แม้ว่าจะพยักหน้าให้สัญญาณ แต่ซูชียังคงขมวดคิ้ว โทสะในใจไม่อาจจางหายไปได้ทันที เพียงแต่หนึ่งปีที่อยู่ในเมืองหลวง ประสบกับเรื่องราวมามากมายขนาดนี้ อารมณ์ขี้โมโหของเขาจึงลดลงไปมากเท่านั้นเอง
ท่านหมอถามยิ้มๆ “ไม่ทราบว่าคุณชายกับแม่นางท่านนี้มีความสัมพันธ์อันใดกันหรือขอรับ”
เดิมซูชีก็เป็นคนมองอะไรได้ทะลุปรุโปร่ง อาศัยเพียงแค่คำถามนี้ของท่านหมอ เขาก็เข้าใจได้ในทันทีว่าท่านหมอต้องการจะทำสิ่งใด!
“ข้ากับพี่ชายนางเป็นคนรู้จักกันมาก่อน ชีวิตนี้นางไม่เคยก้าวเท้าออกจากบ้านเองคนเดียว พลัดหลงกับคนในครอบครัวข้างนอก ดังนั้นถึงได้ตกอยู่ในสภาพย่ำแย่เช่นนี้ ท่านหมอ ยังมีคำถามอะไรอีกหรือไม่”
ท่านหญิงซูซูเป็นสตรีในห้องหอ หลังจากนี้ยังต้องแต่งงาน เขาย่อมไม่สามารถบอกว่านางต้องการตามหาเขามาทำลายชื่อเสียงของนาง
ท่านหมอผู้นี้ก็เป็นคนดีคนหนึ่ง ถามคำถามนี้ก็เพราะอยากจะรู้ว่าเขากับซูซูมีความสัมพันธ์อันใดกันแน่!
ได้ยินซูชีกล่าวเช่นนี้ ก็คิดว่าผู้อื่นเป็นถึงคุณชายสูงศักดิ์ มีสตรีแบบไหนที่ต้องการแล้วไม่มีบ้าง อย่างไรก็ไม่มีทางไปรังแกขอทานที่สวมเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ทั่วทั้งร่างสกปรกมอมแมมหรอก
เขาไม่ได้เอ่ยอันใดอีก เพียงแค่พยักหน้าตามความเคยชิน จากนั้นก็เริ่มอธิบายให้ซูซูฟังถึงสาเหตุการหมดสติของซูซู
“ประการแรก โมโหหรือสะเทือนใจเกินไปจนทำให้ความดันขึ้น หายใจไม่ทันจึงหมดสติไป ประการที่สอง นางมีไข้ ทั้งยังไม่ได้รักษาให้หายดี ส่วนประการที่สามนั้นคือ…หิวแล้ว”
เมื่อท่านหมอเอ่ยจบ ท้องของซูซูก็ร้องจ๊อกๆ ขึ้นมาทันที ราวกับพิสูจน์ว่าวาจาที่ท่านหมอกล่าวนั้นถูกต้องเพียงใด
ซูชีสีหน้าทะมึน…
“กูเสี่ยวซู เจ้าตื่นแล้วใช่หรือไม่ ตื่นแล้วก็รีบปล่อยมือเสีย!”
ท่านหญิงซูซูกลับไม่ได้ลืมตา นางพลันส่ายหน้า ปากก็เอ่ยว่า “อย่า…อย่าถอดเสื้อผ้าข้า…”
วาจานี้เอ่ยออกมา ทำให้สถานการณ์ชะงักไปในทันที
ท่านหมอผู้นั้นรู้สึกว่าเมื่อครู่ตนเองคิดผิดไปหรือไม่
แต่เมื่อคิดดูอีกที ก็ช่างเถอะ! เรื่องราวมากมายในตระกูลร่ำรวยไม่ใช่เรื่องที่ตนเองจะเข้าไปยุ่มย่ามได้
คิดว่า ขอทานผู้นี้ถูกคุณชายท่านนี้ถูกใจเข้า หากว่าคล้อยตาม ก็ไม่แน่ว่าจะโชคดี
อย่างน้อยก็ไม่ต้องทนหิวโหย เร่ร่อนไปทั่ว
ดังนั้นจึงมองซูชีอย่างมีนัยลึกซึ้งแวบหนึ่ง “คุณชายได้โปรดปฏิบัติต่อนางเป็นอย่างดีด้วยขอรับ”
หลังจากเอ่ยจบ ก็เห็นสีหน้าทะมึนของซูชีเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ ดังนั้นจึงรีบเปลี่ยนประเด็น กล่าวขอตัวอ้างว่าตนเองจะลงไปช่วยเคี่ยวยา แล้วออกไป
ตอนออกไป ยังไม่ลืมปิดประตูห้องให้ด้วย
“กูเสี่ยวซู เจ้าตื่นเดี๋ยวนี้…”
“ซูชี ช่วยข้าด้วย…”
“ซูชี…เจ้าอย่าไปนะ อย่าทิ้งข้าไว้…”
ท่านหญิงซูซูพึมพำไม่หยุดทั้งที่ไม่ได้ลืมตา สีหน้าท่าทางกระวนกระวายใจถึงขั้นดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด
ซูชีรู้สึกได้ว่าท่าไม่ดีแล้ว
เมื่อแตะเข้าที่หน้าผากซูซู ร้อนมาก!
เขาได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากข้างนอก อาจ้าวน่าจะจัดการเรื่องราวเรียบร้อยแล้ว จึงมาหา
ซูชีรีบเอ่ยเรียก “อาจ้าว ไปบอกท่านหมอผู้นั้นให้รีบเคี่ยวยา มียาดีอะไรก็ใช้ให้หมด…”
ยาเคี่ยวเสร็จอย่างรวดเร็ว แต่ว่าซูซูหมดสติอยู่ ทั้งยังไม่สามารถอ้าปากได้
ตั้งแต่เกิดมา ซูซูไม่เคยปรนนิบัติใคร จะป้อนยาให้ดีได้อย่างไร
อาจ้าวหายตัวไปไกลนานแล้ว เขานั่งจ้องตากับจ้าวเฟยลู่อยู่อีกห้องหนึ่ง และทำเป็นไม่ได้ยินเสียงของซูชี ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่มีทางแตะกับระเบิดลูกนี้เด็ดขาด
อาจ้าวที่แต่ไหนแต่ไรแค่เอ่ยเรียกก็มานั้นไม่มา ซูชีเข้าใจความคิดของผู้ใต้บังคับบัญชาคนนี้ดี แต่ก็ทำได้เพียงแค่รอไปจัดการทีหลัง
ซูชีตกที่นั่งลำบาก ไม่มีใครให้ความช่วยเหลือ! ไข้ของซูซูก็ไม่ลด แม้ว่าจะอยู่ในสภาพที่รู้สึกแย่ถึงเพียงนี้ มือที่กำชายเสื้อเขา ก็ไม่มีทีท่าว่าจะคลายออกเลยสักนิด
ช่วยไม่ได้!
จะด่าก็ไม่ใช่ จะตะคอกก็ไม่ได้…
ยังดีที่ท่านหมอบอกว่า : สุขภาพของแม่นางท่านนี้ดี ดื่มยา กินอาหารและน้ำแล้ว รอผ่านคืนนี้ไป ไข้ก็จะลด คนก็ดีขึ้น
สุดท้าย ซูชีจึงต้องรบกวนเจ้าของโรงเตี๊ยมอีก ให้สตรีของเขามาป้อนยาและน้ำข้าวอะไรพวกนี้ให้ซูซู
เรื่องๆ หนึ่งก็ให้คนผู้เดียวเป็นคนรับผิดชอบเสียเลย จะได้ไม่ต้องไปหาคนอื่นมาช่วยอีก ซูชีจึงให้สตรีของเจ้าของโรงเตี๊ยมล้างหน้า ทำความสะอาดมือให้กับซูซูต่อ
ซูซูมีไข้ สีหน้าแดงก่ำโดยไม่ต้องประทินโฉม สตรีของเจ้าโรงเตี๊ยมทำความสะอาดใบหน้าให้ซูซูแล้ว ตนเองก็มองดูอย่างอึ้งๆ
สตรีที่งดงามเช่นนี้ นางไม่เคยเห็นมาก่อนเลย
เมื่อได้สติกลับมา ก็ไปทำความสะอาดมือต่อ
รอจนเช็ดไปถึงมือที่ดึงชายเสื้อซูชีเอาไว้ นางทำอย่างไรก็แงะไม่ออก
ไม่เพียงแงะไม่ออก แต่ยิ่งแงะก็ยิ่งจับแน่น ราวกับต้องการทุ่มแรงทั้งหมดในกายมาประลองอย่างไรอย่างนั้น
สตรีของเจ้าของโรงเตี๊ยมจึงทำได้แค่ยอมแพ้ ยกกะละมังใส่น้ำออกไป แล้วหันมาหน้ามามองซูชีแปลกๆ บ่อยๆ
ในใจก็มีเรื่องเล่าอีกแบบหนึ่ง : คุณชายนี้คงไม่ได้เอาเปรียบแม่นางผู้นี้ แล้วคิดหนีไปโดยไม่รับผิดชอบหรอกนะ ดังนั้นถึงได้ถูกแม่นางผู้นี้จับชายเสื้อแน่นไม่ปล่อยเช่นนี้
แม่นางที่งดงามถึงเพียงนี้ คุณชายท่านนี้กลับไม่ต้องการ สรุปว่าคิดจะทำอะไรกันแน่!
ซูชีทำเป็นเหมือนไม่เห็น “ออกไปแล้วปิดประตูด้วย!”
เขาไปไม่ได้ จึงทำได้แค่อยู่เป็นเพื่อนซูซูที่ข้างเตียง รอ!
รอให้นางไข้ลด!
รอให้นางได้สติขึ้นมา!
รอฟ้าสว่าง!
การที่ซูซูพึมพำไม่หยุดตลอดทั้งคืน ทำให้สภาพจิตใจของซูชีซับซ้อนยิ่งนัก
ตอนนี้ดวงหน้าที่ยามปกติดื้อดึงยิ่งเต็มไปด้วยความอ่อนแอและเจ็บปวด
คิดว่านางที่เป็นถึงท่านหญิงสูงศักดิ์ผู้หนึ่ง ถึงกับละ ทิ้งประเพณีทุกอย่าง ติดตามตนเองมาอย่างไม่สนใจความเป็นความตาย ในใจพลันรู้สึกสงสารกูเสี่ยวซูขึ้นมาเล็กน้อยเป็นครั้งแรก
หลายๆ ครั้ง เขาคิดจะบดขยี้พวกคนต่ำทรามเหล่านั้นแล้วบดขยี้อีก…
และในหลายๆ ครั้ง เขาอยาก…หาอะไรบางอย่างมาอุดปากซูซู
ทุกครั้งที่นางเรียกชื่อตนเอง หัวใจเขาล้วนเหมือนถูกหวดโดยไม่รู้ตัว!
“ซูชี…อย่าไป…”
“ซูชี…ช่วยข้า…”
เขายื่นมือออกไปอย่างอยากจะปลอบโยนนางสักเล็กน้อย
ขณะที่มือค้างอยู่กลางอากาศ “ซูชี…เจ้าคนสารเลว…”
เขาขมวดคิ้ว มือชะงักอยู่ตรงนั้น
และค่อยๆ กำหมัดอย่างช้าๆ แต่เต็มไปด้วยพละกำลัง ตามเสียงของท่านหญิงซูซูที่เงียบลง
เขาชักมือกลับมา ความสงสารบนใบหน้าหายไปหมดแล้ว ซูชีกัดฟัน บอกกับตนเองว่า : สตรีนางนี้มีหนามแหลมคมทั่วตัว สตรีนางนี้ไม่ใช่คนในดวงใจตนเอง สตรีนางนี้ไม่เคยเป็นคนที่ตนเองคิดถึงและเฝ้ารอคอย…
เขาไม่อาจให้ตนเองใจอ่อนได้
ไม่ได้เด็ดขาด!
เขาหันหน้าไป ไม่มองนางอีก
ซูชีตั้งสมาธิ ไม่วอกแวก คิดถึงพลังภายในที่ทำให้จิตใจสงบเงียบ และเข้าสู่ความสงบในที่สุด
ไก่ร้องขันสามรอบ ขอบฟ้าตะวันออกทอประกายอรุณรุ่งยามฟ้าสาง ฟ้าสว่างแล้ว
ท่านหญิงซูซูที่เหงื่อชุ่มไปทั้งตัวก็ได้สติกลับมาแล้ว
เมื่อลืมตาเห็นซูชีหลับตาพักสมองอยู่ข้างเตียง ก็ทั้งตะลึง ทั้งยินดี!
“ซูชี?!” ซูซูลุกขึ้นมานั่งบนเตียงด้วยความตื่นเต้น แต่ก็รู้สึกว่าเวียนศีรษะ ร่างกายโงนเงนไปมา