หลังจากปีก่อนผ่านไป บรรยากาศของปีถัดไปก็จะยิ่งเข้มข้นขึ้น
ทุกที่ในจวนถูกปัดกวาดเช็ดถูจนสะอาด มีโคมแดงแขวนไว้ที่ศาลาทางเดิน ดอกไม้และต้นไม้เขียวชอุ่มจัดวางอยู่หน้าเรือนและหลังเรือน ในครัวกำลังยุ่งอยู่กับการเอาน้ำมันลงหม้อ ตุ๋นอาหาร เงินของขวัญสำหรับเทศกาลตรุษจีนและเสื้อผ้าต่างก็ได้รับมาหมดแล้ว ใบหน้าของทุกคนจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
สืออีเหนียงปรึกษากับหู่พั่วเรื่องเตรียมการสำหรับตรุษจีน “…ก่อนวันที่สิบห้าของเดือนแรก พยายามให้ทุกคนได้พักผ่อนสักสองวัน”
หู่พั่วยิ้มพลางพยักหน้า
ทางโรงเย็บปักได้ส่งกระโปรงผ้าไหมหูหนานยี่สิบสี่กลีบสองตัวที่สืออีเหนียงสั่งทำมา
“ดอกเหมยนี้ปักได้ไม่เลวเลยทีเดียวเจ้าค่ะ” หู่พั่วเห็นดังนั้นก็พูดชื่นชม “นึกไม่ถึงว่าโรงเย็บปักจะฝีมือดีเช่นนี้”
สืออีเหนียงพยักหน้า ถามป้ารับใช้ที่นำกระโปรงมาส่ง “เป็นฝีมือของใคร”
“เป็นฝีมือของโอ่วเอ๋อร์เจ้าค่ะ” ป้ารับใช้ผู้นั้นยิ้มแล้วพูดเสียงเบาว่า “เป็นน้องสาวของชุ่ยเอ๋อร์คนที่เคยรับใช้อยู่ข้างกายฉินอี๋เหนียงที่เป็นไข้จนเสียชีวิตเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเงียบไป
ป้ารับใช้ผู้นั้นอดตกใจกลัวไม่ได้ รีบคุกเข่าลงทันที “ฮูหยินโปรดอภัยด้วย ฮูหยินโปรดอภัยด้วย เพราะว่างานนี้ค่อนข้างเร่งรีบ อากาศก็หนาว คนในโรงเย็บปักหลายคนก็เป็นไข้ไม่สบาย แม้ว่าโอ่วเอ๋อร์จะพึ่งเข้าจวนมา แต่ว่าฝีมือเย็บปักโดดเด่นมากจึงให้นางช่วยปักดอกเหมยเหล่านี้ เป็นเพราะพวกบ่าวคิดไม่รอบคอบเอง คิดไม่ถึงว่านางกำลังไว้ทุกข์อยู่…”
“ลุกขึ้นเถิด!” สืออีเหนียงรู้ว่าป้ารับใช้ผู้นั้นเข้าใจผิดแล้ว แต่ก็ไม่ได้อธิบายกับนาง ส่งสัญญาณให้สาวใช้น้อยพยุงนางลุกขึ้น พูดขึ้นมาว่า “ชุ่ยเอ๋อร์เป็นคนดี เจ้าไปบอกกับน้องสาวนางว่า ในเมื่อเข้าจวนมาแล้วก็ต้องตั้งใจทำงานให้ดี” จากนั้นก็ให้หู่พั่วนำเงินห้าตำลึงมอบเป็นรางวัลให้โอ่วเอ๋อร์ “…ดอกไม้นี้ปักได้ดี ข้าชอบมาก”
เมื่อป้ารับใช้ผู้นั้นเห็นว่าสืออีเหนียงไม่ได้ตำหนิก็รับเงินมาด้วยความดีใจ กล่าวขอบคุณแล้วถอยออกไป
สืออีเหนียงถามถึงเยี่ยนหรง “นางเป็นอย่างไรบ้าง”
หู่พั่วยิ้มแล้วพูดว่า “นางเก่งมาก แต่บ่าวว่าพี่เขยเฉาอ่อนแอไปหน่อยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงมองหู่พั่วที่มีท่าทางสดใสหลังจากแต่งงาน อดหยอกล้อไม่ได้ว่า “ข้าว่าหากเขยก่วนกับเขยเฉาอยู่ด้วยกันจะต้องมีเรื่องคุยกันไม่จบไม่สิ้นแน่นอน”
“ฮูหยิน!” หู่พั่วเขินจนหน้าแดง หันหลังแล้วเอากระโปรงไปเก็บ
สวีลิ่งอี๋เข้ามา
“หืม? ทำชุดใหม่หรือ”
