รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 47 ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 47 ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ

ก่อนที่เสียงหอนจะจางหายไป เสียงหอนที่คล้ายกันก็ดังขึ้นมาจากบริเวณต่างๆ ของหนองน้ำใหญ่ สะท้อนดังต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ อย่างไม่รู้จบ

ตู้เหิงฟังอยู่ชั่วครู่ จากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็จางหายไปโดยไม่รู้ตัว

หลังจากที่ค่ำคืนอันมืดมิดของแดนร้างบึงดำกลับสู่ความเงียบสงัดอีกครั้ง ชายวัยกลางคนที่เรียกตัวเองว่านักวัตถุโบราณและนักประวัติศาสตร์ก็หันหน้ากลับมามองเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ

“สถานการณ์ที่นั่นค่อนข้างจะเป็นปัญหามากกว่าที่ฉันคาดไว้นิดหน่อย

“ดูเหมือนว่าฉันคงต้องรีบไปตั้งแต่คืนนี้แล้วล่ะ”

ขณะที่กำลังพูดเขาก็ลุกขึ้นมายืน

“ระวังตัวด้วยนะคะ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้รั้งเขาไว้ และพูดขึ้นอย่างสุภาพ

ตู้เหิงหัวเราะออกมาคำหนึ่ง ไม่ได้ตอบกลับไปในทันที พูดอย่างเป็นกันเองก่อนจะร่ำลา

“สาวน้อย ชื่อของคุณ[1]ทำให้ฉันนึกถึงเรื่องในอดีต ตอนนั้นแถวบ้านเกิดของฉันมีทุ่งฝ้ายอยู่มากมาย ในช่วงเวลานี้ของทุกปี หรือบางทีก็ล่าช้าไปบ้างเล็กน้อย จะมองเห็นปุยเมฆเล็กๆ สีขาวร่วงหล่นอยู่ตามพื้นเกลื่อนไปหมด เป็นภาพที่งดงามมาก”

เจี่ยงไป๋เหมียนยืนขึ้นและยิ้มให้

“พ่อของฉันเป็นนักชีววิทยาที่ศึกษาเรื่องการปรับปรุงพันธุ์ฝ้าย ฉันเกิดในเดือนเก็บฝ้ายพอดี เขาก็เลยตั้งชื่อนี้ให้ค่ะ”

แล้วเธอก็ท้วงด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ถึงแม้ว่าคุณจะสูงวัยกว่าฉันก็จริง แต่อายุขนาดฉันนี่ก็ไม่น่าจะเรียกว่า ‘สาวน้อย’ แล้วนะ”

ตู้เหิงหัวเราะ

“หน้าตาของฉันอ่อนกว่าอายุน่ะ แถมยังแก่กว่าที่คุณคิดไว้เยอะเลยด้วย”

เขาไม่ได้รั้งรออีกต่อไป โบกมืออำลาอย่างยิ้มแย้ม

“หวังว่าจะได้พบกันอีก”

“หวังว่าจะได้พบกันอีก” เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นตอบกลับอย่างมีมารยาท

ตู้เหิงโบกมืออีกครั้งก่อนหันหลังจากไป เขาเดินอ้อมเนินดินเข้าไปในแดนรกร้างอันมืดมิดที่ดวงอาทิตย์ลาลับไปแล้ว ดวงจันทร์กำลังลอยกระจ่างฟ้า เดินก้าวทีละก้าวมุ่งไปทางทิศเหนือ

เจี่ยงไป๋เหมียนนั่งลงอีกครั้งและมองนักพรตหญิงผมบลอนด์ที่อยู่ตรงข้าม

“แล้วคุณผู้หญิงกาโลแรนล่ะ ต้องรีบขึ้นไปทางเหนือของสถานีเยว่หลู่ด้วยหรือเปล่า”

กาโลแรนตอบกลับด้วยรอยยิ้ม

“ไม่ต้องเรียกคุณผู้หญิงหรอก ผู้แสวงหา ‘เต๋า’ นั้นมิได้แบ่งแยกชายหญิง

“แต่ถ้าหากต้องการแสดงความนับถือ ข้าก็ไม่ถือสา หรือจะเรียกข้าว่านักพรตเต๋าก็ได้

“หรือจะเรียกว่าเสี่ยวกา เสี่ยวโล เสี่ยวแรน ก็ได้ทั้งนั้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเฉกเช่นทิวทัศน์อันหลากหลายบนเส้นทางแห่งเต๋า ซึ่งไม่มีสิ่งใดสูงส่งหรือต่ำต้อย”

“นี่มัน… เอ่อ… ก็คือ… คืนสู่สามัญสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่นานก่อนจะพบคำที่เหมาะสม

“ดูท่าแล้ว คุณเรียนรู้ภาษาแดนธุลีได้ดีมากจริงๆ”

“ที่จริงแล้วความตั้งใจเดิมของข้านั้น ไม่ได้คิดจะศึกษาภาษาแดนธุลีเพื่อสนทนาหรอก” คำตอบของกาโลแรนนั้นเกินความคาดหมายของไป๋เฉินกับคนอื่นๆ โดยสิ้นเชิง

เธอยิ้มก่อนจะอธิบายออกมา

“นี่เป็นเพราะหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องของ ‘เต๋า’ นั้นล้วนแต่เขียนด้วยภาษาแดนธุลี หากแปลเป็นภาษาแม่น้ำแดงแล้วมันจะสูญเสียความงดงาม และไม่อาจถ่ายทอดความหมายได้อย่างถูกต้องสมบูรณ์น่ะ”

พูดจบเธอก็โยนกระดูกกระต่ายที่กินหมดแล้วลงบนพื้น จากนั้นก็ใส่นิ้วมันเยิ้มเข้าปากแล้วดูดสองสามครั้งก่อนจะเช็ดมือกับเสื้อคลุมอย่างไม่ได้ใส่ใจ

การกระทำที่ไม่ใส่ใจต่อสิ่งใด กอปรกับความงดงามแต่กลับให้ความรู้สึกสูงส่ง ทำให้เจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ ล้วนแต่ตกตะลึง

กาโลแรนหยิบถุงน้ำออกมาดื่มสองอึก เมื่อเห็นคนที่อยู่เบื้องหน้าแต่ละต่างจ้องมองตนเองด้วยสายตาตะลึงงุนงง เธอก็หัวเราะออกมาเบาๆ

“บางครั้งคนเราก็ไม่อาจแยกแยะความเป็นจริงกับมายา ไม่อาจรับประกันการใช้ชีวิตให้อยู่รอดในระดับพื้นฐานที่สุดเสียด้วยซ้ำ แล้วทำไมจะต้องใส่ใจเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยพวกนั้นด้วย สู้ทำตามใจ ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติไม่ดีกว่าหรือ”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้เธอก็มองดูกองไฟที่ปะทุ จากนั้นก็พูดต่อด้วยรอยยิ้มที่ให้ความรู้สึกยากอธิบาย

“ก็เฉกเช่นพวกขุนนางในวุฒิสภาของ ‘ปฐมนคร’ เมื่อหลายทศวรรษก่อนหน้านี้ พวกเขาล้วนเคยเป็นคนเร่ร่อนแดนร้างที่ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอด ในยามไม่มีน้ำสะอาดดื่ม พวกเขาก็ต้องดื่มปัสสาวะของพวกพ้อง แต่มาบัดนี้กลับบอกว่าต้องมีมารยาทพิธีรีตรอง ต้องแสดงความเคารพต่อกัน พูดถึงพวกพิธีการวุ่นวายหลายอย่างที่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลย

“เหอะ เหอะ ชาวเมืองที่เป็นชนชั้นล่างต้องเสียชีวิตเพราะหนาวตายและอดอยากยากไร้ แต่พวกเขาก็ยังจะมากำหนดว่าในงานเลี้ยงจะต้องมีอุปกรณ์ครบชุดสำหรับอาหารแต่ละชนิด”

ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ต่างก็ไม่เคยไป ‘ปฐมนคร’ มาก่อน เพียงแค่เคยรับฟังข่าวลือมาบ้างเท่านั้น จึงไม่อาจสานต่อบทสนทนานี้ได้

เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะครุ่นคิด

“เหมือนว่าคุณจะมาจาก ‘ปฐมนคร’ สินะ”

นักพรตเต๋าผมบลอนด์กาโลแรนเพียงแค่ยิ้ม ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ

เมื่อบรรยากาศขาดตอน ซางเจี้ยนเย่าจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“นักพรตกาโลแรน ขอถามหน่อยว่า ‘นักพรตเต๋า’ นี่คืออะไรเหรอครับ”

กาโลแรนครุ่นคิดอย่างจริงจัง

“นี่มันอธิบายค่อนข้างยากสักหน่อย…

“พวกคุณเคยเจอหลวงจีนมาก่อนใช่ไหมล่ะ จะบอกว่านักพรตเต๋านั้นเป็นหลวงจีนอีกประเภทหนึ่งก็ได้ แต่เป็นคนละนิกายและศรัทธาในผู้ครองกาลคนละองค์กัน”

เมื่อได้ยินคำว่า ‘ผู้ครองกาล’ ทั้งเจี่ยงไป๋เหมียน หลงเยว่หง และคนอื่น ต่างก็รู้สึกว่าเส้นเลือดที่ขมับเต้นกระตุกขึ้นมาทันที

ซางเจี้ยนเย่ารีบถามขึ้นมาทันที

“ไม่ทราบว่าคุณศรัทธาผู้ครองกาลองค์ไหน”

สีหน้าของกาโลแรนพลันเปลี่ยนเป็นจริงจัง

“มหาปราชญ์จวง”

“…” สมาชิกทั้งหมดของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ต่างก็รู้สึกลำบากใจที่จะเอ่ยอะไรออกมา

หลังจากกำจัดจิ้งฝ่าไปแล้ว หลงเยว่หงกับซางเจี้ยนเย่าก็ได้เล่าข้อมูลที่ฟังมาจากหลวงจีนจักรกลซึ่งไม่อาจพูดโกหกได้ ให้เจี่ยงไป๋เหมียนกับไป๋เฉินฟัง

ในบรรดาข้อมูลเหล่านั้น เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือ…

ชุมนุมหลวงจีนเชื่อว่าโลกใบนี้นั้นเป็นเพียงความฝันหนึ่งตื่นของพระพุทธเจ้าในอดีตกาล ซึ่งมีพระนามว่า ‘พุทธะโลเกศวร’ จึงทำให้โลกใบนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ยากสารพัน และ ‘พุทธะโลเกศวร’ เทพผู้เป็นตัวแทนแห่งตลอดทั้งปีและอธิกมาสองค์นี้ ยังมีนามอื่นที่ใช้กล่าวเรียกขานกันภายนอกชุมนุมหลวงจีนอีกด้วย

ซึ่งนามนั้นก็คือ…

‘มหาปราชญ์จวง!’

ปฏิกิริยาที่ไม่ปกตินี้แม้จะมีเพียงน้อยนิด แต่กาโลแรนก็สังเกตเห็นได้ ทว่าไม่ได้ถามอะไรออกมา

หลังจากนั้นสองสามวินาที เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามเพื่อหยั่งเชิงดู

“คุณเข้าร่วมนิกายตอนอยู่ ‘ปฐมนคร’ เหรอ”

กาโลแรนพยักหน้า

“ถูกต้อง นิกายนิรันดร์ยืนยง”

รอยยิ้มค่อยๆ ปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของเธอ

“ในตอนนั้นข้าเพิ่งสูญเสียมารดาไป และเข้ากับคนอื่นๆ ในครอบครัวไม่ค่อยได้…”

ทันใดนั้นซางเจี้ยนเย่าก็ขัดจังหวะการรำลึกความหลังของนักพรตผู้นี้

“ทำไมตอนพูดถึงการเสียชีวิตของมารดา คุณถึงไม่รู้สึกเศร้าใจ กลับยังยิ้มออกมาซะอีก”

กาโลแรนหัวเราะออกมาหนึ่งคำ แล้วพูดด้วยภาษาแดนธุลีสำเนียงมาตรฐาน

“เกิดแก่เจ็บตายล้วนเป็นสัจธรรมแห่งโลก เฉกเช่นฤดูกาลทั้งสี่[2] ต่างก็หมุนเปลี่ยนเวียนผันอยู่ตลอด แม้ว่ามารดาข้าจะตายไป แต่ท่านก็ยังคงหลับใหลอย่างสงบท่ามกลางฟ้าดิน เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ไม่แน่ว่าวันหนึ่งท่านอาจจะกลับมาเริ่มต้นใหม่ด้วยรูปลักษณ์ที่ต่างออกไป เช่นเดียวกับฤดูใบไม้ผลิจะเวียนมาถึงหลังจากฤดูหนาวสิ้นสุดลง

“เมื่อเข้าใจได้เช่นนี้แล้ว ไยข้าจึงต้องร้องไห้โศกเศร้าด้วยล่ะ

“เก็บพลังนี้ไว้ใช้สำหรับการระลึกถึงไม่ดีกว่าหรือ”

ซางเจี้ยนเย่าต้องการแย้ง แต่ก็ไม่อาจหาช่องโหว่ในทฤษฎีของอีกฝ่ายได้ จึงทำได้เพียงแค่ปิดปากสนิทอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก

เขารู้สึกอย่างคลุมเครือว่าสิ่งที่กาโลแรนพูดมานั้นสมเหตุสมผล แต่ก็สุดโต่งเกินไป

กาโลแรนกำลังจะสาธยายต่อ แต่พลันมีเสียงหอนที่อ้างว้างดังมาจากทางทิศเหนือของสถานีเยว่หลู่อีกครั้ง

“บรู๊ววว!”

คราวนี้เสียงหอนที่ดังขึ้นนั้น ดังและแหบแห้งมากขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด

กาโลแรนเอียงศีรษะฟังเสียง จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้ม

“ดูท่าแล้วข้าคงต้องไปที่นั่นเช่นกัน”

เธอค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ประสานมือขวาโอบกุมมือซ้ายพร้อมกับโค้งคำนับ

“วิมุตชน[3]ไร้อัตตา โลกใหม่อยู่เบื้องหน้า”

จากนั้นก็ปัดตบเสื้อคลุม แล้วเดินเหินดั่งไหลตามกระแสคลื่น[4]ขึ้นสู่ทิศเหนือ

“วิมุตชนคือชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งของผู้ครองกาล” หลังจากที่เห็นนักพรตหญิงกาโลแรนจากไปไกลแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็อธิบายแบบสั้นๆ

เจี่ยงไป๋เหมียนที่ยืนขึ้นมาแล้ว มองไปยังทิศทางที่กาโลแรนและตู้เหิงจากไป จู่ๆ ก็พลันหัวเราะออกมา

“ฉันสงสัยว่าทำไมพวกเขาถึงไม่เตรียมรถราพาหนะเอาไว้ แต่กลับเดินเท้าแทนซะงั้น

“ดูจากความแข็งแกร่งของพวกเขาแล้วเนี่ย เรื่องพวกนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรซักหน่อย…”

คนที่กล้าเดินทางท่องไปในแดนร้างยามค่ำคืน ไหนเลยไม่มีอะไรให้พึ่งพา

บุคคลเช่นนี้ย่อมไม่จำเป็นต้องถ่วงเวลาตัวเองเพื่อรอให้ทีมนักล่าชุดแรกๆ เข้าไปเบิกทางกำจัดอันตรายให้หมดก่อน

“อาจเป็นเพราะเหตุเกิดกระทันทันเกินไป” ไป๋เฉินตัดสินจากมุมมองของตัวเอง

“อาจเป็นเพราะต้องการรักษาภาพลักษณ์” ซางเจี้ยนเย่าพูดจากมุมมองที่คนปกติคงไม่คิดอะไรแบบนี้

“…รู้สึกว่าที่นายพูดมานี่มันสมเหตุสมผลอย่างบอกไม่ถูกแฮะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา “ฉันหมายถึงนักประวัติศาสตร์ที่ชื่อตู้เหิงน่ะ ส่วนกาโลแรนนั้นเธอคงจะพูดว่า หากต้องการชมทิวทัศน์ระหว่างการเดินทาง การเดินเท้าย่อมเป็นธรรมชาติมากกว่า”

โดยไม่รอให้สมาชิกคนอื่นพูดอะไร เจี่ยงไป๋เหมียนก็แสร้งพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง

“แต่เรื่องที่ทำให้ฉันสงสัยมากที่สุดคือเรื่องอื่น”

“หือ อะไรเหรอ” หลงเยว่หงที่รับผิดชอบเฝ้าระวังถามขึ้นอย่างกังวล

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่สามารถซ่อนรอยยิ้มได้อีกต่อไป

“ซางเจี้ยนเย่า ทำไมนายถึงไม่ ‘ร่วมประสานเสียง’ เหมือนครั้งก่อนล่ะ”

เธอพูดถึงเมื่อตอนที่ซางเจี้ยนเย่าหอนขึ้นมาตอนที่ได้ยินเสียงผิดปกติจากส่วนลึกของบึงน้ำเป็นครั้งแรก

ซางเจี้ยนเย่ามองไปยังหัวหน้าทีมแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม

“หัวหน้านี่ทำตัวเป็นเด็กไปได้”

“…” ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงเกือบหลุดหัวเราะลั่นออกมา ในขณะที่เจี่ยงไป๋เหมียนนั้นถึงกับหมดคำพูด เธอจึงยกมือขึ้นแตะหูพูดว่า “หือ นายว่าไงนะ พูดดังกว่านี้ไม่ได้หรือไง ช่างเถอะ กิน กิน กิน กินกันเถอะ”

หลังจากที่เป็นคนเปิดฉากนำร่องกินบิสกิตอัดแข็งกับธัญพืชอัดแท่งจนหมดและไปเติมถุงน้ำจนเสร็จแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็เตือนพวกเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“คืนนี้ต้องระวังให้มากหน่อย

“เมื่อกี้พวกนายก็ได้ยินกันแล้ว”

พอไป๋เฉิน ซางเจี้ยนเย่า หลงเย่วหง พากันรับคำแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันมายิ้มแล้วพูด

“แต่ว่านะ ถึงเวลาพักก็ต้องพักให้เต็มที่ พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางต่ออีก

“นอกจากนั้นก็ยังต้องเริ่มฝึกทักษะการหาอาหารของพวกนายด้วย ต้องจำแนกแยกแยะว่าใบไม้รากไม้อันไหนที่กินได้ ส่วนไหนของสัตว์กลายพันธุ์ที่พอจะกินแก้ขัดได้ในยามฉุกเฉิน หลังจากกินของบางอย่างเข้าไปแล้วต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนที่จะต้องฉีดยาพันธุกรรม ดินแบบไหนที่พอจะใช้กินแทนอาหารได้ชั่วคราวซักมื้อสองมื้อ…

“อย่าคิดนะว่าไอ้ที่เดินทางกันมาสองสามวันเนี่ยคือการผจญภัยในแดนธุลี ตราบใดที่ยังมีอาหารให้พอกิน นั่นแค่เรียกว่าท่องเที่ยวแบบติดอาวุธ!”

พอหลงเยว่หงได้ยินแล้วก็รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง แต่ซางเจี้ยนเย่ากลับกระตือรือร้นอยากจะลอง

เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเสริมขึ้น

“แล้วก็อย่าเพิ่งไปเชื่อทฤษฎีทางศาสนาแปลกๆ พวกนั้น ถึงแม้ว่ามันจะช่วยปลอบโยนจิตวิญญาณได้ในระดับหนึ่งก็จริง แต่ในสภาพแวดล้อมบนแดนธุลีเช่นนี้ เรื่องพวกนั้นเป็นเพียงแค่การหลีกหนีความจริง ซึ่งมันมีอันตรายร้ายแรงแฝงอยู่”

หลงเยว่หงผงกศีรษะ แล้วถามขึ้นด้วยความสงสัย

“หัวหน้า พวกศาสนาแปลกๆ แบบนี้ยังมีอีกเยอะไหม”

ในหนังสือเรียนของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นแทบไม่มีเรื่องราวเหล่านี้บันทึกไว้เลย

“เยอะมาก ยามที่ผู้คนเจ็บป่วยและสิ้นหวังย่อมทำให้พวกเขาหันหน้าเข้าหาศาสนาได้อย่างง่ายดาย” เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “อ้อ” ออกมาหนึ่งคำ “เท่าที่ฉันรู้นะ ที่ ‘ปฐมนคร’ เนี่ย พวกศาสนาใต้ดินที่เป็นอันตรายพวกนี้ ยกขึ้นมาสองมือก็ยังมีนิ้วไม่พอนับเลย”

หลังจากเตือนคนอื่นเสร็จแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็รับช่วงหน้าที่ลาดตระเวนโดยรอบต่อจากหลงเยว่หง และสั่งให้สมาชิกทีมทบทวนสิ่งที่ได้เจอมาในวันนี้ด้วย

ค่ำคืนผ่านล่วงไป พวกเขาไม่พบเหตุการณ์ใดๆ หลังจากรุ่งสางไม่นานนักรถจี๊ปก็ออกเดินทาง ขับขึ้นไปทางเหนือ

เมื่อเห็นว่าจุดหมายปลายทางนั้นเหลืออีกไม่ไกล เจี่ยงไป๋เหมียนที่นั่งอยู่ด้านข้างคนขับก็เริ่มแนะนำให้สมาชิกในทีมได้รับรู้

“ชาวเมืองหนูดำเป็นพวกมนุษย์ชั้นรอง”

* * * * *

[1] ชื่อของเจี่ยงไป๋เหมียน (蒋白棉) คำว่า “เจี่ยง” คือแซ่สกุล คำว่า “ไป๋เหมียน” แปลว่า ฝ้ายสีขาว

[2] ฤดูกาลทั้งสี่ (春夏秋冬) ฤดูของประเทศจีน มี 4 ฤดู คือ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูสารท (ใบไม้ร่วง) และฤดูหนาว

[3] วิมุตชน (至人) ในลัทธิเต๋าหมายถึงผู้ที่อยู่เหนือโลก พ้นจากโลกีย์วิสัย ไร้ซึ่งอัตตาตัวตนที่ยึดติด ในสมัยโบราณหมายถึงผู้ที่ปฏิบัติคุณธรรมได้จนถึงระดับสูงสุด

[4] ไหลตามกระแสคลื่น (随波逐流) อุปมาว่า ไม่เป็นตัวของตัวเอง, ไม่มีจุดยืน, คล้อยตามคนอื่น

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท