ความทรงจำของสืออีเหนียงที่มีต่อคุณหนูเก้าสกุลเจียงยังคงเป็นตอนที่นางยังเล็ก ผิวขาว ตาโต เสียงใสราวกับไข่มุกร่วงลงบนถาดหยกก็ไม่ปาน วันแขวนผ้าพรหมจรรย์ เมื่อเห็นสาวงามผู้นี้ที่สวมเสื้อกั๊กผ้าไหมสีแดง มวยผมทรงดอกโบตั๋น ปักล้อมด้วยไข่มุก ก็อดตะลึงงันไม่ได้ จากนั้นก็เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ดูสนิทสนม หลังจากที่เจียงซื่อยกถ้วยชาคารวะสวีลิ่งอี๋เสร็จแล้ว ภายใต้การแนะนำของคุณนายสามสกุลหวง นางรับถ้วยชาสีดำลายมังกรหงส์จากถาดสีแดงที่สาวใช้ถืออยู่ เงยหน้าขึ้นแล้วคุกเข่าลงตรงหน้านาง “ท่านแม่สามี ดื่มชาเจ้าค่ะ!”
น้ำเสียงยังคงไพเราะน่าฟังเช่นเคย
สืออีเหนียงยิ้มพลางรับถ้วยชามา เหมือนกับตอนที่เซี่ยงซื่อเข้าจวนมา ได้มอบทองคำก้อนเก้าสิบเก้าชั่งกับตั๋วเงินมูลค่าเก้าร้อยเก้าสิบเก้าตำลึงหนึ่งใบเป็นของขวัญต้อนรับ เพียงแต่ว่าทองคำก้อนของเซี่ยงซื่อเป็นรูปดอกซ่อนกลิ่น ของเจียงซื่อเป็นรูปดอกโบตั๋น
เจียงซื่อใบหน้าแดงก่ำพลางพูดขอบคุณเบาๆ มอบรองเท้าปักลายสองคู่และถุงเท้าสองคู่ให้สืออีเหนียงเป็นของขวัญเปิดหีบ
รองเท้าปักลายสองคู่ คู่หนึ่งสีเขียว คู่หนึ่งสีม่วง คู่สีเขียวปักลายดอกเหมยสีชมพู และปักไข่มุกขนาดเท่าเมล็ดข้าวเป็นเกสรดอกไม้ คู่สีม่วงปักลายกล้วยไม้สีเหลือง ใช้ด้ายสีขาวร่างเป็นลวดลาย จะเห็นได้ว่าไม่ว่าจะเป็นการจับคู่สีหรืองานฝีมือก็ล้วนต้องใช้เวลานาน สกุลหวงกับสกุลสวีมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน คุณนายสามสกุลหวงก็เป็นคนที่ชอบเติมแต่งสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นไปอีก หากไม่มีข้อดีก็จะหาข้อดีออกมาจนได้ อีกอย่างรองเท้าสองคู่นี้ก็โดดเด่นมากอยู่แล้ว เมื่อเห็นดังนั้นก็อุทานด้วยความชื่นชม แล้วพูดต่อว่า “นี่เหมือนกับคำโบราณที่ว่า ‘หากไม่ใช่คนพวกเดียวกันก็จะไม่เข้าประตูจวนเดียวกัน’ ดูงานปักของคุณนายน้อยสี่ของข้าสิ ข้าว่าไม่ได้ด้อยไปกว่าฮูหยินสี่เลย” หัวเราะพลางพูดว่า “ดีเลย คราวนี้แม่สามีและลูกสะใภ้จะได้ปรึกษากันเรื่องงานปัก ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีเรื่องคุยกันแล้ว”
ทุกคนต่างก็เห็นด้วย พากันหัวเราะเสียงดัง
เจียงซื่อพลันนึกถึงคำพูดของมารดา ‘…แม่สามีของเจ้าเป็นบุตรสาวของอนุ อีกทั้งยังเป็นภรรยาเอกคนที่สอง การที่นางมีวันนี้ได้ จะเห็นได้ว่านางนั้นไม่ธรรมดาเลย เมื่อเจ้าเข้าจวนไปแล้ว จำไว้ว่าต้องระมัดระวัง พูดให้น้อยลง ทำให้มากขึ้น ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ อย่าทำให้แม่สามีของเจ้าไม่พอใจ’
“ข้าใช้เวลาครึ่งปีกว่าจะทำรองเท้าสองคู่นี้เสร็จ” นางพูดด้วยความเขินอายเล็กน้อย “ไม่กล้ารับคำชมของคุณนายสามสกุลหวงหรอกเจ้าค่ะ”
ทั้งไม่ได้มีการดูถูกตัวเอง แล้วก็ไม่ได้ยกย่องสืออีเหนียง แต่กลับชี้ให้เห็นถึงความสำคัญที่นางมอบของขวัญเปิดหีบให้แม่สามี
โจวฮูหยินได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้วเล็กน้อย เหลือบมองสืออีเหนียงที่นั่งยิ้มอยู่ตรงนั้น
ส่วนคุณนายสามสกุลหวงก็รู้สึกว่าคุณนายน้อยสี่ที่พึ่งเข้าจวนมาใหม่ผู้นี้ช่างรู้จักพูดจา หัวเราะอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพาเจียงซื่อมาอยู่ตรงหน้าฮูหยินสาม “นี่คือท่านป้าสะใภ้สามของเจ้า”
เจียงซื่อคุกเข่าโขกศีรษะคำนับ แล้วยกถ้วยน้ำชาให้นาง
สีหน้าฮูหยินสามดูไม่ค่อยมีความสุขนัก จับมือเจียงซื่อแล้วพูดเพียงว่า “งามจริงๆ ” มอบของขวัญต้อนรับเหมือนตอนที่เซี่ยงซื่อเข้าจวนมา
เจียงซื่อกล่าวขอบคุณเสียงเบา ของขวัญเปิดหีบที่มอบให้ฮูหยินสามคือผ้าเช็ดหน้าสองผืน
จากนั้นคุณนายสามสกุลหวงก็พานางไปหาฮูหยินห้า…พาเดินไปหาทีละคน ใช้เวลาหนึ่งชั่วยามกว่า แม้ว่าจะได้รับสิ่งของมากมาย แต่นางก็หมดแรงแล้ว เจียงซื่อไม่เพียงแต่ไม่กล้าเปิดเผยสีหน้าที่เหนื่อยล้า ซ้ำยังพยายามยิ้มอย่างอ่อนโยนและนอบน้อมให้มากที่สุด ยืนอยู่หลังแม่สามี มุ่งหน้าไปที่ห้องโถงบุปผาที่ใช้จัดงานเลี้ยง
ในบรรดาสตรีที่มาร่วมงาน โจวฮูหยินมาในฐานะมารดาของไท่จื่อเฟย ฐานะสูงศักดิ์ เดินเคียงกับสืออีเหนียงอยู่ด้านหน้าสุด ส่วนคุณนายสามสกุลหวงกับกานฮูหยินกำลังคุยไปหัวเราะไปอยู่ข้างๆ ฮูหยินห้าจงใจเดินอยู่ด้านหลังเพื่อมาเดินกับสะใภ้ในครอบครัวเดียวกันอย่างฮูหยินสาม คุณนายใหญ่สกุลหลัวและคนอื่นๆ เจียงซื่อไม่เพียงโดนเบียดออกไป ซ้ำยังตกไปอยู่ข้างหลังของทุกคน
มีคนบีบมือนางเบาๆ แล้วปล่อยอย่างรวดเร็ว
ความสนใจของเจียงซื่ออยู่ที่สืออีเหนียงทั้งหมด พลอยทำให้นางตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อเงยหน้าขึ้นมาปรากฏว่าเป็นสวีซื่อจุน
สวีซื่อจุนเองก็มองมาที่นางด้วยสายตาที่มีความกังวลอย่างปกปิดไม่อยู่
ทันใดนั้นนางพลันนึกถึงคืนเข้าห้องหอเมื่อวาน…ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำราวกับผ้าไหมก็ไม่ปาน
สวีซื่อจุนทำตัวไม่ถูกอยู่ชั่วขณะ
“เจ้า…เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” เขาพูดพึมพำว่า “ด้านข้างมีทางเท้า…สามารถไปยืนพักได้…”
นางรู้สึกอบอุ่นหัวใจ
ความโศกเศร้าที่ต้องแต่งงานมาอยู่ไกลครอบครัวและความกลัวต่ออนาคต ได้ถูกคำพูดนี้ของเขาทำให้ความรู้สึกเหล่านั้นค่อยๆ มลายหายไป
“ข้า ข้าไม่เป็นไร…” ขณะที่เจียงซื่อกำลังพูด ทันใดนั้นก็คิดได้ว่าสวีซื่อจุนควรจะไปพบแขกที่เป็นบุรุษกับพ่อสามี ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ แม้ว่าสถานการณ์เมื่อครู่จะวุ่นวายเล็กน้อย แต่ที่นี่มีสายตาคนมากมาย ยากนักที่จะไม่มีใครเห็น ได้ยินมาว่าสามีเป็นคนถ่อมตน นางพึ่งจะเข้าจวนมา สามีก็ปกป้องนางเช่นนี้ ถ้าหากข่าวไปถึงหูของท่านแม่สามี ไม่รู้ว่าท่านแม่สามีจะคิดว่านางไม่รู้จักกฎระเบียบหรือไม่…สายตาของนางจับจ้องไปที่สืออีเหนียง
ไม่รู้ว่าโจวฮูหยินพูดอะไร ทั้งสืออีเหนียง คุณนายสามสกุลหวง กานฮูหยินและคนอื่นๆ ต่างก็ปิดปากหัวเราะ ดูเหมือนว่าพวกนางจะไม่ได้สังเกตเห็นสถานการณ์ทางนี้เลย
เจียงซื่อถอนหายใจด้วยความโล่งอก กำลังจะหันไปถามสวีซื่อจุนก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นที่ข้างหู
นางรู้สึกตื่นตระหนก หันไปตามเสียงด้วยความไม่สบายใจ เห็นสายตาคู่หนึ่งที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม
เป็นฟังซื่อพี่สะใภ้ใหญ่
เจียงซื่อรู้สึกว่าใบหน้าร้อนระอุ ขณะที่กำลังคิดอยากจะเดินไปคล้องแขนฟังซื่อ เพื่อที่หลังจากนั้นจะได้พูดคุยกับนาง ทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป แต่ฟังซื่อกลับถามสวีซื่อจุนว่า “น้องสี่จะมาชวนน้องสะใภ้สี่ไปคารวะไท่ฮูหยินด้วยกันหรือ” พูดไปหัวเราะไป
แม้ว่าไท่ฮูหยินจะเป็นท่านย่า แต่นางก็เป็นหญิงม่าย ในเวลานี้ไม่เหมาะสมที่จะรับการคุกเข่าจากบ่าวสาวในห้องโถงพิธีแห่งนี้
แม้ว่าจะเป็นงานเลี้ยงของครอบครัว แต่ก็มีการแบ่งแยกบุรุษและสตรี แขกที่เป็นบุรุษจะอยู่ที่ห้องโถงเล็กที่พึ่งทำพิธีรับของขวัญไปเมื่อครู่นี้ ส่วนบรรดาสตรีจะอยู่ที่เรือนหน่วนเก๋อที่อยู่ข้างห้องโถงเล็ก
สวีซื่อจุนได้รับคำสั่งจากสวีซื่ออวี้ให้ไปส่งแขก ตอนกลับมาเขาเห็นสืออีเหนียงและคนอื่นๆ กำลังมุ่งหน้าไปที่เรือนหน่วนเก๋อ จึงอดมองหาในฝูงชนไม่ได้…เห็นว่าเจียงซื่อกำลังยืนอยู่คนเดียวพอดี…
เป็นธรรมดาที่ต้องใส่ใจเจ้าสาว ขณะที่กำลังถามตอบกัน ก็มีคนมองมาทางนี้
“ใช่แล้ว” สวีซื่อจุนพึ่งจะตระหนักได้ว่าตัวเองเสียมารยาทแล้ว อดเหลือบมองฟังซื่อด้วยความขอบคุณไม่ได้ พูดเสียงเบาว่า “ท่านพ่อให้พวกเราไปคารวะไท่ฮูหยิน”
สืออีเหนียงกับสวีลิ่งอี๋ปรึกษากันเรียบร้อยแล้วว่าหลังจากที่คู่บ่าวสาวพาแขกไปที่ห้องจัดเลี้ยงแล้ว ก็ให้ไปคารวะไท่ฮูหยินก่อน แล้วค่อยกลับมาร่วมงานเลี้ยง พอตอนบ่ายค่อยไปพบฮูหยินสอง
“ถ้าอย่างนั้นพวกเจ้าก็รีบไปกันเถิด!” สถานการณ์เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา แม้ว่าคู่บ่าวสาวจะไม่ได้ไปส่งแขกที่งานเลี้ยง แต่ก็ได้ไปส่งระหว่างทาง ก็ไม่นับว่าเสียมารยาทแล้ว สืออีเหนียงยิ้มพลางกำชับสวีซื่อจุนกับเจียงซื่อ
ทั้งสองคนขานรับพร้อมกัน ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ฟังซื่อ แล้วไปหาไท่ฮูหยินด้วยกัน
พอถึงวันแต่งงานวันที่สาม สืออีเหนียงก็ได้ไปส่งแขกที่มาจากหนานจิง จากนั้นก็พาเจียงซื่อ เหวินอี๋เหนียงและเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปเที่ยวเล่นที่วัดต้าเซียงกั๋ว อารามเมฆขาวและสถานที่อื่นๆ เอาอาหาร เสื้อผ้า ของใช้ และของเล่นไปเต็มสองคันรถม้า จากนั้นก็ส่งเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปอย่างไม่เต็มใจ
จิ่นเกอพูดพึมพำกับสืออีเหนียงว่า “ท่านแม่ ปีหน้าพวกเราไปเยี่ยมพี่หญิงใหญ่กันเถิดขอรับ พี่เขยใหญ่บอกแล้วว่าไร่นาของเขาเต็มไปด้วยต้นพุทรา ปีหน้าในเวลานี้เป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวพุทราพอดี ข้ายังไม่เคยเก็บพุทราเลย!”
เป็นการดีที่เด็กๆ จะได้ออกไปเปิดโลกทัศน์
เพียงแต่ว่าเรื่องนี้เป็นไปได้ยากมากๆ
เป็นไปไม่ได้ที่นางจะทิ้งคนในจวนไว้ข้างหลังแล้วพาจิ่นเกอไปชังโจว ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะพาคนทั้งจวนไปชังโจว…ยิ่งเป็นสวีลิ่งอี๋ก็ยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่ หากเขาออกจากจวนก็เหมือนกับเป็นตัวแทนของจวนหย่งผิงโหวทั้งจวน มีพิธีรีตองบางอย่างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่อาจขาดการจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ได้ และบางเรื่องก็ไม่ละมือได้…ทำให้สูญเสียความหมายของการไปเที่ยวอย่างสิ้นเชิง
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดเรื่องนี้ สวีซื่ออวี้ก็มาหาพอดี
“ข้าคุยกับท่านพ่อเรียบร้อยแล้วว่าจะออกเดินทางกลับเล่ออานในอีกสองวัน” เขาพูดด้วยความเขินอายเล็กน้อย “ทางด้านของเซี่ยงซื่อต้องรบกวนท่านแม่ช่วยดูแลให้ด้วยขอรับ!”
“เจ้าวางใจเถิด!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าจะดูแลนางอย่างดี”
ทั้งสองคนพูดคุยกันจนลืมเรื่องของจิ่นเกอไป
ในตอนกลางคืน จิ่นเกอเบียดเข้ามาในผ้าห่มกับบิดาแล้วพูดเสียงเบาว่า “…พวกเราไปเยี่ยมพี่หญิงใหญ่กันเถิดขอรับ”
สวีลิ่งอี๋อดหัวเราะไม่ได้ หยิกจมูกบุตรชายเบาๆ “เจ้าบอกความจริงมาว่าเจ้าอยากไปเยี่ยมพี่หญิงใหญ่หรืออยากไปเที่ยวกันแน่”
“ทั้งสองอย่างเลยขอรับ!” จิ่นเกอพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “ข้ากับจิ่งเกอนัดกันไว้แล้ว หากข้าไปชังโจวเขาจะพาข้าไปพบพี่สามของเขา…พี่สามของเขาแข่งชนะหกสำนักศิลปะการต่อสู้ในชังโจว เก่งกาจเป็นอย่างมาก…”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะเสียงดังลั่น “รอเจ้าโตอีกสักหน่อยแล้วค่อยไป!”
จิ่นเกอผิดหวังเป็นอย่างมาก
แต่พอหิมะแรกในเยี่ยนจิงตกลงมา สวีลิ่งอี๋ก็พาเขาไปที่เมืองเป่าติ้ง
ไท่ฮูหยินมองดูหิมะที่ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง อดรู้สึกเสียใจไม่ได้ “หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรจะตอบตกลงให้เขาพาจิ่นเกอไป เขาหนังเหนียวไม่กลัวอะไร แต่จิ่นเกอของพวกเราเคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้เสียเมื่อไรกัน!”
“ท่านโหวกับจิ่นเกอต่างก็สวมเสื้อคลุมหนัง อีกทั้งยังเอาถ่านไปด้วยหนึ่งคันรถม้า” สืออีเหนียงรีบปลอบใจไท่ฮูหยิน “ระหว่างทางพวกเขาไปพักที่จุดพักรถม้าตลอดทาง ซ้ำยังพาองครักษ์ไปด้วยมากมายขนาดนั้น ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้น ก็ขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม
“สืออีเหนียง” ไท่ฮูหยินจับมือสืออีเหนียง “เจ้าอยู่กับเขาด้วยกันทั้งวันทั้งคืน เขาได้พูดอะไรกับเจ้าหรือไม่” ไท่ฮูหยินพูดอย่างครุ่นคิดว่า “ข้าคิดเรื่องนี้มานานมากแล้ว ใกล้จะปลายปีแล้ว บรรดาเถ้าแก่ในทุกพื้นที่จะต้องกลับมาจ่ายเงิน ถ้าหากไม่ได้เป็นเพราะว่าสนามม้าที่เป่าติ้งเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น แล้วเหตุใดเขาถึงได้รีบไปเป่าติ้งในเวลานี้เล่า แล้วยังบอกว่าให้จิ่นเกอไปกับเขา จะได้มีเพื่อนร่วมทางด้วย…ดูแล้วข้าคิดว่าคงจะกลัวว่าข้าจะเป็นห่วง…”
สวีลิ่งอี๋ก็พูดกับนางแบบนี้เช่นกัน จากมุมมองของนาง เขาไม่อยากจะอยู่ที่เรือนก็เลยหาข้ออ้างพาจิ่นเกอออกไปเดินเล่น มิเช่นนั้นวันที่ตัดสินใจไปเป่าติ้งก็คงไม่มีอารมณ์ผ่อนคลายขนาดนั้น
“ถ้าหากสนามม้าเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ ด้วยนิสัยของท่านโหวแล้ว เกรงว่าคงจะรีบควบม้าไปทันที” สืออีเหนียงยิ้มพลางนั่งลงข้างไท่ฮูหยิน “คงจะไม่พาจิ่นเกอไปด้วย” แล้วพูดต่อไปว่า “สองปีมานี้ท่านโหวอยู่ที่เรือนตลอด ออกไปเดินเล่นข้างนอกบ้างก็ดีเจ้าค่ะ!”
หลังจากที่เขาดูแลจวนมานาน ทุกคนดูเหมือนจะลืมไปแล้วว่าสวีลิ่งอี๋เป็นเพียงบุรุษที่อายุเพียงสามสิบกว่าปีเท่านั้น
ไท่ฮูหยินเริ่มเข้าใจขึ้นมาเล็กน้อย ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก เปลี่ยนไปพูดคุยเรื่องในเรือนกับสืออีเหนียง
เจียงซื่อมาหา
“ท่านแม่ก็อยู่ที่นี่หรือเจ้าคะ” นางยิ้มแล้วพูดว่า “พอดีเลย” พูดพลางหยิบกล่องไม้สีแดงลายดอกบัวจากสาวใช้น้อยส่งให้ไท่ฮูหยิน “นี่คือธูปหอมเจียงหนาน เหมาะสมที่จะใช้บูชาพระพุทธรูปเป็นที่สุด” แล้วหยิบกล่องไม้สีแดงลายทองส่งให้สืออีเหนียง “นี่คือธูปหอมร้อยบุหงา เหมาะสมอย่างยิ่งที่จะใช้จุดตอนอ่านหนังสือ” จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “มารดาของข้าทำด้วยตัวเอง กลิ่นต่างจากที่ขายในตลาดเล็กน้อย ท่านย่ากับท่านแม่ลองใช้ดูว่าชอบหรือไม่”
สกุลเจียงส่งคนมามอบของขวัญตรุษจีนเมื่อเช้านี้ เครื่องหอมเหล่านี้คาดว่าคงจะถูกนำมาในตอนนั้น
ไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ
เจียงซื่อชี้ไปที่กล่องไม้สีแดงในมือสาวใช้น้อย “นี่คือของท่านป้าสะใภ้สอง ท่านอาสะใภ้ห้าและคนอื่นๆ เจ้าค่ะ!”
“ไปเถิด ไปเถิด!” ไท่ฮูหยินหัวเราะพลางกำชับนาง “อีกประเดี๋ยวก็มาทานอาหารเย็นกับจุนเกอที่เรือนของข้า”
เจียงซื่อตอบรับอย่างกระตือรือร้น ไปหาฮูหยินห้าที่อยู่ใกล้เรือนไท่ฮูหยินมากที่สุดเป็นอันดับแรก