สืออีเหนียงลุกขึ้นมาช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า “เตรียมเอาไว้ใส่ในวันตรุษจีนเจ้าค่ะ”
สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้นก็ช่วยทำเสื้ออ่าวจากผ้าไหมปักลายให้จิ่นเกอของพวกเราสักสองตัวเถิด!เพราะเมื่อถึงเวลานั้นเขาก็ต้องไปเยี่ยมญาติด้วย”
“นี่พึ่งจะครบหนึ่งเดือน ใช้ผ้าไหมปักลายทำเสื้ออ่าว ไม่เพียงแต่สิ้นเปลือง ซ้ำยังเกรงว่าจะบาดผิวเอาได้” สืออีเหนียงคัดค้านทันที แล้วพูดต่ออีกว่า “เมื่อถึงเวลานั้นจะต้องพาจิ่นเกอไปอวยพรวันตรุษจีนด้วยหรือ”
ตั้งแต่วันนั้นที่ไท่ฮูหยินแสดงให้เห็นว่าอยากจะพบจิ่นเกอเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่สืออีเหนียงไปเรือนไท่ฮูหยินนางจึงอุ้มจิ่นเกอไปด้วย แม้ว่าจะอากาศหนาวเย็น แต่ก็อบอุ่นเมื่อคลุมด้วยเสื้อคลุมขนจิ้งจอก แต่หากไปเรือนอื่นมันไม่เหมือนกัน บางครั้งก็อาจจะไม่ได้พบคนที่ต้องการไปหา และช่วงเวลาส่วนใหญ่ก็ต้องเดินทางไปหาอยู่บนรถม้า บุตรชายยังเด็กเกินไป
“ฮ่องเต้ ฮองเฮา และไท่จื่อต่างก็ส่งขันทีมา บอกว่าวันตรุษจีนให้พาลูกเข้าวังไปด้วย”
เช่นนี้ก็ไม่มีทางเลือกแล้ว
“เช่นนั้นก็ยิ่งไม่ควรใช้ผ้าไหมปักลายมาทำเสื้ออ่าว” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “มันดูฟุ่มเฟือยเกินไปเจ้าค่ะ”
“ไปถวายพระพรในวัง มีใครบ้างที่ไม่เอาเสื้อผ้าที่เก็บไว้อย่างดีมาใส่ จิ่นเกอใส่เพียงแค่เสื้ออ่าวที่ทำจากผ้าไหมปักลายนั้นไม่ถือว่ามากเกินไปหรอก” สวีลิ่งอี๋รู้สึกว่าสืออีเหนียงกังวลเกินไป “แต่ว่าในเมื่อกลัวว่าจะบาดผิว เช่นนั้นก็ทำเสื้อคลุมเล็กๆ เถิด!”
หากสวีลิ่งอี๋ยังเป็นเช่นนี้ต่อไปก็ยากที่จิ่นเกอจะไม่กลายเป็นผู้ชายเจ้าสำอาง!
สืออีเหนียงรู้สึกว่าแผนการศึกษาปฐมวัยของตัวเองนั้นช่างมืดมน
นางอดตำหนิไม่ได้ “ท่านโหว ต่อให้สิ่งของจะดีแค่ไหนก็ควรจะต้องสะดวกสบายในการใช้ แม้ว่าผ้าไหมปักลายจะสวย แต่เนื้อผ้ากลับแข็งกระด้างเกินไป ไม่สู้ผ้าซงเจียงซานซูที่ไท่ฮูหยินมอบให้ ทั้งนุ่มทั้งอบอุ่น…”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้คิดอะไรมาก แม้ว่าผ้าไหมปักลายจะมีราคาแพง แต่ก็ใช่ว่าในจวนจะไม่มีปัญญาสวมใส่ อีกอย่างบรรดาเด็กๆ คนอื่นต่างก็มี จึงคิดว่าควรจะทำให้จิ่นเกอสักตัว
เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นเจ้าก็เป็นคนตัดสินใจเถิด! ทำชุดใหม่สวยๆ ให้จิ่นเกอแล้วพวกเราพาเขาออกไปอวยพรตรุษจีนกัน”
แค่ทำเสื้อผ้าใหม่ก็พอแล้ว!
สืออีเหนียงครุ่นคิดก่อนจะยิ้มแล้วพยักหน้า
มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “ฮูหยิน คุณนายสี่สกุลหลัวจากตรอกกงเสียนมาเจ้าค่ะ!”
ตั้งแต่ที่สือเอ้อร์เหนียงกลับมาเยี่ยมสกุลเดิม สืออีเหนียงกับสวีลิ่งอี๋ไปร่วมรับรองความสัมพันธ์เป็นคนในครอบครัว ทั้งสองคนก็ยังไม่ได้เจอกันอีกเลย
“รีบไปเชิญคุณนายสี่สกุลหลัวเข้ามา!” สืออีเหนียงพูดพลางลุกขึ้นไปต้อนรับแขกที่ห้องโถง
คุณนายสี่สกุลหลัวสวมเสื้ออ่าวสีฟ้าขอบทอง ผมถูกมวยขึ้นอย่างเรียบร้อย ปักปิ่นดอกไม้สีแดง แม้ว่าจะดูกระฉับกระเฉง มีไหวพริบ แต่สีหน้ากลับดูวิตกกังวลอยู่เล็กน้อย สามารถมองออกว่ามาเพราะมีธุระ
“คุณหนูสิบเอ็ด” นางยิ้มพลางคำนับสืออีเหนียง “เมื่อวานนี้สะใภ้อู๋เซี่ยวเฉวียนเอาปลาแห้งมา อาศัยโอกาสที่ช่วงนี้ใกล้จะตรุษจีนแล้ว ข้าจึงนำมาให้ชิมกันคนละเล็กละน้อย”
“ลำบากพี่สะใภ้แล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มพลางต้อนรับคุณนายสี่สกุลหลัวไปนั่งที่เตียงเตาริมหน้าต่างห้องปีกตะวันออก หู่พั่วออกไปรับของจากป้ารับใช้ “พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่สบายดีหรือไม่ ได้บอกหรือไม่ว่าจะมาเมืองหลวงเมื่อไร”
คุณนายสี่สกุลหลัวได้ฟังดังนั้นก็ยิ้ม สีหน้าดูสบายใจขึ้นมาก
“เดิมทีพี่ใหญ่เตรียมจะมาเมืองหลวงช่วงต้นเดือนสิบเอ็ด” นางรับถ้วยชาจากสาวใช้น้อยมาจิบหนึ่งอึก “ปรากฏว่าพี่สะใภ้ใหญ่ตั้งครรภ์ พี่ใหญ่จึงตัดสินใจจะเริ่มออกเดินทางหลังจากเทศกาลโคมไฟเป็นการชั่วคราว กลัวว่าพวกเราจะเป็นกังวลจึงตั้งใจส่งคนมารายงานข่าว”
“พี่สะใภ้ใหญ่ตั้งครรภ์แล้วหรือ!” สืออีเหนียงทั้งประหลาดใจทั้งยินดี “ปีนี้ซิวเกอก็อายุแปดปีแล้ว…นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ !”
“ใช่แล้ว!” คุณนายสี่สกุลหลัวยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เช่นนั้นพี่ใหญ่ก็คงไม่เลื่อนการเดินทางออกไป”
“ต้องเขียนจดหมายไปแสดงความยินดีสักหน่อยแล้ว” สืออีเหนียงยิ้ม ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง คุณนายสี่สกุลหลัวจึงค่อยๆ เข้าสู่ประเด็นหลัก “…คุณหนูสิบสองแต่งงาน เม่ากั๋วกงก็ไม่ได้มาร่วมดื่มสุรามงคล ข้าก็ไม่ได้อยากจะเป็นเดือดเป็นร้อนไปเองคนเดียว แต่พี่ใหญ่เจ้าบอกว่า ไม่ว่านางจะเป็นอย่างไร พวกเราก็ทำของพวกเราไป ไม่รู้สึกผิดก็พอแล้ว ข้ามาคิดดูก็มีเหตุผล ข้าว่าจะไปส่งปลาแห้งให้นางก่อน แล้วพวกเราค่อยมาพูดคุยกันอยู่ที่เรือนเจ้า ใครจะไปรู้ว่าจะได้พบกับคุณหนูห้าที่หน้าประตูเรือนคุณหนูสิบ…” เมื่อพูดถึงตรงนี้นางก็หยุดบทสนทนา มองสืออีเหนียงด้วยสายตาคลุมเครือเล็กน้อย
สืออีเหนียงประหลาดใจมาก มือที่ถือถ้วยชาชะงักไปเล็กน้อย “ได้พบพี่หญิงห้าหรือ”
คุณนายสี่สกุลหลัวพยักหน้า พูดอย่างครุ่นคิดว่า “คุณหนูห้าบอกข้าว่าใกล้จะตรุษจีนแล้วนางจึงมาเยี่ยมคุณหนูสิบ รู้ว่าข้านำปลาแห้งมาให้จึงพาข้าไปพบคุณหนูสิบ พออิ๋นผิงเห็นข้าก็มีท่าทางอึดอัดใจ บอกว่าคุณหนูสิบสุขภาพไม่ดี พบแขกไม่ได้ ขอข้าอย่าได้ถือโทษ พอข้าฝากของไว้แล้วจะออกมา ทันใดนั้นคุณหนูสิบก็เดินออกมาพูดกับข้า” ขณะที่พูดสีหน้านางดูรู้สึกผิดเล็กน้อย “นางบอกว่า สตรีที่แต่งออกไปแล้วก็เหมือนน้ำที่ถูกสาดออกไป ไม่ว่าสกุลหลัวจะมีเงินมากมายแค่ไหนก็เป็นของสกุลหลัว ตอนนี้นางเป็นสะใภ้สกุลหวัง อยู่ก็เป็นคนสกุลหวัง ตายก็เป็นผีสกุลหวัง ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลหลัวอีกต่อไป ไม่มีเหตุผลที่จะต้องกลับไปเอาเงินกับสกุลหลัว หากคุณหนูห้ารู้สึกไม่สบายใจ ฝืนทนไม่ได้ก็ไปเอาเงินจากสกุลหลัวกับคุณหนูสิบเอ็ด ไม่ต้องมาคิดหวังพึ่งนาง”
สืออีเหนียงถึงกับพูดไม่ออก
อู่เหนียงไม่เพียงแค่อยากได้เงิน ซ้ำยังยุยงให้พวกนางกลับไปเอาเงินด้วย!
สือเหนียงตั้งใจพูดถึงนางเช่นนี้ ไม่แน่อู่เหนียงอาจจะพูดอะไรบางอย่างกับสือเหนียง สือเหนียงจึงได้เข้าใจผิดคิดว่านางมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วย มิเช่นนั้นคุณนายสี่สกุลหลัวก็คงไม่ใช้ข้ออ้างมาส่งปลาแห้งเพื่อมาทดสอบความคิดนาง!
เมื่อคิดถึงตรงนี้นางก็พูดอย่างชัดเจนว่า “ในบรรดาพวกเราพี่สาวน้องสาว คนอื่นข้าไม่รู้ แต่ตอนที่ข้าแต่งงานท่านแม่ปฏิบัติต่อข้าอย่างดี ข้าไม่มีทางเอ่ยปากให้พี่ใหญ่ชดเชยสินสอดทองหมั้นแน่นอน หากพี่สะใภ้สี่กังวลเรื่องนี้ก็โปรดวางใจได้เลย!”
“คุณหนูสิบเอ็ดเข้าใจผิดแล้ว” คุณนายสี่สกุลหลัวได้ฟังดังนั้นก็ยิ้มเจื่อนๆ “คุณหนูเป็นคนอย่างไร คนอื่นรู้หรือไม่ข้าไม่รู้ แต่ตัวข้าเองรู้ดี ตั้งแต่ออกมาจากจวนคุณหนูสิบ ข้าก็เคยซักถามคุณหนูห้าไปแล้ว แต่คุณหนูห้ากลับยืนยันว่านี่คือสิ่งที่นางกับเจ้าปรึกษากันไว้แล้ว เพราะว่าสือเหนียงกับเจ้าไม่ลงรอยกัน ดังนั้นจึงได้ขอร้องให้นางมาเป็นคนกลาง…ข้าคิดดูแล้ว เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องมาบอกเจ้า คุณหนูจะได้ไม่ต้องมาแบกรับเรื่องนี้โดยไม่รู้ตัว” นางพูดอย่างมีนัยยะว่า “ในบรรดาพวกเจ้า ยังมีสือเอ้อร์เหนียงอยู่อีกคน!”
“ขอบคุณพี่สะใภ้มากเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงซาบซึ้งใจไม่น้อย “ข้าจะไปคุยกับพี่หญิงห้าอย่างแน่นอน ส่วนทางด้านสือเอ้อร์เหนียงก็จะไปพูดกับนางสักหน่อย”
“ไม่ต้องหรอก” คุณนายสี่สกุลหลัวยิ้มแล้วพูดว่า “อย่างไรเสียข้าก็ต้องไปส่งปลาแห้งให้คุณหนูสิบสอง เจ้าแค่ไปพูดคุยกับคุณหนูห้าก็พอแล้ว”
อู่เหนียงเป็นพี่สาวแท้ๆ ของหลัวเจิ้นเซิง บางคำคุณนายสี่สกุลหลัวก็ไม่อาจพูดได้
สืออีเหนียงกล่าวขอบคุณ จากนั้นคุณนายสี่สกุลหลัวก็ไปคารวะไท่ฮูหยินแล้วกลับตรอกกงเสียน
นางเขียนจดหมายแสดงความยินดีให้หลัวเจิ้นซิ่งอยู่ที่ห้องหนังสือ แต่สมองกลับคิดถึงแต่เรื่องของอู่เหนียง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าอู่เหนียงนั้นไร้เหตุผลเป็นอย่างมาก อย่างไรเสียก็เติบโตในเรือนของนายหญิงใหญ่ แต่งกับเฉียนหมิง แม้ว่าจะได้รับความเดือดร้อนเล็กน้อยในด้านการเงิน แต่ก็ถือว่าดีกว่าคนธรรมดาทั่วไปอยู่มาก เหตุใดจึงได้กลายเป็นคนเช่นนี้
สืออีเหนียงวางพู่กันลงแล้วถอนหายใจ
อี๋เหนียงหกคิดเพียงแต่จะต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของสือเอ้อร์เหนียง แต่กลับไม่ได้คิดอย่างรอบคอบถึงสถานะของสือเอ้อร์เหนียง แม้แต่ตอนที่นางได้แต่งเข้าจวนโหว ข้อกำหนดของสินสอดทองหมั้นก็ไม่ได้แตกต่างกับอู่เหนียงและสือเหนียง นั่นก็เพื่อความยุติธรรม จะได้ไม่เกิดข้อพิพาทระหว่างพี่น้อง ครั้งนี้ไม่ว่าอู่เหนียงจะได้เงินหรือไม่ เกรงว่าปมในใจระหว่างนางกับสือเอ้อร์เหนียงคงจะเกิดขึ้นแล้ว
สวีลิ่งอี๋ที่นั่งขัดสมาธิบนเก้าอี้ที่มีเบาะรองสีแดงรู้สึกว่าภรรยาเหม่อลอยเล็กน้อยหลังจากที่คุณนายสี่สกุลหลัวกลับไป กระทั่งตอนนี้สีหน้ายิ่งดูเป็นกังวลมากขึ้น จึงถามขึ้นมาว่า “เป็นอะไรหรือ” สวมรองเท้าแล้วเดินไปนั่งข้างสืออีเหนียง พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “หรือว่ามีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นที่ตรองกงเสียน”
สืออีเหนียงกลัดกลุ้มใจ สวีลิ่งอี๋นั่งลงข้างๆ นางด้วยสีหน้าอ่อนโยน นางครุ่นคิดก่อนจะเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “…พรุ่งนี้ก็จะเป็นคืนวันตรุษจีนแล้ว อย่างไรก็ต้องรอหลังจากวันที่สิบห้าเดือนหนึ่งก่อนแล้วค่อยไป!แต่ข้าก็กังวลว่านางจะมีการเคลื่อนไหวในช่วงไม่กี่วันนี้…” ท่าทางลำบากใจเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ข้าว่าเรื่องนี้ข้าจะไปพูดกับเฉียนหมิงสักหน่อย!”
“เช่นนี้คงไม่เหมาะ!” สืออีเหนียงพูดต่ออีกว่า “พอบรรดาบุรุษอย่างพวกท่านพูดคุยกัน เรื่องราวก็จะยิ่งจริงจัง ถ้าหากพี่เขยห้าไม่รู้เรื่องนี้ จะไม่ทำให้พวกเขาสองสามีภรรยาต้องแตกกันหรือเจ้าคะ!”
สวีลิ่งอี๋ไม่คิดเช่นนั้น “ถ้าหากเขาไม่รู้ เช่นนั้นก็ยิ่งต้องพูดให้เขาฟัง การที่นางทำลับหลังเขาเช่นนี้ เห็นสามีอยู่ในสายตาเสียที่ไหนกัน ไม่เร็วไม่ช้าก็จะทำให้เกิดหายนะ เมื่อถึงตอนนั้นจะไม่สามารถจัดการได้ ไม่สู้บอกให้เขารู้เสียแต่ตอนนี้เลย ถ้าหากเขารู้…” ดวงตาพลันเป็นประกาย “จงกระทำสิ่งที่พึงกระทำ และละเว้นสิ่งที่ควรละเว้น หากเป็นเช่นนี้เมื่อเขาเข้าสู่เส้นทางข้าราชการแล้ว ก็จะเจริญก้าวหน้า!”