ก่อนที่เสียงหอนจะจางหายไป เสียงหอนที่คล้ายกันก็ดังขึ้นมาจากบริเวณต่างๆ ของหนองน้ำใหญ่ สะท้อนดังต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ อย่างไม่รู้จบ
ตู้เหิงฟังอยู่ชั่วครู่ จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็จางหายไปโดยไม่รู้ตัว
หลังจากที่ค่ำคืนอันมืดมิดของแดนร้างบึงดำกลับสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง ชายวัยกลางคนที่เรียกตัวเองว่านักวัตถุโบราณและนักประวัติศาสตร์ก็หันหน้ากลับมามองเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ
“สถานการณ์ที่นั่นค่อนข้างจะเป็นปัญหามากกว่าที่ฉันคาดไว้นิดหน่อย
“ดูเหมือนว่าฉันคงต้องรีบไปตั้งแต่คืนนี้แล้วล่ะ”
ขณะที่กำลังพูดเขาก็ลุกขึ้นมายืน
“ระวังตัวด้วยนะคะ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้รั้งเขาไว้ และพูดขึ้นอย่างสุภาพ
ตู้เหิงหัวเราะออกมาคำหนึ่ง ไม่ได้ตอบกลับไปในทันที พูดอย่างเป็นกันเองก่อนจะร่ำลา
“สาวน้อย ชื่อของคุณ[1]ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องในอดีต ตอนนั้นแถวบ้านเกิดของฉันมีทุ่งฝ้ายอยู่มากมาย ในช่วงเวลานี้ของทุกปี หรือบางทีก็ล่าช้าไปบ้างเล็กน้อย จะมองเห็นปุยเมฆเล็กๆ สีขาวร่วงหล่นอยู่ตามพื้นเกลื่อนไปหมด เป็นภาพที่งดงามมาก”
เจี่ยงไป๋เหมียนยืนขึ้นและยิ้มให้
“พ่อของฉันเป็นนักชีววิทยาที่ศึกษาเรื่องการปรับปรุงพันธุ์ฝ้าย ฉันเกิดในเดือนเก็บฝ้ายพอดี เขาก็เลยตั้งชื่อนี้ให้ค่ะ”
แล้วเธอก็ท้วงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ถึงแม้ว่าคุณจะสูงวัยกว่าฉันก็จริง แต่อายุขนาดฉันนี่ก็ไม่น่าจะเรียกว่า ‘สาวน้อย’ แล้วนะ”
ตู้เหิงหัวเราะ
“หน้าตาของฉันอ่อนกว่าอายุน่ะ แถมยังแก่กว่าที่คุณคิดไว้เยอะเลยด้วย”
เขาไม่ได้รั้งรออีกต่อไป โบกมืออำลาอย่างยิ้มแย้ม
“หวังว่าจะได้พบกันอีก”
“หวังว่าจะได้พบกันอีก” เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นตอบกลับอย่างมีมารยาท
ตู้เหิงโบกมืออีกครั้งก่อนหันหลังจากไป เขาเดินอ้อมเนินดินเข้าไปในแดนรกร้างอันมืดมิดที่ดวงอาทิตย์ลาลับไปแล้ว ดวงจันทร์กำลังลอยกระจ่างฟ้า เดินก้าวทีละก้าวมุ่งไปทางทิศเหนือ
เจี่ยงไป๋เหมียนนั่งลงอีกครั้งและมองนักพรตหญิงผมบลอนด์ที่อยู่ตรงข้าม
“แล้วคุณผู้หญิงกาโลแรนล่ะ ต้องรีบขึ้นไปทางเหนือของสถานีเยว่หลู่ด้วยหรือเปล่า”
กาโลแรนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องเรียกคุณผู้หญิงหรอก ผู้แสวงหา ‘เต๋า’ นั้นมิได้แบ่งแยกชายหญิง
“แต่ถ้าหากต้องการแสดงความนับถือ ข้าก็ไม่ถือสา หรือจะเรียกข้าว่านักพรตเต๋าก็ได้
“หรือจะเรียกว่าเสี่ยวกา เสี่ยวโล เสี่ยวแรน ก็ได้ทั้งนั้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเฉกเช่นทิวทัศน์อันหลากหลายบนเส้นทางแห่งเต๋า ซึ่งไม่มีสิ่งใดสูงส่งหรือต่ำต้อย”
“นี่มัน… เอ่อ… ก็คือ… คืนสู่สามัญสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะพบคำที่เหมาะสม
“ดูท่าแล้ว คุณเรียนรู้ภาษาแดนธุลีได้ดีมากจริงๆ”
“ที่จริงแล้วความตั้งใจเดิมของข้านั้น ไม่ได้คิดจะศึกษาภาษาแดนธุลีเพื่อสนทนาหรอก” คำตอบของกาโลแรนนั้นเกินความคาดหมายของไป๋เฉินกับคนอื่นๆ โดยสิ้นเชิง
เธอยิ้มก่อนจะอธิบายออกมา
“นี่เป็นเพราะหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องของ ‘เต๋า’ นั้นล้วนแต่เขียนด้วยภาษาแดนธุลี หากแปลเป็นภาษาแม่น้ำแดงแล้วมันจะสูญเสียความงดงาม และไม่อาจถ่ายทอดความหมายได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์น่ะ”
พูดจบเธอก็โยนกระดูกกระต่ายที่กินหมดแล้วลงบนพื้น จากนั้นก็ใส่นิ้วมันเยิ้มเข้าปากแล้วดูดสองสามครั้งก่อนจะเช็ดมือกับเสื้อคลุมอย่างไม่ได้ใส่ใจ
การกระทำที่ไม่ใส่ใจต่อสิ่งใด กอปรกับความงดงามแต่กลับให้ความรู้สึกสูงส่ง ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ ล้วนแต่ตกตะลึง
กาโลแรนหยิบถุงน้ำออกมาดื่มสองอึก เมื่อเห็นคนที่อยู่เบื้องหน้าแต่ละต่างจ้องมองตนเองด้วยสายตาตะลึงงุนงง เธอก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“บางครั้งคนเราก็ไม่อาจแยกแยะความเป็นจริงกับมายา ไม่อาจรับประกันการใช้ชีวิตให้อยู่รอดในระดับพื้นฐานที่สุดเสียด้วยซ้ำ แล้วทำไมจะต้องใส่ใจเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยพวกนั้นด้วย สู้ทำตามใจ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติไม่ดีกว่าหรือ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้เธอก็มองดูกองไฟที่ปะทุ จากนั้นก็พูดต่อด้วยรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกยากอธิบาย
“ก็เฉกเช่นพวกขุนนางในวุฒิสภาของ ‘ปฐมนคร’ เมื่อหลายทศวรรษก่อนหน้านี้ พวกเขาล้วนเคยเป็นคนเร่ร่อนแดนร้างที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด ในยามไม่มีน้ำสะอาดดื่ม พวกเขาก็ต้องดื่มปัสสาวะของพวกพ้อง แต่มาบัดนี้กลับบอกว่าต้องมีมารยาทพิธีรีตรอง ต้องแสดงความเคารพต่อกัน พูดถึงพวกพิธีการวุ่นวายหลายอย่างที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย
“เหอะ เหอะ ชาวเมืองที่เป็นชนชั้นล่างต้องเสียชีวิตเพราะหนาวตายและอดอยากยากไร้ แต่พวกเขาก็ยังจะมากำหนดว่าในงานเลี้ยงจะต้องมีอุปกรณ์ครบชุดสำหรับอาหารแต่ละชนิด”
ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ต่างก็ไม่เคยไป ‘ปฐมนคร’ มาก่อน เพียงแค่เคยรับฟังข่าวลือมาบ้างเท่านั้น จึงไม่อาจสานต่อบทสนทนานี้ได้
เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะครุ่นคิด
“เหมือนว่าคุณจะมาจาก ‘ปฐมนคร’ สินะ”
นักพรตเต๋าผมบลอนด์กาโลแรนเพียงแค่ยิ้ม ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
เมื่อบรรยากาศขาดตอน ซางเจี้ยนเย่าจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“นักพรตกาโลแรน ขอถามหน่อยว่า ‘นักพรตเต๋า’ นี่คืออะไรเหรอครับ”
กาโลแรนครุ่นคิดอย่างจริงจัง
“นี่มันอธิบายค่อนข้างยากสักหน่อย…
“พวกคุณเคยเจอหลวงจีนมาก่อนใช่ไหมล่ะ จะบอกว่านักพรตเต๋านั้นเป็นหลวงจีนอีกประเภทหนึ่งก็ได้ แต่เป็นคนละนิกายและศรัทธาในผู้ครองกาลคนละองค์กัน”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ผู้ครองกาล’ ทั้งเจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และคนอื่น ต่างก็รู้สึกว่าเส้นเลือดที่ขมับเต้นกระตุกขึ้นมาทันที
ซางเจี้ยนเย่ารีบถามขึ้นมาทันที
“ไม่ทราบว่าคุณศรัทธาผู้ครองกาลองค์ไหน”
สีหน้าของกาโลแรนพลันเปลี่ยนเป็นจริงจัง
“มหาปราชญ์จวง”
“…” สมาชิกทั้งหมดของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ต่างก็รู้สึกลำบากใจที่จะเอ่ยอะไรออกมา
หลังจากกำจัดจิ้งฝ่าไปแล้ว หลงเยว่หงกับซางเจี้ยนเย่าก็ได้เล่าข้อมูลที่ฟังมาจากหลวงจีนจักรกลซึ่งไม่อาจพูดโกหกได้ ให้เจี่ยงไป๋เหมียนกับไป๋เฉินฟัง
ในบรรดาข้อมูลเหล่านั้น เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ…
ชุมนุมหลวงจีนเชื่อว่าโลกใบนี้นั้นเป็นเพียงความฝันหนึ่งตื่นของพระพุทธเจ้าในอดีตกาล ซึ่งมีพระนามว่า ‘พุทธะโลเกศวร’ จึงทำให้โลกใบนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ยากสารพัน และ ‘พุทธะโลเกศวร’ เทพผู้เป็นตัวแทนแห่งตลอดทั้งปีและอธิกมาสองค์นี้ ยังมีนามอื่นที่ใช้กล่าวเรียกขานกันภายนอกชุมนุมหลวงจีนอีกด้วย
ซึ่งนามนั้นก็คือ…
‘มหาปราชญ์จวง!’
ปฏิกิริยาที่ไม่ปกตินี้แม้จะมีเพียงน้อยนิด แต่กาโลแรนก็สังเกตเห็นได้ ทว่าไม่ได้ถามอะไรออกมา
หลังจากนั้นสองสามวินาที เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามเพื่อหยั่งเชิงดู
“คุณเข้าร่วมนิกายตอนอยู่ ‘ปฐมนคร’ เหรอ”
กาโลแรนพยักหน้า
“ถูกต้อง นิกายนิรันดร์ยืนยง”
รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของเธอ
“ในตอนนั้นข้าเพิ่งสูญเสียมารดาไป และเข้ากับคนอื่นๆ ในครอบครัวไม่ค่อยได้…”
ทันใดนั้นซางเจี้ยนเย่าก็ขัดจังหวะการรำลึกความหลังของนักพรตผู้นี้
“ทำไมตอนพูดถึงการเสียชีวิตของมารดา คุณถึงไม่รู้สึกเศร้าใจ กลับยังยิ้มออกมาซะอีก”
กาโลแรนหัวเราะออกมาหนึ่งคำ แล้วพูดด้วยภาษาแดนธุลีสำเนียงมาตรฐาน
“เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นสัจธรรมแห่งโลก เฉกเช่นฤดูกาลทั้งสี่[2] ต่างก็หมุนเปลี่ยนเวียนผันอยู่ตลอด แม้ว่ามารดาข้าจะตายไป แต่ท่านก็ยังคงหลับใหลอย่างสงบท่ามกลางฟ้าดิน เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่แน่ว่าวันหนึ่งท่านอาจจะกลับมาเริ่มต้นใหม่ด้วยรูปลักษณ์ที่ต่างออกไป เช่นเดียวกับฤดูใบไม้ผลิจะเวียนมาถึงหลังจากฤดูหนาวสิ้นสุดลง
“เมื่อเข้าใจได้เช่นนี้แล้ว ไยข้าจึงต้องร้องไห้โศกเศร้าด้วยล่ะ
“เก็บพลังนี้ไว้ใช้สำหรับการระลึกถึงไม่ดีกว่าหรือ”
ซางเจี้ยนเย่าต้องการแย้ง แต่ก็ไม่อาจหาช่องโหว่ในทฤษฎีของอีกฝ่ายได้ จึงทำได้เพียงแค่ปิดปากสนิทอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
เขารู้สึกอย่างคลุมเครือว่าสิ่งที่กาโลแรนพูดมานั้นสมเหตุสมผล แต่ก็สุดโต่งเกินไป
กาโลแรนกำลังจะสาธยายต่อ แต่พลันมีเสียงหอนที่อ้างว้างดังมาจากทางทิศเหนือของสถานีเยว่หลู่อีกครั้ง
“บรู๊ววว!”
