สำหรับซากเมืองของโลกเก่าที่เพิ่งค้นพบนั้น เนื่องจากยังไม่รู้แน่ชัดว่า ‘คนไร้ใจ’ ที่หลงเหลืออยู่ในซากเมืองได้กลายพันธุ์ไปถึงระดับไหน และไม่รู้ว่ามีอันตรายแฝงเร้นอยู่หรือไม่ นักล่าซากอารยะจึงมีแนวโน้มจะสร้างพันธมิตรเพื่อร่วมมือกันสำรวจมากกว่า จะได้ไม่ต้องมาคอยกังวลกับนักล่าคนอื่นๆ และไม่จำเป็นต้องกำจัดคู่แข่ง เพราะว่าในซากเมืองเช่นนี้มีทรัพยากรเหลือเฟือที่จะตอบสนองความต้องการของทุกคนโดยที่ไม่ต้องแก่งแย่งกัน
ในหมู่นักล่าซากอารยะ สถานการณ์เช่นนี้จะถูกเรียกว่า ‘เบิกแดน’
คำเชิญของอู๋โส่วสือนั้นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจ เธอหันหน้ากลับมามองซางเจี้ยนเย่าและลูกทีมคนอื่นๆ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม
“พวกเรายังมีเรื่องต้องทำน่ะ”
จากนั้นเธอก็พูดต่อโดยไม่ได้รอให้อู๋โส่วสือตอบ
“ฉันได้ยินมาว่าทางเหนือของสถานีเยว่หลู่เกิดเหตุการณ์ที่ค่อนข้างจะผิดปกติมาก
“นอกจากเสียงหอนตอนดึกที่พวกคุณน่าจะรู้กันแล้ว ก็ยังมีคนเสียชีวิตอย่างลึกลับ ไม่มีบาดแผลให้เห็น สีหน้าบิดเบี้ยวหรือไม่ก็ยิ้มแย้ม ซึ่งมันประหลาดอย่างมาก”
เธอเล่าข้อมูลที่ได้ยินมาจากแฮร์ริส บราวน์ให้อู๋โส่วสือกับคนอื่นๆ ฟังเพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยลากรถจี๊ปขึ้นมาจากหล่ม
พอได้ยินเช่นนั้น อู๋โส่วสือก็หันหน้าไปมองหญิงสาวผู้มีสีหน้าเฉยเมยที่อยู่ข้างกาย
“หรูเซียง เธอพอจะมองอะไรออกบ้างไหม”
หญิงสาวในชุดสีเขียวลายพรางสั่นศีรษะ
“ไม่มีทางบอกอะไรได้เลย”
อู๋โส่วสือพยักหน้าเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น แล้วหันกลับมามองเจี่ยงไป๋เหมียน
“ขอบคุณมากที่เตือน พวกเราจะคอยระวังไว้
“แต่โอกาสแบบนี้ อาจต้องรอหลายปีกว่าจะมีสักครั้ง และในภายภาคหน้า โอกาสจะน้อยลงไปเรื่อยๆ ดังนั้นจะปล่อยให้หลุดมือไปไม่ได้เด็ดขาด
“บนแดนธุลี เราต้องดิ้นรนไขว่คว้าอย่างสุดกำลัง จะทำตอนนี้หรือไม่ทำก็ต่างกันเพียงแค่ตายเร็วหรือตายช้ากว่ากันไม่กี่ปีเท่านั้นเอง”
หลังจากยืนยันเจตจำนงแน่วแน่ อู๋โส่วสือก็เห็นว่าเจี่ยงไป๋เหมียนเพียงแค่ยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาก็เข้าใจได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้มีความคิดที่จะไปสำรวจซากปรักแห่งใหม่
“งั้นพวกเราก็ออกเดินทางกันต่อล่ะ หวังว่ายังมีโอกาสได้พบกันอีก” อู๋โส่วสืออำลาอย่างมีมารยาท แล้วกลับไปที่รถออฟโรดสีเทาพร้อมกับสหาย
“ขอให้ได้พบกันอีก” เจี่ยงไป๋เหมียนโบกมือ
‘พบกันอีก’ เป็นหนึ่งในคำอวยพรที่งดงามที่สุดบนแดนธุลี
ทุกคนสามารถเสียชีวิตจากความหิวโหย โรคภัย การต่อสู้ และภัยธรรมชาติได้ทุกขณะ การที่จะได้พบกันอีกจึงเป็นสิ่งล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากมองดูรถออฟโรดสีเทาแล่นจากไป เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันกลับมาพร้อมกับทอดถอนใจ
“น่าเสียดายชะมัด…
“ซากเมืองที่เพิ่งค้นพบแบบนั้น ต้องมีพวกข้อมูลชุดแรกที่ล้ำค่าอยู่เต็มไปหมดแน่นอน”
ไป๋เฉินมองไปทางทิศเหนือและถามออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“จะไม่ไปจริงๆ เหรอ”
“ฉันเหมือนคนพูดอย่างทำอย่างนักหรือไง” เจี่ยงไป๋เหมียนถามกลับด้วยรอยยิ้ม
แต่พอพูดขาดคำ เธอก็เห็นซางเจี้ยนเย่า ไป๋เฉิน และหลงเยว่หง ต่างแสดงสีหน้าประหลาด
“ฮ่า ฮ่า” เธอหัวเราะแห้ง “นั่นมันเป็นกลยุทธ์น่ะ เข้าใจไหม กลยุทธ์!”
ก่อนที่สมาชิกทีมทั้งสามคนจะพูดอะไร เธอก็หยอกล้อไป๋เฉิน
“ว่าไง เลือดคนเร่ร่อนแดนร้างในตัว กำลังเดือดระอุคอยกระตุ้นบอกให้เธอไปหรือไง”
ไป๋เฉินนิ่งไปราวหนึ่งวินาที ก่อนจะก้มศีรษะลงเล็กน้อย
“อืม เป็นยิ่งกว่านั้นซะอีก มันเป็นความเคยชินน่ะ
“คงรู้นะว่าเรื่องแบบนี้ คนเร่ร่อนแดนร้างทุกคนไม่มีใครยอมปล่อยให้โอกาสแบบนี้หลุดมือไปหรอก
“เทียบกับต้องแข็งตายในหน้าหนาวเพราะไม่มีเสื้อผ้าอาหารแล้ว นี่คือความหวังที่พร้อมจะยอมเสี่ยง”
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อย มองไปที่ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง
“ถ้าหากว่า ‘ทีมสำรวจเก่า’ ของเราจัดตั้งมานานเกินครึ่งปีและเคยทำภารกิจสำเร็จลุล่วงมาหลายครั้ง แน่นอนเลยว่าฉันต้องปรับแผนแล้ววกไปทางเหนือของสถานีเยว่หลู่แน่นอน
“แต่ว่าตอนนี้เรามีมือใหม่สองคนที่เพิ่งออกมาพื้นโลกครั้งแรก และที่นั่นก็มีอันตรายและเหตุการณ์ผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นฉันไม่มีทางเอาชีวิตของมือใหม่สองหน่อนี่ไปผจญภัยเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเองหรอก”
ซางเจี้ยนเย่าฟังอย่างเงียบๆ ก็พูดโพล่งออกมา
“ก่อนนี้คุณเคยบอกว่าการแสดงออกของผมไม่เลว จนลืมไปเลยว่าผมเป็นมือใหม่ที่เพิ่งออกมาเผชิญพื้นโลก”
“หือ… นายว่าไงนะ ฉันได้ยินไม่ชัด” เจี่ยงไป๋เหมียนถึงกับยิ้มค้าง
ก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าจะพูดซ้ำ เจี่ยงไป๋เหมียนก็รีบถูใบหูตัวเอง
“สรุปคือสมาชิกทุกคนของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ของเรานั้นเป็นทรัพยากรอันล้ำค่า ดังนั้นฉันไม่ยอมปล่อยให้พวกนายเสียสละตัวเองตามใจชอบเด็ดขาด”
พอพูดจบแล้วเธอก็หันไปสั่งไป๋เหมียนด้วยท่าทีจริงจัง
“ดูแผนที่ยืนยันตำแหน่งที่แน่นอนของพวกเราให้ที
“ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ได้ไปสำรวจซากเมืองที่เพิ่งค้นพบก็เถอะ แต่ยังไงก็ต้องส่งข่าวกลับบริษัท ฉันต้องหานิคมของคนเร่ร่อนแดนร้างในสังกัดของบริษัทที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อไปใช้เครื่องรับส่งโทรเลขไร้สาย
“รวมทั้งข้อมูลจากแฮร์ริส บราวน์ และเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิ้งฝ่าก็ต้องส่งกลับไปด้วยเหมือนกัน”
“ทราบแล้ว” ไป๋เฉินหยิบเอาแผนที่แบบหยาบๆ ออกมา
แล้วตอนนี้หลงเยว่หงก็นึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องสำคัญต้องถาม
“หัวหน้าจัดการจิ้งฝ่าไปแล้วเหรอ
“แล้วเขายังจะตามล่าเราอีกหรือเปล่า”
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะเยาะออกมาคำหนึ่ง
“ถ้ามันยังตามกวนใจพวกเราอยู่ แล้วฉันจะมัวมาเอ้อระเหยยืนคุยกับพวกอู๋โส่วสือ หรือคุยกับนายได้หรือไง”
พอเห็นว่าหลงเยว่หงถอนหายใจโล่งอก เธอก็เปลี่ยนคำพูด
“แต่ว่าเรายังไม่ได้จัดการจิ้งฝ่าไปหรอกนะ”
ร่างหลงเยว่หงหดเกร็งขึ้นทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม
“เราเพียงแค่ซัดมันจนเจ็บหนัก จนมาตามตื้อไม่ได้ไประยะหนึ่ง
“กว่ามันจะซ่อมแซมตัวเองเสร็จ เราก็ไปกันไกลโขแล้ว แดนร้างบึงดำนั้นกว้างใหญ่มาก แทบจะวางใจได้เลยว่าไม่ถูกมันตามหาจนเจอหรอก”
หลงเยว่หงได้ยินก็รู้สึกผ่อนคลาย เอามือลูบท้อง
“ผมเริ่มหิวแล้วล่ะ”
ตอนนี้เลยเวลาอาหารเที่ยงมานานแล้ว ในท้องเขามีเพียงแค่บิสกิตอัดแข็งครึ่งห่อที่ยัดเข้าปากไปตอนที่โดนพลัง ‘เปรตหิวโหย’ เท่านั้น
เจี่ยงไป๋เหมียนเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ไหงนายไม่ยักถามว่าพวกเราทำยังไงถึงจัดการจิ้งฝ่าจนเจ็บหนักได้”
“พอหัวหน้าลงจากรถไปกลางทาง ผมก็พอจะเดาแผนของคุณได้ลางๆ ล่ะ” หลงเยว่หงยืดตัวตรง “ส่วนรายละเอียดก็ค่อยเอาไว้ถามหลังกินเสร็จแล้วก็ได้”
“เด็กฉลาดสอนได้” เจี่ยงไป๋เหมียนใช้คำพูดของผู้ที่สูงวัยกว่าพูดชมเชยเขาหนึ่งประโยค “ฉลาดกว่าที่ฉันคิดนะเนี่ย”
หลงเยว่หงรู้สึกดีใจจนตัวลอย คิดจะพูดถ่อมตัวสักสองคำโดยอัตโนมัติ
แต่ทว่าในขณะนั้นเอง ซางเจี้ยนเย่าก็ถามแทรกขึ้นมา โดยไม่รู้ว่าเจตนาหรือไม่
“ก่อนหน้านี้หัวหน้าคิดว่าเขาไม่ค่อยฉลาดสินะ”
“…” สีหน้าหลงเยว่หงถึงกับทรุดฮวบโดยพลัน
เจี่ยงไป๋เหมียนกระแอมไปสองครั้ง
“…ไม่ใช่ซะหน่อย ประเด็นก็คือเขาไม่ค่อยมีประสบการณ์เท่าไหร่ แต่ก็ดีที่ยังตอบสนองได้ทันเวลา
“จะว่าไปแล้วเขาก็ได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมมา ก็ไม่ได้สมองทึบนักหรอก”
“ผลการเรียนของฉันก็แค่ปานกลาง…” หลงเยว่หงก้มหน้าพึมพำกับตัวเอง
เจี่ยงไป๋เหมียนเอียงหน้าเล็กน้อย พยายามตั้งใจฟังคำพูดของอีกฝ่าย
หลังจากนั้นอีกสองสามวินาทีก็มองซางเจี้ยนเย่า
“บางทีฉลาดเกินไปก็ไม่แน่ว่าจะดีเสมอไป พวกคนฉลาดแค่ปานกลางมีอัตรารอดชีวิตค่อนข้างสูง นั่นก็เพราะว่าพวกเขาเชื่อฟังคำสั่ง ไม่ได้ตัดสินใจเอาเอง
“พูดอีกอย่างก็คือ แต่ละคนมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนกัน”
หลงเยว่หงสูดหายใจลึกและพยักหน้าช้าๆ
ในขณะนี้ไป๋เฉินยืนยันพิกัดตำแหน่งปัจจุบันของตัวเองได้แล้ว จึงชี้ให้เจี่ยงไป๋เหมียนดูแผนที่
“ฮ่า นิคมใกล้สุดอยู่ทางเหนือ… เย็นนี้หรือไม่ก็พรุ่งนี้เช้าน่าจะไปถึง…” เจี่ยงไป๋เหมียนดูแผนที่อยู่ชั่วครู่ “ยังดีว่ามันอยู่ห่างจากสถานีเยว่หลู่ไปอีกตั้งเยอะ ทิศทางก็เบี่ยงออกไปพอสมควร เราจะได้ไม่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องผิดปกติพวกนั้น”
เธอปิดแผนที่อย่างไม่ใส่ใจ แล้วโยนกลับคืนไปให้ไป๋เฉิน
“ออกเดินทางกันเถอะ เป้าหมายของเราคือเมืองหนูดำ!”
ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงไม่คุ้นกับแดนร้างบึงดำจึงไม่ได้คัดค้านอะไร
“ไป๋เฉิน เธอเช็คสภาพรถ ส่วนหลงเยว่หง นายไปเอาธัญพืชอัดแท่งจากท้ายรถออกมา” เจี่ยงไป๋เหมียนออกคำสั่งระหว่างที่เดินไปที่รถจี๊ป
รอจนไป๋เฉินกับหลงเยว่หงไปทำตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็เดินช้าๆ ไปยังหนองน้ำเล็กๆ ด้านหน้า แล้วพูดกับซางเจี้ยนเย่าที่อยู่ด้านข้าง
“ทำไมเมื่อกี้นายถึงทำลายความมั่นใจของหลงเยว่หงล่ะ
“พูดออกมาตรงๆ เอาแบบออกมาจากใจเลย”
ซางเจี้ยนเย่ามองตรงไปข้างหน้า มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
“เขาเป็นตัวถ่วง ผมเลยอยากให้เขาออกจาก ‘ทีมสำรวจเก่า’”
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ตอบอะไร เดินไปที่รถจี๊ปอย่างช้าๆ
หลังจากนั้นสองวินาทีเธอก็ได้ยินเสียงทุ้มต่ำจากซางเจี้ยนเย่าพูดต่อ “มันอันตรายเกินไปสำหรับเขา…”
เจี่ยงไป๋เหมียนเอียงคอเล็กน้อย มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า
“เกือบจะไม่ได้ยินอยู่แล้วว่านายพูดอะไร!”
เธอไม่ได้ต่อประโยคสนทนา เร่งฝีเท้าก่อนจะขึ้นไปนั่งในตำแหน่งคนขับ
หลังจากนั้นไม่นานรถจี๊ปก็เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง มุ่งหน้าขึ้นเหนือไปยังเมืองหนูดำ
หลังจากสลับกันกินอาหารเที่ยงแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็เริ่มถามขึ้นมา
“เมืองหญ้าไพรนี่มันเป็นยังไงเหรอ อยู่ที่ไหน”
ไป๋เฉินในตำแหน่งที่นั่งข้างคนขับหันหน้ามาตอบ
“เป็นเมืองชายแดนของ ‘ปฐมนคร’ อยู่ติดกับแดนกันดารหลวงจีนน่ะ”
“แดนกันดารหลวงจีนงั้นเหรอ” หลงเยว่หงรู้สึกว่าชื่อนี้ออกจะแปลกหูอยู่บ้าง
เนื่องจากมีผู้คนมากมายใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ที่ตลอดทั้งชีวิตอาจไม่มีโอกาสได้ออกมาสู่พื้นโลก ดังนั้นหนังสือเรียนที่สอนเกี่ยวกับสภาพภูมิศาสตร์จึงมีเนื้อหาที่ไม่ละเอียดนัก เพียงแค่แนะนำเฉพาะกองกำลังใหญ่ และตำแหน่งภูมิประเทศที่มีความสำคัญที่สุดเท่านั้น
“มันเป็นพื้นที่บริเวณที่มีพวกหลวงจีนจักรกลออกจาริกบ่อยๆ น่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนขับรถไปพลางก็อธิบายอย่างไม่เป็นทางการไปพลาง “ว่ากันว่าฐานบัญชาการของชุมนุมหลวงจีนซึ่งซ่อนเทคโนโลยีของ ‘นิรันดร์กาล’ และพวกเครื่องไม้เครื่องมือที่เกี่ยวข้องของแดนวิสุทธิ์มายาเอาไว้ ตั้งอยู่ที่ไหนซักแห่งในแดนร้างบริเวณนั้น”
ไป๋เฉินพูดเสริมขึ้น
“แดนกันดารนี้มีพิกัดตำแหน่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของแดนร้างบึงดำ หากจะไป ‘ปฐมนคร’ ก็ต้องผ่านแดนกันดารนี้ไป ไม่งั้นก็ต้องอ้อมไปทางอื่นแทน”
หลังจากแนะนำเกี่ยวกับแดนกันดารหลวงจีนไปโดยสังเขปแล้ว ไป๋เฉินก็วกกลับมาที่เรื่องเดิม
“เมืองหญ้าไพรนั้นแต่เดิมเป็นกองกำลังเล็กๆ ในแดนกันดารหลวงจีน ต่อมาภายหลัง เมื่อ ‘ปฐมนคร’ ได้ขยายตัวขึ้น ก็เลยต้องการจะเปลี่ยนคนที่นั่นให้กลายเป็นทาส
“เพราะเหตุนี้ พวกเขาก็เลยต่อสู้รบรากันหลายต่อหลายครั้ง มีคนบาดเจ็บล้มตายด้วยกันทั้งสองฝ่าย แล้วในตอนนั้นเอง ทาง ‘ปฐมนคร’ ก็เกิดไปมีเรื่องขัดแย้งกับกองกำลังใหญ่แห่งอื่นเข้า ทำให้ไม่สามารถเสริมกำลังพลให้กับทีมล่าทาสที่นี่ได้ เลยจำต้องเจรจากับเมืองหญ้าไพร และยอมอนุญาตให้พวกเขากลายเป็นพลเมืองอย่างเป็นทางการของ ‘ปฐมนคร’
“ดังนั้นเมืองหญ้าไพรจึงเป็นเมืองที่มีอิสระในการปกครองตนเองค่อนข้างสูง เป็นสถานที่ที่พวกนักล่าซากอารยะไปๆ มาๆ กันอย่างคึกคัก สาขา ‘สมาคมนักล่า’ ของที่นั่นก็มีชื่อเสียงไม่น้อย”
หลังจากได้ฟังคำอธิบายของไป๋เฉินแล้ว หลงเยว่หงที่เพิ่งกินอาหารเสร็จก็เริ่มซักถามรายเอียดเกี่ยวกับวิธีที่ใช้จัดการกับจิ้งฝ่าเพื่อเรียนรู้ไว้เป็นข้อมูลและประสบการณ์
พอคุยเรื่องนี้กันจบ เขาก็หันไปมองซางเจี้ยนเย่า อดถามด้วยความสงสัยเจือความลังเลไม่ได้
“พลังผู้ตื่นรู้ของนายที่ทำให้จิ้งฝ่าเป็นมิตรนั่นชื่ออะไรเหรอ”
และก็รีบเสริมต่อทันที
“แต่ถ้าไม่สะดวกตอบ ก็ไม่ต้องบอกก็ได้นะ”
ซางเจี้ยนเย่ามองกระจกหน้ารถ นิ่งเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะตอบออกมา
“ตัวตลกชักจูง”
* * * * *