หัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนยังฟังไม่จบก็โมโหเสียแล้ว!
ในใจเขารู้ดีว่าใครเป็นคนเอ่ยวาจาเหล่านี้! พวกนางมีความกล้ามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
เขาแค่นเสียงหนัก ตบโต๊ะ แล้วระเบิดอารมณ์ออกมา “หากใครกล้านินทาลับหลัง ก็ตัดลิ้นคนผู้นั้นทิ้ง! จะกบฏหรือไร ฮูหยินหัวหน้าตระกูลเป็นคนที่พวกนางสามารถวิจารณ์ลับหลังได้อย่างนั้นหรือ!”
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เคยเห็นหัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนเดือดดาลเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นคราวก่อน ก็เพียงแค่กล่าววาจาพร้อมกับน้ำตาไหลพราก ขณะอธิบายก็เจือไปด้วยแววขอร้องเล็กน้อย
เป็นเพราะความขัดแย้งกันในครั้งที่แล้ว กระทั่งเรื่องสินสอดที่จะมอบให้มั่วเชียนเสวี่ยก็ไม่ได้กระทำผ่านนาง เซ่าชิงก็ห่างเหินนางไปไม่น้อย นางไม่สามารถเดินซ้ำรอยเดิมได้อีก
“เจ้าจะอารมณ์เสียใส่ข้ารุนแรงขนาดนี้ทำไม ข้าก็แค่คิดเพื่อชื่อเสียงตระกูลหนิงเท่านั้นเอง”
แม้ว่าความนัยของวาจาจะยังคงเป็นการต่อว่า แต่น้ำเสียงกลับอ่อนลงมา
ฮูหยินผู้เฒ่ายอมอ่อนลง หัวหน้าตระกูลก็หยุดเพียงเท่านี้
“ท่านแม่ ลูกก็รู้เหตุผลนี้เช่นกัน…”
ในบ้านไร่ มั่วเชียนเสวี่ยยุ่งมาก
ไม่ใช้น้ำจากเป่ยต้าฮวงรดที่ดินผืนนั้น แล้วปลูกพืชผลทางการเกษตรอีก ก็เหี่ยวตายเป็นจำนวนมากเช่นกัน ที่มีชีวิตอยู่รอดนั้นน้อยนิด
มีเพียงแค่ต้นกล้าของมันฝรั่งที่แม้ว่าอัตราการแตกหน่อจะสู้ที่ดินของบ้านไร่ไม่ได้ แต่กลับพอจะเจริญเติบโตได้เป็นหย่อมๆ
ส่วนที่ผสมดินในบ้านไร่กับดินจากเป่ยต้าฮวง ต้นกล้ามันฝรั่งเจริญเติบโตสำเร็จเจ็ดแปดส่วน
แม้ว่าจะมีแค่ต้นกล้ามันฝรั่งที่แตกหน่อสำเร็จ มั่วเชียนเสวี่ยก็ดีใจยิ่ง
ขอแค่สามารถแตกหน่อออกมาได้ก็พอแล้ว
ตามการคาดการณ์ของนาง คาดว่าขอแค่เป็นพืชจำพวกถั่วล้วนรอดชีวิตได้ทั้งนั้น
พื้นที่ชุ่มน้ำของเป่ยต้าฮวง ใช่แล้ว ดินทรายสามารถปลูกมันฝรั่งมันเทศพวกนี้ที่เป็นพืชผลทางการเกษตรที่รอดชีวิตได้ง่าย
ขอแค่ไม่รดน้ำด้วยน้ำในแม่น้ำต้าฮวงก็พอ
ไม่ใช้น้ำในแม่น้ำ ก็ทำได้แค่ขุดบ่อ ใช้น้ำใต้ดิน รองน้ำฝน ใช้น้ำฝนที่เพิ่งตกลงมา จะต้องมีวิธีแน่นอน
แม้ว่าผลผลิตของที่ดินนี้จะไม่สูง แต่ขอแค่สามารถผลิตได้ รอปลูกพืชอีกสักหลายรอบ รดน้ำด้วยน้ำในบ่อกับน้ำฝนสักสองสามปี คุณภาพดินที่เค็มก็จะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ในภายหลังย่อมกลายเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์
มั่วเชียนเสวี่ยห้อตะบึงกลับไปยังจวนหนิง
และตรงไปยังห้องหนังสือเรือนหน้าของหนิงเซ่าชิง
หัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนเพิ่งจะจากไป เรื่องที่ฮูหยินหัวหน้าตระกูลผู้นี้วิ่งตะบึงไปหาหัวหน้าตระกูลที่เรือนหน้าอย่างไร้ภาพลักษณ์ก็ลอยเข้าหูฮูหยินผู้เฒ่าในทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าต่อว่าอีกชั่วครู่หนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ นางเขวี้ยงแจกันในห้องไปหลายใบ
ทั้งยังให้ฉือหมัวมัวไปเรียกมั่วเชียนเสวี่ยมา
นางไม่อาจให้คนอื่นมาสั่งสอนนาง ถึงจะต้องแตกหักกัน ให้ตนเองเป็นคนจัดการเองก็ได้แล้ว
จะต้องให้นางได้รู้ว่า ใครเป็นผู้ปกครองเรือนหลังในจวนนี้ จะได้ไม่ไร้กฎระเบียบเช่นนี้
แต่ทว่า เมื่อฉือหมัวมัวไปส่งข่าวที่เรือนหน้า กลับพบกับความว่างเปล่า
หนิงเซ่าชิงได้ข่าวก็วางภารกิจในมือทุกอย่างแล้วตามมั่วเชียนเสวี่ยไปที่บ้านไร่
ทั้งยังใช้วิชาตัวเบาประจำตระกูลอุ้มมั่วเชียนเสวี่ยข้ามผ่านเรือนเล็กใหญ่ในจวนหนิงไปตลอดทางจนถึงสถานที่จอดรถม้า
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยิน ก็ทำได้เพียงแค่ตบตีข้ารับใช้ ด่าว่าสตรีชั่วช้าไม่รู้จักอายอยู่ในเรือน!
รอระบายอะไรเสร็จแล้ว ก็กลอกตาแล้วให้คนไปรับตัววั่นอี๋เหนียงที่เรือนเฉียงเวยมาปรนนิบัตินางกินอาหารเย็น
หนิงเซ่าชิงมองดูกล่องไม้ขนาดใหญ่ ถังน้ำขนาดยักษ์แต่ละถังในโรงเรือนเพาะปลูก แล้วหันไปมองดวงหน้าแดงระเรื่อของมั่วเชียนเสวี่ย ก็รู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก
เขากอดหมับเข้าที่ร่างของมั่วเชียนเสวี่ย ขังนางเอาไว้ในอ้อมแขน
ไม่รู้ว่าทำไม เขาถึงได้รู้สึกว่าอยากจะร้องไห้
บุรุษไม่เสียน้ำตาง่ายๆ เพียงแค่เป็นเพราะยังไม่ได้พบเจอเรื่องที่ทำให้เขาเสียใจมากเท่านั้นเอง!
หนิงเซ่าชิงในตอนนี้ไม่ได้เสียใจ แต่ตื้นตันใจ
สตรีครอบครัวอื่น แต่งกับสามีเพียงเพราะสามารถแอบอ้างชื่อเสียงของผู้เป็นสามีได้
แต่งงานแล้ว ก็ทำเพื่อช่วงชิงความโปรดปราน อำนาจในการปกครองเรือนหลัง แย่งชิงผลประโยชน์ต่างๆ และต่อสู้กันไปมาเท่านั้น
แต่ว่าเชียนเสวี่ยของเขา…
เพื่อเขาแล้ว นางออกจากจวนทุกวัน โดยที่ไม่ว่าสิ่งใดก็ไม่อาจหยุดยั้งนางได้ และไม่สนใจสายตาของผู้คน
เพื่อเขาแล้ว นางสามารถนั่งรถม้ามุ่งหน้าไปๆ มาๆ ระหว่างเมืองหลวงกับบ้านไร่เป็นเวลาหลายชั่วโมงอย่างยากลำบาก
และเพื่อเขาแล้ว นางที่เป็นคุณหนูผู้หนึ่ง ในขณะที่ผู้อื่นล้วนแต่งกายงดงาม นางกลับสวมอาภรณ์เรียบง่ายธรรมดาดูแลที่ดิน โดยที่ไม่เคยบ่นสักคำ
แม้ว่าเขาจะสิ้นหวัง แต่นางกลับยืนหยัดที่จะทำต่อ!เวลาหยุดนิ่งอยู่ตรงนั้น และค่อยๆ ผ่านไป
“เชียนเสวี่ย มีเจ้านั้นดีจริงๆ!”
เมื่อมีความตื้นตันใจ หนิงเซ่าชิงจึงเอ่ยวาจาปนสะอื้นเล็กน้อย
มั่วเชียนเสวี่ยก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกของเขา
นางดิ้นออกจากอ้อมแขนเขา แล้วมองเขาอย่างจริงจัง
“เซ่าชิง ท่านเชื่อไหมว่า เป็นเพราะว่าข้าได้ทำสิ่งเหล่านี้ ข้าถึงดีใจ และจิตใจสงบ เป็นเพราะว่าได้ทำเรื่องพวกนี้ ข้าถึงได้รู้สึกว่ามีความหมาย มีคุณค่า และเป็นเพราะว่าข้าสามารถเสียสละกระทำสิ่งต่างๆ เพื่อท่านได้ ข้าถึงรู้สึกว่าตนเองไม่สามารถแยกจากท่านได้ตลอดกาล สามารถเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตกันและกันได้…”
เอ่ยถึงตรงนี้ หนิงเซ่าชิงก็จุมพิตกลีบปากนางอย่างอดไม่อยู่
เขาอยากจะบอกนางว่า เป็นเพราะนาง เขาถึงได้พยายามปกป้องตระกูลหนิงสุดความสามารถเช่นนี้ เพราะว่าเขาอยากจะให้สิ่งที่ดีที่สุดและล้ำค่าที่สุดบนโลกใบนี้กับนาง
ลมหายใจร้อนผ่าวทำให้หัวใจมั่วเชียนเสวี่ยหยุดเต้น
นางพลันรู้สึกผลีผลามอยากสารภาพความในใจ
นางปิดปากที่กำลังจากจุมพิตของหนิงเซ่าชิง แล้วมองเขาด้วยแววตาลึกซึ้ง
“บางทีมีประโยคหนึ่งที่ข้าไม่เคยบอกกับท่านดีๆ สักครั้ง แต่ว่าวันนี้ข้าอยากจะบอกกับท่านว่า…”
หนิงเซ่าชิงดึงมือมั่วเชียนเสวี่ยออก กระซิบถามคล้ายกับลุ่มหลง
ในขณะเดียวกันนั้นหัวใจก็เคลิบเคลิ้มเช่นกัน!
มั่วเชียนเสวี่ยเอ่ยทีละคำ ทีละประโยค ทว่านุ่มนวลและเปี่ยมไปด้วยพลัง “ข้ารักท่าน! รักท่านมากกว่าที่ท่านคิด!”
หนิงเซ่าชิงนิ่งไปครู่หนึ่ง
เขากอดนางไว้ในอ้อมแขนแน่น “เชียนเสวี่ย ข้าก็รักเจ้า รักมากกว่าที่ข้ารักตนเอง!”
เขาเอ่ยเสียงดัง และร้อนรน
สิ้นเสียง ก็ใช้ริมฝีปากปิดผนึก โรมรันพันตู คลอเคลียกันตลอดทั้งคืน!
ดังนั้น คืนนั้นทั้งคู่ไม่ได้รีบร้อนกลับจวนหนิง แต่พักผ่อนอยู่ที่บ้านไร่แทน
มั่วเชียนเสวี่ยทำความมุ่งมาดปรารถนาเดิมสำเร็จ ทั้งยังถูกเรียกร้องตลอดทั้งคืน จึงนอนหลับสนิทมาก
หนิงเซ่าชิงกลับนอนไม่หลับทั้งคืน
การที่เรื่องนี้ประสบความสำเร็จ ก็เป็นเพียงแค่ก้าวแรก หลังจากนี้ยังมีขั้นตอนต่างๆ อีกมากมาย ที่จำเป็นต้องดำเนินการไปทีละก้าวๆ
ยกตัวอย่างเช่น ต้องส่งคนไปที่เป่ยต้าฮวงแล้วทดลองปลูกพืชที่นั่น
ยกตัวอย่างเช่น จะกระจายทรัพย์สมบัติในราชสำนักเทียนฉีไปยังเป่ยต้าฮวงอย่างไร
และยกตัวอย่างเช่น…
เรื่องซับซ้อนวุ่นวายกำลังกดทับใจเขา
วันรุ่งขึ้นเมื่อฟ้าสว่าง มั่วเชียนเสวี่ยยังไม่ตื่น หนิงเซ่าชิงก็เร่งรีบกลับไปที่จวนหนิง เพื่อบอกเรื่องนี้กับหัวหน้าตระกูลหนิงรุ่นก่อนแล้ว
หัวหน้าตระกูลหนิงนัยน์ตาเปล่งประกาย ย่อมเดินทางไปยังบ้านไร่ของมั่วเชียนเสวี่ยรอบหนึ่ง
แม้ว่าเมืองหลวงจะไม่ได้ห่างจากบ้านไร่มากนัก แต่ไปกลับก็ต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองชั่วยาม มั่วเชียนเสวี่ยย่อมตื่นนานแล้ว
ตอนที่หัวหน้าตระกูลรุ่นก่อนมาถึง นางก็แต่งกายเรียบร้อย และเริ่มดูแลต้นกล้าที่แตกหน่อในกล่องไม้ขนาดใหญ่เหล่านั้นแล้ว
เมื่อเห็นมั่วเชียนเสวี่ยสวมชุดเรียบง่ายจัดการดูแลพืชผลทางการเกษตรด้วยตนเอง และมองดูต้นกล้าเขียวขจีที่เจริญเติบโตขึ้นในกล่องไม้ขนาดใหญ่กล่องนั้น