ในโรงอาหารเล็กถัดจากห้อง ‘ทีมสำรวจเก่า’
เจี่ยงไป๋เหมียนกลับมาพร้อมถาดใส่อาหารที่มีเนื้อสัตว์ทุกเมนูวางลงบนโต๊ะ
มีซุปที่เต็มไปด้วยมันฝรั่งเหนียวนุ่มกับเนื้อวัวชิ้นใหญ่ มีไก่ย่างจนเป็นสีเหลืองทองอร่ามกลิ่นหอมฉุย มีซุปกระดูกซี่โครงหมูใส่ฟักเขียวฝานจนบางใส มีเมนูเนื้อแกะที่วางไว้ท่ามกลางหัวหอมที่หั่นเอาไว้แล้ว
“โห… เพียบเลย” หลงเยว่หงสูดกลิ่นหอมที่อบอวลในอากาศ ชื่นชมอย่างจริงใจ
สำหรับเขาแล้ว นี่ราวกับเป็นวันปีใหม่เลยทีเดียว
เจี่ยงไป๋เหมียนชำเลืองมองเขาแว่บหนึ่ง
“ตอนอยู่เมืองฉีเฟิง ไม่ใช่ว่านายชื่นมื่นกับอาหารการกินของที่นั่นหรือไง
“ฉันยังคิดอยู่เลยว่านายคงไม่สนใจเมนูเนื้อสัตว์แบบนี้อีกแล้ว”
“จะเป็นแบบนั้นได้ไงกันเล่า” หลงเยว่หงรีบแย้งตามสัญชาตญาณทันที
เขาหยุดครู่หนึ่ง สีหน้าแสดงการหวนย้อนรำลึก
“แต่ว่านะ แฮมกับเนื้อหมักเกลือของเมืองฉีเฟิงก็ไม่เลวจริงๆ แหละ…”
เพราะว่าเมืองฉีเฟิงนั้นเป็นเมืองบริวารของ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ จึงสามารถแลกเปลี่ยนเกลือได้ในปริมาณที่เพียงพอและคุ้มค่ามาก ทำให้พวกเขาสามารถเก็บรักษาเนื้อส่วนเกินในช่วงฤดูล่าสัตว์และเก็บเกี่ยว เอาไว้เป็นเสบียงอาหารสำรองเพื่อรับมือกับความหิวโหยในช่วงฤดูหนาวที่ยากจะหาร่องรอยของสัตว์ป่าได้
“ไหนนายบอกว่ากินจนเบื่อแล้วไม่ใช่หรือไง” ซางเจี้ยนเย่าที่นั่งข้างๆ พูดแฉหลงเยว่หงออกมา
สีหน้าหลงเยว่หงแข็งทื่อทันทีก่อนจะแย้ง
“ก็เบื่อแค่ตอนนั้นเท่านั้นแหละ!”
ระหว่างที่พวกเขากำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ไป๋เฉินก็กลับมาพร้อมถาดที่มีข้าวสี่ชุด
เมื่อเธอมองเห็นอาหารเมนูเนื้อสัตว์ที่มีจำนวนพอๆ กับเมนูผักก็ร้องโพล่งออกมา
“หัวหน้า นี่มันทำให้คุณสิ้นเปลืองเกินไปหรือเปล่าเนี่ย”
“นี่เป็นเมนูเนื้อสัตว์จานพิเศษ ราคาแค่ 1 แต้มส่วนร่วมเอง” เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปที่ไก่ย่าง “ส่วนที่เหลือทั้งหมดนี้ก็เพียง 150 แต้มเท่านั้นแหละ”
“ไอ้ ‘ก็เพียง’ เนี่ย หมายความว่ายังไง” หลงเยว่หงถาม “ถ้าผมกินแบบนี้ทุกมื้อ เงินเดือนทั้งเดือนของผมจะมีพอให้กินแค่ 6 วันเองนะ ไม่สิ… ไม่ถึง 6 วัน ด้วยซ้ำ เมื่อกี้ผมลืมนับมื้อเช้าเข้าไปด้วย”
“ถ้านายกินได้เยอะขนาดนี้ทุกมื้อล่ะก็ ฉันจะเลี้ยงนายเอง” ซางเจี้ยนเย่าแนะนำด้วยสีหน้าขึงขังจริงจังมาก
“…แค่วันเดียวฉันก็คงท้องแตกตายแล้วล่ะ” หลงเยว่หงคิดใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็รู้สึกว่าไม่คุ้มค่าเท่าไหร่
เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม
“จะให้เลี้ยงแบบนี้ทุกมื้อฉันก็ไม่ไหวเหมือนกันล่ะน่า ถ้านานๆ ครั้งละก็พอได้อยู่
“ตอนนี้ฉันอยู่ระดับ D6 แล้ว พวกนายก็รู้ว่าระดับนี้ได้เงินเดือนเท่าไหร่”
“แต่ละระดับจะได้แต้มส่วนร่วมเพิ่ม 500 แต้ม ระดับ D1 คือ 1,800 แต้ม ระดับ D2 คือ 2,300 แต้ม… ระดับ D6 คือ 4,300 แต้ม พอนับรวมแต้มอุดหนุนทั้งหมดเข้าไปด้วย ถึงแม้หัวหน้าจะไม่ได้ออกไปภาคสนามก็ยังมีแต้มอย่างน้อย 4,500 แต้ม” หลงเยว่หงนับนิ้วคำนวณอย่างเป็นจริงเป็นจัง
“แต่ถ้าอยากกินของดีๆ ทุกมื้อ และอยากให้มีเนื้อมากพอ เดือนนึงก็ต้องจ่ายอย่างน้อย 2,000 แต้ม ซึ่งต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ว่าได้รับอาหารสนับสนุนเพิ่มมาด้วย ไม่งั้นค่าใช้จ่ายต้องเพิ่มขึ้นอีก กลายเป็นอย่างน้อย 3,000 แต้ม และหลังจากหักค่าอาหารแล้วก็ยังต้องจ่ายค่าพลังงาน ค่าน้ำประปา และก็ค่าข้าวของจำเป็นอื่นๆ อีก นี่ก็แทบไม่เหลือแต้มแล้ว ถ้าหากว่ามีลูกเพิ่มมาอีกสองสามคน งั้นก็คง…”
หลงเยว่หงยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าโลกนี้อยู่ยากขึ้นทุกขณะ
หลักหลักคือเขาเริ่มเคยชินกับชีวิต ‘หรูหรา’ ที่มีเมนูเนื้อสัตว์ให้กินทุกวันโดยไม่มีลูกเป็นภาระ ถ้าหากคิดอยากจะกลับไปมีชีวิตในฝัน ที่มีภรรยาหนึ่งลูกสอง กินเนื้อสัตว์สัปดาห์ละสามครั้ง ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าชีวิตคงกลายเป็นถอยหลังลงคลองแล้วล่ะ
“พอ พอเลย!” เจี่ยงไป๋เหมียนขัดจังหวะการคำนวณของหลงเยว่หง “ได้ยินแล้วปวดหัวชะมัด! แล้วทำไมนายถึงไม่เอาเงินเดือนของภรรยามารวมด้วยล่ะ ครอบครัวมันต้องมีคนสองคนช่วยกันรองรับค่าใช้จ่ายนะ”
พูดถึงตรงนี้เจี่ยงไป๋เหมียนก็หัวเราะออกมา
“ที่จริงแล้วแต่ละเดือนฉันก็มีเงินเหลืออยู่ไม่น้อยเลยแหละ
“พี่ชายฉันแต่งงานไปตั้งนานแล้วและก็ย้ายออกไปแล้วด้วย ส่วนฉันอยู่กับพ่อแม่มาตลอด เงินเดือนพวกท่านเยอะกว่าฉันซะอีก แต้มอุดหนุนกับสวัสดิการก็ด้วย
“ตอนกลางวันฉันก็กินอาหารสนับสนุน ส่วนมื้อเย็นก็กลับไปกินที่บ้าน ใช้งบพ่อแม่ เครื่องแบบก็บริษัทจ่ายให้ ชีวิตสมบูรณ์แบบ”
เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูคนอื่นๆ แล้วก็พูดด้วยรอยยิ้ม
“ครั้งนี้พวกนายก็ได้รับแต้มส่วนร่วมกันไม่น้อยเหมือนกันนะ
“ไป๋เฉินได้บรรจุเป็นพนักงานเต็มตัว จะได้รับสิทธิประโยชน์ของพนักงานระดับ D1 ส่วนซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง พวกนายได้เลื่อนขั้นเป็นระดับ D2 ได้แต้มส่วนร่วมเพิ่มขึ้นอีกเดือนละ 500 แต้ม
“นอกจากนั้นก็ยังมีเบี้ยเลี้ยงภาคสนามอีก รอบนี้พวกเราออกไปกันร่วมเดือนนึง แต่ละคนน่าจะได้รับราว 800-900 แต้ม