คราวนี้เสียงหอนที่ดังขึ้นนั้น ดังและแหบแห้งมากขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด
กาโลแรนเอียงศีรษะฟังเสียง จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“ดูท่าแล้วข้าคงต้องไปที่นั่นเช่นกัน”
เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ประสานมือขวาโอบกุมมือซ้ายพร้อมกับโค้งคำนับ
“วิมุตชน[3]ไร้อัตตา โลกใหม่อยู่เบื้องหน้า”
จากนั้นก็ปัดตบเสื้อคลุม แล้วเดินเหินดั่งไหลตามกระแสคลื่น[4]ขึ้นสู่ทิศเหนือ
“วิมุตชนคือชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งของผู้ครองกาล” หลังจากที่เห็นนักพรตหญิงกาโลแรนจากไปไกลแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็อธิบายแบบสั้นๆ
เจี่ยงไป๋เหมียนที่ยืนขึ้นมาแล้ว มองไปยังทิศทางที่กาโลแรนและตู้เหิงจากไป จู่ๆ ก็พลันหัวเราะออกมา
“ฉันสงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงไม่เตรียมรถราพาหนะเอาไว้ แต่กลับเดินเท้าแทนซะงั้น
“ดูจากความแข็งแกร่งของพวกเขาแล้วเนี่ย เรื่องพวกนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรซักหน่อย…”
คนที่กล้าเดินทางท่องไปในแดนร้างยามค่ำคืน ไหนเลยไม่มีอะไรให้พึ่งพา
บุคคลเช่นนี้ย่อมไม่จำเป็นต้องถ่วงเวลาตัวเองเพื่อรอให้ทีมนักล่าชุดแรกๆ เข้าไปเบิกทางกำจัดอันตรายให้หมดก่อน
“อาจเป็นเพราะเหตุเกิดกระทันทันเกินไป” ไป๋เฉินตัดสินจากมุมมองของตัวเอง
“อาจเป็นเพราะต้องการรักษาภาพลักษณ์” ซางเจี้ยนเย่าพูดจากมุมมองที่คนปกติคงไม่คิดอะไรแบบนี้
“…รู้สึกว่าที่นายพูดมานี่มันสมเหตุสมผลอย่างบอกไม่ถูกแฮะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา “ฉันหมายถึงนักประวัติศาสตร์ที่ชื่อตู้เหิงน่ะ ส่วนกาโลแรนนั้นเธอคงจะพูดว่า หากต้องการชมทิวทัศน์ระหว่างการเดินทาง การเดินเท้าย่อมเป็นธรรมชาติมากกว่า”
โดยไม่รอให้สมาชิกคนอื่นพูดอะไร เจี่ยงไป๋เหมียนก็แสร้งพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง
“แต่เรื่องที่ทำให้ฉันสงสัยมากที่สุดคือเรื่องอื่น”
“หือ อะไรเหรอ” หลงเยว่หงที่รับผิดชอบเฝ้าระวังถามขึ้นอย่างกังวล
เจี่ยงไป๋เหมียนไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มได้อีกต่อไป
“ซางเจี้ยนเย่า ทำไมนายถึงไม่ ‘ร่วมประสานเสียง’ เหมือนครั้งก่อนล่ะ”
เธอพูดถึงเมื่อตอนที่ซางเจี้ยนเย่าหอนขึ้นมาตอนที่ได้ยินเสียงผิดปกติจากส่วนลึกของบึงน้ำเป็นครั้งแรก
ซางเจี้ยนเย่ามองไปยังหัวหน้าทีมแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม
“หัวหน้านี่ทำตัวเป็นเด็กไปได้”
“…” ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงเกือบหลุดหัวเราะลั่นออกมา ในขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนนั้นถึงกับหมดคำพูด เธอจึงยกมือขึ้นแตะหูพูดว่า “หือ นายว่าไงนะ พูดดังกว่านี้ไม่ได้หรือไง ช่างเถอะ กิน กิน กิน กินกันเถอะ”
หลังจากที่เป็นคนเปิดฉากนำร่องกินบิสกิตอัดแข็งกับธัญพืชอัดแท่งจนหมดและไปเติมถุงน้ำจนเสร็จแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็เตือนพวกเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คืนนี้ต้องระวังให้มากหน่อย
“เมื่อกี้พวกนายก็ได้ยินกันแล้ว”
พอไป๋เฉิน ซางเจี้ยนเย่า หลงเย่วหง พากันรับคำแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันมายิ้มแล้วพูด
“แต่ว่านะ ถึงเวลาพักก็ต้องพักให้เต็มที่ พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางต่ออีก
“นอกจากนั้นก็ยังต้องเริ่มฝึกทักษะการหาอาหารของพวกนายด้วย ต้องจำแนกแยกแยะว่าใบไม้รากไม้อันไหนที่กินได้ ส่วนไหนของสัตว์กลายพันธุ์ที่พอจะกินแก้ขัดได้ในยามฉุกเฉิน หลังจากกินของบางอย่างเข้าไปแล้วต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนที่จะต้องฉีดยาพันธุกรรม ดินแบบไหนที่พอจะใช้กินแทนอาหารได้ชั่วคราวซักมื้อสองมื้อ…
“อย่าคิดนะว่าไอ้ที่เดินทางกันมาสองสามวันเนี่ยคือการผจญภัยในแดนธุลี ตราบใดที่ยังมีอาหารให้พอกิน นั่นแค่เรียกว่าท่องเที่ยวแบบติดอาวุธ!”
พอหลงเยว่หงได้ยินแล้วก็รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง แต่ซางเจี้ยนเย่ากลับกระตือรือร้นอยากจะลอง
เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเสริมขึ้น
“แล้วก็อย่าเพิ่งไปเชื่อทฤษฎีทางศาสนาแปลกๆ พวกนั้น ถึงแม้ว่ามันจะช่วยปลอบโยนจิตวิญญาณได้ในระดับหนึ่งก็จริง แต่ในสภาพแวดล้อมบนแดนธุลีเช่นนี้ เรื่องพวกนั้นเป็นเพียงแค่การหลีกหนีความจริง ซึ่งมันมีอันตรายร้ายแรงแฝงอยู่”
หลงเยว่หงผงกศีรษะ แล้วถามขึ้นด้วยความสงสัย
“หัวหน้า พวกศาสนาแปลกๆ แบบนี้ยังมีอีกเยอะไหม”
ในหนังสือเรียนของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นแทบไม่มีเรื่องราวเหล่านี้บันทึกไว้เลย
“เยอะมาก ยามที่ผู้คนเจ็บป่วยและสิ้นหวังย่อมทำให้พวกเขาหันหน้าเข้าหาศาสนาได้อย่างง่ายดาย” เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อ้อ” ออกมาหนึ่งคำ “เท่าที่ฉันรู้นะ ที่ ‘ปฐมนคร’ เนี่ย พวกศาสนาใต้ดินที่เป็นอันตรายพวกนี้ ยกขึ้นมาสองมือก็ยังมีนิ้วไม่พอนับเลย”
หลังจากเตือนคนอื่นเสร็จแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็รับช่วงหน้าที่ลาดตระเวนโดยรอบต่อจากหลงเยว่หง และสั่งให้สมาชิกทีมทบทวนสิ่งที่ได้เจอมาในวันนี้ด้วย
ค่ำคืนผ่านล่วงไป พวกเขาไม่พบเหตุการณ์ใดๆ หลังจากรุ่งสางไม่นานนักรถจี๊ปก็ออกเดินทาง ขับขึ้นไปทางเหนือ
เมื่อเห็นว่าจุดหมายปลายทางนั้นเหลืออีกไม่ไกล เจี่ยงไป๋เหมียนที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับก็เริ่มแนะนำให้สมาชิกในทีมได้รับรู้
“ชาวเมืองหนูดำเป็นพวกมนุษย์ชั้นรอง”
* * * * *
[1] ชื่อของเจี่ยงไป๋เหมียน (蒋白棉) คำว่า “เจี่ยง” คือแซ่สกุล คำว่า “ไป๋เหมียน” แปลว่า ฝ้ายสีขาว
[2] ฤดูกาลทั้งสี่ (春夏秋冬) ฤดูของประเทศจีน มี 4 ฤดู คือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูสารท (ใบไม้ร่วง) และฤดูหนาว
[3] วิมุตชน (至人) ในลัทธิเต๋าหมายถึงผู้ที่อยู่เหนือโลก พ้นจากโลกีย์วิสัย ไร้ซึ่งอัตตาตัวตนที่ยึดติด ในสมัยโบราณหมายถึงผู้ที่ปฏิบัติคุณธรรมได้จนถึงระดับสูงสุด
[4] ไหลตามกระแสคลื่น (随波逐流) อุปมาว่า ไม่เป็นตัวของตัวเอง, ไม่มีจุดยืน, คล้อยตามคนอื่น