันต่อกรกับผู้บัญชาการได้เสียด้วย!”

“แล้วเหตุใดพลังปราณของท่านถึงลดลงมากเช่นนี้!”

“เจ้าเห็นหรือไม่ รอบกายพวกเขามีซากเรือบินรบเวทกระจายอยู่เต็มไปหมด!” ขณะที่ผู้สังเกตการณ์พากันอุทานด้วยความตกใจนั้น พวกเขาก็ต้องตะลึงมากขึ้นไปอีกเมื่อสังเกตเห็นรายละเอียดโดยรอบ นอกจากนี้ผู้มาจุติหลายคนก็รีบมาดูเหตุการณ์ด้วยความระแวดระวัง พวกเขาแอบซ่อนอยู่ คอยมองการต่อสู้จากระยะไกล หลังจากที่เห็นหวังเป่าเล่อ หัวใจของทุกคนก็สั่นสะท้าน

แม้ทุกคนจะเกลียดหวังเป่าเล่อเข้าไส้ เนื่องจากการพลิกแผ่นดินตามหาตัวชายหนุ่มของตระกูลไม่รู้สิ้นทำให้พวกเขาเดือดร้อนต้องหนีหัวซุกหัวซุน แต่การที่หวังเป่าเล่อสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ ก็ทำให้พวกเขาตกตะลึงมากเช่นกัน

ปรมาจารย์แห่งไฟเองก็จับตาดูอยู่ด้วย ชายชราคอยสังเกตการณ์มาตั้งแต่ต้น และกำลังดูการต่อสู้ด้วยความเพลิดเพลินจนไม่กล้าละสายตา

แต่หวังเป่าเล่อไม่มีเวลามาสนใจผู้ชมโดยรอบไม่ว่าจะรู้จักหรือไม่รู้จักกันก็ตาม ตอนนี้จิตทั้งหมดของเขาเพ่งอยู่ที่ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นเพียงเท่านั้น ความต้องการสังหารทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ส่งการโจมตีออกไปประหัตประหารศัตรู

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ผู้อาวุโสแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นจะต้องพลิกกลับมาเป็นต่ออย่างแน่นอน ทว่านี่เป็นสนามรบที่หวังเป่าเล่อสร้างขึ้นเอง ดังนั้นเปลวไฟสีดำที่เผาไหม้ทั่วบริเวณจึงทวีความรุนแรงขึ้นอีก มันกระจายตัวออกมา เพิ่มอุณหภูมิขึ้นแผดเผาผู้อาวุโสแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นมากขึ้น และส่งผลต่อสภาพในการรบของอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็สร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ เพื่อสั่งให้เปลวไฟสีดำระเบิด เปลี่ยนสภาพไปเป็นหมัดเพลิงสีดำ ที่พุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้น

รูปร่างของเปลวเพลิงก็เปลี่ยนไปเช่นกัน มันคอยไหลวนไปรอบๆ บริเวณอย่างต่อเนื่อง ดวงตาปีศาจเบื้องหลังชายหนุ่มค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง ราวกับว่าพลังในการตรึงคู่ต่อสู้ให้หยุดนิ่งอยู่กับที่จะถูกเรียกใช้งานอีกครา

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดทำให้ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นตกใจและกระวนกระวายเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกได้ว่าคำสาปในกายยังไม่จางหายไปไหน นอกจากนี้พลังที่เข้ามาแทรกแซงก็ทวีความรุนแรงขึ้นอีก จนดูราวกับว่าพลังปราณของเขากำลังจะถดถอยลงอีกครั้ง ผู้อาวุโสรู้สึกเหมือนกำลังจะเป็นบ้า เขาไม่อยากต่อสู้กับชายหนุ่มอีกต่อไปแล้ว อยากแต่จะหนีเอาชีวิตรอดไปให้ไกลเท่านั้น

เมื่อภาพนี้ปรากฏต่อสายตาทุกคน พวกเขาก็ตกใจมากขึ้นไปอีก การที่หวังเป่าเล่อต่อกรกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะท่ามกลางซากเรือบินรบเวทก็มากพอที่จะทำให้วิญญาณของพวกเขาสั่นสะท้านแล้ว แต่ตอนนี้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะผู้นี้กลับทำท่าเหมือนอยากถอยหนี เรื่องนี้ยิ่งทำให้พวกเขาทึ่งและตกใจมากขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว

ขณะที่ผู้สังเกตการณ์โดยรอบกำลังหวาดกลัวอยู่นั้น ผู้อาวุโสก็เริ่มหนีพร้อมส่งเสียงกรีดร้องโหยหวนดังลั่นไปด้วย

“จะหนีรึ” เมื่อชายชราล่าถอย หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาและกระโจนตามไป ทันทีที่ชายหนุ่มพุ่งออกไป ประกายเย็นเยียบก็วาบเข้ามาในดวงตาของผู้อาวุโสผู้ที่กำลังหลบหลีก ความหวาดกลัวสลายหายไป ความอำมหิตพลันเข้ามาแทนที่ ร่างกายของเขาส่งเสียงระเบิดออกมา ก่อนที่ศีรษะที่สองและสามจะโผล่พ้นจากคอ ตามมาด้วยแขนอีกสี่ที่แทงทะลุจากลำตัว

เขากำลัง… เปิดเผยร่างที่แท้จริงของตระกูลไม่รู้สิ้นนั่นเอง ความจริงแล้วร่างนี้ควรมีสามหัวและหกแขน แต่แขนข้างหนึ่งเพิ่งถูกทำลายไป จึงทำให้ตอนนี้เขามีอยู่เพียงสามหัวและห้าแขนเท่านั้น!

“ผนึกไม่รู้สิ้น!” ทันทีที่ร่างที่แท้จริงปรากฏ ผู้อาวุโสก็หยุดอยู่กับที่ เขาสร้างผนึกฝ่ามือด้วยแขนห้าข้างที่เหลือ ศีรษะทั้งสามร้องคำรามก่อนชี้มือทั้งหมดไปยังหวังเป่าเล่อ ตอนนั้นเองแผนที่ดวงดาวก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าผู้อาวุโส แขนทั้งห้ากลายสภาพเป็นจักรภพ ศีรษะทั้งสามกลายเป็นดารานิรันดร์ จักรวาลขนาดย่อมที่อุบัติขึ้นนี้ทำให้สวรรค์และพิภพบิดเบี้ยว พลังการผนึกพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อในทันที!

ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วมาก ภายในพริบตาผนึกก็ประทับลงบนกายหวังเป่าเล่อ แต่ในตอนที่พลังจากผนึกกำลังจะระเบิดนั้น ร่างของชายหนุ่มก็พลันหายไปเสียก่อน ร่างที่ถูกจองจำไว้เป็นเพียงร่างอวตารของเขา หาใช่ร่างจริงไม่!

ภาพที่เห็นทำให้ดวงตาของผู้อาวุโสหรี่ลง ร่างของเขาถอยหนีโดยฉับพลันแต่ก็ไม่ทันการณ์เสียแล้ว หมอกพลันอุบัติขึ้นจากความว่างเปล่าทางด้านขวาของชายชรา และร่างที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อก็ก้าวออกจากความว่างเปล่าดังกล่าว ดวงตาของชายหนุ่มเอ่อท้นด้วยความต้องการสั่งหาร เกราะจักรพรรดิฉายแสงสว่างเรืองรองออกมา ขณะที่ชายหนุ่มพุ่งหมัดใส่ชายชรา

ความเร็วของเขาบวกกับการปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นไม่มีเวลาพอจะเปลี่ยนเป้าหมายของผนึก เขาทำได้เพียงกู่ร้องขณะหันไปสร้างผนึกฝ่ามือด้วยแขนทั้งห้าเพื่อส่งพลังเทพออกไป มือสีดำปรากฏขึ้นและพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ หมายจะจับตัวชายหนุ่ม

“สลายไปเสีย!” หวังเป่าเล่อร้อง เขาไม่ได้ลดความเร็วลงแต่อย่างใด แต่กลับเร่งความเร็วขึ้นอีกเพื่อพุ่งเข้าปะทะ ทันทีที่ทั้งสองพุ่งเข้าชนกัน ชายหนุ่มก็สั่งให้โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกายุบตัวลง เพื่อแลกกับพลังสะท้อนกลับเต็มพิกัด

ท้องฟ้าและพื้นดินสั่นสะท้าน เสียงดังกึกก้องกังวานไปทั่วบริเวณ ทันทีที่โล่ยุบตัว พลังสะท้อนกลับทั้งหมดก็สาดใส่ร่างทั้งร่างของผู้อาวุโส ชายชราตัวสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่ กระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ ร่างกายเซถลาไปด้านหลังอย่างรุนแรง ใบหน้าซีดเผือด แต่หวังเป่าเล่อก็ยังคงกระโจนใส่อย่างไม่ลดละ เมื่อเห็นดังนั้นชายชราก็กัดลิ้นเพื่อให้ตนเองกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง เลือดนั้นเปลี่ยนไปเป็นหมอกโลหิตที่กลายสภาพเป็นกระบี่สีแดงจำนวนมาก กระบี่โลหิตเข้าปัดป้องตัวเขาออกจากการโจมตีของหวังเป่าเล่อ จึงทำให้ผู้อาวุโสสามารถหนีออกไปได้รวดเร็วขึ้น

แต่คู่ต่อสู้ของเขาเป็นชายที่โหดเหี้ยมทั้งกับศัตรูและตนเอง แม้กระบี่โลหิตจะทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายมหาศาล แต่ชายหนุ่มก็ยังกัดฟันพุ่งทะลุผ่านไป ปล่อยให้คมกระบี่เหล่านั้นกรีดแทงเนื้อของตนเองอย่างอิสระ ร่างของเขาถูกแทงเป็นแผลหลายจุดแม้จะมีเกราะจักรพรรดิปกป้องอยู่ก็ตาม ชายหนุ่มทะยานทะลุโล่กระบี่ พุ่งหมัดเข้าใส่หัวใจของผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้น

พลังของหมัดเมื่อรวมเข้ากับเกราะจักรพรรดิและพลังปราณของหวังเป่าเล่อ นั้นมากพอที่จะทำให้ผู้อาวุโสหัวใจล้มเหลวได้ แต่คู่ต่อสู้ของชายหนุ่มก็ปล่อยพลังเทพที่ไม่เคยเห็นมาก่อนออกมา และทำเพียงอุทานเบาๆ ดูเหมือนว่าชายชราจะสับเปลี่ยนความเสียหายที่หัวใจไปยังส่วนอื่นของร่างกาย ศีรษะข้างหนึ่งของเขาระเบิดออกมา ชายชราใช้แรงระเบิดนั้นในการพุ่งตัวหนีออกไปให้ไกลมากขึ้นอีก

เมื่อออกจากรัศมีการโจมตีได้เรียบร้อย ชายชราก็กระอักเลือดออกมายกใหญ่ พลังปราณลดต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาของเขาอาบเคลือบด้วยความตกใจ ขณะที่ปากส่งเสียงตะโกนก้องไปทั่วบริเวณ

“รอบ้าอะไรอยู่ มาช่วยข้าหนีเร็วเข้า!” ผู้อาวุโสยังคงถอยหนีอย่างไม่ลดละ

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงเมื่อได้ยิน แต่ก็รีบสะกดความไม่พอใจไว้ และปล่อยความกระหายเลือดเข้ามาแทนที่ ชายหนุ่มไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตน แต่กลับพุ่งตามคู่ต่อสู้ไปโดยหมายเอาชีวิต

ความตื่นกลัวถึงขีดสุดเข้าครอบงำดวงตาของผู้อาวุโส ขณะดอกไม้สีเลือดประทับตราลงบนใบหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมาด้วยความกลัวและความเจ็บปวด หมอกสีแดงเริ่มลอยล่องออกจากรอยประทับบนใบหน้า ตามมาด้วยหมอกเลือดจำนวนมากที่หลั่งไหลออกจากมือขวา

ภาพนั้นช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน สายหมอกสีแดงไหลมารวมกัน และก่อร่างเป็นมังกรสีแดงหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว มังกรตัวนั้นไม่ได้ใหญ่มาก มันมีสามขากับหนึ่งเขา เค้าร่างและเกล็ดบนกายปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน มังกรสีแดงอ้าปาก เปลี่ยนร่างเป็นกระบี่สีแดงที่ตวัดวาดเข้าใส่หน้าผากของผู้อาวุโสแห่งตระกูลไม่รู้สิ้น

ไม่ว่าชายชราจะมีเกราะป้องกันอันใด กระบี่สีแดงก็ทำลายได้หมดสิ้น คำสาปนี้ทำให้พลังปราณของเขาอ่อนแอลง ความสามารถในการป้องกันตนเองจึงถดถอยลงด้วย!

ขณะที่กระบี่สีแดงกำลังฟาดฟันผู้อาวุโส แขนขวาของเขาที่ถูกหวังเป่าเล่อทำร้ายไปก่อนหน้านี้ก็เริ่มเน่า ความเจ็บปวดทำให้ผู้อาวุโสกรีดร้องเสียงดังโหยหวน พลังปราณค่อยๆ ถดถอยลดความเสถียร กระบี่สีแดงตัดผ่านกายของเขาไป ส่งให้พลังปราณ…ลดลงจากขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายเป็นชั้นกลาง!

ราวกับพลังปราณของเขาถูกกระชากปล้นชิงออกจากร่างอย่างไรอย่างนั้น ท้องฟ้าและพื้นดินเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่หากมองดูให้ชัดแล้วละก็ จะเห็นว่าคำสาปนั้นไม่ได้ทรงพลังอย่างที่คิด

แม้คำสาปจะดูมีฤทธิ์มาก แต่เหตุผลที่มันดูทรงอำนาจเป็นเพราะมือขวาที่อ่อนแอลงของผู้อาวุโส แขนขวาเคยถูกทำลายมาแล้วครั้งหนึ่ง แม้จะงอกกลับมาใหม่อีกครั้ง แต่ชายชราก็ไม่มีเวลาพอที่จะเยียวยามันให้หายขาด ถึงมันจะดูเหมือนหายดีเป็นปลิดทิ้งแล้ว แต่ก็ยังได้รับผลกระทบจากอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้อยู่พอสมควร

อาการบาดเจ็บนี้อาจดูไม่สำคัญเท่าใดนัก แต่คำสาปที่ฝังลึกอยู่ภายในกัดกินทำลายแขนของชายชราเพื่อให้มันมีชีวิตรอดอยู่ในกายคนผู้นี้ต่อไป ผลคือพลังคำสาปที่ระเบิดออกมาจากแขนขวา ทำให้พลังปราณของผู้อาวุโสอ่อนแอลงจากขั้นปราณเดิม!

แต่ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ บุปผาโลหิตบนใบหน้าของผู้อาวุโสระเบิดออกมาอีกครั้งท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส หมอกสีเลือดหนาแน่นไหลบ่าออกมาตามแรงระเบิด และเริ่มไหลออกจากส่วนอื่นๆ ของร่างกายผู้อาวุโสด้วยเช่นกัน พวกมันเข้ารวมร่างกันกับหมอกที่หน้ากากปล่อยออกมา ก่อตัวขึ้นเป็นมังกรสีเลือดตัวที่สอง!

มังกรตัวที่สองหน้าตาสยดสยองกว่าตัวแรกเสียอีก มันกลายร่างเป็นกระบี่อีกเล่มพร้อมด้วยเสียงคำรามก้อง ก่อนตวัดผ่านศีรษะของชายชราอีกครั้ง!

ผู้อาวุโสตัวสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ เขาไม่สามารถหนีหรือปัดป้องการโจมตีใดๆ ได้ทั้งสิ้น ทำได้เพียงมองดูกระบี่ฟาดร่างของตนเองไปอย่างไร้ทางสู้ อวัยวะภายในของผู้อาวุโสเริ่มเน่าไปพร้อมผิวหนังทั่วร่าง ร่างกายค่อยๆ เหี่ยวย่นลงไปกับตา เนื้อเน่าๆ หลุดร่วงออกจากกาย และระเบิดกลายเป็นหมอกสีดำ!

หมอกสีดำคือพิษร้ายที่อยู่ในกริชสีดำของหวังเป่าเล่อ ซึ่งก่อนหน้านี้ชายหนุ่มใช้โจมตีผู้อาวุโสอย่างไม่ยั้งมือ ผู้อาวุโสกดพิษไว้เพื่อหยุดยั้งไม่ให้มันลามไปทั่วร่างกาย แต่ก็ยังไม่มีเวลาพอที่จะรีดพิษออก คำสาปเข้าเสริมพิษที่อยู่ในกาย ก่อนระเบิดอีกครั้ง และออกฤทธิ์กดพลังปราณของเขา…ให้ตกลงอีกครา!

พลังปราณของเขาบัดนี้อยู่ที่ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นเรียบร้อยแล้ว กระแสความอ่อนแอไหลเข้าท่วมร่างอย่างไม่อาจควบคุมได้ ความรู้สึกที่ตนเองถูกช่วงชิงพลังกายและพลังชีวิตไปทำให้ผู้อาวุโสตัวสั่นสะท้าน ความกลัวและความหวาดหวั่นเข้าเกาะกุมดวงตา

ความตายที่ยากจะหลีกหนีทาบเงาทะมึนลงบนตัวชายชรา ร่างกายที่สั่นสะท้านล่าถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว เขาไม่สนใจสิ่งอื่นอีกแล้ว รู้เพียงว่าต้องหนีออกจากที่แห่งนี้ให้เร็วที่สุด หมดสิ้นซึ่งพลังจะต่อกรกับศัตรู

แต่นี่คือสนามรบที่หวังเป่าเล่อทุ่มเทพลังกายสร้างขึ้นมาอย่างยากลำบาก เขาอุตส่าห์ปลดปล่อยคำสาปของหน้ากากให้ออกฤทธิ์ คำสาปซึ่งใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นตลอดภารกิจ ชายหนุ่มใช้ไพ่ตายเดียวที่ตนเองมีไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจะยอมปล่อยให้ศัตรูตัวร้ายหนีไปได้อย่างไรกัน หากคู่ต่อสู้ยังมีปราณอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย เขาอาจปล่อยอีกฝ่ายให้หนีไปโดยง่าย แต่ในเมื่อตอนนี้พลังปราณของผู้อาวุโสตกลงมาอยู่ที่ชั้นต้น… ชายหนุ่มก็รู้ว่าตนเองมีโอกาสชนะ!

เขาต้องสู้ และเขาจะต้องชนะการต่อสู้นี้ให้จงได้ หวังเป่าเล่อยอมใช้ทุกอย่างที่ตนเองมีเพื่อสังหารศัตรูคนนี้ให้สิ้นซาก นี่คือโอกาสเดียวที่มี ชายหนุ่มรู้ดีว่าแม้คำสาปจะถอนคืนไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าผลการต่อสู้นี้จะแน่นอนตายตัวแล้ว เนื่องจากฤทธิ์ของคำสาปอยู่ได้เพียงสิบห้านาทีเท่านั้น

หวังเป่าเล่อไม่มั่นใจว่าคำสาปจะกดพลังปราณที่แข็งแกร่งมากของผู้อาวุโสไว้ได้ถึงสิบห้านาทีหรือไม่ แต่สิ่งที่เขามั่นใจก็คือ… ทันทีที่คู่ต่อสู้หลุดออกจากอำนาจของคำสาปนี้แล้ว เขาจะต้องเผชิญศึกหนักกว่าเดิมแน่นอน หวังเป่าเล่อไม่ยอมตกเป็นรองโดยเด็ดขาด เขารู้ดีว่าตนเองไม่มีทางหนีศัตรูผู้นี้ได้ และไม่มีทางเลยที่จะเอาชีวิตรอดไปได้ก่อนที่การเคลื่อนย้ายจะเกิดขึ้น

ก็เพราะเช่นนี้อย่างไรเล่า… ข้าถึงต้องฆ่าไอ้แก่นี่ให้ได้! ดวงตาของชายหนุ่มกลายเป็นสีแดงก่ำ ความบ้าคลั่งและความต้องการสังหารระเบิดออกจากกาย พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน เขาปล่อยพลังปราณของตนออกมาเต็มพิกัด ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าจะใช้พลังหมดไปในเวลาอันสั้น พลังเต็มขั้นของหวังเป่าเล่อทำให้ลมพัดกรรโชกในอากาศ ชายหนุ่มกระโจนออกจากพื้นดิน พุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด

หวังเป่าเล่อเคลื่อนที่เร็วมากจนทำให้เกิดเสียงระเบิดจากความไวเหนือแสง ทิ้งไว้เพียงภาพติดตาให้คู่ต่อสู้ได้เห็น ร่างอวตารมากมายของหวังเป่าเล่อปรากฏขึ้นในอากาศ จากนั้นก็หลอมรวมเข้าเป็นชายหนุ่มเพียงหนึ่งเดียวที่มายืนอยู่เบื้องหน้าผู้อาวุโสแห่งตระกูลไม่รู้สิ้น ก่อนส่งหมัดลุ่นๆ ใส่คู่ต่อสู้

ชายหนุ่มใส่พลังปราณทั้งหมดที่ตนเองมีไว้ในหมัดนั้น ซึ่งถือเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีแล้ว พลังนั้นรุนแรงพอที่จะทำให้ทั้งสวรรค์และพื้นดินสั่นสะเทือน ลมกรีดร้องเกรี้ยวกราด เมฆหมุนย้อนกลับ ทว่า…คู่ต่อสู้ของเขาก็หาใช่ผู้ฝึกตนธรรมดาดาษดื่นไม่ แม้พลังปราณของผู้อาวุโสจะถูกกดให้ต่ำลงจนกลายเป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น แต่พลังปราณที่แท้จริงของเขาก็ยังคงเป็นชั้นปลายอยู่วันยังค่ำ ด้วยเหตุนี้ชายชราจึงมีพลังมากมายสะสมไว้ให้ได้ใช้สอย

ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่มากด้วยประสบการณ์ หลังจากที่ตกใจกับการโจมตีโดยฉับพลันของหวังเป่าเล่อเพียงเสี้ยววินาที ชายชราก็วาดมือซ้ายขึ้นไปในอากาศ เขามองจ้องหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงก่ำ เปลี่ยนฝ่ามือซ้ายให้หันเข้าหาตนเอง และกระแทกลงบนหน้าผากเข้าอย่างจัง

แสงสว่างสีเขียวระเบิดออกมาจากหน้าผากของผู้อาวุโส หลังไหลเข้าท่วมร่างกายของเขา และแปรเปลี่ยนเป็น…ต้นไม้ยักษ์!

ลำต้นของต้นไม้ยักษ์หนาใหญ่ กิ่งก้านใบดกเขียว หน้าตาคล้ายต้นไทรญี่ปุ่น ต้นไม้ยักษ์อัดแน่นด้วยกลิ่นอายแห่งความเก่าแก่ สัมผัสของหวังเป่าเล่อบอกเขาว่า ต้นไม้ยักษ์นี้คือเรือบินรบเวทที่ผู้อาวุโสซุกซ่อนเอาไว้ในกายตลอดเวลา

ทันทีที่เรือบินรบเวทของผู้อาวุโสปรากฏขึ้น เกราะป้องกันแข็งแกร่งที่แม้แต่คำสาปก็แทรกซึมเข้าไปไม่ได้ก็พลันเข้าครอบกายของชายชราในทันที หมัดของชายหนุ่มกระแทกเข้ากับอากาศ ตามมาด้วยเสียงดังลั่นจากแรงปะทะ แต่ก็ไม่มีสิ่งใดขยับเขยื้อน

“ไอ้โง่ชั่วช้า การที่เจ้าอัดพลังทั้งหมดใส่ข้า ทำให้ข้าจำได้ว่าคำสาปที่พวกจุติอย่างเจ้าครอบครองนั้นมีเวลาจำกัด!”

“อีกไม่นานพลังของคำสาปก็จะสลายหายไปแล้ว พอถึงตอนนั้นเจ้าก็จะต้องมากราบกรานขอให้ข้าสังหารเจ้าเสีย ข้าจะถลกหนังเจ้า แล่เนื้อออกจากกระดูก เผาวิญญาณของเจ้าให้กลายเป็นจุณ ทำให้ชะตากรรมของเจ้าต้องพบกับความทรมานไม่มีที่สิ้นสุด ข้าจะทำลายบ้านเกิดของเจ้า ทำให้เจ้ารู้ซึ้งถึงความเจ็บปวดของการสูญเสียต้นกำเนิดของตนเองไป!” ดวงตาของผู้อาวุโสวาวโรจน์ด้วยความแค้นเคืองเข้ากระดูกดำ ร่างของเขาซ่อนอยู่เบื้องหลังพลังการปกป้องของต้นไม้ยักษ์ เขาไม่เคยประสบกับความพ่ายแพ้อันน่าอับอายเช่นนี้มาก่อน ตั้งแต่ก้าวขึ้นมามีปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะ

หวังเป่าเล่อตอนเขาให้จนมุม จนต้องนำเรือบินรบเวทที่พยายามหลอมมานาน 30 ปีที่อยํในร่างกายออกมาใช้ กระบวนเวทที่เขาใช้ในการหลอมเรือบินรบเวทนี้ ทำให้เหลือเวลาอีกเพียง 30 ปีเท่านั้นเขาก็จะพัฒนามันให้ก้าวขึ้นสู่ระดับต่อไปได้ เรือบินรบเวทในระดับต่อจากนี้จะช่วยให้เขาบรรลุสู่ขั้นดาวพระเคราะห์ได้โดยง่าย แต่ในเมื่อตอนนี้ชายชราได้นำเรือบินรบเวทออกมาใช้เป็นที่เรียบร้อย ก็แปลว่าความพยายามตลอด 30 ปีที่ผ่านมานั้นสูญเปล่า แล้วจะให้เขาใจเย็นอยู่ได้อย่างไร

แต่การตัดสินใจเอาเรือบินรบเวทออกมาใช้ก็เป็นสิ่งที่เขาเลือกเอง ตัวเขาเองมีสมบัติเวทอยู่มากมายให้เลือกใช้ แต่ก็รู้ดีว่าไม่มีสิ่งใดทรงพลังเท่าเรือบินรบเวทอีกแล้ว เขาอยากมั่นใจว่าตนเองจะชนะในศึกนี้!

“ไอ้โง่ชั่วช้า ทีนี้ลองมาทำลายข้าดูสิ!” ผู้อาวุโสมองดูการโจมตีของหวังเป่าเล่อถูกสะท้อนกลับไปด้านหลัง ในขณะที่ลำต้นของต้นไม้ที่ปกป้องร่างกายของเขาอยู่ไม่ได้รับอันตรายใดๆ เขาลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ความโกรธเกลียดในดวงตาหยั่งรากลึกยิ่งขึ้น ชายชราเริ่มปลุกพลังปราณในกายของตนให้เดินหน้าเต็มที่ หมายใช้การโจมตีทำลายคำสาปให้หมดฤทธิ์เร็วกว่าปกติ

แต่เขาก็ประเมินความมุ่งมั่นของหวังเป่าเล่อต่ำไป ดวงตาของชายหนุ่มวาววับด้วยความโหดเหี้ยมรุนแรงทันทีที่ได้ยินคำเย้ยหยันจากปากของคู่ต่อสู้ตรงหน้า

“เจ้าอยากรู้ว่าข้าจะทำลายไอ้สิ่งนี้ได้อย่างไรหรือ เช่นนั้นมาดูกันดีกว่าว่าบิดาเจ้าคนนี้จะทำอย่างไร!” หวังเป่าเล่อคำรามก้อง ร่างกายเซถลาไปด้านหลังจะแรงสะท้อนของการโจมตี ชายหนุ่มกดเท้าลงบนพื้นให้มั่นคง ยกมือขวาขึ้นชี้ไปบนท้องฟ้า ก่อนตะโกนก้องอีกครั้ง

“เรือบินรบเวท!”

ความตกใจวาบเข้ามาบนใบหน้าของผู้อาวุโสทันทีที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย เรือบินรบเวทแมลงปอสีเลือดของหวังเป่าเล่อ ลดระดับลงมาจากท้องฟ้ามาปรากฏอยู่เหนือต้นไม้ยักษ์ เสียงของชายหนุ่มที่เจือด้วยความบ้าคลั่งดังอีกครั้งเพื่อออกคำสั่ง

“จงระเบิดให้สิ้นซาก!”

ท้องฟ้าสั่นสะเทือนอีกครั้ง พื้นดินเคลื่อนตัวดังลั่นไปทั่วบริเวณ เรือบินรบเวทของหวังเป่าเล่อระเบิดเป็นไฟบรรลัยกัลป์ ส่งกระแสปราณให้พวยพุ่งออกสู่บรรยากาศโดยรอบ ราวกับเป็นดาวหางที่พุ่งตัดอวกาศเข้ามาสู่ชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ และกำลังจะตกใส่ต้นไม้ยักษ์พอดิบพอดี!

พลังการโจมตีนี้ทำให้ทุกอย่างรอบตัวสั่นสะท้าน หมู่เมฆเดือดพล่านดาวเคราะห์สั่นไหว ผู้ฝึกตนจากทุกซอกทุกมุมของดาวพากันตกใจ ขณะหันหน้าไปมองบริเวณที่หวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสกำลังต่อสู้กันเป็นตาเดียว!

……………………………..

กับดักแห่งความตายนี้ทั้งประหลาดและลึกลับเกินกว่าจะเข้าใจ พลังปราณและจิตสำนึกของหวังเป่าเล่อผสานรวมกันเป็นหนึ่งพร้อมด้วยอำนาจแห่งดาวเคราะห์ ผลลัพธ์ที่ออกมาคือพลังยิ่งใหญ่รุนแรงที่มองไม่เห็น ซึ่งแทรกซึมเข้าสู่ทุกอณูของอากาศ หมายมั่นทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าให้ราบเป็นหน้ากลอง!

พลังนี้ไม่มีผู้ใดมองเห็นได้ แต่กลับสัมผัสได้โดยใช้สัมผัสสวรรค์ รอบกายของหวังเป่าเล่อไม่มีกำแพงใดกั้นอยู่ แต่ลมพายุรุนแรงกลับหยุดพัดพาทันทีที่พุ่งเข้าใส่ขอบเขตสนามรบที่ชายหนุ่มสร้างขึ้น เมื่อไม่มีลมเข้ามากล้ำกราย เม็ดฝุ่นก็ไม่สามารถลอยเข้ามาและตกลงสู่พื้นดินได้ สนามรบนี้ถูกตัดขาดออกจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง

กลายมาเป็นอีกโลกหนึ่งที่ตั้งอยู่ได้ด้วยตัวของมันเอง!

ลำพังหวังเป่าเล่อเองคงไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ต่อให้โชคเข้าข้างก็ตามที แม้ความต้องการสังหารของเขาและอำนาจพลังเวทจะผสานรวมกันกลายเป็นปราณกังวาน แต่ก็ยังเป็นไปไม่ได้อยู่ดีที่ชายหนุ่มจะทรงพลังมากพอที่จะสร้างโลกจำลองใบนี้ขึ้นมาได้ ทว่า… หน้ากากสุกรที่เขาสวมอยู่นี้ไม่ใช่หน้ากากธรรมดา กับดักสังหารที่วางไว้บวกกับพลังอำมหิตที่ลอยล่องอยู่ในอากาศ…เกิดขึ้นเพราะอำนาจของหน้ากากเป็นส่วนมาก!

หากพลังอำมหิตในอากาศปล่อยความสามารถที่แท้จริงออกมาแล้วละก็ ทั้งสวรรค์และผืนดินคงสั่นสะเทือนไม่เหลือชิ้นดี สีฟ้าของท้องฟ้าคงเหือดแห้งกลายเป็นสีเทา ลมคงกรีดร้องหวีดหวิว และเมฆคงพัดย้อนกลับ ภาพเหล่านั้นคงทำให้ใครก็ตามที่เห็น รู้สึกได้ถึงความตายที่ไม่อาจหลีกหนีไปได้!

ปรมาจารย์แห่งไฟให้ความช่วยเหลือหวังเป่าเล่อตามที่เขาได้ว่าไว้ ความเอื้ออาทรไม่ได้เริ่มแค่ในตอนนี้เท่านั้น แต่มีมาตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาเห็นชายหนุ่ม ในความเป็นจริงแล้ว… ชายชราได้เข้าแทรกแซงสัมผัสสวรรค์ของผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้น ทำให้คนผู้นั้นไม่ได้รู้สึกถึงกับดักแห่งความตายที่รออยู่ จนกระทั่งเหยียบเข้าไปในบริเวณนี้ นอกจากนี้ปรมาจารย์แห่งไฟยังทำให้ผู้อาวุโสหลงลืมบางสิ่งที่ไม่ควรจะลืมอีกด้วย

ดวงตาปีศาจขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นเบื้องหลังหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาของมันมองจ้องไปที่สนามรบรอบกาย เปลวไฟสีดำลุกโชติช่วงไหลเข้าท่วมสมรภูมิ เปลี่ยนมันให้กลายเป็นทะเลเพลิงทมิฬ ชายหนุ่มทั้งดูประหลาดและน่ากลัวเกินกว่าจะเข้าใจ ราวกับเป็นเทพเจ้าแห่งความตายอย่างไรอย่างนั้น ดอกไม้ที่เลื้อยพันเกี่ยวบนหน้ากากดูเหมือนมีชีวิตขึ้นมา กลีบแต่ละกลีบค่อยๆ บานออกตามธรรมชาติ!

บุปผาโลหิตคลี่แย้มเบ่งบาน หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงนั้นเฝ้ารอการมาเยือนของศัตรู อาวุธทุกอย่างที่มีถูกเตรียมการไว้ต่อกรเป็นที่เรียบร้อย กระบวนเวทและเคล็ดเวททั้งหมดเตรียมระเบิดใส่คู่ต่อสู้… อากาศว่างเปล่าพลันบิดเบี้ยวเหนือพื้นที่โล่งแจ้งราวสามสิบเมตรรอบกาย จู่ๆ ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย ผู้บัญชาการแห่งกองทหารของตระกูลไม่รู้สิ้นก็กระโจนออกจากพายุหมุนเบื้องหน้า

ใบหน้าของเขาโผล่ออกจากพายุหมุนก่อน ตามมาด้วยร่างกายที่เหลือ โครงร่างทั้งหมดค่อยๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ก้าวขาออกจากพายุเตรียมโจมตีคู่ต่อสู้!

ทุกสิ่งเกิดขึ้นในพริบตา ตั้งแต่ห้วงอากาศที่เริ่มบิดเบี้ยวจนกระทั่งผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นปรากฏตัวขึ้น

ด้วยความที่มีพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย ชายชราเองจึงมีกลเม็ดซ่อนไว้มากมายเช่นกัน ก่อนที่เท้าของเขาจะเหยียบลงบนพื้นดิน ดวงตาก็พลันเบิกกว้าง เขาสังเกตเห็นหวังเป่าเล่อที่ดูประหลาดเหลือ เบื้องหลังชายหนุ่มมีดวงตาสีดำขนาดยักษ์ลอยอยู่ รอบกายมีเปลวไฟสีดำเผาไหม้โชติช่วงราวไฟอเวจี รวมถึงดอกไม้หน้าตาน่ากลัวส่องประกายอยู่บนใบหน้าของชายหนุ่ม ทุกสิ่งที่ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นเห็น ล้วนทำให้หัวใจของเขาเต้นระส่ำอย่างควบคุมไม่ได้

ในตอนนั้นเองที่ความรู้สึกถึงภัยอันตรายใหญ่หลวงระเบิดขึ้นในจิตใจของชายชรา ราวกับสวรรค์ได้ถล่มลงทับกาย และปฐพียกตัวสูงขึ้นบีบอัดให้ร่างของเขากลายเป็นเพียงเศษซากท่ามกลางความกดดัน เหมือนมีฝ่ามือสองข้างที่ตบเข้าหากัน และบีบอัดร่างกายของเขาอย่างรวดเร็วด้วยเสียงอันดัง

หัวใจของผู้อาวุโสเต้นไม่เป็นจังหวะ ความกลัวและความกระวนกระวายวาบผ่านใบหน้า ชายชราไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือเรื่องจริง สัมผัสสวรรค์บอกเขาว่าควรออกจากที่แห่งนี้โดยเร็ว แต่สิ่งที่ทำให้รู้สึกไม่สบายใจที่สุด คือความจริงที่ว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายร้ายแรงนี้เลยแม้แต่นิด

มีคนเข้าแทรกแซงสัมผัสสวรรค์ของข้าและควบคุมจิตใจข้าให้ไม่รู้สึกตัว ข้าลืมไปเสียสนิท…ว่าภายใต้หน้ากากของผู้มาจุติมีคำสาปซุกซ่อนอยู่!

ความรู้สึกถึงอันตรายใหญ่หลวงเข้าเกาะกุมจิตใจของชายชรา หัวใจเต้นรัวขณะร่างถอยหนีไปด้านหลัง แต่ก็สายเกินแก้ไปเสียแล้ว ดวงตาของหวังเป่าเล่อสว่างวาบด้วยรอยเย็นเยียบ ทันทีที่เห็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายปรากฏตัวขึ้นในกับดักที่ตนเองสร้างไว้ บุปผาโลหิตบนใบหน้าของชายหนุ่มก็พลันระเบิด!

“ดวงเนตรปีศาจ จงรีดเอาความเจ็บปวดของเขาออกมา!” ชายหนุ่มตะโกนก้อง ท้องฟ้าและพื้นดินสั่นสะเทือน ลมเริ่มพัดโหมกระหน่ำ เมฆเดือดพล่านอยู่บนท้องฟ้า ดวงตาสีดำขนาดยักษ์เบื้องหลังหวังเป่าเล่อที่ปิดอยู่ก่อนหน้านี้… พลันลืมตาตื่นโดยไม่ทันตั้งตัว!

เสียงคำรามเงียบเชียบสะท้อนสะเทือนไปในอากาศ ภาพเงาของผู้อาวุโสปรากฏขึ้นบนนัยน์ตาสีดำวาววับ ชายผู้เป็นเป้าหมายรู้สึกถึงสายฟ้านับแสนนับล้านที่ระเบิดอยู่ในศีรษะ

ชายชราตกใจกลัวเป็นอย่างมาก ร่างของเขาสั่นเทิ้ม…ถูกตรึงไว้กับพลังที่มองไม่เห็น ตัวขยับไปไหนไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว!

แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น

ชายชรายืนอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติง จิตใจถูกครอบงำด้วยความกลัว ความเจ็บปวดแสนสาหัสลามขึ้นมาที่ฝ่ามือขวาที่ถูกหวังเป่าเล่อสาปไว้ก่อนหน้านี้ แต่ได้รับการเยียวยาจนหายดีแล้วหลังจากการต่อสู้ ทว่าตอนนี้…เขากลับรู้สึกราวกับว่าความเจ็บปวดนั้นถูกดึงขึ้นมาสู่เส้นประสาทอีกครั้ง

นี่ไม่ใช่อำนาจซึ่งเป็นแก่นของวิชาดวงเนตรปีศาจ แต่เป็นหนึ่งในกระบวนเวทที่ทำให้ร่างกายของคู่ต่อสู้ได้รับผลกระทบ ดวงเนตรปีศาจดึงเอาอาการบาดเจ็บที่ถูกกดไว้และยังไม่หายดีให้เผยโฉมขึ้นมาอีกครั้ง!

“บัดซบสิ้นดี!” สีหน้าของผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นเต็มไปด้วยความทรมานและโทสะ เขาระเบิดพลังปราณของตนเองออกมา หมายปลดปล่อยร่างกายออกจากพันธนาการ ความรู้สึกถึงอันตรายใหญ่หลวงที่ครอบงำจิตใจมาตลอดนั้นค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้นอีก ทำให้ชายชรากระวนกระวายใจหนักจนทำตัวไม่ถูกอีกต่อไป

ด้วยความแตกต่างด้านพลังปราณที่มากเกินไปของคนทั้งสอง วิชานี้จึงทำให้ผู้อาวุโสแน่นิ่งอยู่ได้เพียงชั่วครู่เท่านั้น กระนั้น…หวังเป่าเล่อก็ยินยอมพร้อมใจที่จะสู้จนตัวตาย ชายหนุ่มกู่ร้อง เส้นเลือดปูดโปนออกจากพื้นผิวของดวงตาปีศาจที่อยู่เบื้องหลัง ดวงตาสีดำขนาดยักษ์ปลดปล่อยพลังทั้งหมดที่ตนเองมี เพื่อตรึงคู่ต่อสู้ให้นิ่งอยู่กับที่!

ขณะที่ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นกำลังต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้ตนเองเป็นอิสระอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็ฟาดมือขวาไปในอากาศ ก่อนจะชี้ไปที่ท้องฟ้าโดยไม่ลังเล

“เปลวไฟสีดำจงดูดพิษทั้งหมดออกไป!”

ทะเลเพลิงสีนิลรอบกายพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า คลื่นพลังโกรธเกรี้ยวเริ่มปั่นป่วนหมุนวนรอบกายผู้อาวุโสและแปรเปลี่ยนเป็นพายุคลั่ง ราวกับกำลังเฝ้าดูมังกรบินม้วนตัวขึ้นสู่อากาศเบื้องบน พร้อมทั้งเปิดปากคำรามพ่นเปลวไฟสีดำออกมา เปลวไฟนั้นดูทรงพลังเสียจนทำลายทุกสิ่งให้กลายเป็นเถ้าธุลีได้!

ด้วยขั้นปราณของหวังเป่าเล่อ เปลวไฟสีดำของเขาจึงยังไม่ทรงพลังมากพอที่จะฆ่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายได้ แต่เปลวไฟสีดำที่ก่อเกิดมาจากพลังแห่งความตายก็ยังถือเป็นหัวใจหลักในการโจมตีของเขา พิษร้ายนี้คล้ายคลึงกับพิษที่อาบอยู่บนกริชสีดำของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มจงใจหลอมรวมเปลวไฟสีดำเข้ากับกริชสีดำซึ่งร่างอวตารของเขาใช้ทำร้ายผู้อาวุโส

เปลวไฟสีดำที่ระเบิดออกมา ปลุกอำนาจของพิษร้ายที่ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นพยายามกดไว้มาตลอด!

พิษร้ายที่สำแดงพลังอยู่ในร่างกายทำให้ผิวของผู้อาวุโสกลายเป็นเส้นสีดำ เส้นสีดำเหล่านี้เต้นเร่าราวมีชีวิต พวกมันชอนไชอยู่ใต้ผิวหนังของเขา ทำให้เลือดและเนื้อเริ่มเน่าเฟะ เนื้อเน่าค่อยๆ กินวงกว้างภายในกาย หลายจุดบนร่างของผู้อาวุโสที่เคยถูกพิษนี้เข้าไปเริ่มรวมกันเป็นหนึ่งเดียว จนกลายเป็นผนึกพิษร้าย!

“ไม่นะ!” ความตกใจและความกลัววาบเข้ามาบนใบหน้าของผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้น ความรู้สึกถึงอันตรายอันหาที่สุดไม่ได้ระเบิดโพละอยู่ในหัว ทุกอณูในร่างกายของเขากำลังกรีดร้อง บอกเตือนให้เจ้าของร่างรีบพาตนเองหนีออกไปจากที่แห่งนี้โดยเร็ว เพราะหากไม่ทำเช่นนั้น…ก็คงหนีไม่พ้นความตายอย่างแน่นอน!

สัญญาณแห่งชีวิตที่ดับสูญนี้ไม่ได้มาจากความเจ็บปวดรุนแรงตรงมือขวา หรือพิษร้ายที่กำลังย่อยสลายเส้นเลือดของเขา หากแต่มาจาก…หน้ากากต้องคำสาปเบื้องหน้าและบุปผาโลหิตที่กำลังส่องประกายระยิบระยับอยู่บนหน้ากาก!

“ข้าไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก!” ผู้อาวุโสกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง เขาพยายามดิ้นหนี ศีรษะที่เหลือทั้งสองและแขนทั้งสี่ระเบิดออกจากร่างกาย เพื่อปลดปล่อยร่างที่แท้จริงให้โลกได้รับรู้!

แต่ก็…ไม่มีประโยชน์!

“ปลดปล่อยคำสาป!” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นฉับพลัน ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความอาฆาตมาดร้าย ชายหนุ่มคำรามพร้อมส่งพลังเทพที่จะเปลี่ยนผลลัพธ์ของการต่อสู้ครั้งนี้จากหน้ามือเป็นหลังมือออกจากกาย!

ดอกไม้สีเลือดบนหน้ากากแตกสลาย กลายร่างเป็นเส้นด้ายสีเลือดมากมายที่พุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายด้วยความเร็วเหลือเชื่อ กระจุกเส้นเลือดมาปรากฏเบื้องหน้าเขาในทันที ก่อนรวมร่างกลายเป็นดอกไม้อีกครั้ง และประทับตราลงบน…ใบหน้าของผู้อาวุโสผู้นั้น!

คำสาประเบิดแล้ว!

ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายตกใจแทบสิ้นสติ ส่วนปรมาจารย์แห่งไฟเองก็ประหลาดใจจนต้องลุกขึ้นจากที่นั่ง กระนั้นความตกใจของผู้อาวุโสที่พลังด้อยกว่าย่อมมีมากกว่าหลายเท่าตัวนัก เขาตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ จิตใจเอ่อท้นด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง อวัยวะภายในถูกกดทับด้วยพลังที่ทับโถมลงมาบนร่าง ดวงวิญญาณราวกับกำลังจะถูกฉีกทำลายได้ทุกวินาที

พลังที่ตกลงมาบนผิวดาวเคราะห์ทรงอำนาจมากเสียจนทำให้ดาวทั้งดวงสั่นไหว ราวกับมีบางสิ่งในส่วนลึกของจักรวาลที่ลืมตาตื่นขึ้น และพุ่งกระโจนเข้าหาพวกเขาในวินาทีนั้น นั่นคือความรู้สึกที่ผู้อาวุโสรับรู้ได้ และเป็นความรู้สึกที่หวังเป่าเล่อได้รับเช่นกัน

อย่าตื่นขึ้นจริงๆ เลย ได้โปรดเถิด… หวังเป่าเล่ออธิษฐานในใจคนเดียวไม่หยุดหย่อน ตั้งแต่ครั้งล่าสุดที่เขาท่องบทสวดในใจจนรู้สึกได้ว่าเจ้าของพลังใกล้จะตื่นขึ้นจริงๆ นั้น เขาก็ไม่กล้าใช้บทสวดนี้อีกเลย เนื่องด้วยกลัวว่าหากตนเองยังใช้กลเม็ดนี้ต่อไป เขาจะทำให้สิ่งที่อยู่ปลายสุดของจักรวาลตื่นขึ้นมาจริงๆ

แต่แน่นอนว่าครั้งนี้หวังเป่าเล่อไม่มีทางเลือกมากนัก ขณะที่ทุกคนยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ด้วยพลังของพ่อตาเขา ชายหนุ่มที่เป็นคนเรียกพลังมาก็พลันหันหลังกลับและพุ่งหนีไปด้วยความเร็วสูงสุดในทันที เขาก้าวเพียงครั้งเดียวก็หายไปจากสายตา ไปโผล่อีกครั้งที่หลายพันกิโลเมตรไกลออกไป จากนั้นเขาก็กระโจนด้วยความไวแสงไปเรื่อยๆ โดยไม่หยุดพัก!

ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นตัวสั่นเทิ้มขณะมองหวังเป่าเล่อหนีไปต่อหน้าต่อตา เขาไม่กล้าตามต่อ พลังที่ตกลงใส่นั้นรุนแรงเกินไป จนรู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นเพียงมดปลวกไร้ความหมายซึ่งอาจโดนเหยียบตายคาฝ่าเท้าได้ทุกเมื่อ ความกลัวและความทึ่งอุบัติขึ้นในใจพร้อมๆ กัน นอกจากนี้…ตัวเขายังได้ยินสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดอีกด้วย

หมอนั่นเรียกพ่อตาให้มาช่วย ความกลัวจับขั้วหัวใจพุ่งผ่านทุกเส้นเลือดในร่างกายของผู้อาวุโส ขณะที่ชายชรายังคิดไม่ตกเสียทีว่าคำพูดนั้นหมายถึงสิ่งใด ตอนที่ผู้อาวุโสนิ่งงันอยู่กับที่นั้นเอง หวังเป่าเล่อก็กระโจนออกจากที่แห่งนั้นไปไกลแสนไกลหลายพันกิโลเมตรแล้ว

เหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ตอนที่หวังเป่าเล่อท่องบทสวด จนถึงตอนที่เขาหนีไป กินเวลาเพียงห้าวินาทีเท่านั้น พลังจากบทสวดค่อยๆ สลายหายไปจนราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผู้อาวุโสยังคงชะงักอยู่กับที่ ทั้งที่รู้สึกได้ว่าพลังนั้นจางหายไปหมดสิ้นแล้ว สีหน้าของเขามืดมน ความโกรธปะทุอยู่เบื้องหลังแววตาแดงฉาน เขาไม่เคยโกรธขนาดนี้มาก่อนตั้งแต่ลืมตาดูโลกมา

“มันต้มข้า!” เขารู้สึกตัวแล้วว่าพลังเมื่อครู่เป็นเพียงมายาที่คู่ต่อสู้เรียกมาหลอกกัน ภาพหวังเป่าเล่อที่เปิดตูดหนีไปนั้นเป็นข้อพิสูจน์ชั้นดีว่าพลังนั้นไม่ใช่ของจริง

ความรู้สึกที่ถูกต้มนี้ทำให้ผู้อาวุโสคำรามใส่ท้องฟ้าด้วยความอาฆาต ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงยุ่งเหยิง เขากวาดมือเอาศพจากพลังเวทของพรแห่งเต๋าสวรรค์ออกมา และท่องกระบวนเวทที่หวังเป่าเล่อไม่เคยรู้จักมาก่อน ดวงตาของศพเบิกโพลง เปลวเพลิงเข้าล้อมกายและเผาไหม้มันจนเหลือเพียงด้ายแดงเส้นเดียว พลังเฮือกสุดท้ายของมันที่เหลืออยู่สลายหายไป ด้ายแดงหลอมรวมเข้ากับความว่างเปล่า ผู้อาวุโสก้าวไปข้างหน้าตามรอยด้ายแดงไป ดวงตาของชายชราวาวโรจน์ด้วยความต้องการสังหารพร้อมด้วยพลังงานอำมหิต เขาไม่สนใจอีกต่อไปว่าตนเองจะเผลอไปฆ่าพวกเดียวกันเองหรือไม่ ในใจคิดอยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น

นั่นก็คือ…การสับไอ้หัวหมูชั่วช้าให้แหลกเป็นเศษเนื้อ หากเขาทำไม่สำเร็จ ชีวิตนี้คงไม่สามารถปล่อยวางได้อีกแล้ว ประสบการณ์นี้จะหลอกหลอนเขาไปชั่วชีวิต จนทำให้เขาพัฒนาพลังปราณของตนเองไม่ได้อีกต่อไป!

ขณะที่ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นกำลังไล่ล่าหวังเป่าเล่อนั้น ปรมาจารย์แห่งไฟที่กำลังดูการต่อสู้ผ่านหน้ากากของชายหนุ่มก็ยังคงไม่หายจากอาการตกใจนัก สีหน้าของเขายังคงเคร่งขรึมแม้จะสัมผัสได้ว่าตัวตนยิ่งใหญ่ที่หวังเป่าเล่อเรียกมาได้หายไปแล้ว ชายชราไม่ได้คิดว่าตนเองถูกหลอก ดวงตาของเขาค่อยๆ มองขึ้นไปด้านบนอย่างช้าๆ ไม่ใช่มองไปยังทิศของดวงดาวที่หวังเป่าเล่ออยู่ หากแต่เป็นห้วงอวกาศอันไกลโพ้น

เขากำลังจ้องไปยังที่ที่พลังรุนแรงถูกปล่อยออกมา เป็นทิศทางที่สัมผัสได้จากสัญชาตญาณเบื้องลึก

“ที่แห่งนั้น…มีโลกที่ล้ำลึกกว่าจักรพิภพเต๋าไม่รู้สิ้นอยู่!” ปรมาจารย์แห่งไฟพึมพำกับตนเองก่อนเงียบลง

“การจะเรียกพลังจากจักรพิภพอื่นมาได้ ต้องมีพลังปราณระดับจักรวาลเป็นอย่างน้อย… นอกจากนี้ก็ห้ามลืมว่าเขายังมีกระบวนท่าสารัตถะจากเฉินชิงอยู่ด้วย เจ้าหนุ่มนี่…” ปรมาจารย์แห่งไฟเบือนสายตาจากจักรพิภพเบื้องลึกมามองหน้าจอเบื้องหน้าตนเอง และจ้องหวังเป่าเล่อด้วยดวงตาพินิจพิเคราะห์

มีบางอย่างที่ตื่นขึ้นทันทีที่ชายหนุ่มท่องบทสวดแห่งเต๋าเช่นกัน ที่ใต้ดินลึกลงไปในดาวเคราะห์เอกดวงเนตรสวรรค์ ภายในโลงศพยักษ์สีดำ หน้ากากที่แม่นางน้อยอาศัยอยู่บนร่างที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อเริ่มสั่นเล็กน้อย ราวกับกำลังตื่นขึ้น

แน่นอนชายหนุ่มไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับปรมาจารย์แห่งไฟและแม่นางน้อย เขากำลังตั้งหน้าตั้งตาทิ้งระยะห่างจากผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่ แต่ก็รู้สึกได้ว่ามีอันตรายกำลังตามติดมาไม่ห่าง ชายหนุ่มขยับตัวไปปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่ระยะไกลออกไป เขาทำซ้ำๆ อยู่เช่นนี้โดยไม่หยุดพัก กระนั้นภัยอันตรายที่จ่อมานั้นก็ไม่ได้น้อยลงแต่อย่างใด และยังคงอยู่อย่างนั้นแม้เขาจะใช้กระบวนท่าสารัตถะเปลี่ยนรูปร่างของตนไปอีกครั้งก็ตาม หวังเป่าเล่อยังรู้สึกเหมือนตนเองเป็นเป้า ความรู้สึกนั้นไม่ได้น้อยลงแม้แต่นิดเดียว แต่กลับเพิ่มมากขึ้นทุกที

เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ชายหนุ่มเริ่มกระวนกระวาย เขาพุ่งพรวดไปข้างหน้า ดวงตาหรี่เล็ก สร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ด้วยมือทั้งสองข้าง จากนั้นก็โบกมือเรียกเสียงระเบิดจากท้องฟ้าเบื้องบนเพื่อปล่อยพลังของวิชาดวงเนตรปีศาจ ดวงตาสีดำขนาดใหญ่ยักษ์ลอยอยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ ปล่อยไอเย็นเยียบออกมาไม่รู้จบ มันยืดขยายออกตามคำสั่งของชายหนุ่ม และกลายร่างเป็นเขาอีกคนหนึ่ง

ด้วยพลังอำนาจนี้ทำให้ชายหนุ่มสังเกตเห็นด้ายบางสีแดงที่ปรากฏขึ้นจากที่ใดไม่ทราบได้ และด้ายนั้นแปะติดตัวเขาอยู่!

ดูเหมือนว่าด้ายสีแดงจะงอกออกจากกายของเขา มันยืดยาวไม่มีที่สิ้นสุดไปสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น

หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นแรงจนแทบทะลุออกจากอก ฟันเฟืองในสมองหมุนวนบ้าคลั่ง เขารู้แล้วว่าตนเองไม่มีทางหนีพ้นไปได้ ตราบใดที่ด้ายแดงนี้ยังแปะติดอยู่กับตัว ไม่ช้าก็เร็วศัตรูก็จะตามมาทันในที่สุด เขามีทางเลือกเพียงสองทางเท่านั้น

เขาจะหนีต่อไปก็ได้ และพยายามซื้อเวลาจนกว่าจะหมดสองชั่วโมงที่กำหนดไว้ ตอนนั้นภารกิจนี้ก็จะจบสิ้นลง และหน้ากากจะเคลื่อนย้ายเขาไปสู่ที่ปลอดภัย

หรือว่า…เขาจะรออยู่ตรงนี้เพื่อสู้จนตัวตาย หากชนะ…เขาก็รู้สึกได้ว่าการต่อสู้นี้จะทำให้ตนบรรลุขั้นปราณ แต่หากแพ้ ก็จะหมดสิ้นซึ่งลมหายใจ!

ชายหนุ่มไม่ได้ใช้เวลาตัดสินใจมากนัก แววความดุร้ายบ้าคลั่งสว่างวาบขึ้นในดวงตาทันที เขาเลือกทางเลือกที่สองโดยไม่ลังเลแม้แต่ร้อย ทางเลือกแรกนั้นมีโอกาสมากที่สุดท้ายแล้วเขาจะหนีไปไม่พ้น และเมื่อคู่ต่อสู้ไล่มาทัน เขาก็ต้องสู้อยู่ดี

หวังเป่าเล่ออยากต่อสู้ในสมรภูมิที่ตนเองยังไม่เหนื่อยล้าสิ้นแรงจากความพยายามหนีตายมากกว่า… เขายอมโจมตีตอนนี้และสู้จนตัวตายในขณะที่ยังพอมีกำลังต่อกรไหว!

ลองดูสักตั้งก็แล้วกัน! ความบ้าคลั่งเข้าครอบครองดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขาหยุดหนี หันหลังกลับ และปลดภาพมายาที่ครอบร่างของตนเองไว้ออกจนหมดสิ้น หน้ากากสุกรปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นวาดสร้างผนึกฝ่ามือ ก่อนทำตามวิธีปล่อยคำสาปซึ่งปรมาจารย์แห่งไฟสอนไว้ เพื่อปล่อยพลังคำสาปของหน้ากากออกมา!

แต่เขาต้องใช้เวลาในการตั้งคำสาป หวังเป่าเล่อไม่มีเวลามากมายนัก แต่ก็มากพอที่จะปล่อยคำสาปออกไปได้ทัน เส้นเลือดปูดโปนขึ้นบนหน้ากากขณะที่ชายภายใต้หน้ากากยังสร้างผนึกฝ่ามืออย่างไม่หยุดยั้ง เส้นเลือดค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนปกคลุมทั้งหน้ากาก กลายสภาพเป็นดอกไม้สีเลือด!

ดอกไม้นั้นมีทั้งหมดเจ็ดกลีบด้วยกัน แต่ละกลีบมีใบหน้ามนุษย์ประทับอยู่จางๆ ใบหน้าแต่ละหน้าแสดงอารมณ์ทั้งเจ็ดที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่สุข โกรธ เศร้า ไปจนถึงปีติยินดี ภาพดอกไม้ทั้งเจ็ดที่สร้างจากเส้นเลือดนี้ดูน่าสยดสยองเป็นอันมาก บนหน้ากากมีรูสองรูให้ตามองเห็นได้ เบื้องหลังรูคือดวงตาของหวังเป่าเล่อที่ลุกโชติช่วงเป็นประกาย

หวังเป่าเล่อจัดการให้แน่ใจว่าคำสาปพร้อมใช้งาน จากนั้นก็ยกมือซ้ายชูขึ้นในอากาศเพื่อสร้างผนึกฝ่ามืออีกครั้ง ดวงตาปีศาจปรากฏขึ้นเบื้องหลังชายหนุ่มตามคำสั่ง

แต่ยังไม่จบแค่นี้ ความคิดหนึ่งวาบเข้ามาในสมอง พร้อมเปลวไฟสีดำที่สว่างเรืองจากร่างกายและพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน มันคือเปลวไฟสีดำของสำนักแห่งความมืดนั่นเอง!

ตอนนี้เขาพร้อมแล้ว หวังเป่าเล่อทำลมหายใจให้สงบมั่นคง ดวงตาสว่างวาบด้วยความต้องการสังหาร คำสาปนี้จะช่วยทำให้พลังปราณของคู่ต่อสู้อ่อนแอลง เปรียบเสมือนพลังเทพจากสวรรค์เบื้องบน พลังนี้จะทำให้เขาสามารถเคลื่อนย้ายได้แม้กระทั่งดาวเคราะห์และดาวฤกษ์!

พลังทำลายล้างจากวิชาดวงเนตรปีศาจเปรียบเสมือนพลังแห่งผืนดิน ทำให้เขาครอบครองอำนาจราวกับเป็นกองทัพที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร!

ความบ้าคลั่งโหดเหี้ยมที่วิ่งพล่านอยู่ในกายของหวังเป่าเล่อคือเครื่องพิสูจน์ความมุ่งมั่นที่มนุษย์พึงมี ความมุ่งมั่นนี้ทำให้เขาสามารถทำให้มหาสมุทรเหือดแห้งจากพื้นโลก และบังคับให้น้ำทะเลไหลเข้าท่วมสวรรค์ได้!

แรงระเบิดไร้เสียงอุบัติขึ้นรอบกายเขา พลังจากแรงระเบิดกวาดเอาเมฆให้เคลื่อนกลับ ส่งแรงกระเพื่อมให้ไหลบ่าไปทั่วปฐพี ชายหนุ่ม…ได้สร้างสมรภูมิแห่งความตายขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว!

พลังลึกลับไหลเข้าท่วมทั่วบริเวณสนามรบ พลังที่หวังเป่าเล่อไม่รู้สึกนี้ ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่กำลังพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่ออาจรู้สึกได้ แต่ก็มีใครบางคนใช้อำนาจที่ตนเองมีปัดป้องมันออกจากประสาทสัมผัสของชายชรา ชายที่กำลังคลั่งด้วยความแค้นไม่ได้รู้สึกตัวแม้แต่น้อยว่าเบื้องหน้ามีอันตรายร้ายแรงรออยู่!

ผู้ที่เข้าแทรกแซงก็คือปรมาจารย์แห่งไฟที่กำลังมองดูชายหนุ่มผ่านหน้าจอนั่นเอง เขาเห็นแล้วว่าหวังเป่าเล่อเลือกทางเดินที่อาจทำให้ตัวเองตายได้ หลังจากที่ได้เห็นการกระทำทั้งหมดของชายหนุ่ม ปรมาจารย์แห่งไฟก็อดไม่ได้ที่จะชอบในตัวชายหนุ่มมากขึ้น ดวงตาของเขาสว่างไสวด้วยความชื่นชม

“ต่อให้ตัดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนุ่มนี่กับจักรพิภพอื่นและเฉินชิงออกไป…ความบ้าดีเดือดของหมอนี่ก็ควรค่าแก่การชื่นชมอยู่ดี เช่นนั้นแล้ว…ข้าจะช่วยเจ้าครั้งนี้ครั้งเดียวก็แล้วกัน มาดูกันว่าเจ้าจะใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้ได้หรือเปล่า หากครั้งนี้เจ้าทำสำเร็จ อนาคตของเจ้าย่อมโรยไปด้วยกลีบกุหลาบแห่งโอกาสมากมายที่พร้อมจะเบ่งบานให้เจ้าแต่เพียงผู้เดียว”

……………………………

ร่างอวตารหลักของหวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ทำตัวกลมกลืนเข้ากับผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่รอบกายอย่างแนบเนียน ขณะที่ผู้ฝึกตนเหล่านั้นกระจายตัวออกไล่ตามหนึ่งในร่างอวตารของเขา ชายหนุ่มก็ค่อยๆ ถอยหนีอย่างเงียบเชียบ เฝ้ารอจังหวะเหมาะๆ ที่จะแปลงกายอีกครั้งและหนีออกจากที่แห่งนี้ไป

เขารู้ดีว่าแม้ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายจะได้รับบาดเจ็บและถูกพิษ แต่อาการบาดเจ็บเหล่านั้นก็ยังถือว่าน้อยนิดนัก อีกฝ่ายไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดที่จะเอาชนะได้โดยง่าย

ต่อให้หวังเป่าเล่อใช้คำสาปที่ปรมาจารย์แห่งไฟมอบให้ ก็ยังยากที่จะโค่นผู้อาวุโสผู้นี้ลงได้อยู่ดี ชายหนุ่มวิเคราะห์ทางหนีทีไล่ของตนเอง ก่อนจะหันไปมองใบหน้าโกรธเกรี้ยวของศัตรูข้างกาย สีหน้าของผู้อาวุโสเหมือนจะกินเขาเข้าไปทั้งเป็น ทำให้ชายหนุ่มตัดสินใจไม่เสี่ยงจะดีกว่า แม้จะยังสังหารเป้าหมายไปได้ไม่มากพอกับจำนวนที่วิชาดวงเนตรปีศาจต้องการก็ตาม ทั้งยังมีทรัพยากรมหาศาลของของคลังอาวุธที่เขาเก็บไว้กับตัวให้ต้องคอยรักษาอีก สุดท้ายแล้ว หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจจากไปพร้อมสิ่งที่ตนเองมี ซึ่งเป็นทางออกที่ปลอดภัยที่สุด

“ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าแล้วกันคราวนี้!” ชายหนุ่มไม่ได้คิดว่าตนเองกำลังหนีการต่อสู้ ไม่ใช่เลย แต่ในตอนที่เขากำลังจะหนีไปนั้นเอง ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายก็ใช้สัมผัสสวรรค์สำรวจจากระยะไกล สัมผัสสวรรค์ไหลเข้าท่วมทั่วบริเวณ สร้างพลังกดดันท่วมท้นที่ทำให้หวังเป่าเล่อตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ชั่วคราว

ผู้อาวุโสส่งหมัดกระแทกลงพื้น กระแทกร่างอวตารที่ห้าของหวังเป่าเล่อแหลกสลาย จากนั้นเขาก็เหลียวมองมาทางด้านหลังขณะลอยค้างอยู่กลางอากาศ ดวงตาวาวโรจน์ด้วยความต้องการสังหาร กวาดตามองกองทัพผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นของตนเอง

เหล่าทหารพากันตัวสั่นเมื่อเห็นประกายความบ้าคลั่งในดวงตาของผู้อาวุโส พวกเขาต่างคิดเหมือนกันว่าผู้บัญชาการของตนกำลังจะก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างความปกติกับความวิกลจริตไปเสียแล้ว ต่างคนต่างหายใจสะดุดกับสิ่งที่เห็น รู้สึกได้ถึงความตายที่กำลังหายใจรดต้นคอ

ลางสังหรณ์ของพวกเขาถูกต้องเสียด้วย ผู้อาวุโสผู้นี้ไม่สามารถแยกระหว่างมิตรกับศัตรูได้อีกต่อไป เขาบอกไม่ได้ว่าใครคือผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่แท้จริง และใครคือตัวปลอมที่แฝงกายปะปนเข้ามา ทั้งยังไม่รู้ด้วยว่ามีร่างอวตารกี่ร่างที่ไอ้หัวหมูทิ้งไว้ในกองทัพของเขา

แต่สัญชาตญาณก็บอกชายชราว่า ศัตรูตัวจริง…ซ่อนอยู่ในบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาเอง!

ทางออกดีที่สุดที่จะทำให้เขากำจัดมันได้ คือการสังหารทุกคนในที่แห่งนี้เสีย นั่นคือหนทางที่แน่นอนที่สุดในการกำจัดไอ้หัวหมูให้สิ้นซาก แต่การกระทำเช่นนั้น…ก็บ้าระห่ำเกินไป แม้เขาจะโกรธเลือดขึ้นหน้าจนแทบคลั่ง แต่การสังหารผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนเพียงเพื่อกำจัดศัตรูคนเดียว ก็ยังไม่ใช่สิ่งที่เขาพร้อมกระทำในตอนนี้

นอกจากนี้ยังมีอีกปัญหาหนึ่ง ศัตรูของเขาสามารถแปลงกายเป็นคนตายได้ด้วย ซึ่งแปลว่า…ต่อให้ฆ่าทุกคนทิ้งเรียบร้อย เขาก็อาจจะจับมันไม่ได้อยู่ดี

นอกเสียจากว่า…เขาจะทำลายทุกอย่างทิ้งให้ไม่เหลือแม้แต่ศพ ทำลายมันทิ้งให้หมดทั้งฐานทัพและทุกสิ่งในรัศมีหนึ่งกิโลเมตร เท่านี้ก็แน่ใจได้แล้วว่าไอ้หัวหมูนี่มันตายจริง!

ความคิดนี้ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่างในสมองของผู้อาวุโส ประกายความโหดเหี้ยมลุกโชนในดวงตา รังสีสังหารรอบกายเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เป็นการตอบรับ ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นรอบกายเริ่มตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว ต่างรู้สึกได้ว่าหายนะกำลังจะบังเกิด พวกเขาทั้งโกรธและรู้สึกอับจนหนทาง หวังเป่าเล่อยืนอยู่ท่ามกลางบรรยากาศนี้ด้วยหัวใจที่เต้นระส่ำอยู่ในอก

เป็นไปไม่ได้ ไอ้แก่นี่เป็นบ้าไปแล้วรึ มันคงไม่ฆ่าทหารตัวเองทิ้งทั้งกองทัพเพียงเพื่อจะกำจัดข้าหรอกกระมัง… ข้าไม่ได้ทำอะไรชั่วช้าถึงขนาดต้องทำเช่นนั้นสักหน่อย… แต่เขาก็เริ่มไม่มั่นใจการอ่านสถานการณ์ของตนเองเสียแล้ว ดวงตาของชายหนุ่มฉายความกลัวจับใจอย่างแท้จริง ฟันเฟืองในหัวหมุนอย่างบ้าคลั่งเพื่อหาทางหนีทีไล่ ว่าตนเองจะออกไปจากที่แห่งนี้ชนิดยังหายใจอยู่ได้อย่างไรดี

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังอกสั่นขวัญแขวน และขณะที่ผู้ฝึกตนรอบกายกำลังตัวสั่นด้วยความกลัว ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะก็กู่ร้องออกมาด้วยความบ้าคลั่ง พร้อมยื่นแขนขวาขึ้นด้านบน

ไม่นะ! ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความสยดสยอง ทุกคนรอบกายมีสีหน้าตื่นกลัวถึงขีดสุด พวกเขาพากันถอยหนีในทันที หลายคนเริ่มร้องตะโกนเรียกสตินายตน

“ท่านผู้บังคับบัญชา ใจเย็นก่อนขอรับ!”

“ท่านผู้อาวุโส เราเพียงต้องรออีกสองชั่วโมงเท่านั้น เดี๋ยวผู้มาจุติก็จะจากไปแล้ว ได้โปรด…อย่าวู่วามเลยขอรับ!”

แต่คำพูดเหล่านั้นไม่อยู่ในการรับรู้ของผู้อาวุโสอีกต่อไป ดวงตาของเขาแดงก่ำด้วยความบ้าคลั่ง ใบหน้าบูดเบี้ยวด้วยโทสะ สีหน้าบ่งบอกว่าความอดทนหมดลงแล้ว จนถึงขั้นที่ทำให้เขายอมทำทุกวิถีทางเพื่อประหัตประหารศัตรู ชายชรายกมือขึ้นวาดในอากาศ ส่งรอยประทับฝ่ามือให้กระแทกลงบนพื้นดิน

การโจมตีนั้นไม่ได้ส่งไปยังผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นโดยตรง หากแต่กระแทกลงไปยังใจกลางของค่ายทหาร ส่งผลให้พื้นดินปริแตก ลมพัดโหมกรรโชก ผู้ฝึกตนทั้งหมดเซถลาไปด้านหลังตามแรงปะทะ พื้นดินที่ยุบลงนั้นเผยให้เห็น…โลงศพโลงหนึ่ง!

โลงศพนั้นดูเป็นสีดำในคราแรก แต่เมื่อมองใกล้ๆ ก็พบว่าผิวของโลงไม่ได้เป็นสีดำแต่อย่างใด หากแต่เป็นสีของเลือดที่แห้งกรังจนม่วงดำคล้ำ ทั้งฝาและตัวโลงเริ่มมีรอยแยกที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดมันก็แตกสลายออกมาภายในชั่วอึดใจ!

เสียงสายฟ้าฟาดดังสนั่นสะท้อนก้องในอากาศ ตามมาด้วยซากศพไร้หนังหุ้มกายที่ค่อยๆ คลานออกจากโลง!

“พรแห่งเต๋าสวรรค์!”

“นั่นมัน…พรแห่งเต๋าสวรรค์ประจำค่ายทหารของเรามิใช่รึ!” เสียงอุทานด้วยความตกใจอุบัติขึ้นทันทีที่ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นเห็นศพเดินได้ ผู้อาวุโสอาจจะเสียสติไปชั่วขณะ แต่ก็ยังไม่ได้คลั่งถึงขนาดสังหารหมู่กองทหารของตน เขารู้ดีว่าหากทำเช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับขุดหลุมฝังตัวเอง

ตระกูลไม่รู้สิ้นย่อมตีตราว่าการกระทำเช่นนี้เป็นอาชญากรรมที่ยากเกินให้อภัย ราคาที่เขาต้องจ่ายเมื่อเทียบกับการสังหารชายเพียงคนเดียวนั้นแน่นอนว่าไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย แต่ความเกลียดชังที่มีต่อหวังเป่าเล่อก็มากเกินกว่าที่จิตใจจะต้านทานไหวเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายผู้นี้จึงตัดสินใจทำลายพรแห่งเต๋าสวรรค์ของค่ายทหารตนเองแทน!

ค่ายทหารของตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ทุกฐานล้วนมีโลงศพเป็นของตนเอง การทำลายโลงศพในยามคับขันจะปล่อยพลังเวทที่มีผลต่อสมาชิกทุกคนในสำนักออกมา โดยจะมีอำนาจภายในรัศมีที่กำหนดเอาไว้ พลังเวทนี้เปรียบเสมือนพรที่คอยปกป้อง ทั้งยังเป็นพลังที่ช่วยในการเคลื่อนย้ายไปในตัว โดยจะส่งทุกคนไปยังอาณาเขตของตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อความปลอดภัย

น้อยคนนักที่จะรู้ว่าพลังเวทนี้มีต้นกำเนิดมาจากสิ่งใด มีเพียงนามของมันเท่านั้นที่เป็นที่ทราบโดยทั่วกัน…พรแห่งเต๋าสวรรค์!

พลังนี้เป็นสิ่งที่ควรนำออกมาใช้เมื่อถึงยามจำเป็นจริงๆ เท่านั้น!

ผู้อาวุโสประจำกองทหารแน่ใจว่าสถานการณ์เช่นนี้ คือสถานการณ์คับขันที่เหมาะกับการนำอำนาจของสิ่งนี้ออกมาใช้ที่สุด ถึงอย่างไรเขาก็ต้องสังหารไอ้บ้าที่บังอาจมาขโมยทรัพยากรของกองทหารตน ทั้งยังทำลายค่ายทหารของเขาเสียย่อยยับถึงเพียงนี้ให้จงได้

เขาตั้งใจจะใช้พลังพิเศษของพรแห่งเต๋าสวรรค์ในการพลิกแผ่นดินตรวจตราทั้งบริเวณให้ราบคาบ…เพื่อหาคนที่พรแห่งเต๋าสวรรค์ไม่นับว่าเป็นสมาชิกสำนัก และผู้ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบของโลงศพ ก็ย่อมเป็นไอ้โจรชั่วที่แฝงตัวเป็นหนึ่งในพวกเขานั่นเอง สุดท้ายหากไม่มีใครตกการทดสอบ เขาก็จะทำลายทุกสิ่งให้หมดสิ้นเสีย หลังจากที่ใช้พลังของโลงศพเคลื่อนย้ายสมาชิกทุกคนไปยังจุดปลอดภัยแล้ว

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ตั้งแต่ตอนที่ผู้อาวุโสวางหมากในหัว ตอนที่เขาเรียกโลงศพออกมา จนถึงตอนที่ศพคลานออกจากโลงและแตกตัวออก แสงสีแดงสาดส่องออกจากร่างศพที่แตกสลาย เข้าอาบร่างกายผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่รายรอบทันที

ลำแสงสีแดงเคลื่อนที่เร็วมากจนไม่มีใครในหมู่ทหารหลบทัน ภายในไม่กี่วินาที ลำแสงก็ตกกระทบลงบนหน้าผากของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นทุกคน ลำแสงนั้นแปรสภาพกลายเป็นตราประทับบนหน้าผาก และปล่อยพลังเคลื่อนย้ายออกมาส่งทุกคนให้ออกไปจากที่แห่งนั้น

ปรากฏการณ์เดียวกันนี้ก็เกิดขึ้นกับผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายด้วยเช่นกัน แต่เขาก็ใช้พลังของตนยับยั้งการเคลื่อนย้ายได้ทัน เขาปล่อยสัมผัสสวรรค์ให้ไหลท่วมทั่วบริเวณ ผนึกพื้นที่แห่งนั้นไว้ขณะตรวจหาผู้ที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง

ความตกใจเข้าเกาะกุมจิตใจของหวังเป่าเล่อทันที ชายหนุ่มไม่ได้คาดคิดว่าศัตรูจะมีพลังนี้ในครอบครอง เขาไม่มีเวลาคิดแม้แต่นิด ทำได้เพียงปลุกกระบวนท่าสารัตถะของตนเองขึ้น เพื่อสร้างตราประทับสีแดงบนหน้าผากเท่านั้น แต่คราวนี้…กระบวนท่าสารัตถะกลับไม่ทำตามคำสั่งของเจ้าของ จึงไม่เกิดสิ่งใดขึ้นตามที่ชายหนุ่มปรารถนา… วิชาของเขาเทียบกับอำนาจของศพนี้ไม่ได้แม้แต่น้อย นับเป็นครั้งแรกที่มันช่วยอะไรเขาไม่ได้!

หวังเป่าเล่อถอยกรูดด้วยความตกใจ เขาไม่มีเวลาคิดกลยุทธ์ตอบโต้ จึงเริ่มท่องบทสวดแห่งเต๋าในใจทันที!

พลันสายตาของผู้อาวุโสก็สบลงที่หวังเป่าเล่อพอดิบพอดี!

ดวงตาของทั้งสองประสานกัน หากสายตานั้นประหัตประหารคนได้ หวังเป่าเล่อคงสิ้นชีพลงแล้วในวินาทีนั้น พลังที่แผ่ออกจากร่างของผู้อาวุโสเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและความอำมหิต

“เจ้านี่เอง!” เสียงของเขากังวานไปในอากาศ ความเร็วจากการกระโจนเข้าใส่ชายหนุ่มก่อให้เกิดพายุที่อุบัติขึ้นเบื้องหลัง กวาดล้างพื้นดินทั้งหมดให้ราบเป็นหน้ากลอง เช่นเดียวกับความเกลียดชังแค้นเคืองเข้ากระดูกดำที่เขามีต่อหวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มมีสีหน้าบูดบึ้ง แต่ก็ไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อยในยามที่ต้องเผชิญอันตรายใหญ่หลวง เขาถอยหนีศัตรูที่กำลังพุ่งเข้าใส่ตนในทันที เสี้ยววินาทีที่ถอยหนีนั้น พลังจากบทสวดแห่งเต๋า…ก็ตกลงบนดวงดาวแห่งนั้นพอดิบพอดี!

หวังเป่าเล่อหันไปมองผู้อาวุโส ดวงตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจและไม่ยอมคน ชายหนุ่มตะโกนใส่ท้องฟ้า

“ช่วยข้าด้วย ท่านพ่อตา!”

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

ท้องฟ้าพลันแปรเปลี่ยน สายลมพัดกรรโชกแรง เมฆเคลื่อนหมุนย้อนกลับ ในวินาทีนั้น ดาวเคราะห์ทั้งดวงก็ถึงกับสั่นสะท้าน ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นถอยกรูดด้วยความตกใจ ปรมาจารย์แห่งไฟที่กำลังดูการต่อสู้นี้อยู่ในห้วงอวกาศไกลโพ้นเกือบสำลักผลไม้เพลิงจนติดคอ ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาผุดลุกขึ้นยืนทันที อุทานด้วยความตกใจ สายตาไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย

“พลังนี้มัน…”

…………………………..

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นก็เร่งความเร็วขึ้นจนกระทั่งมาถึงค่ายทหาร การกลับมาของเขาสร้างความมึนงง สับสน และวิตกไปทั่วกองทหารตระกูลไม่รู้สิ้น บรรดาผู้ฝึกตนต่างก็สับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น…ผู้บัญชาการคนก่อนเพิ่งจะกลับมา แล้วตอนนี้ก็ดันมีอีกคนมาปรากฏตัว

พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าคนไหนเป็นตัวจริงกันแน่ คงไม่เป็นไรหากคนก่อนหน้านี้เป็นตัวจริง แต่หากคนนี้เป็นตัวจริงแล้วละก็ พวกเขาย่อมตกที่นั่งลำบากแน่นอน!

ความคิดเดียวกันนี้ปรากฏขึ้นในใจของทุกคน ทำให้พวกเขาต่างก็ทั้งกลุ้มใจทั้งกังวล ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคนเหล่านี้ทันที จึงรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างประหลาด

“หรือว่า…” ชายชราหายใจเร็วแรง ก่อนจะใช้สัมผัสเทพและเปิดพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายออกมาเต็มที่ พลังวิญญาณไหลบ่าออกท่วมค่ายราวกับเป็นพายุคลั่งขณะที่เจ้าตัวส่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราด

“เจ้าหน้ากากสุกรปลอมตัวเป็นข้าแล้วเข้ามาในค่ายใช่หรือไม่” การปล่อยพลังปราณออกมาอย่างปุบปับและน้ำเสียงที่ใช้ถามคำถามทำให้ทุกคนหมดความสงสัยในใจ พวกเขานึกขึ้นได้ว่าผู้บัญชาการคนก่อนไม่ได้แสดงท่าทีเช่นนี้แต่อย่างใด ความคิดนั้นทำเอาทุกคนสั่นไปทั้งสรรพางค์กาย

คลื่นพลังกระเพื่อมกระจายออกไปท่ามกลางฝูงชน ในหมู่คนเหล่านั้นมีร่างอวตารของหวังเป่าเล่อรวมอยู่ด้วย พวกมันต่างทำสีหน้าตื่นกลัวและไม่อยากจะเชื่อสายตา ส่วนร่างอวตารหลักที่สร้างขึ้นมาโดยใช้กระบวนท่าสารัตถะก็ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนด้วยเช่นกัน เขายืนอยู่ใกล้ชายชราขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนและชั่งใจ ดูราวกับว่ามีเรื่องอยากจะพูดกับผู้อาวุโสกระนั้น ร่างอวตารยกเท้าขวาขึ้น ตั้งใจจะเดินเข้าไปทำความเคารพผู้อาวุโส

แต่ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะได้ขยับตัว ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ก็เหมือนจะนึกบางสิ่งขึ้นมาได้หลังจากที่ได้สัมผัสการระเบิดพลังของผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายและได้ยินสิ่งที่ชายชราถาม สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้น ก่อนจะส่งเสียงตะโกนออกมาแล้วรีบพุ่งเข้าไปหาผู้อาวุโสทันที เขาส่งเสียงร้องพลางเดินไปหาผู้อาวุโสด้วยสีหน้าจริงจัง

“ผู้บัญชาการขอรับ เมื่อครู่นี้มีใครบางคนปลอมตัวเป็นท่านแล้วเข้าไปในคลังอาวุธ เขา…” ผู้อาวุโสหันขวับมาทันทีก่อนที่ผู้ฝึกตนคนนั้นจะพูดจบ มีประกายแห่งจิตสังหารสะท้อนอยู่ในแววตา ชายชรายกมือขวาขึ้นโจมตีอย่างรวดเร็วราวกับเป็นสายฟ้าฟาด!

พลังการโจมตีนั้นมากล้นจนเหลือเชื่อ การปล่อยพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายออกมาอย่างฉับพลันทำให้ทั้งสวรรค์และพื้นพิภพต้องสั่นคลอน สายลมปั่นป่วน เมฆม้วนกลับ พลังที่สามารถทลายภูเขาได้ไหลบ่ามารวมกันเป็นรอยฝ่ามือที่ประทับลงไปบนอกของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นขั้นจุติวิญญาณคนนั้น

การโจมตีนั้นรวดเร็วและรุนแรงจนเหลือเชื่อ หวังเป่าเล่อเองก็ยังต้องดิ้นรนเพื่อหลบหลีก ส่วนผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนนั้นไม่มีโอกาสแม้แต่จะตอบโต้ พวกเขายืนอยู่ใกล้กันมากเมื่อผู้อาวุโสโจมตีอย่างรวดเร็วและไร้เมตตา

เสียงกัมปนาทดังก้องสะท้อนไปในอากาศ ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์ไม่ทันได้กรีดร้องด้วยซ้ำตอนที่ร่างกายของเขาแหลกสลาย เลือดเนื้อกลายเป็นฝุ่นไปสิ้น ทั้งร่างกายและวิญญาณถูกทำลายจนสิ้นซาก!

ขนาดเลือดยังสลายกลายเป็นฝุ่นไปเพราะความรุนแรงของการโจมตี!

ภาพนั้นสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทุกคนที่รายล้อมอยู่ พวกเขารีบถอยห่างจากผู้อาวุโสทันที หวังเป่าเล่อเบิกตากว้างก่อนจะส่งเสียงออกมา โชคยังดีที่เขาไม่ได้ไปถึงตัวผู้อาวุโสก่อน ร่างอวตารอื่นๆ เองก็ไม่ได้เข้าใกล้ผู้อาวุโสเช่นกัน แม้ว่าชายหนุ่มอาจจะรอดชีวิตจากการโจมตีของผู้อาวุโส แต่ก็คงบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่

เขาช่างไร้เมตตา ไม่สนใจเลยว่าจะเป็นพวกเดียวกันหรือไม่ ไม่ว่าเป็นใครก็ถูกฆ่าได้เหมือนกันหมด! หวังเป่าเล่อตะลึง ชายชราขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายมีสีหน้าเคร่งขรึม เพราะเพิ่งจะรู้ตัวว่าผู้ฝึกตนที่สังหารไปนั้นไม่ใช่ร่างอวตารของหน้ากากสุกรหรือตัวหน้ากากสุกรแต่อย่างใด แต่เป็นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นคนหนึ่ง

ความขุ่นเคืองและรำคาญใจภายในเริ่มเพิ่มขึ้น โทสะก็พุ่งพล่าน แต่ตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา ชายหนุ่มส่งร่างอวตารร่างหนึ่งมุ่งตรงไปหาผู้อาวุโสทันที ร่างอวตารวิ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเศร้าโศก ก่อนจะทรุดตัวลงคุกเข่าแล้วร้องห่มร้องไห้

“ผู้บัญชาการ โปรดใจเย็นๆ เถิดขอรับ สิ่งนี้ไม่ใช่ความเลินเล่อหรืออ่อนแอของพวกเราแม้แต่น้อย แต่เพราะไอ้หน้ากากสุกรบัดซบนั่นมันปลอมตัวเป็นท่านแล้วก็…เข้าไปขโมยของหมดคลังอาวุธเลยขอรับ”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ” นัยน์ตาของผู้อาวุโสเบิกโพลง ก่อนจะย่างสามขุมเข้ามาทางร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ ดวงตาทั้งสองแทบจะถลนออกจากเบ้า เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่เพิ่งได้ยินนั้นมีผลกับเขาอย่างยิ่ง

แค่คิดว่าพวกเขาถูกปล้นทรัพยากรทางการทหารไปจนเกลี้ยงก็ส่งเอาความเจ็บปวดเสียดแทงเข้าไปทั้งจิตใจ ชายชราส่งเสียงคำรามก่อนจะส่งสัมผัสเทพออกไปอีกครั้ง คราวนี้มุ่งหน้าไปยังคลังอาวุธ เขาจะต้องดูให้รู้แน่แก่ใจด้วยตนเอง

ตอนนั้นเอง ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้น กริชสีดำปรากฏอยู่ในมือ หากไม่ใช่เพราะทุกคนมองเห็นเหตุการณ์นั้นเต็มสองตา ก็คงไม่มีใครเชื่อ ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อปักกริชลงไปบนต้นขาของผู้อาวุโสอย่างจัง!

กริชประหลาดระเบิดตัวเอง แรงระเบิดทำให้การป้องกันรอบกายของผู้อาวุโสแตกสลาย ก่อนที่กริชจะปักลงไปบนกายเนื้อของเขา พิษไหลบ่าเข้าสู่กายของชายชราจากปากแผล ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเสียจนไม่มีใครเตรียมการณ์รับมือได้ทัน นัยน์ตาของผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายเบิกโพลงด้วยความตกตะลึงและโกรธจัด โทสะทะลักล้นออกมาจากกายขณะที่เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้าแล้วส่งเสียงคำรามอย่างกราดเกรี้ยว เขาปล่อยพลังปราณออกมาเต็มที่ เรียกพายุหมุนมาล้อมร่างอวตารของหวังเป่าเล่อเอาไว้

การโจมตีดังกล่าวขยี้ร่างอวตารของชายหนุ่มเป็นผุยผง แล้วยังก่อความโกลาหลขึ้นในหมู่ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่รอบกายผู้อาวุโส ร่างอวตารหลักของหวังเป่าเล่อที่สร้างขึ้นจากกระบวนท่าสารัตถะยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้น ผู้อาวุโสยังคงคำรามต่อไป พายุหมุนจากพลังปราณของเขายังกวาดโถงอยู่ไปมา ขณะที่ทุกคนกำลังโวยวายจนแทบเสียสติ จู่ๆ ก็มีเสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นติดต่อกัน

แผ่นดินราวกับจะสั่นคลอน ค่ายทั้งค่ายก็สั่นไหว เสียงระเบิดดังขึ้นมาจากหลายต่อหลายจุด สัมผัสถึงความรุนแรงได้จากทั่วทั้งค่าย คลื่นพลังวิญญาณเข้าปะทะกันและไหลรวมกันกลายเป็นคลื่นพลังที่รุนแรงขึ้นจนสั่นสะเทือนถึงสวรรค์และผืนปฐพี ครอบวงกลมกองทัพสี่อันแตกเป็นเสี่ยงร่วงลงมาจากท้องฟ้า ก่อนจะกระทบพื้นแล้วสลายเป็นฝุ่นไป!

ค่ายทหารตกอยู่ในความโกลาหลอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นคนหนึ่งรีบรุดเข้าไปหาผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ในขณะที่ชายชรายังคงงุนงงจากความรุนแรงของแรงระเบิดรอบกายและความเสียหายของครอบวงกลมหลายต่อหลายอัน ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นคนนั้นชักกริชออกมาแล้วพุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายทันที

“ลอบโจมตีอีกครั้งหรือ” ผู้อาวุโสหันขวับมาทันที ดวงตาฉาบเคลือบไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า ขณะที่เอื้อมมือขวาออกมาจับผู้โจมตีเอาไว้ ทันใดนั้น ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นอีกคนก็โผล่มาจากด้านหลัง พุ่งเข้ามาพร้อมกริชสีดำอีกเล่มหนึ่ง!

ไม่เพียงเท่านั้น ไกลออกไปอีกหน่อย มีผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นอีกคนจู่ๆ ก็คลุ้มคลั่ง แทนที่จะพุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสเพื่อลอบสังหาร แต่กลับหันไปอีกด้านหนึ่งแล้วเริ่มออกวิ่ง เขาพยายามหลบหนีท่ามกลางความวุ่นวายในค่าย

เหตุการณ์ชวนตื่นตะลึงทั้งหมดทำเอาผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นแตกตื่นกันไปหมด ทุกคนต่างนิ่งงันมึนงง พวกเขาเพิ่งได้เห็นความพยายามลอบสังหารซ้ำไปซ้ำมา ตามด้วยความพยายามที่จะหลบหนี ทั้งหมดส่งเสียงร้องด้วยความโกรธขึ้งและเริ่มวิ่งไล่ตามผู้ฝึกตนที่วิ่งหนีไปโดยไม่ทันได้คิดอะไร

ผู้อาวุโสทำลายร่างอวตารที่พุ่งเข้ามา เช่นเดียวกับร่างที่สามที่พยายามโจมตีจากด้านหลัง ก่อนจะเงยหน้ามองแผ่นหลังของผู้ฝึกตนที่กำลังวิ่งหนีไป…ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นจำนวนมากวิ่งไล่ตามเขาไป ทันใดนั้น ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นคนหนึ่งจากฝูงชนก็ชักกริชสีดำออกมาแทงผู้อาวุโส!

แม้จะระมัดระวังตัวมากเพียงใดก็ตาม แต่ผู้อาวุโสก็ไม่ทันตั้งตัวรับการลอบโจมตีนั้น กริชปักไปบนแขนของเขา ผู้อาวุโสเงยหน้าขึ้นมองฟ้าแล้วส่งเสียงคำรามอย่างน่าสะพรึงกลัวขณะที่พิษหลั่งไหลเข้าไปในกาย

“ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทุกคน!” เขาไม่สนใจอีกแล้วว่าจะสังหารพวกเดียวกันหรือไม่ พายุหมุนพวยพุ่งขึ้นรอบกายและสังหารผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทุกคนที่กล้าเข้ามาใกล้ ทุกสิ่งที่หลงเหลืออยู่ในรัศมีสามร้อยกิโลเมตรมีเพียงเลือดและความตายเท่านั้น จากนั้นผู้อาวุโสก็ออกตัว วิ่งไล่ตามผู้ฝึกตนที่กำลังหลบหนีไป ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่นๆ ต่างก็ผงะด้วยความกลัวจากการทำลายล้างครั้งใหญ่ของผู้อาวุโส ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ชายชราแม้แต่คนเดียว

ร่างอวตารหลักของหวังเป่าเล่อยังคงซ่อนตัวอยู่ในหมู่ผู้ฝึกตนเหล่านั้น ร่างอวตารห้าร่างก่อนหน้านี้เป็นร่างย่อยที่สร้างขึ้นมาจากร่างอวตารหลัก ร่างอวตารหลักขณะนี้มีใบหน้าตื่นกลัว ตัวสั่นเทิ้มด้วยความตื่นตกใจไปพร้อมๆ เพื่อนร่วมตระกูลคนอื่นๆ แต่ภายในใจของหวังเป่าเล่อเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเหนือกว่า ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นอาจจะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่ฉลาดนัก หวังเป่าเล่อแอบสร้างผนึกฝ่ามืออย่างลับๆ

ตอนนั้นเองประคำระเบิดตัวเองทั้งหมดที่เหลืออยู่ในค่าย…ก็ระเบิดขึ้นทันที แรงระเบิดสั่นคลอนทั้งท้องฟ้าและผืนดิน ครอบวงกลมกองทหารอีกสามอันสั่นคลอนก่อนจะร่วงลงกระแทกพื้น ดูคล้ายเป็นการพยายามหยุดยั้งผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายจากการไล่ล่า…

ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายยิ่งลุกลี้ลุกลนเมื่อมีอุปสรรคมาขวางหน้า เขายอมลดการป้องกันทุกอย่างลงเพื่อมุ่งหน้าไล่ล่าเต็มกำลัง สุดท้ายก็ตามทันในชั่วพริบตา!

“ตาย!”

…………………………

บทที่ 817 เหมาะกับการเป็นขโมย!
หวังเป่าเล่อคิดเอาไว้เช่นนั้น ความคิดและการกระทำของร่างอวตารร่างใหม่ถูกเขาควบคุมทั้งหมด ตอนนั้นเอง ชายหนุ่มก็ควบคุมให้ร่างอวตารหลอมหน้ากากสุกรขึ้นมา และพุ่งตัวออกไปอย่างรวดเร็วด้วยการพลิกกายเพียงครั้งเดียว ในขณะเดียวกัน ร่างสารัตถะของเขาก็ออกเดินทางไปยังทิศทางของค่ายทหารพลางใช้ผนึกฝ่ามือสร้างแขนใหม่ให้ตนเอง

ในเวลาเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็แบ่งสมาธิไปควบคุมร่างอวตารที่สร้างขึ้นจากแขนด้วย เพื่อให้มันไปปรากฏตัวอยู่ที่โลกภายนอก และเพราะร่างอวตารนั้นแตกต่างจากร่างสัมผัสเทพของเขา มันจึงคงอยู่ได้ไม่นานนัก แต่ถึงกระนั้นความสามารถด้านการต่อสู้ของมันก็ยังแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นการต่อสู้และการหลบหนีจากตระกูลไม่รู้สิ้นจึงสมจริงตามไปด้วย ด้วยเหตุนี้ ร่างอวตารจึงถูกผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเล็งเป้า และเร่งฝีเท้าเต็มที่เพื่อมุ่งไปหามันทันที

พอผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะเข้ามาใกล้ ร่างสารัตถะที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อที่ถือใบไม้และผ้าคลุมอยู่ก็ใช้ความเร็วเต็มที่มุ่งหน้าไปยังค่ายทหารทันที

หวังเป่าเล่อเข้าใจแจ่มแจ้งว่าร่างอวตารที่หลอมขึ้นจากแขนซ้ายของเขานั้นสามารถทิ้งได้ และเมื่อมันปล่อยพลังเต็มพิกัดออกมาแล้ว ก็จะอยู่ต่อไปได้ราวสองถึงสี่ชั่วโมงเท่านั้น

แต่สองถึงสี่ชั่วโมงก็เพียงพอแล้ว เพราะอย่างไรเสีย ภารกิจนี้ก็เหลือเวลาอยู่อีกไม่ถึงสี่ชั่วโมงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ หวังเป่าเล่อจึงต้องใช้เวลาทุกนาทีอย่างมีค่า

ดังนั้นทันทีที่เข้ามาใกล้ค่ายทหาร หวังเป่าเล่อก็ไม่รอช้า รีบพุ่งตัวเข้าไปก่อนจะแปลงกายเป็นผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทันที สำหรับคนที่เขาจะแปลงกายตามนั้น ชายหนุ่มเลือกมาอย่างดีหลังจากที่คิดอย่างหนัก

หวังเป่าเล่อไม่ได้แปลงกายเป็นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นทั่วๆ ไป ชายหนุ่มไม่ได้แปลงเป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่พบก่อนหน้าเช่นกัน เพราะอย่างไรเสีย ไม่ว่าเขาจะแปลงกายเป็นใคร ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นส่วนมากก็กำลังไล่ล่าอยู่ด้านนอก ดังนั้นใครก็ตามที่กลับมาก็ดูน่าสงสัยทั้งสิ้น อีกทั้งหวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าความสามารถในการแปลงกายของเขาถูกตระกูลไม่รู้สิ้นค้นพบเสียแล้ว

ดังนั้น…ชายหนุ่มจึงสามารถเลือกที่จะไม่แปลงกายและพุ่งตัวเข้าไปทั้งอย่างนี้ ซึ่งวิธีนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ยิ่งไปกว่านั้น หากผิดพลาดเพียงนิดเดียวก็อาจทำให้ถูกพบตัวเร็วขึ้นก็เป็นได้ อีกทางเลือกหนึ่งก็คือ…แปลงกายและซื้อเวลาให้ตัวเองอีกสักหน่อยเพื่อเพิ่มโอกาสในการฉกชิงสิ่งของให้ได้มากที่สุด

หวังเป่าเล่อเลือกอย่างหลัง และคนที่เขาเลือกจะแปลงร่างก็คือ…ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย!

แม้การทำเช่นนี้จะเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง เพราะหากใครสักคนส่งข้อความไปถึงผู้อาวุโส พวกเขาก็จะรู้ความจริงในทันที แต่การซ่อนตัวในที่แจ้งนั้นย่อมแนบเนียนที่สุด ในแง่หนึ่ง การที่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจะกลับมาที่ค่ายก็ฟังดูสมเหตุสมผล และไม่มีใครกล้าถามแน่นอนว่ากลับมาทำไม ในอีกแง่หนึ่ง…มีผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นไม่มากนักที่สามารถติดต่อกับผู้อาวุโสเพื่อยืนยันตำแหน่งที่อยู่ของเขาผ่านข้อความเสียงได้

แม้ว่าพวกเขาอาจจะตรวจสอบกับสหายผู้ฝึกตนรอบกายแทนการส่งข้อความเสียงโดยตรงไปยังผู้อาวุโส แต่ก็มีผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นไม่มากนักที่สามารถยืนยันได้ เพราะตระกูลไม่รู้สิ้นมีระบบอาวุโสที่เข้มงวด ความรู้สึกสงสัยจึงแทบไม่เคยปรากฏขึ้นในจิตใจของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นชั้นผู้น้อยเลย

แต่สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่แน่นอน และการกระทำของหวังเป่าเล่อก็ยังไม่แน่นอน หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้ว หวังเป่าเล่อจึงแปลงกายเป็นผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะแห่งตระกูลไม่รู้สิ้น สีหน้าของเขาบิดเบี้ยว มีจิตสังหารแพร่กระจายออกมาจากกายอยู่จางๆ ชายหนุ่มทำหน้าดุร้ายพลางเหาะไปยังค่ายทหาร

แม้ค่ายทหารจะปกคลุมไปด้วยวงแหวนปราณ แต่หวังเป่าเล่อก็ทดสอบความแข็งแกร่งของกระบวนท่าสารัตถะมาหลายต่อหลายครั้ง เมื่อใดก็ตามที่แปลงกายเป็นใครสักคน ก็ดูเหมือนว่าจะปลอมรัศมีของคนๆ นั้นได้เช่นเดียวกัน ดังนั้นหากวงแหวนปราณของค่ายยังไม่ถึงระดับดารานิรันดร์ วงแหวนปราณที่อาศัยการจับรัศมีของคนก็จะไม่มีผลกับเขาเลย

หวังเป่าเล่อเร่งฝีเท้ามุ่งตรงไปยังค่ายทหารด้วยสีหน้าน่าเกลียดน่ากลัว ทันทีที่ชายหนุ่มเข้าไปยังค่ายทหาร สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นหลายคนก็ผุดลุกขึ้นทำความเคารพ ทุกคนต่างสำรวมเป็นอย่างยิ่ง บ้างก็อยากจะพูด แต่หลังจากที่เห็นท่าทางเคร่งเครียดของหวังเป่าเล่อแล้ว ทุกคนต่างก็สูดลมหายใจและไม่กล้าเอ่ยปากพูดอะไร

“ไอ้พวกขยะ!” หวังเป่าเล่อเลียนเสียงผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะและใช้ภาษาของตระกูลไม่รู้สิ้นในการสบถ ชายหนุ่มส่งเสียงฮึดฮัดและไม่สนใจผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่ยืนรายล้อมอยู่ ก่อนจะเหาะไปยังตำหนักภายในค่ายทหารทันที

เมื่อเห็นเช่นนั้น ทุกคนต่างก็หลุบศีรษะลงต่ำ และเงยหน้าขึ้นเมื่อหวังเป่าเล่อจากไปแล้ว ความวิตกกังวลในใจยิ่งหนักหน่วงเมื่อเห็นสีหน้าของหวังเป่าเล่อเมื่อครู่

ขณะเดียวกัน เมื่อเข้าไปยังค่ายทหาร หวังเป่าเล่อก็แผ่สัมผัสเทพออกมา ชายหนุ่มกวาดดูเพียงครั้งเดียว ก็พบว่ามีผู้ฝึกตนเหลืออยู่ในค่ายเพียงไม่กี่พันคนเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยังไม่มีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณหลงเหลืออยู่สักคน ระดับปราณสูงสุดอยู่ในขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์เท่านั้น

เรื่องนี้ทำให้ชายหนุ่มไม่พอใจอย่างยิ่ง เขารู้สึกว่าตนเองลงทุนลงแรงไปมากแต่กลับได้รางวัลไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย เพราะหวังเป่าเล่อขณะนี้ใกล้จะบรรลุขั้นปราณเต็มแก่ แม้การสังหารผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณจะสามารถใช้เป็นอาหารให้วิชาดวงเนตรปีศาจได้เช่นกัน แต่ปริมาณของมันก็ยังน้อยมากเว้นเสียแต่ว่าเขาจะสังหารผู้ฝึกตนจำนวนมาก และต่อให้สังหารผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งหมดในค่ายก็อาจไม่ได้ผลมากมายนัก

เจ้าเฒ่านั่นให้เกียรติข้าเกินไปแล้ว เขาส่งผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งหมดไปตามหาข้า…หวังเป่าเล่อปวดศีรษะเมื่อคิดว่าเขาต้องลงทุนไปมากมายเพียงใด เรื่องนี้ทำให้อารมณ์ของชายหนุ่มย่ำแย่เท่าเทียมกับสีหน้าที่เขาแสร้งทำเมื่อครู่ แต่ชายหนุ่มก็ยังทำตามแผนต่อไปอย่างระแวดระวัง เขาหักนิ้วออกมาห้านิ้วแล้วหลอมร่างอวตารขึ้นมาห้าร่าง ก่อนจะให้กริชสี่เล่มกับร่างสี่ร่างเพื่อไปสังหารผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นและขโมยรูปลักษณ์มา จากนั้นก็ให้แต่ละคนถือประคำระเบิดเอาไว้คนละกำ เพื่อไปวางไว้ในค่ายทหารโดยรอบ

ส่วนร่างสารัตถะของหวังเป่าเล่อก็ยังครุ่นคิดต่อไปด้วยความรู้สึกที่ขุ่นมัว สุดท้ายแล้ว ชายหนุ่มก็เข้าไปในคลังอาวุธของค่ายทหาร สถานที่แห่งนี้มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์สูงและมีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์เฝ้ายามอยู่สองคน คลังอาวุธนี้มีวงแหวนปราณครอบอยู่ด้วย พวกเขาจึงไม่มีความวิตกกังวลว่าจะถูกปล้น แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว แนวป้องกันเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด

ชายหนุ่มเดินอาดๆ ไปยังคลังอาวุธด้วยรูปลักษณ์ของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ จึงไม่มีใครกล้าขวางทาง ในไม่ช้า ชายหนุ่มก็เข้าไปในคลังอาวุธด้วยพลังอันน่าทึ่งของร่างสารัตถะและมองเห็นวัตถุดิบจำนวนมากจนแทบไม่สิ้นสุดอยู่ภายใน!

เมื่อหวังเป่าเล่อมองเห็นวัตถุดิบเหล่านั้น ชายหนุ่มก็สูดลมหายใจลึก ก่อนจะทำตาเบิกโพลง หัวใจสั่นไหว

อันที่จริงแล้ว…หลังจากปรายตามอง หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจคาดคะเนปริมาณของทรัพยากรในคลังอาวุธและมูลค่าของพวกมันได้ นัยน์ตาของชายหนุ่มแดงก่ำ และเริ่มขโมยของทันที แม้กำไลคลังเวทและกระเป๋าคลังเก็บจะเต็มจนล้นปรี่ก็ไม่สำคัญ เพราะในคลังอาวุธมีวัตถุเวทคลังเก็บอื่นๆ ให้ใช้ ดังนั้นภายในสิบห้านาที หวังเป่าเล่อก็มีวัตถุเวทคลังเก็บนับร้อยชิ้นอยู่ในตัว ชายหนุ่มขโมยของหมดคลังอาวุธในพริบตา

ข้าคงเหมาะกับการเป็นขโมยจริงๆ…นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ก่อนจะกวาดตามองคลังอาวุธที่ว่างเปล่า ในวินาทีนั้น ชายหนุ่มก็ไม่รู้สึกอยากสังหารคนอีกต่อไป เขาหันหลังกลับและกำลังจะเดินออกจากคลังอาวุธรวมถึงค่ายทหารไป

แต่ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะเดินออกจากคลังอาวุธนั่นเอง สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป หนึ่งในร่างอวตารส่งข้อมูลกลับมา ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะตัวจริงกลับมาแล้ว!

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงขณะที่พุ่งตัวออกจากคลังอาวุธอย่างรวดเร็ว ตอนนั้น มีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเพียงคนเดียวยืนอยู่หน้าคลังอาวุธ หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าอีกคนหนึ่งหายไปไหนและไม่มีเวลาตามหาความจริง นัยน์ตาของชายหนุ่มทอประกาย เขาแปลงกายเป็นหมอก สังหารผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทันทีโดยไม่เปิดโอกาสให้ตั้งตัว

สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นผู้นั้นละลายหายไป เมื่อหมอกควบกายมาเป็นหวังเป่าเล่ออีกครั้ง เขาก็แปลงร่างมาเป็นผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่เพิ่งถูกกลืนเข้าไป ทันทีที่ชายหนุ่มเหาะออกจากค่าย สายรุ้งทอดยาวก็ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและพุ่งลงมายังค่าย พร้อมรัศมีรุนแรงที่สั่นคลอนจนถึงสวรรค์!

ผู้ที่มาถึงก็คือผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะของตระกูลไม่รู้สิ้นนั่นเอง สีหน้าเขาเคร่งเครียดยิ่งกว่าหวังเป่าเล่อเสียอีก และดูเหมือนว่าโทสะของเขาจะพุ่งสูงถึงขีดสุด จนหากสัมผัสเข้าเพียงนิดเดียว เขคงจะระเบิดออกมาและสังหารทุกคนในทันใด

กระแสพลังรบกวนในพลังปราณของผู้อาวุโสก็ดูเหมือนจะไม่คงที่ แม้ว่ามันจะถูกกดเอาไว้อย่างรุนแรงก็ตาม เพราะหลังจากที่ชายชราไล่ล่าบุรุษในหน้ากากสุกรไป เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลและเมื่อสังหารมันได้ เขาก็ตระหนักได้ว่าตนเองตกหลุมพรางเสียแล้ว ขณะที่เร่งฝีเท้ากลับมาอย่างโกรธเกรี้ยว ก็ถูกผู้มาจุติขั้นจิตวิญญาณอมตะสี่คนลอบโจมตี ชายชราสังหารไปสองคนในขณะที่อีกสองคนหนีรอดไปได้ ส่วนตัวเขาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส

อาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสไม่ได้รุนแรงอย่างที่เห็น เขายังควานหาบุรุษในหน้ากากสุกรต่อไปแต่ก็ไร้ผล จึงมุ่งหน้ากลับมายังค่ายทหารทันที

ชายชรารู้สึกได้ว่าไอ้หน้ากากสุกรผู้นี้อาจวางแผนล่อให้เขาออกไปเพื่อจะมาซ่อนตัวในค่ายทหารก็เป็นได้ แม้ว่าจะไม่ได้พบสิ่งแปลกปลอมหลังจากการใช้สัมผัสเทพกวาดดูทั่วค่าย แต่เพราะความสามารถด้านการแปลงกายของหวังเป่าเล่อ ชายชราจึงรู้ได้เองโดยสัญชาติญาณว่าอาจถูกหลอก

อันที่จริง ระหว่างทางกลับค่าย ชายชราก็ได้วิเคราะห์เอาไว้แล้ว หากชายหนุ่มในหน้ากากสุกรซ่อนอยู่ในค่ายจริง ก็ต้องอยากลอบสังหารเขามากกว่าที่จะฆ่าตรงๆ ดังนั้น…ชายชราจึงจงใจเปิดเผยอาการบาดเจ็บให้เห็น เพราะจากการคาดคะเนของเขาแล้ว หากเขากลับมาที่ค่ายด้วยสภาพบาดเจ็บ ใครก็ตามที่อยู่ใกล้ที่สุดก็ยิ่งน่าสงสัยเข้าไปใหญ่!

………………………………..

เหตุการณ์ทั้งหมดนั้น ปรมาจารย์แห่งไฟมองเห็นตั้งแต่ต้นจนจบ เขายิ้มกรุ้มกริ่มขึ้นมา

“ดูเขาแล้วสนุกจริงๆ ข้าควรจะตบรางวัลเจ้าเด็กแสบคนนี้สักหน่อย” ขณะที่พูดเขาก็หยิบผลไม้เพลิงออกมากัดกินอีกลูกอย่างออกรส ขณะนี้ชายชราเลิกดูคนอื่นไปโดยปริยายเพื่อตั้งใจดูหวังเป่าเล่อตั้งแต่ต้นจนจบ

ในภาพบนจอถ่ายทอดสดนั้น หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งบินหนีไปแล้ว จู่ๆ ก็หยุดแล้วหายตัวไปในชั่วพริบตา ก่อนจะกลับไปยังป่าอีกครั้ง

เมื่อเห็นดังนั้น ปรมาจารย์แห่งไฟก็สนใจขึ้นไปอีก ขณะจ้องมองอยู่นั้น ชายชราก็เห็นบุรุษร่างกำยำในหน้ากากกระทิงอยู่ในป่า…เมื่อชายหนุ่มเห็นว่าหวังเป่าเล่อจากไปแล้วก็ทรงตัวขึ้นนั่งอย่างทุลักทุเล แต่โทสะที่ก่อตัวขึ้นในใจเพราะอาการบาดเจ็บสาหัสบวกกับการสูญเสียวัตถุเวทไปทั้งหมดทำให้เขารู้สึกไร้เรี่ยวแรง เขานั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้นระยะหนึ่งก่อนที่ความเจ็บแค้นจะมาปรากฏขึ้นในแววตา ในที่สุด บุรุษในหน้ากากกระทิงก็ยกมือขวาขึ้นทุบดินข้างกายก่อนจะส่งเสียงคำรามออกมา แต่ไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร เสียงแผ่วๆ ของหวังเป่าเล่อก็ดังขึ้นด้านหลัง

“จากที่เจ้าได้แสดงความเคารพต่อท่านบิดาตามอย่างบุตรที่ดีควรจะเป็น โดยการให้สิ่งของกับข้ามากมาย ข้าจะพูดก่อนที่เจ้าจะมีโอกาสได้ด่าข้าอีก”

สีหน้าของบุรุษร่างกำยำเปลี่ยนไปทันที เขารีบหันศีรษะกลับมาก่อนจะสูดลมหายใจเข้าอย่างฉับพลัน ชายหนุ่มจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างวิตกกังวลและหวาดกลัว เพราะอีกฝ่ายกลับมาด้วยเหตุผลใดไม่ทราบได้ หวังเป่าเล่อขณะนี้แปลงร่างเป็นนกเกาะอยู่บนกิ่งไม้

“ศิษย์พี่ โปรดฟังข้าอธิบายก่อน…” บุรุษร่างกำยำในหน้ากากกระทิงทำท่าเหมือนจะร้องไห้ พยายามแก้ไขสถานการณ์ แต่หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในร่างนก ก็กลอกตไปมาก่อนจะพูดขึ้นอย่างเย็นชา

“ไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายหรอก ข้ากลับมาเตือนเจ้าว่า ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะของตระกูลไม่รู้สิ้น…น่าจะใกล้มาถึงแล้ว ตาเฒ่าคนนั้นชอบทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าในระยะสามสิบกิโลเมตร หรืออาจจะสามร้อยกิโลเมตร ทันทีที่เขามาถึง ดังนั้นระวังตัวด้วยเล่า”

เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็จ้องบุรุษในหน้ากากกระทิงด้วยสายตาล้ำลึกเปี่ยมความหมาย ก่อนจะบินจากไปไกล

เมื่อเห็นอีกฝ่ายบินจากไป บุรุษร่างกำยำก็ไม่มีอารมณ์จะมานั่งวิเคราะห์ว่าเขาไปจริงๆ แล้วหรือไม่ ในใจชายหนุ่มตอนนี้มีเพียงคำเตือนสุดท้ายของหวังเป่าเล่อเท่านั้น ยิ่งคิดมากเท่าใด เขาก็ยิ่งกลัวมากขึ้นเท่ากัน จนในที่สุด บุรุษในหน้ากากกระทิงก็กัดฟันร่ายคาถาปริศนาออกมา อาการบาดเจ็บบนร่างกายหายไปในชั่วเวลาไม่กี่ลมหายใจ

ทันทีที่หาย บุรุษร่างกำยำก็ผุดลุกขึ้นยืนอย่างไม่รอช้า ใบหน้าของเขาแดงก่ำเพราะต้องออกแรงเต็มที่เท่าที่สามารถออกได้ในเวลานั้น เขาออกวิ่งไปจนพ้นบริเวณนั้นแล้วจึงเคลื่อนย้ายตำแหน่งหนีไปทันที อันที่จริง เขายังกังวลใจอยู่ และแม้จะปรากฏตัวอีกครั้งในจุดที่ห่างไป เขาก็ยังวิ่งแล้วใช้วิชาเคลื่อนย้ายสลับกันอยู่ไปมาเช่นนี้หลายครั้ง และเมื่อออกมาไกลได้ราวสามร้อยกิโลเมตร บุรุษในหน้ากากกระทิงก็ได้ยินเสียงครั่นครืนทุ้มต่ำอยู่เบื้องหลัง รู้สึกราวกับว่าแผ่นดินกำลังสั่นคลอน วินาทีนั้นลมหายใจของเขาก็กระชั้นขาดช่วง ก่อนที่จะเริ่มหนีอีกครั้ง

พื้นที่เบื้องหลังชายหนุ่มที่เคยเป็นป่าทึบบัดนี้กลายมาเป็นหลุมขนาดใหญ่ ทุกสิ่งในรัศมีร่วมๆ ห้าสิบกิโลเมตรจากป่าถูกผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทำลายจนสิ้น ราวกับว่าเป็นการระบายความขึ้งโกรธของอีกฝ่ายกระนั้น

แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ได้เห็นทุกสิ่งด้วยตาตนเอง ชายหนุ่มก็สามารถเดาได้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ขณะนั้น เขาอยู่ห่างออกมาจากบริเวณนั้นมาก และค้นพบถ้ำแห่งหนึ่ง จึงแทรกตัวเข้าไปนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในก่อนจะเริ่มสำรวจสิ่งของที่ชิงมาได้ แค่ปริมาณสิ่งของจากบุรุษในหน้ากากกระทิงก็ทำให้หวังเป่าเล่อลิงโลดใจเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนกล่องหยกที่ถูกผนึกเอาไว้นั้น เพราะระดับปราณของบุรุษในหน้ากากกระทิงไม่ถึงขั้น จึงไม่สามารถเปิดได้ แต่หวังเป่าเล่อมีเรือบินรบเวท แม้ว่าเรือบินรบเวทของเขาจะเสียหายอย่างหนัก แต่หวังเป่าเล่อก็ยังมีต้นไผ่ศิลาอยู่อยู่ แถมขณะกำลังหนีเขาก็ได้ป้อนต้นไผ่ศิลาให้เรือบินรบไปจำนวนไม่น้อย ขณะนี้ แม้ว่าเรือบินรบจะยังไม่กลับมาสมบูรณ์ แต่ก็ไม่มีจุดที่เสียหายหนักหลงเหลืออยู่แล้ว

ดังนั้นด้วยพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นของเรือบินรบเวท หวังเป่าเล่อจึงเปิดกล่องได้สำเร็จ ชายหนุ่มมองไปด้านในและเห็น…กริชสีดำสี่เล่ม!

กริชทั้งสี่ดูธรรมดานัก แม้ว่าจะมีแสงสีฟ้าอ่อนสะท้อนออกมาจากใบมีดราวกับว่ามีพิษร้ายอาบเคลือบเอาไว้ แต่คนทั่วไปก็คงไม่คิดใส่ใจอะไรนักหากได้เห็น

แม้แต่ตอนที่หวังเป่าเล่อหยิบกริชขึ้นมาถือ มันก็ให้สัมผัสราวกับเป็นของเด็กเล่น ชายหนุ่มเกือบจะใช้นิ้วทดสอบความคมของมันแล้ว แต่ก่อนที่นิ้วจะสัมผัสโดนใบมีด สีหน้าของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไปเสียก่อน หลังจากควบคุมกริยาของตนเองได้ หวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ ตั้งสติก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าของชายหนุ่มจริงจังขึ้นมาในบัดดล

กริชเล่มนี้ประหลาดนัก!

สีดำก็ล่อตาล่อใจอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น กล่องหยกที่อยู่ด้านนอกก็ต้องใช้ปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะในการเปิด แถมพิษบนใบมีดนั้น…ทุกสิ่งบ่งชี้ว่ากริชทั้งสี่นั้นทั้งพิเศษและอันตรายยิ่ง เหตุใดข้าจึงเมินเฉยมันไปได้…

นี่มันยิ่งกว่าการเมินเฉยด้วยซ้ำ…ตัวตนของกริชที่สัมผัสได้นั้นแผ่วบางลงไปมาก ทำให้กระทบกับการตัดสินใจของข้าไปด้วย จิตใต้สำนึกของข้าจึงเมินเฉยมันเสีย หรือต่อให้ข้าสังเกตเห็นมัน สัญชาติญาณของข้าก็คงบอกว่ามันไม่ใช่สิ่งอันตรายแต่อย่างใด! หลังจากที่หวังเป่าเล่อวิเคราะห์เสร็จ ลมหายใจของเขาก็เริ่มถี่เร็ว ขณะที่ชายหนุ่มพยายามกดข่มอารมณ์ในใจที่จะเมินเฉยกริช เขาก็ยกกริชขึ้นก่อนจะฟันใส่กำแพงข้างกายเบาๆ

เพียงสัมผัสเบาๆ ครั้งเดียว กำแพงหินก็ฉีกออกจากกันราวกับเป็นเต้าหู้อ่อน หากเพียงเท่านั้นก็คงไม่กระไรนัก แต่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจลึกก็คือ รอยแยกบนกำแพงนั้นเริ่มเน่าและมีรูเล็กๆ ปรากฏขึ้นเพราะฤทธิ์ของการกัดกร่อน!

หวังเป่าเล่อขนลุกขนชันไปหมด แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ได้ค้นคว้าเรื่องยาพิษมาอย่างลึกซึ้ง แต่เขาก็รู้มาบ้างเล็กน้อย เขาเข้าใจดีว่าพิษที่สามารถทำลายสิ่งมีชีวิตได้นั้นไม่เท่าไรนัก แต่พิษที่สามารถทำลายกระทั่งสิ่งไม่มีชีวิตได้นั้นต้องเป็นพิษที่ทรงพลังยิ่ง

ดังนั้นสิ่งนี้ไม่ควรถูกเรียกว่าพิษได้ด้วยซ้ำ แต่เป็นของเหลวที่มีพลังจักรวาล ซึ่งสามารถเปลี่ยนรูปร่างและแก่นแท้ของวัตถุได้ เป็นพลังยิ่งใหญ่ที่สามารถทะลวงการป้องกันได้ทุกประเภท

หวังเป่าเล่อตัวสั่น และหลังจากที่พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ชายหนุ่มก็สัมผัสได้รางๆ ว่ากริชทั้งสี่เล่มนี้…ไม่เพียงเป็นอาวุธลอบสังหารที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่พลังของมันยังสามารถต่อกรกับพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะได้อีกด้วย มิเช่นนั้น พวกมันคงไม่ถูกผนึกอยู่ในกล่องที่ต้องใช้พลังขั้นจิตวิญญาณอมตะในการเปิดเท่านั้นเป็นแน่

หวังเป่าเล่อค่อยๆ วางกริชกลับลงไปในกล่องหยก หลังจากปิดกล่องแล้ว เขาก็เก็บกล่องเข้าไปในกำไลคลังเวทอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นก็นั่งตาเป็นประกายอยู่กับที่

เหลือเวลาไม่มากแล้วก่อนภารกิจจะจบลง…ข้าจะมาจมจ่อมอยู่เช่นนี้ต่อไปไม่ได้! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง มีประกายเย็นยะเยือกสะท้อนอยู่ภายใน จิตสังหารเริ่มเข้มข้นขึ้นในใจของเขา

ข้าจะยอมให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายเพียงคนเดียวทำแผนข้าพังไม่ได้ ตระกูลไม่รู้สิ้นยังสมควรตายอยู่…ข้าเพียงแต่ต้องคิดหาวิธีเข้าสังหารและวิธีหนีเมื่อถูกพบตัว ความจริงแล้ว…ข้ายังต้องคิดหาวิธีโต้กลับด้วย!

แม้ว่าจะแทบไม่มีโอกาสให้ข้าได้โต้กลับก็ตาม…หวังเป่าเล่อสัมผัสหน้ากากของตน แล้วจู่ๆ ก็มีสีหน้ามุ่งมั่นขึ้นมา หลังจากที่สังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณของตระกูลไม่รู้สิ้นไปสามคน ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนตกอยู่ในมนต์สะกดของวิชาดวงเนตรปีศาจ พลังปราณของเขาขึ้นถึงจุดที่ตื่นตัวสูงสุด และตัวเขาเองก็ใกล้บรรลุขั้นเต็มแก่

จากการคำนวนของหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกว่าหากสังหารคนได้มากพอ เขาจะสามารถบรรลุขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ได้ที่นี่ ชายหนุ่มกัดฟันแน่น เปิดกำไลคลังเวท และเริ่มจัดแจงวัตถุเวทที่อยู่ภายใน

ของที่เขามีอยู่เยอะที่สุดในกำไลคลังเวทคือเรือบินรบระเบิดตัวเอง เรือบินรบเหล่านั้นส่งผลใหญ่หลวงในการต่อสู้กลางอวกาศ แต่หากเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกตน พวกมันก็ไม่เหมาะเพราะเทอะทะเกินไป

ดังนั้นสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องทำคือแยกชิ้นส่วนราวร้อยละสามสิบของเรือบินรบทั้งหมด หยิบส่วนประกอบหลักออกมา จากนั้นก็หลอมวัตถุเวทที่คล้ายประคำระเบิดขึ้นมา และเพราะเรือบินรบทั้งหมดนั้นหวังเป่าเล่อเป็นคนหลอมเอง อีกทั้งเขายังมีหุ่นเชิดอยู่มากพอ การหลอมประคำจึงใช้เวลาไม่นานนัก หวังเป่าเล่อเสียเวลาไปพักหนึ่งเพื่อหลอมประคำระเบิดขึ้นมาเป็นจำนวนมาก

น่าเสียดายที่ข้าหลอมวงแหวนปราณไม่เป็น! หวังเป่าเล่อคิดขณะเก็บประคำระเบิดทั้งหมดและคำนวณเวลาที่เหลือก่อนภารกิจจะจบ ชายหนุ่มถึงกับถอนหายใจออกมา เขารู้สึกว่าคนเราจะรู้ตัวว่าตนเองไม่มีความรู้ก็ในเวลาที่ต้องใช้ความรู้นั้น หวังเป่าเล่อคิดกับตนเองว่าต้องเริ่มค้นคว้าเรื่องนี้ต่อไปในอนาคต ชายหนุ่มไม่ได้ต้องการจะเป็นผู้เชี่ยวชาญ แต่ก็อยากเรียนรู้วิธีหลอมวงแหวนปราณที่แข็งแกร่ง

เมื่อตัดสินใจได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มวางแผน แผนของเขานั้นง่ายดายมาก นั่นคือล่อผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะออกไป จากนั้นก็หาช่องทางลักลอบเข้าไปในค่ายทหารอีกครั้งเพื่อเริ่มการสังหาร

เพราะอย่างไรเสียสมาชิกในตระกูลไม่รู้สิ้นก็ไม่ได้ถูกเรียกตัวออกมาหมด ยังมีสำรองอยู่ภายในค่ายอีกจำนวนหนึ่ง เรื่องนี้หวังเป่าเล่อเห็นมากับตาตนเอง ชายหนุ่มจึงมีเป้าหมายค่อนข้างชัดเจน สิ่งที่ยากเพียงอย่างเดียวก็คือ…การหาวิธีทำให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายหลงเชื่อและตามเขาไป

อยากได้ลูกเสือก็ต้องเข้าถ้ำเสือ! แววดุร้ายปรากฏขึ้นในดวงตาของชายหนุ่ม ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นจับแขนซ้าย ก่อนจะกระชากอย่างแรงจนหลุดคามือ!

แม้ว่าจะเป็นเพียงร่างอวตาร แต่ความเจ็บปวดนั้นเป็นของจริง ชายหนุ่มกัดฟันอดทนความเจ็บปวดรุนแรง เขาใช้แขนซ้ายเป็นแก่น ก่อนจะสร้างผนึกฝ่ามือเพื่อสร้างร่างอวตารอีกร่างขึ้นมา!

ร่างอวตารใหม่นั้นแตกต่างจากร่างที่ใช้สัมผัสเทพสร้างขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง แต่ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็สมจริงมากๆ หวังเป่าเล่อเองก็ต้องการให้มันเป็นเช่นนั้น เพราะชายหนุ่มวางแผนใช้ร่างนี้เป็นร่างอวตารของตัวเอง

บทที่ 815 เจ้ากล้าด่าข้าหรือ
เสียงร้องนั้นดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว นกตัวนั้นสยายปีกบินขึ้นบนฟ้า ทำทีเป็นว่าตกใจจนต้องผวาบินขึ้นไป หลังจากที่ผละออกจากต้นไม้ มันก็ทำให้นกตัวอื่นๆ ในบริเวณนั้นตกใจไปตามๆ กัน นกจำนวนนับไม่ถ้วนพากันบินหนีไปหมด

“บัดซบ!” สีหน้าของบุรุษร่างกำยำเปลี่ยนไปทันที นัยน์ตาของเขาเบิกโพลงขณะเงยหน้าไปมองนกหวังเป่าเล่อ แม้จะมีจิตสังหารอยู่ในดวงตา แต่หัวใจเขาก็เริ่มโอดโอย เห็นได้ชัดว่ากระบวนท่าหลบซ่อนของเขามีขีดจำกัด และไม่สามารถใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานานได้ ตอนนั้นเอง บุรุษในหน้ากากกระทิงก็พลิกตัวก่อนจะเร่งความเร็วหนีไป

แต่ก็สายเกินไป…ทันทีที่เสียงร้องดังลั่นของนกหวังเป่าเล่อกระจายไปทั่ว ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ห่างออกไปก็ได้ยิน ก่อนจะรีบเร่งความเร็วมุ่งมาตามเสียงทันควัน

ไม่นานนัก กลุ่มตระกูลไม่รู้สิ้นก็ตามบุรุษร่างกำยำทันและเริ่มต่อสู้กันเสียงดัง ขณะนี้บุรุษในหน้ากากกระทิงที่ทำตัวโอหังอยู่ก่อนหน้านี้เพราะคิดว่าตัวเองก็มีฝีมือพอตัวกำลังรับมือกับการโจมตีจากขั้นเชื่อมวิญญาณสามคน เขาทำได้แค่ปล่อยกระแสรบกวนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ออกมาเท่านั้น แต่ฝีมือการต่อสู้ของเขาก็ไม่ใช่ย่อยๆ บุรุษในหน้ากากกระทิงเพียงเสียเปรียบเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถสังหารผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นไปได้ห้าคนด้วยกัน

บุรุษร่างกำยำมีกลเม็ดเด็ดพรายมากมายและดูเหมือนว่าจะรอดชีวิตมาได้ด้วยการหยิบวัตถุเวทชิ้นเล็กชิ้นน้อยออกมาใช้ ในที่สุด เมื่อหยิบรูปปั้นออกมาและส่งให้มันระเบิดตัวเอง เขาก็หลุดออกจากวงล้อมและรีบหนีไปในทันที ต่อให้หวังเป่าเล่อไม่ได้อยู่ตรงนั้น แต่ด้วยลูกไม้ต่างๆ เหล่านี้ บุรุษในหน้ากากกระทิงก็คงหนีไปได้ด้วยตนเองอยู่ดี แต่เขาก็โชคไม่ดีนัก…

ขณะที่บุรุษร่างกำยำกำลังทิ้งห่างบรรดาผู้ที่ติดตามออกไปนั้น เขาก็ซ่อนตัวอีกครั้ง ทว่างูตัวหนึ่งกลับขู่ฟ่อไปยังตำแหน่งที่เขาซ่อนอยู่ราวกับมีใครสักคนไปรบกวนการหลับใหลของมัน

ผลของการที่งูส่งเสียงทำให้…กลุ่มผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นรู้ตัวอีกครั้งก่อนจะแห่กันมาในทันที

บุรุษร่างกำยำแทบจะสิ้นสติ เขารู้สึกว่าสถานการณ์นี้แปลกประหลาดเกินไป ดวงของเขาซวยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ราวกับว่าดาวเคราะห์ทั้งดวงต่อต้านเขา และทุกสิ่งทุกอย่างก็ต่อต้านเขาไปเสียหมด

บ้าบอสิ้นดี! บุรุษในหน้ากากกระทิงคำรามอยู่ในใจ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกัดฟันสู้ ในที่สุด หลังจากที่สังหารสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นไปจำนวนหนึ่ง ก็เหลือเพียงผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณสามคนเดิมอีกครั้ง บุรุษร่างกำยำสู้สุดใจแม้จะบาดเจ็บหนัก และกระอักเลือดออกมาเป็นระยะ เขาทำกระทั่งยอมใช้คำสาปในหน้ากากเพื่อลดระดับปราณของคู่ต่อสู้ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ลง หลังจากนั้นพักหนึ่ง บุรุษในหน้ากากกระทิงก็โยนกระดูกสีขาวออกมากองหนึ่ง กระดูกเหล่านั้นประสานตัวกันเป็นผนึก บุรุษร่างกำยำพลิกกลับมาได้เปรียบในการต่อสู้ก่อนจะหนีไปได้อีกครั้ง

เมื่อเขาออกมาจากบริเวณนั้นได้สำเร็จก็เตรียมจะเคลื่อนย้ายหนี แต่ผืนแผ่นดินบริเวณนั้นก็ถูกผนึกเอาไว้โดยตระกูลไม่รู้สิ้นตั้งแต่ก่อนหน้านี้ เมื่อเคลื่อนย้ายไม่ได้ บุรุษร่างกำยำก็เห็นหนองน้ำที่ไม่มีต้นไม้ปกคลุม จึงดึงผ้าคลุมออกมาคลุมตัวเพื่อพรางตัว

เจ้านี่มีของเล่นเยอะเสียจริง หวังเป่าเล่อผู้ยืนอยู่บนกิ่งไม้ห่างออกไปเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกายเมื่อบินร่อนไปลงใกล้ๆ

ขณะเดียวกัน ผนึกที่บุรุษร่างกำยำใช้กระดูกสีขาวสร้างขึ้นก็ถูกผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณของตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งสามคนทำลาย พวกเขาเพิ่งตระหนักได้ว่าบุรุษในหน้ากากกระทิงนั้นรับมือยากเอาการ ต่างคนก็ต่างทำหน้าเหยเกก่อนจะพุ่งตัวออกไปตามหาอีกฝ่ายต่อ ดูจากสายตาที่ดุร้ายของพวกเขาแล้ว คงไม่ยอมให้เรื่องนี้จบง่ายๆ เป็นแน่

เมื่อทั้งสามออกควานหาตัวอีกฝ่ายอีกครั้ง บุรุษร่างกำยำก็กลั้นหายใจก่อนจะขยับร่างกายอย่างระมัดระวัง เขาหวังจะฉวยโอกาสหลบหนีออกไปจากบริเวณนี้เพื่อจะได้เคลื่อนย้ายหนีได้

บุรุษในหน้ากากกระทิงค่อยๆ ก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวังเพื่อหลบผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายของตระกูลไม่รู้สิ้นที่เพิ่งเหาะผ่านเขาไป แต่จู่ๆ เขาก็ยกขาขึ้นและหยุดค้างอยู่กลางอากาศเช่นนั้น… ที่ใต้เท้าเขานั้น มีกบสีดำคลานออกมาจากบึง ดวงตาเบิกโพลงของเจ้ากบจับจ้องไปที่บุรุษร่างกำยำไม่กะพริบ

บุรุษในหน้ากากกระทิงหัวใจแทบหยุดเต้น เขาอยากเหยียบเจ้ากบให้ตายคาเท้าไปเสีย แต่ก็ไม่กล้า เพราะผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสามยังคงค้นหาตัวเขาไปทั่ว อันที่จริงแล้ว ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ที่เขาโจมตีจนบาดเจ็บไปนั้นอยู่ห่างออกไปไม่ถึงสามสิบเมตร หากเขาตัดสินใจเหยียบกบก็ต้องถูกเจอตัวเป็นแน่

ยิ่งไปกว่านั้น ขณะนี้บุรุษร่างกำยำก็บาดเจ็บหนักเสียจนไม่อาจต่อสู้ได้อีก ทันทีที่ถูกพบตัว เขาคงต้องตายอย่างแน่นอน

แต่หากไม่เหยียบมัน…หัวใจของบุรุษในหน้ากากกระทิงเต้นโครมครามขึ้นมาอีกครั้ง ความจริง…เขามองเห็นจากสายตาของกบว่ามันเป็นอสูรกลายพันธุ์ และมันเองก็สังเกตเห็นเขาเช่นกัน

ดังนั้นบุรุษร่างกำยำจึงประกบมือเข้าหากันเพื่อขอร้องไม่ให้กบส่งเสียง ในขณะเดียวกันก็ค่อยๆ หยั่งเท้าไปวางตรงจุดอื่น

ทันทีที่เท้าแตะพื้น เจ้ากบก็อ้าปากและส่งเสียงร้องดังลั่นดึงดูดสายตาจำนวนมากให้มุ่งมา ตอนนั้นเองการพรางตัวของบุรุษร่างกำยำก็เกิดใช้ไม่ได้ขึ้นมาเสียอย่างนั้น…

จึงเกิดการปะทะกันขึ้นอีกครา

“ว้ากกกกก!” บุรุษร่างกำยำส่งเสียงร้องดังลั่นไปถึงสวรรค์ เขาทั้งโกรธทั้งเจ็บใจ และความรู้สึกไม่ชอบมาพากลนี้ทำให้เขาสงสัยจนแทบคลั่ง อันที่จริงแล้ว…ไม่ใช่เขาคนเดียวที่รู้สึกว่าสถานการณ์นี้น่าสงสัย ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสามเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน แม้พวกเขาจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับบุรุษในหน้ากากกระทิงบ้าง แต่พวกเขาก็เห็นว่าบุรุษผู้นี้ถูกอสูรพบเข้าทุกครั้งที่พยายามจะซ่อนตัว หากฉุกคิดสักนิดก็จะเห็นว่ามีบางอย่างแปลกๆ

ดังนั้น…แม้จะเหมือนว่าพวกเขากำลังต่อสู้กันอยู่ แต่ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสามต่างก็สู้ไประแวงสิ่งรอบข้างไป อันที่จริงแล้ว ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์เหล่านี้ได้เปิดแหวนสื่อสารและกำลังจะรายงานเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ

หวังเป่าเล่อมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดแล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้

ไม่สนุกอีกต่อไปแล้ว ขณะที่พึมพำอยู่ในใจ หวังเป่าเล่อก็หมุนตัวก่อนจะแปรสภาพเป็นหมอกพร้อมเสียงดัง “ฟุ่บ” ชายหนุ่มแพร่กระจายปกคลุมสิ่งรอบข้างเอาไว้ทันที เขาเข้าล้อมรอบกายผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นสองคนที่หน้าถอดสีและพร้อมจะล่าถอยเอาไว้ ส่วนผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ที่ถูกสาปอีกคนก็เกือบจะหนีจากเงื้อมมือของหมอกไปได้ แต่จู่ๆ ก็มีดวงตาสีดำปรากฏขึ้นภายในหมอกหวังเป่าเล่อ ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์จากตระกูลไม่รู้สิ้นไม่มีเวลากระทั่งจะได้ส่งข้อความเสียงหรือวิ่งหนีด้วยซ้ำ

ดวงตานั้นคือดวงตาปีศาจนั่นเอง!

ทันทีที่มันปรากฏ ร่างของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์แห่งตระกูลไม่รู้สิ้นก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง ความคิดของเขาก็เหมือนจะหยุดนิ่งลงไป หากเขาไม่ได้บาดเจ็บมาก่อนหน้านี้ ก็คงสามารถต้านทานพลังนั้นและส่งข้อความเสียงหรือเคลื่อนย้ายหนีไปได้ แต่เพราะถูกสาปและบาดเจ็บหนัก เขาจึงไม่อาจต้านทานดวงตาปีศาจได้ ในขณะที่สายตาเริ่มพร่ามัวและความกลัวในใจระเบิดออกมา ร่างกายก็ถูกหมอกดูดซึมเข้าไป ก่อนที่โลกของเขาจะดำมืด แล้วเขาก็หลับใหลไปตลอดกาล

หลังจากที่สังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสามแห่งตระกูลไม่รู้สิ้นได้ หมอกก็หดตัวลงกลับเป็นนกสีดำอีกครั้ง ก่อนจะบินมาเกาะศีรษะของบุรุษร่างกำยำ พลางจิกศีรษะเบาๆ แล้วกระแอมกระไอ

“เจ้าวัวน้อย เมื่อกี้นี้เจ้าด่าข้าหรือ”

ร่างกายของบุรุษร่างกำยำกระตุกเมื่อเข้าใจทุกอย่าง หลังจากที่ได้ยินเสียงของนกบนหัว ชายหนุ่มก็เข้าใจเหตุผลทุกอย่างและรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของนกตัวนี้

แม้เขาจะไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อแปลงกายได้อย่างไร แต่ฉากที่อีกฝ่ายกลายเป็นหมอกแล้วสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสามก็ทำเอาบุรุษในหน้ากากกระทิงตกตะลึง ยิ่งไปกว่านั้น อาการบาดเจ็บของเขาก็สาหัสเสียจนไม่อาจต่อสู้ได้อีก จะอยู่หรือตายก็เรียกได้ว่าอยู่ที่การตัดสินใจของหวังเป่าเล่อทั้งสิ้น

ผนวกกับความเจ็บปลาบตรงกะโหลก ทำให้บุรุษร่างกำยำถึงกับต้องก้มตัวร้องขอความเมตตา

“ศิษย์พี่ ข้าผิดไปแล้ว หากท่านยอมให้ข้ามีชีวิตรอด ข้าจะทำตามท่านทุกอย่าง ข้าจะยกทุกสิ่งที่มีให้ท่าน ขอเพียงท่านเมตตาข้าสักครั้ง!” บุรุษในหน้ากากกระทิงเองก็เป็นคนแน่วแน่ แม้ว่าจะตัวสั่นและตกใจกลัว แต่เขาก็โยนกระเป๋าคลังเก็บออกไปอย่างไม่รั้งรอ ตามมาด้วยกำไลคลังเก็บ กระทั่งเลิกเสื้อให้ดูว่าไม่ได้ซ่อนสิ่งใดไว้อีก

ความตรงไปตรงมาของอีกฝ่ายทำให้หวังเป่าเล่อค่อนข้างพอใจ ชายหนุ่มเดินไปดูกระเป๋าและกำไลคลังเก็บตรงหน้าของบุรุษหน้ากากกระทิง เมื่อเห็นวัตถุดิบจำนวนมากบวกกับวัตถุเวทเล็กน้อยภายใน เขาก็เริ่มสำรวจตรวจตราต่อ

สิ่งที่พบมีดังนี้ ใบไม้ที่ซ่อนรัศมีของผู้ใช้ได้อย่างสมบูรณ์แต่สามารถใช้ได้วันละครั้งเท่านั้น หวังเป่าเล่อถามเรื่องผ้าคลุมและสิ่งของอื่นๆ จนกระทั่งชายหนุ่มพบกล่องหยกกล่องหนึ่งในกำไลคลังเวท

กล่องหยกถูกผนึกอยู่และไม่สามารถเปิดได้ เมื่อหวังเป่าเล่อถาม บุรุษร่างกำยำก็ไม่กล้าปิดบัง จึงบอกทุกอย่างออกมาตามตรงว่า เขาได้กล่องนั้นมาโดยบังเอิญแต่เปิดไม่ออก บุรุษร่างกำยำคิดว่า มีเพียงพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะเท่านั้นที่จะเปิดกล่องได้

เมื่อเห็นว่าบุรุษร่างกำยำให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี หวังเป่าเล่อจึงเก็บของทั้งหมดไว้อย่างรื่นรมย์ใจ พลางคิดว่า เขาไม่ได้ทำให้ชีวิตของบุรุษร่างกำยำในหน้ากากกระทิงยากลำบากขึ้นแต่อย่างใด ชายหนุ่มจิกศีรษะอีกฝ่ายหนึ่งครั้งก่อนจะบินจากไป

…………………………

เมื่อผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายไล่ตามลงไปใต้ดิน ร่างสารัตถะของหวังเป่าเล่อที่แปรสภาพเป็นเศษฝุ่นก็เคลื่อนย้ายหนีไปไกลทันทีด้วยพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลาย เมื่อชายหนุ่มมาปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็แปลงกายเป็นนกแล้วส่งเสียงร้องไปยังฝูงนกที่บินสวนมาบนฟ้า ก่อนจะร่วมบินมุ่งตรงไปยังขอบฟ้ากับฝูงนกเหล่านั้น

ไม่เพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อ ผู้ที่กลัวว่าจะถูกไล่ตามทันก็แปลงกายอีกครั้ง หลังจากสัมผัสได้ว่าสัมผัสเทพที่ลงลึกไปใต้ดินของเขาสลายไป อีกทั้งสัมผัสเทพอื่นๆ ที่ชายหนุ่มปล่อยออกไปก็ค่อยๆ จางหายไปตามๆ กัน หวังเป่าเล่อแปลงสภาพกลายเป็นขนนกเส้นหนึ่งที่ค่อยๆ ร่วงหล่นลงไปบนผิวของแม่น้ำ ก่อนจะกลายเป็นก้อนหิน ที่หลังจากจมลงไปยังก้นแม่น้ำแล้ว จึงค่อยแปรสภาพเป็นปลารีบว่ายหนีไปตามกระแสน้ำ

ผ่านไปสิบห้านาที เมื่อหวังเป่าเล่อออกมาจากฝูงนกแล้ว ร่างของนกทั้งฝูงก็สั่นเทาก่อนร่วงหล่นลงมาตายพร้อมๆ กัน ข้างๆ ซากนกเหล่านั้น ปรากฏใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเกรี้ยวกราดของผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้น หลังจากที่กวาดตามองไปรอบๆ แล้วไม่พบหวังเป่าเล่อ โทสะในใจของผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นก็พุ่งสูงถึงขีดสุด

ในฐานะผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่ไล่ตามผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ การถูกผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณสลัดหลุดได้ถือเป็นการเสียหน้าครั้งใหญ่ สิ่งที่ทำให้ผู้อาวุโสยิ่งเกรี้ยวกราดก็คือเขาตกหลุมพลางเหยื่อล่อเมื่อครู่!

เจ้าคนนี้เชี่ยวชาญการแปลงกาย! ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นกัดกรามแน่น แม้ว่าเขาจะเฉลียวใจเรื่องนี้มาบ้าง แต่เมื่อเข้าใจวิธีการของหวังเป่าเล่อมากขึ้น ชายชราก็อดรู้สึกเสียท่าไม่ได้จนต้องส่งเสียงคำรามออกมา จากนั้นก็ปลดปล่อยสัมผัสเทพออกไปไกลร่วมสามร้อยกิโลเมตรโดยไม่สนใจผลที่จะตามมา แล้วส่งคลื่นกระแทกออกไปพร้อมดวงจิตของตน ไม่ว่าดวงจิตจะเดินทางไปที่ใด ทุกสรรพชีวิตที่สัมผัสมันจะต้องสั่นสะท้านก่อนแหลกสลายไป

แต่ไม่รวมหวังเป่าเล่อ ก่อนที่ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นจะปรากฏกาย ชายหนุ่มก็เคลื่อนย้ายหนีไปอีกครั้งในร่างปลา เมื่อมาปรากฏตัวอีกรอบ เขาก็อยู่ห่างออกมามาก ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อยังแปลงร่างอีกครั้ง กลายเป็นผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นก่อนจะออกวิ่งหนีต่อ

แต่นั่นยังไม่ใช่การแปลงกายครั้งสุดท้ายของหวังเป่าเล่อ ขณะที่หนีต่อไปนั้น บางครั้งชายหนุ่มก็แปลงร่างเป็นอสูรตัวจ้อยไร้พิษสงที่วิ่งอยู่บนดิน บางครั้งก็กลายเป็นแมลงไปซ่อนในซอกดิน มีกระทั่งแปลงร่างเป็นผู้มาจุติคนอื่นๆ ด้วยซ้ำ ด้วยวิธีนี้เขาจึงเพิ่มระยะห่างระหว่างตนและผู้อาวุโสออกไปทีละน้อย และเมื่อสะสมไปเรื่อยๆ ระยะทางระหว่างทั้งคู่ก็ห่างไกลจนเกินกว่าจะไล่ตามไหว

ด้วยเหตุนี้ แม้ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะจะไล่ตามไปอีกหลายต่อหลายครั้ง ก็ยังไม่อาจตามหวังเป่าเล่อทัน กระทั่งแกะรอยหวังเป่าเล่อไม่ได้เลยในตอนท้าย จนสุดท้ายต้องออกคำสั่งและประกาศให้หน่วยย่อยของตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งหมดร่วมกันค้นหาบุรุษสวมหน้ากากสุกรจนทั่ว

แม้วิธีนี้จะไม่ได้ผลมากนัก แต่ก็ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ ขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะก็คิดอยู่ในใจว่า หน่วยย่อยของตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งหมดล้วนเป็นเพียงเหยื่อล่อ ทันทีที่บุรุษในหน้ากากสุกรปรากฏตัวขึ้นและสังหารใครสักคน เขาก็จะมีร่องรอยให้ติดตามอีกครั้ง!

ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งหมดบนดาวเคราะห์ต่างก็เคลื่อนไหวตามคำสั่งของผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะ พวกเขาล้วนออกตามหาบุรุษในหน้ากากสุกรพร้อมจิตสังหารอันรุนแรง การออกตามล่าเช่นนั้นสร้างความวิบัติขนานใหญ่ให้บรรดาเหล่าผู้มาจุติชนิดที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน

ในความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้ตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งหมดกำลังตามหาเพียงหน้ากากสุกรเท่านั้น แต่ขณะเดียวกัน เพราะคำสั่งของผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะ พวกเขาต่างก็ระแวดระวังกันและกัน ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทุกคนต่างก็แบกรับความกดดันหนักอึ้งเอาไว้ในใจ จนถึงขนาดที่ว่าพุ่งเข้าจู่โจมผู้มาจุติทันทีที่มองเห็น พวกเขาจะรุมตีผู้มาจุติจนตาย หรือหากไม่สามารถสังหารได้ ก็จะจับมาสอบสวนว่าหน้ากากสุกรอยู่ที่ใดกันแน่!

ด้วยเหตุนี้ บรรดาผู้มาจุติทุกคนจึงรู้สึกคั่งแค้นอยู่ในใจ แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าหน้ากากสุกรนั้นไปอยู่ที่ใด ดังนั้นจึงเกิดการบุกรุกและสังหารกันอยู่บ่อยครั้งในหลายๆ เขตบนดาวเคราะห์นี้ ทำให้บรรดาผู้มาจุติต่างรู้สึกขมขื่นใจ และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมล้มเลิกภารกิจ พวกเขาเริ่มซ่อนตัวกันบ่อยขึ้นเพื่อซื้อเวลารอให้ภารกิจจบลง จะได้เคลื่อนย้ายออกไปจากสถานที่สุดอันตรายแห่งนี้ ในเวลาเดียวกัน ความเกลียดชังในใจก็เพิ่มพูนขึ้น พวกเขาทุกคนต่างก็คิดเช่นเดียวกัน นั่นก็คือ…ต้องควานหาตัวหน้ากากสุกรและสังหารเขาทันทีที่กลับไป!

ปรมาจารย์แห่งไฟเห็นภาพเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ในแง่หนึ่ง ชายชรารู้สึกว่าหวังเป่าเล่อที่ใช้ทักษะการปลอมแปลงกายในการหลบหนีนั้นหัวไวยิ่ง แต่อีกแง่ เมื่อได้เห็นความเกลียดชังที่ผู้มาจุติคนอื่นๆ รู้สึกต่อหวังเป่าเล่อ เขาก็รู้สึกสนใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

และในขณะที่ดาวเคราะห์ทั้งดวงตกอยู่ภายใต้ความวุ่นวายอย่างหนัก หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุก็รู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองก่อนที่จะแปลงกายเป็นนกอีกครั้ง ชายหนุ่มร่อนลงเกาะกิ่งไม้หนึ่งในป่าใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นซึ่งเหาะข้ามท้องฟ้าเบื้องบนไป

แย่แล้ว เหลือเวลาอีกเพียงสิบชั่วโมงก่อนที่เวลาจะหมด หวังเป่าเล่อปวดศีรษะยิ่ง เขาเข้าร่วมภารกิจนี้เพราะอยากได้ผลึกสีชาด แต่อีกด้านหนึ่ง ชายหนุ่มก็อยากใช้วิชาดวงเนตรปีศาจสังหารผู้คนเพื่อบรรลุขั้นปราณ

ก่อนหน้านี้ ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเป็นไปตามแผน หวังเป่าเล่อได้ผลึกสีชาดจากการสังหารผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้น ควบคู่ไปกับการผลักดันวิชาดวงเนตรปีศาจให้ก้าวหน้าไปพร้อมกัน ชายหนุ่มรู้สึกลิงโลดใจเป็นอย่างยิ่ง วิชาดวงเนตรปีศาจเองก็มาถึงจุดที่เพิ่มพลังปราณของหวังเป่าเล่อได้อย่างมาก จนกระทั่งอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายในที่สุด

จากการคำนวณของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มคิดว่า หากเดินหน้าต่อไป ตัวเขาย่อมสามารถบรรลุขั้นปราณได้ก่อนที่ภารกิจจะจบลงแน่ เพราะระดับปราณของบรรดาผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นช่างสูงส่งและให้ประโยชน์กับเขามากมาย

ตอนนี้ข้าซวยแล้ว! หวังเป่าเล่อเศร้าสร้อยเล็กน้อย ชายหนุ่มยืนจิกขนอยู่บนกิ่งไม้พลางคิดหาวิธีรับมือกับสถานการณ์ปัจจุบัน ขณะกำลังคิดอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงดังสนั่นกึกก้องขึ้นมาในศีรษะ

“ช่วยข้าด้วย… ช่วยข้าด้วย…”

เสียงนั้นทำเอาหวังเป่าเล่อสะดุ้งไปทั้งกาย นัยน์ตาเบิกโพลง ชายหนุ่มบินขึ้นฟ้าก่อนจะหันรีหันขวางอย่างตื่นตระหนก รีบใช้สัมผัสเทพกวาดสำรวจรอบกายตามสัญชาติญาณแต่ก็ไม่พบสิ่งใด จนสีหน้าของหวังเป่าเล่อบูดเบี้ยวไป

แม้ในตอนที่เสียงนั้นอ่อนแรงลงจนกระทั่งค่อยๆ จางหายไป หวังเป่าเล่อที่ระแวดระวังตัวเต็มที่ก็ยังไม่พบสิ่งแปลกปลอมในป่าบริเวณนี้ ในที่สุด นกหวังเป่าเล่อก็ลงเกาะกิ่งไม้อีกครั้งก่อนจะหรี่ตาลง

ครั้งที่สองแล้วนะ! หวังเป่าเล่อจำที่เสียงปรากฏขึ้นในหัวครั้งแรกได้ชัดเจน หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าเสียงนั้นชัดเจนกว่าครั้งแรก ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ช่างประหลาดนัก ขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกเช่นเดียวกับครั้งก่อน ความรู้สึกรางๆ บ่งบอกว่าเสียงนั้นมาจากตำแหน่งหนึ่งที่ลึกลงไปในดิน

นี่ข้าได้ยินคนเดียว…หรือทุกคนก็ได้ยินกันนะ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ขณะที่กำลังครุ่นคิด ชายหนุ่มก็เงยศีรษะขึ้นมองไปยังที่ที่ห่างไกลลึกเข้าไปในป่า

ตอนนั้นเองที่บริเวณชายป่า ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังมองไปยังทิศทางเดียวกัน บุรุษรูปร่างกำยำใส่หน้ากากกระทิงก็กำลังวิ่งเต็มฝีเท้าเข้ามาในป่า หลังจากที่เข้ามาได้ สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้ง ชายหนุ่มหันกลับไปมองข้างหลังอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ไม่ได้ลดความเร็วลงแม้จะวิ่งลึกเข้ามาในป่าแล้วก็ตาม ขณะเดียวกัน ภายใต้พลังการปกปิดของหน้ากาก รัศมีของเขาก็ถูกสภาพแวดล้อมรอบข้างอำพรางไว้อย่างรวดเร็ว หากหวังเป่าเล่อไม่ได้เล็งเป้าชายหน้ากากกระทิงไว้ตั้งแต่แรก ก็คงเป็นเรื่องยากที่จะตามตัวอีกฝ่ายพบพบ

เจ้านั่นนี่นา เมื่อมองเห็นเงาร่างที่คุ้นเคย หวังเป่าเล่อก็หัวเราะออกมา ชายหนุ่มยังเห็นอีกว่า มีหน่วยย่อยของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นสองหน่วยวิ่งไล่ตามมา ในกลุ่มนั้นมีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายอยู่สองคน และชั้นสมบูรณ์อีกหนึ่งคน

เจ้านี่คงไปแหย่รังแตนมาด้วยกระมัง ทำไมถึงมีคนตระกูลไม่รู้สิ้นไล่ตามมามากขนาดนั้น หลังจากที่เห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ตกใจเล็กน้อย ท่ามกลางความตื่นตะลึง บุรุษในหน้ากากกระทิงก็เข้าไปหลบใต้ต้นไม้ใหญ่ ก่อนจะใช้กระบวนท่าที่หวังเป่าเล่อไม่รู้จัก ตอนนั้นเองรัศมีที่ยากจะจับได้ในตอนแรกก็หายไปในพริบตา ยิ่งไปกว่านั้น แม้บุรุษหน้ากากกระทิงจะยืนอยู่ตรงนั้น แต่ดูเหมือนว่าบรรดาผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นกลับมองไม่เห็นอีกฝ่ายเลย แม้จะกำลังเดินอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มก็ตาม

หวังเป่าเล่อตกใจเล็กน้อย ชายหนุ่มหรี่ตาก่อนจะสะบัดปีกบินมุ่งตรงเข้าไป และร่อนไปเกาะบนกิ่งไม้เหนือศีรษะชายหนุ่มร่างกำยำเพื่อจะมองให้ชัดๆ

ไม่นานนัก หวังเป่าเล่อก็เห็นว่าบุรุษร่างกำยำกำลังถือบางอย่างอยู่ในมือ ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่ไล่ตามมาต้องคว้าน้ำเหลว ก่อนจะวิ่งไล่ต่อไป เมื่อทุกคนจากไปแล้ว บุรุษร่างกำยำจึงสูดลมหายใจเข้าลึก ราวกับว่าไม่สามารถจะรักษาสภาพนั้นไว้ได้นานนัก อึดใจถัดมา เขาก็เปิดฝ่ามือขึ้นเผยให้เห็นของที่ถืออยู่ในมือ เป็นใบไม้สีหยกใบหนึ่งนั่นเอง!

ใบไม้นั้นสุดแสนจะธรรมดา แทบไม่ต่างอะไรกับใบไม้ทั่วๆ ไป แต่เมื่อคิดว่ามันสามารถซ่อนรัศมีได้อย่างสมบูรณ์แบบ ก็ย่อมไม่ใช่ใบไม้ธรรมดาแน่ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อลุกโชนเมื่อเริ่มครุ่นคิดว่าจะขอยืมใบไม้นั้นจากบุรุษร่างกำยำดีหรือไม่ ทันใดนั้นเอง บุรุษร่างกำยำก็ขากเสลดลงบนพื้นใกล้ๆ เขากองใหญ่

“ไอ้หัวหมูบัดซบ ข้าทำภารกิจนี้มานับครั้งไม่ถ้วน ไม่เคยมีครั้งไหนที่ตระกูลไม่รู้สิ้นคลั่งเท่านี้ เจ้าหัวหมูมันสมควรตายนัก ข้ากลับไปเมื่อใด จะฉีกเส้นเอ็นและขยี้กระดูกมันให้สิ้นเชียว!” บุรุษร่างกำยำพูดเสียงเบาด้วยนัยน์ตาอาฆาตและกรามที่กัดแน่นจนเป็นสัน ก่อนจะเตรียมพลิกตัวเพื่อจากไป…

ทว่าตอนนั้นเอง นกตัวหนึ่งที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้เหนือศีรษะก็ส่งเสียงร้องออกมาดังลั่นก่อนจะจ้องเขาเขม็ง…

บทที่ 813 จิตวิญญาณอมตะมาจุติ!
ขณะเดียวกัน บนดาวเคราะห์ที่ปรมาจารย์แห่งไฟเลือกนั้น เสียงของสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่ตัดสินใจไล่ตามหวังเป่าเล่อก็กระจายออกไป เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะไล่ตามชายหนุ่ม เขาก็ยังไม่เก็บแผ่นหยกเคลื่อนย้ายลงไป แต่กลับเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนย้ายหนีได้ทุกเวลา

ขณะที่พุ่งตัวออกไป ชายวัยกลางคนก็ปลดปล่อยพลังปราณออกมาเต็มที่ พลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ทำให้เขาเคลื่อนที่ได้รวดเร็วมาก และความเร็วก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเมื่อตามหวังเป่าเล่อทัน รัศมีของเขาก็ขึ้นสู่จุดสูงสุดพอดี ชายวัยกลางคนยกฝ่ามือขึ้นมา วงแหวนที่สร้างขึ้นจากอักขระโบราณก็มารวมตัวกันเป็นกำปั้นสีทองขนาดยักษ์ พุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อด้วยพลังกดดันที่รุนแรงราวกับจะดูดกลืนท้องฟ้าเข้าไปได้

“ตาย!”

“เจ้า!” หวังเป่าเล่อมีสีหน้าตื่นตะลึง รัศมีของชายหนุ่มถึงกับสั่นไหวไปเมื่ออยู่ภายใต้แรงกดดันของกำปั้น ราวกับว่าผ้าบางที่คลุมไว้ถูกเลิกขึ้น เผยให้เห็นพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายซึ่งเป็นพลังที่แท้จริงของเขา ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นระเบิดเสียงหัวเราะชั่วร้ายออกมาก่อนจะเพิ่มพลังขึ้นอีก เขาเลือกที่จะปล่อยพลังออกมาถึงร้อยละยี่สิบ แล้วใส่พลังทั้งหมดเข้าไปในกำปั้นที่สร้างขึ้นจากพลังเทพ จากนั้นก็ปล่อยมันไปตรงหน้าของหวังเป่าเล่อพอดิบพอดี…

ทันทีที่กำปั้นกำลังจะกระทบตัว เศษผลึกโปร่งใส่ก็ส่องประกายออกมารอบกายของหวังเป่าเล่อ และเชื่อมต่อกันเป็นเนื้อเยื่อ ดูราวกับเป็นม่านแห่งสายน้ำอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่ม! ด้วยเหตุนี้ กำปั้นจึงปะทะเข้ากับเนื้อเยื่อตรงหน้าหวังเป่าเล่อแทนที่จะเป็นตัวของชายหนุ่ม

การโจมตีของผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์จากตระกูลไม่รู้สิ้นปะทะเข้ากับเนื้อเยื่อในวินาทีนั้นเอง และขณะที่เนื้อเยื่อกำลังสั่นไหว ก็มีแรงสะท้อนกลับรุนแรงราวกับเนการโจมตีของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นกระจายออกมาจากเนื้อเยื่อ มันพุ่งเข้าใส่ผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ผู้กำลังตื่นตะลึง และกำลังจะขยี้แผ่นหยกเคลื่อนย้ายในมือแต่ก็พบว่าช้าเกินไป

ส่วนหวังเป่าเล่อนั้น ความตื่นตะลึงและหวาดกลัวบนใบหน้าของเขามลายหายไปสิ้นแล้ว แต่มีสีหน้าสิ้นหวังเข้ามาแทนที่ เมื่อหันกลับมอง เขาก็เห็นผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณขั้นสมบูรณ์ที่ถูกปกคลุมด้วยคลื่นพลังรุนแรงอยู่ตรงหน้า ก่อนจะทอดถอนใจอย่างมีอารมณ์

“ทำไมกัน ข้าอุตส่าห์ปล่อยเจ้าไปแล้วแท้ๆ”

“ไอ้คนชั่…” ยังไม่ทันที่ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นจะได้พูดจบ เขาก็ถูกพายุที่เกิดจากพลังสะท้อนกลับเข้าปกคลุม แขนทั้งหมดฉีกขาด ร่างกายสลายกลายเป็นฝุ่นไปในวินาทีนั้น หลงเหลือไว้เพียงกำไลคลังเวทและแผ่นหยกเคลื่อนย้ายที่หวังเป่าเล่อหยิบไปหลังจากผสานกายเข้ามาใหม่ ตอนที่ชายหนุ่มกำลังจะตรวจดูสิ่งของที่ยึดมาได้ด้วยความรื่นรมย์ใจนั้นเอง…สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไป ก่อนที่ร่างกายจะถอยหนีอย่างรวดเร็ว

หวังเป่าเล่อถอยหลังกรูด วินาทีนั้น ชายหนุ่มก็รีบเปิดเกราะจักรพรรดิออกมาห่อหุ้มกายไว้ หยิบเรือบินรบเวทออกมา แถมยังเรียกโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกามาปิดร่างกายเอาไว้ทั้งหมดเป็นครั้งแรก อาจกล่าวได้ว่า ในวินาทีนั้น ทั้งพลังปราณและทุกสิ่งทุกอย่างในกายของหวังเป่าเล่อล้วนถูกหยิบเอาออกมาใช้อย่างบ้าคลั่ง

หากไม่ใช่เพราะบทสวดแห่งเต๋าต้องใช้เวลาและไม่สามารถนำมาใช้ได้ทันท่วงที หวังเป่าเล่อก็คงตะโกนท่องมันด้วยเช่นกัน คำสาปจากหน้ากากสุกรเองก็ต้องใช้เวลา จึงยังไม่เหมาะสมที่จะใช้ตอนนี้

เหตุที่หวังเป่าเล่อบ้าคลั่งถึงเพียงนี้เป็นเพราะว่า…สัญชาติญาณและทุกอณูในร่างกายกำลังกรีดร้องว่ามีอันตรายใหญ่หลวงที่ยากเกินจะอธิบายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้!

สัมผัสอันตรายนั้นทำให้หวังเป่าเล่อตกใจและทุบแผ่นหยกเคลื่อนย้ายที่เพิ่งได้มาจากการสังหารสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นทันที

ทันทีที่หวังเป่าเล่อทุบแผ่นหยกและถอยหนีไปนั้นเอง คลื่นพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะซึ่งสั่นคลอนทั้งสวรรค์และพื้นพิภพก็แผ่ลงมา กลายเป็นกำปั้นทุบลงไปยังบริเวณที่หวังเป่าเล่ออยู่เมื่อครู่นี้

แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะรีบถอยออกมาก่อน แต่กำปั้นนั้นก็แปลกประหลาดนัก ดูราวกับว่าเมื่อมันถูกปล่อยออกมาแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องได้ปะทะเป้าหมายอย่างแน่นอน วินาทีถัดมา เงามายาของกำปั้นก็ปรากฏขึ้นและกระแทกลงบนร่างของชายหนุ่มแม้อีกฝ่ายจะหลบแล้วก็ตามที

ทันทีนั้น ตั๊กแตนเรือบินรบเวทที่เพิ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหวังเป่าเล่อ ก็ส่งเสียงร้องแหลมสูงก่อนจะปลดปล่อยพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นออกมาต้านทาน เกิดเสียงดังกระหึ่มกึกก้องไปทั่ว ตั๊กแตนเรือบินรบเวทเริ่มสั่นสะท้าน และปริแตกราวกับกำลังจะแหลกสลาย ส่งผลให้เรือบินรบเวทกว่าครึ่งเสียหาย เจ้าลาที่อยู่ภายในบ้วนเอาเลือดออกมากองใหญ่ ร่างกายของเจ้าอู๋น้อยเองก็สั่นสะเทือนเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ถึงกับกระอักเลือด แต่เด็กหนุ่มก็ยังส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างที่ไม่เคยร้องมาก่อน ในที่สุดเรือบินรบเวทที่เสียหายหนักก็ส่งเสียงร้องแหลมสูงออกมา ก่อนแปรสภาพเป็นดวงไฟเวทและกลับเข้าไปในกำไลคลังเวทของหวังเป่าเล่อ

แต่กำปั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายยังไม่หยุดเพียงแค่นั้น หลังจากที่ไล่เรือบินรบเวทไปได้ แม้ว่าพลังของมันจะลดน้อยลงบ้าง แต่ก็ยังแข็งแกร่งนัก กำปั้นนั้นพุ่งเข้ากระแทกโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของหวังเป่าเล่อเข้าอย่างจัง!

จิตสังหารถูกปลดปล่อยออกมาเต็มกำลัง โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่หวังเป่าเล่อหลอมจนถึงระดับสูงสุดสามารถต้านทานผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น หรือแม้กระทั่งชั้นกลางได้ แต่ในที่สุดมันก็ไม่แข็งแกร่งพอ และแตกสลายไปเมื่อต้องรับมือกับพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย

แต่การแตกสลายของโล่ก็ไม่ได้สูญเปล่า เพราะหลังจากนั้นพลังราวร้อยละเจ็ดสิบของกำปั้นขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายก็สะท้อนกลับไปยังกำปั้นนั้น

เสียงที่เกิดขึ้นนั้นสั่นคลอนทั้งสวรรค์และพื้นปฐพี ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นเทิ้มเมื่อกระอักเลือดออกมา เขาไม่มีเวลากระทั่งจะตรวจดูร่างกายตนเอง ทันทีที่เกราะจักรพรรดิรับเอาคลื่นพลังที่เหลือเข้าไป ร่างที่ชายหนุ่มสร้างขึ้นมาก็สลายไปด้วย เผยให้เห็นร่างเงาดั้งเดิมที่สวมหน้ากากสุกรอยู่ แต่ในวินาทีนั้นหวังเป่าเล่อก็ไม่สนใจอะไรแล้ว ชายหนุ่มใช้แรงดังกล่าวส่งตัวเองไปข้างหน้าโดยไม่หันหลังกลับมามอง ตอนนั้นเองพลังของการเคลื่อนย้ายจากแผ่นหยกก็ปรากฏขึ้น ไม่ใช่ว่าพลังการเคลื่อนย้ายเกิดขึ้นช้าแต่อย่างใด อันที่จริงการเคลื่อนย้ายนั้นเกิดขึ้นเร็วมาก จากตอนที่หวังเป่าเล่อขยี้แผ่นหยกจนกระทั่การเคลื่อนย้ายทำงานใช้เวลาไปเพียงสองลมหายใจเท่านั้น

ความจริงก็คือ…กำปั้นของจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายนั้นรวดเร็วกว่าหวังเป่าเล่อมาก!

แต่ในที่สุด หวังเป่าเล่อก็สามารถซื้อเวลาได้จากการแตกสลายของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาและการป้องกันของเรือบินรบเวท วินาทีนั้นเอง ร่างของเขาก็…ถูกเคลื่อนย้ายออกไป!

หลังจากที่ชายหนุ่มหายไป ก็มีร่างเงาหนึ่งเดินออกมาจากความว่างเปล่าบนท้องฟ้าเหนือบริเวณที่หวังเป่าเล่ออยู่เมื่อครู่ ผู้ฝึกตนคนนั้นดูละม้ายคนที่ไล่กวดร่างจำแลงบุรุษในหน้ากากกระทิงของหวังเป่าเล่อไป แต่ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง คนผู้นี้ก็คือ…ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายแห่งค่ายตระกูลไม่รู้สิ้นนั่นเอง!

สีหน้าของผู้อาวุโสน่าเกลียดน่ากลัว ขณะที่เขาก้มหน้าลงมองนิ้วชี้ในมือขวาที่หักงออยู่หลายจุด ก็เห็นว่านิ้วที่หักนั้นส่งผลกระทบกับมือทั้งมือ และในที่สุด มือขวาก็แหลกเละเป็นกองเลือดไป!

เจ้าหนุ่มนั่นมีวิชาลับซ่อนอยู่ไม่น้อย สามารถแปลงกายได้ แถมรัศมีก็ยังไม่คุ้นเคย อีกทั้ง…ยังโจมตีกลับได้อย่างรุนแรงด้วย จะปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ ไม่ได้เสียแล้ว! จิตสังหารในดวงตาของผู้อาวุโสลุกโชนขึ้น ขณะที่เขาพลิกตัวออกเดินทางตามคลื่นแทรกของการเคลื่อนย้ายไป ก่อนจะหายตัวไปในชั่วพริบตา

ปรมาจารย์แห่งไฟเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อเห็นการพลิกสถานการณ์เช่นนั้นด้วยตนเอง สายตาของชายชราก็มีประกายแสงแห่งความชื่นชมสะท้อนอยู่ภายใน

ไม่เลวเลย ตอบสนองได้เร็วดี ข้านึกว่าร่างสารัตถะของเจ้าหนุ่มนั่นจะต้องตายเสียแล้ว ไม่คิดเลยว่าเขาจะหนีออกไปได้โดยไม่ต้องใช้คำสาปเสียด้วยซ้ำ

แถมเขายังดูกล้าหาญดี…โล่ชิ้นนั้นก็น่าสนใจไม่น้อย ปรมาจารย์แห่งไฟหัวเราะและไม่คิดจะดูคนอื่นอีกต่อไป เขากินผลไม้เพลิงจนหมด แล้วหยิบลูกต่อไปออกมารอดูว่าหวังเป่าเล่อจะรอดมาได้หรือไม่

ขณะดู เขาก็เห็นหวังเป่าเล่อ ที่มาปรากฏตัวตรงจุดใดสักแห่งบนดาวเคราะห์ผ่านแผ่นหยกเคลื่อนย้าย ก็กระอักเลือดออกมากองใหญ่ แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีเวลามารู้สึกแย่กับการสูญเสีย ตอนนั้นเอง สัญชาติญาณของเขาก็บอกให้เขาใช้เวลานั้นปลดปล่อยคำสาป

แต่ใจของหวังเป่าเล่อกลับไม่อยากทำ หากเขาใช้คำสาปไปตอนนี้ ก็จะถือว่าไม่ได้ใช้มันอย่างเต็มประสิทธิภาพ อย่างดีก็เพียงแค่ซื้อเวลาก่อนที่เขาจะถูกจับตัวได้เท่านั้น แต่หากหวังเป่าเล่อใช้มันในเวลาที่เหมาะสม…มันอาจสร้างโอกาสให้เขาได้จู่โจมกลับและสังหารคู่ต่อสู้ก็เป็นได้!

บัดซบ ข้าจะไม่ใช้คำสาปเด็ดขาด ข้าจะหาโอกาสโจมตีเขาทีเผลอแล้วฆ่าเจ้าแก่ระยำนั่นเสีย! ความเกรี้ยวกราดและบ้าคลั่งปรากฏขึ้นในแววตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มแปรสภาพเป็นหมอกก่อนจะแบ่งร่างออกเป็นแปดก้อนแล้วแยกย้ายไปในแปดทิศทาง ขณะเดียวกัน มีก้อนหนึ่งแปรสภาพเป็นก้อนกรวดแล้วไปพรางตัวอยู่ระหว่างก้อนหินบนพื้น

ส่วนอีกก้อนขุดลงไปในดินแล้วมุดลงลึกไปเรื่อยๆ!

ส่วนร่างสารัตถะที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อก็กลายสภาพเป็นเม็ดฝุ่นที่ถูกสายลมพัดไปมา เขาเกาะกระแสลมลอยหนีออกไปไกล แม้จะไม่เร็วนัก แต่ชายหนุ่มก็สามารถเดินทางไปข้างหน้าได้อย่างต่อเนื่อง

ทันทีที่หวังเป่าเล่อเตรียมการสำเร็จ ก็มีคลื่นรบกวนปรากฏขึ้นตรงบริเวณที่เขาเคลื่อนย้ายมา ขณะที่รัศมีขั้นจิตวิญญาณอมตะแผ่ออกมาจากจุดนั้น ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะของตระกูลไม่รู้สิ้นก็ปรากฏตัวขึ้น ก่อนจะใช้สัมผัสเทพกวาดไปรอบข้างทันทีด้วยสีหน้าชั่วร้าย หลังจากเจอร่างเงาเจ็ดถึงแปดร่าง เขาก็กำลังจะออกตัวไล่ตามไป แต่จู่ๆ แววตาก็ทอประกายวาบขึ้นมา

เจ้าเล่ห์นักนะ! ผู้อาวุโสส่งเสียงอยู่ในลำคอก่อนจะตัดสินใจไม่ตามไปทันที แต่กลับยกขาขวาขึ้นกระทืบลงไป ทันใดนั้นผืนแผ่นดินในรัศมีสามสิบกิโลเมตรก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เขาใช้สิ่งนั้นในการจับหาคลื่นรบกวน จากนั้นผู้อาวุโสจึงแยกร่างเงาออกเจ็ดถึงแปดร่างไล่ตามรัศมีของหวังเป่าเล่อที่เขาสัมผัสได้ไป

ส่วนร่างจริงก็มุดลงไปในดิน และไล่ตามสัมผัสเทพของหวังเป่าเล่อที่กำลังขุดลึกลงไปอย่างเร่งรีบ

…………………………….

บทที่ 812 ถ่ายทอดสด!
การไล่ล่าตัวเองของหวังเป่าเล่อดำเนินต่อไปบนดาวเคราะห์ประหลาด แต่ในเวลาเดียวกัน ลึกเข้าไปในอาณาเขตกว้างไกลไร้จุดจบของจักรวาล ยังมี…ระบบดาวเคราะห์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเปลวเพลิงอยู่แห่งหนึ่ง

เขตแดนที่เวิ้งว้างของระบบดาวเคราะห์นี้น่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง มันมีขนาดใหญ่กว่าระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ถึงหนึ่งหมื่นเท่าเลยทีเดียว

ณ สถานที่นั้น มีเปลวไฟลุกไหม้ราวกับจะเผาผลาญอยู่เป็นนิจนิรันดร์ เมื่อมองออกไป จักรวารอันกว้างใหญ่ดูเหมือนเป็นทะเลเพลิง ภายในทะเลเพลิงนั้น มีดาวเคราะห์อยู่มากมายนับไม่ถ้วน มีขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกันไป แต่ก็ถูกไฟเผาไหม้อยู่ทุกดวงไม่ว่างเว้น

หากมองดูใกล้ๆ ก็จะเห็นสรรพชีวิตหลากรูปแบบอาศัยอยู่บนดาวเคราะห์ที่ลุกไหม้เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ คนธรรมดาหรือผู้ฝึกตน ต่างก็พบเห็นได้ทั่วไป บรรดาดาวเคราะห์เหล่านั้นดูครึกครื้นเป็นอย่างยิ่ง

ขณะเดียวกัน ที่จุดศูนย์กลางอันพลุกพล่านของระบบดาวเคราะห์แห่งนี้ มีภูเขาลูกหนึ่งล่องลอยอยู่ในอวกาศ ราวกับว่าทะเลเพลิงมากมายมีภูเขาลูกนี้เป็นจุดศูนย์กลาง ประหนึ่งว่าภูเขาแห่งนี้เป็นแหล่งกำเนิดของเปลวเพลิงทั้งมวล ภูเขามีสีแดงฉานราวโลหิตซึ่งทำให้ทุกคนที่มองเห็นต่างตัวสั่นด้วยความตื่นกลัว!

มีกระท่อมหลังน้อยอยู่บนยอดเขาของภูเขาลูกนี้ กระท่อมที่สร้างจากหญ้านั้นหน้าตาน่าเกลียด แต่หญ้าก็ยังมีสีเขียวสดท่ามกลางอุณหภูมิอันร้อนระอุ หญ้านั้นไม่มีทีท่าว่าจะเหี่ยวเฉาลงเลยแม้แต่น้อย ช่างเป็นปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก และภายในกระท่อมก็มีผู้อาวุโสคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่

ผู้อาวุโสผู้นี้สวมชุดคลุมสีแดงและมีผมสีแดงเพลิง แม้ว่าใบหน้าจะเหี่ยวย่น แต่ก็ยังดูแข็งแรงมาก โดยเฉพาะประกายแสงในแววตาที่ดูเหมือนสามารถทำให้จักวาลซึ่งรายล้อมอยู่ซีดจางลงได้ แม้ว่าดวงตาคู่นั้นจะเปิดอยู่เพียงครึ่งเดียวก็ตาม!

มีกระจกทองแดงบานหนึ่งตั้งอยู่ตรงหน้าของผู้อาวุโส ในกระจกสะท้อนภาพ…ดาวเคราะห์ที่หวังเป่าเล่ออยู่ เมื่อผู้อาวุโสมองเข้าไป ภาพในกระจกก็ผันเปลี่ยนอยู่เป็นนิจ ทุกครั้งที่ภาพเปลี่ยนไป ร่างเงาที่สวมหน้ากากก็จะปรากฏขึ้นมา

ร่างเงาเหล่านี้คือบรรดาผู้มาจุติ และผู้อาวุโสคนนี้ก็เป็นใครไปไม่ได้นอกจาก…ปรมาจารย์แห่งไฟ!

หน้ากากที่บรรดาผู้มาจุติ รวมทั้งหวังเป่าเล่อสวมอยู่นั้น ไม่เพียงมีพลังในการพรางตัวและคำสาบที่สามารถเสกใส่ศัตรูได้ พวกมันยังมีหน้าที่อีกสองอย่าง อย่างแรก หน้ากากจะบันทึกจำนวนของศพที่ถูกสังหาร อย่างที่สอง หน้ากากจะทำให้ปรมาจารย์แห่งไฟสามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้มาจุติทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างออกไปเพียงใดก็ตาม

และสิ่งนี้ก็เป็นเรื่องที่ปรมาจารย์แห่งไฟให้ความสนใจ ในอดีต ทุกครั้งที่ภารกิจเริ่มต้นขึ้น ปรมาจารย์แห่งไฟก็ชอบที่จะเฝ้ามองสนามรบ ราวกับว่าเขากำลังดูถ่ายทอดสดจากหน้ากากอยู่ก็ไม่ปาน ทุกครั้งที่เห็นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นตายอย่างทารุณ เขาจะรู้สึกได้ถึงความอิ่มเอมในใจ

ตอนนี้ผู้อาวุโสก็กำลังดูอยู่เช่นกัน เขาเฝ้ามองดูการถ่ายทอดสดผ่านหน้ากากทุกชิ้นด้วยความสบายใจ แต่ไม่ช้า…เมื่อกระจกสะท้อนร่างเงาของหวังเป่าเล่อขึ้นมา ปรมาจารย์แห่งไฟก็กวาดสายตาไปมองบุรุษในหน้ากากกระทิงที่วิ่งไล่หวังเป่าเล่อและหันกลับไปมองหวังเป่าเล่อ ผู้ที่กำลังร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดพลางวิ่งหนี ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

ปรมาจารย์แห่งไฟยกมือขวาแล้วสะบัดลง เพื่อเรียกดูประวัติของหวังเป่าเล่อที่หน้ากากได้บันทึกไว้ สีหน้าของปรมาจารย์แห่งไฟเริ่มบิดเบี้ยวแปลกแปร่งอย่างช้าๆ

ใช้ตนเองวิ่งไล่ตนเองเช่นนั้นหรือ น่าสนใจดี…กระบวนท่าแปลงกายนี้ก็ดูคุ้นเสียจริง…

นี่มันกระบวนท่าสารัตถะของเฉินชิงนี่ เจ้านั่นชอบแสร้งทำเป็นอ่อนวัยเสียด้วย!

เจ้าหนุ่มนี่…มีความเกี่ยวข้องกับเฉินชิงอย่างไรกัน ปรมาจารย์แห่งไฟละสายตาออกมา ชายชราไม่ชอบเฉินชิงมานานแล้ว เพราะแม้จะแก่กว่าตน แต่เฉินชิงก็ชอบปรากฏตัวในรูปโฉมของเด็กหนุ่ม แต่ปรมาจารย์แห่งไฟก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เขากลับชอบพอหวังเป่าเล่อหลังจากที่เห็นชายหนุ่มสังหารสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นไปมากมาย

ถึงจะดูเกินจริงไปสักหน่อย แต่ก็เพลินตาดี ปรมาจารย์แห่งไฟพึมพำก่อนจะตัดสินใจดูหวังเป่าเล่ออยู่คนเดียว ชายชรากะว่าจะดูเจ้าหนุ่มนี่ไปอีกสักพัก

ตอนนั้นเอง บุรุษในหน้ากากกระทิงที่หวังเป่าเล่อเสกให้ไล่กวดตนเองก็ส่งเสียงคำรามออกมา

“พ่อรูปหล่อท่านนั้น หยุดวิ่งเดี๋ยวนี้นะ!” เสียงคำรามอย่างกราดเกรี้ยวของบุรุษในหน้ากากกระทิงสะท้อนก้องไปในกระท่อมและทั่วบริเวณที่ชายชราอยู่ ประโยคนั้นทำเองใบหน้าของปรมาจารย์แห่งไฟกระตุก

รัศมีความหน้าไม่อายนี้ เหมือนของเฉินชิงไม่มีผิดเพี้ยน!

ปรมาจารย์แห่งไฟส่งเสียงอยู่ในลำคอขณะที่เฝ้าดูต่อไป หวังเป่าเล่อในภาพกำลังเร่งความเร็วอยู่กลางอากาศ ขณะที่ความรู้สึกหลากหลายพุ่งเข้ามาในใจ

ขนาดผู้ที่จะสังหารข้ายังมองเห็นว่าข้าหล่อเหลาเพียงใด ชีวิตช่างยากลำบากเสียจริง…หวังเป่าเล่อดูเหมือนจะลืมไปว่านี่เป็นการแสดงที่ตัวเขาเป็นผู้กำกับ วินาทีนั้นชายหนุ่มทุ่มเทให้กับการแสดงมาก แต่ในไม่ช้า สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย หวังเป่าเล่อมองเห็นเงาตะคุ่มๆ ของหน่วยย่อยสองหน่วยปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเบื้องหน้า ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเหตุใดหน่วยย่อยสองหน่วย ซึ่งมีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์หนึ่งคนจึงมารวมกัน แต่เขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อยก่อนจะเข้าไปหาหน่วยทั้งสองพร้อมร้องเสียงโหยหวน

“มันจะมากเกินไปแล้ว! ที่นี่เป็นอาณาเขตของตระกูลไม่รู้สิ้น แต่เจ้าก็ยังกล้าทำตัวโอหัง! ข้าจะทำลายเจ้าเสีย ทั้งร่างกายและวิญญาณเลยเชียว!”

ถ้อยคำจากปากของบุรุษในหน้ากากกระทิงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

“ไอ้เด็กบัดซบ เจ้าจบสิ้นแล้ว!”

แน่นอนว่าผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นย่อมมองเห็นการไล่ล่าระหว่างทั้งคู่ หัวหน้าหน่วยของกลุ่มนี้เป็นผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ สายตาเยือกเย็นของเขาจับจ้องมายังหวังเป่าเล่อก่อนจะมองไปทางบุรุษในหน้ากากกระทิงเบื้องหลัง ชายวัยกลางคนไม่ได้พูดอะไร และเพราะเหตุนั้น สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่นๆ จึงทำเพียงเมียงมองแต่ไม่โจมตี

แม้ว่าบุรุษในหน้ากากกระทิงจะเปลี่ยนท่าทีและหันหลังหนีไป ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ก็เพียงแค่ส่งสัญญาณให้ผู้ฝึกตนข้างกายคนหนึ่งไล่กวดไปเท่านั้น เขาไม่ใส่ใจหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย แต่กลับนำกลุ่มที่เหลือมุ่งหน้าต่อไป

ตระกูลไม่รู้สิ้นจะใจร้ายเกินไปแล้ว! หวังเป่าเล่อปวดศีรษะ ชายหนุ่มรู้ดีว่าแม้บุรุษในหน้ากากกระทิงจะดูสมจริง แต่พลังการต่อสู้ก็ไม่ได้กล้าแข็งเท่าใดนัก เขาคิดว่าคงจะต้องมีใครนึกสงสัยขึ้นมาบ้าง และการพาร่างเงามาด้วยก็รังแต่จะทำให้ผู้คนสงสัยมากขึ้น ดังนั้นหลังจากที่ทอดถอนใจอยู่ในอก หวังเป่าเล่อก็พุ่งเข้าไปหาสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นราวกับเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ

เมื่อถึงตอนนั้น ปรมาจารย์แห่งไฟก็เริ่มเบื่อหวังเป่าเล่อเลยจะเปลี่ยนไปดูคนอื่นแทน แต่ก่อนที่เขาจะได้ละสายตา หวังเป่าเล่อก็พูดขึ้น “ท่านผู้บัญชาการกองทหารขอรับ ข้ามีเรื่องจะรายงาน!”

ในกระจก ผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์หันมามองหวังเป่าเล่อเมื่อได้ยิน เขากำลังจะพูดแต่กลับหรี่ตาลงและยกแขนขวาคว้าตัวเพื่อนร่วมตระกูลไม่รู้สิ้นมาบังตนเองไว้

ทันทีที่เขาทำเช่นนั้น ร่างของหวังเป่าเล่อก็ระเบิดออกมาเป็นหมอกควันหนาก้อนใหญ่ที่แพร่กระจายไปทั่วอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มเข้าปกคลุมกลุ่มผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นทันที แต่ผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ก็รับมือได้ทันท่วงที เขาใช้ผู้ฝึกตนข้างกายเป็นโล่และส่งพลังปราณของตนเข้าไปในโล่ ทำให้ร่างนั้นระเบิด พลางใช้แรงระเบิดดันตัวเองให้ถอยออกมาไกลก่อนจะถูกหวังเป่าเล่อดูดกินเข้าไป!

“เจ้าเป็นใคร!” ขณะที่ถอยหลังไปนั้น จิตสังหารก็ปรากฏขึ้นในแววตาของผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ เขาสร้างผนึกฝ่ามือด้วยแขนทั้งหก จนเกิดเป็นตัวอักขระสีทองหลายชั้นที่รวมกันเป็นวงแหวน ชั้นวงแหวนเหล่านั้นส่องสว่างออกมานอกกาย ก่อนจะหมุนวนอย่างรวดเร็วจนสั่นสะเทือน

เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อต้องพบสถานการณ์เช่นนี้จากการลอบโจมตีหลายต่อหลายครั้งตั้งแต่มาถึงดาวเคราะห์ดวงนี้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่หยุด หมอกนั้นควบตัวกลายเป็นศีรษะขนาดยักษ์อย่างรวดเร็วพลางส่งเสียงคำรามออกมา

“ข้าคือบิดาเจ้า!” คลื่นพลังที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมาเทียบเท่าขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายเท่านั้น แต่มันกลับมีพลังกดดันเท่าขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น ชายหนุ่มรีบพุ่งเข้าไปใส่ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ที่กำลังล่าถอยทันที

ผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์มีแววตาประหลาดใจ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นหยิบแผ่นหยกและปล่อยตัวอักขระเคลื่อนย้ายออกมา เขากำลังจะทุบมัน แต่ตอนนั้นเองดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ส่องประกายขึ้นมา ชายหนุ่มรีบวิเคราะห์สถานการณ์ก่อนจะสรุปได้ว่า เขาไม่มีวิธีที่จะหยุดการเคลื่อนย้ายของอีกฝ่ายนอกจากจะใช้เรือบินรบเวทเท่านั้น ศีรษะที่เกิดจากหมอกจึงรีบเปลี่ยนทิศหนีอย่างรวดเร็วก่อนที่แผ่นหยกจะปลดปล่อยพลังขั้นสูงสุดของมันออกมา

ภาพนั้นทำเอาผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์งุนงงไป และทำให้ดวงตาของปรมาจารย์แห่งไฟส่องประกายกล้าขณะจ้องมองการถ่ายทอดสดอยู่ โดยเฉพาะตอนที่หวังเป่าเล่อหนี ชายหนุ่มยังปล่อยพลังรัศมีอันรุนแรงที่ทำให้ผู้คนเข้าใจว่าเขาทรงพลังออกมา เหมือนกับว่าเขาไม่ต้องการจะให้ใครสงสัยในพลังของตัวเอง

ทว่า…ยิ่งชายหนุ่มทำเช่นนั้น ผู้คนก็ยิ่งสงสัยว่าหวังเป่าเล่อจงใจแสดงพลังออกมาโดยไม่ระวังตัวหรือกำลังพยายามปกปิดสิ่งใดกันแน่ ผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ก็เริ่มรู้สึกเช่นเดียวกัน ปฏิกิริยาแรกของเขาคือสงสัยว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล ชายวัยกลางคนเริ่มคิดใคร่ครวญอยู่ในใจว่าควรจะเคลื่อนย้ายหนีไปหรือ…ติดตามไปสังหารหวังเป่าเล่อเสีย

หากเขาไล่ตามไปก็กลัวว่าจะติดกับ แต่หากไม่ตาม เขาก็คงไม่อาจให้อภัยตนเองที่ปล่อยโอกาสในการสร้างความดีความชอบให้กับตระกูลหลุดมือไป และตามการคาดคะเนแล้ว หวังเป่าเล่อต้องอ่อนแอกว่าเขาเป็นแน่ หาไม่แล้ว ชายหนุ่มคงไม่เลือกจะลอบสังหารพวกตนเช่นเมื่อครู่แน่

ขณะที่ความคิดสองกระแสยังตีกันอยู่ในใจ เงาของหวังเป่าเล่อก็กำลังจะหลบหนีไป แต่คลื่นพลังที่ปล่อยออกมากลับไม่ได้ลดลงเลย ยิ่งชายหนุ่มกลัวว่าจะถูกไล่ตาม พลังที่ปล่อยออกมาก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้น เมื่อเห็นเช่นนั้น ประกายเยือกเย็นก็ปรากฏขึ้นในแววตาของผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์

“หยุดเสแสร้งได้แล้ว!” พูดจบ ผู้ฝึกตนวัยกลางคนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ก็ตัดสินใจไล่ตามไป

เมื่อเห็นว่าสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นตัดสินใจไล่กวดหวังเป่าเล่อ ปรมาจารย์แห่งไฟผู้ที่กำลังดูถ่ายทอดสดอยู่ ก็ยกมือขวาขึ้นสะบัดลงอีกครั้ง เขาหยิบผลไม้เพลิงออกมาเคี้ยวกินขณะเฝ้าดูต่อไปด้วยใจระทึก

บทที่ 811 ทุกอย่างเป็นเรื่องเสแสร้ง!
คำพูดของหวังเป่าเล่อทำให้ใครๆ ต่างก็พากันจ้องมองเขาอย่างชื่นชม ก่อนที่ทั้งกลุ่มจะพากันไปค้นหาบริเวณนั้นอย่างทั่วถึง แม้ว่าพวกเขาจะไม่พบอะไรมากนัก แต่ความใส่ใจรายละเอียดของหวังเป่าเล่อก็ทำให้หัวหน้าหน่วยถึงกับพยักหน้าชื่นชม

การค้นหาเช่นเดียวกันนี้เกิดขึ้นทั่วค่าย กระทั่งผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ยังมาปรากฏตัวเพื่อช่วยค้นหา อันที่จริงแล้ว ดวงจิตของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะก็อยู่ที่นี่ด้วยตลอดเวลา และกวาดตาตรวจดูทั้งค่ายอยู่ไปมาเพื่อหาร่องรอยของผู้บุกรุก!

แต่ไม่ใช่แค่การจู่โจมของหวังเป่าเล่อที่รวดเร็ว แต่ชายหนุ่มยังมีทักษะการแปลงกายของกระบวนท่าสารัตถะด้วย แม้เขาจะทิ้งเบาะแสเอาไว้บ้างก็ตาม แต่แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเจอตัวชายหนุ่มได้ในระยะเวลาอันสั้น

หวังเป่าเล่อไม่ได้กังวลเรื่องนี้แม้แต่น้อย เขาคิดมาแล้วทั้งหมดก่อนจะมาที่นี่ ชายหนุ่มเชื่อว่าแม้ว่าค่ายจะถูกปิดตาย แต่ก็คงทำได้ไม่นาน เพราะว่า…จะมีสิ่งอื่นที่มาดึงดูดความสนใจของตระกูลไม่รู้สิ้นไป จากนั้นพวกเขาก็จะต้องแบ่งกำลังไปดูและอาจถึงขั้นเปลี่ยนเป้าหมายไปเลยก็เป็นได้

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หนึ่งชั่วโมงหลังจากที่ค่ายถูกปิดตาย ก็มีการส่งข้อมูลจากโลกภายนอกเข้ามาถึงค่าย ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะและบรรดาหัวหน้าหน่วยต่างๆ ต่างได้รับรู้เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง!

มีผู้มาจุติจากนอกโลกที่ทรงพลังมากเดินทางมายังดาวเคราะห์ดวงนี้ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น แต่ข้อมูลของกลุ่มผู้มาจุติ รวมถึงข้อเท็จจริงที่ว่าทุกคนล้วนสวมหน้ากากทั้งสิ้น ทำให้เหล่าผู้แข็งแกร่งในตระกูลไม่รู้สิ้นหลายคนพากันคิดถึงเรื่องเดียว…ปรมาจารย์แห่งไฟ!

“ทุกคนล้วนสวมหน้ากาก และจุติตามๆ กันมา…”

“ฝีมือปรมาจารย์แห่งไฟแน่นอน!”

“บัดซบ ทำไมปรมาจารย์แห่งไฟถึงต้องเลือกโจมตีที่นี่ด้วย!”

ยิ่งข้อมูลแพร่กระจายออกไปเท่าใด ความวุ่นวายก็ตามมามากเท่านั้น ตระกูลไม่รู้สิ้นไม่ได้เกรงกลัวการจู่โจมเท่าใดนัก แต่เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับปรมาจารย์แห่งไฟ ทำให้พวกเขาหลายคนนึกย้อนไปถึงข่าวลือที่เคยได้ฟังมาก่อนหน้า

หวังเป่าเล่อเริ่มหูผึ่ง จึงเดินถามไถ่ข้อมูลไปทั่ว หลังจากที่ได้คำตอบ ชายหนุ่มก็ทำท่าตื่นตกใจก่อนจะตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดไปยังผู้คนที่อยู่รายล้อม

เมื่อค่ายทหารทั้งค่ายตกอยู่ในความโกลาหลเพราะการลอบโจมตี ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจากครอบวงกลมที่เก้าจึงปรากฏกายขึ้นมา เขาช่างดูผ่ายผอมและแก่ชรา แต่ประกายในแววตานั้นช่างเยือกเย็น ร่างกายที่เหี่ยวย่นทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงกลิ่นแห่งความตายที่โชยออกมาจากร่าง แต่หากมองดูดีๆ ก็จะเห็นได้ว่ามีพลังน่าสะพรึงกลัวอยู่ในร่างนั้น ซึ่งเมื่อปลดปล่อยออกมา ก็จะสามารถหยุดการเคลื่อนไหวและสังหารทุกๆ สิ่งรอบกายได้ทันที

น้ำเสียงของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่เต็มไปความเกลียดชังสะท้อนก้องไปทั่ว

“ในเมื่อมีผู้มาจุติบางคนมาถึงแล้ว เราก็จะกักพวกเขาเอาไว้ที่นี่ จงส่งกลุ่มค้นหาออกไปค้นให้ทั่วดาวเคราะห์นี้ หากพวกเจ้าสังหารผู้มาจุติได้ ข้าจะเป็นคนจดความดีความชอบของพวกเจ้าเอาไว้ และแจ้งให้ผู้บัญชาการกองทหารปูนบำเหน็จให้อย่างหนัก!”

ขณะที่ชายชรากำลังพูดอยู่นั้น ก็มีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลายกระโจนออกไปไกลด้วยการพลิกกายเพียงครั้งเดียว ราวกับว่าเขากำลังเข้าร่วมการค้นหาด้วยตนเองกระนั้น ในขณะเดียวกัน ผู้บัญชาการของทุกๆ กองทหารก็ออกคำสั่งออกไปเช่นกัน พวกเขาแบ่งดาวเคราะห์ออกเป็นส่วนๆ และส่งหน่วยย่อยไปค้นหาทันที

หวังเป่าเล่อเองก็อยู่ในกลุ่มค้นหาเช่นกัน ชายหนุ่มติดตามหน่วยย่อยออกจากค่ายไป ทุกคนต่างก็เริ่มเร่งความเร็วและมุ่งหน้าไปยังจุดหมาย

เมื่อหน่วยย่อยกระจายตัวกันออกไปแล้ว ค่ายทหารก็เงียบสงบลง ไม่มีใครสังเกตเห็นคลื่นรบกวนที่สะท้อนแสงเรืองเรื่ออยู่ในอากาศ ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่เหมือนว่าพุ่งตัวออกไปแล้วกลับแปรสภาพเป็นร่างเงาอีกครั้ง เขาตรวจสอบค่ายที่ว่างเปล่าซ้ำอีกหนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด สุดท้ายความเคลือบแคลงใจและสับสนที่ปรากฏขึ้นบนแววตา

ข้าแน่ใจว่าผู้ที่ลอบสังหารทหารในค่ายเป็นหนึ่งในผู้บุกรุกไม่ผิดแน่ ทั้งยังรู้อีกว่าพวกมันมีจำนวนเพียงหยิบมือ…แถมเป็นไปได้มากว่ามีเพียงคนเดียวด้วยซ้ำ!

ทว่า…คนผู้นี้ได้จากไปแล้ว ถ้าไม่เช่นนั้น…เขาก็ต้องมีวิธีการพิเศษในการซ่อนรัศมีของตนเอง ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะของตระกูลไม่รู้สิ้นทอดถอนใจก่อนจะขมวดคิ้วที่อยู่บนศีรษะทั้งสามพร้อมๆ กัน เขาจ้องมองไปยังผืนดิน อ้าปากคล้ายจะพูด ก่อนจะหยุดตนเองไว้แล้วโคลงศีรษะเบาๆ แทน

หากข้าไปรบกวนท่านผู้บัญชาการกองทัพ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการฝึกปราณเพราะเรื่องนี้…เขาจะต้องไม่พอใจมากเป็นแน่ และหากพูดกันตามจริง บรรดาผู้บุกรุกที่ปรมาจารย์แห่งไฟส่งมาก็จะอยู่โจมตีเราเพียง 24 ชั่วโมงเท่านั้น… ผู้อาวุโสขั้นจิตวิญญาณอมตะเงียบงันไป คนอื่นๆ ต่างก็คิดว่าผู้บัญชาการกองทัพ ผู้ซึ่งมีพลังระดับดาวพระเคราะห์ได้จากไปแล้ว แต่อันที่จริง ผู้อาวุโสรู้แน่แก่ใจว่าผู้บัญชาการกองทัพไม่ได้จากไปไหน เขากำลังทำธุระที่สำคัญยิ่งบางประการอยู่ต่างหาก

หลังจากคิดอย่างถ้วนถี่ ผู้อาวุโสก็ละสายตาออกมา พลางตัดสินใจว่าจะไม่ไปรบกวนผู้บัญชาการกองทหาร เพราะอย่างไรเสียเวลา 24 ชั่วโมง…ก็ย่อมผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ผู้อาวุโสก็พลิกกายพุ่งตัวออกจากค่ายทหารเพื่อไปร่วมการค้นหาด้วย

แม้จะรู้ว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงภายใน 24 ชั่วโมงเป็นอย่างช้า แต่ผู้อาวุโสก็ยังเกลียดขี้หน้าบรรดาผู้บุกรุกที่มาหยามตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่นั่นเอง หากพวกเขาไม่มาท้าทายด้วยการลอบสังหาร ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามปกติ และผู้อาวุโสก็ไม่ต้องใส่ใจอะไร แต่เมื่อบรรดาผู้มาจุติเข้ามาสังหารสมาชิกถึงในค่าย การค้นหาและสังหารผู้มาจุติเหล่านี้ไม่เพียงจะช่วยระงับโทสะในใจผู้อาวุโสเท่านั้น แต่ยังถือเป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่ต่อตระกูลไม่รู้สิ้นอีกด้วย

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ผู้อาวุโสก็เร่งฝีเท้าขึ้นอีก ในขณะเดียวกัน บรรดาผู้มาจุติที่ไม่รู้ว่ามีคนมาแหย่รังแตนเอาไว้ก่อนหน้า ต่างก็กระจายตัวกันออกตามหาเป้าหมาย แต่ในไม่ช้า พวกเขาก็เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

ประหลาดนัก ประชากรดาวเคราะห์ดวงนี้ตายไปแล้วเป็นส่วนใหญ่ หากคิดตามหลักความเป็นจริง ก็ไม่ควรมีสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นออกมาเพ่นพ่านมากนัก

หรือว่า ที่นี่จะมีฝ่ายต่อต้านที่เข้มแข็งอยู่กันแน่

มีผู้บุกรุกบางคนที่ซ่อนตัวอยู่กำลังออกไล่ล่าสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ตัวคนเดียว เมื่อพวกเขามองขึ้นไปบนฟ้า ก็เห็นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นจำนวนมากพุ่งผ่านไป ทำเอาขนหัวลุกซู่และตกใจจนตัวชา

ขณะที่บรรดาผู้มาจุติกำลังเป็นกังวล หวังเป่าเล่อก็ติดตามหน่วยย่อยหนึ่งของกองทหารที่สามไป ชายหนุ่มพูดคุยซุบซิบอยู่กับสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ข้างกาย

เขาพูดภาษาของสำนักแห่งความมืดได้อย่างคล่องแคล่ว บรรดาสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่นๆ ต่างก็ไม่ได้ติดใจสงสัยเมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อพูด ชายหนุ่มสัมผัสถึงระบบอาวุโสในตระกูลไม่รู้สิ้นผ่านการพูดคุยนี้ แม้ว่าจะพูดคุยกับหวังเป่าเล่อผู้ซึ่งมีระดับปราณต่ำที่สุดในกลุ่มอยู่ไม่ขาด แต่ประกายเย็นเยียบในแววตาของพวกเขาก็มองเห็นได้อย่างชัดเจน

คล้ายกับเป็นสัญชาติญาณก็ว่าได้ หากระดับปราณไม่เพียงพอ สถานะก็ย่อมไม่ถึงด้วยเช่นกัน สิ่งนี้ยิ่งมองเห็นได้ชัดเจนจากการกระทำของผู้นำหน่วยย่อย เขาไม่ใส่ใจลูกน้องแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้คิดใส่ใจเช่นกัน พวกเขาเดินทางมาพักหนึ่งแล้ว และชายหนุ่มก็รู้สึกว่าเวลานี้เหมาะสมดี หลังจากที่หันรีหันขวางอยู่ชั่วขณะ กายของหวังเป่าเล่อก็ระเบิดขึ้นอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง!

เขากลายเป็นหมอกหนาที่เข้าปกคลุมทุกคนไว้อย่างรวดเร็วจนเหลือเชื่อ ไม่ให้เวลาสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นรอบข้างได้ตั้งตัวทัน ไม่มีเสียงร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดหรือการดิ้นรน ทั้งหมดจบลงในเวลาไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น ในชั่ววินาทีต่อมา…เมื่อหมอกกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ก็ไม่มีใครเห็นศพของสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นเหล่านี้อีกต่อไป แต่หลังจากที่หมอกรวมตัวกันเป็นรูปร่างแล้ว หวังเป่าเล่อก็แปรสภาพไปเป็นสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นอีกคนหนึ่ง

เมื่อสัมผัสได้ถึงเจตจำนงของวิชาดวงเนตรปีศาจที่เริ่มแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้งภายในกาย และกำลังจะส่งเสียงกรีดร้องออกมา หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลง ร่างกายพลันแปรเปลี่ยนไป หัวของเขาหายไปหัวหนึ่ง แขนอีกข้างก็หัก ทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนกำลังบาดเจ็บสาหัส จากนั้นเขาก็ออกตัวพุ่งไปข้างหน้า โดยหันกลับมามองข้างหลังด้วยสีหน้าท่าทางโกรธเกรี้ยวและตื่นกลัว ราวกับว่ามีใครสักคนไล่กวดมาหมายจะเอาชีวิตเขากระนั้น

เขาแสดงบทบาทเช่นนี้มาเนิ่นนาน ทำให้ชินชาจนเล่นได้สมจริงยิ่ง ชายหนุ่มไม่สนใจว่าเบื้องหลังตนจะมีใครตามมาหรือไม่ เขาบ้วนเลือดออกจากปากเป็นครั้งคราว จนแล้วจนรอด ชายหนุ่มก็ยังรู้สึกว่าการแสดงนี้ไม่สมจริง จึงแบ่งส่วนหนึ่งของพลังสารัตถะออกมาสร้างเป็นร่างเงาด้านหลังตนเอง

ร่างเงานั้นสวมหน้ากากกระทิงคนผู้นี้ก็คือบุรุษผู้หยิ่งยโสก่อนหน้านี้นั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้…หวังเป่าเล่อก็เริ่มวิ่งไล่ตนเอง 20 นาทีผ่านไป เขาก็พบหน่วยย่อยอีกหน่วยหนึ่งในที่สุด

“ทุกคน โปรดระวังตัวด้วย พวกเราถูกผู้มาจุติซุ่มโจมตี หัวหน้าหน่วยเสียชีวิตระหว่างการต่อสู้ ส่วนที่เหลือถ้าไม่ตายก็หนีกระจัดกระจาย ผู้บุกรุกที่ใส่หน้ากากกระทิงด้านหลังข้าไล่กวดข้ามาเป็นนานสองนานแล้ว!” หวังเป่าเล่อพูดด้วยน้ำเสียงน่าสงสารแล้วกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ขณะที่กำลังมุ่งหน้าเข้าไปหาหน่วยย่อย

ตอนนั้นเองเมื่อสมาชิกของหน่วยย่อยมองมาด้วยสายตาเยือกเย็น บุรุษในหน้ากากกระทิงที่หวังเป่าเล่อเสกออกมาก็เปลี่ยนท่าที ก่อนจะหยุดการวิ่งไล่ แล้วหันหลังวิ่งหนีแทน

ถึงจะไม่วิ่งหนีก็คงไม่เป็นไร กลุ่มผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นอาจจะสงสัยบ้าง แต่เมื่อเห็นอีกฝ่ายวิ่งหนี ประกายแสงก็สะท้อนขึ้นในตาของหมู่ผู้ฝึกตนกลุ่มนั้น หัวหน้าหน่วยไม่ได้มองหวังเป่าเล่อด้วยซ้ำขณะที่นำลูกน้องวิ่งตามไป

เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้หวังเป่าเล่อ ร่างของชายหนุ่มก็ระเบิดขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะสลายกลายเป็นหมอกและแพร่ไปทั่วอย่างรวดเร็ว เข้าครอบคลุมทุกคนในพริบตาราวกับว่าจะดูดกลืนเข้าไปกระนั้น

วินาทีถัดมา หวังเป่าเล่อกับร่างใหม่ก็เลียริมฝีปาก ก่อนจะส่งเสียงร้องโหยหวน กระอักเลือก แล้ววิ่งหนีต่อไป

“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยข้าด้วย…”

ด้านหลังเขา บุรุษหน้ากากกระทิงส่งเสียงหัวเราะชั่วร้ายและวิ่งไล่กวดมาตามการควบคุมของหวังเป่าเล่อนั่นเอง…

……………………….

บทที่ 810 ตกปลาน้ำขุ่น!
ท้องฟ้าสีแดงฉานลอยอยู่เหนือศีรษะ ผืนทรายสีขาวรองอยู่ใต้เท้า ขณะที่หวังเป่าเล่อซึ่งปลอมตัวเป็นหัวหน้ากลุ่มตระกูลไม่รู้สิ้นพุ่งทะยานไปข้างหน้า ชายหนุ่มพุ่งตรงไปอย่างมั่นใจ ทะลุกำแพงเสียงหลายต่อหลายครั้งและทิ้งไว้เพียงเสียงดังสนั่นในทุกๆ แห่งที่ผ่าน ความเร็วของหวังเป่าเล่อพุ่งสูงขึ้นอีกเมื่อเข้าใกล้ค่ายทหาร

ชายหนุ่มอยู่ห่างจากค่ายทหหารไปราวสิบห้านาทีเมื่อกลุ่มนักรบตระกูลไม่รู้สิ้นปรากฏตัวขึ้นต่อหน้า คนพวกนั้นหยุดทันทีเมื่อมองเห็นหวังเป่าเล่อ หลังจากที่มองดูชายหนุ่มและเห็นว่าเป็นเพื่อนนักรบด้วยกัน พวกเขาก็พากันประสานมือคารวะ

หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบ พวกเขาอยู่ใกล้ค่ายมากเกินไป แม้ว่าจุดประสงค์หลักของเขาคือสังหารผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นเหล่านี้ แต่ก็น่าจะดีกว่าหากเริ่มต้นสังหารตอนที่เข้าไปอยู่ในค่ายแล้ว หวังเป่าเล่อสามารถใช้กระบวนท่าสารัตถะปกปิดตัวตนที่แท้จริงได้ แต่หากโจมตีตอนนี้ อาจทำให้เกิดการสืบสวนโดยไม่จำเป็นได้

หวังเป่าเล่อควบคุมจิตสังหารของตนเอง ก่อนจะส่งสายตาเยือกเย็นไปให้กลุ่มนั้น แล้วพุ่งผ่านไปอย่างไม่ใยดี

พวกนั้นไม่ใช่กลุ่มผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นกลุ่มเดียวที่หวังเป่าเล่อพบระหว่างทางมาค่าย ชายหนุ่มพบกลุ่มเช่นนี้อีกราวเจ็ดถึงแปดกลุ่มภายในระยะเวลาสิบห้านาที กลุ่มแรกๆ ต่างพากันทักทายเมื่อเห็นเขา แต่กลุ่มที่เหลือต่างก็เมินเขาเสีย

หวังเป่าเล่อไม่คิดโจมตีใคร เอาแต่มุ่งหน้าต่อไปตามความทรงจำที่ได้รับมาจากการค้นวิญญาณ จนในที่สุด ค่ายก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา!

ค่ายของตระกูลไม่รู้สิ้นดูมีเอกลักษณ์ เหนือค่ายมีครอบวงกลมขนาดใหญ่อยู่ถึงเก้าอันที่ส่องแสงสีดำสนิทออกมา หากมองจากไกลๆ พวกมันดูเหมือนหลุมดำทั้งเก้าที่ดูดแสงซึ่งรายล้อมอยู่เข้าไป

จากความทรงจำที่ได้รับมา มีมิติทั้งเก้าแยกอยู่ในครอบทรงกลมเหล่านี้…หวังเป่าเล่อหรี่ตาขณะมองผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นเดินทางเข้าออกครอบวงกลมทั้งเก้านั้น ชายหนุ่มเพ่งสมาธิไปยังครอบวงกลมที่อยู่สูงสุด เขาสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณจางๆ ที่ออกมาจากครอบวงกลมนั้น

หวังเป่าเล่อรีบถอนสายตาออกมาอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งตรงไปหาครอบวงกลมที่ห้า ซึ่งเป็นที่ตั้งสาขาของหัวหน้ากลุ่มผู้ล่วงลับ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังก้าวเข้าไปในครอบวงกลม พลังจากวงแหวนปราณก็หมุนวนก่อนจะพัดผ่านกายเขาไปราวกับเป็นการตรวจสอบตราประจำตัวและรัศมีวิญญาณของเขา เมื่อตรวจสอบเสร็จพลังจากวงแหวนปราณก็ถอยหลังกลับไป หวังเป่าเล่อผ่านการตรวจสอบมาได้

กระบวนท่าสารัตถะของศิษย์พี่ช่างมีประโยชน์เสียจริง หวังเป่าเล่อนึกขอบคุณขณะก้าวเข้าไปในมิติด้านในครอบวงกลม ผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ซึ่งรายล้อมไปด้วยภูเขาปรากฏขึ้นสู่คลองจักษุ มิติแห่งนี้ไม่มีดวงอาทิตย์ แต่ผืนแผ่นดินก็ไม่ได้จมอยู่ในความมืดมิด ดูเหมือนว่าท้องฟ้าจะส่องแสงเรืองรองออกมา ห้องโถงที่สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ ปรากฏแซมอยู่ในทิวเขา เหมือนว่าจะมีเหตุผลที่ไปสร้างอยู่ในบริเวณนั้น เสียงตะโกนและเสียงโห่ร้องดังก้องมาจากโถงเหล่านั้นอยู่ประปราย

มีกองทัพเก้ากองประจำอยู่ในค่ายตระกูลไม่รู้สิ้นนี้ แต่ละมิติจะมีกองทัพตั้งอยู่หนึ่งกอง ในหนึ่งกองทัพแบ่งออกเป็นหนึ่งร้อยหน่วย และทุกๆ หน่วยมีโถงของตนเองเอาไว้ใช้เป็นฐาน หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ขณะจ้องมองภาพตรงหน้าและคาดเดาสถานการณ์อย่างเงียบเชียบ ขณะนี้ชายหนุ่มขโมยหน้าตาของหัวหน้าหน่วยผู้ล่วงลับซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพที่ห้ามาใช้ หัวหน้าหน่วยคนนี้มีผลงานดี และดูเหมือนจะเป็นหนึ่งในสิบผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในกองทัพที่ห้าอีกด้วย นั่นคือเหตุผลว่าเหตุใดผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นบางคนจึงทักทายเขาด้วยความเคารพระหว่างทาง

หากเป็นเช่นนั้น…ก็เริ่มจากกองทัพที่ห้าก็แล้วกัน! ประกายเย็นยะเยือกสะท้อนอยู่ในแววตาของหวังเป่าเล่อ รูปลักษณ์ภายนอกของชายหนุ่มเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเมื่อเขาออกตัวพุ่งไปข้างหน้า ชายหนุ่มแปลงกายเป็นยุงอย่างรวดเร็วก่อนที่ใครจะมองเห็นและบินเข้าไปในโถงใกล้ๆ

หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงหัวเราะดังแว่วมาเมื่อเข้ามาในโถง ในนี้มีสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่นับสิบคนกำลังยืนล้อมวงหัวเราะกันอยู่ ภายในวงกลมมีผู้ฝึกตนพื้นเมืองที่บาดเจ็บยืนอยู่สองคน นัยน์ตาของพวกเขาแดงก่ำ ขณะที่กำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือดราวกับเป็นอสูรร้ายในกรงขัง

ภาพนั้นไม่ได้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเห็นอกเห็นใจแต่อย่างใด ชายหนุ่มไม่ใช่คนใจดีหรือเห็นใจผู้อื่น ที่นี่ไม่ใช่สหพันธรัฐ เขาไม่ได้รู้สึกว่าตนเองมีหน้าที่ต้องปกป้องโลกนี้หรือคนของที่นี่แม้แต่น้อย จิตสังหารในแววตาของหวังเป่าเล่อแรงกล้าขึ้นระดับหนึ่ง ชายหนุ่มพุ่งตัวไปที่กลุ่มคนก่อนจะแทรกตัวเข้าไปในหูของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นคนหนึ่งอย่างรวดเร็ว อึดใจถัดมาเขาก็พุ่งออกมาจากหูอีกด้าน มีหมอกโลหิตจางๆ ลอยตามหลังมาเมื่อชายหนุ่มพุ่งไปหาเหยื่อคนต่อไป

หวังเป่าเล่อรวดเร็วเกินไป ก่อนที่ผู้ฝึกตนที่สู้กันอยู่ทั้งสองจะรู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นรอบกายพวกเขาก็ตัวสั่นเทา ทุกคนเลือดออกจากหู นัยน์ตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึงและสับสน หลังจากนั้นร่างกายของพวกเขาก็เหี่ยวแห้งลงไปอย่างรวดเร็วต่อหน้าต่อตาคนทั้งสอง ก่อนที่จะล้มลงกับพื้น เนื้อตัวแห้งเหือดไปจนหมด

มีพลังที่มองไปเห็นกวาดไปทั่วร่างคนเหล่านั้นตอนที่ล้มลง และทุบศพจนแหลกเป็นฝุ่นผงกระจายไปทั่วพื้นห้องโถง

ผู้ฝึกตนพื้นเมืองทั้งสองถึงกับตื่นตะลึง ก่อนจะยืนนิ่งจ้องมองภาพนั้นอยู่เป็นนาน ไม่นานนักพวกเขาก็หน้ามืดเป็นลมไป

หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นข้างๆ ร่างไร้สติของทั้งคู่ ก่อนจะรีบแปรสภาพเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่เขาเพิ่งสังหารไป ชายหนุ่มจัดแจงเสื้อผ้า แล้วเดินอาดๆ ออกจากโถง มุ่งหน้าไปยังโถงต่อไป

ฆ่า เก็บกวาด เริ่มต้นใหม่ ด้วยระดับปราณของหวังเป่าเล่อและพลังการจำแลงกายของกระบวนท่าสารัตถะ ทำให้ชายหนุ่มสังหารผู้ฝึกตนไปหลายสิบโถงในเวลาเพียงครึ่งชั่วโมง มีผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่ถูกเขาฆ่าตายอยู่เกลื่อนไปหมด หลังจากจบกับโถงหนึ่ง ชายหนุ่มก็จะแปลงร่างเป็นผู้ฝึกตนอีกคน ก่อนจะเริ่มใหม่อีกครั้ง

การสังหารอย่างต่อเนื่องนี้ทำเอาดวงตาปีศาจถึงกับงุ่นง่าน มันแผ่รัศมีความหิวกระหายออกมาอย่างรุนแรง หวังเป่าเล่อเองก็ไม่ได้พยายามทัดทานแม้แต่น้อย ชายหนุ่มต้องการคงพลังและความเร่าร้อนของมันไว้เช่นนี้ เขาต้องการเช่นนี้…เพื่อจะให้ระดับปราณรุดหน้าอย่างก้าวกระโดดจนบรรลุไปยังขั้นต่อไปในเร็ววัน

แต่หวังเป่าเล่อก็รู้ว่าการสังหารหมู่ระดับมโหฬารเช่นนี้ย่อมทำให้เขาความแตกเร็วขึ้น และง่ายต่อการที่จะติดตามตัวและหาตำแหน่งเขาจนพบ ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงรีบแปรสภาพเป็นคนอื่น ก่อนจะหนีออกจากครอบวงกลมเดิมแล้วมุ่งหน้าสู่ครอบวงกลมถัดไป

วันเวลาแห่งความสุขของตระกูลไม่รู้สิ้นคงจะยาวนานเกินไป อาจเพราะไม่มีผู้ใดกล้าท้าทาย หรือเพราะผู้ที่กล้าแข็งขืนบนแผ่นดินนี้ถูกทำลายไปจนสิ้นแล้ว แต่ไม่ว่าเหตุผลจะคืออะไร การไร้ซึ่งอันตรายก็ทำให้ค่ายตระกูลไม่รู้สิ้นตอบสนองกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นช้าเกินการณ์ไปมาก สองชั่วโมงผ่านไป หลังจากที่หวังเป่าเล่อสังหารกองทัพไปหลายหน่วย ถึงมีคนรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล

มีการสืบสวนขึ้นทันที ตามมาด้วยการตอบสนองอย่างรวดเร็ว ค่ายทั้งค่ายเริ่มลุกฮือ มีเสียงสัญญาณเตือนภัยดังลั่นอยู่ในอากาศ ทำให้ผู้ฝึกตนทุกคนถึงกับตื่นตะลึง ข่าวที่ว่ามีผู้บุกรุกลอบเข้ามาสังหารนักรบไปมากมายกระจายไปราวกับไฟลามทุ่ง

ตอนที่ข่าวแพร่ออกไป หวังเป่าเล่อกำลังอยู่ในร่างผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณของกองทัพที่สาม เขาอยู่ระหว่างการเดินทางกลับไปยังโถงของตน ทันทีที่ชายหนุ่มก้าวเข้าไปข้างใน เขาก็มองเห็นสีหน้าขึงขังของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่ภายใน ใครบางคนกำลังละล่ำละลักออกมาด้วยความเร็วสูง

“มีผู้บุกรุกเข้ามาในค่ายของเรา ฆ่าคนของเราตายเป็นเบือ!”

“เป็นไปได้อย่างไรกัน วงแหวนปราณของค่ายจับสัญญาณการบุกรุกไม่ได้เลยด้วยซ้ำ!”

หวังเป่าเล่อได้ยินและสัมผัสได้ว่าแผ่นหยกสื่อสารจำนวนมากเริ่มสั่นไหว ชายหนุ่มแสร้งทำสีหน้าตื่นตกใจ ก่อนหยิบแผ่นหยกสื่อสารออกมา และทำเป็นว่าแผ่นหยกของเขาก็สั่นเช่นกัน หวังเป่าเล่อแสร้งส่งเสียงงุนงงและทำหน้าตาโกรธจัดก่อนจะตะโกนพูดกับสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่รอบตัว “ข้าก็ได้รับข้อความเช่นกัน บัดซบ เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน ไอ้โง่หน้าไหนบังอาจทำเรื่องเช่นนี้ได้ อาจจะเป็นพวกผู้รอดชีวิตต้องสาปกระมัง พวกมันกล้าดีอย่างไรมาลบหลู่ตระกูลไม่รู้สิ้นเช่นนี้!”

ผู้ฝึกตนคนอื่นที่มีระดับเท่าๆ กันไม่ได้สงสัยอะไร พลางพูดคุยกันอยู่ไปมาด้วยความตื่นตกใจ แต่เจ้าพนักงานประจำโถงซึ่งเป็นผู้นำขั้นเชื่อมวิญญาณของหน่วยเล็กๆ กลับขมวดคิ้วก่อนจะตะโกนออกมา “พวกเจ้าจะตกใจอะไรหนักหนา พวกมันเป็นแค่ผู้รอดชีวิต จะไปทำอะไรได้”

คลื่นพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณแผ่ออกมาพร้อมคำพูดของเขา ทำเอาทุกคนในโถงเงียบเสียงลงด้วยสัญชาติญาณ วินาทีนั้นเอง ตัวตนที่น่าตื่นตะลึงซึ่งเต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะก็ระเบิดพลังออกมาบนดาวเคราะห์นั้น ดูเหมือนว่าพลังนั้นจะมาจากครอบวงกลมที่เก้า พลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะไหลบ่าท่วมค่ายรวมไปถึงโถงนั้นด้วย เสียงแก่ชราที่แฝงไปด้วยโทสะบ้าคลั่งดังก้องขึ้นในใจของทุกคน

“ปิดค่ายเสีย แล้วค้นให้ทั่ว ควานหาตัวผู้บุกรุกมาให้จงได้ ข้าอยากจะรู้นักว่าไอ้โง่หน้าไหนมันกล้าทำเช่นนี้!”

เสียงกัมปนาทดังสนั่นไปทั่วทั้งดาวเคราะห์ทันทีที่คำสั่งของผู้อาวุโสดังขึ้น ค่ายถูกปิดตายอย่างฉับพลัน รัศมีแห่งการฆ่าฟันแผ่ออกมาจากบรรดาผู้ฝึกตนในโถงนั้น ก่อนที่พวกเขาจะพุ่งตัวออกไปเพื่อเริ่มไล่ล่า

หวังเป่าเล่อเองก็ทำเช่นเดียวกัน ชายหนุ่มมีสีหน้าเคร่งขรึมและโกรธจัด เขาเริ่มค้นหาอย่างแข็งขันไปพร้อมๆ กับบรรดาผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่รอบกาย อันที่จริงแล้ว เขาดูเหมือนกำลังพยายามอย่างหนัก หวังเป่าเล่อชี้ไปที่มุมหนึ่งก่อนจะตะโกนว่า “ท่านหัวหน้าหน่วย ตรงนี้ดูมีอะไรแปลกๆ ขอรับ มีร่องรอยพลังงานที่ดูสับสนและไม่เหมือนร่องรอยพลังงานของตระกูลไม่รู้สิ้น ข้าว่าเจ้าผู้บุกรุกต้องผ่านบริเวณนี้ไปแน่ๆ ขอรับ!”

……………………………….

บทที่ 809 ปลอมตัว!
บุรุษในชุดคลุมสีเขียวสวมหน้ากากกระทิงซึ่งทำให้เขาดูน่ากลัวขึ้นไปอีก นัยน์ตาของบุรุษผู้นั้นทอประกายความโหดเหี้ยมและความเย็นชาที่ราวกับว่าจะทำให้อุณหภูมิรอบกายลดต่ำลงออกมา เป็นแววตาที่ทำให้ใครๆ ก็ต้องก้าวถอยหลังและหลีกเลี่ยงที่จะมีเรื่องด้วย

หวังเป่าเล่อกะพริบตา สายตาของชายหนุ่มหันมาจับจ้องบุรุษผู้นั้น และก่อนที่เขาจะทันได้เบือนสายตาหนี บุรุษในชุดเขียวก็สังเกตเห็นเข้าก่อน ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีปัญหากับหน้ากากสุกรที่หวังเป่าเล่อสวมอยู่ จึงจ้องมองกลับมาก่อนจะยิ้มเยาะ

“คราวก่อนที่ข้าเข้าร่วมภารกิจนี้ ข้าคิดว่าบุรุษที่สวมหน้ากากสุกรช่างน่ารำคาญ จึงฆ่าเขาเสีย เจ้าอยากไปพบเขาหน่อยไหมเล่า”

หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว ชายหนุ่มเพิ่งจะมาถึงที่นี่และยังไม่ได้ทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมเลยด้วยซ้ำ เขาไม่ต้องการจะต่อสู้ตอนนี้ อีกประการหนึ่งคือเวลานั้นมีจำกัด และหากไม่ใช่เพราะเหตุนั้น ด้วยอารมณ์ที่รุนแรงของชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อคงจะกระโดดเตะหน้าบุรุษผู้นั้นไปแล้ว

แน่นอนว่ายังมีปัญหาเรื่องที่เขาไม่สามารถบอกระดับปราณของบุรุษผู้นั้นได้ หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะอยู่ในใจก่อนจะเดินจากมาโดยไม่ได้พูดอะไร เขาหมุนตัวพุ่งทะยานจากไปด้วยความเร็วสูง

บุรุษกำยำผู้นั้นหัวเราะเยาะเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อหันหลังเดินจากไป มีประกายเย้ยหยันสะท้อนอยู่ในดวงตาขณะที่เอ่ยปากพูด

“ไอ้คนขี้ขล…” ประโยคที่เขาตั้งใจจะพูดคือ “ไอ้คนขี้ขลาด” แต่ก็ยังไม่ทันได้พูดจนจบพยางค์ เมื่อได้เห็นหวังเป่าเล่อเร่งความเร็วขึ้นอย่างกะทันหัน แม้หน้ากากจะปิดบังพลังปราณของผู้เข้าร่วมภารกิจ ทำให้ไม่อาจล่วงรู้ระดับปราณของกันและกันได้ แต่ระดับปราณยังสามารถมองเห็นได้จากความเร็วในการเคลื่อนที่ของผู้ฝึกตนนั้นๆ ด้วย

นอกจากนั้น หวังเป่าเล่อยังมีความเร็วสูงยิ่ง ชายหนุ่มอาจอยู่เพียงขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลาย แต่ความเร็วของเขาเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ไปแล้ว ทำให้บุรุษในหน้ากากกระทิงถึงกับต้องกลืนพยางค์สุดท้ายของเขาลงคอไปด้วยความตกตะลึง

ผู้ฝึกตนที่รายล้อมอยู่มองเห็นความเร็วของหวังเป่าเล่อก็อดนึกไปถึงระดับปราณของชายหนุ่มไม่ได้ ทุกคนต่างมีสีหน้าครุ่นคิดก่อนที่จะแยกย้ายกันไปด้วยความเร็วต่างๆ กัน คนที่ช้าที่สุดอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้น มีอยู่สี่คนที่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง…แสดงให้เห็นถึงความเร็วขั้นจิตวิญญาณอมตะ

ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสี่ซ่อนตัวอยู่ในฝูงชนอย่างแนบเนียน การแสดงพลังขึ้นมาอย่างปุบปับของพวกเขาทำเอาบุรุษในหน้ากากกระทิงเหงื่อกาฬแตก

มีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะปะปนมาด้วย เกินคาดจริงๆ! บุรุษร่างกำยำเริ่มสำนึกเสียใจกับการพูดโอ้อวดเมื่อครู่ หลังจากที่ยืนอับอายอยู่ระยะหนึ่ง เขาก็รีบรุดออกเดินทางไปเช่นกัน

ผู้เข้าร่วมปฏิบัติภารกิจกว่าสองร้อยคนที่เพิ่งมาถึงต่างก็แยกย้ายกระจายตัวกันออกไปทั่วทะเลทรายสีขาว

สถานที่นี้เป็นดินแดนรกร้างซึ่งมีวัชพืชขึ้นอยู่ประปราย ส่วนใหญ่ถ้าไม่แห้งตายไปแล้วก็มีสภาพใกล้ตาย พลังชีวิตของดาวเคราะห์ดวงนี้รวมถึงปราณวิญญาณกำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว

ขณะที่หวังเป่าเล่อเดินทางลึกเข้าไปในทะเลทราย ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณที่กำลังถูกดูดออกไปจากดาวดวงนี้ แม้ว่าจะเพิ่งมาถึง เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงระดับปราณวิญญาณที่เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็วในระยะเวลาสั้นๆ จากดาวดวงนี้

หากยังสูญเสียปราณวิญญาณมากขนาดนี้ อีกเพียงสามถึงห้าวัน…ดาวเคราะห์ดวงนี้ก็จะตายลงไปอย่างสมบูรณ์ หวังเป่าเล่อเร่งฝีเท้าขึ้นและมุ่งหน้าตรงไปในดินแดนเวิ้งว้าง ชายหนุ่มพร้อมเต็มที่ที่จะสำรวจพื้นที่ แต่จู่ๆ…ก็มีเสียงแผ่วจางดังก้องขึ้นมาในหู

“คนนอก…ช่วยข้าด้วย…”

น้ำเสียงนั้นทั้งแก่ชราและแหบพร่าราวกับถูกกัดกร่อนด้วยกาลเวลา ฟังดูอ่อนล้าอย่างรุนแรง คล้ายมาจากชายชราที่กำลังจะสิ้นใจ และใช้กำลังเฮือกสุดท้ายในการขอความช่วยเหลือ

ใบหน้าของหวังเป่าเล่อตื่นตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้หยุดเท้า เขากลับเร่งความเร็วขึ้นและมุ่งหน้าไปอีกทิศทางหนึ่ง ก่อนจะปล่อยสัมผัสสวรรค์ออกมาตรวจดูไปทั่วบริเวณ ชายหนุ่มสำรวจจนทั่วทั้งท้องฟ้าและใต้พื้นดินแต่ก็ไม่พบสิ่งใด

น้ำเสียงอันเจือจางและอ่อนล้าเลือนหายไปหลังจากที่ร้องขอความช่วยเหลือ ทำเอาหวังเป่าเล่อสงสัยขึ้นมาจับใจ

ประสาทหลอนหรือ เป็นไปไม่ได้! ชายหนุ่มหรี่ตาลง หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจ เขาก็ก้มลงมองผืนแผ่นดินอันแห้งแล้ง พลางสงสัยว่าเสียงนั้นจะใช่เสียงของดาวเคราะห์ดวงนี้หรือไม่ หวังเป่าเล่อไม่เคยได้ยินเรื่องเช่นนี้มาก่อน แต่มันก็ดูเหมือนจะเป็นคำอธิบายที่ดีที่สุดสำหรับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น คำอธิบายอีกอย่างที่เป็นไปได้ก็คือ…ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งกว่าหวังเป่าเล่อจนเกินจะจินตนาการผู้นั้น ซ่อนตัวอยู่ที่ไหนสักแห่งในบริเวณนี้และส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกมา

ไม่ว่าจะเป็นข้อใด หวังเป่าเล่อก็ไม่คิดโอ้เอ้ ชายหนุ่มเร่งความเร็วอีกครั้งก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว เขามุ่งหน้าต่อไปยังดินแดนรกร้างห่างไกล เดินหน้าไปอีกร่วมสิบห้านาทีจึงเห็นขอบของทะเลทรายและ…บรรดาซากปรักหักพังที่รายล้อมทะเลทรายเอาไว้

รูปแบบสถาปัตยกรรมของซากปรักหักพังเหล่านั้นต่างจากสหพันธรัฐและอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ มันเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมเหมือนพีระมิด โครงกระดูกที่แห้งกรังและคงสภาพอยู่เพราะอากาศแห้งแล้งในทะเลทรายปรากฏอยู่ทั่วบนซากเหล่านั้น รูปร่างของพวกมันคล้ายมนุษย์ เพียงแต่ตัวใหญ่กว่า

เห็นได้ชัดว่าบริเวณนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัย บางทีอาจจะเป็นที่ตั้งสำนักเสียด้วยซ้ำ แต่เกิดการสังหารหมู่ขึ้น โครงกระดูกที่กระจายเกลื่อนอยู่ทั่วบริเวณแสดงให้เห็นว่าการสังหารหมู่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน

ราวๆ เดือนหนึ่งกระมัง หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง หลังจากนิ่งเงียบอยู่อึดใจหนึ่ง ชายหนุ่มก็มองกวาดไปรอบกายก่อนที่ร่างกายภายนอกจะแปรสภาพไป มีแขนสี่ข้างและสองศีรษะโผล่ออกมาจากร่าง หน้ากากสุกรยังแปรสภาพเป็นสิ่งอื่นอีกด้วย ขณะนี้หวังเป่าเล่อดูไม่เหมือนผู้ฝึกตนที่เข้าร่วมภารกิจ แต่กลายเป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นแทน!

หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอเล็กน้อย จากนั้นก็พยายามพูดภาษาตระกูลไม่รู้สิ้นออกมาเบาๆ สองสามคำ ทันทีที่คุ้นเคยกับภาษานี้แล้ว ชายหนุ่มก็เริ่มเคลื่อนที่อีกครั้ง ครั้งนี้เขาไม่ระมัดระวังตัวอีกต่อไป แต่พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างอุกอาจข้ามทะเลทรายไป หวังเป่าเล่อกำลังจะเร่งความเร็วผ่านทุ่งหญ้า แต่สายตาของเขาก็พบอะไรบางอย่างทางด้านขวาเสียก่อน

มีเสียงคำรามแผดร้องก้องขึ้นตรงเส้นขอบฟ้า ตามด้วยเสียงหัวเราะชั่วร้ายดังสนั่น สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นเจ็ดคนปรากฏตัวขึ้น คนเหล่านั้นหัวเราะไปพลางวิ่งแข่งกันไปพลาง คนที่อยู่ตรงกลางมีเด็กหนุ่มร่างผอมบางอยู่ในมือ ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นจับศีรษะของเด็กหนุ่มที่เห็นได้ชัดว่าโดนคาถาบางอย่าง มีควันสีเขียวลอยออกมาจากดวงตา รูจมูก ปาก และหูของเด็กหนุ่ม เข้าไปยังฝ่ามือของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้น ใบหน้าของเขาเปี่ยมล้นไปด้วยความสุข ขณะที่ใบหน้าของเชลยนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด เส้นเลือดเต้นตุบๆ อยู่บนขมับของเด็กหนุ่ม ในขณะที่ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความเจ็บปวดและความเกลียดชัง

ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นกลุ่มนั้นสังเกตเห็นหวังเป่าเล่อทันทีที่ชายหนุ่มกวาดสายตาไปพบ พวกเขาหยุดวิ่งทันที หนึ่งในกลุ่มนั้นมองเครื่องแต่งกายของหวังเป่าเล่อด้วยความสงสัยก่อนจะตะโกนถาม

“เจ้ามาจากลุ่มใดกัน”

หวังเป่าเล่อไม่ได้ตอบคำ ชายหนุ่มพินิจสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นกลุ่มนั้นก่อนจะลงความเห็นว่ามีสองคนที่อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ ที่เหลือนั้นอยู่ในขั้นจุติวิญญาณ คนที่แข็งแกร่งที่สุดน่าจะเป็นผู้นำกลุ่ม แต่ก็ยังอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลางเท่านั้น

หวังเป่าเล่อพยักหน้าด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น ก่อนจะกล่าวว่า “ข้าก็อยู่กลุ่มพวกเจ้าอย่างไรเล่า”

เมื่อเห็นคนพวกนั้นชะงักไป หวังเป่าเล่อก็จู่โจมทันที ชายหนุ่มพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วจนมองไม่ทัน ก่อนจะแปรสภาพเป็นหมอกเข้าปกคลุมพวกเขาเอาไว้

ชายหนุ่มรวดเร็วเกินไป จนมีเพียงผู้นำกลุ่มเท่านั้นที่เคลื่อนไหวหลบได้ทันท่วงที แม้กระนั้นก็ยังมีใบหน้าตื่นตะลึง ส่วนคนที่เหลือ…รวมถึงผู้ถึงตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นไม่มีโอกาสได้หนี พวกเขาถูกหมอกเข้าปกคลุม ก่อนจะเหี่ยวแห้งตายไปเพราะถูกเกราะจักรพรรดิสูบพลังชีวิตและวิญญาณก็ถูกวิชาดวงเนตรปีศาจแย่งชิงไป คนพวกนี้ไม่มีโอกาสกระทั่งจะกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดด้วยซ้ำ ก่อนที่…จะตายในหมอกและถูกทำลายหายไป…ทั้งร่างกายและวิญญาณ!

ผู้นำกลุ่มที่ถอยออกไปได้ทันเวลาและเหมือนว่าจะหลบหมอกไปได้ ก็ไม่อาจหนีโชคชะตาไปได้พ้น แขนขนาดยักษ์ยื่นออกมาจากหมอกและจับศีรษะของเขาเอาไว้ เช่นเดียวกับที่เขาจับศีรษะของเด็กหนุ่มเมื่อครู่ มีเสียงจากหมอกกระซิบออกมาว่า “ค้นวิญญาณ” ดวงตาของผู้นำกลุ่มเบิกโพลง ก่อนที่เขาจะส่งเสียงร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวด

เขาร้องออกมาหนึ่งครั้งก่อนจะถูกหมอกปกคลุมไปเช่นกัน จากนั้นเสียงของเขาก็หายไปอย่างสิ้นเชิง พักใหญ่ต่อมา หมอกก็ควบแน่นเข้าด้วยกันและกลับมาเป็นกายหยาบของหวังเป่าเล่ออีกครา แสงประหลาดส่องสว่างอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มได้ข้อมูลจำนวนมากของดาวดวงนี้มาจากการค้นวิญญาณ!

เขารู้แล้ว…ว่าหลังจากการสังหารหมู่ที่เกิดขึ้นบนดาวดวงนี้ราวหนึ่งเดือนก่อน สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นจำนวนมากที่อยู่บนดาวเคราะห์ได้หลบหนีไป เหลือรอดอยู่เพียงค่ายทหารเดียวเท่านั้น มีผู้ฝึกตนราวสามแสนชีวิตที่ได้รับมอบหมายให้เก็บกวาดและดูแลดาวเคราะห์ดวงนี้

ค่ายนั้นอยู่ห่างจากหวังเป่าเล่อไปไม่น้อย แต่ด้วยความเร็วของเขา ชายหนุ่มจึงน่าจะไปเดินทางไปถึงได้ภายในสองชั่วโมง

เขายังรู้ด้วยว่า ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในค่ายนั้นเป็นผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นปลาย และรู้อีกว่าทั้งค่ายนั้นมีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเพียงคนเดียว ที่นี่เคยมีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ดูแลอยู่ แต่เพราะมีธุระต้องสะสาง คนผู้นั้นจึงออกจากดาวเคราะห์ไปได้หนึ่งเดือนแล้ว

ค่ายทหาร…หวังเป่าเล่อเลียริมฝีปากก่อนจะหันมาวัดระดับพลังปราณของตนเอง ซึ่งแข็งแกร่งขึ้นจากการสังหารผู้ฝึกตนเจ็ดคนก่อนหน้านี้ หวังเป่าเล่อมองลงไปยังชายหนุ่มผู้ที่ใกล้ถึงความตาย มีความซาบซึ้งใจฉายชัดอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย ริมฝีปากของเขาเผยอขึ้น ราวกับกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างกับหวังเป่าเล่อ แต่ก็ทำไม่ได้ จนสุดท้ายชีวิตก็หลุดลอยออกจากร่าง

หวังเป่าเล่อทอดถอนใจขณะจ้องมองไปยังเด็กหนุ่ม ชายหนุ่มโบกมือครั้งหนึ่ง เพื่อส่งทรายมากลบศพของเด็กหนุ่มเอาไว้แทนการฝัง ก่อนที่เขาจะหันหลังและออกเดินทางอีกครั้ง หวังเป่าเล่อปลอมตัวเป็นหัวหน้ากลุ่มและมุ่งหน้าไปยังค่ายทหาร

………………………..

ในมุมหนึ่งที่ห่างไกลออกไปบนดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ มีผืนแผ่นดินที่ผู้คนเชื่อกันว่าพังเสียหายเพราะสะเก็ดดาวพุ่งชน ที่นั่นเป็นดินแดนรกร้างว่างเปล่าที่ไม่มีสิ่งใดอยู่นอกจากหลุมขนาดใหญ่เพียงหลุมเดียว

พืชพรรณที่เคยเจริญเติบโตขึ้นที่นี่เหี่ยวเฉาและตายไปหมดแล้ว รัศมีของความตายลอยคลุ้งไปในอากาศ คอยขับไล่ไม่ให้อสูรร้ายย่างกรายเข้ามาใกล้ เอกลักษณ์ของผืนแผ่นดินนี้ดึงดูดผู้ฝึกตนหลายคน แต่ไม่ว่าผู้ฝึกตนที่เข้ามาสำรวจจะตรวจดูทั้งบนดินและใต้ดินอย่างละเอียดขนาดไหน พวกเขาก็ต่างต้องกลับไปมือเปล่าด้วยกันทั้งสิ้น

ราวกับว่าไม่มีใครมองเห็นโลงศพแม้ว่ามันจะนอนนิ่งอยู่ตรงนั้นก็ตามที ดังนั้นไม่ว่าทุกคนจะคิดเช่นใดกับดินแดนบริเวณนั้นและเชื่อว่าสะเก็ดดาวเป็นสาเหตุของความแปลกประหลาดที่เกิดขึ้น แต่ยิ่งเวลาผ่านไป พวกเขาก็เริ่มจะสนใจพื้นที่บริเวณนั้นน้อยลง

แต่ตอนนี้…ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อกำลังยืนอยู่ในโรงเตี๊ยมในตลาด ขณะที่หน้ากากสุกรล่องลอยอยู่ตรงหน้า เสียงที่เปล่งออกมาจากหน้ากากนั้นเดินทางไกลกระทั่งไปถึงร่างจริงของชายหนุ่มที่นอนนิ่งอยู่ในโลงศพใต้ดิน ก่อนจะก้องสะท้อนอยู่ในศีรษะ!

เสียงนั้นฟังดูชัดเจนยิ่ง ราวกับมีใครมากระซิบที่ข้างหูก็ไม่ปาน ร่างจริงของหวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นทันที สายตาเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง การที่เสียงของปรมาจารย์แห่งไฟทะลุผ่านโลงศพเข้ามาได้แปลได้อย่างเดียวว่า…บุรุษผู้นั้นต้องแข็งแกร่งทัดเทียมศิษย์พี่ของหวังเป่าเล่อแน่นอน!

เสียงนั้นทำให้ใครอีกคนสั่นไหวเช่นกัน หน้ากากที่มีแม่นางน้อยอยู่ภายใน ซึ่งหวังเป่าเล่อเก็บไว้บนร่างจริงสั่นไหวอยู่เบาๆ เหมือนว่าแม่นางน้อยเองก็กำลังจะตื่นขึ้นเช่นกัน

สถานการณ์นี้ทำให้ร่างจริงของหวังเป่าเล่อนิ่งคิดอย่างเงียบงันไปพักใหญ่ จากนั้นดวงตาทั้งคู่ของชายหนุ่มก็ปิดลงอีกครั้ง ไกลออกไปในโรงเตี๊ยมแห่งเดิม ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อยังคงตกตะลึงอยู่ หลังจากได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างจริง หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะก้มคำนับต่ำให้หน้ากากสุกร

ชายหนุ่มยืดหลังตรง ยกแขนขึ้น และถือหน้ากากเอาไว้ในมือ มีชั่วอึดใจหนึ่งที่เขาแสดงความลังเลใจออกมาทางแววตา ทว่าในที่สุดหวังเป่าเล่อก็สวมหน้ากากจนได้

ทันทีที่สวมหน้ากาก พลังอำนาจมหาศาลก็ไหลบ่าออกมาจากหน้ากากนั้น มันไม่ได้ตรวจสอบหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย แต่กลับแผ่ปกคลุมกายชายหนุ่มอย่างรวดเร็วก่อนจะฉุดกระชากเขาอย่างรุนแรง

หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าตนกำลังสูญเสียการควบคุมร่างกายไปพร้อมๆ แรงกระชากที่รุนแรงนั้น ในวินาทีเดียวกันนั้นเอง ชายหนุ่มก็หายตัวไปจากห้องในโรงเตี๊ยม

ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างเงียบงัน ไม่มีพลังงานใดที่บ่งบอกว่าเคยมีการเคลื่อนย้ายหลงเหลืออยู่ ไม่มีใครสังเกตเห็นอะไร แม้จะมีวงแหวนปราณทรงพลังรายล้อมโรงเตี๊ยมอยู่ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนย้ายแต่อย่างใด ราวกับว่าจู่ๆ หวังเป่าเล่อ…ก็หายตัวไปเสียอย่างนั้น!

ในวินาทีต่อมา เมื่อหวังเป่าเล่อมองเห็นอีกครั้ง เขาก็มาถึง… ณ โลกแห่งใหม่แล้ว!

เรียกว่าโลกอาจไม่ถูกนัก เพราะสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยซากปรักหักพังซ้อนทับกันจนไกลสุดลูกหูลูกตา มันให้ความรู้สึกเก่าแก่ ทุกสิ่งทุกอย่างดูโบราณและผุกร่อนเพราะกาลเวลา

ดวงดาวพร่างพรายเกลื่อนท้องฟ้า ในขณะที่ซากปรักหักพังกองเกลื่อนพื้นดิน หวังเป่าเล่อยืนอยู่บนซากอาคารที่เคยมีรูปร่างคล้ายดาบตะขอ ซากปรักหักพังเหล่านี้ดารดาษอยู่รอบกายชายหนุ่ม ร่างหลายร่างที่สวมหน้ากากแตกต่างกันไปปรากฏขึ้นมาเรื่อยๆ

หน้ากากบางชิ้นก็เป็นใบหน้าของวัว ปลา หรือม้า มีไม่น้อยที่เป็นใบหน้าอสูรซึ่งหวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นมาก่อน ตอนนี้มีคนสวมหน้ากากมากกว่าสองร้อยคน และเมื่อพวกเขาปรากฏตัวขึ้น ก็เริ่มสำรวจสิ่งแวดล้อมและประเมินผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ ทันที

หวังเป่าเล่อถึงกับผงะไป ชายหนุ่มตรวจสอบดูแล้วพบว่าไม่อาจสัมผัสรัศมีของใครได้เลย เขาไม่อาจบอกระดับปราณของคนเหล่านั้นได้เช่นกัน แม้เขาจะมองเห็นร่างเหล่านั้นได้อย่างคมชัดด้วยสายตา แต่เมื่อใช้สัมผัสสวรรค์มองกลับเห็นได้ไม่ชัดเจน แม้ไม่ถึงขั้นไร้ตัวตนแต่ก็ดูพร่ามัวไม่น้อย

ต้องเป็นเพราะหน้ากากแน่ๆ! หวังเป่าเล่อยกมือสัมผัสหน้ากากบนหน้าพลางครุ่นคิด ชายหนุ่มสรุปได้คร่าวๆ จากท่าทางที่ทุกคนแสดงออกมา

ตัวอย่างเช่น…ผู้เข้าร่วมส่วนมากมีนัยน์ตาที่กระหายความรุนแรงและบ้าคลั่ง ดูป่าเถื่อนเหมือนคุ้นชินกับการฆ่าฟันเป็นอย่างดี การที่พวกเขาเลือกเข้าร่วมภารกิจนี้แปลว่าพวกเขาเป็นผู้ที่มีความสามารถสูง และต้องมีเหตุผลที่มาสมัครอย่างแน่นอน เพราะอย่างไรเสีย…รางวัลที่ปรมาจารย์แห่งไฟเสนอให้นั้นก็มากพอที่จะทำให้หวังเป่าเล่อสนใจได้ ดังนั้นคนอื่นๆ ก็คงต้องสนใจไม่แพ้กัน

ขณะที่พวกเขากำลังเขม่นกันอยู่ไปมานั่นเอง จู่ๆ ก็มีแสงส่องขึ้นมาจากบริเวณซากรอบๆ กาย แสงนั้นเจือจาง หากว่าส่องขึ้นมาจากจุดเดียวก็คงยากที่จะมองเห็น แต่พวกมันกลับส่องขึ้นมาพร้อมๆ กันราวกับเป็นดาวตก แสงนั้นดูคล้ายแสงดาวอยู่ไม่น้อย มันหลั่งไหลออกมาจากทั่วทุกมุมและมารวมกันต่อหน้าทุกคน

แสงดังกล่าวเบาบางมากตั้งแต่แรก จึงไม่ได้สว่างมากนักถึงแม้จะมารวมกันเป็นจุดเดียว แต่เมื่อมีแสงมารวมตัวกันมากขึ้นเรื่อยๆ ก้อนแสงก็เริ่มเจิดจ้าขึ้นทุกที พลังมหาศาลก่อตัวขึ้นด้านในก้อนแสงนั้น มันสั่นสะเทือนพื้นดินและค่อยๆ ห่อหุ้มโลกเอาไว้

ทุกคน รวมทั้งหวังเป่าเล่อต่างก็ตกตะลึง พวกเขารีบก้มลงมองพื้น ราวกับกำลังอยู่ต่อหน้าเทพยดา แม้แต่คนที่ก้าวร้าวที่สุดในหมู่พวกเขาก็สงบเสงี่ยมเจียมตัวลง แสดงท่าทีเคารพนบนอบทันที

หวังเป่าเล่อเองก็ทำเช่นกัน เขาก้มศีรษะลงต่ำขณะนึกสงสัยว่าใครกันที่ทรงพลังกว่า ระหว่างสิ่งที่อยู่ตรงหน้ากับศิษย์พี่เฉินชิงของเขา ชายหนุ่มคิดว่าศิษย์พี่ของเขาน่าจะแข็งแกร่งกว่า แต่ก็คงไม่มากเท่าใด

รัศมีเดียวที่สามารถทำลายสิ่งนี้ได้…น่าจะเป็นรัศมีที่ออกมาจากการอ่านบทสวดแห่งเต๋าเท่านั้น หวังเป่าเล่อหรี่ตาคิดขณะที่ยังก้มศีรษะลงต่ำ ยิ่งชายหนุ่มคิดเรื่องนี้มากเพียงใด เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองอ่อนแอเหลือเกินในจักรวาลที่ไพศาลนี้ ไม่คู่ควรจะถูกเรียกว่ามดปลวกเสียด้วยซ้ำ

บัดซบ ข้าอ่อนแอจริงๆ ข้อสรุปนี้ทำให้หวังเป่าเล่อไม่สบายใจเอาเสียเลย ชายหนุ่มสงสัยว่าจะมีถ้อยคำอื่นใดที่ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นได้บ้างหรือไม่ ขณะนั้นเอง น้ำเสียงแก่ชราและไร้อารมณ์ก็ดังออกมาจากก้อนแสงสว่างจ้าซึ่งลอยเคว้งคว้างอยู่ตรงหน้าทุกคน

“อย่างแรก ภารกิจนี้เริ่มตั้งแต่ที่พวกเจ้ามายืนอยู่บนดาวเคราะห์ดวงนี้ และจะคงอยู่ต่อไปอีกยี่สิบสี่ชั่วโมง เมื่อเวลาหมดลง ข้าจะส่งผู้ที่ยังมีชีวิตรอดกลับไป

“อย่างที่สอง เป้าหมายของภารกิจคือการสังหารสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้น เจ้าจะได้รับคะแนนตามจำนวนที่เจ้าสังหารได้และระดับปราณของพวกเขา เมื่อเจ้ากลับไป ก็จะได้รับผลึกสีชาดตามคะแนน จงจำเอาไว้ว่า…จำนวนผลึกสีชาดที่แจกเป็นรางวัลนั้นมีไม่จำกัด!

“อย่างที่สาม หน้ากากนั้นซ่อนตัวตนที่แท้จริงของพวกเจ้าเอาไว้ และยังบอกตำแหน่งของพวกเจ้า เพื่อให้ข้าเคลื่อนย้ายพวกเจ้ากลับไปได้ ยิ่งไปกว่านั้น…ข้าใส่คาถาเอาไว้บนหน้ากากทุกชิ้นซึ่งเป็นคล้ายคำสาป มันจะทำให้ผู้ฝึกตนที่มีปราณต่ำกว่าระดับดารานิรันดร์ชั้นสมบูรณ์อ่อนกำลังลง ทำให้ระดับปราณร่วงลงหนึ่งระดับ!

“ยิ่งเป้าหมายของเจ้าบาดเจ็บมากเท่าใด คำสาปนี้ก็ยิ่งส่งผลรุนแรงขึ้นเท่านั้น แต่จะสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และผลของคำสาปจะคงอยู่แค่สิบห้านาที!”

“คำเตือนข้อสุดท้าย ห้ามทำหน้ากากหายเป็นอันขาด หากเจ้าทำหายข้าก็จะช่วยเจ้าไม่ได้อีกต่อไป” ทันทีที่เสียงในก้อนแสงพูดจบ ก้อนแสงก็สั่นไหวอย่างรุนแรงโดยไม่รอให้ใครได้ตอบสนอง ก้อนแสงสว่างเจิดจ้าสลายตัวออกปกคลุมโลกทั้งหมด ทุกคนรวมถึงหวังเป่าเล่อตัวสั่นสะท้าน หน้ากากบนใบหน้าทอประกาย ก่อนที่พวกเขาจะถูกกระชากไปข้างหลังอีกครั้ง

ภายในพริบตาเดียว ทุกคน…ก็หายตัวไปอีก!

ภารกิจเริ่มต้นขึ้นแล้ว!

การเคลื่อนย้ายครั้งที่สองดูเหมือนจะใช้เวลานานกว่าครั้งแรก หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใด เขารู้สึกราวกับว่าวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างกระนั้น จากนั้นร่างกายของเขาก็เริ่มสั่นไหว สตินึกคิดก็ตื่นตามมา ราวกับหลับลึกไปอย่างยาวนาน ชายหนุ่มลืมตาขึ้น สิ่งที่ปรากฏบนคลองจักษุก็คือ…ท้องฟ้าสีแดงและแผ่นดินสีขาว!

ท้องฟ้าเป็นสีเลือด เพราะดวงอาทิตย์ของที่นี่เป็นสีโลหิตนั่นเอง!

ทะเลทรายเป็นสีขาว ไม่ได้รับเอาสีจากท้องฟ้ามาด้วย สีสันของพวกมันตัดกันรุนแรง ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งสายลมและพืชพรรณที่รายล้อมอยู่ก็แปลกประหลาดจากที่หวังเป่าเล่อเคยเห็นเป็นอย่างมาก!

สายลมไม่ได้โปร่งใส พวกมันเป็นเหมือนหมอกที่พัดผ่านทะเลทรายอยู่ไปมา ในขณะที่พืชพรรณก็เป็นสีดำสนิท ดูราวกับเป็นกลไกการป้องกันตัวจากดวงอาทิตย์สีโลหิตที่พืชเหล่านี้พัฒนาขึ้น

ทันทีที่หวังเป่าเล่อมองเห็นได้ชัดเจน ชายหนุ่มก็เคลื่อนที่ออกมาให้ห่างผู้ฝึกตนคนอื่นๆ พวกเขาส่วนมากก็ทำเช่นเดียวกัน ต่างพากันถอยหลังและสร้างระยะห่างจากผู้อื่น ความระแวดระวังและดุร้ายฉายกล้าอยู่ในแววตาของทุกคน ราวกับเป็นอสรพิษที่แยกเขี้ยวเพื่อแสดงความร้ายกาจของตนออกมา พวกเขาต่างก็ต้องการให้คนอื่นๆ รู้ว่าไม่ควรเข้ามาวุ่นวายด้วย

มีแค่ไม่กี่คนที่ไม่ขยับตัว คนพวกนี้ยืนนิ่งอยู่กับที่ ราวกับว่าเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ บุรุษร่างสูงบึกบึนสวมเสื้อคลุมสีเขียวคนหนึ่ง เฝ้ามองผู้ฝึกตนที่รายล้อมรอบกายด้วยสายตาหยามเหยียด

“พวกขยะไร้ประโยชน์ ข้าไม่สนว่าเราจะเป็นเพื่อนร่วมภารกิจกันหรือไม่ จำไว้ อย่าตามข้ามา และอย่าเข้ามาแย่งเหยื่อไปจากข้า มิเช่นนั้น…จะให้ฆ่าคนเพิ่มอีกหน่อยข้าก็ยินดี!”

บทที่ 807 หน้ากากสุกร!
“ผลึกสีชาดเช่นนั้นหรือ…” หวังเป่าเล่อเริ่มคิด ชายหนุ่มไม่แน่ใจนักว่าผลึกเหล่านี้คืออะไร แต่การที่มันถูกนำมาใช้เป็นสกุลเงินแปลว่าจะต้องหายากพอสมควร และทรัพยากรหายากที่ทุกคนยอมรับในมูลค่าก็ย่อมส่งผลอะไรบางอย่างกับระดับปราณเป็นแน่

ชายหนุ่มคาดเดาได้ถูกต้อง เพราะจากนั้นเซี่ยไห่หยางก็อธิบายเหตุผลว่าเหตุใดผลึกสีชาดจึงได้มีราคาแพงนัก ผลึกนี้เป็นวัตถุปริศนาที่สามารถเร่งความก้าวหน้าในการฝึกปราณของผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้ ต้นกำเนิดของผลึกนี้ลึกลับและไม่เป็นที่ล่วงรู้ มีเพียงตระกูลไม่รู้สิ้นเท่านั้นที่สามารถผลิตผลึกนี้ขึ้นมาได้ มีผลึกสีชาดจำนวนจำกัดที่ถูกหลอมขึ้นและใช้หมุนเวียนอยู่ในระบบดาวเคราะห์เต๋าไม่รู้สิ้น

เรียกได้ว่าตระกูลไม่รู้สิ้นได้ควบคุมระบบเศรษฐกิจของระบบดาวเคราะห์เต๋าไม่รู้สิ้นเอาไว้หมดแล้วก็ไม่ผิด

ไม่มีใครรู้วิธีการหลอมผลึกเหล่านี้ ต่อให้เป็นปรมาจารย์ด้านการหลอมก็ยังแยกส่วนและวิเคราะห์ผลึกไม่ได้

“แต่มีข่าวลือว่าผลึกเหล่านี้…มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักแห่งความมืดที่สูญพันธุ์ไปแล้ว บางคนถึงกับเดาว่าผลึกเหล่านี้…หลอมขึ้นมาจากโลหิตเต๋าสวรรค์ของสำนักแห่งความมืด!

เซี่ยไห่หยางจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ เขาไม่อ้อมค้อมแม้แต่น้อย แต่กลับเปิดเผยข้อมูลอย่างเต็มใจ ถ้อยคำที่เรียบง่ายเหล่านี้สะกิดใจหวังเป่าเล่ออย่างบอกไม่ถูก

ชายหนุ่มเองก็สงสัยเซี่ยไห่หยางเช่นกัน เขาสงสัยอยู่ตลอดว่าเหตุใดเซี่ยไห่หยางจึงปฏิบัติต่อเขาแตกต่างกับคนอื่นๆ หวังเป่าเล่อนึกย้อนไปถึงเมื่อตอนพบกันครั้งแรกสมัยอยู่สำนักศึกษาเต๋าสวรรค์ เซี่ยไห่หยางเป็นมิตรมากๆ ในตอนนั้น แต่ก็เป็นเพราะสัญชาติญาณความเป็นนักธุรกิจของเขาเอง ที่จะไม่ยอมเสียโอกาสทำการค้าไปเป็นอันขาด หลังจากนั้น หวังเป่าเล่อก็ไปอยู่บนดาวอังคารและได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ เมื่อชายหนุ่มพบเซี่ยไห่หยางอีกครั้ง ก็พบว่าอีกฝ่ายนั้น…เปลี่ยนไปจากคนเดิมที่เคยเป็นเล็กน้อย

สิ่งที่เซี่ยไห่หยางพูดนั้น เหมือนเป็นการแสดงไพ่ในมือให้หวังเป่าเล่อได้เห็น ชายหนุ่มเข้าใจทันที เซี่ยไห่อย่างกำลังบอกเหตุผลที่เขาปฏิบัติกับหวังเป่าเล่อเป็นอย่างดีตลอดมา

ถึงกระนั้นหวังเป่าเล่อก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ชายหนุ่มไม่ได้เสียเวลาไปกับการสงสัยว่าทำไมเซี่ยไห่หยางจึงรู้ว่าเขาเป็นบุตรแห่งความมืดมากนัก กลับกัน เขากลับแสร้งทำเป็นรู้ดีว่าเซี่ยไห่หยางล่วงรู้ความลับนี้มาโดยตลอด ซึ่งทำให้เซี่ยไห่หยางเกิดสงสัยขึ้นมาอีกคำรบ หลังจากที่ชั่งใจอยู่ชั่วครู่ เซี่ยไห่หยางก็สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอ่อนใจ

“สหายเต๋า เรามาเลิกอ้อมค้อมกันเถิด ไม่สำคัญเลยว่าข้าจะเคยพบเจ้ามาก่อนหรือไม่ ข้าเป็นนักธุรกิจ เจ้าสบายใจได้ว่า เมื่อได้ทำธุรกิจกับข้าก็จะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบแน่นอน และข้าก็ไม่ทำร้ายคนอื่นด้วยเช่นกัน ทุกสิ่งที่ข้าทำเป็นธุรกิจเท่านั้น!

“ตัวอย่างเช่น การที่ข้าแนะนำภารกิจนี้ให้เจ้า ก็เพื่อให้เจ้ามีผลึกสีชาดมากพอจะใช้ซื้อวัตถุดิบตามรายการสินค้าของเจ้า ข้าก็จะไม่ปกปิดข้อมูลที่ว่าค่าแนะนำของข้าคือการได้รับร้อยละสิบของรางวัลที่เจ้าจะได้ แต่เจ้าก็ไม่ต้องควักเนื้อตนเองแต่อย่างใด ปรมาจารย์แห่งไฟจะเป็นคนชำระให้ข้าด้วยตัวเอง ข้าแนะนำผู้ฝึกตนเข้าร่วมภารกิจนี้ไปห้าคน ยังมีเวลาให้สมัครอีกสามวัน หลังจากนั้น พวกเขาก็จะเริ่มเคลื่อนย้ายบรรดาผู้เข้าร่วม

“ปรมาจารย์แห่งไฟคือผู้ฝึกตนทรงพลังที่ข้าเอ่ยถึงไปก่อนหน้านี้ ท่านผู้นั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก ทรงพลังถึงขนาดมีระบบดาวเคราะห์เป็นของตนเอง ตระกูลไม่รู้สิ้นยังมองว่าเขาเป็นศัตรูตัวฉกาจด้วย แต่ราคาที่พวกเขาต้องจ่ายเพื่อจะกำจัดปรมาจารย์แห่งไฟนั้นแพงลิบ…ตระกูลไม่รู้สิ้นขณะนี้กำลังมีปัญหากันเองภายใน และไม่มีใครกล้าพอจะหันมารับศึกสองด้าน

“เรื่องนี้อาจจะมีอันตรายอยู่บ้าง แต่จากภารกิจที่ผ่านๆ มา พวกเรารู้ว่าปรมาจารย์แห่งไฟจะไม่ส่งพวกเจ้าไปตายแน่ ดาวเคราะห์ที่เขาเลือกสรรมาแล้วถูกปกครองโดยผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์เท่านั้น ศัตรูที่เจ้าต้องเผชิญหน้าด้วยย่อมอ่อนแอกว่านั้นแน่”

“อาจมีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะปะปนอยู่บ้าง แต่เจ้าสามารถหลบหลีกพวกเขาได้หากระมัดระวังมากพอ” เซี่ยไห่หยางพูดพลางโบกมืออยู่ไปมา เขาไม่ได้ปิดบังข้อมูลใดๆ จากหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย นายน้อยแห่งร้านค้าหรูหราแห่งนี้เลิกพยายามทดสอบหวังเป่าเล่อหรือพยายามพิสูจน์ตัวตนที่แท้จริงของอีกฝ่ายอีกต่อไป หากบุรุษตรงหน้าคือหวังเป่าเล่อจริงแล้ว เซี่ยไห่หยางก็คงจะเล่าให้ฟังตามจริงอย่างนี้เช่นกัน มันเป็นวิธีเดียวที่จะพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของอีกฝ่ายได้ อีกอย่างหนึ่ง เซี่ยไห่หยางก็เป็นผู้ที่เชื่อมั่นในการพูดความจริง ว่ามนุษย์ควรจะปฏิบัติตนเช่นนั้น

เขาจึงไม่เห็นว่ามีสิ่งใดจำเป็นที่จะต้องหลอกลวงบุรุษตรงหน้า แม้ว่าชายผู้นี้จะใช่หวังเป่าเล่อหรือไม่ก็ตามที หลังจากแบ่งปันข้อมูลเสร็จ เซี่ยไห่หยางก็หันหน้าไปหาหวังเป่าเล่อด้วยท่าทางพร้อมฟังคำตอบ

หวังเป่าเล่อจมดิ่งอยู่ในภวังค์ ชายหนุ่มไม่คิดจะตอบรับข้อเสนอนั้นทันที เขาถามรายละเอียดอีกเล็กน้อย ก่อนจะขอวิธีติดต่อเซี่ยไห่หยางไป หลังจากนั้น หวังเป่าเล่อก็เอ่ยคำลาแล้วจากมา โดยบอกเซี่ยไห่หยางว่าจะให้คำตอบในอีกสามวัน

เซี่ยไห่หยางมองหวังเป่าเล่อเดินจากไป ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่ พลางจ้องไปยังกระแสควันที่พวยพุ่งออกมาจากหม้อหลอมข้างกายด้วยสายตาครุ่นคิด ไม่ได้ตอบสนองต่อร่างที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาเบื้องหลังของเขา

ผู้บุกรุกเป็นร่างเงาเลือนราง ใบหน้าไม่แจ่มชัด เขายืนเงียบนิ่ง หลังค้อมเล็กน้อยและมือประสานเป็นเชิงรอคำสั่ง

“ก็เอาเถอะ ทำไมข้าต้องใส่ใจด้วยว่าเคยพบเขามาก่อนหรือไม่ การมีมิตรสหายใหม่ๆ เป็นเรื่องดี เขาอาจกลายมาเป็นลูกค้าคนสำคัญที่ข้าต้องลงทุนด้วยชนิดหนักมือก็เป็นได้” เซี่ยไห่หยางกล่าว ก่อนจะหัวเราะแล้วหันไปหยิบคัมภีร์บนโต๊ะมาเปิดอ่าน

ร่างเลือนรางเอ่ยถามอย่างแผ่วเบา “นายน้อยขอรับ ให้เราลบอักขระที่แขกท่านนั้นทิ้งไว้บนกายของข้ารับใช้ออกหรือไม่ขอรับ”

“ไม่จำเป็นหรอก” เซี่ยไห่หยางพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น สายตายังคงจับจ้องที่คัมภีร์

ขณะที่เซี่ยไห่หยางพูดเช่นนั้น ผงฝุ่นสีเทาชิ้นเล็กจ้อยที่ติดอยู่บนบ่าข้ารับใช้ที่เป็นคนต้อนรับหวังเป่าเล่อด้านล่างก็สั่นไหว

หวังเป่าเล่อตบบ่าข้ารับใช้คนนั้นก่อนจะเดินจากไปพร้อมรอยยิ้มกว้าง ชายหนุ่มเดินจากร้านไปไกลแล้ว แต่เมื่อฝุ่นนั้นสั่นไหว เขาก็หยุดกะทันหัน ก่อนจะเร่งฝีเท้าขึ้นอีก กระแสพลังงานที่แผ่ออกมาจากกระบวนท่าสารัตถะเริ่มรวน ส่วนหนึ่งสลายไปกองอยู่ตรงเท้าของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะแปรสภาพเป็นแมลงที่ไต่ยั้วเยี้ยกระจายอยู่เต็มพื้นก่อนจะเข้าไปหลบเร้นกายอยู่ในดิน

ชายหนุ่มเดินเข้าออกหลายร้าน เมื่อเขาเดินออกมาจากร้านหนึ่ง รูปกายภายนอกก็เปลี่ยนไปครั้งหนึ่ง หวังเป่าเล่อทิ้งร่องรอยของกระบวนท่าสารัตถะเอาไว้ในร้านเหล่านั้น รูปแบบพลังงานของเขาเปลี่ยนแปลงไปเพราะชายหนุ่มทิ้งส่วนหนึ่งของพลังงานเอาไว้ในตัวทุกคนที่เดินผ่าน

หวังเป่าเล่อเดินเข้าโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งในตลาดเมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครตามมา ก่อนจะจ่ายเงินก้อนใหญ่เป็นค่าห้อง จากนั้นจึงนั่งลงในห้องอย่างเงียบงันพร้อมสีหน้าครุ่นคิด ชายหนุ่มกำลังไล่เรียงทุกสิ่งที่เซี่ยไห่หยางบอกมา

ดูเหมือนว่าเขาจะสัมผัสถึงเศษเสี้ยววิญญาณสารัตถะที่ข้าทิ้งเอาไว้แล้ว…ไม่เป็นไร หากสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริง ข้าก็ควรจะหาทางเข้าร่วมภารกิจด้วย…ก็แค่สังหารผู้ฝึกตนเท่านั้น อันที่จริงแล้ว การฆ่าฟันนี่ละคือสิ่งที่ข้าต้องทำเพื่อพัฒนาระดับปราณและบรรลุจากขั้นจิตวิญญาณอมตะสู่ระดับดาวพระเคราะห์! ประกายเยือกเย็นสะท้อนวาบอยู่บนดวงตาของหวังเป่าเล่อ หลังจากนิ่งเงียบครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ชายหนุ่มก็กวาดตาไปรอบห้องก่อนจะตัวสั่นเทิ้ม แล้วสลายกลายเป็นอากาศธาตุไป เขาใช้กระบวนท่าสารัตถะแปลงเป็นแมลงตัวจิ๋ว ก่อนจะหาช่องหน้าต่างที่เปิดอยู่แล้วบินออกไป

กระบวนท่าสารัตถะของหวังเป่าเล่อยังคงทำงานอยู่ขณะที่โบยบินจากมา กายรูปแมลงของเขาแยกออกเป็นแมลงจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายไปทั่วตลาด เศษเสี้ยววิญญาณที่ชายหนุ่มทิ้งไว้ระหว่างทางไปโรงเตี๊ยมก็แปรสภาพกลายเป็นรูปร่างหน้าตาที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นแมลง มด หรือกระทั่งเศษฝุ่น พวกมันกลายมาเป็นหูให้เขา ต่างก็ได้ยินทุกสิ่งและเก็บข้อมูลทุกอย่างเอาไว้

มีเพียงหวังเป่าเล่อ ผู้ที่ถือครองกระบวนท่าสารัตถะเท่านั้น จึงจะสามารถเก็บข้อมูลด้วยวิธีเช่นนี้ได้ และถือว่าได้ผลไม่น้อยทีเดียว ภายในสามวัน หลังจากการคัดกรองข้อมูลที่ไม่สำคัญออก ชายหนุ่มก็เก็บข้อมูลเรื่องปรมาจารย์แห่งไฟมาได้ไม่น้อย ข้อมูลที่เก็บมาได้ยืนยันว่าคำพูดของเซี่ยไห่หยางเป็นความจริง

หลังจากที่วิเคราะห์ข้อมูลแล้ว หวังเป่าเล่อก็ตามเก็บเศษเสี้ยววิญญาณสารัตถะที่ปล่อยออกไป พอเกือบสิ้นวันที่สาม ชายหนุ่มก็หยิบแผ่นหยกขึ้นมาก่อนจะส่งข้อความเสียงไปยังเซี่ยไห่หยาง

“สหายเต๋าไห่หยาง ข้าจะขอรับภารกิจ!”

เซี่ยไห่หยางที่เฝ้ารอข่าวจากหวังเป่าเล่ออยู่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อได้ยิน ชายหนุ่มเชื่อมั่นในสัญชาติญาณของตน แม้ว่าบุรุษผู้นั้นจะไม่ใช่หวังเป่าเล่อ สัญชาติญาณก็บอกเซี่ยไห่หยางว่า…เขาจะกลายมาเป็นลูกข้าคนสำคัญในไม่ช้า

เซี่ยไห่หยางรีบแสดงความตื่นเต้นยินดีอย่างที่สุดทันทีที่ได้รับข่าวจากหวังเป่าเล่อ ก่อนจะจัดแจงสมัครเข้าร่วมภารกิจให้ในทันที เขารีบไปจัดการให้ทันเส้นตาย เพื่อให้แน่ใจว่าหวังเป่าเล่อจะไม่พลาดโอกาสครั้งนี้

“เป่าเล่อ เจ้าโชคดีนัก ข้าส่งใบสมัครทันเวลาพอดิบพอดี ภารกิจของเจ้าจะเริ่มในอีกสองชั่วโมง!”

“ให้ข้าไปที่ใดกันเล่า” หวังเป่าเล่อถาม

“เจ้าไม่ต้องไปที่ไหนเลย เจ้าจะรู้ทุกสิ่งในเวลาสองชั่วโมงจากนี้ ข้าจะบอกอะไรเจ้าไว้อย่างหนึ่ง…แทบจะไม่มีสิ่งใด…ที่ปรมาจารย์แห่งไฟทำไม่ได้! เขาแทบจะสมบูรณ์แบบเลยละ จริงๆ นะ!” เซี่ยไห่หยางพูด ก่อนจะตัดสายไปด้วยคำพูดกำกวมสองประโยคนั้น

หวังเป่าเล่อเลิกคิ้ว สายตาครุ่นคิด แต่ชายหนุ่มไม่มีเวลาคิดนานนัก สองชั่วโมงถัดมา สัมผัสสวรรค์ของเขาก็สั่นไหวอย่างรุนแรง จากนั้นภายในชั่วพริบตา เส้นรยางค์สีฟ้าก็ปรากฏขึ้นจากอากาศก่อนจะมาก่อตัวตรงหน้าหวังเป่าเล่ออย่างเงียบงัน มันถักทอเข้าด้วยกันและแปรสภาพเป็น…หน้ากากสุกรหน้าตาน่าเกลียดน่าชังชิ้นหนึ่ง!

“ภารกิจจะเริ่มขึ้นเมื่อเจ้าสวมหน้ากาก” น้ำเสียงเยือกเย็น ไร้ความรู้สึกของชายชราดังออกมาจากหน้ากากเมื่อมันประกอบร่างเสร็จเรียบร้อย ถ้อยคำเหล่านั้นสะท้อนก้องไปมาอยู่ภายในสัมผัสสวรรค์ของหวังเป่าเล่อ…และกึกก้องอยู่ในใจร่างจริงของชายหนุ่มที่กำลังนอนหลับใหลอยู่ในโลงศพบนดาวเอกดวงเนตรสวรรค์!

……………………………

บทที่ 806 โลกคือละครและเราทุกคนต่างก็เป็นนักแสดง!
เซี่ยไห่หยางลอบยิ้มให้หวังเป่าเล่อก่อนจะกระแอมกระไอและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ไหนๆ เราก็เป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ เจ้าก็ควรได้รับราคาที่ดีที่สุด ข้าลดให้…ร้อยละยี่สิบเลยเป็นอย่างไร”

หวังเป่าเล่อตาลุกวาวเมื่อได้ยินเซี่ยไห่หยางพูด ชายหนุ่มล้มเลิกความคิดที่จะเดินจากไป แต่เปลี่ยนท่าทีเป็นระเบิดหัวเราะเสียงดังก่อนจะเดินเข้าไปหาเซี่ยไห่หยาง เขาหยุดเมื่ออยู่ห่างราวสามเมตร ก่อนพูดด้วยเสียงอันดังและนัยน์ตาที่เรืองเรื่อไปด้วยความยินดีที่ได้เจอเพื่อนเก่าในดินแดนห่างไกล

“เซี่ยไห่หยาง สหายเต๋าเซี่ย ฮะฮ่า ช่างนานเหลือเกินตั้งแต่พบกันครั้งสุดท้าย ข้าไม่คิดเลยว่าจะมาพบเจ้าที่นี่ ข้ากลัวที่จะพูดกับเจ้าในตอนแรก แต่เมื่อมองเจ้าอย่างพินิจพิเคราะห์อยู่นาน ข้าก็มั่นใจจนได้…ว่าเจ้าคือเซี่ยไห่หยาง สหายเก่าของข้า”

หวังเป่าเล่อถอนหายใจ แววตาเลื่อนลอยขณะที่หวนนึกถึงความหลังในอดีต ความสุขฉายฉาบอยู่บนสีหน้า ความเปรมปรีดิ์ของเขาแสดงแจ่มชัดออกมามากเสียจนดูเหมือนเป็นการเสแสร้ง…

“สหายเต๋าไห่หยาง ข้าไม่เคยคิดฝันว่าจะได้พบเจ้าที่นี่ ข้ารู้สึกว่าโชคชะตานั้นช่างเป็นสิ่งที่ทั้งแปลกประหลาดและเป็นปริศนา ทว่าก็เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตงดงามและมหัศจรรย์” หวังเป่าเล่อพูดขณะที่ทรุดตัวลงนั่ง

หลังจากที่ถอนหายใจด้วยความสุขไปหลายรอบ ชายหนุ่มก็กะพริบตาก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจนัก “ในเมื่อที่นี่เป็นร้านของเจ้า และข้าจะได้ส่วนลดร้อยละยี่สิบเพราะเป็นเพื่อนกับเจ้า ข้าคงต้องแสดงการสนับสนุนและซื้อของเพิ่มสักหน่อย”

เซี่ยไห่หยางถึงกับตะลึงกับความเป็นมิตรอย่างปุบปับของหวังเป่าเล่อ มีความไม่แน่ใจฉายอยู่บนแววตาของชายหนุ่ม เจ้าของร้านจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างระแวดระวัง ก่อนจะถามขึ้นมา “สหายเต๋า เจ้าชื่ออะไรนะ”

“หือ” หวังเป่าเล่อชะงักไปชั่วอึดใจ ชายหนุ่มยังคงฉีกยิ้มก่อนจะตอบไปว่า “ข้าเป่าเล่อยังไงเล่า สหายเต๋าไห่หยาง เจ้าลืมชื่อข้าไปเสียแล้วหรือ”

สีหน้าของเซี่ยไห่หยางแปลกแปร่งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น ความไม่แน่ใจในแววตาก็ยิ่งฉายชัดขึ้น เหมือนว่าจะไม่แน่ใจกับการตัดสินใจของตนเอง ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงอักขระลับจางๆ ที่เขาทิ้งไว้บนวัตถุเวทบางชิ้นของหวังเป่าเล่อเมื่อครั้งพบกันที่สหพันธรัฐจากในกระเป๋าคลังเก็บของหลงหนานจื่อ

อักขระลับดังกล่าวมีความลึกลับ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งก็ยังไม่อาจมองเห็นได้นอกจากต้องเพ่งมองอย่างตั้งใจเท่านั้น วิชานี้ถูกส่งต่อมาจากผู้ก่อตั้งในตระกูลของเขา สมาชิกตระกูลเซี่ยต่างทิ้งร่องรอยเหล่านี้เอาไว้บนตัวลูกค้าที่พวกเขาวางแผนจะทำการค้าด้วยอย่างจริงจัง อักขระลับนี้ช่วยให้คนอื่นๆ ในตระกูลสังเกตเห็นลูกค้าเหล่านี้ได้โดยง่าย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อใดก็ตามที่ลูกค้าต้องการความช่วยเหลือ อักขระลับก็จะช่วยให้พวกเขาไปปรากฏตัวในบริเวณใกล้เคียงได้ทันท่วงที การใช้อักขระลับนี้ไม่มีความอาฆาตมาดร้ายใดๆ อยู่เบื้องหลัง อันที่จริงแล้ว อักขระลับเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นการอวยชัยให้พรเลยก็ว่าได้

แต่พลังงานที่แผ่ออกมาจากอักขระลับตรงหน้าช่างแผ่วจางเสียเหลือเกิน หากไม่ใช่เพราะหลงหนานจื่อยืนอยู่ใกล้มาก เซี่ยไห่หยางก็คงสัมผัสถึงมันไม่ได้เลย สิ่งนี้ทำให้เขาเกิดความกังขา แม้ว่าจะสัมผัสถึงอักขระได้ แต่ก็ไม่สามารถใช้อักขระเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันตัวตนที่แท้จริงของหลงหนานจื่อได้

รัศมีและท่าทีที่หลงหนานจื่อแสดงออกมาก็แตกต่างจากเหล่าลูกค้าที่เซี่ยไห่หยางทิ้งอักขระเอาไว้ไม่น้อย

จึงเป็นเหตุให้เมื่อครู่เซี่ยไห่หยางได้ลองทำการทดสอบดู ชายหนุ่มไม่ได้ผลสรุปที่แน่นอนจากการทดสอบครั้งแรก ดังนั้น ชายหนุ่มจึงหยิบถ้วยชาขึ้นมาเพื่อลองทดสอบครั้งที่สอง ปฏิกิริยาของหลงหนานจื่อทำให้เซี่ยไห่หยางแน่ใจขึ้นมาก

เพราะอย่างไรเสีย…แม้เขาจะเดินทางผ่านอารยธรรมมามากมาย แต่สหพันธรัฐก็เป็นที่เดียวที่มีธรรมเนียมว่าเมื่อเจ้าบ้านยกถ้วยชาขึ้น แขกจะต้องอำลากลับไปทันที

ทว่า…อากัปกริยาต่อมาของหลงหนานจื่อกลับทำให้เซียไห่หยางเกิดสงสัยขึ้นมาอีก การยอมรับของหลงหนานจื่อนั้น…ง่ายดายเกินไป เห็นได้ชัดว่าเขาจงใจทำเพื่อจะให้ได้ส่วนลด

ผ่านไปพักหนึ่ง เซี่ยไห่หยางก็ล้มเลิกความพยายามที่จะคาดเดา เขาจ้องหวังเป่าเล่อก่อนจะถามตรงๆ “ศิษย์พี่เป่าเล่อ เจ้าแซ่อะไร”

“หา?” หวังเป่าเล่อแสร้งทำเป็นตกตะลึงและสับสน ชายหนุ่มทำเป็นไม่เข้าใจว่าเหตุใดสหายเก่าแก่จึงได้ลืมแซ่เขาได้ แต่กลับแอบปลื้มอยู่ในใจ

หวังเป่าเล่อไม่รู้เลยว่าเซี่ยไห่หยางอ่านการปลอมตัวของเขาออกได้อย่างไร อย่างไรก็ตามแต่ ชายหนุ่มก็ไม่อยากเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงหรือยอมรับว่ารู้จักเซี่ยไห่หยางตั้งแต่ต้น แต่อีกฝ่ายกลับยกถ้วยชาขึ้นและล่อลวงให้เขาหันหลังเดินจากมาอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งเทียบเท่ากับเป็นการเปิดโปงตนเอง หากเป็นคนอื่นอาจจะไม่ทันสังเกต แต่หวังเป่าเล่อรู้ว่าเซี่ยไห่หยางคนนี้ยอดเยี่ยมเป็นที่สุด เขารู้ดีว่าอีกฝ่ายจะต้องสังเกตเห็นแน่นอน

เป็นเหตุว่าทำไมหวังเป่าเล่อจึงรีบสลับแผนการจะรับเป็นรุก ชายหนุ่มรีบแสร้งทำทีเป็นสนิทกับเซี่ยไห่หยางเพื่อจะได้ส่วนลด เขารู้ว่าแผนนี้สำเร็จเมื่อเซี่ยไห่หยางถามคำถามนั้นออกมา หลังจากการตกตะลึงและไม่เข้าใจ หวังเป่าเล่อก็ชักสีหน้าหม่นหมองก่อนจะลุกขึ้นยืนด้วยแรงโทสะ

“สหายเต๋าไห่หยาง ข้าไม่คิดมาก่อนว่าจะพบเจ้าในวันนี้ การหายตัวไปของเจ้าช่างสุดจะคาดเดา ตัวข้าเองก็ไม่เคยคิดว่าเจ้าจะมาปรากฏตัวในสถานที่เช่นนี้ แต่เจ้าก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องหยามน้ำหน้าข้าด้วยการบอกว่าลืมแซ่ของข้าไปแล้ว ใช่หรือไม่”

“เจ้าจะเรียกข้าว่าเป็นสหายเก่าแก่หรือไม่ก็ตามแต่ใจเจ้า ข้าไม่ใช่คนที่ทำสิ่งใดเพราะเห็นแก่ส่วนลดร้อยละยี่สิบอยู่แล้ว!” หวังเป่าเล่อชักสีหน้าไม่พอใจ ก่อนจะกลับหลังหันทำทีจะเดินออกไป แต่ก็ไม่ได้ออกไปเร็วนัก ชายหนุ่มต้องเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้แก้ตัวด้วยเช่นกัน เพราะอย่างไรเสีย ส่วนลดร้อยละยี่สิบก็มากโขอยู่

ชายหนุ่มพูดจากำกวมอยู่ระดับหนึ่ง เขาบอกว่าการจากไปของเซี่ยไห่หยางนั้นไม่อาจคาดเดาได้ ประโยคนี้ตีความได้หลายแบบ หากเซี่ยไห่หยางจากมาด้วยวิธีปกติ ก็อาจแปลได้ว่า หวังเป่าเล่อแปลกใจกับการตัดสินใจนั้น แต่หากอีกฝ่ายจากมาด้วยวิธีลึกลับหรือแปลกประหลาด ความรู้สึกเกินจะคาดเดานั้นก็ยิ่งเหมาะสมเข้าไปอีก

วิธีการพูดของหวังเป่าเล่อทำเอาเซี่ยไห่หยางดิ้นไม่หลุด ชายหนุ่มรีบลุกขึ้นยืนเพื่อจะรั้งหวังเป่าเล่อเอาไว้

“ศิษย์พี่หลิว ได้โปรด อย่าเพิ่งไปเลย หลิวเป่าเล่อ เจ้านี่ยังอารมณ์ร้อนไม่เปลี่ยนเลย ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น เรื่องการจากมาของข้า ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วเมื่อแรกที่เราพบกัน ที่ใดก็ตามที่มีธุรกิจให้สะสาง ข้าก็จะไปที่นั่น”

สีหน้าตึงเครียดของหวังเป่าเล่อคลายลงเล็กน้อย ชายหนุ่มหันไปส่งสายตาให้เซี่ยไห่หยาง เขาแทบไม่อยากเชื่อ เซี่ยไห่หยางยังคงทดสอบเขาอยู่นั่นเอง ถึงขนาดเปลี่ยนแซ่ให้เป็นหลิวเป่าเล่อ แต่ชื่อนี้ก็ฟังดูรวยอยู่ไม่น้อย มีเพียงคนที่เกิดมาหน้าตาหล่อเหลาเท่านั้นถึงจะคู่ควรกับชื่อนี้ แต่มันก็ไม่เหมาะกับนิสัยของหวังเป่าเล่อเอาเสียเลย

แต่อย่างไรเสีย ชายหนุ่มก็ไม่ต้องการเปิดเผยตัวตนออกมา หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เขาก็ตัดสินใจว่าจะไม่ปฏิเสธหรือขานรับชื่อนั้น กลับกัน หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นก่อนหยิบแผ่นหยกออกมายื่นให้เซี่ยไห่หยาง

“สหายเต๋าไห่หยาง โปรดพักเรื่องนั้นเอาไว้ก่อน เจ้าช่วยข้าหาซื้อวัตถุดิบตามรายการนี้ได้หรือไม่”

เซี่ยไห่หยางกะพริบตาเมื่อได้ยิน เขารับแผ่นหยกมาจากหวังเป่าเล่อและกวาดสายตามองดู ก่อนจะมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้า

“ไม่มีปัญหาเลย แต่สหายข้า พวกเราต้องแยกธุรกิจและมิตรภาพออกจากกัน แม้ว่าข้าจะลดราคาให้ แต่ราคาสุทธิของวัตถุดิบเหล่านี้ก็ยังสูงเสียดฟ้าอยู่ดี เจ้าจะจ่ายไหวหรือ”

หวังเป่าเล่อยังคงแสดงสีหน้าท่าทางสบายใจออกมา แต่กลับลอบถอนหายใจอยู่ภายใน ชายหนุ่มรู้ดีว่าเขาจ่ายไม่ไหว จู่ๆ ความรู้สึกยากจนข้นแค้นอย่างรุนแรงก็โถมทับเข้ามา ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกตัวเล็กลงเล็กน้อย แต่ทักษะในการรักษาท่าทีของหวังเป่าเล่อก็ไม่แพ้ใคร แม้จะไม่มีเงินพอจ่ายค่าวัตถุดิบตามรายการ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังได้รับส่วนลดร้อยละยี่สิบสำหรับของที่เลือกไว้ก่อนหน้านี้ ยิ่งไปกว่านั้น ชายหนุ่มยังกำจัดความสงสัยในใจเซี่ยไห่หยางเกี่ยวกับเรื่องตัวตนของเขาออกไปได้อีกด้วย เขาจึงทำสีหน้าขึงขังขึ้นมาทันที

“ศิษย์น้องไห่หยาง เจ้าเชื่อใจข้าหรือไม่ หากเจ้าเชื่อ ข้า หลิวเป่าเล่อผู้นี้จะเขียนตั๋วเงินให้เจ้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะซื้อเชื่อ เพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น!”

กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเซี่ยไห่หยางกระตุก ก่อนจะจ้องมองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง ความชั่งใจที่เขามีทำให้ชายหนุ่มไม่ยอมตัดสินใจ ทักษะการแสดงของหวังเป่าเล่อเป็นประโยชน์อีกครั้ง หากชายหนุ่มปฏิเสธการเป็นหวังเป่าเล่อมาตั้งแต่ต้น เซี่ยไห่หยางก็คงจะจับได้ตั้งแต่ครั้งแรก แต่ยิ่งหวังเป่าเล่อพูดเรื่องมิตรภาพของทั้งสองมากเท่าใด เซี่ยไห่หยางก็ยิ่งชั่งใจมากขึ้นเท่านั้น

นายน้อยของร้านครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นนัยน์ตาของเขาจึงส่องประกายขึ้นมา เขามองไปรอบด้านก่อนจะกระซิบ “ศิษย์พี่เป่าเล่อ ข้ามีข้อเสนอทางธุรกิจมาให้เจ้า เจ้าจะสนใจหรือไม่ อาจจะมีอันตรายอยู่บ้าง แต่ก็เพียงน้อยนิด แต่หากเจ้าทำสำเร็จ รางวัลที่รออยู่นั้นก็มหาศาล มากเกินพอที่จะซื้อวัตถุดิบทั้งหมดนี่และยังเหลือให้เจ้าได้จับจ่ายอีกเหลือเฟือ!”

“ข้อเสนอธุรกิจอย่างนั้นหรือ” สัญญาณเตือนภัยดังลั่นขึ้นในศีรษะของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มมีสีหน้าลังเลใจ

“ใช่แล้ว ไม่ต้องห่วงไป สหายข้า ข้ากำลังพูดถึงภารกิจที่ผู้ฝึกตนทรงพลังและลี้ลับผู้หนึ่งประกาศขึ้น เขาทั้งทรงพลัง แถมยังมีความแค้นใหญ่หลวงกับตระกูลไม่รู้สิ้น แต่เพราะเหตุผลบางประการ เขาจึงไม่อาจโจมตีศัตรูคู่อาฆาตโดยตรงได้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด ผู้ฝึกตนคนนั้นก็ไม่อาจปล่อยวางความแค้นได้ เพราะฉะนั้น บางครั้งบางคราว เขาก็จะประกาศภารกิจตามแว่นแคว้นต่างๆ เพื่อรวบรวมผู้ฝึกตนและให้พวกเขาสวมหน้ากากพิเศษ จากนั้นจึงเคลื่อนย้ายผู้ฝึกตนเหล่านั้นไปตามดาวเคราะห์น้อยใหญ่ เพื่อไล่สังหารผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นนั่นเอง!

“ตอนนี้มีภารกิจอยู่มากกว่าสามสิบภารกิจ ผู้ฝึกตนเร้นลับจะเป็นผู้เคลื่อนย้ายเจ้าเข้าออกจากดาวเคราะห์ต่างๆ และเป็นผู้จัดการเก็บกวาดเรื่องราวทั้งหมดด้วย ผู้ฝึกตนที่มารวมตัวกันมีหน้าที่เพียงต้องสังหารผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นเท่านั้น หากตายก็ไม่ได้อะไรเลย แต่หากรอดมาได้ ก็จะได้รับผลึกสีชาดเป็นค่าตอบแทน จำนวนผลึกสีชาดที่ได้รับขึ้นอยู่กับจำนวนผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่สังหารได้!

“ผลึกสีชาดเป็นสกุลเงินหลักในระบบดาวเคราะห์เต๋าไม่รู้สิ้น ผลึกสีชาดสามร้อยชิ้นก็เพียงพอที่จะแลกกับทุกสิ่งที่เจ้าเขียนเอาไว้บนรายการ!”

…………………………….

บุรุษผู้นั้นคือสหายเก่าของหวังเป่าเล่อ…เซี่ยไห่หยาง!

เซี่ยไห่หยางคือบุรุษลึกลับผู้อ้างตนเป็นนักธุรกิจเมื่อครั้งอยู่ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะหายตัวไป เขาได้พบหวังเป่าเล่ออีกครั้งที่สำนักวังเต๋าไพศาลแล้วก็หายตัวไปอีกครา…

ตอนนี้ เมื่อหวังเป่าเล่อได้เห็นเซี่ยไห่หยางอีกครั้งที่นี้ แม้ว่าจะตกใจเพียงใด ชายหนุ่มก็รู้สึกว่าตนไม่ได้แปลกใจนัก ราวกับว่าลึกลงไปในใจ เขารู้ว่าต้องได้พบเซี่ยไห่หยางอีกครั้งแน่นอน

ข้าสงสัยว่า…บุรุษผู้นี้จะมีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่กว่าที่คาดคิดไว้เสียอีก หวังเป่าเล่อจมดิ่งอยู่ในความคิด ด้านหนึ่ง ชายหนุ่มนึกถึงเกมที่เซี่ยไห่หยางนำไปเผยแพร่ที่สำนักวังเต๋าไพศาล เมื่อมานึกถึงเรื่องนี้อีกครั้งในตอนนี้ ชายหนุ่มก็คิดขึ้นมาได้ ไม่ว่าจะเป็นตอนนั้นหรือตอนนี้ เขาก็แน่ใจว่าดาวเคราะห์ที่อยู่ในเกมต้องเป็น…ดาวอาณานิคมแห่งหนึ่งแน่นอน!

หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ในใจแล้วจึงระมัดระวังตัวขึ้นอีก แม้จะไม่ได้แสดงออกมาก็ตามที ชายหนุ่มหันศีรษะไปกวาดตาดูก่อนจะหันกลับ แต่ด้วยการกวาดสายตาเพียงครั้งเดียว นอกจากจะมองเห็นเซี่ยไห่หยางแล้ว เขายังเห็นอาวุธเทพและสมบัติเวทบนกายของอีกฝ่ายได้ชัดเจนด้วย

เขาสวมอาวุธเทพที่มีรูปร่างเหมือนผ้าคลุมหน้าบนศีรษะ สวมชุดคลุมปัญญาญาณ และพัดกระดาษของเขาก็มีพลังกดดันเทียบเท่าผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ แค่วัตถุเวทเหล่านั้นเพียงชิ้นเดียวก็หรูหราเสียจนทำให้ผู้คนอิจฉาริษยาจนตาแทบลุกเป็นไฟและอยากหยิบฉวยเอามาเป็นของตัวเอง แต่หากทุกชิ้นมาปรากฏอยู่บนกายของคนๆ เดียว ความโลภโมโทสันก็อาจต้องถูกเก็บงำเอาไว้ในใจ

เพราะว่า…ผู้ที่สามารถครอบครองวัตถุเวททั้งสามชิ้นพร้อมๆ กันได้ ต้องเป็นผู้ที่มีทั้งสถานะและยศถาสูงส่ง แปลว่าคนผู้นั้นต้องมีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่พอจะเขย่าสรวงสวรรค์ได้ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถสวมใส่วัตถุเวททั้งสามชิ้นได้พร้อมกันอย่างสบายอกสบายใจ

วัตถุเวททั้งสามยิ่งทำให้หวังเป่าเล่อแน่ใจกับการคาดเดาของตนเองก่อนหน้านี้ขึ้นไปอีก แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปทักเซี่ยไห่หยางแต่อย่างใด เขาคิดว่าการหลบหน้าบุรุษผู้ลึกลับผู้นี้เป็นความคิดที่ดีที่สุด

อย่างไรก็ตามขณะนี้หวังเป่าเล่อปลอมตัวเป็นหลงหนานจื่ออยู่ เขาจึงไม่กลัวถูกจับได้ ส่วนเจ้าอู๋น้อยและเจ้าลาก็อยู่ในเรือบินรบเวท และหวังเป่าเล่อก็ซ่อนมันเอาไว้อย่างดี ดังนั้นตอนนี้ ชายหนุ่มจึงสามารถใช้โอกาสนี้เรียนรู้ประวัติของเซี่ยไห่หยางเพิ่มเติมได้

ตัวอย่างเช่น ร้านค้านี้ ซึ่งนับเป็นร้านที่ใหญ่ที่สุดเพราะมีของครบถ้วนสุดในตลาด ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นของเซี่ยไห่หยาง หาไม่แล้ว พนักงานขายตรงหน้าหวังเป่าเล่อคงไม่เรียกเซี่ยไห่หยางว่านายน้อยด้วยท่าทีเคารพนบนอบถึงเพียงนี้

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็มองดูวัตถุดิบรอบตัวต่อไป ขณะที่กำลังเจรจาเรื่องราคาอยู่ ชายหนุ่มก็สงวนท่าที ทำเป็นว่าไม่ใส่ใจเซี่ยไห่หยางมากนัก น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไปจากเมื่อครั้งอยู่บนสหพันธรัฐด้วยผลของกระบวนท่าสารัตถะ

อาจเป็นเพราะทักษะในการแสดงตบตาของหวังเป่าเล่อนั้นยอดเยี่ยม ประกอบกับความพิเศษของกระบวนท่าสารัตถะ จึงทำให้เซี่ยไห่หยางเพียงแต่มองผ่านมาเร็วๆ ก่อนจะเดินมุ่งหน้าไปทางบันไดที่ทอดยาวไปยังชั้นสองของอาคาร ระหว่างทาง บรรดาพนักงานขายคนอื่นๆ ก็ทำความเคารพเขาทั้งสิ้น อันที่จริงแล้ว ลูกค้าจำนวนไม่น้อยในร้านต่างก็พากันโค้งศีรษะเล็กน้อยเพื่อแสดงความนับถืออีกด้วย

ฉากนี้ทำเอาหัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นไม่เป็นส่ำ ชายหนุ่มชั่งใจว่าควรจะออกจากร้านนี้แล้วแสร้งถามประวัติของร้านนี้จากร้านค้าใกล้เคียงอื่นๆ ดีหรือไม่

ขณะที่หวังเป่าเล่อยังคงคิดอยู่ เซี่ยไห่หยางก็เดินขึ้นบันไดไป แต่ในเสี้ยววินาทีที่เงาของชายหนุ่มกำลังจะลับตาไปขณะก้าวขึ้นชั้นสองนั่นเอง ชายหนุ่มก็หยุดเคลื่อนที่อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินต่อไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เพราะมีอุปสรรคบังสายตา แถมสถานที่นี้ยังไม่อนุญาตให้ใช้ดวงจิตในการสำรวจ หวังเป่าเล่อจึงไม่ทันเห็นการกระทำของเซี่ยไห่หยาง แต่จากการยั้งฝีเท้าเพียงครั้งเดียวนั้น ก็ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดแปลกไป ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้อ้อยอิ่งอยู่นานนัก หลังจากเลือกของที่เข้าตาได้แล้ว เขาก็ตรวจดูเงินที่เหลืออยู่ ก่อนจะกัดฟันซื้อมา

แต่ขณะกำลังชำระเงินอยู่นั้น พนักงานขายก็ตรวจดูใบเสร็จรับเงินของหวังเป่าเล่ออย่างถ้วนถี่ ก่อนจะกวาดสายตามามองชายหนุ่ม และพูดพร้อมส่ายหัวดิก

“สหายเต๋า มีวัตถุดิบหลายชนิดในรายการของท่านที่ร้านของเราจะขายให้ลูกค้าเก่าเท่านั้น ท่านต้องใช้จ่ายถึงระดับหนึ่ง เราจึงจะสามารถแบ่งขายให้ท่านได้”

หวังเป่าเล่อตะลึง หลังจากที่ไต่ถามอยู่ไปมา ชายหนุ่มก็ชักสีหน้า บรรดาวัตถุดิบที่เขาเลือกส่วนมากเข้าข่ายเช่นนี้ทั้งหมด หากหวังเป่าเล่อซื้อของเหล่านี้ไม่ได้ เขาก็ไม่ควรจะซื้ออะไรเลย

โดยเฉพาะวัตถุดิบสามชนิดที่ชายหนุ่มไม่เคยเห็นจากร้านอื่นใดก่อนหน้านี้ หากเขาซื้อจากที่นี่ไม่ได้ เขาก็ไม่รู้แล้วว่าจะต้องไปหาซื้อได้จากที่ไหน

คำตอบของพนักงานขายทำให้หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วอย่างลืมตัว

“เอาอย่างนี้ไหมขอรับ นายน้อยของพวกเราเพิ่งจะกลับมาถึง โปรดรอข้าสักครู่เถิดสหายเต๋า ข้าจะขึ้นไปพูดคุยกับท่านให้ นายน้อยของเราชอบผูกมิตรและเป็นคนใจกว้างยิ่งนัก ข้าเชื่อว่าเขาต้องยอมขายของเหล่านี้ให้ท่านอย่างแน่นอน” แน่นอนว่าพนักงานขายย่อมต้องได้ส่วนแบ่งจากการขายของให้หวังเป่าเล่อด้วย เขาจึงพยายามอย่างมากเพราะรายการของหวังเป่าเล่อนั้นมีราคาพอสมควร หลังจากครุ่นคิดดูแล้ว พนักงานขายจึงบอกให้หวังเป่าเล่อรอก่อนจะหันหลังเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง

หวังเป่าเล่อไม่ได้หยุดพนักงานขายไว้ แต่กลับยืนหรี่ตารออย่างสงบ เฝ้าดูว่าสถานการณ์จะคลี่คลายลงเช่นไร คงจะดีหากสถานการณ์คลี่คลายได้ด้วยดี หาไม่แล้ว ชายหนุ่มก็คงต้องคิดดีๆ ว่าจะรับมืออย่างไรต่อไป

เวลาผ่านไปไม่นาน เพียงไม่เกินหนึ่งร้อยลมหายใจ พนักงานขายก็เดินยิ้มแฉ่งลงมาจากชั้นสอง ก่อนจะกล่าวเมื่อเดินกลับมาถึงบริเวณที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่

“สหายเต๋า นายน้อยของเราอนุญาตให้ท่านซื้อสิ่งของที่ต้องการได้ เขายังเชิญให้ท่านขึ้นไปนั่งพักด้านบนระหว่างรอข้าไปจัดเตรียมวัตถุดิบตามที่ท่านต้องการด้วย”

สีหน้าของหวังเป่าเล่อยังเฉยเมยขณะจ้องมองลึกเข้าในดวงตาของพนักงานขาย ชายหนุ่มไม่เห็นอะไรผิดสังเกต เขาจึงเบนหน้าไปมองบันไดที่ทอดยาวขึ้นไปสู่ชั้นสอง หลังจากนั้นชั่วอึดใจ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็เปล่งประกาย ก่อนที่จะหัวเราะออกมา

“ดีมาก!” เขาเดินอาดๆ ไปทางบันไดทันที พนักงานขายถึงกับตะลึงเพราะเสียงหัวเราะอันดังสนั่นของหวังเป่าเล่อ และรู้สึกแปลกๆ ที่สัมผัสได้ถึงความลุ่มลึกในน้ำเสียงนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ติดใจแต่อย่างใด เมื่อส่งหวังเป่าเล่อถึงบันไดแล้ว จึงผายมือให้อีกฝ่ายเดินขึ้นไปตามลำพัง ก่อนที่ตนจะล่าถอยไปจัดเตรียมของตามรายการที่ชายหนุ่มสั่ง

เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะขึ้นไปชั้นสอง หวังเป่าเล่อก็ไม่รอช้า รีบเดินจ้ำขึ้นไปทันที และเมื่อหันหน้าไปมอง เขาก็เห็นเซี่ยไห่หยางนั่งอยู่ที่โต๊ะน้ำชาไม่ห่างออกไปนัก

บรรยากาศบนชั้นสองหรูหรากว่าชั้นล่างมากนัก ตู้กระจกใสที่มีวัตถุเวทสุดมลังเมลืองวางเรียงรายอยู่ทั่วไป ในขณะเดียวกันก็มีกระถางธูปอยู่ทั้งสี่มุมห้อง กลุ่มควันสีเขียวลอยอวลปกคลุมไปทั่ว ส่งกลิ่นหอมหวานที่ดีต่อการฝึกปราณเพราะมันสามารถช่วยพัฒนาการเคลื่อนที่ของพลังปราณในร่างกาย

นอกจากนี้ พื้นบนชั้นสองยังปูด้วยหนังผืนใหญ่ เป็นหนังของอสูรร้ายที่หวังเป่าเล่อไม่เคยพบเห็นมาก่อน และราวกับว่ามันสามารถแผ่ความอบอุ่นออกมาได้ด้วยตัวเอง อุณหภูมิบนชั้นสองจึงอุ่นสบายยิ่งนัก

ขณะที่หวังเป่าเล่อยังคงยืนมองสิ่งรอบข้างอยู่นั้น เซี่ยไห่หยางก็เงยศีรษะขึ้นมองหวังเป่าเล่อ เขาจ้องมองจนหวังเป่าเล่อเอียงศีรษะมาสบตาด้วย จากนั้นเซี่ยไห่หยางจึงหรี่ตาลงก่อนจะหัวเราะออกมา

หวังเป่าเล่อไม่แสดงอารมณ์แต่อย่างใด ชายหนุ่มเพียงแต่ส่งรอยยิ้มอย่างสุภาพให้ราวกับคนที่เพิ่งพบกันครั้งแรก ก่อนจะยกมือประสานทักทายอีกฝ่าย

“ขอบคุณนายน้อยยิ่งนักที่ตกลงยอมขายสินค้าให้ข้า นายน้อยสะดวกจะให้ข้าเรียกว่าอะไรหรือขอรับ”

“ข้าชื่อเซี่ยไห่หยาง ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก สหายเต๋า เพราะถึงอย่างไร เจ้ากับข้านั้นสนิทกันมาช้านาน ไม่จำเป็นต้องทักทายกันอย่างเป็นทางการนักหรอก เจ้าว่าไหมเล่า”

“สนิทกันอย่างนั้นหรือขอรับ” หวังเป่าเล่อตะลึง ก่อนจะจ้องมองเซี่ยไห่หยางด้วยสายตาแปลกแปร่ง ชายหนุ่มไม่ได้พูดต่อทันที แต่กลับแสร้งทำเป็นคิดทบทวนอย่างละเอียด หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ จึงได้ฝืนยิ้มออกมา

“ข้าทำรัศมีบิดเบี้ยวไปเล็กน้อยจากการฝึกปราณก่อนหน้านี้ อาจเป็นเพราะความทรงจำของข้าเลอะเลือน ข้าจึงจำท่านไม่ได้ ข้าหวังว่าท่านจะไม่ถือโทษ แต่ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ยังต้องขอขอบคุณที่ท่านยอมขายสินค้าให้ข้า” หวังเป่าเล่อไม่ได้ปฏิเสธ ในฐานะผู้ชำนาญการด้านปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์ หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าหากปฏิเสธสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างแข็งขันเกินไป ก็จะเท่ากับยอมรับความจริง เพราะอย่างไรเสีย เมื่อคนทั่วไปต้องเผชิญสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้ ส่วนมากก็คงไม่ปฏิเสธเสียงแข็งเท่าใดนัก

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงเสียด้วย น้ำเสียงและท่าทางของหวังเป่าเล่อทำให้เซี่ยไห่หยางรู้สึกชั่งใจ ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีก กลับกัน เขากลับยกถ้วยชาขึ้นแล้วเริ่มพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับหวังเป่าเล่อแทน

เมื่อเห็นว่าเซี่ยไห่หยางจำตนเองไม่ได้ หวังเป่าเล่อจึงยกมือขึ้นประสานก่อนจะเตรียมตัวหันหลังกลับ ทันทีที่ชายหนุ่มหันหลังหนีมาได้ หัวใจเขาก็เริ่มเต้นโครมคราม จนอดไม่ได้ที่จะต้องสบถออกมา…เขาเปิดเผยตัวตนไปแล้วอยู่ดี

แทบจะทันทีที่หวังเป่าเล่อคิดเรื่องนี้ ดวงตาของเซี่ยไห่หยางก็เป็นประกายวาบ ก่อนที่จะฉีกยิ้มแล้วพูดขึ้น “โลกช่างแคบอะไรอย่างนี้! ศิษย์พี่หวังเป่าเล่อ เจ้าสบายดีหรอกหรือ”

หวังเป่าเล่อชะงัก ก่อนจะหันรีหันขวาง แล้วจึงหันกลับมามองเซี่ยไห่หยาง ใบหน้าของชายหนุ่มไม่ได้มีอาการว่ากำลังเสียเปรียบแต่อย่างใด แต่กลับแสดงความกระอักกระอ่วนเมื่อถูกเรียกด้วยชื่อที่ผิดมากกว่า

“ข้าขอบคุณนายน้อยอีกครั้ง แต่ข้า หลงหนานจื่อ คงต้องขอตัวก่อน” เขากระแอมกระไอครั้งหนึ่ง ราวกับว่าพยายามจะช่วยเซี่ยไห่หยางแก้ไขความเข้าใจผิดจากการเรียกตนด้วยนามของใครอีกคน

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เซี่ยไห่หยางก็ถอนหายใจ โคลงศีรษะ ขณะจัดการกับความรู้สึกมหาศาลที่เกิดขึ้น

“ข้าขออภัยด้วย ข้าคงจำผิดไป หลงคิดไปว่าท่านเป็นเพื่อนสนิทของข้าจากกาลก่อนและกำลังคิดว่าจะลดราคาให้เสียหน่อย แต่อย่างไรเสีย การจะเจอเพื่อนเก่าในต่างแดนคงเป็นเรื่องยาก ถ้าท่านไม่ใช่เขา…ก็โปรดอย่าใส่ใจเลย”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อกะพริบตาแล้วพูดขึ้นทันควัน

“ลดให้เท่าใดหรือ”

………………………..

บทที่ 804 คนรู้จักเก่า!
ในการเดินทางครั้งต่อมา ขณะที่หวังเป่าเล่อออกไปไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ขึ้นทุกทีๆ ชายหนุ่มก็ค่อยๆ เก็บสะสมทรัพยากรได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างนี้เขาก็ป้อนต้นไผ่ศิลาให้แมลงปอกินไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันพัฒนาจนบรรลุขั้นเป็นเรือบินรบเวทอย่างสมบูรณ์!

ทว่าเพราะหวังเป่าเล่อยังไม่บรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะ เขาจึงไม่สามารถผสานรวมกับเรือบินรบเวทและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นชุดเกราะส่วนตัวได้อย่างที่เทพธิดาหลิงโยวเคยทำ

แม้สถานการณ์จะขลุกขลักสักหน่อยในตอนนี้ แต่หวังเป่าเล่อก็ได้ค้นคว้าวิธีแก้ปัญหามาแล้ว แต่วิธีการที่ว่านี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ ชายหนุ่มยังต้องการเวลาเพื่อวิเคราะห์และหาผลลัพธ์อีกสักหน่อย

นอกจากเรื่องนี้แล้ว ทรัพยากรที่เจ้าอู๋น้อยต้องเสียสละตัวเองอย่างใหญ่หลวงเพื่อแลกมาก็ทำให้ขุมกำลังของหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก ตัวอย่างเช่น หวังเป่าเล่อได้เสริมพลังเรือบินรบในกำไลคลังเวทเกือบหมดทุกลำ ทำให้ในขณะนี้ พลังทำลายตัวเองของเรือบินรบจึงกล้าแข็งยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา

โดยเฉพาะเมื่อเรือบินรบกว่าร้อยลำถูกหวังเป่าเล่อออกแบบเป็นพิเศษให้มีพลังระเบิดเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่โจมตีเต็มพิกัด ส่วนเรือบินรบที่เหลือนั้ก็มีพลังเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นสูงสุด

มีเรือบินรบอีกสิบลำที่หวังเป่าเล่อสงวนเอาไว้เป็นไพ่ตาย ทันทีที่พวกมันระเบิด ก็จะมีพลังทำลายเท่ากับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ จากการคำนวนของหวังเป่าเล่อ หากชายหนุ่มใช้พลังของเรือบินรบ บวกกับโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา และตั๊กแตนเรือบินรบเวท ต่อให้เขาต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ขั้นจิตวิญญาณอมตะ…หากอีกฝ่ายไม่มีเรือบินรบเวท หวังเป่าเล่อก็มั่นใจว่าจะเอาชนะได้อย่างแน่นอน

หรือต่อให้อีกฝ่ายมีเรือบินรบเวท หวังเป่าเล่อก็ยังมั่นใจว่าจะรับมือได้ และยังสามารถหลบหนีได้ทันท่วงทีอีกต่างหาก

การเดินทางนับหมื่นกิโลเมตรนั้นดีกว่าการอ่านหนังสือนับหมื่นเล่มจริงๆ… หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงคลื่นอารมณ์อันหลากหลาย ชายหนุ่มตระหนักได้ว่า การตัดสินใจออกเดินทางสำรวจเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว และหากเขายังทำเช่นนี้ต่อไป หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่า เมื่อถึงเวลาที่กองทหารของเขาเดินทางกลับไป มันต้องเปลี่ยนแปลงไปมากจนทุกคนตกตะลึงอย่างแน่นอน

ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างการเดินทางครั้งนี้ เมื่อได้ฤทธิ์จากโอสถที่อู๋น้อยเสียสละตนเองเพื่อแลกมา หวังเป่าเล่อก็ยิ่งขยับเข้าใกล้ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์อย่างรวดเร็วและมั่นคงขึ้นทุกที

ตอนที่ข้าเดินทางกลับ…ข้าหวังว่าจะบรรลุขั้นจากขั้นเชื่อมวิญญาณไปสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว จากนั้นหากข้าสามารถผสานรวมเกราะจักรพรรดิของข้าเข้ากับเรือบินรบเวทได้ พลังของข้าก็จะนำผู้อื่นไปอีกหลายขุม แล้วยิ่งผสานเข้ากับอาวุธเทพอีกเล่า…ข้าในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้นย่อมสามารถกำราบกระทั่งผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นกลางได้แน่! หวังเป่าเล่อรู้สึกลำพองใจ ความมุ่งมั่นของเขาพุ่งจะยานสูงขณะขับเรือบินรบเวทไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มพาเจ้าลาและเจ้าอู๋น้อย ผู้ที่เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จากการพักผ่อน เดินทางมุ่งหน้าต่อไป

อาจเพราะเจ้าอู๋น้อยได้เสียสละครั้งใหญ่ให้หวังเป่าเล่อ ดังนั้นหลังจากที่หายจากอาการบาดเจ็บ แม้ว่าเจ้าอู๋น้อยจะยังเคารพนับถือชายหนุ่มอยู่มาก แต่เด็กหนุ่มก็ดูผ่อนคลายลงไม่น้อย และเมื่อต้องอยู่กับเจ้าลาสองต่อสอง เขาก็ไม่ได้ประจบประแจงมันเหมือนแต่ก่อน หวังเป่าเล่อเองก็รู้สึกว่าเจ้าอู๋น้อยได้ทำอะไรให้เขาหลายอย่าง จึงเริ่มปฏิบัติกับอีกฝ่ายดีขึ้น

แม้ว่าเจ้าลาจะไม่รู้รายละเอียด แต่มันก็อยู่กับหวังเป่าเล่อมาตั้งแต่แบเบาะ ดังนั้นมันจึงค่อนข้างอ่อนไหวกับปฏิกิริยาของหวังเป่าเล่อและสัมผัสสิ่งที่เป็นอยู่ได้ แม้เจ้าลาจะไม่ค่อยพอใจนักในตอนแรก แต่มันก็รู้จักอดทนเพราะว่าแหล่งของกินนั้นย่อมสำคัญกว่า

เพราะอย่างไรเสีย หวังเป่าเล่อก็โยนทรัพยากรจำนวนหนึ่งที่เจ้าอู๋น้อยสละตัวเองเพื่อแลกมาให้เจ้าลากินเป็นอาหาร ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็ส่งข้อความเสียงไปขอให้เจ้าลาทำตัวดีๆ กับเจ้าอู๋น้อย เพื่อที่ว่า…พวกเขาจะได้ขอให้เจ้าอู๋น้อยสละตัวเองได้อีกในอนาคต

อาจเป็นเพราะเหตุนี้ เจ้าลาจึงยอมรับความเปลี่ยนแปลงเรื่องเจ้าอู๋น้อยในครั้งนี้ได้

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ขณะที่เรือบินรบเวทพุ่งทะยานผ่านจักรวาล สี่เดือนผ่านไป ระหว่างนี้ หวังเป่าเล่อก็มุ่งหน้าตรงลึกเข้าไปในอวกาศ และเริ่มปล้นชิงได้มากขึ้นเรื่อยๆ เขาเพิ่มระดับเรือบินรบอีกครั้ง และพลังปราณของเขาก็เข้าใกล้ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูณร์เข้าไปทุกที

เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นว่าตนเดินทางมาเป็นเวลานานแล้ว และกำลังครุ่นคิดว่าจะเคลื่อนย้ายกลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ดีหรือไม่ ชายหนุ่มก็มาถึงระบบดาวเคราะห์หนึ่ง…ที่ทำให้เขาตกตะลึงแม้จะเห็นสิ่งต่างๆ มามากมายจากการสำรวจก็ตามที!

ระบบดาวเคราะห์นี้กว้างใหญ่ไพศาลกว่าระบบดาวเคราะห์ใดๆ ทั้งหมดที่หวังเป่าเล่อเคยพบเห็นมา อันที่จริงแล้ว จากการคาดคะเนของเขา ระบบดาวเคราะห์นี้น่าจะใหญ่กว่าระบบสุริยะหลายหมื่นเท่า

แค่ดวงอาทิตย์ดารานิรันดร์อย่างเดียว…ก็มีเป็นร้อยๆ ดวงแล้ว ร่องรอยการบุกรุกของมนุษย์นั้นเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะตรงใจกลางของระบบดาวเคราะห์นั้น มีดารานิรันดร์นับร้อยต่างก่อตัวกันเป็นวงแหวนปราณที่งดงามจนสุดบรรยาย!

ภายในวงแหวนปราณมีตลาดขนาดยักษ์ตั้งอยู่!

ตลาดไม่ได้สร้างจากดาวเคราะห์หลายดวงต่อๆ กัน หากแต่ตั้งอยู่บนผืนแผ่นดินใหญ่รูปร่างแปลกประหลาด มีดาวเคราะห์นับร้อยดวงที่ขนาดพอๆ กับโลกรายล้อมอยู่ ดาวเคราะห์เหล่านั้นทำเอาหวังเป่าเล่อตกตะลึง เพราะชายหนุ่มมองออกว่าพวกมันคือปราการที่ดัดแปลงมา!

ดาวเคราะห์หลายร้อยดวงที่ว่านั้นล้วนเป็นที่ตั้งของอารยธรรมซึ่งแตกต่างกันไป ราวกับว่าทุกคนมารวมกันที่นี่เพื่อซื้อขายแลกเปลี่ยน ทำให้ระบบดาวเคราะห์แห่งนี้คึกคักกว่าระบบดาวเคราะห์อื่นใดที่หวังเป่าเล่อเคยเห็นในการเดินทางครั้งนี้มากมายนัก

หวังเป่าเล่อเห็นว่าเหล่าผู้ฝึกตนในตลาดนั้นมีอยู่หลายพันคน ต่างก็มีขนาดที่หลากหลายกันไป มี บ้างก็เป็นมนุษย์ บ้างก็มีรูปร่างคล้ายอสูรร้าย และบ้างก็ดูเหมือนต้นไม้ไปเสียอย่างนั้น

นอกจากนั้น ยังมีสิ่งมีชีวิตรูปร่างหน้าตาคล้ายมนุษย์ศิลาด้วย สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตกใจที่สุดก็คือ เขาได้เห็นเรือบินรบเวทที่ไม่มีเจ้าของบินผ่านหน้าไป

“ท่านบิดา สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นศูนย์การค้าแห่งจักรวาล” ความรอบรู้ของเจ้าอู๋น้อยนับว่ามีประโยชน์หลายครั้งแล้วในการสำรวจครั้งนี้ เมื่อเด็กหนุ่มมองเห็นระบบดาวเคราะห์แห่งนี้ เขาก็เปรยกับหวังเป่าเล่อด้วยเสียงแผ่วเบา

หวังเป่าเล่อจ้องไปยังเจ้าอู๋น้อยด้วยสายตาล้ำลึกก่อนจะเริ่มถามคำถาม ในไม่ช้า ชายหนุ่มก็ได้ฟังจากเจ้าอู๋น้อยว่ามีตลาดหลากหลายขนาดที่ควบคุมโดยตระกูลไม่รู้สิ้นกระจายอยู่ทั่วจักรวาล ทำหน้าที่เป็นศูนย์การค้าให้กับผู้ฝึกตนจากระบบดาวเคราะห์ใกล้เคียง

มีตลาดเช่นนี้หลายต่อหลายแห่ง และทุกๆ แห่งก็มีประวัติยาวนาน โดยเฉพาะตลาดขนาดใหญ่บางแห่ง และตลาดแห่งนี้…ก็เป็นหนึ่งในตลาดใหญ่หายากที่เจ้าอู๋น้อยพูดถึง

“ท่านบิดา ผืนแผ่นดินใหญ่ตรงกลางนั้นเป็นตลาดหลักและเป็นสถานที่สำหรับผู้จัดงาน ดาวเคราะห์โดยรอบเป็นทั้งปราการของตระกูลต่างๆ และตลาดขนาดย่อมของพวกเขาเอง ผู้ฝึกตนทั้งหลายที่พากันมาที่นี่สามารถเดินเข้าออกตลาดทั้งหลายได้ตามใจชอบและซื้อขายแลกเปลี่ยนกันตามต้องการ” เจ้าอู๋น้อยกระแอมกระไอออกมาแล้วก็อดรู้สึกพึงใจกับความรอบรู้ของตนเองไม่ได้ แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังไม่ลืมว่าท่านบิดาเป็นใคร จึงต้องรักษามารยาทเอาไว้ยามที่พูดกับหวังเป่าเล่อ

“น่าสนใจดีนี่” หวังเป่าเล่อกวาดตามองผืนแผ่นดินใหญ่ หลังจากใคร่ครวญเสร็จ เขาก็ขับเรือบินรบเวทมุ่งไปหาอย่างรวดเร็ว เมื่อลงจอด ชายหนุ่มก็เก็บเรือบินรบเวทและเริ่มเดินสำรวจรอบๆ ผืนแผ่นดินใหญ่ สถานที่แห่งนั้นคือโลกที่มีบ้านพักอาศัยหรูหราอยู่บนทุกยอดเขา ทุกแม่น้ำ ทุกมหาสมุทร และทะเลทราย

บ้านพักหรูหราบางแห่งมีคนอยู่มากมาย บ้างก็มีคนอยู่เพียงหยิบมือ สิ่งของที่วางขายก็หลากหลายเป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังแตกต่างกันไปตามแต่ร้านค้า ไม่ว่าจะเป็นวัตถุเวท โอสถ คัมภีร์ เคล็ดวิชาฝึกปราณ หรือวัตถุดิบ มีสินค้าทุกประเภทมากมายหลากหลายให้เลือกสรร

หวังเป่าเล่อเดินไปมาอยู่ร่วมสัปดาห์ ระหว่างนั้น ชายหนุ่มสำรวจร้านค้าแทบทั้งหมดบนผืนแผ่นดินใหญ่ เขามองดูบางร้านอย่างพินิจพิเคราะห์กว่าร้านอื่นๆ แต่ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะเดินดูสักเท่าใด ความคลั่งไคล้ปรารถนาในจิตใจและความริษยาก็พุ่งถึงจุดสูงสุด เพราะทุกๆ ร้านต่างก็น่าสนใจเป็นอย่างมาก

ข้ายังจนอยู่เลย…หากไม่ได้มาที่นี่ หวังเป่าเล่อก็คงคิดว่าตนนั้นค่อนข้างมั่งมี แต่หลังจากที่มาถึงที่นี่แล้ว เขาก็เข้าใจดีว่าความมั่งคั่งที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร

ความรู้สึกนั้นยังคงอยู่กระทั่งมันระเบิดออกมาเมื่อชายหนุ่มมาถึงบ้านสามชั้นหลังงามที่สร้างอยู่บนมหาสมุทร บ้านหลังงามนั้นตั้งสง่าอยู่บนพื้นผิวมหาสมุทร ราวกับว่าถูกสร้างบนพื้นผิว แต่ก็ดูเหมือนลอยอยู่ด้านบนมหาสมุทรไปพร้อมๆ กัน แถมมันยังใหญ่เสียจนเรียกว่าปราสาทอาจจะเหมาะกว่า บ้านทั้งหลังสร้างโดยใช้ศิลาวิญญาณชั้นเลิศเป็นพื้นฐาน ทั้งยังมีสิ่งของตกแต่งมากมายที่หวังเป่าเล่อไม่เคยรู้จัก ซึ่งทำให้บ้านทั้งหลังส่องประกาย สะท้อนเอาแสงของดวงอาทิตย์นับร้อยดวงบนท้องฟ้าออกไปเสียจนแสบตากันทั่วจักรวาล

จากร้านค้าทั้งหมดที่หวังเป่าเล่อได้เห็นมา ปราสาทแห่งนี้มีสินค้าครบถ้วนที่สุด มันอัดแน่นไปด้วยสิ่งของแทบทุกอย่างที่ชายหนุ่มได้เห็นมาก่อนหน้านี้

-ขณะเดียวกัน ระดับพลังปราณของผู้คนที่มาที่นี่ก็อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะขึ้นไปทั้งสิ้น อันที่จริงแล้ว หวังเป่าเล่อเห็นว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ก็ยังมีท่าทางสุภาพ ไม่กล้าออกฤทธิ์เดชแม้ว่าระดับปราณจะสูงถึงเพียงนั้นก็ตาม

ทั้งหมดทั้งมวลนี้ส่งผลให้หวังเป่าเล่อเลือกดูสิ่งของด้วยความกระอักกระอ่วนใจแม้จะสนใจมากก็ตาม พนักงานขายของปราสาทมองเขาด้วยสายตาสุขุม หวังเป่าเล่อถอนหายใจ ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะซื้อของนั่นเอง…พนักงานขายที่อยู่ตรงหน้าก็เงยหน้าขึ้นมองไปด้านหลังหวังเป่าเล่อ ก่อนจะก้าวออกมาอย่างเร็วและก้มโค้งคำนับต่ำ มือประสานกันหันมาทางหวังเป่าเล่อ

“คารวะนายน้อย!”

ตอนที่พนักงานขายมองไปด้านหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็รู้สึกได้ก่อนแล้ว จึงหันศีรษะกลับไป และมองเห็นเงาที่คุ้นเคย บุรุษผู้นั้นสวมชุดคลุมสีขาว มีพัดกระดาษอยู่ในมือ สวมหมวกทรงเหลี่ยม เขาเดินออกมาจากปราสาท มุ่งหน้ามาทางฝูงชน ท่าทางการวางตนเปี่ยมไปด้วยรัศมีอันน่าตื่นตะลึง

บุรุษผู้นั้นยังเยาว์วัย และชุดของเขาพลิ้วไหวราวกับเป็นสายน้ำ มันโบกสะบัดราวกับมีเกลียวคลื่นซัดพาไปมาขณะที่ร่างนั้นก้าวเดิน หมวกทรงเหลี่ยมบนศีรษะปลดปล่อยคลื่นพลังอันรุนแรงที่กดดันสิ่งรอบข้างราวกับเป็นอาวุธเทพ พัดกระดาษในมือก็ยิ่งมหัศจรรย์ แม้ว่ามันจะเปิดอยู่เพียงครึ่งหนึ่งแต่ก็มีคลื่นพลังระดับดารานิรันดร์แผ่ออกมาไม่ขาดสาย

ทันทีที่มองเห็นชายหนุ่มผู้นั้น หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลงก่อนตะโกนอยู่ในใจ

เซี่ยไห่หยางหรือ

……………………….

เมื่อได้ฟังการอธิบายอย่างละเอียดจากหลิงชาน ผู้ฝึกตนหญิงของอารยธรรมไม้เถา หวังเป่าเล่อก็เบิกตากว้างขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะสูดหายใจลึก เขามองผู้ฝึกตนหญิงเบื้องหน้าก่อนจะพูดพึมพำขึ้น “ทำเช่นนั้นได้ด้วยหรือ”

หวังเป่าเล่อรู้สึกเปิดโลกมากยิ่งขึ้น ทางเดียวในการแลกเปลี่ยนศิลาพืชคือสืบสายเลือดทิ้งไว้ในอารยธรรมไม้เถา เนื่องจากอารยธรรมไม้เถาคือสังคมหญิงเป็นใหญ่จึงต้องคอยตามหาสายเลือดอยู่เสมอ พวกนางตามหาสายเลือดของสิ่งมีชีวิตที่ดีเยี่ยมทั้งหลายในจักรวาลเพื่อมาผสานเข้ากับสายเลือดในอารยธรรม ทำให้อารยธรรมมีพัฒนาการรวมถึงวิวัฒนาการอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรลุศักยภาพสูงสุด

ถึงจะดูเป็นวิธีที่โบราณคร่ำครึ แต่อารยธรรมไม้เถาก็มีตัวตนกล้าแกร่งระดับดารานิรันดร์ เห็นได้ชัดว่าเหนือชั้นกว่ามากเมื่อเทียบกับสหพันธรัฐ ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงไม่มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นอะไรมาก ทำได้เพียงถอนหายใจเมื่อคิดได้ดังนั้น จักรวาลนั้นกว้างใหญ่ไพศาล มีอารยธรรมมากมายหลายหลาก รวมถึงมีเส้นทางในการพัฒนาที่หลากหลายซึ่งคนภายนอกไม่สามารถเข้าใจได้

เพียงแค่ว่า…หลังจากชายหนุ่มถามราคาอย่างถี่ถ้วน เขาก็มองแผ่นหยกในมือและพบว่าการจะแลกเปลี่ยนทรัพยากรในจำนวนที่ต้องการนั้น จำเป็นต้องมีศิลาพืชอย่างน้อยหลายแสนก้อน…

ถึงจะลดจำนวนที่ต้องการลงจนต่ำสุดแล้วก็ยังต้องใช้ศิลาพืชถึงหมื่นก้อนด้วยกัน หากเป็นเช่นนั้น…การจัดหาวัตถุดิบมาไว้ในครอบครองจะถือเป็นเรื่องยากมาก เพราะสารัตถะวิญญาณธรรมดาสามารถแลกศิลาพืชได้เพียงหนึ่งก้อนเท่านั้น

“เจ้าสนใจจะแลกเปลี่ยนกับอารยธรรมไม้เถาใช่หรือไม่” หลังจากบอกทุกเรื่องที่ชายหนุ่มต้องการทราบไปแล้ว หลิงชานก็หันไปมองหวังเป่าเล่อและพูดขึ้นด้วยแววตาคาดหวัง

ทว่าทันทีที่นางพูดจบ และหวังเป่าเล่อยังไม่ทันจะได้ตอบกลับ สีหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนไปเหมือนว่าได้ยินอะไรบางอย่าง ราวกับว่าตัวตนทรงอำนาจได้ส่งข้อความเสียงมาหา ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนมีสายตาจากจักรวาลจ้องผ่านร่างกายของเขาอย่างละเอียด

หวังเป่าเล่อตื่นกลัวขึ้นมา สีหน้าของหลิงชานดูผิดหวัง นางหันมองร่างกายชายหนุ่มอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าพร้อมถอนหายใจ

“สหายเต๋า ร่างกายของเจ้านั้นพิเศษออกไป…ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่ตรงคุณสมบัติของเรา” หลังจากกล่าวอย่างมีชั้นเชิง หลิงชานก็หันไปมองเจ้าอู๋น้อยที่คอยก้มหัวและแอบอยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อมาตลอดด้วยตาเป็นประกาย

“แต่…สหายเต๋าคนนี้มีคุณสมบัติตรงตามที่อารยธรรมไม้เถาต้องการ ถ้าเขายินยอม เราจะให้ศิลาพืชสองก้อนต่อสารัตถะวิญญาณหนึ่งส่วน!”

เมื่อหลิงชานพูดจบ สีหน้าของเจ้าอู๋น้อยก็เปลี่ยนไปทันที หวังเป่าเล่อเองก็เบิกตากว้าง

“ท่านบิดา ช่วยข้าด้วย…” เจ้าอู๋น้อยตัวสั่นเทิ้ม กำลังจะร่ำไห้ หวังเป่าเล่อแอบรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็รู้จักสภาพร่างกายตนเองดีและคาดว่าตัวตนทรงอำนาจระดับดารานิรันดร์น่าจะรู้ว่าร่างกายเขาไม่ใช่กายเนื้อแท้ จึงเป็นเหตุให้หลิงชานพูดขึ้นเช่นนั้น ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็อดรู้สึกพ่ายแพ้ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

เป็นเพราะกายเนื้อของข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นล่ะก็ อารยธรรมไม้เถาคงจะให้ราคาเป็นศิลาพืชสักหมื่นก้อนต่อสารัตถะวิญญาณหนึ่งส่วน อย่างไรเสียข้าก็เป็นถึงผู้นำสหพันธรัฐ เป็นศิษย์น้องของเฉินชิง และเป็นบุตรแห่งความมืดคนเดียวในยุคสมัยนี้! เมื่อคิดได้เช่นนั้น ความภาคภูมิใจก็ก่อตัวขึ้นภายใน ข่มความขุ่นเคืองที่มีไปได้ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มวิเคราะห์คำพูดของหลิงชาน ดวงตาค่อยๆ เป็นประกายขึ้นขณะมองอู๋น้อย ก่อนจะส่ายหัว

“ไม่!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอู๋น้อยก็รู้สึกซาบซึ้งใจ เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ข้างใน แอบคิดว่าบิดาช่างดูแลตนดีเหลือเกิน…

แต่พอคิดถึงตรงนี้ คำพูดของหวังเป่าเล่อก็ดังขึ้นในหู

“บุตรชายที่ข้าเลี้ยงดูปูเสื่อมามีภูมิหลังเป็นคนใหญ่คนโต เขาเป็นถึงองค์ชายของอาณาจักรพิภพทมิฬและเป็นผู้สืบสกุลสายเลือดบริสุทธิ์ ศิลาพืชก้อนเดียวไม่พอ อย่างน้อยต้องห้าก้อน!”

“ท่านบิดา อย่าทำเช่นนี้ ข้ายังเป็นเด็ก!” เมื่อได้ยินที่ชายหนุ่มพูด เจ้าอู๋น้อยก็ขนลุกซู่ เรื่องราวเกี่ยวกับอารยธรรมไม้เถาที่เคยได้ยินมาจากบ้านเกิดผุดขึ้นในหัว จึงพยายามจะหลบเลี่ยงตามสัญชาตญาณ

แต่หวังเป่าเล่อรวดเร็วกว่า ในพริบตาเดียว เขาก็เข้าไปใกล้เจ้าอู๋น้อยและจับไหล่เอาไว้มั่น รอยยิ้มอ่อนโยนผุดขึ้นบนใบหน้า นอกจากนี้ยังแฝงไปด้วยความคาดหวังและความเปี่ยมสุข

“เจ้าอู๋น้อย ไหนตอนแรกเจ้าบอกว่ามีนางบำเรอตั้งหนึ่งแสนคน นี่แค่เรื่องเล็กน้อยเอง ไม่เห็นต้องเป็นกังวลไปเลย ข้าไม่ได้จะให้เจ้าใช้พลังทั้งหมดที่เจ้าใช้กับนางบำเรอหนึ่งแสนคนเสียหน่อย เจ้าแค่ต้องใช้พลังเพียงร้อยละสิบเท่านั้น เร็วเข้า ไปเอาศิลาพืชมาให้ข้าหนึ่งแสนก้อน”

“ท่านบิดา ฟังข้า ข้าทำไม่ได้ ข้า…” เจ้าอู๋น้อยร้องไห้ เกาะขาหวังเป่าเล่อไว้แน่น ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่ยอมปล่อย เสียงของเขาสั่นเครือ สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความหวาดกลัว

เมื่อเห็นเช่นนั้นหวังเป่าเล่อก็ใจอ่อนขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนจะถอนหายใจและมองไปทางหลิงชาน

“เขาคือบุตรหัวแก้วหัวแหวนของข้า ข้าขอเพียงอย่างเดียว จงทำให้เต็มที่!”

หวังเป่าเล่อถอนใจและแอบคิดว่าตนนั้นช่างใจอ่อน ไม่สามารถทนดูคนอื่นร้องไห้ได้ หลังจากพูดไปเช่นนั้น เขาก็โบกมือ ส่ายหัวและพูดขึ้น “ข้ามอบเขาให้ท่าน!”

เมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อบอกยินยอม หลิงชานและผู้ฝึกตนหญิงหลายคนข้างๆ ก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที พวกนางถกกันสักพักพร้อมมองประเมินเจ้าอู๋น้อยอีกรอบ บางคนถึงกับส่งข้อความเสียงหาเหล่าผู้อาวุโสของตระกูลด้วยซ้ำ หลังจากยืนยันกันหลายครั้ง พวกนางก็พึงพอใจกับอู๋น้อยเป็นอย่างมาก หลิงชานยิ้มขึ้นบางๆ

“ไม่ต้องเป็นห่วง สหายเต๋า นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อารยธรรมไม้เถาแลกเปลี่ยนวัตถุดิบกับมนุษย์ โปรดวางใจได้ว่าบุตรชายของเจ้าจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ พี่สาวน้องสาวในตระกูลที่รับผิดชอบเรื่องนี้จะมาพาตัวเขาไป” หลิงชานยกมือขวาสร้างผนึกฝ่ามือและชี้ออกไประหว่างพูด ทันใดนั้น วังวนขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า

วังวนหมุนวนราวกับกำลังสร้างทางเชื่อมขึ้นมาจากความว่างเปล่า ร่างเงาอ่อนช้อยสง่างามนับสิบเดินตรงออกมา สาวๆ เหล่านี้มีผิวขาวราวหิมะ ใบหน้าสวยสดงดงาม มีกลิ่นหอมราวกับกลิ่นของสวรรค์สมกับความงาม หวังเป่าเล่อตาโตเมื่อเห็นว่าพวกนางต่างเขินอายโดยไม่ได้แสร้งทำ นิสัยใจคอและอะไรหลายๆ อย่างของหญิงสาวเหล่านี้ดูบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งนัก

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่องุนงงไป เขามองสาวๆ เหล่านั้นสลับกับพวกหลิงชาน หัวสมองไม่สามารถประมวลผลได้รวดเร็วนัก เจ้าอู๋น้อยทำตาโต กลืนน้ำลายไปสองสามอึก เด็กหนุ่มหยุดร้องไห้ในทันใด ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมสงวนท่าทีตนเอง เมื่อจัดแจงเสื้อผ้าเสร็จสรรพ เขาก็กุมหมัดโค้งคำนับให้หวังเป่าเล่อ

“เมื่อเป็นคำสั่งของท่านบิดา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็จะต้องทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ!” พูดจบ เขาก็หันหนีอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวว่าหวังเป่าเล่อจะเปลี่ยนใจ ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางกลุ่มหญิงสาว ท่าทีดี๊ด๊าของเด็กหนุ่มทำให้หวังเป่าเล่อหงุดหงิดยิ่งขึ้น

แต่ทุกอย่างก็เกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่คิดจะไปหยุดยั้งพวกเขา หลิงชานนำเขาไปยังที่พักก่อนจะกลับออกไป นางบอกหวังเป่าเล่อว่าเขาอาจต้องรออย่างน้อยครึ่งเดือนเพราะการแลกเปลี่ยนครั้งนี้ค่อนข้างใหญ่โตพอสมควร

ชายหนุ่มตอบรับ ในช่วงครึ่งเดือนต่อมา แม้จะไม่ได้เจอเจ้าอู๋น้อยเลย แต่หวังเป่าเล่อก็ได้เที่ยวชมอารยธรรมไม้เถาด้วยการนำทางจากเหล่าผู้ฝึกตนในอารยธรรม ชายหนุ่มสนใจเรื่องการหลอมวัตถุเวทของอารยธรรมไม้เถาเป็นพิเศษและเพราะหลิงชานมีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ นางจึงแบ่งปันความรู้เรื่องการหลอมวัตถุเวทให้ หวังเป่าเล่อเองก็แบ่งปันความรู้กลับระหว่างที่พวกเขาสนทนาอย่างเป็นกันเอง จึงทำให้ได้ผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย

ครึ่งเดือนผ่านไปอย่างเชื่องช้า เมื่อหวังเป่าเล่อเที่ยวชมรอบอารยธรรมไม้เถาเสร็จและได้เพิ่มพูนทักษะการหลอมวัตถุเวทผ่านการประยุกต์ใช้ เจ้าอู๋น้อย…ก็กลับมา

แม้จะบอกไม่ได้ว่าเขาดูแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง แต่สภาพในตอนนี้ก็ถือว่าใกล้เคียง เจ้าอู๋น้อยที่ได้ผู้ฝึกตนหญิงสองคนช่วยนำทางกลับมามีดวงตาดำคล้ำ ดูเหมือนถูกสูบพลังชีวิตไปหมด เมื่อพบหวังเป่าเล่อ เจ้าอู๋น้อยก็โยนแผ่นหยกไปให้

“ท่านบิดา ข้าพยายามสุดความสามารถแล้ว ให้ข้าได้พักสักหน่อย…”

เมื่อเห็นอู๋น้อยมีสภาพเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกซาบซึ้งและอบอุ่นหัวใจขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นจำนวนศิลาพืชในแผ่นหยกซึ่งเกินกว่าที่บอกไปมากเพราะได้มาถึงหนึ่งแสนหกหมื่นก้อน ชายหนุ่มก็รู้สึกประทับใจยิ่งนัก

แม้แต่ผู้ฝึกตนหญิงสองคนที่พาอู๋น้อยกลับมาก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน

“สหายเต๋าผู้นี้ทำการแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้นตั้งแต่ห้าวันก่อน แต่เขายืนกรานที่จะทำให้บิดาสุขใจ ความตั้งใจอันแรงกล้าเช่นนี้ช่างหาได้ยากยิ่งจริงๆ”

พอได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มมีสีหน้าแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากจัดการให้เจ้าอู๋น้อยได้พัก เขาก็ติดต่อไปหาหลิงชานเพื่อทำการแลกเปลี่ยน ชายหนุ่มใช้ศิลาพืชทั้งหนึ่งแสนหกหมื่นก้อนหมดอย่างรวดเร็วเพื่อซื้อวัตถุดิบมีค่ามาจำนวนมาก

เมื่อทำภารกิจเสร็จ แม้เจ้าอู๋น้อยจะไม่อยากกลับ แต่หวังเป่าเล่อก็บอกลาเหล่าผู้ฝึกตนของอารยธรรมไม้เถาและออกจากระบบดวงดาวไป เขาก้าวเข้าไปในห้วงอวกาศอีกครั้ง จากนั้นก็พุ่งทะยานออกไปไกล

……………………….

บทที่ 801 อย่าทำตัวให้เป็นจุดสนใจ!
“อาณาจักรพิภพทมิฬหรือ” สีหน้าของมนุษย์ศิลาขั้นจิตวิญญาณอมตะเปลี่ยนไปขณะสูดหายใจลึกหลังจากได้ยินสิ่งที่จักรพรรดิศิลากล่าว แม้พวกเขาจะเคารพยกย่องเฉินชิง แต่ก็คิดว่าบุคคลในตำนานเช่นนั้นอยู่ห่างไกลจากพวกตนและเลือกที่จะไม่เชื่อตามที่หวังเป่าเล่อพูด

แต่อาณาจักรพิภพนั้นต่างออกไป เป็นอาณาจักรใหญ่ที่นอกจากจะลือกันว่ามีตัวตนกล้าแกร่งระดับดาราจักรแล้ว ยังมีตัวตนระดับจักรวาลอยู่ด้วย ขณะเดียวกันจำนวนผู้ฝึกตนใต้บังคับบัญชาก็มีอยู่มาก จึงกล้าที่จะประกาศตัวเป็นอิสระจากการปกครองของตระกูลไม่รู้สิ้น แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในพละกำลังของตนเอง!

สิ่งสำคัญที่สุดคือ…น้ำเสียงหนักแน่นที่จักรพรรดิยืนยันว่าคนผู้นั้นคือสายเลือดแท้ของอาณาจักรพิภพทมิฬ แม้อาณาจักรพิภพทมิฬจะกว้างใหญ่ แต่กลับมีผู้สืบสกุลชายสายเลือดแท้เพียงไม่กี่คน อาณาจักรพิภพทมิฬจะต้องคลุ้มคลั่งขึ้นมาแน่หากรู้ว่าหนึ่งในนั้นตกอยู่ในอันตราย

ขณะกำลังสูดหายใจ เหล่ามนุษย์ศิลาขั้นจิตวิญญาณอมตะก็เลิกไม่พอใจ พวกเขารู้สึกโชคดีที่จักรพรรดิตื่นขึ้นมา มิเช่นนั้น ทั้งตระกูลคงพบกับโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่เป็นแน่

ระหว่างที่เหล่ามนุษย์ศิลากำลังถอนใจ ด้านนอกระบบดวงดาวของอาณาจักร ภายในเรือบินรบเวทครึ่งสมบูรณ์ ผู้สืบสกุลสายตรงของอาณาจักรพิภพทมิฬ…กำลังมองไปทางหวังเป่าเล่อด้วยสายตายำเกรง

“ท่านบิดา ท่านยอดเยี่ยมที่สุด!” เจ้าอู๋น้อยเอ่ยชมหวังเป่าเล่ออย่างจริงใจ ไม่ว่าตระกูลมนุษย์ศิลาจะคิดอย่างไร ตอนนั้นเขาคิดว่าตนเองจะต้องตายลงจริงๆ เสียแล้ว พอรอดชีวิตมาได้และนึกถึงการกระทำของหวังเป่าเล่อ เจ้าอู๋น้อยก็รู้สึกยกย่องชายหนุ่มมากขึ้นไปอีก

หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบขณะที่กำลังเพลิดเพลินใจกับสายตายกย่องของเจ้าอู๋น้อย “หวังว่าเจ้าจะได้เรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ครั้งนี้บ้าง อย่าเที่ยวประกาศว่าตัวเองเป็นองค์ชาย ถ้าเจ้าพูดบ่อยคนอื่นจะเลิกเชื่อเช่นนั้น หากมีแค่ตัวเองที่เชื่อไปคนเดียวจะไม่น่าอับอายแย่หรือ”

“ผู้ที่มีความสามารถแท้จริงจะไม่อวดอ้าง เช่นตัวข้า เจ้าเคยเห็นข้าโอ้อวดภูมิหลังตนเองไหม มีแค่ยามจำเป็นเท่านั้นที่ข้าจะเผยตัวตน เขาเรียกว่าทำตัวไม่ให้เป็นจุดสนใจ!”

“เข้าใจหรือไม่” หวังเป่าเล่อมองเจ้าอู๋น้อยด้วยแววตาลุ่มลึกที่ตนเองก็ไม่เข้าใจ เจ้าอู๋น้อยตัวสั่นเหมือนเห็นสายตาที่จ้องมา ราวกับว่าได้ตื่นรู้และเข้าใจหลักการบางอย่างในทันที

โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงตอนแรกที่ได้พบหลงหนานจื่อ ตอนนั้นเอง นอกจากสายตาของเด็กหนุ่มจะเต็มไปด้วยความยำเกรงแล้ว เขายังรู้สึกเลื่อมใสขึ้นมา หลงหนานจื่อพูดถูก ผู้เก่งกาจไม่จำเป็นต้องอวดอ้างตนเอง

“ขอบคุณ ท่านบิดา ข้าเข้าใจแล้ว!” อู๋น้อยพยักหน้ารัว รู้สึกว่าการได้เรียกบุคคลแกร่งกล้าว่าเป็นบิดาช่างเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เขาคิดว่าตนช่างโชคดีที่ได้พบหลงหนานจื่อ

หวังเป่าเล่อพึงพอใจเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นสายตาของเจ้าอู๋น้อย เขาแอบคิดว่าควรจะหาโอกาสให้เจ้าอู๋น้อยได้สัมผัสบทสวดแห่งเต๋า ถึงตอนนั้นเจ้าอู๋น้อยต้องยกย่องเขามากกว่าเดิมแน่นอน

ข้าช่างหล่อเหลาและโดดเด่น ทำอะไรก็มีคนมาตามเป็นข้ารับใช้ เห็นตัวข้าที่เป็นแบบนี้…แม้แต่ข้าก็นึกอิจฉาตัวเอง หลังจากถอนใจอยู่ภายใน เขาก็ปล่อยจ้าลา หลังจากนั้นก็สั่งการให้เรือบินรบเวทครึ่งสมบูรณ์เดินหน้าไปเรื่อยๆ ก่อนจะนั่งขัดขัดสมาธิ จัดแจงข้าวของที่ได้มาจากการเดินทาง

การเดินทางไปยังอารยธรรมมนุษย์ศิลาแม้จะน่ากลัวแต่ก็ไม่เป็นอันตราย พอได้เห็นข้าวของที่ได้มา หวังเป่าเล่อก็ใจเต้นรัว

ต้นไผ่ศิลาสี่ต้น! ชายหนุ่มเลียริมฝีปาก ดวงตาส่องแสงเป็นประกาย หลังจากประเมินมูลค่าของที่ได้มา เขาก็รู้สึกว่าแค่ต้นไผ่ศิลาสี่ต้นนี้ก็ถือว่าได้ทรัพยากรมาจำนวนมากแล้ว

ข้าจะมอบต้นหนึ่งให้แมลงปอยักษ์นี่… เมื่อคิดถึงตรงนี้ หวังเป่าเล่อก็ขยายดวงจิตไปรอบๆ เรือบินรบเวทครึ่งสมบูรณ์ที่ขโมยมา และคิดว่าเรียกมันว่าตั๊กแตนน่าจะเหมาะกว่า

เขาแยกส่วนต้นไผ่ศิลา โยนส่วนหนึ่งขึ้นไปและพูดขึ้น “เหลืองใหญ่ นี่ของเจ้า!”

เมื่อพูดจบ ผนังเรือบินรบเวทด้านบนก็เปิดเป็นรูกว้าง ก่อนจะปล่อยแรงสูบออกมาดูดต้นไผ่วิญญาณเข้าไป เรือบินรบเวทสั่นไหว ก่อนจะส่งข้อความมาแสดงความขอบคุณและความตื่นเต้นดีใจ

เสร็จจากนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา เขายกมือขวาสร้างผนึกฝ่ามือ คุมเรือบินรบเวทครึ่งสมบูรณ์ให้เร่งความเร็วพุ่งข้ามห้วงอวกาศไป

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า พ้นไปสามเดือน!

สามเดือนที่ผ่านมา หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าออกไปไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อยู่โข ขณะเดียวกัน หลังจากผ่านอารยธรรมมนุษย์ศิลามาได้ ดวงของเขาก็ดีขึ้น ทำให้ได้ทรัพยากรมามากมายในช่วงสามเดือนนี้

แม้ข้าวของที่ได้เพิ่มมาเรื่อยๆ จะเทียบชั้นกับสิ่งที่ได้จากอารยธรรมมนุษย์ศิลาไม่ได้เลยถึงจะนำมารวมกันแล้วก็ตาม แต่หวังเป่าเล่อก็ยังรู้สึกสุขใจ ส่วนหนึ่งมาจากความพึงพอใจจากทรัพยากรทั้งหมดที่ได้มา อีกส่วนหนึ่งมาจากความรู้ที่เพิ่มพูนซึ่งทำให้ชายหนุ่มเข้าใจจักรวาลได้มากขึ้น

ในสามเดือนที่ผ่านมา เขาพบอารยธรรมเจ็ดถึงแปดแห่ง มีอารยธรรมห้าแห่งที่คล้ายคลึงโลก หากหวังเป่าเล่อไปด้วยความมุ่งร้ายก็คงจะสามารถถล่มอารยธรรมเหล่านั้นให้ล่มสลายลงได้

อีกสองแห่งแย่ยิ่งกว่า มีสภาพเหมือนสหพันธรัฐก่อนหน้ายุคกำเนิดวิญญาณ พลังปราณที่เปล่งออกมามีอยู่น้อยนิด หวังเป่าเล่อเพียงแค่ปรายตามอง เลือกที่จะไม่เข้าไปใกล้และจากไป

อารยธรรมดังกล่าวอาจมีมูลค่าในแง่โบราณคดี แต่ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อย หากผู้ฝึกตนใช้ชีวิตอยู่ในที่ที่มีปราณวิญญาณไม่มากพอ เขาจะรู้สึกอึดอัดเหมือนปลาขาดน้ำอย่างไรอย่างนั้น

ถึงเรื่องนี้จะไม่ส่งกระทบต่อชายหนุ่มมากนัก แต่เขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะเข้าไป หลังจากใช้ดวงจิต ตรวจสอบอารยธรรมเหล่านั้น

นอกจากนี้ยังมีอารยธรรมอีกแห่งที่หวังเป่าเล่อเลือกไม่เข้าไปใกล้ เพราะหลังจากใช้เครื่องตรวจสอบของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เขาก็พบว่ามีตัวตนระดับดาวพระเคราะห์อยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดเข้าไปสำรวจอะไร ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเองได้ข้าวของมาเยอะแล้วและไม่ควรหาเรื่องใส่ตัวอีก

ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็คอยป้อนต้นไผ่ศิลาให้เรือบินรบเวทครึ่งสมบูรณ์ มันจึงพัฒนาไปมากในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา แม้จะยังไม่ถึงขั้นเป็นเรือบินรบเวทที่สามารถหลอมรวมกับชายหนุ่มได้ แต่พลังที่แผ่ออกมาก็มีระดับใกล้เคียงเรือบินรบเวทไม่น้อย

จากการคำนวณของชายหนุ่ม หากป้อนต้นไผ่ศิลาเรื่อยๆ อีกสักครึ่งต้น เจ้าเหลือใหญ่จะกลายเป็นเรือบินรบเวทที่แท้จริงอย่างแน่นอน!

น่าเสียดายที่ข้ายังไม่บรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะ…ถ้าบรรลุได้ และเมื่อมันพัฒนาไปเป็นเรือบินรบเวท ข้าก็จะสามารถเปลี่ยนมันให้เป็นชุดเกราะเวท และเพิ่มพลังการรบของข้าจนมีพลังเต็มที่เทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะสองคน! หวังเป่าเล่อรู้สึกเสียดายเล็กน้อย เริ่มครุ่นคิดถึงการผสานเรือบินรบเวทเข้ากับเกราะจักรพรรดิ และลดข้อจำกัดในการใช้งานโดยไม่ส่งผลต่อความแข็งแกร่งในการต่อสู้

สัญชาตญาณบอกหวังเป่าเล่อว่าแนวคิดนี้มีความเป็นไปได้ ขณะที่กำลังจะเริ่มวิเคราะห์แนวคิดนี้ เรือบินรบเวทครึ่งสมบูรณ์ก็มาถึงระบบดวงดาวแห่งใหม่

จากการตรวจสอบไม่พบสีสันใดๆ ในระบบดวงดาวนี้ แต่ยิ่งเข็มทิศแสดงให้เห็นเช่นนี้ หวังเป่าเล่อยิ่งรู้สึกระมัดระวังมากขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้ถอยกลับในทันที เพราะเข็มทิศระบุว่ามีทรัพยากรที่มีมูลค่าสำหรับชายหนุ่ม ทว่าก่อนที่จะเข้าไป เขาจะต้องตื่นตัวและเฝ้าระวังให้มาก

ทันทีที่หวังเป่าเล่อเข้าไปในระบบดวงดาว เขาก็รู้สึกราวกับว่าได้ทะลุผ่านเนื้อเยื่ออีกครั้งเหมือนตอนที่เข้าไปในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ครั้งแรก ชายหนุ่มมีสีหน้าเคร่งเครียดทันใด รู้ว่าพื้นที่แห่งนี้แยกตัวออกมาจากภายนอก หลังจากขยายดวงจิตออกไปสำรวจรอบๆ สิ่งที่ได้เห็นและรู้สึกก็ทำให้ดวงตาของชายหนุ่มเบิกโพลงขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

ที่แห่งนี้เป็นระบบดวงดาวที่พิเศษมาก เป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นมาก่อน อาจกล่าวได้ว่าเป็นการพลิกความเข้าใจเรื่องดาวเคราะห์ของเขาไปโดยสมบูรณ์

นั่นเพราะ…ในระบบดวงดาวนี้มีเถาไม้สีเขียวยาวสุดลูกหูลูกตาอยู่เถาหนึ่ง มีผลไม้ลูกกลมขึ้นอยู่บนเถาไม้ขนาดมหึมาที่เลื้อยไปทั่วระบบดวงดาว

ผลไม้นั้นมีอยู่หลายสิบลูก แต่ละลูก…ก็คือดาวเคราะห์!

ส่วนดารานิรันดร์…หรืออาจเรียกได้ว่า ตัวตนที่ครอบครองพลังระดับดารานิรันดร์อยู่ ก็คือเถาไม้ขนาดมหึมานั่นเอง มันให้พลังชีวิต ช่วยค้ำจุนดาวเคราะห์ และให้แสงสว่างไปทั่วทั้งระบบดวงดาว

ภาพเบื้องหน้าทำให้หวังเป่าเล่อสั่นเทิ้มไปถึงดวงวิญญาณ เจ้าอู๋น้อยที่อยู่ข้างๆ ก็เบิกตากว้างเช่นกัน เขาพูดขึ้นเสียงเบาด้วยความลังเลและแปลกใจเล็กน้อย

“ข้าว่าข้าเคยได้ยินเรื่องอารยธรรมเถาไม้ที่คล้ายคลึงกันนี้มาก่อน…”

หวังเป่าเล่อหันไปมองเจ้าอู๋น้อยด้วยความสงสัยเมื่อได้ยินเช่นนั้น

เมื่อเห็นชายหนุ่มมองมา เจ้าอู๋น้อยก็ตื่นตัวและเริ่มครุ่นคิดอย่างหนัก ไม่นานดวงตาของเขาก็ส่องประกาย

“ท่านบิดา ข้าจำได้แล้ว ข้าเคยได้ยินใครสักคนบอกว่ามีอารยธรรมพเนจรลักษณะนี้อยู่ในอวกาศ ลักษณะเฉพาะของมันคือเป็นเถาไม้ อารยธรรมเหล่านี้ผู้หญิงเป็นใหญ่ คอยท่องไปทั่วจักรวาล ชอบแลกเปลี่ยนสารัตถะชีวิตกับเพศตรงข้าม…” พูดยังไม่ทันจบ เจ้าอู๋น้อยก็กะพริบตาและหยุดพูดไป

……………………….

บทที่ 800 อยู่ห่างจะดีกว่า!
หวังเป่าเล่อตะโกนออกไปสุดกำลัง เป็นการตะโกนอย่างสุดชีวิต หากยังใช้ขู่ยักษ์ศิลาไม่ได้ ชายหนุ่มก็คาดว่าตนคงจะต้องจบชีวิตลงตรงนี้แน่

เขากังวลว่าตัวเองจะตะโกนไม่ดังพอ จึงตะโกนขึ้นอีกรอบ

“ศิษย์พี่เฉินชิงเป็นผู้ฝึกตนทรงพลังที่สังหารผู้ฝึกตนกล้าแกร่งมานักต่อนัก เขาเป็นผู้ปกครองระบบดาวเคราะห์เต๋าไม่รู้สิ้นและใครหลายคนในหลายส่วนของจักรวาลให้ความเคารพเหมือนเขาเป็นราชา!”

“ศิษย์น้องผู้นอบน้อมบังเอิญหลงมารบกวนการพักผ่อนของท่าน แต่ข้ายังไม่ได้ทำร้ายใคร เหตุใดท่านพี่ผู้สูงส่งจึงเลือกกระทำรุนแรงกับความผิดเพียงเล็กน้อยเช่นนี้ด้วย” หวังเป่าเล่อพยายามแผ่พลังเคล็ดวิชาสารัตถะออกมาขณะพูด นี่เป็นวิชาที่ศิษย์พี่ให้มา เป็นเคล็ดวิชาที่เขาสร้างขึ้นกับมือ เป็นของที่เฉินชิงเป็นผู้ถือครองเพียงคนเดียว!

การได้ครอบครองวิชานี้จึงเป็นสิทธิ์พิเศษที่ช่วยพิสูจน์ตัวตน หากยักษ์ศิลาอยู่เพียงระดับดาวพระเคราะห์ วิธีนี้คงจะใช้ไม่ได้ผล เพราะผู้ที่อยู่เพียงระดับดาวพระเคราะห์คงไม่เคยพบศิษย์พี่ของตนมาก่อนแน่

แต่ถ้าอยู่ในระดับดารานิรันดร์…ก็ถือเป็นตัวตนที่ต่างออกไป ยิ่งเป็นผู้ที่ปกครองทั้งตระกูลด้วยแล้ว ก็มีโอกาสที่จะเคยได้ยินชื่อเสียงหรือข่าวลือเกี่ยวกับศิษย์พี่มาบ้าง

เจ้าลาตื่นตระหนกอยู่ด้านในกำไลคลังเวทขณะที่หวังเป่าเล่อตะโกนก้องไม่หยุด ส่วนเจ้าอู๋น้อยแอบร้องไห้อยู่ในใจ เขาไม่เชื่อคำพูดของหวังเป่าเล่อแม้แต่คำเดียว แต่ก็ยังพอทำให้มีหวังขึ้นมาริบหรี่ เพราะพลังของยักษ์ศิลานั้นแกร่งกล้าเกินกว่าพวกตนจะต้านทานได้

หวังเป่าเล่อและเจ้าอู๋น้อยจ้องฟากฟ้าตาไม่กะพริบขณะที่มือยักษ์พุ่งตรงลงมาพร้อมจะบดขยี้ทุกสิ่ง ทว่าพริบตาต่อมา…ฝ่ามือก็หยุดชะงักไป!

มือที่หยุดชะงักในทันใดสร้างคลื่นพายุพัดผ่านเรือบินรบเวทของหวังเป่าเล่อกระจายไปทั่วบริเวณ เรือบินรบตั๊กแตนสั่นเทิ้ม พร้อมจะทลายลงได้ทุกเมื่อ แต่…ฝ่ามือกลับไม่ได้ฟาดลงมาใส่ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เรือบินรบเวทก็จะยังปลอดภัยดีแม้จะสั่นไหวเหมือนใกล้พังทลายก็ตาม

ได้ผล! หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว รู้สึกใจชื้นขึ้น เขาเงยหน้า สัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องมา สายตานั้นมาจากยักษ์ศิลาที่กำลังมองลงมา

สายตาที่จ้องมองมาอัดแน่นไปด้วยพลัง สามารถมองทะลุผ่านทุกสิ่งได้ สายตาคู่นั้นไม่ได้สนใจเรือบินรบเวทหรือโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา มันจ้องทะลุผ่านชั้นป้องกันเข้าไปเห็นถึงแก่นใน เพียงแค่ปรายตาก็มองเจ้าอู๋น้อยได้ทะลุปรุโปร่ง

หวังเป่าเล่อเป็นกังวลกับการตรวจพิจารณานี้ เขายกมือขึ้นกุมไว้ตลอดเพื่อแสดงความเคารพยำเกรงให้มากที่สุด

เจ้าอู๋น้อยก็ทำเช่นเดียวกัน พร้อมกับก้มหัวลงด้วยความหวาดเกรง

หลังจากมองดูอยู่สองสามรอบ สายตาทรงพลังก็เลื่อนกลับไปพร้อมมือขนาดมหึมาที่ยื่นมาหาเมื่อครู่!

หวังเป่าเล่อใจชื้นเมื่อเห็นมือมหึมาถอยกลับไป รู้สึกเหมือนเพิ่งหนีรอดจากความตายมาได้ ชายหนุ่มตระหนักได้ว่าศิษย์พี่ของตนเองนั้นแข็งแกร่งเพียงใด เมื่อมีศิษย์พี่คอยคุ้มกะลาหัว ไม่ว่าจะไปที่ใด ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ก็จะให้ความเกรงใจตน แต่จะคอยพึ่งพาศิษย์พี่อยู่ตลอดก็ไม่ได้เหมือนกัน เพราะหากไปพบศัตรูของศิษย์พี่เข้า…คงได้จบชีวิตลงตรงนั้นเป็นแน่

เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจลึก จากนั้นก็เงยหน้าพร้อมเอ่ยขึ้น “ขอบคุณมาก ท่านพี่!”

“ออกไป!” ขณะเสียงของชายหนุ่มดังก้องไปทั่วอวกาศ เสียงแหบห้าวก็ระเบิดขึ้นในหัวของหวังเป่าเล่อและเจ้าอู๋น้อย

เสียงนั้นส่งผ่านมาทางสัมผัสสวรรค์ของยักษ์ศิลา ไม่สำคัญว่าจะพูดภาษาใด คำพูดนั้นตราตรึงอยู่ในดวงวิญญาณ เป็นคำพูดอันหนักแน่นและแข็งแกร่ง ส่งความเจ็บปวดรุนแรงใส่ในหัวหวังเป่าเล่อ เขาคงจะทนรับไม่ไหวหากยักษ์ศิลาคิดจะพูดต่อ

ไม่ใช่ว่าชายหนุ่มไม่มีทางต้านทานเสียงของยักษ์ศิลาได้ แต่กระนั้น ความแตกต่างของระดับการฝึกตนก็ทำให้หวังเป่าเล่อตระหนักถึงความต่างที่แบ่งแยกระหว่างผู้แข็งแกร่งกับผู้อ่อนแอขึ้นมาอีกครั้ง หากเป็นใครคนอื่นที่คิดเหมือนกันก็คงรีบกลับออกจากจักรพิภพนี้ไปในทันที เผื่อว่ายักษ์ศิลาจะนึกเสียดายขึ้นมาทีหลังที่ปล่อยให้เขารอดไปในทีแรก

เจ้าอู๋น้อยเองก็คิดเช่นนั้น เขาเพิ่งจะรอดตายมา ความคิดเดียวในหัวตอนนี้คือรีบออกไปจากสถานที่สุดสะพรึงกลัวนี้ไปให้เร็วที่สุด

แต่หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ในหัวของชายหนุ่มคิดวิเคราะห์อย่างหนัก เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิศิลารู้จักศิษย์พี่ของตน เพราะตอนแรกอีกฝ่ายตั้งใจจะจบชีวิตเขา แต่ก็ปล่อยให้รอดหลังจากได้ยินชื่อศิษย์พี่

หมายความว่าจักรพรรดิศิลาไม่เคยพบศิษย์พี่ เคยแต่ได้ยินชื่อเสียงเรียงนาม จึงไม่คิดอยากเป็นศัตรูกับศิษย์พี่ด้วยเรื่องเล็กน้อย มันไม่สำคัญเลยว่าหวังเป่าเล่อจะกุเรื่องขึ้นมาหรือเปล่า เรื่องนี้ไม่ได้สำคัญเลยสำหรับผู้แข็งแกร่งเช่นเขา

การที่ข้าพูดชื่อเฉินชิงออกไปแสดงให้เห็นถึงอะไรบางอย่าง จักรพรรดิศิลาเป็นคนฉลาด ข้ารู้ว่าเขาพยายามจะบอกอะไร เขาจะบอกว่าเขาไม่ได้สนว่าข้าจะพูดจริงหรือแต่งเรื่อง ไม่ได้สนใจอะไรเลยสักนิด ขอแค่อย่ามายุ่มย่ามกับเขาก็พอ หวังเป่าเล่อวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรวดเร็ว…ในที่สุดก็ได้ข้อสรุป

จักรพรรดิศิลาระแวงศิษย์พี่และกลัวจะมีปัญหา ถ้าเช่นนั้นละก็… หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย หัวใจเต้นถี่รัว ชั่งใจว่าจะทำตามที่คิดดีหรือไม่ แต่ถ้าไม่คงต้องนึกเสียใจในภายหลังเป็นแน่ ไหนๆ ก็พูดชื่อศิษย์พี่เฉินชิงออกไปแล้ว คงต้องหาประโยชน์จากการกระทำในครั้งนี้อีกหน่อย

เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้นและส่งสัมผัสสวรรค์ออกไปในห้วงอวกาศ

“ท่านพี่ พวกเราเดินทางกันมาอย่างยากลำบาก ต้องเดินทางมานานและไกลโขกว่าจะมาถึงที่แห่งนี้ เพราะอย่างนั้น…พวกเราขอต้นไผ่ศิลากลับไปเป็นของที่ระลึกได้หรือไม่”

เจ้าอู๋น้อยตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น พลันหันไปมองชายหนุ่มอย่างไม่เชื่อสายตาตนเอง ความตึงเครียดที่เพิ่งจะคลายลงไปทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง ในหัวของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยสัญญาณคุกคามอันตราย หากไม่ใช่เพราะเกรงกลัวหวังเป่าเล่อ เขาคงจะอ้าปากก่นด่าสาปแช่งไปแล้ว

คำขอของหวังเป่าเล่อฟังดูเกินกว่าเหตุสำหรับเจ้าอู๋น้อย เหมือนชายหนุ่มพยายามจะลองวัดดวง

สวรรค์ เขาไม่กลัวจักรพรรดิศิลาจะฆ่าทิ้งหรืออย่างไร เจ้าอู๋น้อยใจเต้นแรง จ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาวิงวอน เหมือนจะพยายามขอร้องให้ชายหนุ่มเลิกทำเป็นเล่นแล้วหนีออกไปเสียที…

แต่เจ้าอู๋น้อยก็ได้บทเรียนในไม่ช้า ในชีวิตคนเรานั้น…ความกล้าจะทำให้ทุกสิ่งแตกต่างออกไป!

จักรพรรดิศิลาเงียบไปเมื่อได้ยินคำขอ ก่อนจะหันมองเจ้าอู๋น้อยที่กำลังสั่นกลัว หวังเป่าเล่อเป็นกังวลมาก แต่ก็รู้สึกมั่นใจพิกล ต่อให้จักรพรรดิศิลาปฏิเสธคำขอ แต่ทางที่แย่ที่สุดที่อาจเกิดขึ้นก็คือโดนสั่งให้ออกไปอีกครั้ง

แต่ถ้าจักรพรรดิศิลายอมทำตาม เขาก็เหมือนถูกหวยอย่างไรอย่างนั้น

สุดท้าย…หลังจากนิ่งเงียบและมองอยู่พักหนึ่ง เสียงแค่นจมูกก็ดังขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อ จากนั้นยักษ์ศิลาก็ยกมือขวาขึ้นโบก…ไม่ได้โบกหัวหวังเป่าเล่อ แต่โบกถอนต้นไผ่ศิลาสามต้นออกจากดาวเคราะห์และส่งให้ชายหนุ่ม

เจ้าอู๋น้อยตาแทบถลนออกมาเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ก่อนจะหันมองชายหนุ่มด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ หวังเป่าเล่อตื่นเต้นดีใจแต่ก็พยายามสงวนท่าที เขาคุมตั๊กแตนไปรับต้นไผ่ศิลา จากนั้นก็กุมหมัดโค้งคำนับ

“ขอขอบคุณท่านพี่! ศิษย์น้องขอตัวกลับก่อน!” หวังเป่าเล่อตัดสินใจไม่วัดดวงขอต้นไผ่ศิลาเพิ่ม เขาบังคับตั๊กแตนถอยกลับออกจากจักรพิภพของมนุษย์ศิลาอย่างรวดเร็ว

ชายหนุ่มปล่อยเจ้าลาออกมาหลังจากเห็นว่าปลอดภัยดีแล้ว เจ้าอู๋น้อยจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยความชื่นชม เด็กหนุ่มไม่ได้เชื่อเรื่องศิษย์พี่ที่อีกฝ่ายพูดถึงแม้แต่นิด ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อก็สามารถกุเรื่องขึ้นมาในช่วงเวลาคับขันและยังเอ่ยขอสิ่งมีค่ามาเป็นของที่ระลึกอีกด้วย ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงต้องยอมรับในความหาญกล้าของอีกฝ่าย

หวังเป่าเล่อเชิดหน้าขึ้น ไม่ได้สนใจสายตาของอู๋น้อย ถึงภายนอกจะดูสงบเสงี่ยม แต่ภายในเต็มไปด้วยความยินดีปรีดา สัมผัสของความพึงพอใจไหลเวียนไปทั่วร่าง

ชื่อศิษย์พี่ช่างมีประโยชน์มากจริงๆ ชายหนุ่มคิดอย่างสุขใจ ขณะที่เจ้าอู๋น้อยกำลังจ้องมองมาด้วยความชื่นชม หวังเป่าเล่อก็โบกมือส่งตั๊กแตนพุ่งทะยานไปไกลด้วยความเร็วเต็มพิกัด

ระหว่างที่พวกเขาพุ่งออกจากจักรพิภพของมนุษย์ศิลา จักรพรรดิศิลายังคงยืนอยู่เคียงข้างดารานิรันดร์ หันมองหมู่ดาวไกลห่างออกไป ไล่สายตามองตามตั๊กแตนของหวังเป่าเล่อ ดวงตาฉายแววพินิจพิเคราะห์ราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงความคิด

มนุษย์ศิลาขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งหลายที่ไล่ตามหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ยืนอยู่เคียงข้างจักรพรรดิ ใบหน้าแอบแฝงไปด้วยความขุ่นเคือง มนุษย์ศิลาตนอื่นๆ ในตระกูลที่อยู่บนดาวเคราะห์ก็รู้สึกไม่ต่างกัน

ในสายตาพวกเขา ใครก็ตามที่เข้ามาในจักรพิภพและพยายามขโมยต้นไผ่ศิลาถือเป็นศัตรู ต้องจับกุมและนำมาเป็นของสังเวย นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่จักรพรรดิศิลาตัดสินใจปล่อยใครไป

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่สุด เขายังให้ต้นไผ่ศิลาที่ตระกูลดูแลมาอย่างดีไปถึงสามต้น รวมกับที่ถูกขุดขโมยไปก็เท่ากับเสียไปสี่ต้น ถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ของอารยธรรม

จักรพรรดิศิลาสัมผัสได้ถึงความโกรธเคืองของทุกคน หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง สัมผัสสวรรค์ก็ระเบิดขึ้นในหัวมนุษย์ศิลาทุกตน

“ข้าไม่ได้แยแสเจ้านั่นและคำคุยโวของเขา ข้าไม่ได้ปักใจเชื่อว่าเฉินชิงผู้เป็นตำนานคนนั้นจะเป็นศิษย์พี่ของเขาจากเพียงคำพูด แต่…เจ้าหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ เขา พลังของเด็กคนนั้น…บ่งบอกชัดเจนว่าเขาคือบุตรสายเลือดแท้ของอาณาจักรพิภพทมิฬ ข้าเคยพบพลังเช่นนี้มาหลายครั้ง ไม่มีทางที่ข้าจะระบุตัวตนเขาผิดไป…อาณาจักรพิภพทมิฬกำลังต่อสู้เพื่อเป็นอิสระจากตระกูลไม่รู้สิ้น จะเป็นการดีกว่าหากเราจะอยู่ให้ห่างคนระห่ำพวกนั้น!”

……………………………

บทที่ 799 จักรพรรดิศิลา!
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหนี…

การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะเจ็ดถึงแปดจุดจากดาวเคราะห์ทั้งสี่ทำให้เขาเกือบฉี่ราด นอกจากนี้ยังมีร่องรอยพลังขั้นเชื่อมวิญญาณมากมายและขั้นจุติวิญญาณอีกนับไม่ถ้วนปะทุขึ้นทันทีที่มนุษย์ศิลาทยอยตื่นขึ้นเรื่อยๆ

มนุษย์ศิลาขนาดเล็กที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในและขั้นรากฐานตั้งมั่นเริ่มร้องคำรามน่าหวาดผวา พวกมันโผล่ออกมาจากทุกทิศทาง เข้าล้อมหุ่นเชิดของหวังเป่าเล่อเอาไว้

พริบตาเดียว…หุ่นเชิดของหวังเป่าเล่อก็โดนรายล้อมด้วยกองทัพมนุษย์ศิลาจำนวนมากกว่า พวกมันไร้ซึ่งทางหนีรอดหรือแม้กระทั่งโอกาสในการตอบโต้กลับ จึงถูกทำลายกลายเป็นฝุ่นผงไป…

ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ดาวเคราะห์ที่เงียบงันก่อนหน้านี้ถูกแทนที่ด้วยความบ้าคลั่ง หวังเป่าเล่อกลัวจนแทบจะลมจับ ภัยอันตรายร้ายแรงที่บังเกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เขารีบบังคับเรือบินรบเวทหนีออกจากจักรพิภพไปในทันที

เจ้าอู๋น้อยที่ยืนเบิกตากว้างอยู่ข้างๆ ตัวสั่นเทิ้มด้วยความกลัว เจ้าลาเองก็ตะลึงงันไปเช่นกัน แม้มันจะมองมนุษย์ศิลาเป็นอาหาร แต่ถ้ามีจำนวนมากเกินไปก็ถือเป็นเรื่องน่ากลัว

ช่างเป็นกับดักที่ร้ายกาจเสียจริง! หวังเป่าเล่อเกือบจะร้องไห้ออกมา แต่นี่ไม่ใช่เวลามัวมาคร่ำครวญที่สูญเสียเหล่าหุ่นเชิดหรือกระหายอยากได้ต้นไผ่ศิลา เขารีบพุ่งความสนใจไปที่การบังคับตั๊กแตนหนีกลับสู้ห้วงจักรวาล

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังพุ่งทะยานไปด้านหน้า พลังขั้นจิตวิญญาณอมตะกว่ายี่สิบตนก็พุ่งตามหลังมาติดๆ จนกลายเป็นดาวหาง พวกมันมุ่งหน้าออกจากดาวเกิด ข้ามหมู่ดวงดาราตรงไปหาหวังเป่าเล่อ

พลังล้นเหลือที่ปล่อยออกมานี้สามารถทำให้ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะต้องขนหัวลุกขณะก่นด่าความชักช้าของตนเอง แล้วนับประสาอะไรกับหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง เขาเปิดใช้งานกลไกเคลื่อนย้ายของดวงเนตรหมื่นปีศาจอย่างไม่ลังเลใจ เพื่อจะหนีกลับไป อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์

ขณะที่การเคลื่อนย้ายกำลังจะเริ่มต้นขึ้น จักรพิภพก็สั่นคลอนและพลังประหลาดก็จุติลงมาปกคลุมทั่วพื้นที่ ล้อมรอบตัวหวังเป่าเล่อไว้ พลังนั้นไม่อาจขัดขวางการเคลื่อนย้ายของหวังเป่าเล่อได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็ทำให้กระบวนการล่าช้าลงไปได้ สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นภายในเสี้ยววินาทีกลายเป็นต้องใช้เวลาชั่วนิรันดร์ อาจต้องใช้เวลาถึงสิบห้านาที ชายหนุ่มจึงจะสามารถเคลื่อนย้ายออกไปได้!

สถานที่เฮงซวยนี่มันอะไรกัน หวังเป่าเล่อเกือบจะร้องคำรามออกมา เขาไม่มีเวลาให้คิดอะไร รีบบังคับตั๊กแตนและพยายามหนีออกไปจากที่แห่งนี้อย่างไม่คิดชีวิต เขาตั้งใจว่าจะออกจากจักรพิภพนี้ให้ได้ก่อน จากนั้นจึงค่อยพยายามเคลื่อนย้ายอีกครั้ง

โชคดีที่หวังเป่าเล่อคอยระวังตัวอยู่ตลอดและไม่ได้เข้าไปสำรวจลึกด้วยตัวเอง เขาวางตำแหน่งตนเองไว้ที่ขอบของจักรภพ ดังนั้นเมื่อเร่งความเร็วเรือบินรบเวทและปลดปล่อยพลังขั้นแสร้งอมตะออกมา เรือบินรบเวทจึงสามารถพุ่งทะยานไปด้วยความเร็วสูงสุด มันพุ่งไปถึงขอบสุดของจักรพิภพในชั่วพริบตา อีกเพียงครู่เดียวก็จะออกจากจักรพิภพนี้ไปได้อย่างสมบูรณ์…

หวังเป่าเล่อยังไม่ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แม้จะมั่นใจในโอกาสว่าจะออกจากจักรพิภพไปได้ การมีมนุษย์ศิลาขั้นจิตวิญญาณอมตะยี่สิบกว่าตนไล่ตามมานั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย อย่างไรเสีย เขาก็มีโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาและเรือบินรบอยู่ ซึ่งจะช่วยให้เขามีเวลาเพียงพอที่จะทำการเคลื่อนย้ายอีกครั้ง เรื่องแย่ที่สุดที่ชายหนุ่มต้องเผชิญคือการเสียศักดิ์ศรีและต้องเดินทางอย่างเปล่าประโยชน์

ไม่อยากจะเชื่อว่าข้าจะโชคร้ายถึงเพียงนี้ ต้องเป็นความผิดของเจ้าอู๋น้อยแน่ ตอนที่ไม่มีเขา ข้าโชคดีกว่านี้มากนัก ชายหนุ่มหันไปจ้องเจ้าอู๋น้อยที่มองกลับมาด้วยสายตาสับสน ตั๊กแตนของหวังเป่าเล่อมุ่งหน้าต่อไปด้วยความเร็วเกินบรรยายขณะที่ดาวหางขั้นจิตวิญญาณอมตะกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เหมือนว่าพวกเขากำลังจะหลบหนีออกจากจักรพิภพไปได้ในทุกเมื่อ

ทันใดนั้น… พลังประหลาดที่กระจายไปทั่วจักรพิภพก็จะจุติลงมาใหม่อีกครั้ง ครั้งนี้กล้าแกร่งกว่าเดิม ทำให้ห้วงจักรวาลสั่นไหว ขอบจักรพิภพถูกปิดผนึก ราวกับประตูที่ปิดแน่นไร้ซึ่งทางออก!

เป็นเหมือนผนึก!

ในหัวหวังเป่าเล่ออื้ออึงไปหมดขณะที่หันกลับไปด้วยความตื่นตกใจ ศพและเศษซากที่ลอยอยู่รอบๆ เริ่มเคลื่อนที่เหมือนว่ากำลังโคจรรอบดารานิรันดร์ ตอนแรกพวกมันเริ่มเคลื่อนไหวไหลลื่นไปอย่างช้าๆ ก่อนจะเร็วขึ้นมหาศาล!

พวกมันดูเหมือนแม่น้ำที่ไหลวนรอบดารานิรันดร์ เป็นดังวังวนขนาดใหญ่ สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตกใจมากที่สุดไม่ใช่วังวน แต่เป็น…ดารานิรันดร์ที่กลายเป็นหินไปบางส่วน ขณะที่แม่น้ำกำลังหมุนวนอยู่รอบๆ ดารานิรันดร์เองก็เริ่มสั่นไหวด้วยเช่นกัน

กลุ่มดาวหางที่ไล่ตามหวังเป่าเล่อหยุดชะงักและแปลงกายกลับเป็นมนุษย์ศิลา ใบหน้าของพวกมันดูเคารพยำเกรง ดวงตาเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น เหล่ามนุษย์ศิลารีบหันไปทางดารานิรันดร์ที่กำลังสั่นไหว ก่อนจะคุกเข่าลงพร้อมเปล่งเสียงร้องคำรามสั่นสะเทือนไปทั่วอวกาศ

เหล่ามนุษย์ศิลาบนดาวเคราะห์ทั้งสี่ดวงเองก็มีท่าทีไม่ต่างกัน พวกมันเงยหน้าขึ้นฟ้า ตื่นตัวขึ้นทันใด ดวงตาเร่าร้อนจับจ้องไปทางดารานิรันดร์ ก่อนจะคุกเข่าลงกับพื้นและร้องคำรามขึ้น!

หวังเป่าเล่อหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า เสียงร้องของเหล่ามนุษย์ศิลากลายเป็นท่วงทำนองสมานสามัคคีที่เปี่ยมไปด้วยพลังล้นเหลือ ศพและเศษซากยังคงลอยหมุนวนรอบดารานิรันดร์ ราวกับว่ากำลังมีพิธีอะไรบางอย่างและชายหนุ่มได้มาร่วมชมด้วย…

“เสร็จกัน จบเห่แล้ว! เรากลายเป็นของเซ่นไหว้ไปแล้ว!” เจ้าอู๋น้อยเริ่มโอดครวญขณะจ้องมองภาพเหตุการณ์เบื้องหน้า เจ้าลาเองก็ตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาฉายแววตื่นกลัว

ของเซ่น… หวังเป่าเล่อลังเลใจที่จะยอมรับข้อสรุปนั้น แต่ดูอย่างไรก็เป็นดั่งที่เจ้าอู๋น้อยว่า ถึงกระนั้นเขาก็จะไม่ยอมนั่งรอความตายโดยไม่ทำอะไร แววดุดันฉายขึ้นในดวงตาของชายหนุ่ม เขาคิดจะระเบิดตั๊กแตนเรือบินรบเวททิ้งเพื่อดูว่าจะสามารถสร้างช่องทางในการหลบหนีได้หรือไม่

ทันใดที่คิดได้ดังนั้น ดารานิรันดร์ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จนชายหนุ่มหน้าถอดสี…ใบหน้าของเขาซีดเซียวเสียจนเหมือนคนตาย

ขณะที่วังวนกำลังหมุนไปรอบๆ มนุษย์ศิลากำลังร้องคำราม ดารานิรันดร์ที่สั่นไหวอยู่…ก็ขยายตัวออกเป็นวงกว้าง!

หน้าผากที่มีขนาดกว้างใหญ่กว่าดาวเคราะห์ปรากฏขึ้นเป็นสิ่งแรก ตามมาด้วยแขนขาทั้งสี่ จนปรากฏออกมาเป็นยักษ์ศิลาขนาดมหึมา!

ข้างๆ ยักษ์ศิลาคือดารานิรันดร์ที่หดเล็กลงกว่าตอนแรกถึงครึ่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่า…ส่วนที่ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อคิดว่าเป็นดารานิรันดร์ แท้จริงแล้วคือร่างหินของยักษ์ตนนี้ ยักษ์ศิลาโอบดารานิรันดร์ไว้ในอ้อมแขนและขดตัวเป็นก้อนกลม เป็นเหตุให้…ดารานิรันดร์ดวงนี้ดูมีขนาดใหญ่

ตอนนี้เมื่อยักษ์ศิลาเหยียดแขนขาออก ดารานิรันดร์ที่แท้จริงจึงเผยออกมาให้เห็น!

ยักษ์ศิลาที่เหยียดแขนขาออกกว้างค่อยๆ ลืมตาตื่น ดวงตาทั้งสองข้างส่องแสงเจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์แฝด สาดส่องไปทั่วจักรพิภพในทันที!

พลังล้นเหลือเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนขั้นดาวพระเคราะห์แผ่ออกมาจากยักษ์ศิลาโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ พลังนั้นพุ่งผ่านจักรพิภพราวกับเป็นพายุรุนแรง! เข้าข่มทุกสิ่งที่อยู่ตามทางและพัดพาทุกอย่างให้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของมัน!

มือขนาดเท่าดาวเคราะห์ยกขึ้นสูง ดูด้วยตาเหมือนจะช้า แต่แท้จริงแล้วรวดเร็วมาก มือยักษ์ศิลาพุ่งแหวกจักรพิภพเข้ามาคว้าหวังเป่าเล่อ หมายจะบดขยี้เหมือนอีกฝ่ายเป็นเพียงยุงตัวหนึ่ง!

ให้เปรียบชายหนุ่มเป็นยุงก็ดูไม่เข้าที เพราะหากเทียบขนาดกับมือยักษ์แล้ว หวังเป่าเล่อนั้น…ไม่สมควรจะเป็นยุงเสียด้วยซ้ำ!

สายฟ้าฟาด ลมพัดกระหน่ำ มือขนาดมหึมาขวางกั้นทั้งจักรพิภพ ร่วงลงมาใส่หวังเป่าเล่อพร้อมพลังไร้เทียมทานและภัยร้ายถึงตาย ปิดทางหนีของชายหนุ่มไว้หมด!

ขณะที่ยักษ์ศิลาเปิดฉากโจมตี มนุษย์ศิลาน้อยใหญ่บนดาวเคราะห์และมนุษย์ศิลาขั้นจิตวิญญาณอมตะก็เริ่มคึกคะนอง พวกมันร้องคำรามอย่างเร่าร้อนขณะหมอบกราบ เหมือนดั่งว่ากำลังทำความเคารพจักรพรรดิกระนั้น!

ระดับดารา…นิรันดร์… หวังเป่าเล่อหน้าซีดเผือด นี่ไม่ใช่แค่ดวงไม่ดีธรรมดา แต่เป็นดวงกุดชะตาขาดเลยต่างหาก จักรวาลนั้นแสนกว้างใหญ่ ดูจากจำนวนผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ที่กระจายอยู่ทั่วจักรวาล คงเป็นเรื่องยากที่จะบังเอิญไปพบเข้าสักคน แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ชายหนุ่มจึงได้มาประจันหน้าผู้ฝึกตนที่ว่าเอาได้…

จบแล้ว…ครั้งนี้จบเห่แน่… ในหัวชายหนุ่มขาวโพลนไปหมด วิสัยทัศน์ถูกมือมหึมาที่เคลื่อนตัวมาจากด้านบนพร้อมพลังล้นเหลือบดบังมิด เขามีเวลาทำอย่างหนึ่งทัน นั่นก็คือเก็บเจ้าลาเข้ากำไลคลังเวท แต่ก็ไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยอะไรมันได้หรือเปล่า

นี่คือที่สุดแล้วที่เขาสามารถทำได้ ส่วนเจ้าอู๋น้อย…หวังเป่าเล่อไม่สามารถช่วยอีกฝ่ายได้ในตอนนี้ ชายหนุ่มทำหน้าเหยเก แต่ดวงตากลับไร้ซึ่งแววความสิ้นหวัง เขาปลดปล่อยพลังปราณของตัวเองและของตั๊กแตน ตั้งใจจะระเบิดทำลายตนเองเสีย

วิธีนี้คือหนทางเดียวที่คิดออกในการช่วยเจ้าลาและเจ้าอู๋น้อย ถ้าเขาระเบิดทำลายตนเอง ก็มีโอกาสที่จะรอดชีวิต เพราะหากยักษ์ศิลาเอื้อมมาคว้าตัวเขาเอาไว้ได้ก่อน ก็คงไม่ต่างอะไรกับได้ตายไปแล้ว

แต่ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะยอมรับโชคชะตาง่ายๆ เช่นนั้น ก่อนที่จะระเบิดทำลายตนเอง หวังเป่าเล่อจึงตัดสินใจที่จะลองเสี่ยงดวง ชายหนุ่มตะโกนก้องขึ้นทันใด

“ท่านพี่ ศิษย์พี่ของข้าคือเฉินชิง ราชันสวรรค์ลำดับแรกของตระกูลไม่รู้สิ้น ข้าเป็นศิษย์น้องเพียงคนเดียวของเขาที่ยังมีชีวิตอยู่!”

……………….

บทที่ 798 อารยธรรมวิญญาณศิลา!
ต้องมีอะไรเกิดขึ้นที่นี่แน่… หวังเป่าเล่อไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามและตรวจดูรอบๆ โดยละเอียดก่อน เขาปลดปล่อยพลังปราณขั้นแสร้งอมตะของตั๊กแตนให้พัดไปทั่วบริเวณ พอมั่นใจว่าแถวนี้ปลอดภัยดี ชายหนุ่มก็หันไปมองเศษซากด้านหน้า

ชายหนุ่มไม่มีความรู้เกี่ยวกับที่นี่จึงไม่สามารถคาดคะเนยุคสมัยจากเสื้อผ้าของเหล่าศพได้ มีพลังประหลาดบางอย่างในจักรพิภพนี้ขัดขวางสัมผัสสวรรค์ของเขา พลังนี้เหมือนจะสามารถหยุดเวลาและรักษาสภาพศพก่อนตายเอาไว้ เสื้อผ้าและเครื่องประดับบนตัวศพก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกันจึงไม่มีร่องรอยการผุพังหรือย่อยสลายอยู่เลย

หวังเป่าเล่อนึกไม่ออกเลยว่าพลังชนิดใดกันที่ทำให้เกิดอะไรเช่นนี้ได้ ไม่รู้ว่ามันเกิดจากผู้ฝึกตนหรือเกิดจากพลังประหลาดที่อาศัยอยู่ในจักรพิภพแห่งนี้กันแน่

ว่ากันตามหลักการ ถึงจักรพิภพนี้จะอยู่ในที่รกร้างและห่างไกล แต่ก็น่าจะมีคนผ่านมาพบแล้ว ถ้าผ่านมาจริง…ก็ไม่สมเหตุสมผลเลยที่ศพและเศษซากพวกนี้ยังไม่ได้รับการแตะต้องใดๆ หวังเป่าเล่อหรี่ตา ยังคงระแวดระวังตัว เขาข่มความละโมบ ไม่ได้ตรวจสอบศพและเศษซากรอบตัวในทันที ชายหนุ่มกังวลว่าจะมีภัยอันตรายอื่นที่ไม่รู้หลบซ่อนอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้โดยที่เข็มทิศก็ไม่สามารถตรวจพบได้

เขาโบกมือส่งหุ่นเชิดนับหมื่นตัวกระจายออกไปรอบพื้นที่ ชายหนุ่มเริ่มตรวจสอบทั่วบริเวณอย่างละเอียดผ่านสายตาของหุ่นเชิด จากนั้นก็แยกสัมผัสสวรรค์ออกมาสิบกว่าส่วนและใส่เข้าไปในหุ่นเชิดเพื่อให้เห็นทุกอย่างได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

หุ่นเชิดกว่าหมื่นตัวกระจายตัวออกไปรอบเรือบินรบ พวกมันพุ่งผ่านทะเลศพ ช่วยขยายวิสัยทัศน์ของหวังเป่าเล่อออกไป ครึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อหุ่นเชิดออกห่างไปได้ในระดับหนึ่ง ดวงตาของชายหนุ่มก็ฉายแสงวาบขึ้น

ท่ามกลางทะเลศพและเศษซากนับไม่ถ้วนมีศพบางศพที่แต่งกายต่างไป ศพเหล่านี้ไม่ได้เกาะกลุ่มอยู่ที่เดียว แต่กระจายตัวกันออกไป หวังเป่าเล่อพบศพเหล่านั้นประมาณเจ็ดถึงแปดศพในระยะวิสัยทัศน์ของตัวเอง

ศพพวกนี้ไม่ได้อยู่ในยุคเดียวกับศพอื่นๆ… การค้นพบครั้งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกระแวงมากขึ้นกว่าเดิม ความคิดและการคาดเดาต่างๆ ผุดขึ้นเรื่อยๆ ในหัวเห็นเป็นภาพกลุ่มผู้ฝึกตนจากอารยธรรมอื่นๆ ย่างกรายเข้ามาในพื้นที่แห่งนี้ในอดีต พอเข้ามาในจักรพิภพนี้ก็พบความตายโดยไม่ได้คาดคิด

ศพที่เดิมทีอยู่ที่นี่อาจจะซ่อนอันตรายบางอย่างที่ไม่รู้เอาไว้ก็เป็นได้ หวังเป่าเล่อหรี่ตาประเมินสถานการณ์ เขาลังเลที่จะกลับออกไปจึงเรียกหุ่นเชิดออกมาอีกชุด และส่งข้ามทะเลศพไปยังดาวเคราะห์ทั้งสี่ดวง

เขาตั้งใจจะใช้หุ่นเชิดเหล่านี้ตรวจดูว่าดาวเคราะห์ทั้งสี่มีอะไรผิดปกติหรือเปล่า จากนั้นจึงจะตัดสินใจว่าจะตรวจสอบสถานที่แห่งนี้ต่อไปดีหรือไม่

เมื่อวางแผนได้ดังนั้น ชายหนุ่มก็ส่งหุ่นเชิดออกมาเรื่อยๆ เมื่อหวังเป่าเล่อปล่อยหุ่นเชิดออกมาได้สามหมื่นตัว หุ่นเชิดกลุ่มหนึ่งก็ไปถึงดาวเคราะห์ดวงหนึ่ง ดาวเคราะห์ดวงนี้มีสีดำสนิท มองไกลๆ ดูคล้ายสะเก็ดดาวขนาดใหญ่ เมื่อเหล่าหุ่นเชิดลงเหยียบบนดาวเคราะห์ก็ไม่เห็นสิ่งอื่นใดนอกจากสีดำสนิท

ไม่มีพืชหรือแหล่งน้ำ มีเพียงเทือกเขาและยอดเขามากมายขึ้นกระจายอยู่ทั่วดาวเคราะห์ ทั้งดาวเงียบสนิท การมาถึงของเหล่าหุ่นเชิดทำลายความเงียบไป แต่ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดโผล่มาต้อนรับ

หวังเป่าเล่อตัดสินใจเฝ้ารอแทนที่จะออกคำสั่งส่งพวกมันไปสำรวจดาวเคราะห์ หลังจากหุ่นเชิดที่เหลือลงเหยียบดาวเคราะห์อีกสามดวงแล้ว เขาจึงเริ่มตรวจสอบดาวเคราะห์ทั้งสี่ดวงพร้อมกัน ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างเมื่อเริ่มทำการค้นหา จากนั้นก็บังคับหุ่นเชิดตัวหนึ่งให้หันไปมองหน่อไม้สีดำที่ขึ้นอยู่บนเนินเตี้ยของดาวเคราะห์แห่งหนึ่ง!

ไผ่ต้นนี้แม้มีลักษณะคล้ายพืชแต่ลำต้นกลับเป็นหิน ใบของมันก็เป็นหินด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีของเหลวบางอย่างซึมออกมาจากผิวไผ่และหยดลงบนหน่อ

ไม่มีทั้งกลิ่นหรือพลังวิญญาณใดๆ จากไผ่ต้นนี้ ถึงกระนั้นหวังเป่าเล่อก็รู้สึกเหมือนถูกสายฟ้าฟาดเมื่อได้ค้นพบมัน หัวใจของเขาเต้นถี่รัว

ต้นไผ่ศิลา!

หวังเป่าเล่อไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง เขาเคยอ่านเจอสิ่งนี้ในบันทึกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ชื่อของมันอาจฟังดูธรรมดา แต่มูลค่านั้นมากมายมหาศาล ต้นไผ่ศิลาสูญพันธุ์ไปจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว การจะได้มาต้องไปรับจากอารยธรรมอื่นและต้องจ่ายราคาแพง

ต้นไผ่ศิลาเป็นส่วนประกอบหลักในการเสริมพลังเรือบินรบเวท เป็นของหายากมากและเป็นที่ต้องการสูง ไผ่ความยาวเพียงนิ้วมือก็ทำให้เกิดการต่อสู้สุดชีวิตได้ ส่วนต้นไผ่ศิลาที่อยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อตอนนี้…หากนำกลับไปก็คงไม่ได้สร้างสงครามระหว่างสองสำนักใหญ่ แต่ก็อาจทำให้เกิดความโกลาหลและความคลุ้มคลั่งในบางกองทหารได้

หวังเป่าเล่ออยากได้และคอยตามหาต้นไผ่ศิลาอยู่เช่นกัน เขามีตั๊กแตนที่มีพลังครึ่งหนึ่งของเรือบินรบเวท หากหลอมมันเข้ากับต้นไผ่ศิลาที่ได้ขนาดพอ ก็มีโอกาสสูงที่มันจะพัฒนาไปเป็นเรือบินรบเวทเต็มขั้น!

หน่อไม้ศิลา… หวังเป่าเล่อใจเต้นแรง สัมผัสอันตรายที่กระจายอยู่รอบตัวทำให้เขานึกลังเลใจ ระหว่างที่กำลังลังเลใจอยู่นั้นเอง หุ่นเชิดที่ออกสำรวจดาวเคราะห์ทั้งสี่ก็พบต้นไผ่ศิลาผุดขึ้นมาจากพื้น ความจริงแล้วมีต้นไผ่ศิลากว่าพันต้นผุดขึ้นมาบนดาวเคราะห์ดวงที่สาม!

ส่วนดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ มีต้นไผ่ศิลาผุดขึ้นเพียงสิบกว่าต้น ภาพที่เห็นทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้นจนตาแดงและหายใจถี่รัว เจ้าลาและเจ้าอู๋น้อยไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นจึงไม่รู้ว่าชายหนุ่มเป็นอะไรไป แต่เจ้าอู๋น้อยก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาได้พบของมีค่าบางอย่าง

เจ้าลาไม่รู้ว่าหวังเป่าเล่อคิดอะไรอยู่ แต่จักรพิภพแห่งนี้ก็มีบางสิ่งยั่วยวนใจมัน เป็นสิ่งที่เย้ายวนไม่แพ้ความรู้สึกที่หวังเป่าเล่อมีต่อต้นไผ่ศิลา เพราะอย่างไรเสีย…สิ่งที่กระจัดกระจายอยู่รอบๆ ก็คือเศษซากและชิ้นส่วนสมบัติเวท ซึ่งถือเป็นของกินสำหรับมันทั้งสิ้น!

บางชิ้นดูน่ากินยิ่งนัก…

ทั้งหวังเป่าเล่อและเจ้าลาต่างหายใจถี่รัวพร้อมกัน เจ้าอู๋น้อยมองทั้งสองอย่างเกรงกลัว ความคิดในหัวแล่นไปมา เขาตัดสินใจทำตามน้ำและเร่งลมหายใจตัวเองขึ้น

มีต้นไผ่ศิลามากมายขนาดนี้ ต้องลองเสี่ยงดูแล้ว! หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็กัดฟันแน่นและตัดสินใจได้ เขาหยิบเข็มทิศออกมาและตรวจดูอย่างละเอียด ผลการตรวจสอบไม่พบสัญญาณสิ่งมีชีวิตบนดาวเคราะห์ทั้งสี่ ชายหนุ่มเลิกลังเลใจ สั่งการให้เหล่าหุ่นเชิดเก็บต้นไผ่มา เขาเรียกเรือบินรบหลายพันลำออกมาและส่งไปที่ดาวเคราะห์แต่ละดวงเพื่อให้หุ่นเชิดขนต้นไผ่ใส่!

หวังเป่าเล่อลองเดิมพันดู เขาคอยเดินลมปราณเฝ้าระวัง ตั๊กแตนเองก็เปิดการใช้งานไว้เต็มที่ ตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ที่ขอบสุดของจักรพิภพ หากมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็มั่นใจว่าจะหลบหนีออกไปได้ทันเวลา

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ขณะที่ความกังวลคุกรุ่นอยู่ภายในระหว่างคอยเฝ้าระวัง เหล่าหุ่นเชิดได้รับภารกิจสุดหินในการขุดต้นไผ่ศิลาจากผืนดิน พวกหุ่นเชิดต้องขุดที่เดิมซ้ำๆ ถึงจะเซาะหินออกจากผืนดินได้เล็กน้อย ถึงหวังเป่าเล่อส่งหุ่นเชิดออกไปนับไม่ถ้วน แต่ผ่านไปเนิ่นนานก็ขุดต้นไผ่ศิลาส่งขึ้นเรือบินรบกลับมาให้หวังเป่าเล่อได้แค่ต้นเดียว

ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไปก็ได้… ถึงจะรู้สึกเป็นกังวลใจอยู่มาก แต่ชายหนุ่มก็รู้ว่าช้าๆ จะได้พร้าเล่มงาม หากเกิดอะไรผิดพลาดอาจส่งผลไม่ดีได้ เขามองไปยังจักรพิภพเบื้องหน้าขณะปลอบใจตัวเอง

ทันใดนั้น ดาวเคราะห์ดวงหนึ่งก็สั่นไหวเบาๆ หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงแรงสั่นในทันที แต่ก่อนจะได้ตรวจสอบอะไร แรงสั่นก็ทวีความรุนแรงขึ้น ดาวเคราะห์อีกสามดวงก็เริ่มสั่นสะเทือนเช่นกัน แผ่นดินกำลังไหวรุนแรงราวกับมีงูเหลือมเลื้อยอยู่ใต้ดิน

ขณะที่แผ่นดินสั่นไหว พลังล้นเหลือก็ปะทุขึ้นจากกองหิน ยอดเขา และเทือกเขาบนดาวเคราะห์ ฟากฟ้าสั่นคลอน เมฆาหมุนวน ลมพัดกรรโชก ทั่วทั้งจักรพิภพได้รับผลกระทบ ในตอนนั้นเองกองหิน ยอดเขา และเทือกเขา…ก็ผุดยืนขึ้น!

พวกมันไม่ใช่กองหิน หรือยอดเขา หรือเทือกเขา พวกมันคือ…มนุษย์ศิลา…ที่มีขนาดแตกต่างกันไป!

ราวกับว่าเหล่าหุ่นเชิดได้ปลุกพวกมันจากการหลับใหล พวกมันดูท่าจะกำลังอารมณ์ไม่ดี เหล่ามนุษย์ศิลาเบิกตาสีชาดหันมองหุ่นเชิดรอบตัว จากนั้นก็เงยหน้าร้องคำรามดังลั่นจักรพิภพ!

หวังเป่าเล่อหน้าตื่นทันใด พยายามเรียกหุ่นเชิดกลับ แต่เสียงร้องคำรามของเหล่ามนุษย์ศิลาแข็งแกร่งเกินไป เป็นเหมือนพายุพัดไปทั่วพื้นที่ ส่งแรงระเบิดกัมปนาทพัดกระจายไม่หยุดหย่อน กองทัพหุ่นเชิดสามหมื่นตัวถูกพายุพัดทำลายไปกว่าครึ่งในทันใด!

ยังไม่จบแค่ไหน มีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อ เจ้าลา และเจ้าอู๋น้อยตัวสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว ขณะที่มนุษย์ศิลามากมายบนดาวเคราะห์ทั้งสี่ตื่นขึ้นจากการหลับใหล พลังขั้นจิตวิญญาณอมตะเจ็ดถึงแปดจุดก็ปะทุตื่นขึ้นจากแก่นดาวเคราะห์!

ล้อกันเล่นหรืออย่างไร หวังเป่าเล่อคร่ำครวญ เขารีบสั่งตั๊กแตนหันหลังกลับ เตรียมถอยหนีอย่างไม่ลังเลใจ

……………………

บทที่ 797 สมรภูมิเลือด!
ที่แห่งนี้ดูโล่งตา ไม่มีอะไรอื่นนอกจากเศษสะเก็ดดาว ไม่ต้องหวังว่าจะพบดาวเคราะห์เพราะไม่มีแม้แต่เศษซากหรือสิ่งมีชีวิต

มีแสงริบหรี่อยู่โดยรอบ และห้วงอวกาศก็มืดสนิท

อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ช่างเหมือนฝูงตั๊กแตน ใครจะรู้กันว่าพวกเขาออกปล้นอารยธรรมโดยรอบ…ไปกี่หนกันแล้ว หวังเป่าเล่อมองไปรอบๆ แม้จะรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้ แต่ก็อดถอนหายใจไม่ได้อยู่ดี

ข้าต้องไปให้ไกลกว่านี้… หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอย่างเงียบเชียบ หางตาเหลือบไปเห็นเจ้าลาที่จ้องมองด้านในของเรือบินรบเวทตั๊กแตนด้วยดวงตาเป็นประกาย มันเลียริมฝีปากไม่หยุด น้ำลายเริ่มหยดย้อยลงพื้น…

เจ้าอู๋น้อยนั่งอยู่ข้างเจ้าลา มองออกไปในห้วงอวกาศ เหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด หวังเป่าเล่อเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไรอยู่

ชายหนุ่มไม่สนใจเจ้าอู๋น้อย เขาหันไปจ้องเจ้าลาโดยไม่ต้องเอ่ยพูดอะไร แค่สายตาติเตือนก็เพียงพอ เจ้าลาได้รับสารที่เขาสื่อ มันก้มหน้าจ๋อย แลบลิ้นเลียกองน้ำลาย…

พอเห็นเจ้าลาสำเหนียกตัวเอง หวังเป่าเล่อก็เลิกมองมันด้วยแววตาข่มขู่ เขาสร้างผนึกฝ่ามือ กองเรือบินรบมารวมตัวรอบชายหนุ่มในทันใด ก่อนจะหายวับเข้ากำไลคลังเวทไปทีละลำ เหลือเพียงตั๊กแตนที่ยังมุ่งหน้าท่องอวกาศออกไปไกล

จุดที่เขาเลือกเคลื่อนย้ายมานั้นเป็นคนละจุดกับที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เลือก หวังเป่าเล่อคุ้นกับเส้นทางของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์มากกว่า แต่บริเวณนั้นถูกปล้นไปหมดแล้ว ทำให้ชายหนุ่มเลือกเสี่ยงดวงในจุดอื่นแทน

หวังเป่าเล่อมีแผนที่ดวงดาวของบริเวณนี้ แต่ก็ใช้ประโยชน์ไม่ค่อยได้เท่าไหร่ เพราะมันบอกเพียงขอบเขตที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้ออกสำรวจแล้ว ด้วยความเร็วของตั๊กแตน พวกเขาจึงมาถึงขอบสุดของบริเวณที่ผ่านการสำรวจมาแล้วภายในสองสัปดาห์ ถึงตอนนี้แผนที่ดวงดาวก็กลายเป็นของไร้ประโยชน์ในทันที

เขตแดนข้างหน้าเป็นพื้นที่ที่ยังไม่ถูกบันทึกไว้ในแผนที่ แต่ก็เป็นไปได้ที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะเคยบุกปล้นไปแล้ว แต่ยิ่งไปไกลเท่าไหร่ โอกาสที่จะมีคนเคยบุกมาก็ยิ่งน้อยลง… หวังเป่าเล่อตื่นเต้นขึ้นมา รีบคุมตั๊กแตนมุ่งหน้าตรงไปเรื่อยๆ

ทว่า…โชคกลับไม่เข้าข้างหวังเป่าเล่อในการออกสำรวจครั้งนี้ สองสัปดาห์ผ่านไป อวกาศรอบๆ ก็ยังมีแต่ความมืดดำ ไร้ซึ่งแม้ดาวเคราะห์สักดวง

หวังเป่าเล่อหงุดหงิดใจ เจ้าลาเลียด้านในเรือบินรบเวทช้าลงเมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์ฉุนเฉียวของเจ้านาย ถึงกระนั้น ทุกครั้งที่เห็นมันน้ำลายหกเมื่อไหร่ ชายหนุ่มก็จะหันมาถลึงตาใส่ทันที

“อู๋น้อย!”

“ขอรับ ท่านบิดา!” เจ้าอู๋น้อยที่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดมาตลอดหนึ่งเดือนสะดุ้งลุกยืนพร้อมตะโกนตอบเมื่อได้ยินเสียงหวังเป่าเล่อ

“ข้าจะมอบภารกิจให้เจ้า จับตาดูเจ้าลาไว้ อย่าให้มันทำน้ำลายสอและห้ามมันกินอะไรสักอย่าง!”

เจ้าอู๋น้อยแทบขาดใจเมื่อได้ยินคำสั่ง เขารู้รสนิยมการกินอาหารของเจ้าลาดีและรู้ว่าไม่มีอะไรในโลกที่มันกินไม่ได้ จริงๆ แล้วเด็กหนุ่มถึงกับแอบคิดว่าเจ้าลาอาจหันมายิงเขี้ยวใส่ตนก็ได้ถ้ามันหิวจัดขึ้นมา…

เขาถึงขนาดคิดไปว่าถ้าอะไรๆ เข้าที่เข้าทาง เจ้าลาอาจเขมือบทั้งอาณาจักรพิภพทมิฬเลยก็เป็นได้…

เขาหันมองเจ้าลาสลับกับหวังเป่าเล่อ ก่อนจะพึมพำขึ้นด้วยสีหน้าน่าสงสาร “ท่านบิดา ข้าห้ามเจ้านายลำดับสองไม่ได้ เขาถือเป็นศิษย์พี่…”

“ข้าจะกัดเจ้าตามจำนวนครั้งที่มันกัดอะไรเข้า!” หวังเป่าเล่อมองตาขวาง เจ้าอู๋น้อยสั่นกลัวเมื่อเห็นเช่นนั้นเพราะมั่นใจว่าผู้เป็นนายสามารถทำตามที่พูดได้แน่ ใบหน้าของเขาเคร่งขรึมขึ้นทันใด ก่อนจะร้องตอบเสียงดัง

“ไม่ต้องเป็นห่วง ท่านบิดา ข้าจะห้ามไม่ให้เจ้านายลำดับสองทำอะไรที่ไม่สมควร!”

หวังเป่าเล่อแค่นเสียงทางจมูกก่อนจะหันหนี เลิกสนใจเจ้าอู๋น้อยที่กำลังทำหน้าไม่สบายใจขณะเจรจาบอกเจ้าลาให้คุมความหิวกระหาย

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ขณะหวังเป่าเล่อขี่ตั๊กแตนท่องห้วงอวกาศมืดมิด เขาท่องข้ามจักรพิภพแล้วจักรพิภพเล่าราวกับเป็นอสูรเดียวดาย ทุกแห่งนั้นว่างเปล่าเหมือนกันหมด ปราศจากแม้สัญญาณสิ่งมีชีวิตหรือเศษซากอารยธรรม

การเดินทางที่แสนน่าเบื่อและไร้ทิศทางทำให้ชายหนุ่มเริ่มไม่แน่ใจ เขาสงสัยว่าควรจะเลิกเสียเวลาและหันกลับไปทางอื่นดีหรือไม่ อะไรๆ อาจจะดีกว่านี้ก็เป็นได้

ขณะที่ความไม่มั่นใจเริ่มก่อตัวขึ้นภายใน ห้วงอวกาศเบื้องหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ตอนนี้มีแสงส่องสว่างอยู่ไกลๆ ไม่ได้มีเพียงความมืดมิดเหมือนก่อนแต่อย่างใด

แสงสว่าง! การค้นพบครั้งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกกระปรี้กระเปร่า เมื่อมีแสงก็แสดงว่าต้องมีดารานิรันดร์อยู่ที่ไหนสักแห่งภายในบริเวณนี้ เขาไม่รู้ว่าดารานิรันดร์ที่ว่ามีสภาพเป็นอย่างไร แต่ก็รู้ดีว่าดารานิรันดร์คือแก่นของทุกอารยธรรม ถ้ามีดารานิรันดร์ ก็มีโอกาสที่จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่สูง

การค้นพบนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเปลี่ยนทิศทาง เขามุ่งหน้าตรงไปยังจุดกำเนิดแสงด้วยความเร็วเต็มพิกัด ผ่านไปสิบวัน แสงก็เริ่มส่องสว่างมากขึ้น ชายหนุ่มเห็นเค้าโครงดารานิรันดร์ขนาดใหญ่อยู่ไกลออกไป!

ดารานิรันดร์ที่ว่านี้ใหญ่กว่าดารานิรันดร์ในอารยธรรมดวงเนตรปีศาจ แต่ไม่ได้ฉายแสงสุกสว่างเท่า เขาแทบไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นจากแสงเลย เหมือนมันจะผ่านการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างจนมีสภาพเป็นหินไปแล้ว

แต่แหล่งกำเนิดแสงจากแก่นในไม่ได้ดับหายไป แสงยังคงทะลุผ่านชั้นเปลือกหินของดารานิรันดร์ และส่องสว่างไปทั่วบริเวณ

หวังเป่าเล่อใจเต้นรัวเมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า เขาหยุดตั๊กแตนโดยไม่ลังเลใจ จากนั้นก็โบกมือขวาเรียกเข็มทิศออกมา

เข็มทิศนี้เป็นของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ใช้ในการตรวจสอบดินแดนอวกาศและสร้างแผนที่ดวงดาว กลุ่มผู้ฝึกตนที่ไปรุกรานสหพันธรัฐก็ใช้ของคล้ายๆ กันนี้ในการตรวจสอบระบบสุริยะเช่นกัน

เข็มทิศของหวังเป่าเล่อเหนือชั้นกว่าเข็มทิศของผู้ฝึกตนกลุ่มนั้นมาก ทั้งในแง่ของความแม่นยำและขอบเขตในการตรวจสอบ มันเป็นของจำเป็นที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์มอบให้เหล่ากองทหาร

“แดง ส้ม เหลือง ฟ้า เขียว น้ำเงิน และม่วง แดงหมายถึงพลังระดับดารานิรันดร์ ส้มหมายถึงระดับดาวพระเคราะห์ เหลืองเข้มคือขั้นจิตวิญญาณอมตะ…เหลืองอ่อนคือขั้นเชื่อมวิญญาณ…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองขณะตรวจสอบเข็มทิศ ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังดาวเคราะห์ทั้งห้าดวงที่ปรากฏอยู่บนเข็มทิศ!

ดวงที่ใหญ่ที่สุดที่หวังเป่าเล่อกำลังมองอยู่คือดารานิรันดร์ สัมผัสของเขานั้นถูกต้อง พื้นที่ส่วนใหญ่ของดารานิรันดร์ได้กลายสภาพเป็นหินไปแล้ว ส่วนอีกสี่ดวงที่เหลือในจักรพิภพนี้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์และล้วนกลายเป็นหินไปทั้งสิ้น!

ทั้งสี่ดวงแปรสภาพเป็นหินมากกว่าดารานิรันดร์ เกือบจะกลายเป็นหินโดยสมบูรณ์ แทนที่จะเรียกว่าดาวเคราะห์ อาจมองได้ว่า…ทั้งสี่ดวงคืออุกกาบาตขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่กลางห้วงอวกาศ!

ส่วนสีของเหล่าดาวเคราะห์นั้น…แม้เข็มทิศจะไม่สามารถระบุสีของดารานิรันดร์ได้ แต่ก็ระบุได้ว่าดาวเคราะห์อีกสี่ดวงมีสีดำ ซึ่งหมายความว่าไม่มีสัญญาณของปราณวิญญาณบนดาวเคราะห์เหล่านี้ หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเมื่อพบเช่นนั้น

อารยธรรมกลายพันธุ์อีกแล้วหรือ หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่เงียบๆ ขณะบังคับตั๊กแตนมุ่งหน้าเข้าไปในจักรพิภพ เขาปลดปล่อยพลังปราณเพื่อเปิดใช้พลังเต็มขั้นของตั๊กแตน พร้อมที่จะเร่งความเร็วหรือตอบโต้เมื่อจับสัญญาณอะไรได้

ตั๊กแตนมุ่งหน้าเข้าไปใกล้จักรพิภพแห่งใหม่อย่างมั่นคงภายใต้การเฝ้าระวังของหวังเป่าเล่อ เมื่อเข้ามาในจักรพิภพ ใบหน้าของเขาก็ฉายแววตื่นตกใจ ตั๊กแตนหยุดชะงักทันใด!

ก่อนหน้านี้…ชายหนุ่มมองเห็นอะไรได้ไม่ชัดเจนเพราะอยู่ไกล นอกจากนี้ยังมีพลังประหลาดบางอย่างปกคลุมทั่วจักรพิภพทำให้เข็มทิศไม่สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ละเอียดนัก ทว่าพอเข้ามาในจักรพิภพ ทุกอย่างก็เริ่มชัดเจนในสายตา…

ที่แห่งนี้คือสมรภูมิเลือด!

ศพมากมายลอยอยู่กลางอวกาศ พร้อมด้วยเศษซากเรือบินรบและสมบัติเวท ทุกอย่างลอยไปมาอยู่เต็มพื้นที่…ในระยะสายตาที่มองเห็นได้!

ข้าอยู่ที่ใดกัน! อาการตื่นกลัวฉายชัดบนใบหน้าของชายหนุ่ม ภายในรู้สึกอึดอัดเกินบรรยาย หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงภัยอันตรายที่คืบคลานมาจากรอบด้าน!

…………………….

บทที่ 796 สู่สงคราม!
เป็นภาพที่แปลกประหลาดยิ่งนัก เรือบินรบกองทหารสระน้ำทองคำครึ่งหนึ่งลอยเปล่งแสงสีม่วงอยู่กลางอวกาศ เหล่าผู้ฝึกตนที่อยู่บนเรือบินรบเหล่านั้นพยายามเข้าควบคุมแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เรือบินรบได้แปรเปลี่ยนมาเป็นกรงขังพวกเขาเองและ…กลายเป็นอาวุธของหวังเป่าเล่อไปเสียแล้ว!

เรือบินรบจำนวนมากพร้อมตั๊กแตนกลับกลายมาอยู่ภายใต้การบัญชาการของหวังเป่าเล่อ รูปลักษณ์ที่เคยเป็นแมลงปอบัดนี้แปรเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์ มันดูคล่องแคล่วน้อยลง แต่ดุร้ายป่าเถื่อนขึ้น เสียงหึ่งๆ เหมือนมีอะไรถูกันไปมาดังออกมาจากด้านใน เป็นเสียงซึ่งทำให้ผู้ที่ได้ยินต้องตื่นกลัวไปถึงขั้ววิญญาณ

สถานการณ์พลิกผัน คมมีดที่กองทหารสระน้ำทองคำเคยหันใส่อีกฝ่ายบัดนี้ได้วกกลับเข้าสู่ตนเองแล้ว!

ผู้ฝึกตนกองทหารสระน้ำทองคำล้วนหายใจถี่รัวด้วยความตื่นกลัว หลายคนถึงกับส่งเสียงออกมา เหล่าผู้บัญชาการหน้าซีดเผือดทำอะไรไม่ถูก ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น กองทัพที่หายไปกว่าครึ่งทำให้พวกเขาตื่นตระหนก รีบหันไปมองอี้เหนียนจื่อด้วยสายตาวิงวอน

อี้เหนียนจื่อมีสีหน้าคร่ำเคร่ง เมื่อเห็นสายตาวิงวอนของเหล่าผู้บัญชาการก็เงียบไป เขาสามารถช่วยได้ก็จริง แต่ก็ต้องมีเหตุผลให้ช่วย โชคไม่ดีที่ตอนนี้ยังไม่พบเหตุผลใด

หลงหนานจื่อยังไม่ได้เปิดใช้งานโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา อีกฝ่ายใช้เพียงเรือบินรบในการต่อสู้แม้อี้เหนียนจื่อจะปล่อยการโจมตีออกไปในช่วงคับขันก็ตาม หลงหนานจื่อเล่นตามกฎเกณฑ์มาโดยตลอด!

หากเขาเข้าไปยุ่งตอนนี้จะต้องโดนตราหน้าว่าเป็นคนไปกลั่นแกล้งกดดันศิษย์น้องและถือเป็นการทำผิดกฎด้วยเช่นกัน หากเป็นคนอื่นคงจะไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร แต่อีกฝ่ายดันเป็นหลงหนานจื่อ ชายที่ปรมาจารย์ชื่นชอบ หากทำอะไรไปจะถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสม

ใบหน้าของอี้เหนียนจื่อเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ เมื่อความคิดเหล่านั้นผุดขึ้นในหัว ภายในเริ่มรู้สึกเสียใจขึ้นมา เขาเป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่สามารถจัดการคู่ต่อสู้ได้อย่างง่ายดาย แต่คู่ต่อสู้คนนี้กลับวางสิ่งกีดขวางไว้ทุกครั้ง ดวงตาของอี้เหนียนจื่อผุดแววสังหาร เขาจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างลุ่มลึก ก่อนจะพูดขึ้นเสียงต่ำ “หลงหนานจื่อ ส่งอสูรคืนมา…เราจะประกาศว่าเจ้าเป็นผู้ชนะการท้าประลองนี้!”

“ขอโทษทีศิษย์พี่ ข้าจะรับมันไว้เป็นรางวัลจากการชนะสงคราม” หวังเป่าเล่อว่าพร้อมยิ้มบางให้ ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงจิตสังหารของอีกฝ่าย แต่ตนก็ไม่ได้มีไมตรีจิตให้อีกฝ่ายด้วยเช่นกัน ตอนนี้เขามีชัยเหนือกว่าและเล่นตามกฎเกณฑ์ เหตุใดจึงต้องยอมทิ้งโอกาสในการชนะครั้งนี้ไปด้วยเล่า

นอกจากนี้ นี่ยังเป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการมาก เมื่อมีตั๊กแตนในครอบครอง ถึงจะแพ้การท้ารบครั้งนี้และต้องเสียทรัพยากรจำนวนมากเป็นค่าชดเชยก็ยังถือว่าคุ้ม

อี้เหนียนจื่อไม่ได้แปลกใจกับคำตอบของหวังเป่าเล่อ เพราะรู้ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำให้หลงหนานจื่อส่งตั๊กแตนมาให้ ถึงกระนั้นเขาก็ยังต้องถามออกไป อี้เหนียนจื่อพิจารณาหลงหนานจื่ออยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะหันหน้าหนีและกลับออกจากสนามรบไป

เนื่องจากเขาไม่มีเหตุผลในการเข้าร่วมต่อสู้จึงไม่มีเหตุจำเป็นอะไรให้อยู่ต่อ ความพ่ายแพ้ของกองทหารสระน้ำทองคำย่อมส่งผลต่อกองทหารปลาคุนสีเขียว แต่เขาก็ไม่ใช่ปรมาจารย์และเจ้าของเพียงผู้เดียวของกองทหารปลาคุนสีเขียว ถึงกระนั้น…อี้เหนียนจื่อก็พบกับความล้มเหลวหลายต่อหลายครั้งในการสำเร็จโทษหลงนานจื่อ เขาจะไม่มีวันยอมปล่อยเรื่องนี้ไป ขณะกำลังจะออกไปนั้น ชายวัยกลางคนก็เอ่ยขึ้น

“สมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวท ข้าไม่เคยเห็นเคล็ดวิชาปรสิตมาก่อน หากนำมาใช้อย่างชาญฉลาดก็จะสามารถพลิกสถานการณ์ขนาดใหญ่ได้ กองทหารสระน้ำทองคำพ่ายแพ้อย่างหมดรูปจริงๆ!” พูดจบ อี้เหนียนจื่อก็มุ่งหน้าหายไปในหมู่ดาวโดยไม่หันมามองกองทหารสระน้ำทองคำแม้แต่น้อย

ขณะที่กองทหารสระน้ำทองคำกำลังฝืนรับความขมขื่น หวังเป่าเล่อก็หรี่ตาลง คำพูดทิ้งท้ายของอี้เหนียนจื่อเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท เขาตั้งใจพุ่งเป้าไปที่เคล็ดวิชาปรสิต พยายามจะให้ทางสำนักชิงเคล็ดวิชาปรสิตไปจากตนเหมือนที่เคยชิงโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไป เขาอยากช่วงชิงไพ่ตายของหวังเป่าเล่อมา

หากทางสำนักได้เคล็ดวิชาไป กองทหารปลาคุนสีเขียวก็สามารถจัดหามาไว้ในมือได้อย่างง่ายดาย เมื่อมีเคล็ดวิชานี้ก็สามารถเรียกคือสิ่งที่เสียไปจากความพ่ายแพ้ของกองทหารสระน้ำทองคำกลับมาได้ และหากพวกเขาใช้เคล็ดวิชานี้อย่างชาญฉลาด กองทหารปลาคุนสีเขียวก็อาจสร้างผลประโยชน์เพิ่มเติมได้ด้วย

ความคิดทั้งหมดนี้ผุดขึ้นในหัวหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว เขานึกระแวงอี้เหนียนจื่อมากขึ้น นอกจากอี้เหนียนจื่อจะเก่งกาจด้านการควบคุมอารมณ์แล้ว พลังชั่วร้ายของเขาก็เป็นสิ่งที่ต้องระวัง ชายหนุ่มคิดเรื่องนี้ไว้อยู่แล้วตอนตัดสินใจลงมือ เขาเตรียมพร้อมมาตลอด ทำให้แม้จะยังระแวดระวังอี้เหนียนจื่ออยู่แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด

ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ กองทหารสระน้ำทองคำต้องยอมจำนนกับความพ่ายแพ้ หลังจากชนะการท้ารบอย่างองอาจ หวังเป่าเล่อก็รีบรวบรวมข้อมูลเคล็ดวิชาปรสิตคร่าวๆ และส่งไปให้เทพธิดาหลิงโยว

เขาส่งข้อความผ่านเทพธิดาหลิงโยวไปยังผู้ดูแลกิจการสวี แจ้งว่าจะนำเคล็ดวิชานี้ไปมอบเป็นของขวัญให้ปรมาจารย์

ชายหนุ่มไม่ได้ขออะไรเป็นการแลกเปลี่ยน เพียงแค่มอบให้เป็นของขวัญเท่านั้น!

การให้ของขวัญครั้งนี้มีผลประโยชน์อย่างหนึ่ง นั่นคือได้การยินยอมจากปรมาจารย์ให้สามารถจัดการกับของที่ชิงมาได้จากการทำสงครามตามความเหมาะสม ซึ่งหมายความว่ากองทหารสระน้ำทองคำไม่มีทางเอาสิ่งที่สูญเสียไปแล้วกลับคืนไปได้ นอกจากนี้ พวกเขายังต้องยกทรัพยากรจำนวนมากให้เพื่อเป็นค่าชดเชย อันดับของพวกเขา…ตกลง อันดับสิบเก้าตกเป็นของกองทหารผ่าวิญญาณ!

การท้ารบครั้งนี้เรียกความสนใจได้ไม่น้อย หวังเป่าเล่อและกองทหารผ่าวิญญาณเริ่มมีชื่อเสียงขึ้นมาจากการท้ารบทั้งสองครั้ง การท้ารบครั้งล่าสุดทำให้พวกเขาได้ไปยืนอยู่ในอันดับสิบเก้า ทั่วทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ให้ความสนใจชายหนุ่มมากทีเดียว ศิษย์ส่วนใหญ่ในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็เริ่มให้ความเคารพยำเกรงเขา

กองทหารและผู้ฝึกตนบางส่วนในสำนักเริ่มสงสัยว่ากองทหารผ่าวิญญาณจะเล็งอันดับใดต่อไป ขณะที่พวกเขากำลังนึกสงสัย หวังเป่าเล่อก็ตรวจดูของที่ได้มาและแบ่งทรัพยากรส่วนใหญ่ไปให้ตั๊กแตน หลังจากหลอมกองเรือบินรบขึ้นใหม่ เขาก็ไม่ได้ไปท้ารบกับใคร

ตอนนี้ชายหนุ่มตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างตนเองและกองทัพอื่นๆ ที่มีอันดับสูงกว่า คงจะเป็นการดีกว่านี้ถ้าเขาไม่ได้ส่งมอบเคล็ดวิชาปรสิตไป ถึงข้อมูลที่ให้สำนักไปจะแค่เล็กน้อย แต่ก็หวังพึ่งพาเพียงเคล็ดวิชานี้ไม่ได้ กระบวนการทำงานของเคล็ดวิชาจะเป็นที่ประจักษ์หากใช้ไปเรื่อยๆ ชายหนุ่มพิจารณาอย่างละเอียดและสรุปว่าคงจะไม่ดีเท่าไหร่หากใช้เคล็ดวิชานี้ต่อไป

เขาควรเพิ่มพูนพลังและสร้างรากฐานที่มั่นคงมากกว่า ในการท้าสู้ครั้งต่อไปควรเล็งที่สิบหรือห้าอันดับต้น หรืออาจจะสูงกว่านั้น ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรมหาศาลเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมาย แต่จากสถานการณ์ของหวังเป่าเล่อในปัจจุบัน การจะหาทรัพยากรจำนวนเท่านั้นในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถแต่อย่างใด

เหมือนว่าข้าต้องออกเดินทางอีกแล้ว เดินตามวิถีของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…แล้วมาดูกันว่าจะไปเจออารยธรรมกลายพันธุ์เหมือนรอบก่อนหรือไม่… หวังเป่าเล่อพิจารณาตัวเลือกสักพักก็ตัดสินใจไม่ทำอะไรในทันที ชายหนุ่มใช้เวลาสองสามวันในการตรวจประเมินกองทหารและวางแผนอย่างละเอียดถี่ถ้วน ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้

กองทหารของข้าจะแข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยทรัพยากรที่จำเป็น นอกจากนี้ข้ายังต้องการโอกาสในการพัฒนาขั้นการฝึกตน… ใบหน้าของชายหนุ่มฉายแววเด็ดเดี่ยว หวังเป่าเล่อตัดสินใจออกเดินทางจึงไปตามหาเจ้าลาและเจ้าอู๋น้อยที่ได้สร้างความสนิทสนมกันในช่วงเวลานี้ ทั้งสองเหมือนจะสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกว่าสายสัมพันธ์ซึ่งมีต่อหวังเป่าเล่อเสียอีก หลังจากถูกชายหนุ่มเรียกตัว ทั้งสองก็นั่งเคียงข้างกันบนเรือบินรบเวท จากนั้นพวกเขาก็มุ่งหน้าออกจากกองทหารผ่าวิญญาณบนดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณไป

กองทหารพุ่งทะยานผ่านห้วงอวกาศ ออกจากเขตแดนในอาณัติของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไป ภาพตั๊กแตนและเรือบินรบนับหมื่นของกองทหารผ่าวิญญาณในเขตพื้นที่สาธารณะดูน่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง ผู้ฝึกตนที่ผ่านไปมาต่างตะลึงงัน รีบหลีกทางให้อย่างรีบร้อน กองทหารของสำนักอื่นๆ ต่างก็จับตามองอย่างระแวดระวังเมื่อได้เห็นกองทหารผ่าวิญญาณ

“นั่นหลงจอมคลั่งนี่!”

“ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็นผู้ฝึกตนเพียงคนเดียวของกองทหาร แต่กลับแข็งแกร่งจนขึ้นมาอยู่ในอันดับสิบเก้าของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์แม้จะยังไม่ได้ลงมือจริงจัง ถ้าเขาตัดสินใจลงมือแล้วละก็ อาจจะขึ้นไปอยู่ในสิบอันดับต้นเลยด้วยซ้ำ!”

“ใครไปหาเรื่องเจ้าบ้านี่เข้าต้องจบไม่ดีแน่ เราอย่าไปยุ่งกับเจ้านั่นเลยดีกว่า!”

การเดินทางของหวังเป่าเล่อเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางสายตาระแวดระวังของฝูงชน ค่าหัวที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำตั้งไว้เหมือนจะหมดความน่าสนใจไป กองทหารมังกรหยดหมึกที่เป็นคนตั้งค่าหัวก็ล้มเลิกการตามล่าตัวชายหนุ่มไปแล้วเช่นกัน หวังเป่าเล่อมาถึงดวงเนตรหมื่นปีศาจ ดารานิรันดร์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อย่างปลอดภัย!

สิทธิ์ที่กองทหารผ่าวิญญาณได้รับทำให้เขามีสิทธิ์การเข้าถึงที่จำเป็น ชายหนุ่มยกมือขึ้นโบก ส่งกองทหารมุ่งหน้าตรงไปยังดารานิรันดร์ พริบตาต่อมา…กองทหารผ่าวิญญาณก็หายวับไปจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์โดยสมบูรณ์!

ทั้งหมดปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง…ท่ามกลางหมู่ดวงดาราในห้วงอวกาศ!

……………………….

ผืนดินสั่นไหวเมื่อผู้บัญชาการกองทหารสระน้ำทองคำร้องตะโกน แสงมากมายพุ่งออกมาจากใต้พิภพ แมลงปอขนาดยักษ์ที่อยู่ใต้ดินปรากฏตัวพลางกรีดร้องคำรามลั่น!

แมลงปอยักษ์ขนาดตัวกว้างประมาณหมื่นเมตรแผ่พลังเกินบรรยายที่แข็งแกร่งกว่าเรือบินรบธรรมดา แต่ก็ด้อยกว่าเรือบินรบเวทออกมา พลังของมันเหมือนจะเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะที่กำลังจะบรรลุไปขั้นจุติวิญญาณ การปรากฏตัวของมันเรียกความสนใจจากทุกคนในสนามรบได้ในทันที

นี่คือไพ่ตายของกองทหารสระน้ำทองคำ เป็นอาวุธสุดยอดที่ทางกองทหารหลอมมาตลอดหลายปีด้วยความช่วยเหลือจากกองทหารปลาคุนสีเขียว มันมีพลังประมาณครึ่งหนึ่งของเรือบินรบเวท ความจริงแล้ว กองทหารสระน้ำทองคำนั้นขาดค่วัตถุดิบจำเป็นบางส่วนก็จะพัฒนาแมลงปอตัวนี้ไปเป็นเรือบินรบเวทเต็มขั้นได้ ถึงกระนั้น อสูรตนนี้และผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะจากกองทหารปลาคุนสีเขียวก็เพียงพอที่จะผสานพลังซึ่งเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะคนไหนๆ แล้ว!

อย่างไรเสีย เรือบินรบเวทก็เป็นของล้ำค่า ทั่วทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มีอยู่ไม่ถึงร้อยลำ แม้กระทั่งกองทหารมังกรหยดหมึกก็ยังไม่มีในครอบครอง แมลงปอของกองทหารสระน้ำทองคำจึงเป็นสิ่งแสดงให้เห็นถึงอำนาจและความมั่งคั่งของกองทหาร

การปรากฏตัวของแมลงปอทำให้ทั่วทั้งสนามรบต้องสั่นคลอนไป ปีกของมันกระพือสร้างลมหมุนที่มองไม่เห็นพัดข้ามสนามรบไปถึงตัวหวังเป่าเล่อ ส่งผลให้เรือบินรบรอบๆ สั่นไหว ส่งสัญญาณเหมือนจะระเบิดทำลายตัวเองก่อนเวลา

นั่นแหละ! หวังเป่าเล่อใจเต้นแรง ความปรารถนาอันแรงกล้าพวยพุ่งขึ้นตามจังหวะหัวใจที่เต้นถี่ เขาพยายามข่มความรู้สึกเอาไว้

ชายหนุ่มตระหนักว่ากองทหารปลาคุนสีเขียวได้เข้ามามีส่วนร่วมในศึกครั้งนี้จากกระบี่บินเมื่อครู่ หวังเป่าเล่อจำพลังที่แผ่ออกมาจากกระบี่มายาได้และมั่นใจว่าต้องเป็นอี้เหนียนจื่อแน่!

เป็นเหตุให้…เขาต้องวางแผนขั้นต่อไปอย่างระมัดระวัง ความพยายามทั้งหมดอาจสูญเปล่าหากมีอะไรผิดพลาด!

เขาปล่อยการโจมตีเพียงครั้งเดียว ทั้งยังไม่ได้พยายามหยุดการต่อสู้อย่างสมบูรณ์ หมายความว่าข้าเดาถูก เพราะคำเตือนของปรมาจารย์และมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของข้า กองทหารปลาคุนสีเขียวจึงไม่สามารถโจมตีข้าได้อย่างเต็มกำลังโดยไม่ไตร่ตรองถึงผลลัพธ์จากการกระทำก่อน!

เขามาที่นี่เพื่อส่งสัญญาณและ…รอช่องว่างในการโจมตี!

อย่างไรเสีย นี่ก็เป็นศึกระหว่างกองทหารสระน้ำทองคำกับข้า และเขาก็อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ คงจะดูไม่ดีถ้าเขาเข้าร่วมศึกด้วย น่าจะอธิบายการกระทำของตนเองให้ผู้อื่นฟังได้ยาก… ความคิดเหล่านี้ผุดขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อ ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดกองทหารสระน้ำทองคำจึงเลือกป้องกันในตอนแรก

พวกเขาตั้งใจจะทำเหมือนเป็นผู้ถูกกระทำและให้ข้าสำแดงพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา ซึ่งจะเปิดช่องให้อี้เหนียนจื่อมีเหตุผลในการเข้าร่วมศึก! โชคไม่ดีที่พวกเขาประเมินพลังที่แท้จริงของเรือบินรบข้าต่ำไป… หวังเป่าเล่อหรี่ตาวิเคราะห์สถานการณ์อย่างรวดเร็ว เขามองแมลงปอที่ปล่อยเกราะป้องกันออกมาและคอยรักษาระยะห่างไว้ ชายหนุ่มคำนวณระยะห่างระหว่างตนและอีกฝ่าย จากนั้นก็กัดฟันแน่น ความขุ่นเคืองฉายขึ้นในแววตาขณะที่เขายกมือขวาสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ

เรือบินรบรอบตัวหยุดมุ่งหน้าไปทางดาวเคราะห์สระน้ำทองคำและเริ่มถอยกลับไปทางรอยแยก

ใครๆ ก็คงคิดว่าเป็นการยอมจำนนเมื่อได้เห็นการปรากฏตัวของแมลงปอ โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นสภาพน่าเวทนาของชายหนุ่มหลังจากกองเรือบินรบได้รับความเสียหายและทำลายตัวเองลงไปบางส่วน การตัดสินใจถอยหนีของหวังเป่าเล่อจึงเป็นการกระทำที่สมเหตุสมผล!

เขาไม่ได้เปิดใช้งานโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาแม้แต่น้อย และเหล่าผู้บัญชาการกองทหารสระน้ำทองคำก็มองออกว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น พวกเขารู้ว่ามันเป็นการเคลื่อนไหวที่คิดมาอย่างดีแล้วของหลงหนานจื่อ ชายหนุ่มคิดหาทางไม่ให้กองทหารปลาคุนสีเขียวมีข้ออ้างในการเข้าร่วมศึก!

“เจ้าเล่ห์นัก!”

“คิดจะหนีหรือ”

“เจ้านั่นคิดว่าดาวเคราะห์สระน้ำทองคำเป็นที่ที่คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไปอย่างนั้นหรือ” เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อถอยหนี เหล่าผู้บัญชาการกองทหารสระน้ำทองคำก็กระหน่ำส่งข้อความเสียงหากันและรีบตัดสินใจทันที กองเรือบินรบของกองทหารสระน้ำทองคำและแมลงปอเปิดฉากพุ่งไล่ตามไป!

อี้เหนียนจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ เขาก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ใจหนึ่งก็อยากจะหยุดกองทหารสระน้ำทองคำ แต่ความไม่สบายใจที่ผุดขึ้นมาก็คลายหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะครุ่นคิดอย่างไรก็ไม่ทราบต้นตอที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจ อีกทั้งหวังเป่าเล่อยังถอยหนีไปด้วยความเร็วเต็มพิกัด ถ้าหลุดรอดเงื้อมมือไปได้ละก็…เขาจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายหนีเด็ดขาด

กฎยอมให้มีคนตายในการท้าประลองได้ แต่ถ้าปล่อยให้หวังเป่าเล่อหนีไปได้ พวกเขาก็ต้องหาโอกาสอื่นในการจัดการชายหนุ่ม ราคาที่ต้องจ่ายเพื่อโอกาสครั้งที่สองนั้นคงแพงไม่น้อยทีเดียว

นี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่เอ่ยปากห้ามกองทหารสระน้ำทองคำ แม้จะลังเลใจอยู่ครู่หนึ่ง

การไล่ตามอย่างไม่ลดราวาศอกเปิดฉากขึ้นในห้วงอวกาศรอบดาวเคราะห์สระน้ำทองคำ เสียงระเบิดกัมปนาทดังกึกก้องไปทั่วเมื่อเรือบินรบรอบตัวหวังเป่าเล่อแตกพ่ายไปทีละลำ ใบหน้าของชายหนุมซีดลงกว่าเดิม ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและโกรธเคือง เขาโยนเรือบินรบออกไปด้านหลังเรื่อยๆ และปลดกลไกระเบิดตัวเองเพื่อชะลอพวกที่ไล่ตามมา

ดูเหมือนจะเป็นความพยายามที่ไม่เกิดผล ยุทธวิธีของเขาเริ่มอ่อนกำลังลงเมื่อโดนกองทหารสระน้ำทองคำไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ แมลงปอที่มีพลังกึ่งหนึ่งของเรือบินรบเวทออกตามล่า ลมกรรโชกรุนแรงพัดไปทั่ว เรือบินรบของหวังเป่าเล่อทนได้ประมาณห้าวินาทีก็แหลกเป็นเสี่ยงๆ

“กองทหารสระน้ำทองคำ พวกเจ้าทำเกินกว่าเหตุ ข้าถอยหนีแล้ว พวกเจ้ายังต้องทำถึงเพียงนี้เลยหรือ” ใบหน้าของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก สายตาเลื่อนกวาดมองทั่วสนามรบไปพบซากเรือบินรบนับไม่ถ้วน ในใจแอบยินดีเมื่อได้เห็นเช่นนั้น ชายหนุ่มมองตำแหน่งของแมลงปออยู่ตลอด ที่ผ่านมาเขาใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อให้อสูรตนนั้นไล่ตามมา พร้อมๆ กับแอบควบคุมซากเรือบินรบที่อยู่รอบๆ อีกฝ่าย เศษซากเรือบินรบเคลื่อนที่ไปทางแมลงปอโดยที่ไม่มีใครสังเกตเห็น

หวังเป่าเล่อควบคุมทุกอย่างจนได้ที่ แมลงปอค่อยๆ เคลื่อนไปยังตำแหน่งที่วางไว้ ใบหน้าของชายหนุ่มเปี่ยมไปด้วยความสุขใจเมื่อเห็นอสูรร้ายเคลื่อนตัวไปถึงตำแหน่งเป้าหมาย เขายกมือขึ้นโบก ส่งเรือบินรบร้อยลำสุดท้ายจากกำไลคลังเวทออกมาพร้อมร้องคำราม

“อย่ากดดันข้า!”

เสียงร้องคำรามเป็นเหมือนน้ำหยดลงมหาสมุทร ไม่สามารถพัดกระจายไปทั่วสนามรบได้ เรือบินรบร้อยลำสุดท้ายที่ปล่อยออกมายุบตัวลงขณะที่แมลงปอกระพือปีก

ทันใดนั้น…อี้เหนียนจื่อก็เบิกตากว้าง เขาคอยจับตาดูสถานการณ์อยู่ตลอด ใบหน้าเปลี่ยนไปในทันที!

มีอะไรแปลกๆ เศษ…เศษซากเรือบินรบกำลังเคลื่อนไหว! หลงหนานจื่อเหมือนจะหลบหนี แต่แท้จริงแล้วกำลังล่อแมลงปอไปทางเรือบินรบที่เหลืออยู่ต่างหาก!

“กองทหารสระน้ำทองคำ หยุดไล่ตามเดี๋ยวนี้ นำแมลงปอออกห่างเศษซากเรือบินรบ!” อี้เหนียนจื่อหายใจถี่รัวขณะส่งเสียงตื่นตระหนกดังก้องไปทั่วสนามรบ เพียงก้าวเดียว เขาก็มาปรากฏตัวท่ามกลางหมู่ดวงดาราและมุ่งหน้าตรงไปยังสนามรบ!

แต่เขาก็รู้สึกตนช้าไป!

ขณะที่กองทหารสระน้ำทองคำหยุดชะงักเมื่อได้ยินคำสั่ง หวังเป่าเล่อที่คอยหนีมาตลอดก็หันกลับมาทันใด ดวงตาส่องแสงเจิดจ้า เส้นผมปลิวไปมา เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือ จากนั้นก็เปล่งเสียงร้องคำรามดังลั่น

“ปรสิต โจมตี!”

แสงสีม่วงปะทุขึ้นจากเศษชิ้นส่วนเรือบินรบที่หลงเหลืออยู่ มันคือเศษซากของเรือบินรบร้อยลำสุดท้ายที่แมลงปอทำลายไป ก่อนหน้านี้พวกมันเป็นเพียงซากไร้ชีวิต แต่หลังจากหวังเป่าเล่อร้องคำราม เหล่าเศษซากก็พลันมีชีวิตขึ้นมา ก่อนพุ่งตรงไปทางแมลงปออย่างรวดเร็วราวกับว่ามีสตินึกคิดเป็นของตัวเอง!

เหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับเศษซากเรือบินรบนับไม่ถ้วนของหวังเป่าเล่อที่กระจายไปทั่ว เศษชิ้นส่วนกึ่งหนึ่งเปล่งแสงสีม่วงออกมา ราวกับเป็นอสูรกระหายเลือดมนุษย์ เศษซากทั้งหมดพุ่งไปทาง…แมลงปอ!

ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง เศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนจากเรือบินรบที่พังลงเปล่งแสงสีม่วงและออกเคลื่อนไหวในทันใด ไม่มีใครตอบโต้ได้ทัน แสงสีม่วงเหมือนจะมีพลังบางอย่างแฝงอยู่ เศษชิ้นส่วนเปล่งแสงทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ บนตัวแมลงปอ ก่อนจะหลอมรวมกับอสูรร้ายราวกับเป็นส่วนหนึ่งของมันมาตั้งแต่แรก เหล่าเศษซากรุกล้ำแมลงปอราวกับเป็นปรสิต!

เรือบินรบเวทเป็นสิ่งมีชีวิต เป็นที่มาของแหล่งพลังเกินบรรยาย แมลงปอกรีดร้องน่าเวทนา เหมือนว่ากำลังตื่นกลัวและเจ็บปวด เศษซากที่พุ่งเข้าใส่อสูรร้ายมีมากเกินไป เสียงกรีดร้องเงียบหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อเศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วน…ฝังเข้าไปในตัวแมลงปอและแปรเปลี่ยนมันไปโดยสมบูรณ์!

มันไม่ใช่แมลงปออีกต่อไป แต่ดูเหมือนตั๊กแตนขนาดยักษ์แทน!

ดวงตาสีชาดเปี่ยมไปด้วยความคลั่งหันมองกองทหารสระน้ำทองคำที่นิ่งงันด้วยความตื่นตกใจ อี้เหนียนจื่อที่เพิ่งมาถึงสนามรบก็มีอาการไม่ต่างกัน อสูรร้องคำรามลั่น!

เสียงร้องดังก้องไปทั่วห้วงอวกาศ ส่งคลื่นรุนแรงถาโถมใส่สนามรบ พลังที่เอ่อล้นออกมาดูแข็งแกร่งกว่าก่อน หากมันระเบิดทำลายตัวเองลงตรงนี้ แรงระเบิดคงจะมีพลังสูสีกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเลยทีเดียว!

กองทหารสระน้ำทองคำสั่นกลัวเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังดังกล่าว อี้เหนียนจื่อมีสีหน้าเคร่งเครียด หวังเป่าเล่อก้าวไปหยุดยืนบนหัวตั๊กแตน จากนั้นก็มองอี้เหนียนจื่อด้วยรอยยิ้ม

“ศิษย์พี่อี้เหนียนจื่อ เจอกันอีกแล้วนะ” หวังเป่าเล่อยกมือขวาสร้างผนึกฝ่ามืออย่างรวดเร็วขณะพูด ครึ่งหนึ่งของเรือบินรบกองทหารสระน้ำทองคำที่อยู่รอบตัวหันลำไปตั้งการโจมตีใส่อี้เหนียนจื่อและกองทหารสระน้ำทองคำที่เหลืออยู่แทน!

มีเศษชิ้นส่วนเรืองแสงสีม่วงปักอยู่บนเรือบินรบเหล่านี้ด้วยเช่นกัน!

……………………….

บทที่ 794 ขู่!
หวังเป่าเล่อนึกภาพออกว่ากองทหารสระทองคำย่อมไปขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น แม้จะไม่รู้รายละเอียดอะไรมาก แต่ในใจก็รู้ชัดเจนว่าการต่อสู้นี้…ถ้ามีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะมาร่วมด้วยก็ไม่มีทางเลยที่เขาจะชนะศึกครั้งนี้ได้

แสดงว่ากุญแจสำคัญคือ…ทำให้อีกฝ่ายไม่มีเหตุผลที่จะมาเข้าร่วม! หวังเป่าเล่อวิเคราะห์คำนวณสถานการณ์ในหัว ขณะยืนรอให้การต่อสู้เปิดฉากขึ้นอยู่บนดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณ ทันทีที่ดวงตาของเขาฉายแววเย็นเยียบ จักรวาลเบื้องหน้าก็พลันบิดหมุด คลื่นรบกวนพัดกระจายไปทั่ว รอยแยกขนาดใหญ่ปรากฏให้เห็นในทันที!

ตอนแรกรอยแยกดูคล้ายรอยแผล แต่ครู่ถัดมาก็ขยายใหญ่เป็นวงกลม ดูแล้วเหมือนปากขนาดมหึมาที่พร้อมกลืนกินทุกสิ่ง อีกทั้งยังดูละม้ายคล้ายหลุมดำ วังวนก่อตัวขึ้นด้านใน มันหมุนวนไม่หยุด ทำให้จักรวาลโดยรอบหดตัวลงเล็กน้อยและบิดหมุนห้วงเวลาในพื้นที่นั้น

ภาพเบื้องหน้าทำให้หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงและเข้าใจความแข็งแกร่งของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ลึกซึ้งขึ้น อย่างน้อยที่สุด สหพันธรัฐในปัจจุบันก็ยังไม่สามารถสร้างประตูที่เคลื่อนย้ายคนไปยังอีกที่หนึ่งและเปิดใช้งานตอนไหนก็ได้เหมือนประตูเคลื่อนย้ายที่เห็นอยู่ตรงหน้าในตอนนี้

เทียบกับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว สหพันธรัฐยังถือว่าห่างไกลอยู่มากในเรื่องของความแข็งแกร่ง… หวังเป่าเล่อหรี่ตา ทันใดนั้น เขาก็นึกถึงสิ่งที่ศิษย์พี่เฉินชิงเคยบอกไว้ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับทางลัดที่จะช่วยพัฒนาอารยธรรมการฝึกตน!

เสริมพลังดารานิรันดร์ของอารยธรรมให้แข็งแกร่งขึ้นด้วยการกลืนกินดารานิรันดร์ของอารยธรรมอื่น…ซึ่งจะทำให้สภาพแวดล้อมของอารยธรรมเกิดการเปลี่ยนแปลงและเพิ่มพูนคุณภาพพื้นฐานของอารยธรรมนั้น

หวังเป่าเล่อเงียบไปพักหนึ่งเมื่อนึกถึงบทสนทนาก่อนหน้านี้ เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมเปลวเพลิงที่ลุกโชนในดวงตา หลังจากค่อยๆ เก็บซ่อนไฟในตาเสร็จ ชายหนุ่มก็ยกมือขวาโบกไปด้านหน้า ทันใดนั้น ดวงตาของหุ่นเชิดมากมายในเรือบินรบนับพันลำก็ส่องแสง พวกมันบังคับเรือบินรบตามดวงจิตของหวังเป่าเล่อ ส่งผลให้เรือบินทุกลำเริ่มสั่นไหว และต่างมุ่งตรงไปยังวังวนเหมือนลูกธนูที่พุ่งออกจากคันศรอย่างไรอย่างนั้น!

ขณะที่เรือบินรบทะยานเข้าไปในวังวนทีละลำ หวังเป่าเล่อก็พลิกตัวและก้าวเข้าไปในวังวนเช่นกัน วิสัยทัศน์ของเขาพลันพร่ามัวก่อนจะแจ่มชัดขึ้นใหม่อีกครั้ง ชายหนุ่มออกจากดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณมาปรากฏที่…ดาวเคราะห์ของกองทหารสระน้ำทองคำ!

ฐานทัพของกองทหารสระน้ำทองคำเป็นดาวเคราะห์ขนาดเล็กเหมือนของกองทหารผ่าวิญญาณ แต่แตกต่างตรงขนาดและความหนาแน่นของปราณวิญญาณ ปราญวิญญาณของที่นี่นั้นหนาแน่นกว่าที่ดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณ!

จะเห็นได้ว่าดาวเคราะห์ดวงนี้มีขนาดใหญ่กว่าดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณสิบเท่าและปกคลุมไปด้วยต้นไม้สีเขียว พลังชีวิตที่พวยพุ่งออกมานั้นเข้มข้นมาก ชัดเจนว่าแหล่งกำเนิดดวงดาราของดาวเคราะห์ดวงนี้เหนือชั้นกว่าของดั้งเดิมที่มี

เห็นได้ชัดว่า…กองทหารสระน้ำทองคำทุ่มกำลังทรัพย์และกำลังกายไปกับการดัดแปลงดาวเคราะห์ ทำให้แม้จะไม่ได้เป็นดาวเคราะห์ใหญ่ระดับต้นๆ ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ก็ยังถือเป็นดาวเคราะห์หายาก!

โดยเฉพาะพลังขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ของเหล่าผู้บัญชาการกองทหารสระน้ำทองคำที่ปะทุออกมาจากดาวเคราะห์สระน้ำทองคำตอนที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัว นอกจากนี้ยังมีวงแหวนปราณขนาดกลางที่เปิดใช้งานขึ้นทันทีเพื่อรวมพลังเข้าด้วยกันระดับหนึ่ง ขณะเดียวกัน เรือบินรบอย่างน้อยหนึ่งหมื่นลำจากกองทหารสระน้ำทองคำก็กำลังทะยานขึ้นฟ้า มีวัตถุเวทขนาดใหญ่นับไม่ถ้วนลอยหมุนไปมาและเล็งเป้ามายังหวังเป่าเล่อที่ปรากฏตัวขึ้นในห้วงอวกาศ!

พวกเขางัดทุกอย่างออกมาใช้ด้วยจิตสังหารอันกล้าแกร่ง!

นอกจากนี้ยังมีชั้นป้องกันสีเขียวที่ปรากฏขึ้นทั่วทุกทิศทางในทันที นอกจากชั้นป้องกันจะเข้าครอบดาวเคราะห์ไว้แล้ว มันยังทำให้จักรวาลรอบๆ ดูบิดเบี้ยวไปด้วย

กองทหารสระน้ำทองคำ! หวังเป่าเล่อเพ่งมองดาวเคราะห์สระน้ำทองคำเมื่อก้าวออกมาจากรอยแยก ดวงตาของเขาฉายแสงวาบขึ้น ถึงหวังเป่าเล่อจะจับสัมผัสพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะหรือขั้นแสร้งอมตะจากพลังรัศมีของดาวเคราะห์สระน้ำวิญญาณได้ แต่เขาก็ไม่มีทางโดนหลอกด้วยการอำพรางตัวเช่นนี้ ชายหนุ่มยกมือขวาชี้ตรงไปตามแผนที่วางไว้

ข้าจะขู่พวกเขาก่อน!

ทันใดนั้น เรือบินรบที่รายล้อมรอบตัวชายหนุ่มจำนวนหนึ่งก็เปลี่ยนเป็นสีแดงและพุ่งทะยานออกไปราวกับว่ากำลังลุกไหม้ เหล่าเรือบินรบมุ่งหน้าตรงไปทางชั้นป้องกันของดาวเคราะห์สระน้ำทองคำ

ขณะที่กำลังทะยานตรงไป เรือบินรบก็แผ่พลังน่าตื่นตะลึงออกมา หากมองดูให้ละเอียด จะพบว่าในหมู่เรือบินรบ มีอยู่หลายลำที่เหมือนจะไม่สามารถระเบิดทำลายตัวเองได้ รอยปริแตกเริ่มผุดขึ้นบนลำเรือบิน เหมือนว่าจะพังทลายไป

ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ครู่ถัดมา…เรือบินรบเหล่านั้นก็พุ่งไปชนชั้นป้องกันของกองทหารสระน้ำทองคำ ส่งแรงปะทะพัดกระจายไปทั่วบริเวณ เสียงสะเทือนสนั่นฟ้าดินระเบิดก้องตามมาเมื่อชั้นป้องกันพังทลาย บนยอดมีแสงสีจากคาถาพุ่งกระจาย เมื่อมองจากที่ไกลๆ จะดูเหมือนว่าชั้นป้องกันนอกสุดถูกดึงออกจากแนวป้องกันไปแล้ว!

ด้านกองเรือบินรบที่พุ่งไปชนนั้น ส่วนใหญ่ทลายลงเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย บางส่วนกลายเป็นเถ้าธุลีในทันที มีบ้างที่ยังคงรูปไว้ได้ แต่ก็ได้รับเสียหายหนักจนกลายเป็นขยะที่กระจายตัวออกไปรอบๆ

มาตรฐานการป้องกันดูธรรมดา แต่ข้าก็ต้องทำให้เรือบินรบของกองทหารสระน้ำทองคำบินออกมาก่อนถึงจะสมบูรณ์แบบตามแผน… หวังเป่าเล่อหรี่ตา ยกมือขวาขึ้นโบก ทันใดนั้นเรือบินรบหลายพันลำที่รายล้อมรอบตัวก็พุ่งไปจัดขบวนเป็นรูปหอกขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้า ก่อนจะปลดปล่อยความเร็วเต็มพิกัด พาชายหนุ่มที่อยู่ด้านในมุ่งตรงไปยังดาวเคราะห์สระน้ำทองคำ

ดูจากพลังรัศมีของหอกยักษ์แล้ว มันคงตั้งใจเจาะทะลวงชั้นป้องกันลงไปแน่ๆ!

การกระทำสุดบ้าระห่ำนี้ทำให้ผู้ฝึกตนกองทหารสระน้ำทองคำสั่นกลัว ถึงศึกกับกองทหารมังกรหยดหมึกจะทำให้เรือบินรบทำลายตัวเองของหวังเป่าเล่อเป็นที่โจษจันไปทั่ว แต่หลายคนก็คิดว่าสิ่งที่ต้องระวังจริงๆ ในกองทหารผ่าวิญญาณก็คือหลงหนานจื่อต่างหาก ส่วนเรือบินรบนั้น..ถ้าไม่ได้ระเบิดพร้อมกันเป็นจำนวนมาก พลังทำลายล้างก็ไม่ได้สูงขนาดนั้น

แต่ดูจากสถานการณ์ปัจจุบัน เห็นได้ชัดว่าเรือบินรบของกองทหารผ่าวิญญาณได้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น

หากมีเพียงเท่านี้ก็คงไม่เป็นไร แต่หวังเป่าเล่อเป็นคนบ้าระห่ำ การพุ่งมาปะทะตรงๆ ทำให้ทุกคนขนหัวลุกและรู้สึกราวกับว่าชายหนุ่มต้องการจบชีวิตไปพร้อมกองทหารสระน้ำทองคำ

เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้บัญชาการหลายคนในกองทหารสระน้ำทองคำตัวสั่นเทาและล้มเลิกความคิดที่จะตั้งรับ พวกเขาสั่งการให้ตอบโต้กลับ วัตถุเวทขนาดใหญ่นับไม่ถ้วนที่ลอยวนอยู่ยิงลำแสงพลังทำลายล้างอย่างต่อเนื่อง ลำแสงนับพันถูกยิงออกไปพร้อมกัน มันทะลุผ่านชั้นป้องกันของดาวเคราะห์สระน้ำทองคำ พุ่งตรงไปทางกองเรือบินรบของหวังเป่าเล่อ

กระสุนลำแสงเจิดจ้าเปลี่ยนจักรวาลมืดดำให้สว่างไสวในทันใด เสียงสั่นสะท้านฟ้าดินดังก้องไปทั่วจักรวาลเมื่อลำแสงปะทะเข้ากับเรือบินรบของหวังเป่าเล่อ เรือบินรบจำนวนมากพังทลายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจายไปรอบๆ แต่ชายหนุ่มยังมีเรือบินรบอีกมาก เพียงแค่โบกมือเรือบินรบก็เพิ่มจำนวนขึ้น พลังที่ปล่อยออกมายังน่าตื่นตะลึงไม่แปรเปลี่ยน!

“บ้าชะมัด เจ้าหลงหนานจื่อมันบ้าอย่างที่ว่า ถึงเรือบินรบจะธรรมดาสามัญ แต่นั่นก็เงินทั้งนั้น!”

“เขาไม่ได้ใช้เรือบินรบปะทะกับเรา เขากำลังใช้เงินข่มเราต่างหาก!”

ขณะที่ผู้บัญชาการหลายคนกำลังขุ่นเคือง การตอบโต้ก็เริ่มเข้มข้นขึ้น นอกจากพวกเขาจะยิงลำแสงมากมายออกไปเพิ่มแล้ว เรือบินรบกองทหารสระน้ำทองคำที่ลอยอยู่กลางอากาศก็ทำงานด้วยเช่นกัน เหล่าเรือบินรบบินออกไปด้านนอกชั้นป้องกันและเริ่มตอบโต้อย่างหนักหน่วง!

เรือบินรบของกองทหารสระน้ำทองคำดำเนินการตอบโต้ได้อย่างเฉียบคม แม้เรือบินรบของหวังเป่าเล่อจะมีพลังสะท้อนกลับระดับหนึ่งและมีจำนวนมากกว่า แต่ก็เริ่มทานทนการโจมตีไม่ได้ นอกจากจำนวนเรือบินรบจะพังทลายลงไปมาก การเติมทัพก็กลับไม่ได้มาตรฐานดังเดิม อีกทั้งยังเผยให้เห็นบางส่วนของชายหนุ่มที่ซ่อนอยู่ภายในกองเรือบินรบด้วย หัวใจของเขาเต้นระส่ำ ดวงตาฉายแสงวาบขึ้นจางๆ ตัดสินใจที่จะรอคอยต่อไป!

อี้เหนียนจื่อที่เฝ้าดูเหตุการณ์อยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาหันไปมองหวังเป่าเล่อและรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ไม่ว่าจะสังเกตอย่างไรก็ดูไม่ออกว่าสิ่งนั้นคืออะไร เขาหรี่ตาและโบกมือขวาเบาๆ

ทันใดนั้น ท่ามกลางลำแสงมากมายที่กำลังพุ่งแหวกจักรวาล กระบี่บินก็ก่อตัวขึ้นและพุ่งผ่านลำแสงตรงไปยังหวังเป่าเล่อ!

กระบี่บินมายารวดเร็วเกินบรรยาย ตอนแรกยังอยู่กลางอากาศ แต่พริบตาต่อมาก็พุ่งมาอยู่หน้ากองเรือบินรบที่หวังเป่าเล่อซ่อนตัวอยู่ กระบี่บินพุ่งผ่านเรือบินรบมากมาย หมายจะทะลวงเข้าไปตรงระหว่างคิ้วของชายหนุ่มขณะที่เรือบินรบกำลังพังทลายลง!

หวังเป่าเล่อหรี่ตา สัมผัสได้ถึงพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะจากกระบี่บิน เขาปิดโล่สวรรค์พิพากษาและยกมือทั้งสองข้างขึ้นสร้างผนึกฝ่ามืออย่างรีบร้อน ทันใดนั้น เรือบินรบที่อยู่รอบๆ ก็ระเบิดทำลายตัวเองทีละลำและหยุดยั้งกระบี่บินเอาไว้!

แรงสั่นสะเทือนกระจายไปทั่วบริเวณ หลังจากระเบิดเรือบินรบไปเกือบร้อยลำ ภาพมายาของกระบี่บินก็สลายหายไป ขบวนเรือบินรบของหวังเป่าเล่อเสียหายรุนแรง เขาต้องเผชิญหน้ากับการสูญเสียครั้งใหญ่

ถึงกระนั้น ด้วยการควบคุมของชายหนุ่ม พลังปะทะของเรือบินรบก็ยังรุนแรงไม่แปรเปลี่ยน กองทหารสระน้ำทองคำเริ่มเป็นกังวลเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อพุ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ราวกับตั้งใจสละชีพตนให้ตายไปพร้อมกองทหารสระน้ำทองคำ

“เปิดใช้งานเรือบินรบเวทครึ่งสมบูรณ์!”

…………………….

บทที่ 793 เหตุผล!
เรือบินรบ 3,700 ลำ!

ผู้ฝึกตนใต้บังคับบัญชาอีก 5,600 คน และวงแหวนปราณขั้นเชื่อมวิญญาณอีก 13 ชุด!

แถมยังมีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์อีกสาม และขั้นแสร้งอมตะอีกหนึ่ง!

นี่ยังไม่รวมทรัพยากรจำนวนมากในห้องเก็บของของสำนัก นอกจากนี้ยังมีทรัพย์สินต่างๆ อีกมากมายบนดาวเคราะห์ประจำสำนักเมฆาปฐพี ซึ่งเป็นสำนักขนาดเล็กที่ถือได้ว่าค่อนข้างอยู่ในระดับสูง…

เมื่อการต่อสู้ปิดฉากลง หวังเป่าเล่อก็เริ่มตรวจดูจำนวนทรัพย์สินที่เขาได้มาจากการชนะประลอง กระทั่งตัวเขาเองยังตกใจกับปริมาณสิ่งของทั้งหมดที่ตนเองหามาได้ ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ตนเองเปิดฉากโจมตีโดยไม่ออมแรง เขาคิดว่าหากตนเองแสร้งทำเป็นอ่อนแอ จนทำให้ชนะมาได้ในสภาพตายไม่ตายแหล่กว่านี้ กองทหารปลาคุนสีเขียวอาจส่งสำนักเล็กมาเข้าปากเขาอีกก็เป็นได้

แต่ด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น… หวังเป่าเล่อก็มั่นใจว่ากองทหารปลาคุนสีเขียวจะหยุดโจมตีเขาก่อนเป็นการชั่วคราว คำพูดของปรมาจารย์ก็บอกชัดเจนว่าเขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ นอกจากนี้หากกองทหารปลาคุนสีเขียวยังคงพยายามยึดสิทธิ์ในการสร้างกองทหารของหวังเป่าเล่อต่อไป ก็คงไม่เป็นการดีต่อตัวพวกเขาเองแน่นอน

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย การพ่ายแพ้ครั้งนี้อาจดูเหมือนเป็นการประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไป แต่เมื่อลองคิดดูดีๆ แล้วกลับหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ พวกเขาลงทุนมอบสมบัติเวทที่มีอำนาจในการผนึกทลายวิญญาณให้ ทั้งยังส่งผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์แบบมาถึงสามคน รวมถึงวงแหวนปราณขั้นเชื่อมวิญญาณอีกเกินสิบ เพื่อทำให้สำนักเมฆาปฐพีที่ถือว่าแข็งแกร่งอยู่แล้วทรงพลังมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม

นอกจากนี้กองทหารปลาคุนสีเขียวยังส่งผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะมาเผื่ออีกสองคน แผนการแรกเริ่มของพวกเขาคือการให้คนทั้งสองหยุดยั้งเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ทั้งยังพยายามกีดกันไม่ให้กองทหารวิหคน้ำแข็งส่งกำลังเสริมมาช่วยอีกด้วย

เรียกได้ว่าการเตรียมการทั้งหมดนี้ อาจทำให้แม้แต่กองทหารชั้น 12 ขึ้นไปในสำนักหลักยังต่อกรกับพวกเขาได้ยาก อย่าว่าแต่กองทหารที่เพิ่งตั้งใหม่เลย แม้ความแข็งแกร่งโดยรวมจะสำคัญ แต่พลังในการต่อสู้เองก็สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

แต่ท้ายที่สุดแล้ว…กองทหารปลาคุนสีเขียวกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ข่าวการประลองนี้แพร่สะพัดไปทั่วสำนัก ชื่อของหลงหนานจื่อกลับมาเป็นจุดสนใจของผู้คนภายในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อีกครั้ง

เรื่องราวนี้ยังทำให้ทุกคนเข้าใจว่า หากต้องการต่อกรกับกองทหารผ่าวิญญาณ จะต้องหาทางสยบอำนาจของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาให้ได้เท่านั้น มิเช่นนั้นก็ต้องดึงผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเข้ามาเกี่ยวด้วย!

ความยากลำบากนี้ทำให้กองทหารปลาคุนสีเขียวต้องหยุดโจมตีชั่วคราว

แม้ความพ่ายแพ้นี้จะไม่ได้สร้างความเสียหายให้พวกเขามากนัก แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขาใส่ใจ… คือผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะที่ถูกหวังเป่าเล่อจับเป็นเอาไว้

ตามกฎของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ผู้ที่ถูกสำนักส่งไปช่วยการประลองไม่ถือว่าเป็นเชลยสงคราม หากต้องการ สำนักก็สามารถนำตัวเขากลับมาได้

ดังนั้นกองทหารปลาคุนสีเขียวจึงมอบข้อเสนอที่คิดว่าหวังเป่าเล่อจะสนใจ ชายหนุ่มพิจารณาดูและตกลงส่งตัวผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะกลับคืนไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย นอกจากนี้เขายังติดต่อสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ และให้คนพวกนั้นประกาศข่าวแทนว่าเขาต้องการขายสำนักเมฆาปฐพีทิ้ง

สำหรับสำนักเล็กอื่นๆ นี่ถือเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจมาก แม้แต่สำนักใหญ่หลายสำนักเองยังอดไตร่ตรองดูไม่ได้ เทพธิดาหลิวโยวเองก็ช่วยประกาศเรื่องนี้ออกไปด้วยเช่นกัน สุดท้ายแล้วหวังเป่าเล่อก็ขายสำนักเมฆาปฐพีทิ้งไปในราคาที่เทียบได้กับทรัพยากรที่แทบจะไม่มีวันหมด!

ทรัพยากรทั้งหมดที่ชายหนุ่มได้มานี้มากพอที่จะทำให้สำนักเล็กอื่นๆ รู้สึกอิจฉาตาร้อน ต่อให้เป็นกองทหารในสำนักใหญ่เองก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองเหลียวหลัง เว้นไว้เสียก็แต่พวกที่อยู่อันดับบนๆ เท่านั้น

หวังเป่าเล่อใช้ทรัพยากรที่หามาได้ทั้งหมดสร้างกองทหารที่แข็งแกร่งของตนเองขึ้นอย่างรวดเร็ว แผนการแปลงโฉมดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณจากหน้ามือเป็นหลังมือของเขาสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี

ชายหนุ่มซื้อวงแหวนปราณสองสามชิ้นมาไว้ใช้งาน หลังจากที่ติดตั้งลงบนดาวเรียบร้อย ก็ทำให้การบุกรุกเข้ามาเป็นเรื่องยากขึ้นไปอีก

นอกจากนี้เขายังซื้ออาวุธเวทจำนวนมากและนำมาเรียงไว้บนผิวดาวด้วย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหลังจากที่ได้ทรัพยากรมาครบครันแล้ว หวังเป่าเล่อก็สามารถสร้างหุ่นเชิดก่อสร้างและเพิ่มจำนวนเรือบินรบที่ตนเองมีให้มากขึ้นได้สำเร็จ

นอกจากนี้… กระเป๋าที่หนักอึ้งยังทำให้หวังเป่าเล่อสามารถใช้กระบวนการรื้อสร้างที่ได้รับมาจากเจ้าอู๋น้อย ในการสร้างเรือบินรบให้แข็งแกร่งขึ้นอีกระดับหนึ่ง นี่จะเป็นไพ่ตายใหม่ในการใช้เรือบินรบของเขาในอนาคต

เวลาเดินหน้าผ่านไปเรื่อยๆ ในลักษณะนี้ หวังเป่าเล่อใช้ทรัพยากรที่ตนได้มาจากการชนะการประลองหมดไปเรียบร้อย สองเดือนต่อมาไม่ได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มากนัก สามสำนักใหญ่ยังคงต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอำนาจ ส่วนราชวงศ์ก็ออกมาขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้คนไม่ลืมว่ายังมีตนอยู่

ส่วนการต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งระหว่างสำนักเล็กก็ยังเดินหน้าต่อไปตามปกติ การออกสำรวจพื้นที่เพื่อยึดทรัพยากรยังเป็นเรื่องที่ทำกันโดยทั่วไป ความแตกต่างเดียวก็คือ… คณะสืบสวนบนดาวเอกที่รับหน้าที่ตามหาตัวการที่ขโมยทรัพยากรของสำนักหลักไป ต้องเลิกปิดตายพื้นที่หลังจากจับมือใครดมไม่ได้ อีกทั้งราชวงศ์เองยังออกมาประท้วงให้เปิดพื้นที่หลายต่อหลายครั้ง

เมื่อหวังเป่าเล่อทราบข่าวนี้จากสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ เขาก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก จิตใจของชายหนุ่มยังคงจดจ่ออยู่กับการใช้กระบวนการรื้อสร้างในการเพิ่มพลังให้เรือบินรบลำต่อลำ เมื่อเรือบินรบของเขาทุกลำได้รับการปรับปรุงเรียบร้อยโดยการรื้อสร้างแก่นในออกใหม่ทั้งหมด ทรัพยากรจำนวนมหาศาลที่เขาหามาได้ก็หมดลงพอดี

แพงเป็นบ้า…

ชายหนุ่มถอนหายใจขณะมองลงมาที่ดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณซึ่งบัดนี้เปลี่ยนรูปโฉมไปจนแทบจำไม่ได้ เขารู้สึกเสียใจที่ก่อนหน้านี้ตนเองดื้อแพ่งเกินไป เขาไม่ควรโจมตีซึ่งๆ หน้าเช่นนั้น แต่ควรค่อยๆ ล่อให้อีกฝ่ายติดกับ

จะให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้… ข้าจะสร้างกองทหารของตนเองได้อย่างไรหากสำนักเล็กไม่มาท้าประลอง ชายหนุ่มมุ่นคิ้วหลังจากคิดอยู่พักใหญ่ สุดท้ายแล้วเขาก็หาวิธีการยั่วยุให้กองทหารจากสำนักเล็กมาท้าประลองไม่ได้ จึงต้องกัดฟันเลือกทางที่ยากกว่าในที่สุด

ถ้าเช่นนั้นก็ได้ ในเมื่อไม่มีสำนักเล็กอยากประลองกับข้า ข้าจะไปท้าสำนักใหญ่ประลองเอง ถึงข้าจะได้ทรัพยากรมาน้อยกว่า แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย! เมื่อคิดมาถึงตรงนี้หวังเป่าเล่อก็ตรวจดูสภาพกองทหารของตนเองอีกครั้ง และเริ่มดูรายชื่อกองทหารที่อยู่เหนือเขาขึ้นไป

การท้าประลองนั้นต้องจ่ายค่าธรรมเนียมจำนวนมาก หวังเป่าเล่อจึงต้องประมาณการว่าตนเองจะได้รับทรัพยากรกลับมาเท่าไรหากชนะ นอกจากนี้เขายังปรึกษาเทพธิดาหลิวโยวอีกด้วย และในที่สุดได้เป้าหมายถัดไป!

กองทหารอันดับ 19! ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายสว่างวาบ กองทหารอันดับ 19 มีนามว่ากองทหารสระน้ำทองคำ แม้ผู้บัญชาการจะมีพลังปราณอยู่ที่ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ แต่ทั้งกองก็มีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอยู่อีกถึง 17 คนด้วยกัน!

ความแข็งแกร่งของกองทหารสระน้ำทองคำนั้นอยู่ที่เรือบินรบของพวกเขา เรือบินรบนั้นทั้งยอดเยี่ยมในด้านการรุกและการรับ แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ… กองทหารอันดับ 19 นี้ถือเป็นกองทหารย่อยของกองทหารปลาคุนสีเขียว และมีความสัมพันธ์ต่อกันในฐานะพันธมิตรในหลายแง่

ทันทีที่หวังเป่าเล่อท้าพวกเขาประลอง ชายหนุ่มมั่นใจว่าอี้เหนียนจื่อจะต้องลงมายุ่งกับการแข่งขันอย่างแน่นอน เนื่องด้วยไม่มีใครเอาชนะโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของเขาได้

แม้ตัวหวังเป่าเล่อเองจะอยากทดสอบโล่ ว่าสามารถสะท้อนพลังการโจมตีขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ครึ่งหนึ่งอย่างที่เคยคำนวณไว้จริงหรือไม่ แต่ก็คงจะเป็นการดีกว่าหากเขายังไม่เปิดเผยความสามารถนี้ในตอนนี้

นอกเสียจากว่า… ข้าจะไม่ใช้โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเลย หรือถ้าจะให้ดีไปกว่านั้นข้าก็ไม่ต้องไปที่สนามรบมันเสียเลย ส่งไปแค่เรือบินรบก็พอ เพียงเท่านี้กองทหารปลาคุนสีเขียวก็ไม่มีเหตุผลให้เข้ามายุ่มย่ามแล้ว! หวังเป่าเล่อหรี่ตาและตัดสินใจได้หลังจากคิดอยู่นาน เขารู้ดีว่าจุดประสงค์หลักของการท้าประลองนี้ควรอยู่ที่การใช้ประโยชน์จากกระบวนการรื้อสร้างเท่านั้น

กระบวนการนี้ต้องทำให้ข้าเป็นจุดสนใจอย่างแน่นอน แต่เรื่องนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อย่างมากข้าก็แค่ปล่อยเคล็ดเล็กน้อยออกไปเท่านั้น ตราบใดที่ข้ายังเป็นผู้เดียวที่รู้หัวใจหลักของกระบวนการนี้ ก็คงไม่มีผลกระทบอันใด แถมข้ายังสามารถแลกวิชานี้กับทรัพยากรได้ด้วย…

มาลองดูกันดีกว่าว่าเรือบินรบของข้าจะต่อกรกับผู้ฝึกตนจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้หรือไม่! ชายหนุ่มเลิกลังเลและตัดสินใจสมัครท้าประลองในทันที!

ด้วยความที่ทั้งสองฝ่ายเป็นกองทหารประจำสำนักใหญ่ การสมัครท้าประลองจะได้รับการอนุมัติทันทีตราบใดที่ทั้งสองผ่านเกณฑ์คุณสมบัติเบื้องต้น แน่นอนว่าคุณสมบัติของหวังเป่าเล่อไม่มีสิ่งใดติดขัด เขาจึงได้รับการอนุมัติทันทีหลังจากที่ผ่านไปหนึ่งวัน!

“กองทหารผ่าวิญญาณขอท้ากองทหารสระน้ำทองคำประลอง การประลองจะเริ่มต้นขึ้นในหกชั่วโมงต่อจากนี้!”

หลังจากที่ได้รับประกาศ หวังเป่าเล่อก็ผุดขึ้นยืนและรีบพุ่งออกไปข้างนอก พลางโบกมือไปด้วย เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังนำขึ้นจากพื้นดิน ตามมาด้วยเรือบินรบสีดำหลายลำที่ลอยจากใต้ดิน เรือบินรบเหล่านั้นมีจำนวนราวหมื่นลำได้ จนทำให้เกิดภาพกองทัพขนาดใหญ่ที่กำลังเดินทัพไปในห้วงอวกาศ

หวังเป่าเล่อกำลังวิเคราะห์กลยุทธ์การรบอยู่ในใจ และเฝ้ารอให้การประลองเปิดฉากขึ้นเงียบๆ ชายหนุ่มได้สอบถามเทพธิดาหลิงโยวเรียบร้อย ว่าหากเขาเป็นผู้ขอท้าชิง รอยแยกจะปรากฏขึ้น…เพื่อให้กองทัพของเขาเดินทางไปยังดาวของผู้ถูกท้าชิงทันทีที่การแข่งขันเริ่มต้นขึ้น!

สิ่งเดียวที่เขาต้องทำในตอนนี้ คือการรอ!

ในขณะเดียวกันกองทหารอันดับ 19 ก็ได้รับประกาศท้าชิงเช่นกัน พวกเขาไม่ได้ประมาทกองทหารผ่าวิญญาณแม้แต่น้อย และรีบส่งข่าวหากองทหารปลาคุนสีเขียวทันทีเพื่อขอคำแนะนำ กองทหารปลาคุนสีเขียวได้มอบหน้าที่ให้อี้เหนียนจื่อเป็นผู้ดูแลการประลองในครั้งนี้!

“ข้าต้องการเหตุในการเข้าแทรกแซง หน้าที่ของพวกเจ้าในตอนนี้คือ…หาเหตุผลให้ข้ายื่นมือเข้าไปช่วยให้ได้!” อี้เหนียนจื่อที่มาเยือนฐานที่มั่นของกองทหารสระน้ำทองคำพูดด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์

……………………….

บทที่ 792 กองทหารผ่าวิญญาณชนะ!
“ผนึกพลังทลายวิญญาณของข้ารึ” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้จะพอเดาได้แต่แรก แต่ก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่บ้างเมื่อเกิดขึ้นจริง

แต่เรื่องนี้ก็พอเข้าใจได้ เพราะว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการุ่นแรกนั้นไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป และด้วยอำนาจของกองทหารปลาคุนสีเขียว ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรที่จะได้โล่มาครอบครองและหาทางหยุดพลังของมันได้ในระยะเวลาอันสั้น

ทว่า…พวกเขาทำได้เพียงผนึกพลังทลายวิญญาณที่สร้างจากวิธีซ้อนอักขระเท่านั้น หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะอยู่ในใจ โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการุ่นใหม่ของเขาใช้วิธีการรื้อสร้างที่เจ้าอู๋น้อยมอบให้ ซึ่งแปลว่าตัวเขาไม่ได้รับผลกระทบจากผนึกนี้ และมันจะเป็นไพ่ตายของเขา!

แม้ในตอนนี้สีหน้าของหวังเป่าเล่อจะดูอารมณ์เสีย แต่ในใจกลับปลอดโปร่งถึงขีดสุด เขาเงยหน้าขึ้นมองเรือบินรบสีเขียวที่เหาะตามกันออกมาจากรอยแยกในห้วงอวกาศด้วยสายตาเย็นชา

เรือบินรบเหล่านี้มีหน้าตาเหมือนค้างคาวยักษ์ ขณะที่บินออกมาอย่างรวดเร็ว ผู้ฝึกตนจำนวนมากก็พุ่งทะยานออกจากตัวเรือบินมาด้วย พลังปราณของพวกเขาไม่สูงนัก ส่วนมากอยู่ที่ขั้นกำเนิดแก่นใน มีขั้นจุติวิญญาณบ้างประปราย พวกเขาดูแข็งแกร่งเพราะมีจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีผนึกรวมพลังบางอย่างที่เสริมพลังของพวกเขาให้สูงขึ้นและรวมกันเป็นหนึ่งอีกด้วย ผู้ฝึกตนเหล่านี้มีอยู่ประมาณพันคน แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว ความรู้สึกที่พวกเขาปล่อยออกมา…ก็ราวกับว่าชายหนุ่มกำลังเผชิญหน้าอยู่กับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่แข็งแกร่งสิบคนอย่างไรอย่างนั้น!

ใช้วงแหวนปราณเพื่อรวมพลังเข้าด้วยกันโดยการซ้อนขั้นพลังรึ รูม่านตาของหวังเป่าเล่อหดลงเล็กน้อย เขาสังเกตเห็นว่าภายในเรือบินรบเหล่านั้นมีพลังปราณที่แข็งแกร่งกว่าอยู่ เป็นชายสามคนที่หน้าตาเหมือนกันและมีปราณอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ และกำลังจะได้ปราณขั้นแสร้งอมตะมาไว้ครอบครอง!

เห็นได้ชัดว่าทั้งสามคนนี้…คือผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเมฆาปฐพี ทั้งสามทะยานเข้าหาหวังเปาเล่อเหมือนดาวหางสามดวง นัยน์ตาลุกโชนด้วยความตื่นเต้นและความกระหาย

ดวงตาของหวังเป่าเล่อตวัดผ่านทั้งสามและกลุ่มผู้ฝึกตนที่ซ้อนพลังกันไปทางอื่น เขาจดจ่ออยู่ที่อีกสองร่างซึ่งเพิ่งออกมาจากรอยแยกในตอนนั้นเอง!

ร่างหนึ่งผอมแห้ง ส่วนอีกร่างอ้วนพี ชายที่ผอมแห้งไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ บนใบหน้า ส่วนอีกคนมีรอยยิ้มที่ทำให้ดูเหมือนไม่มีพิษมีภัย ทั้งสองยืนอยู่ที่ขอบรอยแยก จ้องมองลงมาที่ดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณเบื้องล่าง ดวงตาตวัดผ่านความเวิ้งว้างกว้างไกลมาหยุดอยู่ที่หวังเป่าเล่อ

“มีพวกแสร้งอมตะแค่สองคนเองรึ” ชายหนุ่มเบื้องล่างเลิกคิ้ว รู้สึกเคลือบแคลงใจแปลกๆ เขาลองตรวจตราบริเวณโดยรอบดูอีกครั้ง หลังจากที่ยืนยันกับตนเองแล้วว่ามีผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะเพียงสองคนและขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์อีกสามคนเท่านั้น เขาก็หัวเราะออกมา

“พวกเจ้ามั่นใจในผนึกของตนเองมากหรือประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไปกันแน่นะ” หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบ และพูดเพื่อยืนยันความคิดของตนเองอีกครั้ง ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสามใกล้มาถึงตัวเขาแล้ว ตอนนั้นเองคนหนึ่งก็พลันระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดัง

“หลงหนานจื่อ อย่าคิดว่ากองทหารวิหคน้ำแข็งจะมาช่วยเจ้าได้เชียว ศิษย์พี่อี้เหนียนจื่อเดินทางไปขัดขวางพวกนั้นเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณของเจ้าเห็นทีจะเสียตำแหน่งในสำนักหลักไปเสียแล้วในวันนี้!”

ทั้งสามระเบิดหัวเราะออกมาเสียงดังขณะเพิ่มความเร็วขึ้นอีก จนเข้ามาใกล้หวังเป่าเล่อในพริบตา ทั้งสามดูราวกับเป็นมังกรชั่วร้ายสามตัวที่กำลังพุ่งตรงมาหา พลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ที่แข็งแกร่งดูราวกับว่าจะบีบอัดความว่างเปล่าโดยรอบได้ ทำให้พลังกดดันมากมายพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อจากทุกทิศทาง และเหมือนต้องการบีบอัดเขาให้แหลกสลาย!

“น่ารำคาญ!” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ ชายหนุ่มก็ไม่ได้รีบโต้กลับแต่อย่างใด หลังจากที่ยืนยันกับตนเองเรียบร้อยว่ามีผู้ฝึกตนขั้นขั้นแสร้งอมตะเพียงสองคนเท่านั้น ประกายเย็นก็วาบเข้ามาในแววตา เขาทำท่าฮัดฮัดขณะตัดสินใจว่าจะไม่ระเบิดเรือบินรบตน แต่กลับไหวตัวกระโจนเข้าไปในห้วงอวกาศด้วยความเร็วราวกับเป็นดาวหางแทน!

เขาไม่ได้พยายามหลบหรือหนี แต่กลับ…พุ่งตรงเข้าหาทั้งสามซึ่งๆ หน้า การกระทำของชายหนุ่มทำให้ทั้งสามตกใจเป็นอันมาก เริ่มรู้สึกได้ถึงลางร้ายที่คืบเข้ามาใกล้ แต่ก็สายเกินกว่าจะหลบได้ทันเสียแล้ว!

“นี่น่ะหรือคือบทเรียนที่กองทหารปลาคุนสีเขียวอยากมอบให้ข้า…อ่อนหัดสิ้นดี!” ทันทีที่เสียงของหวังเป่าเล่อกระจายออกไป ร่างของเขาก็ชนเข้ากับทั้งสามพอดิบพอดี!

ภาพนี้เกิดขึ้นเร็วมากจนไม่มีใครตอบโต้ทัน เสียงกรีดร้องแหลมสูงด้วยความเจ็บปวดกังวานไปทั่วสนามรบ จากจุดที่หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าปะทะผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเมฆาปฐพี ทั้งสามมีสภาพราวกับพุ่งเข้าชนภูผาแข็งแกร่ง เลือดสดๆ สาดกระจายไปทั่วทุกสารทิศ ร่างปลิวกระเด็นไปข้างหลังด้วยความเร็วที่มากเสียยิ่งกว่าขามา แขนระเบิดออกดังโพละกลายเป็นเศษเลือดเนื้อ ที่ทำให้ทุกคนในที่แห่งนั้นตกใจถึงขีดสุดราวกับถูกลมพายุร้ายพัดสติให้จากร่างไปอย่างไรอย่างนั้น

“พลังสะท้อนรึ โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของมันถูกผนึกไว้แล้วมิใช่หรือ!”

“เป็นไปไม่ได้!”

หวังเป่าเล่อทะยานผ่านเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดที่บาดเจ็บเจียนตายโดยไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย เขาไม่แม้แต่จะหันกลับไปมองเสียด้วยซ้ำ ความจริงแล้วชายหนุ่มออมมือให้ เนื่องจากมองว่าทั้งสามเป็นสมบัติส่วนตัวของเขา จึงไม่ได้ปล่อยพลังทั้งหมดของโล่ออกมา มิเช่นนั้นแล้วทั้งสามคงไม่เพียงบาดเจ็บหนัก แต่คงตายคาที่อย่างแน่นอน!

ทันทีที่สำนักเล็กพ่ายแพ้ในการประลองให้สำนักใหญ่ คนของสำนักเล็กก็จะกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของสำนักใหญ่ไปโดยปริยาย นี่เป็นกฎที่ยึดถือปฏิบัติกันภายในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ และไม่มีใครมีอำนาจเหนือกฎนี้ไปได้ แม้แต่กองทหารปลาคุนสีเขียวก็…ไม่มีทางหยุดเรื่องนี้ได้!

ชายหนุ่มไม่สนใจซากที่นอนร้องโอดโอยของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสามและบรรดาศิษย์ที่รวมพลังกันแม้แต่น้อย แต่กลับพุ่งตรงไปหา…ผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะทั้งสองนอกรอยแยกทันที! ทุกคนในที่แห่งนั้นจ้องมองเขาด้วยความไม่อยากเชื่อสายตา รวมถึงชายอ้วนผอมสองคนนั้นด้วย!

“เจ้ากล้าโจมตีดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณของข้าด้วยพวกแสร้งอมตะเพียงสองคนรึ เจ้า…คิดว่าตนเองน้ำยาพอหรืออย่างไร!” ชายหนุ่มพุ่งตรงมาด้วยความเร็วสูง เสียงของเขาสะท้อนไปทั่วบริเวณ ร่างเข้ามาประชิดตัวคนทั้งสองเป็นทีเรียบร้อย พลันปล่อยหมัดใส่คนทั้งคู่ทันที

สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ประกายความโหดเหี้ยมวาบเข้ามาในแววตาของชายร่างผอม เขาเองก็ปล่อยพลังเต็มที่ในการต่อสู้เช่นกัน ดูก็รู้ว่าไม่เชื่อว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของหวังเป่าเล่อจะใช้การได้หลังจากที่ถูกผนึกไปแล้ว เขาคิดว่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ต้องเกิดขึ้นเพราะเหตุผลอื่น และไม่ว่าจะเป็นสิ่งใด ตราบใดที่ไม่ใช่อำนาจของโล่ ก็ไม่ยากที่เขาจะสยบผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายด้วยพลังปราณของตัวเองได้!

ดวงตาของผู้ฝึกตนอ้วนที่อยู่ข้างกายเป็นประกายวาบ เขาขยับตัวหนีในทันที หมายจะออกจากที่แห่งนี้ผ่านรอยแยกเบื้องหลัง หวังเป่าเล่อมองภาพตรงหน้า หลังจากที่ควบคุมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเรียบร้อยแล้ว เขาตัดสินใจไม่สนใจผู้ฝึกตนอ้วนและพุ่งเข้าชนผู้ฝึกตนร่างผอม

เสียงที่เกิดจากการปะทะนี้ดังสนั่นไปทั่วสนามรบ แต่เสียงกรีดร้องแหลมสูงน่าสยองขวัญของผู้ฝึกตนร่างผอมกลับดังเสียยิ่งกว่า แขนขาของเขาระเบิดเละเทะ ร่างถูกซัดไปด้านหลังพร้อมเลือดที่สาดกระจายไปทุกหนแห่ง หวังเป่าเล่อพุ่งตามไปทัน ชายหนุ่มจับศีรษะอีกฝ่ายเอาไว้ ก่อนจับโยนไปที่ดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณเบื้องล่าง

มาอยู่กับบิดาเจ้าเสียดีๆ !

ภาพนี้ทำให้ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์แบบทั้งสามตกใจเป็นอันมาก ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่อยู่รายรอบก็เช่นกัน ทุกคนมองมาที่หวังเป่าเล่อด้วยสายตาราวกับเห็นผี

มีเพียงผู้ฝึกตนอ้วนเท่านั้นที่หลบหายนะไปได้ชนิดเส้นยาแดงผ่าแปด หน้าของเขาซีดเผือด ดวงตามืดมนด้วยความกลัว ชายหนุ่มมุ่งหน้าไปยังรอยแยกและกำลังจะหนีออกไปได้แล้ว แต่หวังเป่าเล่อไม่ยอมปล่อยให้เขาจากไปง่ายๆ ชายหนุ่มกำลังจะขยับตัวไล่ตามไป แต่พลังขั้นจิตวิญญาณอมตะก็ระเบิดออกมาจากรอยแยกเสียก่อน แขนยักษ์ก่อตัวขึ้น ยืนออกมาสู่โลกภายนอก มันพุ่งผ่านผู้ฝึกตนอ้วนไป มุ่งหน้าเข้าหาหวังเป่าเล่อ!

เมื่อสัมผัสได้ถึงกระแสพลังของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจากมือยักษ์ ดวงตาของชายหนุ่มก็เป็นประกาย เขากดความต้องการสู้ลง ขยับตัวหนี พร้อมเงยหน้าขึ้นมองเบื้องบนและตะโกนก้อง

“กองทหารปลาคุนสีเขียว เจ้ากลัวพ่ายแพ้ถึงขนาดนี้เชียวหรือ เจ้าส่งพวกจิตวิญญาณอมตะมาต่อกรกับข้าเพราะอยากจะยึดกองทหารเล็กๆ ของข้ารึ ถ้าเช่นนั้นจะมอบสิทธิ์ในการตั้งกองทหารมาให้ข้าทำไมกัน ในอนาคตเจ้าจะหาใครอยากมาร่วมมือกับเจ้าได้อีก แล้วการโกงซึ่งๆ หน้าเช่นนี้จะทำให้คนอื่นอยากต่อสู้เพื่อเลื่อนอันดับตนเองได้อย่างไร ท่านปรมาจารย์ ข้ายอมรับว่าแอบซ่อนกลเม็ดการหลอมโล่เอาไว้เพื่อป้องกันตัวเอง แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทชั้นดีทุกคนก็ทำเช่นนี้มิใช่หรือ ข้า หลงหนานจื่อคนนี้ ไม่มีวันยอมรับการกระทำของกองทหารปลาคุนสีเขียวเด็ดขาด!”

คำพูดของหวังเป่าเล่อทำให้มือยักษ์ชะงักงัน ในตอนนั้นเองเสียงชราก็ดังกังวานไปทั่วห้วงอวกาศ

“กองทหารผ่าวิญญาณชนะ!”

ทันทีที่ผลแพ้ชนะถูกประกาศ แขนนั้นก็สั่นเล็กน้อย ก่อนจะหยุดควานหาตัวหวังเป่าเล่อ แขนยักษ์คว้าร่างของผู้ฝึกตนอ้วนที่รอดตายหวุดหวิดไปแทน และหายไปจากรอยแยกในห้วงอวกาศ

การต่อสู้ได้ปิดฉากลงเป็นที่เรียบร้อย ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสามจากสำนักเมฆาปฐพีตัวสั่นสะท้าน ดวงตาหมดสิ้นซึ่งความหวัง พวกเขารู้ดีว่าชะตากรรมใดกำลังรอผู้แพ้อยู่ ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ และผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะที่ถูกหวังเป่าเล่อเหวี่ยงลงบนดาวเคราะห์จนแทบเอาชีวิตไม่รอด ต่างพากันกระอักเลือดออกมาด้วยความอาดูร

ส่วนชายหนุ่มที่เป็นผู้กำชัย บัดนี้กำลังมองไปที่เรือบินรบสีเขียวและผู้ฝึกตนจำนวนมากด้วยดวงตาเป็นประกาย “ข้ารวยเละแล้ว!” เสียงพึมพำของชายหนุ่มเบาราวเสียงกระซิบ

………………..

บทที่ 791 คำท้าจากสำนักเล็ก!
เมื่อได้ยินคำตอบของหวังเป่าเล่อ อี้เหนียนจื่อก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาปล่อยพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะของตนเองออกมารวมเข้ากับพลังของเรือบินรบเวทรูปปลายักษ์ จนกลายเป็นพลังกดดันที่ไหลบ่าเข้าท่วมทั้งดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณ

“ข้าได้ยินไม่ค่อยชัดนัก เจ้าอยากตอบอีกครั้งหรือไม่!”

พลังกดดันที่อี้เหนียนจื่อปล่อยออกมาทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงอันตรายที่แท้จริงที่เข้ามาใกล้ตัว แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มั่นใจว่าตนรู้เรื่องสถานะของกองทหารปลาคุนสีเขียวภายในสำนักเป็นอย่างดี หลังจากที่เงียบอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อก็ตอบอีกครั้งด้วยเสียงต่ำ

“จะให้ข้ายอมศิโรราบในฐานะได้รึ”

“ต่อจากนี้เป็นต้นไปเจ้าจะรับคำสั่งจากกองทหารปลาคุนสีเขียวเท่านั้น และจะละทิ้งอำนาจของตนในกองทหารผ่าวิญญาณด้วยความเต็มใจ” อี้เหนียนจื่อทวนคำพูดให้ฟังอีกครั้งอย่างช้าๆ โดยไม่ได้สนใจหวังเป่าเล่อ แต่กลับย้ายไปยืนอยู่บนเรือบินรบรูปปลายักษ์สีทองแดงแทน

“หลังจากที่เข้าร่วมกองทหารปลาคุนสีเขียวเรียบร้อย กิจการทุกอย่างของกองทหารผ่าวิญญาณจะกลายเป็นหน้าที่ที่กองทหารปลาคุนสีเขียวจะเข้าดูแล เราจะนำผู้ฝึกตนจำนวนมากมาประจำการที่นี่ แต่เจ้าจะไม่ได้ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการอีกต่อไป จากนี้เจ้าจะกลายเป็นหัวหน้ากองทหารย่อยชื่อกองทหารย่อยผ่าวิญญาณ ซึ่งอยู่ในอาณัติของกองทหารปลาคุนสีเขียวแทน หน้าที่หลักของเจ้าและกองทหารย่อยที่เจ้าดูแลคือการหลอมอาวุธเวท!”

“ที่นี้จงบอกข้ามาเสียว่าเจ้าจะเลือกทางใด!”

“ข้าขอปฏิเสธ!” เมื่อฟังมาถึงตรงนี้ แม้หวังเป่าเล่อจะไม่อยากเป็นศัตรูกับกองทหารปลาคุนสีเขียว แต่ท่าทีตั้งตนเหนือกว่าและสิ่งที่พวกเขาพูดออกมานั้นทำให้ชายหนุ่มไม่มีตัวเลือกอื่น เขาจึงย้ำจุดยืนของตนเองอีกครั้ง

แต่ในครั้งนี้ เมื่อได้รับคำตอบอี้เหนียนจื่อก็ไม่พูดสิ่งใดอีก เขาก้มหน้าลงมองชายหนุ่มเบื้องล่าง ผู้ที่กำลังเงยหน้าขึ้นมองเขาเช่นกัน ทั้งสองสบตากันกลางอากาศ

แม้กองทหารปลาคุนสีเขียวจะแข็งแกร่งมากจนทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกเครียดและกังวลอย่างถึงขีดสุด แต่ชายหนุ่มก็ไม่ใช่คนเดิมที่เพิ่งมาเหยียบอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นครั้งแรกอีกต่อไปแล้ว หากก่อนหน้านี้เขายังไม่ได้มีกองทหารเป็นของตนเองก็คงจะไม่เป็นไร แต่ในเมื่อเขาได้รับสิทธิ์ในการสร้างกองทหารเรียบร้อยแล้ว และมีแม้กระทั่งฐานที่มั่นของตนเอง กองทหารปลาคุนสีเขียวก็ไม่สามารถโจมตีเพื่อยึดทุกอย่างไปจากเขาได้ตามกฎที่สำนักตั้งไว้ นั่นเพราะ…หลงหนานจื่อในวันนี้ทั้งมีชื่อเสียงระบือไกล และยังได้รับการยอมรับในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทประจำตัวปรมาจารย์อีกด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกายังทำให้ชายหนุ่มสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะได้ โดยเฉพาะกับผู้ที่ยังอยู่ในชั้นต้นของขั้นพลังปราณนี้… หวังเป่าเล่อมั่นใจว่าตนเองจะจัดการคนพวกนี้ได้!

แน่นอนว่าจะเป็นการดีที่สุดหากเขาไม่ต้องเปิดฉากโจมตีก่อน หวังเป่าเล่อกังวลว่าโล่ฉบับที่ได้รับการปรับปรุงแล้วของเขาจะยังเป็นที่ถูกตาต้องใจของปรมาจารย์อยู่ แต่ชายหนุ่มก็คิดว่าการทนพฤติกรรมของอี้เหนียนจื่อเพียงเพราะไม่อยากเปิดเผยความสามารถของโล่ก็เป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลเช่นกัน!

เขามองจ้องอี้เหนียนจื่อ หรี่ตาเฝ้าระวังเตรียมรับการโจมตี ชายหนุ่มเข้าใจดีว่าแม้การยอมอดทนจะทำให้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าได้ แต่หากเขายังไม่กล้าเผชิญหน้าทั้งที่ตนเองโดนดูถูกเหยียดหยามถึงที่ สิ่งนั้น… คงไม่เรียกว่าความอดทนอดกลั้น หากแต่เป็นความขี้ขลาดต่างหาก!

การโจมตีกลับอย่างสมน้ำสมเนื้อเป็นอีกหนึ่งวิธีที่เขาจะพิสูจน์ตนเองให้คนอื่นได้รับรู้ และมันยังเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งกับแผนการที่จะทำให้ชื่อเสียงของตนโด่งดังในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ วีรกรรมนี้จะต้องเตะตาผู้คนและนำมาซึ่งคำสรรเสริญเยินยอ ซึ่งเหมาะกับค่านิยมหลักของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นอย่างดี

เวลาเดินหน้าผ่านไปอย่างช้าๆ แม้บรรยากาศตึงเครียดจะเข้ากดดันดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณ โดยเฉพาะรอบตัวอี้เหนียนจื่อและหวังเป่าเล่อ สุดท้ายแล้วอี้เหนียนจื่อก็ไม่ได้เลือกโจมตีแต่อย่างใด

อี้เหนียนจื่อรู้ดีว่าแม้ระดับพลังปราณของหลงหนานจื่อไม่ใช่ขั้นจิตวิญญาณอมตะ แต่ตัวตนเขากลับมีคุณค่าราวกับเป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะอย่างไรอย่างนั้น นอกจากนี้เขายังมีกองทหารวิหคน้ำแข็งผู้ซึ่งเพิ่งก้าวขึ้นมามีอำนาจได้ไม่นานอยู่เบื้องหลัง นอกจากนี้ยังมีข่าวลือที่ว่าผู้ดูแลกิจการสวีชอบพอในตัวหลงหนานจื่อมากอีกด้วย

ปัจจัยทั้งหมดนี้ทำให้อี้เหนียนจื่อชั่งน้ำหนักอยู่ในใจ ความสามารถในการรบของหวังเป่าเล่อไม่ใช่เรื่องที่เขาเป็นกังวลแม้แต่น้อย เนื่องจากเขามองว่าชายหนุ่มเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนหนึ่งเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้…แม้อี้เหนียนจื่อจะละล้าละลัง แต่ก็เป็นเพราะผู้ที่หนุนหลังหวังเป่าเล่ออยู่ หาใช่ตัวชายหนุ่มเองไม่ เขารู้สึกว่าหวังเป่าเล่อไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธข้อเสนอของกองทหารปลาคุนสีเขียว และมั่นใจว่าชายหนุ่มไม่มีความสามารถพอจะรับมือผลที่ตามมาจากการยอมหักกับพวกเขา

อี้เหนียนจื่อคิดว่าเขาจะต้องสั่งสอนหวังเป่าเล่อให้รู้สำนึกเสียบ้างว่าทางใดคือทางที่ถูกต้อง แต่ชายหนุ่มก็กลับมีปรมาจารย์คุ้มกะลาหัวอยู่เสียได้

หลังจากที่จ้องหน้ากันอยู่สักพัก อี้เหนียนจื่อก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ

“ระวังตัวเจ้าไว้ก็แล้วกัน” หลังจากพูดจบ เขาก็หันหลังกลับ และจากดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณไปโดยการโบกมือสร้างหมอก

คำพูดและท่าทีในการจากไปของชายในชุดเขียวเป็นคำเตือนที่ดีที่สุดว่าสิ่งใดกำลังจะเกิดขึ้นกับชายหนุ่มเบื้องล่าง เขาต้องการจะสอนให้รู้สำนึกนั่นเอง หวังเป่าเล่อตระหนักถึงความจริงข้อนี้ดี

ไอ้กองทหารปลาคุนสีเขียวนี่น่ารำคาญเสียจริง มันมาบังคับให้ข้าเป็นลูกน้องมัน แล้วยังอยากให้ข้ามอบสิทธิ์กองทัพของข้าให้พวกมันอีก… ถ้าทำเช่นนั้น ข้าจะไต่เต้าให้ตนเองได้วิชาสืบทอดจากดวงเนตรหมื่นปีศาจมาได้อย่างไรกันเล่า ชายหนุ่มคิดขณะมองแผ่นหลังอี้เหนียนจื่อที่กำลังจากไป หลังจากที่เงียบอยู่สักพัก เขาก็ส่งคำสั่งเพิ่มเติมไปให้บรรดาหุ่นเชิด

ในตอนนั้นเอง ลมจากทิศเหนือก็พัดผ่านผืนดินขึ้นมายังยอดเขา ผมยาวและชุดคลุมของชายหนุ่มปลิวไสว เขาจับจ้องไปที่หุ่นเชิดของตนที่ระดมกำลังสร้างเรือบินรบอย่างบ้าคลั่ง กายรู้สึกได้ถึงสายลมที่พัดพาจากดาวเคราะห์ดวงนี้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าอีกไม่นานพายุร้ายจะอุบัติขึ้นบนดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณอย่างแน่นอน

ไอ้กองทหารปลาคุนสีเขียวมันจะทำอย่างไรเพื่อสั่งสอนข้ากันนะ… หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองอวกาศ หลังจากคิดสักพักเขาก็พอเดาได้สองสามทาง

กองทหารของข้าเพิ่งตั้ง เลยมีอันดับต่ำสุดในบรรดากองทหารของสำนักใหญ่ทั้งหมด หากไอ้ปลาคุนนี่ต้องการเตือนข้า มันจะบีบข้าจากข้างบนโดยการส่งข้าออกไปสำรวจอวกาศก็ได้ แต่ถ้าไม่ใช่แล้วละก็…มันก็จะมาท้าข้าประลอง เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ ชายหนุ่มก็รู้สึกถึงความต้องการที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจ เขารู้ว่าต่อให้คำเตือนของกองทหารปลาคุนสีเขียวเป็นคำเตือนจากสำนักที่ต่ำกว่า แต่ก็จะประมาทพวกเขาไม่ได้อย่างเด็ดขาด

ช่วงเวลาที่ลมร้ายมาเยือนนั้น…รวดเร็วกว่าที่เขาคาดไว้ สามวันหลังจากที่อี้เหยียนจื่อจากไป ก็มีประกาศจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ส่งมาถึงหวังเป่าเล่อผ่านแผ่นหยกประจำสำนัก!

“กองทหารเมฆาปฐพีแห่งสำนักย่อยเมฆาปฐพี ได้รับการยืนยันสิทธิ์จากกองทหารปลาคุนสีเขียว เพื่อท้าประลองกองทหารผ่าวิญญาณจากสำนักหลัก การประลองในครั้งนี้ได้รับการยอมรับจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยจะเริ่มขึ้นในหกชั่วโมงต่อจากนี้ และจะกินระยะเวลาสองชั่วโมง!”

เป็นการท้าประลองจากกองทหารสำนักย่อยจริงๆ เสียด้วย! ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกาย เขารู้ดีว่าตนเองแพ้ไม่ได้เป็นอันขาด หากเขาแพ้…เขาจะเสียสถานะการเป็นกองกำลังจากสำนักหลักในทันที และความพยายามที่ผ่านมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่า

แต่เรื่องดีก็คือ แม้สามวันจะไม่ใช่ระยะเวลานาน แต่ด้วยทรัพยากรที่มากพอ หวังเป่าเล่อจึงสามารถสร้างเรือบินรบทำลายตนเองได้หลายร้อยลำ ทั้งหมดสร้างขึ้นด้วยวิธีการซ้อนอักขระแบบเดียวกับที่ใช้ในโล่รุ่นแรก เรือบินรบทั้งหมดมีพลังสะท้อนการโจมตีด้วย จึงทำให้ชายหนุ่มมั่นใจพอสมควร แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ…หวังเป่าเล่อไม่คิดว่าพวกนั้นจะส่งผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะมาต่อกรกับเขา!

อย่างดีก็น่าจะส่งมาแค่พวกแสร้งอมตะเท่านั้น… แล้วก็ย่อมรู้ด้วยว่าข้ามีโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา ชายหนุ่มหรี่ตาและส่งคำสั่งให้หุ่นเชิดของตนเองทันที เขาเตรียมการเอาไว้หมดแล้ว แม้จะมีเวลาเตรียมการเพียงหกชั่วโมง แต่คำสั่งทั้งหมดของเขาก็เสร็จสิ้นเรียบร้อยดี เรือบินรบทำลายตนเองทั้งหมดพร้อมออกศึกแล้ว

มีเรือบินรบเพียงสิบลำเท่านั้นที่ลอยอยู่โดยรอบ ส่วนที่เหลือชายหนุ่มซ่อนเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น น่าเสียดายที่สามวันนั้นสั้นเกินกว่าจะสร้างกลยุทธ์อย่างวงแหวนปราณประจำฐานทัพได้ ทั้งเขายังไม่มีทรัพยากรพออีกด้วย

ต้นเหตุของปัญหาทั้งหมดนี้คือข้ายังจนเกินไป… หวังเป่าเล่อถอนใจ หลังจากตรึกตรองอยู่สักพักเขาก็ส่งข้อความไปหาหลิงโยว ชายหนุ่มไม่ได้ขอให้นางช่วยโดยตรง หากแต่ขอการรับประกันจากนาง ว่าถ้าเขาเพลี่ยงพล้ำจริงๆ ก็หวังว่านางจะพอช่วยเหลือเขาได้

เทพธิดาหลิงโยวไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อยเมื่อได้ยินคำขอของชายหนุ่ม นางสัญญาว่าจะช่วยเหลือเขาอย่างแน่นอน และยังรีบเตรียมการอีกด้วย แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้หวังสูงมากนัก เนื่องจาก…ก่อนที่กองทหารปลาคุนสีเขียวจะเดินหมากเช่นนี้ พวกเขาย่อมต้องเตรียมการเอาไว้แล้ว แม้กองทหารปลาคุนสีเขียวจะไม่ได้เข้ามาสู้ด้วยโดยตรง แต่ก็ทำให้กองทหารวิหคน้ำแข็งเข้ามาแทรกแซงไม่ได้

แต่…หากคิดว่าจะมาสั่งสอนข้าได้ง่ายๆ ก็คิดใหม่เสียเถิด ข้าแทบรอไม่ไหวแล้ว…ที่จะเอาสิ่งของที่พวกมันมีมาไว้ในครอบครอง ไอ้กองทหารอะไรนะ จำชื่อไม่ได้เสียแล้ว! เขาหรี่ตาลง สูดหายใจเข้าลึก ก่อนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเพื่อเฝ้ารอท่ามกลางความเงียบ

หกชั่วโมงผ่านไปในพริบตา เสียงดังสนั่นตีบอกเวลาเริ่มการประลอง รอยแยกขนาดยักษ์พลันอุบัติขึ้นในห้วงอวกาศเหนือดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณ แสงสว่างเจิดจ้าสาดออกจากรอยแยกนั้น ตามมาด้วยแรงระเบิดที่สร้างใยแมงมุมแสงซึ่งกระจายตัวเข้าคลุมดาวเคราะห์ทั้งดวงในทันที เสียงออกคำสั่งทุ้มดังลั่นไปทั่วบริเวณ

“ผนึกพลังทลายวิญญาณของที่แห่งนี้เสีย!”

ตอนนั้นเอง รอบนอกแนวเรือบินรบของหวังเป่าเล่อซึ่งมีพลังสะท้อนกลับของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาก็พลันสิ้นฤทธิ์ในทันที!

ขณะเดีวกัน เรือบินรบสีเขียวก็เหาะออกมาจากรอยแยกลำแล้วลำเล่า!

การประลองเริ่มต้นขึ้นแล้ว!

…………………..

บทที่ 790 ขอปฏิเสธ!
“ชื่อเห่ยเป็นบ้า!” หลังจากที่ประทับนามลงไปเพื่อสร้างกองทหารเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็จากกองทหารวิหคน้ำแข็งมาในที่สุด แต่หวังเป่าเล่อที่กำลังอยู่ระหว่างการเดินทางไปยังฐานที่มั่นซึ่งสำนักมอบให้เขา ก็อดไม่ได้ที่จะนั่งถอนใจยาวอยู่ในเรือบินรบของตน

เจ้าลาและเจ้าอู๋น้อยนั่งอยู่ไม่ห่างจากเขามากนัก เจ้าลานอนแอ้งแม้งอยู่ตรงนั้น คอยส่งเสียงแสดงความสบายกาย ในขณะที่เจ้าอู๋น้อยคอยนวดเฟ้นให้มันด้วยมือหนึ่ง ดวงตาก็มองหวังเป่าเล่อเป็นครั้งคราว เขาแอบกลัวและรู้สึกเสียใจที่ตนเองสอดเข้าไปตั้งชื่อกองทหารให้หวังเป่าเล่อ เขากลัวเหลือเกินว่าคนบ้าผู้นี้จะซ้อมเขาปางตายอีก

ขณะที่เจ้าอู๋น้อยกำลังนั่งจินตนาการอยู่นั้น หวังเป่าเล่อก็มองออกไปยังห้วงอวกาศภายนอกเรือบินรบหลังจากถอนใจเสร็จเรียบร้อย ตำแหน่งที่สำนักจัดหาให้เขานั้นอยู่ไกลออกจากดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ไปมากโข

นั่นเพราะมีแต่กองทหารสิบอันดับแรกเท่านั้นที่จะได้รับดวงจันทร์ซึ่งโคจรรอบดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ไปครอบครอง ระยะทางจากฐานทัพกองทหารวิหคน้ำแข็งมายังที่มั่นของเขานั้น ใช้เวลาในการเดินทางถึงห้าวันเลยทีเดียว

ดาวเคราะห์ที่เขาได้รับนั้นเล็กกว่าดวงจันทร์… แต่เมื่อหยิบบันทึกแผ่นหยกออกมาดูพิกัดให้แน่ใจแล้ว หวังเป่าเล่อก็ไม่ถึงกับไม่พอใจเสียทีเดียว ในใจของเขาคิดว่าที่แห่งนี้ไม่เลวเลย ชายหนุ่มเริ่มคิดว่าจะสร้างกองทหารของตนอย่างไรดี

หากจะเกณฑ์ทหารก็คงไม่เข้าทีนัก แถมข้ายังไม่มีพลังงานมากพอจะทำเช่นนั้นด้วย… ทางเลือกที่ดีที่สุดคือวิธีที่ข้าเคยเอาชนะกองทหารมังกรหยดหมึกมาได้ นั่นคือการตั้งตนเป็นกองทหารหนึ่งบุรุษ!

หลังจากคิดอยู่สักพักหวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจได้ เขาหลับตาลงและเริ่มทำสมาธิท่ามกลางความเงียบ หลายวันผ่านไปในพริบตา หวังเป่าเล่อเข้าใกล้ฐานที่มั่นของตนเองขึ้นทุกที ดาวเคราะห์ดวงเล็กที่เขาได้รับปรากฏขึ้นในจิตสัมผัส ชายหนุ่มลืมตาขึ้นและเห็นดาวสีม่วงในห้วงอวกาศนอกเรือบินรบของเขา!

ดาวเคราะห์ดวงนี้เปรียบเสมือนอัญมณีที่แต่งแต้มอวกาศให้มีสีสัน ประกายอ่อนโยนและกระแส

ปราณที่ไหลออกมาจากมัน ทำให้บรรดาดาวน้อยที่อยู่รายรอบดูพร่าเลือนไป

ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกาย เขาควบคุมเรือบินรบให้เข้าไปใกล้ดาวของตนในทันที เมื่อจับกระแสปราณของดาวสีม่วงดวงเล็กนี้ได้ ชายหนุ่มก็เริ่มมุ่นคิ้ว เขาเข้าใจแล้วว่าเหตุใดตนเองจึงได้รับดาวดวงนี้ไว้เป็นฐานที่มั่น

แม้พลังปราณบนผิวดาวจะดูพรั่งพร้อม แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่มั่นคงแม้แต่น้อย นอกจากนี้เขายังจับสังเกตได้อย่างชัดเจนว่าต้นกำเนิดดาราถูกขุดออกไปแล้ว ทำให้แก่นในของดาวดูกลวงว่าง

เพราะเหตุนี้ชีวิตบนพื้นผิวดาวจึงดูปกติเพียงเปลือกนอกเท่านั้น แม้ทุกสิ่งทุกอย่างจะดูเขียวขจี แต่สภาพแวดล้อมเช่นนี้ก็คงอยู่ได้ไม่นานนัก หวังเป่าเล่อคาดการณ์ว่าหากไม่มีใครเข้ามาแทรกแซง ดาวเคราะห์ดวงนี้คงจะกลายเป็นดาวเคราะห์ร้างไร้ซึ่งชีวิตภายในเวลาสองร้อยปีอย่างแน่นอน

ข้าไม่ต้องการเวลานานขนาดนั้นหรอก! หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก เขาขยับตัวเพียงเล็กน้อยแล้วพาเจ้าลาและเจ้าอู๋น้อยออกจากเรือบินรบมา ทั้งสามลงมายืนอยู่บนดาวเคราะห์สีม่วงที่เป็นฐานที่มั่นของหวังเป่าเล่อ ดาวดวงนี้ก็ได้รับนามว่าผ่าวิญญาณตามชื่อกองทหารของหวังเป่าเล่อ… มันจึงมีชื่อว่าดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณ!

พอมาถึงหวังเป่าเล่อก็รีบตรวจสอบดาวดวงเล็กนี้ในทันที เขาทำแม้กระทั่งเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุดเพื่อสำรวจพื้นที่ เมื่อยืนยันกับตนเองเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าทุกอย่างปกติดี ชายหนุ่มก็ตั้งฐานที่มั่นของตนเองในส่วนที่ลึกที่สุดของดาว เขาหยิบหุ่นเชิดก่อสร้างที่เหลืออยู่ออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ

หลังจากที่ออกคำสั่งให้ก่อสร้างสิ่งต่างๆ บนดาวรวมถึงสร้างเรือบินรบทำลายตนเองเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ไม่สนใจเจ้าลาและเจ้าอู๋น้อยที่กำลังวิ่งเล่นสนุกสนานอยู่บนดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณ เขาขึ้นไปนั่งบนยอดเขา ดวงตามองไปที่ท้องฟ้าในห้วงอวกาศ ชายหนุ่มกำลังคิดถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับกองทหารของเขา ซึ่งก็คือ… อันดับของมันนั่นเอง!

ตลอดระยะเวลาที่เขาใช้ชีวิตอยู่กับกองทหารวิหคน้ำแข็ง หวังเป่าเล่อก็ได้ทำความเข้าใจธรรมชาติของอันดับกองทหารภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อย่างทะลุปรุโปร่ง เขารู้ว่าในอารยธรรมนี้กองทหารทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็น 19 ชั้นด้วยกัน!

มีเพียงกองทหารจากสามสำนักใหญ่เท่านั้นที่จะก้าวขึ้นมาอยู่ใน 12 ชั้นแรกได้ ส่วนกองทหารจากสำนักยิบย่อยที่เหลือจะได้อยู่ในเจ็ดชั้นสุดท้าย

ยกตัวอย่างเช่นหลังจากที่กองทหารวิหคน้ำแข็งก้าวขึ้นมาอยู่อันดับที่ห้า ก็ถือว่าได้ขึ้นมาเป็นกองทหารชั้นสอง ส่วนกองทหารชั้นแรกมีเพียงสามกองเท่านั้นทั้งอารยธรรม ซึ่งก็คือกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดจากสามสำนักใหญ่นั่นเอง

สำหรับกองทหารผ่าวิญญาณของหวังเป่าเล่อ ด้วยความที่เพิ่งตั้งใหม่จึงอยู่ในชั้น 12 กระนั้นกองทหารของเขาก็ยังถือว่าสูงส่งกว่ากองทหารของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ที่เขาเคยอยู่ก่อนหน้านี้เสียอีก กองทหารของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์อยู่เพียงชั้น 17 เท่านั้น

ชั้น 12 รึ… เท่านี้พอให้ข้ารับวิชาสืบทอดจากดวงเนตรหมื่นปีศาจหรือเปล่านะ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้เขาอยากมีกองทหารเป็นของตนเอง เป็นเพราะต้องการวิชาสืบทอดจากดวงเนตรหมื่นปีศาจนั่นเอง

ตอนนี้เขาก็ได้ตั้งกองทหารของตนเองสำเร็จแล้ว ทั้งยังไม่ต้องยุ่งกับการก่อสร้างฐานที่มั่นด้วย หวังเป่าเล่อจึงมีเวลานั่งคิดว่าตนเองจะไปที่ดวงเนตรหมื่นปีศาจอีกครั้งเพื่อรับการถ่ายทอดวิชา

ด้วยโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับ 28 และพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลาย ชายหนุ่มก็ไม่กลัวผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกอีกต่อไป

ต่อให้มีใครหวังตามล่าเขาเพื่อรับเงินรางวัล หวังเป่าเล่อก็มั่นใจเป็นอย่างมากว่าคู่ต่อสู้จะไม่สามารถกักขังตัวเขาไว้ได้ นอกเสียจากว่าจะเป็นการโจมตีจากผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ

แต่หลังจากตรึกตรองดูสักพักหวังเป่าเล่อก็ตัดความคิดเหล่านั้นทิ้งไป หากเขาไปที่ดวงเนตรหมื่นปีศาจอีกครั้งก็อาจพอนำวิชากลับมาได้บ้าง แต่คงเป็นไปไม่ได้ที่จะนำกลับมาได้ทั้งหมด และหากไปบ่อยครั้งเกิน ก็จะเป็นการสร้างนิสัยที่คาดเดาได้จนอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาในอนาคต

เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับข้าตอนนี้ คือการพากองทหารของข้าไต่อันดับขึ้นไปให้ได้!

และการจะทำเช่นนั้นได้ก็ต้องท้ากองทหารอื่นๆ ประลอง… หากชนะข้าก็สามารถแย่งอันดับของพวกนั้นได้! ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายวาบ การท้าประลองความสามารถเป็นกฎของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ และสามารถกระทำได้โดยชอบ ตราบใดที่จำนวนผู้เสียชีวิตไม่เกินที่กำหนดไว้

แต่การจะท้าคู่ต่อสู้ประลองความสามารถในแต่ละครั้งต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก นอกจากนี้หากเขาแพ้ ก็ต้องชดใช้ค่าเสียหายคืนเป็นจำนวนมาก เนื่องจากตนเป็นผู้ขอท้าประลองเอง

ยกตัวอย่างเช่นการประลองระหว่างกองทหารวิหคน้ำแข็งและกองทหารมังกรแดงก่อนหน้านี้ หลังการประลองจบลง กองทหารวิหคน้ำแข็งก็ได้รับทรัพยากรจำนวนมากจนน่าตกใจ โดยส่วนมากมาจากกองทหารอันดับที่ 11 การชดใช้นี้แทบทำให้กองทหารลำดับที่ 11 หมดสิ้นทรัพยากรที่ตนเองมี และทำให้พวกเขาแทบจะไปต่อไม่ได้

ข้าอยากให้สำนักเล็กมาท้าข้าประลองเสียจริง หวังเป่าเล่อรู้สึกอิจฉากองทหารวิหคน้ำแข็งเป็นอย่างมากที่ส้มหล่น แต่หลังจากที่คิดอยู่สักพักเขาก็นึกได้ว่า กองทหารของเขาเป็นกองทหารชั้นล่างของสำนักใหญ่ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้มากที่สำนักเล็กจะมาท้าเขาประลองเพื่อชิงตำแหน่ง

ปัญหาใหญ่ก็คือสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นเรียกค่าธรรมเนียมจำนวนมากจากการท้าประลองเหล่านี้ กองทหารในสำนักใหญ่ถ้าประลองกันเองก็ว่าถูกเรียกเยอะแล้ว แต่กองทหารจากสำนักเล็กนั้นกลับต้องจ่ายราคาแพงยิ่งกว่าหากต้องการท้ากองทหารในอาณัติของสำนักใหญ่สู้

ภายในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ กองทหารจากสำนักเล็กสามารถท้ากองทหารสำนักใหญ่ประลองได้ หากชนะก็จะได้รับการเลื่อนขั้นขึ้นมาแทน และกลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ในทันที แน่นอนว่าตำแหน่งนี้ย่อมมีสิทธิ์พิเศษหลายอย่างตามมาเช่นกัน

แต่การสมัครท้าแข่งขันย่อมนำมาซึ่งการสูญเสียทรัพยากรชนิดมโหฬารจนน่าตกใจ กองทหารของสำนักเล็กต้องให้หนึ่งในกองทหารห้าอันดับแรกจากสำนักใหญ่ยืนยันสิทธิ์ให้ ทั้งยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแพงกว่าถึงร้อยเท่าเพียงเพื่อให้ได้สิทธิ์ในการขอท้าประลอง

ราคาแสนแพงเช่นนั้นทำให้แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่กองทหารสำนักเล็กจะเข้าร่วมการประลอง ต่อให้มีปัญญาจ่าย…แต่หากแพ้ก็ต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามจำนวนมากจนทำให้ล้มละลายได้ ทั้งยังต้องกลายมาเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของกองทหารที่ได้รับชัยชนะอีกด้วย!

เงื่อนไขที่ยากเย็นแสนเข็ญเช่นนี้ทำให้การประลองระหว่างสำนักเล็กและสำนักใหญ่เป็นหมากการเมืองเสียมากกว่า แม้จะเกิดขึ้นบ้างเป็นครั้งคราว แต่ส่วนมากก็จะคุยกันก่อนว่าตนเองจะเข้าท้าชิงกับสำนักนั้นๆ และท้ายที่สุดแล้วการประลองรวมถึงผลแพ้ชนะก็เป็นเพียงการแสดงเท่านั้น

ความจริงที่เขาได้รับรู้มานี้ ทำให้หวังเป่าเล่อได้แต่เพียงถอนหายใจ ขณะคิดว่าตนเองจะไปท้าประลองกองทหารใดดีเพื่อไต่อันดับขึ้นไป

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังคิดว่าตนเองจะไปท้าตีท้าต่อยกับกองทหารไหนดีนั้น แขกที่ไม่ได้รับเชิญก็ปรากฏตัวขึ้นบนดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณ!

ผู้ที่มาในครั้งนี้คือชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเขียว บรรยากาศที่เขาพามาด้วยเต็มไปด้วยความห่างเหินเยือกเย็นของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า เขาก้าวออกจากเรือบินรบรูปปลาสีทองแดงใหญ่ยักษ์ ทำราวกับว่าอวกาศเป็นมหาสมุทร ชายวัยกลางคนดิ่งลงมายังดาวเคราะห์ผ่าวิญญาณที่หวังเป่าเล่ออยู่ด้วยท่วงท่าราวกับว่าดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นเพียงก้อนหินที่อยู่ใต้มหาสมุทร เขาไม่ได้ลงมาเหยียบที่พื้นดินจริงๆ แต่กลับมองลงมาจากบนท้องฟ้าแทน!

ร่างของเขาบดบังห้วงอวกาศเอาไว้มิด ท้องฟ้าทั้งหมดท่วมไปด้วยกระแสพลังที่ปลาสีทองแดงยักษ์พัดโหมจากครีบของมัน พลังปราณของชายผู้นี้อยู่ที่ขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น

เขามองลงมาเบื้องล่างเหมือนเทพเจ้าที่กำลังมองดูปุถุชน ดวงตาเย็นเยียบจับจ้องอยู่ที่หวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มที่อยู่บนยอดเขาเบื้องล่างเงยหน้าขึ้นมาสบตาพอดิบพอดี

“ข้ามีนามว่าอี้เหนียนจื่อจากกองทหารปลาคุนสีเขียว!”

“ข้าได้รับบัญชาจากผู้บัญชาการกูโม่ ให้เชิญหลงหนานจื่อจากกองทหารผ่าวิญญาณเข้าเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของกองทหารปลาคุนสีเขียวของเรา นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าจะทำงานภายใต้กองทหารปลาคุนสีเขียวเท่านั้น!”

ชายในชุดคลุมสีเขียวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขณะที่ร่างลอยอยู่กลางอากาศ เขาโบกมือลงเบื้องล่าง พลันแสงสว่างก็อุบัติขึ้นในมือก่อนสาดกระจายออก กลายเป็นดาวหางที่ตกลงใส่ตัวหวังเป่าเล่อ ดาวหางนั้นหยุดอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มพอดิบพอดี แปรเปลี่ยนสภาพกลายเป็นคัมภีร์ไผ่เขียว!

คัมภีร์ไผ่เขียวนี้มีพลังปราณเข้มข้นยิ่งใหญ่ ราวกับเป็นคำบัญชาการจากฟากฟ้าก็ไม่ปาน!

“หลงหนานจื่อ จงทิ้งตราผนึกของเจ้าเสียและยอมศิโรราบให้กองทหารปลาคุนสีเขียวผ่านคัมภีร์นี้!”

หวังเป่าเล่อที่กำลังมองคัมภีร์สีเขียวเปลี่ยนสีหน้าเป็นบูดเบี้ยวเหยเก ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่อี้เหนียนจื่อสองสามวินาที ก่อนจะตอบเสียงเย็น

“ข้าขอปฏิเสธ!”

……………………………..

บทที่ 789 ผ่าวิญญาณ!
ร่างกายที่แข็งแกร่ง พลังปราณที่ทรงพลัง และกระแสวิญญาณที่เข้มข้น…ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดหลงหนานจื่อจึงทำให้กองทหารมังกรหยดหมึกเสียท่าได้ แม้วิธีการทำลายกองทหารทั้งกองของเขาจะบ้าระห่ำมาก แต่ตัวเขาเองยังรู้จักที่ต่ำที่สูง รู้จักการให้และการรับ นอกจากนี้สติปัญญายังหลักแหลมเกินใคร ทั้งยังเชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวทเป็นอย่างมากอีกด้วย… ผู้ดูแลกิจการสวีเงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่อ ด้วยสายตาที่แสดงความชื่นชมเป็นครั้งแรก

ถึงเขาจะรู้จักมักจี่กับหลงหนานจื่อมาได้ไม่นาน แต่ก็เห็นถึงคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมของชายหนุ่มได้ในเวลาอันสั้น ทั้งหมดนี้ทำให้เขาชื่นชมหวังเป่าเล่อ และเริ่มเชื่อมั่นว่าการมองคนของหลิงโยวนั้นไม่เลวเลยทีเดียว

ดูเหมือนว่าจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นระหว่างศิษย์หนุ่มคนนี้กับหลิงโยว เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ผู้ดูแลกิจการสวีก็ประเมินหวังเป่าเล่ออีกครั้ง ยิ่งพิจารณามากเท่าใด ก็ยิ่งมั่นใจว่าความคิดนี้มีความเป็นไปได้

อาจเป็นเพราะชายชราคิดว่าเสียงร้องโหยหวนแหลมสูงของเหล่าผู้ทรงพลังด้านล่างที่กำลังโดนดูดพลังชีวิตดังแสบแก้วหูเกินไป ผู้ดูแลกิจการสวีจึงโบกมือขวาอย่างแรงเพื่อให้ทุกตนเงียบเสียง แอ่งกระทะสั่นสะเทือนในทันที โซ่ตรวนที่จองจำร่างทั้งเก้าเอาไว้กระชับหดสั้นลงและดึงร่างทั้งหมดกลับไปในถ้ำของตนเองดังเดิม!

เสียงโซ่พร้อมด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนค่อยๆ จางหายไป เมื่อดวงจันทร์สีเลือดบนท้องฟ้าแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นสีเงินยวงดังเดิม ดวงตาของหวังเป่าเล่อที่กำลังยืนอยู่กลางอากาศก็เป็นประกายเจิดจ้า ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงพลังปราณที่กำลังปั่นป่วนบ้าคลั่งอยู่ในกายตนเองแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้

นี่คือความเป็นจริงของความแตกต่างระหว่างสองอารยธรรม หวังเป่าเล่อคนเดิมที่อยู่ในสหพันธรัฐ ไม่ว่าจะพยายามจนเลือดตาแทบกระเด็นอย่างไร ก็ทำได้อย่างดีแค่บรรลุปราณขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์เท่านั้น แต่หวังเป่าเล่อในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไม่ได้บรรลุขั้นปราณเท่านั้น แต่ยังเดินทางมาถึงขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายได้แม้จะอยู่ในอารยธรรมนี้มาได้ไม่นานก็ตาม!

ด้วยระยะเวลาเพียงเท่านี้ เขาก็กำลังจะมีปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว พลังปราณที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วสะท้อนให้เห็นเด่นชัดขึ้นในการต่อสู้ แม้เขาจะยังไม่ได้มีโอกาสทดลองพลังใหม่ที่ได้รับมา แต่ก็รู้สึกได้ว่าหากตนเองเผชิญกับผู้บัญชาการขั้นแสร้งอมตะของกองทหารมังกรหยดหมึกอีกครั้ง เขาจะสามารถใช้พลังของตนเองต่อกรกับนางได้อย่างแน่นอน โดยไม่จำเป็นต้องใช้โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเลยด้วยซ้ำไป!

ส่วนใครจะชนะนั้น…อะไรก็เกิดขึ้นได้!

นั่นเพราะพลังกายของหวังเป่าเล่อก็พัฒนาขึ้นจากเดิมมากเช่นกัน เขามั่นใจว่าทันทีที่รวมร่างอวตารนี้เข้ากับร่างที่แท้จริงของตนแล้ว ต่อให้มีปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลาย ก็คงสังหารผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะได้ไม่ยากเย็นนัก!

“ขอบพระคุณท่านมากขอรับ ศิษย์พี่สวี!” ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ก่อนโค้งคำนับผู้ดูแลกิจการสวีพร้อมทำมือคารวะ เขารู้สึกขอบคุณผู้ดูแลกิจการสวีจากใจจริงที่ไม่หยุดเขาก่อนหน้านี้ มิเช่นนั้นแล้วเขาคงพัฒนาขั้นปราณตนได้ไม่สุดเป็นแน่แท้

“เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าหรอก ไปขอบคุณเจ้าเด็กน้อยหลิงโยวนั่นเถิด” ผู้ดูแลกิจการสวียิ้ม แม้ชายชราจะพยายามอย่างถึงที่สุดที่จะแสดงไมตรีจิต แต่ความลึกลับน่าขนลุกที่หยั่งรากลึกอยู่ในกระดูก กลับทำให้รอยยิ้มของเขาดูน่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก

เมื่อเห็นรอยยิ้มนั้น หวังเป่าเล่อก็ตัวสั่นเล็กน้อยอยู่ภายใน รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล หลังจากที่ทำมือคารวะอีกครั้ง ทั้งสองก็ออกจากบริเวณต้องห้ามมาในที่สุด

ระหว่างทางกลับไปยังเรือบินรบของกองทหารวิหคน้ำแข็ง หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงสายตาของผู้ดูแลกิจการสวีที่มองมายังเขา สายตานั้นดูมีแววหยั่งลึกที่ชายหนุ่มเองก็ไม่เข้าใจ ความรู้สึกประหลาดนี้ทวีมากขึ้นอีกเมื่อผู้ดูแลกิจการสวีเริ่มซักประวัติเขา

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกระแวงเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าผู้ดูแลกิจการสวีเริ่มสงสัยตัวตนที่แท้จริงของตน…ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เขาถอนหายใจออกมาทันทีที่ถึงเรือบินรบกองทหารวิหคน้ำแข็ง และผู้ดูแลกิจการสวีได้จากไปแล้ว ก่อนก้มลงมองตราประจำตัวสีฟ้าในมือตน

ตราประจำตัวนี้คือตราวงแหวนปราณที่ผู้ดูแลกิจการสวีมอบให้เขาก่อนจากไป เขาเพียงแต่ต้องใส่พลังปราณของตนเข้าไปเท่านั้นเพื่อประทับตรา จากนั้นก็สามารถปล่อยตราประจำกองทหารของเขาไว้ในวงแหวนปราณแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ได้เลย ระหว่างนี้สำนักจะจัดการหาฐานที่มั่นให้เขาจากตราประทับที่ใส่เข้าไป

วิธีการนี้คล้ายกับเครือข่ายวิญญาณของสหพันธรัฐ ความแตกต่างก็คือเครือข่ายวิญญาณของสหพันธรัฐนั้นกระจายไปทั่วอาณาจักรและใครก็เข้าถึงได้ แต่สำหรับที่นี่…แบ่งแยกออกเป็นก๊กเป็นเหล่าแทน

หลังจากที่เก็บตราประจำตัวกลับเข้ากระเป๋าเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็เดินทางกลับสู่ฐานที่มั่นกองทหารวิหคน้ำแข็งด้วยความปรีดาถึงขีดสุด เสียงเครื่องยนของเรือบินรบดังลั่นขณะเหาะออกจากดาวเคราะห์มหาทัณฑ์

สำหรับการกลับมาในครั้งนี้ สถานะของชายหนุ่มได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาไม่ได้เป็นสมาชิกกองทหารวิหคน้ำแข็งอีกต่อไป หากแต่เป็นผู้นำกองทหารใต้บังคับบัญชา และถึงแม้ตำแหน่งของเขาจะต่ำกว่าหลิงโยว แต่ก็ยังมีศักดิ์เป็นถึงผู้บัญชาการทหาร

ด้วยเหตุนี้…เมื่อเรือบินรบลงจอดเทียบท่า กองทหารวิหคน้ำแข็งก็ได้เตรียมพิธีการต้อนรับอย่างเป็นทางการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว โดยทั้งเทพธิดาหลิงโยวและผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนอื่นๆ ใต้อาณัติของนางก็มาร่วมงานด้วยเช่นกัน

งานต้อนรับนี้มีพิธีรีตองไม่น้อย แต่หวังเป่าเล่อที่มีประสบการณ์อย่างโชกโชนนั้นคุ้นชินกับงานเช่นนี้เป็นอย่างดี จึงรับมือได้อย่างไม่ติดขัด เขาพูดคุยกับทุกคน ทั้งยังแสดงความขอบคุณเทพธิดาหลิงโยว และตอบตกลงเงื่อนไขก่อนหน้านั้นที่คุยกันเอาไว้ด้วย

ท้ายที่สุด เทพธิดาหลิงโยวก็เชิญชวนให้หวังเป่าเล่อออกไปตั้งกองทหารของตนหลังจากที่หลอมโล่ให้เสร็จตามสัญญา ซึ่งชายหนุ่มก็ตอบตกลง

เมื่องานเลี้ยงเลิกรา หวังเป่าเล่อที่บัดนี้อยู่คนเดียวอีกครั้ง ก็อดรู้สึกเศร้าไม่ได้ที่ผู้ฝึกตนหญิงรอบกายเขายังคงสงวนท่าที แม้ว่าเขาจะยอดเยี่ยมยิ่งใหญ่เพียงใด แม้ดวงตาของทุกคนจะเป็นประกายเจิดจ้ายามที่มองเขา แต่ก็ยังไม่มีใครพยายามให้ท่าแต่อย่างใด เรื่องนี้ทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างหนัก เมื่อกลับมาพักถ้ำที่พัก เขาก็ได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้นท่ามกลางความเงียบงัน

ช่างมันปะไร ต่อให้มายั่วข้าก็ไม่เอาหรอก! หวังเป่าเล่อฮึดฮัดอยู่คนเดียว หลังจากที่ปัดความคิดเรื่องนี้ออกไปจากหัว ดวงตาของชายหนุ่มก็หรี่ลง

ในเมื่อโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของข้าถูกยึดไปแล้ว ข้าจะต้องรีบสร้างชิ้นที่ดีกว่าโดยเร็ว มิเช่นนั้นเมื่อเจอภัยอันตรายหลังออกจากกองทหารวิหคน้ำแข็งไปแล้ว คงจะจัดการได้ยากเป็นแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้นหวังเป่าเล่อก็รวบรวมความคิดอีกครั้ง และเริ่มประเมินวิธีการหลอมโล่ใหม่ที่ตนเคยคิดออก

สิ่งสำคัญที่สุดคือเคล็ดวิชาพิเศษในการหลอมอาวุธเทพที่อยู่ในสูตรซึ่งเจ้าอู่น้อยมอบให้

การรื้อสร้าง… พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือการสร้างขึ้นมาใหม่หลังจากแยกชิ้นส่วน! ชายหนุ่มเปิดกระเป๋าของตนเองและหยิบวัตถุดิบที่เทพธิดาหลิงโยวมอบให้ระหว่างงานเลี้ยงออกมา ปริมาณของวัตถุดิบเหล่านั้นรวมสิ่งที่เขาเสียไปจากการประลองด้วย จึงทำให้ชายหนุ่มไม่ต้องออกไปหาทรัพยากรที่ไหนมาเพิ่มอีก

เวลาเดินหน้าผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนครบหนึ่งเดือน แม้ชื่อเสียงของเขาจะโด่งดังขึ้นมาทั้งในกองทหารวิหคน้ำแข็งและในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ และหลายคนรู้ว่าเขาได้รับสิทธิ์ในการตั้งกองทหารมาไว้ในครอบครองแล้ว แต่ในหนึ่งเดือนนี้ชีวิตหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย

เขาแทบไม่ออกจากที่พัก และมุ่งมั่นอยู่กับการรื้อสร้างโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา ผลที่ออกมานั้นทำให้เขาพึงพอใจเป็นอันมาก หวังเป่าเล่อใช้วิธีการใหม่หลอมโล่ให้บรรลุไปถึงระดับ 17 ดังเดิม จากนั้นเขาก็ยังไม่หยุดมือ แต่ดันพลังของโล่ให้ขึ้นไปหยุดที่ระดับ 28!

พลังสะท้อนกลับของโล่ระดับนี้แข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด และยังเป็นอันตรายต่อผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะอีกด้วย แม้จะยากที่จะสะท้อนการโจมตีขั้นจิตวิญญาณอมตะกลับไปได้ร้อยละ 280 แต่ก็ยังทำได้มากกว่าครึ่ง

ส่วนหน้าตาของโล่ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงเช่นกัน มันไม่ได้ดูเหมือนโล่ขนาดเล็กอีกต่อไป หากแต่กลายเป็นหยดน้ำเล็กๆ จำนวนมากที่ก่อตัวกันเป็นชั้นบนร่างกายชายหนุ่มเพื่อปกป้องเขาจากอันตราย

ระหว่างนั้นชายหนุ่มก็หลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการุ่นเก่าครบร้อยชิ้นตามที่สัญญากับเทพธิดาหลิงโยวเอาไว้ และเมื่อส่งมอบของ เขาก็สามารถจากที่แห่งนี้ไปเมื่อใดก็ได้ หวังเป่าเล่อออกจากการถือสันโดษ หยิบตรากองทหารของตนออกมาด้วยแววตาเป็นประกาย

ต่อมาก็ต้องเริ่มสร้างกองทหารสินะ ข้าจะตั้งชื่อว่าอะไรดี… หวังเป่าเล่อรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย เขาคิดเรื่องนี้เอาไว้บ้างขณะที่กำลังหลอมวัตถุเวท แม้พลังของกองทหารจะไม่เกี่ยวกับชื่อ แต่ชื่อนั้นก็ยังสำคัญมากอยู่ดี ชื่อที่ดีจะทำให้กองทหารดูน่าเกรงขามขึ้นมากโขเลยทีเดียว

ชื่อที่ดีที่สุดคงจะหนีไม่พ้นกองทหารเป่าเล่อ ช่างเป็นชื่อที่เต็มไปด้วยความยิ่งใหญ่เหลือเกิน ทว่า… หวังเป่าเล่อถอนหายใจยาว เสียแต่ว่ามีจั่วอี้เซียนอยู่ที่นี่ด้วย มิเช่นนั้นคงไม่มีใครสงสัยชื่อนี้อย่างแน่นอน

กองทหารพิทักษ์ผู้นำสหพันธรัฐดีหรือไม่นะ หวังเป่าเล่อเริ่มมีประกายความคิดขึ้นมา แต่ก็นึกได้ว่าชื่อนั้นดูไม่ค่อยเหมาะเท่าใดนัก หลังจากคิดอยู่นาน เขาก็ส่งข้อความเสียงไปหาเจ้าลาและเจ้าอู๋น้อยที่อยู่ข้างนอก เพื่อให้ทั้งสองช่วยคิดชื่อให้

คำตอบของเจ้าลานั้นเรียบง่ายมาก เพราะมันทำได้แค่ส่งเสียงฮี้ฮ่อ แต่เจ้าอู๋น้อยดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษ หลังจากคิดอยู่สักพักเขาก็เสนอความคิดของตนเองออกมา

“ท่านบิดา ท่านว่าชื่อผ่าวิญญาณดีหรือไม่ขอรับ”

“กองทหารผ่าวิญญาณรึ” หวังเป่าเล่อคิดอย่างถี่ถ้วน

“ขอรับ ในอาณาจักรพิภพทมิฬนั้นมีกองทัพที่แข็งแกร่งมากอยู่หนึ่งกองทหาร พวกเขามีนามว่ากองทหารผ่าวิญญาณ ชื่อนี้ช่างดูยิ่งใหญ่เกรียงไกรเหมาะกับท่านบิดาเหลือเกินขอรับ”

“ธรรมดาเกินไป!” หวังเป่าเล่อกลอกตา เขารู้สึกว่าชื่อกองทหารผ่าวิญญาณนั่นดาษดื่นถึงที่สุดและฟังดูไม่ค่อยฉลาดน่านับถือเท่าใดนัก สู้ชื่อกองทหารเป่าเล่อไม่ได้แม้แต่น้อย

แต่หลังจากที่คิดอยู่นาน หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจได้ว่าตนเองไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เขาจึงทำได้เพียงรวมพลังปราณของตนเข้ากับตราประจำตัวในมือเพื่อทิ้งร่องรอยของตนเองเอาไว้ และประทับนามของกองทหารตนเองลงไปบนตราสีฟ้า

ผ่าวิญญาณ!

…………………………

บทที่ 788 ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลาย!
โลกภายใต้พระจันทร์สีเลือดแดงฉานราวอาบด้วยโลหิต แอ่งกระทะบนพื้นกลายเป็นสีแดงเข้ม เสียงโซ่ตรวนขยับกระทบกันประสานกับเสียงร้องโหยหวนดังออกจากถ้ำทั้งเก้า เมื่อได้เห็นและได้ยินทุกสิ่งทุกอย่าง สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็พลันเคร่งขรึมขึ้นทันที ผู้ดูแลกิจการสวีที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความชั่วร้ายดำมืดเปิดปากพูด เสียงแหบแก่ชราของเขาให้ความความรู้สึกกระหายเลือด และดังกังวานไปทั่วบริเวณ

“เจ้าหลงน้อย รอสิ่งใดอยู่เล่า จงไปนั่งกลางสระน้ำเก้าอมตะเสีย การรับพรจะสิ้นสุดเมื่อเจ้าบรรลุขั้นปราณ หรือเมื่อเวลาสองชั่วโมงจบลง ขึ้นอยู่กับว่าสิ่งใดเกิดก่อน!”

หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใดที่ถูกเรียกว่าเจ้าหลงน้อย และรีบตอบรับคำสั่งของผู้ดูแลกิจการสวีในทันที แม้ชายหนุ่มจะลังเลอยู่ในใจ แต่ก็รีบตั้งสติและกระโจนลงไปกลางหลุม ร่างของเขาพลันจมลงไปใต้แอ่งกระทะ

กลิ่นเลือดรุนแรงโชยมาเข้าจมูก พื้นเป็นสีแดงเข้มราวกับคอยซับเลือดอยู่เป็นอาจิณ

หวังเป่าเล่อมองดูบรรยากาศรอบตัวโดยไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใด เขานั่งขัดสมาธิลงกับพื้นและเงยหน้าขึ้นมองด้านบน ตอนนั้นเอง เมื่อเสียงโซ่ตรวนเหล็กกระทบกันพร้อมด้วยเสียงร้องโหยหวยจากถ้ำทั้งเก้าดังขึ้นจนถึงขีดสุด วินาทีต่อมา ร่างยักษ์ร่างหนึ่งก็พุ่งพรวดออกจากถ้ำ!

ร่างนั้นไม่ใช่ผู้ฝึกตน หากแต่เป็นกิ้งก่ายักษ์สองหัว ทันทีที่มันพุ่งออกจากถ้ำ กิ้งก่ายักษ์ก็กระโจนขึ้นไปในอากาศ ส่งเสียงกรีดร้องพร้อมดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ราวกับอยากจะหนีไปให้ไกลอย่างไรอย่างนั้น!

แต่โซ่ตรวนกลับจิกเข้าไปในเนื้อ ห้ามร่างของมันเอาไว้จากอิสรภาพ ไม่ว่ากิ้งก่ายักษ์จะดิ้นรนให้ตายเพียงใดก็ไม่มีความหมาย มันทำได้เพียงขยับตัวไปมาอยู่แถวถ้ำของตนเท่านั้น ไม่สามารถออกไปได้ไกล!

กระแสสายฟ้าสีแดงแลบออกจากโซ่เป็นระยะๆ ทำให้กิ้งก่ายักษ์กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เกล็ดบนร่างกายมันลุกชัน ปล่อยพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์ออกมา เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของมัน มาพร้อมไอพลังโหดเหี้ยมเหนือคำบรรยายที่ทำให้ท้องฟ้าต้องสั่นสะท้าน

ยังไม่จบเพียงเท่านั้น สิ่งมีชีวิตอื่นๆ นอกจากกิ้งก่ายักษ์ต่างกระโจนจากถ้ำของตนออกมาตามๆ กัน มีทั้งมังกรยักษ์ สิ่งมีชีวิตคล้ายพืช และสิ่งมีชีวิตที่ดูเหมือนผู้ฝึกตนแต่ไม่ใช่ ทุกตนถูกจองจำเอาไว้ด้วยโซ่ตรวน และล้วนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากสายฟ้าสีแดงเช่นกัน ทั้งชีวิตมีเพียงความบ้าคลั่งและความเจ็บปวดเท่านั้นให้รู้สึก!

เมื่อเห็นภาพทั้งหมดนี้ หวังเป่าเล่อก็หายใจถี่ เขารู้แล้วว่าสระน้ำเก้าอมตะมีไว้เพื่อสิ่งใด ที่แห่งนี้กักขังสิ่งมีชีวิตขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์เอาไว้เก้าตน เป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรมาจารย์และผู้ดูแลกิจการสวีจับมาด้วยตนเองจากอารยธรรมที่พวกเขาไปปล้นทำลายมา

สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ไม่ได้ถูกสังหาร หากแต่ถูกจองจำเพื่อเป็นรางวัลแก่ศิษย์ของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์!

“เจ้าหลงน้อย เริ่มแล้วนะ” เสียงของผู้ดูแลกิจการสวียิ่งดูเหี้ยมขึ้นอีกท่ามกลางเสียงโหยหวยด้วยความเจ็บปวดของสิ่งมีชีวิตทั้งเก้า สีหน้าของเขาบ่งบอกเล็กน้อยว่าชื่นชอบภาพตรงหน้า ชายชราสร้างผนึกฝ่ามือด้วยมือขวา พลันโซ่ตรวนที่ตรึงสิ่งมีชีวิตทั้งเก้าเอาไว้ก็กลายเป็นสีแดง สายฟ้าที่รุนแรงกว่าเดิมชอนไชเข้าไปในร่างของสิ่งมีชีวิตทั้งเก้าในทันที

วินาทีต่อมาเสียงกรีดร้องก็ทวีความน่าขนลุกขึ้นไปอีก พลังชีวิตไหลบ่าออกจากร่างของพวกมันอย่างควบคุมไม่ได้ ด้วยความที่พวกมันมีปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะ พลังที่ไหลออกมานั้นจึงมีทั้งพลังชีวิตและพลังปราณ แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นพลังที่มากกว่าพลังปราณด้วยเช่นกัน

เห็นได้ว่าพลังชีวิตที่แผ่ออกมานั้นมีสภาพเป็นหมอกซึ่งไหลออกจากรูทวารทั้งเจ็ด หมอกเหล่านั้นไหลผ่านกำแพงหน้าผาเข้าท่วมแอ่งเบื้องล่าง กระบวนการนี้ฉีกร่างของพวกมันเป็นชิ้นๆ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดอันยากจะทานทน เลือดสดๆ ไหลออกจากร่างกายที่สั่นเทิ้ม เลือดนี้…เป็นตัวการที่ทำให้พื้นแอ่งกระทะมีกลิ่นโลหิตเข้มข้นนั่นเอง!

ภาพตรงหน้านั้นโหดร้ายเหลือทน พลังชีวิตของสิ่งมีชีวิตขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งเก้ายังคงทะลักออกจากร่างอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด สำนักไม่ยอมปล่อยให้พวกมันตาย ราวกับว่าสิ่งมีชีวิตทั้งเก้านี้เป็นถูกใช้เป็นภาชนะและสมบัติเวทขนาดใหญ่ยักษ์อย่างไรอย่างนั้น

หวังเป่าเล่อเงียบงัน เขาหลับตาลงเพื่อซ่อนภาพนั้นไว้เบื้องหลังเปลือกตา และเริ่มดูดพลังชีวิตที่หลั่งไหลเข้ามาทันที ที่ทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะชายหนุ่มใจไม้ไส้ระกำ เพียงแต่ว่าความเมตตา ศีลธรรม และความต้องการปกป้องของเขานั้น มีไว้เพื่อสหพันธรัฐเพียงเท่านั้น!

สิ่งอื่นๆ ไม่ได้อยู่ในความใส่ใจของเขาแต่อย่างใด เขาไม่มีอำนาจไปยุ่มย่ามก้าวก่ายกิจการของอารยธรรมอื่น นอกจากนี้…เขารู้แก่ใจดีอยู่แล้วว่าโลกแห่งการฝึกตนนั้นโหดเหี้ยมเพียงใดตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวเข้าสู่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์

ตัวตนนี้ของเขาไม่ได้เกิดจากการถูกหล่อหลอมด้วยประสบการณ์วัยเด็ก หากแต่เป็นธรรมชาติภายในสหพันธรัฐที่ทุกคนพึงรู้แต่แรก นับตั้งแต่วินาทีที่กระบี่สำริดเขียวโบราณพุ่งเข้าชนดวงอาทิตย์ และนำพายุคกำเนิดวิญญาณมาสู่มวลมนุษยชาติ!

สงครามอสูรมากมายอุบัติขึ้นพร้อมการมาถึงของยุคกำเนิดวิญญาณ ทำให้มนุษย์โลกทั้งสองชั่วอายุคนคุ้นเคยกับเลือดและความตายดี

เส้นทางแห่งการฝึกตนนั้น ยิ่งถลำตัวเข้าไปลึกเท่าใด ก็ยิ่งโหดเหี้ยมอันตรายมากขึ้นเท่านั้น!

แม้เขาจะรู้สึกตกใจกับสิ่งที่ได้เห็นบ้าง แต่ความรู้สึกที่รุนแรงมากกว่าสิ่งใด…คือความมุ่งมั่นที่จะไม่ปล่อยให้ภาพนี้เกิดขึ้นกับสหพันธรัฐอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงปล่อยพลังของตนออกมา และใช้อำนาจทุกอย่างที่มีในการดูดพลังชีวิตซึ่งไหลหลั่งออกมาเข้าไป!

หวังเป่าเล่อมีปราณอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลาง เมื่อได้รับพลังชีวิตจากสิ่งมีชีวิตทั้งเก้า เขาก็ทำตนเหมือนฟองน้ำที่ดูดซับทุกสิ่งเข้าหาตน ภายในระยะเวลาอันสั้น ปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลางที่เขาเพิ่งบรรลุก็หยั่งรากสมบูรณ์ในกายของชายหนุ่ม

แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อยังไม่พอใจกับความเร็วในการดูดซับและปริมาณพลังชีวิตที่ได้รับมา ชายหนุ่มจึงใช้กระบวนท่าสารัตถะบังหน้า แล้วแอบปล่อยพลังเมล็ดดูดกลืนภายในกายออกไปเล็กน้อย

เมล็ดดูดกลืนเปลี่ยนร่างของเขาให้เป็นเสมือนหลุมดำ ทันใดนั้น หมอกพลังชีวิตที่อยู่รอบกายเขาซึ่งกำลังก่อตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มไหลออกจากแอ่งก็เริ่มยุบตัวลงทันที!

เมื่อเทียบกับปริมาณทั้งหมดแล้ว ระดับของหมอกที่ลดลงนั้นไม่ได้เยอะมาก หวังเป่าเล่อค่อยๆ ควบคุมพลังการดูดกลืนของตนให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ตามปริมาณหมอกที่ลดลง

หลังจากผ่านไปสิบห้านาที ร่างของชายหนุ่มก็สั่นสะท้าน พลังปราณของเขาขึ้นไปอยู่ที่จุดสูงสุดของขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลาง และกำลังจะบรรลุไปสู่ชั้นปลาย ที่ทำเช่นนี้ได้เพราะสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ออกแบบและสร้างแอ่งกระทะนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ และโซ่ตรวนเหล่านั้นก็มีคุณสมบัติพิเศษในการเปลี่ยนพลังชีวิตให้อยู่ในรูปแบบที่ดูดซึมได้เร็ว พลังชีวิตที่ไหลออกจากสิ่งมีชีวิตทั้งเก้าจึงไม่ต่างอะไรกับโอสถอมตะแม้แต่น้อย!

ความแตกต่างเดียวคือโอสถเป็นพลังชีวิตที่ถูกกักเก็บไว้ แต่พลังชีวิตที่หวังเป่าเล่อกำลังดูดเข้าไปคือพลังที่ไหลออกจากร่างแบบสดๆ

หวังเป่าเล่อไม่มีปัญหาเรื่องการดูดพลัง แต่อำนาจเหนือธรรมชาติของเมล็ดดูดกลืนที่ทำให้ชายหนุ่มดูดพลังชีวิตได้เร็วขึ้น ทำให้ผู้ดูแลกิจการสวีเริ่มสนใจ แววตาของเขาเป็นประกายขณะหันกลับมามองหวังเป่าเล่อให้ดีอีกครั้ง

ดูเหมือนว่าหมอนี่จะมีความลับซ่อนอยู่ในกาย แต่…ในเมื่อเจ้าเด็กหลิงโยวไว้เนื้อเชื่อใจเขา ก็คงไม่เป็นไรกระมัง ผู้ดูแลกิจการสวีคิดอยู่สักพักและตัดสินใจเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ปล่อยให้หวังเป่าเล่อดูดพลังได้ตามใจชอบ

สิบห้านาทีผ่านไปในรูปการณ์นี้ หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าตนเองกำลังเดินทางมาสู่หัวเลี้ยวหัวต่อของการบรรลุปราณ ชายหนุ่มมั่นใจว่าอีกอึดใจเดียว ตนจะก้าวผ่านปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลางไปเป็นชั้นปลายอย่างแน่นอน

และในวินาทีที่เขาบรรลุขั้นปราณ การรับพรนี้ก็จะจบลงตามกฎ

ความเร็วนี้ทำให้ชายหนุ่มทั้งตัวสั่นด้วยความกลัวและเกิดความกระหายอันไร้ก้นบึ้ง แต่ด้วยความที่มีคนนอกอยู่ด้วย หวังเป่าเล่อจึงนำเกราะจักรพรรดิของตนออกมาดูดพลังไม่ได้ และหากแอบทำก็คงไม่เป็นการดีเช่นกัน หลังจากที่คิดอยู่สักพัก เขาจึงตัดสินใจใช้พลังชีวิตเหล่าหลอมสร้างร่างอวตารจากกระบวนท่าสารัตถะให้แข็งแกร่งขึ้นแทน!

ข้าจะปล่อยให้โอกาสทองเช่นนี้สูญไปโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้! คิดได้ดังนั้นหวังเป่าเล่อก็แอบใช้พลังชีวิตที่ได้รับมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้ร่างอวตารของตน มันก็ได้ผลอยู่บ้าง แต่ร่างอวตารนี้ต้องการพลังจำนวนมากจึงทำให้พัฒนาไปได้อย่างเชื่องช้า แต่หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าหากตนทำเช่นนี้ต่อไป ไม่ใช่เพียงร่างอวตารของเขาเท่านั้นที่จะแข็งแกร่งขึ้น แต่ร่างจริงก็จะพัฒนาขึ้นด้วยเช่นกันเมื่อรวมร่างเข้าด้วยกันอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงเดินหน้าหลอมร่างอวตารของตนด้วยความระมัดระวังและความกระวนกระวายกลัวว่าจะโดนจับได้

ผู้ดูแลกิจการสวีรู้สึกถึงปัญหาใหม่ได้ในทันที เขาเปิดเปลือกตาขึ้นมองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสีหน้าประหลาด ชายชรามุ่นคิ้วเล็กน้อย แต่หลังจากที่คิดว่าเทพธิดาหลิงโยวไว้ใจพ่อหนุ่มคนนี้ และคิดถึงความจริงที่ว่าหลงหนานจื่อพรั่งพร้อมด้วยไหวพริบและไม่ใช่คนที่จะทำอะไรเลยเถิด เขาจึงตัดสินใจกระแอมกระไอออกมาในที่สุดและทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเสีย

เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นว่าผู้ดูแลกิจการสวีไม่ได้พยายามหยุดเขา ดวงตาของชายหนุ่มก็ฉายแสงวาบ เขาเพิ่มพลังการดูดของตนเองในทันที หนึ่งชั่วโมงต่อมา พลังปราณในหลุมทั้งหมดก็ใกล้หมดลง ผู้ดูแลกิจการสวีลืมตาขึ้นอีกครั้งและเอ่ยด้วยเสียงเย็น

“สิบวินาที!”

เมื่อได้ยินดังนั้นหวังเป่าเล่อก็เพิ่มความเร็วในการดูดซึมของตนเองอีกครั้ง ทันทีที่สิ้นเวลาสิบวินาที ชายหนุ่มก็ไม่พยายามกดพลังของตนเองอีกต่อไป เขาพลันบรรลุสู่ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายอย่างรวดเร็ว!

ทันทีที่กลายเป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลาย เสียงดังลั่นก็ระเบิดออกจากกายชายหนุ่ม ไอพลังที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิมระเบิดออกมา ร่างของเขาทะลึ่งพรวดขึ้นไปในอากาศ ยืนค้างอยู่บนความว่างเปล่าเบื้องบน ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นส่งเสียงคำราม ท้องฟ้าและสรวงสวรรค์สั่นสะเทือน ทั้งลมและเมฆถูกปัดเป่าปลิวไปด้วยอำนาจของหวังเป่าเล่อ พายุรุนแรงปะทุขึ้นรอบกายในทันที

……………………….

บทที่ 787 เข้าพบปรมาจารย์!
จะไม่กลัวได้อย่างไรเล่า หลังประตูนี้มีปีศาจระดับดาวพระเคราะห์รออยู่ แถมผู้ฝึกตนที่ใกล้จะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์อยู่รอมร่อตรงหน้าข้าก็ยิ้มให้อย่างน่าขนลุกเป็นบ้า… หวังเป่าเล่อคิด แต่หลังจากที่คิดว่าตนเองเคยเจอผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์คนอื่นๆ มาแล้ว ทั้งยังเคยเห็นอสูรกายระดับดาวพระเคราะห์สองตัวเข้าประสานงากันและตายลงต่อหน้าต่อตา…

แถมการจะฆ่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์สักคนยังเป็นเรื่องหวานหมูสำหรับศิษย์พี่ข้า ไม่เห็นจะมีสิ่งใดต้องกลัว! เมื่อคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็รู้สึกมั่นใจขึ้นมาในทันที เขาทำความเคารพผู้ดูแลกิจการเบื้องหน้า ตั้งใจสูดหายใจเข้าลึกให้อีกฝ่ายเห็น ก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในวัง!

หวังเป่าเล่อไม่ได้รับรู้แม้แต่น้อยว่าภายในของวังนั้นยิ่งใหญ่โอฬารเพียงใด เนื่องจากดวงตาของเขาเอาแต่จับจ้องอยู่ที่ร่างซึ่งประทับอยู่บนบัลลังก์ใหญ่ยักษ์อย่างไม่ละสายตา ร่างนั้นเปรียบเสมือนพายุหมุนขนาดใหญ่ที่หมายดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่างให้มลายสิ้น

ชายผู้นั้นทำให้หวังเป่าเล่อตัดภาพความโอ่อ่าของวังออกไปจากการรับรู้จนหมดสิ้น สิ่งเดียวที่เขามองเห็นคือร่างที่เหมือนเทพเจ้าซึ่งหลบซ่อนอยู่ในความมืดบนบัลลังก์เบื้องหน้า!

ปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์!

แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้เข้าเฝ้าปรมาจารย์ แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าเฝ้าเพียงลำพัง บรรยากาศภายในวังเต็มไปด้วยความกดดัน จนทำให้หวังเป่าเล่อหยุดหายใจไปชั่วขณะโดยไม่รู้ตัว แต่ชายหนุ่มคงคิดขึ้นมาได้ว่าศิษย์พี่ของเขานั้นแข็งแกร่งกว่ามาก จิตใจจึงสงบลงมาได้ ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ก้าวมาด้านหน้าสองก้าว โค้งคำนับต่ำก่อนเอ่ยทำความเคารพ

“คารวะท่านปรมาจารย์ ขอให้ท่าน …”

“พอแล้ว!” หวังเป่าเล่อกำลังจะเริ่มบทสรรเสริญอีกครั้ง แต่น้ำเสียงต่ำของปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ดังปรามขึ้นมาเสียก่อน เขาไม่ได้ให้เวลาหวังเป่าเล่อตอบด้วยซ้ำ หากแต่โบกมือเพื่อดึงโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาออกมาจากตัวของชายหนุ่ม โล่ถูกตัดขาดจากจิตของหวังเป่าเล่ออย่างสิ้นเชิงด้วยอำนาจแห่งปรมาจารย์ แล้วลอยเข้าหาอีกฝ่ายในทันที

โล่อื่นๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ในกายของหวังเป่าเล่อก็บินตรงเข้าหาปรมาจารย์เช่นกัน ท้ายที่สุดแล้วก็เหลือเพียงใยแสงเส้นบางเท่านั้น เพราะโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาได้ไหลออกจากกายของหวังเป่าเล่อ ไปก่อเป็นตัวเป็นก้อนแสงรูปวงรีขนาดเท่าฝ่ามืออยู่ตรงหน้าของปรมาจารย์!

แสงนั้นโปร่งบางราวกับไม่มีอยู่จริง บางทีก็สว่างใสเหมือนผลึกแก้ว บางทีก็มืดมนมัวหมอง บางทีก็เปล่งปลังสุกสกาว และบางทีก็ดับมืดพร่ามัว

ภาพนี้ทำให้ม่านตาของหวังเป่าเล่อหบแคบลงเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า ชายหนุ่มยืนก้มศีรษะด้วยความเคารพระหว่างเฝ้ารอในความเงียบอย่างใจเย็น

หวังเป่าเล่อตระหนักถึงช่องว่างระหว่างพลังของตนเองและผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์อย่างชัดเจน และในขณะเดียวกันก็รู้ดีว่าสูตรการหลอมโล่นั้นเป็นของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ต่อให้เขานำสูตรมาปรับปรุง แต่ก็ยังยึดถือตามฐานความรู้เดิม เขาไม่รู้ว่าจักพรรดิใช้อำนาจพลังปราณในการตัดจิตเชื่อมโยงระหว่างเขากับโล่ หรือว่าใช้เคล็ดวิชาลัดของโล่ในการกระทำเช่นนั้นกันแน่ แม้หวังเป่าเล่อจะมีท่าทางประหลาดใจเล็กน้อย แต่หลังจากที่คิดอยู่สักพัก ก็รู้สึกว่ามันสมเหตุสมผลดี

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าขณะที่ปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์พินิจโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา ใบหน้าของเขาซ่อนอยู่ในความมืด จึงไม่มีใครล่วงรู้ว่าคิดเช่นไร หลังจากผ่านไปสักพัก ปรมาจารย์ก็เอื้อนเอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบ

“สวีโยว เจ้าคิดว่าอย่างไร” ปรมาจารย์สะบัดข้อมือขวาเพื่อส่งโล่ให้ลอยไปสู่อากาศว่างเปล่าที่ด้านขวาของเขา มือเหี่ยวย่นยื่นออกมาจากความว่างเปล่าประทับเข้าที่โล่นั้น เลือดและเนื้อหลั่งไหลจากมือเข้าสู่โล่จนเห็นเป็นเค้าโครงของโล่ ราวกับมีพู่กันที่มองไม่เห็นกำลังวาดภาพโล่อยู่ในอากาศ ผู้ดูแลกิจการสวีก้าวจากความว่างเปล่าออกมายืนอย่างเต็มตัว

เขาโค้งคำนับเล็กน้อยขณะยืนอยู่เคียงข้างปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ก้มหน้าลงมองโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาในมือ หลังจากผ่านไปนาน เขาก็พูดทำลายความเงียบขึ้น

“งานฝีมือหยาบ วัตถุดิบดาษดื่น คุณภาพปานกลางขอรับ มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนในสำนักที่สามารถหลอมวัตถุเวทเช่นเดียวกันนี้ได้ในระดับที่ดีกว่าเสียด้วย หากเรามีวัตถุดิบก็สามารถเพิ่มระดับของโล่นี้ให้สูงขึ้นได้โดยไม่ยากเย็นอะไรเลย”

เมื่อได้ยินคำพูดของผู้ดูแลกิจการสวี หวังเป่าเล่อก็อดเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายไม่ได้ ขณะเดียวกัน ความคิดเห็นของผู้ดูแลกิจการสวีก็ทำให้ปรมาจารย์หันมามองหวังเป่าเล่อในทันทีพร้อมเอื้อนเอ่ยออกมา

“หลงหนานจื่อ เจ้าอยากแถลงไขหรือไม่”

หวังเป่าเล่อรู้สึกไม่พอใจอยู่ในอก อดคิดไม่ได้ว่าตนเองไม่เคยทำให้ชายชราไม่พอใจแม้แต่น้อย แล้วเหตุใดจึงตั้งใจวิจารณ์โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของเขาให้ด้อยค่าเช่นนี้กัน

กระนั้นประสบการณ์การครองตำแหน่งใหญ่ในสหพันธรัฐก็ทำให้เขารู้ว่าเรื่องนี้อาจมีจุดประสงค์แอบแฝง แม้จะเป็นการยากที่จะยืนยันก็ตามที หลังจากที่คิดวิเคราะห์อยู่สักพัก ชายหนุ่มก็ฝืนยิ้มพร้อมทำมือคารวะ

“ข้าไม่มีสิ่งใดจะแถลงไขขอรับ โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของข้าเป็นตามที่ว่าจริงๆ”

เมื่อหวังเป่าเล่อพูดจบ สีหน้าของชายชรายังนิ่งเรียบไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แต่ปรมาจารย์กลับหรี่ตาลง เขามองหวังเป่าเล่อ หันไปมองผู้ดูแลกิจการสวีข้างกายตน ก่อนหัวเราะออกมา

“สวีโยวที่รัก เจ้าตั้งใจขยายข้อด้อยของโล่นี้เพื่อทำให้เคล็ดวิชาการหลอมที่อยู่ภายในโดดเด่นขึ้นมาใช้หรือไม่ นอกจากนี้เจ้ายังต้องการทำให้ข้าตระหนักได้ว่าการหลอมโล่นี้ขึ้นมาเป็นร้อยเป็นพันชิ้นนั้นง่ายดายเพียงใด เจ้าหลิงโยวนั่นคงมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าอีกแล้วสินะ”

เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจของหวังเป่าเล่อก็เต้นแรงขึ้นเล็กน้อย เขามองหน้าผู้ดูแลกิจการสวีที่กำลังค้อมศีรษะต่ำและมีสีหน้าปกติ ชายชราเอ่ยตอบปรมาจารย์ด้วยท่าทีเคารพ

“ท่านปรมาจารย์ช่างหลักแหลมยิ่งนัก”

เมื่อได้ยินดังนั้น ปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็หัวเราะอีกครั้ง ก่อนถามด้วยน้ำเสียงเป็นกันเอง “แล้วเจ้าเด็กหลิงโยวนั่นมีข้อเสนอว่าอย่างไรเล่า”

“นางเสนอให้หลงหนานจื่อแลกเคล็ดการหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกากับสิทธิ์ในการสร้างกองทหารของตนเอง ข้าปฏิเสธข้อเสนอนี้ไป แต่ต้องการให้ท่านอนุญาตให้หลงหนานจื่อเข้ารับพรจากสระน้ำเก้าอมตะแทนขอรับ” น้ำเสียงของผู้ดูแลกิจการไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย มันเต็มไปด้วยไอประหลาดเย็นเยียบเช่นเดิม

“สิทธิ์ในการสร้างกองทหารของตนเองรึ…” ปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์หรี่ตาลง ก่อนลุกขึ้นยืนหลังจากคิดอยู่สักพัก เขาก้าวออกมาข้างหน้า พาร่างเข้าไปในความว่างเปล่า แสงสว่างเจิดจ้าราวดวงอาทิตย์ไหลเข้าท่วมทั่ววัง ร่างของปรมาจารย์หายไปในพริบตา มีเพียงเสียงของเขาเท่านั้นที่ค่อยๆ ดังกังวานไปทั่วทุกหนแห่ง

“ตกลง และข้าก็อนุญาตให้หลงหนานจื่อเข้ารับพรจากสระน้ำเก้าอมตะด้วยเช่นกัน!”

เมื่อได้ยินดังนั้น หวังเป่าเล่อก็หายใจถี่ด้วยความตื่นเต้น เขาประกาศเสียงดัง “ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งขอรับท่านปรมาจารย์ ข้า หลงหนานจื่อคนนี้ จะไม่มีวันลืมความเมตตาของท่านเลย!”

เขารู้ดีว่าการยกยอปอปั้นนั้นไม่ควรใช้บ่อยจนเกินไป โดยเฉพาะในการแสดงความขอบคุณ ยิ่งพูดน้อย ยิ่งจับใจคนฟังมากกว่า ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงพูดแต่สาระสำคัญเท่านั้น

แล้วก็ได้ผลจริงๆ เสียด้วย ด้วยความที่จิตของปรมาจารย์ยังออกจากวังไม่หมด เขาจึงได้ยินคำพูดแสดงคำขอบคุณที่กระชับสั้นได้ใจความของหวังเป่าเล่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินจากชายหนุ่มมาก่อน ปรมาจารย์ประหลาดใจเป็นอันมาก ตัวตนของหวังเป่าเล่อยิ่งประทับเข้าไปในความทรงจำของเขาขึ้นไปอีก

แม้แต่ผู้ดูแลกิจการสวียังเงยหน้าขึ้นมามองหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มหันไปหาชายชรา โค้งคำนับต่ำพร้อมเอ่ยคำขอบคุณ

“ขอบพระคุณผู้ดูแลกิจการสวีมากขอรับ!”

ผู้ดูแลกิจการสวีพยักหน้าและไม่กล่าวอันใดอีก เขาทำท่าให้หวังเป่าเล่อตามมา หลังออกจากวัง ทั้งสองก็เหาะไปยังเขตต้องห้ามที่หลังหุบเขา ชายหนุ่มไม่เคยเห็นที่แห่งนี้มาก่อน เมื่อก้มหน้าลงมอง ก็เห็นทิวเขาเรียงตัวเป็นแนวยาว โอบอุ้มด้วยหมอกที่ไหลวน ที่ปลายทางท้องฟ้ากลับมีหน้าตาประหลาด เนื่องจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นอยู่ในอีกอวกาศหนึ่ง แสงอาทิตย์ที่เคยสาดส่องก่อนหน้านี้จึงมืดลงทันทีที่ก้าวผ่านแนวเทือกเขามายังบริเวณต้องห้ามด้านหลัง ซึ่งมีดวงจันทร์กำลังทอแสงนวลในท้องฟ้าสีหมึก!

ทว่า…แสงนวลของดวงจันทร์กลับเป็นสีแดงชาด ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูประหลาดน่าขนลุก หมอกหนาขึ้นเรื่อยๆ จนชายหนุ่มมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอีกต่อไป ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังหลงทิศทาง บรรยากาศนี้ดำเนินไปเรื่อยๆ จนชายหนุ่มมาถึงแอ่งพื้นดินขนาดใหญ่!

แอ่งนี้ดูเหมือนจะสร้างโดยการระเบิดจากฝีมือมนุษย์ กำแพงโดยรอบค่อนข้างหยาบ และเต็มไปด้วยถ้ำจำนวนเก้าแห่งด้วยกัน กลิ่นเหม็นของเลือดสดๆ โชยจากแอ่งดินออกมาสู่บรรยากาศโดยรอบ กลิ่นนั้นประหลาดยิ่งนัก ทันทีที่หวังเป่าเล่อเข้าใกล้จนจมูกได้กลิ่น พลังปราณในกายของเขาก็พลันปั่นป่วนบ้าคลั่ง

ดวงตาของชายหนุ่มหดแคบ ดวงวิญญาณสั่นสะท้าน ผู้ดูแลกิจการสวีที่อยู่เบื้องหน้าเขาหยุดค้างอยู่กลางอากาศเหนือแอ่งกระทะ ชายชรามองลงเบื้องล่าง รอยยิ้มน่าขนลุกปรากฏขึ้นบนใบหน้า แสงสีแดงเลือดจากดวงจันทร์ทำให้เขาดูน่าสยองขึ้นไปอีก

“เจ้าหนุ่ม นี่คือสระเก้าอมตะแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ เจ้ามีโอกาสเดียวที่จะบรรลุขั้นปราณจากที่แห่งนี้ ทำให้ดีละ”

ขณะที่พูด ผู้ดูแลกิจการสวีก็ยกมือขวาขึ้นชี้ไปที่สรวงสวรรค์ เสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นสะท้อนก้องออกจากฟากฟ้า พื้นดินสั่นสะท้าน ดวงจันทร์สีเลือดบนท้องฟ้าทวีแสงสีแดงเข้มข้นขึ้น ประกายสีเลือดจากดวงจันทร์ไหลเข้าท่วมบริเวณต้องห้ามทั้งหมด และเปลี่ยนทุกหนแห่งให้กลายทะเลเลือด!

ในตอนนั้นเอง…เสียงโซ่ตรวนดังกระทบกันก็ลอยออกจากถ้ำทั้งเก้าที่กำแพงหน้าผา ตามมาด้วยเสียงร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดที่ไม่ใช่เสียงของมนุษย์!

……………………………

บทที่ 786 สิทธิ์การตั้งกองทหารของตน!
เมื่อได้ยินคำว่า “ยื่นไมตรีจิต” ภาพเรือนร่างของบุตรสาวหัวหน้าเสนาบดีแห่งสหพันธรัฐก็ผุดขึ้นมาในใจ จนหวังเป่าเล่ออดกวาดตามองเทพธิดาหลิงโยวตั้งแต่หัวจรดเท้าโดยไม่รู้ตัวไม่ได้…

หวังเป่าเล่อคนนี้ไม่ใช่ชายหื่นชอบฉวยโอกาสเช่นนั้น! เขาไม่อยากเชื่อแม้แต่นิดว่าตนเองจะเผลอทำเช่นนั้นไปได้ ชายที่มีจิตใจแสนบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างเขา จะมาแปดเปื้อนโดยจิตใต้สำนึกประหลาดเช่นนี้ไม่ได้เป็นอันขาด

เมื่อคิดได้ดังนั้นชายหนุ่มก็สูดหายใจเข้าลึก และใคร่ครวญอย่างรวดเร็วว่าตนเองจะตอบเทพธิดาหลิงโยวกลับไปอย่างไรดีเรื่องไมตรีจิตที่นางต้องการมอบให้ ในความจริง ก่อนที่เทพธิดาหลิงโยวจะมาหาเขาถึงที่ หวังเป่าเล่อก็เริ่มคิดสะระตะเกี่ยวกับโล่ของตนบ้างแล้วตั้งแต่ก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามา

เขามั่นใจมากว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของเขาที่แม้จะดูเหมือนแข็งแกร่งนั้น ต้องอ่อนกำลังลงอย่างมากแน่เมื่อเผชิญกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ แม้จะยังสะท้อนการโจมตีกลับไปได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่อัตราของมันจะเป็นร้อยละ 170 เท่าเดิม และหากพลังที่พุ่งเข้ามาปะทะแข็งแกร่งกว่านั้น ก็มีความเป็นไปได้เช่นกันที่โล่นี้แตกเป็นเสี่ยงๆ

ด้วยเหตุนี้…แม้ว่ามันจะมีค่ามาก แต่ก็ไม่ได้ล้ำค่าจนสวรรค์ยังต้องสะเทือนแต่อย่างใด การที่ปรมาจารย์จะสนใจโล่ชิ้นนี้ ย่อมไม่น่าใช่เพราะความแข็งแกร่งของมันที่ทำให้ทุกคนในสนามรบตกใจเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีเหตุผลอื่นด้วยแน่นอน

หากข้าลองวิเคราะห์ดูดีๆ ก็จะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องยากที่จะไข สิ่งที่ปรมาจารย์สนใจในโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาต้องเป็นวิธีการซ้อนอักขระที่ใช้ในการหลอมโล่เป็นแน่! หวังเป่าเล่อหรี่ตา ก่อนชั่งน้ำหนักเรื่องนี้อยู่ในใจ

เขาไม่ได้มีปัญหากับการถ่ายทอดความรู้เรื่องการซ้อนอักขระแต่อย่างใด เนื่องจากเดินมาถึงทางตันของวิธีนี้ โดยเสริมพลังโล่ได้ถึงระดับสิบเจ็ดแล้ว นอกจากนี้เขายังคิดวิธีหลอมโล่ให้ก้าวข้ามขีดจำกัดนั้นไปได้แล้วด้วย วิธีการใหม่ที่เขาคิดได้จะทำให้พลังของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาถูกดันไปอยู่ในระดับที่สูงขึ้น และทำให้ต่อกรกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะได้อยู่หมัดเลยทีเดียว

ดังนั้นการแลกเปลี่ยนความรู้เก่าก่อนจึงถือเป็นสิ่งที่ยอมรับได้สำหรับหวังเป่าเล่อ หลังจากที่คิดอยู่สักพัก ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองเทพธิดาหลิงโยวซึ่งกำลังจ้องเขาอยู่เช่นกัน สีหน้าของชายหนุ่มไม่ได้แสดงความรีบร้อนแม้แต่น้อย

“ท่านคิดว่าอย่างไรเล่า ท่านผู้บัญชาการ”

เมื่อได้ยินคำพูดของชายหนุ่ม ดวงตาของเทพธิดาหลิงโยวก็แสดงแววความรำคาญใจออกมาเล็กน้อย แม้เสียงของนางเย็นเยียบเหมือนน้ำแข็ง แต่ท่วงทำนองในการพูดจาก็ยังช้าชัดถ้อยชัดคำเช่นเดิม นางเอ่ยด้วยเสียงเบา “สิทธิ์ในการตั้งกองทหารของตนเองอย่างไรเล่า!”

เมื่อหวังเป่าเล่อได้ยินคำนั้น หัวใจของเขาก็เต้นเร็วขึ้นในทันที เขารู้สึกราวกับว่าตนเองถูกอ่านอย่างทะลุปรุโปร่งเหมือนหนังสือที่เปิดแผ่ไว้อย่างไรอย่างนั้น นั้นเพราะสิทธิ์ในการสร้างกองทหารของตนนั้นเป็นสิ่งที่เขาวางแผนไว้ตั้งแต่ต้นแล้ว เพียงแต่ทราบดีว่าการจะได้สิทธิ์นี้มาไว้ในครอบครอง เป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกินสำหรับศิษย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์

นั่นเพราะสิทธิ์ในการตั้งกองทหารของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์แตกต่างจากกองทหารของสำนักในอาณัติอย่างสิ้นเชิง ทั้งในเชิงความหมายและจุดประสงค์ ยกตัวอย่างเช่น หากกองทหารของสำนักในอาณัติต้องการเข้าประลองเพื่อยกฐานะตนเอง พวกเขาต้องจ่ายค่าธรรมเนียมราคาแพงจับใจ ทั้งยังต้องผ่านกระบวนการจากสำนักปกครองที่ยืดยาวเสียจนน่าอ่อนใจ ก่อนที่คำขอท้าประลองของพวกเขาจะได้รับการยอมรับ

แต่หากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ให้สิทธิ์ในการตั้งกองทหารกับเขา กองทหารนั้นก็จะถือเป็นกองทหารแห่งสำนักชั้นใน หากต้องการท้าประลองด้วยกันภายในหมู่กองทหารชั้นใน ก็เพียงแต่ต้องสมัครเท่านั้น แม้จะยังต้องจ่ายค่าธรรมเนียมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้แพงเท่าที่กองทหารชั้นนอกต้องจ่าย

จากการคำนวณของหวังเป่าเล่อ หากเขาต้องการเป็นผู้บัญชาการกองทหารชั้นในของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ เขาคงต้องใช้อะไรมากกว่าวิธีการซ้อนอักขระเพื่อให้ได้สิ่งนี้มา แต่ในเมื่อเทพธิดาหลิงโยวเสนอตัวช่วยเหลือและต้องการสร้างสัมพันธ์อันดีกับเขาในอนาคต ชายหนุ่มจึงรับรู้ได้ว่า…นางต้องเล็งเห็นถึงความเป็นไปได้ มิเช่นนั้นคงไม่เสนอเรื่องนี้ออกมาด้วยตนเอง

เมื่อวิเคราะห์มาถึงจุดนี้ หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจเข้าลึก ก้าวถอยหลังไปสองก้าว ยืนประจันหน้ากับเทพธิดาหลิงโยว และทำมือคารวะพร้อมโค้งคำนับ!

“ขอบพระคุณขอรับ ท่านผู้บัญชาการ!”

“สหายเต๋าหลงหนานจื่อ ข้าจะพยายามเต็มที่เพื่อให้สิ่งที่เจ้าขอเป็นจริง แต่ข้าก็มีสิ่งที่อยากขอร้องเจ้าเช่นกัน หากเจ้าทำสำเร็จและได้ก้าวขึ้นมามีกองกำลังของตนเองแล้วละก็ ข้าอยากได้เจ้าหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบเจ็ดจำนวนหนึ่งร้อยชิ้นให้กองทหารวิหคน้ำแข็ง เพื่อเป็นการตอบแทน…ข้าจะช่วยให้เจ้าบรรลุขั้นปราณเล็กๆ อีกขั้น เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า” เทพธิดาหลิงโยวมองหวังเป่าเล่ออย่างใจจดใจจ่อ นางมั่นใจว่าผู้ใดก็ตามที่สามารถหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาให้มาถึงระดับนี้ได้ ย่อมเป็นที่ต้องการของทุกกองทหารในอนาคตอย่างแน่นอน

แต่ชายคนนี้ก็ไม่ใช่ผู้ที่จะยอมอยู่ภายใต้การควบคุมของใคร การช่วยให้เขาได้มีกองทหารอาจแปลว่านางกำลังสร้างศัตรูให้ตนเองอยู่ก็เป็นได้ แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้ไม่มีสิ่งใดแน่นอน สิ่งเดียวที่แน่นอนคือนางได้ยื่นไมตรีจิตให้หวังเป่าเล่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และสิ่งนี้อาจเป็นประโยชน์แก่นางในอนาคตก็เป็นได้

แต่หากนางไม่ยื่นมือไปช่วยเหลือชายหนุ่ม และหากเขาถูกกองทหารอื่นดึงตัวไป ก็จะกลายมาเป็นภัยต่อกองกำลังของนางในระยะเวลาอันใกล้แน่นอน หลังจากที่ยื่นข้อเสนอไป เทพธิดาหลิงโยวจึงเอ่ยปากอีกครั้ง

“หากข้าช่วยให้เจ้าได้รับทุกสิ่งที่ต้องการ ข้าก็หวังว่าเจ้าจะยินดีเป็นบริวารใต้บังคับบัญชาของกองทหารวิหคน้ำแข็ง กองทหารของเจ้าและกองทหารของข้าจะได้เป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นต่อกัน แต่ไม่ต้องกังวลไป ตำแหน่งของกองทหารบริวารนั้นสูงส่งกว่ากองทหารในอาณัติทั่วไป เจ้าจะไม่ถูกจำกัดสิ่งใดแน่นอนนอกเสียจากมีเหตุจำเป็นจริงๆ !”

เมื่อพินิจเทพธิดาหลิงโยวอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าไม่มีเหตุผลอันใดที่จะต้องปฏิเสธอีกฝ่าย เขาจึงพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนกล่าวขอบคุณนางอีกครั้ง การเจรจาของทั้งสองจึงถือว่าเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด เทพธิดาหลิงโยวไม่คุ้นชินกับการพูดคุยกับผู้คนอยู่แล้ว นางจึงขอตัวจากไป

หวังเป่าเล่อมองรูปร่างสง่างามของเทพธิดาหลิงโยวที่เดินจากไปด้วยจิตใจซึ่งเต็มไปด้วยความคิดมากมาย แม้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะไม่ได้เป็นที่ที่ดีขนาดนั้น และผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ก็ล้วนเห็นแก่ตัวไม่มีความโอบอ้อมอารี แต่ดูเหมือนจะยังมีบางคนที่จริงใจและตรงไปตรงมา

หากทุกสิ่งดำเนินไปอย่างที่เทพธิดาหลิงโยวเอ่ย ก็จะถือเป็นสถานการณ์ที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับเขา หวังเป่าเล่ออดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นอยู่ลึกๆ เขานั่งขัดสมาธิอยู่ในถ้ำที่พักของตนเอง ทำสมาธิให้จิตใจสงบขณะเฝ้ารอเวลารุ่งสาง

หนึ่งราตรีผ่านไป หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นมาพบแสงสว่างยามเช้า หลังจากที่คำนวณเวลาในใจแล้ว เขาก็จัดเสื้อผ้าตนเองให้เรียบร้อยและก้าวออกจากที่พักไป ผู้ฝึกตนหญิงจากกองทหารวิหคน้ำแข็งที่ได้รับคำสั่งให้พาเขาไปยังจุดหมาย ได้มาคอยท่าอยู่แล้ว ทั้งสองมีปราณอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้น หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นหน้าทั้งสองมาก่อน แต่ก็รู้สึกคุ้นๆ ชอบกล ทั้งสองมองเขาด้วยสายตาประหลาด แต่ก็ยังมีสีหน้าเคารพอยู่

หวังเป่าเล่อหัวเราะออกมา ทักทายคนทั้งคู่และก้าวขึ้นเรือบินรบที่เตรียมเอาไว้สำหรับเขาโดยเฉพาะไปพร้อมผู้นำทางทั้งสอง พวกเขาจากดวงจันทร์บริวารซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกองทหารวิหคน้ำแข็ง เพื่อมุ่งหน้าไปยังดาวเคราะห์มหาทัณฑ์

เรือบินรบพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงโดยไม่หยุดแม้แต่ครั้งเดียว จนในที่สุดก็เดินทางมาถึงดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ มันพุ่งตัดผ่านประตูภูผาเข้าไปยังใจกลางของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ในทันที เมื่อเข้าไปในประตูเรียบร้อยแล้ว ผู้ฝึกตนหญิงทั้งสองก็จัดการทำความเคารพด้วยการโค้งคำนับเป็นมุมฉากเพื่อส่งหวังเป่าเล่อออกจากเรือบินรบไป

“สหายเต๋าหลงหนานจื่อ พวกเราทั้งสองนำทางท่านมาได้เพียงเท่านี้ หลังจากที่ได้พบท่านปรมาจารย์เรียบร้อยแล้ว โปรดกลับมาที่เรือบินรบลำนี้ พวกเราจะรอท่านอยู่ที่นี่”

การได้รับเกียรติเช่นนี้ทำให้หวังเป่าเล่อพอใจเป็นอันมาก เขาขอบคุณทั้งสองอย่างสุภาพอ่อนน้อม ก่อนหันไปมองสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เบื้องหน้า แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้มาเยือนที่แห่งนี้ แต่ก็ยังคงตื่นตาตื่นใจกับภาพที่เห็นอยู่ดี

หลังจากที่หวังเป่าเล่อสงบจิตสงบใจลงเรียบร้อยแล้ว ผู้ฝึกตนจากสำนักที่ถูกส่งมารับเขาก็เดินทางมาถึง ผู้ฝึกตนผู้นั้นหาใช่หญิงสาวที่หวังเป่าเล่อเคยมอบของกำนัลให้ไม่ หากแต่เป็นชายชราที่ใบหน้าเปื้อนไปด้วยกระและจุดด่างดำมากมาย ดวงตาทั้งสองข้างของเขาดูเหมือนจะลืมไม่ขึ้นแล้ว

ชายชราผู้นี้ดูอ่อนแอยิ่งนัก แต่เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นเขา ชายหนุ่มก็ตกอยู่ในสภาวะตกใจ นอกจากปรมาจารย์แห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์แล้ว ก็มีเพียงชายชราผู้นี้เท่านั้นที่ยากจะหยั่งถึง ไอพลังที่อีกฝ่ายปล่อยออกมานั้นดูช่างแสนอำมหิต ทำให้ใครก็ตามที่ได้สัมผัสรู้สึกราวกับกำลังจ้องมองอสรพิษร้ายอย่างไรอย่างนั้น

ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายรึ หรือว่าจะเป็นระดับดาวพระเคราะห์แบบครึ่งใบกันแน่ หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง เขาทำมือคารวะพร้อมโค้งตัวคำนับด้วยความเคารพอย่างสูง ผู้ฝึกตนหญิงทั้งสองเองก็ดูประหม่าและทำเช่นเดียวกันกับเขา

“ขอคารวะศิษย์พี่สวี!”

ชายชราคลี่ยิ้มเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นไม่ได้มาพร้อมความอบอุ่นแต่อย่างใด หากแต่ทำให้กลิ่นอายความอำมหิตรุนแรงยิ่งขึ้น

“พวกเจ้าทั้งสองนั่นเอง ข้าไม่ได้เจอเสียนาน โตขึ้นมากเลยนะ” ดวงตาของเขามองมาที่หวังเป่าเล่อขณะพูดถึงผู้ฝึกตนหญิงทั้งสอง ในแววตาไม่ได้แสดงอารมณ์ใดๆ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้จิตใจของหวังเป่าเล่อสั่นสะท้าน เขารู้สึกราวกับว่าตนเองเป็นหนังสือที่ถูกอ่านอย่างทะลุปรุโปร่งอีกครั้ง

“เจ้าเองก็ไม่เลวนะเจ้าหนุ่ม ตามข้ามา ท่านปรมาจารย์กำลังรอเจ้าอยู่ที่วังมหาทัณฑ์” ชายชราเบือนสายตาออก หันหลังกลับและเดินจากไป หวังเป่าเล่อนึกไม่ออกว่าชายผู้นี้เป็นใคร แม้จะพอเดาได้ลางๆ แต่ก็ไม่แน่ใจว่าถูกหรือไม่ เขาจึงหันไปหาผู้ฝึกตนหญิงทั้งสองด้วยสีหน้าขอความช่วยเหลือ

“ผู้ดูแลกิจการแห่งดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ทั้งหมด!” หญิงสาวทั้งสองกะพริบตาปริบ ก่อนที่คนหนึ่งจะส่งข้อความเสียงมาให้เขา

หวังเป่าเล่อไม่ได้พยายามหลบซ่อนการยกมือขึ้นมาคารวะเพื่อแสดงความขอบคุณ เขาเหาะตามชายชราไป มุ่งหน้าไปยังวังมหาทัณฑ์ที่ปรมาจารย์อาศัยอยู่

ที่ชายหนุ่มไม่ได้พยายามซ่อนท่าที เป็นเพราะรู้ดีว่าซ่อนไปก็ไม่มีประโยชน์ ผู้ที่มีอำนาจและแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ย่อมรู้ทุกอย่างอยู่แล้ว จึงจะเป็นการดีกว่าหากเขาทำทุกสิ่งอย่างตรงไปตรงมา แล้วก็เป็นจริงเสียด้วย ท่าทีแสดงความขอบคุณของหวังเป่าเล่อทำให้ผู้ดูแลกิจการแห่งดาวเคราะห์มหาทัณฑ์พยักหน้ารับรู้เล็กน้อย

จากนั้นชายหนุ่มก็เดินหน้าต่อไปด้วยความระมัดระวัง ทั้งสองค่อยๆ มุ่งหน้าสู่จุดหมายอันเป็นใจกลางของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ท่ามกลางความเงียบงัน เมื่อเทียบกับบริเวณโดยรอบแล้ว ที่แห่งนี้เงียบเชียบกว่ามาก บริเวณนี้มีทะเลสาบตั้งอยู่ บนทะเลสาบคือ…วังสีน้ำเงินเข้ม!

ภายนอกวังมีรูปปั้นที่ปล่อยพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะออกมา เมื่อทั้งสองเดินทางมาถึง รูปปั้นคู่ก็ค้อมหัวลงเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ

“เข้ามาเลย ไม่ต้องกลัวไป” ชายชราหันมามองหน้าหวังเป่าเล่อขณะที่ทั้งสองกำลังยืนอยู่หน้าประตูวัง แม้ใบหน้าของเขาจะเปื้อนยิ้ม แต่ไอพลังที่ร่างกายปล่อยออกมานั้นช่างรุนแรงเสียจนหวังเป่าเล่ออดหายใจสะดุดไม่ได้

…………………

บทที่ 785 ยื่นไมตรีจิต!
รูม่านตาของหวังเป่าเล่อหดแคบลงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและพูดตอบ โดยไม่สนใจสายตาของผู้คนมากมายที่กำลังมองมา ชายหนุ่มพูดด้วยท่าทีเคารพสุดใจ

“ถวายบังคมจักรพรรดิผู้สูงส่ง! ขอให้หนึ่งรัชสมัยของท่านเจริญรุ่งโรจน์ ให้สองมังกรยอมสยบอยู่ใต้บัญชาท่าน ให้สามดินแดนยอมกำราบในความองอาจ ให้สี่ทิศของโลกยอมจำนนเป็นข้ารองบาท ให้นิ้วทั้งห้าของท่านลงทัณฑ์บัญชา! ขอให้ท่านหลุดพ้นจากสังสารวัฏหกวิถี ให้วิญญาณของท่านคงอยู่ตราบนานเท่าที่เจ็ดดาวฤกษ์ยังส่องสว่าง ให้จิตใจของท่านแข็งแกร่งเหนือการยั่วยุจากหมู่มารทั้งแปดแคว้น ให้สติปัญญาของท่านแจ่มชัดปราดเปรื่องในเก้าอารมณ์ และขอให้ระดับดารานิรันดร์อยู่ห่างจากท่านแค่เพียงสิบก้าว!”

คำพูดที่หวังเป่าเล่อเคยพูดในการประชุมสามัญของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก่อนหน้านี้ หลั่งไหลออกจากริมฝีปากของเขาอีกครั้ง และดังสะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ คำสรรเสริญยาวเป็นหน้ากระดาษของเขาทำให้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู หันมามองหน้ากันอย่างจนด้วยคำพูด จิตใจเนืองแน่นด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ทุกคนมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาที่แตกต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิง

แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไร ตอนนั้นเขากำลังดึงสีหน้าเคารพถึงขีดสุด ดวงตาโชติช่วงด้วยความรักใคร่สรรเสริญ จนทำให้จักรพรรดิแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ที่กำลังจะถอดจิตจากที่แห่งนั้นไป กระแอมกระไอออกมาและเปิดปากพูดอีกครั้ง

“พอได้แล้ว เจ้าไม่จำเป็นจะต้องแสดงความเคารพข้าเช่นนี้อีกในอนาคต”

“ข้าน้อมรับบัญชาของท่านขอรับ ท่านจักรพรรดิ ท่านช่างแสนยอดเยี่ยมหาใครเทียม ท่านเป็นที่เคารพรักของพวกเราทุกคน ทั้งที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่สุดในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ท่านก็ยังถ่อมตัวได้อย่างน่านับถือ ท่านเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ทุกคน ท่านทำให้พวกเราได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมาย ต้องขอบคุณท่านที่ช่วยประสิทธิ์ประสาทวิชาให้พวกเรา ข้า หลงหนานจื่อคนนี้ จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน ข้าสัญญาว่าจะทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ยิ่งใหญ่ที่สุดในปฐพี!”

หวังเป่าเล่อตบอกตนเองดังป้าบด้วยความตื่นเต้นขณะประกาศเสียงดังลั่น

จักรพรรดิแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อับจนด้วยคำพูดเมื่อได้ยินคำสรรเสริญยกต่อไปของหวังเป่าเล่อ จึงทำได้เพียงเงียบและกระแอมกระไออีกครั้งเท่านั้นก่อนจะถอดจิตจากไป ส่วนหวังเป่าเล่อก็หันไปมองหน้าคนอื่นๆ อย่างยินดีปรีดา ในขณะที่ทุกคนรอบกายจ้องมองชายหนุ่มราวกับเขาเป็นเทพยดา เขาถูมือทั้งสองเข้าด้วยกัน จากนั้นก็หันไปหาฝูงชนและทำมือคารวะ

“สหายเต๋าร่วมสำนักทั้งหลาย พวกเราทุกคนล้วนอยู่ใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรเดียวกัน หากข้าได้ทำอะไรให้พวกท่านไม่สบายใจ ข้าหวังว่าท่านจะไม่ขุ่นข้องเคืองใจกับการกระทำของข้า ข้าเป็นชายที่ใจกว้างราวแม่น้ำใหญ่ และไม่เคยคิดจองเวรต่อใคร แม้บางทีข้าจะเซ่อซ่าไปบ้าง แต่ข้าก็รักสหายของตนเองสุดหัวใจ ข้าหวังว่าพวกท่านทั้งหลายจะไม่รังเกียจข้า ทั้งยังหวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเราจะเป็นสหายกันได้ในอนาคต”

หลังจากที่ฟังคำพูดของหวังเป่าเล่อจบ สีหน้าของผู้คนรอบกายเขาก็เปลี่ยนเป็นแปลงแปร่ง นั่นเพราะว่า หวังเป่าเล่อมีชื่อเสียงโด่งดังมาจาก…การตามจองเวรแก้แค้นกองทหารมังกรหยดหมึกจนสุดขอบโลก

การที่ชายบ้าบิ่นเลือดขึ้นตาเช่นนี้ มาประกาศปาวๆ ว่าตนเองเป็นคนใจกว้างเหมือนแม่น้ำไม่เคยคิดจองเวรใคร คงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อลงไปได้ แม้กระทั่งคนโง่ก็อาจเฉลียวใจไม่เชื่อเลยด้วยซ้ำ!

เมื่อเห็นว่าฝูงชนไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบรับกับคำพูดที่จริงใจของเขา หวังเป่าเล่อก็รู้สึกละอายขึ้นมาบ้างในใจ เขาทำมือคารวะอีกครั้ง หันหลังกลับและรีบเหาะไปยังค่ายประจำกองทหารวิหคน้ำแข็ง

ทันทีที่เขาออกจากสนามรบไป ผู้ฝึกตนจากทั้งสองฝ่ายที่อยู่รอบกายชายหนุ่มก็สูดหายใจเข้าลึก ก่อนเริ่มแสดงความคิดเห็นของตนเองออกมา

“หมอนี่มันขี้ประจบในแบบที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน ไอ้หลงหนานจื่อคนนี้มันช่างไร้ยางอายเสียจริง!”

“เงียบปากเสีย ต่อให้หมอนี่หน้าด้านหน้าทนจริง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ามันมีความสามารถจริง อย่าริอ่านไปขัดใจหมอนี่เชียว!”

“บัดซบที่สุด หากข้าเป็นแบบมันละก็ ป่านนี้คงได้เป็นผู้บัญชาการกองทหารไปแล้ว…”

ไม่ใช่เพียงผู้ฝึกตนทั่วไปเท่านั้นที่อิจฉาหวังเป่าเล่อ แม้แต่ผู้บัญชาการกองทหารหลายคนที่ได้ยินคำพูดนี้มาหลายครั้งแล้วก็พากันตกใจเช่นกัน พวกเขาเคยได้ยินคำสรรเสริญที่ไม่ผิดเพี้ยนนี้จากปากหวังเป่าเล่อมาครั้งหนึ่งแล้วในการประชุม แม้เขาจะโด่งดังมาก่อน แต่ก็ไม่ได้โดดเด่นมากนัก จึงไม่ได้เป็นคู่แข่งที่อยู่ในสายตา

แต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาได้เห็นความสามารถทางการยุทธ์ของหวังเป่าเล่อใน ซึ่งทำให้ทุกคนต้องหันมามองเขาเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างเสียมิได้ นอกจากนี้ชายหนุ่มยังมีความสามารถในการประจบประแจงที่ยอดเยี่ยมเสียจนหากยังทำเช่นนี้ต่อไป การที่เขาจะไต่เต้าขึ้นมามีตำแหน่งสูงในสำนักก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร

กระทั่งศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงยังมุ่นคิ้ว แม้เขาจะไม่ชอบหวังเป่าเล่อ แต่ก็ต้องยอมรับว่าบทสนทนาระหว่างหวังเป่าเล่อและจักรพรรดิเมื่อครู่นี้ ทำให้ความโกรธเคืองในตัวของชายหนุ่มเบาบางลงมาก

หากมีใครกล้าดูแคลนผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่สามารถพูดจากับจักรพรรดิได้เช่นนั้นละก็ คนผู้นั้นก็อาจจะมีปัญหาได้ในอนาคต ศิษย์แห่งเจ๋ามังกรแดงมองดูหวังเป่าเล่อที่กำลังจะเข้าไปยังฐานทัพวิหคน้ำแข็งด้วยความเงียบงัน ดวงตาทอแสงวาบ เขายิ้มก่อนตะโกนหาชายหนุ่ม “สหายเต๋าหลงหนานจื่อ เจ้าอยากมาทำงานให้กองทหารมังกรแดงของข้าหรือไม่”

เมื่อได้ยินดังนั้น แววตาของเทพธิดาหลิงโยวก็สว่างวาบ นางทำท่าฮึดฮัด

ส่วนหวังเป่าเล่อก็หยุดชะงักอยู่กลางทางเมื่อได้ยิน เขาหันไปมองศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้า โค้งคำนับเพื่อแสดงความเคารพพร้อมทำมือคารวะ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงของชายหนุ่มกลับเคร่งขรึมจริงจังยิ่ง

“ผู้บัญชาการหลิงโยวมอบความไว้วางใจให้ข้าแล้ว ตอนที่ข้าเข้าร่วมกองทหารวิหคน้ำแข็งเป็นครั้งแรก นางสนับสนุนข้ามาตลอด ข้าหวังว่าศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงจะเข้าใจ หลงหนานจื่อคนนี้จะจงรักภักดีกับกองทหารวิหคน้ำแข็งตราบชั่วกัลปาวสาน นอกเสียจากว่าจะเป็นคำสั่งจากเบื้องบนที่ข้าขัดไม่ได้เท่านั้น นี่เป็นทางเดียวที่ข้าจะตอบแทนน้ำใจของผู้คนเหล่านี้ได้!”

ชายหนุ่มทำมือคารวะอีกครั้ง ก่อนหันหลังกลับเข้าไปค่ายพักของกองทหารวิหคน้ำแข็ง

มังกรแดงมีสีหน้าเสียใจที่ไม่สามารถเชิญชวนหวังเป่าเล่อมาร่วมกองทหารของตนเองได้ จึงอ้าปากตะโกนไปอีกครั้ง “เจ้าไม่ต้องให้คำตอบข้าในวันนี้ก็ได้ หลงหนานจื่อ ตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองทหารมังกรแดงจะยังรอเจ้าอยู่เสมอ!”

เมื่อพูดจบ เขาก็หันหลังกลับและพากองทัพของตนจากไป

กองทหารอื่นๆ ที่มาช่วยเหลือกองทหารอันดับที่สิบเอ็ดก็จากไปด้วยเช่นกัน ความคิดมากมายปั่นป่วนอยู่ในใจเทพธิดาหลิงโยวที่ยังยืนอยู่ตรงนั้น หลังจากกดความคิดเหล่านั้นลงไปได้ หลิงโยวก็แสดงไมตรีจิตต่อกองทหารที่มาช่วยนางรบในครั้งนี้ เมื่อส่งพวกเขาเสร็จเรียบร้อย นางก็กลับไปยังค่ายพักของกองทหารวิหคน้ำแข็ง

สิ่งแรกที่นางทำคือเรียกผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่เข้ามาไถ่ถามว่าเกิดสิ่งใดขึ้น

เมื่อได้ทราบชะตากรรมของประมุขหลิงเถา รวมถึงความสามารถอันหาตัวจับยากของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของหวังเป่าเล่อ เทพธิดาหลิงโยวก็ตกใจเป็นอันมาก ความคิดของนางก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที

ก่อนหน้านี้นางคิดว่าหวังเป่าเล่อจะใช้เวลาหลายปีกว่าจะหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาให้ถึงระดับสามหรือสี่ได้ นางจึงไม่ได้ใส่ใจเขาแม้แต่น้อย อันที่จริงแล้ว ตอนที่จักรพรรดิส่งหวังเป่าเล่อมาที่กองทหารของนาง หญิงสาวยังรู้สึกรำคาญใจและคิดว่าเขาเป็นตัวถ่วงเสียด้วยซ้ำ นางไม่ได้คาดคิดเลยว่า อัจฉริยภาพด้านการหลอมอาวุธเวทของหวังเป่าเล่อนั้นจะยอดเยี่ยมเหนือผู้ใดในโลกหล้า

ตอนนี้นางรู้แล้วว่าหวังเป่าเล่อไม่ใช่ตัวถ่วงแม้แต่น้อย แต่เป็นหีบสมบัติที่เคลื่อนที่ได้ต่างหาก! ทั้งยังเป็นหีบสมบัติที่ใหญ่มากเสียด้วย!

ด้วยความสามารถในการหลอมอาวุธเวทของชายหนุ่ม อาจเรียกได้ว่ากองทหารใดที่ได้ตัวเขาไปครอบครองจะทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดได้อย่างรวดเร็ว เรื่องนี้ทำให้เทพธิดาหลิงโยวหายใจสะดุด ดวงตาสว่างวาบเป็นประกาย นางอยากเรียกหวังเป่าเล่อเข้าพบ แต่เมื่อลองทบทวนดูอีกครั้ง นางก็ปล่อยให้คนอื่นจัดการกิจการที่เหลือ และเดินทางไปหาหวังเป่าเล่อที่ถ้ำที่พักด้วยตนเอง

หญิงสาวมาถึงอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อไม่ได้ตกใจแม้แต่น้อยที่อีกฝ่ายมาเยี่ยม แต่กลับเชิญเขาเข้ามาในบ้านด้วยความเคารพ

นี่เป็นครั้งแรกที่เทพธิดาหลิงโยวเข้ามาในถ้ำที่พักของหวังเป่าเล่อ นางสำรวจบริเวณโดยรอบ มองดูเจ้าอู๋น้อยและเจ้าลา แต่ก็ทำเพียงปราดตาและไม่ได้สนใจทั้งสองมากนัก เมื่อเทพธิดาหลิงโยวหันกลับมามองหวังเป่าเล่ออีกครั้ง นางก็เงียบไปชั่วครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยปากอย่างเคร่งขรึมจริงจัง

“สหายเต๋าหลงหนานจื่อ ข้ามั่วแต่ยุ่งอยู่กับเรื่องอื่นในกองทหาร และมองเจ้าผิดไปหลายประการ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่โกรธเคืองข้าที่เคยเมินเฉยเจ้า”

ทันทีที่หวังเป่าเล่อได้ยิน เขาก็พลันรู้สึกประหลาดขึ้นมาในใจ หวังเป่าเล่อเดาได้ว่านางจะมาหาตนยังที่พัก แต่ไม่ได้คาดคิดว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะซึ่งได้รับสมญานามว่า “ราชินีน้ำแข็ง” จะเป็นคนจริงใจ เปิดกว้าง และตรงไปตรงมาได้ถึงเพียงนี้ เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกดีกับนางขึ้นมาในทันที

“ท่านช่างมีเมตตาเหลือเกิน ท่านผู้บัญชาการ เพียงแค่ข้าได้พักอยู่ที่นี่ และได้เรียกกองทหารวิหคน้ำแข็งว่าเป็นบ้าน ก็ถือเป็นโชคดีของข้าแล้ว…เพราะอย่างไรเสียเราต่างก็รู้กันอยู่ว่าตัวข้าเป็นที่ต้องการของโลกภายนอก” หวังเป่าเล่อคิดอยู่สักพักแล้วจึงตัดสินใจเปิดใจเล็กน้อยด้วยเช่นกัน พร้อมฝืนยิ้มออกมา

หลังจากที่หวังเป่าเล่อพูดจบ เทพธิดาหลิงโยวก็เงียบลงอีกครั้ง ราวกับไม่รู้ว่าจะสนทนาต่ออย่างไร หวังเป่าเล่อเองก็ดูงุนงงเช่นกัน เขายืนอยู่ฟากหนึ่งของห้อง กะพริบตาปริบ พลางคิดว่าตนเองควรหาเรื่องมาคุยต่อดีหรือไม่ แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ตัดสินใจเงียบด้วยเช่นกัน

ทั้งสองเงียบอยู่สักพัก เทพธิดาหลิงโยวมองจ้องหวังเป่าเล่อ ก่อนพูดด้วยเสียงต่ำอย่างช้าๆ

“หลงหนานจื่อ ข้าขอดูโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของเจ้าได้หรือไม่”

หวังเป่าเล่อคิดอยู่สักพัก ก่อนจะหยิบโล่ของตนออกมา ขณะที่หยิบออกมานั้น แสงสว่างเรืองรองเจิดจ้าก็สาดไปบนร่างกายของชายหนุ่ม แสงนั้นกำเนิดมาจากโล่ที่ซ้อนกันชั้นแล้วชั้นเล่า เมื่อเขาหยิบทุกอย่างออกมาเรียบร้อย ทั่วทั้งถ้ำก็สว่างวาบ โล่ทอแสงสีทองอร่ามอยู่บนมือของหวังเป่าเล่อ ก่อกำเนิดเป็นก้อนแสงยักษ์สว่างเจิดจ้า

ชายหนุ่มส่งก้อนแสงต่อให้เทพธิดาหลิงโยว หญิงสาวรับมันไปตรวจดูอย่างถี่ถ้วน สีหน้าของนางค่อยๆ เปลี่ยนไปช้าๆ ประกายความตกใจฉายชัดขึ้นในแววตา หลิงโยวตรวจดูโล่นั้นอยู่นาน ก่อนจะยอมถอนสายตาออกจากมันในที่สุด นางมองหวังเป่าเล่อและเอ่ยออกมาในทันที

“หลงหนานจื่อ ด้วยความสามารถของเจ้า ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่ได้อยู่ในกองทหารวิหคน้ำแข็งของข้าอีกต่อไปแล้ว แต่ข้าต้องการยื่นไมตรีจิตให้เจ้า เห็นได้ชัดว่าสมบัติเวทชิ้นนี้เป็นที่ถูกตาต้องใจของจักรพรรดิเป็นอย่างมาก เช่นนั้นแล้ว…เจ้าต้องการสิ่งใดบ้าง ข้าจะช่วยเจ้าทุกอย่าง ถือเสียว่าเป็นการชดใช้ที่ข้าเพิกเฉยเจ้าก่อนหน้านี้ และถือเป็นการตอบแทนสำหรับความช่วยเหลือของเจ้าในการแข่งขันเมื่อครู่!”

………………………

บทที่ 784 ตีข้าเลยสิ!
เมื่อคิดได้ดังนั้น ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ส่องประกายวาบ เขาสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่กำลังหมุนวนรอบกายพลันปล่อยแสงสว่างเจิดจ้า แต่แสงนั้นก็มอดดับลงทันทีหลังจากนั้น ภายในไม่กี่วินาที โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาก็โปร่งแสง กลืนตนเองไปกับบรรยากาศโดยรอบ

ถึงเวลาแสดงความสามารถในการพรางตนของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของข้าแล้ว หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ รู้สึกเหมือนเหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต เขาอดไม่ได้ที่จะย้อนนึงไปถึงเรื่องราวที่ตนเองเคยโฆษณาขายสินค้าในการประลองที่สำนักศึกษาศักดิ์สิทธิ์สมัยยังเยาว์วัย

หรือว่าข้าเลือกทางเดินผิดกันนะ ความจริงแล้วข้าไม่เหมาะจะเป็นผู้นำสหพันธรัฐแต่ควรเป็นนักธุรกิจมากกว่า ต้องเป็นเพราะเหตุนี้แน่ๆ เซี่ยไห่หยางถึงใจดีกับข้านัก หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกซาบซึ้งในความยอดเยี่ยมของตนเองขึ้นมาในใจ แต่ก็ไม่ได้หยุดตัวเองแต่อย่างใด ชายหนุ่มพุ่งทะยานไปข้างหน้าเหมือนดาวหางในสนามรบขนาดยักษ์มีคู่ต่อสู้อยู่มากมาย

เขากระโจนเข้าใส่กลุ่มผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่ง ทันทีที่เข้าไปอยู่กลางวง เหล่าผู้ฝึกตนบ้าดีเดือดก็พลันพุ่งเข้าโจมตีเขา เสียงการสู้รบดังสะเทือนเลื่อนสั่น วัตถุเวทราวแปดชิ้นปล่อยพลังโจมตีรุนแรงออกมา ก่อนพุ่งเข้าปะทะหวังเป่าเล่อที่ด้านหน้า

ขณะที่วัตถุเวทเหล่านี้กำลังจะเข้าถึงตัวชายหนุ่ม เกราะโปร่งแสงก็พลันก่อตัวขึ้นเบื้องหน้าเขา เกราะนั้นมีความหนาถึงสองหมื่นชั้น ซ้อนเรียงรายกันแถวแล้วแถวเล่า เกราะโปร่งแสงพุ่งเข้าหาวัตถุเวทด้วยความเร็วที่ไม่ต่างกัน เสียงปะทะดังกัมปนาทไปทั่วสนามรบ วัตถุเวทที่เข้าปะทะโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาสั่นสะท้านและระเบิดจากภายใน ทว่าแรงสะท้อนทำให้ภายนอกของวัตถุเวทถูกบีบอัดอย่างรุนแรงจนระเบิดออกมาไม่ได้ วัตถุเวทเหล่านั้นพุ่งพรวดกลับไปทางที่มันมาด้วยแรงมากกว่าเดิมถึงร้อยละ 170 และระเบิดใส่หน้าเจ้าของของมันทันที

เสียงกรีดร้องโหยหวนดังไปทั่วบริเวณ แม้จะถูกกลบด้วยเสียงการต่อสู้ครึกโครมรอบกายอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ฝึกตนเจ้าของวัตถุเวทผู้เคราะห์ร้ายก็ยังกระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ ร่างถูกซัดกระเด็นไปด้านหลัง ได้รับบาดเจ็บสาหัสในทันที ภาพนี้ทำให้ทุกคนโดยรอบที่เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นตกใจเป็นอันมาก

หวังเป่าเล่อขยับตัวพุ่งเข้าใส่ฝูงชนอีกครั้ง โดยไม่รอให้คู่ต่อสู้ตั้งสติได้และเริ่มโจมตีกลับ เสียงกรีดร้องดังขึ้นทุกที่ที่เขามุ่งหน้าไป ชายหนุ่ม…เปรียบเสมือนเม่นหนามแหลม หากไม่มีใครคิดโจมตี ก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่หากพุ่งเข้าใส่ด้วยพลังที่ตนเองมี ก็อาจโดนพลังสะท้อนกลับจนถึงตายได้

ตอนแรกหวังเป่าเล่อสร้างความโกลาหลในวงแคบเท่านั้น แต่เมื่อเขาพุ่งไปทั่วสมรภูมิ ทุกคนที่เข้าต่อกรกับเขาก็พากันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด หากไม่ได้ใส่พลังทั้งหมดที่ตนเองมี ก็คงไม่เป็นอะไรมากนักนอกจากได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่คนที่ใช้พลังทั้งหมดในการต่อกรกับชายหนุ่ม ย่อมถึงแก่ความตายต่อหน้าต่อตาแน่นอน!

หากเป็นเพียงเท่านั้นก็คงไม่แย่เท่าไร แต่เพื่อเพิ่มอำนาจของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา และเพิ่มราคาของมันให้พุ่งสูงขึ้นในอนาคต หวังเป่าเล่อจึงคำรามก้องไปตลอดทางที่พุ่งตัวออกไป ราวกับกลัวว่าจะไม่มีคนสนใจตนอย่างไรอย่างนั้น

“มาตีข้าสิ! อย่าหนี!

“ไอ้พวกตาขาว! จะหนีไปไหนกัน มาต่อยข้าเสียถ้าเจ้าแน่พอ!

“สหายเต๋าทั้งหลาย จงโจมตีข้าด้วยไพ่ตายของเจ้าเสีย!!”

เสียงของเขาดังก้องไปทั่วบริเวณ กินวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ร่างก็วิ่งวุ่นไปทั่วสนามรบ เมื่อรวมพลังของโล่เข้ากับพฤติกรรมเช่นนี้ของชายหนุ่มแล้ว หวังเป่าเล่อก็ดูน่ารังเกียจเป็นอันมากต่อทุกคนในที่แห่งนั้น…

ชายหนุ่มทะยานไปทั่วเหมือนปลาไหล ก่อกวนให้สมรภูมิปั่นป่วนวุ่นวาย เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดทำให้ทุกคนรีบถอยหนีออกจากเขา สีหน้าเปลี่ยนไปทันทีที่เห็นว่าชายหนุ่มกำลังพุ่งเข้าหาตน พฤติกรรมก่อความไม่สงบเช่นนี้ย่อมทำให้เหล่าผู้ที่มีตำแหน่งสูงของทั้งสองฝ่ายที่กำลังต่อสู้กันอยู่สังเกตเห็น!

ผู้อาวุโสจากกองทหารอันดับห้าพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว พลังปราณของเขาอยู่ที่ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสคนนี้จะอยู่ไกลออกไป จึงไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วหวังเป่าเล่อแข็งแกร่งเพียงใด ด้วยเหตุนี้…เขาจึงกระโจนใส่หวังเป่าเล่อ พร้อมปรามาสอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นยโส

“ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลางอย่างเจ้ากล้าทำตัวจองหอง คิดว่าตนเองไร้เทียมทานเพียงเพราะมีโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการึ ข้าจะสอนเจ้าเองว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงเป็นเช่นไร!” เสียงของผู้อาวุโสระเบิดมาแต่ไกลขณะที่มุ่งหน้าเข้าหาหวังเป่าเล่อเหมือนดาวหาง เมื่อเห็นร่างที่มาพร้อมเสียง หวังเป่าเล่อก็รู้สึกดีใจเป็นอันมากอยู่ภายใน เขากลัวว่าคู่ต่อสู้อาจเปลี่ยนใจและถอยหนีไปก่อน จึงพุ่งเข้าหาอีกฝ่ายด้วยความเร็วสูงสุดเช่นกัน

ภายในพริบตา…ทั้งสองก็เข้าปะทะกันกลางอากาศ เสียงดังสะเทือนสะท้อนไปทั่วจนทุกสิ่งโดยรอบสั่นไหว ดวงตาของผู้อาวุโสเบิกโพลง ศีรษะสะท้าน ร่างของเขาสั่นอย่างรุนแรง แขนขาทั้งหมดระเบิดโพละออกมา เขากระอักเลือดชุดใหญ่ ร่างที่ไร้แขนขาปลิวไปด้านหลัง เสียงกรีดร้องโหยหวนบาดลึกด้วยความเจ็บปวดทำให้หัวใจของใครก็ตามที่ได้ยินสั่นสะท้าน

ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นก็กะพริบตาปริบๆ และกรีดร้องเสียงแหลมออกมาเช่นกัน เขาจับหน้าอกตนเอง ร่างเซถลาไปด้านหลัง กระทั่งโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่หมุนวนรอบกายก็ดูเหมือนจะสลายหายไป

แม้ภาพนั้นจะดูเหมือนการแสดงเสียมากกว่า…แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะรู้สึกตัวได้เร็วขนาดนั้นว่าเป็นเรื่องหลอกลวง หลายคนคิดชิงโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไปจากชายหนุ่ม จึงพุ่งเข้าใส่ภายในพริบตา

แต่ทันทีที่พวกเขาเข้าใกล้หวังเป่าเล่อ โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่เคยดับแสงไปก่อนหน้านี้ก็ส่องสว่างเจิดจ้าขึ้นอีกครั้ง เสียงกรีดร้องโหยหวนดังประสานกันขึ้นเหมือนวงดนตรีสยองขวัญ ผู้ฝึกตนที่หมายชิงโล่ไปจากชายหนุ่มต่างถูกซัดกระเด็นกระดอนไปด้านหลังด้วยความเร็วสูง

“ชั่วช้า ชั่วช้ามากเกินไปแล้ว!” หวังเป่าเล่อชิงคำรามออกมาก่อนที่ใครจะทันได้พูดอะไร แต่ผลลัพธ์ของการกระทำทั้งหมดของเขานั้นหนักหน่วงยิ่งนัก จึงไม่มีใครเชื่ออีกต่อไปตอนที่เขาพยายามแสดงละครแสร้งทำเป็นอ่อนแอ ชายหนุ่มถอนใจ ทำได้เพียงมองฝูงชนโดยรอบด้วยพลังงานมากล้นที่มี ขณะที่ฝูงชนโดยรอบต่างก่นด่าเขาอยู่ในใจ

แต่คนเหล่านั้นก็ทำอะไรไม่ได้ จะเข้าไปจัดการหวังเป่าเล่อก็ไม่ได้ จึงทำได้เพียงหลบซ่อนตัวให้พ้นจากเงื้อมมือของชายหนุ่มเท่านั้น ดังนั้น…ภาพแสนประหลาดก็ปรากฏขึ้นในสนามรบ หลายคนที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดจะถอยหนีและหยุดปล่อยพลังเทพของตนเองทันทีที่มีคนตะโกนว่าหลงหนานจื่อกำลังมาทางนี้

ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะขยับตัวไปที่ไหน ทะเลฝูงชนก็พลันแหวกออก เขาเปรียบเสมือนเชื้อโรคที่ทุกคนพากันถอยหนี… แม้กระทั่งฝ่ายเดียวกัน…ก็ยังกลัวโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของหวังเป่าเล่อ จนทำให้เขากลายเป็นเหมือนเม่นขนแหลมร้ายกาจ นั่นเพราะโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไม่แยกมิตรออกจากศัตรู

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่ที่ชวนหวังเป่าเล่อให้เริ่มโจมตีตกใจเป็นอันมาก แม้เหตุการณ์ทั้งหมดจะเป็นไปตามที่นางคาดการณ์ไว้ แต่ฤทธิ์เดชของหวังเป่าเล่อก็สมบูรณ์แบบมากเกินไป จนนางอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้าลึกเมื่อเห็นภาพตรงหน้า นางรู้สึกเหมือนตนเองได้เปิดหีบที่บรรจุความชั่วร้ายมหาศาลไว้ภายในออกมา…สนามรบเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันทีที่หวังเป่าเล่อก้าวเข้ามา

ชายหนุ่มเองก็เริ่มจนปัญญาเช่นกัน เมื่อเห็นว่าทุกคนพากันหลีกหนีไป เขาก็ถอนหายใจ ก่อนเงยหน้าขึ้นมองผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะสองคนที่กำลังห้ำหั่นกันอยู่บนท้องฟ้าไกลออกไป เขาหยุดคิดอยู่สักพัก ก่อนจะขยับตัวพุ่งเข้าใส่คนทั้งสองในทันที

แต่ทั้งสองก็ไม่ปล่อยให้เขาเข้ามาใกล้ พวกเขาถอยหนี…และหยุดต่อสู้กันในทันที!

ทั้งสองไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญา และสังเกตเห็นนานแล้วว่าชายหนุ่มตรงหน้ามีบางอย่างผิดปกติ นอกจากนี้ยังนึกไปถึงชะตากรรมที่ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไรของประมุขหลิงเถา และคำพูดแสนหดหู่ของปรมาจารย์เมฆาวารีก่อนจะจากไปอีกด้วย แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขาพอเดาได้ลางๆ

ขี้ขลาดกันเสียเหลือเกิน! หวังเป่าเล่อตบหน้าผากตนเองดังผัวะ เขาอยากแสดงพลังของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาอีก แต่ไม่มีโอกาสให้ทำเช่นนั้นเลย หลังจากที่มองไปรอบกาย ดวงตาของชายหนุ่มก็ไปหยุดอยู่ที่จุดสูงสุดของสนามรบ ที่ที่… ศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงและเทพธิดาหลิงโยวกำลังต่อสู้กันอยู่!

ข้าไม่แน่ใจว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจะทานทนพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะได้หรือไม่…แต่ทางทฤษฎีแล้ว ก็น่าจะเป็นไปได้ ชายหนุ่มหรี่ตาครุ่นคิด เขาอยากลองดูแต่ในที่สุดก็ไม่ได้ทำ ไม่ใช่เพราะไม่อยาก แต่เป็นเพราะว่า…ในตอนนั้นเอง เวลาแห่งการประลองก็จบสิ้นลงพอดี!

การประลองนี้ไม่ได้ดำเนินไปจนกว่าจะตายตกกันไปข้างหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายมีเวลาสองชั่วโมงเท่านั้น ภายในเวลาสองชั่วโมงนี้พวกเขาต้องยึดพื้นที่ของคู่ต่อสู้ หรือทำให้อีกฝ่ายยอมแพ้ จึงจะคว้าชัยไปครองได้สำเร็จ

แต่ในตอนนี้…แม้ศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงจะต่อกรกับเทพธิดาหลิงโยวได้ แต่คนอื่นๆ ก็ไม่ได้ยึดพื้นที่ได้สำเร็จแต่อย่างใด จนเสียงระฆังตีบอกจุดสิ้นสุดของการแข่งขันในที่สุด

หวังเป่าเล่อถือเป็นไพ่ตายของการต่อสู้นี้ ขณะที่ม่านกำลังจะปิดฉากลงนั้น หลายคนไม่ทันสังเกตเห็นว่าอักขระที่แทบมองไม่เห็นบนแท่นบูชาแทบเท้าของผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่ ได้อับแสงลงทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังทอแสงอ่อนเรื่อเรืองออกมา

อักขระเหล่านั้น…คือไพ่ตายของกองทหารวิหคน้ำแข็ง อย่างไรเสียเหตุการณ์ของหวังเป่าเล่อก็เป็นเพียงเรื่องไม่คาดคิดเท่านั้น ตามแผนการเดิมของพวกเขา อักขระเหล่านี้จะช่วยชะลอทุกอย่างให้ช้าลงได้จนกว่าการประลองจะจบลง

เมื่อการต่อสู้จบลง เหล่าผู้ทรงอำนาจมากมายที่กำลังดูการต่อสู้อยู่ก็มองดูหวังเป่าเล่อด้วยสายตาล้ำลึก ขณะที่พวกเขากำลังถอนสายตานั้น พลัน…เสียงของจักรพรรดิแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ดังกังวานมาจากห้วงอวกาศเบื้องบน

“กองทหารวิหคน้ำแข็ง พวกเจ้าไม่ต้องจัดประลองอีกรอบแล้ว พวกเจ้าจะได้รับตำแหน่งกองทหารอันดับห้าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป กองทหารอื่นๆ ในอันดับที่อยู่ต่ำลงมาจะถูกเลื่อนลงหนึ่งอันดับ!

“หลงหนานจื่อ เจ้าจงมาเข้าเฝ้าข้าพรุ่งนี้ตอนเที่ยง!”

……………………….

บทที่ 783 เป่าเล่อออกจากการถือสันโดษ!
เสียงกรีดร้องนั้นแหลมสูงชวนสันหลังวาบอย่างถึงที่สุด แม้แต่ในสนามรบเอง ทุกคนที่กำลังต่อสู่กันอยู่ยังต้องหยุดทุกอย่างเพื่อหันมามอง สมรภูมิที่เคยอึกทึกครึกโครมบัดนี้กลับเงียบสงัด…

ทุกคนมองไปยังประมุขหลิงเถาที่กำลังกรีดร้องอย่างเสียมิได้ แขนของเขาระเบิดหายไป เลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว หน้าอกยุบ หอกแหลกสลาย ก้อนน้ำแข็งสีดำที่อยู่แทบเท้าก็เริ่มร้าว องค์ประกอบทุกอย่างทำให้ภาพนี้…ดูน่ากลัวเป็นอย่างมาก!

สายตาทุกคู่ยังคงจับจ้องภาพของประมุขหลิงเถาที่ลอยไปในอากาศ และตกกระแทกพื้นดังตุบอย่างรุนแรงจนทำให้อิฐศิลาครามแตกร้าว เลือดสดๆ ยังคงไหลทะลักไม่หยุด ประมุขหลิงเถาที่แทบเอาชีวิตตนเองไม่รอด กำลังดิ้นพราดๆ อยู่บนพื้นด้วยแววตางุนงง เขามองหวังเป่าเล่อ จิตใจอัดแน่นด้วยความคิดมากมาย

เกิดบ้าอะไรขึ้น! ประมุขหลิงเถางุนงงจนคิดอะไรไม่ออก ทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็ดูแทบเป็นไปไม่ได้ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้าเขายังจิตใจเบิกบานมีชีวิตชีวา เชื่อมั่นว่าเมื่อปราณของตนพัฒนาถึงขั้นแสร้งอมตะแล้ว จะต้องสามารถนำกองทหารก้าวขึ้นมาอยู่ในสิบอันดับแรกได้อย่างแน่นอน และตัวเขาก็จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในที่สุด

ทว่าเมื่อไม่กี่นาทีต่อมา…เขาเพียงพุ่งหอกใส่หวังเป่าเล่อเท่านั้น แต่ด้วยเหตุผลกลใดก็ไม่อาจทราบได้ หวังเป่าเล่อกลับสร้างพายุที่น่าสยองขวัญจับใจเข้ามากลืนกินตัวเขาจนสิ้นสภาพ โดยไม่ให้โอกาสเขาได้ตอบโต้ด้วยซ้ำ

ต้องมีอะไรผิดปกติเป็นแน่… นี่คือความคิดสุดท้ายของประมุขหลิงเถา ก่อนที่เขาจะกระอักเลือดออกมาชุดใหญ่และหมดสติไป ไม่มีใครรู้ว่าเขาอยู่หรือตาย

การโจมตีของประมุขหลิงเถาเมื่อครู่รุนแรงด้วยความต้องการสังหารหวังเป่าเล่อ เขาไม่ต้องการให้คนอื่นมาซุบซิบนินทาตน จึงอัดพลังเข้าไปเต็มที่ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้แรงสะท้อนกลับจากโล่นั้นมากถึงร้อยละ 170 ซึ่งรุนแรงกว่าขีดจำกัดที่ร่างกายของเขาจะทานทนได้ เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะปัดป้องเสียด้วยซ้ำไป

ขณะที่ทุกคนไม่รู้ว่าประมุขหลิงเถายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เหล่าผู้บัญชาการระดับสูงซึ่งกำลังดูการสู้รบอยู่…รวมถึงผู้อาวุโสแห่งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ต่างพากันสีหน้าเปลี่ยนในทันที สายตาทุกคู่จากทุกทิศทางมันหาจับจ้องหวังเป่าเล่อเป็นตาเดียว ก่อนจะสังเกตเห็นโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของเขา!

ตอนแรกไม่มีใครใส่ใจสังเกตโล่ของหวังเป่าเล่อ แต่เมื่อได้พิจารณาดูแล้ว ผู้ฝึกตนชั้นสูงจากหลายภาคส่วนก็เริ่มมีสีหน้าประหลาด และเมื่อมองดูดีๆ อีกครั้ง ก็เห็นได้ชัดเจนว่าโล่นี้เป็นโล่ระดับเจ็ด ไม่ใช่ระดับสามตามที่หน้าตาของมันปรากฏ ส่วนการสร้างปรากฏการณ์น่าตกใจเมื่อครู่นั้นเกิดจากวิธีการใดก็ไม่ทราบได้

แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้พวกเขาพากันมีสีหน้าประหลาด สิ่งที่ทำให้ทุกคนเป็นเช่นนั้น ก็คือความจริงที่ว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสูงที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ กลับถูกจงใจแปลงสภาพให้มีหน้าตาเหมือนโล่ระดับสาม

“เจ้าเล่ห์เป็นบ้า!”

“หมอนี่มัน…อย่าไปยุ่งกับมันจะเป็นการดีที่สุด!”

“หมอนี่ทำให้คนบาดเจ็บปางตายจนพิการแต่กลับไม่รู้สึกรู้สมอะไรเลย!”

ขณะที่ความคิดเหล่านี้กำลังผุดขึ้นมาในจิตใจของผู้ฝึกตนชั้นสูงของสำนัก หวังเป่าเล่อก็รู้สึกรางๆ ว่ามีสายตาจากเบื้องบนจ้องลงมายังตัวเขา จิตใจของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความรู้สึกตึงเครียดโดยไม่รู้ว่าเกิดจากสาเหตุใด ชายหนุ่มทั้งรู้สึกสิ้นไร้ไม่ตอกและเป็นกังวล เขามองประมุขหลิงเถาที่ชะตากรรมเป็นอย่างไรก็ไม่ทราบ ก่อนจะหันไปมองโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาหน้าตาน่าเกลียดเบื้องหน้าตน จากนั้นก็กระแอมกระไอออกมา และกวาดตามองไปรอบตัว ทุกคนในที่แห่งนั้นมองจ้องเขาเป็นตาเดียว ทั้งยังปากอ้ากว้างด้วยความตกตะลึง หวังเป่าเล่อดึงสีหน้าใสซื่อ เขาเดินไปหาฝูงชนสองสามก้าว

“พวกเจ้าก็เห็นกันหมดไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ความผิดข้านะเรื่องนี้ ข้ายืนคิดนู่นนี่อยู่เงียบๆ คนเดียว จู่ๆ หมอนี่ก็เข้ามาแตะโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของข้า แล้วก็บาดเจ็บไปเสียอย่างนั้น… ข้าว่าเขาแสดงละครแล้วละ!”

คำพูดของหวังเป่าเล่อ รวมถึงการที่เขาก้าวเข้าไปหาฝูงชน เปรียบเสมือนการโยนหินก้อนเขื่องลงในน้ำนิ่งจนทำให้ผิวน้ำกระเพื่อมไหวเป็นระลอก ทำให้ฝูงชนโดยรอบหันไปมองเขาเป็นตาเดียวด้วยสายตาเหมือนเห็นผี และรีบถอยหลังเหมือนฝูงผึ้งแตกรัง…

“อย่าเข้ามา!”

“หยุดเดี๋ยวนี้ หลงหนานจื่อ อย่าเพิ่งวู่วามไป!”

ขณะที่กำลังล่าถอย บรรดาผู้ฝึกตนสตรีจากกองทหารวิหคน้ำแข็ง และผู้ฝึกตนจากกองทหารอันดับเจ็ดและแปดที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ ต่างพากันพูดเป็นเสียงเดียว และมองโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่ลอยวนรอบกายหวังเป่าเล่ออย่างช้าๆ ด้วยสายตาหวาดกลัวถึงขีดสุด

ผู้ฝึกตนสตรีจากกองทหารวิหคน้ำแข็งนั้นอยู่ในสังกัดเดียวกับหวังเป่าเล่อ การที่พวกเขาถอยหนีเพราะกลัวนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ผู้ฝึกตนจากกองทหารฝั่งตรงข้ามเองก็โยนความคิดที่จะแก้แค้นแทนประมุขหลิงเถาทิ้งไปเรียบร้อย และรีบถอยหนีอย่างรวดเร็วในทันที…

ราวกับว่าหวังเป่าเล่อเป็นฝันร้ายที่กำลังวิ่งไล่ตามพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น พวกเขามองว่าสิ่งที่กำลังลอยวนอยู่รอบตัวหวังเป่าเล่อนั้นหาใช่โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไม่ แต่เป็นอาวุธสังหารเลือดเย็นที่จะคร่าชีวิตทุกคนที่สัมผัสมันเข้า!

ไม่ใช่แค่เหล่ากองทหารเท่านั้นที่รู้สึกเช่นนี้ กระทั่งผู้บัญชาการกองทหารอันดับที่เจ็ด ปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารีที่มีปราณขั้นแสร้งอมตะและควบคุมกองกำลังเช่นกัน ยังมองเขาเหมือนเห็นผีและล่าถอยด้วยความเร็วที่มากกว่าคนอื่นๆ เสียอีก พอหายจากอาการตกใจเรียบร้อย ความรู้สึกว่าตนเองรอดความตายมาได้อย่างหวุดหวิดก็ผ่านเข้ามาในใจ

สวรรค์เป็นพยาน นั่นมันโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจริงหรือ ไม่มีทางเป็นอันขาด!

หากเขาไม่ได้ขยับตัวช้ากว่าเล็กน้อยจนถูกประมุขหลิงเถาแซงหน้าไปก่อน คนที่ต้องบาดเจ็บปางตายนอนหายใจรวยริน หรืออาจไปโลกหน้าแล้ว คงไม่ใช่หลิงเถา แต่เป็นเขานั่นเอง

ทว่าในตอนนั้นเอง… แม้เขาจะอยู่ในหมู่ผู้ที่หลบหนี แต่ด้วยความที่มีพลังปราณสูงสุดในหมู่คนทั้งหมด หวังเป่าเล่อจึงสังเกตเห็นเขา และยกมือขึ้นทักทาย

“สหายเต๋าตรงนั้นน่ะ ท่านก็เห็นเหมือนกันใช่หรือไม่ ท่านต้องช่วยข้าพิสูจน์นะว่าหมอนั่นมันแกล้งทำ!” หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดเล็กน้อย เขารู้สึกว่าชายที่ตนเองส่งปลิวออกไปเมื่อครู่น่าจะเสียชีวิตไปแล้ว

ปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารีที่กำลังถอยหลังอยู่ในอากาศ รู้สึกถึงอารมณ์มากมายที่ถาโถมเข้ามาในใจเมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ และกำลังจะระเบิดความรู้สึกทั้งหลายออกมา แต่ดูเหมือนเขาจะกลัวการถูกหวังเป่าเล่อตามตื๊อมากกว่า จึงตัดสินใจหันหลังกลับและรีบเร่งทะยานออกจากวงแหวนปราณของกองทหารวิหคน้ำแข็งไป เขาเหาะหนีออกไปจากที่แห่งนี้ในทันที บรรดาผู้ฝึกตนจากกองทหารอันดับที่เจ็ดและสิบเอ็ดต่างก็ล่าถอยอย่างรวดเร็วเช่นกัน ไม่นานนัก พวกเขาก็ออกจากไปจนหมดเกลี้ยง…

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อทำตัวไม่ถูกอย่างถึงขีดสุด เขามองผู้ฝึกตนหญิงรอบกาย ใบหน้าเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มอบอุ่นใจดี ชายหนุ่มกำลังจะเอ่ยปากพูด แต่ทุกคนก็พากันถอยหนีอีกครั้งด้วยความยำเกรงและหวาดกลัว

“เป็นอะไรกันไปหมด ข้าไม่ใช่อสูรกายกินคนนะ…” หวังเป่าเล่อตบหน้าผากตนเองและถอนใจยาว

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนอยู่ในสายของของผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่ที่ควบคุมการรบทั้งสิ้น นางตัวแข็งอยู่กับที่ ดวงตาเต็มไปด้วยความสับสนงุนงง การจากไปของผู้ฝึกตนคู่อริจำนวนมากทำให้ผู้คนที่อยู่ภายนอกวงแหวนปราณสังเกตเห็นด้วยเช่นกัน ทุกคนหันไปมองสิ่งที่เกิดขึ้นภายในวงแหวนปราณด้วยสีหน้าตกใจ แม้จะไม่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้น แต่ก็เห็นร่างของประมุขหลิงเถานอนนิ่งไม่ไหวติงได้อย่างชัดเจน

“เกิดอะไรขึ้น”

“หลิงเถาไม่ได้เพิ่งเข้าไปหรือ นี่มันอะไรกัน…”

“ผู้บัญชาการเมฆาวารี เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ!”

เมื่อถูกเหล่าผู้ฝึกตนรอบกายกดดันเช่นนี้ ปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารีก็ดึงสีหน้าเหยเกแล้วเอ่ยว่า “ใครอยากสู้ต่อก็ตามใจพวกเจ้า แต่ข้าพอแล้ว ใครมันจะไปต่อกรกับปีศาจร้ายที่กองทหารวิหคน้ำแข็งซ่อนเอาไว้ได้กัน…”

หลังจากที่ตะโกนตอบคำถามเรียบร้อย ปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารีก็จากไปพร้อมบริวารของตนอย่างรวดเร็ว โดยไม่ได้หันหลังกลับมามองอีก

การจากไปของเขา กับความจริงที่ว่าไม่มีใครทราบชะตากรรมของประมุขหลิงเถา ทำให้กลุ่มพันธมิตรอ่อนกำลังลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนมังกรแดงก็กำลังห้ำหั่นกับเทพธิดาหลิงโยวอย่างเอาเป็นเอาตาย จึงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ ด้วยเหตุนี้กองทหารวิหคน้ำแข็งจึงได้โอกาสโต้กลับ!

ผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่สั่งให้คนเข้าจับกุมประมุขหลิงเถาในทันที นับว่าเขาโชคดีที่ไม่ได้เสียชีวิต… นางเหาะไปดูอาการของอีกฝ่ายด้วยตนเอง พลางหายใจเข้าลึก ก่อนจะมาหยุดที่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ และโค้งคำนับเป็นมุมฉากด้วยความเคารพ

“ในสมรภูมินี้ สหายเต๋าหลงหนานจื่อได้ทำคุณงามความดีเอาไว้มากที่สุด! โปรดช่วยโจมตีศัตรูของเราต่อ และช่วยให้กองทหารของเราได้รับชัยชนะด้วยเถิด!” ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความจริงใจ นางโค้งต่ำให้หวังเป่าเล่ออีกครั้งหลังจากที่พูดจบ

หวังเป่าเล่อมองหญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้า พลางพยายามคิดหาวิธีปฏิเสธอย่างสุภาพ ตอนนี้ความต้องการของเขาแน่วแน่ชัดเจนมาก ซึ่งก็คือการเดินหน้าวิจัยเรื่องโล่ต่อไป แต่ภายในอึดใจเดียวผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่ก็พูดอีกครั้งด้วยเสียงแผ่วเบา

“หลังจบการรบเราจะมอบรางวัลให้ผู้ที่มีบทบาทให้เราได้กำชัยมากที่สุด ข้าสัญญาว่าท่านจะพึงพอใจกับผลตอบแทนอย่างแน่นอน!”

เมื่อได้ยินดังนั้นหวังเป่าเล่อก็กะพริบตาปริบ เขาคิดย้อนไปว่าชีวิตของตนในกองทหารวิหคน้ำแข็งก็มีความสุขดี แม้เทพธิดาหลิงโยวจะไม่ได้ยินดียินร้ายกับเขา แต่นั่นก็ถือเป็นเรื่องปกติ ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงเงยหน้าขึ้น มองไปรอบๆ สนามรบภายนอกวงแหวนปราณ และพยักหน้าตอบรับ

“ข้าก็เป็นหนึ่งในสมาชิกของกองทหารวิหคน้ำแข็ง เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้วที่ต้องรับใช้กองทัพ!” หวังเป่าเล่อเอ่ย พร้อมขยับตัวทะยานออกนอกวงแหวนปราณไป!

ทันทีที่เท้าสัมผัสพื้น ร่างของชายหนุ่มก็อันตรธานไป และมาปรากฏตัวอีกครั้งที่ท้องฟ้านอกวงแหวนปราณ ทันทีที่เขามาถึง ผู้ฝึกตนที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ราวแปดคนก็พุ่งเข้าโจมตี ก่อนจะปลิวว่อนพร้อมเสียงกรีดร้องทรมาน ทั้งเลือดพร้อมเศษเนื้อสาดกระเซ็น หวังเป่าเล่อถอนใจ เขาตระหนักดีว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจะต้องถูกคนที่มียศสูงกว่าในสำนักนี้ยึดไปอย่างแน่นอน

แต่จากการคำนวณของข้า ข้าเพียงตั้งใจว่าจะทดลองใช้วิธีซ้อนอักขระจนสุดทางเท่านั้น จากนั้นก็จะเลิกใช้วิธีนี้และหันไปเปลี่ยนโครงสร้างของโล่แทน ดังนั้นต่อให้มีคนเอามันไปจากข้า…มันก็จะเป็นเพียงโล่รูปแบบเก่าเท่านั้น นอกจากนี้ข้าเองก็เป็นสมาชิกของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ด้วย ถึงอย่างไรพวกเขาก็คงจะใช้กำลังยึดไปจากข้าไม่ได้ หากรูปการณ์เป็นไปในแนวนี้แล้วละก็…ข้าก็ควรใช้โอกาสนี้สำแดงอำนาจของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาให้ถึงขีดสุด เพื่อที่จะทำให้มูลค่าของมันพุ่งสูงขึ้นไปอีก!

……………………..

บทที่ 782 เกิดบ้าอะไรขึ้น
ณ ห้วงเวลานี้ ทั่วทั้งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์กำลังจับจ้องไปที่กองทหารวิหคน้ำแข็ง การที่กองทหารสิบอันดับแรกของสำนักผนึกกำลังเพื่อห้ำหั่นกันเองนั้น เป็นเรื่องที่เกิดได้ยากยิ่ง

เรื่องทั้งหมดนี้เกิดจากความทะเยอทะยานของเทพธิดาหลิงโยวเอง หากนางต้องการนำกองทหารของตนผงาดขึ้นมาเป็นกองทหารอันดับที่หก ด้วยพลังปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะของนางก็คงทำได้ไม่ยาก ทุกสิ่งคงเป็นไปอย่างง่ายดายตามครรลองของมัน เนื่องจากกองทหารอันดับหกคงไม่สามารถต้านทานพลังของหญิงสาวได้

แต่สิ่งที่นางต้องการกลับไม่ใช่อันดับหก แต่เป็นอันดับห้า!

ซึ่งแปลว่านางกำลังเพิ่มความยากให้ภารกิจของตน โดยการท้าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนอื่นๆ สู้ ด้วยเหตุนี้นางจึงกลายมาเป็นจุดสนใจของทุกคน ดังนั้นกองทหารอันดับห้าจึงร่วมมือกับกองทหารอื่นๆ เพื่อสยบเทพธิดาหลิงโยวและทำให้นางได้สำนึกถึงตำแหน่งของตัวเอง

การต่อสู้ครั้งนี้…ดึงความสนใจได้แม้กระทั่งผู้อาวุโสระดับดาวพระเคราะห์ประจำสำนัก เขาเองก็กวาดสายตาผ่านห้วงอวกาศไปจับจ้องอยู่ที่สนามรบเช่นกัน

ขณะที่สายตาทุกคู่กำลังจับจ้องไปที่สมรภูมิ ผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่ก็ออกคำสั่งเคลื่อนกำลังพล เสียงร้องของปักษาดังกังวานไปทั่วบริเวณของกองทหารวิหค พลันโล่เปลวเพลิงล่องหนที่สร้างมาจากเพลิงสีฟ้า ก็เข้าครอบทั้งกองทัพเอาไว้เหมือนถ้วยคว่ำ คอยปกป้องผู้ฝึกตนน้อยใหญ่จากภัยภายนอก

นี่คือวงแหวนปราณป้องกันของกองทหารวิหคน้ำแข็ง วงแหวนปราณเพลิงเย็นปักษาผงาด!

ขณะที่ท้องฟ้าและผืนดินกำลังสั่นสะเทือนอยู่นั้น เปลวเพลิงสีฟ้าไม่ได้ปล่อยความร้อนระอุออกสู่บรรยากาศภายนอก หากแต่เป็นความเย็นจับขั้วหัวใจ ไอเย็นนี้แพร่กระจายไปทั่วบริเวณ จนเริ่มเห็นเกล็ดหิมะก่อตัวขึ้น ลอยละล่องอยู่ทั่วสนามรบ เรือบินรบจำนวนมากเคลื่อนที่ออกจากรอยแยกบนท้องฟ้าไกลจากวงแหวนปราณของกองทหารวิหคน้ำแข็ง

ในหมู่เรือบินรบมีอยู่สามลำที่มีรูปลักษณ์พิเศษและพลังปราณเข้มข้นกว่าใครเพื่อน เรือบินรบสามลำนี้เป็นของผู้บัญชาการกองทหารอันดับที่หก เจ็ด และสิบเอ็ด ลำหนึ่งเป็นทรงพีระมิด อีกลำเป็นวงแหวน ส่วนลำสุดท้ายที่เป็นของกองทหารอันดับสิบเอ็ดนั้น ผู้บัญชาการสูงสุดประจำกองทหารยืนผงาดอยู่บนดอกบัวเพลิงเย็นขนาดยักษ์ ในมือถือหอกยาว ภาพนี้ทำให้ชายผู้นี้ดูน่าเกรงขามเป็นอันมาก

แต่จากเรือบินรบทั้งหมดแล้ว ลำที่โดดเด่นที่สุดคือลำที่อยู่เบื้องหลัง มันรูปร่างเหมือนมังกรยักษ์สีแดง ลำตัวของมังกรใหญ่มหึมา พลังกดดันที่ปล่อยออกมาอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งยืนอยู่บนมังกรสีแดงนั้น เขาอยู่ในชุดคลุมยาว ดูน่าเกรงขามดุดันแม้ไร้ซึ่งโทสะ พลังปราณของเขาอยู่ที่ขั้นจิตวิญญาณอมตะเช่นเดียวกัน

ชายผู้นี้คือผู้บัญชาการของกองทหารอันดับที่ห้า ผู้มีนามว่าศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดง มังกรยักษ์ที่อยู่แทบเท้าของเขาก็คือเรือบินรบเวทนั่นเอง!

“สหายเต๋าหลิงโยว ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้ายอมทิ้งความคิดที่จะท้าทายกองทหารมังกรแดงของข้าหรือไม่!” ประกายแสงวาบเข้ามาในแววตาของชายวับกลางคนขณะพูด เขาไม่สนใจทั้งวงแหวนปราณและกองทหารวิหคน้ำแข็งที่อยู่ภายใน แต่มองไปที่ตำหนักซึ่งอยู่หลังสุดของกองทัพทั้งหมด ราวกับว่าดวงตาของเขาสามารถมองทะลุกำแพงตำหนัก และเห็นเทพธิดาหลิงโยวที่กำลังนั่งขัดสมาธิ ซึ่งค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ได้

“สหายเต๋ามังกรแดง พยายามพูดไปก็ป่วยการเปล่า”

ศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงที่อยู่ภายนอกวงแหวนปราณส่ายหน้าเล็กน้อยหลังจากได้ยิน เขารู้สึกได้ถึงโทสะที่ค่อยๆ สุมอยู่ภายในใจ ก่อนหน้านี้กองทหารมังกรแดงอยู่อันดับสี่ แต่ก็พ่ายแพ้ให้กองทหารเกราะดำในการแข่งขัน จึงถูกลดอันดับมาอยู่ที่อันดับห้า เพียงเท่านั้นเขาก็รู้สึกหัวเสียมากแล้ว แต่บัดนี้กองทหารวิหคน้ำแข็งยังวางแผนท้าสู้กับเขาอีกด้วย ดวงตาของศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงสว่างวาบ เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง ยกมือขวาขึ้นกำโดยฉับพลัน ทันใดนั้น เปลวเพลิงก็พวยพุ่งออกจากร่าง มังกรแดงที่อยู่แทบเท้าอ้าปากคำราม ก่อนพ่นไฟประลัยกัลป์ออกมา เปลวเพลิงนั้นเมื่อรวมเข้ากับพลังเทพของศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงก็พลันก่อรูปร่างกลายเป็นมือเพลิงยักษ์ในทันที มือยักษ์สีแดงฉานฟาดทับลงมาที่วงแหวนปราณของกองทหารวิหคน้ำแข็ง!

แต่ก่อนที่มือยักษ์จะทันได้ตบลงไปที่วงแหวนปราณ มือยักษ์อีกมือหนึ่งก็ยื่นออกจากเปลวไฟสีฟ้าที่ล้อมกองทหารวิหคน้ำแข็งเอาไว้ มือยักษ์ต่างขั้วพุ่งเข้าปะทะกันกลางอากาศ

เสียงปะทะดังสะเทือนไปทั่ว มือยักษ์เปลวไฟสีฟ้าถูกลมพัดปลิวสลายไป เผยให้เห็นเรือบินรบของหลิงโยวที่ซ่อนอยู่ภายใน เรือบินรบของนางดูราวกับเป็นเทพเจ้าแห่งสงคราม ที่แหวกการเกาะกุมของมือยักษ์พุ่งทะยานเข้าใส่ศิษย์แห่งเต๋ามังกรแดงในทันที!

ทั้งสองห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด ส่วนกองทัพภายนอกวงแหวนปราณก็เริ่มต่อสู้กัน ผู้ฝึกตนมากมายเหาะเหินไปในอากาศ เรือบินรบจำนวนมากเรียงตัวเป็นแนวเสาสว่างจ้าที่มีพลังทำลายล้างรุนแรง เมื่อแนวเรือบินรบลงจอดบนวงแหวนปราณของกองทหารวิหคน้ำแข็งได้สำเร็จ กองทหารวิหคน้ำแข็งก็เริ่มกระโจนเข้าตอบโต้ในทันที

หุ่นเชิดรูปปั้นมากมายผงาดขึ้นจากพื้นดินตามบัญชาการของผู้ฝึกตนหญิงใบหน้ารูปไข่ กองทหารอันดับที่แปดและเก้าซึ่งเป็นพันธมิตรกับกองทหารวิหคน้ำแข็งเพิ่งมาถึง และเข้าร่วมการตะลุมบอนด้วยเช่นกัน

เสียงการสู้รบกึกก้องไปทั่วทุกสารทิศ พลังเทพทำให้พื้นพิภพสั่นสะท้านและระเบิดใส่วงแหวนปราณ การต่อสู้ดำเนินไปอย่างดุเดือด มีหลายคนได้รับบาดเจ็บ แม้ผู้เสียชีวิตจะยังมีไม่มากนัก แต่หากเหตุการณ์ยังดำเนินไปในรูปการณ์นี้สถานการณ์จะต้องย่ำแย่ลงอย่างแน่นอน

หากเป็นเมื่อก่อน หวังเป่าเล่อที่เห็นฉากตรงหน้าอาจรู้สึกฮึกเหิมไปตามบรรยากาศ แต่ไม่ใช่ในครั้งนี้ สิ่งเดียวที่อยู่ในห้วงความคิดของเขาคือการหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบแปดให้ได้ เขาไม่สนใจว่าใครจะตีกับใครเพื่อแย่งชิงอะไรทั้งสิ้น และยังคงวิเคราะห์ทฤษฎีของตนเองอยู่ในใจ ราวกับวิญญาณได้ออกจากร่างไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วอย่างไรอย่างนั้น

ส่วนการซ่อมแซมนั้นสามารถดำเนินไปเองโดยไม่ต้องการความช่วยเหลือของเขาแม้แต่น้อย เมื่อหุ่นเชิดที่ได้รับความเสียหายเดินกลับมาที่โรงซ่อม ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทเหมือนหวังเป่าเล่อ ก็รีบพุ่งเข้าไปซ่อมแซมอย่างรวดเร็ว

ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงมีเวลาว่างนั่งคำนวณในหัวอยู่คนเดียวโดยไม่มีใครสนใจ เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้า การต่อสู้ในสนามรบเริ่มดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่เกิดรอยแยกขึ้นบนวงแหวนปราณกองทหารวิหคน้ำแข็งถึงสองรอย ผู้ฝึกตนมากมายกระโจนเข้าไปในรอยแยกเหล่านั้นพร้อมด้วยเสียงดังลั่น

ผู้ฝึกตนจากกองทหารวิหคน้ำแข็งมีสีหน้าจริงจังขึ้นมาและรวมทัพในทันที ส่วนผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ทั้งสามคนก็ล่าถอยกลับมาอย่างรวดเร็ว

ทั้งสองฝั่งต่อสู้กันอย่างดุเดือด วงแหวนปราณที่เสียหายซ่อมแซมตนเองอย่างรวดเร็ว ตอนที่วงแหวนปราณกำลังจะปิดสนิทลงอีกครั้งนั้น รังสีพลังรุนแรงสองสายก็พุ่งพรวดออกจากรอยแยก ผ่านเข้ามาภายในวงแหวนปราณเหมือนดาวตก ก่อนจะเหยียบลงบนพื้นของสมรภูมิเบื้องล่าง

“ประมุขหลิงเถา!”

“ปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารี!” เสียงกรีดร้องด้วยความตกใจดังไปทั่วกองทหารวิหคน้ำแข็ง ส่วนเสียงหัวเราะกึกก้องนั้นดังมาจากร่างทั้งสองที่เพิ่งลงสู่พื้น ทั้งสองคือผู้บัญชาการของกองทหารอันดับเจ็ดและสิบเอ็ด!

ประมุขหลิงเถาปล่อยพลังปราณขั้นแสร้งอมตะให้กระจัดกระจายไปทั่วสนามรบเหมือนพายุร้าย ดวงตาของเขาหรี่แคบขณะมองผู้ฝึกตนหญิงจากกองทหารวิหคน้ำแข็งที่กำลังทำทีเหมือนพวกเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่ร้ายกาจ และเมื่อเห็นผู้ฝึกตนหญิงรูปร่างสวยงามยั่วยวน ประกายร้ายกาจในแววตาของปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารีก็ชัดเจนจนปิดไม่มิด

รอยแยกทั้งสองไม่ได้อยู่ไกลจากตัวหวังเป่าเล่อเท่าใดนัก แต่เขาทำเพียงเงยหน้าขึ้นมองเท่านั้น ไม่คิดใส่ใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย การคำนวณสูตรหลอมโล่ในใจกำลังเดินทางมาถึงจุดสำคัญ จนเขารู้สึกได้ว่าตนเองกำลังจะบรรลุวิชาครั้งใหญ่

ทว่า…แม้ตัวเขาจะไม่ได้ใส่ใจผู้บัญชาการทั้งสอง แต่ด้วยความที่เป็นชาย จึงย่อมดูโดดเด่นออกมาจากผู้ฝึกตนรอบกายที่ส่วนมากเป็นสตรีเพศ แม้เขาจะไม่ใช่คนเดียวที่เป็นบุรุษ แต่คนอื่นๆ ที่เหลือต่างมีสีหน้ากระวนกระวายและจริงจัง มีหวังเป่าเล่อเพียงคนเดียวที่ดวงตาล่องลอยเหมือนกำลังฝันกลางวันอยู่ เขาจึงไปเตะตาผู้บัญชาการกองทหารอันดับเจ็ดเข้าจนได้

หลงหนานจื่อรึ ประกายแสงสว่างวาบในแววตาของชายที่เพิ่งมาถึง ค่าหัวของหวังเป่าเล่อผุดขึ้นในสมอง ส่วนประมุขหลิงเถาก็ดูตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัดเช่นกัน

ประมุขหลิงเถาถือหอกเอาไว้ในมือ มีก้อนน้ำแข็งสีดำราวแปดก้อนอยู่แทบเท้า ทันทีที่พลังปราณก้าวเข้าสู่ขั้นแสร้งอมตะ ความมั่นใจของเขาก็เพิ่มมากขึ้น เมื่อเข้ามาในวงแหวนปราณได้ ประมุขหลิงเถาก็หัวเราะออกมาเสียงดังลั่นด้วยความยโสโอหัง

“หลังการต่อสู้ในครั้งนี้ กองทหารของข้าจะต้องก้าวขึ้นมาสู่สิบอันดับแรกอย่างแน่นอน!” ประมุขหลิงเถาพูดพร้อมวาดหอกเป็นครึ่งวงกลม เขากวาดสายตามองรอบตัว และสังเกตเห็นหวังเป่าเล่อในทันทีเช่นเดียวกับผู้บัญชาการกองทหารอันดับทเจ็ด ภาพที่ทั้งสองมองเห็นคือ ภาพของหวังเป่าเล่อที่กำลังก้มหน้าครุ่นคิดเหมือนฝันกลางวันท่ามกลางผู้ฝึกตนหญิงมากมายที่รายล้อม

เมื่อเห็นดังนั้น ดวงตาของประมุขหลิงเถาก็วาววับ เขาดูประหลาดใจมาก รอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏบนใบหน้าขณะพุ่งตรงเข้าไปหาหวังเป่าเล่อ ราวกับกลัวว่าปรมาจารย์เต๋าเมฆาวารีจะชิงตัดหน้าเก็บหวังเป่าเล่อไปก่อน

ส่วนโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่ลอยอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่มนั้น แน่นอนประมุขหลิงเถาย่อมรู้ว่ามันคือสิ่งใด แต่เขาก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย เนื่องจากดูปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นโล่ระดับต่ำที่คงไม่ระคายผิวเขาแต่อย่างใด!

ความต้องการสังหารพุ่งออกจากร่างประมุขหลิงเถา ดวงตาของเขาไม่ได้มองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าว่าเป็นหวังเป่าเล่อ หากแต่เป็น…รางวัลค่าหัวจำนวนมหาศาลที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำนำมาล่อ!

“เจ้าอยู่ที่นี่เอง!” เสียงของเขาก้องไปในอากาศ ร่างเข้ามาประชิดตัวในทันทีเหมือนสายฟ้าฟาด ประมุขหลิงเถาปล่อยพลังปราณของตนเองเต็มพิกัด เปลวไฟสีดำระเบิดออกมาจากปลายหอกในมือ แปรเปลี่ยนเป็นสุนัขป่าสีดำที่กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขณะทะยานเข้าหาหวังเป่าเล่อ

ภาพของสุนัขสีดำที่รวบรวมพลังปราณขั้นแสร้งอมตะของประมุขหลิงเถาเอาไว้ พุ่งเข้าปะทะหวังเป่าเล่อจากด้านหน้าในทันที ในตอนนั้นเอง โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาก็สะท้อนแสงสว่างเจิดจ้าราวกับเป็นดวงอาทิตย์ โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดทั้งหมด 20,000 ชิ้นผนึกรวมกำลังกันเป็นหนึ่งท่ามกลางแสงสว่างนั้น และปล่อยพลังอันน่าเหลือเชื่อของโล่ระดับสิบเจ็ดออกมาด้วยพลังสะท้อนกลับระดับตำนานที่ร้อยละ 170…

สิ่งที่ตามมา…คือเสียงกรีดร้องแหลมสูงด้วยความเจ็บปวดโหยหวนน่าขนลุกที่กระจายไปทั่วบริเวณ เสียงดังกล่วฟังดูตกใจจนแทบสิ้นสติ ไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย เสียงนั้นดังขึ้นพร้อมร่างของประมุขหลิงเถาที่ปลิวไปด้านหลังด้วยความเร็วมากกว่าตอนที่เขาพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อเสียอีก หอกในมือแตกสลาย ส่วนแขนก็ระเบิดกระจุยกระจาย เลือดสดๆ สาดกระเซ็นไปทุกหนแห่ง กระทั่งแขนอีกข้างก็ยังระเบิดออกดังโพละ…

สมรภูมิโดยรอบเงียบสงัดลงในวินาทีนั้น มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ยังคงมีท่าทีประหลาดอยู่ เขาเพิ่งคำนวณจุดสำคัญที่สุดในสมการ และมัวแต่หมกมุ่นอยู่กับความคิดตนเองโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีบางสิ่งพุ่งเข้ามาใส่ตน จนส่งผลให้โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาทำงาน…

“เกิดบ้าอะไรขึ้น” หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้ารำคาญใจ

………………………………

บทที่ 781 ปักษา จงผงาด!
แม้หวังเป่าเล่อจะไม่รู้ว่าจั่วอี้เซียนคิดสิ่งใดอยู่โดยละเอียด แต่ก็พอเดาได้เป็นส่วนๆ เมื่อนำการวิเคราะห์นั้นมารวมกับนิสัยจั่วอี้เซียนที่เขารู้ดีอยู่แล้ว ชายหนุ่มก็พอคาดการณ์ได้ในใจ

เขาหรี่ตาครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนประกาศ “ข้าไม่ขาย!”

เสียงของเขาดังออกมาจากถ้ำที่พัก ลอยไปเข้าหูสามคนและหนึ่งลาที่อยู่ข้างนอก หูของเจ้าลากระตุก แววตาของเจ้าอู๋น้อยสว่างวาบ มีเพียงจั่วอี้เซียนแล้วผู้ฝึกตนหญิงเท่านั้นที่สีหน้าเปลี่ยน

จั่วอี้เซียนดูกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด ส่วนน้องสาวเทพธิดาหลิงโยวเต็มไปด้วยความไม่พอใจ นางมุ่นคิ้วจ้องประตูถ้ำ น้ำเสียงเย็นเยียบ

“สหายเต๋าหลงหนานจื่อ ข้าชอบสัตว์เลี้ยงของเจ้ามาก โปรดขายให้ข้าเถิด ข้าขอแลกด้วยผลดวงใจน้ำแข็งหนึ่งผล!”

เมื่อหวังเป่าเล่อซึ่งสังเกตการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกมาตลอดได้ยินคำว่าผลดวงใจน้ำแข็ง ดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อย เมื่อหลายวันก่อนตอนที่เขาซื้อวัตถุดิบ เขาไปเห็นเจ้าผลนี่เข้า ซึ่งมีเฉพาะในอาณาเขตของกองทหารวิหคน้ำแข็งเท่านั้น

ต้นของผลไม้ชนิดนี้มาจากอารยธรรมต่างดาว หลังจากที่กองทหารวิหคน้ำแข็งไปปล้นทำลายอารยธรรมต้นกำเนิดของต้นไม้นี้เรียบร้อย พวกเขาก็นำต้นกลับมาปลูกที่บริเวณต้องห้ามของอาณาเขต ต้นไม้นี้จะออกผลทุกร้อยปี ครั้งละราวร้อยผล ซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่น้อยและไม่เยอะเกินไป จึงทำให้ราคาของแต่ละผลนั้นแพงเอาเรื่องเลยทีเดียว เมื่อใส่ผลไม้ชนิดนี้เข้าไปในโอสถก็จะช่วยเพิ่มฤทธิ์ของยาได้

หากกินโดยตรง ก็จะมีฤทธิ์ทำให้พลังปราณของผู้ที่กินเสถียรขึ้น ด้วยความที่ผลดวงใจน้ำแข็งนั้นหายากมาก หวังเป่าเล่อจึงสนใจมันเช่นกัน

“ข้าเลี้ยงเจ้าตัวนี้มานาน เราทนแยกจากกันมิได้หรอก ดังนั้น…ลืมไปเสียเถิดนะ” หลังจากผ่านไปสักพัก เสียงถอนใจยาวของหวังเป่าเล่อก็ลอยออกมาจากถ้ำที่พัก เมื่อประโยคนั้นเข้าหูเจ้าลา มันก็ส่งเสียงร้องฮี้ดีใจออกมาทันที เจ้าอู๋น้อยที่ยืนอยู่ข้างๆ รีบเดินเข้าไปจัดขนมันให้เรียบด้วยดวงตากระตือรือร้นอย่างประหลาด

ส่วนจั่วอี้เซียนนั้นเดือดดาลเป็นอันมาก หากไม่กลัวจนไม่กล้าพูด เขาคงบอกผู้ฝึกตนหญิงข้างกายเป็นแน่ ว่าหลงหนานจื่อเพิ่งซื้อเขามาไม่นาน และยินยอมพร้อมใจจะจากเขาไปอย่างแน่นอน

“ผลดวงใจน้ำแข็งสองผล!” น้องสาวของเทพธิดาหลิงโยวเลิกคิ้วขึ้น ต่อให้นางรู้ว่าหวังเป่าเล่อโกหก ก็ยังขี้เกียจเกินกว่าจะเถียงด้วย จึงเลือกเพิ่มมูลค่าการแลกเปลี่ยนแทน

ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกาย เขายังคงพูดต่อไปโดยไม่พยายามซ่อนเสียงลมหายใจเข้าที่เจือความตื่นเต้นแม้แต่น้อย

“แต่ว่า…ข้าใช้เงินกับเจ้านี่ไปมาก ข้าซื้ออาหารชั้นดีให้มันกินทุกวัน จนทำให้หน้าตาของมันหล่อเหลาเอาการ ซึ่งความหน้าตาดีของสัตว์เลี้ยงข้านี้ไม่เกี่ยวกับราคาอย่างแน่นอน แต่เป็นสายสัมพันธ์ฉันเจ้าของสัตว์เลี้ยงของเราต่างหากที่…”

“สี่ผล!” ผู้ฝึกตนหญิงเริ่มรำคาญเล็กน้อย

“สายสัมพันธ์ของเรานั้น…”

“สิบผล หลงหนานจื่อ แค่นี้ก็แพงมากเกินพอแล้ว หากเจ้ายังไม่ยอมขาย ก็อย่าหวังว่าจะได้ไปจากข้าแม้แต่ผลเดียวเลย!” นางพูดขัดหวังเป่าเล่อด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด พร้อมด้วยกลิ่นอายการข่มขู่

หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นระรัว เขาพยักหน้าตกลงไปล้านรอบแล้วในใจ แต่เพื่อให้การแลกเปลี่ยนเป็นไปอย่างไม่มีใครได้เปรียบเสียเปรียบ เขาก็ทำทีเหมือนคิดอยู่สักพัก ก่อนจะตอบตกลงด้วยน้ำเสียงลังเลใจ

เมื่อได้ยินหวังเป่าเล่อตอบตกลง จั่วอี้เซียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอยู่ภายใน ขณะที่เขากำลังแอบเนื้อเต้นอยู่คนเดียวนั้น ผู้ฝึกตนหญิงก็รีบสรุปการแลกเปลี่ยนกับหวังเป่าเล่อ จ่ายค่าสัตว์เลี้ยง และพาชายหนุ่มจากไป

เจ้าอู๋น้อยที่ยืนมองการแลกเปลี่ยนอยู่ด้วยตาของตนเองนั้น เดินไปยังที่ที่จั่วอี้เซียนยืนอยู่เมื่อครู่ ก่อนถ่มน้ำลายลงบนพื้นด้วยสีหน้ารังเกียจถึงขีดสุด

“ไอ้สมองหน้าปัญญาควาย ได้อยู่กับท่านบิดาก็ดีแค่ไหนแล้ว ถึงพวกเราจะแค่ทำหน้าที่เฝ้าประตู แต่อย่างน้อยท่านบิดาก็ปฏิบัติกับมันเช่นเดียวกับที่ปฏิบัติกันข้า แต่ตอนนี้มันกลับลอยหน้าไปเป็นสัตว์เลี้ยงคนอื่นเสียแล้ว โง่เป็นบ้า ท่านเห็นด้วยกับข้าหรือไม่ นายท่านคนที่สอง” ขณะที่พูดเขาก็ยังไม่วายจัดขนเจ้าลาไปด้วย

ดูเหมือนความสามารถในการจัดขนของเขาจะดีเยี่ยม เจ้าลารู้สึกสบายจนถึงกับส่ายหางเล็กน้อย พร้อมส่งเสียงร้องฮี้แสดงความเห็นด้วย

หวังเป่าเล่อไม่สนใจปาหี่ที่หน้าถ้ำตนเองแม้แต่น้อย เขาเก็บผลดวงใจน้ำแข็งเอาไว้หนึ่งผล และขายเก้าผลที่เหลือไปทั้งหมดเพื่อแลกเป็นวัตถุดิบจำนวนมาก จากนั้นก็เริ่มหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบสามทันที

ด้วยกระบวนการหลอมที่เคยใช้ หวังเป่าเล่อจึงใช้เวลาไม่นานก็บรรลุระดับสิบสาม พลังสะท้อนกลับของโล่เพิ่มเป็นร้อยละ 130 ซึ่งทำให้มูลค่าของมันพุ่งสูงขึ้นด้วย

แต่ชายหนุ่มไม่หยุดเพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อรวบรวมทรัพยากรที่จำเป็นอีกครั้ง และบรรลุความสำเร็จครั้งใหญ่เพราะสามารถเสริมพลังโล่จากระดับสิบสามไปเป็นระดับสิบเจ็ดได้!

โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบเจ็ดสร้างมาจากการผูกโล่ระดับเจ็ด 20,000 ชิ้นเข้าด้วยกัน พลังสะท้อนกลับคือร้อยละ 170 แม้แต่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะยังต้องระวังหากเผชิญหน้ากับโล่นี้เพราะเป็นไปได้ที่จะได้รับผลสะท้อนกลับซึ่งเป็นอันตรายมหาศาล

นั่นเพราะโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของหวังเป่าเล่อเก็บซ่อนความสามารถที่แท้จริงเอาไว้ภายใน หากดูจากภายนอก โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่ลอยวนอยู่รอบกายเขาหน้าตาดูเหมือนระดับสาม แต่ในความจริงแล้วมันคือโล่ระดับเจ็ด ดังนั้นใครที่ไม่ระวังตัวอาจพลาดจนถึงแก่ความตายได้

ทว่าหลังจากที่หลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกามาได้ถึงขั้นนี้ หวังเป่าเล่อก็ยังไม่พอใจในผลงาน ยิ่งหลอมมากเท่าไหร่ จิตใจของเขายิ่งยุ่งเหยิงมากขึ้นเท่านั้น หลังจากวิเคราะห์อยู่สักพัก เขาก็คิดได้ว่าปัญหาอยู่ที่การซ้อนอักขระ แม้วิธีการนี้จะเพิ่มระดับของโล่ได้ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดอยู่

ขีดจำกัดของมันอยู่ที่ระดับสิบแปด หากคิดจะเดินหน้าเพิ่มระดับของมันต่อไป…ข้าต้องเปลี่ยนวิธีการ! หวังเป่าเล่อถอนหายใจและนวดหน้าผากตนเอง หลังจากพักสักครู่ เขาก็คิดต่อ จนเวลาผ่านไปสามวันเต็ม

สามวันต่อมา เมื่อหวังเป่าเล่อเริ่มได้แรงบันดาลใจจากการคิดวิเคราะห์อย่างหนัก เขาก็ได้รับคำสั่งให้ผู้ฝึกตนแห่งกองทหารวิหคน้ำแข็งทุกคนไปรวมตัวกันที่ลานสาธารณะ คำสั่งนั้นระบุชัดเจนว่ากองทหารอันดับที่สิบเอ็ด ท้ากองทหารวิหคน้ำแข็งประลอง!

คำสั่งดังกล่าวทำให้การคิดวิเคราะห์ของหวังเป่าเล่อถูกขัดจังหวะ เขาขมวดคิ้วและตัดสินใจไม่ไปตามคำสั่ง ทว่า…คำสั่งที่สอง สาม และสี่ก็ตามมาอย่างรวดเร็ว

“กองทหารอันดับที่ห้า หก และเจ็ด จะให้การช่วยเหลือกองทหารที่สิบเอ็ด พวกเขาจะมาถึงในอีกหกชั่วโมง!”

“การประลองระหว่างสองกองทหารจะเกิดขึ้นภายในหกชั่วโมงนับจากนี้!”

ประกาศนี้มาพร้อมการเรียกระดมพลทหารทั้งกองทัพ และยังมีภารกิจส่งมาถึงหวังเป่าเล่อด้วย เขาถูกส่งไปที่ชายแดนเพื่อช่วยสหายซ่อมแซมวัตถุเวทของกองทหารตามคำสั่ง

ในตอนเดียวกันนั้น เสียงประกาศของเทพธิดาหลิงโยวก็ดังไปทั่วกองทหาร นางบอกให้ผู้ฝึกตนภายใต้สังกัดกองทหารวิหคน้ำแข็งทุกคนเตรียมรับมือการประลองกับกองทหารอันดับที่สิบเอ็ด และกองทหารอันดับแปดและเก้าจะมาช่วยพวกเขาในการประลองในฐานะพันธมิตร

ประกาศเหล่านี้ทำให้หวังเป่าเล่อหรี่ตาเมื่อได้อ่าน แม้เขาจะไม่อยากเข้าร่วมการต่อสู้ แต่ก็ยังต้องเดินออกจากถ้ำที่พักไปประจำที่ตามภารกิจซึ่งได้รับมอบหมาย

ระหว่างทาง เขาเห็นทุกคนในกองทหารมีสีหน้าเคร่งเครียด ขณะที่ชายหนุ่มกำลังทะยานไปในห้วงอวกาศเพื่อประจำที่นั้น บรรยากาศทั้งหมดก็กดทับลงมาบนตัวเขา

หวังเป่าเล่อเดินทางมาถึงที่ที่ตนเองต้องประจำการอย่างรวดเร็วตามคำสั่งท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดกดดัน ที่แห่งนี้คือชายแดนอาณาเขตกองทหารวิหคน้ำแข็งซึ่งรายล้อมไปด้วยรูปปั้นยักษ์นับสิบ ผู้ฝึกตนหลายคนกำลังล้อมรอบรูปปั้นเหล่านั้นและตรวจดูสภาพ เมื่อเสร็จเรียบร้อย พลังอำนาจของรูปปั้นยักษ์ก็ถูกปลุกขึ้นมา รูปปั้นทั้งหมดหมุนวนเป็นวงกลม ปล่อยคลื่นกดดันออกมาเป็นริ้วๆ

เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่ยุ่งสาละวนแล้ว หวังเป่าเล่อกลับยืนทื่ออยู่ตรงนั้น หน้าตาเหมือนโดนสะกดจิต ในใจคิดถึงแต่แรงบันดาลใจจากโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่ตนเองคิดขึ้นได้ เวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้าจนเวียนมาบรรจบครบหกชั่วโมง หลังจากที่เตรียมตัวมาครบหกชั่วโมง กองทหารวิหคน้ำแข็งทั้งหมดก็ดูเหมือนอสูรร้ายที่ลืมตาตื่นขึ้นจากการจำศีล

บนพื้นดิน กองทัพหุ่นเชิดนับไม่ถ้วนยืนเรียงรายสุดลูกหูลูกตา ในบรรดาหุ่นเชิดทั้งหมดนี้ มีอยู่ตัวหนึ่งที่โดดเด่นกว่าใครเพื่อน เมื่อดูที่ศีรษะของมัน จะเป็นว่ามีผู้ฝึกตนหญิงในชุดเกราะนั่งไขว้ห้างอยู่ รูปลักษณ์ของนางดูเหมือนเทพธิดาแห่งสงครามอย่างไรอย่างนั้น

สตรีผู้นี้คือผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ซึ่งเป็นคนวงในของเทพธิดาหลิงโยว และหวังเป่าเล่อก็เคยพบนางมาก่อน

ส่วนบนท้องฟ้านั้น เรือบินรบมากมายปกคลุมทั่วน่านฟ้าจนมองไม่เห็นดวงจันทร์ เรือบินรบเหล่านั้นกระจายไปทั่วบริเวณ สตรีขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์อีกผู้หนึ่งซึ่งมีรูปร่างอวบอัดยั่วยวนใจ กำลังยืนอยู่บนเรือบินรบลำหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมองที่ขอบฟ้าไกลออกไป

นอกจากนั้นยังมีแท่นบูชาแท่นหนึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนือทุกสิ่ง บนแท่นบูชามีสตรีอีกนางหนึ่งยืนอยู่ สตรีผู้นั้นไม่ใช่เทพธิดาหลิงโยว หากแต่เป็น…สตรีหน้ารูปไข่ที่หวังเป่าเล่อเคยเจอก่อนหน้านี้ นางรับหน้าที่เป็นผู้บัญชาการเอกสำหรับการต่อสู้นี้!

ส่วนเทพธิดาหลิงโยวนั้นกำลังนั่งสมาธิอยู่ในตำหนักเบื้องหลัง!

บรรยากาศเคร่งขรึมจริงจังส่งผลต่อจิตใจของผู้ฝึกตนทุกคนในที่แห่งนี้ แต่ไม่ใช่กับหวังเป่าเล่อ…เขายืนอยู่ตรงนั้นก็จริง แต่ในใจกลับมีแต่สูตรการคำนวณที่เกี่ยวข้องกับโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา ชายหนุ่มแทบไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ และในตอนนั้นเอง…การต่อสู้ก็เริ่มต้นขึ้น!

เมื่อเวลาที่รอคอยมาถึง สายลมก็พัดโหมกระหน่ำ หมู่เมฆบนฟากฟ้าเหนือกองทหารวิหคน้ำแข็งเคลื่อนถอยหลังกลับ เสียงกึกก้องกัมปนาทดังขึ้นพร้อมรอยแยกที่ปรากฏขึ้นในอากาศ ราวกับว่ามือยักษ์กำลังฉีกทำลายสวรรค์ให้ขาดเป็นชิ้นๆ !

ในตอนนั้นเอง เรือบินรบจากกองทหารอันดับที่ห้า หก เจ็ด และสิบเอ็ด ก็ปรากฏออกมาจากรอยแยก!

ทันทีที่ศัตรูมาถึง ประกายแสงก็สว่างวาบขึ้นในดวงตาของผู้ฝึกตนหน้ารูปไข่ในชุดยาวสีส้มเหนือรูปปั้น นางพูดเสียงเย็นก้องสะท้อนไปทั่วสมรภูมิรบ

“ปักษา จงผงาด!”

……………………………

บทที่ 780 ยังไม่สำนึกบุญคุณอีกรึ
โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเป็นสมบัติเวทที่เหมาะกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะภายใต้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ระดับที่มากขึ้นแปรผันตรงกับความแข็งแกร่งของโล่ด้วยเช่นกัน เมื่อหลอมไปจนถึงระดับแปดแล้ว ก็จะสามารถปกป้องและสะท้อนการโจมตีกลับของทั้งพลังเทพและพลังเวทได้ถึงร้อยละ 40 ถือเป็นสมบัติล้ำค่าภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เลยทีเดียว

แม้การหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับต้นๆ จะทำได้ง่าย แต่ยิ่งระดับสูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งหลอมยากขึ้นเท่านั้น แม้แต่ในหมู่ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เอง ก็ยังมีไม่ถึงสิบคนที่สามารถหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจนถึงระดับแปดได้!

ดังนั้น…ถึงแม้โล่นี้จะพบได้ทุกหนแห่ง และเป็นสิ่งของที่แลกเปลี่ยนกันทั่วไปภายในสำนัก แต่ส่วนใหญ่แล้วระดับของมันก็อยู่ที่ระดับสามหรือสี่เท่านั้น แค่เพียงระดับสามและสี่ก็ถือว่าเป็นสมบัติเวทสำหรับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณแล้ว ส่วนโล่ที่มีระดับความแข็งแกร่งระดับห้าขึ้นไปนั้นถือว่าหาได้ยากยิ่ง

อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทคนอื่นๆ ในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็คิดเช่นเดียวกับตอนที่หวังเป่าเล่อเห็นโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเป็นครั้งแรก ว่าโล่นี้น่าจะสามารถเสริมพลังให้สูงกว่าระดับแปดได้ โดยอาจพัฒนาไปได้ถึงระดับเก้า สิบ หรือมากกว่านั้นก็เป็นได้!

หลายคนมุ่งมั่นกับการค้นคว้าเพื่อก้าวข้ามขีดจำกัดนี้ไปให้ได้ หากทำสำเร็จแล้วละก็ ทั้งสถานะทางสังคมและการงานในสำนัก ย่อมก้าวหน้าไปจนถึงขั้นที่ไม่มีผู้ใดจะมาแทนที่ได้เลยทีเดียว!

แต่ยิ่งค้นคว้าไปไกลเท่าใด ก็ยิ่งพบว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกานั้นหลอมยากมากขึ้นเป็นเงาตามตัว จนถึงตอนนี้ ระดับการเสริมพลังสูงสุดของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาอยู่เพียงระดับแปดเท่านั้น ก่อนหน้านี้หวังเป่าเล่อเสริมพลังโล่ได้ถึงระดับเจ็ด แต่ทฤษฎีและวิธีการหลอมที่ได้มาจากสูตรอาวุธเทพของเจ้าอู๋น้อย ทำให้เขาคิดการใหญ่ขึ้นมา

ชายหนุ่มได้รับความรู้มากมายจากการพยายามอ่านสูตร แม้เขาจะนำสูตรทั้งหมดมาใช้หลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถดึงเคล็ดลับบางส่วนมาใช้งานได้ การใช้สูตรจากอาณาจักรพิภพทมิฬนั้น เรียกได้ว่าเป็นทั้งการยืมและการคิดค้นสูตรลับเฉพาะตัวของหวังเป่าเล่อก็ว่าได้ ถือเป็นความดึงดันถึงสุดขีดที่จะบรรลุผลของชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อเดินหน้าหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาด้วยการสลักอักขระลงไปชั้นแล้วชั้นเล่า ซึ่งเรียกว่าการซ้อนอักขระนั่นเอง!

การสลักอักขราจารึกลงไปเป็นชั้นๆ นั้นทำเพื่อสองอย่าง อย่างแรกคือเพื่อสนองความคิดของหวังเป่าเล่อที่ว่า ในเมื่อระดับเจ็ดไม่เพียงพอต่อการใช้งาน เขาก็ต้องรวบรวม สลัก และซ้อนอักขราจารึกลงบนโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดของตนเองไปเป็นชั้นๆ เพื่อเพิ่มพลังให้โล่ตามทฤษฎี

เขาไม่ได้คิดสิ่งนี้ขึ้นเอง ความจริงแล้วผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ก็มีความคิดแบบเดียวกัน กระนั้นการจะทำสิ่งนี้ได้ก็ต้องจัดการปัญหาถึงสองอย่างด้วยกัน อย่างแรกคือต้องดูให้แน่ใจว่าโล่จะทนต่อจำนวนอักขราจารึกที่เพิ่มขึ้นได้ และจะไม่แตกสลายลงเนื่องจากแบกรับพลังจำนวนมากเอาไว้ไม่ไหว ส่วนปัญหาที่สองคือการสร้างจำนวนอักขราจารึกที่ไม่ซ้ำกันให้มากพอที่จะสลักลงไปได้ เนื่องจากทุกสิ่งย่อมมีข้อจำกัดเสมอ

ปัญหาทั้งสองนี้เป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ที่ขวางกั้นการใช้วิธีซ้อนอักขระ ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวททำได้เพียงนั่งคิดและถอนหายใจเพราะไม่สามารถเอาชนะอุปสรรคทั้งสองไปได้

แต่วิธีที่หวังเป่าเล่อคิดได้นั้นคือการใช้วิธีการซ้อนอักขระรูปแบบที่สอง เขาได้รับแรงบันดาลใจมาจากการถอดชิ้นส่วนและฝากปรสิตที่ระบุไว้ในสูตรอาวุธเทพจากอาณาจักรพิภพทมิฬเข้าไป เขาใช้สองวิธีนี้ในการผูกโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดหลายชิ้นเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างเป็นวงแหวนที่ใกล้เคียงวงแหวนปราณ!

แม้วงแหวนนี้จะดูไม่สมประกอบ แต่ทันทีที่รับการโจมตี มันจะสร้างพลังต้านกลับที่เท่าเทียมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแปดเลยทีเดียว!

แม้สถานะที่ว่านี้จะไม่จีรังยั่งยืน แต่ข้อดีของวิธีนี้ก็มีอยู่มาก พลังป้องกันนี้เกิดจากการนำโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาหลายชิ้นมาซ้อนกัน เพื่อกระจายพลังการโจมตีให้โล่ทุกชิ้นโดยทั่วกัน ซึ่งนอกจากจะก่อกำเนิดเป็นพลังป้องกันที่ทำลายได้ยากแล้ว ระดับการป้องกันก็อาจจะมากกว่าร้อยละ 40 เลยทีเดียว!

ถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนโครงสร้างของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาในรูปแบบหนึ่ง จนอาจตั้งชื่อใหม่ให้อาวุธนี้ได้เลยด้วยซ้ำ เมื่อข่าวเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป ทั้งสำนักจะต้องตกใจอย่างแน่นอน!

แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจอย่างอื่นแม้แต่น้อยในตอนนี้ เขาหมกมุ่นอยู่กับการซ้อนอักขระและการผูกโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดเข้าด้วยกัน แม้แต่ตอนที่ได้รับข้อความจากเทพธิดาหลิงโยว เขาก็ตอบเพียงสั้นๆ และไม่ได้ใส่ใจมันมากนัก ยิ่งกับข้อความขอซื้อจั่วอี้เซียนจากผู้ฝึกตนหญิงอีกคนซึ่งอ้างว่าเป็นน้องสาวของเทพธิดาหลิงโยวยิ่งแล้วใหญ่

สำหรับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ หวังเป่าเล่อจะเมินทันที ความหมกมุ่นตัดขาดจากโลกภายนอกเช่นนี้ อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้หวังเป่าเล่อก้าวขึ้นมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทระดับสูงเฉกเช่นทุกวันนี้ก็เป็นได้

หลายวันต่อมา เมื่อชายหนุ่มผูกโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดสิบชิ้นเข้าด้วยกันได้สำเร็จ สิ่งประดิษฐ์ของเขาก็มีพลังเทียบเท่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแปดในที่สุด!

แต่เขาไม่หยุดเพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อหมกมุ่นถึงขีดสุดกับการหลอมอาวุธเวทชนิดนี้ เขามองโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเบื้องหน้าด้วยดวงตาแดงก่ำจากการอดนอน พูดพึมพำศัพท์เฉพาะที่ใช้ในการคำนวณซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ ครู่หนึ่งก็ยกมือขวาขึ้นโบก และเริ่มหลอมใหม่อีกครั้ง

คราวนี้เขาตั้งใจจะผูกโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดร้อยชิ้นเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างโล่ระดับเก้าซึ่งไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน!

เมื่อการสร้างโล่ระดับเก้าเสร็จสมบูรณ์ หวังเป่าเล่อที่กำลังลิงโลดกับความสำเร็จของตนเองก็ได้รับข้อความจากน้องสาวของเทพธิดาหลิงโยวอีกครั้ง เสียงของนางคราวนี้ดูไม่เป็นมิตรเป็นอย่างมาก นางยืนยันที่จะขอซื้อจั่วอี้เซียนต่อจากเขา

ซื้อจั่วอี้เซียนรึ หวังเป่าเล่อไม่ได้อ่านข้อความอย่างละเอียดด้วยซ้ำ แต่ก็บอกปัดไปในทันที หลังจากนั้นจิตใจของเขาก็จดจ่ออยู่กับการสร้างโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบ

คราวนี้เขาต้องใช้โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจำนวนมาก ชายหนุ่มจึงต้องขายเรือบินรบทำลายตนเองของเขาให้กองทหารวิหคน้ำแข็ง และใช้กำไรที่ได้ซื้อวัตถุดิบที่จำเป็นต้องใช้

หวังเป่าเล่อหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดออกมา 500 ชิ้นด้วยกัน จากนั้นก็หลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบซึ่งฉีกทุกกฎเกณฑ์ขึ้นมาได้สำเร็จ!

โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบที่ไม่เคยมีมาก่อน มีพลังต้านการโจมตีถึงร้อยละ 80 เนื่องจากหลอมโดยใช้วิธีการซึ่งแตกต่างไปจากปกติ มันจึงสามารถสะท้อนทั้งพลังเทพและพลังเวทกลับไปใส่ศัตรูได้ถึงร้อยละ 80 ของพลังการโจมตีที่ได้รับมาเลยทีเดียว!

เพียงเท่านี้ก็ถือว่าน่ากลัวมากแล้ว แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ…หวังเป่าเล่อที่ยังไม่พอใจในผลงานของตนเอง!

ยังอ่อนแอเกินไป!

ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงขายทุกอย่างที่ตนเองมีเท่าที่จะขายได้ และสร้างโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดออกมาถึง 2,000 ชิ้น!

ชายหนุ่มผูกโล่ทั้งหมดเข้าด้วยกัน จนกลายเป็น…โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสิบสอง!

พลังสะท้อนการโจมตีของโล่นี้สูงเกิดขีดจำกัดไปถึงร้อยละ 20 เลยทีเดียว!

กล่าวโดยสรุปคือ…สำหรับสมบัติเวทที่มีคุณสมบัติคล้ายอาวุธเทพนี้ หากคู่ต่อสู้ไม่ได้ปล่อยพลังการโจมตีเต็มร้อยก็จะไม่เป็นไร แต่หากอีกฝ่ายระเบิดพลังใส่โล่เต็มที่แล้วละก็… คนผู้นั้นจะได้รู้ซึ้งถึงรสชาติของการตีแสกหน้าตนเองในทันที!

และหากผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทคนอื่นของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ได้มาเห็นสิ่งที่สร้างขึ้นใหม่นี้กับตาตนเอง พวกเขาต้องรู้สึกตกใจกับความประหลาดของมันเป็นแน่… โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเป็นสมบัติเวทที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่เมื่อหวังเป่าเล่อนำมาดัดแปลง โล่นี้ก็กลายเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติไปในทันที

แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกเช่นนั้นแม้แต่น้อย ซ้ำยังคิดไปว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาชิ้นนี้ยังลึกลับไม่พอ เขาคิดอยู่สักพัก แล้วจึงปล่อยให้โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับเจ็ดเพียงชิ้นเดียวลอยวนอยู่รอบกาย ชายหนุ่มใช้ประโยชน์จากร่างอวตารของตนในการซ่อนโล่ที่เหลืออีกทั้ง 1,999 ชิ้นไว้ภายในกายตนเพื่อไม่ให้เตะตาผู้อื่น

ทันทีที่ซ่อนโล่ทั้งหมดได้สำเร็จ เขาก็พึงพอใจในผลงานของตนเองได้เสียที แต่ขณะที่กำลังจะเริ่มหลอมระดับสิบสามนั้นเอง เรื่องน่าเศร้าก็ชิงเกิดขึ้นเสียก่อน เขา…เงินหมด

ในตอนนั้นเองผู้ฝึกตนหญิงหัวรั้นที่ดึงดันจะซื้อจั่วอี้เซียนไปให้ได้ก็ส่งข้อความมาหาเขาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

“หลงหนานจื่อ ข้าอยู่นอกบ้านเจ้า วันนี้ข้าจะต้องซื้อสัตว์เลี้ยงตัวนี้กลับไปให้ได้!”

หลังจากฟังเสียงตามสายที่เกรี้ยวกราด หวังเป่าเล่อก็รู้สึกประหลาดขึ้นอีก เขาไม่ได้เดินออกจากบ้านในทันที แต่ส่งจิตของตนเองผ่านเจ้าลาเพื่อดูสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก หลังจากที่พูดคุยกับเจ้าลาเรียบร้อย สีหน้าของเขาก็ปุเลี่ยนขึ้นอีก

สตรีที่อยากซื้อจั่วอี้เซียนเป็นหนึ่งในผู้ที่มาดูจั่วอี้เซียนและเจ้าอู๋น้อยต่อสู้กัน หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้นางอยากได้จั่วอี้เซียนถึงเพียงนี้ แต่นางมาที่หน้าบ้านหวังเป่าเล่อหลายรอบแล้ว ทุกครั้งที่มานางจะเอาอาหารมาให้จั่วอี้เซียนเสมอ อาจเป็นเพราะคิดว่าหวังเป่าเล่อไม่ดูแลเอาใจใส่สัตว์เลี้ยงของตนก็เป็นได้ จึงทำให้นางต้องการซื้อจั่วอี้เซียนไปดูแลเอง

หรือว่าการที่โดนข้าปฏิเสธไปหลายที ทำให้นางอยากได้มากขึ้นกันนะ หวังเป่าเล่อเกาคางตนเอง หรี่ตาลงครุ่นคิด เขาส่งกระแสจิตของตนเองออกไปอีกครั้ง และเห็นสตรีผู้นั้นกำลังลูบศีรษะจั่วอี้เซียนด้วยความรัก และพูดกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ไม่ต้องกังวลไปนะ ข้าจะต้องพาเจ้ากลับไปด้วยให้ได้เลยในคราวนี้ ไอ้หลงหนานจื่อนี่จิตใจโหดร้ายเสียจริง ช่างไม่มีความเมตตาแม้แต่น้อย แล้วเจ้าละ…เจ้าชื่อเจ้าอู๋น้อยใช่หรือไม่ ข้าซื้อเจ้าด้วยก็ได้นะ เจ้าอยากไปกับข้าไหม”

เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าอู๋น้อยที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งก็อ้าปากหาวหวอด สีหน้าดูไม่สนใจแม้แต่น้อย ก่อนจะเอ่ยปากปฏิเสธนางไป

แต่จั่วอี้เซียนกลับพยักหน้าเบาๆ ตอบรับ เมื่อเห็นฉากนี้หวังเป่าเล่อก็เลิกคิ้วขึ้นและตั้งใจดูภาพตรงหน้าอีกครั้ง เขาเห็นความซาบซึ้งใจและความต้องการในแววตาของจั่วอี้เซียน ซึ่งทำให้หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง

ด้วยความที่เคยเป็นเจ้าพนักงานระดับสูงในสหพันธรัฐ ทำให้หวังเป่าเล่อมองคนออกในระดับหนึ่ง ชายหนุ่มรู้ได้ว่าความรู้สึกในแววตาของจั่วอี้เซียนมากกว่าครึ่งนั้นเป็นความรู้สึกที่แท้จริง และด้วยความที่เขารู้จักจั่วอี้เซียนดี หวังเป่าเล่อจึงรู้ว่าหมอนี่เป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงไม่น้อย

ไม่สำนึกบุญคุณข้ารึ คิดว่าแม่นางคนนี้ดีกว่าข้าเช่นนั้นรึ ชายหนุ่มรู้สึกไม่สบายใจลึกๆ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย จั่วอี้เซียนเห็นแววตาของแม่นางคนนี้ และคิดคำนวณถึงข้อดีข้อเสียของการย้ายไปอยู่กับนางในใจ เขาคิดว่าแม้หวังเป่าเล่อจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่สถานะทางสังคมของเขาก็ยังเทียบกับน้องสาวของผู้บัญชาการกองทหารไม่ได้

แต่แม้จะตอบตกลงในใจไปแล้วพันรอบ เขาก็ยังกลัวหวังเป่าเล่ออยู่มาก จึงทำได้เพียงบุ้ยใบ้ให้นางไปเจรจากับหวังเป่าเล่อเท่านั้น

………………….

บทที่ 779 ไล่เรียงลำดับชั้น!
“อู๋น้อยรึ” หวังเป่าเล่อเหล่ตามองเด็กหนุ่มในชุดไร้รสนิยมที่เต็มไปด้วยกระจกชิ้นเล็กชิ้นน้อยส่องแสงวิบวับ พอนึกได้ว่าสัตว์ประจำอาณาจักรของหมอนี่เป็นนกแก้วก็รู้สึกว่าเหมาะสมดีแล้ว และเมื่อพาลนึกไปถึงบิดาของเด็กหนุ่ม หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าช่างเป็นชายที่มีพรสวรรค์ในการตั้งชื่อเหมือนกับตนเสียจริง

เมื่อเรื่องมาถึงจุดนี้ หวังเป่าเล่อก็กำลังจะพยักหน้าตอบรับ แต่กลับหรี่ตาลงเสียก่อนและมองดูเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกครั้ง สายตาของเขาในครั้งนี้แตกต่างจากคราวก่อนๆ ทำให้อู๋น้อยรู้สึกเครียดขึ้นมาในทันที ด้วยความที่ไม่แน่ใจว่าตนเองเผลอปากพล่อยพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า

น่าสนใจดี เหตุใดข้าถึงไม่รู้สึกตั้งแต่แรกนะ…ภาษาที่หมอนี่พูดไม่ใช่ทั้งภาษาของสหพันธรัฐและอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ข้ากลับเข้าใจสิ่งที่เจ้านี่พูดได้ แถมยังอ่านเนื้อหาในแผ่นหยกที่เขาให้มารู้เรื่องอีกด้วย! หวังเป่าเล่อหัวใจเต้นแรงอย่างไม่ตั้งตัว เขาก้มลงมองแผ่นหยกในมืออีกครั้ง เมื่อลองดูตัวอักษรทีละตัวก็มั่นใจว่าเป็นภาษาต่างดาวที่ตนเองไม่รู้จักแน่นอน ทว่าแต่ละคำนั้นกลับมีพลังประหลาดบางอย่างที่ทำให้เขาเข้าใจได้ในทันที!

นี่เป็นเรื่องที่ทั้งลึกลับและแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก แต่เรื่องที่ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งกว่าคือการที่เขาเพิ่งมาตระหนักถึงความแตกต่างด้านภาษาก็ในตอนนี้เอง ราวกับว่าภาษาที่เด็กหนุ่มตรงหน้าพูดมีพลังลึกลับที่ทำให้เขามองข้ามความจริงข้อนี้ไปได้ในตอนแรก

อาณาจักรพิภพทมิฬรึ หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่สักพัก ขณะที่เด็กหนุ่มต่างดาวกำลังมีท่าทีกระสับกระส่าย ตอนนั้นเองหวังเป่าเล่อก็เอื้อมมือออกไปคว้าตัวอีกฝ่ายเอาไว้ และกระโจนออกสู่ห้วงอวกาศในทันทีเพื่อมุ่งหน้าสู่เรือบินรบของตน

พลังของหวังเป่าเล่อทำให้เขาก้าวเพียงทีเดียวก็เกือบถึงที่หมาย หลังจากที่เขาไปในเรือเรียบร้อย จั่วอี้เซียนที่ถูกกักขังไว้ภายในก็เห็นชายแปลกหน้าที่หวังเป่าเล่อลากมาในทันที

ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย ส่วนหวังเป่าเล่อก็โยนเจ้าอู๋น้อยลงพื้นเรียบร้อย และปล่อยตัวจั่วอี้เซียน

ทันทีที่เป็นอิสระ จั่วอี้เซียนก็ขาอ่อน เขาเซถลาไปด้านหลัง กำลังจะทำความเคารพหวังเป่าเล่อ แต่ก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ เขาเอียงคอมองแล้วก็เห็นว่าชายแปลกหน้าที่หลงหนานจื่อนำกลับมาด้วยนั้น กำลังมองเขาด้วยสายตาไม่เป็นมิตรอย่างรุนแรง

“นายท่าน นี่คือ…” จั่วอี้เซียนหยุดกลางคัน เมื่อสัมผัสได้ว่าขั้นปราณของอีกฝ่ายเป็นขั้นกำเนิดแก่นในเช่นกัน เขาก็พอเดาออก

“เหมือนเจ้านั่นละ” หวังเป่าเล่อพูดอย่างเย็นชา เลิกสนใจทั้งสองในทันที เขานั่งขัดสมาธิ ใช้พลังบังคับเรือบินรบให้มุ่งหน้ากลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ขณะคิดถึงอาวุธเทพที่เจ้าอู๋น้อยเพิ่งมอบให้เขา

ขณะที่เรือบินรบกำลังทะยานไปในห้วงอวกาศ เจ้าอู๋น้อยก็เริ่มบิดตัวไปมา เขามองหวังเป่าเล่อที่กำลังหลับตานั่งสมาธิก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เอียงคอไปมองจั่วอี้เซียน

จั่วอี้เซียนเองก็กำลังประเมินเจ้าอู๋น้อยอยู่เช่นกัน เมื่อทั้งสองประสานสายตากัน ประกายความเป็นปฏิปักษ์ก็ฉายชัดขึ้นในแววตาของเจ้าอู๋น้อย ท่ามกลางความงุนงงของจั่วอี้เซียน เขาสะบัดชายแขนเสื้อ กระจกบานเล็กบานน้อยบนร่างกายส่องประกายวิบวับ น้ำเสียงเย็นชา “ไอ้มนุษย์ต่ำต้อย เจ้ากำลังเข้าเฝ้าองค์ชายอยู่นะ เหตุใดจึงยังไม่คุกเข่าลงอีก!”

จั่วอี้เซียนนิ่งอึ้งทำอะไรไม่ถูก

“ฟังข้าพูดไม่รู้ความรึ ก็ไม่แปลกใจ ดูจากหน้าเจ้าแล้วก็ดูปัญญาทึบอยู่ สมองคงหนาจนใช้การไม่ได้สินะ เจ้าจำเอาไว้แล้วกันนะว่าจากนี้ ท่านบิดาคืออันดับหนึ่ง ข้าคืออันดับสอง ส่วนเจ้าเป็นอันดับสาม เข้าใจหรือไม่” เจ้าอู๋น้อยเชิดคางขึ้น สายตาเต็มเปี่ยมด้วยความเย่อหยิ่ง เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากตัวและโยนไปให้จั่วอี้เซียน

“เอาละ จงมาขัดรองเท้าที่ถักทอมาจากผมสนมทั้งแสนคนของข้าในวาววับเดี๋ยวนี้”

“ไอ้ประสาท!” จั่วอี้เซียนมีปฏิกิริยาตอบโต้ในที่สุด เขาฮึดฮัดฟึดฟัด แววตาวาวโรจน์ด้วยความเกลียดชัง

“บังอาจนัก” เจ้าอู๋น้อยกำลังจะคำรามออกมาด้วยความโกรธ แต่เมื่อนึกได้ว่าหวังเป่าเล่อกำลังทำสมาธิอยู่และจะทำเสียงดังรบกวนไม่ได้ ถ้อยคำที่ควรจะเป็นเสียงคำรามก็แผ่วเบาลง กระนั้นเจ้าอู๋น้อยก็ขยับตัวเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็ว พุ่งตรงเข้าไปหาจั่วอี้เซียนในทันที เมื่อเข้าไปใกล้ก็ยกขาขึ้นเตะอัดไปที่ท้องของอีกฝ่าย

ภาพนี้เหมือนตอนที่หวังเป่าเล่อเตะเขาก่อนหน้านี้ไม่มีผิด

จั่วอี้เซียนรู้สึกโกรธอย่างประหลาด แค่ต้องมาเป็นสัตว์เลี้ยงในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ทำให้เขาหดหู่คับแค้นใจมากพอแล้ว เมื่อมีชายในชุดงิ้วสติฟั่นเฟือนมาข่มเหงเขาอีก ชายหนุ่มก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เขาโต้กลับในทันที ก่อนจะกลายเป็นการต่อสู้กันอย่างดุเดือดพัลวันในเรือบินรบของหวังเป่าเล่อ

ทั้งสองเกรงกลัวหวังเป่าเล่อมาก จึงไม่กล้าหยิบสมบัติเวทหรือนำกระบวนเวทออกมาใช้ ได้แต่อัดพลังปราณเข้าไปในแขนขาของตนเองเพื่อใช้ต่อยตีแทน ทั้งสองดูมีกำลังกายสูสีกัน แต่จั่วอี้เซียนก็ตกเป็นรองอย่างรวดเร็ว แม้แต่หวังเป่าเล่อเองยังคิดว่าความทนทานแรงโจมตีของร่างกายเจ้าอู๋น้อยนั้นยอดเยี่ยม แล้วนับประสาอะไรกับจั่วอี้เซียนเล่า แม้การโจมตีของเขาจะไม่ได้เบาเหมือนจักจี้ แต่ก็ยังเบากว่าหวังเป่าเล่อมากนัก

ภายในสิบวินาที จั่วอี้เซียนก็กลายเป็นฝ่ายถูกอัดอย่างรวดเร็ว เจ้าอู๋น้อยกระโจนกดร่างของชายหนุ่มไว้กับพื้น เสียงการต่อสู้คำรามขู่ดิ้นรนต่อยตีกันของทั้งสองดังขึ้นเรื่อยๆ จนหวังเป่าเล่อรู้สึกตัว เขาลืมตาขึ้นมุ่นคิ้วมองนักมวยทั้งสอง

“หยุดเดี๋ยวนี้!” เมื่อเห็นว่าสีหน้าของจั่วอี้เซียนเปลี่ยนไป หวังเป่าเล่อก็พูดปรามขึ้นมา เจ้าอู๋น้อยถอยทันทีที่ได้ยิน ใบหน้าเปลี่ยนเป็นอาการประจบเอาใจ เขารีบพูดโพล่งขึ้นในทันที

“ท่านบิดา ข้าผิดเองขอรับ!”

จั่วอี้เซียนก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน ใบหน้าบวมปูดทำให้เขาดูน่าสมเพชกว่าเดิม ความโกรธที่สุมอยู่ในใจรุนแรงจนแทบระเบิดได้กระทั่งท้องฟ้า แต่ก็ไม่กล้าขวางหูขวางตาหลงหนานจื่อ จึงทำได้เพียงพูดเสียงแผ่วเท่านั้น

“นายท่าน ไอ้นี่เริ่มก่อนขอรับ”

หวังเป่าเล่อหลับตาลง เลิกสนใจทั้งสอง จิตใจคิดถึงแต่สูตรการหลอมอาวุธเทพที่เจ้าอู๋น้อยมอบให้เขาเท่านั้น เขาเข้าใจมันมากขึ้น และรู้สึกว่าสูตรนี้สามารถนำไปใช้หลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแปดได้ ทั้งยังคิดวิธีพลิกแพลงเอาไว้สองสามวิธีด้วยกัน ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงไม่รู้ว่าหลังจากที่หลับตาลงอีกครั้ง เจ้าอู๋น้อยก็มีสีหน้าพอใจคำที่ตนเองเลือกใช้เรียกหวังเป่าเล่อ จนเอ่ยทับถมจั่วอี้เซียนออกมา

“ข้าเรียกเขาว่าบิดา เจ้าเรียกเพียงนายท่านเท่านั้น ยังไม่เห็นอีกหรือว่าใครเหนือกว่าใคร”

“ไอ้ประสาท!” จั่วอี้เซียนพยายามสะกดความโกรธของตนเองเอาไว้ เขาเกลียดเจ้าอู๋น้อยมาก จึงเดินไปนั่งที่มุมหนึ่งของยานแล้วเลิกสนใจอีกฝ่าย เวลาเดินหน้าผ่านไปอย่างเชื่องช้า โดยมีเจ้าอู๋น้อยยั่วยุกวนประสาทจั่วอี้เซียนไปตลอดทาง

เรือบินรบซึ่งกำลังเดินทางกลับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เข้ามาในอาณาเขตที่ควบคุมโดยสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะลงจอดบนดวงจันทร์บริวารที่เป็นของกองทหารวิหคน้ำแข็ง ข้างดาวเคราะห์มหาทัณฑ์

ทันทีที่กลับมาถึง หวังเป่าเล่อก็รีบกลับถ้ำที่พัก และเตรียมตัวปลีกวิเวกเพื่อทดสอบทฤษฎีเกี่ยวกับสูตรหลอมอาวุธเทพที่คิดได้ก่อนหน้านี้ เขารู้สึกว่าหากตนเองหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาด้วยวิธีที่คิดไว้ ก็น่าจะเสริมพลังเป็นระดับแปดได้สำเร็จอย่างง่ายดาย และอาจได้ผลลัพธ์ที่สูงกว่าระดับแปดเสียด้วยซ้ำ

ความคิดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเป็นอันมาก หลังจากที่จัดแจงให้จั่วอี้เซียนและเจ้าอู๋น้อยเฝ้ายามประตูเอาไว้แล้ว เขาก็เริ่มการทดลองในทันที

ทว่า…หวังเป่าเล่อที่กำลังสาละวนอยู่กับการวิจัยก็หัวเสียอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก…พอไม่มีเขาคอยเฝ้ามอง ข้ารับใช้ทั้งสองก็เริ่มทะเลาะกันเองอยู่ตรงหน้าประตูราวกับเป็นลิ้นกับฟัน เสียงครึกโครมจากการวางมวยของทั้งสองดังลั่นไปทั่ว ทำให้ผู้ฝึกตนจากกองทหารวิหคน้ำแข็งที่ผ่านไปผ่านมาหันมาสนใจ พวกนางวิพากษ์วิจารณ์การต่อสู้อย่างออกรสออกชาติ เหมือนดูสุนัขกัดกัน

เสียงดังอึกทึกนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหงุดหงิดมาก เขาเรียกเจ้าลาที่กำลังวิ่งเริงร่าอยู่ที่ไหนสักแห่งกลับมา และสั่งให้มันเฝ้าสองคนนั้นเอาไว้ ทั้งยังปรามไม่ให้มันเปิดเผยตัวตนอีกด้วย

วิธีนี้ได้ผลชะงัด เจ้าลาที่กำลังเล่นอย่างสนุกสนานอยู่ดูจะอารมณ์เสียเพราะถูกขัดจังหวะ แม้มันจะเห็นจั่วอี้เซียนที่เป็นคนคุ้นเคย ก็ยังไม่สามารถทำให้มันอารมณ์ดีขึ้นได้ ทุกครั้งที่จั่วอี้เซียนขยับตัวจากการยืนเฝ้าหน้าปากประตู มันจะร้องฮี้ออกมาพร้อมยิงฟันขู่ ก่อนหันไปกัดก้อนหินข้างหลังกินด้วยเสียงดังน่ากลัว

เจ้าลารำคาญเจ้าอู๋น้อยผู้ที่เป็นคนแปลกหน้าเสียยิ่งกว่า โดยเฉพาะหลังจากที่ได้ยินเจ้าอู๋น้อยเรียกหวังเป่าเล่อว่าบิดา ซึ่งทำให้มันรู้สึกไม่ปลอดภัยเป็นอันมาก ทุกครั้งที่เจ้าอู๋น้อยขยับตัว มันไม่ได้หันไปขู่ด้วยการกินหิน แต่จะเลียริมฝีปากตนเองขณะมองจ้องเด็กหนุ่มแทน

ท่าทีนี้ทำให้เจ้าอู๋น้อยรู้สึกเครียดขึงเป็นอันมาก แต่เจ้าอู๋น้อยคุ้นเคยกับการพะเน้าพะนอเอาใจผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเป็นอย่างดี เขาจึงเลิกตีกับจั่วอี้เซียนและหันมาประจบประแจงเจ้าลาแทน เด็กหนุ่มเริ่มเรียกเจ้าลาว่านายท่านคนที่สอง และยังคอยนวดเฟ้นให้มันอีกด้วย การกระทำนี้ทำให้เจ้าลาส่งเสียงร้องฮี้ให้เจ้าอู๋น้อยอย่างเป็นมิตรมากขึ้น

จั่วอี้เซียนกลับเป็นฝ่ายที่รู้สึกสยองถึงขีดสุด เขากลัวความโหดร้ายของเจ้าลา แต่ก็ยังรู้สึกว่าเจ้าลาดูคุ้นตามากเหลือเกิน เหมือนสัตว์เลี้ยงของชายในความทรงจำที่เขาเกลียดเข้ากระดูกดำไม่มีผิด

แต่สัญชาตญาณก็บอกเขาว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงคิดว่าในอารยธรรมการฝึกตนนั้นคงมีอสูรร้ายที่หน้าตาเหมือนกันเต็มไปหมด

ขณะที่ทาสรับใช้ทั้งสองกำลังทำความคุ้นเคยกับเจ้าลาอยู่นั้น เวลาก็ผ่านไปอีกครึ่งเดือน หวังเป่าเล่อที่ถือสันโดษอยู่ในถ้ำที่พัก แม้จะมีใบหน้าซีดเซียวตาโหลจากการตรากตรำทำวิจัยอย่างหนักเป็นเวลานาน แต่ดวงตากลับเป็นประกายแรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ ตามวันเวลาที่ผ่านไป

การหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแปด…ใกล้ความจริงแล้ว!

…………………….

บทที่ 778 จี้อู๋จื่อ!
หวังเป่าเล่อกำลังจะเตะครั้งที่สองร้อย แต่ก็ยั้งเท้าเอาไว้เมื่อได้ยินเสียงของเด็กหนุ่ม ก่อนก้มศีรษะลงมองอีกฝ่าย

เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อลดเท้าลง เจ้าหนุ่มก็แอบผ่อนลมหายใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนจะเงยศีรษะขึ้นมองหวังเป่าเล่อ เขายังคงสาปแช่งอีกฝ่ายอยู่ในใจแต่ไม่กล้าแสดงความไม่พอใจออกมาทางสีหน้า กลับกัน เด็กหนุ่มกลับพ่นคำพูดประจบประแจงออกมาเพื่อหวังให้หวังเป่าเล่อพอใจ

“ท่านเหนื่อยหรือเปล่าขอรับ ท่านบิดา ข้านวดเก่งมากเลย ทำไมท่านไปนอนลงตรงโน้นเล่า เดี๋ยวข้าจะช่วยนวดให้ท่านผ่อนคลายความเมื่อยล้า แล้วท่านคอยสอนวิชาข้าเมื่อพักผ่อนเสร็จแล้วก็ได้”

หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะมองไปยังใบหน้าประจบประแจงของอีกฝ่าย เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มทำสิ่งนี้อย่างชำนิชำนาญเพราะทำมาเป็นประจำ ทำให้ความเคลือบแคลงสงสัยในใจหวังเป่าเล่อปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

ชายหนุ่มรู้สึกว่า นอกจากร่างกายที่แปลกประหลาดแล้ว เด็กหนุ่มนี่ก็ไม่มีอะไรที่ดูเหมือนองค์ชายอีกเลย โดยเฉพาะทักษะการประจบประแจงเข้าขั้นครูเช่นนี้ หวังเป่าเล่อพึงใจเป็นอย่างยิ่ง ท่าทีของเขาจึงดูอ่อนลง หลังจากลอบมองเด็กหนุ่มอยู่สองสามครั้ง หวังเป่าเล่อก็พูดขึ้นอย่างเย็นชา

“หากเจ้าทำตัวดีตั้งแต่แรก เจ้าก็คงไม่ต้องทนรับการทุบตีจากข้า อันที่จริงแล้ว บิดาของเจ้าก็ไม่อยากจะทุบตีเจ้าหรอก ทำตัวดีๆ หน่อย ตอนนี้ก็บอกข้ามาว่าเจ้าถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่ได้อย่างไร” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะยกมือขึ้นลูบหัวเด็กหนุ่ม

เมื่อได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ เด็กหนุ่มก็รู้สึกเหมือนจะร้องไห้ออกมา เหตุผลหนึ่งคือเขาเพิ่งถูกทุบตีมา แต่อีกเหตุผลหนึ่งคือ เขาก็เข้าใจดีว่าเหตุใดจึงถูกตี แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะทุบตีเขาอย่างร้ายกาจและเด็กหนุ่มควรจะเกลียดบุรุษผู้นี้ แต่…เมื่อหวังเป่าเล่อสัมผัสศีรษะและพูดถ้อยคำที่ฟังดูค่อนข้างอบอุ่นออกมา เด็กหนุ่มก็รู้สึกเต็มตื้นในอกอย่างประหลาด

เขารีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว พยายามรักษาท่าทางพินอบพิเทาเอาไว้ ก่อนจะกล่าว

“ท่านบิดา ข้ามาจากอาณาจักรพิภพทมิฬจริงๆ ขอรับ ข้าเป็นองค์ช…” เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เจ้าหนุ่มก็มองเห็นประกายในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขาจึงกลืนคำพูดของตนเองก่อนจะเปลี่ยนประโยคเสียใหม่

“ท่านบิดา ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ใช่องค์ชายหรอกขอรับ ข้าเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาในอาณาจักรพิภพทมิฬเท่านั้น ข้าประกอบอาชีพเป็นนักแสดง ข้ากำลังแสดงให้องค์ชายในวังได้ดู แล้วจู่ๆ ก็ถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่…” เด็กหนุ่มพูดพร้อมร้องห่มร้องไห้ เพราะกลัวว่าหวังเป่าเล่อจะไม่เชื่อ เขาถึงกับหยิบเอาตราประจำตัวออกมา

“ดูสิ ท่านบิดา สิ่งนี้คือประวัติบุคคลของข้าจากอาณาจักร ข้าผิดไปแล้ว ข้าไม่ควรโกหกเลย โปรดอภัยให้ข้าเถิด ท่านบิดา”

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ก่อนจะหยิบตราประจำตัวไปใช้ดวงจิตตรวจสอบดู ชายหนุ่มมองเห็นตัวตนของเด็กหนุ่มบนตราประจำตัวจริง แต่นอกจากนั้นก็ไม่มีข้อมูลอื่นใด

หวังเป่าเล่อไม่เชื่อตอนที่อีกฝ่ายบอกว่าเป็นองค์ชาย แต่มาบัดนี้ เมื่อเด็กหนุ่มบอกว่าได้เป็น หวังเป่าเล่อก็ยังอดแคลงใจไม่ได้อยู่ดี

เป็นไปได้หรือไม่นะว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นองค์ชาย แต่ข้าตีเขาเสียจนไม่กล้าพูดอีกต่อไป หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนจะยกมือขวาขึ้นกดลงไปบนจุดรวมปราณเทียนหลิงของเด็กหนุ่ม แล้วจึงปล่อยวิชาค้นวิญญาณแห่งศาสตร์มืดออกมาโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ตั้งตัวทัน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อใช้วิชาค้นวิญญาณ แต่ทันทีที่ชายหนุ่มเข้าไปค้น สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เป็นเพราะว่า…ความทรงจำของเด็กหนุ่มนั้นว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดอยู่เลย!

สถานการณ์เช่นนี้ไม่ควรเป็นไปได้ ต่อให้หวังเป่าเล่อค้นวิญญาณคนโง่ก็ตาม นอกเสียจากว่าความทรงจำจะถูกใครสักคนลบออกไปจนสิ้น และไม่ได้เพิ่มความทรงจำใหม่ลงไป แต่จากการแสดงออกของเด็กหนุ่มแล้ว เรื่องนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย

น่าสนใจ…เขาไม่ขัดขวางการค้นวิญญาณของข้า แต่ความทรงจำของเขาว่างเปล่า หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงก่อนจะชั่งน้ำหนักความเป็นไปได้ที่เด็กหนุ่มผู้นี้จะเป็นองค์ชายจริงๆ…

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังคิด ร่างของเด็กหนุ่มก็สั่นไหว ความกลัวปรากฏขึ้นบนแววตา ดูเหมือนกลัวว่าจะถูกอัดอีกรอบ เขาจึงหยุดนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

“ท่านบิดาได้โปรดอย่าเข้าใจผิด ตั้งแต่ยังเล็ก ร่างกายของข้าก็แตกต่างจากคนอื่นๆ มีคนเคยค้นวิญญาณข้ามาก่อน แต่ก็ไม่ได้ผลอะไรเช่นกัน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไม…ได้โปรดอย่าตีข้าอีกเลย” ขณะที่พูดไปนั้น น้ำตาเม็ดโตๆ ก็หล่นเผาะลงมาจากใบหน้าของเด็กหนุ่ม และร่วงลงไปใส่รองเท้าที่เขาอ้างว่าสนมนับแสนใช้เส้นผมสานขึ้นมา

เมื่อเห็นกริยาขี้ขลาดของเด็กหนุ่มและคิดได้ว่าระดับปราณของอีกฝ่ายอยู่เพียงขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้น แถมยังดูแสนธรรมดา ไม่ได้เปล่งรัศมีเช่นเดียวกับเขา หวังเป่าเล่อก็ครุ่นคิดอีกครั้งก่อนจะค้นตัวเด็กหนุ่ม รวมไปถึงกระเป๋าคลังเก็บ แถมไม่ได้ละเลยกระจกอันเล็กจิ๋วบนเสื้อผ้าด้วย

หลังจากที่ตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่ามีแต่ขยะ หวังเป่าเล่อก็ขมวดคิ้ว ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีสมบัติเวทอยู่กับตัว แถมยังดูรู้ว่ายากจนตั้งแต่มองปราดแรก ต่อให้เป็นองค์ชายจริง อารยธรรมที่เขาจากมาก็ต้องอ่อนแอมากเป็นแน่

หลังจากที่สรุปได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็เลิกสนใจเด็กหนุ่มไปโดยสิ้นเชิง ไม่อยากแม้กระทั่งจะถามชื่อ เขาพูดอย่างเย็นชา

“เอาละ ไม่ว่าตัวจริงของเจ้าจะเป็นใครและภูมิหลังเป็นอย่างไร ก็ไม่ใช่เรื่องของข้า ระวังตัวด้วยเล่า” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็หันหลังเตรียมจะกลับออกไป

ชายหนุ่มมาที่นี่เพื่อผ่อนคลาย และไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับอะไร ถึงตอนนี้นี้ เขาก็ตัดสินใจจะเดินไปสำรวจที่อื่นก่อนแล้วค่อยกลับไปยังกองทหารวิหคน้ำแข็ง จากนั้นจึงเริ่มค้นคว้าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาต่อไป

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหวังเป่าเล่อ เด็กหนุ่มก็หยุดนิ่งแล้วแหงนหน้ามองสิ่งรอบข้างด้วยสายตาสับสน เขาเห็นว่าหวังเป่าเล่อหันหลังกลับไป จึงทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่าย หลังจากอึกอักอยู่นาน เด็กหนุ่มก็ตะโกนออกไปว่า “ท่านบิดา พวกเราอยู่ที่ไหนหรือ…”

หวังเป่าเล่อหยุดอยู่กับที่ ในเมื่อเด็กหนุ่มเรียกเขาว่าท่านบิดา เขาก็คงต้องดูแลอีกฝ่ายบ้างตามสมควร หวังเป่าเล่อจึงโยนคัมภีร์หยกที่มีแผนที่ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ออกไป

เด็กหนุ่มรับเอาไว้ได้ ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดเซียวเมื่อได้เห็น เขาไม่คุ้นเคยกับแผนที่ดวงดาวนี้เอาเสียเลย จากนั้นความสับสนที่เกิดจากความไม่คุ้นเคยก็แปรเปลี่ยนความรู้สึกอันตรายและไม่สบายใจอย่างรวดเร็ว

“ระวังตัวเล่าด้วยเวลาที่ออกไปข้างนอก อย่าให้ใครจับไปเป็นสัตว์เลี้ยงเอาได้” หวังเป่าเล่อมองเห็นความไม่สบายใจของเด็กหนุ่ม แต่เขาก็รู้สึกว่าได้ช่วยเท่าที่ทำได้แล้ว เรื่องที่ว่าอีกฝ่ายจะออกไปอย่างไรนั้น หวังเป่าเล่อไม่สนใจ จากนั้นชายหนุ่มจึงพลิกตัวและพุ่งออกจากบริเวณนั้น กลับมายังทางเดินและเริ่มเดินกลับออกไป

เมื่อหวังเป่าเล่อมาถึงทางเดิน ก็มีเสียงฝีเท้าของเด็กหนุ่มก็ตามมาพร้อมด้วยเสียงตะโกนด้วยความวิตกกังวลดังก้อง

“โปรดรอข้าด้วยท่านบิดา…” เด็กหนุ่มไม่มีทางเลือก เมื่อมองดูแผนที่ดวงดาว เขาก็รู้สึกอึดอัดอย่างรุนแรง ขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกว่าบุรุษตรงหน้าเป็นผู้เดียวที่จะช่วยเขาในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยนี้ได้ เพราะอย่างไรเสีย แม้ว่าบุรุษผู้นี้จะแปลกๆ แถมยังทุบตีเขา แต่ก็ไม่ได้สังหารเขาแต่อย่างใด เด็กหนุ่มจึงเชื่อสัญชาติญาณของตนและเดินตามหวังเป่าเล่อมา

องค์ชายกำมะลอมองเห็นความรำคาญใจบนสีหน้าของหวังเป่าเล่อ แต่ความไม่สงบในจิตใจก็ทำให้เขาไม่มีทางเลือกอื่น หลังจากตามหวังเป่าเล่อทันแล้ว เด็กหนุ่มก็เริ่มประจบประแจงอีกฝ่ายไม่หยุดหย่อน เรียกได้ว่าทุ่มสุดตัวก็ไม่ผิด

หวังเป่าเล่อที่เดินอยู่เบื้องหน้าหันมามองเด็กหนุ่มที่ตามเขามาติดๆ ยิ่งได้ยินถ้อยคำประจบประแจงจากอีกฝ่ายมากเพียงใด ก็ยิ่งแน่ใจว่าเด็กหนุ่มนี่ไม่ใช่องค์ชายแน่นอน หวังเป่าเล่อจึงปั้นหน้าบึ้งตึงขณะที่เดินออกไปจากถ้ำ เมื่อมายืนอยู่บนสะเก็ดดาวและกำลังจะก้าวขึ้นเรือบินรบที่จอดอยู่บนอวกาศ เขาก็หันไปถลึงตาใส่เด็กหนุ่มครั้งหนึ่ง

“เลิกตามข้ามาเสียที!”

“ท่านบิดา โปรดอย่าทิ้งข้าไว้ที่นี่ขอรับ…ข้ามีน้องสาว นางเป็นสตรีรูปงามที่ลือเลื่องไปทั้งอาณาจักรพิภพทมิฬ ข้าจะพานางมาแนะนำให้ท่านรู้จัก ได้โปรดอย่าห่วง หากได้ข้าช่วยเหลือ ท่านต้องจีบนางสำเร็จแน่นอน!” เจ้าหนุ่มยกมือขึ้นตบอกผาง หลังจากที่ประจบประแจงอยู่นานโดยไม่ได้ผล เขาจึงต้องเริ่มใช้วิธีอื่น

เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ได้รู้สึกอะไรกับสตรีที่ถูกเสนอตั้งแต่ก่อนจะได้พบหน้ากัน แต่คำพูดของเด็กหนุ่มก็กระตุ้นจินตนาการของหวังเป่าเล่ออยู่เล็กๆ ชายหนุ่มคิดว่า เด็กหนุ่มผู้นี้นิสัยคล้ายเจ้าลาของเขา เป็นประเภทที่หากไม่โดนทุบตีก็จะไม่ฟัง เขาจึงกลอกตาก่อนจะหันมามองเด็กหนุ่มอยู่ไปมา

“หากเจ้าจะพาน้องสาวมาแนะนำให้บิดาของเจ้าคนนี้ได้รู้จัก แล้วหลังจากนั้นเจ้าจะเรียกน้องสาวของตัวเองว่าอย่างไรเล่า”

เจ้าหนุ่มชะงัก ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วตอบอย่างรวดเร็วว่า “ท่านบิดา ข้ามีน้าสาวที่สวยสะ บิดาข้าก็เพิ่งจะรับสนมใหม่มาอีกคน นางงดงามเป็นอย่างยิ่ง ข้าจะแนะนำให้ท่านได้รู้จักด้วย! สตรีสามนางจะมาปรนนิบัติท่านพร้อมๆ กันและจะกลายเป็นที่เลื่องลือในระบบดาวเคราะห์อย่างแน่นอน!”

หวังเป่าเล่อถึงกับอับจนถ้อยคำ และกำลังจะโบกมือบอกปัดความคิดของเด็กหนุ่ม แต่เด็กหนุ่มก็ฉลาดเป็นกรด จึงเริ่มทำทีเป็นวิตกกังวล ก่อนจะกวาดสายไปทั่วร่างของหวังเป่าเล่อและวิเคราะห์ความต้องการของชายหนุ่มออกมา พยายามจะเพิ่มค่าของตัวเองในใจของอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อเด็กหนุ่มมองไปยังเรือบินรบที่จอดอยู่บนอวกาศ นัยน์ตาของเขาก็ลุกโชน รีบตะโกนออกมาว่า “ท่านบิดา ข้ามีสูตรหลอมอาวุธเทพอยู่ในความทรงจำ ข้าจะมอบให้ท่าน ได้โปรดรับข้าไปอยู่ด้วยสักระยะหนึ่งเถิด ท่านบิดา!”

เด็กหนุ่มไม่มีท่าทีบีบบังคับแต่อย่างใด กลับกันเขาหยิบคัมภีร์หยกออกมาและเริ่มเขียนสูตร ที่ถือว่าเป็นระดับสูงในอาณาจักรพิภพทมิฬลงไปทันที ก่อนจะยื่นคัมภีร์นั้นมาให้หวังเป่าเล่ออย่างนอบน้อม

เมื่อเห็นกริยาและความมุ่งมั่นตั้งใจของเด็กหนุ่ม หวังเป่าเล่อก็อดหยุดยืนมองไม่ได้ ชายหนุ่มรับคัมภีร์หยกมาก่อนจะตรวจสอบด้วยดวงจิต เขาหรี่ตาลงทันที ภายในชั่วอึดใจ หวังเป่าเล่อก็เงยศีรษะขึ้น มองไปทางเด็กหนุ่มด้วยสายตาลึกล้ำและเริ่มครุ่นคิด

สูตรนี้เป็นสูตรหลอมอาวุธเทพจริงๆ เสียด้วย มันช่างแปลกประหลาดนัก และดูเหมือนจะเป็นวิชาหลอมมากกว่า ด้วยวิชาหลอมนี้ ชายหนุ่มจะสามารถแยกส่วนอาวุธเทพออกมา จากนั้นก็นำไปติดไว้บนอาวุธเทพของศัตรูราวกับเป็นปรสิต ซึ่งจะทำให้สามารถดูดกลืนและขโมยอาวุธเทพมาได้!

มันเป็นวิชาระดับสูง สูงยิ่งกว่าทักษะการหลอมวัตถุเวทใดๆ ที่หวังเป่าเล่อเคยพบพานมาก่อน หลังจากการกวาดตาดูครั้งแรก แม้แต่หวังเป่าเล่อก็เข้าใจสูตรนี้เพียงร้อยละสิบเท่านั้นก็ตาม

หวังเป่ามีความรู้สึกว่าเมื่อใดที่เขาใช้สูตรนี้ได้อย่างชำนาญ ทักษะการหลอมวัตถุเวทของเขาจะพุ่งทะยานไปสู่อีกระดับอย่างแน่นอน ความเป็นจริงข้อนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเต็มตื้น และทำให้เขาเริ่มให้ความสนใจเด็กหนุ่มขึ้นมา หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน หวังเป่าเล่อจึงเอ่ยปากถาม “เจ้าชื่ออะไร”

“สัญลักษณ์ประจำอาณาจักรพิภพทมิฬคือนกแก้ว บิดาข้าจึงตั้งชื่อให้ข้าว่าจี้อู๋จื่อ ท่านเรียกข้าว่าอู๋น้อยก็ได้ขอรับ ท่านบิดา!”

……………………..

บทที่ 777 แสดงความสำนึกเสียบ้าง เจ้าข้ารับใช้เฒ่า!
นี่มันอะไรกัน หวังเป่าเล่อหยุดอยู่กับที่ก่อนจะส่งสายตามองเด็กหนุ่มอย่างฉงนใจ ชายหนุ่มรีบถอยหลังหลบผ้าเช็ดหน้าที่อีกฝ่ายขว้างมา เพราะกลัวว่าจะเป็นวัตถุเวททรงพลังที่อาจสร้างความเสียหายให้เขาอย่างรุนแรงหากไม่ระวัง

วิธีการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มช่างประหลาดเสียนี่กระไร ในขณะเดียวกัน ลูกไฟที่มีดาวเคราะห์ทั้งห้าอยู่ภายในซึ่งก่อนหน้านี้ทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงอันตรายก็จางหายไปด้วย ดังนั้นตอนนี้ ชายหนุ่มจึงทั้งมีสมาธิและระวังตัวแจ เขาตัดสินด้วยสัญชาติญาณว่าชายผู้นี้แตกต่างจากจั่วอี้เซียน แม้ว่าจั่วอี้เซียนเองจะเคยถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากที่นี่ แต่ความรู้สึกที่เด็กหนุ่มคนนี้มอบให้หวังเป่าเล่อกลับแปลกประหลาดยิ่งกว่า

อย่างไรเสีย…แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่เคยลองทำให้ศัตรูหยุดนิ่งอยู่กับที่ด้วยการขว้างผ้าเช็ดหน้าใส่ก่อนจะโจมตีเพื่อเผด็จศึก แต่เขาก็คุ้นชินกับกลยุทธ์เช่นนี้ดี หากลองเอาตนเองเข้าไปอยู่ในตำแหน่งของเด็กหนุ่มคนนั้น หวังเป่าเล่อก็รู้สึกได้ว่าเด็กหนุ่มเป็นคนที่อันตรายอย่างยิ่ง ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มล่าถอยออกมา เกราะจักรพรรดิก็ปรากฏขึ้นคลุมร่างของเขาพร้อมเสียง “แกร็ก” และหวังเป่าเล่อก็ดูแตกต่างจากเดิมอย่างสิ้นเชิงในทันที

ร่างกายของชายหนุ่มขณะนี้ทั้งใหญ่โตและน่าสะพรึงกลัว เสื้อคลุมสีแดงโลหิตที่สะบัดปลิวอยู่เบื้องหลังแม้ลมจะสงบนิ่ง และเส้นปราณจำนวนมหาศาลที่พลิ้วไหวอยู่นอกกายไม่ต่างจากฝูงอสรพิษสีแดงทำให้หวังเป่าเล่อมีรัศมีแห่งการฆ่าฟันรุนแรง ราวกับเป็นปีศาจร้ายที่ขึ้นมาปรากฏตัวอยู่บนโลกมนุษย์ เขาแผดเสียงออกมา “เจ้าเป็นใคร”

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังระมัดระวังตัวนั้น สายตาของเขาก็ทั้งเฉียบคมและเปี่ยมไปด้วยแรงกดดันมหาศาล ทำเอาหัวใจของเด็กหนุ่มตรงหน้าเต้นถี่ขึ้นอย่างสุดจะควบคุม เด็กหนุ่มสัมผัสไปถึงอันตรายจึงรีบล่าถอยไปหลายก้าว ก่อนจะกลืนน้ำลายด้วยความวิตกกังวลยิ่ง รีบยกมือขึ้นโบกแล้วละล่ำละลักออกมา

“ไม่ต้องห่วงไปมนุษย์ ข้าไม่ทำร้ายเจ้าหรอก” เขาพูดประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง มีความวิตกกังวลฉายชัดอยู่ในแววตา

“ไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไรเลยนะ!” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายก่อนที่จะพูดออกมาอย่างแข็งกร้าว การที่ภูมิหลังของอีกฝ่ายเป็นปริศนาก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เขายังทำตนราวกับว่าอ่อนแอเสียเต็มประดา หากเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจริง เด็กหนุ่มคงไม่โง่เขลาขนาดที่จะพูดกับหวังเป่าเล่อด้วยน้ำเสียงเช่นเมื่อครู่

ไม่ผิดแน่ ชายคนนี้อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณเช่นกัน!

หลังจากใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หวังเป่าเล่อก็ลงความเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในแน่นอน

ชายหนุ่มรู้ทันลูกไม้เหล่านี้ตั้งแต่อายุสามขวบ จึงไม่ได้คลายความระแวงลง กลับกัน เขาระวังตัวมากขึ้นอีกโข น้ำเสียงแฝงไปด้วยจิตสังหารอันแรงกล้า

“เจ้าไม่มีอะไรจะพูดเช่นนั้นหรือ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดี…” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อสะท้อนประกายเยือกเย็น ยกมือขวาขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือแล้วชี้ไปที่เด็กหนุ่มปริศนา แสงสว่างจ้าพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว แปรสภาพเป็นคลื่นแสงที่เข้าไปปกคลุมล้อมรอบเด็กหนุ่มทันที

ขณะเดียวกัน ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็กระเถิบห่างออกไปจากเด็กหนุ่ม ขณะที่ถอยออกมานั้น เด็กหนุ่มก็เริ่มร้องโอดครวญ เขาขยับร่างกายถอยหนีและพยายามหลบ แต่ก็สายเกินไป คลื่นแสงเข้าประชิดตัวในพริบตาก่อนจะปะทะเข้ากับร่างของเด็กหนุ่ม

เกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่น เด็กหนุ่มส่งเสียงร้องหวีดออกมา ร่างของเขาถูกชนกระเด็นไปไกลหลายสิบก้าวก่อนที่จะล้มลง สีหน้าของเด็กหนุ่มโกรธเกรี้ยวเมื่อส่งเสียงตะโกนใส่หวังเป่าเล่อ

“ไอ้มนุษย์บัดซบ เจ้ากล้าดีอย่างไร!”

“เจ้ากล้าโจมตีข้าอย่างนั้นหรือ ไอ้…ไอ้ขยะ! น่าขันสิ้นดี! เจ้าไม่รู้หรือว่าการได้เช็ดรองเท้าของข้านับเป็นเกียรติเพียงใด!”

เมื่อเห็นท่าทางที่เด็กหนุ่มถอยหลังก่อนจะล้มลง ขณะที่ร่างกายไม่มีรอยขีดข่วนแม้จะถูกโจมตี นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็หรี่เล็กลง แต่ในวินาทีถัดมา หลังจากที่ได้ยินเสียงคำรามของเด็กหนุ่ม ใบหน้าของเขาก็กระตุกขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

คำพูดของเด็กหนุ่มช่างรนหาที่นัก หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าหากเด็กหนุ่มผู้นี้ไม่ได้มีความสามารถแอบซ่อนเอาไว้ก็คงเป็นพวกโง่เง่าสติไม่เต็มเต็ง แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง หวังเป่าเล่อก็ทนไม่ได้อีกต่อไป ชายหนุ่มหมุนตัว ไปปรากฏตรงหน้าเด็กหนุ่มที่ส่งเสียงคำรามในทันที ก่อนจะเตะเข้าที่ท้องด้วยขาขวาเต็มแรง

หลังเสียงกระแทกดังพลั่ก เด็กหนุ่มก็ร้องออกมาอีกหน ก่อนที่ร่างกายจะลอยละลิ่วไปชนผนังด้านข้าง หลังจากที่ร่วงลงมาจากผนัง เสียงร้องโหยหวนของเด็กหนุ่มก็ยิ่งแหลมขึ้น เขาแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มไม่รับบาดเจ็บแต่อย่างใด การส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญนั้นไม่ใช่เพราะเขาบาดเจ็บ หากแต่เป็นเพราะการกระแทกนั้นทำให้เขาเจ็บต่างหาก

“ในอาณาจักรของข้า ขนาดผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ก็ยังเรียงแถวกันมาเช็ดรองเท้าให้ข้า การที่เจ้าที่อยู่เพียงขั้นเชื่อมวิญญาณปฏิเสธที่จะเช็ดรองเท้าให้ข้าก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่เจ้ายังกล้าดีมาทุบตีข้าอีก!” น้ำตาร่วงเผาะลงมาจากดวงตาของเด็กหนุ่ม เขาทั้งเศร้าทั้งโกรธ พลางส่งเสียงตะโกนด่าหวังเป่าเล่อไม่หยุดหย่อน

เมื่อเห็นองค์ชายก่นด่า นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็เบิกโพลง จากการโจมตีทั้งสองครั้งและสังเกตดู ชายหนุ่มก็เห็นว่าเด็กหนุ่มผู้นี้อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็นับได้ว่าร่างกายของเขานั้นช่างแปลกประหลาด ราวกับมีพลังต้านทานคาถาขั้นเชื่อมวิญญาณโดยเฉพาะ แต่ก็ดูเหมือนจะตอบสนองกับความเจ็บปวดรุนแรงมากเป็นพิเศษ

ความขัดแย้งนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อต้องหรี่ตา ขณะที่ชายหนุ่มกำลังวางแผนจะทดสอบอีกฝ่ายอีกครั้งเพื่อยืนยันทฤษฎีที่คิดได้เมื่อครู่ โทสะของเด็กหนุ่มก็ดูเหมือนจะพุ่งขึ้นสูงสุดจากความเจ็บปวดที่ได้รับ ทำให้เสียงก่นด่าดังก้องกลายเป็นเสียงคำราม

“ก็แค่ขั้นเชื่อมวิญญาณ ในสายตาข้า เจ้าก็เป็นเพียงข้ารับใช้เฒ่าเท่านั้น เจ้าข้ารับใช้เฒ่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคนนี้เป็นใคร รู้หรือไม่ว่าบิดาของข้าคือราชาองค์ใด”

เมื่อได้ยินว่าตนเอง ซึ่งกำลังจะได้เป็นผู้นำของสหพันธรัฐ ถูกเรียกว่าข้ารับใช้เฒ่า หวังเป่าเล่อก็รู้สึกโกรธขึ้นมาเช่นกัน ชายหนุ่มจึงพลิกตัวพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง ครั้งนี้เขาใช้ทักษะการเตะที่ไม่ได้ใช้มาเป็นเวลานานและเล็งไปยังเป้ากางเกงของเด็กหนุ่มโดยตรง

“วันนี้ บิดาคนนี้จะแสดงให้เจ้าเห็นว่าราชาผู้เป็นบิดาที่แท้จริงของเจ้านั้นคือใคร!” ขณะที่หวังเป่าเล่อพูด ก็มีเสียงครั่นครืนดังขึ้นมา และเสียงร้องโหยหวนของเด็กหนุ่มก็แหลมสูงขึ้นอีกหลายช่วงตัวราวกับว่าสั่นสะเทือนไปถึงสวรรค์ก็ไม่ปาน ชายหนุ่มยกมือทั้งสองบดบังบริเวณที่ความเจ็บปวดกำลังไหลบ่าเข้ามาก่อนจะกระโดดขึ้น

แต่การทดสอบของหวังเป่าเล่อยังไม่จบ เมื่อเด็กหนุ่มกระโดดขึ้นไป หวังเป่าเล่อก็ยกขาขวาขึ้นเตะไปที่เป้ากางเกงอีกครั้ง อันที่จริงแล้วเขาเตะไปถึงเจ็ดแปดครั้งติดๆ กัน!

“สั่งให้บิดาของเจ้าเช็ดร้องเท้าให้อย่างนั้นหรือ

“กล้าขึ้นเสียงใส่บิดาของเจ้าหรือ

“เจ้าเด็กโง่เง่าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง กล้าดีอย่างไรมาสั่งให้บิดาทำโน่นนี่ให้”

“เจ้าลูกไม่รักดี กล้ามากที่เรียกบิดาของเจ้าว่าข้ารับใช้เฒ่า” หวังเป่าเล่อยิ่งพูดยิ่งโกรธ ชายหนุ่มเตะเด็กหนุ่มซ้ำทุกประโยคที่พูด เสียงโหยหวนของเด็กหนุ่มดังถึงขีดสุด ผู้ที่ได้ยินย่อมรู้สึกเหมือนว่าตนเองถูกเตะเสียเองและตัวสั่นเทิ้มอย่างไม่อาจควบคุม

แต่ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการแสดงของหวังเป่าเล่อเท่านั้น ในความเป็นจริง ชายหนุ่มยังคงระแวดระวังอยู่ เขาหรี่ตาลง พยายามสังเกตปฏิกิริยาของเด็กหนุ่ม ในที่สุด หลังจากที่ยืนยันข้อสงสัยของตนได้แล้ว สีหน้าของเด็กหนุ่มก็ซีดเซียวเพราะความเจ็บปวด เขากรีดร้องเสียจนเสียงแหบแห้ง ก่อนจะยกมือชี้หน้าหวังเป่าเล่อ

“เจ้าข้ารับใช้เฒ่า ข้าเป็นองค์ชายแห่งอาณาจักรพิภพทมิฬ! เป็นองค์ชายองค์เดียว! ข้าต้องสืบทอดราชบังลังก์และนำพาระบบดาวเคราะห์นับหมื่นไปสู่อนาคตอันรุ่งโรจน์! เจ้ากล้าดีอย่างไรมาหยามน้ำหน้าข้าเช่นนี้ ข้าจะฆ่าเจ้าเสีย แล้วกวาดล้างอารยธรรมของเจ้า สังหารเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้าไม่ให้เหลือ!”

หวังเป่าเล่อจ้องอีกฝ่ายเขม็ง ไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าใดนัก หากเด็กหนุ่มทรงพลังถึงเพียงนั้นจริง เขาจะอยู่เพียงขั้นกำเนิดวิญญาณได้อย่างไร แต่ถึงอย่างนั้น ร่างกายของเขาก็ช่างแปลกเสียจริง

แต่อย่างไรหวังเป่าเล่อก็อัดอีกฝ่ายไปเสียเละแล้ว…โดยเฉพาะเมื่อเจ้าเด็กหนุ่มทำตัวปากเปราะชวนให้โดนอัดเสียขนาดนั้น ชายหนุ่มจึงรู้สึกมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่ทำให้เขามีความสุขยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ เด็กหนุ่มคนนี้ไม่บาดเจ็บแต่รู้สึกเจ็บปวด ดังนั้นสำหรับคนที่ชอบอัดคนอื่นเช่นหวังเป่าเล่อ เด็กหนุ่มนี่ถือเป็นหุ่นซ้อมมวยคุณภาพสูงเลยทีเดียว

หวังเป่าเล่อจ้องมองก่อนจะยกมือขวาขึ้นจับนิ้วของเด็กหนุ่มงอเข้าหาตัวอย่างเชี่ยวชาญก่อนจะกล่าว

“เรื่องของเจ้าสิ หากเจ้าเป็นองค์ชาย ข้าก็เป็นจักรพรรดิแห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ใครๆ ก็พูดได้ เรียกข้าว่าท่านบิดาเดี๋ยวนี้!”

สีหน้าของเด็กหนุ่มเขียวคล้ำลงทันที เขาแทบจะทรุดตัวลงคุกเข่าเพราะร่างกายเหมือนจะสูญเสียเรี่ยวแรงไปหมด ก่อนจะส่งเสียงหวีดร้องดังลั่น แต่ความหยิ่งยโสนั้นไม่ลดลงเลย องค์ชายยังคงกัดฟันพูดต่อแม้จะยังส่งเสียงร้องอยู่

“ปล่อยโว้ยย อ๊ากกกกกก…เจ้าข้ารับใช้เฒ่าบัดซบ บิดาของข้าจะควานหาข้าไปทั่วระบบดาวเคราะห์แน่นอน โอ๊ยๆๆ มาพูดกันดีๆ เถอะ โอ๊ยยยยย…ยังไม่สายที่เจ้าจะคุกเข่าลงขอความเมตตา ข้าจะยอมปล่อยเรื่องที่แล้วๆ มาและให้โอกาสเจ้าได้เช็ดรองเท้าข้าอีกครั้ง…

“สำนึกเสียบ้างสิโว้ย เจ้าข้ารับใช้เฒ่า!”

เมื่อได้ยินคำพูดของเจ้าหนุ่ม หวังเป่าเล่อก็ถึงกับตะลึงไป ไม่ได้ตะลึงในสิ่งที่อีกฝ่ายพูด เพราะอย่างไรเสีย ชายหนุ่มก็ไม่รู้ว่ามันเป็นความจริง หรือเป็นเพียงเรื่องที่เด็กหนุ่มคุยโวเท่านั้น สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตกตะลึงคือการที่เด็กหนุ่มผู้นี้ยังโอหังได้อยู่ในเวลาเช่นนี้

ดูเหมือนว่าข้าจะไม่ได้ใช้ทักษะนี้มานานเกินไปจนสนิทจับเสียแล้ว…หวังเป่าเล่อคิดในใจ ก่อนจะยกเท้าขวาขึ้นเตะผ่าหมากเด็กหนุ่มอีกครั้ง และเพราะลูกเตะของเขาว่องไว แถมมือก็ยังจับนิ้วของเด็กหนุ่มเอาไว้แน่น ทำให้อีกฝ่ายหนีไปไหนไม่ได้ หวังเป่าเล่อจึงได้เตะต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า…

สุดท้ายเมื่อใบหน้าของเด็กหนุ่มเขียวไปทั้งหน้า เขาจึงตระหนักได้ว่าการส่งเสียงร้องและการยกตนข่มท่านนั้นไม่เป็นผล ในขณะเดียวกัน ความเจ็บปวดตรงบริเวณหว่างขาก็เริ่มเสียดแทงมากขึ้นทุกขณะ จนทำให้หัวใจของเขาสั่นไหว เด็กหนุ่มจึงยอมกัดฟัน งัดไพ่ตายออกมา!

“ได้โปรดหยุดตีข้าเถิด ท่านบิดา ข้าผิดไปแล้ว ท่านบิดา ข้ายอมรับผิดแล้วขอรับ ท่านบิดา!”

บทที่ 776 องค์ชายผู้สูงศักดิ์!
ชายหนุ่มรู้สึกว่าสะเก็ดดาวชิ้นนี้ซึ่งดูคล้ายศีรษะมนุษย์ ดูคลับคล้ายคลับคลาใครสักคน…

เซี่ยไห่หยาง! หวังเป่าเล่อครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะหรี่ตาลงอย่างปุบปับ ภาพของเซี่ยไห่หยางปรากฏชัดอยู่ในใจ เมื่อเปรียบเทียบกับสะเก็ดดาวแล้ว หัวใจของชายหนุ่มก็เต้นโครมครามขึ้น

ทั้งสองดูเหมือนกันจริงๆ แต่อาจเป็นเพราะสีของสะเก็ดดาว ทำให้มันดูเก่าแก่กว่า หากว่าสะเก็ดดาวชิ้นนี้เป็นศีรษะและใบหน้าจริงๆ คงดูเหมือนเซี่ยไห่หยางตอนแก่หรือผู้อาวุโสสักคนในตระกูลของเขา

แต่แม้ว่าจะเป็นผู้อาวุโสจากตระกูลเซี่ย ก็ไม่น่ามีใบหน้าคล้ายคลึงสะเก็ดดาวถึงเพียงนี้ หวังเป่าเล่อจึงไม่อาจตัดสินใจในนาทีนี้ได้ว่าความเป็นจริงคือสิ่งใด หรือมันอาจจะเป็นเพียงเหตุบังเอิญเท่านั้นก็เป็นได้

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังครุ่นคิด จั่วอี้เซียนก็กำลังชั่งใจกับความคิดของตน แต่ชายหนุ่มก็มองเห็นว่าเจ้านายกำลังตกตะลึง แม้จะไม่รู้ว่ามีสาเหตุจากอะไร แต่จั่วอี้เซียนก็คาดเดาได้ว่ารูปร่างของสะเก็ดดาวเป็นสาเหตุให้หวังเป่าเล่อตกตะลึง

“น่าสนใจเสียจริง” จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็หัวเราะออกมา ชายหนุ่มหรี่ตาก่อนจะยกมือขวาขึ้นชี้ไปทางจั่วอี้เซียน ทันใดนั้นแสงสีแดงก็พวยพุ่งออกมาจากนิ้วมือ ก่อนจะกลายเป็นกรงขังจั่วอี้เซียน พร้อมปิดผนึกเรือบินรบเอาไว้ในคราวเดียวกัน

“เจ้ารอตรงนี้เล่า ข้าจะเข้าไปสำรวจเสียหน่อย” หวังเป่าเล่อพูดอย่างเย็นชา แม้การพาจั่วอี้เซียนมาด้วยจะช่วยให้สำรวจถ้ำได้ง่ายกว่า แต่หวังเป่าเล่อก็รู้เรื่องต่างๆ ของถ้ำจากบทสนทนากับจั่วอี้เซียนมาไม่น้อย อีกทั้งชายหนุ่มยังต้องปลดปล่อยพลังเต็มที่เพื่อปกป้องตนเองเมื่อเข้าไปในถ้ำ หากมีจั่วอี้เซียนอยู่ด้วย อีกฝ่ายอาจเห็นอะไรที่เขาไม่อยากให้เห็นก็เป็นได้

ดังนั้นการขังจั่วอี้เซียนเอาไว้จึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด

จั่วอี้เซียนไม่กล้าขัดขืนการคุมขังของหวังเป่าเล่อและรีบกุลีกุจอรับคำสั่งทันที แต่ชายหนุ่มยังคงรู้สึกเสียดายอยู่ในใจ เพราะอันที่จริงแล้ว เขาอยากกลับเข้าไปในถ้ำนั้นอีกครั้งหนึ่ง ลึกลงไปในใจ จั่วอี้เซียนยังมีความหวังว่าจะสามารถเดินทางกลับสหพันธรัฐได้จากที่แห่งนี้

หวังเป่าเล่อกระโจนลงจากเรือบินรบ เมินจั่วอี้เซียนไปเสียสนิท เมื่อชายหนุ่มปรากฏตัวอีกครั้ง เขาก็มายืนอยู่บนสะเก็ดดาวที่รูปร่างคล้ายศีรษะมนุษย์แล้ว เงาของหวังเป่าเล่อไม่ได้หยุดอยู่กับที่ มันเคลื่อนไปรอบๆ เพื่อสำรวจสะเก็ดดาวอย่างรวดเร็ว หวังจากที่ได้ภาพคร่าวๆ และขนาดของสะเก็ดดาวแล้ว หวังเป่าเล่อก็มุ่งหน้าตรงไปยังช่องที่ดูคล้ายปากทันที!

ช่องนี้เป็นทางเข้าเดียวของสะเก็ดดาว มันดูลึกมาก แถมยังมีอากาศเย็นไหลบ่าออกมาจากภายใน เมื่อเขาขยับเข้าไปใกล้ อากาศเย็นนั้นก็ดูราวกับจะมีชีวิตขึ้นมา เมื่อมันสัมผัสกายของหวังเป่าเล่อ ก็คล้ายจะแปรสภาพเป็นเข็มน้ำแข็งที่พยายามทิ่มแทงเข้าไปในร่างของชายหนุ่ม

แต่ร่างของหวังเป่าเล่อก็ยังแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นเพราะการฝึกฝนหรือด้วยพลังของวิญญาณจุติดวงดาราก็ตาม แม้ว่ามันจะไม่ใช่ร่างที่แท้จริงของเขา แต่ก็ยังเรียกได้ว่าแข็งแกร่งและหนังเหนียวไม่ใช่น้อย โดยเฉพาะเมื่อชายหนุ่มเรียกเกราะจักรพรรดิออกมาใช้เพื่อเป็นการป้องกันร่างกายอีกชั้นหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าเข็มน้ำแข็งจะพยายามทิ่มแทงเข้าไปในร่างกายของชายหนุ่มอย่างไม่หยุดหย่อนขณะกำลังมุ่งตรงไปข้างหน้า มันก็ไร้ซึ่งผลใดๆ

ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงเร่งความเร็วมุ่งหน้าไปตามทางได้เรื่อยๆ ยิ่งเดินเข้าไปลึก อากาศเย็นก็ยิ่งหนาแน่นขึ้นทุกที ทว่าผนังที่รายล้อมทางอยู่กลับไม่มีทีท่าว่าจะเป็นน้ำแข็งแต่อย่างใด ความจริงแล้วหลายๆ บริเวณมีแสงเรื่อเรืองสีฟ้าส่องสว่างออกมาด้วยซ้ำ

ปรากฏการณ์ที่เห็นดึงดูดความสนใจของชายหนุ่ม ทำให้เขาระมัดระวังตัวขึ้นกว่าเดิม และเริ่มลดความเร็วลง เขาเดินต่อไปจนกระทั่งถึงกลางทางตามการคาดการณ์ของตนเอง จากนั้นหวังเป่าเล่อก็หยุดเดิน ก่อนจะเอียงศีรษะไปมองผนังที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

ผนังนั้นมีสีดำสนิทมาตั้งแต่แรก แต่ทันทีที่สายตาของหวังเป่าเล่อจับจ้องไป ลูกไฟสีเขียวก็ปรากฏขึ้น ก่อนจะเริ่มเคลื่อนไหวอยู่ในผนังราวกับว่ากำลังล่องลอยอยู่ไปมา!

ขณะที่ลูกไฟกำลังเคลื่อนที่ไป ผนังก็ดูราวกับว่าโปร่งใสขึ้น โครงสร้างและความขุ่นมัวภายในปรากฏชัดขึ้นมาราวกับมีคนส่องไฟอยู่เบื้องหลังผนังกระนั้น สิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งกว่านั้นก็คือ หวังเป่าเล่อเหมือนเห็นโครงร่างของตึกอยู่รางๆ ภายในลูกไฟที่กำลังเคลื่อนที่ไปมา!

ราวกับว่าภายในลูกไฟนั้นเป็นโลกอีกใบก็ไม่ปาน!

ภาพนี้ทำให้หวังเป่าเล่อต้องหรี่ตาลง ชายหนุ่มยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานาน แต่จริงๆ มันผ่านไปเพียงสิบลมหายใจเท่านั้น และเมื่อลูกไฟนั้นจางหายไป ประกายแสงก็สว่างวาบขึ้นบนดวงตาของเขา

สะเก็ดดาวชิ้นนี้ช่างแปลกประหลาดเสียจริง… เป็นไปได้หรือว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จะไม่รู้เรื่องนี้ หรือบางทีพวกเขาอาจจะรู้และเข้ามาสำรวจที่นี่ไปแล้วแต่ตัดสินใจจะไม่ใส่ใจเสียเอง หวังเป่าเล่อรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ค่อยสมเหตุสมผล เพราะอย่างไรเสีย จั่วอี้เซียนก็ถูกพบตัวที่นี่ และสายธารสะเก็ดดาวแห่งนี้ก็อยู่ใกล้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มาก ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะไม่ได้มาสำรวจที่นี่อย่างถ้วนถี่

เมื่อคิดอยู่ครู่ใหญ่ ความคิดของหวังเป่าเล่อก็มัดเกี่ยวกันพัลวัน ชายหนุ่มออกเดินต่อไปพลางเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ แต่เมื่อเขาเดินลึกเข้าไป ก็ยิ่งเห็นลูกไฟที่เหมือนลูกไฟสีเขียวก่อนหน้านี้อยู่เบื้องหลังผนังมากขึ้น ลูกไฟเหล่านี้มีสีสันแตกต่างกันไป โดยเฉพาะเมื่อหวังเป่าเล่อเดินเข้าไปจนเกือบสุดทาง ลูกไฟในผนังที่รายล้อมอยู่ก็เริ่มหนาแน่นขึ้นและซ้อนทับกันไปมา ทำให้สีสันของพวกมันยิ่งงดงามตระการตาขึ้นไปอีก

สิ่งที่เขาเห็นต่อมาทำให้วิญญาณของหวังเป่าเล่อสั่นคลอนอย่างแท้จริง เมื่อชายหนุ่มเดินมาถึงสุดทางเดิน สายตาของเขาก็มองเห็นผืนแผ่นดินกว้างใหญ่ ในบริเวณนั้น ลูกไฟหลากสีที่อยู่ในกำแพงก่อนหน้านี้ออกมาล่องลอยไปมาอยู่ในอากาศ!

ลูกไฟเหล่านี้นอกจากจะมีสีสันหลากหลายแล้วยังมีขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกัน มันล่องลอยรวมกลุ่มกันไปมาราวกับเป็นฝูงปลาอนุบาล ภาพตรงหน้าทำให้หวังเป่าเล่อตกอยู่ในภวังค์ไปชั่วขณะ ชายหนุ่มเหมือนจมอยู่ในทะเลแห่งแสงไฟก็ไม่ปาน!

ต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแน่! ดวงวิญญาณของหวังเป่าเล่อถึงกับสั่นไหว ชายหนุ่มยังสังเกตเห็นด้วยว่ามีเงารูปร่างต่าๆ อยู่ภายในลูกไฟเหล่านี้ บ้างก็เป็นตึกราม บ้างก็เป็นซากปรักหักพัง บ้างก็เป็นพื้นผิวดิน และบ้างก็เป็น…สิ่งมีชีวิตมากมายหลายหลาก!

ไม่ว่าจะเป็นอสูรดุร้ายหรือพืชพันธุ์ พวกมันก็ดูคล้ายถูกผนึกอยู่ภายในลูกไฟเหล่านี้ ความจริง…หวังเป่าเล่อเห็นกระทั่งเงาของผู้ฝึกตนอยู่ภายในนั้นด้วย!

นอกจากนั้น เงาภายในลูกไฟบางลูกก็ดูเหมือนจะเป็นรูปสลัก รูปสลักที่อยู่ภายในลูกไฟขนาดใหญ่ลูกหนึ่งสุกสว่างเป็นพิเศษ เงาของมันเห็นได้ชัดเจนกว่าเงาในลูกไฟลูกอื่นๆ เพียงแค่กวาดตามองครั้งเดียว หวังเป่าเล่อก็เห็นทุกสิ่งที่อยู่ภายใน

รูปสลักในดวงไฟเป็นดาวเคราะห์ห้าดวง แม้จะไม่มีอะไรให้เทียบขนาด แต่เมื่อหวังเป่าเล่อเห็นรูปสลักภายในลูกไฟเป็นครั้งแรก ชายหนุ่มก็รู้สึกแปลกประหลาดอย่างไม่รู้ตัว ราวกับว่า…ดาวเคราะห์ทุกดวงนั้นล้วนกินขนาดเกินครึ่งหนึ่งของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แห่งนี้ด้วยซ้ำ!

เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เลย และช่างตรงกันข้ามกับความรู้ในศีรษะของหวังเป่าเล่อโดยสิ้นเชิง แต่…สัมผัสรับรู้ของชายหนุ่มก็บอกเขาว่ามันเป็นเรื่องจริง!

ความรู้สึกนี้ยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อเกรงกลัวจนหัวใจสั่นไหวด้วยซ้ำ แต่ความเป็นจริงที่ว่า เมื่อชายหนุ่มมองไปยังดาวเคราะห์ทั้งห้า วิญญาณจุติดวงดาราในกายก็เริ่มสั่นคลอนต่างหากที่ทำให้เขาหวาดกลัว ราวกับว่า…มันมาจากที่เดียวกับดาวเคราะห์เหล่านั้นก็ไม่ปาน

วิญญาณจุติดวงดารา? หรือว่า…ดาวเคราะห์ทั้งห้านี้จะกำเนิดมาจากวิญญาณจุติดวงดารานี้ ความคิดอันโง่งมนี้ปรากฏขึ้นในมโนสำนึกของหวังเป่าเล่อ

สายตาของเขาอาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นก็เป็นได้ เพราะในวินาทีเดียวกันนั้นเอง หัวใจของหวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงอันตราย จุดกำเนิดของอันตรายนั้นมาจากลูกไฟที่มีรูปสลักของดาวเคราะห์ทั้งห้าอยู่นั่นเอง!

ลมหายใจของชายหนุ่มหอบถี่ เขารู้สึกว่าด้วยระดับปราณของตนในตอนนี้ เขาต้องไม่ปลอดภัยแน่ ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเผชิญความเสี่ยงโดยไม่จำเป็น ในเมื่อหวังเป่าเล่อมาที่นี่เพียงเพื่อจะผ่อนคลายความเครียดเท่านั้น แม้ว่าชายหนุ่มจะเป็นเพียงร่างอวตาร แต่เขาก็พร้อมหนีด้วยการสะบัดกายเพียงครั้งเดียว

แต่ทันทีที่ร่างกายของหวังเป่าเล่อถอยหนี ลูกไฟที่มีรูปสลักดาวเคราะห์ทั้งห้าภายในดงลูกไฟซึ่งคล้ายปลาอนุบาลก็ส่องแสงกล้าขึ้น จู่ๆ มันก็เคลื่อนออกจากกลุ่มและพุ่งตรงเข้าหาหวังเป่าเล่อทันที ราวกับว่ามีความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างลูกไฟดวงนั้นกับตัวชายหนุ่ม

สีหน้าของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนไป เขาเพิ่มความเร็วในการหนีมากขึ้น ชายหนุ่มสร้างผนึกฝ่ามือด้วยมือขวา เรียกเกราะจักรพรรดิออกมาสวมไว้พร้อมอาวุธเทพ เมื่อเกราะปรากฏขึ้น หวังเป่าเล่อก็ฟันใส่ลูกไฟที่ไล่ตามมาทันที!

ตอนที่ฟัน ชายหนุ่มก็ส่งพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลางของเขาออกไปด้วย ราวกับเขาฟันใส่ความว่างเปล่าจนฉีกขาด ก่อให้เกิดคลื่นสะเทือนที่พุ่งเข้าหาลูกไฟลูกนั้นอย่างรวดเร็ว

หลังจากนั้น หวังเป่าเล่อก็เตรียมพร้อมที่จะหนี แต่ขณะที่ชายหนุ่มกำลังขยับตัวนั่นเอง ลูกไฟก็เร่งความเร็วเข้าใส่คลื่นที่อาวุธเทพของเขาสร้างขึ้น แสงสว่างจ้ารุนแรงระเบิดออกมาจากลูกไฟและสว่างปกคลุมไปทั้งถ้ำอย่างรวดเร็ว มันแปรเปลี่ยนถ้ำให้กลายเป็นทะเลแห่งแสง และเงาเลือนรางร่างหนึ่ง…ก็ก้าวออกมาจากลูกไฟลูกนั้น!

ร่างเงานั้นยืดตัวตรง น้ำเสียงเยียบเย็นแฝงไว้ด้วยไม่พอใจดังกังวานไปทั่วอย่างรวดเร็ว

“ที่นี่คือที่ใดกัน ไอ้เจ้าข้ารับใช้แก่เฒ่าโง่งม เจ้าเป็นผู้ที่เรียกข้าออกมาเช่นนั้นหรือ จงมาคุกเข่าแสดงความเคารพต่อองค์ชายของเจ้าเดี๋ยวนี้!”

เมื่อถ้อยคำของคนๆ นี้กระจายออกไป ทะเลแห่งแสงก็อ่อนแรงลงก่อนจะจางหาย ลูกไฟที่มีดาวเคราะห์ทั้งห้าอยู่ภายในก็เริ่มจางลงเช่นกัน หวังเป่าเล่อนัยน์ตาลุกโพลง ขณะที่ชายหนุ่มล่าถอย เขาก็หันกลับไปมองเงาที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยความระแวดระวัง

ร่างนั้นเป็นเด็กหนุ่ม ที่ดูเหมือนจะอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน เสื้อผ้าของเขาดูหรูหรา สีเขียวและแดงที่จับคู่กับกระจกบานจ้อยมากมายบนตัวทำเอาหวังเป่าเล่อคลื่นเหียน

ขณะที่หวังเป่าเล่อลอบสังเกตเด็กหนุ่มอยู่นั้น เด็กหนุ่มเองก็จ้องมองมาที่เขาอย่างหยิ่งยโสเช่นกัน เมื่อเห็นว่าหวังเป่าเล่อไม่ทำตามคำสั่ง เด็กหนุ่มก็ขมวดคิ้วก่อนจะพ่นลมออกมาทางจมูกอย่างขัดใจ เขายกมือขวาขึ้นหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาพลางขว้างไปทางหวังเป่าเล่อ และยกเท้าข้างขวาขึ้นเผยให้เห็นรองเท้าผ้าไหมสีดำขลับ

“มาเช็ดรองเท้าข้าให้สะอาดที โลกมนุษย์ของพวกเจ้าทำให้รองเท้าที่ทำขึ้นจากเส้นผมของสนมนับแสนของข้าต้องแปดเปื้อน”

………………

บทที่ 775 สะเก็ดดาวแปลกประหลาด!
“ใช่ ข้าทำได้แล้ว…” หวังเป่าเล่อนิ่งไปชั่วขณะเพราะรู้สึกว่าไม่เหมาะที่จะพูด เพราะอย่างไรเสีย โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของเขาก็ยังอยู่ในระดับหก ยังไม่ถึงระดับแปดแต่อย่างใด

เร็วขนาดนี้เลยหรือ เทพธิดาหลิงโยวกำลังฟังรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาอยู่ แม้ว่านางจะตกใจเล็กน้อยในตอนต้น แต่ก็ไม่มีเวลาจะไต่ถามเพิ่มเติม อีกอย่างหนึ่ง นางก็คิดไปตามสัญชาติญาณว่าการ ‘บรรลุขั้น’ ที่หวังเป่าเล่อกล่าวถึงนั้นคือการสามารถหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไปสู่ระดับสองได้

อย่างไรเสีย ชายหนุ่มก็เพิ่งหลอมระดับแรกได้เมื่อครึ่งเดือนก่อนเท่านั้น แม้ว่าการบรรลุสู่ระดับสองได้ภายในครึ่งเดือนจะน่าตกใจอยู่ไม่น้อย แต่นางก็คิดว่าหลงหนานจื่อนั้นโด่งดังในสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์อยู่พอตัว ดังนั้นเขาเองก็คงมีพรสวรรค์อยู่บ้างเช่นกัน

ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยน้ำเสียงที่ไม่มั่นใจของหวังเป่าเล่อ และคำขอสิทธิ์การเข้าถึงเพิ่มเติม ทำให้เทพธิดาหลิงโยวด่วนตัดสินไปเสียแล้ว นางรู้ว่าหวังเป่าเล่อผิดพลาดมาหลายครั้ง แม้จะซื้อวัตถุดิบไปจนเต็มปริมาณที่สิทธิ์การเข้าถึงให้ซื้อได้แต่ก็ยังทำไม่สำเร็จ ดังนั้นย่อมไม่แปลกที่การหาซื้อวัตถุดิบเพื่อเสริมพลังเป็นระดับสามจะไม่ง่าย เขาจึงต้องการสิทธิ์การเข้าถึงเพิ่มเติมเพื่อตั้งหน้าตั้งตาหลอมต่อไป

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เทพธิดาหลิงโยวจึงพูดขึ้นว่า

“ได้ ข้าเพิ่มสิทธิ์การเข้าถึงให้เจ้าแล้ว พยายามเข้าเล่า” ความหงุดหงิดในน้ำเสียงของนางแต่เดิมลดน้อยถอยลง หญิงสาวพูดจาให้กำลังใจหวังเป่าเล่ออีกสองสามคำ และดูเหมือนว่าความรู้สึกที่นางมีต่ออีกฝ่ายก็เริ่มดีขึ้น ถึงกระนั้น นางก็ไม่ได้สนใจเขาเท่าใดนัก ในสายตาของนางแล้ว ไม่ว่าพื้นฐานของหลงหนานจื่อจะดีเพียงใด ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เขาจะเสริมพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาให้เป็นระดับสามได้

แต่หากคิดในแง่นี้ ก็ถือว่าหลงหนานจื่อผู้นี้มีความสามารถสูงใช่เล่น หลังจากที่ชมเชยหวังเป่าเล่อแล้ว เทพธิดาหลิงโยวก็จบการสื่อสารและมองไปทางผู้ติดตามขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ทั้งหลายของนาง

“พวกเจ้าจงพูดต่อไปเถิด แน่ใจหรือว่าผู้บัญชาการกองทหารวิญญาณเร้นลับซึ่งอยู่ในอันดับสิบเอ็ด ประมุขหลิงเถาบรรลุขั้นปราณแล้ว”

ผู้ที่รายงานอยู่ต่อหน้าเทพธิดาหลิงโยวคือสตรีท่าทางหยิ่งยโสที่หวังเป่าเล่อพบก่อนหน้านี้ นางพยักหน้าตอบคำถามของเทพธิดา ก่อนจะพูดอย่างแผ่วเบา

“พวกเราตรวจสอบแล้ว ประมุขหลิงเถาได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดดในระดับการฝึกปราณ แม้ว่าจะยังไม่ถึงขั้นการฝึกปราณเดียวกับท่านผู้บัญชาการ แต่ก็ยังเป็นหนึ่งในบรรดาขั้นแสร้งอมตะ ข้าเกรงว่า การบรรลุขั้นปราณของเขาจะก่อให้เกิดผลที่ตามมาหลายประการ มีความเป็นไปได้สูงว่า การบรรลุขั้นปราณของเขาจะกลายเป็นตัวเร่งให้เกิดการร่วมมือกันระหว่างกองทหารอื่นๆ ที่ทำให้ความก้าวหน้าของกองทหารวิหคน้ำแข็งต้องพบเจออุปสรรค”

ประมุขหลิงเถา…ประกายเย็บเยียบสะท้อนอยู่ในดวงตาของเทพธิดาหลิงโยว นางไม่สนใจว่าเขาจะบรรลุถึงขั้นแสร้งอมตะหรือไม่ แต่การบรรลุขั้นของเขาในเวลานี้ย่อมมีผลต่อการเลื่อนอันดับของกองทหารวิหคน้ำแข็งแน่นอน เพราะอย่างไรเสีย เป้าหมายที่แท้จริงของหญิงสาวก็คือการได้เป็นกองทหารอันดับห้า หากนางไปอยู่แทนที่พวกเขาได้สำเร็จเมื่อใด ผลประโยชน์ที่จะได้รับนั้นย่อมมหาศาลนัก

เช่นเดียวกัน หากกองทหารอันดับห้าถูกแทนที่ พวกเขาก็จะหลุดจากตำแหน่งหนึ่งในห้า และความสูญเสียนั้นก็มากมายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องเลี่ยงไม่ได้ ที่พวกเขาจะร่วมมือกับกองทหารอื่นๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น หากประมุขหลิงเถาไม่ได้บรรลุขั้น พวกเขาก็คงไม่ร้อนใจเท่าใดนัก เพราะอย่างไรเสีย ไม่ว่าอันดับของกองทหารจะเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด พวกเขาก็จะยังอยู่ในสิบอันดับแรกเสมอ

แต่การบรรลุขั้นของประมุขหลิงเถาเปลี่ยนสถานการณ์ไปจนหมด หากกองทหารอันดับที่เจ็ด แปด และเก้าไม่ระวังตัว พวกเขาก็อาจหลุดหนึ่งในสิบได้ง่ายๆ ในสถานการณ์เช่นนี้ ทุกคนล้วนต้องระแวดระวังตัวด้วยกันทั้งสิ้น

ในการต่อสู้ครั้งนี้ แม้ว่าขั้นพลังปราณของผู้บัญชาการกองทหารและกำลังยุทธ์ของกองทหารจะสำคัญ แต่การใส่ใจเรื่องการทูตกับโลกภายนอกก็เป็นเรื่องที่ต้องจัดการอย่างระมัดระวังเช่นกัน

แต่หวังเป่าเล่อกลับไม่รู้เรื่องราวที่ทำให้คนอื่นๆ ต้องปวดหัวนี้แม้แต่น้อย และต่อให้เขารู้ ชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจนัก หลังจากที่ได้สิทธิ์การเข้าถึงเพียงพอแล้ว หวังเป่าเล่อก็เข้าไปซื้อใบไม้ปรับวิญญาณจำนวนมากและเริ่มเสริมพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาต่อทันที

หลายวันต่อมา ด้วยการศึกษาค้นคว้าและทุ่มเทอย่างมุ่งมั่นของหวังเป่าเล่อ เมื่อตัวอักขระบนโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเพิ่มอีกห้าหมื่นตัว ระดับของโล่ก็บรรลุไปถึงระดับเจ็ด!

สมบัติเวทระดับเจ็ดถือว่าค่อนข้างได้รับความนิยมในหมู่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ เพราะอย่างไรเสีย ความสามารถในการสะท้อนพลังของมันก็มากถึงร้อยละสามสิบห้า โดยเฉพาะเมื่อการปรับแต่งของหวังเป่าเล่อทำให้รูปลักษณ์ของมันดูเหมือนอยู่ในระดับสามเท่านั้น เพราะแปลว่าคู่ต่อสู้จะไม่คิดกลัวสมบัติเวทนี้ และหากพวกเขาประมาท ก็จะต้องพบความเสียหายใหญ่หลวงแน่นอน

แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่พอใจ เพราะชายหนุ่มรู้ดีว่าในการหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกานั้น สิ่งที่ยากเย็นอย่างแท้จริงคือหลังจากการเสริมพลังมาถึงระดับเจ็ด!

การจะไปถึงระดับแปดได้นั้น ยังมีเรื่องบางอย่างที่ชายหนุ่มยังไม่เข้าใจ เขามีความรู้สึกว่าหากฝืนหลอมต่อไป อัตราการล้มเหลวจะอยู่ที่ราวๆ ร้อยละเก้าสิบ ความคิดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหยุดมือ ก่อนจะขมวดคิ้วเป็นปมแน่นอยู่นาน

พวกเขาเป็นถึงหนึ่งในสามสำนักใหญ่ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…ระดับความยากในการหลอมวัตถุเวทที่ทุกคนต้องไปให้ถึงจึงสูงเสียจนน่ากลัว! หวังเป่าเล่อถอนใจ ยิ่งชายหนุ่มครุ่นคิดมากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์น่าหวาดหวั่นขึ้นเท่านั้น ขณะเดียวกันหวังเป่าเล่อก็อดหงุดหงิดใจไม่ได้

สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นี่ก็แปลกนัก ขนาดแค่สมบัติเวทที่ใช้เพื่อทดสอบศิษย์ยังยากถึงเพียงนี้ นี่พวกเขาบ้ากันไปแล้วหรืออย่างไร…หวังเป่าเล่ออดสงสัยไม่ได้

ไม่ได้การ ข้าจะคิดว่าคนอื่นทำไม่ได้ เพราะข้าเองยังทำไม่ได้ไม่ได้เป็นอันขาด หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก หลังจากที่ผ่อนคลายความสงสัยในใจลงไปบ้าง นัยน์ตาของเขาก็ฉายแววมุ่งมั่นขึ้นมาอีก จากนั้นชายหนุ่มก็กลับไปง่วนอยู่กับการค้นคว้าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแปดอีกครั้ง

เวลาผ่านไปเช่นนั้นถึงเจ็ดวัน พอพ้นเจ็ดวัน ในศีรษะของหวังเป่าเล่อก็มีแต่ความวิงเวียน แต่ก็ยังมีอยู่ส่วนหนึ่งที่เขาไม่เข้าใจเกี่ยวกับการบรรลุระดับแปดอยู่ดี

หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าเมื่อใดที่รู้สึกสิ้นหวังหรือพบสถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้ เขาควรต้องหยุดพัก หาไม่แล้ว การจะดั้นด้นค้นคว้าต่อไปก็รังแต่จะทำให้อะไรๆ ยากขึ้นโดยใช่เหตุ

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน หวังเป่าเล่อก็เงยศีรษะขึ้นมองไปนอกถ้ำที่พัก ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา จั่วอี้เซียนดูราวกับเป็นสัตว์เลี้ยงที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าปากถ้ำตลอดทั้งวันทั้งคืน หวังเป่าเล่อชอบใจยิ่งนัก ประจวบกับการที่เขารู้สึกงุ่นง่านใจอยู่พอดี ความคิดหนึ่งที่ชายหนุ่มเคยปัดตกไปแล้วก็ผุดกลับขึ้นมาในมโนสำนึกอีกครั้ง

ทำไมข้าไม่ลองไปดูซากปรักหักพังที่จั่วอี้เซียนเคยพูดถึงดูเล่า…เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ใคร่ครวญอยู่อีกชั่วอึดใจ ก่อนจะหยิบแผ่นหยกสื่อสารออกมา หลังจากที่แจ้งไปยังกองทหารแล้ว ชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินออกไปจากถ้ำที่พัก

พอหวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้น จั่วอี้เซียนผู้ซึ่งนั่งยองๆ อยู่บริเวณนั้นก็รีบหันศีรษะมามองอย่างระแวดระวังและเคารพ พร้อมรอรับคำสั่งทันที

“ไปกันเถอะ นำทางไปที ไปที่ถ้ำที่เจ้าถูกจับตัวมา”

จั่วอี้เซียนไม่กล้าแม้แต่จะแสดงท่าทีขัดขืนต่อคำสั่งของหวังเป่าเล่อ จึงรีบพยักหน้าทันที ขณะที่หวังเป่าเล่อขยับชายเสื้อและเรียกเรือบินรบให้มาปรากฏ เขาก็จับตัวจั่วอี้เซียนเอาไว้ ชายหนุ่มพลิกตัวและกระโจนขึ้นมาอยู่บนเรือบินรบทันที เขาใช้ผนึกฝ่ามือติดเครื่องเรือบินรบให้เดินหน้าเต็มกำลัง ภายในชั่วพริบตา ทั้งคู่ก็พุ่งทะยานออกมาไกลจากถ้ำที่พักของหวังเป่าเล่อแล้ว

แม้ว่าสถานที่ที่จั่วอี้เซียนถูกจับตัวมาจะอยู่ภายนอกอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ก็ไม่ได้ห่างไกลเกินไปนัก ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องใช้พลังเคลื่อนย้ายของดวงเนตรหมื่นปีศาจ พวกเขาไม่จำเป็นต้องผ่านจักรวาลส่วนกลางของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เสียด้วยซ้ำ จากตำแหน่งของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ หวังเป่าเล่อสามารถมุ่งหน้าตรงไปยังเส้นชายแดนแล้วออกเดินทางต่อจากบริเวณนั้นได้เลย

ชายหนุ่มรู้ตำแหน่งคร่าวๆ ของถ้ำ เขารู้ว่าระหว่างที่นั่นและอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มีซากปรักหักพังของอารยธรรมอยู่สามแห่ง เป็นสามแห่งที่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ปล้นชิงและกำจัดทิ้ง

ระยะทางจากถ้ำที่พักของหวังเป่าเล่อไปสู่ถ้ำที่จั่วอี้เซียนเคยอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล ใช้เวลาเดินทางราวสิบวัน ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงนั่งลงหลับตาทำสมาธิ การทำเช่นนี้ ในแง่หนึ่งช่วยให้จิตใจของเขาสงบ ในอีกแง่หนึ่ง ชายหนุ่มยังคิดไม่ตกว่าจะหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาให้เป็นระดับแปดได้อย่างไร

และเพราะหวังเป่าเล่อไม่พูด จั่วอี้เซียนที่นั่งยองๆ อยู่ข้างๆ จึงไม่กล้าพูดเช่นกัน ชายหนุ่มระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งเพราะกลัวจะถูกลงโทษหากทำให้หวังเป่าเล่อขุ่นเคืองใจ เวลาสิบวันผ่านไปเช่นนั้นท่ามกลางความขมขื่นใจและระแวดระวังของจั่วอี้เซียน เรือบินรบแล่นผ่านซากปรักหักพังของอารยธรรมทั้งสามและมาถึงส่วนของจักรวาลที่จั่วอี้เซียนถูกจับตัวมา

“นำทางข้าไปสิ!” เมื่อมาถึง หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น มองไปเห็นโลกที่แห้งแล้งเบื้องหน้า แล้วจึงออกคำสั่งจั่วอี้เซียน

อีกฝ่ายรีบรุดทำตามคำสั่งทันที ตลอดสิบวันที่ผ่านมา จั่วอี้เซียนพยายามคิดทบทวนเรื่องในอดีตอย่างถี่ถ้วน เมื่อได้เห็นโลกภายนอก ความทรงจำของเขาก็ค่อยๆ หวนกลับคืนมา จั่วอี้เซียนรีบรุดนำทางไป เมื่อเรือบินรบค่อยๆ เร่งความเร็วขึ้น แถบของสะเก็ดดาวก็ปรากฏให้เห็นในสายตา

สะเก็ดดาวจำนวนมหาศาลล่องลอยราวกับเป็นสายธารขนาดใหญ่ ในขณะที่ภาพนั้นให้ความรู้สึกสั่นสะเทือนวิญญาณของผู้พบเห็น แรงกดดันมหาศาลก็แผ่ออกมาจากสะเก็ดดาวเหล่านั้น

ขณะที่จั่วอี้เซียนรู้สึกว่าแรงกดดันนั้นช่างรุนแรงเกิดต้าน แต่หวังเป่าเล่อกลับรู้สึกเฉยๆ สถานที่นี้ไม่ไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เท่าใดนัก ด้วยความโลภโมโทสันของกองทหารในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ พวกเขาย่อมต้องมาสำรวจที่นี่อย่างถี่ถ้วนแล้วแน่นอน ดังนั้นโอกาสที่ที่แห่งนี้จะมีอันตรายหลบซ่อนอยู่จึงมีน้อยนัก

ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อก็ยังระวังตัว ขณะที่พลังปราณของเขาหมุนวนอยู่ภายในกาย ชายหนุ่มก็ยังหยิบโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่เขาหลอมเอาไว้ออกมา อย่างไรเสีย ตามที่จั่วอี้เซียนเล่า ชายหนุ่มถูกเคลื่อนย้ายออกไปจากที่นี่ แปลว่าที่แห่งนี้ยังมีปรากฏการณ์ประหลาดซึ่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อธิบายไม่ได้หลงเหลืออยู่

ในไม่ช้า ภายใต้การนำทางของจั่วอี้เซียน เรือบินรบก็มาปรากฏอยู่เคียงข้างสะเก็ดดาวขนาดเท่าดวงจันทร์ที่อยู่ท่ามกลางสายธารแห่งสะเก็ดดาว!

“ที่นี่แหละขอรับที่มีถ้ำอยู่ภายใน!” จั่วอี้เซียนสูดลมหายใจลึก จ้องมองไปยังสะเก็ดดาวแล้วหันมามองหวังเป่าเล่อ พลางพูดอย่างเร่งรีบ

หวังเป่าเล่อเพ่งมองไปยังสะเก็ดดาวตรงหน้าก่อนจะอ้าปากค้าง!

……………………

บทที่ 774 ซากปรักหักพังลึกลับ!
จั่วอี้เซียนไม่กล้าปกปิดหลงหนานจื่อ ชายหนุ่มไม่มีทางจะรู้ได้เลยว่าหลงหนานจื่อแห่งกองทหารวิหคน้ำแข็งนั้นเป็นใคร แต่เพราะท่าทีที่เจ้านายเก่าของเขามีต่อหลงหนานจื่อและวิธีที่ผู้ฝึกตนหญิงทั้งหลายปฏิบัติต่อชายผู้นี้ ก็บอกจั่วอี้เซียนเป็นนัยๆ ว่าบุรุษผู้นี้ต้องเป็นคนมีชื่อเสียงในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เป็นแน่

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่อีกฝ่ายถามก็ไม่ใช่ความลับสลักสำคัญอะไร วิญญาณของจั่วอี้เซียนถูกรื้อค้นตั้งแต่โดนจับตัวมาครั้งแรก เจ้านายเก่าของเขาซึ่งเป็นผู้ค้นวิญญาณเขานั้น มีระดับการฝึกตนสูงอยู่พอสมควร เป็นเหตุให้จิตใจของชายหนุ่มไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แม้จะเกิดความเสียหายไปบ้างก็ตามความลับใดๆ ที่เขาเก็บงำเอาไว้คงจะเป็นที่ล่วงรู้กันหมดสิ้นแล้ว

ความทรงจำนั้นทำให้จั่วอี้เซียนทอดถอนใจอีกครั้ง ก่อนจะตัดสินใจบอกภูมิหลังและทุกสิ่งที่รู้กับหวังเป่าเล่อไปตามตรง ชายหนุ่มบอกทั้งชื่อตัว ตระกูล และที่อยู่บ้านให้อีกฝ่ายรู้ เล่าถึงสหพันธรัฐ โลก และระบบสุริยะ พูดถึงกระทั่งสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ทุกๆ สิ่งที่ทั้งพูดได้และไม่ควรพูด…จั่วอี้เซียนบอกหวังเป่าเล่อไปทั้งหมด

สีหน้าของหวังเป่าเล่อดูนิ่งสงบ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความคิดมากมายกำลังหมุนวนอยู่ภายในศีรษะของชายหนุ่ม จั่วอี้เซียนไม่ใช่เพียงคนเดียวที่หายตัวไป จั่วอี้ฟานก็หายไปเช่นกัน แต่จากสิ่งที่จั่วอี้เซียนพูด ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะอยู่ตัวคนเดียวเมื่อตอนถูกจับ เพื่อเป็นการปกปิดตัวตนของเขาให้เป็นความลับต่อไป หวังเป่าเล่อจึงขัดจังหวะการเล่าของจั่วอี้เซียนขึ้นมาและเริ่มถามเจาะลึกเกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งของระบบสุริยะรวมถึงกระบี่โบราณประหลาด เมื่อคำอธิบายเพิ่มเติมของจั่วอี้เซียนตรงกับความคาดเดาของเขา หวังเป่าเล่อก็ปล่อยให้นัยน์ตาของตนฉายแววตื่นเต้นและโลภโมโทสันออกมาอย่างตั้งใจ หัวใจของจั่วอี้เซียนเริ่มหนักอึ้งไปด้วยความขมขื่นเมื่อเห็นแววตานั้น

แต่จั่วอี้เซียนก็ปล่อยวางได้อย่างรวดเร็ว เจ้านายคนเก่าของเขาก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน และตอนนี้ชายหนุ่มก็ไม่อยู่ในสถานะที่จะห่วงสิ่งใดได้นอกจากตนเอง

หวังเป่าเล่อเองก็กำลังชั่งน้ำหนักความเป็นไปได้ที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะล่วงรู้ถึงการมีอยู่ของระบบสุริยะ เรื่องนี้มีความเป็นไปได้ ระบบสุริยะไม่ได้ห่างไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เท่าใดนัก แต่จักรวาลนั้นกว้างใหญ่ไพศาล ความผิดพลาดของระบบนำทางเพียงเล็กน้อยอาจพาพวกเขาไปไกลจากจุดหมายที่ตั้งใจไว้ การจะหาตำแหน่งที่ตั้งอันแน่นอนของระบบสุริยะอาจต้องใช้ทั้งเวลาและความพยายามในการสำรวจ

สิ่งนี้เป็นดั่งคำเตือนให้หวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้ดีว่า หากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เกิดค้นพบระบบสุริยะและสหพันธรัฐเมื่อใด พวกเขาย่อมพุ่งเข้าไปขย้ำระบบสุริยะราวกับเป็นฝูงหมาป่าที่โหยหาทั้งสมบัติและการเข่นฆ่าเป็นแน่

จั่วอี้เซียนยังเล่ารายละเอียดตอนที่มาปรากฏตัวในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แห่งนี้ด้วย ตอนนั้นชายหนุ่มอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ และกำลังสำรวจซากปรักหักพังที่อยู่ใต้น้ำ จู่ๆ เขาก็ถูกเคลื่อนย้ายออกมา เมื่อรู้ตัวอีกครั้ง ชายหนุ่มก็มาปรากฏตัวอยู่บนสถานที่แปลกประหลาดแห่งหนึ่ง

ที่แห่งนั้นเป็นทะเลทรายสีดำทมิฬที่ทอดไกลสุดลูกหูลูกตา มันเวิ้งว้างว่างเปล่า และปราศจากสัญญาณชีวิตใดๆ ชายหนุ่มไม่รู้ว่าเขาเดินรอนแรมอยู่ในทะเลทรายแห่งนั้นยาวนานเพียงใด ราวกับว่าเวลาของที่นั่นเดินด้วยความเร็วที่ต่างจากเวลาในโลกก็ไม่ปาน

สถานการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อหนึ่งเดือนที่แล้ว หลังจากที่จั่วอี้เซียนล้มลุกคลุกคลานอยู่กลางทะเลทรายดำสนิทเป็นเวลานานและสูญเสียความหวังทั้งมวลไป ตอนนั้นเองชายหนุ่มก็ได้เห็นแสงสว่างสายหนึ่ง มันเข้ามาโอบล้อมกายเขาเอาไว้และเคลื่อนย้ายเขาออกไปอีกครั้ง ครานี้…เขาถูกเคลื่อนย้ายไปในถ้ำแห่งหนึ่ง!

ชายหนุ่มก้าวออกมาจากประตูเคลื่อนย้าย และพบว่าตนเองอยู่ในถ้ำ และได้พบกับ…เจ้านายคนก่อนของเขา ผู้ฝึกตนหญิงร่างสูงแห่งกองทหารวิหคน้ำแข็ง!

นางจับกุมตัวเขา ค้นวิญญาณ ก่อนจะนำเขากลับมายังกองทหารวิหคน้ำแข็งในฐานะสัตว์เลี้ยงใหม่ของนาง

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเบิกโพลงเมื่อได้ยินเรื่องของจั่วอี้เซียน ตอนแรกชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อ แต่หลังจากได้จ้องมองจั่วอี้เซียน และเริ่มคิดถึงตรรกะในเรื่องที่อีกฝ่ายเล่า หวังเป่าเล่อก็สรุปได้ว่าโอกาสที่อีกฝ่ายจะโกหกเขานั้นค่อนข้างต่ำ เพราะอย่างไรเสีย…การจะจับโกหกก็สามารถทำได้ง่ายดายด้วยการค้นวิญญาณ

เรื่องนี้ทำให้หวังเป่าเล่อเริ่มสนใจทะเลทรายสีดำ ชายหนุ่มถามรายละเอียดของทะเลทรายเพิ่มเติม แต่อีกฝ่ายดูเหมือนจะไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับสถานที่แห่งนั้นเท่าใดนัก จั่วอี้เซียนไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน แต่ก็ยังคาดเดาเกี่ยวกับสถานที่นั้นออกมา…

“นายท่าน ข้าคิดว่า…ทะเลทรายสีดำนั้นไม่ได้ว่างเปล่าอย่างแท้จริง แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นโลกที่เคลื่อนย้ายตนเองได้…”

“โลกที่เคลื่อนย้ายได้อย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจ ชายหนุ่มก็ถามอีกสองสามคำ ก่อนจะหันมาสนใจถ้ำที่จั่วอี้เซียนถูกเคลื่อนย้ายไป จากการเล่าของอีกฝ่าย หวังเป่าเล่อก็ตระหนักได้ว่า ถ้ำนั้นไม่ได้ตั้งอยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ หากแต่อยู่ในสะเก็ดดาวที่ยังไม่ถูกอารยธรรมใดๆค้นพบ

จั่วอี้เซียนไม่สามารถบอกตำแหน่งของสะเก็ดดาวที่แน่ชัดได้ ชายหนุ่มไม่คุ้นชินกับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และระบบดาวเคราะห์ที่อยู่รายรอบ หวังเป่าเล่อไม่ได้ติดใจแต่อย่างใด ชายหนุ่มวาดแผนที่ให้จั่วอี้เซียนดู ก่อนที่พวกเขาจะคาดเดาตำแหน่งคร่าวๆ ของสะเก็ดดาวได้สำเร็จ ความคิดที่จะหาโอกาสไปเยือนสะเก็ดดาวสว่างวาบขึ้นมาในหัวของหวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มปล่อยวางความคิดนั้นไปก่อน เมื่อสอบสวนจบ เขาก็เงยหน้าขึ้นมองจั่วอี้เซียน ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเยือกเย็น “พอแล้ว จากวันนี้เป็นค้นไป หน้าที่ของเจ้าคือเฝ้าประตูให้ข้า ออกไปได้แล้ว”

หวังเป่าเล่อปลดเชือกที่มัดจั่วอี้เซียนออก ตอนนี้พวกเขาอยู่ในฐานทัพหลักของกองทหารวิหคน้ำแข็ง หากจั่วอี้เซียนยังพอมีสติปัญญาอยู่บ้าง ก็คงรู้ว่าไม่ควรจะเที่ยวเดินเพ่นพ่าน

จั่วอี้เซียนรีบรุดรับหน้าที่อย่างแข็งขัน ก่อนจะออกจากถ้ำที่พักไป เมื่อออกไปด้านนอกก็ทรุดตัวลงคุกเข่าและถอนหายใจอย่างโล่งอก เจ้านายคนใหม่ของเขาดูใจดีกว่าคนก่อน แม้ว่าจั่วอี้เซียนจะไม่อาจอธิบายความรู้สึกไม่ชอบใจรางๆ ที่เขามีต่อบุรุษผู้นี้ท่ามกลางความวิตกกังวลและความหวาดกลัวที่เขารู้สึกก็ตาม…

หวังเป่าเล่อจมดิ่งอยู่กับความคิดหลังจากที่เห็นจั่วอี้เซียนคล้อยหลังออกจากถ้ำที่พักไป ชายหนุ่มบอกได้ว่าจั่วอี้เซียนไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับจั่วอี้ฟาน หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นาน หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจออกมา

จากนั้นชายหนุ่มจึงนึกถึงเจ้าลาขึ้นมาได้ จั่วอี้เซียนน่าจะเคยเห็นเจ้าลามาก่อนเมื่อครั้งยังอยู่ในสหพันธรัฐ แต่อย่างไรเสีย เรื่องนี้ก็ไม่น่าเป็นปัญหา เพราะเจ้าลาตอนนี้เติบใหญ่ขึ้นและดูแปลกตาไปมาก ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในอารยธรรมต่างดาว ก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีอสูรที่หน้าตาคล้ายคลึงกันอยู่ในอารยธรรมอื่นๆ ด้วย ความจริงข้อนี้น่าจะช่วยปกปิดตัวตนที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อเอาไว้ได้ในระดับหนึ่ง

แม้กระนั้น หวังเป่าเล่อก็ยังส่งข้อความเสียงไปหาเจ้าลา เพื่อเตือนให้มันระมัดระวังตัวเอาไว้เสียหน่อย จากนั้น ชายหนุ่มก็ปล่อยวางทุกๆ สิ่งก่อนจะทรุดตัวลงนั่งทำสมาธิ เมื่อจิตใจสงบลงแล้ว เขาก็หยิบโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสามออกมา ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก และเริ่มเสริมพลังวัตถุเวทต่อไป

ชายหนุ่มมีวัตถุดิบที่จำเป็นครบหมดแล้วรวมไปถึงใบไม้ปรับวิญญาณด้วย นอกจากนั้นหวังเป่าเล่อยังศึกษาโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสี่มาอย่างแจ่มแจ้ง ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาไปเพียงครึ่งวันในการเสริมพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเป็นระดับสี่ได้สำเร็จ!

หวังเป่าเล่อจัดการกับตัวอักขระที่ปรากฏขึ้นมาใหม่หลังการเสริมพลังเช่นเดียวกับที่ทำไปก่อนหน้านี้ หลังจากที่ผสานรวมอักขระใหม่เข้ากับอักขระเดิม โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาก็ดูเหมือนมีอักขระสลักอยู่ภายในนับพันตัว อันที่จริงแล้ว…มีอักขระอยู่ภายในวัตถุเวทชิ้นนี้ร่วมห้าพันตัวด้วยกัน!

อักขระใหม่ๆ ที่ปรากฏขึ้นต่อการเสริมพลังแต่ละครั้งนั้นนับเป็นเท่าทวีคูณ อาจมากถึงห้าเท่าต่อการเสริมพลังเพียงระดับครั้งเดียว พลังที่แท้จริงของวัตถุเวทชิ้นนี้อาจจะยังไม่ถูกเปิดเผยในตอนนี้ แต่ มันก็สามารถป้องกันการโจมตีของศัตรูได้ถึงร้อยละยี่สิบแล้ว!

การเสริมพลังวัตถุเวทชิ้นนี้สู่ระดับห้าเปรียบได้กับการบรรลุขั้นจากขั้นเชื่อมวิญญาณสู่ขั้นจิตวิญญาณอมตะ นับเป็นความท้าทายอันใหญ่หลวงยิ่ง หวังเป่าเล่อเองยังขลุกขลักอยู่หลายวัน ท้ายที่สุด ทักษะในการหลอมวัตถุเวทของเขาก็ช่วยให้ความพยายามสัมฤทธิ์ผล ชายหนุ่มเสริมพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาสู่ระดับห้าและระดับหกได้ในที่สุด!

การป้องกันการโจมตีของศัตรูได้ถึงร้อยละสามสิบ แปลว่าเมื่อหวังเป่าเล่อรับการโจมตีจากศัตรูแล้วโต้กลับไป เขาจะเพิ่มความรุนแรงในการโจมตีกลับได้ถึงร้อยละสามสิบ ระดับพลังที่เพิ่มขึ้นนับว่าสุดยอด หากชายหนุ่มใช้โล่นี้ได้อย่างคล่องแคล่วเมื่อใด เขาก็จะสามารถพลิกการต่อสู้ที่สูสีให้เป็นฝ่ายได้เปรียบได้ในพริบตา!

แต่การเสริมพลังเป็นระดับหกก็นำปัญหาใหม่มาให้หวังเป่าเล่อ จำนวนอักขระนั้นพุ่งทะยานขึ้นสูง จนตอนนี้มีจำนวนกว่าสองแสนตัวแล้ว!

จำนวนของตัวอักขระดั้งเดิมนั้นเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับอักขระใหม่ๆ การผสานรวมระหว่างตัวอักขระใหม่และเก่าอยู่ไปมาทำให้ความหนาแน่นของพวกมันมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นมาก เรื่องนี้เป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อคาดการณ์เอาไว้อยู่แล้ว ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องเก็บตัวอักขระไว้มากขึ้น ตัวอักขระดั้งเดิมที่มีอยู่หนึ่งพันตัวเพิ่มสูงขึ้นหลายต่อหลายเท่า และปัญหานี้ก็คลี่คลายได้ด้วยการที่หวังเป่าเล่อกระจายตัวอักขระใหม่ๆ ออกไปจนทั่ว

ขณะนี้โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกามีหน้าตาเหมือนว่ามันอยู่ในระดับสอง…มันคงใช้เป็นกับดักได้ไม่ดีนัก แต่ก็ทำหน้าที่ของมันได้ดีอย่างแน่นอน หวังเป่าเล่อทอดถอนใจด้วยความเสียดาย ชายหนุ่มสองจิตสองใจที่จะเสริมพลังให้มันเป็นระดับเจ็ด แต่การไปสู่ระดับต่อไปต้องใช้ใบไม้ปรับวิญญาณจำนวนมหาศาล เขาถึงกับใบ้เบื้อเมื่อคำนวนราคาที่ต้องจ่ายออกมา

ข้าลองใช้ทรายอาวุธแทนดูได้หรือไม่นะ…หวังเป่าเล่อรำพึงกับตนเอง การจะหาใบไม้ปรับวิญญาณจำนวนมากขนาดนั้นด้วยสิทธิ์การเข้าถึงที่เขามีเป็นเรื่องท้าทายยิ่ง ต่อให้ชายหนุ่มคิดจะซื้อมา จำนวนที่เขาซื้อได้ก็ไม่พอใช้อยู่ดี เพราะจำนวนใบไม้ปรับวิญญาณที่คนคนหนึ่งสามารถซื้อได้นั้นขึ้นอยู่กับสิทธิ์การเข้าถึงอีกนั่นเอง

หวังเป่าเล่อล้มเลิกความตั้งใจที่จะลองใช้ทรายอาวุธ มันควรเป็นวิธีสุดท้ายที่เขาคิดจะใช้ ชายหนุ่มยังมีอาวุธเวทจำนวนมากที่มีฤทธิ์แปลกประหลาดอยู่ในกระเป๋าคลังเก็บ มีทั้งเชือกที่หายไปเป็นสัปดาห์เมื่อถูกปล่อยขึ้นไปบนฟ้า และมีผนึกที่จะโจมตีก็ต่อเมื่อศัตรูนั้นบาดเจ็บจนใกล้จะสิ้นใจ สองสิ่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อปวดศีรษะเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มกังวลว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจะประสบเคราะห์กรรมเช่นเดียวกันหากเสริมพลังมันด้วยทรายอาวุธ โล่อาจไม่ปกป้องเขาแต่หันไปปกป้องศัตรูแทนก็เป็นได้

ดูเหมือนข้าคงต้องไปหาสตรีที่เย็นชาผู้นั้นอีกครั้ง แต่ถึงกระนั้น วัตถุเวทชิ้นนี้ยังไม่อยู่ในระดับแปด ช่างน่าอับอายเหลือเกินที่จะต้องหยิบออกมาใช้…หวังเป่าเล่อจำได้ว่าสตรีนางนั้นปฏิบัติกับเขาเช่นไรในคราวก่อน ชายหนุ่มจึงตัดสินใจจะไม่เดินทางไปยังโถงของนาง กลับกันเขาดึงแผ่นหยกสื่อสารออกมาและส่งข้อความเสียงไปหาเทพธิดาหลิงโยวแทน

“ผู้บัญชาการ ข้าหลงหนานจื่อพูด…การหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาของข้าบรรลุขั้นแล้ว ท่านช่วยเพิ่มสิทธิ์การเข้าถึงให้ข้าได้หรือไม่”

บรรลุขั้นหรือ เทพธิดาหลิงโยวกำลังฟังผู้ใต้บังคับบัญชารายงานสถานะเรื่องความพร้อมของกองทหารอยู่ในโถงเมื่อได้รับข้อความของหวังเป่าเล่อ นางหยิบแผ่นหยกของตนออกมา เมื่อได้ยินข้อความ นางก็ถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ

……………….

บทที่ 773 ช้าก่อน สาวๆ!
สัตว์เลี้ยงตัวที่สี่ที่ผู้ฝึกตนหญิงร่างสูงพามาเดินคือ…คนหน้าตาคุ้นเคยจากสหพันธรัฐ จั่วอี้เซียน!

จั่วอี้เซียนคือหนึ่งในร้อยพันธุ์กล้าสหพันธรัฐรุ่นที่สองที่ได้ขึ้นไปบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ จากนั้นก็หายตัวไปอย่างลึกลับหลังไปถึงสำนักวังเต๋าไพศาล ไม่มีใครพบตัวเขาเลยตอนที่เกิดศึกระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลกับสหพันธรัฐ หวังเป่าเล่อคิดว่าจั่วอี้เซียนน่าจะตายไปแล้วจนกระทั่งได้อ่านเอกสารลับก่อนออกเดินทางออกจากสหพันธรัฐและได้รู้ว่าสหพันธรัฐเผชิญปัญหาคนหายตัวไปอย่างปริศนามาตลอดหลายปี

มีการบันทึกชื่อจั่วอี้เซียนไว้ในเอกสารในฐานะคนหายด้วย!

หวังเป่าเล่อคิดว่าตนคงไม่มีวันได้เจอจั่วอี้เซียนอีก ใครจะไปคิดเล่าว่าจะได้มาเจอกันอีกครั้งในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…ในบริบทที่แปลกประหลาดเช่นนี้!

สภาพของจั่วอี้เซียนดูน่าเวทนามาก…ตัวของเขาผอมจนหนังหุ้มกระดูก ไม่เห็นแววความยโสโอหังที่เคยมี เขาดูตื่นกลัวและสิ้นหวัง แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่กลับดูดี เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน แต่ไม่ว่าจะมีสภาพเช่นไร…เชือกที่ผูกอยู่ที่คอก็ชี้ชัดว่าชายหนุ่มถูกกระทำเหมือนสัตว์เลี้ยง

เขาเดินอยู่ข้างสัตว์อีกสามตัว ถูกเฆี่ยนให้ร้องคร่ำครวญขณะเดินไปด้านหน้า…เสียงกรีดร้องของเหล่าสัตว์เลี้ยงเรียกเสียงหัวเราะจากกลุ่มผู้ฝึกตนหญิงรอบๆ ได้ ผู้ฝึกตนสองสามคนเดินเข้าไปดูใกล้ๆ บางคนยกมือลูบหัวสัตว์เลี้ยงเหล่านั้น ภาพเบื้องหน้าอาจดูแปลกพิกล แต่ถ้าคนอื่นๆ มองจั่วอี้เซียนเป็นแค่สัตว์เลี้ยง การกระทำของพวกเขาก็ถือเป็นเรื่องปกติ

จั่วอี้เซียนมีรูปลักษณ์แทบไม่ต่างจากผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จึงได้รับการดูแลต่างจากสัตว์เลี้ยงตัวอื่นๆ เห็นได้ชัดว่าเขาคือผู้นำของเหล่าสัตว์เลี้ยง นอกจากนี้ ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขายังเรียกคะแนนพิศวาสเพิ่มได้มากทีเดียว

หวังเป่าเล่อมองจั่วอี้เซียนอยู่ไกลๆ ด้วยสีหน้าแปลกแปร่ง เขาถอนใจเงียบๆ พร้อมยกมือขึ้นลูบคาง อย่างไรคนตรงหน้าก็เคยเป็นคนรู้จักมักจี่ ไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะเพิกเฉยต่อสภาพน่าเวทนาของอีกฝ่ายได้ ถ้าสามารถช่วยจั่วอี้เซียนได้ก็คงดี

แต่ถ้าต้องจ่ายราคาแพงเพื่อช่วยจั่วอี้เซียนก็คงไม่คุ้มค่าเท่าไหร่ หวังเป่าเล่อมองกลุ่มผู้ฝึกตนหญิงเดินผ่านไปช้าๆ ก่อนจะกระแอมกระไอขึ้นเสียงดังพร้อมตะโกนเรียก

“ช้าก่อน สาวๆ พวกเจ้าทำกระเป๋าคลังเก็บตก”

กลุ่มผู้ฝึกตนหญิงที่กำลังคุยกันหยุดชะงักและหันกลับมามองเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากชายหนุ่ม พวกนางไม่เคยเจอหวังเป่าเล่อมาก่อน แต่ข่าวคราวเรื่องค่าหัวที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำตั้งไว้ก็กระจายไปทั่วทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ พวกนางจึงรู้จักรูปโฉมของเขาและรู้ว่าเขาได้มาเข้าร่วมกองทหารวิหคน้ำแข็ง

ดังนั้นเมื่อพวกนางปรายตามองจึงทราบทันทีว่าหวังเป่าเล่อเป็นใคร

หวังเป่าเล่อสาวเท้าเข้าไปหากลุ่มผู้ฝึกตนหญิงที่หันกลับมามองตน จากนั้นก็ยกมือขวาหยิบกระเป๋าคลังเก็บนับสิบใบออกมา แต่ละใบมีวัตถุดิบต่างๆ อยู่ด้านใน ถึงจะไม่ได้มีราคาค่างวดนัก แต่ก็ถือเป็นของขวัญแทนการพบกันครั้งแรก

ชายหนุ่มเผยยิ้มที่ตนคิดว่าน่าจะดูมีเสน่ห์ที่สุดขณะหยิบกระเป๋าคลังเก็บออกมาและเดินตรงไปหากลุ่มผู้ฝึกตนหญิง จากนั้นก็แจกจ่ายกระเป๋าคลังเก็บให้พวกนางคนละใบเหมือนกับเป็นเพื่อนเก่าเพื่อนแก่กันมานาน

ดวงตาของกลุ่มผู้ฝึกตนหญิงเป็นประกายเมื่อได้รับของกำนัล พวกนางมองประเมินหวังเป่าเล่อ ในมือถือกระเป๋าคลังเก็บไว้แต่ยังไม่ได้ตอบตกลงว่าจะรับมา ชายหนุ่มวางกระเป๋าคลังเก็บใบสุดท้ายลงบนมือบุคคลที่สำคัญที่สุดในกลุ่ม ผู้ฝึกตนหญิงร่างสูงที่เดินจูงสัตว์เลี้ยงทั้งสี่ขยายสัมผัสสวรรค์ตรวจดูของในกระเป๋า จากนั้นก็เอ่ยขึ้น

“เป็นสหายเต๋าหลงหนานจื่อนี่เอง เจ้าให้ของกำนัลพวกข้าทั้งที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรก เราไม่กล้ารับของเช่นนี้ไว้หรอก” ผู้ฝึกตนหญิงยื่นกระเป๋าคลังเก็บคืนไปทางชายหนุ่ม

หวังเป่าเล่อกะพริบตาเมื่อได้ยินที่นางพูด ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะอับอายแต่ตั้งใจจะทำให้คนอื่นเห็นว่าตนกำลังขวยเขิน ชายหนุ่มกวาดแขนขึ้นมากุมมือทักทาย

“ข้าล้ำเส้นเกินไป ตอนพวกเจ้าเดินผ่าน ข้าได้กลิ่นลอยมาตามย่างก้าวของพวกเจ้าแล้วรู้สึกราวกับได้ขึ้นสวรรค์ ทำให้ข้าอยากเข้าหาและทำความรู้จักพวกเจ้าให้มากกว่านี้…พอได้เห็นใบหน้าพวกเจ้า ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ข้าก็ประหม่าจนควบคุมตัวเองไม่อยู่…” หวังเป่าเล่อทำเหมือนคิดคำพูดไม่ออก พยายามห้ามตนเองให้ประหม่าน้อยลง ด้วยความหล่อเหลาของหลงหนานจื่อ เสื้อผ้าที่เรียบร้อยดูดี และชื่อเสียงจากศึกกับกองทหารมังกรหยดหมึกทำให้แน่ใจได้ว่าจะไม่มีใครไม่นึกชอบใจตน

ใบหน้าก็มีส่วนช่วย คำพูดที่ออกจากปากก็ดูจริงใจ ซึ่งผู้หญิงก็มักจะโอนอ่อนให้กับคำชมที่จริงใจ ด้วยเหตุนี้ พวกนางจึงรู้สึกดีกับชายหนุ่มมากขึ้น

หญิงร่างสูงหัวเราะ จากนั้นก็ตรวจดูข้าวของในกระเป๋าคลังเก็บอีกครั้ง นางนึกลังเล ของที่หวังเป่าเล่อให้นางมานั้นมีราคามากกว่าของคนอื่นๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง นางก็พยักหน้าและยิ้มให้

“ศิษย์น้องอันเป็นที่รัก ไหนๆ สหายเต๋าหลงหนานจื่อของเราก็มีน้ำจิตน้ำใจให้ของกำนัลมา พวกเราก็ควรจะรับเอาไว้”

คำพูดของนางทำให้ผู้ฝึกตนหญิงคนอื่นๆ หัวเราะขึ้น พวกนางเก็บกระเป๋าคลังเก็บไปและหันมามองหวังเป่าเล่ออย่างสนอกสนใจ ชายหนุ่มชำนาญด้านการผูกมิตร ในช่วงเวลาไม่นาน เขาก็เอ่ยชมหญิงสาวนางหนึ่งเรื่องผิวพรรณ ชมอีกนางหนึ่งเรื่องความงาม อีกนางชมเรื่องการแต่งตัว ส่วนอีกนางชมเรื่องกลิ่นของน้ำหอม ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นว่าดูดวงด้วยลายนิ้วมือได้ ไม่นานพวกเขาก็สนทนากันอย่างสนุกสนาน ทิ้งสัตว์เลี้ยงเอาไว้ที่มุมหนึ่ง

สัตว์เลี้ยงทั้งสี่แอบถอนใจอยู่เงียบๆ จั่วอี้เซียนนึกถึงความรุ่งเรืองเมื่อตอนอยู่ที่สหพันธรัฐ แต่ตอนนี้เขากลับกลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงโง่ๆ ความขมขื่นถาโถมอยู่ภายใน

หวังเป่าเล่อพูดคุยกับกลุ่มผู้ฝึกตนหญิงอยู่ครึ่งชั่วโมง ระหว่างนั้นเขาได้รู้อะไรเพิ่มเติมสองสามอย่างเกี่ยวกับผู้ฝึกตนหญิงร่างสูง เช่น นางชอบสะสมสัตว์เลี้ยงและไม่ได้สนใจสัตว์เลี้ยงที่ได้มาสักเท่าไหร่ ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาไปเรื่องสัตว์เลี้ยงทั้งสี่ พอเอ่ยชมอีกรอบเสร็จ เขาก็ขอซื้อสัตว์เลี้ยงตัวหนึ่งไปคุ้มกันถ้ำที่พักของตน

ผู้ฝึกตนหญิงเงียบไปพักหนึ่งเมื่อได้ยินที่หวังเป่าเล่อพูด นางคงไม่คิดจะขายสัตว์เลี้ยงให้ถ้าเขาเข้ามาถามตรงๆ แต่ตอนนี้เมื่อได้คุยกันมาสักพักแล้ว ถึงจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่นางก็รู้สึกสบายใจมากขึ้นกับทั้งรูปร่างหน้าตาและการวางตัวของอีกฝ่าย นอกจากนี้หญิงสาวยังตระหนักถึงชื่อเสียงของหลงหนานจื่อดี เขาอาจจะอยู่แค่ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลาง แต่ก็ได้ถล่มกองทัพทั้งกองด้วยตัวคนเดียวมาแล้ว เรื่องนี้อาจสำเร็จได้ด้วยเล่ห์กลและการซุ่มโจมตี แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไปจะทำได้อยู่ดี

ผู้ฝึกตนหญิงอยากสนิทกับคนเช่นนี้ การสะสมสัตว์เลี้ยงอาจจะเป็นงานอดิเรกของนาง แต่ก็มีหลายตัวที่หนีหายไป แล้วก็ไม่ใช่ว่านางจะไม่เคยยกให้คนอื่นบ้าง หลังจากครุ่นคิดสักพักก็ตัดสินใจไม่ปฏิเสธคำขอของชายหนุ่ม นางนึกสงสัยว่าเหตุใดเขาถึงเล็งเฉพาะเจาะจงที่ตัวนี้ แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากมาย ถามไปเพียงเรื่องราคาที่เหมาะสมเท่านั้น

หวังเป่าเล่อพอใจมากที่ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น แต่เขาเป็นคนฉลาดจึงไม่ยอมปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดขึ้นแม้แต่นิดเดียว หลังจากพูดคุยกับกลุ่มผู้ฝึกตนหญิงต่ออย่างสนุกสนานและได้ข้อมูลการติดต่อมา ชายหนุ่มก็เจรจาเรื่องราคากับผู้ฝึกตนหญิงร่างสูง ซึ่งของในกระเป๋าคลังเก็บที่ให้ไปนั้นมีมูลค่าสูงกว่าที่นางเรียกมาหลายเท่านัก

ผู้ฝึกตนหญิงร่างสูงหรี่ตาลงเล็กน้อย นางตระหนักได้ว่าหลงหนานจื่อแค่จะใช้การติดต่อซื้อสัตว์เลี้ยงเป็นข้ออ้าง แต่จริงๆ แล้วอยากสนิทกับนางให้มากขึ้นและยกของกำนัลให้

รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้า นางพยักหน้าให้หวังเป่าเล่อและเดินจากไป

ชายหนุ่มมองกลุ่มผู้ฝึกตนหญิงจากไป เมื่อพวกนางหายลับตาไปแล้ว เขาก็ก้มมองเชือกในมือ จากนั้นก็หันไปมองจั่วอี้เซียนที่นั่งคุกเข่าผูกติดกับปลายเชือกอยู่ข้างๆ หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอด้วยความกระอักกระอ่วนใจ จากนั้นก็มองสำรวจจั่วอี้เซียนไปมา จั่วอี้เซียนตัวสั่นเมื่อเห็นสายตาของอีกฝ่าย ก่อนจะก้มหัวลงตามสัญชาตญาณ

หวังเป่าเล่อถอนใจเงียบๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเกรงกลัวสายตาของตน ชายหนุ่มลูบหัวจั่วอี้เซียน จากนั้นก็หันกลับและมุ่งหน้าไปยังถ้ำที่พัก

จั่วอี้เซียนรู้สึกโกรธแค้นและทุกข์ใจเมื่อเห็นเจ้านายคนเก่าเจรจาซื้อขายตนกับเจ้านายคนใหม่ สายตาแปลกๆ ของหวังเป่าเล่อเปลี่ยนความรู้สึกนั้นให้กลายเป็นความสะพรึงกลัว การลูบหัวเมื่อครู่ทำให้เขาใจเย็นลงได้เล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นกังวล ไม่กล้าขัดขืนเจ้านายคนใหม่ที่กำลังจูงนำตนเดินไปเรื่อยๆ

หวังเป่าเล่อพาจั่วอี้เซียนกลับมายังที่พักและมัดปลายเชือกไว้กับเสาไม้ เขามองจั่วอี้เซียนอีกครั้ง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าเข้าใจภาษาที่ใช้พูดกันในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์หรือไม่”

จั่วอี้เซียนใจเต้นระส่ำด้วยความกังวลเมื่อได้ยินเสียงของหวังเป่าเล่อ เขารีบคุกเข่าลงและพยักหน้าตอบ แม้จะเพิ่งมาถึงอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้ไม่นาน แต่ด้วยความที่ตนเป็นผู้ฝึกตนจึงทำให้เข้าใจภาษาต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งช่วงที่ได้รับการฝึกให้เป็นสัตว์เลี้ยง เจ้านายคนเก่าก็ได้สอนเขามาด้วยเช่นกัน

“ดี บอกข้ามาว่าเจ้ามาจากไหน โดนจับมาได้อย่างไร” หวังเป่าเล่อพูดขึ้นช้าๆ ขณะทรุดตัวลงนั่ง ดวงตาของเขาฉายแสงวาบขึ้น

……………………..

บทที่ 772 จั่วอี้เซียนเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างนั้นหรือ
หวังเป่าเล่อถอนหายใจ ชื่อเสียงของเขาจะต้องป่นปี้เพราะลูกของตนเอง หลังจากไตร่ตรองอยู่สักพักก็สรุปได้ว่าสิ่งเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือใช้เวลาไปกับโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา ชายหนุ่มจะใช้จุดนี้ทำให้ตัวเองมีจุดยืนที่มั่นคงในกองทหารวิหคน้ำแข็งและไต่เต้าขึ้นไปเรื่อยๆ

ข้าจะต้องพยายามอย่างหนัก หน้าที่ของข้าคือไต่เต้าขึ้นไปอยู่สูงๆ ในกองทัพที่ปกครองด้วยหญิงสาวนี้ นอกจากนั้น สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ยังมีเคล็ดการหลอมวัตถุเวทที่พิเศษมาก ถ้าอยากจะสร้างรายได้ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ข้าต้องสร้างชื่อเสียงและแสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์ก่อน! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก เขาอยากมีกองทัพเป็นของตัวเองและพากองทัพไต่อันดับขึ้นสูง หากทำได้จริงทั้งสองอย่าง ชายหนุ่มก็จะสามารถนำเคล็ดวิชาขั้นสูงของวิชาดวงเนตรปีศาจจากดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์มาไว้ในครอบครองได้

ขณะเดียวกัน เขายังสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อเข้าหาราชตระกูลและหาทางลัดในการเก็บเคล็ดวิชาดังกล่าวได้ด้วย

น่าเสียดายที่หวังเป่าเล่อผู้นี้เป็นคนยึดมั่นในหลักการ จึงไม่มีทางใช้รูปโฉมอันงดงามของตัวเองเพื่อทำตามเป้าหมาย แม้ว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้นก็ตาม หวังเป่าเล่อถอนหายใจปลอบประโลมตนเองขณะนึกชื่นชมศีลธรรมอันดีงามของตน ดวงตาของเขาฉายแสงวาบขึ้น ชายหนุ่มผลักทุกอย่างทิ้งไปและทำหัวให้โล่ง เขาไม่ได้เริ่มหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาในทันที แต่เริ่มศึกษาโครงสร้างภายในและตรวจสอบกระบวนการหลอมอีกรอบเพื่อความมั่นใจ

สามวันผ่านไป เป็นเวลาสิบวันแล้วตั้งแต่หวังเป่าเล่อได้รับวิธีการหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกามา ชายหนุ่มจับหลักการของวัตถุชิ้นนี้ได้จากการศึกษาอย่างหนักและทำการทดลองอยู่หลายครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าตนเข้าใจทั้งหมดดีแล้ว เขาไม่พบช่องโหว่หรือสิ่งที่มองข้ามไประหว่างการทดสอบซ้ำๆ ทำให้หวังเป่าเล่อจบการศึกษาทดลองได้ในที่สุด เขาเงยหน้าขึ้น สูดหายใจลึก แววความมุ่งมั่นฉายวาบในดวงตา

อาวุธเวทระดับเก้าไม่ใช่สิ่งง่ายดาย ข้าต้องใช้เวลาถึงสิบวันเพื่อศึกษาสองระดับแรกของวัตถุนี้…มันช่างลึกล้ำเสียจริง ข้าไม่ควรนึกดูถูกผู้อื่นอีก หวังเป่าเล่อถอนหายใจพร้อมส่ายหัว เขาโยกมือขวาขึ้น วัตถุดิบมากมายจากกำไลคลังเวทลอยออกมาปรากฏเบื้องหน้า ชายหนุ่มรวบรวมสมาธิและเริ่มกระบวนการหลอมโดยใช้ความรู้ที่ได้จากการศึกษามาเป็นเวลานาน!

ความสามารถในการหลอมวัตถุเวทของหวังเป่าเล่อในตอนนี้มาจากความรู้ของสามอารยธรรม การผสานรวมกันของทั้งสามระบบทำให้ระดับการหลอมวัตถุเวทของชายหนุ่มเพิ่มขึ้นไปอีก เขาเองก็ไม่มั่นใจว่าทักษะการหลอมของตนอยู่ในระดับใด แต่การศึกษาวิธีหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกามาอย่างละเอียดจะไม่เปิดช่องให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ขึ้นในกระบวนการหลอม

สองวันต่อมา หยกยาวเจ็ดนิ้วส่องแสงคล้ายมรกตก็ปรากฏอยู่เบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ

หยกเจ็ดนิ้วทรงแบนราบมีลักษณะคล้ายเรือสำปั้น หากยกขึ้นตั้งตรงจะดูเหมือนโล่ทรงดาบใบไม้!

วัตถุเวทชิ้นนี้แผ่พลังล้นเหลือออกมาทั่วห้องอย่างต่อเนื่อง ตัวอักขระนับไม่ถ้วนไหลวนไปทั่วแผ่นหยก เหมือนดังของเหลว เห็นได้ชัดว่าวัตถุเวทชิ้นนี้นั้นไม่ธรรมดา

แม้หวังเป่าเล่อจะเป็นคนหลอมโล่หยกยาวเจ็ดนิ้วชิ้นนี้ขึ้นมากับมือและเข้าใจการทำงานภายในอย่างละเอียด ถึงกระนั้นเขาก็ยังตื่นตะลึงไปเมื่อได้เห็นรูปโฉมของมัน หลังจากนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ เขาก็ยกมือขวาสร้างผนึกฝ่ามือและส่งลำแสงออกจากปลายนิ้ว โล่หยกเจ็ดนิ้วดูดซับแสงเข้าไปทันที ก่อนสะท้อนออกมาเป็นอักขระมายามากมายรายล้อมรอบตัวชายหนุ่ม จากนั้นก็แปรเปลี่ยนกลายเป็นโล่กึ่งโปร่งแสงที่มีหวังเป่าเล่อเป็นศูนย์กลาง

ชายหนุ่มพินิจพิเคราะห์โล่ที่อยู่รอบตัว เขาก้าวออกไปด้านนอกโล่และยกมือขวาขึ้นจิ้ม พลังพลันพวยพุ่งผ่านนิ้วมือของหวังเป่าเล่อและผลักเขาออกไป

วัตถุเวทชิ้นนี้มีความยากในการหลอมอยู่ในระดับสูงมาก ข้าต้องใช้เวลาเกือบสองสัปดาห์กว่าจะจบกระบวนการทั้งหมด เป็นของที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ! เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงสะท้อน ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแสงผิดแปลกไปขณะประเมินความแข็งแกร่งของแรงที่สัมผัสได้ หลังจากไตร่ตรอง เขาก็ตัดสินใจหลอมวัตถุเวทต่อและพยายามเสริมพลังของมันไปเป็นระดับแปด

กระบวนการหลอมเริ่มท้าทายขึ้นเรื่อยๆ ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อก็สามารถจัดการปัญหาที่พบได้จากการศึกษาอย่างละเอียดและทักษะของตนเอง สามวันต่อมา เขาก็เสริมพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาขึ้นไปเป็นระดับสองได้!

รูปลักษณ์ของโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาเปลี่ยนไปจากตอนระดับหนึ่งมาก แสงรอบๆ ส่องสว่างกว่าเดิม ตัวอักขระเพิ่มจำนวนมากขึ้น หมุนวนไปมายุ่งเหยิงพร้อมทั้งเปล่งพลังทรงอำนาจ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังไม่พอใจกับผลงานของตนเอง

เด่นเกินไป…ไม่ดีเลย คนอื่นจะระวังตัวเมื่อเห็นมัน คงจะเอาไปใช้ในการซุ่มโจมตีหรือวางกับดักได้ยาก หวังเป่าเล่อครุ่นคิดถึงการนำโล่ไปใช้งานจริงในการต่อสู้ วัตถุเวทชิ้นนี้ยอดเยี่ยมในทุกแง่มุม ยกเว้นรูปลักษณ์ซึ่งไม่เหมาะกับวิธีการต่อสู้ที่ไม่เหมือนใครของเขาเลย หลังจากครุ่นคิดสักพัก ชายหนุ่มก็ตัดสินใจปรับปรุงเพิ่มเติม เขาแยกตัวอักขระใหม่ที่ปรากฏขึ้นหลังจากการเสริมพลังและหลอมพวกมันเข้ากับอักขระดั้งเดิมที่ปรากฏขึ้นตอนหลอมขั้นแรก วัตถุเวทในตอนนี้มีรูปโฉมเหมือนตอนระดับแรกไม่มีผิด หวังเป่าเล่อพึงพอใจกับผลลัพธ์และเริ่มเสริมพลังต่อทันที

การเสริมพลังครั้งที่สามเสร็จสมบูรณ์ในหลายวันต่อมา เหมือนเช่นที่เคยทำในครั้งที่สอง หวังเป่าเล่อแยกตัวอักขระที่เพิ่มขึ้นมาและหลอมเข้ากับอักขระดั้งเดิม รูปลักษณ์ของวัตถุเวทจึงยังคงเดิม แต่ถ้าได้ทดสอบพลัง จะตระหนักได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นของวัตถุเวทชิ้นนี้ในทันที

พลังสะท้อนการโจมตีกลับที่เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละสิบห้าจากพลังดั้งเดิมเป็นการเสริมความสามารถในการโจมตีของวัตถุเวทชิ้นนี้ เป็นเหมือนการเสริมพลังเทพขึ้นร้อยละสิบห้า พลังที่เพิ่มขึ้นสามารถตัดสินแพ้ชนะในการต่อสู้จริงได้!

หวังเป่าเล่อพอใจกับผลลัพธ์มาก แต่ไม่นานเขาก็ต้องพบปัญหาในการเสริมพลังวัตถุเวทไประดับสี่

การเสริมพลังครั้งนี้มีความท้าทายมาก ถึงกระนั้นก็เป็นความท้าทายที่หวังเป่าเล่อสามารถก้าวข้ามได้ด้วยทักษะการหลอมวัตถุเวทของตนเอง ปัญหาอยู่ที่การเสริมพลังครั้งนี้ต้องใช้วัตถุดิบที่เรียกว่าใบไม้ปรับวิญญาณซึ่งเป็นวัตถุดิบที่อยู่ในการควบคุมของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ การจะหาซื้อจากนอกสำนักนั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย ทางเดียวที่จะหามาได้คือซื้อกับทางสำนัก และการจะทำเช่นนั้นจะต้องมีสิทธิ์การเข้าถึง

สิทธิ์การเข้าถึงของหวังเป่าเล่อในตอนนี้อยู่ในระดับพื้นฐาน ทำให้ไม่สามารถซื้อใบไม้ปรับวิญญาณได้ เขาเกาหัว จากนั้นก็หันไปมองโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสาม ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกอื่นจึงออกจากการถือสันโดษและมุ่งหน้าไปยังที่พำนักของผู้บัญชาการเทพธิดาหลิงโยว

ตำแหน่งผู้บัญชาการกองทหารวิหคน้ำแข็งทำให้เทพธิดาหลิงโยวยุ่งอยู่ตลอด ยิ่งตอนนี้หญิงสาวต้องเตรียมการเลื่อนอันดับกองทัพจึงยิ่งยุ่งเข้าไปใหญ่ ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยพอใจนักที่หวังเป่าเล่อโผล่มาขัดจังหวะ นางไม่ได้ซ่อนความรำคาญใจที่มีแม้แต่น้อยตอนเรียกชายหนุ่มให้เข้าพบ

“หลงหนานจื่อ เจ้าต้องการอะไร”

“ผู้บัญชาการ ข้าหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาได้แล้ว แต่การจะเสริมพลังมันให้สูงขึ้นกว่านี้ต้องใช้วัตถุดิบที่ข้าไม่มีสิทธิ์ซื้อ ข้าจึงมาขอเลื่อนขั้นสิทธิ์การเข้าถึงของข้า…” หวังเป่าเล่อรู้สึกอายเล็กน้อย เขาเพิ่งเสริมพลังโล่ไปได้เพียงระดับสามซึ่งไม่ถือเป็นเรื่องยิ่งใหญ่อะไรเลย ถึงกระนั้นชายหนุ่มก็หยิบโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาที่หลอมขึ้นออกมาให้ผู้บัญชาการตรวจดู

“เจ้าหลอมได้แล้วหรือ” เทพธิดาหลิงโยวนิ่งงันไปเมื่อได้ยินที่ชายหนุ่มพูด นางกวาดตามองวัตถุเวทที่หวังเป่าเล่อหยิบออกมาแสดงให้ดูเพื่อตรวจสอบให้มั่นใจว่ามันเป็นโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาจริงๆ หญิงสาวไม่คิดว่าหวังเป่าเล่อจะรุดหน้าไปได้รวดเร็วเช่นนี้ แต่ก็ตื่นตกใจแค่เพียงไม่นาน ชายหนุ่มนั้นเชี่ยวชาญเรื่องการหลอมอาวุธเวท ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เขาจะมีพื้นฐานในด้านนี้ดี การที่เขาหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแรกได้จึงไม่ใช่เรื่องน่าตกใจอะไร

หญิงสาวยังคงมองผู้ฝึกตนจากสำนักย่อยว่าด้อยค่ากว่าตัวเอง นางมองว่าพวกเขาเป็นผู้ฝึกตนที่ใช้วิธีการนอกรีตและมีกลเม็ดบางอย่างซุกซ่อนอยู่ หวังเป่าเล่ออาจจะหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกระดับแรกได้ แต่นั่นก็น่าจะเป็นที่สุดแล้วที่เขาสามารถทำได้ ถ้าชายหนุ่มอยากเสริมพลังโล่เป็นระดับต่อไป คงจะใช้เวลาอย่างน้อยสองสามปี

นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่สุดในหัวหญิงสาวตอนนี้คือการเลื่อนอันดับกองทหาร นางจึงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องยิบย่อยอย่างการทำตามคำขอของหวังเป่าเล่อและไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมมากนัก นางเลื่อนขั้นสิทธิ์การเข้าถึงของชายหนุ่มในทันทีและส่งเขากลับออกไป

หวังเป่าเล่อเดินออกจากโถง ไม่ได้ใส่ใจท่าทีของผู้บัญชาการมากนัก โดยส่วนตัวแล้ว เขาคิดว่าโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสามไม่ใช่เรื่องน่าภูมิใจอะไร เมื่อได้สิทธิ์การเข้าถึงมา ชายหนุ่มก็ซื้อใบไม้ปรับวิญญาณทันทีและรีบกลับที่พำนักเตรียมพร้อมถือสันโดษอีกครั้ง หวังเป่าเล่อเดินผ่านค่ายกองทหารวิหคน้ำแข็ง สายตาเลื่อนผ่านกลุ่มผู้ฝึกตนหญิงแกร่งที่กำลังเดินขวักไขว่ไปมา แต่ในหัวกลับคิดถึงแต่เรื่องการเสริมพลังโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไประดับห้า

ระดับสี่ไม่น่ามีปัญหาอะไร เพราะข้าได้ใบไม้ปรับวิญญาณมาแล้ว ใช้เวลาสองชั่วโมงก็น่าจะเสริมพลังเสร็จ การเสริมพลังไประดับห้านั้นซับซ้อนกว่าเดิมมาก เหมือนข้ามสะพานระหว่างขั้นเชื่อมวิญญาณกับขั้นจิตวิญญาณอมตะไม่มีผิด ข้าต้องศึกษาเพิ่มเติมให้มากกว่านี้ หวังเป่าเล่อจมอยู่ในห้วงความคิดและกำลังจะเดินไปถึงที่พำนัก ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะจากทางด้านหน้า ตามมาด้วยเสียงดุด่าและเสียงแส้ฟาด

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ ทันทีที่สายตาเลื่อนไปเห็นความโกลาหลตรงหน้า เขาก็พบผู้ฝึกตนหญิงเจ็ดถึงแปดคนของกองทัพ ในนั้นมีหญิงร่างสูงคนหนึ่งที่ดูแข็งแกร่ง มีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ ทั้งสภาพร่างกายและระดับพลังปราณนั้นเป็นที่น่าพรั่นพรึง ในมือนางถือเชือกสี่เส้นเอาไว้…

ตรงปลายเชือกผูกเข้ากับสิ่งมีชีวิต พวกมันดูไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงที่เจ้านายพาออกมาเดินเล่น กลุ่มผู้ฝึกตนหญิงเดินตรงมาทางหวังเป่าเล่อ เสียงหัวเราะของพวกนางดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้ามาใกล้!

สัตว์เลี้ยงทั้งสี่ตัวนั้นมีลักษณะต่างกันไป ตัวหนึ่งเป็นพืชรูปร่างคล้ายมนุษย์ อีกตัวเป็นกิ้งก่าสามหัวดูดุร้าย ตัวต่อมาเป็นงูเหลือมที่มีหัวเป็นหญิงสาว ส่วนตัวสุดท้าย…ดวงตาของหวังเป่าเล่อเบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเองเมื่อหันไปพบสิ่งมีชีวิตตัวสุดท้าย!

จั่วอี้เซียนหรือ

…………………………..

บทที่ 771 ผิดคน!
เทพธิดาหลิงโยวค่อนข้างจะเชื่อตามที่ลูกน้องคนสนิทได้กล่าวมา นางไม่คิดว่าหลงหนานจื่อจะมีพรสวรรค์อันเยี่ยมยอดด้านการหลอมวัตถุเวท ถึงกระนั้นนี่ก็เป็นแค่เรื่องยิบย่อยในสายตานาง

ภารกิจที่สำคัญที่สุดของนางตอนนี้คือไต่อันดับกองทัพ ด้วยระดับการฝึกตนในปัจจุบันและเรือบินรบเวทที่มี กองทัพของนางน่าจะเอาชนะกองทัพลำดับเจ็ดและชิงตำแหน่งมาได้ง่ายๆ

น่าจะไม่มีอุปสรรคใดๆ จากอีกฝั่ง เพราะบัดนี้นางก็อยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว!

แน่นอนว่าความทะเยอทะยานของเทพธิดาหลิงโยวไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น นางไม่ได้หวังอันดับเจ็ด นางอยากได้อันดับหก เพราะแม้จะห่างกันแค่เลขหน่วยเดียว แต่ทรัพยากรที่กองทัพจะได้รับสนับสนุนนั้นแตกต่างกันมากโข

เป็นเหตุให้นางต้องวางแผนอย่างละเอียดรอบคอบ ส่วนหวังเป่าเล่อ เทพธิดาหลิงโยวไม่ได้สนใจเขาสักเท่าไหร่ นางไม่ชอบกิริยามารยาทของชายหนุ่มมาตั้งแต่ต้น ถึงกระนั้น นางก็ปฏิเสธคำสั่งของจักรพรรดิไม่ได้ แน่นอนว่านางก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรที่ให้สูตรหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาไป หญิงสาวคิดว่าหวังเป่าเล่อน่าจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งถึงสองปีจึงจะสามารถหลอมวัตถุนี้ได้สำเร็จ นางไม่ได้กังวลอะไรจึงจบบทสนทนาด้วยการโบกมือ

หวังเป่าเล่อที่ไม่ได้รู้เรื่องเหล่านี้เลยกำลังเดินชมรอบกองทหารวิหคน้ำแข็ง ทุกที่ที่ผ่านตาก็เห็นแต่ผู้ฝึกตนหญิงจำนวนมากที่เป็นชนกลุ่มใหญ่ของกองทัพ น่าเสียดายที่ภาพตรงหน้าไม่ใช่หญิงงามนั่งคุยกันสนุกสนาน แต่เป็นหญิงแกร่งเดินขึงขังผ่านไปผ่านมา…

เขาคิดมาตลอดว่ารูปโฉมอันงดงามคือไพ่ตายของตน แต่เหมือนว่ามันจะใช้ไม่ได้ผลในค่ายแห่งนี้ ไม่มีใครสนใจชายหนุ่มเลย ไม่มีแม้สักคนที่ตอบกลับการทักทายของเขา หวังเป่าเล่อกระแอมกระไออย่างขวยเขินและพยายามหาทางแก้เก้อ ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติเมื่อมาถึงที่พำนักของตัวเอง

เหมือนว่าที่นี่ ผู้ชายจะไม่ได้มีอำนาจมากนัก… หวังเป่าเล่อมองที่พักของตัวเองขณะนึกถึงที่พำนักต่างๆ ที่เห็นตามทาง เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกตนหญิงนั้นมีตำแหน่งสูงกว่าและได้รับที่พักดีกว่าผู้ฝึกตนชายในกองทหารวิหคน้ำแข็ง

ช่างปะไร ทั้งหมดเป็นเพราะมีผู้บัญชาการเป็นหญิงใจดำ หวังเป่าเล่อส่ายหัวและใช้ตราที่ได้มาเปิดทางเข้าถ้ำ จากนั้นก็เข้าไปด้านใน เขาไม่ค่อยพอใจกับที่พักอันแสนคับแคบ แต่ก็ไม่ได้หวังอะไรมากมายตั้งแต่แรก ชายหนุ่มนั่งลง ก่อนจะเริ่มจัดระเบียบความคิด

ตอนนี้ข้าถือเป็นศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์แล้ว ตราบใดที่ข้าไม่ทำให้ชีวิตตัวเองยุ่งยาก ก็ไม่น่าจะต้องกังวลอะไรกับภัยคุกคามจากกองทหารมังกรหยดหมึก

เป้าหมายต่อไปคือหาจุดยืนที่มั่นคงในกองทหารวิหคน้ำแข็ง จากนั้นก็หาทางสร้างกองทัพของตนเองและเก็บเคล็ดวิชาจากดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์มาเพิ่ม!

ข้าควรจะสานสัมพันธ์กับราชวงศ์ด้วยถ้ามีโอกาส…เพราะน่าจะใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์ได้! หวังเป่าเล่อหรี่ตาขณะพิจารณาแผนการในอนาคต รอบตัวตอนนี้มีแต่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ ไหนจะจักรพรรดิที่อยู่ระดับดาวพระเคราะห์อีก แถมปัจจุบันตนอยู่ที่ตัวสำนักใหญ่ ซึ่งก็คือดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เขาก็จะไม่ใช้ความสามารถในการขโมยตัวตนของผู้อื่น

ข้าจะหลอมโล่สวรรค์พิพากษาอะไรสักอย่างนี่ ถ้ามันจะทำให้ข้ามีจุดยืนที่มั่นคงในสำนัก และควรใช้โอกาสนี้ศึกษากระบวนการหลอมระดับสูงของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์! เมื่อคิดเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจได้ เขาหยิบแผ่นหยกที่บันทึกวิธีหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาออกมาและเริ่มศึกษาอย่างตั้งใจ

จากการตรวจดูคร่าวๆ รอบที่แล้ว ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นถึงความเยี่ยมยอดของวัตถุชิ้นนี้ พอได้ศึกษาอย่างละเอียด ดวงตาของเขาก็ต้องเบิกกว้าง ยิ่งศึกษาวิธีหลอมไปมากเท่าไหร่ ความตื่นเต้นก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ในที่สุดชายหนุ่มก็ส่งเสียงตื่นตะลึงออกมา

สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ร่ำรวยขนาดนี้เลยหรือ นี่มัน…วัตถุเวทขั้นจิตวิญญาณอมตะชัดๆ! หวังเป่าเล่อผงะไปด้วยความตื่นตกใจ หญิงกระโปรงเหลือบอกเขาว่านี่เป็นวัตถุเวทที่ใช้ทดสอบนักหลอมวัตถุเวททุกคนในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไม่ใช่หรือ

นึกไม่ออกเลยว่ามาตรฐานการหลอมวัตถุเวทของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จะสูงส่งเพียงใด…ศิษย์ทุกคนที่เข้ารับการทดสอบจะต้องหลอมวัตถุเวทขั้นจิตวิญญาณอมตะเลยหรือ หวังเป่าเล่อคิดว่าตนน่าจะเข้าใจผิด แต่ก็มั่นใจว่าอ่านวิธีหลอมได้ถูกต้องหลังจากศึกษาอย่างละเอียดเป็นครั้งที่สอง ความจริงแล้วการอ่านครั้งที่สองนั้นทำให้เขาได้ค้นพบเรื่องน่าตื่นตะลึงขึ้นไปอีกขั้น

หากใช้เกณฑ์ของสหพันธรัฐประเมินโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา มันน่าจะจัดอยู่เหนืออาวุธเวทระดับเก้าไปอีก เกือบจะเป็นอาวุธเทพได้เลย…ความสามารถในการพัฒนาก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน อาจจะพัฒนาจนเหนือชั้นกว่าอาวุธเทพก็เป็นได้…สวรรค์ สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์แข็งแกร่งถึงเพียงนี้เลยหรือ หวังเป่าเล่อกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ใบหน้าของเขาซีดเผือด การค้นพบในครั้งนี้น่าสะพรึงกลัวเกินกว่าจะรับมือได้ไหว

โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกานั้นใช้ป้องกันและสะท้อนพลังโจมตีของวัตถุเวทเป็นหลัก แบ่งออกเป็นแปดระดับตามความแข็งแกร่ง ทุกระดับที่เพิ่มขึ้นจะเพิ่มพลังคลื่นสะท้อนกลับร้อยละห้า เนื่องจากมีแปดระดับ โล่นี้จึงสามารถสะท้อนพลังโจมตีดั้งเดิมของศัตรูกลับไปได้ถึงหนึ่งในสี่ นอกจากนี้ยังมีระดับการพัฒนาที่สูงกว่าระดับแปดขึ้นไปด้วย แม้ข้อมูลในแผ่นหยกจะไม่ได้พูดถึงจุดนี้ แต่ประสบการณ์และสัญชาตญาณของหวังเป่าเล่อก็บอกตนเองว่าต้องมีระดับที่สูงกว่าระดับแปดขึ้นไปอีกแน่นอน!

มันเป็นการค้นพบอันน่าตื่นตะลึงจนทำให้หวังเป่าเล่อต้องถ่อมตนลงมา เขาเลิกประเมินสำนักต่ำกว่าที่ควรและเริ่มรู้สึกกดดันมากขึ้น เหมือนมีภูเขามาตั้งอยู่บนไหล่ ทำให้หายใจได้ยาก

ข้าต้องพยายามอย่างหนักแล้ว! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึกขณะมองแผ่นหยกในมือ ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวเมื่อเขาวิเคราะห์และศึกษาเนื้อหาในแผ่นหยก เวลาดำเนินไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ผ่านไปเจ็ดวันนับตั้งแต่ชายหนุ่มมายังค่ายกองทหารวิหคน้ำแข็ง

เขาแทบไม่ได้นอนหรือพักผ่อนเลยตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา เอาแต่ศึกษาเรื่องโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา นำประสบการณ์การหลอมวัตถุเวทที่ได้จากสหพันธรัฐ กระบี่สำริดเขียวโบราณ และอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มารวมกัน ในที่สุด ชายหนุ่มก็จับจุดสูตรหลอมระดับแรกได้

ตัวตนของเขาได้รับการลงทะเบียนในบันทึกของกองทหารวิหคน้ำแข็ง ตำแหน่งของชายหนุ่มไม่ได้สูงส่งอะไรจึงมีเพียงสิทธิ์ขั้นพื้นฐาน ทำให้หวังเป่าเล่อไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากซื้อทรัพยากรจากทางกองทหารวิหคน้ำแข็ง

หวังเป่าเล่อเริ่มหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาหลังจากซื้อวัตถุดิบที่จำเป็นเสร็จ แต่ก่อนจะเข้าสู่การถือสันโดษ ชายหนุ่มก็ปล่อยเจ้าลาออกมา เหมือนกับว่าจู่ๆ ก็รู้สึกผิด

“ลูกข้า บิดาของเจ้าทำดีกับเจ้ามากเลยใช่หรือไม่ จำไว้ว่าให้ทำตัวดีๆ อย่าไปสร้างปัญหา ไม่อย่างนั้นข้าจะขังเจ้าไปร้อยปี!” หวังเป่าเล่อมองเจ้าลา รู้สึกว่าวิธีสอนลูกของตนเองจะได้ผล ซึ่งก็คือ…ทุบตีสั่งสอนจนกว่าลูกจะหลาบจำ!

เขานึกถึงตอนเด็กที่ตนหนักกว่าปู่ จากนั้นก็จำได้ว่าถูกทุบตีหนักขนาดไหนจึงตระหนักว่าต้องประพฤติตัวให้ดี ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว ชายหนุ่มดุด่าต่ออีกสักพัก แต่ก็ต้องตะลึงงันไปเมื่อได้เห็นท่าทีของเจ้าลา

เจ้าลามักจะทำตัวน่าสงสารหรือไม่ก็สั่นกลัวอยู่ตลอดเมื่อเจอหวังเป่าเล่อดุ บางครั้งก็ถึงกับเข้ามาอ้อนเอาอกเอาใจ พยายามทำตัวให้ชายหนุ่มรักใคร่มาโดยตลอด แต่วันนี้เจ้าลากลับเปลี่ยนไป…มันดูกลัดกลุ้ม ถึงขนาดร้องเสียงดังใส่หวังเป่าเล่อ

“ลูกข้า! ลูกข้า! ลูกข้า!”

มันดูกังวลหนักและเหมือนจะร้องขอบางอย่างจากหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มจ้องเจ้าลาด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะเปิดกระเป๋าคลังเก็บและโยนวัตถุดิบไปให้ เจ้าลาเหลือบมองวัตถุดิบคร่าวๆ ไม่ได้แตะต้องอะไรแม้แต่นิด จากนั้นก็ร้องขึ้นอีก

หวังเป่าเล่อเริ่มไม่พอใจ

“เจ้าเริ่มจะเลือกกินมากไปแล้ว รู้ไหมว่าตัวเองได้กินฟรีๆ ไม่ได้ทำงานเพื่อแลกมา!”

“ลูกข้า!”

“ยังจะบ่นอีกหรือ”

“ลูกข้า!”

หวังเป่าเล่อตบหน้าผากตัวเอง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเจ้าลาคือลูกของตน เขาทนเจ็บปวดใจที่ต้องเสียวัตถุดิบราคาแพงและโยนชิ้นที่ดีกว่าเดิมไปให้ เจ้าลามองเพียงแวบเดียว มันยังคงไม่พอใจ ชายหนุ่มเริ่มสงสัยจึงขยายสัมผัสสวรรค์ไปสื่อสารกับเจ้าลา

ใบหน้าของหวังเป่าเล่อดูแปลกไปเมื่อคุยเสร็จ

“เจ้าลาสัปดน!” หวังเป่าเล่อร้องขึ้นด้วยความโมโห เจ้าลาบอกเขาว่ามันหาของบางอย่างอยู่ เป็นของที่ได้มาจากตอนสู้กับกองทหารมังกรหยดหมึกและได้ระเบิดเรือบินรบสังหารผู้ฝึกตนไปมากมาย เจ้าลาไม่รู้ว่าของชิ้นนี้เป็นของใคร แต่…มันคือหุ่นเชิดที่มีกลไกการทำงานเพียงอย่างเดียว ดูภายนอกแล้วไม่มีอะไรแปลก แต่ถ้าสังเกตดูดีๆ ก็จะเริ่มคิดจินตนาการไปไกล สามารถรู้ได้เลยว่าเจ้าของเดิมนั้นมีลักษณะนิสัยและความชอบอย่างไร…

ของชิ้นนี้ทำให้เจ้าลาสามารถใช้พลังงานอันไร้ขีดจำกัดของมันได้ระดับหนึ่ง ยิ่งใช้ของชิ้นนี้มากเท่าไร ก็ยิ่งปรารถนาอยากใช้อีกซ้ำๆ ไม่รู้จักเบื่อ…

หวังเป่าเล่อรู้สึกรังเกียจ แต่ถึงอย่างไรเจ้าลาก็เป็นแค่อสูรตัวหนึ่ง เขาได้แต่ถอนหายใจและเริ่มค้นหาของดังกล่าวในกระเป๋าคลังเก็บ แต่ค้นอยู่นานก็ไม่เจอ เจ้าลาดูสิ้นหวัง ชายหนุ่มทำได้แค่ยักไหล่และเลิกค้นหา จากนั้นก็ปล่อยเจ้าลาไปและนั่งลง เขาสูดหายใจลึกและเริ่มการหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังหยิบวัตถุดิบสำหรับหลอมออกมาเพื่อเริ่มกระบวนการ ภาพความทรงจำหนึ่งก็แล่นขึ้นมาในหัว เขานึกขึ้นได้ว่าได้ให้กระเป๋าคลังเก็บกับผู้ฝึกตนหญิงที่มีไฝบนใบหน้าเพื่อแลกกับข้อมูล ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างขึ้นทันใด ครู่ต่อมาก็ทำสีหน้าแปลกๆ

ข้าเลือกเป้าหมายผิด ถ้ารู้เช่นนี้ ข้าจะให้กระเป๋าคลังเก็บใบนั้นกับเทพธิดาหลิงโยว…

………………………………

บทที่ 770 กองทหารหญิง
จากที่ตั้วโหย่วจื่อบอกและข้อมูลที่หามา หวังเป่าเล่อรู้ว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์มีกองทัพสามสิบกองที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ

กองทัพที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจะถือเป็นสาขาย่อยของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ พวกเขาอยู่ใต้การบังคับบัญชาแต่ก็มีอิสระในระดับหนึ่ง ทางสำนักจัดหาทรัพยากรจำนวนมากให้ทั้งสามสิบกองทัพเป็นประจำทุกปี แต่ไม่ได้ให้พวกเขาส่งมอบทรัพยากรที่ไปปล้นมาทั้งหมด ทำให้กองทัพมีทรัพยากรเพียงพอสำหรับการใช้งานและได้รับการสนับสนุนจากทางสำนักเพิ่มเติมอีก ข้อบังคับเดียวของพวกเขาคือ…ร่วมสู้ในนามสำนักเมื่อสำนักเรียกหา!

นี่จึงเป็นสาเหตุให้มีการจัดอันดับในหมู่กองทัพ ทรัพยากรที่ทางสำนักจัดสรรให้แต่ละกองทัพและจำนวนบรรณาการที่ทางกองทัพต้องส่งมอบนั้นมีอันดับเป็นตัวกำหนด!

ยกตัวอย่างเช่น กองทัพอันดับหนึ่งไม่จำเป็นต้องส่งมอบทรัพยากรให้ทางสำนักเลย แต่ได้รับทรัพยากรสนับสนุนจากทางสำนักจำนวนมากจนน่าตกใจทุกปี ยิ่งมีอันดับสูงเท่าไหร่ ความแตกต่างระหว่างสัดส่วนทรัพยากรที่ต้องส่งมอบและทรัพยากรที่ได้รับสนับสนุนจากทางสำนักก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ขอแค่ขึ้นมาอยู่ในสิบอันดับต้นก็จะได้ทรัพยากรมากกว่าที่จะต้องส่งมอบให้สำนัก!

ส่วนกองทัพสิบอันดับกลางจะได้รับทรัพยากรสนับสนุนเท่าๆ กับที่ส่งมอบ ส่วนกองทัพสิบอันดับท้ายจะต้องส่งมอบมากกว่าที่ได้รับสนับสนุน ถึงกระนั้นทรัพยากรที่กองทัพสิบอันดับท้ายได้รับก็มากกว่าทรัพยากรที่จัดสรรให้กองทัพที่อยู่ในสังกัดของสำนักมหาศาลเลยทีเดียว

ระบบนี้จึงทำให้เกิดการแข่งขันอันดุดันระหว่างทั้งสามสิบกองทัพที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ซึ่งเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเพราะยิ่งขึ้นไปอยู่ในระดับสูงก็ยิ่งได้รับผลประโยชน์มาก

ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดการท้ารบอยู่บ่อยๆ เหล่ากองทัพต้องเสียค่าใช้จ่ายในการท้ารบ แต่ก็ถือว่าเป็นจำนวนเล็กน้อยสำหรับพวกเขา

แน่นอนว่า…กองทัพของสำนักย่อยในสังกัดสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เองก็ได้รับโอกาสในการเลื่อนขั้นขึ้นไปเป็นกองทัพทางการเช่นกัน พวกเขาแค่ต้องมีคุณสมบัติพร้อมจึงจะมีสิทธิ์ท้ารบกองทัพทางการที่อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักใหญ่ หากชนะก็จะได้เลื่อนขั้นขึ้นไปแทนที่กองทัพทางการนั้นทันที!

การท้าสู้นี้จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับพวกเขา ชัยชนะอาจทำให้ได้ขึ้นไปยืนอยู่ตำแหน่งสูงในสำนัก แต่การจะได้สิทธิ์ในการท้าสู้มานั้นยากมาก พวกเขาต้องส่งมอบทรัพยากรจำนวนมากเป็นการยื่นความประสงค์ จากนั้นจะต้องมีคนในกองทัพห้าอันดับต้นเป็นผู้รับรอง เงื่อนไขแรกนั้นวัดเรื่องความมั่งคั่งทางกายภาพ ส่วนเงื่อนไขที่สองมีมูลค่าที่แตกต่างไปแต่ก็สูงเช่นเดียวกัน

หากผู้ท้าชิงพ่ายแพ้ ทรัพย์สินทั้งหมดจะตกเป็นของผู้ชนะ ฝ่ายที่แพ้ยังต้องจ่ายค่าชดเชยจำนวนมาก โดยค่าชดเชยนั้นจะต้องส่งให้สำนักใหญ่เก็บไว้ก่อนจะเริ่มศึก!

หลังจากจัดแจงข้อมูลเกี่ยวกับกองทัพสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ที่ได้มาเสร็จ หวังเป่าเล่อก็สรุปได้ว่ากองทหารวิหคน้ำแข็งน่าจะขอท้าชิงเร็วๆ นี้

เทพธิดาหลิงโยวเพิ่งจะบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับนางในการท้าสู้ชิงอันดับ เว้นเสียแต่นางจะไม่ได้เล็งกองทัพอันดับเจ็ด แต่เป็นกองทัพอันดับหกที่มีผู้บรรชาการเป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเหมือนกัน!

ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อขณะที่เทพธิดาหลิงโยวนำทางมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาเข้าไปในดาวบริวารและปรากฏอยู่ด้านบนน่านฟ้าเหนือรูปปั้นวิหคยักษ์สีเขียว

รูปปั้นวิหคดูตระการตา มีตำหนักมากมายสร้างอยู่ในรูปปั้น ผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยหลั่งไหลเข้าออกไม่ขาดสาย ทันทีที่ผู้ฝึกตนเหล่านั้นรวมถึงผู้ฝึกตนรอบๆ ค่ายสังเกตเห็นว่าหวังเป่าเล่อและเทพธิดาหลิงโยวมาถึงแล้วก็รีบเงยหน้าขึ้นฟ้าทำความเคารพทันที

“ขอต้อนรับท่านผู้บัญชาการผู้ยิ่งใหญ่!”

เสียงของพวกเขาดังก้องขึ้นพร้อมกันราวกับเป็นสายฟ้าฟาด หวังเป่าเล่อสังเกตเห็นสัดส่วนที่ไม่เท่ากันระหว่างจำนวนผู้ฝึกตนหญิงและผู้ฝึกตนชาย ร้อยละเจ็ดสิบเป็นผู้ฝึกตนหญิง

กองทหารหญิงหรือ หวังเป่าเล่อกะพริบตา ตระหนักได้ว่าตนมีข้อได้เปรียบสูงเพียงใดที่นี่ ก่อนจะเริ่มเป็นกังวลถึงความปลอดภัยของตนเอง ขณะกำลังครุ่นคิดจินตนาการอย่างหน้าไม่อาย เทพธิดาหลิงโยวก็พยักหน้าเบาๆ ให้กับคำทักทาย ใบหน้าของนางปราศจากอารมณ์ใดๆ นางลากชายหนุ่มก้าวเข้าไปในโถงหลักซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังรูปปั้นวิหคเขียว จากนั้นก็เหวี่ยงแขนตัวเอง โยนหวังเป่าเล่อไปด้านข้าง ก่อนจะไปนั่งบนที่นั่งหลักในโถง

หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังปราณออกมาทันทีที่โดนเหวี่ยง เขากระเด็นถอยหลังไปเล็กน้อยก่อนจะลงเหยียบพื้น ชายหนุ่มปลดปล่อยพลังออกมาได้ถูกจังหวะจึงสามารถต้านแรงเหวี่ยงของเทพธิดาหลิงโยวได้ ใบหน้าของเขาแสดงอาการเล็กน้อยก่อนจะกลับสู่ความสงบอีกครั้ง

ชายหนุ่มรู้ว่าแรงเหวี่ยงเมื่อครู่นั้นสามารถทำให้ตนเจ็บหนักได้ถ้าระดับขั้นการฝึกตนไม่สูงพอ เหมือนว่าผู้บัญชาการหญิงจะยังไม่จบการสำแดงอำนาจบารมีของตัวเอง

เป็นคนหน้าตาดีไปไหนก็เจอแต่ปัญหา หวังเป่าเล่อแอบแค่นเสียงไม่พอใจ แต่ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกทางสีหน้า ราวกับว่าไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับการกระทำเมื่อครู่ เขายืนสงบเสงี่ยมอยู่ที่มุมหนึ่งของโถง

สายตาเย็นชาของเทพธิดาหลิงโยวดูอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นท่าทีตอบสนองของชายหนุ่ม นางละสายตาจากเขาก่อนจะหยิบแผ่นหยกออกมาตรวจสอบ

จากนั้นก็มีผู้ฝึกตนหญิงสามคนเดินเข้ามาในโถงจากทางประตูด้านหลังหวังเป่าเล่อ คนแรกใส่ชุดคลุมสีม่วง คนที่สองสวมกระโปรงสีเขียว ส่วนคนที่สามสวมชุดเกราะออกศึก

ผู้ฝึกตนหญิงคนแรกสวมชุดคลุมสีม่วงรัดเรือนร่างแน่นจนเหมือนเป็นผิวหนังชั้นที่สอง เผยให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้ายั่วยวนใจอย่างชัดเจน สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่หญิงสาวอย่างไม่อาจควบคุมได้ ตราตรึงกับความงดงามของนางที่กำลังเดินกรีดกรายไปยังด้านหน้าของโถง

ผู้ฝึกตนหญิงคนที่สองที่สวมกระโปรงสีเหลืองดูสูงส่ง ผมสีดำนุ่มสลวยยาวถึงกลางหลัง ใบหน้ารูปไข่โดดเด่นด้วยรอยยิ้มแม้จะยังไม่ได้ปริปากพูด นางเป็นเหมือนสายลมนุ่มนวลของฤดูใบไม้ผลิ พลังรัศมีที่แผ่ออกมาแตกต่างจากผู้ฝึกตนหญิงชุดคลุมม่วง เป็นพลังอันบริสุทธิ์ไร้มลทิน ส่วนอีกคนดูยั่วยวนร้ายกาจ

หญิงคนสุดท้ายผู้สวมชุดเกราะให้บรรยากาศที่แตกต่างออกไปจากสองคนแรก นางงดงามไม่แพ้กัน แต่เป็นเหมือนเทพธิดาหลิงโยวอีกคน เย็นชาและห่างเหิน แค่เพียงยืนนิ่งก็แผ่รังสีสังหารออกมา

ทั้งสามอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ แต่ละคนเปล่งพลังล้นเหลือไม่แพ้กัน พวกนางปรายตามองหวังเป่าเล่อตอนเข้ามาในโถง แต่มีท่าทีแตกต่างกันออกไป สายตาของผู้ฝึกตนหญิงชุดม่วงดูยั่วยวน ส่วนสายตาของหญิงกระโปรงเหลืองดูเป็นมิตร ในขณะที่ผู้ฝึกตนชุดเกราะมองเขาด้วยความเหยียดหยาม หญิงทั้งสามกล่าวทักทายเทพธิดาหลิงโยวที่นั่งอยู่

ความงามของทั้งสามตราตรึงอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขายืนอยู่เงียบๆ ในมุมหนึ่งของโถงและมองทั้งสามคร่าวๆ จากมุมมองของผู้ชายที่ไม่มีอะไรแอบแฝง ชายหนุ่มนึกชื่นชมสาวชุดเกราะ อยากจะทำความรู้จักกับสาวกระโปรงเหลืองให้มากขึ้น และไม่สามารถห้ามตนเองไม่ให้มองไปยังผู้ฝึกตนหญิงชุดม่วงได้

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังยืนพิจารณาอยู่เงียบๆ เทพธิดาหลิงโยวก็วางแผ่นหยกลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหญิงสาวทั้งสามพร้อมกับพยักหน้าให้เล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองชายหนุ่ม

“ถึงจักรพรรดิจะให้เจ้าเข้าร่วมกองทัพของข้า แต่ก็ไม่ใช่ว่ากองทหารวิหคน้ำแข็งจะรับใครหน้าไหนมาเข้าร่วมก็ได้ บันทึกของเจ้าจากสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ระบุว่าเจ้าเชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวท เช่นนั้นก็ต้องลองทดสอบดูว่าเจ้าเก่งกาจเรื่องวัตถุเวทจริงหรือไม่ก่อนที่เราจะตัดสินใจว่าควรทำอะไรกับเจ้า จงกลับมาหาข้าเมื่อเจ้าหลอมสิ่งนี้เสร็จ ตอนนี้เจ้าออกไปได้แล้ว” เทพธิดาหลิงโยวออกคำสั่ง จากนั้นก็โบกมือ โยนแผ่นหยกในมือไปให้สาวกระโปรงเหลือง และสั่งให้นางเก็บข้อมูลหวังเป่าเล่อเข้าบันทึกของกองทัพ ขณะเดียวกันก็ให้สิทธิ์ในการเข้าถึงขั้นพื้นฐานกับชายหนุ่มและโยนแผ่นหยกอีกแผ่นให้

“โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาหรือ” หวังเป่าเล่อพูดขึ้นด้วยความแปลกใจพร้อมขยายสัมผัสสวรรค์ออกไปตรวจดูข้อมูลในแผ่นหยกคร่าวๆ ในนั้นมีวิธีหลอมสมบัติเวท ชื่อของวัตถุชิ้นนี้บ่งบอกถึงความแข็งแกร่งของมันได้เป็นอย่างดี

“โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกาคือหนึ่งในสมบัติเวทที่เราใช้ทดสอบมาตรฐานการหลอมวัตถุเวทของศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ถือเป็นวัตถุที่มีความท้าทายในการหลอมสำหรับนักหลอมอาวุธเวทในสำนักเรา แต่แค่พยายามสักหน่อย ส่วนใหญ่ก็มักจะหลอมออกมาได้สำเร็จ” แน่นอนว่าการอธิบายเช่นนี้ไม่น่าจะออกมาจากปากของเทพธิดาหลิงโยว เป็นผู้ฝึกตนหญิงกระโปรงเหลืองที่ยิ้มและตอบคำถามในใจของหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็ยื่นตราถ้ำที่พักพร้อมตำแหน่งที่พักของเขาให้

หวังเป่าเล่อกะพริบตามองตราและแผ่นหยกในมือก่อนจะกลับออกไป เหมือนกลุ่มหญิงสาวจะมีเรื่องต้องพูดคุยกันต่อ จะแอบฟังบทสนทนาของพวกนางกับผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคงเป็นเรื่องยาก เขาจึงออกจากโถงตรงไปตามพิกัดที่ระบุในตราที่ได้รับมาเพื่อไปยังที่พัก

เป็นดั่งที่ชายหนุ่มคาดเดา หลังจากที่เขากลับออกไป เทพธิดาหลิงโยวก็เริ่มการประชุมอย่างจริงจังถึงวาระต่างๆ ในกองทัพ จัดแจงเตรียมการต่างๆ สำหรับการท้าชิงกับกองทัพอื่นที่เดิมพันไว้ด้วยการเลื่อนอันดับของพวกตน หลังจากจบการประชุม ผู้ฝึกตนหญิงที่สวมกระโปรงเหลืองก็ทำท่าลังเลใจอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ผู้บัญชาการ ถึงหลงหนานจื่อจะได้เข้ากองทัพของเราเพราะคำสั่งของจักรพรรดิ แต่จะเหมาะสมหรือที่ให้เขาหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลกา…เพราะสิ่งนั้นเอาไว้ประเมินศิษย์ในสำนักของเราและเป็นถึงวัตถุขั้นจิตวิญญาณอมตะ ข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุนี้ถือเป็นความลับระดับสูง…”

เมื่อนางพูดจบ สาวชุดเกราะก็แค่นเสียงทางจมูก นางเป็นคนที่มองหวังเป่าเล่อด้วยความเหยียดหยาม

“ข้าได้ยินมาว่าหลงหนานจื่อชอบซุ่มโจมตีศัตรู ผู้ฝึกตนเช่นเขามักจะไม่มีฝีมืออะไร อีกอย่าง พวกนักหลอมวัตถุเวทนอกสำนักเราก็หลอมได้แค่โล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับสาม พวกเขาไม่มีทางหลอมอะไรที่สูงไปกว่านั้นได้ วัตถุที่ต่ำกว่าระดับสี่ถือเป็นวัตถุขั้นเชื่อมวิญญาณ ไม่ใช่วัตถุขั้นจิตวิญญาณอมตะ ส่วนนักหลอมวัตถุเวทในสำนักเรา มีไม่กี่คนที่หลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับห้าหรือสูงกว่านั้นได้สำเร็จ มีเพียงอัจฉริยะหาตัวจับได้ยากเท่านั้นที่จะสามารถหลอมโล่สวรรค์พิพากษาสะท้านโลการะดับแปดซึ่งเป็นระดับสูงที่สุดได้ ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรแม้แต่น้อย”

……………………………..

บทที่ 769 กองทหารวิหคน้ำแข็ง
คนอื่นๆ เอ่ยทำความเคารพจักรพรรดิสำนักเพียงสั้นๆ เมื่อเสียงเคารพนบนอบของพวกเขาจบลง เสียงของหวังเป่าเล่อก็ยังดังก้องไปทั่วทั้งโถง เรียกความสนใจจากทุกคนได้ในทันที

ผู้ฝึกตนหลายพันคนในโถงผงะไป พวกเขาหันไปจ้องหวังเป่าเล่อทันที เหล่าผู้บัญชาการบนแท่นเองก็หันไปมองด้วยเช่นกัน จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็โพล่งขึ้น เห็นได้ชัดว่าต้องการประจบจักรพรรดิ ถึงกระนั้นก็เป็นอะไรที่ผิดแปลกไปจากเดิมและเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ นอกจากนี้ชายหนุ่มยังใช้ชื่อสำนักมาเล่นคำ รวมถึงอวยพรให้จักรพรรดิบรรลุไปยังระดับดารานิรันดร์อีกด้วย

รายละเอียดยิบย่อยเหล่านี้ทำให้การเลียแข็งเลียขากลายเป็นศิลปะขึ้นมา ทั้งโถงประชุมตกอยู่ในความเงียบ ทุกคนต้องใช้เวลาสักพัก รวมถึงหันไปเห็นจักรพรรดิ จึงสามารถปัดความตื่นตะลึงในใจออกไปและเรียกสติกลับมาได้ แต่กระนั้นพวกเขาก็ห้ามไม่ได้ที่ความคิดมากมายจะผุดขึ้นในหัวราวกับเป็นพายุถล่มดินแดน

ฉลาดจริง!

เจ้านี่เป็นใครกัน ช่างหน้าด้านเลียขาจักรพรรดิกันโต้งๆ ต่อหน้าคนมากมาย ต้องเป็นคนบ้าโดยกำเนิดแน่!

ช่างเป็นการเลียขาอย่างหน้าไม่อาย เจ้านี่ไม่น่าจะมีความละอายอะไรเลย…เอาจริงๆ ยิ่งเจอคนหน้าด้านมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งต้องระวังเขาให้มากเท่านั้น!

ฝูงชนด้านล่างไม่ได้คิดเช่นนั้นเพียงฝ่ายเดียว ผู้บัญชาการทั้งสิบที่ยืนอยู่บนแท่นเองก็ทำหน้าตาแปลกประหลาดเช่นกัน หวังเป่าเล่อเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่รู้สึกสะทกสะท้านอะไร เขาดูสงบนิ่งขณะเอียงตัวไปทางตั้วโหย่วจื่อที่กำลังทำท่าเหมือนจะร้องไห้

ตั้วโหย่วจื่อแอบกรีดร้องอยู่ในใจ เขาไม่อยากเป็นจุดสนใจเลยแม้แต่นิด ไม่ได้อยากให้ใครรู้ว่าตนนั่งอยู่ข้างหลงจอมคลั่ง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรเพื่อหยุดยั้งไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้

ท่ามกลางความเงียบกริบในห้องโถง จักรพรรดิสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ที่นั่งอยู่ชั้นบนสุดของแท่นก็หันไปมองหวังเป่าเล่อครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะขึ้น รู้สึกตกใจเล็กน้อยกับการกระทำเมื่อครู่ของชายหนุ่ม เขาไม่เคยพบหลงหนานจื่อมาก่อน ในใจอยากรู้จักชายคนนี้ให้มากขึ้นซึ่งก็ทำได้ง่ายดาย เป็นเรื่องง่ายสำหรับเขาที่จะหาข้อมูลทุกอย่างของทุกคนในโถง

ไม่นานเขาก็พบว่าชายผู้เลียขาตนเองคือใคร เมื่อนึกถึงการต่อสู้ของหลงหนานจื่อกับกองทหารมังกรหยดหมึก ริมฝีปากของจักรพรรดิก็ผุดยิ้มขึ้นบางๆ การยกยอเกินงามของหลงหนานจื่อนั้นได้ผล ถ้าไม่ได้ทำเช่นนั้น จักรพรรดิคงไม่ได้สนใจหลงหนานจื่อเลยแม้แต่น้อย และรางวัลที่ให้ตอบแทนความพยายามก็คงเป็นแค่ของเชิงสัญลักษณ์ที่ให้ผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่งช่วยจัดการให้

รางวัลนั้นคงเป็นแค่ของตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว จักรพรรดิที่กำลังเบิกบานใจเลือกที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตนเอง จึงส่งข้อความเสียงไปหาเทพธิดาหลิงโยวแห่งกองทหารอันดับสิบ

เทพธิดาหลิงโยวกำลังจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาไม่เป็นมิตรตอนที่ได้รับข้อความเสียงจากจักรพรรดิ นางยังคงมีสีหน้าเหมือนเดิมเมื่อได้ฟังข้อความเสียง แต่มีแววรำคาญใจผุดขึ้นมาเล็กน้อยในสายตาเย็นชาที่มองไปยังหวังเป่าเล่อ นางไม่สามารถบอกปฏิเสธคำสั่งของจักรพรรดิได้ จึงตอบรับคำกลับไป

เมื่อสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเสร็จ จักรพรรดิสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ละความสนใจจากหวังเป่าเล่อ ก่อนจะผุดยิ้มและเริ่มการประชุม วันสุดท้ายของการประชุมสามัญคือการที่เขามาฟังผู้บัญชาการทั้งสิบรายงานคำขอและปัญหาต่างๆ ที่ถกกันมาตลอดหลายสัปดาห์รวมถึงรายละเอียดงานที่ได้ทำไป

ทุกคนกลับมาจริงจังและตั้งใจฟังการประชุม เหล่าผู้บัญชาการจากสิบกองทหารอันดับต้นเริ่มรายงาน เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า หวังเป่าเล่อเลิกทำตัวสบายๆ หันมานั่งหลังตรง ทำหน้าจริงจัง

เทพธิดาหลิงโยวเสร็จสิ้นการรายงานตอนช่วงเย็น ถือเป็นการสิ้นสุดการประชุมสามัญที่กินเวลาถึงหนึ่งเดือน จักรพรรดิกลับออกไป เหล่าผู้บัญชาการจากกองทหารทั้งสิบเอ่ยอำลาและจากไปเช่นกัน เทพธิดาหลิงโยวเป็นคนเดียวที่ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะกลับออกไป นางหันมามองทางที่นั่งของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ

“หลงหนานจื่อ ตามข้ามา ข้ามีอะไรจะคุยกับเจ้า”

เสียงฮือฮาดังก้องขึ้นทั่วทั้งโถงหลังจากนางพูดเช่นนั้น สายตาตื่นตะลึงและอิจฉาริษยาพุ่งตรงมาทางหวังเป่าเล่อ ทั้งหมดเป็นเพราะชื่อเสียงของเทพธิดาหลิงโยวในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นระดับการฝึกตนหรือความงาม นางก็เป็นที่หนึ่งในหมู่ผู้ฝึกตนหญิงของสำนัก!

นางเป็นคู่ครองในฝันที่ผู้ฝึกตนนับไม่ถ้วนล้วนปรารถนา ทั้งตำแหน่งในสำนัก ระดับการฝึกตน และลักษณะนิสัยทำให้นางแทบไม่เคยเปิดบทสนทนากับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ในสำนักก่อน นางทำเหมือนว่าศิษย์คนอื่นๆ ในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นไม่มีตัวตน แต่ตอนนี้นางกลับเลือกหวังเป่าเล่อ

จึงเป็นเหตุให้ทุกคนหันมาสนใจกันหมดและนึกสงสัยว่าเหตุใดนางจึงเอ่ยทักหวังเป่าเล่อ ตั้วโหย่วจื่อเองก็เบิกตากว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น ความอิจฉาคุกรุ่นอยู่ภายใน ทิ้งรสขมขื่นไว้ในปากขณะมองดูหวังเป่าเล่อก้าวออกไปอย่างตื่นเต้นและวิ่งตามเทพธิดาหลิงโยวไป

ไอ้พวกเลียแข้ง! ตั้วโหย่วจื่อก่นด่าในใจขณะมองหวังเป่าเล่อวิ่งตามไปอยู่ข้างๆ เทพธิดาหลิงโยว นางสะบัดแขนชุดคลุมพาชายหนุ่มทะยานหายไป ภายในใจของตั้วโหย่วจื่อคุกรุ่นไปด้วยความริษยา และเขาก็ไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกเช่นนั้น ผู้ฝึกตนทุกคนเริ่มทยอยออกจากโถงไป

ขณะที่ฝูงชนกำลังแยกย้ายออกจากที่ประชุม เทพธิดาหลิงโยวก็กำลังทะยานนำหน้าหวังเป่าเล่ออยู่บนท้องนภาเหนือสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ด้วยสีหน้าเย็นชา นางไม่ได้พูดอะไรตลอดการเดินทาง หวังเป่าเล่อตระหนักว่านางพยายามแสดงอำนาจบารมี เขาไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงสั่งให้ตามมา แต่ก็พอจะเดาได้ว่าน่าจะเกี่ยวกับรางวัลที่ตนจะได้รับ

ทั้งหมดบอกได้จากทัศนคติไม่เป็นมิตรของนาง คนอื่นอาจจะมองไม่ออกในทันที แต่หวังเป่าเล่อไม่ใช่คนทั่วไป เขามีตำแหน่งสูงในสหพันธรัฐและได้ทำเช่นนี้กับคนมามากมายจึงรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร

หรือว่าจักรพรรดิผู้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์จะไม่ได้ให้แค่ตำแหน่งศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์กับข้า แต่ยังแต่งตั้งข้าให้ไปประจำการในกองทหารอันดับสิบซึ่งเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ของสำนัก หวังเป่าเล่อคิด รู้สึกแปลกใจปนยินดี ถ้าเป็นอย่างที่คิดจริงก็หมายความว่าเขาเริ่มต้นได้ดีมาก

ขณะที่หวังเป่าเล่อมัวแต่จมอยู่ในห้วงความคิด พวกเขาก็เดินทางไปยังจุดหมายโดยไม่มีอะไรติดขัด เทพธิดาหลิงโยวคิดว่าตนวางท่าไม่เป็นมิตรกับอีกฝ่ายมานานพอแล้วจึงเอ่ยพูดขึ้น ถึงกระนั้นน้ำเสียงของนางก็ยังฟังดูเย็นชา วาจาแข็งกระด้าง นี่อาจเป็นลักษณะนิสัยของนางเองก็เป็นได้

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าจะเป็นสมาชิกกองทหารวิหคน้ำแข็ง!” พูดจบ เทพธิดาหลิงโยวก็ก้าวผ่านหายเข้าไปในประตูทางเข้าของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์

ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบขณะรีบตามนางไป วิสัยทัศน์ของเขาพร่ามัวไปชั่วขณะตอนที่เข้ามา พอทุกอย่างกลับมาแจ่มชัดอีกครั้งก็พบว่าตอนนี้ตนมาถึงสถานที่อีกแห่งบนยอดเขาแฝด

ชายหนุ่มอยู่บนทะเลทรายกว้างใหญ่ไร้จุดสิ้นสุด ยอดเขาแฝดตั้งสูงตระหง่านอยู่กลางทะเลทราย เหมือนดังปลายกระบี่แหลมคมที่ชี้ขึ้นฟ้า เป็นภาพสุดตระการตายิ่งนัก เทพธิดาหลิงโยวอยู่ไกลออกไป ชุดเกราะสีดำของหญิงสาวเปล่งประกายเมื่ออยู่ภายใต้ดวงอาทิตย์ร้อนระอุ พลังล้นเหลือพลันพวยพุ่งออกมาจากร่างของนาง หวังเป่าเล่อมองฟ้าที่เปลี่ยนสีเพราะพลังที่ปล่อยออกมากะทันหัน และเห็นชุดเกราะของนางแปรเปลี่ยนเป็นยักษ์สูงสามพันเมตร!

ยักษ์ตนนั้นแผ่พลังทรงอำนาจออกมา การปรากฏกายอย่างฉับพลันของมันได้สร้างพายุทรายขึ้น ตอนนั้นเอง ทะเลทรายก็ราวกับว่าได้กลายเป็นท้องทะเลปั่นป่วน คลื่นทรายพัดโหมไปมา สาดเม็ดทรายกระเซ็นไปทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาทันตอบโต้เมื่อเกราะสีดำเอื้อมเข้ามาคว้าตัวเขา

ความตื่นกลัวฉายชัดบนใบหน้าของชายหนุ่ม แม้ในใจจะส่งสัญญาณบอกให้ถอยหนี แต่เขาก็พยายามข่มความรู้สึกนั้นลง หวังเป่าเล่อหรี่ตา ปล่อยให้มือเอื้อมมาคว้าตนเอง เสียงเย็นเยียบของเทพธิดาหลิงโยวดังขึ้นในหู

“เจ้าไม่ตอบโต้กลับอย่างนั้นหรือ เหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้โง่เท่าไหร่นี่ ฐานทัพหลักของข้าไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่อยู่บนดาวบริวารดวงที่เจ็ดของดาวเคราะห์นี้!”

ระหว่างที่นางอธิบาย ยักษ์เกราะดำก็เปลี่ยนแปลงอย่างปุบปับ เท้าของมันลอยขึ้นจากพื้นก่อนจะพุ่งตรงขึ้นฟ้า วิ่งผ่านชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ไปในทันที มันวิ่งไปไม่หยุด ก่อนเท้าจะเหยียบลงบนดาวบริวารดวงหนึ่งในหมู่ดาวบริวารรอบดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ เป็นดาวบริวารที่อยู่ห่างจากดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ที่สุด ดาวบริวารลำดับเจ็ดนั่นเอง!

ดาวบริวารทั้งเจ็ดดวงโคจรรอบดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ ดาวบริวารลำดับเจ็ดอยู่ห่างออกไปไกลสุด หวังเป่าเล่อคาดว่าระยะห่างระหว่างดาวบริวารดวงนี้กับดาวเคราะห์อยู่ห่างกันมากกว่าระยะทางระหว่างสหพันธรัฐกับดวงจันทร์หกเท่า ดาวบริวารดวงนี้ใหญ่กว่าดวงจันทร์ประมาณสองเท่า มีรูปลักษณ์ไม่เหมือนใคร ครึ่งดวงเป็นสีม่วง อีกครึ่งเป็นสีขาว ตรงกึ่งกลางมีหุบเหวที่แบ่งสองฝั่งออกอย่างชัดเจน

เห็นได้ชัดว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติ น่าจะเกิดจากฝีมือมนุษย์มากกว่า

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังหรี่ตามองและจมอยู่ในห้วงความคิด ยักษ์เกราะดำก็ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว มุ่งหน้าตรงไปยังเขตดินแดนสีขาวของดาวบริวาร หวังเป่าเล่อเห็นดินแดนชัดเจนมากขึ้นเมื่อเข้าไปใกล้ เขาเห็นอาคารมากมายตั้งเรียงรายเป็นระเบียบอยู่ในเขตดินแดนสีขาว ดูไม่ต่างจากพลทหารในกองทัพ เหล่าอาคารตั้งเรียงแถวเป็นวงกลม ตรงศูนย์กลางมีรูปปั้นวิหคสีเขียวขนาดใหญ่ตั้งอยู่!

ที่แห่งนี้คือ…กองทัพลำดับสิบของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ กองทหารวิหคน้ำแข็ง!

…………………………………..

บทที่ 768 เทพธิดาหลิงโยว!
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้าขณะที่ตั้วโหย่วจื่อยอมจำนนให้กับโชคชะตาตนเอง สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไม่ได้เตรียมที่พักไว้ให้พวกเขาทำให้พวกที่มาถึงเร็วต้องนั่งสมาธิรออยู่ตรงที่นั่ง ตั้วโหย่วจื่อไปทักทายสหายผู้ฝึกตนที่รู้จัก และทำถึงขนาดหาจุดทำสมาธิบริเวณอื่นเพื่อที่จะได้ไม่ต้องกลับไปยังที่นั่ง…

หวังเป่าเล่อรู้สึกเบื่อมาก แต่ก็ไม่ได้คิดจะไปยังถ้ำที่พักของผู้ฝึกตนหญิงที่นำทางเขาก่อนหน้านี้ โชคดีที่ในที่ประชุมมีผลไม้วิญญาณให้ไม่จำกัด ตลอดสองวันที่ผ่านมา ชายหนุ่มนั่งกินผลไม้วิญญาณไปหลายพันลูกไม่ได้ลุกไปไหน ทำให้เขากลายเป็นที่เกลียดชังของหมู่ศิษย์ในครัวสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไปแล้ว

สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์…ไม่เคยพบเจอคนกระเพาะรั่วเช่นนี้มาก่อน!

ยิ่งเขาสวาปามเข้าไปมาเท่าไหร่ เหล่าศิษย์ในครัวก็จะขโมยอาหารกลับไปได้น้อยลงเท่านั้น ศิษย์เหล่านี้มองการประชุมสามัญเป็นโอกาสทองที่จะร่ำรวยจากการขโมยเอาอาหารไปขาย จึงรู้สึกเจ็บปวดใจกับการสูญเสียรายได้ครั้งนี้

เหล่าศิษย์ในครัวต่างพากันถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อผู้ประชุมในการประชุมสามัญมาถึงกันครบถ้วน ทำการประชุมสามัญจะได้เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการเสียที มิเช่นนั้น จากการคำนวณของพวกเขา เสบียงที่เตรียมไว้คงต้องหมดลงในเร็ววันเป็นแน่

ตั้วโหย่วจื่อต้องจำใจกลับที่นั่ง ชายชราแอบถอนหายใจเมื่อนั่งลงข้างหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มหันไปสำรวจตั้วโหย่วจื่อด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้พยายามจะทำให้อีกฝ่ายอึดอัดใจ จากนั้นจึงหันไปมองผู้อาวุโสในชุดคลุมสีดำซึ่งนั่งอยู่ตัวคนเดียวบนแท่นชั้นสอง

เขาเป็นเพียงคนเดียวที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่น แม้จะพยายามสะกดพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะเอาไว้ แต่พลังที่ล้นเหลือก็ยังเล็ดลอดออกมาจากร่างกายอยู่ดี ทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนนั่งอยู่ใกล้ภูเขาไฟที่จวนเจียนจะระเบิด ทั่วทั้งโถงล้วนตกอยู่ในความเงียบงัน

เขาอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์! หวังเป่าเล่อตื่นตะลึง มีเพียงผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์และขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์เท่านั้นที่สามารถข่มพลังผู้ฝึกตนทั้งหมดในโถงด้วยพลังปราณของตนเพียงอย่างเดียว และเนื่องจากเขาไม่ได้อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ ดังนั้นจึงต้องอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นสมบูรณ์

หากอิงตามเกณฑ์นี้ก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะระบุตัวตนของผู้อาวุโสคนนั้น!

“ตั้วโหย่วจื่อ ข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก บอกข้าทีว่าคนนั้นใคร” หวังเป่าเล่อเหลือบมองตั้วโหย่วจื่อที่นั่งสงวนท่าทีอยู่ในที่นั่งของตนเอง จากนั้นก็ส่งข้อความเสียงไปหาอีกฝ่าย

ตั้วโหย่วจื่อทำหน้านิ่วเล็กน้อย เขาเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะส่งข้อความเสียงกลับไปหาหวังเป่าเล่อสั้นๆ

“นั่นผู้บัญชาการกองทหารปลาคุนสีเขียว กองทหารอันดับหนึ่งของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ สหายเต๋ากูโม่!”

หวังเป่าเล่อพิจารณาผู้อาวุโสคนนั้นอยู่ครู่หนึ่งเพื่อจดจำใบหน้าอีกฝ่ายไว้ ทันใดนั้นสหายแห่งเต๋ากูโม่ ผู้บัญชาการกองทหารปลาคุนสีเขียวก็ลืมตาขึ้น ลมกรรโชกพัดโหมไปทั่วโถงแค่เพียงเขาลืมตา ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบงันทันที

“การประชุมสามัญจะเริ่มต้นขึ้น ณ บัดนี้!” ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเสียงประกาศจะดังขึ้น จากนั้นผู้คนก็เริ่มพูดขึ้นทีละคนตามลำดับบางอย่าง การประชุมครั้งนี้มีคนมากมายเกินไป กว่าที่พันคนแรกจะพูดจบก็ผ่านไปแล้วหกวัน

หกวันที่ผ่านมา ในหมู่หนึ่งพันคนแรกที่ได้พูด บ้างก็ร้องทุกข์ บ้างก็ยื่นคำร้อง บ้างก็ร้องเรียน สหายแห่งเต๋ากูโม่ ประเมินแต่ละเรื่อง ทั้งยอมรับและบอกปฏิเสธไปทีละเรื่อง

หวังเป่าเล่อฟังอย่างเพลิดเพลินในช่วงแรก ก่อนจะค่อยๆ เริ่มเบื่อและรำคาญใจ ศิษย์ที่รับผิดชอบเติมผลไม้วิญญาณให้ชายหนุ่มยืนเป็นกังวลอยู่ด้านหลังเมื่อเห็นเขาเริ่มกินอีกครั้ง

ชายหนุ่มกินผลไม้วิญญาณไปกว่าสองพันลูกตลอดหกวันที่ผ่านมา จากนั้นผู้บัญชาการจากกองทหารอันดับสองก็มารับช่วงดำเนินการประชุมต่อจากสหายเต๋ากูโม่ ทุกอย่างดำเนินไปตามเดิม หวังเป่าเล่อไม่สามารถเพ่งความสนใจไปที่วาระการประชุมได้ จึงหยิบผลไม้มากินเล่นต่อ

จากนั้นผู้บัญชาการกองทหารอันดับสามและสี่ก็เข้ามารับช่วงต่อ ตามด้วยผู้บัญชาการกองทัพอันดับห้าถึงเก้าที่ขึ้นไปนั่งบทแท่นชั้นสาม พวกเขาสลับกันดูแลการประชุม กว่าจะหมดช่วงที่คนเหล่านี้ดูแลก็ผ่านไปแล้วยี่สิบวัน ตลอดช่วงเวลานั้น หวังเป่าเล่อกินผลไม้วิญญาณไปเกือบสามหมื่นลูก และได้ประจักษ์กับตาถึงความแข็งแกร่งของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ เพราะผู้บัญชาการกองทหารหกอันดับต้นล้วนอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสิ้น!

ส่วนผู้บัญชาการกองทหารอันดับเจ็ดลงมาอยู่ในขั้นแสร้งอมตะ ขณะที่ศิษย์ในครัวสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์กำลังจะทนไม่ไหวเพราะเสบียงที่หดหายไปอย่างรวดเร็ว ผู้บัญชาการกองทหารอันดับสิบก็มาปรากฏตัวในที่สุด!

นางคือผู้บัญชาการหญิงคนเดียวในสิบอันดับกองทหารทรงอำนาจประจำสำนัก ภายใต้ชุดเกราะสีดำมีหุ่นโค้งเว้าได้รูปและใบหน้าอันงดงามเกินบรรยาย พลังรัศมีเย็นชาพวยพุ่งออกมาจากร่างกายราวกับเป็นพายุลูกใหญ่ซึ่งเป็นพลังแห่งธรรมชาติที่ดึงดูดสายตาผู้ชายทุกคน

ตัวตนของนางเมื่อมาถึงไม่อาจเทียบชั้นได้กับพลังที่เหล่าผู้บัญชาการขั้นจิตวิญญาณอมตะคนก่อนหน้าปลดปล่อยออกมา แต่ก็เหนือชั้นกว่าผู้บัญชาการขั้นแสร้งอมตะคนอื่นๆ ดวงตาทุกคนเป็นประกายเมื่อเห็นความงดงามของนาง แม้หลายคนจะผุดความคิดผิดบาปขึ้นมา แต่ก็ไม่มีใครกล้ามองนางตรงๆ แม้แต่คนเดียว

“โหย่วจื่อ บอกข้าที่ว่านางคือใคร!” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงทันที นางคือผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่เขาพบตอนอยู่ด้านนอกที่ประชุม การปรากฏตัวของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มผุดคำถามขึ้นในหัว ดูจากระดับพลังปราณในปัจจุบันของนางแล้ว กองทัพที่อยู่ใต้บังคับบัญชาของนางไม่น่าจะอยู่ในสิบอันดับต้นได้ หวังเป่าเล่อจึงส่งข้อความเสียงไปหาตั้วโหย่วจื่อ

ตั้วโหย่วจื่อเงียบไปครู่หนึ่ง เขาไม่ชอบชื่อที่หวังเป่าเล่อเรียกตนมาตลอดสิบกว่าวันที่ผ่านมา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่ตอบคำถามไปอย่างว่าง่าย

“นางคือผู้บัญชาการกองทหารวิหคน้ำแข็ง กองทัพอันดับสิบของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์…ผู้มีนามว่าเทพธิดาหลิงโยว นางเพิ่งบรรลุขั้นจิตวิญญาณอมตะและขึ้นมารับตำแหน่งโดยไม่ได้เข้ารับการทดสอบของกองทหาร มิเช่นนั้น หากว่ากันที่อันดับแล้ว นางควรจะอยู่ในระดับเดียวกับผู้บัญชาการกองทหารอันดับเจ็ด ซึ่งนั่นถือเป็นตำแหน่งที่สูงมากของสำนัก!”

“ไม่แย่ นางมีเนื้อคู่แห่งเต๋าแล้วหรือยัง” หวังเป่าเล่อกะพริบตา ด้วยรูปโฉมอันหล่อเหลาของเขา น่าจะโปรยเสน่ห์ใส่นางและเปิดโอกาสให้ตนเองได้ ชายหนุ่มรู้สึกตื่นตะลึงในความแข็งแกร่งของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ด้วยเช่นกัน ผู้บัญชาการกองทหารอันดับเจ็ดของสำนักเต๋าใหม่ม่วงครามนั้นมีระดับการฝึกตนแค่ขั้นแสร้งอมตะ เทียบกันดูแล้ว สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นแข็งแกร่งกว่าอย่างเห็นได้ชัด การที่สองสำนักเหมือนจะอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกันย่อมหมายความว่าสำนักเต๋าใหม่ม่วงครามยังมีพลังบางยังที่ชายหนุ่มไม่รู้เก็บซ่อนไว้อยู่!

ตั้วโหย่วจื่อถึงกับหันมามองหวังเป่าเล่อเมื่อได้ยินคำถาม เขาจ้องชายหนุ่มอย่างระแวดระวังก่อนจะสงบใจลงได้ จากนั้นก็ตอบข้อความเสียงกลับ

“ยังไม่มี ขอให้โชคดี สหายเต๋าหลงหนานจื่อ!”

หวังเป่าเล่อไม่สนใจสายตาซึ่งเขาคิดว่าเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาของตั้วโหย่วจื่อที่มองมา และเริ่มพิจารณาเทพธิดาหลิงโยวที่เพิ่งรับหน้าที่ผู้ดำเนินการประชุมไป ยิ่งมองก็ยิ่งมั่นใจว่าแผนของตนจะต้องสำเร็จ ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกลังเลใจเล็กน้อยเมื่อต้องตัดสินใจ

หวังเป่าเล่อผู้นี้เป็นคนยึดมั่นในหลักการ ข้ามีเส้นแบ่งที่จะไม่ก้าวข้าม แต่ถ้าเทพธิดาหลิงโยวตกหลุมรักข้าหัวปักหัวปำและไม่สามารถห้ามความปรารถนาอยากเชยชมความหล่อเหลาของข้าได้จะทำอย่างไรเล่า หวังเป่าเล่อถอนใจเมื่อคิดได้ดังนั้นและตัดสินใจไม่เอาตัวเข้าไปเสี่ยง เหล่าศิษย์จากในครัวยืนมองด้วยใจอันเจ็บจี๊ดเมื่อเห็นชายหนุ่มหยิบผลไม้วิญญาณเข้าปากอีกลูก

ห้าวันผ่านไป เมื่อจบช่วงของเทพธิดาหลิงโยว ผู้บัญชาการคนอื่นๆ ของกองทหารสิบอันดับต้นก็ปรากฏตัวจากด้านบนและลงมายืนอยู่บนแท่นชั้นที่สองและชั้นที่สาม ทุกคนในที่ประชุมลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีขึงขัง หวังเป่าเล่อก็เช่นกัน

ผู้บัญชาการทั้งสิบของกองทหารสิบอันดับต้นมาปรากฏตัวกันพร้อมหน้า เหล่าผู้บัญชาการของกองทหารสี่อันดับต้นยืนอยู่บนแท่นชั้นที่สอง ในขณะที่คนอื่นๆ ยืนอยู่บนชั้นที่สาม ในหมู่พวกเขามีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเจ็ดคนและขั้นแสร้งอมตะอีกสามคน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคารพนอบน้อม ทั้งห้องโถงตกอยู่ในความเงียบไปครู่หนึ่งก่อนสหายเต๋ากูโม่ ผู้บัญชาการกองทหารอันดับหนึ่งจะพูดขึ้น เสียงของเขาดังลั่นโถงประชุมราวกับเป็นสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมาโดยไม่ทันให้ตั้งตัว

“ต้อนรับท่านจักรพรรดิผู้สูงส่ง!”

ผู้ฝึกตนทุกคนในโถงประชุมสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินที่เขาพูด พวกเขารีบโค้งคำนับไปทางแท่นที่อยู่ตรงกลางโถง เสียงคนนับพันดังก้องขึ้นถึงสวรรค์!

“ต้อนรับท่านจักรพรรดิผู้สูงส่ง!”

สหายเต๋ากูโม่ เทพธิดาหลิงโยว และผู้บัญชาการกองทหารสิบอันดับต้นคนอื่นๆ ก็โค้งคำนับด้วยเช่นกัน ทันใดนั้น ผืนดินก็สั่นไหวส่งเสียงกึกก้องไปทั่ว การสั่นสะเทือนครั้งนี้สามารถได้ยินและสัมผัสได้แม้อยู่ด้านนอกที่ประชุม พลังแข็งแกร่งเกินบรรยายจุติลงมาบนแท่น

คลื่นพลังพัดกระจายไปทั่วทั้งโถงประชุมราวกับเกิดพายุรุนแรง เหล่าผู้ฝึกตนในโถงเป็นเหมือนเรือแพในคลื่นมหาสมุทรปั่นป่วน ไม่สามารถทำอะไรได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับวายุอันแข็งแกร่งที่ร้องขู่จะถล่มเรือพวกเขาลงทุกเมื่อ

หวังเป่าเล่อสะดุ้งด้วยความตื่นตกใจ แม้จะเคยพบผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์มาก่อน ก็ยังรู้สึกอึดอัดเมื่อได้พบตัวตนใหม่ที่เพิ่งปรากฏ ชายหนุ่มพยายามเงยหน้าขึ้นมอง หางตาเหลือบไปเห็นห้วงอวกาศที่จู่ๆ ก็แหวกออกเป็นรอยแยกส่องแสงสุกสว่างอยู่ด้านบนของแท่น!

ชายวัยกลางคนในชุดคลุมหลากสีก้าวออกมาจากรอยแยกพร้อมรอยยิ้มอันอบอุ่น เหมือนเป็นเทพจุติลงมายังโลกมนุษย์ก็ไม่ปาน ในหัวทุกคนเต็มไปด้วยเสียงอื้ออึงเมื่อเขาปรากฏตัว

หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว รู้สึกปวดตาขึ้นมาเมื่อมองชายตรงหน้าเพียงแค่แวบเดียว แสงเรืองรองที่เปล่งออกมานั้นไม่ต่างจากคมมีดอย่างไรอย่างนั้น

ชายหนุ่มไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป แม้จะต้องละสายตาออกมาเพราะความเจ็บปวด แต่เขาก็สามารถเห็นอีกฝั่งหนึ่งของรอยแยกที่จักรพรรดิระดับดาวพระเคราะห์ก้าวออกมาจากการมองเพียงแค่แวบเดียวได้ อีกด้านหนึ่งคือห้วงอวกาศกว้างใหญ่ไพศาลที่มีดาวเคราะห์ส่องแสงสุกสว่างอยู่ดวงหนึ่ง!

เมื่อเหลือบไปเห็นดาวเคราะห์ดวงนั้น ความรู้ที่หวังเป่าเล่อได้อ่านมาจากบันทึกโบราณของสำนักแห่งความมืดเกี่ยวกับวิธีบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ก็ผุดขึ้นในหัว การจะบรรลุระดับดาวพระเคราะห์ได้นั้น…ผู้ฝึกตนจะต้องหลอมตนเองเข้ากับดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์ดวงนั้นจะกลายเป็นผู้ฝึกตนและผู้ฝึกตนก็จะกลายเป็นดาวเคราะห์ ทั้งสองจะผสานรวมเป็นหนึ่ง!

ดาวเคราะห์ดวงนั้นจะหายไปจากห้วงอวกาศและคงอยู่ในหัวของผู้ฝึกตนแทน!

ยิ่งผู้ฝึกตนหลอมตนเองเข้ากับดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่และพิเศษมากเท่าใดก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น แต่ดาวเคราะห์เช่นนั้นหาได้ยากยิ่ง ถึงจะมีอยู่ก็มีผู้ฝึกตนทรงอำนาจค้นพบและถือครองไว้เป็นของตนเองแล้ว

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด พลังกดดันทั่วบริเวณก็หายวับไปหมด ชายวัยกลางคนที่ปรากฏตัวจากรอยแยกนั่งลงบนชั้นบนสุดของแท่น รอยแยกหดขนาดลง กลายเป็นช่องเล็กที่ส่องแสงออกมา ดูแล้วเหมือนกับ…ดวงตาของงูไม่มีผิด!

“ถวายบังคมจักรพรรดิผู้สูงส่ง!” สหายแห่งเต๋ากูโม่กล่าวขึ้นอีกครั้ง ทุกคนพูดตามเขา เสียงของเหล่าผู้ฝึกตนดังก้องขึ้น ขณะที่เสียงดังก้องไปทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อก็กะพริบตาและตะโกนสุดเสียงที่เขามี

“ถวายบังคมจักรพรรดิผู้สูงส่ง! ขอให้หนึ่งรัชสมัยของท่านเจริญรุ่งโรจน์ ให้สองมังกรยอมสยบอยู่ใต้บัญชาท่าน ให้สามดินแดนยอมกำราบในความองอาจ ให้สี่ทิศของโลกยอมจำนนเป็นข้ารองบาท ให้นิ้วทั้งห้าของท่านลงทัณฑ์บัญชา! ขอให้ท่านหลุดพ้นจากสังสารวัฏหกวิถี ให้วิญญาณของท่านคงอยู่ตราบนานเท่าที่เจ็ดดาวฤกษ์ยังส่องสว่าง ให้จิตใจของท่านแข็งแกร่งเหนือการยั่วยุจากหมู่มารทั้งแปดแคว้น ให้สติปัญญาของท่านแจ่มชัดปราดเปรื่องในเก้าอารมณ์ และขอให้ระดับดารานิรันดร์อยู่ห่างจากท่านแค่เพียงสิบก้าว!”

………………………………..

บทที่ 767 มีบางอย่างแปลกๆ!
หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองหญิงสาวเบื้องหน้า ด้วยพลังของเขาในปัจจุบัน แค่ตบฉาดเดียวก็เปลี่ยนนางให้กลายเป็นเศษเนื้อและเศษผ้าได้ และคงจะยากทีเดียวที่จะแยกได้ว่าอะไรคืออะไร

แต่พอพิจารณาว่าตอนนี้ตนอยู่ในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ เขาก็ตัดสินใจมองข้ามน้ำเสียงอวดดีของนางไป และเผยยิ้มที่คิดว่าน่าจะดูดีที่สุดพร้อมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ขอบคุณที่ช่วยนำทางข้า หืม ดูเหมือนเจ้าจะทำกระเป๋าคลังเก็บตกนะ” หวังเป่าเล่อก้าวไปด้านหน้าพร้อมรอยยิ้มและความแปลกใจที่แฝงอยู่ในน้ำเสียง หญิงสาวนิ่งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น จากนั้นก็จ้องชายหนุ่มที่กำลังพลิกฝ่ามือเผยให้เห็นกระเป๋าคลังเก็บและยื่นไปตรงหน้านาง

หญิงสาวมีสีหน้าประหลาดใจ นางหยิบกระเป๋าคลังเก็บมาตรวจดู หัวใจของนางเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย ของด้านในกระเป๋าทำให้นางหน้าแดงระเรื่อจางๆ หญิงสาวมองหวังเป่าเล่ออีกครั้งด้วยสีหน้าแปลกแปร่ง หลังจากพิจารณาชายหนุ่มอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของนางก็ดูอ่อนโยนขึ้น รอยยิ้มผุดให้เห็นบนใบหน้า นางกระแอมกระไอเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ขอบคุณสหายเต๋าหลงหนานจื่อที่ช่วยบอก”

หวังเป่าเล่อผุดยิ้มบาง ในกระเป๋าใส่ขนมของเจ้าลาไว้เล็กน้อย ซึ่งก็คือวัตถุดิบต่างๆ ที่เขาคิดว่ามีระดับต่ำกว่าขั้นการฝึกตนของตัวเอง ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ได้ตรวจดูของข้างในอย่างละเอียดและไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไร ถ้าให้พวกมันไปแล้วได้ข้อมูลกลับมาสักเล็กน้อยก็ถือว่าได้ใช้วัตถุดิบเหล่านี้อย่างเต็มประสิทธิภาพแล้ว

ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงคอยสงวนท่าทีขณะเดินตามหลังผู้ฝึกตนหญิงไปพร้อมเอ่ยถามอย่างมีมารยาท อาจเป็นเพราะของขวัญที่ให้ไปหรือเพราะเสน่ห์ที่ชายหนุ่มคิดว่าตนมีก็ไม่ทราบ แต่หญิงสาวก็เริ่มบอกข้อมูลให้เขารู้เล็กน้อย

เช่น…มีผู้คนหลายพันคนมาร่วมการประชุมสามัญครั้งนี้ เทียบกับคนส่วนใหญ่แล้ว หวังเป่าเล่อถูกจัดให้นั่งไกลจากแถวหน้า

เช่น…การประชุมสามัญส่วนใหญ่จะกินเวลาประมาณหนึ่งเดือน จักรพรรดิจะมาปรากฏตัววันสุดท้าย ผู้บัญชาการจากแต่ละกองทหารจะเป็นคนนำการประชุมก่อนหน้านี้ทั้งหมด

หลังจากเรียบเรียงข้อมูลเล็กน้อยที่ได้มา หวังเป่าเล่อก็เริ่มเห็นภาพการประชุมสามัญมากขึ้น ตอนแรกเขาก็เดาไม่ถูกในหลายๆ อย่าง แต่ก็เริ่มเข้าใจภาพรวมชัดเจนขึ้น

จากที่ได้เห็นและได้ฟังก็พิสูจน์ได้ว่าจักรพรรดิสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ไม่ได้สนใจในตัวเขามากขนาดนั้น มิเช่นนั้นเขาคงไม่ถูกรับเชิญให้มาร่วมการประชุมสามัญ แต่ควรได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิตัวต่อตัวไปแล้ว

การจัดวางตำแหน่งที่นั่งก็บอกได้ชัดเจน ชายหนุ่มได้รับเชิญตามมารยาทเท่านั้น

ข้าอาจจะได้รับรางวัลบางอย่าง แต่ก็มีโอกาสสูงที่จะได้ขึ้นเป็นสมาชิกของสำนัก… หวังเป่าเล่อเป็นเจ้าพนักงานระดับสูงในสหพันธรัฐ จึงเริ่มจับสถานการณ์ได้หลังจากไตร่ตรองเรื่องนี้ รอยยิ้มนุ่มนวลกว่าเก่าผุดขึ้นบนใบหน้าเมื่อชายหนุ่มหันไปหาหญิงสาวที่อยู่ข้างๆ

เมื่อพวกเขามาที่สถานที่จัดประชุม หญิงสาวก็แตะกระเป๋าคลังเก็บที่หวังเป่าเล่อให้มาอีกครั้ง แก้มของนางขึ้นสีเมื่อสัมผัสถึงของบางอย่างด้านใน หลังจากลังเลใจอยู่สักพัก นางก็เอ่ยขึ้นเบาๆ “ข้าพำนักอยู่ที่ถ้ำสิบหก ในถ้ำที่พักที่เก้า บนยอดเขาที่เจ็ดของสำนักทิศเหนือ…”

อะไรนะ หวังเป่าเล่อที่กำลังสำรวจสถาปัตยกรรมของสถานที่จัดประชุมตะลึงงันไปเมื่อได้ยินนางบอกที่พักของตนอย่างละเอียด เขาหันกลับไปนาง แต่โชคไม่ดีที่เห็นเพียงหลังของอีกฝ่ายที่รีบวิ่งหายไปไกล

มีบางอย่างแปลกๆ ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความงุนงง เขาสงสัยว่ามีอะไรมีค่าในกระเป๋าคลังเก็บที่เพิ่งให้ไปหรือไม่ ถึงจะไม่ได้ตรวจดูอย่างละเอียด แต่หวังเป่าเล่อก็ใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบของด้านในแล้วจึงมั่นใจว่าไม่น่าจะมีของมีค่าอะไรซ่อนอยู่ในขยะกองนี้

แน่นอนว่าของข้างในน่าจะมีค่าสำหรับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ แต่ในสายตาของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณแล้วพวกมันล้วนแล้วแต่ไร้ค่าทั้งสิ้น

หรือว่า…นางจะพ่ายแพ้ให้กับความหล่อเหลาเกินต้านทานของข้า หวังเป่าเล่อเบิกตากว้าง เขาสรุปเอาเองว่าตนน่าจะหล่อขึ้นโดยที่ไม่รู้ตัว ไม่คิดเลยว่าในเวลาสั้นๆ จะมีคนมาชอบตนเพิ่มอีกโดยที่ไม่ได้ทำอะไร

แต่เราไม่เหมาะกันเท่าไหร่ น่าเสียดายจริงๆ เขากระแอมกระไอ ถึงกระนั้นก็รู้สึกดีที่มีคนมาชอบ ชายหนุ่มพิจารณาสถาปัตยกรรมของสถานที่จัดประชุมต่อ ไม่ได้รู้เลยว่าเจ้าลากำลังคุ้ยหาของอยู่อย่างกระวนกระวายภายในกระเป๋าคลังเก็บ ราวกับว่าได้ทำของเล่นชิ้นสำคัญหายไป…

จากด้านนอก ที่จัดประชุมดูเหมือนพญาเผิงที่กำลังสยายปีกพร้อมจะโผขึ้นสู่เวหา ช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก อาคารมีสีเขียวอ่อน ตรงประตูทางเข้ามีมวลชนผู้ฝึกตนเดินเข้าเดินออก ทำให้สถานที่แห่งนี้ดูวุ่นวาย ไม่มีใครเลยที่เขาคุ้นหน้าในหมู่ฝูงชน ถึงกระนั้น หวังเป่าเล่อก็แสร้งทำเป็นรู้จักทุกคน ทั้งยิ้มและพยักหน้าให้คนที่สบตาระหว่างเดินเข้าไปในที่ประชุม เมื่อเข้าไปด้านใน ชายหนุ่มก็มองไปรอบๆ ภายในที่ประชุมมีรูปทรงเหมือนขนมวง รองรับคนได้มากถึงหนึ่งหมื่นคน

ตรงใจกลางขนมวงมีแท่นทรงกลมตั้งอยู่ แท่นแบ่งเป็นสามชั้น ชั้นบนสุดมีเบาะรองนั่งวางอยู่ ตรงนั้นคือที่นั่งสำหรับคนที่ทรงอำนาจมากที่สุดในที่ประชุม

ชั้นที่สองมีเบาะรองนั่งต่างสีสี่ใบวางอยู่ตรงมุมทั้งสี่ สี่คนที่ได้นั่งเด่นอยู่กลางคนนับหมื่นจะต้องมีตำแหน่งและสถานะสูงส่งไม่แพ้กัน ส่วนชั้นที่สามของแท่นทรงกลมมีเบาะรองนั่งหกใบ!

หวังเป่าเล่อเลื่อนสายตาผ่านแท่นทรงกลมไปมองรอบๆ เขาไม่ได้มาถึงเร็วหรือช้าเกินไป มีผู้ฝึกตนอยู่ในที่ประชุมประมาณหนึ่งถึงสองพันคนมารออยู่ก่อนแล้ว

เพราะที่ประชุมมีขนาดใหญ่และมีผู้เข้าร่วมประชุมมากมาย การมาถึงของหวังเป่าเล่อจึงไม่ได้ดึงความสนใจจากใคร ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็พบชื่อของตนเองบนที่นั่งตรงมุมหนึ่ง เขามองไปยังที่นั่งข้างๆ เจ้าของที่นั้นยังมาไม่ถึง ชายหนุ่มนั่งลงและเห็นผลไม้วิญญาณรวมถึงเครื่องดื่มบนโต๊ะด้านหน้า เขาหยิบผลไม้ขึ้นมากัดคำหนึ่ง

รสชาติดีไม่เบา หวังเป่าเล่อตาเป็นประกาย ในที่สุดก็มีคนมานั่งตรงที่นั่งด้านซ้ายหลังจากชายหนุ่มกินผลไม้วิญญาณลูกที่หกเข้าไป คนด้านซ้ายคือชายชราร่างท้วมที่ยิ้มกว้างให้ เขามีระดับการฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเทียบเท่าหวังเป่าเล่อ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่คนของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ แต่เป็นคนจากสำนักในสังกัด ชายชราทำตัวสุภาพมากกับทุกคนที่ชนระหว่างเดินมายังที่นั่ง และยังเป็นผู้เปิดบทสนทนาหลังจากที่นั่งลงข้างหวังเป่าเล่อ

“สหายเต๋า ข้าไม่คุ้นหน้าเจ้าเลย ข้าตั้วโหย่วจื่อจากสำนักทิศเหนือ” ชายชราร่างท้วมกุมหมัดทักทายพร้อมแนะนำตัวอย่างอบอุ่น

“ท่านคือสหายแห่งเต๋าตั้วโหย่วจื่อเองหรือ ชื่อเสียงของท่านเป็นที่กล่าวขาน ได้ยินแค่ชื่อก็สู้เจอตัวจริงไม่ได้ ช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้เจอท่าน!” หวังเป่าเล่อวางผลไม้วิญญาณในมือและยิ้มให้ ก่อนจะเริ่มสนทนากับผู้ฝึกตนคนข้างๆ ทันที

หวังเป่าเล่อจำข้อคิดในอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงได้ดี อีกทั้งยังเป็นเจ้าพนักงานระดับสูงในสหพันธรัฐมาหลายปี เขาจึงไม่มีปัญหาเรื่องทักษะการสื่อสาร ชายชราเองก็อยากจะได้เพื่อนใหม่เช่นกัน ทั้งสองคุยกันอย่างครื้นเครงอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งชายชราถามถึงชื่อของเขา หวังเป่าเล่อตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าหลงหนานจื่อ”

“หลงหนานจื่อ…ชื่อคุ้นๆ…เจ้าคือหลงจอมคลั่งนี่!” ชายชราร่างท้วมทำหน้าสงสัยเมื่อได้ยินชื่อของชายหนุ่ม เขาหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบิกตากว้าง ถึงกับผละออกห่างและชะงักไปชั่วขณะ สีหน้าเป็นมิตรเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวเมื่อมองไปยังหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็รีบเอ่ยขอโทษขอโพยออกมา

“สหายเต๋าหลงหนานจื่อ อย่าถือโทษโกรธข้าเลย…” ตั้วโหย่วจื่อยิ้มแหยๆ พร้อมรินสุราให้หวังเป่าเล่อเพื่อเป็นการแสดงความขอโทษ

ชายหนุ่มยังคงยิ้มอยู่ เขายกแก้วขึ้นและถามออกไป “เหตุใดท่านถึงเรียกข้าว่าหลงจอมคลั่ง”

“สหายเต๋า…ศึกระหว่างเจ้ากับกองทหารมังกรหยดหมึกทำให้พวกเราตื่นตกใจกันไปทั่ว เพราะศึกครั้งนั้น กองทหารมังกรหยดหมึกจึงหลุดออกจากกองทัพทรงอำนาจสิบอันดับต้นของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ…ทุกคนจึงคิดว่าเจ้าต้องบ้าไปแล้วถึงกล้าดีเช่นนี้!” ชายชราร่างท้วมพยายามแก้ตัวพร้อมปาดเหงื่อออกจากหน้าผาก เขาโล่งใจเมื่อเห็นว่าฉายานั้นไม่ได้ทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคืองอะไร จากนั้นก็สาปส่งโชคชะตาที่ส่งตนมานั่งข้างหลงจอมคลั่ง ถ้ามีใครเข้าใจผิดว่าตนเป็นสหายของอีกฝ่ายละก็ พวกหิวเงินค่าหัวที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำตั้งไว้ต้องมาเคาะประตูบ้านสร้างปัญหาให้ทุกวันแน่

ชายชราร่างท้วมถอนใจเมื่อคิดดังนั้น ก่อนจะตัดสินใจมองข้ามเรื่องนี้ไปและพยายามสุดความสามารถที่จะไม่ทำให้ชายโหดจอมคลั่งที่นั่งข้างๆ ต้องขุ่นเคืองใจตลอดการประชุม ที่พวกเขาเรียกขานชายหนุ่มว่าจอมคลั่งนั้นไม่ได้มาจากความกล้าบ้าบิ่น แต่มาจากการที่เขาสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณของกองทหารมังกรหยดหมึกเพียงเพราะว่าอีกฝ่ายมาปล้นเรือบินรบไป คงจะไม่แย่ขนาดนี้ถ้าชายหนุ่มจบที่การสังหารทั้งกลุ่มทิ้ง แต่เขากลับถึงขั้นลงมือสังหารศิษย์รักของผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกต่อหน้านางด้วย!

และคงจะไม่แย่ขนาดนี้ถ้าเขาหยุดเพียงเท่านั้น แต่ไม่มีใครรู้ว่าชายหนุ่มคิดอะไรอยู่ หลังจากผ่านไปพักใหญ่เขาก็กลับมาปรากฏตัวอีกรอบ จากนั้นก็ใช้กลยุทธ์เรือบินรบระเบิดตัวเองถล่มกองทหารมังกรหยดหมึก การกระทำเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเขาไม่ได้สนใจผลลัพธ์ที่ตามมาแม้แต่น้อย แล้วจะให้เรียกว่าอะไรถ้าไม่ใช่การกระทำของคนคลั่ง…

………………………..

บทที่ 766 สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์!
เมื่อมองจากที่ไกลๆ ดาวเคราะห์มหาทัณฑ์นั้นครึ่งหนึ่งมีสีฟ้าและอีกครึ่งหนึ่งมีสีเหลือง ส่วนสีฟ้าคือทะเล อีกส่วนคือผืนดิน พลังชีวิตกล้าแกร่งกระจายอยู่ทั่วดาวเคราะห์ แสดงให้เห็นว่าต้นกำเนิดดาราของดาวเคราะห์ดวงนี้ช่างน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก

ถึงจะไม่ได้มีขนาดใหญ่เท่าดาวเอกอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่การมีอยู่ของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ทำให้ดาวเคราะห์แห่งนี้เหนือชั้นกว่าดาวเอกของราชวงศ์ เมื่อผนวกเข้ากับดาวเคราะห์ครามทองคำและดาวเคราะห์ผนึก ดาวทั้งสามจึงเป็นผู้ปกครองทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์

บนดาวเคราะห์แห่งนี้มีวงแหวนปราณแกร่งกล้าจนน่าสะพรึงกลัวตั้งอยู่ วงแหวนนี้ห้อมล้อมไปทั้งดาวเคราะห์ เป็นวงป้องกันแข็งแกร่งพร้อมด้วยดาวบริวารรอบๆ ทั้งเจ็ดที่สามารถต้านทานพลังผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ได้!

นอกจากนี้ยังมีผู้อาวุโสระดับดาวพระเคราะห์ของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์คอยคุ้มกันอยู่ ตัวตนของเขาเป็นเหมือนดังดวงอาทิตย์ที่ฉายแสงให้ดาวเคราะห์ทั้งใบ ราวกับเทพที่ทุกคนให้ความเคารพ!

ผู้ฝึกตนมากมายเดินทางเข้าออกดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นับล้านหรือศิษย์จากสำนักในสังกัด ทำให้ดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ครึกครื้นอยู่ตลอดเวลา

พวกเขาสร้างท่าอากาศยานกว่าพันแห่ง และยังมีลานฝึกหลากหลายรูปแบบจำนวนๆ เท่ากันซึ่งเป็นของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ด้วย เมื่อหวังเป่าเล่อมาถึงก็ได้พบวงแหวนปราณที่ส่องแสงเป็นประกายเหมือนสายรุ้ง และรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังกดดันที่แผ่ออกมาจากวงแหวนปราณซึ่งสั่นคลอนไปถึงดวงวิญญาณ

วงแหวนปราณนี่…แข็งแกร่งมาก! เขาหันมองดาวบริวารรอบๆ ของดาวเคราะห์มหาทัณฑ์และสัมผัสถึงพลังของวงแหวนปราณอีกครั้ง จากนั้นก็ไล่ความคิดยุ่งเหยิงในหัวออกไปและมุ่งหน้าไปยังน่านฟ้าที่กำหนดไว้ตามกฎของดาวเคราะห์มหาทัณฑ์

ผู้ฝึกตนไม่สามารถเข้าไปในดาวเคราะห์มหาทัณฑ์จากที่ใดก็ได้ มีเพียงสามจุดบนวงแหวนปราณที่เปิดเป็นทางให้เข้าได้ ผู้ฝึกตนทุกคนและเรือบินรบทุกลำจะต้องลงทะเบียนยืนยันตัวตนและผ่านเข้าไปตามคุณสมบัติที่กำหนด ถ้ามีระดับไม่สูงพอ หลังจากเข้าไปในดาวเคราะห์มหาทัณฑ์แล้ว จะไม่สามารถย่างกรายไปยังพื้นที่ห้ามเข้าได้แม้แต่ก้าวเดียว ใครที่ฝ่าฝืนกฎ…จะถูกวงแหวนปราณของดาวเคราะห์มหาทัณฑ์กำจัดทิ้ง!

หวังเป่าเล่อแบกรับพลังกดดันจากวงแหวนปราณขณะมุ่งหน้าไปยังดาวเคราะห์ทัณฑ์สวรรค์อย่างระมัดระวัง เขาหยิบแผ่นหยกประจำตัวออกมาให้ทหารเฝ้ายามของดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ที่มองมาด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็ได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าไปด้านในเพราะมีชื่ออยู่ในรายชื่อแขก แต่สถานที่ที่ชายหนุ่มเข้าไปได้นั้นมีจำกัด รวมถึงเส้นทางก็ถูกกำหนดไว้ให้แล้ว

หวังเป่าเล่อไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากผ่านเข้าวงแหวนปราณและก้าวเข้าไปในดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ นอกจากจะสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตอันน่าสะพรึงกลัวแล้ว เขายังสัมผัสได้ถึงปราณวิญญาณอันหนาแน่นด้วย

ด้วยสัมผัสสวรรค์ของชายหนุ่ม ถึงแม้ว่ามันจะไม่ครอบคลุมทั้งดาวเคราะห์ แต่เขาก็สามารถสัมผัสได้ว่าหลายๆ ส่วนบนดาวเคราะห์มหาทัณฑ์มีปราณวิญญาณอัดแน่นอยู่มากผิดปกติ

ส่วนเหล่านั้น…คือทางเข้าสู่ภูเขาสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย!

มีทางเข้าอยู่เจ็ดแห่ง แต่ละแห่งนั้นหรูหรามาก เป็นภูเขาแฝดสองลูกที่สร้างขึ้นจากศิลาวิญญาณดึกดำบรรพ์ซึ่งตั้งสูงเฉียดฟ้า และระหว่างภูเขาทั้งสองลูก…คือประตูสู่สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์!

ทางเข้าบางแห่งตั้งอยู่บนทะเล บางแห่งก็ตั้งอยู่บนยอดภูเขา บ้างก็เป็นเหมือนกระบี่ที่ปักลงมาจากสวรรค์สู่ทะเลทราย พลังมหาศาลที่แผ่ออกมาสั่นคลอนไปทั่วบริเวณ!

ด้านในประตูนั้นยิ่งพิเศษกว่า!

ตามที่เต๋อคุณจื่อบอกมา ถึงแม้ว่าสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เหมือนจะตั้งอยู่บนดาวเคราะห์มหาทัณฑ์ แต่จริงๆ แล้วมันตั้งอยู่ในห้วงอวกาศที่แยกตัวออกมาต่างหาก… หวังเป่าเล่อยืนอยู่เหนือทะเลและจ้องมองภูเขาเบื้องหน้าที่ตั้งสูงจากพื้นน้ำดูงดงามดั่งกระบี่ปักษาสวรรค์ ชายหนุ่มสูดหายใจลึกและเตรียมพร้อมเข้าไปด้านใน

ทันใดนั้นเมฆหมอกบนท้องฟ้าเบื้องหลังชายหนุ่มก็หมุนวน แรงสั่นสะเทือนกระจายไปทั่วพื้นที่ ส่วนของใบหน้าขนาดใหญ่ยักษ์พลันปรากฏขึ้นมาจากหมู่เมฆ!

แม้จะเป็นแค่ส่วนหนึ่งแต่พลังที่ปล่อยออกมาก็มีมากขนาดสั่นสะเทือนฟ้าดินและทำให้ทะเลสั่นคลอน คลื่นน้ำแหวกออกเหมือนงูที่กำลังเลื้อยหนี พลังกดดันมหาศาลทำให้หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว ดวงวิญญาณสั่นไหว ร่างกายของเขาสั่นเทิ้มและถอยร่นออกไปอย่างควบคุมไม่ได้

ขณะที่กำลังถอยหนี ใบหน้าในหมู่เมฆก็ปรากฏขึ้นเกือบครบทุกส่วน เห็นเป็นหน้าไร้อารมณ์ของมนุษย์ ดูแล้วไม่เหมือนเป็นผู้ฝึกตน แต่เหมือนสร้างขึ้นจากโลหะมากกว่า นอกจากจะมีสีดำสนิทแล้ว ยังมีตัวอักขระมากมายเปล่งแสงอยู่บนใบหน้า

นี่มัน… เมื่อเห็นความแปลกประหลาดของใบหน้านั้น ความคิดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหัวของหวังเป่าเล่อทันที ไม่ต้องรอให้ได้คำตอบชัดเจน ใบหน้าบนฟ้าก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ท้ายที่สุดมันก็หดตัวลงอย่างสมบูรณ์และกลายเป็นชุดเกราะที่มีร่างเงาสวมใส่อยู่!

เส้นผมสีดำขลับปลิวไปตามสายลม รูปโฉมอ่อนช้อยเหมือนดั่งหยก หุ่นโค้งเว้าสวยงาม ชัดเจนว่าร่างเงานี้เป็นสตรีที่ดึงดูดสายตาใครหลายคนได้ด้วยรูปร่างหน้าตาอันสะสวย!

ใบหน้าสวยสดงดงามนั้นไร้ซึ่งอารมณ์ แม้แต่สายตาก็ดูเย็นชา นางสวมชุดเกราะสีดำ จุติลงมาจากสวรรค์และย่างผ่านหวังเป่าเล่อไป นางผ่านเข้าไปในประตูภูเขาแฝด ก่อนจะแหวกอากาศและหายวับไป

ตั้งแต่ต้นจนจบ นางไม่ได้ปรายตามองหวังเป่าเล่อเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าสำหรับนางแล้ว ชายหนุ่มไม่ได้มีตัวตนอยู่กระนั้น

ขั้นจิตวิญญาณอมตะ! กับ…เรือบินรบเวท! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก พลังที่แผ่ออกมาของนางแข็งแกร่งกว่าผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก แต่ก็ยังอ่อนด้อยกว่าระดับดาวพระเคราะห์ หากพิจารณาตามความจริงข้อนี้ ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ นางจะต้องอยู่ในขั้นจิตวิญญาณอมตะ

ส่วนร่างเงายักษ์ที่กลายเป็นชุดเกราะนั้น หวังเป่าเล่อรู้จักดี มันคือเรือบินรบเวท มีระดับเทียบเท่าอาวุธเวท! ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้น มีเพียงสามสำนักใหญ่และตระกูลราชวงศ์เท่านั้นที่สามารถหลอมเรือบินรบเวทได้โดยใช้เคล็ดวิชาหลอมวัตถุเวทขั้นสูง

เป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้ฝึกตนธรรมดาจะได้ควบคุมเรือบินรบเวท มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเท่านั้นที่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้น!

วัตถุที่หลอมขึ้นจากจากเคล็ดวิชาหลอมวัตถุเวทขั้นสูงสุดของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์… ดวงตาหวังเป่าเล่อฉายแววสนใจใคร่รู้อันแรงกล้าซึ่งไม่สามารถสังเกตเห็นได้ เขาได้ยินเรื่องเรือบินรบเวทมาก่อน พอได้เห็นกับตาเป็นครั้งแรกก็ถึงกับตื่นตะลึงไป แม้เรือบินรบเวทจะมีไอพลังด้อยกว่าวัตถุเวทแห่งความมืด แต่ก็แข็งแกร่งกว่าหอกของผู้นำสหพันธรัฐ เหมือนว่าจะอยู่ในระดับเดียวกับแขนอาวุธเทพ

ความแตกต่างระหว่างเหล่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่มีเรือบินรบเวทกับพวกที่ไม่มีนั้นช่างน่าตื่นตะลึงยิ่งนัก! หวังเป่าเล่อนึกถึงเกราะจักรพรรดิของตนเองขึ้นมาทันที

ถ้าข้าหลอมเรือบินรบเวทได้ จะเอามาใช้กับเกราะจักรพรรดิได้หรือไม่นะ… หวังเป่าเล่อรู้สึกสนใจมากขึ้นเมื่อคิดได้เช่นนั้น แต่เขาก็รู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามัวคิดอะไรเช่นนั้น ชายหนุ่มสูดหายใจลึก ปัดความคิดทิ้งไป และมุ่งหน้าตรงไปยังประตูภูเขาแฝดด้วยการขยับตัวเพียงครั้งเดียว

พื้นที่ระหว่างภูเขาแฝดดูกว้างใหญ่ แต่พอเข้าไปใกล้เขาก็รู้สึกเหมือนแหวกเข้าไปในม่านน้ำ คลื่นน้ำไหวกระเพื่อมเมื่อเขาถูกหลอมรวมกับพื้นที่ตรงนั้นและหายวับไป

เวลาเหมือนจะหยุดนิ่งชั่วขณะ หลังจากผ่านม่านน้ำเข้ามาได้ ร่างของหวังเป่าเล่อก็เหมือนจะสูญเสียการทรงตัว ขณะเดียวกัน ดวงจิตเย็นเยียบขนาดใหญ่ก็เคลื่อนตัวผ่านเขาไปมา ราวกับกำลังตรวจสอบยืนยันตัวตนและตรวจดูข้าวของทั้งหมดของเขา!

นี่คือจุดตรวจ และเป็นการทดสอบขั้นสุดท้ายว่าหวังเป่าเล่อสามารถสวมรอยเป็นหลงหนานจื่อได้อย่างแท้จริงหรือไม่ เขาได้เรียนรู้ส่วนสำคัญหลายๆ อย่างจากเต๋อคุนจื่อ จึงมั่นใจว่ากระบวนท่าสารัตถะของตนจะผ่านการทดสอบสุดท้ายนี้ได้แน่นอน

และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ไม่ว่าสำนักไหนบนดาวเคราะห์ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็ไม่มีทางมองพลังเทพที่ศิษย์พี่เฉินชิงสร้างขึ้นมาได้ ไม่ว่าดวงจิตจะตรวจสอบอย่างไร สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็ปกติดี ไม่พบปัญหาอะไรทั้งสิ้น หลังจากนั้นประมาณเจ็ดถึงแปดชั่วลมหายใจ ร่างของหวังเป่าเล่อก็ถูกพลังที่นุ่มนวลส่งไปด้านหน้า และหลุดออกจากสภาพที่เหมือนโดนผนึกไปได้ ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ที่แท้จริง!

บนฟากฟ้าสีครามมีฝูงนกกระเรียนสีขาวโบยบินอยู่ ทั่วพื้นที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ บนท้องนภามีห้วงอวกาศที่เป็นดั่งเส้นสายรุ้ง มียอดเขามากมายที่ปกคลุมด้วยหมอก ระหว่างยอดเขามีทุ่งวิญญาณจำนวนมากที่มีทั้งเสียงนกและกลิ่นหอมของดอกไม้คละเคล้ากันไป ระหว่างท้องฟ้าและผืนดินมีเงาผู้ฝึกตนอยู่ไม่น้อย บ้างก็กำลังคุยกันอย่างมีความสุข บ้างก็กำลังทะเลาะกัน บ้างก็วิ่งวุ่นไปมา…

หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงร้องคำรามของอสูรศักดิ์สิทธิ์ ได้เห็นศีรษะของมังกรสีเงินขนาดใหญ่กำลังเคลื่อนตัวไปในห้วงอวกาศ ทั้งหมดนี้ทำให้ชายหนุ่มหรี่ตาลง

จุดที่เขาอยู่ในตอนนี้คือแท่นบูชาโบราณบนยอดเขา รอบตัวเต็มไปด้วยเสาค้ำที่มีตัวอักขระสลักอยู่ ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังมองไปยังฟากฟ้าและผืนดินภายใต้พลังอันยิ่งใหญ่นี้ หญิงสาวนางหนึ่งในชุดสวมใส่ในวังก็เดินออกมาจากหมู่เมฆบนสวรรค์!

แม้ระดับการฝึกตนของนางจะอยู่เพียงขั้นจุติวิญญาณ และสวมใส่เครื่องแต่งกายของทางวัง ทว่าหน้าตาของนางก็สะสวยยิ่ง มีโหนกแก้มสูงชัดและไฝเสน่ห์ขนาดเท่าเล็บก้อยอยู่ตรงมุมปาก…

แต่ความงดงามและระดับการฝึกตนไม่ได้ช่วยลดความโอหังบนใบหน้าของนางลงเลยสักนิด นางหยุดอยู่เหนือแท่นบูชา ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงเย็นเยียบ “หลงหนานจื่อ ตามข้ามา เราจะไปเข้าเฝ้าจักรพรรดิ”

……………………………

บทที่ 765 ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลาง!
เคล็ดวิชาหลอมโอสถของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นไม่ได้มีความพิเศษเหมือนเคล็ดวิชาหลอมวัตถุเวท ส่วนใหญ่จะไปขโมยโอสถมาหรือไม่ก็ใช้วิธีบางอย่างในการแลกเปลี่ยนกับอารยธรรมที่แข็งแกร่งอื่นๆ

ถึงพวกเขาจะไม่คุ้นชินกับการหลอมโอสถ แต่ประสบการณ์หลายปีก็ทำให้อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์รู้จักโอสถมีชื่อรวมถึงอิทธิฤทธิ์ของมันไม่น้อย โอสถอมตะชั้นสูงเองก็เป็นหนึ่งในนั้น

ไม่ใช่ทุกอารยธรรมเก่าแก่จะหลอมโอสถนี้ขึ้นได้ มีเพียงอารยธรรมขนาดใหญ่เท่านั้นที่สามารถหลอมได้ มีการใช้สูตรปริศนาในการหลอม ทำให้โอสถนี้มีจำนวนน้อย อิทธิฤทธิ์หลักของมันคือการช่วยให้ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไปสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จในการใช้ปราณวิญญาณหนาแน่น เพื่อบรรลุจากขั้นเชื่อมวิญญาณไปขั้นจิตวิญญาณอมตะ ในขณะเดียวกัน เพราะสูตรปริศนาที่ใช้หลอม โอสถนี้จึงถือว่าเป็นโอสถเฉพาะทาง ผู้ฝึกตนสามารถดื่มได้แค่หนเดียวในชีวิต หากดื่มหนที่สองจะสร้างความเสียหายรุนแรงให้ร่างกาย

แม้จะเป็นโอสถเฉพาะทาง แต่ด้วยความน่าดึงดูดใจและอิทธิฤทธิ์ที่รุนแรง ทำให้โอสถนี้มีราคาสูงมากในอารยธรรมเล็กๆ จริงๆ แล้วก็มีราคาตั้งไว้ แต่ไม่มีใครซื้อ!

เมื่อหวังเป่าเล่อออกไปค้นข้อมูล ชายหนุ่มเห็นหลายคนยอมแลกเรือบินรบสิบลำกับโอสถอมตะชั้นสูง ซึ่งทำให้เขาแปลกใจเป็นอันมาก

ไม่รู้ว่าใครซื้อมาไว้ใช้กับตัวเอง แต่ตอนนี้ข้าได้มาไว้ในมือแล้ว หวังเป่าเล่อมองโอสถในมือด้วยความสุขใจ เขาจำไม่ได้ว่าได้โอสถนี้มาจากใคร แต่ถ้าเจ้าลาเป็นคนเก็บมาก็แสดงว่าน่าจะเป็นของกองทหารมังกรหยดหมึก

พอรู้ว่าเดิมทีโอสถนี้เป็นของกองทหารมังกรหยดหมึก ประกอบกับการที่ได้ใช้วิธีต่างๆ ตรวจสอบดูและพบว่าโอสถไม่ได้มีความผิดปกติอะไร หวังเป่าเล่อก็ยิ่งสุขใจมากขึ้น ความจริงแล้วเพื่อป้องกันเผื่อมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น เขาถึงกับขูดผงจากโอสถไปป้อนให้เจ้าลา ซึ่งตอนนี้ก็มั่นใจแน่นอนแล้วว่าโอสถนี้ไม่มีอะไรแปลกปลอม

ชายหนุ่มนั่งลงขัดสมาธิ เริ่มฮัมเพลง ขณะที่เจ้าลาที่อยู่ข้างๆ มองมาด้วยความขุ่นเคืองใจ

ก่อนจะดื่มโอสถ ข้าควรฉลองก่อนเสียหน่อย หวังเป่าเล่อหยิบขนมมากมายออกมากิน หลังจากนั้นก็ดื่มน้ำเย็นหล่อวิญญาณที่เก็บไว้ เขาลูบกล้ามท้องอย่างสบายใจก่อนจะถอนใจออกมา

มีร่างอวตารก็ดีเหมือนกัน เพราะต่อให้กินเท่าไหร่ก็ไม่มีทางอ้วน ต่อไปถ้าอยากกินอะไรก็ให้ร่างอวตารเป็นคนกินแล้วกัน…ทำไมถึงคิดอะไรแสนชาญฉลาดเช่นนี้ได้กันนะ หวังเป่าเล่อ เจ้าช่างอัจฉริยะเสียจริง! หวังเป่าเล่อจมอยู่ในห้วงความคิด รู้สึกว่าตนฉลาดขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่เขากำลังสุขใจเป็นล้นพ้น สายตาก็เหลือบไปเห็นเจ้าลาที่อยู่ไม่ไกลกำลังโกรธเคืองขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มจึงปลดผนึกเจ้าลาให้มันสามารถอ้าปากได้…จากนั้นก็โยนวัตถุดิบที่ไม่ต้องการไปให้

เจ้าลาตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที มันสวาปามอย่างบ้าคลั่ง ครู่ต่อมาก็กินทุกอย่างจนหมด จากนั้นจึงส่งสายตาเว้าวอนไปหาหวังเป่าเล่อไม่หยุด

ข้าช่างใจอ่อนเสียจริง หวังเป่าเล่ออดใจไม่ได้ หลังจากค้นหาอยู่สักพักก็เจอวัตถุดิบที่ไม่ใช้และโยนไปให้มัน หลังจากนั้นก็ไม่ได้สนใจเจ้าลาอีก ชายหนุ่มหยิบโอสถอมตะชั้นสูงตรงหน้าขึ้นมา ดวงตาฉายแสงวาบขณะครุ่นคิดในใจอีกรอบ

ควรเก็บไว้ตอนบรรลุขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์แล้วดีหรือไม่ ถึงตอนนั้นจะเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการดื่มโอสถ แต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้เวลานานเท่าใดกว่าจะบรรลุไปถึงชั้นนั้นได้…อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นแสนอันตราย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก่อนที่ข้าจะได้บรรลุไปขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ คนอื่นอาจจะแย่งโอสถไปได้ ข้าก็จะเสียโอกาสไป

ถ้าเช่นนั้น…ถึงจะเสียของไปหน่อย แต่ข้าก็ควรกินตอนนี้! ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบ เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เขาก็ตรวจดูรอบๆ จากนั้นก็หยิบแผ่นหยกสื่อสารออกมาผนึกไว้เพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่โดนรบกวนระหว่างช่วงเวลาสำคัญตอนดื่มโอสถ หลังจากเตรียมการเสร็จเรียบร้อย ชายหนุ่มก็หยิบโอสถออกมา ใส่เข้าปากและกลืนลงคอ!

ทันทีที่เขากลืนโอสถลงคอก็รู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนในหัว ราวกับว่ามีภูเขาไฟระเบิดส่งไอร้อนระอุไปทั่วร่าง ภูเขาไฟนั้นยังปะทุเดือดต่อไปขณะไอร้อนแผ่กระจายไปทั่ว ท่ามกลางคลื่นการปะทุนั้น เหมือนว่าจำนวนของภูเขาไฟจะทวีคูณเพิ่มขึ้นหลายเท่า ปราณวิญญาณหนาแน่นปะทุไปทั่วร่างของชายหนุ่มในทันใด

ในชั่วพริบตาเดียว เหงื่อก็เริ่มไหลจากหน้าผากของหวังเป่าเล่อ โอสถอมตะชั้นสูงนั้นมีอิทธิฤทธิ์รุนแรงเกินไป ส่งผลให้เขารู้สึกเหมือนเส้นปราณกำลังขยายตัว…

โอสถนี่แรงเกินไป! หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัวขณะคุมการไหลเวียนของพลังปราณและต้านทานพลังวิญญาณที่ปะทุขึ้นในร่าง ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนมีดาบฟันร่างของตนขาดเป็นสองท่อน หลังจากหันมองรอบบริเวณที่ใช้ถือสันโดษคร่าวๆ ว่าไม่มีอะไรผิดปกติ เขาก็หลับตาลงและมุ่งความสนใจไปที่การดูดซับและย่อยโอสถ

หลังจากนั้นไม่นาน ประมาณสิบนาทีต่อมา ร่างของหวังเป่าเล่อก็แดงจัดเหมือนโลหะร้อนและระเบิดกลายเป็นหมอกควันกระจายทั่วพื้นที่ปิด จากนั้นก็กลับมารวมตัวกันดังเดิมในสภาพนั่งสมาธิ เขาใช้วิธีนี้เพื่อทำให้ตนเองดูดซับโอสถได้ดีขึ้น

พลังที่แผ่ออกจากร่างซึ่งรวมตัวขึ้นใหม่นั้นแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้ พลังปราณพุ่งสูงขึ้นหลายเท่าหลังจากที่เปลี่ยนเป็นหมอกและกลับมารวมตัวกันใหม่

แต่เห็นได้ชัดว่าการจะดูดซับโอสถให้สมบูรณ์นั้นเป็นเรื่องยากสำหรับเขา ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงสลายร่างและกลับมารวมตัวกันใหม่ถึงสามครั้งด้วยกัน เมื่อชายหนุ่มดูดซับโอสถได้หมด ระดับการฝึกตนของเขาก็บรรลุจากขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้น…ไปเป็นขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลาง!

พลังวิญญาณไร้ขอบเขตไหลเวียนอยู่ในร่าง ทุกครั้งที่เขาหายใจจะเหมือนดังว่ามีมังกรสองตัวลอยออกมาจากโพรงจมูก บินไปรอบๆ ก่อนจะกลับเข้าไป ชายหนุ่มอยู่ในสภาพเช่นนั้นเจ็ดวันก่อนทุกอย่างจะค่อยๆ จบลง เมื่อหวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นอีกครั้งหลังจากทำสมาธิอยู่เจ็ดวัน ก็เหมือนดังว่ามีสายฟ้าอยู่ในดวงตา ทำให้ห้องลับที่เข้ามาถือสันโดษนั้นสว่างไสวยิ่งกว่าเดิม

แม้หวังเป่าเล่อจะกดทับพลังปราณไว้ แต่พลังกดดันที่แผ่ออกมาจากร่างและแสงที่ซ่อนอยู่ในดวงตาก็ยังไม่หายไปไหน ส่งผลให้ห้วงอวกาศรอบสะเก็ดดาวบิดเบี้ยวไป

ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลาง! ผ่านไปสักพัก หวังเป่าเล่อก็เงยหน้าขึ้น แม้จะเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว แต่เขาก็ยังตื่นกลัวพลังของโอสถอมตะชั้นสูง ถึงกระนั้นก็ยังแอบรู้สึกเสียดาย เพราะโอสถนั้นเป็นของสุดพิเศษที่สามารถดื่มได้หนเดียวในชีวิตของผู้ฝึกตกขั้นเชื่อมวิญญาณ การดื่มไปตอนนี้ก็เท่ากับเป็นการลดทอนประสิทธิภาพในการบรรลุไปขั้นจิตวิญญาณอมตะ

ข้าจะไม่มัวคิดมากแล้ว! หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ถึงพลังปราณที่แปรเปลี่ยนไป ดวงตาของเขาฉายแววดุดัน ชายหนุ่มคาดเดาว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากพบกับผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกอีกครั้งและในที่สุดก็ได้คำตอบ แม้ตัวตนของเขาในปัจจุบันจะไม่สามารถเทียบชั้นกับขั้นแสร้งอมตะได้ แต่ก็มีโอกาสสูงที่ชายหนุ่มจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้ด้วยการสละร่างอวตาร!

เมื่อมั่นใจเช่นนั้น เขาก็สัมผัสสภาพร่างที่แท้จริงของตนอีกครั้ง เนื่องจากร่างอวตารสร้างมาจากกระบวนท่าสารัตถะ พลังที่เพิ่มพูนขึ้นของร่างอวตารจึงส่งผลต่อร่างจริงไปด้วย ดังนั้นร่างจริงที่อยู่ในโลงศพบนดาวเอกของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จึงบรรลุไปขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลางด้วยเช่นกัน

หากร่างอวตารผสานกลับสู่ร่างหลัก แม้ระดับการฝึกตนของร่างหลักจะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่พลังต่อสู้ก็ต้องทวีคูณเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

ผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะธรรมดาๆ ไม่เห็นจะน่ากลัวเลย! เมื่อคิดว่าตนเก่งกาจขึ้นแค่ไหน หวังเป่าเล่อก็มีความมั่นใจมากขึ้น เขาปลดผนึกแผ่นหยกสื่อสารและเปิดดูว่ามีใครส่งข้อความเสียงมาหาหรือไม่ในเจ็ดวันที่ผ่านมา

ทันทีที่เขาเปิดแผ่นหยกสื่อสาร ข้อมูลมากมายก็ส่งผ่านเข้ามาทันที มีทั้งข้อความจากเต๋อคุนจื่อ คนแปลกหน้าอีกสองสามคน และคำสั่ง!

หวังเป่าเล่อหยุดชะงัก หลังจากตรวจดูอีกครั้ง ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย

จักรพรรดิสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์อยากพบข้าอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อใจเต้นแรง เขาเห็นว่าเต๋อคุนจื่อก็ส่งข้อความเสียงมาบอกเรื่องเดียวกัน หลังจากไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง ชายหนุ่มก็ติดต่อไปหาเต๋อคุนจื่อและได้คำตอบหลังจากถามคำถามไปสองสามข้อ

หวังเป่าเล่อได้ก่อจลาจลครั้งใหญ่ในการต่อสู้กับกองทหารมังกรหยดหมึกและมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย ทำให้ได้รับความสนใจจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และจักรพรรดิที่อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์

เขาจึงออกคำสั่งเรียกตัวให้หวังเป่าเล่อเข้าพบในการประชุมสามัญครั้งต่อไปของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ปกติแล้ว มีเพียงผู้ที่มีอำนาจระดับหนึ่งในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และบรรลุขั้นเชื่อมวิญญาณแล้วเท่านั้นถึงจะมีสิทธิ์เข้าประชุมสามัญ ผู้ฝึกตนจากสำนักย่อยนั้น ถ้าไม่ได้สร้างความสำเร็จหรือความดีความชอบครั้งใหญ่ให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ไม่ทางได้รับเชิญ หากได้รับเชิญแสดงว่าสำนักใหญ่นั้นตระหนักถึงตัวตนของคนผู้นั้นในระดับหนึ่ง

คำเชิญนี้คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการและเป็นจุดประสงค์ที่ก่อการจลาจลขึ้น เขาตื่นเต้นมากเมื่อพบว่าตนทำได้สำเร็จ ขณะเดียวกันเมื่อคำนวณเวลาดูและพบว่าการประชุมจะจัดขึ้นในอีกสามวัน ดังนั้นหลังจากพิจารณาดูและมั่นใจว่าไม่มีปัญหาใหญ่อะไร ชายหนุ่มก็ออกจากสะเก็ดดาวที่ใช้ถือสันโดษและมุ่งหน้าไปยังตัวสำนักใหญ่ของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์…ที่ดาวเคราะห์มหาทัณฑ์!

บทที่ 764 โอสถอมตะชั้นสูง!
แม้ระยะห่างและความเสียหายที่ได้รับจะแตกต่างกัน ทำให้เรือบินรบชีวภาพไม่ได้ระเบิดทุกลำ แต่อย่างน้อยเรือบินรบของกองทหารมังกรหยดหมึกร้อยละสามสิบจากเกือบร้อยลำก็พังทลายและระเบิดในทันที!

แรงระเบิดพัดกระจายไปทั่ว ก่อเป็นพายุขึ้นในห้วงอวกาศ ทำให้เรือบินรบชีวภาพลำอื่นได้รับความเสียหายหนักขึ้นไปอีก และขณะเดียวกัน ผู้ฝึกตนของกองทหารมังกรหยดหมึกก็ได้รับบาดเจ็บรุนแรงเช่นกัน!

ส่วนหวังเป่าเล่อที่เป็นต้นตอของเรื่องทั้งหมด เมื่อก่อการจลาจลเสร็จก็เรียกเจ้าลากลับมา เขาเก็บมันเข้าไปและปลดปล่อยอำนาจเคลื่อนย้ายที่ได้มาจากดวงเนตรหมื่นปีศาจ จากนั้นก็ใช้พลังที่เอ่อออกมารอบตัวเคลื่อนย้ายหายวับไปในทันที!

ระหว่างที่กำลังหายตัวไป ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงคำรามอย่างโกรธแค้นดังสนั่นสวรรค์จากด้านหลัง ท่ามกลางกองเรือบินรบที่กำลังระเบิดตัวเอง เขาเห็นภาพหุ่นเชิดกำลังทำลายตนเองในหัว

ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกหลุดเป็นอิสระได้ในที่สุด!

ขณะที่ความคิดนั้นปรากฏในหัว วิสัยทัศน์เบื้องหน้าก็พลันพร่ามัว ก่อนจะแจ่มชัดอีกครั้งในพริบตาต่อมา ชายหนุ่มได้จากสนามรบออกมาไกลแล้ว เบื้องหน้าของเขาคือดารานิรันดร์ขนาดใหญ่ยักษ์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!

เสียดายที่ขั้นแสร้งอมตะช่างแข็งแกร่งนัก จะยืดเวลาขังนางออกไปก็เป็นเรื่องยาก…ไม่อย่างนั้น ข้าจะทำให้นางต้องคร่ำครวญตอนที่นางหลุดออกมาได้! หวังเป่าเล่อพ่นลมทางจมูก เขารู้ว่าตนเองนั้นโหดเหี้ยม แต่แม้แต่อัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงก็ช่วยให้ตนมีเมตตาขึ้นมาไม่ได้ ชายหนุ่มล้มเลิกความตั้งใจที่จะเปลี่ยนตัวเองไปตั้งแต่ยังเด็กแล้ว

ตอนนี้เขาคลายความโกรธแค้นในใจไปได้เล็กน้อย ชายหนุ่มพุ่งตัวมุ่งหน้าไปยังดินแดนใต้อาณัติของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์โดยไม่ลังเลใจ และแน่นอน รูปลักษณ์ของเขาก็เปลี่ยนไปอีกครั้ง รอบนี้ไม่ใช่จั่วอี้เซียน…

หวังเป่าเล่อกลัวว่าถ้าแปลงกายเป็นจั่วอี้เซียนบ่อยเกินไปจนติดเป็นนิสัยคนอื่นจะจับได้ในที่สุด ดังนั้น หลังจากไตร่ตรองดู เขาก็ตัดสินใจแปลงกายเป็นบิดาของจั่วอี้เซียนแทน

ต่อจากนี้ก็รวมของที่ชิงมาได้และดูว่าทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คาดหรือเปล่า… ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบ เขาทั้งสงสัยเกี่ยวกับข้าวของที่ชิงมาได้และเป็นห่วงว่าเจ้าลาจะแอบกินไปเล็กน้อยจึงรีบส่งข้อความเสียงไปเตือนเจ้าลา นอกจากนี้ ของที่ชิงมาได้ไม่ได้มาจากเจ้าลาเท่านั้น ยังมีกระเป๋าคลังเก็บที่ชิงมาจากผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเจ็ดคนที่โดนสังหารไปด้วย

หวังเป่าเล่อเตรียมแผนไว้แล้วหากทุกอย่างไม่ได้เป็นไปตามที่คาด การคิดเผื่อเยอะๆ ทำให้รู้สึกอุ่นใจมากขึ้น หลังจากจัดเรียงความคิดเสร็จ ชายหนุ่มก็เร่งความเร็วของตนเอง

ขณะเดียวกัน ณ จุดที่กองทหารมังกรหยดหมึกโดนโจมตี ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกผู้ซึ่งหวังเป่าเล่อรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ทำให้นางคร่ำครวญก็ไม่ได้กรีดร้องโวยวายแต่อย่างใด แต่เลือดที่ไหลออกมาจากหัวใจของนางนั้นมีมากถึงขั้นก่อตัวเป็นมหาสมุทรโลหิตได้

การสูญเสียของพวกเขาหนักหนามาก ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณสิบสองคนถูกสังหารไปเจ็ด รวมกับก่อนหน้านี้อีกห้า หวังเป่าเล่อได้สังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณของกองทหารมังกรหยดหมึกไปทั้งหมดสิบสองคนจากเดิมที่มีสิบเจ็ดคน!

พวกเขาสูญเสียผู้ฝึกตนระดับสูงไปถึงร้อยละเจ็ดสิบ!

นอกจากนั้นแล้ว กองเรือบินรบที่พังเสียหายยิ่งทำให้ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกสติแตกขึ้นไปใหญ่ หลังจากคิดคำนวณดูแล้ว เรือบินรบชีวภาพครึ่งหนึ่งระเบิดพังไป ส่วนที่เหลืออยู่ก็ได้รับความเสียหายหนักเบาแตกต่างกัน การจะซ่อมแซมต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล ถ้าพวกเขาอยากจะสร้างเรือบินรบชีวภาพขึ้นมาใหม่ให้มีระดับเท่าเดิม ทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้นั้น…มากเกินกว่าที่กองทหารมังกรหยดหมึกมีเสียอีก!

การต่อสู้ครั้งนี้ถือเป็นการตัดกำลังกองทหารมังกรหยดหมึกไปได้อย่างจริงแท้ จินตนาการได้เลยว่าพวกเขาย่อมไม่สามารถรักษาอันดับของตนเองในสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำไว้ได้แน่ แม้การตกมาอยู่ในสิบอันดับต้นจะยังถือว่าสูญเสียไม่มากก็ตาม…

หลงหนานจื่อ!

ข้าจะไม่ยอมอยู่ใต้นภาเดียวกับเจ้าแน่! หลังจากประเมินความเสียหายคร่าวๆ เสร็จ ความกราดเกรี้ยวก็ถาโถมสู่ดวงใจของผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก นางกระอักเลือดกองใหญ่ ก่อนจะกรีดร้องใส่ท้องนภาด้วยดวงตาอันแดงก่ำ

จริงๆ แล้วการสูญเสียเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น อีกส่วนหนึ่งคือความเจ็บใจ นางถูกขังทันทีที่มาถึงและทำได้แค่เฝ้ามองกองทัพของตนเองโดนเด็ดแขนขา หลังจากยอมจ่ายราคาแพงเพื่อให้หลุดออกมาได้ หวังเป่าเล่อก็เคลื่อนย้ายหายไปในทันที

แม้จะรู้ว่าเป็นการเคลื่อนย้ายด้วยพลังของดวงเนตรหมื่นปีศาจและรู้ว่าตอนนี้ชายหนุ่มอยู่ที่ดารานิรันดร์ แต่ระยะทางระหว่างทั้งสองนั้นไกลกันเกินไป ถึงจะอยากไล่ตามไปเพียงใด ก็ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าจะตามไปได้ทัน

และด้วยความเร็วของหวังเป่าเล่อ นางก็มั่นใจว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะตามไปทัน

เมื่อคิดได้ดังนั้น ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง สิ่งที่ทำให้นางต้องสิ้นหวังหนักขึ้นไปอีก…ปรากฏขึ้นในสามวันให้หลัง

วีดิโอและเรื่องราวการต่อสู้ครั้งนี้ได้กระจายไปทั่วทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!

และเพราะฝั่งหนึ่งเป็นกองทหารมังกรหยดหมึกอันมีชื่อเสียง ศึกครั้งนี้จึงได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม แต่การต่อสู้นั้นสั้นมาก คนอื่นๆ จึงมองภาพรวมได้ยาก ดังนั้นเมื่อวีดิโอการต่อสู้ที่ผ่านการตัดต่อได้บรรจุเข้าไปในช่องทางเฉพาะต่างๆ มันก็กลายเป็นเรื่องเด่นดังภายในหมู่ผู้ฝึกตนในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทันที

แม้รายละเอียดมากมายจะถูกตัดทอนไปจากวีดิโอ แต่รายละเอียดส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ครบ โดยเฉพาะฉากหวังเป่าเล่อสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ ฉากผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกถูกกักขัง และฉากเรือบินรบทำลายตัวเอง จึงเป็นเรื่องปกติที่ทั้งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จะตื่นตกใจกับเหตุการณ์นี้

“หลงหนานจื่อมันบ้าไปแล้ว เขากล้าโจมตีกองทัพด้วยตัวคนเดียว!”

“ข้าว่ากองทหารมังกรหยดหมึกโง่มาก มีเรือบินรบเป็นร้อย ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกสิบแต่ก็ยังโดนถล่มราบคาบ ถ้ากองทหารมังกรหยดหมึกไม่ได้โง่ก็คงเป็นวีดิโอนี้ละที่โง่!”

“ปลอมมาก หรือหลงหนานจื่อจะเป็นบุตรของผู้กล้าแกร่งบางคน กองทหารมังกรหยดหมึกจึงร่วมมือด้วยเพื่อสร้างชื่อเสียงให้เขา”

ความเห็นมากมายผุดขึ้นในทุกดาวเคราะห์และทุกสำนักของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ทุกคนต่างถกเถียงเรื่องนี้กันยกใหญ่ บางส่วนก็ชื่นชมหวังเป่าเล่อ บ้างก็ยังไม่ปักใจเชื่อ และมีอีกส่วนที่คิดว่าวีดิโอเป็นของปลอม

เมื่อผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกได้ทราบถึงความเห็นส่วนใหญ่จากบางช่องทางก็เดือดขึ้นมาอีกครั้ง นางพยายามอย่างหนักและโกรธจัดจริงๆ แต่ผู้คนกลับคิดว่าเรื่องทั้งหมดเป็นของปลอมและนางตั้งใจออมมือให้หวังเป่าเล่อ นางเกือบจะคุมตัวเองไม่ได้แล้วตอบโต้ความเห็นพวกนั้นกลับไป…

โชคดีที่หญิงสาวยังพอมีสติอยู่บ้าง ความเจ็บแค้นของนางจึงพุ่งทะลุจุดเดือดเพียงไม่กี่วัน

แต่ไม่ว่าทุกคนจะมีความเห็นอย่างไร การก่อจลาจลครั้งใหญ่ของหวังเป่าเล่อก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก ศึกครั้งนี้…ทำให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักไปทั่วอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ชายหนุ่มกลายเป็นคนดังจากศึกหนเดียว!

ประกอบกับสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำตั้งค่าหัวให้หวังเป่าเล่อ ทำให้ชื่อของชายหนุ่มโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก ทุกคนต่างรู้จักชื่อของเขากันทั้งสิ้น!

กองทหารมังกรหยดหมึกได้ออกประกาศจับชายหนุ่มไปก่อนหน้านี้ แต่มันก็เทียบไม่ได้กับการตั้งค่าหัวจากทางสำนักใหญ่ นอกจากนี้ แม้รางวัลที่ได้จากการนำจับหวังเป่าเล่อจะไม่ได้สูงมาก แต่ก็เป็นที่ดึงดูดใจใครหลายคน

“นายท่าน ใครก็ตามที่ปลิดชีพท่านได้จะได้รับสิทธิ์จัดตั้งกองทหารประสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงเมื่อได้ยินเสียงสั่นเครือของเต๋อคุนจื่อแจ้งข่าว

เขาทราบชัดเจนเกี่ยวกับความสำคัญของกองทหารในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อยังสังเกตเห็นว่าระดับของกองทหารนั้นมีความเชื่อมโยงกับการรับมรดกจากดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์

ชายหนุ่มไม่รู้เหตุผลและไม่แน่ใจเรื่องนี้เท่าไหร่นัก แต่มันก็เป็นเรื่องที่สามารถสำรวจตรวจสอบดูได้ และเพราะเหตุนี้ เขาจึงเข้าใจเรื่องเกี่ยวกับกองทหารมากขึ้น

หวังเป่าเล่อรู้ว่าแม้กองทหารของสำนักใหญ่และกองทหารของสำนักย่อยจะใช้ชื่อเรียกเหมือนกัน แต่ระดับชั้นนั้นแตกต่างกันอย่างมาก ไม่มีทางที่จะเทียบกันได้ อำนาจและผลประโยชน์ที่มีก็ต่างกันมหาศาล

ถ้าให้เปรียบเทียบระหว่างทั้งสองฝ่าย ก็เปรียบได้ว่ากองทหารสำนักใหญ่นั้นเป็นผู้กินเนื้อ ส่วนกองทหารสำนักย่อยได้กินเพียงน้ำต้มกระดูกที่เหลือจากสำนักใหญ่โดยไม่มีชิ้นเนื้อติดมาเลย!

ในส่วนของโครงสร้างก็แตกต่างเช่นกัน สำนักย่อยทุกสำนักสามารถตั้งกองทหารได้ไม่ว่าจะขนาดใหญ่หรือเล็ก ขอแค่มีทรัพยากรเพียงพอและต้องไปลงทะเบียนกับสำนักใหญ่ แต่กองทหารของสำนักใหญ่นั้นไม่ได้ตั้งขึ้นเช่นนี้ พวกเขาจะต้องมีสิทธิ์ในการตั้งกองทหารก่อน และสิทธิ์นั้น…ไม่ได้มาจากทรัพยากรหรือความแข็งแกร่ง แต่เป็นความดีความชอบที่สร้างให้กับสำนัก!

พอได้ทราบว่าสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำใช้เงื่อนไขนี้เป็นรางวัลนำจับ หวังเป่าเล่อก็เป็นกังวลขึ้นมา หลังจากส่งเต๋อคุนจื่อกลับ เขาก็นั่งอยู่ในจุดซ่อนตัวและครุ่นคิด

จะไปกลัวอะไร ข้าเป็นแค่ร่างอวตาร! เมื่อคิดได้เช่นนั้น ชายหนุ่มก็รู้สึกโล่งใจ จากนั้นก็หยิบกล่องสีม่วงออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ

มีรอยกัดอยู่บนกล่อง…

หวังเป่าเล่อทั้งโกรธทั้งโล่งใจเมื่อเห็นรอยกัด หลังจากจัดข้าวของที่ได้มาไปสองสามวัน เขาก็พบว่าเจ้าลาแอบกินไปเล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้แตะต้องของส่วนใหญ่ จึงไม่ได้ลงโทษอะไรอีกฝ่าย มีแค่กล่องใบนี้เท่านั้นที่มันเอาไปซ่อนไว้ ตอนที่ชายหนุ่มพบกล่อง เจ้าลาก็ได้ทำลายผนึกส่วนใหญ่ไปแล้ว พอพบว่าโดนเจอเข้าแล้ว มันก็รีบเขมือบอย่างกังวลใจ หมายจะกลืนกินทั้งกล่องและของข้างในลงท้อง

เจ้าลาร้องไห้คร่ำครวญเมื่อหวังเป่าเล่อหยุดมัน เขาเปิดดูในกล่องและพบโอสถที่เปล่งแสงสีม่วง!

เขาเห็นนกกระเรียนโผบิน ทวยเทพเริงระบำ และหอคอยศักดิ์สิทธิ์มากมายอยู่ในแสงสีม่วง มองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าโอสถนี้ไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป หวังเป่าเล่อจำแลงกายเป็นบิดาของจั่วอี้เซียนและออกไปตรวจสอบดู คำตอบที่ได้มาทำให้ดวงวิญญาณถึงกับสั่นคลอน ชายหนุ่มเปิดดูโอสถในกล่องสีม่วงอีกครั้ง จากนั้นก็สูดหายใจลึกและพึมพำกับตนเอง

“โอสถอมตะชั้นสูง!” หวังเป่าเล่อจ้องโอสถไม่วางตา เริ่มหายใจถี่รัว น้ำลายเกือบไหลออกมาจากมุมปาก

………………………….

บทที่ 763 ผนึก!
หากมองจากที่ไกลๆ จะเห็นว่าภาพตรงหน้านั้นสว่างจ้าเกินบรรยาย

หุ่นเชิดเจ็ดพันตัวและลำแสงเจ็ดพันสายพันเกี่ยวรอบตัวผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกจนเหมือนรังไหมขนาดใหญ่ ลำแสงแต่ละสายบนรังไหมไม่ได้ดูแกร่งกล้าเท่าไหร่ แต่เป็นเพราะความเชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวทและการที่ชายหนุ่มผสานกระบวนการหลอมของสหพันธรัฐเข้ากับของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ จึงทำให้ลำแสงสามารถปล่อยพลังขั้นจุติวิญญาณมาได้ช่วงสั้นๆ

แม้จะมีพลังไม่พอที่จะทำร้ายนาง แต่หวังเป่าเล่อก็สามารถถ่วงเวลาหญิงสาวไว้ได้ระยะหนึ่งโดยใช้ลำแสงขั้นจุติวิญญาณเจ็ดพันสายพันล้อมผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกเจ็ดพันชั้น!

ในเมื่อทำเช่นนี้ได้มันก็ควรถูกเรียกว่าเป็นผนึก!

ผู้ฝึกตนกองทหารมังกรหยดหมึกที่ตื่นเต้นดีใจกับการมาของผู้บัญชาการล้วนตื่นตกใจไปเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ใครเห็นก็บอกได้ว่าต้องทุ่มไปไม่น้อยถึงจะสร้างผนึกนี้ขึ้นได้ ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าวิธีผนึกนี้มีประสิทธิภาพมากทีเดียว!

มันมีประสิทธิภาพมากจริงๆ ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกถูกลำแสงเจ็ดพันสายพันเกี่ยวแขนขา นางร้องคำรามพร้อมปลดปล่อยพลังปราณพยายามจะหนีออกมา แต่ทำได้เพียงทำลายลำแสงบางสายและทำให้หุ่นเชิดจำนวนหนึ่งระเบิด ไม่มีทางที่นางจะเป็นอิสระได้ในทันที!

“กองทหารมังกรหยดหมึก ข้าอยากให้พวกเจ้าจำเอาไว้ว่ามาลองดีกับข้าก็ต้องเจอผลกรรมเช่นนี้!” จิตสังหารปะทุขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขาไม่รีรอ รีบพุ่งตามเหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณไปในพริบตา!

“สังหาร!” หวังเป่าเล่อตะโกนลั่นพร้อมหายตัวไปปรากฏด้านหน้าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนหนึ่งราวกับเป็นสายฟ้า ผู้ฝึกตนคนนั้นอยู่ในวัยกลางคน สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันทีที่เห็นหวังเป่าเล่อ เมื่อรู้ว่าไม่มีทางหนีรอดไปได้ ดวงตาของเขาก็ฉายแววคลุ้มคลั่งขณะงัดไพ่ตายออกมาใช้ ด้วยหวังว่าจะสามารถสกัดชายหนุ่มไว้ได้จนกว่ากำลังเสริมมาถึง

ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนอื่นๆ กัดฟันแน่นและรีบพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ตั้งใจจะตอบโต้เป็นกลุ่มเพื่อยื้อเวลาให้ผู้บัญชาการของพวกตนหลบหนีออกมาได้!

แต่…พวกเขาคิดกันตื้นเขินเกินไป!

สถานการณ์ในสนามรบถูกกำหนดเอาไว้แล้ว พวกเขาได้ถอยหนีกันตามสัญชาตญาณเมื่อได้เห็นความโหดเหี้ยมของหวังเป่าเล่อ และชายหนุ่มไม่มีทางเปิดโอกาสให้พวกเขากลับมารวมตัวกันได้อีกครั้ง!

ขณะที่กลุ่มผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณกำลังจะเข้ามารวมกลุ่มกัน หวังเป่าเล่อก็โบกมือส่งเรือบินรบหลายสิบลำออกไป พวกมันระเบิดส่งเสียงดังสนั่น แรงปะทะนั้นไม่ต่างจากพายุที่พัดกระจายออกไปจนทำให้ห้วงอวกาศสั่นคลอน เหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากร่ายคาถาออกมาต้าน ทำให้ล่าช้าลงไปอีก

ทันใดที่พวกเขาชะลอความเร็วลง หวังเป่าเล่อก็เร่งความเร็วขึ้น ไม่สนใจการต้านพลังของเหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่ตนตั้งใจจะฆ่า ชายหนุ่มเป็นดั่งรถถังออกศึก เขาพุ่งเข้าชนผู้ฝึกตนคนหนึ่งเข้าอย่างจัง เสียงสั่นสะเทือนดังก้องไปทั่วบริเวณ

เสียงดังสนั่นก้องไปทั่วพร้อมร่างผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่ระเบิด ร่างถูกทำลายย่อยยับ หวังเป่าเล่อพุ่งฝ่าหมอกสีเลือดตรงไปหาผู้ฝึกตนอีกคนทันที!

“หลงหนานจื่อ!” ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกที่โดนผนึกอยู่ร้องตะโกนขึ้นพร้อมคำรามอย่างคลุ้มคลั่ง หุ่นเชิดหลายร้อยตัวไม่สามารถทนเสียงร้องนี้ได้จึงระเบิดออกมา

แต่ไม่ว่าผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกจะร้องคำรามอย่างไร หวังเป่าเล่อก็ทำเหมือนว่าไม่เห็นและไม่ได้ยิน ไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นจากความคลุ้มคลั่งของนางแม้แต่น้อย เขาไม่ได้บุ่มบ่ามเข้าไปโจมตีผู้บัญชาการ ถึงนางจะโดนผนึกไว้ แต่ชายหนุ่มก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถสังหารหญิงสาวได้ก่อนที่นางจะหลุดออกมา นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาข้อดีข้อเสียดูแล้วก็ตระหนักว่าถึงจะสามารถทำให้ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกบาดเจ็บได้ ก็ไม่ค่อยคุ้มค่าและไม่น่าดึงดูดใจเท่ากับการทำลายแผนการในอนาคตของกองทหารมังกรหยดหมึก

เพราะไม่ว่าผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกจะมีระดับการฝึกตนสูงเพียงใด นางก็เป็นแค่ผู้ฝึกตนคนเดียว แต่ที่เขาจะกำจัด…คือทั้งกองทัพ!

หวังเป่าเล่อตัดสินใจได้โดยไม่ลังเล ร่างของเขาหายวับไป พลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นปะทุขึ้นเต็มกำลัง แม้จะไม่ได้ปล่อยวิชาดวงเนตรปีศาจเพราะกลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แต่พลังเสริมจากเกราะจักรพรรดิที่เสียหายและวิญญาณจุติดวงดาราก็ทำให้เขาปลดปล่อยพลังสุดแกร่งกล้าออกมาในสนามรบ!

เขาเอี้ยวตัวยกมือขวาคว้าศีรษะผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกคน ก่อนจะบดขยี้กะโหลก สังหารโหดไปอีกหนึ่งราย!

เมื่อเขาสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกคนลง เสียงร้องคำรามของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณก็ดังขึ้นพร้อมกับพลังเทพที่ผสานรวมกันและปล่อยออกไป!

ถึงพลังเทพของพวกเขาจะแข็งแกร่ง แต่ด้วยการต้านทานของเกราะจักรพรรดิและร่างที่กลายเป็นหมอกในทันใด ก็ทำให้ชายหนุ่มไม่ได้รับผลกระทบเท่าใดนัก มากสุดที่พวกเขาทำได้คือทำให้หวังเป่าเล่อกระอักเลือดออกมา ขณะเดียวกันนั้นเอง กองทหารมังกรหยดหมึกก็ต้องพบกับการสูญเสียอีกครั้ง!

ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนที่สามกำลังถอยหนี แต่ร่างของเขาก็ถูกห้อมล้อมด้วยหวังเป่าเล่อที่กลายเป็นหมอก เมื่อชายหนุ่มพุ่งตัวไป ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนที่สามก็ส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดก้องไปทั่วสนามรบ

ในระหว่างนั้นเอง เรือบินรบรอบๆ ก็เปิดฉากโจมตี ลำแสงลูกแล้วลูกเล่าระเบิดรอบตัวหวังเป่าเล่อ เขายกมือขึ้นโบก ส่งเรือบินรบหลายสิบลำออกไปรอบๆ และสั่งให้ระเบิดอีกครั้ง ส่งผลให้เรือบินรบกองทหารมังกรหยดหมึกที่พึ่งจัดขบวนขึ้นได้ใหม่ตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้งจากแรงปะทะ!

เมื่อผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้น นางก็ดิ้นรนหนักขึ้นไปอีก เสียงร้องคำรามดังก้องขึ้นอีกระดับ ส่งผลให้หุ่นเชิดระเบิดเพิ่มไปอีกหลายตัว!

ทว่า…แม้หุ่นเชิดจะระเบิดไปมาก หุ่นเชิดจำนวนเจ็ดพัดตัวก็ยังทนต่อได้อีกสักพัก เนื่องจากนับตั้งแต่วินาทีที่นางโดนผนึกจนกระทั่งหวังเป่าเล่อสังหารผู้ฝึกตนไปสามคนนั้น มันเพิ่งจะผ่านไปได้เพียงสิบชั่วลมหายใจเท่านั้น!

ยังไม่ถึงเวลาที่จะจบเรื่องราวทั้งหมด แสงเย็นเยียบฉายขึ้นในแววตาหวังเป่าเล่อ เขาเอี้ยวตัวและพุ่งทะยานออกไปอีกครั้ง เล็งสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นโดยเฉพาะ โดยที่จัดการผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลางไปด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มพยายามเลี่ยงผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายของกองทหารมังกรหยดหมึกอีกสองคน เขาสามารถคุมสถานการณ์ในสนามรบไว้ได้ในเวลาสั้นๆ ด้วยพลังป้องกันและความเร็วของตนเอง ประกอบกับเรือบินรบทำลายตัวเองที่ปล่อยออกไปเป็นช่วงๆ

เมื่อผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนที่สี่ ห้า หก และเจ็ดถูกหวังเป่าเล่อสังหารไป ก็เหลือผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณในกองทหารมังกรหยดหมึกเพียงห้าคนเท่านั้น!

ขณะเดียวกัน การระเบิดทำลายตัวเองหลายต่อหลายครั้งของเรือบินรบก็สร้างความเสียหายอย่างหนักให้กับเรือบินรบของกองทหารมังกรหยดหมึก ส่วนเจ้าลาที่กำลังรวบรวมข้าวของอยู่นั้นก็กำลังอยู่ในอาการคลุ้มคลั่ง!

เหตุการณ์ทั้งหมดทำให้ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกร้องคำรามเสียงดังขึ้นไปอีก นางตัดสินใจปลดปล่อยเคล็ดเวทเพื่อให้หลุดออกไปได้เร็วขึ้น แม้ว่าจะต้องจ่ายราคาแพงแต่ก็เป็นสิ่งที่ต้องทำ

นั่นก็เพราะ…พลังต่อสู้ของหลงหนานจื่อเป็นรองเพียงนางเท่านั้น อีกทั้งการกระทำของเขายังโหดร้ายยิ่งนัก ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นคือชายหนุ่มไม่ได้สนเรื่องความแตกต่างของระดับการฝึกตนแม้แต่น้อย ราวกับว่าสายตาของเขาแบ่งแยกเพียงแค่มิตรกับศัตรู ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าความแข็งแกร่งหรือความอ่อนแอ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าศักดิ์ศรีของผู้แข็งแกร่ง!

แม้จะอ่อนแอกว่า แต่ถ้าเป็นศัตรู เขาก็พร้อมสังหาร ไม่เกี่ยงแม้แต่เพศ!

นอกจากนี้ ความแม่นยำในการกะจังหวะโจมตีของเขาก็ทำให้ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกตื่นกลัวขึ้นในจิตใจ ความจริงแล้ว แม้กองทหารมังกรหยดหมึกจะออกปล้นได้สำเร็จในครั้งนี้ แต่พวกเขาก็ต้องพบกับความสูญเสียหนักหน่วง ทั้งเรือบินรบและกองทัพผู้ฝึกตนต่างอยู่ในสภาพเหนื่อยอ่อน!

ทำให้หวังเป่าเล่อสามารถใช้จุดอ่อนตรงนี้เด็ดหัวเด็ดหางกองทหารมังกรหยดหมึกได้ในเวลาสั้นๆ!

“หลงหนานจื่อ ข้าจะฆ่าเจ้า!” นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกเลือกที่จะทุ่มสุดตัว นางปล่อยเคล็ดเวทออกไป หุ่นเชิดรอบๆ ระเบิดทำลายตัวเองไปจำนวนมาก พริบตาเดียว หุ่นเชิดกว่าสี่พันตัวก็ทยอยระเบิดหายไป ที่เหลืออยู่พันตัวก็กำลังระเบิดตามไป

สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งเครียดขึ้น เมื่อเวลาที่คาดไว้ว่าผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกจะหลุดออกมาได้นั้นกระชั้นมามากกว่าเดิม แม้จะคาดคะเนและเตรียมการตอบโต้มาดี แต่เขาก็ทำได้แค่ถอนหายใจอยู่ภายใน

เหมือนว่าข้าจะทำได้มากสุดเท่านี้…ถึงจะยังไม่ค่อยพอใจ แต่แค่นี้ก็ได้ ก่อนจากไป ขอทิ้งของขวัญชิ้นใหญ่ไว้ให้นางอีกชิ้น! แววชั่วร้ายฉายชัดในดวงตาของหวังเป่าเล่อขณะที่ขยับตัวอีกครั้ง รอบนี้ชายหนุ่มเปลี่ยนเป้าหมายไป เขาไม่ได้เล็งผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่กลับแปลงกายเป็นหมอกและมุ่งหน้าตรงไปยังกองเรือบินรบ ขณะที่กองทหารมังกรหยดหมึกกำลังตกอยู่ในความโกลาหล!

เป้าหมายของเขาไม่ใช่การทำลายกองเรือบินรบด้วยพลังปราณของตนเอง แต่เป็นการซ้ำแผลเดิมที่มีอยู่แล้ว!

การระเบิดหลายครั้งก่อนหน้านี้ได้เปิดแผลเก่าของเรือบินรบส่วนใหญ่ของกองทหารมังกรหยดหมึก หวังเป่าเล่อกลายเป็นหมอกลอยออกไป ก่อนจะทำให้เรือบินรบสั่นสะเทือนอีกครั้งพร้อมส่งสัญญาณเตือนว่าไม่อาจทนรับแรงปะทะได้อีก

ทั้งหมดเหมือนจะดูเนิ่นนาน แต่จริงๆ แล้วมันเกิดขึ้นในชั่วเวลาสั้นๆ หวังเป่าเล่อกลายเป็นหมอก ลอยผ่านเรือบินรบชีวภาพของกองทหารมังกรหยดหมึกจำนวนมาก เขายกมือขวาส่งเรือบินรบที่เหลืออยู่หลายร้อยลำออกมาจากกำไลคลังเวทและสั่งให้ระเบิดทำลายตัวเอง!

พริบตาต่อมา แรงสั่นสะเทือนก็กระจายไปทั่วบริเวณ ฝูงพายุที่ก่อตัวขึ้นผสานรวมกัน เมื่อเรือบินรบชีวภาพของกองทหารมังกรหยดหมึกที่เสียหายอยู่แล้ว ต้องเผชิญกับพลังทำลายล้างจากเรือบินรบทำลายตัวเองของหวังเป่าเล่อและการโจมตีด้วยร่างหมอกเข้า ก็ไม่สามารถทนรับแรงปะทะจากพายุที่รุนแรงและพัดไปทั่วบริเวณได้ พวกมันจึงเริ่ม…ทำลายตัวเองลง!

……………………………

บทที่ 762 การจู่โจมรุนแรง!
การระเบิดทำลายตัวเองของเรือบินรบหลายร้อยลำเป็นเหมือนพายุที่ระเบิดขึ้นกลางกองทหารมังกรหยดหมึก แรงปะทะจากการระเบิดพัดกระจายไปทั่วบริเวณอย่างต่อเนื่อง เรือบินรบมังกรหยดหมึกที่อยู่ใกล้ที่สุดไม่สามารถหลบได้ทันท่วงที ความเสียหายที่มีอยู่ก่อนหน้าโดนแรงปะทะทำให้ทวีคูณหนักขึ้น แม้แต่เรือบินรบที่อยู่ห่างออกไปยังได้รับผลกระทบเช่นกัน

กองทหารมังกรหยดหมึกตกอยู่ในความโกลาหลแทบจะในทันที เสียงสัญญาณเตือนดังก้องในเรือบินรบ สีหน้าของเหล่าผู้ฝึกตนในกองทหารทุกคนพลันแปรเปลี่ยน

“ศัตรูโจมตี!”

“มีคนซุ่มโจมตีเรา!”

“มัวแตกตื่นอะไร รีบดำเนินการตามแผนรับมือที่สาม!” ขณะที่เหล่าผู้ฝึกตนจากกองทหารมังกรหยดหมึกกำลังตื่นตกใจ เสียงเย็นเยียบของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณก็ดังก้องในจิตวิญญาณทุกคนผ่านวัตถุเวทของกองทัพ

การจะขึ้นเป็นกองทหารสิบอันดับแรกของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำได้ต้องอาศัยความแข็งแกร่ง การโจมตีของหวังเป่าเล่อเป็นการซุ่มโจมตีจึงทำให้พวกเขาต้องรีบตั้งรับ แต่ถึงแม้พวกเขาจะดูวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ นั่นก็เป็นเพราะการถูกโจมตีและแรงปะทะที่เกิดขึ้นกะทันหันเท่านั้น

กองทหารไม่ได้ตกอยู่ในความสับสนอลหม่านนานนัก ภายใต้คำสั่งของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ กองทหารมังกรหยดหมึกก็จัดกำลังพลใหม่ได้ในทันที

ในขณะเดียวกัน แม้การระเบิดทำลายตัวเองของเรือบินรบนับร้อยลำจะรุนแรงมาก แต่ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายหนักเท่าไหร่ แค่ทำให้ร่องรอยจากการต่อสู้ที่ผ่านมาปรากฏขึ้นใหม่อีกครั้ง

ถึงกระนั้น กองทหารมังกรหยดหมึกก็จัดระเบียบใหม่ได้แทบจะในทันทีและเตรียมการตอบโต้กลับ ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เรือบินรบสีม่วงกว่าสิบลำก็ปลดปล่อยพลังออกมาแล้วพุ่งเข้าไปใกล้หวังเป่าเล่อ หมายจะกำราบศัตรู

กระทั่งเรือบินรบมังกรหยดหมึกที่อยู่นอกขอบเขตการระเบิดเองก็พุ่งตามไป พริบตาต่อมา กองเรือบินรบก็ปล่อยลำแสง สร้างวงแหวนปราณผนึกและพลังกดดันออกมา เหมือนว่าจะพยายามผนึกที่แห่งนี้ไว้ไม่ให้ศัตรูหลบหนีไปได้หลังจากซุ่มโจมตี

การเตรียมการสำหรับตอบโต้กลับเหมือนจะเสร็จสมบูรณ์ในทันที แม้จะไม่ใช่การตอบโต้ตามตำรา แต่มองอย่างไรก็ไม่พบปัญหา ดูแล้วเป็นการตอบโต้ที่ ‘มั่นคง’ ในระดับหนึ่ง

หวังเป่าเล่อตื่นตกใจเมื่อเห็นเช่นนั้น เขารู้ว่าตนไม่สามารถดูถูกเหล่ากองทัพของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้จึงเตรียมการมาพร้อมรับมือ แม้การตอบโต้ของกองทหารมังกรหยดหมึกจะทำให้ตื่นตะลึงไป แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้หวั่นเกรง!

ขณะที่กองทหารมังกรหยดหมึกลงมือตอบโต้ หวังเป่าเล่อก็หายวับกลายเป็นหมอกควันพร้อมโบกมืออีกครั้ง รอบนี้เขาส่งเรือบินรบออกไปทีเดียวสองร้อยลำ ทะเลเพลิงสั่นสะท้านฟ้าดินปะทุเดือดทั่วพื้นที่อีกครั้งเมื่อเรือบินรบกระจายออกไประเบิดทำลายตัวเอง

แรงระเบิดเหมือนจะสร้างมือขนาดยักษ์ที่มองไม่เห็นสองข้างขึ้นโบกไปมาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้กองเรือบินรบที่ได้รับความเสียหายรุนแรงก่อนหน้าไม่สามารถทานทนได้อีกต่อไป ร่องรอยที่มีอยู่ก่อนปรากฏให้เห็นจำนวนมากจนส่งผลให้เรือบินรบระเบิด

การระเบิดไม่ได้เกิดขึ้นกับเรือบินรบแค่ลำเดียว เรือบินรบชีวภาพเจ็ดถึงแปดลำร่วงลงไปทีละลำ แรงปะทะครั้งนี้ทำให้เรือบินรบชีวภาพลำอื่นๆ สูญเสียการควบคุม ส่งผลให้พวกเขาไม่สามารถรักษารูปขบวนเอาไว้ได้และตกอยู่ในความโกลาหล!

จากการระเบิดของกองเรือบินรบหวังเป่าเล่อ นอกจากจะมีผู้ฝึกตนจำนวนมากถูกพัดหายไปในอวกาศแล้ว ยังมีทรัพยากรและวัตถุดิบมากมายกระจายเต็มทั่วบริเวณ!

วัตถุดิบเหล่านี้มีทั้งอัญมณี พืช และโลหะ เกือบทั้งหมดต่างเป็นของจำเป็นในการหลอมโอสถและวัตถุเวท เห็นได้ชัดว่าของที่กองทหารมังกรหยดหมึกได้มาในครั้งนี้มากเกินกว่าที่พวกเขาจะเก็บเอาไว้กับตัวได้ จึงต้องเก็บบางส่วนไว้ในเรือบินรบ เมื่อเรือบินรบของหวังเป่าเล่อระเบิดทำลายตัวเอง วัตถุดิบเหล่านี้ก็กระจัดกระจายไปทั่วอวกาศ

ข้าวของเบื้องหน้าทำให้หวังเป่าเล่อเบิกตากว้างเมื่อได้เห็น เขารีบโยนเจ้าลาออกไปพร้อมร้องตะโกน “ลูกข้า ไปเก็บของมาให้หมด จำไว้ด้วยว่านี่ไม่ใช่เวลามาห่วงกิน ถ้าเจ้ายังกล้าตะกละอีก กลับไปข้าจะกินเจ้า!”

เรื่องราวทั้งหมดเหมือนจะยาวนาน แต่จริงๆ แล้วเกิดขึ้นในชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ กลุ่มเรือบินรบสีม่วงที่พุ่งเข้ามาหาต่างสั่นสะเทือนจากแรงระเบิดทำลายตัวเอง เหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณปลิวออกมาจากเรือบินรบ พวกเขาจ้องมองมายังหวังเป่าเล่อด้วยสายตาโกรธเคือง เจ้าลาเองก็ขุ่นเคืองตอนโดนเรียกออกมา แต่พอเห็นข้าวของรอบๆ แล้วก็ตาลุกวาว มันร้องคำรามพร้อมพุ่งตัวออกไป

หวังเป่าเล่อเองก็ไม่มัวเสียเวลาเช่นกัน แววสังหารฉายวาบขึ้นในดวงตา เขาใช้ประโยชน์จากความโกลาหลรอบๆ พุ่งไปหากลุ่มผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่จะส่งเรือบินรบอีกหนึ่งร้อยลำออกมา ปล่อยให้เหล่าหุ่นเชิดขับไปชนรอบๆ ชายหนุ่มตั้งใจที่จะไม่ให้กองทหารมังกรหยดหมึกได้มีโอกาสพักหายใจ

“นั่นมันหลงหนานจื่อ!” ความโกลาหลก่อนหน้า ประกอบกับการโจมตีฉับพลันของหวังเป่าเล่อทำให้เหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณไม่ทันตระหนักว่าเป็นเขา พอเห็นชายหนุ่มกลายเป็นหมอกและพุ่งตรงมา ผู้ฝึกตนคนหนึ่งก็รับรู้ถึงตัวตนของชายหนุ่มได้ทันที!

แม้จะไม่เคยเห็นหวังเป่าเล่อมาก่อน แต่ในฐานะคนของกองทัพ พวกเขาย่อมทราบเหตุการณ์น่าอับอายของกองทหารมังกรหยดหมึกเมื่อหลายเดือนก่อน และเนื่องจากกองทหารมังกรหยดหมึกได้ออกประกาศจับหวังเป่าเล่อ คนของกองทัพทุกคนจึงอยากจะสังหารชายหนุ่มโดยไม่มีข้อยกเว้น

พวกเขาเก็บข้อมูลเกี่ยวกับหลงหนานจื่ออย่างละเอียดและอยากสังหารอีกฝ่ายทิ้ง ทำให้เมื่อเห็นว่าใครเป็นคนก่อจลาจลครั้งนี้ขึ้น พวกเขาก็เดือดจัดและพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มในทันที

แม้จะรู้ถึงความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อและรู้ถึงความไม่ธรรมดาที่อีกฝ่ายสามารถหนีการจับกุมของผู้บัญชาการกองทหารของพวกเขาไปได้ พวกเขาก็ยังมีจำนวนคนมากกว่า ที่ต้องทำคือถ่วงเวลาชายหนุ่มไว้และรอให้เรือบินรบจัดขบวนได้อีกครั้ง จากนั้นการจะสังหารผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณด้วยพลังของกองทัพก็เป็นเรื่องแสนง่ายดาย

ขณะที่ทั้งสองพุ่งเข้าปะทะกันในชั่วพริบตา แรงสั่นสะเทือนก็พัดกระจายออกไป ส่วนหนึ่งเป็นแรงสั่นสะเทือนจากการระเบิดทำลายตัวเองของเรือบินรบที่หวังเป่าเล่อส่งออกมาอย่างต่อเนื่อง อีกส่วนหนึ่งมาจากเสียงกรีดร้องของเหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่เปล่งออกมาก่อนจะโดนกำจัด

กล่าวได้ว่าความแข็งแกร่งของหวังเป่าเล่อสามารถทำให้เหล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณของกองทหารมังกรหยดหมึกต้องตื่นตะลึง!

ขณะที่ทั้งสองฝั่งประมือกัน หวังเป่าเล่อก็ใช้ร่างกายที่เป็นหมอกต้านทานพลังเทพของพวกเขา ก่อนจะแปลงโฉมเป็นร่างที่ห่อหุ้มด้วยเกราะจักรพรรดิ แขนอาวุธเทพคว้าหมับเข้าที่หัวของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนหนึ่ง ก่อนจะออกแรงบดขยี้กะโหลกทันทีโดยไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้ทำอะไร

“พวกเจ้ากล้าปล้นข้าอย่างนั้นหรือ” หลังจากสังหารผู้ฝึกตนคนหนึ่งไป แววเย็นเยียบก็ฉายชัดขึ้นในดวงตา แต่ชายหนุ่มกลัวว่าจะเผยเคล็ดวิชาของตนออกไป จึงพยายามกดต้านวิชาดวงเนตรปีศาจไว้และล้มเลิกการดูดซับวิญญาณ ชายหนุ่มเอี้ยวตัวไปปะทะกับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกคนอย่างรวดเร็วราวกับเป็นเรือบินรบความเร็วสูง

“พวกเจ้ากล้าออกประกาศจับข้าอย่างนั้นหรือ”

ขณะที่เสียงของชายหนุ่มดังก้องไปถึงสวรรค์ ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่โดนพุ่งปะทะก็กระอักเลือดออกมา ร่างของเขาร่วงหล่นลงไปก่อนจะระเบิด เหตุการณ์ทั้งหมดกลายเป็นความแตกตื่นที่ปะทุอยู่ในใจผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนอื่นๆ พวกเขาต่างถอยหนีด้วยความหวาดกลัว

“พวกเจ้ากล้าหนีอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าการสังหารสองคนติดต่อกันไม่เพียงพอที่จะสร้างความจลาจลครั้งใหญ่ ขณะที่กำลังจะไล่ตามคนอื่นๆ ไป เสียงร้องคำรามกราดเกรี้ยวก็ดังขึ้นมาจากห้วงอวกาศไกลออกไป

หวังเป่าเล่อคุ้นเคยกับเสียงร้องคำรามนั้นดี เสียงนั่นเป็นของผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก ไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงไม่ได้ติดตามกองทหารไปด้วย แต่หญิงสาวก็มาถึงในที่สุด นางพุ่งมาหาอย่างรวดเร็ว และดูเหมือนจะได้บทเรียนจากการปะทะกันครั้งก่อน นางจึงปล่อยกระบวนท่าปริศนาพร้อมกับมาปรากฏตัวกลางสนามรบในชั่วพริบตา

พลังขั้นแสร้งอมตะเข้ากดทับห้วงอวกาศเมื่อนางปรากฏตัว เมื่อผสานเข้ากับพลังที่นางปล่อยออกมาพร้อมแววเย็นเยียบในดวงตา หญิงสาวก็ดูไม่ต่างจากมัจจุราชที่มาเพื่อพรากวิญญาณของหวังเป่าเล่อ!

“หลงหนานจื่อ!” นางตะโกนพร้อมพุ่งเข้าไปหาหวังเป่าเล่อด้วยความไวกว่าอัสนี ห้วงอวกาศแหวกออกเมื่อหญิงสาวเคลื่อนตัวผ่านราวกับว่าสามารถฉีกกระชากได้ทุกสิ่ง เมื่อเข้าไปใกล้ นางยกมือขวาขึ้นส่งฝ่ามือพุ่งไปยังหว่างคิ้วของชายหนุ่ม

“ทำไมตะคอกใส่บิดาเจ้าเช่นนี้” แม้หวังเป่าเล่อจะตื่นกลัว แต่สีหน้ากลับไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกเดือดขึ้นกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำถามนั้น นางเข้าไปประชิดชายหนุ่มในทันที ก่อนจะปะทะเข้ากับเกราะจักรพรรดิที่ปรากฏขึ้นมาต้านพลังโจมตีอย่างสุดกำลัง

เสียงสั่นสะเทือนดังกึกก้อง แม้หวังเป่าเล่อจะมีเกราะจักรพรรดิช่วยต้านการโจมตี แต่ก็ไม่สามารถเทียบชั้นกับพลังผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกได้ เกราะจักรพรรดิจึงแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในทันที ทว่าเศษชิ้นส่วนกลับไม่ได้หายวับไป มันพุ่งไปทางผู้บัญชาการทหารมังกรหยดหมึกโดยพลัน

“ขังนางไว้!” หวังเป่าเล่อพ่นเลือดออกมาพร้อมร้องคำราม ทันใดนั้น เกราะจักรพรรดิก็พุ่งไปล้อมรอบร่างผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกและขังนางเอาไว้ภายใน!

ชายหนุ่มต้องแบกรับอาการบาดเจ็บรุนแรงขณะที่แปลงกายเป็นหมอกอยู่หลายครั้งเพื่อต้านทานการโจมตี ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกไม่ได้สนใจเศษเกราะจักรพรรดิรอบตัว ขณะที่นางกำลังจะปลดปล่อยพลังปราณเพื่อหลบหนีออกมาและตามไปสังหารหวังเป่าเล่อ ดวงตาของชายหนุ่มก็ฉายแสงวาบ เขาทิ้งแผนที่วางเอาไว้ก่อนหน้าว่าจะผนึกผู้บัญชาการเจ็ดหน และเปลี่ยนมาผนึกนางเอาไว้ในครั้งเดียว

ชายหนุ่มยกมือขวากวาดลง ทันใดนั้น หุ่นเชิดเจ็ดพันตัวที่สร้างไว้เพื่อผนึกก็รวมตัวกันสร้างวงล้อมเจ็ดชั้นขึ้นมา เหล่าหุ่นเชิดกระจายตัวไปล้อมผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกเพื่อผนึกนางไว้!

“จงผนึก!”

สิ้นคำสั่ง หุ่นเชิดเจ็ดพันตัวก็เปล่งแสงสุกสว่างพร้อมกัน แสงจ้าก่อตัวเป็นลำแสงมากมายพุ่งไปพันรอบตัวผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก หุ่นเชิดเจ็ดพันตัวและลำแสงเจ็ดพันสายพันเกี่ยวรอบตัวผู้บัญชาการก่อเกิดเป็นผนึกขึ้นมา!

……………………………..

บทที่ 761 มรดกบางส่วน!
ขณะที่ดวงจิตในดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ตื่นขึ้น ร่างของหวังเป่าเล่อก็สั่นไหวรุนแรง เนื่องจากสัมผัสสวรรค์ของเขายังเชื่อมอยู่กับดวงจิต ความหิวกระหายของวิชาดวงเนตรปีศาจในกายที่ปล่อยออกมากลายเป็นมือขนาดเล็กพุ่งเข้าไปคว้าบางอย่างมาจากดวงเนตรหมื่นปีศาจ ในตอนนั้นเอง ข้อมูลมากมายจากที่ไหนไม่รู้ก็ปรากฏขึ้นในหัวชายหนุ่ม ร่างของเขาสั่นเทิ้ม รู้สึกเหมือนหัวกำลังจะระเบิด!

หากเป็นคนอื่นคงจะตายลงตรงนั้นไปแล้ว โชคดีที่ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อนั้นพิเศษ มันกลายเป็นหมอกพัดกระจายออกไปทันทีก่อนจะกลับมารวมตัวใหม่อีกครั้ง ด้วยวิธีนี้ทำให้ชายหนุ่มสามารถทนพลังรุนแรงนั้นได้

หลังจากทานทนพลังดังกล่าวได้ ร่างของหวังเป่าเล่อก็ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง แม้จะมีเลือดไหลออกตามทวารทั้งเจ็ด แต่ดวงตาของเขากลับเต็มไปด้วยความสุขเกินกว่าที่จะเชื่อได้

นี่มัน… ดวงวิญญาณของชายหนุ่มสั่นไหว ร่างกายสั่นเทิ้ม เขาพบกระบวนท่าส่วนต่อของวิชาดวงเนตรปีศาจ!

กระบวนท่าเหล่านี้ไม่ใช่กระบวนท่าขั้นจุติวิญญาณ แต่เป็นกระบวนท่าขั้นเชื่อมวิญญาณ!

หรือถ้าจะอธิบายให้ชัดเจนมากขึ้นก็คือ กระบวนท่าที่ปรากฏในหัวของเขาไม่ใช่วิชาดวงเนตรปีศาจแต่เป็นวิชาดวงเนตรสวรรค์!

ถึงจะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ ไม่ใช่ทั้งหมด ด้วยความคุ้นเคยและความเข้าใจในวิชาดวงเนตรปีศาจ หวังเป่าเล่อจึงตัดสินได้ทันทีว่ากระบวนท่านี้ไม่ใช่ของปลอม แต่เป็นพลังเทพส่วนต่อที่เขาต้องการพอดี!

แม้การเรียนรู้กระบวนท่านี้โดยตรงจะไม่เหมาะเท่าไหร่ แต่ถ้าให้เวลาสักหน่อย ชายหนุ่มย่อมสามารถผสานวิชาแห่งศาสตร์มืดให้เข้ากับวิชาดวงเนตรสวรรค์ส่วนเล็กๆ ที่ได้มา และเปลี่ยนมันให้กลายเป็นวิชาดวงเนตรปีศาจที่เหมาะกับเขาได้!

ของขวัญชิ้นใหญ่นี้จู่ๆ ก็โผล่มา จึงทำให้แม้แต่หวังเป่าเล่อเองยังตื่นตะลึงไป ครู่ต่อมา ความบ้าคลั่งก็ฉายชัดขึ้นในดวงตาของชายหนุ่ม เขาขยายสัมผัสเทพออกไปอีกครั้ง พยายามดึงข้อมูลมาเพิ่ม โดยไม่ได้สนใจสภาพปัจจุบันของตนเองแต่อย่างใด

แต่ก็เห็นได้ชัดว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ชายหนุ่มคิดไว้ ไม่ว่าจะพยายามสักเท่าไหร่ ข้อมูลที่ได้มาเพิ่มทุกๆ ครั้งกลับซ้ำกับข้อมูลก่อนหน้านี้ตลอด ทำให้หวังเป่าเล่อไม่ได้ข้อมูลใหม่เพิ่ม

ดูเหมือนว่าหากชายหนุ่มต้องการข้อมูลเพิ่ม เขาจะต้องสร้างความเชื่อมโยงระหว่างสัมผัสสวรรค์ของตนกับดวงจิตให้แข็งแกร่งกว่านี้ แต่…ถึงจะทราบเช่นนั้น ชายหนุ่มก็ไม่สามารถทำได้

เขาสัมผัสได้ชัดเจนว่าการเชื่อมโยงระหว่างสัมผัสสวรรค์และดวงจิตของดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์นั้นอ่อนพลัง ชายหนุ่มต้องการสร้างการเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งกว่านี้ แต่ก็เหมือนมีชั้นป้องกันบางอย่างที่ยากจะทลายขวางอยู่ ทำให้ล้วงข้อมูลมาได้ยาก

หวังเป่าเล่อพยายามซ้ำๆ จนดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ค่อยๆ เลือนรางไปพร้อมดวงจิตด้านในที่หายวับไปอีกครั้ง เมื่อดารานิรันดร์กลับคืนสู่สภาพปกติ ชายหนุ่มก็ได้แต่ถอนหายใจและยืนครุ่นคิด ผ่านไปสักพักก็ก้มมองตราประจำกองทหารสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ ดวงตาของเขาฉายแสงวาบ หลังจากวิเคราะห์สถานการณ์เสร็จ หวังเป่าเล่อก็ได้คำตอบที่ตนเองก็ไม่ค่อยจะแน่ใจสักเท่าไหร่

เป็นไปได้หรือไม่ว่า…ดวงเนตรหมื่นปีศาจนี้คือมรดกตกทอด แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะรับไปได้ มีเพียงผู้ฝึกตนที่ได้เรียนรู้เคล็ดวิชาจากแหล่งเดียวกันเท่านั้นถึงจะรับไปได้!

เพราะเช่นนั้นคนอื่นถึงรับไปไม่ได้ แต่ข้ารับไปได้…ถ้าข้าเดาถูก แสดงว่าถึงจะมีสิทธิ์ แต่ก็ต้องมีคุณสมบัติต่างๆ จึงจะรับแต่ละส่วนได้ตามระดับต่างๆ….ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็อธิบายได้ว่าเหตุใดข้าถึงได้มาแค่ส่วนเล็กๆ หรือมันจะเป็นเพราะข้ามีอำนาจไม่เพียงพอ หวังเป่าเล่อมองตราประจำกองทหารสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ในมืออีกครั้งและตรึกตรองต่อ

จะว่าไปการเชื่อมโยงของข้ากับดวงจิตของดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์นั้นค่อนข้างอ่อนพลังหรือไม่ก็เชื่อมโยงได้แค่ขอบเขตด้านนอกของมันเท่านั้น พอจะเสริมการเชื่อมโยงให้แข็งแกร่งขึ้นก็ถูกกันไว้

หรือจะเป็นเพราะสิทธิ์ของกองทหารสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์นั้นไม่เพียงพอ หวังเป่าเล่อคิดต่อสักพักก่อนจะเก็บตราประจำกองทหารไป เขาต้องหาทางพิสูจน์เรื่องนี้ แต่ชัดเจนว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะจะทำเช่นนั้น เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้คือก่อการจลาจลครั้งใหญ่!

คอยก่อนเถอะ กองทหารมังกรหยดหมึก! ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบ หลังจากสัมผัสได้ถึงพลังดวงเนตรหมื่นปีศาจที่มีแค่ตนที่สัมผัสได้ เขาก็หายวับออกไปจากดารานิรันดร์ในทันที

หวังเป่าเล่อใช้กระบวนท่าสารัตถะจำแลงกายตนเองและท่องไปทั่วอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ขณะที่กำลังมองหาโอกาสอยู่นั้น เขาก็ติดต่อไปหาเต๋อคุนจื่อและขอให้ช่วยจับตาดูการเคลื่อนไหวของกองทหารมังกรหยดหมึกไว้ เวลาผ่านไปครึ่งเดือน ชายหนุ่มก็เข้าใจการเคลื่อนไหวของกองทหารมังกรหยดหมึกอย่างชัดเจนหลังจากรวมข้อมูลของตนเองเข้ากับข้อมูลของเต๋อคุนจื่อ

ออกประกาศจับข้าทั่วอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เสร็จก็ออกล่าเลยหรือ หวังเป่าเล่อนั่งมองห้วงอวกาศห่างไกลอยู่บนสะเก็ดดาว ดวงตาของเขาฉายแสงเย็นเยียบ หลังจากรวบรวมข้อมูลอยู่ช่วงหนึ่ง ชายหนุ่มก็รู้ว่าก่อนที่กองทหารมังกรหยดหมึกจะมาปล้นตนเอง พวกเขาพบความสูญเสียครั้งใหญ่จากอวกาศชั้นนอก พอกลับมาจึงตกอยู่ในห้วงของความโกรธแค้นและสิ้นหวัง

แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะมาปล้นข้าเลย! หวังเป่าเล่อพ่นลมทางจมูก หลังจากรวบรวมข้อมูลจากหลายๆ แหล่งก็พบเส้นทางที่กองทหารมังกรหยดหมึกใช้เดินทางกลับ และตอนนี้เขาก็อยู่ตรงนั้น ตั้งใจจะประกาศให้กองทหารมังกรหยดหมึกได้รู้ว่าใครเป็นใหญ่ในที่แห่งนี้

คิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็ตรวจดูอุปกรณ์ในกระเป๋าคลังเก็บ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีปัญหาอะไร ร่างกายของเขาก็ค่อยๆ กลายเป็นหมอกหลอมรวมเข้ากับสะเก็ดดาว ไม่หลงเหลือร่องรอยหรือพลังใดๆ ขณะซุ่มรออยู่เงียบๆ

ชายหนุ่มรออยู่เช่นนั้น เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า พริบตาเดียว ครึ่งเดือนก็ผ่านไป หวังเป่าเล่ออดทนรอ แม้กองทหารมังกรหยดหมึกจะไม่โผล่มาเลยตลอดครึ่งเดือน แต่เขาก็ยังรออยู่อย่างนั้นไม่ขยับไปไหน

อีกครึ่งเดือนผ่านไป จู่ๆ คลื่นรบกวนก็พัดกระจายมาจากห้วงอวกาศซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป หมอกบนสะเก็ดดาวพลันขยับ ภายในมีดวงตาแหลมคมหนึ่งคู่ที่สังเกตเห็นได้ไม่ค่อยชัดเจนนักปรากฏขึ้น

มาแล้วหรือ… ขณะที่หวังเป่าเล่อพึมพำอยู่ในใจ ในห้วงอวกาศห่างออกไปไม่มาก กองทัพเรือบินรบขนาดยักษ์หลายร้อยลำก็กำลังมุ่งหน้าตรงมา

เรือบินรบแต่ละลำนั้นมีขนาดและพลังยิ่งใหญ่กว่าเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์อยู่มากโข ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเหล่าเรือบินรบดูคล้ายหมึกยักษ์ แต่ละลำเป็นเรือบินรบชีวภาพ ถ้ามีคนไม่ทราบสถานการณ์มาเห็นเข้าคงจะคิดว่าพวกมันทั้งหมดเป็นฝูงสัตว์ในห้วงอวกาศ

นั่นเพราะมีเรือบินรบชีวภาพในกองเรือกว่าสิบลำที่เป็นสีม่วงทั้งลำ พวกมันมีขนาดใหญ่กว่า พลังกดดันที่ปล่อยออกมาก็แข็งแกร่งกว่าเรือบินรบลำอื่นๆ จนดูราวกับเป็นหัวหน้าของฝูงสัตว์ก็ไม่ปาน

แม้เรือบินรบชีวภาพเหล่านี้จะได้รับความเสียหายแตกต่างกันไปและเหมือนว่าได้ผ่านศึกหนักหน่วงมา แต่คลื่นพลังที่ปล่อยออกมานั้นกลับแฝงไปด้วยความตื่นเต้น

เรือบินรบชีวภาพแต่ละลำแล่นด้วยความเร็วสูงท่องผ่านอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ทุกที่ที่มันผ่าน คลื่นพลังที่แฝงไปด้วยความตื่นเต้นก็สามารถกวาดข้ามสิ่งที่กีดขวางทั้งหมดไปได้ และในตอนนี้ กองเรือบินรบก็กำลังเคลื่อนทัพเข้าไปใกล้สะเก็ดดาวที่หวังเป่าเล่ออยู่!

ชายหนุ่มไม่ขยับเขยื้อน เขาจับตาดูกองเรือบินรบอย่างใกล้ชิดพร้อมแสงประหลาดที่ฉายวาบขึ้นในดวงตา พลังที่แผ่ออกมาจากเรือบินรบสีม่วงอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ หลังจากค้นหาอยู่สักพักเขากลับไม่พบเรือบินรบเวทของผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก หรือสัมผัสถึงพลังขั้นจิตวิญญาณอมตะ

ชายหนุ่มรู้สึกฉงน

นางไม่อยู่หรือ หรือว่าซ่อนตัวอยู่ในเรือบินรบลำอื่น แต่ถ้าคิดดูแล้ว นางก็ไม่น่าจะเดาความคิดข้าได้… ขณะที่กำลังครุ่นคิด กองเรือบินรบของกองทหารมังกรหยดหมึกก็มาถึงสะเก็ดดาวที่หวังเป่าเล่ออยู่ พวกเขาไม่พบสิ่งปกติอะไรในสะเก็ดดาว จึงเคลื่อนทัพผ่านไป

เมื่อเห็นว่ากองเรือบินรบของกองทหารมังกรหยดหมึกกำลังจะผ่านไป หวังเป่าเล่อก็ไม่มีเวลาให้คิดอีก เขาอยู่ในจุดที่ถอยหลังกลับไม่ได้แล้ว!

ช่างปะไร! นางไม่อยู่นี่ละดีแล้ว! คิดเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เลิกลังเลใจ ขณะที่หมอกเคลื่อนตัว สะเก็ดดาวก็ระเบิดทำลายตัวเอง!

แรงสั่นสะเทือนกระจายไปทั่วบริเวณ เศษหินนับไม่ถ้วนกระเด็นไปทางกองทหารมังกรหยดหมึก ขณะที่กองทหารมังกรหยดหมึกกำลังจะตอบโต้ หวังเป่าเล่อก็ปรากฏตัวขึ้นจากหมอก เขายกมือขวากวาดลงด้านล่างอย่างรุนแรง ทันใดนั้น เรือบินรบทำลายตัวเองที่คุมโดยหุ่นเชิดหลายร้อยลำก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้ากองทหารมังกรหยดหมึก!

“จงระเบิด!” หวังเป่าเล่อร้องคำราม พลันเรือบินรบทำลายตัวเองนับร้อยก็พุ่งเข้าใส่กองทหารมังกรหยดหมึกเหมือนกับเป็นฝูงสุนัขคลั่ง

จะดีมากถ้าเรือบินรบพุ่งชนกับกองทหารมังกรหยดหมึก แต่ถ้าไม่ เรือบินรบพวกนั้นก็จะระเบิดในระยะใกล้อยู่ดี พลังทำลายตัวเองของเรือบินรบหลายร้อยลำที่ผสานกัน ประกอบกับการโจมตีอย่างไม่คาดฝันทำให้กองทหารมังกรหยดหมึกไม่สามารถตั้งตัวได้ทัน แรงระเบิดทำลายตัวเองขนาดสั่นสะท้านฟ้าดินปะทะเข้ากับกองทหารมังกรหยดหมึกเข้าอย่างจัง

แรงสั่นสะเทือนรุนแรงกระจายไปทั่วห้วงอวกาศในทันที!

………………………………….

บทที่ 760 กลับสู่ดารานิรันดร์!
ด้วยความช่วยเหลือจากหุ่นเชิดจำนวนมาก และการที่เขายอมลดความคงทน ความเร็ว และพลังโจมตีของเรือบินรบลง ทำให้หวังเป่าเล่อสร้างเรือบินรบได้เป็นจำนวนมาก ถึงแม้จะเรียกพวกมันว่าเรือบินรบไม่ได้อีกต่อไปแล้วก็เถอะ

ให้เรียกว่าวัตถุเวทขนาดใหญ่อาจจะดูเหมาะกว่า เพราะเหตุนี้กระบวนการหลอมจึงลดทอนลงไปมาก ทำให้จำนวนเรือบินรบพุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว

ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน หวังเป่าเล่อก็หลอมเรือบินรบขึ้นได้เกือบพันลำ ชายหนุ่มไม่ได้ใส่แก่นวิญญาณที่ช่วยให้ควบคุมเรือบินรบผ่านความคิดเพื่อเป็นการลดต้นทุน

ดังนั้นในมุมหนึ่งเรือบินรบเหล่านี้จึงไม่ต่างจากขยะเลย แต่นี้ก็เป็นแค่สภาพก่อนการระเบิด หากสั่งระเบิดแล้ว พลังที่ผสานรวมกันของพวกมันสามารถปลดปล่อยพายุรุนแรงขนาดเขย่าฟ้าดินได้

นั่นเพราะหวังเป่าเล่อทุ่มเทพลังไปกับการจัดวัตถุดิบให้ได้พลังระเบิดสูงที่สุดเมื่อทำลายตนเอง ทำให้แทนที่จะเรียกว่าเรือบินรบ เรียกว่าเป็นลูกระเบิดที่พร้อมระเบิดทุกเมื่อน่าจะเหมาะสมกว่า!

ชายหนุ่มยังเป็นกังวลว่าแรงระเบิดที่ได้จากการทำลายตัวเองนั้นจะไม่เพียงพอ จึงใช้วิธีหลอมอาวุธเวทของสหพันธรัฐเสริมเข้าไปอีก ถึงกระนั้น เขาก็ยังไม่พอใจอยู่ดี หลังจากคิดสักพัก หวังเป่าเล่อก็ชั่งใจว่าจะเสริมดวงตาปีศาจเข้าไปอีกดีหรือไม่ เพราะถึงมันจะช่วยเสริมแรงระเบิดได้ แต่ก็เสี่ยงกับการเปิดเผยตัวตนอยู่ไม่น้อย

เอาแค่นี้แล้วกัน ข้าเสริมพลังได้มากสุดเพียงเท่านี้ หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านในสะเด็ดดาวหันมองเรือบินรบจำนวนเกือบพันลำรอบตัวและถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย จากนั้นก็ก้มมองกำไลคลังเวท เมื่อเห็นวัตถุดิบที่เหลืออยู่ก็ค่อยๆ หรี่ตาลง

ถึงจะไม่ได้ใส่แก่นวิญญาณเพื่อเชื่อมกับสัมผัสสวรรค์ ทำให้ขยายสัมผัสสวรรค์ออกไปควบคุมเรือบินรบได้อย่างแม่นยำไม่ได้…แต่ข้าไม่จำเป็นต้องควบคุมเรือบินรบ แค่คุมหุ่นเชิดก็พอแล้ว! แสงผิดแปลกฉายวาบในดวงตาของหวังเป่าเล่อ นี่คือแผนที่ชายหนุ่มวางเอาไว้ เขาจะควบคุมหุ่นเชิดจำนวนมากเพื่อให้ควบคุมกองเรือบินรบต่ออีกที

ดังนั้น เมื่อเรือบินรบระเบิดทำลายตัวเอง เหล่าหุ่นเชิดก็จะระเบิดทำลายตัวเองด้วยเช่นกัน ถึงพลังระเบิดของพวกมันจะไม่สู้กองเรือบินรบ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้พลังเลย

กองทหารมังกรหยดหมึก พวกเจ้ากล้าปล้นข้า เพราะฉะนั้นครั้งนี้ ข้าจะเป่าพวกเจ้าให้เป็นจุณ! หวังเป่าเล่อพ่นลมทางจมูก หยุดคิดเรื่องเรือบินรบ แค่เริ่มครุ่นคิดวิธีรับมือผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกที่มีระดับการฝึกตนอยู่ในขั้นแสร้งอมตะ

ชายหนุ่มทราบดีว่าถ้าหาทางรับมือนางไม่ได้ แผนทั้งหมดที่วางไว้ก็จะสูญเปล่า ที่โจมตีไปก็เหมือนกับเป็นการฆ่าตัวตาย

ระดับการฝึกตนแตกต่างกันเกินไป ถ้าร่างจริงออกมาสู้ด้วย ข้าก็เทียบชั้นนางไม่ได้…แต่ก็อาจขังไว้แล้วเลือกไม่สู้ก็ได้… หวังเป่าเล่อลูบคาง ดวงตาฉายแสงวาบขณะครุ่นคิด

เรื่องวางกับดัก ข้าเชี่ยวชาญเป็นอย่างดี… ขณะคิดเช่นนั้น อาวุธเวทต่างๆ อย่าง เกราะระฆังทองคำ เชือก วงแหวนปราณ และอื่นๆ ก็ปรากฏขึ้นในหัว แต่สุดท้ายเขาก็ปัดความคิดนั้นไป

“ตอนนี้ข้ามีทรัพยากรจำกัด ถึงจะสร้างได้ ก็คงไม่ได้จำนวนที่มากพอจะเป็นประโยชน์ อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดอะไรไม่ดีขึ้น” หวังเป่าเล่อพูดพึมพำพร้อมเงยหน้าขึ้นมองเหล่าหุ่นเชิดที่ง่วนอยู่กับการทำงาน ในช่วงเวลาที่ผ่านมา ชายหนุ่มหลอมหุ่นเชิดขึ้นหลายพันตัวเพื่อให้กระบวนการสร้างเรือบินรบเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว

เรือบินรบแต่ละลำต้องใช้หุ่นเชิดสามตัวในการควบคุม ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะมีหุ่นเชิดเหลือประมาณเจ็ดพันตัว… ดวงตาของหวังเป่าเล่อค่อยๆ ฉายแสงวาบขึ้นขณะกำลังคิดคำนวณความเป็นไปได้ในหัว

หากผนวกระบบหลอมอาวุธเวทของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เข้าและเสริมพลังพวกมันอย่างไร้ขอบเขต ข้าจะรวมพวกมันเป็นกลุ่มละพันตัวเพื่อสร้างวงผนึกได้…เป้าหมายไม่ใช่เพื่อขังนางผู้อยู่ในขั้นแสร้งอมตะให้ได้นานๆ ขอแค่ขังให้ได้สิบชั่วลมหายใจในทุกรอบก็พอแล้ว!

ด้วยวิธีนี้ ข้าจะขังนางได้เจ็ดรอบ รอบละสิบชั่วลมหายใจ! หวังเป่าเล่อตัดสินใจได้เมื่อคิดมาจนถึงจุดนี้ นี่คือวิธีที่จะสูญเสียทรัพยากรและวัตถุดิบน้อยที่สุด ดังนั้นเขาจึงไม่มัวเสียเวลา เข้าสู่การถือสันโดษต่อทันที และคอยเสริมพลังให้กับหุ่นเชิดอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะใช้ขังผู้ฝึกตนขั้นแสร้งอมตะได้

เวลาดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เช่นนั้นและอีกสามเดือนก็ผ่านไป!

หวังเป่าเล่อใช้ข้าวของในกระเป๋าคลังเก็บไปกว่าร้อยละเก้าสิบเพื่อเสริมพลังหุ่นเชิดเจ็ดพันตัวและประกอบเรือบินรบหนึ่งพันลำขึ้น ด้วยความช่วยเหลืออย่างเต็มที่จากเต๋อคุนจื่อ แผนการกองทัพฉายเดี่ยวของเขาก็เสร็จสมบูรณ์

ยังไม่พอ ยังขาดกระบวนท่าช่วยเหลือ! หลังจากเก็บหุ่นเชิดและเรือบินรบเสร็จ หวังเป่าเล่อก็ยืนมองห้วงอวกาศเบื้องหน้าอยู่บนสะเก็ดดาว เขาพูดพึมพำพร้อมก้าวย่างหายวับไปในห้วงอากาศ ทิ้งสะเก็ดดาวที่พำนักมาครึ่งปีไว้และมุ่งหน้าจากไป

ระหว่างการเดินทาง รูปลักษณ์ของหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พอออกจากเขตพื้นที่ที่ควบคุมโดยสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และเข้าไปในพื้นที่สาธารณะ ชายหนุ่มก็แปลงโฉมเป็นจั่วอี้เซียน ในด้านหนึ่งก็เพื่อกลบร่องรอยของตัวเอง ส่วนอีกด้านหนึ่ง เต๋อคุนจื่อได้บอกเขาว่าตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา กองทหารมังกรหยดหมึกออกประกาศจับตนไปทั่วอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์

กระบวนท่าช่วยชีวิตของข้าคือการใช้การเคลื่อนย้ายของดวงเนตรหมื่นปีศาจ ทำให้ข้าสามารถใช้ไอพลังของมันจากที่ใดก็ได้เพื่อเคลื่อนย้ายจากที่โล่งไปปรากฏข้างดารานิรันดร์!

ดังนั้น ข้าต้องซื้อสิทธิ์ใช้ดวงเนตรหมื่นปีศาจของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์หนึ่งหน!

หวังเป่าเล่อพึมพำในใจพร้อมเร่งความเร็วขึ้น จุดหมายที่เขามุ่งหน้าไป…คือจุดที่ดารานิรันดร์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ตั้งอยู่

นี่ไม่ใช่ความคิดที่ผุดขึ้นมาชั่วขณะ แต่เป็นสิ่งที่คิดมากก่อนหน้านี้ตอนวางแผนการครั้งใหญ่บนสะเก็ดดาว เขาจึงถามเต๋อคุนจื่ออ้อมๆ ถึงวิธีเปิดใช้ดวงเนตรหมื่นปีศาจ

หวังเป่าเล่อถามอีกฝ่ายอย่างชาญฉลาด จนเต๋อคุนจื่อไม่กล้าไม่ตอบคำถามแม้จะนึกสงสัย ถึงกระนั้น ชายหนุ่มก็เพิ่งเข้าใจกระจ่างในวันนี้

ถ้าไม่มีอำนาจพิเศษก็ไม่สามารถให้ของบูชาดวงเนตรหมื่นปีศาจเพื่อเปิดใช้งานได้ มีเพียงกองทหารเท่านั้นที่มีสิทธิ์!

หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าไปอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียงสามวันก็ไปถึงเขตดารานิรันดร์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เมื่อเห็นดารานิรันดร์ขนาดใหญ่จากที่ไกลๆ เขาก็หยุดชั่วขณะและสัมผัสแรงกดดันน่าสะพรึงกลัวของมันอยู่ชั่วครู่ ชายหนุ่มกัดฟันแน่นและมุ่งหน้าเข้าไปใกล้ดารานิรันดร์เรื่อยๆ

ขณะที่เข้าไปใกล้ดารานิรันดร์ ไอร้อนรุนแรงก็พวยพุ่งออกมา พลังทำลายล้างที่แผ่ออกมาจากดารานิรันดร์ทำให้แม้แต่ดวงวิญญาณของชายหนุ่มยังสั่นเทิ้ม เมื่อเข้าไปใกล้จนถึงขีดจำกัดที่สามารถทนได้ไหว เขาก็หยิบตราประจำตัวออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ!

ตรานี้เป็นสัญลักษณ์แทนกองทหารสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ พอหยิบตราออกมา หวังเป่าเล่อก็ทำตามวิธีที่เต๋อคุนจื่อบอกมา เขาสร้างผนึกฝ่ามือขึ้นเพื่อเปิดใช้งานตราประจำกองทหาร จากนั้นก็ตะโกนไปทางดารานิรันดร์

“รองผู้บัญชาการกองทหารเกลียวคลื่นสวรรค์หลงหนานจื่อขออนุญาตเปิดใช้งานดวงเนตรหมื่นปีศาจ!”

ทันทีที่หวังเป่าเล่อเปิดใช้งานตราสัญลักษณ์และพูดขึ้นด้วยเสียงดังก้อง ดารานิรันดร์ก็ไม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร แต่ดูเหมือนว่าไอร้อนจัดที่แผ่ออกมาจะปั่นป่วนไป หวังเป่าเล่อไม่ได้ใจร้อนจึงรออยู่เงียบๆ ประมาณสิบห้านาที ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นจุดสีดำปรากฏขึ้นบนดารานิรันดร์ช้าๆ!

จุดสีดำขยายขนาดอย่างรวดเร็ว ตามมาด้วยดวงจิตแรงกล้าที่ไม่สามารถบรรยายได้ซึ่งค่อยๆ ตื่นขึ้น ราวกับว่าได้ตื่นจากการหลับใหลภายในดารานิรันดร์ ในที่สุด จุดสีดำก็ขยายไปได้ในระดับหนึ่ง ดวงตาขนาดใหญ่ปรากฏแทนที่ดารานิรันดร์ในห้วงอวกาศ!

สิ่งนี้คือดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์!

มันคือดวงเนตรหมื่นปีศาจ!

ตอนนั้นเองกายของหวังเป่าเล่อก็สั่นเทิ้ม วิชาดวงเนตรปีศาจในร่างตื่นขึ้น ความหิวกระหายที่เคยปรากฏขึ้นก่อนหน้าปะทุรุนแรงกว่าเดิมอีกครั้ง

ต่อไป ข้าต้องใช้สัมผัสสวรรค์เชื่อมกับดวงเนตรหมื่นปีศาจเพื่อทำสัญญา! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นสุดขีด แม้จะตรวจสอบให้มั่นใจแล้วว่าเต๋อคุนจื่อไม่ได้ปิดบังข้อมูลอะไรไว้และบอกทุกอย่างที่รู้ให้ฟังหมดแล้ว เขาก็ต้องหยุดไปชั่วขณะเพราะความหิวกระหายจากวิชาดวงเนตรปีศาจในร่างกาย

แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้หยุดนาน ความแน่วแน่ปรากฏขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว เขาเลิกลังเล จากนั้นก็ขยายสัมผัสสวรรค์ออกไปใกล้ดวงจิตกล้าแกร่งที่เพิ่งตื่นขึ้นในดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์เบื้องหน้า

เขาไม่ได้เชื่อมกับดวงจิตอย่างสมบูรณ์ เพียงแค่สร้างการเชื่อมโยงอ่อนๆ กับดวงจิตของดวงเนตรหมื่นปีศาจเท่านั้น ถึงกระนั้น ในหัวหวังเป่าเล่อก็เกิดเสียงดังขึ้น และเหมือนว่าการทำสัญญาจะสำเร็จลุล่วง ไอสีดำพวยพุ่งออกมาจากดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์และเข้าห้อมล้อมหวังเป่าเล่อ มอบสิทธิ์ในการเคลื่อนย้ายหนึ่งครั้งให้เขา

ตามที่เต๋อคุนจื่อบอก เมื่อถึงจุดนี้แสดงว่าทุกอย่างสิ้นสุดแล้ว ชายหนุ่มสามารถดึงสัมผัสสวรรค์กลับมาได้ ตอนนั้นเอง ดวงจิตในดวงเนตรหมื่นปีศาจก็ค่อยๆ หายไป ดวงเนตรเลือนหายจากดารานิรันดร์ ราวกับกำลังกลับสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง

เมื่อเห็นว่าทุกอย่างกำลังจะจบลง หวังเป่าเล่อกลับพยายามดิ้นรน เขารู้สึกเหมือนยังขาดอะไรไปหากปล่อยให้ทุกสิ่งสิ้นสุดไปเช่นนี้ โดยเฉพาะความหิวกระหายที่วิชาดวงเนตรปีศาจในกายปล่อยออกมา ชายหนุ่มพูดพึมพำอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะกัดฟันแน่นเมื่อดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์กำลังจะปิดลง พร้อมดวงจิตที่หายวับไปจนเกือบสมบูรณ์

มีอะไรให้กลัวกัน อย่างมากก็แค่สร้างร่างอวตารขึ้นใหม่! เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เลิกต้านความหิวกระหายของวิชาดวงเนตรปีศาจภายในกายและปลดปล่อยมันออกมาทั้งหมด

ขณะที่ชายหนุ่มปลดปล่อยวิชาดวงเนตรปีศาจ ดวงเนตรแห่งดารานิรันดร์ที่กำลังจะปิดลง…ก็พลันลืมตาขึ้นอีกครั้ง!

ขณะเดียวกัน ดวงจิตที่กำลังจะหายวับไปก็ตื่นขึ้นมาใหม่!

……………………..

บทที่ 759 อย่าได้บังอาจดูหมิ่นนักหลอมอาวุธเวท!
ในกลุ่มคนที่บรรลุขั้นการฝึกตนระดับสูง ก็พอจะมีบางคนที่ทำความเข้าใจอะไรได้ช้า แต่ไม่มีทางมีคนโง่อยู่ในหมู่คนกลุ่มนี้แน่ ยกตัวอย่างเช่น ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ในกองทหารเกราะดำตระหนักดีว่าคำสัญญาของหวังเป่าเล่อนั้นแง่หนึ่งก็เพื่อปกป้องตนเอง ส่วนอีกแง่ก็เพื่อสานสัมพันธ์กับกองทหารเกราะดำ

วิธีที่รวดเร็ว สะดวก และได้ผลดีที่สุด นอกจากสร้างความเกลียดชังคือการสร้างผลประโยชน์ อย่างการให้กู้ยืมก็เป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยสานสัมพันธ์ระหว่างผู้คนได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเริ่มต้นความสัมพันธ์เช่นนี้แล้ว ก็มักจะสานต่อไปได้อย่างยั่งยืนจนกระทั่งจ่ายหนี้หมด

หวังเป่าเล่อตระหนักเรื่องนี้ได้ตั้งแต่ยังเด็ก และเขาก็เคยใช้วิธีนี้อยู่หลายหนจึงหยิบขึ้นมาใช้อีกครั้งอย่างไม่ลังเลใจ ขณะเดียวกัน ลึกๆ ในใจ มันก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชายหนุ่มกล้าเสี่ยงสังหารศิษย์ของผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก

แน่นอนว่าเขาโกรธ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ทนไม่ได้ ในแง่หนึ่ง การสังหารศิษย์ผู้นั้นถือเป็นการทดสอบ ส่วนอีกแง่หนึ่ง ก็เป็นการวางตำแหน่งให้กับตัวเองอย่างพิถีพิถัน

ชายหนุ่มไตร่ตรองมาอย่างละเอียด แต่พอเจอเรื่องกองทหารมังกรหยดหมึกจึงกลายเป็นว่าไม่สามารถทำตามแผนเดิมทีละขั้นได้อีก ขณะเดียวกันโอกาสใหม่ก็เผยโฉมขึ้นตรงหน้า แต่การจะไต่เต้าเอาตำแหน่งในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ เขาจะต้องแสดงความสามารถให้ทุกคนได้ประจักษ์

ปัจจัยทั้งหมดนี้มารวมอยู่ในฉากการสังหารศิษย์ด้วยความเกรี้ยวกราดของเขา!

ฝูงชนรอบๆ ที่พากันตื่นตกใจเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าหวังเป่าเล่อคิดถูก แต่เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนทั่วไปของกองทหารเกราะดำแล้ว ชายหนุ่มสนใจท่าทีของผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำมากกว่า

และท่าทีที่ว่านั่น…ก็เผยให้ได้เห็นอย่างรวดเร็ว!

ขณะที่หวังเป่าเล่อล่าถอยออกมา ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกที่เพิ่งเสียศิษย์รักไปก็ร้องคำรามลั่น ตั้งท่าเตรียมออกไล่ล่าด้วยจิตสังหารที่อัดแน่นอยู่ในดวงตา แสงผิดแปลกฉายวาบในดวงตาของผู้อาวุโสที่นอนอยู่บนหลังด้วงดำในฟองอากาศสีรุ้งเป็นครั้งแรก เขามองหวังเป่าเล่ออย่างลุ่มลึกก่อนจะหัวเราะออกมา

“น่าสนใจ” ผู้อาวุโสพูดพร้อมยกมือขวาจิ้มมั่วๆ บนหลังด้วง ทันใดนั้น ด้วงยักษ์สีดำก็เงยหน้าอ้าปาก ร้องคำรามเสียงดังออกมา เสียงคำรามของมันทะลุผ่านฟองอากาศสีรุ้งและระเบิด แรงปะทะพัดกระจายออกไปด้านนอกเขตเส้นแสง ก่อนจะก่อตัวเป็นพายุเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อ พัดไปยังผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกที่กำลังไล่ล่าชายหนุ่มอยู่

เสียงดังสนั่นทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม เขากัดฟันแน่นและถอยเข้าไปในเขตเส้นแสง ถึงผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกจะแข็งแกร่ง แต่นางก็อยู่เพียงขั้นแสร้งอมตะ ไม่ใช่ขั้นจิตวิญญาณอมตะที่แท้จริง สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปเมื่อพายุส่งผลต่อความเร็วของนาง ส่งผลให้ทำได้แค่ยืนมองหวังเป่าเล่อหนีเข้าไปในเขตเส้นแสง ความคลุ้มคลั่งในใจทำให้นางต้องร้องคำรามอย่างเกรี้ยวกราดออกมา

แต่ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกนั้นเป็นคนดุดัน แม้นางจะเดือดจัดจนถึงขีดสุด แต่ก็ก้าวไปบนห้วงอวกาศเบื้องล่างอย่างเกรี้ยวกราดและหายวับไป ไม่แม้แต่จะหันมองหวังเป่าเล่อ

การที่หญิงสาวกลับออกไปเช่นนั้นทำให้หวังเป่าเล่อรู้สึกหงุดหงิดกว่าการได้ยินนางโต้ตอบกลับ นั่นเพราะเขารู้ดีว่าคนเช่นนี้คือคนที่โหดร้ายอย่างจริงแท้

ต้องจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด! หวังเป่าเล่อหรี่ตา ละสายตาจากผู้บัญชาการกองทัพมังกรหยดหมึกและหันกลับมากุมมือคำนับให้กองทหารเกราะดำและฟองอากาศสีรุ้ง

“ศิษย์พี่ ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ!”

เหมือนว่าผู้อาวุโสในฟองอากาศจะไม่ได้ยินที่หวังเป่าเล่อพูด เขาเอนตัวนอนและหลับตาลง

สีหน้าของชายหนุ่มยังคงไม่แปรเปลี่ยน หลังจากคำนับผู้อาวุโสอีกครั้ง เขาก็ถอยหลังกลับด้วยท่าทีนอบน้อมเช่นนั้นไปประมาณสามพันเมตรจึงหันกลับและเตรียมจากไป

ในตอนนั้นเอง สวีเฟยจื่อเหมือนจะพอใจการกระทำของหวังเป่าเล่อ จึงพูดขึ้น

“หลงหนานจื่อ เจ้าให้คำมั่นไว้ว่าจะหาปลามังกรหยดหมึกมาให้สามร้อยตัวภายในสามปี ข้าจะจำคำมั่นนั้นไว้”

ได้ยินเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็เงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็กุมหมัดคำนับสวีเฟยจื่ออีกรอบพร้อมพูดขึ้นอย่างนอบน้อมโดยไม่คิดแอบซ่อนความเจ็บปวดที่มี

“ศิษย์น้องรับทราบ” เขาตอบอย่างไร้ซึ่งชีวิตจิตใจ ชายหนุ่มกุมหน้าอกแน่นขณะจากออกไปอย่างเชื่องช้าเหมือนว่าได้รับบาดเจ็บรุนแรง หลังจากเดินออกไปนอกเขตที่ปกคลุมด้วยสัมผัสสวรรค์ขั้นจิตวิญญาณอมตะ หวังเป่าเล่อก็หรี่ตา มองกลับไปทางกองทหารเกราะดำ

เพิ่มจำนวนเป็นสามเท่า ผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำช่างร้ายกาจเสียจริง เขาตั้งใจทำให้ข้าตกที่นั่งลำบาก… หวังเป่าเล่อหรี่ตา เดิมทีเขาก็ไม่ได้วางแผนจะบอกปัดหนี้ ถ้าสถานการณ์เป็นใจ ชายหนุ่มก็คิดจะมอบปลามังกรหยดหมึกไปเพื่อพัฒนาความสัมพันธ์กับกองทหารเกราะดำให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

แต่คำพูดของสวีเฟยจื่อเมื่อครู่ทำให้เขาปัดความคิดนั้นทิ้งไป ชายหนุ่มตระหนักถึงความตั้งใจของผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำดี อีกฝ่ายต้องการจะเพิ่มมูลค่าของหวังเป่าเล่อ ทำให้การตายของชายหนุ่มมีคุณค่ามากขึ้น

“ไม่ต้องถึงสามปี มากสุดหนึ่งปี…ถ้าข้ายังหาทางมอบปลามังกรหยดหมึกไม่ได้ ผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำจะสร้างสถานการณ์ว่าข้าโดนกองทหารมังกรหยดหมึกสังหาร จากนั้นก็เรียกร้องค่าชดเชยจากกองทหารมังกรหยดหมึก” เขาพึมพำ ความเร็วไม่ได้ตกลง จุดหมายของชายหนุ่มไม่ใช่ดาวเอกอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่เขาต้องการหาสถานที่ที่ใช้ในการฝึกวิชาภายในห้วงจักรวาลซึ่งควบคุมโดยสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์

สถานที่เช่นนั้นไม่ได้หายากอะไร ดาวเคราะห์เล็กๆ หรือสะเก็ดดาวสักดวงก็ถือว่าเหมาะสมมากแล้ว แต่เทียบกันดูแล้วอย่างหลังน่าจะหาพอได้ง่ายกว่า

ผ่านไปครึ่งเดือน หวังเป่าเล่อก็พบสะเก็ดดาวที่เหมาะใช้ฝึกวิชา เขานั่งขัดสมาธิ ปรับสมดุลพลังปราณ กล้ำกลืนฝืนรับความเจ็บปวดจากการฉีกกระชากร่าง ในที่สุดก็สามารถคลายคำสาปของแมลงปอสีเลือดออกจากทรวงอกได้สำเร็จ จากนั้นก็เริ่มจัดแจงความคิดและแผนการใหม่

จะความอาฆาตจากกองทหารมังกรหยดหมึกก็ดี หรือคำขู่จากกองทหารเกราะดำก็ดี ไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน…ก็ชี้ให้เห็นว่าตัวตนและระดับพลังปราณของข้าก็ยังอ่อนแอกว่าพวกเขาอยู่ดี! หวังเป่าเล่อที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนสะเก็ดดาวเงยหน้ามองห้วงอวกาศเบื้องบน เขายื่นมือขวาลงไปยังผืนดินรอบตัว จากนั้นก็ขุดชิ้นส่วนสะเก็ดดาวขึ้นมาไว้ในมือ

เปลี่ยนตัวตนใหม่ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็มีความเสี่ยงในอนาคต จะให้บรรลุขั้นการฝึกตนก็ไม่สามารถทำได้ในเวลาสั้นๆ แต่..มีอย่างหนึ่งที่ข้าทำได้เพื่อจะเปลี่ยนสถานการณ์นี้!

ชื่อเสียง! หวังเป่าเล่อออกแรงบีบสะเก็ดดาวในมือ เสียงปริแตกดังขึ้นตามแรงบีบ ดวงตาของเขาฉายแสงวาบขึ้น

ถ้าข้าเป็นคนมีชื่อเสียงที่ทุกคนในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์รู้จัก ถึงจะเปลี่ยนสถานการณ์ไม่ได้ทั้งหมด แต่ข้าก็จะสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างได้หลังได้รับความสนใจจากสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์!

ความยากอยู่ตรงที่จะได้รับความสนใจในระดับที่ข้าต้องการหรือเปล่า…ทางเดียวที่จะทำได้สำเร็จก็คือลงมือทำอะไรบางอย่างที่สร้างความตื่นตกใจได้ หวังเป่าเล่อครุ่นคิดจนถึงจุดนี้ จากนั้นความคิดในหัวก็เริ่มชัดเจนขึ้น

ไม่มีเรื่องไหนจะยิ่งใหญ่และน่าตื่นตกใจไปกว่าการที่คนคนเดียวสามารถโค่นกองทัพทั้งกองลงได้ แสงเย็นเยียบฉายวาบขึ้นในดวงตาชายหนุ่ม พอคิดถึงตอนที่ต้องทำลายเรือบินรบที่ลำบากสร้างมากับมือ ตอนที่โดนผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกไล่ล่า และตอนที่ทนทุกข์ทรมานจากคำสาปของแมลงปอสีเลือด ดวงตาของเขาก็ฉายแววแน่วแน่เด็ดเดี่ยว

ด้วยระดับการฝึกตนของข้า ต้องมีเรือบินรบจำนวนมากพอจึงจะทำเช่นนั้นได้!

เรือบินรบพวกนี้ไม่ต้องมีระดับสูงมาก แค่ระเบิดตัวเองได้ก็พอ ข้าต้องปรับตัวอักขราจารึกเพื่อให้เกิดการทำลายตัวเองอย่างต่อเนื่อง…ต้องมีกำลังคนเพียงพอที่จะคุมเรือบินรบพวกนี้ หวังเป่าเล่อหลับตา หยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลืมตาขึ้นช้าๆ

ได้เวลาใช้งานเหล่าหุ่นเชิดของข้า! ตัดสินใจได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่มัวเสียเวลา เขาเริ่มจากการเพิ่มพลังวงแหวนปราณที่ตั้งขึ้นรอบๆ เพื่อใช้ระหว่างการฟื้นฟูตนเอง จากนั้นก็เปิดกำไลคลังเวทและหยิบกระเป๋าคลังเก็บสิบกว่าใบออกมา ในกระเป๋าเต็มไปด้วยของมากมายที่ได้มาตอนร่วมมือกับสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ออกปล้น

ยังไม่พอ… ชายหนุ่มตรวจดูข้าวของอีกครั้ง พอคิดวางแผนในหัวเสร็จ ก็เปิดใช้แผ่นหยกสื่อสารในทันที เขาส่งข้อความเสียงไปหาเต๋อคุนจื่อเพื่อขอให้อีกฝ่ายรวบรวมวัตถุดิบต่างๆ ที่ต้องการและส่งมาให้เป็นชุดๆ ขณะเดียวกันก็ส่งรายชื่อสิ่งของให้เต๋อคุนจื่อและสั่งให้อีกฝ่ายไปหาซื้อมาจากที่อื่น

เต๋อคุนจื่อหนีกลับมาดาวเอกอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว ตอนแรกก็ระแวดระวังตัว ประกอบกับไปได้ยินข่าวลือต่างๆ มา พอได้ทราบข่าวลือเรื่องข้อพิพาทระหว่างหลงหนานจื่อกับผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกและการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกองทหารเกราะดำ เขาก็ยิ่งวางใจไม่ได้ เป็นกังวลหนักขึ้นกว่าเดิม สำหรับเต๋อคุนจื่อแล้ว ทั้งสองกองทหารนั้นเป็นกลุ่มคนที่เขาไม่อยากเข้าไปยุ่งด้วย

หลังจากได้รับข้อความเสียงจากหวังเป่าเล่อ เขาก็ไตร่ตรองอยู่ในใจ ท้ายที่สุดก็ถอนหายใจ กัดฟันแน่น และทำตามที่หวังเป่าเล่อสั่งมา

สามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว สะเก็ดดาวที่หวังเป่าเล่อพำนักอยู่นั้นภายนอกดูปกติ แต่ภายในเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง พื้นที่ด้านในสะเก็ดดาวกลวงโบ๋ มีทะเลเพลิงไหลหลากอยู่ภายใน นอกจากหวังเป่าเล่อที่ตอนนี้อยู่ในสภาพหัวฟูจากการหลอมอาวุธเวทอย่างบ้าคลั่ง ยังมีหุ่นเชิดหลากหลายขนาดจำนวนนับพันตัวอยู่ในพื้นที่ด้านในสะเก็ดดาวด้วย

เหล่าหุ่นเชิดกำลังวิ่งวุ่นเข้าออกสะเก็ดดาวซึ่งเป็นสถานที่ที่ใช้ผลิตเรือบินรบจำนวนมากซึ่งมีหน้าที่ระเบิดตัวเอง!

แค่นี้ยังไม่พอ คอยดูเถอะ ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก! หวังเป่าเล่อโบกมือขวา สร้างหุ่นเชิดขึ้นอีกสามตัว หลังจากส่งพวกมันไปช่วยงานก่อสร้างรอบๆ เขาก็ลงมือหลอมเรือบินรบเพิ่มอีก!

………………………..

บทที่ 758 เมื่อโอกาสมาถึง จงโจมตี!
ความคิดนั้นไม่ได้ส่งตรงไปหาคนๆ เดียว แต่เป็นการประกาศให้ทุกคนในที่แห่งนั้นทราบโดยทั่วกัน!

สีหน้าของหวังเป่าเล่อมืดมน ชายหนุ่มหรี่ตาลง หากเป็นคนอื่นที่ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับเขาคงกระสับกระส่ายด้วยความประหม่าแน่นอน แต่ไม่ใช่หวังเป่าเล่อ ดวงตาของเขากวาดผ่านผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึก รู้ได้ในทันทีว่านางกำลังพยายามทำสิ่งใด

นางจิ้งจอกกำลังวางแผนบางสิ่งแน่ นางอาจสนใจต้องการแลกเปลี่ยนจริงๆ แต่เป็นไปได้มากกว่าที่ความต้องการที่แท้จริงของนาง คือการทำให้ตนเองไม่ขายหน้าไปมากกว่านี้ ซึ่งเป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผล ว่าเหตุใดนางจึงประกาศให้ทุกคนได้ยิน…ทั้งที่ความจริงแล้วจะส่งข้อความไปหาเป็นการส่วนตัวก็ได้! หวังเป่าเล่อวิเคราะห์สถานการณ์ แต่ก็เป็นเพียงการคาดเดาของเขาเท่านั้น ผู้ที่ก้าวขึ้นมามีอำนาจเป็นถึงผู้บัญชาการกองทหารที่มีปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะย่อมไม่ใช่คนโง่เขลาเบาปัญญาแน่นอน ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดหรือในสถานะใด บทเรียนจากอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงก็ยังใช้ได้เสมอสำหรับเขา

อย่าเดิมพันชีวิตของตนเองเพราะเห็นว่าคนอื่นไม่เคยทำผิดพลาด

ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายวาบ สัญชาตญาณของเขาบอกว่านี่คือโอกาสงามในการเชื่อมสัมพันธ์กับหนึ่งในกองทหารที่ทรงพลังที่สุดในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์แห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์

วันนี้ข้าสูญเสียมามากแล้ว ไม่มีทางให้ข้าระบายอารมณ์เลย ถ้าเช่นนั้น…มาลองดูกันดีกว่าว่าข้าจะสามารถทำให้คนสำคัญของสำนักประทับใจได้หรือไม่! จิตใจของเขาเต็มไปด้วยความคิดมากมาย

ก่อนที่ผู้บัญชาการกองทหารเกราะดำจะทันได้ตอบ หวังเป่าเล่อก็หยิบแผ่นหยกของตนเองออกมา ประทับสัมผัสสวรรค์ของตนเองลงไป จากนั้นก็ยกมันชูขึ้นฟ้าพร้อมตะโกนก้อง “ศิษย์พี่สวีเฟยจื่อ ศิษย์น้องหลงหนานจื่อของท่านคนนี้รู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่งที่ท่านได้ช่วยชีวิตของข้าไว้ เพื่อแสดงความขอบคุณ ข้าขอบริจาคปลามังกรหยดหมึกหนึ่งร้อยตัวให้กองทหารเกราะดำ ข้าสาบานว่าจะทำคำสัญญานี้ให้ลุล่วงภายในสามปี!”

ชายหนุ่มให้คำมั่นเหมาะกับทั้งกองทัพแทนที่จะเป็นกับคนคนเดียว และประกาศอย่างชัดเจนว่าเป็นการบริจาค ซึ่งทำให้การแลกเปลี่ยนนี้ดูมีไมตรีจิตขึ้นมาและช่วยลดความห้วนห้าวลงได้มาก เมื่อเทียบกับข้อเสนอของกองทหารมังกรหยดหมึกแล้ว ข้อเสนอของหวังเป่าเล่อเหนือชั้นกว่าเห็นๆ

เรื่องนี้ทำให้ผู้ฝึกตนจากกองทหารเกราะดำหันมาพิจารณาหวังเป่าเล่ออย่างถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น แม้แต่ชายชราที่เอนกายอยู่บนด้วงเกราะดำภายในฟองสบู่สีรุ้งยังปรายตามองเขา ใบหน้าคล้ายจะมีรอยยิ้มบาง เขาหันไปมองผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกด้วยแววตาของผู้ที่เหนือกว่าโดยไม่พยายามเก็บซ่อนแม้แต่น้อย ยกนิ้วก้อยขึ้นแคะหู ก่อนพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สา

“การที่ผู้ฝึกตนที่มีปราณขั้นแสร้งอมตะที่เป็นถึงผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกพลาดท่าให้ผู้ฝึกตนไม่มีหัวนอนปลายเท้าซึ่งเป็นเพียงผู้สวามิภักดิ์ของสำนักเราทั้งด้านมารยาทและไหวพริบเช่นนี้ หากเจ้าต้องการชีวิตของเด็กนี่มากนัก เหตุใดจึงไม่มอบปลามังกรหยดหมึกหนึ่งร้อยตัวเช่นเดียวกับเขาเลยเล่า”

สีหน้าของผู้ฝึกตนหญิงขุ่นมัวในทันที นางจ้องหวังเป่าเล่อเขม็ง ปลามังกรหยดหมึกนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ยากหาสิ่งใดเหมือน เมื่อเลี้ยงให้เติบใหญ่เต็มวัยจะสามารถเปลี่ยนให้เป็นเรือบินรบชีวภาพได้ ในช่วงวัยแรกรุ่น ปลามังกรหยดหมึกสามารถนำมาใช้เป็นวัตถุดิบสร้างเรือบินรบชีวภาพรูปแบบอื่นได้ ถือเป็นทรัพยากรที่มีคุณค่าเป็นอย่างมากในการเพิ่มศักยภาพให้เรือบินรบ มีเพียงสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเท่านั้นที่ล่าปลามังกรหยดหมึกได้ จึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับคนที่ไม่ได้เป็นศิษย์สำนักนี้ที่จะได้มันมาไว้ในครอบครอง ด้วยเหตุนี้ปลามังกรหยดหมึกจึงเป็นของล้ำค่าหาที่เปรียบมิได้

ปลาชนิดนี้เป็นทรัพยากรที่ต้องใช้อย่างแยบคาย สำนักอาจไม่สนใจมากนักหากปลามังกรหยดหมึกตัวหรือสองตัวถูกมอบให้ผู้อื่น แต่ไม่ใช่กับร้อยตัวแน่ อย่างแรกคือนางไม่มีทางหาปลามังกรหยดหมึกมาได้มากขนาดนั้น และต่อให้ไปหยิบยืมเงินทองคนอื่นมาเพื่อซื้อ ของกำนัลเช่นนี้ก็ถือเป็นการทำผิดกฎของสำนัก

หวังเป่าเล่อคิดถูก นางอาจต้องการเอาชีวิตของเขา แต่เมื่อเขาเข้ามาเหยียบสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ได้แล้ว นางก็พร้อมจะปล่อยเรื่องนี้ไป การบุกเข้าอาณาเขตของคู่อริไม่ใช่เรื่องที่ควรค่านำมาเสี่ยง นางจะไม่ยอมแหกกฎที่ทราบกันทั่วอาณาจักรเพียงเพื่อความสะใจชั่วคราวแน่

แต่การปล่อยให้หลงหนานจื่อได้หายใจต่อไปก็ทำให้นางรู้สึกเสียศักดิ์ศรี หลังจากเหตุการณ์นี้คนอื่นๆ อาจไม่ยอมเชื่อฟังนางเหมือนเคยอีก ด้วยเหตุนี้นางจึงเปิดปากขอเจรจากับผู้ฝึกตนเฒ่าก่อน นางคิดไว้อย่างรอบคอบแล้ว หากกองทหารเกราะดำตกลงรับข้อเสนอก็จะเป็นการดีที่สุด แต่หากไม่ยอมรับ นางก็มีทางถอยห่างจากเรื่องนี้เช่นกัน การที่นางฆ่าหลงหนานจื่อไม่ได้นั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่เรื่องใหญ่คือการที่กองทหารเกราะดำปกป้องเขาต่างหาก นอกจากนี้หลงหนานจื่อคงไม่มีวันอยู่ในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไปได้ตลอดชีวิต ถึงอย่างไรเขาก็ต้องออกมายังโลกภายนอกในวันหนึ่งอยู่ดี

แต่แผนการที่คิดมาอย่างดีของนางกลับต้องพังทลายลงเมื่อหวังเป่าเล่อประกาศว่าจะบริจาคปลามังกรหยดหมึกหนึ่งร้อยตัวให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ภายในสามปี คำมั่นสัญญาของชายหนุ่มทำให้ค่าตัวเขาสูงขึ้น ซึ่งแปลว่านางจะต้องหาทางสังหารเขาอย่างลับๆ มิเช่นนั้นความตายของเขาจะทำให้กองทหารเกราะดำมาทวงค่าชดเชยจากกองทหารของนางได้!

ไอ้สารเลวนี่! นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้บัญชาการหญิงรับรู้ได้ถึงผลของคำพูด และอำนาจของมันในการสลับเปลี่ยนขั้วสถานการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือ ใบหน้าของนางขุ่นมัว แต่ก็ทำได้เพียงกัดฟันกรอดและหันหลังจากไปเท่านั้น นางจะหาทางแก้แค้นทีหลัง

ศิษย์รักของนางผู้ที่เกือบตายด้วยน้ำมือหวังเป่าเล่อยืนอยู่เคียงข้าง เขาไม่ทันตระหนักว่าอาจารย์ของตนเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ใด เพราะไม่ได้มีปัญญาที่หลักแหลมเท่าหวังเป่าเล่อ ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงอ่านไม่ออกว่าอาจารย์ของตนกำลังตกที่นั่งลำบาก แต่เขารู้ดีว่าโอกาสที่ตนเองจะได้แก้แค้นในวันนี้นั้นเหลือน้อยนัก ขณะที่กำลังเตรียมตัวจากไปนั้น ดวงตาของเขาก็วาวโรจน์ด้วยความเจ้าคิดเจ้าแค้น เขาจ้องหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ที่เส้นชายแดนเขม็ง คำพูดชั่วร้ายไหลออกจากริมฝีปาก

“ไอ้สารเลวไม่มีหัวนอนปลายตีน เจ้าไม่มีวันหดหัวอยู่ในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ได้ตลอดไปหรอก วันนึงข้าจะจับเจ้าให้ได้ จะถลกหนังเจ้าทั้งเป็น ลอกกระดูกเจ้า เอาไขมันเจ้ามาทำไขให้ตะเกียงข้าเสีย หลังจากนั้นข้าจะลากวิญญาณเจ้าออกมา เอาไปขังไว้ในร่างทาสสตรีแล้วก็ปู้ยี่ปู้ยำ ให้เจ้ารู้สึกว่าตายไปในวันนี้ยังดีเสียกว่า!” เมื่อพูดจบชายหนุ่มก็พ่นลมเยาะทิ้งท้าย ก่อนหันหลังกลับเพื่อเตรียมตัวจากไปพร้อมอาจารย์ตน

คำพูดของเขาโชกด้วยความมุ่งร้าย ผู้ฝึกตนจากกองทหารเกราะดำหลายคนหันมามองหวังเป่าเล่อหลังจากได้ยินคำพูดนั้น หลายคนเริ่มจินตนาการรายละเอียดของสิ่งที่ผู้ฝึกตนหนุ่มหมายมั่นปั้นมือว่าจะกระทำกับอีกฝ่ายเป็นฉากๆ…

หวังเป่าเล่อชะงักค้าง เขาเคยถูกด่าทอค่อนแคะมามากมายตั้งแต่เริ่มเดินบนเส้นทางการฝึกตน หลายคนเคยอาฆาตว่าจะถลกหนังเขา ลอกกระดูก และด่าเขาว่าชั่วร้ายไม่มียางอาย จนตัวเขาเองเริ่มชินชากับคำพูดเช่นนี้แล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้ยินว่าตนเองจะถูกกระชากวิญญาณออกเพื่อเอาไปใส่ในร่างสตรี คำพูดนั้นทำให้หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มด้วยความรังเกียจและโทสะรุนแรง!

ไอ้ระยำบัดซบ! สมองมันต้องโสมมขนาดไหนถึงคิดอะไรชั่วช้าเกินบรรยายเช่นนี้ได้ มันอยากข่มขืนข้ารึ จะปล่อยให้มันหายใจต่อไปไม่ได้เด็ดขาด! ความต้องการฆ่าพัดทวีขึ้นในใจหวังเป่าเล่อ เขาเป็นเหยื่อของเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ไอ้พวกนี้ต้องการปล้นเขา ยึดเรือเขา จนเขาต้องเปิดฉากโจมตีเพื่อป้องกันตนเอง ในตอนที่กำลังจะจัดการไอ้ตัวลูกนั้น ตัวแม่ก็ดันโผล่มาช่วยเสียก่อน แถมตอนนี้ไอ้ตัวลูกยังมาประกาศคำพูดหยาบช้าต่อหน้าเขาอีก!

มันจะมากเกินไปแล้ว! ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ ชายหนุ่มก็ยิ่งบันดาลโทสะมากขึ้นเท่านั้น เลือดในกายของเขาเดือดพล่านด้วยความโกรธที่หาที่ระบายไม่ได้ เขาไม่มีทางยอมปล่อยวางเรื่องนี้อย่างแน่นอน ความโกรธสีแดงชาดกรรโชกเข้าบดบังสติของเขาเสียหมดสิ้น เมื่อถูกกระตุ้นเช่นนี้ ชายหนุ่มก็ไม่สามารถควบคุมตนเองได้อีกต่อไป ในตอนที่ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกพร้อมด้วยศิษย์ของนางกำลังจะจากไป และเป็นตอนที่กองทหารเกราะดำรวมถึงผู้เฒ่าในฟองสบู่สีรุ้งคิดว่าเรื่องจบแล้ว หวังเป่าเล่อก็เปิดฉากโจมตี!

ความโกรธพวยพุ่งออกจากร่างเขาในบัดดล ร่างโปร่งกระโจนออกจากเส้นเขตแดน ระเบิดความเร็วในแบบที่เขาไม่เคยทำได้มาก่อน ทุกคนจับจ้องภาพตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ไม่มีใครคาดคิดว่าชายหนุ่มจะเลือกโจมตีในตอนนี้ หวังเป่าเล่อพุ่งตัวไปข้างหน้า พุ่งเข้าหาศิษย์แห่งกองทหารมังกรหยดหมึกในทันที!

เขาเปรียบเสมือนสายฟ้าอันตรายที่พร้อมฟาดฟัน คนแรกที่มีปฏิกิริยาตอบโต้ไม่ใช่ชายหนุ่มแต่เป็นอาจารย์ของเขา นางหมุนตัวหันหลังกลับ สีหน้าตื่นตกใจขณะยกมือขวาขึ้นโบกเรียกผนึกยักษ์ให้พุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ หมายจะไล่เขาให้กระเด็นออกไป

ดวงตาของหวังเป่าเล่อสว่างวาบขณะมองผนึกยักษ์ที่กำลังพุ่งเข้าหาตน เขายกมือขวาขึ้นปล่อยพลังเต็มพิกัดออกมาโจมตีผนึกยักษ์ การปะทะทำให้ร่างของชายหนุ่มสั่นอย่างรุนแรง เลือดสดๆ กระจายออกจากปาก มือขวาแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ ก่อนระเบิดออกมาขณะที่เจ้าของแขนกระโจนหลบไปข้างหลังเพื่อหนีแรงปะทะจากผนึก

แต่ยังไม่จบแค่นั้น นิ้วหนึ่งจากมือที่แตกสลายระเบิดกลายเป็นเปลวไฟสีดำในบัดดล นิ้วอาบด้วยเปลวไฟมรณะพุ่งผ่านผนึกด้วยความเร็วแสงตรงเข้าหาผู้เป็นศิษย์ สีหน้าของชายหนุ่มคู่อริทั้งตกใจทั้งโล่งใจเพราะคิดว่าตนเองรอดตาย แต่นิ้วที่กำลังเผาไหม้กลับปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาในพริบตา เจาะทะลุผ่านศีรษะของเขาไปอย่างคมกริบ

ชายหนุ่มตัวสั่นสะท้าน ระหว่างคิ้วมีรูกลวงโบ๋ แรงระเบิดพัดเขาให้ปลิวไปด้านหลัง ดวงตาดูจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาอยากหันหน้ากลับไปหาอาจารย์ แต่ก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้น ศีรษะก็พลันระเบิดออกดังโพละ ทั้งเลือดเนื้อและวิญญาณดับสลายกลายเป็นเศษธุลี!

ทุกสิ่งเกิดขึ้นรวดเร็วมาก คนธรรมดาคงมองว่าการกระทำของหวังเป่าเล่อเป็นความบ้าดีเดือดขาดสติ ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะทำเช่นนี้ ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขากระทำการสำเร็จ!

“คุนเอ๋อร์!” ผู้ฝึกตนหญิงผู้นำกองทหารมังกรหยดหมึกมองเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง นางกรีดร้องด้วยความโกรธ หันไปมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาที่ต้องการกินเลือดกินเนื้อ ชายหนุ่มพยายามใช้พลังงานของกระแสปราณจากแรงระเบิดในการส่งตนเองให้กลับไปอีกฟากของเขตแดน!

หน้าอกเขายุบลง มือขวาขาดด้วน ใบหน้าซีดเผือด ลมหายใจไม่เป็นจังหวะ แต่ในดวงตากลับมีความพอใจแกมสะใจล้ำลึกที่ทำให้ทุกคนซึ่งได้เห็นจำไม่รู้ลืม ทุกคนอุทานด้วยความตกใจ

“ไอ้หมอนี่มันคนจริง!”

“ไอ้หลงหนานจื่อนี่ไม่ธรรมดา!”

“แค่มันกล้าโจมตีในสถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่น่าเชื่อแล้ว ว่าแต่ไอ้ปลามังกรหยดหมึกร้อยตัวที่มันประกาศว่าจะบริจาคให้ก่อนหน้านี้ อย่าบอกนะว่ามันคิดหาทางหนีทีไล่นี้ไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เจ้าหนุ่มนี่…ช่างฉลาดหลักแหลมเสียจริง!”

บทที่ 757 ชายแดนของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์!
ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกเดาถูกจริงเสียด้วย หวังเป่าเล่อพยายามหนีเข้าไปในอาณาเขตของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ เนื่องจากรู้ดีว่าด้วยความสัมพันธ์อันตึงเครียดของทั้งสองฝ่าย สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำย่อมไม่กล้าล้ำเส้นอย่างแน่นอน

สองสำนักนี้เป็นศัตรูกัน ความบาดหมางอาจยังไม่ได้รุนแรงถึงขั้นการต่อสู้กันซึ่งๆ หน้า แต่การล้ำอาณาเขตของกันและกันก็ถือว่าเป็นความพยายามยั่วยุให้อีกฝ่ายไม่พอใจ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม

ทันทีที่ผู้ฝึกตนหญิงรู้ว่าหวังเป่าเล่อกำลังจะทำอะไร ดวงตาของนางก็วาวโรจน์ด้วยความอาฆาตมาดร้าย นางพ่นลมเยาะเย้ย ยกมือขวาขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือ ก่อนกัดปลายลิ้นตนเองและถ่มเลือดออกมา!

เลือดสีแดงสดที่กระจายออกมานั้นกระเพื่อมอยู่ในอวกาศ ก่อนแปลงสภาพไปเป็นแมลงปอสีแดงชาด!

ลำตัวและปีกของแมลงปอเป็นสีเลือด มันมาพร้อมไอกระหายเลือดท่วมท้น แมลงปอตัวนี้คือความรู้สึกนึกคิดของคนที่ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา แมลงปอสีเลือดพุ่งไปข้างหน้าทันทีที่ก่อร่างสำเร็จไม่ต่างจากลูกศรคมกริบ ความเร็วของมันเหนือกว่าผู้ฝึกตนที่ใกล้จะบรรลุปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะ มีความใกล้เคียงกับผู้ที่บรรลุปราณขั้นนั้นอย่างแท้จริง

ทุกสิ่งเกิดขึ้นภายในพริบตา แมลงปอสีเลือดเดินทางข้ามห้วงอวกาศด้วยความเร็วเหลือเชื่อพร้อมเสียงอึกทึก พุ่งตรงเข้าหาหวังเป่าเล่อ

หวังเป่าเล่อที่เคลื่อนย้ายออกไปไกลพลันหน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมเสียงเตือนภัยอันตรายที่กรีดก้องอยู่ในหัว ชายหนุ่มไม่มีแม้แต่เวลาจะคิด รีบเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นหมอกและกระจายตัวไปทั่วบริเวณทันที

แต่ก็ไม่ทันการเสียแล้ว ในวินาทีที่เขากลายเป็นหมอก แมลงปอสีเลือดก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลัง พุ่งทะลุเสียบหน้าอกของเขาทันที

แมลงปอสีเลือดหลอมละลายกลายเป็นกองเลือดที่ผสานเข้ากับร่างหมอกของหวังเป่าเล่อ ก่อนแพร่กระจายไปทั่ว เปลี่ยนหมอกให้กลายเป็นสีแดงฉาน!

เสียงอึกทึกดังลั่นไปในอวกาศ ร่างหมอกของหวังเป่าเล่อเริ่มปั่นป่วนเดือดพล่าน มันก่อตัวขึ้นเป็นร่างมนุษย์อีกครั้งในระยะไกลออกไป ร่างนั้นสั่นเทิ้ม กระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ เลือดนั้นคือพลังชีวิตที่ไหลออกจากร่าง ใบหน้าของชายหนุ่มซีดเผือด บนหน้าอกมีบาดแผลรูปแมลงปอที่ไม่ยอมเยียวยาตนเอง!

เส้นเลือดบางสีแดงเข้มกระจายออกจากแผลรูปแมลงปอเหมือนรากฝอย แพร่สะพัดไปทั่วร่างกายของชายหนุ่ม มันดูดซับเอาพลังชีวิต ชอนไชไปในผิวหนังราวกับเนื้อร้ายที่คอยกัดกินร่างกายเขาเพื่อหล่อเลี้ยงให้ตนเองเจริญงอกงาม!

คำสาปรึ สีหน้าของชายหนุ่มมืดลง เขารีบเรียกเปลวไฟสีดำมาสะกดคำสาปให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ในตอนนี้เขาทำได้เพียงแค่นี้เท่านั้น เนื่องจากไม่มีเวลาและทรัพยากรมากพอที่จะปลดเปลื้องตนเองออกจากคำสาปได้อย่างสมบูรณ์ เขารู้ว่าแผลนี้เป็นทั้งคำสาปและเครื่องมือในการจับพิกัดของเขา จึงยกมือขวาขึ้นโบกเพื่อหยิบวัตถุเวทจำนวนมากออกมาจากกำไลคลังเวทโดยไม่รอรี

วัตถุเวทเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาหลอมขึ้นมาสมัยยังอยู่ที่สหพันธรัฐ แต่เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นระหว่างใช้ชีวิตอยู่ที่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เป็นวัตถุเวทที่ชายหนุ่มผลิตออกมาตอนศึกษาวิธีการหลอมเรือบินรบ ทุกชิ้นใช้งานแตกต่างกันออกไป หวังเป่าเล่อมีนิสัยติดตัวอยู่สองอย่างที่มักนำมาใช้ตอนหลอมวัตถุเวท อย่างแรกคือการปล่อยให้วัตถุเวทที่สร้างขึ้นพัฒนาไปตามธรรมชาติของมัน อย่างที่สองคือการติดตั้งระบบทำลายตัวเองไว้ในวัตถุเวททุกชิ้น

แรงจากการระเบิดทำลายตนเองอาจไม่แข็งแกร่งถ้าระเบิดทิ้งเพียงชิ้นหรือสองชิ้น แต่หากเขาปลุกพลังอักขระทำลายตนเองของวัตถุเวทหลายพันชิ้นให้ระเบิดในเวลาเดียวกัน แรงระเบิดย่อมทรงพลังแน่นอน

ตอนที่เขากำลังจะออกคำสั่งให้วัตถุเวททำลายตนเองนั้น ห้วงอวกาศเบื้องหลังก็ฉีกออก ผู้นำกองทหารมังกรหยดหมึกกำลังจะก้าวออกจากรอยแยกนั้น แต่สีหน้าของนางก็พลันเปลี่ยนเป็นตกใจ นางรู้สึกได้ถึงกระแสพลังทำลายตนเองที่แผ่ออกมาจากวัตถุเวทของหวังเป่าเล่ออย่างรุนแรง จึงรีบสร้างผนึกฝ่ามืออย่างรวดเร็วเพื่อกันแรงระเบิด ก่อนจะรีบถอยหนี

เสียงระเบิดดังสะเทือนเลื่อนลั่น แรงจากวัตถุเวทหลายพันชิ้นที่ทำลายตนเองพร้อมๆ กันเขย่าอวกาศให้สั่นไหว สร้างพายุหมุนรุนแรงให้อุบัติขึ้น

หวังเป่าเล่อไม่ได้หนีรอดจากพายุที่ตนเองสร้างโดยไร้รอยขีดข่วน เขากระอักเลือดที่อัดแน่นไปด้วยพลังชีวิตออกมาเต็มปาก ชายหนุ่มขบกรามแน่น พุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่ไม่ได้ลดลงเพื่อหลบหนี ก่อนจะอันตรธานหายไปอีกครั้งด้วยการเคลื่อนย้าย

สามวินาทีต่อมา ผู้นำกองทหารมังกรหยดหมึกก็ลากศิษย์ของตนเองออกมาจากใจกลางพายุ ทั้งสองกระโดดหลบระเบิดเมื่อครู่ได้ทันกาล แต่สีหน้าของนางนั้นโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด นางขบกรามแน่น ดวงตามืดมนด้วยความอำมหิตเข้ากระดูกดำ

การตอบโต้ของหวังเป่าเล่อทำให้นางตกใจถึงสองเรื่องด้วยกัน เรื่องแรกคือเขาดูไม่ได้รับผลกระทบจากคำสาปของนางมากนัก แมลงปอสีเลือดอุ้มเลือดที่สกัดจากปลายลิ้นของนางเอาไว้ มันเป็นคำสาปที่ได้ผลชะงัดกับสิ่งมีชีวิตที่มีเลือดเนื้อ วิชานี้เป็นกระบวนเวทที่นางได้รับมาจากจักรพรรดิสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำที่มีขั้นปราณระดับดาวพระเคราะห์ ผู้ที่โดนคำสาปนี้เข้าไปจะถึงแก่ความตายแน่นอน นอกจากจะมีปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะขึ้นไปเท่านั้น!

จากนั้นเรื่องน่าตระหนกที่สองก็ตามมา นางไม่ได้ตกใจกับการที่คำสาปของตนใช้ไม่ได้ผลกับหวังเป่าเล่อมากมายนัก แต่ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะตอบโต้กลับได้เร็วถึงเพียงนี้ นางจับพิกัดของชายหนุ่มไว้ และเคลื่อนย้ายตนเองมาหาแทบจะในทันทีที่แมลงปอสีเลือดประทับตราคำสาปลงบนกายของอีกฝ่าย แต่นางก็ยังถูกซุ่มโจมตีเสียได้ แถมเขายังทำให้นางช้าลงชั่วครู่ได้จริงเสียด้วย

จะปล่อยให้ไอ้เด็กนี่มีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้! ประกายสังหารสว่างวาบออกจากดวงตาของนาง นางสร้างผนึกฝ่ามือด้วยมือขวา เตรียมตัวเคลื่อนย้ายไปยังพิกัดที่อีกฝ่ายอยู่โดยอาศัยจิตสัมผัสที่เชื่อมกับแมลงปอสีเลือด ข้างกายนางมีศิษย์รักอยู่ ชายหนุ่มที่เกือบสิ้นชีวิตด้วยน้ำมือของหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้ร่างสั่นเทิ้มด้วยความกระวนกระวายถึงขีดสุด เขาติดตามอาจารย์อย่างใกล้ชิดมาตลอด และสังเกตเห็นว่าสีหน้าโกรธเกรี้ยวของนางนั้นค่อยๆ มืดมนลงเรื่อยๆ ตลอดการไล่ล่า ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกลัวหวังเป่าเล่อมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเขาก็เห็นสีหน้าของอาจารย์มืดมนลงไปอีก ดูเหมือนว่านางจะหาตัวหวังเป่าเล่อไม่เจอเสียแล้ว เมื่อตระหนักดังนั้น รูม่านตาของชายหนุ่มก็หดแคบลงทันที

ถูกผนึกไปแล้วหรือ ผู้บัญชาการกองทหารกัดฟันกรอด นางเริ่มออกไล่ล่าอีกครั้ง แม้จะหาพิกัดที่แน่นอนของเป้าหมายไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่านางไม่รู้เสียทีเดียวว่าชายหนุ่มขยับตัวไปในทิศทางไหน ทั้งสองเดินหน้าเข้าใกล้ชายแดนระหว่างพื้นที่สาธารณะและเขตแดนของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ขึ้นเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วเต็มสูบ ตัดผ่านอวกาศมืดมิดราวกับเป็นดาวหาง

หน้าของเขาซีดเหมือนกระดาษ แม้จะผนึกแผลรูปแมลงปอได้เรียบร้อยโดยใช้เปลวไฟสีดำ แต่ตราบใดที่ตราประทับนี้ยังคงอยู่ ร่างกายของเขาก็จะยังต้องเจ็บปวดมหาศาล หวังเป่าเล่อตัวสั่นสะท้านจากความเจ็บลึก เป็นความทรมานที่ประทับตราเข้าไปยังดวงวิญญาณของเขา ทำให้ร่างจริงเริ่มได้รับผลกระทบ

โชคดีที่แม้จะมีอุปสรรคระหว่างทาง แต่หวังเป่าเล่อก็ยังรักษาความเร็วเอาไว้ได้ อัตราเร็วที่คงที่ทำให้เขาเข้าใกล้ชายแดนอาณาเขตสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มเห็นเส้นแสงสว่างเรืองรองอยู่รางๆ ตรงหน้า!

เส้นแสงสีขาวแบ่งอาณาเขตทั้งสองบริเวณออกจากกัน ที่อีกฟากหนึ่งของแสงมีเรือบินรบขนาดยักษ์นับสิบลำจอดอยู่!

หลังกองทัพเรือบินรบมีฟองอากาศอยู่มากมาย ฟองอากาศหลายร้อยฟองกระจุกอยู่รวมกันจนแน่นอวกาศ ภายในฟองอากาศแต่ละฟองมีโลกเล็กๆ อยู่ภายใน โดยมีผู้ฝึกตนผลุบโผล่ไปมาอยู่ในฟองอากาศนั้น

เบื้องหลังกระจุกฟองอากาศมีฟองอากาศสีรุ้งอยู่หนึ่งฟอง ภายในมีตัวด้วงในชุดเกราะสีดำอยู่ ด้วงตัวนั้นหลับตานิ่ง แต่ก็ยังไม่วายปล่อยพลังงานน่าขนลุกออกท่วมทั่วบริเวณ ชายชราคนหนึ่งนอนอยู่บนหัวของด้วงเกราะดำ เขานั่งเท้าคางมองไปทางหวังเป่าเล่อด้วยแววตาเย้ยหยัน!

กองทหารที่แข็งแกร่งเป็นลำดับห้าของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์…กองทหารเกราะดำ! ดวงตาของหวังเป่าเล่อสว่างวาบขณะมองฟองอากาศที่ลอยอยู่ด้านหลังเส้นแสง เขารู้เรื่องราวมากมายเกี่ยวกับสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จากการค้นวิญญาณเต๋อคุนจื่อ และรู้ด้วยว่ากองทหารเกราะดำนั้นมีหน้าที่ลาดตระเวนชายแดนของสำนัก

นอกจากนี้เขายังรู้อีกว่าตอนนี้ตนเองอยู่ที่ฐานที่มั่นชั่วคราวของกองทหารเกราะดำ เส้นแสงนั้นคือเส้นชายแดน มีเพียงสมาชิกของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ หรือสมาชิกของสำนักย่อยที่ขึ้นต่อสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์เท่านั้นที่จะผ่านเข้ามาได้ ส่วนบุคคลภายนอกนั้น…เข้ามาไม่ได้ในทุกกรณี!

สีหน้าของชายหนุ่มไม่ได้แสดงความโล่งใจแต่อย่างใดเมื่อเห็นเส้นชัยอยู่ข้างหน้า เขากัดฟันระเบิดพลังปราณเพื่อส่งให้ตนเองเคลื่อนที่เร็วขึ้นอีก สิบวินาทีต่อมา เขาก็ได้ยินเสียงดังลั่นมาจากด้านหลัง ผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกไล่มาทันแล้ว และในตอนนั้นเองเช่นกันที่หวังเป่าเล่อก้าวข้ามเส้นแสงผ่านไปยังอาณาเขตของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์!

ทันทีที่เขาข้ามเส้นเขตแดน ตราประจำตัวของหลงหนานจื่อที่อยู่ในกำไลคลังเวทของเขามาตลอดก็เรืองแสงสว่างวาบ ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับการยืนยันตัวตน และได้รับอนุญาตให้เข้ามาในอาณาเขตได้อย่างปลอดภัย

กองทหารเกราะดำไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้กับการข้ามเขตแดนของหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ผู้ฝึกตนในกองทหารมองเขาสักพักหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้เข้ามาหยุดแต่อย่างใด ราวกับพวกเขากำลังดูการแสดงที่กำลังดำเนินไปต่อหน้าเท่านั้น ในฐานะผู้ชม พวกเขาจะไม่เข้ามาหยุดหรือช่วยใดๆ ทั้งสิ้น

ผู้นำกองทหารมังกรหยดหมึกภายใต้สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำจำเป็นต้องหยุดอยู่นอกเส้นเขตแดนนั้น สีหน้าของนางมืดมิด ก่อนจะซีดเซียว และสลับกลับไปมืดมิดอีกครั้งตามอารมณ์ที่แปรปรวนเปลี่ยนผัน นางเงยหน้าขึ้นมองผ่านกองทหารเบื้องหน้าไปยังชายชราที่นอนอยู่บนด้วงเกราะดำในฟองสบู่สีรุ้ง เสียงของนางกระจายก้องทั่วอวกาศให้ทุกคนได้รับรู้

“สหายเต๋าสวีเฟยจื่อข้าขอแลกปลามังกรหยดหมึกหนึ่งตัวกับชีวิตของไอ้เด็กนั่น”

…………………………

บทที่ 756 พลังปราณขั้นแสร้งอมตะแสดงตัว!
หวังเป่าเล่อเคยประสบกระแสพลังทำนองนี้มาแล้วในอดีต และมีความมั่นใจมากว่าตนเองคิดถูก พลังปราณน่ากลัวที่ไหลออกจากฝ่ามือตรงหน้า ประกอบกับความแตกตื่นที่เขารู้สึกอยู่ในตอนนี้ ทำให้ชายหนุ่มยิ่งมั่นใจว่าตนเองคิดถูกมากขึ้นไปอีก!

พลังปราณนี้อยู่ในขั้นแสร้งอมตะเป็นอย่างน้อย แม้จะยังไม่ถือว่าเป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะที่แท้จริง แต่ก็ทรงพลังกว่าขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์!

เป็นไปได้มากว่าชายหนุ่มตรงหน้านี้ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป การที่เขามีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคอยปกป้องอยู่นั้น ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่คนผู้นั้นทิ้งร่างอวตารของตนเอาไว้ให้คอยคุ้มครอง ความแข็งแกร่งของร่างอวตารลดหลั่นกันไปตามระดับของสัมผัสสวรรค์ที่ทิ้งเอาไว้ในกายของอีกฝ่าย มันอาจทรงพลังเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นไปจนถึงชั้นสมบูรณ์ก็ได้ เห็นได้ชัดว่าฝ่ามือที่ก่อกำเนิดจากควันซึ่งพุ่งออกจากร่างกายของชายหนุ่มตรงหน้านั้นทรงพลังกว่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ ราวกับว่ากำลังถูกโจมตีโดย…ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่แท้จริงอย่างไรอย่างนั้น!

ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะก็ยังไม่อาจเรียกร่างอวตารที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ออกมาหลายตนได้

แต่หวังเป่าเล่อไม่มีเวลามานั่งสงสัยว่าเจ้าของฝ่ามือสีแดงนี้เป็นใคร ไม่ว่าเขาหรือเธอจะมีปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะที่แท้จริงหรือไม่ก็ไม่สำคัญ รูม่านตาของชายหนุ่มหดแคบ ความรู้สึกได้ถึงภัยอันตรายระเบิดออกมาในจิตใจ เขารีบล่าถอยในทันที ก่อนโบกมือเรียกอาวุธเวทจำนวนมากออกมาโบกสะบัด หวังเป่าเล่อแทบไม่กะพริบตาขณะมองอาวุธเวทเหล่านั้นระเบิดออกมาเพื่อเป็นเกราะคุ้มกันให้เขา

ห้วงจักรวาลเกิดเสียงระเบิดอย่างต่อเนื่อง พลังจากการระเบิดพุ่งออกเป็นริ้วๆ เข้าใส่ฝ่ามือสีแดง แต่พลังที่อยู่ในฝ่ามือก็มีอยู่มากเหลือ ถึงพลังการทำลายตนเองของอาวุธเวทจะแข็งแกร่ง แต่ก็ยังเทียบอะไรไม่ได้กับพลังของฝ่ามือสีแดง ฝ่ามือมรณะพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อโดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น!

แม้หวังเป่าเล่อจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นที่แข็งแกร่งเทียบเท่าชั้นสมบูรณ์ แต่พลังของเขาก็ยังเทียบไม่ได้กับฝ่ามือสีแดง หากเขาใช้ร่างจริงของตนเองสู้อาจมีโอกาสต่อกรได้มากกว่านี้ เนื่องจากร่างจริงของเขามีกายหยาบที่แข็งแกร่งจนอาจช่วยให้เอาตัวรอดไปได้

แต่ตอนนี้หวังเป่าเล่ออยู่ในร่างอวตาร ถึงร่างอวตารของเขาจะถือกำเนิดมาจากกระบวนท่าสารัตถะ แต่ก็ยังไม่ทรงพลังเท่าร่างจริง หวังเป่าเล่อมองฝ่ามือที่คืบเข้ามาใกล้ รู้ได้ว่าตนเองหลบไม่พ้นแน่นอน จึงกัดฟันกลายร่างเป็นหมอกอีกครั้ง

ทันทีที่ร่างหมอกของเขาปะทะเข้ากับฝ่ามือสีแดง เสียงอึกทึกเหมือนสายฟ้าฟาดก็สะท้อนก้องไปทั่วบริเวณ เสียงตกกระทบเบาๆ กังวานไปในอวกาศ กระจายออกสู่โลกภายนอกเหมือนสายลมกรรโชก ร่างหมอกกว่าครึ่งของหวังเป่าเล่อแหลกสลายกลายเป็นชิ้นๆ จนทำให้เขาคงสภาพหมอกเอาไว้ไม่ได้อีกต่อไป หมอกที่เหลืออยู่รวมเข้าด้วยกัน ก่อเป็นร่างที่สั่นเทาของหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกได้ว่าร่างอวตารกระบวนท่าสารัตถะของตนถูกทำลายจนแทบจะคงรูปร่างเอาไว้ไม่ได้

แต่อันตรายก็ยังไม่ผ่านพ้นไป แม้ฝ่ามือสีแดงจะอ่อนกำลังลงไปเล็กน้อย แต่ต้นกำเนิดพลังของมัน ซึ่งก็คือชายหนุ่มผู้นั้น ยังคงปล่อยหมอกสีแดงออกมาเรื่อยๆ หมอกชุดใหม่นี้ก่อกำนิดเป็นฝ่ามือที่สอง!

ไอ้หมอนี่เป็นลูกของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะหรืออย่างไรกัน รูม่านตาของหวังเป่าเล่อหดแคบ วินาทีต่อมาเขาก็รู้สึกได้ถึงพลังปราณที่พุ่งเข้ามาจากระยะไกล พลังนั้นอัดแน่นด้วยโทสะ กำลังพุ่งตรงมาทางเขาอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าของชายหนุ่มซีดเผือดในทันที

อย่าบอกนะว่าร่างจริงกำลังมาทางนี้ด้วย ชายหนุ่มหายใจสะดุด หากร่างจริงของเจ้าของฝ่ามือไม่ปรากฏ เขาก็ยังมีโอกาสทำให้ฝ่ามือทั้งสองค่อยๆ อ่อนกำลังลงได้ แต่เมื่อเจ้าของพลังฝ่ามือนั้นมาถึง สถานการณ์จะพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขาไม่มีเวลาอีกต่อไปแล้ว

เวรเอ๊ย! ความโกรธเกรี้ยวปะทุขึ้นในใจของชายหนุ่ม เขามองฝ่ามือทั้งสองที่โจมตีต่อเนื่องกันอีกครั้ง มันทั้งรวดเร็วและทรงพลังจนทำให้อวกาศโดยรอบบิดเบี้ยว ดวงตาของเขาอัดแน่นด้วยความบ้าคลั่ง

มีอยู่ทางเดียวแล้ว! หวังเป่าเล่อกัดฟันกรอดสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ชายหนุ่มชี้มือออกไปในความว่างเปล่าที่เรือบินรบของเขาลอยลำอยู่

ทางเดียวที่จะตอบโต้ได้คือการทำให้วัตถุเวทที่ทรงพลังอย่างมากระเบิด เมื่อเทียบกับการที่เขาเคยระเบิดเกราะจักรพรรดิและวัตถุเวทอื่นๆ ก่อนหน้านี้ เขาแทบรู้สึกทนไม่ได้หากต้องระเบิดเรือบินรบของตนเอง แต่นี่ก็เป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ แม้จะดูเหมือนเขาจงใจระเบิดเรือบินรบเพื่อโจมตีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ…แต่เป้าหมายที่แท้จริงคือชายหนุ่มที่มีปราณขั้นเชื่อมวิญญาณ!

เขากำลังเดิมพันว่าผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่ปกป้องชายหนุ่มผู้นี้อยู่นั้น จะรีบพุ่งเข้ามาช่วยคนสำคัญของตน!

“ระเบิด!” หวังเป่าเล่อกู่ร้อง ไม่สนใจความเจ็บปวดของการเสียเรือบินรบแสนรักที่ใช้เวลาหลอมมาเนิ่นนาน

เรือบินรบของเขาระเบิดแสงสว่างจ้าออกมาในบัดดล ทั้งตัวเรือและสิ่งของทั้งหมดในเรือระเบิดในทันที พลังจากแรงระเบิดพวยพุ่งเข้าใส่ฝ่ามือที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามาหา และพลันปะทะกันกลางอากาศ

เสียงระเบิดดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วอวกาศ เรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์หนีแรงระเบิดไม่พ้นและยุบตัวลงในทันที ส่วนกองทหารมังกรหยดหมึกที่ติดอยู่ภายในทะเลเปลวไฟสีดำก็หนีไปไหนไม่พ้น ทำได้เพียงค้อมตัวหลบเท่านั้น ต่างได้รับผลกระทบจากแรงปะทะกันถ้วนหน้า

แม้การทำลายตนเองของเรือบินรบจะทรงพลังแต่ก็ยังมีขีดจำกัด แต่เมื่อแรงระเบิดเกิดขึ้นพร้อมแรงปะทะของฝ่ามือจิตวิญญาณอมตะทั้งสอง กระแสพลังที่เกิดขึ้นนั้นไม่เพียงทำให้เรือบินรบถูกทำลายเป็นจุณไปทั้งหมด แต่ยังทำลายเปลวไฟสีดำให้เหี้ยนไปด้วย

หวังเป่าเล่อคาดการณ์ถูกต้อง ฝ่ามือทั้งสองรีบพุ่งเข้าปกป้องชายหนุ่มขั้นเชื่อมวิญญาณจากแรงปะทะในทันที ทำให้เขาพอมีเวลาหนี!

หวังเป่าเล่อรีบหนีในทันที แม้ใบหน้าจะซีดเผือดแต่ก็ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย เขาหันหลังกลับอย่างรวดเร็ว กระโจนออกไปในห้วงอวกาศไกล เต๋อคุนจื่อและสมาชิกสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์คนอื่นหนีไปนานแล้ว การโจมตีของหวังเป่าเล่อก่อนหน้านี้คงจะทำให้พวกเขาตกใจจนต้องเปิดแน่บไป

ไอ้กองทหารมังกรหยดหมึกเวรนี่! หวังเป่าเล่อระเบิดความเร็วเต็มที่ ท้องไส้ปั่นป่วนด้วยความโกรธขณะพุ่งทะยานผ่านห้วงอวกาศ ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะพฤติกรรมอันธพาลไร้เหตุผลของกองทหารนี้ พวกมันบังคับให้สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ส่งทรัพยากรทั้งหมดไปให้ และยังบังคับให้เขาส่งเรือบินรบให้ แน่นอนว่าหวังเป่าเล่อทนทำเช่นนั้นไม่ได้ แต่หากจะปฏิเสธก็เหมือนแกว่งเท้าหาเสี้ยน

หากสถานการณ์เกิดเลวร้ายสุดขั้วขึ้นมา ข้าก็เพียงต้องหนีออกไปจากที่แห่งนี้เท่านั้น! ความอาฆาตรุนแรงวาบเข้ามาในดวงตาของชายหนุ่มขณะที่เขากระโจนไปข้างหน้า ทันใดนั้น เสียงระเบิดกึกก้องก็ดังมาจากสนามรบเบื้องหลังจนห้วงอวกาศสั่นสะเทือน

หวังเป่าเล่อรู้ในทันทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้นโดยไม่ต้องหันหลังกลับไปมอง ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะได้เดินทางมาถึงแล้ว แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงเสียด้วย ห้วงอวกาศตรงที่หวังเป่าเล่อเคยยืนหยัดต่อสู้ก่อนก่อนหน้าฉีกขาด สตรีวัยกลางคนในชุดคลุมเต๋าก้าวออกจากรอยฉีกนั้นด้วยสีหน้าถมึงทึง

นางปรากฏขึ้นต่อหน้าผู้ฝึกตนหนุ่มที่รอดชีวิตมาได้เพราะฝ่ามือทั้งสองของนาง ผู้ฝึกตนหญิงวัยกลางคนโบกมือ พลันเปลือกตาของชายหนุ่มก็เปิดออก ลืมตาตื่นขึ้นจากห้วงแห่งความไม่ได้สติ ทันทีที่เขาตื่นขึ้น อาการบาดเจ็บบนร่างกายก็หายไปหมดสิ้น

“ท่านอาจารย์ขอรับ!” ชายหนุ่มกระวีกระวาดขึ้นทันมีเมื่อเห็นผู้ฝึกตนหญิงวัยกลางคนเบื้องหน้า นางไม่ได้เป็นแค่อาจารย์ของเขาเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้บัญชาการกองทหารมังกรหยดหมึกอีกด้วย!

ชายหนุ่มเล่าให้อาจารย์ของตนเองฟังทันทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ผู้ฝึกตนหญิงวัยกลางคนหันหน้าไปมองยังทิศที่หวังเป่าเล่อจากไป ประกายสังหารวาวโรจน์ในแววตา

“อาจารย์ของเจ้าทราบแล้ว ข้าจะถลกหนังมัน ปลิ้นเนื้อมันออกจากกระดูก ทรมานมันจนสาแก่ใจ แล้วสกัดวิญญาณของมันออกจากร่าง จับยัดใส่เข้าไปในร่างทาสสตรีให้เจ้าทำอะไรกับมันก็ได้ที่เจ้าต้องการ!” คำพูดที่หลั่งไหลออกมาจากปากของนางอย่างง่ายดาย อาบเคลือบด้วยแรงอาฆาตจนน่าขนลุก ทำให้เข้าใจได้ในทันทีว่านางเคยชินกับการกระทำที่โหดเหี้ยมอำมหิต ชายหนุ่มไม่ได้แปลกใจกับสิ่งที่นางพูดออกมาแม้แต่น้อย ดวงตาของเขากลับวาวโรจน์ขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น

“ตามอาจารย์มา ไปจัดการไอ้ชั่วนั่นกัน!” ผู้ฝึกตนสตรีวัยกลางคนเอ่ย นางโบกมือเพื่อดึงศิษย์มากับนางด้วย ทั้งสองเคลื่อนที่ตัดผ่านห้วงอวกาศ มาปรากฏขึ้นในพื้นที่อ้างว้างไกลโพ้นภายในก้าวเดียว นางไล่ล่าหวังเป่าเล่อตามร่องรอยที่เขาทิ้งไว้ขณะหลบหนี!

ตามทฤษฎีแล้ว การที่ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะจะไล่ล่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อรู้แล้วว่าเป้าหมายคือใคร แต่ในกรณีนี้…ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะนี้ยังไม่ได้มีปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะที่สมบูรณ์ ส่วนเป้าหมายของนางก็ไม่ใช้ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณปกติทั่วไป!

นางยังเหลืออีกอึดใจเดียวที่จะบรรลุปราณขั้นจิตวิญญาณอมตะ ส่วนอีกฝ่ายก็เป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก จึงเป็นไปไม่ได้ที่นางจะไล่หวังเป่าเล่อได้ในทันที นางอาจรวดเร็วซ้ำยังเคลื่อนย้ายร่างได้ แต่หวังเป่าเล่อก็พุ่งผ่านห้วงอวกาศด้วยความเร็วสูงเช่นกัน การเปลี่ยนสภาพตนเองให้กลายเป็นหมอกยิ่งทำให้เขาเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้นไปอีก

การไล่ล่าในพื้นที่สาธารณะของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ครั้งนี้เริ่มกลายเป็นจุดสนใจของสำนักน้อยใหญ่ที่สัญจรผ่านไปมา กองทัพในอาณัติของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักผนึกผังดาวหกแฉกรู้ก่อนเป็นกลุ่มแรก พวกเขาเฝ้าดูการไล่ล่าด้วยความสนใจใคร่รู้

“ข้าได้ยินมาว่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนใหม่ของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งมาก เขาสามารถกำจัดนักรบเอกทั้งหมดของกองทหารมังกรหยดหมึกได้เพียงตัวคนเดียว!”

“น่าสนุกดี ผู้ฝึกตนคนนี้ต้องเป็นคนน่าสนใจมากแน่ถึงทำเรื่องเช่นนี้ได้ ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดจึงกล้าแหยมกับกองทหารมังกรหยดหมึกแห่งสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ!”

ข่าวการไล่ล่านี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง ผู้ฝึกตนสตรีวัยกลางคนเกือบไล่หวังเป่าเล่อทันถึงสามครั้งด้วยกัน แต่ชายหนุ่มก็มีเคล็ดวิชาซ่อนไว้มากมาย จนทำให้ความเร็วของเขาพุ่งขึ้นอีกครั้ง กระนั้นชายหนุ่มก็แทบจะทิ้งห่างไปไม่ไหว การหนีรอดไปได้ซ้ำแล้วซ้ำเล่ายิ่งทำให้ผู้ฝึกตนหญิงต้องการฆ่าเขามากขึ้นไปอีก เมื่อการไล่ล่าดำเนินมาถึงปลายทาง โทสะของนางก็ท่วมท้นจนแทบจะระเบิด ผู้คนมากมายที่เฝ้าดูทั้งสองอยู่นั้นทำให้การไล่ล่าที่ยืดเยื้อยิ่งน่าอับอายขึ้นไปอีก

พยายามจะหนีเข้าไปในอาณาเขตของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์รึ เข้าใจละ นางเดาแผนการของหวังเป่าเล่อถูก สายตามองชายหนุ่มเคลื่อนย้ายหนีออกไปไกลอีกครั้ง ประกายเย็นเยียบอำมหิตสว่างวาบในแววตา

…………………………

บทที่ 755 ความคุ้มครองจากผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ
เต๋อคุนจื่อรู้สึกว่าตนเองพลาดทันทีที่สัมผัสได้ถึงแรงสังหารจากหวังเป่าเล่อ เขาอาจเป็นทาสรับใช้ที่ถูกตีตรา จึงต้องทำตามสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการทุกอย่าง แต่เขาเองก็ไม่อยากก้าวเท้าเข้าไปแหย่สามสำนักใหญ่ หากไม่ใช่ทางเลือกสุดท้ายของชีวิตจริงๆ สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเพิ่งก้าวขึ้นมามีอำนาจ จึงทำให้สำนักนี้ให้ความสำคัญกับการปกป้องพวกพ้องของตนเองเป็นอันมาก จากสิ่งที่เขาได้ยินคนอื่นพูดกันมา สำนักนี้ขึ้นชื่อเรื่องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สำนักอื่น ความชั่วร้ายโหดเหี้ยมของพวกเขาระบือไปไกล

จิตใต้สำนักของเต๋อคุนจื่อบอกเขาให้พยายามทำให้หวังเป่าเล่อใจเย็นลง และโน้มน้าวจิตใจอีกฝ่ายให้อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเป็นอันขาด แต่ก่อนที่จะได้พูดอะไร กองทหารมังกรหยดหมึกก็ชิงโจมตีเสียก่อน!

ห้วงอวกาศสั่นสะเทือนทันทีที่ลำแสงสีม่วงแปดสายระเบิดออกมาจากเรือบินรบกองทัพมังกรหยดหมึก และเข้าปะทะเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ในทันที ลำแสงสีม่วงกลายสภาพไปเป็นตาข่ายสีม่วงแปดชั้นที่กักขังพวกเขาเอาไว้ภายใน ก่อนที่ตกข่ายนั้นจะถูกกระชากอย่างแรงลากพวกเขาไปด้วยตามทาง ดูเหมือนว่ากองทหารมังกรหยดหมึกจะตั้งใจใช้กำลังชิงตัวพวกเขาไป

พลังรุนแรงที่แผ่ออกมาจากตาข่ายสีม่วงแปดชั้นทำให้สานุศิษย์จากสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์พากันกระอักเลือดออกมา ร่างกายทานทนแรงกดดันนี้เอาไว้ไม่ไหว กระทั่งผู้ที่มีปราณอยู่ในขั้นจุติวิญญาณก็ยังรับมือไม่ได้ เต๋อคุนจื่อตัวสั่นเล็กน้อย หัวใจเต้นระรัวด้วยความกระวนกระวายและความกลัวที่ตีกันวุ่นวายไปหมด เขามองหน้าหวังเป่าเล่อ ส่งข้อความเสียงไปหาชายหนุ่มในทันที

“นายท่าน ปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไปเสียเถิด หากท่านทำให้กองทัพมังกรหยดหมึกไม่พอใจ ก็เท่ากับว่าท่านกำลังหาเรื่องสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำอยู่ นอกเสียจากว่าเราจะอยู่ในอาณาเขตของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไปตลอดชีวิต เราจะมีปัญหาแน่นอนหากก้าวสู่บริเวณอื่นในอนาคต!”

สีหน้าของหวังเป่าเล่อเย็นเยียบขึ้นอีกเมื่อได้ยินเสียงของเต๋อคุนจื่อ ก่อนหน้านี้เขาก็ไม่ได้ต้องการสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็นแม้แต่น้อย และกำลังจะปล่อยให้อีกฝ่ายยึดทรัพยากรไปด้วยซ้ำ แม้จะเสียดายไม่น้อย แต่ก็เป็นการตัดสินใจที่เขามองว่าเป็นผลดีในระยะยาว ทว่าเรือบินรบที่ชายหนุ่มพากเพียรหลอมมาเองกับมือมีความหมายกับเขามาก เขาใช้ทั้งเวลา ทั้งความพยายาม ทั้งทรัพยากรไปมากมายในการสร้างมันขึ้นมา ไม่มีทางที่เขาจะยอมปล่อยให้มันตกไปอยู่ในมือของคนอื่นแน่นอน

ในตอนนั้นเอง ใครบางคนในเรือบินรบของกองทหารมังกรหยดหมึกก็พ่นลมเยาะเย้ยออกมา

“ข้าให้เวลาสามวินาที ไสหัวไปให้พ้น!” รอยแยกปรากฏขึ้นในตาข่ายในทันที พลังที่ระเบิดออกมาดีดให้ผู้ฝึกตนจากสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ปลิวออกไปนอกเรือบินรบ กระจัดกระจายไปในอวกาศ

มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ยังคงยืดหยัดอยู่ที่เดิมบนเรือบินรบของเขา

“ไม่ยอมไปรึ” เมื่อเห็นหวังเป่าเล่อแข็งข้อ เสียงเดิมก็เยาะเย้ยอีกครั้ง ผู้ฝึกตนแปดคนปรากฏตัวเข้าล้อมเรือบินรบของหวังเป่าเล่อเอาไว้ในทันที ต่างพากันปล่อยพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณโดยไม่ลังเล พลังของพวกเขาไหลบ่าเข้าท่วมห้วงอวกาศบริเวณนี้ทั้งหมดเหมือนน้ำป่าเชี่ยวกราก

“เป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณแต่กลับไม้รู้จักที่ต่ำที่สูง หากเจ้าอยากอยู่นัก ก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากที่นี่อีกเลย!” เสียงเดิมที่อัดแน่นไปด้วยคำขู่ดังลั่นอีกครั้ง เจ้าของเสียงคือชายชราผมขาวโพลน ผู้มีสีหน้าเย็นชาหยิ่งยโส ดวงตาของเขาเย็นเยียบจนราวกับสามารถทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็งได้

สีหน้าของเต๋อคุนจื่อโกรธเกรี้ยวถึงที่สุด เขาถูกถีบออกจากเรือบินรบของตนเอง ทั้งตอนนี้ยังต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกแปดคน เต๋อคุนจื่อลอยอยู่ไกลจากเรือบินรบ จิตใจปั่นป่วนกระสับกระส่ายไปหมด เขาทั้งกลัวและยำเกรงอำนาจของสำนักใหญ่ แต่ก็ยังรู้สึกอับอายและโกรธเกรี้ยวที่โดนปล้นซึ่งๆ หน้าด้วยเช่นกัน เขากำหมดแน่นสลับคลายหมัดออกตามอารมณ์ที่ปั่นป่วนอยู่ในใจ

สีหน้าของหวังเป่าเล่อนั้นสงบนิ่งกว่าแม้จะถูกล้อมไว้โดยผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณถึงแปดคน เขายืนอยู่เหนือเรือบินรบของตนเอง กวาดสายตามองศัตรูตรงหน้า ดวงตาหยุดอยู่ที่ชายชราซึ่งก่อนหน้านี้ประกาศว่าจะยึดเรือบินรบของเขา หวังเป่าเล่อจำเสียงชายผู้นี้ได้ในทันที

“เรามาเจรจากันให้เจ้าไม่ต้องยึดเรือบินรบของข้ามิได้หรือ นี่คือรายการทรัพยากรทั้งหมดที่ข้าเสียไปกับการหลอมเรือบินรบลำนี้ ข้าใช้เวลาไปทั้งหมดสามปีด้วยกัน หากเจ้าต้องการเรือบินรบลำนี้ ทำไมไม่จ่ายค่าตอบแทนให้ข้าเสียหน่อยเล่า” หวังเป่าเล่อพูดออกมาช้าๆ หลังจากที่เงียบงันไปสักพัก เมื่อพูดจบเขาก็ยกมือขวาขึ้นโบก แผ่นหยกบินบันทึกรายการพุ่งเข้าใส่ผู้ฝึกตนชราคนนั้นในทันที

“เจ้าอยากได้ค่าตอบแทนรึ” ชายชราหัวเราะด้วยท่าทางที่ดูราวกับเพิ่งได้ยินเรื่องที่ตลกที่สุด เหล่าผู้ฝึกตนรอบกายเขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ฝึกตนวัยกลางคนที่มีปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นที่ยืนอยู่ด้านขวา สีหน้าของชายผู้นั้นดูเหนือกว่าอย่างชัดเจนและอาบเคลือบไปด้วยการเย้ยหยัน เขาทำท่าเหมือนจะพูดบางสิ่ง แต่แผ่นหยกที่พุ่งเข้าสู่ฝูงชนที่กำลังหัวเราะเยาะนั้นตกไปอยู่ในมือของชายชราเสียก่อน เขาบีบแผ่นหยกแหลกคามือ ทันใดนั้นเปลวไฟสีดำก็พวยพุ่งออกมาจากแผ่นหยกที่แตกสลาย ทะเลเพลิงมืดมิดไหลเข้าท่วมทั่วบริเวณในทันที!

ทุกสิ่งเกิดขึ้นในพริบตา เปลวไฟสีดำแผ่พุ่งออกจากแผ่นหยก กลายสภาพเป็นทะเลเพลิงในห้วงอวกาศที่ผนึกบริเวณนั้นเอาไว้ไม่ให้ใครออกมาได้ ทะเลเพลิงเข้าล้อมกองทหารมังกรหยดหมึก กักขังพวกเขาเอาไว้ภายใน ไม่อนุญาตให้พลังปราณรูปแบบใดก็ตามออกจากพื้นที่แห่งนั้นได้ ผู้ฝึกตนทั้งแปดคนนั้นถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง!

ทันทีที่ผนึกเสร็จสมบูรณ์ หวังเป่าเล่อก็กระโจนไปข้างหน้าด้วยความเร็วราวกับเป็นลูกดอก เขาหายไปในพริบตาก่อนปรากฏขึ้นข้างๆ กองทหาร ตอนที่ศัตรูกำลังจะตอบโต้การเข้าประชิดตัวของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นคว้าศีรษะของผู้ฝึกตนชราที่เปิดฉากหัวเราะเยาะเขาขึ้นมาก่อนคนแรกเอาไว้

เกราะจักรพรรดิกำเนิดขึ้นบนตัว ก่อนเปลี่ยนสภาพกลายเป็นอุ้งมือหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว เสียงเหมือนสายฟ้าฟาดดังกระหน่ำขึ้น ชายชราดวงตาเบิกโพลง แต่ก่อนที่จะได้ทำอะไร มือขวาของหวังเป่าเล่อก็บีบกะโหลกของชายชราอย่างรุนแรง มันระเบิดดังโพละเหมือนแตงโมที่โดนทุบด้วยค้อน!

ต่อให้ชายชราผู้นี้เป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นกลาง ก็ไม่มีสิ่งใดที่จะช่วยเขาให้รอดพ้นจากความตายในวินาทีนี้ไปได้ เขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะขยับตัวตอบโต้เมื่ออยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อได้เลย!

ความสามารถในการต่อสู้อันยอดเยี่ยมของหวังเป่าเล่อเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชายชราจบชีวิตลงอย่างรวดเร็ว แต่ความจริงที่ว่าเขาดูถูกความสามารถของหวังเป่าเล่อ และการที่ชายหนุ่มใช้เปลวไฟสีดำเข้าโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้ชายชราต้องมาตายลงภายในระยะเวลาไม่กี่วินาทีนี้ด้วยเช่นกัน

เลือดสดๆ สาดกระเซ็นไปทั่วทุกหนแห่ง พลังชีวิตเหือดแห้งออกจากร่างที่เหลืออยู่ของชายชรา มันถูกดูดเข้าไปหล่อเลี้ยงเกราะจักรพรรดิในกายของหวังเป่าเล่อ ซากศพไร้ศีรษะเหี่ยวลงในพริบตา ก่อนถูกโยนทิ้งให้ลอยละล่องไปในห้วงอวกาศทันทีที่ชายหนุ่มปล่อยมือ

ความตายโดยไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้ทุกคนตกอยู่ในความเงียบ ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกเจ็ดคนที่เหลือ รวมถึงผู้ฝึกตนในเรือบินรบหมึกยักษ์ทั้งหมดจ้องไปที่ฉากน่าสยดสยองโดยไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างด้วยความไม่อยากเชื่อ ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วเกินไป ต่อให้พวกเขาเป็นนักรบที่มีประสบการณ์โชกโชน แต่ก็ยังทำใจยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ในทันที พวกเขาไม่ได้ระวังตัวว่าจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นในระดับที่มากเท่าตอนออกเดินทางอยู่ เนื่องจากสถานที่แห่งนี้คือบ้านเกิด ทั้งสำนักที่เผชิญหน้าอยู่ก็เป็นเพียงสำนักย่อย ความสูญเสียจากการออกเดินทางครั้งล่าสุดยังทำให้จิตใจของพวกเขาอ่อนล้าไม่มั่นคงด้วยเช่นกัน

ทว่าอย่างไรเสียพวกเขาก็คือกองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดเป็นลำดับเจ็ดของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ เป็นกองทหารมังกรหยดหมึกที่มีพลังซึ่งคนอื่นเทียบไม่ติด สถานการณ์ที่แย่ลงนี้ทำให้เรือบินรบเดินหน้าปฏิบัติการในทันที มันเริ่มใช้พลังการโจมตีโดยมีหวังเป่าเล่อเป็นเป้าหมาย โดยไม่รอคำสั่งจากผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งเจ็ด

ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่เหลือทั้งเจ็ดคนเดินหน้าโต้กลับพร้อมกัน สี่คนพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ ขณะที่อีกสามคนถอยกลับเพื่อติดต่อโลกภายนอก เมื่อรู้ว่าการสื่อสารโดนตัดขาด พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าหัวใจหลักของเรื่องนี้อยู่ที่ตัวหวังเป่าเล่อนั่นเอง ทั้งสามคนคำรามก้อง กระโจนเข้าใส่เปลวไฟที่ล้อมอยู่ด้วยพลังปราณเต็มพิกัด ตั้งใจจะปัดเป่าเปลวไฟสีดำให้หายไปเพื่อปลดปล่อยตนเองและพรรคพวก พร้อมแจ้งข่าวคนภายนอกให้ทราบว่าตนเองกำลังโดนโจมตี

ทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในพริบตาเดียวตั้งแต่การโจมตีของหวังเป่าเล่อ ไปจนถึงการโต้กลับของกองทหารมังกรหยดหมึก หวังเป่าเล่อหรี่ตาเมื่อเห็นการโต้กลับอย่างฉับพลันของกองทหารตรงหน้า ขณะที่เรือบินรบกำลังยิงลำแสงออกมานั้น ชายหนุ่มก็พูดด้วยเสียงเย็นชา “ข้าไม่อยากสำแดงพลังที่แท้จริงในที่เช่นนี้หรอกนะ…แต่ดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกเสียแล้ว…เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้หมดทุกคน”

ลำแสงพุ่งทะลุผ่านร่างของหวังเป่าเล่อทันทีที่เขาพูดจบ ตอนนั้นเองผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสี่คนก็มาถึงตัวชายหนุ่มเช่นกัน เสียงการต่อสู้ดังอึกทึกครึกโครมในห้วงอวกาศ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนเวทของเรือบินรบหรือของคู่ต่อสู้ทั้งสี่ ก็ล้วนทะลุผ่านร่างของชายหนุ่มไปหมดสิ้น

ร่างของหวังเป่าเล่อพร่าเลือนเปลี่ยนสภาพไปเป็นภาพกึ่งมายา กระจายตัวเป็นหมอกที่พัดผ่านทุกอย่างเบื้องหน้า มุ่งเข้าหาผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสามคนที่กำลังพยายามระเบิดผนึกทะเลเพลิงให้เปิดออก!

การโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัวนี้ทำให้กองทหารมังกรหยดหมึกตื่นตกใจอีกครั้ง ผู้ฝึกตนทั้งสามที่ก่อนหน้านี้เร่งทำลายผนึกเปลวไฟสีดำก็ตกใจเช่นกัน ต่างมีสีหน้าตื่นกลัวและแตกฮือในทันที ตอนแรกพวกเขาตั้งใจจะโจมตีผนึกของหวังเป่าเล่อในขณะที่ชายหนุ่มกำลังสาละวนรับมือกับพรรคพวกอีกสี่คนที่เหลือ กลเม็ดนี้อาจใช้ได้กับคนอื่น แต่ไม่ใช่กับหวังเป่าเล่อ!

ร่างของชายหนุ่มกลายเป็นหมอก ภายในหมอกนั้นมีสิ่งหนึ่งที่ซ่อนจากการมองเห็นของศัตรูอยู่ มันคือดวงตาปีศาจนั่นเอง ร่างของชายหนุ่มกลายเป็นเงาทาบทับทุกสิ่งในโลกทะเลเพลิงนี้ ไม่ว่าคู่ต่อสู้ทั้งสามจะเรียกร่างอวตารออกมามากเท่าใด ก็ล้วนหนีเงื้อมมือของเขาไปไม่พ้น ภายในพริบตา หวังเป่าเล่อก็กักขังพวกเขาไว้ในร่างหมอกของตน

เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดและความกลัวดังก้องไปทั่วจักรวาล เมื่อม่านหมอกม้วนตัวกลับและกลายสภาพไปเป็นหวังเป่าเล่อตามเดิมอีกครั้ง ซากศพทั้งสามก็ลอยละล่องอยู่รอบๆ กายชายหนุ่ม ทุกร่างแห้งเหี่ยวไร้ซึ่งชีวิตและวิญญาณ!

หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าตนมีเวลาไม่มากนัก ยิ่งเขาจบเรื่องนี้ได้เร็วเท่าใด ก็ยิ่งได้เปรียบมากขึ้นเท่านั้น เขาไม่ลังเลที่จะกลายสภาพเป็นหมอกอีกครั้ง เพื่อพุ่งเข้าหาผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกสี่คนที่ใจกลางกรงขัง

ผู้ฝึกตนทั้งสี่คนนี้ประกอบไปด้วยชายชราสองคน ชายวัยกลางคนหนึ่ง และชายหนุ่มอีกหนึ่ง ทุกคนมีสีหน้าตกใจและหวาดกลัวเมื่อเห็นสหายของตนเองตายลงอย่างง่ายดายเหมือนไก่ในโรงเชือด เริ่มสงสัยในความสามารถของเพื่อนทั้งสามที่สิ้นชีวิตไป อันตรายคืบเข้ามาใกล้พวกเขา ความตายหายใจรดต้นคอ ทั้งสี่กู่ร้องและถอยหนี ปล่อยพลังซึ่งรุนแรงที่สุดเท่าที่มีเพื่อป้องกันตน

พลังเหล่านี้ทำอะไรหวังเป่าเล่อไม่ได้ตราบใดที่เขายังคงสภาพความเป็นหมอกอยู่ ทั้งสี่ถูกหวังเป่าเล่อล้อมเอาไว้ในทันที ผู้ฝึกตนชราทั้งสองกรีดร้องออกมาก่อนด้วยความเจ็บปวด ร่างเหี่ยวย่นในบัดดล ตามมาด้วยผู้ฝึกตนวัยกลางคนที่ยื้อชีวิตตนเองเอาไว้ได้อีกสามวินาทีก่อนจะแห้งเหี่ยวตามไปเช่นกัน ส่วนคนสุดท้าย ผู้ฝึกตนหนุ่มนั้น…กรีดร้องออกมาอย่างสิ้นหวัง และกระแทกฝ่ามือตนเองลงบนหน้าผาก ในตอนนั้นเอง…

พลังปราณที่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงก็ระเบิดออกมาจากกายของผู้ฝึกตนหนุ่ม หมอกสีแดงพวยพุ่งออกจากทุกรูในร่างก่อตัวขึ้นเป็นฝ่ามือสีแดงเบื้องหน้า พลังปราณที่สั่นสะเทือนได้แม้กระทั่งสวรรค์รวมถึงผืนดิน และทำลายได้ทุกสิ่งที่ขวางหน้า พุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อในทันที

หมอนี่มีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคุ้มครองอยู่รึ หวังเป่าเล่อหรี่ตา!

……………………………

บทที่ 754 บังอาจปล้นข้าหรือ
การเดินทางที่กินระยะเวลายาวนานถึงหนึ่งปีนั้นเป็นประโยชน์ต่อสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์มาก พวกเขาสะสมทรัพยากรได้มากโข จนสามารถปลดหนี้และได้ทุนคืนจากการนำมาสร้างเรือบินรบเมื่อหนึ่งปีก่อนอย่างแน่นอน รวมถึงหลังจากที่จัดการสะสางภาระเสร็จหมดเรียบร้อยแล้ว ก็จะยังมีทรัพย์สินเงินทองเหลืออยู่มากกว่าเงินที่ใช้ไปก่อนออกเดินทางหลายเท่า

ทั้งหมดนี้เป็นเพราะพวกเขาตัดสินใจยอมให้ดวงเนตรหมื่นปีศาจเลือกจุดหมายปลายทาง แทนที่จะกำหนดทางที่จะไปด้วยตนเอง สถานที่ที่พวกเขาไปเป็นบริเวณใหม่ที่ไม่เคยมีสำนักไหนค้นพบมาก่อน แน่นอนว่าทางเลือกสุ่มเสี่ยงนี้มีอันตรายรออยู่มากมาย แต่ด้วยการผนึกกำลังกันของหวังเป่าเล่อและเต๋อคุนจื่อ พวกเขาจึงสามารถรอดพ้นภัยอันตรายมาได้โดยแทบไม่มีรอยขีดข่วน

ทรัพย์สมบัติมากมายที่เก็บสะสมได้จะกลายมาเป็นภัยอันตรายกับพวกเขาอย่างแน่นอนทันทีที่กลับดาวบ้านเกิดไปได้และเริ่มจัดการทรัพย์สิน นอกจากนี้ปัญหาในตอนนี้ยังเป็นเรื่องการเก็บสมบัติอีกด้วย หวังเป่าเล่อต้องเปิดพื้นที่ในเรือบินรบของเขาให้ใช้เก็บข้าวของ ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงเก็บเรือบินรบเข้ากระเป๋าไม่ได้เหมือนเคย เรือบินรบแสนยิ่งใหญ่ของเขาจึงต้องเปิดเผยรูปโฉมให้ประชาชีได้ชม

หวังเป่าเล่อเป็นกังวลว่าการเปิดเผยฐานะที่ร่ำรวยเช่นนี้จะทำให้เกิดปัญหาตามมา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากพยายามทำให้หน้าตาเรือบินรบดูเก่าโทรมที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนี้เขายังพยายามเก็บของที่ล้ำค่าที่สุดไว้ในกระเป๋าตนเองและกระเป๋าเพื่อนร่วมทางคนอื่นๆ ด้วย

เมื่อจัดการทุกสิ่งเรียบร้อยแล้ว เต๋อคุนจื่อก็จัดการปลุกพลังของดวงเนตรหมื่นปีศาจขึ้น จากนั้นพวกเขาทุกคนและเรือบินรบก็พุ่งผ่านลำแสงเจิดจ้าอันเป็นสัญญาณการเริ่มต้นการเคลื่อนย้าย แสงสว่างจุดให้ห้วงอวกาศสว่างไสว พร้อมด้วยเสียงดังสะเทือนแน่นในหู ผู้ฝึกตนจากสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์และเรือบินรบของพวกเขาอันตรธานหายไปในพริบตา

พวกเขามาปรากฏตัวอีกครั้งที่ดารานิรันดร์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์

ภาพที่คุ้นตาของดวงดาวและดาวเคราะห์บ้านเกิดทำให้ทุกคนบนเรือรู้สึกตื่นเต้นดีใจ เมื่อคิดถึงทรัพย์สมบัติที่ตนเองหามาได้ในคราวนี้ จิตใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความหวัง

หวังเป่าเล่อเองก็ตื่นเต้นเช่นกัน แต่ความตื่นเต้นของเขาไม่ได้มาจากการที่ได้กลับมาถึงดาวเอก แต่เป็นความต้องการกระบวนเวทซึ่งเป็นของราชวงศ์แห่งอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เขาไม่สนใจดวงจิตที่ซ่อนอยู่ในดวงเนตรปีศาจแม้แต่น้อย ไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งขึ้นมากเพียงใด วิชาแห่งศาสตร์มืดของเขาก็สยบมันไว้ได้เสมอ สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือการได้ภาคต่อของวิชาดวงเนตรปีศาจมาไว้ในครอบครอง มันจะทำให้พลังปราณของเขาพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ช่วยให้เขาก้าวผ่านขั้นเชื่อมวิญญาณไปเป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะ และบรรลุถึงระดับดาวพระเคราะห์ได้ในที่สุด!

หากมีกระบวนเวทนั้น บวกกับความเร็วในการพัฒนาขั้นปราณของวิชาดวงเนตรปีศาจ ภายในไม่กี่วันข้าย่อมบรรลุระดับดาวพระเคราะห์แน่! หวังเป่าเล่อหรี่ตา ยังคงระวังตัวไม่ยอมวางใจง่ายๆ จากที่เขาทราบทั้งวิชาดวงเนตรปีศาจและวิชาดวงเนตรสวรรค์สามารถใช้เพิ่มพลังปราณของเขาในความเร็วที่ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

ราชวงศ์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ต้องมีพลังการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน พลังของพวกเขาอาจถูกสามสำนักใหญ่สะกดเอาไว้ จึงทำให้ก้าวขึ้นมามีอำนาจสูงสุดผ่านการสังหารหมู่เพื่อยึดอำนาจไม่ได้ แต่พลังที่สั่งสมย่อมต้องมีมากมายอย่างแน่นอน

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจมอยู่ในห้วงความคิดของตนเองนั้น ผู้อาวุโสสูงสุดเต๋อคุนจื่อก็กำลังกลัดกลุ้มกับปัญหาของตนอยู่เช่นกัน ดวงวิญญาณของเขาถูกตราเอาไว้ด้วยผนึกที่ทำให้เขากลายเป็นข้ารับใช้ การปลอบใจตนเองและหลอกตนเองอย่างไม่ย่อท้อทำให้เขาคิดได้…ว่าการได้เป็นข้ารับใช้แห่งราชวงศ์นั้นเป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่เพียงใด!

เขาเปลี่ยนความรู้สึกอดสูจากการถูกจองจำให้เป็นทาส โดยการพร่ำบอกกับตนเองว่านี่เป็นเกียรติสูงสุดในชีวิต เสียงของเต่อคุนจื่อที่เปล่งออกมานั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ

“พวกเรากลับมาถึงบ้านแล้ว ต่อไปก็เพียงต้องระวังขณะเดินทางกลับไปดาวเอกเท่านั้น ข้าว่าคงไม่มีปัญหาอันใดหรอก!”

ในตอนนั้นเอง เรือบินรบสองลำของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ระเบิดความเร็วโดยฉับพลัน มุ่งหน้าพุ่งตรงไปยังทิศที่ดาวเอกของระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ตั้งอยู่

อาณาเขตของอารยธรรมถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนตามสำนักที่เป็นผู้ปกครองสูงสุด โดยมีดาวเอกตั้งอยู่ตรงกลาง พื้นที่รอบดาวเอกถูกหั่นออกเป็นสามบริเวณด้วยกัน พื้นที่ว่างโล่งขนาดมหึมาที่ล้อมรอบดาวเอกไว้เป็นที่ที่เอาไว้จองจำสมาชิกราชวงศ์ และถือเป็นพื้นที่สาธารณะของอารยธรรม

จุดที่มีดารานิรันดร์อยู่ไม่ได้เป็นของสำนักใดสำนักหนึ่ง แต่อยู่ในพื้นที่สาธารณะของอารยธรรม ด้วยเหตุนี้สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์จึงวางแผนการเดินทางกลับบ้านให้อยู่ในพื้นที่สาธารณะเสียเป็นส่วนมาก

ด้วยความที่พื้นที่นี้เป็นสาธารณะ จึงมีเรือบินรบเหาะกันขวักไขว่เป็นประจำทุกวัน ซึ่งแปลว่าอันตรายจากการปล้นชิงนั้นมีมาก ความตึงเครียดระหว่างสามสำนักถูกกดทับไว้ นานๆ จะระเบิดออกมาให้เห็นกันสักที แต่ต่อให้แทบไม่มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ความขัดแย้งก็ยังพอมีให้เห็นอยู่บ้าง โดยเฉพาะเมื่อมีกองทหารของสามสำนักใหญ่เข้ามาพัวพันด้วย

สำหรับสำนักเล็กอย่างสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ การจะเดินทางให้ปลอดภัยนั้นทำได้ง่ายๆ ด้วยการจ่ายค่าผ่านทางเท่านั้น สำนักใหญ่ๆ ไม่ค่อยทำให้ชีวิตของพวกเขายุ่งยากมากนักหากจ่ายค่าธรรมเนียมตามสมควร นี่คือหนึ่งในกฎที่ทุกคนรู้ดีแต่ไม่มีใครพูดในอารยธรรมแห่งนี้ การชำระค่าธรรมเนียมทำนองนี้ถือเป็นหนึ่งในรายได้ที่ทำให้กองทหารของสำนักทั้งสามเดินหน้าต่อไปได้

หวังเป่าเล่อทราบเรื่องนี้มาจากเต๋อคุนจื่อ ระหว่างทางกลับพวกเขาเจอกองทหารของสามสำนักใหญ่ถึงสามครั้ง ทุกครั้งเต๋อคุนจื่อจะจ่ายค่าผ่านทางให้กองทหารด้วยท่าทีชำนาญ จึงทำให้การเดินทางกลับสำนักของพวกเขายังไม่มีเรื่องมารบกวน ทุกคนมุ่งหน้าเข้าใกล้ดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ขึ้นเรื่อยๆ

แต่โชคลาภของพวกเขาก็ดูเหมือนจะเหือดแห้งไปในตอนที่อยู่ห่างจากดาวเอกไปเพียงสองวันเท่านั้น พวกเขาเผชิญกับกองทหารขนาดเล็กที่ประกอบไปด้วยเรือบินรบหน้าตาประหลาดเจ็ดแปดลำ เรือบินรบเหล่านั้นดูเหมือนหนวดหมึกที่สร้างมาจากวัตถุดิบพิเศษ เป็นการหลอมรวมระหว่างสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติกับชิ้นส่วนที่สร้างขึ้น

เรือบินรบหน้าตาเช่นนี้ถือว่าหาได้ยากยิ่งกระทั่งในหมู่กองทหารของสามสำนักใหญ่ มีเพียงกองทหารที่ทรงพลังที่สุดสิบอันดับแรกของสำนักหลักเท่านั้นที่จะมีเรือบินรบเช่นนี้เอาไว้ในครอบครอง เรือบินรบหน้าตาเหมือนหนวดหมึกเหล่านี้ทรงพลังกว่าเรือบินรบทั่วไป แม้จะไม่เทียบเท่าเรือบินรบเวทที่ขับเคลื่อนได้โดยผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณอมตะ แต่ก็ถือได้ว่าใกล้เคียงเลยทีเดียว

สามครั้งก่อนหน้านี้พวกเขาเผชิญกับกองทหารจากสามกลุ่มอำนาจหลักเช่นกัน แต่พลังในการรบของคนเหล่านั้นเทียบอะไรไม่ได้กับเรือบินรบหน้าตาประหลาดที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้

แม้แต่เต๋อคุนจื่อยังอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อเห็นเรือบินรบเหล่านี้เข้า แม้จะดูทรุดโทรมไปบ้างราวกับเพิ่งผ่านศึกหนักมา แต่พลังทำลายล้างที่เรือบินรบเหล่านี้ปล่อยออกมา ก็ทำให้ทุกคนในเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์รู้สึกกลัวจับขั้วหัวใจ

ต้นเหตุของความกลัวก็คือ…พลังของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณแปดคนที่แผ่ออกมาจากเรือบินรบซึ่งดูเหมือนเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไกล พลังรุนแรงไหลเข้าท่วมบริเวณโดยรอบราวกับเป็นคลื่นยักษ์ที่ถาโถม

มีความโกรธเกรี้ยวแฝงอยู่ในพลังรุนแรงนั้น ราวกับพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับสุนัขป่าที่หิวโหยซึ่งเพิ่งกลับมาจากสนามรบ มันพ่ายแพ้ในศึกครั้งก่อนหน้า และกำลังโกรธเคืองถึงที่สุดกับความปราชัยนั้น ทุกสิ่งมีชีวิตที่โชคร้ายมาขวางทางมันเข้า จะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตผู้โชคร้ายที่ต้องรับชะตากรรมของโทสะนั้นไป

“กองทหารมังกรหยดหมึกแห่งสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ!” เต๋อคุนจื่อมีความรู้มากกว่าใครเพื่อนในเรื่องกองทหารอันมีชื่อเสียงภายใต้สามสำนักใหญ่ ความรู้สึกไม่สบายใจพัดโหมเข้ามาในใจทันทีที่เขาเห็นเรือบินรบหน้าตาเหมือนหมึกยักษ์เบื้องหน้า

เขาพูดเสียงเบา “กองทหารมังกรหยดหมึกแข็งแกร่งเป็นลำดับเจ็ดของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ เป็นกองทหารที่ขึ้นชื่อโหดเหี้ยมอำมหิตและบ้าเลือดเป็นอันมาก นอกจากนี้ยังไร้เหตุผลอีกด้วย ผู้นำของกองทหารนี้…เป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ! ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้จะเจอเรื่องไม่ค่อยดีมา พวกเราควรเดินหมากอย่างระมัดระวัง”

หวังเป่าเล่อหรี่ตา เขาสัมผัสได้ถึงพลังขั้นเชื่อมวิญญาณที่ไหลบ่าออกมาจากเรือบินรบหมึกยักษ์ พลังนั้นมีทั้งหมดแปดกระแสด้วยกัน ห้ากระแสแรกอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้น ส่วนอีกสามกระแสที่เหลืออยู่ในชั้นกลาง เขาไม่สนใจแปดคนนี้มากนัก เป็นผู้นำของกองทหารนี้และสำนักที่คุ้มศีรษะของพวกเขาอยู่ต่างหาก ที่ชายหนุ่มรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถต่อกรด้วยได้ในตอนนี้

“ให้พวกเขาผ่านไปก่อน!” หวังเป่อเล่อหรี่ตา พูดออกคำสั่งในทันที เต่อคุนจื่อเองก็เห็นด้วย เขาบังคับเรือบินรบให้หลบลงเบื้องล่างเรือบินรบหมึกยักษ์ ราวกับกำลังค้อมคำนับผู้ทรงอำนาจกว่ากระนั้น กองทหารมังกรหยดหมึกพุ่งทะยานผ่านพวกเขาไปด้วยความแข็งแกร่งทรงพลัง

เต๋อคุนจื่อมองเรือบินรบที่พุ่งทะยานผ่านหน้าพวกเขาไปอย่างไม่สนใจใยดีแล้วก็กำลังจะถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก ในตอนนั้นเองที่หวังเป่าเล่อผู้ซึ่งกำลังมองกองทหารอย่างไม่วางตาเริ่มมุ่นคิ้ว

หนึ่งในเรือบินรบของกองทหารมังกรหยดหมึกหยุดอยู่กลางอวกาศ ทันใดนั้น เสียงจากสัมผัสสวรรค์ก็ประกาศออกจากเรือบินรบที่หยุดนิ่งนั้น มันทะลุทะลวงผ่านเข้ามาในเรือบินรบสองลำของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์อย่างรุนแรง และเข้าท่วมท้นจิตสัมผัสของทุกคนอย่างไร้ความปราณี

“พวกข้าจะยึดทุกอย่างที่พวกเจ้าหามาได้ ส่วนพวกเจ้าก็เชิญ…ไสหัวไปซะ!”

เสียงนั้นเปรียบเสมือนระเบิดที่ปะทุออกมาในจิตใจของทุกคน ต่างคนต่างมีสีหน้าตกใจเมื่อได้ยิน ใบหน้าของเต๋อคุนจื่อกลายเป็นสีแดง ความโกรธโหมกระพือขึ้นในจิตใจอย่างควบคุมไม่ได้ ส่วนหวังเป่าเล่อก็มีแววตาเย็นเยียบคมปลาบ

“นายท่านขอรับ สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เป็นเพียงสำนักย่อยที่ยอมศิโรราบให้กับสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ ส่วนอีกฝ่ายเป็นถึงหนึ่งในกองทัพที่แข็งแกร่งที่สุดของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ พวกเราเทียบพวกเขาไม่ติดแม้แต่น้อย…นอกจากนี้พวกเรายังอยู่ในพื้นที่สาธารณะอีกด้วย หากเราเปิดฉากโจมตีก่อนอาจพอมีโอกาสชนะเล็กน้อย แต่ผู้นำกองทัพนี้เป็นผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ…” เต๋อคุนจื่อสูดหายใจเข้า โยนความโกรธของตนเองทิ้งไปทันทีเมื่อเห็นประกายเย็นเยือกในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขารีบส่งข้อความไปหาหวังเป่าเล่อเพื่อพยายามทำให้อีกฝ่ายใจเย็นลง

หวังเป่าเล่อรู้สึกหงุดหงิดเป็นอันมาก เนื่องจากโดยปกติแล้วเขาเป็นฝ่ายปล้นผู้อื่นตลอด แต่คราวนี้เป็นครั้งแรกที่กลายมาเป็นฝ่ายถูกปล้นเสียเอง สิ่งที่เต๋อคุนจื่อพูดนั้นมีเหตุผล พวกเขาไม่ได้อยู่ภายใต้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์โดยตรง หากพยายามต่อกรกับศัตรูเพื่อแย่งชิงทรัพยากรในตอนนี้ แรงสนับสนุนจากสำนักใหญ่ที่คุ้มหัวพวกเขาอยู่ต้องลดน้อยถอยลงแน่นอน

ชายหนุ่มรู้สึกปวดใจกับทรัพยากรที่พวกเขากำลังจะสูญเสียไป เมื่อลองชั่งข้อดีข้อเสียดูแล้วเขาก็สูดหายใจเข้าลึก แต่ก่อนที่จะได้ประกาศความคิดของตนเองออกไปนั้น…ประกาศจากสัมผัสสวรรค์จากเรือบินรบลำที่สองของกองทหารมังกรหยดหมึกก็มาถึงอีกครั้ง เสียงนั้นแข็งกร้าวอันธพาลกว่าเสียงแรกมากนัก ไม่ต่างจากพายุร้ายที่เริ่มก่อตัว

“เรือบินรบลำนี้น่าสนใจดี ถือว่าเป็นของข้าก็แล้วกัน!”

หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองอย่างช้าๆ เขาไม่ใช่คนที่จะยอมก้มหน้าทนการโดนยั่วยุได้ง่ายๆ ประกายเย็นวาบเข้ามาในแววตาทันทีที่ได้ยินเสียงเยาะเย้ยนั้น ชายหนุ่มพลันหัวเราะออกมา

อยากได้เรือบินรบของข้ารึ ต่อให้พวกเจ้ามีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคุ้มกะลาหัวอยู่แล้วอย่างไรเล่า คิดว่าคนอย่างข้าจะกลัวหัวหดหรืออย่างไร

บทที่ 753 เดินให้ถูกทาง!
หวังเป่าเล่อนิ่วหน้า หันไปมองผู้อาวุโสสูงสุดที่อยู่ด้านหลังด้วยสายตาเย็นเยียบ เขาไม่ได้คาดคิดว่าชายคนนี้จะยอมรับชะตากรรมของตนเองได้รวดเร็ว ถึงขนาดเปลี่ยนมาพยายามยกยอปอปั้นเขาในทันที

มนุษย์ต่างดาวนี่ก็ประจบเป็นด้วยหรือ หวังเป่าเล่อฮึดฮัดอยู่ในใจ ในฐานะผู้ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสหพันธรัฐคนต่อไป ชายหนุ่มพบเห็นพวกชอบประจบประแจงมามากมายในชีวิต เขาจะไม่ยอมกลายเป็นคนประเภทที่ชอบฟังคนอื่นพูดยกยอปอปั้นตนเองเป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงพูดออกมาด้วยเสียงเย็นชา “ก่อนหน้านี้เจ้าเกือบโดนข้าฆ่าตายแล้วมิใช่หรือ!”

น้ำเสียงของชายหนุ่มเจือด้วยรังสีสังหาร ทันทีที่ผู้อาวุโสสูงสุดได้ยิน ร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน เขามองหวังเป่าเล่อด้วยความตื่นเต้นปรีดาอันไม่มีที่สิ้นสุด หากเข้ามามองใกล้ๆ จะเห็นน้ำตาที่ปริ่มสองเบ้าตา

“นายท่าน ท่านช่างเปี่ยมไปด้วยศีลธรรมอันดี อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทุกวันนี้กลายเป็นสถานที่ที่แสนมืดมนภายใต้การนำของสามสำนักใหญ่ ทุกคนล้วนเห็นแก่ตัวและไม่ยินดียินร้ายต่อความรุนแรงและการสังหาร การที่ข้าได้มาเจอนายท่าน ถือเป็นเรื่องที่โชคดีที่สุดในชีวิตข้าเลยก็ว่าได้!”

