รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 172 ความวุ่นวายสงบลง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 172 ความวุ่นวายสงบลง

ชั้นบนของ ‘ร้านปืนอาฝู’

ไป๋เฉินวางปืนไรเฟิล ‘เจ้าส้ม’ ไว้ที่ริมหลังคาแล้วฝืนยิงลงมาด้วยท่าทางแปลกผิดธรรมชาติ

ปัง!

หนึ่งในบรรดาคนเร่ร่อนแดนร้างซึ่งพยายามจะบุกฝ่าสิ่งกีดขวางหน้าทางเข้าลานล้มหน้าคว่ำเลือดไหลนอง

ไป๋เฉินไม่ได้โลภที่จะยิงต่อ รีบหดร่างกลับเข้าที่กำบังทันทีเพื่อป้องกันการถูกยิงสวนกลับ

พื้นที่ในบริเวณลานมีการยิงต่อสู้กันอย่างหนักหน่วง หลังจากยิงโต้ตอบกันไปรอบหนึ่ง กลุ่มคนเร่ร่อนแดนร้างที่เพิ่งสูญเสียผู้นำและคนสั่งการไปจึงทำได้เพียงแค่แยกย้ายถอยร่นกลับไปยังพื้นที่ซึ่งมีสิ่งกีดขวาง

ระเกะระกะ

เมื่อเห็นเช่นนี้ หลงเยว่หงก็ถอนหายใจโล่งอก รีบตรวจสอบสภาพปืนและบรรจุลูกกระสุนเตรียมพร้อมไว้เต็มอัตรา

นี่คือปืนไรเฟิลที่เขายืมมาจากเถ้าแก่ ‘ร้านปืนอาฝู’ น้องชายของน้าหนาน สามารถเอามาใช้เป็นปืนไรเฟิลซุ่มยิงได้

เขากับไป๋เฉินจึงใช้โอกาสนี้ขึ้นไปอยู่ในพื้นที่สูง ประสานงานกับพวกเพื่อนบ้านที่หลบอยู่ด้านหลังที่กำบังเพื่อจัดการกับเหล่าคนเร่ร่อนและยามเมืองที่ไร้ระเบียบบางคน

ในระหว่างการฝึกฝน ทักษะด้านซุ่มยิงของหลงเยว่หงเองก็พอมีอยู่เช่นกัน เพียงแต่ว่าโดยปกติแล้วไม่มีโอกาสได้ทำหน้าที่นี้สักเท่าไหร่ ฝีมือจึงยังไม่ค่อยเข้าที่อยู่บ้าง แต่หลังจากยิงเสียกระสุนไปสิบกว่านัด เขาก็ค่อยๆ เริ่มจับทางได้ ใช้กระสุนสองสามนัดเพื่อปลิดชีวิตศัตรูแต่ละคน

เมื่อเทียบกับเขาแล้ว ไป๋เฉินไม่เพียงแค่ใช้กระสุนหนึ่งนัดต่อหนึ่งเป้าหมาย แต่ยังมีสายตาอันเฉียบคมที่สามารถหาตัวผู้นำซึ่งอยู่ในกลุ่มศัตรูและหมายหัวได้ในทันที

และด้วยเหตุนี้ หลังจากยิงออกไปเพียงสองสามนัด ศัตรูก็ไร้ผู้นำคอยควบคุม แตกพ่ายไปในที่สุด

“ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะจบ…” หลงเยว่หงมองลงไปด้านล่างหลังคาแล้วก็ถอนใจ

ถึงแม้ว่าการป้องกันจะประสบผลสำเร็จได้ด้วยดีและผ่านไปอย่างง่ายดาย แต่ตราบใดที่ความวุ่นวายในเมืองยังคงดำเนินอยู่แบบนี้ ใครจะรู้ว่าจะมีอะไรรออยู่ในภายภาคหน้า

“ใกล้แล้วล่ะ” ไป๋เฉินมองกลับไปยังทิศทางของถนนเหนือ “ขอเพียงพวกระดับสูงของเมืองหญ้าไพรยังไม่ถูกกำจัด พอพวกเขาเริ่มหายใจหายคอได้บ้าง แล้วจัดทีมขึ้นมาใหม่ พวกคนเร่ร่อนพวกนี้ก็ไม่ใช่คู่ต่อกรแล้วล่ะ”

ข้อเท็จจริงซึ่งเรียบง่ายที่สุดคือ จนถึงขณะนี้ ทางกองกำลังป้องกันเมืองยังไม่ได้ตอบโต้กลับ

ถึงแม้พวกเขาจะไม่แข็งแกร่งนักแต่ก็ฝึกฝนมานาน เป็นกองกำลังที่ออกไปสู้รบในแดนร้างอยู่บ่อยครั้ง ไหนเลยจะพินาศย่อยยับลงไปอย่างง่ายดาย

นอกจากนี้พวกขุนนางที่พักอยู่ในคฤหาสน์ย่านถนนเหนือแต่ละตระกูลก็ล้วนสามารถผลิตปืนใหญ่ออกมาได้มากมาย

ตามใจ เพียงแค่เอาปืนกลออกมาสองสามกระบอกก็สามารถจัดตั้งกองกำลังส่วนตัวซึ่งสามารถต่อสู้ได้อย่างแข็งแกร่งแล้ว

ไป๋เฉินเองก็ยังเคยได้ยินมาว่าเจ้าเมืองนั้นมีสมาคมนักล่าคอยช่วยเหลือ และเป็นพันธมิตรอย่างแน่นแฟ้นกับ ‘สวรรค์จักรกล’ ไม่แน่ว่าอาจจะซ่อนอาวุธลับทรงพลังเอาไว้ด้วยก็ได้

เพิ่งจะพูดขาดคำ ไป๋เฉินก็ได้ยินเสียงคำรามต่ำๆ ดังต่อเนื่อง

ตูม! ตูม! ตูม!

เสียงปืนใหญ่ยิงถล่มอย่างต่อเนื่องดังมาจากทิศทางด้านถนนเหนือ ทำให้ผืนดินสั่นสะเทือนเล็กน้อย

หลงเยว่หงรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนจากอาคาร ตอนนี้เขาไม่ทราบว่านั่นเป็นกองกำลังป้องกันเมืองลงมือตอบโต้กลับ หรือเป็นเพราะพวกคนเร่ร่อนยึดปืนใหญ่มาได้แล้วเริ่มทำลายสิ่งกีดขวางกันแน่

หลังจากการถล่มยิงรอบนี้จบลง เสียงปืนก็ดังรัวราวกับจุดประทัด

จากนั้นไม่นานก็มีเสียงอลหม่านดังขึ้นจากทางตอนล่างของถนนเหนือ ราวกับว่ากำลังมีคนกลุ่มใหญ่กำลังวิ่งไปที่ประตูเมือง

ตามมาติดๆ ด้วยเสียงโทรโข่งดังกระหึ่มก้องไปทั่วท้องฟ้า

“วางอาวุธแล้วหมอบลง เอามือประสานท้ายทอย

“ขอเพียงยอมจำนนก็จะได้รับการดูแล และยังสามารถมาเป็นทาสในคฤหาสน์ได้อีกด้วย”

เสียงประกาศเตือนดังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในขณะที่เสียงปืนและเสียงเคลื่อนไหวอึกทึกค่อยๆ สงบลง

ขอเพียงยังมีทางรอด น้อยคนนักที่จะดึงดันต่อต้านจนถึงที่สุด

หลงเยว่หงกับไป๋เฉินต่างมองหน้ากันแล้วถอนหายใจ

“ในที่สุดก็จบลงเสียที…”

* * * * *

ห้องประชุมสภาขุนนาง คฤหาสน์เจ้าเมือง

ซางเจี้ยนเย่าซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งท้ายโต๊ะยาว กำลังลูบลำโพงตัวเล็กที่มีก้นสีน้ำเงินพื้นผิวสีดำ พูดกับทุกคนด้วยน้ำเสียงพึงพอใจ

“ทุกคนสมัครสมานสามัคคี ร่วมมือกันต่อต้านศัตรูภายนอก ก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือไง

“ถ้าเกิดผิดใจกันขึ้นมาจริงๆ งั้นก็มาแข่งเต้นประชันกัน หรือไม่ก็งัดข้อ หรือแข่งจ้องตากันว่าใครกะพริบตาก่อนแพ้ก็ได้”

สวี่ลี่เหยียนสูดหายใจลึกและเห็นด้วยกับเรื่องนี้

“ถูกต้อง พวกเราทุกคนก็เปรียบเสมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน หากร่วมมือกันแล้วจะมีอุปสรรคอะไรที่ยังก้าวฝ่าข้ามไปไม่ได้อีกล่ะ”

“ไม่ได้ ไม่ได้” เมอร์ริคที่พูดเสียงเนิบ แย้งออกมาทันควัน “นี่มันคนละเรื่องกัน คุณยังต้องเรียกพวกเราว่าเป็นอาเป็นลุงอยู่”

สวี่ลี่เหยียนกำลังจะตอบคำ แต่พลันมียามเข้ามาในห้องเสียก่อน เขารีบรายงานอย่างดีใจ

“เจ้าเมือง การตอบโต้รอบแรกขับไล่พวกคนเร่ร่อนแตกพ่ายไปแล้ว!

“เพราะคำสัญญาเรื่องการเยียวยา พวกเขาหลายคนจึงเลิกต่อต้าน ความสงบเรียบร้อยภายในเมืองเริ่มค่อยๆ ฟื้นฟูกลับมาแล้ว

“กองกำลังป้องกันเมืองที่ขาดการติดต่อไปเมื่อก่อนหน้านี้ก็พบตัวแล้ว และกำลังไปรวมตัวกัน”

สวี่ลี่เหยียนถอนใจโล่งอก และเผยรอยยิ้มออกมา

“เป็นอย่างที่คาดเอาไว้เลย ในเวลาแบบนี้จะมัวตระหนี่ขี้เหนียวไม่ได้จริงๆ

“ความเมตตาปรานีใช่ว่าจะไม่ดีเสมอไป ความเห็นแก่ตัวก็ใช่ว่าจะดีทุกครั้ง ต่างกรรมต่างวาระก็ต้องใช้วิธีการที่แตกต่างกันเพื่อรับมือ”

หลังศึกนี้จบลงเขาก็รู้สึกว่าอำนาจของตัวเองได้เริ่มก่อตัวขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว แต่ว่าทุกคนก็ล้วนแต่เป็นพี่เป็นน้องกัน มีอะไรก็สามารถปรึกษาหารือ คุยกันด้วยดี ไม่จำเป็นต้องใช้กำลังบังคับ

จากนั้นเขาก็ออกคำสั่งให้ดำเนินการเรื่องการจัดการเรื่องราวหลังจากนี้ ก็พลันเห็นว่ามียามอีกคนหนึ่งกำลังวิ่งมาทางประตู

“เจ้าเมือง ด่านรักษาการณ์ในแดนร้างในทิศทางของ ‘ปฐมนคร’ รายงานมา

“ตอนนี้มีกองกำลังจาก ‘ปฐมนคร’ กำลังเดินทางมา แล้วสมทบรวมตัวกับทีมล่าทาสหลายทีมที่นั่น”

สวี่ลี่เหยียนหรี่ตาลง

“อย่างที่คิดไว้เลย…”

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย

หลังจากยืนยันวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของ ‘บาทหลวง’ ได้แล้ว เธอก็ตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะมีบางขุมกำลังใน ‘ปฐมนคร’ ชักใยเรื่องนี้อยู่เบื้องหลัง ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเจตนารมณ์ของวุฒิสภา ‘ปฐมนคร’ ก็ได้

พวกเขาต้องการกลืนกินเมืองหญ้าไพรมานานแล้ว นี่เป็นเนื้อติดมัน เป็นเมืองที่มีอิสรเสรี

สวี่ลี่เหยียนมองทุกคนโดยรอบก่อนจะพูดอย่างยิ้มแย้ม

“หากพวกเราไม่สามารถจัดการการจลาจลได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาก็มีเหตุผลเพียงพอที่จะขอเข้ามาประจำการที่นี่เพื่อรักษาเสถียรภาพของสถานการณ์ในเมืองบริวาร”

พูดจบก็หันไปหาลุงหลิว

“ส่งทีมโดรนไปทิ้งระเบิดที่แดนร้างดักหน้ากองทัพพวกเขาสักรอบ บอกพวกเขาไปว่าเรากำลังไล่ปราบปรามพวกก่อความไม่สงบอยู่ กรุณาอย่าเข้ามาใกล้ จะได้ไม่ถูกลูกหลงจนเกิดการบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจ

“เหอะ เหอะ ดอกไม้ไฟชุดใหญ่แบบนี้ น่าจะสร้างความสำราญให้ทั้งเจ้าบ้านทั้งแขกได้ไม่น้อย”

“ทราบแล้ว เจ้าเมือง!” ลุงหลิวรับคำ จากนั้นก็กล่าวเตือน “นับจากนี้เป็นต้นไป ความสามัคคีจะยิ่งทวีความสำคัญมากขึ้น”

“ผมเข้าใจแล้ว” ถึงแม้ว่าสวี่ลี่เหยียนจะโกรธ แต่ก็ไม่ได้หน้ามืดตามัวจนไร้เหตุผล

สำหรับพวกเขาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรที่หามาได้ ไม่ว่าจะการค้าที่มีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นการคุ้มครองที่ได้รับ อีกทั้งยังมีอิสรภาพในระดับหนึ่ง นี่นับได้ว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดภายใต้การเป็นบริวารของ ‘ปฐมนคร’

เมื่อเห็นว่าในที่สุดสถานการณ์ก็พลิกกลับมาเข้ารูปเข้ารอย เจี่ยงไป๋เหมียนก็ขยิบตาให้ซางเจี้ยนเย่า

ซางเจี้ยนเย่ารีบลุกขึ้นยืนทันทีแล้วเก็บลำโพงตัวเล็กกลับเข้าไปใส่กระเป๋าเป้ยุทธวิธี ก่อนจะพูดขึ้น

“พวกเรายังมีเรื่องต้องทำ คงต้องขอตัวก่อน”

“ไว้รอเรื่องนี้จบลงเมื่อไหร่ พวกคุณต้องมางานเลี้ยงให้ได้เลยนะ!” ลูกชายคนโตของจ้าวเจิ้งฉีเอ่ยปากเชิญ รู้สึกไม่ยินยอมที่จะให้เขาจากไป

“ถ้าผมว่างนะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยดวงตาอันกระจ่างใส

สวี่ลี่เหยียนหันไปมองรอบๆ

“พวกคุณยังต้องพาคนไปอีกสามคนไม่ใช่เหรอ ถ้าไม่มีรถก็คงไม่สะดวกเท่าไหร่

“เด็กเด็ก ไปเอารถออฟโรดกันกระสุนดัดแปลงพิเศษของฉันมาที่หน้าคฤหาสน์เร็วเข้า”

หลังจากออกคำสั่งเสร็จเขาก็หันมามองซางเจี้ยนเย่าแล้วกล่าวอย่างจริงใจ

“รับไว้เถอะ”

“งั้นผมก็ไม่เกรงใจละนะ” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยรอยยิ้ม

* * * * *

รถออฟโรดกันกระสุนสีเขียวขี้ม้าแล่นออกจากคฤหาสน์เจ้าเมือง ค่อยๆ แล่นบนถนนเหนือ มุ่งหน้าตรงไปยังอาคารเทศบาล

เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองพวกเว่ยอวี้ทั้งสามคนที่อยู่เบาะด้านหลัง แล้วถามซางเจี้ยนเย่าซึ่งทำหน้าที่สารถีอยู่

“พลัง ‘ตัวตลกชักจูง’ ของนายมีผลนานแค่ไหน”

นี่เป็นตัวกำหนดเวลาว่าพวกเขาจะต้องรีบเผ่นออกจากเมืองหญ้าไพรเมื่อใด

ในการค้นหาก่อนหน้านี้ พวกเขาได้พบเว่ยอวี้และสมาชิกคนอื่นๆ ของทีมเหลยอวิ๋นซงตามที่คาดเอาไว้

เดิมทีนั้นย่อมไม่อาจหลีกเลี่ยงการต่อสู้อย่างดุเดือดถึงขั้นเลือดตกยางออกหรือเสียชีวิตได้ แต่ด้วยการมีส่วนร่วมของโอดิค ในระหว่างที่มีคนช่วยยิงกดดัน เขาก็สบโอกาสทำให้เว่ยอวี้และคนอื่นๆ หลับสนิท

เนื่องจากในตอนนั้นมียามอยู่ไม่น้อย เจี่ยงไป๋เหมียนจึงไม่ได้ให้ซางเจี้ยนเย่าใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ เพื่อจัดการ และก็ไม่ได้ปลุกพวกเว่ยอวี้ขึ้นมาขจัดผลของการ ‘สะกดจิต’ เพื่อทักทายโอภาปราศรัยกัน

เธอเลือกใช้แก๊สกล่อมประสาทอย่างเจือจางเพื่อนำตัวพวกเขากลับมารักษาต่อ

ซางเจี้ยนเย่านั้นขับรถไปพลาง โยกร่างเล็กน้อยไปพลาง

“หลักฐานแวดล้อมแบบวงรอบถูกสร้างขึ้นแล้ว ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อย่างน้อยก็น่าจะส่งผลสักครึ่งเดือนหนึ่งเดือนนั่นแหละ

“โดยปกติแล้ว ต่อให้ในชีวิตประจำวันพวกเขาจะเจอเรื่องที่ขัดแย้งกับผลของการชักจูงก็ตาม ขอเพียงแค่ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติอย่างรุนแรงโดยตรง พวกเขาก็ยังถูกดึงให้กลับเข้าไปในวังวนของหลักฐานแวดล้อมแบบวงรอบอยู่ดี จนกว่าจะสะสมจนถึงจุดวิกฤต”

“อย่างนั้นก็ดีแล้ว” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะก่อนแล้วก็ถามต่อด้วยความสงสัย “นายเพียงแค่ทำให้พวกเขาคิดว่าเป็นพี่เป็นน้องกับนาย ใช้จิตใจของนายในการผลักดันเพื่อให้เกิดการช่วยเหลือกันและกัน เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งต่างๆ ในชีวิตจริงเลย โอกาสที่จะเกิดสิ่งที่ขัดแย้งก็เลยต่ำมาก แล้วถ้าหากว่าไม่มีสิ่งที่ขัดแย้งเกิดขึ้นเลยล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น”

“สภาขุนนางก็จะกลายเป็นสภาแห่งภราดรภาพ” ซางเจี้ยนเย่าคาดเดาอย่างจริงจัง

เจี่ยงไป๋เหมียนหัวเราะออกมาคำหนึ่ง

“ดูเหมือนว่าจะมีโอกาสไม่มากเท่าไหร่ เพราะในชีวิตจริงพวกเขาต่างก็คอยขัดแข้งขัดขากัน พอเวลาผ่านไป ไม่ช้าก็เร็ว ในที่สุดพวกเขาก็จะพบความผิดปกติ”

พูดถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันมามองซางเจี้ยนเย่าแล้วถามอย่างจริงจัง

“นายรู้หรือเปล่าว่าเรื่องเมื่อกี้ ตัวเองทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง”

ซางเจี้ยนเย่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตอบ

“ผมควรส่งคุณออกจากห้องไปก่อน!”

เจี่ยงไป๋เหมียนกลอกตา

“คำตอบนี้… ผิดย่ะ!”

เธอทอดถอนใจด้วยความจนใจ

“ก่อนจะทำอะไร อย่างน้อยก็ส่งสัญญาณบอกกันหน่อยสิ อย่าทำอะไรฉุกละหุกแบบนั้น

“นี่ถ้าฉันมีปฏิกิริยาช้าลงอีกนิดเดียว ได้มีคนตายกันจริงๆ แน่!”

“ได้ครับ” ซางเจี้ยนเย่าเห็นด้วย

เมื่อพวกเขากลับมาถึงตรอกซึ่งเป็นที่ตั้งของ ‘ร้านปืนอาฝู’ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในเมืองก็ได้ฟื้นคืนมาในเบื้องต้นบ้างแล้ว พวกสิ่งกีดขวางทางเข้าออกลานก็ถูกเคลื่อนย้ายออกไป

หลังจากพาพวกเว่ยอวี้กลับมาถึงที่พักแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้ออกไปไหนกันอีก พักกันอยู่แต่ในห้องตลอดเวลา ได้ยินเสียงปืนดังอยู่ประปราย

จนกระทั่งห้าโมงเย็น ฟ้าเริ่มมืดลง เมืองหญ้าไพรก็กลับมามีเสถียรภาพได้ในที่สุด

ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ แยกกันเป็นสองกลุ่มออกจากตรอกไปถนนใต้เพื่อตรวจดูสถานการณ์ปัจจุบัน

ในเวลานี้มีคนนั่งกันเรียงรายหน้าร้านรวงต่างๆ เต็มไปหมด สภาพร้านต่างๆ ก็ถูกทุบทำลายเสียหายไปเป็นจำนวนมาก พวกเขานั้นบ้างก้มหน้าคอตก บ้างสะอื้นไห้เบาๆ บ้างก็มองดูถนนเบื้องหน้าพลางร้องไห้อย่างเงียบงัน

ท้องถนนเต็มไปด้วยกองกำลังป้องกันเมืองที่เดินลาดตระเวน ชาวเมืองและคนเร่ร่อนช่วยกันเก็บรวบรวมซากศพเพื่อให้มีอาหารสำรองมากขึ้น

คนตายคนแล้วคนเล่าถูกลากออกไป เหลือทิ้งไว้เพียงรอยเลือดสีแดงเป็นทาง

หลงเยว่หงพลันรู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมา แหงนหน้ามองฟ้าโดยไม่รู้ตัว

เมฆสีตะกั่วเคลื่อนคล้อยลงต่ำ ผลึกน้ำแข็งแวววาวร่วงหล่นลงมา และเพิ่มจำนวนมากขึ้นทุกขณะ

หลงเยว่หงเหม่อมองดูด้วยความงุนงง ยื่นมือขวาออกไปรอรับ พลางพูดด้วยเสียงต่ำ

“หิมะตก…”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท