ตอนที่ 182 มีดสั้นและจดหมาย
เมื่อการพูดคุยผ่านจดหมายจบลง เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่รีบไปดูรางวัลที่ได้หลังจากหวันเหยียนคังตายสนิทแล้ว
เนื่องจากมีคนสามคนมาขวางตรงหน้าเขาด้วยท่าทางดุร้าย
ผู้ที่มาไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นสหายร่วมทีมสามคนของเขาก่อนหน้านี้ พวกน้องดาบที่เพิ่งแลกรางวัลเสร็จ
เขาหยุดเดิน น้องดาบที่นิสัยโผงผางตรงไปตรงมาถลึงตาโตจ้องเขา แล้วเอ่ยก่อนว่า “เยี่ยเว่ยหมิง ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะทำให้หวันเหยียนคังนั่นตายแล้วจริงๆ เจ้าทำได้อย่างไรกันแน่”
เยี่ยเว่ยหมิงยักไหล่ “นั่นเป็นเพราะเขารนหาที่ตายเอง ทีแรกข้าคิดจะปล่อยเขาไปอยู่แล้วเชียว”
น้องดาบได้ยินแล้วเริ่มอยากรู้อยากเห็นยิ่งกว่าเดิม “ข้าเห็นว่าเมื่อครู่นี้หลวงจีนหลิงจื้อมาหาพวกเจ้า แต่นี่เกี่ยวอะไรกับการตายของหวันเหยียนคัง”
เยี่ยเว่ยหมิงถามพร้อมรอยยิ้ม “อยากรู้ไหมล่ะ”
“ไม่อยาก!”
น้องดาบแค่ได้ฟังก็เดาออกว่าเยี่ยเว่ยหมิงจะฉวยโอกาสยั่วโมโหนาง จึงไม่ให้โอกาสเขาเลย นางตอบทิ้งท้ายเอาไว้แล้วเดินไปอีกฝั่งทันที
เยี่ยเว่ยหมิงหันกายกลับมาอย่างไม่ถือสา แล้วก็มองเสวียนเสี่ยวปี่กับเซียวเหยาถอนใจอีก “พวกเจ้าอยากรู้ไหม”
สองคนนี้เป็นคนที่อยู่กับความเป็นจริง พยักหน้าตอบอย่างจริงใจ
“ไม่มีปัญหา ข้าส่งข้อความไปคุยกับพวกเจ้าส่วนตัวได้”
ที่จริงวิธีการของเยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่ได้ซับซ้อนแม้แต่น้อย
เขาเพียงใช้วิธีการซ่อนเข็มไว้ในรองเท้า ให้สะพานสวรรค์น้อยใช้ยาตัดวิญญาณอาบพิษบนเข็มเหล็ก จากนั้นซ่อนไว้ในรองเท้าปักลาย
เนื่องจากอยู่ในการปกป้องของฉากพิเศษ ต่อให้หวันเหยียนคังจะเจอเข็มเหล็กอาบพิษในเขตนี้ ก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บอยู่ดี จึงไม่มีใครสังเกตเห็นอยู่แล้ว แต่หลังจากออกเขตนี้ไป การปกป้องนี้กลับไม่มีอยู่อีก
เดิมทีตามที่เยี่ยเว่ยหมิงคาดเดาไว้ อย่างมากเขาก็ได้แค่ทำให้หวันเหยียนคังตกอยู่ในสภาวะเฉียดตายอีกครั้ง ถ้าจะทำให้เจ้าหมอนี่เฉียดตายอีกครั้ง ไม่สู้สั่งสอนเขาสักหน่อยดีกว่า แล้วถือโอกาสรับผลตอบแทนสักก้อนก็เท่านั้นเอง
ในช่วงเวลาสำคัญ โอวหยางเฟิงคงจะกระโดดออกมาอีกครั้ง ดึงตัวเจ้าหมอนี่ที่อยู่คาบเกี่ยวระหว่างความเป็นความตายกลับไป
แต่นึกไม่ถึง ครั้งนี้โอวหยางเฟิงไม่ปรากฏตัวอีก ปล่อยให้ผู้ที่มีความสำคัญต่อเนื้อเรื่องอย่างหวันเหยียนคังตายด้วยน้ำมือเขาแล้ว
หากจะถามว่าบนตัวสะพานสวรรค์น้อยมีเข็มเหล็กธรรมดาได้อย่างไร
เพราะเข็มผึ้งหยกแพงมากอย่างไรล่ะ
ปกติเวลาฝึกทักษะ ฆ่ามอนสเตอร์ ก็ย่อมต้องใช้เข็มเหล็กธรรมดาที่ประหยัดกว่าอยู่แล้ว
หลังจากคุยจบ เยี่ยเว่ยหมิงก็พาสะพานสวรรค์น้อยไปแลกรางวัลภารกิจที่มู่เนี่ยนฉือด้วยกัน
ส่วนเสวียนเสี่ยวปี่ก็นำเรื่องขั้นตอนการฆ่าหยางคังที่คุยเป็นการส่วนตัวกับเยี่ยเว่ยหมิงไปบอกน้องดาบ แล้วพูดเสริมอีกว่า “ที่จริงข้าก็คิดว่าสหายเยี่ยไม่เลวเลยนะ มีคุณธรรมน้ำมิตรต่อเพื่อนฝูง เจ้าไม่ต้องไปแข่งกับเขาหรอก ไม่จำเป็น”
คาดไม่ถึงว่าเมื่อน้องดาบได้ยินแล้วกลับยิ้มบางๆ เท่านั้น “ไม่ง่ายเลยกว่าจะเจอคู่ต่อสู้ที่ข้าเอาชนะได้ยาก ถ้าไม่แข่งกับเขา ชีวิตจะไม่ขาดความสนุกสนานเกินไปหรอกหรือ แม้ก่อนหน้านี้จะไม่เคยชนะ…แต่พวกเจ้าก็คอยดูเถอะ!”
สำหรับสถานการณ์แบบนี้ เสวียนเสี่ยวปี่ที่อยากเป็นผู้ไกล่เกลี่ยความขัดแย้งได้แต่ยักไหล่อย่างจนใจ
ตอนนี้เอง น้องดาบกลับเอ่ยอีกครั้งว่า “พวกเจ้าอย่าเพิ่งรีบไป ไม่เห็นหรือว่าทางนั้นกัวจิ้งกับหวังชู่อียังอยู่ ข้ารู้สึกว่าภารกิจของพวกเรายังมีภาคต่อ เพียงแต่สังเวียนชิงชนะเลิศที่สำคัญที่สุดในนั้นยังไม่มีรางวัลให้แลก จึงยังไม่ประกาศภารกิจ”
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองข้างเชื่อถือการตัดสินใจของน้องดาบ เหมือนกับที่พวกเขาเชื่อในตัวเยี่ยเว่ยหมิง
พวกเขาจึงยืนอยู่ที่เดิม รอให้เยี่ยเว่ยหมิงกับสะพานสวรรค์น้อยไปแลกรางวัลภารกิจ
“พี่ใหญ่เยี่ย!” เมื่อเห็นเยี่ยเว่ยหมิงก้าวขึ้นมา บนใบหน้ามู่เนี่ยนฉือก็เผยรอยยิ้มอ่อนโยน แล้วบอกว่า “ขอบคุณที่ท่านช่วยพวกเราสั่งสอนลูกผู้ดีมีเงินคนนั้น อาการบาดเจ็บของพ่อข้าก็ดีขึ้นมากแล้วเช่นกัน”
พอพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็เปลี่ยนประเด็นสนทนา “แต่ภารกิจก็ส่วนภารกิจ สำหรับการนำคะแนนมาแลกรางวัล ข้าก็ยังต้องปฏิบัติอย่างยุติธรรม ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากให้ผลประโยชน์กับท่านมากกว่านี้ แต่เป็นเพราะข้าทำไม่ได้”
เยี่ยเว่ยหมิงได้ยินแล้วพยักหน้า “เรื่องนั้นก็แน่นอนอยู่แล้ว”
ขณะที่พูดคุยกัน มู่เนี่ยนฉือช่วยเปิดหน้าแลกรางวัลให้เขา
เนื้อหาในหน้าพิเศษนี้ดูเหมือนธรรมดามาก มีของให้แลกเพียงสองอย่างเท่านั้น ค่าประสบการณ์กับคะแนนสะสม
นอกจากสองสิ่งนี้แล้ว ก็ไม่มีรายการที่สามให้เลือกอีก
เมื่อเทียบกับรายการรางวัลอันหรูหราของตระกูลมู่หรง ก็กล่าวได้ว่าตระหนี่ที่สุด
แต่สำหรับสิ่งนี้ เยี่ยเว่ยหมิงไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ
ถึงอย่างไรสองพ่อลูกตระกูลมู่ก็ไม่ได้ดูเหมือนคนรวยอยู่แล้ว อยู่คนละระดับกับตระกูลมู่หรงที่กล้ารับซื้อของที่ขโมยมาจากพระราชวัง
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ตอนนี้อุปกรณ์ทั้งตัวของเยี่ยเว่ยหมิงก็หรูหรามากพอแล้ว ตอนนี้ยังไม่คิดจะเพิ่มอุปกรณ์อะไรใหม่ เขาจึงไม่ลังเล นำคะแนนสะสม 91340 แต้มที่ได้จากภารกิจไปแลกเป็นค่าตบะเสียเลย ทำให้ค่าตบะประจำตัวเขากลายเป็น 105006 แต้มในคราเดียว
ทะลุแสนอย่างเป็นทางการ!
ถือโอกาสใช้เวลาตอนสะพานสวรรค์น้อยไปแลกรางวัล เยี่ยเว่ยหมิงเปิดหน้าอินเตอร์เฟสระบบอย่างชำนาญ หลังจากพิจารณาพักหนึ่ง ก็นำคะแนนที่ได้มาใหม่ไปเพิ่มเลเวลให้ ‘คัมภีร์หลอมกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็น’ กับ ‘ดรรชนีศักดิ์สิทธิ์’ อย่างละหนึ่งเลเวล ค่าสเตตัสของสองวิชานี้กลายเป็น
[คัมภีร์หลอมกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็น (ระดับกลาง)]
เลเวล: 8
ค่าประสบการณ์: 0/100000
วิชาฝึกปราณดั้งเดิมของลัทธิเต๋า มีผลพัฒนาสติปัญญา ล้างไขกระดูก
พลังชีวิตสูงสุด +2400
กำลังภายใน +2400
ความแข็งแกร่ง +160
พละกำลัง +160
ท่าร่าง +160
ความว่องไว +160
สติปัญญา +16
ค่าตระหนักรู้ +8
……
[ดรรชนีศักดิ์สิทธิ์ (ระดับสูง)]
หนึ่งในสุดยอดเคล็ดวิชาอันโด่งดั่งของมารบูรพาหวงเย่าซือ
เลเวล: 7
ค่าประสบการณ์: 0/100000
โจมตี +350%
แม่นยำ +350%
กำลังภายในที่ใช้: 350 แต้ม
……
สองเคล็ดวิชานี้ หนึ่งคือเคล็ดวิชาที่มีค่าสเตตัสและพื้นฐานแข็งแกร่งโดยตัวเองอยู่แล้ว ส่วนอีกหนึ่งเคล็ดวิชามีท่าไม้ตายร้ายกาจที่โจมตีระยะไกลและแย่งฆ่ามอนเสตอร์ได้ ในช่วงเวลาสำคัญจะช่วยพลิกสถานการณ์ได้ หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงอัปเลเวลสองวิชานี้แล้ว พลังต่อสู้ก็อยู่ในระดับใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วน ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ที่ต้องใช้ค่าประสบการณ์สามแสนถึงจะอัปให้ถึงเลเวลสมบูรณ์ได้ เยี่ยเว่ยหมิงนำภารกิจอันยากลำบากนี้ไปฝากไว้กับรางวัลของภารกิจ ‘ปราบสำนักชิงเฉิง’ แล้ว ฟังจากที่หวงโส่วจุนบอกตอนประกาศรางวัลภารกิจนี้ ได้บอกใบ้ไว้แล้วว่าเขาจะได้อัปเลเวล ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’
เป็นอย่างที่คาดไว้ ค่าตบะเป็นสิ่งที่ไม่อาจเก็บรักษาไว้ได้นาน
ได้มาก็ต้องรีบใช้ ยิ่งนำมาใช้งานก็ยิ่งก้าวหน้า
ตอนเห็นทั้งสองคนแลกรางวัลเสร็จเรียบร้อยแล้ว หวังชู่อีที่ยืนค้ำไม้เท้าอยู่ข้างๆ มานานก็คว้าตัวกัวจิ้งขึ้นมา จากนั้นก็แสดงท่าร่างอันล้ำเลิศที่ทำให้บรรดาผู้เล่นอิจฉาไม่หาย เหาะไปยังที่อันแสนไกล ขณะเดียวกันนี้เอง เสียงที่แฝงไปด้วยกำลังภายในก็ดังทั่วทั้งเขตนี้ “จอมยุทธ์น้อยทั้งหลาย หากมีเวลา ขอเชิญให้ไปรวมตัวกันที่ยอดเขาผิงกู่ ข้ามีเรื่องจะปรึกษาทุกท่าน”
ส่วนคำว่าทุกท่านที่เขาบอกมีท่านใดบ้าง ผู้เล่นจำนวนมากล้วนสงสัย โดยเฉพาะทีมที่สังหารสี่ผีแห่งแม่น้ำหวงเหอไป พวกเขาเริ่มอยากรู้อยากลองแล้ว
ในจำนวนนั้นมีบางคนที่ปราดเปรียว รีบตามไปยังทิศทางที่หวังชู่อีเหาะออกไปแล้ว
ต้องทราบไว้ว่ายอดเขาผิงกู่ไม่ใช่เล็กๆ ถ้าไม่มีพิกัดที่ชัดเจน ก็ไม่มีทางหาเจอได้ง่ายขนาดนั้น ถ้าตามไปตอนนี้ ก็อาจลดความยุ่งยากในการตามหาคนได้
แต่คนส่วนใหญ่กลับคิดว่านี่คือการทดสอบว่าถ้าใครหานักพรตเต๋าหวังท่านนี้พบ คนนั้นก็จะเป็นหนึ่งใน ‘ทุกท่าน’ ที่เขาเอ่ยถึง
แน่นอน ในจำนวนนั้นไม่รวมคนในทีมทั้งห้าของเยี่ยเว่ยหมิง เพราะว่า…
[ติ๊ง! ได้รับเบาะแสภารกิจ ไปพบกับหวังชู่อีที่ XXX XXX ตรงยอดเขาผิงกู่ จะได้รับภารกิจภาคต่อ]
หวังชู่อีกับกัวจิ้งจากไปแล้ว แต่พวกน้องดาบกลับเข้ามายืนใกล้ๆ กันอีกครั้ง น้องดาบถามว่า “เดิมทีนึกว่าจะประกาศภารกิจต่อหน้า เสียแรงที่พวกเรายังรออยู่ตรงนี้ จะว่าไปแล้ว พวกเราควรตามไปด้วยหรือเปล่า”
เยี่ยเว่ยหมิงกำลังรอคำตอบ แต่จู่ๆ ระบบก็เด้งข้อความแจ้งเตือนออกมา
[ติ๊ง! นักพรตเต๋าหวังเชิญคุณไปรวมตัวที่ยอดเขาผิงกู่ ทางเลือกของคุณคือ?]
1. ไปทันที
2. อยากอยู่ต่อ ช่วยสองพ่อลูกตระกูลมู่เก็บของ
มารดาเจ้าเถอะ ภารกิจนี้เป็นการประลองยุทธ์เลือกคู่ หรือเกมตัวเลือกกันแน่
ในใจแอบบ่นไปนิดหน่อย แต่เยี่ยเว่ยหมิงก็เลือกข้อสอง
[ติ๊ง! คุณอยู่ต่อเพื่อช่วยมู่อี้และบูตรสาวเก็บของ ได้รับรางวัลเป็นค่าประสบการณ์: 1000 แต้ม ค่าตบะ 100 แต้ม]
รางวัลช่างน้อยนิดเหมือนขายุง
เยี่ยเว่ยหมิงบ่นในใจอีกครั้ง เขาพบว่าสะพานสวรรค์น้อยกำลังมองเขาด้วยสายตาตั้งคำถาม เขาจึงตอบน้องดาบทันทีว่า “พวกเรายังมีภารกิจที่ต้องทำอีกหนึ่งอย่าง ไม่ไปกับพวกเจ้าแล้ว”
“ตามนั้น” น้องดาบพูดจบแล้วหันตัวเดินไป ส่วนเสวียนเสี่ยวปี่กับเซียวเหยาถอนใจก็กุมหมัดคารวะเป็นการอำลา แล้วก็ตามนางไป
เมื่อเห็นทั้งสามไปแล้ว สะพานสวรรค์น้อยก็ถามอย่างแปลกใจว่า “พี่ใหญ่เยี่ย เห็นได้ชัดว่าภารกิจทางฝั่งหวังชู่อีดีกว่า ทำไมเจ้าเลือกอยู่ที่นี่ต่อ”
เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้าน้อยๆ “หวังชู่อีบอกแล้วว่าต้องการรอพวกเรา ภารกิจนี้หนีไม่พ้นพวกเราแน่ แล้วภารกิจประเภทเนื้อเรื่องแบบนี้ แน่นอนว่ายิ่งทำมากก็ยิ่งดี”
“ข้าอยากฟังความจริง” สะพานสวรรค์น้อยกล่าว
เยี่ยเว่ยหมิงเงียบไปสองวินาที “เจ้าเองก็เห็นสถานะบาดเจ็บสาหัสบนตัวข้าแล้ว ตอนที่อยู่ในทีมก่อนหน้านี้พวกเขาก็เห็นแล้วเช่นกัน น้องดาบนั่นถูกข้าล่วงเกินไปไม่น้อย ถ้าออกจากเขตปลอดภัยนี้เมื่อไร นางต้องรังแกข้าเหมือนก่อนหน้านี้แน่ๆ”
“เพื่อป้องกันไม่ให้นางแปรพักตร์กะทันหัน ข้าอยู่ทำภารกิจทางนี้ก่อนดีกว่า”
“รอช่วยพ่อลูกตระกูลมู่เก็บของเสร็จแล้ว สถานะบาดเจ็บสาหัสครบกำหนดเวลาแล้ว ถึงตอนนั้นต่อให้นางรังแกข้า ข้าก็ไม่กลัวนางแล้ว”
สะพานสวรรค์น้อยได้ยินแล้วแลบลิ้นทะเล้น แต่ก็ไม่ได้แสดงความเห็นใดๆ
เยี่ยเว่ยหมิงพลันนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นได้ “จะว่าไปแล้ว หลังจากหวันเหยียนคังถูกฆ่าตาย ยังไม่ได้รับของอะไรเลยหรือ”
“‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ หนึ่งเล่มกับ ‘วิชาห่านทอง’ หนึ่งเล่ม” ขณะที่พูด นางก็ส่งลิงก์ของตำราลับสองเล่มนี้มาให้ แต่เยี่ยเว่ยหมิงกลับไม่ได้เปิดดู เพราะตำราลับสองเล่มนี้เขาเองก็เคยเห็นมาก่อนแล้ว ทั้งยังฝึก ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ มานานแล้วด้วย เป้าหมายหลักของเขาตอนนี้ก็คือหาวิธีการต่อสู้
เมื่อเผยสิ่งที่ตัวเองได้รับให้ดูแล้ว สะพานสวรรค์น้อยก็อดถามอย่างสงสัยไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่เยี่ย แล้วเจ้าล่ะ ได้อะไร”
พอเยี่ยเว่ยหมิงได้ยินคำถาม รอยยิ้มบนใบหน้ากลับเริ่มแปลก “ข้าก็ได้ของมาสองอย่างเหมือนกัน แต่ดูแปลกมาก ไม่เรียบง่ายเหมือนของที่เจ้าได้รับ”
ขณะที่พูด ก็ส่งสองลิงก์อุปกรณ์ไปในช่องทีมเช่นกัน
[มีดสั้น] [จดหมาย]