“พอได้แล้ว! เต๋อคุนจื่อ อย่าพูดอะไรเช่นนี้อีกเชียวนะ ข้าไม่ชอบฟังคนประจบเอาใจ รู้จักที่ต่ำที่สูงเสียด้วย!” หวังเป่าเล่อมีสีหน้ารำคาญใจ ยิ่งมองเต๋อคุนจื่อก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิด เขารู้สึกว่าตัวเองพลาดไปเล็กน้อยที่ไม่ฆ่าหมอนี่ทิ้งเสีย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทำท่าฮึดฮัดและเดินต่อไปข้างหน้าอย่างเย็นชา

เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้อาวุโสสูงสุดก็มีสีหน้าเคร่งขรึมและพูดด้วยท่าทีจริงจังขึ้น

“เต๋อคุนจื่อผู้นี้เชื่อฟังนายท่าน คำพูดของนายท่านเปรียบเสมือนสายลมที่พัดหมอกร้ายให้มลายหายสิ้น ทำให้คนอย่างข้ามองเห็นท้องฟ้าได้แจ่มชัดอีกครั้ง ท่านทำให้ข้ามองเห็นอนาคตอันรุ่งโรจน์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ของเรา มอบความหวังให้กับหัวใจที่แห้งแล้งของข้า ร่างสูงโปร่งน่าเกรงขามของท่านเปรียบเสมือนเสาค้ำที่พยุงอารยธรรมของเราเอาไว้ ช่างเต็มไปด้วยความกล้าหาญองอาจสมกับที่เป็นวีรบุรุษ ทำให้ข้า…”

เมื่อได้ฟังครึ่งแรกของคำสรรเสริญที่เต๋อคุนจื่อพูดออกมา ความหงุดหงิดรำคาญในใจของหวังเป่าเล่อก็ระเบิดในทันทีเหมือนดอกไม้ไฟ เขาหันหน้ากลับมามอง อ้าปากจะปรามเต๋อคุนจื่อด้วยสีหน้าเข้มงวด ชายหนุ่มรู้สึกว่าในฐานะผู้นำที่ยิ่งใหญ่และน่ายำเกรง เขาไม่ควรมีคนประจบสอพลออย่างเต๋อคุณจื่ออยู่ข้างกาย เขาจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้เด็ดขาด เนื่องจากมันจะเป็นผลร้ายต่อชื่อเสียงของเขา แต่ก่อนที่จะทันได้อ้าปากก่นด่า หวังเป่าเล่อก็ได้ยินท่อนที่สองของคำสรรเสริญเสียก่อน…

ประโยคที่ยกยอรูปร่างสูงโปร่งตั้งตรงของเขาทำให้หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอออกมา เต๋อคุนจื่อสังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปได้ทันที ดวงตาของเขาสว่างวาบ ก่อนเริ่มพูดต่ออย่างรวดเร็ว

“นายท่าน ความจริงแล้วสิ่งที่ข้าพูดก่อนหน้านี้ไม่ได้สลักสำคัญอันใดเลย สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ บัดนี้ข้าได้ติดตามวีรบุรุษรูปงามที่ทั้งองอาจและกล้าหาญ เป็นเกียรติยศอันสูงสุดในชีวิตข้าที่ได้ติดตามชายที่หล่อเหลาที่สุดในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทั้งหมด”

หวังเป่าเล่อมองหน้าเต๋อคุนจื่ออยู่นานด้วยสายตาลึกล้ำ สีหน้าของชายหนุ่มอ่อนลงเล็กน้อย เขาลอบถอนใจอยู่คนเดียวในอก

ข้าจะโทษหมอนี่ก็ไม่ได้ เป็นความผิดของข้าเองที่มีรูปโฉมงดงามที่สุดในสหพันธรัฐ หล่อเหลาที่สุดในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อข้าเป็นฝ่ายเข้าใจผิดเอง หมอนี่ไม่ได้พยายามประจบเอาใจข้า เพียงแต่พูดความจริงเท่านั้น หวังเป่าเล่อถอนหายใจ เขารู้สึกว่าต่อให้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ก็คงไม่โหดร้ายขนาดห้ามปรามประชาชนไม่ให้สรรเสริญคุณงามความดีของเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ การจะบังคับจิตใจประชาชนให้พูดเท็จว่าเขาไม่หล่อเหลานั้นเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างยิ่ง

ขณะเดินทางกลับไปยังเรือบินรบแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์นั้น เต๋อคุนจื่อที่ได้รับอนุญาตจากหวังเป่าเล่อเป็นที่เรียบร้อย จึงใช้กระบวนเวทเก่าเก็บของตนเองได้อย่างเต็มกำลัง ตลอดทางกลับ เขาสรรเสริญรูปลักษณ์ความงามของหวังเป่าเล่อโดยไม่ซ้ำกันแม้แต่คำเดียว หวังเป่าเล่อที่ฟังอยู่ก็ใจอ่อนลงอีกครั้ง และยิ้มพร้อมพยักหน้าอย่างลังเลเล็กน้อย

เหตุการณ์นี้ดำเนินไปจนกระทั่งทั้งสองเห็นเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ที่จอดรอการกลับมาของหวังเป่าเล่ออยู่ ร่างจริงของเต๋อคุนจื่อเดินออกมาต้อนรับเขา ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ไม่ได้ดูขัดเขินแม้แต่น้อย ขณะรับช่วงการประจบหวังเป่าเล่อต่อจากร่างอวตารของตนเอง

หวังเป่าเล่อขัดการพูดประกาศความจริงของเต๋อคุนจื่อ และใช้ข้ออ้างเพื่อค้นวิญญาณร่างจริงของเต๋อคุนจื่อต่อ คำสาปแห่งความตายที่ยังประทับอยู่บนวิญญาณของเขาทำให้เต๋อคุนจื่อไม่กล้าขัด ดังนั้นหวังเป่าเล่อจึงตรวจค้นดวงวิญญาณของเต๋อคุนจื่ออย่างละเอียดถี่ถ้วน และเข้าใจเรื่องราวของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มากขึ้น

โดยเฉพาะเรื่องความขัดแย้งระหว่างราชวงศ์และสำนักใหญ่ทั้งสาม แต่ก็มีอยู่เรื่องหนึ่งเช่นกันที่ทำให้หวังเป่าเล่อถึงกับปวดหัวตึบ

นั่นคือการพยายามทำตัวเข้ากับราชวงศ์ให้ได้และหาทางฝึกวิชาดวงเนตรปีศาจต่อไปนั่นเอง นี่คือเรื่องใหญ่สำหรับหวังเป่าเล่อ อย่างไรเสีย หากเขายังต้องการพัฒนาขั้นปราณของตนเองอย่างรวดเร็วต่อเนื่อง เขาก็ต้องหาภาคต่อของวิชาดวงเนตรปีศาจให้ได้ หวังเป่าเล่อจะเดินหน้าฝึกปราณต่อไปโดยที่ไม่ใช้วิชาภาคต่อก็ย่อมได้ แต่การใช้วิชาของขั้นจุติวิญญาณเพิ่มพลังปราณให้กับขั้นเชื่อมวิญญาณนั้นยากเย็นแสนเข็ญไม่ต่างจากการใช้ลูกม้าแรกเกิดลากรถม้าขนาดใหญ่

กระนั้นสมาชิกราชวงศ์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ บัดนี้ถูกจองจำอยู่ในที่พักของตนเองภายใต้คำสั่งเฝ้าระวังของสำนักใหญ่ทั้งสาม และถูกตัดการสื่อสารจากโลกภายนอกโดยสิ้นเชิง แม้จะยังพอมีวิธีติดต่อกับคนภายนอกอยู่บ้าง แต่ก็ต้องกระทำภายใต้การเฝ้าสังเกตการณ์ของสำนักทั้งสามอยู่ดี

ความเป็นไปได้ที่จะติดต่อสมาชิกราชวงศ์เพื่อขอภาคต่อของวิชาดวงเนตรปีศาจโดยไม่ให้สมาชิกของสำนักใหญ่ทั้งสามจับได้นั้นเป็นไปได้น้อยมาก ต่อให้เขาใช้กระบวนเวทสารัตถะในการจำแลงกาย ก็ไม่ได้ทำให้เรื่องนี้ง่ายขึ้นแต่อย่างใด ความเป็นไปได้เดียวที่มีคือการสังหารผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณอมตะและใช้ร่างนั้นแทนเสีย

แต่ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณอมตะก็ใช่ว่าจะสังหารได้ง่ายๆ แม้หวังเป่าเล่อจะสามารถสยบผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ได้ในตอนนี้ เขาก็ยังไม่มั่นใจพอที่จะต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณอมตะอยู่ดี ต่อให้เป็นเพียงขั้นจิตวิญญาณอมตะชั้นต้น ก็ถือว่าแข็งแกร่งมากแล้ว

หากโยนทางเลือกนี้ทิ้งไป อีกทางที่เหลืออยู่คือการก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำกองทหารสูงสุด โดยจะมีการคัดเลือกทุกสามสิบปีผ่านการแข่งขันที่ฝ่ายปกครองอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จัดขึ้น ผู้นำกองทหารเหล่านี้จะได้รับการยอมรับจากราชวงศ์ และได้รับกระบวนเวทเป็นรางวัลแห่งความสำเร็จ

เนื่องจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ปกครองโดยสำนักใหญ่ทั้งสาม ผู้นำกองทหารก็ต้องมาจากสามสำนักนี้ด้วยเช่นกัน นี่ถือเป็นการคานอำนาจกันระหว่างราชวงศ์และสำนักทั้งสาม แต่หวังเป่าเล่อเองก็เห็นเจตนาแฝงของราชวงศ์ที่คนอื่นไม่อาจล่วงรู้ด้วยเช่นกัน

หวังเป่าเล่อไม่ได้เข้าใจการเมืองทั้งหมดภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ การสำรวจวิญญาณของผู้อาวุโสสูงสุดทำให้เขารู้เพียงเรื่องผิวเผินเท่านั้น แต่รายละเอียดเหล่านั้นก็ไม่ได้ทำให้การตัดสินใจของเขาแตกต่างไปแต่อย่างใด เขามั่นใจว่าหากทำสำเร็จ ก็มีโอกาสอย่างมากที่เขาจะได้กระบวนเวทที่ต้องการมาไว้ในครอบครอง แต่ต่อให้ทำพลาด เขาก็จะยังสามารถใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อหาทางต่อยอดให้ได้สิ่งที่ตนเองต้องการอยู่ดี

กระนั้นการจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำกองทหารสูงสุดก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี หวังเป่าเล่อได้แต่ถอนหายใจ ความทรงจำของเต๋อคุนจื่อและความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ทำให้หวังเป่าเล่อรู้ว่าผู้นำกองทหารสูงสุดจากสำนักใหญ่ทั้งสาม ล้วนมีพลังปราณอยู่ที่ขั้นจิตวิญญาณอมตะทั้งสิ้น

ส่วนผู้นำกองทหารพิเศษนั้น แม้จะไม่ได้มีลำดับชั้นสูงเท่า แต่ก็ยังต้องมีปราณอยู่ในระดับเดียวกัน

ทั้งสามสำนักล้วนมีผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณอมตะอยู่ราวหกถึงเจ็ดคน…ข้าต้องหาทางเพิ่มพลังปราณของตนเองให้ได้! นอกจากนี้แล้ว หวังเป่าเล่อยังตัดสินใจที่จะแทรกซึมเข้าสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์อย่างเต็มที่ เขาจะใช้สำนักย่อยนี้ในการเข้าไปอยู่ในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ให้จงได้ จากนั้นเขาก็จะเข้าชิงตำแหน่งผู้นำกองทหารสูงสุดและเฝ้ารอโอกาสที่จะได้กระบวนเวทมาครอบครอง

การเพิ่มพูนพลังปราณนั้นใช้เวลาไม่น้อย แต่หากข้าต้องการเพิ่มพลังการต่อสู้ของตนให้เร็วขึ้นก็ยังมีวิธีลัดอยู่ ซึ่งก็คือ…การใช้เรือบินรบเวทของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั่นเอง! หวังเป่าเล่อหรี่ตา หลังจากที่ตรวจค้นดวงวิญญาณของเต๋อคุนจื่อหมดทุกซอกทุกมุม เขาก็รู้ว่าเหนือเรือบินรบทั่วไปในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ยังมีเรือบินรบที่แข็งแกร่งกว่า อันมีนามว่าเรือบินรบเวท!

ปกติแล้วจะมีเพียงผู้นำกองทหารสูงสุดเท่านั้นที่มีเรือบินรบเวทอยู่ในครอบครอง และต้องใช้ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณอมตะในการควบคุมเรือบินรบเหล่านี้ เรือบินรบเวทเปรียบเสมือนอาวุธเทพที่มีระดับความแข็งแกร่งแตกต่างกันไป

หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจว่าเรือบินรบเวทเหล่านี้ถูกหลอมและแยกชิ้นส่วนอย่างไร แต่เขาก็เข้าใจว่าหากหลอมเรือบินรบของตนเองต่อไปเรื่อยๆ มันย่อมสามารถเปลี่ยนเป็นเรือบินรบเวทได้ ด้วยเหตุนี้ความต้องการหาวัตถุดิบการหลอมของชายหนุ่มจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก และความคิดนี้ก็เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ในจิตใจเขา

ดังนั้นในช่วงเวลาหลายวันต่อมา หวังเป่าเล่อจึงแสดงขั้นปราณของตนให้อยู่ที่ขั้นจุติวิญญาณชั้นกลางค่อนมาทางปลาย และได้รับการแต่งตั้งจากเต๋อคุนจื่อให้ดำรงตำแหน่งรองผู้นำกองทหารแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ โดยตำแหน่งผู้นำกองทหารเป็นของเต๋อคุนจื่อ

แม้คนอื่นจะไม่เห็นด้วยกับการตัดสินใจนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรเนื่องจากเป็นคำสั่งของเต๋อคุนจื่อ นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังสั่งให้เต๋อคุนจื่อเดินตามหมากของเขา ขณะที่ทั้งสำนักกำลังปล้นสะดมในอวกาศอยู่นั้น พวกเขาก็เจอเรือบินรบลำหนึ่งท่ามกลางซากปรักหักพัง

เรือบินรบที่เจอนั้น แท้จริงแล้วเป็นเรือบินรบที่หวังเป่าเล่อหลอมขึ้นมาด้วยตนเอง เขาใช้เล่ห์กลในการวางมันเอาไว้ให้ทุกคนมาเจอ เรือบินรบลำนี้ทำให้ความสามารถในการต่อสู้ของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เพิ่มขึ้นเล็กน้อย และทำให้เสียงต่อต้านของผู้อาวุโสคนอื่นลดน้อยลงเช่นกัน

หวังเป่าเล่อเดินหน้าเก็บวัตถุดิบอย่างต่อเนื่องพร้อมกองทหารของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ เวลาเดินหน้าผ่านไปอย่างเชื่องช้า จนเวียนมาบรรจบครบหนึ่งปี

ในหนึ่งปีนี้ พลังปราณของหวังเป่าเล่อค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่ที่ขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์ ทรัพยากรจำนวนมากที่เขาเก็บมาได้นั้นถูกใช้ไปกับการหลอมเรือบินรบให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ส่วนพลังปราณที่แท้จริงของเขาก็เสถียรในที่สุด ชายหนุ่มกลายเป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณโดยสมบูรณ์ พลังการต่อสู้ที่แท้จริงของเขาก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

ชายหนุ่มคร่าชีวิตไปมากมายระหว่างการต่อสู้แย่งชิงทรัพยากรนี้ จนเขาเริ่มขี้เกียจเก็บซ่อนพลังปราณที่แท้จริงของตนเอง เขาจัดฉากการต่อสู้ด้วยความช่วยเหลือของเต๋อคุนจื่อ เพื่อให้ตนเองชนะและบรรลุขั้นปราณไปเป็นขั้นเชื่อมวิญญาณต่อหน้าทุกคน!

เมื่อพลังปราณของเขาพัฒนาไปเป็นขั้นเชื่อมวิญญาณท่ามกลางความริษยาของบรรดาศิษย์แห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์คนอื่นๆ ชายหนุ่มก็สั่งเต๋อคุนจื่อให้เลิกท่องอวกาศที่ดำเนินมานานถึงหนึ่งปี และเตรียมตัวกลับ…อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ในที่สุด!

……………………….

บทที่ 752 กำราบเต๋อคุนจื่อ!
ในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ เขาย่อมรู้ข่าววงในที่คนอื่นไม่มีวันได้ล่วงรู้ นอกจากนี้เขายังยอมศิโรราบให้กับสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ด้วย จึงทำให้รู้ว่าแม้ราชวงศ์ของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นจะดูเหมือนมีความสัมพันธ์อันดีกับสามสำนักใหญ่ แต่ในความเป็นจริงแล้วความตึงเครียดระหว่างขั้วอำนาจทั้งสองจวนเจียนจะเปลี่ยนไปเป็นความขัดแย้งรุนแรงอยู่รอมร่อ

เป็นธรรมดาที่ราชวงศ์จะไม่พอใจหรือยินยอมให้อำนาจการปกครองของตนตกอยู่ในเงื้อมมือของผู้ใต้บังคับบัญชา และยิ่งไม่ต้องการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ราวกับเป็นนักโทษที่ถูกจองจำในบ้านพักของตนเอง ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ยังรู้ด้วยว่า แม้อำนาจของราชวงศ์จะถดถอยลง แต่รากฐานความแข็งแกร่งอันยืนนาน ยังคงทำให้สามสำนักใหญ่รู้สึกยำเกรงอย่างเสียมิได้

และสิ่งที่พวกเขากลัวมากที่สุดก็คือ…กระบวนเวทลับสุดยอดของราชวงศ์ วิชาหนึ่งเดียวที่มีเพียงผู้สืบทอดสายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะร่ำเรียนได้…วิชาดวงเนตรสวรรค์นั่นเอง!

แต่ในขณะเดียวกันผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ยังเดาได้ว่า มีรายละเอียดสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกันของราชวงศ์และสำนักหลักทั้งสามที่เขายังไม่เข้าใจดีนัก

ตัวเขาเองไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการเมืองนี้แต่อย่างใด ดังนั้นทันทีที่สัมผัสได้ถึงพลังงานรุนแรงที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมา ความต้องการที่จะหนีไปให้พ้นจากที่แห่งนี้ก็ทวีความรุนแรงขึ้นอีก แม้เขาจะไม่เห็นวิชาดวงเนตรสวรรค์จริงๆ ใช้เพียงสัญชาตญาณเบื้องลึกในการตัดสินใจเท่านั้น โดยไม่ได้ตรวจดูอีกรอบให้แน่ใจก่อน

ทว่า…มันก็สายเกินไปเสียแล้ว

ทันทีที่เขาพุ่งออกจากที่แห่งนั้น เงาของหวังเป่าเล่อซึ่งเดินออกจากลูกตาของดวงตาปีศาจสีดำก็หายตัวไปในฉับพลัน ก่อนมาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งภายในพริบตาเดียวข้างๆ ร่างอวตารของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์

การปรากฏตัวขึ้นอย่างฉับพลันของหวังเป่าเล่อทำให้ร่างอวตารสั่นเทา ความกลัววาบเข้ามาในแววตา หัวใจเต้นแรงด้วยความกระวนกระวายที่ซัดโหมเข้ามาในดวงจิต ร่างอวตารนั้นก้าวถอยหลังโดยสัญชาตญาณ พยายามแสร้งฉีกยิ้ม ก่อนพูดด้วยท่าทีอ่อนน้อม

“อย่าเข้าใจผิดไป ผู้อาวุโสหลงหนานจื่อ ข้ารู้สึกได้ว่าเจ้าใกล้จะบรรลุขั้นปราณแล้ว ข้าเป็นห่วงจึงตามมาดูเพื่อปกป้องเจ้าจากภัยอันตราย… ฮ่าๆ ยินดีด้วยนะผู้อาวุโสหลงหนานจื่อ ที่ในที่สุดก็บรรลุปราณขั้นเชื่อมวิญญาณ!” ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์แสร้งหัวเราะฝืน ขณะที่เขากำลังหัวเราะอยู่นั้นเอง ก็สังเกตเห็นสีหน้าเย็นชาไร้ซึ่งคำพูดใดๆ ของหวังเป่าเล่อ และดวงตาตายด้านที่มองเขาอยู่ เสียงหัวเราะฝืดจึงกลายเป็นความกระอักกระอ่วนไปในที่สุด หน้าผากพรายไปด้วยเหงื่อที่ผุดออกมาอย่างไม่อาจควบคุมได้

ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ปาดเหงื่อของตนเองทิ้งตามสัญชาตญาณ ต้องการจะพูดบางสิ่งเพื่อทำลายความเงียบงันน่าอึดอัดนี้ เขารู้สึกได้ถึงความอันตรายของสถานการณ์ในตอนนี้ และรู้ว่าหากตนเองไม่ทำอะไรสักอย่างจะต้องสิ้นชีพแน่นอน ด้วยความสามารถในการสังหารของหวังเป่าเล่อและแรงอาฆาต ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่ชายหนุ่มตรงหน้าจะเพิ่มความเร็วของตนให้ไล่ตามเรือบินรบทัน เพื่อพุ่งเข้าไปสังหารร่างจริงของผู้อาวุโสสูงสุด

“ผู้อาวุโสหลงหนานจื่อ ข้ายังมีประโยชน์นัก ก่อนหน้านี้ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น ข้า…ข้าเกลียดสำนักหลักทั้งสามมากเหลือ ข้าจงรักภักดีกับราชวงศ์เพียงเท่านั้น สวรรค์และผืนดินเป็นพยานได้!”

หวังเป่าเล่อฟังพร้อมด้วยประกายที่วาบเข้ามาในแววตา สัญชาตญาณของผู้อาวุโสสูงสุดไม่ได้ผิดไปแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อเองก็คิดเช่นเดียวกัน แต่หากเขาไม่เข้าใช้ร่างของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์และทิ้งร่างของหลงหนานจื่อ การตายของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณย่อมกลายมาเป็นจุดสนใจของสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ที่ชายผู้นี้รับใช้อยู่อย่างแน่นอน ทว่าชายหนุ่มก็รู้สึกว่าการสังหารผู้อาวุโสสูงสุดและเข้าใช้ร่างอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องที่ควรทำ

ยิ่งเขากระทำการเช่นนี้บ่อยเท่าไหร่ ก็ยิ่งง่ายที่จะทำสิ่งผิดพลาดขึ้นเท่านั้น หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าการทิ้งร่างของหลงหนานจื่อไปเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่ง เพราะได้ทำความรู้จักและใช้ร่างนี้จนชินมือแล้ว

แม้จะยังมีทางเลือกอื่นอยู่อีก เช่น กลายร่างเป็นผู้อาวุโสสูงสุดและเลือกเดินทางแยกไปคนเดียว หรือไม่ก็ปลีกตัวไปถือสันโดษฝึกวิชา แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นทางเลือกที่ค่อนข้างเกินจริงไปนิด ทว่าการปล่อยให้อีกฝ่ายรอดชีวิตกลับไปได้นั้นแย่เสียยิ่งกว่า

ด้วยเหตุนี้…ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังไตร่ตรองข้อดีข้อเสียอยู่นั้น เขาก็ได้ยินผู้อาวุโสสูงสุดพูดถึงราชวงศ์ จึงยกมือขวาขึ้นคว้าตัวชายตรงหน้าเอาไว้ในทันที!

ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ระวังตัวทุกฝีก้าว และพร้อมที่จะหนีไปทันทีที่มีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่ความแตกต่างด้านพลังระหว่างคนทั้งสองทำให้เขาไปไหนไม่พ้น แม้ว่าจะพยายามเบี่ยงหลบเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์ ศีรษะของเขาถูกหวังเป่าเล่อคว้าเอาไว้ได้อย่างฉับพลัน

ในเวลาเดียวกันนั้น ณ ห้วงอวกาศไม่ไกลจากอารยธรรมแห่งนี้นัก ร่างที่แท้จริงของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ซึ่งกำลังทำสมาธิอยู่ในเรือบินรบก็สั่นสะท้าน ก่อนเปลือกตาจะพลันเปิดขึ้น แม้จะไม่อยากทำ แต่ตอนนี้เขาต้องตัดจิตเชื่อมโยงระหว่างร่างอวตารกับวิญญาณของตนเองแม้ว่ามันจะทำให้ร่างกายของเขาบาดเจ็บสาหัสก็ตาม ทว่าวินาทีต่อมาสีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดก็เปลี่ยนไปทันที

ทำไมตัดไม่ได้

ราวกับว่าวิญญาณที่เชื่อมต่อร่างจริงกับร่างอวตารถูกเวทมนต์ทำให้สายสัมพันธ์นั้นแข็งแกร่งยิ่งขึ้น จนตัดจิตเชื่อมโยงระหว่างกันไม่ได้ ขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดกำลังตื่นตกใจอยู่นั้น ดวงตาของหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ที่อารยธรรมกลายพันธุ์ก็สว่างโชติช่วงด้วยเปลวไฟสีดำ

“เจ้ากล้าใช้วิชาเวทวิญญาณต่อหน้าสำนักแห่งความมืดกระนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อพูดเสียงเบา ประกายความน่าขนลุกในแววตาของเขาทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มปล่อยวิชาค้นวิญญาณใส่ร่างอวตารของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ในทันที!

หากเป้าหมายของวิชาค้นวิญญาณเป็นร่างจริงของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ หวังเป่าเล่อคงต้องใช้วิชาเพิ่มพลังของตนเองให้มากกว่านี้ แต่สำหรับร่างอวตาร พลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณบวกกับวิชาแห่งศาสตร์มืด ทำให้ชายหนุ่มสามารถทำลายปราการป้องกันในจิตใจของผู้อาวุโสสูงสุดได้ในทันที เขาส่งจิตเข้าตรวจค้นความทรงจำของผู้อาวุโสสูงสุดผ่านร่างอวตารของอีกฝ่าย!

ผลดารานิรันดร์รึ ใช่แก่นในที่มีความเป็นไปได้ว่าจะปรากฏขึ้นหลังจากที่ดารานิรันดร์ดับสูญหรือเปล่า หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองดารานิรันดร์ที่อยู่ไม่ไกลออกไป เขาส่วยศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะเดินหน้าสืบค้นความทรงจำของผู้อาวุโสสูงสุดต่อ

แม้จะดูความทรงจำย้อนกลับไปไม่ได้มากเนื่องจากเป้าหมายเป็นเพียงร่างอวตาร แต่ก็เพียงพอสำหรับหวังเป่าเล่อที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว และเข้าใจในที่สุดว่าความเข้าใจผิดของผู้อาวุโสสูงสุดนั้นเกิดมาจากสิ่งใด!

กระบวนเวทลับสุดยอดของราชวงศ์ วิชาดวงเนตรสวรรค์ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ผู้อาวุโสสูงสุดเข้าใจว่าดวงตาขนาดยักษ์ที่ปรากฏขึ้นเบื้องหลังชายหนุ่ม และการเพิ่มขึ้นของพลังปราณของเขาเป็นผลมาจากวิชาดวงเนตรสวรรค์ อีกฝ่ายเข้าใจว่าตัวตนที่แท้จริงของหวังเป่าเล่อ คือชายชราสักคนหนึ่งจากบรรดาราชวงศ์ที่เข้าสิงสู่ร่างของหลงหนานจื่อ

แต่ในความเป็นจริงแล้ว หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าวิชาที่เขาใช้นั้นไม่ใช่วิชาดวงเนตรสวรรค์ แต่เป็นวิชาดวงเนตรปีศาจต่างหาก!

หากวิชาดวงเนตรสวรรค์เป็นกระบวนเวทพื้นฐานของวิชานี้แล้วละก็ วิชาดวงเนตรปีศาจก็คือวิชาดวงเนตรสวรรค์ที่ถูกสำนักแห่งความมืดนำมาดัดแปลง โดยใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดเป็นเครื่องมือ!

ส่วนวิชาใดจะแข็งแกร่งกว่ากันนั้น ตอบได้ยากยิ่ง!

ความเข้าใจผิดเช่นนี้…ก็ไม่ได้แย่นะ หวังเป่าเล่อหรี่ตาอีกครั้ง ล้มเลิกความคิดที่จะสังหารผู้อาวุโสสูงสุดในทันที เขายกมือขวาขึ้นทำสัญญาณมือ จากนั้นลูกไฟสีดำก็ปรากฏขึ้นในฝ่ามือของเขาทันที เขาคว้าดวงตาสีดำลูกเล็กจากในดวงตาขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังมาไว้ในมือ หลอมมันเข้ากับเปลวไฟสีดำ ก่อนสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ และตบลูกไฟลงบนหน้าผากของร่างอวตาร

ผนึกหลอมรวมเข้าไปในหน้าผากของร่างจำแลงทันที ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนรูปเปลี่ยนร่างเป็นดวงตา ผนึกนี้ไม่ได้ประทับอยู่บนผิวหนังหรือกระดูกเท่านั้น แต่ยังอยู่บนวิญญาณด้วย จากนั้นหวังเป่าเล่อก็สร้างผนึกฝ่ามืออย่างรวดเร็วด้วยมือข้างเดียว เปลวไฟสีดำในร่างกระจายออกไป แสงมืดเรืองออกจากดวงตาปีศาจใหญ่ยักษ์เบื้องหลัง เข้าเสริมพลังให้กับผนึก การประทับตราลงบนร่างอวตารนี้ทำให้ชายหนุ่มสามารถประทับดวงวิญญาณในร่างที่แท้จริงของผู้อาวุโสสูงสุดได้เช่นกัน!

บนเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ในห้วงอวกาศที่ไกลออกไป ร่างจริงของผู้อาวุโสสูงสุดสั่นอย่างรุนแรง เขากระอักเลือดออกมาชุดใหญ่ขณะที่พยายามต่อต้านการควบคุมวิญญาณด้วยพลังทั้งหมดที่มี แต่ผนึกหน้าตาแบบเดียวกันก็ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วทั้งสองข้างจนได้

มันคือกระบวนเวทต้องห้ามจากวิชาดวงเนตรปีศาจ เป็นกระบวนเวทแขนงหนึ่งที่สำนักแห่งความมืดสร้างขึ้น มีอำนาจใกล้เคียงกับคำสาปแห่งความตาย ทันทีที่ถูกประทับตรา ชีวิตและความตายของเหยื่อจะตกอยู่ในกำมือของหวังเป่าเล่อ เพียงแค่คิดเขาก็สามารถคร่าชีวิตที่ตนเองควบคุมได้ในทันที และเปลี่ยนให้มันกลายเป็นดวงตาปีศาจอีกดวงหนึ่ง!

ร่างอวตารของผู้อาวุโสสูงสุดมีสีหน้าอ่านยาก ทว่าหลังจากที่ประทับตราแห่งความตายเสร็จเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็ยกมือขึ้นจับมือของร่างอวตาร ก่อนพูดอย่างสงบนิ่ง

“กลับกันเถิด” ชายหนุ่มเอ่ยก่อนก้าวไปข้างหน้า ส่วนผลดารานิรันดร์ในความทรงจำของผู้อาวุโสสูงสุดนั้น หวังเป่าเล่อก็เห็นเช่นกัน แต่สัมผัสของเขาบอกว่าผลดารานิรันดร์นั้นได้แห้งเหี่ยวและตายไปนานแสนนานพร้อมกับอารยธรรมที่ล่มสลายนี้แล้ว สิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดรู้สึกได้ก่อนหน้านี้เป็นเพียงร่องรอยที่ยังเหลืออยู่ที่สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ยักษ์ปล่อยออกมาเท่านั้น

นอกจากนี้เขายังเชื่อว่าด้วยสติปัญญาของผู้อาวุโสสูงสุด อีกฝ่ายต้องสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างจากผนึกที่เขาประทับลงไปอย่างแน่นอน การปะติดปะต่อเรื่องราวและความเข้าใจผิดจะหยั่งรากลึกลงในใจของอีกฝ่ายขึ้นไปอีก และมันก็เป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการ

แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เสียด้วย ร่างอวตารของผู้อาวุโสสูงสุดที่ยืนอยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อมีสีหน้าอ่านยาก เขาถอนหายใจออกมาเงียบๆ ด้วยความโล่งอก แม้จะโล่งที่ตนเองไม่ถูกฆ่าตาย แต่ก็ขมขื่นกับความจริงที่ว่าชีวิตและความตายของตนไม่ได้อยู่ในความควบคุมของตัวเองอีกต่อไป กระนั้นเขาก็ยังรู้ดีว่านี่อาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว และตราประทับบนดวงวิญญาณของเขาก็ช่วยยืนยันความคิดนี้ได้เป็นอย่างดี

เอาละ ในเมื่อข้าหนีชะตากรรมนี้ไปไม่ได้ ก็คงทำได้เพียงยอมรับมัน…ข้อดีก็คือ อย่างน้อยข้าก็ยอมรับได้ว่าเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกราชวงศ์ ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ปลอบใจตนเองอยู่ลับๆ ก่อนบังคับให้ตัวตรงขึ้นเพื่อพยายามตามหวังเป่าเล่อให้ทัน ระหว่างที่กำลังตามชายหนุ่มอยู่นั้น เขาก็คิดหาวิธีการที่จะเข้ากับชายหนุ่มตรงหน้าให้ได้ในอนาคตไปด้วย

ดูเหมือนว่าข้าจะต้องงัดเอากระบวนเวทเก่าเก็บที่ไม่เคยทำสำเร็จเสียทีมาใช้เสียแล้ว คราวนี้ข้าจะต้องพยายามเต็มที่เพื่อให้สำเร็จให้ได้! ผู้อาวุโสสูงสุดคิดอยู่คนเดียวในใจ แววตาวาวด้วยความมุ่งมั่นขณะเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของหวังเป่าเล่อ ประกายแสงโชติช่วงขึ้นในดวงตาทั้งสองข้าง ขณะที่เขาพูดด้วยเสียงดังพอให้หวังเป่าเล่อได้ยิน

“ข้าไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตของข้า เต๋อคุนจื่อ จะมาเปลี่ยนไปในช่วงเวลานี้…

“ข้าเคยหลงทางอยู่กับการเดินทางตามความต้องการของตนเอง ใช้เวลามัวเมาไปกับกลเม็ดสกปรกมากมาย ข้าเคยนึกอิจฉาผู้อื่นที่มีพื้นเพยิ่งใหญ่มั่งคั่งสุขสบาย แต่ในตอนนี้…ข้าเข้าใจแล้วว่าตัวเองในอดีตนั้นตื้นเขินเพียงใด นั่นเพราะตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้ามีนายท่านให้รับใช้แล้ว! ข้าไม่เคยเชื่อเลยว่าในจักรวาลแห่งนี้จะมีนักบุญผู้บริสุทธิ์โดยเนื้อแท้อยู่ แต่ข้าเชื่อแล้วในวันนี้เมื่อได้เจอกับนายท่าน!”

บทที่ 751 หรือจะถูกราชวงศ์สิงสู่
ความโลภนี้เข้าครอบงำโดยไม่ทันตั้งตัว แต่ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์มีเพียงร่างอวตารของตนเองที่อยู่ที่นี่ในตอนนี้ ซึ่งอ่อนแอกว่าร่างจริงของเขาเป็นอย่างมาก แม้จะมีพลังบางส่วนที่ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณมี แต่ก็ต่อกรได้เพียงผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณธรรมดาเท่านั้น ไม่สามารถจัดการหวังเป่าเล่อได้อย่างแน่นอน

นอกจากนี้เขายังเห็นด้วยตาตนเองว่าหวังเป่าเล่อโจมตีคู่ต่อสู้อย่างไร รวมทั้งได้เห็นความตายแสนประหลาดที่ดูเจ็บปวดเหลือทนของเหล่าสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่ด้วย ทั้งหมดนี้เพียงพอที่จะทำให้คนธรรมดาซึ่งยังพอมีสติอยู่บ้างล้มเลิกความคิดที่จะทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ

แต่ร่างอวตารของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ยังถูกครอบงำด้วยความโลภที่ควบคุมไม่ได้ ความโลภนี้เหมือนไฟโหมกระหน่ำ ลุกท่วมเผาทำลายเหตุผลในความคิดจิตใจเขาเสียหมดสิ้น

ทว่า…ขณะที่สติของเขากำลังจะเหือดหายไปหมด จนทำให้เขาเกือบจะพุ่งออกไปโดยขาดความยับยั้งชั่งใจ ล้มเลิกความคิดที่จะเร้นกายและกระโจนเข้าใส่หวังเป่าเล่อราวกับตั้งใจปลิดชีพตนเอง เสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากดารานิรันดร์ที่กำลังดับสลาย พร้อมๆ กับที่ดาวดวงซึ่งหวังเป่าเล่อไปเยือนอยู่สั่นสะเทือน สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทุกชนิดถูกสังหารหมดสิ้น เสียงนั้นฟังดูเก่าแก่เหนือกาลเวลา พลังที่มาก่อนกาลระเบิดออกมาสู่ชั้นบรรยากาศ!

พลังที่ระเบิดออกมาทำให้เกิดกระแสปั่นป่วนในห้วงอวกาศของอารยธรรมกลายพันธุ์ หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงเหตุการณ์ผิดปกตินี้ได้ทันที และเงยหน้าขึ้นมองสิ่งที่เกิดขึ้น ดวงตาของชายหนุ่มหรี่ลงเล็กน้อย ดวงตาปีศาจนับไม่ถ้วนที่ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์มองไม่เห็น ต่างพากันขยับถอยหลังไปไม่ไกลมาก แม้พวกมันจะยังคงหลับใหลอยู่ แต่ก็รู้สึกได้ถึงอันตรายที่อยู่ใกล้ตัว

อาจเพราะการล่าถอยของดวงตาปีศาจ ทำให้ความโลภรุนแรงจนอธิบายไม่ได้ของร่างอวตารเหือดหายไปอย่างรวดเร็ว ความคิดที่เป็นเหตุเป็นผลกลับมาอีกครั้ง ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่มากด้วยประสบการณ์ เมื่อสติสัมปชัญญะของเขากลับมา เขาก็รับรู้ได้ในทันทีว่าก่อนหน้านี้ตนเองทำตัวประหลาดจากยามปกติเพียงใด

เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มหน้าผากทันทีที่รู้สึกตัว สีหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดพลันเปลี่ยนไป ความตกใจที่เข้าจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้เขาไม่อยากอยู่ในที่แห่งนี้อีกต่อไป ขณะที่กำลังคิดจะหนี เสียงสะเทือนก็จากดวงดาวนิรันดร์ที่กำลังจะดับสลายก็ดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง!

อาการสั่นสะเทือนนี้ทำให้กระแสพลังปั่นป่วนเป็นริ้วๆ อีกครั้งในห้วงอวกาศ ความกระหายการต่อสู้ปรากฏขึ้นในดวงตาของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าบนดาวที่กำลังจะดับสูญดวงนั้น มี…สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ขั้นสุดยอดอาศัยอยู่!

ถ้าข้าฆ่าไอ้นั่นได้ ข้าต้องบรรลุปราณขั้นเชื่อมวิญญาณแน่นอน! เขารู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าสิ่งที่คิดเป็นความจริง ดวงตาของชายหนุ่มหรี่เล็ก เขาถีบตัวทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าพร้อมด้วยเสียงดังลั่น ร่างพุ่งทะลวงออกไปเหมือนดาวหางที่ตัดผ่านฟากฟ้ายามค่ำคืน ไม่หยุดยั้งจนกระทั่งพุ่งออกจากบรรยากาศเข้าสู่ห้วงอวกาศไกลโพ้น!

ขณะที่เขากำลังพุ่งไปในท้องฟ้านั้น วิญญาณจุติดวงดารา เกราะจักรพรรดิ อาวุธเทพ และดวงตาปีศาจนับไม่ถ้วนรอบกายก็พร้อมใจกันปล่อยแรงกดดันมหาศาลออกมา พลังทั้งหมดหลอมรวมกันเป็นหนึ่ง กลายเป็นพลังอำนาจรุนแรงเหมือนกระบี่คมกริบที่ตัดได้กระทั่งดวงจันทร์และดวงดารา หวังเป่าเล่อมุ่งไปข้างหน้าพร้อมอำนาจยิ่งใหญ่นั้น เพื่อไปยัง…ดารานิรันดร์!

ขณะที่หวังเป่าเล่อพุ่งทะยานไปในอากาศ เสียงคำรามก็ดังติดต่อกันออกมาจากดารานิรันดร์ที่กำลังจะล่มสลาย พื้นผิวของดาวปริแตก เศษหินมากมายนับไม่ถ้วนระเบิดกระจุยลอยคว้างในอวกาศ เทือกเขาหินยักษ์เริ่มก่อตัวอย่างรวดเร็วบนดาวดวงนั้น

เทือกเขานี้ใหญ่โตมโหฬารเหนือจินตนาการ เหนือเทือกเขาเต็มไปด้วยกิ่งไม้มากมายที่แตกกิ่งก้านสาขาออกเป็นพุ่มและเชื่อมเทือกเขาเข้าไว้ด้วยกันในพื้นที่หนึ่ง ภาพนี้ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์หายใจเร็วรัวอีกครั้ง เพราะเขาสังเกตเห็นแล้ว…ว่าเทือกเขาบนดารานิรันดร์กำลังเคลื่อนไหว!

สิ่งนั้นไม่ใช่เทือกเขา! หากแต่เป็นสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์คล้ายตะขาบขนาดยักษ์ กิ่งไม้ที่เขาเห็นว่าเชื่อม “เทือกเขา” เหล่านั้นเข้าไว้ด้วยกัน แท้จริงแล้วเป็นขาและหนวดมากมายนับไม่ถ้วนของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์!

สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ยักษ์ขยับตัวอย่างรุนแรง ร่างครึ่งบนเหยียดขึ้นเหนือดารานิรันดร์ มันบิดตัวอย่างรวดเร็ว กระโจนเข้าใส่หวังเป่าเล่อพร้อมกลิ่นเหม็นเน่า และพลังกดดันรุนแรงน่ากลัวที่ไหลบ่าเข้าท่วมทุกอย่างที่ขวางหน้า ร่างของมันมาพร้อมเสียงคำรามกึกก้องจนเม็ดหินดินทรายสั่นสะเทือน

เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์กลัวลนลานทำอะไรไม่ถูกแล้ว ร่างของเขาสั่นสะท้าน จิตใจพลันว่างเปล่าจากแรงกดดันมหาศาล แต่พลังใจสู้ในตัวหวังเป่าเล่อกลับทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ชายหนุ่มพุ่งไปข้างหน้าพร้อมเสียงคำรามดังลั่น!

เสียงคำรามของหวังเป่าเล่อดังยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด มันระเบิดออกมาพร้อมเกราะจักรพรรดิที่ปลดปล่อยพลังเต็มขีดจำกัดเช่นเดียวกันกับวิญญาณจุติดวงดารา เมื่อสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ยักษ์เข้ามาใกล้ ดวงตาปีศาจมากมายนับไม่ถ้วนเบื้องหลังเขาก็ลืมตาตื่นในทันที!

ดวงตาปีศาจจำนวนมากเปิดขึ้นพร้อมกัน ปลดปล่อยอำนาจประหลาดที่หลอมรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ดวงตาจำนวนมหาศาลก่อให้เกิดพลังมหาศาลตามมาด้วยเช่นกัน วินาทีต่อมา ร่างของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ยักษ์ก็สั่นสะท้านหยุดชะงันอยู่กลางห้วงอวกาศ

แม้อาการนี้จะคงอยู่เพียงเสี้ยววินาที แต่ก็มากเกินพอสำหรับหวังเป่าเล่อ ร่างของเขากลายเป็นกระบี่ที่แหลมคมเสียจนตัดได้กระทั่งห้วงนภา ด้วยอาวุธเทพที่เปรียบเสมือนปลายกระบี่และร่างกายที่เปรียบเสมือนคมกระบี่ ชายหนุ่มกระโจนไปข้างหน้าด้วยพละกำลังทั้งหมดที่ตนเองมี ขณะที่สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ยักษ์กำลังชะงักค้างด้วยอำนาจของวิชาดวงเนตรปีศาจ หวังเป่าเล่อก็พุ่งตรงตัดอวกาศว่างเปล่า ทะลุผ่านทุกสิ่งที่ขวางหน้า เข้าทะลวงร่างของสัตว์ร้ายในที่สุด

เขาไม่หยุดเพียงเท่านั้น เสียงดังลั่นจากแรงปะทะสะท้อนสะเทือนไปในอวกาศ หวังเป่าเล่อไม่สนใจอาวุธเทพที่กำลังสั่นไหว แต่กลับแหวกผ่านชั้นผิวหนังของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ยักษ์เข้าไปในกายของมันทันที

เมื่อเข้าไปในตัวของสัตว์ร้ายได้ หวังเป่าเล่อก็ปลดปล่อยกระบวนเวททั้งสามของตนเอง!

“เมล็ดแห่งการดูดกลืน!”

“เปลวไฟสีดำ!”

“ดวงเนตรปีศาจ!”

กระบวนเวททั้งสามถูกปลดปล่อยในเวลาเดียวกัน พร้อมด้วยอำนาจของดวงตาปีศาจที่สำแดงออกมาเต็มกำลัง พลังที่ผสานกันนั้นก่อให้เกิดหลุมดำที่หมายกลืนกินทุกสิ่ง เมล็ดแห่งการดูดกลืนเสริมความรุนแรงของหลุมดำให้เพิ่มทวียิ่งขึ้นไปอีก ส่งผลให้พลังของดวงตาปีศาจพุ่งสูงขึ้นเกินกว่าที่หวังเป่าเล่อจะควบคุมได้ หลุมดำทะลุผ่านร่างของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เข้าดูดบรรยากาศโดยรอบ!

เปลวไฟสีดำกระจายเข้าล้อมบริเวณโดยรอบทันทีที่ถูกปล่อยออกมา ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นทะเลเพลิงมืดมิด เปลวไฟทำลายล้างพุ่งเข้าครอบงำทุกทัศนวิสัยและความนึกคิด จนทำให้…เปลวไฟเหล่านี้ดูราวกับกำลังจุดห้วงอวกาศให้ส่องสว่าง!

แต่แสงที่ส่องให้อวกาศสว่างไสวนั้นเป็นแสงสีดำ!

แม้จะฟังดูเหลือเชื่อเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง แต่ก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงแท้แน่นอน อาจเป็นเพราะกฎแห่งจักรวาลที่แตกต่างไปจากปกติ เปลวไฟสีดำจึงทำให้จักรวาลสว่างไสวขึ้นมาจริงๆ !

สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ยักษ์กรีดร้องเสียงหลง ร่างมันบิดเร่าด้วยความเจ็บปวด ลำตัวเริ่มแห้งเหี่ยวลงอย่างเห็นได้ชัด ภาพนี้ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ตกใจจนคุมสติไม่อยู่ ร่างของเขาสั่นสะท้านอย่างรุนแรง พลันหันหลังกลับและล่าถอยไปในทันที สิ่งเดียวที่เขาคิดในตอนนี้ คือต้องหนีจากที่แห่งนี้ไปให้เร็วที่สุด

สำหรับตัวเขาแล้ว ระดับความอันตรายในห้วงอวกาศไพศาลนี้ มากเกินกว่าที่ตัวเขาจะจัดการได้ด้วยกำลังของตนเองแล้วเมื่อมีหวังเป่าเล่อเพิ่มเข้ามาด้วย ผู้อาวุโสสูงสุดยังก่นด่าความเขลาของตนเองที่ทิ้งร่างอวตารเอาไว้ตรงนั้น หากร่างอวตารของเขาตายไป ร่างจริงก็จะได้รับผลกระทบด้วย

ข้าจะวู่วามไม่ได้ ไอ้หลงหนานจื่อนี่ มันต้องโดนคนจากราชวงศ์สิงสู่เป็นแน่! เมื่อนึกถึงแรงอาฆาตที่เขาเคยรู้สึกต่อชายหนุ่มที่ถูกราชวงศ์สิงสู่ก่อนหน้านี้ ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็รู้สึกผิดมากเสียจนท้องไส้บิดเป็นเกลียวไปหมด

สำหรับตัวเขาแล้ว ผู้ที่แข็งแกร่งพอจะต่อกรกับราชวงศ์ได้มีเพียงสำนักหลักทั้งสามเท่านั้น หากตัวเขาต้องเข้ามาพัวกันจนทำให้ผิดใจกับราชวงศ์ คงไม่มีวันรอดชีวิตกลับมาอย่างแน่นอน

ขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์กำลังเตรียมตัวหนีออกจากดาวเคราะห์ที่ซ่อนตัวอยู่นั้น สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ยักษ์ก็กรีดร้องเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจบชีวิตลงบนดวงดารานิรันดร์ที่กำลังจะดับสูญ ร่างของมันกลายเป็นผงธุลีด้วยอำนาจของเปลวไฟสีดำ ก่อนจะกลายเป็นดวงตาปีศาจขนาดยักษ์!

ที่ลูกตาดำของดวงตายักษ์ปรากฏเป็นร่างสูงโปร่งของ…หวังเป่าเล่อ!

ผมของเขาปลิวไสวในสายลม พลังปราณก้าวข้ามขั้นจุติวิญญาณไปเป็นที่เรียบร้อย ชายหนุ่มปล่อยแรงกดดันของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณออกมาโดยไม่ออมแรง และให้พลังงานจากร่างกายไหลบ่าเข้าท่วมสภาพแวดล้อมโดยรอบ!

พลังปราณนี้ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ตัวสั่นเทิ้ม ดวงตาสีดำใหญ่ยักษ์ทำเอาวิญญาณของเขาแทบจะออกจากร่าง พลังงานชั่วร้ายบริสุทธิ์ที่ดวงตาแผ่ออกมาดูเหมือนสามารถทำให้ทุกสิ่งหยุดเคลื่อนไหวได้ เขาพลันนึกไปถึงกระบวนเวทดวงเนตรหมื่นปีศาจที่ตนเองรู้จัก ทุกอย่างเหมือนกันแทบจะไม่ผิดเพี้ยน เว้นก็แต่ขนาดของดวงตาเท่านั้น

ไอ้หมอนี่ถูกราชวงศ์สิงจริงๆ เสียด้วย!

บทที่ 750 เปลวไฟสีดำสังหารสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์!
ความเร็วของหวังเป่าเล่อเร็วเสียยิ่งกว่าสายฟ้า ราวกับว่าร่างกายของเขาเป็นลูกธนูไฟที่กำลังพุ่งแหวกอากาศ มุ่งทะยานไปยังสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่ พวกมันระเบิดรังสีสังหารของตนออกมาทันที แม้ปัญญาวิญญาณจะมีจำกัด แต่สัญชาตญาณความกระหายเลือดก็ทำให้พวกมันรู้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นเหยื่ออันโอชะ

ทั้งสองฝั่งพุ่งเข้าประสานงากันบนอากาศในทันที สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่อ้าปากกว้างออกพร้อมเพรียงกัน พ่นเปลวไฟสีเขียวซึ่งไม่ใช่เปลวไฟธรรมดาออกมา ความร้อนของเปลวไฟเหล่านั้นรุนแรงมากเสียจนเผาไหม้ได้แม้กระทั่งความว่างเปล่า ถือว่าเป็นอันตรายมากกับดวงวิญญาณทั่วไป

เปลวไฟสีเขียวจากสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่ก่อให้เกิดทะเลเพลิงที่ล้อมหวังเป่าเล่อเอาไว้ หากมองจากระยะไกล มันดูราวกับเป็นลูกไฟสีเขียวขนาดยักษ์เลยทีเดียว!

ลูกไฟยักษ์นี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวอย่างน้อยสามกิโลเมตร พลังงานความร้อนที่แผ่ออกมาสูงเสียจนสามารถทำให้ดาวเคราะห์เหือดแห้งได้ พลังกดดันที่ปล่อยออกมาก็รุนแรงจนทำให้ดาวทั้งดวงสั่นสะท้านเพราะยากที่จะต้านทานได้ไหว หากพลังกดดันรุนแรงนี้ยังส่งมาอย่างต่อเนื่อง ดาวทั้งดาวอาจล่มสลายก็เป็นได้!

จริงอยู่…ที่พลังการต่อสู้ซึ่งสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่ส่งออกมานั้นยิ่งใหญ่รุนแรง ลูกไฟยักษ์ก็รุนแรงมากพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณต้องอกสั่นขวัญแขวน นอกจากนี้สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่ยังโหดเหี้ยมอำมหิต พวกมันปล่อยลูกไฟออกมาจัดการศัตรูโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย ราวกับว่าการเผาหวังเป่าเล่อให้เป็นตอตะโกยังไม่สาแก่ใจ แต่กลับต้องการฉีกเขาเป็นชิ้นๆ และกินเขาเข้าไปทั้งตัว

ตอนนั้นเองร่างเงาของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่ก็หายไปจากด้านนอกของลูกไฟสีเขียว พวกมันแหวกเข้ามาในลูกไฟ พุ่งตรงไปหาหวังเป่าเล่อที่กำลังติดกับและถูกไฟเผาผลาญอยู่!

ไม่ว่าจะมองจากมุมใดก็ดูเหมือนว่าหวังเป่าเล่อจะจบสิ้นแล้วในคราวนี้ เพราะสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทั้งสี่ล้วนมีปราณอยู่ที่ขั้นเชื่อมวิญญาณ ดังนั้นตอนที่ใครคนหนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของดาวเคราะห์แสนไกลดวงหนึ่งเห็นเหตุการณ์นี้เข้า เขาจึงคิดไปว่าหวังเป่าเล่อต้องจบชีวิตลงที่นี่อย่างแน่นอน!

หลงหนานจื่อมีความลับซ่อนเอาไว้จริงๆ เสียด้วย ร่างจริงของข้าไม่ได้รู้สึกตอนที่มันออกจากเรือบินรบเพื่อกลับมายังที่แห่งนี้แม้แต่น้อย ด้วยขั้นปราณอันสูงส่ง ร่างนี้จึงสามารถมองเห็นฉากการต่อสู้จากดวงดาวในระยะไกลได้ แม้จะเป็นเพียงร่างอวตารก็ตาม

ร่างของคนผู้นี้ไร้ซึ่งเค้าโครงจนกลมกลืนแนบสนิทไปกับความมืดมิด มันเป็นพลังยิ่งใหญ่ที่ใกล้เคียงกับร่างอวตารเงาที่สร้างขึ้นโดยกระบวนเวทพิเศษ

ดูเหมือนว่าหลงหนานจื่อจะพบความลับของอารยธรรมนี้เข้า แต่ถึงอย่างไรมันก็ไปต่อไม่ได้แล้ว มันประเมินตนเองสูงไป ตัวเองมีปราณอยู่ในขั้นจุติวิญญาณแท้ๆ แต่กลับกล้าทำตัวอวดดีในอารยธรรมกลายพันธุ์นี้เสียได้ เงานั้นหัวเราะเยาะ ร่างค่อยๆ ชัดเจนขึ้นจากเงามืดเบื้องหลัง ใบหน้าที่ปรากฏคือใบหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ เห็นได้ชัดว่าร่างที่อยู่ที่นี่คือร่างอวตารของเขา!

แต่เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ให้มันดึงความสนใจของไอ้พวกสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เชื่อมวิญญาณไป ข้าจะได้มีโอกาสไปชิงผลดารานิรันดร์มาเป็นของตัวเอง! ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์หัวเราะออกมาเบาๆ เขาหันไปมองดารานิรันดร์ที่กำลังจะแตกสลายของอารยธรรมนี้ด้วยแววตาที่มีเปลวไฟลุกโชติอยู่ภายใน และขยับตัวเล็กน้อยเพื่อเตรียมพุ่งเข้าใส่ดาวดวงนั้นในทันที

แต่ในตอนที่เขากำลังจะขยับตัวนั้นเอง เสียงดังสะท้านสะเทือนพร้อมด้วยเสียงหวีดร้องแหลมสูงสี่เสียงก็ดังมาจากดาวเคราะห์ดวงที่หวังเป่าเล่ออยู่

การเปลี่ยนแปลงกะทันหันนี้ทำให้ร่างอวตารของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ชะงักค้างกลางอากาศ ก่อนหันหลังกลับมามองตามสัญชาตญาณ สิ่งที่เห็นตรงหน้าทำให้เขาถึงกับต้องหรี่ตา สีหน้าเปลี่ยนไปในทันที ภาพนั้นทำให้ร่างอวตารตกใจคุมสติไม่อยู่จนต้องอุทานออกมา “เป็นไปไม่ได้!”

ในดวงตาของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ ฉายให้เห็นภาพของหวังเป่าเล่อที่ติดกับอยู่ในดาวเคราะห์ เปลวไฟสีเขียวซึ่งห้อมล้อมตัวเขาเอาไว้แปรเปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตา ภายในเสี้ยววินาทีเดียว เปลวไฟสีเขียวพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม!

แต่ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ในวินาทีต่อมา เปลวไฟสีดำภายในลูกไฟก็กลืนกินสีเขียวทั้งหมด จนกลายเป็นสีดำสนิท!

เปลวไฟสีดำของบุตรแห่งความมืดนั่นเอง!

สีของเปลวไฟเปลี่ยนไปในพริบตา เปลวไฟสีดำระเบิดออกมาล้อมเปลวไฟสีเขียว ก่อนกระจายออกสู่ชั้นบรรยากาศภายนอกอย่างรวดเร็ว กระแสพลังนั้นมาพร้อมกับเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่นที่สะท้อนก้องไปทั่วอวกาศ ภายในเปลวเพลิงนั้น จะเห็นสิ่งมีชีวิตหน้าตาเหมือนตะขาบสี่ตัวกำลังหนีหัวซุกหัวซุน พวกมันเองก็ตกใจและหวาดกลัวไม่แพ้กัน ต่างก็กำลังพยายามหนีออกจากใจกลางของทะเลเพลิงนั้น!

แต่สายไปเสียแล้ว!

ที่ใจกลางทะเลเพลิง เงาที่มีรูปร่างคล้ายปีศาจของหวังเป่าเล่อขยับตัวและหายไปในฉับพลัน พลางมาปรากฏอยู่ข้างสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์คล้ายตะขาบตัวหนึ่ง ไม่ว่ามันจะพยายามดิ้นหนีหรือกรีดร้องเพียงใด ก็หนีจากเงื้อมมือมัจจุราชไปไม่ได้ หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ขณะคว้าตัวสัตว์ร้ายนั้นด้วยมือขวา!

เสียงดังลั่นปะทุขึ้นอีกครั้งพร้อมด้วยเสียงกรีดร้องแหลมสูงของสัตว์ร้าย ร่างของมันหดยุบเข้าเป็นก้อน ไหม้สลายเป็นจุณจนมีเพียงวิญญาณเท่านั้นที่ยังเหลืออยู่และกลายเป็นอาหารให้ดวงตาปีศาจ ดวงวิญญาณของมันพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ…ก่อนก่อกำเนิดเป็นดวงตาที่ปิดสนิทอยู่ด้านหลังของชายหนุ่ม!

เมื่อเทียบกับดวงตาอื่น ดวงตาดวงนี้มีขนาดใหญ่กว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด เขาเห็นเพียงว่าสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ตัวนั้นตายหลังจากที่หวังเป่าเล่อจับตัวเอาไว้ และพลังชีวิตของมันก็ถูกชายหนุ่มดูดกลืนเข้าไป!

แต่ต่อให้รู้เพียงเท่านี้ ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ยังตกใจไม่น้อยอยู่ดี การสังหารยังไม่จบลงเท่านั้น สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่เหลืออีกสามตัวพยายามหลบหนีจากทะเลเพลิง กระนั้นก็มีอยู่ตัวหนึ่งที่หนีไม่พ้น

สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์สองตัวหนีหัวซุกหัวซุนตามๆ กันไป ตัวที่สามออกจากทะเลเพลิงไปได้ครึ่งทาง แต่ก็ถูกแรงดูดมวลมหาศาลหยุดไว้เสียก่อน ร่างของมันสั่นอย่างรุนแรงก่อนถูกดึงมาด้านหลัง กลับเข้าสู่เงื้อมมือมัจจุราช พร้อมด้วยเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด หวังเป่าเล่อพุ่งออกจากทะเลเพลิงมาคว้าหัวของมันเอาไว้

หนวดของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์หน้าตาคล้ายตะขาบสั่นระริก พุ่งเข้าพันเกี่ยวแขนของหวังเป่าเล่อหมายจะฉีกกระชากออก แต่พลังของเกราะจักรพรรดิและวิญญาณจุติดวงดาราก็สำแดงฤทธิ์ออกมาในตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อบีบหัวมันอย่างแรงด้วยมือขวา ทำลายศีรษะของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ที่มีพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นแหลกคามือ!

ดวงตาปีศาจอีกดวงปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังชายหนุ่ม ร่างโชกเลือดไส้ทะลักของสัตว์ร้ายหายไปทันทีด้วยอำนาจของเปลวไฟสีดำ โดยไม่แปดเปื้อนชายหนุ่มแม้แต่น้อย

ภาพนี้ทำให้หนังศีรษะของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ชาด้านไร้ความรู้สึก แต่เรื่องน่าตกใจยังไม่จบลงเพียงเท่านี้ ในวินาทีต่อมา ทะเลเพลิงสีดำนอกกายหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนสภาพไปเป็นปากขนาดใหญ่เท่าท้องฟ้า ปากนั้นมาเปี่ยมไปด้วยพลังอาฆาตรุนแรง ที่พร้อมกลืนกินสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์อีกสองตัวที่กำลังพยายามหนี!

ความเร็วของปากยักษ์ทำให้สัตว์ร้ายทั้งสองหนีไปไม่พ้น พวกมันถูกทะเลเพลิงไหลบ่าเข้าท่วมตัวในทันที เสียงกรีดร้องแหลมสูงด้วยความเจ็บปวดสะท้อนไปในอวกาศ พลังของหวังเป่าเล่อระเบิดออกสู่ภายนอกอีกครั้งขณะที่เขาก้าวเดินออกจากทะเลไฟสีดำ!

พลังปราณของชายหนุ่มพุ่งขึ้นสูงโดยไม่อาจควบคุมได้ขณะที่เขากำลังพยายามบรรลุขั้น กระนั้น…รากฐานของชายหนุ่มก็แข็งแกร่งเกินไป พลังทั้งหมดนี้อาจทำให้ผู้ฝึกตนธรรมดาบรรลุได้ไม่ยาก แต่สำหรับหวังเป่าเล่อ เขายังต้องการพลังมากกว่านี้เพื่อที่จะก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเองได้สำเร็จ!

แม้มันจะทำให้ชีวิตเขาลำบากขึ้น แต่ก็ถือว่าเป็นความลำบากที่ดี เพราะมันหมายความว่าเมื่อหวังเป่าเล่อบรรลุปราณขั้นเชื่อมวิญญาณ พลังการต่อสู้ของเขาจะแซงหน้าคนที่อยู่ในระดับเดียวกันไปไกลโข ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงไม่ได้กระวนกระวายใจแต่อย่างใด เขาปล่อยให้ทะเลเพลิงภายนอกกายโหมกระหน่ำ ขณะที่มองไปยังดาวดวงอื่นๆ

“ในเมื่อทั้งหมดนี้ไม่พอให้ข้าบรรลุขั้น ข้าก็จะฆ่ามันให้หมดจนกว่าจะบรรลุขั้นก็แล้วกัน!” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง สายตาแหลมคมมองไปยังจุดที่ร่างอวตารของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ซ่อนตัวอยู่ ก่อนตัดสินใจเมินเฉยเสีย เขาพุ่งตัวไปที่ดาวดวงต่อไป…และเดินหน้าสังหารทุกอย่างที่ขวางหน้าอีกครั้ง

นอกจากหนังศีรษะของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์จะชาจนไร้ความรู้สึกใดๆ แล้ว เขายังตกใจจนขยับตัวไปไหนไม่ได้ ร่างกายสั่นสะท้าน สัญชาตญาณส่วนลึกบอกว่าต้องรีบหนีออกไปจากที่แห่งนั้นให้เร็วที่สุด

ดูดกลืนชีวิตเพื่อนำมาต่อยอดพลังปราณของตนให้สูงขึ้นจนประมาณไม่ได้ หรือว่านี่จะเป็น…พลังพิเศษในตำนานของราชวงศ์ วิชาแห่งเทพ ถึงจะดูไม่ตรงกับคำอธิบายที่ข้าเคยอ่านมา แต่อย่างไรก็ต้องเป็นพลังเวทพิเศษชั้นสูงที่คล้ายคลึงกันอย่างแน่นอน! แม้ร่างอวตารจะสั่นเทา แต่ใจของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์กลับสะกดความต้องการและความโลภของตนเองเอาไว้ไม่อยู่!

“ถ้าข้าได้ครอบครองกระบวนเวทนี้ละก็…” เขาพึมพำกับตนเองโดยไม่รู้เลยว่ากำลังทำตัวผิดแผกไปจากนิสัยของตนยามปกติมาก!

ด้วยเหตุใดก็ไม่ทราบได้ ความต้องการที่จะครอบครองกระบวนเวทนั้นรุนแรงมากเสียจน…เข้าครอบงำเหตุผลในใจไปหมดสิ้น!

………………………………..

บทที่ 749 ทางลัดสู่ระดับเชื่อมวิญญาณ!
ความรู้สึกนี้… หวังเป่าเล่อลอยค้างอยู่กลางอากาศ ผมของเขาปลิวไสว ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะหรี่ตาลง พลังชีวิตที่ดูเหมือนไร้ขีดจำกัดจากบรรยากาศโดยรอบไหลเข้ามารวมในร่าง ก่อให้เกิดกระแสพลังเป็นริ้วๆ ที่ผลักขั้นปราณของเขาให้เข้าใกล้จุดบรรลุขึ้นเรื่อยๆ

ยังไม่พอ! ชายหนุ่มสูดหายใจเข้า ดวงตาเป็นประกายลึกล้ำ เขามองลงไปที่หลุมเบื้องล่าง ก่อนขยับตัวเคลื่อนไหวกลายเป็นเส้นสายรุ้งมุ่งหน้าสู่หลุมถัดมา

ความเร็วของชายหนุ่มแสดงให้เห็นว่าเขาปลดปล่อยพลังปราณทั้งหมดที่ตนเองมี จนมาปรากฏอยู่เหนืออีกหลุมหนึ่งภายในเสี้ยววินาทีไม่ต่างจากฟ้าแลบ หลุมที่สองมีขนาดเท่าหลุมแรก เบื้องล่างเต็มไปด้วยเศษเลือดเนื้อเละๆ บรรยากาศแห่งความตายที่เข้ามาใกล้ตัว ทำให้สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์หน้าตาเหมือนตะขาบพากันเงยหน้าขึ้นมอง และกรีดร้องด้วยเสียงแหลมสูงออกมาพร้อมกัน

ทันทีที่เสียงกรีดร้องดังก้องในอากาศ เหล่าสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ก็ถูกแขนอาวุธเทพของหวังเป่าเล่อกำจัดทันที ท้องฟ้าและพื้นดินสั่นสะเทือน หลุมอาบเคลือบด้วยแสงสว่างเจิดจ้าจากกระบวนเวทและอาวุธเทพของชายหนุ่ม วินาทีต่อมา หวังเป่าเล่อก็มุ่งหน้าสู่หลุมต่อไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง ทุกสิ่งในหลุมถูกกำจัดเสียหมดสิ้นจนราบเป็นหน้ากลอง

สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์สิ้นชีพและกลายเป็นดวงตาปีศาจที่ลอยอยู่เบื้องหลังหวังเป่าเล่อ พวกมันลอยตามตัวเขาไป ดูเหมือนจะปกคลุมได้ทั้งท้องฟ้าและผืนดิน ขณะที่ชายหนุ่มมุ่งหน้าสู่เป้าหมายใหม่

หวังเป่าเล่อลงมือสังหารไปนับครั้งไม่ถ้วนภายในเวลาสองชั่วโมง เสียงระเบิดสะเทือนไปในอากาศ ไม่ว่าเขาจะเหาะไปแห่งหนใด หลุมก็พลันล่มสลายลง สิ่งมีชีวิตทุกชนิดถูกทำลายสิ้น ไม่ว่าจะมีปราณในขั้นกำเนิดแก่นในหรือจุติวิญญาณ ก็ล้วนไม่มีใครหลบหนีการโจมตีของชายหนุ่มไปได้

หวังเป่าเล่อไม่มีเวลามานั่งสนใจเสาะหาทรัพยากรที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ต้องการ สิ่งที่ชายหนุ่มกระหายในตอนนี้ไม่ใช่ทรัพยากร หากแต่เป็น…การพัฒนาระดับพลังปราณของตนเอง!

ในความคิดของหวังเป่าเล่อ ระบบดาวเคราะห์นี้เป็นที่ที่ดีที่สุดในการฝึกวิชาดวงเนตรปีศาจ เนื่องจากไม่มีผลกระทบตามมาหลังจากที่เขาสังหารผู้คน ด้วยเหตุนี้ชายหนุ่มจึงกระหายปราณขั้นเชื่อมวิญญาณและพัฒนาการของพลังปราณโดยรวม รวมถึงพลังชีวิตที่ไหลบ่าเข้าร่างกายของเขาเป็นอย่างมาก

ข้าจะต้องบรรลุปราณ…ขั้นเชื่อมวิญญาณให้ได้ ที่นี่ ตอนนี้!

หวังเป่าเล่อหายใจถี่ด้วยความตื่นเต้นมีความหวัง เขากำลังจะเดินหน้าสังหารสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ต่อ แต่ก็ก้มลงมองกระเป๋าคลังเก็บและหยิบแผ่นหยกสื่อสารออกมาเสียก่อน เสียงโกรธเกรี้ยวกระวนกระวายของผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักดังลอดออกจากแผ่นหยกนั้น

“ไอ้หลงหนานจื่อ หยุดสังหารเดี๋ยวนี้!”

เมื่อได้ยินดังนั้น ประกายเย็นเยียบก็วาบเข้ามาในดวงตาแดงก่ำของหวังเป่าเล่อ เขากำลังจะพูดตอบ แต่ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ดูเหมือนจะรู้สึกตัวก่อนว่าตนเองพูดจาไม่ค่อยดีกับเขา จึงสูดหายใจเข้าลึก ก่อนพูดอีกครั้ง

“ผู้อาวุโสหลงหนานจื่อ อารยธรรมกลายพันธุ์นี้เหมาะสมเป็นอย่างมากกับการพัฒนาสำนักของเราในอนาคต ข้ารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เจ้าและคนอื่นๆ ในสำนักไม่พอใจ แต่ในเมื่อเรามาเจอที่แห่งนี้เข้าแล้ว อีกไม่นานข้าจะออกคำสั่งให้เดินทางกลับบ้าน พวกเราจะกลับไปด้วยกันทั้งหมด!

“และถึงแม้ข้าจะดูเหมือนเห็นแก่ตัว แต่ทั้งหมดที่ทำ ข้าทำไปเพื่ออนาคตของสำนักเราเพียงเท่านั้น!”

หวังเป่าเล่อหรี่ตาเมื่อได้ยิน แม้เขาจะอยากบรรลุปราณขั้นเชื่อมวิญญาณในตอนนี้ แต่คำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดทำให้เขาเรียกสติตนเองกลับมาได้ ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าความคิดของตนถูกความกระหายเลือดครอบงำ และก่อนหน้านี้เขาก็หย่อนยานเกินไปจึงทำให้จิตของดวงตาปีศาจเข้ามาครอบงำได้

“เจ้ากลัวสิ่งใดกัน แค่ทำลายร่างของหลงหนานจื่อนี่ ทำลายพวกมันให้หมดทุกคน จากนั้นก็ทำลายระบบดาวเคราะห์นี้ให้มันสิ้นซากไปเสีย แล้วเจ้าจะบรรลุปราณขั้นเชื่อมวิญญาณแน่นอน!” หวังเป่าเล่อหรี่ตา เสียงของจิตแห่งดวงตาปีศาจดังกังวานในหัว ดูเหมือนมันจะต้องการครอบงำจิตใจของเขาต่อไป

ไร้สาระ! ชายหนุ่มคิด แม้ว่าจิตของดวงตาปีศาจจะมีอิทธิพลต่อจิตใจเขา แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย ต่อให้เขาฆ่าทุกอย่างที่ขวางหน้าภายใต้อิทธิพลของดวงจิตนี้ ตัวเขาเองก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรถ้าไม่ได้ทำเรื่องที่เกินกว่าเหตุ

แต่เนื่องจากตัวเขาต้องอยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์อีกสักพัก และหากเปลี่ยนตัวตนบ่อยเกินไปจะเสี่ยงถูกจับได้ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจลดจำนวนการฆ่าลงในอนาคต และสำแดงพลังปราณของตนให้อยู่ในขั้นจุติวิญญาณชั้นกลางเท่านั้น

ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก แต่ก็เริ่มสะสมความไม่พอใจในตัวหวังเป่าเล่อขึ้นเรื่อยๆ ในที่สุดเวลาที่ทุกคนในสำนักนัดกันไว้ก็มาถึง ทุกคนทะยานออกจากดาวที่ตนเองอยู่เข้าสู่ห้วงอวกาศ พร้อมทรัพยากรจำนวนมากที่เก็บเกี่ยวมาได้

เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว ความกลัวหวังเป่าเล่อในดวงตาของผู้อาวุโสลำดับห้านั้นชัดเจน จิตสังหารของหวังเป่าเล่อ ประกอบกับพลังปราณที่แข็งกล้าจากร่างกายของชายหนุ่มก่อนหน้านี้ ทำให้ผู้อาวุโสผู้นั้นรู้ได้ว่าแม้หลงหนานจื่อจะดูเหมือนคนที่สงบนิ่งรักสันติ แต่แท้จริงแล้วแอบซ่อนความโหดเหี้ยมกระหายเลือดเอาไว้ภายใน

เห็นทีข้าจะต้องอยู่ห่างจากหมอนี่เอาไว้เสียแล้ว!

ขณะที่ทุกคนเข้ามารวมตัวกัน และขณะที่ผู้อาวุโสคนอื่นเริ่มจัดสรรทรัพยากรที่ตนเองหามาได้นั้น ทุกคนก็รู้สึกได้ถึงขั้นปราณที่เปลี่ยนไปของหวังเป่าเล่อผู้มีสีหน้าเรียบเฉย สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อรู้สึกได้ถึงความอำมหิตที่ฉายออกจากร่างของชายหนุ่ม

ประกายแสงวาบเข้ามาในดวงตาของผู้อาวุโสสูงสุด เขากดความไม่พอใจในตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้ชั่วคราว ก่อนเอ่ยปากพูดอย่างช้าๆ

“ของที่ปล้นมาในคราวนี้มากพอที่จะช่วยให้เราไถ่สำนักกลับคืนมาได้ตอนที่กลับไป นอกจากนี้ยังมีเหลือเกินให้ใช้อีกด้วย แต่หากจะกลับไปเช่นนี้คงเรียกได้ว่าเสียเที่ยว ข้าขอเสนอให้พวกเรามุ่งหน้าต่อไป!”

หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนหน้า แม้จะมีบางคนที่ไม่เห็นด้วย แต่ทุกคนคงทำได้แค่จำใจยอมทำตามเนื่องจากแรงกดดันที่มาจากผู้อาวุโสสูงสุด แต่หลังจากที่ช่วงชิงทรัพยากรมาได้ไม่น้อยในคราวนี้ พวกเขาก็รีบรับคำอย่างกระตือรือร้น เรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์พุ่งทะยานไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ทิ้งหมู่ดาวอารยธรรมกลายพันธุ์ไว้เบื้องหลัง มุ่งหน้าสู่ความเวิ้งว้างอันไกลโพ้น

หลังจากที่ออกมาได้ไม่นานนัก หวังเป่าเล่อก็ถอดจิตออกจากร่างอวตาร ชายหนุ่มขยับตัวเพียงเล็กน้อยก็หายตัวออกจากเรือบินรบในทันที กระบวนเวทสารัตถะทำให้หวังเป่าเล่อออกจากเรือบินรบมาได้โดยไม่มีใครรู้ตัว

แม้แต่ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ยังตรวจจับไม่ได้ ว่าหวังเป่าเล่อกลายร่างเป็นหมอกสีดำที่พวยพุ่งออกจากเรือบินรบไปในห้วงอวกาศด้วยความเร็วสูง เพื่อกลับไปยัง…อารยธรรมกลายพันธุ์แล้ว!

เมื่อมาถึงจุดหมายปลายทางเรียบร้อย หมอกมืดหวังเป่าเล่อก็รวมร่างกลายเป็นกายเนื้อ ประกายประหลาดวาบเข้ามาในดวงตาของชายหนุ่มที่กำลังโบกมือกวาดลงข้างล่างอย่างรุนแรง ทันใดนั้น ดวงตาปีศาจมากมายก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขา แม้ดวงตาเหล่านั้นจะยังไม่ลืมตาตื่น แต่จำนวนที่มหาศาลของพวกมันก็ทำให้ดูน่าเกรงขามเป็นอันมาก เกราะจักรพรรดิปรากฏขึ้นบนกายของชายหนุ่มพร้อมแขนอาวุธเทพที่แขนขวา พลังปราณของเขาระเบิดออกมาไร้ขีดจำกัด

เมื่อรวมเข้ากับพลังจากดาวเคราะห์ของวิญญาณจุติดวงดาราแล้ว พลังของชายหนุ่มก็กระจายไปทั่วห้วงอวกาศจนทำให้บริเวณโดยรอบบิดเบี้ยว

เอาละ…ได้เวลาครอบครองปราณขั้นเชื่อมวิญญาณแล้ว! หวังเป่าเล่อยิ้มกริ่มพร้อมทะยานไปข้างหน้า ตรงไปยังดาวเคราะห์ดวงที่ใกล้ที่สุด!

เมื่อมองจากระยะไกล หวังเป่าเล่อดูเหมือนปีศาจร้ายผู้มาพร้อมเปลวไฟอเวจีที่กัดกินท้องฟ้าก็ไม่ปาน!

เขาเข้าไปยังบริเวณของดาวดวงแรกอย่างรวดเร็วพร้อมเสียงฟ้าคำรามก้องที่สะท้อนสะเทือนไปทั่ว สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทุกตัวล้มลงแทบเท้า ถูกสังหารเหี้ยนหายไปในทันที!

พลังชีวิตเข้มข้นมหาศาลไหลบ่าเข้าสู่ร่างของหวังเป่าเล่อ ดวงตาปีศาจเบื้องหลังเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนเกือบจะกลายเป็นกระแสน้ำวนขนาดยักษ์ในอวกาศ เมื่อดวงตานับไม่ถ้วนโผล่ปกคลุมทั่วพื้นผิวของดวงดาว พลังของมันก็ทำให้สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ทุกชนิดในระบบดาวเคราะห์ตื่นตัว

เสียงกรีดร้องแหลมสูงชวนขนลุกกังวานไปทั่ว แผ่นดินไหวอุบัติขึ้นในดาวดวงที่สาม ตะขาบสายรุ้งยักษ์ลำตัวยาวอย่างน้อยสามร้อยเมตรพุ่งออกจากใต้ดิน พลังปราณที่กระจายไปในอากาศของมันอยู่ที่ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้น ดวงตาเอ่อล้นด้วยความโหดเหี้ยมอำมหิต ร่างกายปกคลุมด้วยหมอกสีเทา มันหันหน้ามองไปยังดาวที่หวังเป่าเล่ออยู่ ร้องคำรามดังลั่น และกระโจนขึ้นไปในอากาศทันที กลายสภาพเป็นเส้นสายรุ้งพุ่งเข้าหาชายหนุ่ม

นอกจากนี้ยังมีสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์อีกสามตัวที่ตื่นขึ้นเพราะเขาเช่นกัน ตัวหนึ่งมีปราณอยู่ที่ขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้น อีกตัวอยู่ที่ชั้นกลาง ส่วนตัวสุดท้ายอยู่ที่ชั้นปลาย พวกมันกระโจนออกสู่ห้วงอวกาศพร้อมกัน พุ่งออกจากดาวของตนเองมุ่งหน้ามาหาหวังเป่าเล่อ!

หวังเป่าเล่อลอยอยู่กลางอากาศเหนือดาวของเขา ทุกสิ่งเบื้องล่างถูกสังหารราบคาบ เบื้องหลังอัดแน่นด้วยดวงตาปีศาจที่แทบจะบดบังท้องฟ้าจนมืดมิด!

ในที่สุดก็มีตัวใหญ่ออกมาเสียที! ชายหนุ่มหรี่ตา เมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตทั้งสี่อยู่ลิบๆ ตรงขอบฟ้า เขาก็ฉีกยิ้มกริ่ม แทนที่จะถอยหนี หวังเป่าเล่อกลับกระโจนขึ้นในอากาศ ปลดปล่อยพละกำลังของตนเองในทันที เขาพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้ทั้งสี่ พร้อมด้วยดวงตาปีศาจสีดำสนิทนับไม่ถ้วนเบื้องหลัง และแรงอาฆาตเข้มข้นที่พวยพุ่งหมายกลืนกินทุกสิ่ง!

บทที่ 748 กำเนิดเทพอสูร!
หากคำนวณระยะทางจากดาวเคราะห์และดารานิรันดร์ ดาวเคราะห์ที่หวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสลำดับห้ากำลังเดินทางไปนั้นเป็นดาวเคราะห์อันดับสาม มีขนาดพอๆ กับโลกมนุษย์ และเห็นได้ว่าเป็นดาวเคราะห์ที่ครั้งหนึ่งเคยเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิต มองเห็นเศษซากพืชสีเขียวที่กระจัดกระจายไปทั่วพื้นผิวของดาวเคราะห์นั้น

แต่…มันก็เป็นเพียงผิวหน้าเท่านั้น บนพื้นผิวของดาวเคราะห์มีหลุมอยู่นับหมื่นนับแสนหลุม หลุมขนาดเล็กมีเส้นผ่าศูนย์กลางร่วมสามสิบกิโลเมตร ในขณะที่หลุมขนาดใหญ่นั้นมหึมาพอๆ กับเมืองทั้งเมือง

หลุมเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นร่องรอยของดาวหาง แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ หวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสลำดับห้าก็ค้นพบว่า…ในหลุมเหล่านี้มีแอ่งเลือดและเนื้ออยู่นับไม่ถ้วน!

เลือดและเนื้อเหล่านี้ดูเหมือนศพจำนวนมาก แม้ว่าบางส่วนตอนนี้จะกลายเป็นเนื้อยุ่ยๆ ทำให้ดูเหมือนโคลนสีเลือดเสียมากกว่า จากแขนขาที่ลอยอยู่ทำให้บอกได้ว่าเคยมีสิ่งมีชีวิตที่ละม้ายคล้ายมนุษย์อาศัยอยู่ บางส่วนก็เป็นอสูรดุร้าย และก็มีบางส่วนที่ดูคล้ายว่ามาจากอารยธรรมอื่น บางครั้งก็มีศีรษะลอยขึ้นมา ใบหน้านั้นมีความเศร้าโศก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้ผ่านเหตุการณ์ที่เป็นดั่งฝันร้ายเมื่อครั้งยังมีชีวิต

หากเพียงเท่านั้น จากประสบการณ์ของหวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสลำดับที่ห้า พวกเขาคงไม่ตื่นตกใจเท่าใดนัก ทว่า…ท่ามกลางของเหลวที่อยู่ในหลุม ยังมีเส้นเลือดใหญ่หนาสีม่วงปูดปนอยู่ด้วย!

เส้นเลือดเหล่านี้ดูคล้ายกับว่ากำลังซึมซับสารอาหารจากของเหลวในหลุม เส้นเลือดแพร่กระจายออกไป และเชื่อมต่อทุกหลุมบนดาวเคราะห์นี้เข้าด้วยกันจนดูราวกับเป็นเครือข่ายสีม่วงขนาดมโหฬาร ในเครือข่ายที่สร้างขึ้นมาจากเส้นเลือดสีม่วงเหล่านี้ มีจุดที่มีติ่งเนื้อบวมเป่งเติบโตออกมาอยู่นับล้านๆ จุด!

ติ่งเนื้อเหล่านี้บ้างก็กำลังสั่นไหว บ้างก็ดูเหมือนกำลังหลับใหล บ้างก็ระเบิดขึ้นมาเมื่อหวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสลำดับห้ามองไปเห็น และสิ่งที่คลานออกมาก็คือสิ่งมีชีวิตที่คล้ายมนุษย์แต่มีหลายขา!

สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีกายสีดำและดูคล้ายตะขาบ พวกมันส่งเสียงร้องแหลมสูงพร้อมทั้งคลานไปยังหลุมที่ใกล้ที่สุด เมื่อพวกมันเข้าไปถึงระยะก็ขุดดินลงไปในหลุมทันที ก่อนจะเปิดปากและเริ่มดื่มกิน ขณะที่พวกมันดื่มกินอยู่นั้น พลังชีวิตก็เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

ภาพนั้นทำเอาหนังศีรษะของศิษย์สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ที่อยู่ด้านหลังหวังเป่าเล่อชาดิก ผู้อาวุโสลำดับห้าหรี่ตาลงก่อนจะกระซิบแผ่วเบาอยู่ข้างๆ หวังเป่าเล่อ

“นี่ไม่ใช่อารยธรรมพื้นเมืองกลายพันธุ์แล้ว…มันเป็นอารยธรรมต่างดาวกลายพันธุ์ชัดๆ!”

“สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ต่างดาวหรือ” หวังเป่าเล่อเพ่งมองไปยังเครือข่ายสีม่วงบนพื้นผิวของดาวเคราะห์ ก่อนจะหรี่ตาแล้วถาม

“หากดาวเคราะห์ถูกอารยธรรมต่างดาวกลายพันธุ์จู่โจม ก็จะนับเป็นภัยพิบัติใหญ่หลวง เมื่อศัตรูปรากฏกาย ระบบดาวเคราะห์ใกล้เคียงก็จะได้รับการเตือนทันที หากการรุกรานสามารถระงับได้ พวกเขาก็จะต่อสู้เต็มที่เพื่อกำจัดศัตรู หากทำเองไม่ไหว ก็จะร่วมมือกับระบบดาวเคราะห์อื่นๆ เพื่อช่วยกันกำราบศัตรู”

วิธีการรุกรานแตกต่างกันตามระดับความชาญฉลาดของอารยธรรมนั้น หากเป็นอารยธรรมที่ฉลาด พวกเขาก็จะออกไปหาอาหารด้วยตนเอง แต่หากไม่เป็นเช่นนั้น ก็จะเอาตัวอ่อนไปซ่อนไว้ในดาวหาง หรือกลายมาเป็นปรสิตที่ซ่อนอยู่ในกายของอารยธรรมอื่น และใช้วิธีนี้ในการเดินทางไปยังระบบดาวเคราะห์อื่นๆ

โดยปกติพวกเขาจะเดินทางกันเป็นกลุ่ม เมื่อดาวหางพุ่งชนอารยธรรมหนึ่ง พวกเขาก็จะกลายเป็นปรสิตไปดูดกินสารอาหารจากดาวเคราะห์ดวงนั้น แล้วจึงค่อยสังหารทุกชีวิตในอารยธรรมเพื่อนำมาใช้ในการเจริญเติบโตและพัฒนา

ขณะที่รับฟังไป นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็ส่องประกายขึ้นมาแวบหนึ่ง ผู้อาวุโสลำดับห้าที่อยู่ข้างๆ ขณะนี้กำลังเพ่งสมาธิไปยังดาวเคราะห์และไม่ทันเห็นประกายในดวงตาของหวังเป่าเล่อ โดยเฉพาะเมื่อเขาได้เห็นว่ารัศมีเริ่มต้นของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์คล้ายตะขาบนั้นไม่ได้แกร่งกล้านัก แม้จะแข็งแกร่งได้อย่างรวดเร็วก็ตาม เขาก็ไม่อาจซ่อนความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ได้

“อารยธรรมของระบบดาวเคราะห์นี้คงถูกดาวหางที่มีตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์พุ่งชนหลายครั้ง ทำให้สิ่งมีชีวิตบนนี้สูญพันธุ์กันไปหมด แต่ถึงกระนั้น นี่ก็ถือเป็นข่าวดีสำหรับเรา!”

“รัศมีเริ่มต้นของพวกมันอยู่เพียงแค่ระดับปราณเข้มข้น ตามตำราโบราณ สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ระดับนี้ไม่สามารถพัฒนาไปได้ไกลกว่าระดับดาวพระเคราะห์ได้ ขณะเดียวกัน ตอนเกิดระดับปัญญาวิญญาณของพวกมันก็ช่างต่ำต้อยนัก หลงหนานจื่อ พวกเราโชคดีเสียแล้วในคราวนี้!” ขณะพูด ผู้อาวุโสลำดับห้าก็เริ่มหัวเราะออกมา เขายกมือขวาขึ้นชี้ไปยังดาวเคราะห์ตรงเท้าพลางจ้องหวังเป่าเล่อไปด้วย

“ปัญญาวิญญาณต่ำ กินเพียงเลือดเนื้อเป็นอาหาร สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ชนิดนี้ต้องการเพียงเลือดและเนื้อเท่านั้น แปลว่าพวกมันไม่ใส่ใจกับศิลาวิญญาณหรือวัตถุดิบที่ใช้ในการหลอมแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้น ระบบดาวเคราะห์นี้ก็คือขุมทรัพย์ดีๆ สำหรับพวกเรานั่นเอง!”

“พอไปถึงพื้นผิวแล้วพวกเราแยกตัวกันเถิด แค่ระมัดระวังอย่าไปขัดขวางการหาอาหารของพวกมันก็พอ ในเมื่อเป้าหมายต่างกัน ก็ไม่ควรมีความขัดแย้งหากเราระมัดระวังตัว ข้าขอเสนอให้พวกเราจับตัวอ่อนของอารยธรรมสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์นี้กลับมาด้วย เราสามารถนำมันไปปล่อยยังอารยธรรมที่อ่อนแอได้ในอนาคต และมันก็น่าจะทรงพลังพอๆ กับอาวุธเทพเลยทีเดียว!” ผู้อาวุโสลำดับห้ากล่าว ก่อนจะหยิบแผ่นหยกสื่อสารเงาวับออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ และหัวเราะออกมาหลังจากที่บีบมัน

“ผู้อาวุโสสูงสุดส่งข้อความเสียงมา เขาไม่ได้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดไปอย่างนั้นจริงๆ เสียด้วย เขาร้ายกาจทีเดียว! หลงหนานจื่อ ข้าจะลงไปก่อน แล้วพบกันในอีกครึ่งเดือน!” เมื่อพูดจบ ผู้อาวุโสลำดับห้าก็ระเบิดเสียงหัวเราะ ก่อนจะรวบรวมศิษย์สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ที่ติดตามมาและพุ่งตัวลงไปยังดาวเคราะห์เบื้องล่าง

หวังเป่าเล่อเฝ้ามองผู้อาวุโสจากไปแล้วจึงหันไปมองหลุมบนดาวเคราะห์อย่างตั้งใจ แสงประหลาดสว่างวาบขึ้นบนดวงตาของหวังเป่าเล่อขณะที่ชายหนุ่มหรี่ตาลง หลังจากนั้น เขาจึงหยิบแผ่นหยกสื่อสารของหลงหนานจื่อออกมา และส่งจิตสัมผัสเข้าไป หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงของผู้อาวุโสสูงสุดดังขึ้นในศีรษะทันที

“ผู้อาวุโสทุกคนจงฟัง ขณะที่พวกเจ้าเก็บทรัพยากร จงจับตัวอ่อนของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เหล่านี้มาด้วย จำไว้ว่าอย่าจับมามากเกินไปเล่า หนึ่งคนไม่ควรมีตัวอ่อนเกินหนึ่งร้อยตัว ยิ่งไปกว่านั้น เราจะไม่ประกาศสงครามกับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เหล่านี้ และเรื่องนี้จะต้องเป็นความลับ ข้าจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ที่นี่เพื่อเป็นการช่วยหาตำแหน่งในอนาคต เมื่อสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์กินอารยธรรมนี้จนสูญสิ้นเมื่อใด พวกมันจะต้องเคลื่อนย้ายไปยังอารยธรรมอื่นแน่นอน จากนี้ไป นี่จะเป็นถนนสู่ความมั่งคั่งของพวกเรา!”

“ไม่ประกาศสงครามกับสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์เช่นนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อหัวเราะเบาๆ ก่อนที่แสงประหลาดในแววตาของเขาจะฉายกล้าขึ้น หลังจากการสังหารหมู่ครั้งแล้วครั้งเล่าในสงครามระหว่างสหพันธรัฐกับสำนักวังเต๋าไพศาล วิชาดวงเนตรปีศาจของเขาก็เขยิบเข้ามาถึงขั้นสุดท้าย อาจกล่าวได้ว่า…หากเขาบรรลุขั้นสุดท้ายนี้ ชายหนุ่มก็จะสามารถบรรลุสู่ขั้นเชื่อมวิญญาณได้ด้วย!

เพราะพลังอำนาจในการต่อสู้ หวังเป่าเล่อจึงเลือกฝึกวิชาดวงเนตรปีศาจ หากเขาต้องการบรรลุขั้น ชายหนุ่มต้องสังหารคนตามอำเภอใจเป็นจำนวนมาก แต่การหย่าศึกระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลทำให้เขาไม่มีใครให้สังหาร หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็จากมาพร้อมศิษย์พี่ ดังนั้นแม้ว่าหวังเป่าเล่อจะสามารถยืนหยัดต่อสู้กับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายได้ แต่ระดับพลังปราณของเขาก็ยังอยู่ในขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์เพียงเท่านั้น

“การสังหารหมู่อย่างนั้นหรือ…” รัศมีชั่วร้ายแผ่ออกมาจากกายของหวังเป่าเล่ออย่างรวดเร็ว ทำให้สีหน้าของบรรดาศิษย์สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ที่ตามหลังเขามาเปลี่ยนไป พวกเขาต่างก็ล่าถอยก่อนจะจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยความหวาดกลัว

หวังเป่าเล่อเมินผู้คนด้านหลังเขาไปเสียสิ้น รัศมีชั่วร้ายไม่ได้จางหายไป แต่กลับทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อชายหนุ่มตัดสินใจได้ รัศมีชั่วร้ายระเบิดออกมาในชั่วระยะเวลาไม่กี่ลมหายใจจนกลายเป็นจิตสังหารอันแรงกล้า

เมื่อจิตสังหารนี้แผ่ออกไปก็เกิดคลื่นรบกวนขึ้นในจักรวาล ส่งผลให้จักรวาลเริ่มบิดเบี้ยว ศิษย์สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เบื้องหลังตื่นตะลึงกับภาพที่เห็นเป็นอย่างยิ่ง ในสายตาพวกเขา หวังเป่าเล่อดูราวกับเป็นกระบี่คมกริบที่เพิ่งถูกปลดออกจากฝัก

หวังเป่าเล่อไม่รอช้า รีบพุ่งตรงออกไปด้วยการบิดร่างกายเพียงครั้งเดียว

ชายหนุ่มดูเหมือนดาวหางที่พุ่งทะลุชั้นบรรยากาศบางเบาของดาวเคราะห์ มุ่งหน้าตรงไปยังหลุมแห่งหนึ่งบนพื้นผิว รัศมีในกายของเขาระเบิดออกมา และด้วยการขยับมือขวาเพียงเล็กน้อย ส่วนหนึ่งของเกราะจักรพรรดิก็ปรากฏขึ้นก่อนจะกลายเป็นอาวุธเทพ หวังเป่าเล่อฟาดอาวุธเทพลงไปยังหลุมขนาดเท่าครึ่งเมืองที่กำลังมุ่งหน้าไปหา

พื้นโลกสั่นสะเทือน ท้องฟ้าแปรผัน ประกายกระบี่จากอาวุธเทพของหวังเป่าเล่อก่อตัวเป็นพลังงานมหาศาล ทันใดนั้นเอง เลือดเนื้อภายในหลุมเบื้องล่างก็สั่นไหว ก่อนที่สิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ตะขาบต่างขนาดนับไม่ถ้วนจะวิ่งตามกันออกมาเป็นพรวน บ้างก็ยังอยู่ในหลุม บ้างก็ไต่ขึ้นมาบนขอบ พวกมันทุกตัวล้วนมองขึ้นไปบนฟ้าก่อนส่งเสียงร้องหวีดแหลม

เมื่อเสียงร้องหวีดสะท้อนก้องออกไป ประกายกระบี่อาวุธเทพของหวังเป่าเล่อก็ตกลงมาถึงพื้นผิว ส่งผลให้แผ่นดินสั่นไหว พลังการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อและอาวุธเทพ บวกกับพลังเสริมของดาวเคราะห์และเกราะจักรพรรดิ ทำให้ประกายกระบี่นั้นสว่างจ้าราวกับเป็นดวงตะวันที่เผาทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าจนมอดไหม้เป็นจุณ

เสียงครั่นครืนสะท้อนก้องไปทั่วดวงดาว ก่อนที่แรงสั่นสะเทือนจะกระจายตามออกไปและทำลายหลุมนั้นจนแหลก เหลือเพียงหวังเป่าเล่อที่ยืนค้างอยู่กลางอากาศ ผมปลิวไสวไปพร้อมกับสายลม เขาดูราวกับเป็นปีศาจเมื่อเชิดศีรษะขึ้นสูดลมหายใจ

เบื้องหลังเขา ดวงตาปีศาจลืมตาตื่นพร้อมความรู้สึกตื่นเต้นที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน มันปลดปล่อยความกระหายเลือดและเสียงหัวเราะบ้าคลั่งอยู่ภายในจิตใจของหวังเป่าเล่อ

แต่ภายใต้ฉากหน้าของวิชาสารัตถะของหวังเป่าเล่อ ไม่มีคนนอกคนใดมองเห็นสิ่งเหล่านี้ได้เลย!

บทที่ 747 อารยธรรมกลายพันธุ์!
ขณะที่หวังเป่าเล่อชั่งน้ำหนักสถานการณ์และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อาวุโสคนอื่นอยู่เนืองๆ ผู้อาวุโสทั้งเจ็ดของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็บรรลุข้อตกลงกันอย่างรวดเร็ว

เมื่อไม่มีทางแก้ไขสถานการณ์ตรงหน้า พวกเขาจึงตัดสินใจจะใช้โอกาสนี้ขโมยของให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หากพวกเขาขโมยของได้มากพอ สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์อาจสามารถพลิกสถานการณ์วิกฤตทางการเงินได้

ขณะเดียวกัน หากสิ่งของที่พวกเขาขโมยมาไม่เพียงพอ พวกเขาก็ยังต้องหาสิ่งของมาแลกเปลี่ยนกับสิทธิ์ในการเคลื่อนย้ายกลับบ้านจากผู้อาวุโสสูงสุดอยู่นั่นเอง ส่วนความคิดเห็นของผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในคนอื่นๆ นั้นไม่มีความหมายแต่อย่างใด

ทันทีที่ทั้งเจ็ดบรรลุข้อตกลงกันได้ ก็ต่างพากันไปคารวะผู้อาวุโสสูงสุดอย่างนอบน้อมและบอกกล่าวการตัดสินใจให้ได้รับรู้ ผู้อาวุโสสูงสุดระเบิดเสียงหัวเราะลั่นก่อนจะเมินบรรดาผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเช่นกัน แล้วจึงปล่อยให้หวังเป่าเล่อและบรรดาผู้อาวุโสช่วยขับเรือบินรบไปด้วยกัน เรือบินรบพวยพุ่งออกไปในอวกาศด้วยความเร็วเต็มพิกัด

เมื่อเทียบกับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แล้ว ห้วงอวกาศที่นี่มืดมิดกว่ามาก แต่ความรู้สึกแปลกแปร่งที่หวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสคนอื่นๆ รู้สึกไม่ได้ต่างกันมากนัก

กระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เองก็ไม่เคยมาที่นี่มาก่อน เขาจำนองสำนักแลกสิทธิ์ในการเปิดดวงเนตรหมื่นปีศาจมา แต่ก็ต้องเลือกระยะทางการเคลื่อนย้ายอย่างคร่าวๆ เพราะไม่มีพิกัดที่แน่นอน

เพราะเหตุนี้ผู้อาวุโสสูงสุดจึงรู้เพียงว่าไม่เคยมีใครจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มาเหยียบระบบดาวเคราะห์นี้มาก่อน แม้แต่ตัวเขาเองก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าจะพบเจออารยธรรมที่มีทรัพยากรให้แย่งชิงหรือไม่

ในความไม่แน่นอนนี้ หากจะจินตนาการว่าห้วงอวกาศเป็นดั่งมหาสมุทรมืดดำ เรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็เป็นดั่งเรือเดียวดายที่ลอยเท้งเต้งอยู่ภายใน เวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้า ก่อนที่สามเดือนจะพ้นไปในชั่วพริบตา

ตลอดสามเดือนนี้ ผู้ฝึกตนระดับปราณต่ำของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ได้แต่ก้มหน้ายอมรับโชคชะตาอย่างเงียบงัน แต่ประกายดุร้ายในดวงตาของพวกเขาก็ยังปรากฏขึ้นอยู่บางครั้งราวกับเป็นฝูงหมาป่าที่หิวโหย แทบจะจินตนาการได้เลยว่าความไม่มีที่ไปนี้จะทำให้พวกเขาปลดปล่อยความดุร้ายออกมาทันทีที่พบเหยื่อ

ฝ่ายหวังเป่าเล่อและเหล่าผู้อาวุโสดูผ่อนคลายกว่าผู้ฝึกตนที่เหลือมาก แต่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ว่าความอึมครึมที่ลอยอยู่รอบๆ ผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ เริ่มรุนแรงขึ้น แม้กระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดซึ่งพยายามอย่างยิ่งที่จะซ่อนความรู้สึกเอาไว้ อาการของเขาไม่อาจรอดพ้นสายตาของหวังเป่าเล่อไปได้เช่นกัน ชายหนุ่มเห็นว่าผู้อาวุโสสูงสุดเริ่มกังวลขึ้นเรื่อยๆ

มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่ไม่กระวนกระวาย ในแง่หนึ่ง หากเขาต้องการจะหนี เขาก็สามารถหนีได้ทุกเมื่อ อีกแง่หนึ่ง ชายหนุ่มไม่มีสิทธิ์การใช้งานผนึกดวงเนตรหมื่นปีศาจเพื่อกลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ในกำมือ แม้จะสามารถชิงมาได้อย่างง่ายดายก็ตาม

ดังนั้นสำหรับชายหนุ่มแล้ว เขาไม่เพียงไร้ซึ่งความวิตกกังวล แต่ยังได้รู้เรื่องราวของราชวงศ์ สำนักใหญ่ทั้งสาม และประวัติศาสตร์อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มากขึ้นจากการพูดคุยกับบรรดาผู้อาวุโสในช่วงนี้อีกด้วย

หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกสักพัก ข้าคงไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องลงมือ หวังเป่าเล่อหรี่ตา สายตาของเขากวาดไปยังผู้คนรอบข้าง ชายหนุ่มลอบมองไปทางผู้อาวุโสสูงสุดที่มีสีหน้าอึมครึมอีกครั้งหนึ่ง ก่อนจะจ้องมองไปยังอวกาศสีดำสนิทอย่างผ่อนคลาย แต่ขณะที่จ้องมองออกไปนั้น นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อก็ถึงกับกระตุก

แทบจะในวินาทีเดียวกันกับที่นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเกร็งกระตุก เรือบินรบที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ทุ่มเทกายใจไปในการซ่อมแซมก็สังเกตเห็นสิ่งแปลกปลอมในอวกาศที่ห่างออกไป ก่อนจะเปิดสัญญาณเตือนภัยขึ้น

ทันทีที่เสียงสัญญาณเตือนภัยดังก้องสะท้อนไปทั่ว ผู้ฝึกตนทุกคนบนเรือบินรบก็ตัวสั่นเทา ลมหายใจเริ่มกระชั้นถี่เร็ว โดยเฉพาะเหล่าผู้อาวุโสสูงสุดและบรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทุกคน พวกเขาต่างจ้องออกไป มีประกายแสงฉายวาบขึ้นมาในดวงตาของผู้อาวุโสสูงสุดขณะที่เขาสะบัดข้อมือหยิบเข็มทิศผลึกออกมา

เข็มทิศผลึกนี้มีขนาดเล็กจ้อย มันปล่อยคลื่นแสงเรืองเรื่อออกมาขณะที่ลอยอยู่ในฝ่ามือของผู้อาวุโส เมื่อเขาสร้างผนึกฝ่ามือด้วยมือซ้ายและชี้ออกไป แสงนั้นก็เริ่มสว่างเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ เสียงอื้ออึงดังก้องไปทั่ว ราวกับมีมือที่มองไม่เห็นเริ่มใช้ปากกาขีดวาดแผนที่ดวงดาวขึ้นในอากาศ

เมื่อแผนที่ดวงดาวปรากฏขึ้น สายตาทุกคู่ในเรือบินรบก็เบนไปจับจ้องทันที

ดาวดวงแรกที่ปรากฏขึ้นคือดารานิรันดร์ที่ดูใกล้แตกดับเต็มที จากนั้นก็มีดาวเคราะห์ขนาดแตกต่างกันอีกหกดวงปรากฏขึ้นรายล้อมดารานิรันดร์เอาไว้…

ดารานิรันดร์ที่ใกล้จะดับสูญนั้นซีดจาง ขณะที่ดาวเคราะห์สองในหกดวงมีสีดำสนิท อีกสามดวงมีสีออกเขียวอมเหลืองที่หนักไปทางเขียวมากกว่า

ส่วนดวงที่ใหญ่ที่สุดไม่ได้เป็นสีเขียว หากแต่กำลังเปล่งแสงสีเหลืองเรื่อเรืองออกมา!

ขณะที่แผนที่ดวงดาวและสีของดาวเคราะห์เริ่มปรากฏให้เห็น ลมหายใจของผู้ฝึกตนระดับปราณต่ำบนเรือบินรบก็เริ่มถี่เร็ว ผู้อาวุโสข้างๆ หวังเป่าเล่อมีสีหน้าขึงขัง ก่อนที่ใครสักคนจะตะโกนขึ้นมาอย่างเร่งรีบ

“ไม่มีสีเหลืองบริสุทธิ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของขั้นจิตวิญญาณอมตะ ไม่มีสีส้มที่แสดงถึงระดับดาวพระเคราะห์ และไม่มีสีแดงที่แสดงถึงผู้ที่แข็งแกร่งระดับดารานิรันดร์เช่นกัน!”

“ดาวเคราะห์หกดวง มีสองดวงเป็นสีดำ แสดงถึงการไร้ซึ่งความผันแปรของปราณวิญญาณ พวกเราลืมดาวเหล่านั้นไปได้เลย อีกสามดวงเป็นสีเขียวกึ่งเหลือง แปลว่าพลังรบที่แข็งแกร่งที่สุดบนดาวสามดวงนั้นอยู่ในขั้นจุติวิญญาณหรือเชื่อมวิญญาณเท่านั้น”

“ดาวเคราะห์ดวงสุดท้ายเปล่งรัศมีสีเหลือง จากประสบการณ์ในอดีต พลังยุทธ์บนดาวดวงนี้เทียบเท่าขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลาย!”

“อารยธรรมนี้ดูเป็นภัยพอสมควร แต่ก็ประหลาดอยู่พอประมาณ ดารานิรันดร์ของพวกเขากำลังจะแตกดับแท้ๆ ทำไมพวกเขายังไม่รีบหนีไปอีก”

หวังเป่าเล่อฟังคำพูดของบรรดาผู้อาวุโสข้างกาย ก่อนจะหรี่ตาลงและพูดขึ้นมาอย่างปุบปับ

“หากอารยธรรมนี้มีผู้นำที่แข็งแกร่งในขั้นเชื่อมวิญญาณ ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะมีดาวเคราะห์ที่ว่างเปล่า แต่กระนั้น ที่นี่กลับมีดาวเคราะห์เปล่าอยู่ถึงสองดวง” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็หันไปมองผู้อาวุโสสูงสุด

ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์มองไปยังแผนที่ดวงดาวและจ้องดาวเคราะห์สีดำทั้งสองดวงอย่างใกล้ชิด จากนั้นเขาก็พินิจมองดาวเคราะห์ที่ส่องแสงสีเหลือง ตามหลักการปฏิบัติพื้นฐานของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ เมื่อพวกเขาพบอารยธรรมที่อ่อนแอกว่า พวกเขาจะเข้าไปใช้กำลังกำจัด และชิงทุกสิ่งมาจนหมด

แต่เมื่อต้องเผชิญกับอารยธรรมที่อาจจะเป็นภัย พวกเขาจะลอบเข้าไปใกล้ กระจายตัวออก และออกปล้นเป็นรายคน พวกเขาจะจดพิกัดของอารยธรรมนี้เอาไว้และมารวมตัวเพื่อหลบหนีในเวลาที่ตกลงกัน จากนั้นจึงเข้าไปปรึกษาบรรดาผู้นำของสำนักและตัดสินใจว่าจะเดินทางไกลมาบุกอารยธรรมนี้ดีหรือไม่

“ในเมื่อเราได้พบอารยธรรมใหม่ ขอให้เข้าไปตรวจดูว่ามันมีมั่งคั่งเพียงใด หากมีสิ่งใดไม่ชอบมาพากล เราจะออกจากที่นั่นทันที เรายังสามารถใช้พิกัดที่มีไปขอรางวัลจากสำนักใหญ่ได้!” ประกายแสงสะท้อนอยู่ในดวงตาของผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ขณะที่กำลังพูดด้วยความมุ่งมั่น

ในฐานะผู้นำแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จึงไม่กล้าพูดขัด เรือบินรบจึงเร่งความเร็วขึ้น วัตถุเวทที่ใช้พรางตัวจากการตรวจจับด้วยประสาทสัมผัสถูกเปิดใช้งาน ทำให้เรือบินรบทั้งลำพรางตัวเข้ากับจักรวาล ดูราวกับเป็นวิญญาณเร่ร่อนสีดำสนิทที่เคลื่อนที่เข้าใกล้ระบบดาวเคราะห์ของอารยธรรมแปลกหน้าเข้าไปทุกขณะ

ไม่กี่วันต่อมา เรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ในรูปแบบพรางตัวก็เข้าใกล้อารยธรรมแปลกหน้าได้สำเร็จ พวกเขาเดินทางเข้ามาสู่ระบบดาวเคราะห์โดยไม่ลดความเร็วแม้แต่น้อย ผู้อาวุโสสูงสุดบนเรือบินรบสร้างผนึกฝ่ามืออย่างรวดเร็ว ก่อนที่แผนที่ดวงดาวสามมิติซึ่งชัดเจนกว่าอันที่พวกเขาเห็นก่อนหน้านี้จะปรากฏขึ้นภายในเรือบินรบ

แผนที่ดวงดาวอันใหม่นี้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง และเพราะเป็นสามมิติ มันจึงแสดงผลดาวเคราะห์ทั้งหกได้เกือบสามร้อยหกสิบองศา เรียกได้ว่าสามารถมองเห็นพื้นผิวของดาวเคราะห์เหล่านั้นได้รางๆ เลยทีเดียว

เมื่อทุกคนมองเห็นดาวเคราะห์เหล่านี้ ผู้ฝึกตนพลังปราณต่ำต่างก็ตื่นตะลึง หวังเป่าเล่อหรี่เองก็ตาลงเช่นกัน ขณะที่ผู้อาวุโสคนอื่นๆ และผู้อาวุโสสูงสุดมีสีหน้าแตกต่างกันออกไป

เป็นเพราะ…ภายใต้การแสดงผลสามร้อยหกสิบองศา พวกเขาจึงเห็นได้อย่างชัดเจนว่าดาวเคราะห์สีดำทั้งสองดวงนั้นร่วงโรยไปอย่างสมบูรณ์ไม่ต่างจากส้มเหี่ยวแห้งสองลูก สัญญาณชีวิตหายสาบสูญไปจากดวงดาวทั้งสองโดยสิ้นเชิง!

ส่วนดาวเคราะห์อีกสี่ดวงที่เหลือ แม้ว่าจะยังมีสัญญาณชีวิตอยู่ แต่ก็เห็นได้ชัดเจนว่ากำลังร่วงโรยเช่นกัน มองเห็นหลุมบ่อจำนวนมากได้อย่างชัดเจนและยังเห็นเหมือนมีสิ่งโบกไหวอยู่ไปมา ภาพเหล่านี้ให้ความรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย!

เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้เห็นอารยธรรมที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะจ้องมองต่อไปอีกสักพัก เขาสัมผัสได้ถึงพลังความตายอันแรงกล้าในระบบดาวเคราะห์นี้ผ่านวิชาแห่งศาสตร์มืด

ในขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็ได้ยินผู้อาวุโสสูงสุดพึมพำ

“อารยธรรมพื้นเมืองกลายพันธุ์อย่างนั้นหรือ” ผู้อาวุโสสูงสุดขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะตัดสินใจ

“ทุกคน จับกลุ่มแล้วแยกย้ายกันออกสำรวจ ติดต่อกันไว้ตลอดเวลา กลับมาพบกันที่เรือบินรบอีกครั้งในเวลาครึ่งเดือน!” เมื่อพูดจบ เขาก็หมุนตัวหนึ่งครั้ง เรียกผู้อาวุโสสองคนพร้อมผู้ฝึกตนระดับต่ำอีกกลุ่มหนึ่งให้ติดตามไป ก่อนจะพากันขึ้นกระสวยมุ่งตรงไปยังดาวเคราะห์ที่ส่องแสงสีเหลือเรื่อเรืองอยู่บนแผนที่ดวงดาว

บรรดาผู้อาวุโสที่เหลือบนเรือบินรบรวมทั้งหวังเป่าเล่อเริ่มพูดคุยกัน ก่อนจะตัดสินใจและแยกย้ายกันไป หวังเป่าเล่อไม่ได้อยู่คนเดียว ผู้อาวุโสลำดับห้าของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ ผู้ที่อยู่ในขั้นจุติวิญญาณชั้นกลางเดินทางไปกับเขาด้วย ทั้งคู่พาผู้ฝึกตนระดับต่ำกลุ่มหนึ่งขึ้นกระสวยมุ่งตรงไปยังดาวเคราะห์เป้าหมายทันที

เมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้ หวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสลำดับห้าต่างก็มองเห็นหลุมบนพื้นผิวของดวงดาวได้ชัดเจนขึ้น และเมื่อได้เห็น แม้แต่หวังเป่าเล่อเองก็ยังดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตะลึง!

บทที่ 746 ราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์!
ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ดารานิรันดร์ที่แปรสภาพเป็นดวงตาส่งแรงดึงดูดมายังเรือบินรบ ลากให้มันเข้าไปใกล้ ขณะที่เรือบินรบกำลังมุ่งตรงไปหาดารานิรันดร์นั้นเอง หวังเป่าเล่อก็ค่อยๆ หายจากอาการตื่นตะลึง ชายหนุ่มตัดสินใจล้มเลิกแผนการเดิมและกดเก็บความต้องการจะหนีเอาไว้ก่อน

เขาจำได้ว่า วิชาดวงเนตรปีศาจที่เลือกฝึกเป็นวิชาที่ใช้สังหาร เป็นหนึ่งในบรรดาเคล็ดวิชาการฝึกตนที่หวังเป่าเล่อพบในสำนักแห่งความมืดตอนที่เขาอยู่ในนิมิตมืด

เคล็ดวิชาฝึกตนนี้ไม่สมบูรณ์แถมยังบรรลุสูงสุดได้เพียงขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น สำนักแห่งความมืดคงไม่ได้ให้ค่าพลังเทพเช่นนี้เท่าใดนัก เพราะอย่างไรเสีย สำนักก็มีเคล็ดวิชาฝึกปราณจำนวนมาก แต่ความลึกลับและชั่วร้ายของวิชาดวงเนตรปีศาจก็ทำให้มันแตกต่างจากวิชาอื่นๆ สุดท้ายแล้วสำนักแห่งความมืดจึงต้องหันมาปรับปรุงวิชาดวงเนตรปีศาจ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความพิเศษและความทรงพลังของวิชาดวงเนตรปีศาจได้อย่างชัดเจน!

หวังเป่าเล่อจำได้ว่าเคยอ่านเชิงอรรถซึ่งผู้ฝึกตนสำนักแห่งความมืดที่ทรงพลังคนหนึ่งเขียนไว้ในบันทึกของวิชาดวงเนตรปีศาจ เขาคร่ำครวญถึงการที่จารึกนั้นสิ้นสุดลงตรงขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น!

อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และวิชาดวงเนตรปีศาจจะต้องมีความเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้งแน่นอน บางที…ข้าอาจจะพบบันทึกของเคล็ดวิชาฝึกปราณที่หายไป ณ ที่แห่งนี้ก็เป็นได้ นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อลุกโชนแรงกล้า เรือบินรบพุ่งเข้าไปใกล้ดารานิรันดร์ขึ้นทุกขณะ และอุณหภูมิก็เริ่มพุ่งสูง มีพลังปราณสีเทาเบาบางพวยพุ่งออกมาจากดวงตาที่เคยเป็นดารานิรันดร์มาก่อนและเข้าห้อมล้อมเรือบินรบเอาไว้ มันทะลุผ่านตัวเรือบินเข้ามาล้อมรอบผู้ฝึกตนทุกคน

ศีรษะของหวังเป่าเล่อเริ่มวิงเวียน ชายหนุ่มไม่มีเวลาพินิจพิเคราะห์ปราณสีเทาที่กำลังห้อมล้อมกายเขาอยู่ วินาทีต่อมา เรือบินรบก็เริ่มสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก่อนจะพุ่งเข้าไปด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ จนกระทั่งเข้าไปยังดารานิรันดร์ ก่อนจะ…อันตรธานไป!

ทั้งเรือบินรบและผู้ฝึกตนทุกคนหายวับไปในอากาศ!

เวลาผ่านไป อาจจะชั่วกัปชั่วกัลป์ หรืออาจจะเพียงเสี้ยววินาที หวังเป่าเล่อตื่นขึ้นเพราะคลื่นความเจ็บปวดอันรุนแรงที่ไหลบ่าไปทั่วกาย สายตาของเขาพร่ามัวไปด้วยเลือด ลมหายใจหนักหน่วงและขาดช่วง

ชายหนุ่มไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับบาดเจ็บ ทุกคนบนเรือบินรบ รวมทั้งผู้อาวุโสสูงสุดเองก็ตัวสั่นเทา หลายคนถึงกับล้มฟาดลงไปบนพื้นเพราะความเจ็บปวดสุดจะทานทนที่พวกเขากำลังรู้สึกอยู่ มีผู้ฝึกตนนับสิบคนที่ดูเหมือนจะทนกับสิ่งนี้ไม่ไหว ร่างกายของพวกเขาระเบิด เลือดและเนื้อปลิวกระจายเปรอะทั่วผนังและพื้นของเรือบินรบ!

ผู้อาวุโสสูงสุดเหมือนจะทอดถอนใจออกมาอย่างโล่งอกในวินาทีนั้น น้ำเสียงอันแหบพร่าของเขาดังเข้ากระทบโสตประสาทของทุกคนในบริเวณ!

“ผู้ฝึกตนทั้งหลายเอย โปรดอย่าโทษข้าเลย สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ได้มาถึงจุดที่ต้องเดิมพันทุกสิ่งกับสิ่งเดียว ข้าได้จำนองทรัพย์สมบัติทั้งหมดของสำนักเพื่อแลกกับโอกาสในการได้ใช้หนึ่งในสองกระบวนเวทของราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์…วิชาดวงเนตรหมื่นปีศาจ!”

ความสับสนและคาใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคนเมื่อได้ยินสิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดพูด ผู้ฝึกตนที่มีขั้นปราณต่ำลงมามีสีหน้าซีดเซียว ความหวาดกลัวบนใบหน้าปรากฏให้เห็นชัดเจน สีหน้าของผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณก็หม่นหมองเช่นกัน พวกเขาจ้องมองออกไปยังโลกนอกเรือบินรบด้วยแววตาขึงขัง จากนั้นจึงหันหน้าจ้องมองกันอยู่ไปมา สุดท้ายผู้อาวุโสที่อยู่กับสำนักมานานที่สุดก็เอ่ยปากพูด

“ผู้อาวุโสสูงสุดขอรับ เรื่องนี้สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ท่านควรบอกพวกเราก่อนที่จะตัดสินใจทำเช่นนี้…”

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ขณะที่กำลังพยายามควบคุมลมหายใจ ชายหนุ่มก็ยกศีรษะขึ้นจ้องออกไปยังห้วงจักรวาลผ่านหน้าต่างของเรือบินรบ เขาไม่ได้ใส่ใจกับการที่ผู้อาวุโสสูงสุดเลือกจำนองสำนักและทรัพย์สินทั้งหมด มีสามสิ่งที่รบกวนจิตใจชายหนุ่ม สิ่งแรกคือราชวงศ์ อย่างที่สองคือกระบวนเวทที่แข็งแกร่งทั้งสอง และสิ่งที่สามก็คือ…วิชาดวงเนตรหมื่นปีศาจ!

ราชวงศ์อย่างนั้นหรือ…หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ดวงตาของเขาเป็นประกายขณะที่จ้องมองจักรวาลอย่างพินิจพิเคราะห์อีกครา ชายหนุ่มไม่อาจมองเห็นอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และดารานิรันดร์ได้อีกแล้ว สิ่งที่เขาเห็นอาจจะเป็นดารานิรันดร์เช่นกัน แต่มีขนาดเล็กกว่ามาก มันส่องแสงเลือนรางออกมาราวกับว่ากำลังจะแตกดับ!

ที่นี่…ไม่ใช่อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!

การเคลื่อนย้ายข้ามระบบดาวเคราะห์อย่างนั้นหรือ จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็เข้าใจสิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดหมายถึงเมื่อชายชรากล่าวถึงการเปิดใช้วิชาดวงเนตรหมื่นปีศาจ มันคือการเคลื่อนย้ายขั้นสูงนั่นเอง!

หวังเป่าเล่อยังคงครุ่นคิดต่อไป ชายหนุ่มถอนสายตาออกมาและมองไปยังหมอกสีเทาที่รายล้อมกายเขาอยู่แทน หมอกนั้นไม่ได้หายไปหลังจากการเคลื่อนย้าย มันยังคงรายล้อมทุกคนบนเรือบินรบอยู่เช่นเดิม แต่ก็เจือจางเสียจนหากไม่เพ่งมองก็คงจะมองไม่เห็น

หวังเป่าเล่อมองเห็นหมอกนั้น เพราะวิชาดวงเนตรปีศาจในกายนั้นตื่นขึ้นและส่งคลื่นความหิวโหยที่อยากจะกลืนกินหมอกสีเทาออกมาเป็นระลอก

บางทีอาจเป็นเพราะพวกเขาอยู่ห่างจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มาไกล แต่หวังเป่าเล่อก็สามารถข่มความหิวโหยของดวงเนตรปีศาจเอาไว้ได้ ชายหนุ่มหวนคิดไปถึงดารานิรันดร์ที่แปรสภาพกลายเป็นดวงตาขนาดใหญ่อย่างเป็นปริศนาที่ เขานึกไม่ออกเลยว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น ทำให้หวังเป่าเล่อตัดสินใจไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม ชายหนุ่มหันไปมองผู้อาวุโสสูงสุดที่กำลังถูกบรรดาผู้อาวุโสตั้งคำถาม

ผู้อาวุโสสูงสุดสูดลมหายใจเข้าลึก มีประกายแสงกล้าส่องสว่างอยู่ภายในนัยน์ตาทั้งคู่

“การบอกพวกเจ้าตอนนี้ ถือว่าสายไปแล้วอย่างนั้นหรือ”

ผู้อาวุโสที่มีอายุงานในสำนักนานที่สุดนิ่งงันไป ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็นิ่งเงียบไปกันหมดรวมทั้งหวังเป่าเล่อด้วย

ผู้อาวุโสสูงสุดมีสีหน้าขึงขังขณะที่กวาดตามองผู้อาวุโสทุกคนและหวังเป่าเล่อ ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ และจริงจัง

“ไม่มีความจำเป็นที่ข้าจะต้องอธิบายสถานะของสำนักอย่างละเอียดให้พวกเจ้าฟัง พวกเจ้าควรรู้ดีกว่าใคร การปล้นชิงข้ามดวงดาวไม่ใช่เรื่องง่าย เหล่าดาวเคราะห์ที่ปลอดภัยซึ่งอยู่ในระยะที่ใกล้กับอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ถูกปล้นจนหมดแล้ว แปลว่าแทบไม่มีอะไรเหลือให้เรา สิ่งนี้อาจไม่ใช่ปัญหาเท่าใดนักในอดีต แต่ตอนนี้สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ของเรากำลังเข้าตาจน เพื่อจะพลิกชะตากรรมของเรา เราจำเป็นต้องหาเงินก้อนใหญ่…แทนที่จะพยายามทำเพื่อแค่รอดชีวิต ทำไมเราจึงไม่ยอมเสี่ยงเล่า!

“นี่จึงเป็นเหตุผลที่ข้าจำนองสำนักของเราเพื่อแลกกับการเปิดใช้งานดวงเนตรหมื่นปีศาจ พวกเราได้สิทธิ์ในการเคลื่อนย้ายไปกลับ และสามารถเคลื่อนย้ายไปยังส่วนของจักรวาลที่ไม่มีใครรู้จักได้ ไปยังที่ที่ห่างไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!

“ข้าจะพูดกับพวกเจ้าอย่างตรงไปตรงมา ข้าไม่คิดจะกลับไปมือเปล่า และข้าจะเอาเรือบินรบไปด้วย สำหรับพวกเจ้าที่เหลือ พวกเจ้าต้องเก็บหอมรอมริบทรัพยากรให้เพียงพอที่จะใช้ดวงเนตรหมื่นปีศาจเคลื่อนย้ายกลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์!

“ข้าพูดจบแล้ว ได้โปรด…ไตร่ตรองเอาให้ดีเถิด”

ผู้อาวุโสสูงสุดจ้องมองหวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ด้วยสายตาลึกซึ้งเปี่ยมความหมายอยู่นานหลังจากที่พูดจบ จากนั้นก็หันหลังกลับเข้าไปยังห้องฝึกวิชา เขารู้ดีว่าสิ่งที่เพิ่งประกาศไปนั้นจะสร้างความตื่นตระหนกอย่างใหญ่หลวง แต่เขาก็ไม่สนใจ เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงความวุ่นวายและความรุนแรงที่ไม่จำเป็น ผู้อาวุโสสูงสุดรู้ดีว่าต้องให้เวลาคนอื่นๆ ได้ย่อยสิ่งที่เขาเพิ่งพูดไปและยอมรับกับความเป็นจริงในปัจจุบัน

เกิดความโกลาหลขึ้นในหมู่ผู้ฝึกตนทันทีที่ผู้อาวุโสสูงสุดจากไป ทุกคนเริ่มทุ่มเถียงกันอย่างเร่าร้อน ผู้อาวุโสบางคนดวงตาแดงก่ำด้วยความขึ้งโกรธ แต่พวกเขาก็ทำสิ่งใดไม่ได้ พลังในการเปิดการเคลื่อนย้ายที่จะส่งพวกเขากลับไปได้อยู่ในมือของผู้ที่ซื้อสิทธิ์นั้นมาเท่านั้น พวกเขาต้องเลือกระหว่างออกไปหาทรัพยากรมาให้มากพอเพื่อซื้อสิทธิ์เคลื่อนย้ายกลับบ้าน หรือสังหารผู้อาวุโสสูงสุดและชิงสิทธิ์ในการเปิดการเคลื่อนย้ายมา ไม่มีทางอื่นอีกแล้วที่พวกเขาจะกลับดาวบ้านเกิดได้

แน่นอนว่าแม้คำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดจะไร้เยื่อใย แต่ทั้งหมดก็เป็นความจริง หากสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ไม่ได้กลับไปพร้อมทรัพย์ก้อนใหญ่เพื่อเจือจุนคลัง สำนักก็คงจะอยู่ได้อีกไม่นาน เป็นเหตุให้…อาจเป็นการดีกว่าที่จะทุ่มเททุกอย่างและลองเดิมพันดูสักครั้ง!

ในสายตาของหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสสูงสุดนั้นค่อนข้างจะไร้ความปราณี ชายหนุ่มนึกถึงหมอกสีเทาเบาบางที่เขาเห็นล้อมรอบตัวเองและคนอื่นๆ เอาไว้และสรุปได้ว่ามันคืออะไร สิ่งนั้นจะต้องเป็นผนึกของดวงเนตรหมื่นปีศาจที่จะใช้พาพวกเขากลับบ้านแน่ๆ

ดูเหมือนว่าดวงเนตรหมื่นปีศาจจะสามารถเคลื่อนย้ายคนได้ในระยะที่ไกลมากๆ แถมผนึกของมันยังเคลื่อนย้ายคนกลับไปยังอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ได้โดยตรงอีกด้วย สิ่งนี้จะใช่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายแบบสองทางหรือไม่นะ หวังเป่าเล่อรู้สึกฉงนเล็กน้อย สิ่งนี้แตกต่างจากดวงเนตรปีศาจที่ชายหนุ่มกำลังฝึกอย่างสิ้นเชิง แต่เขาก็ไม่ได้วิตกกังวล หวังเป่าเล่อเริ่มพูดคุยกับผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งที่ยืนอยู่ใกล้ๆ ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ชายหนุ่มจะต้องรู้เรื่องของราชวงศ์และดวงเนตรหมื่นปีศาจมากกว่านี้เสียก่อน

ทุกคนกำลังประสบกับความรู้สึกมากมายจากสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น สิ่งที่หวังเป่าเล่อถามก็ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด พวกเขาพากันสงสัยในความซื่อของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายเพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโสเมื่อไม่นานนี้ เหล่าผู้อาวุโสที่ขณะนี้กำลังเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ไม่ได้ใส่ใจเรื่องคำถามของหวังเป่าเล่อมากนัก จึงตอบออกมาทั้งหมดในเวลาไม่นาน

ราชวงศ์และสำนักใหญ่ทั้งสามแม้จะดูดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองกลุ่มนั้นล้ำลึกนัก!

ราชวงศ์ไม่ต้องการนิ่งเฉยและรอให้สำนักใหญ่ทั้งสามเติบโตขึ้นมาแทนที่ แต่พวกเขาก็ไม่อาจยึดอำนาจที่ได้แบ่งให้สำนักทั้งสามกลับคืน และไม่มีอำนาจที่จะตอบโต้ ราชวงศ์กำลังล้มลุกคลุกคลานจนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด สำนักใหญ่ทั้งสามต้องการล้มล้างราชวงศ์ แต่เพราะเหตุผลบางประการที่คนอื่นๆ ไม่รู้ พวกเขาจึงทำไม่ได้

เครื่องมือที่ราชวงศ์ใช้ในการอยู่รอดมาจนทุกวันนี้ คือสิ่งเดียวกับที่ทำให้สำนักทั้งสามไม่อาจล้มล้างราชวงศ์ได้ มันคือ…กระบวนเวทอันยิ่งใหญ่ทั้งสองที่เป็นสมบัติของราชวงศ์!

บรรดาผู้อาวุโสไม่รู้ว่ากระบวนเวทแรกคืออะไร พวกเขาเคยได้ยินเพียงตำนานความแข็งแกร่งและความน่าสะพรึงกลัวที่กระบวนเวทนี้สามารถก่อขึ้นในจิตใจของศัตรู แม้อีกฝ่ายจะอยู่ในระดับดาวพระเคราะห์ก็ตามที กระบวนเวทนี้มีเพียงเหล่าสมาชิกราชวงศ์เท่านั้นที่ฝึกได้ คนภายนอกจึงไม่อาจขโมยกระบวนเวทนี้มาเป็นของตนได้โดยง่าย

กระบวนเวทที่สองคือวิชาดวงตาหมื่นปีศาจ ราชวงศ์เป็นเจ้าของกระบวนเวทนี้ และมีเหตุบางประการที่ทำให้ความเป็นเจ้าของไม่อาจถูกถ่ายโอนออกไปจากตระกูลได้ มันดูเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับการมีสายเลือดราชวงศ์ แต่สิทธิ์ในการใช้งานนั้นเป็นอีกเรื่องโดยสิ้นเชิง บรรยากาศทางการเมืองปัจจุบันภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ทำให้ราชวงศ์ไม่อาจถือครองสิทธิ์ในการใช้งานกระบวนเวทลำพังได้ สำนักทั้งสามเองก็มีสิทธิ์ในการใช้กระบวนเวทนี้ได้เช่นกัน!

น่าสนใจดีนี่ แสงแปลกแปร่งปรากฏวาบในดวงตาของหวังเป่าเล่อเมื่อเขาได้ข้อมูลที่ต้องการ ชายหนุ่มคิดถึงการที่วิชาดวงเนตรปีศาจช่วยเพิ่มพูนพลังปราณของเขาเสียจนน่ากลัว และความคิดเรื่องการครอบครองกระบวนเวทของราชวงศ์ก็ผุดขึ้นมาในใจ

ข้าไม่จำเป็นต้องรีบออกจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แต่อย่างใด มีโอกาสไม่น้อยที่ราชวงศ์จะมี…วิชาดวงเนตรปีศาจขั้นต่อไปอยู่ในมือ!

บทที่ 745 ดวงเนตรสวรรค์! ดวงเนตรปีศาจ!
หวังเป่าเล่อเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง ตอนนั้นเองชายหนุ่มก็สังเกตเห็นว่า กลุ่มที่เข้าร่วมการปล้นร้อยละเจ็ดสิบเป็นศิษย์ที่หวังจะเก็บทรัพยากรมาเพื่อใช้เป็นการส่วนตัว!

ส่วนที่เหลือก็เป็นผู้ฝึกตนที่ไม่ได้ทำประโยชน์ให้สำนักสักเท่าใด ไม่ก็เป็นผู้ฝึกตนฝีมือดาษๆ ทั่วไป พวกเขาเป็นพวกที่สำนักไม่จำเป็นต้องเลี้ยงเอาไว้ การที่คนเหล่านี้ขึ้นมาอยู่ที่นี่ด้วยทำให้หวังเป่าเล่อค่อนข้างประหลาดใจ

แต่ชายหนุ่มก็กำลังจะออกจากที่นี่ในไม่ช้า เขาจึงไม่ใคร่ใส่ใจนัก ความสนใจของหวังเป่าเล่อทั้งหมดตอนนี้อยู่ที่การเตรียมตัวเมื่อจะต้องเร้นกายออกไป ชายหนุ่มต้องการหลีกเลี่ยงการถูกพบให้ได้มากที่สุด

เรือบินรบสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ออกเดินทางด้วยความเร็วอันน่าตื่นตะลึง เสียงของเครื่องยนต์ดังครั่นครืนอยู่ในอากาศขณะที่ตัวเรือบินพุ่งทะยานออกไปสู่ชั้นบรรยากาศ เรือบินรบลอยละล่องผ่านแนวอากาศออกไปราวกับมีเสียงอสูรน่าสะพรึงกลัวร้องคำรนตามหลังมาด้วย ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงก็ผ่านทะลุชั้นบรรยากาศอันหนาทึบขึ้นมาอยู่ในอวกาศ!

ดวงตาของหวังเป่าเล่อหรี่ลงเล็กน้อย ชายหนุ่มเห็นดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ลอยคว้างอยู่ในอวกาศ มีเรือบินรบนับร้อยลำของสำนักใหญ่ทั้งสามลอยอ้อยอิ่งอยู่รอบๆ แต่ละลำปล่อยรัศมีรุนแรงออกมา เรือบินรบเหล่านี้คือเรือบินที่ปิดกั้นทางเข้าออกของดวงดาวเอาไว้ ด้านหลังแนวเรือบินรบมี…ดาวหางขนาดมหึมาล่องลอยอยู่!

หากจะพูดให้ชัด สิ่งนั้นคือป้อมปราการที่หลอมขึ้นมาจากดาวหาง!

ป้อมปราการนั้นไม่ได้ลอยอยู่เองในอวกาศ หากแต่กำลังถูกแมงกะพรุนสีรุ้งขนาดยักษ์ลาก!

แมงกะพรุนส่องแสงเรืองรองและแผ่รัศมีพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ คลื่นพลังกระเพื่อมออกมาครอบคลุมบริเวณโดยรอบแมงกะพรุนเอาไว้สิ้น หากจ้องมองดูดีๆ ก็จะเห็นร่างร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในตัวแมงกะพรุนนั้น ร่างนั้นไม่มีพลังวิญญาณแผ่ออกมา แม้กระนั้น ร่างของเขาก็ยังส่งความสะพรึงกลัวเข้าไปจับจิตใจของใครๆ ที่ได้เห็น

เขาก็คือ…ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะนั่นเอง!

เรือบินรบที่ผ่านเข้าออกดวงดาวถูกแบ่งออกเป็นสองแนว พวกมันเหาะผ่านแมงกะพรุนสีรุ้งไปอย่างเป็นระเบียบ ขณะที่เรือบินรบเหาะผ่านไป แมงกะพรุนจะส่องลำแสงออกมากวาดผ่านเรือบินรบเหล่านั้น หากการตรวจสอบนั้นไม่พบสิ่งแปลกปลอม เรือบินรบก็จะผ่านไปได้ตามปกติ

ความวิตกกังวลของหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นทันทีที่ได้เห็นดังนั้น ชายหนุ่มจ้องมองภาพนั้นอย่างตั้งอกตั้งใจ ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนคลายลง

“ไม่เป็นไรหรอก!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง ก่อนจะลอบมองไปยังคนอื่นๆ รอบกาย แล้วจึงรู้ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่กังวล ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ดูไม่ต่างกัน ขนาดผู้อาวุโสสูงสุดยังเงียบขรึมเป็นพิเศษ

กริยาของคนเหล่านี้ไม่ได้มาจากความรู้สึกผิด หากแต่เป็นการตอบสนองตามธรรมชาติ เป็นความกลัวและความเคารพยำเกรงต่อพลังอันมหาศาลที่ออกมาจากร่างของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ

ความเงียบเข้าปกคลุมเรือบินรบสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ขณะที่มันต่อแถวเพื่อรอออกจากดวงดาว พวกเขาต้องเฝ้ารอถึงสองชั่วโมงกว่าที่จะได้รับการตรวจสอบ เรือบินรบเหาะเข้าไปใกล้แมงกะพรุนอย่างช้าๆ ขณะที่แสงสีรุ้งวาบผ่านเรือบินรบ หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ถึงตัวตนของวิญญาณอันทรงพลังที่เข้าล้อมรอบกายเขาเอาไว้

ราวกับว่าการป้องกันทั้งหมดทั้งในความคิดและกระเป๋าคลังเก็บของชายหนุ่มถูกปลดทิ้ง ทุกๆ ความคิดและสิ่งของทุกชิ้นต่างถูกเผยให้ตัวตนวิญญาณได้รับรู้

ตอนนั้นเอง กระบวนท่าสารัตถะของหวังเป่าเล่อก็เริ่มทำงานขึ้นมาอย่างน่าฉงน กระบวนท่านี้เป็นของขวัญจากศิษย์พี่ บุรุษผู้นี้เป็นราชันสวรรค์ลำดับแรกของตระกูลไม่รู้สิ้น ผู้ที่ตำนานกล่าวไว้ว่าเป็นคนสังหารจักพรรดิสวรรค์ กระบวนท่าสารัตถะสร้างร่างมายาที่สามารถหลอกตาตัวตนวิญญาณนั้นได้ ทำให้มันมองเห็นเพียงสิ่งที่หวังเป่าเล่อต้องการให้เห็นเท่านั้น

หวังเป่าเล่อเป็นผู้ฝึกตนที่ทรงพลัง แต่ก็ยังไม่บรรลุถึงขั้นเชื่อมวิญญาณ การล่อหลอกนี้ได้ผลเพียงเพราะผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะผู้นี้ตรวจสอบเพียงคร่าวๆ เท่านั้น หากการตรวจสอบละเอียดกว่านี้ หวังเป่าเล่อก็ไม่มั่นใจนักว่าเขาจะผ่านมาได้โดยไร้ปัญหา

การตรวจสอบใช้เวลาทั้งสิ้นราวๆ สิบกว่าวินาทีเท่านั้น จากนั้นพวกเขาก็ได้รับสัญญาณว่าให้ผ่านไปได้ เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังออกมาพร้อมๆ กัน ผู้อาวุโสสูงสุดขยับเรือบินรบออกห่างจากแมงกะพรุนอย่างช้าๆ เรือบินรบค่อยๆ เคลื่อนที่เร็วขึ้น และไม่นานนักมันก็เริ่มมุ่งหน้าออกสู่ห้วงอวกาศ!

ข้าต้องอดทนเอาไว้ เรายังอยู่ในระยะสัมผัสสวรรค์ของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ ยังมีภยันตรายซุกซ่อนอยู่ภายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ คงจะเป็นการดีที่สุดหากข้าลงมือเมื่อเราออกพ้นระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ไปแล้ว…หวังเป่าเล่อมีท่าทีเหมือนดังเคย แต่ในศีรษะขณะนี้กำลังหมุนวนกับการหาทางหนีทีไล่ ชายหนุ่มตัดสินใจปลอดภัยไว้ก่อน เขาจะรอให้เรือบินรบออกนอกระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์จึงค่อยหาทางหลบหนี

ประสาทอันเขม็งเกลียวของหวังเป่าเล่อค่อยผ่อนคลายลงเมื่อพวกเขาทิ้งดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ไว้เบื้องหลัง ชายหนุ่มคิดไปถึงสีหน้าของอาจารย์ปู่และต้วนมู่ฉีเมื่อเขาเดินทางกลับไปถึงสหพันธรัฐ ความคิดนั้นทำเอาเขาตัวสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น

ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะหยุดยั้งข้าจากการขึ้นเป็นผู้นำแห่งสหพันธรัฐได้! หวังเป่าเล่อคิดอย่างตื่นเต้นก่อนที่อะไรบางอย่างจะหันเหความสนใจของเขาไป เส้นทางที่เรือบินรบกำลังมุ่งหน้าไปนั้นผิดปกติ ตำแหน่งของดวงดาวผิดเพี้ยนไปจากที่ชายหนุ่มจำได้จากบนแผนที่ดวงดาว

เรือบินรบไม่ได้กำลังมุ่งหน้าออกจากระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ หากแต่กำลังเหาะตรงไปยัง…ดวงดาวที่อยู่ตรงจุดศูนย์กลางของระบบดาวเคราะห์!

การค้นพบนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อตะลึง และเขาก็ไม่ใช่คนเดียว ความตื่นตะลึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้อาวุโสและผู้ฝึกตนแทบทุกคนที่อยู่บนเรือบินรบ พวกเขาหันหน้าไปหาผู้อาวุโสสูงสุดที่กำลังกุมบังเหียนเรือบินรบอยู่ในขณะนี้

ผู้อาวุโสคนหนึ่งกำลังจะเปิดปากถามเมื่อผู้อาวุโสสูงสุดยกนิ้วมือประสานกันเป็นผนึกฝ่ามือ ก่อนจะซัดลงไปบนแผงควบคุมอย่างรุนแรง พลังปราณของเขาปะทุขึ้นมาจากร่าง ส่งให้เรือบินรบพุ่งทะยานออกไปด้วยความเร็วสูงสุด เสียงสนั่นครั่นครืนดังสะท้านขึ้นทั่วอวกาศเมื่อเรือบินรบพุ่งเข้าหาดารานิรันดร์ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง!

เรือบินรบตรงไปยังดารานิรันดร์อย่างรวดเร็ว!

เรือบินรบขณะนี้ดูราวกับว่ากำลังเดินทางด้วยความเร็วแสง มันทำให้แสงบิดเบี้ยวและหักเหขณะที่พุ่งทะยานผ่านอวกาศไป!

สีหน้าของหวังเป่าเล่อตื่นตระหนกถึงขีดสุด ประกายมืดดำปรากฏวาบขึ้นในดวงตา ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ เขาหรี่ตาลง เตรียมตัวที่จะต้องต่อสู้ฝ่าหนีออกไปจากเรือบินรบ ขณะที่มันเข้าใกล้ดารานิรันดร์ด้วยความเร็วสูง ทว่าในตอนนั้นเอง…นัยน์ตาของชายหนุ่มก็เบิกโพลง

วิชาดวงเนตรปีศาจที่หลับใหลอยู่ในกายเขา…ได้ตื่นขึ้นมาเองในวินาทีนั้น มันหมุนวนอย่างบ้าคลั่งและรุนแรงราวกับเป็นอสูรที่ดุร้าย ก่อนจะแผ่รัศมีแห่งความคลุ้มคลั่ง…และหิวโหยออกมา!

อากาศด้านหลังหวังเป่าเล่อเริ่มบิดเบี้ยว ดวงตาปีศาจค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมา หวังเป่าเล่อไม่ทันได้ตั้งตัว ชายหนุ่มรีบปิดผนึกดวงตาปีศาจเอาไว้ก่อนที่มันจะได้โผล่ออกมา แต่วิชาดวงเนตรปีศาจก็ยังหมุนวนอยู่ภายใน

เกิดอะไรขึ้นกับ ข้าถูกจับได้เช่นนั้นหรือ ลมหายใจของหวังเป่าเล่อขาดห้วงเพราะความตื่นตระหนกภายในใจ

เขาสัมผัสได้ถึงความหิวโหยของวิชาดวงเนตรปีศาจที่ทวีความรุนแรงขึ้นขณะที่เรือบินรบเข้าใกล้ดารานิรันดร์ ความหิวโหยนั้นเริ่มเข้าเกาะกุมหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในดารานิรันดร์…ที่กำลังเพรียกหาเขา

มันราวกับเป็นน้ำเสียงของมารดาที่เรียกหาบุตร เด็กน้อยที่หลงทางทุกคนย่อมต้องยอมโอนอ่อนต่อเสียงเรียกและกลับคืนสู่อ้อมอกของมารดา!

ข้าไม่ได้ถูกจับได้ นี่มันสิ่งอื่น…หวังเป่าเล่อคิดแล้วตัวสั่น ความคิดอันพิลึกพิลั่นก่อตัวขึ้นในใจ ในวินาทีเดียวกันนั้น…ดารานิรันดร์ขนาดใหญ่ยักษ์เกินบรรยายซึ่งอยู่ตรงหน้าเรือบินรบที่กำลังมุ่งตรงเข้าหาก็ส่งคลื่นเพลิงและพลังงานออกมาระลอกหนึ่ง!

มีรอยแยกร้าวเล็กปรากฏขึ้นบนดารานิรันดร์ ก่อนจะค่อยๆ ขยายกว้างขึ้นและลึกขึ้น ในชั่วเวลาไม่กี่วินาที รอยแยกนั้นก็ลามไปจนถึงอีกฟากของดารานิรันดร์ จากนั้น…รอยแยกนั้นก็เปิดขึ้นราวกับเป็นเปลือกตา!

จักรวาลสั่นสะท้านเลื่อนลั่น ผู้ฝึกตนบนเรือบินรบทุกคนต่างก็ได้ยินเสียงอื้ออึงในหัว พวกเขาจ้องมองไปยังดวงตาขนาดเท่าดารานิรันดร์…ด้วยความมึนงง!

รูม่านตาของดวงตาเป็นสีเทาไร้ดูเยือกเย็นซึ่งอารมณ์ขณะเปล่งรัศมีอันทรงพลังออกมา ราวกับเป็นเทพยดาที่มองลงมายังเหล่ามนุษย์ปุถุชน ดวงตานั้นมองลงมายังเรือบินรบที่เคลื่อนเข้าไปหา ซึ่งดูเล็กจ้อยราวกับเป็นมดปลวกเมื่อเทียบกัน

ทุกคนบนเรือบินรบต่างก็ตื่นตะลึงไปตามๆ กัน ไม่มีใครสังเกตเห็นร่างที่สั่นเทิ้มของหวังเป่าเล่อหรือดวงตาปีศาจที่ดิ้นขลุกขลักอยู่ภายในกายชายหนุ่ม วิชาดวงเนตรปีศาจขณะนี้ตื่นเต็มที่แล้วและกำลังดิ้นเร่าๆ อย่างรุนแรง แม้กระทั่งสิ่งนี้ก็ยังไม่เทียบเท่าความตกตะลึงที่หวังเป่าเล่อกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้!

ไม่มีทางที่ชายหนุ่มจะเย็นใจอยู่ได้ ดวงตาที่แปรสภาพมาจากดารานิรันดร์นั้น…ดูไปแล้วก็แทบจะเหมือนกับ…ดวงตาปีศาจซึ่งปรากฏขึ้นทุกคราที่เขาเรียกใช้วิชาดวงเนตรปีศาจเลยทีเดียว!

อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์…และวิชาดวงเนตรปีศาจ…หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นโครมครามอยู่ในอก ในอึดใจต่อมา เรือบินรบก็ถูกแรงดึงดูดของดารานิรันดร์ดึงให้เข้าไปหาอย่างรุนแรง มันเริ่มเบนหัวและเคลื่อนไปยังดารานิรันดร์อย่างรวดเร็ว!

บทที่ 744 ออกตัว!
หวังเป่าเล่อคาดหวังว่าจะมีความโกลาหลครั้งใหญ่ตามมาหลังจากการปล้นเรือบินรบของสำนักใหญ่ แต่ ชายหนุ่มก็ประมาทผลพวงจากการกระทำของเขาเกินไป เพราะอย่างไรเสีย เขาก็ไม่ใช่คนจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จริงๆ

ดาวเคราะห์ทั้งดวงวุ่นวายไม่หยุดหย่อนตลอดสามวันต่อมา มีการสืบสวนเกิดขึ้นรอบดาวภายใต้การนำของผู้ฝึกขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งหกของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ ผู้ฝึกตนจำนวนมากเข้ารื้อค้นแนวภูเขาที่ห้าถึงแปดอย่างรวดเร็ว สำนักที่มักสงบเสงี่ยมเมื่ออยู่ในอารยธรรมบ้านเกิด แต่จะปลดปล่อยความป่าเถื่อนออกมาเมื่อไปรุกรานอารยธรรมอื่น บรรดาผู้คนมือเปื้อนเลือดทั้งหลายต่างก็ถูกพายุบ้าคลั่งนี้กวาดรื้อจนสิ้น

ไม่สำคัญเลยว่าสำนักนั้นจะดูน่าสงสัยหรือไม่ สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำบุกเข้าไปในทุกสำนักและตรวจค้นโดยไม่ขออนุญาตก่อน ทั้งสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และสำนักผนึกผังดาวหกแฉกก็เห็นด้วยกับสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำและต่างกุลีกุจอพากันช่วยสืบสวนด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรักษาสถานะสำนักใหญ่ของพวกเขา และเพื่อป้องกันไม่ให้สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำพาลมาสงสัยสำนักใหญ่อีกสองแห่งโดยไม่จำเป็น!

ราชวงศ์เองยังออกกฤษฎีกาในวันที่สองและออกแถลงการประนามผู้ก่อการอย่างรุนแรง กฤษฎีกานั้นทำให้เรื่องนี้ไม่จบอยู่แค่ในดาวเอกอีกต่อไป ดาวทุกดวงในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ต่างก็ได้รับผลกระทบจากการปล้นด้วยกันทั้งสิ้น!

ทุกสำนักบนดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ถูกสอบสวนกันทั้งสิ้น แน่นอนว่า สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ไม่อาจจะหลุดรอดไปได้ พวกเขาถูกกลุ่มที่นำโดยผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณจากสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำตรวจค้นอย่างละเอียด สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ก็ยื่นมือเข้าช่วยในการตรวจค้นเช่นกัน

เรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ ที่แม้จะอยู่ระหว่างการซ่อมแซมและจอดอยู่ภายในเขตหวงห้ามก็ยังถูกรื้อค้นอย่างละเอียด กระเป๋าคลังเก็บทุกใบถูกเปิด และผู้ฝึกตนที่มีระดับปราณต่ำถูกค้นวิญญาณ ผู้อาวุโสเช่นหวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสสูงสุดไม่ถูกกระทำเช่นนั้นเพราะสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์คอยควบคุมอยู่ แต่พวกเขาก็ยังถูกตรวจสอบด้วยศิลาหยั่งรู้!

การตรวจสอบด้วยศิลาหยั่งรู้นั้นไม่ลึกซึ้งเท่าการถูกค้นวิญญาณ แต่หากระดับพลังปราณของผู้ถูกตรวจสอบไม่ได้สูงกว่าผู้ถือศิลา คำโกหกใดๆ ที่กล่าวออกมาจะถูกจับได้ทั้งสิ้น แม้ว่าระดับปราณของหวังเป่าเล่อจะอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ แต่วิญญาณจุติดวงดาราของเขาก็แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง อีกทั้งเขายังมีกระบวนท่าสารัตถะด้วย ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้เปิดเผยอะไรออกมาระหว่างที่ถูกตรวจสอบ

พวกเขาไม่พบอะไรระหว่างการรื้อค้นกระเป๋าคลังเก็บของหวังเป่าเล่อเช่นกัน เพราะชายหนุ่มเก็บหลักฐานทุกอย่างไว้กับร่างจริงของเขา จิตเชื่อมโยงที่ร่างอวตารมีต่อร่างจริงทำให้เขาสามารถส่งของกลับไปกลับมาระหว่างสองร่างได้อย่างอิสระ แน่นอนว่าต่อให้เขาถูกจับค้นวิญญาณ ชายหนุ่มก็ไม่กังวลแม้แต่น้อย ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ส่งผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะมา หวังเป่าเล่อก็มั่นใจว่าจะผ่านการทดสอบแน่นอน

สามวันผ่านไป การปล้นและการสืบสวนที่ก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั้งอารยธรรมก็ยังไม่มีข้อสรุปใดๆ ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งหกต่างก็ร้อนรนไปด้วยความวิตกกังวล พวกเขาตัดสินใจจะค้นวิญญาณผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณและขั้นเชื่อมวิญญาณ และตอนนั้นเองพวกเขาก็พบอะไรบางอย่าง!

สำนักหลอมวารีมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล้น!

สำนักพันวิญญาณก็เช่นกัน!

เบาะแสเหล่านั้นเป็นดั่งน้ำเย็นที่หล่อเลี้ยงวันอันร้อนระอุ ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งหกจากสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำกระโจนเข้าใส่เบาะแสราวกับมันเป็นทุ่นลอยท่ามกลางสายน้ำเชี่ยว พวกเขาบุกเข้าไปในสำนักทั้งสองก่อนจะรื้อค้นอย่างไม่ลดละ ความลับถูกเปิดโปงออกมาสู่โลก สำนักทั้งสองร่วมมือกันและวางแผนการปล้นที่มุ่งเป้าไปยังเรือบินรบของสำนักที่อยู่ในแนวภูเขาที่หก

ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งหกถึงกับเงียบงันเมื่อค้นพบเรื่องนี้ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาพูดคุยเรื่องอะไรกันระหว่างที่ลอบไปเจรจากันเอง แต่ในวันที่สามและเป็นวันสุดท้ายของเส้นตาย ก็มีข่าวใหญ่แพร่กระจายออกไป ข่าวนั้นเผยว่าสำนักหลอมวารีและสำนักพันวิญญาณเป็นตัวการอยู่เบื้องหลังการปล้นต่อเนื่องที่เกิดขึ้น แถมยังกล่าวอีกว่าสำนักทั้งสองเสียสติไปแล้วจึงได้ปล้นเรือบินรบของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ! ข่าวนั้นแพร่ไปไกลราวกับไฟลามทุ่ง

คงไม่มีใครเชื่อข่าวนั้นได้ลง ทุกคนอาจจะเชื่อในส่วนแรก แต่ไม่มีใครเชื่อส่วนที่สองแน่นอน สำนักหลอมวารีและสำนักพันวิญญาณคงต้องเสียสติไปจริงๆ หากตัดสินใจปล้นสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ แต่หลักฐานที่ปล่อยออกมาบ่งชี้ว่าทั้งสองสำนักมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล้นหลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมา

สำนักทั้งหลายของดาวเอกดวงเนตรสวรรค์เงียบกริบเมื่อได้ยินข่าวดังกล่าว จากนั้นไม่นาน พวกเขาก็พากันแสดงความโกรธเกรี้ยวออกมาอย่างปุบปับ ไม่ใช่เรื่องสำคัญว่าที่จริงแล้วพวกเขาโกรธจริงหรือแค่เสแสร้งแกล้งทำ แต่ทุกคนก็ต่างพยายามส่งเสียงของตัวเองออกมาให้คนอื่นได้ยิน

ราชวงศ์ก็ปล่อยกฤษฎีกาออกมาอีกหนึ่งฉบับในวันเดียวกันนั้น ซึ่งเป็นการสนับสนุนข่าวที่เพิ่งจะปล่อยออกมา หลังจากที่เงียบอยู่พักใหญ่ สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำก็ออกประกาศผลการสืบสวนของตนเอง ความยุ่งเหยิงที่ทำเอาทั้งอารยธรรมวุ่นวายมาหลายวันก็จบลงในที่สุด!

สำนักหลอมวารีและสำนักพันวิญญาณไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะปกป้องตัวเองได้ พวกเขาถูกกระทำเหมือนเป็นสิ่งของและถูกส่งไปให้สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเป็นค่าชดเชย ทรัพยากรส่วนมากของทั้งสองสำนักก็ถูกส่งมอบให้สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเช่นกัน

ทรัพยากรที่เหลือ เช่นสิ่งก่อสร้างของสำนักและพื้นที่ถูกประมูลขายออกไป ผลกำไรที่ได้มานำไปจ่ายชดเชยให้สำนักอื่นๆ ที่ถูกปล้น ถือเป็นจุดจบของเรื่องวุ่นวายทั้งหมด สุดท้ายแล้ว สถานการณ์การเมืองในแนวภูเขาที่ห้าก็แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

แม้ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างสงบสุข แต่หลายคนก็ยังรู้สึกว่ามีบางสิ่งแปลกๆ เกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกคนรู้ดีว่าสำนักหลอมวารีและสำนักพันวิญญาณเป็นแพะรับบาป แม้ว่าพวกเขาจะมีส่วนผิดอยู่บ้าง เพราะอย่างไรก็มีส่วนในการปล้นหลายต่อหลายครั้ง

แน่นอนว่า ตัวแปรสำคัญในการตัดสินเรื่องทั้งหมดนี้คือราชวงศ์…

หากปราศจากกฤษฎีกาทั้งสองฉบับ เรื่องก็คงไม่จบลงง่ายดายเพียงนี้ สิ่งที่ความวุ่นวายในครั้งนี้ขับเน้นให้ชัดเจนขึ้นมาคือการปะทะกันเล็กๆ ระหว่างราชวงศ์กับสำนักใหญ่ทั้งสาม!

แม้จะไม่มีการแทรกแซงจากราชวงศ์เพื่อคลี่คลายเรื่องนี้ หวังเป่าเล่อก็ไม่กังวลแม้แต่น้อย ชายหนุ่มสามารถขโมยตัวตนของใครอื่นได้ เพียงเท่านั้นปัญหาทั้งหมดของเขาก็จะแก้ได้อย่างง่ายดาย หวังเป่าเล่อได้เลือกเป้าหมายถัดไปเอาไว้แล้วด้วยซ้ำ และหากสิ่งนั้นไม่ได้ผลเขาก็ยังมีไพ่ตายอยู่ นั่นคือการกลับไปยังโลงศพ โลงศพนั้นทรงพลังเสียจนต่อให้มีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะออกค้นหาเขาก็ไม่หวั่น

อันที่จริงแล้ว แม้การแทรกแซงของราชวงศ์จะดูเหมือนช่วยคลี่คลายปัญหาลงได้ แต่แท้จริงกลับทำให้ปัญหาซับซ้อนขึ้นไปอีก

สำนักใหญ่ทั้งสามปิดเขตแดนอวกาศรอบดาวเอกดวงเนตรสวรรค์เอาไว้ทั้งหมด เรือบินรบทุกลำที่ผ่านเข้าออกถูกตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน ดูเหมือนพวกเขายังคงควานหาตัวคนร้ายตัวจริงต่อไป ทั้งยังเป็นการส่งคำเตือนไปให้ราชวงศ์ในคราวเดียวกัน

ช่างน่าปวดหัวเสียจริง…หวังเป่าเล่อถอนใจพลางละสายตาออกจากพระจันทร์สีซีด ชายหนุ่มไม่ได้กังวลเรื่องการหลอมเรือบินรบของตนแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้วัตถุดิบที่ต้องการมีครบหมดแล้ว ขณะนี้เขาแค่ต้องประกอบพวกมันเข้าด้วยกันเท่านั้น แต่ตอนนี้ดาวเคราะห์กำลังตื่นตัวสุดขีด และบรรยากาศก็ยังอ่อนไหวเป็นอย่างยิ่ง หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่ครู่ใหญ่ หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจเปลี่ยนสถานที่หลอมเรือบินรบของเขา ขณะนี้ชายหนุ่มกำลังครุ่นคิดอย่างหนักถึงวิธีที่จะออกจากดาวเคราะห์นี้ไปให้ได้

การจะออกจากดาวโดยไม่เป็นจุดสนใจต้องยากมากแน่ๆ หวังเป่าเล่อทอดถอนใจอีกครั้ง การลอบสังเกตของเขาเองและคำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ต่างก็ชี้ไปในทางเดียวกัน นั่นคือการปิดล้อมดาวเคราะห์ครั้งนี้รัดกุมยิ่ง สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำทำกระทั่งส่งผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะกลับมายังดาวเอกเพื่อการนี้เลยทีเดียว!

ผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะยืนเฝ้ายามอยู่ในอวกาศ ตัวตนของเขาช่วยเสริมการปิดกั้นดวงดาวรวมถึงกระตุ้นความกลัวและความยำเกรงของสำนักต่างๆ หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถหลบหนีออกจากดาวได้โดยที่ไม่ตกเป็นเป้าของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะคนนี้

นอกเสียจากว่า…หลังจากที่นิ่งเงียบไปนาน สายตาของหวังเป่าเล่อก็หันไปจับจ้องเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ มันได้รับการซ่อมแซมจนเกือบสำเร็จเรียบร้อย และน่าจะสมบูรณ์ในไม่ช้านี้ ชายหนุ่มนั่งครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นประกายแสงก็สะท้อนวาบขึ้นมาในดวงตาของเขา วันต่อๆ มาหวังเป่าเล่อก็เลิกคิดที่จะหนี ชายหนุ่มหันมามุ่งมั่นตั้งใจช่วยเหลือผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในสำนักซ่อมแซมเรือบินรบช่วงสุดท้าย

วันเวลาผ่านไป จนสองเดือนถัดมา…การปิดกั้นดวงดาวยังคงอยู่ แต่เรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ที่ซ่อมแซมมานานปีก็เสร็จสมบูรณ์หลังจากหมดทรัพยากรไปมากมาย!

หลังการซ่อมแซมเสร็จสมบูรณ์หนึ่งวัน ผู้อาวุโสสูงสุดก็เรียกทุกคนมารวมกันเพื่อออกคำสั่ง!

“จงกลับไปเตรียมตัว ในเวลาหนึ่งสัปดาห์…เราจะออกเดินทางไปยังระบบดาวเคราะห์ต่างดาว และออกล่าทรัพยากรกันอีกครั้งหนึ่ง!”

นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อลุกโชนเมื่อได้ยินเช่นนั้น ผู้อาวุโสคนอื่นๆ ก็ตื่นเต้นพอๆ กัน สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ลำบากกันมาทั้งปี บรรดาศิษย์ทุกคนต้องอยู่กันอย่างอดอยาก ทำได้เพียงเฝ้ามองสำนักใช้ทรัพยากรทั้งหมดไป และคอยเฝ้ารอให้ถึงวันที่จะได้ออกล่าเสียที

คำสั่งนั้นได้รับการตอบรับอย่างกระตือรือร้นจากหวังเป่าเล่อและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ทั้งสำนักต่างก็เต็มตื้นไปด้วยความตื่นเต้นยินดีเมื่อข่าวดีนี้แพร่กระจายออกไป หวังเป่าเล่อเฝ้ารอโอกาสนี้มานานแล้ว!

ชายหนุ่มวิเคราะห์สถานการณ์เอาไว้เรียบร้อย ตอนนี้ดาวทั้งดวงอยู่ภายใต้การปิดกั้นควบคุมแน่นหนา โดยมีผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะเฝ้ามองการเข้าออกของเรือบินรบตาไม่กะพริบ เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะออกจากดาวเคราะห์นี้ได้โดยไม่ถูกพบ หวังเป่าเล่อต้องการเหตุผลที่สมควรและและวิธีการที่จะออกไป ไม่มีเหตุผลอื่นใดเหมาะไปกว่าการที่สำนักจะเดินทางไปปล้นสะดมตามปกติแล้ว

เขาไม่ได้เลือกจะย้ายไปสวามิพักตร์สำนักอื่นเช่นกัน หลังจากที่วิเคราะห์สถานการณ์แล้ว หวังเป่าเล่อก็รู้ว่าตอนนี้การอยู่เฉยๆ นั้นดีกว่าการเคลื่อนที่ไปมา นอกจากนั้น ชายหนุ่มก็เริ่มคุ้นเคยกับสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์แล้ว การใช้สำนักเป็นข้ออ้างในการออกจากดาวเคราะห์น่าจะเป็นทางออกที่ปลอดภัยที่สุด

หลังจากที่หลุดออกจากขอบเขตสัมผัสสวรรค์ของผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะ ข้าก็จะแยกตัวออกไปทันที ข้าจะไปหาที่หลอมเรือบินรบ จากนั้น…ก็มุ่งหน้ากลับสหพันธรัฐ เพื่อขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐเสียที!

เจ็ดวันต่อมา หวังเป่าเล่อก็ก้าวขึ้นเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์พร้อมฝูงศิษย์ ผู้อาวุโสคนอื่นๆ รวมถึงผู้อาวุโสสูงสุด ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความสั่นไหวเมื่อเรือบินรบปล่อยพลังออกมา เมื่อยืนอยู่บนเรือบินรบและเพ่งมองออกไปยังโลกภายนอกผ่านหน้าต่าง หวังเป่าเล่อก็เต็มตื้นไปด้วยความกังวลและความตื่นเต้น!

ข้าจะได้กลับบ้านสักที!

บทที่ 743 พวกเขาไม่ใช่คนในตระกูล ข้าไม่สนใจหรอก
สามสำนักอันยิ่งใหญ่ยึดครองอำนาจสูงสุดในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ พวกเขามีอิทธิพลที่จะชักจูงและควบคุมราชวงศ์ดวงเนตรสวรรค์ได้ประมาณหนึ่ง สำนักทั้งสามเหล่านี้ได้แก่ สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ สำนักผนึกผังดาวหกแฉก และสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ!

สำนักชั้นสูงทั้งสามมีอำนาจมากและมีอิทธิพลแพร่หลาย และยังถูกมองว่าเป็นผู้นำของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ตัวสำนักใหญ่ของทั้งสามนั้นสร้างแยกกันอยู่บนดวงดาวคนละดวง และยังมีสำนักสาขาที่ตั้งอยู่บนดาวเอกของดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์อีกด้วย สำนักต่างๆ ที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตแนวภูเขาที่สอง สาม และสี่ ต่างก็อยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักใหญ่ทั้งสามนี้

ผู้ฝึกตนจากสามสำนักใหญ่ที่อยู่เฝ้าดาวเอกอาจไม่ได้แข็งแกร่งที่สุด แต่หน้าที่ของพวกเขาก็สำคัญเป็นอย่างยิ่ง ความสำคัญของการมีสำนักสาขาอยู่บนดาวเอกนั้นไม่น้อยเลย และนี่ก็เป็นสาเหตุว่าเหตุใดจึงมักมีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นปลายคอยรักษาที่มั่นอยู่ ณ สำนักสาขาบนดาวเอกอยู่เสมอ

ตัวสำนักใหญ่จะส่งทรัพยากรไปยังสำนักสาขาบนดาวเอกทุกๆ เดือน ตามข้อตกลงระหว่างสามสำนักใหญ่และราชวงศ์แล้ว ทรัพยากรส่วนหนึ่งจะต้องถูกส่งไปให้ราชวงศ์ด้วย ส่วนที่เหลือจึงจะถูกปล่อยไปยังสำนักสาขาเพื่อให้สมาชิกของสำนักใช้ในการฝึกตนต่อไป

สำนักใหญ่ทั้งสามมีทรัพยากรในมือมากมาย ส่งผลให้บรรดาศิษย์พากันหมดเปลืองทรัพยากรปริมาณมากไปกับทั้งการฝึกตนและในชีวิตประจำวัน ซึ่งเกินหน้าศิษย์ธรรมดาๆ ของสำนักที่เล็กกว่ามากมายนัก ทรัพยากรที่สำนักใหญ่ส่งกลับมายังดาวเอกมีมูลค่าสูงยิ่ง มากพอที่จะทำให้สำนักอื่นๆ ในแนวภูเขาที่ห้านัยน์ตาลุกวาวด้วยความอิจฉา

แต่ไม่ว่าจะอิจฉาสักเพียงใด ก็ไม่มีใครกล้าลงมือทำการอะไรที่จะเสี่ยงยั่วโมโหสำนักใหญ่ทั้งสาม สำนักใหญ่ทั้งสามย่ามใจถึงขนาดที่ไม่ได้ติดตั้งระบบป้องกันมากมายเอาไว้บนเรือบินรบ พวกเขาปล่อยให้เรือบินรบล่องลอยไปมาอยู่ภายในระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์มานานนับปี แค่สัญลักษณ์ของสำนักที่ประทับอยู่ข้างเรือบินรบก็ถือเป็นการป้องกันที่แน่นหนาเพียงพอ

ณ เวลานี้เรือบินรบขนาดยาวหลายร้อยเมตรลำหนึ่งกำลังเดินทางอยู่ในอวกาศ รัศมีที่แผ่ออกมาจากเรือบินรบนั้นทรงอำนาจยิ่ง ขณะที่กำลังมุ่งตรงไปยังดาวเอกดวงเนตรสวรรค์ เรือบินรบอื่นๆ ที่ขวางทางอยู่ถึงกับต้องหลีกถอยหนี ไม่มีลำใดกล้าขวางทางเรือบินรบลำยักษ์เลยสักลำ

เรือบินรบลำนั้นมีสีม่วงเข้มและรูปร่างละม้ายคล้ายปลาคุนนกเผิง ปลายสุดของเรือบินรบมีมณีขนาดมหึมาที่ส่องแสงสีม่วงกล้าและเปล่งรัศมีอันทรงพลังออกมาพร้อมๆ กัน

มณีขนาดยักษ์และสีของเรือบินรบทำให้ผู้ฝึกตนทุกคนเพียงมองปราดเดียวก็รู้ทันทีว่าเรือบินรบนี้เป็นของสมบัติของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ!

ตัวถังที่รูปร่างเหมือนปลาคุนนกเผิงของเรือบินรบลำนี้แสดงให้เห็นว่ามันเป็นสมบัติของกองทหารปลาคุนนกเผิง หนึ่งในกองทหารเก้าอสูรศักดิ์สิทธิ์ของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำนั่นเอง!

กองทหารปลาคุนนกเผิงไม่ใช่กองทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำ ถึงกระนั้น พลังอำนาจการรบของกองทหารนี้ก็ยังแข็งแกร่งมากพอที่จะทำให้ผู้คนหวาดกลัวและยำเกรง ผู้บัญชาการของกองทหารนี้อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์และยังมีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่แข็งแกร่งอยู่ใต้บังคับบัญชาอีกนับสิบ กองทหารนี้เลื่องชื่อลือชาในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เป็นอย่างยิ่ง แถมการรุกรานอย่างดุเดือดของพวกเขายังทำให้ชื่อเสียงก้องไกลไปถึงอารยธรรมต่างดาวอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้…แม้ว่าเรือบินรบจะเดินทางอย่างโดดเดี่ยวในฐานะเรือขนส่งสินค้าโดยไม่มีเรือบินรบอื่นๆ คอยนำทาง แต่ก็ยังส่งความน่าเกรงขามออกไปยังผู้ฝึกตนและเรือบินรบที่อยู่ใกล้เคียงอยู่ดี

เรือบินรบที่รายล้อมอยู่ต่างก็เคลื่อนที่แหวกเป็นทางให้เรือบินรบของกองทหารปลาคุนนกเผิง มันเคลื่อนตัวตรงเข้ามาราวกับเป็นเชื้อพระวงศ์ที่เดินผ่านประชาชนทั่วไป มุ่งหน้าไปยังดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ผ่านเส้นทางที่ปลอดโปร่ง ไม่ได้ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย เรือบินรบของกองทหารปลาคุนนกเผิงพุ่งทะลุชั้นบรรยากาศและมุ่งหน้าไปยังแนวภูเขาที่สามทันที

เป็นไปได้ว่าเพราะพวกเขาไม่มีศัตรูมาเป็นเวลานาน จึงมั่นใจเกินควรและประมาทเลินเล่อ ทั้งเรือบินรบและผู้ฝึกตนภายในจึงไม่มีใครสัมผัสได้ถึงตัวตนของควันสีดำที่ลอยเข้ามาประชิดตัวทันทีที่ทะลุผ่านชั้นบรรยากาศลงมา ควันสีดำมุ่งตรงไปยังเรือบินรบและมาปรากฏอยู่ด้านข้างในชั่วอึดใจ ก่อนที่เรือบินรบจะได้ส่งสัญญาณเตือน ควันสีดำ หรือก็คือหวังเป่าเล่อที่พรางตัวอยู่ ก็พุ่งเข้าใส่เรือบินรบราวกับเป็นคนหื่นกามที่เห็นสาวงามกระนั้น

ไม่กี่วินาทีต่อมา เรือบินรบก็เบนเข็มออกจากเส้นทางเดิม มุ่งหน้าไปยังแนวภูเขาที่แปดแทน

ชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์เป็นคลื่นรบกวนตามธรรมชาติที่ส่งผลต่อระบบสื่อสารของเรือบินรบ เพราะเหตุนั้น ผู้ฝึกตนบนเรือบินรบจึงไม่อาจติดต่อสำนักได้ว่าเรือบินรบกำลังเบนเข็มออกนอกเส้นทาง ครึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อเรือบินรบที่ขนทรัพยากรทั้งเดือนของสำนักยังไม่ไปถึงสำนัก บรรดาผู้ฝึกตนที่เฝ้ารออยู่จึงสัมผัสได้ว่าอาจจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล

แต่ถึงกระนั้น สำนักก็ยังไม่ได้ใส่ใจกับการล่าช้ามากนัก ความหยิ่งยโสของการเป็นสำนักชั้นสูงซึ่งถูกปลูกฝังลงไปในจิตใจของศิษย์ทุกคน ทำให้พวกเขาไม่แม้แต่จะฉุกคิดว่าอาจเกิดเหตุร้ายขึ้นกับเรือบินรบส่งของ

ภัยคุกคามเดียวที่สำนักใหญ่ทั้งสามหวั่นเกรงก็คือพวกเขากันเอง ความตึงเครียดระหว่างพวกเขาเห็นได้ชัดในการประกวดประขันที่มีต่อกันอยู่ตลอด ทั้งสามสำนักต่างจึงไม่กล้าปล้นชิงกันเองนัก

เป็นเหตุให้…ต้องใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงกว่าที่สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำซึ่งไม่เห็นเรือบินรบมาถึงเสียทีจะรู้ตัวว่าเกิดปัญหาขึ้นแล้ว แม้จะรู้ตัวช้า แต่เมื่อรู้ตัวแล้วพวกเขาก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว ภายในสามสิบวินาที ทั้งสำนักก็ลุกฮือขึ้นทันที เรือบินรบกว่าสามสิบลำพุ่งทะยานขึ้นจากแนวภูเขาที่สามเพื่อไปตามหาเรือบินรบที่หายไปทันที ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณหกคนเคลื่อนย้ายออกไปอย่างฉับพลัน ขณะที่ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณนับร้อยและขั้นกำเนิดแก่นในอีกมหาศาลตามหลังไปติดๆ

เป็นภาพที่สั่นสะเทือนไปทั้งดวงดาว ทุกสำนักต่างก็คาดเดาถึงสิ่งที่เกิดขึ้น สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำค้นหาอย่างใหญ่โตก่อนจะพบเรือบินรบที่หายไปอยู่ในบริเวณแนวภูเขาที่แปด!

สานุศิษย์ทุกคนของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำถึงกับตาเบิกโพลงปากอ้าค้างเมื่อมองเห็นสภาพของเรือบินรบลำนั้น สายตาของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เรือบินรบนั้นเปลี่ยนไปจนแทบจำไม่ได้

เรือบินรบ…แทบไม่เหลือเค้าเดิม ผู้ฝึกตนที่อยู่บนเรือไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่ต่างก็สลบไสลไม่ได้สติเพราะถูกโจมตีทางวิญญาณ กลับกัน เรือบินรบนั้น…แทบไม่มีถ้อยคำมาบรรยายสภาพได้ถูก

มณีบนยอดเรือบินรบหายไป หลงเหลือไว้เพียงรูขนาดใหญ่ วัตถุเวทบนส่วนหลักของเรือบินรบถูกถอดออกและขโมยไป ตัวถังเรือบินรบก็ถูกถอดส่วนที่มีค่าไปเสียหมด พื้นผิวของเรือบินรบราวร้อยละสามสิบหายสาบสูญ…

ภาพนั้นช่างบาดตาบาดใจ ทำเอาผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่ได้มาเห็นพากันตะลึงงันไปเสียสิ้น ผู้อาวุโสที่กุมอำนาจสำนักสาขาบนดาวเอกอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นสมบูรณ์ ชายชราถึงกับต้องออกจากการถือสันโดษและมาที่หุบเขาด้วยตนเอง

ผู้อาวุโสผู้นี้มีผมหงอกขาวและหลังงองุ้ม เขาดูแก่ชรายิ่งนัก ความตายฉาบเคลือบอยู่บนดวงตาสีเทาขุ่น เขาดูเหมือนเพิ่งคลานออกมาจากหลุมฝังศพของตนเองกระนั้น แต่ทันทีที่ชายชราที่ดูทั้งแก่และเหนื่อยอ่อนมาถึงหุบเขา พืชพรรณทั้งหลายในบริเวณก็เหี่ยวเฉาลงไปทันตา!

ผู้อาวุโสจ้องมองไปยังซากเรือบินรบ ขณะที่ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ หลุบศีรษะลงต่ำ ชายชราหัวเราะออกมาเบาๆ

“เรื่องนี้เป็นผลมาจากความเลินเล่อของพวกเจ้า หรือมีใครสักคนอยากทดสอบว่าข้าทั้งแก่และอ่อนแออย่างตาเห็นจริงหรือไม่กันแน่” ขณะที่เขาพูด ชายชราก็ยกมือที่เหี่ยวย่นออกมาคว้าผู้ฝึกตนที่หมดสตินับสิบภายในเรือบินรบเอาไว้ ก่อนที่พวกเขาจะทันตื่นขึ้น ร่างกายของพวกเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรงก่อนที่จะแห้งเหี่ยวไปในพริบตา ทั้งเลือดและเนื้อรวมไปถึงวิญญาณ ต่างก็หลุดลอยออกมาจากร่างและมุ่งเข้าไปหาผู้อาวุโส ก่อนที่ฝ่ายหลังจะสูดหายใจกลืนกินเข้าไปทั้งหมดในคราเดียว!

ชายชราเริ่มเคี้ยวช้าๆ ก่อนจะหลับตาลง ดูราวกับว่าเอร็ดอร่อยกับสิ่งที่เพิ่งกินเข้าไปขณะใช้คาถาค้นวิญญาณรูปแบบหนึ่งไปพร้อมๆ กัน ผู้ฝึกตนที่รายล้อมอยู่ตัวสั่นด้วยความกลัวพลางจ้องมองตาไม่กะพริบ พวกเขารู้นิสัยของผู้อาวุโสที่อยู่บนดาวหลักของดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์เป็นอย่างดี ความบ้าคลั่งและกระหายเลือดของเขาเป็นที่รู้กันไปทั่วทั้งอารยธรรมนี้!

ผ่านไปอึดใจใหญ่กว่าที่ผู้อาวุโสจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความกระหายเลือดสะท้อนกล้าอยู่ภายใน ชายชราพูดอย่างเย็นชา “หลายปีมาแล้วที่ไม่มีใครกล้าท้าทายสำนักใหญ่ ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าเริ่มสืบสวนได้ ให้เวลาสามวันจงไขคดีให้ได้ หากทำไม่ได้ ข้าจะเริ่มกินพวกเจ้าวันละคน” เมื่อพูดจบ ผู้อาวุโสก็หันหลังกลับและอันตรธานไป

ร่างของชายชราหายไปแล้ว แต่ถ้อยคำของเขายังสะท้อนอยู่ในหูของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นทั้งหก สีหน้าของพวกเขาซีดเซียวลงถนัดตา ลมหายใจหอบถี่ ก่อนจ้องมองกันไปมาด้วยดวงตาแดงก่ำ พวกเขาไม่รอช้า รีบส่งคำสั่งออกไปยังผู้ฝึกตนในฝ่ายของตนให้เริ่มค้นหาเต็มที่ทันที

“ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ต้องทำ พวกเจ้ามีเวลาสามวัน หาเจ้าโจรชั่วให้พบ!”

ขณะที่ผู้ฝึกตนทั้งหกของสำนักเต๋าใหม่ครามทองคำเริ่มการค้นหาอย่างบ้าคลั่ง หวังเป่าเล่อก็กลับไปยังสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์อย่างปลอดภัย ชายหนุ่มนั่งอยู่ในห้อง ดวงตาเป็นประกาย

สำนักเต๋าใหม่ครามทองคำต้องรวยมากจริงๆ! พวกเขาใช้ศิลาสุญฉับพลันชิ้นเบ้อเริ่มในการแสดงอำนาจ!

ไหนจะวัตถุดิบที่ใช้หลอมเรือบินรบนั่นอีกเล่า ทองคำเพลิงม่วงเชียวนะ! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก ทรัพยากรที่เขาสั่งสมมาจากการปล้นชิงครั้งก่อนๆ นั้นเทียบกันไม่ได้เลยกับมูลค่าของเรือบินรบลำนี้ เขานึกย้อนกลับไปถึงการปล้นที่เพิ่งผ่านมาเพื่อยืนยันว่าตนไม่ได้ทิ้งหลักฐานใดๆ ที่จะมัดตัวเองเข้ากับความผิดได้ จากนั้นหวังเป่าเล่อจึงหรี่ตาลง มีประกายเย็นเยียบสะท้อนอยู่ด้านใน

อารยธรรมแห่งนี้ใช้เชื้อโรคร้ายทำลายชีวิตมนุษย์บนดาวเคราะห์ไปทั้งดาว เป็นอารยธรรมที่ดำรงอยู่ได้ด้วยการรุกรานและปล้นชิงอารยธรรมอื่นๆ หวังเป่าเล่อไม่รู้สึกเห็นอกเห็นใจอารยธรรมนี้แม้แต่น้อย ชายหนุ่มไม่สนใจด้วยซ้ำว่ามันจะดำรงอยู่ต่อไปหรือจะดับสูญ

พวกเขาไม่ใช่คนตระกูลข้า จะใส่ใจทำไมกัน ดูเหมือนจะมีปัญหาใหญ่มาเยือนดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์เสียแล้ว!

บทที่ 742 ถ้าไม่เล่นใหญ่ก็กลับบ้านไป!
ข้ามาแล้ว!

หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ก่อนจะยืนขึ้นและหายตัวไปจากห้องลับแล้วมาโผล่อยู่บนท้องฟ้าในอีกชั่วอึดใจ จากนั้นก็พุ่งขึ้นมาอยู่ในชั้นบรรยากาศด้วยการก้าวเพียงก้าวเดียว เขาแปรสภาพกลายเป็นจั่วอี้เซียนอีกครา

การปลอมตัวไม่ค่อยมีผลเท่าใดนักในการปล้นครั้งที่แล้ว แต่หวังเป่าเล่อก็จดจำอัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงได้ดี ชายหนุ่มจำได้ว่ามีประโยคหนึ่งสอนเรื่องการบ่มเพาะนิสัยที่ดีเพื่อเป็นการชดเชยให้กับข้อด้อยเรื่องบุคลิกภาพหรือความเคยตัวอื่นๆ

ยังมีอันตรายอีกมากในระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์แห่งนี้ที่อาจเอาชีวิตข้าไปได้…การแปรสภาพเป็นควันเป็นการป้องกันตัวชั้นแรก หากถูกจับได้ ข้าก็จะยังมีหน้าตาเหมือนจั่วอี้เซียน ซึ่งเป็นการป้องกันตัวชั้นที่สอง

หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นแตะหน้า พลางคิดว่าระวังตัวให้มากสักหน่อยคงไม่เสียหาย ตอนนี้เขาแปลงกายเป็นจั่วอี้เซียน จากนั้นจึงแปรสภาพเป็นควันสีดำอีกรอบ ก่อนจะเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว เพียงชั่วเสี้ยววินาทีก็มาปรากฏอยู่ที่ขอบบนของชั้นบรรยากาศ หวังเป่าเล่อซ่อนตัวอยู่ในตำแหน่งที่มิดชิด ชายหนุ่มจ้องมองออกไปในอวกาศและเฝ้าดูเรือบินรบลอยเข้าออกดวงดาวอยู่อย่างนั้น พร้อมปล่อยเจ้าลาออกมาด้วย

เพื่อเป็นการหยุดไม่ให้มันส่งเสียงร้อง หวังเป่าเล่อจึงโยนเศษเหล็กชิ้นหนึ่งที่เหลือจากเรือบินรบสำนักพันวิญญาณไปให้ ก่อนจะฉีกยิ้ม

“ไอ้ลูกชาย ขอเหมือนเดิมเลย!”

ลาดำกินเศษเหล็กหมดภายในไม่กี่คำ นัยน์ตาของมันส่องประกายกล้าขณะที่แลบลิ้นเลียริมฝีปาก ดูเหมือนเอร็ดอร่อยกับขนมและนึกถึงรสชาติของเศษเหล็กที่เพิ่งกินไปเมื่อเร็วๆ นี้ขึ้นมาได้ มันยกศีรษะขึ้นอย่างรื่นเริง และด้วยแรงผลักดันอยากกินอาหารจากภายใน เจ้าลาจึงจ้องไปที่บรรดาเรือบินรบที่ลอยผ่านหน้าอยู่ไปมา สายตาที่กำลังจับจ้องของมันนั้นเทียบเท่าได้กับสัมผัสสวรรค์ของผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งเลยทีเดียว

ช่างน่าเสียดายที่สมาชิกสำนักพันวิญญาณมีแต่พวกขี้ขลาด พวกเขาดันประกาศออกมาว่าจะงดการเดินทางข้ามอวกาศชั่วคราว ในเวลาเช่นนี้ ควรฉวยโอกาสวางกับดัก อัดเรือบินรบให้แน่นด้วยสมบัติเพื่อล่อให้ผู้ก่อการปรากฏตัวไม่ดีกว่าหรือ…หวังเป่าเล่อทอดถอนใจ ด้วยตำแหน่งผู้อาวุโสในสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ เขาจึงสามารถเข้าถึงข้อมูลการเคลื่อนไหวของสำนักพันวิญญาณได้ แม้ข้อมูลที่ได้รับมาจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็เพียงพอ ชายหนุ่มรู้ว่ากงซุนโหวสั่งให้หยุดการเดินทางออกจากระบบดาวเคราะห์เป็นการชั่วคราวจนสิ้นปี

สำนักพันวิญญาณคิดสิ่งใดอยู่กันแน่ หวังเป่าเล่อโคลงศีรษะ ชายหนุ่มกำลังจะคิดไตร่ตรองให้ลึกลงไปถึงจุดมุ่งหมายอันแท้จริงของสำนักพันวิญญาณ แต่เจ้าลาก็ตัวสั่นขึ้นมาเสียก่อน มันหันมาส่งเสียงใส่หวังเป่าเล่อ

ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น ก่อนจะหันศีรษะมองไปทางที่เจ้าลาชี้ นัยน์ตาของเขาเป็นประกายพลางเลียริมฝีปาก หลังจากนั้นพักใหญ่ หวังเป่าเล่อก็เก็บเจ้าลาไปและแปรสภาพเป็นควันสีดำจางหายไปในทันที

ไม่นานนักเรือบินรบของสำนักหลอมวารีที่เพิ่งจะกลับมาก็พุ่งเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ เสียงครั่นครืนที่เกิดจากการเดินทางสะท้อนก้องไปในอากาศ…

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสำนักพันวิญญาณส่งผลให้สำนักอื่นๆ ต่างพากันระแวดระวังอย่างหนัก พวกเขาตระเตรียมการเพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นเดียวกันเกิดขึ้นกับตนเอง แต่สำนักพันวิญญาณก็ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดของการถูกปล้นทั้งหมด ยิ่งไปกว่านั้น สำนักอื่นๆ ก็คิดไปว่าต้นเหตุของการถูกปล้นคือการที่สำนักถูกปล่อยข้อมูล พวกเขาต่างพากันคิดว่าเป็นการทรยศหักหลังกันเองภายใน ยิ่งไปกว่านั้น ในระยะเวลาสองเดือนที่ผ่านมาก็ยังไม่มีเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้เกิดขึ้น ดังนั้นทุกคนจึงเริ่มผ่อนคลายลงบ้างแล้ว

ไม่นานนักผู้ฝึกตนสำนักหลอมวารีในเรือบินรบก็ได้ยินเสียงน่าสะพรึงกลัวที่ผู้ฝึกตนบนเรือบินรบสำนักพันวิญญาณได้ยินมาก่อนหน้านี้

“ทุกคนหยุด นี่คือการปล้น!”

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักหลอมวารีรีบรุดนำคนของเขาไปยังหุบเขาห่างไกล พวกเขาก็ได้พบภาพเรือบินรบของสำนักที่เสียหายหนักและพุ่งชนหุบเขา บรรดาผู้ฝึกตนต่างก็โมโหเกรี้ยวกราดไปตามๆ กัน

เมื่อตรวจสอบก็พบว่า เรือบินรบเสียชิ้นส่วนไปกว่าครึ่ง แม้ว่าศิษย์บนเรือบินรบจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่สมบัติที่ปล้นชิงมาก็ถูกขโมยไปทั้งหมด ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักหลอมวารีที่เป็นสตรีโกรธเสียจนแทบจะกระอักเลือดออกมา

“ตรวจสอบเรื่องนี้! จะตั้งค่าหัวก็ได้ข้าไม่สน ข้าต้องการให้หาเจ้าโจรชั่วให้พบ แล้วข้าจะฉีกมันเป็นชิ้นๆ ด้วยมือนี้ทีเดียว!”

เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้นในสำนักหลอมวารี พวกเขาเป็นหนึ่งในสำนักที่ทรงอิทธิพลที่สุดในแนวภูเขาที่ห้า ทั้งชื่อเสียงและพลังอำนาจเทียบเคียงได้กับสำนักพันวิญญาณ มีศิษย์ในสำนักหลายหมื่นคน ไม่นานข่าวการควานหาตัวผู้ที่ปล้นสำนักจนแทบพลิกแผ่นดินก็แพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว

การปล้นสองครั้งเกิดขึ้นในระยะเวลาไม่กี่เดือน ข่าวการปล้นครั้งที่สองปะทุขึ้นในทันที ทุกสำนักต่างก็ตื่นตะลึงเมื่อได้ยิน!

การปล้นสำนักพันวิญญาณนั้นอาจถือได้ว่าเป็นเหตุที่เกิดขึ้นครั้งเดียว แต่ขณะนี้สำนักหลอมวารีก็ตกเป็นเหยื่อเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่สามารถโทษเรื่องหนอนบ่อนไส้ในสำนักได้อีกต่อไป ดูเหมือนว่าจะมีนักโจรกรรมต่อเนื่องอยู่ที่นี่เสียแล้ว!

อาชญากรที่มีคำว่า “ต่อเนื่อง” ห้อยท้ายย่อมต้องสร้างความโกลาหลขึ้นอย่างแน่นอน หลายสำนักในดาวเอกระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์จึงพากันระวังตัวแจทันที พวกเขารู้สึกถูกคุกคาม จึงเททรัพยากรทั้งหมดที่มีไปกับการปกป้องเรือบินรบของตน

ในขณะที่สำนักต่างๆ พากันแตกตื่น ศิษย์สำนักพันวิญญาณก็ต่างพากันหัวร่องอหาย โดยเฉพาะกงซุนโหวที่หัวเราะเสียงดังลั่นอยู่คนเดียว เขาไม่ได้ปล่อยข้อมูลการปล้นเรือบินรบของสำนักออกไปทั้งหมดเพื่อรักษาชื่อเสียงที่ยังเหลืออยู่เอาไว้ ทั้งยังย้อนรอยการปล้นอย่างละเอียดและพยายามจำลองมันขึ้นมาใหม่ด้วย ผลที่ได้คือกงซุนโหวตระหนักได้ว่ากำลังต่อกรกับคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากยิ่ง และไม่คิดปล่อยข้อมูลนี้ออกไป ยิ่งไปกว่านั้น เขาเองก็เฝ้ารอที่จะ…ได้เห็นสำนักอื่นต้องอับอายเช่นเดียวกัน!

“พวกเขาเยาะเย้ยว่าพวกเราสำนักพันวิญญาณเป็นโจรสลัดจักรวาลที่ดันถูกปล้นเสียเองไม่ใช่หรือ สำนักหลอมวารีเองก็ดูจะมีความสุขไม่น้อยที่ได้ล้อเลียนพวกเรา แล้วตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า”

สำนักพันวิญญาณยังคงล้อเลียนความสูญเสียของสำนักอื่นด้วยความปรีดิ์เปรม การสืบสวนของสำนักหลอมวารีดำเนินไปกว่าสองสัปดาห์ แต่ก็ไม่มีวี่แววเบาะแสแม้ว่าพวกเขาจะตั้งรางวัลเอาไว้สูงลิบก็ตาม เมื่อนั้นเอง การปล้นครั้งที่สามก็เกิดขึ้น ทำเอาบรรดาสำนักต่างๆ ตกตะลึงไปตามๆ กัน!

ครั้งนี้ เป้าหมายไม่ใช่สำนักจากแนวภูเขาที่ห้า แต่เป็นหลากหลายสำนักจากทั้งแนวภูเขาที่หก เจ็ด และแปด!

ภายในคืนเดียว ในชั่วระยะเวลาสองชั่วโมง เรือบินรบสิบเจ็ดลำของสำนักในแนวภูเขาที่หกถึงแปดถูกปล้น เป้าหมายของโจรมิใช่ทรัพยากรที่เรือบินรบเหล่านั้นมีอยู่แต่เป็นชิ้นส่วนของเรือบินรบ!

ความวุ่นวายเข้าปกคลุมดาวเอกแห่งระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ไปสิ้น ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักหลอมวารีตกตะลึงกับขนาดของการปล้นที่เกิดขึ้น หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่พักใหญ่ นางก็ติดต่อไปยังกงซุนโหวซึ่งเป็นคู่แค้น ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาพูดคุยอะไรกัน แต่เพียงวันเดียวหลังจากการพูดคุยนั้น ทั้งสองสำนักใหญ่ก็ออกประกาศเชิญชวนให้สำนักจากแนวภูเขาที่ห้าถึงแปดมาเข้าร่วมการสืบสวนพร้อมๆ กัน พวกเขาให้คำมั่นจะหาตัวผู้ก่อการการปล้นชิงอย่างอุกอาจและหน้าไม่อายนี้ให้พบ!

การสืบสวนครั้งใหญ่เกิดขึ้นทั่วตั้งแต่แนวภูเขาที่ห้าถึงแปด ดูราวกับว่าเรื่องนี้จะยืดยาวออกไปไม่สิ้นสุด แม้จะมีความยุ่งเหยิงวุ่นวายเกิดขึ้นมากมาย แต่สามสำนักใหญ่ที่ตั้งอยู่ในบริเวณแนวภูเขาที่สองถึงสี่ก็ดูจะไม่อนาทรร้อนใจแต่อย่างใด ความแตกต่างด้านอำนาจของสำนักใหญ่ทั้งสามกับบรรดาสำนักที่เหลือนั้นมากมายเกินไป สำหรับพวกเขาแล้ว การมองดูความเดือดเนื้อร้อนใจนี้ก็ไม่ต่างจากการจ้องมองเด็กร้องไห้เพราะของเล่นหักพังแต่อย่างใด

การควานหาครั้งใหญ่ยังไม่ได้ผลตามที่บรรดาสำนักหมายมั่นเอาไว้ ในช่วงเวลานี้ เรือบินรบของสำนักในแนวภูเขาที่หกถึงแปดยังถูกปล้นต่อไป เจ้าหัวขโมยยิ่งย่ามใจ ขณะนี้มีคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ถูกปล้นแล้ว และไม่ใช่แค่ส่วนของเรือบินรบที่ถูกขโมยไป ตอนนี้กระทั่งเรือทั้งลำก็ยังหายไปสิ้น!

สิ่งนี้ทำให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ มีเสียงเรียกร้องให้หาตัวคนผิดให้พบและประหารชีวิตดังมาจากทุกๆ สำนัก เมื่อได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น หวังเป่าเล่อเองก็โกรธมากเช่นกัน

ไอ้โจรใจทราม! ใครบังอาจใช้ข้าเป็นแพะรับบาปให้ความผิดบาปของพวกมันกัน หวังเป่าเล่อไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง การปล้นครั้งสุดท้ายที่เขาทำคือการปล้นเรือบินรบทั้งสิบเจ็ดลำ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่ใช่ฝีมือเขาแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่า…คนๆ เดียวไม่มีทางขโมยเรือบินรบทั้งลำได้ มีเพียงสำนักเท่านั้นที่จะทำเช่นนั้นได้

แม้ว่าคนอื่นอาจจะเดาได้เช่นกัน แต่หวังเป่าเล่อก็แน่ใจว่ามีบางสำนักกำลังฉกฉวยโอกาสและพยายามหากำไรจากสถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอนนี้

ชายหนุ่มไม่ได้ใส่ใจจะตามหาความจริงว่าสำนักใดกันที่ทำเรื่องเช่นนี้ ประกายเย็บเยียบฉายวาบขึ้นในแววตาของหวังเป่าเล่อเมื่อเขาผุดแผนหนึ่งขึ้นมาได้

ในเมื่อมีคนใจกล้าพอที่จะโยนความผิดให้ข้า แล้วคนผู้นั้นจะกล้าพอยอมรับผลที่ตามมาด้วยหรือไม่ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ซ่อนแววตาเยียบเย็นเอาไว้ภายใน ชายหนุ่มพุ่งตัวออกจากห้องและใช้กระบวนท่าสารัตถะพุ่งตัวขึ้นฟ้าไปอย่างลับๆ การปล้นครั้งต่อไปของเขาจะเป็นการปล้นครั้งใหญ่ ชายหนุ่มยังขาดทรัพยากรชุดสุดท้ายอยู่ และเขาจะหยุดหลังจากการปล้นครั้งนี้สำเร็จลุล่วง

ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่ออยากให้เกิดความวุ่นวายขึ้น ชายหนุ่มต้องการให้สำนักชั้นสูงสังเกตเห็นเหตุการณ์และเข้ามามีส่วนร่วมด้วย

หวังเป่าเล่อมีความสามารถพอที่จะทำตามแผนที่วางไว้ให้สำเร็จลุล่วง และเขาก็กล้าพอที่จะทำอีกด้วย ชายหนุ่มมีกระบวนท่าสารัตถะที่จะช่วยเขาพรางตัว จึงไม่จำเป็นต้องกลัวการสืบสวนใดๆ แต่สำนักที่คิดจะใช้เขาเป็นแพะรับบาปนั้น…ควรกลัว เพราะทันทีที่พวกเขาถูกเปิดโปงว่ามีส่วนในการปล้น ความเกรี้ยวกราดของสำนักชั้นสูงและสำนักอื่นๆ ที่โดนปล้นจะต้องพุ่งเข้าใส่คนเหล่านั้นราวกับเป็นกำปั้นเหล็ก พวกเขาจะแก้ต่างว่าเคยทำเพียงครั้งเดียวก็ย่อมได้ แต่คงไม่มีใครเลือกที่จะเชื่อ

เพราะ…แม้การหาตัวคนร้ายจะเป็นเรื่องสำคัญ แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันก็ไม่ได้สลักสำคัญถึงเพียงนั้น สิ่งเดียวที่สำคัญในโลกซึ่งให้ค่าผลกำไรมากกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด และวางรากฐานการพัฒนาอารยธรรมของตนด้วยการรุกรานรวมถึงปล้นชิงอารยธรรมอื่นๆ คือการหาตัวคนที่จะชดเชยให้พวกเขามากกว่าสิ่งที่พวกเขาสูญเสียไปชนิดทบทวีคูณ ซึ่งเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

ดังนั้นเมื่อเวลามาถึง ต่อให้ใครสักคนมองแผนของหวังเป่าเล่อออก ก็คงเลือกที่จะนิ่งเฉยเสีย

“เราจะได้เห็นกันว่าใครกันแน่ที่จะเป็นแพะรับบาปตัวสุดท้าย” หวังเป่าเล่อยิ้มเยาะก่อนจะแปรสภาพเป็นหมอกควันและเร่งความเร็วจากไป

……………………………

บทที่ 741 ขโมยปลาในน้ำขุ่น!
เรือบินรบลำสูญเสียแหล่งพลังงานไปและร่วงลงมาจากชั้นบรรยากาศของดวงดาว มันพุ่งตรงสู่พื้นดินกำลังจะพุ่งเข้าชนทิวเขา กงซุนโหว ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักพันวิญญาณ กำลังติดตามเรือบินรบลำนี้มาอย่างขะมักเขม้น เขามุ่งหน้าออกไปยังชั้นบรรยากาศรอบนอก โดยอาศัยกระบวนเวทสายฟ้าของตนในการติดตามตำแหน่งของเรือบินรบ วินาทีนั้นเองนัยน์ตาของชายร่างสูงใหญ่ก็กระตุก

คุณสมบัติเฉพาะตัวของชั้นบรรยากาศบนดาวดวงนี้ทำให้กงซุนโหวไม่อาจเจาะจงตำแหน่งของเรือบินรบได้ เขารู้เพียงตำแหน่งคร่าวๆ ของมันเท่านั้น แต่เมื่อเรือบินรบร่วงลงมาจากชั้นบรรยากาศ เขาก็สามารถสัมผัสถึงตำแหน่งของมันได้ในทันที กงซุนโหวพุ่งตัวออกมาจากชั้นบรรยากาศและเคลื่อนย้ายตำแหน่งของตนโดยไม่รอช้า

เรือบินรบสำนักพันวิญญาณอยู่ตรงหน้าเมื่อกงซุนโหวปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง มันกำลังพุ่งลงไปสู่ดิน เสียงแหลมสูงหวีดแทงอยู่ในอากาศ ฟังดูคล้ายเสียงสายลมแปรปรวนที่อยู่รอบกายเขา

“ไม่นะ!”

ใบหน้าของกงซุนโหวซีดเผือด ไม่มีเวลาคิดไตร่ตรองแล้ว เขาปล่อยพลังปราณออกมาเต็มที่ขณะพุ่งตรงไปหาเรือบินรบ เพื่อจะหยุดการชนให้ได้!

แม้ว่าสำนักพันวิญญาณจะร่ำรวยกว่าสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์หลายเท่าตัว แต่ก็มีเรือบินรบเพียงสามลำเท่านั้นที่สามารถเดินทางข้ามจักรวาลได้ การที่ลำใดลำหนึ่งถูกทำลายไปย่อมเป็นความเสียหายใหญ่หลวงต่อสำนัก

ด้วยเหตุนี้กงซุนโหวจึงต้องเร่งความเร็วจนสุด เขามาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเรือบินรบที่กำลังจะตกถึงพื้น จากนั้นจึงยกมือทั้งสองขึ้นก่อนจะประกบฝ่ามือทั้งคู่ลงบนเรือบินรบ บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นี้พยายามจะหยุดเรือบินรบไม่ให้ตกถึงพื้นด้วยพลังปราณของตนเอง

เสียงสายฟ้าดังสนั่นเลื่อนลั่นอยู่ในอากาศ ใบหน้าของกงซุนโหวซีดขาว เส้นเลือดบนแขนเกร็งแข็งปูด ส่วนเส้นเลือดบนใบหน้าก็ผุดขึ้นมาเห็นได้ชัดเจน เขาปลดปล่อยพลังปราณออกมาอย่างต่อเนื่องขณะที่ถูกน้ำหนักของเรือบินรบกดทับให้ถอยหลังลงมาเรื่อยๆ ในที่สุดเท้าของกงซุนโหวก็สัมผัสพื้น ทำเอาแผ่นดินเลื่อนลั่นและแตกออกจากกัน รอยแยกนั้นเริ่มจากตรงที่กงซุนโหวลงมาลากยาวออกไปร่วมหลายพันเมตร ไม่นานนัก แผ่นดินก็ทนรับแรงกดดันจากกงซุนโหวไม่ไหวจนยุบลงไปตรงใต้เท้าเขา

ผู้อาวุโสสูงสุดส่งเสียงคำรามเมื่อน้ำหนักที่ตัวเขารับเอาไว้เริ่มคลายลง ในที่สุดเขาก็สามารถควบคุมเรือบินรบเอาไว้ได้ด้วยพลังปราณอันแข็งแกร่ง กงซุนโหวค่อยๆ วางเรือบินรบไว้ข้างกาย ก่อนจะใช้สัมผัสสวรรค์ตรวจสอบความเสียหายทั้งๆ ที่ยังหอบหายใจอยู่ แม้ว่าจะทำใจมาบ้างแล้วว่าจะได้เห็นสิ่งใด แต่เมื่อได้มาเห็นจริงๆ ตัวของกงซุนโหวก็ยังสั่นเทิ้มด้วยแรงโทสะ

ด้านในของเรือบินรบพังเละเทะ เห็นได้ชัดว่ามีชิ้นส่วนหายไปมากมาย และมีบางส่วนที่หายไปอย่างไร้ร่องรอย ส่วนที่หายไปนั้นเป็นส่วนที่มีราคาแพงที่สุดของเรือบินรบทั้งสิ้น มีกระทั่งรอยกัดอยู่บนส่วนที่เหลืออยู่ ภาพนั้นทำเอากงซุนโหวปวดใจเป็นอย่างยิ่ง

สำนักภายใต้การนำของเขาบดขยี้อารยธรรมมานับไม่ถ้วน แถมยังคร่าชีวิตสรรพสิ่งไปมากมาย เขาใช้ทรัพยากรที่ปล้มสะดมและสะสมมานานนับปีอย่างจำกัดจำเขี่ย จนกระทั่งสำนักสามารถสร้างเรือบินรบขึ้นมาได้สามลำ มาบัดนี้…หนึ่งในเรือบินรบล้ำค่าของเขากลับถูกรื้อแยกชิ้นส่วนอย่างน่าสะพรึง กงซุนโหวรู้สึกหายใจติดขัด โดยเฉพาะ…เมื่อคิดว่าศิลาดารามายาล้ำค่าถูกขโมยไปจนสิ้น ความเจ็บปวดที่รู้สึกอยู่ตอนนี้ละม้ายคล้ายกับการถูกฉีกร่าง พลังปราณหมุนวนอย่างบ้าคลั่งอยู่ในอก ใบหน้าของกงซุนโหวเกรี้ยวกราดสุดประมาณ ก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมองฟ้าและคำรามลั่นออกมา

“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นใคร สำนักพันวิญญาณจะตามหาเจ้าจนพบ เราจะป่นกระดูกเจ้าให้เป็นผงและทำลายทั้งร่างกายและวิญญาณของเจ้าให้สูญสิ้น!”

น้ำเสียงของเขาสะท้อนก้องถึงชั้นบรรยากาศจนไปเข้าหูหวังเป่าเล่อ ผู้ที่ยังไปได้ไม่ไกลนัก

มีแต่เจ้าคนเดียวหรืออย่างไรที่ปล้นอารยธรรมอื่นได้ คนอื่นปล้นเจ้าบ้างไม่ได้หรือ หวังเป่าเล่อจ้องเขม็งและหยุดนิ่งอยู่กับที่ ชายหนุ่มกำลังชั่งใจว่าควรจะกลับไปสอนมารยาทให้เจ้าผู้ฝึกตนคนนี้สักหน่อยดีหรือไม่ จากนั้นจึงคิดถึงผลที่จะตามมาหากเขาทำเช่นนั้น ผลกระทบของมันอาจทำให้ยากต่อการวางแผนปล้นครั้งที่สอง เขาจึงทำเพียงพ่นลมออกจากจมูกและตัดสินใจเมินคำขู่ของผู้ฝึกตนคนนั้นเสีย ก่อนจะหันหลังมุ่งหน้ากลับไปยังสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์

หวังเป่าเล่อแอบย่องเข้าไปให้เขตหวงห้ามเมื่อกลับมาถึง ชายหนุ่มกลับไปยังห้องนอน นั่งลง และเริ่มสำรวจดูสมบัติที่เก็บมาได้ ยิ่งเห็นข้าวของเยอะเท่าใดดวงตาของเขาเป็นประกายกล้ามากขึ้นเท่านั้น

ม้าจะอ้วนได้หากได้ลอบเล็มหญ้าอย่างลับๆ ในยามค่ำคืน ภาษิตนั้นจริงอยู่ไม่น้อย ของที่ข้าได้มาในคืนนี้มากพอๆ กับที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ประมูลไปในคราวที่แล้วเลย!

หวังเป่าเล่อเริ่มการหลอมเรือบินรบของตนเองด้วยความรื่นเริงใจยิ่ง ชายหนุ่มมีทรัพยากรมากเพียงพอแล้วในตอนนี้ ในช่วงหลายวันต่อมา หวังเป่าเล่อจึงจมจ่อมอยู่กับการหลอมชิ้นส่วนต่างๆ ให้เรือบินรบของตนเอง โดยไม่ได้สนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกสักเท่าใดนัก

ชายหนุ่มยังวิตกกังวลกับผลพวงจากการปล้นของเขาอยู่บ้าง แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังเชื่อว่าตนได้จัดการเรื่องนี้อย่างรอบคอบที่สุดแล้ว แม้ว่าจะไม่ได้เชี่ยวชาญการปล้นการนัก แต่หวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าสำนักมองเรื่องการปล้นกับการปล้นฆ่าต่างกันอย่างสิ้นเชิง สิ่งแรกเป็นเพียงการเสียทรัพย์ แม้จะเจ็บปวดแต่ก็มีเพียงชื่อเสียงของสำนักเท่านั้นที่เสียหาย แต่อย่างหลังนั้นเท่ากับเป็นการประกาศสงครามก็ว่าได้

คนนอกก็คงจะมองคล้ายๆ กัน ระดับความอาฆาตมาดร้ายน่าจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน หากใครสักคนได้ยินว่าเพื่อนบ้านถูกปล้นชิงสิ่งมีค่าไป พวกเขาก็คงจะระมัดระวังตัวมากขึ้น แต่กลับกัน หากได้ยินว่าเพื่อนบ้านถูกสังหาร ปฏิกิริยาของพวกเขาก็คงไม่ได้มีเพียงการเพิ่มความระมัดระวังตัวแน่นอน

ผลพวงการปล้นของหวังเป่าเล่อเป็นไปตามที่ชายหนุ่มได้คาดการณ์ไว้ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะปกปิดว่าเรือบินรบของสำนักพันวิญญาณถูกปล้น ยิ่งไปกว่านั้นสำนักก็มีศัตรูอยู่หลายกลุ่ม ไม่นานนักเรื่องการปล้นเรือบินรบก็เป็นที่พูดถึงไปทั่วดาว ข่าวแพร่ไปไวไม่ต่างจากไฟลามทุ่ง

ทุกสำนักไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ต่างก็พูดถึงเรื่องนี้ กระทั่งบรรดาศิษย์ในสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ยังพูดคุยกัน พวกเขาเลือกใช้ถ้อยคำกันอย่างระมัดระวัง แต่ก็ยังไม่วายมีน้ำเสียงเยาะเย้ยความสูญเสียของผู้อื่น

“เจ้าได้ยินข่าวหรือยัง เรือบินรบของสำนักพันวิญญาณที่ขนขุมทรัพย์กลับมาเพียบถูกปล้น ไม่เพียงแต่ของที่ถูกขโมยเท่านั้น ชิ้นส่วนเรือบินรบจำนวนมากยังถูกแยกออกไปด้วย!”

“เรื่องเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาหลายปีแล้วนา…”

“สำนักพันวิญญาณหยิ่งยโสเหลือเกิน ใครจะไปคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับพวกเขา ฮะฮ่า ข้าไปถามข่าวมาแล้ว ได้ยินมาว่าพวกเขาทำลายอารยธรรมเล็กๆ หนึ่งลงและชิงศิลาดารามายามาได้เป็นภูเขาเชียว พวกเขาลงแรงไปหนักมาก แต่สุดท้ายก็มีคนชุบมือเปิบเอาศิลาไปเสียง่ายๆ!”

หวังเป่าเล่ออาจกำลังมุ่งมั่นกับการหลอมเรือบินรบของตน แต่ก็ยังออกไปข้างนอกบ้างและยังทำหน้าที่ซ่อมแซมเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์อยู่ เขาได้ยินการพูดคุยของบรรดาศิษย์อยู่เนืองๆ แล้วก็มักจะขมวดคิ้วตอบอยู่เสมอ

“สำนักพันวิญญาณอยู่ในกลุ่มสำนักแนวภูเขาที่ห้า แม้ว่าพวกเราจะไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกเขาที่ถูกปล้นได้ แต่ก็ควรจะต้องระมัดระวังและพูดถึงการปล้นครั้งนี้ภายในอาณาเขตของสำนักของเราเท่านั้น เราต้องพูดจาอย่างระมัดระวังเมื่ออยู่ภายนอก ในเวลาเดียวกัน เราก็ต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้นเพื่อจะได้ไม่ประสบเหตุเช่นเดียวกันนี้!”

หวังเป่าเล่อมีสีหน้าเคร่งขรึมขณะที่พูดอย่างจริงจัง บรรดาศิษย์ที่คุยเรื่องนี้อยู่แอบตัวสั่นอยู่เบาๆ พวกเขาหลุบศีรษะลงต่ำก่อนจะพึมพำเห็นด้วย ผู้อาวุโสสูงสุดก็เห็นด้วยกับสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดเช่นกัน อันที่จริงแล้ว เขาถึงกับเรียกรวมบรรดาผู้อาวุโสทั้งเจ็ดเพื่อพูดคุยปรึกษาเรื่องนี้กันอย่างละเอียด

“ผู้อาวุโสสูงสุด ข้าน้อยมีเรื่องอยากจะเสนอ พวกเราควรไถ่ถามสำนักพันวิญญาณว่าพวกเขาต้องการความช่วยเหลือในการตามหาตัวผู้ก่อการหรือไม่ ไม่สำคัญว่าเราจะเต็มใจช่วยจริงๆ หรือเพียงพูดไปอย่างนั้นเอง เพราะมันอาจช่วยป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันนี้ขึ้นกับสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ของเราในภายภาคหน้าได้” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะพูดออกมาอย่างขึงขังระหว่างการประชุม ราวกับว่าชายหนุ่มเป็นห่วงสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์อย่างแท้จริง

ผู้อาวุโสสูงสุดยิ้มพลางบอกปัดข้อเสนอของหวังเป่าเล่อ

“ข้าติดต่อสหายเต๋ากงซุนทันทีที่ได้ยินข่าว แต่กงซุนโหวดูเหมือนจะสงสัยทุกคนในตอนนี้ เขาจึงปฏิเสธความช่วยเหลือของข้า”

“เราจะโทษเขาก็ไม่ได้ เป็นเรื่องที่ค่อนข้างอับอายอยู่พอสมควร…โจรสลัดจักรวาลที่ควรเป็นผู้ปล้น ตอนนี้กลับถูกปล้นเสียเอง” ผู้อาวุโสอีกคนยิ้มอ่อนขณะกล่าว

“เป็นไปได้สูงว่ามีใครบางคนในสำนักนั้นลอบปล่อยข้อมูลเรื่องเรือบินรบที่กำลังจะกลับมา มีเรือบินรบจำนวนมหาศาลเดินทางกลับมายังดาวบ้านเกิดทุกๆ วัน อธิบายไม่ได้เลยว่าทำไมเรือบินรบของพวกเขาจึงตกเป็นเป้า” หวังเป่าเล่อพยักหน้าก่อนจะวิเคราะห์สถานการณ์ที่ฟังดูฉลาดเฉลียว

ความคิดเห็นของหวังเป่าเล่อไปพ้องกับสิ่งที่สำนักอื่นๆ คาดเอาไว้เช่นกัน นานมากแล้วที่เกิดการปล้นเรือบินรบขึ้นในดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ อีกทั้งเป้าหมายนั้นยังเฉพาะเจาะจงเป็นอย่างยิ่ง ราวกับผู้ก่อเหตุรู้ว่าเรือบินรบลำนั้นมีของมีค่าอยู่มากที่สุดก็ไม่ปาน

เรื่องน่าขบขันที่โจรสลัดจักรวาลถูกปล้นกลายมาเป็นเรื่องชวนหัวในบรรดาสำนักที่เป็นศัตรูกับสำนักพันวิญญาณ โดยเฉพาะสำนักหลอมวารี ซึ่งพยายามเป็นอย่างยิ่งที่จะโหมไฟให้เรื่องนี้ลุกลามขึ้นไปอีก

หลังจากนั้นสำนักพันวิญญาณก็กลายมาเป็นสำนักที่น่าอดสูที่สุด พวกเขาเสียของที่ลงแรงปล้นมาอย่างยากลำบาก เรือบินรบก็ถูกแยกชิ้นส่วน แถมยังต้องอดทนกับการถูกล้อเลียนจากสำนักเช่นสำนักหลอมวารีอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าพวกเขาจะสืบสวนอย่างหนักเพียงใด ก็ไม่พบร่องรอยหลักฐานที่อธิบายการปล้นหรือชี้ตัวผู้ก่อการได้แม้แต่น้อย ด้วยโทสะอันแรงกล้า กงซุนโหวถึงกับสอบปากคำพี่น้องในสำนักของตนเอง ทว่าสุดท้ายก็ไร้ผล…

กงซุนโหวรำคาญใจเป็นอย่างยิ่ง เขาสงสัยว่าสำนักหลอมวารีจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปล้นในครั้งนี้ แต่ก็ไม่มีหลักฐานมายืนยันข้อสงสัย สุดท้ายเขาจึงเตรียมที่จะสืบสวนอย่างลับๆ เรื่องนี้ดูราวกับว่าไม่มีทางจะสิ้นสุดลงไปได้ หนึ่งเดือนผ่านไป หวังเป่าเล่อซึ่งนั่งอยู่ภายในห้องของตนก็ผงกศีรษะขึ้นมาอย่างฉับพลัน นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกาย เขาเลียริมฝีปาก

ข้าใช้วัตถุดิบหมดเกลี้ยงแล้ว…

บทที่ 740 การเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์!
เสียงที่หวังเป่าเล่อเลือกใช้นั้นแหบพร่าเล็กน้อยแถมยังแฝงไว้ด้วยความบ้าคลั่งเกินควบคุม ชายหนุ่มพยายามเลียนเสียงต้นไม้ยักษ์ เสียงสนั่นของเขาดังก้องไปทั่วเรือบินรบ ก่อนจะมีเสียงกัมปนาทดังกึกก้องอยู่ในศีรษะของผู้ฝึกตนที่อยู่บนเรือ ทุกคนดูเหมือนว่าหูจะดับ พากับนั่งใบ้เบื้อด้วยสีหน้าตื่นตะลึงกันไปหมด

ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในไม่อาจทานทนเสียงของหวังเป่าเล่อได้ โลหิตไหลบ่าออกจากทุกรูบนใบหน้าของพวกเขา จิตใจปั่นป่วน แถมพลังปราณยังถูกยับยั้งเอาไว้ ส่วนผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณที่มีพลังมากขึ้นมาหน่อยก็ยังได้รับบาดเจ็บแม้จะน้อยกว่า ใจของพวกเขาอื้ออึง ก่อนจะบ้วนเลือดออกมากองใหญ่ พวกเขาซวนเซและต้องคว้ากำแพงที่ใกล้ที่สุดเอาไว้เพื่อไม่ให้ล้ม

มีเพียงผู้อาวุโส ที่มีระดับพลังปราณสูงสุดเท่านั้นที่สามารถรับมือกับเสียงของหวังเป่าเล่อได้ ถึงกระนั้น ก็ยังมีเลือดไหลซึมออกมาตรงมุมปาก ใบหน้าของเขาซีดขาว มีประกายความตื่นกลัวฉายชัดอยู่ในแววตา

ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นก่อนที่หวังเป่าเล่อจะปรากฏกายด้วยซ้ำ ชายหนุ่มยังคงหายตัวอยู่ในร่างมายา และใช้เพียงเสียงกระแทกใส่คนอื่นๆ ราวกับเป็นปีศาจร้าย จนทำให้ทุกคนแทบจะเสียสติไป ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา!

ในวินาทีต่อมา ก่อนที่ใครจะตั้งตัวได้ติด ปราณมืดก็เริ่มไหลบ่ามาจากกำแพงและพื้นของเรือบินรบ เรือบินรบทั้งลำถูกปกคลุมไปด้วยควันสีดำซึ่งเปี่ยมไปด้วยพลังน่าสะพรึงกลัว ควันดังกล่าวมีอำนาจกัดกร่อนซึ่งหลอมละลายทุกอย่างที่มันสัมผัส

ภายในพริบตา ปราณมืดก็เข้าปกคลุมเรือบินรบและพุ่งไปยังผู้ฝึกตนทุกคนบนนั้น ทุกคนต่างก็ไร้กำลังที่จะต่อต้านควันสีดำ ควันเข้าไปในกายของพวกเขา ม้วนตัวเข้าไปในกระเป๋าคลังเก็บและสมบัติเวทต่างๆ ของคนเหล่านี้ก่อนจะจากไปทันที

สมบัติเวทบางชิ้นเป็นจี้ที่ห้อยอยู่บนคอของผู้ฝึกตนเหล่านี้ บ้างก็เป็นสมบัติภายในกายที่พวกเขาหล่อเลี้ยงอยู่เสมอ ไม่มีชิ้นใดหลุดรอดไปได้ ทุกๆ ชิ้นถูกปราณมืดช่วงชิงเอาไป พลังปราณมืดหอบกระเป๋าคลังเก็บและสมบัติเวทมารวมกันอยู่บนอากาศตรงหน้าของทุกคน ก่อนจะแปรสภาพสิ่งของเหล่านี้ให้กลายเป็นร่างเงาพร่าเลือน!

ร่างเงานั้นมีใบหน้าไม่ชัดเจน และถูกห้อมล้อมไปด้วยกลุ่มของหมอกควันที่ขยับเคลื่อนย้ายหดเล็กและขยายใหญ่อยู่ไปมา ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง จู่ๆ แสงไฟสีโลหิตสองดวงก็ส่องสว่างขึ้นบนใบหน้าของร่างนั้น ก่อนจะหันไปทางบรรดาผู้ฝึกตนที่เพิ่งถูกชิงสมบัติไป

ดวงตามายาทั้งสองเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างในวินาทีนั้น สายตาที่จับจ้องมาทำให้ทุกคนตื่นกลัวจนใกล้สิ้นสติ

สายลมเย็นเริ่มหมุนวน ก่อนที่ความเย็นเยียบน่าสะพรึงกลัวจะชำแรกเข้ามาภายในเรือบินรบ ความเย็นนั้นทำให้กายเนื้อเย็นเยียบแต่กลับแผดเผาดวงวิญญาณให้ร้อนเร่า บรรดาผู้ฝึกตนต่างรู้สึกราวกับว่าวิญญาณของพวกเขาถูกเปลวไฟเผาไหม้ ความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงนี้เข้าปกคลุมผู้ฝึกตนทุกคนบนเรือบินรบ ช่างเป็นความรู้สึกที่แปลกแปร่งและน่าสะพรึงกลัว ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในไม่อาจทานทนได้อีกจึงหมดสติไปทันที

ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณก็ประสบความยากลำบากเช่นกัน พวกเขาพยายามปลดปล่อยพลังปราณออกมาจนสุดเพื่อต่อต้านความเจ็บปวดที่สัมผัสได้ทั้งบนร่างกายและในจิตวิญญาณ ผู้อาวุโสบ้วนเลือดออกมาอีกกองใหญ่ขณะที่ซวนเซไปจับเก้าอี้ซึ่งวางอยู่ใกล้ๆ จากนั้นเขาก็ละล่ำละลักพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกลัว

“พวกเขาเป็นศิษย์สำนักพันวิญญาณ ผู้อาวุโสสูงสุดของพวกเราคือกงซุนโหว ผู้อาวุโสผู้ทรงเกียรติ…”

“หุบปาก!” ร่างที่ก่อขึ้นมาจากควันสีดำตะโกนแทรกก่อนที่ผู้อาวุโสจะพูดจบ เสียงนั้นดังราวกับเป็นเสียงฟ้าผ่าที่ฟาดสนั่นลงมาในศีรษะของทุกคน ผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณไม่อาจทานทนได้อีก จึงพ่นโลหิตออกมาอีกหลายครั้ง ร่างปริศนายกมือขวาขึ้นกวาดไปในอากาศ

พลังปริศนาพลันปรากฏขึ้น พายุหมุนก่อตัวขึ้นภายในเรือบินรบนั้นและขยายออกไปจนถึงงภายนอก ก่อนจะดึงดูดทุกสิ่งไปหาด้วยพลังอันรุนแรง มันลากทุกคนบนเรือบินรบเข้าไปหาด้วยความตั้งใจที่จะกลืนพวกเขาเข้าไปทั้งหมด

ผู้ฝึกตนทุกคนมาปรากฏตัวอีกครั้งด้านนอกเรือบินรบในชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ สายลมรุนแรงฟาดฟันเข้าใส่ เสียงสายฟ้าฟาดดังเปรี้ยงปร้างอยู่ในหู ทั้งหมดตัวสั่นเทา แม้จะเกรงกลัวแต่ก็โล่งใจที่ยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาทำได้เพียงเฝ้ามองเรือบินรบของตนปลดปล่อยความเร็วสูงสุดออกมาและพุ่งตัวไปในความเวิ้งว้าง!

การปล้นครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว บรรดาเหยื่อของการกระทำต่างก็ตัวสั่นอยู่ในสายลมหนาวเหน็บ หลายคนต่างมีสีหน้าสับสน ทุกคนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น พวกเขาเป็นโจวสลัดแห่งจักรวาลที่เพิ่งจะเดินทางกลับมาจากการปล้นซึ่งสำเร็จอย่างล้นหลาม แต่ก่อนที่จะได้กลับสู่ดาวเคราะห์บ้านเกิด พวกเขากลับถูกคนอื่นปล้นไปเสียฉิบ!

ผู้อาวุโสที่เป็นผู้นำกลุ่มยืนนิ่งขึงตะลึงอยู่นับสิบวินาทีก่อนจะส่งเสียงโหยหวนเจ็บปวดออกมา ดวงตาของเขาแดงก่ำ ก่อนจะเมินบรรดาศิษย์ร่วมสำนักและใช้ความเร็วเต็มที่พุ่งตัวลงไปยังพื้นดินทันที!

ขณะที่พุ่งตัวออกไปนั้น เขาก็ยกมือขวาขึ้นทุบอกอย่างแรงโดยที่ไม่มีใครทันเห็นเพื่อเพิ่มอาการบาดเจ็บให้ตนเอง ชายชรามีสภาพดูไม่ได้ เลือดไหลซึมออกมาจากปากไม่หยุดหย่อนขณะที่ร่วงหล่นผ่านชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ลงไป เขากำลังมุ่งหน้าไปยังจุดที่ได้นัดหมายกับคนของสำนักเอาไว้

ชายชราปรากฏกายตัวออกมาจากชั้นบรรยากาศก่อนจะมาถึงจุดนัดหมาย ผู้ฝึกตนนับสิบจากสำนักที่มาเพื่อรับกลุ่มของเขาโผล่เข้ามาในคลองจักษุ พอเห็นดังนั้นผู้อาวุโสก็รีบส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวดทันที

“ท่านเจ้าสำนัก ข้าทำภารกิจล้มเหลว ข้าพยายามเต็มที่และต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสเสียจนไม่อาจจะรักษาเรือบินรบของเราเอาไว้ได้ เรือบินรบของเรา…เรือบินรบของเรา…ถูกขโมยไปขอรับ!”

ผู้อาวุโสแค่นคำพูดเหล่านั้นออกมาจากปาก ก่อนจะกระอักเลือดออกมากลางอากาศ เขาดูราวจะบาดเจ็บสาหัสจนเหาะเหินต่อไปไม่ไหวและร่วงหล่นลงมาจากท้องฟ้า ผู้ฝึกตนร่วมสำนักที่เดินทางมาไกลเพื่อมาต้อนรับกลุ่มของเขาต่างก็พากันตกใจที่ได้เห็น รีบทะยานขึ้นไปรับร่างที่ร่วงหล่นลงมาก่อนจะรักษาบาดแผลให้ พลางถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในบรรดาคนเหล่านั้นมีผู้ฝึกตนวัยกลางคนอยู่คนหนึ่ง สีหน้าของเขาตื่นตะลึงเมื่อได้ฟังเรื่องที่ผู้อาวุโสเล่า เขาหยิบแผ่นหยกออกมาและส่งข้อความเสียงทันที

วินาทีต่อมาท้องฟ้าก็เริ่มแปรเปลี่ยน สายลมหมุนวน ก้อนเมฆเคลื่อนคล้อย ร่างๆ หนึ่งปรากฏขึ้นจากที่ไกลๆ การมาของเขาสังเกตเห็นได้จากพายุหมุนรุนแรงที่ปรากฏอยู่รอบกาย ผู้ฝึกตนที่เห็นการปรากฏตัวของร่างนั้นต่างก็พากันตื่นตะลึง วินาทีถัดมา ผู้มาใหม่ก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสซุน เขาเป็นบุรุษร่างสูงใหญ่ที่สูงกว่าคนทั่วไปอยู่หลายช่วง มีรัศมีพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นแผ่ออกมาจากกาย ชายผู้นี้คือผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักพันวิญญาณ กงซุนโหวนั่นเอง!

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” บุรุษร่างสูงถามด้วยน้ำเสียงขึงขัง สายตาของเขาเปล่งประกายกล้าด้วยความมีอำนาจ

ผู้อาวุโสซุนตัวสั่นเพราะการปรากฏตัวของผู้อาวุโสสูงสุด ก่อนจะละล่ำละลักเล่าเหตุการณ์การปล้นออกมา สายตาอาฆาตปรากฏขึ้นในแววตาของกงซุนโหวเมื่อได้ฟังจนจบ เส้นผมของผู้อาวุโสสูงสุดสั่นไหวอยู่ไปมาแม้อากาศจะนิ่งงัน เห็นได้ชัดว่าเขาเกิดโทสะขึ้นอย่างแรงกล้า

“ใครกันช่างกล้าปล้นเรือบินรบของสำนักพันวิญญาณ เบื่อจะมีชีวิตแล้วหรือไร” กงซุนโหวยกมือขวาขึ้นกำหมัดแน่น สายฟ้าพุ่งจากสรวงสวรรค์มารวมกับกำปั้นของเขา ก่อนจะแปรสภาพเป็นไฟฟ้าลูกกลมที่ส่งเสียงแตกเปรียะน่าสะพรึง เขาเหวี่ยงกำปั้นออกไปข้างหน้า ไฟฟ้านั้นก็พุ่งออกไปในชั้นบรรยากาศก่อนจะระเบิดกลายเป็นทางเดิน

กงซุนโหวผู้เกรี้ยวกราดย่างกรายไปบนทางเดินนั้นก่อนจะเริ่มแผ่สัมผัสสวรรค์ออกไป เขาสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ จนจับตำแหน่งเรือบินรบของสำนักได้ จากนั้นก็รีบติดตามไปทันที!

ขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักพันวิญญาณกำลังติดตามมาอย่างกราดเกรี้ยวนั้น หวังเป่าเล่อกำลังยืนอยู่ภายในเรือบินรบของสำนักซึ่งห่างออกมาจากผู้อาวุโสสูงสุดอยู่ประมาณหนึ่ง ชายหนุ่มปรากฏตัวในรูปลักษณ์ของจั่วอี้เซียน จ้องมองกระเป๋าคลังเก็บที่เพิ่งเปิดเมื่อครู่ ดวงตาลุกโพลงเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น

“ศิลาดารามายา!”

“ข้ารวยแล้ว!” หวังเป่าเล่อกล่าวอย่างลิงโลดใจ ลืมเจ้าลาข้างกายที่กำลังเลียริมฝีปากอย่างใจจดใจจ่อไปเสียสนิท ชายหนุ่มโบกมือหนึ่งครั้งเพื่อเก็บกระเป๋าคลังเก็บเหล่านั้นไว้ทั้งหมด จากนั้นสายตาก็หยุดอยู่ที่เรือบินรบเป็นเป้าหมายต่อไป เขาควบคุมเรือบินรบไว้ได้ง่ายดายพอสมควร

ต้องมีตัวส่งสัญญาณซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งบนเรือบินรบนี้แน่…แต่ข้าจะยอมเสียมันไปไม่ได้ มันน่าเสียดายเกินไป… หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงก่อนจะเริ่มต้นทำงาน

ความชำนาญด้านอาวุธเวทและประสบการณ์การทำงานที่สั่งสมมาเป็นเวลาหลายเดือนเป็นประโยชน์ทันทีที่หวังเป่าเล่อเริ่มแยกชิ้นส่วนเรือบินรบ เขาไม่มีเวลาหลอมหุ่นเชิดเพิ่มเลยในช่วงหลายเดือนมานี้ ดังนั้น เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแยกชิ้นส่วน เขาจึงใช้กระบวนท่าสารัตถะสร้างร่างอวตารที่มีพลังน้อยกว่าขึ้นมาอีกหลายร่างเพื่อช่วยกันทำงาน

ส่วนแรกที่หวังเป่าเล่อเข้าไปรื้อถอนคือวัตถุเวทที่อยู่ใจกลางเรือบินรบ จากนั้นจึงเป็นแหล่งกำเนิดดาราที่เป็นตัวให้พลังงาน แล้วก็เป็นระบบป้องกันและโจมตี ด้วยความช่วยเหลือของบรรดาร่างอวตาร หวังเป่าเล่อจึงสามารถชำแหละเรือบินรบออกเป็นชิ้นๆ ได้อย่างรวดเร็ว เป้าหมายของเขาคือการแยกส่วนมันออกมาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยให้ความสำคัญกับส่วนที่สามารถถอดออกมาได้ง่ายๆ และมีมูลค่าสูงสุดก่อน

“แหวนสื่อวิญญาณเช่นนั้นหรือ ขอรับไปละนะ!”

“เครื่องยนต์หรือ ของดีนี่ เป็นของข้าเสียเถิด!

“ชิ้นส่วนที่ทำมาจากศิลาผนึกหมอก ของหายาก เอามาด้วยก็แล้วกัน!”

หวังเป่าเล่อยิ่งรู้สึกสนุกขึ้นเรื่อยๆ ขณะกำลังฉีกทึ้งเรือบินรบอยู่ไม่หยุด เจ้าลาก็เริ่มรู้สึกเช่นเดียวกัน ความเสียหายที่เกิดขึ้นระหว่างการแยกชิ้นส่วนนั้นเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ชิ้นส่วนที่เสียหายเหล่านั้นกลายมาเป็นอาหารอันโอชะของเจ้าลา มันเคี้ยวเศษชิ้นส่วนอยู่ตุ้ยๆ ข้างกายชายหนุ่ม…

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป ในช่วงเวลานี้ กงซุนโหวยังคงเร่งความเร็วอย่างบ้าคลั่งข้ามดาวเคราะห์มา ขณะเดียวกัน เรือบินรบก็ลดขนาดลงถึงหนึ่งในสามจากการแยกส่วนของหวังเป่าเล่อและการขบเคี้ยวของเจ้าลาคู่ใจ!

ในที่สุดหวังเป่าเล่อก็สามารถควบคุมความโลภของตนเอาไว้ได้ ชายหนุ่มอัดของใส่ในกระเป๋าคลังเก็บที่ขโมยมาจนเต็ม จากนั้นจึงหยุดรื้อค้นเรือบินรบด้วยความเสียดาย เขากอดเจ้าลาไว้แน่นก่อนจะหายตัวไปอีกครั้ง ทั้งคู่ทะลุผ่านเรือบินรบและหนีไปทันที เรือบินรบที่เสียชิ้นส่วนไปถึงหนึ่งในสาม รวมถึงแหล่งพลังงานค่อยๆ ชะลอตัวลง มันหลุดจากวงโคจรของดาวเคราะห์ก่อนจะเริ่ม…ทิ้งดิ่งลงไปยังพื้นดินราวกับเป็นดาวหางที่กำลังพุ่งชนโลกก็ไม่ปาน!

………………………

บทที่ 739 ทุกคนหยุด!
ชั้นบรรยากาศของดาวเอกดวงเนตรสวรรค์คล้ายคลึงโลกในบางแง่ แต่ก็แตกต่างในหลายๆ ด้าน สภาพแวดล้อมหรือห้วงเหวแห่งความว่างเปล่าที่ขนาบรอบระบบดวงดาวเอาไว้อาจมีส่วนให้เป็นเช่นนี้ ชั้นบรรยากาศของดาวเอกหนาแน่นกว่าโลกมาก หากไม่ได้อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ ขอบเขตของประสาทสัมผัสก็จะถูกจำกัดลงอย่างมาก

เป็นเหตุให้บรรดาเรือบินรบที่เทียวไปเทียวมาอยู่บนดวงดาวนี้มีจุดบอดร่วมกันอย่างหนึ่ง คือพวกเขาไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกเรือบินรบได้ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แม้จะดำรงอยู่ได้ด้วยการปล้นชิง พร้อมด้วยวัฒนธรรมการปล้นและเข่นฆ่าพวกเดียวกันเอง แต่การกระทำเช่นนั้นมักจะเป็นความลับอยู่เสมอ และส่วนมากก็เกิดขึ้นกับผู้ฝึกตนตัวต่อตัวเท่านั้น การปล้นเรือบินรบนั้นเกิดขึ้นอยู่บ้าง แต่มักตามมาด้วยการตอบโต้ที่รุนแรงและหมายจับมากมาย ส่งผลให้พบเจอได้ไม่บ่อยนัก

หวังเป่าเล่อขณะนี้เร้นกายอยู่ภายในชั้นบรรยากาศของดาวเคราะห์ เป็นการยากสำหรับชายหนุ่มที่จะคาดคะเนว่าในบรรดาเรือบินรบตรงหน้าลำใดมีมูลค่าสูงสุดกันแน่ เรือบินรบของแต่ละสำนักมีรูปลักษณ์แตกต่างกัน มีผ้าคลุมปกปิดสิ่งของที่อยู่ภายในเอาไว้ หากไม่ได้แยกชิ้นส่วนออกมาหรือใช้ประสาทสัมผัสสำรวจอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าเรือบินรบเหล่านั้นขนสิ่งใดมาหรือทำขึ้นมาจากวัสดุประเภทใด

เรื่องนี้ทำให้งานของหวังเป่าเล่อยากขึ้นไปอีก แม้ว่าชายหนุ่มจะเป็นนักสู้มากพรสวรรค์ แต่ประสาทสัมผัสของเขายังไม่เฉียบคมพอที่จะตรวจสอบอาณาบริเวณนี้ทั้งหมดในคราวเดียว ยิ่งไปกว่านั้น เขายังต้องคอยหลบซ่อนตัวขณะที่ทำการค้นหาอีกด้วย ดูเหมือนว่าความพยายามในการปล้นของหวังเป่าเล่อในครั้งนี้คงต้องพึ่งโชคชะตาอย่างหนักทีเดียว

ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้เจ้าลาจะช่วยได้มาก เจ้าอสูรตนนี้กลืนกินมาแล้วทุกสิ่งสรรพและยังมีชีวิตรอดมาได้จนวันนี้ แถมยังกินทรัพยากรมามากมายหลายชนิด ซึ่งน่าจะช่วยให้ประสาทสัมผัสในการเลือกเรือบินรบที่มีของเยอะที่สุดของมันเฉียบคมยิ่งขึ้น

ตามหลักแล้ว โอกาสที่เรือบินรบซึ่งเพิ่งจะกลับมาสู่ดาวจะมีทรัพยากรเต็มลำนั้นสูงมาก แม้ว่าจะต้องพึ่งโชคชะตาอยู่มาก แต่ก็ไม่ควรดูเบาทักษะในการเลือกเป้าหมายของหวังเป่าเล่อในครั้งนี้

“ทั้งโชคชะตาและทักษะต่างอยู่ข้างเราทั้งสิ้น เจ้าลูกข้า คงต้องหวังพึ่งเจ้าเสียแล้ว เร็วเข้า เลือกเรือบินรบมาลำหนึ่ง!” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะยกมือขึ้นลูบเจ้าลาผู้ซึ่งเพิ่งจะออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บและกำลังงุนงง

เจ้าลามีสีหน้าสับสน มันเงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่อ ก่อนจะมองไปทางเรือบินรบที่เดินทางเข้าออกชั้นบรรยากาศอยู่ไปมา ในที่สุดมันก็หันกลับมามองหวังเป่าเล่ออีกครั้งด้วยสีหน้าน่าเวทนา จากนั้นก็อ้าปากพร้อมที่จะส่งเสียงร้อง

“ข้ามีส่วนแบ่งให้เจ้าหากเจ้าหาเรือบินรบมาได้ หากหาไม่ได้…เจ้าก็กลับเข้ากระเป๋าคลังเก็บไปและข้าจะไม่ให้ข้าวกิน!” หวังเป่าเล่อจ้องหน้ามันเขม็ง เจ้าลาสูดลมหายใจอย่างตื่นกลัวเมื่อได้ยินคำพูดนั้น นัยน์ตากลมโตของมันรื้นขึ้นด้วยน้ำตา หลังจากนั้นอีกพักหนึ่ง เจ้าลาจึงหันศีรษะกลับ ประกายเจิดจ้าส่องอยู่ในดวงตา มันทำจมูกฟุดฟิดขณะมองไปยังขบวนเรือบินรบตรงหน้า

ราวกับว่าบรรดาเรือบินรบตรงหน้าคืออาหารหลากหลายจาน หน้าที่ของมันคือต้องหาจานที่อร่อยที่สุดให้พบ

“เจ้าได้กลิ่นเรือบินรบแม้ว่าจะอยู่ห่างกันขนาดนี้เชียวหรือ” หวังเป่าเล่อพูดอย่างตื่นใจ ขณะที่ความสนใจใคร่รู้ของชายหนุ่มพุ่งถึงขีดสุด เจ้าลาก็ส่งเสียงร้องอย่างร้อนใจ

“ลูกข้า ลูกข้า!” มันร้องขณะที่ยกขาหน้าขึ้นชี้ไปยังเรือบินรบลำหนึ่งที่เพิ่งกลับมาจากอวกาศ ดูเหมือนเจ้าลาจะกลัวว่าการกระทำของมันจะชัดเจนไม่พอ มันจึงจามออกมาเป็นควันที่แปรสภาพเป็นรูปทรงเดียวกับเรือบินรบที่เพิ่งชี้ใส่

หวังเป่าเล่อผงกศีรษะอย่างเร่งรีบ ประกายความลังเลใจพลันปรากฏขึ้นในแววตา เรือบินรบที่เจ้าลาชี้ไปดูแสนธรรมดา ไม่มีความโดดเด่นแต่อย่างใด ขนาดก็ไม่ใหญ่เท่าเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ แถมยังเล็กกว่าตั้งเท่าตัว

เรือบินรบลำนั้นไม่ได้รวดเร็วแต่อย่างใด มันเคลื่อนที่ช้าๆ ไปข้างๆ เรือบินรบอีกเจ็ดถึงแปดลำโดยไม่มีความพิเศษใดๆ แถมยังมีความเสียหายอยู่เต็มลำ มันไม่ใช่ความเสียหายจากการต่อสู้ หากแต่ดูเหมือนความเสียหายจากการใช้งานหนักที่เกิดขึ้นตามกาลเวลา ซึ่งดูจะสะท้อนถึงการขาดงบประมาณในการซ่อมบำรุง

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังศึกษาเรือบินรบอยู่ห่างๆ ภายในเรือบินรบลำนั้นมีผู้ฝึกตนอยู่สิบกว่าคน มีเพียงห้าหรือหกคนเท่านั้นที่อยู่ในขั้นจุติวิญญาณ ส่วนคนที่อ่อนแอที่สุดอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย พวกเขาดูผ่อนคลายสบายอารมณ์ แววตาส่องประกายกล้าไปด้วยความตื่นเต้น บางคนก็หยิบศิลาสีดำสนิทขนาดเท่ากำมือออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ พลางลูบคลำอย่างนุ่มนวล ราวกับว่ากำลังถือเอาอัญมณีล้ำค่าเอาไว้ในมือกระนั้น

“พวกเราจะรวยกันแล้ว ใครจะไปคิดว่าระบบดาวเคราะห์สายแร่ไหลหลากอันกว้างใหญ่จะซุกซ่อนอารยธรรมที่มีศิลาดารามายาอยู่มากมายถึงเพียงนี้เอาไว้!”

“ศิลาดารามายา! ศิลาเหล่านี้สำคัญยิ่งสำหรับการหลอมเรือบินรบเกราะลำดับห้า ศิลาขนาดเท่ากำปั้นเพียงก้อนเดียวสามารถแลกองค์รักษ์ระดับแปดได้เชียวนะ!”

“ทรัพยากรอันทรงคุณค่าเช่นนี้ แต่ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในอารยธรรมนั้นกลับอยู่เพียงขั้นกำเนิดแก่นใน เพียงเท่านี้ก็รู้ได้ว่า พวกเขาไม่คู่ควรจะเก็บมันเอาไว้ แต่พวกเขาก็ยังกล้าที่จะต่อต้าน สมควรแล้วที่ถูกกำจัดจนสิ้นซาก เสียดายที่โครงสร้างทางกายภาพของคนพวกนั้นแตกต่างจากพวกเรา หาไม่แล้ว ก็อาจจะจับตัวพวกเขามาทำเป็นพาหนะในการหลอมได้”

ทุกคนในกลุ่มระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังสนั่นเมื่อมีการพูดถึงผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในอารยธรรมแห่งนั้น พวกเขานั่งกันอย่างผ่อนคลาย ขณะที่เรือบินรบกำลังลอยอย่างเชื่องช้าเข้าไปใกล้ดาวเคราะห์บ้านเกิดและสำนักมากขึ้นทุกที

“ทุกคน อย่าประมาทเชียวเล่า พวกเราได้สมบัติมามากมายพอดูทีเดียวในคราวนี้ พวกเรารับผิดชอบไม่ไหวแน่หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น อวิ๋นหลินจื่อ คอยควบคุมปริมาณปราณวิญญาณที่หลุดรอดออกไปให้ดี พยายามอย่ากระโตกกระตากไป ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะใช้ความเร็วสูงสุดของเรือบินรบ เราจะเริ่มเร่งความเร็วเมื่อเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ!” ผู้นำผู้ฝึกตนซึ่งเป็นผู้อาวุโสในขั้นจุติวิญญาณขมวดคิ้วและสั่งออกมาเสียงดังท่ามกลางเสียงหัวเราะขรม

“ผู้อาวุโสขอรับ ตอนนี้เราก็มาถึงดาวบ้านเกิดแล้ว จะเกิดเหตุไม่คาดฝันอะไรขึ้นได้อีก ท่านไปพักผ่อนเถอะ ทรัพยากรที่เราได้มาคราวนี้เพียงพอให้ท่านบรรลุการฝึกตนไปยังขั้นต่อไป พวกเรามายินดีให้ผู้อาวุโสล่วงหน้ากันดีกว่า!”

“ถูกแล้ว ผู้อาวุโสโปรดวางใจเถิด การพรางตัวของพวกเรานั้นไร้ที่ติ เรือบินรบของพวกเราดูปกติธรรมดาแถมยังปุโรทั่งเสียขนาดนี้ ไม่เตะตาสักนิด คงไม่มีใครคิดมาปล้นพวกเราเป็นแน่ ยิ่งไปกว่านั้น ครั้งสุดท้ายที่มีคนกล้าทำสิ่งบ้าคลั่งเช่นการปล้นเรือบินรบนั้นก็หลายปีมาแล้วด้วย สำนักคงจะส่งคนมารับพวกเราในไม่ช้านี้แน่ โปรดวางใจและสบายใจได้”

ผู้อาวุโสใคร่ครวญอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะผ่อนคลายลงเล็กน้อย ความคิดที่ว่าเขาได้ทรัพยากรมามากเพียงพอที่จะฝึกตนจนบรรลุขั้นได้ทำเอาท้องไส้เขาปั่นป่วนด้วยความลิงโลดใจ

แน่นอนว่า…ผู้ฝึกตนเหล่านี้ที่เพิ่งกลับมาจากการสังหารหมู่พร้อมเรือบินรบซึ่งล้นปรี่ไปด้วยสมบัติ ต่างไม่รู้เลยว่ามีสายตาสองคู่จ้องเขม็งมายังเรือบินรบของพวกเขา ร่างสองร่าง ร่างหนึ่งใหญ่อีกร่างหนึ่งเล็ก ซึ่งกำลังซุกซ่อนอยู่ในปุยเมฆ ต่างจ้องมองเรือบินรบด้วยสายตาแน่วแน่

หวังเป่าเล่อหรี่ตาก่อนจะลุกขึ้นยืนท่ามกลางหมู่เมฆ ชายหนุ่มศึกษาเรือบินรบที่ดูแสนจะธรรมดาก่อนจะถามเจ้าลาออกมาเบาๆ

“เจ้าลูกข้า แน่ใจหรือว่าลำนี้อร่อย”

“ลูกข้า!” เจ้าลาดูมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง กีบขาของมันสั่นเทาด้วยความหิวโหยอันเกินจะควบคุม ดูราวกับว่ามันพร้อมจะพุ่งตัวออกไปได้ทุกเมื่อ

“ก็ได้ ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้งก็แล้วกัน ไปชิงของมากันเถิด!” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ชายหนุ่มเลิกสนใจเรือบินรบลำอื่นไปเสียสิ้นและเริ่มซุกซ่อนตัว พวกเขาลอบติดตามเรือบินรบไปอย่างเงียบเชียบ

ไม่นานนัก เรือบินรบที่ดูเก่าโทรมเหม็นสาบความจนก็เริ่มหันเหออกจากลำอื่นๆ อย่างช้าๆ ก่อนจะค่อยๆ เข้าไปยังชั้นบรรยากาศของดวงดาว เมื่อเข้าไปได้ เรือบินรบลำนั้นก็หายไปในกลุ่มเมฆหนาทึบ

เรือบินรบลำนั้นจมดิ่งลงไปในชั้นบรรยากาศ ดวงตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย พวกเขาไม่ได้ละสายตาจากเรือบินรบไปแม้แต่น้อย ชายหนุ่มใช้ความเร็วเต็มที่ก่อนจะปล่อยพลังปราณขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์ให้ไหลบ่าท่วมกาย วิญญาณจุติดวงดาราเข้ามาเพิ่มความเร็วให้สูงยิ่งกว่าที่พลังปราณจะทำได้ ทำให้ขณะนี้ชายหนุ่มมีความเร็วเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ หวังเป่าเล่อพุ่งตัวตามเรือบินรบไปด้วยความเร็วราวกับเป็นดาวหาง!

เรือบินรบเองก็ปล่อยความเร็วสูงสุดออกมาในวินาทีนั้นเช่นกัน ก่อนจะเคลื่อนที่ออกไปด้วยความเร็วอย่างน้อยๆ สามเท่าของความเร็วตั้งต้น

หืม พวกเขาสัมผัสข้าได้อย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อชะงัก ไม่มีเวลาคิดแล้ว ชายหนุ่มเลิกซ่อนตัว ก่อนจะปล่อยพลังปราณและจิตสัมผัสออกไปรอบกายอย่างเต็มที่ ราวกับว่าตัวเขาเป็นพายุที่มองไม่เห็นซึ่งพุ่งเข้าปกคลุมเรือบินรบในทันใด จิตสัมผัสของหวังเป่าเล่อพุ่งทะลุระบบป้องกันของเรือบินรบ ตอนนั้นเองชายหนุ่มก็เห็นผู้ฝึกตนนับสิบบนเรือบินรบ!

สัญญาณเตือนภัยเสียงแหลมสูงดังลั่นขึ้นในเรือบินรบทันทีที่หวังเป่าเล่อตรวจสอบเรือบินรบ ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกตนบนเรือบินรบต่างก็ยังหัวร่อต่อกระซิกและผ่อนคลายกันอยู่ แต่ขณะนี้พวกเขาต่างมีสีหน้าตื่นตกใจ ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณต่างตื่นตะลึง ก่อนจะอ้าปากค้าง

“ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเช่นนั้นหรือ”

“เร็วเข้า มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว!”

พวกเขาเพิ่งได้ยินสัญญาณเตือนของเรือบินรบและสัมผัสได้ถึงจิตสัมผัสแปลกปลอมที่แผ่เข้ามา ผู้ฝึกตนจำพวกเดียวที่สามารถส่งจิตสัมผัสเข้ามาสำรวจภายในเรือบินรบขณะอยู่ในชั้นบรรยากาศรอบนอกได้…ต้องเป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอย่างแน่นอน การทำเรื่องที่โผงผางเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงเจตนาของผู้ฝึกตนผู้นี้ได้อย่างชัดเจน อย่างน้อยๆ ก็ถือว่าชัดเจนสำหรับบรรดาผู้ฝึกตนบนเรือบินรบแล้ว!

ไม่มีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอยู่บนเรือบินรบเลยหรือ แปลว่าพวกเขาไม่ได้เร่งความเร็วเพราะสัมผัสถึงตัวข้าเช่นนั้นสิ หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นระรัวเมื่อมองเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของบรรดาผู้ฝึกตนบนเรือบินรบ ชายหนุ่มนึกสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ เขาอาจเจอขุมทรัพย์เข้าจริงๆ แล้วก็ได้ในครานี้ มีแกะตัวอ้วนพีตกลงบนตักพร้อมให้เชือดคอแล้ว!

หวังเป่าเล่อผู้ตื่นเต้นตั้งใจเปลี่ยนเสียงเพื่อจะหัวเราะชั่วร้าย พลันหายตัวไปในทันทีราวกับเป็นผีสาง และกระโจนขึ้นไปบนเรือบินรบที่กำลังเร่งความเร็วหนี ชายหนุ่มผ่านทะลุตัวถังเรือเข้าไปขณะที่เสียงของเขาดังกระหึ่มขึ้นในศีรษะของผู้ฝึกตนทุกคนอย่างฉันพลับราวกับเป็นเสียงระเบิด

“ทุกคนหยุด! นี่คือการปล้น!”

บทที่ 738 กฎของการปล้นที่ดี!
พลังที่แพร่กระจายออกมาจากการบรรลุขั้นปราณของหวังเป่าเล่อไม่ได้น่าประทับใจเท่าใดนัก แต่ก็ยังมีคลื่นพลังวิญญาณแพร่ออกไปถึงเขตหวงห้าม คลื่นพลังวิญญาณไหลบ่าท่วมบริเวณและกระจายไปยังผู้ฝึกตนทุกคนที่ทำงานอยู่บนเรือบินรบ

ผู้อาวุโสสูงสุดและผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณทั้งหกของสำนักต่างตกตะลึงเมื่อสัมผัสได้ถึงการบรรลุขั้นอย่างฉับพลันทันด่วน ผู้อาวุโสสูงสุดหายจากอาการตกตะลึงเป็นคนแรก ก่อนจะเคลื่อนย้ายตัวมาปรากฏขึ้นกลางอากาศเหนือกลุ่มเจ็ด ชายชราก้มศีรษะลงมอง ไม่ใส่ใจสมาชิกของกลุ่มเจ็ดที่หนีหายไปหลบอยู่ในห้องทำงานของตนเองด้วยสีหน้าตื่นตกใจ พลางใช้สัมผัสตรวจสอบบริเวณโดยรอบทันที สัมผัสของชายชราไปจับอยู่ที่ห้องซึ่งหวังเป่าเล่ออยู่!

นัยน์ตาของผู้อาวุโสเบิกโพลงหลังจากที่ตรวจสอบเสร็จ มีความไม่อยากเชื่อฉาบเคลือบอยู่บนดวงตาทั้งสอง

หลงหนานจื่อ เขาบรรลุขั้นแล้วหรือ

ผู้อาวุโสสูงสุดสัมผัสสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในห้องนั้นได้อย่างชัดเจน หวังเป่าเล่อนั่งอยู่ภายใน พลังปราณของเขาไหลบ่าออกมาขณะที่พลังวิญญาณขั้นจุติวิญญาณเริ่มมารวมตัวกัน ผู้อาวุโสสูงสุดสัมผัสได้ถึงแก่นในทองคำของหวังเป่าเล่อที่กำลังแตกตัวและวิญญาณจุติของเขาที่ก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

ผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณทั้งหกของสำนักปรากฏตัวขึ้นคนแล้วคนเล่า พวกเขาต่างก็ประหลาดใจไม่แพ้กันเมื่อเห็นหลงหนานจื่อกำลังบรรลุขั้นปราณ

หลงหนานจื่อมีความสามารถจำกัดมาโดยตลอด แม้ว่าจะได้รับโอกาสในปีต้นๆ แต่เขาก็ยังบรรลุได้เพียงขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้น ตามหลักแล้วขั้นจุติวิญญาณก็ไม่ได้ห่างไกลสำหรับเขา แต่โอกาสที่จะบรรลุได้จริงๆ นั้นมีน้อยนิดมาโดยตลอด

แม้ว่าทุกคนจะไม่อยากเชื่อสายตาในตอนแรก แต่จากนั้นพวกเขาก็ได้ความคิดบางอย่าง หลงหนานจื่อเป็นคนเก่งช้าด้านการหลอมวัตถุเวท การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในด้านนั้นอาจจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาในการบรรลุขั้นปราณก็เป็นได้

ทั้งบรรดาผู้อาวุโสและผู้อาวุโสสูงสุดต่างก็ยอมรับความก้าวหน้าอย่างปุบปับของหลงหนานจื่อในด้านการหลอมวัตถุเวท พวกเขาไม่พบพิรุธใดๆ ในตัวอีกฝ่าย ทั้งในวิญญาณ ในกายเนื้อ หรือรัศมีเองก็ไม่มีสัญญาณว่าถูกสิงหรือถูกแทนที่โดยใครคนอื่น

การบรรลุขั้นปราณของหลงหนานจื่อนั้นเป็นเรื่องเกินคาด แต่ก็ถือเป็นสิ่งดี การมีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเพิ่มขึ้นในสำนักช่วยเพิ่มพลังและอิทธิพลของสำนักขึ้นมาก ยิ่งไปกว่านั้น ความสามารถของเขาในด้านการหลอมวัตถุเวทก็เป็นที่ประจักษ์ชัด ทักษะ ระยะเวลาที่ได้รับใช้สำนัก และการบรรลุขั้นปราณของเขาจะมีส่วนช่วยในการซ่อมแซมเรือบินรบเป็นอย่างมาก

นัยน์ตาของผู้อาวุโสสูงสุดส่องประกายกล้าขึ้นมาเมื่อคิดได้เช่นนั้น เขารีบสั่งให้ปิดล้อมบริเวณนั้นเอาไว้ทั้งหมด ทุกๆ คนในกลุ่มเจ็ดถูกสั่งให้ออกจากพื้นที่ จากนั้นบรรดาผู้อาวุโสจึงนั่งลงเฝ้ายามให้หวังเป่าเล่อ

สมาชิกกลุ่มเจ็ดไม่รอช้า ต่างก็พากันส่งข่าวเรื่องการบรรลุขั้นปราณของหลงหนานจื่อออกไป ทุกๆ คนในเขตหวงห้ามจึงรู้ว่าเขานั่นเองที่เป็นต้นเหตุของคลื่นพลังวิญญาณที่บ่งบอกถึงการบรรลุขั้น!

เสียงอุทานด้วยความตกตะลึงและการทุ่มเถียงอย่างเผ็ดร้อนดังขรมไปทั่วเขตหวงห้าม บางคนก็แสดงความอิจฉา บ้างก็แสดงความริษยา และหลายคนก็ทอดถอนใจด้วยความขมขื่น

และผู้ที่ขมขื่นและเศร้าสร้อยที่สุดย่อมไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลี่เฉิน

ดวงเนตรสวรรค์บอดไปแล้วหรืออย่างไรกัน ตาสีตาสาที่ไหนก็บรรลุขั้นได้เช่นนั้นหรือ หลี่เฉินจ้องไปที่เรือบินรบที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยแววตาโกรธเคือง ก่อนจะสบถด่าหวังเป่าเล่อ พร้อมทั้งสวดภาวนาให้การบรรลุขั้นล้มเหลว แต่คำอธิษฐานของเขาก็ไม่สัมฤทธิ์ผล สามวันต่อมา…เมื่อหวังเป่าเล่อก็จบการฝึกปราณและก้าวออกมาจากห้อง ผู้อาวุโสสูงสุดก็ประกาศแต่งตั้งเขาขึ้นเป็นผู้อาวุโสคนที่เจ็ดของสำนักทันที!

หลังจากการแต่งตั้งหวังเป่าเล่อ ความคิดที่ผู้อาวุโสสูงสุดมีต่อเขาก็เปลี่ยนไป ชายวัยกลางคนจะไม่เข้มงวดกับเขาเท่าศิษย์อื่นๆ อีกแล้ว เขายิ้มให้หวังเป่าเล่อเหมือนที่ยิ้มให้ผู้อาวุโสอีกหกคน

หวังเป่าเล่อคุ้นชินกับการเมืองรูปแบบนี้ดี ตอนที่อยู่ในสหพันธรัฐชายหนุ่มก็ไต่อันดับขึ้นมา จากล่างสุดมาเป็นเจ้าพนักงานระดับสูง เขาจึงเชี่ยวชาญการรับมือกับผู้คนเป็นอย่างดี ชายหนุ่มตอบรับและแสดงความเคารพผู้อาวุโสท่านอื่นๆ

ในวันต่อๆ มา หวังเป่าเล่อก็ผ่านพิธีการหลากหลายที่ทำให้เขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสของสำนัก สิทธิ์การเข้าถึงที่ได้รับก็เพิ่มพูนขึ้นตามกัน สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ชายหนุ่มตั้งตารอมานาน นอกจากจะสามารถเข้าถึงหนังสือลับและเคล็ดวิชาการฝึกปราณของสำนักแล้ว ชายหนุ่มยังสามารถเข้าไถึงแกนกลางของเรือบินรบได้อีกด้วย

หลายวันต่อจากนั้น หวังเป่าเล่อจึงมาจดจ่ออยู่กับแกนกลางของเรือบินรบแทน นอกเหนือจากการศึกษาบันทึกต้องห้ามของสำนักและทักษะการหลอมที่บันทึกอยู่ในนั้น ชายหนุ่มยังได้ทดลองซ่อมแซมวัตถุเวทในบริเวณแกนกลางของเรือบินรบอีกด้วย

ทักษะในการหลอมวัตถุเวทของหวังเป่าเล่อพัฒนาอย่างก้าวกระโดดอีกครั้ง การทดสอบและฝึกฝนซ้ำไปซ้ำทำให้ความเข้าใจเรื่องเรือบินรบและโครงสร้างของมันฝังลึกลงไปในใจของชายหนุ่ม ความมั่นใจในการสร้างเรือบินรบของตัวเองก็เพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน

เมื่อมีเวลาว่าง หวังเป่าเล่อก็วาดแผนผังเรือบินรบของเขาเองในศีรษะ การสร้างจะต้องสมเหตุสมผลและเป็นไปตามกฎที่กำกับการใช้วัตถุเวท แผนผังนั้นช่างซับซ้อนยิ่งนัก แม้ว่าจะมีความสามารถในด้านนี้สูงเพียงใด หวังเป่าเล่อก็ยังต้องใช้เวลาหลายเดือนกว่าจะได้แผนผังที่สมบูรณ์ในศีรษะ

ขณะที่ร่างแรกของแผนผังเสร็จสมบูรณ์แล้ว ปัญหาใหม่ก็ตามมา…นั่นคือทรัพยากร!

สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ประมูลสิ่งก่อสร้างของสำนักออกไปกว่าครึ่งเพื่อจะหาเงินมาซ่อมแซมเรือบินรบ แต่ฝ่ายหวังเป่าเล่อนั้นกำลังจะสร้างเรือบินรบจากศูนย์ ทรัพยากรที่ต้องใช้ในการสร้างเรือบินรบขึ้นมานั้นมหาศาลนัก อันที่จริงแล้ว อาจจะมากจนประเมินค่าไม่ได้เสียด้วยซ้ำ

ข้าจะต้องคิดหาทาง…หวังเป่าเล่อศึกษาแผนผังที่เขียนในศีรษะก่อนจะกะประมาณทรัพยากรที่ต้องใช้ออกมาคร่าวๆ ตัวเลขสุดท้ายนั้นหนักอึ้งอยู่ในใจ ชายหนุ่มเผชิญกับความเครียดอย่างหนัก

หากข้าสามารถใช้ใบหน้าอันหล่อเหลาในการหาเงิน เรื่องนี้ก็คงไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด…ข้าจะทำอย่างไรดี ข้าควรจะใช้ตัวตนของข้าในการขโมยทรัพยากรหรือไม่ หวังเป่าเล่อทอดถอนใจอย่างท้อแท้กับปริมาณทรัพยากรมหาศาลที่เขาจะต้องใช้ สมองเริ่มหมุนวนทำงานอย่างหนัก

ผู้อาวุโสสูงสุดและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็ยอมรับเขาในฐานะผู้อาวุโสคนใหม่ของสำนัก ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าความระแวดระวังที่พวกนั้นมีต่อตัวเขาเริ่มจางหายไป

หลังจากที่เข้าใจธรรมชาติของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์และรับรู้ถึงธรรมชาติการอยู่รอดด้วยการปล้นสะดมแล้ว หวังเป่าเล่อก็คิดอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ แม้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดและผู้อาวุโสคนอื่นๆ จะดูเป็นมิตร แต่ลักษณะภายนอกที่ดูจริงใจนั้นก็เป็นเพียงแค่รูปลักษณ์เท่านั้น คนดีมีน้อยในอารยธรรมนี้ ผู้ที่ต้องการจะพัฒนาระดับปราณต้องออกเดินทางและเป็นโจร การเข่นฆ่ากลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปเสียแล้ว

หวังเป่าเล่ออาจจะผ่านการตรวจสอบมาแล้วหลายต่อหลายรอบ แต่การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเขาก็ยังทำให้ผู้คนสงสัย ในช่วงเวลานี้ ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงสายตาที่จ้องมองเขาอยู่เสมอ ทว่าเขาไม่มีเจตนาจะทำลายสำนักแต่อย่างใด และด้วยเหตุนี้จึงทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ไม่พบพิรุธในตัวเขา

หากหวังเป่าเล่อต้องการ เขาก็สามารถดึงทรัพยากรมาใช้เป็นการส่วนตัวได้ ตำแหน่งของเขาช่วยให้ทางออกนี้สะดวกง่ายดายขึ้น แต่ขณะนี้สำนักก็กำลังยากจนและขาดแคลนทรัพยากรอยู่ หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ หวังเป่าเล่อจึงสรุปได้ว่าเขาควรจะดูดทรัพยากรของสำนักมาให้แห้งและขโมยเรือบินรบออกไป มิเช่นนั้นแผนของเขาก็คงไม่มีวันลุล่วงได้

บุรุษไม่ควรยึดติดกับเรื่องเล็กน้อย ข้าจะต้องไปให้สุดไม่เช่นนั้นก็ต้องลาลับ ข้าไม่ควรจะมาเสียเวลากับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะหรี่ตาลง ประกายแสงกล้าสะท้อนอยู่ในดวงตา

อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์นั้นกว้างใหญ่ไพศาล มีสำนักร่ำรวยๆ อยู่มากมายเต็มไปหมด…หวังเป่าเล่อเลียริมฝีปาก ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ชั่วอึดใจก่อนจะตัดสินใจได้ เขาจะต้องหลบการถูกจับตามองในช่วงสองสามวันจากนี้ จากนั้นก็เริ่มขายของในกระเป๋าคลังเก็บและซื้อทรัพยากรมาอย่างลับๆ

ชายหนุ่มทำตามที่วางแผนไว้ทุกประการ จากนั้นในคืนเดือนมืด หวังเป่าเล่อก็แอบออกจากที่พักโดยไม่ให้ใครเห็น ก่อนจะมาปรากฏตัว…อยู่บนท้องฟ้านอกสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์!

แม้จะมีสำนักอยู่มากมายที่แนวภูเขาที่ห้า แต่พวกเขาส่วนมากจะเก็บซ่อนทรัพยากรไว้อย่างดี แม้ว่าจะแทรกซึมเข้าไปในสำนักได้ ข้าจะต้องปลอมตัวเป็นใครสักคนเพื่อเข้าไปสำรวจ จากนั้นก็ต้องพึ่งโชคชะตาเพื่อจะหาของมีค่าให้เจอ ช่างไม่คุ้มค่าเสียเลย เสียเวลาแล้วก็มีปัญหามากนัก…

วิธีที่ดีที่สุดคือให้สำนักเหล่านั้นจัดทรัพยากรของตนเองให้เป็นระเบียบ ข้าจะได้ทำการสะดวกขึ้นเมื่อออกปล้น

เพราะเหตุนี้…หากข้าต้องการจะปล้น เป้าหมายที่เหมาะสมที่สุด…คือเรือบินรบที่เพิ่งกลับมาจากการปล้นสะดมและเต็มไปด้วยทรัพยากร ไม่เพียงแต่จะรับประกันผลลัพธ์อันคุ้มค่า แต่ข้ายังสามารถแยกชิ้นส่วนเรือบินรบออกและเก็บมาใช้ได้อีกด้วย! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อสะท้อนประกายกล้า ความรู้สึกของการได้เป็นอารยธรรมต่างถิ่นที่ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทำให้ชายหนุ่มตื่นเต้น เขาหายตัวและมุ่งหน้าไปยังดวงดาว

ดาวเอกของระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์มีสำนักอยู่มากมาย แปลว่าย่อมมีเรือบินรบอยู่มากมายเช่นกัน บางลำก็สามารถเดินทางท่องไปได้ไกล ขณะที่ลำอื่นๆ สามารถเดินทางไปมาได้ในระบบดาวเคราะห์เพียงเท่านั้น เรือบินรบจำนวนมากมาเดินทางเข้ามาและออกจากระบบดาวเคราะห์นี้ แม้จำนวนของเรือบินรบที่ผ่านไปผ่านมาจะไม่ได้มหาศาล แต่ก็ยังถือว่าไม่น้อยนัก

สิ่งนี้คือภาพที่หวังเป่าเล่อเห็นเมื่อชายหนุ่มมาปรากฏกายอยู่ด้านนอกชั้นบรรยากาศของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ สายตาของเขากวาดมองเรือบินรบจำนวนมาก ชายหนุ่มยกมือถูคาง ก่อนที่เขาจะจำแลงกายอย่างรวดเร็วจากหลงหนานจื่อเป็น…จั่วอี้เซียน

หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบก เจ้าลาที่กำลังนอนหลับอุตุอยู่ในกระเป๋าคลังเก็บถูกปลุกให้ตื่น

“ลูกชายที่รักของข้า ได้เวลาที่เจ้าจะพิสูจน์ตัวเองแล้ว เร็วเข้า บอกบิดาของเจ้า จากประสบการณ์การกินทุกอย่างที่ขวางหน้าของเจ้า เรือบินรบลำใดที่เจ้าคิดว่ามีทรัพยากรซ่อนอยู่มากที่สุดกันเล่า”

บทที่ 737 สวัสดี เราพบกันอีกแล้วนะ!
ฝูงชนไม่เพียงตื่นตะลึงที่หวังเป่าเล่อหลอมของเหลววิญญาณมายาขั้นสูงได้ แต่ยังตื่นตะลึงกับระยะเวลาเพียงน้อยนิดที่เขาใช้ไป…การหลอมทั้งหมดใช้เวลาไปทั้งสิ้นไม่เกินสามสิบวินาที!

แค่เรื่องเวลาเพียงอย่างเดียวก็น่าทึ่งพอแล้ว แต่ชายหนุ่มไม่เพียงแค่ใช้เวลาไปไม่กี่อึดใจ เขายังหลอมของเหลววิญญาณมายาระดับยอดเยี่ยมออกมาได้เสียด้วย!

การแสดงฝีมือครั้งนี้ทำให้ทุกคนลืมสิ่งที่พวกเขาเคยรู้เกี่ยวกับการหลอมไปเสียสิ้น พวกเขาต่างพากันส่งเสียงตกใจ ลืมการมีอยู่ของหลี่เฉินไปlobm

หลี่เฉินเองอยู่ในจุดที่กำลังอับอาย แถมเด็กหนุ่มยังตื่นตะลึงไม่แพ้คนอื่น เขาเองก็สามารถหลอมของเหลววิญญาณมายาที่มีอัตราสูญเสียเพียงร้อยละสิบได้เช่นกัน แต่ก็ต้องใช้เวลาร่วมสามวัน

ทว่าหลงหนานจื่อกลับทำได้สำเร็จภายในไม่กี่วินาที ระดับพื้นฐานของทั้งสองนั้นห่างไกลกันลิบลับ!

ช่างเป็นความจริงอันขมขื่นที่ฝากรอยแผลไว้ให้กับความหยิ่งทนงของหลี่เฉินยิ่งนัก เด็กหนุ่มแทบจะสะกดกลั้นโทสะและความอับอายเอาไว้ไม่อยู่ ก่อนที่เขาจะได้พูดสิ่งใด หวังเป่าเล่อก็ส่ายศีรษะ

“ข้ายังไม่ชินเท่าใดนัก เพราะเพิ่งเคยหลอมสิ่งนี้เป็นครั้งแรก จึงมีอัตราสูญเสียถึงร้อยละสิบ…” ชายหนุ่มทอดถอนใจ พลางทำหน้าไม่สบอารมณ์กับผลลัพธ์ ก่อนจะโบกมือขวา โยนของเหลววิญญาณมายาไปให้หลี่เฉิน สิ่งที่คนอื่นคิดว่ามีค่ายิ่ง หวังเป่าเล่อกลับคิดว่าเป็นขยะ จากนั้นชายหนุ่มก็เดินจากไปหาโต๊ะทำงานว่างๆ เมินหลี่เฉินไปโดยสิ้นเชิง

คำพูดของหวังเป่าเล่อราวกับเป็นพลังเทพที่อัดใส่หลี่เฉินเต็มๆ แถมยังรุนแรงเสียจนกระทบไปถึงรอบข้างด้วย ความเงียบสงัดปกคลุมทั่วบริเวณในบัดดล

ผู้คนแหวกออกเป็นทางเมื่อหวังเป่าเล่อเดินผ่าน ราวกับว่ากำลังอยู่ต่อหน้าองค์เทพกระนั้น พวกเขาก้าวถอยหลังอย่างยอมจำนนและพากันเปิดทางให้ ทุกคนในที่นั้นต่างมองเห็นงานหลอมและได้ยินที่เขาพูด หวังเป่าเล่อขณะนี้เปล่งรัศมีของผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่ง เป็นบุรุษที่ทุกคนสามารถสัมผัสได้ถึงความทรงพลังที่เต็มเปี่ยม

หวังเป่าเล่อหายเข้าไปในห้องแล้ว แต่ลานจัตุรัสยังจมอยู่ในความเงียบ เป็นเวลาหลายอึดใจกว่าจะมีเสียงหายใจครั้งแรกดังมาให้ได้ยิน ฝ่ายหลี่เฉิน…ขณะนี้หน้าอกของเขาขยับขึ้นลงอย่างรุนแรง ใบหน้าซีดเซียวสลับกับถมึงทึงอยู่ไปมา ในที่สุด ชายหนุ่มก็เงยศีรษะขึ้นก่อนจะตะโกนใส่ทุกคนรอบกาย

“พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่ กลับไปทำงาน!”

“ใครสักคนมาเอาแท่นศิลาลักมายาไปให้…ศิษย์พี่หลงหนานจื่อที!”

“เข็มทิศดาวตกอันนี้ ขนปักษาเพลิงอันนั้น แล้วก็อสูรศิลาดำด้วย…ส่งให้ไปศิษย์พี่หลงหนานจื่อให้หมด!” หลี่เฉินมีสีหน้าเกรี้ยวกราด เขาใช้อำนาจเลือกวัตถุเวทกว่าสามสิบชิ้นที่ยากต่อการซ่อมแซมเป็นอย่างยิ่งก่อนจะส่งไปให้หวังเป่าเล่อทั้งหมด ชายหนุ่มคิดวางแผน เจ้าเก่งนักใช่ไหม ได้ มาดูกันว่าเจ้าจะซ่อมแซมชิ้นส่วนเหล่านี้ได้หมดหรือไม่กัน!

ทุกคนต่างก็หลุบศีรษะลงต่ำและทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมาย ไม่มีใครมีปากมีเสียงกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ในสายตาของพวกเขา นี่เป็นการปะทะกันระหว่างผู้ฝึกตนที่ทรงพลังสองคน และไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาจะต้องมาข้องเกี่ยวด้วย พวกเขาทำตามคำสั่งและนำวัตถุดิบกับวัตถุเวทที่ต้องการการซ่อมแซมไปยังห้องของหวังเป่าเล่อ

หากเป็นผู้ฝึกตนคนอื่นๆ พวกเขาคงจะไม่สบอารมณ์นักเมื่อต้องถูกกลั่นแกล้งเช่นนั้น การซ่อมแซมของถือเป็นส่วนหนึ่งของงาน และพวกเขาจะไม่ได้รับรางวัลเพิ่มเติม เพราะรางวัลเพิ่มเติมจะมอบให้กับคนที่ทำการซ่อมแซมวัสดุที่อยู่ในรายชื่อเท่านั้น ซึ่งคืองานอยู่นอกเหนือขอบเขตงานของตน

แต่หวังเป่าเล่อไม่ได้ขัดข้องใจแม้แต่น้อย อันที่จริงแล้ว ชายหนุ่มนั้นยิ่งกว่าเต็มใจที่จะรับงานเอาไว้ สิ่งเดียวที่เขาขาดคือการฝึกฝน งานซ่อมแซมที่ถูกส่งมาที่เขาทำให้เขาไม่ต้องกังวลเรื่องทรัพยากรหรือวัตถุดิบสำหรับการหลอมที่ขาดแคลน เขาต้อนรับงานซ่อมแซมทุกชิ้นอย่างยินดีและเริ่มทำงานด้วยความเร็วที่ร้ายกาจ

ทว่าสมาธิของหวังเป่าเล่อไม่ได้อยู่ที่การซ่อมแซมแม้แต่น้อย แต่กลับไปอยู่ที่การแยกชิ้นส่วนสิ่งของและศึกษาโครงสร้างภายในของมัน ด้วยความรู้และประสบการณ์อันมากมายด้านการหลอม ชายหนุ่มจึงกลายเป็นฟองน้ำที่รับเอาทุกสิ่งที่เขาได้ศึกษาเข้าไปโดยเร็ว เวลาผ่านไปเช่นนี้หลายวัน แถมหวังเป่าเล่อยังเข้าร่วมกับกลุ่มๆ หนึ่ง ที่ช่วยให้เขาเข้าถึงความรู้ด้านการหลอมวัตถุเวทได้มากขึ้น

การซ่อมบำรุงเรือบินรบเป็นงานเร่งด่วนที่สุดสำหรับสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ แต่สำนักก็ขาดแคลนกำลังคน เพื่อเป็นการเพิ่มความเร็วในการซ่อมแซม หนังสือเกี่ยวกับการซ่อมแซมวัตถุเวทที่แต่เดิมสงวนไว้สำหรับเลือดเนื้อเชื้อไขของสำนัก กลับถูกนำมาเผยแพร่แก่สมาชิกของกลุ่มทั้งเก้าบางส่วน

เวลาผ่านไปสามเดือน ความก้าวหน้าของหวังเป่าเล่อด้านการหลอมวัตถุเวทในช่วงระยะเวลานี้ช่างน่าอัศจรรย์ใจนัก การนำสองระบบการหลอมจากสองอารยธรรมมารวมกันก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ มากมาย ชายหนุ่มจมดิ่งลงไปในงาน จนกระทั่งลืมความตั้งใจที่เดินทางกลับไปยังระบบสุริยะอยู่เนืองๆ

ความรู้สึกที่ว่าความชำนาญด้านการหลอมวัตถุเวทของเขาเพิ่มมากขึ้นทุกวันทำเอาหวังเป่าเล่อลิงโลดใจเป็นที่สุด ความดีใจนั้นเพิ่มพูนขึ้นไปอีกเมื่อรู้ตัวว่า บัดนี้เขาสามารถหลอมอาวุธเวทระดับเก้าได้แล้ว ชายหนุ่มไม่รู้สึกงุนงงกับการหลอมอาวุธเวทอีกต่อไป การได้รู้เช่นนี้ทำให้กำลังใจของหวังเป่าเล่อเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

ชายหนุ่มไม่ได้พยายามซ่อนพัฒนาการนี้ของตนแต่อย่างใด แม้ว่าเขาเคยคิดที่จะทำเช่นนั้น แต่ก็คงทำได้ยาก ทุกคนในกลุ่มเจ็ดคุ้นชื่อเขาดี อันที่จริงแล้ว…งานที่เขาผลิตออกมานั้นมีปริมาณเทียบเท่ากับงานของคนที่เหลือในกลุ่มรวมกัน ส่วนหลี่เฉินก็เลิกตอแยเขาไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ยอมรับว่าความสามารถของหลงหนานจื่อกับตัวเขาแตกต่างกันเกินไป แถมหลงหนานจื่อยังพัฒนาขึ้นมาก แม้ว่าการกลั่นแกล้งในตอนแรกๆ อาจจะส่งผลให้ความเร็วและความแม่นยำของอีกฝ่ายลดลงเมื่อต้องมาซ่อมชิ้นส่วนเรือบินรบ แต่ผลเหล่านั้นก็คงอยู่ไม่นาน หลี่เฉินต้องขุดคุ้ยสมองหางานที่ยากขึ้นไปอีกมาให้หลงหนานจื่อทำ

งานเหล่านี้ทำให้ชีวิตของหวังเป่าเล่อลำบากอยู่ไม่กี่วัน แต่หลังจากนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป หลี่เฉินแทบคลั่งเพราะความรำคาญใจ และไปตามล่าหาสิ่งอื่นมาทำให้ชีวิตของหวังเป่าเล่อยากลำบากขึ้นไปอีก หลี่เฉินถึงกับยอมติดต่อไปยังกลุ่มอื่นโดยใช้ข้ออ้างว่าต้องการช่วยเหลือ อย่างไรก็ตาม ทุกๆ สิ่งที่เขาโยนใส่หวังเป่าเล่อนั้นกลับได้รับความสนใจจากอีกฝ่ายเป็นเวลาไม่กี่วันเท่านั้น…

ในที่สุด หลี่เฉินก็ต้องประสาทเสียไปเองจากประสบการณ์ที่ได้รับ เขาเลิกมาตอแยหวังเป่าเล่อ แต่ หวังเป่าเล่อกลับไม่ค่อยชอบใจกับเรื่องนี้นัก ยิ่งเวลาผ่านไป ชายหนุ่มก็ยิ่งนึกชอบพอหลี่เฉินขึ้นมา แผนแสบๆ ของหลี่เฉินนั้นเหมือนเป็นการช่วยเหลือมากกว่าทำร้าย เพราะหากไม่ได้ทำงานซ่อมแซมที่ยากๆ จากกลุ่มอื่นๆ หวังเป่าเล่อก็คงไม่เก่งขึ้นรวดเร็วถึงเพียงนี้

หวังเป่าเล่อตกใจเมื่อได้รู้ว่าหลี่เฉินล้มเลิกความตั้งใจที่จะรังแกตนแล้ว จึงไปหาหลี่เฉินก่อนจะพูดคุยด้วยตามตรง และดูเหมือนว่าการพูดคุยนั้นจะไปจุดไฟให้กับวิญญาณของหลี่เฉินอีกครั้ง เด็กหนุ่มทั้งช่วยเหลือและขยายวงการค้นหา ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อจะช่วยหวังเป่าเล่อในการฝึกฝน

แต่ไฟนี้…คงอยู่ได้เพียงสองเดือนก่อนที่หลี่เฉินจะยอมแพ้ไป ไม่ว่าหวังเป่าเล่อจะพูดคุยด้วยอย่างดีเพียงใดก็ไม่เป็นผล หลี่เฉินดูคล้ายจะร้องไห้อยู่ตลอดเวลา ก่อนจะเข้าไปพบอาจารย์และขอย้ายออกจากกลุ่มเจ็ดไป…

หวังเป่าเล่อรู้สึกเศร้าใจกับการจากไปของหลี่เฉิน เมื่อได้รู้ว่าหลี่เฉินย้ายไปกลุ่มห้า ชายหนุ่มก็รีบรุดไปที่กลุ่มห้าอย่างมีความสุขเพื่อไปหาหลี่เฉินทันที หวังเป่าเล่อเริ่มทำงานที่นั่นแทน และได้รับงานซ่อมแซมยากๆ อีกครั้ง

สองสัปดาห์ต่อมา…หลี่เฉินขอย้ายไปกลุ่มสาม หวังเป่าเล่อก็ตามสหายไปอยู่กลุ่มสามด้วยอย่างมีความสุข

หนึ่งสัปดาห์ต่อมาหลี่เฉินย้ายไปกลุ่มหนึ่ง หวังเป่าเล่อผู้ลิงโลดก็ตามมารอยเท้าสหายมาติดๆ หลี่เฉินตื่นตะลึงเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงหน้า

“สวัสดี!” หวังเป่าเล่อกะพริบตาและโบกมือให้หลี่เฉินอย่างตื่นเต้น

หลี่เฉินจากไปในวันนั้นเอง…ครั้งนี้ชายหนุ่มเลิกทำงานภายในเรือบินรบไปเลย และไปซ่อมแซมภายนอกแทน หวังเป่าเล่อเสียใจที่เห็นสหายจากไป หากไม่ใช่เพราะ ‘มิตรภาพ’ ที่ชายหนุ่มได้พัฒนาขึ้นร่วมกับหลี่เฉินในช่วงเวลานี้ เขาคงสังหารอีกฝ่ายและชิงเอาตัวตนมาเสียแล้ว

พวกเราเป็นสหายกัน ข้าจะทำเช่นนั้นกับสหายไม่ได้ หวังเป่าเล่อทอดถอนใจขณะที่มองดูหลี่เฉินเดินจากไป จากนั้นชายหนุ่มจึงหันหลังเดินกลับไปยังกลุ่มที่หนึ่ง…ในช่วงเวลาสามเดือนต่อมา หวังเป่าเล่อทำงานต่อไปโดยไม่ได้สังกัดกลุ่มใด ชายหนุ่มเดินจากกลุ่มหนึ่งสู่อีกกลุ่ม ไปทุกที่ที่มีคนต้องการตัว!

ความสามารถในการหลอมอันหาตัวจับยากของหวังเป่าเล่อไปสะดุดตาผู้อาวุโสสูงสุดและผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เข้า แต่ผลสรุปจากการสืบสวนหลายครั้งก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ ในที่สุด พวกเขาก็ทำได้เพียงสรุปว่าความรุดหน้าอย่างฉับพลันทันด่วนเป็นแค่การออกดอกผลของคนเก่งช้าเท่านั้น สิ่งนี้เป็นเรื่องปกติในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แต่ก็ยังไม่มีใครที่พัฒนาได้อย่างก้าวกระโดดเท่าหวังเป่าเล่อ

น่าเสียดายที่หลงหนานจื่อไม่อาจจะบรรลุขั้นปราณได้ ผู้อาวุโสสูงสุดถอนหายใจ เป็นครั้งแรกที่ชายชราสงสัยว่า เขาควรจะลองช่วยเหลือหลงหนานจื่อดีหรือไม่ ยอมเสียสละสักเล็กน้อยเพื่อให้หลงหนานจื่อบรรลุขั้นจุติวิญญาณ

ผู้อาวุโสสูงสุดเริ่มชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสีย ตอนนี้หวังเป่าเล่อใช้เวลาไปหกเดือนในการทำงานกับกลุ่มต่างๆ และเริ่มคุ้นเคยกับโครงสร้างภายในของเรือบินรบ ขณะนี้เป้าหมายของชายหนุ่มอยู่ที่…ส่วนแกนกลางของเรือบินรบ ซึ่งเป็นส่วนที่ผู้อาวุโสของสำนักเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงได้!

หลายวันต่อมา หวังเป่าเล่อใช้กระบวนเวทสารัตถะและจัดการให้ตนบรรลุขั้นจุติวิญญาณ การบรรลุขั้นอันฉับพลันเป็นที่สนใจของทุกคน และข่าวการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของหลงหนานจื่อที่บรรลุสู่ขั้นจุติวิญญาณก็แพร่กระจายไปทั่วสำนักอย่างรวดเร็ว!

บทที่ 736 จะสอนให้ข้ารู้จักเจียมตัวเช่นนั้นหรือ
ข้าอิจฉาสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เสียเหลือเกิน ที่มีโอกาสได้พานพบคนที่ทั้งเฉลียวฉลาดและมหัศจรรย์เช่นตัวข้า! หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ ชายหนุ่มจากกลุ่มเดิมที่เขาเคยทำงานด้วยมาด้วยความรู้สึกเหนือกว่าที่ผลิบานอยู่ในใจ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังด้านในของเรือบินรบตามที่ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณสั่ง

การซ่อมแซมเรือบินรบแบ่งออกเป็นสองส่วน คือด้านนอกและด้านใน ด้านนอกของเรือบินรบต้องใช้ชิ้นส่วนจำนวนมหาศาล แต่ระดับความชำนาญไม่จำเป็นต้องสูงเท่าใดนัก การซ่อมแซมส่วนด้านในนั้นแตกต่างไปโดยสิ้นเชิง ความรัดกุมก็สูงกว่ามาก หวังเป่าเล่อต้องเดินผ่านวงแหวนปราณห้าชั้นก่อนจะได้รับอนุญาตให้เข้าไป

หลังจากที่ผ่านการตรวจสอบทั้งหมดแล้ว ชายหนุ่มก็ถูกเคลื่อนย้ายตรงไปยังเรือบินรบทันที หวังเป่าเล่อมองเห็นผู้ฝึกตนคนที่จะมาเป็นผู้นำทางให้เขา

ชายคนนั้นเป็นชายวัยกลางคนที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นต้น เขาก้าวออกมาข้างหน้าและยกมือขึ้นคารวะทันทีที่มองเห็นหวังเป่าเล่อ

“ยินดีต้อนรับ ศิษย์พี่หลงหนานจื่อ ด้านในของเรือบินรบนั้นเสียหายหลายส่วน การเดินไปมาโดยไม่รู้ว่าส่วนไหนชำรุดเสียหายอาจเป็นอันตรายได้ ข้าจึงได้รับมอบหมายให้มารอที่นี่และพาท่านไปยังกลุ่มที่เจ็ด!”

หลงหนานจื่อเป็นศิษย์ที่มีสถานะค่อนข้างสูงในสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ แม้ว่าเขาจะไม่ได้บรรลุขั้นการฝึกปราณมาหลายปี แต่ก็ยังอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ และแม้จะไม่มีพรสวรรค์ด้านการหลอมวัตถุเวท เขาก็ยังได้รับความเคารพนับถือจากบรรดาศิษย์อื่นๆ อยู่ประมาณหนึ่ง

หวังเป่าเล่อตอบความมีมารยาทของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม ริมฝีปากที่บางของหลงหนานจื่อ ทำให้รอยยิ้มของเขาดูเย็นชาและไม่เป็นมิตร ทำเอาผู้ฝึกตนวัยกลางตรงหน้ารู้สึกอึดอัดขึ้นมา ก่อนจะเดินนำหวังเป่าเล่ออย่างระมัดระวังไปยังจุดหมาย พลางตอบคำถามอยู่ไปมา

คำตอบที่หวังเป่าเล่อได้รับจากผู้ฝึกตนผู้นี้ทำให้ชายหนุ่มเข้าใจเกี่ยวกับกลุ่มที่เจ็ดมากขึ้น มีกลุ่มทั้งสิ้นสี่สิบเอ็ดกลุ่มที่ทำงานอยู่บนเรือบินรบลำนี้ และงานซ่อมแซมก็ถูกแบ่งสรรปันส่วนอย่างชัดเจนระหว่างกลุ่มต่างๆ แต่เพราะกำลังคนที่ไม่เพียงพอ แต่ละกลุ่มจึงต้องทำงานซ่อมแซมที่อาจอยู่นอกเหนือความรับผิดชอบไปบ้าง

กลุ่มเหล่านี้ถูกควบคุมโดยกลุ่มเก้ากลุ่ม ซึ่งมีหน้าที่สอดส่องกลุ่มที่อยู่ภายใต้การดูแล และรับมือกับการซ่อมแซมที่ซับซ้อนและสำคัญกว่า กลุ่มที่ชายหนุ่มจะเข้าร่วมคือกลุ่มเจ็ด มีหน้าที่ดูแลระบบป้องกันของเรือบินรบ

หน้าที่ของพวกเขาจำเป็นต้องใช้ความชำนาญระดับสูงในการหลอมวัตถุเวท กลุ่มนี้มีสมาชิกทั้งสิ้นสิบเก้าคน แต่แทนที่จะทำงานร่วมกันเหมือนกลุ่มที่ซ่อมแซมภายนอกของเรือบินรบ ศิษย์ทุกคนในกลุ่มเจ็ดกลับมีโต๊ะทำงานของตนเอง และต่างแยกกันทำงาน

นอกเหนือจากงานรายวันที่ได้รับแล้ว ในเวลาว่างศิษย์เหล่านี้ยังสามารถตรวจสอบรายชื่อของส่วนที่ต้องการการซ่อมแซม และทำการซ่อมแซมหรือหลอมวัตถุเวทตามที่กำหนด

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและอิสรภาพ สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์จะมอบแต้มให้ตามงานที่ทำสำเร็จ แต้มเหล่านี้สามารถนำไปแลกเป็นวัตถุดิบเพื่อการฝึกปราณได้ สิ่งนี้เป็นแรงจูงใจชั้นดีในเวลาที่ทรัพยากรแห้งแล้งขาดแคลนเช่นนี้

ขณะที่พวกเขาเดินลึกเข้าไปในตัวเรือบินรบ หวังเป่าเล่อก็จดจำรายละเอียดภายในเรือบินรบเอาไว้ ภายในพื้นที่อันกว้างใหญ่ไพศาลมีวัตถุเวทที่ประกอบกันเป็นโครงสร้างของเรือบินรบ ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ผสานตัวรวมอยู่กับผนังของเรือบินรบด้วย

น่าสนใจดีนี่ ตาของหวังเป่าเล่อหรี่เล็ก ตำราที่ชายหนุ่มได้อ่านมาไม่ได้พูดถึงคาถาผสานที่สามารถผสานสิ่งมีชีวิตเข้ากับวัตถุเวทอยู่เลย ประสบการณ์ของเขาบอกได้ทันทีว่าการผสานรวมช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้เรือบินรบอย่างใหญ่หลวง ความสนใจของหวังเป่าเล่อที่มีต่อระบบวัตถุเวทของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เพิ่มทวีขึ้นทันที

ชายวัยกลางคนเดินนำหวังเป่าเล่อลึกเข้าไปในเรือบินรบ ใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะถึงส่วนที่กลุ่มเจ็ดประจำอยู่

ส่วนนั้นดูคล้ายรังผึ้ง มีห้องย่อยๆ นับสิบห้องซ้อนทับกันอยู่ ลานจัตุรัสที่ล้อมรอบห้องทั้งหลายอยู่นั้นดารดาษไปด้วยเศษชิ้นส่วนพังๆ และวัตถุดิบ ผู้ฝึกตนวัยเยาว์คนหนึ่งยืนอยู่ตรงกลางลานจัตุรัส กำลังตะโกนออกคำสั่งไปยังผู้ฝึกตนคนอื่นๆ พวกเขาต่างพากันจดรายละเอียดของวัตถุดิบที่ตนมีและส่งไปยังห้องอื่นๆ ต่อไป

“ส่งเข็มทิศเกราะระดับสามไปให้ศิษย์พี่เฉินหลัว”

“บอกศิษย์น้องลี่ฟางว่าไข่มุกที่เขาเพิ่งซ่อมมานั้นไม่ได้มาตรฐาน หากเขายังซ่อมไม่ได้อีก ก็ขอให้ออกไปจากกลุ่มเจ็ดเสีย!”

“เหล็กแทงสุญเล่มนี้ยังใช้ได้ ส่งต่อไปให้หลิวมิ่งเฟย เขามีหน้าที่สลักศิลาแทงสุญออกมา ข้าต้องการศิลาที่สลักออกมาอย่างน้อยร้อยละเจ็ดสิบ!”

ผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้นอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย เขาดูเหมือนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธเวท แค่จ้องมองไปยังวัตถุดิบหรือวัตถุเวทเพียงปราดเดียว ชายหนุ่มก็สามารถบอกได้ทันทีว่าสิ่งของนั้นมีปัญหาอย่างไร เขาดูเป็นคนพูดจาหยาบกระด้าง น้ำเสียงก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความรำคาญ

ผู้ฝึกตนหนุ่มขว้างวัตถุเวทชิ้นหนึ่งไปยังผู้ฝึกตนอีกคน พร้อมทั้งตะโกนออกคำสั่งไปว่าให้ทำอะไรกับวัตถุเวทนั้น ตอนนั้นเองที่เขามองเห็นหวังเป่าเล่อ เด็กหนุ่มเงยศีรษะขึ้น ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อมองมายังหวังเป่าเล่อ

“ข้าน้อยคาระศิษย์พี่หลี่เฉิน!” ทันทีที่สายตาของเด็กหนุ่มมองมายังคนทั้งสอง ผู้ฝึกตนวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างหวังเป่าเล่อก็ตัวสั่นก่อนจะก้าวออกมาข้างหน้าทันที เขายกมือประสานก้มหัวคารวะต่ำ มารยาทที่เขาแสดงต่อหลี่เฉินแตกต่างจากตอนที่ทักทายหวังเป่าเล่ออย่างชัดเจน

หวังเป่าเล่อนึกออกในที่สุดว่าบุรุษตรงหน้าคือใคร ความทรงจำของหลงหนานจื่อบอกว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นศิษย์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของผู้อาวุโสลำดับที่ห้าโดยตรง เขาเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการหลอมวัตถุเวท ถึงขนาดที่เรียกได้ว่าเป็นเด็กมหัศจรรย์ของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เลยทีเดียว วงสังคมของทั้งสองไม่ได้ข้องเกี่ยวกันนัก แต่เมื่อหวังเป่าเล่อได้เจอหลี่เฉิน ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในใจ ชายหนุ่มเริ่มคิดถึงความเป็นไปได้ที่จะจำแลงกายเป็นคนผู้นี้

ขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่จะจู่โจมได้ แต่เครื่องจักรกลในสมองของหวังเป่าเล่อก็กำลังทำงานอย่างหนัก ชายหนุ่มตัดสินใจจะวางเรื่องนี้ลงก่อน

ขณะที่หวังเป่าเล่อยุติความคิดที่จะสังหารเด็กหนุ่มตรงหน้า ตัวเด็กหนุ่มเองที่ไม่รู้เลยว่าเพิ่งจะรอดพ้นจากความตายมาได้หวุดหวิดก็ยกมือขึ้นโบก เขาไม่ได้ชายตามองผู้ฝึกตนวัยกลางคนเสียด้วยซ้ำ แต่กลับจ้องมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาที่สุดจะทานทน ก่อนจะพูดขึ้นมาอย่างมีโทสะว่า “เจ้ามาสายนะ หลงหนานจื่อ! เวลาทุกวินาทีมีค่าเมื่อเราทำงานซ่อมแซมเรือบอนรบอยู่เช่นนี้ อย่าให้เกิดขึ้นอีกเล่า!”

“ข้าจะมอบแร่วิญญาณมายานี้ให้เจ้า ไปหาโต๊ะทำงานที่ยังว่าง เจ้ามีเวลายี่สิบสี่ชั่วโมง จงกลั่นเอาของเหลววิญญาณมายาออกมาจากแร่ อย่าให้เสียของเหลวไปเกินร้อยละยี่สิบเล่า!”

ชายหนุ่มโบกมือก่อนจะเขวี้ยงก้อนหินใส่หวังเป่าเล่อ หินนั้นก้อนเท่ากำปั้นแถมยังส่องแสงสีม่วงทอประกายออกมา หลังจากนั้นหลี่เฉินก็เมินหวังเป่าเล่อ ก่อนจะไปจัดการกับวัตถุดิบอื่นๆ หลงหนานจื่อแทบไม่มีความสำคัญสำหรับอีกฝ่ายเลย ไม่มีความจำเป็นที่หลี่เฉินจะต้องมาเสียเวลาพูดคุยด้วยมากมาย หากหลงหนานจื่อไม่สามารถทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายได้สำเร็จ ก็คงต้องเก็บของและจากไปเท่านั้น

“หืม…” หวังเป่าเล่อเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเมื่อรับแร่วิญญาณมายามา มันเป็นแร่ที่มีอยู่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เท่านั้น ชายหนุ่มเคยอ่านเรื่องของแร่นี้จากในบันทึกมาก่อน แร่นี้สามารถหลอมให้กลายเป็นของเหลววิญญาณที่รู้จักกันในนามของเหลววิญญาณมายาผ่านวิธีการพิเศษได้ ของเหลวนั้นมักจะนำไปใช้เพิ่มอัตราความสำเร็จในการหลอมสิ่งต่างๆ

แต่การสูญเสียของเหลวไปขณะที่หลอมแร่เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงได้ยาก อัตราการสูญเสียที่ยอมรับได้คือร้อยละห้าสิบลงไป ร้อยละยี่สิบนั้น…ค่อนข้างเป็นตัวเลขที่ท้าทายเลยทีเดียว

เขาจะสอนให้ข้ารู้จักเจียมตัวกระนั้นหรือ หวังเป่าเล่อจ้องมองไปยังเด็กหนุ่ม ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เขาไม่ใช่คนที่ยอมคน ยิ่งไปกว่านั้น ขณะนี้หวังเป่าเล่ออยู่ในร่างอวตาร ส่วนร่างจริงนั้นนอนหลับใหลอย่างปลอดภัยอยู่ในโลงศพ หากเกิดความผิดพลาด ชายหนุ่มก็สามารถจำแลงกายได้ทันที หวังเป่าเล่อไม่ได้วางแผนที่จะสร้างความวุ่นวายหากไม่มีใครมาสร้างปัญหาให้เขาก่อน แต่หากมีใครมาลบหลู่เขา ชายหนุ่มก็จะไม่ยอมรามือง่ายๆ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร ต่อให้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็ตาม

หวังเป่าเล่อพลิกฝ่ามือที่ถือแร่วิญญาณมายาเอาไว้ เปลวไฟสีฟ้าลุกท่วมขึ้นภายในฝ่ามือและเข้าห้อมล้อมแร่เอาไว้ วิธีการหลอมละลายแร่นั้นปรากฏขึ้นเองในศีรษะของหวังเป่าเล่อ แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มได้ลงมือทำ แต่พรสวรรค์และรากฐานอันหนักแน่นในวิชาการหลอมวัตถุเวทก็ทำให้เขาสามารถหลอมได้แทบจะในทันที เปลวไฟในฝ่ามือของหวังเป่าเล่อเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนสีอย่างรวดเร็ว

ภาพการหลอมนั้นเตะตาทุกคน นัยน์ตาของหลี่เฉินแสดงอาการไม่พอใจ ก่อนที่เขาจะหันมามองด้วยสายตาเย็นเยียบ แต่สีหน้าของชายหนุ่มกลับแปรเปลี่ยนไปเป็นตื่นตกใจ

“แร่วิญญาณมายาสามารถหลอมละลายได้โดยการใช้เปลวไฟหลอมวิญญาณ ในแต่ละระยะ เปลวไฟจะผ่านกระบวนการทั้งสิ้น 696 ครั้งและเปลี่ยนสีทั้งสิ้น 233 ครั้ง หากสามารถควบคุมให้อัตราการหลอมละลายเท่ากับลมหายใจของผู้หลอม เราก็สามารถใส่ปราณวิญญาณและแร่ธาตุอื่นๆ เข้าผสานรวมในระหว่างขั้นตอนการหลอม เพื่อช่วยให้การกลั่นเสร็จสมบูรณ์ได้ ในระหว่างนั้น ต้องคอยมองดูอักขระที่อาจดูคล้ายรอยแตกร้าวบนตัวแร่แล้วค่อยๆ ปรับความร้อนตามไปด้วย แม้ว่าจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสูญเสียได้ แต่ในทางทฤษฎีแล้ว ก็สามารถลดอัตราการสูญเสียให้เกือบเทียบเท่าศูนย์ได้!” หวังเป่าเล่ออธิบายอย่างเยือกเย็นขณะที่มือก็หลอมแร่ไปด้วย

“แน่นอนว่า ฝืมืออันต่ำต้อยของข้าคงทำเช่นนั้นไม่ได้ สิ่งที่ข้าทำได้ก็คือ…ลดอัตราการสูญเสียให้เหลือต่ำกว่าร้อยละสิบ!” หวังเป่าเล่อพูดต่อไปอย่างเนิบๆ ทุกคนรอบกาย รวมไปถึงผู้ฝึกตนวัยกลางคน จ้องมองเขาอย่างตื่นตะลึงขณะที่ชายหนุ่มสะบัดมือขวาแล้วดับไฟ มีลูกของเหลวกลมๆ ที่ส่องแสงเรืองรองสีม่วงลอยอยู่บนฝ่ามือ!

สิ่งนั้นเป็นของเหลวสีม่วงใสที่ส่องแสงเรืองรองราวกับเป็นสมบัติ ทุกคนต่างถูกดึงดูดเข้าไปหามัน สิ่งนี้ก็คือ…ของเหลววิญญาณมายา!

“สวรรค์ นี่มัน…ของเหลววิญญาณมายาขั้นสูง!” ผู้ฝึกตนวัยกลางคนข้างๆ หวังเป่าเล่อถึงกับสะอึก ความตื่นตะลึงปกคลุมลานจัตุรัสสาธารณะทันที

บทที่ 735 โอกาสของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์อย่างนั้นหรือ
“ทำใจเย็นๆ ไว้หลงหนานจื่อ…” ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์หรี่ตาลง เขาพึงใจกับคำพูดของหวังเป่าเล่อ ขณะนี้สำนักกำลังยากลำบาก และตัวเขาเองก็เครียดเป็นอย่างยิ่ง ความภักดีของบรรดาศิษย์ส่วนใหญ่ถูกท้าทาย แม้ว่าเขาจะไปพูดให้กำลังใจเหล่าศิษย์ทีละคน แต่ก็ดูไม่มีผลเท่าใดนัก หวังเป่าเล่อเป็นคนแรกที่อาสาจะเข้ามาช่วยเหลือและลงทุนลงแรงให้

“ผู้อาวุโสสูงสุดขอรับ!” หวังเป่าเล่อเชิดหน้าขึ้นอย่างปุบปับ มีแสงสีแดงสะท้อนอยู่ในแววตา ชายหนุ่มมีท่าทางเหมือนกำลังเจ็บปวด ก่อนจะพูดออกมาด้วยเสียงอันดัง

“ข้าไม่อาจจะใจเย็นอยู่ได้ ข้ากินไม่ได้นอนไม่หลับมาเป็นเวลาหลายวัน เมื่อข้าตื่น สิ่งเดียวที่ข้าคิดถึงก็คือปัญหาที่กำลังเกาะกินสำนัก เมื่อข้าหลับตา สิ่งเดียวที่ข้าเห็นก็คืออนาคตที่ไม่แน่นอนของสำนัก ข้าบอกตนเองอยู่เสมอว่าผู้อาวุโสสูงสุดของพวกเราจะต้องนำพาเราเอาชนะความยากลำบากนี้ไปได้แน่นอน แต่…ข้าก็ไม่อาจนิ่งเฉยอยู่ได้เมื่อสำนักกำลังประสบภัย!”

“ผู้อาวุโสสูงสุดขอรับ ขอให้ข้าได้ร่วมปฏิบัติการซ่อมแซมเรือบินรบด้วยเถิด ข้าเคยหลั่งเลือดเพื่อสำนักมาก่อนในอดีต เสียเหงื่อและเสียแรงเพียงเท่านี้จะเป็นอะไรไป” หวังเป่าเล่อละล่ำละลักออกมา ก่อนจะยกมือขึ้นประกบและโค้งศีรษะลงต่ำเพื่อคำนับผู้อาวุโสสูงสุดอีกครั้ง

ผู้อาวุโสสูงสุดสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างพินิจพิเคราะห์อยู่เนิ่นนาน แววตาของเขาส่องประกายความชื่นชมและความสบายใจ จากนั้นชายชราจึงพยักหน้า หวังเป่าเล่อเฝ้ามองเมื่อผู้อาวุโสสูงสุดเปิดปากกำลังจะพูดอะไรบางสิ่ง ถ้อยคำที่ออกมาจากริมฝีปากของเขาเป็นถ้อยคำสุดพิสดารที่ยาวเหยียด เป็นคำสาป!

ห้องโถงทั้งหมดสั่นไหวรุนแรง ก่อนที่แสงแรงกล้าซึ่งสว่างเทียบเท่าดารานิรันดร์จะส่องสว่างออกมาและเข้าล้อมรอบกายหวังเป่าเล่อเอาไว้

หวังเป่าเล่อไม่สะทกสะท้าน ชายหนุ่มใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้วก่อนจะมาที่นี่ เขารู้ดีว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นขัดกับตัวตนที่แท้จริงของหลงหนานจื่ออยู่ระดับหนึ่ง การซ่อมแซมเรือบินรบเป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับสำนัก เขาจึงคาดการณ์ไว้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดจะต้องค้นตัวเขาเป็นแน่

ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด แม้ว่าจะดูผิดจากตัวจริงไปบ้าง แต่การกระทำของเขาก็ยังอยู่ในขอบเขตที่เป็นไปได้ หวังเป่าเล่อเชื่อว่าการกระทำของตนเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดต้องการจะเห็น ไม่มีคำอธิบายอื่นใดที่จะอธิบายคำขู่ลับๆ ก่อนหน้านี้ของอีกฝ่ายได้ดีกว่านี้แล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อก็มั่นใจในกระบวนเวทสารัตถะที่ศิษย์พี่มอบให้ ชายหนุ่มแสร้งทำเป็นตกตะลึง ราวกับว่าไม่ได้เตรียมรับมือกับคำสาปไว้อยู่แล้วกระนั้น ผู้อาวุโสสูงสุดประกบฝ่ามือเข้าด้วยกันแล้วสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ก่อนที่นัยน์ตาของเขาจะวาวโรจน์ไปด้วยแสงอันล้ำลึกขณะปลดปล่อยกระบวนเวทชนิดหนึ่งออกมาค้นตัวชายหนุ่ม

การตรวจสอบใช้เวลาไม่นาน หลังผ่านไปสิบวินาที ประกายกล้าในดวงตาของผู้อาวุโสสูงสุดก็จางไป เขายิ้มออกมา ก่อนจะอนุญาตให้หวังเป่าเล่อเข้าไปสู่เขตหวงห้ามและช่วยเรื่องการซ่อมแซม

หวังเป่าเล่อจากมาอย่างลิงโลดใจ สีหน้าของชายหนุ่มแสดงความต้องการอันแรงกล้าที่จะช่วยเหลือสำนัก ขณะที่กำลังเดินออกมาจากโถงนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดก็หายวับไป มีแววตาครุ่นคิดเย็นเยียบปรากฏขึ้นแทนที่ เขาคว้ากระเป๋าคลังเก็บของหวังเป่าเล่อมาตรวจสอบสิ่งของด้านใน

วัตถุดิบที่หมอนี่ให้มานั้นไม่ได้มีค่ามากมายอะไร แต่อย่างน้อยเขาก็ฉลาดพอที่จะมาช่วยเหลือโดยที่ข้าไม่ต้องบังคับ ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็เป็นคนแรกที่มาหาข้า การจะฝึกฝนเขายังเป็นไปได้อยู่ ส่วนคนอื่นๆ พวกเขายังคงฝึกวิชาตามลำพังต่อไป แถมยังไม่มีทีท่าอยากช่วยเหลือสำนัก พวกเขาทำเป็นไม่ได้ยินข้า…

แววตาเย็นเยียบสะท้อนอยู่บนนัยน์ตาของผู้อาวุโสสูงสุด เขาคิดจะรออีกสักสองสามวัน หากคนเหล่านั้นไม่เสนอตัวเข้าช่วย เขาคงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องขายพวกเขาให้สำนักอื่นที่เชี่ยวชาญด้านการหลอมหุ่นเชิดรับใช้เพื่อเอาเงินมาซื้อวัตถุดิบซ่อมแซมเรือบินรบ

ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจำนวนมากยังคงเลือกที่จะถือสันโดษและฝึกปราณต่อไปในสำนัก ในอดีตหวังเป่าเล่อเองก็อาจจะทำเช่นนั้น แต่ขณะนี้ ชายหนุ่มกำลังเดินดุ่มๆ อย่างร่าเริง ตรงจากที่พักไปยังเขตหวงห้าม

เขตหวงห้ามของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เป็นพื้นที่แยกออกมา กินอาณาเขตหลายร้อยกิโลเมตร ภายในไม่มีผู้ฝึกตนอยู่หนาตานัก มีเพียงสามหรือสี่ร้อยคนเท่านั้น และแม้จะควรมีพื้นที่กว้างใหญ่ แต่เรือบินรบขนาดยักษ์ก็เบียดบังเอาที่ว่างไปเสียสิ้น

เรือบินรบที่ลอยอยู่ตรงใจกลางของเขตหวงห้ามรายล้อมไปด้วยวงแหวนปราณจำนวนมากที่หวังเป่าเล่อไม่รู้จัก วงแหวนปราณเหล่านี้ส่องแสงหลากสีที่ดูเหมือนกำลังเติมปราณวิญญาณให้เรือบินรบอยู่ไม่ขาด

เรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เป็นรูปไม้กางเขน กล่องทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ยืดยาวร่วมห้าร้อยกิโลเมตรสองกล่องตัดกันตรงกึ่งกลาง เรือบินรบมีสีแดงสดที่ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูเปี่ยมไปด้วยอันตราย

เรือบินรบเสียหายหลายจุด บางจุดโครงสร้างด้านในหายไปหมดเหลือเพียงโครงสร้างด้านนอก ถึงกระนั้นขนาดที่ใหญ่โตของมันก็ทำให้รู้สึกพรั่นพรึง พลังกดดันที่มันปล่อยออกมาทำให้หวังเป่าเล่อถึงกับอ้าปากค้าง

สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เป็นเพียงสำนักขนาดเล็ก แค่คิดว่าเรือบินรบของสำนักขนาดเล็กยังแข็งแกร่งถึงเพียงนี้…นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกายกล้าเพราะความตื่นเต้นที่พลุ่งพล่านอยู่ภายใน ชายหนุ่มรีบเข้าไปร่วมกลุ่มกับพวกที่กำลังซ่อมแซมเรือบินรบทันที

การมาถึงของหวังเป่าเล่อไม่ได้สะดุดตาใครมากนักในตอนแรก เพราะทุกคนต่างก็ง่วนอยู่กับการซ่อมแซมและมีหน้าที่มากมายต้องจัดการ บ้างก็ต้องปรับสภาพวัตถุดิบให้นำมาใช้ บ้างก็กำลังหลอมส่วนประกอบใหม่ให้เรือบินรบ บ้างก็ถูกขอให้ช่วยประกอบหรือแยกชิ้นส่วน หรือทำความสะอาด หรือช่วยหลอมด้ายพลังเพิ่ม มีบางคนถึงกับถูกไหว้วานให้หลอมวัตถุเวทเพื่อจู่โจมบนเรือบินรบขึ้นมาใหม่ ภาระการงานเหล่านี้ดึงเอาเวลาและความสนใจของทุกคนไปจนหมด

หน้าที่แรกของหวังเป่าเล่อคือการจัดการกับองค์ประกอบภายนอกของเรือบินรบที่รายงานแจ้งว่าเสียหายเกินซ่อมแซม ชายหนุ่มต้องตรวจสอบทุกองค์ประกอบที่อยู่ในขอบเขตของเขา เลือกดูชิ้นส่วนที่เสียหาย และส่งไปยังกลุ่มที่มีหน้าที่แยกชิ้นส่วนองค์ประกอบเหล่านั้นเพื่อหาส่วนที่ยังพอใช้ได้

งานนี้ไม่ยากแต่ก็น่าเบื่อ ชายหนุ่มทำงานหนักราวกับว่าอยู่ในโรงงาน เคลื่อนย้ายชิ้นส่วนไปตรงนั้นตรงนี้ไม่หยุดมือ หวังเป่าเล่อไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นงานที่หนักหนาอะไร อันที่จริงแล้ว เขาสนุกกับมันอยู่ไม่น้อย การตรวจสอบช่วยย้ำบทเรียนเกี่ยวกับระบบวัตถุเวทในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ชายหนุ่มให้ความสำคัญกับประสบการณ์การทำงานที่เขาจะได้รับจากการตรวจสอบแต่ละครั้ง จากนั้นจึงส่งชิ้นส่วนต่อไปตามกลุ่มที่รับผิดชอบ เขาพยายามจะทำตัวกระตือรือร้น พยายามทำความรู้จักกับกลุ่มต่างๆ และเรียนรู้เพิ่มเติมอย่างลับๆ โดยการลอบมองสิ่งที่กลุ่มเหล่านั้นทำ

สองสัปดาห์ผ่านไปเช่นนั้น ถึงตอนนี้หวังเป่าเล่อก็ชำนิชำนาญในการงานเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นที่ไม่ต้องส่งชิ้นส่วนให้กลุ่มอื่นๆ อีกต่อไป ชายหนุ่มซ่อมแซมมันด้วยตัวเอง ทำให้เขาทำงานได้รวดเร็วขึ้นมาก แถมยังช่วยเสริมความเชี่ยวชาญในการหลอมวัตถุเวทขึ้นไปอีก

หวังเป่าเล่อไม่ได้ปล่อยให้เวลาที่ได้มาเพิ่มจากความชำนาญของตนผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ ชายหนุ่มเริ่มเดินสายช่วยเหลือบรรดาศิษย์ในการซ่อมแซม เขาเริ่มต้นปฏิสัมพันธ์กับคนเหล่านี้อย่างดีตั้งแต่ต้น อีกทั้งความจริงที่ว่างานนั้นมีมากมายจนล้นมือ ทำให้ทุกคนชอบใจที่ได้เขามาช่วย ไม่นานนัก หวังเป่าเล่อก็ทำงานได้มากเท่ากับคนสองคน

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญการหลอมวัตถุเวท ประสบการณ์ที่หวังเป่าเล่อได้รับระหว่างการทำงานช่วยให้เขาชำนาญเคล็ดวิชาการหลอมวัตถุเวทของอารยธรรมดวงเนตาสวรรค์อย่างรวดเร็ว ประสิทธิภาพในการหลอมวัตถุเวทก็เพิ่มพูนขึ้นด้วย เห็นได้ชัดจากความเร็วในการซ่อมแซมวัตถุเวทบนเรือบินรบ ยิ่งไปกว่านั้น ประสิทธิภาพของเขาก็ได้รับการส่งเสริมขึ้นไปอีกขั้น ชิ้นส่วนบางอย่างที่ควรส่งไปยังกลุ่มรับผิดชอบก็ถูกซ่อมแซมจนเรียบร้อยที่ฐานของหวังเป่าเล่อนั่นเอง!

ศิษย์คนอื่นๆ ในกลุ่มซ่อมแซมที่เล็กกว่าต่างตื่นตะลึงกับความสามารถของหวังเป่าเล่อ ทุกคนจ้องมองชายหนุ่มอย่างเคารพและชื่นชม เพราะระดับปราณขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์และสถานะที่ค่อนข้างสูงของหวังเป่าเล่อ ไม่นานผู้คนก็เริ่มเห็นเขาเป็นผู้นำของกลุ่มและมีผู้ติดตามเจ็ดถึงแปดคน

ตลอดช่วงเวลานั้น หวังเป่าเล่อก็เข้าใจระบบการทำงานภายในของเรือบินรบของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์มากขึ้น

เรือบินรบในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์แบ่งเป็นกลุ่มๆ ตามระดับของเกราะ เกราะลำดับหนึ่งอ่อนแอที่สุด และเกราะลำดับหกแข็งแกร่งที่สุด มีตำนานเล่าขานถึงเรือบินรบเกราะลำดับเจ็ดและแปดเช่นกัน…ด้วยเหตุผลบางประการ สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์จึงได้รับอนุญาตให้ครอบครองเรือบินรบที่มีระดับค่อนข้างสูง เช่นลำนี้ดูเหมือนจะเป็นเกราะลำดับสี่…

เรือบินรบเกราะลำดับสี่ตามปกติแล้วแบ่งออกเป็นสามร้อยส่วน แต่ละส่วนก็มีหน้าที่แตกต่างกันไป เรือบินรบทั้งลำเป็นเครื่องยนต์ที่ประณีต ทุกๆ ภายในเรือบินรบต้องทำงานได้อย่างดีเพื่อให้เรือบินรบแล่นได้อย่างราบรื่น มีวัตถุเวทชั้นหนึ่งอยู่มากมกว่าหมื่นชิ้นในแต่ละส่วน ยิ่งส่วนใหญ่ๆ ก็อาจจะมีมากกว่านั้นอีก…โครงสร้างอันซับซ้อนนี้ช่วยให้เรือบินรบเดินทางได้ด้วยความเร็วสูง สามารถเดินทางข้ามระบบดาวได้หลายระบบ แถมยังมีพลังทำลายล้างที่สูงจนน่ากลัว!

ขณะที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรือบินรบ ความตื่นเต้นในใจของหวังเป่าเล่อเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ

ยังมีส่วนที่เป็นเสมือนหัวใจและสมองของเรือบินรบด้วย ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดของเรือบินรบทั้งลำ!

หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองไปยังแกนกลางรือบินรบที่ลอยเท้งเต้งอยู่ในอากาศ ตรงนั้น…ควรจะเป็นแกนกลาง แต่มีคนจากสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เพียงเจ็ดหรือแปดคนที่มีสิทธิ์เข้าไปในนั้นได้ คนอื่นๆ แม้แต่จะเข้าใกล้ก็ยังทำไม่ได้

หนึ่งในนั้นคือผู้อาวุโสสูงสุดที่อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้น ที่เหลือเป็นผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณอีกหกคนในสำนัก

หากข้าอยากจะเข้าใจโครงสร้างทั้งหมดของเรือบินรบ คงต้องเข้าไปข้างในนั้นและไปช่วยซ่อมแซมภายใน ข้าจะต้องหาทางเข้าไปในแกนกลางให้ได้…บางทีอาจต้องสังหารผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณสักคนหนึ่งแล้วจำแลงกายเป็นเขา หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงและเริ่มชั่งน้ำหนักความคิดนี้อย่างจริงจัง

แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีเวลาได้ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนเท่าใดนัก กลุ่มของเขาทำงานซ่อมแซมได้ดีเกินคาด และการที่คนในสำนักกำลังขาด ทำให้การทำงานดีเกินไปไปเตะตาคนอื่นเข้าอย่างจัง รวมไปถึงผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณที่ควบคุมกลุ่มซ่อมแซมส่วนประกอบเรือบินรบด้วย

หลงหนานจื่อหรือ ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าเขามีความสามารถถึงเพียงนี้ คนเก่งช้าคงเป็นเช่นนี้สินะ ผู้อาวุโสไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก คนเก่งช้านั้นค่อนข้างเป็นเรื่องปกติในสายงานการหลอมวัตถุเวท แต่ด้วยระดับพลังปราณที่ค่อนข้างสูงของหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสก็ใช้เวลาไม่นานก่อนที่จะย้ายชายหนุ่มให้เข้าไปทำงานซ่อมแซมภายใน เขาจะได้ไปทำงานกับกลุ่มที่เก่งกว่าเดิม!

หวังเป่าเล่อกะพริบตาเมื่อได้รับมอบหมายงาน ชายหนุ่มวางชิ้นส่วนในมือลงและลอบถอนหายใจอยู่ลับๆ

สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์นี้เป็นที่ที่ไม่เลวทีเดียว ข้าคงรู้สึกแย่มากกับสิ่งที่ต้องทำ…แต่ก็เอาเถิด บางทีการที่ข้ามาปรากฏตัวที่นี่อาจเป็นผลกรรมที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์สั่งสมมาเป็นเวลานับพันปีก็เป็นได้!

บทที่ 734 ดวงใจอันแน่วแน่!
สิ่งที่เขาต้องหามาให้ได้เพื่อที่จะออกจากระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์และกลับไประบบสุริยะก็คือ…เรือบินรบดวงเนตรสวรรค์!

หลังจากใช้เวลาศึกษาบันทึกที่ได้มา หวังเป่าเล่อก็เริ่มรู้เรื่องอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มากขึ้น การที่อารยธรรมแห่งนี้มีชีวิตอยู่รอดด้วยการปล้นชิงทรัพย์ทำให้พวกเขามีเรือบินรบแบบพิเศษ

ความก้าวหน้าของอารยธรรมนี้ขึ้นอยู่กับว่าผู้คนออกไปปล้นชิงมากเท่าไหร่ นี่คือวัฒนธรรมของพวกเขา แม้บางทีจะมีแยกออกไปปล้นบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้ว อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มักจะมารวมตัวกันเป็นกลุ่มเหมือนฝูงผึ้งที่ออกล่าและโจมตีเป็นกลุ่มก้อน เป็นเหตุให้เกิดความต้องการเรือบินรบที่สามารถเดินทางได้อย่างรวดเร็วและครอบคลุมระยะทางไกล การศึกษาค้นคว้าและพัฒนาเรือบินรบจึงกลายเป็นเรื่องสำคัญของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์

ถึงจะเรียกว่าเรือบินรบ แต่จริงๆ แล้วมันคือปราการรบที่แข็งแกร่งกว่าที่ข้าเคยสร้างในระบบสุริยะ อีกทั้งยังเร็วกว่าปราการดวงจันทร์หลายเท่า! หวังเป่าเล่อใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น เขาคิดถึงการเดินทางข้ามอวกาศด้วยเกราะจักรพรรดิและวิญญาณจุติดวงดาราด้วยเช่นกัน แต่คงใช้เวลานานเกินไปกว่าจะกลับไปถึงระบบสุริยะได้ จะหยุดพักระหว่างทางก็ไม่ได้ แถมยังมีอุปสรรคที่ไม่คาดคิดรออยู่ตามทางอีก

ปราการที่ทนทานและแข็งแกร่ง มีพลังโจมตีรุนแรงรวมถึงพลังนำทาง คือสิ่งที่เขาต้องการ

ชายหนุ่มสูดหายใจลึกเมื่อคิดได้เช่นนั้น ดวงตาของเขาส่องแสงเป็นประกาย ไม่มีใครในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เข้าใจความแน่วแน่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อ แต่ถ้าหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉีอยู่ที่นี่ตอนนี้ พวกเขาย่อมต้องเข้าใจความรู้สึกของชายหนุ่มแน่

ความรู้สึกเหล่านี้…คือความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะกลับไปยังระบบสุริยะเพื่อขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ!

หวังเป่าเล่อไตร่ตรองว่าตนได้เดินทางมาไกลเพียงใดแล้วตั้งแต่ครั้งยังเยาว์วัย แต่ก็ยังไม่ได้ขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐเสียที เขาไม่สามารถควบคุมความรู้สึกที่คุกรุ่นในใจตอนนี้ได้

ก่อนหน้านี้ ข้าขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐไม่ได้เพราะหน้าตาดีเกินไป อีกทั้งยังบังเอิญมีบรรดาศักดิ์ไม่ถึงขั้น!

ข้าลำบากลำบนลดน้ำหนักลงเพื่อซ่อนรูปโฉมอันงดงามตามธรรมชาติเอาไว้ ไต่เต้าขึ้นมาจนมีบรรดาศักดิ์ถึงขั้น ตำแหน่งผู้นำสหพันธรัฐอยู่ใกล้แค่เอื้อมแท้ๆ แต่ศิษย์พี่กลับพรากโอกาสนั้นไปจากข้า…ตอนนี้ สิ่งเดียวที่ขวางทางข้าไม่ให้ขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐคือการที่ข้าไม่มีเรือบินรบ! หวังเป่าเล่อมีสีหน้าจริงจัง เขายกมือขวาขึ้นโบก เรียกถุงขนมออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บและเริ่มเคี้ยวกินเสียงดัง

เหมือนว่าเขากำลังแสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่อันแรงกล้าผ่านแรงขบเคี้ยว เขาเคี้ยวขนมเสียงดัง ผสานความตั้งใจอันแรงกล้าและแรงกัดเป็นหนึ่งเดียว!

ข้าจะขึ้นเป็นผู้นำสหพันธรัฐ! หวังเป่าเล่อเคี้ยวขนมพร้อมให้สัญญากับตนเอง

ชายหนุ่มไม่ได้เสียสติขนาดนั้น เขาห้ามใจไม่ให้ตนเองกินขนมจนหมดและเก็บขนมที่เหลืออยู่ครึ่งถุงเข้ากระเป๋าคลังเก็บไป หวังเป่าเล่อเตรียมการไว้พร้อมสรรพสำหรับการเดินทางไกลจากโลก จึงมีขนมมากมายหลายแบบจำนวนเกือบพันถุงอยู่ในกระเป๋าคลังเก็บ แต่ใครจะรู้เล่าว่าเขาต้องอยู่ที่นี่นานเท่าไร ทำให้ชายหนุ่มระมัดระวังไม่กินขนมเยอะเกินไป

ข้าต้องวางแผนว่าจะทำอะไรต่อไป… หวังเป่าเล่อลูบคางและเริ่มครุ่นคิด เนื่องจากมีเป้าหมายอยู่แล้วก็ควรมุ่งหน้าทำตามเป้าหมายที่มี เขาคิดว่าตนเองมีทางหาเรือบินรบอยู่บ้าง หากไม่ใช้ของคนอื่นก็ต้องสร้างขึ้นมาเอง

ถ้าเลือกอย่างแรกก็คงต้องหาซื้อธาราจอมตะกละ ซึ่งคงจะง่ายกว่าเพราะแค่มีเงินพอก็ซื้อได้ อาจจะลำบากในการหาเงิน แต่เขาก็คิดว่าถ้าตั้งใจลงมือก็คงแก้ปัญหานี้ได้อย่างง่ายดาย

หวังเป่าเล่อไม่มั่นใจว่าเรือบินรบของคนอื่นจะใช้งานได้ดีหรือไม่ เพราะตั้งใจว่าจะออกจากระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์ไป อาจจะต้องเจออุปสรรคมากมายระหว่างทาง เขาต้องสามารถซ่อมเรือบินรบได้ถ้าเกิดอะไรขึ้นมา

หลังจากเทียบข้อดีข้อเสียของทางเลือกที่มี ชายหนุ่มก็ตัดสินใจได้

ข้าจะศึกษาวิธีสร้างเรือบินรบและสร้างเรือบินรบเป็นของตนเอง เพื่อที่จะได้รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมัน และซ่อมแซมได้ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา

หนทางนี้อาจจะยากสำหรับคนอื่นๆ แต่ไม่ใช่กับหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวทที่สามารถหลอมอาวุธเวทระดับแปดได้ เขาอาจจะยังไม่สามารถหลอมอาวุธเวทระดับเก้าได้สมบูรณ์ แต่ก็สามารถซ่อมได้โดยไม่มีปัญหา พอเริ่มเข้าใจระบบอาวุธเวทของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มากขึ้น เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถทำได้สำเร็จ ขอแค่รู้วิธีก็พอ

วันคืนผ่านไป หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าศึกษาอย่างหนัก สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ไม่ได้มีศิษย์มากมาย แม้จะมีกันประมาณหกร้อยคนในสำนักตอนนี้ แต่ทุกคนก็รู้จักกันดี ทำให้หวังเป่าเล่อโดนขัดจังหวะอยู่บ่อยๆ

หวังเป่าเล่อไม่สามารถบอกปัดเหล่าผู้มาเยือนได้เพราะพวกเขาคือเพื่อนของหลงหนานจื่อ นอกจากนี้เขายังอยากจะได้ข้อมูลเพิ่มด้วยเช่นกัน ชายหนุ่มต้อนรับผู้มาเยือนแต่ละคนอย่างกระตือรือร้น ขณะกำลังถกกันเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคตที่แสนไม่แน่นอน หวังเป่าเล่อก็พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์และระบบดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์เพิ่มเติมไปด้วย

“สำนักใหญ่จะมาเมื่อไหร่เช่นนั้นหรือ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ทุกคนกำลังตัดสินใจว่าจะอยู่กับสำนักต่อไปดีหรือไม่…”

“สำนักพันวิญญาณเข้ามาหว่านล้อมศิษย์ของพวกเขา ข้อเสนอฟังดูน่าสนใจ พวกเขาถามเราว่าจะไปร่วมสำนักพวกเขาหรือไม่…”

ข่าวคราวจากเหล่าผู้มาเยี่ยมเยือนเผยให้เห็นถึงความกังวลใจในหมู่สานุศิษย์ ระหว่างการมาเยี่ยมเยือนจากหลายๆ คน มีอยู่สองครั้งที่เพื่อนสนิทของหลงหนานจื่อสงสัยว่าเขามีอะไรแปลกไป หวังเป่าเล่อจัดการเรื่องนี้ได้อย่างง่ายดายด้วยการใช้พลังปราณอันแข็งแกร่งร่ายคาถาเปลี่ยนความคิดพวกเขา ชีวิตของชายหนุ่มดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น

ผู้อาวุโสสูงสุดเรียกหวังเป่าเล่อไปหาครั้งหนึ่ง เขาถามข้อมูลเกี่ยวกับความคืบหน้าด้านการฝึกตน ผู้อาวุโสไม่ได้สนใจหลงหนานจื่อที่ไม่ได้บรรลุขั้นฝึกตนมานานหลายปีเท่าไรนัก ทำให้ไม่ได้ตระหนักว่าหลงหนานจื่อนั้นโดนสับตัวไป หลังจากกล่าวให้กำลังใจเล็กน้อย ผู้อาวุโสก็กล่าวกับหวังเป่าเล่อก่อนจะส่งเข้ากลับไป

“ตอนนี้เป็นช่วงเวลาอันยากลำบากของสำนัก เราต้องการความร่วมมือจากทุกคน นี่คือทางเดียวที่จะฟื้นฟูสำนักให้กลับมารุ่งเรืองเหมือนในอดีตและปกป้องศิษย์ทุกคนต่อไปได้”

คำพูดเหล่านี้เบื้องหน้าเหมือนจะไม่มีอะไร ผู้อาวุโสสูงสุดไม่ได้เรียกหวังเป่าเล่อไปแค่คนเดียว แต่ยังเรียกผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทุกคนที่ยังฝึกวิชาต่อแม้สำนักจะตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากไปพบ ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวให้กำลังใจและกล่าวปิดด้วยคำพูดเดียวกัน ตอนนี้สำนักตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย อาคารต่างๆ ถูกสำนักอื่นรื้อถอนไปเกือบหมด สำนักในตอนนี้ดูว่างเปล่า เป็นภาพอันแสนเศร้าเกินจะทนมองได้

ในฐานะผู้อาวุโส การให้กำลังใจศิษย์และปลอบให้พวกเขาหายกังวลเป็นสิ่งที่สมควรทำ

แต่…หวังเป่าเล่อนั้นได้ศึกษาอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมาตั้งแต่ยังเล็ก เขาไต่เต้าขึ้นมาจนมีตำแหน่งสูงในระบบสุริยะ ชายหนุ่มครุ่นคิดถึงคำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดหลังจากกลับออกไป

เป็นคำขู่อย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหัวเราะ ตัดสินใจเมินเฉย เขาทำใจเย็นตลอดการเข้าพบ ไม่ได้กังวลว่าตัวตนจะถูกเปิดโปง คำขู่ที่แอบแฝงในคำพูดนั้นไม่ได้ทำให้ชายหนุ่มแตกตื่นแต่อย่างใด ถึงผู้อาวุโสสูงสุดจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของตนจริง ชายหนุ่มก็แค่ปลิดชีพชายวัยกลางคนผู้นั้นและใช้ตัวตนของเขาแทน

ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ตระหนักว่าถ้าตนจำแลงกายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดก็จะต้องพบปัญหาชุดใหม่ ทั้งเครือข่ายของผู้อาวุโสสูงสุด การรับมือกับสำนักใหญ่ รวมไปถึงการจัดการภายใน เขาจะค้นดวงวิญญาณผู้อาวุโสสูงสุดหาข้อมูลเพิ่มก็ได้ แต่ระดับการฝึกตนของพวกเขาก็ไม่ได้ห่างกันมาก ถึงจะทำได้สำเร็จก็คงไม่สามารถได้ข้อมูลมาครบสมบูรณ์ นอกจากนี้ ผู้อาวุโสสูงสุดก็ไม่ได้สังเกตเห็นอะไรผิดปกติในตัวหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจทิ้งความคิดที่จะจำแลงเป็นผู้อาวุโสสูงสุดไปหลังจากผ่านการไตร่ตรองแล้ว

เอาเช่นนี้แล้วกัน ข้าจะไว้ชีวิตเขา หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอ เขากลับไปยังที่พักและศึกษาขั้นตอนการหลอมวัตถุเวทของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ต่อ

เจ็ดวันผ่านไปในพริบตาเดียว

การมีปฏิสัมพันธ์กับศิษย์ในสำนักสร้างประโยชน์ให้หวังเป่าเล่อ ในที่สุดเขาก็แทรกซึมเข้าไปในสำนักได้อย่างสมบูรณ์ ที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานที่แปลกประหลาดสำหรับเขาอีกต่อไป ขณะที่ชายหนุ่มถามคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย ก็ทำให้ได้ทราบเหตุผลว่าเหตุใดถึงเกิดหายนะขึ้น และทำไมทางสำนักต้องเปิดประมูลทรัพย์สินของตนเอง

ทุกอย่างเชื่อมโยงไปถึง…เรือบินรบที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ใช้ออกปล้นและพยายามซ่อมแซมอยู่!

เรือบินรบลำนี้คือของล้ำค่าที่สุดในสำนัก ต้องใช้เวลาหลายรุ่นถึงจะสร้างได้สำเร็จ ทรัพยากรจำนวนมากหมดไปกับการสร้างเรือบินรบลำนี้ซึ่งเป็นกุญแจหลักที่ทำให้สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์สามารถยืนหยัดได้ต่อไป

เป็นเหตุให้ผู้อาวุโสสูงสุดเปิดประมูลทรัพย์สินของสำนักและกว้านซื้อวัตถุดิบจำนวนมากมา นอกจากนี้ยังรวบรวมผู้ฝึกตนทุกคนในสำนักที่เชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวทและส่งไปยังเขตหวงห้ามของสำนักเพื่อซ่อมแซมเรือบินรบโดยไม่หยุดพักด้วย

หวังเป่าเล่อรู้สึกสนใจการค้นพบครั้งนี้ การศึกษาที่ผ่านมาทำให้มีความรู้แค่ในทางทฤษฎี ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวท ชายหนุ่มรู้ดีว่าการได้ลงมือทำนั้นสำคัญเพียงใด นอกจากนี้ หากสามารถเข้าไปร่วมซ่อมแซมเรือบินรบได้ เขาก็จะมีข้อมูลในการหลอมเรือบินรบเป็นของตนเองมากขึ้น

เขาจัดเรียงข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับกระบวนการหลอมวัตถุเวทของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ที่ได้เรียนรู้มาให้เป็นระบบ จากนั้นก็ออกจากที่พักและมุ่งหน้าไปยังเขตหวงห้าม ผู้อาวุโสสูงสุดคอยควบคุมงานอยู่ที่นั่น หวังเป่าเล่อจึงตั้งใจจะไปเสนอตัวขอช่วยเหลือการซ่อมแซมเรือบินรบ

“ผู้อาวุโสสูงสุด ในฐานะสมาชิกสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ ข้าไม่สามารถนั่งทนดูสำนักตกระกำลำบากได้ ใจข้าไม่อาจมุ่งสนใจการฝึกวิชาได้แม้แต่น้อย ข้าจึงอยากเข้าร่วมการซ่อมเรือบินรบ อยากทุ่มกายใจเพื่อสำนัก นี่คือของทั้งหมดที่ข้าสะสมมาได้ ข้ายอมมอบทุกอย่างให้ทางสำนักนำไปใช้ ข้ายอมทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ ข้าขอสาบานว่าจะร่วมหัวจมท้ายไปกับสำนัก!”

หวังเป่าเล่อรออยู่นานกว่าจะได้เข้าพบผู้อาวุโสสูงสุด พอเห็นสีหน้าเหนื่อยอ่อนของอีกฝ่าย เขาก็รีบหยิบกระเป๋าคลังเก็บออกมาวาง จากนั้นก็กล่าวเสียงดัง ประกาศก้องถึงความภักดีที่มีต่อสำนักให้ทุกคนได้ทราบ ชายหนุ่มทุบอกเสียงดังเพื่อทำให้การกระทำของเขาดูจริงใจมากยิ่งขึ้น

……………………………….

บทที่ 733 สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์!
สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เป็นสำนักย่อยในสังกัดสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ หนึ่งในสามสำนักใหญ่ในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ แม้จะไม่มีอำนาจมากในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์และมีคนในสำนักไม่ถึงหนึ่งพันคน แต่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็มีทักษะพิเศษด้านการหลอมวัตถุเวท ผู้อาวุโสสูงสุดประจำสำนักมีขั้นการฝึกตนสูง เขาบรรลุขั้นเชื่อมวิญญาณไปเมื่อหลายปีก่อนและคอยส่งของบรรณาการให้สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ไม่เคยขาด

ทำให้ภารกิจที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ได้รับระหว่างการออกปล้นขนาดใหญ่เป็นภารกิจง่ายๆ ที่ไม่ได้อันตรายแต่ก็ได้ผลตอบแทนดี

สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์คอยออกปล้นอยู่บ่อยๆ เพื่อกักตุนทรัพยากรให้มีเพียงพอสำหรับการหลอมวัตถุเวท สามารถใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย และได้ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์

โชคร้ายที่สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ดวงตกเมื่อได้เจอกับศัตรูสุดแข็งแกร่งตอนออกปล้นเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ส่งผลให้พวกเขาพ่ายแพ้ในการต่อสู้และไม่สามารถรวบรวมทรัพยากรมาเพิ่มได้ ตามปกติแล้ว สำนักมหาทัณฑ์สวรรค์นั้นจะไม่เข้าไปช่วยเหลือในการออกปล้นของสำนักย่อย เว้นเสียแต่ทางสำนักย่อยจะต้องมอบทรัพยากรจำนวนมากกว่าที่ส่งมอบตามปกติ ทางสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์จึงจะเข้าไปช่วย ทำให้ครั้งนี้สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ต้องพึ่งพาตนเอง

สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เวลาส่งมอบของบรรณาการประจำปีที่ใกล้เข้ามาทำให้ทุกอย่างแย่ลงไปอีก ทุกคนในสำนักเป็นกังวล พวกเขาต้องอยู่อย่างประหยัดในขณะที่ความกระหายอยากได้ทรัพยากรมาหลอมวัตถุเวทและเสริมขั้นการฝึกตนปะทุเดือดขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขีดสุด

เหล่าศิษย์สำนักในมักจะออกไปนอกสำนักและใช้วิธีต่างๆ ในการดับความกระหายอยากได้ทรัพยากร บางคนรับหลอมวัตถุเวทให้คนอื่นๆ บ้างก็ออกไปเข้าร่วมกับสำนักอื่น ส่วนหนึ่งก็เริ่มตีกันเอง พวกที่เหลืออย่างหลงหนานจื่อเลือกออกไปค้นหาทรัพยากรตามดินแดนต่างๆ

แม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ก็เป็นสำนักที่ยืนหยัดมากว่าสองพันปี ดูได้จากสิ่งปลูกสร้างต่างๆ อย่างอาคารประตูทางเข้าที่สร้างขึ้นจากดินดำและตั้งอยู่ในแนวภูเขาที่ห้าบนดาวเคราะห์ดวงเนตรสวรรค์

ใจกลางของดาวเคราะห์เป็นแอ่งแผ่นดินที่เป็นที่พำนักของราชวงศ์ ที่พำนักนี้ปิดไม่ให้สาธารณชนเข้าเป็นการถาวร ที่พำนักของราชวงศ์มีแนวเขาขนาดใหญ่แปดแห่งรายล้อมรอบบริเวณไว้เหมือนดังมังกรแข็งแกร่งแปดตัว แต่ละแนวเขาแยกจากการด้วยดินแดนขนาดใหญ่ บางคนกล่าวไว้ว่าพื้นที่ระหว่างแต่ละแนวเขาสามารถสร้างโลกขึ้นได้หนึ่งใบ และนั่นก็ไม่ใช่การพูดเกินจริงเลย!

แนวภูเขาสามแนวในสุดเป็นของสามสำนักใหญ่ มีการตั้งอาณานิคมขึ้น ที่ทำอย่างนั้นก็เพื่อประโยชน์สุขของดาวเคราะห์ สามสำนักใหญ่จะได้ช่วยคุ้มกันดาวเคราะห์ได้ดีขึ้น แต่เป้าหมายจริงๆ คือการคุมขังและกดดันเหล่าราชวงศ์

แนวภูเขาที่สี่ถึงแปดเป็นของสำนักย่อย ยิ่งใกล้แนวเขาด้านในเท่าไหร่ ปราณวิญญาณก็จะหนาแน่นขึ้น เป็นพื้นที่ที่เหมาะแก่การตั้งถิ่นฐาน

สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ตั้งอยู่บนแนวเขาที่ห้า อาคารส่วนใหญ่สร้างมาจากดินดำ ซึ่งเป็นดินที่มีความสามารถในการดูดซับพลังปราณและสร้างศิลาวิญญาณ ทั้งสองสิ่งคือผลลัพธ์จากการพยายามอย่างหนักของเหล่าผู้บุกเบิกของสำนัก

ด้านนอกประตูสำนักมีรูปปั้นขนาดใหญ่สูงหลายพันเมตร สร้างจากศิลาวิญญาณที่บีบอัดจนถึงขีดสุดตั้งอยู่ หวังเป่าเล่อตื่นตะลึงเมื่อได้เห็นรูปปั้นที่อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยได้เห็นมาในระบบสุริยะ

นี่แค่สำนักย่อยหรือ ชายหนุ่มกะพริบตา ความทรงจำของหลงหนานจื่อทำให้เขาได้รู้ว่าสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์นอกจากจะเป็นสำนักเล็กๆ แล้ว ยังประสบปัญหาบางอย่างอยู่ ทว่ารูปปั้นที่หวังเป่าเล่อเห็นกลับชี้ให้เห็นสิ่งที่ต่างออกไป ชายหนุ่มไม่รู้ว่ามันมีมูลค่าเท่าใด แต่ก็มั่นใจว่าเงินที่ได้จากการขายรูปปั้นคงจะสามารถช่วยสำนักให้พ้นจากวิกฤตทางการเงินไปได้

ในหัวหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยคำถามมากมายขณะที่เขาทะยานข้ามฟากฟ้ามุ่งหน้าไปยังสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ เมื่อเข้าไปใกล้ เขาก็มองดูรูปปั้นขนาดมหึมาอีกครั้ง จากนั้นก็แลบลิ้นเลียริมฝีปาก ก่อนจะหันไปมองทางสำนัก อาคารสีดำ รวมทั้งตำหนักขนาดเล็กใหญ่นับพันปรากฏเด่นชัดในสายตา

สำนักนี้มีขนาดเท่าเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูงของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์สามเกาะรวมกัน แต่ประชากรที่มีอยู่กลับน้อยเสียจนน่าเวทนา เขาเห็นผู้คนประมาณร้อยกว่าคนเดินขวักไขว่ไปมาอยู่ไกลๆ นอกจากนั้นแล้วก็ไม่เห็นใครอื่นอีก ดูแล้วเหมือนว่าทั้งสำนักจะมีเพียงคนจำนวนร้อยกว่าที่กำลังเดินวุ่นไปมาเท่านั้น

หวังเป่าเล่อมองฝูงชนที่กำลังวุ่นกับธุระของตนเองอยู่ สีหน้าของเขาดูแปลกพิกลไป ชายหนุ่มเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันที่ได้รู้มาจากความทรงจำของหลงหนานจื่อในทันที

เป็นเพราะ…แทบจะทุกคนในสำนักกำลังทำลายที่พำนักของตนอย่างรวดเร็ว พวกเขาดูช่ำชอง สามารถรื้อตึกอาคารออกมาเป็นส่วนต่างๆ ได้โดยไม่สร้างความเสียหายให้กับสิ่งใดแม้แต่น้อย…

มีเสียงโห่ร้องดังก้องในอากาศ เหมือนกำลังพูดปลุกใจอยู่

“เร็วเข้าทุกคน วันนี้วันสุดท้ายแล้ว เราต้องรื้อบ้านสามร้อยหลังที่สร้างด้วยวัสดุก่อสร้างสุดล้ำค้าที่เหลือให้หมด!”

“มาร่วมมือกันปฏิบัติภารกิจที่ทางสำนักมอบหมายให้สำเร็จกันเถอะ!”

“พรุ่งนี้เช้า ผู้อาวุโสสูงสุดจะมาเปิดประมูล คนที่ประมูลได้จะมีเวลาสองชั่วโมงในการรื้ออาคารใดก็ได้ที่ต้องการ!”

“ตอนนี้พวกเราต้องรื้อตึกที่มีค่าที่สุดก่อน จะปล่อยให้พวกคนที่มาประมูลได้ไปไม่ได้!”

เสียงโห่ร้องยังคงดังก้องไม่หยุด หวังเป่าเล่อยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความตะลึงงัน ต้องใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น สำนักนี้ยากจนถึงขนาดที่ว่าผู้อาวุโสสูงสุดต้องเปิดประมูลทรัพย์สินของสำนัก ไม่ได้เป็นการประมูลสิ่งของที่กำหนดไว้แต่เป็นการประมูลเวลา มีการจำกัดจำนวนและระดับการฝึกตนของผู้เข้าร่วมการประมูล อีกทั้งยังห้ามไม่ให้ใช้กระเป๋าคลังเก็บมาเก็บของ ผู้เข้าร่วมการประมูลสามารถหยิบอะไรไปก็ได้ในระยะเวลาที่กำหนด อาจมียกเว้นของบางอย่าง

พรุ่งนี้คือวันแรกของการประมูล เป็นเหตุให้ผู้อาวุโสสูงสุดสั่งให้เหล่าศิษย์ถล่มตึกที่มีค่าที่สุดลงก่อนการประมูลจะเริ่ม…

เกิดอะไรขึ้นกัน… หวังเป่าเล่อนวดหน้าผาก เขาลังเลว่าควรจะสับเปลี่ยนตัวตนในปัจจุบันไปเป็นคนอื่นดีหรือไม่ ทันใดนั้นก็มีคนสังเกตเห็นชายหนุ่มและตะโกนเรียน

“หลงหนานจื่อ กลับมาแล้วหรือ มาช่วยกันเร็ว ผู้อาวุโสสูงสุดมีรางวัลให้ ทุกคนที่มาช่วยจะได้ศิลาวิญญาณชั้นยอดหนึ่งก้อนต่ออาคารหนึ่งหลังหากทำได้ในเวลาที่กำหนด!”

หวังเป่าเล่อยิ้มแหย คงไม่เหมาะถ้าจะกลับออกไปตอนนี้ จึงทะยานเข้าไปหากลุ่มที่ทำลายอาคารอยู่ ชายหนุ่มเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการหลอมวัตถุเวทและยังได้ซึมซับความทรงจำของหลงหนานจื่อมา ทำให้ใช้เวลาสังเกตเพียงไม่นานก็สามารถทำตามได้อย่างรวดเร็ว แม้จะผลงานที่ออกมาจะไม่ได้ดีเยี่ยม แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้แย่กว่าคนอื่นมากนัก

ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจตลอดกระบวนการแยกส่วนอาคาร อาคารพวกนี้เหมือนจะแยกจากกัน แต่จริงๆ แล้วเชื่อมต่อกันในหลายๆ ส่วน เหมือนเป็นวัตถุเวทที่ประกอบขึ้นจากส่วนเล็กๆ มากมาย แต่ละชิ้นไม่ได้เชื่อมกันด้วยอักขราจารึก แต่เป็นด้ายพลังนับไม่ถ้วน หวังเป่าเล่อนึกสนใจ เขาเริ่มพูดคุยกับผู้ฝึกตนที่อยู่รอบๆ เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสถานการณ์ในปัจจุบันของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์และอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ไปพร้อมๆ กับตรวจสอบอาคารที่สร้างจากวัตถุเวท

เหมือนอาวุธเวทของพวกบ้าสามคนนั้นเลย ไม่มีตัวอักขราจารึก ไม่ต้องใช้ศิลาวิญญาณมาเป็นแก่นหลัก ใช้พลังจากต้นกำเนิดดาราได้โดยตรง…อารยธรรมนี้เก่งกาจด้านการหลอมวัตถุเวทมาก วิธีการของพวกเขาต่างจากของสหพันธรัฐ แต่หลักการดูจะไม่ต่างกัน หวังเป่าเล่อสรุป จากนั้นก็นึกถึงกระบี่บินสามสีและแถบผ้าที่ได้มา

กระบี่บินถูกทำลายไปแล้ว แถบผ้าที่มีอยู่ก็เสียหายหนัก ชายหนุ่มเคยคิดจะซ่อมแซม แต่ก็ติดปัญหาหนึ่ง เขาเคยถอดแก่นออกมาและลงอักขราจารึกเพิ่มเข้าไป ตัวอักขราจารึกที่ใส่เพิ่มไปนั้นกลายเป็นเหมือนด้ายคุมหุ่นเชิดที่ช่วยให้ชายหนุ่มควบคุมวัตถุทั้งสองได้ แต่เมื่อไม่มีข้อมูลว่าวัตถุเวทเหล่านี้จริงๆ แล้วทำงานอย่างไร ก็เป็นเรื่องยากที่จะซ่อมได้

ทว่าตอนนี้ พอได้มาแยกส่วนประกอบอาคารรอบๆ ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็เป็นประกายขึ้นเรื่อยๆ รู้สึกได้ว่าประตูแห่งความรู้เปิดกว้างอยู่ตรงหน้า ก่อนหน้านี้เขาเคยคิดอยากสับเปลี่ยนตัวตน แต่ความคิดนั้นก็ได้หายวับไปแล้วเรียบร้อย

หวังเป่าเล่อลงมือทำงานหนักขึ้น ในที่สุดก็เสร็จสิ้นภารกิจที่ได้รับตอนกลางดึก พวกเขาแยกส่วนประกอบอาคารมูลค่าสูงไปหลายร้อยหลังและได้รับศิลาวิญญาณหลายร้อยก้อนเป็นของรางวัล ด้วยความรู้ที่ได้จากการอ่านอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงและประสบการณ์การทำงานร่วมกับเจ้าพนักงานในสหพันธรัฐมาหลายปี ชายหนุ่มเข้าไปพูดคุยกับคนส่วนหนึ่งและวาดแผนผังความสัมพันธ์ขึ้นได้ว่าใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังหอสมุดของสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์

เขาแลกศิลาวิญญาณที่ได้มากับบันทึกการหลอมวัตถุเวทและแผนที่ดวงดาว ที่จริงคงต้องใช้ศิลาจำนวนมาก แต่ทางสำนักกำลังยากจนข้นแค้นอย่างหนัก ทุกอย่างจึงลดราคาไปมาก หลังจากจ่ายศิลาไป หวังเป่าเล่อก็เก็บของต่างๆ และมุ่งหน้าไปหาอาคารที่ว่างอยู่ จากนั้นก็เริ่มศึกษาอย่างหนัก

หลายวันผ่านไป ในช่วงเวลานั้น การประมูลได้เริ่มต้นขึ้น การประมูลนั้นไม่ต่างจากพายุ สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์สูญเสียทรัพย์สินที่ครอบครองไปจำนวนมากหลังจากผ่านการประมูลไปหลายวัน หวังเป่าเล่อต้องเปลี่ยนที่พักอยู่หลายหน ถึงกระนั้น ดูเหมือนว่าสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์จะรอดจากวิกฤติการณ์มาได้ แม้ศิษย์ที่จากไปจะกลับมาไม่ครบทุกคน แต่ก็มีนับร้อยที่กลับมา

ผู้อาวุโสสูงสุดออกมาประกาศว่าจะทำให้สำนักกลับมาเรืองอำนาจอีกครั้ง ตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็ศึกษาเอกสารและแผนที่ดวงดาวเสร็จสิ้น ดวงตาของเขาฉายแสงเป็นประกายมากกว่าครั้งก่อน ลมหายใจเริ่มถี่รัวขึ้นจนสังเกตเห็นได้ชัด

ข้าคิดถูก…ข้าไม่ได้อยู่ห่างจากระบบสุริยะมาก ถ้าวางแผนดีๆ ข้าจะสามารถส่งร่างอวตารกลับไปรับตำแหน่งผู้นำได้!

บทที่ 732 หลงหนานจื่อ!
ไม่มีใครรู้ว่าการต่อสู้ของเฉินชิงจะปิดฉากลงเมื่อใด มันอาจจะจบลงอย่างรวดเร็ว หรืออาจจะยืดยาวออกไปไกล สำหรับผู้ฝึกตนในระดับนี้ เวลา…คืออาวุธ

หวังเป่าเล่อไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็พอจะเดาได้ เมื่อเขาโผล่ขึ้นบนผืนดินและมองไปยังโลกรอบตัว ก็ตระหนักได้ว่าตนน่าจะต้องใช้เวลาอยู่ในอารยธรรมที่ไม่รู้จักนี้ไปอีกสักพัก

นั่นเป็นเหตุให้ชายหนุ่มต้องรู้ให้ได้ว่าตนสามารถทำอะไรในที่แห่งนี้ได้บ้าง เขาตั้งผนึกมือ เรียกวิญญาณสี่ดวงของศพที่เพิ่งเสียชีวิตออกมาด้วยวิชาแห่งศาสตร์มืด เปลววิญญาณไม่สมบูรณ์ทั้งสี่มาปรากฏตรงหน้าก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นดวงวิญญาณสี่ดวงที่คนอื่นไม่สามารถมองเห็นได้

หวังเป่าเล่อยกมือขวาตะครุบอากาศอย่างไม่ลังเลใจ ดวงวิญญาณทั้งสี่พุ่งเข้าไปในฝ่ามือ ภาพความทรงจำปรากฏขึ้นในหัวชายหนุ่ม

หลังจากจัดระเบียบภาพความทรงจำมากมาย เขาก็เชื่อมโยงเหตุการณ์ได้ว่าก่อนที่พวกเขาจะเสียชีวิตได้เกิดอะไรขึ้น ทั้งสี่และคนที่หนีไปสัมผัสได้ว่ามีดาวหางตกลงมาเพราะอยู่ในบริเวณนี้ จึงรีบมาตรวจสอบดู

หวังเป่าเล่อลองคำนวณดูแล้วก็ค่อนข้างมั่นใจว่าดาวหางที่พวกเขาเห็นนั้นคือโลงศพที่พุ่งลงมา อาจเป็นเพราะพลังบางอย่างของโลงศพ หรือศิษย์พี่ของตนอาจจะทำบางอย่างเข้า ระหว่างที่โลงศพเดินทางข้ามอวกาศจึงได้ดึงวัตถุดิบมีค่าจำนวนหนึ่งติดมาด้วย ผู้ฝึกตนทั้งห้าน่าจะมีข้อพิพาทกันเพราะเหตุนี้

สี่คนในกลุ่มตายระหว่างการต่อสู้ อีกคนหนึ่งรอดไปได้พร้อมอาการบาดเจ็บ ผู้รอดชีวิตได้ชิงเอาทุกอย่างและหลบหนีไป

น่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ หวังเป่าเล่อไตร่ตรองข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้มา ดวงตาของเขาเป็นประกายเมื่อได้พบข้อมูลเกี่ยวกับโลกใบนี้

อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของระบบสุริยะและครอบคลุมดาวเคราะห์ยี่สิบสามดวง ระดับการฝึกตนเหมือนกับที่หวังเป่าเล่อรู้จัก โดยแบ่งเป็นระดับดาวพระเคราะห์และระดับดารานิรันดร์

แต่โครงสร้างสังคมแตกต่างจากสหพันธรัฐ ในอดีต อารยธรรมแห่งนี้ปกครองโดยกษัตริย์ แต่พอเวลาผ่านไป ราชวงศ์ก็เริ่มเสื่อมอำนาจ ผู้คนเริ่มมีอำนาจมากขึ้น จากนั้นก็รวมตัวกันจัดตั้งสำนักขึ้นมามากมาย

ต่อมา ทรัพยากรเริ่มไม่เพียงพอ กลายเป็นโลกแห่งการแก่งแย่งชิงดี ราชวงศ์ไร้อำนาจที่จะเข้าไปจัดการอะไรได้ อารยธรรมดวงเนตรสวรรค์จึงเปลี่ยนแปลงไป กลายเป็นสังคมแห่งการปล้นฆ่า เป็นสถานที่อันชั่วร้ายที่เต็มไปด้วยฝูงโจร!

พวกเขาปล้นชิงทั้งคนในอารยธรรมเดียวกันและต่างอารยธรรม ทั้งหมดที่ทำไปก็เพื่อให้ตนอยู่รอด ในอารยธรรมนี้ไม่มีกฎระเบียบที่ชัดเจน ยึดเพียงกฎที่ว่าผู้ที่แข็งแกร่งย่อมมีอำนาจเหนือผู้อ่อนแอ ทุกฝ่ายทุกสำนักต่างเดินเข้าสู่ด้านมืดทั้งสิ้น!

แต่โชคก็ยังเข้าข้างอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ อารยธรรมในดาวเคราะห์ต่างๆ และระบบดาวรอบๆ ไม่ได้ก้าวหน้ามาก อีกทั้งพวกเขายังพยายามไม่ไปรุกรานอารยธรรมที่แข็งแกร่งกว่า พอเวลาผ่านไปอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้นพร้อมกับมีผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ถึงสามคน!

ถึงทั้งสามจะอยู่เพียงระดับดาวพระเคราะห์ชั้นต้น แต่เท่านี้ก็เพียงพอที่จะถืออำนาจเหนือทุกคนในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ พวกเขาตั้งสามสำนักใหญ่ขึ้นมา เข้ายึดอำนาจราชวงศ์ และยึดดาวเคราะห์หกถึงเจ็ดดวงเป็นของตนเอง สำนักเป็นแค่ชื่อในนาม แต่แท้จริงแล้วพวกเขาคือกองโจร!

ภารกิจส่วนใหญ่ของพวกเขาคือรุกรานอารยธรรมต่างๆ หากเป้นไปได้ก็จะฆ่าปล้นชิงทุกอย่าง แต่ถ้าศัตรูแข็งแกร่งเกินไปก็จะชิงของเท่าที่ทำได้และหลบหนีไป ด้วยโครงสร้างอารยธรรมเช่นนี้ รวมถึงชื่อเสียงของสำนักทั้งสาม เหล่าสำนักย่อยจึงมอบทรัพยากรมากมายให้ทั้งสามสำนักเป็นบรรณาการเพื่อแลกกับการไว้ชีวิต พวกเขาต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ทรัพยากรมาจำนวนมากถึงจะสามารถรักษาความสัมพันธ์กับกองโจรเหล่านี้ต่อไป

พวกสำนักย่อยจะคอยออกแยกย้ายกันไปหาทรัพยากรเพิ่ม เมื่อสามสำนักใหญ่ออกคำสั่ง พวกเขาก็จะร่วมกันปฏิบัติตาม ด้วยเหตุนี้เอง พลังและอำนาจของสามสำนักใหญ่จึงเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น

ระหว่างที่ทั้งสามสำนักใหญ่คอยรวบรวมทรัพยากรและฝึกฝนศิษย์ ก็เริ่มมีผู้ฝึกตนบรรลุขั้นจุติวิญญาณและขั้นเชื่อมวิญญาณมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงกระนั้น สถานการณ์ตึงเครียดของทั้งสามสำนักกลับไม่ได้หายไปไหน แต่ละฝ่ายต่างอยากจะยึดอีกสองสำนักมาเพื่อในฝ่ายของตนแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ทั้งสามสำนักต่างแข็งแกร่งเทียบเท่ากัน โครงสร้างการปกครองสามฝ่ายนั้นไม่มั่นคงแม้แต่น้อย ทำให้แม้จะยังมีความบาดหมางกันอยู่ แต่พวกเขาก็ต่างพยายามอย่างหนักเพื่อรักษาดุลยภาพของอำนาจไว้ไม่ให้สถานการณ์ทวีความตึงเครียดยิ่งขึ้น

ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังค้นความทรงจำของเหล่าดวงวิญญาณเพื่อหาข้อมูลของอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์เพิ่ม เขาก็พบเบาะแสเกี่ยวกับยานพาหนะที่พวกเขาใช้ปล้นสะดม คนพวกนี้มีเรือบินขนาดเล็กแต่ดูมีมูลค่า เรือบินนี้เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่ง เขาจ้องมองอยู่เนิ่นนานก่อนจะกะพริบตาปริบ

ช่างดูคุ้นตา…

มันคือแมงกะพรุนสีดำนั่นเอง หวังเป่าเล่อเคยครอบครองอยู่ตัวหนึ่ง ชื่อของมันคือธาราจอมตะกละ เขามอบสิ่งนี้ให้หนึ่งในวิญญาณวุธของตน ตั้งใจจะทำลายผนึกดั้งเดิมและใช้มันเดินทางข้ามห้วงอวกาศ แต่ศึกกับโยวหรันทำให้ชายหนุ่มต้องนำธาราจอมตะกละมาซ่อมเรือสำปั้นแห่งความมืดแทน

เขานึกขึ้นได้ว่าเจ้าของดั้งเดิมของธาราจอมตะกละคือผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณจากนอกโลกสามคนที่เข้ามารุกรานสหพันธรัฐ ขณะที่กำลังนึกถึงความชั่วร้ายต่างๆ ที่คนเหล่านั้นทำ ใบหน้าของชายหนุ่มก็ดูแปลกไป เขานิ่งเงียบไปสักพัก จากนั้นก็หรี่ตาลง

หรือว่าพวกนั้นจะมาจากแถวนี้

แสดงว่าข้าไม่ได้อยู่ไกลจากระบบสุริยะมากนัก…หรือเปล่านะ ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้าง เขาค่อนข้างมั่นใจกับข้อสรุปของตนเอง โชคร้ายที่ดวงวิญญาณจากศพทั้งสี่มีสภาพไม่สมบูรณ์ จึงไม่สามารถหาข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่แห่งนี้จากดวงวิญญาณพวกเขาได้มากนัก

หลังจากเงียบไปพักใหญ่ หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจแปลงกายเป็นหนึ่งในเหล่าศพ เพื่อที่จะได้เข้าไปแฝงกายในอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ ตามหาแผนที่ดวงดาวของเขตนี้ และอาจหาข้อมูลสำคัญอื่นๆ เพิ่ม

แก่ไป ไม่เหมาะกับข้า

คนนี้เป็นผู้หญิง หน้าตาไม่ได้แย่ เสียดายจริง ไม่เหมาะกับข้า

คนนี้ผอมไป!

เหมือนว่าจะเหลือแค่คนนี้ คงต้องเป็นเขาแล้วล่ะ หลังจากตรวจดูเหล่าศพ หวังเป่าเล่อก็เลือกผู้ฝึกตนวัยกลางคนหน้าตาดีคนหนึ่ง

ก่อนตายเขาอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นปลาย หวังเป่าเล่อทราบว่าเขาชื่อหลงหนานจื่อจากความทรงจำที่หลงเหลือในดวงวิญญาณ หลงหนานจื่อเป็นสมาชิกสำนักย่อยที่ชื่อว่าสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์ซึ่งขึ้นตรงต่อสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์

สำนักเกลียวคลื่นสวรรค์เป็นสำนักเล็ก แต่ก็ขึ้นชื่อในเรื่องการหลอมวัตถุเวท ทำให้มีอำนาจระดับหนึ่งในอารยธรรม นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณชั้นต้นเป็นผู้อาวุโสประจำสำนัก จึงมีสิทธิ์มีเสียงในสำนักมหาทัณฑ์สวรรค์ นอกจากจะออกปล้นเองแล้วยังมีโอกาสได้ร่วมปล้นสะดมกับสำนักใหญ่ด้วย

เหมือนว่าสำนักเกลียวคลื่นสวรรค์จะประสบปัญหาบางอย่างอยู่ในปัจจุบัน ศิษย์หลายคนต่างออกไปหาทรัพยากรเพื่อหลอมวัตถุเวทและเสริมขั้นการฝึกตนของตนเอง

เมื่อเริ่มเข้าใจสถานการณ์มากขึ้น หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาวางไว้บนศพ ร่างมายาของเขาเริ่มแข็งตัว ผ่านไปสิบวินาที ก็เปลี่ยนรูปโฉมจนเหมือนผู้ฝึกตนที่นอนเป็นศพอยู่ตรงพื้น!

พลังที่แผ่ออกมาเหมือนศพผู้ฝึกตนไม่มีผิดเพี้ยน แม้แต่สหายคนสนิทของหลงหนานจื่อก็คงไม่สามารถแยกออกได้

เป็นไปไม่ได้เลยที่จะลอกท่าทาง การแสดงออก และลักษณะนิสัยให้เหมือนหลงหนานจื่อ แต่จากความทรงจำของเขาทำให้รู้ว่าอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ที่แสนชั่วร้ายนั้นไม่เชื่อใจใครอย่างจริงแท้ ทุกคนคอยระแวดระวังตัวกันตลอด ทำให้ไม่มีใครรู้จักเนื้อแท้กันและกัน

ถึงเขาจะไม่หล่อเท่าข้า แต่ก็ไม่มีตัวเลือกอื่นแล้ว ยอมใช้เขาก็ได้ หวังเป่าเล่อจับใบหน้าตนเองพร้อมกับถอนหายใจ จากนั้นก็ยกมือขวาขึ้นโบก ศพของหลงหนานจื่อกลายเป็นเถ้าธุลีพัดหายไปกับสายลม

ชายหนุ่มสำรวจร่างกายตัวเอง สัมผัสได้ถึงพลังในอากาศที่กำลังกดทับตนอยู่ พลังรัศมีของเขาเริ่มแปรเปลี่ยน พอพลังกดดันหายไป ปราณวิญญาณก็เริ่มเป็นมิตรกับสัมผัสมากขึ้น หวังเป่าเล่อสามารถดูดซับปราณวิญญาณได้แล้ว พอไม่มีอะไรมาขวางกั้น ปราณวิญญาณก็ไหลเวียนเข้าสู่ร่างอย่างราบรื่น

ไปตรวจดูอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ดีกว่าว่ามีอะไรพิเศษอยู่หรือเปล่า… ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบ เขาก้าวไปข้างหน้าและทะยานขึ้นฟ้า พยายามรักษาระดับการฝึกตนให้อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ จากนั้นก็มุ่งหน้าตรงไปยังทิศทางที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจำของหลงหนานจื่อ

หวังเป่าเล่อมองดินแดนประหลาดเบื้องล่างและฟากฟ้าไม่คุ้นตาด้านบนระหว่างเดินทางข้ามโลกใบนี้ ในใจเริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เขาเป็นคนนอกในดินแดนที่ไม่รู้จักและอารยธรรมต่างดาวแห่งนี้ ชายหนุ่มไม่มีอะไรให้เสีย จึงตั้งตาคอยที่จะทำอะไรก็ได้ตามที่ใจอยาก!

……………………………….

บทที่ 731 ยางอายคืออะไร ไม่เห็นรู้จัก
หวังเป่าเล่อไม่ได้รับรู้เรื่องการต่อสู้ระหว่างศิษย์พี่เฉินชิงและชายสวมชุดเกราะ เรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลต่อการตัดสินใจของเขาแต่อย่างใด ผ่านไปเพียงครู่เดียว ดวงตาของชายหนุ่มก็ฉายแววเด็ดเดี่ยว ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้

คิดมากเกินไปก็ยิ่งยากจะตัดสินใจได้ แน่นอนว่าข้าจะต้องแบบรับความเสี่ยงที่เกิดจากการตัดสินใจครั้งนี้ แต่ถ้ามัวคิดเล็กคิดน้อยเกินไป…ก็ไม่สมกับเป็นชายชาตรี ศิษย์พี่ช่วยข้ามาแล้วหลายครั้ง ข้าไม่ควรจะมานึกกังขาเรื่องนี้เลย! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึกและสร้างผนึกฝ่ามือขึ้น เริ่มเรียนกระบวนเวทที่เฉินชิงมอบให้ทันที

กระบวนเวทดังกล่าวไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์ช่วยเพิ่มระดับพลังปราณ แต่ทำให้เขาสามารถสร้างร่างอวตารของตนได้ หวังเป่าเล่อใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดช่วยเร่งกระบวนการเรียนรู้ ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้น เผยให้เห็นดวงแสงจางๆ ในตา

ร่างของเขาพลันเลือนรางก่อนจะแบ่งแยกออกเป็นชั้นๆ ซ้อนทับกันไปมา หากมองดูใกล้ๆ จะเห็นว่ามีร่างแยกถึงเก้าร่างด้วยกัน

“ร่างอวตาร จงปรากฏ!” หวังเป่าเล่อร้องคำราม ทันใดนั้น ร่างอวตารร่างหนึ่งก็ค่อยๆ แยกออกจากร่างของเขา ตามมาด้วยร่างที่สอง สาม ไปเรื่อยๆ จนถึงร่างที่เก้า ทั้งเก้าร่างผสานรวมกันเป็นหนึ่งตรงหน้าชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว ดูแล้วไม่แตกต่างจากร่างจริงเลยแม้แต่นิด

ร่างอวตารนั้นมีเลือดเนื้อและวิญญาณเหมือนร่างจริง วิญญาณจุติดวงดาราของชายหนุ่มก็แบ่งร่างออกเป็นสองส่วน แยกเข้าไปอยู่ในร่างอวตารด้วย ความจริงจะเรียกมันว่าร่างอวตารก็ไม่ได้ เพราะนี่คือ…วิญญาณสารัตถะดวงที่สองของหวังเป่าเล่อ!

วิญญาณสารัตถะดวงที่สองของผู้ฝึกตนจะใช้ทุกอย่างร่วมกับร่างจริง ดังนั้นเขาจะสั่งระเบิดตัวเองมั่วๆ ไม่ได้ ระดับพลังปราณและความสามารถในการต่อสู้ของวิญญาณสารัตถะดวงที่สองด้อยกว่าร่างจริงเล็กน้อย ซึ่งก็หมายความว่าวิญญาณสารัตถะดวงที่สองของเขามีพลังอยู่ในขั้นจุติวิญญาณชั้นต้น

แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้กระบวนเวทนี้ดูด้อยค่าแต่อย่างใด สิ่งนี้ไม่เหมือนร่างอวตารก่อนๆ ของชายหนุ่ม วิญญาณสารัตถะดวงที่สองสามารถฝึกวิชาได้ด้วยตนเอง เมื่อกลับมารวมร่างกับหวังเป่าเล่ออีกครั้งก็จะช่วยเพิ่มพลังปราณให้กับร่างจริงด้วย วิญญาณสารัตถะดวงที่สองนั้นอยู่คาบเกี่ยวระหว่างร่างจริงและร่างมายา นอกจากนี้ หวังเป่าเล่อยังสามารถสลับที่กับวิญญาณสารัตถะได้ทุกเมื่อ!

เพราะเหตุผลสุดสำคัญสองข้อนี้ เฉินชิงจึงมอบกระบวนเวทนี้ให้หวังเป่าเล่อ!

หลังจากประเมินความสามารถเฉพาะของร่างอวตารเสร็จ หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจลึกและหลับตาลง ทันทีที่ตาของเขาปิดสนิท…วิญญาณสารัตถะดวงที่สองก็ลืมตาตื่นขึ้น!

ก็คล้ายๆ กับการคุมร่างอวตารร่างก่อนๆ ในหลายๆ จุด แล้วก็แตกต่างกันในบางจุด… หวังเป่าเล่อหมายเลขสองเงยหน้าขึ้นและจับใบหน้าตนเอง เขาจ้องไปยังหวังเป่าเล่อหมายเลขหนึ่งที่พลันลืมตาขึ้นจ้องกลับมาทันใด

“ก่อนหน้านี้ การควบคุมร่างอวตารก็เหมือนการควบคุมอวัยวะในร่างกาย เหมือนการขยับแขน ที่แค่คิดก็ส่งผ่านคำสั่งทั้งหมดไปได้ ทว่าร่างอวตารนี่…ไม่ได้เหมือนแขนข้างหนึ่งอีกต่อไป แต่เหมือนมีตัวข้าเพิ่มขึ้นมาอีกคน!” หวังเป่าเล่อหมายเลขสองพึมพำขณะจ้องหวังเป่าเล่อหมายเลขหนึ่ง เขากระแอมกระไอขึ้น

“เจ้าคิดเห็นอย่างไร”

“น่าจะเป็นเช่นนั้น น่าสนใจดี” หวังเป่าเล่อหมายเลขหนึ่งว่าขณะลูบคางและพยักหน้าตอบ

“ถ้าอย่างนั้น เจ้าพักผ่อนอยู่นี่ เดี๋ยวข้าออกไปดูเองว่าเกิดอะไรขึ้นข้างนอก แล้วจะลองหาร่องรอยของศิษย์พี่ไปด้วย” หวังเป่าเล่อหมายเลขสองกล่าวอย่างจริงจัง

“ได้ ระวังตัวด้วยตอนออกไปข้างนอก ถ้าเป็นไปได้ ลองตรวจดูด้วยว่าเราอยู่ห่างจากระบบสุริยะไกลเพียงใด” หวังเป่าเล่อหมายเลขหนึ่งพูดด้วยสีหน้าพินิจพิเคราะห์ จากนั้นก็จ้องหวังเป่าเล่อหมายเลขสองอีกครั้ง

“ดูตลกเกินไปไหมที่เราสองคนคุยกันเช่นนี้ เราเป็นคนคนเดียวกัน แต่มาทำเป็นคุยกันเหมือนเป็นคนสองคน…เจ้าคิดว่าศิษย์พี่คิดอะไรอยู่ถึงมอบกระบวนเวทนี้ให้เรา เขาน่าจะมีวิญญาณสารัตถะดวงที่สองด้วยเช่นกัน ข้าว่า…จากนิสัยของศิษย์พี่แล้ว วิญญาณสารัตถะดวงที่สองของเขาต้องเป็นผู้หญิงแน่…” ผ่านไปพักหนึ่ง หวังเป่าเล่อหมายเลขสองก็กะพริบตาและกล่าวขึ้น

“ข้าก็คิดเช่นนั้น! แต่พวกเราหวังเป่าเล่อเป็นคนมีคุณธรรม เราไม่มีทางแม้แต่จะคิดทำอะไรวิปริตเช่นนั้น พเราต้องทำตัวให้คุ้นชินกับการคุยกันเช่นนี้ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป!” หวังเป่าเล่อหมายเลขหนึ่งสูดหายใจลึกและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ก็ได้…ข้าจะออกไปข้างนอกแล้วนะ แต่ก่อนจะไปข้าขอฝากอะไรไว้สักเล็กน้อย หวังเป่าเล่อ เจ้าช่างหล่อเหลาเอาการเสียจริง!”

“หวังเป่าเล่อ เจ้าก็หล่อเหลาเกินบรรยายไม่ต่างกัน!”

หวังเป่าเล่อหมายเลขหนึ่งและหมายเลขสองฮึกเหิมขึ้นเมื่อได้ยินคำชมอย่างจริงใจจากตนเอง หวังเป่าเล่อหมายเลขหนึ่งยื่นกระเป๋าคลังเก็บให้หวังเป่าเล่อหมายเลขสอง จากนั้นหวังเป่าเล่อหมายเลขสองก็ปลดปล่อยเปลวไฟสีดำใส่ฝาโลงศพ ทันทีที่เปลวไฟสีดำสัมผัสโลงศพ หวังเป่าเล่อหมายเลขสองก็กลายเป็นดวงไฟมายาลอยทะลุผ่านโลงศพไป!

ก่อนจะปรากฏตัวอีกครั้ง…ด้านนอกโลงศพ!

รอบโลงศพเต็มไปด้วยน้ำแข็งสีดำปนสีน้ำตาล ไอเย็นหนาวจัดขนาดแช่แข็งวิญญาณของคนได้พัดเข้าใส่หวังเป่าเล่อหมายเลขสองในทันใด ดวงตาของเขาฉายแสงวาบขณะขยายจิตสัมผัสวิญญาณออกไปเต็มขีดจำกัด แต่ก็เหมือนว่าจะขยายได้ไกลสุดแค่ราวสามสิบเมตรเท่านั้น โชคดีที่ชายหนุ่มสามารถเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน ตอนนี้เขากำลังยืนอยู่บนชั้นน้ำแข็งที่ไม่รู้ว่ามีอายุเท่าใด โลงศพฝังลึกอยู่ในน้ำแข็ง นอกจากนั้นแล้วก็สัมผัสอะไรไม่ได้อีกเลย!

โลงศพน่าจะมีกลไกบางอย่างช่วยป้องกันไม่ให้น้ำแข็งถูกเจาะเป็นรู จนดูเหมือนว่าโลงศพทะลุผ่านชั้นน้ำแข็งเข้าไปปรากฏข้างในได้เลย พลังกดดันพัดกระจายไปทั่วบรรยากาศเยือกแข็งและลมหนาวเหน็บ แม้ร่างของชายหนุ่มจะเป็นเพียงภาพมายา แต่ก็ไม่สามารถทานทนความหนาวเย็นได้ เขามั่นใจว่าถ้าวิญญาณสารัตถะดวงที่สองมีกายหยาบจะต้องหนาวตายอย่างรวดเร็วเป็นแน่

หลังจากตรวจสอบพื้นที่โดยรอบคร่าวๆ หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจไม่อ้อยอิ่งอยู่ที่เดิม ร่างมายาของเขาพลันเลือนรางขณะออกวิ่งตรงไป เป็นการเดินทางที่แสนหนักหนา ความหนาวเหน็บและน้ำแข็งเริ่มก่อตัวบนร่างกายเรื่อยๆ จนส่งผลถึงความรู้สึกนึกคิด

โชคดีที่ชายหนุ่มมีวิญญาณจุติดวงดาราและเปลวไฟสีดำ ทั้งสองสิ่งช่วยต้านความหนาวเย็นที่คืบคลานเข้ามา หลายชั่วโมงผ่านไป ร่างมายาของหวังเป่าเล่อก็พุ่งผ่านน้ำแข็งไปโผล่ด้านในถ้ำแห่งหนึ่ง!

ที่ผนังถ้ำไม่มีน้ำแข็งเกาะเลยแม้แต่น้อย ถึงกระนั้นก็ยังเต็มไปด้วยความหนาวเย็น หวังเป่าเล่อมองไปรอบๆ จากนั้นก็เงยหน้าและมองไปยังพื้นน้ำแข็ง แสงจางๆ สองดวงฉายชัดขึ้นในหัว

นี่คือดาวเคราะห์หรือ หวังเป่าเล่อนึกสงสัย เขาขยายจิตสัมผัสวิญญาณผ่านชั้นน้ำแข็งออกไปไกล

ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงพลังกดดันในโลกแห่งนี้ ปราณวิญญาณที่นี่หนาแน่นกว่าปราณวิญญาณของสหพันธรัฐ แต่การจะดูดซับมานั้นเป็นเรื่องยาก เพราะมีบางอย่างขวางเขาไว้ไม่ให้ทำเช่นนั้นได้

ที่นี่มีกฎบางอย่างแตกต่างออกไป ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบ เขาพุ่งขึ้นฟ้า ปลดปล่อยพลังปราณพร้อมกับขยายจิตสัมผัสวิญญาณออกไปสุดกำลัง ไม่นานจิตสัมผัสวิญญาณก็ขยายเกินดินแดนน้ำแข็งออกไป!

ฟากฟ้าไม่ได้เป็นสีฟ้าใสหากแต่มืดหม่นกว่า ทว่าดูเหมือนท้องนภาบนโลก ดวงอาทิตย์ลอยเด่นอยู่กลางฟ้าคอยฉายแสงสว่างและให้ความอบอุ่น แต่แสงที่ส่องออกมากลับหนาวเย็น ความอบอุ่นที่แผ่ออกมาไม่สามารถละลายน้ำแข็งบนพื้นได้!

เมื่อมองลงมาด้านล่าง…จะเห็นทิวเขาสูงต่ำ ทั่วพื้นที่ดูเหมือนป่ารกชัฏ ผืนดินไม่ได้ปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะจนหมด แต่ดินก็แข็งและหนาวเย็นไม่ต่างจากความชื้นในอากาศ สายลมที่พัดไปมานำพาความหนาวเหน็บจนทะลุไปถึงกระดูก!

ไกลออกไปมีภูเขาที่ยุบตัวลง เศษหินกระจายไปทั่วพื้นที่ ด้านใต้กองหินมีแอ่งดินที่มีศพสี่ศพนอนอยู่ ด้านบนแอ่งดินมีคนผู้หนึ่งกำลังวิ่งออกไปไกล เหมือนจะได้รับบาดเจ็บ

หวังเป่าเล่อหรี่ตากลับไปมองคนที่กำลังวิ่งห่างออกไป เหมือนคนผู้นั้นจะไม่สังเกตถึงตัวตนของเขา พริบตาต่อมา ชายหนุ่มก็ไปปรากฏอยู่ข้างๆ แอ่งดิน ดวงตาของเขาเลื่อนไปหยุดอยู่ตรงศพทั้งสี่ พวกเขาเพิ่งตายได้ไม่นาน มีร่องรอยการถูกค้นตัว

ฆ่าชิงทรัพย์หรือ ชายหนุ่มลูบคาง จากนั้นก็ยกมือขวาสร้างผนึกฝ่ามือชี้ไปทางศพ

“วิญญาณ จงปรากฏ!”

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ไกลจากอารยธรรมดวงเนตรสวรรค์ออกไป ในวงแหวนปราณที่สร้างขึ้นจากดารานิรันดร์นับพัน การต่อสู้สุดดุดันได้เปิดฉากขึ้น เฉินชิงปลดปล่อยพลังรัศมีรุนแรงกว่าปกติ การตัดสินใจของหวังเป่าเล่อทำให้เขารู้สึกยินดีและสบายใจไม่น้อย

ชายชุดเกราะดูท่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เขานึกว่าตนพบจุดอ่อนของเฉินชิงแล้ว ตอนแรกคิดจะใช้จุดอ่อนนี้ดึงความสนใจจากอีกฝ่ายไป เพราะแค่อีกฝ่ายเสียสมาธิไปเล็กน้อยก็จะสร้างโอกาสให้กับตนได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับผิดไปจากที่คาด เด็กหนุ่มที่เขาเคยมองว่าเป็นแค่มดปลวกกลับไม่ตกหลุมพรางที่ตนวางไว้

“ข้าใจร้อนเกินไป แผนของข้าน่าจะสำเร็จลุล่วงหากอดทนรออีกสักหน่อย!”

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา A World Worth Protecting

Status: Ongoing

เรื่อง : หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา (三寸人间)ผู้เขียน : เอ่อร์เกิน (耳根) ผู้แปล : Thunderbird Translators ค.ศ. 3029 วิทยาการบนโลกมนุษย์พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว จนแต่ละประเทศไม่มีเขตพรมแดนกั้นอีกต่อไป โลกได้ผสานรวมกลายเป็นหนึ่งเดียว เริ่มต้นยุคสมัยแห่งสหพันธรัฐ ตอนนั้นเอง กระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งตกลงมาจากห้วงอวกาศ ปักเข้าใจกลาง ดวงอาทิตย์ ฝักกระบี่แตกออกเป็นเศษชิ้นส่วนจำนวนมาก กระจัดกระจายไปทั่ว ทั้งจักรวาลรวมถึงบนโลก และก่อให้เกิดแหล่งพลังงานรูปแบบใหม่อันไร้ขีดจำกัด พลังงานนี้มีชื่อเรียกกันว่า ปราณวิญญาณ ‘หวังเป่าเล่อ’ หนุ่มร่างท้วมผู้ทะเยอทะยาน ใฝ่ฝันจะได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐ ด้วยหวังว่าจะไม่มีใครมารังแกเขาได้อีกต่อไป และเมื่อเดินทางเข้ามาศึกษาใน สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ใช้ความรู้เหล่านั้นบวกกับความหน้าหนาหน้าทน ของตัวเอง วางกลยุทธ์อันฉลาดล้ำกำราบศัตรูคนแล้วคนเล่า ใครหน้าไหนก็ไม่อาจมาขัดขวางเส้นทางสู่การเป็นหนึ่งในใต้หล้าของชายอ้วนผู้นี้ได้ เว้นเสียแต่คำสาปประจำตระกูล ที่บอกไว้ว่าหวังเป่าเล่อจะต้องตาย หากเขาไม่ผอมลงก่อนอายุสามสิบปี ในเมื่อบรรพบุรุษร่างจ้ำม่ำมายืนรอให้เขาไปอยู่ด้วยขนาดนี้ ชายหนุ่มจึงต้องทั้งฝึกตนและลดน้ำหนักไปพร้อมๆ กัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท