ตอนที่ 152 แบ่งของกันตรงนั้นเลย
เมื่อนำอรหันต์เหล็กออกจากจวนลู่ติ่งกงไปอย่างอิ่มเอมใจ เยี่ยเว่ยหมิงก็บ่นกับอินปู้คุยอย่างจนใจว่า “เหวยเสี่ยวเป่าวันนี้แสดงออกเหมือน…จะพูดอย่างไรดีล่ะ ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนเขาวางตัวเก่งมาก…
…แต่ตอนที่เพิ่งออกมาจากดันเจี้ยน เขากลับตั้งใจพูดเอาใจข้ามาก แต่กลับไม่สนใจความรู้สึกเจ้า แม้ข้าจะเตือนเขาแล้ว แต่กลับยังทำเหมือนเดิม การแสดงออกอย่างนี้เหมือนจะขาดมาตรฐานไปมาก”
อินปู้คุยได้ยินแล้วกลับส่ายหน้ายิ้มๆ อธิบายว่า “ที่จริงแล้วนี่ต่างหากที่เป็นจุดที่ฉลาดของเขา”
ไม่รอให้เยี่ยเว่ยหมิงถามต่อ จู่ๆ เขาก็ใช้ข้อศอกกระทุ้งแขนเยี่ยเว่ยหมิง “ขอพูดความในใจหน่อยแล้วกัน เมื่อครู่ตอนที่ได้ยินเหวยเสี่ยวเป่าไม่สนใจความรู้สึกข้า ตั้งใจพูดประจบเจ้าอย่างเดียว ในใจเจ้าจริงๆ แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง สดชื่นหรือเปล่า”
“เอ่อ คือ…” เยี่ยเว่ยหมิงหัวเราะลั่น “ฮ่าๆ…ข้าเป็นคนซื่อตรงและอ่อนน้อมถ่อมตนขนาดนี้ จะไป…”
“พูดความจริง!”
“ก็แอบสดชื่นอยู่นิดหน่อยจริงๆ”
“แค่นั้นก็พอแล้ว” อินปู้คุยพูดต่อ “ที่จริงแล้ว ตอนที่เขาพูดประจบเจ้า อย่างมากก็แค่มองข้ามข้าไปนิดหน่อยเท่านั้นเอง ไม่ถือว่าเป็นการเสียมารยาทเลย ดังนั้นหากพูดในมุมของข้า แม้จะรู้สึกผิดหวังหลายครั้ง แต่ก็ไม่แค้นเขาเพราะเรื่องนี้แน่นอน…
…แนวคิดประมาณว่าอย่ารังแกคนหนุ่มที่ยากจนอะไรนั่น ไม่ควรเกิดขึ้นในสถานที่แบบนี้ หากเกิดขึ้นแล้ว ก็แสดงว่าข้าจิตใจคับแคบเกินไป ต้องสมน้ำหน้าแล้ว…
…อย่างไรเสีย พวกเราก็แค่พบหน้ากันเป็นครั้งแรก”
ขณะที่เยี่ยเว่ยหมิงกำลังเดินนำทางไปยังโรงเตี๊ยมเย่ว์ไหล อินปู้คุยก็กล่าวต่อไปว่า “ทั้งไม่ล่วงเกินข้า ทั้งเติมเต็มจิตใจที่แสนขี้อายของเจ้าให้รู้สึกสดชื่นได้ วิธีการแบบนี้ไม่เหนือชั้นหรอกหรือ”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วพยักหน้า “เสียแรงที่ข้าคิดมาตลอดว่าตัวเองสติปัญญาผ่านมาตรฐาน วันนี้ถึงได้รู้ว่าที่แท้เป็นเจ้าต่างหาก ยอดฝีมือที่เก็บงำความสามารถเอาไว้มิดชิด”
“อย่ามาใช้มุกนี้เลย” อินปู้คุยสีหน้าจริงจัง “สาเหตุที่เจ้านึกไม่ถึง ก็เพราะเจ้าเป็นคนที่ถูกเขาประจบ ไม่ได้คิดให้สูงขึ้นอีกชั้นก็เท่านั้นเอง ถ้าพวกเราเปลี่ยนมุมมองกัน…”
“บลาๆๆๆ…”
ตอนที่ทั้งสองใช้สนทนากัน ทันใดนั้นก็มีนกพิราบขาวตัวหนึ่งบินมาเกาะบนบ่าเยี่ยเว่ยหมิง
หลังจากมองข้อความปราดหนึ่ง เยี่ยเว่ยหมิงก็ยิ้มเจื่อนด้วยความจนใจ “สำนักส่งข่าวด่วนมา ขอให้ผู้เล่นทุกคนของสำนักมือปราบเทพกลับไปทันทีที่ได้รับข้อความ ดูท่าทาง ข้าคงกลับไปรายงานผลภารกิจกับเจ้าที่เขาอู่ตังไม่ได้แล้ว”
ขณะที่พูด ก็ส่งคำขอซื้อขายให้อินปู้คุย “อรหันต์เหล็กเจ้ารับไปก่อน กลับไปรายงานผลภารกิจ เมื่อถึงตอนนั้นข้าจะได้ไปรับรางวัลภารกิจได้โดยตรงเลย…
…ของที่ดรอปได้จากอ๋าวป้ายก่อนหน้านี้ด้วย พวกเราไม่ต้องหาสถานที่แล้ว แบ่งของกันตรงนี้เลยแล้วกัน…
…อิงตามธรรมเนียมของยุทธภพ หนึ่งคนเลือกหนึ่งชิ้น”
…มีของทั้งหมดห้าชิ้น เพื่อความยุติธรรม เลือกไปก่อนคนละชิ้น ตอนหลังค่อยเลือกอีกสามชิ้น แบ่งเงินจำนวนเท่ากัน”
เมื่ออธิบายแผนการแบ่งของอย่างละเอียดแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็ส่งคำขอซื้อขายให้อีกฝ่ายอีกครั้ง พร้อมเรียงของห้าชิ้นนั้นไว้แถวหนึ่ง อีกฝ่ายจะได้เลือกได้สะดวก
แน่นอนว่ายังมีเงินที่ดรอปจากอ๋าวป้ายอีกครึ่งหนึ่งด้วย เป็นเงินสดจำนวน 150 เหรียญทอง
หลังจากทำสิ่งเหล่านี้เสร็จแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงก็หรี่ตาจนเป็นขีดเล็กๆ แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “สหายอินอยากจะเลือกก่อน หรืออยากจะเลือกทีหลังล่ะ หรือว่ามีวิธีการแบ่งที่เหมาะสมกว่านี้”
อินปู้คุยยิ้มแห้ง “ในเมื่อสหายเยี่ยโปร่งใสขนาดนี้ ข้าก็ไม่เกรงใจเจ้าแล้วกัน ข้าขอเลือกก่อน”
หลังจากเงียบไปครู่เดียว เขาก็ถามต่อว่า “ข้าต้องการตำราลับเคล็ดวิชา ‘สือซานไท่เป่า’ เป็นอย่างไร”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วผิดคาดนิดหน่อย “ข้อมูลแนะนำของเคล็ดวิชานี้ก็บอกไว้แล้ว ถ้าฝึกวิชานี้จะถูกหักพลังโจมตีกับความเร็วโจมตี ทั้งยังมีจุดอ่อนที่อันตรายถึงชีวิตด้วย เดิมทีข้าคิดว่าจะเก็บตำรานี้ไว้จนถึงตอนสุดท้าย แล้วนำไปขายแลกเป็นเงิน”
อินปู้คุยกลับอธิบายว่า “เป็นเพราะสำนักเราแตกต่างจากสำนักอื่น สิ่งที่สำนักอู่ตังถนัดที่สุดก็คือการตะลุมบอน การดรอปของจำนวนมากในสำนัก ทักษะยุทธ์ที่ทำดาเมจได้สูงมีน้อยมาก…
…สุดยอดวิชาสูงสุดในสำนักก็คือ ‘มวยไท่จี๋’ กับ ‘กระบี่ไท่จี๋’ เป็นวิชาที่อาศัยความเชื่องช้ามาสู้กับความเร็ว ความเร็วในการลงมือจึงไม่ได้สำคัญมาก…
…ส่วนจุดอ่อนนั่น สำนักอู่ตังของเดิมทีก็ถนัดเรื่องป้องกันอยู่แล้ว มีความสามารถในการปกป้องตัวเองสูงมาก จะปกป้องจุดอ่อนเล็กๆ แค่นี้ไม่ได้เชียวหรือ…
…เจ้าคือสารหนู ข้าคือยาแก้ร้อนใน ต่างคนต่างความต้องการก็เท่านั้นเอง”
เมื่อได้ยินอินปู้คุยพูดอย่างนี้ เยี่ยเว่ยหมิงก็วางใจแล้วเช่นกัน จึงเลื่อนนิ้วเลือกเกราะอ่อนลวดทองแดงในแถบการซื้อขายทันที นำมันกลับเข้ามาในกระเป๋าสะพายหลังอีกครั้ง นับว่าเลือกเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ครั้งนี้ถึงคราวที่อินปู้คุยจะรู้สึกผิดคาดบ้างแล้ว “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะไม่ได้เลือกสร้อย”
ในสายตาของเขา เห็นได้ชัดว่าค่าสเตตัสของ ‘จี้ประกาศิตมังกรหยก’ ยอดเยี่ยมกว่า
เยี่ยเว่ยหมิงเพียงตอบอย่างใจเย็นว่า “ที่ตัวข้ามีสร้อยอยู่แล้วเส้นหนึ่ง ค่าสเตตัสไม่ต่างกับเส้นนี้มาก อีกทั้งเกราะอ่อนลวดทองแดงก็เป็นเกราะภายใน สวมใส่ไว้ข้างในได้ เกราะภายในแบบนี้หาได้ยากมากในตลาด ความล้ำค่าของมันก็พอๆ กับเครื่องประดับในเลเวลเดียวกัน เลือกสิ่งนี้ไว้ข้าไม่ขาดทุน”
“เช่นนั้นข้าก็ได้ประโยชน์แล้วจริงๆ!” รอยยิ้มบนใบหน้าอินปู้คุยเปลี่ยนเป็นภูมิใจเป็นพิเศษ “ไม่ปิดบังความจริง ตอนนี้ข้าเข้าใกล้เงื่อนไขการฝึก ‘วิชาราชสีห์คำราม’ ขาดแค่กำลังภายในสี่ร้อยแต้ม หลังจากใส่สร้อยเส้นนี้แล้ว ข้าก็จะฝึกได้ทันที เหอะๆ…ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว ข้าเลือกมัน”
“เช่นนั้นก็ทำตามกติกาที่เราคุยกันไว้ตอนแรก ปืนไฟกับรองเท้าที่เหลืออยู่เป็นของข้าหมด”
ขณะที่พูด เยี่ยเว่ยหมิงก็นำปืนไฟกับรองเท้ากลับเข้ามาในกระเป๋าสะพายหลังของตัวเองอีกครั้ง จากนั้นกดยืนยันการซื้อขาย ส่วนอินปู้คุยก็เลือกกดยืนยันตามทันที ตำราลับ ‘สือซานไท่เป่า’ จี้ประกาศิตมังกรหยก รวมทั้งเงิน 150 เหรียญทองเข้าไปอยู่ในกระเป๋าสะพายหลังของเขาพร้อมกัน
ตอนนี้แบ่งของกันเรียบร้อยแล้ว เยี่ยเว่ยหมิงกล่าวอำลาอินปู้คุยทันที จากนั้นก็ใช้ท่าร่างวิ่งตะบึงไปทางสำนักมือปราบเทพ
เยี่ยเว่ยหมิงที่เดิมทีก็อยู่ในเมืองเปี้ยนจิงอยู่แล้ว แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะกลับถึงสำนักมือปราบเทพเป็นคนสุดท้ายในบรรดาผู้เล่นอย่างเหนือความคาดหมายยิ่ง
เมื่อเขาถามแล้วถึงได้รู้ว่าซานเย่ว์เพิ่งทำภารกิจสอบสวนสำเร็จ ส่วนเฟยอวี๋ก็เก็บตัวฝึกฝนอยู่ในห้องฝึกวิชา
เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้ออกนอกเมือง แต่พวกเขาสองคนกลับไม่ได้ออกจากสำนักมือปราบเทพด้วยซ้ำ แน่นอนว่าต้องปรากฏตัวที่นี่เร็วกว่าเขาอยู่แล้ว
เมื่อเห็นผู้เล่นทุกคนในสำนักมากันครบแล้ว จ่านเจาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง นำทุกคนเข้ามาในห้องประชุมที่หวงโส่วจุนอยู่ทันที
และในห้องประชุมตอนนี้ นอกจากหวงโส่วจุนที่นั่งอยู่ตำแหน่งสูงสุดแล้ว ยังมีโหยวจิ้น หนึ่งในหัวหน้าของสี่มือปราบเทพแห่งสำนักมือปราบเทพ รวมทั้ง…หลินผิงจือด้วย?
สิ่งเดียวที่แตกต่างกับเมื่อก่อนก็คือ วันนี้หลินผิงจือสวมชุดคลุมสีแดงทั้งตัว ขนาดอยู่ไกลยังได้กลิ่นหอมจากเครื่องสำอางที่บนตัวเขา ประกอบกับใบหน้าหล่อเหลางดงามระดับไอดอลโดยธรรมชาติของเขา ทำให้รู้สึกว่าแยกได้ยากว่าเป็นบุรุษหรือสตรี
เมื่อเห็นสี่คนนี้เข้ามา หวงโส่วจุนก็เอ่ยเสียงเรียบว่า “นั่งลงคุยกันเถอะ”
ทั้งสามคนมองหน้ากันไปมองหน้ากันมา ก่อนจะนั่งลงตรงฝั่งซ้ายถัดจากโหยวจิ้นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย โดยมีเยี่ยเว่ยหมิงนั่งตำแหน่งแรก ตามด้วยเฟยอวี๋และซานเย่ว์ตามลำดับ รักษาระยะห่างที่ปลอดภัยกับกับหลินผิงจือที่แปลงร่างเป็นสตรีไปแล้ว
เมื่อกวาดสายตามองบนตัวหวงโส่วจุน โหยวจิ้น จ่านเจาและหลินผิงจือ เยี่ยเว่ยหมิงก็เริ่มมีสีหน้าจริงจังขึ้นมา
ดูจากแนวโน้มสถานการณ์ อย่าบอกนะว่าหวงโส่วจุนเตรียมจะลงมือกับสำนักชิงเฉิงล่วงหน้า