หนิงเซ่าชิงเหลือบเห็นท่าทางเช่นนี้ของมั่วเชียนเสวี่ย ก็คิดได้ว่านางไร้บิดามารดา ไร้ที่พึ่งพิง จึงถอนหายใจอย่างจนปัญญา
“ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ยังมีข้า!”
“ใช่แล้ว ข้ายังมีท่าน ดีจริงๆ!”
เอ่ยถึงตรงนี้ ก็นึกถึงอวิ๋นอิ๋นขึ้นมากะทันหัน นึกถึงตอนแรกที่ตนเองปฏิบัติต่อนางด้วยความจริงใจ ช่วยนางจากเหตุการณ์อันเลวร้าย นางกลับตอบแทนเช่นนี้ จึงด่าอย่างอดไม่ได้ว่า “อวิ๋นอิ๋น เจ้ามันไร้มโนธรรม”
หนิงเซ่าชิงสีหน้าเย็นชา “เชียนเสวี่ย เจ้าทำดีพอแล้ว คนไร้มโนธรรมผู้นั้น ไม่ต้องไปคิดถึงอีก นางจะต้องพบกับจุดจบที่สมควรได้รับแน่นอน”
แม้ว่าจะกล่าวเช่นนี้ และมั่วเชียนเสวี่ยก็เข้าใจเหตุผลนี้ แต่ก็ข้ามสิ่งที่อยู่ในส่วนลึกของหัวใจไม่ได้มาตลอด
“เซ่าชิง ท่านว่าข้าไม่ดีพอใช่หรือไม่ ไม่อย่างนั้น ทำไมอวิ๋นอิ๋นถึงได้หักหลังข้า”
มั่วเชียนเสวี่ยยอมรับว่า ปฏิบัติต่อสองแม่ลูกอวิ๋นอิ๋นดีมากแล้ว แต่กลับยังคงไม่ได้รับความภักดีจากนาง
ภาพเหตุการณ์ต่างๆ นาๆ ในตอนที่อยู่อำเภอเทียนเซียงปรากฏขึ้นชัดเจน การแสดงออกเช่นนั้น อวิ๋นอิ๋นก็ไม่ใช่สตรีชั้นต่ำที่ถูกสุนัขกัดกินความรู้สึกผิดชอบชั่วดีไปพวกนั้นเช่นกัน
การรู้จักบุญคุณคน และมุ่งมั่นตั้งใจทำทุกสิ่งเพื่อนางของอวิ๋นอิ๋นในยามก่อน นางรู้สึกได้
หนิงเซ่าชิงแข็งใจเห็นนางมีท่าทางเช่นนี้ไม่ได้ จึงยื่นมือมากุมมือมั่วเชียนเสวี่ยอย่างอยากจะให้พลังกับนาง
“คนเปลี่ยนกันได้ โดยเฉพาะเมื่อเคยผ่านความรักระหว่างบุรุษและสตรีมา หลังจากได้สัมผัสความเสน่หาที่อ่อนโยนแสนหวานแล้ว บุญคุณระหว่างนายกับบ่าว ต่อให้สร้างบุญคุณอีก ก็ไม่มีทางเทียบได้ตลอดไป!”
สำหรับเรื่องนี้ ความจริงแล้วหนิงเซ่าชิงคิดว่า ตัวเขาเองก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ
อย่างไรเสีย ตอนแรกเขาก็ไม่ได้ดูโฉมหน้าที่แท้จริงของอวิ๋นอิ๋นให้ชัดเจนไม่ใช่หรือ
มั่วเชียนเสวี่ยมองมา หนิงเซ่าชิงพยักหน้า อธิบายว่า “ตอนที่เจ้าบอกกับข้าว่า ระหว่างพวกเขาสองคนมีท่าทีแปลกๆ ในครั้งนั้น ข้าก็สั่งให้คนไปสืบแล้ว วันนี้เพิ่งจะได้รู้ว่า ในปีนั้นเจ้านายของอวิ๋นอิ๋นก็เคยมีความสัมพันธ์กับเขา…”
ความจริงแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยเดาออกว่าอวิ๋นอิ๋นมีความรู้สึกให้กับคนผู้นั้นผ่านการกระทำผิดปกติต่างๆ ของนางนานแล้ว
เพียงแต่คาดไม่ถึงว่าจะน้ำเน่าขนาดนี้
“แล้วคุณหนูของอวิ๋นอิ๋นเล่า นางแค่มองดู…มองดู…” มองดูพวกเขาสองคนสมคบคิดกันเฉยๆ หรือ
“ตายแล้ว”
“ตายแล้ว?” มั่วเชียนเสวี่ยตะลึงเล็กน้อย แต่ก็นึกขึ้นได้ทันทีว่า ตอนแรกที่นางซื้ออวิ๋นอิ๋น ก็ได้ยินนางเอ่ยว่า แรกเริ่มนางขายตัวทำศพให้ผู้เป็นนาย ในภายหลังก็ขายตัวทำศพให้บิดามารดาของสามี จึงรู้สึกว่านางมีจิตใจที่ดีงามและจริงใจไม่ใช่หรือ
“อืม เรื่องที่เกิดขึ้นในปีนั้นถูกซ่อนเอาไว้ลึกมาก จึงสืบไม่ได้แล้ว กล่าวได้เพียงแค่ว่าตระกูลของสตรีนางนั้นยิ่งใหญ่เกินไป ทั้งยังไม่อยากทำให้เกิดปัญหา ดังนั้นจึงปฏิเสธเขา ข้าคิดว่านี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้นิสัยใจคอเขากลายเป็นเช่นนี้
เขาที่หนิงเซ่าชิงเอ่ยถึงคือใคร ทั้งสองคนล้วนรู้ดี ไม่จำเป็นต้องเอ่ยชื่อ
ไร้วาจาจะกล่าวไปครู่หนึ่ง มั่วเชียนเสวี่ยก็ยังขมวดคิ้วอย่างคิดไม่ออก
“คุณหนูกับสาวใช้ล้วนปรนนิบัติบุรุษคนเดียวกัน ทำไมถึงได้ยุ่งเหยิงเช่นนี้กัน…”
หนิงเซ่าชิงเห็นท่าทางโมโหของนางแล้ว ก็จิ้มปลายจมูกมั่วเชียนเสวี่ยเบาๆ อย่างอดไม่อยู่ พลางยิ้ม
“เชียนเสวี่ยลืมไปแล้วหรือว่า ตั้งแต่ยุคโบราณก็มีประเพณีอย่างการมอบสาวใช้คนสนิทให้เป็นอนุภรรยาสามีประเพณีนี้ด้วย? กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ อวิ๋นอิ๋นผู้นี้ เดิมก็เป็นคนที่เตรียมไว้ให้เขา”
เอ่ยถึงตรงนี้ มั่วเชียนเสวี่ยก็เข้าใจแล้ว
ใช่แล้ว นางเกือบจะลืมไปแล้วนี่คือยุคโบราณ เป็นยุคที่บุรุษสามารถมีสามภรรยา สี่อนุภรรยาได้อย่างสมเหตุสมผล
นางหรี่ตาลงเล็กน้อย ขณะมองหนิงเซ่าชิงด้วยสีหน้าข่มขู่ “วาจานี้ของท่านหมายความว่าอะไร กำลังเปรยให้ข้าเตรียมสาวใช้สองนางให้ท่านใช่หรือไม่”
หากหนิงเซ่าชิงเอ่ยว่าใช่ มั่วเชียนเสวี่ยสาบานเลยว่า นางจะกัดเขาให้ตายตรงนี้เสีย!
หนิงเซ่าชิงกลับรู้สึกมีความสุขอย่างน่าประหลาด ต่อท่าทางที่เหมือนลูกเสือของมั่วเชียนเสวี่ย
รอยฟันที่แผงอกยังไม่หายดี ก็มีกระแสอุ่นร้อนวาดผ่านแผงอกไป โจมตีไปยังจุดอ่อนไหวของเขา
บางส่วนของร่างกายมีการตอบสนองโดยผงกศีรษะขึ้นทันที
นัยน์ตาลุ่มลึกราวน้ำในทะเลสาบลึกพันฉื่อจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง อยากจะละลายคนตรงหน้า แล้วหลอมนางเข้ากับร่างกายของตนเอง และไม่ปล่อยนางจากไปอีก
แต่นี่คือสถานที่สาธารณะที่มีผู้คนมากมาย เขาทำได้เพียงแค่มองตาปริบๆ โดยที่กินไม่ได้
“ชั่วชีวิตนี้…มีเสวี่ยเสวี่ยคนเดียวก็พอแล้ว สตรีอื่น ในสายตาก็เป็นแค่ของประดับที่วางเอาไว้เท่านั้นเอง”
“เชอะ! จะยอมเชื่อท่านชั่วคราวครั้งหนึ่ง!” มั่วเชียนเสวี่ยไม่อาจปฏิเสธได้ มุมปากโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มมีความสุขอย่างอารมณ์ดี
หนิงเซ่าชิงอยากจะก้มตัวลงไปจุมพิตนาง และอยากครอบครองนางให้หนำใจจริงๆ
ทว่า แม้ว่าที่แห่งนี้จะเป็นถิ่นของตนเอง แต่พวกบ่าวไพร่ไปๆ มาๆ มากมายขนาดนี้ หนิงเซ่าชิงไม่อยากทำให้มั่วเชียนเสวี่ยเสียชื่อเสียง สุดท้ายจึงทำได้แค่อดกลั้นเอาไว้!
ตอนที่ทั้งสองคนเดินไปถึงเรือนฉือหนิง หมัวมัวชราเพียงแค่มองมั่วเชียนเสวี่ยแวบเดียว ก็เชิญพวกเขาเข้าไป
ความจริงแล้วในครั้งนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าป่วยเล็กน้อยจริงๆ ถูกทำให้โมโหจนล้มป่วย สองพ่อลูกทำพิธีหมั้นหมาย โดยไม่แจ้งให้นางรู้
รอจนนางได้รับข่าว ของหมั้นก็เกือบจะยกออกจากประตูใหญ่ตระกูลหนิงแล้ว
นางไม่สามารถขัดขวางได้ และจนปัญญาจะขัดขวางเช่นกัน
นางไม่หน้าหนาพอที่จะทำเช่นนั้น!
แม้ว่านางจะป่วย ศีรษะก็ปวดมาก แต่นางกลับไม่ได้ปฏิเสธการมาคารวะทักทายของมั่วเชียนเสวี่ย นางอยากจะเห็นว่ามั่วเชียนเสวี่ยผู้นี้เป็นใครกันแน่
มีสามเศียรหกกร หรือว่าสวยหยาดเหยิ้ม แพรวพราวไปด้วยเสน่ห์…
ไม่เพียงแต่ทำให้หลานชายของนางลุ่มหลงจนหัวหมุน ทั้งยังทำให้บุตรชายของนางขัดขืนความปรารถนาของนางด้วย
นี่เป็นครั้งแรกที่บุตรชายนางขัดขืนความปรารถนาของนางเพราะเรื่องในจวน
นางกล้ำกลืนโทสะนี้ไม่ลง
ไม่ว่าอย่างไร วันนี้นางก็จะต้องแสดงอำนาจกับสตรีแพศยานั่น ให้นางได้รู้ว่าใครกันที่สามารถจัดการปัญหาต่างๆ ได้ ใครกันที่เป็นผู้มีอำนาจ บารมีสูงส่งและใหญ่สุดในเรือนหลังของตระกูลหนิง
เข้าไปในเรือนฉือหนิงของฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว มั่วเชียนเสวี่ยก็ตั้งสมาธิ ไม่วอกแวก และไม่สนทนากับหนิงเซ่าชิงมากนัก จะได้ไม่ดูไม่สง่า
เมื่อถึงในเรือน ก็ไม่เงยหน้าขึ้นมามองไปทั่ว เพียงแค่ก้มหน้าทำความเคารพด้วยท่าวั่นฝูหลี่[1]ให้กับคนที่เป็นเจ้าของเรือน “มั่วเชียนเสวี่ยคารวะฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
หนิงเซ่าชิงเพียงแค่พยักหน้าทักทายตามมารยาทด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “คารวะท่านย่า”
ฮูหยินผู้เฒ่าดื่มชา โดยไม่เงยหน้าขึ้นมองมั่วเชียนเสวี่ย
เพียงแต่เค้นรอยยิ้มที่นับว่ามีเมตตาให้กับหนิงเซ่าชิง และพยักหน้าเล็กน้อย “เซ่าชิงไปนั่งเถอะ”
มั่วเชียนเสวี่ยยังย่อตัวทำความเคารพ หนิงเซ่าชิงย่อมไม่มีทางนั่ง
ฉือหมัวมัวที่อยู่ด้านข้างเห็นมั่วเชียนเสวี่ยทำความเคารพแบบวั่นฝูหลี่ แต่ไม่ใช่ลงไปคุกเข่า ก็หยิบเบาะนุ่มอีกด้านมาอันหนึ่ง แล้วโยนลงบนพื้นตรงหน้านาง
สีหน้าเย่อหยิ่งเล็กน้อย น้ำเสียงก็ไร้ซึ่งความเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง “พื้นเย็น คุณหนูเชียนเสวี่ยคุกเข่าทำความเคารพบนที่รองก็ได้เจ้าค่ะ จะได้แสดงให้เห็นถึงความเมตตาจากฮูหยินผู้เฒ่าของพวกเราด้วย”
นี่คือการเตือนนางให้โขกศีรษะคำนับทำความเคารพสินะ
ยังไม่ทันจะแต่งงานเข้าตระกูล จากตำแหน่งฐานะของนาง คุกเข่าโขกศีรษะคือการรู้จักเคารพผู้อาวุโส ไม่คุกเข่า แต่ย่อตัวทำความเคารพด้วยท่าวั่นฝูหลี่ก็หาข้อบกพร่องไม่พบ
[1] ท่าวั่นฝูหลี่ เป็นการทักทายของหญิงสาว โดยใช้มือทั้งสองข้างวางซ้อนกันที่ด้านขวาแล้วย่อตัวลง เป็นท่าสัญลักษณ์ที่อวยพรให้มีความสุขและโชคดี