เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค – ตอนที่ 250 ข้อแลกเปลี่ยน ขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกกำมือ (1)

ตอนที่ 250 ข้อแลกเปลี่ยน ขโมยไก่ไม่ได้ เสียข้าวสารอีกกำมือ (1)

มั่วเชียนเสวี่ยเบิกตากว้าง เรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นกะทันหันไม่ทันได้ตั้งตัว เหยียดกายลุกขึ้นไม่ทัน ทว่าแววตาซูชีเปลี่ยนไป รู้สึกคอแห้งขึ้นมากะทันหัน แลบลิ้นเลียริมฝีปากตนเองอย่างไม่อาจควบคุม

เห็นมั่วเชียนเสวี่ยไม่ลุกขึ้น มือทั้งสองข้างที่อยู่ไม่เป็นสุขคิดอยากจะกอดเอวบาง ท่ามกลางความอดกลั้นมือทั้งสองกำหมัดแน่น สีหน้าของเขายังคงยิ้มอย่างไม่จริงจัง “เป็นอะไร เจ้ารู้สึกว่าฟูกเนื้ออย่างข้าสบายมากใช่หรือไม่ ไม่อยากลุกขึ้นแล้ว?”

มั่วเชียนเสวี่ยที่ดึงสติกลับมาแล้ว “ถุย!” ถ่มน้ำลาย แล้วเหยียดกายลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว มองค้อนไปที่เขา เด้งตัวขึ้นกระโดด “หากเจ้ายังไม่จริงจัง ข้าจะเก็บเครื่องปรุงเหล่านั้นเอาไว้ให้หมด”

แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ภายในใจของนางรู้สึกขอบคุณซูชีที่หวังดีมารับร่างของนางเอาไว้ มิเช่นนั้นหากหัวกระแทกพื้นขึ้นมาจริงๆ ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นเช่นไรบ้าง

ซูชีนอนบนพื้นไม่ได้ลุกขึ้น มือหนึ่งชันศีรษะ มือหนึ่งจับกิ่งไผ่บางๆ ที่มั่วเชียนเสวี่ยทำหักขึ้นมาแล้วคาบไว้ เขายิ้มสดใสยิ่งกว่าแสงแดด พูดอย่างอารมณ์ดี “ค่าฟูกเนื้อของข้ายังไม่ได้คิดราคาเพิ่ม ตอนนี้ยังจะถูกหักลด! เชียนเสวี่ย เจ้าคิดอยากจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน[1]เช่นนั้นหรือ”

มั่วเชียนเสวี่ยไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดในโลกประหลาดนี้จึงมีบุรุษเช่นนี้ ทั้งเจ้าเล่ห์ ทั้งกำเริบเสิบสานไม่รู้จักเกรงกลัว แต่กลับสามารถทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจ

หากเปลี่ยนเป็นสถานการณ์อื่น นางต้องชื่นชมบุรุษรูปงามคนนี้อย่างแน่นอน ทว่าเมื่อครู่ล้มลงบนตัวเขา แม้เขาจะไม่ใส่ใจ แต่นางก็รู้สึกเกรงใจ ด้วยเหตุนี้นางจึงทั้งโมโหและร้อนใจ มั่วเชียนเสวี่ยกระทืบเท้า “เจ้าอยากจะคิดเช่นไรก็เชิญตามสบาย”

บนใบหน้าซูชียังคงเป็นรอยยิ้มสดใส “เชียนเสวี่ยอยากให้ข้าคิดเช่นไร”

ชั่วขณะหนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยไม่รู้จะพูดอย่างไร นึกถึงท่าทางของตนเมื่อครู่ต้องน่าเกลียดยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้จึงพูดด้วยความหงุดหงิด “เจ้าจะลุกขึ้นหรือไม่ หากไม่ลุกขึ้น ข้าขอตัวก่อน”

ซูชีผิดหวังเล็กน้อย ทว่าใบหน้าของเขายังคงเปื้อนยิ้ม

เขากลัวจะทำให้นางตกใจแล้วหนีหาย ทว่าอีกใจหนึ่งก็อยากให้นางรับรู้ความรู้สึกของเขา เมื่อครู่เป็นการหยั่งเชิง แต่สุดท้ายคล้ายแตกต่างจากที่คิดยิ่งนัก

เมื่อครู่ตอนที่เห็นนางกำลังจะล้มลง เขาตกใจอย่างมาก วิ่งไปประชิดตัวนางด้วยความเร็วสูงสุด หมายจะรับร่างนางเอาไว้ จะได้เป็นวีรบุรุษช่วยหญิงงาม แต่สุดท้ายทำได้เพียงเอาตัวรองอยู่บนพื้น ช่างน่าเวทนา

ทว่า สตรีล้มลงบนตัวบุรุษควรจะทั้งอายทั้งแก้มแดงไม่ใช่หรือ เห็นได้ชัด นางไม่เป็นเช่นนั้น คล้ายว่านางไม่เห็นเขาเป็นบุรุษ

หรือว่าเขาไม่มีตัวตนเช่นนั้นเชียวหรือ

ซูชีวางมือที่ยกขึ้นชันศีรษะ ล้มตัวลงนอนบนพื้น มองท้องฟ้าบนป่าไผ่ “เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปก่อนเถอะ ใครบางคนโง่เขลายิ่งนัก ช่วงบ่ายฝึกฝนด้วยตนเองอีกเล็กน้อยเถอะ ข้าเหนื่อยแล้ว พรุ่งนี้เช้าข้าค่อยมาดูคนโง่เขลาเช่นเจ้า!”

เขาไม่ได้เหนื่อย แต่เขาไม่อาจควบคุมความรู้สึกของตนได้แล้ว โดยเฉพาะเมื่อครู่ ริมฝีปากของนางเกือบจะประกบลงบนคอของเขา กลิ่นหอมดั่งบุปผารินรดอยู่ที่คอ ทำให้เขามึนเมาแล้ว

เขาไม่อยากเก็บซ่อนความรู้สึกนี้อีกต่อไป

มั่วเชียนเสวี่ยเดินไปไกลไม่นาน ซูชีใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งดันร่างของเขาขึ้นแล้วกึ่งนั่งกึ่งนอนที่ข้างรั้ว เขาดึงกิ่งไผ่บางๆ ออกจากริมฝีปากอย่างเกียจคร้านและไม่ใส่ใจ ดวงตาคมเฉียบหรี่ลงเล็กน้อยมองไปยังมุมหนึ่งในป่าไผ่พร้อมกับยกมุมปากขึ้นคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ดูมานานแล้ว ควรจะออกมาได้แล้วกระมัง”

ป่าไผ่สั่นครอน มีสองร่างกระโดดออกมา ถือกระบี่แบ่งเป็นสองด้านพุ่งไปที่ซูชี

กระบี่ทั้งสองเล่มพุ่งมากะทันหัน อานุภาพกระบี่ดั่งสายฝน ไอสังหารแผ่ซ่าน ชี้ตรงไปยังลูกกระเดือก…

ซูชีหัวเราะเยือกเย็น หมุนตัว ไม่เห็นว่าเขาใช้กระบวนท่าใด ยกมือขึ้นใช้นิ้วมือหักกระบี่ทั้งสองเล่มที่จู่โจมมา ทันใดนั้นเองเขาก็ดีดตัวขึ้นกระโดด แล้วนอนตะแคงอย่างไม่ใส่ใจ เพียงแต่เวลานี้เขานอนอยู่บนรั้ว

รั้วนั้นไม่สูงและไม่ต่ำ มีทั้งหนาและบาง คนทั่วไปแม้แต่ยืนยังไม่อาจทรงตัวได้ ทว่า ซูชีกลับนอนอยู่บนนั้นอย่างสบาย นอนทรงตัวได้อย่างดี

ไม่ใช่ว่าองครักษ์ลับไม่ได้เรื่อง แต่วรยุทธ์ของซูชีแข็งแกร่งยิ่งนัก หากไม่มีฝีมือเสียหน่อย ด้วยความสามารถในการสร้างปัญหาเช่นเขา จะมีชีวิตอยู่รอดจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไรเล่า

มองกระบี่หักในมือ องครักษ์ลับทั้งสองมองหน้ากัน “คุณชายเจ็ด แน่นอนว่าสหายของข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่าน แต่ว่า โจรมีกฎของโจร คุณหนูมั่วเป็นสตรีของเจ้านายพวกข้า ชายหญิงมิควรใกล้ชิดสนิทสนมกัน คุณชายเจ็ดโปรดเลี่ยงการกระทำที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิด อย่าได้รบกวนคุณหนูมั่วอีก”

ซูชีที่นอนอยู่วิเคราะห์ได้ตั้งแต่แรกแล้วว่า เหตุใดหนิงเซ่าชิงจึงไม่พามั่วเชียนเสวี่ยกลับจวนหนิง ในฐานะทายาทตระกูลขุนนาง แม้ปกติเขาจะไม่สนใจเรื่องในตระกูล แต่ว่า ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เข้าใจด้านการเมือง ไม่เข้าใจเรื่องซับซ้อนที่ซ่อนอยู่

ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวานพี่ใหญ่ตอบกลับตน บอกให้หาโอกาสที่เหมาะสม ขอฮ่องเต้ทาบทามสู่ขอนางให้ตน

ฐานันดรศักดิ์ของมั่วเชียนเสวี่ยพิเศษ บิดามารดาล้วนสิ้นชีพแล้ว แน่นอนว่าเรื่องแต่งงานของนางขึ้นอยู่กับฮ่องเต้

ในเมื่อหนิงเซ่าชิงไม่อาจมอบความสุขให้นางได้ เช่นนั้นมอบหน้าที่นี้ให้เขา ไม่ว่านางกับหนิงเซ่าชิงจะเคยมีอะไร เขาล้วนไม่ถือสา ขอเพียงนางยอมเปิดใจให้เขา ไม่ว่าจะต้องทุ่มเทเท่าใด ล้วนคุ้มค่า

“กลับไปบอกหนิงเซ่าชิง บอกเขาว่า หากเห็นแก่ความปลอดภัยของเชียนเสวี่ยจริงๆ เช่นนั้นให้เขารามือแต่เพียงเท่านี้” หากนางสามารถเปิดใจให้เขาได้จริงๆ เขาจะปกป้องนางด้วยชีวิตอย่างแน่นอน

แต่…หากสุดท้าย นางยังคงเลือกหนิงเซ่าชิง เขาเองก็จะไม่โกรธเคืองและไม่ตำหนิ ฟ้าดินกลั่นแกล้ง ผู้ใดให้คนที่พบเจอนางก่อนไม่ใช่ตน ครั้งแรกที่เขาพบเจอนางผู้ใดให้ตนไม่รู้ใจตนเอง

ไม่ว่านางจะเลือกเช่นไร เขาเพียงต้องการให้นางมีความสุข…

ไม่ว่านางจะเลือกเช่นไร เขาล้วนจะปกป้องนางสุดกำลัง…ทำเพื่อหัวใจที่กระสับกระส่ายดวงนี้

เขาเคยพยายาม เคยช่วงชิง แม้จะไม่ได้ครอบครอง แต่อย่างน้อยก็ไม่เสียใจ

แต่…เขาจะใช้สิ่งใดปกป้องนาง อาศัยตำแหน่งรองแม่ทัพขั้นห้าที่เป็นเพียงตำแหน่งในนามเช่นนั้นหรือ อาศัยวรยุทธ์ของเขาเช่นนั้นหรือ

ในยุทธภพที่โกลาหลนี้ หากอยากจะปกป้องนาง จำต้องมีอำนาจที่แท้จริง ไม่อาจวิ่งไปขอร้องพี่ใหญ่และท่านพ่อในทุกๆ ครั้งที่เกิดเรื่องขึ้นกับนางกระมัง… หากเป็นเช่นนั้น เขาไม่มีแม้แต่สิทธิ์ในการช่วงชิง…

องครักษ์ลับทั้งสองยืนมองหน้ากันด้านล่างครู่หนึ่ง หลังจากไตร่ตรองพวกเขาก็ถือกระบี่แล้วกลับไป

ทางด้านซูชีที่นอนตะแคงอยู่บนรั้ว ทันใดนั้นเองเขาก็ลืมตาขึ้น นัยน์ตาทอประกาย ปลายนิ้วมือแตะรั้วเบาๆ ร่างของเขาทะยานขึ้น ปรากฏตัวในจวนกั๋วกงอย่างรวดเร็วราวกับสายลม

องครักษ์ที่เดินตรวจตราอยู่ในมุมกำแพงของจวน รู้สึกคล้ายบางอย่างเคลื่อนผ่านหน้า เหมือนลำแสงสีม่วงแล่นผ่าน พวกเขามองซ้ายมองขวาทว่าไม่พบเจอสิ่งผิดปกติ หลังจากมองตากันต่างส่ายหน้าแล้วเดินตรวจตราต่อ องครักษ์ทั้งสองเดินตรวจตราไปพร้อมกับเกาศีรษะ พูดพึมพำในใจว่า เหตุใดระยะหลังมานี้ พวกเขามักจะตาฝาด

มั่วเชียนเสวี่ยเดินออกมาจากลานฝึกยุทธ์ในป่าไผ่ มั่วเหนียงพาชูอี สืออู่และผอจื่อที่รออยู่ทางด้านนั้นมาโดยตลอดเดินเข้ามาหา

ชูอียื่นผ้าให้กับนาง สืออู่รับกระบี่ในมือมั่วเชียนเสวี่ย มั่วเหนียงเดินเข้ามาพยุงนาง ส่วนผอจื่อทั้งสองเดินตามหลัง

เมื่อกลับเข้าไปในเรือน มั่วเชียนเสวี่ยกวาดตามอง วันนี้มีคนรื้อของอีกแล้ว

หลังจากซูชีเตือนเมื่อวาน มั่วเชียนเสวี่ยตรวจสอบทั้งในและนอกเรือนอย่างละเอียดหนึ่งหน คนที่ลอบเข้ามารื้อของ ฝีมือเก่งกาจยิ่งนัก แทบจะรื้อจุดไหน ก็ทำจุดนั้นให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม หมายจะปกปิดร่องรอยในการมาของพวกเขา แต่พวกเขาไม่รู้เลยว่ามั่วเชียนเสวี่ยมีอุปนิสัยอย่างหนึ่ง…

[1] ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน หมายถึง ได้ผลประโยชน์แล้วถีบหัวส่ง

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

Status: Ongoing

เพราะสำลักน้ำชาจนขาดอากาศ(?)ทำให้ มั่วเชียนเสวี่ย สาวมั่นหัวการค้าทะลุมิติมาอยู่ในโลกยุคโบราณและในร่างของคนอื่น

แต่นั่นยังไม่น่าตระหนกเท่าการที่ร่างนี้กำลังจะแต่งงานเพื่อแก้เคล็ดให้กับชายหนุ่มที่ป่วยร่อแร่เต็มที!

ในโลกที่หากขาดที่พึ่งผู้หญิงก็สามารถถูกขายเป็นทาสได้ตลอดเวลาสามีคนนี้ของนางนับว่าเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยทีเดียว

ทั้งมีความรู้ สุภาพและไม่ใช้กำลังแถมหน้าตายังหล่อเหลาอีกด้วย เสียตรงร่างกายอ่อนแอไปหน่อยเท่านั้น

ชีวิตครอบครัวชนบทแสนยากจนของนางจึงเริ่มขึ้นที่ตรงนั้น… แต่อย่างไรนางไม่ยอมงอมืองอเท้ารับชะตากรรมแบบนี้แน่

ในเมื่อนางมีความรู้ความสามารถยังต้องกลัวสร้างกิจการไม่ได้อีกหรือ?!

เส้นทางร่ำรวยสายนี้นางจะบุกเบิกมันขึ้นมาด้วยตนเอง! และหวังว่าทุกอย่างจะราบรื่นด้วยดี

เพราะเหมือน ‘ร่างนี้’ ของนางกับฐานะเดิมของสามีเหมือนจะไม่ค่อยธรรมดาเสียด้วยสิ…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท