รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 292 หุ่นยนต์ที่ซื่อสัตย์

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 292 หุ่นยนต์ที่ซื่อสัตย์

ตอนที่ 292 หุ่นยนต์ที่ซื่อสัตย์

หลังจากกลุ่มคนแยกย้ายกันไปหมดแล้ว ‘ทีมสำรวจเก่า’ จึงได้กลับมายังห้องพัก

เกอนาวาถอดแว่นกันแดดที่สวมอยู่ มองดูทุกคนรอบด้าน

“ดูเหมือนพวกคุณจะอารมณ์ไม่ดีเท่าไหร่

“คำพูดพ่อค้าทาสเมื่อตะกี้ ทำให้นึกถึงความทรงจำที่ไม่ดีอย่างนั้นเหรอ

“ผมจำได้ว่าบนแดนธุลีนี่ เรื่องทาสกับเรื่องคนรับใช้ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ทั่วไป ไม่น่าจะมีผลกระทบกับพวกคุณไม่ใช่เหรอ”

เขาถามออกมาตามตรงโดยไม่ได้เรียงร้อยถ้อยคำให้ดูสละสลวย หรือจะพูดอีกอย่างก็คือเขาไม่ทราบด้วยซ้ำว่าอะไรคือถ้อยคำที่สละสลวย

คนสุดท้ายที่สายตาเขาไปหยุดลงก็คือไป๋เฉิน

เขาจำได้ว่าตอนที่พ่อค้าทาสกำลังพูดอยู่ เหล่าคนที่ถูกจัดเตรียมไว้หลายสิบคนนั้นแสดงถึงความหวังออกมา ทว่าหญิงสาวที่ใช้ชื่อปลอมว่าเฉียนไป๋กลับกำหมัดแน่น

ไป๋เฉินยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ หลงเยว่หงก็ตอบออกมาแทนเธอเสียก่อน

“นั่นเป็นเพราะคนที่พวกเขาจะไปรับใช้ ไม่ใช่คนดี…”

เขาหยุดไปชั่วขณะ แล้วอธิบายรายละเอียด

“ดิมาร์โก้เป็นคนที่โหดร้าย…”

หลงเยว่หงอธิบายคร่าวๆ เกี่ยวกับข้อมูลของดิมาร์โก้ที่พวกเขาได้รับมาจากชุมชนศิลาแดงก่อนหน้านี้ สุดท้ายก็บอกว่า

“พอเห็นพวกเขาที่ต่างคนต่างก็รู้สึกว่าชะตาชีวิตของตัวเองจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น แต่ที่จริงแล้วกลับไม่ได้เป็นอย่างนั้น มันก็เลยทำให้ผมรู้สึกลำบากใจอยู่บ้างน่ะ”

“ใช่” เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเห็นด้วยกับคำพูดของหลงเยว่หง

เกอนาวาใคร่ครวญสองวินาทีก่อนจะเอ่ยปากถาม

“งั้นทำไมพวกคุณถึงไม่ลองช่วยพวกเขาดูล่ะ”

เป็นเพราะเขาไม่เข้าใจจึงได้ถามออกมา

ภายในห้องพลันเงียบกริบลงไปอย่างทันทีทันควัน นอกจากซางเจี้ยนเย่าที่ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่ คนอื่นๆ ราวกับไม่คาดคิดว่าเกอนาวาจะถามคำถามนี้ออกมาตรงๆ

นี่เป็นคำถามที่ทำให้ผู้คนรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

มันเป็นดั่งลูกศรอันแหลมคมทิ่มแทงใจ จี้ตรงเข้าไปให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจไยดี ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ล่วงเลยไปกว่าสิบวินาที ไป๋เฉินจึงได้เอ่ยปาก

“บนแดนธุลีมีผู้คนที่ต้องการความช่วยเหลือมากเกินไป พวกเราไม่อาจช่วยทุกคนที่เราเจอไหว มันเกินกำลังและเกินกว่าทรัพยากรที่พวกเรามี

“พวกเราจำเป็นต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน ถึงจะไปคิดถึงคนอื่นได้”

เธอหยุดไปสองวินาที แล้วเสริมอีกประโยค

“สิ่งที่ฉันคิดอยู่เสมอก็คือ… บนแดนธุลีนั้น การไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ก็นับว่าเป็นเรื่องสูงส่งแล้วล่ะ”

อย่าไปคาดหวังความช่วยเหลือจากคนอื่น

เสี่ยวไป๋เอ๋ย น้อยครั้งจริงๆ ที่เธอจะพูดเยอะขนาดนี้… เจี่ยงไป๋เหมียนนิ่งเงียบฟังจนจบ ไม่ได้รีบร้อนพูดอะไร

หลงเยว่หงพูดแสดงความเห็นด้วย

“ถูกแล้วล่ะ ด้านหนึ่งนั้นก็คือความแข็งแกร่งของ ‘นาวาบาดาล’ ไม่ใช่น้อยๆ อาศัยพวกเราแค่ไม่กี่คนน่ะ ไม่มีทางรับมือพวกเขาได้หรอก แถมยังไม่รู้ด้วยว่าจะเข้าไปข้างในได้ยังไง และในอีกด้านหนึ่งก็คือคนที่เราจะไปช่วยนั้นมีตั้งเยอะแยะ พอช่วยออกมาแล้วจะทำไงต่อ จะให้พวกเขาไปอยู่ที่ไหน จะให้ไปเพาะปลูกก็ยังต้องรออีกตั้งเดือนสองเดือน แล้วกว่าจะรอเก็บเกี่ยวได้ก็อีกนานโข อาหารของพวกเรามีจำกัด พอถึงตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะมีคนอดตายหรือมีคนหนาวตายไปอีกเท่าไหร่ สุดท้ายแล้วอาจกลายเป็นว่าเข้าไปอยู่ใน ‘นาวาบาดาล’ ยังจะดีกว่าเสียอีก”

ไม่เลวนี่… สามารถอธิบายเรื่องราวได้กระจ่างชัดเจนดี… จากนั้นเจี่ยงไป๋เหมียนก็กล่าวสรุปด้วยเนื้อหาที่เรียบเรียงเสร็จแล้ว

“นอกจากนี้ภารกิจหลักของพวกเราก็คือการสืบหาสาเหตุที่โลกเก่าถูกทำลาย ถ้ามัวแต่ห่วงนั่นพะวงนี่ จะกลายเป็นลากถ่วงงานของตัวเอง เพิ่มภาระที่ไม่จำเป็นเข้ามาเปล่าๆ

“ถ้าหากความยากไม่สูง ความเสี่ยงไม่มาก ถ้าพวกเราพอจะยื่นมือเข้าไปช่วยได้ก็จะช่วย แต่ในสถานการณ์เช่นนี้พวกเราไม่อาจไม่แยกแยะ จะเอาชีวิตของพวกพ้องในทีมไปเสี่ยงไม่ได้

“พลังของแต่ละคนนั้นมีจำกัด ไม่อาจสอดมือเข้าไปได้ทุกเรื่อง ทำเรื่องของตัวเองให้ดีที่สุดนั่นแหละถึงจะสำคัญสุด”

เกอนาวาไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วผงกศีรษะแสดงออกว่าเข้าใจ

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง

“ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าการ ‘ช่วยมนุษยชาติ’ คือหนึ่งในเป้าหมายของพวกคุณเสียอีก”

เจ็บจี๊ด… สีหน้าเจี่ยงไป๋เหมียนกลายเป็นพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ในใจก็พลันมีคำศัพท์นี้ที่เพิ่งเรียนไปผุดขึ้นมา

เธอฝืนยิ้มแล้วพูด

“การสืบหาสาเหตุที่โลกเก่าถูกทำลาย การทำความเข้าใจที่มาของการเกิด ‘โรคไร้ใจ’ นั่นก็คือความพยายามที่จะ ‘ช่วยเหลือมนุษยชาติ’ นั่นแหละ”

เกอนาวาครุ่นคิดแล้วถามต่อ

“งั้นถ้าหากภารกิจหลักเต็มไปด้วยความเสี่ยง คุณจะยอมเสี่ยงชีวิตของสมาชิกทีมหรือเปล่า”

“…” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกปวดหัวหนึบขึ้นมาทันที

เธอใคร่ครวญก่อนจะตอบ

“ฉันจะวิเคราะห์สถานการณ์ก่อน พอชั่งน้ำหนักความเสี่ยงแล้วถึงค่อยตัดสินใจ

“ถ้าสามารถบรรลุเป้าหมายได้โดยมีความเสี่ยงเพียงเล็กน้อยก็จะลองดู แต่คนที่จะแบกรับเรื่องนั้นก็คือฉัน ถ้าหากมีความเสี่ยงมากเกินไปฉันก็จะพิจารณาเรื่องเปลี่ยนวิธีการ ไปหาเบาะแสอื่นแทน สรุปก็คือจะไม่ยอมเสียสละโดยไม่จำเป็น ขุนเขาเขียวขจีย่อมไม่กลัวขาดฟืน[1]”

เกอนาวาขยับลำคอที่ทำจากโลหะ เอ่ยถามอย่างสงสัย

“งั้นทำไมถึงไม่จัดการกับ ‘นาวาบาดาล’ ล่ะ เรื่องการช่วยเหลือคนรับใช้พวกนั้นก็เป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ

“ทำไมถึงไม่ลองพิจารณาดูก่อนว่าพอจะมีวิธีที่ดี หรือมีวิธีการอื่นในการแก้ปัญหาหรือเปล่า ทำไมถึงรีบยอมแพ้เสียก่อนล่ะ”

นายนี่มันช่างเป็นหุ่นยนต์ที่ซื่อสัตย์เสียเหลือเกิน… สงสัยว่าอีกหน่อยคงต้องสั่งสอนว่าอะไรควรถามไม่ควรถาม อะไรที่เข้าใจความหมายแล้วก็ควรจะพอได้แล้ว… เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกเหมือนหัวจะระเบิด นี่มันเหมือนกับได้เจอซางเจี้ยนเย่าเพิ่มอีกคนเลย

แปะ! แปะ! แปะ!

ซางเจี้ยนเย่าที่กำลังครุ่นคิดพิจารณาก็พลันปรบมือขึ้น

เขามองเกอนาวา กล่าวชื่นชมด้วยรอยยิ้ม

“ผมรู้สึกเป็นปลื้มมาก”

คำพูดที่จู่ๆ ก็โพล่งขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยเช่นนี้ทำให้เกอนาวางุนงงอยู่บ้าง หลังจากที่เขาวิเคราะห์อย่างระวังแล้วจึงพูดขึ้น

“คุณคิดว่าเรื่องที่ผมถามไปนั่น เป็นคำถามที่ดีอย่างนั้นเหรอ”

“อื้ออืม” ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะอย่างเคร่งขรึม

ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนบังเกิดความรู้สึกว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับซางเจี้ยนเย่าคูณสอง

เธอเริ่มสำนึกเสียใจที่ตัวเองถูกความโลภบังตา อยากได้หุ่นสมองกลมาช่วยเสริมกำลังสู้รบ

เฮ้อ… เจี่ยงไป๋เหมียนค่อยๆ ผ่อนลมหายใจก่อนจะตอบ

“เหตุผลก็คือฉันวิเคราะห์และพิจารณาแล้วน่ะ”

และเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่านี่ไม่ใช่การ ‘พูดปัดความรับผิดชอบ’ ไปเรื่อยเปื่อย เธอจึงอธิบายเพิ่มเติมอีก

“‘นาวา’ นั้นตั้งอยู่ใต้ดินซึ่งมีการควบคุมการเข้าออกอย่างเข้มงวด ไม่ใช่นึกอยากจะเข้าก็เข้าไปได้ และนอกจากนั้นก็อาจเจอสถานการณ์ถูกปิดเส้นทางได้ทุกขณะ ออกไปไหนไม่ได้ ต้องติดแหงกอยู่ในนั้นจนตาย…

“ข้างในก็มียามอยู่เต็มไปหมด อาวุธพวกเขาก็ดีมาก…

“‘ดิมาร์โก้’ มีชุดเกราะเสริมแรงทางทหารรุ่นใหม่อยู่ในความครอบครองอย่างน้อยสองชุด ถึงจะเก่าแต่ก็ไม่ได้เก่าสักเท่าไหร่…

“แล้วก็ยังมีผู้ตื่นรู้ที่ทำงานให้อีก และยังมีมากกว่าหนึ่งด้วย…

“นอกจากนี้นะ ใน ‘นาวา’ ก็มีวัตถุปัจจัยอย่างเหลือเฟือ อาวุธก็เพียบ ถึงจะถูกล้อมไว้สักปีก็ยังไม่สะดุ้งสะเทือน…

“อีกอย่าง…”

พูดถึงตรงนี้ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ใคร่ครวญอยู่สองสามวินาทีถึงจะพูดต่อ

“ดิมาร์โก้เองก็ไม่ใช่ธรรมดา แง่หนึ่งก็คือเป็นคนที่โหดเหี้ยมมาก อีกแง่หนึ่งก็คือมีการแสดงออกบางอย่างที่ไม่ค่อยปกติ

“เช่นว่าเขาสนใจเรื่องพยัคฆ์ยมราชที่เกาะกลางทะเลสาบมาก นี่มันไม่เหมือนคนปกติตามที่ควรจะเป็น หรืออย่างเช่นเขากล้าออกมาพบกับพวกเราตามลำพังภายในห้อง

“ดังนั้นฉันก็เลยสงสัยว่าตัวเขาน่าจะแข็งแกร่งไม่เบาเหมือนกัน”

หลังจากวิเคราะห์จบ เจี่ยงไป๋เหมียนก็สรุปออกมา

“จากสถานการณ์ที่กล่าวมา ฉันจึงคิดว่าพวกเราไม่สามารถจะช่วยพวกคนรับใช้ใน ‘นาวา’ ได้ ต่อให้ยอมสละชีพทุกคนก็ไม่น่าจะเกิดผลมากนัก

“อ้อ พวกกลุ่มคนเมื่อตะกี้น่ะ ถึงจะช่วยเหลือได้ไม่ยากก็จริง แต่ประเด็นสำคัญก็คือหลังจากช่วยมาได้แล้วจะจัดการยังไงต่อ พวกเราเองก็ไม่ได้มีวัตถุปัจจัยมากสักเท่าไหร่”

เกอนาวาเห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของเจี่ยงไป๋เหมียน เขาเอ่ยถามต่อ

“แล้วได้คิดหาวิธีรวบรวมอาหารไว้บ้างไหม”

“ไปหาตอนนี้ก็ไม่ทันการแล้วล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบด้วยความจนใจ

แล้วในตอนนี้จากมุมหางตาเธอก็เห็นว่าซางเจี้ยนเย่ามีท่าทางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง เธอจึงพูดด้วยเสียงอ่อนแรง

“นายมีอะไรอยากพูดงั้นเหรอ”

เพิ่งจะจัดการสยบซางเจี้ยนเย่าตัวปลอมไปได้ ตอนนี้ก็ต้องมารับมือกับซางเจี้ยนเย่าตัวจริงต่ออีก

ซางเจี้ยนเย่ายืนขึ้นมา มองดูทุกคนโดยรอบแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“ผมแค่จะอยากบอกข้อเท็จจริงสองสามเรื่องน่ะ”

สองสามเรื่อง… หลงเยว่หงพลันรู้สึกว่าตับไตตนเองสั่นสะเทือนขึ้นมาทันที

ซางเจี้ยนเย่ายังคงพูดต่อไปราวกับไม่ได้สังเกตเห็นอาการผิดปกติของเขา

“หนึ่ง… ภายใน ‘นาวาบาดาล’ ต้องมีวัตถุปัจจัยเก็บอยู่ไม่น้อย สามารถเลี้ยงดูคนจำนวนมากได้นานพอสมควร

“สอง… การค้าของเถื่อนในชุมชนศิลาแดงน่ะ ดิมาร์โก้ครองส่วนแบ่งตลาดที่ใหญ่ที่สุด ดังนั้นภายใน ‘นาวาบาดาล’ จะต้องมีแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงอยู่เป็นจำนวนมาก

“สาม… ขอเพียงแค่ควบคุมช่องทางเอาไว้ได้และมีความแข็งแกร่งมากพอ ไม่ว่าใครที่ทำธุรกิจนี้ก็สามารถฟันกำไรได้อย่างงาม”

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้รีบคัดค้านอย่างหน้ามืดตามัว เธอขบคิดพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง

“ความหมายของนายก็คือ ขอเพียงแค่ฆ่าดิมาร์โก้ได้ ยึด ‘นาวาบาดาล’ ได้ ก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องความต้องการของพวกเราไปพร้อมกับช่วยเหลือพวกคนรับใช้เหล่านั้นไปในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นอาหารการกินหรือที่พักอาศัย ยิงปืนนัดเดียวได้นกหลายตัวสินะ”

แปะ! แปะ! แปะ!

ซางเจี้ยนเย่าปรบมือ

“ด้วยการสนับสนุนของพวกเรา รวมถึงอิทธิพลที่เรามี ก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของชุมชนศิลาแดงไปทีละเล็กทีละน้อย ค่อยๆ ส่งเสริมให้คนที่นี่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ ไม่ว่าจะเป็นคนแดนธุลี คนแม่น้ำแดง มนุษย์มัจฉา หรือปีศาจภูเขาก็ตาม”

เจี่ยงไป๋เหมียนฟังแล้วก็รู้สึกว่านี่เป็นผลลัพธ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง แต่ยังตกตะลึงอยู่บ้าง

“ไอ้ที่นายอ้อมโลกวกไปตั้งไกลเนี่ย อยากบอกนะว่าเป้าหมายจริงๆ ก็คือเรื่องนี้”

นายนี่มันออกจะยึดมั่นถือมั่นเกินไปหน่อยแล้ว!

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ตอบคำถาม แต่เขายกเอาประโยคก่อนหน้าขึ้นมาพูด

“อยู่ๆ จะมาบอกว่าฆ่าดิมาร์โก้เอย จะยึด ‘นาวาบาดาล’ เอย แบบนั้นน่ะ ก็เหมือนพวกเราเป็นโจรน่ะสิ”

“งั้นจะให้พูดว่ายังไง” เจี่ยงไป๋เหมียนถามออกมาด้วยความฉุนเฉียวระคนปนขบขัน

สีหน้าซางเจี้ยนเย่าพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที

“ผดุงความยุติธรรมแทนฟ้า!”

“…” ณ ขณะนี้ ภายในใจของเจี่ยงไป๋เหมียนมีเพียงคำคำๆ เดียวเท่านั้น

ไม่น่าเลยเรา…

ตอนนี้ได้แต่สำนึกเสียใจ…

ทำไมก่อนหน้านี้ถึงได้หลวมตัวยอมปล่อยให้เจ้าหมอนี่ดูซีรีส์จากโลกเก่านะ…

สีหน้าหลงเยว่หงเองก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไร

เขารู้สึกว่าซางเจี้ยนเย่าในตอนนี้เปรียบประหนึ่ง ‘พยัคฆ์ติดปีก’ ไปแล้ว

ไป๋เฉินไม่ได้เอ่ยอะไร เธอไม่ได้มีทีท่าว่าเห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้แสดงออกว่าคัดค้าน

หลังจากที่เจี่ยงไป๋เหมียนทำใจได้เธอก็มองดูซางเจี้ยนเย่า ก่อนจะใช้ทัศนคติที่จริงจังตอบกลับไป

“ถ้านายคิดแผนการที่มีแนวโน้มว่าสามารถทำได้จริงออกมาได้ งั้นฉันก็จะรับไว้พิจารณา

“แต่ถ้าไม่ได้ งั้นก็ถือว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นก็แล้วกัน”

[1] ขุนเขาเขียวขจีย่อมไม่กลัวขาดฟืน (留得青山在,还怕没柴烧) ภูเขายังเขียวขจี ยังมีป่าไม้ ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะขาดแคลนฟืน หมายถึงตราบใดยังมีชีวิตอยู่ก็ยังคงมีความหวัง

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท