2.สตรีขี้โมโห..
เดิมทีหลิ่วเจินเป็นแพทย์คนหนึ่งจากยุคสมัยปัจจุบัน
ที่ช่วยชีวิตคนไข้เป็นเวลาสามวันติดต่อกันโดยไม่
หยุดพัก จวบจนกระทั่งในวันที่สาม
เมื่อมีคนไข้อีกคนถูกส่งตัวมายังห้องฉุกเฉิน
เธอถึงพลันตระหนักได้ว่า
ผู้ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงนั่นคือตนเอง
เมื่อทบทวนดูอย่างละเอียด ก็นึกว่าตนเองคงสับสนไปหน่อย
ขนาดตายแล้วก็ยังคิดช่วยชีวิตคนอีก
พอหัวเราะขำตัวเองเสร็จ
หญิงสาวก็เดินออกมาจากโรงพยาบาลโดยไม่รู้ตัว ซ้ำยังไม่รู้ว่าตัวเองเดินมานานแค่ไหนแล้ว หญิงสาวเดินไปเรื่อยๆจนกระทั่งเดินลึกเข้าไปในหุ บเขาแห่งหนึ่ง จากนั้นจึงมาโผล่ในบ้านน้อยหลังนี้ในยุคโบราณ
เมื่อลองคำนวณดูน่าจะราวๆครึ่งเดือนได้ ที่เธอได้เฝ้ามองดูผู้หญิงที่มีชื่อเดียวกับตนตรงหน้
านี้
ผู้ซึ่งเอาแต่ก่นด่าบุรุษนามว่ากู้หรูเฟิงไม่หยุดหย่อน
สตรีนางนี้เป็นคนที่นี่ บิดามารดาสิ้นแล้ว
ครอบครัวมีที่ดินสามหมู่ จึงสามารถหาเลี้ยงชีวิตมาได้
เมื่อเห็นว่าตนเองอายุชักมากขึ้น จึงคิดมองหาสามี
ประกอบกับบังเอิญไปเจอกู้หรูเฟิงที่อดอยากร่อนเ ร่เดินผ่านมา ก็บังเกิดความคิดไม่ซื่อ คอยตามตื้อ และถึงกับใช้แผนสกปรก
หลอกให้ผู้อื่นสูดยาสลบ
กระทั่งตนเองซึ่งยังมิได้เปลื้องอาภรณ์ ก็โดนยาสลบตามไปด้วย
แม้ว่ายังมิได้มีพิธีแต่งงานกัน ทว่าหลิ่วเจินก็ป่าวประกาศไปทั่ว จนคนทั้งหมู่บ้านคิดว่านางกับกู้หรูเฟิงเป็นสามีภรร ยากันแล้วจริง ๆ
กู้หรูเฟิงทำงานใช้แรงงานไม่เป็น
ร่างกายอ่อนแอปวกเปียกขาดความแข็งแกร่ง
สิ่งที่พอทำได้
ก็คืองานที่ใช้ความสามารถในแขนงศิลปะทั้งสี่
อันได้แก่ พิณเพลง หมากล้อม เขียนอักษร
วาดภาพ
อีกทั้งยังชอบอ่านตำราที่ติดตัวมาเป็นอันมากด้วย ชายหนุ่มนั้นมีสุขภาพย่ำแย่อย่างที่สุด
คราออกไปตัดฟื้น ตันไม่ทันระวังตัวให้ดี
จึงหกล้มจนขาหักข้างหนึ่ง
อันที่จริงฝ่ายหญิงรับรู้ปัญหาเหล่านี้มาก่อนแล้ว
กู้หรูเฟิงมิเคยปิดบังนางแม้แต่น้อย
ล้วนบอกให้นางรู้ครบถ้วน
คราแรกที่เห็นฝ่ายชาย
นางก็ปรารถนาในตัวเขาทันที
ดูคล้ายนางจะมีน้ำใจเอื้อเฟื้อกับอีกฝ่ายอย่างล้นเ
หลือ อะไรที่ฝ่ายชายทำไม่ได้
นางก็หลับหูหลับตา เอาแต่พูดว่าไม่เป็นไร
อนิจจา รอจนภายหลังแต่งงานกันไปแล้ว ถึงได้ค้นพบว่าชายที่ตนแต่งด้วยไร้ประโยชน์สิ้นดี มิหนำซ้ำยังต้องมาแบ่งอาหารให้กินอีก เมื่อฤดูหนาวมาถึง นางคงยากดำรงชีวิตต่อไปได้ ช่างเป็นการหาเหาใส่หัวโดยแท้
ฝ่ายหญิงเป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ พูดได้ว่าตอนกู้หรูเฟิงมา นางสุดแสนใจดี
ไม่เคยสนใจว่าคุณชายผู้นี้เป็นใคร
ที่บ้านร่ำรวยหรือไม่
ภายภาคหน้าก็มิได้คิดว่าตนจะบินขึ้นไปเกาะยอด
ไม้เปลี่ยนฐานะกลายเป็นหงส์
เต็มใจอยู่อย่างเจียมตัว แต่พอตนเองเริ่มไม่มีจะกินเข้าจริง ๆ
ก็มักระบายโทสะกับอีกฝ่ายอยู่เสมอ
หลิ่วเจินในรูปวิญญาณค่อนข้างเห็นใจกู้หรูเฟิง แม้เป็นคุณชายที่ตระกูลประสบเคราะห์กรรม ทว่าก็ยังพอมีเงินเหลืออยู่ในมือบ้าง ช่างโชคร้ายนักที่เงินทั้งหมดในมือ โดนฝ่ายหญิงผลาญเสียจนเกลี้ยง ผู้หญิงคนนี้เป็นต้นเหตุแห่งหายนะโดยแท้ เอหรือบางที
มิใช่ว่ากู้หรูเฟิงยังมีเงินที่แอบเก็บซ่อนดเอาไว้ โดยไม่บอกให้ใครรู้อีกนะ
ผู้หญิงคนนั้นกำเริบเสิบสานขึ้นทุกที นางเดินตรงไปหอบม้วนตำราไม้ไผ่ทั้งหมดที่วางก องอยู่ตรงมุมห้อง โยนเข้าไปในเตาไฟ พลางร้องตะโกนก้อง
“มาดูตำราไร้ประโยชน์ที่เจ้าชอบอ่านทั้งวันพวกนี้ สิ!”
กู้หรูเฟิงหน้าเปลี่ยนสีไปทันที ชายหนุ่มกระเสือกกะสนลุกขึ้นยืน จากนั้นก็ล้มกลิ้งลงพื้นทันใด เขายื่นมือข้างหนึ่งออกมา พลางกล่าวอ้อนวอน “ไม่นะ นั่นคือของที่บิดาข้าทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า ตระกูลข้าสิ้นชีพหมดแล้ว
เหลือเพียงตำราไม่กี่เล่มนี้เท่านั้น
ฝ่ายหญิงหาได้สนใจคำอ้อนวอนไม่ ยังคงปล่อยให้ตำราถูกเผาต่อไป “เกี่ยวอันใดกับข้าด้วยเล่า! ตำราผุพังพวกนี้ ทำให้บ้านนี้อุ่นขึ้นมาทันทีเลย ช่างสบายดีแท้ !”
อากาศในห้องอุ่นขึ้นทุกขณะ แถมด้วยควันไฟลอยขึ้นมากลุ่มหนึ่ง ขณะหนังสือกำลังถูกเผาในเตา ฝ่ายหญิงได้โยนถ่านเข้าไปอีกสองก้อน ธรรมดาเรื่องนี้ก็ไม่น่ามีปัญหาอันใด ทว่าหลิ่วเจินกลับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
เวลานี้ประตูหน้าต่างล้วนปิดทึบ ควันที่เกิดจากการเผาถ่านลอยคลุ้งไปทั่ว โดยไม่มีทางระบายออก ซึ่งเท่ากับเป็นการฆ่าตัวตายดีๆนี่เอง โดยเฉพาะถ่านด้อยคุณภาพในยุคโบราณ สิ่งนี้ทำให้เกิดกลุ่มควันหนาแน่นเป็นพิเศษ
เป็นดังคาด หลังเผาถ่านไปสักพัก ฝ่ายหญิงได้ลุกยืนขึ้น และแล้วก็เริ่มรู้สึกวิงเวียนขึ้นมา นางก้าวเดินได้เพียงสองก้าว ก็ล้มจึงลงบนพื้นทันที
ดวงตาผู้หญิงนางนั้นได้แต่มองกู้หรูเฟิงที่ล้มนอน กลิ้งบนพื้น นางลุกขึ้นยืนไม่ไหว
ได้แต่คลานไปเท่านั้น พอถึงตอนนี้
หญิงสาวหมดเรี่ยวแรงสิ้น ทำได้เพียงแต่นอนรอความตาย