“ที่ได้เยอะที่สุดก็น่าจะเป็นของที่พวกเราเก็บเกี่ยวมาได้แหละ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะได้มากี่แต้ม”
พอฟังไปฟังมา พวกหลงเยว่หงกับไป๋เฉินก็อดจินตนาการไม่ได้ว่าจะเอาแต้มส่วนร่วมมากมายขนาดนี้ไปใช้ทำอะไรกันดี
“ฉันจะยื่นขอห้องที่ใหญ่กว่านี้…” หลงเยว่หงนึกถึงสภาพแวดล้อมอันคับแคบของบ้านตนเอง ที่ผู้ใหญ่กับเด็กๆ ต้องนอนรวมกัน รวมทั้งน้องชายน้องสาวของเขาด้วย แล้วก็พึมพำกับตัวเอง
ที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้น โดยปกติห้องพักจะได้รับการจัดสรรตามระดับพนักงาน ถ้าหากต้องการขอห้องที่สูงเกินกว่าระดับของตนเองก็จะต้องเสียค่าธรรมเนียม และยังต้องจ่ายค่าเช่าเพิ่มทุกเดือนด้วย
แน่นอนว่าพนักงานก็มีวิธีหลบเลี่ยงได้อยู่ นั่นก็คือสลับห้องกันเองโดยไม่ผ่านบริษัท ตัวอย่างเช่น เมื่อลูกๆ ของพนักงานสูงอายุบางคนได้รับการจัดสรรห้องให้และแยกตัวออกไปอยู่ต่างหากโดยไม่จำเป็นต้องเบียดเสียดอยู่รวมกันอีก พวกเขาก็อาจจะแลกห้องที่ใหญ่กว้างขวางของตนเองกับคนอื่นที่อาศัยอยู่ในห้องที่แออัดเบียดเสียดโดยเรียกเก็บค่าธรรมเนียมสักเล็กน้อย
เมื่อใช้วิธีนี้ ก็ไม่ต้องจ่ายค่าเช่ารายเดือนเพิ่มอีก
แต่ปัญหาก็คือถ้าหากว่าผู้สูงอายุทั้งคู่ถึงแก่กรรมแล้ว บริษัทก็จะเรียกคืนห้องตามข้อมูลที่ลงทะเบียนไว้กลับมา
หลังจากใช้ชีวิตด้วยกันมาพักใหญ่จนเคยชิน เสียงพึมพำของหลงเยว่หงก็เลยกลายเป็นดังกว่าปกติไม่ใช่น้อย เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินก็ผงกศีรษะพูดขึ้น
“มีปณิธานมุ่งมั่นดี”
แล้วเธอก็มองไปที่ไป๋เฉิน
“เธอคงจะคิดอดออมสะสมแต้มส่วนร่วมเอาไว้เพื่อรอให้ระดับพนักงานสูงพอ ค่อยยื่นความประสงค์ขอเข้ารับการดัดแปลงพันธุกรรมใช่ไหม”
ถ้าหากว่าพนักงานยอมจ่ายแต้มส่วนร่วมเพิ่มจำนวนมาก หรือไม่ก็เป็นอาสาสมัครการทดลองอันตรายบางอย่าง ระดับพนักงานที่ยื่นความประสงค์ขอดัดแปลงพันธุกรรมก็จะลดลงได้ พนักงานในระดับ D2 หรือ D1 ก็อาจจะยื่นผ่านได้เช่นกัน
“ค่ะ” ไป๋เฉินกระชับผ้าพันคอสีเทาเก่าๆ ผืนนั้นโดยไม่รู้ตัว
เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูด
“ฉันจะเตือนเธออีกครั้งนะว่าเทคโนโลยีการดัดแปลงพันธุกรรมนั้นยังห่างไกลจากความสมบูรณ์อีกมาก มีอันตรายสารพัดอย่าง ถ้าไม่ได้เป็นทางเลือกสุดท้ายแล้วก็ไม่ควรจะไปเสี่ยง
“อืม… ฉันรู้แหละว่าเธอมีเหตุผลของตัวเอง แค่หวังว่าเธอจะชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียให้ถี่ถ้วนเสียก่อน”
โดยไม่รอให้ไป๋เฉินตอบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ทำจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นหอมฉุยของอาหาร
“กิน กิน กิน เดี๋ยวอาหารก็เย็นชืดหมดพอดี!”
ระหว่างที่พูดเธอก็ยื่นตะเกียบออกมาค่อยๆ บรรจงฉีกปีกไก่ย่าง
ภายใต้ผิวหนังสีเหลืองทองอร่ามก็คือชั้นของไขมันที่ละลายในปากและผสมผสานเข้ากับเครื่องปรุงหลากหลายชนิดจนทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนแทบจะหยุดปากไม่ได้
ซางเจี้ยนเย่า หลงเยว่หง และไป๋เฉิน ต่างก็ร่วมวงเพลิดเพลินกับอาหารไปด้วย แต่ละคนต่างก้มหน้าก้มตาจัดการอาหาร ไม่มีเวลาจะพูดพร่ำอะไร
หลังจากกินอย่างกับพายุโหมกระหน่ำไปจนเสร็จเรียบร้อย เจี่ยงไป๋เหมียนก็ดื่มน้ำซุปล้างปาก หรี่ตาลงด้วยความพึงพอใจ
“ทุกครั้งที่กลับมาจากข้างนอก พอได้กินอาหารแบบนี้นี่ก็ทำให้คนเราได้สัมผัสถึงความงดงามของชีวิตจริงๆ”
“ดังนั้นจึงยิ่งต้องช่วยเหลือมนุษยชาติให้ได้” ซางเจี้ยนเย่าวางชามวางตะเกียบลงแล้วเช็ดมุมปาก
“นายไม่คิดจะเปลี่ยนคำพูดบ้างหรือไง” เจี่ยงไป๋เหมียนกลอกตาใส่เขา
ซางเจี้ยนเย่าพยักหน้าแล้วถามขึ้นทันที
“งั้นคุณรู้ไหมว่าเสี่ยวชงเป็นใคร”
เมื่อได้ยินชื่อเสี่ยวชง ไป๋เฉินกับหลงเยว่หงที่กำลังดูดกระดูกไก่อยู่พลันหยุดชะงักพร้อมๆ กัน
สำหรับพวกเขาแล้ว ชื่อนี้เป็นทั้งความลึกลับและน่ากลัว ราวกับเป็นคำพูดต้องห้าม
หลายวันที่ผ่านมานี้ พวกเขาเจตนาทำเป็นลืมเสี่ยวชงคนนี้ไปเสีย ไม่มีการเอ่ยถึงในการสนทนาเลยแม้แต่ครั้งเดียว
เจี่ยงไป๋เหมียนนิ่งเงียบไปสองสามวินาทีก่อนจะพูดออกมา
“ฉันสงสัยว่าเขาน่าจะเป็น ‘คนไร้ใจ’ เอ่อ… ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ในหมู่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ น่ะ จะเรียกว่าเป็น ‘ราชันไร้ใจ’ ก็ได้ บางทีอาจเป็นเพราะว่าเขาอยากเห็นการดวลปืนของจริงก็เลยมาอยู่ใกล้ๆ ซึ่งนี่ก็เลยทำให้ฉันลืมเกี่ยวกับพลังผู้ตื่นรู้ของเฉียวชูและระยะขอบเขตพลังไปซะสนิท…”
“เป็น ‘คนไร้ใจ’ ที่ฟื้นคืนสติปัญญาและความทรงจำของมนุษย์กลับมาแล้วน่ะเหรอ” หลงเยว่หงตกตะลึง พูดพึมพำกับตัวเอง “ไม่สิ ‘คนไร้ใจ’ จะมีสติปัญญาของมนุษย์ได้ไงกัน…”
เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ไม่เพียงแค่นั้นนะ เขายังอาจจะมีพลังของสิ่งมีชีวิตกลายพันธุ์ กับพลังที่น่ากลัวของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ อีกด้วยก็ได้…”
“เป็นพวกยอดมนุษย์งั้นเหรอ” น้ำเสียงไป๋เฉินหนักอึ้งอย่างอธิบายไม่ถูก
ซางเจี้ยนเย่ายกมือขึ้น
“หรือว่าเขาได้รับสติปัญญามา โดยแลกเปลี่ยนกับการที่ร่างกายไม่สามารถเติบโตขึ้นได้อีกต่อไป”
“นายกำลังจะบอกว่าเสี่ยวชงก็มีข้อบกพร่องร้ายแรงเช่นกัน และห่างไกลกับการเป็นยอดมนุษย์น่ะเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจความนัยของซางเจี้ยนเย่า
ซางเจี้ยนเย่าลังเลก่อนจะพูด
“เขาเป็นเพื่อนผม”
“ดังนั้น ก็ไม่ควรจะนินทาว่าร้ายเพื่อนลับหลังงั้นสินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพยายามตีความความคิดที่กระโดดไปมาของอีกฝ่าย
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ตอบ
“ฮ่า ฮ่า” หลงเยว่หงหัวเราะออกมาสองคำ จากนั้นก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ “แล้วฉันไม่ใช่เพื่อนนายหรือไง ทำไมถึงชอบพูดทำร้ายจิตใจกันนัก”
ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเขา
“ฉันก็แค่พูดเรื่องที่นายชอบพูดบ่อยๆ เท่านั้นเอง
“เฮ้อ… ฉันได้รับการปรับปรุงพันธุกรรมมาแล้วแต่ก็สูงแค่ 175 หน้าตาก็ธรรมดา…”
“หุบปากไปเลย!” หลงเยว่หงขัดจังหวะคำรำพึงรำพันของซางเจี้ยนเย่าทันที
เจี่ยงไป๋เหมียนกลั้นยิ้มไว้ไม่อยู่แล้ว เธอลุกขึ้นยืนแล้วพูด
“เอาล่ะ พวกนายกลับไปพักกันเถอะ
“เฮ้อ… มีแต่ฉันที่ยังต้องทำงานล่วงเวลา ต้องเขียนรายงานภารกิจให้เสร็จจะได้ส่ง”
“ให้ช่วยอะไรไหม” ไป๋เฉินถามออกมาหนึ่งประโยค
เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะแล้วตอบ
“วางใจเถอะ ฉันไม่ลืมหรอกน่าว่าอะไรควรเขียนไม่ควรเขียน”
ไป๋เฉินที่ถูกเปิดโปงความในใจก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย รีบก้มหน้าลงไป
หลังจากบอกลาเจี่ยงไป๋เหมียนกับไป๋เฉินแล้ว ซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หงก็ลงลิฟต์กลับไปยังชั้นที่ 495
ระหว่างที่ลิฟต์กำลังเคลื่อนตัวลง หลงเยว่หงก็มองดูเงาสะท้อนของตัวเองบนผนังโลหะพลางถอนหายใจ
“ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะย้ายงานได้สำเร็จหรือเปล่านะ…”
โดยไม่ได้รอให้ซางเจี้ยนเย่าตอบอะไร เขาก็พูดต่อด้วยความรู้สึกที่ยังคลุมเครืออยู่บ้าง
“ตอนนี้ฉันเริ่มจะเข้าใจความหมายในการทำงานของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ขึ้นมาบ้างนิดหน่อยแล้วล่ะ…
“การได้ใช้ชีวิตอยู่ภายในบริษัท มีภรรยาหนึ่งลูกสอง ได้กินเนื้อสามมื้อต่อสัปดาห์ แบบนี้ก็เป็นชีวิตที่สวยงามนะ ที่จริงฉันก็ยังใฝ่ฝันโหยหาชีวิตแบบนี้อยู่แหละ แต่ทีหลังพอแก่ตัวไป จะรู้สึกว่าชีวิตสูญเปล่าไม่มีคุณค่าหรือเปล่านะ”
ซางเจี้ยนเย่ามองไปข้างหน้า ไม่ได้สนใจเขา
หลงเยว่หงเงียบไป จนกระทั่งลิฟต์ลงมาถึงชั้นที่ 495 เขาก็ยิ้มแล้วพูดออกมา
“แล้วแต่ชะตาฟ้าลิขิตละกัน”
ซางเจี้ยนเย่าเหลือบมองเขา
“งั้นนายก็กลับไปเปลี่ยนชื่อก่อนเถอะ”
ระหว่างที่พูดก็มาถึงทางแยก พวกเขาแยกจากกันกลับไปยังบ้านของตัวเอง
เพียงไม่นานซางเจี้ยนเย่าก็กลับมาถึงห้อง 196 เขต B
เขากำลังจะล้วงกุญแจออกมาก็เห็นว่าด้านล่างประตูมีคนใช้ชอล์กสีขาววาดรูปเด็กทารกเอาไว้
ใน ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้น การที่มีเด็กมาวาดเล่น ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ถ้าไม่ชอบก็แค่ลบทิ้งไปเสีย
แต่ซางเจี้ยนเย่ารู้ว่ารูปวาดเช่นนี้ ที่ตำแหน่งเช่นนี้ มีความนัยซ่อนอยู่ มันหมายถึง…
พรุ่งนี้ตีห้าครึ่ง ที่เก่าเวลาเดิม นิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ จะมีการชุมนุม
ซางเจี้ยนเย่ายกมือขึ้นมา ค่อยๆ เช็ดที่มุมปาก